ตอนที่ 2
“ปั้ง!!”
พลุประกายสีเงินบนท้องฟ้าเป็นสัญญาณว่าเริ่มเกมได้ ผมมีเวลา 30 นาทีในการวางแผนซ่อนลูกไข่ธาตุ จะบอกว่าเป็นโชคร้ายก็ไม่ผิดที่ลูกไข่ธาตุของผมเป็นธาตุน้ำ ธาตุที่จะปลดลูกไข่ธาตุของผมได้ก็คือธาตุไฟฟ้า ซึ่งมีป้าคาร่ากับพี่แมทเป็นผู้ใช้ธาตุไฟฟ้า แต่ก็ใช่ว่าลุงแม็กซ์กับคุณตาจะปลดลูกไข่ธาตุของผมไม่ได้ ดังนั้นผมต้องระวังทุกคนไว้อยู่ดี
ผมวางแผนให้ลีโอนำลูกไข่ธาตุไปซ่อน ส่วนผมจะไปสร้างสถานการณ์ล่อไปอีกฟากของป่า ให้ไกลจากตำแหน่งของลีโอที่สุด ผมเชื่อมือลีโออยู่แล้ว ถึงผมจะไม่ได้โดดเด่นเรื่องการใช้เวทมนตร์มากนัก จัดอยู่ในระดับปานกลางของพ่อมดแม่มดทั่วๆไป แต่ลีโอนั้นแตกต่างออกไปมาก ลีโอเป็นสัตว์ประจำตัวที่ดูภายนอกเหมือนแมวส้มประจำบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ความสามารถด้านการใช้เวทมนตร์นั้นเทียบได้กับพ่อมดแม่มดเก่งๆเลย โดยเฉพาะความสามารถพิเศษในการกลายร่างเพื่อลอกเลียนแบบของลีโอ สามารถก็อปปี้ได้ทั้งเวทมนตร์ รูปร่างหน้าตาและความสามารถของทุกสิ่งทุกอย่าง ภายใต้เงื่อนไขเพียงได้พบเห็นและจดจำรูปลักษณ์ รูปแบบการใช้พลังหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่ลีโอเลียนแบบไม่ได้ อีกทั้งยังเก่งเรื่องการแกะรอยเป็นที่สุด
แต่ก็ใช่ว่าความสามารถของลีโอจะไร้ที่ติเสมอไป เพราะของเลียนแบบยังไงก็เป็นของเลียนแบบอยู่ดี มันไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นความสามารถที่มีประโยชน์มากในสถานการณ์คับขันหรือเร่งด่วนที่ส่วนใหญ่มักจะมองข้ามรายละเอียดต่างๆหรืออาจจะกำลังตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ลีโอเลียนแบบ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนลีโอหลอกก็โดนซื้อเวลาเสร็จแมวไปซะแล้ว เว้นก็แต่คนในครอบครัวนี่ละ ที่จับทางได้อยู่เสมอ เพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้น
ผมกวาดมือร่ายเวทมนตร์ใช้กลิ่นดินกลบกลิ่นของลีโอเพื่อไม่ให้ถูกตามตัวง่ายๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปอีกฟากตรงข้ามกัน ซึ่งขอบเขตของการเล่นเกมครั้งนี้คือทั้งหมดของอาณาบริเวณบ้านหลังนี้ ซึ่งมีพื้นที่ที่กว้างมากขนาดที่ว่าคนปกติเดินทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่ครอบคลุม
ซึ่งเพื่อรักษาปอดของเมืองนี้ไว้ คุณตาจึงต้องผนึกพื้นที่ป่ากลางใจเมืองไว้ในบริเวณบ้าน พื้นที่ทั้งหมดถูกคุณตากว้านซื้อไว้ตั้งแต่เข้ามาตั้งรกราก ตอนนั้นตรงนี้ยังเป็นเพียงเมืองบางกอกในสมัยกรุงธนบุรี โดยสมัยก่อนคุณตาใช้ข้าวสารเพียงไม่กี่กระสอบแลกกับที่ดินได้ตั้งหลายสิบร้อยผืน ยุคนั้นเป็นยุคข้าวยากหมากแพง เลยเข้าทางคุณตาที่เป็นผู้ชำนาญธาตุพืช ปลูกจับอะไรก็ขึ้นเป็นเงินเป็นทองไปหมด หลังจากนั้นคุณตาค่อยๆรวมและผนึกแผ่นดินทีละนิดๆ ซึ่งไม่เป็นที่สังเกตของคนสมัยก่อนเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีอะไรที่วัดได้จริงเหมือนอย่างสมัยนี้ ก่อนจะเปลี่ยนผืนดินเปล่าเป็นป่าผืนใหญ่ที่ผมกำลังยืนอยู่
ไม่เพียงแค่ผืนดินในบริเวณบ้าน ที่ดินทั้งในและนอกเมือง รวมทั้งสิ่งของมีค่าที่ปัจจุบันไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ คุณตาก็เก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด ถ้าเอาทรัพย์สินที่คุณตามีมากางนับกันจริงๆ อันดับบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศนี้คงต้องมีเปลี่ยนแปลงกันบ้างแหละ แต่ต่อให้ร่ำรวยขนาดไหน คุณตาก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายปกติเสมอ
“เปรี้ยง!!”
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมกับแสงสีฟ้าสว่างวาบทั่วทั้งฟากฟ้า มันมาจากทิศที่ผมกำลังจะเดินทางไป ไม่แน่ใจว่าเป็นการร่ายเวทมนตร์ป้องกันบริเวณหรือทำอะไรซักอย่างของป้าคาร่าหรือของพี่แมท
“ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ”
ปรากฏเสียงกระทบกับพื้นดินสนั่นจากอีกฟากของป่า ผมย่อตัวลงใช้มือสัมผัสกับดินเพื่อประเมินว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทหารดินของลุงแม็กซ์ ต้องใช่แน่ๆ เอาจริงกันทุกคนเลยนะ เห็นทีจะไม่ง่ายแล้วเรา”
ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนใช้สมองอันชาญฉลาดคิดหาทางชนะในเกมนี้ จริงๆอย่าว่าแต่เอาชนะเลย...บางทีแค่เอาตัวรอดยังยาก ความมั่นใจเมื่อ 15 นาทีที่แล้วหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
ทหารดินคือหุ่นที่ทำขึ้นมาจากดิน มีความแข็งแรง ต้านทานเวทมนตร์สูง เป็น 1 ในเวทมนตร์ที่ลุงแม็กซ์ถนัดเอามากๆ คิดว่าลุงแม็กซ์น่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องลูกไข่ธาตุของตัวเอง ถึงแม้ว่าครอบครัวผมจะมีความสามารถในการใช้ธาตุดิน แต่กับทหารดินนั้น มีเพียงเจ้าของที่สามารถบังคับและควบคุมพวกมันได้ ข้อเสียของการสร้างทหารดินคือผู้ร่ายจะต้องมีพลังเวทมนตร์อยู่ในระดับที่สูง เพราะต้องใช้พลังเวทมนตร์ส่วนนึงในการควบคุมทหารดินตลอดเวลา นั่นคือถ้าผู้ร่ายไม่ได้มีความชำนาญหรือพลังเวทมนตร์สูงมากพอ ทหารดินอาจจะกลายเป็นเพียงดินปั้นธรรมดาๆ ไร้ประสิทธิภาพ
ถ้าให้เลือกระหว่างสนามไฟฟ้ากับทหารดิน ผมเลือกสนามไฟฟ้าดีกว่า เพราะมันยังมีวิธีจัดการอยู่บ้าง ขออย่าให้ตาเรียกไอตัวนั้นออกมาก็แล้วกัน แค่นี้ก็เป็นงานหินสำหรับผมมากพอแล้ว
