พิมพ์หน้านี้ - ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:36:13

หัวข้อ: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:36:13
เก็บกระทู้ไว้  ------โมดุฯ

------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ3
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาทของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:40:02
ก่อนอื่นต้องขอโทษผู้ที่ติดตามอ่านไว้มาเยอะมาก    เคยเข้าไปอ่านในเวบหนึ่งที่ไม่ใช่เล้าเป็ด  เคยมีคนรอนิยายเรื่องนี้ ตลอด  รู้สึกเสียใจ   และต้องขอโทษนักอ่านทุกท่าน รวมถึงแอดมินในทุกๆ ห้องนะคะ

นักเขียนต้องย้ายที่ทำงาน  กลับมาอยู่บ้าน และต้องสร้างหลักอาชีพให้ตัวเอง  เป็นการเริ่มใหม่ทั้งหมด

ครั้งนี้เริ่มว่างแล้ว  และทำให้ย้อนนึกถึงไปได้อีกครั้งว่าตัวเองเคยอยู่เล้าเป็ดแห่งนี้

มีความสุขและอบอุ่นมาก

สำหรับใครที่รอนิยายเรื่องนี้  นักเขียนขอสัญญาว่าจะเขียนให้จบและไม่หายไปไหนอีกแล้วนะคะ   

ขอบคุณที่อุตส่าห์รอกันมาหลายปี ตั้งแต่ปี 2012  จนบัดนี้เกือบจะ  สิบปีแล้ว

นักเขียนมีอาชีพที่มั่นคงแล้วค่ะตอนนี้  และจะกลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง

ขอกำลังใจจากทุกท่านด้วยนะคะ

ต้นฉบับของงานเขียนยังอยุ่ที่เดิมทุกอย่าง  ยังคงเก็บเอาไว้เสมอ  และจะขอลงในเล้าเป็ดแห่งนี้ที่เดียวเท่านั้นนะคะ

ขอบคุณจากใจจริง ขอบคุณแอดมินทุกๆ ท่านด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:43:59
ตอนที่ 1  เจอกันครั้งแรก

      เสียงซุบซิบกันเป็นกลุ่มของนักเรียนหญิง  วันนี้รู้สึกว่าจะมีมากกว่าปกติ  ถึงแม้ปกติแล้วเรื่องซุบซิบ เสียงจ๊อกแจ๊กนั้นจะมีให้เห็นอยู่แล้วจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของนักเรียนโรงเรียนนี้ไป
 
      ใช่ว่าเรียนเก่ง สอบเข้าได้แล้วจะเข้าโรงเรียนนี้ได้ง่ายๆ เหนือกว่านั้นทางบ้าน ฐานะทางครอบครัวก็จะต้องรวยถึงรวยมากอีกเช่นกัน  จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ทางโรงเรียนเป็นคนมอบทุนการศึกษาให้ได้เรียน เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่ได้เอื้ออำนวยซักเท่าไหร่นัก แต่ก็จัดว่าเป็นนักเรียนที่เรียนดีและความประพฤติดีเท่านั้น ที่สามารถได้ทุนการศึกษานี้จากทางโรงเรียน  หนึ่งในนั้นก็คือ “ต้อง” เด็กนักเรียน ม. 5 ที่ผลการเรียนไม่เคยตกอันดับไปมากกว่าอันดับสามของชั้นปี  แต่ดูจากรูปร่างและหน้าตาแล้ว เด็กๆ บางคนที่อยู่ ม.4  บางครั้งยังเผลอเรียกเขาว่าน้องบ้างก็มี  นอกจากเค้าโครงหน้าจะใสราวกับกระจก สีผิวที่ขาวเกินผู้ชายธรรมดานั้น ทำให้หลายๆ คนก็เข้าใจผิดไปเหมือนกัน และไม่นึกว่าจะเป็นรุ่นพี่แต่อย่างใด

      สิ่งที่เหนือจากเด็กน้อยคนนี้ต้องช่วยอาจารย์จัดเอกสารในตอนเช้าของทุกวันแล้ว เวลาว่างหลังจากที่ทำการบ้านเสร็จแล้ว เขามักจะไปช่วยป้าขายกล้วยปิ้งหน้าโรงเรียนอยู่เสมอๆ จะเป็นไปด้วยว่านอกจากเป็นคนที่คุยไม่ค่อยเก่งบวกกับเป็นคนที่ค่อนข้างประหม่าอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นที่เยอะๆ ทำให้ต้องมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สนิทๆ ด้วยจริงๆ และเวลาที่เขามาแต่เช้านี้ และเพื่อนๆ ยังไม่มา สิ่งที่สามารถฆ่าเวลาได้ก็คือมาช่วยป้าคนนี้ขายของนี่เอง
   
          “หวัดดีตอนเช้าครับป้าแส”  เด็กน้อยหน้าใสเอ่ยทักพร้อมกับยกมือไหว้ป้าคนที่กล่าวถึงนั้นอย่างสนิทสนม

      “อ้าว !!!  หวัดดีลูก เป็นไงบ้าง ช่วยอาจารย์เสร็จแล้วหรอถึงมาหาป้าได้เร็วจริงวันนี้”  เสียงป้าคนนั้นกล่าวกลับมาอย่างอ่อนโยน แววตามีความเอ็นดูกับเด็กตรงหน้านั้นเหมือนลูกหลาน

      “ครับ วันนี้ผมทำการบ้านเสร็จหมดแล้วตั้งแต่เมื่อคืน อาจารย์ก็ไม่ใช้อะไรมากด้วย วันนี้ผมเลยมาหาป้าได้ไว”   

      “วันนี้ป้าขายดี เดี๋ยวก็หมดแล้ว วันนี้ต้องไม่ต้องช่วยป้าก็ได้นะลูก  เดี๋ยวป้าก็กลับบ้านแล้วแหละ !!!  กล้วยปิ้งยังไม่หมดเหลืออีกไม่กี่ไม้  ต้องอยากกินป่าวจ๊ะ เดี๋ยวป้าจะใส่น้ำเชื่อมให้”  ป้าแสพูดไปมือก็ขยับกล้วยปิ้งที่อยู่บนถาดนั้นไปมา 

      “ไม่เป็นไรครับป้า ผมเพิ่งทานข้าวมา อิ่มมากๆ เลยครับ ขอบคุณมากครับ” 

      “ช่วงนี้ป้าขายดีนะ ขายได้เร็วด้วย ตั้งแต่หนูมาช่วยป้านี่” 

      “ผมว่างนี่นา ก็เลยมาช่วยป้าได้ อีกอย่าง ช่วยป้าขายของสนุกดีออก  แล้วเดี๋ยวอีกสักพัก…….”   ยังไม่ทันที่ต้องจะพูดจบเสียงรถแต่งที่ดังซะจนคนทุกคนต้องเหลียวไปมอง ทำให้ต้องก็ต้องมองรถคันนั้นตามไปด้วย

      จะเป็นใครไปไม่ได้เด็ดขาด นอกจาก “พี่สุทธิวัจน์” หรือที่ใครๆ เรียกว่าพี่วัจน์รุ่นพี่ ม. 6  ลูกชายคนเดียวของเจ้าของบริษัทผลิตเบียร์ยี่ห้อหนึ่งที่ดังมากในเมืองไทย  ซึ่งเขาเองก็เคยได้ยินข่าวมาไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่เกี่ยวกับรุ่นพี่คนนี้นัก พ่อกับแม่ส่งให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ก็ไปมีเรื่องกับเขาจนต้องกลับมาเรียนต่อที่บ้านเกิดของตัวเอง  พอได้มาเรียนโรงเรียนที่ดีๆ เข้าก็ไม่ได้ทำตัวดีตามโรงเรียน ชอบมีเรื่องกับคนอื่นไปเรื่อยจนทั้งครูอาจารย์ และเด็กๆ รุ่นน้องทุกคนต่างขยาด ไม่กล้าที่จะมีเรื่องด้วย  เพราะรู้ๆ  กันอยู่ว่าพ่อของเขานั้นมีอิทธิพลมากเพียงใด สำหรับรุ่นพี่คนนี้ในสายตาของต้องแล้ว จะมีดีก็เพียงอย่างเดียวคือรูปร่างและหน้าตาดีที่หล่อจัดเกิน จนไม่มีใครแทบเทียบติดก็เท่านั้น นอกนั้นแล้วแทบจะหาอะไรดีไม่ได้เลย เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นต้องก็ไม่ได้สนใจ ช่วยป้าปิ้งกล้วยที่อยู่ตรงหน้าต่อไปอย่างสนุกสนาน

      ได้ยินเสียงป้าแสบ่นขึ้นมาเบาๆ

      “เฮ้อ  !! เด็กสมัยนี้ พ่อรวยแม่รวย  เลยทำตัวอย่างไรก็ได้ ผลาญเงินพ่อแม่เล่นไม่เว้นแต่ละวัน  วันนี้ป้าก็เห็นเอารถคันใหม่มาอีกแล้ว  วันก่อนก็ไอ้รถตราที่มันมีสามแฉกๆ คันรึก็หน่อยเดียว เป็นเก๋งไปได้ไง นั่งได้แค่สองคนสู้ซาเล้งป้าก็ไม่ได้  นั่งได้ตั้งหลายคน”

      ต้องได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคักๆ  ป้าแสแกช่างกล้าเอารถเบนซ์ไปเทียบกับรถซาเล้ง
 
      “รถเบนซ์ครับป้า ที่มันมีสามแฉกๆ อ่ะครับ”

      “เออๆๆ นั้นแหละหนูเอ้ย  !!  ป้าก็ไม่รู้อะไรมากหรอก วันนี้ช่วยป้าแค่นี้แหละ  นี่จะแปดโมงแล้วเดี๋ยวหนูไปเข้าแถวไม่ทันนะลูก  ไปเถอะ แค่นี้ป้าทำได้จ๊ะ ขอบใจมากนะ”  ป้าแสแกพูดพร้อมกับมาแย่งที่คีบกล้วยออกไปจากมือของต้อง พลางขยับกล้วยปิ้งไปมาแทน

      “ครับป้า  ผมไปก่อนนะครับ  พรุ่งนี้เจอกันนะครับป้า”  ต้องพูดพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

      “จ้า เดินดีๆ นะหนู  ตัวเล็กหน่อยเดียวแค่นั้น ขาก็เล็กนิดเดียว  เดี๋ยวล้มไปละแย่เลย”  ป้าแสพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง 

      “ครับ” ต้องรับคำเบาๆ แล้วเดินกึ่งวิ่งออกไป 

      สายตาที่ป้าแสมองมานั้น ดูแกรักและเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้เหลือเกิน ถึงแม้จะไม่ใช่ลูกใช่หลานของแกก็ตาม

      ระหว่างช่วงเดินมานี่เองไม่รู้ว่าเช้านี้เขากินน้ำมากไปหรือว่าเดินมาเร็วเกินไปกันแน่ ทำให้อยากเข้าห้องน้ำ จะพยายามวิ่งไปทางด้านในตึกซึ่งเป็นห้องน้ำที่สะอาดหน่อย แต่ก็ไกลเหลือเกิน  จะเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านข้างๆ โรงเรียนก็ไม่ค่อยจะสะอาดแถมพวกรุ่นพี่ที่เกเรๆ ก็สิงอยู่ในนั้นกันให้เต็มไปหมดเปิดทั้งคลิปโป๊ ทั้งสูบบุหรี่ ซึ่งต้องเคยเข้าไปครั้งหนึ่งก็รีบหนีออกมาแทบไม่ทัน
 
      แต่จะอย่างไรได้  เดินกึ่งวิ่ง  พร้อมกุมท้องไป  ……………….. ก็ฉี่จะราดอยู่แล้ววววว

      ในใจก็คิด 

      “เอามันห้องน้ำนี้ก็ได้แหละ คงไม่มีคนอยู่แล้วมั้ง” 

      เพียงแค่เปิดประตูห้องน้ำไปแค่นั้นก็โล่งอก

      “เฮ้อ !!!!  ไม่มีใครอยู่จริงๆ  โล่งใจหน่อย”

      ถึงจะปวดมากแค่ไหนแต่ต้องก็พยายามมองเลือกห้องน้ำที่สะอาดที่สุด ก่อนจะเข้าไปแล้วนั่งอย่างสบายอารมณ์ที่ทำธุระส่วนตัวได้เสร็จ 

      แต่ยังไม่ทันที่จะออกมาจากห้องน้ำดี เสียงผู้ชายประมาณ 4-5 คน ก็เดินเข้ามาในห้องน้ำ  เสียงโหวกเหวกโวยวายก็เริ่มขึ้นมาทันที มือที่กำลังจะจัดการเอาเสื้อใส่กางเกงให้เรียบร้อยนั้นก็พลันหยุดชะงักกึกไปด้วย 

      ซวยแล้ว  คิดได้แค่นั้น ต้องพยายามทำตัวให้เงียบที่สุด ในใจก็คิด ว่าอีกซักพักเดี๋ยวพวกผู้ชายกลุ่มนั้นก็คงไป ถ้าเดินออกไปเดี๋ยวไปเจอพวกนั้นสูบบุหรี่อีกเหมือนกลุ่มที่แล้ว  กลัวว่าตัวเองจะพลอยซวยไปด้วย  ช่วงเวลานี้อาจารย์ชอบเดินมาตรวจห้องน้ำซะด้วยซิ่

      เหตุการณ์เริ่มผิดคาด  กลุ่มเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งต้องก็ยังไม่รู้ว่าเป็น ม. อะไร เดินถีบประตูมาเรื่อยๆ  เหมือนกับจะสำรวจว่ามีใครอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า

      “ปัง !!!!!!”  เสียงประตูที่ 1 ถูกถีบออก

      ปัง !!!!!

      ปัง  !!!!!!!

            ดังมาเรื่อยๆ แล้ว  อีกแค่ห้องเดียวเท่านั้น  ในใจต้องก็คิด  ซวยแน่ๆ เลย

      “ปัง !!”

      ประตูนี้ไม่ถูกเปิดออก

      “ปัง !!!!” 

      เงียบบบบ  ประตูก็ยังถูกล๊อกอยู่ด้านใน

      “ใครวะ !!!!!” เสียงคนที่ถีบที่อยู่ด้านนอก ตะคอกมา

      เงียบ  ไม่มีเสียงจากทางด้านในห้อง

      “กูถามว่าใครวะ  จะตอบไม่ตอบ !!!!” 

      เงียบอีกเช่นกัน


   ปัง !!!! ปัง !!!!ปัง !!!!ปัง !!!!ปัง !!!!ปัง !!!!ปัง !!!! 

   ไอ้คนที่อยู่ด้านนอกกระทืบรัวๆ  จนต้องอดทนไม่ไหวเพราะกลัวประตูพัง ตะโกนกลับไป

   “ผมทำธุระอยู่”  เสียงทั้งดังทั้งสั่นผสมกัน

   “ทำธุระไรวะ ว่าวหรอมึง   ม. ไรวะ ออกมาให้กูเห็นหน้าหน่อยดิ่”  เสียงคนนั้นยังคงดังอยู่ด้านนอก พร้อมกับพูดต่อ

   “ไม่ออกมา มึงโดนหนักแน่”

   เสียงด้านในห้องน้ำนั้นตะโกนกลับมาด้วยความตกใจ เสียงสั่น

   “ก็ถอยไปก่อนซิครับ คุณยืนอยู่หน้าประตูขวางไว้ผมจะออกไปได้ไง”

   เงียบอีกครั้งไม่มีเสียงใดตอบกลับมา  ต้องดึงกลอนประตูออกแล้วเปิดประตูออกไปช้าอย่างหวาดกลัว  ไม่รู้ว่ากลุ่มผู้ชายพวกนั้นจะเป็นพวกไหนกันแน่  แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะใช่ม.ต้นเป็นแน่  แถมการกระทำยังดูเกเรอีกด้วย

   ทันที่ที่ประตูเปิดออกยังไม่หมดดีนั้น  คนที่อยู่ด้านนอกก็กระชากประตูออกมา  ทำให้คนที่อยู่ด้านในกระเด็นออกมาด้วย เพราะมือยังจับอยู่ที่ขอบประตูห้องน้ำอยู่

   ภาพที่อยู่ตรงหน้าต้องคาดเอาไว้ไม่มีผิด เป็นม.ปลายจริงๆ แต่ดูจากลักษณะแล้วจะต้องเป็น ม. 6 แน่นอน เพราะรูปร่างแต่ละคนสูงใหญ่ ขนหน้าแข้งก็ขึ้นกันให้พรึบไปหมด ต้องพยายามเดินเลี่ยงพี่คนนั้นออกมา และหลบอีกสองคนที่อยู่ตรงทางเดินห้องน้ำ โดยไม่สนใจที่จะมองใครทั้งสิ้น และสังเกตเหมือนจะเห็นอีกคนนั่งอยู่บนซิงค์ล้างหน้าอีกด้วย

   สี่คนแน่ะ  ทำไมตัวใหญ่กันจัง 

   “ไงมึง  มาทำอะไรคนเดียว กูเรียกตั้งนานไม่ยอมตอบอยากมีเรื่องหรอ”  ไอ้พี่คนที่ถีบจ้องหน้ามายังต้อง พร้อมกับกระชากคอเสื้อทางด้านหลังของต้องอย่างแรง จนตัวปลิวติดไป

   “ก็พี่เล่นถีบๆ ประตูผมจะไปกล้าพูดได้ไงล่ะ”  เสียงสั่นๆ ของคนที่ตัวเล็กกว่าที่โดนกระชากคอเสื้อตอบกลับไป แม้จะยังหันหลังไปไม่ได้

   “อ้าวไอ้นี่ กวนตีน ม.อะไรวะมึง สงสัยอยากโดนกูต่อย”  พูดจบไอ้คนที่กระชากคอเสื้อของเขาอยู่นั้น ก็จับหมุนตัวต้องกลับมาด้วยมือข้างเดียว   สีหน้าของคนนั้นชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะทำหน้ายียวนอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยขึ้น

   “อ้าวไอ้นี่  กวนใช่ย่อย อยู่ ม. ต้น แล้วเสือกติดเข็มกลัด ม. ปลายได้ไงวะ”  พี่คนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับตะคอกออกมา

   “ผมอยู่ ม. ปลาย”  ต้องเถียงเสียงสั่นๆ ออกไป พลางเอามือจับคอเสื้อของตัวเองที่กำลึงถูกดึงขึ้นอยู่

   “มึงอย่ามาโกหกกู  ตัวเท่าลูกหมา ไอ้หน้าอ่อน ม.อะไรมึง ม. 2 หรือ ม. 3 ตอบกูมาดีๆ ดิ วันนี้กูอารมณ์ไม่ดีตอนเช้า  อยากหาเรื่องคน มึงมาโดนกูเตะหน่อยเป็นไง”

   “ผมไม่ได้ทำอะไรพี่นะ ปล่อยผมไปซิ่ ผมจะไปเข้าแถว แล้วผมอยู่ ม. ปลายจริงๆ ม. 5 แล้วด้วย”  ต้องยังคงเถียงไปอยู่อย่างนั้น ทั้งๆ ที่อีกใจก็กลัว เสียงยังสั่นไม่หาย  ก็อะไรกันทำไมกลุ่มนี้มันตัวสูงๆ กันทั้งนั้นเลย  ไอ้พี่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักหน้าก็คุ้นๆ เหมือนพวกนี้จะเป็นนักบาสของโรงเรียนซะด้วย

   พี่สองคนที่ยืนห่างออกไปก็เอาแต่สูบบุหรี่ไม่สนใจว่าเพื่อนของเค้าจะสนใจอะไร  ส่วนพี่อีกคนที่นั่งอยู่บนซิงค์นั้นก็ไม่มีวี่แววว่าจะสนใจอะไรทั้งสิ้นอีกเหมือนกัน

   เสียงใครคนหนึ่งแว่วมาจากกลุ่มที่ยืนอยู่

   “มึงอารมณ์ไม่ดีอะไรตอนเช้าวะไอ้เอก  โดนที่บ้านบ่นมาหรือไม่ได้ว่าวมาจากบ้านล่ะมึง 55555” 

   คนชื่อเอกนี่เองที่เอามือกุมอยู่ที่คอเสื้อของต้องอยู่  สวนตอบกลับเพื่อนไปทันที

   “เออ  กูไม่ได้ว่าวมา  5555 ทำไงดีวะ ตอนนี้มีอารมณ์  ทำเองไม่สนุกเว้ยย”
 
   “มึงก็มองหน้าไอ้เด็กคนนี้ดูดิ  ตัวก็เล็ก ผิวก็ขาว  หน้าก็หวาน ตาก็โต  มึงก็คิดซะว่าเค้าเป็นน้องรินแฟนมึงดิวะ  แล้วมึงก็เอาของมึงยัดเข้าปากมันเข้า แค่นั้นแปบเดียว ง่ายจะตาย”  ผู้ชายอีกคนที่ยืนข้างกันสูบบุหรี่อยู่เช่นกันตอบกลับมา

   “ 5555 ไอ้นันต์ความคิดดีว่ะ  ………. จัดการซะทีดีไหมมึง ข้อหากวนตีนกู …..ไง ไอ้หน้าอ่อน ถ้าไม่อยากโดนกูต่อยก็อ้าปากซะดีๆ” 

   ตอนแรกที่ว่าตกใจแล้วตอนนี้ต้องกลับตกใจหนักกว่าเดิมอีก ต้องพยายามเอามือทั้งสองข้างบิดข้อมือของอีกฝ่ายที่กุมคอเสื้อเขาอยู่ แต่ข้อมือนี้เล็กเกินไป เมื่อเทียบกับข้อมือของอีกฝ่ายที่กุมคอเสื้ออยู่เพียงมือเดียว เมื่อรู้ว่าไม่มีทางจะหลุดได้  ต้องจึงหันไปทางเพื่อนของไอ้ผู้ชายที่กุมคอเสื้อเค้าอยู่หวังจะให้ช่วย   ไอ้พี่สองคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่นั้นเห็นจะไม่มีหวังเพราะนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังดูเหมือนจะสมทบเข้าไป เห็นดีเห็นงามด้วย

   จะเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือคนที่นั่งห่างออกไปอยู่ตรงซิงค์ล้างมือนั้น ต้องชะโงกหน้าไปมองทันที  แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นก็ตกใจ ชะงักมองอยู่อย่างนั้นเอง

   คนที่นั่งอยู่นั้น มองแวบเดียวก็รู้เลยทันทีว่าเป็นใคร ชายที่นั่งห้อยขาลงไป ร่างสูงใหญ่เกือบจะเท่าๆ กับเพื่อนๆ  ของเขานั้นก็คือพี่คนที่ขับรถเข้ามาในโรงเรียนเมื่อซักครู่นี้เอง  ซึ่งตอนนี้เงียบ  และไม่ได้ทำทีว่าจะสนใจอะไรทั้งสิ้นกับสิ่งที่เพื่อนๆ เขาทำอยู่ ดูจะเป็นคนที่น่าจะช่วยเหลือต้องได้ในเหตุการณ์ที่สุดจะแก้ไขนี้ได้  ตะโกนออกไปยังคนที่อยู่ห่างสุด

   “พี่ครับ  พี่บอกเพื่อนพี่ทีนะ ผมขอโทษ ต่อไปผมจะไม่มาเข้าห้องน้ำนี้แล้ว นะครับ นะ พี่บอกให้เพื่อนพี่ปล่อยผมไปเถอะนะครับ” 

   แต่สิ่งที่ต้องได้รับกลับเงียบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากปากที่บางเฉียบนั้น

   ไอ้คนชื่อเอก ยังคงกวนต่อไปเรื่อยๆ  พร้อมกับขู่ขึ้นมาทันที

   “มึงอยากโดนกูต่อยหรอ จะแหกปากร้องหาอะไร กูไม่อยากต่อยมึงตอนนี้  ถ้ามึงทำให้กูมีความสุข มึงจะไม่เจ็บตัวหรอกน่า …….”

   เหตุการณ์เริ่มแย่เข้าลงไปทุกที ต้องตะโกนไปยังชายคนนั้นที่นั่งอยู่นอกสุดอีกครั้ง อย่างมีหวัง

   “พี่ครับ  พี่ชื่อวัจน์ใช่ไหม  ผมเคยเห็นพี่นะ  พี่อยู่ ม. 6  พี่บอกให้เพื่อนพี่ปล่อยผมไปเหอะนะ  นะครับ  ต่อไปผมไม่มาเข้าห้องน้ำนี้แล้วจริงๆ ครับ ไม่ยุ่งกับพวกพี่ด้วย”   เสียงของเด็กร่างที่เล็กสุดบอกไปอีกครั้ง  น้ำเสียงนั้นทั้งสั่นและอ้อนวอนอยู่ในที

   คราวนี้ มีเสียงตอบกลับมา อย่างชัดเจน จากเขานั้นเอง 

   แต่ไม่ได้พูดกับเด็กที่ตกเบี้ยล่างอยู่ข้างหน้า  เขาพูดกับเพื่อนของเขาเองต่างหาก

   “มึงไม่มีปัญญาหาผู้หญิงหรือไงวะ  มึงถึงจะให้ไอ้หน้าอ่อนนี่มันช่วย  ปล่อยแม่งไปเหอะ ดูดิ เดี๋ยวฉี่ก็ราดพอดี  กูเห็นแล้วกูสมเพชว่ะ”

   ชายร่างสูงนั้นเดินมา พร้อมกับกระชากเสื้อของคนที่ถูกแกล้งนั้นอยู่  ยังผลให้คนที่จับคอเสื้อเอาไว้ก่อนอยู่แล้วนั้นปล่อยให้แต่โดยดี  พร้อมกับพูดขึ้น

   “เฮ้ย ไอ้วัจน์เป็นพระเอกโว้ย  ปกป้องไอ้หน้าอ่อนนี่ เพื่อนกูเปลี่ยนไปแฮะ รีบปล่อยทำไมวะ  ไม่ลองซักหน่อยหรอมึง  เผื่อติดใจไง”  คนชื่อเอกยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ

   ตอนนี้คอเสื้อของต้องนั้นเปลี่ยนคนคุมไปแล้ว  กลับไปอยู่กับชายร่างสูงของอีกคนที่เดินเข้ามา 

   วัจน์ไม่พูดกับเพื่อนเขา แต่ก้มมองลงมายังร่างเล็กที่คอเสื้ออยู่ในมือ

   “มึงรีบออกไป ก่อนที่กูจะเปลี่ยนใจให้เพื่อนกูทำอะไรมึง วันหลังอย่าได้เสือกเข้ามาห้องน้ำนี้อีก  แต่ถ้าอยากจะร่าน ก็เชิญมึงไปหากินห้องน้ำอื่นไอ้หน้าอ่อน” 

   พูดจบพี่สุทธิวัจน์ของใครๆ  ก็ผลักเขาออกไป

   เมื่อร่างเล็กนั้นเป็นอิสระ  และถอยออกมา เมื่อรู้ว่าตัวเองปลอดภัย ความโมโหที่โดนแกล้งเมื่อซักครู่ยังไม่โมโหแรงเท่าที่โดนคนที่ช่วยเอาไว้ว่าซะเสียหาย

   “ผมไม่ได้มาร่าน  แล้วผมก็ไม่ได้มาทำอะไรต่ำๆ อย่างที่พี่คิด ขอบคุณที่ช่วยผม  แต่ทีหลังถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าเข้าใจผิดๆ แบบนี้ ว่าคนอื่น ตัวเองดีตายล่ะครับ ผิดกฎก็เท่านั้นจนคนอื่นเค้าเอือมระอากันหมดแล้ว” 

   พูดจบเพียงแค่นั้น เด็กน้อยตัวเล็กนั้นก็หันหลังโกยแนบ  ออกมา  วิ่งปรู๊ดจนคนอื่นจะคว้าตัวเอาไว้ไม่ทัน

   ขืนโดนจับได้คราวนี้ซวยจริงๆ แน่

   เสียงด้านหลังตะโกนกลับมา

   “อ้าวมึง !!!  ด่ากูแล้ว ชิ่งหนีหรอ  คอยดู กูเจอมึงอีกทีเมื่อไหร่ มึงไม่รอดแน่”

   จะเป็นเสียงใครได้ นอกจากพี่วัจน์นี่เอง


.....................


หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:45:04
ตอนที่ 2 เจอกันทั้งๆ ที่ไม่อยากเจอ

   อากาศตอนแปดโมงเช้า เดี๋ยวนี้มันช่างแตกต่างกันกับสมัยตอนที่ต้องอยู่ต่างจังหวัดอย่างมากมาย ไม่รู้มันจะร้อนอะไรกันนักหนา  เช้านี้ก็อีกเช่นกัน  ต้นเดือนธันวาคม ที่เป็นหน้าหนาวของกรุงเทพฯ แต่มันแทบจะไม่ต่างอะไรกับหน้าร้อนเลยซักนิดเดียว  แถมยืนเข้าแถวก็ต้องยืนเป็นอันดับต้นๆ ของห้อง เพราะว่าดูเหมือนเพื่อนๆ เค้าจะตัวสูงกันไปหมดแล้ว เว้นแต่ต้องเท่านั้นที่ดูเหมือนจะตัวเล็กแล้วก็เตี้ยสุด  อย่างกับโดนสตาฟไว้งั้นแหละ

   ‘เห็นที ต้องเล่นกีฬาอะไรบ้างแล้วแหละ  วันนี้คัดเลือกชมรมใหม่ด้วยนี่นา  เห็นทีต้องไปอยู่ชมรมกีฬาอะไรก็ได้ซักอย่างหนึ่ง

   บอล  …………….  เล่นไม่เป็น

   วอลเลย์ ……………  กลัวโดนลูกตบใส่หน้า

   กระโดดสูง……………  แค่รั้วหลังบ้านยังข้ามไม่ได้เลย

   กระโดดไกล …………. ขาเราสั้นไป’

คิดได้แค่นั้น  เด็กน้อยที่อยู่ด้านหน้าสุด ก็ถอนหายใจออกมาอย่างดัง


“เฮ้อ !!!!!”

แค่ถอนหายใจเพียงแค่นั้น  ทำให้ใครอีกคนที่ยืนต่อแถวถัดออกไป สะกิดถามมาด้วยความสงสัย

“เป็นไรอ่ะต้อง !!”   ใครคนนั้นที่สะกิดหลังมาหาก็คือ “เบสต์”  เพื่อนสนิทของเขานั้นเอง

“เบสต์  ทำไมเราสองคนเตี้ยกว่าคนอื่น เคยคิดบ้างไหม”

“งืมๆๆๆ  เตี้ยจริงๆ แหละ  แต่ต้องเตี้ยกว่าเบสต์นิดนะ  เบสต์สูงกว่าต้องตั้ง 5 เซ็น”

“โหยๆๆ  แค่นั้นเอง  ลองมองกลับไปแต่ละคนดิ่ ตัวสูงกว่าเราตั้งเยอะแยะ  ……  เออๆๆ นี่  คิดยังว่าจะไปอยู่ชมรมอะไร”  น้ำเสียงช่วงสุดท้ายหันไปถามเพื่อนที่ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในห้อง

“คิดแล้ว”  คนชื่อเบสต์ตอบกลับมา อย่างมั่นใจ

“ชมรมไรอ่ะ”  ต้องถาม

“ของเล่นเชิงวิทยาศาสตร์” 

คราวนี้คนตอบตอบแบบมั่นใจ  แต่ทำให้คนที่ได้รับคำตอบมองหน้ากลับมา แล้วแถมถามกลับไปอย่างมั่นใจอีกเช่นกัน

“เบสต์อายุเท่าไหร่”

“16”

“ก็เท่ากันนี่นา  แต่ทำไมยังคิดจะเล่นของเล่น เฮ้อๆๆ เพื่อนเรา”

“อ้าวว ไม่รู้อะไร  ของเล่นพวกนี้มันสอนด้วยนะ แล้วต้องอ่ะ ลงชมรมอะไร ไปอยู่ชมรมเดียวกับเบสต์ป่ะ”

คราวนี้คนที่ตัวเล็กว่าเงียบ แต่คำตอบก็คือสั่นหน้าเท่านั้นเอง 

“ไปอยู่ชมรมเดียวกันดิ่” 

“ไม่ดีกว่า !!!  เราอยากเล่นกีฬา  อยากตัวสูง ไม่อยากเตี้ยแบบนี้  ทุกวันนี้บางทีเด็ก ม. 4 มันยังเรียกเราว่าน้องเลย ไม่ไหวๆ”  ต้องตอบกลับไป โดยไม่ได้หันหน้ามองไปอีกฝ่าย  พลางมองไปทางอื่น ขณะที่อาจารย์ด้านหน้ากำลังตรวจแถว  พลันสายตาก็มองกวาดไปเรื่อยๆ  โดยไม่ได้มองอะไรเป็นจุดสำคัญ  ในใจก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากไปอยู่ชมรมที่เกี่ยวกับกีฬา จะได้ตัวสูงๆ มากกว่านี้  แค่คิดได้ดังนั้นก็ตัดสินใจเลยทันที แต่ก็ไม่วายบอกกับคนข้างๆ ด้วย

“ต้องตัดสินใจแล้วแหละเบสต์  ไปอยู่ชมรมกีฬากันดีกว่านะ แต่จะเอาชมรมอะไรดีอ่ะ”

“อืมมมม”  อีกฝ่ายทำท่าครุ่นคิด เหมือนเป็นผู้ใหญ่ซะเต็มที่ แต่ดูอย่างไงก็ไม่เข้ากันกับบุคลิคที่อยู่ภายนอก  พูดต่อไปกับเพื่อนที่อยู่ด้านหน้า

“ถ้าอยากตัวสูง  ก็มีบาสกับวอลเลย์  แต่เชื่อซิ่ ขืนเราเข้าไปนะ มีหวังให้โดนถูพื้น หรือไม่ก็ได้เช็ดลูกบอลแหงๆๆ  ไม่มีโอกาสได้เล่นหรอก”

“ก็ยังดีนะ  อย่างน้อยเวลาที่พวกเค้าพักกัน เราก็เข้าไปเล่นได้  แถมจะเข้าไปเล่นตอนไหนก็ได้เหมือนกัน ชมรมบาสมีสนามส่วนตัวไม่ใช่หรอ”  ต้องถามกลับไป

“ใช่ๆๆ อยากเข้าชมรมนั้นหรอ” 

“ใช่”  ต้องตอบกลับไปอีกอย่างมั่นใจ

“จะดีหรอ”   เบสต์สีหน้าลังเล

“ดี”

“ดีจริงหรอ” เพื่อนที่ตัวสูงกว่าสีหน้าลังเลอีกครั้ง

“จริง” 

“เอ่อ ………!!!!”  คราวนี้เบสต์ลังเลอีกครั้งหนึ่ง  แถมทำสีหน้าครุ่นคิดหนักกว่าเก่า  ก็ชมรมที่เขาอยากเข้าจริงๆ มันคืออีกชมรมหนึ่งนี่นะ

“โอเคนะ  คำว่า เอ่อ นี่ ต้องหมายถึงเบสต์ตอบตกลง เดี๋ยวเย็นนี้เราไปสมัครกันเลย  พวกรุ่นพี่ ม. 6 เค้าเป็นประธานชมรมอยู่ เดี๋ยวไปสมัครกับพี่เค้าก็ได้  พวกพี่พวกนั้นเค้าให้เราเป็นอยู่แล้วแหละ” 

“อ้าว ……  เรายังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะ”

“อ้าว”  คราวนี้ต้องพูดคำเดียวกับคนที่พูดก่อนหน้า

“ก็เบสต์ เอ่ออ ออกมาแล้วนี่  ก็ตกลงไม่ใช่หรอ


“เอ่อนี่ไม่ได้ตกลงนะ  ……” 

“ไม่เป็นไรๆๆๆ  นะๆๆๆ ไปอยู่ชมรมเดียวกับต้องนะ  สัญญา อาทิตย์หน้าจะเลี้ยงข้าวทั้งอาทิตย์เลย”
 
“มีตังค์หรอ….”  เบสต์ถามออกไปอย่างไม่เชื่อในสายตาเต็มที่

“ก็ยืมของเบสต์ เลี้ยงเบสต์ก่อนไง”

“…………………….”  ไม่มีคำตอบใดกล่าวกล่าวออกไปจากอีกฝ่าย  แต่เบ้ปากอย่างเห็นได้ชัด  ยิ้มอย่างรู้ทางเพื่อน พลางส่ายหัว  และไม่พูดอะไรอีกต่อไป 

ก็คงต้องไปเป็นเพื่อนอยู่ชมรมเดียวกันนั้นแหละนะ   555555

คราวนี้คนที่ตัวเล็กกว่าที่อยู่ด้านหน้า  รู้แน่ๆ แล้วว่าเพื่อนรักต้องไปอยู่ชมรมเดียวกันแน่นอน  ยิ้มแก้มแทบปริ เพราะว่าดีใจอย่างมากมาย  พลางเข้าไปกอดเพื่อนอย่างสนิทสนม ก่อนจะหันกลับไป เพราะรู้ว่าอาจารย์ที่กำลังตรวจแถวอยู่นั้นกำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ขืนมัวคุยกันระหว่างเข้าแถว สงสัยโดนอาจารย์ดุแน่ๆ

‘ อิอิ  ดีใจ ๆ’

แต่แค่เพียงหันหน้ากลับไปเท่านั้น  กลับชนกับคนข้างหน้าอย่างจัง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยู่ด้านหน้าสุด  และเพียงแค่ชนแค่นั้นก็รู้เลยทันทีว่าฝ่ายที่ชนเข้าไปหานั้น ตัวสูงกว่าอย่างมากมาย ก็หันไปชนซะขนาดนั้น หัวของต้องเองยังอยู่เพียงแค่ระดับอกของอีกฝ่ายแค่นั้น

ด้วยความตกใจ ที่อยู่ดีๆ ก็ชนเข้ากับอย่างจังทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เขาจึงเงยหน้ามองขึ้นไป แต่พอได้เห็นว่าเป็นใครแล้วที่ชนเข้าให้  กลับตกใจหนักกว่าเดิมอีก

.
.
.

“!!!!!!  พี่วัจน์   !!!!” 

ฝ่ายนั้นตอบกลับมาแบบเงียบๆ แต่พูดเหมือนจะกัดฟัน เพราะตอนนี้อาจารย์เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  และนักเรียนก็ยังอยู่ตรงนี้อีกหลายคน  คนร่างสูงกว่าตอบลอดไรฟันออกมา

“เออ !!! กูเอง ไอ้หน้าอ่อน เด็ก ม. 5 จริงๆ นี่หว่ามึง กล้ามากนะ ด่ากูแล้ววิ่งหนี มึงอยากเจอดีใช่ไหม” 

“ผะ-ผม …..ผม”  ตอนนี้คนที่ตัวเล็กกว่ามัวแต่ตกใจ ก็ในเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เขาเพิ่งจะด่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไปเองนี่นา  แถมยังจำได้อีกว่าเขาเป็นใคร
 
ตอนแรกกะอยู่แล้วว่าเห็นหน้ากันแปบเดียวน่าจะจำไม่ได้ 

แต่ทำไมจำได้ซะละ

ซวยแน่ๆ …………………

“ตอนนี้พูดไม่ออกเชียวนะมึง เห็นเมื่อกี้ พอรู้ว่ากูไล่ไม่ทันแน่  เก่งใหญ่เชียว  ตัวเท่าลูกหมา …….มึงมานี่ดิ”

พูดจบแค่นั้น อีกคนที่มีกำลังเหนือกว่าไม่ได้กระชากคอเสื้อของอีกฝ่าย เหมือนอย่างที่ทำในห้องน้ำที่ผ่านมาเมื่อซักครู่นี้เพราะเห็นว่าจะเป็นจุดสนใจมากเกินไป แต่กระชากต้นแขนนั้นเข้ามาให้ใกล้กว่าเดิมจนเกือบจะชิดกับแผงอกกว้างของเขาเอง  น้ำเสียงที่พูดกลับมายังคงลอดไรฟันออกมาเหมือนเดิม

“มึงชื่ออะไร”
 
“……..” 

“กูถาม   ว่ามึงชื่ออะไร  มึงอย่าคิดว่ากูไม่กล้าซัดมึงต่อหน้าอาจารย์ ตอบกูมา ไม่งั้นโดน”

“พี่ก็ปล่อยผมก่อน ……”  คนที่ถูกกระชากแขนไปนั้นไม่สามารถที่จะดึงมืออีกฝ่ายออกได้เลย เสียงยังคงสั่นอยู่เช่นนั้น  พูดไป พลางก็พยายามเอามือแกะมือของอีกฝ่ายออก

“เฮ้ย  มึงก็อีกคนไอ้เตี้ย…… เตี้ยพอๆ กันเลยนะมึง  เพื่อนมึงชื่อไร บอกกูมาดิ ถ้ามึงไม่บอก กูอัดมึงทั้งสองคนตรงนี้นี่แหละ”  เสียงที่แทรกออกมาคือเสียงของเอก ที่เป็นเพื่อนสนิทกับวัจน์นี่เอง

“ชื่อ…..  ตะ – ต้องครับ” เบสต์เองก็ตกใจอยู่ไม่ใช่น้อย  ที่เกิดเรื่องชุลมุนแบบนี้ขึ้นทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมกลุ่มรุ่นพี่หัวโจกที่จัดได้ว่าร้ายที่สุดของโรงเรียนถึงได้มาหาเรื่องเพื่อนของเขา

“อ้อ !!! ชื่อต้อง  ดี….. กูจะได้จำเอาไว้  มึงมองหน้ากูไว้นะ ไม่เคยมีใครในโรงเรียนนี้กล้าด่ากู เหมือนกับที่มึงด่ากูเมื่อเช้า …..ไอ้ต้อง เด็ก ม. 5/1  อยู่ห้องคิงด้วยนี่มึง เก่งทั้งเรื่องเรียนเก่งทั้งปาก เดี๋ยวกูจะคอยดู มึงจะเก่งอย่างนี้ตลอดหรือเปล่า หน้าซีดเชียวนะมึง ตัวแค่นี้ทำเป็นอวดเก่งดีนัก  เช้าๆ นี้กูยังอารมณ์ดี  …. แต่เมื่อไหร่กูเห็นมึงอีกครั้ง ตอนกูอารมณ์ไม่ดี  มึงซวยยยย”

ตอนนี้ต้องรู้สึกจะเริ่มเจ็บตรงต้นแขนมากกว่าเดิมแล้ว  เพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นตอนนี้ไม่เพียงแค่กระชากต้นแขนเท่านั้น แต่กลับบีบต้นแขนนั้นหนักลงกว่าเดิม ยังผลให้อีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ พูดออกไปด้วยความกลัว

“ผมขอโทษ …..  พี่ปล่อยผมก่อนนะครับ นะ  ผมเจ็บ” 

“แค่นี้มึงเจ็บหรอ  …..  ดี …….กูก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากให้มึงไม่เจ็บ  แค่นี้มันน้อยไปไอ้ต้อง  คนไหนที่มันกล้ามาด่ากู มันจะต้องเจ็บตัวมากกว่านี้ ….. แล้วมึงไม่ต้องมาขอโทษกูตอนนี้ มันสายไปแล้ว”

พูดจบเพียงแค่นั้นสุทธิวัจน์ที่หลายๆ  คนรู้จักก็ผลักเด็กที่อยู่ตรงด้านหน้านั้นออกไป เมื่อเริ่มๆ รู้ว่าอาจารย์กำลังเดินใกล้เข้ามา แถมตอนนี้ข้างๆ ก็เริ่มมีหลายคนเริ่มจะจับตาสนใจมองมาทางเขามากยิ่งขึ้น

สำหรับต้องนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นอิสระ จึงรีบถอยห่างออกมา  ไม่กล้าสบตามองอีกฝ่าย

“มึงจำไว้  เจอกูที่ไหน  พยายามหลีกออกไปให้ไกลที่สุด คราวหน้ากูเจอมึงอีก กูซัดมึงไม่เลี้ยงแน่”   ชายร่างที่สูงกว่าชี้หน้ามายังต้องที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้วยความกลัว   ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนๆ เขาอีกสามคน  โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

……

“เป็นไรอ่ะต้อง……  เกิดไรขึ้นหรอ  แล้วทำไมพวกพี่ๆ กลุ่มนั้นเค้ามาทำแบบนี้อ่ะ เบสต์งง”
ทันทีที่พวกนั้นจากไป เบสต์ก็ยิงคำถามเป็นชุดๆ  เพราะว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“เอ่อ !!! คือเมื่อเช้า เราเข้าห้องน้ำตรงด้านข้างตึก  แล้วไปเจอพวกพี่ๆ เค้าน่ะ แต่จริงๆ นะเบสต์ ต้องไม่ได้ไปหาเรื่องพวกพี่เค้าก่อนนะ พวกนั้นต่างหากที่มาหาเรื่องต้องก่อน”

“เวรแล้ว !!!!  ไปมีเรื่องกับใครไม่มี ดันไปมีกลับกลุ่มนั้น  น่ากลัวจะตาย แล้วคราวนี้จะหลบกันไงดีอ่ะ  เค้าหมายหัวเอาไว้ซะขนาดนั้น”

“ไม่รู้เหมือนกัน”  น้ำเสียงของต้องตอบกลับมาอย่างแหบแห้ง เพราะว่ายังไม่หายตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น พลางก็คิดว่าคราวนี้คงแย่แล้วแน่จริงๆ  เรื่องที่หวังว่าจะให้อีกฝ่ายจำไม่ได้ แต่คราวนี้จำได้ติดตาเลย  แถมรู้ว่าเค้าชื่ออะไร แล้วอยู่ห้องไหนอีก

   ………………………
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:46:02
ตอนที่ 3 คุณประธานชมรมสุดเฟี้ยว

   ช่วงเวลาพักเที่ยงของโรงเรียนนี้ก็เหมือนกับโรงเรียนทั่วๆ ไป ความวุ่นวายมีให้เห็นได้ตลอด ใครว่าโรงเรียนดังๆ หรือโรงเรียนของบรรดาลูกคนรวยทั้งหลายนั้นจะมีกฎระเบียบมากนัก ช่วงเวลาพักกลางวันนั้นคำว่าต่อแถวแทบจะไม่ค่อยมีเลยสำหรับโรงเรียนนี้

   “ต้อง”  เสียงเพื่อนรักของเขาเรียกขึ้นมา หลังจากที่อีกคนข้างๆ นั้นไม่มีทีท่าว่าจะลุกออกจากที่นั่งเลยหลังจากเสียงออดของโรงเรียนบอกถึงเวลาพักเที่ยงแล้ว

   “ว่า…..”

   “กินข้าวดิ่  เราหิวแล้วนะ”

   “อืมมม รออีกแปบได้ไหม ตอนนี้คนใน Canteen  ต้องเยอะแน่ๆ เลยอ่ะ ขี้เกียจไปเบียดกับคนอื่น เบสต์หิวแล้วหรอ”

   “ก็หิวนิดๆ อ่ะ แต่ก็จริงๆ แหละ รอแปบนึงก็ได้เนอะ”  เบสต์พูดออกไปอย่างเห็นด้วย แต่ก็ไม่วายที่จะมองหน้าไปที่อีกฝ่ายเหมือนกับกำลังค้นหาคำตอบบางอย่าง ก่อนที่จะพูดออกไป

   “ที่ยังไม่ยอมไปนี่กลัวเจอพวกพี่ๆ กลุ่มนั้นด้วยหรือเปล่า”

   ต้องหันกลับมามองหน้าเพื่อนสนิท สีหน้าดูเป็นกังวลพลางพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ

   “อืมม  ก็จริงๆ เมื่อเช้าที่เห็นเบสต์ยังกลัวเลย รุ่นพี่ไรก็ไม่รู้ตัวสูงกันอย่างกับเปรตแถมแต่ละคนหน้าโหดอย่างกับโจร  5555  ……  เอางี้ๆๆๆ  เดี๋ยวไปตึกสหกรณ์ด้านหน้าโรงเรียนกันป่ะ ลองไปหาไรกินกัน ขนมปังก็ได้”

   “เป็นความคิดที่ดี ช่วงนี้กินขนมปังกันทุกวันดีป่ะ !! ตอนเที่ยง  เดี๋ยวนี้ต้องก็ชักเบื่อข้าวที่ Canteen แล้วแหละ ไม่ค่อยอร่อยเลย”  ต้องพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน แล้วดึงเพื่อนให้ออกมาจากห้องเรียนนั้นด้วยกัน

   เบสต์เดินตามมา พร้อมกับมองหน้าเพื่อน พูดขึ้นมากึ่งหัวเราะ

   “อ่ะ !!!  เบื่อกับข้าวหรือกลัวพวกพี่พวกนั้นกันแน่อ่ะครับคุณเพื่อน”

   “กลัวอะไร  ไม่ได้กลัวเลยย จริงๆ นะเบสต์ ถ้าต้องอยู่กับไอ้พี่โหดๆ คนนั้นตัวต่อตัว ต้องต่อยหน้าแหกไปแล้ว”

   “จริงหรออออออออออ”  เสียงอีกฝ่ายตะโกนกลับมาเหมือนล้อเลียน  หัวเราะอย่างดังแล้วพูดต่อ

   “ฮ่าๆๆๆ เห็นเมื่อเช้าไม่เป็นแบบนี้นะ ทำไมต้องดูสั่นๆ อ่ะ …..แล้วนี่ตั้งแต่รู้จักกันมา เบสต์ไม่เคยเห็นต้องต่อยใครเลยนะ  ไหนๆ ลองกำหมัดดิ”

   “นี่ไง!!!!”  คนที่ถูกบอกให้ทำนั้น พูดขึ้นพร้อมกับกำหมัดข้างหนึ่งชูหราขึ้นมา เพื่อบ่งบอกถึงความแข็งแรงและแข็งแกร่งของร่างกายตัวเอง (อันมีอยู่น้อยนิด)  ให้เพื่อนที่เดินด้วยกันมาดู

   ทั้งคู่เดินไปอย่างหัวเราะสนุกสนานๆ  ลืมความรู้สึกกลัวกับเรื่องเมื่อเช้าที่เกิดขึ้นนั้นไปชั่วคราว  สำหรับต้องนั้น เบสต์คือเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาตั้งแต่คบกันมา สำหรับเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ต้องใช้ทุนการศึกษาของโรงเรียนมาเรียนตลอดนั้น และหนำซ้ำยังต้องมาอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ รายล้อมด้วยลูกคนรวยต่างๆ จึงน้อยมากที่ใครจะมาคบกับต้องด้วย มีเพียงเบสต์คนนี้คนเดียวเท่านั้นเอง ที่ถือว่าเป็นเพื่อนแท้และเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขา ณ ขณะนี้

   ทั้งสองคนเดินตรงไปที่ร้านค้าสหกรณ์ของโรงเรียน พลางกอดคอเดินกันไปคุยกันสนุกสนานอย่างออกรส โดยหารู้ไม่ว่า มีสายตาของผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่งจ้องมองมาอยู่

   “ไอ้เด็กคนที่ด่ามึงนี่หว่าไอ้วัจน์”   เสียงของเอก หรือเอกรุทธิ์ เพื่อนสนิทคนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้นั้นหันมองไปตามสายตาของเพื่อนอีกคนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นโดยไม่สนใจคำตอบของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับหันกลับไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกัน

   “ไอ้นันต์มึงรู้จักไอ้เด็กสองคนนี่หรือเปล่า” 

   “ไอ้คนตัวที่สูงกว่าหน่อยๆ นั้นเพื่อนของไอ้คนที่ด่าไอ้วัจน์เมื่อเช้า มันเรียนอยู่ห้องเดียวกัน เห็นว่าเป็นลูกของปลัดกระทรวงซักอย่าง กูจำไม่ได้ แต่ไอ้คนที่ด่าไอ้วัจน์เป็นแค่เด็กนักเรียนทุน กำพร้าพ่อแม่ เห็นว่ามีแค่พี่สาวคนเดียว ที่บ้านจน แต่เรียนเก่งเลยได้ทุนของโรงเรียนทุกปี”

   “มึงรู้ได้ไงละเอียดขนาดนั้น”  เอกถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ

   “ก็ไอ้วัจน์มันบอกว่าอยากจะจัดการไอ้เด็กปากเสียนั่น กูก็เลยถามไอ้น้องคนที่อยู่ในห้องเดียวกับมันมา………..”

   “เด็กนักเรียนทุนหรอ  อยู่ห้องคิงอีกต่างหาก กูอยากจะรู้นักถ้ามันเรียนเก่ง แต่มันจะไม่ได้ทุนเรียนอีก มันจะทำอย่างไง” 

   เพื่อนทั้งสามคนหันไปมองหน้าเพื่อนที่ยืนอยู่คนเดียวในกลุ่มที่พูดลอยๆ ขึ้นมา  แต่สายตายังคงจ้องไปที่เด็กสองคนที่เดินห่างออกไปทุกที

   “จะทำอย่างไง  มันก็ต้องไปเรียนที่อื่นว่าแต่มึงจะทำอย่างไงไม่ให้มันได้ทุนเรียนต่อล่ะ กูงง ??? ”  เอกพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้าวัจน์ที่ยืนอยู่

   “มึงอย่าลืม ไอ้พวกเงินบำรุงโรงเรียนรายปี  พ่อกูจ่ายปีละเท่าไหร่  ถ้าอาจารย์ไม่ยอมทำตามที่กูพูด เดี๋ยวกูก็บอกให้พ่อกูไม่ต้องให้เงินบำรุงซะก็แค่นั้น ง่ายๆ”   วัจน์เอ่ยขึ้นมา  ทำปากเหยียดมองอย่างเย้ยๆ กับสองเด็กน้อยที่ตอนนี้เดินลับห่างออกไปแล้ว

   “ค่าที่มันด่าใครไม่ดูซะก่อน” 

   “มันด่ามึงแค่นี้ทำไมมึงต้องแค้นไอ้เด็กนั่นซะขนาดนั้นวะ” เพื่อนอีกคนหนึ่งที่ชื่อบาส ที่ถือได้ว่าแทบจะไม่ค่อยออกความคิดเห็นในหมู่เพื่อนซักเท่าไหร่ พูดขึ้นมา

   “ก็ไม่อะไรมาก ช่วงนี้กูว่างเลยอยากหาไรสนุกๆ ทำ”  สุทธิวัจน์ตอบคำถามเพื่อนขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

   “โอ้โห !! เป็นเหตุผลที่ฟังดูขึ้นมากเลยครับไอ้คุณวัจน์  มึงจะจัดการมันให้เหมือนกับจัดการกับไอ้คนที่อยู่ในชมรมเราเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่า ไอ้นั่นมันต้องให้พ่อมันส่งมันไปเรียนเมืองนอกเลยนะมึง  55555”

   “ไอ้คนนี้เบาะๆ  ตัวเท่าลูกหมา กูไม่อยากแกล้งมันมาก แถมช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครให้กูแกล้งด้วย เดินไปทางไหนแม่งหัวหดกันหมด เจอไอ้นี่เมื่อเช้า กูเลยอยากไรทำเล่นๆ ซะหน่อย”

………………………………

   เสียงกริ่งของโรงเรียนตอนเวลาบ่ายสามโมงตรงในวันพฤหัสบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาของนักเรียนที่จะต้องเข้าไปอยู่ในชมรมของแต่ละคน แต่เพราะว่าเป็นช่วงเวลาแรกๆ ของการขึ้นเทอมใหม่ ทำให้นักเรียนในแต่ละชั้นปียกเว้นรุ่นพี่ ม.  6  เท่านั้น จะต้องไปสมัครเข้าชมรมใหม่ในแต่ละคนที่อยากจะไป แต่ละชมรมนั้น ล้วนคลาคล่ำไปด้วยนักเรียนของแต่ละชั้น

   เด็กสองคนกำลังเดินกึ่งวิ่ง  ไปทางด้านหลังของหอประชุมใหญ่ของโรงเรียน ซึ่ง ณ ที่ตรงนั้นเป็นอาคารโรงยิมสนามบาสของชมรมซึ่งแยกออกมาจากตัวอาคาร

   “ถ้าเต็มขึ้นมาทำไงเบสต์ เร็วๆ หน่อย”  เสียงคนที่ตัวเล็กกว่าด้านหน้ามองหันหลังกลับไปพร้อมกับดึงมือเพื่อนที่อยู่ด้านหลังให้ตามไป

   “ไม่เต็มหรอกน่า ชมรมนี้เค้ารับคนไม่จำกัด กี่คนก็ได้ จะเข้าทำไมไม่อ่านก่อน” 

   “อ้าว ……” ได้ยินดังนั้นต้องจึงชะงักหยุดวิ่งในทันที  ยังผลให้คนหลังเดินไปชนหลังคนข้างหน้าอย่างจัง

   “โอ๊ย จะหยุดทำไมบอกก่อน”  เบสต์เดินไปชนหลังต้องเต็มๆ

   “ถ้างั้นก็เดินไปก็ได้เนาะ ไม่ต้องวิ่งก็ได้”

   “ก็นั้นน่ะซิ่ ทำไมต้องวิ่งด้วย”

   “ก็ไม่รู้นี่นา นึกว่าเค้าจำกัดคนเข้าชมรมอ่ะ !!” 

   ทั้งสองคนเดินมาจนถึงในโรงยิมสนามบาส  ที่ตอนนี้มีทั้งชายหญิง เข้ามาสมัครในชมรมนี้ให้เต็มไปหมด สังเกตได้ว่านักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน ม. ต้นเกือบทั้งสิ้น

   “ทำไมคนเยอะจัง” เสียงต้องเอ่ยขึ้นมาขณะที่เดินมาอยู่ในโรงยิมเรียบร้อยแล้ว

   “นั้นซิ่ คนเยอะจัง” 

   “ไปที่โต๊ะพี่พวกนั้นเหอะ  เราไปต่อแถวดีกว่านะ” 

   แถวอันยาวเหยียดนั้น เลยมาจนถึงเกือบจะกลางสนามบาสในโรงยิม ต้องกับเบสต์ถือบัตรนักเรียนออกมา เพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานในการสมัคร แต่ก่อนที่เค้าจะเข้าไปต่อแถวนั้น รุ่นพี่ ม. 6 ผู้หญิงที่เค้าเคยเห็นหน้าบ่อยๆ และรู้สึกว่าจะเป็นนักบาสตัวจริงของโรงเรียนด้วย ยื่นเอกสารมาให้เค้าทั้งสองคนพร้อมกับส่งยิ้มให้

   “น้องสองคน ม. ต้นหรือเปล่าจ๊ะ ถ้า ม. ต้น ต้องไปต่อแถวอีกแถวหนึ่งนะ  อันนี้เป็นของ ม. ปลายค่ะ” 

   “เอ่อ !!!!  พวกผมสองคนม. 5 แล้วครับ ม. ปลายต้องต่อแถวนี้ไม่ใช่หรอครับ”  เสียงของต้องอ้อมแอ้มพูดออกมากับรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้า

   “หา !!!!  ม. 5 หรอ”   เสียงตอบกลับมาเหมือนไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย และก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากที่มีคนเข้าใจเค้าสองคนผิดๆ บ่อยเรื่องเกี่ยวกับทำนองนี้

   “เอ่อๆๆ  พี่ขอดูบัตรนักเรียนได้ป่ะ” 

   “นี่ครับ”  ทั้งสองคนพูดพร้อมกับพร้อมกับยื่นบัตรนักเรียนให้พี่ผู้หญิงที่อยู่ตรงด้านหน้านั้น

   “เออ !!  ม. 5 จริงด้วย  ขอโทษด้วยนะคะเข้าใจผิดเลย ถ้างั้นเอางี้นะ  เดี๋ยวไม่ต้องต่อแถวหรอก มากับพี่เลยเดี๋ยวพี่จัดการทำเรื่องสมัครให้ ในฐานะที่เข้าใจน้องสองคนผิด ดีป่ะ ?”

   ทั้งสองคนยิ้มแป้นมาเลยทันทีเพราะว่าไม่ต้องต่อแถวยาวๆ แบบนั้น  และในความรู้สึกของต้องนี้พี่ผู้หญิงคนนี้รู้สึกจะใจดีกับเค้าสองคนเป็นพิเศษ

   “ดีครับ ขอบคุณมากๆ เลย”

   พี่ผู้หญิงที่ใจดีคนนั้น เค้ามารู้จักที่หลังว่าชื่อพี่พลอยใช้เวลาในการสมัครให้เค้าทั้งสองคนเพียงแค่เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น หลังจากกรอกเอกสารเพียงไม่กี่ใบ  ก่อนจะยื่นบัตรที่เป็นกระดาษแข็งๆ กลับมาให้เค้าทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะ

   “อ่ะ นี่ค่ะ  พี่ให้บัตรในการเข้าโรงยิมของเราไปก่อน เริ่มแรกคนที่เข้ามาอยู่ในชมรมของเราใหม่ๆ  จะได้บัตรสำรองไปก่อนนะคะ  แล้วเดี๋ยวพี่จะให้วัจน์ที่เป็นประธานชมรมเค้าจะเอาบัตรจริงมาแจกให้ทีหลังค่ะ”  พี่พลอยพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ทั้งสองคน

   …………แต่สิ่งที่  ทั้งสองคนได้ยิน กับไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับบัตรในการเข้าชมรม แต่เป็นชื่อของบุคคลที่สามที่พี่พลอยเอ่ยขึ้นมาต่างหาก  ตะโกนเสียงดังถามกลับไป

   “ว่าไงนะครับ ….. พี่ที่เป็นประธานชมรมชื่ออะไรนะครับ” ต้องถามขึ้นกับพี่ที่นั่งอยู่ด้านหน้า

   “วัจน์ค่ะ พี่สุทธิวัจน์ พี่ ม. 6/1 ……..”

   ทั้งสองคนหน้าซีดพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย  ต้องมองหน้าเบสต์อีกครั้งพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างแสนจะยากเย็น ว่าจะพยายามหลบให้ได้มากที่สุดแล้ว แต่ดันกลับมาเจอกันในชมรมเดียวกันอีก

   “เอ่อ !!! ๆๆๆ  พี่พลอยครับ ผมขอโทษด้วย ถ้าผมขอถอนรายชื่อออกตอนนี้ได้ไหมอ่ะครับ คือ ผะ – ผะ – ผม…….”  น้ำเสียงของต้องตะกุกตะกักอย่างชัดเจน

   “!!!  ไม่ได้ !!!!!”  เสียงที่อยู่ด้านหลังของพี่พลอยที่นั่งอยู่ ทำให้ทั้งสามคนต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน
   “อ้าว ….วัจน์นี่เอง  ไหนบอกว่าวันนี้จะไม่เข้าชมรมก่อนไง”  พลอยแหงนหน้ามองขึ้นไปพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทักเพื่อนที่เดินเข้ามาใหม่อย่างสนิทสนม

   “ก็อยากมาดูเด็กใหม่ซะหน่อย ว่าจะเป็นไงบ้างก็แค่นั้น เห็นมีบางคนเดินเข้ามาในโรงยิมพอดี  ก็เลยอยากมาดูเท่านั้นแหละ”   วัจน์พูดขึ้นโดยไม่ได้มองหน้าพลอย แต่จ้องเขม็ง ราวกับจะให้อีกฝ่ายกลัว มองไปยังร่างเล็กของอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันกับโต๊ะที่ตั้งขวางอยู่

   ตอนนี้ต้องทำตัวอะไรไม่ถูก เมื่อรู้ว่าถูกจ้องหน้าด้วยสายตาพิฆาตแบบนั้น ก้มหน้าลงไปทันที ใจเต้นไปหมดด้วยความกลัว

   “ถ้างั้นก็ดีเลย  นี่ๆๆ แนะนำให้รู้จักน้องใหม่สองคน  คนนี้ชื่อเล่นชื่อต้อง ส่วนอีกคนชื่อเบสต์ …….  น้องต้อง น้องเบสต์คะ  นี่พี่วัจน์ค่ะ  ประธานชมรมบาสของเรา  รู้จักกันไว้นะ”   พี่พลอยเอ่ยขึ้น พร้อมกับหันกลับมามองหน้าทั้งต้องและเบสต์  เพื่อเป็นการแนะนำให้อีกฝ่ายได้รู้จัก

   “เอ่อ !!!! หวัดดีครับพี่วัจน์”   เบสต์พูดขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้

   แต่ตอนนี้ต้องเอาแต่ก้มหน้า  เพราะทำตัวอะไรไม่ถูกไปหมดแล้ว

   เสียงตะคอกกลับมา ทำให้เขาต้องสะดุ้งสุดตัว

   “เฮ้ย !!! มึง  ไม่รู้จักมารยาทไงวะ”  เสียงของพี่วัจน์นั้นเองที่ตะคอกกลับมา 

............................

หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:46:52
ตอนที่ 4

 “เอ่อ !!!! หวัดดีครับพี่วัจน์”   เบสต์พูดขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้

 แต่ตอนนี้ต้องเอาแต่ก้มหน้า  เพราะทำตัวอะไรไม่ถูกไปหมดแล้ว

 เสียงตะคอกกลับมา ทำให้เขาต้องสะดุ้งสุดตัว

“เฮ้ย !!! มึง  ไม่รู้จักมารยาทไงวะ”  เสียงของพี่วัจน์นี่เองที่ตะคอกกลับมา

“สะ.......สะ....สวัสดี....ครับ”   เสียงสั่นเลย

“จะเข้าชมรมนี้หรือมึง”  คนที่ตัวสูงกว่าก็ยังตะคอกกลับมาเหมือนเดิม โดยไม่สนใจว่าคนที่ยืนตัวงอๆ อยู่นั้นจะกลัวหรือเปล่า

“ครับ”  เบสต์เห็นท่าทางไม่ค่อยดี ก็เขาเห็นเหตการณ์ตั้งแต่ตอนที่เข้าแถวแล้ว เลยตอบแทนเพื่อนไป ก็ตอนนี้พี่เค้าเล่นจ้องซะจนเกือบจะกินต้องได้อยู่แล้ว

“เพื่อนกูไม่ได้ถามมึง......เงียบไป”    คนที่อยู่ข้างๆ พี่วัจน์ตัวสูงพอๆ กันเลย ตอบกลับมา  ทำให้เบสต์ก็ต้อง
เงียบไปเหมือนกัน..... แตในใจก็คิด  ผมก็ไม่ได้ตอบพี่ซะหน่อย  ตอบพี่วัจต์ต่างหาก

“....คะ....ครับ”  เสียงของต้องยังตะกุกตะกักอยู่เลย   ก็ตอนนี้พอยืนใกล้ๆ กันขนาดของร่างกายมันต่างกันอย่างมากเลยนี่นา

“มึงจะพูดครับ  หรือมึงจะพูดคะ.......เอาซักอย่างดิ !  ชมรมกูไม่รับตุ๊ด”   คราวนี้พี่วัจน์สุดหล่อของใครๆ  ทั้งตะคอก ทั้งด่าเลย  เป็นใครก็ทนไม่ไหวหรอก  จะตะคอกจะดุอะไรก็ไม่ว่ากัน  แต่ทำไมจะต้องว่าเขาเป็นตุ๊ดด้วยล่ะ  เมื่อเช้าในห้องน้ำก็ทีหนึ่งแล้ว  มาตอนเย็นนี่อีก  แค่ภายในวันเดียวว่าเขาถึงสองครั้ง  ถึงรู้ว่าถ้าเกิดตอกกลับไป คงไม่ได้อยู่ชมรมนี้แน่ๆ  แต่ก็ใช่ว่าชมรมอื่นจะไม่มีซะหน่อย  ถ้าเกิดด่ากลับไปอย่างมากก็โดนต่อยกลับแค่นั้นแหละ..........ไม่กลัวหรอก

“ผมไม่ใช่ตุ๊ด..... ที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะผมกลัวพี่ต่างหากล่ะ  แต่ถ้าว่ากันแบบนี้ผมก็ไม่ชอบ  ถ้าไม่อยากให้ผมอยู่ชมรมพี่ผมไม่อยู่ก็ได้ .....  ไปเบสต์...ไปอยู่ชมรมอื่นกัน........ประธานชมรมนิสัยแย่ๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องอยู่มันหรอก....”   ช่วงสุดท้ายต้องตอบกลับไปหันหน้าบอกกับเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกัน  พร้อมกับจับมือเบสต์ออกมา  แต่สิ่งที่ทุกคนตกใจไม่ใช่เพียงเพื่อนๆ ของไอ้ประธานชมรมนี้เพียงแค่นั้น แต่ทุกคนในแถบนั้นเกือบทั้งหมด  ตกใจกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นกันมากกว่า

   เด็กตัวเล็กๆ ขนาดนั้นกล้าว่าคนที่ถือได้ว่ามีอิทธิพลต่อกลุ่มนักเรียนในโรงเรียนนี้ต่างหากล่ะ....แต่แค่นั้นยังไม่พอ สิ่งที่คนอื่นตกใจรอบสองกับการกระทำที่อาจจะถือได้ว่ากล้าเกินตัว ต้องเอากระดาษใบสมัครเขวี้ยงลงไปที่พื้นต่อหน้าคนที่ถูกว่านั่นต่างหาก 

   เพียงขว้างกระดาษลงไปแค่นั้นเขาก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกแล้ว  ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยโมโห เคยเกลียดใครขนาดนี้มาก่อน แถมยังไม่เคยทำในสิ่งที่เสียมารยาทขนาดนี้ด้วย  เบสต์ได้แต่มองยืนตกใจเหมือนกันตอนที่ถูกต้องลากออกมาจากที่แห่งนั้น .......แต่ถ้าต้องหันกลับมามองซักนิด  ก็จะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นผิดถนัด......และผิดอย่างมาก....  เขาอีกคนที่ถูกว่าตอนนี้จากใบหน้าที่หลายๆ คนเคยบอกว่าหล่อ  กัดกรามแน่นจนเป็นสันขึ้นมาจนดูน่ากลัวจนคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้
   
   “มึงทำแบบนี้....แล้วกล้าเดินหนีกูหรอ”   เสียงดังออกมาจากข้างหลัง  แม้ต้องจะไม่หันไปแต่ก็รู้ได้เลยทันทีว่าเป็นใคร



 

ตอนที่ 4.2   
ไม่สนแล้วครับ  จะว่าอะไรก็ว่าไปซิ่ จะโดนต่อยก็ไม่กลัวหรอกตอนนี้   เดินออกมาไกลแล้วแต่ก็ยังได้ยินเสียงตะโกนของมันอยู่เลย ขอเรียกในใจแทนตัวไอ้พี่วัจน์บ้านี่ว่า “มัน” นี่แหละ  เหมาะแล้ว อย่าให้เป็นรุ่นพี่ที่น่าเคารพเลย  หล่อซะเปล่า รวยซะเปล่า แต่นิสัยแย่ซะยิ่งกว่าพวกกุ๊ยข้างถนนเสียอีก

   “มึงคิดว่ามึงเป็นใคร กล้าด่ากูแล้วเดินหนีหรอไอ้สัตว์”   ไอ้บ้าอำนาจนี่มันเดินตามจริงๆ ด้วย เอาซิ่  ผู้ชายเหมือนกัน ถึงจะตัวเล็กกว่าก็เถอะ รุ่นพี่ก็รุ่นพี่เถอะครับ ตอนนี้ผมไม่กลัวหรอก  แต่ทำไมมือเบสต์ที่ผมจับอยู่นี่ต้องสั่นด้วยล่ะ  มือเบสต์หรือผมล่ะครับ ที่มันสั่นน่ะ

   “ต้อง... วิ่งก่อนเหอะ !!  พี่เขามานั้นแล้ว”  เบสต์บอกผมให้หนีก่อน  แต่ถ้าหนี ก็หนีตลอดนั้นแหละ  ไหนๆ ก็คงหนีไม่พ้นหรอก  สู้ไปเลยซิ่  กลัวอะไร

   “ไม่....!!!!”   ผมหันหลังกลับไปยังต้นเสียงที่เดินเข้ามาใกล้ๆ ทุกที ........ทำไมตอนนี้ไอ้รุ่นพี่คนนี้หน้าตามันน่ากลัวจังล่ะ

   “ผมไม่ได้เดินหนีพี่....แต่ทำไมผมต้องอยู่ด้วยล่ะ ถ้าไม่อยากให้อยู่ชมรมพี่ พี่ไล่ผมไปดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้อต้องด่ากันนี่ .... พี่คิดว่าคนอย่างพี่ด่าคนอื่น.. ว่าคนอื่นได้อย่างเดียวหรือไงล่ะ... ทำไมผมถึงจะด่าพี่ไม่ได้ล่ะ....ด่ามาก็ด่ากลับก็ถูกต้องแล้วนี่”  ผมว่าเสียงผมตอนนี้ดังไม่ต่างอะไรกับมันหรอก

   “แล้วมึงคิดว่ามึงเป็นใครไอ้เด็กนักเรียนทุนกระจอกๆ อย่างมึง กล้าด่ากูหรอ.... สองรอบแล้วนะมึงวันนี้...วอนหาเรื่องกูหรอ”   มันเดินมาใกล้ผมยังไม่พอ แถมกระชากคอเสื้อผมจนตัวเกือบลอยอีกต่างหาก  ดีหน่อยแถวนี้คนมีค่อนข้างน้อย  เลยไม่ค่อยมีคนเห็น.... แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ  คนที่อยู่แถบนั้นทั้งหมดตอนนี้มองมาที่ผมเป็นตาเดียวแล้ว

   “ก็แล้วทำไมพี่ต้องว่าผมด้วยล่ะ ....ผมไปทำอะไรให้ล่ะ”  ผมว่าเสียงผมไม่สั่นนะ  แต่ทำไมตอนพูดออกไปเหมือนมันสั่นๆ ก็ไม่รู้  ตอนนี้มีกันอยู่สามคนที่อยู่เป็นตรงกลางไข่แดงอยู่ตรงนั้น  คือตัวผมเอง  เบสต์ แล้วก็มัน

   “พี่วัจน์ครับผมขอโทษ ....ปล่อยเพื่อนผมไปเถอะ” เสียงเพื่อนผมเองนั้นแหละ ที่เป็นคนขอร้องมัน  แต่ก็ไม่คิดว่าเสียงตะคอกของมันจะดังขนาดนี้

   “มึงไม่ต้องเสือก ถ้าไม่อยากเจ็บตัวอยู่เฉยๆ ไว้........ส่วนมึง !!! มานี่”  มันกระชากคอเสื้อผมไม่พอ แถมตอนนี้มันยังทั้งดึงทั้งลากผมไปยังหลังตึกเก่าของโรงเรียนนั้นอีก ....มือที่มันบีบทั้งคอเสื้อผม ทั้งต้นแขนผมตอนนี้มันเริ่มเจ็บแล้ว.....  มันจะทำอะไรน่ะ.... ผมก็กลัวนะ....  ไอ้บ้านี่มันเป็นใคร...ถึงทำแบบนี้กับคนอื่นล่ะ

   “ปล่อยผมนะ...!!!  ถ้าไม่ปล่อยผมไปฟ้องอาจารย์จริงๆ ด้วย”  ตอนนี้จะมีอย่างเดียวก็คืออาจารย์แล้วแหละครับที่ช่วยผมได้น่ะ

   “อ้อ ...  มึงคิดหรอว่าอาจารย์จะช่วยมึงได้น่ะ  ...มึงเก่งนัก มึงก็มานี่... กูอยากรู้เหมือนกันว่าเก่งๆ แบบมึงจะเก่งได้ซักกี่น้ำ...  ตัวเล็กเท่าลูกหมา กูไม่อยากต่อยให้เสียมือ”   จริงหรอ มันไม่ต่อยผมหรอ.... ดีหน่อย  ถ้ามันต่อยผมผมจะไปสู้มันได้อย่างไงล่ะ แค่ขนาดมือก็ต่างกันลิบลับแล้ว

   “ปล่อยผมนะ.... ไอ้บ้า...!!!!  ใครก็ได้ช่วยด้วยยยยย!!”  ตอนนี้ไม่สนแล้วครับ  จะว่าอ่อนแอ จะว่าขี้ขลาดก็ตามเถอะ พอเอาเข้าจริงๆ  ก็ไม่คิดว่าไอ้นี่จะแรงเยอะขนาดนี้นี่....  ถึงตั้งแต่ผมเกิดมาจะไม่เคยต่อยไม่เคยเตะกับใครก็ตามเถอะ แต่ถ้าให้ป้องกันตัวผมก็ทำเป็นนี่....  ถ้าเตะต้นขามัน  ผมก็วิ่งหนีทันนั้นแหละ

   “โอ๊ย !!!”  เสียงร้องของมันนั้นแหละครับ  ถึงขาผมจะเล็ก ผมก็เตะขามันได้  มันปล่อยมือผมแล้ว  พรุ่งนี้ถ้าเจอมันค่อยว่ากัน ...ตอนนี้ขอหนีก่อนล่ะ

   “โอ๊ย !!!” คราวนี้เป็นเสียงร้องของผมเอง  วิ่งหนีมันได้นิดเดียวทำไมมันกระชากคอเสื้อผมจากด้านหลังอะไรได้เร็วขนาดนี้ล่ะ

   “มึงกล้าเตะกูหรอ.... มึงมานี่ไอ้สัตว์.....  อยากตายใช่ไหม”  ผมไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรแต่ตอนนี้มันยกตัวผมขึ้นไปอยู่บนอ่างล้างหน้าข้างๆ ตึกแล้ว

   “ไอ้คนนิสัยไม่ดี..... ไอ้เลว....วันๆ เอาแต่แกล้งคนอื่น”   รู้แล้วว่าตอนนี้หนีไม่พ้น  เป็นไงเป็นกันซิ่  มันคนเดียวหรือไงที่ด่าคนอื่นได้.... ผมก็ด่ามันได้แค่นั้นแหละตอนนี้  มือมันข้างที่ว่างตอนนี้มาบีบคางผมจนแน่นแล้ว เมื่อเช้าโดนเพื่อนมันไปรอบหนึ่งยังเจ็บไม่หายเลย ตอนนี้มาโดนมือมันอีกรอบแถมหนักกว่าอีก ให้ไงมันก็เจ็บซิ่  มือผมจะแกะก็แกะไม่ออก  ไอ้ผู้ชายคนนี้มันไปนิสัยเสียมาจากไหน 

   “ปากดีนักนะมึง.....ด่ากูหรอ...เอาดิ่ !!!!  ด่าอีกดิ่  ด่ากูดิ่  เดี๋ยวมึงจะได้รู้ว่ากูจะทำไงกับไอ้คนที่มันกล้าด่ากู”

   “ละ....ละ....เลว !!!!!”    ถึงปากผมจะเจ็บอย่างไง  มือมันจะบีบคางผมแน่นขนาดไหน แต่ถ้าทำนิสัยเสียๆ แบบนี้ก็ขอด่ามันหน่อยเหอะ

   “............”   มันไม่พูดครับ แต่ตอนนี้ถ้าผมเคยเห็นหน้ามันมาก่อน หน้าตามันน่ากลัวกว่าตอนที่มันด่าผมซะอีก   มันมองหน้าผมแค่นั้นแล้วเอามือข้างที่ว่างไปเปิดก๊อกน้ำ  จนน้ำมันพุ่งมาโดนตัวผมเปียกไปเกือบหมด

   “ด่ากูหรอ .....มานี่ กูล้างปากให้”    มันพูดจบแค่นั้น พร้อมกับกดหัวผมลงไปจนปากผมมันกระแทกกับก๊อกน้ำ จนได้รสชาติเค็มๆ ปากผมต้องแตกแน่ๆ เลย มันทำแค่นั้นไม่พอ แต่ปากผมที่ถูกบังคับให้เปิดอยู่แล้วจากแรงบีบที่มือของมัน ทำให้รับน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกน้ำนั้นอย่างเต็มๆ

   ทั้งมือทั้งขาผมตอนนี้ป่ายแปะไปทั่ว ทั้งถีบ ทั้งดึง  มืออีกข้างก็พยายามดึงมือมันออก มืออีกข้างก็พยามปิดปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้โดนน้ำที่เข้ามาในปาก  แต่เพียงแค่เสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้น มือผมทั้งสองข้างก็ถูกไพ่ไปทางด้านหลังแล้วโดนมันจับเอาไว้ด้วยมือเดียว

   “อื้.อออ......ปะ....ปล่อยนะ”   ตอนนี้เสียงผมมันอู้อี้ไปหมดแล้วทั้งเจ็บปาก เจ็บคาง แถมยังมีน้ำเข้ามาในปากอีก  จนำสำลักไม่รู้กี่รอบ

   “ฮ่าๆๆๆ เป็นไงมึง... ปากสะอาดหรือยัง  ถ้ายังกูจะได้ล้างให้อีก”  เสียงมันนั้นแหละที่หัวเราะอยู่เหนือหัวของผมอยู่

   “สันดานเสียยยยยย!!!”  เสียงผมมีอยู่เท่าไหร่ตะโกนด่ามันไป  ....ก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนอกจากด่ามัน

   “เอ้า...!!! ปากยังสกปรกอยู่อีกนะมึง   ได้.... เดี๋ยวกูล้างให้อีก”    มันเปิดน้ำแรงขึ้นกว่าเดิม  จนกระแทกมาโดนทั้งปากทั้งหน้าผมเต็มไปหมด.... ไม่ไหวแล้วครับ  เจ็บ...  แสบด้วย...   กลัวด้วย  ทั้งเนื้อตัวผม ตอนนี้เปียกน้ำไปหมดแล้ว แต่เหมือนว่าตัวมันจะเปียกเสื้อกับแขนเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง

   “ปล่อยยยย.....  ปล่อยนะ...ฮึก...ฮือๆๆๆ ปล่อยนะ”   ทนไม่ไหวแล้ว.... ตอนนี้ไม่รู้ว่าน้ำ กับน้ำตาผมมันไปรวมกันอยู่ตรงไหนบ้าง ปนกันไปทั่วหมด  ทั้งเจ็บตัวแล้วก็เจ็บใจที่ทำอะไรมันไม่ได้มาก  อย่างมากก็แค่ด่าไปแค่นั้นเอง

   “มึงเก่งไม่ใช่หรอ .... เห็นว่า  เห็นด่ากูได้ตลอด ... แค่นี้มึงจะร้องไห้ทำไม...... เงียบ!!!!”  เสียงตะคอกของมันตอนนี้ผมไม่รู้หรอก ทั้งจุก ทั้งแสบจนสำลักน้ำไปไม่รู้กี่รอบแล้ว   ไอ้คนนี้มันมีสิทธิ์อะไรมาทำกับคนอื่นได้ขนาดนี้

   “ฮือๆๆๆ.... ใจดำ.... ผมไปทำอะไรให้พี่ล่ะ..... พี่ด่าผมก่อนแท้ๆ  เมื่อเช้าผมก็อยู่ของผมเฉยๆ แค่เข้าห้องน้ำแค่นั้นเองพี่ก็หาว่าผมร่าน.... ผมกลัวพี่ผมไม่ค่อยกล้าพูดพี่ก็หาว่าผมเป็นตุ๊ด.... พอผมว่าเข้าให้บ้างพี่ก็โกรธ.....  ผมขอโทษ... พอใจยัง....ปล่อยผมซิ่.....ผมจะกลับบ้าน...”  ไม่ไหวหรอกครับ ตอนนี้ทั้งสะอื้นทั้งร้องไห้ ผมไม่ผิดแท้ๆ  ผมยังต้องขอโทษมันอีก  ถึงมันจะชะงักไปนิดหนึ่งก็เหอะ   ....... แต่หน้าตาอย่างมันไม่สำนึกหรอก  แถมเนื้อตัวตอนนี้ก็เปียกไปหมดทั้งตัว  กระเป๋านักเรียนที่ถือติดมายังเปียกอีก  หนังสือข้างในไม่ต้องพูดถึงไม่เหลือดีแล้ว..   ตอนนี้มันเลิกบีบคางผมแล้ว แต่ยังกำคอเสื้อผมแน่นอยู่เลย
   “ทีหลังจะเล่นกับใครมึงหัดดูคนด้วย....  ตัวเท่านี้อย่าซ่าให้มากนัก.... อย่าคิดว่าร้องไห้แล้วกูจะให้อภัยมึง..... จำเอาไว้ไอ้ต้อง......”  มันพูดจบแค่นั้น   มันก็ดึงแผงอกเสื้อตรงด้านขวาผมขึ้นมา

   “ต้องชนัญ  บุญ...........”    มันเรียกชื่อผม  แต่ค้างอยู่แค่ที่นามสกุลแค่นั้น.......   มันจะอ่านนามสกุลผมเห็นได้อย่างไรล่ะ   ตอนที่มันถูลู่ถูกังผมมา  เสื้อผมไปเกี่ยวกับอะไรก็ไม่รู้จนขาด และก็แสบไปหมด  แต่ก็เหมือนโชคดีนั้นแหละมันจะได้รู้แค่ชื่อผมแค่นั้น  อย่าให้มันรู้จักผมไปมากกว่านี้เลย

   “มึงนามสกุลอะไร......!!!!”  นึกว่าจะจบ   เสียงมันตะคอกมาอีกแล้ว   ไม่รู้เป็นบ้าอะไรนักหนา ผมจะเป็นลูกของใคร  นามสกุลอะไร เกี่ยวอะไรกับมันล่ะ หรือว่ามันต้องการรู้เอาไว้แกล้งผมต่อไปอีก  ..... ไม่เอาหรอกนะ

   “ยุ่งอะไรด้วยล่ะ”   

   “กูถามดีๆ  มึงอยากเจ็บตัวอีกหรอ” 

   “บอกไปพี่จะรู้จักหรือไงล่ะ.... นามสกุลผมไม่ได้ดังอย่างพี่หรอก” 

   “มึงจะตอบกูดีๆ  หรือมึงอยากจะตอบหลังโดนกูบังคับให้กินน้ำอีก” มันขู่ผมครับ

   “บุญวีระ”   นามสกุลที่ผมตั้งเองเมื่อกี้  โกหกมันไว้ก่อนนั้นแหละดีแล้ว

   “ถ้ากูไปค้นชื่อมึงที่ห้องทะเบียน  แล้วมึงไม่ได้นามสกุลนี้กูอัดมึงหนักกว่านี้แน่.....”  ตอนนี้มันพูดพร้อมกับปล่อยคอเสื้อออกไปจากตัวผมแล้ว  ถ้าใครมาเห็นสภาพผมตอนนี้คงทั้งสมเพชแล้วก็สงสารปนกันทั้งสองอย่าง  ตอนนี้ตามันคงบวมเพราะร้องไห้ แถมเนื้อตัวยังเปียกมอมแมมขนาดนี้อีก 

   มันเดินห่างจากผมไปแล้วครับ แต่ผมยังไม่กล้าลงมาจากอ่างน้ำตรงนี้หรอก ให้มันไปไกลๆ ก่อนตอนนี้ผมไม่รู้ว่าที่ขาไปกระแทกกับอะไรเข้า  เจ็บ... ไม่รู้ว่าจะเดินลงไปไหวหรือเปล่าด้วย คงทุลักทุเลน่าดู

   “พรุ่งนี้มึงเข้าไปที่ชมรมบาส ... พร้อมกับเพื่อนมึงนั้นแหละ  ...... ถ้ากูเห็นมึงไปสมัครชมรมอื่นกูจะซัดให้หนักกว่าวันนี้อีก”  ขนาดเดินออกไปแล้วมันยังจะหันมาพูดกับผมอีก

   “ผมจะไปอยู่ชมรมอื่น”  ใครจะอยากอยู่กับมันล่ะ

   “มึงมีสิทธิ์เลือกไหมล่ะ” 

   “ผมไม่สมัคร”   .......  เสียงยังสั่นอยู่ กลัวก็กลัว แต่ถ้าให้อยู่ชมรมเดียวกับมันผมไม่อยู่หรอก

   “กวนตีนนะมึง.......  อยากโดนอีกใช่ไหม”   มันไม่พูดเปล่าแถมยังเดินมาหาผมอีก

   “ก็ได้  ......กี่โมง”  กลัวครับ บอกมันไปก่อนก็ได้ 

   “สี่โมงครึ่ง...... ถ้ามึงไม่มา....”   มันพูดแค่นั้น แต่มันเอามือทำท่าปาดคอ  .......เหอะๆ  ก็น่ากลัวอยู่หรอกครับ   

   มันเดินออกไปแล้ว.....  ผมไล่เก็บหนังสือที่ตกอยู่ในอ่างน้ำนั้นเรื่อยๆ  หนังสือทุกเล่มของผมเปียกหมด  สมุดการบ้านผมก็เปียกหมด  เนื้อตัวตอนนี้ไม่มีส่วนไหนเลยที่แห้ง  ....ลองเอามือแตะที่ปากดูนิดๆ  ก็เจ็บเหมือนกัน...  ใจดำ.......   ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเจอใครใจดำขนาดนี้มาก่อนเลยนั้นแหละ

   ผมไม่รู้ว่าน้ำตาผมไหลมาอีกตอนไหน  จากน้ำตาไหลธรรมดาก็กลายเป็นร้องไห้  แล้วก็สะอื้นอยู่อย่างนั้น 
ผมเจ็บนะ..... เจ็บใจด้วย  พรุ่งนี้ยังต้องเจอมันอีก  มันเล่นบังคับกันซะขนาดนั้น .....   ผมไม่อยากร้องไห้ ผมกลัว.... ทุกครั้งที่ผมร้องไห้....  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่  ......ถ้ากลับไปบ้าน ...กลับไปนอนในห้องที่ผมอยู่คนเดียว.... ผมจะฝันร้ายซ้ำอีก.....  ผมไม่อยากฝันร้ายแบบนั้น........ ผมไม่อยากฝันร้ายกับเรื่องเดิมๆ อีก

   .....วันนี้ผมร้องไห้ เพราะเจอไอ้คนที่คนอื่นปลื้มมันนักหนาแกล้ง.....  แต่ขออย่าให้ผมกลับไปนอนฝันร้ายเลยนะ
   เจ็บจัง.....   เหนื่อยด้วย.....  ทำไมคนๆ หนึ่งถึงได้ทำร้ายคนๆ หนึ่งเพียงแค่ตัวเองต้องการคำว่าชนะได้ถึงขนาดนี้ด้วย   ....... ทำไมต้องนี้ถึงเงียบขนาดนี้ .....ผมกลัว...กลัวที่สุดเลย  อยากกลับบ้าน อยากกลับไปกอดแม่......  กรุงเทพฯ มันไม่น่าอยู่หรอกสำหรับผม......แต่ถ้ากลับไปอยู่บ้าน....แล้วคนที่บ้าน..บ้านนั้นมันไม่ใช่ของผมนี่.... คนอื่นเค้าก็ไม่อยากต้อนรับผมนี่.......  มีเพียงแม่ผมแค่นั้นเอง...... ที่ต้อนรับผม....ส่วนอีกคนหนึ่งเค้าไม่เห็นอยากจะต้อนรับผมเลย .....อีกคนหนึ่งเค้าเกลียดผมไม่ใช่หรอ

   “ต้อง”...  เสียงเรียกทำให้ผมต้องหันกลับไป  เพื่อนรักผมนั้นเอง

   “เบสต์”    ผมหันกลับไป แต่กลับเจอสิ่งที่น่าตกใจกว่า

   “เบสต์...... ทำไมเป็นแบบนี้....ใครแกล้งเบสต์ ทำไมเนื้อตัวเปื้อนแบบนั้น....  ทำไมแล้วทำไมปากถึงบวมแบบนั้น”     ทั้งเบสต์และผมมองหน้ากัน ความเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปีทำให้รู้ว่าต่างฝ่ายต่างโดนแกล้ง ผมเป็นคนร้องไห้ง่าย  และเพื่อนรักผมคนนี้ก็ร้องไห้ง่ายด้วยอีกเช่นกัน  แค่จับมือแค่นั้น  เบสต์ก็เบะปากแล้ว......น้ำตาไหลออกมาทันที

   “ต้อง....พี่วัจน์ทำอะไรต้องขนาดนี้....เดี๋ยวเบสต์ช่วย...ลงมาก่อนนะ.. นะ... จับดีๆ นะ”  เพื่อนผมไม่บอกหรอกว่าโดนใครแกล้งมา  แต่จะเป็นใครได้ล่ะ ก็คงเป็นพวกเพื่อนๆ ของมันนั้นแหละ 

   “ฮึก....ฮึก....เจ็บ....ต้องเจ็บขา”    ตอนนี้ร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนก็ไม่อายหรอก  ร้องไห้บ่อยจะตายไม่เห็นเป็นไรเลย

   “เกาะเบสต์นะ.... ช้าๆ”  เบสต์ยื่นตัวมาใกล้ๆ ผมให้เกาะ แต่ตอนนี้ทั้งตัวผมและตัวเบสต์แย่พอๆ กันเลยแหละ   กว่าจะลงมาได้ก็แย่พอๆ กันทั้งคู่  ผมพยายามพยุงตัวเองให้ได้มากที่สุด และไม่เอาน้ำหนักตัวลงไปใกล้ๆ กับเบสต์มากนัก ถึงเบสต์จะตัวสูงกว่าแต่ถ้าเรื่องความหนาของตัวแล้ว ผมกับเบสต์ไม่ต่างกันเลย

   “เจ็บไหม / เจ็บไหม”  ถามพร้อมกัน...............  ทั้งเบสต์และผมพยักหน้าให้กันทั้งคู่  ไม่ถามหรอกว่าโดนใครแกล้ง  ไม่ถามหรอกว่าโดนอะไรมา ....เพราะแค่นี้ก็แย่พอแล้ว

   “กลับบ้านนะ...ฮึก.....  กลับบ้านกันก่อนนะคืนนี้ต้องไปนอนบ้านเบสต์นะ.....  เดี๋ยวเบสต์ให้คนที่บ้านมารับ ฮือๆๆๆๆๆ  อย่าร้องไห้นะต้องนะ  ห้ามร้องไห้นะ”   เบสต์ปลอบผมทั้งๆ ที่ตัวเองก็ร้องไห้อยู่

   “อือๆๆ เบสต์ด้วย....ฮึก... เบสต์อย่าร้องนะ....”  ผมปลอบเบสต์กลับไป แต่คนที่ร้องไห้หนักกว่ากลับเป็นผมเอง

   “คืนนี้.....ต้องห้ามฝันร้ายนะ....ถ้าฝันร้าย....เบสต์จะอยู่ข้างๆ ต้องนะ....ฮึกกก..ฮืออๆๆ....  อย่าฝันแบบเดิมอีกนะ......ขอร้องนะต้อง......อย่าฝันร้ายแบบเดิมนะ”

มีเพื่อนผมคนนี้คนเดียวเท่านั้นแหละ ที่รู้ว่าผมเป็นอะไร ......

   “ฮือๆๆ....  ต้องไม่รู้อ่ะเบสต์.... ต้องกลัว...กลัว.... กลัวคืนนี้...กลัวพรุ่งนี้ด้วยพรุ่งนี้มันจะให้ต้องกับเบสต์ไปที่ชมรมมันอีก.....ต้องไม่อยากเจอมัน....ต้องกลัวมัน” 

   เราสองคนกอดกันแน่น แน่นจนรู้ว่าความรักที่เพื่อนมีต่อเพื่อนจะต้องไม่พรากจากกัน
   ขอให้คืนนี้ผมอย่าฝันร้ายเลยนะ 




   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:48:50
 :hao7:

   รถที่ขับแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ  ทำให้ผมจำได้ดี คนขับรถของบ้านเบสต์นี่เอง รถมาจอดเทียบฟุตบาทแล้ว  เบสต์จูงมือผมเข้าไปนั่งด้านหลังกันทั้งคู่  แต่เพียงเข้าไปนั่งแค่นั้นเองลุงสิน คนที่ขับรถหันมามองผมทั้งสองคนเลย

   “คุณหนู.!!!!  ไปโดนอะไรมาครับ”  เสียงเรียกที่ค่อนข้างตกใจ มองทั้งหน้าของเบสต์และผมสลับกันไปมา 

   “นิดหน่อยครับลุงสิน.... วันนี้พ่อกับแม่กลับมาเร็วเปล่า”  เบสต์บอกไปว่านิดหน่อย แต่ตอนนี้ดูทั้งเนื้อตัว ทั้งของผมและของเบสต์เอง คำว่านิดหน่อยมันห่างไกลจัง...

   “ยังหรอกครับคุณท่านกับคุณผู้หญิงกลับดึก ไปงานเลี้ยงของโรงแรมคุณหนูสองคนยังไม่บอกลุงเลยไปโดนอะไรมา  ไปหาหมอก่อนไหม...”

   “ไม่เป็นไรครับเบสต์กับต้องฟัดกับหมาที่โรงเรียนมาน่ะ”  เบสต์พูดแค่นั้นพร้อมกับหันหน้ามาทางผม ยิ้มเหมือนให้กำลังใจ ตอนนี้แผลมันเริ่มหายเจ็บแล้วแหละ  ทั้งผมและเบสต์ตอนนี้หน้าตาคงเหมือนไปฟัดกับหมามาจริงๆ นั้นแหละ มอมแมมกันทั้งคู่เลย  ยิ้มแบบนี้ผมก็รู้แล้ว..... แต่ผมซิ่  กลัวอย่างไงก็ไม่รู้... บอกไม่ถูกเหมือนกัน เพียงแค่ยิ้มกลับไปหาเบสต์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เท่านั้น...  มือคู่เล็กๆ เอื้อมมาจับมือผมที่ประสานกันอยู่บนตักพร้อกับยิ้มให้อีกครั้งหนึ่งแต่กว้างกว่าเดิม

   “อย่าเงียบซิ่..... เบสต์ไม่อยากให้ต้องเงียบนะ...”  เบสต์หันหน้ามามองผม เอียงคอนิดหนึ่ง

   ตั้งแต่เข้ามาเรียนโรงเรียนนี้  เพื่อนที่ผมสนิทก็มีเพียงแค่คนเดียว .... เราสองคนเป็นแบบนี้เองล่ะมั้ง..ถึงได้โดนแกล้งบ่อย บางครั้งเบสต์โดนเพื่อนๆ ในห้องแกล้งก็มีผมเพียงคนเดียวที่ต้องเข้าไปปลอบ  คนอื่นๆ  ก็หายหมด..... แต่ในบางครั้งผมโดนคนอื่นแกล้ง...คนเดียวที่อยู่ข้างๆ ผมก็คือเบสต์นี่เอง..  เงียบไป...กลัวไป.....หรือเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนี่นา

   “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกส์”  ตะโกนแกล้งมันซะเลย มันไม่อยากให้ผมเงียบนี่นา

   “ไอ้บ้า....ตะโกนทำไมเนี่ย”  เบสต์มันผงะ หลบผมไปเลยอ่ะ

   “อ้าว.......ก็เบสต์ไม่อยากให้ต้องเงียบไง .....แฮ่ะๆๆ.....อูยยยยยยยยย  ! เจ็บปากอ่ะ”  ตะโกนดังเกินไปหน่อย เลยลิมิตไปนิดเดียวเอง

   “ฮ่าๆๆๆ   สมน้ำหน้า ดันแกล้งเบสต์ก่อน.....

               . อืมมมม..ต้อง....”    เบสต์หันมาเรียกผมอีกครั้งหนึ่ง

“มีไรหรอ...”     ถามกลับไป  ทำไมเบสต์มันทำหน้าเป็นกังวลจังล่ะ

“เบสต์กลัวแม่กับพ่อเห็นแผลจัง”   เบสต์เอามือคลำๆ ที่ปาก พร้อมกับก้มหน้าลง  ก่อนจะหันไปบอกกับลุงสินที่นั่งขับรถอยู่ด้านหน้า

“ลุงสินครับ.....เดี๋ยวเบสต์กลับไปที่บ้าน แล้วลุงสินรอแป๊บนึงนะ เบสต์ขอไปเอาเสื้อผ้าก่อน  คืนนี้จะไปนอนห้องต้องอ่ะครับ”   มันก็เคยไปนอนห้องผมบ่อยแหละครับ  และทุกครั้งที่ไปนอนห้องผมมันก็จะบ่นทุกทีว่าห้องแคบจัง  ....... ก็ผมนักเรียนทุนนี่นา  จะให้ไปอยู่ห้องหรูๆ แบบนั้นได้ไงล่ะ

ถึงที่บ้านของแม่ผมจะไม่ได้ขัดสนก็เถอะ..............  แต่ไม่อยากขอหรอก.....บ้านหลังนั้นมันยังมีคนที่ใจดำๆ  อยู่อีกคนหนึ่งนี่นา.....ถึงตอนนี้จะไม่เห็นหน้ามานานแล้ว...แต่ความทรงจำตอนเด็กๆ ผมก็จำได้ดี 

“แล้วไม่โทรบอกคุณท่านก่อนหรือครับคุณหนู”   ลุงสินไม่ได้หันกลับมาแต่ก็ถามผ่านมองมาทางกระจกหลัง
“เดี๋ยวเบสต์โทรบอกเองแระกัน ถ้าขืนกลับไปให้แม่เห็นแผลตอนนี้นะ  อกแตกตายพอดีคุณแม่ยิ่งตื่นๆ อยู่”  น้ำเสียงเบสต์มันพูดจริงจังมาก  แต่ก็เวอร์เกินไปหน่อยแล้ว

“เกินไป  ว่าแม่แบบนั้นไม่เห็นดีเลย”   ผมต้องว่ามันซะหน่อยแล้ว ว่าบุพการีแบบนี้ได้ไง

“ก็จริงๆ ไหมล่ะ  อะไรนิดหน่อยแม่ก็โวยวายแล้วอ่ะ  หรือว่าต้องไม่เคยเห็น”

“.......................อืม”  ผมทำท่าครุ่นคิดก่อนจะมองหน้าเบสต์มัน พร้อมกับหัวเราะ ....... แม่เบสต์มันค่อนข้างโวยวายจริงๆ แหละ

บ้านหลังนี้ของมันอยู่กันสามคน พ่อแม่ลูก  ไม่รวมกันคนที่ทำงานให้ภายในบ้าน ผมว่าบ้านเบสต์มันน่าจะอยู่กับซักยี่สิบคนมากกว่า ไม่รู้จะใหญ่อะไรนักหนา....  เบสต์มีพี่ชายคนหนึ่งแต่ตอนนี้ไปเรียนต่างประเทศแล้ว จำได้คล้ายๆ ว่าหน้าตารูปร่างนี่แตกต่างกันลิบลับเลยกับไอ้เบสต์

ผมรออยู่ตรงชั้นล่างห้องนั่งเล่น  เผลอแป๊บเดียวเบสต์มันก็หอบเสื้อผ้าชุดนักเรียน  ชุดนอน ชุดใส่เล่นอัดกระเป๋ามาเต็ม

“เฮ้ยย!!!  ไปอยู่กี่วันอ่ะ”  มันเอาเสื้อผ้าขนมากะอยู่กับผมเป็นอาทิตย์เลยหรือไงนะ

“ก็กว่าแผลจะหาย.....เดี๋ยวโทรบอกแม่..ว่าไปอยู่ห้องต้องแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก....บอกว่าสอบกลางภาคดีป่ะ”   โกหกอีกแล้วนะครับเพื่อนเบสต์

“บ้าหรอ ....เพิ่งเปิดเทอมไม่กี่วัน..จะสอบกลางภาคอะไรแล้วล่ะ”   น่าเกลียดจริงๆ จะโกหกแต่ละที ก็ไม่เนียน

“บอกว่าทำรายงานกลุ่มดีกว่า”   แฮ่ะๆๆ อันนี้ผมพูดอ่ะ  ช่วยมันโกหกนิดหนึ่ง  ....เพื่อให้แม่มันสบายใจ...เค้าเรียกว่าโกหกสีขาวแหละ 

“ดีๆๆๆ เป็นความคิดที่ดี”   เบสต์มันยิ้มแป้นลงมาเลยครับ  ก่อนจะโทรหาแม่มัน แล้วมันก็โกหกไปเนียนๆ  เหมือนกับที่ผมบอกมันเอาไว้....ถ้าจะให้อยู่ที่บ้านแล้วเจอหน้ามันกับหน้าผมเป็นแบบนี้ แม่ของเบสต์มันต้องไปโวยถึงที่โรงเรียนแน่  แถมแม่มันจะยังไม่สบายใจอีก.. ถ้าเป็นแบบนี้หลบซักสองสามวันดีกว่า..ผู้ใหญ่เค้าจะได้สบายใจ

ลุงสินขับรถมาแค่แป๊บเดียวแค่นั้นแหละครับ  หอผมมันอยู่หลังโรงเรียนนี่เอง เดินไปเรียนก็ง่าย  ถึงห้องจะเล็กหน่อยแต่ก็อยู่คนเดียวได้สบายๆ 

“เบสต์อาบน้ำก่อนนะ...เอาเสื้อผ้าไว้หลังบ้านนั้นแหละเดี๋ยวต้องซักให้”  ลูกคุณหนูอย่างเบสต์มันซักผ้าเป็นซะที่ไหน  มาห้องผมทีไรต้องเป็นหน้าที่ผมทุกที

“ไม่ลงเอาไปปั่นข้างล่างอ่ะ....ไวดีด้วย ไม่ต้องซักให้เหนื่อย”   ออกความคิดเห็นเรื่องเสียตังค์อีกแล้วมัน

“ไม่เอา ...เปลืองเงินตั้ง 20บาทแน่ะ ซักแป๊บเดียวเอง ไปๆๆๆ ห้ามเถียงไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวต้องจะได้อาบบ้าง” ผมพูดพร้อมกันดันหลังมันให้เข้าห้องน้ำ 

“น้องอ้วนพียังอยู่ไหม”  เบสต์พูดขึ้นพร้อมกับกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินเข้าห้องน้ำไป  น้องอ้วนพีที่เบสต์มันกล่าวถึงก็คือจิ้งจกในห้องน้ำผมอ่ะครับ  มันกลัวจิ้งจกมากในขณะที่ตุ๊กแกดันกลับไม่กลัว...ส่วนผมซิ่ ถ้าเจอตุ๊กแกนะวิ่งหนีอุตลุดเลยแหละ แต่จิ้งจกผมว่ามันน่ารักดีนะ  ......ขนาดไอ้ตัวที่มันอยู่ในห้องน้ำผมประจำตัวมันใหญ่ๆ  สีเหลืองอ่อนๆ  น่ารักดีออก...

“ไม่มี.....ไม่เห็นสองสามวันแล้ว...น่าจะติดสาวแหละ”   อิอิ   ....มันหายไปเลยนี่นา  ....ให้มันเป็นตัวผู้แล้วกัน  จริงๆ แล้วก็ไม่รู้หรอกว่ามันเพศอะไร...ดูไม่เป็น

เบสต์อาบน้ำไวมาก....  แค่แป๊บเดียวเองผมยังซักผ้าไม่เสร็จเลย  พอซักเสร็จอีกทีมันก็อยู่บนเตียงพร้อมกับใส่ชุดนอน นั่งตัวกลม ตาแป๋วแล้วเรียบร้อย...  ผมอาบน้ำตามหลังจากนั้นก่อนที่จะมานอนอยู่บนเตียงเดียวกันมัน...ตอนนี้หน้ามันสะอาดดีแล้ว... แต่รอยแผลช้ำๆ ตรงมุมปากนี่เห็นชัดเลย  แถมยังมีแถวๆ ข้อมือ เป็นรอยแดงจนเห็นได้ชัด   อีกทั้งยังตรงต้นคออีก  ดูๆ แล้วผมว่า ผมกับเบสต์น่าจะโดนไอ้กลุ่มนั้นแกล้งหนักพอๆ กัน

ไม่อยากจะถามหรอกครับว่าเป็นใคร...  แล้วมันแกล้งทำไม....  ผมกับเบสต์อาจจะโดนแกล้งกันบ่อยมั้ง... เราสองคนเคยสัญญากันเอาไว้.....ว่าถ้าโดนใครแกล้งก็แล้วแต่จะไม่ถาม... ว่าใครมันแกล้ง...จะไม่เอ่ยชื่อถึงพวกมันเหล่านั้นเด็ดขาด.... เพียงแต่เมื่อตอนเย็นที่ผ่านมานั้นเบสต์คงตกใจมากจัด..ถึงผมจะเคยโดนคนอื่นแกล้งมา...แต่ก็ไม่หนักเท่าครั้งนี้...ไม่หนักเท่ากับโดนไอ้รุ่นพี่ในวันนี้มันทำ....

นั่งคุยเล่น ดูโทรทัศน์เพียงแค่แป๊บเดียว....  แม่ผมก็โทรมา....แค่เห็นเบอร์ก็ดีใจแล้ว....

“ครับแม่.....คิดถึงจัง”  ขออ้อนหน่อย  เสียงในสายหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงผม.... พร้อมกับต่อว่าอีกนิดหน่อย....บอกว่าคิดถึง แต่กลับไม่ค่อยโทรหาเลย...... ที่ไม่โทรหาเพราะว่าผมมีเหตุผลของผมต่างหาก.

“ก็คิดถึงจริงๆ นี่นา...แต่ต้องเรียนหนักเลยไม่ค่อยโทรหา.... อีกอย่างช่วงนี้ช่วยอาจารย์เยอะขึ้นด้วย ตั้งเปิดเทอม...ต้องทำงานหนักทั้งวันเลย”  เสียงแม่ผมเงียบไปก่อนจะถามขึ้นอย่างช้าๆ  ...... แม่ผมเอาสมุดบัญชีของผมเองที่อยู่ติดตัวกับแม่ไว้ไปเช็ค...ส่วนบัตรเอทีเอ็มเท่านั้นที่อยู่ติดตัวผมตลอดเวลา......เพียงแต่ผมไม่เคยใช้มันเท่านั้น... บัตรเอทีเอ็มใบนั้นผมเก็บมันเอาไว้จนลึกสุดของกระเป๋าเงิน....โดยไม่คิดจะหยิบมันออกมา

“ก็ต้องได้เงินจากที่ทางโรงเรียนให้  .....  ค่าห้อง ค่าหนังสือ ค่ากินอยู่....ค่าเสื้อผ้า... ก็ไม่ต้องจ่าย.. แถมค่าเทอมก็ไม่ต้องจ่ายด้วย...  อีกอย่างช่วงที่ต้องไปช่วยอาจารย์ทำงาน ต้องก็ได้เงินพิเศษอีกต่างหาก”   ผมไม่ได้โกหกแม่หรอกนะ  แต่อันนี้ผมได้จริงๆ  ..... ผมอยากใช้เงินของตัวเองมากกว่า...แต่เงินที่แม่ผมให้ใช้ทุกๆ เดือนนั้นถึงมันจะมากก็ตาม.... แต่ผมไม่อยากแตะ

แม่ผมพูดขึ้นมาในสายอีกครั้ง  เงินที่ให้ใช้มาทุกๆ เดือนมันเป็นเงินของแม่เอง... แต่ผมรู้ว่าทางที่จริงแล้วเงินจำนวนเยอะๆ ขนาดนั้นที่ส่งมาให้ผมใช้ทุกๆ เดือนมันมาจากอีกที่หนึ่งต่างหาก....คนที่แม่อยู่ด้วยผมเคารพก็จริง....แต่ผมเกลียดใครบางคนที่อยู่ที่นั่นมากกว่า เกลียดมาก ทั้งๆ ที่เคยรักมาก.....  รักจนอาจจะเรียกว่าเทิดทูนเลยก็ว่าได้   แต่จะให้บอกอย่างไงผมก็ไม่มีทางจะใช้เงินพวกนั้นหรอก   

แม่วางสายไปแล้ว ...ทุกๆ  ครั้งที่โทรมาแม่ผมจะพูดเรื่องนี้เกือบทุกครั้ง...ผมรู้ว่าแม่ห่วงผม...แต่ผมก็อยู่ได้ ถึงมันจะต้องประหยัดหน่อยแต่ผมไม่ได้ขัดสนอะไรมากนัก......   หันกลับไปอีกที เพื่อนสุดที่รักผมมันก็นอนหลับปุ๋ยไปซะแล้ว......  ไอ้เพื่อนคนนี้...  หัวถึงหมอนก็หลับเลย.... หลับง่ายจัง

ผมได้แต่มองค้อนมันที่มันรีบหลับไปก่อน.... ไม่รอกันเลยคนเรา..... แต่พอหัวผมถึงหมอน........................  ผมก็หลับเลยเหมือนกันแหละ....ก็มันเหนื่อยนี่นา

เมื่อตอนเย็นผมร้องไห้....... คืนนี้ขออย่าให้ผมฝันร้ายเลยนะ
………………………………

ไม่รู้ว่าใครคนอื่นคิดอย่างไร....

แต่ผมก็คือผู้ชายคนหนึ่ง  ผู้ชายที่รักสนุกอย่างสุดขั้ว......  และผมก็รู้ว่าผมก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากนัก..... ทำไมต้องเป็นคนดีด้วย  ในเมื่อเคยเป็นคนดีมาแล้ว.... ผลที่ได้รับมันกลับเป็นอีกอย่าง

ที่นี่  กรุงเทพฯ  มันไม่ใช่เมืองที่มีคนดีอะไรเยอะมากนัก สิ่งที่หลายคนบูชามันคือวัตถุ  ผมรู้ว่าคนดีที่นี่มันก็มี แต่คนที่เลวๆ มันก็มีมากพอกัน ถ้าจะให้ผมเป็นผู้ชายที่แสนดีของใครๆ  ผมไม่ทำ........  มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่จำเป็น  .... ผมไม่เคยบอกกับคนอื่นว่าผมรวย..... ผมไม่เคยบอกกับคนอื่นอีกเช่นกันว่าตัวเองหน้าตาดี........ และผมก็ไม่เคยที่จะไปฝากความหวังเรื่องรักๆ อะไรไว้กับใครด้วย.......  แต่คนที่ผมรู้จักมันเข้ามาหาผมเอง ผมไม่ได้วิ่งตามไล่ใคร........  เพียงแต่ใครบางคนที่มันเข้ามาหาผม  และผมเคยพอใจด้วยนิดๆ  ผมก็ให้เงินตอบแทนก็แค่นั้น.... สนองอารมณ์บางอย่างให้พวกเธอๆ เหล่านั้นอีกนิดหน่อย  แค่นี้เอง ของง่ายๆ 

ถ้าผมจะเลวก็เลวแม่งให้คนเกลียด

ถ้าจะเลว คำว่า “ดี”  ก็ไม่ต้องมาเจอกัน

“พี่วัจน์คะ”  เสียงเรียกหวานๆ  ตอบมาจากด้านหลัง.... บริเวณที่นี่คืออาคารใหญ่ของโรงเรียน ห้องสำคัญๆ ต่างๆ ของอาจารย์และนักเรียนจะอยู่ที่นี่.... ผมมาที่นี่ก็เพราะอยากรู้อะไรบางอย่าง...... น้องนักเรียนผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนกัน.... ผมแค่มาขอข้อมูลบางอย่างจากห้องทะเบียนแค่นั้นเอง... ทำเป็นพูดพร้อมกับสายตาที่ส่งมา....  ทำอย่างกับว่าจะเชิญให้ผมไปนอนห้องมันอย่างนั้น

......................เดี๋ยวกูก็สนองซะให้หรอก.....................

ผมถือกระดาษออกมาจากห้องทะเบียนเพียงหนึ่งแผ่น....ไม่สนใจผู้หญิงบ้าๆ กร้านๆ คนนั้นที่ทำสายตาเหมือนกับจะเสนอตัวเข้ามาให้  ไล่ดูสิ่งที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้นลงไปเรื่อยๆ จนมาสะดุดอยู่ที่บรรทัดหนึ่ง  ผมมองและก็จ้องอยู่หลายรอบ...... จนรู้แน่ชัด....  ผมคิดหรือกะอะไรแล้วไม่เคยพลาด   ...   คำว่า  “โลกมันกลม”   เห็นจะใช้ได้กับทุกยุคและทุกสมัย.... ผมกำขยำกระดาษนั้นจนแน่นก่อนจะฉีกมันทิ้งโดยไม่สนใจว่าถังขยะมันอยู่ตรงไหน

“ไอ้วัจน์”  ไอ้พวกเพื่อนรักของผมนั้นแหละครับ  นั่งกันอยู่ตรงโต๊ะนั้นประจำ

“ไงมึง โผล่มาได้ไงแต่เช้า... ปกติกูเห็นถ้าไม่เกือบเข้าเรียน ไม่เห็นพวกมึงจะโผล่”  ไอ้คนที่ผมกล่าวถึงคือไอ้เอกกับไอ้นันต์ สองคู่หูนี่มันดีครับ.... มีบ้านอยู่ใกล้ๆ  ที่โรงเรียนแต่ดันเสือกเช่าคอนโดอยู่กันสองคน...  คงจะเอาไว้ล่อสาวเข้ามาหาแล้วไม่ให้พ่อกับแม่มันรู้

“ก็ไอ้เชี่ยเอก..... ปลุกกูแต่เช้า... บอกว่าให้มาดูของเล่นชิ้นใหม่มัน” 

“ใครวะ.....”  ผมหันไปถามไอ้เอก  รู้ทันทีครับถ้าบอกว่าเป็นของเล่นชิ้นใหม่.... มันไม่ใช่ของหรอกแต่เป็นคนต่างหาก  ไอ้นี่ถ้าให้เป็นแฟนคนอย่างมันชอบสาวสวยๆ น่ารักๆ แต่ถ้าบอกว่าเป็นของเล่นเมื่อไหร่  ไอ้นี่มันไม่ค่อยสนหรอกครับว่าจะเป็นชายหรือหญิง ขอให้ของเล่นชิ้นนั้นมันถูกใจก็พอ..... เลวพอๆ กับกูเลย   แต่มันจะตื่นแต่เช้ามาทำไม  ไม่เข้าใจ

“แค่เด็กเล่นๆ ใหม่ของมึงจะโผล่มาทำห่าอะไรตั้งแต่เช้า” 

“มึงอยากรู้ไหมล่ะว่าเป็นใคร”  ไอ้เอกไม่ตอบผมครับ แต่ดันถามกลับมาแทนต่างหาก

“กูจะไปรู้ไหมล่ะ .... สาวคนไหนหรือไอ้เด็กคนไหนอีกล่ะมึง”    ขี้เกียจตอบมันครับ  จะบอกก็บอก ไม่บอกก็ช่างมัน ไอ้นี่ชอบหลายเรื่อง

“มึงจำเพื่อนของไอ้เด็กคนที่มึงแกล้งมันเมื่อวานได้เปล่าล่ะ”    มันพูดขึ้นมาแต่ไม่ได้มองหน้าผม   ทำไมผมจะจำมันไม่ได้ล่ะ...  เมื่อวานผมเพิ่งแกล้งมันจนร้องไห้ไปนี่เอง.......  ไอ้เด็กห่านี่มันร้องไห้ง่ายจริงๆ

“เออ.... แล้วทำไม” 

“สนุกดีว่ะ....  ขี้กลัวดี... แถมยังดูซื่อๆ เซ่อๆ อีกต่างหาก   เมื่อวานกูเห็นมันจะวิ่งไปช่วยเพื่อน ตอนมึงลากไอ้นั่นไปหลังตึก  กูก็เลยล๊อคคอมันไปจัดการในห้องน้ำซะนิดหน่อย”  นิดหน่อยของมัน ผมว่าเยอะอยู่  ไอ้เอกนี่เป็นพวกซาดิสต์น้อยๆ อยู่ด้วย 

“มึงไปทำอะไรมัน”  ผมถามต่อ  ที่ถามไม่ได้เป็นห่วงไอ้เด็กคนนั้นหรอกนะครับ  เพียงแต่ถามทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน

“กูก็เล่นอะไรนิดๆ หน่อย ไม่รุนแรงมากหรอกน่า”    ช่างมันเหอะครับ  จะทำอะไรก็ทำไปเหอะ เรื่องของมัน  เรื่องสนุกของมัน  ผมไม่เกี่ยวอยู่แล้ว  เรื่องพวกนี้พวกผมไม่ค่อยถือกันเท่าไหร่...........แต่

“มึงจะเล่น มึงจะทำอะไรไอ้คนนั้นก็ตามใจมึง .... เรื่องของมึง แต่ไอ้เด็กคนที่กูลากไปหลังตึกเมื่อวาน.... ห้ามใครยุ่งเด็ดขาด!!!”      ผมตอบไอ้เพื่อนสองคนที่มันนั่งอยู่ข้างๆ  ผมก็ว่าตอบไปชัดเจนแล้วนะ  แต่พวกมันทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นล่ะ

“เฮ้ยๆๆๆ  อย่าบอกนะว่า..................”  ไอ้นันต์พูดแค่นั้น แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ นั่งอ้าปากข้าง

“แนวพระเอกซาดิสต์หรอไอ้วัจน์   ตบจูบเสร็จแล้วจีบ  ฮ่าๆๆๆ”   ไอ้คนที่พูดต่อดันเป็นไอ้เอกต่างหาก หัวเราะซะจนน่าถีบ

“หึหึ”    ผมไม่ตอบมันหรอกครับ  ....  ต่อให้มันคะยั้นคะยออย่างไง  ผมก็ไม่ตอบ  .............เหตุผลที่ไม่ให้พวกมันยุ่งกับไอ้เด็กคนนั้นน่ะหรอ.....  ผมมีแน่  แล้วเหตุผลนั้นมันก็มีมากพอซะด้วย..... 

