พิมพ์หน้านี้ - love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 19 - 05-24-2021

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: SUNSCREEN50 ที่ 04-03-2020 20:07:36

หัวข้อ: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 19 - 05-24-2021
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 04-03-2020 20:07:36
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ แนะนำเรื่อง+บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 04-03-2020 20:30:03
(https://i.pinimg.com/564x/8d/be/a0/8dbea06c7fc6719278c1152f7617d22d.jpg)



แต่ทำไมวันนี้ฉันนั้นเปลี่ยนไป

ใจที่มันเคยเฉยชากลับหวั่นไหว

แค่สบตาเธอครั้งเดียว

..แค่ครั้งเดียว

Cr. ไม่อยากเหงาแล้ว - INK WARUNTORN Feat.MEYOU





(https://i.pinimg.com/564x/93/1e/a4/931ea4051f6e9bbde2d7130397611df2.jpg)

 
บทที่ 0

‘ปอ..เราลองห่างกันสักพักไหม ผิงรู้สึกว่าเราเข้ากันไม่ได้ ผิงอยากลองอยู่คนเดียวดู’

“หึ” ผมที่ยังคงอยู่ในชุดทำงานแค่นหัวเราะให้กับแก้วเหล้าที่เหลือแต่น้ำแข็งตรงหน้า ตอนที่นึกถึงสีหน้าและคำพูดของ ผิง อดีตแฟนสาวที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย

อยากลองอยู่คนเดียวหรอ?

อยากอยู่คนเดียวบ้าอะไร ยังไม่ทันถึงสองอาทิตย์ที่เลิกกันเลย ประกาศไปทั่วบริษัทแล้วว่าคบกับคนใหม่

ถามว่ารู้ได้ยังไง ยังคอยไปแอบส่องเฟส ส่องไอจีเขาอย่างนั้นหรอ

หึ ผมไม่จำเป็นต้องไปส่องให้เสียเวลาเลย เพราะผมกับผิงทำงานอยู่ที่เดียวกัน แถมไอ้คนใหม่นั่นก็ด้วย

ไม่อยากเห็นก็ต้องเห็นแหละทีนี้

ตอนแรกที่ฟังเหตุผลในการขอห่างกันสักพักของผิง ผมก็นึกว่าคงจะแค่งอนอะไรสักอย่าง ถ้าผิงได้กระเป๋าที่ถูกใจสักใบ หรือได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดในวันเสาร์อาทิตย์ที่ใกล้จะถึงนี้ ก็คงจะหายงอนเหมือนกับทุกที แต่ที่ไหนได้ เหตุผลทั้งหมดที่ผิงบอกกันมา มันก็เป็นแค่ข้ออ้างห่วยๆ ในการขอไปมีรักใหม่เท่านั้น

“ตลกชะมัด”

ไม่ใช่ผิงนะ ผมเองนี่แหละ

คิดได้ยังไงวะ ว่าเขาจะกลับมา

ใช่ว่าผมจะไม่เคยรับรู้เรื่องราวของผิงกับผู้ชายคนใหม่มาก่อนเลย แต่ผมไม่คิดว่าผิงที่เลิกงานและกลับบ้านพร้อมกับผมทุกวัน กินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน แถมไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันทุกวันหยุด จะเอาเวลาที่ไหนไปคุยกับผู้ชายอีกคน เรื่องผิงที่พวกน้องๆ ในแผนก หรือแม้แต่เพื่อนสนิทของตัวเองเอามาเล่าให้ฟัง ผมยังคิดเลยว่าทุกคนน่าจะเข้าใจอะไรผิงผิด

“เป็นไงมึง” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่เดินมานั่งลงข้าง “นั่งยิ้มกับแก้วเหล้าได้นี่คืออาการหนักแล้วใช่ไหม” นี่ไอ้ธีร์ เพื่อนสนิทของผมเอง

“กูเพิ่งรู้ว่าอกหักแล้วแม่งจะเคว้งขนาดนี้” ผมว่าขำ

“น่า เดี๋ยวแม่งก็ชิน นี่แอบร้องไห้ป่าวเนี่ย อย่าร้องนะเว้ย กูปลอบไม่เป็นนะสมน้ำหน้าได้อย่างเดียว”

“นี่ก็จะรอซ้ำกูตลอด” ผมด่าไอ้เพื่อนที่นั่งตบบ่าผมอยู่ข้างๆ ไม่ใช่มันปลอบไม่เป็นหรอก แต่มันกำลังปลอบผมอยู่ต่างหาก “ขอโทษได้ปะล่ะที่ไม่เชื่อมึงตั้งแต่แรก”

“งี้แหละมึง มึงรักเขาไง ความรักเลยทำให้มึงตาบอด”

“คมสัส”

“ไม่ได้หรอก พี่ตูนสอนกูมา”

ผมส่ายหน้าก่อนจะส่งแก้วเครื่องดื่มแบบเดียวกันให้ ธีร์ยกมันขึ้นจิบก่อนจะวางลงพร้อมกับทำหน้าเหยเกให้กับระดับความแรงของแอลกอฮอล์เพียวๆ ที่อยู่ในแก้ว “แล้วมึงเอาไงต่อวะ”

“กูเลือกได้ด้วยหรอ?” หันไปเลิกคิ้วถามไอ้ธีร์ ใช่ว่าผมไม่อยากเลือก แต่ผมเลือกอะไรไม่ได้แล้วต่างหาก “ก็ตามนั่นแหละ ผิงเลือกแทนกูไปแล้ว”

“หล่อๆ อย่างมึง คิดมากทำไมวะ เลิกแล้วก็หาใหม่แค่นั้น นี่ไม่ใช่สาวๆ ที่ทำงานมึงต่อคิวรอกันยาวเหยียดแล้วมั้ง”

“ไม่เอาแล้วว่ะ” ผมส่ายหัวพร้อมแค่นยิ้มออกมาอีกหนึ่งที

“ทำไม" ไอ้ธีร์หัวเราะ "แค่นี้เข็ดแล้วหรอวะ”

ไม่ได้เข็ดกับความรักหรอก แค่ยังทำใจไม่ได้ที่เพิ่งเสียความรักครั้งแรกไปมากกว่า

“เออดิ 8 ปีเลยนะมึง แม่งพูดแล้วน้ำตากูจะไหล”

“เฮ้ยๆๆ อย่านะเว้ยยย” ไอ้ธีร์รีบจับไหล่ผมให้หันกลับมาหา เพราะกลัวว่าผมจะปล่อยโฮขึ้นมา

และตอนนี้ผมว่า..ขอบตาผมเริ่มจะร้อนขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“ธีร์ กูจะอยู่ได้โดยที่ไม่มีผิงใช่ไหมวะ”

“ก็แค่กลับมารักตัวเอง แทนที่จะเอาความรักไปให้คนอื่น กูว่ามึงทำได้อยู่แล้ว เชื่อกูสิ”






#เพราะรักรออยู่
หวังว่าจะชอบกันนะคะ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 1 - 03-05-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 05-03-2020 19:50:48
(https://i.pinimg.com/564x/93/1e/a4/931ea4051f6e9bbde2d7130397611df2.jpg)

ตอนที่ 1



ตอนที่ผมเป็นเด็ก หลังจากทานมื้อเย็นด้วยกันเสร็จ ผม พ่อ และแม่ ก็จะมานั่งรวมกันอยู่หน้าทีวี เพื่อทำกิจกรรมของแต่ละคน ผมทำการบ้าน พ่อเตรียมงานของวันพรุ่งนี้ ส่วนแม่ แม่รีดผ้าไปด้วยแล้วก็เปิดละครดูไปด้วย และบ่อยครั้งที่ผมเอาแต่จ้องอยู่ที่หน้าจอทีวีเพื่อดูละครไปพร้อมๆ กับแม่ เพราะว่ามันน่าสนใจกว่าการบ้านตรงหน้าผมเป็นไหนๆ ถึงเนื้อเรื่องจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่จากที่เคยดูมา

มันมักจะเริ่มต้นด้วย นางร้ายเป็นแฟนกับพระเอกมานาน ถึงแม้จะถูกบังคับจากแม่ของพระเอกแต่ทั้งคู่ก็ดูรักกันดีไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั้งพระเอกได้มาเจอกับนางเอกเข้า..เรื่องวุ่นวายต่างๆ ก็เกิดขึ้น

ผมงงว่าทำไมแม่ถึงต้องเข้าข้างนางเอกด้วยตอนที่โดนตัวร้ายตามอาละวาด ทั้งที่พี่นางร้ายคนสวยคนนั้นต่างหากที่โดนนางเอกผู้น่าสงสารแย่งแฟน

‘เพราะพระเอกไม่ได้รักนางร้ายตั้งแต่แรก พอเจอนางเอกเข้าก็ต้องเลือกคนที่เขารักเป็นธรรมดา’

แม่ให้เหตุผลมาว่าแบบนี้

ตอนนั้นผมก็ได้แต่เถียงแทนพี่นางร้ายไปในใจ ว่าถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าไม่ได้รัก ทำไมถึงไม่พูดออกมาตรงๆ ทำไมไม่ปล่อยให้พี่คนสวยไปหาแฟนใหม่ หรือเพราะกลัวว่าถ้าไม่มีพี่นางร้ายจะไม่มีใครรักอย่างนั้นหรอ

‘ทำไมลูกไม่คิดว่าพี่นางร้ายของลูกโชคดีล่ะ สมมติถ้าพระเอกไม่ได้เจอกับนางเอก พี่คนสวยของลูกก็ต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักเขาไปตลอดชีวิตเลยนะ บางที่พี่เขาอาจจะเป็นนางเอกของเรื่องอื่นก็ได้’

แต่เหมือนพ่อจะอ่านใจผมได้ ก็เลยให้เหตุผลที่ทำให้ผมยังจำมาจนทุกวันนี้

เพราะละครก็เป็นแค่ฉากๆ หนึ่งที่ผู้กำกับเลือกมาให้เราดูเท่านั้น ไม่มีใครยืนยันได้เลยว่าหลังจากคำว่าจบบริบูรณ์ พระเอกกับนางเอกจะมีความสุขไปจนแก่เฒ่าหรือเปล่า และก็คงไม่มีใครรู้อีกเหมือนกัน ว่าพี่นางร้ายคนสวยของผมจะได้กลายไปเป็นนางเอกของใครเหมือนที่พ่อบอกหรือไม่

ทั้งผมแล้วก็พี่คนสวย ต่างก็โชคดีที่เสียคนที่ไม่ได้รักเราไป และถ้าหาว่าพี่คนสวยไม่มีใครจริงๆ ผมก็เชื่อว่า พี่เขาจะใช้ชีวิตโสดได้อย่างมีความสุขแบบที่ผมเป็นมาตลอด 7 เดือนนี้แน่นอน

“มอม! มานี่!!”

ไอ้มอมคือน้องชายต่างสายเลือดของผมเองครับ พอได้ยินว่ามีคนเรียกเจ้าตัวก็ละจากกองดินที่กำลังขุดอยู่แล้ววิ่งมาหาผมทันที

“พ่อไปไหนมอม” ผมถามพร้อมกับลูบหัวไอ้มอมไปมาด้วยความเอ็นดู ถึงจะไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ แต่พ่อกับแม่ผมก็รักมันมาก บางทีอาจจะรักมากกว่าผมด้วยซ้ำ

“แนะ ไม่ตอบอีก หยิ่งหรอมอม หยิ่งหรอฮะ” ผมใช้สองมือขยี้ไปที่ห้วไอ้มอมแรงๆ แทนที่มันจะโกรธแต่ดูแล้วเจ้าตัวน่าจะชอบให้ผมทำแบบนี้เสียมากกว่า

“มาบ้านแทนที่จะเข้าไปทักทายพ่อกับแม่ก่อน กลับมานั่งเถียงกับหมาอยู่นี่”

“แม่!” ผมเอื้อมมือไปปิดหูไอ้มอมเอาไว้ กลัวว่ามันจะได้ยินอะไรที่ทำร้ายจิตใจเข้า “ไหนบอกมอมไม่ใช่หมาแต่เป็นน้องปอไง”

“แม่โกรธมันอยู่ มันรักพ่อมากกว่าแม่” คุณนัยนามองไอ้มอมด้วยหางตา ส่วนอีกตัวก็ครางหงิงๆ ขอความเห็นใจ “ไม่ต้องมาทำหน้าเศร้าเลย ไปหาพ่อเลยไป”

พอโดนแม่ไล่ มอมมันก็เดินคอตกออกไปจากตรงนั้นทันที คาดว่าคงทำหน้าเศร้าไปฟ้องพ่อแน่ๆ

ใครว่าหมาพูดไม่รู้เรื่องนี่ผมเถียงนะ

“ทำไมทะเลาะกับหมาอ่ะแม่” ผมเข้าไปกอดแม่เอาไว้จนแน่น แถมด้วยหอมแก้มไปอีกฟอดใหญ่ ส่วนแม่เองก็เอามือลูบที่หลังผมเบาๆ แบบที่พวกเราทำกันประจำ

“แกล้งมันไปงั้นแหละ รักมันจะตาย ไม่เห็นหรอทำหน้าเป็นหมาหง๋อยเลย”

“ก็มันหมา”

“มันเป็นน้องแก มันไม่ใช่หมา”

“ไอ้มอมไม่ใช่หมาหรอก ปอนี่แหละหมา หมาหัวเน่าด้วย” แม่หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะควงแขนผมเดินเข้ามาในบ้าน

ตั้งแต่เลิกกับผิงผมก็มีโอกาสได้กลับมาบ้านบ่อยขึ้น ทั้งที่บ้านผมก็ไม่ได้อยู่ต่างจังหวัดที่ต้องเดินทางเป็นวันๆ หรือต้องรอกลับเฉพาะตอนช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกที่เมื่อก่อนผมกลับบ้านปีนึงแทบจะนับครั้งได้ หากพ่อกับแม่จะรักไอ้มอมมากกว่า ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าแปลกใจอะไร

“ไงลูกชาย” พ่อที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาโดยมีไอ้มอมนอนเอาคางเกยอยู่บนขาเอ่ยทักขึ้น “มาอีกแล้วหรอ”

“คิดถึงพ่อกับแม่ไงเลยต้องมาบ่อยๆ ”

“ที่เมื่อก่อนขนาดโทรตามก็ไม่อยากจะกลับ ทีงี้ละจะมาบอกคิดถึง มันน่านัก เนาะมอมเนาะ”

"โฮ่ง!" ไอ้มอมขานรับ แหม..เข้ากันได้ดีเหลือเกินพ่อลูกคู่นี้

“ก็เมื่อก่อนติดสาวไงพ่อ ตอนนี้เป็นโสดแล้วก็กลับมาติดพ่อติดแม่เหมือนเดิม” ผมพูดขำ แล้วเดินเข้าไปกอดทักทายพ่อบ้าง

จากคนที่เคยมีแฟนแล้วต้องกลับมาโสดอีกครั้ง แรกๆ มันก็จะทรมานอยู่สักหน่อย ข้าวก็กินไม่ลง น้ำก็กินไม่ได้ เรี่ยวแรงที่เคยมีก็กลับหายไปเสียดื้อๆ ทั้งที่เอาแต่นอนอยู่บนเตียงในท่าเดิมไม่ได้ขยับไปไหน

พอเพื่อนสนิทชวนออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้นอนตายกลายเป็นผักเน่าๆ ก็ต้องตอบรับมันไปส่งๆ เพราะอยากให้เพื่อนสบายใจ พยายามแสดงให้เพื่อนเห็นว่าเราโอเค เราไม่ได้เป็นอะไรมาก ทั้งๆ ที่ในใจนี่น้ำตาไหลเป็นทาง แม่งเดินไปทางไหนก็มีแต่ภาพเก่าๆ วันที่เราเคยมาด้วยกันอยู่ตลอด

7 เดือนที่ผ่านมา นอกจากไอ้ธีร์ ผมก็ไม่ได้บอกกับใครๆ เลยว่าผมผ่านมันมาอย่างยากลำบากมากขนาดไหนแม้กระทั้งกับที่บ้านของผมเอง

8 ปีที่ผมมีผิงอยู่ข้างๆ มันนานมากก็จริง แต่พอเริ่มชิน พอเริ่มที่จะทำใจได้ ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกว่าตอนที่มีผิงอยู่ข้างๆ เสียอีก

ผมไม่ต้องคอยตามง้อใครในเรื่องที่ผมเองคิดว่ามันเป็นเรื่องหยุมหยิม

ไม่ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนานๆ เพราะต้องคอยไปรับไปส่งผิงที่บ้าน

ไม่ต้องมาคอยจำวันสำคัญต่างๆ มากมายที่ผิงกำหนดขึ้นเอง ทั้งที่บางวันผมไม่คิดว่ามันจะสามารถนำมาเป็นวันสำคัญได้

ไม่ต้องเสียเงินไปกับอาหารมื้อหรูๆ ทุกเย็น ไหนจะค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวต่างจังหวัดในทุกๆ สัปดาห์อีก

ถึงจะรู้ตัวเองดีว่ายังมีอาการทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างเวลาที่เจอผิง แต่ผมคิดว่านั่นก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ สำหรับคนที่อยู่ในสถานะแฟนกันมาตั้งหลายปี จะให้อยู่ดีดีสับสวิชต์แล้วกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม ผมคิดว่าต้องเป็นคนที่ไม่เคยรักกันเลยมากกว่าถึงจะทำแบบนั้นได้

เวลาของผมในทุกวันนี้ ผมทุ่มให้กับตัวเองเต็มร้อย ผมได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ หันกลับมาดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว ได้หันกลับมาใส่ใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น

ผมใช้เวลาในบางวันหยุดช่วยพ่อดูแลสวนผลไม้ ช่วยแม่ทำกับข้าว แล้วก็นอนกลิ้งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านกับไอ้มอม กิจกรรมเพียงแค่นั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ของผมกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเทียบกับตอนที่ใช้วันหยุดไปกับการไปต่างจังหวัดกับผิงเป็นไหนๆ

เมื่อ 7 เดือนก่อนไอ้ธีร์มันเคยถามผมเอาไว้ว่า ถ้าเกิดผิงกลับมาผมจะทำอย่างไร

ตอนนั้นผมยังไม่มีคำตอบให้กับมัน เพราะใจนึงก็ยังหวังให้ผิงกลับมาหา อีกใจก็คิดว่าผิงทำกับผมถึงขนาดนี้แล้วผมยังจะให้อภัยแล้วกลับมารักกันเหมือนเดิมได้อย่างนั้นหรอ

แต่ถ้าเป็นผมในตอนนี้ คำตอบของผมก็คงจะมีแค่คำตอบเดียว

...บางทีการเป็นโสดอาจจะเหมาะกับผมมากกว่า…



“ทำไรกินอ่ะแม่” ผมเดินเข้าไปหาคุณนัยนาที่กำลังง่วนอยู่ในครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น

“ของคนยังไม่ได้คิด นี่ทำให้หมาอยู่” เนี่ยรักมากแค่ไหนกัน ถึงได้กินข้าวก่อนคนอีก

“อิจฉาไอ้มอมได้ไหมเนี่ย มันจะเกินหน้าเกินตาไปแล้วนะ” ผมบ่นไอ้มองไปด้วยมือก็ช่วยแม่ล้างผักที่แช่อยู่ในกะละมังไปด้วย แม่ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เพราะเทโพในหม้อที่แม่กำลังปรุงรสอยู่ดูยังไงก็ไม่น่าใช่อาหารหมาเลยสักนิด

“คนอะไรอิจฉากระทั่งหมา แล้วนี่จะกลับตอนไหน”

“สายๆ ก็ว่าจะกลับแล้ว นัดไอ้ธีร์ไว้”

“ไม่ชวนธีร์มาบ้านบ้าง แม่ไม่เจอนานแล้ว”

“มันไม่ว่างหรอกแม่ เด็กมันหลายคนแค่นี้ก็สับรางไม่ถูกแล้ว แม่รู้ไหมปอเคยเรียกชื่อเด็กมันสลับกันด้วย ดีนะที่ไอ้ธีร์มันเนียนไปได้” นึกแล้วก็อดขำขึ้นมาอีกไม่ได้ ไอ้ธีร์ตอนนั้นหน้าเหว๋อสุด ดีที่เด็กมันนั่งอยู่ข้างๆ เลยไม่มีโอกาสได้เห็น

“แล้วเราล่ะเมื่อไหร่จะมีใหม่สักที” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ถามผมแบบนี้ และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่คิดว่าผมยังรอการกลับมาของผิงอยู่ “ยังรักเขาอยู่รึไง”

“รักอะไรกันล่ะแม่ ปอแค่คิดว่าอยู่แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้วต่างหาก อยากอุ้มหลานเหมือนบ้านอื่นๆ แล้วหรอ รอไปก่อนนะ”

“ไม่ต้องมาทำอะไรเพื่อแม่หรอก ทำเพื่อตัวปอเองนั่นแหละ แม่อยากให้ปอมีความสุข”

ผมสะบัดน้ำออกจากมือ หันไปหอมแก้มนิ่มๆ ของแม่อยู่หลายครั้งแทนคำขอบคุณ “ทำไมน่ารักจังเลยผู้หญิงคนนี้"

“หอมเสร็จแล้วก็ไปตามมอมมากินข้าวด้วย ป่านนี้หิวแย่แล้วมั้ง”

หึ แม่นะแม่

รักแทบตาย สุดท้ายไอ้ปอก็แพ้หมาอยู่ดี



●●●



ออฟฟิศในวันพุธคือวันที่ทุกอย่างดูจะเป็นปกติที่สุดใน 5 วันทำงานของผม

ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนกับเช้าวันจันทร์ และไม่ต้องเคลียร์งานก่อนจะหยุดยาวเหมือนกับวันศุกร์ ผมเลยชอบวันพุธมากที่สุดจากวันทำงานทั้งหมด

แต่นั่นก็ก่อนที่จะโดนพี่ชาติ หรือพี่สุชาติ ผู้จัดการแผนกของผมเรียกเข้าไปพบ

พี่ชาติแจ้งข่าวเรื่องการรับพนักงานใหม่เข้ามาในของแผนกเรา โดยจะเริ่มเข้ามาทำงานวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก และผมคือคนที่ต้องดูแลเรื่องการสอนงานให้กับพนักงานใหม่คนนั้น

มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าระบบงานของบริษัทผมไม่ได้เป็นแบบนี้

นอกจากจะต้องคอยสอนงานแล้ว ผมยังต้องประเมินความสามารถในการทำงานของพนักงานใหม่ด้วย หากครบกำหนดช่วงทดลองงานแล้วผลการประเมินออกมาต่ำกว่ามาตรฐาน ก็จะมีจดหมายแจ้งไม่ผ่านการทดลองงานแล้วเชิญให้ไปหางานที่อื่นทำ ซึ่งนั่นหมายถึงอนาคตของคนคนนึงกำลังจะตกอยู่ในอุ้มมือของผม

“ให้เก๋ดูแทนไม่ได้หรอครับพี่ชาติ” ผมต่อรองกับหัวหน้าแผนกที่นั่งยิ้มแล้วก็ยกกาแฟในมือขึ้นจิบไปด้วย

พี่ชาติเป็นผู้ชายที่ไม่ได้อ้วน แต่ก็ไม่ได้ผอม จะเรียกว่าเป็นคนโครงใหญ่ก็ว่าได้ อายุมากกว่าผมเกือบ 10 ปี แต่ก็ยังดูดีกว่าคนในวัยเดียวกันอยู่มาก ผมโชคดีที่พี่ชาติเอ็นดู ทั้งผลัก ทั้งดันให้ก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนก ถึงพี่ชาติจะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะตัวผมเองก็เถอะ แต่ถ้าไม่มีพี่ชาติคอยสนับสนุน ผมคงไม่มีโอกาสได้มายืนอยู่ข้างๆ พี่ชาติแน่ ผมเลยทั้งเคารพแล้วก็เชื่อฟังทั้งคำด่า คำสอนของพี่ชาติมาโดยตลอด แต่กับเรื่องเทรนพนักงานใหม่นั้นผมเองก็ดื้อกับพี่ชาติมาได้ตลอดเหมือนกัน

“ไม่ได้ คนที่แล้วปอก็ขอพี่แบบนี้นะ คราวนี้พี่ไม่ยอมแล้ว”

“แต่พี่ชาติครับ”

“พี่รู้ว่าปอเข้าใจเหตุผล ว่าทำไมพี่ต้องให้ปอเป็นคนเทรนงานให้น้องเอง ใช่ไหม? ”

“เข้าใจครับ” ไอ้เข้าใจผมก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับตัวเร็วขนาดนี้

“งั้นก็ตามนี้ กลับไปทำงานได้แล้วไป” พี่ชาติวางแก้วกาแฟลงแล้วโบกมือไล่ เมื่อเห็นผมยอมแต่โดยดี “เออปอ พรุ่งนี้พี่ไม่เข้านะ ฝากปอแจ้งน้องด้วยเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับ”

“ครับ เดี๋ยวผมบอกน้องให้”

รับปากพี่ชาติเสร็จก็เดินคอตกออกมาจากห้องทำงานพี่ชาติทันที เห็นทีคืนนี้ผมคงได้เข้านอนแต่หัววัน แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องไปสอนงานให้ใครก็เล่นเอาหมดแรงเสียแล้ว

เฮ้อออ







#เพราะรักรออยู่

ดีใจนะ...ที่คุณแวะเข้ามา

เยิ๊ปปป
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 2 - 03-09-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 09-03-2020 19:15:48
(https://i.pinimg.com/564x/93/1e/a4/931ea4051f6e9bbde2d7130397611df2.jpg)
ตอนที่ 2

“พร พิ พัด เด ชา กิ ติ ธร” ผมก้มลงอ่านชื่อและนามสกุลของพนักงานใหม่ในแฟ้มตรงหน้าแบบออกเสียง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามกับเจ้าตัวว่า “ชื่อจะยาวไปไหน?”

นายพรพิพัฒน์ เดชากิติธร เจ้าของชื่อและนามสกุลยาวเหยียดที่อยู่ในชุดทำงานที่เหมือนๆ กับพนักงานออฟฟิศทั่วไปใส่กัน แต่กลับดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ที่ใส่แบบเดียวกันมาก ส่งยิ้มการค้ากลับมาให้ พนันได้เลยถ้าไอ้เก๋ น้องคนสนิทในแผนกของผมมันมาเห็นเข้า ตอนนี้มันคงได้ลงไปนอนดิ้นอยู่ที่พื้นแล้ว

“โงกุนครับ”

“ฮะ?”

“ชื่อเล่น โงกุน ครับ”

“ชื่อเล่นก็ยังจะยาวอีกเนาะ จะเป็นโง รึจะเป็นกุน” ผมถามเจ้าของชื่อกลับไป แต่ก็ใช่ว่าจะรอความคิดเห็นจากอีกคนแบบที่ปากถาม “ชื่อกุนไปแล้วกัน ชื่อโง มันออกจะฟังดูแปลกๆ” ผมเลิกสนใจรอยยิ้มที่ส่งมาแล้วก้มลงอ่านแฟ้มในมือต่อ

ยิ้มเยอะขนาดนี้ ไม่อารมณ์ดีจริงๆ ก็บ้านะเอาดีดี

“อายุ 23 ประสบการณ์ทำงาน..ไม่มี งานที่แรกก็ได้ที่นี่เลยหรอ เก่งเหมือนกันนะเนี่ย อืม..”

ทำเป็นวาดมาดไปอย่างนั้นแหละครับ

ถ้าใครได้ทำงานกับผมจริงๆ ก็คงจะรู้กันดี ว่าผมในโหมดปกติเป็นพี่ปอที่น่ารักของน้องๆ ในแผนกขนาดไหน นี่ก็เก๊กจนเมื่อยหน้าไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถแผ่รังสีอัมหิตให้น้องใหม่กลัวได้บ้างหรือเปล่า

“แล้วพี่จะให้ผมเรียกพี่ว่าอะไรครับ”

“ปอ เอ่อ เรียกผมว่า ณภัทร” เผลอบอกชื่อเล่นไปทั้งที่ตั้งใจจะวางมาดขรึมเสียอย่างนั้น ให้มันได้อย่างนี้สิ

“ครับพี่ปอ”

“ก็บอกให้เรียก ณภัทร” ผมตวัดสายตาขึ้นจากแฟ้มมองอีกคนที่กำลังขัดใจกันอยู่

“ก็มันยาวไงพี่ เรียกพี่ปอนั่นแหละสั้นดี เหมือนที่พี่ตัดชื่อผมออกเหลือแค่กุนไง” พูดจบมันก็ส่งยิ้มมาให้อีกรอบ แต่รอยยิ้มรอบนี้..ดูยังไงมันก็กำลังกวนประสาทผมอยู่

“มาวันแรกก็หัดยอกย้อนกันเลย มันน่าไหมเนี่ย ใบประเมินอยู่ไหนวะ” ผมทำเป็นพลิกแฟ้มหาใบประเมินที่ต้องเอาไปรายงานกับผู้ใหญ่หลังจากเทรนงานเสร็จ

“ใจเย็นดิพี่ ผมล้อเล่น ละลายพฤติกรรมไง เห็นพี่หน้าเครียดๆ ”

“นี่ผมหน้าเครียดจนคุณสังเกตได้เลยหรอ” โงกุนยิงฟันแล้วพยักหน้ากลับมาให้ผมแทนคำตอบ

นี่ผมแสดงละครเก่งขนาดนี้เลยหรอเนี่ย สุดยอดไปเลย

“เฮ้อออ ก็เครียดจริงๆ แหละ บอกพี่ชาติแล้วว่าไม่อยากทำ ไม่ฟังกันบ้างเลย”

“พี่ไม่อยากเทรนงานให้ผมหรอ” ผมทิ้งแฟ้มลงบนโต๊ะ พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ ตั้งใจจะแกล้งต่ออีกสักหน่อย แต่พอเห็นสีหน้าอีกคนที่เหมือนกับไอ้มอมตอนมองร้านขายลูกชิ้นตาละห้อย แล้วก็อดสงสารไม่ได้

“ให้สอนงานน่ะได้ แต่ให้มาประเมินด้วยแบบนี้ไม่ชอบเลย” ผมยกเอาใบประเมินที่แทรกมากับแฟ้มประวัติของพนักงานใหม่ขึ้นสะบัดไปมา

ผมไม่อยากไปตัดสินใครว่าควรทำงานต่อไปหรือต้องออกไปหางานใหม่ เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นคนขี้สงสาร หากมันเป็นเรื่องที่พอจะอะลุ่มอล่วยกันได้ ผมก็พร้อมที่จะให้อภัยและให้โอกาสอีกคนได้แก้ตัวเสมอ เพราะแบบนี้พี่ชาติเลยยกหน้าที่เทรนงานพนักงานใหม่คนนี้ให้ดูแล ถ้าผมใจดีเกินไปแล้วรับพนักงานไม่มีคุณภาพเข้ามาทำงาน ก็เท่ากับรับคนเข้ามาเพิ่มภาระให้กับหน่วยงาน และหากผมทำแบบนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าผมไม่มีประสิทธิภาพพอในการจะขึ้นไปอยู่ในจุดที่สูงกว่าตอนนี้ได้

ทางออกเดียวที่ผมมี ก็คือตั้งใจถ่ายทอดความรู้ในการทำงานของตัวเองทั้งหมดที่มีไปให้กับน้องพนักงานใหม่ ผมจะไม่ยอมตัดอนาคตใคร แต่ผมก็จะไม่ยอมทำให้พี่ชาติ ที่คอยสนับสนุนให้ผมมาอยู่ในตำแหน่งนี้ และแผนกของผมเองมีบุคลากรที่ไม่มีคุณภาพเข้ามาทำงานเพราะผมแน่

“ผมจะตั้งใจสอนงานคุณ คุณเองก็ต้องช่วยตัวเองด้วย หากจบการเทรนงานแล้วคุณไม่สามารถทำงานได้ในเกณฑ์ที่ผมต้องการ คุณก็คงต้องออกไปหางานใหม่นะครับ”

“ครับ! ”

ตอบรับหนักแน่น

ท่าทางใช้ได้

แววตาก็ใช้ได้

“ผมจะตั้งใจทำงานครับ..พี่ปอ”

“ก็บอกให้เรียก ณภัทร” ผมก้มลงมองตามสายตาของเด็กที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า แล้วรีบพลิกบัตรพนักงานของตัวเองที่ห้อยเอาไว้ที่คอหลบสายตาของอีกคนทันที

แววมันจะกวนตีนก็ใช้ได้เลยทีเดียวไอ้นี่

“ครับคุณณภัทร ดนุนันท์”

“ไอ้!” ดีที่ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน

มาทำงานได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ทำผมหลุดเรียกไอ้ได้แล้ว

มันจะรอดแน่ใช่ไหม



●●●



แล้วก็ถึงเวลาเลิกงาน

จบการเทรนงานในวันแรกพร้อมกับความรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ 10 เท่า เหนื่อยจนอยากจะวาปกลับไปคอนโอเอาเสียเดี๋ยวนี้ รู้สึกคิดถึงเครื่องทำน้ำอุ่น คิดถึงโซฟา คิดถึงทีวี คิดถึงเตียงนอนที่ห้องเต็มแก่

การเทรนงานให้กับไอ้ซุนหงอคงนั่นไม่ง่ายเลยจริงๆ

มีอยู่หลายรอบที่ผมอยากจะเดินไปบอกกับพี่ชาติว่าให้ไล่ไอ้ลิงนั่นออกไปซะ แล้วรับคนใหม่มาให้ผมสอนงานแทนน่าจะเวิร์คกว่า เพราะไอ้กุนมันเอาแต่พูดกวนประสาทผมอยู่นั่น แต่พอเริ่มนิ่ง เริ่มไม่อยากจะเถียงเพราะเกือบจะฟิวส์ขาด มันก็กลับมาตั้งใจฟังที่สอนเอาซะดื้อๆ แถมงานที่ทำเสร็จออกมาก็ถือว่าดีมากสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานเลยอีก ในเมื่ออีกคนดูแล้วน่าจะโอเคกับงาน ผมเลยไอ้แต่ท่องคำสองคำวนไปวนมาอยู่ในใจ ตั้งแต่บ่ายมาจนถึงตอนนี้

..อดทน..อดทน..และอดทน

แต่เหมือนว่าแค่อดทนกับไอ้ลิงนั่นยังไม่พอ เพราะพระเจ้าก็ส่งแบบทดสอบความอดทนเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้สำหรับวันนี้มาให้กับผมอีกรอบ

เมื่อลิฟต์ที่กำลังยืนรออยู่ค่อยๆ เปิดออก ร่างของหญิงสาวแสนคุ้นตาเด่นออกมาทั้งที่คนในลิฟต์ก็ไม่ใช่น้อยๆ ผมมองผิง อดีตแฟนสาวหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขกับแฟนหนุ่มคนใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวว่าคบกันหลังจากขอยุติความสัมพันธ์กับผมไปไม่ถึงสองอาทิตย์ ขาของผมมันก็เกิดก้าวไม่ออกอย่างอัตโนมัติ จนคนที่รอลิฟต์อยู่ด้วยกันทยอยกันเดินเข้าไปในตู้สี่เหลี่ยมกันเกือบหมด ผมก็ยังคงยืนนิ่งจนโงกุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องร้องทัก

“พี่ ไม่ไปหรอ”

“อ๋อ เออ”

ดวงตาที่เอาแต่จ้องมองอดีตคนรักเลยต้องหันกลับมาสนใจคนข้างๆ แต่ท่าทางผิดปกติของผม คงไม่อาจหลุดรอดสายตามของโงกุนไปได้ ในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟต์แขนก็ถูกไอ้ลูกลิงรั้งเอาไว้ พนักงานคนอื่นๆ ที่รออยู่ในลิฟต์ต่างมองออกมาที่ผมและโงกุน ว่าทำไมไอ้สองคนนี้ยังไม่เข้าไปข้างในเสียที และนั่นก็รวมทั้งผิงและแฟนใหม่ด้วย

“ไปเลยครับพี่ ขอโทษด้วยนะครับ พี่ปอลืมของใช่ไหม เดี๋ยวผมไปเอาเป็นเพื่อน” ประโยคแรกโงกุนบอกกับพี่คนที่กดลิฟต์รอพวกเราอยู่ ส่วนประโยคหลังเขาหันกลับมาพูดกับผม แต่ก็ตั้งใจจะให้คนในลิฟต์ได้ยินด้วย แล้วก็ออกแรงลากผมให้ออกไปจากตรงนั้น

จากที่ทำงานด้วยกันมาครึ่งวัน นั่นก็พอจะทำให้ผมรู้ว่าโงกุนมันเป็นคนช่างสังเกตุ ความจำดี สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างรวดเร็ว แม้จะติดเล่นมากไปนิด และก็น่าจะไม่ต่างจากอีกคนที่คงจะสังเกตุผมได้ ว่าจริงๆ แล้วผมที่เป็นคนทำอะไรไว คิดไว พูดไว มือไว อย่างวันนี้ลิงนั่นก็โดนผมใช้ปากกาเคาะหัวไปแล้วหลายรอบแล้ว ในข้อหาชอบมาป่วนผมอยู่นั่น

ถึงโงกุนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างผมและใครสักคนในลิฟต์ แต่ก็คงสังเกตเห็นถึงท่าทางทื่อๆ เหมือนกับโดนแช่แข็งและอาการกระอักกระอ่วนในการที่จะก้าวไปข้างหน้าเอาไว้เมื่อครู่ ถึงได้ตั้งใจลากผมออกมา

แต่ตอนนี้ผมว่า..

มันชักจะลากผมมาไกลไปแล้ว

“โอ้ย!” เสียงร้องของโงกุนดังขึ้นเพราะถูกผมใช้นิ้วดีดเข้าที่ติ่งหู เลยต้องละมือที่จับแขนผมไปจับติ่งหูตัวเองแทน

“จะลากไปไหนเนี่ย จะกลับบ้าน”

“มีใครเคยบอกไหมเนี่ยว่าพี่มือโคตรหนัก หูขาดไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้” มันโวยวาย

ไอ้ธีร์ก็เคยบอกว่าผมมือหนัก แต่ผมคงไม่ได้ดีดแรงจนหูมันขาดไปจริงๆ ใช่ไหม

“สำออย ไหนเอามาดู” ผมดึงมือที่กำลังนวดคลึงตรงติ่งหูของโงกุนออก แล้วยื่นหน้าเข้าไปเพ่งดูใกล้ๆ เพราะไอ้ซุนหงอคงมันทำท่าเจ็บเหมือนกับกำลังจะขาดใจตาย

“เฮ้ย!” ไอ้กุนร้องลั่นพร้อมกับถอยกรูไปจนหลังชิดกับกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ

“เชี่ย! จะร้องทำไมเนี่ย ตกใจหมด แล้วหูก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย โว๊ะ..ไปกลับบ้าน กูเหนื่อยกับมึงแล้วเนี่ยไอ้ซุนหงอคง ไปเลย! ไปกดลิฟต์!!”

โงกุนยอมเดินไปกดลิฟต์อย่างว่าง่าย ผมที่เดินตามมาเห็นลิงนั่นทำหน้ายุ่ง ส่ายหัวตัวเองดิ๊กๆ จนหัวเกือบจะหลุด ก็อยากจะถอนหายใจออกมาแรงๆ สักสิบที นี่ถ้าไม่ติดว่าพี่ชาติกลับบ้านไปแล้วนะ มีหวังผมคงได้เดินเข้าไปคุยกับพี่ชาติจริงๆ

..ตอนพี่ชาติรับไอ้ลิงนี่เข้ามาทำงาน ไม่รู้รึไงว่ามันบ้า..

เฮ้อออ



●●●



ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลังจากเลิกงานผมจะต้องพาอตีตคนรักไปทานข้าวเย็นร้านเด็ดร้านดังตามรีวิวเพื่อให้เธอได้เช็คอิน ได้ถ่ายภาพ แล้วก็แชร์ลงโซเชียลก่อนจะขับรถพาเธอไปส่งที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงคอนโดตัวเองก็ปาไปเกือบ 4 หรือ 5 ทุ่มทุกวัน

แต่ในตอนนี้ หลังเลิกงานผมจะตรงดิ่งกลับคอนโดของตัวเองทันที หากเป็นวันปกติเมื่อกลับมาถึงผมก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดทำงาน เป็นชุดที่พร้อมสำหรับการออกกำลังกาย แล้วลงไปใช้ฟิตเนสส่วนกลางของคอนโดที่อยู่ชั้น 1

ผมไม่ได้อยากให้ตัวเองมีกล้ามโตๆ เหมือนกับพี่ยอด พี่สนิทกันเพราะเจอกันที่ลู่วิ่งข้างๆ ตอนผมลงไปที่นั้นครั้งแรก ขอแค่พอให้ได้ออกกำลังกายเพื่อชดเชยให้กับเวลา 8 ปีที่ห่างหายไปเพราะต้องคอยรับส่งผิงจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองเท่านั้นก็พอ

ผมจะใช้เวลาอยู่ในฟิตเนสวันละหนึ่งชั่วโมง หรือไม่ก็ไม่เกินชั่วโมงครึ่ง แล้วแต่พี่ยอดแกมีเรื่องอะไรมาเม้าท์ให้ฟัง แล้วก็พอให้ตัวเองได้เหงื่อ ก่อนจะกลับขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำ

แต่สำหรับวันนี้ วันที่ผมเหนื่อยเกินไปทั้งจากการโดนกวนประสาทจากไอ้พนักงานใหม่ที่ชื่อเหมือนพระเอกการ์ตูนเด็ก แล้วยังจะเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าแฟนเก่าแบบไม่ทันตั้งตัวนั่นอีก ภารกิจไปออกกำลังกายกับพี่ยอดทุกวันเลยต้องถูกพักเก็บเอาไว้ก่อน

ผมยกชามบะหมี่เกี้ยว อาหารเย็นง่ายๆ ที่ซื้อมาจากร้านรถเข็นระหว่างทางกลับคอนโดมานั่งโซ้ยที่หน้าทีวี พร้อมกับดูซีรีย์ในเน็ตฟลิกซ์ ที่เห็นในรีวิวว่าดีหนักหนาและอยากดูมานแต่ไม่มีเวลาสักที เพิ่งจะมารู้ว่าโลกนี้มีอะไรให้เราดูมากมายจนดูเท่าไหร่ก็ไม่น่าจะดูหมด ก็ตอนที่ค่อยๆ เลื่อนรีโมทไล่หาเรื่องที่ต้องการจะดูเพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าต้องไปกดค้นหาจากตรงไหนนี่แหละ โชคดีหน่อยที่มันมีระบบจดจำว่าเราดูค้างไปถึงตรงไหน แถมตอนนี้ผมค้นหาเรื่องที่ต้องการดูเป็นแล้ว เพราะถ้าได้มานั่งหาก่อนดูทุกวันผมคงได้ไปหาอย่างอื่นทำแทน

ครืดดด

ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือที่วางเอาไว้ข้างตัว ขณะที่ตายังคงจ้องอยู่ที่ซีรีย์บนหน้าจอทีวี

ครืดดด

เหลือบมองไปที่นาฬิกาที่วางอยู่ข้างทีวี ก็เห็นว่านี่มัน 5 ทุ่มแล้ว..ยังจะใครส่งข้อความมาหาผมอีก

ครืดดด



ครืดดด

ผมคว้าเอารีโมทมากดหยุดการเล่นของซีรีย์ที่กำลังอยู่ในช่วงลุ้นระทึกเอาไว้ แล้วหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครที่กล้าส่งข้อความมากวนทั้งที่ดึกขนาดนี้

คิ้วของผมขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิมเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ไม่คุ้นตา แถมชื่อยังเป็นภาษาอังกฤษที่ไม่แน่ใจว่าอ่านว่าอะไรอีก

“โกคู? ใครวะ” พึมพำกับตัวเอง แล้วกดเข้าไปอ่านข้อความที่สร้างความรำคาญให้

Goku : พี่

Goku : พี่ปอ

Goku : พี่

Goku : นอนแล้วหรอพี่

“เรียกมาแต่พี่ๆๆๆ นี่จะรู้กันไหมเนี่ยว่าเป็นใคร” บ่นไปด้วย นิ้วมือก็กำลังพิมพ์ถามกลับไปด้วยว่าใคร แต่ยังไม่ได้ทันได้กดส่งก็ได้รับข้อความใหม่จากบุคคลปริศนามาเสียก่อน

Goku : คุณณภัทร ดนุนันท์

Goku : อ่านแล้วไม่ตอบอีกนะครับ

อืม...ชัดเลย

ไอ้ซุนหงอคงนี่เอง

ยิ่งพอรู้ว่าใครที่ส่งข้อความมารบกวนการดูซีรีย์ ก็ทำเอาเส้นเลือดตรงหางคิ้วของผมเต้นตุบๆ มือขวากำโทรศัพท์ไว้ ส่วนมือซ้ายก็กำลังไล่นวดคลึงไปตามขมับข้างเดียวกัน

ไอ้ลิงเด็กมันกำลังทำผมอารมณ์เสีย

Goku : พี่ปอ

Naphat : มีอะไร

Goku : พี่นอนแล้วหรอ?

Goku : โอเค

Goku : งั้นพี่นอนเหอะ

Goku : พรุ่งนี้ค่อยคุย

Goku : ฝันดีครับ

...

ฮะ?

อะไรของมันนะ

ผมจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองนิ่ง ไอ้ลิงเด็กทักมาเหมือนกับจะมีธุระสำคัญอะไร แต่พอถามกลับไป ดันบอกให้ไปนอนเนี่ยนะ

ไอ้!

ไอ้!!

ไอ้!!!

โอ้ยยยย หมด หมดกัน อารมณ์ดูซีรีย์กูหมดแล้ว

พรุ่งนี้เจอจะดีดให้ติ่งหูหลุดไปอัญเชิญพระไตรปิฎกไม่ได้เลยไอ้ซุนหงอคงมึงคอยดู







#เพราะรักรออยู่
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 3 - 03-10-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 11-03-2020 19:35:11
(https://i.pinimg.com/564x/93/1e/a4/931ea4051f6e9bbde2d7130397611df2.jpg)

ตอนที่ 3


“พี่ปอ ผมเจอพี่เก๋เมื่อกี้ ฝากมาบอกให้พี่ส่งเอกสารที่ขอไปเมื่อวันก่อนด้วย”

“โอเค” ผมตอบรับทั้งที่ยังก้มหน้าทำงานตรงหน้า

ไม่ใช่โกรธเรื่องที่มันไลน์มากวนเมื่อคืนหรอกครับ เพราะเรื่องนั้นผมจัดการเอาคืนโดยการดีดหูมันไปตั้งแต่เช้าแล้ว ส่วนที่ผมนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองอย่างอื่นได้ นั่นก็เพราะถ้างานไม่เสร็จงานจะเข้าผมเอาได้

งานง่ายๆ แค่การตรวจเอกสารไม่กี่แผ่น แต่ผมใช้เวลาตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่ายจนถึงตอนนี้ ก็ยังทำมันไม่เสร็จ จนถ้ารวมกับที่ไอ้กุนมันบอกเมื่อกี้ เก๋ก็ทวงงานจากผมครบ 3 รอบพอดี

นี่พูดแล้วก็ขึ้น

ถ้าไม่ต้องมามัวทะเลาะกับไอ้ลิงนั่น ผมได้ส่งงานนี้ให้น้องไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว

“พี่ปอ อันนี้ถูกไหม” แฟ้มเอกสารตรงหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยแฟ้มเอกสารใหม่อีกอันที่คนถามยื่นมาให้ดู

ผมพยายามหายใจเข้าลึก หายใจออกลึก ไม่อยากหลุดไปต่อล้อต่อเถียงกับไอ้กุนอีก เดี๋ยวจะยาว รีบตอบคำถามให้มันเสร็จๆ แล้วกลับมาทำงานตัวเองดีกว่า

ไล่สายตาอ่านเอกสารทุกตัวจนครบ ก่อนเลื่อนแฟ้มนั้นกลับคืนไปยังคนที่ยืนรออยู่ข้างหน้า “ถูก”

“พี่ปอ แล้วอันนี้ใช้ยังไงผมใช้ไม่เป็น”

ยังไม่ทันที่จะได้อ่านเอกสารในมือครบประโยคก็เกิดคำถามจากไอ้ลิงขี้สงสัยขึ้นมาอีก แต่คราวนี้มันทำสำเร็จ เพราะไอ้ลิงนั่นสามารถทำให้ผมเงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสารมาสบตากับมันได้ แต่เชื่อเถอะสายตาผมไม่ได้เอ็นดูที่มันส่งยิ้มการค้าแบบนี้มาให้เลยสักนิด

“แบบนี้”

ผมทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่เมื่อเสร็จแล้วก็ไม่ได้กลับไปทำงานต่อ ผมยังคงนั่งมองคนที่เดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องทำงานนิ่ง

“พี่ปอ ผมยืมปากกาแป๊บนะ เดี๋ยวเอามาคืน”

“อืม”

ไอ้ซุนหงอคงกำลังยิ้มแป้น เหมือนมีความสุขเสียเหลือเกินที่สามารถกวนผมเสียจนไม่มีสมาธิในการทำงานได้ มันเดินหันหลังกลับไปที่โต๊ะอีกรอบ วางปากกาที่บอกว่ายืมเมื่อครู่ลงข้างกองดินสอ ยางลบ กล่องลวดเย็บกระดาษ แล้วก็โพสต์อิทที่เทียวมายืมผมไปตั้งแต่เช้า ยังไม่ทันไรก็หันหลังกลับมาพร้อมกับหยิบเอาถุงช๊อคโกแลตสีทองเดินกลับมายื่นให้ผมตรงหน้า

“พี่ปอ กินมะ”

“ไม่เอา”

พูดแล้วก็พิงหลังไปกับเก้าอี้ทำงาน กอดอกจ้องไอ้ลิงที่ยืนดูดนิ้วเอาคราบช็อคโกแลตที่ปลายนิ้วออก อยากรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไป แต่พอเห็นผมนั่งจ้องหน้า มันก็กลับมองหน้าผมนิ่ง ไม่ได้สรรหาคำถามมาถาม หรือขอยืมของอะไรบนโต๊ะผมอีก

“จะถามอะไรอีกไหม” ในเมื่ออีกคนไม่ถามผมเลยเป็นฝ่ายถามเอง อยากแน่ใจว่าต่อจากนี้จะไม่มีอะไรมารบกวนการทำงานของผมอีก

“ไม่แล้วครับ”

“อยากให้ได้ยินเสียงอีกนะ” ผมหรี่ตามองคนที่พยักหน้าหงึกหงักรับคำ คลายมือที่กอดอกอยู่ออกเตรียมจะก้มหน้าลงทำงานต่อ

“พี่ปอ”

“โอ้ยยย จะเรียกอะไรนักหนาเนี่ยกุน ขอทำงานเงียบๆ สัก 20 นาทีได้ไหม”

“ไม่ได้ดิพี่”

“ไอ้!” ผมอ้าปากเตรียมจะด่าไอ้ลิงเด็กนั่น แต่ก็เป็นมันที่แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เที่ยงกว่าแล้วเนี่ย ไปกินข้าวกัน พี่พาผมไปกินส้มตำหน่อย อยากกินไรแซ่บๆ ”

พอได้ยินแบบนั้นก็พลิกนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองดู ก่อนจะกลับมามองหน้าไอ้กุนที่ยืนยิ้มแห้งอีกครั้ง เพราะตอนนี้เลยเที่ยงไปเกือบ 20 นาทีแล้ว

“แล้วทำไมไม่ไปกินข้าว”

“ก็รอพี่”

“รอทำไม ตัวไม่ได้ติดกัน ถึงเวลาแล้วก็ไปกิน”

“ก็ถึงเวลาแล้วนี่ไงพี่ ไปกินข้าวกัน นี่หิวจะแย่แล้ว ไม่กินส้มตำแล้วก็ได้ แต่พี่ติดส้มตำผมมื้อนึงนะ”

“ไปติดตอนไหนวะ” ผมงง อะไรคือการพูดเองเออเองของมัน

“ก็เมื่อกี้ไง เดี่ยววันนี้กินข้าวแคนทีนบริษัทไปก่อน เมื่อวานผมกินก๋วยเตี๋ยว วันนี้ผมจะลองกินข้าวราดแกงดู ไม่รู้ว่าจะเหลืออะไรให้กินบ้างเนี่ย”

“พูดมากจริงๆ” ถึงจะบอกแบบนั้นออกไปแต่ผมก็ปิดแฟ้มงานของตัวเองลง แล้วคว้าเอาโทรศัทพ์กับกระเป๋าตังขึ้นมาถือ เดินนำโงกุนไปที่ประตูห้อง “อ้าว ไม่ไปหรอ งั้นไปก่อนนะ”

“เฮ้ย รอด้วยดิพี่”



●●●



ปกติผมไม่ค่อยได้ลงมากินข้าวที่แคนทีนของบริษัทเท่าไหร่นัก เพราะส่วนมากจะฝากน้องในแผนกซื้อจากข้างนอกเข้ามาให้ หรือไม่ก็โทรมาสั่งที่แคนทีนแล้วให้คนของที่ร้านเอาขึ้นไปส่งให้ โดยให้ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ

แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยได้ลงมา ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยลงมาเลย ผมพาโงกุนไปยืนอยู่หน้าร้านข้าวราดแกงที่สั่งให้ขึ้นไปส่งประจำ เห็นเด็กข้างๆ ทำหน้าหงอย เพราะกับข้าวที่เหลือมีแค่ผัดผัก กับกระเพราหมูสับก้นถาด เลยเอ่ยทักเจ้าของร้านที่กำลังหันหลังคุยอยู่กับเด็กในครัว

“พี่มุกครับ ทำตามสั่งให้ได้ไหมครับ ผมอยากกินข้าวไข่เจียว”

พี่เจ้าของร้านหันมายิ้มกว้างเมื่อเห็นผม แต่เพียงไม่นานสายตากลับไปจบอยู่ที่เด็กอีกคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ กัน

“ได้สิจ๊ะน้องปอ เพื่อน้องปอพี่มุกทำให้ได้อยู่แล้ว แล้วนี่ใครจ๊ะ หล่อเชียว” พี่มุกที่เดินมายืนอยู่หน้าเค้าเตอร์เอ่ยถาม

“สวัสดีครับพี่มุก” โงกุนยกมือขึ้นไหว้ “ผมโงกุนครับ ถ้าไม่รบกวนพี่มุกมากเกินไป ผมขอเหมือนพี่ปออีกจานนึงได้ไหมครับ”

“แหม ทำไมจะไม่ได้ล่ะจ๊ะ เดี๋ยวพี่มุกจัดให้แบบพิเศษๆ เลย ว่าแต่พี่มุกไม่คุ้นหน้า พนักงานใหม่ใช่ไหมเนี่ย”

“ครับ ผมมาทำงานวันนี้วันที่ 2 เองครับ นี่ก็ลุ้นอยู่ครับว่าพี่ปอจะให้ผ่านทดลองงานรึป่าว”

“ถ้าน้องโงกุนไม่เกเรนะ รับรองผ่านชัวร์ น้องปอเขาใจดีจะตาย”

“ผมไม่เกเรแน่นอนครับ” ไอ้กุนส่งยิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปคุยกับพี่มุกต่อ “นี่ถ้าพี่ปอให้ผมผ่านงานนะ ผมจะมาอุดหนุนพี่มุกทุกวัน 1 เดือนเต็มๆ เลย”

พี่มุกหัวเราะเสียงดัง เหมือนว่าเขาจะชอบใจกับไอ้ท่าขยิบตาส่งวิ้งค์จากโงกุนเข้าแล้ว “โธ่ๆๆๆ น่ารักขนาดนี้ต้องให้ผ่านแล้วนะคะน้องปอ เหมียว ข้าวไข่เจียวพิเศษ 2 จานเอาข้าวเยอะๆ ”

ผมพยายามกำมือของตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้ยกขึ้นทำร้ายร่างกายของอีกฝ่ายเหมือนตอนที่อยู่กันลำพังสองคน เพราะหมั่นไส้ที่ไอ้ลิงเด็กมันเปลี่ยนวิถีของสายตามาทางผมแถมไม่ลืมขยิบตาให้ ตอนที่พี่มุกหันไปสั่งรายการอาหารกับลูกจ้างข้างใน

นี่ถ้าไม่ต้องรักษาภาพพจน์นะ รับรองไอ้ซุนหงอคงหูขาดแน่ เพิ่งมาทำงานได้ไม่นานก็ไปตีสนิทกับร้านข้าวของบริษัทเรียบร้อยแล้ว ไอ้ลิงพูดมากเอ้ย

“ของผมกับน้องครับ” ยื่นเงินแบงค์สีม่วงให้เจ้าของร้านข้าว พร้อมกับเด็กข้างๆ ที่กำลังยืนเงินของตัวเองไปให้เหมือนกัน

“เลี้ยงผมหรอ”

“อืม”

“อู้ววว ใจดีแบบที่พี่มุกบอกจริงๆ ด้วยแฮะ ไม่เห็นเหมือนตอนอยู่บนห้องด้วยกันสองคนเลย”

“ไอ้”

โงกุนยกนิ้วชี้ขึ้นแตะกับริมฝีปากของตัวเองเพื่อเตือนไม่ให้ผมหลุดด่าเขากลางแคนทีนบริษัท โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้ตัวเองโดนทดความผิดเอาไว้ในใจแล้วเรียบร้อย

รอขึ้นไปก่อนเถอะไอ้ลิง หูหลุดแน่

“เงินทอนจ่ะน้องปอ”

ผมรับเงินทอนจากพี่มุกมานับ ค่าข้าวถึงแม้จะเป็นแบบพิเศษ แต่เพราะทางบริษัทมีนโยบายช่วยเรื่องค่าอาหารกลางวันให้กับพนักงานทุกคนในบริษัท ข้าวในแคนทีนเลยถูกกว่าอาหารข้างนอกค่อนข้างมาก แต่หลังจากที่นับเงินทอนดูแล้ว ผมก็ต้องร้องทักพี่มุกไปเพราะเขาเหมือนจะได้เงินทอนกลับมามากกว่าที่ควรจะได้

“พี่มุกครับ พี่มุกน่าจะทอนเงินผมเกินมา”

“ไม่เกินจ่ะ ถือว่าพี่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงต้นรับน้องโงกุนไง”

“ไม่ได้สิครับพี่มุก” ถึงพี่มุกจะใส่สร้อยท้องเส้นเบ่อเร่อ แต่ของซื้อของขายแบบนี้จะมาลดราคากันทำไม

“อย่าขัดใจพี่สิจ๊ะน้องปอ”

“ขอบคุณพี่มุกมากนะครับที่เอ็นดูผม แต่ผมขอจ่ายส่วนที่เหลือได้ไหมครับ” ผมหันมามองหน้าเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นพี่มุกเริ่มคว่ำปากตัวเองลงเพราะโดนขัดใจ “ไม่ใช่ผมไม่อยากรับน้ำใจของพี่มุกนะครับ แต่เอาไว้พี่มุกเลี้ยงผมตอนที่ผ่านงานแล้วดีกว่า ถึงตอนนั้นผมขอเป็นข้าวหมูกระเทียมแบบพิเศษๆๆ สักจานแทนจะได้ไหมครับ” ไอ้กุนมันทำเสียงอ้อน

“ถ้าผ่านงานปุ๊บรีบมาหาพี่มุกเลยนะคะ” ถึงจะไม่ชอบที่ให้ใครมาขัดใจ แต่พอเจอลูกอ้อนของน้องพนักงานใหม่เข้าไปพี่มุกก็อ่อนลงทันที

“สัญญาเลยครับ”

“จัดไปจ่ะ”

โงกุนยื่นเงินให้พี่มุกเพิ่ม แล้วหันมาส่งยิ้มให้กับผม อวดความสำเร็จที่สามารถตกลงกับพี่มุกได้

ถึงจะแปลกใจที่ไอ้กุนเพิ่งเจอกับพี่มุกครั้งแรก แต่สามารถเปลี่ยนใจพี่มุกที่ใครๆ ก็รู้ว่าเอาแต่ใจได้ด้วยวการพูดเหมือนกับรู้ใจอีกคนดี

แต่ผมก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะขยับปากไม่ออกเสียงกลับไปให้คนที่ยืนหน้าระรื่นอยู่ข้างๆ

‘พูดมาก’



●●●



มื้อเที่ยงจบลงอย่างรวดเร็วเพราะกว่าจะได้กินข้าวกันก็ปาไปเกือบบ่ายแล้ว และเพียงแค่ไม่นานผม กับกุนก็พากันเข้ามาอยู่ในห้องทำงานห้องเดิมเพื่อเริ่มทำงานในช่วงบ่ายกันต่อ

ยังไม่ทันที่ผมจะเริ่มเปิดแฟ้มงานที่ทำค้างไว้ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากทางหน้าห้อง ก่อนที่พี่ชาติ หรือคุณสุชาติผู้จัดการแผนกจะแง้มประตูแล้วชะโงกหน้าเข้ามาถามถึงเรื่องที่ฝากให้ผมช่วยแจ้งกับน้องใหม่ไปเมื่อวันก่อน

“ปอ เรื่องงานเลี้ยงเย็นนี้ปอบอกกับคุณพรพิพัฒน์แล้วใช่ไหม” พี่ชาติหัวเราะพร้อมกับผลักประตูเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นหน้าผม พี่ชาติคงสัมผัสได้ในทันทีว่าผมลืมมันไปเสียสนิท “งั้นพี่บอกเองแล้วกัน”

พี่ชาติหันไปหาพนักงานใหม่ที่นั่งอยู่อีกมุมของห้อง “คุณพรพิพัฒน์ เย็นนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับคุณนะ สถานที่คุณคุยกับปอเขาอีกทีแล้วกัน ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งล่วง แต่หวังว่าคุณจะว่างนะครับ”

“ครับคุณสุชาติ ขอบคุณมากเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไรคุณ มันเป็นธรรมเนียมของแผนกเราอยู่แล้ว ทำงานมา 2 วันแล้วเป็นไงบ้านคุณพรพิพัฒน์”

“เรียกผมกุนก็ได้ครับ” กุนมันคงเห็นใจพี่ชาติที่ต้องพูดชื่อยาวๆ ของมัน เลยบอกชื่อเล่นไป

“งั้นกุน ก็เรียกพี่ชาติเหมือนคนอื่นเขาแล้วกันเนาะ เรียกชื่อจริงจะพากันเกร็งไปซะหมด”

“ครับ”

“เป็นไงปอ น้องมันได้เรื่องไหม”

“จะเอาเรื่องไหนดีล่ะพี่ มีหลายเรื่องเลย” พี่ชาติหัวเราะเมื่อเห็นผมมองพนักงานใหม่ด้วยหางตา

“พี่ชาติขำอะไรครับ” ผมถามทั้งๆ ที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