ผมมุ่งหน้าไปยังทิศที่ปรากฏแสงไฟฟ้าวูบวาบเป็นระยะๆ รอจังหวะพลุสีทองยิงขึ้นฟ้าอีกครั้งเป็นสัญญาณให้เริ่มหาลูกไข่ธาตุได้ ในใจภาวนาให้ลีโอไม่ต้องเจออุปสรรคใดๆ จะได้ไม่โดนปลดลูกไข่ธาตุเสียก่อน
สัญญาณพลุสีทองอร่ามทั่วทั้งท้องฟ้า นั่นคือได้เวลาเริ่มหาลูกไข่ธาตุแล้ว ข้างหน้าผมเป็นลานหญ้ากว้างๆ มีสนามไฟฟ้าขนาดกว้างครอบคลุมระยะของสนาม มีฟ้าผ่าลงมาเป็นระยะๆ แต่ไร้เงาของป้าคาร่าหรือพี่แมทจากระยะสายตาของผม เป็นไปได้ว่าจะมีลูกไข่ธาตุอยู่ตรงกลางของสนาม ดังนั้นจะต้องหยุดฟ้าผ่านี่ก่อน ถึงแม้ความแรงของกระแสไฟฟ้าจะไม่ได้ถึงขั้นเอาชีวิต แต่ถ้าโดนไปซักทีก็คงจุกอยู่ชั่วขณะ
ผมกวาดมือร่ายเวทมนตร์เสกลูกบอลสายล่อฟ้าออกมา มันเป็นไอเทมทางวิทยาศาสตร์ที่ผมเคยผลิตเอาไว้ โดยได้ไอเดียจากการประดิษฐ์สายล่อฟ้า เลยนำมาดัดแปลงทำออกมาในรูปแบบของลูกบอล โดยจะมีปลายแหลมโผล่พ้นลูกบอลใสๆ ออกมาเล็กน้อย ซึ่งจะเป็นตัวล่อประจุไฟฟ้าผ่าลงมานำไปยังพื้นดิน
เพราะประสบการณ์จากหลายๆครั้งที่ผ่านมา ทำให้ผมประดิษฐ์สิ่งนี้ไว้รับมือกับธาตุไฟฟ้า ผมเรียกออกมา 5 ลูกก่อนควบคุมให้มันเข้าไปในสนามเป็นรูป 5 เหลี่ยม เพื่อล่อฟ้าผ่าให้ผมเดินเข้าไปในสนามหญ้าได้ง่ายๆ
ทันทีที่ลูกบอลลอยเข้าไปในสนาม กระแสสายฟ้าก็พุ่งไปยังลูกบอลตามที่ผมคิดไว้ทันที ผมรีบเดินเข้าไปยังกลางสนาม โดยที่มือข้างหนึ่งยังคงควบคุมลูกบอลทั้ง 5 ไว้
มาถึงตรงนี้อาจสงสัยว่าวิธีการร่ายมนตร์ของพ่อมดแม่มด ไม่ต้องใช้ไม้กายสิทธิ์เหมือนในหนังหรอกหรอ? คำตอบก็คือ ไม่จำเป็น วัตถุจำพวกไม้กายสิทธิ์ ไม้เท้า คฑา ลูกบอลเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เคยได้ยิน ล้วนเป็นสิ่งที่ผลิตออกมาทีหลังเพื่อช่วยให้เราสามารถร่ายเวทมนตร์ได้ถนัดขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งได้รับความนิยมแตกต่างออกไปในแต่ละประเทศ แต่วัตถุพวกนั้นไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพของเวทมนตร์สูงขึ้นหรือต่ำลง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความถนัดที่ถูกฝึกมา
เพราะเดิมทีพ่อมดแม่มดสามารถร่ายเวทด้วยมือเปล่าได้ตามใจนึก เพียงแค่ใช้มือควบคุมกระแสเวท ไม่ต้องมีคาถาเหมือนอย่างในหนัง แต่จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบและลำดับความคิดให้ถูกต้อง สมาธิแน่วแน่และมั่นคง
เหมือนจะง่ายแต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จึงต้องมีโรงเรียนสอนเวทมนตร์เพื่อฝึกการใช้เวทมนตร์ให้คล่องแคล่วและถูกต้อง เพราะแต่ละคนใช้เวทมนตร์ได้ไม่เหมือนกัน เวทมนตร์บางชนิดก็แทบจะไม่เคยถูกพบเจอ ไม่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ของพ่อมดแม่มด ดังนั้นการเรียนในโรงเรียนโดยมีครูผู้เชี่ยวชาญช่วยสอนการจัดระเบียบความคิดจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อดึกศักยภาพเวทมนตร์ออกมาได้สูงสุด
ซึ่งการร่ายเวทของแต่ละคนก็แตกต่างออกไป ลักษณะท่าทางการบังคับควบคุมเวทมนตร์ด้วยมือของแต่ละคนจึงแตกต่างตามความถนัด อย่างของคุณตาจะดูนิ่งแต่ทรงพลัง ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เห็นคุณตาร่ายเวทบ่อยๆ แต่นับว่าเป็นจอมเวทที่มีท่วงท่าการร่ายเวทที่เป็นเอกลักษณ์ และสง่างามเป็นที่สุด
ผมเดินเข้ามาถึงกลางสนาม กลับไม่พบลูกไข่ธาตุกลางสนามหญ้านี้เลย ผมใช้มือขวาควบคุมลูกบอลไว้ ก่อนใช้มือซ้ายร่ายเวทหาลูกไข่ธาตุ พยายามสัมผัสถึงแต่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย สงสัยคงจะโดนใครซักคนหลอกเข้าแล้ว
ทันทีที่คิดออกก็ดูเหมือนจะช้ากว่าใครซักคนไปหนึ่งก้าว เพราะปรากฏร่างของพี่แมทบินลอยขึ้นเหนือฟ้า ตรงเท้ามีไฟฟ้าวูบวาบบินพุ่งไปอีกทาง เป็นทิศทางเดียวกับที่ผมให้ลีโอเอาลูกไข่ธาตุไปซ่อนไว้
“ตกหลุมพรางพี่แมทจนได้”
สำหรับพี่แมท เป็น 1 ในพ่อมดของกระทรวงที่อยู่ในระดับหัวกะทิ สามารถใช้ธาตุไฟฟ้าประคองตัวเองให้ลอยอยู่ในอากาศแล้วเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ซึ่งไม่ใช่พ่อมดแม่มดทุกคนที่จะสามารถใช้เวทมนตร์แบบนี้ได้ เพราะมันค่อนข้างซับซ้อน ต้องจัดระเบียบความคิดให้ดี ผ่านการคำนวณทุกอย่างจนสามารถประคองตัวเองบนอากาศได้ แม้แต่มนุษย์ที่สามารถคิดค้นเครื่องบินลำใหญ่ให้ลอยอยู่บนท้องฟ้าและเคลื่อนที่ได้เป็นวันๆ ยังไม่สามารถคำนวณและประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ทำให้เราลอยอยู่บนอากาศได้อย่างมั่นคงเลย
ในครอบครัวผม...นอกจากคุณตาก็มีพี่แมทที่สามารถเคลื่อนที่บนอากาศได้ แม้แต่ลุงแม็กซ์กับป้าคาร่าที่เป็นครูสอนเวทมนตร์ยังไม่สามารถใช้เวทมนตร์ประเภทนี้ได้อย่างสมบูรณ์เลย
"ลีโอ ระวังพี่แมทด้วยละ เขาพุ่งไปทางนั้นแล้ว"
ผมพูดใส่หูฟังบลูทูธไร้สายที่ผมกับลีโอใช้ติดต่อสื่อสารกัน ใช่ว่าเป็นพ่อมดแล้วต้องใช้เวทมนตร์ตลอดเวลา เครื่องทุ่นแรงอะไรที่มนุษย์สร้างขึ้นมาแล้วสะดวกกว่าการใช้เวทมนตร์ ผมก็ประยุกต์มาใช้ทั้งหมดนั่นละ เผลอๆสะดวกกว่าใช้เวทมนตร์ด้วยซ้ำ แล้วถึงลีโอจะเป็นแมวแต่ก็สามารถสวมหูฟังและใช้มือถือผ่านคำสั่งเสียงเหมือนมนุษย์ได้ ต้องชื่นชมมนุษย์อีกเช่นกันที่คิดค้นระบบสั่งการด้วยเสียงออกมา น่าเสียดายที่ระบบทัชสกรีนไม่รองรับอุ้งเท้าแมว
"หายห่วงมิ ดูแลตัวเองด้วยนะ"
ผมหยุดควบคุมลูกบอลก่อนจะเสกเก็บไว้ตามเดิม เตรียมตามพี่แมทไป แต่ทันใดนั้นเอง...