“ไอ้นี่ !!  หัวเราะ แต่เสือกไม่ตอบ.............  เฮ้ยๆๆ  พวกมึงดูอะไรนั่น”   ไอ้เอกพูดกับผม แต่ประโยคสุดท้าย มันสะกิดให้หันไปมองตามสายตามัน

ดีจริงๆ  .......  ผมว่าไอ้เด็กสองคนที่พวกผมกำลังพูดถึงนี่ชะตามันใกล้ขาดนะ  .... แต่ทำไมพอพูดถึงแล้วมันก็โผล่มาให้เห็นเลยล่ะ  ใครกันนะครับ ที่เป็นคนบอกว่าพูดถึงใครแล้วคนนั้นโผล่มาให้เห็นอายุจะยืน...... ผมขอเถียงหน่อยเหอะ
“โอ้โห....  อีกคนปากบวมนิดๆ  แต่อีกคนตาบวม....  ดีจริงๆ พวกมึงนี่เก่งกันสุดยอด  อีกคนทำให้ปากบวมได้ส่วนอีกคนทำให้ตาบวมได้ซะขนาดนั้น...  อ่าๆๆๆ..... น่าสงสารจังตัวเล็กทั้งคู่เลย  แก้มก็ป่องหน้าก็ใส พวกมึงนี่น๊า..... ของดีๆ ช้ำหมด”   ไอ้นันต์ครับเป็นคนพูด แต่ที่มันพูดไม่ได้สงสารหรอก ออกแนวกวนตีนมากกว่า

“เฮ้ยๆๆ !!!  ไอ้วัจน์ มึงจะไปไหน”    ผมไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้เอกจะห้ามผมทำไม.. ในเมื่อพวกมันห้ามผมกันไม่เคยได้ซักครั้ง   .........  แค่ผมเดินไปแล้วหยุดตรงหน้ามันสองคน ....ไอ้เด็กที่ตาบวมๆ   ตอนนี้ทั้งตกใจแล้วก็เตรียมวิ่งหนีแล้ว...   แต่ขาเล็กๆ เพียงแค่นั้น  ตัวเล็กก็แค่นั้น  จะหนีผมพ้นได้ซะที่ไหน............. ใครอยู่ตรงนี้บ้างตอนนี้ผมไม่สนหรอก....เพียงแค่อยากจะดูอะไรให้แน่ชัดเท่านั้นเอง

“ปะ....ปล่อยนะ.....”   เสียงตวาดเล็กๆ ของมันตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกกลัวเลยซักนิด แขนที่พยายามทุบตามตัวผมนั่นอีก ..   เจ็บตายละ  แต่สิ่งที่ทำให้รำคาญอีกอย่างก็คือไอ้เพื่อนมันอีกคนที่ตัวแทบจะไม่ต่างกันเลย  พยายามช่วยเพื่อนมันโดยแกะมือผมออก   แต่สี่มือของพวกมันมันไม่ได้ทำให้แรงผมน้อยลงไปหรอก

“อย่ายุ่งน่าครับน้องเบสต์....  มาหาพี่เอกดีกว่าครับ.....ไปยุ่งเรื่องของคนอื่นเค้าไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว....อยากโดนแบบเมื่อวานอีกหรอ”   เสียงไอ้เอกครับ ตอนนี้มันมาดึงของเล่นมันออกไปแล้ว  ดีหน่อย ผมจะได้พาไอ้เด็กที่อยู่ในอุ้งมือนี่ลากเข้าไปดูบางอย่างให้มันชัดๆ  เห็นแล้วก็อยากจะขำ หน้ามันกับหน้าเพื่อนมันตอนนี้จากที่ว่าผิวขาวๆ อยู่แล้ว ซีดหนักกว่าเดิมอีก 

“มานี่ดิมึง  ....  เมื่อวานกูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าโกหกกู  รนหาเรื่องจนได้นะ  .... วันนี้มึงไม่ต้องไปช่วยอาจารย์อะไรเค้าทำงานหรอก..........  เดี๋ยวทุนที่มึงเรียนอยู่ เดี๋ยวกูจะระงับให้ ...”     แค่ผมพูดจบแค่นั้น ตาจากที่มันโตๆ  อยู่แล้วโตหนักกว่าเดิมอีก  มันคงจะตกใจ....  ใช่ดิ่ครับ มันต้องตกใจแน่ๆ แล้วมันก็ต้องกลัวแน่ๆ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ผมคิดว่ามันใช้อยู่ตอนนี้มันก็มาจากทุนของโรงเรียนนั้นแหละ................ แต่แค่นั้นสำหรับมันผมว่าไม่พอหรอก โรงเรียนนี้มันใช้เงินเยอะแค่ไหนใครๆ เค้าก็รู้...ผมคิดอยู่แล้วว่ามันต้องไปปอกลอกจากใครมาซักคน... เห็นหน้าตาแม่งซื่อๆ   ที่แท้ก็เลวเหมือนกันนั้นแหละ  .......   ช่วงที่ดึงมันมาผมก็ไม่ดูซะด้วย ...วันนี้มันแต่งชุดพละ  ระหว่างทางที่ผมลากมันมาทางที่ไม่ค่อยมีคนหน่อย  มันทั้งพยายามดึงหนี บิดข้อมือตัวเองให้หลุดสารพัด  ..... แต่แรงมันแค่นั้น  จะสู้อะไรผมได้ นอกจากจะสร้างความรำคาญให้ผมซะมากกว่า

“ดิ้นทำเหี้ยไร...อยู่เฉยๆ  เดี๋ยวกูก็ซัดเข้าให้หรอก” รำคาญครับ  รู้ว่าหนีไม่พ้นแม่งยังจะดิ้นอยู่นั้นแหละ 

“มึงนามสกุลอะไร”  ผมถามคำถามเดิมที่เป็นคำถามจากเมื่อวาน   ตอนนี้มันใส่ชุดพละ ไอ้นามสกุลของมัน
ที่ปักอยู่ที่เสื้อย่อมไม่มีแน่นอน   

“..ปล่อยผมนะ.... พี่มายุ่งกับผมทำไม...ผมต้องไปช่วยอาจารย์ ทำไมต้องแกล้งกันด้วย....ขอโทษไปแล้วไง...ปล่อยผมไปดิ่”   สิ่งที่มันพูดออกมา ผมไม่เคยได้ยินมาจากใคร....   มันหาว่าผมไปยุ่งกับมัน....  คนอย่างผมมีแต่คนอยากจะให้ยุ่งด้วย  แต่ไอ้นี่มันกล้ามาก

“กูถาม...ว่ามึงนามสกุลอะไร”   

“ก็บอกไปแล้วไงล่ะ...พี่จำไม่ได้หรือไงเล่า” 

“พูดมาอีกทีดิ... กูอยากรู้อีกครั้ง”       ผมจะดูครับว่ามันโกหกหรือพูดความจริงกันแน่

“บุญวีระ”    ดีนะ..... มันพูดแบบเดิมที่มันโกหกผมเอาไว้เมื่อวาน...... ครั้งแรกที่ผมเห็นหน้ามัน  ผมน่าจะจำได้ซักนิดก็ยังดีนะ  ..........

“แล้วหมาตัวไหน....  นามสกุล  บุญภาศกร” 



   










หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:49:52
ตอนที่ 6

“มึงนามสกุลอะไร”  ผมถามคำถามเดิมที่เป็นคำถามจากเมื่อวาน   ตอนนี้มันใส่ชุดพละ ไอ้นามสกุลของมันที่ปักอยู่ที่เสื้อย่อมไม่มีแน่นอน   

“..ปล่อยผมนะ.... พี่มายุ่งกับผมทำไม...ผมต้องไปช่วยอาจารย์ ทำไมต้องแกล้งกันด้วย....ขอโทษไปแล้วไง...ปล่อยผมไปดิ่”   สิ่งที่มันพูดออกมา ผมไม่เคยได้ยินมาจากใคร....   มันหาว่าผมไปยุ่งกับมัน....  คนอย่างผมมีแต่คนอยากจะให้ยุ่งด้วย  แต่ไอ้นี่มันกล้ามาก

“กูถาม...ว่ามึงนามสกุลอะไร”   

“ก็บอกไปแล้วไงล่ะ...พี่จำไม่ได้หรือไงเล่า” 

“พูดมาอีกทีดิ... กูอยากรู้อีกครั้ง”       ผมจะดูครับว่ามันโกหกหรือพูดความจริงกันแน่

“บุญวีระ”    ดีนะ..... มันพูดแบบเดิมที่มันโกหกผมเอาไว้เมื่อวาน...... ครั้งแรกที่ผมเห็นหน้ามัน  ผมน่าจะจำได้ซักนิดก็ยังดีนะ  ..........

“แล้วหมาตัวไหน....  นามสกุล  บุญภาศกร”   นั้นแหละครับแค่มองหน้ามันผมก็รู้แล้ว นามสกุลของไอ้เด็กตรงหน้าผมจริงๆ  ตอนนี้หัวสมองของผมมันยุ่งเหยิงไปหมด  แต่ก็ข่มอารมณ์นั้นเอาไว้ได้..... แน่ล่ะ... !!!  ผมเกลียดมัน......  และก็เกลียดใจของตัวเองด้วยเหมือนกันที่ดันมีความรู้สึกเก่าๆ บางอย่างแทรกเข้ามาด้วย    แต่ที่ดันไม่รู้ตัวคือเผลอที่จะออกแรงบีบต้นแขนทั้งสองข้างของมันให้เจ็บแน่นยิ่งกว่าเดิม  เพียงเพื่อข่มอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างนั้นของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ออกมา   

“.....เจ็บ....มันเจ็บนะ....”  เสียงเล็กๆ ของมันจ้องหน้าผม กัดปากแน่น  มือทั้งสองข้างของมันพยายามแกะมือของผมออก แต่มันไม่เป็นผลหรอก... ข้อมือเพียงแค่นั้น  ถ้าผมกำแรงกว่านี้อีกหน่อยก็เคล็ดแล้ว

“ทีหลังอย่าริโกหกกูอีก..... จำเอาไว้.... ถ้ามึงโกหกกูอีก  มึงเจ็บตัวแน่”   ผมไม่ชอบขู่ใคร  เพราะส่วนใหญ่ผมลงมือทำจริงๆ มากกว่า  ...  แค่มองตามันที่มองผมมาแบบกล้าๆ กลัวๆ  ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อวานนี้มันร้องไห้  แล้วตอนมันกลับไปบ้านมันยังจะร้องไห้ต่ออีกหรือไง  ตามันถึงได้บวมขนาดนั้น  แก้มแดงๆ บวกกับตาบวมๆ ของมัน  ถ้าใครคนอื่นเห็นคงสงสาร...    แต่สำหรับผม.......  ไม่เด็ดขาด

“ปล่อยผมเถอะ  ผมเจ็บนะ....  ต่อไปไม่โกหกแล้ว”   เสียงมันอ่อนลงแล้วแหละครับ ....ปกติผมก็ไม่ชอบรังแกพวกที่ไม่มีทางสู้หรอก ยิ่งหน้าตาหวานๆ แบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะเลวมากขนาดไหน  ก็ยังคงพอมีสติอยู่บ้าง.... เพียงแต่ .....  อย่างไงก็ถือว่าโอกาสบางอย่างมันมาถึงแล้ว.....  ถ้าผมจะเอาคืนไอ้คนที่อยู่ตรงหน้านี่บ้าง ....  มันก็ไม่ผิดหรอก... ถึงผมจะเอาคืนตามแบบฉบับของผมก็เถอะ

“กูปล่อยมึงแน่... มึงไม่ต้องห่วง  แต่เดี๋ยวอีกซักพักมึงเตรียมรออาจารย์เข้าไปเรียกพบมึงได้เลย.... ไอ้ทุนเรียนดีของมึงที่ได้อยู่ตอนนี้กูจะให้อาจารย์เค้าระงับ... แล้วถ้าอยากได้คืนละก็.....  เย็นนี้รอกูหน้าโรงเรียน... ถ้ามึงไม่มา....กูจะซัดให้หนักกว่าเดิมอีก” 

เพียงแค่ผมพูดจบแต่ก็ยังไม่ยอมที่จะปล่อยมันออก ตอนนี้หน้ามันกับหน้าผมห่างกันเพียงแค่ฝ่ามือเดียว  จะต่างกันก็เพียงแค่ว่าผมก้มหน้ามองไปหน้ามันอย่างชัดๆ อีกครั้ง  แต่มันกลับก้มหน้าหนี มองไปแต่ที่ต้นแขนของตัวเอง และพยายามที่จะแกะมือของผมออก  แค่มันได้ยินเรื่องทุนการเรียนของมัน เหมือนมันจะเริ่มร้องไห้อีกแล้ว  ... แต่ยังหรอก  รออีกสักนิด เดี๋ยวผมจะปล่อยมันเอง

“มองหน้ากู”

“.................”  มันเงียบครับ  และก็ไม่มองหน้าผมด้วย

“กูบอกให้มองหน้ากู”   

“ผมเกลียดพี่ได้ยินไหม.... ผมเกลียด เกลียด ๆๆๆๆๆ ปล่อยนะไอ้บ้า”    คำว่า “ไอ้บ้า”  มันไม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเท่าไหร่หรอก  เพราะผมเคยโดนด่าแบบนี้บ่อยเหมือนกัน แต่ไอ้คำว่า  “ผมเกลียดพี่”    คำนี้ผมเกลียดที่สุด... 

ถ้ามันจะทำให้อารมณ์ของผมขาดสะบั้นลงไป  ก็เพราะตัวมันเองนั้นแหละที่ทำ

“ปากดีนักนะมึง”   

มือสองข้างของมันผมจับรวบเอาไว้เพียงมือเดียว ก่อนจะบีบให้แน่นกว่าเดิม จนมันครางเพราะเจ็บ คางของมันที่โดนผมบีบเมื่อวาน  กลับล๊อคบีบอีกครั้ง  พร้อมกับกระชากหน้ามันขึ้นมาให้มองหน้าผมชัดๆ

“ดี...มึงมองหน้ากู....!!!!  มึงเกลียดกูใช่ไหม..!!!  เอ้า !! มอง มองซะ!!!  มองหน้าคนที่มึงเกลียดนี่แหละ  กูบอกให้มอง !!!! ”  ตอนนี้ผมอยาก.... อยากให้มันมองหน้าผมให้ชัดมากที่สุด  เผื่อมันจะได้จำหน้าผมได้ขึ้นใจ.... และมันจะได้จำหน้าผมได้อีกครั้ง

แรงบีบที่คางผมก็บีบไปตามแรงสุดโมโหนั้นแหละ  ..... ตามันเริ่มแดงแล้วนั่นแหละครับ แต่มันน่าจะรู้ ถ้าเกิดมันร้องไห้ขึ้นมา น้ำตาของมันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก

“เจ็บ.... ปล่อยยนะ...   มาทำคนอื่นเค้าทำไม...  ขอโทษแล้วยังจะเอาอย่างไงอีก” 

“กูไม่พอ”

“ก็จะเอาอย่างไงล่ะ!!!”  เสียงของมันตะโกนแข่งกับผมดังไม่แพ้กัน

“เอามึงไง...!!! มึงยอมไหมล่ะ!!!” 

“ไอ้คนนิสัยไม่ดี....  ชอบแกล้งแต่คนอื่น... เป็นรุ่นพี่ซะเปล่า.. ทำแบบนี้ใครเค้าจะเคารพล่ะ”  มันยังพูดว่าผมได้อีก.... ปากมันโดนบีบขนาดนั้น.... ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันไม่กลัวผมหรือมันจะลองดีกับผมกันแน่

“พูดดีๆ เรียกกูว่า ไอ้ หรอ.... มึงพูดใหม่ดิ”

“ไอ้ชั่ว !!!”   มันด่าผมหนักกว่าเดิมอีก

ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ผมหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง  ... แต่เคยมีคนพูดเหมือนกันว่าถ้าผมเกิดโกรธใครมากๆ จนฟิวส์ขาด หน้าผมมันไม่ต่างจากไอ้พวกนักโทษที่กำลังฆ่าคนตายหรอก ..........ถ้าผมจัดการ..... สิ่งที่ทำให้มันกลัวที่สุด ผมรู้อยู่แล้วว่าคนอย่างมันกลัวอะไร ... ถึงมันจะโตขึ้น  ความกลัวแบบเดิมนั้นมันก็น่าจะยังไม่เปลี่ยนไปนักหรอก

“ปากดีนักนะมึง”   คนแถวนี้ถึงจะไม่เยอะนัก แต่มันก็ยังพอมีคนเดินผ่านไปมาให้เห็น และตอนนี้มันคงจะเป็นเป้าสายตาพอดู เสียงผมกับเสียงมันไม่ใช่เบาๆ เลยนี่   ห้องน้ำแบบเดิมนั้นแหละเหมาะดี

“ปล่อยนะ... ไอ้บ้า !!!  บอกให้ปล่อยไงเล่า !!”
   
“เงียบ !!!” 

“ปล่อยยยยยยยยยยยย... !!!!! นะ”  เสียงมันดังจนลั่นห้องน้ำ  แต่ดีหน่อยครับห้องน้ำห้องนี้มันเป็นห้องแรกที่ผมกับมันเจอกันนั้นแหละ  ปลอดคนดี

“กูบอกว่าให้เงียบ...ไม่ยอมเงียบใช่ไหม...”   ฝ่ามือผมล๊อคคางมันอีกครั้งพร้อมกับเงยหน้ามันขึ้นมา ไอ้ปากบางเล็กๆ ที่มันว่าผมอยู่เมื่อกี้นี้ตอนนี้มันคงได้ลิ้มรสชาติแล้วว่าคนอย่างมันไม่ควรที่จะด่าคนอื่นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับตัวผมเอง  ผมไม่ได้จูบแบบคนรัก และไม่ได้ทำแบบกับผู้หญิงที่ผมเคยนอนด้วย  กระแทกปากลงไปแรงๆ ที่ปากมัน แค่นี้มันก็ร้องแล้ว ..... ไม่ได้พิศวาสมันตอนนี้แต่อยากลงโทษมันมากกว่า มือทั้งสองข้างของมันทั้งผลักทั้งดึงตัวผมออกจนน่ารำคาญ  มือเล็กๆ แค่นั้นจะไปมีแรงสู้อะไรใครได้.  แค่เพียงชั่วเสี้ยวเวลานิดเดียว มือมันทั้งสองข้างก็โดนผมรวบเอาไว้แล้ว

นั้นแหละครับ..... มันกลัว... มันต้องกลัวแน่ๆ  เพราะนี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่ผมทำตอนนี้มันเพียงแค่อยากลองดูเท่านั้นเอง ว่าสิ่งที่ผมคิดตอนนี้มันถูกต้องหรือเปล่า  ก่อนจะเลื่อนปากออกมาจากปากของมันช้าๆ ริมฝีปากบางของมันตอนนี้ มีสีแดงจากเลือดออกมานิดหนึ่งเพียงเท่านั้น....แต่ก็คงจะเรียกความเจ็บปวดได้จากเจ้าของพอดู  ....ผมคิดว่ามันคงจะไม่ร้องไห้เพราะมันโตแล้ว.... แต่ผมคิดผิด

“ฮือๆๆๆ  ปล่อยนะ.....” 

“มึงรู้ไหม... นานแล้ว......  กูเคยโดนเด็กคนหนึ่งมันด่า  มันด่ากูแบบที่มึงด่ากูเมื่อกี้นี้แหละ....  มันบอกว่ามันเกลียดกู  ........ เกลียดกูมาก”  ผมกัดฟันพูดออกมาอีกครั้งช้าๆ  จับคางของมันให้เงยหน้ามามองผม

“หึหึ   เจอกันอีกครั้งจนได้นะ ไม่น่าเชื่อว่าจะ..................”   ผมยังไม่ทันจะพูดจบก็ต้องหันหน้าไปทางประตูห้องน้ำ ดันมีคนเข้ามาทำไมวะ

“เฮ้ยย... !!!!!  ไอ้วัจน์”    เสียงไอ้เอกนั้นเองแหละครับ.... ดันเสือกพาของเล่นมันเข้ามาที่นี่อีกต่างหาก ...จะหาที่อื่นไม่ได้หรือไง ทำไมต้องมาที่เดียวกัน

“มีอะไรมึง !!!”  ผมตอบกลับมันไปทั้งๆ ที่ยังไม่ปล่อยร่างบางๆ ที่อยู่ตรงด้านหน้า

“เปล่า... กูนึกว่าไม่มีใคร  เห็นได้ยินเสียงดังๆ เลยเข้ามา... ไอ้ห่านี่ .... หื่นแต่เช้าเลยนะมึง”   ไอ้เอกมันยังพูดต่อไปนั้นแหละครับ  ส่วนไอ้เด็กคนที่เอามาด้วย  ก็ทั้งดึงทั้งแกะมือของมันออกไปอยู่นั้นแหละ  ไอ้เด็กสองคนนี่ตัวแทบไม่ต่างกันเลย  ...... มันทำแบบนี้คิดว่ามันจะรอดหรอ

“เออ...มีอะไรมึง  ห้องน้ำมีตั้งหลายห้อง  .... ถ้าจะจัด มึงก็เข้าไป วันนี้กูไม่มีอารมณ์  เดี๋ยวดูต้นทางให้” 

“ฮ่าๆๆ  ไม่เป็นไร กูเพิ่งนอนกับน้องรินเมื่อคืน  เช้านี้ไม่มีอารมณ์เท่าไหร่”   ผมสองคนพูดกันเหมือนกับว่าไอ้ตัวเล็กๆ สองคนนั้นมันไม่ได้อยู่ที่นี่  ถึงเสียงร้องไห้ของมันจะดังทั้งคู่ แต่มันก็ไม่ดังไปกว่าเสียงของพวกผมหรอก

“โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้ครับน้องเบสต์  พี่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง...  อย่าร้องซิครับ พี่ยังไม่ได้เอาน้องมาเป็นเมียซะหน่อย....  ถ้าไม่หยุดร้อง เดี๋ยวพี่หาอะไรยัดปากเลยนะ”  หึหึ   มันเข้าใจปลอบนะ แต่ปลอบแบบนั้นเด็กมันยิ่งกลัวมากกว่า

“ปล่อยเพื่อนผมนะ ฮือๆๆๆ ปล่อยนะ. ...!!” เสียงจากไอ้คนชื่อเบสต์นี่แหละครับ  ผมว่ามันสองคนเข้าใจคบกันนะ  จะไปเอาแรงจากไหนมาช่วยเหลือกันได้..... แต่ละคน ตัวเท่าลูกหมา  ไอ้เอกยังคงคลอเคลียอยู่กับไอ้คนที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า .... นั้นแหละครับของเล่นชิ้นใหม่มัน ตัวเล็กๆ ขาวๆ  ของโปรดมันแหละครับ แต่ไอ้นี่มันประเภทชอบเร็ว เบื่อเร็ว  อย่างมากก็คงเล่นแค่ไม่กี่วัน  ......พอได้อย่างที่ต้องการแล้ว... มันก็เขี่ยทิ้ง

ส่วนผม .....  กลับมามองไอ้คนที่ผมจับล๊อคหน้าเอาไว้อีกครั้ง....  ตายิ่งบวมๆ อยู่ ตอนนี้ร้องไห้อีกแล้ว...   นั้นแหละครับ ....  ผมแค่จูบมันแรงไปหน่อยแค่นั้นเอง  แค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว...... มันไม่เปลี่ยนไปเลยนะ  .....

ถ้าผมไม่ปล่อยมันออกไปก่อน ..... ผมกลัวเหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกบางอย่างที่มันอยู่ลึกๆ ของผมเองมันจะกลับมาอีกครั้ง

“โอ๊ยย!!!”    เสียงมันร้องหลังจากที่ผมปล่อยตัวมันออกแล้วผลักลงไปที่พื้น  ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับชี้หน้าไปที่ตัวมันตอนที่มันยังล้มอยู่  ผมชินกับการสั่งมากกว่าและก็ไม่ชอบด้วยที่ใครจะไม่ทำตาม

“วันนี้...ตอนเย็น มึงไม่ต้องไปชมรม ไปรอกูอยู่ที่หน้าโรงเรียน...... ไปคนเดียวด้วย  .... ถ้ามึงไม่ไป พรุ่งนี้กูเจอมึง  กูจะเอาให้หนักกว่านี้อีก” 

ผมเดินออกมาโดยไม่หันกลับไปมองมันอีก เพียงแต่ได้ยินเสียงของไอ้เอกแว่วๆ มาแค่นั้นเอง

“ส่วนน้องเบสต์ วันนี้ต้องไปชมรมนะครับ แล้วห้ามไปหาน้องต้องตอนเย็นเด็ดขาด .. ถ้าน้องเบสต์ไม่ทำตามที่พี่บอก..   พี่จะขอให้ไอ้วัจน์มันทำกับเพื่อนของน้องเบสต์แบบที่พี่ทำเมื่อวานนะครับ”   

“มะ...มะ..ไม่ไป  ฮืออๆๆๆ ปล่อยผม.... ปล่อยเพื่อนผมด้วย...”

“ตัวเองยังไม่มีแรง.... ยังคิดจะไปช่วยคนอื่นอีก... อย่าดื้อซิน่า”   เสียงของไอ้เอกมันยังเล่นอยู่นั้นและครับ โดยที่ไม่คิดจะออกมา

“ไอ้เอก!!!  มึงออกมาได้แล้ว”  ไอ้นี่ต้องให้ตะโกนเรียก

“เออๆๆ” เสียงของมันตอบกลับมา เพียงครู่เดียวมันก็เดินออกมายิ้มๆ

“สนุกว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ”   

...................................................................

ตอนนี้ผมเจ็บ....  และก็เจ็บมากกว่าเดิมอีกที่ตัวผมเองเป็นคนที่ทำให้เพื่อนที่ผมรักมากที่สุดต้องมาซวยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ด้วย  ..... พวกมันถือว่ามีแรงมากกว่า  ....เก่งกว่า แต่มันก็ไม่มีสิทธิ์มาทำกับคนอื่นเช่นนี้หรอก

พวกมันสองคนเดินกันออกไปแล้ว โดยไม่สนใจว่าพวกผมสองคนอยู่กันในสภาพแย่ขนาดไหน........  แต่ก็ดีแล้วแหละ พวกมันไม่ต้องสนใจผมสองคนหรอก... คนเลวๆ พรรค์นั้น

“ฮือๆๆๆ เจ็บไหมต้อง.... ต้องเจ็บหรือเปล่า... เลือดอ่ะ..ต้องเลือดออกที่ปากนะ”   เบสต์เดินเข้ามาหาผมช้าๆ  พร้อมกับเอามือมาจับที่ปากผมเบาๆ 

“เจ็บอ่ะ....  เบสต์โดนมันแกล้งหรือเปล่า...โดนอะไรหรือเปล่า”     เบสต์เพียงแต่สั่นหน้า... ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสั่นหน้านี่คือไม่โดนอะไร  หรือไม่บอกอะไรมากกว่า แต่เบสต์กับร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ.... ไม่เป็นไรนะต้องนะ   เบสต์ไม่เป็นไร... ต้องก็ต้องไม่เป็นไรนะ”   เพียงแค่สองวันที่ผ่านมา  ผมกับเบสต์ต้องปลอบใจกันติดๆ กันทั้งสองวันเลย  ช่วงนี้ทำไมถึงแย่อย่างนี้  เบสต์เข้ามากอดผมแน่น จนผมต้องกอดเบสต์กลับ   เอามือที่ว่างอยู่ลูบหลังเพื่อนรักของผมเบาๆ  แต่ก็ยังเจ็บที่ข้อมือเพราะว่าโดนมันบีบจนข้อมือแดงไปหมด แต่เบสต์ร้องไห้หนักกว่าเดิม  ตอนนี้ผมเองนั้นแหละที่หยุดร้องไห้แล้ว  แต่เบสต์ซิ่  เบสต์ไม่ยอมบอก เพราะผมก็ไม่กล้าถาม  ไม่กล้าถามว่าเมื่อวานนี้เบสต์โดนเพื่อนของมันทำอะไร

“ไปห้องพยาบาลก่อนนะเบสต์ ... เดี๋ยวต้องทำแผลให้นะ..   วันนี้ไม่ต้องไปเข้าแถวหรอก ทำแผลก่อนนะนะ” 

“ทำ....ฮึก...ฮึก...ทำทำไม  เบสต์ ไม่.... ฮืออๆๆ เบสต์ไม่มีแผลซะหน่อย” 

“..........................” จริงด้วย เบสต์ไม่มีแผลเลย  มีแต่แผลของเมื่อวานนี้ที่ตอนนี้มันเริ่มแห้งแล้ว  แต่ทำไมเบสต์ยังไม่หยุดร้องไห้ซักทีล่ะ

“งั้นหยุดร้องนะเบสต์นะ..... โอ๋ๆๆๆ หยุดร้องนะ.....  นะๆๆ”   

“เบสต์โตแล้วนะ .... ฮึกก  ไม่เห็นต้องโอ๋เลย.. เบสต์ไม่ใช่เด็กซะหน่อย ฮือๆๆๆๆ”    เบสต์ไม่ให้ผมโอ๋  แต่เบสต์ก็ยังไม่หยุดร้องเลยนั้นแหละ

“อะไรกัน....  ไม่เด็ก แต่ทำไมไม่หยุดร้องซักทีล่ะ...”  ผมชินแล้วแหละ  พอผมกับเบสต์โดนคนอื่นแกล้งขึ้นมา พอเราอยู่กันสองคนเมื่อไหร่  เราก็จะพยายามลืมไอ้เรื่องที่มันร้ายๆ นั่นกันให้หมด   เบสต์ถอยห่างออกไปนิดนึง  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งคราบน้ำตา  ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาได้อีกครั้ง

“ต้องอ่ะ...  แซวทำไม...  เบสต์ไม่มีแผลหรอก..... มีแต่ต้องนั้นแหละ เลือดออกที่ปากนะ ไปๆๆ  ไปห้องพยาบาล เดี๋ยวเบสต์ทำแผลให้นะ”  เบสต์พูดกับผมพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างมาเช็ดน้ำตาให้ จนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้กับเบสต์เหมือนกัน เราสองคนยิ้มให้กัน  หัวเราะเหมือนพยายามให้กำลังใจอีกฝ่ายว่าเมื่อกี้นี้มันไม่ได้เกิดอะไรขึ้น .....หัวเราะทั้งๆ ที่ยังมีน้ำตาอยู่ ............  พวกมันเอาแต่แกล้งคนอื่น ...  เอาแต่ทำให้คนอื่นเจ็บตัว.... และก็ทำแต่ให้คนอื่นเดือดร้อน... แต่พวกมันไม่รู้หรอกว่าผมกับเบสต์ เราสองคนเป็นกำลังใจให้กันเสมอ... คนอย่างพวกมันไม่รู้จักคำว่าเพื่อนหรอก  ..... คบกันแต่พวกเลวๆ เหมือนกัน

“ไม่เป็นไรนะ”   

“อือ... ไม่เป็นไรเหมือนกันนะ”

   ตลอดเวลาทั้งวันที่เรียนกัน  เบสต์พาผมไปห้องพยาบาลในตอนเช้า  พอเข้ามาในห้องเรียน พวกเพื่อนๆ ในห้องที่ผมกับเบสต์ไม่ค่อยจะสุงสิงและคุยด้วย มองหน้าผมกับเบสต์เหมือนตกใจนิดหนึ่ง... แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น  ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจ   ........... มันไม่ได้ระงับทุนผมอย่างที่มันขู่เอาไว้  เพราะตลอดเวลาเกือบทั้งวันไม่มีอาจารย์คนไหนเรียกผมเข้าไปพบ...... ช่วงเที่ยงผมกับเบสต์ไม่ออกกไปกินข้าวที่โรงอาหาร เพราะไม่อยากจะไปเจอพวกมันอีก .... จนมาถึงช่วงเวลาเย็น

   มันบอกให้ผมไปรอมันหน้าโรงเรียน แต่เบสต์เป็นคนห้ามเอาไว้  เพราะเบสต์ก็จะไม่ไปที่ชมรมเหมือนกัน  ..........  พรุ่งนี้ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น....   แต่ตอนนี้เลิกเรียนแล้วและผมก็กลับเข้ามาอยู่ในหอผมแล้วเรียบร้อยพร้อมกับเบสต์

   “พรุ่งนี้วันหยุด.... มีเวลาหายใจสองวันแหละ”  ผมพูดขึ้นมา  ทำหน้าตามั่นใจ  รอดสองวัน ไม่เป็นไรๆ

   “อ้าว” 

   “อ้าวอะไร”

   “ตอนนี้ต้องไม่ได้หายใจหรอกหรอ”  เบสต์ทำตาโต ถามผมขึ้นมาแบบปัญญาอ่อนนิดๆ

   “อ้าว  เบสต์   ......  เดี๋ยวเถอะ” 

   “เดี๋ยวเถอะไร”

   “ไม่ทำกับข้าวให้กิน”

   “ไม่เอาๆๆๆๆ  อุตส่าห์ซื้อของมาแล้ว ทำให้กินหน่อยดิ่ นะๆๆๆ  เบสต์อยากกินต้มซุปไก่.. อยากกินไข่ยัดไส้....  อยากกินๆๆๆ ทำๆ นะๆ”    เวลาจะกินเบสต์มันอ้อนผมประจำแหละ  ก่อนจะกลับเข้ามาในห้องมันก็พาผมเข้าไปใน มาร์ท เอ็กซ์เพลส ที่พอมีของสดขายอยู่บ้าง

   “ก็ได้... แต่”   ผมชอบมีข้อแม้เสมอ
   
   “แต่................”  เบสต์พูดพร้อมกับมองหน้าผม

   “คืนนี้ดูหนังผีเป็นเพื่อนหน่อยนะ....... แฮ่ะๆ”    ผมชอบหนังผีมากๆ เลยแหละ แต่ไม่กล้าดูคนเดียว ต้องมีเพื่อนดูอ่ะครับ ไม่งั้นกลัว

   “ถ้าทำอร่อย จะดูเป็นเพื่อนก็ได้นะ .... คือเบสต์เป็นคนสงสารเพื่อนน่ะ”  คุณเพื่อนผมทำหน้าตาเหมือนเป็นต่อผมมากเลย  แต่ผมทำกับข้าวทีไร  เบสต์มันก็กินหมดทุกทีแหละ  ตัวเล็กเท่าผม แต่กินจุกว่าผมอีกอ่ะ

   “เชอะๆๆๆๆ  ต้องทำทีไร เบสต์กินไม่เห็นเหลือ... ตอนนั้นทำปลานึ่ง เบสต์กินหมดจนต้องสงสารแมวเลย” 

   “หมายถึงไรอ่ะ.... งง”   หน้าฉงนเชียวมัน

   “ก็กินหมดจนเหลือแต่ก้าง  เนื้อที่ติดก้างไม่เหลือเลย แมวมันเห็นมันก็ร้องไห้หมดแหละ  ไม่เหลือเนื้อให้มันมั่ง”   

   “แฮ่ะๆ”   นั้นแหละครับ  แค่นั้นแหละมัน  หัวเราะอย่างเดียวเวลาเถียงผมไม่ได้

   “ต้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง  จ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”    น่ากลัวแล้วล่ะครับ มันพูดแบบนี้ 

   “ไรอ่ะ”  ผมระแวงแล้ว

   “ไม่มีไร อิอิ”     ต้องมีไรแน่ๆ เลยแต่มันไม่ยอมบอก

   “ไรอ่ะ บอกมานะ” 

   “เดี๋ยวบอกพรุ่งนี้ได้ป่าว” 

   “ไม่เอาๆ บอกหน่อยนะ นะๆ”   ผมเอียงคอ พร้อมกับทำตาแป๋ว แบบว่าให้ดูแบ๊วสุดๆ   เผื่อมันจะบอก  ........... ก็ไม่ได้อยากรู้หรอก  แต่ถ้ารู้ก่อน ..มันก็ดีนี่นา

   “ไม่ๆๆๆ ไปทำกับข้าว เบสต์หิวแล้ว” 

   “เชอะ”    ไม่บอกก็ไม่บอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็รู้เองนั้นแหละ

   กว่าจะทำกับข้าวเสร็จ กว่าจะได้กิน  แล้วก็กว่าจะดูหนังจบ  เล่นเอาเกือบตีหนึ่งแน่ะ  ...  คืนนี้ผมกับเบสต์นอนกันซะดึกเลย การบ้านก็ไม่ทำ แต่ไม่เป็นไรๆๆ  พรุ่งนี้ตื่นสายได้อยู่แล้ว เพราะเป็นวันหยุด  เมื่อวานตอนเย็น เบสต์โทรไปหาแม่มันอีกครั้ง  คงอยู่กับผมอีกสองวัน เบสต์คงกลับบ้านวันจันทร์   

   ผมอาบน้ำนอนทีหลังเบสต์นานเลยวันนี้   คงจะเหนื่อยจากหลายๆ อย่างเลยนั้นแหละ  จนผมลืมอะไรบางอย่างไป   
   ..............เมื่อเช้าผมร้องไห้นี่นา................
   
เพียงแค่หัวผมถึงหมอน ความง่วงก็เข้ามาเยือนแล้วแหละ  แต่ก่อนจะนอนก็ไหว้พระเป็นประจำนั้นแหละครับ

คืนนี้อากาศในกรุงเทพฯ หนาวกว่าปกติ ถ้าจะเทียบกันแล้วผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอากาศที่กรุงเทพฯ สำหรับหน้าหนาวในตอนกลางคืนนี่ อากาศจะเป็นแบบนี้ทุกคืนหรือเปล่า แต่ผมชอบนะอากาศหนาวๆ แบบนี้ มีคนเคยบอกว่าคนที่เกิดช่วงฤดูอะไร จะชอบฤดูนั้น  เดือนหน้าก็เดือนธันวาคม  อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดผมแล้ว  ปีนี่อาจจะเป็นปีแรกก็ได้มั้งที่ผมจะต้องฉลองวันเกิดคนเดียว เพราะว่าเบสต์บอกว่าอาจจะต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัดกับที่บ้านด้วย 

ถึงต่อให้อากาศจะหนาวอย่างไร ผมก็หลีกเลี่ยงบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้กับชีวิตหลังนอนหลับอยู่ดีๆ นั้นเอง

บริเวณชายป่าอ้อยแห่งนั้น ผู้ชายรูปร่างสูง ผมยาวรุงรังที่ปรกลงมาจนเกือบจะมิดหน้า เสื้อสีน้ำตาลอ่อน ที่ช่วงของแขนเสื้อขาดจนเห็นบริเวณกล้ามเนื้อต้นแขน กางเกงขายาวสีน้ำตาลแก่ ข้างหนึ่งปล่อยยาวลงไปและอีกข้างหนึ่งถูกพับขึ้นมาเพียงครึ่งหน้าแข้ง ไม่ได้สวมรองเท้า  บัดนี้หน้าตาทะมึนและน่ากลัวเหมือนเดิมยังไม่เคยเปลี่ยน  ครั้งนั้นผมจำได้ว่าผู้ชายคนนี้ ลากลู่ถูกังผู้หญิงมาถึงสองคน มืออีกข้างจิกผมของหญิงสาวน่าสงสารผู้นั้นไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ดึงผู้หญิงอีกคนหนึ่งให้เข้ามาหา 

แต่ทำไมทำไมตอนนี้ผู้หญิงคนที่ถูกจิกผมแล้วดึงกระชากเส้นผมมาในครั้งนั้นหายไปไหน .......ทำไมผมไม่เห็น  ผมอยู่เหตุการณ์ตรงหน้านี้ตลอดไม่ใช่หรอ ผู้หญิง...อีกคน หายไปไหนแล้วตอนนี้ .........แต่เหตุการณ์เดิมๆ นั้นก็ยังไม่เปลี่ยน  ถัดจากชายป่าอ้อยนี้ไปจะต้องเป็นกระท่อมร้างเก่าๆ ซักกระท่อมหนึ่งซิ่ ...... ใช่ไหม......?  นั่นไง กระท่อมนั้นอยู่ตรงหน้า  ....... ขอร้องเถอะ.... อย่าให้สายตาของผม...... อย่าให้ความรู้สึกของผม....ต้องตามติดไปด้วยเลย  ............ เหตุการณ์นับต่อไปจากนี้มันเลวร้ายเกินไป......

“ฮึก.... ฮือๆ ...ฮือๆๆๆ .....ทำไมเป็นแบบนี้”  ผมฝันร้ายอีกแล้ว .........ฝันร้ายในเรื่องเดิม  ในเรื่องซ้ำๆ กัน ความฝันนั้นของผมแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย เพียงแต่ครั้งนี้ผู้หญิงคนหนึ่งนั้นหายไปแค่นั้นเอง  แต่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งกลับถูกกระทำราวกับไม่ใช่คน ผู้ชายโหดร้ายคนนั้นไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์ป่า 

ผมลุกขึ้นนั่ง และคงคิดว่าจะไม่ได้นอนไปอีกตลอดทั้งคืนนี้ ทำไมถึงได้เหนื่อยนัก..... เพียงแค่ฝันร้ายแค่นั้นเอง ..... แต่ผมร้องไห้อีกแล้ว  ร้องไห้เหมือนกับทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา อ้อมกอดของตัวเองที่นั่งกอดเข่าอยู่อย่างนี้ เหมือนกับทุกๆ ครั้ง มันช่วยให้ผมคลายความหนาวเหน็บจากอากาศรอบข้าง และความหนาวเหน็บทางจิตใจได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก  ทำไมนะ.... ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้.............  เหมือนผมอยู่ในเหตุการณ์นั้น......ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝัน...... แต่ทำไมผมไม่ช่วยผู้หญิงสองคนนั้นล่ะ.....ผมอยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรอ......

ผู้ชายคนนั้นในฝันหรือเปล่า ที่ทำให้ผมเกลียดและกลัวผู้ชายทุกคนที่เข้ามาใกล้ๆ 

“ฮือ....ฮึก......แม่จ๋า...ต้องคิดถึงแม่” 

“ต้อง !!”  เสียงเรียกที่อยู่ข้างๆ ผมพูดขึ้น  .... ผมลืมไป คืนนี้เบสต์นอนอยู่กับผมนี่นา

“เบสต์”   ผมคลายจากอ้อมแขนของตัวเอง  ก้มหน้าลงไปที่แผงอกเล็กๆ ของเพื่อนรัก  ร้องไห้สะอื้นอย่างหนัก  .... ขอบคุณเหลือเกินที่คืนนี้ผมยังมีเพื่อนนอนด้วย

“ไม่เป็นไรนะต้องนะ.... มันเป็นแค่ฝัน... อย่าร้องไห้นะ”    เบสต์ตื่นขึ้นมาปลอบผม  ....  ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเกิดวันไหนผมร้องไห้ขึ้นมาเมื่อไหร่  เบสต์คนเดียวเท่านั้นที่จะขอมานอนเป็นเพื่อนผมเสมอ

ผมเกลียดผู้ชายเกือบทุกคน ........เกือบทุกคน....  เว้นเบสต์  และใครอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่หายไปจากชีวิตผมนานแล้ว

.........................................................



หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:51:25
ตอนที่ 7  ทบทวนความทรงจำ

   เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา  ผมรอต้องอยู่หน้าโรงเรียนนานมาก แต่จนแล้วจนรอดคำที่ผมขู่เอาไว้  ต้องกลับไม่ได้กลัวอะไรเลย  ไม่กลัวว่าผมจะจัดการอย่างไรต่อไป  ไม่กลัวว่าผมจะเข้าไปหาอาจารย์แล้วบอกว่าให้ไอ้ทุนๆ บ้า ที่ต้องได้รับอยู่นั้นถูกระงับไปซะ............ ถึงจะอยู่ต่อหน้าก็กลัวอยู่หรอก แต่พอลับหลังกลับไม่กลัว ผมไม่รู้ว่าต้องทำแบบนี้ ไม่กลัวหรือว่าจะอยากลองดีกับผมแน่
   แต่ก่อนตอนเด็กๆ...  เห็นเอาแต่ขี้แย แต่พอโตดูเหมือนว่าจะกล้าขึ้น  .....  ก็จะลองดู ถ้าแน่จริง เก่งจริง  จะดูว่าจะกล้าไปได้ซักกี่น้ำ............  สันดานคงเสียพอกันทั้งแม่ แล้วก็ลูก
   “ทุนของต้องชนัญ  อาจารย์ระงับไปซะ .... ถ้าไม่ทำผมจะบอกให้พ่อเลิกบริจาคเงินให้กับชมรมผู้ปกครองของที่นี่”    ผมพูดกับอาจารย์ฝ่ายบริหารงานศึกษา ผมไม่ได้ใหญ่โตคับฟ้าอะไรนัก แต่อำนาจเงิน มันสามารถบันดาลได้ทุกๆ อย่างนั้นแหละ  ไม่อย่างนั้นคนที่เป็นไอ้อาจารย์ที่มันอยู่ตรงหน้านี้คงไม่รีบกุลีกุจอทำตามที่ผมสั่ง..... ไอ้อาจารย์เลวๆ คนหนึ่งที่ทำเพื่อให้โรงเรียนตัวเองอยู่รอด แต่กลับไม่สนใจอนาคตของเด็กคนหนึ่งว่าจะเป็นอย่างไร......  ผมแสยะยิ้ม นึกสมเพชขึ้นมา... ตอนที่มันเซ็นต์ลายชื่อระงับทุนของคนที่ผมกำลังต้องการที่จะให้ตกนรกทั้งเป็น......  เพื่อนๆ หลายคนเคยบอกว่าผมเลวสุดขั้ว... จริงๆ นั้นแหละ  ผมเลวจริงๆ  ....แต่พอใจซะอย่าง แล้วก็ไม่หนักหัวใครด้วย
   ตลอดระยะเวลาเรียนตั้งแต่ช่วงเช้าถึงช่วงบ่าย ผมแอบอยู่บนตึก  เหลือบไปเห็นเด็กคนนั้นเดินคู่กันมากับของเล่นชิ้นใหม่ของไอ้เอก หน้าตาดูสดใสดี ร่าเริงกันทั้งคู่  แต่มันคงไม่รู้หรอกว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า มันจะเจออะไรบ้าง  ผมส่ง  sms  เข้าไปที่มือถือเครื่องของต้อง เบอร์มือถือที่ผมได้มาจากตอนที่อยู่ห้องงานศึกษา 
   
“ถ้ามึงอยากได้ทุนการเรียนของมึงคืน.... เย็นนี้รอกูหน้าโรงเรียน......P’ Wat ”   

 เพียงแค่ผมส่งไปแป๊บเดียว  ต้องเอามือล้วงเข้าไปในมือถือ และอ่านขึ้นมาเพียงแค่ครู่เดียวจากดวงหน้าตาสีสดใส  กลับกลายเป็นซีดลงไปในทันที ....  มือที่จับมือถือยังคงจับค้างอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ก้าวท้าวเดินต่อไปจนเพื่อนข้างๆ  มันสะกิด
เสียงพูดกันผมไม่สามารถได้ยิน แต่ที่รับรู้ได้คือจากสีหน้าที่ตกใจสุดขีด  ต้องกับเบสต์เดินกึ่งวิ่งไปที่ตึกแรกของอาคารเรียนรวม คงจะไปดูซินะ... ว่าทุนโดนระงับจริงหรือเปล่า
สิ่งที่ผมสงสัยอยู่อย่างเดียว  .....  แม่มันก็รวย หาเงินเก่งได้ซะขนาดนั้น ทำไมมันต้องมาเป็นนักเรียนทุนของที่นี่ด้วย แต่ก็อย่างว่า.....  ถ้าไม่รวยจริงถ้าไม่ได้เงินจากที่อื่นมาจริง  มันไม่มีทางที่จะเรียนที่นี่ได้หรอก....
เงิน..... นอกเหนือจากที่มันได้มา มันก็คงได้มาจากแม่ของมันด้วยวิธีการสกปรกๆ  นั้นแหละ
“ทำอะไรไอ้พระเอกซาดิสต์”  เสียงไอ้เอกทักผมจากด้านหลังก่อนจะมายืนอยู่ข้างหน้าด้วยกัน พร้อมกับมองลงไปเบื้องล่าง
“.................”  ผมไม่ตอบ  แต่สายตาที่ผมมองลงไปอยู่ ไอ้เอกคงรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
“อ่อ.... ที่แท้ก็มองเหยื่ออยู่นี่เอง..ฮ่าๆๆ”   ไอ้เอกพูดจบแล้วก็หัวเราะ  เอานิ้วมือทั้งสองเข้าไปในปาก พร้อมกับห่อปากลง  ..  ทำให้เกิดเสียงดัง
“วี๊ดดดดดดดด............วิ้วววววววววววว”  เสียงผิวปากของมันที่เกิดจากเสียงและนิ้วมือทั้งสองทำให้เด็กสองคนที่ผมมองอยู่เงยหน้าขึ้นมามองบนตึกที่ผมทั้งสองคนยืนอยู่
“ว่าไงครับน้องเบสต์.... วันนี้เป็นเด็กดีไหมเอ่ย”   ไอ้เพื่อนผมมันยังคงแหย่ของเล่นของมันอยู่ต่อไป แต่สายตาผมกลับจ้องมองคนข้างๆ มากกว่า ในขณะที่ดวงตาคู่เล็ก กลมโตนั้นก็จ้องมองผมเหมือนกัน 

....สายตาที่จ้องผมทั้งตกใจ  และก็กลัว.... แต่มันไม่ได้มีความน่าสงสารอยู่ในดวงตาคู่นั้นทั้งสิ้น

.........ก็ดี... ถ้าเป็นแบบนี้ก็ดี  ....   จะได้จัดการได้ง่ายๆ หน่อย

แต่ถ้าสายตาของมันแปรเปลี่ยนมาเป็นกล้าและท้าทายผม... เย็นนี้ถ้าผมไปรอมันอีกคงรอเก้อแบบเดิมซะมากกว่า... วันนี้รถที่ผมเอามาจอดอยู่ในโรงเรียนซะด้วย  ผมหยิบเอาตารางเรียนใบเล็กๆ ที่สั่งให้น้องที่รู้จักกันย่อส่วน พร้อมกับหยิบขึ้นมาดู ....  เรียนตึก 7  ตึกสุดท้ายหลังโรงเรียน
ผมรู้แล้ว.... ว่าจะดักรอมันได้ตรงไหน
“ไงมึง....จะจัดการอย่างไงต่อ”  เสียงของไอ้นันต์ เพื่อนผมที่ยืนอยู่ข้างๆ  พูดขึ้นพร้อมกับมองลงไปข้างล่าง
“กูยังไม่รู้.... แต่กูรู้ว่ากูโชคดีที่เจอมันอีกครั้ง... อะไรที่พวกมันทำไว้กับกู กูจะได้สะสางมันให้หมด”    ผมตอบไอ้นันต์กลับไป  ถูกล่ะ...  ผมยังไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไงกับเรื่องตรงหน้านี้ 
“อย่าเลยธิว..... ปล่อยน้องเค้าไปเถอะ... น้องเค้าอาจจะไม่ใช่คนที่ธิวตามหาก็ได้นะ..ผ่านมาตั้งนานแล้ว แค่ชื่อเหมือน  นามสกุลเหมือน แต่ธิวก็จำหน้าน้องเค้าไม่ได้นานแล้วไมใช่หรอ”   เสียงของซิว  เพื่อนไอ้ตัวเล็กสุดในกลุ่ม แถมยังป็นญาติที่ใกล้ชิด ของผมอีกด้วย เป็นคนเดียวในกลุ่มจริงๆ ที่เวลาพวกผมทำอะไรไม่ดีทุกครั้ง ซิวจะเป็นคนคอยห้ามไว้เสมอ....  ถ้าไม่ใช่ญาติ ... ถ้าผมไม่รักเหมือน............น้องอีกคน   ผมไม่ให้ซิวเข้ามายุ่มย่ามกลับกลุ่มผมเด็ดขาด
และก็เป็นเพื่อนคนเดียวในกลุ่มผมอีกเหมือนกันที่เรียก “ชื่อเล่น” ผมอย่างคนในครอบครัวผมเรียก... ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งผมเคยมี... และเคยอบอุ่น
“ซิวอย่ายุ่ง... มันเรื่องของธิว..ทำไมวันนี้ไม่ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด”  ทั้งผมและพวกเพื่อนผมทุกคนไม่เคยมีใครขึ้น คำว่า “มึง” “กู” กับซิวเลยซักครั้ง  แต่ก็บ่อยเหมือนกันที่ผมดุซิวหนักๆ
“มึงจะตะคอกซิวทำไมเนี่ย.... โมโหอีกคนลงกับอีกคนหนึ่งนี่หว่า....  แค้นตอนเด็ก โมโหตอนเด็ก แต่แน่ใจนะมึงว่าถูกคน”  เสียงของไอ้เอกที่คอยจะปกป้องซิวเสมอเวลาผมหงุดหงิด  เพื่อนสนิทของผมทั้งสามคน เตือนเอาไว้ หลังจากที่ผมเล่าเรื่องบางอย่างที่มันผ่านมานานแล้วให้พวกมันฟัง  ผมไว้ใจพวกมันมากที่สุด  มากพอที่จะเล่าเรื่องอดีตให้พวกมันฟังได้  และเล่าเรื่องทุกอย่างที่อยากจะลืมให้พวกมันได้รับรู้
ซิวก้มหน้าลงไปอีกครั้ง  ก่อนจะเดินถอยห่างออกไป.... ไม่มีใครรู้หรอกว่าที่ผมดุซิวบ้าง ตะคอกซิวบ้าง แต่เพราะว่าห่วงลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของผมที่สุด... เหมือนกับครั้งหนึ่งที่ผมเคยทั้งรักและก็ห่วงใครคนหนึ่งอีกเหมือนกัน  ....  คนที่ทั้งรูปร่างและหน้าตาแทบจะไม่ต่างจากซิวเลย
“ซิวๆ   รอเอกด้วย”  ไอ้เอกมันวิ่งเตรียมจะเดินไปหาซิว ไอ้เอกนี่ก็เหมือนกับแหละครับ ผมมองออกอยู่แล้ว ว่ามันคิดอย่างไงกับซิว  มันจีบสาวไปเรื่อย ฟันแล้วก็ทิ้งไปเรื่อย แถมตอนนี้ยังได้ของเล่นชิ้นโปรดอันใหม่ของมันอีก  แต่มันก็ไม่เคยจริงจังกับใครซักคน เว้นแต่ซิวเท่านั้น  แต่ก็นั้นแหละ....  ผมไม่มีทางให้ไอ้คนเจ้าชู้อย่างมัน มาเป็นว่าที่น้องเขยผมหรอก ....   
“ไอ้เอก  ... !!! มึงไม่ต้องไป  มานี่ก่อน”   ผมตะคอกใส่มันด้านหลังพร้อมกับดึงคอเสื้อมันเข้ามา
“มีอะไรอีกมึง”   มันยังไม่หันหลังมาหา แต่พร้อมที่จะเดินตามซิวไปได้ทุกเมื่อ
“วันนี้มึงจัดการเอาไอ้ของเล่นชิ้นใหม่มึง ให้แยกออกจากไอ้เด็กนั่นด้วย กูจะได้จัดการมันได้สะดวกๆ” 
“เออๆๆ เดี๋ยวกูจัดการให้..... ว่าแต่ ?”  มันหยุดพูดพร้อมกับหันมาทางผม
“มึงจะเอาไอ้เด็กนั่นไปจัดการที่ไหน” 
“............”  ผมไม่ตอบ   แต่เมื่อกี้ที่มองหน้าซิวไป  ทำให้นึกอะไรขึ้นมาบางอย่างได้  ... ผมต้องทำซะแล้วซิ่ คิดได้แค่นั้นผมก็เดินถอยห่างออกมาจากไอ้เอกและไอ้นันต์ที่ตอนนี้เปลี่ยนความสนใจจ้องมองไปที่สาวๆ มากกว่า
ผมตัดสินในยกมือถือขึ้นมา..  พร้อมกับกดเบอร์โทรศัพท์ไป เบอร์ที่ไม่เคยเมมเอาไว้ในเครื่อง  แต่มันเป็นเบอร์ที่ผมจำได้จนขึ้นใจ
“สวัสดีค่ะ  บ้านวัจนสกุลค่ะ”    เสียงปลายสายตอบกลับ  ผมไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้รับคนใช้เพิ่มใหม่ซักกี่คน อาจจะเพิ่มอีกเป็นสิบเลยก็ได้มั้ง  ก็อีคุณผู้หญิงของบ้านนี้มันคงมัวแต่เอาใจผัวของมันอยู่นั้นแหละ
“คุณธินอยู่ไหม”  ผมตอบกลับไป
“คุณธินกับคุณผู้หญิงอยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าใครต้องการเรียนสายด้วยคะ”   เสียงผู้หญิงคนนี้ผมชักเริ่มรำคาญ  อยากจะตะโกนกลับไปเหมือนกันว่า ....คุณผู้หญิงของบ้านหลังนั้นจะมีได้ก็แค่แม่กูคนเดียว....  คนอื่นไม่มีสิทธิ์
“ธิว”   ผมเรียกชื่อเล่นของตัวเอง.... ระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ก่อน
“ได้ค่ะ ถือสายรอสักครู่นะคะ”   เสียงเงียบไปซักพัก ... ครั้งแรกผมอยากจะโทรเข้าไปที่เบอร์มือถือของผู้ชายคนนี้เหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่อยากจะให้เบอร์มือของผมมันไปปรากฏอยู่ที่เครื่องอีกเครื่องก็เท่านั้น
“ธิว..ธิวหรอลูก”  เสียงปลายสายที่ดังขึ้นมา ทั้งสั่นและแตกพร่า  แต่ก็ยังคงมีกังวานและมีอำนาจทุกครั้งที่ผมได้ฟัง  เสียงที่ตอนเด็กๆ เคยปลอบตอนผมร้องไห้... และครั้งสุดท้ายเจ้าของเสียงผู้นี้ก็ทำให้ผมร้องไห้อีกเช่นกัน
“ครับ.. ผมเอง”   ผมตอบกลับไป
“ธิวอยู่ที่นั่นเป็นไงบ้าง....  ทำไมไม่ติดต่อพ่อกับมาบ้างเลย...  ลุงธันย์บอกว่าลูกย้ายไปอยู่คอนโด... แล้วอยู่อย่างนั้นจะดีหรอลูก....กลับบ้านเถอะนะ ....ถ้าเกลียดพ่อยังไม่อยากเจอหน้าพ่อลูกก็กลับไปอยู่กับลุงธันย์ก่อนก็ได้นะ” 
พ่อพูดต่ออีกยาวเหยียดจนผมไม่อยากจะฟัง  ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็เพราะผมเกลียดบ้านหลังนั้นมากที่สุด  .... ผมไม่เคยกลับไปเหยียบอีกเลย...  อีกทั้งผมไม่เคยที่จะติดต่อหรือโทรกลับไปซักครั้ง... คนที่ครั้งหนึ่งผมเคยเรียกว่าพ่อ  ...  พาผมมาอยู่กับพี่ชายของเค้า ...ลุงธันย์ ลุงของผมเอง ลุงที่เป็นเหมือนทั้งพ่อและก็เพื่อนผมในเวลาเดียวกัน....   จนเรียน ม. ปลาย  ผมขออนุญาตลุงออกมาอยู่คอนโดข้างนอกคนเดียว  เพราะต้องการอิสระ ซึ่งลุงก็เข้าใจคนที่อยู่วัยอย่างผมดีว่าเป็นอย่างไร... ลุงอนุญาต  และไม่เคยบอกกล่าวให้คนอีกบ้านได้รับรู้เลย....    เงินทุกบาททุกสตางค์.... ผู้ชายคนที่ผมคุยโทรศัพท์อยู่นี้เป็นคนส่งให้ผมใช้  ...  ผมผลาญมันให้หมดเท่าที่ผมจะผลาญได้... ในเมื่อแม่ลูกเลวๆ คู่นั้นมันก็ผลาญได้ แล้วทำไมผมเป็นลูกแท้ๆ ผมจะผลาญไม่ได้ล่ะ

....เงินซื้อคอนโดราคาที่ถือได้ว่าแพงจัดใจกลางกรุงฯ
....รถถึงสามคันที่ผมเปลี่ยนขับเป็นว่าเล่น....
...เงินที่ผมใช้อย่างฟุ่มเฟือย ..ทั้งฟาดหัวซื้อผู้หญิงง่ายๆ มานอนด้วย... ทั้งเหล้าทั้งเที่ยว  ผมเอาหมด
...แต่ผมก็ไม่เคยบอกกับตัวเองว่าผมมีความสุขกับมัน...

                  ..............ผมเพียงแต่สะใจ....ที่ได้ทำ...................

   “ผมจะกลับบ้าน..”   ผมพูดจบหลังจากที่ผู้ชายคนในสายพูดยาวเหยียดจนหยุดพูดแล้ว
   “จริงนะลูก...กลับมาเถอะนะ พ่อคิดถึง....  น้าตาเค้าก็อยากเจอลูกนะ.... หายโกรธพ่อกับหายโกรธน้าตาเถอะ”   .....  ทำไมต้องพูดชื่อผู้หญิงคนนี้ให้ผมได้ยินด้วย.... ดีแค่ไหนแล้วที่สะกดอารมณ์ตัวเองได้ เพราะว่าถ้าไม่คิดถึงสิ่งที่ผมกำลังจะทำอะไรบางอย่างในอนาคตข้างหน้า....  คงกระชากอารมณ์ใส่ไปแล้ว....  อย่าพูดชื่อผู้หญิงเลวๆ คนนั้นให้ผมได้ยิน
   “ครับ...ผม...ก็ คิดถึง....คุณ”   ผมกัดฟันพูดไป .....โกหกเพื่อให้คนที่ฟังอยู่ตายใจ
   “เรียกพ่อว่า “พ่อ”  เถอะ”   เสียงสั่น  เครือ...   เสียใจ  ในสิ่งที่ปลายสายได้ยิน  ผมสะใจอยู่ลึกๆ   ผมตะโกนอยู่ในใจ  คำๆ นั้นผมห่างมันมานานแล้ว...ผมเสียมันไปนานแล้ว   แต่ก็เอาเถอะ.... ผมกำลังได้แก้แค้นแล้วนี้...ยอมเล่นละครซักฉากสองฉากจะเป็นอะไร
   “ครับ....พ่อ...ผมคิดถึงพ่อ ผมคิดถึงน้าตา...ผมขอโทษด้วย...ผมอยากไปหาพ่อกับน้าตานะครับ”  เสียงแกล้งสะอื้นของผมใช้ได้อย่างดี  ...คนฟังเชื่อสนิทใจว่าผมขวัญเสียเป็นอย่างมาก
   คนอย่างผมมันน่าจะได้รางวัลนักแสดงนำชายนะ  .....หึหึ.....   
   “กลับบ้านนะลูก .... เสาร์อาทิตย์นี้กลับมานะ ....  ขับรถแป๊บเดียวบ้านเราอยู่ใกล้ๆ  พ่ออยากเจอธิวนะ”   ปากก็บอกว่าอยากเจอ  ผมมาอยู่กรุงเทพฯ หกปี  พ่อผมเคยมาหาผมซักครั้งหรือ...
   ผมวางสายจากชายคนนั้นไปแล้ว....   แผนการขั้นแรกผ่านไปได้ด้วยดี ...ทำไมมันง่ายอย่างนี้นะ... ผมนึกสมเพชผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่ง ที่ตัณหามักมากไม่รู้จบ  ... กับแค่ผู้หญิงข้างบ้าน กับแค่ผู้หญิงแค่เอาขนมเพียงไม่กี่ถุงมาล่อ กับแค่ทำตัวแกล้งน่าสงสาร  ก็ถึงกับรักหัวปักหัวปำ  คิดแล้วมันน่าทุเรศ
   ผมเดินออกมายิ้มเยาะที่มุมปากเพียงนิดเดียว...  กลับเข้าไปเรียนต่อ..โดยที่เนื้อหาในหนังสือพวกนั้นไม่เข้าไปอยู่ในหัวของผมเลย
.
.
.
.
   เวลาหลังเลิกเรียน ... คนมันพลุกพล่านแบบนี้เสมอ... ผมเกลียดผู้หญิงหรือผู้ชายที่เข้ามาหาและทำท่าอยากจะรู้จักตีสนิทด้วย ... พวกนี้มันหวังแค่เซ็กส์เท่านั้น.. ทุกครั้งที่เลิกเรียน ผมจึงขับรถออกมาเลยโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
   แต่เย็นนี้ผมเพียงแค่จอดรอและนั่งอยู่ในรถเงียบๆ คนเดียว...  รอคนที่มันกำลังจะเดินมา...  ถึงมองแต่ไกลๆ ก็เห็นและสังเกตได้ชัดทีเดียว ผมเพิ่งจะพินิจเพ่งดูชัดๆ  ก็คราวนี้นี่เอง
   หน้าตามันไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมากนัก... แต่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมครั้งแรกมันถึงจำผมไม่ได้  รูปร่างยังคงผอมบางอยู่ไม่เปลี่ยน  จะต่างก็ที่ความสูงที่สูงขึ้นมาแต่ก็ไม่มากนัก  และไม่ได้สูงไปกว่าใครเลยในระดับชั้นเดียวกัน....  แถมคงจะอายุน้อยที่สุดในชั้นเรียนด้วย...  ต้องชนัญ..... ผมเรียกชื่อเด็กที่เดินออกมาเพียงคนเดียวตรงหน้า
   
   ผมคิดไว้อยู่แล้ว ว่ามันต้องแอบหนีมาทางหลังโรงเรียน... คนอย่างมันถึงโดนระงับทุนไป มันก็ไม่เสียใจอะไรหรอก  ... บ้านที่แม่มันเกาะอาศัยอยู่ออกจะรวยไม่รู้เท่าไหร่

   สำหรับเพื่อนของมัน....  ไอ้เอกคงเอาไปจัดการแล้วเรียบร้อย

   ผมเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว จนคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้นตกใจ..    พร้อมกับมันที่หันหลังมา....สีหน้าคงตกใจน่าดู... ขอบตาแดงช้ำเชียว..  ไปเสียใจอะไรมาล่ะ หรือจะร้องไห้เอาไว้ก่อน  เผื่อให้คนอื่นเค้าสงสาร  ... หึหึ
   ผมเดินก้าวออกไปจากรถ ไม่สนใจผู้คนที่เดินอยู่รอบข้าง ที่มองมาทางผมเป็นตาเดียว  เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ตอนนี้ไอ้เด็กคนนั้นมันอยู่ตรงหน้าแล้ว
   “ทำไมมึงไม่รอกูหน้าโรงเรียน  ห๊ะ !!!!”   ผมตะคอกมันไป จากครั้งแรกเป็นเพียงแค่จุดสนใจเท่านั้น แต่ตอนนี้คนเริ่มหยุดเดินและมองมาทางผมและต้องเยอะขึ้น  มันพยายามบิดข้อมือของตัวเองออก  แต่มันคิดหรอว่าข้อมือเล็กๆ ของมันจะสามารถหลุดออกไปได้
   “กูถาม... ว่าทำไมมึงไม่รอกูหน้าโรงเรียนใบ้แดกหรือไง” ....  มันเงียบ...
   “ปล่อยผม... จะมายุ่งทำไมเนี่ย..!!!” 
   “กูไม่ปล่อย.... มึงหนีกูได้ไหมล่ะ... มึงหนีกูพ้นไหมล่ะ...กระจอก  !!” 

   “ผมไม่ได้หนี...  แต่ผมไม่อยากอยู่ใกล้ ผมไม่อยากยุ่ง...  คนนิสัยไม่ดีพาลหาเรื่องคนอื่นอย่างพี่ใครเค้าจะอยากยุ่งด้วย... ...........ทุกคนๆๆๆๆๆ มาดูนี่ครับ.. ไอ้คนนี้แหละ  ผมไปว่ามันหน่อยเดียว ขอโทษก็ขอโทษแล้ว มันกลับสั่งให้อาจารย์ระงับทุนผมอีก.. ไอ้คนอันธพาล  ไอ้รุ่นพี่ชอบรังแกคนอื่น”

............. มันตะโกนครับ  ตะโกนประจานในสิ่งที่ผมทำ... ไอ้นี่มันกล้ามาก ... กล้าอย่างที่ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะทำได้  สิ่งที่ผมทำกับมันอยู่ตอนนี้ก็เรียกความสนใจได้จากคนอื่นเยอะพอดูอยู่แล้ว .. แต่นี่มันดันตะโกนด่าผมต่อหน้าคนอื่นอีก.. เป็นใครใครก็ก็โกรธ  สายตาของมันตอนนี้ทั้งแดงก่ำจากที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งผ่านการร้องไห้มา
“ดี...มึงมานี่..” 
“ปล่อย... ปล่อยๆๆ  ปล่อยนะไอ้บ้า”   มันด่าผมอีกแล้ว     
“เออ... กูบ้า  เดี๋ยวมึงได้รู้แน่ว่าคนบ้าๆ อย่างกูทำอะไรได้บ้าง... เสือกไม่เข็ด..สัตว์”   ผมเปิดประตูรถที่อยู่ฝั่งข้างคนขับด้านหน้า  พร้อมกับกดหัวมันลงไปแล้วให้มันนั่งอยู่ในรถ ก่อนจะล๊อกประตู  พร้อมกับเดินมาทางด้านข้างอีกฝั่งอย่างไว...   เพียงแค่เปิดประตูทางด้านของผมเองเท่านั้น ไอ้ตัวร้ายที่มันอยู่ในรถก็พุ่งตัวออกมาด้านผมทันที... ตัวมันก็เล็กแค่นั้น แต่ผลักผมจนเซได้เหมือนกัน... แต่เซแค่นั้นมีหรอที่ผมจะให้มันหลุดออกมาจากในรถได้
“นี่แน่ะ...!!!”  เสียงของมันครับ  ผลักผมได้เลยคิดว่าจะหนีออกมาได้มั้ง
“ฤทธิ์มากนักนะมึง... เดี๋ยวกูจะซัดให้สลบเลย คอยดู” ... ผมพูดพร้อมกับผลักมันเข้าไปในรถอีกครั้ง ก่อนจะแทรกตัวลงไปนั่งตำแหน่งคนขับ... ผมเหยียบคันเร่งอีกครั้งและทยานออกไปจากที่นี่ทันที
“จะไปไหน” ... มันหันมาถามผมสายตาของมันทั้งท้าทาย  และไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่เนื้อตัวทั้งตัวของมันสั่น  แสดงได้เห็นความขัดแย้งกันอย่างชัดเจน
   “มึงเงียบๆ ไปซะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมึงก็นั่งลงเฉยๆ”  ตอนนี้อารมณ์ผมยังไม่สงบนัก  ..  ตั้งแต่เกิดมาก็มีมันนี่แหละที่กล้าด่าผมต่อหน้าคนอื่นได้.. ทั้งครั้งนั้นและครั้งนี้ มันไม่เปลี่ยนไปเลย
   “ปล่อย... ผมจะลง” ...  เสียงของมันยังตะโกนแข่งกับเสียงรถที่ผมเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น
   “กูบอกว่าให้เงียบ  !!!!”  เอาซิครับ มันตะโกนมา ผมก็ตะโกนกลับ
   “ไม่เงียบ.. จะลง จะลงจากรถ ..จอดเดี๋ยวนี้นะ”   มันกล้าสั่งผมครับ   มันคิดว่ามันเป็นใคร   ถ้าอยากลงมันก็ต้องเบรก ...  มันไม่รู้หรือไงว่าตัวมันตอนนี้ไม่ได้คาดเข็มขัด  ผมเบรกรถอย่างแรง   ทำให้ตัวของมันกระแทกไปทางด้านหน้ารถ  ตัวมันแค่นั้นแทบจะกองลงไปอยู่ตรงที่พักเท้า
   “โอ๊ย..”    มันร้องครับ  แต่ผมสะใจ.. 
   “หึหึ”   
   “..............”  มันจ้องหน้าผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สายตาของมันคงอยากจะขู่ให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัว... แต่มันน่าตลกซะมากกว่า
   “เอ้า.. เห็นบอกว่าจะลง  ถ้ามีปัญญาลงได้ก็ลงไป”   รถผมมันเซ็นทรัลล๊อค เปิดออกไม่ได้เด็ดขาดนอกซะจากเปิดทางฝั่งผมเอง...   มันคงไม่รู้หรอกมั้ง 
   “เปิดๆๆๆ.....  เปิดซิ่ไอ้บ้า..”  มันทั้งทุบรถ ทุบกระจก  ผมไม่ห่วงกระจกหรอกว่าจะแตก  แรงแค่นั้นกระจกมันจะไปเป็นอะไรได้ นอกซะจากมือมันเองนั้นแหละจะเจ็บมากกว่า
   “ถ้าไม่มีปัญญาเปิด ก็นั่งเงียบๆ อย่าให้กูหมดความอดทน”    ผมพูดขึ้น แต่น้ำเสียงเบาลง   ไม่ได้สงสารมันหรอก  แต่ขี้เกียจตะโกนมากกว่า
   “ไม่เงียบ !!!   เปิดเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยด้วยผมจะลง !!!!”   แต่มันกลับตะโกนไม่หยุด แถมจะตะคอกใส่ผมอีกต่างหาก
   “!!!!   เงียบซะ  !!!!!!”    ผมตะโกนกลับไปอีกครั้ง   ตอนนี้อารมณ์เริ่มกลับมาเดือดๆ อีกครั้งแล้ว ไอ้นี่มันขยันวอนหาเรื่องซะจริง
   “ทนไม่ไหวแล้วนะ...  คนนิสัยไม่ดี...  ไอ้คนใจร้าย.. มาระงับทุนคนอื่นเค้าทำไม  ...ไปทำอะไรให้.. ปล่อยๆๆๆ  นะ  ผมจะลง..”  เสียงของมันเริ่มสั่น   ขอบตาเริ่มแดง  คงอัดอั้นเหมือนกันละมั้ง ที่โดนแกล้งซะหนักๆ  แบบนั้น  ตอนนี้มันเปลี่ยนจากทุบตีกระจกรถ เปลี่ยนมาทุบตีตัวผมแล้ว..  หมัดไม่ได้หนักจนขนาดทำให้ผมเจ็บหรอก  แต่ถ้าขืนขับแบบนี้ต่อไป อุบัติเหตเกิดขึ้นแน่ๆ
   “วอนหาเรื่องจนได้นะมึง .....  อยู่เงียบๆ ไม่ชอบใช่ไหม๊!!!”   

   ………………………………………….


   


   

หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:52:59
ตอนที่ 8   SATAN   

“ทนไม่ไหวแล้วนะ...  คนนิสัยไม่ดี...  ไอ้คนใจร้าย.. มาระงับทุนคนอื่นเค้าทำไม  ...ไปทำอะไรให้.. ปล่อยๆๆๆ  นะ  ผมจะลง..”  ใครจะไปทนไหวล่ะครับ  ......  ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้วไอ้พี่วัจน์บ้านี่ส่ง sms มาหาผม  พร้อมกับขู่อีกด้วย  จะระงับทุนเรื่องเรียนของผมให้ได้  ผมไปทำอะไรให้พี่เค้าโกรธขนาดนั้นล่ะ ขอโทษไปไม่รู้กี่รอบ ยังจะตามมายุ่งกับผมอีกเหอะ..  ก่อนจะเข้าเรียนอีกวิชาหนึ่งตอนบ่ายผมต้องรีบวิ่งไปหาอาจารย์ ว่าทำไมถึงระงับทุนการเรียนของผมได้  หรือว่ากับเพียงแค่พี่วัจน์ไปพูดแค่นี้ อาจารย์พวกนั้นก็ต้องทำตามด้วย.... อำนาจของเงินมันมีมากถึงขนาดนั้นเชียวหรอ.... 

ผมไม่เคยรู้หรอกทั้งๆ ที่ผมอยากรู้แทบตายว่าผู้ปกครองของคนไหนในโรงเรียนที่เป็นคนให้ทุนการเรียนกับผมและเพื่อนๆ อีกแค่ไม่กี่คนได้เรียนกัน  แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นพ่อของผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้านี้นี่แหละ

   “วอนหาเรื่องจนได้นะมึง .....  อยู่เงียบๆ ไม่ชอบใช่ไหม๊!!!”  ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรแล้วทั้งนั้นแหละ ..  ความโมโหของเรามันถึงที่สุดเหมือนกัน

   “ใช่.. วอนหาเรื่อง....  แล้วอย่างไงล่ะ... ผมไม่วอนหาเรื่อง.พี่ก็หาเรื่องมาให้ผมอยู่แล้วนี่”
 
   “ก็มึงอยู่เงียบๆ เป็นไหมล่ะ !!!” 

   “..ไม่!!!”   ผมตะโกนใส่หน้าพี่วัจน์ไปอีก...  ถ้าเปิดประตูหนีไปได้ ทั้งๆ ที่รถวิ่งอยู่แบบนี้ ผมก็จะกระโดดหนี เป็นไงเป็นกันซิ่ ไม่กลัวหรอก  คนอะไร..หาเรื่องคนอื่นได้ตลอด

   “ดี...เก่งนักนะมึง....กูจัดให้”  ....  พี่วัจน์เบรกรถอีกครั้งหนึ่ง  ตั้งแต่เกิดมาผมก็เคยนั่งรถที่เค้าเรียกกันว่ารถสปอร์ตแบบนี้ครั้งแรกนี่แหละ ข้างในมันเล็กจริงๆ   ดีที่พี่เค้าเบรกรถครั้งนี้ผมคาดเบลท์แล้ว  ไม่งั้นคงได้ไปกองอยู่ที่พื้นแบบครั้งแรก

   “........” 

พี่เค้าขยับตัวเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่ใกล้มากนัก เพราะว่าตัวของเขาเองก็คาดเบลท์เอาไว้อยู่เหมือนกัน  แต่ข้อมือใหญ่ตอนนี้กับบีบที่คางผมจนมันเจ็บไปหมด  เมื่อวันศุกร์ที่แล้วโดนไปรอบหนึ่งมันยังไม่หายดีเลย ถึงจะกลัวอย่างไร...ผมก็ไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนใจดำคนนี้หรอก...  น้ำตามันช่วยอะไรไม่ได้นี่

   “เอาดิ่...มึงอยากจะแหกปากอะไรเอาอีกดิ พูดดิ่ ..........กูบอกให้พูด !!!”   มือข้างหนึ่ง...เค้าบีบคางผมจนแทบจะไม่มีเสียงร้องอะไรออกมาซักนิด ...แต่มืออีกข้างหนึ่งกลับกำมันแน่นง้างมือขึ้นบน เตรียมพร้อมที่จะเอากำปั้นนั้นลงมาที่หน้าผมเต็มที่...    ถ้าผมพูดอะไรไม่เข้าหูพี่เค้าออกไป....  เป็นไงเป็นกัน

   “....เลว...”   ผมเค้นเสียงออกไป  พูดให้ดังที่สุดเท่าที่คนข้างหน้า. จะได้ยิน

   “มึงงง.... มึง.. มึงว่าไงนะ”

   “น่ารังเกียจ”   ดี....ให้ได้ยินแบบนั้นแหละ  ถึงตั้งแต่เกิดมาผมจะไม่เคยโดนผู้ชายคนไหนชกหน้ามาก่อน แต่ครั้งนี้แหละคงจะเป็นครั้งแรก  ... ผมทำให้พี่เค้าเจ็บตัวไม่ได้... แต่ก็คงจะทำให้เค้าเจ็บใจได้มากเหมือนกันนั้นแหละ

   มีใครหลายคนบอกว่าพี่เค้าหล่อที่สุดในโรงเรียน...ผมไม่เชื่อหรอกตอนนี้หน้าอย่างกับโจรที่พร้อมจะฆ่าใครต่อใครได้เลย

   “!!!!!.....  ต้องชนัญ..... !!!!”    ผมหลับตาแน่น...พร้อมกับกำปั้นที่อยู่ข้างบนนั้นมันฟาดลงมา

   “!!!!เปรี้ยะ!!!!”   เสียงมันดังมาก ดังจนผมกลัว...  กำปั้นที่หนักนั้นมันแรงพอดูจนได้ยินเสียงมันใกล้ๆ อยู่ข้างๆ หู.. ผมไม่รู้สึกเจ็บที่หน้าซักนิด... แต่เสียงมันกลับดังอยู่ข้างๆ นี่เองต่างหาก...  ผมกล้าที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งหน้าของพี่วัจน์อยู่ห่างเพียงแค่ปลายจมูกนี่เอง  ...  รถที่ตอนนี้จอดสนิทอยู่ข้างริมฟุตบาท  ฟลิล์มกระจกรถมืดสีดำเกือบจะสนิท กำปั้นนั้นที่มันควรจะลงมากระแทกใบหน้าผม แต่......มันกับกระแทกลงไปที่กระจกรถด้านข้างนี่เอง...

   รถจะแพงขนาดไหน...  จะบางขนาดไหนแต่มันก็ยังทนกำปั้นหนักๆ ของพี่เค้าได้อยู่ แต่ฝ่ามือที่ชกลงไปนั้นตอนนี้มันกลับมีเลือดไหลซึมออกมา 

   มือที่บีบคางผมอยู่ตอนนี้มันเลื่อนลงมาจับที่ต้นแขนของผมแทน แต่ความรุนแรงนั้นมันกลับไม่ลดน้อยลงไปเลย   ผมกลัว...  กลัวในสิ่งที่พี่เขาทำตอนนี้อยู่

   “พี่วัจน์...”  จะเกลียดขนาดไหน ผมก็ตกใจในสิ่งที่พี่เค้าทำเหมือนกัน..   เขาไม่ได้ชกผมอย่างที่ควรจะทำ  .....  มันคงเจ็บมากนั้นแหละ...

   “เรียก....กู......ทำไม”  เสียงของพี่เขากัดฟันพูด แต่ใบหน้ายังคงอยู่ไม่ห่างไปจากปลายจมูกผมเลย 

   “ปล่อย.....ปล่อยผมไปเถอะนะ...”  ผมไม่กล้าที่จะด่าเขาแล้ว.. ถึงเขาจะไม่ชกผมก็เถอะ.. แต่ผมก็ยังไม่ใจร้ายพอที่จะให้เขาเจ็บหรอก

   “มึงมีสิทธิ์สั่งกูไหมล่ะ”.....   

   “ปล่อยผมไปเถอะนะ.... พี่ไม่อยากให้ผมได้ทุนผมก็ไม่เอาก็ได้”   

   “มึงอยู่เงียบๆ ไปซะ....กูไม่อยากฆ่าคนตายตอนนี้”   มือข้างที่ชกกระจก ยกขึ้นมาชี้ที่ใบหน้า ตอนนี้หน้าตาพี่เค้าน่ากลัวกว่าเมื่อกี้นี้ซะอีก ถ้าเกิดเงียบๆ ตอนนี้ก่อน แล้วเล่นไม้อ่อนพี่เค้าอาจจะยอมก็ได้

   รถสปอร์ตคันหรูที่ผมนั่งอยู่ถูกพี่เค้าขับกระชากออกไปอีกครั้ง ถนนช่วงเวลาเย็นที่มันผ่านเวลาเร่งด่วนไปแล้ว หลังจากขึ้นบนทางด่วน รถมันไม่ได้ติดอะไรมากนัก ทำให้คนข้างๆ ผมสามารถที่จะเหยียบคันเร่งได้เท่าที่ใจต้องการ   พี่วัจน์ขับไปเรื่อยๆ  ไม่คุ้นเส้นทางแถวนี้เลย ห่างออกมาจากโรงเรียนก็ตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางที่พี่เค้าจะขับไปอยู่ดี.... นิ้วมือเรียวๆ ของพี่เค้าตอนนี้เลือดมันเริ่มที่จะแห้งแล้ว แต่รอบๆ ข้อมือกลับกลายเป็นเขียวช้ำจนเห็นได้ชัด

   “เอ่อ.....”  ผมพูดออกไปครั้งแรกหลังจากที่เงียบอยู่นานสองนาน

   “......”  พี่วัจน์ไม่พูดแต่หันหน้ามองมาทางผม

   “ไม่แวะโรง-บาลซักนิดหรอครับ........แผล...แผลที่ข้อมือพี่”   มันเขียวช้ำน่ากลัวมากเลย  ถึงผมจะไม่ชอบขี้หน้าเค้านัก...  แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถามออกไปทำไม............ผู้ชายคนนี้ใจดำจะตาย

   “บนห้องมียาทำแผล เดี๋ยวขึ้นไปที่ห้อง... ต้องทำแผลให้พี่หน่อยแล้วกัน”  หมายความว่าไง พี่เค้าขับรถมานี่ คือมาที่ห้องเค้าหรอ 

   ไอ้เรื่องนั้นมันก็น่าตกใจอยู่หรอก......  แต่ไอ้เรื่องที่เค้าแทนชื่อตัวเองว่า “พี่”  แล้วเรียกชื่อเล่นผมนี่ซิ่  แปลกยิ่งกกว่าอีก

   “ไม่เอา... พี่ก็ทำเองได้นี่.. พี่ส่งผมลงแถวนี่ก็ได้ เดี๋ยวผมหาทางกลับเองก็ได้ครับ”   ไม่เอาหรอก ขนาดอยู่ต่อหน้าหลายๆ คน  พี่วัจน์ยังน่ากลัวซะขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดอยู่กันสองต่อสองล่ะ ผมจะเอาแรงไปสู้อะไรเค้าได้

   “อ้าว.. !!!  ทำหน้าตาตอนแรกเหมือนจะเป็นห่วง..  ทำอะไรไว้ก็รับผิดชอบหน่อย...”   

   “ผมไม่ได้ทำซะหน่อย”  ......  ก็ผมไม่ได้ทำจริงๆ นี่  พี่เค้าชกกระจกรถเองต่างหาก..... ถึงจะโมโหผมก็เถอะ แต่เขาก็ทำให้ผมโมโหก่อนนี่นา

   “.....ตอนนี้พี่ได้แผล...  อารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย... อย่าให้พี่หงุดหงิดกว่าเดิม.. ถ้าคิดว่าพูดอะไรออกมาแล้วมันไม่เกิดผลดีต่อตัวเองก็เงียบไปซะ.....” 

   “..ก็........”    ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ

   “บอกว่าให้เงียบ  !!!”   เสียงดังอีกแล้ว....  เงียบก็ได้

   “อายุแค่ 15  ทำไมอยู่ ม. 5 แล้ว”  อยู่ดีๆ พี่วัจน์ก็ถามผมขึ้นมา ... ทำไมรู้อายุผมล่ะ

   “ตอนเรียนอนุบาลกับ ป. 1 สอบได้คะแนนมากสุดในชั้นเรียน .... เลยเลื่อนชั้นเรียนได้สองขั้นครับ”   

   “ตอน ป. 3 อายุเท่าไหร่”   ถามผมทำไมเนี่ย...   ถ้าจะนับย้อนไปต้องเอานิ้วออกมานับเลยหรือเปล่า

   “เจ็ดขวบ”   ผมตอบไปตามความจริงแต่ตอนนั้นจำได้ดี....เจ็ดขวบแต่ต้องมาอยู่ ป. 3 ร่วมเรียนชั้นเดียวกับพวกที่อายุมากกว่า...โดนพวกคนในห้องแกล้งสารพัด.... จนมีใครคนหนึ่งที่... คอยช่วยและกันไอ้พวกที่มันชอบแกล้งผมออกไปทีละคน..... จนจบ ป. 6 ไม่มีใครกล้าแกล้งผมเลย................คิดถึงพี่ธิว...............

   ผมตอบแค่นั้น...  พี่วัจน์เงียบไป ไม่ถามอะไรต่อ....  สายตาของผมเหม่อออกมองไปนอกรถ  ไม่อยากหันหน้ามองไปทางผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับ  ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพ..  รถเริ่มชะลอลง ขับช้าๆ จนมาถึงตึกสูง ก่อนที่จะขับวนขึ้นไปเรื่อยๆ ตามชั้นของตึกนั้น

   รถจอดสนิท เมื่อถึงลานจอดรถ พี่วัจน์ไม่ได้หันมามองผม แต่ลุกขึ้นพาตัวเองออกมาจากรถ.... แต่ตอนนี้ผมไม่กล้าลงไปหรอก....น่ากลัวจะตาย..   อย่างที่บอกนั้นแหละ....ขนาดอยู่กันหลายคนพี่เขายังดุซะขนาดนั้น..นี่หนักกว่าอีกอยู่กันสองต่อสอง ..

   “ลงมา...”   เสียงของพี่เค้าไม่ได้ดังอย่างที่ควรจะเป็นแต่มันก็คือคำสั่ง..  แต่ผมไม่กล้าทำตาม

   “...........”  เล่นลูกเงียบดีกว่า

   “...จะลงมาเองหรือจะให้ลากลงมาจากรถ... แต่ถ้าให้ทำอย่างหลัง... ขอบอกไว้ก่อนนะ กูทำหนักกว่าเดิมแน่”  ตอนแรกแทนตัวเองว่าพี่ แต่ไหงตอนนี้แทนชื่อตัวเองแบบสมัยเจ็ดร้อยปีที่แล้วอีกล่ะ.. ตามอารมณ์ไม่ทัน

   “ถ้า... ถ้า....ผมลง พี่จะไม่ทำอะไรผมใช่ไหม” .......  กลั้นใจถามไป  ยังไม่อยากเจ็บตัว

   “ทำไม... กลัวหรือไง... ถ้ากลัวก็หัดทำตัวให้ดีๆ ....อย่าแข็งข้อให้มันมากนัก... รู้ว่าสู้อะไรกูไม่ไหว..ก็หัดสงบเสงี่ยมหน่อย...”

   ผมตัดสินใจเดินตามพี่เขาไปจนถึงลิฟท์ ตึกนี้สวยอยู่หรอก... สวยจนไม่น่าเชื่อว่า  เด็ก ม. ปลายอย่างพี่เขาจะอยู่ที่ๆ หรูๆ แบบนี้ได้... แต่อย่างว่านั้นแหละ บ้านของเขารวยซะขนาดนั้น.... เจ้าของผลิตเบียร์ใหญ่โตของเมืองไทย... ว่าไป ธุรกิจที่บ้านของพี่เขาก็คล้ายๆ กันกับลุงธินแฟนใหม่ของแม่ ลุงที่ผมคิดว่าซักวันอาจจะเรียกว่าพ่ออีกซักคน .... เพียงแต่ผมไม่รู้ซึ้งรายละเอียดที่บ้านของลุงธินนั้นมากนัก..  ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมไม่สนใจที่อยากจะรู้....  หรือผมพยายามหลีกหนีความจริงบางอย่างอยู่

   ภายในห้องถูกจัดอย่างมีสไตล์ ห้องรับแขกสวยหรูแต่ดูขรึมเหมาะกับห้องของผู้ชายโดยแท้...  โซฟาห้องรับรองแขก สีเข้ากันกับโต๊ะนั่งเล่นตรงกลาง  ชุดโฮมเธียเตอร์ขนาดใหญ่ที่ผมไม่เคยจะเห็นถูกจัดให้เด่นอยู่ข้างฝาผนังห้องใหญ่ ...ด้านข้างมีประตูที่ถูกปิดสนิทเอาไว้สองประตู  คิดว่าน่าจะเป็นห้องนอน.. แต่อีกห้องก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร.. ห้องครัวตรงมุมที่เลยถัดออกไปจะเป็นเทอเรส รู้สึกว่าจะเป็นมุมเดียวที่ข้าวของเครื่องใช้ใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยได้ใช้มาก่อน........  แล้วจะมีห้องครัวทำไม  ไม่เข้าใจ..... งงกับพี่เขาเหมือนกัน

   เสียงของพี่วัจน์เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้อง พร้อมกับชุดโฮมเธียเตอร์เสียงเบาๆ ...  ผมไม่ได้หันไปมอง เพราะยังตื่นกับสถานที่แห่งใหม่อยู่  จนเหมือนกับว่าพี่เขาเปิดประตูห้องที่คิดว่าเป็นห้องนอน เงียบหายไปซักพัก  จนได้ยินเสียงเดินออกมา

   ผมนั่งเงียบๆ  อยู่คนเดียว มองไปรอบๆ  จนตกใจเมื่อมีกล่องสีขาวขนาดใหญ่ถูกกระแทกลงมาข้างๆ ตัว  ...สะดุ้งจนต้องเงยหน้ามอง

   “สำรวจอะไรนักหนา... หาทางหนีหรือไง...”  เปล่าซะหน่อย ....  นอกจากจะนิสัยห่ามๆ แล้วยังคิดอะไรบ้าๆ อีก  ไม่รู้ว่าสาวในโรงเรียนชอบไปได้ไง  ดุขนาดนั้น

   “เปล่าครับ” .... ผมก้มหน้า รู้เลยทันทีว่ากล่องสีขาวนั้นคือชุดยา ปฐมพยาบาลขนาดย่อมๆ  พี่วัจน์ไม่พูดอะไร... เพียงแต่ยื่นมือที่เปื้อนเลือดออกมา ผมเดินไปที่ห้องครัว หยิบเอาอ่างชามขนาดย่อมๆ ใส่น้ำจนเต็ม  ผ้าผืนเล็ก วางไว้อยู่ใกล้ๆ กัน  ก่อนจะเช็ดจนแผลสะอาด

   พี่วัจน์ไม่ได้หันมามองหน้าผม  ... เพิ่งจะสังเกตหน้าพี่เขาตอนด้านข้างแบบนี้ใกล้ๆ นี่เอง.....  มืออีกข้างเท้าคางเอาไว้ นิ้วเรียวๆ นั้น มันเรียวสวยงามซะจนไม่คิดว่าจะเป็นมือของบุรุษ เรียวคางและกรอบหน้า มีจอนขนไต่เลี่ยระดับลงมา ถูกโกนเอาไว้อย่างเรียบร้อย ทำให้ดวงหน้าดูเข้มขึ้น  ไม่ติดว่าใบหน้าที่ขาวใส เลยทำให้ไม่ยากที่ใครต่อใครจะหลงใหล...  หนวดและเคราด้านล่างถูกโกนเอาไว้แต่ก็ยังพอเห็นให้รำไรจนเป็นสีเขียวเข้มขึ้นมา ...ปากของพี่วัจน์บางจัง... บางเหมือนกับปากของเด็กๆ ... แต่ที่น่ากลัวเห็นจะเป็นดวงตา... พี่เขาตาดุ..  สายตาและดวงตาเหมือนใครคนหนึ่งที่ผมเคยเห็น.. เพียงแต่นึกไม่ออก

   ยาฆ่าเชื้ออยู่ใกล้ๆ กัน ผมเอาสำลีชุบยาฆ่าเชื้อ ก่อนจะเทยาใช้กับแผลสดลงไปอีกที  ผ้าก๊อต และผ้าพันแผลอยู่ในกล่องชุดนั้นอยู่แล้ว มันถูกพันจนรอบฝ่ามือของพี่เขาจนเรื่อยมาถึงข้อมือก่อนที่จะเอาคลิปหนีบผ้าก๊อตนั้นติดเอาไว้กันผ้าหลุดออก

   เจลที่ใช้ทาภายนอกมันรู้สึกเย็นๆ  ผมเอาไปทาตรงที่ตอนนี้มันทั้งเขียวช้ำ และบวมจนเห็นได้ชัด  ... มัวแต่ทำแผลเรื่อยๆ  จนไม่รู้ว่าคนที่ถูกให้ทำแผลอยู่นั้น มองมาที่หน้าผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

   “ทำแผลแค่นี้ทำไมต้องหน้าแดง” ..... พี่เขาถาม เสียงนุ่มกระซิบ  แบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

   “ปะ...เปล่า...ครับ”   

   “อืมมม...  จริงด้วย... เปล่าจริงๆ  มันแดงทั้งหน้าแล้วก็หูเลยนะ...” เสียงของพี่เขายังคงนุ่มเหมือนเดิม...ใบหน้าพี่วัจน์กระชับมาใกล้  ใกล้จนชิดใบหู  ลมหายใจของพี่เขาอุ่น อุ่นจนร้อน ผมกระถดถอยหนีออกมา แต่ไม่รู้ว่ามืออีกข้างนั้น เกาะเอวผมเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

   “.....พะ..พี่...วัจน์” .....  ตอนนี้ทั้งกลัวแล้วก็คิดว่าตัวเองคงสั่นอยู่ ...ที่พี่เขาทำตอนเย็นที่ผ่านมากระชากตัวผมขึ้นรถ..กับตอนนี้ มันต่างกันลิบลับ  แต่ความน่ากลัวนั้นไม่ต่างกันเลย ...ผู้ชายตรงหน้านี้น่ากลัวจริงๆ

   “...ครับ...  เรียกพี่ทำไมเอ่ย...”  เสียงของพี่วัจน์ทั้งนุ่มและกระเส่า... ริมฝีปากจากที่อยู่ใกล้ๆ ใบหู ตอนนี้เปลี่ยนคลอเคลียไล่ลงมาจนถึงต้นคอ  มือข้างที่เจ็บแผลของพี่วัจน์ตอนนี้เปลี่ยนมาจับท้ายทอยผมเอาไว้ ไม่ให้เลื่อนหนีไปไหน

   “....พี่วัจน์..ยะ....อย่า... อย่านะครับ”   ผมขอร้อง

   “อย่าอะไร....  อย่าดื้อครับ.... เดี๋ยวพี่โกรธนะ”  ... เสียงพี่วัจน์ไม่ได้ดุ...แต่มันน่ากลัวยิ่งกว่าดุอีก ผมรู้สึกรำคาญตัวเอง ..ตอนนี้ไม่รู้จะเอามือของตัวเองไปไว้ที่ไหนแล้ว...  จะเอามือไปดันแผงอกกว้างนั้นออกแต่ก็เหมือนกับว่าแผงอกนั้นร้อนเหลือเกิน...  มือของพี่เขากว้างและใหญ่เกินไป...จับเอามือของผมทั้งสองข้างของผมไปคล้องไว้ที่คอกว้างของพี่เขา... ใบหน้าพี่วัจน์ตอนนี้เปลี่ยนมาอยู่ใกล้ใบหน้าผม...ใกล้จนรู้สึกว่าไม่เคยใกล้ใบหน้าใครขนาดนี้มาก่อน

   “มะ...ไม่...ไม่เอานะ”  เรียวปากที่เหมือนเด็กๆ ของผู้ชายตรงหน้าตอนนี้ประทับชิดกับริมฝีปากของผมจนมันสั่นไปหมด...  ไม่เคยถูกใครทำแบบนี้มาก่อน...อาห์.... ต้องทำแบบไหน... ทำแบบไหนดีนะ..ถึงจะหนีเหตุการณ์ตอนนี้ไปได้...

   “ฮืมมมม....อืมมม.... หวาน”   ปากของพี่วัจน์ออกมาเพียงนิด... พร่ำพูดขึ้นมาเสียงบางเบา.... พี่เขาชิมปากผมแล้วเขาบอกว่าหวานหรอ.. ไม่ใช่หรอก...  เรียวปากฉกเข้ามาอีกครั้งง...ผมกลัวจนต้องปิดปากของตัวเองให้สนิท...  กระเถิบถอยหนีจนชิดมุมโซฟา จนถอยต่อไปอีกไม่ได้...เสียงครางฮืมม....ไม่พอใจของพี่วัจน์ ตัวของพี่เขาเข้ามาชิดจนผมแทบจะอยู่ตรงกลางตัวเขาอยู่แล้ว... ถอยหนีไปไหนไม่ได้...  มือพี่วัจน์ข้างที่เกี่ยวเอวผมอยู่ ปล่อยออกมาเพราะรู้ว่าผมหนีไปไหนไม่ได้แน่นอน เปลี่ยนมาลูบไล้ใบหน้า เลื่อนเข้ามาที่จมูกเล็กๆ ของผมที่เป็นอิสระอยู่ ก่อนจะเอาเรียวนิ้วมือบีบปิดจมูกผมเอาไว้ไม่ให้หายใจ

   “อื้ออ...อาห์....มะ...ไม่”   ผมพูดได้เพียงแค่นั้นปากถูกปิดสนิท...หายใจไม่ออก  นิ้วมือของพี่เขายังคงบีบปิดจมูกผมเอาไว้... จนต้องยอมจำนนที่จะเปิดปากของตัวเองออก ...เรียกร้องลมหายใจของตัวเองให้มีอากาศหายเข้าไป....

   “...หึหึ... ไม่ดื้อนะครับ.... น้องต้องของพี่วัจน์”........  เสียงอบอุ่นที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากผู้ชายคนนี้...ผู้ชายที่เคร่งขรึมที่สุดในโรงเรียน น้อยครั้งจะได้เห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากมุมปาก...  อาห์..... พี่เขาพูดเพราะแบบนี้ด้วยหรอ......... มารู้ตัวอีกทีเรียวลิ้นหนาก็แทรกเข้ามาฉกขโมยเรียวลิ้นของผมที่อยู่ในปากแล้วเรียบร้อย...  จะเรียกร้องให้ถอนมันออกไป ...แต่เสียงที่จะเปล่งออกซักนิดก็ยังไม่มี.... พี่เขายังคงวนเวียนดูดซับทุกอย่างที่อยู่ในใบหน้าของผมราวกับว่าพี่เขาเป็นเจ้าของซะเอง.....

   อยู่ดีๆ มือทั้งสองข้างก็แปรเปลี่ยนไป..  มือข้างที่เป็นแผลเลื่อนช้อนไปที่ข้อพับขาของผมส่วนมืออีกข้างถูกโน้มเข้าไปยังแผ่นหลังก่อนจะยกตัวผมขึ้นมา....... พี่เขาอุ้มผมหรอ....

   “พี่วัจน์......มะ...ไม่...อย่าเลยนะ...”   ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน...จะไล่หรือจะดิ้นออก แต่ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด...สิ่งเดียวที่ตอนนี้จะทำได้ก็คือพูดขอร้องเท่านั้น....

   “อืออออ... ไม่ดื้อไง....   ถ้าอายก็เอาหน้าหลบเข้าไปซุกอกพี่ซิครับ.......ไม่งั้นพี่จูบอีกนะ”   พี่เขาไม่ได้พูดอย่างเดียว....แต่กลับโน้มตัวลงมาใหม่อีกครั้ง...  ผมรีบเข้าหาที่ที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง.. อกพี่ของเขาอย่างที่บอกนั้นแหละ....  ถึงมันจะปลอดภัยเพียงชั่วครู่ แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง

   พี่เขาอุ้มผมเดินไปเพียงนิดเดียว.. ก่อนที่จะวางลง... มันนุ่ม.. นุ่มซะจนไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยซักนิด... พี่วัจน์ปล่อยผมลงเพียงแค่เสี้ยวของเวลาก่อนจะเอาตัวเองทาบทับตามลงไป... ตอนนี้มันอึดอัด.........สั่นและกลัวไปหมด... พี่เขาจะทำอะไร...

   “.......ฮึก....ฮือๆๆๆ...  มะ..ไม่...อย่าเลยนะครับผม...ผม อยาก  กลับ”   ตอนนี้รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ....มันน่ากลัวจริงๆ นั้นแหละ.. แต่ที่ผมกลัวมากกว่าคือใจของตัวเอง....  ทำไมผู้ชายคนนี้อบอุ่นเหลือเกินนะ.... อบอุ่นที่สุด......

   “หืมมมม... อย่าร้องซิ ... เดี๋ยวพี่ปลอบให้นะครับ”   พี่วัจน์วนเวียนจูบซับที่ดวงตาของผม....ก่อนที่จะเลื่อนเรียวปากมาปิดทาบทับผมอีกครั้ง.....  กันผมจะพูดอะไรต่อในสิ่งที่จะทำให้เขารำคาญ  มือทั้งสองข้างของผมถูกยกขึ้นไปไว้เหนือหัวด้วยมือเพียงข้างเดียวของพี่เขา.... มืออีกข้างบรรจงแกะกระดุมเสื้อนักเรียนออกจนไม่เหลือซักเม็ด  มือข้างนั้นเปลี่ยนมาลูบไล้แผงอกของผมจนถึงตุ่มเม็ดสีชมพู

   “อาห์.....ฮึกก...ฮือๆๆๆ พะ..พี่วัจน์...ยะ..อย่า”  ผมขอร้องอีกครั้ง  ตอนนี้ใจมันกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว...

   “อ่า....พี่รักต้องนะครับ..อย่าร้องนะ...”  ริมฝีปากของพี่เขาเจนจัดซะจนผมทำอะไรไม่ถูก  แต่เรียวมือนั้นก็เก่งไม่แพ้กัน ...เพียงครู่เดียวร่างกายของผมและของพี่เขาตอนนี้มันไม่มีเสื้อผ้าติดตัวแล้ว........ 

   สัมผัสที่รู้ร่างกายที่อยู่ด้านบน... มีแต่ความแข็งแกร่งขนาดไหนจนไม่คิดว่าจะมีทางสู้ได้.... มือของพี่เขาทำให้ผมรู้สึกสะท้านไปหมดเพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน.... เรียวมือที่มีบาดแผลอยู่นั้นเลื่อนลงไปข้างล่างจนถึงกับส่วนอ่อนไหวต่อความรู้สึกของผมมากที่สุดที่อยู่ด้านหน้า....  ร่างกายอยากจะถอยหนี... แต่บางส่วนกับแข็งขืน มือของพี่เขาแสดงความเป็นเจ้าของกับส่วนนั้นของผม ขยับมันขึ้นลงแล้วแต่ใจปารถนาของเจ้าของ....  ผมเกร็งถอยหนีแต่พี่เขากลับตรึงเอาไว้จนขยับหนีไปไหนไม่ได้

   “...พี่วัจน์.....ต้อง....ต้อง...ต้องกลัว”  ....  ผมทั้งขอร้องและส่ายหน้าหนี   ตอนนี้ส่วนนั้นของผมมันเจ็บนิดๆ เพราะมือของพี่เขาแข็งเกินไป และยังมีผ้าก๊อตพันเอาไว้อยู่  ผมเจ็บที่ส่วนนั้นแต่พี่เขาไม่เจ็บมือตัวเองบ้างหรือไงนะ

   “อืออ.....อย่ากลัวครับ.....มองหน้าพี่ครับ..นะครับน้องต้อง นะ...”  เสียงพี่เขาอ้อน  อ้อนจนผมต้องทำตามที่พี่เขาบอก พี่วัจน์เร่งมือข้างนั้นสลับขึ้นลงเรื่อยๆ  จนผมสะท้านไปหมด  หลับตาแน่น

   “อย่าหลับตาครับที่รัก...”  พี่วัจน์จูบซับที่ดวงตาของผม  ตอนนี้เขาพูดอะไรออกมา...ทำไมผมถึงทำตามเขาทุกอย่าง....   

   ฝ่ามือที่อยู่ด้านล่างนั้นน่ากลัวเหลือเกิน... มันทำให้ผมสะท้านไปหมดทั้งตัว.... ไม่เคยเจอแบบนี้...ไม่เคยถูกใครทำแบบนี้....ตอนนี้ร่างกายมันเหมือนกับถึงจุดที่สูงสุด.....ผมสั่นไปหมด  มือไม้ทำอะไรไม่ถูก..หวีดร้องขึ้นมาถึงแม้เสียงจะไม่ดังนักแต่ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจโดยไม่รู้ตัว.....  ของเหลวของผมถูกคั้นออกมาจนไม่เหลือ...เหนื่อยหอบจนโยน  มือข้างนั้นของพี่เขากอบเต็มไปด้วยน้ำรักของผมที่มีอยู่ก่อนจะแทรกตัวเข้าตรงกลาง   มือข้างเดิมถูกเปลี่ยนกระชับให้อ้อมไปทางด้านหลัง...เลื่อนไปยังจุดที่บอบบางที่สุดในร่างกายที่สะท้านได้พอๆ กับข้างหน้า

   เรียวขาของผมถูกแยกออกจากกันก่อนที่จะถูกร่างสูงใหญ่นั้นแทรกเข้ามา   เข่าสองข้างถูกดันขึ้นมาอย่างช้าๆ ...  หมอนที่อยู่ข้างตัวถูกดันแทรกเข้ามาอยู่ด้านล่าง

   .....พี่เขาจะทำอะไร... ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดใช่ไหม ผมกลัวนะ...กลัวที่สุด.......

   “ไม่เอา...ฮือ...ๆๆๆ  อย่าเลยนะครับ..พี่วัจน์...อย่าเลยนะ”  ข้อมือของพี่เขาถูกเปลี่ยนออกไป  มือข้างที่เจ็บแผลตอนนี้ถูกเปลี่ยนมาจับข้อมือทั้งสองของผมแทน.... 

   มืออีกข้างกลับทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า....มันยังคงวนอยู่ตรงเบื้องล่างนั้น ความลื่นที่ยังคงมีน้ำคาวๆ ของผมเมื่อซักครู่นี้หล่อเลี้ยงอยู่ ทำให้ไหลลื่นได้ง่าย ก่อนที่ความรู้สึกว่าบางอย่างถูกล่วงล้ำเข้ามา

   .....อึ๊ก..........

   “ฮึก...จะ...เจ็บ...ไม่เอา..ฮือๆๆๆ  ต้องเจ็บ”  ...... 

   ตัวสั่นสะท้าน...จนเกร็งไปหมด....  .......  สิ่งแปลกปลอมบางอย่างถูกล้ำลึกเข้ามาข้างในโดยไม่ทันตั้งตัว....  หน้าตาของพี่วัจน์จากเมื่อครู่นี้..... แปรเปลี่ยนเป็นวาววับ...เรืองโรจน์แบบเมื่อตอนเจอกันครั้งไม่มีผิด

   “หึหึ....”  เสียงหัวเราะของพี่เขาน่ากลัว.... เหมือนกับครั้งแรกที่ผมได้ยิน น้ำเสียงพูดขึ้นมาอยู่บนเหนือร่างกายผม จับแน่นกระชับ..........

   “ก็กู ....จะให้มึงเจ็บ” 


   

หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:54:23
ตอนที่ 9   เกลียดกันมากเลยหรอ

   เวลาผ่านไปค่อนคืนแล้ว......ผมนั่งเอาหลังพิงไปที่หัวเตียง..บทรักที่ร้อนแรงผ่านไปอย่างง่ายดาย....คนที่นอนขดตัวอยู่ข้างๆ  เสียงสะอื้นออกมาเป็นระยะๆ  แต่ไม่สามารถเรียกความสงสารจากผมได้แต่น้อย.....สะใจเหมือนกันที่ทำลงไป...... อยากจะบอกว่านี่แค่บทเรียนแรกง่ายๆ  ต้องไม่ใช่ผู้หญิง ผมไม่จำเป็นที่จะต้องไปรับผิดชอบอะไร...ถึงรู้อยู่แล้วว่าตัวผมเองคือคนแรกของต้อง....แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเอามาอ้างได้ว่าผมจะต้องคอยดูแลหลังจากนี้

   เด็กคนนี้  ดูง่ายเสมอ ในสายตาของผมตั้งแต่เด็กหรือกระทั่งโตมา ผ่านมาเกือบสิบปี นิสัยไม่เคยเปลี่ยน หลอกง่ายซะจนไม่คิดว่ารอดปากเหยี่ยวปากกามาได้อย่างไง ....รอยเลือดที่เลอะอยู่ตามผ้าปูที่นอนบ่งบอกได้อย่างดีว่าร่างเล็กๆ ที่นอนสั่น และก็สะอื้นอยู่นั้นเจ็บเพียงใด.... แต่มันไม่เจ็บเท่าที่ผมเคยได้รับหรอก

   เสื้อผ้าและกางเกงของมันถูกกองอยู่ข้างๆ เตียงไม่ได้ตกลงไปที่พื้น... ผมถือวิสาสะเปิดค้นกระเป๋าของมันออกมา  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงแค่แบ๊งร้อยหนึ่งใบและแบ๊งยี่สิบอีกหนึ่งใบเท่านั้น... ด้านข้างมีบัตรนักเรียนและบัตรประชาชน.....  แต่อีกข้างกลับมีสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากกว่า

   ..............ภาพนั้นดูเก่าไปซักหน่อย...แต่ก็เห็นได้ดีว่าผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ นั่งอยู่ตรงกลาง  สามคนที่อยู่ในภาพใครๆ ก็มองออกว่าคงเป็นพ่อแม่ และลูก.....  คนผู้หญิงนั้นผมคุ้นตาดี....เพียงแค่มองรูปผมกัดฟันแน่นจนอยากจะขยำกระเป๋าใบนั้นทิ้งไปซะ

   ........แต่มันกลับติดอยู่ที่อีกภาพข้างๆ กันมากกว่า...  ภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างสูง  ไม่ได้ยิ้ม....ตาดุ....  นั่งอยู่บนจักรยาน...  มือทั้งสองข้างจับแฮนด์จักรยานเอาไว้แน่น....ดูเหมือนจะกลัว......กลัวว่าเด็กตัวเล็กๆ ที่นั่งซ้อนด้านหน้านั้นจะล่วงลงไป...เด็กที่เป็นคนเดียวกับภาพแรกที่นั่งอยู่กับพ่อและแม่.....

   “จะร้องไห้ทำห่าอะไรนักหนา”  รำคาญ........  แม่งร้องอย่างกับว่าจะตาย  ...  ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ  ระงับสติอารมณ์ของตัวเอง.....    ผมเกลียดมัน  เกลียด...  เกลียดๆๆๆ  ทั้งมัน  และแม่ของมัน....   

“โธ่โว้ยยยยย  !!!!”     ไม่รู้ว่าเอามือไประบายโทสะกับผนังห้องน้ำนานเท่าไหร่  จนกว่าใจจะสงบลงได้  จัดการชำระล้างร่างกายของตัวเองที่ตอนนี้มันมีทั้งรอยคราบเลือดที่ออกมาจากคนที่นอนซมอยู่บนเตียง และรอยคราบคาวที่มันออกมาจากตัวผมเอง.... นานพอดูกว่าจะออกมาจากห้องน้ำ..... ผมไม่เคยพาคู่นอนคนไหนมานอนค้างที่ห้องนี้....คอนโดที่อยู่.....เพราะมันก้าวล้ำส่วนตัวมากเกินไป...มันคือคนแรกที่ผมเอามานอนด้วย  .......แต่เพียงแค่ออกมาจากห้องน้ำ......ไอ้ร่างเล็กๆ ที่มันนอนร้องไห้อยู่ตอนนี้หายไปแล้ว.......

   วิ่งออกมาที่ห้องรับแขกด้านนอก ไม่มีแม้กระทั่งเงาของต้อง....  ผมก้าวขาอย่างไวไปที่ห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกอีกเช่นกันและคิดว่าต้องน่าจะเข้ามาใช้ห้องน้ำนี่ แต่ปรากฏว่า....ว่างเปล่า..... แรงที่จะเดินยังไม่ค่อยมี.....หายไปไหนไวนักวะ.....

   ชุดเสื้อผ้าถูกจับออกมาจากในตู้อย่างไว....ผมไม่รู้ว่าใส่ชุดอะไรออกมา แต่เพียงแค่แป๊บเดียวก็ฉวยเอากระเป๋าตังค์พร้อมกับกุญแจรถออกมาแล้วเรียบร้อย.....  วิ่งมาที่ลิฟต์ กดลงไปชั้นที่รถของผมจอดอยู่ ก่อนจะขับออกมาอย่างรวดเร็ว.....  จะมีปัญหาหนีไปไหนพ้น.... กูยังไม่ได้ให้มึงกลับ...มึงก็ต้องห้ามกลับ

   ในซอยที่ออกมาจากคอนโด  ดีหน่อยที่มันมีเพียงแค่ซอยเดียว ผมเลี้ยวซ้ายออกมาพร้อมที่จะขับออกมายังถนนใหญ่.....   นั่น..... เด็กใส่ชุดนักเรียนเสื้อข้างหลังหลุดลุ่ย... เดินโซเซอยู่นั้นเอง....คิดไว้อยู่แล้วว่าต่อให้เก่งขนาดไหนก็คงจะยังเดินไปได้ไม่ไกลนักหรอก...เพราะว่าแผลจากตรงนั้นมันไม่ได้เล็กๆ จะเดินแต่ละก้าวยังแทบจะเดินไม่ไหว.......

   ผมเลี้ยวรถปาดหน้าที่ต้องเดินอยู่....เดินก้าวเท้าออกจากรถ....เห็นสีหน้าตกใจ  หน้าซีดจนจวนจะล้ม...แค่เห็นก็นึกสมเพช

   “ใครให้มึงออกมาจากห้องกู”  ผมพูดพร้อมกับกระชากต้นแขนของมันเข้ามาหาตัวเอง หน้าตาของมันตอนนี้เกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำตา  แต่สายตาจากที่กลัวผมตอนแรกเปลี่ยนมาเป็นเคียดแค้น.....คิดว่าผมกลัวมันหรอ

   “..................”  มันไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น แต่พยายามดึงต้นแขนของตัวเองออก  แต่ผมกับจับแน่นกระชับกว่าเดิม  ...มันถึงกับนิ่วหน้า...คงเจ็บ

   “......เป็นเหี้ยอะไร....เดินออกมาคนเดียว..ทำไม ....กูข่มขืนมึงคนเดียวไม่พอหรอ..ถึงอยากให้ไอ้พวกก่อสร้างในซอยนี้มันรุมโทรมมึงอีกน่ะ”  ....