ทำงานกันมาหลายปี ก็พอที่จะรู้จักนิสัยใจคอกันอยู่บ้าง ผมที่ปกติค่อนข้างจะไว้ตัว หากต้องอยู่ต่อหน้าคนที่ไม่สนิท แต่นี่เพียงแค่ 2 วันเท่านั้น พนักงานที่พี่ชาติรับเข้ามาใหม่ก็สามารถทำให้ผู้ช่วยคนสนิทแบบผมแสดงท่าทีแบบนี้ออกมาได้

“ตอนแรกพี่ก็นึกว่าจะเห็นปอแกล้งทำหน้าดุขู่พนักงานใหม่พี่ตลอดเวลาซะอีก”

“ใครแกล้งครับ ผมดุจริงต่างหาก ไม่เชื่อถามไอ้ เอ่อ กุนดูก็ได้” กลายเป็นว่าพี่ชาติหัวเราะเสียงดังกว่าเมื่อกี้ไปอีก

“ดุจริงครับพี่ชาติ แต่ดุน่ะไม่เท่าไหร่ มือไวม๊ากกก ไม่รู้หูผมจะขาด หรือหัวจะบวมก่อนกันเลยเนี่ย”

ดูมัน ได้ทีและเอาใหญ่

“นี่ถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันเลยหรอปอ” พี่ชาติหันมาถาม

“โห่ ถ้าพี่ชาติได้ลองมาอยู่กับไอ้ลิงนี่สักครึ่งวันนะ ผมว่าพี่ชาติได้ไล่เตะมันอ่ะ”

“ถ้างั้นก็ทำงานดีสินะ พี่ถึงยังไม่เห็นปอเข้าไปบ่นอะไรให้พี่ฟัง”

“พี่ชาติก็” มาพูดแบบนี้ต่อหน้าเด็กนั่นได้ไง เสียฟอร์มหมด

“โอเคๆ ไม่ต้องทำหน้าดุพี่” พี่ชาติหัวเราะ “งั้นเดี๋ยวพี่กลับไปที่ห้องแล้ว เย็นนี้เจอกันที่งานนะกุน”

“ครับพี่ชาติ”

หลังจากที่พี่ชาติเดินออกจากห้องไป ผมก็ต้องหันมามองเพื่อนร่วมห้องที่วิ่งไปที่โต๊ะทำงานด้วยความรวดเร็ว

โงกุนก็หยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดยุกยิกอยู่ไม่นาน เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องเดิมก็ดังขึ้น ถึงจะไม่อยากฟังแต่ทำยังไงได้ในเมื่อเข้านั่งห่างกับอีกคนแค่ไม่กี่ก้าวขนาดนี้

“ว่าไง” โงกุนรับสาย “ไม่ได้...ก็บอกว่าไม่ได้ไง...แล้วแต่เลยถ้างั้น เบื่อเหมือนกันที่ชอบพูดไม่รู้เรื่อง” โงกุนเอาโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดวางสายอย่างมีอารมณ์

“ทะเลาะกับแฟนหรอ”

ผมเดาเอาจากประสบการณ์ของตัวเอง นี่คงไม่พ้นว่าเย็นนี้มีนัดอยู่ก่อนแล้วแต่ต้องส่งข้อความไปขอยกเลิก แล้วก็เกิดการทะเลาะกัน พวกผู้หญิงไม่สนหรอกว่าเหตุผลที่ต้องยกเลิกนัดคืออะไร เพราะตอนนี้พวกเธอกำลังโมโห เธอรู้แค่ว่าเธอนัดก่อน แล้วพวกผู้ชายแบบผมก็กำลังผิดสัญญา

“ยังไม่ใช่แฟนพี่ แค่ลองคุยกัน ไม่โอเคก็แยกย้าย”

“หล่อเนาะ” แบะปากให้กับความหล่อมันไปที

“ก็ธรรมดา”

“ขอโทษแล้วกันที่ลืมบอก เลยต้องทะเลาะกันเลย”

“บ้าพี่ ขอโทษทำไม ดีซะอีกได้เห็นนิสัยกันไวขึ้น จะได้ไม่เสียเวลา”

เอาจริงๆ ผมนี่ถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำว่าเสียเวลาออกมาจากปากของอีกคน อยากรู้เลยว่าคุยกันมานานแค่ไหนถึงใช้คำว่าเสียเวลาได้ นานเท่าเรื่องของผมกับผิงหรือเปล่า

“พี่เถอะ ลืมบอกผมแล้วลืมบอกแฟนตัวเองด้วยหรือเปล่า ถ้าลืมก็รีบไปบอกซะนะ เดี๋ยวมีปัญหาครอบครัวแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน”

“ไม่มีแฟน” ผมกลับตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเปิดแฟ้มแล้วก้มหน้าลงอ่านมันเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา

ฟงแฟนอะไร ไร้สาระ





ครืดดด ครืดดด ครืดดด

ทั้งที่อีกคนเปิดระบบสั่นเอาไว้แต่แรงสั่นอย่างต่อเนื่องเพราะมีทั้งข้อความและสายเรียกเข้า ก็มากพอที่จะสงเสียงจนสามารถรู้สึกได้ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนที่ผมจะออกไปหาเก๋ จนผมเคลียงานกับน้องเสร็จแล้วและเดินกลับเข้ามา โทรศัพท์ของอีกคนก็ยังคงวางไว้ที่เดิมไม่ได้ขยับที่ไปไหน

“เล่นตัวรึไง เขาโทรมาง้อแล้วยังไม่รับอีก”

“ไม่ได้เล่นตัว แค่ไม่รู้จะคุยอะไรด้วยแล้ว”

“ง่ายขนาดนั้นเลย” ผมเลิกคิ้วถาม

ไม่เข้าใจกับคำตอบของไอ้กุนเลยสักนิด ถึงจะเป็นแค่คนคุย แต่นั้นก็ต้องคุยกันบ่อยอยู่ไม่ใช่หรอ พอมีธุระถึงได้รีบส่งข้อความไปบอก แล้วทำไมถึงได้บอกว่าไม่รู้จะคุยอะไร แล้วก่อนนี้คุยอะไรกัน

“นี่ผมกำลังช่วยเขาอยู่นะ พี่คิดดูสิ ยิ่งเขาเลิกคุยกับผมได้ไวแค่ไหน เขาก็สามารถไปเริ่มต้นกับคนใหม่ได้เร็วเท่านั้น นี่ไม่ใช่ว่ามีคนคุยแบบผมอีกหลายคนหรอ เขาไม่เสียใจหรอก พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”

“เขาไม่ใช่ประเด็นดิวะ ตัวเราต่างหาก” จริงๆ ผมก็แค่เป็นห่วง แล้วก็รู้สึกผิด ที่เป็นสาเหตุทำให้โงกุนกับแฟน เอ้ย คนคุยต้องทะเลาะกัน “ก็เห็นรีบส่งข้อความไปบอกเขา ก็ต้องแคร์เขาบ้างไม่ใช่หรอ”

“ถ้าผมมีนัดกับพี่ แล้วอยู่ๆ ผมเกิดไปไม่ได้ขึ้นมา ผมก็ต้องรีบบอกพี่เหมือนกันปะ ผมไม่รู้หรอกว่าแคร์เขาไหม แต่ที่รีบบอกเพราะมันก็ควรต้องรีบบอกอ่ะ” ก็จริงอย่างที่โงกุนว่า “นี่อย่าบอกจะว่ากำลังรู้สึกผิดอยู่ ถึงได้ถามเนี่ย”

“เออดิ”

“งั้นคืนนี้พี่ไปส่งผมที่บ้านแล้วกัน ถือเป็นการไถ่โทษ”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยไอ้ซุนหงอคง” ไอ้กุนหัวเราะ คงขำกับชื่อใหม่ของตัวเอง ที่ผมเพ่งเรียกออกไปต่อหน้าเจ้าตัวอยู่ใช่ไหม ก็น่าอยู่หรอก ดันไปว่าเอาไว้ว่าชื่อเขายาวแต่ที่เรียกนี่ก็ยาวไม่ต่างกัน

ก็ซุนหงอคงมันคล่องปากกว่า พรพิพัฒน์ เป็นไหนๆ

“นี่ให้โอกาสพี่ได้ไถ่โทษเลยนะ ไม่เอาหรอ”

“มาเองก็กลับเองเถอะ ไป ไปทำงานได้แล้ว แล้วอย่ามากวนนะ ขอทำงานเงียบๆ เข้าใจ๋”

“ครับคุณณภัทร ดนุนันท์”

เนี่ย ไอ้ซุนหงอคงมันกวนอ่ะ



●●●



“พี่ชาติ ทำไมมีแผนกอื่นมาด้วยอ่ะครับ”

ผมเข้าไปกระซิบถามพี่ชาติที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะตอนนี้ในห้องจัดเลี้ยงขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ได้จุคนในบริษัทถึง 2 แผนกเข้าไว้ด้วยกัน และกำลังอื้ออึงไปด้วยเสียงลูกคอของน้องในแผนกของผมที่กำลังขึ้นไปจับไมค์แหกปากร้องคาราโอเกะโชว์เสียงร้องเพี้ยนๆ อวดแผนกเพื่อนบ้านอยู่

“ก็เขามีพนักงานใหม่เหมือนกัน พอไอ้ภพมันรู้ว่าเราจะมากันวันนี้ ก็เลยเสนอว่าให้จัดรวมกันไปเลย”

ไอ้ภพ หรือคุณสมภพที่พี่ชาติพูดถึง ก็คือผู้จัดการของอีกแผนกที่ว่า ผมไม่ได้มีปัญหาเลยหากจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพนักงานใหม่พร้อมกันกับแผนกอื่นๆ ในบริษัท เพราะตัวผมเองไม่ใช่ดาวเด่นในงานเลี้ยงอยู่แล้ว ผมเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ รับบทแค่มานั่งให้ที่เต็ม พอถึงเวลาก็กลับบ้าน แต่เรื่องที่ทำให้ผมอึดอัดจนอยากจะกลับเอาตอนนี้เลยมันก็คือ แผนกที่จับคู่มาจัดงานร่วมกัน ดันเป็นแผนกของอดีตคนรักของผม

ทุกคนในแผนกรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของผมกับผิง ทั้งตอนที่เป็นแฟนกัน และตอนที่ผิงประกาศเปิดตัวผู้ชายคนใหม่ที่ก็เพิ่งหลุดจากตำแหน่งพนักงานใหม่มาหมาดๆ ตอนนี้ผมเลยได้รับสายตาที่ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นห่วงหรือเรียกว่าอยากรู้เรื่องของผมมากขึ้นดีจากทั้งน้องๆ ในแผนกของตัวเองและแผนกของผิง

ต้องขอบคุณพระเอกของงาน ที่เรียกได้ว่าช่วยดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ ไปได้เยอะ เพราะตอนนี้ไอ้กุนมันกำลังโดนสาวๆ ทั้งห้องผลัดกันลากไปทางซ้ายทีขวาทีไม่มีว่าง ผมเลยได้นั่งสบายๆ มองแก้วของตัวเอง สลับกับมองเข็มของนาฬิกาที่เดินวนไปเรื่อยๆ

“ไม่สนุกหรอพี่” กุนที่เดินมานั่งทิ้งตัวลงข้างๆ ถาม

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร สายตาก็ต้องย้ายจากคนถามไปอยู่กับคนที่เดินเข้ามาใหม่

“สบายดีไหมปอ” ผิงเข้ามานั่งข้างผมเหมือนกันแต่เป็นคนละฝั่งกับกุน “ไม่เจอกันนานเลย”

“ผิงมีธุระอะไรหรือเปล่า” ที่ผมถามไม่ใช่ว่าอยากจะเสียมารยาทอะไร แต่ตั้งแต่ที่บอกเลิกกันไปก็ไม่เคยได้รับการติดต่อจากอีกคนเลย แม้จะเดินสวนกันภายในบริษัทผมก็ไม่เคยได้รับการชายตามองจากอดีตคนรัก

พอผิงเป็นคนเดินเข้ามาทักแบบนี้ เลยออกจะดูประหลาดไปสักหน่อยสำหรับผม

“ทำไมต้องมีธุระด้วย ทำเราเหมือนผิงเป็นคนแปลกหน้าไปได้ น้องกุนใช่ไหม” ผิงหันไปทักอีกคนที่นั่งอยู่ด้วย จนผมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“ครับ” ไอ้กุนตอบรับพร้อมกับส่งยิ้มประจำตัวไปให้

“พี่ชื่อผิงนะ เป็นเพื่อนกับปอ” ไม่ได้อยากจะคิดเล็กคิดน้อยอะไรในเมื่อเลิกกันไปแล้ว แต่ที่สงสัยในตอนนี้คือผิงต้องการอะไรกันแน่ “อันนี้นามบัตรพี่ มีอะไรให้ช่วยก็โทรมาได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

ผมมองตามนามบัตรที่เป็นคนเลือกแบบให้ผิงด้วยตัวเองถูกยื่นไปหาอีกคนที่นั่งอยู่อีกข้าง กุนรับมันไปถือไว้ในมือโดยไม่สนใจที่จะอ่าน เพราะกำลังส่งยิ้มและพูดขอบคุณผิง

เพียงไม่นานผิงก็ขอตัวเดินกลับไปที่โต๊ะ สังเกตได้ว่าตอนนี้มีหลายกลุ่มที่มองมาทางผม เลยได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่น้องพนักงานเพิ่งจะยกมาให้ใหม่ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

ผมมองหาพนักงานชงเหล้าคนเดิมเพื่อที่จะขอให้ชงเหล้าแก้วใหม่ให้ เมื่อเรียกพนักงานได้สายตาก็กลับมาจ้องอยู่ที่แก้วเหล้าของตัวเองเหมือนกับที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มงาน และเพราะแบบนั้นทำให้ผมเห็นว่ามีนามบัตรที่ดูคุ้นตาถูกวางอยู่ข้างๆ แก้วเหล้าของผมนั่นเอง

“ไม่เก็บไปดีดี เปียกหมดแล้ว” ผมหยิบเอานามบัตรของผิงขึ้นมา ก่อนจะเช็ดคราบน้ำที่เปียกนั้นกับขากางเกงของตัวเองแล้วส่งมันคือให้กับไอ้กุน

“ผมไม่มีธุระอะไรให้โทรหาพี่เขาอยู่แล้ว” มันว่า

“ก็เผื่ออนาคต เผื่อมีปัญหาเรื่องงาน หรือเผื่ออยากจะหาคนคุยใหม่”

“ถ้ามีปัญหาเรื่องงานผมโทรหาพี่ไม่ดีกว่าหรอ ส่วนเรื่องคนคุย พี่ก็เห็นอยู่ว่าเขามากับแฟน”

ขนาดมากับแฟนยังมาแจกนามบัตรข้ามหน้าข้ามตากันแบบนี้ได้เลย แถมยังมาแจกกันต่อหน้าแฟนเก่าให้ช้ำใจเล่นแบบนี้อีก นี่ผมคบกับผิงมาตั้ง 8 ปีโดยไม่ได้ระแคะระคายเรื่องนี้เลยได้ยังไงกัน

“แสดงว่าถ้ามาคนเดียวก็จะเก็บ”

“มาคนเดียวก็ไม่เก็บหรอก พอดีผมชอบเป็นฝ่ายล่ามากกว่าเป็นฝ่ายถูกล่า” ผมขมวดคิ้วให้กับคำตอบของโงกุน

ไม่ใช่เพราะคำตอบมันแปลกประหลาดอะไร

แต่เพราะผมรู้สึกโล่งใจ...ยังไงก็ไม่รู้



แก้วเหล้าแก้วเดิมที่น้องพนักงานเติมส่วนผสมลงไปจนเกือบล้น ถูกนำกลับมาวางลงตรงหน้าผมอีกครั้ง จนผมเลิกนับไปแล้วว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ จนตอนนี้น้องพนักงานมาคอยเดินวนอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน แต่ครั้งนี้กลับถูกเบรคเอาไว้จากเสียงของเด็กที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากมือถือ

“พอแล้วมั้ง เมาแล้วรู้ตัวไหมเนี่ย”

ไม่รู้ว่าเพราะดื่มติดต่อกันหลายแก้ว หรือเพราะน้องพนักงานที่คอยชงเหล้าให้มือหนักกันแน่

ตอนนี้ผมถึงรู้สึกได้เลยว่าตัวเองตาปรือจนเกือบจะปิด

ถึงจะสามารถรักษามาดนั่งตัวตรง และพูดคุยได้อย่างเป็นปกติ แต่ถ้ามองกันดีดีก็จะรู้ได้ทันทีว่า ตอนนี้ผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

“ยังไม่เมาสักหน่อย ก็แค่มึนนิดๆ ”

ผมเอื้อมมือเตรียมจะหยิบแก้วขึ้นมาดื่มอีกรอบ แต่นั่นก็ทำให้โงกุนเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วเอื้อมมือมาคว้าเอาแก้วเหล้าของผมไปถือไว้ในมือได้ก่อน

“ไอ้กุน เอาแก้วคืนมา”

“เรามาตกลงกันก่อน”

“ตกลงอะไร ไม่ตกลง”

“ไม่ตกลงก็ไม่ต้องดื่มแล้ว” มันยื่นคำขาด

ผมจ้องหน้ามันนิ่ง กำลังคิดอยู่ว่าจะเอาแก้วเหล้าคืนมายังไง ไอ้กุนก็วางโทรศัพท์ขอตัวเองไว้ข้างตัวแล้วยื่นมือนั้นออกไปแบอยู่ตรงหน้าผม “แก้วเหล้า แลกกับกุญแจรถ”

“ทำไมต้องแลก ขอแก้วใหม่ก็ได้ น้องครับพี่ขอแบบนี้เพิ่มอีกแก้วนึง” ผมหันไปบอกกับน้องพนักงานที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ก่อนที่แขนจะถูกรั้งจากคนที่ยืนกรานจะทำข้อตกลงอะไรไม่รู้ จนต้องหันหน้ากลับมาหา

“ถ้าเมากว่านี้แล้วพี่จะขับรถกลับยังไง เอากุญแจรถมา เดี๋ยวผมขับไปส่ง แล้วพี่จะกินให้เมาแค่ไหนก็แล้วแต่พี่”

ก็นับว่าเป็นข้อเสนอที่ดี มีคนขับรถกลับบ้านให้ แถมจะเมาแค่ไหนก็ได้

แต่ทำไมผมต้องทำแบบนั้น

“กลับเองได้เถอะ”

“พี่ปอ” มันเรียกไม่พอยังทำหน้าไอ้มอมใส่ผมอีก มึงอ้อนสู้ไอ้มอมไม่ได้หรอกุน รู้เอาไว้เลย “ผมเป็นห่วง”

ออกจะพิลึกไปหน่อยถ้าดูจากท่าทางและน้ำเสียง

แต่ถ้าดูจากเหตุผลทั้งหมดรวมๆ กันแล้ว กุญแจรถผมเลยได้ไปวางบนมือไอ้ซุนหงอคงในเวลาต่อมา



●●●



“พี่ปอ เก๋ว่าพี่ปอควรไปพัก” ไอ้เก๋หัวเราะกับท่าทางที่บอกว่านานๆ จะได้เห็นสักทีจากผม

ทั้งที่ตอนนี้ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งคืน ทั้งที่งานเลี้ยงยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกง่ายๆ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด หลายคนวางแผนกันแล้วว่าหลังจบจากที่นี่ก็จะไปต่อที่อื่นกัน ผมเองก็อยากจะไปต่อเหมือนกับคนอื่นๆ บ้าง แต่ไอ้เก๋มันดันบอกให้ผมกลับบ้านไปนอนเนี่ยสิ

“กลับไม่ได้ เก๋ไปส่งพี่หน่อย”

“ทำไมกลับไม่ได้คะ”

“ก็ไอ้กุนมันเอากุญแจรถพี่ไป” เก๋หัวเราะออกมาเสียงดัง ตอนที่ผมเอานิ้วไปจิ้มที่อกของไอ้กุนชนิดที่แรงเสียจนมันเสียหลักเอนไปข้างหลัง

“งั้นเดี๋ยวผมกลับเลยดีกว่าพี่เก๋ จะได้ไปส่งพี่ปอด้วย”

“ไม่ไปต่อแล้วหรอ” ผมถาม

“ไม่ไปแล้วค่าาา จะกลับบ้านแล้ว ไหวใช่ไหมกุน ปกติพี่ปอไม่ปล่อยให้ตัวเองเมาแบบนี้นะเนี่ย”

“แทบไม่ได้ดื่มเลยพี่ แค่นั่งดูพี่ปอก็เมาแล้ว” ไอ้เก๋มันหัวเราะอะไรอีกแล้ววะ ไม่เห็นจะขำเลย

“งั้นพี่ฝากพี่ปอด้วยนะ เดี๋ยวบอกพี่ชาติให้ว่ากุนจะกลับไปส่งพี่ปอก่อน”

“ครับ”



เมื่อตกลงกันได้โงกุนมันก็จัดการลากผมมาที่รถ ที่ใช้คำว่าลาก เพราะมันลากผมจริงๆ

ก็อยากไปต่อแบบคนอื่นๆ นี่ ทำไมไม่เข้าใจกันบ้าง

ขัดขืนกันพอเหนื่อยผมก็ยอมเข้ามานั่งในรถฝั่งผู้โดยสารแต่โดยดี ไอ้กุนมุดเข้ามาในรถอีกรอบเพื่อดึงเอาเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ เหลือบไปเห็นติ่งหูมันเข้าก็นึกถึงความกวนของมันที่ทดเอาไว้ในใจทั้งหมด อาศัยจังหวะที่มันก้มๆ เงยๆ อยู่นั้น ผมก็เอื้อมมือไปดีดเข้าที่หูมันอย่างจัง ด้วยความเจ็บบวกกับตกใจไอ้กุนเลยยืดตัวขึ้นเพื่อหลบตามสัญชาตญาณ แต่เหมือนมันจะลืมไปว่ากำลังก้มอยู่ในรถ หัวเลยไปชนเข้ากับหลังคารถอีกรอบ

“เป็นอะไรกับติ่งหูผมเนี่ย” มันหันมาถามผม ที่ตอนนี้กำลังนั่งขำเสียงดังลั่น สงสารก็สงสารที่ต้องมาเจ็บตัวสองต่อ แต่ขอขำก่อนแล้วกันนะเวลานี้ กลั้นไม่ไหวจริงๆ

“ไหนเอามาดู”

เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองควรไปพักแบบที่เก๋บอกจริงๆ ก็ตอนที่ มือของผมไปแตะอยู่ที่มุมปากของไอ้กุนจากที่ตั้งใจว่าจะไปจับตรงติ่งหู เพราะผมดันกะระยะผิด เห็นไอ้กุนมันสะดุ้งแล้วก็อดอมยิ้มเพราะนึงถึงไอ้มอมขึ้นมาอีกไม่ได้

หน้าไอ้มอมตอนได้ยินเสียงไก่โอ๊กครั้งแรก เหมือนกับไอ้กุนตอนนี้ไม่มีผิด..หน้าหมาสงสัย..

ผมค่อยๆ เลื่อนปลายนิ้วผ่านแก้มไปยังติ่งหู ปัดมือของอีกคนออก แล้วนวดวนบรรเทาความเจ็บให้ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปเป่าลมเบาๆ เหมือนที่พ่อแม่ชอบทำให้ตอนเด็กๆ

“เชี่ยยย” ได้ยินเสียงมันอุทานเป็นคำด่าออกมาเบาๆ พร้อมกับผละตัวออกนอกรถไป สงสัยคงคิดว่าผมจะไม่ได้ยิน แต่ช่างมันเถอะ ผมไม่ถือเพราะผมเองก็ผิดจริงๆ ที่ทำมันเจ็บ

ยอมให้วันนึงแล้วกันไอ้ลิงหน้าหมา

“ไปกลับบ้าน พี่ง่วงแล้ว”







#เพราะรักรออยู่

พูดถึงไก่โอ๊กทีไร นึกถึงน้องหนิมทุ๊กกกกก ที 5555

ฝากช่อง gluta story แทนพี่ยอร์ชได้ไหม
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 4 - 03-16-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 16-03-2020 21:22:21

 




ตอนที่ 4

 

 

 

ออกจากร้านตั้งแต่ยังไม่เที่ยงคืนแต่กว่าจะมาถึงคอนโดผมก็ปาไปเกือบตี 2 เพราะน้องในแผนกคนนึงดันเกิดอุบัติเหตุตอนขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ผมเลยต้องให้ไอ้กุนพาวนกลับไปดูน้องมันก่อนทั้งที่อีกนิดก็จะถึงคอนโด

ตอนแรกกุนมันจะไปส่งผมก่อนแล้วค่อยกลับไปดูน้องอีกคนให้ โดยให้เหตุผลว่า สภาพของผมไม่น่าจะดูแลใครไหว แต่ใครจะไปยอม กว่าจะไปส่งผมกว่าจะวนกลับไปอีก ถ้าน้องเจ็บหนักก็คงตายก่อนพอดี เถียงกันอยู่เป็นพักไอ้กุนเลยยอมกระเตงเอาผมไปด้วย

ไปถึงก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหมือนกับที่อีกคนบอกไว้ไม่มีผิด ได้แต่นั่งอยู่บนรถแล้วส่งกำลังใจให้น้องมันอยู่ห่างๆ

เคลียร์เรื่องอุบัติเหตุ วนรถกลับมาที่คอนโดเสร็จ เลยชวนกุนค้างด้วยกันเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว โดยไม่ได้ถามว่ามันพักอยู่แถวไหน

ช่างเถอะ

ตอนนี้ผมมึนจนไม่อยากจะคิดอะไรแล้ว แถมตอนนี้ไอ้ลิงนั่นก็เข้าไปอาบน้ำแล้วด้วย รีบเช็ดผมให้แห้งแล้วรีบนอนดีกว่า

 

เพิ่งจะรู้ตัวว่าไล่ให้กุนไปอาบน้ำโดยที่ไม่ได้เตรียมชุดที่จะให้ใส่นอนคืนนี้เข้าไปด้วยก็ตอนที่มันเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันมาแต่ช่วงล่าง

ผมหันไปพิจารณาลอนตรงหน้าท้องอีกคนอย่างเปิดเผย มันไม่ได้เยอะเท่าของพี่ยอด แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามี ผมเลยตั้งปณิธานกับตัวเองอยู่ในใจ เห็นทีพรุ่งนี้ต้องไปปรึกษาพี่ยอดเรื่องสร้างก้อนกล้ามเนื้อตรงหน้าท้องสักหน่อยแล้ว

“ขี้อวด แค่มีซิกแพ็คแล้วคิดว่าเท่รึไง โชว์อยู่ได้”

“ก็ผ้ามันผืนแค่นี้ พี่จะให้ผมปิดข้างบนรึปิดข้างล่างล่ะ” ไอ้กุนถาม “แล้วนี่จะมองอะไรขนาดนั้น ถึงจะผู้ชายด้วยกันแต่ผมก็เขินเป็นนะ” ไอ้ลิงยกเอาสองมือขึ้นปิดหน้าอกตัวเองด้วยท่าทางเขินอาย

ท่าทางน่ะใช่

แต่หน้ามันไม่ได้บอกว่ามันเขินเลยสักนิด

หน้าไอ้ลิงนั่นมันกำลังขิงผมอยู่ชัดๆ

เดี๋ยวไล่ไปนอนโซฟาแม่งเลยนิ

หาเสื้อผ้ายัดใส่มือไอ้กุนได้ ก็เลิกสนใจแขกในค่ำคืนนี้ทันที เพราะร่างกายของผมตอนนี้ไม่ไหวที่จะเถียงกับใคร พรุ่งนี้บ่ายๆ ค่อยว่ากันนะไอ้ซุนหงอคง

 

●●●

 

หากวันนี้เป็นเช้าวันจันทร์แล้วมีคนโทรมาปลุกให้ลุกไปทำงานก็คงจะดีไม่น้อย

แต่เท่าที่จำได้...วันนี้เป็นวันเสาร์ แล้วใครกันที่โทรมาปลุกผมตั้งแต่เช้าขนาดนี้

โอ้ยยย ไม่รับได้ไหม

ปล่อยให้ดังไปแบบนี้ได้หรือเปล่า

 

“พี่ปอ โทรศัพท์พี่อ่ะ”

หืม?

ผมสะบัดผ้าที่คลุมตัวเองเอาไว้ตั้งแต่ปลายเท้าจนมิดหัวออก ลืมไปว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนคนเดียว พอรู้สึกตัวก็เริ่มหันซ้ายหันขวามองหาโทรศัพท์ของตัวเองที่ไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน

“ชาร์จแบตอยู่ตรงนั้น” ไอ้กุนชี้ไปตรงโต๊ะที่อยู่ปลายเตียงทั้งที่ตัวเองยังไม่ยอมลืมตา

หรอ? ..

เมื่อคืนผมเอาโทรศัพท์ไปชาร์จไว้ตรงนั้นหรอ ปกติต้องชาร์จข้างเตียงสิ หรือว่าจะเป็นไอ้กุน

ผมย้ายตัวเองลงจากเตียง แต่ตาก็ยังคงสำรวจไอ้ลิงนั่นไปด้วย กุนมันนอนคว่ำแล้วหันหน้าไปทางฝั่งที่ผมนอน เส้นผมสีดำสนิทไม่ได้เซ็ตเหมือนทุกวันที่เจอกัน ตกลงมาปรกที่หน้าเห็นแล้วรำคาญแทน แต่ขนาดตอนหลับมันก็ยังดูหล่ออยู่เลย ถึงว่าเมื่อคืนถึงได้โดนสาวๆ เกือบทั้งงานรุม แถมแฟนเก่าผมยังเป็นหนึ่งในนั้นอีก

“ไม่เจอหรอครับ”

“จะ เจอ” ผมรีบตอบออกไปอย่างตะกุก เร่งตัวเองให้ก้าวไปคว้าโทรศัพท์ให้เร็วที่สุด เพราะกลัวไอ้กุนมันจะลืมตาขึ้นมาแล้วเจอว่าผมมองมันอยู่ “โอ้ย!”

หยิบโทรศัพท์ได้

กดรับสายแล้วด้วย

แต่ดันเสียหลักแล้วนิ้วโป้งเท้าไปชนเข้ากับขาโต๊ะ น้ำตาซึมเลยทีนี้

ปล่อยให้คนในสายรอสายไปก่อน เพราะตอนนี้ผมทรุดตัวลงนั่งยองกุมนิ้วเท้าแล้วหลับตาเอาไว้แน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด ก่อนที่จะรู้สึกถึงสัมผัสเย็นเฉียบที่ค่อยๆ ดึงเอามือของผมออก เลยค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ไอ้กุนกับทรงผมกระเซอะกระเซิงที่ไม่รู้ว่าลงจากเตียงมานั่งตรงหน้าตั้งแต่ตอนไหน กำลังก้มดูนิ้วเท้าข้างที่เจ็บให้

“ต้องไปหาหมอไหม”

“ไม่ต้อง เบาแล้ว”

“อืม งั้นผมไปนอนต่อนะ” เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้แล้วมันก็ลุกขึ้นเดินกลับไปทิ้งตัวลงที่เตียงด้วยท่าเดิม

หรือว่าเมื่อกี้มันจะละเมอวะ

“เพื่อนพี่ยังรอสายอยู่นะ”

อ่อ..ไม่ได้ละเมอแฮะ

ผมหันกลับมามองโทรศัพท์ในมือก็เห็นตัวเลขเวลายังคงเดินไปเรื่อยๆ ไอ้ธีร์ยังรอสายอยู่จริงตามที่ไอ้กุนบอก เลยเลิกสนใจปล่อยให้ไอ้ลิงนั่นนอนต่อ แล้วกลับมาตั้งใจคุยกับไอ้ธีร์แทน

“โทรมาทำไมแต่เช้า” ผมถามพร้อมกับเดินกระเพลกออกมานอกห้องนอน เท้าคนเรานี่ศุนย์ร่วมเส้นประสาทจริงๆ โดนนิดเดียวเจ็บจี๊ดไปยันสมอง

“เมื่อกี้กูได้ยินเสียงคนอื่น”

“เออ มึงมีอะไร” ผมที่พยายามดึงไอ้ธีร์กลับมา แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะมันยังคงสนใจแต่เสียงของอีกคนที่ได้ยินเมื่อครู่

“ใครวะ?”

“น้องที่ทำงาน”

“เด็กใหม่มึงหรอ”

“ส้นตีนเถอะ นั่นผู้ชาย” ได้ยินเสียงไอ้ธีร์หัวเราะ คงสบายใจมันแล้วที่ได้กวนผม “สรุปมึงมีอะไรเนี่ย ไม่มีกูจะไปนอนต่อ”

“แล้วทำไมน้องที่ทำงานถึงมานอนห้องมึงได้อ่ะ”

“ยังนะ มึงยังไม่เลิกเสือกอีกนะ”

“เอ้า หวงอีก นี่เพื่อนไง เป็นห่วงกลัวโดนเค้าหลอกอีก ยิ่งพร้อมเปย์อยู่”

“ไอ้เหี้ยธีร์”

“เออๆ กูก็แซวเล่น ไงเพื่อน” ไอ้นี่ต้องให้โดนด่า “แล้วตกลงเด็กมึงชื่ออะไรวะ”

ตื๊ด..

ผมกดวางสายใส่ไอ้ธีร์ทันที แม่งเล่นไม่เลิก

ไม่ได้โกรธมันหรอกนะ แค่หมั่นไส้

นั่นไง ยังไม่ทันไรมันโทรกลับมาแล้ว

“นี่มึงกล้าวางสายใส่กูหรอ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวมึงเจอกู”

“รำคาญ เข้าเรื่องได้ยังเนี่ย กูง่วง”

“ไอ้กรวยชวนไปงานวันเกิดมันเย็นนี้ มึงจะไปไหม”

ไอ้กรวยของไอ้ธีร์ จริงๆ แล้วมันชื่อว่ากล้วย เพราะเพื่อนรักมันมาก ก็เลยตั้งฉายาให้มันว่า ไอ้กรวย ที่ย่อมาจาก ไอ้กรวยหัว.. เอิ่ม ช่างไอ้กรวยมัน เรียกกันว่ากรวยๆๆ จนคนอื่นก็คิดว่ามันชื่อเล่นว่ากรวยกันหมด

ไอ้นี่มันก็จัดงานวันเกิดทุกปี เชิญเพื่อนทุกคน จะเรียกเล่นๆ ว่างานรวมรุ่นเลยก็ว่าได้ เพราะเพื่อนๆ ต่างก็ตื่นเต้นรอให้ถึงวันเกิดไอ้กรวยกัน แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ผม

“ไม่ไป”

“ปอ แต่กูอยากไปไง”

“มึงก็ไปดิ”

“ก็กูไม่มีเพื่อนอ่ะ ไปด้วยกันดิวะ”

“ทุกปีกูก็เห็นมึงไปได้ ปีนี้กระแดะอยากมีเพื่อน ทั้งงานนั่นก็เพื่อนมึงทุกคนไม่ใช่หรอ”

“เนี่ยมึงอ่ะ ตั้งแต่เรียนจบมาไอ้กรวยมันจัดงานวันเกิดทุกปี มันก็ชวนมึงทุกปี แต่มึงไม่เคยไปงานมันสักปี เพราะอะไร เพราะมึงมัวแต่ติดแฟน แล้วตอนนี้ยังไง มึงเลิกกับแฟนแล้ว แฟนก็ไม่มี แต่มึงก็ยังจะไม่ไปงานมัน มึงว่ามันจะเสียใจไหม”

ไอ้สัส

“พูดซะกูไม่รู้จะรู้สึกผิด หรือรู้สึกเศร้าก่อนเลย”

“สรุปไป”

“ก็มึงพูดมาขนาดนี้แล้วไหมล่ะ”

“น่ารักอ่ะเพื่อน งั้นเย็นนี้เจอกันเดี๋ยวกูไปรับ มึงชวนเด็กมึงมาด้วยก็ได้นะ กูอยากเจอ บาย”

“ไอ้..”

ไอ้ธีร์หัวเราะก่อนจะชิงวางสายไป

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผมเจอกับไอ้ธีร์อยู่บ่อยๆ หนึ่งเลยคือเพราะผมเพิ่งอกหักอยู่ห้องคนเดียวแล้วมันพาลจะฟุ้งซ่าน วันหยุดบางทีก็ไปกินข้าวกลางวันกับมัน แล้วบางทีก็ยาวไปจนนั่งจิบเบียร์ตอนกลางคืน และสองเพื่อนสนิทแต่ละคน ไม่มีลูก ก็แต่งงาน หรือมีแฟนกันไปหมด เหลือก็แต่ผมกับไอ้ธีร์นี่แหละที่ยังโสดตอนอายุเกือบจะ 30

สำหรับผมเพิ่งเลิกกับผิงยังพอเข้าใจได้ แต่ไอ้ธีร์มันไม่คิดว่าจะมีเป็นตัวเป็นตนตั้งแต่แรก มันบอกว่า ผู้ชายยิ่งแก่ก็ยิ่งแซ่บ เอาไว้สัก 40 แล้วค่อยหาเมียก็ยังทัน เผลอๆ จะได้เมียเด็กมาคอยดูแลตอนแก่อีก มันก็เลยไม่รีบ แต่ถึงจะบอกแบบนั้น แต่ออกเที่ยวด้วยกันทุกรอบ มันก็ได้กลับไปทุกรอบ เพิ่งรู้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายตลกก็ตอนที่ไอ้ธีร์มันปล่อยมุกที่ผมคิดว่าอิหยังวะใส่ แต่สาวๆ พวกนั้นกลับหัวเราะเสียจนนึกว่าไอ้ธีร์มันจ้างมาขำ

แต่ตอนนี้ผมควรไปหาอะไรกิน จะกลับไปนอนต่อเพราะยังมึนๆ แต่ก็คงจะนอนไม่หลับ เมื่อกระเพาะเริ่มส่งเสียงประท้วง จะเที่ยงแล้วยังไม่มีอะไรลงไปให้ย่อย

เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วเลือกเอาอาหารแช่แข็งที่ซื้อมาตุนไว้โยนเข้าไมโครเวฟ เวฟมันแค่อันเดียวนี่แหละ ไม่เผื่อใครทั้งนั้น ยังไม่อยากโดนกวนประสาทตอนนี้

ผมรีบยัดเอาข้าวผัดปูเข้าปากจนหมด แล้วค่อยๆ ย่องไปแง้มประตูห้องดู พอเห็นไอ้กุนยังคงนอนอยู่ท่าเดิม เลยเดินผ่านเตียงไปที่ห้องน้ำ แปรงฟันก่อนนอนให้สะอาดเพราะไม่อยากไปหาหมอฟันก่อนเวลาอันควร แค่นึกถึงเสียงตอนขูดหินปูนก็ขนลุกซู่แล้ว

แปรงฟันเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำเลย ไม่ล้างหน้าด้วยนะ เดียวตาสว่างแล้วจะนอนไม่หลับ เห็นไอ้กุนมันก็ยังนอนอยู่ท่าเดิมก็มีคำถามนึงผุดขึ้นมาในหัว

นี่ยังไม่ตายใช่ไหม?

ผมค่อยๆ สอดตัวไปใต้ผ้าห่มโดยที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่อีกคนเพื่อสังเกตว่ามันยังหายใจอยู่หรือเปล่า และเหมือนกับอีกคนจะรู้ตัว ไอ้กุนปรือตาขึ้นมองแล้วทำจมูกฟุดฟิด

“หอมข้าวผัด” อุ่ย “พี่ทำผมหิวข้าว”

“ไปหากินเอาในตู้เย็น ถ้าจะกลับเลยก็ล็อคประตูให้ด้วย” จากที่ค่อยๆ ขยับตัวเพราะกลัวอีกคนตื่น แต่ตอนนี้มันตื่นมาคุยได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรแล้ว นอนลงได้ก็ดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาปิดจนมิดปาก

“นี่ไล่ให้กลับแล้วหรอ”

“ป่าว ก็บอกว่าถ้า ถ้า จะ กลับ”

“ก็ฟังดูเหมือนไล่อยู่ดี”

“กุน อย่าเพิ่งกวน” ผมเอี้ยวตัวหันไปมองหน้ามัน ก็เห็นไอ้กุนนอนจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว “พี่ไม่ได้ไล่จริงๆ ตอนนี้ง่วง ยังไม่มีอารมณ์ออกไปส่งด้วย”

ไอ้กุนยิ้มกว้าง แค่ให้นอนต่อแค่นี้มันดีใจอะไรนักหนา

“พี่รู้ไหม เวลาพี่แทนตัวเองว่าพี่ ฟังดูเหมือนเราสนิทกันเลย” ผมขมวดคิ้ว นี่มันยังไม่ตื่นใช่ไหมถึงได้พูดอะไรงงๆ แบบนี้ “ผมชอบ”

ไอ้เชี่ยยย

ไอ้ซุนหงอคง มึงบอกชอบอย่างเดียวพอ ไม่ต้องยิ้มหวานขนาดนี้ก็ได้ แม่ง กูทนดูไม่ได้

ว่าแล้วผมก็ดึงเอาผ้าห่มมาคลุมหัวไว้จนมิด ไม่ใช่หัวผมนะ หัวไอ้กุนนั่นแหละ “นอนไป อย่าพูดมาก”

การเคลื่อนไหวใต้ผ้าห่มทำให้รู้ได้ว่าตอนนี้ไอ้กุนเปลี่ยนจากนอนคว่ำเป็นตะแคงมาทางผมแล้ว มันค่อยๆ ดึงผ้าห่มลงจนโผล่มาแต่ตา แต่แค่นั้นก็รู้อยู่ดีว่ามันกำลังยิ้มอยู่ ผมเลยต้องเป็นฝ่ายหันหน้าหนีเสียเอง

ท่าจะบ้า เหมื่อยแก้มบ้างไหมน่ะ

กูเนี่ย เหมื่อยบ้างไหมที่ต้องมานอนกลั้นยิ้ม จะอยากไปยิ้มตามมันทำไมก็ไม่รู้

นอน!!!

 

 

●●●

 

 

ตื่นมาอีกทีผมก็ไม่เจอไอ้กุนนอนอยู่ข้างๆ แล้ว

ไม่รู้ว่าแอบออกไปตอนไหน บ้านอยู่ไกลหรือเปล่า หรือจะกลับยังไงก็ไม่รู้ เห็นแต่กระดาษโน๊ตที่เอาโทรศัพท์ทับไว้ กับข้อความที่ว่า

 

‘หอมเกิน เดี๋ยวอดใจไม่ไหว

ขโมยชุดมาด้วย เดี๋ยวเอาไปคืนที่ออฟฟิศนะครับ’

 

กลิ่นข้าวนี่มันติดทนขนาดนั้นเลยหรอ ผมยกเอาแขนขึ้นมาดมเพื่อพิสูจน์

ก็ไม่เห็นจะมีกลิ่นอะไรเลย ปัดโธ่

ผมวางโน๊ตเอาไว้ที่เดิม แล้วหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูแจ้งเตือนต่างๆ ที่ยังค้างอยู่

กรุ๊ปไลน์บริษัทวันนี้คึกคักกว่าทุกวันหยุดที่ผ่านๆ มา ดูจากตัวเลขในวงกลมสีแดงๆ นั่น ก็ทำให้พอเดาได้โดยไม่ต้องเข้าไปอ่าน ว่าไม่ใช่เรื่องงานแน่นอน

แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน แล้วทำไมมีคนเมนชั่นถึงผมด้วย

เก๋ไก๋ : @Naphat @Goku ตื่นกันรึยังคะ

น้อง : เมื่อคืนพี่ปอเมาจัด

เก๋ไก๋ : พี่ปอไม่เมานะน้อง

เก๋ไก๋ : พี่ปอแค่ไม่เหมือนเดิม

BB : เย็นนี้ผมไปเยี่ยมไอ้ก้อง

BB : มีใครไปกับผมไหม

Goku : @เก๋ไก๋ ผมตื่นแล้ว

Goku : แต่พี่ปอยังครับ

เก๋ไก๋ : กรี๊ดดด

น้อง : พี่เก๋ๆๆๆ

เก๋ไก๋ : น้องงง

เก๋ไก๋ : น้องเชื่อพี่ไหม

เก๋ไก๋ : น้องเชื่อพี่รึยัง

เก๋ไก๋ : บัญชีเดิมนะคะทุกคน

เก๋ไก๋ : ใครแพ้โอนมา

เก๋ไก๋ : พี่บอกแล้วเห็นม้ายยย

เก๋ไก๋ : น้องกุนทำดีมากค่ะลูก

เก๋ไก๋ : เดี๋ยวพี่เก๋เลี้ยงกาแฟนะจ๊ะ

 

ก็เหมือนจะไม่มีอะไร เพราะไอ้กุนมันก็ตอบไปตามความจริง แต่ไอ้พวกน้องๆ ในแผนกผมนี่มันกรีดร้องอะไรกัน

พนันกันว่าใครจะตื่นก่อนงี้หรอ?

อะไรของพวกมันวะ

ออกจากกรุ๊ปไลน์บริษัทก็มาเข้าดูกรุ๊ปไลน์เพื่อนสมัยมหาลัยที่ก็คึกคักไม่แพ้กัน เพราะวันนี้มีอีเว้นท์ระดับชาติ ทุกคนดูจะฮือฮาที่ผมตอบรับไปงานวันเกิดไอ้กรวย เพราะตั้งแต่ไอ้ธีร์ประกาศลงกลุ่มว่าผมจะไปด้วย ไอ้กรวยถึงกับบอกว่าจะปูพรมแดงรอต้อนรับ แถมจะจัดสาวๆ มาช่วยปลอบใจให้ผมด้วย คราวนี้ไอ้พวกหื่นกระหายในกลุ่มก็เลยกระดี้กระด้ากันยกใหญ่ โดยเฉพาะไอ้ธีร์นี่แหละตัวดี บอกสเปกสาวของผมให้ไอ้กรวยเสร็จสรรพ มันบอกผมชอบ ขาวๆ หมวยๆ ผมยาวๆ นมใหญ่ๆ ไอ้ส้นตีน นี่มันสเปกมึงแล้วไอ้กะหล่ำ!!

ยังเลื่อนอ่านแชทไม่ทันจบเสียงกริ่งห้องผมก็ดังขึ้น

เดินออกไปเปิดประตูก็เจอไอ้เพื่อนตัวดียืนเก็กหล่ออยู่หน้าประตู

“มึงรีบมาทำไมเนี่ย กูยังไม่ได้อาบน้ำเลย” เปิดประตูได้ก็ใส่มันก่อนเลย ยุคนี้ใครไวกว่าได้เปรียบ ขืนนิ่งๆ เงียบๆ จะเป็นผมนี่แหละที่โดนเล่นงานเอา

“ไหน!! ไอ้นั่นมันอยู่ไหน!” ไอ้เพื่อนตัวดีมันโวยวาย เล่นใหญ่อะไรของมันอีกเนี่ย “บอกกูมาว่าชู้ของมึงอยู่ไหน มีกูคนเดียวยังไม่พออีกหรอ”

ไอ้ธีร์ผลักผมเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูให้เสร็จสรรพ มันชะเง้อคอมองเหมือนรอให้ใครออกมา

“ปัญญาอ่อน” ผมว่าแล้วเดินหนีมันเข้าห้อง โดยมีไอ้ธีร์เดินตามมาติดๆ

“อ้าว มึงอยู่คนเดียวหรอ”

“เออดิ”

“กูก็นึกว่าอยู่กับเด็ก แสดงฟรีเลยกู”

“กลับไปเลยไป กูไม่ไปและ”

“โอ๋ๆ หยอกๆ ไงเพื่อน กูรักมึงจะตาย” ไอ้ธีร์เดินเข้ามาเอานิ้วจิ้มที่แขนผมจึ๊กๆ ด้วยท่าทางเขินอาย

“แสดง”

“ดูออกอีก มึงนี่ฉลาดนะเนี่ย”

“โว๊ะ ออกไปรอข้างนอกเลยไป กูจะอาบน้ำ”

 

 

 

#เพราะรักรออยู่

เหงานะ แต่มันมีความสุขมากเลยคุณตอนที่เราเขียน
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 4 - 03-16-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 17-03-2020 20:13:30
สนุกอ่ะ

น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 5 - 03-17-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 17-03-2020 20:47:14

 



ตอนที่ 5

 

รถของธีร์แล่นมาจอดอยู่หน้าบ้านอดีตนายตำรวจใหญ่ที่มีลูกชายนิสัยเหมือนโจรภายในเวลาไม่กี่นาที ปอก้าวลงจากรถพร้อมกันกับไอ้ธีร์ที่ส่งกุญแจให้กับเด็กในบ้านไอ้กรวยเพื่อเอาไปจอด

ที่ผ่านมาเป็นแบบไหนไม่รู้เพราะหลังจากเรียนจบก็ไม่เคยมาอีกเลย แต่งานวันเกิดไอ้กรวยปีนี้ยิ่งใหญ่อลังการกว่าเมื่อ 6 ปีก่อนมาก มีตั้งแต่บรรดาไฟประดับที่ติดไว้ตั้งแต่สวนหน้าบ้านยาวไปยันข้างใน ลูกโป่งอัดก๊าซสีชมพูพาสเทลที่ไม่เข้ากับหน้าเจ้าของวันเกิดสักนิด แต่พอคิดถึงน้องกุ๋งกิ๋งลูกสาวมันก็พอจะเข้าใจเรื่องลูกโป่งได้ แม้แต่พรมแดงที่มันบอกเอาไว้ว่าจะเอามารอรับ ก็มีมาปูอยู่หน้าบ้านมันจริงๆ ตามที่บอก

ชื่นชมกับพรมแดงได้ไม่นานไอ้ธีร์ที่ไม่รู้ว่าไปเอาสูทมาสวมตั้งแต่ตอนไหน ก็เดินหล่อมายืนอยู่ข้างๆ ผมมองคนที่ยังเล่นใหญ่ไม่เลิก เพราะทันทีที่ไอ้ธีร์รู้สึกตัวว่าโดนผมมองอยู่ มันก็เริ่มขยับสูท เสยผม เดี๋ยวหันไปทางซ้าย เดี๋ยวหันไปทางขวา เก๊กหล่อจนเสียจนผมนึกหมั่นไส้

เพื่อนกูแต่ละคน...เล่นใหญ่กันมากจริงๆ

“ถึงกับต้องใส่สูท”

“อ้าว นี่มึงไม่รู้ธีมของปีนี้หรอก”

“ก็มึงไม่ได้บอก”

“เอ้า! แต่ไม่เป็นไรหรอก เอากระดุมออกก็น่าจะพอ เบ้าหน้าดีอยู่แล้ว” ว่าแล้วธีร์ก็เอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของผมออกเพิ่มอีกสองเม็ด “มึงแม่งขาวชิบหาย”

ถึงกับต้องมองบนใส่เมื่อได้ยินมันพึมพำกับตัวเอง “ธีมเหี้ยอะไร ทำไม่ต้องปลดกระดุม” ปลดอีกเม็ดนี่ก็จะเห็นสะดือแล้วนะ

“เออน่า เข้าไปข้างในเหอะ ป่านนี้พวกนั้นเมากันหมดแล้ว เมาทีหลังแพ้นะมึง”

ไอ้ธีร์เดินนำเข้ามาในงานที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด แต่บางคนก็จำหน้าค่ากันกันได้ ส่วนบางคนก็ต้องใช้เวลานึกกันอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าเป็นใคร เพราะห่างหายกันไปนาน บางคนที่สนิทกันมากหน่อยก็เข้ามาทักผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ บางคนที่เคยเห็นหน้ากันบางแต่ไม่ได้สนิทกันนักก็ได้แต่มองผมอยู่ห่างๆ

แต่ว่านั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับนายธีรยุทธ์ที่มางานวันเกิดของไอ้กรวยทุกปี

เพราะไอ้ธีร์ทักทุกคนที่เดินผ่านตั้งแต่เข้ามาในงาน จนตอนนี้มันพาผมเข้ามาที่โถงของบ้านที่จัดเป็นมุมเล็กๆ อยู่หลายมุม

ผมมองไอ้ธีร์ที่ยกแก้วเหล้าที่ฉวยหยิบเอาตอนเดินผ่านโต๊ะเครื่องดื่มเมื่อครู่คนละแก้ว ขึ้นดื่มรวดเดียวจนเกือบหมดเพื่อดับกระหายแล้วก็นึกขำ ก็น่าจะคอแห้งอยู่หรอก เล่นทักมันทุกคนขนาดนั้น

“ปอจ๋า” ไอ้เจ้าของวันเกิดครอบที่ 29 วิ่งเข้ามากอดผมเอาไว้แน่นเหมือนกับเด็กๆ “กว่าจะมาได้นะมึง ต้องรอเลิกกับเมียก่อน รู้งี้กูยุให้ผิงเลิกกับมึงตั้งนานแล้ว”

“สัสกรวย ออกไป! อึดอัด!!” ผมพลักไอ้กรวยออกจากตัว โดยมีไอ้ธีร์ช่วยดึงมันออกไปด้วยอีกแรง

“เนียนเลยนะมึง เดี๋ยวก็โดยเมียมึงด่าเอาหรอก” ไอ้ธีร์บุ้ยปากไปหาออย ภรรยาคนสวยของไอ้กรวยที่เดินมาพร้อมกับลูกสาววัยกำลังน่ารัก ออยชอบด่ามันทุกทีเวลาที่มันเข้ามาเกาะแกะผม เพราะออยรู้ว่าไอ้กรวยทำผมรำคาญ

ออยยิ้มทักทายผมกับธีร์ก่อนจะก้มลงไปคุยกับลูกสาวคนสวย “สวัสดีค่ะ อาปอ กับอาธีร์ก่อนค่ะกุ๋งกิ๋ง”

“สวัสดีค่ะ อาธีร์” สาวน้อยในชุดสีชมพูเฉดเดียวกับสีของลูกโป่งยกมือไหว้อาธีร์ก่อนจะวิ่งไปหลบหลังแม่ด้วยท่าทางเขินอาย

“แล้วอาปอล่ะคะ เดี๋ยวอาปอเสียใจนะคะเนี่ย” กุ๋งกิ๋งยังไม่เลิกมุดหน้าไปกับกระโปงของคนเป็นแม่จนทุกคนที่ยืนมองอยู่หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู “เขินอาปอหรอคะเนี่ย เฮียลูกเขินผู้ชายค่ะ”

ผมย่อตัวลงให้เท่ากับเด็กน้อยตรงหน้า แล้วยื่นมือไปสะกิดแขนขาวๆ อวบๆ ของกุ๋งกิ๋งเบาๆ

สาวน้อยค่อยๆ โผล่หน้าออกมามอง แต่เมื่อเห็นผมส่งยิ้มให้ก็หายเข้าไปในกระโปรงของออยอีกรอบ

“ตายกู นี่สงสัยต้องเริ่มไว้หนวดซะแล้ว” คนเป็นพ่อลูบคางแล้วบ่นอุบเมื่อเห็นอาการของลูกสาววัยไม่ถึง 5 ขวบของตัวเอง

“พี่ปอไปทำอะไรมาคะ ดูหล่อขึ้นรึเปล่า บอกเคล็ดลับให้เฮียกล้วยหน่อย เผื่อจะหล่อขึ้นมาบ้าง” ออยถามพร้อมกับมองสามีของตัวเองที่เริ่มมีพุงน้อยๆ ยื่นออกมา

“พี่หรอ?” ผมยืนขึ้นแล้วเลิกคิ้วถามออยกลับไป

“เพราะมันโดนเมียทิ้งไงคะ ถ้าอยากให้เฮียกลับไปหล่อเหมือนเดิม ออยคงต้องทิ้งพี่ไปอ่ะค่ะ”

“ลูกปืนไหมอ่ะคะ”

ผมกับไอ้ธีร์ยืนหัวเราะคู่สามีภรรยาที่เถียงกันไม่ต่างจากสมัยที่จีบกันใหม่ๆ เพราะออยโหดแบบนี้ไงถึงได้คุมไอ้กรวยอยู่หมัด

 

“ปีนี้จัดงานดีจังวะ” ผมปล่อยให้ไอ้ธีร์คุยกับไอ้กรวยไป ในขณะที่ตัวเองยกแก้วของตัวเองขึ้นจิบไป และไถไอจีของตัวเองเพื่อส่องความเคลื่อนไหวของคนอื่นไปเรื่อยๆ

“ฝีมือไอ้กุนมัน กูวานให้มันมาช่วยจัดงานให้” พอได้ยินชื่อคนที่เพิ่งค้างด้วยกันเมื่อคืน นิ้วมือของผมก็สะดุดกึก ไม่คิดว่าในชีวิตตัวเองจะได้รู้จักคนชื่อซ้ำกันหลายคนขนาดนี้ ยิ่งถ้าเป็น โงกุน ด้วยแล้ว เขาคิดว่าไม่น่าจะมีใครนิยมเอามาตั้งเป็นชื่อลูกกันมากนักหรอก “นั่นไง ยืนหล่ออยู่นั่น”

ผมเงยหน้าขึ้นจากมือถือแล้วมองตามไอ้กรวยที่พยักหน้าไปทางผู้ชายที่ยืนหันหลังให้และกำลังสั่งงานกับพนักงานเสิร์ฟอยู่ไกลๆ

'โลกกลมชิปหาย'

ผมได้แต่พึงพำอยู่ในใจ เพียงแค่เห็นข้างหลังก็จำได้แล้วว่าไม่ใช่แค่ชื่อที่เหมือนกัน แต่นั่นคือคนคนเดียวกันเลยต่างหาก

“กุน! ”

เจ้าของงานวันเกิดกวักมือเรียกอีกคนให้เข้ามาหา ไอ้กุนพยักหน้าให้กับญาติผู้พี่ ก่อนที่สายตามันจะเลยมาสบเข้ากับผมแล้วคลี่ยิ้มออกมา ทุกสายตาที่เคยจ้องไปที่มัน เลยกลายเป็นต้องหันมามองว่าไอ้กุนมันยิ้มให้ใคร ซึ่งตอนนี้เองที่ทุกสายตาก็มารวมกันอยู่ที่ผม

"อะไร!"

"กูสิต้องถามไม่ใช่มึง" ไอ้ธีร์บอก พร้อมกับบีบมือลงมาที่บ่าของผมจนต้องรีบเบี่ยงตัวหนีเพราะความเจ็บ "กล้าหือกับพี่หรอน้องปอ"

"ส้นตีนเถอะ"

ไอ้กุนหันไปสั่งงานกับพนักงานคนเดิมต่ออีกไม่กี่ประโยค ก่อนจะเดินตรงมาทางโต๊ะที่ผมนั่งอยู่

“ไม่รู้ว่าพี่ก็รู้จักเฮียกล้วยด้วย”

"กูก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าไอ้กรวยมีญาติเป็นลิง" นึกไม่ถึงเลยจริงๆ

“เมื่อเช้าที่กูไปหาที่คอนโดแล้วบอกว่าอยู่คอนโดพี่ที่ทำงาน อย่าบอกนะว่าไปค้างคอนโดไอ้ปอมา” ไอ้กรวยหันไปถามน้องตัวเองบ้าง

แต่ไม่ทันที่ไอ้ซุนหงอคงจะได้ตอบ เพื่อนผมอีกคนก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “เด็กมึงอ่ะนะ”

ผมยกเท้าขึ้นมาจะกะจะถีบไอ้ธีร์สักทีเพราะหมั่นไส้ แต่มันดันไหวตัวทันและหนีไปหาเพื่อนอีกกลุ่มนึงก่อน

“เลิกกับผิงแค่นี้ ทำมึงจะเปลี่ยนแนวเลยหรอวะ”

“มึงก็เชื่อไอ้ธีร์มัน” สำหรับพวกผมเรื่องล้อเล่นพวกนี้ไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้ว แต่กับสายตาของไอ้ลิงที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหน้านี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงมันเข้าใจเหมือนกันไหม

“ถ้าจริงนี่กูจะไปเลิกกับออยแล้วมาตามจีบมึงแทนนะ” ไอ้กรวยว่าแถมยังมาทำหน้าหื่นใส่ผมอีก ส้นตีนเถอะไอ้เหีย

“เฮีย!” ไอ้กรวยสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ก็มีแต่แม่ของลูกมันเท่านั้นนั่นแหละที่ทำได้ “พาลูกเข้านอนค่ะดึกแล้ว”

“ได้ค่ะ” มันตอบรับเสียงหวานพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา ทำเอาผมหลุดขำ ไม่รู้จะกลัวออยอะไรขนาดนั้นขนาดแค่เรียกยังเป็นขนาดนี้ “กูไปทำหน้าพี่พ่อที่ดีก่อนนะมึง คุยกับไอ้กุนไปก่อน”

ผมมองตามไอ้กรวยไป เห็นกุ๋งกิ๋งที่ถูกออยอุ้มอยู่ก็มองมาทางผมเหมือนกัน สาวน้อยชุดชมพูโบกมือแล้วก็ส่งยิ้มมาให้ ผมเลยยกมือขึ้นโบกตามด้วยความเอ็นดู แต่พอผมทำแบบนั้นกุ๋งกิ๋งกลับเอาหน้าไปซุกกับไหล่แม่ทันที

ได้ยินเสียงไอ้คนข้างๆ มันหัวเราะ ผมเลยหันไปกะจะถามว่ามันขำอะไร ก็เห็นว่าไอ้กุนเองก็โบกมือให้กุ๋งกิ๋งอยู่เหมือนกัน

สรุปหลานไม่ได้โบกมือให้ผม แต่โบกมือให้อากุนต่างหาก

หน้าแตกไปสิไอ้ปอ

“พี่ปอ”

“อือ”

"..."

ผมเอี้ยวตัวกลับมาหากุนเพื่อดูว่ามันเรียกผมทำไม เพราะมันเรียกแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่พอทำแบบนั้นไอ้กุนก็ยื่นมือมาติดกระดุมเสื้อที่ถูกไอ้ธีร์ปลดออกให้พร้อมกับออกปากแซว

“กลัวคนอื่นไม่รู้รึไงว่าขาว”

“เสือกเหมือนกันนะเนี่ยเราอ่ะ” ถึงจะบอกแบบนั้นออกไป แต่ผมก็ยอมให้น้องชายเพื่อนติดกระดุมให้จนเสร็จ ตอนนี้ผมคิดว่าผมชักจะเริ่มชินกับนิสัยของไอ้กุนมันแล้ว...