"ฟืบ ฟืบ ครืดดดดด"
เสียงเคลื่อนไหวของสัตว์ประจำตัวที่ผมคุ้นเคยกำลังเลื้อยเข้ามาในระยะสายตาไม่ไกลนัก สารภาพเลยว่าเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเจอที่สุดในเกมนี้ ไม่กี่อึดใจก็ปรากฏเป็นบาซิลิสก์ตัวใหญ่อยู่เบื้องหน้า กำลังเคลื่อนที่ข้ามา ปิดทางเดินไว้จนมิด
“วีเซิล!!”
วีเซิลเป็นบาซิลิสก์ สัตว์ประจำตัวของคุณตา ปกติจะมีนิสัยใจดีกับคนในครอบครัวแต่จะดุร้ายกับคนนอก นานๆคุณตาจะเรียกออกมาซักที เพราะรูปร่างขนาดตัวที่ทั้งยาวและใหญ่เกินกว่าจะอยู่ในบ้านด้วยกันได้ วีเซิลจึงอาศัยอยู่ในถ้ำดินที่ตั้งอยู่กลางป่า ส่วนใหญ่จะจำศีลและคอยดูแลความเรียบร้อยของป่าผืนนี้
ที่คุณตาให้ชื่อว่าวีเซิลเพราะว่ากันว่าตามตำนาน...บาสิลิสก์จะกลัววีเซิลหรือเพียงพอน แต่ไม่ใช่เจ้าบาสิลิสก์ตัวนี้ เพราะมันถูกฝึกจนไร้ขอบเขต ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ วีเซิลสามารถเข้าใจภาษามนุษย์แต่ไม่สามารถพูดได้
"ตาจริงจังไปไหมเนี๊ยะ!!! "
ผมสบถกับตัวเองก่อนมองไปยังทางที่ถูกขวางไว้มิด ลำตัวของวิเซิลเป็นเกล็ดสีทอง เพียงแค่เห็นก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ส่วนหัวมีหงอนเล็กๆ คล้ายมงกุฎ มองเผินๆคล้ายพญานาคของฝั่งเอเชีย แต่ต่างกันตรงบาสิลิสก์จะมีขาและปีก คล้ายไก่ผสมงู ดวงตาของมันกลมโตมีแววดุร้าย ต่อให้มันไม่ทำร้ายผม แต่ก็อดสยองทุกครั้งที่เจอไม่ได้ เพราะเพียงแค่สบตามัน ก็สามารถถูกสาปให้เป็นหินได้ในทันที แถมฟันทุกซี่ก็ยังแหลม มีพิษร้ายแรงทุกซี่
“อย่าขวางเลยหน่า ยังไงวันนี้มิก็ต้องชนะ”
วีเซิลมองหน้าฉงนก่อนเอียงคอไปมา
“งั้นไม่เกรงใจละนะ”
ต่อให้ฟังดูเหมือนผมจะไม่กลัว แต่จริงๆแล้วผมกลัวเจ้านี่มาก เพียงแต่มั่นใจได้อย่างนึงว่าวีเซิลไม่ทำร้ายผมแน่นอน ผมยกมือขึ้นร่ายเวทเรียกเถาวัลย์มารัดที่ขาทั้งสองข้างของมันไว้กับที่ แล้วเรียกไม้เลื้อยขึ้นมาปิดตาเอาไว้
แต่ยังไม่ทันจะปิดตาได้สำเร็จ มันก็กระพือปีกบินขึ้นให้หลุดออกจากเถาวัลย์ไม้ที่ผมควบคุมอยู่ ด้วยพละกำลังมหาศาลและขนาดลำตัวที่ใหญ่ ทำให้ผมควบคุมได้ลำบากมากๆ
ผมเพิ่มความแข็งแรงของเถาวัลย์ไม้และเรียกดอกอุตพิตปล่อยกลิ่นเหม็นฉุน อย่างน้อยแค่ทำให้วีเซิลยอมเปิดทางให้ผมผ่านก็ยังดี และเหมือนได้ผลเพราะวีเซิลเหมือนจะยอมอ่อนแรงลง
"ถ้ายังไม่ถอย จะเรียกมาเยอะๆเลย"
เมื่อเห็นว่าได้ผล ผมก็เสกดอกอุตพิตออกมาจนเต็มพื้นที่ไปหมด จนผมเองก็ชักจะทนกลิ่นมันไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ส่วนวีเซิลที่ดูจะอ่อนแรงลง สุดท้ายก็ใช้กำลังสลัดเถาวัลย์จนขาด แล้วบินขึ้นฟ้าไป พร้อมกับกระพือปีกยกใหญ่จนพัดกลิ่นตีกลับเข้าจมูกผม ตลบอบอวลไปหมด
ถึงวีเซิลจะฉุดกระชากเถาวัลย์จนขาดไปหมด แต่ก็นับว่าได้ผลเพราะเหมือนเป็นการเปิดทางให้ผมกลายๆ
ผมร่ายเวทเรียกดอกงิ้วป่าขึ้นตามตัวของวีเซิลจนเต็มไปหมด อย่างน้อยเจ้าตัวนี้ก็คงถ่วงเวลาให้ผมได้ซักแปบละนะ ผมรีบวิ่งไปยังทิศที่พี่แมทตามลีโอไป ก่อนนับในใจเบาๆว่า
“1…..2…..3”
ทันทีที่นับจบ ก็มีเสียงบินหวื่อของผึ้งจำนวนหนึ่งบินไปยังวีเซิลเพื่อตามดอกงิ้วป่าบนตัวมัน อาจจะทำอะไรวีเซิลไม่ได้แต่ก็คงกวนใจ ถ่วงเวลาได้หน่อยนึงก็ยังดี
ผมไม่รู้พิกัดแน่ชัดของลีโอซะด้วยสิ จะหายตัวไปหาด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้ายก็คงจะไม่ได้ เดินทางบนอากาศก็ไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือเดินและวิ่งให้เร็วที่สุด เดินมาได้ซักระยะก็เห็นเจ้าวีเซิลบินขึ้นฟ้าไปอีกฟากนึง คนละฟากกับที่ผมกำลังจะไป ถ้าให้เดา วีเซิลคงไปเจอกับทหารดินของลุงแม็กซ์แหงๆ
ผมกดต่อสายหาลีโอทันทีที่ทางสะดวก แต่ลีโอไม่ได้รับสาย อาจจะกำลังหลบหรือพรางตัวอยู่ ผมเลยรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุด
ผมเห็นพี่แมทจากแสงวูบวาบของไฟฟ้าจากระยะไกลๆ ตอนนี้ผ่านไปแล้ว 25 นาที เหลืออีก 35 นาทีที่ต้องเอาตัวให้รอดจากพี่แมท ถ้าครั้งนี้จะไม่ชนะ ก็ต้องไม่แพ้ให้ใคร!