   “ปล่อยกู !!!!”    มันพูดออกมาคำแรก...ผมแทบกระอัก...  ตั้งแต่เห็นมันมา  ครั้งแรกนี่แหละที่มันพูด “มึงกู” กับผม  สายตาของมันมองผมไม่ได้ลดละลงไปเลย  ถึงจะมีแต่น้ำตาก็เถอะ 

   “กล้าดีนักนะมึง.... ไปขึ้นรถ.... ไม่งั้นกูจะลากมึงเข้าไปในป่าข้างทางนี่แหละจะลองดูไหม” 

   “สัตว์ !!!!!”    มันด่าผม   ......   ถ้าชกมันได้ผมชกมันไปแล้ว..... แต่ตัวมันก็แค่นี้....  ผมมีวิธีทำให้มันเจ็บกว่านี้อีกเยอะ.... 

   “ก็มึงมีผัวเป็นสัตว์ไง...ดีไหมล่ะ !! ไป.....!!!!”   ถ้าให้มันเดินไปดีๆ มันคงไม่ไปหรอก  ลากมันขึ้นรถไปเลยสิ้นเรื่องสิ้นราว

   “โอ๊ย !!!”   ผมไม่รู้เหมือนกันว่าลากมันแรงไป หรือจับกระชากมันมาที่รถเร็วไป  ขามันลงไปพับอยู่ข้างล่าง ....สะอื้นร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก

   “ฮือๆๆๆ .......ปล่อยกู....  อย่ามายุ่งกับกู” 

   “ลุก !!!”    ผมปล่อยมือมันออก  ยืนมองมันที่นั่งอยู่ด้านล่าง  สะกดอารมณ์เอาไว้เต็มที่ ถ้าเป็นคนอื่นที่มันด่าผมแบบตอนนี้  ป่านนี้ผมตั้นหน้าแหกไปแล้ว.... แต่นี่เป็นมันหรอกนะ

   “.............”   มันไม่พูด   เอาแต่ร้องไห้

   “กูบอกว่าให้ลุก” ...... เสียงผมเริ่มดังขึ้น.... ไม่ชอบให้ใครขัดใจ  แต่ไอ้นี่มันกล้ามาก  มันพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเห็นที่ปลายกางเกงของมันมีคราบเลือดอยู่ด้วย...   แผล...แผลที่มันเกิดจากฝีมือผมเอง...เสียงของมันยังร้องไห้อยู่  เอามือจับข้างขอบผนังรั้วบ้านด้านข้าง ยึดเพื่อที่จะดันตัวเองขึ้นมา แต่พอยืนแล้วแทนที่มันจะไปที่รถ แต่กลับเดินหนีผมออกไปเพื่อไปยังหน้าปากซอย   ...มันคนละด้านกับรถของผมที่จอดอยู่

   “มึงจะไปไหน...”    จับข้อแขนมันอีกครั้ง  แต่มันก็ยังจะบิดหนี ...ถึงจะหนีไปไม่ได้ก็เถอะ ..ไม่รู่ว่ามันจะพยายามทำไม

   “ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีคนอย่างมึง” .... มันไม่หันมามองหน้าผม แต่คำพูดของมันยังทำให้ผมโมโหอยู่ไม่หาย....  เดี๋ยวนี้มันพูดกูมึงกับผมหรอ.....  หรือมันกร้านขึ้น  เจนโลกมากยิ่งขึ้น...ไอ้ความน่ารักตอนเด็กๆ มันถึงหายไปหมด

   “พูด ‘มึงกู’  กับกูอีกคำเดียว กูจะซัดให้ปากฉีกแน่”  ........  ผมขู่ แต่ก็เงื้อมมือขึ้นสูงแล้ว....  ถ้ามันหลุดพูดออกมา ผมก็ยังไม่ใจร้ายพอที่จะทำมันหรอก.... แต่ถ้าขู่แค่นี้มันก็ได้ผลแล้ว... ต้องหุบปากเงียบ...ไม่ยอมพูด แต่ยังคงร้องไห้อยู่

   “ปล่อยผม.....จะ...กลับบ้าน...ฮึก.....ผม..เจ็บ”  .......   

   “ไปขึ้นรถ...!!!”  เสียงผมกระชากขึ้นอีกครั้ง  ดึงมันมานั่งที่รถจนสำเร็จ...  ดึกขนาดนี้ยังดีที่ไม่มีใครออกมา  แถวนี้นอกจากจับกัง แล้วพวกคนงานก่อสร้างยังมีอีกตั้งเยอะแยะที่มันนั่งวงกินเหล้ากันตอนดึกๆ  ดีนะที่คืนนี้มันโชคดี.... ไอ้พวกนั้นมันนอนหลับกันหมดแล้ว.... ถ้าผมออกมาช้าแล้วไอ้พวกนั้นมันเกิดว่ายังไม่หลับไม่นอนกัน ผมก็ไม่อยากจะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างบางๆ  ที่นั่งอยู่ด้านข้างผมนี่บ้าง...

   ......เด็กคนนี้... ผมคนเดียวเท่านั้นที่สามารถยุ่งด้วยได้.......

   ช่วงพากลับมาที่ห้องอีกครั้ง มันแทบจะไม่มีแรงเดิน... จนผมต้องอุ้มมันขึ้นมา... เสียงร้องไห้ของมันทำเอาผมรำคาญไม่รู้กี่รอบ...  กว่าจะถึงห้องก็ทุลักทุเลพอดู  มันไม่มีแรงจะสู้อะไรผมได้หรอก..   แม้กระทั่งตอนถอดเสื้อผ้าของมันอีกครั้ง....  มันปัดมือหนีผมออกไป  แต่ก็โดนผมรวบเอาไว้อีกครั้ง

   “จะพาไปอาบน้ำ...อยู่เฉยๆ น่า”     

   “จะกลับบ้าน....ฮึกกก....  จะกลับบ้าน” 

   “คืนนี้นอนนี่....”   ผมพูดสั้นๆ  คำเดียว

   “ฮึก....ไม่เอา... จะ..กลับบ้าน... ต้องจะกลับบ้าน..ฮือๆๆๆ” มันร้องไห้ไป แต่ก็ยังเถียงอยู่นั้นเอง

   “กูขี้เกียจลงไปส่ง.....  เงียบๆ  แล้วมึงก็หยุดร้องไห้ด้วย..จะร้องไห้ทำไมนักหนา”   ผมอุ้มมันขึ้นอีกครั้ง พาเข้าไปในห้องน้ำ....มันอยู่เฉย  ไม่รู่ว่าไม่มีแรงหรือมันกลัวผมกันแน่....  จับมันนั่งลงที่ชักโครก...เสียงของมันพยายามกลั้นสะอื้นเหมือนเด็กๆ  ที่กลัวผู้ใหญ่จะดุ....   

   ผมเปิดฝักบัวที่เป็นน้ำอุ่นในตัวพร้อม...  ราดลงไปที่ตัวของต้อง ตอนนี้มันเปื้อนไปหมดโดยเฉพาะคราบเลือดนั่น...  ต้องอยู่เฉย  แต่ก็ยังสะอึกสะอื้นเป็นบางคราว.....จนผมเอาครีมอาบน้ำเทไปที่ตัวมันโดยไม่ได้ใช้ฟองน้ำขัดตัว  เห็นผิวมันแบบนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่ามันจะหายแพ้พวกฟองน้ำขัดตัวหรือยัง......

   เพียงแค่ผมเอามือถูตัวให้ต้องอีกครั้ง..จากที่เกือบจะเงียบเสียงสะอื้นแล้วเมื่อกี้...ตอนนี้กลับร้องไห้แบบเดิม...แถมร้องหนักกว่าตอนเก่าอีกต่างหาก....โอยยย......มันเป็นอะไรของมันเนี่ย.....

   “จะร้องทำไม....เงียบ....!!!!” 

   “ฮึก....ฮึก ฮืออๆๆ.......  จะ..อาบ..เอง..ไม่อยากให้ใคร..มาอาบให้”   

   .................ผมรู้แล้วว่าทำไมมันถึงร้องไห้.........................
   .
   .
   .
   .

   “พี่ธิว....นัญหนาว....”   
   “หนาวก็รีบๆ อาบ  พี่ก็หนาวเหมือนกันนะ”
   “หนาว....แต่นัญอยากให้พี่ธิวอาบให้อีก....สนุกดี”   
   “จะไม่สบายเอานะครับ  เดี๋ยวน้าตาตีพี่ตาย” 
   “ไม่เป็นไร....นัญไม่ฟ้องแม่ นะๆ นะๆๆๆ  พี่ธิวอาบให้อีกนะ ใช้ครีมเยอะๆ ตัวนัญจะได้มีฟอง” 
   “อ้าว...ทำไมไม่ใช้ฟองน้ำขัดตัวล่ะ ฟองเพียบเลย” 
   “ไม่เอา...มันแสบ... นัญไม่ชอบ” 
   “ ฮ่าๆๆๆ...  ก็ดีแล้ว...ผิวแบบนี้อย่าใช้ฟองน้ำเลยนะ... ผิวน้องนัญบางออกจะตาย”
   “.......พี่ธิว”
   “หืมม”
   “อย่าอาบน้ำให้ใครอีกนะ...อาบให้นัญแค่คนเดียวได้ไหม” 
   “อือ....”
   “สัญญานะ”
   “จ้า..สัญญาครับ” 
   “แล้วน้องนัญจะให้คนอื่นที่ไม่ใช่พี่อาบให้ไหม” 
   “ไม่คับ”
   “สัญญา”
   “สัญญา....นัญจะให้พี่ธิวอาบให้คนเดียวนะ” 

มันเป็นเพียงอดีต....  ผมพูดกับตัวเองในใจ   ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะยังจำสัญญาบ้าๆ บอๆ นั้นได้อีกอยู่หรือเปล่า  ผมไม่ได้ใช้ฟองน้ำถูตัวให้มัน  แต่กลับเทครีมอาบน้ำลงไปอีกเยอะๆ  ต้องยังคงหลบ ทั้งๆ ที่แทบจะไม่มีแรง  ร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ไม่เอา....ฮืออๆๆ อย่ามายุ่งนะ..จะอาบเอง...จะอาบเอง”   

   “หึหึ...ทำไม กูจะอาบให้มึง แล้วมึงทำไม...”  สนุกซิครับแบบนี้

   “ไม่....  ฮือๆๆ.... ให้ต้องอาบเองเถอะ...นะครับพี่วัจน์...นะ...ต้อง..ไม่อยากให้ใครอาบให้...นะ นะครับนะ”   มันอ้อนหรือขอร้องผมกันแน่

   “ทำไม..!!!  พูดอย่างกับว่าเคยมีใครอาบน้ำให้มึงอย่างนั้นแหละ”  ก็เพราะมันมองหน้าผมไม่ถนัด มองดวงตาผมไม่ถนัดหรืออย่างไง  ป่านนี้มันถึงยังจำผมไม่ได้อีก.....

   “...ฮือๆๆๆ  ไม่เอา...ฮือๆๆ ปล่อยต้อง”  สงสัยผมพูดแทงใจดำไปหรือเปล่า  มันร้องไห้จนตัวโยน

   “...................”   ยังจำได้อีกหรือ......   ทำไมจำเหตุการณ์ได้  แต่ทำไม.... ทำไมถึงจำคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้ล่ะ..... เกลียดกันจนขนาดหน้าก็ยังไม่คิดจะจำกันเลยใช่ไหม

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ กระชากประตูปิดไปสุดแรง  ไม่สนใจว่าคนข้างในจะตกใจอย่างไร  ....จนแล้วจนรอดก็ทำตัวไม่ถูกอยู่นั่นเอง ...   ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย 

ร่างเล็กๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ หยดน้ำเกาะที่ตัวพราว  ผ้าผืนใหญ่ห่อหุ้มร่างกายถูกพันเอาไว้ที่เอว  ผิวขาวละเอียดเผยให้เห็นแค่บางส่วนของร่างกาย  ผ้าอีกผืนถูกคลุมไว้ที่ไหล่เล็กๆ นั้น  ร่องรอยบางส่วนบ่งบอกให้รู้ว่าร่างกายที่กำลังเดินเข้ามาหาผมนั้น .... ผมคือเจ้าของ

“ใส่เสื้อผ้าซะ...”  ผมโยนเอาเสื้อยืดส่งไปให้มันพร้อมกับกางเกงขาสั้น....  ต้องเดินไปที่มุมตู้เสื้อผ้าข้างหลังเตียง เดินหลบผมไป คว้าเสื้อที่ผมส่งให้ไปเอามาสวม  เสื้อตัวนั้นผมใส่ได้พอดี แต่เมื่อมาถูกสวมโดยเจ้าของร่างบางนั้น  มันกลายเป็นตัวใหญ่หลวมโคร่งไปเลยทีเดียว

มันเดินมาที่เสื้อและกางเกงนักเรียนที่กองอยู่ที่พื้น ฉวยได้อีกครั้ง ไม่พูดไม่จา

“...............”  มันจะทำอะไรของมัน

“จะทำอะไร”  น้ำเสียงผมไม่ดังนักหรอก แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงสะดุ้ง !

“จะ.... จะกลับบ้าน”  จะบ้าตาย

“นี่กูพูด แล้วมึงไม่รู้เรื่องใช่ไหม..... บอกว่าขี้เกียจไปส่ง” ....
.
“ผมกลับเองได้” ....มันยังจะพูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำซากอยู่นั่นเอง

“ขึ้นมานอน.....อย่าให้กูต้องเอาโซ่ล่ามมึงเอาไว้.”   ผมไม่พูดเปล่า....  แต่คว้าเอาสายสีเงินเส้นเล็กๆ แต่ก็แข็งแกร่งพอดู ยกขึ้นมา....มันคืออุปกรณ์แห่งความสนุกที่ผมมีติดตัวเอาไว้..สำหรับออกล่าเหยื่อตอนกลางคืน...คู่ขาที่ชอบเรื่องโลดโผนซักหน่อย

“......................”    มันเงียบ

“ขึ้นมา !!!!”     ต้องให้ตะคอกกันมันถึงจะเชื่อ  เส้นผมเล็กๆ ที่ยังเปียกน้ำอยู่  ผมสั่งให้มันจัดการเช็ดหัวซะให้เรียบร้อย  เพราะตอนเด็กๆ  ถ้าผมเปียกแล้วนอนไปแบบนั้นตื่นเช้ามามันต้องไม่สบายแน่

แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งไหน.......... วันนี้มันร้องไห้... แล้วคืนนี้มันจะยังฝันร้ายอยู่อีกหรือเปล่านะ

“นอนซะ.... กูไม่ทำอะไรมึงแล้วหรอกน่ะ”  .......  มันนอนเกร็งตัว... นอนห่างผมออกไปเกือบจะตกเตียง  เตียงผมมันกว้างแล้วก็ใหญ่พอดู  แต่มันจะกลัวอะไรนักหนา  ผ้าห่มผืนใหม่ตอนนี้ผมเอาออกมาจากตู้เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าผืนเก่ามันเปื้อนคราบเลือดเต็มไปหมด  รวมทั้งผ้าปูเตียงนั่นด้วย ผมก็ต้องเอาออก ....หงุดหงิดแต่อีกใจก็รู้สึกเติมเต็มบางอย่าง เพียงแค่แป๊บเดียวมันก็นอนขดตัวแล้วเรียบร้อย....  นอนง่ายเหมือนเดิม..ไม่เปลี่ยนเลย

ผมค่อยๆ เอาผ้าห่มไปที่ร่างเล็กๆ ที่นอนขดตัวอยู่.... มันคงจะหนาว....ร่างเล็กนี้ยังเกลียดผมอีกไหม....  แล้วผมล่ะ...ความเกลียดมันลดน้อยลงไปบ้างหรือยัง

.....ยังหรอก.... 

แต่เพียงเวลานี้ ...คืนนี้ ขอลืมไปก่อนแล้วกัน...รุ่งเช้า เดี๋ยวก็ลืมไปเองว่าคืนนี้มันเกิดอะไรขึ้น

..... ให้พี่ธิวนอนกอดน้องนัญแบบเดิมเถอะ...... อย่าเกลียดพี่ธิวเลยนะ....

ผมเพียงแค่คิดในใจ พาดแขนวางลงไปที่ร่างบางนั้นเบาๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แต่เหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่าง หรือความทรงจำในระหว่างหลับใหลมันเกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวไม่มีทางรู้... ร่างเล็กๆ นั้นหันกลับมากอดตอบ  ใบหน้าเล็กๆ ซุกมาที่แผงอกผมเหมือนกับหาไออุ่น..... ไออุ่นที่ผมเคยมีให้..ถึงมันจะผ่านมานานแล้วก็ตาม

ผมยิ้มออกมาเพียงนิดเดียวในที่มืดนั้น..  ผมเส้นเล็กๆ นี้ยังคงหอมเหมือนเดิม ลมหายใจอุ่นรดต้นคอนั้นบางเบา ทำให้รู้ว่าคนที่กอดอยู่นอนหลับอย่างสนิท.... หมอนอีกใบที่ผมให้หนุนเลยไปอยู่จนชิดขอบเตียง เจ้าตัวคงจะไม่รู้ว่าตอนนี้นอนตกหมอนไปแล้ว... ผมค่อยๆ  ยกหัวทุยเล็กๆ นั้นขึ้นมาก่อนที่จะเอาต้นแขนของตัวเองแทรกแทนลงไป

............นอนหลับไปนานจนต้องสะดุ้งตื่นอีกที ก็ตอนที่คนที่ผมนอนกอดอยู่ ตัวสั่น....ร้องไห้ขึ้นมา ... ถึงเสียงจะไม่ดังมากนัก แต่ก็รู้เลยทันทีว่าคนในอ้อมกอดของผมคงฝันร้าย...... ฝันร้ายเรื่องเดิมหรือเปล่านะ

“ฮือออ....ฮึกกก.... ปล่อย..อย่าทำนะ......ใครก็ได้ช่วยที...ฮึก....ช่วยด้วย...”........   ฝันร้ายจริงๆ .... แต่ก่อนนั้นถ้าไอ้ตัวเล็กนี่ฝันร้าย หลังจากนั้นมันจะต้องตื่นขึ้นมา แล้วก็นอนไม่หลับอีกเลยจนกระทั่งเช้า.. ผมเหลือบมองไปที่นาฬิกาของตัวเองตรงหัวเตียงกดไฟดูเพียงนิดเดียว นี่เกือบจะตีห้าแล้ว นอนไปได้ไม่ถึงสี่ชั่วโมงดีเลย.........

แต่คนร้องไห้ ถึงจะมีน้ำตาไหล แต่กลับไม่ได้ลืมตาขึ้นมา....  เด็กคนนี้โตขึ้น ถึงจะฝันร้ายอยู่ แต่อาจจะไม่ตื่นมาก็ได้ .... อาจจะเพียงแค่ ละเมอ  .....  ผมกอดต้องแน่นกระชับอีกครั้ง .... ไอ้ตัวเล็กในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลักไปมา  ร้องไห้อยู่เหมือนเดิม จนผมต้องปลอบ ฝ่ามือลูบหลังให้ความอบอุ่น

“ไม่ร้องนะครับ...คนเก่ง.. ไม่ร้องนะ....” 

“ฮึกก....ฮือออ....ช่วยด้วย....ใครก็ได้ช่วยด้วย”  ......  ผมไม่รู้ว่าต้องฝันอะไร  ถ้าฝันแบบเดิม จะฝันถึงไอ้ผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า คนที่ต้องเคยเล่าให้ผมฟัง ... หรือที่ฝันครั้งนี้...เพราะว่าผมเป็นคนทำร้ายเมื่อตอนค่ำที่ผ่านมา

“...พี่อยู่ตรงนี้...อย่าร้องนะ..ไม่เอาครับ.... น้องนัญเก่งที่สุดเลยนะ..ไม่ร้องนะครับคนดีนะ”   ผมเผลอเรียกชื่อที่ผมเพียงคนเดียวเท่านั้น  ที่จะเรียกชื่อนี้ได้  ..... ได้ผลร่างนั้นหยุดร้อง..แต่ก็เพียงชั่วครู่ กระตุกตัวออกห่างจนผมต้องกอดให้แน่นกว่าเดิม....  คราวนี้ร้องไห้หนักกว่าเก่า

“....ไม่...ไม่จริง...ฮึกกกก...ฮืออ...ๆๆๆๆ” 

“........”   ผมไม่พูดอะไร เพราะรู้ว่าคงจะละเมออยู่แน่ๆ  ได้แต่กอดเพียงอย่างเดียว

“ฮืออ....ปล่ออย...นัญกลัว.....พี่ธิวว..นัญกลัว” ......   ไม่หรอก...ต้องเพียงแค่ฝัน และละเมอออกไปแค่นั้น...  เด็กคนนี้เกลียดผมขนาดไหน ทำไมผมจะจำไม่ได้..ทำไมล่ะ...ทำไมต้องร้องเรียกหาคนที่เกลียดกันด้วย

“ไม่ต้องกลัวครับ..พี่อยู่ข้างๆ นะ ไม่กลัวนะครับ...ไม่ต้องกลัวนะ.....” 

“ฮึก..ฮึก..ฮืออ” ......  อย่าร้องไห้.... 

กว่าจะสงบลงไปได้....  หยุดร้องไห้ไปแล้ว..แต่ทำไมถึงหายใจดูขัดๆ แบบนี้ล่ะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวผมอุ่น หรือตัวคนที่ผมกอดนี่ร้อนกันแน่....  ค่อยๆ เอามือไปอิงที่หน้าผากเล็กๆ นั้น  ....สิ่งที่ผมคิดถูกเสมอ..ไอ้ตัวเล็กนี้เป็นไข้  แล้วดูจะไข้สูงซะด้วย....   ผมรีบเปิดไฟที่หัวเตียง  เอาผ้าห่มมาห่มให้เพิ่ม  ปรับแอร์ฯ ให้ความเย็นลดน้อยลง  ก่อนที่จะเดินออกไปข้างนอก  หยิบยาแก้ไข้ออกมา

“....ต้อง...กินยาก่อน...กินยาก่อนครับ”   ไอ้ตัวเล็กเหมือนจะหลับสนิท ไม่รู้สึกตัว ผมเอายาไปจ่อใกล้ๆ ปาก  เหมือนสัญชาติญาณของคนนั้นมีอยู่แล้ว  ปากเล็กๆ อ้าออกรับยาและกลืนเข้าไป ... ผมยกแก้วน้ำให้ต้องดื่มตาม  ....ผมก็เช็ดจนแห้งแล้ว...แต่ก่อนตอนที่ฝันร้าย เพียงแค่นอนไม่หลับเท่านั้น ...แต่ไม่เห็นเลยว่าจะไม่สบาย.... แต่ครั้งนี้ทำไมถึงตัวร้อนแล้วก็เป็นไข้ได้ขนาดนี้

หรือว่า.....ผมทำอะไรรุนแรงไปหรือเปล่า.....ไข้ขึ้นสูงนี้เกิดจากแผลที่ผมทำเอาไว้

   มันยังไม่เช้าดีเพราะว่าเพิ่งตีห้ากว่าๆ ....แต่ผมนอนไม่หลับแล้ว.... ค่อยๆ ลุกนั่งเอาหลังพิงไปที่หัวเตียง  มองลงไปที่ต้องนอนขดตัวอยู่....  ทานยาไปได้ซักพักแล้ว..ลมหายใจสม่ำเสมอ..  ยานี้มีฤทธิ์ทำให้นอนหลับได้...และก็ช่วยลดไข้ด้วย...ถึงตัวจะยังอุ่นๆ อยู่ แต่ก็เบาลงไปกว่าตอนแรกมาก

   ร่างเล็กๆ ขยับตัวอีกครั้ง... เหมือนกับจะพูดอะไรทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่

   ผมมอง มองเหมือนให้จะทะลุลงไป แล้วพยายามนึกถึงอดีตที่ผ่านมา เด็กคนนี้ คนที่บอกว่าเกลียดผมจนสุดชีวิต

   “ไป....ไปเลย....  มาว่าแม่ของนัญทำไม” 
   “ก็แม่นัญทำกับพี่แบบนี้ทำไมล่ะ...มาอยู่ที่นี่ทำไม... เข้ามาแทนแม่พี่ได้อย่างไง”
   “ไม่จริง...ฮืออๆๆๆๆ  พี่ธิวพูดอะไร...”
   “จริง....ไม่มีปัญญาหาเงินเองหรือไง...ถึงได้เที่ยวมาเกาะคนอื่นอยู่....ร่าน !!!!”
   “ไม่!!!!!!!!!!”   
   “จริง !!!!!” 
   “ไปเลยนะ....ออกไปเลย นัญเกลียด เกลียดพี่ธิวที่สุด  เกลียดพี่ธิวที่สุดดดดด มาว่าแม่นัญทำไม...ว่าแม่นัญทำไม”
   “อีกะหรี่.....!!!! มึงมายุ่งกับพ่อกูทำไม  กูเกลียดมึง  ลูกของมึงด้วย กูเกลียด” 
   “ธิว !!!!”   
   ผ๊วะ  !!!..............
   “พ่อ...พ่อตบผมหรอ....พ่อเห็นอีผู้หญิงคนนี้ดีกว่าผมหรอ...” 
   “..........” 
   “ผมเกลียดพ่อ..เกลียดมัน....  เกลียดลูกของมัน เกลียด...เกลียดดดดๆๆๆๆ” 
   “นัญก็เกลียดพี่ธิว.....  ฮือๆๆ ไปเลย  คนใจร้าย...ไปเลยยยย...” 
   “เอออ... กูไปแน่ ...เชิญมึงเสวยสุขกันไป...บ้านนี้ไม่มีกูพวกมึงคงมีความสุขกันใช่ไหม....ไอ้ลูกแหง่อย่างมึงก็จำเอาไว้.... อย่าให้กูเจอมึงอีก....มึงจำเอาไว้”
   “ฮือๆๆๆๆ ออกไป.....ๆๆๆ  มาว่าแม่คนอื่น  ใจดำ...  นัญก็เกลียดพี่ธิว ..เกลียดพี่ธิวที่สุดเลย” 

   นัญเกลียดพี่ธิว

      นัญเกลียดพี่ธิว.........

         นัญเกลียดพี่ธิว..............

            นัญเกลียดพี่ธิวที่สุดเลย......

   “นัญเกลียดพี่ธิว.... นัญเกลียดพี่ธิวที่สุดเลย...ฮือๆๆๆ”    ขนาดฝัน...... ขนาดสิ่งที่ไม่ใช่ความเป็นจริง...ถึงขนาดฝังอยู่ในจิตใจขนาดนั้นเชียวหรอ....เกลียดพี่มากเลยหรอนัญ....เกลียดมากเลยหรอ.....เกลียดกูมากเลยหรอ

   ก็ดี......... เกลียดกูนักก็ดี.....    กูก็จะได้เกลียดมึงให้มากๆ อีกเช่นกัน

   มันทนไม่ไหว......  ผมเอาโซ่เส้นเล็กๆ นั้นล่ามไว้ที่ข้อขา   ติดไว้กับผนังเตียง  ล๊อกกุญแจ  ก่อนที่จะกระชากประตูห้องนอนเปิดออกไป.....   

   ‘เกลียดกันนักก็ดี  กูจะให้มึงอยู่กับคนที่มึงเกลียดให้ขึ้นใจ’ 

   ผมไม่รู้ว่าชุดนอนที่ผมสวมอยู่นี่มันไม่สุภาพแค่ไหน.... กางเกงขาสั้นตัวหนึ่งกับเสื้อกล้ามอีกตัว สวมสลิปเปอร์เพียงคู่เดียว  ฉวยเอากุญแจรถออกมาจากห้อง.... อย่าให้อยู่ในห้องนี้เลย  ถ้าอยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับร่างบางที่นอนไม่รู้สึกตัวอยู่นั่นบ้าง

   รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนถนนใหญ่  รถมันว่างพอ  ที่จะให้ผมขับเร็วซักเท่าไหร่ก็ได้

   100…..

   120………….

130……………….

140…………………….

“ฮ่าๆๆๆๆ  สะใจกูโว้ยย”   
“เกลียดกูหรอ.....เกลียดกูหรอออ ....กูก็เกลียดมึงงง ...เกลียดมึงทั้งบ้าน...  กูจะให้พวกมึงไม่มีความสุขกันทั้งบ้าน  ทั้งแม่มึง ผัวใหม่ของแม่มึง แล้วก็ตัวมึงเองนั้นแหละ”

...........ต้องชนัญ........

ความเร็วที่ขับออกไป ไม่รู้ว่าเท่าไหร่  สปอร์ตที่เปิดประทุนอยู่.....  ทำให้รู้ว่าอากาศข้างนอกเป็นอย่างไร.... ฝนมันไม่ได้ตกหรอก... แต่น้ำที่มันมากระทบที่แก้ม  มันไหลออกมาจากตาผมต่างหาก

   .....ร้องไห้หรอ..... ร้องไห้ทำไมไอ้ธิว..........  มึงจะร้องไห้ทำไม...... คนที่มึงรอมาตั้งนานนอนอยู่ในห้องไม่ใช่หรอ

   “ฮึก....ทำไม...ทำไม... ทำไมต้องเป็นกูด้วย...” 

   “ทำไม ๆๆๆๆๆ” 

   “....หึหึ...” 


หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:56:38
ตอนที่ 10  เราจะไม่ทิ้งกันไปไหน

   ดวงตาที่หนักอึ้ง จนแทบจะไม่อยากลืมตาขึ้นมา.... เรี่ยวแรงผมหายไปไหนหมด ทำไมถึงได้ปวดหัวหนักขนาดนี้  ที่ผ่านมาเมื่อคืน ผมฝันใช่ไหม  แต่....ทำไมมันถึงเหมือนความจริงขนาดนั้น.....ทำไมผมถึงได้ฝันว่าเจอใครบางคน.......... ใครบางคนที่หายไปนานแสนนาน......คนที่เคยนอนกอดผมเมื่อตอนเด็กๆ กอดผมทุกครั้งที่ผมฝันร้าย...  พี่ธิว...

   ใช่ซิ่....... ก่อนหน้าหน้า  สิ่งเดิมๆ มันไม่เคยเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่ร้องไห้ ตกดึกที่นอนหลับ... ผมจะต้องเจอกับความฝันอันน่ากลัวที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   ..........เจอผู้ชายโหดร้ายคนนั้น ..คนที่ผมไม่รู้จัก เห็นหน้าไม่ชัดเจน ....ในฝันผมอยู่ในเหตุการณ์นั้น  เหตุการณ์เดิม  อยากจะเดินหนี ..แต่หนีไม่ได้ ... อยากจะไม่เดินตามไป แต่ขามันกลับให้เดินตามชายคนนั้นไป...ผู้ชายคนหนึ่งที่กึ่งลาก กระชากผู้หญิงคนนั้นไปที่กระท่อม...บรรยากาศรอบด้านมันน่ากลัว มืดไปหมด  มองแทบจะไม่เห็นใคร.......  เท้าของผมสะดุดไปเจอขาผู้หญิงอีกคน.... เขาคนนั้นตายหรือเพียงแค่หลับไปนะ.....  ทำไมผมถึงไม่ช่วยเขาเอาไว้ล่ะ...ทำไมถึงยังเดินตามผู้ชายคนนั้นไปอีก

   ไม่จริงหรอก.....  อย่านะ .... ผู้ชายใจร้ายคนนั้นเป็นใคร...ทำไมถึงทำอะไรที่น่ากลัวแบบนี้...  ผมต้องเข้าไปช่วย..  ข่มขืน...ผู้ชายคนนั้น คนที่ผมเห็นมาตลอดในฝัน กำลังจะข่มขืนผู้หญิงคนที่มันลากเอามาด้วยจากในป่าอ้อย...ผมเดินเข้าไปถึงแล้ว...แต่ทำไมมือผมถึงไขว่คว้าใครไม่ได้.. เหตุการณ์มันอยู่ตรงหน้า..แต่ทำไมตัวผมถึงเป็นเพียงแค่อากาศ  จับต้องใครไม่ได้ ...  อย่าเลยย...อย่าทำอะไรผู้หญิงคนนั้นเลย....  อย่าทำร้ายผู้หญิงคนนั้น

“ฮือออ....ฮึกกก.... ปล่อย..อย่าทำนะ......ใครก็ได้ช่วยที...ฮึก....ช่วยด้วย...”  ผมร้องตะโกนให้คนช่วย  สุดเสียงที่ตัวเองมีอยู่  เรียกให้คนช่วย แต่ตัวผมเองกลับร้องไห้....  ร้องไห้เหมือนผู้หญิงคนนั้น  คนที่โดนผู้ชายใจร้ายคนนั้นทำร้าย

ความฝันนี้มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

ผมสะดุ้งตัวอีกทีหนึ่ง  ....  ใช่ผมตื่นแล้ว  แต่ทำไมผมถึงยังได้ปวดหัวขนาดนี้อยู่.... ทำไมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันร้อนซะจนแทบไหม้   ขอหลับต่อเถอะนะ.... หลับ อย่ารู้เรื่องอะไรอีกเลย

 “ไม่ร้องนะครับ...คนเก่ง.. ไม่ร้องนะ....”         ใครหรอ ??  ใครเป็นคนกอดผมอยู่ตอนนี้  ผมอยู่ในฝันใช่ไหม... เสียงนี้ผมคุ้นเหลือเกิน....  พี่ธิวใช่ไหม ...พี่ธิวปลอบนัญอยู่ใช่ไหม

“ฮึกก....ฮือออ....ช่วยด้วย....ใครก็ได้ช่วยด้วย”    พี่ธิว.... พี่ธิวช่วยนัญด้วย..... พี่ธิวไปช่วยผู้หญิงคนนั้นด้วย... ผู้หญิงคนนั้นกำลังโดนทำร้าย... ผู้หญิงคนนั้นโดนทำร้าย.....

“...พี่อยู่ตรงนี้...อย่าร้องนะ..ไม่เอาครับ.... น้องนัญเก่งที่สุดเลยนะ..ไม่ร้องนะครับคนดีนะ”   

.........  จริงหรอ ใช่พี่ธิวจริงๆ หรอ ..... พี่ธิวใช่ไหม.... ทำไมผมตัวร้อนขนาดนี้..... ผมคิดถึงพี่ธิว....ผมเพ้อหนัก  จนกระทั่งได้ยินเสียงพี่ธิวใช่ไหม.... พี่ธิวคนเดียวเท่านั้นที่เรียกชื่อนัญ... 

   สำหรับสิ่งนี้.... อย่าให้เป็นฝันเลย....  ขอให้เป็นความจริงทีเถอะ...  อย่าฝันเลย...  ขอร้องล่ะ...อย่าฝันเลยนะ

   ...............ไม่ใช่เรื่องจริง จริงๆ ด้วย... นั่นไง...ผู้ชายคนนั้นยังอยู่บนกระท่อมอยู่เลย.... อย่า...อย่าทำร้ายผู้หญิงคนนั้น

“....ไม่...ไม่จริง...ฮึกกกก...ฮืออ...ๆๆๆๆ”   

ทำไม...... ทำร้ายผู้หญิงคนนั้นทำไม...ปล่อยไปเถอะ ผมตะโกนจนสุดเสียง  ผมอยากช่วยผู้หญิงคนนั้นแต่ผมช่วยไม่ได้.....  ผมกลัวที่สุดเลย.... กลัว

“ฮืออ....ปล่ออย...นัญกลัว.....พี่ธิวว..นัญกลัว”   ร้องเรียกคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต... แต่มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้... พี่ธิวจ๋า..... ช่วยนัญด้วย 

“ไม่ต้องกลัวครับ..พี่อยู่ข้างๆ นะ ไม่กลัวนะครับ...ไม่ต้องกลัวนะ.....” 

“ฮึก..ฮึก..ฮืออ” ......  ไมจริงหรอก...  พี่ธิวเขาอยู่ไหนก็ไม่รู้.........ผู้ชายคนนั้นหายไปนานแล้ว พี่ชายที่แสนดีคนนั้นหายไปจากชีวิตผมนานแล้ว...  ผมเพียงแค่ฝันไป เสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้ เป็นเพียงเสียงในฝันเท่านั้น..... สัมผัสที่ได้รับมันเหมือนจริงเหลือเกิน....  แต่ทำไมเป็นเพียงแค่ฝัน...ทำไมทรมานอย่างนี้

เหตุการณ์มันลางเลือนเหลือเกิน.....ความฝันที่ไม่ใช่เรื่องจริง..กับอดีต เรื่องจริงที่ผ่านมานานแสนนาน.... ผู้ชายคนที่ผมรักอยู่ตรงหน้า 

.........ทำไมต้องด่าแม่ของนัญด้วย...........

ทำไมต้องทำร้ายจิตใจกัน....

พี่ธิวเกลียดนัญหรอ....

พี่ธิวจ๋า.... อย่าเกลียดนัญเลยนะ....   นัญไม่เคยเกลียดพี่ธิวนะ.... แต่พี่ธิวอย่าด่า อย่าว่าแม่ของนัญได้ไหม....


“อีกะหรี่.....!!!! มึงมายุ่งกับพ่อกูทำไม  กูเกลียดมึง  ลูกของมึงด้วย กูเกลียด” 
   “ธิว !!!!”   
   ผ๊วะ  !!!..............
   “พ่อ...พ่อตบผมหรอ....พ่อเห็นอีผู้หญิงคนนี้ดีกว่าผมหรอ...” 
   “..........” 
   “ผมเกลียดพ่อ..เกลียดมัน....  เกลียดลูกของมัน เกลียด...เกลียดดดดๆๆๆๆ” 
   “นัญก็เกลียดพี่ธิว.....  ฮือๆๆ ไปเลย  คนใจร้าย...ไปเลยยยย...” 
   “เอออ... กูไปแน่ ...เชิญมึงเสวยสุขกันไป...บ้านนี้ไม่มีกูพวกมึงคงมีความสุขกันใช่ไหม....ไอ้ลูกแหง่อย่างมึงก็จำเอาไว้.... อย่าให้กูเจอมึงอีก....มึงจำเอาไว้”
   “ฮือๆๆๆๆ ออกไป.....ๆๆๆ  มาว่าแม่คนอื่น  ใจดำ...  นัญก็เกลียดพี่ธิว ..เกลียดพี่ธิวที่สุดเลย” 

“นัญเกลียดพี่ธิว.... นัญเกลียดพี่ธิวที่สุดเลย...ฮือๆๆๆ”

ขอผมหลับเถอะ... หลับแล้วอย่าเจอสิ่งที่เลวร้ายนี้อีกเลย   ....  มันน่ากลัวเกินไป.... 

อาห์...................  ทำไมถึงเงียบแบบนี้นะ...  ทำไมหัวผมหนักอึ้งไปหมด....  ให้สติผมมันหลุดลอยไปตอนนี้ก่อนเถอะ... ตอนนี้ไม่ขอรับรู้อะไร.............. อยากเงียบ....
.
.
   .
.
ผมพอจะเปิดเปลือกตาออกมาได้บ้าง...  รู้สึกหัวโล่งขึ้น...  แสงจากหน้าต่างลอดออกมาจากผ้าม่านเพียงนิด..ตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้... ผมมองไปรอบๆ สถานที่แห่งนี้  เตียงที่นอนอยู่ ............มันดูไม่คุ้นตา แต่ก็พอทราบอยู่บ้างว่าเป็นที่ไหน

...เมื่อคืน... ผมโดนรุ่นพี่ที่ใจร้ายคนนั้นทำร้าย...  ข่มขืน ร่างกายมันเจ็บ แทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พอจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง...แต่ร่างกายตรงด้านล่างกับร้าวหนักยิ่งกว่าเดิม....ผู้ชายใจร้ายคนนั้นหายไปไหน......... 

   ความรู้สึกตอนนี้ของผมมันบอกอะไรไม่ถูก... แต่ทำไมพี่วัจน์...... กับผู้ชายใจร้ายที่อยู่ในฝันที่ผมเห็น ............ความใจร้ายถึงได้มีเท่ากัน...ทำไมถึงได้ทำสิ่งที่ป่าเถื่อนกับมนุษย์ด้วยกันแบบนั้น

   .........ใจร้าย...........

   ใช่ซิ่....ผมต้องหนี.... ตอนนี้เขาไม่อยู่นี่นา...พี่วัจน์หายไปไหน...ทำไมห้องทั้งห้องมันเงียบ ห้องน้ำก็ถูกเปิดทิ้งเอาไว้...จะมีก็เพียงแค่เสียงจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น  ผมพยุงตัวเอง กัดฟันลุกขึ้นมาอีกครั้ง  เดินไปยังเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกกองเอาไว้

    ......... !!!!  แกร๊ก !!!!......

   อะไรกัน...  สายเส้นอะไรมัดข้อเท้าผมเอาไว้ ถึงอากาศจะหนาวขนาดไหน  ผมเปิดผ้าห่มดู........สิ่งที่เห็นมันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม.....  ทำไมพี่วัจน์ถึงได้ทำอะไรที่เลวขนาดนี้

   “โซ่ !!!!”

   “ใช่....โซ่.........หรือมึงเห็นว่าเป็นอย่างอื่นล่ะ”  เสียงของคนที่ผมเกลียด ออกมาพร้อมๆ กับประตูด้านหน้าเปิดขึ้น..... สิ่งที่ผมคิดเอาไว้ไม่มีผิด.....  เมื่อคืนผมคงเพ้อเพราะพิษไข้มากเกินไป

   “ปล่อย !!! ...มาล่ามผมเอาไว้ทำไม”  มีสิทธิ์อะไรมาทำกับคนอื่นแบบนี้.....ผู้ชายคนนี้ไม่มีใครสั่งสอนบ้างหรือไงนะ

   “กูพอใจ..”   

   “ผมจะไปเรียน....”   ไม่รู้หรอกว่ามันเวลาอะไร ..แต่ผมคิดว่ามันคงสายมากแล้ว ไม่อย่างนั้นข้างนอกจะมีแสงสว่างเข้ามาได้อย่างไร

   “แรงจะเดินมึงยังไม่มี.....เสือกอวดเก่งจะไปเรียน...เดินให้รอดก่อนเหอะ....วันนี้มึงไม่ต้องไปเรียน”

   “มันเรื่องของผม.....” 

   “แต่กูสั่ง  !!!! ”

   “พี่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งผมล่ะ !!!!....”   ผู้ชายคนนี้  จะบ้าอำนาจไปถึงไหน นิสัยเสียที่สุด ผมไม่เคยเกลียด ไม่เคยรู้สึกว่าใครจะทุเรศเท่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้เลย.. รวยซะเปล่า... หล่อซะเปล่า นิสัยเสียยิ่งกว่าพวกกุ๊ยข้างถนนอีก

   “...มึงไม่รู้จริงๆ  หรือว่ามึงแกล้งไม่รู้ล่ะครับ...ว่าทำไมกูถึงมีสิทธิ์ในตัวมึงน่ะ”   พี่วัจน์ไม่พูดเปล่า แต่เดินก้าวเท้าเข้ามาหาผม จนนั่งชิดเกือบติดผมไปที่เตียง  ผมขยับถอยหนี  แต่มันกลับติดโซ่ที่คล้องขาผมอยู่.... พยายามเบียงตัว ดึงหลบออกมาอีก ผลปรากฏว่าไอ้โซ่บ้านั่นมันรัดข้อเท้าหนักกว่าเดิม  ....เจ็บ

   “โอ๊ย !!”   ผมนิ่วหน้า  เจ็บที่แผลจากด้านหลังอยู่แล้ว แต่ดันมาเจ็บตรงข้อเท้าเพิ่มขึ้นอีก... ไม่รู้จะซวยอะไรกันนักหนา

   “หึหึ.... หนีกูไม่พ้นหรอกน่า...” 

   “คนนิสัยไม่ดี”  .....  ทำอะไรมันไม่ได้  ก็ด่ามันนี่แหละ.....มันล้วงเอาสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ... ก่อนที่จะเอามือเอื้อมไปที่โซ่เส้นนั้น .. กุญแจถูกปลดออก ...  ขาผมเป็นอิสระ

   “ลุกขึ้น ไปกินข้าว.....เดี๋ยวกูจะไปส่งที่ห้อง”  มันพูดคำนี้ออกมา เหมือนเป็นสิ่งที่ผมอยากได้ยินมานาน..  ผมค่อยๆ พยุงตัวเองเดินออกมา.... จนถึงห้องนั่งเล่นที่อยู่ตรงด้านหน้า..ข้าวต้มสองชามถูกวางเอาไว้ที่โต๊ะทานข้าว ....มันส่งกลิ่นหอม แต่ตอนนี้ผมไม่หิว อยากกลับบ้านมากกว่า

   “ผมไม่หิว”    ตอบ...แต่ไม่หันไปมองหน้ามันหรอก

   “มึงไม่สบาย”    มันบอกผมทำไม...ในเมื่อตัวมันนั้นแหละที่ทำให้ผมไม่สบาย

   “ไม่เป็นไร...หายแล้ว”  ถึงรู้ว่าตอนนี้จะยังปวดหัวอยู่บ้าง แต่มันก็เบาลงกว่าเมื่อคืนเยอะ 

   “มึงนี่มัน...........  แม่ง !!!!! จะดื้อไปถึงไหน”  มันเดินเข้ามา.. ผมรีบถอยห่าง ...... มันชะงักเท้าอยู่เพียงแค่ตรงนั้น

   “จะกินหรือไม่กิน”  น้ำเสียงกระชากของมันถามผมขึ้นมาอีกครั้ง 

   “..ไม่ !!!”    มันพูดตะคอกผมมา  ผมก็ตะคอกมันกลับไป

   “เออ ...ดี  ไม่ต้องแดกแม่งงง”  เสียงของมันดังขึ้นกว่าเดิม.... เดินกลับหันหลังไป  โยน...ถ้วยข้าวต้มทั้งสองถ้วย  เขวี้ยงเข้าไปในห้องน้ำด้านนอก 

   .......เพล๊งงงง !!!!

          ..........เพล๊งงงง !!!!! 

   “...............”    ผมไม่พูดอะไรออกไป เพราะตะลึงในสิ่งที่มันทำมากกว่า............  ทั้งกลัว แล้วก็ตกใจ....  ผมไม่คิดจะต่อกรกับพี่เขาหรอก..เพราะรู้ว่าให้อย่างไงก็สู้ไม่ไหว.... แต่เป็นใครก็ต้องโมโห ตื่นขึ้นมาตัวเองถูกล่ามโซ่เอาไว้ แถมยังถูกสั่งเอาๆ

   “กลับ !!!!  แล้วมึงก็เงียบๆ ไปซะ หุบปากให้สนิทด้วย”     เงียบก็เงียบ  ตอนนี้ผมไม่กล้าพูดอะไรกับมันอีกหรอก  อีกใจอยากจะบอกว่าไม่ต้องไปส่ง  อยากกลับเองมากกว่า อยู่ใกล้มันผมยิ่งกลัว  ....มันเดินนำผมออกจากห้อง จนมาถึงลิฟท์...  ชั้นที่มันกดลิฟท์ลงมา  เป็นชั้นที่มันจอดรถเอาไว้พอดี  ..... มันเดินนำเข้าไปนั่งรอในรถแล้ว... แต่ผมยังเดินช้าๆ  อีกตั้งไกลกว่าจะถึงรถ....  ไม่อยากอ่อนแอให้มันเห็นหรอก ...แต่มันเดินไม่ไหวจริงๆ  ผมนิ่วหน้า  ทั้งเจ็บแล้วก็อาย ที่ทำอะไรมันไม่ได้ 

   รถถูกขับกระชากออกไป หลังจากที่ผมเข้าไปนั่งแล้วเรียบร้อย .... ไม่มีใครพูดอะไรกัน มีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้น....  จนพี่วัจน์ถามขึ้นมา

   “หออยู่ที่ไหน”  ......   

   “ลาดพร้าว 41”  ผมโกหกไป  ใครจะไปกล้าบอกที่อยู่ตัวเองจริงๆ ล่ะ  ผมไม่อยากจะคิดหรอกว่าพี่วัจน์จะตามผมอีกหรือเปล่า  แต่กันเอาไว้ก็ดีกว่าต้องมาแก้ทีหลัง   .....  พี่วัจน์หันมานิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเบะปาก...

   “หึหึ”   เพียงแค่นั้น  พี่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ขับรถไปเรื่อยๆ  ผมไม่ได้สนใจทัศนียภาพรอบนอก แต่ก็มองข้างทางไปเรื่อยๆ  ไม่รู้ว่าเส้นไหนที่พี่วัจน์ขับออกมา ....เพราะเส้นทางและการเดินทางที่ผมอยู่ในกรุงเทพฯ มันมีแค่วงจำกัด ที่หอ...โรงเรียน...บ้านเบสต์......  ร้านหนังสือ..... เพียงแค่นั้น

   แต่พอผ่านทางโรงเรียน เส้นทางมันกลับคุ้นเรื่อยๆ  จนผมเองก็ชักเริ่มระแวงและอดสงสัยไม่ได้ ....  เพียงแค่ครู่เดียว  พี่วัจน์ขับรถมาทางด้านหลังโรงเรียน  เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ  ที่ผมใช้เดินทางประจำ... .....

   “ทะ...ทำไม....มาทางนี้ล่ะ”  ผมเริ่มกลัว...    อย่าบอกนะ....

   “ก็จะมาส่งที่ห้อง”   

   “ห้องผมอยู่ลาดพร้าว 41” 

   “ตอแหล.. !!!!”   

   “...............”   

   “โกหกเก่งนักนะมึง...  คิดว่ากูไม่รู้หรอ....หอพักหลังโรงเรียน..ของอาจารย์ในห้องงานศึกษา มันเป็นหอพักของพวกเด็กนักเรียนทุน...  มึงคิดหรือไงว่ากูไม่รู้”    ทันที่ที่วัจน์พูดจบ  รถก็จอดอยู่หน้าหอผมเรียบร้อยแล้ว .... ผมเปิดประตูรถออกไป ....ยอมที่จะเสียมารยาทไม่กล่าวขอบคุณซักคำ  ...คนที่เกลียดกันจะพูดทำไมกับคำคำนี้

   “เดี๋ยวขึ้นไปส่ง”     

   “....ไม่ต้อง !!!”  ผมหันหน้ากลับไปพูด ......  เป็นการพูดที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย   จะบ้าหรอ...ขึ้นมาส่งทำไม ...แค่นี้ก็ไม่อยากเห็นหน้าจะแย่อยู่แล้ว  ห้องผมมันไม่ได้เลิศหรูอะไรเหมือนห้องของพี่เค้านักหรอก แต่นั้นมันไม่ใช่เหตุผล ผมไม่ได้อายห้องที่อยู่ แต่ไม่อยากให้พี่เขารู้มากกว่าว่าห้องผมอยู่ชั้นไหน เลขห้องอะไร ก็แค่นั้นเอง

   “มึงจะให้กูขึ้นไปส่งดีๆ ..หรือว่ามึงจะยอมอายให้กูลากมึงขึ้นไปข้างบนให้คนแถวนี้เขาเห็นกัน”  .... ตอนนี้ผมว่าพี่เขาไม่ได้ขู่หรอก....  และผมก็ไม่กล้าพอที่จะฝืนหรือไม่ยอมทำตามที่พี่วัจน์พูด... 

   “............. มะ...ไม่....เอา”   ผมตอบไป กล้าๆ กลัวๆ

   “ก็ดี...หัดพูดอะไรให้รู้เรื่องซะมั่ง..นำขึ้นไป”     พี่วัจน์เดินก้าวพ้นประตูออกมา  ผมเอากระเป๋าเงินทาบไปที่วางตำแหน่งคีย์การ์ด คีย์การ์ดผมอยู่ในกระเป๋าอยู่แล้ว เลยเป็นเรื่องง่ายเวลาเปิดประตู   ห้องของผมอยู่ชั้น 8  สูงซักหน่อย  แต่ก็ยังมีลิฟท์   ผมเดินมาจนถึงประตูห้อง ไขกุญแจออก กล้าๆ กลัวๆ  ผู้ชายข้างหลังนี่ตัวสูงกว่าผมอีก ลมหายใจรดลงมา ทำให้รู้ว่าเขายืนซะจนประชิดกับหลังของผม

   พี่วัจน์ถือวิสาสะเดินเข้ามาสำรวจในห้อง....  นั่งไปบนเตียง....มองไปรอบๆ

   “ห้องเล็กอย่างกับรังหนู”

   “..... ก็ไม่ได้รวยอย่างคุณ”    ผมไม่อยากเรียกมันว่าพี่.....แล้วก็ไม่กล้าพอที่จะเรียกว่า “มึง”   เพราะรู้อยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น.... พี่เขาหันหน้ามามองผมนิดหนึ่ง.. คงสงสัยที่ผมเรียกเช่นนั้น...  ยิ้มที่มุมปากนิดเดียว ไม่ได้พูดอะไร

   “หึหึ....”  ผมเกลียดไอ้น้ำเสียงหัวเราะของเขาแบบนี้ที่สุด  ....หัวเราะเหมือนรู้ทัน

   “รู้ห้องผมแล้ว.... ก็กลับไปได้แล้ว”   ชักหงุดหงิด 

   “กล้าไล่กูหรอ !!!”  อารมณ์เสียอีก.....  ก็ใครอยากจะให้อยู่ล่ะ....  เกลียดขี้หน้าจะตาย 

   “ก็คุณจะอยู่ทำไมล่ะ....”   

   “ทำไมกูจะอยู่ไม่ได้....  มึงเป็นเมียกูไม่ใช่เรอะ!!!!”   เฮอะ ... ทุเรศสิ้นดี...  คนที่เค้าข่มขืน... ใช้กำลังเอามาเป็นของตัวเอง  เค้าไม่ได้เรียกว่าเมียหรอก.... ผู้ชายสันดานเสียข้างหน้านี้  พูดออกมาได้อย่างไง

   “ทุเรศ....สันดานหมา”  ชักจะเหลืออด ....เป็นไงก็เป็นกัน ... หน้ามันตอนนี้คงจะกินเลือดกินเนื้อผมได้แล้วแหละ

   “ปากดีนักนะมึง”  ......   ผมวิ่งหลบออกมา  แต่พี่วัจน์เขาไวกว่า...  แรงผมมันยังกลับมาไม่เต็มที่นัก... มือของพี่เขาฉวยเอาต้นแขนผมได้พร้อมกับกระชากผมกลับ..   มืออีกข้างของพี่วัจน์ที่ยังมีผ้าพันแผลอยู่  บีบคางผมแน่น... ก่อนที่จะโน้มหน้าลงมา  ปากของพี่เขาที่ทาบลงมามันทั้งเร็วและก็แรง   แรงบดขยี้มันทำให้ผมเจ็บปากไปหมด จนได้รสเลือด

   “...........เอาดิ่....ด่ากูอีกดิ่”  พี่เขาเงยหน้าเพียงนิด แต่กลับบีบคางผมแน่นหนักกว่าเดิม

   “......สัน...ดาน....หมา !!!!”  ......  แรงมีเท่าไหร่ผมด่าออกไปสุดเสียง  ผลมันกลับมาแบบเดิม  พี่วัจน์จูบซ้ำอีกครั้ง  ที่เดิม .. ผมเจ็บกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า....  เกลียดผู้ชายตรงหน้า

   “....ไง... เก่งอีกไหมมึง”........ 

   “ ......สัน................ดาน...............หมา”    ผมเน้นคำแต่ละคำ  ...ตอนนี้มันเจ็บจนน้ำตาไหล.....  ผมเจ็บไปแล้วเมื่อคืน.... เจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บมาก่อนในชีวิต..... โดนแค่นี้มันจะเป็นอะไร.....  มันคงไม่เจ็บไปกว่านี้แล้วแหละ

   “....!!!!!! วอนจนได้นะมึง !!!!”   พูดจบแค่นั้น... พี่วัจน์เหวี่ยงตัวผมจนร่วงไปที่เตียง...  ก่อนที่จะเอาตัวเองโน้มทับลงมาอย่างแรง ...มันทั้งจุกและก็เจ็บไปหมด

   “ไม่.... อย่า....นะ อย่านะ.”   ผมกลัวแล้ว...... กลัวว่ามันจะเป็นแบบเดิม... กลัวว่ามันจะเป็นแบบเดิมเหมือนเมื่อคืนอีก  ความกลัวตอนนี้... มันไม่กล้าที่จะสู้พี่เขาแบบเมื่อกี้แล้ว....ไม่เอาแล้ว

   “เก่งนักไม่ใช่หรอ...เห็นด่ากูเอา.....ทำไมคราวนี้ไม่กล้าล่ะ” ...............   พี่วัจน์เงยหน้าขึ้น กลับมาบีบคางผมแน่นอีกครั้งหนึ่ง  ถึงมือพี่เค้าจะเจ็บ  มือพี่เขาจะเป็นแผลแค่ไหน.. แต่มันก็ทำให้ผมเจ็บเหมือนเดิม

   “.....อย่า.....อย่าทำผมเลยนะ”  ......ผมขอร้องแล้ว...   ไม่เอาแล้ว.....  มันยังเจ็บอยู่ ผมไม่อยากที่จะเจ็บซ้ำสอง

   “....  ขอกูซิ่  ....... อ้อนกูซิ่..... ร้องขอกูซิ่.....”   หน้าตาพี่วัจน์น่ากลัวจนผมต้องหลับตา... น้ำตาไหล แต่เสียงของพี่เขามันตะคอกซะจนผมไม่กล้ามอง

   “อย่า....ทำผมเลยนะ... อย่าทำต้องเลยนะพี่วัจน์ครับ....อย่าทำต้องเลยนะ”     ผมขอร้องแล้ว

   “ลืมตา !!!!”    พี่เขาสั่ง  ผมทำตาม... ลืมตาทันที .... และคนคนนั้นก็อยู่ตรงหน้า ห่างเพียงแค่ปลายจมูกเท่านั้นเอง

   “พูด.....ตาม......กู.....”     พี่เขาสั่งผมอีกครั้ง

   “คะ.....ครับ....ครับ”    ผมยอมแล้ว

   “อย่าทำเลย....  ผัวจ๋า...อย่าทำเมียเลยนะ................ มึงพูดออกมา !!!! ”   พี่เขาตะคอกเสียงดัง....  บีบคางแน่นจนผมคิดว่าจะพูดได้  ...มันเจ็บ ระบมไปหมด

   “ฮือออ....ฮึกก....”   เจ็บบ

   “กูบอกว่าให้พูด !!!!”     

   “ฮืออ... ผัวจ๋า.....อย่า....ทำเมีย.....เลยนะ...ฮึก  อย่าทำเมียเลยนะ”  ยอมแล้ว ไม่เอาแล้ว.... เจ็บด้วย  กลัวด้วย.... พี่วัจน์อย่าทำผมเลยนะ

   “ฮ่าๆๆๆๆ  ดี....  กูถามหน่อย....ใครเป็นผัวมึงหรอ....  ตอบกูดิ่”

   “....ฮือออ...ปล่อย... ปล่อยผมเถอะ.....”   กลัวแล้วก็อายด้วย  ทำไมล่ะ..ผมพูดแล้วทำไมเขาถึงยังไม่ยอมปล่อยผมล่ะ

หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:57:20

   “.....ตอบกูมา...ใครผัวมึง !!!”  เสียงตะโกนของพี่วัจน์ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าข้างห้องจะได้ยินหรือเปล่า ผมทั้งอาย แล้วก็กลัวด้วย...   ทำไมผู้ชายตรงหน้าถึงได้น่ากลัวขนาดนี้

   “.... คะ....คุณ”   

   “เรียกชื่อ  !!!!” 

   “พะ....พี่.....วัจน์” 

   “ฮ่าๆๆ ดี.... มึงจำเอาไว้ กูผัวมึง กูเป็นผัวมึง... แล้วทีหลังถ้าด่ากูอีก... กูไม่ปล่อยไว้แค่นี้แน่”  ..... 

   ปลอดภัยแล้ว  พี่วัจน์ลุกยืนขึ้นแล้ว  แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีแรงจะเขยื้อนตัวหนีไปไหน มันเจ็บระบมไปหมด 

   “ฮือออออๆๆๆ...ฮึก...ออก...ออก....ไป”    เสียงผมไล่พี่เขาออกไปจากห้อง แต่รู้สึกว่ามันบางเบาเหลือเกิน

   “หึหึ... เอาเหอะ ไล่กูไปเหอะ..... วันนี้มึงห้ามไปเรียน...... แล้วพรุ่งนี้ก็เก็บข้าวของซะ...   มึงต้องไปอยู่กับกูที่คอนโด  ...... แล้วอย่าคิดหนี...  ถ้ามึงหนี  ก็คอยดูแล้วกันว่ามึงจะโดนอะไรบ้าง.....”   

พี่วัจน์พูดเพียงแค่นั้น..... พร้อมกับเดินออกจากห้องไป  พูดในสิ่งที่ทำให้ผมตกใจหนักกว่าเดิม...........ผมไม่ไปหรอก...เป็นตายร้ายดีผมก็ไม่ไป...และก็จะหนีด้วย.......  ทำไมล่ะ.. ต้นเรื่องจริงๆ มันเกิดเพียงแค่ผมไปว่าเขาในห้องน้ำแค่นั้นอ่ะหรอ........โกรธกันขนาดนี้เชียวหรอ..  แค้นกันขนาดนี้เชียวหรอ... ผมขอโทษแล้ว..... ทำผมขนาดนี้แล้ว.....พอซะทีเถอะนะ

   “ฮือ.....ฮือ....ไม่....ไม่ไปหรอกไม่เอา ไม่ไป”   ผมไม่ไปหรอก....  ทำไมพี่เขาน่ากลัวขนาดนั้น

   “แม่....แม่จ๋า.....ต้องคิดถึงแม่”   ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ผมกอดเข่าเข้าหาตัวเอง ....ถึงมันจะไม่อุ่นนัก... แต่มันก็เรียกร้องสิ่งที่ผมโหยหาได้บ้าง..... นานแล้วที่ผมไม่ได้กอดแม่... อกนุ่มๆ อุ่นๆ ของแม่ ผมคิดถึงเหลือเกิน ....  ใบหน้าซบลงไปที่หัวเข่า  ....ผมอยู่คนเดียวตอนนี้ จะร้องไห้ขนาดไหนก็ได้ใช่ไหม....  ขอผมร้องไห้คนเดียวซักแปบเถอะนะ.... 

   ผมเกลียดผู้ชายคนที่ออกไปจากห้องเมื่อครู่นี้เหลือเกิน...... พี่วัจน์......   ถ้าเป็นแต่ก่อน.... พี่จะแกล้งต้องแบบนี้ไม่ได้หรอก....  ถ้าเป็นแต่ก่อน...ตอนต้องเด็กๆ  .... คนแบบพี่...... นิสัยแบบพี่ ไม่มีทางเข้าใกล้ต้องได้หรอก.... เพราะต้องมีพี่ธิว...   พี่ธิวจะช่วยต้องเสมอ....  ใครที่มันมาแกล้งต้องแบบที่พี่วัจน์ทำ  มันคนนั้นจะต้องโดนกลับหนักยิ่งกว่า

   “ฮืออ...ฮือออ ฮึก... พี่ธิวจ๋า.... พี่อยู่ไหน...  อย่าเกลียดต้องเลยนะ..... กลับมาหาต้องเถอะนะฮือๆๆ ฮืออๆ กลับมาเถอะ กลับมา......”

กลับมาเถอะ...

กลับมาเถอะนะ

 ผมร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ผมร้องเรียกคนที่ผมรักอีกคนหนึ่ง....   คนที่ไม่มีทางได้ยินเสียงหัวใจของผม..... พี่เขาอยู่ไกลเกินไป..ไกลทั้งร่างกายและความรู้สึก...  ผมอยากเจอเขา  ถึงแม้ว่าจะเกลียดกันก็ตาม... ถ้าเจอกัน ต้องอยากจะบอกพี่ธิว... น้องนัญคนนี้ของพี่ธิวอยากจะบอกเหลือเกิน
   
   “นัญไม่เคยเกลียดพี่ธิวเลยนะ.........นัญไม่เคยเกลียดพี่ธิวเลย” 
   
   กำแพงความเกลียดของเราสองคนมันผ่านมานานแล้วนะ  กำแพงนั้นมันสูงเกินไปไหม เราถึงไม่เจอกันเลย......อย่าเกลียดนัญเลย.....  พี่ธิวเคยบอก....เคยสัญญากับนัญไว้ไม่ใช่หรอ....  จะปกป้องนัญเสมอ..... แต่ตอนนี้พี่ธิวหายไปไหน
   .
   .
   .
   . 

   ความเหนื่อยล้า มันทำให้ผมเพลียจัด และเผลอนอนหลับไป ..หลับไปทั้งชุดนักเรียนแบบนั้น   ประตูด้านหน้าปิดเอาไว้ .....แต่ไม่ได้ล๊อก..... 
   .
   .
   เหมือนตกอยู่ในภวังค์...ผมหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน .....จนรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครมานั่งอยู่ใกล้ๆ ลูบหัวผมอยู่....เสียงที่ได้ยิน....เป็นเสียงที่กลั้นสะอื้นเอาไว้....เหมือนกลัวว่าผมจะได้ยิน

“เบสต์....!!!”   ผมตื่นขึ้นมา มองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ  ที่ผมนอน.....

“ต้องจ๋า...” เบสต์เรียกชื่อผม พร้อมกับสวมกอดผมในทันที

ตอนนี้เพื่อนที่ผมรักที่สุดนั่งอยู่บนเตียงที่ผมกำลังนอนอยู่  มือข้างหนึ่งลูบหัวผม เหมือนกับให้ความอบอุ่น ..... เจอกันล่าสุดก็คือเมื่อวานตอนเย็น  หลังจากนั้นมันเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ..... รุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก มาเรียกเบสต์ให้ไปห้องงานศึกษา บอกว่าอาจารย์ในห้องงานศึกษามีเรื่องจะคุยด้วยเกี่ยวกับทุนการเรียนของผม แต่ให้เบสต์เป็นคนที่ไปคุยกับอาจารย์เองเพียงคนเดียว.....  ผมไม่อยากให้เบสต์ไปเลย  เรื่องทุนการเรียนผมมันเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ผมก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องมาร่วมรับแบกภาระด้วย ...... ถึงไม่ได้ ผมก็ยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง... เงินประกันอุบัติเหตุจากพ่อของผมที่เสียชีวิตคราวนั้น ...มันยังพอเป็นทุนที่จะให้ผมเรียนต่อไปได้ 

   เมื่อวานผมต้องเดินกลับบ้านคนเดียว  ...ทั้งๆ ที่กลัว.... เลยตัดสินใจเดินหนีออกไปทางหลังโรงเรียน... แต่ก็ไม่พ้นพี่วัจน์ไปได้  เขามาดักผมไว้ที่หลังโรงเรียนเหมือนกัน  แต่ตอนนี้เบสต์ร้องไห้.... เข้ามาหาผมตอนนี้ ....กอดผมแล้วก็ร้องไห้ ...ไม่ได้พูดอะไร..เพียงแต่ผมสงสัยแค่นั้นเอง...ว่าทำไมเบสต์ถึงยังใส่เสื้อผ้าตัวเดิม...กางเกงและเสื้อนักเรียนตัวเดิม...   ที่ผมรู้เพราะว่ามันยับยู่ยี่ซะจนไม่คิดว่าเป็นชุดที่เพิ่งสวมใส่ใหม่เมื่อเช้า

   เบสต์เงียบ..... แต่ร้องไห้.....  ผมไม่ถามอะไรหรอก........  แต่กอดเบสต์กลับ......  คงโดนเพื่อนของมันทำร้ายมาใช่ไหม......   รุ่นพี่ที่เรียกไปเมื่อวาน ว่าอาจารย์ต้องการพบคุยเรื่องทุนของผม.....ที่แท้ผมกับเบสต์โดนหลอกใช่หรือเปล่า.......

   อาจารย์ไม่ได้ไปคุยเรื่องทุน.....

      รุ่นพี่คนนั้นคงเป็นพวกเดียวกับพี่วัจน์

         แล้วเบสต์หายไปไหนมา.......ได้กลับบ้านหรือเปล่า

   ผมกอดเบสต์แน่น..........ร้องไห้หนักกว่าเบสต์ เพราะรู้ว่ามันคงจะใช่อย่างที่ผมคิด.......  เพียงแต่เรื่องนี้  เบสต์ก็ไม่ยอมบอกผม..... เป็นเพราะเบสต์กลัว...กลัวว่าผมจะเสียใจ...กลัวว่าผมจะร้องไห้  เพราะเบสต์เคยบอกเอาไว้....เบสต์สงสารผม  และไม่อยากให้ผมร้องไห้อีก....

   “เบสต์จ๋า.......เบสต์อย่าเป็นอะไรนะ ต้องขอโทษ ฮือๆๆๆ ต้องขอโทษ ....อย่าร้องไห้เลยนะ.....อย่าร้องไห้เพราะต้องเลยนะ”   

ผมร้องไห้  เสียใจที่สุด.....ทำไมพวกนั้นถึงต้องทำเพื่อนผมด้วย... เพื่อนผมไม่เกี่ยวเลย 

   “ไม่...ไม่หรอก...  เบสต์ไม่เป็นไร... ต้องด้วย...ต้องอย่าร้องไห้นะ...ต่อไปเบสต์จะไม่ทิ้งต้อง...เบสต์จะไม่ทิ้งต้องไปไหนแล้ว”
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 21:58:24
ตอนที่ 11  ของเล่นชิ้นโปรด

   วันนี้เพื่อนรักของผม...มันบอกให้ช่วยแยกเพื่อนสนิทของน้องต้องออกมาหน่อย ...สงสัยคงเอาไปจัดการซะมั้งครับ  ..........ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรลึกซึ้งนักหรอกนะว่าเป็นแบบไหนบ้าง..... แต่ถ้าให้ผมสงสารเด็กสองคนนั่นไหม...สำหรับผม ...ผมเฉยๆ

   “เฮ้ย !!!เอก”  ..... ไอ้เพื่อนข้างห้องที่ผมใช้ให้มันไปช่วยตามน้องเบสต์ออกมาหน่อย.... จะเรียกว่าตามก็คงไม่ถูกนัก ....เรียกว่าหลอกออกมาจะง่ายกว่า

   “เออ...ว่าไงมึง....ได้เรื่องเปล่า”  ผมหันหลังไปถามมัน... มันไม่ตอบครับ เพียงแต่เอานิ้วชี้ไปทางด้านหลังให้ผมดู....เด็กตัวเล็กๆ  วิ่งออกมาเห็นอยู่ไกลๆ  เด็กที่ช่วงนี้ผมคุ้นตาซักหน่อย....  อ่อ....นั่นไง

   .........ของเล่นของผม.... ตอนนี้

   ผมแอบหลบทางมุมตึกของกลุ่มห้องวิชางานศึกษาของโรงเรียน...เวลาเย็นๆ ประมาณนี้ ทั้งอาจารย์และนักเรียนไม่ค่อยมีใครอยู่ซะด้วย ปลอดคนหน่อย...  รถผมก็เอาจอดไว้ตรงนี้ ถ้าเกิดจะจัดการบางอย่างก็คงจะไม่ยากอะไรนัก

   “สวัสดีครับ น้องเบสต์”   เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ตอนนี้ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเข้ามา เตรียมตัวที่จะขึ้นไปบนตึก  หน้าตาที่เหนื่อยหอบอยู่แล้ว กับตกใจยิ่งกว่าเดิม  น้องเบสต์หรือของเล่นชิ้นโปรดของผม  ...ถ้าจะว่าไปน้องคนนี้คงจะเป็นของเล่นชิ้นที่ผมชอบสุดเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นก็อยากจะเล่นนานๆ ซักหน่อย

   “พี่เอก !!!”    ว้า.... เหยื่อเห็นผมซะแล้ว

   “ว่าไงครับน้องเบสต์ ...มาทำอะไรเอ่ย..?”    ตอนนี้ขอหยอกเล่นๆ แล้วกัน  .....วันนี้ไอ้เพื่อนสุดที่รักผมมันวานให้แยกน้องคนที่อยู่ตรงหน้านี้ออกมาจากเด็กคนที่มันต้องการตัวซะด้วยซิ่.... ผมคงต้องช่วยเพื่อนรักผมซะแล้ว... อีกอย่าง วันนั้นเล่นไปแค่นิดเดียวเอง  มันไม่สะใจเอาซะเลย  ตัวเล็กๆ ..ขาวๆ แบบนี้ถ้าจะจัดการก็คงไม่ยากนักหรอกน่า......

   “..............”  ไอ้ตัวเล็กนี่มันไม่พูดครับ เอาแต่เดินหนีผมอย่างเดียวเลย   ผมแค่หลอกนิดเดียวเท่านั้นเองว่าอาจารย์อยากจะขอคุยเรื่องทุนของเพื่อนมัน .....มันก็หลงเชื่อตามไอ้คนที่ผมสั่งไปบอกง่ายๆ ซะอย่างนั้น  ........... อย่างว่าแหละครับ... เด็ก ....หลอกง่าย

   “จะรีบไปไหน......มาคุยกับพี่เอกก่อนซิครับ..ไม่ต้องดื้อน่า...”   ขาก็เล็กนิดเดียว จะเอาแรงที่ไหนเดินไวได้... ผมก้าวขาไปเพียงไม่กี่ก้าว  ก็ตามทันแล้ว  จับต้นแขนมันนิดเดียว  ออกแรงไม่ต้องมาก แค่นี้ผมก็ได้ของเล่นชิ้นโปรดนี้มาอยู่ในมือ

   “ปล่อยนะ !!!!”   .........  เป็นของเล่นชิ้นแรกที่...........ดื้อ ซะด้วย

   “อ่ะ....ปล่อย”   ผมแกล้งปล่อยตามที่น้องเบสต์ขอ....ก็ได้เรื่อง   พอปล่อยปุ๊บ....ก็ร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้นปั๊บ..ตอนออกแรงดึงหนีผม ก็เหนี่ยวตัวหนีซะเต็มที่ขนาดนั้น....  ถ้าปล่อยมันก็ลงไปกองอยู่อย่างนั้นแหละเป็นธรรมดา

   “โอ๊ย !!!”  ไอ้ตัวเล็กมันเจ็บ

   “ฮ่าๆๆๆ  เอ้า.... !!! เป็นอะไร...พี่ปล่อยน้องเบสต์แล้วนี่นา...แล้วทำไมล้มไปอยู่ที่พื้นได้ล่ะ”   ผมหัวเราะพร้อมกับย่อเข่าลงไปที่พื้นดินที่ตอนนี้มันนั่งหน้ามุ่ยเจ็บขาอยู่.... เฮ้อ....น่าสงสาร...เดี๋ยวสงเคราะห์ให้นะ

   “เป็นบ้าอะไร.... อยู่ดีๆ ก็ปล่อยเนี่ย!!!”   มันโวยวาย

   “อ้าว....ก็น้องเบสต์บอกให้พี่ปล่อย...พี่ก็ปล่อย” ....  ผมก็แค่ทำตามที่น้องเขาขอ

   “แล้วมาปล่อยอะไรแบบนี้ล่ะ..ปล่อยผม ผมจะไปหาอาจารย์..”  มันโวยวายหนักกว่าเดิม ...แถมสั่งให้ผมปล่อยมันอีก  ก็ตอนนี้มือผมไปจับที่ข้อเท้ามันอยู่นี่นา

   “....อ่า.. ไม่ปล่อยครับ..จะทำไม”  ตัวก็เล็ก  ปากก็นิดเดียว จมูกก็รั้นจริงๆ  แถมตอนกลัวนี่ยังทำตาโตๆ อีกต่างหาก...เฮ้อๆๆๆ น่าแกล้ง

   “....ปล่อยนะ...ปล่อยยยย”  มาแบบเดิมแล้วครับ  ตาเริ่มแดง เริ่มเบะปากแล้ว....

   “อะไรกัน  พี่จับแค่นี้เองร้องไห้แล้ว.... ถ้าทำมากกว่านี้............. สงสัยสลบ”   คำพูดสองแง่สองง่ามของผม มันอาจจะทำให้ไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่กลัว... ตอนนี้มันยิ่งถอยหนีหนักกว่าเดิม แต่ผมกลับยิ่งจับขาให้แน่นกว่าเดิมเข้าไปอีก  .คิดหรอว่ามันจะหนีผมพ้น..... 

   “พี่เอก....”   เสียงมันอ่อนลง 

   “เรียกทำไมครับ...”  ผมยิ้มกวนๆ  ให้กับไอ้ตัวเล็กที่ยังคลานถอยหนีผมไปอยู่ สงสัยล้มเมื่อกี้คงเจ็บ  เลยไม่มีแรงยืนขึ้น

   “เบสต์จะไปหาอาจารย์... จะไปคุยธุระ สำคัญด้วย...พี่เอกปล่อยเบสต์ไปก่อนได้ไหมครับ...นะ”  ตอนนี้มันอ่อนให้ผมลงมาก แถมยังออกแนวอ้อนอีกต่างหาก....แต่ทำไมผมถึงไม่สงสาร

   “ถ้าพี่ปล่อย...แล้วพี่จะได้อะไรอ่ะ” ..........ผมยิ้ม พร้อมกับยิงคำถามไป ....มือยังจับข้อเท้าเอาไว้ ถึงจะไม่แน่นมากแต่ก็คิดว่าคงหนีไปไหนไม่ได้

   “....พี่เอก.....เบสต์อยากไปคุยธุระ...ปล่อยเบสต์ไปก่อนเหอะนะ” ..

   “ก็ถ้าปล่อย......น้องเบสต์จะให้อะไรพี่หรอ”  ผมยังถามคำเดิม จ้องหน้าไอ้ตัวเล็กข้างหน้าเหมือนเก่า

   “.....เบสต์มีตังค์...เดี๋ยวเบสต์ให้ตังค์พี่ก็ได้”   .........เวร...ไอ้เจ้านี่มันมองผมเป็นพวกรุ่นพี่ชอบไถเงินรุ่นน้องตอนไหนไม่ทราบกันแน่....

   “ฮ่าๆๆๆๆ  ตังค์พี่ไม่เอา.. ตังค์พี่ก็มี....”

   “ละ....แล้ว...แล้วพี่เอกอยากได้อะไร....เดี๋ยวเบสต์ให้พันหนึ่งก็ได้นะ”   อะหือ...แสดงว่ารวยจริง แต่ดูจากหน้าตา ผิวพรรณแล้วก็คงไม่ใช่ลูกคนจนหรอก .. แต่เงินผมไม่สน.... ตอนนี้ผมสนอย่างอื่นมากกว่า

   “เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน.... ถ้าจะไปหาอาจารย์  .....พอคุยกับอาจารย์เสร็จ  พี่ค่อยขอจากน้องเบสต์ได้เปล่าครับ”    ที่ผมกล้าขอทีหลัง เพราะรู้แน่ว่า อาจารย์ไม่ได้อยู่ที่ห้องแล้ว..แถมห้องนั้นตอนนี้ก็ล๊อคไปแล้วด้วย

   “...คะ...ครับ....พี่เอกปล่อยผมก่อน”  น้องเบสต์บอกอีกครั้ง คราวนี้ผมปล่อยตามคำที่น้องเบสต์ขอ  แค่หลุดออกจากมือผมได้ ก็พยายามยันตัวเองขึ้นมา แต่ก็ดูเหมือนขาจะเจ็บนิดๆ  ผมไม่ได้ช่วยพยุงให้ เพราะคิดว่าไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่คงไม่ยอม  เอาน่ะ....อดเปรี้ยวไว้กินหวานซะหน่อยจะเป็นไรไปเชียว ..แตะเพียงนิดหน่อยผมไม่อยากทำ ..ตอนนี้อยากแตะทั้งตัวมากกว่า

   เป็นไปตามที่คาด...อาจารย์ที่ห้องนั้นกลับบ้านกันไปหมดแล้ว แต่มันกลับไม่เชื่อ เดินขากะเผลกๆ  ไปตามห้องอื่นจนเกือบจะทุกห้อง ถามหาอาจารย์ที่ยังไม่ได้กลับบ้าน ถึงอาจารย์ที่เป็นคนดูแลเรื่องเกี่ยวกับทุนการเรียน...แต่ก็ไม่มีอาจารย์คนไหนซักคนที่จะให้คำตอบได้.....ผมผิวปาก เดินตามหลังไปเรื่อยๆ ... ไอ้ตัวเล็กที่เดินกึ่งพิการอยู่นั่น ก็เดินหน้าคว่ำไปเรื่อยๆ  ....สงสัยคิดที่ว่าอ้อนผมเพื่อหนีตอนแรกคงจะไม่ได้ผล  ฮ่าๆๆๆ

   “ลั๊ลลาๆๆ ...... เฮ้อ...อาจารย์ไม่อยู่.... คราวนี้พี่ขอได้หรือยังอ่ะ”  ....... ผมยื่นหน้าเข้าไปถามจนใกล้ใบหน้าเล็กๆ นั่น  ทำไมกลิ่นตัวมันหอมจัง

   “...ขอไรล่ะ !!!”   พูดเสียงดัง ขึงตาซะ...ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย... ของเล่นชิ้นใหม่ของผมนี่มันน่ารักจัง.... 

   “ไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยดิ่”  ....

   “ได้...เดี๋ยวพรุ่งนี้เบสต์จะไปกินด้วยแล้วกัน...ที่โรงอาหารนะ...เบสต์กลับละลุงคนขับรถมารอแล้ว..”  ....ว่าแล้วไงครับ...ขี้โกงเลยมัน .....พูดเสร็จเดินหนีผมเฉย...อย่าคิดจะรอดซะให้ยาก

   “เสียใจครับ.... ไปกินกับพี่ตอนนี้...เดี๋ยวนี้...ห้ามขี้โกง”  ผมดึงแขนมันให้หันหน้ามาหาผม..จนตัวมันเซมาปะทะ  สองแขนเล็กๆ  พยายามดันออก ...ตอนนี้มันหลังตึกแล้วคนก็ไม่มี  รถผมก็อยู่แค่ตรงนี้ ถ้ามันคิดว่าจะหนีได้มันคงคิดผิด

   “ไม่ไป....เบสต์บอกกับพี่แล้วว่าเบสต์ทำตามสัญญาได้....แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าตอนไหนเพราะฉะนั้นเบสต์ไม่ผิด”    .....มันพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย แถมยังเบี่ยงตัวหนีผมไปอีก....  คิดหรอว่าจะหลอกคนอย่างนายเอกนรินทร์ได้

   “หึหึ..น้องเบสต์ครับ...วันนั้นที่โดนพี่จัดการไปที่หลังตึกยังไม่เข็ดใช่ไหม”  .....ผมขู่มันเพียงนิดเดียว  แถมบีบต้นแขนมันแรงขึ้น ...อยากจะให้รู้เหมือนกันว่ามันกำลังเล่นกับใครอยู่

   “...พี่เอก...เบสต์กินข้าวกับพี่ก็ได้ เบสต์เลี้ยงก็ได้...แต่เป็นพรุ่งนี้นะครับ...พี่อยากทานอะไรเบสต์เลี้ยงได้หมดเลย....ตอนนี้ให้ผมกลับบ้านก่อนนะครับ...ลุงมารอแล้ว..”  มันพูดขึ้นเสียงอ่อนแบบเดิม เมื่อรู้ว่าผมเอาจริง.... แต่ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรแล้วแหละครับ....  ผมขี้เกียจปล่อย

   “...ไม่ได้ครับ....พี่อยากกินตอนนี้......พี่...หิว..ตอนนี้”     ผมเน้นย้ำชัดๆ คำหลัง  ให้มันรู้จริงๆ ว่าตอนนี้ผม ‘หิว’  แต่ไม่ได้บอกนะว่าหิวอะไร

   “ไม่ไป...อ่ะ ปล่อยเบสต์นะ” 

   “ฮื้ออ ...ดื้อน่า”  ผมขี้เกียจเถียง ดึงขึ้นรถไปเลยดีกว่า ง่ายดี

   “ไม่เอา....ไม่ไป ปล่อยเบสต์”   มันยังคงเบี่ยงตัวหนี ขืนตัวเองเอาไว้ไม่ยอมขึ้นรถผมไปดีๆ 

   “เบสต์ มันจะไปยากอะไรฮ๊ะ.... กับแค่ไปกินข้าวเนี่ย .....พี่พาไปกินข้าวครับ ไม่ได้พาไปตาย !!!”  เสียงผมดังขึ้นกว่าเดิม  ตะคอกจนไม่รู้ว่ามันตกใจหรือมันกลัว  ..ตามันเริ่มกลับมาแดงอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเบะปากร้องไห้แล้ว

   “...ฮือๆ....ไม่เอา...เบสต์ไม่ไป” 

   “เงียบ !!!!  รำคาญ.....”  อารมณ์แกล้งเล่นๆ ผมชักหมดสนุก  คนอื่นที่ผมเคยคั่วเล่นไม่เห็นเป็นแบบนี้ .... บางคนยังไม่ต้องชวนด้วยซ้ำ ก็แทบจะกระโดดขึ้นรถผมแล้ว ......  แต่นี่ต้องถึงกับลากให้ขึ้นรถ.... 

   ผมดึงไอ้ตัวเล็กนี่จนมาถึงรถได้.....ให้กูถึงห้องก่อนเถอะมึง...ไม่รอดแน่

   เวลาในการขับรถผมเร็วกว่าปกติ ....ช่วงเวลาที่อยู่ในรถ ไอ้ตัวเล็กข้างๆ โทรไปบอกทางบ้านว่ามีรายงานทำกับเพื่อน...... เลยให้ลุงคนขับรถอะไรนั่นกลับไปก่อน..... สงสัยจะลูกคุณหนู มีคนไปรับไปส่ง  ....ไม่รู้ว่าไปคบกันได้อย่างไง อีกคนก็ดูรวย  ส่วนอีกคนก็ดูจนซะเหลือเกิน.... สงสัยรูปร่างคล้ายกันละมั้ง ถึงได้คบกันได้...ส่วนผมก็โทรไปบอกกับห้องอาหารที่ผมจะพาน้องเบสต์นี่ไปทานซะหน่อย ......ตลอดระยะเวลาที่ผมขับรถ  มันไม่หันหน้ามามองผมเลย  ....  มองออกไปข้างทางซะมากกว่า  เหมือนกับว่าบรรยากาศข้างนอกนั้นมันน่าดูซะอย่างนั้นแหละ....
 
   ผมไม่ได้บอกหรอกว่าจะพาไปกินข้าวที่ไหน.... แต่พอเลี้ยวเข้าโรงแรม ไอ้ตัวเล็กก็โวยวายทันที..... 

   “จะไปไหนอ่ะ...ไม่เอานะ...เบสต์จะลง จอดรถนะ....” 

   “โรงแรมครับ.....”  ผมตอบง่ายๆ สั้นๆ  มันถลึงตาโต  ดึงที่เปิดประตูรถออก ดีที่ผมคว้าไว้ทัน

   “ปล่อยนะ !!!!”   

   “โรงแรมมันก็มีห้องอาหาร เป็นบ้าอะไรเนี่ย !!!!”   

   “................”  มันไม่ตอบผม  แต่มองหน้าเหมือนไม่ไว้ใจ.... หึหึ รออีกเดี๋ยวเหอะ

   ผมขับรถวนขึ้นไปเรื่อยๆ  จนถึงชั้นบนสุดของที่จอดรถในโรงแรม   พาเดินออกมาข้างนอก  ดึงมือไอ้ตัวเล็กที่เดินต้วมเตี้ยมช้าๆ ตามผม  พยายามจะบิดมือผมออก ...แต่ยากซักหน่อย ผมไม่ปล่อยซะอย่าง..... บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม  พนักงานเสริฟ  อยู่หน้าห้องอาหาร ผมไม่ได้พูดอะไรมากกับบริกรที่อยู่ด้านหน้า  ยักคิ้วให้สัญญาณแค่นั้น  ...........  ถ้าผ่านไปทางห้องอาหารใหญ่ คนในนี้คงสงสัย  เด็กนักเรียน ม. ปลายสองคน  แต่งชุดนักเรียนกันทั้งคู่ แต่เข้ามาในห้องอาหารหรูของโรงแรมห้าดาว ....แต่นี่ไม่ใช่  ผมลากกึ่งจูงไอ้ตัวเล็กที่เดินตามผมมา แยกออกไปอีกทาง  พาเดินลัดไปเรื่อยๆ  ..... จนถึงโต๊ะอาหารที่ถูกแยกเดี่ยวออกมา   คล้ายกับเทอเรซส่วนตัวที่ไม่มีใคร บริเวณที่กั้นไม่ให้คนอื่นได้เห็นเป็นต้นสนไทเป ทำให้ตรงบริเวณนั้นคนภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ  ..... ผมมองหน้าพร้อมกับส่งยักคิ้วให้พนักงานเสริฟอีกครั้ง  ไม่ได้พูดอะไร ............ก็ทุกอย่าง ผมสั่งเตรียมพร้อมไว้แล้วนี่นา 

   .............โรงแรมนี้มันเป็นของที่บ้านผมเอง

   .............โต๊ะอาหารนี้  ผมโทรสั่งกริ๊งเดียว   ห้องอาหารนี้ก็จัดให้ได้แล้วเรียบร้อย....

   .............แถมอาหารสุดพิเศษ สำหรับเหยื่อตรงหน้า....ผมก็สั่งให้จัดการเรียบร้อยแล้วอีกเช่นกัน .......

   ไอ้ตัวเล็กที่เดินตามมาไม่ได้ดูตื่นนักกับบรรยากาศและอาหารที่อยู่ตรงหน้า  แถมจะเฉยๆ ซะด้วยซ้ำ  ...ผมก็ไม่แปลกใจหรอก   ระดับน้องเบสต์นี่ก็คงจะเคยมาทานอาหารอะไรแบบนี้มาบ้างแล้ว   ก็คงจะรวยพอดูนั้นแหละ

   เพียงครู่เดียว  อาหารชุดแรกก็ถูกมาวางไว้ตรงหน้า

   “.....พามาโรงแรมหรู ซะเปล่า  ออเดริฟห่วย !!! ”  .......... ผมอึ้งซิ่.... ก็เล่นวิจารณ์กันซะตรงๆ ห้องอาหารจีนที่นี่ขึ้นชื่อว่าดีติดอันดับท๊อปของกลุ่มในเครือโรงแรมห้าดาวด้วยกัน.... แต่ไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่ว่าซะเสียหมด

   “..................”  ผมไม่พูดอะไร  ลองดูว่ามันจะพูดอะไรต่อไป

   “ซุปเป็นซุปผัก   แถมยังเป็นผักอะไรก็ไม่รู้ ผักโขมก็ไม่ใช่...... ห้องอาหารจีนทำไมไม่เป็นซุปเสฉวน แถมไข่คาร์เวียร์ ก็ใช้ช้อนธรรมดา  ช้อนคาร์เวียร์มันต้องเป็นช้อนเงิน ไม่งั้นเวลาคาร์เวียโดนช้อนจะทำให้คาร์เวียเสียรสชาติ...... ตลก.... ซุปผัก เสริฟคู่กับคาร์เวียร์...แทนที่จะเป็นขนมปังฝรั่งเศษพวกครัวซองต์....อาหารผสมกันไม่รู้กี่ประเทศ สรุป ห่วย”   

   “......................”  ผมไม่พูดอีก  แต่ก็อึ้ง  เรื่องอาหารผมจะไปรู้ได้ไง  แต่ไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่รู้หมด  กินไปก็บ่นไป.... เสียหน้าครับ.... แต่เอาน่ะ รออีกหน่อยเถอะ

   อาหารชุดแรกหมดไป โดยที่ไอ้ตัวเล็กข้างหน้าแทบไม่แตะเลย... อาหารชุดที่สองถูกเอาตามเข้ามา  คราวนี้มันต้องอึ้งแน่.....

   “ผมไม่ทานฟัวกลาส์ ....”   ไอ้ตัวเล็กพูดขึ้นมา ไม่ยอมเอาผ้าออก แถมช้อนยังรวบเก็บไว้แบบเดิม สัญลักษณ์ว่าไม่รับอาหารชุดนั้น  ...........อืมม  แสบ

   “ทำไม !!!”  ผมชักหงุดหงิด แต่ก็ยังเก็บอารมณ์ไว้ได้อยู่ 

   “ก็นี่มันห้องอาหารจีน  แต่ดันมีฟัวกลาส์  อาหารฝรั่งเศส โรงแรมที่นี่ ห้องอาหารที่นี่เค้าบ้าหรือเปล่า เอาอาหารปนกันมั่วไปหมด... แถมยังมีเมนูทารุณสัตว์อีก ผมไม่ทานฟัวกลาส์  ผมไม่ชอบ  หูฉลามผมก็ไม่ชอบ รังนกก็ไม่ชอบ ......”  มันพูดยาวเป็นรอบที่สอง  พูดเสียงดังฟังชัด แต่ไม่ยอมมองหน้าผม  ยิ้มๆ เบะปากของมัน ทำให้ผมอยากเอาชนะ 

   “สรุป...จะกินอะไร...เรื่องมาก”   ............หงุดหงิดหนักกว่าเดิมครับ ทนไม่ไหว

   “ล๊อปสเตอร์ แล้วก็โสมตุ๋นยาจีน แต่ผมขอใส่กังป๋วยไปด้วยแล้วกัน... แล้วก็เอาผัดตังฉั่งเช่า แต่ไม่ใส่หมูนะ ขอเป็นใส่เนื้อเป็ดยูนานแทน มันกรอบดี  แล้วก็.............ฮืมมมม”   มันยังทำท่าครุ่นคิด  สงสัยจะสั่งต่อ ...... สั่งโดยที่ไม่ต้องเปิดเมนูเลย

  โอเค .....ผมโดนแกล้ง  อาหารที่สั่งแต่ละอย่าง  สุดยอดของราคาแพงทั้งนั้น  รู้แล้วครับว่ามันเก่ง  รู้หมดว่าอันไหนแพง  และจะโคตรแพงกว่าเดิม ถ้าเปลี่ยนส่วนผสมบางอย่างลงในเมนู  ห้องอาหารนี้ไม่บอกหรอกครับว่าราคาเท่าไหร่  แต่ที่มันสั่งมาสามอย่างนี่ ก็จัดได้ว่าเป็นกลุ่มเมนูแพงสุดในร้านแล้ว 

“แล้วก็....เป๋าฮื้อขาห่านน้ำแดง แล้วกันครับ  ส่วนข้าวขอเป็นข้าวอบหนำเลี๊ยบ .... อาหารเบรคอีกชุดขอเป็นสลัดกุ้งกระจก”   มันพูดเสร็จส่งเมนูที่ไม่ได้เปิดคืนให้กับพนักงานเสริฟ  ......ผมมองหน้ายักคิ้วให้พนักงานเสริฟที่รู้กันเป็นรอบที่สาม จนพนักงานเดินกลับเข้าไปข้างใน 

“หึหึ” ผมหัวเราะในลำคอ มองเด็กตรงข้างหน้าที่ตอนนี้  ยิ้มอย่างสะใจเหมือนแกล้งผมได้  รอก่อน....รอก่อนเหอะ  จะยิ้มไม่ออก

“ที่บ้านทำอาหารจีนขายหรอ”   ผมอดถามมันไม่ได้

“เปล่า !!!”

“แล้วรู้อาหารพวกนี้ได้ไง”

   “ที่บ้านทำอะไร”

   “ทำไมผมต้องบอกพี่ล่ะ !!!” 

   “ก็พี่ถาม เบสต์ก็ต้องบอก ถ้าไม่บอก พี่ก็บังคับ ก็แค่นั้น”

   “................”  มันมองหน้าผม ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  ไม่ยอมตอบ

   “ที่บ้านทำอะไร” 

   “รับจ้าง !!!” 

   “เหอะๆ”    รู้ครับว่ามันโกหก  แต่ขี้เกียจจะถามต่อ  มันไม่ใช่เรื่องของผมนี่นา

   อาหารถูกยกออกมาเรื่อยๆ  ไอ้ตัวเล็กกินอย่างละนิดอย่างละหน่อย ....ก็อย่างว่านั้นแหละครับ ที่สั่งมาน่ะ เหมือนจะแกล้งผมมากกว่า  .... จนปิดท้าย ผมสั่งไวน์มาเปิดแล้วก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้คนตรงหน้านี้ไม่ดื่มแน่ๆ  เลยสั่งน้ำส้มคั้นมาให้แทน ......น้ำส้มคั้นที่คงจะหวานที่สุดในชีวิตของมัน

   ผมยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อไอ้ตัวเล็กมันอิ่ม และคงจะสะใจที่แกล้งผมได้  ตอนผมแกล้งเรียกพนักงานมาคิดค่าอาหารของมื้อสุดแพงนั้น แต่มันคงไม่รู้หรอกว่าผมเพียงแค่เซ็นชื่อทิ้งเอาไว้เท่านั้น รายการอาหารทั้งหมดก็ถูกยกยอดทิ้งทันที  .....  เว้นราคาของน้ำส้มแก้วเดียวที่ไอ้ตัวเล็กนั่นดื่ม เพราะมันคงจะแพงที่สุดในชีวิตของมัน....

   ผมเคยบอกใครต่อใคร ว่าผมเองและพวกเพื่อนๆ กลุ่มผมมันไม่ได้เป็นคนดีอะไร .....ซึ่งมันคือเรื่องจริง

   ไอ้ตัวเล็กตอนนี้ สติคงจะเริ่มหลุดลอยไปเรื่อยๆ ตอนที่ผมดึงให้มันเดินตาม....  ผมพูดอะไรสั่งอะไร ตอนนี้แทบจะกลายเป็นลูกแมวตัวเล็กๆ ที่เชื่องตัวหนึ่งเท่านั้นเอง

   “น้องเบสต์ครับ”   ..... 

   “ครับ....”  ........ เสียงอ้อนสะท้านขานกลับของมัน ทำเอาใจผมแทบกระเจิง  เพียงชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ  ไอ้ตัวเล็กกับผมก็เข้ามาอยู่ในห้องสวีทที่ถูกเตรียมพร้อมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

   “อืมม..... ร้อนไหม”     ไอ้ตัวเล็กไม่พูดอะไร เอาแต่พยักหน้า  ผมสั่งให้มันถอดเสื้อออก..... อ่าห์.... ก็น้องมันร้อนนี่นา....เสื้อจะใส่ไว้ทำไม....... 

   “ถอดเสื้อออกครับ ......ถอดทีละตัว....  อืมมดี”  ......  ของเล่นชิ้นโปรดของผมทำตามที่ผมสั่งอย่างว่าง่าย  ไม่เกรงกลัว ว่าผมจะทำอะไร... หันหน้าทั้งกึ่งยิ้มและกลัว ไปหมดเมื่อผมหยิบเอากล้องขนาดเล็ก ตามถ่ายเล่นไปทุกอริยาบถ

   “......พี่เอก...อื้อ.....ไม่.......เอา....อย่า”  ผมจัดเอากล้องวางไว้ตำแหน่งที่เหมาะสม ให้มันทำงานของมันไปเรื่อยๆ  ทนไม่ไหว .... ฤทธิ์ยาที่ผสมอยู่ในน้ำส้มแก้วนั้นมันออกฤทธิ์ได้แรงดีจริงๆ

   “อืออ....จะไม่หรือจะเอา...”  อ่าห์.... เก่งดีนักใช่ไหม.... ผมไม่สนหรอกน่า...เล่นแบบนี้ซิ่สนุกดี .... เดี๋ยวพอหลักฐานมันมี.... ครั้งต่อไปผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยากระตุ้นเป็นตัวช่วย  จะบังคับหรือจะทำอย่างไงก็ได้ สุดท้ายไอ้ของเล่นชิ้นนี้มันก็ต้องยอมผมต่ออยู่ดี

   “อ่าห์.....  พี่เอก... เบสต์....เสียว”    เสื้อผ้าของคนที่ผมคลอเคลียอยู่ตอนนี้มันหลุดกระจัดกระจายหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ แต่เสื้อผ้าของผมมันยังอยู่ครบ  และดูจะเป็นอุปสรรคเป็นอย่างมาก

   “อือออ....ถอดเสื้อให้พี่ซิครับ”    ผมนั่งอยู่เฉยๆ  เอามือประสานไว้ที่ท้ายทอย  รอให้ไอ้ตัวเล็กมันจัดการได้ตามอย่างที่ผมสั่ง.....มือเล็กๆ เงอะงะ สั่นไปหมด  ดวงตาของคนตรงหน้าตอนนี้เบลอไปหมด...  สติหลุดลอยไปไกลจนไม่รู้ว่าจะกลับมาได้ตอนไหน ......อ่าห์....เกือบจะเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแต่เพียงกางเกงในตัวจิ๋วของผมเท่านั้นเอง...  ไอ้ตัวเล็กมันจะถอดต่อแต่ผมดึงมือกลับเอาไว้

   “จะทำอะไรครับ...น้องเบสต์”  เสียงผมกระเส่า และรู้ว่ากำลังขัดใจไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่อยู่  มันพยายามดึงมือผมออก เพื่อจะจัดการสิ่งที่มันห่อหุ้มร่างกายของผมให้มันหลุดออกไปจากตัว

   “อ่า...อื้อ....ไม่เอา...ปล่อยมือเบสต์..... เบสต์จะถอดให้พี่เอก”   มันทั้งดื้อและอ้อน.... ผมยิ้มกริ่ม  ยืนชันเข่าตัวเองขึ้นมา จนมันได้ระดับ.... ช่วงกลางลำตัวผมตอนนี้มันอยู่ระดับเดียวกับหน้าของน้องเบสต์ทันที

   “ถ้าถอด....ก็จัดการมันด้วยซะนะ...”  เสียงผมก้มกระซิบลงไปที่ใบหูเล็กๆ ก่อนจะเหยียดตัวขึ้นอีกครั้ง  หันหน้าไปมองกล้องตัวเล็กๆ ที่วางตั้งเอาไว้อยู่......  กล้องที่มันกำลังทำงานอยู่ตอนนี้มันได้ระดับเดียวพอดีกันกับหน้าเล็กๆ  ที่ตอนนี้รูดรั้งกางเกงในผมจนมันหลุดออกมาจนอยู่ที่เข่าแล้วเรียบร้อย  แถมปากเล็กๆ ที่เคยทั้งเชิดและพูดจาท้าทาย  กำลังจัดการแก่นกายของผมอย่างเอาเป็นเอาตาย

   หึหึ.......... นึกว่าจะแน่...... 

   ยาที่ผมให้ไอ้พนักงานเสริฟนั่นใส่ลงไป คงใส่ไปเกินพิกัดซักหน่อย...  ไอ้ตัวเล็กนี่มันคงจะไม่เคยทำแบบนี้ให้กับใครมาก่อน  ....ทั้งปาก ทั้งฟัน  ทั้งลิ้น  มันกระทบมาโดนส่วนที่แข็งขืนของผมที่ยื่นออกไป ทั้งรู้สึกดีและเจ็บปนๆ กันไป

   “อืม....อาห์ ดีครับ... อย่าให้ฟันโดนซิครับที่รัก”  ผมสั่งกระซิบไปอีกที  ก้มหน้าไปที่ใบหูเล็กๆ นั่น อดไม่ได้ที่จะขบเล่น

   “อ่าห์.....พอก่อน”     ผมสั่งให้ไอ้ตัวเล็กนั่นหยุด...ถ้ามันไม่หยุดซะก่อนตอนนี้ ผมแพ้แน่ๆ   คิดได้แค่นั้น  ผมจับของเล่นชิ้นใหม่ของผม นอนหงายไปก่อนที่จะเอาร่างหนาของตัวเองทาบทับตาม

   “อ้าปาก.....”   ผมสั่งเสียงเบา... ไอ้ตัวเล็กทำตามอย่างว่าง่าย   ก่อนที่จะกดแนบริมฝีปากลงไปที่ปากเล็กๆ สีชมพูนั่น  มือลูบไล้ไปเรื่อยๆ  จนถึงแก่นกายเล็กๆ ของมัน หยุดมืออยู่ตรงนั้น วนอยู่นาน  จนกระทั่งมือของผมรั้งขึ้นลง อย่างรวดเร็ว จนไอ้ตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดสั่นสะท้าน เสียงครางระงม

   “อาห์....พี่.....เอก...มะ....ไม่.....เบสต์..”   

   “เบสต์ทำไมครับ..”  ผมถามไปช้าๆ  ปากเลื่อนลงมาที่ลำคอเล็กๆ  จนถึงตุ่มแข็งเป็นไตที่แผงอกขาวๆ ตรงหน้า ก่อนจะดูดดุนขึ้นมา  แกล้งเล่นอยู่อย่างนั้น  จนไอ้ตัวเล็กบิดตัวหนี

   “พี่เอก....เสียว” 

   “ดี....  ทรมานดีไหม” 

   “อือ.....อย่าแกล้งเบสต์......ไม่....เอา อย่าแกล้งกันนะ”   เสียงครางสะท้านของของเล่นชิ้นโปรดที่ผมจัดการซะอยู่หมัด....   ขอร้องผมกระเส่า

   “อยากแกล้ง......  อยากทรมาน..... ต่อไปทำตามที่พี่บอกตลอดนะครับ....โอเคไหม”  ....

   “คะ...ครับ...”   อืมมมมม.....   หลักฐานมีพร้อม...   

   “....อ่า.... เจ็บนิดนะ....ยอมไหม” ผมพูดขึ้นพร้อมกับจับร่างบางตรงหน้า แยกขาออกก่อนที่จะเอาตัวเองแทรกกลางลงไป .......   

   “ยะ...ยอม......พี่เอกอย่าแกล้งเบสต์เลยนะ....จัดการเถอะ....”  ....นี่แหละครับที่ผมต้องการ ทั้งน้ำเสียงและ
การกระทำให้มันไปอยู่ในกล้องนั้นให้หมด

   “หึหึ”............
.
.
.
………………………………………
   

   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:01:24
ตอนที่ 12    บางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน

   เสียงร้องไห้ที่ดังอยู่ข้างๆ ทำให้ผมมีความสุข บางทีก็คิดผมอาจจะโรคจิตนิดๆ ก็ได้  ......  ไอ้ร่างกายเล็กๆ ที่สะอื้นอยู่ใต้ผ้าห่ม ตอนนี้ไม่มีแรงที่จะเดินหนีไปไหน...เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ  ไอ้ตัวเล็กนี่มันไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน  รอยคราบเลือดที่เปื้อนผ้าห่มบางส่วนและผ้าปูที่นอนมันคือหลักฐานที่เห็นได้ชัด ....

   “ร้องไห้ทำไมอ่ะครับ.....  พี่สนุกมากไปหน่อยแค่นั้นเอง...อย่าร้องไห้นะ”  ....ปลอบซักหน่อยแล้วกัน  เดี๋ยวจะตื่นกลัวไปหนักกว่านี้ ก็เมื่อคืนมันโดนฤทธิ์ยาไปเยอะขนาดนั้น ....ทั้งพลิ้ว  ทั้งร่อน...ทั้งยั่ว จนผมยั้งไม่อยู่ นี่ถ้าไม่เห็นรอยเลือด แถมโดนกระตุ้นยาไปด้วยผมคงต้องคิดว่าเจ้านี่เจนสนามพอควร..... 

   ตอนนี้สติสัมปชัญญะ คงกลับมาครบถ้วนดีแล้ว...  ตื่นเช้ามาถึงได้ทั้งร้องไห้แล้วก็โวยวาย....เจ็บตัวจนขนาดนั้น  เห็นสภาพของตัวเองแล้วก็สภาพห้องคงตกใจหนักเหมือนกัน.....พอจะเดินหนีออกไป  คงเจ็บส่วนที่เปราะบางที่สุดถึงได้ล้มลงไปไม่เป็นท่าจนผมต้องอุ้มขึ้นมานอนใหม่อีก.... คราวนี้ก็ร้องไห้เอา ร้องไห้เอา 

   “เบสต์ไปทำอะไรให้...”   น้ำเสียงปนสะอื้น พูดขึ้นในผ้าห่มผืนหนา  ร่างเล็กๆ ที่ผมกอดอยู่ตอนนี้ หันหลังให้รู้อยู่ว่าร้องไห้   ผมเอื้อมมือไปกอด แต่เบสต์ถอยร่นหนี

   “จะหนีไปไหน...”  ผมไม่ตอบคำถามเบสต์ แต่ว่ากอดกระชับให้แน่นขึ้น .. จนร่างเล็กๆ ดิ้นหนีไปไม่ได้

   “....ฮึก.....ปล่อย...เบสต์จะกลับบ้าน” 

   “....แค่จะเดินขาก็สั่นแล้ว.. จะเอาแรงที่ไหนเดินกลับบ้านไหวล่ะครับ”  พูดขึ้นยิ้มๆ  เอามือเกลี่ยไล้แก้มที่เปื้อนน้ำตาอยู่....  ลูกไก่ในกำมือ.....  ต่อไปจะทำอะไร จะหนีอะไรก็ไม่ได้ ไม่มีทางเด็ดขาด

   “ฮัลโหลครับน้องริน”   เสียงสายเข้าที่ตั้งแยกเอาไว้ต่างหาก ...ทำให้รู้ว่าใครโทรมา...ผู้หญิงคนที่ผมกำลังคบหาด้วยอยู่ตอนนี้  ผมรับสายในขณะที่อีกมือก็ยังกอดร่างที่อยู่ใต้ผ้าห่มไม่ยอมให้หนีไปไหนได้

   “อืม....วันนี้พี่ปวดหัวนิดหน่อยอ่ะครับ...คงไม่ไปเรียน... คิดถึงพี่หรอจ๊ะ”   ผมพูดกับผู้หญิงอีกคน แต่สายตากลับมองลงไปที่น้องเบสต์นั่นต่างหาก ....

   “คิดถึงเหมือนกันเลยครับ.... อ่า...  อยากหอมแก้มจัง”   ตอนนี้เจ้าของเล่นชิ้นโปรดของผมกับดิ้นหนักกว่าเดิม แถมร้องไห้เสียงดังขึ้นจนกลัวว่าคนในสายจะได้ยิน  ผมเอื้อมมือข้างที่กอดไว้อยู่เอาไปปิดปากให้แน่น  ไม่ให้เสียงนั้นเล็ดลอดออกมา   พร้อมกับก้มหน้าลงไปกดจูบแก้มนุ่มๆ ที่เปื้อนน้ำตา

   “อืมม... แก้มน้องรินหอมจังเลย.... เดี๋ยวตอนเย็นพาไปทานข้าวนะ”    น้ำเสียงที่แกล้งจูบเหมือนจงใจให้รู้ว่ากำลังหอมแก้มผู้หญิงในสายนั้นจริง ทำให้ได้ยินเสียงระรื่นอย่างมีความสุขของคนในสาย  แต่อีกคนที่ผมนอนกอดและก็ก้มลงไปจูบจริงนั้น กลับร้องไห้หนักกว่าเดิมจนตัวโยน ผมยังคงเอามือปิดปากไว้ ไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมา.....จนผมวางโทรศัพท์ไปก็ยังไม่ยอมที่จะหยุดร้องไห้ 

   “จะร้องไห้ทำไมครับ....  ร้องไห้ไปพี่ก็ไม่สงสารหรอกน่า”     ไอ้ตัวเล็กที่เอาแต่ร้องไห้ตอนนี้ ผมเอามือที่ปิดปากออกไปแล้ว  ทั้งหูแล้วก็ตาแดงไปหมด จนอดไม่ได้ที่จะงับใบหูเล็กๆ นั้นเล่นเบาๆ 
 
   “ฮือๆๆๆ ปล่อย...”   มันทั้งร้องทั้งดิ้น...  ดิ้นหนีผมแต่ละที สีหน้าของมันไม่บอกก็รู้ว่าคงจะเจ็บแผลด้านหลังที่เกิดขึ้นจากผมเป็นคนทำ   ตัวมันก็เล็กแค่นี้...แถมร่างกายก็ใช่ว่าจะสมบูรณ์เต็มร้อย ....จะหนีอย่างเดียว คนอื่นที่ผมเคยเล่นด้วยไม่เห็นเรื่องมากเท่ามัน  ....

   “จะหนีไปไหนนักหนา..ห๊ะ... !!!  หนีไม่พ้นหรอกน่าน้องเบสต์.. แล้วก็หยุดร้องด้วย..รำคาญ”   ได้ผลครับ มันหยุดร้องหันกลับมา  แต่คราวนี้ไม่ใช่หันกลับมาแค่ตัวอย่างเดียว ..ฝ่ามือเล็กๆ  กระทบที่ใบหน้าผมอย่างจัง...    ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าตบหน้าผมได้ขนาดนี้... แล้วนี่มันเป็นใคร...   

   “เบสต์ !!!!...”  เสียงผมดังจนกลายเป็นตะคอก ....  ตัวเท่านี้แต่สิ่งที่มันทำถือว่ากล้ามากเกินไป.... มันคงไม่รู้จักผมดีพอ .......  ไอ้สิ่งที่ทำเมื่อคืนมันคงไม่รู้ตัว ....ถ้าทำกันแบบนี้ ตอนแรกคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าไอ้คลิปที่อยู่ในกล้องวีดีโอนั่นคงจะไม่เอามาขู่ให้มันเสียขวัญหรอก....  ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่น ผมชกหน้าหงายไปแล้วที่มันมาทำแบบนี้ ... แต่นี่เห็นตัวเท่าลูกหมา ทำไปก็ช้ำในตายเปล่าๆ .....   ผมเอื้อมมือไปหยิบกล้องวิดีโอมา  เสียบสายมันเข้าไปกับชุดเครื่องเล่นโฮมเธียเตอร์ของโรงแรม    ......  ไหนๆ ไอ้ของเล่นชิ้นนี้ของผมมันเก่งเกินตัว..ก็ต้องให้มันรู้จักซะหน่อยว่ามันเล่นอยู่กับใคร

   ผมกลับมานั่งที่เตียงอีกครั้ง  แต่ไอ้ตัวเล็กมันกลับไม่มองไปที่ TV เครื่องนั้น  จนผมเร่งเสียงให้ดังยิ่งขึ้น  มันถึงรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป 

   นักแสดงสองคนที่เล่นบทบาทรักกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ทำให้เบสต์มันต้องหันกลับไปมอง...ร่างทั้งร่างนิ่ง ไม่ไหวติง  จนผมต้องเอามันมากอดแล้วจับหันหน้าให้เห็นชัดๆ ว่าใครรับเป็นบทบาทอะไรในคลิปวิดิโอที่ผมเปิดอยู่   ........เสียงสะท้าน  ทั้งชอบและเจ็บ ...เสียงครางระงมของร่างเล็กๆ ที่อยู่ในวิดิโอ ทำให้รู้ว่าคนที่ผมกอดอยู่นั้น เรี่ยวแรงคงจะไม่มีผมกอดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่มือที่เล็กสั่นอยู่ไม่ได้ผลักผมออกแต่อย่างใด

   “.........หึหึ...คราวหลังอย่ากล้าอีกนะครับ.....  ถ้าครั้งหน้าอยากจะลองดีกับพี่อีก..คราวนี้คนในกล้องมันจะเป็นทั้งน้องเบสต์เอง แล้วก็เพื่อนรักของน้องเบสต์ด้วย.....  แล้วมันคงจะไม่ใช่มีแค่พี่คนเดียวที่จะจัดการกับเบสต์แล้วก็ต้อง...  พี่จะให้ทั้งไอ้วัจน์... ไอ้นันต์ แล้วก็ตัวพี่เองรุมอยู่ในกล้องนั้นด้วย .......ถ้าอยากจะลองดีก็เอา”   

   “...ทำ....แบบนี้ทำไม....”  เบสต์ไม่ได้ร้องไห้ แต่สีหน้ามันหนักกว่าร้องไห้เมื่อสักครู่นี้..น้ำเสียงที่แหบแห้งทำให้ผมไม่รู้จะตอบคำถามคนตรงหน้านี้อย่างไรเหมือนกัน

   “....................”  ผมยังคงเงียบ  ได้แต่จ้องมองหน้าไปที่ร่างเล็กนั่น 

   “...เบสต์จะกลับบ้าน...จะให้กลับได้หรือยัง...”   

   ความรู้สึกของผม....  น้ำเสียงที่ได้ฟัง....มันไม่ได้ตอกย้ำว่าผมผิด....หรือถูก เพียงแต่มันรู้สึกว่างๆ  ในความรู้สึกแค่นั้นเอง  แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว....ของเล่นชิ้นนี้มันก็ต้องอยู่กับผมต่อไป

   “ถ้าเป็นห่วงเพื่อน รักเพื่อน ต่อไปก็หัดทำตัวว่าง่ายๆ ด้วย”  ..   ผมพูดจบก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ  ชำระล้างร่างกายของตัวเองเสร็จ  ออกมาพร้อมกับบอกให้คนที่ยังนั่งเฉยอยู่บนเตียง เข้าไปจัดการตัวเองซะด้วย....แต่เพียงเดินไปได้เพียงนิดเดียว...ไอ้ตัวเล็กนั่นก็ล้มพับลงไปอีก...ผมไม่ได้ก้มลงไปอุ้ม  เพียงแต่ยืนมอง  จนแล้วจนรอดไอ้คนที่นั่งพับเพียบอยู่ตรงนั้นก็ไม่มีแรงที่จะพยุงตัวเองให้ยืนขึ้นได้...จนผมต้องย่อตัวลงไปเพื่อที่จะอุ้มมันเข้าห้องน้ำ

   “ไม่ต้องมายุ่ง !!!”  มันผลักผมออกทั้งที่ตัวเองก็แทบจะไม่มีแรง

   “....อย่าดื้อน่า.. จะพาเข้าไปอาบน้ำเฉยๆ”  ......น้ำเสียงของผมลดลง ทั้งเมื่อคืนแล้วก็เช้านี้ ผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำร่างกายให้ไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่เจ็บ กับทำร้ายจิตใจมัน  อย่างไหนที่หนักกว่า .....

   “ปล่อย....  ไม่ต้องมายุ่ง...ฮือๆๆๆ..ฮึก..ปล่อย”   มันกลับมาร้องไห้แบบเดิม...  ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ร่องรอยที่ผมเป็นคนทำ ร่างขาวๆ เล็กๆ แบบนี้  จะทำอะไรซักนิดก็เป็นรอยแล้ว... ร่องรอยที่บอกได้ว่าผมคือเจ้าของ ...ผมยิ้มเพียงนิดเดียวในขณะที่มันร้องไห้....  และก็คงจะนึกว่าผมคงจะหัวเราะเยาะมันหรือไง

   “................”  ผมไม่ได้พูดอะไร  แต่ขยับเข้าไปหามันอีกครั้ง  แต่ผลมันได้แบบเดิม  เบสต์มันผลักออก แถมยังเอาฝ่ามือเล็กๆ ที่ยันพื้นอยู่ฟาดมาที่แก้มผมอีกครั้งที่ซีกเดิม...