..นิสัยเอาใจใส่กับทุกเรื่อง

และเมื่อฟอร์มของผมมีเยอะเกินกว่าจะพูดขอบคุณ ผมเลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “เมื่อเช้ากลับยังไง”

“เดินกลับครับ”

เอ๊ะไอ้นี่

“กวนตีนปะเนี่ย” ไอ้กุนหัวเราะเมื่อผมหันไปแยกเขี้ยวใส่

“เดินจริงๆ พี่ ก็คอนโดผมอยู่ก่อนถึงคอนโดพี่นิดเดียว”

“แล้วทำไมไม่กลับตั้งแต่เมื่อคืน จะค้างด้วยกันทำไม” ไอ้เราก็หลงนึกว่าบ้านมันอยู่ไกลถึงได้หวังดีชวนค้างด้วยกันก่อน นี่ถ้ารู้ว่าอยู่ใกล้กันแค่นั้นไม่ปล่อยให้มาโดนไอ้ธีร์มันพูดมากอยู่แบบนี้หรอก

“ก็พี่ชวน”

“มึงปฎิเสธก็ได้ ทำไมใจง่ายจังวะ” ผมหันไปขมวดคิ้วถาม

“ไม่รู้สิ นี่ก็ยังสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน” ผมยังคงจ้องหน้าไอ้คนพูดนิ่งเพื่อจับผิด ตัวของตัวเองจะไม่รู้ได้ยังไง แปลกคน

"เชี่ยยย" ยังไม่ทันจะเจออะไรผิดสังเกตก็ต้องเอนตัวหนีออกมาก่อน เพราะไอ้ธีร์มันดันแทรกหน้าเข้ามาตรงกลางระหว่างผมกับไอ้กุนพอดี

“นี่มึงจีบกันหรอ” ไอ้ธีร์มองหน้าผมที มองหน้าไอ้กุนที เหมือนกับรอว่าใครจะเป็นฝ่ายตอบคำถามมันได้ก่อน

“เพ้อเจ้อ” แล้วก็เป็นผมเองที่ด่ามันพร้อมกับปัดมือมันที่มาเกาะอยู่ที่ไหล่ออก

“มึงอย่ามา กูเห็นนะ กูได้ยินด้วย”

“โอ้ย ไปไกลๆ รำคาญ”

เมื่อเห็นผมเริ่มโวยวายหนักเข้า มันก็หันไปหาอีกคนแทน “กุน เป็นไงมึง ช่วงนี้ไม่ค่อยออกมาเที่ยวด้วยกันเลย”

ผมไม่ได้แปลกใจเลยที่ไอ้กุนมันจะรู้จักกับไอ้ธีร์อยู่แล้วเพราะมันเป็นญาติกับไอ้กรวย แต่เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ว่ามันสนิทสนมกันจนไอ้ธีร์มันลากไปเที่ยวด้วยได้ ออกไปกับไอ้ธีร์ได้แบบนี้ ไอ้ซุนหงอคงนี่ก็คงไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกันใช่ไหม

“ก็ยุ่งนิดหน่อยพี่ เพิ่งเรียนจบ เพิ่งได้งานด้วย แถมพี่ที่เทรนงานให้ก็อย่างโหด”

“ไอ้นี่อ่ะหรอ” ธีร์ชี้นิ้วมาที่ผม “มันเก๊กไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ แล้วมันบ้า”

 

ผมนั่งฟังไอ้ธีร์มันเผาผมให้ไอ้กุนฟังก็ได้แต่กรอกตาไปมา ไม่อยากเข้าไปร่วมวงสนทนา กลัวจะเละไปมากกว่าเดิม เงี่ยหูฟังไปด้วยยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มไปด้วย

ไอ้กรวยเดินลงมาจากส่งลูกสาวคนสวยเข้านอนเสร็จ มันก็วนไปตามกลุ่มเพื่อนที่แยกกันนั่งอยู่มุมต่างๆ ไม่นานไอ้ธีร์ก็โดนเรียกตัวไปกลุ่มอื่นด้วย ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมกับไอ้กุนที่นั่งดืมกันอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

“ปอ” แล้วความเงียบก็หายไปเพราะมีแฟ้ม เพื่อนที่คุ้นหน้าคุนตากันดีแต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากเข้ามาทักทาย "ผิงไม่มาด้วยหรอวะ"

“กูเลิกกับผิงแล้ว” ผมว่าไปตามความจริง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหกอยู่แล้ว เผลอๆ มันคงจะรู้ก่อนที่จะเดินเข้ามาถามผมเสียอีก

“เฮ้ย อำป่าวเนี่ย ปีที่แล้วไอ้ธีร์ยังบอกว่ามึงไม่มาเพราะผิงไม่ว่างอยู่เลย”

“เลิกกันไปตั้งนานแล้ว”

“กูนึกว่าจะได้ไปงานแต่งมึงแน่ๆ แล้วนะเนี่ย คบกันมาตั้งนาน”

ผมมองหน้าไอ้แฟ้ม อยากรู้ว่าเมื่อไหร่อีกคนจะหยุดพูดเรื่องผิง แทนที่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานๆ จะถามไถ่กันว่าสบายดีไหม กลับเอาแต่พูดในเรื่องที่ผมเลิกกับแฟน ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรเหมือนกับช่วงแรกๆ ที่เลิกกัน แต่มันจะดีกว่าหากไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องนั้นอีก

“7 หรือ 8 ปีแล้วใช่ไหม เสียใจแย่เลยสิมึง” แต่ดูแล้วก็ท่าจะยาก

“ก็...นิดหน่อย” ผมตอบโดยที่สายตานั้นทอดมองไปยังนิ้วมือที่ไล่เกลี่ยไอน้ำข้างแก้วของตัวเองไปเรื่อยๆ แถมเสียงที่ตอบไปก็ยังเบาจนแถบจะไม่ได้ยิน ไม่อยากคุยแต่ก็ไม่อยากขัด เพราะเพื่อนอุตส่าห์เข้ามาทัก ได้แต่ภาวนาให้อีกคนเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องอื่นเสียที

“โห ไม่นิดหน่อยแล้วมั้ง มึงดูรักกันขนาดนั้น แล้วทำไมถึงเลิก”

“เฮ้ย!” ไอ้คนที่รับหน้าที่คอยดูแลงานในวันนี้ทั้งหมดร้องเสียงหลง ทำเอาผมกับไอ้แฟ้มที่ยังซักคงเรื่องของผิงไม่เลิกต้องหันไปมอง

“อะไรวะกุน” แฟ้มถามคนที่พลิกฝ่ามือขึ้นมาดูนาฬิกาด้วยท่าทางตกอกตกใจ

“เดี๋ยวจะได้เวลาเป่าเค้กแล้วอ่ะพี่ พี่แฟ้มไปช่วยผมถือเค้กหน่อยสิ”

“ไม่เอา เอาไอ้ปอไปนี่ กูเมาแล้วเดี๋ยวกูทำงานไอ้กรวยมันพัง”

“งั้นพี่ปอ ไปช่วยผมหน่อยดิ” สายตาที่อีกคนส่งมาดูก็รู้ว่าไม่ได้อยากให้ผมไปช่วยเรื่องเค้กจริงๆ หรอก ไอ้ลิ่งนั่นก็คงอยากช่วยพาผมออกจากสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นต่างหาก เห็นทีคงจะได้วางฟอร์มเอาไว้แล้วขอบคุณมันเสียหน่อยแล้ว

“เออ งั้นเดี๋ยวกูไปช่วยไอ้กุน" แล้วกุนคว้าแขนผมให้เดินเข้าไปในครัวด้วยกันทันทีทั้งที่ผมยังพูดไม่ทันจบ

จริงๆ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการตอบคำถามว่าทำไมถึงเลิกกับผิง ก่อนมางานก็ทำใจมาบ้างแล้วว่าต้องมีเพื่อนสักคนสองคนที่ถามถึงผิง แต่การที่ต้องมาตอบคำถามต่อหน้าไอ้กุนเนี่ยสิ มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

 

กุนค่อยๆ แกะกล่องเค้กสำหรับงานวันนี้โดยไม่ได้เอ่ยอะไรถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ มันเงียบเสียจนผมกลัวว่าบางทีมันจะเข้าใจผิดเรื่องของผมกับผิง

“จะไม่ถามอะไรหรอ” ผมถามขณะที่มายืนหันหลังพิงเค้าเตอร์อยู่ข้างๆ

“เรื่องพี่กับแฟนเก่าน่ะหรอ”

“ก็ อืม”

“ทำไมต้องถามอะไรด้วย ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องแฟนเก่าพี่สักหน่อย”

กุนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าเรื่องที่ผมกังวลไม่ได้สำคัญอะไร ในเมื่อมันไม่มีอะไรจะถาม ผมเองก็ควรจะเลิกคิดมากเรื่องนี้ได้แล้ว ว่าแล้วก็เหยียดตัวยืนตรงอีกครั้ง ตอนแรกว่าจะหันกลับไปช่วยกุนมันจัดเค้ก แต่พอหันไปแล้วเห็นหน้าตากวนๆ แถมได้ยินประโยคถัดไปของมัน ผมคิดว่าผมยืนหันหลังให้มันเฉยๆ อย่างเดิมน่าจะดีกว่า

“ถ้าเป็นเรื่องของพี่ก็ว่าไปอย่าง"

“เสือกอีกแล้วนะเราอ่ะ”

 

 

 

 

#เพราะรักรออยู่

งื้อออออ
ดีใจมีคนมาเล่นด้วยแล้ว
 :hao5:

หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 5 - 03-17-2020
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 21-03-2020 11:33:38
แค่ชื่อเรื่องก็รู้สึกอบอุ่นแล้วค่ะ​ เพราะรักรออยู่
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 6 - 03-21-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 21-03-2020 20:05:19

ตอนที่ 6


 

วันทำงานเวียนมาอีกรอบหลับจากเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาของผมเหมือนกับไม่มีอยู่จริงๆ เพราะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่างนอกจากนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง

วันจันทร์แรกของเดือนเป็นวันที่เรียกได้ว่าวุ่นวายที่สุดในรอบเดือนก็ว่าได้ ตอนเช้ามีประชุมรวมทุกแผนกของบริษัท แถมตอนบ่ายยังต้องกลับมาประชุมที่แผนกของตัวเองต่ออีก ถึงหน้าที่ในห้องประชุมของผมก็ไม่มีอะไรมากมายนัก แค่คอยเตรียมเอกสารให้กับพี่ชาติ ตอบคำถามต่างๆ บ้างในบางข้อ แต่ต้องมานั่งฟังคนเถียงกันไปเถียงกันมาทุกเดือนมันก็ออกจะน่าเบื่อ ตอนบ่ายน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะมีแต่คนในแผนกที่สนิทกัน แต่ตอนเช้านี่สิ เรียกได้ว่าโคตรป่วย

การอัปเดทการทำงานในเดือนที่ผ่านมา แจ้งแผนงานของเดือนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และถกกันถึงเรื่องปัญหาต่างๆ ภายในบริษัท ที่ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรให้คุยกันได้ทุกเดือนแต่ก็มีมาให้ได้ปวดหัวกันทุกเดือนจริงๆ เหมือนจะฟังดูไม่มีอะไร แต่สำหรับผมมันคือการมายืนอยู่ปากเหวดีดีนี่เอง นั่งไปก็พาวนาในใจไปด้วย ว่าอย่าให้แจ๊คพอตมาออกที่แผนกของตัวเองเลย

แต่ดูเหมือนว่าเดือนนี้แรงพาวนาของผมจะอ่อนไปหรือยังไงก็ไม่รู้ งานเลยเข้าแผนกผมแบบจังๆ

แฟมมิลี่เดย์ของบริษัทที่ปกติจะมีแผนกที่รับผิดชอบเป็นประจำอยู่ทุกปีอยู่แล้วกลับถูกปรับเปลี่ยนใหม่ เพราะผู้บริหารอยากให้ทุกแผนกมีส่วนร่วม จากเดิมที่ดูแลทั้งหมดแค่แผนกเดียว เลยกลายเป็นแผนกเดิมดูแลงานหลัก และต้องมีแผนกอื่นๆ วนมาช่วยปีและแผนกด้วย

เพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างเสียงฮือฮาให้กับทุกคนได้ไม่น้อย เพราะดูจากแผนงานของแต่ละแผนกที่เพิ่งชี้แจ้งไปแล้วนั้น แต่ละแผนกก็มีงานที่เรียกได้ว่าแทบจะขยับตัวไปไหนกันไม่ได้แล้ว นี่ยังจะต้องมาดูแลงานส่วนนี้เพิ่มอีก

จากเสียงซุปซิปกันเบาๆ ในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นเสียงกันถกเถียงกันอย่างจริงจัง ถึงวิธีการเลือกแผนกแรกที่จะมาประเดิมการทำงานนี้เป็นงานแรก แผนกที่อยู่ชั้นสูงกว่าเสนอให้วนตามลำดับชั้น บางแผนกอยากให้เรียงตามตัวอักษรเพราะหากเรียงแล้วแผนกตัวเองจะไปอยู่ท้ายๆ ฟังแล้วก็ดูตลกดี ไม่เห็นเหมือนกับตอนที่แย่งกันพูดเรื่องผลงานของแผนกเลย

ในเมื่อตกลงกันไม่ได้เสียทีทั้งที่ตอนนี้เลยเวลาเลิกประชุมไปเกือบ 10 นาทีแล้ว พี่ชาติเลยเสนอให้จับฉลากแทนที่จะต้องมานั่งเถียงกันอยู่แบบนี้ แฟร์ดี แถมไวด้วย

แล้วก็เป็นอย่างที่พี่ชาติบอกจริงๆ ไม่ถึง 10 นาทีต่อมาก็สามารถปิดประชุมได้ หน้าพี่ชาติตอนที่หันมาหาผมตอนที่เปิดฉลากดู ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยว่าโดนแน่ๆ เพราะพี่ชาติยิ้มหน้าบานมาก ผมเองก็เลยได้แต่ยิ้มแหย๋กลับให้ไป คิดเสียว่าทำก่อนได้เปรียบแล้วกัน เผื่อแผนกที่ทำก่อนสร้างมาตรฐานไว้ดีเกินแล้วจะยิ่งยาก

เที่ยง 25 นาทีผมเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับพี่ชาติ และแยกกับผมตรงหน้าห้องประชุมนั้นเองเพราะพวกผู้จัดการต้องไปกินข้าวกับผู้บริหารข้างนอก โดยไม่ลืมบอกผมว่าให้เริ่มประชุมช่วงบ่ายไปก่อน เพราะน่าจะกลับเข้ามาช้า ผมเลยหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมากะว่าจะฝากให้เก๋ซื้อข้าวเข้ามาให้ หรือไม่ก็โทรสั่งจากร้านพี่มุกให้ขึ้นมาส่ง

หน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้นอัตโนมัติเมื่อได้องศา เลยได้เห็นว่ามีแจ้งเตือนข้อความหลายข้อความเลยกดเข้าไปอ่านก่อนเพราะคิดว่าน่าจะเป็นไอ้เก๋ที่ไลน์มาถามเรื่องข้าวเที่ยงเพราะเห็นว่ายังไม่เลิกประชุม ถึงจะผิดไปจากที่คิดนิดหน่อยเรื่องคนถาม แต่ก็ยังเป็นเรื่องข้าวเที่ยงเหมือนกัน

Goku : (รูปถาดกับข้าวร้านพี่มุก)

Goku : กินไรพี่ เดี๋ยวผมซื้อไปให้

Goku : …

Goku : ไม่ตอบ

Goku : ยังไม่เลิกอีกหรอ

Goku : งั้นเลือกให้เลยแล้วกันนะ

Goku : รอที่ห้องทำงานนะครับ

ผมส่ายหัวให้กับเจ้าของข้อความเบาๆ เดาได้เลยว่าป่านนี้กุนมันก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกัน และคงกำลังนั่งมองกล่องข้าวตาละห้อยอยู่ในห้องทำงานนั่นแหละ

ก้าวเท้ายาวๆ ไปที่แผนกของตัวเองเพราะกลัวว่าอีกคนจะหิวข้าวจนเป็นลมไปเสียก่อน เปิดประตูเข้าไปในห้องได้ ก็เป็นอย่างที่เดาจริงๆ น้ำเปล่า 2 ขวดกับกล่องข้าว 2 กล่องถูกวางไว้หน้าไอ้กุน 1 กล่อง และอีกฝั่ง 1 กล่อง เมื่อรู้สึกตัวว่าผมเดินเข้ามากุนก็เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ในมือแล้วส่งยิ้มมาให้ทันที นี่ถ้ากระดิกหางได้ผมคงคิดว่าเอาไอ้มอมมาทำงานด้วย กุนวางโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วเอื้อมมาเปิดกล่องข้าวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนกล่องที่อยู่ข้างหน้าของตัวเอง

“หิวมากเลยพี่ ทำไมเลิกช้าขนาดนี้” มันบ่น

“แล้วจะรอทำไม เคยบอกแล้วว่าถึงเวลาก็ไปกินเลย”

“ก็กินข้าวคนเดียวมันไม่อร่อยอ่ะ เลือกอันนี้มาให้ พี่กินได้ไหม” ผมมองหมูทอดกับพะแนงหมูในกล่องของตัวเองก่อนจะเหลือบไปมองกุนเชียงทอดกับไข่พะโล้ของไอ้กุน “หรือว่าพี่จะเอาอันนี้? ”

“กินได้ แล้วคราวหลังก็ไม่ต้องรอนะ”

ผมเลื่อนกล่องข้าวเข้าหาตัวพร้อมกับบ่นไอ้กุนไปด้วย เห็นมันทำหน้าหงอยเขี่ยกุนเชียงมาไว้ที่ฝากล่องข้าวแล้วผมเองกลับรู้สึกผิด มันอุตส่าห์ซื้อข้าวมาให้ทั้งที่ไม่ได้บอก นั่งรอกินข้าวด้วยทั้งที่ไม่รู้ว่าผมจะเลิกประชุมตอนไหนอีก ถ้าผมแค่บอกให้ทำแต่ไม่บอกเหตุผลก็คงจะใจร้ายกับอีกคนไปหน่อย

ผมตักหมูทอดหนึ่งชิ้น ไปวางไว้บนข้าวของอีกคนที่ตอนนี้เขี่ยชิ้นเนื้อออกไปที่ฝาหมดแล้ว กุนเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยความสงสัยก่อนที่ปากจะคลี่ยิ้มประจำตัวออกมาเมื่อผมบอกว่าทำไมถึงไม่อยากให้อีกคนรอกินข้าวพร้อมกัน

“กินข้าวไม่ตรงเวลามันจะปวดท้อง หรือว่าอยากเป็นโรคกระเพาะ”

“ก็เป็นเหมือนกันไงพี่ ได้ไปหาหมอพร้อมกันไม่เหงาด้วยนะ”

“เนี่ย จะไม่เถียงสักเรื่องไม่ได้เลยหรอ เอาหมูคืนมาเลยไม่ให้แล้ว”

ผมเอื้อมมือที่ถือช้อนออกไปเตรียมจะจ้วงเอาหมูทอดของตัวเองคืน แต่ไอ้กุนมันกลับไวกว่าแล้วคว้าข้อมือผมเอาไว้

“ได้ไงพี่ให้แล้วให้เลยดิ” หงอยได้แป๊บเดียวจริงๆ แม่งกลับมาทำหน้าตากวนตีนอีกแล้ว ไอ้ลิงนี่ “แลกกับกุนเชียงอันนึงก็ได้อ่ะ” กุนเชียงหนึ่งชิ้นถ้วนถูกนำมาวางบนกองหมูทอดของผมบ้าง

“โคตรเสียเปรียบกุนเชียงชิ้นเล็กนิดเดียวแลกกับหมูทอดชิ้นอย่างใหญ่”

“งั้นเพิ่มให้อีกสองชิ้นอ่ะ”

“สาม”

“ให้หมดเลยอ่ะ เอาไปให้หมดเลยจ้า” กุนตักกุนเชียงมาให้ผมจริงอย่างที่พูด นี่มันกำลังประชดผมอยู่ใช่ไหม

“อุ๊ย!” ผมกับไอ้กุนต่างก็มองไปที่หน้าห้อง เห็นไอ้เก๋ที่เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงยืนยิ้มกริ่มอยู่ “อุ๊ย อุ๊ย ทำไมต้องจับมือกันด้วยคะ เก๋งงไปหมดแล้ว”

เมื่อรู้ว่าเก๋มันยิ้มเรื่องอะไรสายตาของผมก็ตามไปอยู่ที่จุดนั้นบ้าง ไอ้กุนยังคงจับข้อมือของผมเอาไว้ตั้งแต่ที่จะเอื้อมไปตักกุนเชียงของมันเนี่ยนะ ผมตวัดสายตาขึ้นมองหน้ากุนพอดีกับที่มันมองกลับมาพอดี มันยิ้มมาให้ก่อนจะค่อยๆ คลายมือของตัวเองออก

“ก็พี่ปอจะมาแย้งกุนเชียงของกุนอ่ะพี่เก๋ กุนก็ต้องป้องกันสิ”

“หืมมม น้องกุนป้องกันยังไงคะ กุนเชียงถึงได้ไปอยู่กับพี่ปอหมดเลย” ไอ้เก๋หัวเราะออกมาเสียงดังแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ กับกุน “แบบนี้เขาไม่ต้องแย่ง ก็เต็มใจให้เขาไปหมดแล้วละมั้งเนี่ย”

“เก๋” ผมเรียกเสียงเรียบ

“ขาาา ทำไมต้องทำเสียงโหดด้วยนี่น้องไงคะ น้องเก๋เอง ซื้อข้าวมาให้ด้วยเนี่ย” เก๋ยกกล่องข้าวที่หิ้วมาวางไว้บนโต๊ะ “พี่ชาติโทรไปบอกให้ซื้อมาฝากพี่อ่ะ ไม่รู้ว่าจะมีคนซื้อมารอไว้แล้ว ถึงว่าไม่โทรหาเก๋เลยน้าาา”

ผมเกลียดการลากเสียงของเก๋ได้ไหม

ผมคว้ากระเป๋าสตางค์แล้วจ่ายเงินค่าข้าวให้เก๋ ลืมไปสนิทว่ายังไม่ได้จ่ายให้กุนด้วย เลยยื่นอีกแบงค์ไปให้คนที่นั่งข้างๆ กัน ไอ้กุนส่ายหัว แล้วหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวเข้าปากทำเป็นเมินเงินที่ผมยื่นไปให้ตรงหน้า แต่ไอ้เก๋ไม่กลับไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ เก๋มันดึงเอาเงินในมือผมไปแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อให้กุนเสร็จสรรพ

“น่ารักอ่ะน้องกุน แต่ไม่ต้องไปเลี้ยงหรอกพี่ปออ่ะ พี่ปอรวย เรารอให้พี่ปอเลี้ยงดีกว่า” มันตบกระเป๋าไอ้กุนปุๆ

“ไอ้เก๋”

“ค่าาา ไปแล้วค่าาา เจอกันในห้องประชุมนะคะน้องกุน เดี๋ยวพี่แอบไปนั่งข้างๆ ตัวห๊อมหอมใช้น้ำหอมอะไรคะเนี่ย อุ้ย” ไอ้เก๋หันมาทำท่าตกใจใส่เมื่อเห็นหน้าผม ส่วนไอ้กุนก็นั่งยิ้มให้เขาลูบเขาคลำอยู่นั่น “ไปเนาะ กินข้าวกันเนาะ”

เก๋เดินออกจากห้องไปเหลือเพียงแค่ผมกับไอ้กุนที่ยังยิ้มแล้วก็มองหน้าผมไปด้วย

“ยิ้มอะไรนักหนาเนี่ย กินข้าวไป” ผมใช้มือดันกล่องข้าวของไอ้เก๋ไปตรงหน้าไอ้กุนด้วย แค่บรรดาหมูทอดกับกุนเชียงในกล่องข้าวของผมก็น่าจะอิ่มไปยันพรุ่งนี้แล้ว

“ให้ผมหรอ”

“อือ” ผมตอบทั้งที่มีข้าวอยู่เต็มปาก

“นี่เปย์ผมอยู่หรอ” แค่กๆ “เฮ้ยพี่! ถึงกับสำลักเลยหรอ”

กุนคว้าขวดน้ำมาเปิดแล้วส่งมาให้ ผมรีบคว้าเอามาไว้ในมือ แล้วยกขึ้นดื่มโดยไม่รอหลอดที่ไอ้กุนกำลังฉีกซองให้อยู่

เกือบตายเพราะข้าวติดคอแล้วไหมล่ะ

เพราะมึงแหละ เพราะมึงเลย ไม่ต้องมายิ้ม

 

●●●

 

ห้องประชุมของแผนกที่ตอนนี้เต็มไปด้วยพนักงานในแผนกทุกชีวิต ยกเว้นหัวหน้าแผนกที่ยังไม่กลับเข้ามาจากกินข้าวข้างนอก ผมเลยต้องเป็นคนเปิดประชุมแทนไปก่อน

ผมเลือกเอาเรื่องแผนงานของเดือนหน้ามาแจ้งให้กับทุกคนฟัง ส่วนเรื่องแฟมมิลี่เดย์นั้น เอาไว้รอพี่ชาติมาแจ้งเองดีกว่า อยากให้ทุกคนได้ชื่นชมสกิลการจับฉลากของพี่ชาติต่อหน้าเจ้าตัวมากกว่า คงน่าสนุกดี

ไม่น่าจะเกิน 1 ชั่วโมงพี่ชาติก็เปิดประตูเดินเข้าห้องมา ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองพร้อมกับปรบมือให้ เห็นกุนมันทำหน้างงว่าพวกเราปรบมือกันทำไม แต่ก็เลือกที่ทำจะเลียนแบบคนอื่นๆ ในห้องไปด้วย

ผมลุกให้พี่ชาติได้นั่งหน้าห้องส่วนตัวเองก็ไปนั่งตรงที่ประจำของตัวเองที่มีไอ้เก๋นั่งอยู่ข้างๆ และแน่นอนว่าไอ้เก๋ก็ไปลากไอ้กุนมานั่งข้างๆ ตัวเองเหมือนกัน

“ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือนะครับ รู้เลยนะว่าลุ้นให้กูมาสายตลอด” เสียงปรบมือยิ่งดังกว่าเดิมแถมเพิ่มเติมด้วยเสียงหัวเราะ

ที่ทุกคนในแผนกปรบมือให้คนที่มาสายก็ไม่ใช่อะไร เพราะหากมีใครเกิดมาสายหรือขาดในวันประชุมพวกเราตกลงกันว่าจะต้องจ่ายค่าปรับ พนักงานธรรมดา 100 ผู้ช่วยแบบผมกับไอ้เก๋โดนคนละ 500 ส่วนพี่ชาติคนนั้นน่ะโดนครั้งละ 1,000 เงินจากค่าปรับในแต่ละครั้งก็ไม่ได้เอาไปไหน แผนกพวกผมมีการนัดกันสังสรรค์อยู่เรื่อยๆ เงินค่าปรับพวกนี้ก็จะไปรวมอยู่ในค่ากินค่าดื่มนั่นแหละ

“ถึงไหนแล้วปอ”

พี่ชาติหันมาถามผมเรื่องที่เริ่มประชุมกันไปก่อน พอได้ข้อมูลก็แจ้งเรื่องที่เหลือต่อด้วยตัวเอง เราประชุมกันอย่างเป็นกันเองกินเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง ที่จริงก็ไม่มีเรื่องอะไรมาก ส่วนใหญ่จะคุยกันไปเล่นกันไปเสียมากกว่า พี่ชาติบอกว่าไม่รู้จะเครียดไปทำไมในเมื่อทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเองกันได้ดีอยู่แล้ว

“เอาหละมาถึงเรื่องสำคัญ” พี่ชาติมองไปทั่วห้องก่อนจะเริ่มพูดประโยคต่อไป “ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าเป็นเดือนที่บริษัทจะจัดแฟมมิลี่เดย์” ดูเหมือนทุกคนจะรอให้ถึงช่วงนี้ของแต่ละปีกันอย่างตื่นเต้น ก็แน่หล่ะ ที่พักฟรี ค่าเดินทางฟรี ค่าอาหารฟรี แถมยังมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านกันไปคนละชิ้นสองชิ้นอีก “และแผนกเราต้องไปร่วมกับอีกแผนกเพื่อช่วยกันจัดงาน”

ถึงจะบอกว่าไปช่วยกันจัดงาน แต่ก็คงจะทำอะไรไปได้ไม่มากกว่าการช่วยกันคิดคอนเซ็ป คิดกิจกรรมภายในงานหรอก เพราะพวกเรายังต้องทำงานของตัวเองกันด้วย

“เรื่องนี้พี่ยกให้ปอเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”

อ้าว!

ผมหันควับไปหาพี่ชาติในทันทีที่จบประโยค เห็นกับตาเลยว่าตั้งใจเมินสายตาของผมไปที่อื่น

“ถึงพี่จะให้ปอเป็นคนรับผิดชอบ แต่ยังไงก็ขอให้ทุกคนร่วมมือกับงานครั้งนี้ด้วยนะ แผนกเราเป็นแผนกแรกที่จะได้มีส่วนร่วมในงานนี้ ทุกคนคงไม่อยากให้แผนกเราต้องขายหน้ากันใช่ไหม”

ทุกคนรับปากกันเสียงดังฟังชัด จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่นั่งเงียบอยู่คนเดียว พี่ชาตินะพี่ชาติ เท่านี้ไอ้ปอยังหัวหมุนไม่พอใช่ไหม ยังทำร้ายกันได้ลงคออีก

“งั้นวันนี้พอแค่นี้ก่อน ขอบคุณทุกคนมาก”

พี่ชาติปิดประชุมด้วยประโยคเดิมที่ใช้มาตลอด ห้องประชุมที่มีคนอยู่เต็มเมื่อครู่ก็ค่อยๆ โล่งขึ้น จนเหลือกันอยู่แค่ไม่กี่คน พี่ชาติเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

“ดูทำหน้าเข้า”

“พี่ชาติทำไมไม่ให้ไอ้เก๋มันดูเรื่องแฟมมิลี่เดย์ไปล่ะครับ เก๋มันน่าจะคิดอะไรแผลงๆ ได้ดีกว่าผม”

“เอ๊ะ นั่นชมน้องใช่ไหมคะ ทำไมฟังดูแปลกๆ” เก๋แกล้งทำหน้างง เพราะมันรู้อยู่แล้วว่าผมไม่ได้ชมมันแน่ๆ

“ปอเป็นผู้ชายน่าจะสะดวกกว่า เห็นว่าต้องไปดูสถานที่กันด้วย”

“ไม่ใช่แค่ช่วยคิดคอนเซ็ปงานเฉยๆ หรอพี่ชาติ” ไปดูสถานที่อะไรนี่ผมว่าน่าจะต้องมีอะไรผิดพลาดแล้ว งานเข้าของจริงแล้วทีนี้

“ก็ถ้าจากที่ไปกินข้าวด้วยกันมาเมื่อกี้ ฝ่ายบริหารเขาอยากให้เราเป็นแม่งาน ส่วนอีกแผนกก็แค่คอยช่วยเฉยๆ”

“พี่ชาติ” ผมเรียกพี่ชาติเสียงอ่อย

“สู้ๆ นะคะพี่ปอ”

“ไม่ต้องเลยเก๋” เสียงพ่ชาติปรามเก๋ที่แซวผมออกนอกหน้า “เก๋ก็ต้องช่วยปอเขาด้วย ปอรู้ใช่ไหมว่ารับผิดชอบในความหมายของพี่แปลว่าอะไร”

“ครับ”

ผมรู้ดี รับผิดชอบของพี่ชาติไม่ได้แปลว่าให้ผมทำงานคนเดียว แต่ถ้ามีปัญหาอะไรจะต้องเป็นผมคนเดียวเท่านั้นที่คอยรับผิด พี่ชาติเคยทำมันให้ผมดูมาแล้วตอนเข้าประชุมรวมเมื่อปีก่อน งานของแผนกเรางานนึงเกิดมีปัญหาจนต้องนำขึ้นที่ประชุมเพื่อให้ผู้บริหารได้หารือถึงเรื่องทางออก เพราะมันส่งผลกระทบกับบริษัทหลายอย่าง พี่ชาติเองก็โดนในที่ประชุมเล่นงานไม่ใช่น้อยๆ แต่ก็ยอมก้มหน้ารับผิดแต่เพียงคนเดียวที่ไม่ได้ตรวจเช็คงานนั้นให้ดี ทั้งที่จริงๆ แล้วงานไม่ได้เกี่ยวกับพี่ชาติเลย พี่ชาติไม่ได้ทำเหมือนกับผู้จัดการแผนกอื่นๆ ที่หากมีปัญหาก็จะพาคนที่ทำงานพลาดมาอธิบาย แล้วสุดท้ายก็พนักงานตัวเล็กๆ ก็โดนตัดสินโทษไปตามระเบียบ

ทุกคนเดินออกจากห้องประชุมกลับไปทำงานต่อ เหลือเวลางานอีกครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้ผมยังคงทิ้งตัวนั่งหลับตาอยู่ในห้องประชุม ประชุมตั้งแต่เช้าจนบ่ายทำเอาพลังของผมสำหรับวันนี้หมดไปเรียบร้อยแล้ว

“เหนื่อยหรอครับ”

จำเสียงได้ตั้งแต่ยังไม่ลืมตาว่าเจ้าของเสียงคือใคร แต่พอค่อยๆ ลืมตาดูก็เห็นว่ากุนมันย้ายที่นั่งจากที่นั่งถัดไปจากไอ้เก๋มานั่งแทนที่เก๋แทน มือหนึ่งยกขึ้นเท้าคางแล้วมองมาที่ผม อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไมไม่ไปทำงานต่อ แต่ผมไม่เหลือแรงจะทะเลาะกับมันแล้ว

“อือ” ผมตอบกลับไปส่งๆ แล้วปิดเปลือกตาของตัวเองลงเหมือนเดิม

“งั้น เย็นนี้ผมขับรถกลับให้ พี่จะได้พัก”

“จะอาศัยกลับด้วยว่างั้น” มันหัวเราะ “จะไปก็ไป ไหนๆ ก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว”

บอกแล้วว่าผมเป็นพี่ปอที่ใจดีกับน้องๆ ทุกคนจริงๆ

 

●●●


----มีต่อ
 

หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 6 - 03-21-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 21-03-2020 20:08:28
-----ต่อ


บนรถยนต์ส่วนตัว 7 ที่นั่งสีขาวที่เจ้าของเป็นแค่คนนั่ง ส่วนคนขับกลายเป็นไอ้ลิงพูดมากที่จ้อไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นรถมาจนถึงตอนนี้

ไหน

ไอ้คนไหนที่มันบอกว่าอยากให้ผมได้พัก

“ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนรำคาญผมเลย” กุนถามเมื่อรถถูกขับมาจอดอยู่หน้าคอนโดอีกโครงการที่อยู่ก่อนถึงคอนโดผม

“ก็รำคาญจริงๆ ” มันหัวเราะก่อนจะเอี้ยวตัวกลับไปหยิบกระเป๋าที่วางเอาไว้เบาะหลัง และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเอี้ยวตัวเพื่อปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยที่คาดเอาไว้พอดี

นี่มันจังหวะละครชัดๆ

ต่างคนต่างก็จ้องมองกันโดยที่หน้าห่างกันแค่คืบ ใกล้เสียจนได้กลิ่นลูกอมรสแตงโมที่ไอ้กุนมันรื้อเจอในรถผมแล้วขโมยกินเข้าไปโดยไม่ได้ขออนุญาต มือนึงของไอ้กุนค่อยๆ ยกขึ้นมาแตะที่ใต้ตาของผม ตอนนั้นเองที่หัวใจมันเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ นั่งนิ่งเพราะทำอะไรต่อไม่ถูก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร

จนกระทั้ง

“ขี้ตา โอ้ย! พี่ดีดหูผมทำไมเนี่ย”

“หมั่นไส้ ลงไปได้แล้วไป” ผมออกปากไล่ แต่ไอ้ซุนหงอคงมันยังคงทำหน้าบึ้งไม่ยอมขยับไปไหน “อะไรอีก”

“คราวนี้ไม่โอ๋หรอ”

“โอ๋อะไร ลงไป จะกลับบ้าน”

“ก็คราวที่แล้วพี่ดีดหูผม แล้วพี่ทำแบบนี้ไง”

กุนโน้นตัวเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงลมหายใจที่ถูกเป่ามากระทบที่ซอกคอ หัวใจที่เพิ่งกลับมาเต้นเป็นปกติได้ไม่นานก็เพิ่มจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง หรือตอนนี้ผมกำลังจะเป็นไบโพลาร์

ไอ้กุนลงไปจากรถแล้วแต่ผมยังคงนั่งตบตีกับความคิดของตัวเองไม่เลิก ได้ยินเหมือนมันพูดอะไร แต่ผมกลับจับใจความอะไรไม่ได้เลย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันมาเปิดประตูรถฝั่งผมแล้วยื่นมือมาแตะที่ไหล่

“พี่ปอ ไหวเปล่าเนี่ย หรือว่าจะให้ผมขับรถไปส่งพี่ที่คอนโดแล้วเดินกลับมาก็ได้นะ ใกล้นิดเดียว”

“มะ..ไม่เป็นไร ขอบใจมาก” กุนถอยออกจากรัศมีประตูให้ผมได้ลงจากรถ แล้วปิดมันกลับเข้าที่ให้

“งั้นพี่ขับรถดีดี ถึงแล้วไลน์มาบอกผมด้วยนะ ผมเป็นห่วง”

“อ่อ อืม ไปนะ”

 

หลังจากที่ผมขับรถออกมาจากคอนโดไอ้กุนได้ไม่นานก็มาถึงคอนโดผม จอดรถที่ช่องจอดประจำได้ก็รีบเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกายทันที ถึงจะสงสัยกับอาการที่ตัวเองเพิ่งจะเป็นแต่ก็ขอทิ้งมันเอาไว้ก่อน วันนี้ผมใช้สมองไปกับเรื่องงานหมดแล้ว ยังไม่อยากคิดอะไรให้ปวดหัวเพิ่มตอนนี้

กำลังนั่งใส่ร้องเท้าผ้าใบโทรศัพท์ที่วางเอาไว้ข้างตัวก็เกิดดังขึ้น ผมสะดุ้งจนต้องเอามือมากุมที่หน้าออกข้างซ้าย

ไม่รู้ว่าจะขวัญอ่อนอะไรนักหนา

หยิบเอาโทรศัพท์ที่คว่ำหน้าเอาไว้พลิกขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรเข้าก็เห็นว่าเป็นคนเดียวกับที่สั่งเอาไว้ว่าถึงแล้วให้ไลน์ไปบอก ผมไม่ได้ลืม แต่แค่ยังไม่อยากคุยกับกุนมันก็แค่นั้น ผมกดล๊อคหน้าจอให้ดับลงอีกครั้ง ตั้งใจจะเมินสายเรียกเข้าที่เพิ่งโทรเข้ามา แล้วหยัดตัวลุกขึ้นเพื่อลงมาที่ฟิตเนตชั้นหนึ่ง

เปิดประตูเข้ามาได้ สีเสื้อสะท้อนแสงอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่ยอดก็พุ่งเข้ามากระทบประสาทตาโดยไม่ต้องเสียเวลามองหา ตั้งแต่รู้จักกันมาพี่แกใส่แต่เสื้อกล้ามที่เว้าไปแทบจะถึงเอว แถมสีก็แซ่บแสบทรวงมาทุกวัน ไม่รู้ว่าไปสรรหาเสื้อสีแบบนี้มาจากไหน

“เขียวมาเชียวพี่ยอด” ผมเดินตรงเข้าไปทักทายพี่ยอดตามประสา วันนี้เสื้อสีเขียวสะท้อนยังไม่พอ สกรีนลายตรงอกยังเป็นสีชมพูสะท้อนแสงอีก ไม่เด่นก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว

“ชอบใช่ไหม พี่มีอีกตัวนะถ้าปออยากได้”

“โห่พี่ ดูไซส์ผมกับไซส์พี่สิ คงใส่กันได้หรอก”

ผมก้าวเท้าขึ้นบนลู่วิ่งกดตั้งค่าอะไรเสร็จยังไม่ทันได้เริ่มขยับขา หน้าจอของโทรศัพท์ที่เอาใส่ไว้ในช่องวางแก้วก็เกิดสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกเข้าขึ้นมาอีก

กุนมันโทรหาผมอีกแล้ว

หรือว่ามันจะมีธุระอะไร

แต่ธุระอะไรตอนนี้..เวลางานก็ไม่ใช่

ถ้ามีธุระจริงๆ ไว้โทรมาอีกสายค่อยรับก็แล้วกัน

ผมตัดสินใจทำแบบเดิมอีกครั้งแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม กดปุ่มเริ่มทำงานของลู่วิ่งไฟฟ้าแล้วออกแรงก้าวไปตามสายพาน

“แฟนโทรมาหรอ ทำไมไม่รับ” พี่ยอดที่อยู่ลู่วิ่งข้างๆ เอ่ยทัก

“ที่บอกว่าโสดไปตั้งหลายรอบนี่พี่ยอดไม่เชื่อผมเลยสักครั้งหรอ”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่ปออาจจะมีแฟนใหม่ก็ได้นี่ใครใจไปรู้”

“ไม่มีหรอกครับ ไม่อยากมีเลย อยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” ผมบอกไปตามความจริง ชีวิตตอนนี้แหละดีที่สุดแล้ว

“ของแบบนี้มันว่ากันไม่ได้นะน้อง ไอ้ไม่อยากมีนี่แหละตัวดีนัก เผลอๆ นะ แต่งงานวันนี้พรุ่งนี้มีถมไป”

ยังไม่ทันที่พี่ยอดจะพูดจบเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ไอ้กุนแล้วแต่เป็นไอ้เพื่อนตัวดีของผมแทน ผมคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์หน้าจอแล้วยกมันขึ้นแนบที่ข้างหู

'อ้าว ก็รับนี่' นี่คือสิ่งที่ได้ยินทั้งที่ยังไม่ได้กรอกเสียงทักทายของตัวเองออกไป

“อะไร”

'มึงอยู่ไหนเนี่ยปอ'

“คอนโดไง กูจะไปไหนได้ถ้าไม่ออกไปกับมึง”

'ก็จริง'

“นี่คือแค่โทรมาถามว่ากูอยู่ไหนเนี่ยนะ”

'เออดิ เด็กมึงแม่งโทรหากูยิกๆ บอกมึงไม่รับสาย'

“...” คนที่โทรหาผมมีแค่คนเดียว และคนที่ไอ้ธีร์ยัดเยียดว่ามันเป็นเด็กผมก็มีแค่คนเดียว

'เอ้า เงียบเลย สรุปเป็นไรทำไมไม่รับสายไอ้กุนมัน'

“กูไม่ว่าง วิ่งอยู่”

'แล้วทำไมรับสายกูได้'

“เออน่า ฝากบอกมันด้วยว่าถึงแล้ว วิ่งเสร็จแล้วจะโทรกลับ แค่นี้”

ผมรีบชิงวางสายจากไอ้ธีร์ ก่อนที่มันจะซักไซร้อะไรไปมากกว่านี้ ขี้เกียจคิดหาคำแก้ตัว แต่ผมดันลืมไปว่ากำลังอยู่ในสายตาของนักจับผิดอีกคนซึ่งสกิลก็ไม่ได้ต่างอะไรกับไอ้ธีร์เลย

“มีพิรุธ” พี่ยอดมองหน้าผมแล้วยิ้มขำ

“อะไรพี่”

“ไม่มีนี่ พี่พูดคนเดียว”

ดีแล้วที่พี่ยอดบอกว่าไม่มี เพราะผมเองก็ทำใจดีสู้เสือถามไปอย่างนั้นแหละ ปล่อยให้พี่ยอดวิ่งไปยิ้มไปอยู่คนเดียว ส่วนผมก็กลับมาตั้งใจวิ่งต่อ แต่พอทอดสายตาออกไปมองสิ่งต่างๆ ผ่านกระจกใส่ที่อยู่ตรงกับรีเซฟชั่นพอดี ก็เจอเข้ากับไอ้กุนที่อยู่ในชุดนอนผ้าซาตินแขนยาวขายาวสีน้ำเงินเข้มเต็มยศกำลังยืนคุยกับน้องประชาสัมพันธ์อยู่

ผมกดหยุดการทำงานของเครื่องวิ่ง แล้วก้าวท้าวลงมาทันที ที่จริงจะเดินออกไปหาอีกคนเลย แต่นึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์ยังวางอยู่บนลู่วิ่ง เลยต้องเอื้อมไปหยิบมาก่อน และถือโอกาสนั้นลาพี่ยอดด้วย

แค่เปิดประตูและก้าวออกมาจากห้องฟิตเนส น้องประชาสัมพันธ์คนสวยก็ผายมือมาทางผมพอดี ไม่นานสายตาอีกคู่ก็หันมามองทางผมด้วย ไอ้กุนหันไปก้มหัวขอบคุณน้องพนักงาน ตอนแรกก็นึกว่าเสร็จแล้วมันจะเดินเข้ามาหาผม แต่มันกลับหันไปอีกทางเตรียมจะเดินออกไปทางประตูทางเข้า

ใจนึงผมก็อยากจะเดินตามมันไป อีกใจก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วทำไมผมถึงต้องตามมันไปด้วย

สุดท้ายผมก็ได้แต่ยืนมองกุนมันเดินออกจากอาคารไป แล้วเลือกยกโทรศัพท์ในมือขึ้นโทรหาไอ้ธีร์แทน

'ว่าไง'

“มึงบอกไอ้กุนให้กูยัง”

'ยังวะ พอดีกูติดอีกสายนึงอยู่'

"เออ แค่นี้แหละ"

'มึงนี่ชักจะแปลกคนขึ้นทุกวันแล้วนะ'

"เพราะมึงนั้นแหละ"

'กู?' ไอ้ธีร์หัวเราะ 'เออๆ วิ่งเสร็จแล้วใช่ไหม โทรไปง้อเด็กมึงซะ ป่านนี้เป็นห่วงแย่แล้ว'

“สัส”

ไอ้ธีร์มันไม่ได้ยินที่ผมด่าหรอกครับ เพราะมันสลับไปคุยกับอีกสายนึงก่อนแล้ว ทิ้งให้ผมด่าลมด่าฟ้าอยู่คนเดียว จังหวะนั้นไม่ได้คิดอะไรแล้ว ผมรีบวิ่งตามไอ้กุนออกไปทันที ดีที่อยู่ใกล้ๆ กัน เห็นมันกำลังจะเลี้ยวเข้าคอนโดตัวเองพอดี เลยต้องออกแรงวิ่งมากกว่าเดิมกลัวว่าจะคลาดกัน จนในที่สุดก็ตามมันทัน ผมเอื้อมมือไปคว้าไหล่ไอ้กุนเอาไว้ แล้วก็ปล่อยให้ตัวเองยืนหายใจหอบเอากาศเข้าปอด

“เฮ้ย พี่เป็นอะไร”

ผมยกมือขึ้นห้ามไอ้กุนไม่ให้พูดอะไรต่อ เพราะตอนนี้ไม่ไหวที่จะพูดอะไรด้วยแล้ว มันเหนื่อย

“ไปนั่งพักก่อนเนาะ” กุนที่เห็นอาการของผมก็ชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ไม่ไกล เห็นผมพยักหน้าอย่างว่าง่ายมันเลยเผยรอยยิ้มของตัวเองออกมา “แก่แล้วก็งี้”

ไอ้ซุนหงอคง มึง

มึงรอกูหนายเหนื่อยก่อน

ผมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาบุกำมะหยี่สีม่วงที่อยู่บริเวณโถงของลอบบี้ ปล่อยให้ไอ้กุนเดินไปที่ห้องเมลบ๊อกซ์ที่อยู่ไม่ไกลกัน พอได้นั่งพักความเหนื่อยก็ค่อยๆ หายไป เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้กุนถือเอาซองเอกสารและจดหมายต่างๆ มานั่งเปิดอ่านอยู่โซฟาตัวถัดไป

“ไปหาแล้วหนีกลับมาทำไม” มันเงยหน้าขึ้นสบตาผมเมื่อผมเป็นฝ่ายเอ่ยถามคำถามที่เป็นเหตุให้ตัวเองต้องวิ่งตามมันออกมาแบบนี้ทั้งที่แค่กดโทรศัพท์โทรหามันเอาก็ได้

“ผมแค่อยากรู้ว่าพี่ถึงแล้ว ไม่ได้อยากไปรบกวนพี่ พี่ไม่โกรธผมได้ไหม ผมขอโทษที่ไปโดยไม่ได้บอกก่อน”

“...” อะไรกันวะเนี่ย

“พี่ปอ จะโกรธจริงๆ หรอ ผมเห็นพี่เหนื่อย กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง พี่ไม่ไลน์มาบอกแถมโทรไปก็ไม่รับ ก็เลยลองโทรไปหาพี่ธีร์ รายนั้นก็หายไปเลย ผมก็เลยลองเดินไปถามดู ผมขอโทษ”

ใจความสำคัญจากคำอธิบายที่ยาวเป็นกิโลขอไอ้กุนทำให้ผมพอจะสรุปได้ว่า ที่มันเดินหนีผมมา เพราะมันกลัวผมโกรธ ส่วนผมที่วิ่งตามมันมาก็เพราะคิดว่ามันโกรธ

เวรกรรม

“ขอบใจที่เป็นห่วง”

“โกรธปะเนี่ย”

“ไม่ได้โกรธ”

“จริงนะ” มันยังคงถามย้ำ สงสัยจะกลัวผมโกรธจริงๆ นี่กะว่าถ้าถามอีกรอบคิดว่าจะโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว “วิ่งมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปกินน้ำก่อนปะ พักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยกลับดีกว่า ปล่อยให้เดินกลับไปตอนนี้กลัวจะไม่ถึงคอนโด อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วด้วย วิ่งทำไมก็ไม่รู้”

“ไอ้กุน” มันจะเกินไปแล้ว คำก็แก่ สองคำก็แก่เนี่ย

“น่า มาพี่ ไม่ต้องเกรงใจ” ไอ้กุนลุกขึ้นยืนมือนึงคว้าที่ข้อมือที่เต็มไปด้วยเหงื่อของผม ส่วนอีกมือก็รวบเอาซองเอกสารมาถือไว้ แล้วออกแรงดึงให้เดินตาม “เดี๋ยวแถมผ้าเย็นให้เช็ดเหงื่อด้วยเอ้า”

ตกใจที่โดนลากขึ้นมาบนห้องยังไม่พอ พอก้าวเข้ามาในห้องได้ก็ต้องตกใจขึ้นมาอีกรอบ เพราะห้องไอ้กุนเป็นระเบียบมาก มากเสียงจนผมรู้สึกอายกับสภาพห้องตัวเองที่มันเคยไปเจอ ผมค่อยๆ เดินตามเจ้าของห้องพร้อมกับสำรวจสิ่งของต่างๆ รอบตัวไปด้วยจนมาถึงโซนครัว เห็นมีโต๊ะกินข้าวขนาดสี่ที่นั่งตั้งอยู่ตรงกลางเลยหย่อนก้นลงนั่งโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าของห้อง

กุนเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบเอาน้ำดื่มขวดแก้วยี่ห้อที่ใช้ตามร้านอาหารออกมาหนึ่งขวด แล้วหันไปหยิบแก้วที่ชั้นวางก่อนจะนำแก้วมาวางตรงหน้าผม แล้วใช้มือดึงเอาฝากออกแล้วรินน้ำใส่แก้วให้

“ทำไมไม่ใช้ขวดพลาสติก” ผมถาม

“ลดขยะพลาสติกไงพี่ ฝานี่ก็เอาไปบริจาคได้นะ” มันชูมือข้างที่ใช้เปิดขวดขึ้นมา ห่วงของฝายังเกี่ยวอยู่ที่นิ้วชี้ของมันมันอยู่เลย “ดูเป็นคนดีใช่มะ”

พูดจบมันหันไปหยิบแก้วมาอีกใบแล้วรินน้ำแล้วยกขึ้นดื่ม ผมเองเลยยกแก้วขึ้นมาดื่มบ้าง ถ้าเอาตามความสะดวกเข้าว่าขวดพลาสติกดีกว่าทุกอย่างจริงๆ ทั้งหาซื้อง่ายกว่า เคลื่อนย้ายง่ายกว่า แบบนี้ถ้าขวดแตกก็ต้องจ่ายค่าขวดคืนให้เขาอีก

นอกจากจะแคร์ทุกคนแล้ว แม่งยังรักโลกขึ้นมาอีก

พ่อคนดี

 

คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังอยู่ไกลๆ กุนรีบเดินออกไปตามเสียงนั้น ส่วนผมก็ค่อยๆ นั่งจิบน้ำในแก้วต่อไป

“ครับ” เจ้าตัวคงเจอโทรศัพท์ของตัวเองแล้ว “รู้แล้วพี่ ตอนนี้อยู่ด้วยกันเนี่ย”

อยู่ด้วยกัน?

หมายถึงผมหรอ?

ผมหันหลังกลับไปมองไอ้กุนที่คุยโทรศัพท์ไปด้วยแล้วก็เดินมาทางผมด้วย

“ห้องผมสิครับ” ไอ้กุนหัวเราะ “พี่จะคุยใช่ไหม แป๊บนะ”

กุนยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาตรงหน้า ทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามันต้องการอะไรจนกระทั้งกุนเอยปากบอก

“พี่ธีร์”

ผมส่ายหน้าทันทีเมื่อรู้ว่าคนในสายคือใคร ก่อนนี้เป็นไอ้กุน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นไอ้ธีร์แล้วที่ผมไม่อยากจะคุยด้วย

กุนยิ้มให้ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกรอบ

“พี่ปอไม่คุยอ่ะพี่” ผมเฝ้าสังเกตุสีหน้าไอ้กุนตอนคุยโทรศัพท์ไปด้วย เผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากล ไอ้ธีร์มันเจ้าเล่ห์จะตาย

สีหน้าของไอ้กุนค่อยๆ เปลี่ยนไป จากที่ยิ้มอยู่เมื่อกี้ก็กลายเป็นหน้าเรียบเฉยจนผมเองก็เดาสถานการณ์ไม่ออก

“เอางั้นหรอพี่ ครับ พี่ปอ..พี่ธีร์ฝากบอกว่า ถ้าไม่รับสายจะบอกความลับเรื่องเด็กพี่”

เด็กที่ไหนอีกไอ้ธีร์ ไอ้เพื่อนเลววว

โทรศัพท์ถูกยื่นมาตรงหน้าผมอีกครั้ง แต่คราวนี้คงจะปฏิเสธแบบเดิมไม่ได้แล้วด้วย ผมเลยต้องรับมันมาแล้วกรอกเสียงที่ใครฟังก็น่าจะเดาออกถึงความไม่พอใจของตัวเองลงไป

“อะไร” และเพราะไอ้ธีร์มันเดาออก มันเลยส่งเสียงหัวเราะเยาะผมกลับมาเหมือนอย่างตอนนี้ “ไม่เลิกหัวเราะกูจะวาง”

'แหมใจร้อนจังนะพี่ปอ แค่กูยังไม่โทรบอกให้ถึงกับต้องมาหาเขาถึงคอนโดเลยหรอ ทำไมดูมีอะไรๆ ยังไงก็ไม่รู้อ่ะ เอ หรือว่าธีร์จะคิดไปเองน้าาา'

“มึงมโนไอ้ธีร์” ผมเหลือบมองกุที่นั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้ามันยังคงไม่มีรอยยิ้มเหมือนกับปกติ ยิ่งเห็นมันทำหน้าแบบนี้ผมก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันคืออะไร แล้วทำไมหน้าแบบนั้นถึงได้มีผลขนาดทำให้ผมต้องกังวลใจขนาดนี้ “แล้วเลิกเอาเรื่องเด็กอะไรนี่มาขู่กูได้แล้ว แม่งไม่มีอะไรเลยสักนิด”

ผมพูดไปตาก็ยังคงจ้องสีหน้าของไอ้กุนไปด้วย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรอเปล่าเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้สีหน้าของมันเริ่มดีขึ้น

'ไม่มีก็ไม่มีทำไมต้องดุ กูแค่จะถามว่าคืนนี้อยากมากับกูไหม กูไปเจอที่ใหม่สาวอย่างเด็ด'

“งานการไม่ต้องทำรึไงมึงน่ะ เที่ยวแม่งทุกคืน”

'งานก็ส่วนงาน เที่ยวก็ส่วนเที่ยวสิวะ ทำงานพรุ่งนี้ไม่ได้ทำวันนี้สักหน่อย' ดูมันตอบ 'สรุปเลย จะมาไม่มา'

“ไม่ไป ขี้เกียจ เหนื่อย กูอยากพักผ่อน”

'แหม๋ กูอยากพักผ่อน แต่มาโผล่อยู่ห้องเด็กมึงนี่ไม่น่าได้พักนะ'

“ไอ้เหี้ยนี่ ทำไมชอบให้ด่าวะ”

'ก็มึงตลกอ่ะ กูไม่คุยกับมึงและ ไหนขอคุยกับไอ้กุนหน่อย'

“เรื่องมากจริงๆ” ผมยื่นมือถือคืนคนตรงหน้าไป พอหน้าจอมันสว่างและเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่วางสายไอ้กุนก็ยกเอาโทรศัพท์ขึ้นแนบหูตัวเองอย่างอัตโนมัติ

“ครับ” ผมยกน้ำขึ้นดื่มตาก็ยังไม่ละไปจากไอ้กุนที่ยิ้มหน้าบานอยู่ ไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกันถึงต้องยิ้มจนปากจะฉีกขนาดนี้ แล้วไอ้คนหน้าบึ้งเมื่อกี้หายไปไหน

ทำไมมันเปลี่ยนอารมณ์ไวแบบนี้วะ

“ผมใส่ชุดนอนแล้วเนี่ยพี่ อีกอย่าง” ไอ้กุนหยุดพูดแล้วสบตากับผม “ผมมีแขกด้วย พี่ไม่ลองโทรไปชวนเฮียกล้วยล่ะ ได้ข่าวว่าเจ้ออยพากุ้งกี้งไปเที่ยวต่างประเทศนะ ครับ แล้วเจอกันพี่”

“ไปเที่ยวกับไอ้ธีร์บ่อยหรอ” ผมถามเมื่อเห็นไอ้กุนวางสายจากไอ้ธีร์ไปแล้ว

“นานๆ ครั้งน่ะพี่ ให้ไปทุกวันแบบพี่ธีร์ก็คงไม่ไหว”

“อย่าไปกับมันมาก เดี๋ยวนิสัยไม่ดีจะติดมา”

“เรื่องไหนครับ? เรื่องเที่ยว? หรือว่าเรื่องผู้หญิง? ”

“ก็ ทั้งสองเรื่อง” ผมยกน้ำที่เหลือในแก้วขึ้นดื่มแก้เก้อ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีสิทธิ์อะไรไปห้ามมัน

“พี่หิวรึยัง ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม”

“ยัง”

“ผัดไทปะ ร้านที่ผมชี้ให้พี่ดูเมื่อเย็น ผมอยากกินอ่ะ ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย”

“แต่ตอนนี้แถวนั้นรถมันติด”

“ผมมีมอไซค์ เดี๋ยวแว้นได้ รับรองแป๊บเดียวถึง” ผมก้มลงมองชุดของตัวเองที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ สภาพไม่น่าจะออกไปกินข้าวข้างนอกรอด เลยเงยหน้าขึ้นกะว่าจะปฏิเสธไอ้กุนไป “นะครับ”

“เออ" ไปก็ไปดิ ทำไมต้องทำเสียงเหมือนอ้อนด้วยวะ "แล้วเลยไปส่งด้วยนะอยากอาบน้ำแล้วเหนียวตัว”

“งั้นเดี๋ยวผมไปใส่เกงในก่อนนะ พี่รอแป๊บ”

ผมได้แต่อ้าปากค้าง

นี่มันเดินไปคอนโดผมจนกลับมาที่คอนโดตัวเอง จนนั่งคุยกับผมตั้งนานมันไม่ใส่เกงใน

ได้หรอวะ

​ไอ้กุนไม่ปล่อยให้ผมรอนานแบบที่บอกจริงๆ แป๊บเดียวมันก็ออกมาจากห้องนอนด้วยชุดนอนชุดเดิมที่คงจะเพิ่มเติมด้วยกางเกงในของมัน และกุญแจรถพวงเบ่อเริ่มที่ถือติดมือออกมาด้วย

ก่อนออกจากห้องกุนเข้าไปในอีกห้องนึงที่อยู่ติดกันกับห้องนอน เพื่อหยิบเอาหมวกกันน๊อคของตัวเองออกมาหนึ่งใบ และไม่ลืมเอามาเผื่อผมด้วยอีกหนึ่งใบ มันเดินนำผมออกมายังที่จอดรถเห็นเวสป้าสีขาวคันเงาวัปจอดอยู่ในซองจอดที่มีแต่รถยนต์จอดอยู่แค่ 1 คันถ้วน เลยไม่ต้องเสียเวลาเดาว่ารถมันคันไหน

“แล้วเวลาไปทำงานไปยังไง” ผมถามตอนยกหมวกกันน๊อคที่แย่งจากไอ้กุนมาถือขึ้นสวมหัว

“ขับรถไป”

“คันนี้เนี่ยหรอ” ผมยังถามต่อในขณะที่กำลังหาวิธีติดสายรัดไอ้หมวกกันน๊อคทรงทหารญี่ปุ่นสีน้ำตาลที่กำลังสวมอยู่ไปด้วย

“ป่าวครับ คันนั้นจอดอยู่ออฟฟิศไง ก็เมื่อเย็นผมกลับกับพี่”

จนกุนมันใส่หมวงทรงเดียวกันแต่เป็นสีดำของตัวเองเสร็จก็เอื้อมมือมาติดสายรัดแล้วปรับขนาดให้พอดีกับผมให้ ผมเลยมีโอกาสได้มองสำรวจใบหน้าของคนตรงหน้าชัดๆ เป็นครั้งแรก

ถึงมันจะสูงกว่าแต่ก็ไม่ได้ต่างกันมาก เลยทำให้ผมเห็นแผลเป็นเล็กๆ ปลายคางที่ถ้าไม่สังเกตุดีดีก็คงไม่เห็น แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวก็คงจะแสบพอตัวอยู่ไม่น้อย ถึงได้มีแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ ตาสองชั้นหลบในที่ไม่ต่างอะไรกับคนไม่มีเหล่าเต๊งอย่างญาติผู้พี่เพื่อนสนิทของผมสักนิด แต่ของไอ้กรวยไม่ได้น่ามองแบบนี้เลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะตาสีน้ำตาลเข้มนั่นหรือเปล่า หรือเป็นเพราะกุนไม่ใช่เพื่อนสนิทที่รู้ไส้รู้พุงกันไปทุกเรื่องแบบไอ้กรวย หรือเหตุผลมันจะมีแค่ดวงตาคู่นั้นเป็นของไอ้กุนกัน

“เขินนะนี่ จ้องขนาดนี้” ผมยกมือขึ้นมาจับที่คางของตัวเอง เพราะเอาแต่จ้องหน้าของอีกคน จนไม่รู้ตัวว่ามันติดให้เสร็จตั้งแต่ตอนไหน “แน่นไปไหมครับ”

ผมรีบส่ายหัวตัวเองแทนคำตอบไป ไม่รู้ว่าทำหน้าแบบไหนอยู่ไอ้กุนเลยถึงกับหลุดขำออกมาได้

“อะไร ตลกหรอ” รู้สึกว่าตรงแก้มมันบีบๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่น่าตลกจนต้องขำป่าววะ