ผมรีบวิ่งไปหาพี่แมท ดูเหมือนพี่แมทจะกำลังร่ายเวทสายฟ้าลงพื้นเหมือนสุ่มเอาโดยไม่มีแบบแผนและเหมือนพี่แมทเองก็จะรับรู้ว่าผมมาถึง จึงหันหน้ากลับมา
“ไงตัวแสบ มาแล้วหรอ”
“พี่แมทกำลังทำอะไร” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย
“กำลังไล่จับแมว คิดว่าคงอยู่แถวๆนี้แหละ”
ผมมองยังรอบๆ ตัวตอนนี้เป็นสวนแอปเปิ้ลที่คุณตาปลูกขึ้น โดยพี่แมทร่ายเวทไฟฟ้าสุ่มพื้นที่ไปเรื่อยๆ ผมเองก็รู้สึกได้ว่าลีโอจะต้องอยู่แถวๆนี้
ผมปรายตามองค้นตัวของพี่แมท คิดว่าลูกไข่ธาตุของพี่แมทคงไม่ได้อยู่กับตัวเป็นแน่ ตอนนี้จะไปวิ่งหาจากอีกสามคนที่เหลือ ก็ดูจะมีโอกาสแพ้มากกว่าการอยู่ช่วยลีโอตรงนี้ ยังไงสองแรงก็ดีกว่าหนึ่ง
เมื่อคิดได้แบบนั้นผมจึงกวาดมือร่ายเวทให้ดินตรงเท้าเป็นแท่นสูงขึ้นอยู่ในระดับเดียวกันกับพี่แมท
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยหานะพี่”
จบประโยคผมก็บังคับก้อนหินเจ็ดก้อนขนาดเท่ากำปั้นอัดเข้าไปที่พี่แมทไม่ยั้ง โดยพี่แมทไม่ทันตั้งตัว แต่ชั่วพริบตาเดียว พี่แมทก็เรียกโล่ดินออกมารับการโจมตี รวดเร็วสมกับเป็นคนของสภาเวทมนตร์จริงๆ
“เล่นทีเผลอหรอมิเกล”
ผมยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเรียกหมัดดินเสยพี่แมทขึ้นกลางอากาศ แต่ด้วยความรวดเร็วของพี่แมท จึงหลบออกไปได้อย่างฉิวเฉียด
“เอางี้เลยหรอ แปลว่าลีโอต้องอยู่แถวนี้จริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แล้วพี่แมทก็ลอยขึ้นสูงไปอีกก่อนจะร่ายเวทเสกฟ้าผ่ามาที่ผมจังๆ ผมเลยต้องกระโดดหลบโดยเรียกแท่นดินออกมารับไม่ให้เสียจังหวะตกลงไป
จังหวะนี้จะใช้เถาวัลย์ขึ้นไปรัดขาก็คงจะเปล่าประโยชน์ พี่แมทหลบได้แน่นอน ตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่เคยสู้ชนะพี่แมทเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งตอนโตที่พี่แมทฝึกตัวเองจนสามารถประคองตัวอยู่กลางอากาศได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล้มพี่แมท เพราะธาตุที่ผมใช้ทั้งดินและพืช จะได้ผลดีกว่ามากถ้าอีกฝ่ายอยู่บนพื้น
และในระหว่างที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับพี่แมทดี หางตาผมก็เหลือไปเห็นต้นแอปเปิ้ลต้นหนึ่งที่ดูจะแปลกๆไป ไม่ได้แปลกด้วยรูปร่างลักษณะของมัน แต่ผมจำได้ว่าเมื่อสักครู่ตำแหน่งมันออกจะเยื้องๆไปอีกฝั่ง มันดูเหมือนจะเคลื่อนย้ายตัวเองได้
ผมรู้โดยทันทีว่าต้องเป็นเจ้าลีโอแน่ๆ แนบเนียนและคาดไม่ถึงจริงๆ เลือกที่จะปลอมเป็นต้นแอปเปิ้ลเพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่แมทคงไม่ร่ายเวทไฟฟ้าใส่ต้นไม้ของคุณตา ผมแอบขยิบตาให้หนึ่งที ก่อนจะหันไปหาพี่แมท
“พี่แมทขี้โกง”
ถ้าดึงดันจะสู้ต่อไปก็มีแต่อาจจะเหนื่อยและแพ้ไป สู้ถ่วงเวลาด้วยฝีปาก ตีบทมึนแบบนี้ดีกว่า
“อะไรกัน สู้ไม่ได้ก็งอแงอีกแล้วหรอ”
“ไม่ได้งอแงซักหน่อย แน่จริงก็อย่าบินขึ้นไปสูงสิ ลงมาสู้บนพื้น” ผมตีรวนพูดไปก่อน
“มิก็ขึ้นมาสู้ข้างบนนี่สิ”
“ผมขึ้นไปได้ที่ไหนล่ะ” พูดจบก็เรียกหมัดดินขึ้นไปเสยพี่แมททีเผลอทันที
แต่พี่แมทก็เหมือนจับทางและรู้ทันผมตลอด เลยใช้หมัดดินของตัวเองทำลายหมัดของผม จนแตกสลายออกเป็นก้อนดินร่วงลงมา ผมใช้จังหวะนี้ บังคับก้อนหินขึ้นไปโจมตีพี่แมท แต่ก็ถูกสกัดด้วยสายฟ้าของพี่แมท ยิงร่วงหมดเลย
“ใครกันแน่ที่ขี้โกง ชอบเล่นทีเผลอ”
พี่แมทพูดด้วยอารมณ์ขัน แต่ผมเริ่มกลับไม่ขำซะแล้ว เพราะทำอะไรพี่แมทไม่ได้เลย แม้กระทั่งหมัดดินของผมยังสู้หมัดดินของพี่แมทไม่ได้ ต่อให้ผมเพียรฝึกขนาดไหน แม้แต่การใช้ธาตุเดียวกันสู้ ผมก็แพ้พี่แมทเสมอ
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ผมจะสู้พี่ได้ไหมละ”
ผมรู้สึกเหมือนเลือดขึ้นหน้าไม่รู้เพราะความรู้สึกพ่ายแพ้ที่เก็บสะสมมา หรือ ถูกยั่วโมโหกลับจนกลายเป็นฝ่ายหัวร้อนไปซะเอง ทั้งๆที่ตั้งใจจะยั่วอีกฝ่ายแท้ๆ
ตอนนี้ทั้งทั้งคุณตา ลุงแม็กซ์ และป้าคาร่าก็เดินเข้ามาร่วมวงดูผมกับพี่แมทซะแล้ว แปลว่าใกล้จะหมดเวลาเต็มที
“สู้ไม่ได้ก็เลยต้องทำแบบนี้งั้นสิ” ดูเหมือนพี่แมทเองก็ยังไม่เลิกยั่วโมโหผม จนผมชักจะเริ่มทนไม่ไหวแล้ว
“ก็ผมไม่ได้มีพ่อแม่คอยสอนเหมือนพี่หนิ”
ไม่รู้จะด้วยอารมณ์หรือเป็นสิ่งที่สะสมอยู่ในใจว่าผมด้อยกว่าพี่แมทเสมอ ต่อให้ทุกคนจะให้ความรัก ความอบอุ่น ทดแทนที่ผมไม่เคยได้รับมันจากพ่อกับแม่ แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังรู้สึกขาดจนพาลอิจฉาพี่แมทอยู่ดี
“อย่าพูดแบบนั้นมิเกล”
คราวนี้เป็นเสียงของลุงแม็กซ์ปรามขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ลุงแม็กซ์รักแม่ของผมมาก เพราะมีกันอยู่แค่สองพี่น้อง ลุงแม็กซ์จึงมักจะบอกให้ผมกับพี่แมทรักกันไว้เหมือนอย่างลุงแม็กซ์กับแม่ของผม และมักจะบอกผมเสมอว่าแม่ของผมเสียสละให้ผมได้มีชีวิตอยู่ ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้ผมดีใจเลยซักนิด
และในจังหวะที่ผมกำลังสับสนทั้งอารมณ์โมโห น้อยใจ ทุกอย่างตีกันจนหัวแทบจะระเบิด พี่แมทก็ลอยเข้าไปใกล้ๆ กับลีโอที่ปลอมเป็นต้นแอปเปิ้ลอยู่ ก่อนทำท่าทางพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
ผมเห็นดังนั้นไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดต้นแอปเปิ้ลต้นนั้น พร้อมตะโกนอย่างสุดเสียง
“ลีโอ โยนลูกบอลออกไปซะ!!!!!!!”