   ผมโดนตบหน้าซ้ำเป็นครั้งที่สองกับคนเดิม..... เพียงแต่ครั้งนี้ผมเฉย ไม่ได้ตอบโต้กลับ...จะตบก็ตบไป......และก็คงยังไม่สะใจกับคนตรงหน้า... เบสต์ตบหน้าผมซ้ำเป็นครั้งที่สาม  ..... ฝ่ามือเล็กๆ  ซ้ำมาเรื่อยๆ  จนแรงที่ตบออกมานั้นเริ่มลดลง 

   “ฮือๆ...ฮึก....ออกไป..”   ฝ่ามือข้างที่ตบผมนั้นลดลงไปแล้ว และเอาไปยันที่พื้นอีกครั้ง  ผมไม่พูดอะไร...แต่อุ้มไปช้อนร่างบางเอาไว้อีกครั้ง   คราวนี้ถึงมันจะผลักผมออกอย่างไร  แต่แรงก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก .... ก็ตบซ้ำๆ ซะขนาดนั้นจะเอาแรงที่ไหนมาเหลือ

   กว่าจะเอามันเข้าห้องน้ำไปได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร...  เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้แต่ดื้อชะมัด   ตอนนี้ผมปล่อยให้มันนั่งแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ...ส่วนตัวผมตอนนี้มองหน้าตัวเองอยู่หน้ากระจก...  รอยนิ้วมือหลายนิ้วซ้ำๆ กัน ที่ทาบอยู่บนหน้าไม่ได้เด่นชัดอะไรมาก เพราะคนตบแรงไม่ได้เยอะนัก  แต่มันก็พอมองเห็นได้ว่าโดนตบอยู่ดี  ผมยิ้มอยู่หน้ากระจกอยู่คนเดียว... ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ยอมให้เบสต์ทำได้ขนาดนั้น...  ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนชุดใหม่ เอาชุดนักเรียนลงไปไว้ในตะกร้ารอให้แม่บ้านมาซัก  ห้องพักนี้ผมมาพักบ่อยเวลาที่ต้องมาช่วยดูแลงานที่นี่  ถึงจะเป็นเพียงแค่เด็ก ม. ปลาย แต่ผมก็ถูกให้รับผิดชอบงานของที่บ้านเหมือนกัน ถึงจะเป็นเพียงงานเล็กๆ ....  แต่ก็ไม่ได้งานยากอะไร  และไม่เกินความสามารถของผมจนเกินไป  ทั้งพ่อและแม่บอกว่าถึงผมจะเรียนแค่ ม. 6  แต่ปีหน้าก็จะต้องเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย  พร้อมที่จะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ได้... เด็กม. 6  สำหรับที่บ้านผม ไม่ใช่เด็กแล้ว ครอบครัวผมกับไอ้นันต์จะคล้ายๆ  กันทำให้พวกเราดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่น ส่วนตัวไอ้วัจน์เอง มันก็ต้องช่วยงานทางบ้านของลุงมันเหมือนกัน สำหรับงานของครอบครัวมันนั้น มันไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย  ...ก็เป็นเพราะว่าปมหลังอดีตของมันเองนั้นแหละ

   แค่คิดถึงไอ้เพื่อนสุดที่รักของผมสองคน  ใจหนึ่งก็กระหวัดไปคิดถึง ใครคนหนึ่งที่ผมแคร์แล้วก็ห่วงใยเป็นพิเศษ จนเกินความรู้สึกของเพื่อน  ....ซิว........  คนที่ผมใส่ใจให้มากที่สุด

   ...... ซิว คือคนที่ผมไม่กล้าที่จะทำอะไรเกินเลย ..เพราะว่าคนๆ  นี้ คนเดียวที่ผมยอมทำตามทุกอย่าง

   ...........น้องริน ผู้หญิงที่ผมคบเอาไว้แก้เหงา

   ส่วน.......... เบสต์..........  ? 

   เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก รู้สึกว่าแรงของมันจะกลับมาบ้างหลังจากที่ได้อาบน้ำแล้ว เดินเซๆ ออกมาเอาผ้าขนหนูพันไว้ที่เอว ส่วนผืนใหญ่อีกผืนห่อตัวเองเอาไว้....เดินกลับออกมาไม่มองหน้าผมซักนิด  ผมโยนชุดเสื้อผ้าของผมชุดใหม่ส่งไปให้มัน  ถึงตัวมันใหญ่กว่าซักหน่อย แต่ก็คงจะพอใส่ได้บ้าง....... เบสต์มันไม่ได้สนใจ  แต่กลับไปใส่ชุดนักเรียนที่ยับยู่ยี่ของมันตัวเดิม.. ผมไม่ได้สนใจอะไร ไม่ใส่ก็ช่างมัน....  จะใส่ชุดเก่าก็ตามใจ ก่อนจะพามันเดินออกมาข้างนอกห้อง  ขึ้นรถ และขับออกจากโรงแรม 

   “บ้านอยู่ไหน”  ....... ผมพูดขึ้นก่อนเป็นคนแรก  ทำลายบรรยากาศที่เงียบๆ

   “...ปล่อยเบสต์ ลงตรงทางแยกข้างหน้า...เดี๋ยวจะกลับเอง”  .... มันไม่ตอบคำถามผม แต่กลับพูดไปอีกอย่าง

   “จะไปส่ง...”

   “ไม่ต้อง !!!”

   “ตอนที่พูดในห้อง...พี่ก็พูดชัดเจนแล้วนะครับเบสต์... จะลองดีให้ได้เลยใช่เปล่า”  ......  ไอ้นี่มันยั่วอารมณ์โมโหของคนได้เก่งเหมือนกัน..ไม่อยากจะขู่มันแล้ว แต่ก็อดไม่ได้.....

   “เบสต์ไม่กลับบ้าน.. จะไปหาเพื่อน”    เสียงมันอ่อนลง ที่คำขู่ของผมได้ผล

   “ที่ไหน จะไปส่ง” .....

   “หลังโรงเรียน ....ซอยแรก” 

   “ก็แค่นั้น........” 

   ไม่มีเสียงตอบกลับของมันกลับมาอีก ผมขับรถไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่มันบอกเอาไว้ตั้งแต่แรก  ถึงจะไม่รู้ว่าเบสต์จะไปหาใคร  เพระมันไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ถ้าจะให้เดาก็คงเป็น ..ต้อง  .....บริเวณแถวนั้นมันเป็นหอพักของนักเรียนทุนในโรงเรียน หอพักกึ่งเก่ากึ่งใหม่ แต่ก็จัดได้ว่าอยู่ในสภาพดี  ....  เพียงแค่ไม่กี่นาที ผมก็จอดสนิทอยู่ข้างหน้า 

   “ลงไป....”  ผมสั่งให้มันลง คล้ายๆ กับถีบหัวส่ง  แต่ก่อนที่มันจะลงก็ขอเล่นอีกซักหน่อยเถอะน่า

   มันดันประตูรถออก แต่ผมเอื้อมมือกระชากไปปิดไว้แบบเดิม

   “เดี๋ยวก่อน... !!!”

   “อะไรอีกล่ะ”  มันหันหน้ามามองผม ผมไม่พูดอะไร แต่เอื้อมมืออีกข้างที่ว่าง  ดันท้ายทอยมันขึ้นมา ก้มริมฝีปากลงไปแนบที่ปากบางๆ ของมันอีกครั้ง  ... มันตกใจจนผงะถอยหนี แต่ก็เลยไปไกลไม่ได้ ผมดันท้ายทอยของมันกลับมาให้ชิดกว่าเดิมอีก  .....รถของผมฟิล์มมัน 80 % ไม่ต้องห่วงว่าใครจะมาเห็น  เล่นกับริมฝีปากมันไปเรื่อยๆ  มือข้างที่ว่างเอาไปบีบคางเล็กๆ นั่น จนเจ้าของปากบางนั้นเจ็บ ต้องเผลอเปิดปากออกมา ผมได้โอกาส สอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกับลิ้นเล็กๆ นั้นทันที  ....... ตอนนี้ฤทธิ์ยาปลุกเซ็กส์ มันหมดไปแล้วจากตัวของเบสต์  สิ่งที่ผมทำ เบสต์ได้รับความรู้สึกนั้นตรงๆ  .... จึงมีแต่แรงต่อต้าน ไม่ได้มีแรงคล้อยตามแบบเมื่อคืน... แต่จะให้ต้านผมขนาดไหน ...มันก็สู้ไม่ไหวหรอก ผมสนุกกับนของเล่นชิ้นนี้ไปซักพัก จนถอนปากออก

   ทั้งหน้าจนถึงใบหูตอนนี้แดงซ่านไปหมด ....มองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ   ....สนุก   

   มันเอื้อมมือจะตบผมอีกครั้ง ...ไอ้เจ้านี่เอะอะพอสู้ไม่ไหวก็จะตบท่าเดียว...มันไม่ทำอย่างอื่นเลยหรือไง... ผมไม่เอื้อมมือไปจับมือที่เงื้อสูงขึ้น เป้าหมายมันคงจะเป็นแก้มผม ..... แต่ผมกลับชี้หน้าไปที่มัน พูดขึ้นมาอีกครั้ง

   “อย่าตบพี่นะเบสต์.... ถ้าทำ ได้ถูกพี่ลากกลับไปที่โรงแรมซ้ำอีกแน่..คราวนี้จะไม่ให้ออกมาเลย...จะเอาไหมล่ะ !!!” 

   มันชะงัก ....แต่ยังจ้องหน้าอาฆาตผมไม่เปลี่ยน  มือเล็กๆ ที่อยู่สูง วางลงช้าๆ  แต่สายตายังคงแบบเดิม   ผมหัวเราะอย่างได้รับชัยชนะเล็กๆ  ที่แกล้งเล่นได้อย่างสนุก ....ก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองกลับมา ยื่นแบงค์พันให้ตรงหน้าสามใบ  ตบไปที่แก้มเบาๆ เป็นการกระเซ้า

   “อือ..นี่ ค่าตัว”   มันปัดทั้งมือผมออกและเงินที่ผมยื่นให้มัน .....ก็รู้อยู่หรอกว่าบ้านมันรวย  แต่ก็อยากจะแกล้งเล่นซักหน่อย....ไม่ได้รุนแรงอะไรมากหรอกน่า

   “.....ไม่ !!!!”   เสียงของมันดังขึ้น ก็คงเพราะโมโหนั้นแหละที่ผมดูถูกมันไป

   “.....อือออ...อย่าเล่นตัวน่า...  พี่ก็ให้แบบนี้กับทุกคนที่พี่นอนด้วยนั้นแหละครับ”  น้ำเสียงกระหยิ่มอย่างมีความสุขของผม ทำให้อารมณ์ของมันคงโมโหมากกว่าเดิม...กระชากเปิดประตูรถออกไป.... ทั้งๆ ที่แรงเดินยังมีไม่เต็มที่...มันเดินวิ่งห่างออกไป จนหายลับเข้าไปในตัวตึกของหอนั้น

   “ฮ่าๆๆๆ....”    เสียงหัวเราะของผม  ไอ้ตัวเล็กนั่นคงไม่ได้ยิน   พร้อมกับผมก็ขับรถออกมา เตรียมตัวกลับไปนอนที่ห้องต่อ...แต่ต้องสะดุดกับไอ้เพื่อนรักของผม ที่มันดันเดินออกมาจากอีกด้านของหอที่ผมไปส่งเบสต์พอดี   ผมขับไปเรื่อยๆ  จนจอดเทียบรถของมันพอดี 

   “ว่าไงมึง....มาสิงอะไรอยู่ที่นี่วะ”   .....ผมเรียกไอ้วัจน์ที่กำลังจะเปิดประตูรถ  แต่ยังไม่ได้เข้าไป  เอามือวางไว้ตรงประตูรถค้างอยู่แบบนั้น ..  หันหน้ามาคุยกับผม  ผมถามมัน แต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะมาส่งเพื่อนของเบสต์นั้นแหละ

   “ว่าไงมึง”  หน้าตามันเฉยมากเลยครับ ไม่ตอบคำถามผมอีก ไม่สงสัยเลยว่าทำไมผมถึงขับรถมาแถวนี้ได้

   “เออ...ไม่สงสัยกูเลยใช่ไหมครับเนี่ย...ไม่ถามกูซักคำ ”  ไอ้นี่กวนตีน

   “กูเห็นเพื่อนของต้องลงมาจากรถมึง..จะให้กูถามเพื่อ...” 

   “อ้าว....ไอ้นี่...แล้วก็ไม่บอกกู  ....มาส่งน้องต้องหรือไงล่ะครับ....ทั้งคืนเลยหรือเปล่าวะ ฮ่ะๆๆ”   ผมกระเซ้ามันไป  ไอ้นี่ยังเช้าอยู่เลย ไม่รู้จะทำหน้าตาอารมณ์บูดไปทำไม

   “...ว่าแต่กู มึงเหอะ...  เอามันเรียบร้อยแล้วดิ่”    มันไม่ตอบผม แต่เล่นถามผมซะตรงๆ

   “....ฮ่าๆ ไอ้คุณวัจน์ครับ... หล่อซะเปล่า พูดไม่เพราะเล๊ยยยยยย”   

   “เออ....แม่ง...ง่วงชิบ...กูกลับห้องก่อน ตอนเย็นๆ  แดกเหล้ากัน”  มันพูดขึ้นชวนผม ...แต่เย็นนี้ผมมีนัดกับน้องรินซะแล้ว...... เอาน่า...เมื่อคืนผมก็ปลดปล่อยไปซะเยอะแล้ว...เรื่องของน้องรินเอาไว้ทีหลัง .... เดี๋ยวค่อยโทรไปแคนเซิล.....ก็ตอนนี้อารมณ์อยากมันหมดไปซะแล้ว....

   “เออ...ที่เก่าเปล่ามึง...สาวเยอะดี” 

   “เออๆๆ ก็ได้..เดี๋ยวคุยกัน..ตอนเย็นกูโทรหา มึงโทรตามไอ้นันต์ด้วยแล้วกัน”  มันพูดพร้อมกับนั่งเข้าไปในรถ เตรียมขับออกจากตรงนั้น

   “เฮ้ย !!!วัจน์... ชวนซิวไปด้วยดิ่”  ผมบอกกับมัน ให้ชวนญาติของมันไปด้วย ญาติของมันที่อยู่กลุ่มเดียวกับผมในโรงเรียนอย่างผิดที่ผิดทาง    ไม่เจอหน้ากันวันนึง คิดถึงเหมือนกันนี่นา  ตัวเล็กๆ ขาวๆ หน้าตาน่ารักๆ   แค่นึกถึงหัวใจมันก็มีความสุข

   หน้าตา....น้ำเสียง....ที่คล้าย...เบสต์..........

   ผมจะบ้าแล้ว....เอาไอ้เด็กคนนั้น ของเล่นชั่วคราว มาเทียบกับซิวของผมได้ไง

   .......................  “ไม่ต้องเสือก  มึงกับกูแล้วก็ไอ้นันต์พอ ซิวกูไม่ให้ไป”   

   อ้าว.... ไอ้นี่ ทำตัวเป็นพี่ชายหวงน้องอีกแล้ว  พูดเสร็จ ขับรถหนีออกไปเลย

   .....................เซ็งครับ.................กลับไปนอนต่อดีกว่า

.....................................................

   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:01:50
เสียงในห้องเงียบไปนานแล้ว.....ตอนนี้เบสต์กับผมนั่งอยู่กัน ในห้องเล็กๆ สองคน  ไม่มีใครร้องไห้ ...ไม่มีใครถามใคร.... ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเราทั้งสองคน....คำสัญญาเมื่อห้าปีที่แล้ว ว่าผมและเพื่อนรัก  ถ้าเจอเหตุการณ์อะไรร้ายๆ มา .........ไม่ว่าใครมันจะมาทำ ..........ไม่ว่าใครมันจะมาแกล้ง...เราสองคนจะไม่เอ่ยถึงพวกมัน...พวกมันที่ไม่มีค่าพอจะให้เอ่ยถึงแม้กระทั่งชื่อ.....

   “เบสต์หิวไหม...”

   ผมไม่ได้ยินเสียงของเบสต์ แต่เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น......   ผมเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ พร้อมกับยื่นกางเกงและเสื้อของตัวเองให้เบสต์เปลี่ยนเหมือนกัน...ขนาดของเสื้อและกางเกงไม่เป็นปัญหาเพราะว่าเราสองคนตัว(เล็ก) ไม่ต่างกันนัก ....ช่วงระหว่างที่ผมถอดเสื้อและเบสต์ก็ถอดเสื้ออยู่นั้น...ร่องรอยบางอย่าง...จากการกระทำของพวกมัน....ทำให้ต่างคนต่างเห็นซึ่งกันและกัน...ร่องรอยที่ต่างคนต่างก็รู้ว่าเจอกับอะไรมา...  เบสต์หลบตาผม....ไม่ยอมสบตา .... แต่เอามือมาสัมผัสรอยช้ำตรงต้นแขนผม.....  น้ำตาไหล

   ..... “ฮึก......เจ็บไหม.....ต้องเจ็บไหม”  ..........

   ผมไม่หันหน้าไปมอง...เพราะรู้อยู่ว่าคนตรงหน้าร้องไห้ซ้ำอีกครั้ง...  เพียงแต่ส่ายหน้า....   พยายามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา...  เพราะว่าคนที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น...เคยบอกเอาไว้..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา...เบสต์ไม่อยากเห็นน้ำตาของผม... เบสต์ไม่ชอบ..  เป็นเพราะเบสต์ไม่ชอบ ผมเลยไม่ร้องไห้......

   “เบสต์ขอโทษนะ....เบสต์ขอโทษต้องนะ.”  เบสต์ขอโทษซ้ำอีกครั้ง.... เบสต์ไม่ใช่คนผิด แต่คนผิดคือพวกมัน... แต่คำขอโทษของเบสต์ คงเป็นเพราะเบสต์ไม่ได้อยู่ปกป้องผมก็แค่นั้นเอง...........ผมกอดเพื่อนรักที่สุดในชีวิตของผมอีกครั้ง........  บอกกับตัวเองในใจให้ความรู้สึกทุกความรู้สึกนั้นให้อีกคนได้รับรู้.... ‘เบสต์ไม่ผิดหรอกนะ.... ขอบคุณ.... ขอบคุณที่เป็นห่วงต้องมาตลอด.....เบสต์อย่าร้องไห้เลย’   

   สิ่งที่ผมคิดมันเป็นเพียงคำพูดในใจเท่านั้นเอง....แม้กระทั่งเสียงที่จะพูดปลอบอีกฝ่ายยังไม่มีเสียงรอดออกมาพอ 

   “ไปกินข้าวกันเถอะ....เบสต์อยากกินอะไร...เดี๋ยวต้องเลี้ยงนะ..”  เงินในกระเป๋ามีเพียงแค่ร้อยกว่าบาท.... วันนี้ผมคงไม่ไปเรียน...กินข้าวซักพักพอให้มีแรง...เดี๋ยวค่อยไปธนาคาร ถอนเงินออกมาบางส่วน ....เงินประกันของพ่อที่ผมได้มาเก็บไว้.. ตอนแรกว่าจะให้เงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าให้มันใช้ได้อีกซักประมาณสองวัน.... แต่ผมคิดว่าช่วงสองสามวันนี้คงต้องใช้เงินเยอะสักหน่อย

   ผมพาเบสต์มากินข้าวร้านประจำข้างล่างหอ...ราคาอาหารของร้านนี้ไม่แพงนักเพราะอยู่ภายใต้ห้องพักของเด็กนักเรียนทุน..คุณป้าใจดีที่ขายกับข้าวผมก็เคยมาช่วยแกขายบ่อย.... รวมทั้งเวลาว่างเบสต์ก็จะมาช่วยอีกแรง..ลูกคุณหนูอย่างเบสต์ไม่เคยเกี่ยงที่จะช่วยผมทำตลอด...จนป้าที่ขายข้าวอยู่ร้านนี้เอ็นดูผมทั้งสองคน...เก็บเงินค่ากับข้าวในราคาถูกกว่าปกติ บางครั้งก็ให้ฟรีที่ผมช่วยขายเสร็จ.... 

   ระหว่างพักที่กินข้าว....  ผมบอกกับเบสต์ไปว่าจะกลับบ้านซักสองสามวัน  วันนี้วันอังคาร...  ผมคงจะลาอาจารย์ซักสามวัน..ต่อจนถึงวันเสาร์และอาทิตย์ กว่าจะกลับมาอีกก็คงเป็นอาทิตย์หน้า....เบสต์ไม่ได้ท้วงติงอะไร..เพราะรู้อยู่ว่า นานมาก นานซักครั้งผมจะกลับบ้านทีหนึ่ง..บ้านที่ไม่ใช่ของผม..เพียงแต่คนที่ผมรักทั้งสองคนอยู่ที่นั่น

   ผมคิดถึงแม่...คิดถึงลุงธิน.....และคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่ไม่ได้เจอนาน

   ............เบสต์บอกให้ลุงคนขับรถมารับ.....พ่อกับแม่ของเบสต์ไม่อยู่ที่บ้าน...เห็นบอกว่ามีธุระด่วนจะต้องบินไปสิงคโปร์.... กลับมาอีกทีก็คงเป็นวันศุกร์...  ที่บ้านนั้นเป็นแบบนี้เสมอ....  งานเร่งด่วน...งานกะทันหัน..ต้อนรับลูกค้า...เจรจาธุรกิจ...  จนบางครั้งเบสต์ก็ถูกลืมไปบ้าง

   .......คนที่ธนาคารมีไม่เยอะนัก.... ผมถอนเงินออกมา ซึ่งกะจะให้มันเพียงพอกับการเดินทางที่จะกลับบ้านในครั้งนี้......  เสื้อผ้าบางส่วนถูกเตรียมมาอยู่ในกระเป๋าหมดแล้ว....เจ้าหน้าที่ธนาคารพี่คนสวยๆ  คนนั้นบอกกับผมว่าทำไมไม่ใช้บัตร เอทีเอ็ม  จะได้สะดวกในการถอน....ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่เค้ากลับไป....มันมีเหตุผลบางอย่างเท่านั้นที่ผมไม่คิดอยากจะใช้บัตร เอทีเอ็ม.....บัตรแบบนั้นผมก็มีอยู่ในกระเป๋า...เพียงแต่ผมไม่เคยเอามันออกมาใช้...ไม่เคยถอนเงินออกจากอีกบัญชีหนึ่งก็แค่นั้นเอง

   รถโดยสารระหว่างจังหวัดที่หมอชิต...บอกเที่ยวล่องขึ้นขาเหนืออีกไม่กี่นาทีข้างหน้า...ผมโทรหาแม่.... แม่ที่นานๆ ผมจะโทรหาทีหนึ่ง... คิดถึงแม่มากแต่ก็เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมารั้งเอาไว้ไม่ให้ผมโทรหาแม่บ่อยนัก... ผมไม่เคยเกลียดลุงธิน  ออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำ ที่ลุงธินเองก็รักแม่มาก....  เพียงแต่ความรู้สึกของเด็ก  ไม่มีใครหรอกที่อยากจะให้คนนั้นมาแทนที่พ่อของตัวเอง    ผมยอมรับได้... เพราะว่าสิ่งอะไรก็แล้วแต่ แม่ทำแล้วสบายใจ ผมก็ยอม   ............เพียงแต่อีกคน....ลูกของลุงธิน   เขาไม่ได้คิดแบบนั้น.....

   ............ป่านนี้พี่ธิวอยู่ที่ไหน.....  จะสบายดีหรือเปล่านะ.........   

แม่ดีใจจนผมจับความรู้สึกได้....แม่ดูอ้วนท้วนขึ้น...ผิวพรรณแม่ผ่องใสขึ้น....ดูจากลักษณะแล้วคงแทบจะไม่ออกไปเจอแดดเจอฝนแบบแต่ก่อนเลย...แม่เคยบอกว่าลุงธินปลูกบ้านหลังใหม่.....  ขยายเนื้อที่บ้านหลังเดิมจนเกือบจะไปชิดกับบ้านหลังเก่าของผม....แต่แม่เป็นคนขอค้านเอาไว้ว่าบ้านหลังเดิมที่ผมเคยอยู่กับแม่แล้วก็พ่อ แม่ไม่ขอให้ลุงธินรื้อหรือสร้างทับ...ให้คงเอาไว้อย่างนั้น.... ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เนื้อที่บ้านหลังใหม่ที่ลุงธินสร้าง เลยขยายออกไปทางด้านหลัง..ที่ลุงซื้อเพิ่มเอาไว้จากชาวบ้านที่เคยปลูกทำนา...

......ลุงธินมาเปิดโรงงานผลิตเบียร์เพิ่มขึ้นทางเขตภาคเหนือ...เบียร์ที่เป็นยี่ห้อดัง ทุกคนที่เป็นคอเบียร์ก็ต้องรู้จัก  เพียงแต่ผมไม่เคยจะสนใจ  ส่วนของออฟฟิสใหญ่ก็ยังคงอยู่ที่กรุงเทพ...และให้พี่ชายของลุงอีกคนหนึ่งเป็นคนดูแลแทน... นานๆ ลุงธินกับแม่ถึงจะขึ้นไปกรุงเทพซักที.... และถ้าขึ้นมากรุงเทพแต่ละครั้งแม่จะโทรหาผมตลอด...... แต่ผมไม่เคยรับสาย

....... ธุรกิจของลุงธิน กับบ้านของพี่วัจน์.... คล้ายๆ กัน แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้กลับมาบ้าน...  ไม่เรียนหรือไง....  น่าจะบอกให้ไวกว่านี้..แม่จะได้ให้คนที่บ้านไปรับ” ผมกอดแม่เอาไว้.... ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น....  แม่ผมกอดแน่นกว่าเดิม หอมแก้มผมทั้งซ้ายแล้วก็ขวา...ยิ้มอย่างมีความสุขที่ผมได้กลับมาบ้านอีกครั้งหนึ่ง  ....ผมยิ้มให้แม่....   ความอบอุ่นทุกครั้งที่ผมกอดกับร่างท้วมๆ นี้..ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยเสมอ...

“แม่ให้คนทำความสะอาดห้องแล้ว...เดี๋ยวต้องเอาของไปเก็บก่อนนะลูก..เดี๋ยวลงมาทานข้าว. วันนี้แม่จะทำกับข้าวเอง....เอาแต่ของโปรดต้องเลยดีไหม”  .. แม่พูดไปแต่ก็ยังหอมแก้มซ้ายแก้มขวาผมอยู่ตลอด  กอดไม่ยอมปล่อย  . ...

“ต้องขอไปนอนที่บ้านได้ไหม....แต่ว่าเดี๋ยวต้องมากินข้าวกับแม่นะ”  ผมมองหน้าแม่ยิ้มๆ ให้ และดูเหมือนแม่เองก็คงจะรู้เหมือนกันว่า ทำไมผมถึงไม่อยากนอนที่นี่....   แม่ปล่อยให้ผมเดินออกมา  พร้อมกับเดินเข้าไปในครัว...สั่งแม่บ้านที่ผมไม่รู้จักสองสามคน...  ผู้หญิงร่างเล็กๆ คนหนึ่ง เรียกผมว่าคุณหนู..พร้อมกับเอามือมาแย่งกระเป๋าของผมไป... แต่ผมไม่ได้ยื่นส่งให้  บอกว่าเดี๋ยวถือไปเอง ...มันไม่ได้หนักอะไรจนถึงกับว่าจะต้องให้คนอื่นมาถือแทน..... ผมไม่เคยชิน และก็ไม่เคยคิดที่จะชินกับคนที่มารับใช้ คอยดูแลความสะดวกสบายให้

.... เส้นทางที่เคยชิน ตอนผมเป็นเด็กๆ ย้อนเข้ามาเรื่อยๆ ในความทรงจำ... ทางลัดเลาะระหว่างบ้านยังคงคล้ายแบบเดิม...  แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก....รวมทั้ง..........มะขามต้นนั้น...มันก็ยังคงอยู่   ต้นไม้ต้นนี้ซินะ ที่ทำให้ผมได้เจอพี่ธิวเป็นครั้งแรก.... น้ำตาผมไหลแต่ไม่มีเสียงสะอื้น...ความคิดถึง...ผ่านมากี่ปีๆ มันไม่เคยลดน้อยลงไปเลย ...... ผมค่อยๆ  เอามือไปสัมผัสกับลำต้นของมัน...ต้นมันใหญ่ขึ้น... แต่ไม่ได้หมายความว่าผมลืมเลือนอดีตลงไป..... เงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน..ความรู้สึกเก่าๆ มันก็กลับมาอีกครั้ง

        “ใครอ่ะ !!!”   
   “ไปทำอะไรบนนั้น” 
   “พี่เป็นใครอ่ะ !!!!” 
   “พี่เพิ่งย้ายมาเมื่อวานครับ บ้านหลังนั้น
   “อ๋อ....   เห็นสร้างตั้งนาน ที่แท้เจ้าของก็มาแล้วนี่เอง......” 
   “นัญมาตามอ้วนพีกลับบ้าน ... อ้วนพีเกเร  วันนี้แอบมากินลูกนก
   “ชื่อนัญหรอ”
   “ฮะ.....แล้วพี่ชื่อไร
   “พี่ชื่อธิว”
   “พี่ธิว.... พี่ธิวช่วยมาตามอ้วนพีลงไปหน่อย.... นัญจับอ้วนพีไม่ถึง” 


   “จะปีนขึ้นไปอีกหรือครับน้องนัญ” ........

   เสียงเรียกชื่อผมที่มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เรียกชื่อนี้....  ไม่จริงหรอก....ผมคงเพ้อกับสถานที่เดิมๆ มากกว่า  ไม่มีทางจะเป็นจริงไปได้หรอก....  ผมไม่ได้หันหลังไปตามเสียง  เพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

   “จะปีนต้นไม้อีกแล้วหรอ”  เสียงทุ้ม.... ยังคงพูดแบบเดิม  ...แต่ทำไมเสียงนี้ผมถึงได้คุ้นนัก.....  .......... 

   ..........ไม่จริงหรอก......

   ............!!!!!  มันต้องไม่ใช่ !!!!! ...............


   
   
   
   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:05:19
ตอนที่ 13  สิ่งที่ต้องฝืนทน
   

   “แปลกใจหรอครับที่เจอพี่” ....  คนตรงหน้า ที่หันมาตามเสียงผม ตอนนี้ทั้งสีหน้าซีดไปหมดแล้วจนผมกลัวว่าจะเป็นลมไป.... สายตาที่นัญมองผม... ยิ่งกว่าเจอผีหลอกซะอีก...  คงแปลกใจล่ะมั้งที่ผมเรียกเค้าว่า “นัญ”  และคงจะคาดไม่ถึงเหมือนกันว่า คนที่มันบอกว่าเกลียดที่สุดถึงสองครั้ง จะมาอยู่ตรงนี้ได้

   “พะ...พี่....วัจน์”  มันเรียกชื่อผม... เดินถอยห่างไปจนชิดกับต้นมะขามนั้นที่เมื่อกี้นี้แหงนมองขึ้นไปอยู่
   “...ครับ...เรียกพี่ทำไม”   เดินหนีไปต่อ มันคิดหรอว่าจะหนีผมพ้น  ....กระเป๋าเดินทางที่หอบติดมาด้วย ถ้าให้เดาก็คงจะไม่ยาก สงสัยจะมานอนค้างที่บ้านหลังเดิมล่ะซิ่

   “......ไม่จริง....”  เสียงของนัญเงียบหายไป.. แต่กลับจ้องหน้าผมอยู่

   “อะไรที่ว่าไม่จริง”  ผมเดินเข้าไปจนชิดร่างบางตรงหน้า.. จับต้นแขนเอาไว้เพื่อกันไม่ให้วิ่งหนีไปไหน...ถึงจะไม่ได้จับจนแรงอะไรมากนัก..แต่ร่างเล็กๆ ที่ผมจับอยู่ก็มีอาการสั่นจนเห็นได้ชัด..... 

   สายตาที่นัญมองผมต่างกับตอนแรก...ผมไม่แน่ใจว่านัญมองผมไม่ชัด..หรือว่าผมเข้ามาใกล้ตัวนัญเกินไป...มือเล็กๆ ข้างหนึ่งที่เป็นอิสระของคนตรงหน้า เอื้อมขึ้นมาช้าๆ  มือเล็กอ่อนนุ่มนั้น สัมผัสเข้ามาที่แก้มของผม... มันเบานุ่ม..จนแทบไม่รู้สึกทางกาย...แต่สำหรับทางใจนั้นผมรู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้านั้นกำลังได้รับอย่างเต็มเปี่ยม

   สายตาของคนที่อยู่ต่อหน้าผมตอนนี้ จากที่เบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ... ตอนนี้ดวงตากลมโต คลอหน่วยไปด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อร้น พร้อมที่จะไหลรินออกมา.... นัญยังคงเอามือเล็กๆ นั้นประครองใบหน้าของผมอยู่ไม่เปลี่ยน.... เหมือนกับจ้องให้รู้ว่า คนตรงหน้าของมันเปลี่ยนแปลงไปได้สักเท่าไหร่....  สัมผัสนั้นบนใบหน้าผม..... คงจะพยายามเรียกความทรงจำของตัวเองให้กลับคืนมาซินะ

   ตอนนี้..............รู้แล้วใช่ไหม....ว่าไอ้วัจน์... กับพี่ธิว คือคนเดียวกัน

   จำหน้ากันได้แล้วใช่ไหม ?

   คนที่มันบอกว่าเกลียดตั้งแต่ตอนเป็นเด็กตัวเล็กๆ  ถึงโตขึ้นมา มันก็ยังบอกอยู่...

   เกลียดคนเดียวกัน....ในคนละสถานภาพ

   น้ำตามันไม่ได้ช่วยอะไร... สิ่งที่ผ่านมา ทั้งมันและผม ทั้งพ่อผมและแม่ของมัน ทำในสิ่งที่เลวร้ายเกินไป... ผมต้องออกจากบ้านตั้งแต่สิบขวบ  ไปอยู่กับลุงที่ผมไม่ได้คุ้นนักที่กรุงเทพฯ...  ห่างบ้านที่เคยอบอุ่น...เพราะมีคนถูกเข้ามาแทนที่แม่ของตัวเอง...แม่ของมันมาแย่งความสุขของผมไปทั้งหมด..รวมทั้งตัวมันเองด้วยที่มาเสวยสุขอยู่ที่บ้านหลังนี้...ผมรู้เพียงแค่นั้น...รู้แต่เพียงว่าเคยเป็นคนดีแล้วมันไม่ช่วยอะไรให้มันดีขึ้น

   ผมผิดอะไรหรือเปล่า....

   ตอนนี้หน้าของไอ้เด็กตัวเล็กๆ คนที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า  ไม่ได้เห็นหน้าแล้ว..... เสียงสะอื้นจนตัวโยนห่างจากผมไม่มากนัก มือข้างที่ลูบแก้มผมอยู่เมื่อซักครู่นี้เปลี่ยนมาสวมกอดแทน..หัวซุกเข้ามาตรงบ่า..... มือทั้งสองข้างที่กอดผมอยู่พยายามเอากำปั้นเล็กๆ นั้นทุบหลังผม ...เหมือนครั้งเมื่อตอนเด็กๆ ที่เวลามันดื้อ เอาแต่ใจ...หรือไม่ได้ในสิ่งทีตัวเองต้องการ...  นัญจะเอาหัวเข้ามาซุกที่ไหล่ผมตลอด..ร้องไห้  เอากำปั้นทุบหลังผม ..ที่ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บ.......  เพียงแต่เป็นอาการที่แสดงให้รู้ว่าคนตรงหน้านั้นถูกขัดใจ.... การกระทำบางอย่างของนัญไม่เปลี่ยน...  แค่บางอย่าง

   ผมไม่ได้ถอยหนี...ไม่ได้ถอยห่างออกไป.... แต่ก็ไม่ได้สวมกอดกลับไปอย่างเคย..... มันเกลียดผมไม่ใช่หรอ....เกลียดผมแล้วกอดผมทำไม....หรือคิดว่าไอ้ผู้ชายคนที่มันกอดอยู่แบบนี้...จะคอยตามต้อยๆ  ที่จะคอยดูแลเอาใจมันเหมือนเมื่อก่อน...คิดหรอว่าไอ้ผู้ชายคนนี้มันอยากจะปกป้องต่อไปอีก.....

   จะปกป้องทำไม.. จะคอยดูแลทำไม...กับคนที่มันเกลียดเรา

   ....ผมเกลียดมัน...เกลียดแม่ของมัน.....

   “ฮึก...ฮึก...พี่ธิว...ฮือๆ พี่ธิวจริงๆ ด้วย... ทำไมเป็นแบบนี้”

   “ใครคือไอ้ธิว...กูไม่เห็นจะรู้จัก”  คำพูดของผมมันคงจะสร้างความไม่พอใจให้มัน  ......  ผมยังปล่อยให้มันกอดอยู่  และก็ยังคงปล่อยให้มันทุบหลังอยู่อย่างนั้น... 

   “ฮือๆ..ไม่จริง...  เมื่อกี้...เมื่อกี้พี่เรียกนัญ”  มันร้องไห้หนักกว่าเดิม.... จนผมต้องกระชากตัวมันออกด้วยความโมโห  ....  ไม่ได้โมโหหรือเกลียดที่มันร้องไห้.. แต่เกลียดความรู้สึกของตัวเองมากกว่า

   “ใช่...ทำไมกูจะเรียกไม่ได้... กูไม่ใช่ไอ้ธิวอะไรของมึง...กูคือไอ้วัจน์...มึงจำได้ไหม !!!!!  กูคือไอ้วัจน์ !!!  คนที่ข่มขืนมึงนั้นแหละ”   เพียงสิ้นคำพูดที่ผมพูดออกไป  ผมผลักมันออกจนร่วงไปกองกับพื้น...ดวงตาของมันชื้นด้วยน้ำตา อาบแก้มทั้งสอง....มันมองผมอย่างตัดพ้อ ...สายตาแบบนั้นที่ผมเคยใจอ่อนมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งตอนเด็กๆ  ผมไม่ให้มันเอาแต่ใจ... และก็จะต้องยอมเสมอเพราะสายตาแบบนี้

   “ฮือๆ นัญเจ็บนะ.... พี่ธิว...พี่ธิวจริงๆ ด้วย... นัญจำได้แล้ว... ฮึก.ฮือๆ”   มันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง...เดินเข้ามาหาผม...  เตรียมจะกอดผมใหม่..วิธีเดิมๆ ที่เคยใช้...  เพียงแต่ครั้งนี้ผมไม่ให้มันกอด... เอื้อมมือทั้งสองข้างไปบีบที่ต้นแขนเล็กๆ นั้นไม่ให้มันสามารถที่จะทำแบบเดิมได้..  แรงบีบที่ต้นแขนของมัน  ผมรู้ว่ามันเจ็บ..และก็อยากให้มันเจ็บด้วย 

   “ฮึก...พี่ธิว.. พี่ธิวทำนัญทำไม...นัญเจ็บ” 

   “กูบอกแล้ว....กูไม่ใช่ไอ้ธิว... ทำไม !!!  นึกอย่างไงอยากกอดกูขึ้นมาล่ะ..  เมื่อเช้ายังไล่กูออกมาจากห้อง...  เมื่อคืนยังบอกว่าเกลียดกูอยู่เลย... หรือว่ากูเอามึงแค่ครั้งเดียว เลยติดใจขึ้นมา... หา !!!!! บอกกูดิ่ !!!!  ติดใจหรือไง !!”     เสียงตะคอกของผม ผมรู้ว่ามันดังไปไม่ถึงที่บ้านหลังใหญ่นั่นหรอก...เพราะมันก็ห่างกันพอควร....  บ้านหลังเดิมของผม บัดนี้ถูกต่อเติมไปจนใหญ่กว่าอีกเท่าตัว...  คนที่บ้านนี้เรียกอีคนนั้น ว่าคุณผู้หญิงกันหมด.... รออีกหน่อยเถอะ.. พวกมึงจะได้รู้กันว่าคุณผู้หญิงของบ้านหลังนั้นมีแค่คนเดียว...คือแม่ของกู...ไม่ใช่อีแม่ค้าขายขนมในตลาด

   “..........ฮือๆๆ...  เจ็บ....นัญเจ็บ  ปล่อยนัญนะ ...นัญ...นัญอยากกอดพี่ธิว..นัญคิดถึง..  คิดถึงพี่ธิวที่สุดเลย”  มันเอามือสองข้างเล็กๆ พยายามที่จะแกะต้นแขนที่มีมือของผมบีบมันอยู่.... คิดถึงหรอ...  มันพูดออกมาได้อย่างไงว่าคิดถึง.... ตั้งหลายปีมาแล้ว... ผมให้มันมองหน้าตั้งไม่รู้กี่ครั้ง .....มันกลับจำไม่ได้...มาจำได้แค่ผมเรียกชื่อมันแค่ครั้งเดียว... มันจะคิดถึงคนที่มันเกลียดได้อย่างไง...โกหกชัดๆ

   “คิดถึงหรอ...กูถามหน่อย..มึงคิดถึงไอ้ธิว หรือมึงคิดถึงไอ้วัจน์...มึงคิดถึงคนไหน....แล้วคนไหนที่มึงเกลียดมากกว่ากัน

“..นัญเจ็บ...ฮือๆ ปล่อย”  มันส่ายหน้า...ไม่ตอบกลับ คำถามที่ผมตั้งขึ้นมา...

“ได้...เดี๋ยวกูปล่อยมึงแน่....  แต่เดี๋ยวก่อน.... ก่อนที่มึงจะมาถึง..กูเจอกับแม่ของมึง.. แม่ร่านๆ ของมึง....แต่มึงไม่ต้องกลัวนะ... กูแค่แสดงอาการหลอกๆ ว่ากูสำนึกผิดนิดหน่อย...แล้วบอกไม่ให้แม่ของมึงบอกว่ากูจะมา... แม่ของมึงก็เชื่อกูแล้ว ว่าเรื่องเก่าๆ กูลืมมันหมด กูอยากเซอร์ไพรซ์ไง ดีป่ะ..!!!  อย่าคิดหนีกู...กูบอกแล้ว ..มึงหนีกูไม่พ้นหรอก..ถึงมึงจะหนีมาถึงนี่ ก็อย่าคิดว่ากูจะตามมาไม่ได้....  นี่ถ้าไอ้พ่อตัณหากลับของกูไม่โทรไปหา..ไม่บอกว่ามึงจะมาที่นี่..กูก็ไม่รู้หรอกนะ...ถ้าจะโทษที่เจอกู ก็ต้องโทษแม่ของมึงกับพ่อของกูนั้นแหละ”  ผมไม่ได้บอกมันหมด... เพียงแต่ให้มันรู้ว่าผมไปเจอกับแม่ของมันมาแล้ว... ทั้งเจอและเล่าให้ฟังทุกอย่าง..เรื่องที่มันอยู่โรงเรียนเดียวกับผม.. เรื่องที่มันถูกระงับทุน.... สีหน้าของแม่มันไม่ได้ตกใจเลยซักนิด.... ทั้งเรื่องที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน...เรื่องทุนการเรียนที่ถูกระงับ... ก็คงไม่แปลกใจ ไม่ตกใจหรอก...  เงินของพ่อผมก็มี..มันจะไปสะทกสะท้านอะไร...  รวมไปถึงเรื่องที่ให้นัญมันเข้าไปพักอยู่ที่เดียวกับผมด้วย... แม่มันก็ยอมตกลง..เพียงแค่ผม ‘หลอก’ ไปเท่านั้นเอง  ว่าอยากดูแลมันเหมือนเดิม... ก็หลอกง่ายดีเหมือนกัน....  แค่ทำสีหน้ารู้สึกผิดนิดหน่อย... แค่นี้แผนของผมมันก็ง่ายขึ้น

“........ฮือๆ พี่ธิวใจร้าย.... ว่าแม่ทำไม..ว่าแม่ของนัญทำไม...ว่าลุงธินทำไม”  เสียงสะอื้นของมันยังดังเพิ่มขึ้นไปอีกที่ผมว่าแม่ของมัน...ทำไมมันไม่บอกว่าเกลียดผมเหมือนตอนครั้งที่แล้วล่ะ.. หรือว่าร้องไห้หนักจัดจนลืม

“ทำไมกูจะว่าไม่ได้.... พ่อที่ตบหน้ากูเพราะเห็นผู้หญิงต่ำๆ คนหนึ่งดีกว่า... พ่อที่ไล่กูออกจากบ้าน ทำไมกูจะว่าไม่ได้...กับแม่มึงก็เหมือนกัน มึงมีสิทธิ์ห้ามกูได้ไหมล่ะ”   

“ฮึก...ปล่อย....  ปล่อยยยยยยย !!!!  คนใจร้าย...ไปไหนก็ไปเลย...ต่อไปนี้นัญจะไม่คิดถึงพี่ธิวอีกก็ได้...นัญไม่มีพี่ชายแล้วก็ได้   ออกไปไกลๆ เลยนะ ฮืออๆๆๆ ออกกไป”  ผลักผมหรอ...เอาซิ่...  มันคิดว่าแรงมันมีพอหรือไง ผมปล่อยมือออกจากมัน แต่ก็ไม่ได้ผลักเหมือนตอนแรก ...ชี้หน้าไปที่มันอีกครั้ง 

“ไอ้ธิว...พี่ชายของมึงตายไปนานแล้ว...ตายไปพร้อมกับตอนที่มึงบอกว่าเกลียดมันนั้นแหละ...ตอนนี้มันเหลือแต่กู....กูคนเดียว... กูที่มึงเกลียดเหมือนกับไอ้ธิวไง.....”  ยิ่งเข้าใกล้มันตอนนี้... ผมก็อยากจะให้มันรู้..มันเกลียดผมนักไม่ใช่หรอ... ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าวันต่อๆ ไป มันจะต้องทนอยู่กับคนที่มันเกลียดตลอด.... นัญมันจะทรมานขนาดไหน

“...ใช่.  !!! พี่ธิวตายไปนานแล้ว... เหลือแต่คนชื่อพี่วัจน์ตรงหน้า...คนที่ต้องไม่เคยรู้จัก......ต้องไม่เคยเกลียดคนที่ชื่อพี่ธิวเลย... แต่ต้องเกลียดพี่...ต้องเกลียดพี่วัจน์ที่สุด”   มันพูดไปก็ร้องไห้ไป   สะอื้นจนตัวโยนมันไม่เคยใช้แทนชื่อตัวเองว่า “นัญ” กับใคร.... เว้นแต่กับผม..ตอนที่เป็นไอ้ธิว..เท่านั้น   ... ผมขยับเข้าไปใกล้....แต่มันกับถอยหนี...........

“...ฮึก...ถอยไป.....ต้องเกลียดพี่วัจน์...ไม่ต้องมาเข้าใกล้...” 

“....เกลียดกูก็ดี... มึงกลับไปกรุงเทพฯ... แม่มึงบอกแล้วว่าจะให้ไปอยู่กับกู... ต่อไปมึงจะได้อยู่กับคนที่มึงเกลียดตลอดไงล่ะ... สะใจกูชิบ....” 

“ไม่ไป...ฮึก...ฮือๆ...ไม่ไป...ให้ไงต้องก็ไม่ไป”   มันเถียงผมอย่างไม่กลัว...ทั้งๆ ที่มันก็ร้องไห้อยู่

“ลองกับกูไหมล่ะ...ถ้ามึงไม่ไป... กูจัดการกับเพื่อนมึง...กูจะทำให้แม่ของมึงอยู่ไม่เป็นสุข...มึงจะเอาไหมล่ะ”   

“อย่ามาขู่นะ.. ต้องไม่กลัวพี่หรอก...”  มันคิดว่าผมขู่หรอ

“ก็ลองดูก็ได้ ..ว่ากูขู่หรือกูจะเอาจริง...  แต่กูบอกไว้ก่อน...  ถ้ามึงอยากให้แม่มึงสบายใจ...มึงไม่อยากให้เพื่อนของมึงลำบาก.. ต่อหน้าแม่ของมึง หัดทำตัวว่าง่ายซะด้วย.... ถ้าลองดีกับกู..กูจะซัดให้หนักกว่าเมื่อคืนนี้อีก...  ตามกูมา !!!” 

ผมพูดพร้อมกับกระชากตัวมันมาให้กลับไปที่บ้านหลังใหญ่..กระเป๋าเสื้อผ้ามันร่วงลงพื้นไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้..ถูลู่ถูกังมันมาเรื่อย จนเกือบจะถึงประตูบ้าน แต่มันไม่มีท่าทีเลยว่าจะหยุดร้องไห้ ..แม่งง ร้องไห้เก่ง ตั้งแต่เด็กยันโต ... 

“เงียบ !!!”   เสียงผมรอดไรฟัน  สั่งเฉียบ...ให้มันเงียบๆ ซะ  ถึงคราบน้ำตาจะมีอยู่ก็ไม่เป็นไร ...เดี๋ยวผมโกหกกับแม่มันได้...   มันเงียบ หยุดสะอื้นตามที่ผมบอก...  ไม่รู้ว่ากลัวที่ผมขู่ หรือตกใจมากกว่า ... มันเดินตามแรงจูงมือของผมเข้ามาง่ายๆ  หยุดร้องไห้ หยุดสะอื้น ..ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

“น้าตาครับ....   น้าตา”  เสียงตะโกนเรียกของผมไม่ดังมาก แต่ก็พอให้คนที่อยู่ในครัว เดินออกมาได้...ไม่ใช่แม่ของมัน แต่เป็นแม่บ้านที่ผมไม่รู้จัก.....

“น้าตาล่ะ”  ผมถามไป  มันบอกว่าคุณผู้หญิงอยู่ในครัว...  หึหึ .....คุณผู้หญิง   
 
สักพักเดียว....คุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้านหลังนี้ก็ออกมา ...ครั้งแรกที่เจอ ผมถึงกับตะลึง  คราบของแม่ค้าขายขนมในตลาด หายไปหมดเกลี้ยงจนไม่เหลือเค้าเดิม...  ผู้หญิงตรงหน้าผม  เป็นผู้หญิงเกือบเข้าสู่ช่วงสูงวัยคนหนึ่ง ... ทั้งสง่า และดูมีบารมี จนผมก็ไม่คิดเหมือนกัน  ว่า  ‘มัน’  จะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ .... แม่ของมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ที่เจอผมทั้งสองคน มือผมทั้งจูง  ทั้งกอดลูกของมันเข้ามา ... แกล้งแสดงให้เห็นว่าทั้งรัก และคิดถึงลูกของมันมากมมายซะเหลือเกิน

“เจอแล้วครับ... น้องนัญจะแอบหนีไปนอนที่บ้าน....พอรู้ว่าเจอผม ร้องไห้ใหญ่เลย....  คงไม่คิดว่าจะเจอผมที่นี่ได้”    ผมพูดขึ้นยิ้มให้กับแม่ของมัน....  แต่มือที่จับข้อมือของมันอยู่นั้น...บีบแน่นเข้าไปกว่าเดิมอีก... เพื่อให้รู้ว่า...อย่าให้มันกล้าคิดที่จะพูดอะไรออกไปให้แม่ของมันจับได้เด็ดขาด.....  เกมส์นี้ผมต้องเป็นเล่นเอง และต้องเป็นคนนำเอง

“ว่าแล้ว... ต้องร้องไห้... ทำไมหือลูก...คิดถึงพี่ธิวเขาหรอ..ดูซิ่ร้องไห้จนตาบวมเลย..ดีใจอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้”   แม่ของมันพูดขึ้น พร้อมกับดึงลูกชายเข้าไปกอด ...นัญมันกลับมาร้องไห้แบบเดิม เอาหน้าเข้าไปซุกกับหน้าแม่ของมัน.. ผมกลัวว่ามันจะร้องไห้หนัก จนแม่ของมันจะสงสัยเอา..เลยรีบดึงนัญมันกลับมา... มันพยายามที่จะขืนตัว แต่เจอแรงบีบข้อมือหนักๆ แบบเดิม มันก็ต้องยอม

“น้าตาทำอาหารเย็นทานเถอะครับ... เดี๋ยวผมเอาไอ้ตัวเล็กนี่ไปก่อน...คืนนี้ผมขอนอนกับนัญแล้วกันนะครับ...  คิดถึงไอ้น้องชายตัวดีนี่เหมือนกัน..ไม่เจอตั้งหลายปี ขออยู่ให้หายคิดถึงหน่อย”  ผมยิ้มให้ทั้งแม่ของมัน  และตัวมันเอง ที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ร้องไห้อยู่อย่างนั้น  ..... แม่ของมันหัวเราะอย่างมีความสุขที่คงคิดได้ว่า ครอบครัวที่แม่มันฝันถึงจะกลับมาเป็นแบบเดิม....แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก

ผมดึงตัวมันขึ้นมาชั้นบนของบ้าน.....  จับลากมันเข้ามาที่ห้องนอนเดิมของผม ที่ถูกให้คนสั่งทำความสะอาด  เปลี่ยนแปลงห้องใหม่เกือบหมด..ห้องของเด็กชายวัยสิบขวบไม่เหลือเค้าเดิม.... พ่อผมรู้ว่าถึงผมจะอยู่เพียงแค่ ม. ปลาย แต่ผมก็ช่วยงานที่บริษัทฯ ของลุงเหมือนกัน... ห้องนี้เลยเปลี่ยนเป็นห้องของผู้ชายคนหนึ่ง ที่กึ่งๆ  อยู่ในวัยของการเรียนมหาวิทยาลัย และวัยทำงานไปด้วยกัน... ก็ดูคลาสสิกดี..... ไม่ได้ดูเป็นห้องที่แก่เกินไป หรือเด็กเกินไปนัก

“ไปอาบน้ำ !!!”  ผมเหวี่ยงตัวมันออกให้มายืนอยู่กลางห้อง....  ตอนนี้มันหยุดร้องไห้แล้ว... แต่มันไม่ได้ทำที่ผมบอก..... ยังคงยืนเฉยอยู่อย่างนั้น... ความหงุดหงิด โมโห มันมีตั้งแต่ข้างล่าง เมื่อกี้นี้แล้ว ..ไอ้นี่มันจะทำให้ผมหงุดหงิดตลอดให้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย

“.. ผมจะกลับนอนบ้าน”   พอมันกลับมาเป็นตัวของตัวเองแบบเดิมได้อีก... ไอ้ความน่ารักที่มันยังคงพอมีอยู่บ้างกับตอนแรกๆ   แทนตัวเอง ว่า ต้อง แทนตัวเองว่า นัญ  แต่พอมันตั้งสติได้ ก็เริ่มกวนผมเหมือนเดิม แทนตัวเองว่า ผม .... อยากห่างไกลความสัมพันธ์กับกูนักหรอ

“ทำไม..มึงไม่เข็ดหรือไง.... พอตั้งหลักได้ถึงได้เถียงกูแบบไม่กลัวอีกน่ะ”   ผมไม่เดินไปหามัน.. ยังคงรักษาความห่างเอาไว้  ขืนไปใกล้กว่านี้ ก็กลัวจะหยุดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่เหมือนกัน..  ไอ้นี่มันวอนหาเรื่องคนได้เก่งจริงๆ

“ผมไม่ได้เถียง....  จะมาบอกทำไมล่ะว่าคิดถึงน่ะ... ผมจะกลับไปนอนบ้าน..ผมไม่อยู่ห้องนี้กับคุณหรอก.. ผมจะกลับๆ  จะกลับ...จะกลับๆๆ  !!!”  เสียงมันดังขึ้นมา เถียงผม จนกลัวเหมือนกันว่าเสียงมันจะเล็ดรอดออกไปถึงชั้นล่าง  ถึงห้องจะเก็บเสียงดี เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศก็แค่นั้น..ผมก้าวขาเดินไปหามัน... ถึงจะหนีก็คงหนีไม่ทันแล้วแหละ....

“มึงเป็นอะไร..ห๊า !!! ...จะลองดีกับกูให้ได้เลยใช่ไหม... ข้างล่างเมื่อกี้ก็ทีหนึ่งแล้ว...ต้องให้กูเตือนความจำไหมว่าทำอย่างไง มึงถึงจะหงอแบบเดิมน่ะ”    ผมพูดขึ้น สาวเท้าก้าวไปจนชิดกับตัวมัน  มือข้างหนึ่งบีบคางมันจนแน่น....   มันพยามเอาสองมือของตัวเองแกะออก แต่ผมกลับรวบแขนทั้งสองของมันขึ้น  เหวี่ยงตัวมันลงไปที่เตียง ก่อนจะเอาตัวเองทาบทับลงไป

“อึก... ปล่อย...นะ”   

“อยู่ดีๆ ไม่ชอบ แส่หาเรื่องจนได้นะมึง จะไปอาบน้ำดีๆ  หรือจะให้กูเอามึงก่อน   ถึงจะไปอาบได้...เลือกเอาดิ” 

มันมองหน้าผมลนลาน  ก่อนจะตอบขึ้นมา กล้าๆ กลัวๆ

“อะ....อาบ”   

“เออ..!!!  ก็แค่นั้นแหละ”   กว่ามันจะเข้าไปห้องน้ำได้.... เรื่องมากอยู่นั่นเอง....
.
.
.
.
.
.
.
วันเวลาที่อยู่ด้วยกันที่บ้าน ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม...ผมไม่ได้กลับมาบ้านหลังนี้นาน...ก็ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวนั้น....  ผมไปอาศัยอยู่กับลุงที่กรุงเทพฯ  คำขอร้องกึ่งขู่ของผมที่บอกลุงเอาไว้ว่าไม่ให้พ่อมาหาผมอีกที่กรุงเทพฯ ไม่ว่าจะมาติดต่องานหรือมาทำธุระอะไรอีกก็แล้วแต่...ห้ามมาให้ผมเจอเด็ดขาด.....ถ้าเกิดมาให้ผมเห็นเมื่อไหร่ ...ผมจะหนีไปให้ไกล และไม่กลับมาให้ใครเห็นหน้าอีก.....  ความคิดแบบเด็กๆ บวกกับความน้อยใจ ที่พ่อทำเอาไว้คราวนั้น ผมก็ไม่เคยลืม  จนกระทั่งผมย้ายเข้าไปเรียน ม. 1 ได้ที่โรงเรียนแห่งนี้.... ผมไม่เจอพ่อ แต่พ่อกับรู้เสมอว่าผมทำอะไรอยู่ อยู่ที่ไหน เรียนอะไร..... เงินทุนการศึกษาของพวกนักเรียนหลายคน มาจากเงินของพ่อผมที่ถูกบริจาคในนามของบริษัทฯ  เงินค่าบำรุงการศึกษา เงินชมรมผู้ปกครอง  เกินครึ่งของที่นี่เป็นเงินที่ได้มาจากในนามของ วัจนสกุล กรุปต์  แอนด์ รอยัลฮอล์ ...บริษัท ผลิตเบียร์ ยี่ห้อใหญ่ที่สุดของประเทศ .... ผมไม่เคยมีแนวคิดว่าที่จะไปเรียนต่างประเทศในระดับมัธยม เพราะคิดอยู่แล้วว่าการศึกษาของเมืองไทย ก็ถือได้ว่ายอดเยี่ยมดีแล้ว...และอีกอย่าง...ในช่วงนั้น ผมกำลังตามหาใครอีกคนหนึ่งอยู่  ...  และตอนนี้ผมก็เจอแล้ว....  นอนหลับอยู่ข้างๆ นี่เอง

ไม่น่าเชื่อว่าผมเข้ามาเรียนที่นี่ได้ปีเดียว.... คนที่ผมตามหาอยู่ ก็ตามมาเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน...  อยู่ใกล้กันแค่นี้...แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าคนที่ผมเที่ยวหาอยู่นั้น อยู่ใกล้ๆ ผมมาตลอดระยะเวลาห้าปี  ไม่เคยเฉลียวใจซักนิด

มันเป็นเวลาที่เหมาะกันดีเหลือเกิน....ว่าไอ้เรื่องทุนการศึกษาบ้าบออะไรของไอ้เด็กคนที่นอนหลับอย่างสบายบนเบาะรถนี่ ได้รับพอดี.... ทุนการเรียนในนามของวัจนสกุล...  เริ่มต้นให้นักเรียนที่นี่เมื่อห้าปีที่แล้ว...... แต่อาจารย์ระดับสูงของที่นี่เป็นคนปิดเอาไว้.... ไม่ให้นักเรียนพวกนั้นรู้...ว่าใครเป็นคนให้ทุน... พูดง่ายๆ ประสงค์จะออกเงิน แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม

ผมยิ้มเยาะ...กับความสมเพชของตัวเอง....  พ่อผมและแม่ของมันรู้มาตลอดว่าทั้งผมและมันอยู่โรงเรียนเดียวกัน.... แต่ไม่เคยระแคะระคายอะไรให้ผมรู้เรื่องเลยซักนิด....กลัวกันนักหรือไง ว่าผมจะเจอมัน...กลัวว่าผมแก้แค้นงั้นหรอ....

.....ก็คิดถูกจริงๆ นั้นแหละ... ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ

ผมกลับมาถึงที่คอนโด หลังจากไปอยู่บ้านมาห้าวันเต็มๆ  ก่อนกลับ ทั้งพ่อผมและก็แม่ของมันกำชับให้ดูแลมันให้ดีๆ ....   เพราะว่ามันต้องย้ายเข้ามาอยู่คอนโดที่เดียวกับผมแล้ว...ได้... ผมจะดูแลมันให้เจ็บแสบทีเดียว.....

   “เฮ้ย...!!! นอนไปถึงไหนวะ...ถึงแล้ว ...ลง”   แม่ง......นอนขี้เซา  ทั้งเนื้อทั้งตัวมันตอนนี้มีเพียงกระเป๋าสองใบ ใบหนึ่งคือใบที่มันถือติดกลับมาจากบ้าน ...ส่วนอีกใบเป็นเสื้อผ้าและกระเป๋านักเรียน พร้อมหนังสือที่จะไปเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้.... ก่อนที่จะมาที่คอนโด..ผมแวะไปที่หอมันก่อน..เพื่อที่จะเอาหนังสือและก็ชุดนักเรียน..ไม่งั้นมันก็ต้องโดดเรียนอีกวันแน่ๆ

   “เอาเสื้อผ้าไปไว้ในตู้.....  กระเป๋านักเรียนกับหนังสือเอาไว้บนโต๊ะในห้องนอน” ผมชี้ไปที่ห้องว่างอีกห้องที่ตอนนี้แม่บ้านของคอนโดมาช่วยจัดให้เรียบร้อยแล้วตามคำสั่งของผม มันไม่พูดอะไรแต่ก็เดินตามไปที่ผมบอก.....  ผมตามเข้าไปในห้องที่กลายเป็นของมันไปแล้วตอนนี้

   “มึงจะล๊อกห้องอย่างไงก็ตามใจนะ...แต่กุญแจห้องอยู่กับกู เพราะฉะนั้นจำเอาไว้...กูจะเปิดห้องนี้เมื่อไหร่ก็ได้”   ผมยกเอากุญแจห้องให้มันดู... มันจะได้รู้เอาไว้ว่ามันจะมีสิทธิเสรีภาพส่วนตัวขนาดไหนก็ได้ตามใจ...แต่จะต้องอยู่ในสายตาของผมอย่างนี้ตลอด

   “....คุณทำอย่างนี้ทำไม...”  มันไม่หันมามองผม ....สายตาจับจ้องมองไปยังหน้าต่างข้างหน้า... ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามมัน

   “ต่อไปเรียกกูว่า พี่วัจน์  แล้วมึงแทนชื่อตัวเองว่าต้อง ....ห้ามพูดคุณ ห้ามพูดผม ให้กูได้ยินเด็ดขาด... กูไม่ชอบ”   

   “แล้วคุณจะเรียกผมแบบนั้น  แทนคำที่คุณพูดอยู่ไหมล่ะ...” มันคงหมายถึง คำว่า กู-มึง นั้นแหละ   

   “กูไม่จำเป็นต้องทำ”  ........

   “ถ้างั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกัน”    มันพูดแบบนี้มันอยากจะลองดีกับผมอีกหรือไง

   “ทำไมล่ะ...มึงอยากเรียกกูว่าพี่ธิวก็ได้นะ..หึหึ... พี่ธิวของน้องนัญไง....เอาไหมล่ะ..กูอนุญาต”   ผมพูดขึ้นมา  เดินเข้าไปหามันทางด้านหลัง..... มันไม่ได้ถอยหนีแต่ก็ไม่ได้หันกลับมาเผชิญกับผม

   “คุณบอกเอง...ว่าพี่ธิวตายแล้ว....คนตายแล้ว...ผมจะเรียกทำไม...ทำ....ไม..ต้อง....เรียกชื่อนั้น”  เสียงของมันขาดหาย... น้ำเสียงสั่น.... มันร้องไห้

   “อือ..จริงๆ  ด้วย...ไอ้ธิวมันตายไปแล้ว....มึงดีใจไหมล่ะ..ที่มันตายไปแล้วน่ะ”  ผมยังไม่ถอยหนีไปไหน...  ในขณะเดียวกันที่มันก็ไม่ได้ถอยหนีผมไป.... ผมไม่น่าถามคำถามโง่ๆ...  มันคงดีใจมากอยู่แล้วนั้นแหละ...ถ้าไอ้คนชื่อธิวมันตายไป ...ไม่ใช่มายืนเป็นไอ้วัจน์อยู่แบบนี้

   มันหันหน้ามาทางผม..ใบหน้าเล็กๆ มีทั้งรอยยิ้ม และรอยน้ำตา... นัญยิ้มทั้งๆ ที่ร้องไห้อยู่.....คำพูดที่พูดขึ้นมานั้น..ผมไม่รู้ว่าออกมาจากความรู้สึกที่แท้จริงของตัวนัญเอง...หรือเป็นเพราะว่าความรู้สึกของผมกับนัญมันห่างกันไกลเกินไป... ความเกลียดที่ผมสร้างเอาไว้มันจึงมีเพิ่มสูงขึ้น...

   “..ใช่...ดีใจ....ดีใจที่สุด...ถ้าพี่ธิวตายไปได้   ผมจะดีใจที่สุด..... แต่คุณรู้อะไรไหม... ผมจะดีใจยิ่งกว่า.... ถ้าคนชื่อวัจน์.... ตายไปซะได้จริงๆ...” 



หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:07:50
ตอนที่ 14  พี่ธิวใจร้าย
   
          กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกันอีกตลอดชีวิต.....  ผมดีใจที่พี่เขากลับมา...ถึงจะกลับมาอย่างคนที่เกลียดกัน  แต่ก็ยังดีที่มีความรู้สึกเกลียดกันอยู่  ... ถึงจะไม่รู้ว่าพี่ธิวเกลียดผมแค่ไหน แต่ก็ยังดีที่ยังมีความรู้สึกให้กันอยู่ เพราะนั่นหมายถึงว่า ผมยังคงมีตัวตนอยู่ในจิตใจของเขา  แต่สิ่งที่พูดออกมาตอนนี้ มันเกิดจากความน้อยใจต่างหาก

“..ใช่...ดีใจ....ดีใจที่สุด...ถ้าพี่ธิวตายไปได้   ผมจะดีใจที่สุด..... แต่คุณรู้อะไรไหม... ผมจะดีใจยิ่งกว่า.... ถ้าคนชื่อวัจน์.... ตายไปซะได้จริงๆ...” 

พี่ธิวหัวเราะ.... แต่ไม่ได้ทำร้ายผมอย่างที่ผมคิด.....

“กูยังไม่ตายง่ายๆ หรอก.... อยู่กับมึงได้อีกนาน...”  เสียงของพี่เขาไม่ได้ประชด ...  แต่ความหมายนั้น คงจะหมายถึงอย่างที่พี่เขาพูดจริงๆ ....  ความรู้สึกที่เกลียดกัน คนที่เกลียดกัน  ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กันไม่ใช่หรอ ...ถ้าให้เลือกระหว่างห่างกันแต่ไม่ได้เกลียด กับเกลียดกัน แต่อยู่ให้เห็นเพียงแค่ตรงหน้านี้  อย่างไหน...เจ็บกว่ากัน

“นาน...เท่า...ไหร่”  ผมถามกลับไปช้าๆ อย่าให้ทรมานกันนักเลย

ผมนิ่งเฉย.. เดินถอยห่างพี่ธิวออกมา   คำถามนั้น ผมไม่ได้คำตอบ  ขืนถ้ายังยืนอยู่ใกล้กันกว่านี้..ความรู้สึกนั้นคงจะรับไม่ไหว....   พี่ธิว คนที่ผมเคยรู้จัก จากไปนานแล้ว.... คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือพี่วัจน์...คนที่เขาเข้ามาในชีวิตผมเพียงแค่ไม่กี่วัน..แต่มันแปรเปลี่ยนชีวิตผมได้หนักหนาทีเดียว

   วันนี้ผมร้องไห้... คืนนี้ผมคงฝันร้าย..เพราะทุกครั้ง วันไหนที่น้ำตาผมออกมา .... ผมจะรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมนอนหลับไป .....  อาบน้ำเถอะ...อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด

   พรุ่งนี้ผมจะขอสัญญากับตัวเอง..ไม่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อะไรที่เลวร้าย ..ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรที่มันทำให้ผมเสียใจ..ผมจะไม่ร้องไห้เด็ดขาด.....  ไม่ใช่ว่าแข็งแกร่งขึ้น...เพียงแต่กลัวกับความฝันนั้นก็เท่านั้นเอง

   ............คิดถึงเบสต์..............

“นัญ....!!!!”    เสียงเรียกจากผู้ชายคนข้างหลัง..... ความรู้สึกผมอยากจะบอก ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นพี่วัจน์.... ไม่ใช่พี่ธิว..ก็อย่าเรียกชื่อนี้ของผมเลย...

   “ผมไม่ใช่ชื่อนัญ....ผมชื่อต้อง..” 

   “........”   พี่วัจน์เงียบ... ก่อนจะปิดประตูห้องของตัวเองไป.....เพียงแค่ประตูกั้นก็เท่านั้นเอง.....ใช่... ผมกับเขาห่างกันเพียงแค่ประตูกั้นแค่นั้นเอง

   “.....โครม !!!!”   

   เสียงที่คิดว่าน่าจะเกิดจากการปาข้าวของอะไรซักอย่าง  ระบายโทสะ... ของแบบเดิมที่ผมเคยเห็นพี่ธิวใช้เสมอ กับช่วงหลังๆ ที่พี่เขาทะเลาะกับลุงธิน...
   .
   .
   .
   .
   .

   เช้านี้อากาศข้างนอกก็ยังดูสดใสดี...เมื่อคืน มันก็เหมือนกับเรื่องเดิมๆ  ผมฝันร้ายซ้ำๆ ในสิ่งที่เคยฝัน..ผู้ชายใจร้าย ..กับผู้หญิงที่โชคร้ายอีกสองคน... ผมร้องไห้ไม่ดังนัก เพราะพอตื่นมาก็รู้ว่านอนอยู่ที่ไหน..... เสียงสะอื้นผม มันอาจจะไปปลุกคนที่นอนห้องติดกันได้....  เมื่อคืนผมร้องไห้ไม่หยุด นอนไม่หลับ...เอามือปิดปากตัวเองไว้ กลั้นเสียงสะอื้นที่มันอาจจะออกมา... เพียงแต่น้ำตา มันไม่จำเป็นที่จะต้องปาดมันออก...ให้มันไหลไปเรื่อยๆ ....

   ตาผมบวมแดงจนคนที่ขับรถอยู่ข้างๆ สังเกตเห็น...  พี่ธิวมองมาทางผม ..และก็คงจะรู้ว่าร้องไห้...  และก็นอนไม่หลับทั้งคืน... ตอนเด็กๆ ..พี่เขาเคยปลอบ.... ทุกครั้ง  เวลาที่รู้ว่าผมโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง และร้องไห้ไปหาให้พี่ธิวช่วย.. ตกกลางคืน..พี่ธิวจะขอลุงธิน กับแม่ เพื่อที่จะมานอนเป็นเพื่อนเสมอ.... พี่เขาคงลืมไปแล้วมั้ง

   “ยังไม่หายอีกหรอ.....”   คำถามห้วนๆ  เกิดขึ้นมา อยู่ดีๆ  พี่เขาก็ถาม...   หมายถึงอะไรล่ะ... ร้องไห้ทั้งคืน  หรือว่าฝันร้าย

   “หมายถึงอะไร”  ผมไม่รู้จริงๆ  เลยถามออกไปอย่างนั้น...สถานภาพของเรามันเปลี่ยนไปแล้วนี่... พี่ธิว ไม่ใช่พี่ชายที่แสนดีของผมอีกต่อไป

   “ฝัน....”   

   “เปล่า...!!!”  ผมเลี่ยงที่จะบอกความจริง.... ไม่อยากให้ความรู้สึกเดิมๆ มันเกิดขึ้น..ไม่อยากให้เขาเห็นความอ่อนแอที่ยังมีอยู่ ..ไม่เปลี่ยน 

   “แล้วทำไมถึงร้องไห้” 

   “เปล่า..” 

   “ฮึ....”  น้ำเสียงขึ้นจมูก.... พี่ธิวไม่เชื่อ...ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ  ผมไม่เห็นจะแคร์  ....

   บริเวณหน้าโรงเรียน....  คนพลุกพล่านเสมอ... และก็เป็นเหตุการณ์ปกติ..รถของพี่ธิว เป็นที่สังเกตได้ง่ายเสมอ เพราะมีนักเรียนไม่กี่คนเท่านั้นที่ขับรถมาเรียน...แถมยังเป็นสปอร์ตอีกต่างหาก... 

   “ผมขอลงหน้าโรงเรียน”  เสียงบอกสั้นๆ  และก็ไม่รู้ว่าจะได้อย่างที่ขอหรือเปล่า..... แต่ก็ดีหน่อย.. พี่ธิวทำตามที่ผมขอร้อง.... ป้าแสยังขายกล้วยปิ้งอยู่หน้าโรงเรียนเหมือนเดิม...นานเหมือนกันที่ผมไม่ได้มาช่วยป้าเขาขาย....  เดี๋ยวอีกซักพักเบสต์ก็คงมาถึงแล้ว

   แต่ช่วงที่ก้าวเท้าลงจากรถ ขาผมก็แทบจะขวิดกัน...สายตาของนักเรียนเกือบจะทุกคน มองมาที่ผม... ผมที่เป็นเพียงเด็กนักเรียนเงียบๆ คนหนึ่ง...ไม่ได้เด่นได้ดังอะไรเลยในโรงเรียน แต่ลงรถมาจากคนที่ชื่อ “สุทธิวัจน์” หนุ่มที่อาจจะหล่อที่สุดในโรงเรียน และดังที่สุดในโรงเรียนเลยก็ว่าได้

   ผมเอาแต่ก้มหน้า  ....แล้วเดินไปทางป้าแส.... ไม่ได้สนใจคนที่มองมาอยู่รอบข้าง..  จนกระทั่งเดินไปชนกับใครอีกคนหนึ่งเข้าอย่างจัง

   “...โครม !!!”   

   “อ๊ะ !!! ขอโทษครับน้อง... เจ็บหรือเปล่า”  มือคนที่ผมชนเอื้อมมาจับช่วงเอวผมไว้ได้ทันก่อนที่ตัวผมจะหล่นลงไปกระแทกกับพื้น....  ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่ผมเดินชนเข้าให้.. ถึงจะเรียกผมว่าน้องก็เถอะ  ..บางทีอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นรุ่นน้องเขาก็ได้

   “...มะ...ไม่เป็นไรครับ...” 

“ลุกขึ้นก่อนนะครับ...พี่หันหลังไปเจอพอดี...  แต่ไม่เห็นน้องน่ะ..” ผมเงยหน้าไปมอง..... อ๋อ.. พี่ประธานโรงเรียน...นักเรียนรุ่นพี่ปีที่แล้วนี่เอง....ผมเห็นหน้าพี่เขาบ่อยเมื่อปีที่แล้ว..แต่พอพี่เขาขึ้น ม. 6 ผมก็ไม่ค่อยเห็นพี่เขาหรอก..คงจะต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบด้วยมั้ง.. 

“คะ...ครับ” ผมตอบพี่เขาไปสั้นๆ .. ที่ไม่เห็นผมนี่เพราะว่า เค้าไม่ได้มองลงมา หรือว่าตัวผมเตี้ยเกินไปในสายตาพี่เขากันแน่

“เจ็บป่าวครับ..ขอโทษนะ... มีแผลตรงไหนไหม”  ... พี่เขาตอบคำถามเดิม...  แต่ตอนนี้ยิ้มให้ด้วย..... จะว่าไป รุ่นพี่ม. 6 นี่ก็ไม่ได้โหดร้ายไปซะทุกคนหรอกนะ

“ไม่...ไม่ครับ...ไม่เป็นไร”    ผมพูดตะกุกตะกักนิดหน่อย....  ก็ตอนนี้รู้สึกได้แล้วนี่นาว่ามืออีกข้างของพี่เขายังเกาะเกี่ยวเอวผมเอาไว้อยู่เลย .....  ปล่อยได้แล้วมั้ง

“เอ่อ !!!”  เหมือนพี่เขาจะรู้ตัว...   ว่าผมพยายามแกะมือพี่เขาออกอยู่..  เขายิ้มให้เก้อๆ  เอามือเกาท้ายทอยข้างหลัง....     ทำไมหน้าพี่เขาแดงๆ ...  สงสัยอากาศร้อนจัด.... ก็ไม่เห็นร้อนนี่นา ...อากาศตอนเช้าๆ แบบนี้เย็นสบายดีออก

“คะ..ครับ”  ....   

“พี่ชื่อเรย์นะครับ...น้องชื่อ......ต้องใช่ป่ะ..”   เอ๋... รู้จักผมด้วยหรอ

“คะ..ครับ”  ผมตอบตะกุกตะกักกลับไป.. แทบจะนับคนได้เลย..ถ้าไม่รวมเพื่อนในห้องไม่กี่คนกับเบสต์แล้ว น้อยมากที่จะมีคนรู้จักผม....

“ไม่เห็นหน้าหลายวัน.... ปกติเห็นมาช่วยป้าแสขายกล้วยปิ้งนี่ครับ... วันนี้พี่เลยต้องมาช่วยป้าแทนน้องต้องเลยนะเนี่ย”  ...... หือ..... พี่เขามาช่วยป้าแสขายหรอ... ผมพอเคยเห็นเขาในโรงเรียนตอนเป็นประธานนักเรียน ...ดูพี่เขาก็รวยนี่นา...ไม่น่าจะใช่นักเรียนทุนซะหน่อย...แถมยังหล่ออีกต่างหาก  แต่งตัวก็ดี...ผมเคยเห็นเขาขับรถเข้ามาในโรงเรียนด้วย..แปลกจัง..ทำไมมาช่วยป้าแสขายได้ล่ะ

“....เอ่อ.....”  ผมไม่ได้ขอร้องให้เขามาช่วยขายซะหน่อย 

“ครับ...  น้องต้องจะมาช่วยป้าขายหรอ.... วันนี้มาสายนะครับ... วันนี้พี่แซงคิวช่วยก่อนแล้วแหละ”   พี่เขาพูดขึ้นมา พร้อมกับก้มหน้าลงมาหาผมนิดหน่อย... นิดหน่อยจริงๆ นะ เพราะว่าตอนก่อนที่จะคุยกัน หน้าพี่เขาก็เกือบชิดผมแล้ว ...  ถ้าก้มลงมามากว่านี้คงจะโดนหน้าผากผมเป็นแน่

ผมจะบอกว่าไงดีล่ะ..  ที่มาสายเพราะว่าคนที่ขับรถมากับผม เขาขับช้าต่างหาก

“พี่มาช่วยป้าแสกี่วันแล้วอ่ะ”  ผมถามกลับไป  เจอหน้าพี่เรย์พอดี..รอยยิ้มของพี่เรย์ดูเท่ห์ดีเหมือนกัน... มันเลยทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มกลับให้...  ยิ้ม.... หลายวันมาแล้วซินะ ที่ผมไม่ได้ยิ้ม

“ก็เพิ่งเมื่อศุกร์ที่แล้วอ่ะครับ..รวมวันนี้ด้วยก็สองวัน...แต่พี่ไม่เห็นน้องต้อง  ปกติ พี่มาซื้อป้าแสกินบ่อยๆ เหมือนกันนั้นแหละครับ เห็นน้องต้องเกือบตลอด..แต่น้องต้องไม่มองพี่มากกว่า   มองแต่กล้วยปิ้งน่ะ...สงสัยกล้วยปิ้งคงหล่อกว่าพี่มั้ง”  คำถามสุดท้าย เล่นเอาผมไม่กล้ามองหน้า  แต่หันไปยิ้มให้ป้าแสแทน...  หวังว่าให้ป้าแสแกช่วย

“พี่เขาจะจีบหนูล่ะมั้งลูก...มาช่วยป้าสองวัน..ถามหาแต่หนู..!!!”    ป้าแสครับ...พูดไรออกมา...วันนี้แอบกินยาดองของลุงมาหรอ.... พูดไปหัวเราะไป ...แถมแทนที่จะช่วยผม...

“เฮ้ยยย ป้า !!!”  เสียงของพี่เรย์ ค่อนข้างดัง..... เมื่อกี้ตอนที่เขาช่วยผมไม่ให้ล้ม ผมก็ว่าหน้าพี่เขาแดงแล้วนะ แต่ตอนนี้ ทั้งหน้า ทั้งใบหู แม้กระทั่งลำคอมันแดงไปหมด...แต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้ หน้าผมกับหน้าพี่เขาคงไม่ต่างกันหรอก..แดงทั้งคู่นั้นแหละ

“มะ..มะ...ไม่ใช่..มั้งครับป้า...พี่เรย์เป็นผู้ชาย.. ต้องก็เป็นผู้ชายนะ”  ผมต้องรีบแก้ตัวไป... เพราะอีกคน เอาแต่หน้าแดงแล้วก็ยิ้ม  ไม่ช่วยแก้ตัวเลย  แบบนี้ไม่ไหวนะ....  ตั้งแต่เกิดมา เคยมีผู้ชายมาจีบผมซะที่ไหนล่ะ.... จะว่าไป ก็ทั้งผู้ชายและผู้หญิงแหละ  เคยมาจีบผมซะที่ไหนกัน...  คงไม่มีใครสนใจคนเปิ่นๆ อย่างผมหรอก

“ฮิฮิฮิ   อุ้ย....หนูเอ้ยยยย  ป้ารู้ลูก เดี๋ยวนี้ป้าไม่ถือหร๊อกกก ....”  ป้าแสแกทั้งพูดทั้งหัวเราะ แถมเดินหนีผมสองคนไปอีก...ทำอย่างกับว่าตอนนี้ร้านขายกล้วยปิ้งเล็กๆ นี่กลายเป็นของผมกับของพี่เรย์ไปแล้ว

“เฮ้ยย....”   อยู่ดีๆ  ก็เอามือมาหยิบกล้วยปิ้งที่ผมกำลังปิ้งออก แต่ทำไมไม่จับที่ไม้ล่ะ..มาจับมือผมทำไมเนี่ย..  จะช่วยปิ้งก็จับที่ไม้ซิ่ครับ แถมเมื่อกี้นี้ยังเห็นอยู่หน้าร้านอยู่เลย..ตอนนี้ทำไมมาอยู่ข้างๆ ผมแล้วล่ะ..เร็วไปไหม...

“เป็นไรครับ.. ร้อนน่ะ..เดี๋ยวพี่ทำแทนดีกว่านะ”  พี่แกเอาแต่ยิ้ม  หน้ายังแดงอยู่เลย... เอ..ๆๆๆๆ ผมว่าหน้าผมหายแดงแล้วนะ..แต่หน้าพี่เรย์นี่ทำไมไม่ยอมหายซักทีล่ะ.... 

“ไม่เป็นไร..ต้องทำบ่อยออกจะตายไป”  แค่นี้ไม่ต้องมาแย่งหน้าที่ผมหรอกน่า..นิดหน่อยๆๆ  ผมทำได้เสมอ

“ไม่เป็นไรครับ..ร้อนนะ..เดี๋ยวพี่ทำแทนให้..”  พี่เขายังไม่ยอมปล่อยมือผมออก...พี่เขาบอกว่ามันร้อนไม่ใช่หรอ.ถ้าร้อนแล้วอยากทำแทน ก็ปล่อยมือผมซิ่

“.....พี่คะ ......”  เหมือนมีเสียงแว่วมาไกลๆ  ..ไกลจนไม่น่าสนใจ

“เอ่อ... ถ้าทำแทน..ก็ปล่อยมือผมก่อน...ซิ่...ครับ”  ผมพยายามพูดให้ชัดที่สุดแล้วนะ.. แต่ก็ยังอดตะกุกตะกักไม่ได้

“................พี่คะ...................”  เหมือนมีเสียงแว่วมาไกลๆ เหมือนเดิม ..แต่เพิ่มเสียงดังขึ้นมานิดหน่อย

“อ้อๆๆ ใช่ๆๆๆ ขอโทษๆๆ ครับ...พี่เผลอน่ะ” เหมือนพี่เรย์จะรู้สึกได้ ...รีบปล่อยมือผมทันที...  เอามือข้างที่ว่างเกาท้ายทอยอีกรอบ .... ลักษณะนี้เป็นเอกลักษณ์ของพี่เขาเลยหรือไงนะ

“.........................................พี่....คะ.............................”   เสียงเดิมอีกแล้ว รู้สึกว่าใกล้มานิดๆ  แต่พวกเราก็ยังไม่สนใจ

“เหอะๆๆ.... พี่เรย์ตลกจัง”    ผมพูดไปก็หัวเราะไป รู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนน่ารักคนหนึ่งเลยทีเดียว ...เมื่อปีที่แล้ว เคยเห็นพี่เขายืนหน้าแถวเกือบทุกเช้า..ดูเก๊กๆ ขรึมๆ อย่างไงก็ไม่รู้... ไม่คิดว่าพอมาได้รู้จักครั้งแรก พี่เขาก็มีมุมที่น่ารักเหมือนกัน

“.................พี่......................คะ...................”  เสียงเน้นๆ ชัดๆ คำว่า พี่คะ....ทำให้ผมและพี่เรย์พอจะได้ยินกันทั้งคู่บ้าง  แต่เราสองคนก็ยังหัวเราะให้กันอยู่ดี

“เอ้า...พี่ไม่ใช่นักแสดงตลกซะหน่อย...น้องต้องทำพี่เขินนะเนี่ย”  ไม่น่าเชื่อ หน้าหล่อๆ แบบนี้ เขินเป็นด้วย..แต่จะว่าไป...พี่เขาก็หล่อจริงๆ นะ...  ผมไม่ได้อยากจะเปรียบหรอก แต่พี่ธิวกับพี่เรย์นี่หล่อเท่าๆ กันเลย

“!!!!!!!!!!!!!!  พี่คะ...........จะซื้อกล้วยปิ้งค่ะ...........จะจีบกันอีกนานไหม.... ถ้าไม่ขายหนูสองคนจะได้ไม่กิน !!!!!!!!!!!!”  เสียงเรียกแสบแก้วหูอยู่ข้างๆ  ทำให้รู้ทันทีเลยครับ ว่าไอ้เสียงเรียกพี่คะๆ  มาแต่ไกลๆ นั้นก็คือน้องผู้หญิง ม.ต้นสองคน  ยืนหน้าคว่ำอยู่หน้าร้าน สงสัยเรียกนานแล้ว แต่ผมกับพี่เรย์ไม่ได้ยิน

“ หง่ะ !!!!  ขอโทษครับ... เอากี่ไม้เอ่ย...” พี่เรย์รีบกุลีกุจอทำให้ใหญ่เลย....  น้องคนนั้นทำไมน่ากลัวจัง...อ้วนด้วย  ..ตัวใหญ่ด้วย...  ถ้าไม่ใส่ชุดคอซองค์ ไม่รู้เลยแหละว่าเรียน ม. ต้น ตอนนี้ทั้งชี้เอว ทั้งมองหน้ามาทางผม ..น่ากลัว..... แต่พอหันไปมองที่พี่เรย์ ..ทำไมทำสายตาเชื่อมแบบนั้นล่ะ....  คนเรา

 พี่เรย์คุยกับผมอยู่ตั้งนาน..ตอนนี้ป้าแสไปนั่งอยู่ข้างหลัง  คุยกับผมสองคนไป แต่มือก็ปอกกล้วย ทุบกล้วยไปด้วย.....  ป้าแสบอกว่าช่วงที่ผมไม่อยู่ แล้วพี่เรย์มาช่วยขายแทน....  ป้าแสขายกล้วยปิ้งดีกว่าทุกวัน... ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นเยอะ...แต่เป็นลูกค้านักเรียนหญิงซะมากกว่า ... เหมือนกับวันไหนที่ผมมาช่วยป้าแสขายของเลย... วันไหนที่ผมมาช่วยป้าแกขาย ป้าแกก็บอกกับพี่เรย์ว่า ป้าก็ขายของดีเหมือนกัน ลูกค้ามาเพิ่มเยอะ ....แต่เป็นลูกค้านักเรียนชาย.......  ???????????

ป้าแกชมผมหรือเปล่า  ?

พี่เรย์หัวเราะกับคำพูดของป้า... ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปด้วย...  ผมคุยกับพี่เรย์อยู่ที่ร้านตั้งนาน...จนเจ็ดโมงกว่า..ถึงมีคนเอานิ้วมาสะกิดหลังผม

“.....เบสต์ !!”   

“ต้อง...”  เบสต์ยิ้มให้ผม พร้อมกับเข้ามากอด.... ผมกับเบสต์ไม่เคยห่างกันนานขนาดนี้...ถึงแม้จะเป็นช่วงปิดเทอมก็ตาม... ผมมักจะไปทำงานพิเศษที่โรงแรมของพ่อเบสต์เสมอ... โรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพ.. ที่ผมไปช่วยทำในช่วงปิดเทอม... แต่ไม่เคยได้ออกมาต้อนรับลูกค้า ..เพราะผมกับเบสต์ยังเด็ก  เพียงแต่ช่วยงานเอกสารนิดๆ หน่อยๆ  ผมกับเบสต์จะมีความสุขเสมอในช่วงปิดเทอม..นี่เป็นครั้งแรกที่ผมกับเบสต์ไม่เจอกันเกือบอาทิตย์... หน้าของเบสต์ยิ้มให้ผม ..แต่ผมรู้ว่ายิ้มกลบเกลื่อน..เบสต์มีเรื่องในใจ  แต่ไม่ยอมบอกก็แค่นั้นเอง

“คิดถึงจัง...”  ผมกอดเบสต์ พร้อมบอกไป...   พี่เรย์มองหน้าผม พร้อมกับยิ้มให้... ผมยิ้มให้พี่เรย์กลับ พร้อมกับแนะนำให้พี่เรย์รู้จักกับเบสต์... เบสต์บอกว่าคุ้นหน้าพี่เรย์เหมือนกัน พอบอกว่าเป็นประธานนักเรียนเมื่อปีที่แล้ว เบสต์ก็ร้องอ๋อ ขึ้นมาทันที... พี่เรย์เคยเห็นเบสต์บ่อยๆ เหมือนกัน..แต่เห็นพร้อมผมเสมอ.. ก็ไม่แปลกอะไรนี่นา..ผมกับเบสต์ตัวติดกันเสมอนั้นแหละ...เพื่อนรักกันนี่นาเนอะ

“ป้าแสครับ... พี่เรย์ครับ...เดี๋ยวต้องขอตัวไปห้องเรียนก่อนนะ..เดี๋ยวก็เข้าแถวแล้ว..”  ผมไหว้ป้าแสไป พร้อมกับไหว้พี่เรย์ด้วย... พี่เรย์ยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะบอกว่า ถ้าเจอกันในโรงเรียนก็ทักกันบ้างหรือ  ถ้าไม่เจอกัน..พรุ่งนี้พี่เรย์จะมาช่วยป้าแสขายอีกเหมือนกัน.... ผมรู้สึกมีความสุขจัง..หลังจากที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้เจอแต่เรื่องที่แย่ๆ ...  โรงเรียนนี้ผมมีเบสต์ มีป้าแส ..แถมตอนนี้ยังมีพี่เรย์เพิ่มมาอีกคน....

ช่วงเวลาในการเข้าแถว ... แดดไม่ค่อยร้อนก็รู้สึกดีหน่อย...  ผมกับเบสต์ยังยืนอยู่ด้านหน้าของแถวเสมอ...เพราะเราสองคน  เตี้ยกันสุดในกลุ่มของนักเรียนชาย ม. 5 ผมคุยกับเบสต์อย่างมีความสุข...เล่าเรื่องเกือบทุกอย่างที่กลับไปบ้านให้เบสต์ฟัง... พูดถึงแม่.. พูดถึงลุงธิน...เพียงแต่ผมไม่ยอมเอ่ยชื่ออีกคนให้เบสต์ฟังก็แค่นั้น.... 

เบสต์ก็เล่าให้ผมฟังตั้งหลายอย่าง ทั้งของฝากที่พ่อกับแม่ซื้อมาให้จากสิงคโปร์..ทั้งนอนคนเดียว...  แอบหนีลุงคนขับรถไปเดินเล่นห้างคนเดียว.. และก็เหมือนกัน ..บางช่วงเบสต์ก็เว้นละไว้เสียที่จะไม่เล่า... ผมก็พอรู้และเดาได้เหมือนกัน..แต่ผมก็เงียบๆ ไป


หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:08:19
เพราะ....เราเคยบอกกันเอาไว้แล้ว... ว่าคนบางคนไม่สำคัญพอ..ถึงขนาดจะต้องเอ่ยชื่อขึ้นมา....

ระหว่างที่ผมคุยอยู่...สายตากลับเหลือบไปเห็นผู้ชายตัวสูงๆ  ผิวค่อนข้างขาวจัด....  พี่เรย์นั่นเอง... ตัวพี่เขาสูงเหมือนกัน ถ้ามองจากไกลๆ  ...พี่เรย์หันมาทางนี้พอดี..พร้อมกับยกมือยิ้มทักทายมาทางผมด้วย..ผมไม่ได้ยกมือกลับไป..แต่ยิ้มกลับไปให้พี่เรย์เหมือนกัน....  แต่พอผมจะหันกลับมา... สายตาของผมก็ไปเจอกับอีกคนหนึ่งซึ่งตัวสูงพอๆ กับพี่เรย์...  เพียงแต่สายตาที่มองมานั้น.... มันเหมือนกับคาดโทษเอาไว้ว่าผมผิด...  คาดโทษเอาไว้ว่าผมไม่ควรที่จะไปยิ้มให้คนอื่น....  ผมหันหลังกลับโดยไม่มองไปทางนั้นอีก... พี่วัจน์นั่นเอง...

“ต้อง....  พี่วัจน์กับพี่เอกมองมาทางเรา”  เสียงเบสต์พูดเบาๆ  แต่ผมก็ไม่ยอมหันกลับไป.....   

“ก็ปล่อยเขาไป... เขามองก็ปล่อยเขาไป.... เราไม่ต้องไปสนใจเขาซิเบสต์” 

“เบสต์....กลัว”    เบสต์พูดขึ้นเสียงสั่นๆ  แถมยังเอามือมาจับมือผมอีก...  มือนั่นกำมือผมแน่น..แต่เย็นเฉียบ....  เบสต์ตาแดงๆ  แล้ว.. แต่ผมจับเบสต์กระชับมือแน่นกว่าเดิม

“อย่ากลัวเบสต์.... เขาแค่มองมาทางเรา... แค่มองมาทางเราแค่นั้นนะ..   เบสต์อย่ากลัวนะ..ต้องอยู่ตรงนี้”   ผมไม่รู้ว่าผมปลอบเบสต์ไป  ..แต่เบสต์จะรู้สึกได้ดีมากขึ้นหรือเปล่า  เบสต์ยังคงไม่คลายมือที่จับผมออก แต่กลับยิ่งกระชับจับแน่นกว่าเดิม... ผมไม่เคยเห็นเบสต์กลัวขนาดนี้เหมือนกัน... เพื่อนของพี่วัจน์ทำอะไรเบสต์นะ.. ผมอยากรู้... แต่ไม่กล้าถาม...  ไม่อยากเอ่ยชื่อของพวกมัน

พวกนั้นไม่ได้เดินมาหาเรื่องผมสองคน.... ตลอดจนทั้งวัน..ผมเรียนกับเบสต์อย่างมีความสุข...  ที่โรงอาหาร...ผมไม่เห็นกลุ่มของพี่ธิวทั้งกลุ่ม..ไม่รู้หายไปไหน....

ช่วงระหว่างเรียนคาบบ่าย... มีข้อความส่งมาหาผมทางโทรศัพท์.... จนต้องแอบเข้าไปอ่านว่าใครส่งมา

“เย็นนี้มึงไม่ต้องอยู่เข้าชมรมบาส...  รอกูอยู่หน้าโรงเรียน.... ห้ามไปเจอกับไอ้สัตว์เรย์เด็ดขาด” 

ตัวผมเย็นวาบไปทั้งตัว ....พี่ธิวเห็นหรอ..ว่าผมกับพี่เรย์อยู่ด้วยกัน... แล้วทำไมล่ะ... ผมจะรู้จักกับคนอื่นไม่ได้หรือไง....  เขามีสิทธิ์อะไรมาห้ามผมล่ะ... แล้วทำไมถึงจะต้องมาห้ามกันด้วย

ข้อความที่พี่ธิวส่งมา ผมไม่ได้บอกกับเบสต์ เพราะตอนนี้เบสต์ก็ไม่ได้สนใจอะไร... เอาแต่จดๆ การบ้านที่อาจารย์หน้าห้องเป็นคนบอก...  วันนี้ผมอยากไปนอนกับเบสต์จัง.. แต่คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว... อีกอย่างเบสต์ก็ยังไม่รู้ด้วยว่าผมย้ายมาอยู่กับพี่ธิว....  ไม่อยากบอก... ไม่อยากให้เบสต์ต้องเป็นกังวล... ไม่อยากบอกแม้กระทั่งว่า พี่ธิวและพี่วัจน์คือคนคนเดียวกัน.....  เบสต์เคยเชียร์ เคยเอาใจช่วยผมเสมอว่าขอให้เจอพี่ธิวให้ได้ หลังจากที่ผมเล่าเรื่องอดีตที่ผ่านมาให้ฟัง...  เพียงแต่ถ้าเบสต์รู้ว่าพี่ธิวเป็นใคร... เบสต์คงเสียใจ...

“เป็นอะไรหรือเปล่าต้อง”  เสียงเรียกเบาๆ ที่กลัวอาจารย์หน้าห้องจะได้ยิน มาจากข้างๆ  เบสต์สีหน้าดูเป็นกังวล...เมื่อเห็นผมอ่านข้อความในมือถือ...  เบสต์มองหน้าผมอีกครั้ง พร้อมกับยิ้มให้เป็นกำลังใจ...  ผมไม่พูดอะไรกับเบสต์.. แต่เขียนเป็นโน้ตสั้นๆ ....

ต้อง :  พี่วัจน์ส่งข้อความมา... ว่าวันนี้ให้ต้องไปรอหน้าโรงเรียน... พี่วัจน์มีเรื่องจะคุยด้วย...  (ผมไม่ได้บอกความจริงไป  อย่างที่ว่านั้นแหละ..ไม่อยากให้เบสต์เป็นห่วง)  ผมส่งโน้ตไปให้เบสต์.. ก่อนที่เบสต์จะเขียนข้อความบางอย่างลงไปในกระดาษ แล้วจะส่งกลับมาคืนให้ผม....  ตอนนี้เหมือนเราสองคนแอบ chat กันอยู่เลย

เบสต์ :  แล้วต้องจะไปรอไหม
ต้อง:  ก็คงไป .... ต้องไม่อยากมีเรื่อง
เบสต์ :  ถึงเราไม่อยากจะมีเรื่อง....พวกนั้นก็หาเรื่องมาให้เราอยู่แล้วแหละ..... เดี๋ยวเบสต์ไปเป็นเพื่อนนะ 
ต้อง  :  ไม่เป็นไรๆๆ  .... วันนี้เบสต์กลับบ้านไปเถอะ... เดี๋ยวต้องคุยกับพี่วัจน์แป๊บเดียว... เดี๋ยวต้องก็กลับบ้านเหมือนกัน... ไม่มีอะไรหรอก...ใครเขาจะมาแกล้งเราได้ทุกวันจริงป่ะ.... (ผมโกหกเบสต์ไปอีกครั้ง... ถ้าเกิดเบสต์อยู่ด้วย..ผมก็ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง  ...ไม่อยากให้เพื่อนต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว)
เบสต์  :  อยู่ได้จริงๆ หรอ
ต้อง :  ได้ซิ่..... ต้องเก่งเสมอ.
เบสต์ : ไม่เห็นจะเก่งเลย.. เบสต์เก่งกว่าอีก...อย่าลืมซิ่ เบสต์ตัวสูงกว่าต้องนะ
ต้อง :   สองเซ็นต์ฯ  เนี่ยนะ  !!!
เบสต์ :  นั้นแหละ  ถึงไงก็สูงกว่า  หรือจะเถียง
ต้อง  : สูงกว่าก็ได้ ...แต่ต้องเก่งกว่า
เบสต์ :  ไม่อ่ะ.... เบสต์เก่งกว่า
ต้อง  :  ไม่... ต้องต่างหาก
เบสต์ :  เอ๊ะ .....  เดี๋ยวงอนนะ  ...
ต้อง  :  เดี๋ยวไม่ทำกับข้าวให้กินนะ
เบสต์ : เดี๋ยวไม่ดูหนังผีเป็นเพื่อนนะ 

“สองคน ทำอะไรกันนนนนนนน   !!!!”  ผมกับเบสต์สะดุ้งโหยง อาจารย์หน้าห้อง ตะโกนอย่างดังเลยนี่นา..น่ากลัวชะมัด.... อาจารย์คนนี้ด้วย ทั้งเนี๊ยบทั้งดุ... ผมรีบขยำกระดาษอันนั้นทิ้ง ก่อนที่อาจารย์จะเห็น ดีหน่อย.. แกหันไปสอนต่อ ...ไม่งั้นคงซวยแน่ๆ
.
.
.
.
.
.
เวลาตอนเย็น ...คนก็ยังพลุกพล่านเสมอ.. ผมยืนรออยู่หน้าโรงเรียน  หลังจากแยกกับเบสต์ออกมา.. เบสต์ยังคงอยู่ในโรงเรียนอยู่ และไม่กล้าที่จะออกมาข้างนอก..เพราะกลัวว่าจะเจอกับเพื่อนของพี่ธิว.... เบสต์บางครั้งที่เป็นคนที่กล้า  แต่ทำไมกับพี่เอก เบสต์ถึงได้เอาแต่กลัว... ผมสงสัย แต่ก็ไม่ถามอีกเช่นเคย... เบสต์กลัวพี่เอก..ตั้งแต่วันที่มาหาผมที่ห้องวันนั้น.... ขออย่าให้เบสต์เจอเหตุการณ์เดียวกับผมเลยนะ

เสียงรถที่ผมพอเริ่มจะคุ้นอยู่บ้าง..จอดแนบสนิทกับริมฟุตบาทที่ผมยืนอยู่  ...หลายคนมองมาที่ผมก่อนจะก้าวเข้ามานั่งในรถ.. พี่ธิวไม่พูดอะไร....  เอาแต่ขับออกไปข้างนอกด้วยความเร็ว ไม่สนใจว่าข้างถนนจะมีใครยืนอยู่บ้าง.... วันนี้ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าพวกพี่เขาหายไปไหนกันทั้งวัน.... ไม่เห็นแม้แต่เงา 

“พี่วัจน์....ขับช้าๆ นะ....ต้องกลัว”  ตอนนี้ผมเรียกชื่อเขา และก็แทนตัวเองด้วยชื่อของผม...ตามที่พี่เขาบอก... หวังว่าให้เขาอารมณ์เย็นลงบ้าง.... เขาไปโกรธอะไรมา... ผมกลัวนะ.... ทำไมต้องขับเร็วแบบนี้...  หน้าหนาวแบบนี้มันมืดไวนะ....  เพียงแค่ยังไม่หกโมงเย็นเลย... บริเวณรอบๆ  ก็เริ่มมืดแล้ว... แถมตอนนี้เพียงแค่แป๊บเดียว.... ผมกับพี่เขาก็อยู่บนทางด่วน ... รถมีไม่มาก แต่ก็ใช่ว่าถนนจะโล่งนัก...พี่ธิวขับปาดซ้าย ขวา จนผมเวียนหัวไปหมด....  มือผมเอื้อมไปแตะที่ต้นแขนพี่ธิว ..ก่อนที่จะถูกสะบัดกลับมา

“เงียบ... มีสิทธิ์อะไรมาสั่งกู”   ยิ่งพูด ก็ยิ่งเหมือนกับยิ่งยุให้พี่ธิวขับไวยิ่งขึ้น.....  หน้าผมแดง เหมือนกับว่าจะร้องไห้แล้ว...  แต่ไม่เอาหรอก...ร้องไห้มาพอแล้ว... แค่นี้ไม่ต้องร้อง...ไม่ต้องร้อง ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นตลอดทาง

รถถูกจอดอยู่ในชั้นจอดรถ ที่ช่องจอดรถนั้น ลงล๊อกเอาไว้ว่าเป็นป้ายทะเบียนที่พี่ธิวขับมาพอดี... อีกสองข้างที่พี่ธิวจอดอยู่ ก็ว่าง แต่เลขป้ายทะเบียนรถ พร้อมกับหมายเลขห้อง ทำให้รู้ว่า ที่จอดรถข้างๆ  กันนั้นก็เป็นที่จอดของรถพี่ธิวอีกเช่นกัน .....เสียงปิดประตูดังปัง  จนรถสะเทือนไปทั้งคัน  ปลุกให้ผมตื่นออกจากภวังค์ของความคิด  เดินตามพี่เขาไป....  ทั้งๆ ที่ไม่ได้สั่ง..แต่ผมก็กลัว..กลัวถ้าจะขัดขืน หรือทำให้พี่เขาไม่พอใจตอนนี้.... ทำไมหน้าเขาน่ากลัวขนาดนั้น

เพียงแค่เปิดประตูห้องออก  ผมออกไปยืนอยู่ในห้อง.... ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง.. แต่ไม่คิดว่าพี่ธิวจะเดินตามมา...   เสียงประตูปิดห้องนั้นดังสนั่นจนผมตกใจ

“พะ....พี่วัจน์...”  ผมถอยหลังออกไปจนสุดเตียง ..ขอร้องล่ะ...อย่าทำอะไรผมเลยนะ....  แต่มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด... พี่วัจน์เดินมาถึงก่อนจะกระชากผมเข้าไปหาพี่เขาทั้งตัว   เสียงดังจนน่ากลัว

“มึงเป็นของกู...จำเอาไว้... ว่ามึงเป็นของกู  ของกูคนเดียว”    .....ทำไมพี่ธิวถึงทำแบบนี้.... ผมไปทำอะไรให้...  น้ำหนักของปากที่กดลงมาทำให้ผมเจ็บระบมไปหมด... พี่ธิวใจร้าย

“ปล่อยผมนะ !!!!”  เสียงผมตะโกนอู้อี้จนฟังไม่ได้ศัพท์.... พี่ธิวยังบดขยี้มาอยู่ที่ปากนั้น  ก่อนจะล๊อกแขนผมเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้... ข้าวของที่อยู่บนเตียง ตอนนี้ถูกมืออีกข้างที่ว่าง  ปัดทิ้งร่วงไปหมด

“ทีหลัง.... อย่าร่านให้มันมากนัก... ผัวมึงก็มีอยู่ทั้งคน...จำเอาไว้หน่อยซิ่ ...ไม่ต้องไปอ่อยคนอื่นให้มันมาก อย่าให้กูต้องทำย้ำๆ บ่อยนัก...”    พี่ธิวพูดอะไร... ผมทำอะไร... แล้วไปยุ่งกับใครที่ไหนกันล่ะ.. ที่ทำให้ผมเจ็บตัวนี่พี่ธิวเข้าใจผิดใช่ไหม

“จะบ้าหรอ.... ปล่อยต้องนะ... บอกว่าให้ปล่อยยยย!!!!”   เสียงผมตะโกนแข่งกับพี่ธิว   ทั้งผลัก ทั้งถีบ ทั้งดันออก แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดไปได้เลย... อะไรที่อยู่ใกล้ๆ ตัว ทั้งหมอนทั้งตุ๊กตาตอนนี้ฟาดไปที่ตัวพี่ธิวให้เต็มไปหมด  พี่ธิวจับผมล๊อกเอาไว้อีกครั้ง... พร้อมกีบเขวี้ยงตุ๊กตาที่ผมรักที่สุดออกไปจนกระทบกับหน้าต่าง 

พี่ธิวเขวี้ยงตุ๊กตาอุลต้าของผม....... ทำไมต้องทำแบบนี้

“คิดหรอว่ากูจะเจ็บ....  มึงเป็นเมียกู.... ทุกอย่างในตัวมึงเป็นของกู...จำเอาไว้... อย่าให้ใครมาแตะตัวมึงอีก...ไม่งั้นกูจะฆ่าทั้งมึงแล้วก็มันนั้นแหละ..ลองดูก็ได้” 

“ปล่อย... มาเขวี้ยงตุ๊กตาของนัญทำไม.”  ผมดันตัวพี่ธิวออกอีกครั้งสุดแรงโมโห...   จนตัวพี่ธิวเองก็กระเด็นหลุดออกไปจากตัวผม  ถึงจะไม่ห่างไปมากนัก แต่มันก็ทำให้ผมเป็นอิสระได้ชั่วคราว  ทำไมต้องมาทำข้าวของของผมด้วย.. ทำไมต้องทำแบบนี้...  แล้วบ้าอะไร ใครมาแตะต้องตัวอะไรผม....  คิดบ้าไปกันใหญ่แล้ว

“ทำไม.. ทำไมกูจะแตะต้องไม่ได้... มันสำคัญอะไรนักหนา”  พี่ธิวพูดขึ้นพร้อมกับเดิมไปที่ตุ๊กตาตัวนั้น ก่อนจะปามันไปสุดแรงอีกฝั่ง

“ฮึก ฮือๆๆๆ คนบ้า... ทำไมทำแบบนี้...” ผมพุ่งเข้าไปหาพี่ธิว หลังจากที่เขาเขวี้ยงตัวตุ๊กตาตัวนั้นออกไปแล้ว.. ผลักพี่ธิวกระเด็นห่างออกไป  ของชิ้นนี้ผมรักมากที่สุด .. เขาก็รู้ แต่เขาทำมันทำไม...  ผมวิ่งไปจับตุ๊กตาตัวนั้นเข้ามากอดเอาไว้แบบเดิม.. ตุ๊กตาของพ่อ... พ่อผมที่ครั้งหนึ่งพี่ธิวเคยโกหกว่าพ่อผมจะกลับมา... พ่อผมไปสวรรค์... และยังไม่กลับมาจนกว่าผมจะโต..พี่ธิวโกหก...แถมครั้งนี้ยังขว้างตุ๊กตาผมทิ้งไปอีก

“ทำไม...  ทำไมกูจะทำไม่ได้...  มึงเป็นของของกู ของของมึงก็เป็นของกูด้วยนั้นแหละ”  พี่ธิวพูดจบเดินมากระชากมันออกไปจากอกผมอีกครั้ง..  ผมตามไปแย่งคืนมา แต่พี่ธิวจับข้อมือผมเอาไว้แน่น...จนผมทั้งบิด ทั้งดิ้น แต่ก็ไม่หลุดออกไป

“ฮือๆๆ ปล่อย.. ปล่อยนัญนะ.. เอาตุ๊กตานัญมานะ”   มือข้างที่ว่างผมทั้งทุบทั้งดึง  บิดมือพี่ธิวออก แต่ก็ทำไม่ได้... ผมอดที่จะไม่ร้องไห้... แต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่... ทำไมพี่ธิวต้องทำแบบนี้ด้วย

“อยากเห็นนักใช่ไหม...  ได้... เดี๋ยวกูจะทำให้มึงดู ว่าข้าวของของมึงมันเป็นของกูด้วยหรือเปล่า..ตามกูมานี่”   พี่ธิวจับข้อมือผมไว้แบบเดิม พร้อมกับกระชากให้ผมออกไปจากห้อง เสียงดังขนาดนี้... ข้างห้องคงได้ยิน แต่คงไม่คิดว่าจะมีใครมาสนใจหรอก..  พี่ธิวคว้ากุญแจรถได้อีกครั้ง  พร้อมกับกระชากเปิดประตูออก ใช้เท้าถีบประตูดันกลับไปให้ปิดเหมือนเดิม ก่อนที่จะลากผมไปที่ลิฟต์

“ฮือๆๆ ปล่อย... ปล่อยนัญนะ..เอาตุ๊กตานัญมาด้วย...เอามานะ  ฮึก... พี่ธิวเอามานะ”   เสียงผมทั้งร้องไห้ ทั้งขอร้อง.....  แต่ไม่มีทีท่าว่าพี่ธิวจะปล่อยเลย

พี่ธิวจะพาผมไปไหน.....  ขับรถออกไปแบบเดิมอีกแล้ว....  ตุ๊กตาตัวนั้นถูกโยนไปไว้ที่เบาะหลัง  พอพี่ธิวขับ... ผมเอื้อมไปจะเอามันกลับคืนมา..... แต่โดนพี่ธิวผลักกลับมาแบบเดิม

“อยู่เฉยๆๆ ไม่งั้นกูจะขับชนกันชนข้างถนนให้มึงดู ....อยากตายพร้อมกับกูไหมล่ะ...  อย่าให้กูบ้าขึ้นมานะนัญ....”   

“ฮึก... ฮือๆ... จะเอาตุ๊กตา..  ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ..ฮึก..พี่ธิวใจร้าย”   

“สำคัญมากใช่ไหม ตุ๊กตามึงน่ะ...กอดมากี่ปีแล้วล่ะ...  มึงรักมันมากใช่ไหม...  เดี๋ยวคอยดูแล้วกันว่ากูจะทำแบบไหน”   

พี่ธิวขับรถไปเรื่อยๆ เข้ามาทางปากซอย...จนเกือบจะออกถนนใหญ่ ... ข้างทางตอนนี้มืดสนิท ...มีเพียงแสงไฟสลัวๆ จากกลุ่มคนงานก่อสร้างตรงหน้าปากซอยเพียงแค่นั้น

พี่ธิวเบรกรถซะจนหน้าผมแทบจะกระแทกกับชั้นวางตรงด้านหน้ารถ....  แต่สิ่งที่พี่เขาทำ และผมไม่คิดมาก่อน.... ข้างทางตรงนั้นมันมีกองไฟที่คงเป็นพวกจับกังนั่นจุดทิ้งเอาไว้.... ไฟมันมอดไปบ้างแล้ว.. แต่ก็ยังพอมีอยู่  พี่ธิวกดกระจกลดลงมา ก่อนที่จะเอื้อมไปหยิบตุ๊กตาของผมจากเบาะหลัง   .............แล้วเขวี้ยง........

ใจผมแทบจะสลาย... ตุ๊กตาตัวนั้น ถึงมันจะเก่า... มันจะขาดขนาดไหน ...ผมก็รักของผม..  ของของพ่อผมนะ... เป็นเพื่อนผมตอนที่ผมเหงาเกือบทุกคืน... ทำไมพี่ธิวทำแบบนี้

“ไม่นะ !!!  ฮือๆๆ  พี่ธิวทำแบบนี้ทำไม”   ผมเปิดประตูรถออกไป วิ่งโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นที่กองไฟนั้น... ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาตัวนั้นออกกมา... ผมไม่สนหรอกว่าจะเจ็บจะร้อนแค่ไหน...ขอแค่เอาออกมาได้...ก็พอ

   “นัญ... ทำอะไร...ออกมาเดี๋ยวนี้นะ....!!!!”  เสียงของพี่ธิวเรียกผม... เสียงดังของพี่เขามันช่วยอะไรไม่ได้หรอก... นิ้วมือบางนิ้วของผมมันสัมผัสกับความร้อนของไฟ  แต่ผมไม่สนใจ... กระชากเอาตุ๊กตาตัวนั้นที่ผมรักที่สุดออกมาได้

“ฮือๆ..ฮึก...ทำแบบนี้ทำไม....เผาตุ๊กตาของนัญทำไม” ...... ผมร้องไห้... นิ้วมือบางส่วนโดนไฟจากกองฟืนนั้นจนแสบร้อนไปหมด...พี่ธิวรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ..ว่าอุลต้าตัวนี้ พ่อของผมเป็นคนให้มา ....ของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้ายของพ่อ..

   “แล้วจะไปเก็บมันทำบ้าอะไรอีก....อยู่ในกองไฟขนาดนั้น...อยากเจ็บตัวมากหรือไง !!!” 

   “แล้วพี่ขว้างไปทำไมล่ะ...ของนัญนะ...ของของนัญนะ...พี่ขว้างทำไม !!!”  เสียงตะโกนอย่างดังของผม ทำไมพี่ธิวทำแบบนี้ เขาก็น่าจะรู้ว่าผมรักตุ๊กตาตัวนี้มากขนาดไหน

   “เดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่ก็ได้... เก่าก็เก่า..ขาดจนไม่รู้จะขาดไงแล้ว..กูเผาให้น่ะดีแค่ไหน ก็ให้มันถูกเผาเหมือนกับคนที่ซื้อให้จะเป็นไรไป”   พี่ธิวพูดขึ้น แต่กระทบไปถึงคนที่ผมรักอีกคนหนึ่ง พูดเหมือนสิ่งที่ผมว่าเขานั้น ผมเป็นคนผิด..  ทำไมถึงใจร้ายแบบนี้     

มือผมง้างขึ้นจนสุดแขน  สิ่งที่จะทำพี่ธิวรู้แล้วก็เห็นหมดทุกอย่าง...  ถ้าหากตบหน้าคนตรงหน้า ผลที่ได้รับหลังจากนั้น  จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน....  ผมไม่สนใจหรอก

หากแต่พี่ธิวไหวมือทัน  มือแข็งๆ นั้นบีบข้อมือผมอย่างแรงจนเจ็บ

“มึงกล้าจะตบหน้ากูหรอ”   ใช่...ผมกล้าที่จะตบหน้าพี่เขา..ฝ่ามือผมมันยังไม่กระทบแก้มของพี่เขาก็แค่นั้นเอง... แต่สิ่งที่ผมกล้าจะทำ ตอนนี้มีคนทำให้แทนแล้ว

....ผั๊วะ !!!..... 