ไอ้กุนไม่ได้ตอบผมแต่หันกลับไปขึ้นคร่อมรถแล้วสตาร์ทเครื่อง เมื่อเห็นเครื่องยนต์ทำงานเป็นที่เรียบร้อยผมเองก็วาดขาขึ้นไปนั่งซ้อนข้างหลังบ้าง กุนให้สัญญาณก่อนจะออกตัวเพื่อให้ผมเตรียมพร้อม ไม่ใช่ไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์มาก่อนแต่รถที่ผมเคยซ้อนไม่ได้ทรงแบบนี้ เพราะขาไอ้กุนดันเสือกยาว ต่อให้นั่งชิดกับคอรถขนาดไหนก็ยังกินที่มาข้างหลังอยู่ดี ส่วนผมเองที่ต้องเหยียดขาไปใช้ที่พักเท้าร่วมกับมันทางด้านหน้า กางเกงกีฬาที่ใส่มาออกกำลังกายจากที่สั้นแค่เข่าตอนนี้ถกขึ้นมาอยู่ที่หน้าขาแล้วเรียบร้อย

จังหวะที่ไอ้กุนพารถและผมแทรกไปตามช่องระหว่างรถยนต์สองคันเป็นอันต้องเกรงขาเข้าหากันอย่าอดไม่ได้ กลัวขาไปครูดกับรถข้างๆ ก็กลัว ที่จับก็ไม่มี มือที่คอยจับกางเกงไม่ให้ร่นขึ้นมากกว่านี้ก็จิกขาตัวเองลุ้นไปด้วย นี่มันรถที่เหมาะสำหรับขับคนเดียวโดยแท้

“...หรอพี่” ผมไม่ได้ยินที่ไอ้กุนพูดเลยยืนหน้าเข้าไปใกล้ๆ “กลัวหรอครับ”

“มันไม่มีที่จับอ่ะ” อีนิดนี่ว่าจะสอดมือไปใต้ขาแล้วจับกับเบาะแล้วนะ แต่ยังไม่ทันได้ละมือออกจากกางเกงตามที่ว่า มือข้างนึงก็ถูกดึงไปวางไว้ที่เอวของคนข้างหน้าแล้ว

“จับตรงนี้ได้ ไม่หวง” ไอ้กุนบอก

ภาพซิกแพ็คในวันที่มันไปนอนค้างที่คอนโดผมคืนแรกลอยเข้าหัวมาในทันที เชื่อแล้วว่าของจริง

พอไอ้กุนละมือตัวเองออกไปหลังจากทิ้งมือของผมไว้บนเอวแล้วตบเบาๆ สองที ผมก็ใช้มือเดียวกันนันฟาดไปที่หัวของมันผ่านหมวกกันน๊อคทันที

มันไม่เจ็บหรอก ได้ยินเสียงมันยังหัวเราะได้อยู่ แต่ผมเนี่ย

เจ็บมือโว้ยยย

แบมือของตัวเองขึ้นดูก็เห็นว่าขึ้นรอยแดงขึ้นเป็นปื้น ยังไม่ทันหายเจ็บจังหวะที่รถเอี้ยวตัวแทรกตัวไปทางซ้ายทำเอาใจผมกระตุกวูป ลืมความเจ็บ ลืมความมั่นไส้ไปชั่วขณะ เลยเผลอไปคว้าเอวของไอ้กุนเอาไว้

“จะตกแล้วเมื่อกี้ จอดเลย จอดๆๆ” ผมยื่นหน้าไปโวยวายใส่หูไอ้คนขับไม่มีจรรยาบรรณ เกือบทำให้ผู้โดยสารตกรถ

“พี่ปอใจเย็นๆ” กุนกุมมือของผมเอาไว้ “ซอยหน้าก็ถึงแล้ว ผมไม่ปล่อยให้พี่ตกไปหรอก เชื่อใจผมสิ”

เชื่อใจบ้าอะไร ตัวยังไม่ตก แต่ใจน่ะหล่นหายไปตั้งนานแล้วเถอะ

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามือขวาผมจับกางเกงเอาไว้ มือซ้ายกอดเอวไอ้กุนเพราะมันไม่ยอมปล่อยมือออกออกจากมือผม

คำถามก็คือ

แล้วผมต้องนั่งยังไงไม่ให้ตัวไปชนกับหลังของมันเนี่ยถามหน่อย

บ้าเอ้ย

“ปล่อยได้แล้วมั้ง นั่งแบบนี้มันเหมื่อย”

“พี่ก็อย่าเกรงดิ นั่งสบายๆ”

โธ่ ไอ้ซุนหงอคง ถ้าทำแบบนั้นได้แล้วจะบ่นไหมล่ะ คิดสิคิดดด

ไอ้เราก็พยายามดึงมือออกก็แล้ว หยิกพุงมันก็แล้ว แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อย

ไม่ยอมใช่ไหม

ได้

กูยอมเอง

ผมขยับตัวเข้าไปหาไอ้กุนจนตัวเราติดกัน มือจากที่ยุกยิกๆ มาตลอดก็หยุดการขัดขืนลง พอเป็นแบบนั้นไอ้กุนก็ยอมปล่อยให้มือผมเป็นอิสระ

“ยอมเกาะตั้งแต่แรกป่านนี้ถึงแล้วนะเนี่ย” โอ้โห เหมือนโดนด่าเลย ในเมื่อมือไม่ว่างผมเลยเอาหมวกกันน๊อคของตัวเองไปชนกับหมวกของมันจนหัวไอ้ลิ่งนั่นโยกไปข้างหน้า นึกว่ามันจะว่าอะไรมาอีกผมกลับเห็นแค่รอยยิ้มผ่านทางกระจกข้างเท่านั้น

ก็ชอบยิ้มแบบนี้อ่ะ ใครจะไปโกรธจริงๆ ลงวะ

 

 ร้านผัดไทเล็กๆ ที่ตอนนี้คนเต็มทุกโต๊ะแถมยังมีลูกค้าที่ยอมยืนรอโต๊ะอยู่ด้วย แผนเลยถูกเปลี่ยนจากนั่งกินที่ร้าน เป็นซื้อกลับบ้านทั้งหมด 3 ห่อ ระหว่างรอเก็นกุนมันเดินไปที่ร้านน้ำผลไม้ปั่นที่อยู่ข้างๆ ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำปั่นสีขาวให้

ผมรับมาอย่างว่าง่ายเพราะมันซื้อมาสองแก้วยังไงแก้วนึงก็ต้องซื้อมาฝากผมอยู่แล้ว เกล็ดน้ำแข็งเย็นๆ หวานๆ ถูกดูดกลืนลงคอพร้อมกับกลิ่นหอมของมะพร้าว อร่อยจนต้องหันไปยิ้มให้คนที่ซื้อมาฝากเพื่อเป็นการตอบแทนในคุณงามความดีครั้งนี้กันเลยทีเดียว แต่อีกคนกลับไม่ยิ้มเปล่า มันเอื้อมมือมาโยกหมวกกันน๊อคที่หัวผมขึ้นให้ด้วย

“พี่จะไม่ถอดจริงดิ”

“หึ เดี๋ยวก็ต้องใส่อีกอยู่ดี ขี้เกียจ”

“ไม่ใช่ว่าถอดไม่เป็นหรอกหรอ” เสือกรู้ทันขึ้นมาอีก

ไอ้หมวกกันน๊อคนี่ก็สวยเสียเปล่า ใส่ก็ยาก ถอดยังยากอีก ผมเลยตัดปัญหา ไม่ต้องถอดมันแม่ง ถอดไปก็ใส่ไม่เป็นเดี๋ยวไอ้กุนมันต้องมาใส่ให้อายคนอื่นเขา

แกร๊ก

ได้ยินเสียงดังอยู่ข้างหูตอนที่มองออกไปที่ถนนเพื่อหาคำแก้ตัวเท่ๆ หันมาอีกทีไอ้หมวกกันน๊อคสีน้ำตาลก็ลอยออกจากหัวเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เรียบร้อยแล้ว

“ใส่ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมค่อยใส่ให้ มันร้อน”

ผมดึงหมวกจากไอ้กุนมาถือไว้เอง ถอดให้ ใส่ให้ แล้วยังต้องมาถือให้อีก มันจะสบายเกินไปแล้วผมเนี่ย “อย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน”

“เต็มใจครับ”

แม่งเอ้ย

โชคดีที่ผัดไทที่สั่งได้พอดี ไอ้กุนมันเลยต้องเดินไปเอาผัดไท ไม่งั้นมันคงจะได้ยินเสียงหัวใจของผมแน่ๆ

ไอ้นี่ ชักจะเอาใหญ่ซะแล้ว

 

----มีต่ออีก
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 6 - 03-21-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 21-03-2020 20:10:26
-----ต่อ


●●●

 

ตอนแรกคิดว่าขากลับจะนั่งสบายกว่าตอนแรก เพราะความเคอะเขินที่จะเกาะเอาไอ้คนขับเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองตกมันหายไประหว่างทางที่มาหมดแล้ว แต่กลายเป็นว่าตอนนี้อาการจะหนักกว่าคราวแรกเสียอีก หมวกกันน๊อคที่ตอนแรกติดยากยังไงตอนนี้ก็ยังติดอยากอยู่อย่างนั้น ขอไอ้กุนลองใส่เองอยู่เป็นพักก็ยังทำให้มันรัดกับคางตัวเองไม่ได้ จนต้องเป็นไอ้กุนอีกรอบที่ใส่ให้ คนงี้มองกันทั้งร้าน ก้าวขึ้นนั่งประจำที่ได้ก็นั่งเกรงมันตลอดทาง มือนึงถือถุงผัดไทย อีกมึงก็ดึงเสื้อนอนของไอ้กุนเอาไว้แทนที่จะจับลงไปที่หน้าท้องมันตรงๆ นาทีนี้กางเกงจะเปิดขึ้นมาขนาดไหนช่างมันก่อน อีกนิดก็จะถึงแล้ว

เราตกลงกันว่าจะมากินผัดไทที่ถ่อไปซื้อกันมาตั้งไกลที่ห้องของผม เพราะบอกให้แยกย้ายกลับไปกินห้องใครห้องมันเลยไอ้ตัวดีมันกลับไม่ยอม ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรกับการกินข้าวคนเดียวนัก ไอ้กุนเลยได้กลับมาเหยียบห้องผมอีกครั้ง

ผมเดินนำไปที่โซนครัว แล้วหยิบเอาจานออกมาสองใบโดยเลือกให้ขนาดใหญ่หน่อย พร้องกับช้อนซ่อมสองคู่ออกมา ยังไม่ทันได้วางลงบนโต๊ะ อีกคนก็มาแย่งมันไปจากมือแล้ว ไอ้กุนแกะผัดไทสองห่อใส่จานคนละใบ แต่พอผมจะเอื้อมไปหยิบจานที่เล็งไว้มาก็โดนมันห้ามเอาไว้เสียก่อน กุนแกะผัดไทอีกห่อ แล้วจัดการแบ่งใส่ทั้งสองจานเท่าๆ กัน ก่อนจะเลื่อนหนึ่งจานมาตรงหน้าผม

ถึงตอนนี้ผมจะหิวมากก็จริง แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะกินผัดไทยที่ไอ้กุนแบ่งมาให้หมด พอเห็นอีกคนตั้งใจตักแบ่งให้ก็ไม่ได้ท้วงอะไรไป และเริ่มลงมือตักผัดไทยคำแรกเข้าปาก รสชาติแรกที่ลิ้นสัมผัสโดนกับเส้นผัดไทยรู้สึกได้แค่คำเดียวเลยว่าอร่อย เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี แถมรสชาติก็พอดีจนไม่ต้องหาอะไรมาปรุ่งเพิ่ม ดีเหมือนกับที่อีกคนโม้ไว้ไม่มีผิด

ขณะที่กำลังเคี้ยว ผมเหลือบไปเห็นคนตรงหน้าที่กำลังตั้งใจเขี่ยเต้าหู้เหลืองไปวางไว้ตามขอบๆ จาน ก็อดขำไม่ได้

“ไม่กินแล้วทำไม่ไม่บอกเค้าเสียดายของ” ผมเลื่อนจานของตัวเองไปใกล้ๆ แล้วกวาดเอาเต้าหู้ที่อีกคนรังเกียจมาใส่ในจานตัวเอง

“ปกติผมก็สั่งว่าไม่ใส่ แต่ผมไม่รู้ว่าพี่กินรึเปล่า” จากที่เขี่ยเอาเต้าหู้ไปไว้ข้างจานก็กลายเป็นว่าเอามาใส่ในจานผมแทน “อีกอย่างต่อไปก็คงไม่ต้องสั่งว่าไม่ใส่แล้ว” ไอ้กุนยิ้ม

“ไม่สั่งก็ต้องทิ้งดิ”

“พี่ก็กินแทนผมไง ไม่ต้องทิ้งให้เสียดายของ” พอจบประโยคเต้าหู้ชิ้นสุดท้ายถูกก็ถูกย้ายลงมาวางบนจานของผมพอดี ไอ้กุนยิ้มจนตาหยี ก่อนจะตักเอาผัดไทยคำโตเข้าปาก ส่วนผมเองก็ยังคงงงกับประโยคเมื่อครู่

ให้ผมมาคอยกินเต้าหู้ในผัดไทยให้มันเนี่ยนะ

มันใช่หรอ

 

 

 

#เพราะรักรออยู่

ยาวม๊ากกกกกก

  :a1:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 6 - 03-21-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 21-03-2020 22:22:00
"ไม่รู้ว่าจะมีคนซื้อมารอไว้แล้ว ถึงว่าไม่โทรหาเก๋เลยน้าาา”

ผมเกลียดการลากเสียงของเก๋ได้ไหม


แต่เราไม่เกลียดน๊าาาาา
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 7 - 03-30-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 30-03-2020 20:28:53

 



ตอนที่ 7

 

เหมือนกับเช้าของทุกๆ วันที่ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุกจากโทรศัพท์ อิดออดอยู่ใต้ผ้าห่มอีกไม่นานก็บังคับตัวเองให้ลุกออกจากที่นอน แล้วไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน เพราะขืนชักช้าไปกว่านี้ผมอาจไปทำงานสายได้

กำลังติดกระดุมเม็ดสุดท้ายก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนอีกคนบอกผมเอาไว้ว่าจอดรถทิ้งไว้ที่บริษัทแล้วขับรถกลับมาให้ผม เลยเดินวนไปหยิบเอาโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงที่ประจำข้างเตียงขึ้นมากดโทรหา รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย ยังไม่ทันได้ยินเสียงของปลายสายก็ได้ยินเสียงตะโกนดังแทรกเข้ามาก่อน แค่นี้ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าอีกคนกำลังจะโบกวินมอไซค์ไปทำงานอยู่แน่นอน

“ครับพี่ปอ”

“เดี๋ยวไปรับ”

“ไม่เป็นไรพี่ผมมา”

“กุน พี่กำลังจะออกไปแล้ว รอก่อน”

ผมไม่ได้รอให้ไอ้กุนตอบกลับมาก็กดวางสายแล้ววิ่งไปคว้าเอาของที่ต้องหิ้วไปทำงานด้วยมาถือ งงตัวเองเหมือนกันทำไมผมต้องรีบขนาดนี้ ใส่รองเท้าได้ ล๊อกห้องเสร็จก็รีบตรงไปที่รถแล้วขับมันออกไปทันที

ตอนแรกที่ผมเห็นไอ้กุนก็นึกว่ามันกำลังจะโดนพวกพี่วินรุมทำร้ายเอา เพราะพวกพี่วินเล่นยืนล้อมมันจากทุกด้าน แต่พอขับเข้ามาใกล้อีกหน่อยผมก็แอบด่าตัวเองในใจเบาๆ ว่าผมเอาอะไรมาคิดว่าไอ้กุนกำลังจะโดนรุมทำร้าย พี่วินแต่ละคนหัวเราะปากกว้างกันขนาดนั้น ไม่รู้ว่าไอ้ลิงนั่นกำลังโม้อะไรให้ฟังอยู่

ผมกดแตรลงไปเบาๆ เพียงเพื่อเป็นสัญญาณให้มันหันมามอง พอเห็นรถผมเข้าไอ้กุนก็ส่งยิ้มมาให้ ทั้งที่มันไม่น่าจะเห็นแต่ผมเองก็ส่งยิ้มกลับไปเหมือนกัน กุนหันไปลาพวกพี่วินก่อนจะวิ่งขึ้นมานั่งบนรถแล้วจัดแจงปรับแอร์ดับร้อนให้ตัวเองเสร็จสรรพ

“ผมกำลังจะก้าวขึ้นมอไซค์อยู่แล้ว ดีนะไม่โดนพี่วินกระทีบเอา” มันบ่น

“กระทีบอะไรยิ้มปากจะฉีกกันทุกคน”

“ก็หาเรื่องคุยไป ไม่งั้นคงแหลก พี่ดูดิตั้งกี่คน ถึงผมจะสู้คนแต่คนเยอะแบบนี้ก็ไม่ไหวนะครับ”

“ขี้โม้อีกและ” ผมว่า ส่วนไอ้กุนก็แค่ยักไหล่แล้ว ก็ยื่นหน้าพี่จ่อที่แอร์ สงสัยมันจะร้อนจริงๆ “ตอนบ่ายต้องไปคุยเรื่องงานแฟมมิลี่เดย์ วันนี้ไปอยู่กับไอ้เก๋วันนึงแล้วกัน”

“ผมไปกับพี่ไม่ได้หรอ”

“ไปทำไม แค่ไปคุยกันเฉยๆ ”

“ก็เผื่อช่วยอะไรพี่ได้บ้าง”

“งั้นไปประชุมแทนหน่อย”

“ถ้าไปแทนได้ก็จะไปให้หรอก” ผมปรายตามองคนที่เอาหูจ่ออยู่ที่ช่องแอร์แล้วหันมามองหน้าผม “งั้นเอางี้ ผมไปอยู่กับพี่เก๋ก็ได้ แต่เย็นนี้ผมขับรถกลับบ้านให้”

“เป็นอะไรกับรถกูนักหนา แล้วรถจะจอดทิ้งไว้แบบนั้นรึไง”

“จริงด้วย เอาไงดี” เหมือนมันคุยกับตัวเองมากกว่าถามความคิดเห็นจากผม ผมเลยปล่อยให้มันนั่งขมวดคิ้วกับคำถามของมันไป ส่วนตัวเองก็หันกลับมาตั้งใจขับรถต่อ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว “พี่ๆๆ ”

“อะไร!” ตะโกนมาได้ ตกใจหมด

“จอดตรงป้ายสีเขียวๆ นั่นหน่อย พี่ยังไม่ได้กินข้าวมาใช่ไหม”

“ยัง แต่มันจอดตรงนั้นไม่ได้”

“จอดได้”

“ข้างหลังเค้าจะด่ากูไอ้กุน”

“ไม่ด่า เชื่อผม พี่ลองดู”

 

ผมจอดรถตรงป้ายสีเขียวตามที่ไอ้กุนมันบอก นึกว่ามีอะไร ที่แท้ก็ร้านซาลาเปา เสียเวลาไปนานพอดูกว่าจะมาจอดอยู่หน้าร้านได้ เพราะรถคันข้างหน้าต่างก็แวะที่หน้าร้านกันหมด ไม่แปลกใจเลยที่ไอ้กุนมันบอกว่าคันหลังจะไม่ด่าผมแน่ๆ ก็เพราะคันหลังก็ต่อคิวที่จะแวะร้านเดียวกันอยู่นี่เอง

“ลุง เอาใส้หมูสิบลูก” ไอ้กุนลดกระจกลงเพื่อนสั่งของที่ต้องการรกับลุงคนขาย พร้อมกับบอกเงินที่ถืออยู่ในมือเพื่อให้คนขายเตรียมเงินทอนมาให้ทีเดียว

คนบ้าอะไรสั่งซาลาเปาทีเป็นสิบลูก

ไม่นานลุงคนเดิมก็เดินมายื่นถุงซาลาเปาให้ ไอ้กุนกดเลื่อนกระจกขึ้น ผมเองก็เลื่อนรถไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกัน เห็นมันหยิบซาลาเอาออกมาแบ่งครึ่ง แล้วเป่าไล่ความร้อนทั้งสองชิ้นในมือพร้อมๆ กัน ผมรู้แล้วว่าทำไมไอ้กุนถึงสั่งซาลาเปามาตั้งสิบลูก เพราะว่ามันเป็นแค่ซาลาเปาลูกเล็กๆ เท่านั้น ไม่ใช่ซาลาเปาลูกใหญ่ๆ แบบที่ผมเคยกิน

กลิ่นหอมของหมูสับที่ผสมกับเครื่องเทศทำเอาน้ำย่อยของผมทำงาน รู้สึกหิวได้ไม่นานซาลาเปาครึ่งนึงก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ผมละมือข้างนึงออกจากพวงมาลัยเพื่อไปรับเอาซาลาเปามาถือไว้ก่อนจะเป่ามันอีกสองสามทีเพื่อให้ชัวร์ว่าไม่ร้อนจนลวกปากจึงส่งมันเข้าปาก

“อร่อยปะ” ไอ้กุนถาม

ผมได้แต่หันไปพยักหน้า เพราะเคี้ยวซาลาเปาอยู่เต็มปาก มันทำหน้าพอใจ แล้วส่งเอาซาลาเปาที่เหลืออีกครึ่งในมือเข้าปากบ้าง และทันทีที่มือว่างมันก็หยิบซาลาเปาในกล่องกลับมาทำแบบเดิมอีกรอบ กินไปมันก็ฉีกยิ้มไปกว่าจะถึงออฟฟิศซาลาเปาก็หมด พร้อมกับผมที่อิ่มจนรู้สึกแน่น

“ขอบคุณนะครับที่ให้ติดรถมาด้วย” กุนพูดก่อนจะเตรียมตั้งท่าจะลงจากรถ ทำเอาผมนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานอีกคนอุตส่าห์ขับรถกลับมาให้แท้ๆ แต่กลับยังไม่ได้เอ่ยขอบคุณเลย เรื่องที่ช่วยไว้ก่อนหน้านี้ก็ด้วย คงได้เวลาที่จะต้องบอกบ้างแล้วสินะ

“ขอบคุณ”

“ครับ?” ผมคงจะพูดเบาไป ไอ้ลิงนั่นเลยหันมาทำหน้างงใส่ เห็นแล้วก็นึกถึงไอ้มอมขึ้นมาอีก สงสัยอาทิตย์นี้ผมคงต้องกลับไปหาน้องชายสักหน่อย

“ป่าว รีบไปได้แล้ว” ผมก้าวลงจากรถ แล้วปิดประตู ไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูจากอีกฝั่ง ก่อนจะปรากฎร่างที่นั่งข้างๆ กันเมื่อครู่ตรงหน้า “อะไรอีก”

“เมื่อกี้พี่บอกขอบคุณหรอ”

“ได้ยินแล้วจะมาถามอีกทำไม” ผมเบี่ยงตัวหลบแล้วเดินนำไอ้กุนเข้ามาในตัวอาคาร

“ก็พี่พูดเบาอ่ะ ผมได้ยินไม่ชัด” มันว่าพร้อมกับวิ่งตามมาเดินข้างๆ “ผมช่วยไหม”

ผมมองมือที่ยื่นมาตรงหน้าก่อนจะตวัดสายตากลับไปหาไอ้เจ้าของมือที่เดินไปยิ้มไปแบบไร้สาเหตุ “ไม่ต้อง”

ก็ตอนนี้มือนึงผมถือโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ ส่วนอีกมือก็เป็นแค่ซองหนังใส่เอกสารบางๆ ที่ดูด้วยสายตาก็รู้แล้วไม่ได้หนักอะไร ยังจะมาอาสาช่วยถืออีก

“ปกติชอบช่วยคนโน้นคนนี้ไปทั่วแบบนี้หรอ ทำไมเป็นคนดีจังวะ” ผมถามตอนที่เรามายืนรอลิฟต์พร้อมกับพนักงานคนอื่นๆ ในหัวก็พลางนึกถึงญาติผู้พี่ของไอ้กุนไปด้วย ถ้าเป็นไอ้กรวยก็คงเอาของในมือมาให้ผมถือเพิ่มนั่นแหละ ไม่มีหรอกที่จะมาช่วยถือของอะไร

“แค่จะช่วยถือของ พี่ก็คิดว่าผมเป็นคนดีแล้วหรอ”

“ก็ถ้าเทียบกับไอ้กรวย” ไอ้กุนหัวเราะ ก็ใครจะไปรู้ รู้จักกันก็แค่ไม่นานมันช่วยผมไปแล้วตั้งกี่อย่าง ถ้าไม่ให้เรียกคนดีแล้วต้องเรียกยังไง เออ หรือว่ามันแค่สร้างภาพวะ

ผมหันไปหรี่ตามองมัน เพราะต้องการจับผิด แต่ก็ได้กลับมาแค่การเลิกคิ้วกับรอยยิ้มที่มุมปากของอีกคน

“ยิ้มอะไรนักหนา”

“เอ้า อารมณ์ดีก็ยิ้ม หรือว่าพี่ชอบคนหน้าตึงๆ” มันพูดพร้อมกับดึงหน้าตึงตามที่บอก

พอไม่ยิ้มมันก็ดูเป็นผู้เป็นคนดี ดูไม่เหมือนคนบ้าที่แจกยิ้มไปทั่ว แต่ไอ้หน้าตึงๆ แบบนี้ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะกับไอ้กุนเท่าไหร่ มันดู..หล่อเกินไป ให้ยิ้มเหมือนผีบ้าแบบตอนแรกยังดีเสียกว่า “อ้าว เงียบเลย ตกลงชอบแบบไหนครับ”

“แบบไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ หน้าอย่างกับลิง”

“ลิงที่ไหนจะหล่อขนาดนี้” เพราะมีเสียงแหลมๆ ของผู้หญิงดังแทรกขึ้นมา ผมกับไอ้กุนเลยแทบจะหันไปตามเสียงจากทางด้านหลังพร้อมกัน เห็นไอ้เก๋ส่งสายตาล้อเลียนมาหา ก่อนจะก้าวเท้าแทรงตัวขึ้นมาตรงกลางระหว่างผมกับไอ้กุน “จริงไหมคะน้องกุน”

“ให้พี่ปอมองผมเป็นลิงก็ดีนะครับพี่เก๋” ไอ้กุนเหลือบสายตาจากเก๋มาสบตากับผมแถมยังไม่ลืมฉีกยิ้มมาให้ “ดูพิเศษกว่าคนอื่นดี”

พิเศษบ้าอะไรล่ะ “เพ้อเจ้อ”

โดนผมด่าเข้าไปแทนที่ไอ้ลิงนั่นจะสลด มันกลับส่งยิ้มแบบที่ชอบใช้ประจำมาให้แทน สงสัยไอ้กุนนี่จะติดนิสัยไอ้ธีร์มาแน่ๆ

ชอบให้โดนด่า

“งื้อออ” ไอ้เก๋ร้อง พร้อมกับหันมาเขย่าแขนผมยิกๆ “พี่ปอขาาา”

“เก๋ เบาๆ คนอื่นมอง” ใจจริงก็อยากจะปรามไอ้เก๋ออกไปเสียงดังๆ แต่เพราะเห็นสายตาของพนักงานคนอื่นที่มองกลับมาผมเลยทำได้แค่กระซิบ เก๋เม้มปากฉับยอมหยุดส่งเสียงแปลกๆ ออกมาก็จริง แต่มันยังไม่ยอมหยุดเขย่าแขนผมนี่สิ “หยุดเขย่าก่อน พี่เวียนหัว”

“ก็เก๋เขินอ่า”

ผมส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจะเขินอะไรของมันหนักหนาหน้างี้แดงไปหมดแล้ว หันไปมองไอ้ตัวต้นเหตุที่ยังไม่ยิ้มหน้าบานนั่นก็อีก

ไอ้พวกนี้นี่

เป็นอะไรกันไปหมด

 

ผมพยายามแกะมือของไอ้เก๋ออกแล้วเดินหนีเข้าไปในลิฟต์ก่อน แต่ก็ไม่วายที่จะโดนตามมาโดยไอ้สองคนนั้นอยู่ดี ได้ยินเสียงไอ้เก๋หัวเราะคิกคักอยู่ข้างหลัง ก็คงจะหัวเราะกับไอ้กุนมั้ง ผมไม่ได้หันไปดู เดินเข้ามาอยู่มุมสุดของลิฟต์ได้ก็ไม่ได้หันกลับไปอีกเพราะตอนนี้ยังสาละวนอยู่กับการเอานิ้วมือนวดคลึงตรงขมับอยู่

เสียงหัวเราะเงียบไปแล้ว ทุกอย่างกลับมาเงียบสนิทเพราะประตูลิฟต์ปิดและกล่องสี่เหลี่ยมที่บรรทุกคนอยู่เต็มจนเกือบแน่นกำลังเคลื่อนตัวขึ้นไปสู่ชั้นต่างๆ ภายใต้ความเงียบนั้นเองที่ผมรู้สึกถึงสัมผัสที่บริเวณหลังของตัวเอง มันไม่ใช่การสะกิดเรียก แต่เป็นเพียงแค่การบังเอิญโดนกันของหลังของผมและหลังอีกคนที่อยู่ถัดไป และมันเป็นแบบนี้อยู่ตลอดที่มีคนขยับเข้าออกจากลิฟต์ จากตอนแรกๆ ก็เป็นการโดนกันแล้วอีกคนก็ขยับออก แต่ในตอนนี้สัมผัสนั้นกลับไม่ขยับหนีไปไหน ขวามือผมเป็นน้องอีกคนที่อยู่คนละแผนก ได้ยินเสียงไอ้เก๋อยู่ทางด้านหลัง แต่เก๋ก็ไม่น่าจะสูงขนาดนี้ งั้นก็แสดงว่าหลังผมคือไอ้ลิงนั่น

คิดได้แบบนั้นผมก็ผงกหัวลงและขึ้นจนไปกระทบกับหัวคนที่อยู่ด้านหลัง ได้ยินเสียงมันร้องเบาๆ ขนาดผมเองยังรู้สึกเจ็บนิดๆ อีกคนจะไม่เจ็บก็ให้มันรู้ไป

“น้องกุนเป็นอะไรคะ” ไอ้เก๋ถาม จังหวะเดียวกันนั้นเองผมก็หันหน้ากลับมา เห็นไอ้กุนมันเอามือกุมท้ายทอยของตัวเองเอาไว้ แล้วเอี้ยวตัวมองมาทางผม ตอนแรกที่เห็นมันนิ่วหน้าก็เกือบจะหลุดขำ ดีที่กลั้นเอาไว้ได้ เลยยักคิ้วให้อีกคนไป

“ไม่เป็นไรครับพี่เก๋” เห็นมันหันกลับไปยิ้มให้เก๋ แต่มือยังคงจับตรงที่เจ็บไม่ปล่อย ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี

“พี่ปอแกล้งอะไรน้องรึป่าวเนี่ย”

“บ้า!” ไหงมันวกกลับมาหาผมได้เฉย ผมว่าผมเนียนแล้วนะ “ใครแกล้ง”

ตึ๋ง!

แล้วเสียงสัญญาณลิฟต์เปิดก็ช่วยชีวิตผมเอาไว้จากสายตากดดันของไอ้เก๋พอดี ผมรีบดันตัวทั้งไอ้เก๋แล้วก็ไอ้กุนให้เดินออกมาจากลิฟต์ เก๋แยกออกไปยังห้องของตัวเอง ส่วนอีกคนต่อให้อยากจะไล่ให้ไปไกลๆ แค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะไม่ว่ายังไงมันต้องมานั่งทำงานห้องเดียวกับผมอยู่ดี

“เจ็บไหมนั่น” คนที่เดินมาด้วยกันถาม พร้อมกับส่งมือมาจับส่วนที่กระแทกกันเมื่อครู่ แปลกที่ในตอนแรกความเจ็บหายไปหมดแล้ว พอโดนไอ้กุนจับเข้าอยู่ดีดีก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกเสียอย่างนั้น “ทำซะแรงเลย”

“เจ็บดิ ถามได้” ผมหลบออกจากมือของไอ้กุนโดยการเริ่งฝีเท้าไปข้างหน้า 2 ก้าว เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานที่ใช้เป็นประจำ โดยไม่สนใจอีกคนที่รีบเดินตามมาไม่ห่าง ไม่ได้หวงตัวขนาดโดนไม่ได้หรอก แต่ตรงที่ไอ้กุนมันจับมันรู้สึกร้อนแปลกๆ

“ห้ามกวน!” ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าคนที่มายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ครึ่งวันเช้าอยากทำงานแบบเงียบๆ เพราะตอนบ่ายต้องเข้าประชุมเรื่องแฟมมิลี่เดย์อีก บางทีถ้าเย็นนี้ไหวจะได้กลับบ้านไปหาแม่เลย

“จะปิดปากให้สนิทเลยวันนี้”

“ดีมาก”

กุนเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง รื้องานทีทำค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นมาทำ เห็นแบบนั้นผมก็เบาใจที่อีกคนยอมเชื่อฟังกันง่ายๆ เลยเริ่มทำงานของตัวเองต่อบ้าง

ก้มหน้าก้มตาไปได้สักพักผมก็สัมผัสได้ถึงความเงียบที่เรียกได้ว่าผิดปกติ ดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือก็ปรากฎว่าตั้งแต่เข้ามาในห้อง ผมทำงานไปแล้วมากกว่า 2 ชั่วโมงโดยที่ไม่ได้ยินเสียงจากอีกคนที่ทำงานอยู่ในห้องเดียวกันเลย

เป็นไปได้เว้ย

เงยหน้าขึ้นมองโต๊ะทำงานที่อยู่ถัดไปก็เห็นไอ้กุนกำลังทำงานอย่างขมักเขม้น ตอนมันเป็นคนปกติก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าไอ้กุนมันหล่อ ทั้งตา จมูก หรือแม้แต่ปาก หากจะหาที่ตินั้นก็คงยาก ยิ่งตอนที่กำลังตั้งใจทำอะไรสักอย่างเหมือนกับตอนนี้แล้วยิ่งดูมีเสน่ห์ไปกันใหญ่

แต่เดี๋ยวก่อนนะ!!

นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่

ผมจะมานั่งชมมันทำไม มีเสน่ห์บ้าบออะไร ไม่มีๆๆ

โอ้ยยย

ผมสะบัดหัวตัวเองเพื่อสลัดเอาความคิดเมื่อครู่ออก และเหมือนอีกคนจะรู้สึกถึงการกระทำนั้นเลยเงยหน้าขึ้นมาจากงานเพื่อมองหน้าผม

“...”

แต่เพียงแค่นั้น แล้วมันก็ก้มลงไปทำงานต่อ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นอีกคนทำท่าทางแบบนั้น ทั้งที่ผมเป็นคนขอมันเอาไว้เองว่าไม่ให้เขามากวนเวลาทำงานเองแท้ๆ แต่อย่างน้อยมันก็ต้องยิ้มให้ผมไม่ใช่หรอ?

หรือว่าผมจะพูดกับมันแรงไป

ก็ไม่น่าใช่

ผมก็พูดปกติ

แล้วมันเป็นอะไรของมัน

“กุน” ไอ้กุนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยตอบรับเหมือนกับทุกที มันแค่รอฟังว่าผมกำลังจะให้ทำอะไรซึ่งนั่นก็ไม่มี ผมไม่ได้จะไหว้วานให้กุนช่วยงานอะไร ผมอาจจะแค่...ไม่ชินที่อยู่ๆ มันก็เงียบไปแบบนี้

“จะให้ผมช่วยอะไรหรือเปล่าครับ” ในเมื่อผมยังคงเอาแต่นั่งนิ่ง ไอ้กุนเลยเป็นฝ่ายถามขึ้นมา จะบอกว่าเรียกเฉยๆ ก็ไม่น่าจะได้ เสียฟอร์มหมดกันพอดี แล้วยังไงดีล่ะทีนี้ ผมต้องรีบนึกให้ออกสิ นึกให้ออกว่าผมไปเผลอเรียกมันทำไม

“เอาของที่ยืมไปมาคืนได้แล้ว จะใช้” กุนพยักหน้าแล้วรวบเอากองดินสอปากกาและอื่นๆ ที่ยืมผมไปกลับมาคืนให้ที่โต๊ะ ได้ยินมันพูดขอบคุณผมเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไป

เอาจริงๆ คือมันไม่เหมือนเดิมจนผมรู้สึกไม่โอเค

และผมกำลังไม่โอเคมากๆ ด้วย

ผมกระแทกสองมือลงบนโต๊ะก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นยืน แล้วก้าวขาฉับๆ ไม่นานก็พาตัวเองมายืนอยู่ข้างๆ ไอ้ตัวปัญหาที่ยังคงดึงหน้าตึงไม่ยอมเลิก

แค่ดูก็รู้ว่าตอนนี้ไอ้กุนมันตกใจกับท่าทีของผม เพราะจู่ผมก็มายืนอยู่ข้างเก้าอี้ทำงานของมันเสียจนต้องหันกลับมามองว่าผมจะทำอะไร มือทิ้งสองข้างถูกยื่นไปดึงแก้มของมันให้ฉีกยิ้มแบบที่ชอบทำมาตลอดออกมา แต่ผมคงจะออกแรงมากไปหน่อยเลยได้ยินเสียงร้องตามมา และมือทั้งสองข้างของผมก็โดนอีกคนที่พยายามแกะออกจนสามารถเอามากุมเอาไว้ได้ในเวลาต่อมา

“เจ็บ” กุนพูด “มาบังคับให้ผมยิ้มทำไมครับ ไม่ชอบไม่ใช่หรอ”

“บอกตอนไหนว่าไม่ชอบ”

“ก็เห็นบ่นว่าผมยิ้มเยอะ ก็นึกว่าไม่ชอบ”

“ก็ดีกว่าหน้าแบบเมื่อกี้แหละ”

“หน้าแบบเมื่อกี้เป็นยังไงครับ ผมก็ทำหน้าปกติเลยนะ”

“หรอ งั้นก็เรื่องของมึงเหอะ จะทำหน้าแบบไหนก็” ได้ยินเสียงมันหัวเราะ พร้อมกับสัมผัสจากการลูบนิ้วมือเบาๆ บนมือของผม เลยเพิ่งนึกได้ว่ามันยังคงจับมือผมอยู่ ผมก้มลงมือที่มือของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ “ถูเอาเลขหรอ”

พูดไปแบบนั้น แต่ในใจนี่เต้นไม่เป็นจังหวะไปหมดแล้ว ผมต้องเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหมที่ดันมารู้สึกกับแค่สัมผัสอะไรแบบนี้

“ไม่ได้ถูเอาเลข แต่หมั่นเขี้ยว อยากเอาคืน”

เอาคืน?

คิดจะมาหยิกแก้มผมคืนเนี่ยนะ “กล้าหรอ?”

“ก็ไม่กล้าไง เลยทำได้แค่นี้” ไอ้กุนออกแรงบีบที่มือผมหนึ่งทีก่อนจะละมือออกไป “มาแหย่ผมก่อน เดี๋ยวพอผมไปกวนบ้างแล้วจะมาบ่นไม่ได้แล้วนะ”

ผมหันหลังเดินกลับโต๊ะ ไม่อยากจะยอมรับเลยว่ารู้สึกดีใจนิดหน่อยที่ไอ้กุนบอกว่าจะกลับมากวนผมเหมือนเดิม ดูสิ ผมต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ พอมันกวนก็ไปด่ามัน พอมันไม่กวนแทนที่จะสบายใจ กลับเป็นฝ่ายไปกวนมันเสียเองอีก “ก็กวนได้อีกแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นแหละ จะเท่าไหร่กันเชียว”

“อะไรนะครับ”

“เฮ้ย!!” เพราะเสียงที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ต้องหันกลับไปมอง ไอ้ลิงนั้นตามมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แล้วยังยื่นหน้ามาพูดข้างๆ หูอีก ดีนะที่เอี้ยวตัวหลบทัน ไม่งั้นนะ ไม่งั้น “เขยิบออกไป ตกใจหมด”

ไอ้ซุนหงอคงมันทำหน้าสงสัย แต่ก็ยอมถอยไปหนึ่งก้าวแต่โดยดี “ไม่เห็นมีอะไรน่าตกใจเลย”

“ไม่มีอะไรได้ไงล่ะ ก็เมื่อกี้” เมื่อกี้น่ะ แก้มผมเกือบจะโดนจมูกมันอยู่แล้ว

“เมื่อกี้อะไรครับ”

“ช่างมันเหอะ” ผมรีบเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ แต่ก็ไม่วายที่อีกคนจะตามมาหลอกหลอนกันอีกจนได้ เป็นไงล่ะ มันกลับมากวนสมใจแล้วไหมทีนี้ “มีอะไรอีก”

“ผมเดินมาส่ง”

“เดินมาส่ง!” ผมทวนคำตอบของไอ้กุนออกไป นี่มันงงหรือว่าผมงงกันแน่

“งั้นผมไปทำงานนะ”

“เออ”

“จะไม่กวนแล้วนะ”

“ไปสักทีเถอะ”

“หรือว่า..ผมย้ายมานั่งทำงานกับพี่ดีไหม” มันพูดพร้อมกับชี้ลงที่เก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานของผม พร้อมกับฉีกยิ้มจนตาหยีรอคำตอบ

ดู! ดูนิสัยมัน น่ารำคาญน้อยเสียที่ไหน "ตอบว่าไม่ดีได้ไหม"

"ไม่ได้สิพี่ ขอเวลาขนของแป๊บ" พูดจบไอ้ซุนหงอคงมันก็วิ่งหน้าตั้งไปรวบงานบนโต๊ะของตัวเองมายืนหน้าโต๊ะทำงานของผมเรียบร้อย

แล้วแบบนี้ผมจะทำอะไรได้ นอกจากค่อยๆ เก็บโต๊ะทำงานที่แผ่เอกสารเอาไว้เต็มโต๊ะไปกองรวมกันไว้ด้านข้างเพื่อแบ่งพื้นที่โต๊ะทำงานให้ไอ้ลิงหน้าหมานั่น

เฮ้อออ ยุ่งจริงๆ ไอ้ลิงนี่

 

 

 

 

 

 

#เพราะรักรออยู่

ดีใจที่ทุกคนหลงเข้ามานะคะ

 

หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 7 - 03-30-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 30-03-2020 21:31:19
หายไปหลายวันอ่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 8 - 04-01-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 01-04-2020 18:00:57
หายไปหลายวันอ่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะ


คุณก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ขอบคุณที่มาเล่นกันน้าาาา






 




ตอนที่ 8

 

 

“ปอ โทรศัพท์ปอดังน่ะ แม่ก็เลยรับให้”

เลิกงานปุ๊บผมก็ตรงมาที่บ้านเลย ไม่ได้กลับคอนโดเหมือนอย่างทุกที จริงๆ ต้องบอกว่าประชุมเสร็จก็ออกมาเลยต่างหาก เพราะกว่าจะคุยกันรู้เรื่องลงตัว ก็ปาไปจนเลิยเวลาเลิกแล้ว 

ผมขับรถมาถึงบ้านขนของลงจากรถแล้ววางทุกอย่างไว้ในบ้านได้ยังไม่ได้ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ออกมานั่งเล่นกับพ่อแล้วก็ไอ้มอมอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน จนแม่เดินถือโทรศัพท์ออกมายื่นให้ ไม่ทันได้ดูว่าเป็นใครก็รับเอามายกขึ้นแนบหูแล้วกรอกเสียงของตัวเองลงไปทันที

“ครับ”

‘แม่พี่ชวนผมไปเที่ยวบ้าน’ จำเสียงได้ตั้งแต่คำแรกที่ได้ยินว่าปลายสายเป็นใคร แต่ที่งงก็คือ ไอ้ลิงนี่มันคุยอะไรกับแม่ ถึงได้ชวนกันมาหาที่บ้านแบบนี้

“มาทำไม ไม่ต้องมา แม๊!!” โดนแม่หยิกเข้าที่เอวไปทีถึงกับร้องเสียงหลง ผมหันไปมองคุณนัยนาที่ทำตาเขียวใส่ ดูท่าจะหลงเสน่ห์ไอ้กุนไปอีกคนนึงแล้ว

“กุน มาเลยลูก นี่บ้านแม่ แม่จะเชิญใครก็ได้” แม่พูดเสียงดัง และผมก็ว่าปลายสายคงจะได้ยินชัดทีเดียว ถึงได้หัวเราะออกมาแบบนี้ เห็นทีว่าจะต้องเข้าเรื่องเสียที ไม่งั้นผมคงได้โดนแม่เล่นงานอีกหลายทีแน่ๆ เล่นนั่งจ้องหน้าตั้งใจฟังกันขนาดนี้ 

“โทรมามีอะไร”

‘นึกว่าพี่อยู่คอนโด เลยว่าจะชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ร้านเด็ดเลยนะ อยู่เลยไปอีก 3 ซอย’

“กินคนเดียวไปเถอะ กลับเย็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องโทรตาม” ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น เมื่อรู้ตัวว่าเผลอไปบอกวันกลับไอ้กุนไปทั้งที่มันก็ไม่ได้ถาม

‘งั้นเอาไว้รอพี่กลับมา แต่เย็นวันอาทิตย์ผมจองนะ ไปกินข้าวกัน’

“จะมารอทำไม อยากกินก็ไปเองดิ”

‘พี่ก็รู้ว่ากินข้าวคนเดียวมันไม่อร่อย’

“แล้วยังไง วันนี้ก็จะไม่กินงั้นหรอข้าวอ่ะ” คนอะไรวะกินข้าวคนเดียวไม่เป็น

‘อืม.. ว่าจะลองโทรหาพี่ธีร์ดู’

“อ่อ” ผมแค่ตอบรับไปเบาๆ ไปกับไอ้ธีร์ก็คงจะหนีไม่พ้นโดนไอ้เพื่อนตัวดีของผมลากไปกินเหล้าจนเมานั่นแหละไม่มีทางแค่ไปกินข้าวเฉยๆ หรอก

หรือว่าผมจะชวนไอ้กุนมันมากินข้าวที่บ้านดี

ฮึ...ผมคงบ้าไปแล้ว

ทำไมผมจะต้องสนใจด้วย ก็แค่มันไปกับไอ้ธีร์เท่านั้น

“ไม่มีอะไรแล้วก็วาง”

‘งั้นเย็นวันอาทิตย์ผมโทรหานะ’

“อืม แค่นี้”

ผมกดวางสาย วางโทรศัพท์เอาไว้ข้างตัว พยายามเมินความรู้สึกหยุมหยิมในใจของตัวเองไปเสีย กลับมาบ้านทั้งที ทำไมต้องคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วย

แต่ก็อีกนั่นแหละ

ใครจะไปรู้จักผมดีเท่ากับแม่ของผมเอง

“ยังไงเรา ดูทำหน้าเข้า” คำถามของแม่ทำเอามือที่กำลังยีหัวไอ้มอมที่นอนเอาคางมาเกยที่ขาผมอยู่ถึงกับชะงัก ไม่รู้หรอกว่าผมกำลังทำหน้าแบบไหน แต่ถ้ามันถึงกับแสดงให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองไม่ปกติได้

ผมคงต้องกลับไปนั่งทบทวนกับตัวเองถึงอาการที่กำลังเป็นอยู่

“หิวข้าวอ่ะแม่ มีอะไรกินบ้างวันนี้”

แม่ไม่ได้ถามอะไรต่อ ทั้งๆ ที่รู้ว่านั่นไม่ใช่คำตอบสำหรับคำถามที่แม่ถาม คุณนัยนาลุกขึ้นยืน ปัดเศษหญ้าออกจากกางเกง บอกไอ้น้องชายสี่ขาของผมว่าถึงเวลาอาหารแล้ว ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านโดยมีไอ้มอมเดินตามไปติดๆ

“ดูมันเถอะ” พ่อถึงกับบ่นออกมาเมื่อที่เห็นไอ้มอมวิ่งตามไปกระดิกหางประจบแม่ “ไปลูกชาย กินข้าวกัน อิ่มแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น”

 

 

 

มื้ออาหารจบลงแล้ว ละครของแม่ก็ดำเนินมาจนกลางตอนแล้วด้วย ถึงผมจะไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่แรก แต่เนื้อเรื่องในตอนนี้ก็กำลังสนุกทีเดียว ผมปล่อยให้สองคนกับอีกหนึ่งตัวนั่งดูละครกันต่อตามประสาครอบครัว ส่วนผมขอขึ้นมาอาบน้ำก่อน เพราะรู้สึกเหนอะตัวเหลือเกินที่ต้องอยู่ในชุดนี้มาตั้งแต่เช้ายันค่ำ

อาบน้ำสระผมเรียบร้อยก็ออกมานั่งหันหลังให้พัดลมที่เปิดเบอร์แรงสุด ปล่อยให้แรงลมค่อยๆ เป่าผมให้แห้ง ในมือก็ทำการเลื่อนไถหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อสำรวจความเคลื่อนไหวของคนที่กำลังติดตามอยู่

เลื่อนไปได้สักพักก็มาสะดุดกับภาพของผู้ชายที่คุ้นหน้าคุ้นตากับผมดีสองคน ที่ถูกโพสต์ขึ้นโดยญาติผู้พี่ของหนึ่งในสองคนนั้น คนนึงอยู่ในชุดสไตล์ที่ชอบใส่ตอนออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ หันหน้ามองมาที่กล้องพร้อมกับชี้นิ้วมือมายังคนถ่ายรูปคล้ายกับเป็นการคาดโทษ โดยอีกมือก็ยังไม่ละจากมือของหญิงสาวหน้าตาดีที่นั่งเบียดกันอยู่บนโซฟา

ส่วนผู้ชายอีกคนในภาพนั้น ถึงมือจะไม่ได้จับกับใครไว้ แต่ก็เห็นว่าเสื้อเชิ้ตสีดำพอดีตัวนั้น ถูกผู้หญิงโต๊ะข้างหลังดึงรั้งเอาไว้และเจ้าตัวก็กำลังหันหน้าไปตามแรงดึงนั้นด้วย

ผมสัมผัสนิ้วไปบนหน้าจอเร็วๆ สองครั้งเพื่อมีส่วนร่วมกับโพสต์ของเพื่อน แต่หากไม่ได้เข้าไปเขียนคอมเมนต์แซวเหมือนอย่างที่เคยทำ แล้วตัดสินใจเลิกที่จะติดตามความเป็นไปของชีวิตคนอื่นเพราะรู้สึกหมดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างกระทันหัน ผมกลับมาขยี้เส้นผมของตัวเองไปมาอย่างไม่ออมแรง ไม่รู้ว่าเพื่อเร่งให้มันแห้งไวไวหรือว่าต้องการระบายความรู้สึกของตัวเองกันแน่ แต่ที่รู้ก็คือผมว่าคืนนี้ผมคงต้องรีบเข้านอนเสียที ก่อนที่ความคิดจะฟุ้งซ่านไปไกลมากกว่านี้

ครืด ครืด ครืด

มือถือสั่นช่วงสั้นๆ เพียงแต่มันติดต่อกันหลายครั้งเพราะมีข้อความเข้าหลายข้อความในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมหยิบมันขึ้นมาปลดล๊อคแล้วเข้าดูแจ้งเตือนก็พบว่าเป็นข้อความจากไอ้เจ้าของไอจีล่าสุดที่ผมเพิ่งไปกดถูกใจมานั่นแหละที่ส่งมาหา

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : มาไหมมึง

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : นานๆ เมียกูจะไม่อยู่นะเว้ย

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : มาช่วยกูรุมไอ้ธีร์หน่อย

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : เพิ่งมาได้แป๊บเดียวแม่งเจอคนที่จะกลับด้วยแล้ว

แค่เห็นจากในรูปก็พอจะเดาได้อยู่หรอกเรื่องไอ้ธีร์ เพราะมันไม่เคยพลาดเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว

Naphat : ไอ้กุนก็ดูจะฮอตไม่เบา

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : เออดิ

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : สาวๆ เดินผ่านโต๊ะกูจนทางลื่น

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : แต่ไอ้กุนแม่งไม่สนใจใครสักคน

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : บอกกินข้าวอิ่มก็จะกลับแล้ว

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : แม่งเสียชื่อพี่ชายแบบกูหมด

พ่อกล้วยน้องกุ๋งกิ๋ง : ตกลงมึงมาไหมเนี่ย

 

 

 

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมตอบตกลงไอ้กรวยไป ตอนนี้ผมเลยได้มายืนอยู่หน้าร้านอาหารที่ตัวเองเพิ่งเห็นในรูปถ่ายเมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อน ทั้งที่ควรจะนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่

พอเดินเข้ามาด้านในแล้วกวาดสายตามองยังไม่ทันทั่ว ก็ไปสะดุดสายตาเข้ากับโต๊ะตรงกลางร้านที่มีผู้ชาย 3 คนและผู้หญิง 2 คนนั่งอยู่ และใช่..นั่นคือโต๊ะของเพื่อนสนิททั้งสองคนของผมเอง

ไอ้ธีร์เห็นผมเป็นคนแรก ต่อจากนั้นมันก็สะกิดให้ไอ้กรวยมองมาทางผมบ้าง แล้วเมื่อเพื่อนตัวดีของผมมองมา อีกคนที่ผมคิดว่ามันคงกลับไปแล้วแบบที่ไอ้กรวยบอกก็หันมามองทางผมด้วย

“กูว่าวันนี้พายุจะเข้า” ยังไม่ทันจะได้นั่งลงที่เก้าอี้ ผมก็โดนไอ้ธีร์มันเล่นงานเข้าแล้ว “ปกติมึงไม่รับนัดปุ๊บปับขนาดนี้”

“เรื่องของกู” ผมหย่อนก้นลงนั่งตรงที่ว่างหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่

“มีอะไรไม่สบายใจจ๊ะ ไหนบอกพี่ธีร์มาสิ” คนรู้ดีว่าพลางกลับสลับที่นั่งกับน้องผู้หญิงข้างๆ เพื่อมานั่งใกล้ๆ ผม

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมโดนขนาบข้างด้วยไอ้ธีร์ แล้วก็ไอ้กุน ส่วนไอ้กรวยน่ะหรอ มันสนผมที่ไหน มันสนแต่น้องชุดดำที่นั่งอยู่ข้างๆ มันโน่น

“ก็เรื่องของกูอีกแหนะ” จริงๆ ก็อยากจะมาปรึกษาเรื่องอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ แต่พอเห็นว่าไอ้ตัวต้นเหตุมันก็ยังนั่งอยู่ข้างๆ กันแบบนี้ จะให้พูดออกไปได้ยังไง เอาไว้วันหลังแล้วกัน

“ทำไมเดียวนี้พูดจาไม่น่ารักเลยคะ หืม” ไอ้ธีร์เอื้อมมือมาเชยคางของผมขึ้น และก็ถูกผมปัดออกในทันทีเหมือนกัน 

“น้องเอามันกลับไปนั่งที่เดิมที พี่รำคาญ” เมื่อหญิงสาวได้รับคำเชิญจากผมก็ทำท่าอ้อนไอ้ธีร์ทันที ดีหน่อยที่มันยอมละความสนใจจากผมไปหาน้องเขา หงุดหงิดตัวเองยังไม่พอ ยังต้องมาหงุดหงิดกับไอ้เพื่อนบ้านี่อีก

“อารมณ์ไม่ดีหรอพี่”

อ่อ ไล่ไปได้คนนึง ก็ยังเหลืออีกคนนึงสินะ

นี่ผมคิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่มาที่นี่ตอนนี้

“เออ ไม่ดีมากๆ ด้วย”

ผมพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนข้างๆ แต่สายตาเลยไปยังโต๊ะหญิงล้วนที่อยู่ทางด้านหลัง น้องคนที่ดึงเสื้อไอ้กุนเมื่อกี้ยังมองมาที่ไอ้กุนอยู่ พอเห็นว่าผมมองเธอก็ส่งยิ้มน่ารักกลับมาให้ ผมเองก็ยิ้มตอบไปตามมารยาท พอดีกับที่แก้วเหล้าที่เพิ่งถูกชงเสร็จถูกนำมาวางตรงหน้า

ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิ๊บเพราะรู้สึกกระหาย แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะในแก้วมันคือโซดาที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์เท่านั้น

“พี่ต้องขับรถไง ไม่ต้องกินเยอะหรอก” ยังไม่ทันได้บ่นอะไร ไอ้ตัวดีมันก็อธิบายออกมาเสร็จสรรพ แสนรู้เสียไม่มี ถ้าผมเอารถมาตามที่มันบอกนี่ก็คงไอ้เออออตามมันไปแล้ว

“ไม่ได้เอารถมา ตั้งใจจะมาเมา”

“อ่อ งั้นเดี๋ยวผมชงให้ใหม่” ไอ้กุนหยิบแก้วของผมไปเพิ่มระดับความแรงของแอลกอฮอล์ให้ ไม่นานก็ถูกส่งกลับมาให้ในมือ แถมยังพยักพเยิดให้ผมยกมันขึ้นดื่มเลยทันทีอีก

ทันทีที่น้ำใสๆ นั้นโดนที่ปลายลิ้น ก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ผมนี่โดนไอ้เด็กนี่มันเล่นงานเข้าให้แล้ว

ความขมแล่นเข้าสู่โสตประสาท คล้ายกับแค่อึกเดียวก็จะทำให้ความต้องการที่บอกไปกับอีกคนในตอนแรกเกิดเป็นจริง ผมหันควับมองหน้าไอ้คนข้างๆ ที่ตอนนี้ยังคงยิ้มกว้าง ไม่ต่างอะไรจากทุกที

“แหม พอไอ้ปอมายิ้มจนปากจะฉีก ทีเมื่อกี้ยังชวนกูกลับอยู่เลยนะไอ้หอยหลอด” ไอ้กรวยพูดขึ้น

“กุ๋ง กิ๋ง” ไอ้กุนหันไปตีหน้าขรึมใส่ญาติผู้พี่ของตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่คำแค่สองคำจะทำให้ไอ้กรวยถึงกับขยับปากด่าไอ้กุนแบบไม่มีเสียงว่า ‘ไอ้สัส’ ได้ก่อนมันจะหันไปสนใจสาวชุดดำข้างๆ ต่อ

“เอาพี่ ทำไมวางแล้วอ่ะ”

“ใครจะไปกระเดือกลง อย่างเข้ม” นึกถึงรสชาติที่กลืนเข้าไปเมื่อครู่แล้วยังรู้สึกขมติดอยู่ที่ปลายลิ้นอยู่เลย

“รีบเมารีบกลับไง ผมง่วงแล้ว”

“มึงง่วงมึงก็กลับไปดิ เกี่ยวอะไรกัน”

“อ้าว นึกว่าพี่จะกลับด้วยกัน”

“ใครบอก”

“ไม่กลับกับผมแล้วพี่จะกลับกับใคร ดูเพื่อนพี่แต่ละคนดิ” กุนพยักหน้าให้ดูไอ้เพื่อนตัวดีของผมทั้งสองคน ที่ตอนนี้ไม่สนใจสิ่งรอบตัวเลยสักนิด

“ก็หาคนกลับด้วยแบบไอ้พวกนั้นไง ไม่เห็นจะยาก” ผมสอดสายตาไปทั่ว ทำเหมือนกับว่าต้องการจะพาใครกลับไปด้วยจริงๆ อย่างที่พูด จนสายตามาจบเข้ากับคนข้างๆ พอดีอย่างตั้งใจ “ข้างหลังนี่เป็นไง น่ารักดีนะ”

ไอ้กุนหันมาทำหน้าจ๋อยใส่ จนผมอดนึกถึงไอ้ตัวที่อยู่ที่บ้านไม่ได้ 

“นี่พี่สนใจเพื่อนผมหรอ”

“เพื่อน?” ผมทวนคำถามของไอ้กุนไปเบาๆ

“ใช่ โต๊ะข้างหลังเพื่อนผมเอง”

เดี๋ยวนะ แค่มันบอกว่าเป็นเพื่อนกับน้องผู้หญิงคนนั้นแล้วผมจะใจเต้นทำไมเนี่ย

นี่ผม..กำลังดีใจ..หรอ

“แต่ผมไม่ให้พี่ไปจีบได้ไหม หวง”

หวง?