สิ้นเสียงของผมก็ปรากฏฟ้าผ่าลงมาเหนือหัวปะทะกับลูกไข่ธาตุของผม พร้อมกับเสียงพลุสีแดงประกายเหนือท้องฟ้าสว่างวาบเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพอดี
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ลูกไข่ธาตุตกลงมาเปล่งแสงนวลว่าถูกปลดธาตุถูกต้องเรียบร้อย ผมกอดลีโอไว้แนบอกจนสั่นไปหมด ทั้งความโกรธและความกลัวประดังเข้ามาไม่หยุด ผมไม่ได้กลัวแพ้แต่ด้วยความแรงของสายฟ้าของพี่แมทเมื่อครู่ ถ้าโดนลีโอเข้าไปเต็มๆคงจะเจ็บไม่น้อย
“อยากชนะจนต้องรุนแรงขนาดนี้เลยหรอ ถ้าโดนลีโอขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง!”
ผมพูดออกไปโดยไม่แม้แต่มองหน้าพี่แมท ก่อนจะอุ้มลีโอแล้วหายตัวกลับขึ้นมาบนห้องนอนที่บ้าน ไม่อยากเห็น ไม่อยากมอง ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากพูดกับใครทั้งนั้น ช่วงเวลาแบบนี้ผมรู้สึกเหมือนผมตัวคนเดียว รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความรู้สึกที่คิดและงี่เง่าไปเองล้วนๆ แต่มันก็อดคิดและรู้สึกแบบนั้นไม่ได้
“เราขอโทษนะมิ เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว” ลีโอพูดเสียงเบาหวิวอย่างรู้สึกผิดขณะอยู่ในอ้อมกอดผม
ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังอุ้มลีโออยู่จึงได้ก้มไปมองก่อนจะวางเจ้าแมวส้มไว้บนเตียง
“ลีโอเจ็บตรงไหนป่าว”
ลีโอไม่ตอบเพียงแค่ส่ายหน้า ก่อนจะเดินมาคลอเคลียใกล้ๆ เพิ่งจะได้สังเกตชัดๆว่าลีโอสวมชุดพลาสติกกันไฟฟ้าทั้งตัว ซึ่งต่อให้โดนฟ้าผ่าขึ้นมาจริงๆก็คงจะไม่เป็นไร แต่ใช่ว่าพี่แมทจะรู้ว่าลีโอมีชุดกันไฟฟ้านี่นา
“ลีโอใส่ชุดกันไฟฟ้าแล้วทำไมเมื่อกี้ถึงโยนลูกไข่ออกไปล่ะ ถ้าเก็บไว้ในเสื้อ ยังไงก็ไม่โดนไฟฟ้าอยู่ดีนี่นา”
ผมถามด้วยความสงสัย
“ก็เราตกใจเสียงมิหนิ” ลีโออ้อมแอ้มตอบ
“โธ่ ไม่งั้นเราก็ไม่แพ้แล้วเนี๊ยะ”
ผมพูดอย่างรู้สึกเสียดาย นี่ผมแพ้เพราะผมตื่นตูมไปเองหรอกหรอ ทั้งๆที่แผนของลีโอออกจะแนบเนียนแถมรอบคอบสองต่อแล้วแท้ๆ นอกจากพี่แมทจะไม่กล้าเสกฟ้าผ่าใส่ต้นแอปเปิ้ลของตาแล้ว ลีโอก็ยังป้องกันตัวด้วยชุดพลาสติกกันไฟฟ้าที่ผมเคยประดิษฐ์ให้อีก ช่างเป็นแมวที่ฉลาดอะไรเช่นนี้ แต่ต้องมาพลาดเพราะผมแท้ๆ
“แต่ก็ทำให้รู้ว่ามิเป็นห่วงเรา” ลีโอตอบแบบอ้อนๆ อีกทั้งยังคลอเคลียเอาใจไม่หยุด “มิอย่าโกรธแมทเลยนะ แมทคงรู้อยู่แล้วว่าเราจะปลอดภัย อีกอย่าง..ถ้ามิไม่วิ่งมากอดเรา แมทก็คงได้แค่ยืนสงสัยจนหมดเวลา”
“หึ ไม่ต้องมาแก้ตัวแทนเลย ลีโอก็เห็นว่าเราเอาชนะพี่แมทไม่ได้เลย”
“ชนะไม่ได้ก็ฝึกอีกเยอะๆสิ หรือบางทีถ้ามิไปเรียนที่อินเดียหรือเกาหลีตามที่แม็กซ์บอก อาจจะเก่งขึ้นก็ได้นะ”
“ไว้ค่อยคิดแล้วกันนะ เราไปแช่น้ำอุ่นกันเถอะ เหนียวตัวจะตายอยู่แล้ว” ตอนแรกว่าจะปรึกษาเรื่องนี้กับพี่แมท แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว เพราะของอนพี่แมทไปซักสองสามวัน ไปปรึกษาเพื่อนแทนดีกว่า
ผมลากลีโอลงไปแช่อ่างน้ำเพื่อผ่อนคลายและทำความสะอาดร่างกายไปด้วย ได้ยินเสียงเคาะประตูกับเสียงเรียกแว่วๆ น่าจะเป็นพี่แมท แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไป พอได้แช่น้ำอุ่นๆแบบนี้แล้วรู้สึกสบายตัว ทำให้หัวโล่งขึ้นเยอะ จนเกือบจะหายโกรธไปหมดแล้ว จริงๆการที่พี่แมทชอบพูดจายั่วโมโห เล่นกันแรงๆแบบนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งแรก เป็นอยู่แบบนี้ตั้งแต่เด็กจนโตจนชินแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้มันมีแวบนึงของความคิดที่คิดอะไรไม่เข้าท่า เลยทำให้อารมณ์มันเตลิดไปหน่อย
ต่อให้พี่แมทจะชอบเล่นแรงๆกับผมเพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ผมก็รู้ว่าพี่แมทรักและเป็นห่วงผมที่สุด แต่ก่อนนี่เรียกว่าไม่ให้คลาดสายตาเลย จนกระทั่งผมเริ่มโตขึ้นมาหน่อย พร้อมกับพี่แมทรับตำแหน่งในสภาเวทมนตร์ทำให้พี่แมทปล่อยให้ผมมีอิสระมากขึ้น ความสัมพันธ์ของผมกับพี่แมทเลยออกมาในรูปแบบของน้องข้าใครห้ามแตะยกเว้นพี่แมทคนเดียว ก็เล่นแรงจนโดนคุณตาทำโทษบ่อยๆนั่นแหละ
ยังไงขอฝากเรื่อง The Archwizard ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ขอบคุณที่เปิดใจอ่านค่ะ เจอกันวันอาทิตย์หน้า
ตอนที่ 7
อีกเพียงสองสัปดาห์ก็จะถึงเวลาที่ผมต้องไปเรียนที่โซลประเทศเกาหลีใต้ โดยกลุ่มของผมจะมีกันทั้งหมด 4 คน มีผม ดิออน ฟาติมาและฟารีดา ยังไม่นับรวมเจ้าลีโอกับนกอินทรีของดิออนด้วยนะ ส่วนอีวานเพื่อนสนิทอีกคน อาจจะตามไปเรียนด้วยกันในภาคฤดูหน้า
สำหรับโรงเรียนสอนเวทมนตร์ส่วนใหญ่จะไม่มีการจำกัดอายุชัดเจน ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็สามารถลงเรียนในคลาสที่สนใจได้ แต่เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พ่อมดแม่มดจะเริ่มฝึกลูกหลานของตัวเองที่บ้านเพื่อให้สามารถใช้เวทมนตร์เบื้องต้นได้ และเริ่มเรียนในโรงเรียนตอนอายุ 19-20 ปี (ซึ่งจะมีรูปร่างหน้าตาเทียบเท่ามนุษย์อายุ 12-14 ปี) โดยผมและพี่แมทได้เริ่มเรียนกับลุงแม็กซ์และป้าคาร่าสลับกันกับคุณตาตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่พี่แมทนั้นทั้งเก่งและมีพรสวรรค์โดดเด่นมาก ทำให้ได้ไปเรียนในโรงเรียนตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ ส่วนผมตอนเด็กนั้นไม่แข็งแรงนัก กว่าจะเริ่มไปเรียนที่โรงเรียนได้ก็เกือบจะอายุ 25 เข้าให้แล้ว