“ต้องมันตบหน้าพี่วัจน์ไม่ได้....  เพราะพี่จับแขนมันไว้อยู่ ..  แต่ถ้าเบสต์อยู่ข้างๆ ต้องเมื่อไหร่...  เบสต์นี่แหละจะตบหน้าพี่แทนต้องเอง...ปล่อยมือเพื่อนเบสต์เดี๋ยวนี้นะ” 

เสียงรถที่ถูกขับตามมา.....  ผมรู้ทันทีว่าเป็นรถของพี่เอก  ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเบสต์กับพี่เอกมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...แล้วเห็นเหตุการณ์อะไรบ้าง... แต่เบสต์รู้เสมอว่าผมรักตุ๊กตาตัวนี้มากขนาดไหน   แต่ตอนนี้เบสต์ตบหน้าพี่ธิวไปแล้ว  .....  เบสต์อย่าทำแบบนั้นนะ...  ผมไม่อยากให้เบสต์ต้องมาเคราะห์ร้าย ..ต้องมาเจอสิ่งที่ร้ายๆ ไปกับผมด้วย.. พี่ธิวไม่ใช่คนที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำได้ง่ายๆ หรอก

“เบสต์ !!!” เสียงเรียกจากทางด้านหลัง พร้อมกับกระชากตัวของเบสต์กลับไป..ก่อนที่พี่วัจน์จะถึงตัว.. แต่เพื่อนของพี่เขาเอาเบสต์ออกไปก่อน

“ปล่อยเบสต์....ปล่อยเบสต์นะ..... พี่เอกด้วยเหมือนกัน...เพื่อนกันนิสัยไม่ต่างกันเลยนะ...เลวทั้งคู่ !!!”  เสียงของเบสต์ตะโกนแข่งกับพี่เอก จนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร  ผมจับต้นชนปลายไม่ถูก....  สองคู่ระหว่างผมกับพี่ธิว และพี่เอกกับเบสต์.. ต่างคนต่างพยายามกระชากพวกผมทั้งคู่ไปขึ้นรถของแต่ละคน..จนไม่สนใจรอบข้างว่าเป็นอย่างไร....  พี่ธิวและพี่เอกไม่สนใจว่าตอนนี้มีรถปาดเข้ามาจอดทางด้านหน้าอีกคัน... แสงไฟจากรถคันนั้น....  แทงเข้ามาที่นัยต์ตาของผมจนสว่างจ้า

“พวกมึง  !!! ทำไรวะ !!!”   เสียงนั้นผมคุ้น..จนทำให้ต้องหันหน้าไปมอง

“พี่เรย์ !!!!!!”   

   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:10:16
ตอนที่ 15  ของของกู

“พวกมึง  !!! ทำไรวะ !!!”   อ้อ...ไอ้ตัวต้นเหตุ มาถึงนี่เชียวหรอมึง...ก็ดี กูจะได้ไม่ต้องไปตามกระทืบมันในโรงเรียน

“พี่เรย์ !!!!!!”   เสียงของไอ้ตัวเล็กที่มันพยายามดิ้นหนี...เรียกไอ้ตัวเสือกนั่น... ผมอยากจะเห็นเหมือนกัน...ตอนที่ผมกับไอ้เรย์ซัดกัน..นัญมันจะเข้าข้างใคร...

“มึงมาเสือกอะไรด้วย !!!”    มือข้างหนึ่งของผมยังจับตัวนัญเอาไว้ ไม่ให้ดิ้นหลุดผมไปได้... รถอยู่ตรงข้างหน้า  ..แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคงจะขับรถกลับเฉยๆ ไม่ได้เสียแล้วล่ะ

“กูก็ไม่อยากเสือกเรื่องของมึง  ....แต่มึงก็ปล่อยต้องด้วย”  หึหึ.... มันเอาสิทธิ์อะไรมาสั่งผม....  แค่ได้จับนิดๆ หน่อยๆ เมื่อเช้าคิดหรอว่าแค่นั้น.... มันจะมีสิทธิ์ในตัวนัญได้

“มึงอยากได้หรอไอ้เรย์...  มึงอยากได้ของเหลือเดนจากกูซ้ำหรอ”   พูดขนาดนี้ ถ้ามันยังไม่รู้ว่านัญเป็นของใคร มันก็โง่เต็มทน... เป็นไปอย่างที่คิด...ไอ้เรย์ปรี่เข้ามาหาผมทันที...ก่อนจะง้างหมัดซัดเข้ามาเต็มเหนี่ยวที่ปลายคาง.. ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่ากลัวไอ้ตัวเล็กที่ผมพยายามดึงมันออกจะโดนลูกหลงไปด้วย  ไอ้เรย์มันไม่มีทางเข้าใกล้ผมได้เด็ดขาด... ผมผลักนัญให้ถอยออกไปก่อนทีจะปล่อยหมัดสวนกลับไป ....  ได้ผลทันที ตอนนี้หน้าผมกับหน้ามันได้เลือดกันทั้งคู่  ...ไอ้เอกตอนนี้ปล่อยจากที่ยืนจับของเล่นมันออกมาแล้ว.... เตรียมตัววิ่งเข้ามารุมจากทางด้านหลัง.. แต่ผมตะโกนขึ้นไปก่อน

“ไอ้เอก..!!!!  มึงไม่ต้อง... เอาตัวต้องออกไปก่อน”  ถ้ามันกล้าเข้าใส่ผมแบบนี้... ผมก็ไม่อยากจะเอาเปรียบมัน... มึงกับกูมันต้องตัวต่อตัว...กูก็ไม่ชอบหมาหมู่

ทันทีที่พูดจบ  ..ผมหันเข้าไปซัดไอ้เรย์ต่อ หมัดแลกหมัด ..ถีบแลกกับถีบ.. ต่างคนพันตูกันให้วุ่นไปหมด.. ตัวมันกับตัวผม ถือได้ว่าเกือบจะเท่ากัน..ไม่มีใครเสียเปรียบใคร...  มึงคิดหรอว่ามึงทำแบบนี้..มึงจะแสดงเล่นบทเป็นพระเอกได้...  ...

“ไม่หมาหมู่ดีนี่หว่าพวกมึง....”    เสียงของมันหอบโยน พอๆ กับผม..  ล้มลงไปทั้งคู่แต่คนละฝั่ง... ตอนนี้เสื้อนักเรียนของมันกับของผมเปื้อนดินแถวนั้นไปหมดแล้ว...   ไอ้เรย์มันเก่งขึ้นจากเมื่อก่อน..  ตอนนั้นที่มันกับผมต่อยกันเมื่อปีที่แล้ว...ไม่เห็นมันอึดขนาดนี้...

“กูไม่ใช่หมาหรอกไอ้เรย์...มึงมากกว่ามั้งที่หมา ชอบคาบของคนอื่นไปแดก..หมาชัดๆ”  ผมพูดไปเอามือเช็ดปากไป... แรงต่อยของมันตอนนี้ใช่ย่อย....

“ต้องไม่ใช่ของมึง...กูกับน้องเค้ายังไม่ได้คิดอะไรกัน..มึงมันพวกหวงก้าง”   มุมปากทั้งสองข้างของไอ้เรย์ก็ได้เลือดด้วยเหมือนกัน... ไม่รู้ว่าจากศอกผมเมื่อกี้...หรือว่าที่มันร่วงลงไปกระแทกพื้นกันแน่

“ฮ่าๆ  มึงลองถามมันดิ่ว่ามันเป็นของใคร... เอาน่าไอ้เรย์ !!!  รอกูเบื่อมันก่อน.. เดี๋ยวกูถีบส่งไปให้...” 

“ไอ้สัตว์วัจน์ !!!”     สงสัยจะจี้ใจดำมันเข้าไปเต็มๆ  ไอ้เรย์พุ่งเข้ามาต่อยผมซ้ำที่จุดเดิมจนหน้าหัน..   แต่ผมก็ไวเหมือนกัน..ถีบสวนมันเข้าไปให้จนจุกลิ้นปรี่..ไอ้เรย์ที่ตอนนี้ลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง.. แรงผมมันยังมีอยู่... ทันทีที่มันร่วง...โอกาสก็เป็นทันทีผมขึ้นไปนั่งคร่อมที่ตัวมัน เอาน้ำหนักของตัวเองทับเอาไว้ก่อนที่จะปล่อยหมัดไม่ยั้ง...

“ผลั๊ก..!!! ผลั๊ก...!!! ผลั๊ก...!!!  ผลั๊ก!!!”   เสียงต่อยของผมตอนนี้มันดังพอที่จะให้คนแถวนั้นได้ยิน..แต่ติดใจที่ว่า ตอนนี้คนแถวนั้นมันไม่มีใคร... จะมีก็แต่ผมกับมัน  ต้อง  ไอ้เอก แล้วก็เบสต์เพียงแค่นั้น.....

“โอ๊ย !!!”    แรงผลักจากมือของใครบางคนทำให้ตัวไอ้เรย์มันเป็นอิสระได้ชั่วคราว... แต่แรงต่อยไม่ยั้งของผม กี่หมัดไม่รู้ต่อกี่หมัด..ทำให้มันมึนไปได้ชั่วครู่  ไอ้เรย์ไม่ได้ตามมาเอาคืนผม.... แต่ตอนนี้ มันถูกประครองขึ้นมาจากร่างเล็กๆ บางๆ ที่อยู่ตรงหน้า..

“นัญ !!!”  เสียงเรียกของผมตะโกนสุดดัง.... ความโมโหที่เกิดจากโดนไอ้เรย์ต่อย... มันยังไม่น่าโมโหเท่าภาพที่เห็นตรงหน้า

“คนบ้า !!! ใจร้าย....  !!!  ฮือๆๆ ... ไปทำเขาทำไม”  เสียงนัญมันตะโกนก้อง.. เข้าข้างไอ้เรย์เต็มที่.. มือผมที่ชกไอ้เรย์เมื่อกี้  ตอนนี้อยากจะซ้ำมันลงไปอีกซักร้อยครั้ง....

“ปล่อยมันเดี๋ยวนี้  !!!”   

“ไม่ !!!!... ฮึก ...อย่ามายุ่งกับพี่เรย์นะ.. ถ้าจะทำอะไรก็ทำนัญซิ่..พี่เรย์เค้าเกี่ยวอะไรด้วย.. ฮึก... ใช้แต่กำลัง.. พี่ธิวเป็นบ้า...  หมาบ้า !!! ฮือๆ  หมาบ้าที่สุด”    ....เสียงดังของมัน พร้อมกับเสียงที่ด่าผมเต็มเปา...  มือนัญข้างหนึ่งประครองไปที่แก้มช้ำๆ ของไอ้คนที่นอนซมเลือดอยู่  ส่วนมืออีกข้าง  จับท้ายทอยขึ้นเอาไว้...   พร้อมจะกันเต็มที่ หากผมปรี่เข้าไปหาอีกครั้ง

“กูทำมึงแน่นัญ....  ถ้ามึงไม่ปล่อย... กูบอกให้ปล่อยมันออกมา !!!”  ตอนนี้สติผมมันแทบจะขาด...  ดีที่ไอ้เอกมันเข้ามาช่วยจับนัญออกไปอีกครั้ง...   เหตุการณ์ตอนนี้เหมือนเพื่อนของนัญมันก็เข้าใจดีว่าคงจะห้ามผมไม่ได้แน่ๆ ..  แรงความโมโหมันเพิ่มอีกไม่รู้กี่เท่า...  ไอ้เอกดึงนัญขึ้นมา....  เบสต์เอาแต่ร้องไห้อยู่ข้างๆ รถ...   ส่วนไอ้เรย์พอเป็นอิสระ...  แรงมันก็กลับมา พุ่งประชิดตัวผมอีกครั้ง... 

“ผลั๊ก !!!”  แรงของมันต่อยมาเต็มหน้าผม...  จนล้มลงไปข้างๆ  ....  ผมโดนไอ้เรย์ต่อย... พร้อมกับอยู่ในสถานการณ์เดิม... เพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งของมันกับของผม.. ตอนนี้กลายเป็นไอ้เรย์ที่ได้เปรียบ มันคร่อมตัวผมเต็มที่ พร้อมกับปล่อยหมัดมาไม่ยั้ง.. เอาคืนที่ผมทำมันไว้เมื่อสักครู่

................แต่........ ทำไมคราวนี้...นัญไม่มาห้ามไอ้เรย์ล่ะ

ทำไมปล่อยให้ผมโดนต่อย

ทำไมถึงยอมให้ผมเจ็บ

แรงที่โดนไอ้เรย์ต่อยตอนนี้...  มันไม่เจ็บหรอก... แต่ส่วนอื่นต่างหากที่มันเจ็บยิ่งกว่า...  เจ็บใจ

“ปังงงงง !!!” เสียงปืนไม่รู้ดังมาจากไหน... ฉุดสติให้ขึ้นมาทั้งหมด   เสียงไอ้เอกตะโกนขึ้นมา

“ไอ้วัจน์ ตำรวจ”   

ตอนนี้ผมกับไอ้เรย์แยกออกจากกันชั่วคราว  มันกับผมมองหน้ากัน ราวกับแค้นกันมาเป็นชาติ ....ต่างคนต่างวิ่งไปที่รถ...  แต่ก่อนที่จะวิ่งไป  ไอ้เรย์ดันจะไปแย่งตัวนัญมันมาจากไอ้เอกอีก..ผลปรากฏ... แต่โดนผมถีบออกไปก่อน  พร้อมกับไอ้เอกเตรียมจะปรี่เข้ามาซ้ำ  เสียงไซเลนท์รถตำรวจดังขึ้นพอดี  ทำให้รถทั้งสามคันถูกแยกออกมา

ผมรีบขึ้นรถ  กระชากตัวไอ้นัญออกมาจากไอ้เอก  ผลักมันเข้าไปในเบาะรถด้านหน้า แล้วรีบขับรถกลับไปที่ห้องทันที ... ส่วนไอ้เอกกับไอ้เรย์ตอนนี้ไม่รู้ขับแยกออกไปทางไหน ..ไม่รู้กลับเข้าไปในซอย  หรือว่าออกไปทางถนนใหญ่   ผมขับรถออกมาจากตรงนั้นเป็นคันสุดท้าย ..ปิดไฟทั้งหน้ารถและหลังรถออกทั้งหมด..กันไม่ให้เป็นที่พิรุธของตำรวจ.. จะเปิดก็เพียงไฟตัดหมอกเท่านั้น  ..ไอ้คนข้างๆ ตอนนี้เอาแต่ร้องไห้

ผมขับรถเหยียบเต็มที่ด้วยแรงโมโห  ซอยที่เข้าคอนโดมันไม่ได้ใหญ่นัก..หากใครเซ่อซ่าวิ่งออกมา คงตายขาดสองท่อน

“กูทำมึงแน่นัญ.... กูทำมึงแน่ !!!”  เสียงคำรามของผม ไอ้คนข้างๆ มันทั้งกลัวทั้งถอยหนี..แต่ไม่มีทางที่จะหลุดออกไปจากรถผมได้

ห่วงมันนัก.....  แต่ทีกับกูไม่เคยจะห่วง.... อยากให้กูตายนักใช่ไหม....  เดี๋ยวกูจะให้มึงตายแทนแน่ไอ้นัญ...  ตายทั้งเป็นนั้นแหละ

“ฮึก...ฮือๆๆ...พี่ธิวใจร้าย”   เสียงมันเอาแต่ร้องไห้....

“ร้องทำเหี้ยไร... !!!!  ร้องไป ...ไอ้สัตว์นั่นมันก็ไม่ช่วยมึงหรอก ป่านนี้โดนตำรวจซิวไปแล้ว” 

“ฮึก...ฮึก... ไปทำเขาทำไม... พี่เรย์ไปทำอะไรให้...พี่เรย์จะมาช่วยนัญ... ช่วยนัญจากพี่ธิว”     ถึงขณะนี้ มันยังไม่รู้ชะตาตัวเองว่าจะเจอกับอะไรบ้าง.. แต่ก็ยังมัวห่วงไอ้อีกคนหนึ่งอยู่ ...  ผมก็โดนไอ้เรย์ต่อย  ไม่น้อยไปกว่ากัน... มันไม่คิดจะถามผมซักนิด

“แล้วมันช่วยมึงได้ไหมล่ะ...  มึงนั้นแหละนัญ จะซวยกว่ามัน”  ผมชี้หน้าคาดโทษ ไม่รู้ว่าขับรถเข้ามาถึงตรงช่องที่จอดตั้งแต่เมื่อไหร่... นัญมันไม่ยอมลงจากรถ จนผมต้องลากมันออกมา  แรงปิดประตู มันแรงพอๆ กับแรงของความโมโห  .. ตอนนี้นัญมันทั้งร้องไห้.. ทั้งเบี่ยงตัวหนี..  แต่มันหนีไม่พ้นหรอก  ...มือตอนนี้ของมันอีกข้างที่ผมดึงอยู่  พยายามจะบิดตัวหนีออก...ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของมัน ยังคงจับตุ๊กตาของมันที่โดนไฟไหม้ไปซะครึ่งหนึ่งอยู่  ...... ผมมองไอ้ตัวตุ๊กตาต้นเหตุด้วยความเกลียด....   จับแย่งมันออกมาจากมือ.. โยนทิ้งลงไปเบื้องล่าง... ที่เป็นคลองระบายน้ำ...... เสียงของไอ้นัญทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน..เรียกหาของสุดที่รักของมัน

“อย่า...ฮือๆๆๆ พี่ธิว.. อย่า.ทิ้งตุ๊กตาของนัญทำไม  ฮือๆๆ ใจร้ายๆๆ  นัญเกลียดพี่ธิว เกลียดๆๆ เกลียดพี่ธิว”  มือมันตอนนี้ที่ว่างทั้งทุบ ทั้งข่วน จนผมรู้สึกเจ็บ    .... 

“สายไป!!!..... มึงอยากโดนตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนี่.. กูจะล่อให้มึงจมไข้เลยคอยดู” 

“สัตว์  !!!!!!”   ผมชะงักกึก ... หยุดเดินไปในทันที...  ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง.... หันกลับไปจนกระแทกกับไอ้คนที่ด่าผมต้นเสียง  ....   มันกล้ามาก

“มึง................ ด่าใคร”     ผมถามมัน มือผมจับรวบมือของมันทั้งสองข้าง  บีบจนแน่นเข้าหากัน จนมันนิ่วหน้า

“พี่มันสัตว์.... สัตว์มันยังดีกว่าพี่อีก...ฮึก.. ทำ..ของของนัญทำไม.... โยนตุ๊กตา..ของพ่อนัญทำไม..ฮึก ฮือๆ” น้ำตาของมันไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง จนตาแดงไปหมด  ผมรีบหันหลังกลับ ก่อนที่จะยั้งใจไว้ไม่อยู่....  ถึงจะเกลียดมันขนาดไหน.. แต่ให้ไง ผมก็ชกมันไม่ลง....  ตายเสียเปล่าๆ ถ้าจะทำแบบนั้น

  “...ลองดีกับกูก็ได้นัญ .... มา !!!”     ผมพามันเดินมาจนถึงลิฟท์ และเปิดมาจนถึงหน้าห้อง เสียบคีย์การ์ด  พร้อมกับกดรหัส.. ตลอดทางไอ้นัญมันทั้งร้องไห้..ทั้งดิ้นหนีผม.. แต่มันก็ไม่รอด.. ประตูห้องถูกถีบปิดเข้าไปอย่างแรง   พร้อมกับดึงไอ้นัญมันมาที่ห้องของผม  ....   โยนมันลงไปที่เตียง... เสื้อผ้าที่เปื้อนๆ ของมันถูกผมกระชากออกจนกระดุมขาด.....  หน้าของมันซีดจนขาว...   ถอยร่นหนีผมจนไปจนมุมที่หัวเตียง

“ไม่...อย่า ฮือๆๆๆ  ช่วยด้วยยยยยยยย!!!”  เสียงเรียกของมันตะโกนก้องดัง  แต่ไม่มีทางหรอกที่คนนอกจะได้ยิน...ช่วงบนของมันเปลือยเปล่า ..กระตุ้นอารมณ์ให้ผมกระเจิงจนหยุดไม่ได้...เสียงเรียกร้องให้ช่วย..หวังว่าจะให้ไอ้เรย์มาช่วยหรอ.... ฝันไปเถอะ

“มึงเรียก !!!  เรียกไปเลย.... เรียกหาไอ้เรย์...เรียกหาพ่อมึงที่ตายไป ....หรือเรียกหาแม่ร่านๆ ของมึงก็เอาเลย ...ไม่มีใครมาช่วยได้หรอก”  ผมยื่นหน้าเข้าไป หวังจะกดหน้ามันให้แนบชิดกับปากของผม แต่ถูกฝ่ามือเล็กๆ ของมันเหวี่ยงออกมาเสียก่อน

“ฮือๆๆ ออกไป...ออกไปๆ”  สิ่งที่มันหวังจะทำตอนแรกที่ผมเขวี้ยงตุ๊กตามัน แล้วเพื่อนทำแทน..ตอนนี้ได้ผลแล้ว ...มันตบหน้าผมซ้ำกับรอยเดิม ที่มีเลือดอยู่เต็มไปหมด....เคยมีใครหลายคนบอกว่าผมหล่อ...หน้าตาดี...ตอนนี้ไอ้เค้าความหล่อนั้นมันไม่เหลือหรอก...ทั้งรอยหมัดของไอ้เรย์ ...รอยจากคนที่ตบผมตรงหน้า..แล้วก็ร่องรอยของความโกรธ จนกรามมันขบกันเป็นสันนูน...ตอนนี้ผมกับสัตว์ป่าคงไม่ต่างกันจริงๆ ตามคำที่มันด่านั้นแหละ

“ฮ่าๆๆ หนีกูไปดิ่  ..เอาดิ่  หนีกูเลยย ...มึงหนีกูไม่พ้นหรอกนัญ”   ผมทั้งหัวเราะด้วยความสะใจ ทั้งดึงกางเกงของมันให้หลุดออกมา  เข็มขัดของมันถูกปลดออก พร้อมกับกางเกง ก่อนจะเอาเข็มขัดเส้นนั้น มัดมืดมันเอาไว้ จนเห็นรอยเลือดจางๆ จากข้อมือนั้น... ชั้นในตัวเล็กสีขาวของมันถูกผมกระชากออกจนขาด.... ไม่สนใจที่จะดึงลงออกมาจากทางปลายขา ทันทีที่ร่างกายของมันไม่มีอะไรเหลือติดตัว...ผมจับร่างของมันหงาย จับปลายขาแยกออกมา  แล้วแทรกตัวเองเข้าไปคั่นกลาง   นัญมันทั้งร้องไห้ ทั้งถอยหนี  แต่ผมจับปลายขามันเอาไว้ แล้วยกขึ้น  ไม่มีทางแล้วที่มันจะหนีไปได้

“ไม่ !!!!!!! ฮือๆๆๆ ปล่อยนะ”   

“ฮ่าๆๆ  หนีกูดิ่......   อยากโดนนักไม่ใช่หรอ... นี่ไง”   เสื้อผ้าของผมตอนนี้มันยังไม่ถูกถอดออก.... ซึ่งมันไม่จำเป็น.... ถ้าอยากจะให้คนข้างหน้ามันทั้งเจ็บแล้วก็จำ.... ไม่ต้องเป็นทำอะไรมาก... แค่รูดซิปกางเกงก็พอ

ส่วนล่างแก่นกายของผมเป็นอิสระ ก่อนที่จะกระแทกจุดส่วนที่อ่อนไหวที่สุดในร่างกายของคนตรงหน้า แต่ต่างกับครั้งนี้  มันต่างกับครั้งที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่มีการเล้าโลมอะไรก่อนทั้งสิ้น ...ไม่มีอะไรซักอย่างที่จะหล่อลื่นช่วยได้...ผมเจ็บ แต่ก็พอทนไหว.... ตอนนี้หวังต้องการอย่างเดียวคือเพียงความสะใจ... และให้ร่างกายของอีกคนเจ็บก็เท่านั้น.... 

“อึก !!!”

“ไม่  !!!!!!!!!!!!!!!!  ฮือ  ฮึก...เจ็บบบ  อย่า  ฮือๆๆๆ”   มันทั้งร้องทั้งดิ้นหนี แต่ผมล๊อคเอาไว้  ร่างเล็กนั้นทั้งร่างเกร็งสั่นด้วยความกลัว  เพียงแค่ครั้งเดียว ผมสอดใส่ไปจนแนบแน่นทั้งแก่นกายแข็งขืน สุดลำของมัน...  เพียงครั้งเดียว  ก่อนที่จะกระแทกไปไม่ยั้ง..... เร็ว....และรัวสลับกันไป..จนรู้สึกถึงของเหลวเบื้องล่างที่ไหลออกมา...เลือด

จะให้ใครช่วยก็ไม่ได้..ตอนนี้จะเอาอะไรมาฉุดผมก็ไม่อยู่  ทั้งแรงกระหาย..ความต้องการเป็นเจ้าของ ...และอยากจะสั่งสอนให้รู้ว่า ต่อไปนัญมันไม่ควรที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าผม....มันไม่ควรที่จะด่าผมอีก.... บทเรียนครั้งนี้มันต้องจำ

“จำเอาไว้นัญ...ทีหลังอย่าดื้อกับพี่.... ทีหลังอย่าทำอีก...จำเอาไว้ !!!”   ผมกระแทกย้ำไปอีกไม่รู้กี่ครั้ง จนร่างเล็กๆ นั้นฟุบลงไป ร้องไห้อย่างหนัก....  ผมใส่กระแทกรัวอีกครั้ง ก่อนจะถึงจุดสูงสุดของความต้องการ

“อาห์.....”   ผมถอยออกมา  พร้อมกับแก่นกายของตัวเอง  ...เสื้อผ้าอยู่ครบไม่ได้ถอดไปไหน แตกต่างกับคนที่นอนขดหนีอยู่บนเตียงอย่างสิ้นเชิง....ร่างเล็กๆ ทั้งสั่น ทั้งหนี  เลือดไหลออกมาเป็นสายจากตรงด้านหลัง...ผมมองหน้ามันที่เอาแต่ยังร้องไห้อยู่ ....คงจะทั้งเจ็บและกลัว.... แต่มันจะจำไหมก็แค่นั้น

“จะจำไหม!!!”   

“ฮึก...ฮือๆ คนนิสัยไม่ดี”  มันหยุดด่าผมแล้ว.... แต่ยังไม่หยุดว่าผมอยู่ดี

“กูถาม....ว่าจะจำไหม”    ความหงุดหงิดมันเพิ่มขึ้นมาอีก...ต้องให้ฆ่ากันหรือไง ถึงจะหยุดลองดีกับผมซักที

“....ออก.....ไป”   มันไล่

“มึง................จะ...........จำ...........ไหม”      เสียงผมถามคำถามเดิม ย้ำชัดๆ

“....สัตว์ป่า....”    มันไม่จำ...  มันไม่จำจริงๆ 

“ดี.... กูจะให้มึงดู...ว่าสัตว์ป่าเขาทำกันแบบไหน.....  ผัวมึงมันเป็นสัตว์ไง”   ผมดึงมันเข้ามาหาตัวอีกครั้ง.... อารมณ์ ดิบๆ ของผมมันใช้การได้เสมอ ถึงแม้ว่าจะถึงไปแล้วรอบหนึ่ง...แต่มันก็สามารถที่จะต่อและใช้การได้เลยทันที..... ผมจะเอาให้มันจำให้ได้...ให้มันเข็ด...ให้มันกลัวให้ได้

ไอ้สิ่งที่หล่อหลื่นมันมีอยู่แล้ว...ถึงครั้งแรกมันจะเจ็บจนได้เลือด ....แต่เลือดของมันนั้นแหละ...และก็ไอ้คราบคาวของผมนั้นแหละที่จะทำให้มันเจ็บน้อยลง

ผมจัดการอีกครั้งอย่างง่ายดาย...นัญมันไม่มีแรงที่จะขยับหนีผมได้พ้น.... ผมทั้งหัวเราะ..ทั้งกระหน่ำไปจนไม่ยั้ง.....  ก่อนที่บทรัก..... ที่น่ากลัวของผมเองมันจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง
.
   .
   .
   .
   .
   .
   .
   ร่างเล็กๆ ที่นอนขดอยู่...หลับแล้วก็หมดสติไปตั้งแต่ผมเข้าไปจัดการคราบในห้องน้ำ...ผ้าปูที่นอนเต็มไปด้วยเลือดจากตัวของมัน .....  นัญยังคงหลับนิ่งอยู่บนเตียง  จนแม้ผมอุ้มมันออกมา เพื่อย้ายมานอนอีกห้อง...ถ้าจะให้นอนห้องของตัวเอง...ที่จัดการทำร้ายไปเมื่อซักครู่นี้คงไม่ไหว...มันเลอะและก็มีแต่กลิ่นคาวเลือดเต็มไปหมด... ผมอุ้มไอ้ตัวต้นเรื่องนั้นลงอย่างช้าๆ  กลัวมันตื่น

ดึกขนาดนี้..มันยังหลับสนิท.....  มีแต่เพียงเสียงเพ้อ ร้องไห้เท่านั้น............  เสียงพูดเดิมๆ  หากวันไหนมันร้องไห้....  เสียงฝันร้ายเดิม....   มันยังคงไม่เปลี่ยนไป..... ผ่านมาเกือบสิบปี... ผมรู้ชัดแน่แล้วว่านัญยังคงฝันร้ายแบบนั้นอยู่

“........ขอโทษ.......” 

ผมหลับลงไปช้าๆ... ข้างๆ คนที่นอนขดอยู่.... กอดมันเอาไว้....เพื่อให้ฝันร้ายนั้นผ่านไป
.
   .
   .   
   .
   .
ตื่นมาตอนเช้า... ด้วยเสียงของไอ้คนที่ยังเพ้ออยู่ข้างๆ  เพียงแต่ตอนนี้นัญมันไม่ได้ฝันร้าย..แต่มันเพ้อเพราะพิษไข้ต่างหาก....ผมเอามือไปอิงกับหน้าผาก..ตัวมันร้อนอย่างกับอยู่ใกล้ๆ ไฟ...... สิ่งที่ผมทำเมื่อคืนมันแรงเกินไป... นัญมันยังเพ้ออยู่ ไข้ขึ้นสูงจนผมต้องเอายาที่มีติดอยู่ในห้องมาให้มันกิน

จนเกือบเที่ยง....อาการที่มันเป็นอยู่เบาบางลงไปบ้าง...ตัวร้อนๆ รุมๆ นั้นเบาลง...แต่นัญยังไม่ตื่น..... วันนี้ทั้งผมและมันหยุดเรียน จนไอ้เอกกับไอ้นันต์ต้องโทรมา.... ผมบอกมันไปว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง..ไอ้เอกก็ไม่เห็นไอ้เรย์เหมือนกัน..อาการผมกับมันคงแย่พอๆ กัน...

ผมลงไปซื้อข้าวต้มข้างล่างมาสองถุงสำหรับไอ้คนป่วยถุงหนึ่งและของตัวเองอีกถุงหนึ่ง...ถ้าจะให้ตอนนี้ กินอะไรที่ต้องเคี้ยวยากๆ คงไม่ไหว  ปากมันระบมไปหมด....  ตอนนี้ไอ้คนที่ยังนอนป่วยอยู่พอรู้เรื่องบ้าง... ผมอุ้มมันขึ้นนั่ง.... ทั้งเนื้อทั้งตัวมันไม่ได้ใส่อะไร..จะมีก็แต่เพียงผ้าห่มผืนหนาๆ ที่ผมห่อพันมันเอาไว้ ไม่ให้หนาว..ข้าวต้มร้อนๆ ยังอยู่ในชาม  เป่าเบาๆ ก่อนที่จะบังคับให้คนที่กึ่งสลึมสลือนั้นอ้าปากได้.....  นี่ผมป้อนข้าวให้มันกิน.... ผมป้อนข้าวให้ไอ้คนที่ผมทำร้ายแทบปางตายเมื่อคืน......

คราวนี้มันหนักถึงขนาดจับไข้ได้... คราวนี้มันต้องจำ....และก็ต้องรู้ด้วยว่าไม่ควรที่จะมาลองดีกับผมอีก

“กินอีกหน่อย” ผมพยายามเอาข้าวต้มเข้าไปในปากอีกช้อน หลังจากที่ไอ้คนที่ผมป้อนมัน ดื้อจนหันหน้าหนี... รอยขอบตาทั้งแดง ทั้งบวมจากรร้องไห้อย่างหนักเมื่อคืน

“.......กินยาซะ...”  ผมยื่นยาให้มันชุดหนึ่งพร้อมกับน้ำ...  มันกินตามที่สั่ง พร้อมกับดื่มน้ำตามไป

“จะ..เข้าห้องน้ำ”  มันพูด  พร้อมกับพยายามดึงผ้าห่มขึ้น ผมไม่พูดอะไร  ดึงผ้าห่มออก เพราะถ้ามันจะเข้าห้องน้ำ  ผ้าห่มทั้งผืนที่เป็นแบบนวมคงเกะกะพอดู...ผมดึงผ้าออกพร้อมกับอุ้มมันเข้าห้องน้ำ.....  มันพยายามจะดันผมออก.... พร้อมกับเบี่ยงตัวหนี.... จนต้องจ้องหน้ามันแบบคาดโทษ...และไม่ให้ดื้อ

“อย่า........!!!”  เสียงห้ามของผมคำเดียว ไอ้นัญเงียบกริบ...ไม่กล้าที่จะขืนตัวเองอีก.... ได้ผล...ครั้งนี้มันคงเข็ด...และไม่กล้าที่จะลองดีกับผมอีกแล้ว

จัดการชำระล้างตัวมันจนเสร็จ.... ในห้องน้ำนัญมันเอาแต่ก้มหน้า... ทั้งสั่น ทั้งหนาวจนผมต้องใช้น้ำอุ่นเข้าช่วย..... กับคู่นอนคนอื่น ผมไม่เคยจะต้องทำแบบนี้.... มันเป็นคนแรก  เพียงครู่เดียวก็จัดการเสร็จ เห็นมันตัวขาวๆ เล็กๆ อยู่ในห้องน้ำ... ผมต้องสะกดใจเอาไว้ไม่รู้ตั้งกี่รอบ...ถ้าขืนทำแบบเดิมอีกจะเบาจะแรงขนาดไหน.... ถ้าทำซ้ำ เห็นทีมันคงต้องเข้าโรงพยาบาล 

“นอนซะ....”   ผมสั่งให้มันนอนอีกครั้ง... เอาผ้าห่มให้มันทับสองผืน เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวของมันไม่ได้ใส่อะไรเลยถ้าห่มผืนเดียว มันคงหนาว ..........ตอนนี้ก็รู้สึกเพลียเหมือนกัน...  ขอนอนสักงีบเถอะ ตัวมันยังสั่นๆ อยู่  จนผมต้องเอาตัวเองมุดเข้าไปในผ้าห่ม..... และกอดมัน

“อย่าดิ้น !!!”  เสียงกำชับเน้นๆ ของผมทำให้มันหยุดนิ่ง.......  ไม่กล้าที่จะเบี่ยงตัวหนี... คงเข็ดจริงๆ 

“ฮึก...ฮือๆ”   มันร้องไห้.... จะร้องทำไมนักหนา

“เป็นไร”  ผมงงอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมา

“กลัว...”   คำสั้นๆ ที่ผมเข้าใจได้ทันที

“ทีหลังก็อย่าดื้อ”

“................”   

“เข้าใจเปล่า”  ทำไมมันต้องให้ผมถามย้ำๆ อยู่เรื่อยๆ

“คะ.......ครับ...ฮึก....เข้า..ใจ”   เสียงมันสะอื้นขาดๆ หายๆ แต่ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง ผมยังคงกอดมันอยู่..

“เข้าใจว่าไง” 

“มะ...ไม่...ดื้อ..ฮึก...ฮึกไม่ดื้อ” เสียงมันยังสะอื้นร้องไห้อยู่  แต่ก็ยังดีหน่อยที่มันบอกว่าไม่ดื้อแล้ว

“หยุดร้องไห้ด้วย...ร้องทำไมนักหนา..รำคาญ” 

“ฮึก..ฮึก..ฮึก”   เสียงกลั้นสะอื้นของมัน  พยายามอยากจะหยุดร้องแต่คงยาก   ทั้งกลัวที่ผมดุ ทั้งพยายามจะหยุดร้อง... แต่มันทำยาก

“เงียบ  !!!” เสียงห้ามของผมเหมือนกับสั่งให้เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งหยุดร้องไห้

“ฮึก...ฮึก” 
   
มันยังคงร้องอยู่ แต่พยายามกลั้นสะอื้นจนเต็มที่...กว่าเสียงมันจะหยุดร้องก็ตอนที่มันร้องจนเหนื่อยและเผลอหลับไป...ส่วนตัวผมตอนนี้ ปากกับหน้ามันเริ่มระบม....  ปวดหัวไปหมดจนต้องเอื้อมไปหยิบเอายามากิน จะลุกไปกินน้ำตามตอนนี้ก็ไม่ได้.... ไอ้ตัวเล็กที่ร้องไห้อยู่เมื่อกี้  กอดผมจนแน่น คงเพราะอยากจะหาไออุ่นที่นอกเหนือจากผ้าห่ม.....  อยากจะลุกไปกินน้ำ...แต่ก็กลัวนัญมันจะตื่น

ผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ... จนได้ยินเสียงโทรศัพท์โทรมาอีกครั้ง

.......ไอ้นันต์........
“เออมีอะไรมึง..........................เมื่อไหร่............................พวกไอ้ตั้มกับใคร..................เออ.............เออ..............คืนนี้กูไม่ไหว ฝากบอกมันด้วย....................คืนวันพุธ รถกูเสร็จพอดี.......................เอาใคร................มึงหาให้กูคนหนึ่งแล้วกัน สวยๆ หน่อย ที่ผับเดิมนั้นแหละ ...........เออๆ กูจะนอน.................นอนอยู่ข้างๆ.................... สัตว์ !!! กูจะนอน...

ขนาดไม่เจอมันยังไม่วายที่จะหาเรื่องมาให้ผม....  ถึงอย่างไงไอ้เอกกับไอ้นันต์มันก็เป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุด....สนิทที่สุด ....ถ้าไม่รวมถึงเพื่อนไอ้กลุ่มที่แข่งรถด้วย ถึงจะสนิทกันบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าผมจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังได้ทุกเรื่อง

สำหรับ........ซิว............. ญาติและน้องที่ผมรักอีกคนหนึ่ง.........เรื่องเลวๆ ที่ผมทำ ผมไม่เอาซิวเข้ามายุ่งโดยเด็ดขาด

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือพิษบาดแผล มันทำให้ผมนอนซม....จนไม่รู้ว่าไอ้คนที่นอนกอดอยู่ข้างๆ หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่...... รู้ตัวอีกที...ตื่นมา ก็มีทั้งผ้าก๊อต... ผ้าพันแผลตรงหัวเข่า กับข้อศอก  ถูกทำไว้เป็นอย่างดี เรียบร้อย ....ทั้งแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ก่อนจะถูกผ้าซับพันเอาไว้จนสะอาดเรียบร้อย

.
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:10:44
................ผมได้แต่มองผ้าที่ถูกพันอยู่ตรงปลายข้อศอก............  แล้วยิ้มให้กับตัวเอง

ถึงจะเป็นเพียงแค่นิดเดียว....  ร้อยเสี้ยวแห่งการกระทำ... ผมก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร

ความรู้สึกที่ค้านกันทั้งสองความรู้สึกนั้น.........มันยังมีอยู่......ไม่ได้ลดน้อยลงไป..........

ผมเดินโซเซออกมาจากห้องของนัญ..........ก่อนที่จมูกจะไปเตะเข้าให้กับกลิ่นหอมของกับข้าว คล้ายๆ ข้าวต้มกุ้งหรือข้าวต้มปลา ไม่แน่ใจ

มุมห้องครัวที่ไม่เคยถูกใช้...ตอนนี้มีเด็กตัวเล็กๆ  ยืนไม่ตรงนัก เพราะมือข้างหนึ่งเท้าแขนไปที่ชั้นวางจาน .....ส่วนอีกมือหนึ่ง ยังคงถือทัพพี พร้อมกับคนหม้อที่วางไว้บนเตาไฟฟ้า

“ทำอะไร”....... เสียงผมถามขึ้น  เมื่อเดินไปเกือบจะถึงคนทำ

“....เอ่อ....ต้องเห็นพี่วัจน์ไม่สบาย...  ต้องไม่มีแรงเดินลงไปข้างล่าง.... ข้าวพอมีอยู่ ..... กุ้งอัดฟีสต์ในตู้เย็นแช่แข็งไว้นานแล้ว....    ต้องเลย....ทำ”  มันก้มหน้างุด..... แทนชื่อตัวเองว่าต้อง เรียกผมว่า พี่วัจน์ ..........เสมอๆ เวลาที่เป็นตัวของตัวเอง............  แต่ถ้าตกใจ หรือเผลอลืมตัวเมื่อไหร่ ..คำว่า นัญ และธิว จะโผล่มาทันที

“อืม...  เร็วๆ  กูหิว”  ผมยังไม่เปลี่ยนคำพูดแบบเดิม....  ยังไม่อยากจะรู้สึกดีกับมันตอนนี้... กลัว...กลัวใจตัวเอง
ข้าวต้มกุ้งถูกวางเอาไว้ตรงหน้า....  ฝีมือของมันอร่อย...หรือผมผมหิว.....หรือเป็นเพราะว่า................  ก็ไม่ทราบเหมือนกัน.. ทำให้กินได้หมดชาม...นัญมันเดินลุกขึ้นโซเซไปช้าๆ  พยามเดินไป เอาแขนไปพิงกับผนังห้องเดินตลอด  เอาชามทั้งของมันและของผมไปเก็บเมื่อรู้สึกอิ่ม 

“.......ไม่ต้องเก็บ.....”  แรงจะเดินยังแทบจะไม่ค่อยมี 

มันเงียบ...ทำตามที่ผมบอก.....  เอาชามวางไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินถอยออกไป...

“จะไปไหน”  ผมถามขึ้น เมื่อเห็นมันจะเดินไปทางประตูห้องที่จะออกไปข้างนอก

“.......ปะ...เปล่า”   โกหก...ก็เห็นพยายามเดินออกไปอยู่

“มานี่ดิ !!” เสียงเรียกกำชับสั่งของผม ที่บอกกับมัน...ทำให้มันต้องเดินตามมาทันที

เพียงแค่มันเดินมาถึง  ผมก้มลงไปช้อนตัวมันขึ้นอุ้ม....ก่อนจะเดินไปที่ห้องนอนที่มันแอบลุกหนีผมมาอีกครั้ง ...หน้าตอนนี้มันซีด...ทั้งกลัว...ทั้งพยายามหลบออก.....   

“อย่าดิ้นดิ่”  ผมสั่งย้ำอีกครั้ง เมื่อมันพยายามหนี

“ฮึก...อย่าทำต้องเลยนะพี่วัจน์นะ... ต้องไม่หนี...ต้องไม่ดื้อแล้ว...พี่วัจน์อย่าทำต้องเลยนะ ฮือๆ  อย่าเลยนะ”   อ้อ....ร้องไห้อีกแล้ว...มันเห็นผมเป็นพวกหื่นอะไรขนาดนั้นหรือไง...ร่างกายผมตอนนี้มันยังไม่เต็มร้อยเลย... ถ้าให้ทำแบบเมื่อคืนอีก คงน๊อกตายกันพอดีทั้งผมแล้วก็มัน....ที่ทำไปเมื่อคืน มันบวกผสมกับแรงโมโหต่างหาก

ผมมองหน้ามันที่ตกใจสุดๆ ตอนนี้....  ก็อดขำไม่ได้

“ฮ่าๆๆ.... จะให้มานอนเฉยๆ..ไม่ทำไรหรอกน่ะ”   

ผมอุ้มวางมันลงนอนบนเตียงแผ่วเบา..เพราะรู้ว่าข้างหลังมันยังเจ็บอยู่ กดรีโมทเปิดเครื่องปรับอากาศ ก่อนที่จะเผลอหลับกันไปทั้งคู่อีกครั้ง

ผ่านไปสองวันเต็มๆ  ที่ผมกับมันไม่ได้ไปเรียนกันเลย  ...... จนถึงวันพุธ ก็ยังไม่ได้ไปเรียนอยู่ดี.... วันนี้ ผมกับไอ้เอก และไอ้นันต์มีนัด.... 

ไอ้นันต์เข้ามาหาผมที่ห้องตอนเย็น บอกนัดหมายเวลา และสถานที่เตรียมพร้อม  ดูรถให้ผมเสร็จสรรพ  พร้อมแข่งทันที.... ไอ้ตั้มคนที่ผมพูดถึง  คือกลุ่มแข่งคนเก่า ...ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่มิตร  แต่ก็ไม่ใช่ศัตรูซะเต็มร้อย ..เรียกว่าคู่แข่งน่าจะเหมาะกว่า .......แข่งทั้งแบบอยู่ในกติกา ...และแบบไร้กติกา

ผมกับมันแข่งกันบ่อย ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ไม่ได้เล่นกินเงินกัน....  เพียงแต่เล่นเพื่อความสนุก  และก็....

แข่ง  แย่งรถ
แข่ง แย่งหญิง
ใครแพ้ เสียรถ ใครแพ้เสียหญิง  ส่วน ใครชนะได้ทั้งรถ ได้ทั้งหญิง ไปครอง

ระหว่างที่ผมคุยกับไอ้นันต์ จนไอ้นันต์ออกจากห้องไป เพื่อไปเตรียมให้พร้อม... ไอ้เอกหาหญิงมาให้ผมได้แล้วคนหนึ่ง..ส่วนไอ้นันต์จัดการเรื่องรถให้ผมเรียบร้อยอีกเหมือนกัน...หน้าที่ของผมคือ ลงแข่ง

ผมเดินออกมาที่ระเบียงนอกห้องที่นัญยืนคุยโทรศัพท์อยู่ เสียงที่คุยทำให้รู้ว่านัญกำลังคุยกับเบสต์ ของเล่นของไอ้เอก... ทำให้ผมไม่สนใจที่จะฟังนัก  เพราะมันสองคนเพื่อนรักกัน....  กับเบสต์จะคุยอะไรผมไม่เคยว่า แต่ถ้าคุยกับไอ้เรย์ หรือคนอื่นเมื่อไหร่  มือถือของนัญจะกลายเป็นเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ทันที

“พี่วัจน์...........พี่จะออกไปไหน” เสียงมันเข้ามา ถามผมเสียงสั่น   จ้องหน้าผมแบบเอาเป็นเอาตาย

“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วย”    ..............

“พี่อย่าทำเพื่อนต้องนะ... เบสต์ไม่เกี่ยว... พี่กับพี่เอกห้ามทำอะไรเบสต์เด็ดขาด”  มันพูดอะไรของมัน ผมไม่เห็นจะเข้าใจ

“กูไปยุ่งอะไรกับเพื่อนของมึง” 

“นั้นแหละ... วันนี้พี่ไปไหน ต้องจะไปด้วย... ต้องไม่ยอมให้พี่กับพี่เอกไปยุ่งกับเบสต์หรอก”

“กูไม่ให้ไป”  ...............มันไปได้บรรลัยพอดี... ไอ้ตั้มมันไม่สนหรอกว่าเด็กผมเป็นชายหรือหญิง ขนาดไอ้เด็กผู้ชาย คนที่ผมคั่วเล่นๆ แค่ไม่กี่วัน....วันนั้นก็แข่งอีกเหมือนกัน  ผมดันแพ้  ...ไอ้ตั้มมันยังสอยเอาไปเลย  แล้วนี่ถ้ามันเห็นนัญ มันไม่ปล่อยแน่

“ต้องจะไป”   เสียงของมันดังไม่ลดละ

“อย่าหาเรื่องกูนะ” 

“ต้องจะไป..........วันนี้เป็นไงเป็นกัน... พี่ทำต้องคนเดียวซิ่...พี่ทำไปแล้วนี่...อย่ามายุ่งกับเพื่อนต้องนะ อย่าทำร้ายเบสต์นะ”  มันพูดบ้าอะไรของมัน...  ทำอะไร  แล้วก็ทำร้ายอะไรไอ้เบสต์ ผมงงไปหมด......  ไม่สนใจ ผมคว้าเสื้อแข่งออกมาได้... หยิบฉวยหมวกกันน๊อคเอาไว้เกิดอันตราย   ก่อนจะออกมาจากห้องไม่สนใจไอ้คนที่พูดปาวๆ อยู่ในห้อง 

เดินมาจนถึงที่จอดรถ พอจะเข้าไปที่นั่งคนขับ  .... แต่อีกฝั่งดันมีคนเปิดประตูกระแทกเข้ามา   

“เฮ้ย  !!!  อะไรเนี่ย....ลงไป วอนหาเรื่องแล้วมึง”   ผมทั้งสั่ง ทั้งห้าม   ถ้ามันไป....ซวยแน่ๆ  ผมไม่ได้ห่วงมัน... ไม่ได้หวงมัน... แต่มันเป็นของของผม และผมก็ไม่อยากเสี่ยงให้มันไปเป็นของของคนอื่น.........ผมไม่เคยห่วงมัน ไม่เคยห่วงมัน...  ท่องในใจ

“พี่จะทำบ้าอะไรล่ะ.... ฮึก...ทำนัญคนเดียวไม่พอ...จะยุ่งกับเพื่อนของนัญอีก...เอาซิ่  ถ้าพี่ขับไปนัญจะนั่งแทกซี่..... พี่ไปไหนนัญจะไปด้วย ฮึก..นัญไม่ยอมหรอก. เกลียดนัญก็เกลียดนัญคนเดียวซิ่  เอาเพื่อนนัญมายุ่งทำไม..ฮือๆๆๆ  ยุ่งกับเพื่อนนัญทำไม....  ทำไมต้องแกล้งเบสต์ด้วย ฮือๆ ใจร้าย...พี่ธิวใจร้าย ฮือๆๆๆ”   โอยยยยยยยย  ไปใหญ่  ผมจะบ้าตาย ทำร้ายอะไรเนี่ย .......มันไปฟังเบสต์อะไรเล่ามา...แล้วเบสต์กับต้อง ตอนนี้มันเข้าใจอะไรผิดกันไปใหญ่แล้ว.. ผมอยากจะบ้า... ผมจะไปแข่งรถ ......กูจะไปแข่งรถ... แม่งอยากลองดีซ้ำหรือไง 

“เออ...มึงอยากมา มึงขึ้นมา..เดี๋ยวมึงก็ได้เห็นว่าเป็นอะไร...วอนหาเรื่องแท้ๆ”  เส้นความอดทนผมยิ่งมีน้อยๆ อยู่  มันอยากจะไปนัก ผมจัดให้.....  ถ้าไอ้ตั้มมันอยากได้ของแลกเปลี่ยน และเผอิญอยากได้ของชิ้นนี้ขึ้นมา ...ผมก็ไม่รู้จะทำตัวแบบไหนถูก..ตอนนี้ร่างกายมันยิ่งไม่เต็มร้อยอยู่ด้วย

ตลอดทางผมเหยียบจนเกือบจะมิดไมล์  ความโมโห ความกลัวตอนนี้มันพลุ่งพล่านไปหมด  ถูกล่ะ !!  ผมกลัวครั้งนี้ผมแพ้

............ถ้าแพ้... ไอ้วัจน์คงต้องยอมเสียหมา...... ไม่ทำตามกติกา.........ถ้าแพ้ ก็ต้องพานัญมันหนีให้ได้
ข้างริมถนนใหญ่  ที่ตอนนี้ค่อนข้างผู้คนน้อย เขตชายกรุงเทพ  จนเกือบจะถึงแถวนครปฐม  ถึงที่นัดหมาย ตำรวจย่านนี้ไม่กล้าเข้ามายุ่งทั้งกลุ่มผมและกลุ่มของไอ้ตั้ม  หลายคนเป็นลูกหลานตำรวจ...และเส้นที่เราขับ ส่วนใหญ่คนก็ไม่ค่อยขับกันแล้วเวลากลางคืน  .......... เปิดประตูรถได้ ไอ้เอกวิ่งปรี่เข้ามา  พูดเรื่องผู้หญิงที่มันเอามา  ดันแอบหนีมันไปตอนไหนก็ไม่รู้.......... ผมไม่รู้ว่าวันนี้มันวันซวยอะไร......  ไอ้เอกพูดกับผม  พร้อมกับพยายามจะไปคุยกับไอ้ตั้มให้ว่าให้เลื่อนแข่งไปก่อน แต่ผมส่ายหน้า นัญมันลงมาจากรถผมพอดี พร้อมกับอาการตื่นๆ และงงๆ     ประจวบเหมาะกับไอ้ตั้มเดินมาเห็น.

“ว่าไงมึง”  เสียงแรกจากการทักของมัน  ยิ้มอย่างคะนอง....  สายตามองไปที่ไอ้ตัวเล็กที่ยืนข้างๆ ผม

“อือ”  ผมตอบมัน พร้อมกับพยักหน้าชี้ไปทางรถของตัวเองอีกคันสำหรับใช้ลงสนามจอดเอาไว้  ก่อนจะพูดย้ำ

“ก็แบบเดิม..  แลกของ” 

   “แล้วไหนของของมึง”  ผมไม่พูดอะไร...เพียงแต่กระชากนัญนี่ยืนอยู่ข้างๆ มา... ผมก็อยากจะเห็นหน้ามันเหมือนกัน... ว่าถ้าอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้มันจะทำตัวอย่างไง

   “.....อือ...น่ารักนี่หว่า...ผู้ชายก็ได้..ไม่เป็นไรกูไม่ถือ...  น่ารักๆ แบบนี้ค่อยน่าแข่งหน่อย”  เสียงกวนตีนๆ ของไอ้ตั้มยังคงพูดข่มผมอยู่เรื่อย....  มึงจะเก่งซักแค่ไหนกันเชียว...ไอ้ตั้มหัวเราะเยาะเย้ยมาทางผม  พร้อมกับดึงผู้หญิงคนที่อยู่ข้างๆ ของมันมา...  ไม่ต้องเดาก็พอรู้อยู่แล้วว่าเป็นเด็กใหม่ของมัน..ก็น่ารักดี... คืนนี้คงสนุกพิลึก

   “แข่ง สามรอบ..ใครถึงก่อนก็เอาของไป.. “  ผมพูดกับมันโดยไม่สนใจผู้หญิงข้างๆ  ที่จะเป็นรางวัลของผม...หากผมชนะในเกมส์

   “... ไม่สนเรื่องกติกา...วันนี้กูเบื่ออยู่ในกรอบ”   เรื่องเดิมๆ แบบที่มันถนัด วิธีการโกง.. ตอนนี้ไอ้เอกกับไอ้นันต์จะพยายามห้ามผม.. เพราะร่างกายผมตอนนี้มันยังไม่หายดีจากที่เมื่อคืนก่อนซัดกับไอ้เรย์...

   “พี่วัจน์..จะทำอะไร... อย่าแข่งเลยนะ......”  เสียงของมันพยายามขอร้องผม...แต่ไม่ผมไม่สนใจหรอก.. ก็ช่างมันซิ่....เพราะให้อย่างไง...ผลการแข่ง..ผมต้องชนะเท่านั้น...

   “อย่าเรื่องมาก....อยากมากับกูนักไม่ใช่หรือไง.. ขึ้นรถ..”   มันอยากห้ามผมดีนัก...  ก็ดี จะได้รู้ด้วยว่าชีวิตกลางคืนของผมมันเป็นอย่างไง

   “ไม่เอา... อย่าแข่งเลยนะพี่วัจน์นะ..” 

   “เงียบ !!!”  รำคาญ

   “ฮ่าๆๆ ไอ้วัจน์....เด็กมึงป๊อดว่ะ”  รำคาญทั้งเสียงของไอ้ตั้มก็พอทุนอยู่แล้ว..นี่ผมต้องมาทนฟังเสียงเหมือนจะร้องไห้ของนัญอีก...รำคาญชะมัด..  บอกว่าไม่ให้มา..ดันเสือกจะขึ้นรถมาด้วย...

   เสียงรถยนต์ยังคงถูกสตาร์ทวอร์มเครื่องอยู่...พร้อมเสมอที่จะพุ่งไปข้างหน้า... ผมสวมหมวกกันน๊อกเอาไว้เพื่อป้องกันหากเกิดเหตุร้ายๆ  ...แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก...ที่ผมต้องรวบรวมสมาธิให้แน่วแน่กว่าทุกครั้ง

   ...........จะต้องชนะเท่านั้น.........

   ไอ้คนที่นั่งข้างๆ  ผมด้วยความกลัวนี่.... ผมไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเด็ดขาด... มันคือของของผมเพียงคนเดียว

   ผมเอื้อมหยิบหมวกกันน๊อกที่มีอีกอันไว้เสมอตอนที่ให้คนนั่งข้างๆ ไว้สวม... นัญตอนนี้ทั้งร้องไห้.. ทั้งกลัว   สวมหมวกกันน๊อคขึ้นช้าๆ  ผมเอื้อมตัวเข้าไปใกล้  ล๊อคเบลท์.จนแน่น...  กันพลาด... 

   ..................รนหาเรื่องไม่เข้าที่..................

   เสียงสตาร์ทวอร์มเครื่องของทั้งสองคัน... ไอ้ตั้ม ยิ้มให้ผม  พร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมา แล้วกดคว่ำลง  ผมไม่ทำอะไรกับมันทั้งสิ้น หันกลับมาแบบเดิม..ตอนนี้ผมต้องการอย่างเดียว คือสมาธิ

   ผู้หญิงคนที่อยู่ตรงกลางถนน เดินออกไป .....  เส้นขอบไฟของทั้งสองด้านที่เกิดจากรถยนต์ในกลุ่ม ถูกเปิดออก เพื่อให้แสงมันจ้าสว่างขึ้นมา  เป็นการปิดตาอำพรางเส้นทางของทั้งสองฝ่าย..เป็นสัญญาณแห่งการพุ่งตัวรถออก ครั้งนี้ไอ้ตั้มทำในสิ่งที่ตัวมันเองถนัดเต็มที่....  ประสาทผมต้องแยกแยะออกให้ได้  กะให้ถูกว่ามันจะกระแทกรถผมมาเมื่อไหร่ เพื่อที่จะเบี่ยงหลบให้ได้

   ผมพยายามไม่พยามที่จะเงี่ยหูฟัง ไอ้เด็กคนที่นั่งมาข้างๆ  ที่เอาแต่ร้องไห้..  ทางข้างหน้าเป็นทางโค้งตัดซ้าย...  ผมหักพวงมาลัยชิดขอบใน  พยายามรักษาวงในในการเลี้ยว ดริ๊ฟเข้าข้างในสุด  แต่มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นไอ้ตั้มขับเตรียมกระแทกเต็มที่  ผมแตะเบรก  ชะลอลง  เพราะถ้าไม่แตะเบรกเมื่อไหร่  มันพุ่งกระแทกรถผมออกไหล่ทางแน่ๆ  วงในในการโค้งที่หวังจะยึดตอนนี้เสร็จไอ้ตั้มไปแล้ว

   เส้นทางแรก ตอนนี้มันนำห่างผม รักษาระยะกันเกือบห้าเมตร   ผมเหยียบจนเกือบมิดไมล์อีกครั้ง   จนเกือบจะชิด... เส้นข้างหน้าเลี้ยวซ้ายอีกรอบ....  ไอ้ตั้มยังคงรักษาดริฟข้างในของมันได้เหมือนเดิม

   ถ้าผมจะแซงนำมัน ...วิธีเดียวที่จะทำได้ คือต้องเร่งเครื่องให้ไวและแรงกว่านี้ ดริ๊ฟแซงมันจากวงรอบนอก...เส้นทางมันจะออกมายาวกว่า... แต่วิธีการนี้ได้ผลมากกว่า

   ทันที่ที่คิดออกได้ ความไวนั้นมันไวเท่าความคิดผมเสมอ...โค้งหน้าเป็นโค้งแรกที่ผมกับมันจะเริ่มต้นรอบที่สอง...  ผมเบี่ยงตัวออกมา พยายามแซงทางโค้งซ้ายที่สอง  ...เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ ไอ้ตั้ม พยายามเบียดผมรอบสอง หวังให้ตกไหล่ทาง

   รอบแรก มันแซงผมได้ นำผมไปจนจากระยะแรกห่างเกือบห้าเมตร ตอนนี้มันซัดไปเกือบสิบเมตรแล้ว... ผมเหยียบความเร็วให้แรงขึ้นอีก...  ผมไม่เคยโกง แม้ว่าการแข่งครั้งไหนที่แข่งนอกกรอบ ผมก็ไม่เคยโกง ........ แต่ละเว้นครั้งนี้....  ถ้ามึงโกง  กูก็โกงได้....  เป็นเพราะไอ้คนที่นั่งอยู่ในรถคนเดียว.....   ไอ้ตัวป่วน

   รอบสองของการแข่งในสนาม ผมเหยียบคันเร่งจนมิดไมล์อีกครั้ง  ท้ายรถของมันตอนนี้  ห่างจากผมไม่ถึงเมตรแล้ว..ไอ้ตั้มคิดว่าผมคงพยายามเบี่ยง เพื่อให้เข้าเลนส์ขวา...  แล้วเร่งเครื่องแซงเหมือนทุกครั้ง... แต่ครั้งนี้ไม่... ผมมั่นใจในสภาพรถด้านหน้าของผมอย่างเต็มที่... จากท้ายรถของมันและหน้ารถของผมตอนนี้ มันชนเข้าอย่างจัง  จนรถของไอ้ตั้มเสียหลัก..... นั้นแหละมันต้องแบบนั้น....โดนกูอัดตูดเข้าแล้วมึง

   รถของไอ้ตั้มชะลอลงทันที  จนเปิดโอกาสให้ผมแทรกแทรงเข้าวงในได้ในเริ่มต้นรอบที่สาม .... คราวนี้ มันพยายามที่จะเบียดแซงขึ้นมา แล้วกระแทกรถผม  แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วอีกเหมือนเดิม..ผมรู้ทัน ทันทีที่มันเตรียมเอารถเข้ามากระแทกรถผม... ผมเหยียบเบรก จนกลิ่นผ้าเบรกแทบไหม้

   “เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด” 

   “โครรมมมมมมมมม”    “โครม”  “โครม !!!!”  โครม” 

   รถของมันที่กะเตรียมเต็มที่ในการกระแทก  เบี่ยงขวาเข้าหารถผมอย่างจัง แต่ผิดคาดถนัด..ผมแตะเบรกทันก่อน ทำให้ไอ้สิ่งที่มันชน  เป็นเพียงความว่างเปล่าของข้างถนน...   รถไอ้ตั้มตกข้างไหล่ทาง  หมุนไม่รู้กี่ตลบ  ...ผมขับช้าๆ  ออกมา....  ไม่สนใจว่าผลจะเป็นอย่างไง ...รู้แต่เพียงว่า..เกมส์นี้ ผมชนะ

   ทันที่ที่รถจอดในรอบที่สาม...เพื่อนของผมไม่รู้กี่คน กรูเข้ามาจับมือ..โห่ร้องอย่างดีใจ....   ผมดึงไอ้ตัวดีออกมาจากรถได้  ฝากไว้กับไอ้เอกและไอ้นันต์ชั่วคราว... เข้าไปในรถอีกครั้ง  ขับออกไปยังที่ไอ้ตั้มรถคว่ำอยู่เมื่อกี้
   ตอนนี้พวกเพื่อนของมัน...อยู่กันเต็ม..... บริเวณนี้ทั้งหมด มีเพียงผมคนเดียว..ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม  ผมจนรถจนดังลั่น  เดินเข้าไปหาไอ้คนที่คิดว่าน่าจะเจ็บอยู่ในรถ

   “ไงมึง  !!!”   คนรอบข้างเพื่อนไอ้ตั้มมองผมเป็นตาเดียว...แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาซักคน

   “ฮ่าๆๆ  เล่นเอากูเจ็บเลยนะมึงคราวนี้....... โกงเป็นเหมือนกันนี่หว่า”  เสียงของไอ้ตั้มยังกวนตีนเหมือนเดิม  เดินขาเป๋  ออกมานิด  จนผมต้องเอื้อมมือเข้าไปช่วยมันประครองออกมา

   “กูหัดมาจากมึงไง” ผมสวนคำกลับไป

   “............”  มันกับผมมองหน้ากัน

   “ฮ่าๆๆๆๆ  เออ ...เอารถกูไป สภาพยับเยินหน่อยนะมึง..ซ่อมเอาแล้วกัน”   ผมมองรางวัลของผมที่คว่ำอยู่อย่างไม่เป็นท่า ..พร้อมกับข้างๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นถูกกลุ่มเพื่อนของมันลากออกมาพร้อมกับไอ้ตั้มแต่คนละฝั่ง....   ของรางวัลทั้งสองชิ้นตกเป็นของผม

   “เออ.....   เก็บรถกับแฟนมึงไว้เหอะ.. ไม่เป็นไร.” ที่ผมพูดเพราะผมไม่อยากได้จริงๆ

   “เฮ้ย..ไม่ได้....  คำพูดต้องเป็นคำพูด...มึงเอาวันหลังก็ได้เดี๋ยวกูส่งไปให้” มันยังคงพูดคำเดิม   คำท้าพนัน ที่คำไหนต้องเป็นคำนั้น  แต่ตอนนี้ผมอยากทำอีกอย่างมากกว่า

   “ไม่เป็นไร...  กูเล่นครั้งนี้ครั้งสุดท้าย....  กูไม่อยากเอาแฟนกูมาเสี่ยง  กูรักของกู”

   “แฟนมึง  ?”   เสียงไอ้ตั้ม ทำหน้างง...ตกใจกับคำพูดของผม

   “เออ...แฟนกู....เมียกู....ชัดมั๊ย !!!!”   

   ขอกลับห้องก่อนเหอะตอนนี้....  ไอ้ตัวดี...ที่ผมบอกกับไอ้ตั้มไปว่าเป็นเมีย...  เจอศึกหนักแน่... โทษฐาน ลองดีกับผมซ้ำ
   
   

หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:12:17
olตอนที่ 16  ความทรงจำ

   เส้นทางที่ออกมาจากห้องของไอ้วัจน์มันไม่ไกลนักจากห้องของผม ตอนนี้ไอ้ของเล่นของผมมันนั่งอยู่ข้างๆ ดีที่หนีตำรวจออกมาได้ทัน ไม่งั้นคงต้องซวยให้พ่อตามไปประกันตัวออกมาอีกเหมือนคราวที่แล้ว ... ครั้งนี้กับครั้งนั้นก็ไม่ต่างกัน  คู่กรณีก็คนเดิม ไอ้วัจน์กับไอ้เรย์ มันเคยชกกันมาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นไอ้เรย์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ ...แต่ครั้งนี้ดูจะไม่  ถ้าตำรวจไม่เข้ามายุ่ง ผมก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าไอ้วัจน์กับไอ้เรย์ใครจะชนะ 

“เก่งนักนะ”  ตอนนี้เบสต์มันเอาแต่ร้องไห้ แต่เมื่อตอนที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ ทำตัวเป็นเก่ง... ตบหน้าไอ้วัจน์ซะงั้น.. เห็นตัวเล็กๆ แค่นี้ มันเคยตบทั้งหน้าผมและหน้าไอ้วัจน์มาแล้ว.. มือเล็กๆ แบบนั้นจะว่าไปก็หนักไม่เบา

   “ฮึก..ปล่อย เบสต์จะลง เบสต์จะไปหาต้อง ฮึก...ฮือๆ”   

“เพื่อ.....!!!  ร้องไห้ไปให้พอใจเลยครับน้องเบสต์... เห็นว่าตอนแรกอยากจะเจอเพื่อน... เป็นเห่วงเพื่อน พอรู้ว่าเพื่อนสนิท ไปอยู่กับคนอื่น...ทำเป็นตีโพยตีพาย... จะไปหาให้ได้...  พี่ถามหน่อย...เป็นห่วงต้องอะไรมันขนาดนั้น... ห่วงเกินเพื่อนไปหรือเปล่าห๊ะ !!!”  น่าหงุดหงิดชะมัด เอาตัวเข้าไปยุ่งด้วยตลอด... ทำตัวเที่ยวปกป้องคนอื่น ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด...ผมชักจะสงสัยเหมือนกันว่าต้องกับเบสต์นี่มันเป็นอะไรกันแน่..ห่วงกันเกินเพื่อนไปหรือเปล่า

“ยุ่งอะไรด้วย.. เบสต์กับต้องเป็นเพื่อนกันหรือจะเป็นอย่างอื่น..พี่ยุ่งอะไรด้วยล่ะ” 

“หึหึ.....ก็น่าจะรู้ด้วยนะครับว่าทำไมพี่ถึงจะยุ่งไม่ได้น่ะ”   

“ทุเรศ....พวกไม่เก่งจริง..ใช้ยามาช่วย มาแกล้งเบสต์ ที่แท้ตัวเองก็ไม่เอาไหน”   เสียงพูด เสียงเยาะเย้ยของมัน ชักทำให้ผมหงุดหงิด ....ว่ากันแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ

“อ๋อ...ได้ อยากรู้ไหมล่ะครับ ว่าถ้าไม่ใช้ยาจะเป็นแบบไหน...เดี๋ยวพี่จัดให้ได้ครับน้องเบสต์”   ผมพูดขึ้นพร้อมกับเหยียบคันเร่งเร็วขึ้น .... ไอ้เบสต์มันไม่กล้าเข้ามาทุบตีผมอีก เพราะเห็นว่าผมขับรถเร็ว แล้วเกิดจะไปชนอะไรเข้าเอา  ตอนนี้มันยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม  เมื่อตอนเห็นผมขับรถเข้าไปจอดในคอนโด ....คอนโดผมที่มีเพียงไอ้วัจน์  ไอ้นันต์ และซิวเพียงแค่นั้นที่เคยมา สำหรับไอ้พวกเรี่ยไล่รายทางที่ผมข้องแวะที่จะสนุกด้วยแล้ว อย่างมากสุดก็จบเพียงแค่ในโรงแรมแค่นั้น... เบสต์มันเป็นคนแรกที่ผมเอาเข้ามาในห้อง

“หยุดดิ้น !!”  เสียงตะคอกของผมเกิดขึ้น ก็เพราะไอ้คนที่ผมดึงมันเข้ามาเรื่อยๆ นี่ไม่ยอมที่จะลดราวาศอกลงบ้าง  ออกฤทธิ์มาเกือบตลอดที่ผมเห็นหน้า มันไม่เคยที่จะยอมผมดีๆ ซักครั้งเลย ต้องให้ใช้กำลังตลอด...

“ก็ปล่อยซิ่  ...ปล่อยเบสต์ เบสต์จะไปหาต้อง...ช่วยด้วยย.... ใครก็ได้ช่วยผมทีครับบ!!!!” เสียงร้องตะโกนของมันค่อนข้างดัง จนลั่นไปทั้งลานจอดรถ  ... ผมทนไม่ไหว ต้องเอามือปิดปากมันเอาไว้.. แต่ปรากฏว่ามันกัดมือผมซ้ำ

“โอ๊ย....ฤทธิ์มากนักนะ”   

“อึ๊ก !!!”  ไม่อยากจะใช้กำลังเลย..เพราะตัวก็แค่นั้น  แต่ถ้าไม่ทำ เห็นทีเรื่องยุ่งแน่ ผมซัดต่อยเข้าไปที่หน้าท้องมันอย่างจัง ถึงจะไม่แรงมากนัก  แต่ก็เล่นเอาเบสต์มันตัวงอ ลงไปกองอยู่กับพื้นด้านล่าง หมดฤทธิ์ทันที

“ฮืออๆๆ ช่วย...ด้วย”  เสียงร้องของมันเบาลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ มือข้างหนึ่งกุมท้องตัวเองเอาไว้  ลงไปนอนงอตัวขดเป็นกุ้งอยู่ที่พื้นลานจอด   ผมนั่งย่อตัวลงไปหามัน พร้อมกับช้อนตัวมันอุ้มขึ้นมา

“หึหึ.... สงบลงได้... พี่ไม่ถนัดหรอกนะครับไอ้เรื่องใช้กำลังน่ะ...แต่ถ้าเกิดพี่ทำขึ้นมา  แล้วพี่หยุดไม่อยู่ น้องเบสต์จะซวย...เพราะฉะนั้น...อยู่เฉยๆ ดีกว่า”  ระหว่างทางมันเอาแต่ร้องไห้...เพราะคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแน่นอน.... ถึงมันจะฉลาด..แต่เรี่ยวแรงมันก็ไม่อำนวยให้ได้ไปตามความคิดหรอก..ตอนนี้มันคงหนีผมไม่ไหวแล้ว...จริงๆ ซะด้วย..ตัวมันเบากว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก... ระหว่างตัวมัน กับซิว  น้ำหนักแทบจะไม่ต่างกันเลย...  ผมเคยอุ้มซิวครั้งหนึ่งตอนที่ซิวไม่สบาย  เลยทำให้จำได้.... ครั้งนั้นรู้สึกว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้ ...ผมคิดไปเกินเพื่อนแล้ว..แต่ติดอยู่ที่ว่า ผมมันไม่ใช่คนดีอะไรในสายตาของซิว ..จึงทำให้ซิวไม่เคยคิดอะไรมากไปกว่าคำว่าเพื่อนกัน....หวังว่าซักวัน คงจะทำให้ซิวใจอ่อนได้บ้างมั้ง ?

.......แล้วผมเอาเวลาแบบนี้ไปคิดถึงซิวได้ไง...  หึหึ....  เพียงแค่รูปร่าง หน้าตา  เหมือนกัน ใช่ว่าเป็นคนเดียวกันซะหน่อย........

“น้องเบสต์ครับ.... พี่ขอเอาน้องเป็นตัวแทนของซิวไปก่อนแล้วกันนะ... พี่เบื่อเมื่อไหร่เดี๋ยวพี่ก็ไม่ยุ่งกับน้องเอง  ไม่ต้องห่วง”  เสียงผมกระซิบเตือนให้มันได้รู้..บอกในสิ่งที่ตัวเองต้องการ...และมันก็ใช่เรื่องจริง..  จากที่เคยคิดว่าเป็นของเล่นแค่ชั่วคราว ตอนนี้ขอเล่นนานๆ หน่อยแล้วกัน เพียงแค่ผมเอาเบสต์เพื่อเป็นตัวแทนของซิวแล้วบอกมันไปก็เท่านั้น.... ตอนนี้มันยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม... แต่ใครจะสน 

“ไหนๆ ก็เจ็บตัวแล้ว... สัญญาครับ คืนนี้จะทำเบาๆ”

“เบสต์...จะไปหาต้อง ฮึก ๆ ปล่อย..ปล่อยนะ...ตัวเองมีคนอื่นอยู่แล้ว มายุ่งกับเขาทำไม ฮือๆ  เจ็บ ปล่อยนะ” 

“อือออออ เจ็บอะไรครับ..พี่ยังไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย”   ดีที่ในลิฟต์มันไม่มีคน ไม่งั้นก็คงไม่ได้แกล้งไอ้ตัวที่อยู่ในอ้อมกอดนี่... ผมก้มลงไปงับใบหูเล็กๆ นั่นเล่น ก่อนที่จะหอมแก้มมันซ้ำลงไปหนัก...  หน้าตาตอนนี้มีแต่คราบน้ำตาเต็มไปหมด..  ชักจะสงสัยเหมือนกันว่าไอ้นี่มันเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่...ร้องไห้เก่งอย่างกับอะไร

มือผมข้างหนึ่ง เอื้อมไปหยิบคีย์การ์ด ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าห้องไป...  คงจะเพิ่งมีคนมาทำความสะอาดเพราะห้องดูเป็นระเบียบดี  ไม่พูดอะไรมากนัก  เบสต์มันรู้แล้วว่าจะเจอกับอะไรบ้าง ตอนนี้ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม  แรงที่มีอยู่เพียงนิดๆ  พยายามทั้งผลัก และทิ้งตัวลงออก คงจะหนีให้พ้น แต่ยากซักหน่อย เพราะผมไม่มีทางปล่อย

“ต่อไปจำเอาไว้นะครับน้องเบสต์...  อย่ากล้ากับพวกพี่อีก  ..แล้วก็อย่าทำอะไรที่มันจะทำให้พวกพี่รำคาญ”   ผมโยนมันลงไปที่เตียงนุ่มๆ นั้นก่อนที่จะเอาตัวเองทับลงไป ครั้งนี้สติสัมปชัญญะ ของเบสต์มีพร้อมทุกส่วน  แรงแข็งขืนจึงมีมากกว่าครั้งที่แล้วเป็นร้อยเท่า  ผมไม่ได้อัดวีดีโอเอาไว้ เพราะไม่จำเป็น   สิ่งที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาไว้เป็นข้อต่อรองในวันหลัง

“ปล่อยเบสต์... เบสต์จะแจ้งตำรวจ ฮือๆ ปล่อยนะ”

“ฮ่าๆๆ ข้อหาอะไร... ข้อหาที่พี่ข่มขืนเบสต์อ่ะหรอ...เอาดิ่..อยากอายก็ตามใจ.. แต่เท่าที่เห็นในคลิปที่พี่อัดไว้  น้องเบสต์ดูท่าจะเต็มใจมากกว่านะ.” ผมหัวเราะกับคำขู่ของมัน...  ให้ไงมันไม่มีทางทำเด็ดขาด..ถ้ามันกล้าที่จะทำ มันจะไม่ได้ออกไปจากห้องนี้อีก... ผมกับไอ้วัจน์และไอ้นันต์มักจะมีโซ่แล้วก็กุญแจข้อมือเอาไว้เสมอ  สำหรับเวลาที่เราอยากเล่นอะไรที่มันอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เด็กที่พวกผมเอามานั้น มักจะยอมให้พวกผม ‘รุม’ เสมอ เวลาที่ชอบสนุกแบบสุดขั้ว 

“ฮึก...ปล่อย...”  มันโดนผมซัดไปขนาดนั้น ยังจะมีเรี่ยวแรงพอที่จะดิ้นหนีผมได้อีกหรือไง  มืออีกข้างที่ว่างของมัน ได้จังหวะพอดีกับที่ผมเผลอ ซัดเข้ามาให้ตรงปลายคางผมเต็มๆ 

“เงียบ... จะดิ้นทำห่าอะไรนักหนา.. เดี๋ยวกูก็ซัดเข้าให้อีกหรอก”  ว่าจะพูดดีๆ ตลอดอยู่แล้ว แต่มันอดไม่ไหวจริงๆ  ...  แม่งเรื่องมากอยู่ได้... ใช่ว่าทำตัวอย่างกับไม่เคยโดนมางั้นแหละ..

“ฮือๆๆ  เบสต์กลัว....ปล่อยเบสต์ไปนะ”   มันทั้งร้องไห้ทั้งขอร้องผม...แต่ยาก... ถ้าไม่ให้มันรู้ตัวไว้บ้างว่ามันไม่ควรมาลองดีกับพวกผม..ต่อไปมันจะได้ไม่กล้าอีก

“ไม่รอดครับน้องเบสต์..  ถ้ายอมดีๆ พี่ก็จะทำเบาๆ  แต่ถ้าไม่ยอม...  พี่จะเอาให้หนักกว่าข่มขืน... แล้วถ้ายังไม่ยอมอีก... คราวนี้ถ้าโดนพวกเพื่อนๆ พี่รุมไปด้วย ก็ช่วยไม่ได้นะ”  รำคาญเสียงร้องไห้ของมัน  ทันทีที่พูดจบ ผมโน้มตัวลงไปหามันอีกครั้ง   จับมือของมันทั้งสองข้างที่เอาแต่ไล่ทุบตามตัวผมมั่วไปหมด ตรึงมันเอาไว้แน่นกับเตียงนอน...  บดขยี้ไปที่ปากบางๆ เล็กๆ นั่น  ก่อนที่จะสอดลิ้นเข้าไปสัมผัสกับความอ่อนนุ่มอยู่ด้านใน...  เรื่องการเล้าโลม ผมถนัดเสมอที่จะให้คู่นอนอารมณ์คล้อยตามไปด้วย... แต่กับเบสต์ไม่ใช่เป็นแบบนั้น..ไอ้เด็กนี่ยังเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด... แต่ไม่มีทีท่าขัดขืนแล้วหลังจากที่ผมขู่มันไป

“ฮือๆๆ ฮึก...พี่เอกจ๋า...ปล่อยเบสต์เหอะนะ”   เสียงมันทั้งร้องไห้ ทั้งอ้อน ทั้งขอร้อง...คงกลัว

“หึหึ..พูดดีๆ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย..  เดี๋ยวพี่ขอเอาสิ่งที่พี่อยากได้ก่อนนะครับ...แล้วพี่จะปล่อย”  ผมยังคงเล้าโลมไปอย่างช้าๆ  บดขยี้ที่เรียวปากนั่นก่อนที่จะเลื่อนลงมาที่ใบหูเล็กๆ ขบเล่นจนร่างบางที่อยู่ข้างล่างนั้นสะดุ้ง มือข้างที่ว่างอยู่ ป่ายแปะเรื่อยลงมาจนถึงกระดุมนักเรียนสีขาว ผมไล่ปลดมันลงไปเรื่อย หนักๆ เข้าไม่ทันใจก็ฉีกดึงจนขาด 

“ฮึก. !!!! ฮือๆๆ ไม่เอา...เจ็บ”   

“อืมม....อย่า.....!!!”   เสียงผมตอนนี้มันเริ่มกระเส่าแล้ว...เพียงแค่มันไม่ทำอะไร  แต่ก็ทำให้ตัวผมกระเจิงจนฉุดไม่อยู่  ปากไล่โลมเลียมาจนถึงเม็ดสีชมพูบนยอดอก ผมดูดจนเม็ดที่แข็งเป็นไต นั่นแทบจะห้อเลือด ...มันต้องเอาให้เจ็บหน่อย..ถึงจะเข็ด...  ไม่กล้าหือ... 

“ฮืออ...อาห์.... จะ..เจ็บ...อย่า.....อย่า”  เสียงของน้องเบสต์ทั้งสั่นและกระเส่าไปพร้อมๆ กัน ผมยิ้มกริ่ม  ไอ้สิ่งที่ผมทำกับคนอื่นตอนนี้มันได้ผลเสมอ.....  เปลี่ยนจากดูดดุนที่เม็ดสีชมพูบนยอดอกทังสองข้าง ไล่โลมมาจนถึงหน้าท้องอันเรียบเนียนของมัน....  ก่อนที่จะปลดเข็มขัดออกอย่างง่ายดาย

“แกร๊ก !!!”   กางเกงในตัวเล็กสีขาวที่มันหุ้มส่วนอ่อนไหวไว้อยู่  .....  แข็งขืนจนเห็นชัดเจนว่าไอ้ตัวเล็กนี่ก็หยุดอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่เหมือนกัน...

“หึหึ.....อืมมม...”  ผมสอดมือเข้าไปหาแก่นกายเล็กๆ นั่นที่มันแข็งขืนซะจนแทบระเบิด แตกต่างกับเจ้าของร่างกายที่อ่อนระทวยจนต้องรั้งเอาไว้  กางเกงในตัวเล็กๆ ถูกดึงลงอย่างง่ายดาย... ร่างกายที่อยู่ด้านล่างผมตอนนี้ไม่มีอะไรสักชิ้นติดตัว .... เหมือนมันจะตั้งสติได้...เบสต์มันถอยห่างออกไปอีก..แต่ก็สายไป ผมเบี่ยงตัวขึ้นมาเพียงนิด ก่อนจะจับขาทั้งสองข้างแยกออก...  มือข้างที่ว่าง เร่งรั้นรัวแก่นกายเล็กๆ จนเจ้าของร่างบิดกายเร่าๆ  หนีผมไม่พ้น

“อ่าห์...พี่เอก.ปะ...ปล่อย...เบสต์”  เสียงมันบอกให้ปล่อย แต่ตอนนี้ตัวของตัวเองยังขัดกับอารมณ์ที่กระเจิงอยู่ภายใน...เจอแบบนี้เป็นใครก็ทนไม่ไหว....เพียงครู่เดียว ไอ้ตัวเล็กนั่นก็ถึงจุดหมายไปก่อน สิ่งที่เห็นเป็นพยานอยู่ เต็มมือผมไปหมด....  มือข้างที่เปื้อนคาวรักนั่นผมเอาไปป้ายข้างหลัง...  และมันก็คงรู้ว่าจะเจอกับอะไร...จึงถอยหนีหนักกว่าเดิม หากแต่ไปเพียงนิดเดียวก็ต้องหยุด เพราะผมจับขามันไว้แน่น

“อืออ...ขี้โกงนี่ครับ...ตัวเองเสร็จแล้วจะหนี” ผมยิ้มอย่างมีความสุขและชัยชนะที่ได้อยู่ในมือ  ป้ายน้ำคราบนั้นลงไปที่เบื้องหลัง....ไอ้ตัวเล็กตอนนี้กลับมาร้องไห้อีก

“พี่เอก...ยะ...อย่า ฮือๆ เบสต์กลัว”   

“อืม...ไม่ต้องกลัวครับ...เดี๋ยวทำเบาๆ นะ”  ผมจัดการแยกส่วนอ่อนไหวออกด้วยนิ้วมือ สอดเข้าไป เพียงนิ้วเดียว...แต่ไอ้ตัวเล็กของเล่นของผมมันก็ยังไม่ชิน...บิดตัวหนีทันที

“ฮึก..เจ็บ..เจ็บอ่ะ” 

“อืม...อย่าเกร็ง”  เสียงผมกระซิบบอกเลื่อนลงไปดูดดุนตุ่มเล็กๆ ที่แข็งเป็นไตบนแผงอกบางๆ นั่น ได้ผลเสมอ ไอ้ตัวเล็กนั่นครางขึ้นทันที ลดอาการเกร็งลงไปได้....

เสื้อผ้าที่ผมใส่อยู่จัดการเปลื้องออกเพียงแค่เวลาของเสี้ยวนาที... ร่างกายผมกับมันตอนนี้ไม่มีอะไรขวางกั้น.... ไอ้ร่างกายของผมตอนนี้มันแทบจะระเบิดแล้ว......  ผมเอื้อมมือเล็กๆ นั่นให้มากอบกุมของผมไว้... ทันทีที่จับ เบสต์มันตกใจจนต้องชักมือกลับ...แต่ผมแข็งขืนให้มันสัมผัสต่อ...สั่งเสียงกระซิบ

“อย่า...ปล่อย......รูดครับเบสต์” เสียงสั่นกระเส่าของผม  สั่งมันให้ทำ...ไม่รู้ว่ามันกลัว..หรือว่าเคลิ้มไปตามแรงอารมณ์เบสต์ทำตามทันทีจนผมแทบจะหยุดไว้ไม่อยู่เสียเอง....เอามือมันออกก่อนที่จะเลื่อนเข้าไปหาส่วนบางเบาของร่างกายมัน

“อ่าห์.....”  ส่วนปลายเข้าไปหาข้างในอย่างอบอุ่น และแน่นรัดจนผมต้องเป็นฝ่ายครางเสียเอง.... 

“ฮึก...เจ็บ...เบสต์เจ็บ”  มันทำท่าจะถอยหนี แต่ไม่มีทาง ผมเอาศอกทั้งสองข้างรัดตรึงไว้ตรงไหล่ของมัน  มือที่อยู่ข้างบน  จับเส้นผมของเบสต์เอาไว้... บังคับให้ลืมตา

“อย่าหลับตาครับ...มองหน้าพี่”  เสียงสั่งรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของผม.... เบสต์มันทำตาม  ลืมตาแต่มองหน้าไปทางอื่น.....หน้าแดงจัด..

“...........”

“มองหน้าพี่ครับ”   เบสต์มันทำตามอย่างว่าง่าย....ผมดันท้ายทอยมันขึ้นมาจนปากแนบชิดกัน  ....ส่วนล่างของผมกดลงไปอีกครั้งเบาๆ จนร่างกายส่วนล่างของมันแนบนิดติดกับของผม ส่วนทุกส่วนรัดตรึงจนแน่นหนึบไปหมด  ...ถ้าเกิดผมโยกขึ้นลงอีกเพียงครั้งเดียว....  ผมแพ้แน่

.... อ่า...อ่าห์  หยุดก่อน

“เปิดปาก..”  ผมสั่งให้มันทำตามขึ้นเรื่อยๆ  ก่อนจะแทงลิ้นเลียลงไปโดยเปิดปากออกไม่ได้ประกบอย่างช่วงแรก ..เบสต์มันทำตามทันที  ผมสั่งให้มันจ้องตาไว้ตลอด....  แบบนั้นแหละ...ถึงจะบังคับมันได้

“....  เงยหน้าขึ้นมา...ดูดปาก..พี่...ครับ”  เสียงสั่งสั่นๆ ของผม...ที่ทุกคนที่นอนด้วยบอกว่ามันเซ็กซี่.... ใช้ได้กับเบสต์เหมือนกัน...  เหมือนมันตกภวังค์แล้ว..ไม่ว่าจะสั่งอะไรมันทำตามตลอด

“..... อืม”  ด้านล่างผมกระแทกลงไปอีกครั้ง  แต่ไม่ยอมให้ไอ้ตัวเล็กนั่นร้องได้ ปากผมประกบลงไปทันที กระแทกกระทั้นอีกเพียงไม่กี่นาที....ก็ถึงจุดหมาย...  น้ำรักมากมายถูกฉีดเข้าไปในร่างของเบสต์จนหมด....
 
“อ่าห์.....ซี๊ดดด...อ่าห์.....”  ผมถึงจุดแล้วแต่ไม่ยอมปล่อยให้มันออกไปได้... อยากจะแกล้งอะไรซักหน่อย  ไอ้ตัวเล็กพยายามขืนตัวออก.... แต่ผมกดเอาไว้แบบเดิม.. มันถึงจุดปลายทางแล้วก็จริง...แต่ใช่ว่าส่วนนั้นของร่างกายผมมันจะถึงปลายทางไปด้วย...  รอบสองได้อย่างง่ายดาย

ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมา...แล้วกดหาปลายสายที่โทรบ่อยที่สุด  รอเพียงครู่เดียวเสียงปลายสายก็ตอบกลับมา..... ไอ้ร่างเล็กที่อยู่เบื้องล่างของผมยังดิ้นถอยหนีอยู่  จนผมต้องกระแทกลงไปซ้ำ มันถึงหยุดได้..แต่กลับมาร้องไห้แบบเดิมเมื่อรู้ว่าผมโทรหาใคร.....สายตาที่จ้องมาทางเบสต์บังคับให้มันเงียบ............  มือข้างหนึ่งกดไปที่ปากมันจนแน่น เพื่อป้องกันไม่ให้มันกัดมือผมซ้ำ......เสียงของมันจะไม่มีทางเล็ดรอดได้เด็ดขาด

“อืม..ซิวหรอ........................ ก็นอนคิดถึงซิวไง.............ทานไรยังครับ........................อยู่คนเดียวดิ่  เอกจะเอาใครมานอนด้วยทำไม................. ฮ่าๆๆๆ  รอซิวได้ป่ะ...............อืมม.................ครับ.......................ฝันดีนะ  คิดถึงซิวนะ”

“ฮึก...ปล่อย....มายุ่งทำไม....มายุ่งด้วยทำไม..ปล่อยนะ.. เจ็บ ฮือๆๆ”  ผมกดวางสายในทันที  ถอนส่วนที่แข็งขืนออกจากร่างกายของมัน หัวเราะอย่างมีความสุข  แต่ยังคงกดร่างกายนั้นทับอยู่

“อืม...ร้องไห้เก่งจริงๆ นะ...  อ่ะ....ลุกไปห้องน้ำเองคงไหวนะ.....แต่คืนนี้ห้ามกลับบ้านแล้วก็ห้ามออกไปจากห้องนี้เด็ดขาด” 

“ฮือๆ เบสต์จะไปหาต้อง...  ไม่ต้องมายุ่งกับเบสต์”   

“จะไปหามันทำไม...ป่านนี้เสร็จไอ้วัจน์ไปตั้งนานแล้ว...ยุ่งไม่เข้าเรื่อง.......จะเข้าห้องน้ำเองหรือว่าอยากโดนซ้ำ...เลือกเอา”

“ฮึก..... ฮึก....จะ...ไปหาต้อง” 

“โธ่โว้ย....เงียบ.....กูรำคาญ !!!” 

“....ฮึก...”


หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:12:53
“ไปห้องน้ำ...ตัวเปื้อนจะตายห่าอยู่แล้ว....  แม่งร้องไห้อยู่ได้”  ผมเบี่ยงตัวออกมา  มันถอยร่นจนไปถึงปลายเตียง  ผ้าห่มถูกม้วนเข้าหากันแน่น   เพียงแต่เดินไปได้เพียงแค่ครู่เดียว ร่างเล็กๆ ของมันก็ล้มลง

“โอ๊ย.!!!!”

“เหอะๆ  เดินไปให้ได้...ถ้าเดินไม่ได้ก็คลานไป”  เสียงผมสั่งเฉียบ  มันชักจะมากไป...... อุ้มขึ้นมาจากรถรอบหนึ่งแล้ว....ครั้งนี้ถ้ามันเดินไม่ไหวก็คลานไปเอง

“ฮือ...ๆๆๆ ฮึก” 

“หยุดร้องได้ไหมเนี่ย !!!   สำออยว่ะ” 

“ฮึก...ฮึก”  มันเดินเบี่ยงตัวไปช้าๆ  เอามือข้างหนึ่งจับผ้าห่มไว้แน่น  ส่วนมืออีกข้างพยายามพิงผนังแล้วเดินไปที่ห้องน้ำเรื่อยๆ  ผมไม่สนใจ ปล่อยมันจะทำอะไรก็ปล่อยมัน  สำหรับแค่นี้ก็พอแล้ว...ผมไม่ได้สนใจมันซักนิดเดียวว่าจะกลับขึ้นมานอนตอนไหน และมันจะทำอะไรหลังจากนั้น  แต่รอตั้งนาน จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่ยอมออกมาจากห้องน้ำ......

“เฮ้ย... !!! เบสต์”  เสียงเรียกตะโกนของผมมันดังพอที่คนอยู่ในห้องน้ำจะได้ยิน

“............” ไม่มีเสียงขานตอบรับออกมา  จนทำให้ต้องเคาะประตู

“เบสต์ !!!  ถ้าไม่ออกมาพี่พังประตูนะ”   มันนานเกินไปสำหรับคนอาบน้ำ

“..................” 

“ไอ้เบสต์!!!”   

“ปัง........ปัง.........ปัง”  เสียงกระแทกประตูของผมอย่างดังจนคนข้างในตกใจกลัว..ตอบกลับมา

“มีอะไร....อย่ามายุ่ง”

“ออกมา !!!” 

“ไม่ !!!”

“นับหนึ่งถึงสาม...ถ้าไม่ออกพี่พังประตูเข้าไปแน่”

“ฮือๆ อย่ามายุ่ง....เบสต์จะอยู่ในนี้..ไปไกลๆ เลย” 

“หนึ่ง  !!!”

“ฮือๆๆ  ออกไป..ออกไป...”

“สอง !!!” 

“ฮึก....ออกไป..ออกไปปปปปปปปปปปปป !!!” 

“สาม !!!”   

มันกล้ามาก  ความอดทนผมขีดสุดเหมือนกัน...  ประตูเพียงแค่นั้นอย่าคิดว่าผมจะไม่มีแรงเอามันออก  จะล๊อคไว้ขนาดไหนก็เถอะ  ผมถีบ  ถีบ  ถีบ แล้วก็ถีบ  ให้มันออก 

“ปัง....  ปัง.... ปัง.....  !!!!  โครม  !!!” 

“ลองดีกับกูใช่ไหม... มึงมานี่”   ในห้องน้ำ  ผ้าห่มทั้งผืนเปียกไปหมด..ตัวเล็กๆ ของมันหยดน้ำเกาะพราวไปหมด... ผมไม่สนว่าผ้าห่มมันจะเปียกขนาดไหน...แต่กระชากไอ้ตัวเล็กที่เปียกน้ำนั่นออกมา....   เพียงแต่ออกมาแป๊บเดียว...ยังไม่พ้นประตู..ร่างของมันก็ทรุดฮวบลงไป....ข้างหลังเปื้อนเลือด

“ฮึก...เจ็บ....ปล่อย..เบสต์”   ร่างเล็กๆ ของมันไม่ต่างอะไรกับเด็กประถม....  แรงที่จะสู้ไม่มีซักนิด...แต่มันก็ทำให้ผมหัวเสียได้ตลอด

“เจ็บก็ดี.... มานี่ดิ!!!”   ผมดึงมันขึ้นมาอีกครั้ง แต่เรี่ยวแรงขามันแทบไม่มี...เห็นสภาพแบบนั้นก็อดสมเพชไม่ได้... ถึงผมจะเลวขนาดไหน...แต่ก็ไม่ถึงกับปล่อยให้มันอยู่ในสภาพทุเรศแบบนี้หรอก...  กูอุ้มอีกก็ได้วะ

“ฮือๆๆ  อย่า.....พอแล้ว”

“กลัวหรือไง...ตอนนี้ละกลัว ตอนอยู่ในห้องน้ำทำเป็นท้าพี่นะเบสต์” 

“ฮึก...ฮึก” 

“นอน !!!” 

“ไม่นอน...เบสต์อยากกลับ...เบสต์จะไปหาต้อง”  มันอยากจะไปหาต้องทำไมนักหนา...มันห่วงกันเกินเพื่อนไปแล้วมั้ง

“จะไปทำห่าอะไร......  ถามจริง..เป็นเมียหรือเป็นผัวมัน.... ถึงได้ขนาดนั้น”   รำคาญ....เรียกหากันอยู่นั่นเอง

“ฮือๆๆ เบสต์ห่วงต้อง”   มันห่วงต้อง..ในขณะที่ตัวมันเองก็ยังจะไม่รอด

“เหอะๆๆ  ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าไหมเบสต์” 

“พี่ก็ปล่อยเบสต์ไปซิ่”    มันอยู่บนเตียงแล้วตอนนี้ ร่างกายเริ่มกลับมามีแรงอีกหรือไง ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาเถียงผม

“จะนอนดีๆ  หรือว่า...........” ผมเว้นเสียงไป ก่อนที่จะเปิดลิ้นชักบนเตียง  เอาโซ่เส้นเล็กๆ ออกมาให้มัน
เห็น

“.................” เบสต์มันเงียบ  แต่หน้าซีด มองโซ่เส้นสีเงินนั่น

“อยาก............โดน............ล่าม.........ไหม”   เสียงผมพูดขึ้นช้าๆ  มองไปที่มัน...ไม่ได้ขู่ แต่เอาจริงแน่ๆ ถ้ามันยังดื้อ

“ฮือๆๆ” พอมันเถียงไม่ได้ สู้ไม่ได้ ก็ล้มตัวลงไป แล้วก็เอาแต่ร้องไห้

“อยากร้องร้องไป...แต่ห้ามหนีออกไปเด็ดขาด ...นอน”   

   เสียงสะอื้นของมันยังมีมาเป็นระยะๆ  จนกระทั่งเงียบลง   ...  ผมถึงได้หลับลงได้บ้าง.. มองไปที่นาฬิกาหัวเตียง  บอกว่าอีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็เช้าแล้ว... นี่มันดึกขนาดนี้เลยหรอ...ทำไมถึงได้นานขนาดนั้น พรุ่งนี้เช้าคงไปเรียนไม่ไหวแน่ๆ
   .
   .
   .
   .
   ผมตื่นมาอีกทีก็ไม่รู้ว่ากี่โมงกันแน่...  เอื้อมดูนาฬิกาบอกเวลาเกือบสี่โมงเย็น...ผมนอนทั้งวันทั้งคืนแบบไม่เคยนอนมาก่อน...  เอานาฬิกาวางไว้แบบเดิม  ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหาไอ้คนที่นอนอยู่ข้างๆ เมื่อคืน

   “................”   สัมผัสที่มือวางลงไป ....ว่างเปล่า...เบสต์หายไปไหน  !!!!

   “เบสต์”  เสียงเรียกของผมพร้อมกับเปิดผ้าห่มออก...ไม่มีไอ้ร่างตัวเล็กๆ  ที่มันร้องไห้ทั้งคืนอยู่ข้างๆ  ผมลุกออกมาอย่างรวดเร็ว  เปิดประตูห้องน้ำออก...ไม่มี....ที่เทอเรซ  ไม่มี  ออกมาที่ห้องกลาง ห้องรับแขก และในห้องน้ำก็ไม่มี....  เบสต์ไม่ได้อยู่ในห้องผม.....

   กลับมาที่ห้องนอนเดิมอีกครั้ง  เสื้อผ้าของเบสต์สำหรับเสื้อนักเรียนที่ขาดยังคงอยู่ จะหายไปก็เพียงกางเกงนักเรียนเท่านั้น และในตู้เสื้อผ้าของผม เสื้อตัวหนึ่งหายไปแทน .....ผมเปิดลิ้นชักออกมา ปรากฏว่าทั้งกระเป๋าตังค์และมือถือของมันที่ผมซ่อนเอาไว้ไม่ให้มันเอาออกมาได้เพราะกลัวมันจะหนี  ยังอยู่ครบ

   ......เมื่อคืนที่ไม่ล่ามมันเอาไว้ก็กลัวว่ามันจะเจ็บหนักกว่าเดิม.....  ถ้ารู้ว่าขนาดเอากระเป๋าตังค์และมือถือแอบไว้แบบนี้  มันยังจะหนีไปอีก...รู้งี้ ล่ามไว้ซะก็ดี

   ............เสื้อผ้าตัวไหนก็ไม่รู้ ผมสวมใส่อย่างรวดเร็ว  ฉวยกระเป๋าตังค์ มือถือและกุญแจรถของตัวเองออกมาได้  วิ่งมาที่ลานจอดรถ  บึ่งออกจากที่นั่นทันที

   ........อย่าให้เจอ.......  !!!!

   เส้นทางที่ผมขับออกมา ตลอดสองข้างทาง พยายามมองหาตลอดว่ามันจะอยู่ตรงไหน... มันไม่ได้ไปเรียนแน่นอน.....   เพราะถ้ามันไปเรียน...ไอ้เด็กรุ่นน้องเรียนห้องเดียวกับเบสต์ที่ผมแอบใช้มัน และให้เงินเป็นการตอบแทน มันต้องโทรมาบอกผมแล้ว  แต่นี่มันเงียบ

   ไม่ได้ขับตามเพราะว่าห่วง...  แต่ที่ขับออกมาเพราะมันขัดคำสั่ง... อันนี้ผมไม่ชอบ

ตลอดระยะทางที่ผมมองหา  ขับรถจนมั่วไปหมดไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนบ้าง  ไอ้ตัวเล็กนั่นวิ่งออกมาโดยที่กระเป๋าเงินก็ไม่มี โทรศัพท์มือถือก็อยู่ที่ผม ตลอดทาง  ผมโทรบอกให้ไอ้วัจน์ มันช่วยโทรหาต้องทีว่าเบสต์ได้ไปหาต้องหรือเปล่า  แต่ปรากฏว่า เบสต์มันไม่ได้ไปหาต้อง

   ไอ้ของเล่นชิ้นนี้ของผมมันทั้งดื้อ แล้วก็อวดดีกับผมตลอด

   “อย่าให้พี่เจอนะเบสต์...”   ผมสบถขึ้นมา ทั้งโมโหแล้วก็โกรธอย่างหนัก  กับคนอื่นที่ผมเคยยุ่งด้วย เคยคั่วด้วย ไม่เห็นต้องเป็นแบบนี้ 

   “โธ่เว้ย !!!”   โมโหจัดเพราะหามันไม่เจอ เอามือทุบพวงมาลัย ระบายโทสะ มันหายไปไหนของมัน แล้วทำไมผมจะต้องมาวุ่นอยู่กับมันด้วยตลอด .....  ตอนที่มันตบหน้าไอ้วัจน์นั่นก็ทีหนึ่งแล้ว... ผมสั่งสอนมันไปขนาดนั้น มันยังไม่เข็ดอีก

   บริเวณนี้ ผู้คนถึงจะมีบ้างเพราะเป็นคงเป็นช่วงเวลาที่หลายคนเลิกเรียน และก็เลิกงานกันด้วย.... แต่เมื่อคืนทั้งคืนผมแทบจะไม่ได้หลับ เพราะไอ้ตัวเล็กที่นอนข้างๆ มันร้องไห้ตลอด แถมยังชวนผมทะเลาะทั้งคืน จนต้องซัดให้มันอยู่หมัด  เผลอตื่นขึ้นมา ก็บ่ายกว่าเกือบเย็นแล้ว แต่ไอ้ตัวเล็กที่มันนอนข้างๆ ผมนี่มันหายไปไหนได้...     มันน่าโมโห ตอนนี้ผมจอดรถเอาไว้ตรงไหล่ทาง  แถบนี้มันเป็นชานเมืองที่จะไปเส้นจังหวัดฉะเชิงเทรา ผมขับรถไกลมาถึงขนาดนี้ได้ไงก็ไม่ทราบเหมือนกัน บริเวณแถบนี้มันเป็นนิคมโรงงาน แถวๆ ถนนเสรีไทย ตอนนี้ผมเผลอเข้ามาจอดรถอยู่ในวัดแถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

   ไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญจัด หรือว่าผมโชคดีกันแน่ ที่ให้ไงไอ้ตัวเล็กนั่นก็ไม่มีทางที่จะหนีผมรอดไปได้ น้องเบสต์ หรือไอ้ของเล่นชิ้นใหม่ของผมมันนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น  พร้อมกับพนมมือไหว้อะไรซักอย่าง

   ผมออกมาจากรถ เดินแอบเข้าไปเพื่อไม่ให้มันเห็น  แถวนี้เงียบ และสงบสมกับเป็นวัดรอบนอก ...  ผมอยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะทำตัวอย่างไงที่เห็นหน้าผม และตามมันมาทันได้ ... ก่อนที่จะแอบอยู่ตรงมุมโบสถ์เก่าๆ ที่ติดกับริมน้ำ  ได้ยินทุกคำพูดชัดเจน ที่เบสต์คุยกับหลวงพ่อรูปหนึ่งที่กำลังกวาดลานกว้างนั้นอยู่ ..... แถวนั้นไม่มีใคร......เสียงที่ผมได้ยินจากหลวงพ่อรูปนั้น เข้ามาที่โสตประสาทหูชัดเจน   พระรูปนั้นพูดถึงเบสต์  ..

“อดีตเป็นสิ่งที่ควรมีเอาไว้เป็นบทเรียน  โยมตามเขามานานเกินไป...ปล่อยวางบ้างเถอะ” 

“ลูก.....เป็นห่วง..”  เสียงของเบสต์แหบพร่า กึ่งร้องไห้ แต่ไม่ได้มีน้ำตาไหลออกมา    ตลอดระยะเวลาที่คุยกันอยู่ ผมจับใจความได้หมด  ....... แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุยกันนั้นหมายถึงอะไร...  เบสต์ตามอะไรและห่วงอะไร.... 

“เขาเจอกันแล้ว...ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามสิ่งที่เขาทำกันเอาไว้..... โยมจะขัดได้หรือ”  เสียงของหลวงพ่อรูปนั้นยังคงพูดต่อ...ไม่ได้หันมามองทางเบสต์ที่ยังคุกเข่าพนมมือ....กวาดลานวัดนั้นไปเรื่อย  ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งช้าๆ ....

“ออกมาเถอะ......ไม่ต้องแอบหรอก”     ผมแทบจะผงะ..ทำไมท่านถึงรู้ว่าผมแอบอยู่.....  ตลอดระยะทางที่เดินเข้ามา เท่าที่ผมจำได้..เส้นทางนั้นไม่มีทางเด็ดขาดที่หลวงพ่อท่านจะรู้และเห็น...ความเงียบที่เดินมา... แทบจะไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาได้..รถที่ผมจอดเอาไว้ก็ห่างพอสมควร.....   ในเมื่อท่านรู้แล้ว..... ผมก็เดินไปช้าๆ คุกเข่าลงพนมมือไหว้ ข้างๆ ที่เบสต์นั่งอยู่

ไอ้ตัวเล็กนั่นผงะ..ตกใจสุดขีดที่เห็นผม  กางเกงนักเรียน กับเสื้อที่มันใส่อยู่เป็นของผม  ดูมันไม่เข้ากันเลยกับชุดที่สวม  เสื้อตัวใหญ่หลวมโคร่งนั่น ทำให้มันเหลือตัวหน่อยเดียว

“พี่เอก...!!!!”  มันเรียกชื่อผมเสียงสั่น   หากที่นี่ไม่ใช่ในวัด...ผมจัดการลากมันขึ้นรถไปแล้ว

หลวงพ่อท่านที่กวาดลานวัดนั้นอยู่ บัดนี้หยุด และหันมามองผมทั้งสองคน.... เอ่ยขึ้นอีกครั้งในสิ่งที่ผมไม่รู้

“โยมจำได้ และฝังใจกับเรื่องของคนอื่น.....แต่โยมกลับจำไม่ได้ในเรื่องของตัวเอง..”   หลวงพ่อท่านเอื้อนเอ่ยช้าๆ  พูดกับเบสต์ ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นหนึ่ง ที่เก่าคร่ำคร่า ยื่นไปให้ไอ้ตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม

“อาตมาเก็บเอาไว้ให้.... หวังว่าโยมคงจำได้.... เอาไปให้เขาเสีย...กรรมที่เขาทำไว้นั้นจะได้เบาบางลง” 
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:16:02
ตอนที่ 17   

   “โยมจำได้ และฝังใจกับเรื่องของคนอื่น.....แต่โยมกลับจำไม่ได้ในเรื่องของตัวเอง..”   หลวงพ่อท่านเอื้อนเอ่ยช้าๆ  พูดกับเบสต์ ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นหนึ่ง ที่เก่าคร่ำคร่า ยื่นไปให้ไอ้ตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม

“อาตมาเก็บเอาไว้ให้.... หวังว่าโยมคงจำได้.... เอาไปให้เขาเสีย...กรรมที่เขาทำไว้นั้นจะได้เบาบางลง”  สร้อยเส้นนั้นเป็นไถ้เส้นเล็กๆที่ถูกถักเกลียวเอาไว้ รัดร้อยลงมาจนถึงแผ่นสีทองเล็กๆ วงกลมผมมองเห็นไม่ชัดนัก เส้นสายสร้อยที่ดูเก่าจนแทบจะขาด มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับจี้วงกลมที่ถูกร้อยรัดนั่นอยู่...ถ้าสายตาผมไม่ฝาดไป จี้วงกลมนั้นน่าจะเป็นทองคำแท้

“สิ่งใดที่เคยเป็นของพี่ชายโยม แต่โยมได้ครอบครองเอาไว้...ก็ขอให้เอาสิ่งนี้ไปคอยบรรเทาเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าเถอะ”

 “หลวงพ่อ....” เสียงเบสต์แหบเครือ รับสร้อยเส้นนั้น...น้ำตาไหล...

“บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้...แต่จะบรรเทาลงได้....กรรมที่เขาทำเอาไว้..มันหนักเกินไป...ทั้งกรรมที่เขาทำเอาไว้กับโยมเอง...และกรรมที่ทำเอาไว้กับคนคนนั้น

“ฮึก...ฮึก ลูกอโหสิกรรมให้แล้ว...” เบสต์ร้องไห้... พูดในสิ่งที่ผมไม่รู้..เดาไม่ออก..และงงไปหมด

“แต่ใช่ว่าชายคนนั้นเขาจะอโหสิให้..”  หลวงพ่อหันหลังกลับไป...ไม้กวาดที่ถืออยู่นั้น  กลับไปกวาดลานวัดอยู่เช่นเดิม....  เสียงทั้งวัดไม่ได้เงียบสงัด...  เสียงไม้กวาดที่หลวงพ่อท่านนั้นกวาดผมยังได้ยินอยู่...เสียงร้องไห้เบาๆ ของเบสต์ผมก็ได้ยิน..แต่เหมือนกับว่าตัวผมเป็นอากาศ...ตอนนี้ไม่มีใครสนใจผมเลย...เบสต์ยืนขึ้น เอาหลังมือป้ายน้ำตาออก... ไม่ได้หันมามองที่ผมยังคงนั่งอยู่ ... เดินออกไป...แต่เป้าหมายไม่ใช่รถที่ผมจอดเอาไว้... อยากรู้เหมือนกัน....ว่ามันมาถึงที่นี่ได้อย่างไง...และนี่ทั้งเนื้อทั้งตัว กระเป๋าเงิน มือถือ ไม่มีซักอย่าง..... ยังจะอวดดีหนีผมไปอีก.....

“เบสต์.. !!!”  ผมลุกขึ้น ก่อนจะคว้าข้อมือเล็กๆ นั้นไว้ได้.. เบสต์ไม่ได้หันหลังกลับมา  เพราะคงรู้อยู่แล้วว่าเป็นผมแน่

“ปล่อย !!!”  เสียงของมันมั่นคงพอ ที่จะทำให้ผมกลัวได้เหมือนกัน

“จะไปไหน..” 

“...........” มันเงียบ  ไม่ตอบกลับ  แต่พยายามบิดข้อมือผมออก

“ผลั๊ก !!!”  ไม่รู้ว่ามันเป็นฝีมือใครที่มันเตะผมออกจากทางด้านหลัง  ข้อมือที่จับเบสต์อยู่ จำต้องปล่อยออกไปก่อน ....แล้วกะเต็มที่จะซัดเข้าให้ข้างหลัง

“ใครวะ !!”   ผมเอี้ยวตัวหันไป.... แต่สิ่งที่เจอคือผู้ชายตัวใหญ่ๆ สามคน สวมเสื้อสูทสีดำ  เตรียมกลับมาซัดผมอีกครั้ง ทั้งมือทั้งตีนตอนนี้ของพวกมัน ถ้าผมเสียหลักล้มลงไปอีกที ไม่รอดแน่  ความรู้สึกที่ย่อมมาไวเสมอ ทำให้รีบกระโดดตัวขึ้น พร้อมกับเตรียมซัดเข้าให้เต็มที่.... พวกมึงสามคน...กูไม่ได้กลัวหรอก

“ผลั๊ก !!!  โอ๊ย !!!”  ไอ้อีกคนหนึ่งที่ผมไม่เห็น ไม่รู้มันมาจากทางตรงไหน ซัดเข้าให้ข้างหลัง จากทางด้านของเบสต์อีกเช่นกัน  สรุป พวกมันมีกี่คนกันแน่  สาม หรือสี่ ....แรงที่ถูกมันถีบครั้งหลังสุด ทำให้ผมล้มไม่เป็นท่า ปากไปกระแทกกับขอบปูนจนได้เลือด

“อย่า !!!”  เสียงของเบสต์ตะโกนดัง

“คุณหนู !!! ให้ผมจัดการมันเลยหรือเปล่าครับ” 

“...ไม่...ต้องหรอก...... ที่นี่ในวัด”  .............คนของเบสต์....

“แน่จริงอย่าหมาหมู่ซิวะ !!!”    ถ้าตัวต่อตัว ...ผมสู้มันไหวแน่.. ตัวใหญ่กว่าก็เถอะ กูไม่ได้กลัวหรอก... แม่งรุม.... 

“ปากดีนะมึง” เสียงไอ้ผู้ชายคนที่อยู่ใกล้สุด  ง้างหมัดเต็มที่ ....คงโดนเข้าที่ซีกแก้มผมอย่างจัง ...ถ้าไม่มีเสียงที่ห้ามซ้ำเสียก่อน

“หยุดนะ !!!!”   

“ฮึก....ฮึก...พี่เอกไปซะ... ไปจากที่นี่..... แล้วอย่ามายุ่งกับเบสต์อีก”   น้ำเสียงของมันยังร้องไห้อยู่ ...ปนสะอื้น...  สองข้างของมัน ถูกขนาบไว้ผู้ชายอีกกลุ่ม  กะดูคร่าวๆ แล้วตอนนี้ ผู้ชายพวกนั้นมีไม่ต่ำกว่าหกคน

“ทำแบบนี้ใช่ไหมเบสต์  !!”  น้ำเสียงผมกัดฟันกรอดดดด..... ตั้งแต่กูเกิดมายังไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน...มันเป็นคนแรก..... ความกึ่งสงสัยที่มีความเคลือบแคลง...ถึงตอนนี้แน่ชัดแล้ว.... เบสต์มันลูกคนรวย..และก็คงจะรวยมาก...

“เบสต์... ไม่อยากทำแบบนี้..ฮือๆ..ฮึก....  แต่พี่... พี่เอกน่ากลัว...อย่ามายุ่งกับเบสต์อีกนะ”  มันร้องไห้หนักกว่าเดิม...  ไอ้พวกหมาเฝ้านายพวกนั้น เตรียมพร้อมเข้ามาซัดผมเต็มที่ แต่ติดที่ไอ้ตัวเล็กสั่งห้ามไว้.... จะดีซะกว่า ถ้าเบสต์มันบอกให้ไอ้พวกนั้นมารุม... ไม่ใช่ทำให้ผมรู้สึกจนตรอกแบบนี้

“อย่าคิดว่าจะหนีพี่ได้..”  มือข้างหนึ่งเอาเช็ดเลือดที่มุมปากออก...ผมยืนขึ้น ....  ไอ้พวกที่อยู่ข้างๆ บ้านเตรียมกรูเข้ามา...

“อย่ามายุ่งกับเบสต์อีก”  เสียงของมันทั้งสั่น ทั้งกลัว..แต่ก็ยังกล้าพอที่จะบอกกับผม... พวกมันเยอะกว่า

“...........คนไหนที่กูจะยุ่ง...  กูก็จะยุ่งให้ได้... อย่าคิดนะเบสต์....ว่าแค่ไอ้คนพวกนี้..  จะชนะพี่ได้”  น้ำเสียงอาฆาตที่ฝากเอาไว้... ไอ้พวกนั้นมันไม่มีทางกลัวหรอก...แต่กับคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม...สายตาบ่งบอกแน่ชัดว่ากลัวสุดขีด

“ฮือๆ ออก......ไป” 

“ถ้ากูไม่ไปจะทำไม.. !!!  อยากให้มันรุมกูไหมล่ะ.... พวกมึงเข้ามาดิ่...ในวัดนี่แหละ. กูเลวไง... มึงก็รู้ไม่ใช่หรอ !!!”  ผมเหลืออดเหมือนกัน...  ไม่เคยมีใครทำให้ผมเลือดออกได้ขนาดนี้....จะว่าเลือดเข้าตาก็ได้.... กี่คนกูก็ไม่กลัว

“ไอ้สัตว์ !!!”  เสียงผู้ชายคนที่อยู่ใกล้สุด พูดบริภาษขึ้นมาอีกครั้ง  มันสวนหมัดเข้ามาทันที ที่ตัวผมจะปรี่เข้าไปหานายมัน....   ตอนนี้มือไม้ทั้งสองกูก็ว่าง.. มันซัดมา ผมซัดกลับ  ไอ้นั่นก็ห่อตัวไปเหมือนกัน.. ไอ้คนหลังก็ไวทายาด กระโดดเข้ามาช่วยเพื่อนอย่างเร็ว  แต่เจอฝ่าเท้าของผมไปเต็มๆ ตีน ไอ้สองคนนั่นงอกลิ้งลงไปข้างล่าง  ... เหลืออีกสี่คนตรงหน้า...  ไอ้คนที่อยู่ติดกับเบสต์พุ่งเข้ามา เมื่อรู้ว่าเพื่อนมันสองคนเสียเปรียบ  ซัดเข้าให้ที่ท้องผมเต็มเปา เห็นดาวลางเลือน   ไอ้เสื้อสูทอีกคนที่เงียบที่สุด กระโดดเข้าล๊อคด้านหลัง จับแขนผมล๊อคทั้งสองข้าง  ก่อนที่ไอ้คนที่ซัดหน้าท้องผมไปเมื่อกี้จะชกซ้ำ

“อั๊ก!!!” ต่อให้ท้องผมแข็งขนาดไหน มีกล้ามแน่นขนาดไหน แต่ฝ่ามือหนักๆ ของพวกมันก็ทำเอาผมจุกลุกไม่ไหว

“ไอ้พวกหมาหมู่ ไอ้สัตว์”  เสียงตะโกนด่าพวกมันไป  ผมไม่ได้กลัว... แต่ตอนนี้มันเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง... ถ้าตัวต่อตัว... ผมชนะ

ไอ้คนที่ล๊อคแขนเอาไว้จากด้านหลัง ผมดิ้นไม่หลุด ตัวมันใหญ่กว่า  พวกผู้ชายวัยฉกรรจ์ขนาดนั้น  หกคน กับผมซึ่งเป็นเพียงไอ้เด็กม. ปลาย  ถึงจะเล่นกีฬา จนร่างกายแข็งแรงขนาดไหน ก็ไม่มีทางสู้พวกมันได้ ...ตอนนี้ไอ้คนข้างหน้า ชกผมซ้ำ จนจุกแล้วจุกอีก  มันรู้ว่าผมกำลังจะกองไปกับพื้น... แต่ก็ลงไม่ได้เพราะไอ้คนหลังมันล๊อคเอาไว้...  เพียงแค่ก้มลงไปนิดเดียว หน้าก็ต้องหันสะบัดไปทันที เพราะโดนแรงต่อยของไอ้คนตรงหน้าที่เปลี่ยนจากท้อง มาที่ใบหน้าผมแทน   มันยังคงกระหน่ำชกอยู่...โดยผมทำอะไรไม่ได้เลย..