หรือว่าน้องคนนั้นจะเป็นคนคุยของไอ้กุนมัน

แม่ง

ใจที่เมื่อกี้ยังรู้สึกว่ามันพองๆ อยู่กลับเหี่ยวขึ้นมาอีกรอบเฉย

ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม พยายามมองข้ามความรู้สึกที่เกิดขึ้นไป จังหวะนี้ความขมก็ทำอะไรผมไม่ได้แล้ว

ไม่น่ามาตั้งแต่แรกเลยจริงๆ

“ปอ มึงโอเคปะเนี่ย ทำตัวเหมือนคนอกหักเลย” พอไอ้ธีร์ทักขึ้นมาแบบนั้น ตอนนี้ผมเลยก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งโต๊ะ

“อกหักบ้าอะไรล่ะ กูไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอก” ก็ตอนนี้ผมไม่ได้มองสาวคนไหนไว้เลยสักคน ไม่คิดจะหาด้วย ชีวิตเรียกได้ว่าห่างไกลจากคำว่าอกหักมากโข ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะไอ้คนข้างๆ นี่แหละ ไม่รู้ว่าจะไปอะไรกับมันหนักหนา

“แล้วทำหน้าจ๋อยทำไม" ไอ้กรวยพูดขึ้นมาบ้าง "หรือว่า..ไอ้กุน มึงขัดใจเพื่อนกูหรอ”

“เฮีย ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย” จริงอย่างที่ไอ้กุนมันว่า มันไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งหมดเป็นผมเองที่บ้าบออยู่คนเดียว

“ไอ้กุน มึงกล้ามากนะ”

“เอ้า พี่ธีร์ก็เป็นไปกับเฮียอีก โว๊ะ”

“พอเลยพวกมึง กูไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมตัดบท แล้วยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้ง รีบเมาก็ดีเหมือนกัน เพื่อจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที

 

 

ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้ว ไอ้ธีร์เป็นคนแรกที่ออกตัวว่าจะขอกลับก่อน แล้วก็ตามมาด้วยไอ้กรวยที่ดูท่าแล้วก็อยากจะรีบออกไปจากที่นี่ไม่แพ้กัน ในเมื่อเพื่อนไม่อยู่กันแล้ว ผมเองก็สมควรกลับเสียทีเหมือนกัน

หลังจากเคลียร์เรื่องค่าเสียหายในค่ำคืนนี้เสร็จ พวกเราก็เริ่มแยกย้าย ไอ้สองคนที่มีคนกลับด้วยนั่นก็คงไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนผมเอง ตอนนี้ยังชั่งใจอยู่ ว่าจะกลับบ้าน หรือว่าจะกลับไปนอนคอนโดดี

“ไปพี่ ผมไปส่ง” ไอ้เด็กข้างๆ คว้าข้อมือผมได้ก็รั้งให้ลุกขึ้นตามทันที แต่เป็นผมเองที่ขืนตัวเองเอาไว้

“กลับเลย เดี๋ยวกลับเอง”

“พี่ปอ” เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอม ไอ้กุนเลยหย่อนก้นลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆ กันอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมละมือออก “ผมไม่ปล่อยให้พี่กลับเองนะ ผมเป็นห่วง”

“เป็นห่วงทำไม โตแล้วดูแลตัวเองได้น่า กลับไปได้แล้วไป” ผมพยายามแกะข้อมือของตัวเองออก แต่เหมือนกับจะทำให้อีกคนยิ่งเพิ่มแรงในการกระชับมันมากขึ้น “เจ็บ”

“ให้กุนไปส่งนะ” รู้ว่าอีกคนก็ดื่มไปไม่น้อย แต่ไม่คิดว่าจะเผลอใช้น้ำเสียงอ้อนแบบนี้ ไอ้การเอาอีกมือมาลูบเบาๆ ตรงข้อมือที่ผมบ่นว่าเจ็บไปเมื่อครู่นั่นอีก

มันอ่อนโยนเกินไป

ไม่เหมาะกับผู้ชายตัวโตๆ แบบผมเลยสักนิด

“นะครับ”

“เออ แล้วก็ปล่อยมือได้แล้ว ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น”

 

 

 

ผมเลือกที่จะกลับมาที่บ้าน เพราะระยะทางใกล้กว่ากลับไปคอนโด แถมยังปลอดภัยจากด่านตรวจมากกว่าด้วย ส่วนอีกคนไหนๆ ก็เคยนอนด้วยกันมาแล้ว นอนด้วยกันอีกก็ไม่น่าจะเป็นไร ตอนบอกว่าจะให้กลับไปส่งที่บ้านดูท่าก็จะชอบใจอยู่ไม่น้อยด้วย

“เตียงเล็กกว่าที่คอนโดหน่อยนะ ถ้ากลัวอึดอัดจะนอนที่พื้นก็แล้วแต่” ผมมองสภาพเตียงของตัวเอง สลับกับอีกคนที่ยืนเช็ดหัวของตัวเองอยู่หน้ากระจก

“ผมนอนได้ แต่ตอนเช้าถ้าพี่ตื่นก่อนพี่ปลุกผมด้วยนะ”

“จะรีบตื่นทำไม หรือว่ารีบกลับ”

“ป่าว ผมอยากเจอแม่พี่ไวไว แม่พี่น่ารัก”

ไอ้กุนยิ้มก่อนจะเอาผ้าห่มออกไปตากที่ระเบียง ผมได้แต่ส่ายหัว นึกภาพวันพรุ่งนี้ที่มันจะเข้าไปประจบประแจงแม่ผมออกเลย

ก็คงไม่ต่างอะไรกับตอนที่ไอ้มอมอ้อนแม่ตอนขอข้าวกินละมั้ง

ผมเลือกนอนฝั่งที่ติดกับผนังโดยไม่ได้ถามความสมัครใจของอีกคน สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มได้ตาก็ปรือพร้อมจะหลับในทันที เห็นไอ้กุนกลับเข้ามาในห้องแล้วเดินเลยไปปิดไฟ ไม่นานที่นอนข้างๆ ก็ยวบลง พร้อมกับผมห่มที่กองอยู่บนตัวผมถูกดึงไปเล็กน้อย

เมื่อไอ้กุนนิ่งไปเพราะได้ท่านอนที่สบายแล้ว ผมก็หลับตาลงในทันที ไม่ได้สนใจไหล่ของอีกคนที่อยู่ชิดกันจนแทบจะเกยขึ้นมาบนไหล่ หรือแขนของไอ้กุนที่วางซ้อนอยู่บนแขนของผมเลยด้วยซ้ำ ผู้ชายตัวโตๆ 2 คน ต้องมานอนบนเตียงขนาด 5 ฟุต มันก็คงจะต้องนอนเบียดกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

เพราะงั้นก็...ช่างมันเถอะ

 

 

 

#เพราะรักรออยู่

นอนเบียดกัน เรื่องธรรมด๊า
เน๊อะะะ

 



หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 8 - 04-01-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 01-04-2020 20:08:40
""""นอนเบียดกัน เรื่องธรรมด๊า""""

ไม่จริงมั้ง
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 9 - 04-03-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 03-04-2020 20:12:12


ตอนที่ 9



ความจริงเช้านี้ผมก็ทำใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช้าที่ไม่ค่อยสดใส เพราะเมื่อคืนผมเองก็ดื่มไปไม่ใช่น้อย ตอนเช้าก็ย่อมมีอาการจากระดับแอลกอฮอล์ในเลือดยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่นึกว่าเช้านี้อาการจะหนักขนาดนี้

ผมพยายามจะขยับเปลือกตาขึ้น เพราะรู้สึกแน่นตรงช่วงท้อง มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรมากดทับเอาไว้ พอถ่างตาออกจากกันได้ก็พบว่าตอนนี้ยังไม่สว่างดี แต่ก็ไม่ได้มึดไปเสียทีเดียว ให้กะคร่าวๆ น่าจะราวๆ 6 โมงเช้าได้

ผมเอื้อมมือไปจับตรงท้องของตัวเองเป็นอันดับแรก แต่แล้วจากที่สลึมสลืออยู่ก็รู้สึกตื่นขึ้นมาในทันที เพราะหลังจากคล่ำบนหน้าท้องของตัวเองแค่เพียงไม่นานก็พบว่ามีท่อนแขนอุ่นๆ ที่ไม่ใช่ของผมแน่ๆ วางพาดอยู่ ผมหันควับไปมองที่ที่เมื่อคืนมีอีกคนนอนอยู่ข้างๆ ซึ่งตอนนี้กลับเห็นแค่กลุ่มผมของอีกคนโผล่ออกมาจากผ้าห่มในระดับเดียวกับไหล่ของผมเท่านั้น

แล้วตอนนี้ก็คงจะไม่ต้องเดาแล้วว่าแขนข้างที่พาดอยู่บนตัวผมตอนนี้เป็นของใคร

ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ความรู้สึกขัดเขินนี้มันก็บังคับกันไม่ได้ ผมค่อยๆ ยกแขนของไอ้กุนขึ้น หมายจะเอามันออกจากตัว แต่พอไปรบกวนการนอนของอีกคนเข้า วงแขนนั้นกลับกระชับเข้ามาที่เอวของผมแน่นขึ้น ไม่รู้ว่าคนที่หลับอยู่จะได้ยินไหม ว่าตอนนี้หัวใจของผมเต้นเสียงดังโครมครามขนาดนี้

ขอให้มันอย่าได้ยินเลยแล้วกัน

ไม่ใช่สิ

อย่าให้รู้ไปเลยดีกว่าว่าเผลอดิ้นมานอนกอดผมเอาไว้แบบนี้

ความพยายามของผมเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อสามารถปรับความรู้สึกของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้ คราวนี้ผมพยายามค่อยๆ เบี่ยงตัวเองออกจากวงแขนนั้น จนตอนนี้หลังของผมแนบสนิทไปกับผนังห้องเป็นที่เรียบร้อย อีกนิดเพียงแค่นิดเดียวผมก็จะสามารถหลุดออกจากอีกคนได้

ถ้าลุกไปได้เมื่อไหร่จะเล่นงานให้หนักเลยไอ้ซุนหงอคง

พรึ่บ

เชี่ยยย

อยู่ดีดีไอ้คนที่หลับไม่รู้เรื่องก็เบียดร่างของตัวเองมาหาผมอีกครั้ง คราวนี้มันคว้าเอาทั้งตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ ทั้งผมและไอ้กุนแนบสนิทกันไปทุกส่วนแบบไม่เหลือช่องว่าง และเพราะผมนอนอยู่สูงกว่า เลยสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่บริเวณหน้าอกของตัวเองได้อย่างชัดเจน

ตึกๆ ตึกๆ

เสียงของหัวใจที่เพิ่งสงบไปได้เพียงไม่ถึงนาทีกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง

อยากจะเอามือของตัวเองไปลูบเพื่อปลอบมันเหลือเกิน แต่ก็ติดอยู่ตรงที่ไม่มีที่ว่างให้แทรกมือเข้าไปได้เลย

ตึกๆ ตึกๆ

ผมว่าผมไม่ไหว ผมต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ทำยังไงล่ะ จะขยับหนีไปอีกก็ทำไม่ได้แล้ว

งั้นก็มีอยู่แค่ทางเดียวคือปลุกไอ้คนข้างๆ นี่ใช่ไหม

เอาวะ

“กุน”

“...”

“ไอ้กุน” เสียงผมเริ่มดังขึ้นเมื่ออีกคนยังคงนิ่งสนิท ไม่หือไม่อือ

“พี่ปอ กุนนอนต่อนะ ยังง่วงอยู่เลย”

แม่งเอ้ย

จะมาอ้อนอะไรตอนนี้วะ แถมไอ้ตอนขยับปากพูดนั่นอีก

มันรู้สึกโว้ยยย

มันรู้สึก

“จะนอนก็นอน แต่เขยิบออกไปก่อน มันอึดอัด”

“ครับ”

นิ่ง..

ครับแล้วยังกอดผมนิ่งนี่คืออะไรวะ

ตกลงผมคุยกับมันรู้เรื่องไหมเนี่ย

“ไอ้กุน! ”

“ครับไปแล้ว” จบประโยคผ้าห่มก็ถูกเปิดออก แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นนั่งทันที ทรงผมชี้ฟูเป็นรังนกกับตาที่ยังไม่ลืมขึ้นของอีกคนจริงๆ มันก็น่าเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

ไอ้กุนขยับตัวเพื่อจะก้าวลงจากเตียง แต่ผมเองกลับรั้งข้อมือมันเอาไว้เสียก่อน “จะไปไหน”

“นอนที่พื้น” ไอ้กุนว่าพร้อมกับชี้นิ้วออกไปอย่างไม่รู้ทิศทาง คุยกันมาตั้งหลายประโยคนี่ผมยังไม่รู้เลยนะว่ามันตื่นหรือว่ากำลังละเมออยู่

“นอนบนเตียงนี่แหละ”

“ครับ”

นิ่ง..

นิ่งอีกแล้ว

หลับไปแล้วป่าววะเนี่ย

ผมขยับเขามากลางเตียงแล้วออกแรงดึงอีกคนให้นอนลง ไอ้กุนเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย เหมือนจะไม่รู้สึกตัว แต่มันก็แทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มถูก แถมยังนอนตะแคงแล้วหันมายิ้มให้ผมอีก

ไอ้นี่ ขนาดหลับแล้วยังไม่เลิกแจกยิ้มให้คนอื่นอีก

ท่าจะบ้า

ผมถอนหายใจ พร้อมกับพลิกตัวไปอีกฝั่ง อย่าว่าแต่ไอ้กุนไม่อยากตื่นเลย ผมเองก็ยังไม่อยากตื่นเหมือนกัน





●●●





ผมตื่นมาอีกทีตอนเกือบ 10 โมงเพราะได้ยินเสียงหัวเราะของคุณนัยนาดังขึ้นมาถึงในห้อง ถึงปกติแม่จะเป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะบ่อยขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยหัวเราะเสียงดังขนาดนี้มาก่อน เพราะความอยากรู้ว่าแม่ขำอะไรนักหนาเลยจัดการล้างหน้าแปรงฟัน แล้วรีบลงมาดูให้เห็นกับตา

ลงมาถึงก็เห็นแม่ พ่อ ไอ้มอม แถมด้วยไอ้คนที่หายออกมาจากห้องผม นั่งล้อมวงดูอะไรกันสักอย่างอยู่หน้าทีวี

พ่อกับแม่นั่งบนโซฟา ส่วนไอ้กุนกับไอ้มอมที่ไม่รู้ว่าไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงได้นั่งเบียดกันขนาดนั้นอยู่ที่พื้น

พอเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อยก็เห็นว่าสิ่งที่ทุกคนกำลังดูอยู่นั้นคืออัลบั้มรูปครอบครัวของผมเอง อัลบั้มที่มีรูปของผมตั้งแต่เพิ่งคลอดออกมาจากท้องแม้จนถึงตอนที่รับปริญญา

“คุณแม่สวยจังเลยครับรูปนี้” ผมแทบจะกรอกตาไปข้างหลังเมื่อได้ยินไอ้กุนมันพูดชมแม่

ถึงตอนสาวๆ แม่ผมจะสวยจริงๆ แบบที่มันบอก แต่ดูจากนิสัยมันก็รู้แล้วว่ากำลังพูดเอาใจแม่ผมอยู่ แถมแม่ผมก็ดันไปหลงกลมันเข้าอีก

“คุณพ่อก็หล่อนะครับเนี่ย ภาพนี้อย่างเท่เลย”

“ถ้าพ่อไม่หล่อแล้วแม่เขาจะหลงพ่อแบบนี้ได้ยังไง จริงไหมแม่”

นั่น

พ่อผมก้เป็นไปด้วยอีกคน

“แม่ ข้างบ้านไม่มาว่าเอาหรอเนี่ย หัวเราะเสียงดังขนาดนี้” ผมพูดพร้อมกับแทรกตัวลงนั่งข้างๆ แม่แถมด้วยกอดไปอีกที ใครจะปล่อยให้ไอ้ลิงนั่นอ้อนแม่อยู่คนเดียวกัน

“ตื่นแล้วก็ไปหาอะไรกินไป เป็นเจ้าบ้านดูสิ ตื่นสายกว่าแขกได้ยังไง ขายขี้หน้าเขาหมด” แม่ผลักผมออก แล้วไล่ให้ไปหาอะไรกินอย่างไม่สนใจใยดี ปกติแม่ต้องไปหาให้ผมกินไม่ใช่หรอ ทำไมแม่ทำงี้อ่ะ

“ไอ้กุน กินข้าวแล้วหรอ” ผมหันไปถามคนที่กำลังลงไปนอนฟัดกับไอ้มอมอย่างเอาเป็นเอาตาย

“รายนั้นเขาตื่นมาตั้งแต่ 6 โมงกว่าแล้วย่ะ เขาไม่มัวมานั่งหิ้วท้องรอหรอก”

“จะตื่นตั้งแต่ 6 โมงกว่าได้ยังไง ก็..” ก็ตอนหกโมงกว่ามันยังละเมอมากอดผมอยู่เลยไม่ใช่หรอ

“ก็..” คุณนัยนาถามย้ำพร้อมกับการหรี่ตามองมาเหมือนกับต้องการจะจับผิด

“ก็ ไปกินข้าวก่อนนะถ้างั้น”

ผมรีบลุกออกมาจากโซฟาแล้วเดินเข้ามาในครัวทันที เคยบอกไปแล้วนี่ ว่าไม่มีใครรู้จักผมดีเท่ากับแม่ของผมเอง ขืนอยู่ต่อมีหวังโดนแม่จับพิรุธได้แน่ เพราะฉะนั้นรีบหนีก่อนจะดีกว่า

เมื่อจัดการเอาอาหารเข้าอุ่นในไมโครเวฟเสร็จ ก็หันหลังไปสำรวจของกินในตู้เย็นที่แม่ซื้อเอามาตุนไว้ จำได้ว่าเมื่อวานตอนเย็นผมก็มาเปิดตู้เย็นดูแบบนี้ สงสัยแม่จะออกไปตลาดมาเมื่อเช้า ทั้งผลไม้สดเอย ขนมเอย นม น้ำอะไรไม่รู้แน่นตู้ไปหมด ดูก็รู้ว่าไม่ได้ซื้อมาเอาใจผมแน่ๆ

“เฮ้ย!! ” ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะปิดประตูตู้เย็นแล้วเจอเข้ากับร่างของอีกคนที่ยืนฉีกยิ้มรออยู่ใกล้ๆ “มาทำอะไรเงียบๆ ตกใจหมด”

“มานั่งเป็นเพื่อนพี่กินข้าว”

“เพื่อออ” น้ำผลไม้ 1 กล่องและน้ำเปล่าอีก 1 ขวดที่หยิบติดมือออกมาจากตู้เย็นเมื่อครู่ถูกวางลงบนโต๊ะกินข้าว พร้อมกันกับที่ได้ยินเสียงสัญญาณจบการทำงานของไมโครเวฟ

“กลัวพี่เหงาไง” เนี่ย เอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน มนุษย์สามารถนั่งกินข้าวคนเดียวได้ไอ้ลิง ไม่จำเป็นต้องมีคนนั่งเฝ้า

ผมส่วยหัวให้กับไอ้ซุนหงอคง ต่อให้ออกปากไล่ อีกคนก็คงไม่ไปอยู่ดี แล้วตอนนี้ก็นั่งปักหลักยกแขนขึ้นมาท้าวคางอยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว

ผมสวมถุงมือแล้วหยิบเอาอาหารจากไมโครเวฟออกมาวางรวมกับจานข้าวที่ตักเอาไว้ก่อนนี้แล้ว ถุงมือถูกถอดออกแล้วเอาวางไว้ข้าง มือที่ว่างแล้วหยิบเอาช้อนและซ่อมขึ้นมาถือไว้เกิดชะงัก เพราะจู่ๆ กับข้าวที่เพิ่งเอาออกมาจากการอุ่นเมื่อครู่ถูกตักมาวางไว้บนจานผมโดยไอ้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม

“อันนี้อร่อย เมื่อเช้าผมชิมแล้ว”

ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ตักมันเข้าปากเงียบๆ แต่พอเห็นผมยอมกินอาหารที่ตักมาให้ ไอ้คนตักมันก็วนตักกับข้าวทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะมาให้มือเป็นระวิง อีกนิดก็คือจะมองไม่เห็นข้าวในจานแล้วเพราะกับข้าวบังหมด

“พอแล้ว จะตักมาทำไมเยอะแยะ” ผมปราม ขืนยังไม่พูดอะไรมีหวังกับข้าวทั้งหมดคงได้มาอยู่บนจานข้าวของผมแน่

“ก็มันอร่อยทุกอย่างเลยไง ผมอยากให้พี่ชิม”

“ฝีมือแม่กูไหมล่ะ กินประจำอยู่แล้ว”

“อ่อ จริงด้วย”

สงสัยพอไม่ได้ตักกับข้าวมาให้ ไอ้ซุนหงอคงมันเลยไม่มีอะไรจะทำ มันถึงได้มานั่งจ้ออยู่แบบนี้ พูดเข้าไป พูดไม่หยุด ขุดเอาทุกเรื่องขึ้นมาคุยตั้งแต่เรื่องพ่อกับแม่ เรื่องไอ้มอม แม้กระทั้งเรื่องต้นไม้ดอกไม้ในสวนมันก็เอามาพูดได้หมด ทำเป็นไม่สนใจก็แล้ว แกล้งกระแทกเสียงให้รู้ว่าเริ่มรำคาญก็แล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอีกคนจะหยุดพูด ผมเลยนั่งก้มหน้าก้มตามองแต่จานข้าวตรงหน้า ปล่อยให้คนอยากพูดพูดไป เหนื่อยเดี๋ยวก็คงหยุดเอง

แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

เมื่อผมรู้สึกว่าเสียงของกุนเงียบไปนานผิดปกติ เลยละสายตาจากจานข้าวขึ้นมอง ไอ้ลิงที่เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องเงยหน้าขึ้นดูแน่ๆ เมื่อเสียงของมันหายไปส่งยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาให้ ผมอ้าปากพะงาบอยากจะด่าแต่ก็นึกคำไม่ออก ยิ่งได้ยินเสียงมันหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยแล้วก็ยิ่งโมโหไปกันใหญ่

“เห็นไหมล่ะ นั่งกินข้าวคนเดียวไม่อร่อยหรอก มันเหงา”







#เพราะรักรออยู่

ช่วงนี้กินข้าวคนเดียวกันไปก่อนน้าทุกโคนนนน
รักษาสุขภาพกันด้วยน้าาาา

หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 9 - 04-03-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-04-2020 22:08:19
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 9 - 04-03-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 05-04-2020 20:01:34
 :m20:    :m20:    :m20:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 9 - 04-03-2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 06-04-2020 03:09:34
เข้าทางที่บ้านสุดๆ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 10 - 04-17-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 17-04-2020 18:46:36

บทที่ 10



แล้วก็ถึงวันที่ผมต้องไปดูสถานที่ที่จะใช้สำหรับงานแฟมมิลี่เดย์ของบริษัท จากการประชุมคราวก่อน ในที่ประชุมลงมัติกันว่าปีนี้เราจะไปเที่ยวกันที่ประจวบฯ เพราะที่นี่ดูจะลงตัวกว่าจังหวัดอื่นๆ ที่ทุกคนเสนอกันเข้ามา ทั้งเรื่องระยะเวลาการเดินทาง สถานที่พัก และกิจกรรมต่างๆ วันนี้เราเลยต้องไปดูสถานที่จริงเพื่อลงรายละเอียดในการจัดงานเพราะวันที่กำหนดไว้ก็ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว

ผมอาบน้ำแล้วเรียบร้อย แต่ต้องละจากการทาครีมบนหน้าเพราะเสียงโทรศัพท์เกิดดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามาก็พอจะเดาสถานการณ์ออก อย่างเมื่ออาทิตย์ก่อนที่มีนัดกินข้าวเย็นด้วยกันนั่นก็อีก ผมรีบขับรถออกมาจากบ้านเร็วกว่าปกติจนคุณนัยนาสงสัย ก็ตอนแรกบอกว่าจะกลับคอนโดตัวเองตอนบ่ายๆ เย็นๆ ไอ้ลิงนั่นก็ดันโทรมาทวงนัดตั้งแต่ยังไม่เที่ยง แต่จะโทษแต่ไอ้ซุนหงอคงอย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะผมก็ดันรีบกลับมาเองเพียงเพราะได้ยินว่ามันยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า ผลก็คือมีได้อยู่ด้วยกันยาวจนถึงข้าวต้มมือดึกก่อนไอ้เด็กขี้เหงามันจะยอมแยกกลับห้อง

“ว่าไง? ”

“พี่ปอ ผมรออยู่ข้างล่างนะ”

นั่นไง

เดาอะไรไม่เคยพลาดจริงๆ

“ก็บอกว่าจะไปรับไง นี่ยังไม่เสร็จเลย” ผมถอนหายใจแต่มันคงจะดังไปหน่อยปลายสายเลยรีบแก้ตัวกลับมา

“ก็มันตื่นเต้นอ่ะ เลยรีบมา อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิครับ”

“ไม่เคยไปเที่ยวทะเลรึไง ทำเป็นเด็กๆ ไปได้”

“เคย” ก็ถ้าบอกว่าไม่เคยไปสิ จะขำให้ “แต่ยังไม่เคยไปกับพี่”

โว๊ะ

ท่าจะบ้า

ผมนี่แหละท่าจะบ้า ไม่รู้จะไปตื่นเต้นตามมันทำไม

ก็แค่ไปทะเลด้วยกัน

“ขึ้นมารอข้างบน”

ยังเหลือเวลาอีกตั้งเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด แถมตอนนี้ผมเองก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จด้วย เลยชวนมันขึ้นมานั่งรอบนห้อง ผมให้กุนเอาโทรศัพท์ไปให้คุยสายกับน้องพนักงานที่นั่งคอยบริการลูกบ้านเพื่อที่จะให้กดลิฟต์ให้เพราะถ้าผมไม่ลงไปรับไอ้กุนก็กดลิฟต์ขึ้นมาเองไม่ได้

ผมหันกลับมาทาครีมต่อหลังจากวางสายไป และไม่นานเสียงเคาะห้องก็ดังขึ้น กางเกงยีนส์ที่เตรียมเอาไว้เพื่อใส่ไปวันนี้เลขถูกหยิบขึ้นมาสวมแบบลวกๆ ก่อนที่ผมจะเดินออกไปเปิดประตู

“ยืนอึ้งอะไร เข้ามา”

ผมว่าเมื่อเห็นไอ้กุนมันทำหน้าเหว๋อ ก่อนจะหันหลังเดินหนีมันเข้ามาในครัว

ได้ยินเสียงมันปิดประตูห้องหลังจากนั้นไม่นาน แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเดินตามผมเข้ามาในครัวด้วย จนผมเงยหน้าขึ้นจากที่ก้มลงหาของกินในตู้เย็นให้แขกรองท้องก่อนออกเดินทาง และได้แยมกินขนมปังติดมือมือด้วย

“จะเดินตามมาทำไมเนี่ย”

ไอ้กุนรวบเอาของในมือผมไปถือเอาไว้ด้วยมือเดียว “พี่จะทำอะไร”

“ก็จะ”

“ทำไมไม่ใส่เสื้อ” เอ้า

“ก็กูจะ”

มันใช้มือข้างที่ว่างดันปิดประตูตู้เย็น ก่อนจะเดินเฉียดเอาของที่เพิ่งแย่งจากผมไปไปวางไว้ข้างเครื่องปิ้งขนมปังที่อยู่ด้านหลัง

“อะไรของมึงเนี่ย” ผมถามขึ้นเมื่อยังเห็นไอ้กุนมันบ่นอะไรงุ้งงิ้งๆ อยู่คนเดียวไม่ยอมหยุด

“ก็พี่นั่นแหละ” มันหันกลับมาทำท่าจะเถียงผม แต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้เลยรีบหันกลับไปทางเดิม “จะหาอะไรให้กินใช่ไหม เดี๋ยวผมทำเอง ถอดเสื้อโชว์อยู่ได้ ผมก็คนนะเนี่ย”

ถอดเสื้อโชว์?

ผมขมวดคิ้วแล้วก้มลงมองหน้าอกแบนเรียบ รวมทั้งกระดุมกางเกงยีนส์ที่ยังติดไม่ครบของตัวเอง ก่อนจะเงยขึ้นมองไปยังแผ่นหลังของคนที่กำลังง่วนอยู่กับถุงขนมปังในครัวอีกครั้ง

ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าหูของมันแดงแจ๋

และก็เป็นตอนนั้นเองที่หน้าของผมรู้สึกร้อนขึ้นมากระทันหัน

แม่งเอ้ย เขินตามมันเฉย







ผมออกมาจากห้องอีกทีตอนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นไอ้กุนนั่งรออยู่ตรงโต๊ะกินข้าวพร้อมกับจานขนมปังที่ผ่านเครื่องปิ้งมาแล้ว 3 แผ่น กับถุงขนมปังที่เหลือ ผมเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วนั่งฝั่งตรงข้ามกับไอ้กุน มันมองหน้าผมแค่แว๊ปเดี๋ยวแล้วก็หลบสายตาไปทางอื่น

“แค่สามแผ่นจะพอกินหรอ ไม่ทำอีกเยอะๆ ”

“พี่กินเลย เดี๋ยวผมกินอันนี้” ไอ้กุนพูดทั้งที่ยังไม่ยอมสบตา พร้อมกับหยิบเอาขนมปังในถุงออกมาหนึ่งแผ่นแล้วส่งมันเข้าปากทั้งที่ยังไม่ได้ทาแยมเลยด้วยซ้ำ

“นี่มึงจะเขินกูทำไมเนี่ย” ยิ่งมันเขิน ผมเองก็จะเขินตามไปด้วย

“รู้อีก”

“ก็มึงหูแดง”

“พี่แม่งจะขาวไปไหนวะ รู้ว่าผมจะมาแล้วไม่แต่งตัวให้ดีดี” มันว่าพร้อมกับทำหน้าจริงจัง

“กูรู้ว่ามึงจะมา แต่กูไม่คิดว่ามึงจะเขินที่กูไม่ใส่เสื้อไง ทีมึงมาถอดโชว์กูกูยังไม่บ่นมึงสักคำ”

“ก็มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ”

“แล้วมันไม่เหมือนกันยังไงล่ะ”

“ไม่เหมือนก็คือไม่เหมือนนั่นแหละ”

เอ้า ไอ้นี่

ผมขี้เกียจเถียงกับไอ้กุนเลยหยิบเอาแยมลิ้นจี่ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเปิด แล้วดึงเอาขนมปังในมือไอ้กุนมาทาแยมให้ตามที่ตัวเองชอบ เสร็จแล้วก็ส่งคืนให้กับอีกคน ที่ทำให้นี่ก็เพราะว่าสงสารหรอกนะ กลัวจะเขินจนไม่กล้าตักแยมทา

“ทำไมวันนี้ใจดีจัง”

“พุดมากอีกและ จะกินไหม ไม่กินเดี๋ยวกินเอง”

“กินดิ” ไอ้กุนเอาขนมปังที่ผมส่งให้ไปคาบเอาไว้ พอมือว่างก็หยิบเอาขนมปังที่ปิ้งแล้วมาทาด้วยแยมแบบเดียวกันแล้วส่งมาให้ผมบ้าง “วันนี้ผมขับรถเองนะ”

“ชอบขับรถหรอ เปลี่ยนไปขับแท๊กซี่มะไม่ต้องทำมันและงาน”

“ก็ได้นะ รับส่งพี่คนเดียวก็น่าจะพออยู่ได้และ”

ไอ้กุนมันกลัวไม่ได้ขับรถให้ผมนั่ง พอเห็นว่าผมเริ่มกัดขนมปังที่มันส่งให้ มันก็รีบยัดขนมปังเข้าปากแล้วเดินไปหยิบเอากุญแจรถที่ผมวางไว้ที่ชั้นข้างทีวีมาใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองเอาไว้ แล้วเดินกลับมานั่งลงที่เดิม เห็นมันหยิบเอาขนมปังปิ้งอีก 2 แผ่นที่เหลือขึ้นมาจัดการทางแยมแล้วก็วางเอาไว้ที่เดิม ผมก็รู้ได้ทันทีว่าขนมปังปิ้งนั้นคงไม่พ้นมันทางเอาไว้ให้ผม เพราะไอ้คนที่จัดแจงทาแยมให้คนอื่นตอนนี้กำลังปาดแย้มบนขนมปังที่ยังไม่ได้ปิ้งและกำลังจะส่งมันเข้าปาก





มัวอ้อยอิ่งกันได้ไม่นานก็ได้เวลาที่จะต้องออกไปตามนัด การไปประจวบสองวันหนึ่งคืนในคราวนี้ เราเดินทางกันโดยรถของผม มีแผนกผมสองคนคือผมกับไอ้กุน และน้องต่างแผนกอีกสองคนที่ผมจะต้องไปรับน้องเขาที่หน้าบริษัท

จิ๊บกับปุ้มคือน้องสองคนที่ร่วมเดินทางไปกับผมในครั้งนี้ด้วย พอรถมาจอดเทียบที่หน้าบริษัทก็เห็นสองสาวที่คนหนึ่งเป็นสาวผิวแทนตัวเล็กแต่หน้าคม กับอีกคนที่เป็นสาวหมวยหุ่นดีผิวขาวออร่า มายืนยิ้มรอกันอยู่แล้ว

ไอ้กุนรีบลงไปช่วยสองสาวยกของขึ้นใส่รถตามประสาคนที่ชอบช่วยคนโน้นคนนี้ไปทั่วของมัน แต่ดูแล้วจะได้ใจทั้งสองสาวสองสไตล์ไปอยู่ไม่น้อย เพราะผมเห็นเธอมองตามไอ้กุนไม่วางตา

พอทั้งคนทั้งของขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย พวกเราก็ค่อยเคลื่อนตัวไปสู่จุดหมาย โดยมีเสียงเจื้อยแจ้วของไอ้กุนและสาวๆ ที่นั่งหลังไม่ติดเบาะคอยคุยนั่นคุยนี่กันตลอดทางจนบางทีผมเองก็สงสัยว่าหาเรื่องอะไรมาคุยกันหนักหนา ส่วนผมเองตอนนี้หันหน้าออกนอกหน้าต่างและหลุดออกจากวงสนทนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“พี่ปอคะ” น้องจิ๊บสาวผิวแทนเธอเรียกผม “เมื่อคืนจิ๊บลองเลือกกิจกรรมที่เคยทำกันปีก่อนๆ ไว้ พี่ปอจะลองดูก่อนไหมคะ”

“เอาสิครับ” ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถไปฟรีๆ ตั้งหลายชั่วโมง

ผมรับเอาไอแพดที่จิ๊บส่งมาให้เลื่อนเปิดอ่านแผนกงานของปีก่อนๆ แต่ทำแบบนั้นอยู่ได้ไม่นานก็ต้องวางไอแพดลง เพราะเกิดอาการวิงเวียน ผมคิดผิดจริงๆ ที่อ่านอะไรบนรถที่กำลังแล่น ตอนนี้เลยรู้สึกพะอืดพะอมไม่สบายตัวเอาเสียมากๆ

สองสาวยังคงคุยกันไม่หยุด จะมีก็แค่ไอ้กุนที่สามารถรับรู้ถึงความผิดปกติของผมได้ มันยื่นมือมาแตะที่แขนของผมเบาๆ ก่อนจะบอกกับสองสาวที่นั่งอยู่ข้างหลังว่าเราจะแวะพักเมื่อถึงปั้มน้ำมันข้างหน้า

“จริงๆ ไม่ต้องแวะก็ได้นะ หรือว่ามีใครอยากเข้าห้องน้ำหรือเปล่า” ผมบอก

“แวะเถอะครับ” ไอ้กุนหันมามองหน้าผม สีหน้ามันดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด “เดี๋ยวผมไปหายาให้พี่ด้วย”

“ไม่ได้เป็นอะไรเลย พักสายตาสักแป๊บเดี๋ยวก็หาย” ผมยังคงต่อรองเพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเสียเวลาด้วย

“แวะเถอะค่ะพี่ปอ ปุ้มอยากไปหาอะไรเปรี้ยวๆ กินแก้ง่วงด้วย จะได้อยู่คุยเป็นเพื่อนกุนด้วย”

“พี่ปุ้ม พี่จิ๊บง่วงก็นอนกันได้เลยนะ” ไอ้กุนว่า “พี่ปอก็อยู่ พวกพี่พักกันตามสบายเลยครับ”

“กุนกับพี่ปอนี่รู้จักกันมาก่อนหรอคะ ดู สนิทกันเชียว” จิ๊บเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง

“ไม่รู้จักครับ แต่มารู้ทีหลังว่ากุนมันเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเพื่อนสนิททีหลัง ก็เลยคุยกันได้ง่ายหน่อยละมั้ง คนเลยคิดว่าสนิทกัน”

“แต่เฮียนินทาพี่ปอให้ผมฟังประจำเลยนะ”

“นี่มึงใช้คำว่านินทาเลยหรอ” ผมหันควับไปหรี่ตามองไอ้คนที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ข้างๆ ”ไหนไอ้กรวยมันนินทาว่ายังไงจะได้ไปจัดการถูก”

“เล่าตอนนี้ไม่ได้ครับ” ไอ้กุนยิ้ม แล้วส่งสายตาไปยังสาวๆ ที่นั่งอยู่ข้างหลัง มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเรื่องติดเรทจนไม่ควรจะให้คนอื่นได้ยิน แต่ก็สมเป็นไอ้กรวยนั่นแหละคิดอะไรแบบคนธรรมดาไม่ได้ ดีแล้วที่ไอ้กุนมันยังคิดได้ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด

“ออกจากปากเฮียมึงก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีดี เดี๋ยวกลับไปต้องไปเยี่ยมออยสักหน่อยแล้ว”

“เอาแค่พอดีพอดีนะพี่ คิดเสียว่าเห็นแก่หลานผมก็ได้”





กุนขับรถมาจอดเทียบที่ร้านสะดวกซื้อ สาวๆ จูงมือพากันเข้าไปในร้านก่อน ผมเองก็ลงจารถมาสูดอากาศภายนอกบ้าง เผื่ออาการที่กำลังเป็นอยู่จะเบาลง กุนจัดการล๊อครถแล้วตรงเข้าไปในร้านสะดวกซื้อบ้าง ไม่นานมันก็ออกมาพร้อมกับถุงผ้าขนาดย่อมๆ ที่ข้างในมีของอยู่ล้นถุง มันส่งยาดมที่เพิ่งค้นออกมาจากในถุงผ้าให้ผม แล้วชวนให้ขึ้นไปรอจิ๊บกับปุ้มบนรถ เพราะตรงนี้ค่อนข้างร้อน จากที่เมารถ อาจจะเป็นลมเพิ่มขึ้นมาได้

“ดีขึ้นไหมครับ”

“อือ”

“อีกแป๊บเดี๋ยวก็ถึงแล้ว พี่จะพักก่อนไหมหรือว่าจะทำงานเลย”

“คงต้องพักก่อน จิ๊บกับปุ้มคงเหนื่อยแล้วนั่งรถมาตั้งหลายชั่วโมง เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไปดูที่จัดงานกัน”

“แล้วพี่เหนื่อยไหม” คนถามบิดเปิดขวดวิตามินซีแบบน้ำส่งมาให้

“นั่งเฉยๆ จะเหนื่อยอะไร คนขับรถสิต้องเหนื่อย”

“ผมไม่เหนื่อยนะ คงชอบขับรถแบบที่พี่บอกจริงๆ ละมั้ง” ไอ้กุนว่าพร้อมกับยกน้ำแบบเดียวกันขึ้นดื่ม

“ก็ว่างั้นแหละ แถมมีคนชวนคุยตลอดทางด้วย”

“แถมคนชวนคุยน่ารักด้วย”

ไม่รู้ว่าเพราะน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปมันเปรี้ยว หรือว่าเป็นเพราะคำพูดของไอ้คนข้างๆ กันแน่ถึงทำให้ผมรู้สึกจี้ดๆ แบบนี้ “สงสัยจะได้คนคุยใหม่ก็คราวนี้”

พูดจบผมก็เบือนหน้าหนีออกนอกรถเพราะปุ้มกับจิ๊บเดินมาถึงที่รถพอดี

สองสาวดูมีความสุขกับการรื้อถุงขนมของตัวเองที่เพิ่งลงไปซื้อกันมา มีบ้างที่ทั้งสองคนยื่นมันมาให้ผมกับไอ้กุน ฝ่ายผมรับมาเพราะเกรงใจที่น้องๆ ชวน ส่วนไอ้กุน รายนั้นตอนนี้ดูจะพูดน้อยกว่าปกติจนกลายเป็นถามคำตอบคำ แถมยังปฏิเสธขนมที่ปุ้มส่งมาให้โดยให้เหตุผลว่าไม่ชอบกินขนมแบบนี้ ผมเองก็เลยได้แต่นั่งเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะเมื่อกี้เพิ่งเห็นว่าในถุงผ้าที่ไอ้กุนมันหิวมาก็มีขนมแบบเดียวกันกับที่ปุ้มยื่นมาให้

ไหนบอกไม่ชอบกิน…

แล้วมันจะซื้อมาทำไม





ไม่ถึงชั่วโมงดี พวกเราก็มาถึงรถโรงแรมที่ติดต่อเอาไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงและที่พักสำหรับพนักงานและครอบครัว ปกติงานนี้ก็คืองานที่พาพนักงานและครอบครัวมาเที่ยวพักผ่อน แต่ช่วงก่อนเริ่มงานเลี้ยงสังสรรค์ก็มักจะมีกิจกรรมเล็กๆ เพื่อแจงของรางวัลให้กับทุกๆ ครอบครัว แต่ผมก็เป็นคนหนึ่งในบริษัทแหละที่ไม่เคยมาเล่นเกมเพื่อรับของรางวัลเลยสักครั้ง

ห้องพักที่อยู่ติดกันสองห้องถูกใช้เป็นที่นอนของพวกเราในคืนนี้ และจากที่ตกลงกันว่าจะออกไปดูสถานที่กันช่วงเย็นๆ เวลานี้เลยเป็นเวลาที่พวกเราได้พักผ่อนกันตามอัถยาศัย กุนวางกระเป๋าของตัวเองลงบนโซฟาในห้อง ก่อนจะทิ้งตัวแผ่หลาอยู่ข้างๆ กระเป๋าของตัวเอง ผมที่กำลังจัดเสื้อผ้าของตัวเองเข้าตู้พอเห็นแบบนั้นก็ไปบอกให้มันมานอนดีดีบนเตียง เพราะเข้าใจว่าขับรถมาตั้งไกล มาบอกว่าไม่เหนื่อยเลยก็ดูออกจะเกินไปสักหน่อย

กุนขยับมานอนบนเตียงแต่โดยดีเมื่อโดนผมบ่น ส่วนผมนั้นเปิดประตูหลังห้องที่ทะลุออกไปที่สระว่ายน้ำได้ เพื่อเดินสำรวจบริเวณรอบๆ

รอบสระว่ายน้ำทั้ง 3 ด้านถูกล้อมไปด้วยเก้าอี้อาบแดดและอาคารที่พัก ส่วนอีกด้านเปิดโล่ง มองจากตรงนี้ก็สามารถมองเห็นทะเลได้ เดี๋ยวตอนเย็นจะชวนน้องที่มาด้วยกันออกไปเดินดูเผื่อจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ

กลับเข้าห้องมาอีกทีก็เห็นอีกคนก็เข้าไปขดตัวหลับอยู่ใต้ผ้าห่มเป็นทีเรียบร้อยแล้ว ผมก้มลงมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้ เลยตัดสินใจเอ็นหลังลงบนเตียงบ้าง

นอนไถมือถือไปมาก็ดันรู้สึกง่วง แอร์ในห้องเย็นเฉียบจนทำให้รู้สึกหนาว แต่เพราะไม่อยากรบกวนคนขับรถที่ตอนนี้น่าจะหลับสนิท บวกกับแค่อยากจะพักสายตาแค่ไม่กี่นาที ผมเลยไม่ได้ดึงเอาผ้าห่มที่ไอ้กุนเอาไปพันตัวเองเอาไว้มาห่ม และผมก็ผลอยหลับไปทั้งแบบนั้น

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะได้ยินเสียงคุยกันดังมาจากหน้าห้อง ผ้าห่มที่ก่อนนอนนั้นไม่ได้ห่ม ตอนนี้กลับถูกนำมาคลุมไว้บนตัวของผมเรียบร้อย ซึ่งคนที่นำมาห่มให้ก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากไอ้คนที่กำลังออกไปคุยกับปุ้มหรือจิ๊บคนใดคนหนึ่งอยู่หน้าห้อง

ผมยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงเพราะเหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงผนังห้องแล้วก็ยังไม่ถึงเวลานัดที่บอกเอาไว้ ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังใครคุยกันนะ แต่ตอนนี้มันดันได้ยินทุกคำพูด และไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าไม่น่าจะมาได้ยินเรื่องของสองคนนี้เลย

“พี่ปอไม่ว่าหรอก ถ้าตื่นมาแล้วไม่เจอกุน นะแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว บางทีพี่ปออาจจะยังไม่ตื่นก็ได้”

“ผมไม่ได้กลัวพี่ปอจะว่า เพราะพี่ปอคงไม่ว่าอยู่อะไรอยู่แล้ว ทำไมเราไม่รอให้พี่ปอตื่นก่อนล่ะครับแล้วค่อยไป”

“แค่ 10 นาทีเอง เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว นะกุน ไปช่วยพวกพี่หน่อย”

อาจจะฟังดูแปลก เพราะผมกลับอยากให้ไอ้กุนมันยืนยันว่าจะรอจนกว่าผมจะตื่นแล้วค่อยไป แต่พอได้ยินเสียงอ้อนแบบนี้เข้าไป เดาได้เลยว่าอีกไม่นานไอ้กุนก็คงตอบรับแน่นอน

“ก็ได้ครับ”

ก็นั่นแหละ คำตอบก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คิดเท่าไหร่ แต่มันแค่รู้สึกผิดหวังแปลกๆ ตั้งแต่รู้จักกันมาก็ไม่เคยเห็นจะปฎิเสธการร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นมาก่อน แถมส่วนมากยังเสนอตัวไปช่วยเขาเองอีก ทำไมผมถึงคิดว่ามันจะปฏิเสธคำขอร้องของสองสาวนั้นด้วย

น่าตลกจริงๆ





ไม่ถึง 10 นาที ไอ้กุนก็กลับมาในห้อง พอมันเห็นผมที่ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงอยู่ก็ร้องทักขึ้น

“อ้าว พี่ตื่นแล้วหรอ” ผมไม่ได้ตอบอะไรก็แค่ยังคงมองหน้ามันนิ่ง “ทำไมมองผมแบบนั้น”

ไม่รู้หรอกว่าตัวเองไปใช้สายตาแบบไหนมองไอ้ลิงนั่น มันถึงได้พูดออกมาแบบนี้ แล้วผมก็ไม่รู้ว่าด้วยผมมองมันทำไม “ป่าว” ผมบอกพร้อมกับสะบัดผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตัวออก แล้วก้าวลงจากเตียง “หิว จะออกไปหาอะไรกินข้างนอก เอาอะไรไหม”

“อ้าว ไม่ให้ผมไปด้วยหรอ”

“จะไปคนเดียว” ผมลุกไปหยิบเอาโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่ข้างทีวี ตอนนี้ยังไม่พร้อมเห็นหน้าไอ้ลิงนั่นเลยสักนิด อยากจะไปหาที่เงียบๆ นั่งทบทวนความคิดของตัวเองสักพัก ผมว่าผมเริ่มอาการไม่ค่อยดีแล้ว

“พี่ปอครับ”

ผมมองหน้าอีกคนที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำหน้าอ้อน ทำเสียงอ้อนใส่ผม

แต่ทั้งๆ ที่รู้แบบนั้นทำไมใจมันถึงยังอ่อนยวบยาบอยู่ได้

“ไปด้วยกันนะ”

ทั้งที่รู้ว่ามันนิสัยแบบนี้ ชอบพูดแบบนี้ ทำไมยังคิดว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นอีก

“นะครับ”

มันน่าตลกจริงๆ ที่ผมเองก็ไม่เคยปฎิเสธมันได้เลยเหมือนกัน









#เพราะรักรออยู่

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ ขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันค่ะ
 :hao5:

หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 10 - 04-17-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 17-04-2020 20:18:41
“พี่ปอครับ”

รู้ว่าแกล้งทำหน้าอ้อน เสียงอ้อน


โอยยยยยยย
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 10 - 04-17-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-04-2020 23:30:03
อบอุ่นน่ารักดี
พี่ปอ+น้องกุน
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 10 - 04-17-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-04-2020 22:41:29
เด็กมันจ้องจะจับกินอ่ะพี่ปอ
ไอ่น้องกุนนี่...มันร้ายยยยยยย
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 11 - 04-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 20-04-2020 15:51:33
บทที่ 11





ช่วงเย็นก็เป็นไปตามตารางที่แพลนเอาไว้ตั้งแต่ต้น ตอนนี้พวกเราทั้ง 4 คนกำลังเดินไปตามห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมโดยมีพี่ธนา พี่ที่ผมติดต่อเรื่องที่พักเอาไว้ตั้งแต่ต้นคอยให้ข้อมูลต่างๆ พาดูห้องที่พอดีกับจำนวนคน รวมถึงแนะนำไอเดียอีกหลายๆ อย่างจากประสบการณ์ที่พี่แกเคยประสานงานเรื่องจัดงานประเภทนี้กับบริษัทอื่นๆ และแน่นอนว่ามันเป็นประโยชน์กับมือใหม่แบบผมเอามากๆ เลยทำให้ยิ่งทำงานได้เร็วขึ้น

เมื่อเลือกห้องที่จะใช้ได้ เราก็ไปต่อกันเรื่องอาหาร เรื่องนี้ผมขอให้จิ๊บกับปุ้มเป็นคนจัดการ เพราะคิดว่าสาวๆ น่าจะทำตรงส่วนนี้ได้ดีกว่าผมและไอ้กุนแน่ๆ พอเสร็จธุระทุกอย่างก็ได้เวลาอาหารเย็นกันพอดี สองสาวบอกว่าจองโต๊ะร้านอาหารที่อยู่ถัดไปจากโรงแรมเอาไว้แล้วและชวนพวกผมไปด้วย ผมกับไอ้กุนที่ไม่มีปัญหาเรื่องการกินก็ไม่คิดที่จะแย้งอะไร และตกลงที่จะไปกินข้าวด้วยกัน

เพราะร้านอาหารอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม และพี่ธนาก็บอกว่าถนนเลียบชายหาดมีไฟตลอดทางสามารถเดินไปได้ พวกเราเลยลงความเห็นกันว่าจะค่อยๆ เดินกันมา ตลอดทางเหมือนกับเหตุการณ์บนรถย้อนกลับมาอีกรอบ สองสาวชวนไอ้กุนคุยจนเสียงหัวเราะดังลั่นหาด ส่วนผมเองโดนทิ้งให้รั้งท้าย แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ค่อยๆ เดินดูโดนดูนี่ไปเรื่อยๆ ก็เพลินดี จะมีบ้างที่ไอ้กุนมันคอยหันมามองอยู่เป็นระยะและทำท่าเหมือนจะเดินกลับมาหา แต่ก็เป็นผมเองที่พยักหน้าให้มันเดินต่อไป

ไม่นานตามที่พี่ธนาบอกพวกเราก็เดินมาถึงที่ เมื่อเห็นร้านอาหารริมชายหาดที่ปุ้มกับจิ๊บเลือกเอาไว้ก็เดาได้ทันทีว่า นอกจากสองสาวจะเลือกที่นี่เพราะว่าใกล้กับโรงแรมที่พักแล้ว อีกเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะโซฟาไม้จริงกับเบาะหนังสีขาวที่วางหมอนอิงสีสันฉูดฉาดเพื่อเพิ่มลูกเล่น ไหนจะแสงสีเหลืองนวลๆ จากเทียนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะและโคมไฟที่ถูกประดับไว้ตามจุดต่างๆ เรียกได้ว่าบรรยากาศดีมากเลยทีเดียว

“พี่ปอไม่อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรอคะ” ปุ้มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นถามเพราะผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เปิดเมนูอาหารขึ้นดู ผมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับส่ายหน้า ผมกินอะไรก็ได้อยู่แล้ว เลยปล่อยให้คนที่เหลือกเลือกรายการอาหารที่อยากกินกันไป “งั้นพี่ปอเอาน้ำอะไรดี เบียร์ไหมคะ เบาๆ ดี”

ผมเพียงแค่พยักหน้าตอบรับ ปุ้มส่งยิ้มมาให้ก่อนจะหันไปชวนจิ๊บสั่งค๊อกเทลมาดื่มและไม่ลืมสั่งเบียร์สดมาให้ผมกับไอ้กุนที่ตอนนี้มันละจากเมนูและกำลังวุ่นวายอยู่กับการถ่ายรูปวิวรอบๆ

ระหว่างรออาหารก็เป็นเวลาของสาวๆ ที่เริ่มหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาเซลฟี่ในมุมถนัดของตัวเอง ต่อมาก็ขอให้ไอ้กุนช่วยถ่ายรูปคู่ให้ และหนักเข้าก็ชวนกันจูงมือออกไปถ่ายรูปเล่นที่ชายหาด ทิ้งให้ผมเฝ้าโต๊ะอยู่กับไอ้กุน 2 คน

“บรรยากาศดีเนาะพี่” ไอ้คนข้างๆ ว่า “เฮียบอกว่าร้านนี้เฮียเคยพาเจ้ออยมาสมัยเป็นแฟนกันใหม่ๆ ”

..ที่ถ่ายรูปเมื่อกี้ก็คงส่งไปอวดไอ้กรวยสินะ

“เห็นมันก็พาออยไปทั่ว ร้านโน้นก็เคยไป ร้านนี้ก็เคยไป มีร้านไหนไอ้กรวยไม่เคยไปบ้าง”

“แล้วพี่ล่ะ” มันเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มามองหน้าผม “เคยพาแฟนมาร้านนี้รึป่าว”

“ไม่เคย” ถึงจะสงสัยว่ามันถามทำไม แต่ผมก็เลือกแค่ตอบไปตามความจริง

ไอ้กุนยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น “งั้นร้านนี่พี่ก็มากับผมเป็นคนแรกดิ”

“แล้วยังไงอีก” จิ๊บกับปุ้มก็มาด้วย จะทำท่าทางตื่นเต้นทำไม

“ก็ไม่แล้วไง” ไอ้กุนยักไหล่แล้วก้มลงจิ้มโทรศัพท์ของมันด้วยหน้านี่ยังไม่หุบยิ้มของมันต่อ

เมื่อเห็นมันไม่ต่อบทสนทนาแล้ว ผมก็หยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูบ้าง เรานั่งรออาหารกันอยู่เงียบๆ ฟังเพลงไปด้วย ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบไปด้วย จนผมรู้สึกว่าไอ้คนข้างๆ มันเงียบไปจนผิดปกติเลยเงยหน้าขึ้นดู พอดีกับที่เห็นไอ้กุนยกโทรศัพท์ขอมันขึ้นมาถ่ายรูปผม

“โห่พี่ รีบเงยหน้าขึ้นมาทำไมเนี่ย” ไอ้ลิงมันโวยวาย

“แอบถ่ายกูเอาไปนินทากับไอ้กรวยหรอ เดี๋ยวจะโดนทั้งพี่ทั้งน้องนะพวกมึง” ผมยกนิ้วขึ้นชี้หน้าไอ้คนที่ยังคงทำหน้าทะเล้นกดอะไรยุกยิกๆ ในโทรศัพท์ไม่เลิก

“งั้นขอถ่ายดีดี มา” กุนขยับตัวเข้าหาผมแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นสลับเป็นกล้องหน้า “ถ่ายรูปกัน”

ผมขมวดคิ้วมองไอ้คนที่ขยับเข้ามาเสียจนใกล้แค่คืบแถมยังส่งยิ้มให้กล้องรออยู่แล้ว และตอนนั้นเองที่ปลายตาแอบเหลือบไปเห็นว่ามันกดปุ่มชัตเตอร์ไปแล้วหลายรูป “นี่ก็รีบจัง ยังไม่ได้มองกล้องเลย เอามานี่ถ่ายเอง”

ผมแย่งโทรศัพท์ไอ้กุนมาถือเอาไว้ ยกกล้องในระยะที่พอดีเตรียมพร้อมที่จะกดถ่าย แต่พอมองไปที่หน้าจอไอ้ซุนหงอคงมันกลับเอาแต่มองหน้าผมไม่มองกล้องขึ้นมาอีกเสียอย่างนั้น

โว๊ะ วันนี้จะได้ถ่ายกันดีดีไหม..

ตอนแรกก็กะว่าจะหันไปบ่นสักหน่อย แต่พอหันไปแล้วเจอสายตาที่มันมองอยู่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเผลอลืมหายใจไปเสียเฉยๆ แถมหัวใจก็เริ่มเริ่งจังหวะการเต้นขึ้นมาเอาดื้อๆ อยากจะละสายตาออกไปจากคนตรงหน้าก็ดันทำไม่ได้

ไอ้อาการแบบนี้น่ะ

อาการแบบนี้มัน…

“มองกล้องสิ” ผมได้สติกลับมาอีกทีก็ตอนที่รู้สึกว่านิ้วมือของตัวเองที่เตรียมจะกดปุ่มชัตเตอร์ไปสัมผัสกับหน้าจอเข้า เลยรีบหันหน้าหนีกลับมาและสั่งให้ไอ้ตัวต้นเหตุของอาการประดักประเดิดเมื่อครู่หันกลับมามองกล้องด้วย

ดีที่คราวนี้มันยอมทำตามอย่างว่าง่าย พอเห็นแบบนั้น ผมก็รีบกดถ่ายรูปและยัดโทรศัพท์ใส่มือคืนให้กับเจ้าของมันไปทันที ได้ยินมันหัวเราะออกมาเบาๆ ก็คงจะขำรูปที่ถ่ายไปนั่นแหละ เพราะมันได้รูปที่ตัวเองกำลังยิ้มแฉ่งคู่กับผมที่ทำหน้ายุ่งแบบสุดๆ ไป 1 รูปถ้วน





สองสาวกลับมาที่โต๊ะพอดีเหมือนกับรู้เวลาว่าตอนนี้อาหารเริ่มทยอยนำออกมาเสิร์ฟแล้วจนครบ ไอ้กุนยังคงรักษามาตรฐานความเป็นคนดีของมันเหมือนเดิมโดยการตักอาหารที่อยู่ใกล้มันที่สุดไปให้ปุ้มและจิ๊บ เลยได้รับคำชมกันไปยกใหญ่

ผมเลิกสนใจเหตุการณ์ที่รู้ว่ามันกำลังจะทำให้ตัวเองวุ่นวายใจตรงหน้า และเริ่มตักอาหารเข้าปากบ้าง แต่ก็ทำใจให้สงบได้แค่ไม่นานหัวใจก็ต้องกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง เพราะคราวนี้ไอ้กุนกำลังเอาทิชชูกดลงมาที่มุมปากของผม รู้สึกเลยว่าตาของตัวเองเบิกกว้างไม่ต่างกับปุ้มและจิ๊บที่นั่งอยู่ตรงข้าม

น้องสองคนยิ้มเจื่อนมาให้ เพราะไม่ว่าดูยังไงการกระทำเมื่อครู่มันก็ดูแปลกเกินไปจริงๆ

“อะไรของมึงเนี่ย” ผมหันไปดุ ไอ้กุนที่ตอนนี้หันกลับไปแกะอาหารทะเลในจานต่อราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“ก็ปากพี่เลอะ อ่ะกุ้ง” มันว่า พร้อมกับย้ายกุ้งที่แกะเปลือกออกเรียบร้อยแล้วมาใส่ในจานผม “เฮียบอกพี่ชอบกินอาหารทะเล แต่ขี้เกียจแกะ”

“กินไปเลย ไม่ต้องแกะมาให้”

สองสาวยังคงนั่งมองผมและไอ้กุนนิ่ง แววตาปนไปด้วยความสงสัยชัดเจนจนผมรู้สึกได้ แต่ไอ้คนข้างๆ มันกลับไม่ได้สนใจอะไรเลย และยังส่งกุ้งตัวที่สองมาวางไว้ในจานผมอีก

“พี่ปุ้ม กับพี่จิ๊บเอาไหมครับ เดี๋ยวผมแกะให้”

คนถูกถามทั้งสองมองหน้ากันเลิกลัก ก่อนที่จิ๊บจะเป็นคนเอ่ยปฏิเสธออกมา “ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ กุนดูแลพี่ปอเถอะ”

“นี่ก็ไม่เอา ไม่ต้องแกะมาให้” ผมย้ำ

“ครับ”

ครับ!