ขออธิบายซักหน่อยแล้วกันว่ารูปร่างหน้าตาของพ่อมดแม่มดนั้นจะมีช่วงเวลาที่เติบโตไม่คงที่เหมือนมนุษย์ โดยในช่วงวัยทารก ร่างกายของเราจะเติบโตช้ากว่ามนุษย์เป็น 2 เท่าเห็นจะได้ นั่นคือตอนที่พ่อมดแม่มดอายุ 10 ปี รูปร่างหน้าตาจะเทียบเท่ากับมนุษย์อายุ 5 ปี และรูปร่างหน้าตาของเราจะเริ่มหยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ หรือเกือบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยจวบจนอายุ 40 ปี ซึ่งก็เทียบเท่ามนุษย์อายุ 20 ปีนั่นเอง นั่นจึงทำให้ผมในวัย 91 ปี มีรูปร่างหน้าตาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน อาจจะมีทรงผม รูปร่าง สไตล์การแต่งตัวที่ดูเปลี่ยนไปบ้าง
กลับมาที่เรื่องของคลาสเรียน ถึงแม้จะไม่ได้จำกัดอายุในการเรียน แต่ก็มีการประเมินความรู้ความสามารถในการใช้เวทมนตร์เพื่อแบ่งระดับชั้นตามความเหมาะสมอยู่ดี นั่นจึงทำให้ผมกับดิออนต้องแยกห้องเรียนกันอย่างแน่นอน เพราะดิออนแทบจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เลย อาจจะต้องถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้ใช้เวทมนตร์แรกเริ่ม หรือถ้าเทียบกับมนุษย์ก็คือกลุ่มอนุบาลนั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า
ตอนนี้ผมจึงต้องเร่งฝึกดิออนให้สามารถใช้เวทมนตร์ หรืออย่างน้อยก็ควบคุมธาตุไฟของตัวเองให้ได้ เพราะการเรียนของที่นี่จะเน้นไปที่การฝึกความสามารถพิเศษของเราให้แข็งแกร่ง จนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันหรือการต่อสู้ได้ นั่นคือถ้าดิออนยังไม่สามารถควบคุมธาตุไฟได้ ก็จะเรียนวิชาพวกนี้ได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แม้จะเป็นวิชาเริ่มต้นก็ตาม
ผมยืนมองดิออนที่ยืนด้วยท่าทางมั่นคง สองมือยกขึ้นมาระหว่างอก พยายามควบคุมไฟจากแท่นคบเพลิงที่ผมสร้างไว้ให้ดิออนได้ฝึกซ้อม หลายวันมานี้ดิออนพยายามอย่างมากที่จะควบคุมไฟให้ได้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นที่พอใจนัก บางครั้งก็ควบคุมได้แต่ก็ยังดูไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ไฟที่ดิออนควบคุมมันดูเบาบาง ไม่มีพลัง พร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ
“พอก่อนเถอะ ชั้นว่าบางทีนายอาจจะเครียดเกินไป”
แต่เหมือนดิออนจะไม่ได้ใส่ใจที่ผมพูด ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพยายามควบคุมไฟจากคบเพลิงนั้น แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
“พอเถอะ” ผมร่ายมนตร์ใช้ดินกลบไฟให้ดับ ดิออนดูจะไม่พอใจอยู่หน่อยๆ “ตามชั้นมา”
ผมเดินนำดิออนเดินเข้าไปในป่าข้างๆบ้าน ต้นไม้สูงใหญ่กับลมเย็นๆ อาจจะช่วยให้ดิออนผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“นายไม่สงสัยเรื่องป่านี่บ้างหรอ ไม่เห็นเคยถาม?” ปกติไม่ว่าใครที่ได้เข้ามาเห็นป่าผืนใหญ่ในรั้วของบ้านหลังนี้ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ล้วนต้องตกใจ สงสัย ซักถามบ้างแหละ แต่ผิดกับดิออนที่ดูจะไม่หือไม่อืออะไรเลย หรืออาจจะทราบจากลุงเบนจามินแล้วก็เป็นได้
“ถ้าเจ้าของบ้านไม่พูด ผมจะถามทำไม มันเป็นมารยาทขั้นพื้นฐาน”
รู้สึกเหมือนโดนชกหน้าหงายไปเลย นี่มันกำลังหลอกด่าผมทางอ้อมรึเปล่านะ มันรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังเกริ่นขึ้นเพื่อถามเรื่องของมัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า จริงๆแล้วป่าตรงนี้ถูกร่ายมนตร์ แล้วซ่อนเอาไว้ในบ้านของตาชั้น รู้ไหมว่าขนาดของป่าเทียบได้กับ 1 ใน 4 ของเมืองทั้งเมืองเลยนะ ถ้าไม่มีป่าตรงนี้คอยผลิตโอโซน ป่านนี้กรุงเทพคงแย่กว่านี้เยอะ PM 2.5 คงสูงปรี๊ด เวทมนตร์มันเจ๋งดีใช่ไหมล่ะ ทำได้ขนาดนี้”
“ก็ดี” ผมพูดอวยตั้งยาวแต่ดิออนตอบกลับมากระจึ๋งนึง
“ท่าทางนายไม่เห็นรู้สึกว่ามันเจ๋งเลย” ผมหันไปค้อนก่อนจะเห็นท่าทางเศร้าๆนั้น
“มันไม่มีอะไรน่าตกใจไปกว่าการที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าชีวิตคุณไม่เหมือนเดิม” อยู่ดีๆดิออนก็พูดขึ้นมา “ผมไม่ได้อยากมีเวทมนตร์หรือมีชีวิตที่แปลกประหลาดแบบนี้ ผมอยากใช้ชีวิตปกติ ได้ไปเรียน ได้เล่นกีฬา ได้เล่นดนตรีกับเพื่อนๆเหมือนเดิม แต่ในเมื่อผมไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้ ผมก็อยากใช้ชีวิตแบบที่ผมไม่ได้เลือกให้มันดี แต่คุณดูสิ…แม่งโคตรแย่”
เหมือนดิออนได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา บางทีอาจจะเป็นเพราะลึกๆในใจของดิออนยังปฏิเสธพลังนี้อยู่ จึงทำให้มันแสดงผลออกมาได้ไม่เต็มที่
“คุณรู้ปะ...วันที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วผมโดนแสงแดดไม่ได้ ผมโคตรกลัว ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร ถ้าไม่มีลุงเบนอยู่ด้วยตอนนั้นผมอาจจะตายไปแล้วก็ได้” ดิออนยังคงพรั่งพรูถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ตั้งแต่เด็กๆที่ลุงเบนบอกให้ผมสวมแหวนวงนี้เอาไว้โดยไม่บอกเหตุผล ผมก็ใส่บ้าง ถอดบ้าง เพราะคิดว่ามันคงเป็นความเชื่อแปลกๆของลุง แต่เพราะมันเริ่มคับจนใส่ไม่ได้ ผมเลยถอดเอาไว้ ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนวันเกิดของผม ผมตื่นเช้าแล้วเดินไปเปิดหน้าต่าง อยู่ดีๆก็รู้สึกร้อนเหมือนโดนเผาไปทั้งตัว มันไหม้พองไปหมด ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร โชคดีที่มีลมพัดมาปิดหน้าต่างเอาไว้ ทำให้ไม่มีแสงเข้ามาในห้อง ผมสงสัยว่าอาจจะเป็นเจ้านกอินทรีตัวนั้นที่ช่วยใช้ลมพัดหน้าต่างในตอนนั้น แล้วลุงเบนคงได้ยินสียงร้องของผม เลยขึ้นมาเห็นสภาพของผมตอนนั้น แกนึกขึ้นได้จึงรีบหาแหวนมาใส่ให้ผม”