“ฮือๆๆ... ปล่อยๆ..ปล่อยพี่เอกก่อน”  เสียงร้องไห้ พร้อมห้ามของไอ้ตัวเล็กนั่น ทำให้ไอ้พวกนั้น ปล่อยผมลงไปกองกับพื้นได้อย่างง่ายดาย.... สะใจมันไหม.....   

“อั๊ก....”  ไอ้คนที่ปล่อยกระทืบซ้ำ.....  สัตว์... อย่าให้กูกลับไปมีแรงได้เหมือนเดิม..กูจะเอาให้หนัก

“พี่เอก..ฮือๆๆ”  เสียงร้องไห้ของมันอยู่ตรงหน้า... แต่ก็ไม่ได้ก้มลงมาช่วยผมพยุงขึ้น.....  ก็นั่นซิน่ะ มันจะมาช่วยทำไมกับคนที่ข่มขืนมัน

“ไม่ต้องเรียกกู !!!!  .... สะใจ....มึง..ไหมล่ะ” ผมเงยหน้าไปมองมันไม่ไหว.. ถึงต่อจะให้ลุกตอนนี้..แรงจะขยับขายังไม่มี.. ครั้งนี้...ไอ้คนที่ผมคิดว่ามันเป็นของเล่น เอาผมหนัก...คนแรกและก็ครั้งแรกที่ทำผมได้

.............คอยดู.. มึงมีพวก.. มึงก็อย่าคิดว่ากูก็ไม่มีพวกเหมือนกัน........

“กลับเถอะครับ คุณหนู”   ......เสียงของไอ้คนที่ต่อยท้องผม  เรียกคุณหนูของมันขึ้น...เสียงร้องไห้ของเบสต์ถอยห่างออกไป พร้อมๆ กับเสียงของหลายฝีเท้า เดินห่างออกไปเรื่อยๆ  สักพักก่อนที่จะได้ยินเสียงรถขับบึ่งออกไป

...มันทิ้งผมเอาไว้เหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง.... เบสต์มันทิ้งผมเอาไว้ให้อยู่ในวัด....

............ฝากไว้ก่อน...................

หน้าตาผมตอนนี้...มันจะแตกก็เพียงแค่ตรงมุมปากนิดเดียวเท่านั้น...  จากรอยที่หน้าไปกระแทกกับพื้นและรอยหมัดของไอ้คนที่มันชกผม.. เค้าหน้าไม่ได้เป็นอะไรมาก... แต่ที่มันเจ็บก็ไอ้ตรงตามตัวนี่แหละ.. ทั้งจุกทั้งเจ็บจนแทบจะเดินไม่ไหว....  แต่ที่เจ็บที่สุดก็คือใจ... ผมเจ็บใจ

เรี่ยวแรงถึงแม้จะถดถอยหายไป.... พยายามเดินตะเกียกตะกายไปที่รถ... เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แต่ผมไม่ได้สนใจที่จะรับ....  พยายามเดินมาที่รถอีกครั้ง ก่อนที่จะเข้าไปนั่งได้..แทบเอาแย่เหมือนกัน..ครั้งนี้ผมโดนหนัก..แม้จะไม่ถึงขั้นสาหัสนัก แต่ก็เล่นเอาเดินแทบไม่ไหว.... หน้าตามันไม่ได้เจ็บอะไรมาก...แต่ข้างในมันโดนจนรู้สึกช้ำไปหมด   .........เสียงโทรศัพท์ยังดังต่อเนื่อง  จนผมต้องเอื้อมไปรับสาย

.......ไอ้นันต์......

“ว่าไงมึง............เออ.....................ไม่ไหว กูอยากนอน...........................เมื่อไหร่วะ.....................................กับพวกไอ้ตั้ม..............................เออๆ  เดี๋ยวกูหาให้  คืนนี้แหละ..........เออๆๆ” 

เสียงการสนทนาระหว่างผมกับไอ้นันต์เงียบไป...  ไอ้กลุ่มแข่งรถกลุ่มเดิม...อยากจะท้าล้างตาไอ้วัจน์อีกรอบ... ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่โดนพวกของเบสต์ซ้อมให้ไอ้นันต์ฟัง... แต่ซวยตรงที่มีหน้าที่ไปหาเหยื่อมาให้ไอ้วัจน์สำหรับแข่งรถวันพรุ่งนี้อีก

....ตลอดทางที่ขับกลับมาจนถึงที่ห้อง ผมนอนเอาแรงตลอด...และหลับแทบเป็นตาย มือถือที่มีเบอร์ของเบสต์อยู่..อยากจะโทรไปหาเหมือนกัน... ไม่รู้ว่าเพราะอะไร..รู้แต่ว่าอยากโทรก็แค่นั้น.. จนตกดึก....ผมออกไปหาหญิงมาให้ไอ้วัจน์..ตามที่มันขอเอาไว้... หน้าที่ง่ายๆ เข้าไปคุย หว่านเสน่ห์นิดหน่อย...แล้วพากลับห้อง  หลังจากนั้นก็สานต่อจนถึงวันพรุ่งนี้....  และก็ไม่มีทางเด็ดขาดที่ผู้หญิงคนนั้นจะรู้แน่ว่าจุดประสงค์ของผมที่เอามาคืออะไร

จะมาฉุกละหุกเอาก็ตอนที่มาอยู่ในสนามแข่งแล้ว... ผู้หญิงที่ผมเอามามันดันหนี... แถมไอ้ตั้มยังขอแข่งแบบนอกกรอบ..ตอนนี้ไอ้วัจน์มันก็ยังอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมนักเพราะว่าเมื่อคืนก่อนเพิ่งจะซัดกับไอ้เรย์มา..แถมไอ้นันต์ ก็ยังขับไม่ค่อยเก่ง..ส่วนผม....  ตอนนี้รู้สภาพตัวเองเลย...  ผมกับไอ้วัจน์ถึงฝีมือจะเท่าๆ กัน แต่ถ้าในด้านเรื่องโกง ผมเหนือกว่าไอ้วัจน์แน่ . และถ้านอกกรอบเมื่อไหร่ไอ้ตั้มก็พร้อมที่จะแข่งแบบมีเล่ห์เหลี่ยมเมื่อนั้น...แต่ตอนนี้  แรงที่ไปเที่ยวเมื่อคืน กับแรงที่ออกมาดูไอ้วัจน์แข่งรถนี่ ผมก็ฝืนสังขารตัวเองมาแทบแย่อยู่แล้ว ทั้งไอ้วัจน์และไอ้นันต์ไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อวาน   

ยังดีที่มันขับชนะ.... ไม่งั้นไอ้เหยื่อรายใหม่ของไอ้วัจน์ได้เสร็จไอ้ตั้มไปแน่ๆ  ตอนนี้มันขอเข้าไปดูไอ้ตั้มก่อน หลังจากที่รถของมันกลิ้งไม่เป็นท่าตอนเข้าโค้งสุดท้าย ขับกลับไป ก่อนที่จะฝากต้องไว้ที่ผม

“พี่เอก...”  เสียงของต้องเงียบหายไป... เรียกผมเบากระซิบ

“ครับ...”  ผมมองหน้าต้อง..... ไอ้สองคนนี่มันเป็นเพื่อนกันได้ไง... ตัวเล็กอย่างกับลูกหมาทั้งคู่..ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้น  จะไปสู้ใครเขาไหว

“เบสต์....อยู่ไหน.”    ผมจะไปรู้ได้ไง.....  ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น  ผมก็ไม่เห็นมันเลย...แถมวันนี้ผมก็ไม่ได้ไปเรียน แต่เพียงต้องเอ่ยถึงชื่อนี้.. ไอ้ที่ผมโดนเมื่อวาน ก็เริ่มโมโหขึ้นมา

“ไม่รู้ !!  จะเรียกมันทำห่าอะไร”  อารมณ์หงุดหงิดที่ต้องเรียกชื่อไอ้คนนี้ขึ้นมา..ทำให้ผมไม่สบอารมณ์นัก

“...พี่...ทำอะไรเบสต์...” เสียงของต้องมันสั่นๆ  แต่ก็ยังกล้าถามผม... มันอยากเอาความจริงหรือเรื่องโกหกล่ะ ผมจะได้บอกกับมันได้ถูก

“เอามันทำเมียไง....เหมือนที่น้องต้องโดนไอ้วัจน์ล่อไงครับ.....”   ทำหน้าอย่างกับว่าโลกจะแตก.. ไอ้สองคนนี่มันจะห่วงกันเกินเพื่อนไปหรือเปล่า...  อะไรนักหนากันเชียว.... ทำอย่างกับว่ามันสองคนเป็นผู้หญิง  เสียพรหมจารีย์กันซะอย่างนั้นแหละ...ขี้คร้าน... โดนหนักๆ เข้าก็ติดใจ เดี๋ยวก็ร่านไปหาผู้ชายกันทั้งคู่ 

ต้องมันก้มหน้าลงไป...  เสียงคล้ายร้องไห้...ไอ้นันต์หันมามองหน้าผมราวกับตำหนิ ....  ต้องกับเบสต์นี่มันแทบจะไม่แตกต่างกัน เอะอะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้..น่ารำคาญ...  ผมเดินหนีออกมา ปล่อยทิ้งให้มันอยู่กับไอ้นันต์ไว้เพียงสองคน

………………………….


       
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:17:32
ตลอดระยะทางที่ขับกลับมาในห้อง...พี่ธิวเงียบ...ไม่พูดอะไรซักนิด.... ผมกลัวเหมือนกัน... สิ่งที่พี่เอกพูดนั้นขอให้ไม่เป็นจริง... ถึงพอจะรู้มาบ้าง แต่ก็ขอให้สายตาที่ผมเห็นนั้นเป็นสิ่งที่โกหก..พี่เอกจะไม่ทำอะไรเบสต์เด็ดขาด... ผมหวังเช่นนั้น

พี่ธิวขับรถไม่ได้เร็วอะไรนัก..ขับไปเรื่อยๆ  จนเข้าถึงถนนใหญ่ก่อนที่จะเข้าไปในคอนโด  หาแต่ยังไม่ถึงดี  ก็จอดรถไว้ข้างทางเสียก่อน....

“กูหิวข้าว”  เสียงพี่เขาพูดขึ้นลอย...ลงจากรถไป.. ก่อนจะปิดประตูแน่น ส่วนผมไม่กล้าออกไป..ตอนนี้เดาใจเขาไม่ถูก บอกตรงๆ ว่ากลัว

“..................”    ผมนั่งเงียบอยู่คนเดียวในรถ จนประตูรถฝั่งคนขับถูกกระชากออกมาอีกครั้ง

“มึงจะลงมากินดีๆ หรือว่าให้กูลากลงมา”   เสียงพี่เขาไม่ดังนั้น  แต่น้ำเสียงนั้นชัดเจน... ไม่ได้ขู่ แต่มองออกว่าเอาจริง...ผมรีบตะลีตะลานออกมาจากรถทันที...ร้านตรงข้างทางนั้น..เป็นร้านข้าวต้ม..ถึงจะไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็ดูน่าสะอาดอยู่เหมือนกัน...  ไม่น่าเชื่อว่าพี่ธิวเขาก็สามารถกินของที่อยู่ข้างถนนได้....  หรือบางที บางสิ่ง พี่ธิวอาจจะไม่เปลี่ยนไป

            น้องผู้หญิงคนหนึ่งเอาเมนูมาให้ผม...แต่ตอนนี้  ผมก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าตัวเองยังมีสิทธิ์มีเสียงอะไรที่จะทำได้หรือเปล่า

             พี่ธิวไม่ได้มองไปที่เมนูอีกแผ่นหนึ่งที่น้องคนเดิมยื่นให้..... แต่สั่ง..โดยที่ไม่สนใจเมนู

               “กุนเชียงทอด.ไม่ต้องกรอบมาก... ผัดผักบุ้งไฟแดง....ผัดคะน้าปลาอินทรีย์....แล้วก็ผัดกุ้ยช่ายขาว.... น้ำขอน้ำเปล่านะครับ ไม่แช่เย็น  ส่วนผม ขอเบียร์มากระป๋องเดียวพอ

             .......ผมเงียบ...... ไม่ได้สั่งอะไรไป

.             ..ไม่รู้ว่าที่พี่ธิวสั่งอาหารอ่อนๆ มา และรสชาติไม่จัดนั้นเป็นเพราะว่า แผลที่ปากนั้นยังไม่หาย.... หรือว่าเขาจำได้..........ว่าผมชอบทานอะไร.........สายตาผมเสหันไปอีกฝั่งหนึ่ง...น้ำตามันรื้นๆ ขึ้นมา  ....ไม่หรอก... บังเอิญมากกว่า.. ทำไมเขาจะมาจำได้... ในเมื่อพี่ธิวเขาเกลียดผมอย่างกับอะไร... บังเอิญต่างหาก... เขาจำไม่ได้หรอก...จำคืนนั้นไม่ได้หรอก...  อดีตบางอย่างที่เข้ามาในความทรงจำ

“นัญชอบกินผัดผักบุ้ง... นัญอยากตาหวานๆ.... ตานัญสวยป่ะ” 
“อือ...สวย... แล้วอะไรอีก”
“นัญชอบกุนเชียงทอด.... แต่ไม่ต้องกรอบนะ..ถ้ากรอบเคี้ยวไม่ไหว... ฟันซี่ในเพิ่งหลุดไปเอง..แม่บอกว่าเดี๋ยวฟันซี่ใหม่ขึ้น นัญก็กินของกรอบๆ ได้”
“อ้าว  !!  ใครหว่าฟันหลอ”  เสียงพี่ธิวหัวเราะ ...ล้อผมอีกแล้ว... เดี๋ยวก็มีฟันครบเองนั้นแหละ
“แม่บอกว่าให้กินผัดคะน้าปลาอินทรีย์นี่เยอะๆ ..จะได้ไม่เป็นคอหอยพอก... แต่นัญชอบกินอันนี้มากกว่า ผัดกุ้ยช่ายขาว...สีมันสะอาดดี....”  ผมคีบมันขึ้นมา.. มื้อนั้น....ลุงธินกับแม่พามากินข้าวต้มนอกบ้าน ...แต่ตอนนี้ลุงธินกับแม่หายไปไหนก็ไม่รู้... ปล่อยผมไว้กับพี่ธิวไว้สองคนเอง.... คืนนั้นมีความสุขที่สุดเลย.......คืนนั้น....  เมื่อเกือบสิบปีมาแล้ว 

           
           “ไม่มีอะไรหรอก... เผอิญกูชอบกินน่ะ..กูกินอะไรได้..มึงก็ต้องกินได้ตามที่กูสั่ง...  ไอ้ผัดผักบุ้งเนี่ยนะ... กินแล้วตาสวยดี..กูก็เลยอยากกิน..  ส่วนกุนเชียงเนี่ยกูก็ชอบแบบไม่กรอบๆ  เพราะกูชอบกินอะไรที่มันนุ่มๆ ...ส่วนผัดคะน้าปลาอินทรีย์...  กูก็ป้องกันคอหอยพอกมั้ง.. แล้วอะไรอีกนะ.....อ้อ !!  ผัดกุ้ยช่ายขาว  อันนี้กูชอบกินมากที่สุด สีมันสะอาดดี...............  มึงว่ามั๊ย ?” 

   ....เขาแกล้งผม.... 

   ทำไมจะต้องแกล้งกันแบบนี้

   สัญญากับตัวเองไว้แล้ว....จะไม่ร้องไห้.. ผมจะไม่ร้องไห้

   “ไม่รู้ซิครับ.... อะไรที่พี่อยากให้กินต้องก็จะกิน.....  แต่ก่อนต้องเคยชอบ... แต่เดี๋ยวนี้มันก็อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง  อะไรที่เราเคยชอบ... เราอาจจะเกลียด.... และหลังจากเกลียด...อาจจะกลายเป็นขยะแขยงก็เป็นได้”   เสียงผมพูดขึ้นไปเรื่อยๆ   ไม่ได้มองหน้าพี่ธิว เพียงแต่ก็พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าสะกดอารมณ์ไว้ขนาดไหน...    เหมือนโชคเข้ามาช่วยพอดี  เพราะอาหารเริ่มทยอยเข้ามาอยู่ตรงหน้า...ความหิวของผม  บวกกับความหิวของพี่ธิว ทำให้อาหารข้างหน้าเริ่มหมดลงอย่างรวดเร็ว..ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่...ไม่มีใครพูดกับใครทั้งสิ้น...อาหารร้านนี้อร่อยจริงๆ  ตอนนี้..ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในสถานภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก... แต่ก็ขอเอาแรงไว้ก่อน...  เกือบสองวันที่ผ่านมา... ผมแทบจะไม่มีแรงเลย..ข้าวก็กินไปเพียงแค่ไม่กี่คำแค่นั้น......   หลังจากทานอาหารเสร็จจากตรงนั้น...  พี่ธิวขับรถขึ้นมาจอดไว้ที่เดิม  ผมเดินตามพี่เขามาบนห้อง  .....แต่ต่างคนก็ต่างเงียบ.....

   ผมพูดกับพี่ธิวขึ้นก่อนที่จะไปนอนในห้องของตัวเอง

   “พรุ่งนี้ ต้องจะไปเรียน”    

“ไม่เจอไอ้เรย์มันสามวัน... มึงอดทนไม่ไหวเชียวหรอ”  แค่นี้ก็รู้แล้วว่าพี่ธิวเขาหาเรื่อง.... แต่ถ้าหาเรื่องกลับ... ย้อนกลับ...  มันก็ไม่เป็นผลดีกับผมหรอก....  ไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งด้วย กับคนที่ไม่มีเหตุผลแบบนั้น

“ต้องขาดเรียนสามวันแล้ว...  ถ้าพี่ยังไม่ไปเรียน..เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องไปเองก็ได้” ผมตัดสินใจใช้ไม้อ่อน  ....   พูดกับพี่เขาดีๆ ..เพราะอย่างน้อยมันก็คงลดอาการเจ็บตัวได้บ้าง.... และมันก็เป็นผล... พี่ธิวเขาไม่ได้ตะคอกผมกลับ

“พรุ่งนี้ออกไปพร้อมกู..”   

“พี่จะไปเรียนหรอ.”  ที่ถามไปเพราะไม่แน่ใจ เพราะนี่มันก็ดึกแล้ว....ถ้าเรื่องเรียน ให้ไงผมก็ฝืนสังขารไปเรียนไหว.... แต่กับพี่ธิว ผมไม่แน่ใจ  เพราะว่าตอนแข่งรถดูจากอาการของพี่ธิวก็แย่พออยู่แล้ว

“เออ ...!!!  แล้วคืนนี้ พออาบน้ำเสร็จก็เข้าไปนอนที่ห้องกูด้วย...” สิ่งที่พี่เขาพูดออกคำสั่งมา..นั้นแหละคือสิ่งที่ผมกลัว...ขอเถอะ..อย่าเพิ่งให้มันเกิดซ้ำอีกเลย...ผมรับไม่ไหว...

“....พี่....วัจน์ครับ....คืนนี้...ผมขอนอนห้องตัวเองนะ”  ทันทีที่พูดจบ....พี่ธิวสะบัดหน้าหันมาทางผมแทบจะทันที...ความกลัวแผ่เข้าไปหมด...ผมไม่อยากโดนแบบนั้นซ้ำอีก..ขอร้องล่ะ..อย่าเลย

“เมื่อตอนเย็นมึงร้องไห้ ........คืนนี้ไปนอนห้องกู” น้ำเสียงครั้งหลังสุดดูแผ่วลง...พี่ธิวหมายถึงอะไร...ผมร้องไห้... แล้วอย่างไร... ร้องไห้แล้วพี่ธิวรู้ใช่ไหม..ว่าตอนกลางคืนผมจะฝันร้าย... ..นี่แหละ...ที่มันจะทำให้ผมร้องไห้ขึ้นมาซ้ำ.... ไม่จำเป็นที่จะต้องมาจำความรู้สึกกันหรอก... ถึงผมจะร้องไห้ตอนเย็นใช่ว่าตกดึก ฝันร้ายนั้นมันจะจางหายไป... ความฝันที่น่ากลัวนั้นมันยังมีมาแบบเดิม...  เพียงแต่ผมจะรู้สึกปลอดภัย ถ้าคืนนั้นผมนอนกับเบสต์หรือไม่ก็คืนนั้นตอนเด็กๆ  ผมเคยนอนกับพี่ธิว....คนที่ชื่อพี่ธิว...คนที่เคยปลอบตอนที่จะต้องตื่นขึ้นมา .ไม่ใช่ชื่อพี่วัจน์ที่ยืนต่อหน้าแบบนี้

....  “ไม่เป็นไร..ครับ....ฮึก...ไม่เป็นไร...ฮึก”  ขอร้องล่ะ...อย่าแบบนี้เลย...  ไม่ต้องจำกันหรอก..ปล่อยมันไปเถอะ

“ร้องไห้ทำไม”    เสียงพี่ธิวแผ่วลง.. จนผมกลัว

“ต้อง..ขอนอนห้องตัวเองนะ..ฮึก... ขอนอนห้องตัวเองนะครับ”   ไม่ไหวแล้ว..ตอนนี้น้ำตามันไหลออกมาอีกแล้ว...  ผมไม่อยากร้องไห้... ต่อให้เหตุการณ์อะไรน่ากลัวขนาดไหน ผมก็ไม่อยากร้องไห้.... แต่สิ่งที่ธิวคิดอยู่นั้นแหละ มันทำให้ผมกลัว

“...........อาบน้ำ.... แล้วไปนอนห้องกู...อย่าให้กูเข้ามาตาม...ถ้ากูเข้ามาตามเมื่อไหร่.. มึงจะไม่ได้ถูกแค่นอนเฉยๆ”  เสียงพี่ธิวพูดขึ้นเรียบๆ  ไม่ได้ตะคอกแต่อย่างใด  ...แต่น้ำเสียงนั้นจริงจัง...จนผมไม่กล้าที่จะเถียงอีก และไม่กล้าที่จะฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการอีก... คงต้องทำตามอย่างที่พี่เขาสั่ง

ภายในห้องน้ำของพี่ธิว มันดูสะอาดตาและก็กว้างซะเหลือเกิน..  ช่วงที่มาสองสามวันแรก...ผมไม่ได้มีเวลาสำรวจอะไรมากนัก เพราะเอาแต่กลัวกับเหตุกาณ์ที่จะต้องเผชิญอยู่  ....  ถึงจะสะอาดและกว้างขนาดไหน..แต่ผมก็ต้องรีบอาบ และรีบออกไป...กลัวว่าคนที่นอนอยู่อีกห้องจะหงุดหงิด

แต่งตัวและกลับเข้ามาในห้องของพี่ธิว....   คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นหลับไปแล้ว.....   ผมค่อยๆ  สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนหนานั้นไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว....  พยายามนอนเบี่ยงออกมาให้ห่างจากพี่ธิวมากที่สุด ก่อนที่จะนอนหันหลังให้....  หากแต่ไม่เป็นอย่างนั้น  เพียงแค่หันหลังให้แค่เสี้ยวเวลาเดียว  ลำแขนใหญ่แข็งแรงของคนที่นอนอีกด้าน  ก็ตวัดเข้ามากอดรัด  พร้อมกับดึงตัวผมให้หันหน้าไปหาเขาทันที

“...ยะ..อย่า...ครับ อย่าทำต้องเลยนะ”   ผมกลัว...มันเจ็บ  และไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบที่ผ่านมาอีก...ความกลัวนั้นมันยังไม่จางหายไป

“อืมม...กอดเฉยๆ  อย่าดิ้น”   เสียงพี่ธิวพูดขึ้น ไม่ได้ลืมตา... คล้ายๆ ละเมอมากกว่า... แต่ผมรู้ว่าคนข้างหน้านั้นยังไม่หลับ   

ไหล่ของพี่เขายังอบอุ่นเสมอ...   ผมไม่ได้กอดตอบ...เพราะรู้กันอยู่ว่าคนที่กอดผมอยู่นั้นเกลียดขนาดไหน... ความรู้สึกบางอย่างมันยังถูกขวางกั้นเอาไว้อยู่... ถ้าผู้ชายคนนี้...เป็นอย่างเมื่อสิบปีที่แล้ว...ผมจะมีความสุขขนาดไหน 

ด้วยความอบอุ่นที่ได้รับ  ถึงแม้มันจะไม่ได้เกิดจากความเต็มใจก็ตามจากร่างกายนั้นที่กอดอยู่ แต่ก็ทำให้ผมหลับไปได้อย่างง่ายดาย

..................  ทุกครั้ง...............ถ้าวันนั้นร้องไห้............ ผมจะฝันร้ายเสมอ

ความฝันยังคงเป็นแบบเดิม...  น่ากลัวและมืดมิด....ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากร้องไห้.. ทำอะไรไม่ได้...นอกจากดูภาพอันโหดร้ายที่ได้เห็น....สิ่งที่น่าแปลกและรู้มาตลอด ผมรู้ว่ามันเป็นความฝัน แต่กลับพยายามที่จะตื่นมาไม่ได้.. ฝันนั้นบังคับให้ผมเดินตามไปทุกย่างก้าวของชายคนนั้น.. บีบคอผู้หญิงคนหนึ่งจนสลบล้มลงไป  ก่อนที่จะพาผู้หญิงโชคร้ายอีกคนเดินไปที่กระท่อมหลังเดิม...  สิ่งที่ผมฝันมานานนับสิบๆ ปี มันไม่ได้จางหายไป.. มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป...  มันยังเป็นแบบเดิม..แต่ผมไม่เคยที่จะชินกับมัน

“ฮือออออออออออ  อย่า !!!”   ตื่นแล้ว...ผมตื่นขึ้นมาแล้ว  ข้างๆ มีคนนอนอยู่ด้วยและกอดผมอยู่จนแน่น

“ไม่ต้องร้องครับ... อย่าร้องไห้นะ”   ....ใครเรียกผม..  เสียงนี้คุ้นหูเหลือเกิน

“ฮึก...นัญฝันร้าย... นัญกลัว”    ความฝันนั้นมันไม่ได้ตามมาหลอกหลอนถึงชีวิตจริง เพียงแต่ยังให้ความรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย.. ผมกอดคนที่อยู่ข้างๆ และให้ไออุ่นผมกลับ.... พี่ธิวจริงด้วย... พี่ธิว.... พี่ธิววววว......  หรือ.... พี่วัจน์  !!!

สติกลับมาแบบเดิม... ผมกลับมาเป็นตัวของตัวเอง...รู้แล้วว่าคนที่กอดอยู่ตรงหน้านี้..คือใคร... มือข้างหนึ่งอยากจะกอดเอาไว้ให้แน่น...แต่มืออีกข้างหนึ่งกลับอยากจะผลักใสออก ..สมองมันล้าไปหมด

“มันเป็นแค่ฝันครับ...อย่ากลัวนะ...พี่อยู่ข้างน้องนัญนะ”   เสียงปลอบเพียงแผ่วๆ ของพี่ธิว..  ทำให้ผมรู้สึกอดแปลกใจไม่ได้...  ผมฝันไปใช่ไหม

“ฮึก..ฮึก...”   
.
.
.
.

ตื่นมาตอนเช้า พร้อมกับขอบตาที่แดงช้ำแบบเดิม  ผมไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน... อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้...ที่ผมฝันร้ายและสามารถหลับได้ต่อ... อาจจะเป็นเพราะอ้อมแขนของคนนั้นมั้ง ?

รถบนท้องถนนยามเช้า...ไม่ได้มีมากนัก..พี่ธิวขับรถขึ้นมาบนทางด่วน สักพักก็ถึง ก่อนจะลงเส้นทางหลัก... ขับเลี้ยวซ้ายเข้ามาเพียงนิด ก็ถึงทางเข้าโรงเรียน.. ใจอยากจะบอกให้พี่ธิวจอดส่งตรงหน้าโรงเรียนเหมือนเดิม...แต่ไม่กล้า... กลัวๆ

เพียงครู่เดียว..รถของพี่ธิวก็มาจอดอยู่ตรงด้านหน้าตึกของโรงเรียน... ถึงจะยังเช้าอยู่ แต่นักเรียนก็มากันมากแล้ว..  ผมแยกออกจากพี่ธิวได้..ใจรู้สึกโล่งอย่างไงบอกไม่ถูก เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตอนนี้เป็นอิสระ...ถึงจะชั่วคราวก็เถอะ

...............เบสต์.......

“เบสต์”   เสียงเรียกร้องอย่างดีใจของผมที่เห็นเพื่อนรัก เดินตัวเตี้ยๆ อยู่ทางด้านข้างตึก...  สีหน้าของเบสต์ทำไมดูไม่สดชื่นเลย......... มีอะไรปิดบัง..แต่ไม่ยอมบอกอีกแล้ว...แววตาของเบสต์เหมือนร้องไห้...แต่ก็แปรเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นหน้าผม

“ต้อง”

ผมดีใจที่เจอเบสต์อีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน  เมื่อคืนก่อนที่พี่ธิวจะออกไปแข่งรถ...เบสต์โทรมาหาผม...ถามว่าอยู่ที่ไหน..เบสต์เป็นห่วง.. แต่ไม่ได้พูดอะไร..เพราะเบสต์เอาแต่ร้องไห้....  จนผมคิดว่าเบสต์ต้องอยู่กับพี่เอก... และที่พี่ธิวจะออกไปนั้น จะตามไปแกล้งเบสต์อย่างที่พี่เอกเคยขู่เอาไว้....แต่ยังดีที่ไม่ใช่...ยังดีหน่อยที่สิ่งนั้นผมคิดผิดไปเอง  แต่ก็จะเลี่ยงเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เพราะกลัวว่าเบสต์จะเป็นห่วง

ผมนั่งเล่นอยู่กับเบสต์ ซื้อนมกับขนมปังมากินรองเท้าสำหรับอาหารเช้าทั้งสองคน ที่จะกินกันประจำเสมอ... ผมยิ้มอย่างมีความสุข ที่ได้อยู่กับเบสต์อีกครั้งหนึ่ง.. แบบเดิมๆ  ขนมปังชิ้นมันใหญ่ไป  ไม่ไหวแน่ๆ ที่จะซื้อมาสองก้อน แล้วกินกันคนละก้อน คงจุกตายกันพอดี...  เบสต์ซื้อนมมาสองขวด กับขนมปังอีกก้อนหนึ่ง  ซึ่งถ้าแบ่งขนมปังก้อนนั้นแล้ว  ก็พอดีท้องของผมสองคนพอดี

ตลอดระยะเวลาที่กินกันอยู่....สีหน้าของเบสต์ดูกังวลจนผมอดรู้สึกใจเสีย.....  ขนมปังที่ถูกแบ่งครึ่งออกไป...  ไม่ได้พล่องลงไปเลย... ผมจะตัดสินใจถามไปดีหรือเปล่านะ..ว่าเกิดอะไรขึ้น...อย่างน้อย...  จะได้ช่วยคลายความกังวลที่เบสต์กำลังเผชิญอยู่.. แต่อยู่ดีๆ  เบสต์ก็พูดขึ้นมา...โดยที่ไม่ได้มองหน้าผมแม้แต่น้อย..สิ่งที่เบสต์พูดขึ้น..แววตาดูมีความสุข...ถึงแม้จะน้อยนิดก็ตาม แต่ผมก็ดีใจ

 “อาทิตย์หน้าพี่จักรจะกลับมา”   ผู้ชายคนที่เบสต์พูดถึง...ผู้ชายคนหนึ่งที่มีความสำคัญและเบสต์พูดถึงตลอดเวลาที่ต้องการกำลังใจ...พี่ชายแท้ๆ เพียงคนเดียว ที่เรียนอยู่ต่างประเทศ... เบสต์บอกว่าอาทิตย์หน้าพี่จักรก็กลับมาแล้ว... ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ผมก็ดีใจเหลือเกิน..เพราะหลังจากนี้เบสต์จะไม่เหงา

   “เบสต์...”  เสียงเรียกของผมเบาๆ ที่บอกกับเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า

   “จ๋า...”

   “เบสต์....จะบอกเรื่องนั้น....กับพี่จักรไหม”  เสียงกระซิบที่พูดออกไป...บอกถึงเรื่องราวของเราสองคนที่ผ่านมา... เบสต์จะเล่าให้พี่จักรฟังไหม...  อยากให้พี่จักรรู้เรื่องนี้ แล้วช่วยเบสต์ออกมาจากเพื่อนของพี่ธิวไหม

   “.....เบสต์กลัวพี่จักรเป็นห่วง... เบสต์กลัวว่าพี่จักรรู้แล้วจะไม่กลับไปเรียนอีก..”    คำตอบที่พูดออกมาเพียงแค่นั้น  ทำให้ผมรู้ทันที... เบสต์รักพี่ชายของตัวเองมาก มากพอเท่าที่ผมก็รู้ว่าเบสต์เป็นห่วงผมเหมือนกัน

   “ไม่เอานะ...เบสต์อย่าร้องไห้นะ...ต้องขอโทษ”   เสียงสะอื้นไห้ของคนที่อยู่ตรงหน้า...ทำให้ผมต้องคว้าเบสต์ไว้แล้วกอดจนแน่น.... เบสต์ร้องไห้อีกแล้ว....ไม่อยากให้เป็นแบบนี้

   “ฮึก...ฮือๆๆ เบสต์ขอโทษ...เบสต์ขอโทษนะต้องนะ”  สิ่งที่เบสต์ขอโทษคือเบสต์ร้องไห้ต่อหน้าผม...ร้องไห้ต่อหน้า แค่นั้นเอง...

   “ไม่เป็นไร...ไม่ต้องเล่าให้พี่จักรฟัง..เบสต์เล่าให้ต้องฟังนะ...ต่อไปนี้มีอะไรเราจะไม่ปิดบังกันนะ”  ผมบอกกำชับกับคนที่อยู่ในอ้อมกอด....ทำไมเบสต์ถึงได้ห่วงผมขนาดนี้...  ทำไมถึงรักเพื่อนคนนี้ได้ขนาดนี้

   “ต้อง...”  เสียงเรียกสั่นๆ ของเบสต์เรียกชื่อผมขึ้นเบาๆ

   “จ๋า..” 

   “เราหนีไปกันดีไหม....หนีไปที่ไหนก็ได้ที่พี่เอกกับพี่ธิวหาเราไม่เจอ”

    ตัวผมเย็นวาบไปหมด.... เบสต์เรียกพี่วัจน์....ว่าพี่ธิว.. แสดงว่าเบสต์รู้แล้วใช่ไหม...ว่าพี่วัจน์เป็นใคร  เบสต์รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมผมถึงต้องไปอยู่กับคนคนนั้น

   .....พี่เอกหรือเปล่าที่เป็นคนบอก

   “ฮึก... ฮือๆๆๆ  เบสต์ ต้องขอโทษ....ขอโทษที่ไม่ได้บอกเบสต์นะ”  ผมร้องไห้... เสียงที่พูดออกไปหาเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ แทบจะเป็นเสียงกระซิบ.. คำถามที่เบสต์ถามนั้น..ผมไม่ได้ตอบ...  เพราะเบสต์ก็คงรู้อยู่แล้วว่าคำตอบมันเป็นอย่างไร..เบสต์รู้เสมอว่าผมรอและรักพี่ธิวมานาน... ถึงจะผ่านมาไม่รู้กี่ปี..ความรู้สึกนั้นก็ยังมีอยู่...  ความเกลียดมันเป็นเพียงกำแพงที่กั้นเอาไว้แค่นั้นเอง... เพียงแต่พี่ธิวที่กลับมาในครั้งนี้มาในคราบของคนชื่อวัจน์...  คนที่ผมไม่เคยรู้จัก และหวาดกลัว

   ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปให้ไกล.........

   เพียงแต่ผมขอทนไปก่อน...ทนอยู่กับสิ่งที่คนอื่นอาจจะคิดว่าโง่...

   วันใด...ที่ความอดทนนั้นสิ้นสุดลง  ผมกับเบสต์อาจจะหนีไปที่ไหนซักแห่งก็ได้

   เบสต์ไม่ถามคำถามนั้นซ้ำ เพียงแต่ เอามือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋า ก่อนจะหยิบสายสร้อยสีดำเส้นหนึ่ง   ยื่นมาทางผมแล้วบรรจงคล้องมันเอาไว้ที่คอ  .....ผมไม่รู้ว่าเบสต์ทำอะไร

   “ถ้าไม่หนี... ต้องใส่สร้อยเส้นนี้เอาไว้นะ... เบสต์ขอร้อง...  ใส่เอาไว้..แล้วอย่าถอดออกเด็ดขาด...” เสียงเบสต์พูดแผ่วเบาพร้อมกับกำชับ... เพียงแค่สร้อยเส้นนั้นอยู่ที่คอ....  ความรู้สึกบางอย่างก็ถูกแทรกเข้ามา......ผมไม่เคยเห็นสร้อยเส้นนี้มาก่อน..ไม่รู้ว่ารูปร่างมันเป็นแบบไหน..ไม่รู้ว่ามันมีลักษณะอย่างไร... เพียงแต่มีความรู้สึกว่า ครั้งหนึ่ง............ผมเคยสวมใส่สร้อยเส้นนี้

    “เบสต์.....”  เสียงเครือๆ ของผม ที่มองไปยังเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกครั้งหนึ่ง...เบสต์ก้มหน้าลง ..เอาแต่ร้องไห้ กำชับคำเดิม

   “ใส่ไว้นะ...ใส่เอาไว้..อย่าถอดนะ”   

   ...................
   .
   .
   .
   .
   ตลอดระยะเวลาในการเรียน ..ในช่วงเช้าทั้งวัน...เบสต์กับผมพยายามที่จะลืมเรื่องร้ายๆ ออกไปให้หมด...หยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานเหมือนเดิม..  อยู่ดีๆ  เสียง sms ในเครื่องผมก็ดังขึ้นมา

   “......กลางวันนี้เดี๋ยวพี่ไปทานข้าวด้วยนะครับ...........  P’ Ray”   เบสต์มันดันแอบเข้ามาอ่านพอดี..เลยแซวผมใหญ่เลย...  ความสนุกที่ได้เจอเพื่อน กับสิ่งที่เบสต์แซวมา...ทำให้ผมลืมคำสั่งของใครบางคนไปเสียสนิท...คำสั่งที่ว่าห้ามให้ผมมาเจอพี่เรย์อีก

   “เบสต์ไปกินด้วยได้ป่ะ..นะๆๆ เบสต์ไปกินด้วยนะ”   ทำไมจะไปกินไม่ได้..ถามแปลกๆ มันก็ไปกินข้าวกลางวันกับผมทุกวันอยู่แล้วนี่...วันนี้นึกอย่างไงถึงจะมาถาม

   “ก็กินดิ่... ถ้าไม่กินกับเบสตต้องจะไปกินกับใครเล่า”  เสียงผมพูดขึ้นมา...  แต่รู้สึกว่าแปลกๆ

   “ก็ .......ก็........ วันนี้พี่เรย์มากินข้าวด้วยนี่นา อิอิ”  เสียงเล็กเสียงน้อยของไอ้เบสต์ทำให้ผมมีความสุขเหมือนกัน...  ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ก็เถอะ

   “บ้า...มาก็มาดิ่..ก็กินกันสามคน..ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่เนอะ”   

   “จริงหรออออออออออออออออ”   มันลากเสียงยาว

   “บ้าเบสต์ !!!” 

   “ฮ่าๆๆๆๆ”    มันรีบวิ่งหนีผมทันทีเลย...  จะเอาหนังสือทุ่มไปที่หัวมันซะหน่อย.. แต่ดันหลบทันซะได้

   “มาให้ต้อง  ปั๊ด..เบิ๊ดกะโหลกซะดีๆ เลยนะ”   เสียงผมกับเบสต์วิ่งไล่ตามกันในห้องสองคนอย่างมีความสุข...อาจารย์ยังไม่เข้าห้องเรียน...เพื่อนๆ คนอื่นก็ไม่ได้สนใจ.... ก็ผมกับเบสต์คบกันเพียงแค่สองคนนี่นา

   ช่วงกลางวันวันนี้ทำไมคนมันเยอะจัง  ผมหันรีหันขวางอยู่กับเบสต์สองคน...  มองหาพี่เรย์ว่าอยู่ตรงไหน...แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวจะเจอใครบางคน

   “น้องต้องครับ !!!!”   เสียงเรียกดังๆ  ออกมาจากด้านข้างโรงอาหาร... เจอแล้ว  พี่เรย์อยู่ตรงนั้นนั่นเอง  ผมรีบเดินออกไป..ตอนนี้พี่เรย์แยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนของพี่เขาแล้ว..ทำไมเพื่อนๆ พี่เรย์มองผมกับเบสต์แบบนั้นล่ะ ..แถมหัวเราะกันคิกคักๆ ให้เต็มไปหมด... มีไรหว่า

   “มาครับน้องต้อง...อ้าว!!  น้องเบสต์ด้วย..”

   .................  “ไอ้เรย์ทิ้งเพื่อนนนนนนนนน”  เสียงดังๆ ของใครคนหนึ่ง ที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนพี่เรย์นั้นแหละ  ตะโกนอย่างดังจนผมตกใจ... พี่เรย์ได้แต่หันหน้า พร้อมกับชี้นิ้ว

   “เงียบไปเลยมึง  !!! เดี๋ยวกูต่อย”   เสียงทีเล่นทีจริงของพี่เรย์ ไม่ได้น่ากลัวซักเท่าไหร่...เพราะพูดไปก็ยิ้มไป..ยิ้มแบบกวนๆ 

   “โอ้โห..... ต่อยเพื่อนโว้ย...  จีบเด็กใหม่เข้าหน่อย..จะต่อยเพื่อนได้ลง  ฮ่าๆๆ”  เสียงจากเพื่อนของพี่เรย์คนเดิม ยังคงแซวมาไม่หยุด........อะไรอ่ะ ใครจีบใคร...อย่างไง งง
   
   “.....................”  ผมไม่ได้พูดอะไร เอาแต่ก้มหน้า ...........ส่วนเพื่อนรัก เพื่อนเบสต์.....ตอนนี้เอาแต่หัวเราะคิกคัก

   “อย่าไปสนใจเพื่อนพี่เลยนะครับ มาๆ กินข้าว...เดี๋ยววันนี้พี่เป็นเจ้ามือเองนะ..น้องต้องกับน้องเบสต์อยากกินไร... เต็มที่ครับ....”   

   “ได้เลยครับ....  งั้นเบสต์เต็มที่นะ อุตส่าห์มีคนเลี้ยงทั้งที”   ต้องยังไม่ได้ตกลงเลยนะเบสต์...ทำไมตัดสินใจเร็วจัง

   ผมกับเบสต์เดินไปช็อปร้านอาหาร... ไหนๆ วันนี้มีคนเลี้ยงทั้งที  ตามที่เบสต์บอก ...  เพื่อนรักของผม รีบพาผมเดินไปที่ร้านเสต็กทันทีเลย...  งี้แหละ ถ้าขึ้นว่าเป็นของฟรีเมื่อไหร่... เพื่อนเบสต์ของผม...พุ่งเข้าหาร้านแพงไว้ก่อน..ทั้งๆ ที่บ้านมันก็รวยจะตาย แต่เห็นของฟรีไม่ได้...  อารมณ์สนุกในการกินเกิดขึ้นมาเมื่อนั้น

   “โครม  !!!!”   เสียงดังมาจากข้างหลัง ผมไม่รู้ว่าเก้าอี้หรืออะไรที่มันถูกทำให้ดัง  หันหลังกลับไปมอง

   “ว้าย  !!!”  เสียงของนักเรียนหญิงกลุ่มนั้นดังขึ้น   ทันทีที่สิ้นเสียง  ต่างคนต่างลุกฮือ แตกกันออกไป จนเห็นต้นเหตของเสียงนั้นได้ชัด

   พี่เรย์คนที่เดินตามผมมา ล้มลงไปอยู่ข้างล่างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  แต่คนที่ยืนห่างออกไปหน่อย...และคงเป็นคนที่ทำพี่เรย์ล้มนั้น  ยืนออกไปอยู่ไม่ไกลนัก 

   “พี่ธิว” เสียงผมครางขึ้นอย่างตกใจ......  ความกลัวระคนไปกันหมด...ทำไมพี่ธิวถึงได้ทำอะไรบ้าๆ ขนาดนี้... ผมงงไปหมดว่าเกิดอะไรขึ้น...แต่ตอนนี้เท่าที่เห็น พี่เรย์มีเลือดที่มุมปาก

   ผมกับเบสต์วางจานเสต็กที่อยู่ในมือทิ้งออกไปทันที... ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปประครองพี่เรย์ให้ลุกขึ้น...ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน...แต่พี่ธิวจะมาทำร้ายคนอื่นอย่างอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้

   สถานการณ์รอบๆ ข้างผมไม่ได้สนใจที่จะมอง... แต่พอตั้งสติได้อีกทีหนึ่ง  ตอนนี้มันวุ่นวายไปหมด...โรงอาหารที่นี่..ถูกแบ่งออกเป็นสองพวกย่อยๆ  แต่ละคนรุ่นพี่ ม. 6 น่ากลัวกว่าที่ผมและเบสต์คิดกันอยู่

ฝั่งของพี่ธิว  นอกจากที่เคยเห็นพี่เอก และพี่นันต์อยู่เสมอๆ แล้ว  ผมเห็นคนรายล้อมอยู่ฝั่งเดียวกับพี่เขาอีกนับสิบคน   ..........ส่วนฝั่งของพี่เรย์... ผมไม่รู้จักใคร...จะมีคุ้นหน้าก็เพียงแค่คนที่แซวพี่เรย์เมื่อกี้เท่านั้น แต่เท่าที่ดูจากสายตา...พวกกลุ่มของทางพี่เรย์ดูจะไม่น้อยไปกว่ากลุ่มของทางพี่ธิวเลย

เสียงรอดไรฟัน  กัดกรามขึ้นจนเป็นสันนูนของพี่ธิว...ไม่บอกก็รู้ว่าโมโหสุดขีด....  พูดขึ้นมาทางผม...อาฆาต

“.....นัญ.......มึงปล่อยมันเดี๋ยวนี้” 
   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:19:12
ตอนที่ 18  เส้นทางหวนกลับ
   
   “เฮ้ย !!วัจน์”  เสียงไอ้เอกเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าว  ก่อนจะผงกหัวขึ้นลงให้มองไปตามสายตาของมัน  ต้องชนัญ ยืนอยู่คู่กันตรงมุมของทางเข้ามาในโรงอาหาร เพื่อนของมันหรือของเล่นไอ้เอก  ยืนอยู่ใกล้ๆ กันไม่ได้ห่างกันไปมากนัก  แต่สิ่งที่ทำให้อารมณ์ผมขึ้น ก็คงจะเป็นไอ้ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้วยกันไม่ห่างไปนักหรอก

   ไอ้เอกกับไอ้นันต์มองตามผม  พร้อมๆ  กับกลุ่มเพื่อนที่เล่นบาสอยู่ด้วยกันทางด้านหลัง  วันนี้เผอิญผมเอาแผนโปรแกรมแข่งสำหรับวันในช่วงกีฬาสีโรงเรียนมาให้เพื่อนๆ ในกลุ่มบาสดูซะด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่ากลุ่มผมมีมากกว่าปกติทุกวัน...  ไอ้พวกเพื่อนๆ ในกลุ่มบาสนี่มันก็พอรู้ระแคะระคายมาบ้างว่าตอนนี้ผมกำลังสนุกอยู่กับใครอยู่  พวกมันก็สนุกสุดขั้วเหมือนกัน... ไม่มีใครที่คิดจะห้ามกันหรอกสำหรับเรื่องแบบนี้  ยิ่งพวกมันเห็นหน้าต้องด้วยแล้ว..  ก็ยิ่งเชียร์ให้ผมจัดการกับไอ้คนที่เข้ามาเกาะแกะกับต้องเกินควร

   สำหรับในกลุ่มจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่คอยจะห้ามผมอยู่ตลอด ก็ไอ้ตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างผมกับไอ้นันต์อยู่ตรงนี้

   “ธิว....อย่าเลย....นะ” ข้อมือเล็กๆ ของลูกพี่ลูกน้องของผม  จับข้อมือผมเอาไว้แน่น  ถึงแน่นแต่ก็สั่น  พยายามที่จะห้ามไม่ให้ผมทำในสิ่งที่ไม่ดี คอยเตือนตลอด แต่ก็ไม่มีซักครั้งที่ซิวเคยห้ามหรือบังคับผมได้

   “ซิวอย่ายุ่งน่ะ  นันต์ มึงเอาซิวออกไปก่อน”   ผมบอกให้ไอ้นันต์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ซิวอีกด้านให้มันกันซิวออกไปก่อน ที่ไม่บอกให้เอกพาไป เพราะผมไม่ค่อยอยากจะให้มันมายุ่งกับซิวเท่าไหร่  ไอ้นี่มันชอบซิวอยู่ซึ่งผมก็รู้ แต่ถ้าจะให้มามายุ่งกับซิว เหมือนกับไปยุ่งกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมา  ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน พาลไปพาลมา จะกลายเป็นชกเพื่อนรักกันไปซะก่อน  ตอนนี้ผมยืนขึ้นแล้วเดินไปทางไอ้ตัวเล็กๆ สองคนที่เดินห่างออกไปทางร้านเสต็ก แต่ไอ้ตัวสูงๆ ด้านหลังนั่นก็เดินตามไปด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ไม่สนใจทั้งนั้นว่าตรงนี้มันที่ไหน  ตรงนี้มันจะมีคนอยู่ซักกี่คน แต่ที่ผมเห็น คือไม่ชอบให้ใครก็แล้วแต่ มายุ่งกับคนของผมเด็ดขาด

   “ไอ้เรย์ !!” เสียงเรียกเด็ดขาดของผมทำให้มันหันหน้ามาทันที.... ผมกับมันหยุดมองหน้ากันก่อนที่จะลงมือ ถ้าจะให้ชกมันจากด้านหลัง ผมก็ไม่ใช่นิสัยลอบกัดแบบนั้น  มันยังมีทีท่าวางเฉย  แต่ไอ้ทีท่าวางเฉยของมันทำให้ผมไม่สบอารมณ์

   “ผลั๊ก !!!” แรงต่อยของผมมันก็แรงพอดู  จนไอ้เรย์มันล้มลงไป

   “ว๊ายยย  !!!! ”

เสียงร้องของคนรอบข้าง ที่เห็นเหตุการณ์  ตอนนี้มันอลหม่านไปหมด  ไอ้เรย์ยังคงล้มอยู่และไม่ยอมลุกขึ้นมา  สีหน้าของมันที่โดนผมชกไม่ทำให้มันสะทกสะท้านอะไร  เพียงแต่เหมือนรอจังหวะ

   “พี่ธิว”  เสียงของมันเรียกผมขึ้นอย่างกลัวๆ  ไม่เพียงแต่มองหน้ามาทางผมแค่นั้น  แต่สายตาของมันทั้งตำหนิ  และว่าในสิ่งที่ผมทำอยู่  มือทั้งสองข้างของมันพยุงไอ้เรย์ขึ้นมา... และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อซักครู่นี้ทำไมไอ้เรย์ถึงไม่ยอมลุกขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่มันก็ทำได้..... มือทั้งสองข้างของนัญยังพยุงไอ้เรย์ขึ้นมาไว้และไม่ยอมปล่อย...

“.....นัญ.......มึงปล่อยมันเดี๋ยวนี้”    ความโกรธและความโมโหจากไอ้เรย์มันไม่เท่าไหร่ แต่ความโกรธจากอีกคนหนึ่งมากว่าที่มันเห็นคนอื่นดีกว่าผมเอง นัญมันยังคงไม่ปล่อยไอ้เรย์ออก  แถมยังอยู่ใกล้กันซะขนาดนั้น  ไอ้เพื่อนมันตัวเล็กนั่นก็พอๆ กัน  หน้าซีดจนไม่รู้จะซีดอย่างไง แต่ก็ยังไม่ยอมห่างจากเพื่อนรักของมันอยู่ดี  ..... มองไปเสี้ยวหนึ่ง  เหมือนไอ้เรย์มันกำลังหัวเราะเยาะผม

“ไม่ปล่อย  !!!!  พี่เป็นบ้าอะไรของพี่  !!ไปทำพี่เรย์ทำไม”

“กูบอกว่าให้มึงออกมา !!!”

“ไม่ หมาบ้า....  ชอบทำร้ายคนอื่น !!!  พี่มันบ้า...นัญเกลียดพี่ เกลียดพี่ที่สุด” ....................ใช่ซิ่ มันเป็นคนที่ผมเกลียดที่สุดนี่...มันก็น่าจะรู้ว่าคำคำนี้ผมไม่เคยชอบ คำคำนี้นี่แหละ ที่มันทำให้ผมกับมันต้องเป็นกันอย่างทุกวันนี้    เกลียดกูนัก....  กูจะทำให้มึงเกลียดไปสุดๆ มันเลยก็แล้วกัน

“ไอ้สัตว์ เรย์ !!!!”   เพียงแค่ตะโกนไอ้เรย์ก็รู้ทันทีว่ามันต้องเจอกับอะไร  นัญมันไม่สามารถที่จะดึงไอ้เรย์เอาไว้ได้ ซึ่งๆ ก็พอๆ กับแรงของไอ้เรย์มันเหวี่ยงเข้ามาที่ตัวผมพอดี  หมัดกับหมัดแลกกันจนมองไม่ออกว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ 

   “แม่งเอ้ย ... !!! ไอ้หน้าด้าน คนเขาเกลียดยังจะยุ่งกับเขาอีกนะมึงไอ้วัจน์”     ก็มึงยุ่งกับของของกูทำไม   มันเกลียดผมหรอ ช่างมันดิ่..ผมไม่สน  เกลียดก็เกลียดไป 

   “อั๊ก !!!!”

   “โครมม” 

   “พี่เรย์ !!!!”  เสียงเรียกก้อง... จากคนที่มันบอกว่าเกลียดผม  วิ่งเข้าไปหาไอ้เรย์  ตอนที่มันเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นด้านล่าง พร้อมกับจับไว้แน่น     ตอนนี้รอบข้างผมเพิ่งจะสังเกตเห็น คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้  ยืนดูถอยห่างออกไป  กลุ่มของผมและของมันยังคุมเชิงอยู่ เสียงตะโกนมาจากใครคนหนึ่งก็ไม่รู้ก่อนที่ผมกับไอ้เรย์จะเข้าใส่กัน ว่าห้ามเข้ามายุ่ง  เดี่ยวต่อเดี่ยวกันไปก่อน 

   “มึงออกมาจากมัน ... เดี๋ยวนี้ !!!”  นับเป็นความอดทนของผมเหมือนกัน  ที่บอกกับมันเอาไว้ มันถือว่าอยู่กันหลายคนแล้วผมจะไม่กล้าหรอ 

   “ไม่ไป........ นัญไม่ไป !!!  นัญเกลียดพี่ธิว”  คำพูดและหน้าตาของมันยังเหมือนเดิมกับเมื่อสิบปีก่อน  ตอนที่มันไล่ผมออกไปครั้งนั้น   อยากจะเข้าไปซัดไอ้คนที่นอนหมอบเลือดทะลักออกมาจากมุมปากทั้งสองข้าง  ถ้าไม่ติดอยู่ว่าไอ้นัญมันยังปกป้อง โอบกอดไอ้เรย์ ไว้อยู่ข้างแบบไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น...  ฤทธิ์ของไอ้เรย์ตอนนี้มันหมดลงไปเยอะเหมือนกัน เพราะครั้งนี้ผมซัดมันได้แรงกว่าเดิม.... แต่นัญมันยังไม่ยอมถอยออกมา   อยากจะเข้าไปซัดมันอีกที แต่ก็กลัวไอ้ตัวเล็กนั่นโดนลูกหลงไปด้วย

   ผมจะห่วงมันทำไม...........ในเมื่อมันมัวห่วงอยู่แต่อีกคน

   “ถ้ามึงไม่ออกมา  กูกับไอ้พวกที่อยู่รอบๆ นี่ได้ซัดกันทั้งกลุ่มแน่ๆ  มึงอยากเห็นไหม”   ถ้ามันคิดว่ามันกล้าให้เรื่องบานปลายขนาดนั้นก็ลองดู  ตอนนี้คงมีคนวิ่งแจ้นไปฟ้องอาจารย์แล้วนั่นแหละ  เดี๋ยวอีกซักพักก็คงได้เรื่อง

   “...................” 

   “มึง .......................จะ.......ออก..........มา.....ไหม”   เสียงผมเน้นย้ำชัดอีกทีให้มันเข้าใจได้ชัดเจน 

   “ฮึก...ฮึก....อย่าทำอะไรพี่เรย์ ฮึก....”    เอะอะแม่งก็ร้องไห้อย่างเดียว....  ความขี้แยของมันไม่เคยเปลี่ยนไปตั้งแต่เด็กอีกเหมือนกัน นับครั้งได้ที่ผมเจอมันแล้วมันจะไม่ร้องไห้เลย..

   “ได้...กูไม่ทำ !!!!    แต่มึงต้องออกมา  .......เดี๋ยวนี้ !!!”   

   มันยังคงไม่ลุก  และก็ไม่ถอยออกมา...  เพียงแต่ปล่อยไอ้เรย์ และเบี่ยงตัวเองออกมาเท่านั้น   จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่ยอมเดินมา   ไอ้เรย์เป็นอิสระทันทีที่นัญมันปล่อยตัว  .......นัญมันมองหน้าผม แต่ก็เป็นใบหน้าที่มีแต่น้ำตา   ขาพยายามที่จะก้าวเท้าเข้ามาหาผมเรื่อยๆ  แต่ก็ช้าซะจนอดน่ารำคาญไม่ได้  ผมสาวเท้าเข้าไปหามันทันที... ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่มันจะเลิกลองดี... ถ้าให้เป็นแบบนี้ไปตลอด  ก็อย่าหวังว่าจะดีตอบด้วย... บางครั้งผมก็อยากที่จะให้มันอยู่ดีๆ  บ้างแล้ว แต่ดันก่อชนวนให้ผมโมโหมันได้ตลอด

   “.........พี่วัจน์  อย่าทำอะไรเพื่อนผมนะ...”  อ้อ...ไอ้ของเล่นชิ้นโปรดของไอ้เอกนี่เอง     เข้ามาขวางหูขวางตาอีกแล้ว  ปกป้องกันเข้าไป  ตัวมันก็แค่นั้น  แถมเดินปรี่เข้ามาหาผมอย่างกับว่าจะขวางได้งั้นแหละ... ตัวเท่าลูกหมาแทบจะไม่ต่างกัน  พอมันเงื้อมือขึ้นมา คงจะตบผมแบบเดิมล่ะมั้ง....อย่าหวังว่าจะมีครั้งที่สองอีกนะมึง

   “หมับ !!!!!”

   “โอ๊ย  !!” 

   “จะตบกูอีกหรอ ....”   ผมคว้าข้อมือของไอ้เบสต์ไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะฟาดลงมาที่หน้าผมแบบครั้งที่แล้ว  มือเล็กๆ  แต่ก็หนักชะมัด

   “ปล่อยนะ....ห้ามทำไรต้องนะ”   น้ำเสียงขู่อย่างกับลูกแมว   ถ้ามันมีหางแบบแมวป่านนี้ขนพองตั้งชันเตรียมสู้แล้วมั้ง   ผมจับมือข้างนั้นของมันแน่น ก่อนจะหันไปหาไอ้เอกที่กำลังวิ่งเข้ามา

   “เอก !!!  มึงเอามันไปดิ่.................... ส่วนมึง  มานี่”   ผมปล่อยไอ้เบสต์ออกแล้วส่งให้เอกก่อนที่จะดึงนัญมันออกมา  แล้วพามาที่รถ ....  ส่วนไอ้เรย์ตอนนี้ถูกเพื่อนๆ ของมันดึงกลับออกไป หวิดจะตลุมบอนกันเกิดขึ้น   วันนี้ก็อุตส่าห์ให้มันมาเรียน  เมื่อเช้าก็จับมันแยกมารอบหนึ่งแล้ว  แต่ดันเสือกมานัดกินข้าวกันตอนเที่ยงอีก...  วันนี้ตอนบ่ายไปก็ไม่ต้องเรียนกันแล้วมึง อยากอวดเก่งกับกูดีนัก..ตอนแรกกะจะคุยดีๆ ด้วย  แล้วตอนเย็นจะพากลับบ้าน   คงจะให้ลาโรงเรียนเพิ่มอีกซักวัน เพราะพ่อผมเพิ่งโทรมาบอกว่าแม่ของมันไม่สบายถึงจะไม่มากนัก แต่ก็บอกว่าคิดถึงไอ้นัญ ....แต่ตัวแม่มันเองกลับไม่ยอมโทรมาหาลูก กลัวลูกจะเป็นห่วง ... ห่วงกันทำห่าอะไร... ลูกตัวเองมาอ่อยผู้ชายอยู่ในโรงอาหาร... ไม่รู้ไม่สบายมากขนาดไหน..น่าจะตายๆ  ไปซะ อยู่ไปก็ผลาญแต่เงินของคนอื่น.

   ผมเปิดประตูรถก่อนจะจับมันกดหัวแล้วผลักมันเข้าไป กลับมาสตาร์ทเครื่อง แล้วเหยียบคันเร่งออกไปนอกโรงเรียน

   ตลอดระยะทาง เกือบสองชั่วโมงที่ขับรถออกมา นัญมันไม่หันมามองผม... มือเอาแต่เช็ดน้ำตาออกจนแห้งสนิท เฉไฉมองออกไปนอกถนนไม่สนใจทั้งสิ้นว่าผมจะไปไหน...ไม่ได้หันมามองหน้าจนทำให้รู้สึกหงุดหงิด  แรงในการเหยียบคันเร่งของผมมีเท่าไหร่ยิ่งเหยียบเข้าไปอีก ผมรู้ว่ามันกลัว เพียงแต่เก็บอาการกลัวนั้นเอาไว้ สิ่งที่พอมองเห็นได้ก็คือลักษณะของมันที่กัดปากตัวเองจนน่าจะรู้สึกเจ็บ ....นัญมันกลัวความไวมาแต่ไหนแต่ไร แต่ยิ่งกลัว  ผมก็ยิ่งสะใจ...ผมอยากให้มันกลัว

   “......พี่วัจน์...”  เสียงเครือๆ ของมัน  ที่บ่งบอกอีกแล้วว่าอยากจะร้องไห้ เพียงแต่บังคับเอาไว้เท่านั้น  นัญมันกลัว   แต่มันไม่บอกและพยายามที่จะข่มความกลัวนั้นเอาไว้ 

   “มีอะไร”  พูดทำไมไม่แค่ชื่อ เรียกผมทำไม แต่ทำไมไม่บอกความจริงออกมาล่ะ...พูดออกมาซิ่กว่ากลัว  กูจะได้เมตตามึงบ้าง

   “......................”  มันเงียบ

   ยิ่งเงียบก็ดี  ผมเหยียบคันเร่ง จนไปถึงเกือบ 160  ถนนแถบต่างจังหวัดถึงจะเป็นเส้นถนนสายหลัก สายเอเชีย รถก็ยังพอมีอยู่ เพียงแต่มันเป็นวันธรรมดาเท่านั้น ก็น้อยกว่าวันหยุดเยอะ  การขับรถของผม ถ้าขับดีๆ  สายตาไม่พลาด ถึงขับไว มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวนัก  เพียงแต่ไอ้คนข้างๆ นี่ถ้าเพียงแค่รถไวกว่าเดิมซักหน่อย มันก็กลัวแล้ว

   “กูถามว่ามีอะไร”    ต้องให้ตะคอกซ้ำอยู่เรื่อยๆ

   “ต้องกลัว...  พี่จะขับเร็วทำไม” 

   ก็แค่นั้น   พูดออกมาซะก็หมดเรื่อง 

   “หึหึ”  ผมหัวเราะอย่างสนุกที่แกล้งมันได้  ถึงจะเพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็เถอะ

   บรรยากาศรอบๆ นอก มืดค่อนข้างเร็วเพราะเป็นหน้าหนาว ผมแวะเข้าปั๊มน้ำมันแถวสลกบาตร ซักพักเพื่อทำธุระส่วนตัว...  นัญมันเข้าไปในห้องน้ำเหมือนกัน  แต่ผมกลับได้ยินเสียงเหมือนมันคุยโทรศัพท์... มันคงคิดล่ะมั้งว่าผมออกมาแล้ว  ....  เสียงที่ได้ยินจากการแอบฟัง  ถึงจะเบาแต่น้ำเสียงมันก็ชัดเจน

   “...ต้องอยู่กับพี่วัจน์..................... ไม่เป็นไร...................พี่เรย์เป็นอะไรไหมครับ..เจ็บไหม............ทุ่มกว่าๆ เดี๋ยวต้องโทรหา”  ทีแท้ก็คุยกับไอ้เรย์  ห่วงกันเข้าไป ทีผมโดนไอ้เรย์มันซัดบ้าง  ซักคำมันก็ไม่เคยถามเลยว่าผมเป็นอย่างไง 

   มือกำเข้าหากันแน่น....  ในใจของมันจริงๆ  ในใจของนัญ มันไม่ผมนานแล้ว  มันเลิกรักพี่ชายคนนี้นานแล้ว  ไอ้คำพูดที่มันบอกว่าเกลียด  ผมเชื่อเสมอว่าเป็นจริง และจะยิ่งเชื่อมากกว่าเดิมจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา  ...... ความรู้สึกรักมันผมยังมีอยู่  เพียงแต่ผมรักคนที่มันเกลียดผมก็เท่านั้นเอง   

   ไม่อยากจะได้ยินเสียงของมันว่าจะพูดอย่างไงกันต่อ  ผมนั่งรออยู่ในรถเพียงครู่เดียว นัญมันก็เดินออกมา  โทรศัพท์มือถือเอาไว้อยู่ในกระเป๋ากางเกงนักเรียนด้านข้าง  แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่ามันคุยโทรศัพท์กับใคร    ผมไม่อยากจะถามให้ตัวเองต้องมาหงุดหงิด  แต่อย่าให้มีการโทรต่อหน้าก็แล้วกัน

   เกือบจะถึงทางเข้าบ้าน  นัญมันถึงสงสัย  และถามผมขึ้นมา บรรยากาศตอนนี้มันทุ่มกว่าๆ แต่สำหรับเวลาในต่างจังหวัดภายนอกมันก็มืดทึบหมดแล้ว  ข้างนอกก็หนาวจนผมต้องหรี่แอร์ในรถลง เพราะเห็นว่าไอ้คนข้างๆ มันเอามือกอดอกอยู่ตลอด  เสื้อกันหนาวซักตัวก็ไม่ได้เอามา เพราะว่าไม่ได้กลับเข้าไปที่คอนโดก่อน  หน้าตาผมตอนนี้มันก็มีรอยแผลจากหมัดของไอ้เรย์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากอะไรจนรู้สึกเจ็บ

   “พี่กลับบ้านทำไม”   มันหันหน้ามาถามผม พร้อมกับคำสงสัย

   “มาหาแม่มึง...พ่อกูบอกว่าแม่มึงไม่สบาย” 

   “แม่... แม่เป็นอะไรอ่ะ....แม่เป็นไร”   น้ำเสียงละล่ำละลักของมัน ถามผม  พร้อมกับเขย่าแขน

   “ไม่สบาย  ไม่หนักอะไรหรอก”  ผมบอกมันไป  เพราะเห็นว่าคาดคั้นเอาคำตอบซะขนาดนั้น

   “พี่ธิว พี่ธิวขับเร็วๆ นะ  นัญอยากถึงบ้าน ขับเร็วกว่านี้หน่อยนะครับ นะ  นัญเป็นห่วงแม่”   ......ทีนี้ละเรียกนัญ เรียกพี่ธิว   แถมยังให้ขับไวๆ อีกต่างหาก  ทีตอนแรกกูขับไวทำเป็นกลัว  พอรู้ว่าแม่ตัวเองไม่สบาย  เร่งให้กูขับไวเลยเชียว  เด็กชะมัด...

   “กริ๊งงงงงงงงงงงงงง.....”  เสียงโทรศัพท์ของมันดังอยู่ในกระเป๋ากางเกง   ผมหันไปมองแล้วนึกถึงคำพูดสุดท้ายของมัน  ‘ทุ่มกว่าๆ เดี๋ยวต้องโทรหา’ ตอนนี้ทุ่มกว่าๆ พอดี  มันจะตรงเวลาอะไรขนาดนั้น  มันจะห่วงอะไรกันขนาดนั้น

   นัญมันล้วงมือเข้าไปในกางเกงแต่ไม่หยิบโทรศัพท์ออกมา  มองหน้าผมอย่างกล้าๆ  กลัวๆ  เหมือนพยายามหาปุ่มกดเพื่อที่จะกดวาง  เพียงแต่ผมจอดรถแล้วเบรก จนตัวมันแทบจะกระแทกไปกับคอนโซลด้านหน้า  มือข้างที่มันล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่นั้น  ผมบีบข้อมือมันแน่น   

   “......มึงห้ามกดทิ้งสาย”    มือของผมบีบข้อมือมันแน่นพร้อมกับกระชากออก เอามืออีกข้างที่ว่างล้วงเข้าไปในกางเกงของมันแทน แล้วหยิบเอาโทรศัพท์เครื่องนั้นออกมา สายที่เรียกเข้า เป็นชื่อที่ถูกเมมเอาไว้แล้วในเครื่อง 

   “P’Ray” 

    “อ่อ....ไอ้สัตว์เรย์...ทำไม มึงจะห่างกันซักหน่อย จะตายใช่ไหม” 

   “พะ...พี่ธิว”

   “กดสปี๊คโฟน  แล้วคุยกัน ไม่อย่างนั้นโทรศัพท์ของมึงถูกกูเขวี้ยงออกไปนอกรถแน่”  ผมยื่นโทรศัพท์รุ่นเก่าๆ ที่มันใช้อยู่คืนให้   มันรับไปมือสั่นๆ  กดสปี๊คโฟนตามคำที่ผมบอก ก่อนจะคุยขึ้น

   “...ครับ” 

   “น้องต้อง... เป็นไงครับ ถึงบ้านหรือยัง..แล้วไอ้วัจน์มันทำไมอะไรหรือเปล่า”    เสียงจากปลายสายที่เปิดสปี๊คโฟนให้ผมได้ยิน   ดวงตาของนัญมันจ้องมาที่ผมอย่างหวาดๆ   ผมบีบข้อมือของมันข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่  ให้มันรู้ว่าควรที่จะพูดอะไรออกไป 

   “ยะ...ยังไม่ถึงครับ...เอ่อ...พี่วัจน์ไม่ได้ทำอะไรต้อง”    คำพูดที่ดูตะกุกตะกักพูดออกไป แต่ไอ้คนปลายสายนั้นคงไม่สนใจ

   “น้องต้องอยู่กับมันหรือเปล่า”  คำว่า “มัน”  ในที่นี้ก็คงหมายถึงผมนั้นแหละ   ผมส่ายหัวช้าๆ เหมือนกับเป็นความนัยบังคับให้นัญมันบอกกับไอ้เรย์ไปว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่กับผมแล้ว..ซึ่งนัญมันก็รู้ดี ...ทำตามที่ผมสั่งเพราะความกลัว

   “เอ่อ...ป่ะเปล่าครับ ..ต้องอยู่คนเดียว”   

   “ถึงบ้านแล้วใช่ไหม”  คราวนี้ผมพยักหน้าเพื่อที่จะให้มันบอกไป โกหกไปว่าถึงบ้านแล้ว

   “...คะ...ครับ...ถึงแล้ว.....คะ...แค่นี้ก่อนนะครับ..ต้องง่วงนอน”   มือที่ผมจับมันยิ่งกระชับบีบแน่นเข้าเรื่อยๆ  จนมันคงรู้สึกเจ็บ ถ้าสมมติว่าผมไม่อยู่ตรงนี้ แล้วมันอยู่คนเดียวจริงๆ  ไอ้คำสุดท้ายของประโยค  นัญมันคงไม่พูดออกมาหรอก ..คงจะอยากคุยนานๆ เสียมากกว่า

   “อ้าว..ทำไมง่วงไวจัง  เพิ่งทุ่มกว่าๆ เอง ..พี่เรย์เจ็บหมดเลยนะเนี่ย... “  แม่ง ..........อ้อน

   “เอ่อ..... ทานยาด้วยแล้วกันครับ ต้อง..ต้องง่วงแล้ว”   

   “น้องต้องครับ”  เสียงมันเรียกไอ้นัญ หวานซะจนผมอยากจะอ๊วก

   “...คะ...ครับ” 

   “เป็นห่วงพี่ไหม”   คำพูดที่มันพูดออกมาจากปลายสาย...ผมยังบีบข้อมือเล็กๆ ของไอ้นัญแน่นอยู่  พร้อมกับส่ายหัว เพื่อให้มันบอกกับไอ้สายที่ยังรอคำตอบอยู่....ว่า ‘ไม่ห่วง’

   นัญมันมองหน้าผมซ้ำอีกครั้ง ...กล้าๆ กลัว   สูดลมหายใจเข้าลึกๆ  สายตาของมันเหมือนลองดี และไม่กลัวว่าจะอะไรจะเกิดขึ้น

   “ห่วง....ครับ”   น้ำเสียงชัดเจนสุดท้ายของมันเหมือนท้าทายผม...และจะลองดีหรือกล้าทำให้ได้ และมันก็ทำจริงๆ   ผมดึงข้อมือมันออกอย่างไว  ก่อนจะดึงโทรศัพท์มันออกมา  คนที่อยู่ในสายยังรออยู่  ผมตะโกนก้องเข้าไปในโทรศัพท์นั้น

   “ไอ้สัตว์ !!!!”  ผมกดวางลงทันที เปิดกระจกรถออกแล้วเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือของมันออกไปไกลจนลึกเข้าไปในชายป่าอ้อยที่อยู่ข้างทาง

   “พี่ธิว...ทำบ้าอะไร..โทรศัพท์ของนัญนะ”  มันตะโกนแข่งกับผม  มือทั้งสองข้างของมันที่เป็นอิสระ   ทุบตีผมไปทั้งตัวไปหมด แรงกำปั้นเล็กๆ ของมันก็เล่นเอาผมเจ็บเหมือนกัน ถึงจะไม่มากเท่าที่ควรแต่ก็ยิ่งเพิ่มความโมโห

   “กล้าดีนักนะมึง....  ไม่เชื่อกูหรอ....อยากลองดีอีกว่างั้น  มึง.....ยังไม่เข็ดใช่ไหม” 

   “ทุเรศที่สุด...ตัวเองมีสิทธิ์อะไรล่ะ..มาทำของคนอื่นเค้าทำไม...ใครเขาไปทำอะไรให้  ทำตัวเป็นคนบ้า เที่ยวไปต่อยตีคนอื่น  คนนิสัยไม่ดี... นัญเกลียดพี่ธิว เกลียดๆๆ” 

   ................กร๊อบ.....................  ผมบิดข้อมือมันเข้าไปข้างหลัง  ไม่รู้ว่าซ้นหรือกระดูกเป็นอะไร แต่เสียงมันดังชัดเจน

   “โอ๊ย..  !!!  เจ็บ....!!!! ฮือๆๆๆๆ มาแกล้งคนอื่นทำไม”

   “แล้วทำไมกูจะทำไม่ได้........มึงจำไว้ซิ่  มึงเป็นเมียกูนี่ มึงเป็นเมียกู มึงจำเอาไว้ ..............  มึงเป็นเมียกู !!!”  แรงโมโหของมันก็คงจะมีเยอะอยู่เหมือนกัน มันบิดข้อมือข้างที่ผมคิดว่าคงไม่เจ็บออก และก็คงจะเป็นข้างที่ถนัดของมัน ฝ่ามือของมันซัดเข้ามาให้อย่างเต็มแรง ที่แก้มซีกขวาของผม  ซีกเดียวกับที่ไอ้เรย์ต่อย.....ถูกล่ะ มันไม่สนใจหรอกว่าผมจะมีแผลตรงไหนบ้าง  คงจะเป็นห่วงแต่ไอ้ตัวเหี้ยนั่น

   ......... “ผั๊วะ !!!”  ครั้งนี้ผมต่อยมันกลับ  และก็เป็นครั้งแรกที่ผมทำกับมันได้รุนแรงขนาดนั้น  ในชาตินี้ทั้งชาติ  ผมไม่เคยคิดเลยที่จะตบหน้ามันขนาดนั้น ........แต่เพียงเสี้ยวของความคิดเดียวที่มีอยู่ สิ่งที่ผมทำลงไป ก็เพราะเหมือนว่ามันเคยทำผมก่อน  ไม่ใช่ครั้งนี้...... แต่เป็นครั้งไหนก็ไม่รู้ครั้งหนึ่ง..............นานมาแล้ว

   “ฮึก..... นัญเกลียดพี่ธิว...เกลียด...เกลียดพี่ธิว........ ทำนัญทำไม นัญเจ็บนะ”   ...ก็รู้ ไม่ต้องย้ำชัดขนาดนั้นหรอก   กูรู้มานานแล้วว่ามึงเกลียดกูขนาดไหน

   “เจ็บก็ช่างมึง !!!!  มึงเกลียดกูนี่ โดนแค่นี้ก็สาสมแล้ว  อยากนักใช่ไหม อยากอยู่กับไอ้เรย์นักใช่ไหม มันรวยกว่ากูหรอ  มันหล่อกว่ากูหรอ ............กูรักมึง มันไม่สำคัญใช่ไหมนัญ” 

   “ใช่ !!!!  นัญเกลียดพี่ เกลียดที่สุด...ฮือๆๆๆๆ ปล่อยนัญ  พี่มันสัตว์ พี่มันเป็นสัตว์ สัตว์ป่า !!!!”   มันทั้งผลักผมออก  มือไม้มันสั่น  และก็ดึงตัวผมออกไปหมด  .............ด้วยความโมโหจัด ตรงนี้มันเป็นอะไรผมไม่สนทั้งสิ้น  แต่ก็อยากจะสั่งสอนมันให้รู้ซะบ้างว่าเล่นอะไรกับใครอยู่  อยากจะให้มันรู้เหมือนกันว่าผมก็เกลียดมันมากขนาดไหน  รักมากขนาดไหน  ตอนนี้ทั้งเกลียดและก็รักมันมีเท่าๆ กัน ..........ครั้งนี้ผมจะเอาคืน

   ประตูรถข้างที่ผมนั่งอยู่ ถูกเปิดออก และใช้ตีนถีบกลับออกมาอย่างแรง   เดินอ้อมมาด้านหน้า  เปิดประตูกระชากทางด้านที่มันนั่งอยู่   ดึงตัวมันออกมาจากรถ

   มันจะได้รู้กันว่าสัตว์ถ้ามันจะสมสู่กัน ตรงไหนมันก็ไม่เลือก  สัตว์ถ้ามันมีอารมณ์ต่ำๆ ขึ้นมามันไม่สนเรื่องสถานที่ทั้งนั้นแหละ

   “ฮึกๆ  ฮือๆ ปล่อยนัญนะ....นัญกลัว...ไม่เอา...พานัญออกไปจากที่นี่นะ...พี่ธิววววววววววววววว  นัญกลัว ฮือๆๆๆ” 

   “มึงจะกลัวทำไม  แถวนี้ไม่มีใครซักคน กูพามึงมาเปลี่ยนบรรยากาศไง..ไม่ชอบหรอ  มึงว่ากูเป็นสัตว์นี่ ...สัตว์มันไม่สนหรอกว่ามันจะเอากันที่ไหน...ปากดีกับกูนักก็ยังไม่ต้องกลับบ้าน ให้กูเอาก่อนเหอะ...แล้วค่อยกลับ....มานี่ !!!” 

   มันทั้งร้องไห้ ทั้งดึง  ร้องไห้หนักกว่าทุกครั้งที่ผมเคยเห็น  น้ำตามันไหลออกมา  แต่หน้ามันกลับซีดเผือด  เหมือนกับเจออะไรในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต

   บริเวณตรงนี้เป็นชายป่าอ้อย  และยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งเป็นป่าที่ทึบหนากว่าเดิม  เส้นทางมันยังพอมีให้เห็นบ้างถึงจะมืดแล้วก็ตาม  ผมไม่รู้ว่าตรงนี้เป็นส่วนไหนของหมู่บ้านที่จะเข้ามาทางลัด แล้วจะต่อไปยังทางบ้านที่ผมกับมันอาศัยอยู่   แต่เพียงครู่เดียว  ผมก็ออกจากชายป่าอ้อยได้   

   หลังชายป่าตรงนั้นมี ......กระท่อม...และดูเหมือนจะร้าง

   “หึหึ”  มันไม่ใช่เสียงผม ............เพียงแต่เสียงหัวเราะนั้นออกมาจากตัวผมเอง ...ตอนนี้สติสัมปชัญญะของผมมันหลุดลอยออกไป  แต่ก็รู้ตัวดีอยู่ตลอดเวลา

   “ฮือๆๆๆ  ฮึก....อย่าทำนัญเลย...พี่ธิว พานัญออกไปจากที่นี่..นัญกลัว  พี่ธิวจ๋า...นัญกลัววว”   

   “เงียบ....กูรักมึงไง....  กูรักมึงไงนัญ  ดีไหม !!!  กูพามึงมาที่นี่  มึงไมเห็นหรอ มีกระท่อมด้วย  โรแมนติกชะมัด...  เอามันกันตรงนั้นนั้นแหละ มึงว่ากูสัตว์...แบบนั้นมันยังไม่ถึงขั้นสัตว์หรอก ถ้ากูเป็นสัตว์จริง  ในป่าอ้อยนั่นกูก็จัดการมึงได้แล้ว” 

   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:19:43
                   น้ำเสียงของผมมันคงจะดุเอาการ  ไอ้นัญถึงแม้ตัวมันจะขาวขนาดไหน แต่ตอนนี้กลับยิ่งซีดหนักกว่าเดิม น้ำตาไหลพรากออกมา  เมื่อตอนที่ผมโยนตัวมันลงไปที่กระท่อมดึงขามันลงให้ห้อยทิ้งลงมา  แล้วจัดการดึงกางเกงมันลงออก ก่อนที่จะเอาร่างกายของตัวเองแทรกกลางลงไป

   “ฮึก ฮึกๆ ฮือๆๆ ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”  น้ำเสียงตะโกนก้องของมัน ดังจนถ้ามีใครอยู่แถวนั้นคงจะได้ยิน.... เสียงอันเย็นยะเยือดสะท้านไปถึงความรู้สึกของผม

   บางสิ่งบางอย่างแปลกไป.....  บางสิ่งบางอย่างผมคุ้นอยู่ในความทรงจำ   เพียงแต่เปลี่ยนการกระทำของแต่ละคน.......ผมแค้นไอ้คนตรงหน้า  เพราะเหมือนมันเคยทำผมมาก่อน....   ทำอะไรไม่แน่ชัด .. ใจผมไม่ได้สั่งให้ทำร้ายมัน... แต่มือที่จับอยู่มันกระทำของมันไปเรื่อยๆ เหมือนเครื่องจักร  .... ผมหัวเราะเหมือนคนบ้า

   “ฮ่าๆๆ เรียกไปเลย  เรียกให้คนมาช่วยเลย เรียกเพื่อนมึงหรอ เรียกไอ้เบสต์ที่มันคอยมาช่วยมึงหรอ”  ทำไมใจผมประหวัดไปถึงเบสต์ ทั้งๆ ที่ควรเป็นไอ้เรย์ 

   “ฮือๆ เบสต์  เบสต์ช่วยต้องด้วย.........ช่วยด้วยยยยยยยเบสต์ช่วยต้องด้วย”  เป็นอย่างที่ผมพูด ต้องมันเรียกให้เบสต์ช่วย 

   “ฮ่าๆๆ มึงเรียกไปเลย  เอาเลยยยยย”   ยิ่งพูดขึ้นมันยิ่งดันตัวผมออก กระถดถอยหนีจนแทบจะหลุดจากตัวผมได้ เสื้อที่มันใส่อยู่  ผมกระชากจนกระดุมขาดออกหมด  เผยให้เห็นแผงอกเล็กๆ ขาวสะอาด..........แต่ก็แทบผงะออกเมื่อเห็นสิ่งที่มันห้อยคออยู่

   ผมไม่ได้กลัวสร้อยเส้นนั้น  เพียงแต่ตกใจกับสร้อยที่นัญมันสวมใส่คอไว้ .........สร้อยเส้นนี้ผมคุ้น....  เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน  ..........แต่จากความตกใจถูกเปลี่ยนไปเป็นความแค้นที่ยังมีอยู่ทันที......ทำไมนะ ทำไมถึงได้แค้นคนตรงหน้านี้ขนาดนั้น.... 

เป็นเพราะว่ามันแย่งครอบครัวที่อบอุ่นของผมไปหรอ 

   เป็นเพราะว่าแม่ของมันแย่งความรักจากพ่อของผมไปหรอ

   เป็นเพราะว่าแม่ของมันมาแทนที่แม่ของผมหรอ

   เป็นเพราะว่ามันเกลียดผม  หรือเป็นเพราะว่ามันกำลังจะไปยุ่งกับคนใหม่

   สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเกลียดมันได้ขนาดนี้ไหม  สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมทำร้ายมันได้ขนาดนี้ไหม

   หรือ..............

   เป็นเพราะว่าครั้งหนึ่ง......  ที่อยู่ในเสี้ยวความคิดอันลางเลือนของผมเอง  .............นัญเคยทำร้ายผมแบบนี้...

   ผมจำไม่ได้.. จำอะไรไม่ได้

   มือข้างหนึ่งของมัน พยายามที่จะตะกุยตะกายหนีผมออก  จนความรำคาญเข้ามาหาผมอีกครั้ง  สติกลับมาแบบเดิม  .... มือผมกำแน่น ซัดเข้าไปที่แก้มซีกเล็กๆ อีกครั้ง จนได้เลือด

   “ผั๊วะ !!!” 

   “ฮึก....ช่วย....ด้วยยยย  ฮือๆๆ ช่วยด้วย...อย่า..อย่าข่มขืนนัญ... ...... อย่าข่มขืนกู!!!!”   คำสุดท้ายที่มันหลุดพูดออกมา เป็นเพราะความกลัวใช่ไหม

   “ฮ่าๆๆๆ  กูรักมึงไง....กูรักมึง.....  เป็นของกูเหอะ”    ขาของมันถูกผมจับพาดขึ้น พร้อมกับยัดเยียดสิ่งเลวร้ายให้มันอีกครั้ง  มุมปากของมันมีเลือดไหลออกมาตลอดจากแรงตบของผมเอง ส่วนเบื้องล่าง เลือดของมันไหลมาจนนาบกับขา  .....

   ครั้งนี้ผมทำมันรุนแรงที่สุด เท่าที่เคยทำมา

   สาสมแล้ว
   .
.
.
.
.
.

   
ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่.... ร่างของมันตอนนี้ถูกผมอุ้มกลับมาที่รถเหมือนเดิม  ลมหายใจยังมีอยู่   เพียงแต่รอยเปรอะของเลือดนั้นยังมีให้เห็นอยู่อย่างชัดเจน... 

สิ่งที่ผมทำไป....ไม่ใช่เป็นการแก้ตัว....  แต่เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างมาให้ผมทำ...เหมือนกับว่าผมต้องการเอาคืนอะไรบางอย่าง

ไม่ได้สนใจว่าคนข้างๆ ที่สลบหรือหลับไปเพราะว่าเหนื่อยจัดเป็นอย่างไรบ้าง  ผมไม่ได้ขับกลับเข้าบ้าน เพียงแต่แอบหนีเข้าไปในตัวเมืองของจังหวัดอีกครั้ง  ไม่ตัดสินใจเข้าไปเช็คอินในโรงแรม  เพราะตอนนี้สภาพของไอ้ตัวเล็ก ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะให้ใครเห็นได้  ...........

ผมโทรหาไอ้นันต์กลางดึก  ขอที่อยู่พร้อมเบอร์โทรศัพท์ของหมอที่อยู่ในแอเรียใกล้เคียง โรงพยาบาลในเครือของทางบ้านไอ้นันต์ที่พ่อมันเป็นผู้อำนวยการอยู่  ผลสรุปออกมา ผมต้องขับรถข้ามจังหวัด จากกำแพงเพชรเพื่อมุ่งหน้าไปยังพิษณุโลก

ระยะเวลาเกือบสองชั่วโมง ที่ผมต้องขับรถออกมา  ไอ้นันต์ช่วยคุยกับหมอที่นั่นให้ตลอด  ทุกอย่างเมื่อถึงบริเวณถูกเข้าไปในเส้นทางที่ไม่มีคนสนใจมากนัก...นัญไม่รู้สึกตัว  ..... แต่น้ำตาไหลไม่ขาดสาย

คุณหมอที่เข้ามาดูอาการ เห็นสภาพของคนไข้แทบจะทันที ไม่ได้ถามอะไรผมทั้งสิ้น  เพราะว่ารู้สาเหตุของคนไข้อยู่แล้ว   บุรุษพยาบาล และพยาบาลหลายคน ห้อมล้อมเข้ามา  พร้อมกับดึงตัวนัญไปที่ห้อง ICU

   ทุกสิ่งทุกอย่าง  หมอที่เป็นเจ้าของไข้ ผมไม่รู้จักชื่อเพราะไม่สนใจที่จะถาม กำชับสั่งพยาบาลทั้งหมดที่อยู่ในความดูแลว่าให้ปิดเรื่องนี้ให้เงียบ....  คุณหมอคนนั้น  คนที่ไอ้นันต์โทรหา ....  ผมเฝ้าอยู่หน้าห้องไอซียู ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วโมง  ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่..จนคุณหมอคนนั้นออกมา

   “ทำไมถึงได้ทำรุนแรงแบบนั้น”   เสียงคุณหมอพูดเบาๆ   หันมาคุยกับผมน้ำเสียงดูเป็นปกติ

   “..................”  ผมเงียบ  ก้มหน้า ไม่หันไปสบตาทั้งสิ้น

   “คนไข้พ้นขีดอันตราย แต่ก็เสียเลือด ...ตอนนี้หมอกำลังให้เลือดเพิ่มอยู่ ดีที่ทางโรงพยาบาลมีเลือดสำรอง ถ้าไม่มีคงจะแย่.....  ดูอาการไปซักสองวันก่อน  ....  เดี๋ยวคนไข้ฟื้นขึ้นมา แล้วไม่มีอะไรแทรกซ้อน หมอจะย้ายเข้าไปในห้องผู้ป่วยให้” 

   คุณหมอท่านนั้นพูดจบ  ไม่ได้กล่าวโทษผม ไม่ได้ว่าอะไรผม เพียงแต่สายตาที่มีความตำหนิอยู่ในใจ  .... ถ้าไอ้นันต์ไม่โทรมา  คุณหมอคนนี้คงจะช่วยนัญเหมือนกัน แต่ก็คงจะช่วยให้ตำรวจมาจับผมด้วย...   
   .
   .
   .
   .
   .
   ระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา นัญฟื้นขึ้นมา แต่ไม่มองหน้า ไม่สบตาผมแม้ซักนิด....  เพียงแต่ขอโทรศัพท์กับเจ้าหน้าที่พยาบาลที่นั่น และโทรหาแม่ของมันเองเท่านั้น  และเมื่อรู้ว่าแม่ของตัวเองสบายดี  หายป่วยจากไข้แล้ว มันก็แทบจะหายป่วยตาม....  สายตาที่มองมาทางผมเหมือนไม่รู้จัก.....  สายตาที่นัญมองมา.....  เหมือนกับไม่มีผมอยู่อย่างนั้น

   “กินข้าว... เดี๋ยวเย็นนี้จะได้กลับกรุงเทพฯ”
 
   ผมพูดขึ้นพร้อมกับเอาข้าวต้มอ่อนๆ ที่ถูกวางไว้ตรงหน้า เลื่อนที่วางข้าวไปใกล้ๆ มันเพื่อที่จะป้อนได้สะดวก นัญมันไม่หันมามองผมซักนิด

   “เดี๋ยวพี่ป้อนให้”  มันหันมามองหน้าผมเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด คำว่า “พี่” เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ตั้งใจพูดออกไป.....  รู้ตัวว่าทำรุนแรงไป รู้ตัวว่าทำไม่ดีกับมันเอาไว้... ก็แค่อยากจะปรับตัวให้ดีขึ้นบ้าง

   “..................” มันเงียบ ไม่ยอมมองมาที่ข้าวที่ผมป้อนให้มัน 

   “กินข้าว...อย่าให้พี่บังคับน่ะ”  ต้องใช้ไม้อ่อนขึ้นมา มันถึงจะยอมทำตาม

   “พี่ทำเป็นแต่บังคับหรอ....  ถ้าต้องไม่ทำตามที่พี่บอก...พี่จะทำอะไรต้องหรอ...  เพียงแค่ต้องไม่ยอมกินข้าว แล้วพี่จะข่มขืนต้องอีกไหม หรือคราวนี้จะฆ่าต้องล่ะ  จะทำแบบไหน”    น้ำตามันไม่ไหล  แต่สีหน้าของมันหนักกว่าร้องไห้

   “หยุดทะเลาะกันซักพักได้ไหมเนี่ย...กินข้าว..อย่าเรื่องมาก”  หงุดหงิดเหมือนกัน

   “.............”  มันก็ไม่พูดอะไรอีก  แต่ยอมอ้าปากแล้วให้ผมป้อนข้าวได้เรื่อยๆ  นัญมันกินไปไม่ถึงห้าคำ  ก็พอ ทำท่าเหมือนผะอืดผะอม จนผมต้องให้กินยาหลังอาหาร  ก่อนที่มันจะเผลอหลับไป

   ผมออกมานั่งอยู่ข้างนอก....  ทบทวนสิ่งที่ผมทำกับมันเอาไว้.... ไม่ว่าจะเป็นไอ้เอกหรือไอ้นันต์ ไม่ได้ห้ามในสิ่งที่ผมทำ  และก็ดูสนุกกับการกระทำในครั้งนี้  มันกลับยิ่งยุให้ผมทำขึ้นเรื่อยๆ  วัยคะนองของพวกผมมันยังมีอยู่เสมอ   ผมนั่งคิดอยู่คนเดียว โทรคุยกับเพื่อนเหมือนกับทุกครั้งเวลาที่เหงาๆ  ไม่ได้มีใคร

   โทรหาไอ้เอก ที่ตอนนี้มัวแต่กกไอ้ของเล่นของมัน  และตอนนี้ชักจะกลายเป็นของเล่นถาวรไปแล้ว

   โทรหาไอ้นันต์ ไอ้นี่ก็ถามแต่อาการของนัญว่ามันเป็นไงบ้าง   พร้อมกับพยายามจะคุยกับอาหมอที่มันกำชับไว้ให้ ช่วยปิดเรื่องให้เป็นความลับ

   โทรหาซิว  ......หัวใจซิว... ของเพื่อนๆ ในกลุ่ม ที่ตอนนี้มีวันหยุดยาวสามวัน  ก็คงเป็นแบบเดิม บ้านนั้นเค้าชอบเที่ยวต่างประเทศ และก็จะชวนผมไปทุกครั้ง  แต่ผมจะไปก็เพียงช่วงที่มีโอกาสหรือประเทศที่อยากไปเท่านั้น

   วันนี้ซิวโทรมาหาผมอีกครั้ง หลังจากที่ผมพานัญกลับมากรุงเทพฯแล้ว  บอกว่าให้เปิดเมลล์ดูหน่อย สงสัยจะอวดเรื่องได้ไปเที่ยวกับคุณลุงแล้วก็คุณป้าที่ต่างประเทศนั้นแหละ ภาพแต่ละภาพที่ส่งมา หาภาพทิวทัศน์นั้นได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นภาพของไอ้ตัวเล็กญาติห่างๆ ของผมนี่มากกว่า  รอยยิ้มของมันทำให้ผมต้องยิ้มตาม เฉปัดไปนึกถึงอีกคนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ กัน....  นัญ

   ภาพที่ส่งมาทางเมลล์ไม่ใช่มีเพียงแค่ภาพเท่านั้น..แต่สิ่งที่ผมเห็นอีกอย่างหนึ่งคือ ซิวเขียนข้อความมาหาซะด้วย  เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน เพราะปกติถ้าไปเที่ยวต่างประเทศเมื่อไหร่แล้ว ส่วนใหญ่จะอวดแต่ภาพเสียมากกว่า
   
   To  ธิว เพื่อนเกเร.. พี่ชายสุดที่รักของซิว

   วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่ พาซิวมาแถวทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  บรรยากาศที่นี่สวยมากๆ เลย ..(คงจะเห็นตามภาพซินะ ห้ามอิจฉาซิวล่ะ)  อิอิ  มีความสุขมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราจะไปต่อที่โรม ก่อนจะเข้าไปที่เมืองปิซ่า  คุณแม่อยากไปเห็นหอเอนที่เมืองนั้นด้วย ตอนนี้นะ อยากให้ธิวมาเที่ยวด้วยกันมากที่สุดเลยย  ชวนมาก็ไม่ยอมมา คราวนี้คงอิจฉาซิวแล้วใช่ไหมล่ะ
   ไม่รู้ว่าอยู่ที่นั่นธิวเป็นอย่างไรบ้าง...  อย่าหาว่าซิวเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของธิวมากเลยนะ  เรื่องที่มันผ่านมาก็ปล่อยมันไปเถอะ ทำไมธิวไม่ทำตามใจตัวเองบ้างล่ะ รักทำไมไม่บอกว่ารัก  ใจหนึ่งของธิวก็อยากปกป้องนัญไม่ใช่หรอ....  ทำไมถึงยังทำร้ายจิตใจทั้งตัวเองแล้วก็คนที่ธิวรักอยู่... คนที่ซิวรู้จักไม่ใช่แบบนี้  คนที่ซิวรู้จักน่ารักแล้วก็อ่อนโยนเสมอ
   ซิวห้ามธิวไม่ได้ในทุกเรื่อง ซึ่งก็เป็นมานานแล้ว  แต่ถ้าไม่มีใครห้าม ไม่มีใครเตือน ธิวก็จะทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ ใช่ไหม..ทำร้ายคนที่รักไปเรื่อยๆ  อยากจะบอกกับธิวนะ...  ว่าตอนนี้ เขายังอยู่ใกล้ๆ ธิวอยู่  ธิวยังสัมผัสได้... ถ้าเกิดสิ่งที่ธิวสัมผัสได้อยู่ตอนนี้  สักวันหนึ่งเขาจากไป สักวันหนึ่งเขาหายไป คนที่เสียใจที่สุดจะเป็นธิวเอง
   ซิวห่วงธิวนะ

          ศศิพัชร์  วัจนสกุล
   หัวใจซิว

   ผมเปิดเมลล์นั้นทิ้งเอาไว้ มองทุกข้อความที่ซิวเขียนมา ซิวยังคงเป็นซิวเสมอ มองโลกในแง่ดี.. ไม่เคยเกลียดใคร ไม่เคยทำร้ายใคร  และรักผมอย่างที่น้องคนหนึ่งจะรักพี่ชาย ซิวเรียกผมเสมอว่าผมคือพี่ชายที่แสนดีของซิว   เหมือนกับใครคนหนึ่งก็เคยเรียก ...  “พี่ชายที่แสนดี”   แต่ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว  มันถูกเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดไปหมดแล้ว

   นั้นแหละคือผลแห่งความเกลียดที่มันเกลียดผมเอาไว้

   ตอนนี้มันก็รู้แล้วว่าสิ่งที่มันเกลียดนั้น  ได้ทำร้ายมันขนาดไหน   

   เป็นครั้งแรกที่ผมทำให้นัญเจ็บหนักจนถึงเข้าโรงพยาบาล

 แต่อาการของนัญดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากที่ผมพากลับมา  นัญเงียบลงไปมาก.... ดวงตาจากที่เคยสดใสดูคล้ำลงไป...  ตัวที่เคยผอมอยู่แล้วกลับผอมยิ่งกว่าเก่า...ผมไม่ได้บังคับ หรือว่าอะไรนัญอีก  ...บางครั้งที่อยู่ด้วยกันในห้อง  นัญจะนั่งนิ่งๆ  ไม่ได้หนีผมไปไหน  ไม่ได้หันมามองหน้าผม ..... ผมพาไปกินข้าวนัญก็จะกิน  ผมให้ไปนอน นัญก็จะไปนอน...  ผมกอดทุกครั้งที่หลับ นัญจะไม่หลบหรือหลีกหนี นัญจะเฉย...เฉยจนผมกลัว
   
   “เป็นอะไร  !!!”   ความอัดอั้นของผมมันถึงขีดสุดเหมือนกัน  จนต้องเอ่ยปากถาม...   นัญหันกลับมา  พูดสั้นๆ

   “ไม่ได้เป็นอะไร” 

   “แล้วทำไมไม่คุยกับพี่”   

   “จะให้ต้องคุยอะไร....ทำไมต้องต้องคุยกับคนที่ทำกับต้องแบบนั้นด้วย” 

   “เหอะๆ   ก็ดี.... ถ้าทำรุนแรงแบบนั้นแล้วนัญอ่อนลงกับพี่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้  รู้งี้พี่ทำไปเสียตั้งนานแล้วนะ”  ผมประชดมันให้รู้ตัวเสียบ้าง  ทำตัวทำอย่างกับผมไม่มีตัวตนแบบนี้ผมไม่ชอบ

   “ต้องต้องอยู่กับพี่ถึงเมื่อไหร่”   คำถามครั้งหนึ่งที่มันเคยถามผม  ถูกถามซ้ำอีกครั้ง ในวันนี้

   “จนกว่าพี่จะเบื่อ”   ผมพูดสั้นๆ  ถ้ามันอยากจะเล่นลูกเงียบ  ผมก็จะใช้สงครามกับมันแบบนี้เหมือนกัน

   “แล้วเมื่อไหร่พี่จะเบื่อต้อง”   

   “ไม่รู้เหมือนกัน  จนกว่าพี่จะพอใจมั้ง  หลังจากนั้นก็ค่อยเขี่ยทิ้ง...........ดีป่ะ !!”

   “แล้วเมื่อไหร่พี่จะเขี่ยต้องทิ้ง”  มันกำลังเล่นลิ้นกับผมหรือเปล่า....  อย่าให้ผมต้องหงุดหงิดกับมันอีกนะ

   “นัญ !!!!   ยังไม่เข็ดใช่ไหมครับ ....  อยากโดนเอาคืนแบบเก่าๆ อีกหรอ....หึ”    ความอดทนผมมันมีน้อยซะด้วยซิ่  ตอนแรกที่คิดว่ามันเงียบ  แล้วก็ทำให้ผมทั้งกลังทั้งหงุดหงิด  แต่ถ้าพูดขึ้นมาแล้วเป็นแบบนี้ ให้มันเงียบๆ  แบบเดิมดีกว่า

                “พี่เอาคืนในสิ่งที่นัญเคยทำกับพี่ไปแล้วไม่ใช่หรอ.......  พี่ยังเอาคืนไม่หมดใช่ไหมพี่ธิว ....พี่ยังเหลือชีวิตของนัญอีกไง...อยากให้นัญตายไหม..ถ้าอยากให้นัญตาย  นัญจะได้ตายให้สมใจพี่เอง ใจของพี่บอกว่าอย่างนั้นหรือเปล่า พี่เห็นสร้อยเส้นนี้ครั้งแรก พี่จำไม่ได้หรอ”   



         .
        .
       .


หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:22:24
ตอนที่  19  หนี

         ความมืดยังคงเงียบสนิท ....บรรยากาศภายนอกถึงผมจะมาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้วก็ตาม แต่ทุกสิ่งอย่างในห้องนี้  บรรยากาศ แบบนี้ผมก็ยังไม่เคยชิน  ...........  ตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่กระท่อมหลังนั้น ..น้ำตามันไม่ได้ไหลออกมาอีกเลย...มันตกเข้าไปถึงข้างใน  ...
   
   “เป็นอะไร  !!!”   ผมคงเงียบมานานเกินไป จนคนที่นอนอยู่ข้างๆ ถามล่ะมั้ง ที่ลืมตาอยู่ เพียงแต่ไม่ยอมพูด

   “ไม่ได้เป็นอะไร”    เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

   “แล้วทำไมไม่คุยกับพี่”   

   “จะให้ต้องคุยอะไร....ทำไมต้องต้องคุยกับคนที่ทำกับต้องแบบนั้นด้วย” 

   “เหอะๆ   ก็ดี.... ถ้าทำรุนแรงแบบนั้นแล้วนัญอ่อนลงกับพี่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้  รู้งี้พี่ทำไปเสียตั้งนานแล้วนะ”  เสียงประชดของพี่ธิวพูดกลับมา............หลังจากนี้เขาจะทำอะไรผมก็ทำไป...  จะมากกว่านี้ก็ได้...หรือจะฆ่ากันก็ตามใจ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไปซะ

   “ต้องต้องอยู่กับพี่ถึงเมื่อไหร่”   คำถามครั้งหนึ่งที่ผมเคยถามพี่ธิว ผมถามขึ้นซ้ำอีกครั้ง

   “จนกว่าพี่จะเบื่อ”   คำพูดสั้นๆ ง่ายๆได้ใจความของพี่ธิวพูดออกมา

   “แล้วเมื่อไหร่พี่จะเบื่อต้อง”   

   “ไม่รู้เหมือนกัน  จนกว่าพี่จะพอใจมั้ง  หลังจากนั้นก็ค่อยเขี่ยทิ้ง...........ดีป่ะ !!”

   “แล้วเมื่อไหร่พี่จะเขี่ยต้องทิ้ง”  สิ่งที่ผมพูดกับพี่ธิวกลับไป ไม่ได้ประชด  ไม่ได้ต้องการเล่นลิ้น แต่สิ่งที่ผมถาม  ผมถามเพราะต้องการคำตอบจริงๆ

   “นัญ !!!!   ยังไม่เข็ดใช่ไหมครับ ....  อยากโดนเอาคืนแบบเก่าๆ อีกหรอ....หึ”    ความอดทนของพี่ธิวมีน้อยเสมอ  ในเรื่องที่ไม่ถูกตามใจแบบนี้  แต่ก่อนถ้าจำไม่ผิด ...ถ้าผมผิดอะไรก็แล้วแต่ พี่ธิวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะคอยตามใจน้องคนนี้เสมอ  ...แต่ความรู้สึกนั้นมันคงไม่มีแล้ว  ถ้าพี่เขาถามเมื่อกี้นี้ ว่าอยากโดนเอาคืนแบบเก่าๆ  อีกหรอ  ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเป็นการเอาคืนแบบไหน...

   เอาคืนแบบภพชาตินี้

   หรือเอาคืนแบบภพชาติที่แล้ว ...ชาติที่ผมจำไม่ได้...แต่เพียงแค่รู้สึกไปกับความนึกคิดของตัวเอง..และมันก็คงจะใช่จริงๆ

                “พี่เอาคืนในสิ่งที่นัญเคยทำกับพี่ไปแล้วไม่ใช่หรอ.......  พี่ยังเอาคืนไม่หมดใช่ไหมพี่ธิว ....พี่ยังเหลือชีวิตของนัญอีกไง...อยากให้นัญตายไหม..ถ้าอยากให้นัญตาย  นัญจะได้ตายให้สมใจพี่เอง ใจของพี่บอกว่าอย่างนั้นหรือเปล่า พี่เห็นสร้อยเส้นนี้ครั้งแรก พี่จำไม่ได้หรอ”   

   ที่ถามกลับไปผมไม่ได้ลองใจ  เพียงแต่อยากจะถามแบบนั้นจริงๆ  ..............  ผมน่าจะฉุกคิดซักนิดว่าทำไมเบสต์ถึงให้ใส่สร้อยเส้นนี้ตลอด ไม่ให้ถอดออก ........... สำหรับคืนนั้นที่พี่ธิวทำร้ายผมจนสาหัส  เพียงแค่คิดซักนิด ถ้าหากไม่ได้ใส่สร้อยเส้นนี้ พี่ธิวเขาคงทวงความแค้นนั้นจนหมดไม่เหลือ

   .......ข่มขืน........

   .....แล้วฆ่าทิ้งเสียให้ตายไป...........

   ครั้งนั้นพี่ธิวตาย....เพราะน้ำมือของผมเอง

   และตัวผมเองก็ถูกทำให้ตายตามกันไป เพราะปืนที่ยิงเข้ามา

   ส่วนเบสต์ ....  ผมรู้ว่าไม่ได้ฆ่าเขา.... แต่ผมก็ไม่รู้หลังจากนั้น

   สายสร้อยที่เก่าคร่ำคร่า....  ถูกถักร้อยเอาไว้กับจี้วงกลมที่เป็นทองคำ....  ดวงตราด้านหนึ่งเป็นรูปพระอาทิตย์ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นรูปหน้าคนกึ่งสวมชุดนักรบกษัตริย์  ผมไม่รู้ความหมาย ไม่รู้พลังแห่งอำนาจที่มองไม่เห็น ....  แต่รู้ว่ามันเคยเป็นของผมมาก่อน  และก่อนหน้านั้นเป็นของใครก็ไม่รู้
 
   พี่ธิวจำสร้อยเส้นนี้ไม่ได้... ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาเหตุการณ์นั้น..พี่ธิวเป็นคนดึงสร้อยเส้นนั้นขาดเองกับมือ ...เพราะว่าปัดป้องเอาไว้ไม่ให้ผมทำร้าย

   “สร้อยอะไร... ?   ไอ้สร้อยเส้นเก่าๆ ที่อยู่บนคอเนี่ยหรอ....ทำไม มันเป็นของแม่นัญหรือไง  ถ้าเป็นของแม่นัญ พี่จะได้ดึงแล้วก็เขวี้ยงมันทิ้ง”

   ...............................พี่เขาจำไม่ได้.........................

   แต่ในด้านกลับกัน ผมถูกระลึกให้จำอดีตได้ จากเหตุการณ์และสถานที่เดิมที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน  ผนวกกับสร้อยเส้นนี้

   ไม่รู้ว่าทำไมหรือใครเป็นคนดลจิตดลใจให้ผมจำได้... แต่เขาคงอยากให้รู้ล่ะมั้ง ว่าผมเคยทำชั่วอะไรเอาไว้

   ขอร้องล่ะ......  ถ้าหากผมจำได้แล้ว วันไหนที่ผมเผลอร้องไห้อีก  ก็อย่าให้ฝันร้ายแบบเดิมอีกเลย  ..... ผมไม่อยากเห็นความชั่วของตัวเอง

   “ไม่ใช่หรอก.......  ช่างเถอะ”   ผมเอ่ยขึ้นเพียงเบาๆ   หันหลังให้พี่ธิว ก่อนที่จะปิดเปลือกตาลง  มือใหญ่ที่แข็งแรง ตระหวัดเข้ามากอดรัดผมเพียงแค่หันหลังให้เท่านั้น พี่ธิวกอดแบบเดิมๆ  น้ำเสียงกระซิบที่ข้างหู

   “ยังไม่ให้ตายหรอก ...  อยู่ไปก่อน ตอนนี้ยังไง นัญก็ยังตายไม่ได้...  พี่จะให้อยู่ที่นี่ไปจนตายเลย ดีเปล่า” เสียงสะท้านข้างใบหูของพี่ธิว  ผมกลัวเหมือนกัน หากแต่ก็ไม่ขยับตัวหนีไปไหน .. ทำไปเถอะ.....  แต่ขอให้มันหมดเพียงเท่านี้  หากยังไม่ฆ่าผมให้ตายเสีย ผมก็จะอยู่มันอย่างนี้  อยู่จนกว่าเขาจะอภัยให้ อภัยให้กับสิ่งที่ตัวพี่ธิวเองก็จำไม่ได้

   ฝ่ามือที่กอดรัดเอาไว้ที่เอวถูกเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ  จนถึงแผ่นอกของผม  ก่อนที่จะดึงตัวผมขึ้นเพียงนิดเดียว  ชุดนอนบางๆ ที่สวมอยู่ก็ถูกออกไปอย่างง่ายดาย .....สถานการณ์แบบเดิมกำลังกลับมา....ผมกลัว  แต่หากว่าครั้งนี้พี่ธิวอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง

   มือข้างที่ถอดเสื้อผมออกไป รั้งให้ตัวผมกลับมานอนหงายแบบเดิมอีกครั้ง  ก่อนที่จะเอาตัวของพี่เขาเอง ทาบทับขึ้นมา มือพี่ธิว จะกี่ครั้งผมก็ไม่ชิน  ถึงแม้ครั้งนี้ไม่รุนแรง แต่ผมก็ยังกลัว

   “พะ...พี่ธิว”

   “หืมมมม ครับ...”  เสียงเรียกช้าๆ ทำให้ผมอ่อนแรง  แต่ก็อ่อนแรงไปมากกว่าเดิม เมื่อมืออีกข้างหนึ่งของพี่ธิวรูดกางเกงที่ผมสวมอยู่ลงไปพร้อมกับกางเกงชั้นในจนตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือติดตัว ฝ่ามือหนาปัดป่ายไปทุกทางที่ผมดิ้นหนี  แต่จนแล้วจนรอดก็ถูกพี่เขาล๊อกเอาไว้ได้เหมือนทุกครั้ง .. ผมไม่อยากเจอกับเหตุการณ์นี้  มันน่ากลัว  จะโอ่นโยนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือจะรุนแรง ความน่ากลัวก็ไม่ต่างกัน

   “ไม่เอา....อย่าทำนัญเลยนะ” 

   “บ่อยแล้ว ...ยังไม่ชินอีกหรอ...  ครั้งนี้พี่ไม่ให้เจ็บหรอกครับ แต่น้องนัญก็ห้ามดิ้นนะ”    จะไม่ให้หนีได้อย่างไง  ก็ครั้งล่าสุดที่พี่ธิวเขาทำมันน่ากลัวเกินไป ผมกลัวเจ็บ  ผมกลัวว่าพี่ธิวจะชกผม.....อย่าทำกันเลยนะ

   “ปล่อย....ปล่อย....ปะ...”   เสียงมันขาดหายไปก็เพราะโดนพี่เขาเอาปากมากดปิดสนิทกับปากของผม จนไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา  ความช่ำชองของพี่ธิวกับความไม่ชำนาญของผม  ทำให้ตัวเองไม่เคยได้เป็นอิสระเลยเมื่ออยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ ลิ้นของพี่เขาสำรวจโพรงปากผมไปทุกที่ที่มันสามารถเข้าไปถึง ฝ่ามือหนาเลื่อนลงไปข้างล่าง จนถึงเอว ก่อนจะข้ามจุดที่อ่อนไหวด้านหน้าของร่างกาย แล้วจับขาแยก

   “หึหึ...”  เสียงน่ากลัวแบบเดิมของพี่เขามาแล้ว

   “ไม่เอา.......ไม่...ไม่เอา”  ผมร้องห้าม  อุทรณ์อีกครั้งแต่พี่เขาไม่ได้ฟัง  ขาทั้งสองข้างถูกแยกออกไป ก่อนที่พี่ธิวจะเอาลำตัวแทรกเข้าไปตรงกลาง เรียวขาของผมลอยคว้าง ก่อนจะถูกให้แนบแล้วยกให้สูงขึ้นเข้าไปกับบ่าทั้งสองข้าง  พี่ธิวดึงตัวผมเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายส่วนด้านหลังสัมผัสกับอะไรบางอย่างกลางลำตัวของพี่เขาเองที่มันแข็งขืน

   เมื่อเกิดความพลั้งเผลอขึ้นมา  ผมตกใจ พร้อมกับมองเห็นมันอย่างเต็มตาชัดๆ ครั้งแรก ..แก่นกายของพี่ธิวที่น่ากลัวนั้นทำให้ผมเจ็บทุกครั้ง ที่มันถูกแทรกเข้ามา  และครั้งนี้ก็คงเช่นกัน

   “อืม...อย่าดิ้นครับน้องนัญ.... ถ้าดิ้นจะเจ็บ...เชื่อพี่ดีกว่านะ”   เสียงสั่นๆ ของพี่ธิว ทำให้ผมยอมเชื่อ  ไม่ดิ้นแต่ก็ต้องส่ายหนีทันที เมื่อข่างล่างสัมผัสกับบางสิ่งที่เย็น....ลื่น

   “อ๊ะ...พี่...ธิว” 

   “อืมมม  จะได้ไม่เจ็บ...นิ้วก่อนนะครับ”   เป็นครั้งแรกจริงๆ หรือเปล่า  ..................พี่ธิวอ่อนโยน

   “ฮึก....เจ็บ....เจ็บอ่ะ”  ถึงเป็นแค่นิ้วผมก็เจ็บ   ถึงเคยเจอกับสิ่งนั้นขนาดมันต่างกับนิ้วที่แทรกเข้ามาอยู่นี้มากนัก  แต่ครั้งนี้ผมยังมีแผลอยู่ และมันยังไม่หายสนิท....แค่นิ้วก็เจ็บแล้ว

   “อ่า....  อย่าร้องไห้นะครับ..คนดีนะ”  พี่ธิวโน้มตัวลงมา แต่นิ้วเรียวยาวของพี่เขาก็ยังไม่ยอมถอนมันออกกไป  พี่ธิวก้มมาจูบที่หางตาของผม  ก้มลงกระซิบเบาๆ  ดูดน้ำตานั้นจนแห้ง 

   “อึก....เจ็บ”   นิ้วถูกดึงออกไป แต่มีบางสิ่งที่ใหญ่กว่าเข้ามาแทน  ............สิ่งที่ผมเห็นเมื่อซักครู่นี้ตอนนี้มันชำแรกเข้ามาแล้ว  เพียงแต่ครั้งนี้มีสิ่งอะไรก็ไม่ทราบทั้งลื่นและเย็นร่วมไหลลื่นเข้ามาด้วย...ความเจ็บผ่อนคลายลง

   “อ่า..... อย่าเกร็งครับน้องนัญ”  เสียงแหบพร่าของพี่เขายังคงฟังได้ดี ผมมีอารมณ์คล้อยตามเป็นครั้งแรก ก่อนที่พี่ธิวจะใช้ช่วงเวลาที่เผลอกดลงเข้ามาจนสุดแก่นนั้น

   “อึก....อ่าๆ พี่...ธิว” 

   “หืมม... ครับ...ดีไหม” 

   “..............” 