ครับแล้วกรรเชียงปูก้อนเบ้อเร่อนี่มันคืออะไร ก็บอกว่าไม่เอาไม่เอาไอ้ลิงนี่

ผมหันไปมองหน้าไอ้ลิงที่ยังคงทำหน้าระรื่นอีกครั้ง คราวนี้คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว

ทำแบบนี้ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยรึไงกัน

..หรือว่าเป็นผมที่รู้สึกไปคนเดียวอีกแล้ว





ทานข้าวกันเสร็จสองสาวชวนนั่งอยู่ที่ร้านต่อ บอกว่าติดใจรสชาตค๊อกเทลและบรรยากาศของร้าน ซึ่งไอ้กุนก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย มันให้เหตุผลว่ากลับไปที่ห้องก็ไม่มีอะไรทำ ทุกคนเลยยังคงนั่งกันอยู่ที่เดิม ต่างก็ตรงที่ตอนนี้ผู้ชายสองคนบนโต๊ะถูกคะยั้นคะยอให้ลองชิมรสชาติของค๊อกเทลสีสวยด้วย

ผมเริ่มนับถือสองสาวนี้ขึ้นมาแล้ว เพราะอย่างที่รู้กันคือค๊อกเทลแต่ละแก้วปริมาณแอลกอฮอลเยอะกว่าเบียร์ที่ผมกับไอ้กุนกำลังดื่มกันหลายเท่า แต่ดูท่าแล้วทั้งคู่ก็ยังปกติดี ยังสามารถพูดคุยเล่นกับไอ้กุนได้ โดยไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยสักนิด เป็นผมเสียอีกที่ตอนนี้เริ่มมีอาการปวดเหมื่อยตามตัวแล้ว

“พี่ปอเป็นโสดมาตั้งนานแล้ว ไม่เหงาหรอคะ” จู่ๆ ปุ้มก็โยนคำถามนี้มาให้ผมแบบไม่ทันตั้งตัว

จะว่าไปทุกวันนี้ชีวิตผมก็เป็นปกติดี ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโหยหา หรือต้องรีบคว้าเอาใครมาอยู่ข้างๆ แต่ถ้าถามว่าเหงาไหม ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงจะตอบว่าไม่ละมั้ง แต่ละวันที่ผ่านไปก็โดนป่วนโดยไอ้พนักงานใหม่ที่พี่ชาติส่งให้มาดูแลตลอด ทั้งตอนอยู่ที่ทำงาน หรือแม้ตอนที่เลิกงานแล้ว ไม่มีเวลาตอนไหนว่างให้เหงาได้เลย

“โทรศัพท์พี่ปอดังค่ะ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรออกไป เจ้าของคำถามก็ชี้นิ้วมาที่โทรศัพท์ของผมที่ปิดเสียงปิดสั่นเอาไว้เกิดไฟสว่างวาบเพราะมีสายโทรเข้า

เมื่อเห็นว่าเป็นไอ้ธีร์ที่โทรเข้ามา ก็เลยขอตัวออกเดินมารับสายข้างนอก

“ว่าไง”

‘เพื่อนครับ เพื่อนทำอะไรอยู่ครับ’ ไอ้ธีร์ถามเสียงใส

ผมว่า มันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ น้ำเสียงมันดูร่าเริงผิดปกติ “กินข้าวอยู่กับพวกน้องๆ ทำไม”

‘ก็ไม่ทำไมหรอกครับ แค่อยากโทรมาแซวเพื่อนเฉยๆ ไปทะเลทั้งทีไม่ยอมอัพเดทอะไรลงโซเชียลเลย แต่นู้นนน แอบไปโพล่ที่แอคเด็กตัวเองนู้นนน’

แค่ไอ้ธีร์พูดขึ้นมาแบบนี้ ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าไอ้กุนมันต้องเอารูปที่ถ่ายคู่กันไปลงแน่ๆ แล้วหน้าผมในรูปนั้นก็คือมันไม่ควรเปิดเผยให้สาธารณชนเห็นเลยสักนิด ก็สมควรแล้วที่พอไอ้ธีร์มันเห็นมันจะโทรมาแซว

“นี่มึงแค่จะโทรมาแซวเรื่องหน้ากูเอ๋อเท่านั้นหรอ”

‘เอ๋อ? อะไรเอ๋อ’

“ก็รูปคู่ที่ไอ้กุนถ่ายกับกูแล้วเอาไปลงไง หน้ากูอย่างเอ๋อ” ผมอธิบายพร้อมกับหย่อยก้นลงนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวตรงชายหาดหน้าร้านอาหารนั่นเอง

‘ฮั่นแน๊ะ มีรูปคู่ซะด้วย ฮั่นแน๊ะ’ ไอ้ธีร์พูดแซว แล้วดูน้ำเสียมันสิ

โอเค

กูพลาดเอง

กูพลาดเองแหละ ไอ้เพื่อนชั่ว

‘น้องกูนี่มันร้ายว่ะ รูปคู่เก็บไว้ดูคนเดียวสินะ ถึงได้ลงรูปมึงคนเดียว แถมในรูปก็หล่ออย่างกับนายแบบอีก คอมเมนต์มันนี่แทบแตก ถามว่ามึงเป็นใครแต่กูไม่เห็นมันตอบใครสักคน’

พอได้ยินแบบนั้นผมก็ไม่รอช้าที่จะกดเข้าไปดูรูปที่ไอ้ธีร์พูดถึงทันที รูปที่ไอ้กุนลงเป็นรูปที่ผมนั่งไขว่ขาก้มหน้ากดมือถือของตัวเองด้วยท่าทางธรรมดาอยู่ในร้าน แต่ทั้งโทน ทั้งองค์ประกอบของรูปภาพ และน่าจะรวมไปถึงฝีมือของคนถ่ายด้วย เลยทำให้ภาพออกมาดูดีแบบที่ไอ้ธีร์บอก

ภาพที่ไม่มีแคปชั่นอะไร กลับเป็นที่สนใจของผู้ติดตามของเจ้าของแอคเค้าท์อย่างน่าประหลาด คอมเมนต์ส่วนใหญ่ก็มักจะถามว่าคนในรูปคือใคร หรือไม่ก็เป็นไปในลักษณะที่เข้าใจกันว่าไอ้กุนกำลังเปิดตัวคนคุยใหม่

“ทำไมเพื่อนมันเข้าใจว่ากูเป็นคนคุยใหม่วะ” พอผมถามคำถามที่สงสัยออกไป ไอ้ธีร์ก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังจนผมต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู “มึงจะหัวเราะอะไรขนาดนี้ ก็กูไม่รู้”

‘มึงก็ไปถามไอ้กุนมันเองสิว่าทำไม’

“แม่ง จะโทรมาแค่นี้ใช่ไหม กูจะได้วาง”

‘ใช่ แค่นี้กูก็สบายใจและ’ ได้ยินเสียงเหมือนไอ้ธีร์มันปิดประตูรถ นี่ก็คงออกมาเที่ยวอีกแน่นอน ‘แล้วมึงกลับเมื่อไหร่’

“พรุ่งนี้เย็นๆ น่าจะถึง”

‘เออ ขับรถดีดีล่ะมึง’

“ถ้ากูได้ขับน่ะนะ” อย่าว่าแต่ขับรถกลับเลย จนป่านนี้ผมยังไม่ได้กุญแจรถตัวเองคืนเลยด้วยซ้ำ

‘อ่อ กูลืมไป มีคนขับรถให้แล้วนี่เนาะ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องคอยขับรถรับส่งใครแล้วนี่เนาะ’ เนี่ย ไอ้ธีร์มันชอบกวนตีนแบบนี้อ่ะ

“พอ! จะไปไหนก็ไป แล้วก็อย่าเสือกเมามากล่ะ”

‘รู้ด้วยว่ากูมากินเหล้า’

“อย่างมึงจะมีอะไรล่ะ”

‘เออๆ แค่นี้แหละ ฝากบอกน้องกูด้วยว่าไปตอนคอมเมนต์หน่อย กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงคนในรูปเนี่ยใช่คนคุยคนใหม่หรือเปล่า’

“ไอ้สัส”

ผมกดวางสายทันที เพราะรำคาญเสียงหัวเราะอย่างสะใจของปลายสาย แต่เลือกที่จะยังไม่เดินกลับเข้าไปในร้านทั้งที่วางสายจากไอ้ธีร์ไปสักพักแล้ว

ผมปล่อยให้ลมทะเลซัดเข้าหาตัว หลับตาฟังเสียงคลื่น สลับกับมองดูเด็กชายหญิง 2 คน ที่น่าจะเป็นลูกของลูกค้าสักคนในร้านเล่นกันอยู่ไกลๆ เพราะกลัวว่าอาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับน้องแล้วผู้ปกครองมาช่วยไม่ทันมากว่า 10 นาทีได้ที่ หลังจากนั้นพื้นที่เงียบสงบตรงนี้ก็ถูกบุกรุกโดยไอ้ลิงหน้าหมาตัวเดิมที่เดินมายืนข้างๆ

“พี่ปุ้มกับพี่จิ๊บกลับไปแล้วนะ” ไอ้กุนบอก

“เฮ้ย แล้วทำไมปล่อยให้ผู้หญิงเดินกลับกันแค่สองคน” ผมหันไปโวยวายถึงจะแค่ไม่ไกล แต่นี่มันผิดวิสัยของไอ้กุนแน่ๆ เชื่อเถอะ

“เค้าเจอเพื่อนสมัยเรียนพอดี เลยชวนกันกลับไปคุยกันที่ห้องเลย” ผมพยักหน้า แล้วขยับแบ่งที่ให้ไอ้กุนที่กำลังนั่งลงข้างๆ “แล้วพี่มานั่งทำอะไรคนเดียว”

“เพิ่งคุยกับไอ้ธีร์เสร็จ ก็ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย จะกลับเลยไหม” บังเอิญไปสบตากับมันเข้าก็เล่นเอาชะงัก เมื่อเห็นสายตาเป็นประกายนั้นจ้องมองกันอยู่ก่อนแล้ว “อะไร”

“พี่ว่าทะเลทำให้คนเรามีความสุขได้ปะ” ไอ้กุนถาม

“ถามทำไม”

“เพราะผมกำลังรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข” คนพูดยิ้มจนตาหยี

แต่ผมกลับไม่เห็นด้วยเลยสักนิด

ถ้าแค่การมาทะเลแล้วมีความสุขแบบที่มันบอกจริงๆ ทำไมผมไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย แถมตอนนี้ก็ยังมีเรื่องให้คิดเต็มไปหมด “แค่มานั่งมองทะเลแค่นี้ก็มีความสุขแล้วหรอ เวอร์”

“แล้วพี่เห็นว่าผมมองทะเลอยู่หรอ” ไอ้กุนยังคงใช้สายตามแบบเดิมมองกลับมา และสายตาของมันตอนนี้กำลังทำให้ผมรู้สึกระอักกระอ่วน ความรู้สึกที่มีมันเริ่มเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นเสียจนผมคงเก็บเอาไว้ไม่ไหว

“มึงกำลังให้กูรู้สึกว่ากูพิเศษกว่าคนอื่น” ไอ้กุนยิ้ม “คือมึงอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่กูเสือกรู้สึกไง ซึ่งถ้าที่มึงกำลังทำกับกูมันเป็นนิสัยปกติที่ทำให้กับคนอื่นด้วย กูอยากให้มึงเว้นกูไว้สักคน ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเทคแคร์อะไรกูเลยก็ได้ กูก็ไม่อยากคิดไปเองแบบนี้”

“ใครบอกพี่คิดไปเอง” มันว่าแบบนั้นแล้วเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังตามขึ้นมา

“กูไม่ตลกนะกุน” ผมทอดสายตาออกไปที่พื้นน้ำสีดำ เอนหลังพิงกับพนัก “พักหลังมานี้กูก็คิดว่าตัวเองอารมณ์แปรปรวนแปลกๆ แต่พอกูลองมาคิดหาสาเหตุดู แม่งก็เป็นเพราะมึงทั้งนั้น คิดไปเองจนกูเริ่มรำคาญตัวเองแล้ว”

“ก็ผมตั้งใจ” ผมหันควับกลับมามองหน้าไอ้กุนอีกครั้ง คราวนี้ร้อยยิ้มบนหน้าหายไปแล้ว เหลือแต่ไอ้กุนที่มีสีหน้าจริงจังกว่าครั้งไหนๆ “ทุกอย่างที่ผมทำให้พี่ ผมตั้งใจ และพี่ปอไม่เหมือนคนอื่น เพราะผมไม่ได้ชอบคนอื่นเหมือนที่ชอบพี่”

“ชอบ? ชอบกู” ผมถามย้ำ “มึงเนี่ยนะชอบกู”

“ครับ”

“จะเป็นไปได้ยังไง ไม่เชื่ออ่ะ” ยังไงก็เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ไอ้กุนเนี่ยนะจะชอบผม “นี่มึงรวมหัวกับไอ้ธีร์ ไอ้กรวยมาอำกูหรอ”

“ผมจะทำแบบนั้นไปทำไม” มันยกขาข้างนึงขึ้นมาบนเก้าอี้แล้วหันทั้งตัวมาทางผม ดูท่าว่าผมกับไอ้กุนคงได้ถกเรื่องนี้กันยาวแน่ ผมเลยทำแบบเดียวกันบ้าง

“ไม่ใช่อ่ะ แล้ว..แล้วเรื่องคนคุยมึงอีก คนคุยมึงเป็นผู้หญิง แต่กู”

“แล้วผมเคยบอกพี่ตอนไหนว่าคนคุยผมเป็นผู้หญิง”

เออว่ะ

ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น อธิบายอาการที่กำลังเป็นอยู่ไม่ถูก

สมองบอกว่าเรื่องที่ไอ้กุนชอบผมเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

แต่ใจแม่งก็เต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาข้างนอก

“ผมชอบพี่ รู้สึกดีกับพี่ ก็เหมือนที่พี่เริ่มรู้สึกชอบผม”

“ไม่ได้ชอบ กูแค่บอกว่ากูรู้สึกแปลกๆ ไม่เคยบอกว่าชอบมึง”

“โอเค ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ผมชอบพี่คนเดียว ผมชอบพี่มากๆ แล้วต่อไปนี้ผมจะจีบพี่ด้วย”

บ้า

นี่มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว

“ไม่ได้ กูไม่ให้จีบ”

“ก็จีบไปแล้วทำไงอ่ะ” เดี๋ยวไอ้ลิง มึงมาจีบกูตอนไหน “จะจีบคืนไหมล่ะ ก็ได้นะ จะได้หายกัน”











#เพราะรักรออยู่

อุตส่าห์มาทะเลทั้งที ไหนฉากสารภาพรักแสนโรแมนติก
ทำไมกลายมาเป็นเถียงกันเรื่องชอบไม่ชอบแทน

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ด้วยนะคะ ดีใจที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันคร่าาา
 :กอด1:

หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 11 - 04-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-04-2020 18:04:54
 :-[
ฟังกุนพูดแล้ว ใจสั่นๆ
อ้าววววว ตรูไม่ใช่พี่ปอนี่หว่า
ฮ่าฮ่า

กร๊าวววววววแทนอ่ะ
อิอิ
 :hao6:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 11 - 04-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 20-04-2020 20:08:58
ชอบ ก็บอกว่าชอบ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 11 - 04-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-04-2020 22:12:38
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 11 - 04-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-04-2020 21:39:57
 :L2: :L1: :pig4:

เราก็ชอบ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 12 - 04-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 28-04-2020 17:06:16


บทที่ 12





ในห้องพักที่ดับไฟทุกดวงแล้วแต่ก็ยังคงไม่ได้มืดสนิท เพราะมีแสงจากไฟในห้องน้ำที่เปิดทิ้งเอาไว้ ลอดออกมาจากมู่ลี่ไม้บังสายตาของผนังห้องน้ำที่เป็นกระจกทั้งบานเท่านั้น

ตอนนี้เรียกได้ว่าดึกมากแล้ว แต่ถึงอยากจะข่มตาให้หลับเท่าไหร่ เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถลืมทั้งสายตาจริงจังและคำพูดที่บอกว่าชอบผมของไอ้ลิงนั่นไม่ได้

“พี่ปอครับ” ไอ้กุนเรียกเสียงอ่อย

“อะไร”

“จะนอนตรงนั้นจริงดิ”

ที่ไอ้กุนถามแบบนั้นก็ไม่ใช่อะไร

เพราะผมอาศัยช่วงที่มันเข้าไปอาบน้ำ หอบหมอนกับผ้าห่มมานอนโซฟาแทนจะนอนบนเตียงนุ่มๆ นั่นแหละ

“เงียบ แล้วก็นอนไปเลย” ใจยังเต้นไม่หายเลยด้วยซ้ำ ชวนไปนอนด้วยกันอยู่ได้ ไอ้ลิงนี่มันไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง “ห้ามกวนนะจะนอนแล้ว”

พูดจบก็ตะแคงหนีไปอีกทาง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนเกือบมิดหัว

แต่ถ้าคิดว่าพอผมทำแบบนี้แล้วไอ้กุนมันจะเงียบตามที่บอกจริงๆ ก็บอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า…

คิดผิด

“พี่ปอครับ”

“อะไรอีก”

“พี่รังเกียจผมหรอ” แล้วไอ้น้ำเสียงหงอยๆ แบบนี้น่ะหรอ ผมคิดว่าผมรู้นะว่ามันกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ “ผมขอโทษ เอาแบบนี้ไหมแลกที่นอนกันก็ได้ ผมไปนอนตรงนั้นเอง”

“เปล่า” ผมตอบเสียงแผ่ว พอนึกถึงหน้าหงอยๆ ของมันเข้าก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที ทั้งตอนนี้แล้วก็ตอนที่ผมเขินจนรีบเดินหนีมันกลับมาที่ห้องก่อนนั่นก็ด้วย

“ครับ?”

“ไม่ได้รังเกียจ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด พอไอ้กุนเห็นผมลุกมันก็ลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้ากันบ้าง “แค่มันยังไม่ค่อยชินละมั้ง กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ที่ผ่านมาก็ดูแลคนอื่นมาตลอด พอมึงเข้ามาคอยทำโน่นทำนี่ให้ กูเลยรู้สึกแปลกๆ แต่ถ้าถามว่าดีไหม” ผมนิ่งไปชั่วครู่เพื่อทวนคำตอบในใจ แต่คำตอบที่ได้มันก็ยังคงเหมือนเดิม “ไม่รู้ว่ะ มันทั้งดีแล้วก็แปลกไปพร้อมกัน”

ได้ยินเสียงไอ้กุนหัวเราะ ก่อนจะเห็นเงาของอีกคนเดินลงจากเตียงแล้วตรงเข้ามาหา “คนเราอ่ะ พูดแบบนี้ให้ความหวังกันชัดๆ นะ”

“แล้วจะมานั่งเบียดทำไมเนี่ย เขยิบออกไป” ผมใช้มือดันไอ้คนที่เนียนมานั่งใกล้จนแทบจะเกยกันให้ออกห่าง

“ไปนอนด้วยกันแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมต้องขับรถกลับอีก”

“ก็ไปสิ จะมานั่งอยู่ทำไม”

“ถ้าพี่ยังนอนอยู่ตรงนี้แล้วผมจะนอนหลับได้ยังไง ไปครับ” ไอ้กุนดึงเอาข้อมือผมไปกำเอาไว้ ก่อนจะออกแรงเบาๆ ดึงให้ลุกตาม “นอนตรงนี้ตื่นมาได้ปวดหลังพอดี” มันยังคงบ่นต่อ “อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วด้วย”

จากที่กำลังจะลุกตามเพราะกลัวว่ามันจะคิดมาก ก็ทิ้งตัวลงกับโซฟาอีกครั้งทันที แล้วมองหน้าไอ้ซุนหงอคงที่ยืนยิ้มนิ่ง “นิสัยมึงอ่ะนะกุน”

“ดีใช่ไหม ทุกคนก็บอกแบบนี้แหละ”

ผมสะบัดมือออกจากมันทันทีเมื่อได้ยินมันว่าแบบนั้น ไม่ได้จะเถียงหรอกเรื่องนิสัย แต่ถ้าใครได้มาเห็นหน้ามันตอนนี้ก็คงบอกออกมาเป็นคำเดียวกันว่า..น่าหมั่นไส้

“เออ ไปนิสัยดีไกลๆ เลย รำคาญ”

“โอ๋ๆ มา ไม่ล้อๆ” ไอ้กุนเอื้อมมือที่ผมเพิ่งสะบัดทิ้งไปมาจับกันอีกครั้ง “อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรักอยู่แล้วนี่เนาะ โอ๊ย!”

โดนดีดหูไปทีอย่างไม่ต้องสงสัย

ใครเขาใช้ให้พูดอะไรแบบนี้กัน

“คราวหน้าถ้าเขินพี่บอกผมดีดีนะ แบบนี้มันเจ็บ”

พูดมากจริงๆ







ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองไอ้ซุนหงอที่ยังคงนอนคว่ำหันหน้ามาทางผมแถมยังหลับตาพริ้มไม่สะทกสะท้านอะไรกับเสียงฟ้าเมื่อครู่ ก่อนจะค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงไปที่หน้าต่างข้างโซฟาที่เกือบเป็นที่นอนของผมเมื่อคืนเพื่อดูสถานการณ์ข้างนอก

พอแหวกม่านออกก็เห็นสายฝนเม็ดใหญ่กระหน่ำตกลงสู่พื้น เสียงฟ้าคำรามดังอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะเกิดแสงขาวโพลนสว่างจ้าและตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง

ด้วยความตกใจเพราะเสียงเหมือนกับจะดังอยู่ไม่ไกล เลยทิ้งผ้าม่านในมือแล้วถอยหลังออกมา แต่เพราะข้างหลังไม่ได้ว่างเหมือนในตอนแรก เลยทำให้แผ่นหลับไปชนเข้ากับอะไรสักอย่าง แถมที่เท้าก็ยังรู้สึกว่าไปเหยียบสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่พื้นห้องอีก ทีนี้จากตกใจเสียงฟ้าเลยกลายเป็นสะดุ้งโหยงชักเท้าหนีจนเกือบทรงตัวไม่อยู่

“ตกใจหมด!” ผมหันไปว่าตัวต้นเหตุ

ย่องมาเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดีนะ ที่มันยังตั้งหลักแล้วคว้าเอวผมเอาไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงได้หงายหลังตึงลงไปที่พื้นกันทั้งคู่

“ปล่อยได้แล้วมั้ง”

ไอ้กุนที่เพิ่งตื่นก็ยังคงเป็นไอ้กุนที่เพิ่งตื่นอยู่เสมอ เหมือนจะรู้เรื่องนะ แต่ก็เหมือนไม่รู้

ดูแล้วเหมือนกับคนละเมอเสียมากกว่า

“ครับ” มันพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะมุดหน้าลงมาที่ไหล่

นี่ก็นิสัยมันอีกอย่าง

ไอ้ครับๆๆ แต่ไม่ยอมทำตามที่บอกเนี่ย มันน่านัก

“ง่วงก็ไปนอนที่เตียง”

“ไปนอนด้วยกัน” เสียงอู้อี้ดังขึ้นข้างๆ หูเพราะไอ้คนพูดยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่แข็งๆ

“นี่กูเริ่มคิดว่ามึงแกล้งทำแล้วนะกุน” ผมหันไปมองกลุ่มผมยุ่งๆ ที่ไหล่ของตัวเองด้วยความสงสัย ไอ้กุนยังคงนิ่งไม่ตอบโต้อะไรกลับมา จนต้องกระชากเสียงของตัวเองให้ดังขึ้น “ไอ้กุน!”

คราวนี้มันไปจริงๆ แถมยังกลับไปนอนในท่าเดิมก่อนที่จะลุกขึ้นมาเหมือนตั้งโปรแกรมเอาไว้อีก

เดี๋ยวนะ

ไอ้เรื่องท่านอนช่างมันก่อน

เพราะถึงจะแค่แป๊บเดียวแถมหน้ามันครึ่งหนึ่งก็จมไปกับหมอน แต่ผมมั่นใจ

ผมมั่นใจว่าเมื่อกี้มันยิ้มอยู่แน่ๆ

หน็อยยย

จะเอาใช่ไหม..ไอ้ลิงเจ้าเล่ห์







กว่าฝนจะหยุดตกก็เกือบเที่ยง แต่หลังจากกลุ่มเมฆฝนเคลื่อนตัวออกไปท้องฟ้าก็สดใสราวกับฝนตกที่หนักตลอดช่วงเช้าเป็นแค่เรื่องโกหก

พอเช็คเอ้าท์เสร็จพี่ธนาก็เข้ามาแจ้งเรื่องที่คุยค้างไว้เมื่อวานต่ออีกพัก พวกเราถึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง

ไอ้กุนที่ยังคงมีกุญแจรถของผมอยู่กับตัว ทำหน้าที่ขับรถอย่างที่เจ้าตัวบอก แต่ที่เพิ่มมาตอนนี้ก็คือแว่นตากันแดดทรงสวยที่อยู่บนหน้าเพราะแดดตอนบ่ายแรงจนผมเองยังต้องหยิบของตัวเองขึ้นมาสวมบ้าง

จากหางตาผมเห็นมันหันมามองผมเป็นระยะ ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เป็นแบบนั้นหลายรอบจนผมต้องหันหน้าออกไปทางหน้าต่างแล้วแอบขำ ก็ตั้งแต่ก้าวขึ้นรถมาผมยังไม่ได้พูดกับไอ้กุนสักคำ ก่อนนั้นก็พูดกับมันน้อยจนแทบจะนับคำได้ และส่วนมากจะเป็นถามคำตอบคำเสียมากกว่า

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ไอ้กุนเลยพาลไม่ค่อยพูดหยอกล้อกับสาวๆ ที่นั่งอยู่ด้านหลังเหมือนกัน บรรยากาศในรถเลยดูแย่กว่าตอนขามาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ มันผิดปกติจนปุ้มกับจิ๊บเองยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมและไอ้ลิงนั่น

ผมตอบปฏิเสธออกไป เพราะก็ไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองอะไรกันตามที่สาวๆ ถาม ในหัวตอนนี้คิดแต่จะเอาคืนไอ้ลิงนั่นเรื่องเมื่อเช้าล้วนๆ

นั่งอึดอัดกันมาตลอดทางจนมาถึงหน้าออฟฟิศจุดที่มารับจิ๊บกับปุ้มในครั้งแรก ผมกล่าวขอบคุณสองสาวที่ช่วยผมไว้ได้เยอะมากในการไปดูสถานที่ด้วยกันในครั้งนี้ก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวลงจากรถไป

ส่วนไอ้กุน..

รายนั้นถึงจะดูหงอยกว่าปกติมากแต่ก็กำลังลงไปยกกระเป๋าของสองสาวลงจากรถให้ แล้วเดินหน้ามุ่ยมานั่งประจำที่ที่นั่งคนขับเหมือนเดิม

“พี่โกรธ’ไรผมเนี่ย”

สงสัยคงจะทนไม่ไหว ไอ้กุนเลยอาศัยช่วงที่รถติดไฟแดงอยู่หันมาถาม

“เปล่า” ผมตอบไปโดยที่สายตายไปจ้องอยู่กับไฟเบรกสีแดงของรถขันข้างหน้า ขืนมองหน้าไอ้ลิงนั่นตอนนี้มีหวังได้หลุดหัวเราะแน่ๆ

“ไม่โกรธแล้วทำไมไม่คุยกับผมอ่ะ” น้ำเสียงฟังแล้วดูเหมือนเด็กงอแงไม่มีผิด จะผิดก็ตรงที่อายุไอ้คนที่กำลังงอแงอยู่ข้างๆ ที่ไม่น่าจะเรียกว่าเด็กได้แล้ว

“ก็คุยอยู่”

“ไม่ใช่ดิ แบบนี้เขาเรียกคุยกันที่ไหน”

“ไม่เรียกคุยแล้วเรียกอะไร”

“ก็พี่ไม่เหมือนเดิมอ่ะ” ไอ้กุนเริ่มโวยวายหนักขึ้น

“พูดเบาๆ อยู่กันแค่นี้”

“พี่ปอ ไม่เล่นแบบนี้ได้ไหม ดีกันมา”

ในที่สุดก็ต้องหันหน้ามาหา เพราะเห็นนิ้วก้อยข้างขวาของไอ้กุนยื่นมาตรงหน้าเพื่อขอสงบศึก “เป็นเด็กรึไง”

“เป็นเด็กก็ได้” นี่แหละถึงได้บอกว่าไม่อยากหันมา ก็ไอ้คนพูดกำลังทำหน้าทำตาเหมือนไอ้มอมที่กำลังโดนคุณนัยนาดุอยู่ “แล้วถ้าเด็กทำผิดผู้ใหญ่ก็ต้องบอกให้เด็กรู้ เด็กจะได้ปรับปรุงตัว”

“จะปรับปรุงได้หรอ” ผมพูดเสียงแข็งก่อนจะหันออกไปแอบยิ้มคนเดียวอีกครั้ง

“จะยิ้มก็ยิ้มทำไมต้องแอบ”

เชี่ยยย

หุบยิ้มแทบไม่ทัน

“บ้า! ใครเขาทำแบบนั้นกัน” ดีนะที่ยังพอเก็บอาการได้ เลยหันกลับมาเถียงมันทันควัน

มันจะรู้ดีเกินไปแล้ว

มันจะรู้ดีเกินไปแล้ววว

“ระหว่างทางกลับมาก็เห็น”

“อย่ามามั่ว”

ไอ้กุนใช้นิ้วก้อยที่ยื่นมาหาผมในตอนแรกชี้ผ่านหน้าไปทางด้านนอกรถ ผมเลยหันมองตามไปด้วยเพราะความอยากรู้ และตอนนั้นเองที่ทำให้เห็นภาพของตัวเองที่กำลังทำให้เหวอสุดขีดและไอ้กุนที่ยังคงทำหน้าหงอยสะท้อนอยู่ในกระจก

ไอ้บ้าเอ๊ย..

ผมได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจแล้วหลับตาปี๋ หลักฐานขนาดนี้ยังจะไปกล้าเถียงกับมันอีก เสียฟอร์มชะมัด

“พี่ปอครับ” ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วหันกลับมาสบตากับไอ้กุนอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะโดนเรียกด้วยเสียงออดอ้อน ไม่ใช่เพราะอยากจะตั้งใจฟังสิ่งที่อีกคนกำลังจะพูด แต่มันเป็นเพราะหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม เพราะมือของตัวเองกำลังถูกกุมเอาไว้แผ่วเบาคล้ายกับคนจับเองก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะสัมผัสกัน

“ถ้าผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจพี่บอกผมนะ ผมจะรีบง้อ” มือของผมถูกยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนนิ้วก้อยที่เคยลอยค้างอยู่พักใหญ่จะเลื่อนมาเกี่ยวกันเอาไว้เบาๆ “ดีกันแล้วนะ”

...

“ไม่อยากไม่คุยกันแล้วอ่ะ มันเหงา”







#เพราะรักรออยู่

วันนี้มีฟามในใจจะมาบอกค่ะ นี่จะเป็นทอล์คที่ยาวที่สุดในชีวิตของเราตั้งแต่เริ่มเขียนนิยายมา รบกวนเวลาทุกคนด้วยนะคะ

ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ

เราจะบอกเสมอว่าขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนกัน ถึงจะมีเพื่อนอยู่แค่ไม่กี่คน แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ //นี่พิมพ์ไปด้วยน้ำตาก็คลอไปด้วยนะ 555

จริงๆ เราคิดอยู่เสมอว่าเราแค่ชอบแล้วเราก็แต่งนิยายในแบบที่เราชอบไปเรื่อยๆ ซึ่งมันอาจจะมีข้อผิดพลาดอะไรเยอะแยะมากมายในนิยายของเรา หรืออ่านแล้วดูน่าเบื่อไม่น่าติดตาม ไม่ได้ว้าวจนพูดได้ว่าเรื่องนี้ดี และแน่นอนว่าเราไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงจุดไหน ถ้าตัวหนังสือที่เราพิมพ์ไปมันแสดงออกให้ทุกคนรู้ได้ มันคงจะมีแต่คำว่าคนเขียนไม่มั่นใจเต็มไปหมด เราเลยอยากจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ แต่เราคนเดียวก็คงทำไม่ได้

วันนี้ก็เลยจะมาบอกกับทุกคนว่า

"เป็นเพื่อนกันแล้ว ช่วยแนะนำเพื่อนคนนี้ด้วยนะคะ"

ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ค่ะ

-sun-
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 12 - 04-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 28-04-2020 20:15:34
 :m15:    :m20:    :m16:     :mc4:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 12 - 04-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-04-2020 22:20:02
ในความธรรมดาสามัญนี่แหล่ะ
คือสิ่งที่เป็นยากที่สุดในชีวิต

ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องดัด...ให้ผิดปกติ ฝืนธรรมชาติ
มันเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง

นิยายของคุณ..อาจจะ
ดูเรื่อยๆ เอื่อยๆ เหมือนสายน้ำไหล
แต่ก็ทำให้ทุกแห่งทุกที่ ที่น้ำไหลผ่าน
มันชุ่มชื้น ชุ่มฉ่ำ สร้างกระแสความมีชีวิตชีวาให้

และเมื่อเราได้อ่านนิยายของคุณ เราก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์นั้น
ทำให้เราอมยิ้มได้ตลอด ทุกช่วงบรรทัดที่อ่าน

ขอบคุณนะ แถม+1 เป็นกำลังใจให้มีแรงใจต่อไป
take care!
---------------------------

อิอิ คุณพี่หวั่นไหวมีใจให้กับคุณน้องไปแล้ว มากเลยอ่ะ
เป็นใครจะไม่หวั่นไหว เน๊าะ น้องกุนน่ารักซะขนาดนี้
ถ้าพี่ปอไม่ต้องการ ยกให้เราก็ได้..เราขอนะ
ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 12 - 04-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-04-2020 00:23:11
เสร็จไอ้เด็กกุนแน่ๆ พี่ปอ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 12 - 04-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 29-04-2020 01:44:57
;;;;;;;;;

  :z2:  :z2:  :hao3:  :hao3:  :katai3:  :katai3:


;;;;;;
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 13 - 05-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 06-05-2020 22:23:54

บทที่ 13




“นี่ว่างถึงขนาดมานั่งจ้องกันขนาดนี้เลยหรอเก๋”

ผมวางปากกาลงบนโต๊ะทำงานแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามคนที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าผมมาเกือบชั่วโมงเต็มๆ



นึกย้อนไปถึงเมื่อคืนวานที่เหตุการณ์ก็ไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่ เมื่อไอ้ธีร์โทรมาหาผมตั้งแต่ผมยังไม่ถึงคอนโดด้วยซ้ำ ว่ามารออยู่ที่คอนโดพร้อมกับไอ้กรวยแล้ว

ผมถามย้ำมันไป 3 ครั้งได้ ว่ามีเรื่องอะไร เพราะปกติมันจะไม่มาหาโดยไม่บอกไม่กล่าวกันล่วงหน้าแบบนี่ แต่แล้วตอนนั้นผมก็ยังได้รับคำยืนยันเหมือนเดิมว่า..ไม่มี

ไม่มี อะไรล่ะ

พอผมกลับมาถึงเท่านั้นแหละ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่ในห้องสอบสวนคดีอุกฉกรรจ์อะไรสักอย่าง

เพื่อนคนนึงยืนกอดอกมองหน้าผมนิ่ง ส่วนอีกคนก็นั่งขมวดคิ้วจ้องผมไม่วางตาเหมือนกัน ไหนจะไอ้กุนที่มานั่งเบียดอยู่ข้างๆ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับอีก

นี่ผมอุตส่าห์รอดจากเรื่องไอ้กุนลงรูปของผมในไอจีส่วนตัวไปแล้วครั้งนึง แต่กลับต้องมานั่งอึกอักตอบคำถามเพื่อนสนิททั้งสองคนพร้อมกัน เพราะไอ้ซุนหงอคงมันดันแอบเอารูปที่ผมเผลอมือลั่นกดถ่ายโดยไม่ทันตั้งตัวตอนที่หันไปสบตากับมันคราวก่อนลงในไอจีของมันอีก

งานมาเลยทีนี้

ตอนแรกผมก็ไม่รู้ เพราะตอนนั่งรถกลับมาไอ้ตัวต้นเหตุก็ไม่มีทีท่าอะไรจนได้มานั่งอยู่ในห้อง

บอกได้คำเดียว..

..เละ



‘มึง 2 คนนี่ยังไง’

‘มึงไปแอบคบกันโดยไม่บอกให้กูรู้หรอ’

‘แล้วมันลงรูปมึงทำไม ในรูปก็ส่งสายตาปิ๊งๆ ให้กันอีก’

‘มึงแน่ใจนะ ว่าไม่ได้โกหกกู’

‘ไอ้กุนมันทำอะไรมึงรึป่าว’

‘แล้วมึงไปทำอะไรมันรึป่าว’



ไอ้ธีร์กับไอ้กรวยผลัดกันตั้งคำถามกับผมแทบนับไม่ถ้วนว่ากี่ข้อ ต้อนเอาเสียผมเกือบจะจนมุม แต่ก็เอาตัวรอดมาได้ทุกคำถาม แล้วเริ่มแสดงอาการไม่พอใจ

จากทุกทีที่พอผมเริ่มรำคาญไอ้ธีร์มันก็จะรู้สึกได้แล้วเลิกถามไปเอง แต่ก็เพราะไอ้กุนอีกนั่นแหละ ที่ทำเสียเรื่องไปหมด

‘ผมชอบพี่ปอ’

โธ่ไอ้ลิง…

‘กำลังจีบอยู่’

...แล้วจะไปบอกเค้าทำไมเล่า



ผมแทบจะหันไปฉีกไอ้คนข้างๆ ออกเป็นชิ้นๆ ถ้าผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ไอ้กุนนี่ก็ยอมรับทุกข้อกล่าวหาเหมือนกัน มึงคิดว่ารับสารภาพแล้วจะได้ลดโทษลงกึ่งหนึ่งหรอ มึงดูหน้าเพื่อนกูกับพี่ชายมึงรึยัง มึงคิดว่าพวกมันจะปล่อยมึงไปใช่ไหม

โอ้ยยย ผมละปวดหัว

จะหนีก็ไม่ได้ด้วยนะเพราะอยู่ในห้องของตัวเอง

เวรกรรมอะไรของผมก็ไม่รู้



...ตอนนี้ก็เหมือนกัน



“ก็พี่ปออุ๊บอิ๊บอ่ะ” ไอ้เก๋บ่น “มีอะไรไม่ยอมมาอัปเดทให้น้องฟัง”

“ก็บอกไปเป็น 10 รอบแล้วไงว่าไม่มี กลับไปทำงานได้แล้วไป”

“ไม่เชื่อ! ไม่มีอะไรแล้วทำไมน้องกุนต้องขำด้วยคะ” ไอ้เก๋ว่า พร้อมหันไปหาไอ้คนที่นั่งยิ้มอารมณ์ดีอยู่ที่โต๊ะทำงานอีกตัวในห้อง

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่มันแกล้งกันชัดๆ เพราะมันนั่นแหละเก๋มันเลยต้องมานั่งจับผิดผมแบบนี้ “ก็ไปถามมันสิว่ามันขำอะไร มาถามอะไรพี่”

“ว่าไงคะน้องกุน สรุปประจวบมีอะไรดีดีใช่ไหมคะ”

“พี่จะให้ผมพูดจริงๆ หรอ”

เอ้า ไอ้นี่..

แค่บอกว่าไม่มีอะไรนี่มันยากไหม ดูสิยิ่งพูดแบบนี้ตาไอ้เก๋มันยิ่งเป็นประกายเข้าไปใหญ่

“พูดอะไร ไม่มีอะไรสักหน่อย” ผมย้ำ

“พูดมาเลยค่ะน้องกุน พี่เก๋ฟังอยู่” ไอ้เก๋ยังคงไม่ยอมแพ้ และตอนนี้มันเปลี่ยนเป้าหมายจากผมไปที่ไอ้กุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ลืมคิดไปเสียสนิทว่านอกจากเพื่อนผมที่ติดตามมันในไอจี ก็ยังมีคนที่แผนกด้วย ไม่งั้นคงบังคับให้มันลบโพสต์ไปตั้งแต่เมื่อวาน “มาค่ะ เล่ามาให้หมด”

ผมมองหน้าไอ้กุนในขณะที่มันก็มองมาที่ผมเหมือนกัน ในใจก็ภาวนาให้มันอ่านใจผมได้ แล้วไม่พูดอะไรที่มันน่าอายออกไปเหมือนที่มันพูดต่อหน้าไอ้ธีร์กับไอ้กรวย

“ร้านอาหารที่ประจวบอร่อยมากครับ เดี๋ยววันไปผมจะ”

“เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวๆๆ” ไอ้เก๋เบรคไอ้กุนเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และหันมาตวัดตามองผม “พี่ปอกำลังข่มขู่น้องด้วยสายตาอยู่ใช่ไหมคะ”

“บ้า! ยังไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย” พูดแล้วก็ต้องย้ายสายตาไปทางอื่น ถ้าจะมีใครที่มีพิรุธมากที่สุดก็คงเป็นผมเองนี่แหละ

“ก็พี่เก๋ถามผมว่าประจวบมีอะไรดีดี ผมตอบไม่ถูกหรอครับ”

“เนี่ย ถ้าไม่หล่อมีด่านะคะ” ไอ้เก๋หันกลับไปค้อนควับให้ไอ้กุนวงใหญ่ “บอกสิคะว่าไม่รู้จริงๆ ว่าที่นั่งรอมาชั่วโมงเต็มๆ เนี่ย อยากฟังรีวิวร้านอาหาร” ไอ้กุนหัวเราะ กับท่าทางฮึดฮัด แถมยังการบ่นกระปอดกระแปดของไอ้เก๋ เพราะยังไม่ได้คำตอบที่ตรงใจ ส่วนผมก็แอบโล่งใจนิดๆ เลยปล่อยให้อีกสองคนคุยกันไปแล้วหยิบปากกาขึ้นมาทำงานต่อ

แต่แค่เพียงครู่เดียวก็ต้องเงยหน้าขึ้นแอบมองอีกสองคนที่อยู่ในห้องเดียวกันใหม่ เพราะรู้สึกว่าเสียงโวยวายของไอ้เก๋เงียบไปจนผิดปกติ

ตอนนี้ไอ้กุนกำลังกระซิบกระซาบอะไรอยู่กับไอ้เก๋ก็ไม่รู้ แต่ถ้าให้สังเกตจากสายตาเจ้าเล่ห์ของไอ้กุนและอาการกลั้นยิ้มของไอ้เก๋ ดูแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ๆ

เก๋หัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากทั้งคู่ผละออกจากกัน พร้อมกับสองมือที่รัวไปที่แขนไอ้กุนจนผมรู้สึกเจ็บแทน

“โอเคค่ะ พี่เชื่อใจน้องกุน” ไอ้กุนยิ้มตอบ “แต่ว่านะคะ” ผมเลิกคิ้ว เมื่อเห็นไอ้เก๋เดินฉับๆ เข้ามาหา แล้วยื่นมือมาบีบที่แขนผมเบาๆ แล้วแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับเค้นเสียงออกมาบอกว่า “อิจฉา!”

อิจฉา?

อิจฉาเรื่องอะไร?

ไอ้เก๋ยอมเดินออกจากห้องทำงานผมไป ทิ้งไว้แต่ความสงสัยเรื่องที่กระซิบกระซาบกับไอ้กุนเมื่อครู่ แต่พอหันไปสบตากับไอ้ลิงนั่นแล้วเห็นมันยักคิ้วให้ ก่อนจะแกล้งก้มลงทำงานต่อ ผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันกำลังรอให้ผมถามมันว่าเมื่อกี้คุยอะไรกัน แต่เรื่องอะไรที่ผมจะยอม

..ก็ไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้นสักหน่อย



“พี่แอบมองผมอีกแล้วนะ”

จะว่าไปนี่ก็กลับมาจากประจวบได้เกือบอาทิตย์แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังไม่ค่อยชินกับคำพูดหรือแม้แต่สายตาของไอ้กุนเลยสักนิด

ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่ามันกำลังมองมาอยู่แล้วนี่ก็อีก แค่นี้ก็ทำเป็นใจเต้นไปได้ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย

“ใครมอง” ผมเถียง ก็เห็นอยู่ว่ามันนั่นแหละที่มองผมอยู่ยังจะมาโยนความผิดให้คนอื่นอีก “มึงนั่นแหละที่มอง”

“ก็ใช่” หึ ก็ลองเถียงสิจะเดินเอามือไปจิ้มตาให้ “แล้วผมพูดอะไรผิด ถ้าพี่ไม่มองผม พี่จะรู้ได้ไงว่าผมมองพี่”

เออ ก็ถูกของมันอีกแหละ แล้วผมจะเอาอะไรไปเถียงมันได้ล่ะทีนี้ และในเมื่อเถียงเรื่องเดิมไม่ได้ก็ถามเรื่องที่สงสัยมาตั้งแต่เช้าแทนแล้วกัน

“เมื่อเช้าคุยอะไรกับไอ้เก๋” ไอ้กุนยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางมองผมเหมือนกับรอเวลานี้มานาน

“เป็นแฟนหรอมาถาม”

นั่นไง

มาอีกและ ไอ้มุกจีบปลาซิวปลาสร้อยเนี่ย มาทุกวันจนจะครบอาทิตย์แล้ว

“ลีลา บอกมาคุยอะไรกัน”

“มาเป็นแฟนก่อนสิครับ” โอ้ยยย” แล้วจะบอกทุกอย่างเลย”

ไม่ต้องไปอยากรู้มันแล้วไหม

แล้วก็ไม่ต้องไปเขินมันด้วย ก็แค่มุกปลาซิวปลาสร้อย จะไปเขินทำไม โว๊ะ





ภาพที่ไอ้กุนกำลังคุยกับพี่มุกอย่างออกรสออกชาติเป็นภาพที่เริ่มคุ้นตาของผมไปแล้ว

ผมนั่งดูความเคลื่อนไวของเพื่อนในแอพมือถือไปเรื่อยๆ หูก็คอยเงี่ยฟังไอ้กุนที่ตอนนี้กำลังเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็กอยู่กับพี่มุกระหว่างนั่งรอข้าวตามสั่งจากร้านของแกไปด้วย เรื่องของไอ้ลิงนั่นก็ธรรมดาเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ที่มีทั้งเรื่องชกต่อย โดดเรียน กินเหล้า และวีรกรรมแสบๆ หลายต่อหลายอย่าง แต่เรื่องที่ผมตั้งใจฟังจนนิ้วมือหยุดเลื่อนหน้าจออย่างลืมตัว ก็คือเรื่องที่มันเล่าถึงครอบครัว

ผมรู้แค่ว่ามันเป็นลูกพี่ลูกน้องกับไอ้กรวยเพื่อนสนิท แต่ไม่เคยรู้เรื่องครอบครัวของมันมาก่อน

บ้านไอ้กุนมีกันอยู่ 3 คน พ่อ แม่ แล้วตัวไอ้กุนเอง มันเล่าว่าพ่อกับแม่งานมันยุ่งมาก แต่ทุกเย็นก็จะรีบกลับบ้าน มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอ และถึงแม้จะไม่ค่อยได้เข้าครัว แต่ก็มีเมนูที่แม่มันมักจะทำให้มันกินทุกครั้งถ้ามีโอกาส นั่นก็คือ เต้าหู้ทรงเครื่อง มันบรรยายออกมาเสียผมเห็นภาพว่าหน้าตาอาหารของแม่มันน่าจะอร่อยขนาดไหน ก่อนที่เจ้าตัวจะเฉลยอย่างหน้าตาเฉยว่าพ่อกับแม่มันเพิ่งเสียไปพร้อมกันเมื่อ 7 เดือนก่อนเพราะอุบัติเหตุ

ถึงจะเล่าเรื่องทั้งหมดด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนปกติ แต่ในตามันดูเศร้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ชัดเสียจนพี่มุกต้องเบรคมันเอาไว้อ้างว่าข้าวที่พวกผมสั่งน่าจะเสร็จแล้ว เลยจะไปเอามาให้

ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมกับไอ้กุนที่ยังคงมองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดอะไร

..เหตุผลที่บอกว่ากินข้าวคนเดียวแล้วเหงา ก็คงเพราะแบบนี้ ใช่ไหม..

“ทำหน้าเหมือนกำลังสงสารผม” ไอ้กุนยิ้ม

“ป่าว” ผมปฏิเสธ ถึงจะรู้สึกเห็นใจที่เสียทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมๆ กัน แต่ก็ไม่อยากให้มันคิดว่าผมกำลังสงสาร เพราะความรู้สึกตอนนี้ ผมกำลังชื่นชมมันอยู่ต่างหาก ชื่นชมที่มันเข้มแข็งได้ขนาดนี้ “เย็นนี้ว่าจะกลับบ้าน อยากไปด้วยกัน”

“ไป” ไม่รอให้ผมพูดจบ ไอ้กุนก็รับคำแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตามันกลับมามีประกายขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ตัวเลยว่าผมเองก็พลอยเผลอยิ้มไปกับมันตั้งแต่ตอนไหน “ดีใจนะเนี่ยที่พี่ชวน มีใจให้ผมแล้วใช่ไหมล่ะ เป็นแฟนกันเลยก็ได้นะ”

มาอีกและ วันๆ นึงต้องถามไม่ต่ำกว่า 5 รอบไม่รู้ว่าจะถามอะไรนักหนา

“ก็ชวนไปงั้น ไม่คิดว่าจะตกลง”

“ปากแข็งอีกแล้วนะครับคุณนภัทรเนี่ย”

ผมถอนหายใจออกมาเสียงดัง ตั้งใจให้อีกคนได้ยิน แต่พอได้ยินแล้วมันก็ยังคงหัวเราะได้อยู่ นี่มันไม่เข้าใจความหมายของการถอนหายใจใส่ของคนอื่นหรอ

แปลว่ารำคาญไง รำคาญน่ะ ไม่เข้าใจหรอ

ไอ้ลิงบ้านี่




ถ้ายังจำภาพคราวที่แล้วที่ไอ้กุนมาบ้านผมได้ ครั้งนี้ก็เป็นเหมือนกันเป๊ะ

หลังจากกลับคอนโดไปเตรียมเสื้อผ้า มาถึงบ้านก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี พ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะ ที่ประจำคุณนัยนาอยู่ทางซ้าย ลูกชายสุดที่รักคนใหม่นั่งอยู่ทางขวา ส่วนผมที่กำลังโวยวายเพราะโดนแย่งที่ประจำหลังจากไปช่วยยกกับข้าวมาวาง กลับถูกคุณนัยนาที่เดินตามมาไล่ให้ไปกินข้าวกับไอ้มอมตรงที่ประจำข้างตู้เย็นนู้น

ทำไงได้ล่ะ ก็ต้องนั่งลงข้างแม่ของตัวเองนี่แหละ

ได้ยินเสียงไอ้กุนอุทานออกมาตอนที่มันเห็นว่าแม่กำลังยกกับข้าวจานสุดท้ายมาวาง ก่อนที่มันจะเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาเป็นประกายพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

“น่ารัก” ถึงมันจะพูดออกมาไม่ดัง แต่ก็ทำเอาผมหันมองหน้าพ่อกับแม่เลิ่กลั่ก

“ว่าไงนะลูก”

“คุณแม่น่ารักมากเลยครับ เต้าหู้ทรงเครื่องนี่ของโปรดผมเลย ไม่ได้กินมานานมากแล้ว”

“อ๋อ นี่หรอ พี่ปอเขา”

“แม่ กินข้าวเหอะ หิวแล้ว” ผมรีบขัดคุณนัยนาก่อนที่จะหลุดพูดว่าผมเป็นคนโทรมาบอกให้ทำเต้าหู้ทรงเครื่องไว้เป็นอาหารเย็น ก็แค่อยากกินพอดีหรอก ไม่ได้อยากจะเอาใจใครสักหน่อย “ชอบก็กินเข้าไปเยอะๆ จะได้ไม่ต้องพูดมาก โอ้ย! แม่ตีปอทำไมเนี่ย” ผมโดนแม่ใช้มือฟาดลงมาที่แขนตอนที่กำลังเลื่อนจานกับข้าวที่กำลังพูดถึงไปใกล้ๆ ไอ้กุน

“พูดกับน้องให้มันดีดี เอาใหม่”

“ชอบก็กินเยอะๆ อยากกินอีกก็บอก เดี๋ยวจะพามาใหม่” ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจังกว่าปกติ และไอ้กุนเองก็น่าจะรู้สึกได้ เลยส่งยิ้มกลับมาให้จนตามันแทบจะปิด คราวนี้ต้องขอบคุณแม่แล้วแหละ ที่ให้โอกาสผมได้พูดสิ่งที่อยากจะพูดจริงๆ ออกไป “พอใจยังครับคุณแม่”



กินข้าวเสร็จเป็นผมขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนปล่อยให้ พ่อ แม่ กุน แล้วก็ไอ้มอมนั่งดูละครกันอยู่หน้าทีวี

ลงมาอีกทีก็เหลือแค่พ่อกับแม่อยู่กันแค่ 2 คนแล้ว ส่วนลิงกับหมาที่เคยนั่งอยู่ด้วย พ่อบอกพากันไปนั่งรับลมที่ศาลาหลังบ้านสักพักแล้ว

ตอนแรกผมก็กะจะนั่งดูละครกับพ่อและแม่ต่อ แต่พอนึกถึงไอ้กุนที่มีน้ำตาคลอตอนที่แม่ตักอาหารโปรดไปวางในจานให้ ก็คิดว่าน่าจะต้องออกมาดูสักหน่อย

ผมเดินออกมายังศาลาเพียงแห่งเดียวที่อยู่ในบ้าน กุนกำลังยืนหันหลังให้ เลยไม่แปลกใจที่จะไม่เห็นว่าผมกำลังจะเข้าไปหา แต่จนตอนนี้ไอ้มอมมันวิ่งมากระดิกหางใส่ผมก็แล้ว วิ่งไปรอบๆ ศาลาด้วยความดีใจก็แล้ว แต่ไอ้กุนก็ยังคงมองเหม่อไปที่สระบัว ไม่ได้สนใจการมายืนอยู่ข้างๆ ของผมเลยสักนิด

ตอนนี้กุนดูเศร้าจนผมไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับที่คอยสร้างเสียงหัวเราะ คอยเทคแคร์ คอยเอาใจใส่คนอื่นที่ผมเคยรู้จักมา

นี่คงไม่เคยเอาเรื่องของตัวเองไประบายกับใครเลยใช่ไหมเลยต้องหนีมาอยู่คนเดียวแบบนี้

ผมค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะที่ไหล่ของกุนเบาๆ แค่เพียงเท่านั้นก็ทำเอามันสะดุ้ง แล้วรีบหันกลับมาดู ก่อนที่รอยยิ้มประจำตัวจะเผยออกมาอย่างอัตโนมัติ ไอ้กุนคนเดิมกลับมา มันทำเหมือนกับว่าไอ้กุนคนเมื่อครู่ไม่เคยยืนอยู่ตรงนี้มาก่อน

ทำแบบนี้มันไม่เจ็บปวดเกินไปหรอ

ไอ้แบบที่ข้างในเศร้าจะตาย..แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องฝืนยิ้มน่ะ

มันเจ็บมากใช่ไหม

แล้วผมก็คว้ากุนเข้ามาไว้ในอ้อมกอด

ไอ้กุนนิ่งไปเป็นพัก เดาว่ามันเองก็คงทำอะไรไม่ถูกที่จู่ๆ ผมก็ดึงมันมากอดเอาไว้แบบนี่

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกกอดเอาไว้หลวมๆ ตามด้วยความรู้สึกชื้นแชะที่ไหล่ข้างซ้าย

..ไอ้กุนกำลังร้องไห้..



..และผมกำลังดีใจที่อย่างน้อยมันก็ได้ระบายความเจ็บปวดออกมาบ้าง..



ถึงจะไม่สามารถช่วงอะไรได้มาก แต่เมื่อไรที่แรงกอดหนักขึ้นบวกกับตัวของคนในอ้อมกอดของผมเริ่มโยนเพราะแรงสะอื้น ผมจะคอยลูบหลังมันเบาๆ เพื่อปลอบ ตลอดช่วงเวลาแห่งการระบายนั้น ไม่ได้มีคำพูดสวยหรูอะไรออกมาจากปากผมเลยสักคำ ไม่แม้แต่จะบอกให้มันหยุดร้อง หรือบอกว่าเดี๋ยวพอเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะดีขึ้น

ผมปล่อยให้กุนมันร้องไห้ไปเงียบๆ

ไอ้กุนเข้มแข็งมากอยู่แล้ว

..แค่ให้มันรู้ว่าตอนนี้มีผมคอยอยู่ข้างๆ ก็น่าจะพอ..









#เพราะรักรออยู่

กอดๆ นะไอ้ลิง

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจเลยนะคะ // เราตั้งใจอ่านมากๆ และอ่านมากกว่า 3 รอบด้วย
ขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันด้วยน้าาา
เยิ้ปปป
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 13 - 05-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 06-05-2020 23:26:57
น้ำตาจะไหล   น้องกุนในอ้อมกอดของพี่ปอ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 13 - 05-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-05-2020 09:48:45
 :L1: :pig4: :L2:
ไม่รักลิงน้อยไม่ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 13 - 05-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-05-2020 13:48:18
พี่ปออย่าเล่นตัวเกินไปนัก
สวยเลือกได้เหรอ

ชิส์..ส่งมาแถวนี้ก็ได้
โงกุนมาเป็นของพี่..มาๆ เร็วๆเล๊ยยยยยยย
อิอิ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 13 - 05-06-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 07-05-2020 18:28:19
หนูกุนก็มีมุมน่าสงสารนะเนี่ยะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 14 - 05-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 20-05-2020 22:02:58
บทที่ 14





ผมยืนมองลิงที่นิสัยเหมือนหมาและตอนนี้ก็ทำตัวไม่ต่างอะไรกับแมวขโมยอยู่ไกลๆ

ไอ้กุนค่อยๆ เดินย่องแอบพ่อกับแม่ของผมที่นั่งดูทีวีอยู่เพื่อขึ้นไปอาบน้ำบนห้อง

หลังจากที่มันปล่อยให้ตัวเองร้องไห้จนตาบวมตุ่ย จมูกกับปากแดงจนเห็นได้ชัด ไม่นานไอ้ลิงนั่นก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม ก่อนจะเดินกลับมาด้วยกัน มันบอกด้วยเสียงขึ้นจมูกว่าไม่อยากให้พ่อกับแม่ผมเห็นแล้วต้องมาเป็นห่วงมันไปด้วย ก็เลยต้องค่อยๆ แอบขึ้นไปบนห้องอย่างที่เห็น

ไอ้กุนน่ะรอด..

แต่ผมน่ะหรอ เดินมาได้เกือบครึ่งทางแล้วแท้ๆ พอจะก้าวขึ้นบันไดบ้าง ก็ถูกคุณนัยนาเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน จะไม่ไปหาก็ไม่ได้ เพราะทั้งพ่อและแม่อุตส่าห์ละสายตาจากหน้าจอทีวีที่กำลังฉายฉากพีคของพระนางอยู่มากดดันกันขนาดนี้

นั่งลงข้างๆ ได้แม่ก็เข้าประเด็นที่สงสัยในทันที

คุณนัยนาเธอบอกว่าเห็นไอ้กุนผิดสังเกตไปตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว แต่ที่ไม่กล้าถามต่อหน้า เพราะกลัวว่าเจ้าตัวลำบากใจ เลยต้องแอบมาถามผม ทั้งหมดนั่นก็เพราะความเป็นห่วงแบบที่ไอ้กุนมันกังวลจริงๆ แต่ขนาดผมยังสังเกตได้ ก็ไม่น่าแปลกที่พ่อกับแม่เองก็จะเห็นเหมือนกัน

“โธ่ ลูกชายแม่” คุณนัยนาอุทาน หลังจากฟังเรื่องราวจากผมทั้งหมด น้ำเสียงกับสีหน้าตอนพูดดูจะเศร้ากว่าไอ้คนที่เพิ่งวิ่งหนีไปก่อนนี้เสียอีก ได้ข่าวว่าลูกชายแม่น่ะ นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่หรอ มาโธ่ ลูกชายแม่อะไร

“ว่าแต่เราเถอะเก็บเรื่องเขามาคิดแทนจนเครียดไปด้วยแบบนี้ แสดงว่าเขาก็สำคัญกับเราเหมือนกันสินะ” ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ ก่อนจะเลยไปหาพ่อที่อยู่ถัดไป

“ครับ” ผมพยักหน้า “รู้สึกผิดที่เคยบ่นมันเรื่องกินข้าวคนเดียวไม่ได้”

“งั้นก็ต้องชวนน้องมาบ้านบ่อยๆ แล้วนะ”

“นี่ยังบ่อยไม่พออีกหรอแม่” ผมแย้ง “ทำงานก็เจอกันทุกวัน เสาร์อาทิตย์ยังจะให้ตามมาบ้านอีก”

“ทำเป็นบ่น คราวที่แล้วรีบกลับก็เพราะเขาโทรมาตามไม่ใช่รึไง” ไม่มีอะไรจะเถียง เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมแม่ต้องรู้ทันไปหมดทุกเรื่องแบบนี้ด้วย

“เราเปลี่ยนไปตั้งแต่รู้จักกับน้อง รู้ตัวรึเปล่า” พ่อพูดพร้อมกับใช้มือลูบไอ้มอมที่นั่งเอาคางเกยขาอยู่ไปด้วย

ไม่ใช่ไม่รู้ ไอ้นิสัยไว้ตัวกับคนที่ไม่ค่อยสนิท เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนใครๆ ต่างก็รู้กันดี แต่กับไอ้กุน ระยะเวลาเพียงแค่ไม่นาน เล่นทำเอาผมวุ่นวายใจไปกับมันไม่เว้นแต่ละวันขนาดนี้

ต้องเรียกว่าไม่อยากยอมรับเสียมากกว่า

ไม่อยากจะยอมรับเลย..ว่ากุนมันมีผลกับความรู้สึกผมขนาดไหน

“โตแล้วนี่ ความรู้สึกตัวเองจะไม่รู้ได้ยังไง ใช่ไหม” พ่อว่า แต่ผมกลับก้มหน้าหลบสายตาจากทั้งสองคน ตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่กำลังหนีจริงอย่างเต็มตัว “แต่พ่อชอบกุนเขานะ ถ้าปอไม่ชอบก็บอกเขาซะ เขาจะได้ไปจีบคนอื่น”

ถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองพ่อทันทีเมื่อได้ฟังจนจบประโยค

จีบคนอื่น?

“ไม่เอาสิพ่อ” และตอนนี้ผมหันหน้าขวับ สายตาย้ายไปที่แม่แล้วเรียบร้อย “ถ้าปล่อยให้ไปจีบคนอื่นนี่น่าเสียดายออก เป็นแม่แม่ไม่ยอมนะ แม่บอกเลย”

ฮะ?

หรือว่าไอ้ลิงนั่นก่อเรื่องอีกแล้ว

อย่าบอกนะว่ามันบอกพ่อกับแม่เหมือนที่สารภาพกับพวกไอ้ธีร์

“อะไรแม่ ตอนแรกที่เจ้ากุนมันบอก แม่ยังถามหายาดมกับพ่ออยู่เลยนะ”

นี่มันกะจะบอกกับทุกคนเลยหรอ ไม่อายบ้างรึไงกันที่เที่ยวไปบอกกับคนโน้นคนนี้ว่าจะจีบผู้ชายตัวโตๆ ด้วยกันแบบผมเนี่ย

“พ่อก็..อยู่ดีๆ พูดออกมาแบบนั้น เป็นใครก็ตกใจนะ”

หนักที่สุดก็แอบมาบอกพ่อกับแม่เนี่ย

ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลยสักนิด

“จริงๆ พ่อเองก็อึ้งไปเลยเหมือนกัน ดีที่ยังเก๊กได้ ไม่งั้นอายเด็กมันแย่”

แล้วถ้าพ่อกับแม่ผมเกิดรับไม่ได้ขึ้นมา มันจะทำยังไง

ไม่ใช่ต้องแอบไปหงอยคนเดียวโดยไม่บอกให้ใครรู้ แม้แต่ผมหรอ

พ่อกับแม่ส่งเสียงหัวเราะคิกคักกันอยู่ 2 คน ปล่อยให้ผมนั่งเดา แถมด่าไอ้กุนอยู่ในใจคนเดียวไปต่างๆ นานา จนทนไม่ไหว ถึงได้หลุดคำถามที่อยากรู้ออกไปในที่สุด “นี่พ่อกับแม่กำลังคุยกันเรื่องอะไรกัน”

“ก็เรื่องที่กุนมาบอกกับพ่อว่าจะจีบปอไง”

นั่นไงล่ะ ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหน ถ้าจะมีอะไรผิดน่ะหรอ ก็ผิดตรงที่แม้จะเดาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอพ่อตอบมาโต้งๆ แบบนี้มันก็เหมือนจะ...เขิน..