“จากนั้นลุงเบนก็ตามตาของคุณมาช่วยให้ผมหายจากอาการทั้งหมด ตาของคุณให้แหวนวงใหม่วงนี้กับผม” ดิออนยกนิ้วให้ดู เป็นแหวนไม้มะกอกโบราณที่คุณตาบอกผม “ลุงเบนเล่าให้ผมฟังว่าผมเป็นเลือดผสม พ่อมด มนุษย์ แวมไพร์ ผมโคตรไม่อยากเชื่อ ใครจะไปคิดว่าชีวิตตัวเองจะเหมือนหนังฝรั่งขายฝันหลอกเด็ก แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกับผมเอง ผมอยู่กับลุงเบนมา 18 ปี ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลุงเบนเป็นพ่อมด”
ผมไม่ทราบเลยว่าพื้นเพครอบครัวของดิออนเป็นอย่างไร เพราะถึงแม้ผมจะเห็นลุงเบนมาหาคุณตาอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรมากนัก การที่ดิออนจะไม่สงสัยหรือระแคะระคายว่าลุงเบนเป็นพ่อมดก็ไม่แปลก เพราะลุงเบนไม่ใช่พ่อมดที่มีความสามารถโดดเด่นอะไรมากนัก ด้วยความที่เป็นเลือดผสมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตก็คงเหมือนมนุษย์ทั่วไป โดยมีคุณตาคอยช่วยชี้แนะ
“ผมโคตรสับสนเลยว่าตัวเองจะต้องรู้สึกยังไง มันแปลกจนผมรู้สึกแย่ ผมพยายามเปิดใจให้กับทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร”
ผมเดินเข้าไปดึงดิออนมากอดไว้ ดิออนชะงักนิดหน่อยแต่ก็โอนอ่อนทิ้งตัวตามแรงกอด ยังดีที่ผมประคองเอาไว้ไหว ถึงแม้ขนาดตัวจะเล็กกว่าก็ตาม
“ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้นายไม่ได้อยู่คนเดียว พวกเราจะช่วยนายเอง” ผมใช้มือลูบหลังดิออนเบาๆ ให้เขาใจเย็นและรู้สึกปลอดภัย
เรื่องแบบนี้อาจจะดูแฟนตาซี น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับบางคนอาจไม่ใช่ เด็กอายุ 18 ที่ควรจะได้สนุกกับเพื่อน กลับต้องเจอเรื่องที่มันเหนือธรรมชาติ คงจะยังไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับมันยังไง ถึงแม้ภายนอกจะพยายามแสดงออกให้ดูเข้มแข็ง แต่ข้างในอาจจะไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เห็น เมื่อสภาพจิตใจย่ำแย่แบบนี้ มันจึงส่งผลให้พลังของดิออนไม่แข็งแรง
“นับตั้งแต่วันนี้ นายจะเป็นเหมือนน้องชายชั้น ชั้นจะเป็นพี่ให้นายเอง เรามาใช้ชีวิตแบบพ่อมดให้มันสนุกกันเถอะนะ”
ดิออนผละออกมองหน้าผม ก่อนจะพยักหน้าช้าๆคล้อยตาม
“มานี่เถอะ เดี๋ยวจะพาไปดูอะไร”
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้ดิออนดำดิ่งกับความรู้สึกพวกนั้นนานกว่านี้ มันจะเป็นผลเสียกับตัวดิออนเอง ผมจึงพาดิออนมาดูอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจที่อยู่ในถ้ำดินข้างหน้านี้
“วีเซิล ออกมาหน่อย!!”
ผมเรียกเจ้าวีเซิลก่อนจะลากดิออนให้ถอยออกมาจากปากถ้ำที่เป็นที่พักของวีเซิลในเวลาจำศีลหรือไม่ได้ออกไปลาดตระเวนรอบๆป่า ไม่นานก็เกิดเป็นเสียงเคลื่อนไหวก่อนที่ส่วนหัวของวีเซิลค่อยๆโผล่ออกมาจากปากถ้ำ แล้วปรากฏเป็นลำตัวยาวค่อยๆเลื้อยออกมา
“เฮ้ย!!!”
ดิออนร้องเสียงหลงและผงะไปด้วยความตกใจ
“ไม่ต้องกลัว วีเซิลเป็นสัตว์ประจำตัวของตา มันไม่ทำร้ายใครถ้าตาไม่ได้สั่ง” ผมพูดอธิบายบอกดิออน แต่เหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะแม้แต่ดิออนที่ชอบเต๊ะท่านิ่งๆเหมือนไม่กลัวอะไร ยังกลัวเจ้าวีเซิล แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ใครเจอวีเซิลครั้งแรกแล้วไม่กลัวบ้างละ
เจ้าวีเซิลค่อยๆใช้ปีกสองข้างค้ำตะเกียกตะกายออกมาจากถ้ำ ก่อนจะถีบตัวเองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เจ้าวีเซิลเป็นบาสิลิสก์ นายอาจจะเคยได้ยินจากในหนังหรือในเกม คิดว่ามันจะต้องเหมือนงูใช่ไหมละ แต่จริงๆแล้วตัวมันเป็นแบบนี้ เจ้าวีเซิลโคตรจะเจ๋ง แค่มองตาก็อาจจะโดนสาปให้แข็งเป็นหินได้เลยนะ หรือถ้าโดนกัดก็อาจจะตายได้ทันที เพราะพิษของวีเซิลร้ายแรงมาก” ผมหันไปพูดอวดกับดิออน ก่อนจะหันไปเรียกเจ้าวีเซิล “ลงมานี่ มีใครจะแนะนำให้รู้จัก”
เจ้าวีเซิลบินต่ำลงมา ค่อยๆลงมายังพื้นดิน ท่าทางของมันยังคงสง่างาม น่าเกรงขามปนสยองอยู่เสมอ
“หายโกรธมิเรื่องวันก่อนแล้วใช่ไหม มิขอโทษนะ นี่ๆ...วันนี้มิพาสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรามาแนะนำให้รู้จัก” ผมพยายามพูดรวบรัด ต่อให้รู้อยู่แล้วว่าวีเซิลไม่เคยโกรธผม แต่ก็ยังอดเกรงไม่ได้
“นี่ดิออน เป็นน้องชายของมิเอง ดิออนจะเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรานะ” ผมพูดแล้วผายมือไปยังดิออน เจ้าวีเซิลก็มองดิออนอย่างพินิจก่อนจะพยักหน้า “ดิออน นี่วิเซิล ทำความรู้จักกันไว้นะ อ้อ นายเรียกเจ้านกอินทรีของนายมาด้วยสิ เวลาที่บินอยู่ในป่านี้จะได้รู้กันไว้”
“เรียกยังไง?” ดิออนย้อนถามอย่างงุนงง
“ก็เรียกชื่อไง นายตั้งชื่อให้มันรึยัง”
ดิออนส่ายหน้าเว่ายังไม่ได้ตั้งชื่อ
“วีเซิล ดิออนหน่ะ มีสัตว์ประจำตัวเป็นนกอินทรีนะ เอาไว้วันหลัง…” ผมยังพูดไม่ทันจบก็รู้สึกเหมือนมีเงาอะไรบินผ่านเหนือหัวพอดี “นั่นไงเจ้านกอินทรีของดิออน นายเรียกมันลงมาสิ”
เจ้านกอินทรีตัวนี้คงจะเป็นห่วงดิออนจึงคอยตามอยู่ห่างๆ ถือว่าใช้ได้เลยนะเนี๊ยะ ไม่เหมือนเจ้าลีโอ ป่านนี้ไปตะลอนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่จะว่าเจ้าลีโอก็ไม่ถูกนัก เพราะถ้าอยู่ในบริเวณบ้านก็ไม่มีอะไรให้ต้องระวัง ลีโอจึงชอบตะลอนเล่นอยู่เรื่อยไป