   “ดีไหม ?” 

   “ดะ.....ดี.....ครับ” 

   “ครับ.... อย่าเกร็งนะ...” เสียงย้ำชัดๆ คำเดิมของพี่ธิวสั่งไม่ให้เกร็ง ผมทำตาม  ไม่เกร็งแล้ว ความเจ็บนั้นหายไป .............แต่มีบางสิ่งเข้ามาแทน... เหมือนความเคลิ้ม  สะท้านไปทั้งตัว พี่ธิวสั่งให้ผมทำอะไรตอนนี้ ผมทำหมด

   “เอามือมาโอบต้นคอพี่ครับ สองมือ..”   ผมทำตาม

   “อ่า....พี่ธิว...จะ...ทำ.....อะไร”    ผมสงสัยและงงไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นไงบ้าง พี่ธิวให้ผมโอบต้นคอพี่เขาทำไม  ส่วนล่างของเรายังคงแนบสนิทกัน เพียงโอบคอเสร็จแค่นั้น  ........พี่เขาจับผมยกขึ้นจนตัวลอย  ขาทั้งสองข้างยังคงพาดกับไหล่ของพี่เขาอยู่  แขนทั้งสองข้างอุ้มผมขึ้นจนเห็นกล้ามแขนนั้นชัดเจน

   “อ่า....ดีไหม...อืมม”  พี่เขาพูดเสร็จพร้อมกับโนมปากมาที่ผมอีกครั้ง  ...........ตัวผมตอนนี้มันไม่เป็นอิสระ  ลอยไปตรงไหนก็ได้ ตามแต่เจ้าของคนที่อุ้มจะพามันไป .........หลังผมสัมผัสกับผนังห้องเย็นๆ  ก่อนที่พี่ธิวจะผ่อนแรงลง  ... น้ำหนักส่วนหนึ่งตกไปที่ผนังห้อง น้ำหนักตัวผมอีกส่วนหนึ่งซึ่งเบากว่าพี่ธิวเป็นคนยกเอาไว้

   “อืมม...พี่ธิว....นัญ...นัญ”

   “นัญทำไมครับ....พูดซิ...น้องนัญเป็นอะไรครับ” 

   “นัญ....นัญ” 

   “อืมมม.....ถ้าไม่พูด พี่แกล้งให้เจ็บกว่านี้นะ”    ไม่พูดเปล่า  ส่วนล่างผมที่โดนรุกล้ำอยู่พี่ธิวกับกระแทกเข้ามา  ถึงจะไม่เจ็บมาก แต่ก็รู้ว่าทำแรงกว่าปกติ   

   “อืออ.....อย่าแกล้งนัญ....แกล้งทำไม”  มันสะท้านไปหมดทั้งตัว  ร่างผมขยับหนีไปไหนไม่ได้  หลังติดผนัง ขาทั้งสองข้างถูกรัดแน่นเอาไว้ด้วยบ่าแข็งแรง  ช่วงลำตัวกับขาที่ถูพาดนั้นแขนทั้งสองข้างของพี่เขาก็รัดเอาไว้อยู่  มือผมถ้าจะปล่อยคอจากพี่เขาไปก็ต้องร่วงพื้นลงไปแน่ๆ  ....สิ่งเดียวที่ทำได้คือยอม

   “อืมม..ชอบไหมครับ...น้องนัญชอบไหม” 

   “....มะ...ไม่”

   “อย่าโกหกซิครับ” 

   “อืออ...” 

   “อ่า.....” 

   “นัญจ๋า....พี่ขอนะ”  เขาขออะไร ตอนนี้ก็ได้ไปหมดทุกอย่างแล้ว  .......  พูดจบแค่นั้น  พี่ธิวกระแทกมาที่ผมอย่างแรงอีกครั้ง ก่อนที่จะกระแทกย้ำ รัว  เร็ว และแรง จนผมเจ็บไปหมด  แต่ความเจ็บนั้นมันก็สะท้านไปด้วยพร้อมๆ กัน   .............เสียงพี่เขาครางอย่างดังอีกครั้ง  ก่อนที่ความรู้สึกว่าของเหลวอุ่นๆ บางอย่างถูกฉีดเข้ามาจนท้องผมร้อนไปหมด....ความรู้สึกนั้นคืออะไรก็ไม่ทราบในตอนนี้   แต่ส่วนด้านหน้าของผมก็หดเกร็งตามกันไป จนคราบคาวไหลออกมาเต็ม ....มันเลอะไปทั้งตัวผม และช่วงหน้าท้องแกร่งของพี่ธิว

   พี่เขายิ้ม  ...........แต่ผมซุกหน้าหนี

   “เอ ๆ  อะไรหว่า.....พี่ไม่ได้จับซะหน่อย.... ถึงเส้นชัยได้ไงเนี่ย”  พี่เขาพูดอะไร เส้นชัยอะไร
   “.......บะ....บ้า”  ผมไม่รู้จะพูดอะไร เอาแต่ก้มหน้าหนี

   “เอ้า....ใครบ้ากันแน่ ดูดิ  เต็มหน้าท้องพี่เลย ฮ่าๆ”   พี่ธิวหัวเราะ........  หัวเราะครั้งแรกแบบมีความสุข  หัวเราะเหมือนเมื่อครั้งที่ผมเป็นเด็ก ที่แกล้งผมได้....  จากที่ซุกหน้าหนีเมื่อซักครู่นี้  ผมหันหน้าขึ้นไปมอง..........อยากมองภาพนี้จากที่เคยหายไปนาน

   “พะ....พี่ธิว”   เหมือนเขาจะรู้สึกตัว ว่าคงทำดีกับผมมากเกินไปมั้ง ...........เค้าหน้าเฉยชากลับมาหาเหมือนเดิม อุ้มผมเข้าห้องน้ำไป แล้วปิดประตูให้....

   ความเงียบกลับมาอีกครั้ง

   พี่ธิวยังไม่ลืม...............สิ่งเลวร้ายนั้น.......
   .
   .
   .
   .
   .
   เวลาช่วงเช้าของอีกวัน....วันแรกที่ผมต้องไปเรียน  หลังจากที่ขาดมานาน...  ผมขาดเรียนจนบางวิชาเริ่มเรียนตามเพื่อนไม่ทัน ...บางวิชาต้องสอบหลังคนอื่น  และบางวิชาถึงขนาดต้องทำรายงานส่งอาจารย์  ...แต่จากใบรับรองแพทย์ที่ผมได้มาจากโรงพยาบาล  ทำให้อาจารย์แต่ละวิชาไม่ได้โหดร้ายกับผมมากไปนัก

   ...พี่ธิวมาส่งผมในโรงเรียน และไม่ยอมให้ผมไปช่วยป้าแสขายกล้วยปิ้งอีก  ไม่ยอมให้ผมไปเจอพี่เรย์   อีกอย่างผมก็ไม่ได้คุยกับพี่เรย์นานแล้ว ตั้งแต่ที่พี่ธิวเขวี้ยงโทรศัพท์เครื่องนั้นทิ้งไป 

   “อ่ะ...เอาไปใช้”   พี่เขาโยนลงมาข้างๆ เบาะรถ  มือถือที่ดูเหมือนจะเป็นเครื่องใหม่ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าของใคร  และเอามาให้ผมใช้ทำไม

   “เอ่อ... ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวต้องซื้อใหม่” 

   “เอา..................ไป.............ใช้”  เสียงเน้นย้ำชัดๆ  เหมือนเป็นคำสั่ง  แต่ดูจากราคาเครื่องแล้ว  ผมไม่กล้าใช้หรอก ... เครื่องขนาดนั้น คงเป็นหมื่นแน่ๆ  พูดถึงเงินหมื่นผมอยู่กินทั้งเดือนได้สบายๆ

   “ไม่เอาครับ... เดี๋ยวต้องซื้อใหม่เอง”   

   “พูดให้รู้เรื่องนะต้อง..  จะให้พี่เขวี้ยงทิ้งแบบเครื่องเดิมอีกหรือไง...เอาเปล่า”  พี่แกไม่พูดเปล่า แต่ทำท่าจะเขวี้ยงทิ้งจริงๆ

   “ไม่ต้องๆ  ต้องเอาไปใช้ก็ได้”  ผมรีบแย่งกลับมา...คนอะไร ไม่รู้จักเสียดายข้าวของ

   “ตอนกลางวัน  เจอกันที่โรงอาหาร มากินข้าวกับพี่”   พี่เขาพูดอะไรนะ  กินข้าวกับพี่เขาหรอ ...แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มกลายเป็นข่าวซุบซิบในโรงเรียนแล้วนะ

   “เอ่อ...เดี๋ยวต้องกินกับเบสต์” 

   “.........”  พี่เขาไม่พูดอะไรแต่หันมามองหน้า ............ตาดุ

   “ครับ....กินกับพี่วัจน์ก็ได้”    ไม่อยากเห็นพี่เขาใช้บทโหดนักหรอก  กินก็ได้...น่ากลัวชะมัด

   “แค่นี้  แล้วตอนกลางวันเดี๋ยวพี่โทรหา...อืมม แล้วก็นี่............”  พี่เขาพูดขึ้นหยุดแค่นั้น แต่ควักกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วส่งให้ผม

   
   “ไม่ได้ทุน ....ไม่ได้ทำงาน.... เอาตังค์นี่ไป”  จะบ้าหรอให้มาทำไม  .....ให้ไงผมก็ไม่เอาหรอก เงินในธนาคารที่ผมเก็บๆ ไว้ก็มี  เงินของพ่อที่เป็นค่าประกันผมก็มี ทำไมผมต้องมาใช้เงินของพี่เขาด้วย 

   แค่นี้เขาก็หาว่าแม่กับผมเห็นแก่เงินทางบ้านเขาจะแย่อยู่แล้ว

   “ไม่เอาครับ.........ต้องไม่เอาเงินจากพี่”    เสียงผมเด็ดขาดมาก

   “อย่าเรื่องมาก.....”   ไม่ให้เรื่องมากได้ไงล่ะ  อยู่ดีๆ ก็ยื่นเงินมาให้ เยอะด้วย ตั้งสามพัน

   “ไม่เอาครับ พี่เก็บเงินของพี่ไปเถอะ” 
   


   “เอ๊ะ...มึงนี่”   มึงกูกลับมาอีกแล้ว  ............คงจะไม่พอใจล่ะซิ่.... พูดจบแถมกระชากผมไปอีก

   “พะ...พี่วัจน์.”

   “จะเอาไปดีๆ  หรือว่าจะให้กูลากมึงกลับไปที่ห้อง แล้วเอามึงอีก...เลือกเอาดิ !!!”

   “............ไม่...ไม่ครับ”  ผมกลัวนะ  มือข้างที่ไม่เจ็บเท่าไหร่จากแรงกระชากของพี่ธิว  ยื่นออกไปรับเงินนั้นมา  ... ทำให้พี่เขาปล่อยได้ง่าย   

   “ชอบทำให้โมโหอยู่เรื่อย ....ลงไปจากรถได้แล้ว... กลางวันเจอกันแล้วห้ามไม่รับสายนะ  เบอร์นี้ก็ห้ามให้ใครนอกจากเบสต์.. ถ้าพี่รู้...โดนหนักแน่”

   “..ครับ”  ผมรับคำสั้นๆ  ก่อนจะพาตัวเองออกมาจากรถของพี่ธิว...แล้วก็เหมือนเดิม นักเรียนทุกคนมองผมเป็นตาเดียว....ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องที่โรงอาหารวันนั้น  ผมก็ไม่ได้มาเรียนเลยนี่นา  เป็นอาทิตย์

   ผมเดินเข้ามาในห้องเรียน...โต๊ะข้างๆ ว่างเปล่า... เบสต์ยังไม่มา

   เพื่อนๆ ในห้องมองผม แต่ไม่ได้เข้ามาพูดอะไร....เสียงหนึ่งตอบกลับมา...เสียงของพลอย ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าห้อง ....ที่ยังพอจะคุยกับผมบ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทกันนัก

   “เบสต์ไม่มาเรียนเป็นอาทิตย์แล้ว... ตั้งแต่ที่ต้องไม่มา...เบสต์ก็ไม่มาเหมือนกัน” ................ตัวผมเงียบกริบ รอบๆ ข้างผมไม่ได้ยินเสียงใคร

   เบสต์หายไปไหน..ทำไมไม่มาเรียน .........เบสต์คงติดต่อผมไม่ได้เหมือนกันด้วยเพราะมือถือผมก็พังไปตั้งแต่วันนนั้น  ความรู้สึกของผมบอกทันทีว่าเบสต์ต้องถูกพี่เอกแกล้งเหมือนเดิมแน่ๆ  มือถือที่พี่ธิวเอาไว้ให้ใช้ตอนนี้ รีบกดโทรเข้ามาเบสต์ทันที   ผมไม่จำเป็นที่จะต้องค้นหาจากในตัวเครื่องเพราะมันไม่มีแน่นอน  เพียงแต่เบอร์เบสต์นั้นมันอยู่ในความจำของผมอยู่แล้ว เบอร์เพียงแค่ไม่กี่เบอร์ที่ผมจำได้

   พอกดเบอร์เสร็จ ผมรีบโทรออกทันที  แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้ต้องอ่านที่หน้าจอโทรศัพท์

   ............ ของเล่นไอ้เอก   >>>>>>>>>>   โทรออก

   เบอร์นี้ถูกเมมเอาไว้ ....  ผมกัดฟันแน่น  รีบกดทิ้งทันที เข้าไปที่เมนู  พร้อมกับลบชื่อนี้ทิ้งเสีย  ทุเรศกันทั้งคู่  ทั้งพี่ธิวและพี่เอกบ้าอะไรนั้น...........เพื่อนผมไม่ใช่ของเล่นของใคร จะทำแบบนี้ไม่ได้...ความรู้สึกที่เริ่มดีๆ กับพี่ธิวบ้างเริ่มหายไปอีก... ส่วนพี่เอกนั้น ผมไม่เคยรู้สึกดีด้วย

   กดเบอร์อีกครั้งแต่คราวนี้ไม่มีชื่อบ้าๆ นั้นแล้ว...  แต่เสียงปลายสายทำให้ผมตกใจหนักกว่าเดิม... มือถือปิดเครื่องอยู่ ไม่มีสัญญาณการตอบรับจากหมายเลขนี้..... เท่าที่ผมรู้จักกับเบสต์มา  เบสต์ไม่เคยปิดเครื่อง อย่างมากก็เพียงแค่ปิดเสียงเท่านั้น

   เบสต์เป็นอะไร.... หายไปไหน

   ตลอดช่วงระยะเวลาทั้งวัน เบสต์ไม่ได้มาเรียน ผมเดินไปที่โรงอาหารเพียงคนเดียวเท่านั้น ช่วงที่ทานข้าวกับพี่ธิวเป็นครั้งแรกในโรงอาหาร  มีแต่คนมองมาทางผม นั่งกินข้าวกับคนที่ถือได้ว่าดังเป็นอันดับต้นๆ ของโรงเรียน  แถมเมื่ออาทิตย์ที่แล้วพี่เขาก็มีเรื่องกับพี่เรย์อีกต่างหาก   ข้าวจานนี้ผมกินไปไม่ถึงครึ่ง จนกระทั่งกินเสร็จ  ผมขอตัวแยกออกมาจากพี่ธิว และโทรเข้าเครื่องเบสต์อีกครั้ง  แต่ผลก็เป็นแบบเดิม  เบสต์ปิดเครื่อง  ผมไม่สามารถติดต่อได้เลย

ช่วงตลอดเวลาช่วงบ่ายที่ผมเรียนอยู่ และก็เรียนแทบจะไม่รู้เรื่อง อยากจะโทรเข้าไปในบ้านของเบสต์เหมือนกัน  แต่ติดที่ว่าเบอร์บ้านของเบสต์นั้นผมจำไม่ได้ เพราะเบอร์นั้นมันอยู่ที่มือถือเครื่องเก่าของผม  เครื่องที่เขวี้ยงทิ้งไปคืนนั้น  จนกระทั่งบ่ายสาม  อาจารย์กำลังสอนอยู่  sms  ของผมสั่นเตือน ว่ามีข้อความเข้ามา  ผมรีบอ่านข้อความทันที และก็หวังขอให้เป็นคนที่ผมรออยู่ส่งข้อความมาทีเถอะ และก็เป็นจริง...เบสต์ส่งข้อความมา

“ตอนนี้เบสต์อยู่หน้าโรงเรียน...ไม่กล้าเข้าไป....ต้องออกมาหาเบสต์ได้ไหม”

   ผมรีบขออนุญาตอาจารย์ออกไปข้างนอกทันที และอ้างว่าไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องน้ำ แต่เส้นทางที่ผมเดินออกไปมันคือทางเข้าด้านหน้าโรงเรียน ที่ที่เบสต์รออยู่......   คนที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า  แอบนั่งหมอบเลยร้านป้าแสที่ปิดเอาไว้เพียงหน่อยเดียว  ถึงจะนั่งหันหลังให้ ผมก็รู้เลยว่าเป็นเบสต์

   เสื้อผ้าที่ผมไม่เคยเห็นเบสต์ใส่ที่ถูกเจ้าตัวนั้นสวมใส่อยู่ มันดูตัวใหญ่โคร่งกว่าหลายเท่ามาก   เบสต์เอาเสื้อคนอื่นมาใส่ และถ้าจะให้ผมเดา  ก็คงจะเป็นเสื้อของพี่เอก... และวันนี้ผมก็ไม่เห็นเขามานั่งอยู่กับพี่ธิวตอนกินข้าวเสียด้วย

   “เบสต์”  เสียงเรียกของผม  เอามือไปแตะไหล่จากทางด้านหลัง  เบสต์หันหน้ามาทางผม  น้ำตาเต็มใบหน้า ..... ตรงมุมปากมีรอยถูกทำร้าย  ข้อศอกมีรอยเหมือนกับล้มหรืออะไรซักอย่าง

   เบสต์........ถูกใครทำร้ายมา      

   “ฮึก....ต้อง....ต้อง ฮือๆ”   ทำไมช่วงนี้ที่เจอกับเบสต์นับครั้งได้เลยที่จะไม่ร้องไห้..  เบสต์กอดผม กอดอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมปล่อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเบสต์โดนใครทำมา ผมกอดเบสต์กลับ  กระเป๋าที่ดูเหมือนเป็นกระเป๋าเสื้อผ้าถูกวางเอาไว้ข้างๆ   เบสต์มาที่นี่เพียงคนเดียว ลุงชาญคนขับรถผมไม่เห็น  บรรดาพวกบอดี้การ์ดที่พี่จักรจ้างมาให้ดูแลน้องของตัวเองก็ไม่มี   เบสต์หายไปไหน....ไปทำอะไร... เพื่อนในห้องบอกว่าเบสต์ไม่ได้มาเรียนเลยตลอดทั้งอาทิตย์  ขาดเรียนๆ เท่ากับผม

   “ไม่ร้องนะ  เบสต์ไม่ร้องนะ  อย่าร้องๆ”   ผมไม่ร้องไห้  แต่อยากจะปลอบให้คนข้างๆ นี้ไม่ร้องไห้เช่นกัน  การร้องไห้มันไม่ได้ช่วยอะไร  รั้งแต่จะทำให้เราเสียใจมากยิ่งขึ้น  เพียงแต่ตอนนี้คนข้างๆ ผมเขายังไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้

   “ฮือๆ ต้อง....เบสต์กลัว.....เบสต์กลัวพี่เอก เบสต์กลัว”    เป็นครั้งแรกที่เบสต์เอ่ยปาก เรียกชื่อคนๆ นั้นขึ้นมาต่อหน้าผม ร้องไห้หอบจนตัวโยน ผมไมได้ร้องไห้ตาม  แต่ก็ยังปลอบอยู่อย่างนั้น มือของผมยังคงกอดเพื่อนคนนี้ไว้แน่น สายตาที่เหม่อมองไปข้างหน้า  เพราะเพื่อนคนรักเอาใบหน้านั้นมาซบอยู่ที่ไหล่  น้ำตาของเบสต์ยังไหลมาเรื่อยๆ  จนผมรู้สึกได้  ดวงตาผมจับจ้องที่หน้าของเบสต์ไม่เห็น แต่ก็ดีแล้ว เพราะผมก็ไม่อยากเห็นเบสต์ร้องไห้ตอนนี้

   กระเป๋าใบที่อยู่ข้างๆ นั้น เผยอเปิดออกมานิดหนึ่ง ทำให้เห็นว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างในบ้าง

   เสื้อผ้าหลายตัวถูกพับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นเพียงไม่กี่อย่างอยู่ในนั้นอีกเช่นกันแต่ถูกเรียงอัดแน่นเอาไว้ในด้านข้าง 

   

   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:23:07
........เบสต์จะไปไหน ?

   “เบสต์....เบสต์จะไปไหน...”   ความคิดของผมมันมีขึ้นมา  เบสต์จะไปไหนได้  เบสต์คงกลับไปที่บ้านและออกมาอีกแน่ๆ  ถ้าจะไปต่างประเทศก็คงไม่ใช่ เพราะเบสต์ก็ไม่รู้จักใคร  นอกเสียจากพี่จักร พี่ชายของเบสต์เองที่ตอนนี้ก็กลับมาจากต่างประเทศแล้ว

   “ฮือๆๆๆ เบสต์ไม่รู้ ฮึก...เบสต์ไม่รู้ เบสต์จะไปไหนก็ได้...ที่ไหนก็ได้ ที่ที่ไม่มีพี่เอก ...เบสต์กลัว..กลัวพี่เอก ฮือๆๆ” 

   ความหมายของเบสต์คืออะไร...เบสต์จะหนีหรอ...หนีไปไหน แล้วเบสต์จะต้องเรียน  เบสต์จะไม่เรียนด้วยน่ะหรอ...ทำแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ

   “เบสต์จะไปไหน ...เบสต์อย่าไปเลยนะ..  เบสต์มีพ่อแม่ มีพี่จักร แล้วเบสต์ก็ยังมีต้องอีกคนนะ  เบสต์อย่าไปเลย”  ผมกอดเบสต์แน่น และบอกกับเบสต์ไป ผมไม่รู้ว่าเพื่อนรักคนนี้กำลังตัดสินใจทำอะไรอยู่  แต่เท่าที่รู้ๆ เหมือนเบสต์เตรียมบางสิ่งบางอย่างที่จะทำนั้นไว้อย่างพร้อมเพรียงแล้ว และที่แอบมาหาผมหน้าโรงเรียนนี้ เหมือนกับว่าจะบอก  ...เหมือนลา

   “ฮึก..เบสต์กลัว”   เบสต์พูดแต่เพียงว่ากลัว  กลัวอะไร..กลัวพี่เอก หรือกลัวอะไร... แล้วเป็นไปได้ไหม ที่ผมก็เบื่อเหมือนกัน เบื่อกับการที่จะต้องถูกทำร้ายไม่ต่างกับเบสต์  เบื่อที่จะต้องมาทนรับฟังคำพูดของใครคนหนึ่งที่คอยจะดูถูกแม่ของเราตลอดเวลา   และเบื่อไหมที่จะต้องร้องไห้เกือบทุกๆ วัน ฝันร้ายอย่างนี้ทุกๆ วัน เสี้ยวหนึ่งในใจของผมก็คิดเหมือนกัน

   ถ้าหากว่าเพื่อนรักของผมตรงหน้านี้หนีไป  แล้วเขาจะไปอยู่กับใคร สภาพแวดล้อมใหม่ๆ  สังคมใหม่ๆ เบสต์จะทนได้หรอ  ชีวิตลูกคุณหนูแบบเบสต์  แล้วอาจจะไปเจอชีวิตแย่ๆ แบบนั้นเบสต์คงทนไม่ไหวหรอก   และผมก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้เบสต์ไปคนเดียวตามลำพังแน่ๆ .......  สำหรับแม่ของผมเองนั้น ผมคงจะหมดห่วงไปได้  ลุงธินคงจะดูแลแม่เป็นอย่างดี เพราะเท่าที่กลับบ้านไปล่าสุด ผมก็เห็นแล้วว่าลุงธินรักแม่มากแค่ไหน

   ถ้าหากแม่ขาดผมไป คงจะไม่เป็นอะไร  และซักวันผมคงกลับมาหา

   แต่ถ้าหากเบสต์ขาดผมไปล่ะ ............  เบสต์เคยทั้งช่วยและปกป้องผมมานักต่อหนัก  ถึงคราวแล้วหรือยังที่ผมจะต้องปกป้องเบสต์บ้าง

   “เบสต์.........เราหนีไปด้วยกันไหม...ที่ไหนก็ได้ ที่มีต้องกับเบสต์ ให้ต้องไปด้วยเถอะนะ”

   เบสต์คลายอ้อมแขนออกจากผม ปล่อยจากการสวมกอดอยู่  .... ใบหน้านั้นยิ้มดีใจ ที่ได้คำตอบจากผมไปเมื่อกี้ .............เบสต์ยังคงร้องไห้อยู่  เพียงแต่พยักหน้า คำตอบคือตกลง  ....เบสต์มาที่โรงเรียนนี้ก็เพื่อต้องการจะเรียกให้ผมหนีไปกับเบสต์นี่เอง

   ไม่รอช้า ..ตอนนี้พี่ธิวเรียนอยู่ และไม่มีทางที่จะเห็นผมเด็ดขาด  เบสต์ยังทำตัวอะไรไม่ถูก แต่ผมก็พอมีสติอยู่บ้าง เงินที่มีอยู่ในตัวตอนนี้ผมมีถึงสามพัน  อย่างน้อยก็พอที่จะหนีไปไหนก่อนได้ซักพัก หลังจากนั้นค่อยย้อนมาถอนเงินที่มีอยู่ในธนาคารนั่นออก

   .........ถ้าเกิดพี่ธิวไม่ตามผม ...ผมก็พอที่จะหนีได้อย่างสบาย

   แต่ถ้าเกิดพี่เขายังขืนตามอีก.. เงินที่อยู่ในธนาคารนั่นทั้งหมด ผมต้องถอนมันออกมา แล้วฝากอีกไม่ได้เลย

   ทำธุรกรรมที่ไหนไม่ได้ ...........และที่สำคัญ เรียนต่อไม่ได้

   .......  ไปตายเอาดาบหน้า.....

   เบสต์สงบลงไปมาก หลังจากที่ผมมาเดินออกมาข้างนอก  ก่อนจะพาขึ้นรถเมล์ เมื่อตอนรู้สึกว่าปลอดภัยแล้ว ผมกับเบสต์ยิ้มให้กัน  ต่างคนเหมือนกับต่างกำลังตัดสินใจครั้งสำคัญอยู่ และต้องการกำลังใจ

   “........ไม่กลัวนะ.”  เบสต์บอกกับผม

   “ไม่....ไม่กลัว.... เป็นไงเป็นกัน.............แต่ ....เราจะไปไหน”  คำถามของผมเกิดขึ้นในใจแล้วแหละ  แต่มัวแต่ตาลีตาเหลือก วิ่งหนีกันออกมาจากโรงเรียน ทำให้ลืมคิดข้อนี้ไปเหมือนกัน

   “พระที่เบสต์ที่รู้จัก มีอยู่องค์หนึ่ง....  แต่ตอนนี้ท่านย้ายไปจำพรรษาอยู่ต่างจังหวัด....  ต้องอยากไปอยู่ไหม” 

   “ที่ไหนหรอ....”  ผมอยากรู้จัก 

   “หนองคาย”   ....ความรู้สึกของผม บ้านก็ว่าไกลจากกรุงเทพฯ แล้ว แต่นี่หนองคาย  จังหวัดนี้ใช่จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของภาคอีสานเลยหรือเปล่านะ

   “อืม ..”  ผมไม่พูดอะไร   

   “ไปเป็นเด็กวัดกันเนาะ.... ลองไปดูกันบ้าง..ว่าเราสองคนจะเป็นอย่างไง... ถ้าให้ดีก็เรียนที่นั่น บวชเรียนก็ได้.. เดี๋ยวเบสต์กับต้องบวชด้วยกัน......กินข้าววัด เป็นเด็กวัด  บิณบาตร.......ดีป่ะ”   เพื่อนรักผมหันเข้ามาพูด ยิ้มแป้น  ........หน้าตาบ่งบอกว่า กำลังพยายามให้มีความสุข ....บ่งบอกว่ากำลังปิดบังความกลัวเอาไว้ เพียงแต่เอาการยิ้มขึ้นมาข่มไว้ต่างหาก

   ผมไม่พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้า กุมมือเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง

   เป้าหมายของรถเมล์ คือหมอชิต

   เป้าหมายของหมอชิต คือไปหนองคาย

   หลังจากนั้น  ให้เรื่องอนาคตตัดสินใจ
.
.
.
.
สายลมอ่อนๆ ของต่างจังหวัด  ระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา ผมกับเบสต์หนีพี่ธิวและพี่เอกมาได้ ไม่ได้โดยไม่ได้สนใจว่า  คนที่รอคอยอยู่ข้างหลังจะเป็นอย่างไง  แม่จะเป็นห่วงผมหรือเปล่า และพ่อกับแม่เบสต์ รวมทั้งพี่จักร จะตามหาพวกผมอย่างเอาเป็นเอาตายไหม 

เราสองคนเหมือนหายเข้าไปในกลีบเมฆ  อะไรซักอย่างไม่ได้ถูกนำมาด้วย  เครืองมือที่เป็นเทคโนโลยีที่คิดว่าพี่เอกและพี่ธิวจะตามหาได้ ถ้าหากเขาตาม พวกผมทิ้งมันไปหมด มือถือของผมที่ธิวให้เอาไว้ใช้ ผมฝากเอาไว้ที่ยามหน้าโรงเรียน ก่อนพาเบสต์หนี ส่วนมือถือของเบสต์ เขวี้ยงทิ้งลงไปในคลองตรงช่วงที่อยู่บนรถเมล์  .......บัตรเครดิตของเบสต์ที่สามารถกดใช้เงินสดได้ ถูกถอนออกมาและมันก็มากพอควร ก่อนที่บัตรทั้งหมดที่เบสต์มีอยู่จะหักมันทิ้งลงไปในถังขยะ  เบสต์เก็บเงินเอาไว้ในกระเป๋าช่องที่ปลอดภัยที่สุด  ........เด็กนักเรียนสองคน  ถึงจะ ม. 5 แต่อยู่ที่ไหนก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ถือเงินสดเอาไว้ในมือดีที่สุด

   มันอาจจะเป็นการตัดสินใจสำหรับเด็กๆ คนหนึ่งที่จะต้องทำ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ผมแค่นั้นที่ตัดสินใจคนเดียว.... การที่หนีพี่ธิวออกมา และเบสต์ก็ต้องหนีพี่เอก  ความคิดแบบเด็กๆ ที่สามารถว่าจะหลบพี่เขาให้พ้น ไม่ให้เขาหาเจอ ไม่สนใจว่าวันต่อๆ ไปจะเป็นอย่างไง  เพียงแต่ตอนนี้ผมก็หนีพ้นแล้ว เบสต์ซึ่งตอนนี้คือเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดก็อยู่ตรงนี้ด้วย  เราเจอกันครั้งแรก็ตอนที่ผมขึ้น ป. 3

   “ชื่อไรหรอ...เราเบสต์นะ” เด็กที่ดูท่าทางมีอันจะกิน  ผิวพรรณขาวสะอาดใส  มองมาที่ผมยิ้มให้จนเห็นแก้มป่องๆ นั้นชัด
   “ชื่อต้อง”  ผมก้มหน้า ไม่กล้ามองอีก เพราะกลัวว่าเพื่อนใหม่ๆ จะเป็นเหมือนกับเพื่อนที่ผ่านมา
   “ต้องนักเรียนที่ข้ามชั้นมาหรือเปล่า...เหมือนเบสต์เลย  แต่เบสต์ข้ามชั้นมาปีนึง..ส่วนต้องข้ามมาสองปีป่ะ...เห็นเพื่อนๆ ในห้องบอก”  เบสต์เป็นเหมือนผมเลยอ่ะหรอ...เบสต์คงเรียนเก่งเหมือนกัน ถึงได้โดดข้ามชั้นมาได้ แต่เรียนเก่งๆ แบบนี้ก็ไม่ดีเลย  ผมได้เจอหน้าเพื่อนๆ ใหม่เกือบตลอด หวังว่าต่อไปคงไม่ต้องข้ามชั้นแบบครั้งนี้อีกนะ
   “อือ..พี่...พี่เบสต์ก็ข้ามเหมือนกันหรอ”  ไม่รู้ว่าพูดอะไรผิด แต่คนทีชื่อพี่เบสต์หน้างอเชียว
   “ป.เดียวกัน อย่าเรียกพี่ดิ่...เบสต์ยังไม่อยากแก่”
   “เอ่อ..คะ..ครับ” 
   “ไม่ต้องพูดเพราะๆ ก็ได้ เบสต์ก็ยังไม่อยากแก่”
   “เอ่อ...” 
   “เพื่อนๆ ในห้องเรียกเราว่าเบสต์  หรือไม่ก็ถ้าจะโดนใช้ให้ทำการบ้าน ก็จะเรียกหนูเบสต์  แต่ถ้าวันไหนไม่ทำการบ้านให้พวกมัน  มันก็จะเรียกว่าไอ้เบสต์  แต่ไม่เคยมีใครเรียกเบสต์ว่า ไอ้เหี้....เบสต์นะ แฮ่ะๆ ไม่อยากกินไก่”
   “.......?..........”
   “...งั้นต้องเรียกเบสต์ว่าเบสต์เฉยๆ ดีกว่าเนาะ”   ผมยิ้มให้ รู้สึกว่าเพื่อนใหม่คนนี้น่าคบจัง”
   “เดี๋ยวกลางวันนี้ไปกินข้าวกับเบสต์ก็ได้นะ” 
   “อือๆ  ไปซิ่”  ผมพยักหน้ารับคำ
   “แล้วนี่หิวข้าวยังอ่ะ !!” 
   
   ..................  “ต้อง  หิวข้าวยัง” 

   ผมหลุดออกมาจากความทรงจำครั้งเก่าๆ ที่เจอกับเบสต์ครั้งแรก ยิ้มให้เพื่อนคนรักตรงหน้า   

   “หิว..เหมือนกัน”

   “อืม  งั้นเดี๋ยวเบสต์พาไปกิน ....หลวงพ่อเอากับข้าวเก็บแยกให้ไว้ต่างหาก ท่านไม่อยากให้เบสต์กับต้องไปกินพร้อมกับเด็กวัดในนั้น” 

   ผมเดินตามเบสต์ไป...อ้อมหลังกุฏิที่หลวงพ่อท่านอยู่ ก่อนจะวกกลับมาทางเดิม

   วัดนี้เงียบและสงบ  อาจจะเหมาะที่ผมกับเบสต์จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

   ผมมองหลังเบสต์ไปเงียบๆ 

   ขอบคุณเพื่อนคนนี้ คนที่เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและพี่ในคราวเดียวกัน

อยากจะบอกกับพี่ธิวเหลือเกิน ที่ผมหนีมา ไม่ใช่เพราะว่ากลัวความตายที่พี่ธิวอาจจะยื่นมาให้ เพียงแต่กลัวว่าคนที่ผมรักที่อยู่ข้างๆ กันนี้จะต้องมาร่วมชะตากรรมนั้นด้วยกับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อเอาไว้.... เบสต์ปกป้องผมมามากเกินพอแล้ว ถึงคราวที่ผมจะต้องปกป้องเบสต์บ้าง

   ทุกสิ่งทุกอย่างที่เบสต์หนีมา ไม่ว่าจะหนีจากพี่เอก หรือหนีจากความสะดวกสบายจากทางบ้าน  ก็เพราะอยากป้องกันไม่ให้ผมถูกทำร้ายจากพี่ธิว  ...ถึงผมจะยอมให้พี่ธิวทำร้าย แต่เบสต์ไม่ยอม  แล้วจะผิดอะไรไหมที่ผมจะปกป้องเพื่อนรักคนนี้ในชาตินี้ที่เหลืออยู่

ทุกวันนี้ที่ผมมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะแม่... และก็เบสต์

เบสต์.........  ที่ตามผมมาจนถึงปัจจุบัน 

ครั้งหนึ่งเคยเป็นพี่ ครั้งนี้มาเป็นเพื่อน แต่ความห่วงที่เบสต์เคยมีให้มันไม่เคยจางลงไปซักนิด 

สิ่งที่เกิดขึ้นผมไม่เคยโทษพี่ธิว ว่าพี่ธิวผิด  เพราะตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่ามันเป็นเพราะอะไร ....  ทำไมผมถึงต้องมาชดใช้ให้เขา  ความฝันที่ตามหลอกหลอนมาเกือบนับสิบปี  ตอนนี้ผมรู้แล้ว

ผมฝันร้ายครั้งแรก คืนแรกเมื่อเจอพี่ธิว ในฝันนั้นผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูก............ข่มขืน

ฝันร้ายซ้ำๆ กันทุกๆ ครั้งที่วันไหนเกิดร้องไห้ขึ้นมา     และฝันร้ายในแบบเดิมแต่กลับกลายมาเป็นผมเห็นผู้หญิงอีกคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างชัดเจนในความฝันนั้น ....ผู้หญิงคนที่กันชายคนนั้นออกเพื่อไม่ให้ทำสิ่งที่เลวร้ายกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง   แต่กลับกลายเป็นว่าชายคนนั้นบีบคอเขาเสียจนสลบและนอนกองอยู่ตรงชายป่าอ้อยที่ไม่ห่างกัน

ผมฝันแบบนั้นครั้งแรกที่มีผู้หญิงอีกคนเข้ามาเห็นอย่างชัดเจนก็ตอนที่เจอเบสต์..... เบสต์เพื่อนของผมเอง.......... พี่สาวของผู้ชายคนนั้น

   ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นขึ้นมาอย่างลงตัว  เพียงแต่ทุกสิ่งทุกกอย่างมันเป็นไปตามกฎแห่งความเป็นจริงหรือเปล่าผมก็ไม่รู้...  ไม่มีใครซักคนสามารถพิสูจน์ได้.... ผมไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถจนกระทั่งถึงกับย้อนความทรงจำไปได้ถึงชาติภพอดีตที่ผ่านมา เพียงแต่...ความรู้สึกบางอย่างมันบอกอย่างนั้น

   ผู้ชายคนที่ข่มขืนผู้หญิงคนนั้นคือผมเอง

   ผู้หญิงคนที่ถูกทำร้ายนั้น.....คือพี่ธิว

   ส่วนเบสต์.........คือผู้หญิงคนที่ผมทำร้ายด้วยมือของผมเองอีกคนหนึ่ง

   หากแต่เบสต์ยอมที่จะอภัยให้...เบสต์จำทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด 

   แต่พี่ธิว คนที่จำอะไรไม่ได้เมื่อครั้งนั้น... และไม่เลือกที่จะให้อภัย

   สร้อยยังอยู่ที่คอ........... เบสต์จำได้...พี่ธิวจำไม่ได้....  ผมจับสร้อยคอเส้นนั้นเพียงเบาๆ  ขอบคุณ..ขอบคุณที่ผมได้คืนมา... 

   เพียงแต่พี่ธิวเขายังเอาคืนไม่หมด สิ่งที่ผมทำกับพี่ธิวไม่ใช่เพียงแค่นั้น   

   มันยังเหลือ.......ชีวิต

   สร้อยเส้นนี้อดีตมันเคยเป็นของพี่ผม.......อดีตที่ผ่านมานานแสนนาน สร้อยเส้นนี้เคยเป็นของเบสต์เมื่อชาติที่แล้ว

   อดีตที่ลึกมากกว่านั้นผมไม่รู้......... มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้คือเบสต์...หากแต่ผมก็ไม่กล้าที่จะถามกลับไป

   “เบสต์”   คนที่ผมเรียกหันกลับมา ..รอยยิ้มเจือความบางเบานั้น.... พูดกับผมเหมือนเป็นเสียงกระซิบ ก้มหน้ามองพื้น แต่เท้ายังคงเดินต่อไป

   “ลืมมันไปเถอะ....” 
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:26:37
ตอนที่ 20  อย่าเจอกันอีกเลย

    :mew3:

..............................................

                   เกือบสองเดือนแล้วที่ผมกับเบสต์ต้องออกมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน  แถวนี้เงียบสงบมาก สมกับเป็นวัดในต่างจังหวัด วันนี้หลวงพ่อที่รูปท่านดูแลผมสองคนอยู่ ให้มาถูโบสต์แบบเดิมตามปกติ แต่สายตาที่มองไปเห็นกลับเพิ่งมองไปที่หนังสือพิมพ์ที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้สองมือของผมถือหนังสือพิมพ์ฉบับที่วางอยู่ ภาพเล็กๆ ที่บรรยายเอาไว้ ผมเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน

   “ลูกชายเจ้าของทายาทธุรกิจเบียร์ระดับประเทศ ขับรถซิ่งกับเพื่อนสนิทลูกชายเจ้าของโรงแรมในเครือห้าดาวหลายแห่ง บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่

   คนหนึ่งยังถูกรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU  ไม่รู้สึกตัว

   ส่วนอีกคนหนึ่งตอนนี้พ้นขีดอันตรายและฟื้นมาแล้ว.............  แต่สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก...   สูญเสียความทรงจำ

   ตลอดระยะเวลาที่ผมเข้าไปอ่านเนื้อหาในหนังสือพิมพ์  ผมไม่ได้ร้องไห้.... และตอนนี้ข้างๆ กันเบสต์เข้ามานั่งใกล้ๆ  และก็อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปด้วย  เราสองคนเงียบ และไม่พูดอะไรกัน  เพียงแต่ต่างคนต่างอ่านข้อความนั้น

   สำหรับคนที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของธุรกิจโรงแรมห้าดาวหลายแห่งในกรุงเทพและต่างจังหวัด...  ตอนนี้ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ และร่างกายหายดีขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ได้รับกระทบกระเทือนอย่างหนักจากอุบัติเหตุในครั้งนี้  ความทรงจำของพี่เอกหายไปเกือบสองปี..... จากการวินิจฉัยของแพทย์  พี่เอกอาจจะเพียงแค่ความทรงจำหายเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ...........แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น...พี่เอกอาจจะความทรงจำหายไปถาวร

   ส่วนพี่ธิวยังคงไม่ฟื้นและอยู่ในห้อง ICU  พี่เขาทั้งสองคนไม่ได้ออกไปแข่งรถ แต่จากข่าวที่รายงานออกมา  คนขับคือพี่ธิว  ซึ่งรถเกิดอุบัติเหตุเพราะหลับใน  เหตุเป็นเพราะว่าไม่ได้พักผ่อนหลายวัน  เพื่อนคนสนิทของพี่เขาทั้งสองให้การกับตำรวจเกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุในครั้งนี้ จากชื่อที่ปรากฏอยู่ ผมพอจะคุ้นชื่อพี่เขาอยู่บ้าง  .. พี่ซิว หรือ“ศศิพัชร์  วัจนสกุล”  เพื่อนของพี่ธิวและพี่เอก  และดูเหมือนจะเป็นญาติใกล้ชิดกับพี่ธิวด้วย  บอกว่าพี่ธิวกับพี่เอกไม่ได้พักผ่อนหลายวัน  เป็นเพราะว่ามัวแต่ขับรถ......คล้ายกับตามหาใครซักคน... จากการให้สัมภาษณ์ เหมือนคล้ายๆ กับว่าพี่ซิวต้องการที่จะไม่ยอมบอกกับตำรวจและนักข่าวมากกว่า ว่าพี่ธิวและพี่เอกตามหาใคร

   .............คล้ายกับตามหาใครซักคน.....................

   อาการของพี่ธิวไม่ได้ทุเลาลง  ด้วยมีเลือดออกในกระเพาะอาหารอยู่ตลอดเวลา สาเหตอาการจากการที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรงบริเวณช่องท้อง  และหมอจำเป็นต้องให้เลือดสำรองที่มีอยู่กับพี่ธิว ทุกๆ หนึ่งวัน 

   เลือด.....ที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีเลือดกรุ๊ปนี้

   เลือด Ab- Rh เน็กกาทีฟ

   เบสต์รู้อยู่เหมือนกันว่าผมคิดอะไรอยู่  แต่เราสองคนเดินกันออกมาไกลแล้ว....

   ผมไม่อยากให้เบสต์ต้องกลับไปเจอพี่เอกอีก  ถึงแม้อาการของพี่เขา  ความทรงจำนั้นจะหายไป และแน่นอน พี่เอกไม่มีทางที่จะจำเบสต์ได้แน่ๆ

   ส่วนสำหรับพี่ธิวนั้น....  ผมไม่ได้เสียใจ....  เพราะความรักที่เคยมีให้ มันไม่เหลือแล้ว....  เราต่างคน ต่างไม่มีกันและกัน การเดินทางที่ห่างกัน...  ทำให้ผมและเขาสองคน ไม่ได้มีคำว่า “เรา” อีกต่อไป และกรรมที่เคยติดค้างต่อกัน มันก็ถูกพี่เขาเอาคืนไปเกือบหมดแล้ว

   .........แต่ก็ยังไม่หมดซะทีเดียว.............

   เสียงเบสต์เรียกขึ้นมาเบาๆ  และผมก็ได้ยินเสียงแห่งความเป็นห่วงนั้น

   ....... “ต้องจ๋า.... อย่ากลับไปเลยนะ....”   เสียงพูดขอร้องของเบสต์ทำให้ผมไม่กล้ามองสบตา....  เบสต์ขอร้องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นห่วงผมมากจนผมรู้สึกละอาย

   เราสวมกอดให้กันอีกครั้งอย่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน....  และตอนนี้มีแต่เพียงผมและเบสต์เท่านั้นที่สามารถจะปรึกษากันได้  ...... แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ผมหนีกันมานั้น....  ไม่มีทางหรอกที่ใครบางคนอีกคนหนึ่งจะไม่รู้เลย

   “มาหนีกันอยู่ที่นี่เองนะ  !!!!!” 
      
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:28:34
....... “ต้องจ๋า.... อย่ากลับไปเลยนะ....”   เสียงพูดขอร้องของเบสต์ทำให้ผมไม่กล้ามองสบตา....  เบสต์ขอร้องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นห่วงผมมากจนผมรู้สึกละอาย

      เราสวมกอดให้กันอีกครั้งอย่างให้กำลังใจซึ่งกันและกัน....  และตอนนี้มีแต่เพียงผมและเบสต์เท่านั้นที่สามารถจะปรึกษากันได้  ...... แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ผมหนีกันมานั้น....  ไม่มีทางหรอกที่ใครบางคนอีกคนหนึ่งจะไม่รู้เลย

      “มาหนีกันอยู่ที่นี่เองนะ  !!!!”

ผมกับเบสต์ผงะออกจากกันทันที  ผู้ชายคนที่พูดขึ้นมา ยืนอยู่ทางประตูด้านหน้าโบสถ์ เบสต์ตอนนี้หน้าซีดไปด้วยความตกใจ และไม่คิดว่าชายคนนี้จะตามเราสองคนมาได้ถึงที่นี่

   “พี่จักร  !!!!”     

   “ไง”  พี่จักรเดินเข้ามาหาเราทั้งสองคน หน้าตาอิดโรยและดูโทรมจากที่ผมเคยเห็นล่าสุดเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว  พี่จักรดูโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เค้าหน้าที่หล่อเหลา แตกต่างจากเบสต์ซึ่งได้รับสมบัติเค้าหน้านั้นมาจากแม่ ส่วนพี่จักร ทั้งความสูงรูปร่าง สีผิวและเค้าหน้านั้นได้รับมาจากทางสายเลือดของทางพ่อโดยตรง

   “พี่จักร  ตาม  ..... เบสต์กับต้องเจอได้ไง”  เบสต์พูดขึ้น เสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับเข้าไปสวมกอด  และก็คงจะกลัวๆ เหมือนๆ กัน เพราะว่าเวลาปกติแล้วจากที่ผมเคยคลุกคลีด้วยเวลาที่ไปเล่นบ้านเบสต์  ถ้าเวลาปกติพี่เขาจะเป็นคนที่ใจดีคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าเกิดโมโหขึ้นมา ความร้ายกาจนั้นก็เอาเรื่องเหมือนกัน ยิ่งความโมโหที่เกิดจากความปราศจากเหตุผลของอีกฝ่ายด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

   “ให้พี่ตามหาให้ทั่วเลยนะเบสต์.....   คนที่บ้านเขาเป็นห่วงขนาดไหนรู้บ้างเปล่า   พี่เป็นห่วงเบสต์ขนาดไหน พี่มีน้องชายอยู่แค่คนเดียว  ทำแบบนี้ไงกันนะ  !!!”

   “ฮึก ....ฮึก   ฮือๆๆ  เบสต์คิดถึงพี่  คิดถึงพี่จักรที่สุดเลย  แต่ เบสต์...กลัว..กลัวพี่จักรตี”  ยิ่งพี่เขาพูดแบบนี้ เบสต์ยิ่งสวมกอดเข้าหาพี่ชายหนักกว่าเดิม  ลูกไม้ตอนเด็กๆ  ผมไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่าครั้งนี้กับพี่เขา  หากเบสต์ทำอะไรผิดขึ้นมาตอนเด็กๆ  และกลัวว่าพี่จักรจะทำโทษ เบสต์จะเข้าไปกอด แล้วก็อ้อน  และทุกครั้งพี่จักรก็ใจอ่อนเหมือนเดิม

   แต่ครั้งนี้ พี่เขาไม่ได้สวมกอดเบสต์กลับเหมือนทุกครั้ง .......สีหน้านั้นทั้งห่วง แล้วก็โกรธ

   “อือ  ตีแน่นอน  รอให้ไปถึงบ้านก่อน ตีทั้งคู่นั้นแหละ  ซนไม่เข้าเรื่อง นึกอย่างไงหนีกันมา   คนที่บ้านเขาเป็นห่วงกันหมด  บ้านของน้องต้องด้วย  ทั้งแม่ ทั้งลุงธินตามหาตัวกันให้ควั่กไปหมด  ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้นะ”  น้ำเสียงดุๆ ของพี่จักร ทำเอาผมรีบก้มหน้างุดลงทันที ถึงจะไม่ใช่พี่แท้ๆ  แต่ถ้าเทียบกับอีกคนแล้ว ความน่ากลัวเวลาที่โมโหนั้นไม่ต่างกันเลย

   อีกคนหนึ่ง...........ที่ตอนนี้เป็นไงบ้างก็ไม่รู้

   “ไม่เอา...เบสต์ไม่กลับ...เบสต์จะอยู่ที่นี่  เบสต์ไม่ไปไหนทั้งนั้น.........ต้องด้วย  ต้องจะอยู่กับเบสต์ใช่ไหม ?”   น้ำเสียงเครือๆ ของเบสต์เริ่มมาแล้ว คงกลัวจะถูกตี  ตอนนี้ผมก็กลัวเหมือนกัน ถ้าเบสต์โดน ผมก็คงไม่รอดหรอก

   “พี่จักร...  อย่าตีเบสต์นะ ต้องพาเบสต์มาเองครับ พี่จักรอย่าตีเบสต์นะ”  ผมพูดขึ้นพยายามที่จะขอร้องพี่เขาเอาไว้   เสียงพูดของผมอาจจะทำให้พี่จักรใจอ่อนอยู่บ้าง  แต่ก็ขอให้เป็นไปในทางที่ดีทีเถอะ

   “อือๆ  ไม่ตี  ........แต่กลับบ้าน กลับทั้งคู่นั้นแหละ  !!!”

   “...ไม่เอา  เบสต์ไม่กลับ เบสต์จะอยู่ที่นี่ !!!” 

   “เบสต์ !!!!  พูดให้รู้เรื่องด้วย กลับบ้าน  แม่เป็นห่วง อยากให้แม่ไม่สบายหรือไง”    เสียงค้านของเบสต์ ทำให้พี่จักรโมโห  ตอนนี้เบสต์ไม่ได้กอดพี่เขาแล้ว แต่พยายามถอยหนี  แต่กลับถูกข้อมือใหญ่นั้นกระชากออกมา จนผมต้องออกตัวไปขวางเอาไว้ และขอร้องพี่เขาอีกครั้ง

   “พี่จักรครับ.... ปล่อยเบสต์ก่อนนะ”

   “กลับบ้าน !!! กลับทั้งคู่นั้นแหละ  ...........ต้องไปขึ้นรถ  ... ไม่งั้นพี่ตีในวัดทั้งสองคนเลย  จะกลับขึ้นไปนั่งบนรถดีๆ  หรือว่าให้พี่ตีก่อนแล้วถึงจะขึ้นไปนั่งได้...เลือกเอาดิ!!!”

   “ฮึก...ฮึก  เบสต์ไม่กลับ... เบสต์ไม่ไป...พี่จักรดุเบสต์” 

   “ก็เชื่อกันบ้างไหมล่ะ ....พี่เป็นห่วง  แม่เป็นห่วง พ่อก็เป็นห่วง ให้คนเขาห่วงกันทั้งบ้านก่อนหรือไง ...กลับไปคุยในบ้าน  ..............ต้อง  !!!  พี่บอกว่าให้เข้าไปนั่งในรถ !!!”  เสียงตะคอกเข้ามาหาผม ออกคำสั่งอีกครั้งในช่วงท้าย   แต่ผมยังไม่ยอมออกไปไหนอยู่ดี  เพราะว่าเบสต์ก็ยังถอยหนีพี่จักรอยู่ตลอด  เสียงร้องของผมไม่ได้ช่วยอะไรเลย

   “พี่จักร เบสต์มันเจ็บ  ปล่อยเบสต์ก่อนนะ” 

   “กลับไปที่รถ !!!!”   

   “ฮึก... ฮึก  ฮือๆๆ  เบสต์ไม่กลับบบบ เบสต์จะอยู่นี่”

   “มึงสองคนไปเอาไม้ในรถมา !!!!”   เสียงร้องตะโกนสั่งคนของพี่เขา ทำให้ผมและเบสต์รู้กันทันทีว่าพี่จักรไม่ได้มาที่นี่เพียงคนเดียว แต่พาการ์ดจากทางโรงแรมมาด้วย  ผมรู้ว่าพี่เขาไม่ได้ขู่ และเอาจริงแน่นอน  คนที่ผมควรกล่อมต้องเป็นเบสต์แล้วแหละ

   “เบสต์... เบสต์กลับก่อนนะ  ต้องก็กลับด้วยเหมือนกัน  เบสต์ทำตามพี่จักรบอกก่อนนะ”

   “ฮึก ...ฮึก....เบสต์กลัวพี่จักรตี ฮือๆๆ”

   “ก็ดื้อแบบนี้มันน่าตีไหมล่ะ....... !!!”

   “ฮือๆๆๆๆ”  เสียงร้องไห้ของเบสต์ดังกว่าเดิม แต่ตอนนี้หยุดถอยหนีแล้ว  เท่ากับเป็นโอกาสให้พี่เขาดึงกึ่งลากไปที่รถได้ง่าย   ๆ  และสะดวก  แต่พอออกจากโบสถ์มาได้เพียงนิดเดียว  คนที่พี่เขาสั่งให้เอาไม้เรียวมานั้น กลับยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก..........เบสต์กลัวแบบเดิม

   “ฮึก...ไม้....ไม้เรียว  ฮือๆ  เบสต์กลัว” 

   “ไม่ตี  ...ถ้าไม่ดื้อ... ...........ต้อง !!!  ไปนั่งข้างหลัง เดี๋ยวนั่งคู่ไปกับเบสต์”   ผมรีบทำตามที่พี่เขาบอกทันที  แต่เพียงแค่กำลังเดินไปแค่นั้น  เสียงทางด้านหลังก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

   “หยุดก่อนโยม ...........  รอสักเดี๋ยวเถอะ”  หลวงพ่อคนที่ผมและเบสต์นับถือ  ยืนอยู่ทางด้านหลัง  เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อซักครู่ เกิดความเงียบโดยชั่วคราว  ผม และเบสต์รวมทั้งพี่จักร และทุกคนที่อยู่ในที่นั่น  นั่งคุกเข่าลงโดยทันที

   “หลวงพ่อ” ผมเรียกขึ้น  พร้อมกับก้มลงกราบ ซึ่งทุกคนในที่นั่นก็ทำแบบเดียวกัน

   “ขอเวลาอาตมาสักเดี๋ยว  .........โยมทั้งสาม เข้าไปคุยกับอาตมาในโบสถ์สักชั่วครู่เถอะนะ”  ทันทีที่หลวงพ่อท่านพูดเสร็จ  ผมเบสต์และรวมทั้งพี่จักรด้วย  เดินตามหลวงพ่อเข้าไป เสียงร้องไห้ของเบสต์ยังมีมาเป็นระยะๆ  จนกระทั่งพี่จักรตามกุมมือพาเดินเข้าไป

   ถึงจะโมโหแค่ไหน  คำว่าพี่ชาย สำหรับพี่จักรนั้นก็หนีไปไหนไม่พ้น ใครจะทนดูน้องชายตัวเองร้องไห้ต่อหน้าได้นานนัก...  ผมยิ้มออกขึ้นมา  เมื่อน้ำตาของเบสต์มันทำให้พี่จักรต้องโอ๋  และปลอบแบบเดิมอีกครั้งเมื่อตอนเด็กๆ

   “เงียบครับ...เงียบนะๆ ไม่ร้องๆ พี่ไม่ตีแล้ว..  ไม่ตีแล้วครับ  แต่เบสต์ต้องกลับบ้านกลับพี่นะ  แล้วก็ไปเรียน พอปิดเทอมไปอยู่กับพี่ที่ต่างประเทศ ไปเที่ยวเล่น  ไปดีสนีย์ ไปเที่ยวทะเล  นะครับ  เดี๋ยวพี่พาเที่ยวนะ ไม่ร้องๆๆ ..........โอ๋ๆๆๆ ไม่เอาครับ พี่ขอโทษนะ”  พี่จักรตอนนี้ทั้งพูด ทั้งปลอบ  ทั้งกอดจนเพื่อนผมตัวเป็นก้อนกลมๆ อยู่ในอ้อมกอดนั้น   มือของพี่เขาทั้งลูบหน้าลูบหัวยุ่งไปหมด

   ...........พี่ชายที่แสนดี..........

   ...........ครั้งหนึ่ง ผมก็เคยมี.............  แต่หากตอนนี้ไม่มีแล้ว

   “ฮึก... ฮึก... พี่จักรไม่ตีเบสต์แน่นะ”   

   “อือๆๆ ไม่ตีครับ..เงียบๆ  อึ๊บ..!!! หยุดร้องครับ  ไปคุยกับหลวงพ่อ ไม่อายหลวงพ่อหรอ.... ขี้แยจังเรา” 

   “อืออ...พี่จักรอ่ะ!!!”  เบสต์สีหน้ามันดีขึ้น เมื่อรู้ว่าพี่เขาไม่ตีแล้ว  แต่กลับเอากำปั้นเล็กๆ ทุบไปที่ตัวพี่ชายของมันแทน ...เฮ้อ..!!! เห็นแล้วก็อิจฉาเหมือนกัน

   ข้างในโบสถ์ที่เราเดินเข้ามา  ตอนนี้หลวงพ่อท่าน นั่งหันหน้าไปหาองค์พระประธาน ผมก้มลงไปไหว้พระที่อยู่ในโบสถ์นั้นอีกครั้งหนึ่ง  สักพักใหญ่ หลวงพ่อท่านถึงจะหมุนกายกลับมา และหันมามองผมกับเบสต์ด้วยกันทั้งครู่

   พระรูปนี้เบสต์เคยเล่าให้ฟังว่านับถือมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว  ไม่เคยมีใครรู้เลยว่าท่านมาจากไหน  แต่จะจำพรรษาย้ายไปเรื่อยๆ  จนครั้งหลังสุด รูปท่านได้ไปจำวัดอยู่แถวๆ มีนบุรี และก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่หนองคายนี้เป็นการถาวร รูปหน้าเค้าโครงที่ดูอารีย์นั้นบวกกับความน่าเลื่อมใส ทำให้ใครต่อใครหลายๆ คนในละแวกนี้นับถือท่านเป็นจำนวนมาก และหากมีกิจอันใดที่ไม่ใช่ของสงฆ์ ท่านจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยเลย   

   “หลวงพ่อ...ลูกจะมาลา.. ลูกกับเพื่อนจะกลับไปอยู่บ้าน”  เสียงของเบสต์บอกขึ้นกับหลวงพ่อที่นั่งอยู่ด้านหน้า

   หลวงพ่อท่านไม่ได้ว่า หรือไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่หยิบขวดน้ำที่อยู่ข้างๆ นั้นมารินใส่แก้ว  ....เสียงน้ำไหลออกจากขวด กระทบลงไปในแก้ว  น้ำใสๆ นั้นไหลออกมาจากขวดอย่างช้าๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหมด จนเกือบจะเต็มแก้วแล้ว  หลวงพ่อท่านก็ยังคงรินอยู่

   น้ำนั้นเต็มแก้ว  และไหลออกมาจนล้น ไหลลงออกจากขอบแก้วช้าๆ  แต่หลวงพ่อท่านก็ยังคงรินต่อไป

   “โยมสองคนเห็นน้ำมันไหลออกมาไหม”    สองคนในที่นี้คงหมายถึงผมและเบสต์

   ผมสองคนไม่ตอบ  เพียงแต่พนมมือค้างเอาไว้อย่างนั้นและพยักหน้า

   “และเคยเห็นน้ำมันไหลย้อนกลับมาไหม” 

   “ไม่เคยครับ”  เสียงเบสต์ตอบ

   “น้ำมันก็ยังคงเป็นน้ำ... พอๆ กับจิตใจของคน  เหมือนกับเรื่องราวที่มันผ่านมา  มันก็เหมือนกับสายน้ำ .. ที่มันไหลออกไป และมันก็ไม่ได้ไหลย้อนกลับ เราจะแก้ไขสิ่งที่เราทำน้ำหกเมื่อซักครู่นี้ไม่ได้ เราจะกลับไปแก้ไขน้ำที่เราทำเลอะเปอะเปื้อนนั้นไม่ได้...........แต่”    หลวงพ่อท่านหยุดพูด พร้อมกับหยุดรินน้ำแก้วนั้นต่อ

   “แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ...หากโยมสองคนหยุดรินน้ำ  น้ำมันก็จะไม่ไหลออก และก็จะไม่เปื้อน ....ไม่หก น้ำที่ใสสะอาด มันก็จะอยู่กับตัวโยมไปตลอด” 

   “เรื่องที่เป็นอดีต โยมสองคนก็ลืมมันเสียไปหมดเถิด ...สำหรับอีกคนก็ขอให้ลืมไปเสียว่าเขาทำอะไรเราเอาไว้ จะได้ไม่ติดค้างไม่เป็นบ่วงตามกันจนไม่รู้จักจบจักสิ้น  ส่วนอีกคน  ห่วงที่โยมยึดเอาไว้ โยมก็ต้องปลดออกเสีย  ไม่อย่างนั้นห่วงที่โยมทำเอาไว้เองมันจะคอยเป็นบ่วงที่ทำให้โยมไม่หลุดพ้นไป

   ................โยมไม่เหนื่อยบ้างหรือที่เป็นทั้งพี่  ทั้งเพื่อน.............”   

คำพูดสุดท้ายของหลวงพ่อท่านไม่ได้มองมาที่ผม  หากแต่มองไปทางเบสต์  คำพูดที่เลี่ยงออกไป หลวงพ่อท่านจะเป็นคนที่ทราบมากที่สุด ว่าความทรงจำและเสี้ยวแห่งอดีตของผมทั้งสองคนนั้น ผมกับเบสต์พอจะรู้ และจำมันขึ้นมาได้ถึงแม้จะลางเลือนก็ตาม

   “ถอดสร้อยเส้นนั้นออกก่อน”  เสียงของหลวงพ่อพูดมาทางผม  ....  ผมก้มหน้าลง ถอดสร้อยเส้นนั้นออกมา  ....หากแต่หางตาผมเหลือบไปเห็นพี่จักร  ผงะ !!  ถอยออกนิดเดียว เมื่อตอนที่ผมหยิบเอาสร้อยเส้นนั้นออกมา... ก่อนจะยื่นกลับคืนไปให้หลวงพ่อ..........หลวงพ่อท่านไม่ได้รับ แต่เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

   “คืนเจ้าของเดิมเขาไปเถอะ” หลวงพ่อท่านพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ  ไม่ได้หมายถึงใคร  ไม่ได้เอ่ยบอกว่าเป็นของเบสต์ ของผมหรือของพี่จักร

   แต่เหมือนกับมีอะไรบางอย่าง  ผมหันหน้าไปมองพี่เขาที่อยู่ถัดเลยออกจากเบสต์ไป  พี่จักร หมอบพร้อมกับคลานเข่าเข้ามาหาหลวงพ่อรูปที่อยู่ด้านหน้า  พร้อมกับยื่นมืออกไป

   ..........สายตาของพี่จักรไม่ได้มองไปที่หลวงพ่อ หากแต่มองไปที่จี้สร้อยรูปวงกลมข้างหน้านั้น

   “ของของเขา เขาก็ต้องมาเอา.....  โยมห่างจากของชิ้นนี้มานาน เอาคืนไปเถอะ  ของสิ่งนี้ช่วยคนมาเยอะพอแล้ว ควรจะกลับไปหาเจ้าของได้เสียที” 

   หลวงพ่อท่านพูดกับพี่จักรเพียงแค่คนเดียว  ก่อนจะยืนขึ้น แล้วเดินไปทางหลังองค์พระประธาน  ไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป ....  หายเงียบเข้าไปทางด้านหลังพระนั้น แล้วไม่ออกมาอีกเลย 

   พี่จักร ผม และเบสต์ไมได้พูดอะไรกันทั้งสิ้น  สร้อยเส้นนั้นพี่จักรกลับไปสวมเหมือนเดิม  หันมายิ้มให้ผมเพียงนิดเดียวแค่มุมปาก ผมยิ้มให้พี่เขากลับ พร้อมกับพยักหน้าให้เพียงนิดเดียว  ..........เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่เคยรู้เคยเห็นว่าเหมือนกับผมเคยสวมสร้อยเส้นนี้นั้นเป็นจริง  .....ผมเคยสวมสร้อยเส้นนี้ เมื่อนานมาแล้ว  หากแต่ผมสวมใส่อยู่ตลอดเวลา  แต่ความรู้สึกนั้นกลับคิดว่าของชิ้นนี้ไม่เคยใช่ของผมเลย.....แค่เคยสวมก็แค่นั้น

   ซึ่งกลับกันกับตอนนี้ สร้อยเส้นนั้น  สายสร้อยถึงจะดูเก่าคร่ำคร่าแค่ไหน  แต่จี้วงกลมรูปพระอาทิตย์ ทางด้านข้างหลัง  ส่วนด้านหน้าเป็นรูปหน้าคนคล้ายสวมชุดกษัตริย์ ...... ผมว่าพี่จักรสวมใส่สร้อยเส้นนี้ได้เหมาะที่สุดแล้ว

   ..............เหมือน............. ตราสุริยกษัตริย์

   ตลอดระยะเวลาในการนั่งรถกลับ  พี่จักรไม่เคยถามเลยว่าเหตุอะไรผมกับเบสต์ถึงจะหนีกันมาที่นี่ ความเงียบปกคลุมตลอดเวลาเส้นทางในการเดินทางกลับ หนทางจากหนองคายมาที่กรุงเทพฯไม่ใช่ใกล้ๆ  ตอนแรกผมสามคน  พี่จักรอยากให้นั่งเครื่องฯ กลับมา แต่ว่าเที่ยวบินมีอีกทีก็เป็นตอนเช้าของวันพรุ่งนี้  พี่เขาทนรอไม่ไหว จึงให้การ์ดขับรถกลับมาจะสะดวกสบายกว่า

   เส้นทางที่กลับมานั้นผ่านหมู่บ้าน ที่ทุกเช้า ผมกับเบสต์จะต้องเป็นคนเดินตามหลวงพ่อมาบิณบาตร   เส้นทางทั้งถนน  ลัดกับทุ่งนา  ข้างหลังเป็นภูเขาสูง ผมมองกลับไปอย่างมีความสุข  และถ้าเป็นไปได้

   ...........ถ้าผมยังมีชีวิตพอจะได้เดินต่อไป......

   ผมอาจจะกลับมาอยู่ที่นี่

   เราแวะทานข้าวกลางวันกันแถวๆ ขอนแก่น แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น และก็นั่งรถต่อกันมาอีกตามเส้นถนนมิตรภาพ ก่อนที่จะเข้าถึงกรุงเทพฯ ก็เกือบสองทุ่ม.. คนข้างๆ ผมตอนนี้หลับสนิท  และไม่มีทางรู้ได้เลยว่า...เสียงวิทยุที่พี่จักรเปิดขึ้นเบาๆ  นั้น  เบสต์ไม่มีทางรู้โดยเด็ดขาด  ..........แต่มือผมเย็นเฉียบไปหมด  เมื่อสิ่งที่ได้ยินในวิทยุนั้น

   .....   โรงพยาบาลเซ็นฯ ต้องการเลือดผู้ป่วยกรุ๊ป AB- rh  เน็กกาทีฟ  เป็นการด่วน  เนื่องจากผู้ป่วยรายหนึ่งที่เกิดจากอุบัติเหตุ ยังไม่ฟื้นขึ้นมาจากห้อง ICU

   .........เป็นบุญของผมใช่ไหม  ที่ผมได้ยินข่าวนี้พอดี.... เป็นบุญที่จะได้ชดใช้หนี้ที่ติดค้างอยู่ให้กันได้

   “พี่จักรครับ”  เสียงผมพูดขึ้นเบาๆ เพราะว่ากลัวคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ จะตื่น

   “ครับ..น้องต้อง”   เสียงพี่จักรตอบกลับมาเบาๆ เช่นกัน

   “ต้องขอลงตรงก่อนที่พี่จะขึ้นทางด่วนได้เปล่าครับ.... ต้องอยากไปหาพี่ชายต้องก่อน”   ผมไม่ได้โกหกพี่เขา  ....ถ้าจะลองคิดดูแล้วพี่ธิวก็ยังเป็นพี่ชายของผมเสมอ... แค่..... พี่ชาย

   “จะดีหรอ...ไปบ้านพี่ก่อนดีกว่าเปล่าครับ ...เดี๋ยวเบสต์ไม่เห็นต้อง...เดี๋ยวก็โวยอีก”   พี่จักรพูดในสิ่งที่ไม่เกินจริงไปนัก  ..ถ้าผมหายไป เบสต์โวยแน่

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ.. พี่จักรช่วยบอกให้ต้องหน่อยแล้วกัน”

   “ไปหาพี่แน่หรือเปล่า”  เสียงพี่จักรพูดขึ้นมาเหมือนไม่ไว้ใจ

   “ครับ แน่นอนครับ...พี่ชายต้องไม่ค่อยสบาย” 

   “อืมม  หรอ  อยู่ที่ไหนล่ะ  เดี๋ยวพี่ไปส่ง” 

   “ไม่เป็นไรๆ  ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวต้องลงตรงก่อนที่จะขึ้นทางด่วนก็ได้ พี่จักรให้ต้องลงหน้าโรงกษาปด์ก็ได้ครับ” 

   “ไม่ใช่หนีไปอีกนะต้อง...ถ้าหนี. แล้วพี่ตามเจออีก พี่ตีให้หนักกว่าเบสต์อีกนะ”   

   “ครับ..ไม่หนี”  พี่จักรเคยตีผมตอนเด็กๆ ที่ผมกับเบสต์แอบไปหนีแม่ไปเล่นน้ำในคลอง ตอนนั้นยังจำรสไม้เรียวของพี่จักรได้อยู่เลย  .... ผมไม่หนีไปไหนหรอก ตอนนี้คงไม่หนีไปไหน

   พี่จักรจอดส่งผมลงตรงหน้าโรงกษาปด์ และก็โชคดีที่เบสต์ไม่ได้ตื่นขึ้นมา ถ้าตื่น คงไม่ให้ผมลงออกมาแน่ๆ  ยังดีที่เงินในตัวยังพอมีเหลือ  ผมเรียกรถแทกซี่ และตรงไปที่โรงพยาบาลทันที

   เพียงไม่ถึงชั่วโมง ผมมาถึงโรงพยาบาลที่พี่ธิวอยู่ .....ก่อนจะเดินไปที่ประชาสัมพันธ์ ยื่นบัตรประชาชน  ที่มีการบอกกลุ่มกรุ๊ปเลือดโดยเฉพาะ 

   เสียงจากวิทยุ  ข้อความโพสต์ต่อทางอินเตอร์เนต  และอีกหลายต่อหลายวิธีที่ลุงธินใช้ ในการขอซื้อเลือดกลุ่มนี้ ไม่มีใครเลยซักคนที่สามารถให้เลือดนี้ได้   เลือดกลุ่มพิเศษ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมีเลือดกรุปนี้พอดี

   “คุณหมอเรียกเข้าไปพบค่ะ”   พี่พยาบาล พูดกับผมพร้อมกับเดินนำไปห้องแพทย์ ..........  ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ธิวอยู่ตรงไหน  แต่ในอีกไม่ช้านี้ก็คงจะได้เห็นแล้ว   พยาบาลคนนั้นเดินนำมาพร้อมกับเปิดประตูห้องเข้าไป  ประตูห้องที่เขียนชื่อนายแพทย์เอาไว้ชัดเจน  ผมยกมือสวัสดีให้กับคุณหมอที่นั่งอยู่...ก่อนที่จะเริ่มเข้าเรื่อง

   ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าตอนนี้  คือผมอายุน้อยเกินไป  ยังไม่ควรที่จะให้เลือดได้มากนัก  ถึงให้ได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายได้....พี่ธิวเกิดอุบัติเหตุ และตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว ร่างกายเริ่มที่จะขาดเลือด ทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่พยุงไม่ให้อาการแย่ไปกว่านี้ก็เท่านั้น

   ผมคุยกับหมอทุกเรื่อง  และกล้าพูดในเรื่องบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว... อย่างที่หลวงพ่อท่านพูดเอาไว้...  ต่อจากนี้ไป ผมจะไม่ทำน้ำสะอาดนั้นหกลงไปอีก.... สิ่งไหนที่เคยทำพลาดเอาไว้  ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก   

   พี่พยาบาลคนเดิม  พาเดินมาที่ห้องคนไข้  ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้ว  โชคดีอย่างที่สุด ที่ผมไม่เห็นลุงธินแล้วก็แม่ตอนนี้  เพราะถ้าแม่กับลุงธินอยู่  ผมคงหมดอากาสนี้ไปทันที   

   การถ่ายเลือดจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า   ผมถูกสั่งให้ไปนอนห้องข้างๆ ที่พี่ธิวนอนอยู่  พี่ธิวซึ่งตอนนี้หน้าตาโทรมลงไปมาก จนผมเองก็ตกใจ  ถึงคุณจะสั่งให้ผมนอนเพื่อเตรียมการให้เลือด  แต่ตอนนี้ ขอมองหน้าพี่เขาชัดๆ สักนิดก็คงได้นะ

ผู้ชายที่นอนสงบอยู่บนเตียงนั้นไม่ไหวติง.... ลักษณะรูปหน้าของพี่ธิวยังคงเป็นแบบเดิม ปากปิดเรียบสนิท พร้อมกับเปลือกตาที่ไม่ลืมขึ้นมา .....  บริเวณส่วนนั้นถูกครอบไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ  มือทั้งสองข้างแนบกับลำตัว...  ถ้าไม่มีสัญญาณชีพจรขึ้นลงอยู่กับเครื่องช่วยหายใจนั้น  พี่เขาก็เปรียบเสมือนคนตายไปแล้ว 

   ยังดีที่ผมมาทัน และคงจะช่วยเหลือเขาได้  ..คนอื่นอาจจะคิดว่าผมช่วย แต่เปล่าเลย...ผมมาใช้หนี้ให้เขาต่างหาก  .......หนี้ชีวิต

   ข้อตกลงลับๆ กับหมอคนหนึ่งที่รักษาพี่ธิว ผมเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ของเงินประกันพ่อยื่นให้หมอทั้งหมด หมอที่ดีก็มีเยอะ  เพียงแต่หมอที่ขาดจรรยาบรรณนั้นก็มีเหมือนกัน  ...  บางครั้งการให้เลือดหรือการบริจาคเลือด ถ้าให้มากเกิน....  คนที่ถูกให้เลือดอาจจะรอด แต่คนที่ให้เลือดอาจจะตายก็ได้

   ผมมองพี่เขาอยู่เป็นนาน แต่สีหน้าก็เรียบเฉย  ปราศจากความรู้สึกใด  ไม่น่าเชื่อเลยว่าแต่ก่อนเคยรักและคิดถึงผู้ชายคนตรงหน้านี้มากขนาดไหน ผมนั่งลงข้างพี่เขา พร้อมกับจับมือนั้นขึ้นมา แล้วพูดกับคนตรงหน้านั้นอยู่คนเดียว  โดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้รับรู้

   “พี่ธิว..... นัญมาแล้วนะ  นัญมาช่วยพี่ ....หมอบอกว่าพี่ธิวจะต้องหาย  ถ้าพี่ธิวได้เลือดเพิ่ม  เดี๋ยวอีกซักพักเลือดของนัญจะต้องไปอยู่กับพี่ธิว ....... พี่ธิวรู้ไหมเกือบสิบปีนัญรอพี่ธิวมาตลอด ทั้งรอแล้วก็รัก  แล้วพี่รู้อะไรอีกไหม  นัญเกลียดคนชื่อพี่วัจน์  เกลียดจนไม่อยากเห็นแม้กระทั่งหน้า  ไม่อยากเอ่ยแม้กระทั่งชื่อ  แต่นัญเสียใจ ที่รู้ว่าพี่กับพี่วัจน์คือคนเดียวกัน  มันเลยทำให้ความรักนั้นน้อยลงไปทุกๆ ที  และทุกครั้งที่พี่ทำกับนัญ .....นัญเจ็บ แต่มันก็คงจะสาสมกับที่นัญทำกับพี่เอาไว้  ชาติที่แล้วมันมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้  เพียงแต่ว่านัญรู้สึกได้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ  ความฝันนั้นมันมาทำร้ายนัญตลอด  และหากว่าเลือดของนัญมันจะทำให้พี่ฟื้นขึ้นมาได้ นัญก็จะให้พี่หมดทุกหยดที่มีอยู่  .............

   ........  ฮึก  ฮึก......  พี่ธิวจ๋า  ถ้าฟื้นขึ้นมา  ก็ยกโทษให้นัญเถอะนะ....

   ..........แต่ถ้านัญไม่ฟื้น... กรรมที่ติดค้างกันอยู่ ก็ขอให้หมดเพียงแค่ชาตินี้

   .........หากชาติหน้ามีจริง.........  ขอให้เราอย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลยนะ ......”

   จบกันเพียงแค่นี้เถอะ อย่าได้เจอได้เจอกันอีกเลย  ผมก้มหน้าร้องไห้สะอื้นอย่างดัง เพราะว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้รับรู้ด้วย   น้ำตาของผมมันไหลออกมาจนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหมด  ฝ่ามือของพี่ธิวผมยังกอบกุมเอาไว้อยู่และเอามันมาแนบแก้มนั้นเบาๆ   มือของพี่ธิวนี้ที่แต่ก่อนเคยเช็ดให้ผมทุกครั้ง เวลาที่ผมถูกคนอื่นแกล้ง   มือข้างนี้เคยเช็ดให้ผมทุกครั้งที่ผมฝันร้าย   

   ผมจะทำให้เจ้าของมืออบอุ่นคู่นี้ฟื้นมาอีกครั้ง 

   “ฮึก....ฮึก..ฮือๆ”  เสียงห้องทั้งห้องเงียบ   จะมีเพียงแค่เสียงจากอากาศออกซิเจนเท่านั้นที่ยังดังอยู่  เส้นที่ผ่านหน้าจอคอมเล็กๆ นั้นขอให้มันยังคงแสดงขึ้นลงๆ  อย่างนั้นตลอดไปเถอะ  ผมปล่อยมือพี่เขาก่อนจะเอามือไปลูบหน้าจอคอมนั้น   สัญลักษณ์ของการมีชีวิต ...สัญลักษณ์ของชีพจร....

   ......สัญลักษณ์ของหัวใจ......

   หัวใจที่ครั้งหนึ่งเคยรักนักหนา.....  หากแต่ความเลวร้ายที่ต่างคนต่างได้รับ  มันโหดร้ายเกินไป  พี่ธิวไม่ผิดหรอก  แต่ตลอดที่ผ่านมา  ผมเองที่เป็นคนผิด

   “น้องคะ”   พี่พยาบาลคนเดิมเดินเข้ามาเรียกผมอีกครั้ง    ยังดีที่ผมเช็ดน้ำตาออกได้ทัน  แต่ถึงอย่างนั้น ก็คงไม่รอดสายตาของพี่เขาไปได้

   “กลัวหรอคะ... ไปบอกกับคุณหมอก่อนไหม ..คนไข้ยังสามารถรอได้ถึงวันพรุ่งนี้...”  พี่พยาบาลเขาหยุดพูดเพียงแค่นั้น  ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก  พี่ธิวอาจจะรอได้ถึงวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าเลยวันพรุ่งนี้ไปแล้ว  และพี่เขายังไม่ได้เลือดล่ะ

   “ไม่เป็นไรครับ...ไม่กลัว เดี๋ยวพี่พาผมเข้าไปในห้องตรวจเลือดเลยก็ได้”   ขั้นตอนแรก ตรวจเลือดและต้องใช้เวลาในการรอถึงสองชั่วโมง กว่าผลเลือดจะออกมา ไม่ว่าจะเป็นกรุ๊ปเลือด  ระดับน้ำตาลในเลือด รวมไปถึงกลุ่มเชื้อโรคต่างๆ 

   พี่พยาบาลอีกคนที่รออยู่ในห้องนั้น  ให้ผมขึ้นไปนั่งที่เตียง  ก่อนที่จะใช้สลิ๊งค์ดูดเลือดออกไปตรวจ   ผมไม่ได้เจ็บ...  เพียงแต่เห็นเลือดแล้วรู้สึกกลัวๆ เหมือนกัน...  เลือดมันออกมาเยอะ  และผมไม่ชอบกับการเห็นเลือดตัวเองออกมาแบบนี้เลย  ..

   คุณหมอให้นอนพัก หรือจะออกไปนั่งพักข้างนอกซักครู่ก็ได้ แต่ขอให้อยู่ในแถบบริเวณนี้

   ระหว่างทางเดินที่ผมเดินออกมา  เสียงโหวกเหวกที่เกิดขึ้นช่วงระหว่างทางเดิน ทำให้ผมต้องเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพียงแค่เดินไปตรงมุมทางเดินนั้น 

   “โอ๊ย !!!”    ผมเดินชนคนเข้าให้อย่างจัง

   “โอ๊ย  ...ขอโทษครับๆ  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”   ดีที่พี่เขาขอโทษก่อน  แล้วก็ช่วยพยุงผมขึ้นมา  มือข้างหนึ่งยังเจ็บอยู่เลย แถมมาถูกชนแบบนี้อีก... เดินไม่ดูทางเลยหรือไงนะ

   ..........แต่ทำไมเสียงคุ้นเหลือเกิน.............

   “ไม่เป็นไรครับ...ไม่เป็นไร” 

   “เลือดออกตรงแขนครับ..เดี๋ยวพี่ช่วยนะ”  พี่เขาพูดขึ้นมา จริงๆ ด้วย เลือดผมออกตรงแขนนิดหน่อย ถึงจะไม่เยอะ แต่คงจะทำให้แผลเปิดออกมานิด 

“ไม่เป็นไรครับ   เดี๋ยวผมไปหาพยาบาลก็ได้”  ผมบอกพี่เขาไปก่อนจะเงยหน้าขึ้น ว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้วจริงๆ  เดินชนแค่นี้ถึงจะเจ็บแต่ก็ไม่มากซักเท่าไหร่หรอก

   ...........แต่สิ่งที่ผมตะลึง....ไม่ใช่เลือดที่เกิดจากแผลหรอก... เป็นผู้ชายตรงหน้านี้มากกว่า ........... 

   หน้าผมซีด ................ แต่ผู้ชายตรงหน้ากลับนิ่งเฉย เหมือนงงนิดๆ

   .....  “พี่.....พี่...............” 


   
   
   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:31:37
ตอนที่ 22

   ความรู้สึกแรกที่ผมตื่นขึ้นมา  มันเหมือนกับว่าตอนนี้ห้องที่ผมนอนอยู่มันหมุนทั่วไปหมด

   ..... ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน  ?  .......

   ถ้าความรู้สึกล่าสุดเท่าที่สมองยังพอมีให้จำได้  ก็คือผมกับไอ้วัจน์ และไอ้นันต์เพิ่งจะแยกออกมาจากโรงเรียนด้วยกัน  ผมขับรถอยู่เพื่อที่จะไปส่งซิวกลับบ้าน  แต่ทำไมตอนนี้ผมมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะ 

   ........มือข้างซ้ายผมทำไมมีสายน้ำเกลือ

   ปวดหัว.......... ปวดหัวเหลือเกิน

   “น้ำ  ขอน้ำ”   คำพูดแรกที่ผมพูดออกไป เป็นไปโดยสัญชาติญาณ  ดวงตาที่พยายามปรับให้เข้ากับแสง เผยอเปิดขึ้นมาเรื่อยๆ  จนผมรู้ว่าใครบ้างที่อยู่ในห้อง

   “แม่... พ่อ”   

   “ใจเย็นๆ  ลูก  ดื่มน้ำช้าๆ อย่าเยอะนะ  จิบนิดๆ พอ”   เสียงของแม่ผมพูดขึ้นมา พร้อมกับประครองที่หัวให้สามารถรับน้ำที่อยู่ในแก้วเข้าไปได้   ..........ผมงงไปหมดแล้ว  มันเกิดอะไรขึ้น ?

   น้ำอึกแรกที่ผ่านเข้าไปในลำคอ มันเหมือนกับหยาดน้ำที่โถมเข้ามาทั้งตัว เรียกความสดชื่นให้กับร่างกายเป็นอย่างมาก จนผมต้องร้องขอซ้ำ  เพียงแต่ถูกห้ามเอาไว้ไม่ให้ดื่มมากไปกว่านี้     

   “ผมเป็นอะไร... มาอยู่ที่นี่ได้ไง” 

   “ไม่มีอะไรจ๊ะ  ลูกไม่สบายเฉยๆ นะ  ปวดหัวไหม ?”   

   “ครับ....ปวดหัว”   ไม่เพียงแต่พูดเปล่าๆ  มือผมยังกุมขมับจนแน่นไปหมด

    โอยยยยย.... ทำไมมันปวดแบบนี้

   “เอกๆ เป็นอะไรลูก แม่ตามหมอให้นะ” 

   “ผม ปวดหัว  !!!”   มันเหมือนกับว่าสมองผมมันแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ  ตอนนี้ในห้องมันวุ่นวายโกลาหลไปหมด ทั้งพ่อและแม่ผมอยู่กันพร้อมหน้า   แถมตอนนี้ ทั้งซิวกับไอ้นันต์ก็อยู่กับผมตรงนี้ด้วย   เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่เห็นไอ้วัจน์ก็แค่นั้นเอง  ...มันอาจจะติดงานที่ไหนก็ได้มั้ง 

   “เอก... เดี๋ยวหมอมาดูอาการแล้วนะ เอกไม่เป็นไรหรอก คุณพ่อก็อยู่ คุณแม่ก็อยู่ นันต์แล้วก็ซิวด้วย  อยู่ตรงนี้หมดนะ”   ใช่ซิ... ตอนนี้ซิวอยู่ตรงนี้  ผมต้องไม่อ่อนแอต่อหน้าซิวซิ่ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีคนที่ผมรักอยู่กันพร้อมหน้านี่นา  ขาดก็แต่ไอ้วัจน์คนเดียวเท่านั้น  สมองผมมันปั่นป่วนไปหมดแล้ว   

   “คนไข้ครับ  คนไข้”  เสียงของหมอเรียกผมหรอ ทำไมตอนนี้ผมกลายเป็นคนไข้ไปได้ล่ะ ..มันเกิดอะไรขึ้น !!!

   “ปวดหัวววววว !!!”   โอยย ไม่ไหว  หัวจะระเบิดอยู่แล้ว

   “รบกวนญาติออกไปรอข้างนอกก่อนนะครับ  หมอขอเช็คคนไข้ก่อน  เพิ่งฟื้นขึ้นมา  อาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงมาก”   คุณหมอพูดอะไร  ผมเพิ่งฟื้นหรอ ...มันเกิดอะไรขึ้น
   .
   .
   .
   .
   .
   ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับฟังจากปากของหมอ และทุกคนที่ผมรู้จักในที่นี้  ผมคือนายเอกสิทธิ์  ลูกชายคนเดียวในกลุ่มของธุรกิจโรงแรมห้าดาวที่อยู่ในประเทศ และทั้งต่างจังหวัด ถ้าจำไม่ผิด ตอนนี้ผมอยู่ในโรงพยาบาลที่เป็นของพ่อไอ้นันต์อยู่ 

   ความทรงจำผมหายไปสองปี  ผมจำเรื่องราวที่ย้อนกลับไปเมื่อสองปีทีผ่านมานี่ไม่ได้  ความรู้สึกสุดท้ายคือผมขับรถไปส่งซิวที่บ้าน  .............ความรู้สึกนั้นมันตอนผมอยู่ ม. 4  มันเหมือนกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง 

   คนที่อยู่รอบข้างนี้ทั้งหมดพยายามพูดกับผมเพื่อให้คำพูดนั้นออกมาดูดีที่สุด  ผมมันแค่เด็ก ม. 4 เองนะ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่  ตอนนี้ผมอยู่ ม. 6 แล้ว  ปีหน้าก็คงจะต้องเข้าไปเรียนต่อในมหา’ลัย ความรู้สึกที่หายไปสองปีที่ผ่านมา  มันแทบจะไม่น่าเชื่อเลย  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นจริง  สัญลักษณ์ของนักเรียนชั้น ม.6  ถูกปักอยู่บนอกทั้งของไอ้นันต์เอง  และของซิวด้วย  บัตรประชาชนของผมยังคงอยู่  และข้อมูลภายในบัตรนั้น ลงเอาไว้ว่า ผมทำเอาไว้ในตอนเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 

   มันไม่ใช่ปี พ.ศ. 2553  อย่างที่ผมคาดเอาไว้ครั้งแรก

   และปีนี้มันก็เป็นปี  2555 แล้ว บัตรที่ผมทำเอาไว้นั้น ทำเมื่อปีที่แล้ว  .......แต่ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย
   “ผมโดนอะไร...ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้”   เสียงแหบเครือพูดออกไป ผมไม่ได้ถามใครอย่างเป็นกิจจะลักษณะ  คำถามนั้นเกิดขึ้นลอยๆ  แต่มันก็ต้องการคำตอบ

   “ลูกเกิดอุบัติเหตุ รถคว่ำ ......ไปพร้อมๆ กับ.........”

   เสียงของแม่ผมหยุดลงเพียงแค่นั้น ไม่ได้พูดอะไรต่อ  พร้อมกับใคร ? อะไร?   หรือว่า...............

   ตอนนี้ ไอ้วัจน์หายไปไหน ?

   “ไอ้วัจน์ล่ะ !!!” 

   คำถามที่ผมถามออกไป ได้รับคำตอบอีกครั้งจากซิว  ทุกคนไม่กล้าพูดอะไร  แต่จะมีก็เพียงแค่ซิวเท่านั้นที่กล้าพูดเรื่องนี้  เพราะนอกจากทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่า  สำหรับซิวนั้น ไม่ว่าจะพูดอะไร ผมพร้อมที่จะฟังเสมอ  อีกทั้งซิวเองก็ยังเป็นญาติกับไอ้วัจน์ด้วย

   “แล้วไอ้วัจน์อยู่ห้องไหนหรอซิว.... ซิวพาเอกไปหน่อยได้ไหม  เอกอยากเห็นมัน”

   “วัจน์ยังอยู่ใน ICU  เอกอย่าเพิ่งไปเลยนะ รอให้หายดีกว่านี้หน่อยนะ เดี๋ยวซิวพาไป”  น้ำเสียงของซิวไม่มั่นคงเลย  แล้วทำไมไอ้วัจน์ยังไม่ออกมาจากห้อง ICU อีก

   “เอกไม่เป็นไร ปวดหัวนิดเดียวแค่นั้นเอง ...ซิวพาเอกไปหน่อย  ....มึงก็ได้ไอ้นันต์ พากูไปดูไอ้วัจน์หน่อย”   ผมไม่รู้ว่ามันเป็นไงบ้าง แต่เท่าที่ฟังจากปากของซิวเอง  ตอนนี้ไอ้วัจน์ยังไม่ฟื้น   ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ  ไอ้วัจน์มันเป็นคนขับ ส่วนผมนั่งคู่ไปกับมัน แต่เหมือนทุกคนอ้ำอึ้ง ที่จะปิดบังผมกับบางสิ่งบางอย่าง ว่าผมขับรถไปไหนกับไอ้วัจน์ถึงได้ไปรถคว่ำแบบนั้น  ปกติแล้วทั้งไอ้วัจน์แล้วก็ผม  ถือได้ว่าขับรถกันฝีมือใช้ได้เลยทีเดียว ถึงจะเพิ่ง ม. 4.   ...........อ่อ  !!  ไม่ซิ่  !!!!  ม. 6  แต่ผมก็คิดอยู่  ไอ้วัจน์ไม่น่าจะประมาทขนาดนั้น

   ผมกับมันขับรถกันไปไหน  ทำไมไม่มีใครยอมบอก   ซิวเพียงแค่บอกว่าผมกับไอ้วัจน์ ขับรถไปกินข้าวกันแค่นั้น   แต่ผมไม่เชื่อ

   ทุกคนฟังเสียบรบเร้าจากผมไม่ไหว   สุดท้าย ผมก็นั่งอยู่บนรถเข็น ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น  ผมเพียงแค่ปวดหัวเท่านั้น ส่วนมือเท้า และร่างกาย มันหายเกือบเป็นปกติแล้ว จะมีก็เพียงแค่รอยฟกช้ำเท่านั้นเอง   ...ตอนนี้ห้องทั้งห้อง  มีทั้งครอบครัวของผม และครอบครัวของไอ้วัจน์ ผมยกมือไหว้ลุงธิน กับป้าตา พ่อและแม่เลี้ยงของไอ้วัจน์ ที่พอจะคุ้นๆ หน้าบ้างตอนที่ท่านทั้งสองคนเข้ามาในกรุงเทพฯ 

   ร่างกายของมันไม่ไหวติง   ใบหน้ายังถูกครอบเอาไว้อยู่กับเครื่องช่วยหายใจ  ข้อมือข้างหนึ่งมีสายน้ำเกลืออยู่  ส่วนอีกข้างเป็นถุงสำหรับให้เลือด

   พ่อของมันยังคงพูดอยู่กับพ่อของผม  ตอนนี้ไอ้วัจน์ไม่รู้สึกตัวอะไรทั้งสิ้น  มีเพียงแค่สัญญาณแห่งการมีลมหายใจอยู่เท่านั้น  คุณหมอต้องรอดูอาการไปเรื่อยๆ  แต่เท่าที่รู้ ตอนนี้สิ่งที่น่าห่วงที่สุดสำหรับอาการของไอ้วัจน์คือมีเลือดไหลไม่หยุดในช่องท้อง  บาดแผลที่ลึกมาก และหมอไม่สามารถที่จะผ่าตัดได้ จะทำได้อย่างเดียวก็คือ รอให้แผลนั้นถูกปิดไปเอง 

   แต่ที่สำคัญ ช่วงระหว่างที่แผลยังเปิดอยู่นั้น  ไอ้วัจน์จะต้องถูกให้เลือดอยู่ตลอดเวลา  เลือดของมัน..........เลือดกรุ๊ปพิเศษเท่านั้น ที่สามารถจะให้เลือดมันได้

   ปัญหามันอยู่ตรงนี้ 

   พ่อของไอ้วัจน์ไม่สามารถให้เลือดได้ เพรากรุ๊ปเลือดนี้ได้มาจากทางแม่  ส่วนซิวนั้นก็ไม่ใช่ ถึงจะเป็นญาติ แต่ก็เป็นญาติจากทางพ่อ  .......สายเลือดทางพ่อ จึงหมดสิทธิ์ที่จะให้เลือดไอ้วัจน์แต่อย่างใด

   ไอ้นันต์กรุ๊ปโอ  ซิวกรุ๊ปโอ  ส่วนผมใกล้มาหน่อยก็เพียงแค่ เอบี

   แต่ไอ้วัจน์มัน  AB-Rh เนกกาทีฟ

   “มึงต้องหาย ไอ้วัจน์  ...มึงเป็นเพื่อนกู มึงต้องหาย”   ผมจับมือของมันแน่น  ส่งผ่านความรู้สึกไปยังเพื่อนรักของผมที่ยังนอนสงบนิ่ง 

   “ฮึก....ฮึก มึงต้องหาย.... มึงฟื้นขึ้นมาไอ้วัจน์.. ฮือๆๆๆๆ”   น้ำตาของผู้ชายคนหนึ่งไหลออกมาอย่างง่ายดาย  ถ้าจะนับกันแล้ว  พวกเราสี่คนสนิทกันมาก  นับกันตั้งแต่เด็กๆ  ผม  ไอ้วัจน์  ไอ้นันต์ แล้วก็ซิว พวกเราเป็นเพื่อนรักกันมาตลอด ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ แบบนี้ 

   ผมกับมันเป็นอะไร  ไปเจอกับอะไรมา   ผมไม่เชื่อคำพูดของซิวเด็ดขาดที่บอกว่าไปกินข้าวกันเพียงแค่นั้น  ซิวปิดบัง เพื่อไม่ให้ผมรู้สึกแย่กับเหตุการณ์บางอย่างมากกว่า

   “เอก...  วัจน์ไม่เป็นอะไรหรอก เอกเป็นห่วงตัวเองก่อนนะ  เดี๋ยวปวดหัวกว่าเดิม”  ฝ่ามือเล็กๆ ลูบไปที่แผ่นหลังของผมเหมือนกับให้คำปลอบโยน  ซิวเป็นคนที่อ่อนโยนเสมอสำหรับเพื่อนๆ  ไม่แปลกหรอกที่ผมแอบรักเพื่อนคนนี้มาตั้งนานแล้ว

   ทุกครั้งที่พวกผมสามคนไปก่อเรื่องบ้าๆ กันขึ้นมา ซิวจะเป็นคนห้ามตลอด  และทุกครั้งที่ซิวโดนคนอื่นแกล้ง  และไม่มีทางช่วยตัวเองได้  พวกผมสามคนก็จะคอยกันซิวไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่งกับซิวเด็ดขาด

   พวกผมสามคน ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอีกคนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง

   “เอกกลัว...  ซิว.....เอกกลัวไอ้วัจน์มัน มันจะ...........”  น้ำเสียงผมขาดหายไปแค่นั้น   ตอนนี้ทั้งลุงธิน และซิว  มาช่วยกันปลอบ  แต่มันไม่ได้รู้สึกดีซักนิดเดียว

   “เอกลูก.....  เราออกกันไปก่อนดีกว่านะ ธิวไม่เป็นอะไรหรอก  ตอนนี้เอกก็แย่ เดี๋ยวถ้าเป็นอะไรอีกคน จะยุ่งไปกันใหญ่”   เสียงของลุงธินพูดขึ้น  ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยไปก่อน   เสี้ยวหน้าของไอ้วัจน์ยังคงเรียบเฉย ไร้รอยแผลใดๆ  แต่ตรงช่วงท้องนั้น ถูกพันผ้าก๊อตผืนใหญ่เอาไว้  รอยสีเลือดจางๆ ยังคงมีให้เห็น

   ตอนนี้ทั้งพ่อแม่ผม และก็พ่อแม่ของไอ้วัจน์คุยกันอยู่ที่ห้องกลางของโรงแรม  พ่อของไอ้นันต์จัดให้ผมอยู่ในห้องนี้โดยเฉพาะ  ซึ่งมันก็กว้างใหญ่พอๆ  กับอยู่ในห้องของโรงแรมเลยทีเดียว  เสียงที่ผมได้ยินเพียงเล็กน้อย ทำให้พอทราบได้ว่า ตอนนี้ทางครอบครัวของไอ้วัจน์ประกาศทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์  วิทยุ อินเตอร์เน็ต สื่อทุกสื่อ ที่ประกาศออกไปคือขอรับบริจาคเลือดคนที่มีกรุ๊ปเดียวกับไอ้วัจน์   

   พ่อแม่ผมก็พูดถึงเรื่องที่ผมเสียความทรงจำไปด้วยเหมือนกัน แต่อาการผมทางร่างกายมันหายดีเกือบเป็นปกติแล้ว  มันแทบจะไม่เป็นอะไรเลย หรือรู้สึกว่าเคยรถคว่ำมาก่อน 
   .
   .
.
.
.
.
เวลามันผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ไอ้วัจน์ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น  ข่าวร้ายไปกว่านั้น คือเลือดที่สำรองเอาไว้ในธนาคารเลือดของทุกที่ กรุ๊ปเลือดของมันใกล้หมดเต็มที   ถึงแม้ตอนนี้มันจะดึกขนาดไหน  ผมก็นอนไม่หลับ

   ........มันต้องไม่เป็นอะไร

   ไอ้วัจน์มันต้องหาย

   เพื่อนผมต้องรอด   

   และมันก็ต้องไม่ตายด้วย
   
   ข่าวดีล่าสุดที่ผมเพิ่งได้รับจากทางพี่พยาบาล  คือมีเด็กคนหนึ่งกำลังจะมาบริจาคเลือดที่นี่  ผมรีบโทรไปบอกซิวกับไอ้นันต์ทันที  รวมทั้งพ่อของไอ้วัจน์ด้วย  ซิวกับไอ้นันต์นั้นอีกซักพักใหญ่ก็คงจะมาถึง  ส่วนลุงธินนั้นกว่าจะมาถึงก็คงพรุ่งนี้เช้า  โชคมันบังเอิญอะไรขนาดนี้  ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ลุงธินกำลังจะต้องกลับไปเคลียร์งานที่ต่างจังหวัดด้วย 

   ช่วงระหว่างที่ผมกำลังคิดหนักอยู่กับเรื่องของไอ้วัจน์  อยู่ดีๆ เสียงดังมันก็เกิดขึ้นตรงมุมบริเวณด้านหน้าของโรงพยาบาล เสียงร้องโหวกเหวกตะโกนให้คนช่วย   ...จนมันอดไม่ได้ที่จะต้องเดินไปดู

   “โอ๊ย !!!”    ผมเดินชนคนเข้าให้อย่างจัง

   “โอ๊ย  ...ขอโทษครับๆ  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”   อยู่ดีๆ ไอ้ความไวของผมเอง มันเลยทำให้ไปชนกับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้  ที่เดินมาตรงมุมนั้นพอดีเข้าให้  ที่ผมคิดว่าเป็นเด็ก  ก็คงจะเด็กจริงๆ นั้นแหละ  ไม่ม. 2 ก็ ม. 3 เป็นอย่างมาก   แต่ผู้ชายหรือผู้หญิงนี่ซิ่  มองแทบไม่ออก ตัวเล็กๆ ผิวขาว  น่ารักจนกว่าคิดว่าจะเป็นผู้ชายไปได้  แต่ก็คงไม่ใช่ เพราะเสียงตอบกลับมานี่แหละ

   “ไม่เป็นไรครับ...ไม่เป็นไร” 

   “เลือดออกตรงแขนครับ..เดี๋ยวพี่ช่วยนะ”  น้องคนนี้ไปโดนอะไรมา  ทำไมถึงมีเลือดออกมาจากตรงแขนแบบนั้น  แต่เลือดที่ออกมามันเหมือนกับว่า ฉีดยา หรือโดนเข็มฉีดยาอะไรซักอย่าง

   ........หรือว่า ? ............

“ไม่เป็นไรครับ   เดี๋ยวผมไปหาพยาบาลก็ได้”  เสียงน้องเขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังก้มหน้าอยู่อีก  จนผมต้องก้มหน้าลงไปตาม  มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่น้องเขาเงยหน้ามองมาทางผมพอดี

   หน้าผมเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  แต่เท่าที่รู้ๆ หน้าน้องคนที่อยู่ตรงหน้า  ซีดยิ่งกว่าเดิม และซีดหนักกว่าเก่า จนสังเกตได้ชัด  ปากบางสีชมพูนั้นสั่นระริก   พยายามจะเอ่ยมาบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาเต็มคำ   

   ผมนิ่งเฉย  ไม่ได้พูดอะไร  ไม่รู้จักเด็กคนที่อยู่ตรงหน้านี้มาก่อน ความงงมันเกิดขึ้นกับผมเองมากกว่า  ........หรือจะเป็นไปได้ไหม ที่น้องคนนี้เคยรู้จักผม ตอนที่ความทรงจำผมหายไป

   .....  “พี่.....พี่...............”     น้ำเสียงตะกุกตะกัก  เรียกผมว่าพี่ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ  มันทำให้ผมสงสัยหนักกว่าเดิม

   “ครับ..น้อง น้องๆ  น้องรู้จักพี่หรอ”  ผมอยากรู้เหมือนกันว่าน้องคนตรงหน้านี้รู้จักผมหรือเปล่า ถ้ารู้จักก็ดีเลย ผมจะได้รู้บ้างว่าช่วงที่ผ่านมาสองปีมานี้ผมเป็นอย่างไรบ้าง   เพราะทั้งไอ้นันต์แล้วก็ซิว ไม่มีใครยอมบอกกับผมซักคน น้องคนนี้ต้องรู้แน่นอน 

   “เอ่อ...ป่าว...ป่าวครับ  ผมไม่รู้จักพี่”  น้องคนตรงหน้ามันพูดขึ้นมา ก้มหน้า แล้วส่ายหัว  หลบสายตาผม

   “จริงหรอ  พี่ชื่อเอกนะครับ น้องแน่ใจหรอ ว่าไม่รู้จักพี่ มองพี่ดีๆ ซิครับ”  ผมอยากรู้ความจริง น้องมันก้มหน้าแบบนี้ แล้วจะเห็นหน้าผมชัดๆ ได้ไง   ผมพูดขึ้น  พร้อมกับจับตัวไอ้เด็กคนนี้ตรงหน้าเขย่า แต่ก็ไม่ได้แรงมาก   ตอนนี้ผมไม่สนล่ะคำว่ามารยาท จะไม่รู้จัก  จะรู้จัก แต่ไงก็อยากให้มันเห็นหน้าผมชัดๆ ก่อน  บางทีมันอาจจะรู้จักผมก็ได้  เอาแต่ก้มหน้ามันจะไปเห็นหน้าผมได้อย่างไง

   “ไม่..ไม่ครับ  ผมไม่รู้จักพี่”  น้องมันยังคงปฏิเสธ 

   “น้องชื่ออะไร” ที่ผมถามไป บางทีชื่อของมันอาจจะพอคุ้นผมบ้างก็ได้

   “เอ่อ...ชื่อชื่อ  มีนครับ”   ทำไมกับแค่ชื่อมันยังต้องนึก  ชื่อมีน ชื่อมีนจริงหรือเปล่า  ผมปล่อยมือออกจากต้นแขนมัน  เพราะหน้ามันเริ่มนิ่วแล้ว  คงจะเผลอจับแรงไปหน่อย ตอนที่บังคับให้มันเงยหน้ามองมาทางผม  ชื่อมีนผมไม่คุ้น  แต่ทำไมใบหน้านี้ผมคุ้นนักหนา 

   “อืม..”  ผมไม่พูดอะไร  ตอนที่ปล่อยมือออกจากมัน ...และก็ไม่ได้ขอโทษ

   “ผมขอตัวนะครับ...จะเข้าห้องน้ำ”  อยู่ดีๆ มันก็เดินหนีผมไปเฉยๆ ซะอย่างนั้น  แผลตรงแขนยังมีรอยเลือดอยู่เลย

   “อ้าว  !!  แผลที่แขนยังมีเลือดอยู่เลยนะครับ  ไปหาพี่พยาบาลก่อนไหมเดี๋ยวพี่พาไป”   ก็มืออีกข้างของมันยังเอาสำลีกดไว้ตรงแผลอยู่เลย 

   “ไม่..ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปให้หมอดูเองได้  ไม่เป็นไรครับ ...ขอตัวนะ”  มันทั้งพูดอย่างเร็ว แล้วก็เดินหนีผมไปอย่างเร็วๆ  โอเค ไม่เป็นไร  ตอนนี้เอาเรื่องของไอ้วัจน์ก่อนดีกว่า อีกชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเวลาให้เลือดแล้ว  ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง  ตอนนี้หน้าเคาน์เตอร์กำลังวุ่นอยู่กับเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อสักครู่นี้เอง  มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนัก ก็เพียงแค่คนกระชากกระเป๋าที่อุกอาจมาทำกันถึงในโรงพยาบาล 

   ผมอยากเห็นหน้าเหมือนกันกับคนที่มีบุญคุณกับเพื่อนของผมเอง  แต่คนคนนั้นตอนนี้ต้องเข้าไปอยู่ในห้องถ่ายเลือดแล้ว  ผมจะยังไม่มีโอกาสได้เห็นเขา จนกว่าการให้เลือดนั้นจะเสร็จสิ้น    อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง  เลือดล๊อตใหม่ก็กำลังจะมา  สิ่งที่ผมขอให้ปาฏิหาริย์มันเกิดขึ้น  ก็คือขอให้เพื่อนผมฟื้นขึ้นมาทีเถอะ

   ถ้ามันฟื้น  คนคนนั้นที่ให้เลือดกับไอ้วัจน์จะเป็นใครก็แล้วแต่ คำพูดขอบคุณนั้นมันคงน้อยไป 

   แต่ก็ขอบคุณเหลือเกิน ที่ทำให้เพื่อนผมมีโอกาสฟื้นขึ้นมา

   ช่วงเวลาของการให้เลือดผ่านไปอย่างช้าๆ  ไอ้นันต์กับซิวมาทันเวลาพอดีสำหรับการให้เลือดครั้งใหม่ของไอ้วัจน์  พวกผมทั้งสามคนไม่มีใครมีโอกาสได้เห็นหน้าคนที่มีบุญคุณกับเพื่อนผมในครั้งนี้  ความรู้สึกลึกๆ มันบอกกับตัวเอง  ไอ้วัจน์มันต้องรอด

   เวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ความรู้สึกของพวกผมทั้งสามคนมันเหมือนกันนานแสนนาน ความรู้สึกทั้งหมด มันมีแต่คำถาม  และสุดท้ายคำตอบที่พวกผมอยากรู้นั้น ตอนนี้ มันกำลังจะได้คำตอบแล้ว ......เสียงเปิดประตูออกมาจากห้อง ICU  ที่มีทั้งหมอ และทั้งพยาบาลออกมากันหลายคนจากเตียงของไอ้วัจน์  พวกผมรีบกรูเข้าไปถามทันที

   “อาหมอครับ  เป็นไงบ้าง  เพื่อนผมเป็นไงบ้าง”  เสียงของไอ้นันต์ถามด้วยความกระหืดกระหอบ   มันพูดทั้งเร็วและดัง  จนคนรอบข้างหันมามองกันให้เต็ม

   “อืม... อาการของคนไข้ดีขึ้นแล้ว  เลือดกลุ่มใหม่ร่างกายยอมรับอย่างดี  และด้วยความที่ว่า เลือดของคนที่บริจาคยังเป็นเลือดที่ค่อนข้างอายุไม่มาก ทำให้มีกลุ่มเม็ดเลือดขาวค่อนข้างแข็งแรง  เลยทำให้เชื้อโรคต่างๆ ที่อยู่ในช่องท้องของคนไข้ เริ่มหายเร็วขึ้น  แต่หมอเพียงแค่เดา อย่างไงตอนนี้ก็ต้องดูอาการไปก่อน ....แต่............”

   เสียงคุณหมอขาดหายไป มันเหมือนกับทำให้พวกผมหยุดหายใจตามไปด้วย

   “แต่....แต่อะไรครับอาหมอ”  ไอ้นันต์ยังคงถามต่อไปอีก

   “คืออาการของคนไข้ตอนนี้ไม่น่าห่วง ห่วงก็เพียงแต่อาการของคนที่บริจาคเลือดให้ก็เท่านั้นเอง  รู้สึกเหมือนกับตอนที่เขาบีบลูกยางแต่ละครั้ง  เลือดออกมามากเกินไป  เลย...เลยทำให้เลือดที่อยู่ในตัวไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ...  จึงมีผลทำให้ตอนนี้คนไข้รายนี้ยังไม่ฟื้นขึ้นมา” 

   ถ้ามีคนจับสีหน้าพวกผมทั้งสามคนได้  ก็คงจะรู้กันดี  ตอนนี้มันซีดซะยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น  คำตอบใหม่ที่ได้รับ  เพื่อนผมพ้นอาจจะพ้นขีดอันตรายในคืนนี้แล้ว แต่กลับอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ตอนนี้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

   “อาหมอ ..ตอนนี้คนนั้นอยู่ที่ไหน  อาหมอพาผมไปดูหน่อย”  ไอ้นันต์ทั้งพูดทั้งดึงแขน  หมอที่เป็นญาติกับมัน  กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ไปห้องที่ถ่ายเลือด  แต่อาหมอของมันรั้งเอาไว้ก่อน

   “อย่าเพิ่งนันต์  ตอนนี้อาพาน้องคนนั้นไปห้อง ICU เหมือนกันแล้ว  อยู่ข้างๆ วัจน์นั้นแหละ

   ไม่รอช้าอะไรทั้งสิ้น  ตอนนี้ทั้งผมรวมทั้งไอ้นันต์แล้วก็ซิว  รีบสวมชุดสำหรับที่จะเข้าไปในห้อง ICU โดยเฉพาะ  แล้วรีบวิ่งไปที่เตียงข้างๆ  ของไอ้วัจน์ทันที   มันจะเป็นใครไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะเตียงอีกเตียงหนึ่งว่างเปล่า  ส่วนเตียงข้างๆ กันนั้น  มีเด็กคนหนี่งนอนสงบนิ่งอยู่

   “เฮ้ย !!!!”   เสียงของไอ้นันต์ตะโกนอย่างดัง    รีบวิ่งไปทางด้านหน้าเตียงเพื่อมองหน้าคนไข้นั้นชัดๆ สำหรับตัวผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน   ความสงสัยเมื่อตอนประมาณเกือบๆ สามชั่วโมงที่แล้วนั้นคลายแล้ว ว่าทำไมน้องคนที่ผมเดินชน  ถึงได้มีแผลตรงแขน 

   แผลนั้นเกิดจากการตรวจเลือด เพื่อที่จะให้เลือดกับเพื่อนผมนี่เอง

   น้องคนที่ผมเดินชน  เป็นคนเดียวกับที่ให้เลือดไอ้วัจน์

   “นะ.........น้อง...............ต้อง”  เสียงของซิวแหบพร่า มือทั้งสองข้างจับต้นแขนผมแน่น   กัดปากเอาไว้ ดวงตาแดงช้ำนั้น เหมือนกำลังร้องไห้   ..... ทำไมชื่อต้อง  ผมถึงคุ้น 

   “น้องต้องไหนซิว เอกเจอน้องคนนี้ครั้งแรกแล้ว ก่อนที่น้องเขาจะให้เลือด น้องคนนี้ชื่อมีน”    ผมแย้งไป  แต่ซิวมองหน้าผมกลับ

   “ไม่ใช่  ..... คนนี้ชื่อต้อง  เอกจำต้องได้ไหม ต้องที่เราเห็นตอนเด็กๆ ตอนที่เอกไปเที่ยวบ้านธิว ที่กำแพงเพชร ........ต้องคนที่เป็นน้องของธิว  ลูกติดของป้าตาที่แต่งงานใหม่กับลุงธิน” 

   ความรู้สึกผมตอนนี้คลี่คลายลงทันที  เค้าหน้านั้นเปลี่ยนไปบ้าง ดูโตขึ้น แต่เรียวหน้าก็ยังดูเด็กเหมือนเดิม  ทำไมผมถึงไม่คุ้นตั้งแต่ตอนที่เดินชนกันครั้งแรก  และซิวก็ยังคงพูดต่อไป

   “ต้องมาเรียนที่เดียวกับเรา  สองเดือนที่แล้ว  วัจน์บังเอิญเจอต้องที่นี่ ที่โรงเรียน  ตอนช่วงที่เอกความทรงจำหายไป  เอกก็เจอต้องบ้าง แต่ก็แค่บางครั้ง  เอกเจอต้องกับ........”

   “ซิว !!!”  เสียงดุของไอ้นันต์  ที่อยู่ดีๆ ก็แทรกขึ้นมา ทำให้ซิวไม่พูดอะไรต่อ  ต้องกับใคร ผมเคยเจอต้องกับใคร

   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:32:12
“ซิว  เอกเคยเจอต้อง เคยเจอต้องกับใคร..... ซิวบอกเอกมา” 

   “ตอนนี้มึงอย่าเพิ่งถามอะไรซิวมาก เรื่องที่สำคัญกว่า คือเรื่องของน้องต้อง ตอนนี้ลุงธินกับป้าตารู้แล้วใช่ไหม”   ไอ้นันต์มันพูดของมันก็ถูก เรื่องของผมเอาไว้ก่อนเถอะ แต่ตอนนี้เอาเรื่องของน้องต้องก่อนดีกว่า  ผมไม่รู้จะทำอะไรกันถูก  ทั้งหมอแล้วก็พยาบาลกลับมากันอีกครั้ง ทั้งตรวจ ทั้งเช็ค  ให้น้ำเกลือ  ให้ออกซิเจน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าต้องจะฟื้นขึ้นมา

   .
   .
   .
   .
   .
   .