“จีบ! อะไร!! ใครจะจีบ โอ๊ะ แม่! ” แล้วก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองตรงที่ถูกคุณนัยนาตีทันที

ผมว่าผมรู้แล้วนะ ว่าไอ้นิสัยมือไวของตัวเองนี่ติดมาจากใคร

“ไม่ต้องมาแกล้งทำโวยวายเลยเราน่ะ พ่อกับแม่พูดมาขนาดนี้ ยังจะไม่ยอมรับอีก แล้วไอ้ที่แกล้งโมโหกลบเกลื่อนเนี่ย คิดว่าแม่จะไม่รู้หรอ” ผมอ้าปากพะงาบมองแม่ จะเถียงก็เถียงไม่ออก ไม่มีใครรู้จักผมดีไปกว่าแม่แล้วจริงๆ “ขึ้นไปอยู่เป็นเพื่อนกุนได้แล้วไป ป่านนี้อาบน้ำเสร็จแล้วมั้ง”

“กุนอีกและ” ผมกลับมาพูดออกอีกครั้ง เมื่อโดนไล่ให้ไปหาไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้หน้าร้อนอยู่ตอนนี้ “อะไรก็กุนๆๆ ไม่เอาอ่ะ วันนี้ปอขอนอนกับแม่ได้ไหม”

“ไม่ได้” ผมที่กำลังอ้าแขนจะเข้าไปกอดอ้อนหุบแขนลงแทบไม่ทัน ก็แม่เล่นปฏิเสธทันทีโดยยังไม่ได้คิดแบบนี้ “วันนี้แม่จะเอามอมไปนอนด้วย”

“เนี่ย! แพ้ แพ้ตลอด” ผมเอื้อมมือไปยีหัวไอ้มอมด้วยความหมั่นไส้ เข้าไปหอมแก้มคุณนัยนาฟอดใหญ่ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะทำฟึดฟัดเดินขึ้นห้องนอน

ก็ป่านนี้ไอ้กุนคงอาบน้ำแต่งตัว แล้วมานั่งชะเง้อคอรอผมเป็นยีราฟแล้ว

สงสารมัน









“ไปแอบพูดอะ..” เปิดประตู ยังไม่ทันก้าวเข้าห้องผมก็ใส่มันทันที แต่พอได้สบตากันแถมยังเห็นว่ามันเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า บานประตูก็ถูกผมปิดกลับไปอีกครั้ง

ผมยืนมองประตูห้องตัวเองนิ่ง นี่ผมกำลังเป็นอะไร

ทำเหมือนกับไม่เคยเห็นไอ้กุนเดินพันผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำไปได้ ในเมื่อมันก็โชว์ให้ดูตั้งแต่วันแรกที่นอนด้วยกันแล้ว





ยังไม่ทันได้คำตอบที่ถามตัวเองในใจ ประตูก็เปิดขึ้นอีกครั้ง

“เป็นอะไรครับ” ไอ้กุนถามด้วยสีหน้าตกใจ แต่ผมไม่ได้โฟกัสที่หน้าของมันสักเท่าไหร่เพราะตอนนี้สายตาคอยแต่จะเลื่อนลงต่ำ ทั้งที่เมื่อกี้รีบปิดประตูหนีอยู่แท้ๆ

ผมรีบแทรกตัวผ่านไอ้กุนที่ตัวหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นครีมอาบน้ำเพื่อเข้าไปในห้อง ขืนอยู่ต่อคงได้โดนไอ้ลิงนั่นล้ออีกแน่

“ไปใส่เสื้อผ้า แล้วมาคุยกันหน่อย”





บนเตียงนอนในห้องมีผมที่กำลังนั่งก้มหน้าไถหน้าจอโทรศัพท์อย่างเอาเป็นเอาตาย บังคับไม่ให้ตัวเองเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วไม่นานไอ้กุนก็มานั่งแหมะลงข้างๆ

“เสร็จแล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นสำรวจคนพูด ถึงจะมีเสื้อผ้าอยู่บนตัวแล้วเรียบร้อย แต่ครีมมันก็ยังไม่ได้ทา ผมก็ยังไม่แห้ง ผ้าเช็ดผมก็ไม่ยอมเอามาด้วย น้ำหยดลงที่ไหล่เปียกเสื้อเป็นเม็ดๆ

“ไปเช็ดผมให้มันดีดีกุน”

“คุยก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวค่อยเช็ด”

“แต่นี่มันเปียกเกินไป น้ำมันหยดไม่เห็นหรอ” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนอยากจะคุยกันแน่ จะตื่นเต้นอะไรนัก

“งั้นไปเอาผ้าก่อนนะ” พูดจบมันก็วิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้าอีกรอบ แล้วกลับมาพร้อมผ้าที่โปะอยู่บนหัว “พร้อม”

“ไปพูดอะไรกับพ่อแม่” ผมถามเสียงเข้ม แต่ไอ้คนโดนถามมันกลับยิ้มหน้าระรื่น ยกสองมือขยี้บนผ้าสบายใจ “บอกว่าจะจีบพี่”

“แล้วมันใช่เรื่องที่จะต้องไปบอกเขาไหมเนี่ย” ผมว่าอย่างมีอารมณ์ ยิ่งเห็นว่าคนโดนว่าไม่ได้สลดลงเลยสักนิดก็ยิ่งโมโห

“ก็ผมอยากให้พ่อกับแม่รู้” ไอ้กุนดึงผ้าลงไปไว้ที่ไหล่ เผยให้เห็นหน้าคนพูดโดนไม่มีอะไรมาบัง “ว่าเรื่องพี่ผมจริงจัง”

ผมที่ชี้ไม่เป็นทรงก็ยังทำอะไรไอ้กุนไม่ได้เหมือนเคย แถมตอนนี้ยังดึงหน้าจริงจังแบบที่พูดใส่ผมอีก จากที่ตั้งใจจะต่อว่า ตอนนี้กลับไม่มีคำด่าอะไรอยู่ในหัวเลยสักคำ

“แล้ว..ถ้า...พ่อกับแม่ไล่มึงออกจากบ้าน กูต้องทำไง” คำถามของผมเบาจนแทบไม่ได้ยิน

งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจริงๆ แล้วผมโมโหไอ้กุนเรื่องอะไรกันแน่

..โมโหที่มันแอบมาคุยกับพ่อแม่

..โมโหที่มันทำอะไรไม่ปรึกษา

หรือโมโห..เพราะกลัวว่ามันจะหายไป

“นี่พี่กลัวความรักของเราจะโดนกีดกันหรอ” มันหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ผมไม่ได้ขำด้วยเลยสักนิด “ทำไมน่ารักอีกแล้วล่ะครับ”

“ไม่ตลก” ผมว่าแล้วเอียงตัวหลบ เพราะไอ้กุนแกล้งเอาไหล่มากระแซะที่ไหล่ผม “อะไรเล่า”

“ให้โอ๋ไหม” คราวนี้แขนทั้งสองข้างของไอ้กุนถูกกางออกแล้วเตรียมจะโผเข้ามาหา

“ไม่ต้อง! ” ผมยกมือข้างหนึ่งยันหน้าอกของมันเอาไว้ แล้วเอนตัวหนีไปจนสุดแขน “ไอ้กุน! ไม่เล่น! ”

ไอ้กุนไม่ได้ออกแรงพุ่งเข้ามาแล้ว ส่วนผมเองก็ผ่อนแรงที่ใช้กันอีกคนไว้เช่นกัน

“ขอบคุณนะครับ”

แต่ที่เราสองคนยังคงทำอยู่คือการสบตากันอยู่แบบนี้

“ขอบคุณที่ยอมให้ผมเข้าไปในชีวิตพี่”

ไอ้กุนผละตัวออก ก่อนจะเอาจมูกมาแตะลงบนฝ่ามือของผมที่ยังคงยกค้างเอาไว้ด้วยความเร็ว แล้ววิ่งเอาผ้าออกไปตากที่ระเบียง

ผมค่อยๆ หันฝ่ามือของตัวเองกลับมาดู มันเหมือนกับว่าสัมผัสเมื่อครู่ยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน

ขอบคุณที่ยอมให้เข้ามาในชีวิตงั้นหรอ

ใครเขาให้มาพูดอะไรแปลกๆ ในสถานการณ์แบบนี้กัน

ไอ้ลิงนี่มันชักจะเอาใหญ่แล้วจริงๆ











“..แม่..” ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงคนข้างๆ บ่นงึมงำอยู่ข้างหู “..แล้วกุนจะอยู่กับใคร”

คงเป็นเพราะเมื่อหัวค่ำปล่อยให้ตัวเองร้องไห้อย่างหนัก กลางคืนเลยเก็บเอาไปฝัน

ละเมอจริงๆ สินะตอนนี้





ผมตะแคงตัวมานอนมองไอ้กุนที่นอนด้วยท่านอนคว่ำแล้วหันมาทางผมเหมือนทุกครั้งที่นอนด้วยกัน เพราะแสงสลัวของไฟที่ระเบียงหลังห้องเลยทำให้ผมเห็นว่ามีน้ำตาค่อยๆ รื้นออกมาจากตามัน

ไม่ทันคิดอะไรก็เอื้อมมือออกไปเพื่อจะเช็ดออกให้ ยังไม่ทันที่นิ้วมือจะได้สัมผัสกับน้ำตาสักหยดก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน ไอ้กุนค่อยๆ ลืมตาขึ้น และกำลังเปลี่ยนท่านอนมาเป็นตะแคงเข้าหาผมเหมือนกัน

จริงๆ ผมน่าจะรู้ว่ามันรู้สึกตัวง่ายตั้งแต่ตอนที่ไปนอนด้วยกันตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ถึงจะดูมึนๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นก็ตาม

“จับมือได้ไหมครับ” ก็ยังจะกล้าถาม ในเมื่อตอนนี้มันวางมือของผมลงบนแก้มโดยที่ยังมีมือของมันแนบเอาไว้แล้วเรียบร้อย

“ก็จับอยู่ไม่ใช่รึไง” ผมปล่อยให้กุนกุมมือข้างหนึ่งไว้อย่างนั้น ส่วนอีกข้างก็เอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้อีกคนอย่างที่ตั้งใจในตอนแรก

“แล้วขอกอดด้วยได้ปะ” มือที่กำลังปาดน้ำตาอยู่หยุดชะงัก แต่ก็เพียงแค่ชั่วอึดใจ เมื่อคนพูดไม่ได้เค้นเอาคำตอบอะไร แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะขยับเข้ามากอดผมเอาไว้อย่างที่พูด “เมื่อกี้ผมฝันถึงพ่อกับแม่ด้วย”

“อืม” ผมได้แต่ส่งเสียงตอบรับออกไปเบาๆ เมื่อน้ำเสียงของไอ้กุนเริ่มสั่นเมื่อเล่าถึงความฝัน

“จริงๆ ไม่เคยฝันถึงเลยตั้งแต่เขาไม่อยู่ วันนี้เขามาบอกผม ว่าจะไปแล้วนะ”

“ได้ลากันสักทีใช่ไหม” ผมใช้มือข้างเดิมปาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาอีกครั้ง แล้วใช้มือเดียวกันนั้นเสยผมที่ลงมาปรกหน้าผากนั่นให้ “ดีแล้ว”

“เฮ้อออ..” คราวนี้มันไม่ได้ขอ ไอ้กุนละมือจากที่เคยกุมมือกันเอาไว้แล้วถดตัวลงมากอดผมเอาไว้แทน ลมหายใจร้อนๆ ที่รดอยู่ตรงหน้าอกทำเอาผมขนลุกซู่ “ไม่เท่เลยอ่ะ ร้องไห้ต่อหน้าพี่เฉย”

“ถ้ามันไม่ไหวก็ระบายออกมาได้นะกุน เดี๋ยวพี่คอยฟังให้” อ้อมกอดถูกกระชับขึ้นอีกนิด ริมฝีปากอุ่นๆ ถูกกดลงกับแผ่นอกของผมเนิ่นนานและไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน ถึงแม้ทั้งหมดจะมีเสื้อที่ใส่นอนกั้นเอาไว้ แต่นั่นก็พอที่จะทำให้ใจของผมเต้นรัวไม่หยุด “พอเห็นไม่ว่าเข้าหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะมึงเนี่ย”

“ไม่กุนกับพี่แล้วหรอครับ” ไอ้กุนเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยสายตาเป็นประกาย รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากบวกกับน้ำเสียงที่ใช้ ถ้าเป็นเวลาปกติคงได้โดนผมเอาปากกาตี หรือไม่ก็โดนดีดเข้าที่ติ่งหูไปแล้ว แต่ตอนนี้มันติดอยู่แค่อย่างเดียว

มันติดตรงที่ระยะห่างระหว่างผมกับมันที่ใกล้กันมากขนาดนี้

มันใกล้กันจนเกินไป

“พี่ปอ” สัมผัสอุ่นวาบตรงหน้าอกยังคงอยู่ถึงแม้ตอนนี้เจ้าของริมฝีปากนั้นจะละออกมาจ้องหน้ากันแล้ว และเพราะเป็นแบบนั้น ผมเลยไม่รู้ตัว ว่าเอาแต่จ้องที่ริมฝีปากของอีกคนอยู่ “จูบได้ไหม”

“ไม่..” ผมมั่นใจว่าผมบอกปฏิเสธ “ไม่..ได้” แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเราถึงได้ยิ่งลดลงเรื่อยๆ

“ครับ” ไอ้กุนขานรับ และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ริมฝีปากที่เคยคิดว่ามันอุ่น ตอนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบ ตาเบิกขึ้นจนสุดเมื่อเกิดรู้สึกแปลกใหม่ ไอ้กุนไม่ได้ขัดคำปฏิเสธของผมแม้แต่น้อย มันไม่ได้จูบผม สัมผัสเมื่อครู่ก็เพียงแค่..“งั้นผมนอนต่อนะ”

มันว่าแบบนั้นพร้อมกับซุกหน้ามาที่อกผมเหมือนเดิม

แล้วก็เป็นเช่นทุกที ไอ้ลิงนั่นทำเหมือนกับทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่การละเมอ

มันทิ้งผมไว้กับเรื่องบ้าบอเมื่อครู่คนเดียว

“นิสัยมึงอ่ะ” ไอ้ลิงมันจงใจเมินคำพูดของผมด้วยการตบลงมาที่หลังเบาๆ 2 ทีก่อนจะนิ่งไป

ดี!

เมินให้ตลอดนะ ไอ้ลิงนิสัยเสีย



#เพราะรักรออยู่

เวลาจริงผ่านไปครึ่งเดือน แต่ในนิยายเพิ่งผ่านไปครึ่งวัน เค้าผิดไปแล้ววววว
 :sad4:

ขอบคุณคอมเม้นท์ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคนค่าาาาา
 :m3:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 14 - 05-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-05-2020 23:59:19
เค้าจูบกันแว๊ววว
ดีๆๆๆๆๆๆ

หนับหนุนให้เปิดใจรักกันเร็วๆ

ถ้าได้กุนสักครั้ง..เราจะตั้งใจออนไลน์
ฮ่าฮ่า  +1 จ้า
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 14 - 05-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2020 12:31:08
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 14 - 05-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 21-05-2020 19:56:28
...เวลาจริงผ่านไปครึ่งเดือน แต่ในนิยายเพิ่งผ่านไปครึ่งวัน เค้าผิดไปแล้ววววว...

ไม่เป็นไร....ยังไงก้อรอ น้องกุน พี่ปอ  ได้



หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 14 - 05-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 21-05-2020 20:08:28
น้องกุนก็มาทำให้พี่ปอมีความรักโดยเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น
ส่วนพี่กุนก็เป็นความสบายใจของน้อง
เรารอดูความหวานของคู่นี้เลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 14 - 05-20-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-05-2020 11:38:32
 :L2: :L1: :pig4:

รักพี่ปอ คนอิจฉาหมา 55
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 15 - 05-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 28-05-2020 00:53:26
บทที่ 15





เวสป้าสีขาวที่ตอนนี้รู้สึกจะสนิทกันมากขึ้นกว่าวันแรก เพราะถูกนำออกมาใช้เป็นประจำสำหรับการออกไปตระเวนหาของอร่อยใกล้กับคอนโดสำหรับเราสองคน ตอนนี้ผมสามารถใส่หมวกกันน๊อคเองได้แล้ว และอีกอย่างก็คือการเรียนรู้ที่จะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์แบบสบายๆ

คราวนี้ไอ้กุนมันจะพาผมปาดซ้ายปาดขวาก็ไม่มีการโวยวายเหมือนครั้งแรกอีกแล้ว



ผัดไทยเจ้าเดิมที่เคยซื้อไปกินด้วยกันวันนี้คนไม่เยอะเท่ากับครั้งก่อน ผมกับไอ้กุนเลยได้มีโอกาสที่จะนั่งกินผัดไทยร้อนๆ กันที่ร้าน แต่วันนี้พิเศษกว่าคราวที่แล้วหน่อยก็ตรงที่หลังจากกินข้าวกันเสร็จฝนดันตกลงมาอย่างหนักทั้งที่เพิ่งออกมาจากร้านได้พักเดียว ตอนนี้ผมกับไอ้กุนเลยต้องเข้ามาอาศัยร้านกาแฟที่เปิด 24 ชั่วโมงหลบฝน

“บอกแล้วว่าฝนจะตก” ผมหันไปบ่นไอ้กุนที่ตอนนี้เปียกไปทั้งตัวแต่ก็ยังคงยิ้มได้อยู่

หลังจากที่กลับไปบ้านคราวก่อน เราสนิทกันมากขึ้นผมยอมรับ แต่ถ้าถามผมว่าระหว่างผมกับไอ้กุน เราสองคนมีอะไรพัฒนาไปบ้าง ก็ตอบเลยว่า..ไม่มี

ทุกวันเรายังคงใช้ชีวิตกันอย่างปกติ เช้าออกไปทำงานด้วยกัน ถึงออฟฟิศก็แยกย้ายกันทำงานของตัวเอง เที่ยงลงไปกินข้าวร้านพี่มุก บ่ายกลับขึ้นมาทำงานต่อ ตกเย็นก็พากันกลับคอนโด มันปล่อยให้ผมได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อออกกำลังกายแค่เพียงชั่วโมงเดียวก่อนจะโทรมาว่าจะพาออกไปกินข้าว ไอ้กุนไม่บอกหรอก แต่พอได้เวลาปุ๊บโทรศัพท์ก็ดังปั๊บทุกทีจนพี่ยอดแซว จะไม่เลิกก็ไม่ได้เพราะตอนโทรหาไอ้กุนมันมายืนยิ้มร่าคุยกับน้องๆ ที่นั่งอยู่ที่ประชาสัมพันธ์เรียบร้อยแล้ว

“พี่หนาวไหม” ไม่ว่าเปล่า มันเอามือมาแตะที่แขนผมเพื่อเช็กอุณหภูมิให้ด้วย

ผมส่ายหน้า ก่อนจะยื่นมือไปเสยผมที่ลงมาปรกหน้าให้อีกคนบ้าง ไม่ได้รู้สึกหนาวอะไร ถ้าเทียบกับไอ้กุนแล้ว รายนั้นเปียกกว่าผมเยอะ “ผมยาวแล้ว ไม่รำคาญรึไง”

“พาไปตัดหน่อยสิ”

“ทำไมต้องพาไป เคยตัดที่ไหนก็ไปตัดที่นั่นไม่ได้รึไง” ผมหันไปยิ้มให้น้องพนักงานที่ยกกาแฟกับนมร้อนที่สั่งเอาไว้มาเสิร์ฟ

“ก็อยากให้พี่ไปด้วย” ผมหันไปถลึงตาใส่ไอ้คนที่ตั้งใจทำเสียงอ้อน “น้าาา ไปเป็นเพื่อนหน่อย” นิ้วมือเย็นๆ จิ้มจึกๆ มาที่แขน ไม่ได้สนใจน้องพนักงานที่กำลังกระแทกแก้วลงบนโต๊ะเลยสักนิด

“แสดง” มันหัวเราะก่อนจะหันไปกล่าวขอบคุณกับน้องพนักงานที่วางของที่สั่งครบทุกอย่าง และกำลังจะเดินจากไป “มึงก็ไปแกล้งน้องเขา”

“ก็เขามองพี่”

“เขามองมึงเถอะ” ผมเถียง ก็ดูสภาพมันตอนนี้สิ ทั้งเสื้อยืดสีขาวที่พอโดนน้ำแล้วเห็นทะลุไปนับรูขุมขนได้ แถมมันยังลู่ลงไปแนบเนื้อนั่นอีก

“มองพี่นั่นแหละ” มันว่าพร้อมหันไปที่เค้าเตอร์ที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง “เนี่ย ยังมองอยู่เลย” ไอ้กุนเขยิบเข้ามาใกล้ๆ วาดแขนมาวางพาดบนไหล่ของผมทั้งที่ยังคงไม่หันกลับมา

..เนียนเชียว..

พักนี้ไอ้ลิงนี่ชักเริ่มถึงเนื้อถึงตัวบ่อยๆ นั่งข้างกันไม่ได้ เดี๋ยวก็เอาจมูกแตะที่ไหล่ อยู่ๆ ก็มาฉวยเอาฝ่ามือผมไปจุ๊บ บ่นจนไม่รู้จะบ่นมันยังไงแล้ว

“เลิกเล่น” ผมใช้มือฟาดไปบนแขนที่ยังคงชื้นฝนจนเจ้าตัวต้องรีบชักแขนตัวเองกลับไปลูบป้อยๆ

ไอ้กุนชอบเป็นแบบนี้ทุกทีเวลาที่มันสังเกตเห็นว่ามีคนคอยมองมันอยู่ ไม่รู้ว่าอยากแกล้งคนอื่นหรือว่ามันอยากจะแกล้งผมกันแน่ เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผมนี่แหละที่ต้องมาทนเขินกับไอ้การแสดงบ้าๆ บอๆ ของมันอยู่คนเดียว

“พี่เก็บของเสร็จแล้วหรอ” แก้วนมสดถูกยกขึ้นเป่าไม่กี่ทีไอ้กุนก็ยกขึ้นซด ควันพุ่งออกมาจนเห็นได้ชัดขนาดนั้น พนันได้เลยว่าเดี๋ยวจะต้องมีคนร้อง “อ่า ร้อน”

ผมยิ้มให้กับไอ้อาการย่นหน้าแล้วยังแลบลิ้นออกมาข้างนอกนั่นของไอ้กุน แล้วไม่นานมันก็หยิบเอาแก้วกาแฟร้อนของผมขึ้นเป่า

ใช่ มันหยิบแก้วกาแฟของผมขึ้นไปเป่า แทนที่จะเป่าแก้วตัวเอง

“เสร็จแล้ว ทำไม? ยังไม่ได้เก็บหรอ” กำหนดเดินทางพรุ่งนี้แล้ว ผมคงไม่ได้ยินว่ามันตอบว่ายังหรอกนะ

“ยัง”

นั่นไง

“จะรอเก็บพรุ่งนี้? ไม่ต้องเป่าให้แล้ว” ผมเอื้อมมือไปคว้าเอาแก้วของตัวเองคืนแล้วมาเป่าต่อ อันที่จริงผมว่ามันน่าจะอุ่นตั้งแต่ตอนที่ไอ้กุนเป่าให้แล้ว “เป่าของตัวเองไปนู่น

“พี่รู้ได้ไงอ่ะ ผมว่าจะเก็บพรุ่งนี้เช้านะ”

“ประชดไหมล่ะ”

“ผมก็ล้อเล่นเหมือนกัน เก็บเสร็จแล้ว” แก้วนมสดที่เริ่มเย็นลงแล้วถูกยกขึ้นจรดกับริมฝีปากอีกครั้ง “เดี๋ยวขาดอะไรก็ไปใช้ของพี่เอา”

เมื่อเห็นว่ามันดื่มนมร้อนของมันได้อย่างไม่มีอาการอะไรผมก็ยกแก้วกาแฟของตัวเองขึ้นดื่มบ้าง “จะมาใช้ด้วยกันยังไง อยู่คนละห้อง”

“ก็ผมจะไปนอนห้องพี่” ไอ้กุนรีบสวนกลับมาทันที เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะพูดว่าอะไร

“ยังไม่ได้เชิญ”

“ไม่เห็นต้องเชิญ” มันยักไหล่ “ไปเองได้” สนใจกับทำแย้งของผมที่ไหน

“ไม่เบื่อบ้างรึไง ทุกวันนี้ไม่เจอกันก็แค่ตอนนอนเนี่ย”

“นั่นสิ พี่อยากรู้หรอ” ผมมองไอ้กุนพร้อมกับทวนประโยคที่เพิ่งคุยกันไปเมื่อครู่ในหัว ไอ้สายตาแบบนี้อ่ะนะ คิดไม่ดีอยู่แน่ๆ “เรามาลองกันไหม”

“ทะลึ่งและ” ถึงกับต้องหันหน้าหนี แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มแก้เก้อ “แล้วเลิกมองกูด้วยสายตาแบบนี้ที”

“เขินอ่ะดิ”

“ไม่ได้เขินโว้ย” ผมโวยวาย พร้อมกับขยับหนีไอ้ลิงที่กระแซะมาเบียด “ออกไปมึงเปียก”

“จะเขินไม่เขิน” ก็อย่างที่บอกว่าสนิทกันมากขึ้น ถ้าไม่รีบยอมรับว่ากำลังเขินตั้งแต่ตอนนี้ ไอ้ลิงนั่นได้ทำผมเขินมากกว่านี้แน่ๆ

“เออ! เขิน! ” ผมหันไปขึ้นเสียงใส่ ไอ้กุนยิ้มอย่างพอใจก่อนจะยื่นปากมาชนที่ไหล่แล้วขยับเว้นระยะห่างจากผมเหมือนเดิม “สบายใจยัง”

“มากๆ เลยครับ” มันแกล้งยิ้มตาหยี ก็เพราะสนิทกันมากขึ้นแล้วนี่แหละ ทำไมผมจะไม่รู้ ว่าจริงๆ แล้วไอ้ลิงเนี่ยมันเจ้าเล่ห์จะตาย

“นิสัย”







รถบัสปรับอากาศ 2 ชั้นกำลังจอดรอพนักงานที่กำลังทยอยกันมาพร้อมกับครอบครัว ทั้งผมและอีกแผนกที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลการจัดกิจกรรม มาเตรียมงานกันตั้งแต่ตี 5 ทั้งที่เวลานัดอยู่ที่ 7 โมง

วันนี้ไอ้กุนดูจะหงอยเป็นพิเศษ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังคอยวิ่งไปโน่นทีวิ่งไปนี่ทีตามแต่จะมีคนไหว้วาน ผมเองก็มัวแต่จัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด เลยยังไม่ได้ถามอีกคนว่าเป็นอะไร เอาไว้จัดการให้ทุกคนขึ้นบัสเสร็จถึงตอนนั้นค่อยถามเอาแล้วกัน

กว่าคนจะมากันครบตามจำนวนที่แจ้งชื่อเอาไว้ก็ปาไป 8 โมงครึ่ง จริงๆ มันก็เป็นแบบนี้อยู่ทุกปี ผมเห็นใจคนที่มาถึงตามเวลานัดนะ แต่ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาให้อย่างไรเหมือนกัน เพราะคนที่มาสายพวกนี้ก็คือคนที่ปีที่แล้วมารอตามเวลานั่นแหละ เข็ดจากปีที่แล้ว ปีนี้เลยขี้เกียจมารออีก มันก็วนไปแบบนี้เรื่อยๆ ถ้าไม่ติดว่ารถทุกคันจะต้องเคลื่อนตัวไปพร้อมกัน ก็อยากจะให้คนมาก่อนได้ไปก่อนอยู่หรอก

รถตำรวจที่ไปประสานงานเอาไว้ ให้ช่วยนำขบวนเพื่อไม่ให้รถบัสท่องเที่ยวของบริษัทไปรบกวนการจราจรของผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่นเริ่มเคลื่อนตัวออกจากบริษัท มุ่งตรงไปยังจังหวัดจุดหมาย โดยแวะตามปั๊มระหว่างทางเป็นระยะเพื่อให้คณะท่องเที่ยวได้พักยืดเส้นยืดสายและเข้าห้องน้ำ

จากการแบ่งกันดูแลรถแต่ละคันโดยฝีมือของไอ้เก๋ มันเลยลากเอาไอ้กุนไปนั่งด้วย โดยให้เหตุผลว่า มันจะเฝ้าสมบัติของแผนกเอาไว้เอง จะไม่ยอมให้สาวๆ คนไหนได้เข้าใกล้เด็ดขาด ส่วนผมที่ต้องแยกไปนั่งกับพี่ชาติและผู้จัดการแผนกคนอื่นๆ เลยได้เจอหน้าไอ้กุนอีกทีเอาก็ตอนนี้ จริงๆ เป็นผมคนเดียวมากกว่าที่เจอมัน เพราะไอ้เก๋มาแอบกระซิบว่าไอ้กุนหลับมาตลอดทาง แถมตอนนี้ก็ยังไม่ลงมาจากรถเหมือนกับคนอื่นๆ เขาอีก เลยให้ผมขึ้นไปดูมันหน่อย

ทั้งที่ปกติมันรู้สึกตัวไวอย่างกับอะไร แต่ตอนนี้ไอ้กุนกลับหลับคอพับจนหัวไปชนกับกระจกหน้าต่างไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่ารอบตัวเสียงดังขนาดไหน หรือว่าตอนนี้ถูกทิ้งให้นอนอยู่บนรถแค่คนเดียว

ผมตรงเข้าไปวางมือบนหน้าผากมันเป็นอันดับแรก ตัวนี่ร้อนจนน่าตกใจ ไม่รู้ว่าไข้ขึ้นตั้งแต่ตอนไหนถึงได้มีสภาพเป็นแบบนี้ ผมเรียกพร้อมกับเขย่าตัวมันเบาๆ อยู่หลายที จนเจ้าตัวยอมลืมตาขึ้นช้าๆ พอเห็นว่าเป็นผมไอ้กุนก็ส่งยิ้มบางๆ มาให้

“ทำไมไม่บอกว่าป่วย” ผมถามเสียงเครียด แล้วนี่ก็มาต่างจังหวัดแถมยังอีกสักพักเลยกว่าจะถึงจังหวัดที่หมาย ถ้าเป็นหนักขึ้นมาจะทำยังไง ถ้ารู้ก่อนจะได้ให้นอนพักอยู่คอนโด ไม่ต้องมานั่งทรมานอยู่แบบนี้ “เพราะเปียกฝนเมื่อคืนใช่ไหม”

“หนาวจังขอกอดหน่อย” มันไม่ตอบผม แต่อ้าแขนออกกว้างรอให้ผมเข้าไปหา

ก็ยังทำเป็นเล่นจนผมเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว

“ลุก! ” ผมพูดเสียงแข็ง จนไอ้กุนมองหน้านิ่ง

“เดี๋ยวผมก็หาย”

“ลุก! แล้วตามมา! ” พูดจบผมก็เดินลงมาจากรถทันทีโดยไม่ได้รออีกคน เห็นมันป่วยก็สงสารอยู่หรอก ปากแดง ตาแดงไปหมด แต่จะให้นั่งรถคันนี้ต่อก็คงจะไม่ได้ ก็คันนี้มีทั้งเด็กทั้งคนแก่ เดี๋ยวคนอื่นได้ติดหวัดจากมันพอดี

ไอ้กุนที่หน้าหงอยกว่าเดิมเข้าไปอีก เดินตามผมมาทันในที่สุด ผมให้มันย้ายมานั่งรถคันที่ผมนั่ง เพราะพวกผู้จัดการและครอบครัว ส่วนมากจะขับรถไปกันเอง คนที่มากับบัสบริษัทก็ไปอยู่รวมกันที่ชั้นสองกันหมด พื้นที่ชั้น 1 ที่เหมือนกับห้องรับรองขนาดย่อมๆ เลยว่างสำหรับคนป่วยพอดี

ผมไลน์ไปบอกไอ้เก๋ ว่าพากุนมาด้วยเพราะไม่สบาย และไม่ลืมที่จะให้หาน้องในแผนกอีกคนไปนั่งเป็นเพื่อนเพราะกลัวว่ามันจะเหงา จัดแจงที่ทางให้กุนได้เสร็จก็เดินมาซื้อยาและแผ่นแปะลดไข้ที่ร้านสะดวกซื้อ แวะห้องน้ำเพื่อนำผ้าขนหนูผืนเล็กที่เพิ่งไปรื้อออกจากกระเป๋าเดินทางก่อนมา ชุบน้ำบิดจนหมาดแล้วรีบสาวเท้ากลับมาที่รถ

ไอ้กุนยังทำหน้าหน้ามุ่ยนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน แม้แต่หน้าผมก็ยังไม่ยอมมองด้วยซ้ำ มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกงอนแล้วรอให้เข้าไปง้ออยู่เลย

ผมเทยากับแผนลดไข้ออกจากถุง ใส่ผ้าขนหนูบิดหมาดที่ถือมาเข้าไปแทน เปิดขวดน้ำเอาไปตั้งไว้ตรงหน้าคนป่วย แล้วทำการแกะยาลดไข้ออกจากแผง 2 เม็ด “กินยาซะ”

นิ่ง

ชัดเลยทีนี้

ผมคว้ามือข้างหนึ่งของไอ้กุนขึ้นมาหงาย วางยาทั้งสองเม็ดลงไปบนฝ่ามือ แล้วยัดขวดน้ำที่เปิดแล้วไว้ที่มืออีกข้าง “กินยาก่อน แล้วจะง้อ”

ได้ผล

ไอ้กุนยอมส่งยาทั้งสองเม็ดเข้าไปในปากแล้วดื่มน้ำตามไปเกือบครึ่งขวด เสร็จแล้วก็กระแทกมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะกอดอกแล้วหันหน้าหนีผมไปอีกทาง

“ต้องง้อยังไงถึงจะหาย” เคยง้อมันเสียที่ไหน พูดอะไร ว่าอะไรก็ไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าคนป่วยอ่อนไหวง่ายหรือยังไง ถึงได้งอนตุ๊บป่องขนาดนี้

“พี่ขอโทษ” ในเมื่ออีกคนไม่บอกว่าต้องทำยังไง ผมก็เลยทำได้แค่เอยขอโทษไปตรงๆ แทนตัวเองว่าพี่ด้วยนะ มันต้องหายแล้วไหม ทำไมถึงยังนิ่งอยู่อีก “อย่าเงียบดิ ขอโทษแล้วไง ก็แค่เป็นห่วงกลัวจะเป็นหนัก”

“กอด” โอ้โฮ น้ำเสียง นี่ตกลงใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันวะเนี่ย “หนาว”

“โอเค กอดแล้วๆ” ผมเข้าไปดึงมันมากอดเอาไว้ สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิความร้อนที่แผ่ออกมา แต่ไม่นานอีกคนก็ร้องประท้วงออกมาเสียอย่างนั้น

“ไม่เอาดีกว่า” มันดันตัวผมออก ไม่เอาอะไรล่ะ ก็กอดไปแล้วเมื่อกี้ “จุ๊บ” ถึงตอนนี้ผมว่ามันเริ่มจะทะแม่งๆ “ไหนบอกจะง้อ ไม่อยากทำก็ช่างมันเถอะ ขอบคุณนะครับสำหรับยา”

นี่มันซีนอารมณ์ชัดๆ คำพูดเอย น้ำเสียงเอย

ผมลุกขึ้นยืนแล้วขยับเข้าไปจนชิด ประคองหน้าของไอ้กุนให้เงยขึ้นด้วย 2 มือ ค่อยๆ โน้มตัวลงหามันช้าๆ ถึงตาคนป่วยจะปรือแถมยังแดงก่ำ แต่ก็สามารถสังเกตเห็นประกายวิบวับในตาได้อย่างชัดเจน

และราวกับว่าการเคลื่อนตัวของผมจะไม่ทันใจคนที่กำลังรอสัมผัสอยู่ ผมจึงรู้สึกได้ถึง 2 มือของคนป่วยถูกวางลงมาบนเอวแล้วออกแรงดึงเบาๆ

จุ๊บ

ริมฝากปากของผมทาบลงบนหน้าผากร้อนนานไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ผละออก และตอนนี้ผมกลับมาเหยียดตัวตรงเหมือนเดิมแล้ว มีก็แต่ไอ้กุนนั่นแหละที่ยังไม่ยอมปล่อยมือออกไปจากเอวของผม

“ใจเต้นไปหมดเลยว่ะพี่” คนป่วยบ่น “นึกว่าพี่จะ”

“ไม่ต้องเลยมึงน่ะ เห็นกูตามใจเข้าหน่อยล่ะเอาใหญ่เลยนะ”

“โดนจับได้หรอ” มันโอดครวญพร้อมกับเขย่าตัวผมเหมือนกับเป็นของเล่น “พลาดได้ไงวะเนี่ย ไม่งั้นนะ”

“โอ้ยยย ปล่อยได้แล้วเวียนหัว” ผมแกะมือไอ้กุนออกจากเอว แล้วเอาถุงผ้าส่งให้มันแทน “เช็ดหน้าเช็ดตาซะก่อน แล้วค่อยเอาอันนี้แปะ”

“อ้าว ไม่เช็ดให้หรอ” มันหันมาเลิกคิ้วถาม

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่” ผมว่าแล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ

“พี่ปอนะๆ ” ไอ้กุนหยิบผ้าขนหนูออกมาแล้วขยับมานั่งข้างผม “เช็ดให้หน่อย สัญญาจะไม่ดื้อแล้วสัญญา”

“เชื่อไม่ได้หรอกมึงอ่ะ”

“จริงๆ นี่ตัวร้อนจี๋เลยนะ เช็ดไม่ไหวหรอก” กุนจับมือผมขึ้นไปวางบนหน้าผาก ที่จริงมันไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ เพราะผมรู้ตั้งแต่ตอนที่ปากแตะลงบนหน้าผากมันแล้ว ว่าตัวมันร้อนขนาดไหน “เห็นมะ ไม่ได้โกหก”

“ไม่” ผมมองมันด้วยหางตา อยากเจ้าเล่ห์ดีนัก ดูแลตัวเองไปแล้วกัน

“พี่ปออ่าาา”

เนี่ย

“ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนี้” พอขัดใจเข้าหน่อยก็ชอบทำเสียงอ่อยแบบนี้ทุกที “ไม่ก็คือไม่”

“พี่ปออ่าาา” อีกและ “พี่ปอครับ”

จริงๆ แล้วไอ้ลิงนี่มันเป็นเด็กเอาแต่ใจนะ

ทั้งเจ้าเล่ห์ เอาแต่ใจ แถมยังนิสัยเสียอีก

แล้วคิดหรอ ว่าแค่ทำเสียงอ้อนแบบนี้จะทำให้ผมใจอ่อนยอมตามใจ

“เออ! ”

ก็ยอมไง

“เอาผ้ามา”

แม่งยอมมันทุกทีเลยเนี่ย ไม่รู้เป็นอะไร









#เพราะรักรออยู่

ขอบคุณทุกคนที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันนะคะ เยิ้ปปปป
 :m3:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 15 - 05-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-05-2020 14:23:05
นี่มันนิยายโรแมนติคอิโรติกนี่
อ่านแล้ว คันยุบยิบๆ ทั้งหัวจิตหัวใจและหัว........
 :z2:

เรื่องนี้..อ่านแล้วไม่รักก็บ้าแว๊ววววว
ฮ่าฮ่า


 :3123:
ขอบคุณคนแต่ง +1 ให้เล๊ยยยยยย

หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 15 - 05-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-05-2020 15:02:34
 :3123:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 15 - 05-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 28-05-2020 19:54:06
...พี่ปอครับ

อือออออออออ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 15 - 05-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 29-05-2020 09:34:03
พอพี่เริ่มเปิดใจ เจ้าลิงแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจนมาก
พี่ก็มีความสุขกับการวอแวของเจ้าลิงนะ ดูมีความสุขขึ้น
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 16 - 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 07-06-2020 08:32:07

บทที่ 16



ตอนนี้ผมกำลังทิ้งตัวลงนั่งอยู่ที่โต๊ะหลังสุดภายในห้องจัดเลี้ยง

หลังจากวิ่งวุ่นจนหัวหมุนกับกิจกรรมทุกอย่างตั้งแต่แจกจ่ายคีย์การ์ดห้องพักเมื่อช่วงบ่าย เตรียมซุ้มกิจกรรมตอนเย็น ตรวจดูความเรียบร้อยทุกอย่างก่อนงานเลี้ยงเริ่ม จนกระทั่งตอนนี้กิจกรรมที่เป็นทางการทุกอย่างจบลงไปเป็นอย่างดี

งานวันนี้เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้เกือบทุกอย่าง อาจจะมีที่ติดขัดบ้าง แต่ทุกฝ่ายก็สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันได้เรียบร้อย ไม่ได้ส่งผลกับความสนุกของงานแต่อย่างใด เหลือก็แต่พรุ่งนี้อีกหนึ่งวันเท่านั้น หน้าที่ของผมสำหรับการเป็นคนรับผิดชอบเรื่องกิจกรรมของปีนี้ก็จะจบลงอย่างเป็นทางการ

เสียงเพลงฮิตที่ทุกคนคุ้นหูกำลังถูกขับร้องโดยนักร้องนำของวงดนตรีขาประจำที่ถูกจ้างมาแทบทุกปี พนักงานหลายคนตอนนี้ไปรวมตัวกันอยู่ตรงพื้นที่ว่างหน้าเวทีเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าจะอยู่คนละแผนก หรือแม้แต่ที่ผ่านมาจะไม่เคยคุยกันสักคำ ตอนนี้ทุกคนเหมือนจะคุ้นหน้าคุ้นตา และสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เพราะมีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เป็นตัวผสาน ผมเองก็เหมือนกัน ที่ทั้งคนรู้จักและไม่รู้จักต่างก็พากันส่งแล้วให้ดื่ม ถึงจะแค่จิบเพื่อรักษาน้ำใจแล้วแอบทิ้งแก้วเอาไว้ตามโต๊ะที่เดินผ่าน แต่กว่าจะมาถึงตอนนี้ก็โดนไปหลายจิบบวกกับต้องวิ่งไปโน่นมานี่พอได้มานั่งพักแบบนี้ก็เหมือนจะรู้สึกเมาขึ้นมาอยู่เหมือนกัน

ผมมองไปรอบๆ งานเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะมาหยุดอยู่ที่แผนหลังของคนที่คุ้นเคย

ไอ้กุนที่เมื่อกลางวันตัวร้อนเป็นไฟ ตอนนี้ดูจะหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่ามันแอบเข้ามาในงานตั้งแต่ตอนไหน เพราะตั้งแต่รถมาจอดที่โรงแรม มันก็ถูกผมไล่ให้ไปนอนที่ห้องพักทันทีและยังกำชับไว้ด้วยว่ายังไม่หายห้ามก้าวออกจากห้อง นี่ไม่รู้ว่าเบาแล้วหรือยังถึงได้ไปยืนป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ บาร์น้ำได้

จะว่าไปวันนี้ก็เหมือนกับงานเลี้ยงต้อนรับไอ้กุนตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ไม่มีผิด เจ้าตัวเคยเป็นดาวเด่นในงานเลี้ยงวันนั้นแค่ไหน วันนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก มันยังคงถูกคนโน้นลากไปที คนนี้ลากไปทีเหมือนเดิมไม่มีผิด แต่ก็อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้ว

ไอ้กุนมันเคยขัดใจใครที่ไหนล่ะ

...นอกจากผม

เบะปากให้กับไอ้ลิงที่แจกยิ้มไปทั่วหนึ่งที แล้วก็ดึงสายตากลับมาที่โต๊ะ เห็นชุดอาหารที่วางเรียงรายเอาไว้ก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหลังจากมื้อเที่ยงผมเองยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิดนอกจากน้ำที่คนอื่นๆ ยื่นให้ จะให้ลุกไปตักอะไรมากินตอนนี้ก็เกรงว่าอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่ถูกเตรียมเอาไว้สำหรับทุกคน จะไม่เหลือให้ตักมากินแล้ว

ผมหันไปหาไอ้เก๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ เพื่อจะถามว่าอาหารที่วางเอาไว้เป็นของใคร ก็เห็นมันนั่งเม้าท์อยู่กับน้องคนสนิทในแผนกอย่างออกรสออกชาติ เท่านั้นยังไม่พอตอนนี้กำลังชี้ไม้ชี้มือไปตรงที่ไอ้กุนยืนอยู่กับกลุ่มสาวๆ แผนกอื่นอีก

“เก๋ๆ ” ผมเรียกพร้อมกับสะกิดไปที่ไหล่ เจ้าของชื่อหันมาหาก่อนจะทำหน้าขัดใจที่ผมไปขัดจังหวะการคุยของมัน “อันนี้ของใครอ่ะ”

“อ๋อ ของน้องกุนค่ะ” ของไอ้กุน งั้นแปลว่าผมกินได้ “พี่ปอยังไม่ได้ทานอะไรใช่ไหมคะ รีบกินแล้วก็รีบไปลากตัวคนที่เตรียมข้าวไว้ให้กลับมาด้วยนะคะ โดนแทะจนผิวลอกหมดแล้วมั้ง ฮึ่ย” ไอ้เก๋ทำเสียงฮึดฮัดใส่ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปหาคู่สนทนาอยู่อีกด้านต่อ

ผมเงยหน้าขึ้นมองไปที่ไอกุนอยู่อีกครั้ง มันยังคงถูกล้อมเอาไว้ด้วยสาวๆ เหมือนเดิมแต่เพิ่มมาด้วยแก้วน้ำเปล่า 2 แก้วในมือ แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มันนั่นหันกลับมาสบตากันพอดี ไอ้กุนยิ้มให้ผมก่อนจะหันหน้ากลับไปที่กลุ่มสาวๆ ต่อ

แหม ไอ้ลิงนี่

ไม่น่าไปห่วงว่ามันจะหายหรือยังเลยจริงๆ

ผมเลิกสนใจไอ้กุนแล้วเตรียมหยิบเอาช้อนกับส้อมขึ้นมาถือ

ไม่สนแล้วว่ามันจะกินข้าวหรือยัง

ไม่สนแล้วว่าที่ตักวางเอาไว้นี่สำหรับผมคนเดี๋ยวหรือเปล่า

ถ้ายังมัวแต่คุยกับสาวๆ ก็ไม่รอแล้วแหละ

หิว!





“กว่าจะออกมาได้” คนที่เพิ่งกลับมาถึงโต๊ะพร้อมกับแก้วน้ำที่ปริ่มจนแทบล้น แถมในแก้วยังเหลือน้ำแข็งลอยเคว้งอยู่ 2 3 ก้อนเล็กๆ พูดขึ้น “ไม่คิดจะไปช่วยผมหน่อยหรอ”

“ก็เห็นยิ้มหน้าบาน นึกว่าชอบ” ผมทำทีไม่สนใจและยังคงตั้งหน้าตั้งตาตักอาหารตรงหน้าเข้าปากต่อ

“ใจร้ายชะมัดเลย” ไอ้ลิงมันว่า มันเอื้อมมือไปคว้ากุ้งที่นอนเรียงกันอยู่ในจานมาแกะ แล้วส่งกุ้งที่ไม่มีเปลือกแล้วมานอนแอ้งแม้งอยู่บนจานของผม

“มึงหายแล้วหรอ” ผมถาม

“พี่ลองจับดูหน่อย เหมือนจะรู้สึกตัวร้อนๆ ขึ้นมาอีกแล้ว” อยากจะเชื่อหรอกนะ แต่คนป่วยก็ไม่น่าจะหน้าระรื่นแบบนี้ “เอ้า ก็ผมมือเปื้อนไง จับเองไม่ได้” ไอ้กุนยังคงเล่นไม่เลิก “อ่ะ งั้นแบบนี้”

“ไอ้กุน!” ผมเผลอเรียกชื่อมันเสียงดัง แต่ไอ้กุนแค่ยักไหล่แล้วกลับไปแกะกุ้งอีกตัวต่อ

ก็แบบนี้ของมันคือการเอียงหน้าเอาแก้มของมันลงมาแปะเข้าที่ข้างไหล่ของผม จริงๆ ตัวมันไม่ได้ร้อนแล้วแต่ผมกลับสะดุ้งเหมือนกำลังถูกแก้มอุ่นๆ นั่นลวก ใครจะไปคิดว่ามันจะกล้า คนนั่งกันอยู่เต็มโต๊ะ แถมยังมีคนทั้งบริษัทอยู่ด้วยแบบนี้อีก เขาจะไม่ตกใจกันหรอที่เห็นผู้ชายตัวโตๆ สองคนเล่นกันแบบนี้ ถึงคนอื่นจะไม่ได้มาสนใจอะไร แต่ผมเห็นไอ้เก๋แล้วแหละคนหนึ่งที่ยกสองมือขึ้นปิดปากของตัวเองแล้วเหลือบตาไปทางอื่น ทั้งที่ก่อนนี้มันหันหลังให้ผมด้วยซ้ำ

“ปอ” เพราะเสียงเรียกทำให้ทั้งผม ไอ้กุน แล้วก็เก๋ที่ยังไม่ได้เอามือออกจากปากต้องหันไปทางต้นเสียง

ซึ่งเจ้าของเสียงหวานๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

แฟนเก่าผมเอง

“ผิงอยากขอยืมตัวน้องกุนแป๊บนึงได้ไหมคะ”

ถามผมนะแต่หันไปยิ้มให้ไอ้กุนนู้น ดีแฮะ

“ก็ถามมันเอาเองสิ” ผมพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้าผิงเลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ผมกำลังมองไอ้คนที่กำลังมองมาที่ผมอยู่เหมือนกัน

“ถามพี่น่ะถูกแล้ว” ไอ้ลิงมันว่าแถมยังฉีกยิ้มเสียกว้าง “พี่ไม่ให้ไปผมก็ไม่ไปครับ”

“อยากไปก็ไปดิ เกี่ยวอะไรกัน”

มันพยักหน้า “แสดงว่าไม่อยากให้ไป”

“ยังไม่ได้บอก! ” ผมเถียง “บอกว่า อยาก ไป ก็ ไป”

“ก็ถ้าพี่พูดแบบนี้แสดงว่าไม่อยากให้ไป”

เนี่ย

รู้ดีไปหมดทุกเรื่อง

“มึงคิดไปเองอ่ะ”

“พี่นั่นแหละ ที่”

“หยุด! ” การถงเถียงกันในเรื่องไม่เห็นเรื่องหยุดลงทันที เพราะเสียงของเก๋ และแทบจะทันทีอีกเหมือนกันที่เราทั้งคู่หันไปหาเจ้าของเสียง ตอนนั้นเองจึงได้เห็นว่าผิงได้หายออกไปจากตรงที่ยืนอยู่แล้ว “คือคนถามเดินกลับไปนู่นแล้วค่ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว!”

คราวนี้ผมหันกลับมาหาตวัดตามองไอ้กุนบ้าง

ปกติไอ้ลิงนี่ก็ขยันสร้างเรื่องให้ผมวุ่นวายทุกวันอยู่แล้ว แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรมันขยันมากเป็นพิเศษ

“กินข้าวต่อเนาะ นี่ครับ..กุ้ง” และเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังจะโดนผมบ่น มันเลยเอากุ้งมาปิดปาก

แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากกระแทกซ้อมลงไปบนตัวกุ้งแรงๆ แล้วส่งมันเข้าปาก

ไม่ได้เห็นแก่กินหรอกนะ แต่เพราะสายตาของไอ้เก๋ตอนนี้ต่างหาก คงอยากจะแซวผมเต็มแก่แล้วแน่ๆ ใครจะไปเปิดโอกาสให้ทำแบบนั้นกัน





กินข้าวกันเสร็จตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว คนในห้องจัดเลี้ยงเริ่มบางตาเพราะส่วนมากก็จะเหลือแต่พนักงานที่ยังคงนั่งสังสรรค์กันอยู่เท่านั้น ส่วนผู้ติดตามคนอื่นๆ ก็พากันกลับห้องพักเกือบหมดแล้ว ผมเองก็เห็นทีว่าจะต้องกลับห้องพักบ้างเสียที เพราะยังไม่เห็นไอ้ลิงที่นั่งอยู่ข้างๆ นี่กินยา แถมเมื่อกี้มันยังกินน้ำเย็นเข้าไปอีก กลัวว่ากลางคืนจะไข้ขึ้นมาอีกรอบ

ตอนแรกกะว่าจะรอให้มันหยุดคุยกับเก๋ก่อน แต่จากที่นั่งฟังมาสักพัก พอจบเรื่องนี้มันก็ไปต่อกันอีกเรื่อง นี่ผมก็นังฟังมาหลายเรื่องแล้ว ไม่มีจังหวะว่างให้ผมได้มีโอกาสชวนมันกลับห้องเลยสักที เลยต้องแอบเอื้อมมือไปแตะขาไอ้กุนใต้โต๊ะ

“ครับ? ” ในที่สุดไอ้ลิงนั่นก็หันกลับมา มันไม่ได้แค่หันมาถามผมเฉยๆ แต่มือมันยังไวพอที่จะมากุมมือของผมเอาไว้ด้วย

“ไปกินยา” ผมพูดลอดไรฟัน และพยายามดึงมือของตัวเองออกด้วย

ไอ้กุนพยักหน้ารับแต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะขยับลุกไปทางไหน จนมือกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง ผมก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกมาทันที

นึกว่าไอ้กุนมันแค่จะลุกขึ้นยืนตามมาเงียบๆ ที่ไหนได้

“พี่เก๋ พี่ปอชวนกุนกลับห้องแล้วอ่ะ”

โอ้ยยย..

ชวนไปกินยาเถอะ ไปกินยา!

“อะไรกันคะ แค่เขาชวนก็ไปกับเขาง่ายๆ งี้หรอ ขัดขืนไหมคะ อย่าไปยอม”

“ก็อยากขัดขืนอยู่นะครับ แต่ทำไม่เคยได้สักที”

“บ้าาา” คิ้วผมเริ่มขมวดเข้าหากัน เพราะบทสนทนาเริ่มฟังดูแปลกๆ “น้องกุนอ่ะ ป่วยอยู่ก็อย่าหักโหมมากนะคะ” พอได้ยินแบบนั้นผมก็คว้าแขนไอ้กุนออกมาจากวงสนทนาทันที ขืนปล่อยให้คุยกันต่อ คงได้ชวนกันออกทะเลไปไหนต่อไหนแน่ๆ ไอ้สองคนนี้มันไว้ใจไม่ได้ เรื่องคราวที่แล้วมันยังไม่ยอมบอกผมเลยด้วยซ้ำว่าแอบไปบอกอะไรกับไอ้เก๋เอาไว้

“ทำไมรีบจังครับ” เพิ่งรู้ตัวว่าเอาแต่ลากไอ้กุนออกมาไกลจากห้องจัดเลี้ยงขนาดนี้ “อยากอยู่กับผมขนาดนั้นเลยหรอ”

ละมือออกจากแขนมันแทบจะทันทีหลังจากจบประโยคนั้น คำพูดน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่สีหน้าเนี่ยสิ น่าหมั่นไส้ชะมัด “กับไอ้เก๋นี่เข้ากันดีจังนะ”

“นี่อย่าบอกนะว่าหึงผมกับพี่เก๋ด้วย”

“ไร้สาระ” ผมว่าแล้วก้าวเท้าเดินเพื่อจะกลับห้องต่อ ไม่นานก็รู้สึกถึงน้ำหนักบนไหล่เพราะไอ้กุนเอาแขนมาพาดเอาไว้ “หนัก!”

พูดเหมือนรำคาญ แต่ก็ไม่ได้คิดจะผลักแขนของอีกคนออกเลยสักนิด นี่ผมเป็นคนย้อนแย้งแบบนี้นี่เองหรอ

“ไปเดินเล่นกันก่อนปะ”

“ไม่สบายแล้วยังไม่เจียมอีก”

“หายแล้ว” ไอ้กุนออกแรงให้ผมขยับตัวตาม “หักโหมได้”

ไอ้นี่มันชักจะเอาใหญ่

“ไม่ไป!” ผมขืนตัวเองเอาไว้ ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่ตั้งแต่บ่ายยันตอนนี้ ผมไม่ไหวจะเดินแล้วจริงๆ “จะกลับไปอาบน้ำแล้ว เหนื่อย”

“โอเค งั้นกลับห้องเรากัน” เอาเข้าไป ห้องรงห้องเราอะไร “เดี๋ยวผมนวดให้ด้วย ตอบแทนที่พี่เช็ดตัวให้ผมไง”

“ไม่ต้อง กลับห้องมึงไปเลย”

“น่าาา ไม่ต้องเกรงใจครับ” ไอ้กุนออกแรงที่แขนอีกครั้ง แต่คราวนี้จุดหมายเปลี่ยนจากชายหาดเป็นห้องพักของเราแทน





เราแยกกันตรงหน้าห้องผมเอง เพราะไอ้กุนทิ้งยาเอาไว้ที่ห้องตัวเอง เลยถูกผมบังคับให้ไปกินยาก่อน ยังไม่ทันที่ผมจะได้เข้าไปอาบน้ำ ไอ้กุนก็มายืนเคาะห้องด้วยชุดนอนพร้อมกับแผงยาแผงเมื่อเช้าแล้ว

ผมปล่อยให้แขกที่ไม่ได้เชิญเข้าไปหาน้ำกินยาในห้อง ส่วนตัวเองก็เข้าไปอาบน้ำโดยไม่ลืมที่จะดึงเอามู่ลี่ไม้บังสายตาลง แต่งตัวเสร็จ เดินออกมาเตียงนอนก็มีคนจับจองที่ฝั่งหนึ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไอ้กุนนั่งพิงหัวเตียงดูหนังจากทีวีปลายเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมอยู่ท่อนล่าง มันตบเตียงตรงที่วางเชิญให้ผมขึ้นเตียงตามไปราวกับนี่เป็นห้องของตัวเอง แต่ผมเมินไอ้ลิงนั่นแล้วไปนั่งดูหนังตรงปลายเตียงแทน หลังจากนั้นไม่นานก็รู้สึกว่าเตียงด้านหลังยวบ ก่อนสัมผัสเย็นๆ จากมือไอ้กุนจะมากดลงที่ไหล่

ผมหันไปมองมือที่ตอนนี้บีบนวดไปตามไหล่แข็ง ใจจริงอยากจะบอกว่าไม่ต้องนวดให้ก็ได้ แต่มันดันสบายกว่าที่คิด เลยปล่อยให้ไอ้กุนได้ทำตามใจ

“พี่ปอ” แรงนวดเริ่มเบาลงจนหยุดไปตอนที่ได้กุนเรียกชื่อของผม “พี่ว่าทะเลทำให้คนเรามีความสุขได้ปะ”

ผมหันไปมองหน้าไอ้กุน เพราะประโยคที่มันเพิ่งพูด มันเคยพูดกับผมแล้ว ตอนที่มาที่นี่กันคราวก่อน “จะเล่นอะไรอีก”

“ไม่ได้เล่น” ไอ้กุนเอามือออกจากไหล่ แต่เอาคางมาวางเอาไว้แทน และระยะที่ห่างกันเพียงแค่นี้ทำให้ผมต้องหันหน้ากลับมาที่ทีวีอีกครั้ง

“ทำไมมีความสุขอีกแล้วหรอ”

“ครับ” ปลายจมูกถูกกดลงมาก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นคางเหมือนเดิม “ยิ่งพอมานึกว่าพรุ่งนี้เช้าจะตื่นมาแล้วเจอพี่ก็มีความสุขเข้าไปอีก น่าแปลกเนาะ”

“แล้วเกี่ยวกับทะเลตรงไหน”

“งั้นก็คงเกี่ยวกับพี่” ลมหายใจร้อนๆ ที่ไหล่ กับสัมผัสของมือที่ค่อยๆ สอดเข้ามากอดผมเอาไว้ทำเอาเผลอใจเต้น “อยากตื่นมาเจอทุกวันเลยทำไงดี”

“ทำไมวันนี้ขยันวอแวจังวะ” ไอ้กุนไม่ตอบ แต่ออกแรงกระชับอ้อมกอดมากขึ้น “ยังไม่หายเหมื่อยเลย มานวดดีดี”

“นวดตั้งนานแล้วเนี่ย ไหนค่าจ้าง”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับไปเลี้ยงข้าว เร็วๆ” ผมขยับตัวไปมาเป็นสัญญาณให้อีกคนกลับมาทำหน้าที่ต่อ

“ไม่เอาเลี้ยงข้าว”

“แล้วจะเอาอะ” ผมหันไปถาม แล้วจังหวะนั้นเองที่ริมฝีปากไอ้กุนเคลื่อนเข้ามาชนกับริมฝีปากของผม แค่ชั่ววินาทีแล้วผละออก หลังจากนั้นห้องทั้งห้องก็กลับเงียบสนิททั้งที่เปิดทีวีเอาไว้เสียงดังลั่น เราสบตากันอยู่นาน จนมือหนึ่งของไอ้กุนละจากเอวของผมมาสัมผัสที่ท้ายทอยจึงรู้สึกตัวว่า ตอนนี้ใบหน้าของดาวเด่นในงานเลี้ยงที่ใครๆ ต่างก็พากันชื่นชมค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น

มากขึ้น

และมากขึ้น

“กุนจูบนะ”

ไอ้กุนพูดทั้งที่สายตายังคงจ้องมายังริมฝีปากของผมไม่กะพริบ

ถึงไม่ได้ตอบรับ แต่ผมก็ปล่อยให้อีกคนประทับริมฝีปากลงมาบนส่วนเดียวกันของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า จากสัมผัสแผ่วเบาในตอนแรกเริ่มเร่งจังหวะและความรุกล้ำมากขึ้น จากที่ปล่อยให้อีกคนกระทำเพียงฝ่ายเดียวก็เริ่มคล้อยตามและตอบรับสัมผัสกลับ

เมื่อเห็นผมให้ความร่วมมือไอ้ลิงมันก็ยิ่งได้ใจ ตะโบมจูบเข้ามาคล้ายกับคนหิวกระหาย มือไม้อยู่ไม่เป็นสุขปัดป่ายไปทั่วจนผมเองเผลอส่งเสียงประท้วง

ไอ้กุนค่อยๆ ถอนจูบออกอย่างเชื่องช้า สายตาที่ฉายความปรารถนาชัดเจนของมันทำผมอายจนไม่กล้าที่จะสู้ เพราะขืนเล่นจ้องตากันต่อไป มันคงได้รู้แน่ๆ ว่าผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ผมเลยเลือกที่จะก้มหน้าหลบ และนั่นทำให้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในท่าทางแบบไหน

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเองหันกลับมานั่งบนตัวไอ้กุน แล้วเกี่ยวขาทั้งสองข้างเอาไว้ที่เอวมันแบบนี้

ไอ้ปอเอ้ยยย

นี่มันน่าอายกว่าเล่นจ้องตากับไอ้ลิงนั่นตั้งเยอะ

ผมเตรียมที่จะลุกออกจากตักไอ้กุน แต่ก็โดนมันคว้าเอวเอาไว้เสียก่อน ไอ้กุนกดคางลงที่ไหล่แล้วกระซิบมาที่ข้างหูเสียงกระเส่า

“พี่รู้ใช่ไหมว่าผมไม่ใส่กางเกงในนอน”

ตอนแรกผมงงว่ามันต้องการจะสื่อว่าอะไร แต่พอโฟกัสกับคำว่ากางเกงในของไอ้ลิงนั่นก็รู้สึกได้ถึงความดุนดันตรงที่กำลังนั่งทับอยู่ทันที “มึงทะลึ่งอ่ะกุน”

พูดออกไปแบบนั้นแต่ตอนนี้ผมกลับจินตนาการไปต่างๆ นานา

หรือจริงๆ แล้วคนที่ทะลึ่งอาจจะเป็นผมเองก็ได้..ไม่ใช่ไอ้กุน

ผมหลับตาปี๋ไล่ความคิดในหัว ก่อนจะซบลงที่ไหล่ของอีกคนบ้างเพราะความกระดากอาย

“ก็เมื่อกี้พี่จูบผมตอบ”

“นี่กูผิด” ว่าแล้วก็ขบที่หัวไหล่มันแค่พอเจ็บ เพราะความหมั่นไส้ “ใช่ว่าตัวเองจะขึ้นเป็นคนเดียวเสียเมื่อไหร่”

ผมหุบปากฉับเพราะพลาดไปบอกเรื่องที่ควรเก็บไว้เป็นความลับ ไอ้กุนเหยียดตัวตรงมามองตากันอีกครั้ง คราวนี้ตามันเป็นประกายมากกว่าครั้งไหนๆ และถึงจะแค่แว็บเดียวเพราะตอนนี้มันกลับไปกอดผมเหมือนเดิมแล้ว แต่ผมคิดว่าผมรู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่

..ไม่..

ผมต้องปฏิเสธ

ผมจะต้องตอบว่า ไม่ แล้วลุกออกไปจากตักมันเดียวนี้





“พี่ปอครับ”

เนี่ย

ผมเกลียดมัน

ผมเกลียดที่มันชอบเรียกผมเพราะๆ เวลาที่มันอยากได้อะไร



“ให้กุนช่วยนะ”

ผมเกลียดเสียงมันตอนที่กระซิบลงมาที่ข้างหูด้วย

เกลียดลมหายใจที่มันพ่นลงมากระทบที่ต้นคอจนทำให้ขนพากันลุกนี่อีก



“อืม”



และผมก็เกลียดตัวเอง..

..ที่ไม่เคยปฏิเสธมันได้เลยสักที













#เพราะรักรออยู่

สวัสดีตอนเช้าค่าาา

ระยองฝนตกอีกแล้ว ไม่รู้ที่อื่นตกไหม แต่ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ



ขอบคุณที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันน้าาา กอดๆๆ
 :o8:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 16 - 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-06-2020 10:40:58
 :haun4:
ยุบยิบๆ หื่นแตกอีกแล้วตรู


อ่านจบตอน เราจะไม่ทน
 :m25:
อิอิ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 16 - 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 07-06-2020 20:05:51
พี่ปอครับ.....