“นายตั้งชื่อให้นกของนายได้แล้ว”
“...” ไม่รู้ว่าเงียบเพราะกำลังใช้ความคิดหรือไม่มีไอเดียแล้วคิดไม่ออกกันแน่
“งั้นเดี๋ยวชั้นตั้งให้ เอาเป็น…ซีลีน เป็นไง” ผมเสนอให้ด้วยท่าทีภูมิใจ
“ห้ะ ไม่เอา” เหมือนจะยังไม่ถูกใจดิออน
“ทำไมอะ ก็ซีลีน ดิออนไง นายไม่รู้จักหรอ ออกจะเข้าท่า ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ซีลีนนั่นชื่อผู้หญิง”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่านกนี่เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย ไม่รู้แหละ ชื่อซีลีนก็แล้วกัน ถ้านายเขินจะเรียก ก็เรียกว่าซีเฉยๆก็ได้ แปลว่ามองเห็นไง จะได้เป็นเหมือนอีกตาที่คอยสอดส่องให้นาย” ผมรวบรัดเอาเองทุกอย่างจนดิออนตามแทบไม่ทัน “งั้นรู้จักกันไว้นะวีเซิล นี่ซีลีนเป็นนกของดีออน ส่วนซีลีน...นี่วีเซิลเป็นบาสิลิสก์ สัตว์ประจำตัวของตา”
“แอ๊” เจ้าซีลีนร้องรับก่อนจะบินหายขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
“ดูสิ เจ้าซีลีนยังชอบชื่อนี้เลย ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมมัดมือชกก่อนจะบอกลาวีเซิลแล้วพาดิออนเดินกลับบ้านเพราะนี่ก็เริ่มเย็นแล้ว อีกซักพักก็ถึงเวลามื้อเย็น วันนี้พี่แมทคงกลับมาร่วมโต๊ะด้วย หลังจากที่หายไปหลายวันเพื่อเตรียมตัวจะกลับไปทำงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งผมคงไม่ได้เจอพี่แมทไปอีกหลายเดือน แถมเจ้าตัวเองก็ไม่ยอมใช้โซเชียลเหมือนอย่างคนอื่นๆ
“เออนี่ ชั้นว่าจะหาปลอกแขนมาให้นายใส่ดีไหม สั่งทำพิเศษเอา เจ้าซีลีนจะได้เกาะแขนนายได้ ไม่ต้องเที่ยวพกไม้อะไรให้เกะกะ” ผมเสนอไอเดียให้ดิออน ซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะเห็นด้วย
และระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่ 4 พ่อมด 1 แมว ผมก็ได้ไอเดียอีก 1 ไอเดียที่อยากลองดู แต่จะต้องได้รับอนุญาตจากตาก่อน
“ตา เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วมิอยากสอนดิออนต่อ แต่มิอยากให้ดิออนถอดแหวนวงนั้นออกได้ไหม”
“ได้สิ” คุณตาตอบโดยไม่คิด ด้วยท่าทีสบายๆ “แต่ผลลัพธ์มันอาจจะเหมือนเดิม เพราะแหวนวงนั้นไม่ได้มีผลอะไร นอกจากช่วยให้ดิออนโดนแสงแดดได้”
“นี่อย่าบอกว่าที่พี่ให้เราคอยสอนดิออน ยังไปไม่ถึงไหนหรอ” เป็นพี่แมทที่ถามด้วยท่าทีไม่ได้จริงจังนัก คงกะจะหาช่องทางทับถมผมอีกตามเคย เชอะ!
“ยุ่งหน่า”
ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ส่วนดิออนก็ดูจะไม่ใส่ใจกับอะไรทุกสิ่งอย่าง ถึงแม้จะดูผ่อนคลายลงบ้างแต่ก็ยังดูเย็นชาอยู่ดี มันรู้หรือเปล่าเถอะว่าพวกเรากำลังพูดถึงมัน
หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็ลากดิออนออกมายังลานกว้างข้างบ้านทันที เป็นจุดเดิมที่มีแท่นคบเพลิงที่ผมสร้างไว้ให้ดิออนซ้อม ตอนนี้คุณตากับพี่แมทกำลังนั่งดื่มกันต่อในห้องนั่งเล่น ข้างนอกจึงมีแค่ผม ดิออน ลีโอและซีลีน
ผมหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดไฟใส่กองฟางในคบเพลิง จนไฟลุกโชนสว่างไปทั่วบริเวณในเวลากลางคืน
“นายลองถอดแหวนออกสิ เอาแหวนมาให้ชั้น”
ผมพูดก่อนจะยื่นมือออกไป ดิออนดูชั่งใจก่อนจะค่อยๆถอดแหวนออกจากนิ้ว แล้ววางไว้บนมือผม ผมรับมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง
“ไม่มีอะไรต้องกังวล ผ่อนคลา.. ดิออน...ตาของนาย!” ผมตกใจจนต้องรีบล้วงแหวนออกมาเพื่อใส่คืนให้ดิออนเหมือนเดิม เพราะเมื่อครู่ที่ผมได้หันไปสบตากับดิออน นัยน์ตาของดิออนเหมือนกำลังค่อยๆเปลี่ยนสี ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ตาฝาด มันไม่ใช่แสงสะท้อนของกองไฟแน่ๆ
ดิออนเองก็เหมือนจะตกใจกับอาการที่ผมแสดงออกไป แต่ต่อให้ผมใส่แหวนให้ดิออนเหมือนเดิม สีนัยน์ตาของดิออนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“นายรู้สึกอะไรไหม รู้สึกเจ็บ หรืออะไรหรือเปล่า”
“หึ รู้สึกขนลุกแปลกๆ ” ดิออนตอบอย่างสับสน ผมเองก็สับสนผสมงุนงงเข้าไปด้วย
สีนัยน์ตาของดิออนค่อยๆเข้มขึ้นอย่างช้าๆ สุดท้ายมันฉายเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีของเลือด
“ฟะ..ฟันผม”
เหมือนดิออนจะเจ็บฟันหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงพยายามอ้าปากค้างไว้ จนผมมองเข้าไปและเริ่มสังเกตได้ว่าฟันเขี้ยวทั้งสองข้างของเขาค่อยๆยาวงอกออกมาล้ำฟันซี่อื่น
“ตา พี่แมท ออกมาดูหน่อย” ผมหันไปตะโกนเรียกทั้งสองคนจากในบ้าน ก่อนจะเข้าไปประคองดิออนอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ดิออน นะ..นายโอเคไหม”
“ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร มันรู้สึกแปลกไปหมด” ดิออนพยายามพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“เกิดอะไรขึ้น!” เป็นคุณตาที่เดินออกมาพร้อมกับพี่แมท ตรงดิ่งมาที่ผมกับดิออน
“ดิออนเป็นอะไรก็ไม่รู้ตา”
ผมพูดได้แค่นั้นก็ถูกพี่แมทลากไปไว้ข้างหลังตัวเอง ส่วนคุณตาก็เดินเข้าไปดูดิออนทันที
“นิ่งไว้ดิออน หันมาทางนี้...ขอดูหน่อย” คุณตาพูดพร้อมกับจับหน้าดิออนพินิจไปมาอยู่สองสามครั้ง ผมเองก็เห็นไม่ถนัดนัก เพราะโดนพี่แมทใช้ร่างกายตัวเองกันเอาไว้ ไม่รู้มาห่วงอะไรไม่เข้าท่าตอนนี้ คนกำลังอยากรู้อยากเห็น โว๊ะ!
“ไม่มีอะไรหรอก... ดิออนกำลังจะเปลี่ยนเป็นแวมไพร์!”
.
ทุกคนรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ เราเองก็หนักมากเหมือนกัน เหนื่อยค่ะ ผ่านวิกฤตตรงนี้ไปด้วยกันนะคะ