ใจมันระทึก ตึกตัก แทน
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 16 - 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-06-2020 21:45:09
 :m25: :haun4:

อ๋าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 16 - 06-07-2020
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-06-2020 21:55:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 17 - 10-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 28-10-2020 21:17:12
บทที่ 17



“ทำตัวปกติไม่ได้รึไงเนี่ยกุน”

เพราะคำถามที่ผมส่งไป ทำให้เจ้าของชื่อเอียงคอขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับมาอย่างน่าหมั่นไส้ “แล้วผมทำตัวไม่ปกติตรงไหนหรอครับ”

ตรงไหนที่ไม่ปกติน่ะหรอ

บอกเลยว่าทุกตรง

กุนมันมีนิสัยที่ขอให้ได้แตะตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยเป็นปกติก็จริง แต่ก็มักจะแค่แตะแล้วละออกไป ไม่เหมือนกับวันนี้ ที่เดี๋ยวก็เข้ามากอด เดี๋ยวเข้ามาหอม หนักกว่านั้นก็อย่างตอนนี้ ไอ้ซุนหงอคงมันเกาะหลังผมเป็นลูกลิง เอาคางมาเกยอยู่บนไหล่ มองผมทาครีมบำรุงอยู่ผ่านกระจกมาพักใหญ่แล้วไม่ยอมขยับไปไหนสักที

“ยังจะกล้าถามอีก” ผมใช้ฝ่ามือดันหน้าไอ้กุนออก นึกว่ามันจะยอมละออกไปง่ายๆ กลับใช้สองแขนเกี่ยวที่เอวผมเอาไว้เสียแน่นอีก “มันสายแล้วเนี่ย”

“คืนนี้ไปนอนห้องผมกันปะ”

“ไม่ไป” ตอบไปทันทีแบบไม่คิด เพราะมือกำลังกวาดเอาของทุกอย่างลงกระเป๋า

“งั้นผมไปนอนห้องพี่ปอนะ” ผมหันขวับกลับไปมองหน้ามันทันที ตอนแรกก็จะแค่หันไปถามว่าจะไปทำไม แต่ดันมีคนร้อนตัวขึ้นมาเสียก่อน “ไปนอนเฉยๆ ไม่ได้คิดทะลึ่งเลยจริงๆ โอ๊ะ”

ขวดน้ำหอมที่กำลังถืออยู่ในมือลอยขึ้นไปกระทบกับหน้าผากของไอ้คนที่เผยพิรุธจนร้องเสียงหลง ถึงจะเจ็บแต่ก็ยังคงไม่ละมือที่คล้องเอาไว้ที่เอวออก ไอ้กุนมันใช้วิธีมุดหน้าตรงส่วนที่เจ็บลงมาที่ไหล่ของผมเพื่อบรรเทาความเจ็บแทน

ชักจะเอาใหญ่แล้วนะไอ้ลิงนี่

“ไปไกลๆ เลยไป”

“ให้กุนช่วยนะ”

ดีที่มันพูดแล้ววิ่งไปสำรวจของที่ผมอาจจะลืมเอาไว้ตามที่ต่างๆ ภายในห้องพัก ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นหน้าผมที่ขึ้นสีแดงเป็นปื้นเหมือนกับที่ผมเห็นตัวเองอยู่ในกระจกตอนนี้แน่ ก็ดูคำพูดของมันสิ ต่างจากคำที่มันพูดเมื่อคืนเสียที่ไหน

ยิ่งนึกไปถึงน้ำเสียงน่าอายที่ใช้เรียกชื่อไอ้ลิงนั่น แล้วไหนจะภาพเปลือยเปล่าของตัวเองที่สะท้อนมาจากนัยน์ตาของไอ้กุนที่กำลังช่วยทั้งผมและตัวมันเองอยู่นั่นอีก

โอ้ยยย

คิดแล้วก็อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆ สักที ไม่รู้ว่าเผลอไปยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ไอ้ลิงนั่นขนาดนั้นได้ยังไง ดีที่ไอ้กุนมันยังคงมีสติพอที่จะไม่พาผมไปไกลมากว่าแค่การช่วยปลดปล่อยตามที่บอก เพราะถ้าหวังพึ่งสติของผมเองน่ะหรอ บอกเลยว่ามันหายไปตั้งแต่ตอนที่ลิ้นร้อนๆ ของไอ้กุนไล่วนอยู่ตรงส่วนกลางลำตัวนั่นแล้ว











“หนูเห็นเค้านอนห้องเดียวกันด้วยอ่ะพี่”

เสียงแว่วดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน ระหว่างที่ผมและไอ้กุนกำลังช่วยกันขนกระเป๋าออกจากห้องไปยังรถบัสที่จอดรออยู่ที่จุดนัด

ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าคนที่กำลังจับกลุ่มกันสนทนาเรื่องของคนอื่นอยู่นั้น คงจะเป็นหนึ่งในพนักงานบริษัทผมเป็นแน่ เพราะตอนที่มาจองห้องพัก โซนนี้ทั้งแถบถูกทางโรงแรมจัดให้กับผู้พักของบริษัทผมเท่านั้น และไอ้กุนเองก็รู้เรื่องนี้ดี ตอนนี้มันเลยหันมาส่งยิ้มแหยๆ ให้

“นี่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแบบอีแผนกนั้นหรอ เห็นว่าพอฝ่ายชายได้เป็นพนักงานประจำก็ลายออก จะเลิกกันอยู่รอมร่อ”

“ตายจริง จะเลิกกันแล้วหรอคะนั่น เหมือนกับเพิ่งจะได้ยินข่าวเขี่ยคนเก่าทิ้งไม่นานมานี้เอง”

ต้องโทษตัวเองที่เผลอไปคิดตามบทสนทนานั้นเข้า แล้วถ้าจะให้พูดถึงแผนกที่เพิ่งมีพนักงานได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานประจำก็คงจะไม่พ้นแผนกของผิง เอ หรือจะมีแผนกอื่นที่ผมไม่รู้อยู่ด้วย

“ใครจะไปทนได้ล่ะเธอ ตอนคบกับคนเก่าน่ะนะทำเชิดคออย่างกับหงส์ เพราะพ่อประเคนให้ทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ซื้อให้ อยากไปไหนก็พาไป พอมาเจอคนใหม่เป็นไงล่ะ พอเปย์เขาไม่ไหวเขาก็จะขอเลิกอยู่นี่ไง แล้วมีคนเมาส์ว่าคุณเธอพยายามกลับวอแวแฟนเก่าด้วยนะ”

“แต่น่าเสียดายที่แฟนเก่ากลายเป็นเกย์ไปแล้ว”

“จริงๆ นี่ถ้าดันเด็กใหม่สำเร็จแล้วโดนทิ้งเหมือนกันขึ้นมาคงได้ฮือฮากันทั้งบริษัทเลยนะ ว่าไหม”

เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานทำขาของผมที่เคยก้าวเดินอย่างสม่ำเสมอในตอนแรกหยุดลงเอาดื้อๆ

ถึงข้อมูลจะไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ตาม แต่ทุกอย่างมันก็ชัดเจนแล้ว ว่าตัวละครที่ถูกพูดถึงอยู่นั้นคือ ผิง แล้วก็ผม

ผมไม่ได้มีปัญหา หากใครจะมองว่าผมเป็นเกย์

ไม่รู้สิ

มันอาจจะเคยมีก็ได้ แต่ทุกอย่างมันหายไปหมดแล้วตั้งแต่ผมยอมให้ไอ้กุนเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของผมได้ขนาดนี้

ตอนที่คบกับผิง ผมพยายามให้เกียรติเธอ พยายามทำหน้าที่แฟนที่ดี พยายามให้ในทุกๆ อย่างตามที่เธอต้องการ แต่นั่นกลายเป็นผมพยายามมากเกินไป มากจนพอเลิกกันไปสักพัก ผมดันรู้สึกมีความสุขมากกว่าตอนที่คบกันเสียอีก

แต่ตอนนี้ผมไม่ได้พยายามอะไรเลยสักนิด ผมแค่เป็นผม

เพราะแบบนั้น มันเลยไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ถ้าผมจะยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น

แต่กับไอ้กุน…

ตลอดสองเดือนที่ทำงานด้วยกันมา กุนผ่านทดลองงานแน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้มันจะต้องไปทดลองงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผมก็ตาม ผมก็เชื่อว่ามันจะสามารถทำงานได้เป็นอย่างดีแน่ๆ ซึ่งถ้าทุกคนไม่ได้หยิบเอาความสามารถในการทำงานมาเป็นประเด็นในการผ่านทดลองงาน แต่กลับเลือกที่จะมองว่ามันมีความสัมพันธ์ยังไงกับคนประเมิน

ผมว่ามันไม่แฟร์กับไอ้กุนเลยสักนิด

แรงบีบที่ต้นแขนทำให้ผมหลุดจากความคิดและหันกลับไปมองหน้าคนที่ยืนทำหน้าเป็นกังวลอยู่ข้างๆ กุนเป็นคนฉลาด แน่นอนว่ามันเองก็คงเข้าใจในบทสนทนานั้น ถึงได้แสดงอาการเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าขนาดนี้ ผมคลี่ยิ้มให้กับคนข้างๆ ไม่อยากให้อีกคนรู้สึกไม่ดีที่ได้ยินคนอื่นมาพูดถึงตัวเองแบบนี้ เลยเผลอเอยประโยคถัดไปด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“เดี๋ยวกลับไป ลองไปทำงานกับเก๋ดูดีไหม”

ถึงเสียงจะเบาแค่ไหน แต่ก็มั่นใจว่าไอ้กุนคงได้ยินประโยคนั้นชัดเจนทุกคำแน่ๆ เพราะมือที่เคยจับกันอยู่ในตอนแรกได้ถูกทิ้งลงข้างตัวตามแรงโน้มถ่วง แววตาเป็นห่วงเป็นใยในตอนแรกเปลี่ยนไปจนผมไม่สามารถเดาออกว่าตอนนี้มันกำลังคิดอะไรอยู่

“รู้ดีจังเลยเรื่องของคนอื่นเนี่ย!!” เสียงตวาดของไอ้กุนดังก้องไปทั่วจนทำเอาผมสะดุ้ง ไม่นานก็เห็นหลังไวไวของผู้หญิงสองคนหายไปยังประตูที่อยู่ถัดไป ก่อนคนที่ส่งเสียงคำรามเมื่อครู่จะปรับน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติ “ขอโทษที่ทำให้”

ไม่ทันที่ไอ้กุนจะพูดจนจบประโยคโทรศัพท์ของผมก็แผดเสียงร้องขึ้นมาเสียก่อน ตอนแรกคิดว่าหากเป็นสายที่ไม่ได้สำคัญอะไรก็จะแค่ปิดเสียงแล้วกลับมาคุยกับอีกคนให้รู้เรื่อง แต่พอเห็นว่าชื่อที่โทรเข้าคือใคร ก็กลัวว่างานที่ได้รับมอบหมายจะมีปัญหา เลยอดไม่ได้ที่จะต้องกดรับสายของพี่ชาติก่อน

“ครับพี่ชาติ” ถึงจะคุยกับคนปลายสาย แต่ตาก็ยังคงจ้องมองไปยังผู้ชายตรงหน้า ไอ้กุนเบือนหน้าหลบสายตาผมไปอีกทาง ซึ่งนั่นมันทำให้ผมเห็นสันกรามที่ปรากฏชัดขึ้นมากกว่าปกติ เพราะอีกคนกำลังขบเคี้ยวฟันเพราะความโกรธ

‘พี่เห็นใกล้เวลาแล้วแต่ยังไม่เห็นปอเลย’

“ผมกำลังรีบไปครับ ตอนนี้ใกล้จะถึงรถแล้ว”

พอได้ยินแบบนั้นไอ้กุนก็คว้าเอากระเป๋าทั้งของผมและของตัวเองเดินนำไปก่อน ผมคุยกับพี่ชาติอีกไม่กี่คำก็กดวางสาย แต่ถึงจะรีบเร่งฝีเท้าเดินตามกุนไปขนาดไหนแต่ผมก็คลาดกับไอ้กุนอยู่ดี

กุนคงเอากระเป๋าของผมขึ้นไปเก็บไว้ให้บนรถ ส่วนเจ้าตัวก็ต้องไปนั่งรถคันเดียวกับเก๋เหมือนตอนขามา ถึงแม้จะอยากทิ้งทุกอย่างแล้วตามไปหาไอ้กุนยังไง ผมก็ยังคงต้องจัดการความเรียบร้อยของงานก่อน และก็คงจะต้องปล่อยให้เรื่องผมกับกุนเป็นแบบนี้ไปสักพัก







ขบวนรถบัสกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับไปยังจุดเริ่มต้น

ตอนนี้ผมเพิ่งมีเวลานั่งพัก หลังจากจัดการในทุกๆ เรื่อง รวมถึงการคุยกับเหล่าผู้จัดการแผนกที่อยู่บนรถคันเดียวกับผม และสิ่งแรกที่ทำหลังจากหลังพิงกับเบาะหนังที่เย็นเฉียบของรถก็คือการหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดส่งข้อความหาคนที่อยู่บนรถบัสอีกคัน ผมเริ่มขมวดคิ้วเพราะไม่ว่าผมจะส่งข้อความไปเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับ จริงๆ ต้องบอกว่าไม่เปิดอ่านเลยจะดีกว่า จากตอนแรกที่จะแค่คุยกันทางข้อความผมเลยตัดสินใจที่จะกดเบอร์โทรหา แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่ได้รู้ว่า...ไอ้กุนปิดเครื่อง

...โอเค ไม่เป็นไร

เพราะเดี๋ยวตอนกลับคอนโดกุนก็ต้องกลับกับผมอยู่แล้ว เอาไว้ค่อยเคลียร์กันตอนนั้นก็ได้





ผมคิดว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น

จนกระทั่งตอนนี้

ตอนที่ผมสตาร์ทเครื่องยนต์รอไอ้กุนอยู่ที่ลานจอดรถของบริษัท มือก็พยายามกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาเป็นระยะ ตาก็คอยมองซ้ายมองขวา รอจนกระทั่งทั่วบริเวณไม่มีรถหรือใครเหลืออยู่เลยสักคน ผมถึงตัดสินใจขับรถกลับ

ตลอดเส้นทางผมเอาแต่วนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เหตุผลที่ทำให้ผมได้รับสายตาแบบนั้นจากไอ้กุน ภาพเหตุการณ์ที่มันเดินหันหลังให้กัน หรือแม้แต่การที่ผมกระวนกระวายใจจนแทบจะทนไม่ไหวเมื่อรู้ว่ามันกำลังโกรธแต่ไม่สามารถติดต่อมันได้

ผมกำลังหงุดหงิด

ไหนใครมันเคยบอกว่าไม่อยากไม่คุยกันวะ









กระเป๋าล้อลากสีแดงเลือดหมูถูกวางทิ้งเอาไว้ตรงกลางห้อง เพราะผมเหนื่อยเกินไปที่จะเคลื่อนย้ายมันไปในที่ที่ควรจะอยู่ ผมเดินหมดแรงมานอนทิ้งตัวแหมะอยู่ที่โซฟา ยังไม่ทันจะหายเหนื่อยผมก็รีบเด้งตัวขึ้นจากโซฟาทันทีเพราะประตูห้องถูกเคาะ

ไม่ต้องรอให้คนที่อยู่หน้าห้องต้องเคาะซ้ำ ผมก็เดินมาจับที่ลูกบิดประตูห้องตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะหวังเอาไว้ว่าข้างหลังประตูคือคนที่ทำให้ผมกระวนกระวายใจตั้งแต่บ่าย

แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ไอ้กุนที่ยังคงอยู่ในชุดเดิมที่ใส่ตั้งแต่ตอนอยู่ประจวบฯ มายืนทำหน้าหงอยมองผมตาละห้อยพร้อมกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง

“พี่ปอ” มันเรียกผมเสียงอ่อย ตอนนี้สีหน้าของมันไม่หลงเหลือความโกรธอยู่แล้วแม้แต่นิด เหมือนกับผมเองที่พอเห็นหน้าหงอยๆ ของไอ้ลิงนั่นแล้ว ไม่รู้ว่าความรู้สึกหงุดหงิดในตอนแรกมันหายไปไหน กุนมันหงอยเสียจนผมอดที่จะยืนมือไปลูบเบาๆ ที่แก้มของมันไม่ได้ “กุนขอโทษ”

“เข้ามาคุยกันข้างในมา” ลิงที่หน้าเหมือนหมาผิดหวังเดินตามเข้ามาอย่างว่าง่าย ผมได้ยินเสียงประตูถูกปิดลง ก่อนที่ทั้งตัวผมจะถูกไอ้กุนโถมเข้ามากอดเอาไว้จากทางด้านหลัง “ทำไมติดต่อไม่ได้ แล้วกลับมายังไง กูนั่งรอมึงจนคนอื่นกลับกันหมด”

“ผมนั่งแท็กซี่ตามพี่มา”

“เพื่ออะไรวะกุน” ผมหมุนตัวภายในวงแขนแกร่งที่ล้อมตัวเอาไว้กลับมาถาม

“ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นพี่รู้สึกยังไง เลยไม่อยากทำให้พี่อึดอัด” ก็คงจะหมายถึงตอนที่ผมให้ไปทำงานกับเก๋ ผมผิดเองที่อยู่ๆ ก็ไปพูดแบบนั้นออกไป “ถ้าใครเห็นว่าผมกลับกับพี่กลัวว่าจะเป็นเรื่องอีก”

เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่ติดต่อไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้หรือไงว่าคนเป็นห่วง “แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ติดต่อไม่ได้”

“โทรศัพท์ผมพังไปแล้ว” กุนคล้ายวงแขนออกแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ที่หน้าจอแตกละเอียดแถมด้านข้างยังบี้จนเกือบไม่เหลือทรงเดิมออกมาจากกระเป๋า “ตกตอนช่วยพี่น้องยกกระเป๋าขึ้นรถ แล้วพี่เก๋ก็มาเหยียบซ้ำ ผมขอโทษษษ พี่ปอไม่โกรธได้ไหม”

พูดจบมันก็ซุกหน้าลงมาที่ไหล่ ก่อนจะค่อยๆ ขยับแขนมาโอบตัวผมเอาไว้ในอ้อมแขน

“รู้อะไรไหมกุน”

“...”

“ตอนแรกกูยอมรับเลยว่าโกรธ โกรธที่มึงปล่อยให้กูรอ โกรธที่ติดต่อมึงไม่ได้ โกรธที่มึงเคยบอกว่ามีอะไรก็ให้คุยกันแต่ก็กลับทำไม่ได้อย่างที่พูด”

“...”

“แต่พอเห็นหน้ามึงทุกอย่างแม่งก็หายไปหมด” ในเมื่อกุนมันขอโทษผมแล้ว ผมเองก็ควรจะขอโทษมันบ้าง “ขอโทษที่บอกว่าจะให้ไปทำงานกับเก๋”

“ผมไม่ได้โกรธเรื่องที่พี่จะให้ผมไปทำงานกับพี่เก๋เลยนะ” อีกคนพูดเสียงอู้อี้เพราะยังคงจุ่มหน้าอยู่ที่ไหล่ผมไม่ขยับไปไหน “ผมทำงานกับใครก็ได้อยู่แล้ว แต่ผมโกรธคนพวกนั้นมากกว่าที่เขามาว่าพี่”

“แต่กูไม่ได้โกรธเรื่องนั้นนะ” ไอ้กุนเอนตัวไปข้างหลัง แต่ยังคงคล้องแขนเอาไว้ที่ตัวผมหลวมๆ ตอนนี้ไอ้หน้าหมาหงอยได้หายไปจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว จะมีก็แต่ไอ้ลิงหน้าทะเล้นที่ดูดีใจจนออกนอกหน้าก็เท่านั้น “โกรธที่เขามองว่ามึงไม่มีความสามารถ”

“นี่พี่โกรธแทนผมหร๋อ” ไม่ใช่แค่หน้าเท่านั้น น้ำเสียงของมันก็ด้วย

“ก็เออดิ”

“โกรธมากไหมอ่ะ”

“มาก”

“เพราะพี่แคร์ผมมากๆ ใช่ไหม พี่เลยโกรธมาก”

“ใช่หรอวะ” แกล้งถามกลับไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก ว่าผมแคร์มันมากจริงๆ แล้วมันเองก็คงไม่ต่างกัน ถึงได้เอ่ยขอโทษผมซ้ำๆ แบบนี้

“ขอโทษนะครับ”

“รู้แล้ว ไม่ต้องขอโทษแล้ว”

“ยังรู้สึกผิดอยู่เลยเนี่ย ขอโทษครับ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ”

“โอ้ยยย” ผมเริ่มโวยวาย เพราะไอ้กุนไม่ได้ขอโทษแค่ปากเปล่า แต่มันยังใช้จมูกโด่งๆ กดลงมาที่แก้มของผมทุกครั้งที่เอ่ยคำว่าขอโทษด้วย น้ำก็ยังไม่ได้อาบ ไม่รู้ว่าหอมลงไปได้ยังไง “ถ้ามึงยังไม่เลิกขอโทษนะ กูจะโทรไปบอกพี่ชาติว่ามึงขอย้ายไปทำงานกับเก๋”

สิ้นเสียงขู่ ไอ้กุนก็ดูจะเชื่อฟังกันขึ้นมาเสียจนผิดปกติ มันปล่อยผมให้เป็นอิสระ ถอยหลังออกไปประมาณสองก้าว ก่อนจะหมุนตัวไปลากกระเป๋าของผมรวมทั้งของตัวเองเดินเข้าไปในห้องนอนของผมหน้าตาเฉย

เป็นไงล่ะไอ้ลิงนี่

เนียนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว











#เพราะรักรออยู่

เกรงว่าทุกคนจะจำตอนที่แล้วไม่ได้ เพราะเราเองก็เป็น

ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ /ขอโทษแบบไอ้น้องกุนคับ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 17 - 10-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-11-2020 01:42:47
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 17 - 10-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-11-2020 19:26:17
เพราะรักรออยู่#กุนไปนอนรอที่เตียงนะพี่ปอ

55555555555
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 17 - 10-28-2020
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 24-11-2020 21:27:31
น่ารักกกกกก

รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 18 - 11-26-2020
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 26-11-2020 21:40:20
บทที่ 18





ผมที่ต้องตื่นนอนก่อนเวลาปกติ นั่งอึนมองดูไอ้ลิงที่ยืนหมุนไปหมุนมาอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ไม่รู้ว่าจะอารมณ์ดีอะไรนักถึงได้ยิ้มจนปากจะฉีกไปถึงหู

จำได้รางๆ ว่าเมื่อตอนเช้ามืดมันมากระซิบบอกว่าจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้อง ผมที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็เออออตอบรับออกไปเพราะอยากจะรีบนอนต่อ นึกว่าออกไปแล้วจะรออยู่ที่คอนโดเหมือนทุกวัน ที่ไหนได้ ไอ้กุนที่อยู่ในชุดพร้อมไปทำงานเต็มยศ มันจะกลับมาพร้อมกับของใช้ส่วนตัวและชุดอื่นๆ ของมันอีกหลายชุด แถมมันยังกำลังยัดเอาทุกอย่างไว้ในตู้เสื้อผ้าของผมหน้าตาเฉย

“ขนเสื้อผ้ามาอยู่ห้องคนอื่นเนี่ย เจ้าของห้องเขาอนุญาตแล้วหรอ” ผมถามเมื่อเสื้อตัวสุดท้ายถูกนำขึ้นแขวนในตู้แล้วเรียบร้อย

“ยัง แต่คิดว่าพี่คงอนุญาตแน่ๆ ” คนพูดทำหน้าระรื่น จ้อไปก็แทรกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองไปตรงที่ว่างข้างกระเป๋าเดินทางของผมที่อยู่ในตู้ ก่อนจะหันขวับกลับมาทำหน้าเศร้าใส่ “หรือว่าพี่จะไม่อนุญาต”

โธ่ๆๆ ..

จากหน้าที่บานเป็นชามข้าวไอ้มอม ตอนนี้กลับเหี่ยวเป็นลูกโป่งแก๊สรั่วขึ้นมาเสียอย่างนั้น

นี่ถ้าเก๋มันมาเห็นก็คงจะต้องรีบวิ่งเข้าไปโอ๋ แล้วก็หันมาหาว่าผมไปแกล้งอะไรลูกรักของมันอีกแน่ๆ

แต่’โทษทีว่ะ นี่ไอ้ปอ ไม่ใช่ไอ้เก๋ ดูก็รู้แล้วเถอะว่าไอ้ลิงนี่มันแกล้งทำ

“ถึงไล่ก็ไม่ไปอยู่ดีไม่ใช่หรอ”

“ก็ถูกของพี่” คนที่ถูกจับไต๋ได้หัวเราะกับคำถามแกมแดกดันของผม มันปรี่มานั่งเบียดอยู่ข้างๆ ก่อนจะแตะริมฝีปากลงมาที่ไหล่ เพียงครู่เดียวก็ผละออกมาส่งยิ้มกว้างจนตาหยีให้ “แต่กุนรู้อยู่แล้วไง ว่าพี่ปอใจดี พี่ปอไม่มีทางไล่กุนกลับแน่ๆ ..”

เหอะ! พี่ปอไม่มีทางไล่กุนกลับแน่ๆ

ก็ชอบเป็นเสียอย่างนี้

“..ถูกไหมครับ”

ชอบพูดแบบนี้

ชอบทำหน้าแบบนี้

“ก็มึงมันเอาแต่ใจไงกุน”

“แปลว่าถูก”

มันรู้ดีไปเสียหมด..

“ก็ไม่เคยห้ามได้อยู่แล้วนี่”

ตามใจกันจนเคยตัวไปหมดแล้ว





ผมผลักสมาชิกใหม่ของห้องออกห่างตัวแล้วหนีไปอาบน้ำ ถึงแม้ว่าตอนออกมาจะไม่เจอกุนอยู่ในห้องนอนแล้ว แต่ก็รู้ว่าว่าอีกคนไม่ได้ไปไหนไกล เพราะยังคงได้ยินเสียงก๊อกแก๊กดังมาจากนอกห้อง โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ของไอ้กุนก็ยังคงวางอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงไม่ได้ขยับไปไหน

..ถ้าให้เดาก็คงจะเตรียมหาอะไรรองท้องก่อนไปทำงานอยู่นั่นแหละ..

มือที่กำลังไล่ติดกระดุมเม็ดสุดท้ายเกิดชะงัก เพราะเงยหน้าขึ้นมาเห็นเงาสะท้อนของตัวเองที่กำลังยิ้มอยู่ในกระจก ก่อนภาพนั้นจะเปลี่ยนเป็นผมที่เม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้

แค่คิดว่าไอ้กุนกำลังจะทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ ใจมันฟูจนต้องเผลอยิ้มออกมาแบบนี้เลยหรอ

ตายๆๆ นี่ถ้าไอ้ธีร์กับไอ้กรวยมาเห็นผมเสียอาหารเพราะเด็กนั่นแบบนี้ มีหวัง..

..โดนไอ้พวกนั้นล้อกันยับ





แต่งตัวเสร็จ ปรับอารมณ์และสีหน้าให้เป็นปกติได้ ประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก มันพอดีกันกับที่ชามโจ๊ก 2 ชามถูกไอ้กุนยกมาวางลงบนโต๊ะกินข้าว เนื้อโจ๊กสีขาวนวลตัดกับสีส้มเข้มของไข่ไก่ที่ลอยอยู่ด้านบนส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้อง ผมชะโงกหน้าดูทั้ง 2 ชามก่อนจะเลือกเดินไปนั่งลงตรงชามที่มีเครื่องแน่นๆ ทั้งก้อนหมูสับ เครื่องใน และผักโรยต่างๆ

ไม่ใช่เลือกเพราะได้เครื่องเยอะกว่า แต่รู้ว่าชามนี้ของผมแน่ๆ เพราะไอ้กุนตักเอาของที่ตัวเองไม่ชอบกินมาใส่ในชามผมหมดแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ไอ้กุนมันยังยกปาท่องโก๋จิ๋วที่เราทั้งคู่ชอบกินเหมือนกันมาให้ผมทั้งหมดด้วย

แก้วน้ำเย็นถูกนำมาวางให้ข้างๆ ส่วนคนวางก็เดินวนไปนั่งประจำที่ชามโจ๊กเด็กของตัวเองที่มีเพียงก้อนหมูสับและไข่ลวกพร้อมแก้วน้ำอีกแก้วในมือ รู้สึกว่าตัวเองเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ไอ้กุนส่งยิ้มกลับมาให้

เพิ่งจะบ่นตัวเองเรื่องเผลอยิ้มไปเมื่อไม่ถึง 5 นาทีที่ผ่านมาแท้ๆ ตอนนี้เหมือนว่าจะลืมมันไปจนหมดแล้ว

ผมหุบยิ้ม ก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาแสนอบอุ่น ค่อยๆ ละเลียดตักไข่ลวกของตัวเองไปใส่ชามอีกฝั่งอย่างเบามือ

ไม่อยากมัวแต่คอยรับความน่ารักของไอ้กุนอยู่ฝ่ายเดียว และอย่างน้อยก็เพื่อเป็นรางวัลให้คนช่างเอาใจบ้าง แต่ไม่นึกเลยว่าความคิดนั้นจะผ่านมาในหัวของผมเพียงแค่วูบเดียว เพราะไอ้ลิงนั่นมันวิ่งเอามือใหญ่ๆ ของมันทั้งสองข้างมาตะปบเข้าที่ข้างแก้ม เพื่อบังคับให้ไปหา ก่อนจะกระแทกริมฝีปากของมันลงมาตรงที่เดียวกันกับของผมจนรู้สึกเจ็บ แล้วก็วิ่งกลับไปนั่งที่เดิมเหมือนกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้ผมกระฟัดกระเฟียดกับการกระทำของมันอยู่คนเดียว

นี่ผมหลงไปคิดว่าไอ้ลิงเจ้าเล่ห์นี่มันน่ารักได้ยังไงกัน

ไม่น่ายกไข่ให้มันเลยให้ตาย











วันจันทร์แรกของเดือนก็ยังคงน่าปวดหัวเป็นปกติ จะพิเศษก็ตรงที่วันนี้หัวข้อหลักของการประชุมประจำเดือนคือกิจกรรมที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวาน พี่ชาติส่งยิ้มมาให้ด้วยความภูมิใจหลังจากที่ผมกล่าวจบรายงานในเรื่องที่ตัวเองรับผิดชอบ ส่วนผมเองก็ส่งยิ้มด้วยความโล่งใจกลับไปเหมือนกัน

เพราะกิจกรรมทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พี่ชาติเลยบังคับให้ออกมารายงานด้วยตัวเองโดยที่ผมไม่เต็มใจนัก เพราะนึกไปถึงอีกด้าน ว่าถ้าเกิดงานไม่เป็นที่น่าพอใจขึ้นมา ต่อให้ผมอยากออกมายืนตรงนี้ขนาดไหนพี่ชาติก็คงไม่มีทางยอมให้ผมได้ออกมารับผิดเองแน่ๆ

ผู้มีอำนาจในบริษัทกล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยทำให้ทุกอย่างจบลงได้ด้วยดีตามระเบียบ และไม่ลืมที่จะกล่าวฝากเป็นการกดดันไปยังแผนกที่ต้องรับผิดชอบในครั้งหน้า จากที่ตอนแรกแอบบ่นพี่ชาติอยู่ในใจ ว่ามือไม่ดีจนจับได้เป็นแผนกแรก ตอนนี้เริ่มอยากจะกราบขอบคุณพี่ชาติขึ้นมาเสียแล้ว

เมื่อการประชุมครึ่งวันแรกจบลง ผมก็เริ่งฝีเท้ากลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองทันที รีบจนลืมถามพี่ชาติไปเลยว่าจะกลับเข้ามาทันเริ่มประชุมในช่วงบ่ายไหม ต้องให้ผมเปิดประชุมแทนก่อนหรือเปล่า แต่กว่าจะนึกขึ้นมาได้ประตูห้องทำงานของผมก็ถูกผลักให้เปิดออกแล้ว ไอ้หมากุรีบกระดิกหางออกมารับ มันส่งคำถามเชิงเป็นห่วงเป็นใยจนเวอร์มาให้ ทำราวกับผมไม่ได้เพิ่งออกจากห้องประชุม แต่เพิ่งกลับมาจากสนามรบ

คนหิวแต่กินข้าวคนเดียวไม่ได้กุลีกุจอไปเตรียมเปิดกล่องข้าวเปิดขวดน้ำไว้ให้ พอเห็นผมเดินตามไปนั่งประจำที่ถึงได้ยอมตักข้าวเข้าปาก ก็นี่แหละ เหตุผลที่ทำให้ลืมพี่ชาติไปเสียสนิท เห็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้รีบกลับมากินข้าวด้วยได้ยังไง

นั่งกินข้าวไปฟังไอ้กุนเล่าเรื่องที่ไปช่วยงานไอ้เก๋ไป แป๊บๆ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มประชุมอีกครั้งในช่วงบ่าย พี่ชาติมาถึงหน้าห้องประชุมก่อนเริ่มประชุมเพียงไม่กี่นาที ขณะที่ทุกคนกำลังเสียดายที่พี่ชาติมาเข้าประชุมทันอยู่นั้น ไอ้กุนก็ขยับมากระซิบข้อความที่ทำให้ผมคิดไม่ตกตั้งแต่บ่ายจนถึงตอนนี้





‘เย็นนี้ผมมีนัดกับเพื่อนๆ พวกนั้นอยากให้พี่ไปด้วย ไปด้วยกันนะครับ’







“ไม่เข้าไปด้วยได้ไหม กูไม่รู้จักใครเลย” รถที่วันนี้ไม่ได้มุ่งหน้ากลับคอนโดเหมือนทุกวัน เกิดการต่อรองกันขึ้น อยู่ๆ ก็บอกแบบนั้น พอเลิกงานก็พามาเลย ไม่ถามความสมัครใจเลยสักคำ แบบนี้มันกักขังหน่วงเหนี่ยวกันชัดๆ

“ก็ไปทำความรู้จักกันนี่ไงครับ อีกอย่างผมบอกพวกนั้นไปแล้วว่าพี่จะไปด้วย”

ไม่รู้เพราะรูปถ่ายของผมที่อีกคนขยันโพสต์ลงบนช่องทางโซเชียลของตัวเองหรือว่าอะไร บรรดาเพื่อนๆ ของเจ้าของแอคเค้าท์ถึงได้ขยันเข้ามาถามกันเหลือเกินว่าผมคือใคร มีความสัมพันธ์ยังไงกัน ถึงได้ไปปรากฏภาพในช่องทางที่ไม่ใช่ของตัวเองอยู่บ่อยๆ แล้วไอ้คนโพสต์นี่ก็เหลือเกิน มันก็เลือกที่จะเมินคอมเม้นต์เหล่านั้น แต่ไปตอบคำถามอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับผมแทน

“นะครับพี่ปอ ไปด้วยกันนะครับ”

อ่ะ! อ้อน

อ้อนเข้าไป

อ้อนให้สุดๆ

“เออๆ ไปก็ไป แต่ไม่ดึกนะพรุ่งนี้ทำงาน”

“สี่ทุ่มปุ๊บออกจากร้านปั๊บเลย สัญญา! ”





กว่าจะมาถึงร้านท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปเป็นสีดำสนิทแล้วเรียบร้อย ร้านอาหารที่กุนบอกว่านัดเพื่อนเอาไว้ นับว่าบรรยากาศดีใช่เล่น นี่ขนาดยังหัวค่ำอยู่ โต๊ะที่ตั้งเรียงรายอยู่ในส่วนเอ้าท์ดอร์ก็ถูกจับจองจนเต็มไปหมดทุกตัวแล้ว

“ไอ้กุน! ทางนี้! ”

ผมและกุนหันไปตามเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากทางขวามือ โต๊ะจำนวน 12 ที่นั่งที่ดูแล้วน่าจะใหญ่ที่สุดในร้านแน่นไปด้วยหนุ่มและสาววัยรุ่น ทุกคนต่างยกมือขึ้นโบกทักทายคนมาใหม่พร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนมาให้จนทำเอาผมเองก็ปั้นหน้าไม่ถูก

ไอ้กุนไม่รอช้าที่จะออกแรงดันที่หลังของผมเบาๆ เพื่อตรงไปหาเพื่อนๆ นับสิบ พอตกลงเรื่องที่นั่งได้ และเพื่อนๆ กล่าวทักทายกันเรียบร้อย คราวนี้ก็มาถึงคิวของคนแปลกหน้าอย่างผม

“ไอ้สัสกุน ใจคอมึงจะไม่แนะนำคนที่พามาด้วยให้พวกกูรู้จักหน่อยหรอ” ผู้ชายผิวคล้ำแดดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามท้วงขึ้นเสียงดัง “ชื่ออะไรหรอครับ ผมบีมนะ”

“ชื่อพี่ปอ” ไม่รอให้ผมได้เปล่งเสียงออกมา ไอ้กุนก็ชิงตอบคำถามให้เสร็จสรรพ

“เชี่ยยย รุ่นพี่เลยหรอวะ สวัสดีครับพี่” พ่อหนุ่มที่ชื่อบีมยกมือขึ้นไหว้

เท่านั้นแหละ

ทุกคนในโต๊ะก็พากันยกมือไหว้ผมกันเป็นแถว คนโน้นก็เรียกพี่ปอ คนนี้ก็เรียกพี่ปอ รับไหว้กันแทบไม่หวาดไม่ไหว ผมถึงกับต้องหันไปยิ้มขอบคุณน้องพนักงานไปหนึ่งที เพราะอาหารที่น้องยกมาเสิร์ฟได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้ เหล่าหนุ่มสาวผู้หิวโหยถึงได้ลดความสนใจจากผมลง แล้วหันไปให้ความสนใจกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าแทน

โงกุนตอนที่อยู่กับเพื่อนก็เหมือนโงกุนตอนที่อยู่ในที่ทำงาน เจ้าตัวยังคงโดดเด่น และเป็นที่รักของกลุ่มเพื่อน แต่ความผิดปกติที่ผมสังเกตได้จากสายตาของทุกคนที่กำลังมองมา ก็คงจะหนีไม่พ้นตอนที่ไอ้คนข้างๆ คอยตักโน่นตักนี่มาให้ แถมยังคอยใส่ใจผมอยู่ตลอด โดยไม่ได้สนใจสายตาของเพื่อนตัวเองเลยสักนิด

“กูอยากรู้อย่างเดียวเลยนะ พี่ปอนี่เป็นอะไรกับมึงวะกุน”

หลังจากจัดการกับอาหารกันจนอิ่มท้อง เรื่องของผมและคนข้างๆ ก็ถูกยกขึ้นมาเป็นหัวข้อของการสนทนาอีกครั้ง

จริงๆ ก็เตรียมใจเอาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอคำถามประมาณนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดเตรียมคำตอบเอาไว้

อย่าว่าแต่เพื่อนไอ้กุนเลยที่สงสัย ถ้าให้ผมนิยามความสัมพันธ์ของผมกับไอ้กุนในตอนนี้ผมเองก็คงอธิบายออกมาเป็นชื่อเรียกไม่ถูกเหมือนกัน

“นั่นดิวะ” เพื่อนอีกคนรีบตามมาสมทบ “ตกลงพี่ปอนี่ เป็นคนคุยใหม่ของไอ้กุนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่” กุนสวนคำตอบออกไปแทนผมทันทีโดยไม่ต้องคิด ผมเลยได้แต่ส่งยิ้มเพื่อยืนยันคำตอบนั้นไปอีกครั้ง จะว่าไปตั้งแต่เข้ามานั่งจนกินข้าวอิ่มไอ้กุนยังไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ตอบคำถามใครเลยสักคน เพราะเจ้าตัวมันแย่งไปตอบเองเสียหมด

“งั้นก็เป็นแฟน”

“..ก็ยังไม่ชะ”

“โอ้ย ไอ้กุน มึงปล่อยให้พี่เขาพูดบ้างเถอะ ตั้งแต่มากูยังไม่ได้ยินเสียงเขาเลยเนี่ย”

หัวใจของผมกระตุกวูบพร้อมกับเสียงฮาครืนของทั้งโต๊ะที่ดังตามมา เมื่อหญิงสาวเพียงคนเดียวในโต๊ะโวยวายขึ้น ทุกคนมองเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องตลก และพากันมองข้ามจังหวะที่ไอ้กุนชะงักไปก่อนจะตอบคำถาม

ถึงจะไม่นาน แต่เพียงแค่นั้นก็ทำห้ผมก็รู้สึกได้

นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมองข้าม

“ก็กูจะไม่ให้คุยอ่ะ พี่ปออย่าไปคุยกับพวกมัน” กุนยื่นมือข้างหนึ่งมาบังตรงช่วงปากของผมเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนมืออีกข้างมาบังตรงช่วงตาด้วย “อย่าไปมองพวกมันด้วย เสียสายตาหมด”

“โธ่ ไอ้ขี้หวง”





เพราะท่าทีของไอ้กุน ห้วข้อสนทนาเลยเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นอีกรอบ เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ เพราะต่างคนก็ต่างแย่งกันเล่าเรื่องราวของตัวเองช่วงที่ไม่ได้เจอกัน จะมีก็แต่ผมนี่แหละที่ยังคงสลัดเรื่องที่อยู่ในหัวไม่หลุด

ไม่ได้เป็นอะไรกัน..แต่ดันยอมมันไปเสียทุกเรื่อง

ไม่ได้เป็นอะไรกัน..แต่แค่รู้สึกว่าอีกคนมีอะไรผิดแปลกไป ก็ต้องเก็บเอามาคิดกระวนกระวายอยู่คนเดียวแบบนี้

ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกหรอ?

ตลกและ

ไอ้ความสัมพันธ์เหล่านั้นมันจะไม่มีชื่อเรียกไปได้ยังไง มันจะไม่มีก็เพราะผมนี่แหละที่เป็นคนผลักมันออกไปจากตัว ผมนี่แหละที่ทำเป็นไม่สนใจ ผมนี่แหละที่ปฏิเสธสถานะที่ไอ้กุนตั้งใจจะมอบให้มาตลอด

ผมนี่แหละที่เป็นคนที่สงสัยในความสัมพันธ์ของเราสองคนมากที่สุด

เป็นผมเองนี่แหละที่ไม่ยอมรับในความสัมพันธ์ที่มันชัดเจนขนาดนี้

“กุน” ป้องมือไปกระซิบหาเจ้าของชื่อที่ข้างหู คนที่กำลังใช้ซ่อมหั่นเมล่อนที่สั่งมาล้างปากหลังอาหารก็เอียงตัวเข้ามาหาโดยอัตโนมัติ “เป็นแฟนกันปะ”

เคร้ง!

ซ่อมที่ตอนแรกอยู่ในมือไอ้กุนถูกทิ้งให้กระทบกับจานกระเบื้องเสียงดังลั่น นั่นทำให้ทุกคนในโต๊ะหันมามองที่ต้นตอของเสียงเป็นตาเดียว จากมุมนี้ของผมเห็นใบหูที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อขึ้นแม้จะอยู่ในที่มืด ไอ้กุนเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนตรงหน้าก่อนจะค่อยๆ หันมาสบตากับผม คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันช้าๆ สีหน้าตกใจเสียจนเก็บเอาไว้ไม่มิดของกุนทำให้ผมนึกขำ รู้สึกเอ็นดูมันจนต้องเลื่อนมือไปหมายจะดันคิ้วทั้งสองข้างแยกออกจากกันให้

ผมทำได้เพียงแค่แตะนิ้วลงไปเท่านั้น ไอ้กุนก็คว้ามือของผมไปแนบที่ตรงกลางระหว่างอกแทน

ตอนแรกก็ตกใจ แต่พอสัมผัสได้ถึงการสั่นรัวของก้อนเนื้อด้านใน ก็พานทำให้ผมใจเต้นแรงตามไปด้วย ทั้งหน้าทั้งตาตอนนี้ต่างก็พากันเห่อร้อนไปหมด คิดว่าตัวเองคงจะไม่เป็นอะไร เพราะเป็นฝ่ายจู่โจม แต่พอเอาเข้าจริงๆ กุนมันก็ทำผมเขินใช่เล่น

“ผมเหมือนจะตาย” ไอ้กุนพูดเสียงอ่อยราวกับย้ำว่ากำลังจะขาดใจขึ้นมาจริงๆ ส่วนทางผมที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีสายตานับสิบจ้องมา ก็ค่อยๆ ขืนมือออก แต่พอทำแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงกำมันเอาไว้แน่นขึ้น “เดี๋ยวดิ ผมยังไม่ได้ตอบพี่เลยนะว่า โอ้ย”

มือข้างที่ว่างฟาดดังป๊าบลงไปบนปากที่กำลังพูดไปยิ้มไปจนไอ้กุนร้องเสียงหลง สายตาน่าเอ็นดูในตอนแรกกลับมาเป็นสายตาของไอ้ลิงเจ้าเล่ห์อีกครั้ง เจ็บภาษาอะไร ทำไมยังดูหน้าระรื่นขนาดนี้

“กูกลับก่อนนะ” อยู่ๆ ไอ้กุนก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มันออกแรงดึงมือที่ยังจับกันไว้อยู่เบาๆ เพื่อให้ลุกขึ้นตาม “กูมีธุระด่วนว่ะ ไว้นัดกันใหม่นะ”

ไม่ต้องรอคำอนุญาตจากเพื่อนคนไหนเพราะไอ้กุนไม่คิดจะรอฟังตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้ผมเลยโดนไอ้กุนจับยัดมานั่งอยู่ในรถตำแหน่งเดียวกับตอนมา ส่วนตัวมันก็กำลังเดินอ้อมไปยังที่นั่งฝั่งคนขับ

ไอ้กุนขึ้นมาสตาร์ทรถ เปิดแอร์จนความเย็นเริ่มกระจายไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะบังคับรถให้เคลื่อนตัวออกจากร้าน

“ยังไงครับคุณ”

“อะไรยังไง” ผมแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูด ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าอีกคนกำลังจะสื่อถึงอะไร “ออกรถดิ อยากกลับไปอาบน้ำแล้ว”

“เขินแหละ..รู้”

“เก่งเหลือเกินนน” รู้ว่าคนอื่นเขินก็ยังจะย้ำอยู่นั่น เปลี่ยนเรื่องเถอะ ผมว่าไม่น่าไหว “แล้วทิ้งเพื่อนออกมาแบบนี้ไม่เป็นอะไรหรอ”

พูดจบก็หันหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง แสร้งมองกลับเข้าไปในร้านทั้งที่มองจากตรงนี้ก็มองเห็นแต่ต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้แยกส่วนลานจอดรถกับส่วนร้านออกจากกัน

“พี่ปอครับ” ดูท่าแล้วไอ้ลิงนี่คงจะไม่ยอมให้ผมเปลี่ยนเรื่องได้ง่ายๆ เพราะนอกจากจะถูกเรียกด้วยน้ำเสียงไม้ตายแล้ว มือของผมยังถูกฉวยเอาไปกุมไว้ด้วย

ผมจำต้องหันมาสบตากับกุนอีกครั้ง มันส่งยิ้มมาให้แล้วยกมือที่รวบนิ้วมือทั้งห้าของผมเอาไว้ขึ้นไปจรดกับริมฝีปาก เขินจนอยากจะวิ่งลงจากรถไปเสียตอนนี้ ติดอยู่นิดเดียวตรงที่ผมไม่สามารถละสายตาออกจากดวงตาที่มีแค่ผมอยู่ในนั้นของไอ้กุนได้

“เป็นแฟนกันปะ”

ประโยคเดียวกัน ต่างก็แค่คนพูด

ผมว่าผมรู้แล้วว่าตอนที่นั่งอยู่ในร้านทำไมกุนมันถึงได้บอกว่ามัน เหมือนจะตาย

ก่อนนี้ถึงผมจะรู้สึกเขิน แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าอาการหนักเหมือนอย่างตอนนี้เลยสักครั้ง

มันทั้งใจเต้น ทั้งหูอื้อ ทั้งหายในไม่ถูกจังหวะ ข้างในตัวมันรู้สึกยุบยิบๆ ไปหมด

แค่ยอมรับหัวใจของตัวเองเท่านั้น

ทำไมอะไรๆ มันก็ดูมีผลกับหัวใจไปเสียหมด

“เป็นแฟนกันนะครับ”

“อืม” รวมถึงเรื่องการขอเป็นแฟนที่เคยปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยมาตลอดนี่ก็ด้วย “เป็น..”

ผมเหมือนจะตาย







#เพราะรักรออยู่

ขอบคุณทุกคนที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันนะคะ
เพราะกำลังใจจากพวกคุณเลยนะเราถึงยังอยู่ได้ ขอบคุณมากจริงๆ ค่าาาา
เยิ้ปปปปป
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 18 - 11-26-2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-11-2020 22:18:11
 :o8: :-[ :impress2: :-[ :impress2: :o8:
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 18 - 11-26-2020
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 27-11-2020 19:29:59
โอยยยยยยย

สำลักความกุน ความปอ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 18 - 11-26-2020
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 28-11-2020 00:31:42
โงกุนน่ารักมากครับ o13
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 18 - 11-26-2020
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 28-11-2020 10:32:31
น่ารักมากกกกกกก ชอบๆ ขออีกครับ
หัวข้อ: Re: love will happen when it wants #เพราะรักรออยู่ - ตอนที่ 19 - 05-24-2021
เริ่มหัวข้อโดย: SUNSCREEN50 ที่ 24-05-2021 20:14:01




‘เพื่อนอ่ะนะ’

ผมถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ ก็ไอ้ธีร์มันเอาแต่พูดประโยคประมาณนี้ให้ผมฟังผ่านสายโทรศัพท์มาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน บอกรำคาญจะวางสายก็โวยวาย เพื่อนอ่ะๆ อยู่นั่น

“มึงนี่นะ” พูดใส่ไอ้ธีร์ แต่ตั้งใจให้ไอ้ตัวดีที่นั่งเบียดเนียนแอบฟังอยู่ข้างๆ ได้ยินด้วย

ก็มันนี่แหละที่เป็นตัวต้นเหตุ ก็ว่าอยู่ว่ามัวแต่วุ่นวายอะไรอยู่แต่กับมือถือไม่ยอมไปอาบน้ำอาบท่า ที่แท้ก็ลงรูปผมในไอจีพร้อมกับแคปชั่นสั้นๆ ว่า ‘แฟน’ …

เท่านั้นแหละ

‘ดีใจนะที่มึงยอมเปิดใจ’ ผมระบายยิ้มออกมาเล็กๆ รู้ว่าที่ไอ้เพื่อนสนิทไม่ยอมวางสายไปสักที ก็เพราะรอทำใจเพื่อพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้อยู่ ถึงมันจะเกริ่นนำด้วยการด่านานไปหน่อยก็ตาม

‘เมื่อก่อนที่มึงเอาแต่พูดว่าอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากมีใคร ไอ้กูก็หลงเป็นห่วง’ ปลายสายพูดกลั้วหัวเราะ ‘แต่กูเชื่อว่าไอ้กุนจะไม่ทำมึงเสียใจ’

“อือ กูก็หวังเอาไว้แบบนั้น” พูดแล้วก็หันไปมองหน้าคนที่เอาคางเกยไว้ที่ไหล่ ไอ้กุนส่งยิ้มมาให้ ตามด้วยสอดแขนเข้ามาเกี่ยวเอวผมเอาไว้หลวมๆ

‘แต่ถ้ามันทำ มึงมาบอกกู กูจะไปจัดการมันเอง ไอ้เด็กห่านี่เอามึงไปเป็นของมันจนได้ กูละยอมมันเลย’ ถึงจะรู้สึกเอะใจกับคำพูดของไอ้ธีร์ประโยคเมื่อครู่ แต่ก็ต้องปล่อยผ่าน เพราะมันดันตะโกนกลับมาจนผมต้องขยับโทรศัพท์ออกจากหู ‘กูรู้ว่ามึงแอบฟังอยู่ไอ้ลูกหมา ดูแลเพื่อนกูดีดีด้วย’

“ผมดูแลดีกว่าพี่แน่ๆ” กุนตอบกลับไปพอให้คนในสายได้ยินชัด แต่ขยับเข้ามากอดผมเอาไว้เสียจนแน่น

‘ปอมึงบอกมันด้วย อย่าเห่าดัง กูรำคาญ’








ในที่สุดคุณธีรยุทธ์ก็ยอมวางสาย

ผมที่อาบน้ำเรียบร้อยแล้วย้ายมานั่งพิงหัวเตียงไถโทรศัพท์รอไอ้ลิงที่เพิ่งวิ่งเข้าไปอาบน้ำบ้าง ไล่อ่านคอมเม้นใต้รูปภาพของตัวเองที่เพิ่งเป็นประเด็นไปได้ไม่นานลิงนั่นก็เดินเอามือยีผมตัวเองที่เช็ดจนเกือบแห้งแล้วออกมาจากห้องน้ำ กลิ่นแชมพูและครีมอาบน้ำที่ถึงจะไม่เคยได้ใช้แต่ก็คุ้นกลิ่นเป็นอย่างดีหอมฟุ้งไปทั่วห้อง จนผมต้องละสายตาจากจอมือถือมองคนที่กำลังกลัดกระดุมชุดนอนสีน้ำเงินเข้มของตัวเองอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า

จริงอย่างที่ไอ้ธีร์มันว่า..

ไม่น่าเชื่อว่ายังไม่ทันครบ 3 เดือนที่รู้จักกัน ผมก็ยอมไปตกลงเป็นแฟนกับอีกคนโดยง่าย กลืนทุกคำพูดที่ตัวเองเคยบอกว่าการเป็นโสดดียังไงไปจนหมด ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวเลยสักนิดว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์จะซ้ำรอยเหมือนกับรักครั้งเก่าหรือเปล่า ยังไม่ทันจะได้รู้จักกันทุกมุมเลยด้วยซ้ำ

แต่ก็อย่างว่า..

..ความรักมันมีเหตุผลเสียที่ไหน

“ยังไม่ง่วงหรอครับ” พอปิดไฟสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันได้ กุนก็เอาปากมันมาชนที่ไหล่ ก่อนจะผละออกไปนั่งท่าเดียวกันโดยเว้นระยะห่างออกไปไม่ให้อึดอัด

“ง่วงดิ” ผมกดล๊อคโทรศัพท์แล้วเอาไปเสียบชาจแบตไว้ข้างเตียง ประชุมมาทั้งวัน พลังผมหมดไปตั้งแต่ตอนเลิกงานแล้ว กว่าจะกินข้าว กว่าจะกลับมาถึงห้อง จะไม่ให้ง่วงได้ยังไง..

ความคิดหยุดลงเพราะเห็นไอ้ลิงตัวดียื่นหน้าเข้ามาหา ใกล้จนระยะห่างเหลือไม่ถึงคืบ ไอ้กุนมองด้วยสายตาล้อเลียนแถมยังไม่ลืมส่งยิ้มประจำตัวมาให้

“อะไรอีก”

“รอกุนหรอ”

มือข้างหนึ่งถูกยกมาดันหน้าไอ้ลิงเจ้าเล่ห์ออก อย่างแรกเลยเพราะหมั่นไส้ ส่วนอย่างต่อไปก็เพราะทนเล่นเกมจ้องตากับมันไม่ไหว ดูสายตามันสิ.. อะไรจะเป็นประกายขนาดนั้น

“รู้ว่ารอก็ลีลาอยู่นั่น” ผมยังคงถือคติที่ว่า เล่นตัวเองเจ็บน้อยกว่า

ไหนๆ มันก็จับได้แล้ว คืนยังเถียง ยังไม่ยอมรับ คงจะเป็นผมเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายเจ็บหนักเสียเอง เพราะไม่เคยเถียงชนะมันเสียที

“ดีใจจัง” คนพูดยอดผละออกไปนอนข้างๆ โดยง่าย แต่ไม่ทิ้งโอกาสที่จะคว้ามือของผมที่ตอนแรกแปะอยู่บนหน้าไปกุมเอาไว้ แต่เพราะไอ้ท่านี้ผมเลยต้องเอนตัวลงตามแขนที่ถูกดึงไปด้วย

ไม่ต้องโทษใครเลยงานนี้ มือก็มือของตัวเองแท้ๆ แต่ดันไม่ยอมดึงออก

“พรุ่งนี้เช้าพี่อยากกินอะไร เดี๋ยวลงไปซื้อมาไว้ให้”

“จะเอาใจอะไรนักหนา”

“พี่ไม่รู้จักช่วงโปรโมชั่นหรอ อื้อออ” มีคนโดนหยิกแก้มไปแล้วหนึ่งที ถึงจะเข้าใจว่าพูดเล่น ความหมั่นไส้นี่มันห้ามกันไม่ได้จริงๆ “เจ็บ”

“สมควร”

“ยังไม่หายเลยครับ” โดนโวยวายจากผู้เสียหาย เพราะหยุดมือที่ลูบไปมาตรงที่ตัวเองได้ทำการประทุษร้าย

เป็นไงล่ะ..

หยิกเองแล้วก็ต้องมาโอ๋เองอีกไอ้ปอ

“แล้วพรุ่งนี้..” มือผมถูกอีกมือทาบทับให้แนบสนิทไปกับแก้มที่กำลังขยับพูดถึงเมนูอาหารเช้า

เคยบอกไหมว่าไอ้กุนมันหล่อ ตอนทำหน้ากวนตีนก็หล่อ ทำหน้าหง๋อยเป็นหมามันก็หล่อ ขนาดตอนนี้หน้าครึ่งหนึ่งของมันจมอยู่กับหมอนเหมือนปลาตาเดียวมันก็ยังดูหล่อ อะไรวะ

ผมเนี่ย อะไรวะ

อยู่ๆ จะไปชมมันทำไม

“..สรุปว่ากินอะไรดีครับ”

“เอาไว้ค่อยไปหาอะไรกินพร้อมกันก็ได้ ไม่ต้องรีบตื่นหรอก”

มีคนมาคอยเอาใจ เตรียมโน่นเตรียมนี่ไว้ให้มันก็ดี แต่อยากให้มันได้พักผ่อนเยอะๆ มากกว่า

“อยากตื่นมาแล้วเจอผมนอนอยู่ข้างๆ ก็บ๊อก”

“เออ!” มันคงจะเป็นซีนโรแมนติกหากน้ำเสียงของไอ้กุนไม่ออกมายียวนขนาดนี้ ผมดึงมือของตัวเองกลับมาซุกใต้ผ้าห่ม ปิดเปลือกตาของตัวเองลงเตรียมตัวเข้านอนจริงๆ เสียที ขี้เกียจจะเถียงกับไอ้ลิงนี่ให้ยืดยาว ยันเช้าก็ไม่น่าจะจบ “ถ้าตื่นมาแล้วไม่เจอ ก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกเลย”

ตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ว่ากุนขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ ท่อนแขนที่น่าจะเย็นเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จกลับอุ่นเมื่อมันพาดลงมาบนตัวของผม ความรู้สึกหยุ่นนุ่มถูกประทับลงมาที่กลางหน้าผาก ก่อนจะหายไปพร้อมอ้อมกอดที่ค่อยๆ ถูกกระชับขึ้น

“พี่ปอ” ถึงจะไม่ได้ลืมตา แต่ก็รู้ว่าอีกคนอยู่ห่างไปแค่ไม่ถึงคืบ แล้วน้ำเสียงแบบนี้นะ ฟังดูก็รู้แล้ว ไอ้ลูกหมามันกำลังจะอ้อนขออะไรผมแน่ๆ

“พี่ปอครับ” ใจอยากจะเมินเสียงที่เรียกชื่อตัวเองไป แต่ก็ทนไม่ไหวเมื่อโดนเรียกซ้ำ

ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง กุนนอนอยู่สูงกว่าผมเล็กน้อยทำให้ต้องขยับองศาของสายตาขึ้น ยังไม่ทันฟังว่าอะไรคือสิ่งที่อีกคนอยากได้จนถึงกับต้องทำเสียงแบบนั้นกันแน่ ผมก็หลับตาลงอีกครั้ง

บอกมันไปกี่ทีแล้วนะ ว่าให้เลิกมองด้วยสายตาแบบนี้

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ยืดตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เพียงแค่นั้นริมฝีปากก็ชนเข้ากับสิ่งเดียวกันของอีกคน ก่อนจะสุ่มทำแบบเดียวกันที่บริเวณใกล้ๆ อีก 5 ทีอย่างรวดเร็ว แล้วขยับตัวกลับมานอนในท่าเดิม

“นอนได้แล้วเนอะ”

“..ครับ..” มันจะไม่อะไรเลยถ้าไอ้คำว่า ‘ครับ’ ไม่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะ

เอาหล่ะ

ผมว่าผมกำลังเขิน

ตอนทำก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเขินไปด้วย คิดว่าแค่ทำๆ ไปจะได้ไปนอน แต่พอได้ยินเสียงไอ้กุนหัวเราะเบาๆ ตาผมก็ยิ่งบดเข้าหากัน แถมยังเผลอเม้มปากตัวเองไว้จนแน่นอีก พลาด

พลาดมากๆ

ดีที่ยังหลับตาเอาไว้เลยไม่เห็นว่าไอ้ลิงนั่นทำหน้ายังไงอยู่ แต่ที่รู้คือหน้าผมคงไม่ดีแน่ๆ และตอนนี้ก็คงจะหนักยิ่งกว่าเก่า

“โอ๋ๆ ..” มันกลั้นหัวเราะ ไอ้กุนมันกลั้นขำ ไอ้กุนมันนิสัยไม่ดี “ไม่แซวๆ..”

"..นอนได้แล้วเนอะ"

ไอ้นิสัย!















#เพราะรักรออยู่

กุนแทบจะไม่ใช่คนแล้ว แทบจะเป็นสัตว์ทุกชนิดบนโลกนี้แล้ว

มาแค่ครึ่งตอนก่อน ชิมลาง ง่าาา ถ้ามันมีตรงไหนแปลกๆ แปล่งๆ ก็คือนั่นแหละฮะคุณผู้ชม เพราะหายไปนานเหลือเกิน ครบปีรึยังนะ หรือเกินมาแล้ว

นานมากๆ แล้วที่ไม่ได้เขียนอะไรเลยเพราะเราจัดการความกังวลของตัวเองไม่ได้ วันนี้คิดถึงเลยกลับมาลองดู ก็ยังรู้สึกดีที่ได้เขียนเหมือนเดิม

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจเลยนะคะ เกรงใจคนที่เข้ามาอ่านจริงๆ แล้วก็ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคนที่เข้ามาอ่านตอนนี้ด้วย (ไม่รู้จะมีหรือเปล่าขอบคุณไว้ก่อน) หวังว่าจะได้เจอกันในตอนต่อไปนะคะ แฮ่

หรือใครเวลาเหลือไปอ่านเรื่องที่จบแล้วของเราฆ่าเวลาดูได้นะคะ #เมื่อคืนนี้ผมฝันถึงคุณ
V
V
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70842.0#gsc.tab=0

ขอบคุณค่าาาา