   ซิวกับไอ้นันต์ปิดบังอะไรผมเอาไว้  จนพวกผมทั้งสามคนเผลอหลับกันไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ได้ยินเสียงร้องไห้จากผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าห้อง  ICU นั่นเอง
   
   “ฮือๆๆๆๆ ต้อง  ต้องลูกแม่ !!!”    พวกผมรีบวิ่งไปเตียงที่อยู่ด้านข้างไอ้วัจน์  ต้องยังคงนอนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง ร่างเล็กๆ ยังคงนิ่งเฉย  แม้กระทั่งป้าตา ที่ลุงธินจับมืออยู่ตอนนี้ จะพยายามเข้าไปเรียกเท่าไหร่แล้วก็ตาม  แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าต้องจะฟื้นขึ้นมาเลย

   “คุณตา ใจเย็นๆ เถอะนะ เดี๋ยวหมอเขาก็ทำให้ลูกฟื้น”  ลุงธินยังคงปลอบอยู่อย่างนั้น  พวกผมเดินเข้าไปไหว้ทั้งลุงธินและป้าตา จนทั้งหมอและพยาบาลบอกให้ทั้งหมดออกไปก่อน  เพราะตอนนี้คนไข้ยังมีอาการไม่น่าไว้วางใจอยู่  ป้าตาเท่าที่ผมพอรู้มาอยู่บ้าง  ถึงจะเป็นคนเข้มแข็งขนาดไหน แต่ถ้าเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ เป็นใครก็คงจะรู้สึกใจหายเหมืนกัน

   “คุณ ....ลูกจะเป็นอะไรไหม ฉันห่วงลูก”

   “คุณอาครับ น้องอยู่กับหมอแล้ว ...  น้องจะต้องปลอดภัยนะครับคุณป้า”    ซิว ซึ่งเป็นญาติคนเดียวของลุงธิน พูดกับอาสะใภ้ที่ตอนนี้ ป้าตายังคงเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น   ก่อนที่พวกเราจะออกพยาบาลที่ยังคงอยู่ในห้อง ICU รูดม่านปิดเอาไว้ กันเพื่อแยกต้องออกเอาไว้ต่างหากไม่ให้ปะปนกับผู้ป่วยรายอื่น  ม่านทุกด้านถูกปิดรูดเข้าหากันหมด  ตอนนี้จึงไม่มีใครเห็นหน้าต้องได้เลย

   ที่ต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะช่วยเพื่อนผมเอาไว้

   ความเงียบปกคลุมไปที่ห้องที่พวกผมอยู่  จะมีก็เพียงเสียงฝีเท้าของแต่ละคนที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง ICU เสียงร้องไห้ของป้าตายังคงแทรกมาอยู่ตลอดเวลา และเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมออกไปจากห้องนั้น

   “..... โอย....ปวดหัว !!!!”  เสียงที่พูดดังแทรกเข้ามา ไม่ใช่เป็นเสียงที่เกิดจากต้อง แต่เป็นเสียงที่เกิดจากคนข้างๆ เตียงนั้นต่างหาก

   “ไอ้วัจน์  !!!”   ผมร้องตะโกนสุดเสียง  ถลาวิ่งไปหามันทันที  มือข้างขวาขยับเอามือกุมหัวเอาไว้ แต่เปลือกตายังคงปิดสนิท  ไอ้วัจน์ฟื้นแล้ว เพื่อนผมฟื้นแล้ว

   “ธิวลูก.... หมอครับ  !!! หมอ  ลูกผมฟื้นแล้ว”  เสียงลุงธินร้องเรียกหมอให้รีบเข้ามาดูอาการของไอ้วัจน์อย่างเร่งด่วน ตอนนี้ทั้งห้องต่างวุ่นชุลมุนกันเต็มไปหมด  คุณหมอที่พวกผมเพิ่งคุยกันเมื่อซักครู่นี้รีบเข้ามาดูอาการอย่างทันเวลา พร้อมกับพยาบาลที่เป็นผู้ช่วย วิ่งเข้ามาสมทบ  ไอ้วัจน์ตอนนี้ถึงจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่อาการก็ใช่ว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์นัก  มันนอนหลับไม่รู้เรื่องไปหลายวัน แถมตื่นขึ้นมายังปวดหัวอีกต่างหาก  มันทำให้ผมกลัว  กลัวว่ามันจะสูญเสียความทรงจำเหมือนกับผมตอนนี้

   “ญาติคนไข้ออกไปก่อนนะครับ” อาหมอคนเดิมที่ดูแลต้องที่อยู่ในห้องตอนนี้ บอกให้พวกผมทั้งหมดออกไปจากห้องอีกครั้ง สิ่งที่น่าดีใจมากที่สุดคือไอ้วัจน์มันฟื้นแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่ามันฟื้นคืนมาแบบเต็มร้อยหรือเปล่า แต่ก็ดีกว่านิ่งเฉยแบบนั้น  คุณหมอคุยแล้วก็ดูอาการกับมันอยู่ครู่ใหญ่  ก่อนที่จะเดินออกมา สีหน้าของอาหมอที่พวกผมพอรู้จักอยู่บ้าง ยิ้มให้เพียงนิดแค่นั้น  แต่ก็ทำให้พอรู้ๆ อยู่ว่า อาการของมันตอนนี้ดีขึ้นมาแล้ว  ก่อนที่จะเรียกญาติๆ เข้าไปหามันอีกครั้ง สิ่งที่ผมอยากรู้ตอนนี้มากที่สุดคืออาการทางสมองของมัน

   “ไอ้วัจน์มึงเป็นไงบ้าง” ผมรีบปรี่เข้าไปหามันทันที ที่มันพอจะรู้ได้ว่ามีใครอยู่รอบๆ ข้างมันบ้าง

   “ธิว เป็นไงบ้าง ซิวเป็นห่วง  ปวดหัวอยู่อีกไหม”   เสียงเล็กๆ ของซิว ถามขึ้นต่อจากผมอีกเหมือนกันพร้อมกับมือเล็กๆ ที่กุมมือของไอ้วัจน์ไม่ยอมห่าง

   “..............”  ไม่มีเสียงอะไรตอบออกมาจากมัน  ทั้งๆ ที่ผมและซิวถามออกไป

   “วัจน์.... มึงอยู่ ม.อะไร”  ไอ้นันต์เป็นคนที่ถามได้ตรงจุดที่สุด

   “................”   แต่ไม่ได้รับคำตอบจากมัน

   “ไอ้วัจน์ !!!”

   “ม. 6 .... มึงจะถามกูทำไมเนี่ย !!!  กูรถคว่ำ  ไม่ได้โดนทุบหัวจนจำอะไรไม่ได้”  มันพูดขึ้น พร้อมกับความอารมณ์เสียเหมือนเดิม  พวกผมโล่งอกขึ้นมาทันที ตอนนี้ทั้งผม ซิว แล้วก็ไอ้นันต์   ต่างเข้าไปคุยกับไอ้เอกกันหมดทุกคน  จะมีก็เพียงแค่สองคนเท่านั้นที่ยังไม่ยอมเข้ามา 

   ลุงธินถึงจะรู้ว่าลูกชายของตัวเองฟื้นมาแล้ว .... เมื่อซักครู่นี้เหมือนลุงเขาดีใจที่ไอ้วัจน์มันฟื้นขึ้นมาได้  ร้องเรียกตะโกนหาหมอก่อนผมเสียอีก  แต่ทำไมตอนนี้กลับนิ่งเฉย

   “สะใจ แกหรือยัง !!!”  คนที่พูดขึ้นมาก็คือลุงธินนั่นเอง  .........สะใจอะไร  สะใจเรื่องอะไร ทำไมผมไม่รู้

   “พ่อมาทำไม... ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายไปซะล่ะ !!!” 

   “ฟื้นขึ้นมาได้ ก็อวดเก่ง  .....ไอ้ลูกสันดาน ทำมาเป็นหลอกว่าทำตัวดีแล้ว  กลับมารักน้อง  ที่แท้แกก็เอาน้องมาแกล้ง จนน้องมันทนไม่ได้ต้องหนีไป ....ฉันอยากจะฆ่าแกนัก  ไอ้...ไอ้ !!!”

   “คุณคะ.... ลูกเพิ่งฟื้นใจเย็นๆ ก่อน” ป้าตาที่ยืนอยู่ข้างๆ  ถึงจะยังร้องไห้อยู่ แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง และก็คงเหมือนเดิม  ป้าตาแกคงไม่อยากให้พ่อลูกทะเลาะกันเหมือนเดิม ....  ความทรงจำสุดท้ายที่ผมยังจำได้  ไอ้วัจน์มันไม่เคยไปเหยียบบ้านหลังนั้นที่ต่างจังหวัดเลยตั้งแต่ที่พ่อมันมีป้าตา

   แต่หลังจากนั้นล่ะ ... ไอ้วัจน์มันทำอะไรกับต้องหรอ  แล้วทำไมต้องถึงต้องหนีไอ้วัจน์ด้วย

   “ผมไม่ใช่ลูกคุณ !!! ..... ผมไม่มีแม่อย่างคุณ !!!”  ถึงมันจะเพิ่งฟื้นขึ้นมา แต่ดูแล้วร่างกายของมันไม่ได้แย่ลงไปเลย 

   “ไอ้วัจน์ !!!!”  ลุงธินตะคอกอย่างดัง จนทั้งหมอและพยาบาลห้ามกันให้วุ่นไปหมด  แต่นั่นมันไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย

   “เพี๊ยะ !!!!”  ลุงธินตบหน้าไอ้วัจน์ ทั้งๆ ที่มันยังไม่หายดี

   “ลุงครับ” 

   “คุณคะ  อย่าทำลูก  มาก่อนเถอะ  ฮือๆๆ  อย่าเพิ่งทำลูกเลยนะ”   เสียงป้าตาตอนนี้ทั้งดึงลุงธินออกมา ทั้งร้องไห้ จนวุ่นวายอีกครั้ง  แต่มันเหมือนไม่มีอะไรเลยที่จะห้ามได้อยู่

   “พ่อ !!!”   

   “เออ  ..กูพ่อมึง  มึงจะมาเรียกกูว่าพ่อทำไม  มึงเคยเชื่ออะไรกูไหมล่ะ ไอ้ลูกชั่ว  ทำไมมึงไม่ตายๆ ไปซะ”    ผมรู้ว่าลุงธินพูดโกหก  ไม่มีพ่อคนไหนหรอกที่จะเกลียดลูกตัวเองแบบนั้น ไม่อย่างนั้น  ลุงคงไม่ร้องไห้ออกมาแบบตอนนี้

   “ฮึก...  ฮึก  ก็ฆ่าผมซิ่  ให้ผมมาอยู่ที่นี่ทำไม  ทำไมไม่ให้ผมตายล่ะ  ทำไมพ่อไม่ให้ผมตายล่ะ  ผมเกลียดพ่อ  ...  เกลียดอีผู้หญิงคนนี้  ...เกลียดมัน เกลียดลูกของมันด้วย”  ต่างคนต่างแรงไม่มีใครยอมกัน  ไอ้วัจน์ที่ผมแทบจะไม่เคยเห็นน้ำตาของมันเลย ตอนนี้น้ำตามันไหลออกมา ใบหน้าที่ยังซมๆ อยู่เพราะพิษไข้ รื้นไปด้วยทั้งน้ำตา และรอยฝ่ามือจากคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ  มือข้างหนึ่งดึงสายน้ำเกลือทิ้งออกจนเห็นรอยเลือดไหลออกมาอย่างชัดเจน สิ่งที่มันพูดออกมามันมีทั้งโมโห และน้อยใจผสมกันไปจนทั่วไปหมด  ซึ่งผมเองก็รู้ดี  จะมีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นหรอก ที่รู้ๆ กันดีอยู่แล้วว่าเปลือกนอกของไอ้วัจน์นั้นถึงจะดูเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหน  แต่ภายในของมันนั้น จริงๆ แล้วมันก็เปราะบางเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่อง..ครอบครัว

   “มึงเกลียด คนที่เค้าช่วยมึง จนกระทั่งชีวิตเค้าก็ให้มึงได้  มึงดูนี่ไอ้ธิว  มึงดูซะ!!”  ลุงธินพูดขึ้นมา พร้อมกับเดินอ้อมออกไปรูดม่าน ที่อยู่ข้างๆ นั่นออก จนเผยให้เห็นอีกคนหนึ่งที่ยังนอนอยู่บนเตียง

   “...................”  ไอ้วัจน์ยังคงมองตลึงอยู่อย่างนั้น  ..คนที่มันเคยคิดถึงเมื่อครั้งเด็กๆ  คนที่มันมองแต่รูปเมื่อตอนเด็กๆ หรือถ้าวันไหนมันเกิดคิดถึงขึ้นมามากๆ  ก็คงจะเมาหัวราน้ำ และผมกับไอ้นันต์จะต้องคอยช่วยหิ้วปีกมันกลับมาที่ห้อง  นั่นก็คือน้องต้องซึ่งตอนนี้นอนอยู่เตียงข้างๆ นี่เอง 

   “มึงขาดเลือด ... แล้วเลือดของมึงก็คงรู้ๆ กันอยู่ วันมันมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ให้เลือดได้  แต่น้องเค้าให้เลือดมึง .... ให้มากเกินไป ให้จนเลือดมันขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ทัน ..ตอนนี้น้องยังไม่ฟื้น  ...  สะใจมึงไหมไอ้ธิว  สะใจมึงหรือยัง” 

   “ฮือๆๆ  คุณคะ ใจเย็นๆ  ลูกเพิ่งฟื้นนะคะใจเย็นเถอะนะ”  ป้าตาถึงจะรู้ว่าเพื่อนผมเองที่เป็นตัวต้นเหตุของการทำให้ต้องต้องเป็นแบบนี้ ก็ยังไม่ยอมที่จะให้ลุงธินพูดว่าอะไรไอ้วัจน์ไปมากกว่านั้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะห้ามลุงธินได้

   “น้องไม่รู้สึกตัวมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว ....ยังไม่รู้จะฟื้นขึ้นมาตอนไหน  พอใจมึงแล้วใช่หรือเปล่า ถ้าน้องเป็นอะไรไป  คนที่เสียใจที่สุดจะเป็นมึงเอง  มึงจำเอาไว้ !!!”    ลุงธินพูดจบเพียงแค่นั้น ก่อนที่จะเดินออกไป เพราะตอนนี้คนทั้งบริเวณแถบนั้นเดินออกมาดูกันให้เต็มไปหมด แถมในห้องนี้ยังเป็นห้องไอซียูอีกต่างหาก  จนรู้สึกว่ารบกวนคนไข้คนอื่นมากเกินไป  ....ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นโรงพยาบาลของพ่อไอ้นันต์ ป่านนี้คงแย่ไปกันหมดทุกคน

   “คุณหมอ ......  ช่วยรักษาลูกคนเล็กผมด้วย  หมดเงินเท่าไหร่ผมไม่ว่า  แต่ลูกของผมต้องฟื้นขึ้นมา.....  ส่วนไอ้คนนั้นที่มันฟื้นแล้ว ถ้าอาการมันดีขึ้น ก็เอามันออกจากห้องไอซียูซะ  แล้วมันจะไปไหนก็เรื่องของมัน มันจะไปอยู่ห้องไหนก็เรื่องของมัน บัตรเครดิตทุกอย่างผมตัดทิ้งหมด ทั้งเงินที่อยู่ในธนาคารผมก็ยึดหมด ถ้ามันจะจ่าย ก็ให้มันหาเอามาจ่ายเอง....  เอกกับนันต์ ห้ามช่วยเพื่อนเด็ดขาด ถ้าลุงรู้ ลุงจะไปบอกพ่อกับแม่เรา ว่าไปทำตัวเลวๆ อะไรกันมาบ้าง  ส่วนซิวกลับพร้อมอา  เดี๋ยวอาไปส่งบ้าน  แล้วห้ามมายุ่งกับมัน  ไม่งั้นอาจะบอกให้ที่บ้านส่งไปเรียนต่างประเทศ.........  ลองดูซิ ถ้ามันเหลือแต่ตัว มันจะยังไปทำร้ายใครได้อีก....”

   “....คุณคะ....อย่าเลยนะ” 

   “คุณกลับกับผมก่อน...พรุ่งนี้เช้าเราค่อยมาดูลูกกันใหม่ ส่วนมึง.....มึงดูผลในสิ่งที่มึงทำเอาไว้ซะ  ทุกคนออกมาจากห้องนี้กันให้หมด  เหลือเอาไว้แต่มันเพียงคนเดียว”  คำสั่งของลุงธินเป็นประกาศิตเสมอ  ผมรู้ว่าลุงธินร้ายและเด็ดขาดขนาดไหน แต่ก็ไม่เคยเห็นซักที  จะมีก็เพียงแค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเท่านั้น ความน่ากลัวของลุงธิน ไม่ต่างอะไรเลยกับพ่อของผมและพ่อของไอ้นันต์  ....ไม่อย่างนั้นท่านทั้งสามคนจะดูแลกิจการใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไง

   ผมเหลือบไปมองที่เตียงคู่นั้นอีกครั้งก่อนจะหันหลังกลับ  ไอ้วัจน์นั่งลงที่ข้างๆ เตียงที่น้องต้องนอนอยู่ ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมเอาไว้ พร้อมกับกดหน้าผากลงไปที่ฝ่ามือเล็กๆ  ข้างนั้น  ....

มันยังคงร้องไห้อยู่ มือของน้องต้องเปื้อนน้ำตา...

....................................................
   
      
   
   
   
   


ผมมองไอ้วัจน์ที่นั่งเหม่ออยู่ข้างเตียงเล็กๆ  เด็กคนหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ขนตาพริ้มบนเรียวดวงตาที่ปิดสนิทที่เหมือนกับคนนอนหลับธรรมดา  ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลยซักนิด
   แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง ที่รู้ว่าน้องคนนี้ที่ไอ้วัจน์มันบอกว่าคือคนที่มันรักที่สุด มีสภาพเหมือนเป็นเจ้าชายนิทรา  .................
   สาเหตุเนื่องจาก การให้เลือดในปริมาณที่มากเกินไป และเลือดบางส่วนไม่ได้ถูกนำไปเลี้ยงสมองได้อย่างเต็มที่ 
   ผลทำให้เขายังคงหลับสนิทอยู่อย่างนั้น ............. และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่ดวงตาคู่นั้นจะลืมตาขึ้นมา 
   “ก๊อก ๆๆ”  เสียงประตูถูกเคาะขึ้น พร้อมกับลูกบิดที่ถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคือ ลุงธินและป้าตา ที่ช่วงนี้ผมเห็นบ่อยเหมือนกัน  สำหรับป้าตานั้น ก็คือแม่ของน้องคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนั่นเอง
   ไอ้วัจน์ไม่ได้หันไปมองทั้งสองคนใหม่ที่เข้ามา  ........ไม่แม้แต่จะยกมือไหว้  ..  มือทั้งสองข้างของมันยังคงกุมมือเล็กๆ ซีดๆ ที่นอนอยู่บนเตียงนั้น
   ถัดเลยหลังลุงธินกับป้าตาไป  ก็มีน้องอีกคนซึ่งผมก็มาทราบตอนหลังเองว่าเป็นเพื่อนกับน้องต้อง  ........
   ......... น้องเขาชื่อ “เบสต์”  ............
   ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.... เหมือนน้องคนนี้เกลียดผมอย่างไงก็ไม่รู้.. จะยิ้มให้ ก็ไม่เคยได้รับการยิ้มตอบ ... ถามคำ ก็ตอบคำเพียงแค่นั้น 
   .... หรือช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป... ผมเคยรู้จักน้องคนนี้กันแน่นะ
   .........ผมจำไม่ได้จริงๆ....
   


   

   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:33:55
ตอนที่ 23

   บรรยากาศภายนอกโรงพยาบาล ผมมารู้อีกทีหนึ่งก็คือเป็นเวลารุ่งเช้าแล้ว ตอนนี้ลุงธินกับป้าตากลับไปที่บ้านก่อนพร้อมกับซิว ส่วนผมกับไอ้นันต์ยังคงอยู่ที่นี่ ถึงแม้ลุงธินจะไม่ให้ผมกับไอ้นันต์อยู่ แต่ถ้าเพียงแค่ตอนนี้อยู่เป็นเพื่อนมันก่อนก็คงจะไม่เป็นอะไรมากนัก

   ผมไม่ได้เดินกลับเข้าไปในห้องนั้นอีก จะมีก็แต่ไอ้นันต์เพียงแค่คนเดียวที่ยังคงอยู่กับไอ้วัจน์... และก็ไม่รู้เหมือนกันว่านั่งอยู่ตรงนี้นานขนาดไหน จนขนาดได้ยินเสียงคนพูดกันอยู่ข้างหลัง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าคงไม่ใช่ธุระของตัวเอง ...แต่เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังพูดกับอีกคน ถึงจะไม่ได้ตั้งใจฟัง หากแต่คนที่ทั้งสองคนเอ่ยถึงนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก

   “เบสต์ !!! ใจเย็นๆ ต้องยังไม่เป็นอะไรหรอกนะ”

   “ทำไมพี่จักรไม่ปลุกเบสต์  น่าจะบอกเบสต์ซักหน่อยก็ได้....  ถ้าพี่จักรปลุกเบสต์ เบสต์ไม่ให้ต้องมาช่วยคนพวกนี้หรอก”  เสียงของเด็กคนนั้นที่พูดกับผู้ชายตัวสูงๆ อีกคน  ถ้าจะให้ผมเดาก็น่าจะเป็นพี่น้องกัน  ถึงแม้ว่าคนตัวสูงนั้นผิวพรรณและร่างกายออกจะแข็งแรงกว่า และกรอบหน้าก็ดูคมสันกว่ามาก  หากแต่เค้าหน้าสองคนนั้นก็ดูคล้ายกันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรียวคิ้ว และดวงตาทั้งสองคู่

   แต่สิ่งนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมสงสัย  ....  ผมสงสัยคำพูดของน้องคนผู้ชายตัวเล็กๆ นี่มากว่า.......  ทำไมคนชื่อเบสต์ ถึงจะพยายามไม่ให้ต้องมาช่วยไอ้วัจน์  แล้วคนพวกนี้ หมายถึงไอ้วัจน์คนเดียวใช่ไหม .... หรือมีคนอื่นด้วย

   “ก็เพราะว่าพี่รู้ไง ว่าถ้าปลุก เบสต์ก็ต้องไม่ให้ต้องมา  อีกอย่าง ตอนแรกต้องเค้าบอกว่ามาหาพี่ชาย  แล้วเค้าก็บอกอย่างนั้นจริง ๆ ใครจะไปรู้ว่าพี่ชายของต้องเป็นคนที่เบสต์กับต้องไม่ชอบ” 

   “เบสต์ขอไปหาต้องก่อน” 

   “แล้วรู้หรอห้องไหน” 

   “ไม่รู้ !!!”

   “ให้มันได้อย่างนี้  ...  รอตรงนี้แหละ  เดี๋ยวพี่ไปถามพยาบาลให้เอง  มัวแต่รีบมา ไม่ได้ดูอะไรก่อนเลย”

   “พี่จักรเร็วๆ นะ  เบสต์ห่วงต้อง”

   ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปแล้ว  ตอนนี้ทั้งต้องกับไอ้วัจน์ยังคงอยู่ในห้อง icu  เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ไอ้วัจน์อาการมันเริ่มดีขึ้น แล้วคุณหมออาจะให้ย้ายห้องออกไปก่อน หรือไม่ก็รอดูอาการซักวันสองวัน  ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อนมันก็คงจะกลับบ้านได้

   .....เด็กคนที่ยืนอยู่ที่เดิมนั่นอยากไปหาต้อง.. คงจะเป็นเพื่อนกับต้องล่ะมั้ง....  ผมก็คงพาไปได้

   “น้องครับ”   ผมว่าผมเรียกเบาๆ แล้วนะ แต่ทำไมไอ้เด็กคนนี้มันถึงได้สะดุ้งจนตัวลอยขนาดนั้น

   “..................”  สีหน้าของมัน  ........ ทำไมตกใจขนาดนั้น

   “จะไปหาต้องใช่ไหมครับ เดี๋ยวพี่พาไปก็ได้นะ” ผมพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ เพราะกลัวน้องมันจะตกใจแบบเดิม ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาช้าๆ เพื่อที่จะพาไอ้ตัวเล็กนี่ไปหาเพื่อน  แต่เดินไปเพียงแค่ก้าวเดียว  มันกลับถอยหนี

   “..................”  สีหน้าที่ตกใจของมัน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ทำไมมันตกใจขนาดนั้น  และทำไมต้องหนีผมด้วย

   “พี่พาไปหาต้องเองก็ได้ครับ  เพื่อนน้องอยู่กับเพื่อนพี่นะ”

   “.....ไม่........ไป”  คำพูดที่แผ่วเบา แทบจะไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาจากลำคอ แต่ผมก็พอจะรู้ถึงคำปฏิเสธนั้น

   “เอ้า...  พี่เป็นเพื่อนของไอ้วัจน์เองครับ ... น้อง..........  น้องเบสต์ใช่ไหม ?  ขอโทษนะครับ เมื่อกี้พี่ได้ยินน้องคุยอยู่กับอีกคน  เผอิญได้ยินพอดี เลยรู้ว่าชื่อเบสต์....  พี่ชื่อเอกครับ  เดี๋ยวพี่พา.............”

   คำพูดของผมมันหยุดซะก่อน เพราะว่าเสียงตะคอกอย่างดังของไอ้เด็กตรงหน้า

   “ไม่ต้อง  !!!!!!” 

   “อ้าว  เป็นไร !!”   สงสัยเหมือนกัน ทำไมมันต้องดุถึงซะขนาดนั้น  ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้เลย   หวังดีแท้ๆ  กลับโดนไอ้เปี๊ยกนี่ตะคอกกลับมาซะอย่างนั้น

   ทำอย่างกับว่าโมโหอะไรผมอย่างนั้นแหละ

   “........................”   มันไม่พูดอะไร แต่กลับมองหน้าผม  เหมือนจะสำรวจอะไรบางอย่าง  ก่อนจะยิ้มเยาะไปที่มุมปากนั่นแค่นิดเดียว... ดวงหน้าของความยิ้มที่เหมือนเยาะเย้ย  มองมาทางผมเหมือนสมเพส

   “ความจำเสื่อมซินะ !!!”   อยู่ดีๆ มันก็ถามผม  ....  ทำไมมันถึงรู้ว่าผมความจำเสื่อม .... 

   “ทำไมน้องถึงรู้”    ยังไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบ คนที่ผมคิดว่าเป็นพี่ชายของมันก็โผล่มาพอดี  ดึงมือคนที่ชื่อเบสต์ออกไป พร้อมกับมองหน้ามาทางผมเหมือนกับจะหาเรื่อง  คงคิดว่าผมไปทำอะไรน้องชายมันมั้ง

   “มีอะไรกันหรือเปล่า”   เสียงของไอ้คนตัวสูงพูดขึ้น มองหน้าผมที มองหน้าน้องมันที สลับไปมา 

   “เปล่าครับ... พี่จักรเราไปกันเถอะ รู้ห้องที่ต้องอยู่แล้วใช่ไหมหรือว่าพี่จะกลับบ้านก่อนเลย”    ไอ้ตัวเล็กนั่นดึงมือพี่ชายมันกลับ  พร้อมกับเดินห่างออกจากผมไป  จุดหมายก็คงจะเป็นห้องที่ต้องนอนอยู่  .... สิ่งที่ผมสงสัยมันเลยหยุดตามไปด้วย  ทำไมไอ้ตัวเล็กนั่นมันถึงทำท่าทางเหมือนเกลียดผมขนาดนั้นก็ไม่รู้

   ไอ้ตัวเล็กนั่นเดินไปกับพี่ของมันแล้ว  ผมทิ้งระยะห่างในการเดินเพียงแค่นิดเดียว  แล้วค่อยเดินตามมันไป  ซึ่งพี่ชายของมันก็คงจะรู้แล้วว่าห้องของต้องอยู่ตรงไหน ถึงได้พากันเดินตามไปอย่างมั่นใจขนาดนั้น จนกระทั่งถึงตรงห้อง ICU  ผมรู้ว่าไอ้วัจน์ยังคงอยู่ แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นไอ้นันต์แล้ว  และไม่รู้ด้วยเหมือนกันว่าไอ้นันต์มันไปไหน  ไอ้ตัวเล็กนั่นกับพี่ของมันสวมชุดกันเชื้อโรคเพื่อที่จะเข้าไปในห้อง ICU   ก่อนที่จะหายลับเดินเข้าไป  ส่วนผมรีบไปขอชุดสวมอีกเหมือนกันกับพยาบาลที่ดูแลหน้าห้องอยู่  ก่อนที่จะเดินตามมันทั้งสองคนไป  หากแต่ผมไม่ได้เดินไปทางเตียงที่น้องต้องนอนอยู่   ผมเพียงแต่เดินเข้าไปแล้วหลบอยู่ตรงหลังผ้าม่านนั่นต่างหาก   ... จนทำให้คำพูดทุกคำ  สำหรับไอ้ตัวเล็กนั่นพูดขึ้นกับไอ้วัจน์  ผมได้ยินทุกถ้อยคำ

   “พี่จะมาอยู่ดูต้องทำไม...  สะใจแล้วไม่ใช่หรอที่ต้องเป็นแบบนี้   แล้วพี่จะร้องไห้ทำไม”   สิ่งที่มันพูดคือต่อว่าเพื่อนผม  ตลอดระยะเวลาที่ผมเดินออกไปข้างนอกและไอ้วัจน์ยังคงอยู่กับต้อง  ทำให้ผมรู้ว่ามันยังร้องไห้อยู่ 

   “ทำไมไม่พูดอะไร... พี่จะดีใจก็ได้  มันเป็นอย่างที่พี่ต้องการแล้วนี่”   เสียงของไอ้วัจน์เงียบ ไม่มีอะไรเลยซักนิดที่จะตอบกลับไป

     “พี่ต้องดีใจไม่ใช่หรอ ...ไม่ใช่หรอพี่วัจน์  ...พี่ต้องดีใจซิ่ ... พี่ต้องดีใจ !!!  ต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่ไง..  ดีใจซิ่” 

   “ใจเย็นน้องเบสต์ !!!”   ยังดีที่มีเสียงห้ามของพี่ชายมันอยู่ ไม่อย่างนั้นจากเท่าที่ฟังเสียงดู  ไอ้ตัวเล็กนั่นมันคงทั้งดึง ทั้งผลักเพื่อนผมให้ออกห่างจากเพื่อนของมันแน่ๆ

   “ปล่อยมือเพื่อนผมเดี๋ยวนี้นะ  !!! ฮึก... ฮึก  !!!  ปล่อย  ...อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมอีก  พี่จะไปไหนก็ไป  จะไปตายที่ไหนก็ไป ... ไปตายพร้อมกับเพื่อนพี่นั้นแหละ” 

   .............  ไปตายพร้อมกับเพื่อนพี่นั้นแหละ  ......... เพื่อนพี่คนนั้นที่ไอ้ตัวเล็กพูดถึง หมายถึงใคร   ไอ้นันต์ หรือซิว ... หรือ....ผม

   ความอดทนที่จะแอบฟังมันสิ้นสุดลงพอดี  ผมก้าวเท้าออกไปหลังจากที่แอบอยู่หลังม่านอยู่ซักพัก  ตอนนี้ทั้งสามคนที่อยู่ตรงบริเวณนั้นหันหน้ามามองผมทั้งหมด 

   “อ่อ ..  !!!  มาแล้วหรอ ถ้ามาแล้วก็พาเพื่อนของพี่กลับไปซะ ไม่ต้องให้เค้ามาอยู่ใกล้ๆ เพื่อนผมอีก ออกไปทั้งคู่นั้นแหละ  ออกไป !!!  ออกไป ๆๆๆ !!!!”    ถึงมันจะตัวเล็ก แต่เสียงของมันก็ดังได้ใจเลยทีเดียว ตอนนี้พยาบาลที่อยู่ข้างนอกเริ่มเข้ามาแล้วเมื่อรู้ว่าเสียงมันคงจะดังเกินไป และอาจจะรบกวนคนไข้ที่อยู่ข้างนอกได้

   “เบสต์ .... พี่...”   เสียงของไอ้วัจน์ยังเครือด้วยน้ำตา

   “ทำไม จะบอกหรอว่าพี่ผิดไปแล้ว  จะบอกหรอว่าพี่จะขอโทษ  ...มันไม่ประโยชน์อะไรหรอกพี่วัจน์...  พี่ไม่รู้อะไรหรอก... พี่ไม่รู้อะไรเลยซักนิด  พี่ไม่ผิดหรอก  เพื่อนผมมันผิดเอง ตอนนี้มันใช้หนี้ให้พี่แล้วไง  จบแล้ว หมดแล้ว  ฮึก .... ฮึก...  แล้วพี่ก็ควรที่จะพอได้แล้วด้วย ...  เพื่อนเบสต์ทั้งคน ทำไมจะดูแลไม่ได้ ...

   ........เบสต์ดูแลต้องมานาน  ... พี่ไม่มีวันรู้หรอก ว่ามันนานขนาดไหน.....  ฮึก ฮือๆๆ   ออกไปซะ !!!! ออกไปจากที่นี่  แล้วอย่ามาหาเพื่อนเบสต์อีก” 

   “เบสต์..”  ไอ้วัจน์ถอยห่างออกไปเพียงนิดเดียวจากแรงผลักของไอ้ตัวเล็กตรงหน้า

   “ออกไป !!!  ออกไปๆๆๆ ฮือๆๆๆ ออกไป  !!!!” 
.
.
.
.
.
.

   “อาหมอบอกว่าไงบ้าง ...”   ผมถามไอ้วัจน์ หลังจากที่พยาบาล เรียกมันเข้าไปคุยเรื่องทั้งหมด  อาหมอของไอ้นันต์ ยังคงยินดีจะช่วย  ซึ่งทั้งผมและไอ้นันต์เองไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยอะไรได้เลยทั้งสิ้นก็เพราะเป็นคำสั่งของลุงธิน   ผมยังพอทราบมาบ้างว่าอย่างน้อยไอ้วัจน์มันก็ยังพอมีเงินเหลือต่างหากอยู่บ้างในธนาคาร ซึ่งเป็นชื่อของมันเอง  และลุงธินก็ไม่รู้  มันทำให้พวกผมพอเบาใจกันได้หน่อย

   “อยู่ดูอาการอีกซักวันสองวัน  ถ้าเอ็กซ์สเรย์ แล้วไม่มีอะไรผิดปกติก็กลับบ้านได้” 

   “มึงจะไปอยู่ไหนไอ้วัจน์ คอนโดมึง ...ลุงธิน..เค้า......”  ผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะรู้ว่าไอ้วัจน์มันคงรู้สึกไม่ดี

   “พ่อไม่รู้ ว่ากูอยู่คอนโดตรงนั้น ..มึงก็รู้   พ่อเค้าสนใจกูซะที่ไหนล่ะว่ากูจะไปสิงอยู่ที่ไหน  แค่ฟาดเงินให้กูใช้แค่นั้นแหละ”  มันพูดอย่างขมขื่น  ต่อให้มันแข็งแกร่งขนาดไหน  แต่สำหรับเรื่องครอบครัวมันมักจะน้อยใจกับเรื่องนี้เสมอ... พ่อไม่รัก

   “มึงก็อย่าคิดมาก....  บอกกู อะไรช่วยได้กูก็ช่วย”  ไอ้นันต์พูดเสริมขึ้นมาหลังจากที่มันจะเงียบอยู่เกือบทุกครั้ง

   “ไม่เป็นไร  ...  เดี๋ยวพวกมึงก็ต้องมาซวยเพราะกูอีก”

   “แล้วมึงจะมีเงินใช้หรอ รถมึงทุกคัน พ่อมึงยึดคืนไปหมด”

   “กูก็นั่งรถเมล์”  น้ำเสียงมันตอบขึ้นมาเหมือนง่ายๆ พวกผมมองหน้ากัน  ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยเห็นไอ้วัจน์มันจะนั่งรถเมล์ซักครั้ง

   “มึงพูดก็พูดง่ายไอ้วัจน์   .....  แล้วคราวนี้มึงจะทำไงต่อไป”   ไอ้นันต์ยังคงถามต่อไป  แต่สิ่งที่ผมจะถามไอ้วัจน์กับไอ้นันต์มันอีกเรื่องต่างหาก

   “กูไม่รู้  !!!” 

   “อืม.....  ไอ้วัจน์ กูถามอะไรมึงหน่อย ... ไอ้นันต์ด้วย”   ทั้งไอ้วัจน์และไอ้นันต์หันมามองหน้าผมเป็นตาเดียว  ไอ้นันต์เหมือนมันจะสงสัย  ส่วนไอ้วัจน์ผมว่ามันต้องรู้แน่นอนว่าผมจะถามอะไรมัน  มันเลยตอบขึ้นมาทันทีโดยที่ผมยังไม่ได้ถามซักนิด

   “เบสต์เป็นเพื่อนกับต้องตั้งแต่เด็ก มึงน่าจะพอคุ้นๆ ตอนไปบ้านกู เด็กที่เรียนด้วยกันตอนประถม เพื่อนสนิทของต้อง” 

   “แล้วทำไมดูเหมือนไอ้คนชื่อเบสต์อะไรนี่ ทำท่าทางเหมือนเกลียดกูมากอย่างนั้นแหละ...............กูกับมัน  เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”

   คราวนี้ไอ้วัจน์ไม่ได้มองหน้าผม  แต่หันหน้าไปมองไอ้นันต์แทน  จนผมได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากพวกมันทั้งสองคน และเท่าที่ผมรู้ คือทั้งไอ้วัจน์และไอ้นันต์ไม่เคยโกหกผม ......   แต่ครั้งนี้ ผมว่าไม่ใช่

   “ไม่เคยรู้จัก !!!!”

   ผมไม่ได้ถามอะไรกลับไปหาพวกมัน   และพยาบาลก็เดินมาพอดีด้วย  ไอ้วัจน์ย้ายมาอยู่ห้องใหม่ และช่วงตอนที่ไอ้วัจน์ทะเลาะกับพ่อของมัน อาหมอคนนี้ก็อยู่ด้วยพอดี ... ไอ้วัจน์โดนตัดหางปล่อยวัด  และด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลของพ่อไอ้นันต์ ทำให้มันได้อยู่ฟรี ทุกอย่างฟรีหมดจนกว่าอาการมันดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาลได้

   ช่วงตลอดระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา แม่ของน้องต้องจะมาเฝ้าดูอาการของต้องตลอด  รวมทั้งเพื่อนผมด้วย เกือบจะทุกเวลาที่ลุงธินกับป้าตาไม่อยู่  ไอ้วัจน์มันจะเข้าไปอยู่ในห้องของต้องเสมอ .... จับมือของต้องอยู่อย่างนั้น  ....  ผมไม่รู้ว่าต้องจะรับรู้ได้หรือเปล่า  ความรู้สึกของไอ้วัจน์จะส่งผ่านไปถึงไหม.... 

   ...........  ผมเคยเห็นมุมที่น่าสงสารของเพื่อนรักผมคนนี้ครั้งหนึ่ง ตอนที่มันต้องออกมาจากบ้าน เพื่อที่จะมาอาศัยอยู่กับลุงที่กรุงเทพฯ

   ........  ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมพอจะสัมผัสได้กับความรู้สึกแบบเดิมนั้นอยู่

   ถ้าเบสต์เป็นห่วงต้อง  ก็คงจะเป็นความรักที่เพื่อนมีให้กับเพื่อน  ถึงจะดูเกินเลยมากไปบ้าง แต่ความรู้สึกที่ผมพอจะรู้ได้  ก็คือความห่วงนั้นมันเหมือนเพื่อนห่วงเพื่อน หรือไม่ก็พี่ที่ห่วงน้อง .........มันเป็นแบบนั้น

   ที่ผมรู้ เพราะผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน  ผมห่วงไอ้วัจน์ ก็เพราะมันเป็นเพื่อน   แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็เกิดขึ้นมาเหมือนกัน ... ผมห่วงมัน เหมือนกับพี่ชายที่ห่วงน้อง

   วันนี้ก็อีกเช่นกัน  ผมเข้ามาในห้องที่ไอ้วัจน์พักฟื้นตัวอยู่ แต่มันกลับไม่อยู่ที่ห้อง  ซึ่งก็คงเดาไม่ยาก มันคงไปห้องของน้องต้องอีกแบบเดิม ทำให้ผมต้องเดินตามไป

แล้วก็จริงๆ  ไอ้วัจน์อยู่ในห้องของต้องแบบเดิมนั้นแหละ  ผมมองไอ้วัจน์ที่นั่งเหม่ออยู่ข้างเตียงเล็กๆ  เด็กคนหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติง ขนตาพริ้มบนเรียวดวงตาที่ปิดสนิทที่เหมือนกับคนนอนหลับธรรมดา  ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลยซักนิด

   
          แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง ที่รู้ว่าน้องคนนี้ที่ไอ้วัจน์มันบอกว่าคือคนที่มันรักที่สุด มีสภาพเหมือนเป็นเจ้าชายนิทรา  .................


   สาเหตุเนื่องจาก การให้เลือดในปริมาณที่มากเกินไป และเลือดบางส่วนไม่ได้ถูกนำไปเลี้ยงสมองได้อย่างเต็มที่ 

   ผลทำให้เขายังคงหลับสนิทอยู่อย่างนั้น ............. และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่ดวงตาคู่นั้นจะลืมตาขึ้นมา 

   “ก๊อก ๆๆ”  เสียงประตูถูกเคาะขึ้น พร้อมกับลูกบิดที่ถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคือ ลุงธินและป้าตา ที่ช่วงนี้ผมเห็นบ่อยเหมือนกัน  สำหรับป้าตานั้น ก็คือแม่ของน้องคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนั่นเอง

   ไอ้วัจน์ไม่ได้หันไปมองทั้งสองคนใหม่ที่เข้ามา  ........ไม่แม้แต่จะยกมือไหว้  ..  มือทั้งสองข้างของมันยังคงกุมมือเล็กๆ ซีดๆ ที่นอนอยู่บนเตียงนั้น

   ถัดเลยหลังลุงธินกับป้าตาไป  ก็มีน้องอีกคนซึ่งผมก็มาทราบตอนหลังเองว่าเป็นเพื่อนกับน้องต้อง  ........

   ......... น้องเขาชื่อ “เบสต์”  ............

   ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.... เหมือนน้องคนนี้เกลียดผมอย่างไงก็ไม่รู้.. จะยิ้มให้ ก็ไม่เคยได้รับการยิ้มตอบ ...

   .... หรือช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป... ผมเคยรู้จักน้องคนนี้กันแน่นะ

   .........ผมจำไม่ได้จริงๆ....

“แกอยู่ห้องไหน  ก็กลับไปที่ห้องแก  .... อย่ามายุ่งกับน้อง”   เพียงแค่ลุงธินเห็นไอ้วัจน์มันอยู่ในห้องนี้  ลุงเค้าก็เอ่ยปากไล่แล้ว

ไอ้วัจน์ไม่พูดอะไร จะทำก็เพียงแต่ปล่อยมืออกจากต้องเท่านั้น  ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ซึ่งตอนนี้ผมก็ไม่กล้าที่จะอยู่ในห้องนี้เหมือนกัน  ... ส่วนไอ้ตัวเล็กที่อยู่หลังลุงธินกับป้าตานั้นวันนี้รู้สึกว่ามันจะมาคนเดียว  ....

มันใส่ชุดนักเรียน ... นักเรียน ม. ปลาย ...... โรงเรียนเดียวกันกับโรงเรียนของผม

สิ่งที่สงสัยมันเป็นจริงๆ  ไอ้วัจน์กับไอ้นันต์ปิดบังอะไรผมบางอย่างเอาไว้

ไอ้ตัวเล็กนี่ผมต้องเคยรู้จักมันมาก่อนแน่ๆ  เพียงแต่ตอนที่ความทรงจำผมหายไปนั้น  ผมจำมันไม่ได้ และผมกับมันต้องรู้จักกันมาก่อน ...แต่จะรู้จักกันด้วยเรื่องอะไร  ผมจะพยายามจำมันให้ได้   

ช่วงที่เดินผ่าน มันไม่มองแม้กระทั่งหน้าผม ชุดที่ใส่อยู่ ชุดนักเรียน ม.ปลาย ทั้งๆ ที่หน้าตาน่าจะไม่เกิน ม. 3 หรือถ้าอย่างมากก็น่าจะเพียงแค่ ม. 3 เท่านั้น แต่ดูจากเข็มกลัด และการบอกตำแหน่งระดับชั้น ทำให้รู้ขึ้นมาทันที ว่ามันอยู่ ม. 5 แล้ว

หน้าตาอย่างมัน จะเป็นรุ่นน้องผมเพียงแค่ปีเดียวแค่นั้นหรอ  ... ไม่น่าจะใช่

เป็นเพื่อนกับต้อง ...แสดงว่าตอนนี้ต้องก็อยู่ ม. 5 ด้วยเหมือนกันอย่างนั้นหรอ ทำไมสองคนนี้มันถึงหน้าตาได้ดูเป็นเด็กกันทั้งคู่ขนาดนั้น... ไม่ต่างจากซิวเลย……  ซิวหรอ. ?  จริงด้วยซิ่ วันนั้นที่ผมฟื้นขึ้นมาครั้งแรก  เหมือนซิวจะพยายามพูดอะไรบางอย่างกับผม  แต่ก็ถูกไอ้นันต์กับไอ้วัจน์ห้ามเอาไว้ก่อนนี่นา  .... แสดงว่าซิวเองก็ต้องรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในช่วงเวลาที่ความทรงจำผมหายไป

ผมรีบแยกตัวเองออกมาจากไอ้วัจน์และไอ้นันต์ทันที  ก่อนที่จะขับรถพุ่งไปบ้านของซิว และเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึง  แต่ซิวตอนนี้กลับไม่อยู่ที่บ้าน เพราะว่าช่วงนี้ต้องไปอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งของลุงธินมากกว่า  ก็คงจะเพราะต้องการแยกไมให้ไปยุ่งกับไอ้วัจน์นั่นเอง... ลุงธินกันทุกอย่างเพื่อไม่ให้ไอ้วัจน์ได้ยุ่งกับใคร

ผมรีบคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรหาซิวทันที... แต่ปรากฏว่าผมไม่มีโทรศัพท์  จริงด้วยซิ่ !  ผมจะมีโทรศัพท์ได้ไงในตอนนี้ ก็ความรู้สึกสุดท้าย โทรศัพท์ของผมมันคือรุ่นเมื่อสองปีที่แล้วนี้ต่างหาก และตอนนี้โทรศัพท์ก็ไม่มี  ผมจะต้องหาตู้โทรศัพท์เท่านั้น 

...........จะขอก็เพียงแค่ว่าให้ซิวยังใช้เบอร์เดิมอยู่.....  ผมจำเบอร์ของซิวได้เสมอ แต่มันเป็นเบอร์โทรศัพท์เมื่อสองปีที่แล้วนี่ต่างหาก

....................ขออภัย  หมายเลขที่คุณเรียกยังไม่เปิดให้ใช้บริการ..........

ซิวเปลี่ยนเบอร์แล้ว ผมจำได้เพียงแค่เบอร์ของซิวเท่านั้น ส่วนไอ้วัจน์กับไอ้นันต์ผมจำไม่ได้  จะมีเพียงอย่างเดียวตอนนี้ก็คือกลับไปที่บ้านของตัวเองก่อน  และลองค้นๆ ดูเผื่อผมจะมีเบอร์ของซิวจดเอาไว้  และอาจจะพอจำๆ อะไรได้บ้าง  ตอนนี้ถ้าจะขอเบอร์โทรของซิวกับไอ้วัจน์และไอ้นันต์ มันคงไม่ให้แน่ๆ

ที่บ้าน  ผมยังพักอยู่ห้องเดิม เพียงแต่มันเปลี่ยนลักษณะการจัดห้องไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง

ผมนั่งหน้าคอมฯ ทันที อันดับแรกคือต้องเช็คเมลล์ก่อน  ผมไม่รู้ว่าสองปีที่ผ่านมานี้ผมใช้เมลล์ตัวไหนอยู่ แต่ถ้าเป็นแบบเดิมทุกครั้งคงไม่มีปัญหาอะไร  คอมฯ ของผมมันจะมีทั้งชื่อเมล์  และก็พาสเวิดส์อยู่ในนั้นพร้อม

และตัวเดียวกันนี้  ผมคงจะใช้เข้า msn  ด้วย  ถ้าเอ็มที่ผมเล่นมันจะมีสองตัว  ว่ากันง่ายๆ ก็คือ  เอ็มตัวหนึ่งเอาไว้คุยกับเพื่อน  เพียงแค่ซิว  ไอ้วัจน์ และไอ้นันต์เท่านั้น

ส่วนอีกเมลล์ มันก็คงจะเกิดจากนิสัยหลีคนไปทั่วของผมซึ่งคงจะแก้ไม่หายแน่ๆ ภายในสองปีที่ผ่านมา  แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้  เมลล์ผมมีอยู่สองเมลล์จริงๆ  เมลล์แรกที่เปิดออกไปและเข้า msn  พร้อมกัน  มีเพียง  ซิว  ไอ้นันต์ และไอ้วัจน์แค่นั้น

..........ไม่มีใครออนอยู่ซักคน.....

ผมเก็บหน้าต่างของ msn  เอาไว้ตรงมุมของจอ ก่อนจะไล่ดูไปเรื่อยๆ ในหน้า  Desktop  ก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากเดิมมากนัก จะมีก็เพียงแค่เกมส์ใหม่ๆ ที่ผมคงเคยเล่น  รายงานที่ผมต้องส่งอาจารย์  ภาพต่างๆ ที่เวลาไปเที่ยวที่ต่างประเทศ หรือไปเที่ยวกับเพื่อน

ส่วน  Forder สุดท้ายนี่ผมไม่เคยเห็น

Forder  นั้น เขียนเป็นคำสั้นๆ  ว่า  “ของเล่น” 


   
   
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:35:43
ตอนที่ 24
 

   
            ผมไม่ได้ตกใจกับ Froder  ที่ไม่รู้จัก แต่ความสงสัยมันมีแน่นอน  หากแต่คลิกเข้าไป มันไม่มีไฟล์อะไรเหลืออยู่ซักไฟล์เดียว  ข้อมูลสุดท้ายของ Froder นั้น ผมลบไฟล์ที่มีอยู่ไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว

                ............  มันคงไม่ใช่ไฟล์สำคัญอะไรนัก ..............

                ช่วงหลายวันที่ผ่านมา จะมีเพียงแค่ผม  ไอ้นันต์ แล้วก็ซิวเท่านั้นที่จะอยู่กันช่วงพักเที่ยงในโรงเรียน  ส่วนไอ้วัจน์ ถ้าเที่ยงเมื่อไหร่ หรือวันไหนก็ตามที่ลุงธินไม่ได้เข้ามาในกรุงเทพฯ มันก็จะเข้าไปอยู่กับต้องที่โรงพยาบาล  คุณหมอบอกแต่เพียงว่าโอกาสที่ต้องจะฟื้นนั้นมีแน่นอน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะฟื้นขึ้นมา  ถึงแม้ว่าเลือดที่นำไปเลี้ยงสมองนั้นไม่พอในวันนั้น  แต่ช่วงแกนสมองก็ไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนอะไรมากนัก 

   ลุงธินยังคงที่จะไม่คุยกับไอ้วัจน์  แต่ผมก็เชื่อว่าซักวันเดี๋ยวเขาก็ต้องคุยกัน  พ่อลูก ให้อย่างไงก็คงจะตัดกันไม่ขาด เรื่องราวต่างๆ ที่มันผ่านมา ถึงผมจะไม่รู้อะไรแน่ชัดนัก แต่สิ่งเท่าที่ได้ยินมาจากซิวและไอ้นันต์  ดูแล้วไอ้วัจน์มันก็คงจะทำกับต้องมากเกินไป  ทั้งๆ ที่ใจของมันก็ไม่ใช่แบบนั้นแต่ก็ดูเหมือนเรื่องราวความซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากเรื่องระหว่างสองครอบครัว  เส้นใยบางอย่างนั้นมันยังคงที่จะทำให้ความรู้สึกของไอ้วัจน์นั้นไม่ได้หายจากไป

   “ต้องเป็นไงบ้าง” ผมถามไอ้วัจน์ที่นั่งเหม่ออยู่เพียงคนเดียว ช่วงระยะหลังๆ มา  ถึงแม้หมอจะบอกว่าต้องอาจจะมีสิทธิ์ฟื้น แต่ยิ่งนานวันเข้า จนผ่านไปเกือบเดือนแล้วแต่ก็ไม่มีทีท่าเลยว่าต้องจะฟื้นขึ้นมาได้

   “ก็เหมือนเดิม”  คำตอบซ้ำๆ ทุกครั้งที่ผมได้ยินจากมัน ไม่ได้บอกว่าต้องอาการดีขึ้น หรือทรุดลงไป  คำตอบก็คือ เหมือนเดิม

   “วันนี้มึงจะไปหาต้องหรือเปล่า” 

   “ไป”

   “อืม.........ไอ้วัจน์”  ไม่รู้จะถามดีไหม  แต่ผมก็อยากรู้คำตอบจากมันเหมือนกัน

   “มีไร !!!” 

   “ถ้าต้องไม่ฟื้น......  มึงจะทำไง”

   “................”

   “วัจน์”

   “กูไม่รู้ .... กูรู้อย่างเดียวว่าถ้าต้องฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไหร่กูจะไม่ปล่อยไปไหนอีก กูจะไม่ให้นัญไปจากชีวิตกูอีก”

   “มึงทำอะไรต้องมากกว่าที่ซิวกับไอ้นันต์เล่าให้กูฟังหรือเปล่า”   ผมถามมันในสิ่งที่สงสัย  เรื่องบางอย่างทั้งของมันและของผม  เหมือนกับมีบางอย่างที่พวกมันพยายามปิดผมเอาไว้  ... ไอ้วัจน์ไม่ได้ตอบ  แต่ย้อนถามผมมาอีกครั้ง

   “แล้วซิวกับไอ้นันต์เล่าอะไรให้มึงฟังบ้าง”

   “ไอ้นันต์แทบจะไม่บอกอะไร ส่วนซิวก็เอาแต่บอกว่าให้มาถามมึง  กูอยากรู้ว่ามันอะไรกันแน่...  ไอ้วัจน์มีคนเล่าให้กูฟังแล้วนะ ว่ามึงกับกูรถคว่ำด้วยกัน ....  มึงกับกูก็ขับรถเก่งกันทั้งคู่ เป็นไปได้ไงที่รถจะคว่ำ มันมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า”   ผมคะยั้นคะยอที่อยากจะได้คำตอบ  ... ไอ้วัจน์นิ่งเงียบไปนาน  เหมือนจะไม่ยอมพูดอะไร  แต่จนแล้วจนรอด เสียงแผ่วเบาที่ออกมาจากปากมัน

   “กู.... กับมึง  เราสองคนออกไปตามหานัญ  ...นัญหนีกูออกไปจากที่คอนโด ไม่ยอมมาเรียน  กูหาจนทั่ว ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด  จนกูต้องจ้างนักสืบ พ่อกับเมียใหม่พ่อกูเค้าก็ตามหา แต่ไม่มีแววว่าจะเจอ...  คืนนั้นที่กูกับมึงรถคว่ำ  กูไม่ได้นอนติดกันหลายคืน ....  กูมาฟื้นอีกทีก็ที่โรงพยาบาล มึงฟื้นก่อนแต่ความทรงจำมึงหายไปเกือบสองปี  กูฟื้นขึ้นมาทีหลังเพราะกูขาดเลือด และคนที่ให้เลือดกูก็คือนัญ  .......”

   “.......................”  เพียงแค่นี้ผมก็คิดอยู่แล้วว่าไอ้วัจน์มันคงรู้สึกผิด แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้ลุงธินกับป้าตาโกรธมันได้มากขนาดนั้น

   “แต่ก่อนหน้านั้น...  มึงรู้ไหมไอ้เอกกูเอานัญมาขังไว้ที่ห้องกู  ให้ไปเรียนได้แต่ให้มาอยู่กับกูที่คอนโด  กูโกหกพ่อว่ากูรักน้องเหมือนเดิมแล้ว  และกูจะดูนัญมันเองในระหว่างช่วงที่เรียน  เพราะเรียนโรงเรียนเดียวกัน  พ่อเค้าเชื่อว่ากูจะทำเช่นนั้น  และคงคิดว่ากูกลับเป็นคนดีเหมือนเดิม  แต่ไม่ใช่..... กูแค้นแม่ของนัญมัน เพียงแต่กูทำอะไรแม่มันไม่ได้...  ทุกอย่างนัญมันจึงได้รับ”

   สิ่งที่ผมสงสัยและพอรู้อยู่แล้วว่าไอ้วัจน์เองก็คงไม่ต่างไปจากผมนักเรื่องความรักสนุกแบบวัยรุ่นทั่วไป แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้วัจน์มันทำอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า .... และมันก็ใช่

   “....  กูบังคับนัญให้มีอะไรกับกูเกือบทุกคืน.... และเกือบทุกครั้งที่มันทำให้กูโมโห”

   “วัจน์ !!!”     ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไป เพราะคิดอยู่แล้วว่าคนอย่างไอ้วัจน์มันทำแน่ๆ แต่ผมไม่คิดว่าคนที่มันทำจะคือคนที่มันอยากเจอมาตลอดชีวิต

   “ให้กูทำไงวะเอก !!!  มันบอกมันเกลียดกู  .... มึงเข้าใจไหมว่ามันเกลียดกู เจอกันทุกครั้งมันเอาแต่พูดคำนี้ ..  ให้กูทำไงล่ะ  กูรักมันนะโว้ย !!!  แต่มันเกลียดกู  ... มันเกลียด..... มันเกลียดกู ....ฮึก !!!  ฮึก..”   

   เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของมันไหล เพื่อนผมคนนี้มันแกร่งซะยิ่งกว่าใคร แต่ครั้งนี้มันร้องไห้ และนับครั้งได้ที่มันจะมีน้ำตาออกมา    ไอ้วัจน์มีผู้หญิงมาให้เลือกมากจนไม่ซ้ำหน้า ซึ่งกับผมก็พอๆ กัน แต่จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้อยู่ว่ามันรอใครอยู่  ....  เพียงแต่คนที่มันรอบอกว่าเกลียดมันก็เท่านั้น... 

   “แล้วนัญมันก็กลับมา กลับมาเพื่อช่วยให้กูฟื้น .... แต่ตัวมันเองกลับต้องมาเป็นแบบนี้  ...มึงจะให้กูทำไง ... มึงรู้อะไรไหมเอก ช่วงระหว่างที่กูยังไม่ฟื้น มันเหมือนกับกูฝันอยู่ตลอด  .. นัญมันร้องไห้ต่อหน้ากู ทั้งสองมือมันกอดกูเอาไว้   และมันก็พูดอยู่ตลอดว่ามันขอให้กูตื่นขึ้นมาเหมือนเดิม  มันขอให้กูยกโทษให้มันในสิ่งที่มันเคยทำเอาไว้  .... เอก .. กูไม่รู้ว่ามันคืออะไร  คนที่ทำไม่ใช่มัน แต่คนที่ทำร้ายมันกลับเป็นกูต่างหาก  ... กูคนเดียวล้วนๆ มันอยากให้กูฟื้นขึ้นมา  แต่ตัวมันเองกลับไม่อยากตื่น.... ทำไมมันไม่ตื่นขึ้นมาล่ะ...  มันไม่อยากเจอหน้ากูแล้วหรอ  ... มันไม่รักกูเหมือนตอนเด็กๆ แล้วหรอวะ...  กูอยากให้มันตื่นขึ้นมา ... กูรักมันนะ กูรักมันมาก” 

   ผมไม่ได้ปลอบมัน  เพราะรู้ว่าปลอบไปก็ช่วยอะไรมันไม่ได้   ...  ไอ้วัจน์มันอยากนั่งคนเดียวซักพัก ซึ่งผมก็เห็นด้วยเหมือนกัน  บางทีการที่ปล่อยให้มันอยู่กับตัวเอง  ผมก็ว่าดีเหมือนกัน  ช่วงเวลาบ่ายผมกันมันไม่ได้เข้าเรียนทั้งคู่ ...  ความทรงจำที่หายไป ทำให้ส่งผลต่อเรื่องการเรียน  วิชาใหม่ๆ ผมไม่ค่อยรู้จัก  มันทำให้การเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ  ของผมมันหายตามไปด้วย  แต่ก็มีหลายๆ  คนเคยบอกว่าผมค่อนข้างหัวไวเสมอกับเรื่องพวกนี้

   ห้องสมุดที่ผมเคยมาเดินเมื่อตอนม. 4  ยังคงไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมากนัก  เว้นก็แต่บรรณารักษ์ที่รู้สึกจะเป็นหน้าใหม่ ไม่รู้ว่ามาอยู่ตำแหน่งนี้ได้นานแค่ไหนแล้ว  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจอะไรมากนัก  นอกเสียจากเด็กคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้า  ถ้ามองเพียงผิวเผินอาจจะคิดว่าเป็นเพียงเด็กม.ต้น  ไม่ม. 2 ก็ ม. 3  แต่ถ้าสังเกตดีๆ  ถึงได้รู้ว่ามีเข็มกลัดติดเป็นลักษณะของเด็กม.ปลายอยู่  .......  เพื่อนของต้องอยู่ตรงนั้น  ...เหมือนกำลังค้นหาหนังสืออะไรซักอย่าง

   “... เจอกันอีกแล้ว.. น้องเบสต์ใช่ไหมครับ”    ผมทักพร้อมกับส่งยิ้มให้  แต่เด็กนั่นกับสะดุ้งจนตกใจ  หันหน้ามองมาทางผม ไม่ทักตอบ แต่กลับถอยหลังหนีไปก้าวหนึ่ง  ก่อนจะวางหนังสือเล่มนั้นแล้วเดินหนีออกไป...  มันเกลียดผมจริงๆ  หรือมันไม่ชอบขี้หน้าผม หรือว่าเพื่อนผมเป็นต้นเหตให้เพื่อนของมันยังไม่ฟื้นขึ้นมา  เหตุผลมันคืออะไรกันแน่ ... 

   “ทำไมเจอหน้ากัน น้องเบสต์ต้องหนีพี่ด้วย”   ขาเล็กๆ ของมันพยายามเดินหนีผมให้ออกห่าง แต่ผมไวกว่า แค่เพียงแป๊บเดียว ผมก็เข้าไปดักหน้ามันได้แล้ว .. ตรงนี้เป็นมุมทึบของหนังสือชั้นบน และเป็นกลุ่มหนังสือทางวิทยาศาสตร์กายภาพ  จะมีเพียงแค่กลุ่มนักเรียนวิทย์เท่านั้นที่เข้ามาใช้หนังสือของชั้นนี้ .. ช่วงนี้เป็นเวลาเรียน  แทบจะไม่ค่อยมีคน  ชั้นนั้นทั้งชั้น แถมยังมุมอีกต่างหาก จึงไม่ต่างอะไรกับผมและมันอยู่กันเพียงแค่สองคนเท่านั้น

   “เบสต์ไม่ได้หนีพี่ .. เบสต์มาหาหนังสือต่างหาก.. ถอยด้วย” 

   “ถ้าไม่หนีแล้วเดินออกมาทำไม  พอเบสต์เห็นพี่ เบสต์ก็เดินออกมา  ถ้าไม่หนีก็ต้องอยู่ที่เดิมซิครับ” 
   “ก็บอกว่าไม่ได้หนี   มาหาหนังสืออยู่  พี่ถอยเบสต์ได้แล้ว”  เสียงของมันดังขึ้นเรื่อยๆ จนคนข้างนอกอาจจะได้ยิน  ผมปล่อยให้มันเดินหนีออกไป แต่ก็ยังเดินตามไปเรื่อยๆ  จนมันมาหยุดอยู่ในมุมของหนังสือวิทยาศาสตร์กายภาพ

   “น้องเบสต์เรียนสายวิทย์หรอครับ”  ผมถามมันต่อ   แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น......

   “.........................” 

   “พี่ก็เรียนวิทย์  พี่ติวให้ป่าวครับ”   จะติวให้มัน ทั้งที่ความรู้ผมกับเด็กม. 4 มันเท่ากันเลย  ทางที่จริงถ้าจะเอาให้ถูก ผมควรให้เบสต์มันติวให้ผมมากกว่า

   ............ใช่ซิ  ติว.......  อาจารย์ที่ปรึกษาจะเป็นคนหานักเรียนรุ่นน้องที่เรียนสายวิทย์ ช่วยติวแล้วก็ทบทวนเรื่องความจำให้ผมนี่

   ... ได้การล่ะ.... !!!!

   “น้องเบสต์ครับ.. พี่มีธุระ พี่ไปก่อนนะ....”    มันคงจะงง  อยู่ดีๆ ผมก็บอกมัน  อยู่ดีๆ  ก็ไม่ตามราวีมันต่อ  แต่ผมมีทางแล้วนี่นา  55555  คราวนี้  ให้มันรู้กันไปว่าคนอย่างไอ้เอกจะเก่งขนาดไหน

   เรื่องตื้อ ผมไม่เป็นรองใคร

   ตื้อแล้วติดเสมอ

   แต่ถ้าตื้อแล้วไม่ติด ก็ใช้กำลัง... ง่ายๆ  ไม่ยาก

   จุดมุ่งหมายของการวิ่งออกมาจากห้องสมุด ผมรีบดิ่งเข้าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาผมทันที และก็แน่นอน ดูอย่างหน้าตาของเบสต์แล้ว ผมคิดว่าถึงจะไม่เรียนเก่งอะไรมากนัก แต่ก็คิดอยู่แน่นอนว่าอาจารย์ที่ปรึกษาผมคงจะไม่มีปัญหาอะไร หากผมจะเป็นคนบอกเองว่าให้น้องคนนี้มาช่วยติวการเรียนให้ผมสำหรับวิชาที่ความทรงจำมันหายไป

   ........ แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้  ... อาจารย์ที่ปรึกษาผมอนุญาต  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดมันมากกว่าเดิม ผลการเรียนในระดับชั้นของนักเรียน ม. 5  เบสต์กับต้อง  ผลัดกันเป็นที่ 1 ของชั้นปีตลอด

   ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยที่อาจารย์ผมจะไม่เห็นด้วย  คนที่เป็นที่ 1 ของชั้นปีมาสอนให้  ผมแค่บอกว่าอยากให้น้องคนนี้มาช่วยสอนให้ ก็ได้รับคำตอบอย่างง่ายดาย

   แผนเล็กๆ  สำเร็จ

   ไอ้ตัวเล็กนั้นมันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธแน่นอน  ถ้าเลือกเวลาได้  เวลาเย็นคงจะเหมาะ

   .......  ถ้าได้ใกล้ชิดมัน  ผมจะต้องจำบางอย่างได้แน่นอน ... แต่ดูท่าทางใช่ย่อย  อยากจะปราบเหมือนกันกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมา  แต่สำหรับไอ้เด็กคนนี้ ลองเล่นไม้อ่อนดูบ้าง  เผื่อมันจะใจอ่อนยอมบอกผมว่าอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงที่ผมจำอะไรไม่ได้   ขืนถ้าเล่นไม้แข็งมันคงไม่ปริปาก

   ...ถ้าเป็นคนอื่น  ผมจัดการเอาให้อยู่หมัดไปแล้ว แต่นี่มันมีเหตุผลแล้วก็ความจำเป็น..ยอมให้ซักคนแล้วกัน
   เวลาช่วงบ่ายผมกลับไปเรียนเหมือนเดิม ซิวกับไอ้นันต์ ยังคงอยู่เรียนด้วยกันกับผม จะขาดก็แต่ไอ้วัจน์เท่านั้นที่หายไปเหมือนเดิม บางที วิชาไหนที่ไม่สำคัญ ถ้ามันโดดได้มันก็จะโดด  โดดเพื่อที่จะไปเฝ้าต้อง

   คาบวิชาเรียนต่อไป เป็นของอาจารย์ที่ปรึกษาผมเอง ฟิสิกส์ แล้วก็เป็นจริงๆ อย่างที่คิดเอาไว้ อาจารย์ที่ปรึกษาผมไม่ได้มาแค่คนเดียว  แต่พาเด็กนักเรียนรุ่นน้องมาด้วยหนึ่งคน  .... ตัวเล็กๆ  หน้ากลม ตาโตๆ หน่อย  แต่หน้าบึ้งมาเชียว   คงรู้แล้วล่ะซิ่  ว่าถูกเรียกให้มาทำอะไร...   

   ผมเพิ่งจะสังเกตหน้ามันชัดๆ ก็ตอนนี้   ไอ้น้องเบสต์อะไรนี่หน้าตามันน่ารักแต่ดูเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย  แถมผมยังสังเกตเห็นผู้หญิงหลายคนในห้องยังมองมาที่น้องเบสต์นี่อีก   ผู้หญิงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พวกผู้ชายเพื่อนผมหลายคนก็จ้องมองมาที่มันเหมือนกันนี่ซิ่ ..... ชักไม่ชอบใจแฮะ  !!!!

   และก็เพียงแป๊บเดียว  หลังจากที่ทำความเคารพอาจารย์เสร็จ  อาจารย์ก็พาผมออกไปนอกห้องทันที  คงจะไม่อยากให้เพื่อนๆ รู้เรื่องอะไรกันมากนัก

   “คนนี้หรอนายเอกสิทธิ์... ที่เธออยากให้ครูช่วยตามมาช่วยสอนให้เธอน่ะ”

   “ครับ.... จาน”  ....  ผมยิ้มให้อาจารย์แบบกว้างขวาง และจริงใจ แถมดีใจอีกต่างหาก ที่แผนเล็กๆ ที่ทำเอาไว้มันสำเร็จไปหนึ่งขั้น

   “อาจารย์.. ฉันเป็นอาจารย์ ไม่ใช่จานบ้าจานบออะไรของเธอ  เรียกให้มันถูกๆ  เดี๋ยวก็ตบบ้องหูเอาให้ความจำเสื่อมอีกรอบหรอก”    อาจารย์ที่ปรึกษาผมโหดเสมอ  แต่โหดแบบนี้ก็ไม่ว่ากัน  วันนี้อาจารย์ผมน่ารักที่สุด

   “อ่า...  ครับอาจารย์ น้องคนนี้แหละครับ  เรียนเก่ง น่ารัก  แถมใจดีอีกต่างหาก ....ใช่ไหมครับน้อง.. น้องอะไรนะครับ พี่จำชื่อไม่ค่อยได้”  ...ผมยักยิ้มให้นิดหน่อย  ก่อนจะยักคิ้วให้เต็มที่กับน้องเบสต์  .... แกล้งไม่รู้จักชื่อซะงั้น  ... สนุกละทีนี้

   “อาจารย์ครับ... ผมไม่เก่ง  อีกอย่าง ผมคิดว่าคงจะไม่มีเวลาสอนพี่เค้าด้วย  ...อาจารย์เปลี่ยนคนดีกว่านะครับ  นะอาจารย์ครับ .”    อ้าว  .. !!!  ไม่พูดกับผม  แถมยังไปขออาจารย์ไม่สอนผมอีก  นอกจากมันจะไม่ค่อยอยากคุยกับผมแล้ว  เหมือนเกลียดผม  แถมยังแล้งน้ำใจกับผมอีกนะเนี่ย... อะไร หน้าตาน่ารักซะเปล่า... ผมไม่เคยไปทำอะไรให้ซะหน่อย

   “หนึ่งเดียว  เธอเก่งที่สุดในชั้นปี  นี่ถ้าต้องชนัญเค้าไม่ป่วย  แล้วช่วงนี้ครูก็งานยุ่งด้วย  ไม่อย่างนั้น  ครูคงจะสอนให้ไอ้ลิงนี่เอาบุญอยู่หรอกนะ  ... ช่วยครูหน่อยเถอะ นึกว่าสงสารลูกหมาตาดำๆ ดูซิ่น่ะ  ยืนทำตาปริบๆ อยู่”   เอ่อ .... อาจารย์ครับ  ให้ผมเป็นทั้งหมา ทั้งลิงเลยหรอ  เอาน่ะ.. ไม่ว่ากัน  ถ้าอาจารย์จะว่าผมเป็นตัวอะไรก็ได้  แม้กระทั่งตัวกินไก่ ผมก็ยอม  ถ้าให้ไอ้ตัวเล็กข้างหน้านี่สอนผมได้นะ  เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าชื่อจริงมันชื่อหนึ่งเดียว  เอ้อ  ชื่อเพราะแฮะ  55555

   “...........เอ่อ..  อาจารย์  คือผม... ผม...........”   มันทำท่าจะปฏิเสธอีกแล้วววววว

   “อาจารย์ครับ... ดูซิ  น้องเค้าเกลียดผม น้องหนึ่งเดียวเค้าไม่อยากสอนผมอ่ะครับ  อาจารย์ช่วยหน่อยนะครับนะ ... ถ้าอาจารย์บอกให้น้องเค้าสอนผม  ผมต้องกลับมาเก่งเหมือนเดิมแน่ๆ เลยครับอาจารย์”  นี่...มันต้องเล่นลูกอ้อนซะหน่อย  ผมพูดขึ้น พร้อมกับนั่งคุกเข่าข้างๆ อาจารย์ บีบนวดเป็นการใหญ่ เอาใจซะหน่อย   นวดให้อาจารย์ไป พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์นิดหน่อยให้ไอ้ตัวเล็กที่ยืนอยู่  .... มันขึงตาเข้ามาหาผม ... กลัวตายล่ะ ตัวเท่าลูกหมา

   “เธอไม่ว่างหรือ ... ตอนเย็นๆ ก็ได้นะ   ไอ้เจ้านี่มันว่างตลอดเวลาอยู่แล้ว ..............ใช่ป่าวนายเอก”  อาจารย์พูดกับไอ้ตัวเล็กนั่น แต่คำพูดสุดท้ายหันมาถามผมแบบทันควัน ผมก็ตอบกลับไปทันใจอีกเหมือนกัน  ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย

   “ครับอาจารย์  ตอนเย็นผมว่างเสมอ  จะได้ไม่กวนไม่เสียเวลาเรียนตามปกติด้วย ดีเลยครับ น้องหนึ่งเดียวครับ  สอนพี่หน่อยเหอะครับ นะครับ นะๆๆ”  อ่ะ เปลี่ยนคนอ้อนบ้าง 

   “อาจารย์ครับ... คืออ.......ผม....”   มันตะกุกตะกัก  เตรียมจะค้านผมอีกแล้ว

   “น้องหนึ่งเดียวครับ  ..... พี่จะตั้งใจเรียนกับน้องเลย นะ  นะครับนะ.. สอนพี่เหอะ  นะครับสัญญาจะไม่เกเร”    ผมยิ้มให้มันอีกที  แต่เป็นยิ้มแบบกวนๆ  นิดๆ  ซึ่งมุมที่อาจารย์นั่งอยู่ตรงนี้ไม่มีทางเห็นเด็ดขาด  มันขึงตามาหาผมแบบเดิม แต่พออาจารย์สบตามัน  หน้ามันรีบกลับมาเรียบร้อยแบบเดิมทันที  ฮ่าๆๆ  สะใจครับ

   “ตอนเย็นเธอไปไหนหรือ ....”   อาจารย์ถามมันตรงๆ แล้ว  ดูซิจะเลี่ยงอย่างไง

   “เอ่อ....  คือ”   อ่ะ..จะปฏิเสธ

   “ถ้าว่างก็ช่วยพี่เค้าหน่อย  นึกว่าเอาบุญ   ตกลงได้ไหม”   อ่ะหือ ... ทำบุญให้ผมจริงๆ

   “เอ่อ....ครับ...ก็ได้”    ฮ่าๆๆๆ สุดท้ายมันก็ตกลง   เรียบร้อย  แผนของผมสำเร็จ  ได้ใกล้ชิดเข้าไปอีกหน่อย แต่หลังจากนี้มันก็ต้องอาศัยความสามารถของผมเองว่าจะสามารถรู้ความลับที่ทั้งเพื่อนผม และตัวมันเองปิดบังกันได้ขนาดไหน  สำหรับผมเองมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกบางอย่างเท่านั้น  ความรู้สึกที่จำไม่ได้ แต่ก็รู้ว่ามันมี 

   .
   .
   .
   .
   .

“ก็พี่ไม่ยอมอ่าน มัวแต่จ้องอะไรก็ไม่รู้ พี่จะรู้เรื่องไหมล่ะ”  เสียงเล็กๆ ของมันดุผม แต่ทำไมมันไม่น่ากลัวเลยซักนิดเลยล่ะ  แถมนี่ก็เป็นวันแรกด้วยที่มันสอนผม ถึงจะยอมลงทุนขับรถมาถึงบ้านมันเองเลยก็ยอม ... ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร  รู้แต่เพียงว่าต้องมา เพียงมองแค่ภายนอกผมก็รู้แล้วว่าบ้านของมันนี่รวยไม่ใช่เล่น รวยกว่าบ้านผมอีกมั้ง

                “ก็พี่อ่านไม่รู้เรื่อง  เบสต์สอนรู้เรื่อง แต่หน้าตาของเบสต์มันทำให้พี่ไม่รู้เรื่องต่างหาก” 

                “ไม่รู้เรื่องได้ไง” 

                “ก็น้องเบสต์น่ารัก.... พี่เลยอ่านไม่รู้เรื่อง”

                “...............”  ทำไมแก้มมันแดงจัง

                “................น้องเบสต์ครับ”   เสียงอ่อนลงหน่อย  เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะอ้อนไม่เป็น

                “..........มีไร !!!”  คำพูดที่ถามกลับมาแบบห้วนๆ ของมัน มันเหมือนกับกลบเกลื่อนอาการบางอย่างมากกว่า

                “ทำไมน่ารักจัง !!!” 

                “.......”  มันกำลังจะอ้าปากพูดกลับมา ไม่รู้ว่าจะพูดหรือจะด่าอะไรผมแบบเดิม  แต่ถ้าเผอิญไม่มีเสียงโทรศัพท์ของมันเข้ามาแทรกเสียก่อน  มันรีบลุกเดินหนีผมออกไปทางข้างหลังบ้าน  ก่อนที่จะหายลับเข้าไปทางด้านมุมของบ้าน ไอ้ผมก็เป็นซะอย่างนั้นด้วยซิ่  อยากรู้อยากเห็น อยากจะรู้ว่าใครที่เป็นคนโทรมาหามัน  สังเกตจากอาการลุกลี้ลุกลนแบบนั้น  คงเป็นคนสำคัญแน่ๆ  มันยังยืนอยู่มุมของตัวบ้านไม่ห่างออกไปนัก ทำให้ผมแอบฟังได้อย่างชัดเจน

                “ครับ”  ... 

                “ครับพี่....”

                “หลวงพ่อเค้าให้เบสต์ไปตอนไหน” 

                “พรุ่งนี้วันเสาร์เบสต์หยุด  เบสต์ไปคืนนี้เลยก็ได้ เบสต์อยากรู้.... อยากให้ต้องหายไวไว” 

                แค่แอบฟังแค่นี้ก็พอรู้เหมือนกัน  หลวงพ่ออะไร แล้วมันจะไปไหน ทำไมต้องรีบเดินทางไปด้วยเบสต์มันคงจะห่วงเพื่อนแล้วก็รักเพื่อนคนนี้มาก  อาจจะมีความหลังอะไรกันมาก่อนที่ผมเองก็จำไม่ได้

   เสียงที่มันคุยโทรศัพท์อยู่อีกซักพัก  ทำให้ผมยังคงแอบฟังอยู่ตรงนั้น  เรื่องอื่นอาจจะจับใจความไม่ได้มากนัก เรื่องสำคัญนั้นมันก็มีอยู่เรื่องเดียวคือคืนนี้มันจะต้องไปแถวๆ หนองคาย  ไกลขนาดนั้น มันจะไปได้ไง  ให้คนที่บ้านขับไปให้หรอ หรือมันจะขึ้นเครื่องไป  หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ผมก็แค่ไม่อยากปล่อยให้มันไปคนเดียวแค่นั้นเอง

   “.....พี่เอก  !!!!” 

   “ครับ ..   น้องเบสต์จะไปไหนหรอ”  ผมพูดถามมันทั้งๆ ที่รู้ว่ามันจะไปไป  สีหน้าซีดๆ ของมันก็คงจะตกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้ 

   











   






หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:36:18
“...เปล่า  ไม่ได้ไปไหน .....วันนี้พี่กลับบ้านไปก่อนได้เปล่า เบสต์มีธุระ”

   “ธุระอะไร”  ผมถามรุกมันต่อ ในขณะที่มันกำลังจะเดินหลบไปอีกทาง แต่มันไม่สามารถทำได้ เพราะผมปิดทางเดินเอาไว้ไม่ให้มันหนีไปทางไหน   

   “..............” เล่นลูกเงียบ  ไม่ตอบ

   “จะไปไหน”   มันไม่มองหน้าผม แถมเอาแต่พยายามที่จะเดินๆ หนีอย่างเดียว 

“จะไปไหนมันก็เรื่องของเบสต์...พี่ไม่เกี่ยว”   

........... มันไม่ยอมบอกความจริง ทั้งๆ ที่ผมก็รู้แล้ว  ...  ไม่ได้โมโหอะไรมันมากหรอกครับ แต่ไม่ชอบที่มันทำท่าทางแบบนี้  ... จัดการซะหน่อย  มันจะเป็นอะไรกันเชียว

“ไม่ต้องไป”  ก็ลองดูหน่อยและกันว่าแรงของมันจะมาสู้อะไรกับแรงของผมได้  ....  ตัวเล็กๆ แค่นี้ ดึงกลับมานิดเดียวก็อยู่หมัดแล้ว

“โอ๊ย !!!”  มันร้องทันทีที่ผมกระชากแขนมันกลับ ...  มันจะอะไรกันนักหนา  ... ผมชักอยากจะรู้เหมือนกันว่าช่วงที่ผมจำอะไรไม่ได้อยู่อย่างนี้  ผมกับไอ้เบสต์นี่เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า 

...ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก มันก็บอกแถมเยาะเย้ยผมอีกต่างหากเรื่องความจำเสื่อมนั่น

ถ้าเคยรู้จักกัน  ...ผมกับมันรู้จักกันในสถานะภาพอะไรล่ะ

“คุยกันให้รู้เรื่องก่อน.... ทำไมเจอพี่ทุกครั้ง น้องเบสต์ต้องหนีพี่ตลอด..  พี่เคยไปทำอะไรให้หรือเปล่าครับ... บอกพี่มาดิ  !!!”

แค่ถามไปแค่นั้น  แต่สายตาของมัน หน้าตาของมัน อย่างกับเคียดแค้นผมมาซักชาติหนึ่งก็ไม่ปาน  ไอ้ตัวเล็กนี่มันใช้สายตาขู่ผมหรอ  ..ตลกชะมัด


“ไม่เคย...เบสต์กับพี่ไม่เคยรู้จักกัน...  เบสต์ไม่ได้เกลียดพี่ แต่ไม่อยากยุ่ง เข้าใจไหม !!!  เบสต์ไม่อยากยุ่งกับพี่ ปล่อยๆ ๆๆ”   

“ถ้าเบสต์ไม่เกลียดพี่ เบสต์ก็ต้องให้พี่พาไปซิครับ  หนองคายมันไม่ใช่ใกล้ๆ เบสต์จะไปไง  ขึ้นเครื่องไปหรอ  แล้วไปต่อแบบไหน  ถ้าหากเบสต์บอกว่าเบสต์กับพี่ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเป็นอะไรกันตอนที่พี่ความจำเสื่อม  เบสตก็ต้องให้พี่พาไป”

ดวงตามันเบิกกว้างขึ้น  ตกใจเหมือนกับที่ผมรู้ว่ามันจะไปไหน ก่อนที่จะปรับสถานการณ์ได้ทัน  สติของมันก็ยังดีอยู่เหมือนกันนะ  ถึงรู้ว่าผมจับผิดมันได้ แต่ก็เหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไร

“ทำไมผมต้องให้พี่พาไป  ไม่เห็นเกี่ยวกันซะหน่อย”

“เกี่ยว.. เบสต์จะได้พิสูจน์ความจริงของคำพูดเบสต์ไง  ... พี่ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเบสต์ถึงดูเหมือนเกลียดพี่นักหนา ... ถ้าเราไม่รุ้จักกัน เบสต์ก็ต้องไม่เกลียดพี่ซิ่”

   “เบสต์ไม่ได้เกลียดพี่ .. แต่เบสต์ไม่อยากยุ่ง ไม่ต้องมายุ่งกับเบสต์”   มันพูดพร้อมกับสะบัดข้อมือผมออก แต่มือเล็กๆ แค่นั้นมันไม่มีทางที่จะสลัดได้หรอก

   “พี่จะยุ่ง.. !!  คนไหนที่พี่อยากยุ่ง พี่ก็จะยุ่ง  จะเอาไง ให้พี่ไปส่งดีๆ หรือว่าจะต้องบังคับ  อย่าลืมนะครับว่าพี่ทำได้ตลอด” 

   ไม่รู้ว่ามันกลัว หรือเพราะอะไรกันแน่  ข้อมือที่มันจะพยายามสะบัดออกตอนนี้กลับนิ่งเฉย  แต่สายตามันไม่ใช่  ...  เสียงที่พี่พูดออกมาของมันชัดเจนไปทุกคำที่ผมได้ยิน  บางครั้งเหมือนมันพูดออกมาจากใจจริงๆ

   “พี่มันบ้า  เหมือนคนบ้า ....  ไม่ว่าความจำพี่จะดี  หรือความจำพี่มันหายไป แต่จิตใต้สำนึกของพี่มันก็ยังไม่เปลี่ยน” 

   ....... “เบสต์..” 

   “ถ้าอยากจะไปก็ไป เบสต์ห้ามพี่ไม่ได้ ..  แต่จำเอาไว้ว่าทุกครั้งที่พี่พูด  พี่ทำ  มันคือสิ่งที่พี่บังคับเบสต์ตลอด พี่กับเพื่อนพี่นิสัยมันก็ไม่ต่างกันหรอก บางที.....  เบสต์ยังอยากจะหลับไปกับต้องเลยด้วยซ้ำ .... จะได้ไม่ต้องมาจำเรื่องอะไรที่มันชั่วๆ  ที่พวกพี่ทำกันเอาไว้.....”

   เรี่ยวแรงของผมมี  แต่มือมันปล่อยเบสต์ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้.....  เรื่องชั่วๆ ที่ผมทำ  เรื่องชั่วๆ ที่เพื่อนผมทำ ... คงเป็นไอ้วัจน์... ทำอะไรไว้ล่ะ อยากจะถามกลับไปเหมือนกัน แต่ผมก็เพิ่งรู้สึกเหมือนกันนั้นแหละ ว่าอาการของคนที่น้ำท่วมปากมันเป็นอย่างไร  ....  เพียงแค่เดินตามหลังมันไปช้าๆ เบสต์ไม่หันกลับมามองผม  แต่จุดมุ่งหมายเป็นที่รถของผมเอง อย่างน้อยก็ยังดี ที่มันไม่ขัด  มันไม่ดื้อ   ผมอ้อมเข้าไปนั่งตรงที่คนขับ ส่วนมันก็เข้ามานั่งข้างๆ กัน 

   ความเงียบปกคลุมไปตลอดทาง   ....  เราสองคนออกมาจากกรุงเทพฯ ก็เกือบเย็นๆ แล้ว  ปกติ ถ้าขับดึกๆ ขนาดนี้ ผมจะมีอาการง่วงบ้าง แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น สมองมันตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา  ไม่จำเป็นต้องพึ่งกาแฟ ..... สำหรับไอ้เด็กข้างๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันมากับผม ......... ถามคำ  ..........ตอบคำ   

   ตลอดระยะทางที่ผมมา  ด้วยความที่ว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเกี่ยวกับเรื่องรถ ทำให้ผมต้องขับช้าลงกว่าปกติ ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ขับรถเร็วเท่าที่ความทรงจำมันยังพอจำได้  ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอีกครั้ง ผมยังไม่ห่วงตัวเองเท่าไหร่หรอก  แต่ไอ้คนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ นี่ซิ่ ...ถึงจะเพิ่งรู้จักมัน แต่ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน

   เสี้ยวหน้าด้านข้าง  ใบหน้าด้านหนึ่งคอพับไปยังอีกฝั่ง แก้มป่องๆ ที่โผล่พ้นออกมาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้  .... ตอนหลับเหมือนกับลูกแมวตัวน้อย ที่เชื่องๆ  แต่พอตื่นขึ้นมา  ทั้งสายตา ทั้งท่าทางดุอย่างกับเสือ เพียงแต่เป็นเสือที่ไม่ค่อยจะมีเขี้ยวเล็บแค่นั้นเอง  ....

   “เบสต์... เบสต์”   ผมปลุกมันขึ้นมาเมื่อเกือบจะเข้าถึงตัวเขตจังหวัดหนองคาย ตีสี่กว่าๆ ไม่เคยขับช้าอะไรขนาดนี้มาก่อน  สิบกว่าชั่วโมงที่ออกมาจากกรุงเทพฯ  มาถึงตรงนี้ผมก็ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ จนต้องปลุกมันขึ้นมาเพื่อให้มันบอกทาง

   เส้นทางที่มันบอกมาเรื่อยๆ ดูมันทุรกันดารสิ้นดี  ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมารู้จักกับหลวงพ่อรูปนี้ได้อย่างไร แล้วไอ้คนที่คุยด้วยเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาก็คงจะเป็นคนในวัดนั้นแหละ  อาจจะเป็นเพื่อนหรืออาจจะเป็นใครซักคนก็ได้ที่มันรู้จัก

   บริเวณวัดเงียบสงบ สมกับเป็นวัดต่างจังหวัด บรรยากาศตอนรุ่งสาง  ผมเปิดประตูรถออกมาข้างนอก ยืดเส้นยืดสาย เพื่อเปลี่ยนอาริยาบทหลังจากที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งมาเกือบตลอด เพื่อเป็นสารถีขับรถให้กับไอ้ตัวเล็กที่ยืนห่างออกไป และกำลังจะเดินไปกุฏิหลังหนึ่งด้านในสุด  แต่ก็ใหญ่สุดเช่นกัน

   พระรูปนั้นเห็นเป็นเพียงเงารางๆ นิดเดียว จีวรที่ท่านห่มเป็นสีเปลือกไม้น้ำตาลเข้ม ทำให้รู้ว่าเป็นพระป่าสายปฏิบัติรูปหนึ่ง  ผมมองหน้าท่านเพียงแค่แวบเดียวแต่ก็รู้สึกคุ้นเสียเหลือเกิน

   “มากันแล้วหรือ.....”   น้ำเสียงพูดช้าๆ เจือไปด้วยความเมตตา  ที่เปล่งออกมา มันเหมือนกับสะกดให้ผมกับเบสต์ต้องคุกเข่า แล้วก้มลงไปกราบท่านอยู่ตรงนั้น  รองเท้าท่านไม่ได้สวม เดินเท้าเปล่า  ไม่ได้พูดอะไร แต่เดินนำหน้าออกไป พร้อมกับถือบาตร ... กิจของสงฆ์ยามเช้าที่พระพึงปฏิบัติ  ก็คือบิณบาตรนั่นเอง  แต่ผมกลับไม่เห็นลูกศิษย์คนไหนซักคนที่จะเดินไปด้วย

   “ไปเถอะ....  เช้าๆ ที่นี่อากาศดีกว่าเมืองกรุง  ...  คิดซะว่าทำบุญกับพระ ไหนๆ ก็มากันแล้ว ไปบิณบาตรกับอาตมา  เป็นเด็กเมืองกรุงกันทั้งคู่ วันนี้ลองมาเป็นเด็กวัดกันหน่อยจะเป็นไร”

   เบสต์มันไม่หันมามองหน้าผม  แต่ยิ้มให้กับหลวงพ่อ  ยิ้มของมันที่ผมไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก  มันลุกขึ้นพร้อมกับหิ้วปิ่นโตที่วางไว้อยู่ข้างบันไดมาสองเถาใบใหญ่ๆ ก่อนจะเดินตามหลวงพ่อออกห่างไป  ...ผมทำอะไรไม่ถูก  ก็เพียงแค่เดินตามไปแค่นั้น  ทั้งๆ ที่ตอนนี้มันเริ่มง่วง แต่เมื่อมีอะไรแปลกใหม่ความง่วงนั้นก็เริ่มหายไป  ...  ผมแย่งปิ่นโตที่ไอ้ตัวเล็กด้านหน้านั้นมาอย่างถือวิสาสะ  มันทำท่าขู่ผม ... น่ากลัวตายล่ะ

   “ถือให้..”

   “ไม่ต้อง !!!!”

   “ก็บอกว่าถือให้”

   “ก็บอกว่าไม่ต้อง”

   “เอ๊ะ .....” 

   “เอ๊ะ....”   ผมเอ๊ะตาม

   “พี่เอก”  ....

   “ครับน้องเบสต์”   มันเรียกชื่อผม ผมก็เรียกชื่อมัน  กัดกันซะหน่อยตอนเช้า จะได้หายง่วง

   แต่ก็ต้องมาเงียบทั้งสองคน เมื่อหลวงพ่อท่านทำเสียกระแอมเบาๆ  เหมือนกับให้รู้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่ผมกับมันเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้  แต่ยังมีท่านอยู่ด้วย ...อาการสำรวมจะต้องมีกันบ้าง

   ตลอดระยะทางเดินที่ผมกับเบสต์ เดินไปกับหลวงพ่อ  ผ่านทั้งทุ่งนา ก่อนจะเข้าตัวหมู่บ้านเล็กๆ  ด้านหลังซึ่งผมก็เพิ่งจะสังเกตได้เห็นในตอนเช้านี่เองว่ามันคือภูเขาสูงๆ

   ญาติโยมที่มาทำบุญ  เหมือนกับเป็นกิจวัตรประจำวันตอนเช้า  แทบจะทุกหลังคาเรือน ที่ออกมาใส่บาตรตอนเช้ากัน บ้านเรือนที่ห่างไกลความเจริญ บ้านเมืองที่ไม่มีแสง สี เสียง นอกจากแสงของตะเกียง  ที่ผมพอเห็นได้จากทางใต้ถุนบ้านที่ยกสูงเอาไว้  เสียงที่ได้ยินก็มีแต่เสียงเหมือนวัว ควายที่เจ้าของบ้านแต่ละหลังเลี้ยงเอาไว้ กับเสียงเด็กเล็กๆ ที่ตื่นมาเล่นแต่เช้า  อากาศที่นี่เย็นโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด เบสต์มันเคยมาเที่ยวที่นี่หรือไงนะ  ดูมันมีความสุขจัง  แถมชาวบ้านที่นี่บางคนยังทักมันเหมือนกับเคยรู้จักมันมาอย่างนั้นแหละ

   ผมเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ก่อน  เดี๋ยวกลับไป กรุงเทพฯ ค่อยถามมันก็ได้

   ระยะเวลาช่วงขากลับ เรากลับมาอีกเส้นทาง เหมือนเดินทางเป็นวงกลม  วัดนี้เป็นวัดเล็กๆ  ผมแทบจะไม่เห็นพระรูปอื่นเลย นอกจากหลวงพ่อรูปนี้ รูปเดียวเท่านั้น .....  ผมกับเบสต์เอาปิ่นโตวางไว้ตรงแคร่ด้านบน แต่เหมือนเบสต์มันจะเหม่อลอยอะไรบางอย่าง ทำให้ปิ่นโต เถาบนสุดนั้นล่วงหล่นออกไปจากมือ  ....เสียงปิ่นโตกระทบลงพื้น

   “เคร้ง....  !!!!” 

   ...  แต่เหมือนกับว่ามันไปกระทบอะไรบางอย่างมากกว่า

   หน้ามันซีดยิ่งกว่าตอนที่ผมดุมันเสียอีก  กับข้าวนั้นล่วงกระจายเต็มพื้น แต่เบสต์กับเอามือกอบกับข้าวนั้นเข้ามาที่ปิ่นโตใหม่อีกครั้ง  รู้ก็รู้อยู่ว่ามันกินไม่ได้แล้ว กับข้าวที่ผสมกับขี้ดินนั้นให้เต็มไปหมด  ...แค่กับข้าวร่วงแค่นั้น แต่มันกลับร้องไห้

   “ฮึก....ฮือๆ”   มันร้องไห้ กับแค่กับข้าวร่วงแค่นี้เนี่ยหรอ  .....

   “มันรวมกันไม่ได้  ....อะไรที่มันไม่มีทางเป็นไปได้ก็อย่าไปฝืน”   หลวงพ่อท่านหมายถึงกับข้าวกับดินที่มันผสมกันนั่นใช่ไหม

   “ฮึก...ฮึก..”  มันร้องไห้อยู่   แต่ก็ยังคงกอบกับข้าวนั้นเก็บต่อไป 

“เค้ายังไม่อยากตื่น...  ถ้าตื่นขึ้นมาแล้ว หากบุญของเขายังพอมีเหลือ... เขาก็จะจำคนที่ชื่อวัจน์หรือชื่อธิวไม่ได้  กรรมบางอย่างมันถูกตัดขาดออกจากกัน หนี้ที่เพื่อนของโยมทำเอาไว้ มันเบาบางลงไปแล้ว”

หลวงพ่อท่านพูดอะไรขึ้นมา ผมไม่เข้าใจ หมายถึงต้องใช่ไหม  ถ้าต้องฟื้นขึ้นมา  ต้องจะจำเพื่อนผมไม่ได้อย่างนั้นหรอ ...ทำไมกันล่ะ  ...หรือว่าต้องเจอสภาพเดียวกับผม  ..แต่นั้นมันหมายความว่าถ้าต้องฟื้นใช่ไหม

“ลูกอยากให้ต้องฟื้น... ลูกถึงมาหาหลวงพ่อ”  นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอาสาขับรถมาให้มัน .... ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมต้องนอกจากเจอไอ้วัจน์แล้ว  ผมต้องเจอเพื่อนของต้องคนนี้อยู่ตลอด   ผมรู้สึกถูกชะตากับเพื่อนของต้องคนนี้เหมือนกัน  คนที่ชื่อเบสต์ เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นทุกครั้งที่จ้องมองมาทางผม มันทำให้ผมรู้สึกหวั่นๆ อย่างไรบอกไม่ถูก

“อาตมาช่วยอะไรเพื่อนของโยมไม่ได้....  ตัวเขาไม่อยากที่จะตื่นเสียเอง  ... เป็นใครก็คงห้ามไม่ได้...”

“ลูกคิดถึงเพื่อน  ลูกอยากให้ต้องฟื้น...”    ทำไมมันถึงรักเพื่อนของมันคนนี้มากนัก... ทั้งคอยอยู่เฝ้า ทั้งคอยดูแลสารพัด จนบางทีผมยังคิดเหมือนกันว่าระหว่างเบสต์กับต้องความสัมพันธ์มันเป็นแบบไหนกันแน่

“เขาไม่ใช่น้องของโยมแล้วนะ...”  หลวงพ่อท่านพูดอะไร เบสต์กับต้องเป็นพี่น้องกันหรอ ...เท่าที่รู้มาผมว่ามันไม่ใช่

“ลูก... ลูกทำอะไรไม่ถูกแล้ว” 

“ปล่อยไปเรื่อยๆ  ซักวัน ถ้าเค้าอยากตื่นขึ้นมา  มันจะมีบางสิ่งบางอย่างดลใจให้เขาตื่นขึ้นมาเอง ปล่อยไปเถอะ”

“....ฮึก....ฮึก...”  ผมว่าเบสต์มันคงเป็นคนที่ร้องไห้ง่ายมากๆ  อะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้แล้ว  และมันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย

“ห่วงตัวเองบ้าง โยมต้องเข้มแข็งเสียก่อน  .......ถ้าโยมไม่เข้มแข็ง โยมจะช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้...   ”   หลวงพ่อท่านหยุดพูดเพียงแค่นั้น  ก่อนที่จะพูดกับเบสต์ต่อไป  เพียงแต่กลับหันหน้ามองมาทางผมแทน สิ่งที่หลวงพ่อท่านพูด  ผมไม่เคยเข้าใจ

“ส่วนโยม  ............. อนาคตข้างหน้า  ปืนที่โยมยิงเป็นมาตั้งแต่เกิด  กระสุนนัดต่อไป... ขออย่าให้มันเกิดขึ้นอีกเลยตลอดชีวิตของโยม  อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตนั้นไว้เถอะ”

ท่านกล่าวจบ  เบสต์ก้มลงกราบที่พื้น แต่ผมไม่ทำ  ท่านเดินหันหลังเข้าไปที่กุฏิหลังนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมก้าวขาไม่ออก หรือว่าผมเคลือบแคลงสงสัยกับสิ่งที่ท่านพูด  แต่กว่าจะเดินตามไป ท่านก็เดินลับหายเข้าไปในกุฏิหลังนั้นแล้ว  ก้าวที่เดินไปแต่ละก้าวของท่านผมมองไปจนทุกขณะ.... สิ่งที่ว่าท่านพูดขึ้นมานั้นผมก็ว่างง จนไม่รู้จะงงอย่างไงแล้ว  แต่สิ่งที่ทำให้งงหนักกว่าเดิมนั่นก็คือ

กุฏิที่ท่านเดินเข้าไปนั้นมีเพียงแต่ทางเข้าที่ท่านเข้าไป  ทางเข้า... ทางออกคือทางเดียวกัน  ผมเดินไปตามเพื่อที่จะขอให้ท่านพูดให้กระจ่างชัด

..... แต่ตัวท่านกลับหายไปเฉยๆ ในกุฏิไม่มีใครอยู่ซักคน....
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:42:53
ตอนที่ 25

เคยมีคนพูดให้ผมได้ยินว่า วันเวลาของแต่ละคนนั้นผ่านไปย่อมไม่เท่ากัน  สำหรับใครที่มุ่งหวังถึงอนาคต และอนาคตนั้นมันสวยงาม  วันเวลามันก็คงจะผ่านไปอย่างช้าๆ ทำให้ทุรนทุรายจนกว่าจะถึง   ส่วนอนาคตข้างหน้าถ้ารู้แน่ว่ามันน่ากลัวเหลือเกิน  มันก็คงจะดูเหมือนเวลานั้นจะมาถึงไวเหลือเกิน

แต่สำหรับผม มันอยู่ระหว่างเสี้ยวของอนาคต  ปัจจุบัน และก็ยังคงไม่ลืมอดีตที่มันผ่านมา  ใครจะไปรู้ ลูกคนรวยระดับประเทศขนาดนี้  จะต้องมานั่งรถเมล์ฟรีในเมืองหลวง มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันผมซะแล้วมั้ง และก็ขอก้มหน้ายอมรับกรรมตรงนั้นไปเรื่อยๆ  เงินที่พอมีติดตัวอยู่บ้าง หลังจากที่ไปสมัครหางานทำช่วงระหว่างตอนเย็นหลังเลิกเรียน พนักงานเสริฟร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่เป็นกึ่งผับไปในตัวด้วย แต่พวกพี่ๆ เขาก็ใจดีอยู่บ้าง  ทำให้ผมพอมีเงินที่ใช้ชีวิตในประจำวันได้

พ่อให้เงินเพียงแค่ค่าเล่าเรียน กับค่าเช่าห้องพักซึ่งมันเล็กซะกว่าห้องน้ำห้องเก่าที่ผมเคยอยู่เสียอีก แต่ก็ยังดี  ถึงไงผมก็มั่นใจเสมอว่าผมคือลูกของเค้า  และเค้าก็คงตัดผมไม่ขาดหรอก เพียงแต่อะไรหลายๆ อย่างที่ผมเคยมี ตอนนี้มันไม่มีก็เท่านั้น

“สวัสดีครับพี่ภา”

“อ้าวน้องวัจน์  มานี่ก่อน  มากินไรก่อนมา เดี๋ยวค่อยออกไปจัดโต๊ะข้างนอกนะ”  เสียงของผู้หญิงร่างเล็กๆ เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ คนที่ผมนับถือคนหนึ่ง  เป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะเหมือนกัน อย่างน้อยสวรรค์ก็ไม่ได้ลงโทษผมมากไปนัก  ที่ทำให้ได้พบกับผู้หญิงใจดีคนนี้  เพื่อนที่เคยมีผมไม่ได้ห่างหายไป เพียงแต่ในเวลานี้ไม่มีใครเลยที่ช่วยผมได้ นอกจากตัวเอง  สำหรับไอ้เอกและไอ้นันต์  โดนถูกสั่งห้ามหมดจากทางผู้ใหญ่ทั้งของผมเองและทางของพวกมัน ยิ่งซิวยิ่งแล้วใหญ่ ญาติที่ใกล้ชิดกันพยายามตลอดที่จะหลบคนแล้วคนเล่าหยิบยื่นความช่วยเหลือมาหาผม  แต่ผมเองกลับที่ไม่ยอมรับมันเอาไว้  เงินทองทุกวันนี้สำหรับชีวิตประจำวัน  มันมาจากงานที่ต้องทำล้วนๆ

“หืม...หอมจัง  อะไรครับเนี่ย” 

   “อาหารบ้านๆ พะแนงไก่จ๊ะ  อย่าบอกนะว่าไม่เคยกิน” 

   “อ่า....ครับ   เผ็ดไหม”   ผมไม่ชอบทานอะไรเผ็ดซักเท่าไหร่  มันอาจจะติดมาจากชีวิตที่เคยอยู่มาด้วยล่ะมั้ง

   “ไม่เผ็ดจ้า  นี่มันออกเป็นแกงกะทินะ ลองชิมซิ ยังไม่มีใครมากันซักคน วัจน์นี่มาก่อนใครเพื่อนทุกวันเลย”  ผมไม่ได้พูดโต้ตอบกลับแกไป เพียงแต่หยิบช้อนที่อยู่ทางด้านหลังของห้องอาหารนั้น พร้อมกับตักข้าวมา  ฝีมือกับข้าวของพี่ภาอร่อยเสมอ ทำให้ผมหมดห่วงเรื่องอาหารมื้อเย็นไปได้หนึ่งมื้อเลยทีเดียว  ประหยัดเงินไปได้อีกหน่อย  ......  ย้อนนึกถึงแต่ก่อน จะกินอะไร กินแบบไหน ผมสามารถดลบันดาลได้ทุกอย่าง เพียงแค่รูดบัตรแป๊บเดียว มันก็สามารถทำได้แล้ว  แต่ตอนนี้  ถ้าจะเปรียบหน้ามือกับหลังฝ่าเท้ามันคงจะห่างกันไม่มากนักหรอก

   “อร่อยครับ....  ถ้าขืนไปแบบนี้ทุกวันผมอ้วนแน่ๆ เลย”   ผมพูดกระเซ้าแกไป  ด้วยความใจดีของแก และเอ็นดูผมเหมือนน้องคนหนึ่งทำให้ผมอบอุ่นบ้างที่อยู่ทำงานที่นี่

   “อ้วนอะไร.... ผอมจะแย่อยู่แล้ว  นี่ผอมกว่าตอนที่พี่เจอครั้งแรกอีกนะ” 

   “หรอครับ”  ผมถามแกกลับไป ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่ามันก็คงใช่ แก้มที่ดูตอบลง ผมตัวสูงอยู่แล้ว ช่วงนี้มันเลยดูยิ่งผอมหนักเข้าไปใหญ่ มันคงเกิดจากหลายสาเหตุเช่นกันว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนั้น  ทั้งเรื่องที่บ้าน เรื่องเรียน และที่สำคัญ

   ......  คนๆ นั้น เขายังไม่ยอมที่จะตื่นขึ้นมาเสียที.....

   “วัจน์  !!”

   ผมหันหลังกลับตามเสียงที่เรียก  ทำให้หลุดออกมาจากภวังค์เศร้าๆ นั้นได้  ผมได้เพื่อนใหม่และพี่ๆ ใหม่ที่นี่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่ภาเอง  หรือจะไอ้แจ๊ค ไอ้เบ้ รวมไปถึงแฟนของพี่ภาด้วย ที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกได้ไม่นานนี้เอง

   “ครับพี่จักร” 

   “เดี๋ยวช่วยบอกพี่ภาหน่อยนะ วันนี้มีแขกจองโต๊ะยาว  20 ที่ จัดวันเกิด”

   “ครับ”

   “เอ้อ.....  วัจน์”   เสียงพี่จักรยังคงเรียกผมต่อหลังจากที่ผมเดินหันหลังให้พี่แกแล้ว

   “ร้องเพลงเป็นด้วยหรอ”

   “......เอ่อ....ครับ  ก็พอได้”

   “แล้วเล่นกีตาร์เป็นหรือเปล่า”

   “ครับ....ก็พอได้.” ทางที่จริงผมว่าผมก็เล่นกีตาร์ได้ระดับนึงเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่อยากออกตัวมากเกินไปก็เท่านั้นเอง   สำหรับร้องเพลง ถึงมันจะไม่ได้เพราะอะไรมากนัก  แต่ก็พอที่จะทำให้คนอื่นฟังคล้อยตามได้บ้าง

“เดี๋ยววันนี้ขึ้นไปบนเวทีหน่อยแล้วกัน .... พวกนักดนตรีที่พี่นัดเอาไว้ดันเบี้ยวซะงั้น”

   “โห  ... !!!  ดีหรอครับพี่ ... ผมไม่อยากไล่แขกของพี่ภานะ”

   “ ฮ่าๆๆ ไม่หรอก  ......  เอาๆ ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน  ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว  ลองขึ้นไปร้องซักเพลงดิ นั้น  เอากีตาร์พี่ก่อนก็ได้  ลองๆ ดู ตอนนี้แขกยังไม่เข้าร้าน พี่จะลองทนฟังดู”

   ผมว่านอกจากพี่ภาจะใจดีแล้ว สำหรับพี่จักรเองก็ใจดีอยู่เหมือนกัน  เท่าๆ ที่ฟังมาจากที่พี่ภาเคยเล่า พี่จักรคนนี้ก็ลูกคนรวยเหมือนกัน ประมาณว่าลูกเจ้าของโรงแรมอะไรเลยประมาณนั้น เพียงแต่ผมก็ไม่ค่อยอยากจะสนใจมากนัก ลูกคนรวย แต่ทำตัวธรรมดาๆ  ถ้าไม่รู้ตื้นลึกหรือพื้นฐานอะไรของพี่เค้าแล้ว  ก็เหมือนผู้ชายเดินดินธรรมดาทั่วไปนี่เอง

   “เอางั้นเลยหรอพี่”

   “เออ...เอางั้นเลย ลองๆ  เดี๋ยวให้ค่าจ้างพิเศษ ถ้าร้องดี เล่นเพราะ ไม่ต้องเสริฟอาหาร แต่งตัวหล่อๆ ร้องเพลงอย่างเดียว  เงินดีกว่าเด็กเสริฟ ไม่สนหรือไง”  แต่ก่อนผมคงเฉยๆ  แต่เดี๋ยวนี้ แค่สิบบาท ยี่สิบบาท ผมว่ามันก็คุ้มแล้วกับการที่ได้เงิน นึกถึงแล้วก็ตลกตัวเองชะมัดเหมือนกัน

   “ครับๆ  ได้เลย  ถ้าเป็นเรื่องเงินซะอย่าง ไอ้วัจน์คนนี้ยอมเสมอ”   

   ผมไม่รอช้า รีบเดินขึ้นไปบนแสตนท์เวที  ก่อนจะคว้ากีตาร์ที่พี่จักรอนุญาตให้ใช้ได้ตามสบาย  เพลงที่เลือก มันก็เป็นเพียงเพลงๆ หนึ่งที่คิดว่ามันคงเหมาะกับผมในช่วงเวลานี้

บางทีคนเราคิดอะไรได้ บางครั้งก็อาจจะสายเกินไป  แต่ผมเพียงแค่หวังอยู่ลึก ว่าซักวันมันจะแก้ไขตรงนั้นได้  ไม่มีใครรู้อนาคตข้างหน้า  และถ้า ...... กว่าจะรู้..... ก็ขออย่าให้มันสายเกินไป


ไม่มีคำว่ารัก จากใจที่ด้านชา
น้ำตาใครจะไหลไม่แคร์ ก็รักเป็นแค่เกมส์  แค่เกมส์ของผู้แพ้
 หัวใจใครอ่อนแอ ก็ช้ำไป
แต่สุดท้ายใจคน ที่คิดว่ามันแน่
ก็ต้องแพ้ยับเยินให้กับคำคำนี้ 
กว่าจะรู้  จะซึ้งถึงคำว่ารัก ก็ต้องรอจนวันที่มันไม่เหลือใคร 
ฉันเพิ่งรู้ตัว  วันนี้ ว่าขาดเธอ........เหมือนขาดใจ
ว่าฉันรักเธอแค่ไหน เมื่อไม่มีเธอ

กี่วันที่ผ่านพ้น กี่คนบนเส้นทาง ไม่มีใครติดค้าง คาใจ 
ก็มีเพียงแต่เธอห่างกันไปตั้งไกล หัวใจยังไม่วาย  คิดถึงเธอ
ฉากสุดท้ายของคนที่คิดว่ามันแน่ ก็คือแพ้ยับเยิน ให้กับเธอคนนี้
กว่าจะรู้  จะซึ้งถึงคำว่ารัก ก็ต้องรอจนวันที่มันไม่เหลือใคร
 ฉันเพิ่งรู้ตัว  วันนี้ ว่าขาดเธอเหมือนขาดใจ ว่าฉันรักเธอแค่ไหน เมื่อไม่มีเธอ

ว่าชีวิตเลวร้าย แค่ไหน  ............ เมื่อไม่มีเธอ

เพลงจบลงไปแล้ว  .... แต่ไม่มีเสียงปรบมือจากใครซักคน  พี่ภาพอจะรู้เรื่องราวของผมอยู่บ้าง น้ำตาของผู้หญิงบางครั้งก็ออกมาได้แบบง่ายดาย  ส่วนพี่จักรนั้นเอาแต่นั่งยิ้ม และคงมองไม่เห็นคนข้างๆ แอบน้ำตาซึมอยู่นิดๆ  แค่มองตาพี่จักรผมก็รู้แล้ว  วันนี้ผมคงไม่ได้เป็นเด็กเสริฟแล้วแหละ  แต่คงได้เลื่อนขั้นขึ้นมาอีกหน่อย  อย่างน้อยเป็นนักร้องก็ยังดี  เงินก็ได้เพิ่มขึ้นด้วย

   กว่าร้านจะปิดก็ซัดไปเกือบเที่ยงคืน   นอนดึกตื่นเช้า เริ่มเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้ว ขอบตาเริ่มคล้ำขึ้นเรื่อยๆ  กลางวันบางช่วง ถ้าผมไม่แอบไปที่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่ก็จะแอบเข้าไปหลับในห้องพยาบาลเสมอ 

   สำหรับคืนนี้มันก็ผ่านไปอีกหนึ่งคืน  พี่จักรกับพี่ภาขับรถกลับบ้าน และผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้อาศัยนั่งมากับพี่เขาทั้งสองเพื่อกลับบ้านด้วย เพราะเป็นเส้นทางที่ผ่านพอดี  เพียงแต่ว่าผมไม่ได้กลับเข้าไปที่ห้องพักก่อนก็เท่านั้นเอง  ทุกคืน ผมจะให้พี่จักรจอดรถแถวๆ หน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง........  ผมยืนได้เพียงแค่หน้าโรงพยาบาลเท่านั้น ..แต่ไม่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปได้

   ............โรงพยาบาลที่ต้องยังคงนอนหลับอยู่..........

   ท้องฟ้าในค่ำคืนของกรุงเทพฯ มันแทบจะไม่มีดาวให้มองเห็นเอาเสียเลย  เสียงคนและเสียงรถยังคงจอแจอยู่อย่างนั้น  ถ้าใครผ่านไปตอนกลางคืน ก็คงเห็นผมที่ยังคงยืนอยู่อย่างนั้นเกือบชั่วโมง  สายตาเหม่อมองไปยังบนอาคารผู้ป่วยแห่งหนึ่งของโรงพยาบาล  ผมกับต้อง ตอนนี้ห่างกันเพียงแค่รั้วกั้น มือไม่ได้จับที่ลูกกรงของพยาบาล อากาศกรุงเทพฯ บางคืนช่วงนี้ก็หนาวเหมือนกัน สองมือผมล้วงกระเป๋ากางเกงเอาไว้  ความหนาวภายนอก มันสู้อะไรไม่ได้เลยกับความหนาวเหน็บที่อยู่ภายใน  .....

   บ่อยครั้งที่ผมน้ำตาไหลออกมาโดยปราศจากเสียงสะอื้น  ....  เมื่อคิดในทางเหตุร้ายที่ว่า ต้องจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกเลยตลอดชีวิต  ...... แต่ผมอยากให้เขาตื่นขึ้นมา

   .............ตื่นขึ้นมาเรียกพี่ธิวคนนี้อีกสักครั้ง................

   ถ้าวันนั้นมันมาถึงจริงๆ  ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหนอีก  ผมจะยอมทำทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเกลียดผมขนาดไหนก็ตาม  จะให้ผมตายต่อหน้า  หรือแลกด้วยชีวิตผมเองผมก็ทำ ...ขอหวังเพียงแค่ให้เขาฟื้นคืนมา

   ผมเลือกหอพักที่ค่อนข้างห่างจากที่โรงเรียน  การเดินทางเกือบสองชั่วโมงไปกลับ  ทุกๆ วัน แต่ผมก็เริ่มชิน  หอพักห้องนี้ก็ไม่ได้ใกล้ที่ทำงานนัก  เพียงแต่มันใกล้กับโรงพยาบาลที่ต้องนอนอยู่  ....  ผมกลับมาห้องอาบน้ำเสร็จ  กินข้าวที่ซื้อเข้ามาจากหน้าปากซอย  ข้าวร้านป้าที่ผมฝากท้องประจำ ถ้าเกิดไม่อิ่มขึ้นมาในช่วงดึกๆ  จากร้านของพี่ภา  ข้าวเปล่ากับแกงที่ราดมาในกล่องเพียง  25 บาท  มันก็ทำให้ผมอิ่มได้ไปอีกหนึ่งมื้อ ก่อนนอนทุกครั้ง ผมจะเดินออกไปยืนตรงระเบียงห้อง ผมเลือกชั้นที่ค่อนข้างสูงหน่อย  ชั้น 8 ของหอพักนี้มันทำให้พอมองเห็นอาคารหลังเดิมที่ผมยืนมองทุกครั้งก่อนที่จะกลับมายังห้องนี้  อย่างน้อย  ... ถึงจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน แต่ก็ยังพอให้เห็นบ้างในช่วงของสายตา ผมกับต้องใกล้ชิดกันในสายตาที่จะมองเห็นกันได้  เพียงแต่สัมผัสไม่ได้  ....

   “หลับฝันดีนะครับน้องนัญของพี่ธิว” 

   เป็นคำที่พูดประจำ  และทุกครั้งก่อนที่จะเข้ามานอน  ผมคิดเอาไว้เสมอว่าต้องจะต้องสัมผัสได้  และไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร  จะเป็นเพราะว่าแปลกที่ หรือเพราะว่าผมยังไม่ชินกับเตียงนอนแข็งๆ  ของห้องนี้ ทำให้เกือบทุกครั้งที่ผมหลับตาลง  ความฝันเดิม มันย่อมมาเยือนผมเสมอ

   “เจดีย์เก่าแล้วแหละหนูเอ้ย..   ตั้งแต่ตอนที่ไอ้ญี่ปุ่นมันเอาระเบิดมาทิ้งพระนครนู่น ถ้ายายจำไม่ผิด ป้าคนหนึ่งที่ยายเคยรู้จักตอนเด็กๆ เค้าสร้างให้น้องชายที่โดนยิงตาย ทำนองว่าไอ้หนุ่มคนนั้นไปฉุดสาวต่างหมู่บ้านมาจะทำเมีย แต่สาวเจ้าไม่เล่นด้วย  ไอ้นั่นมันเป็นคนเลว  ฉุดไปทั้งผู้หญิง แถมพี่สาวมันที่เค้าเลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิดก็ตบ ก็ตี ไม่เว้นแต่ละวัน  กินเหล้าเมายา ผู้หญิงเค้าจะไปแต่งงานกับอีกคนยายก็จำไม่ค่อยจะได้มาก  รู้แต่ว่ามันโดนยิงจากไอ้คนที่เป็นพี่ชายของผู้หญิงที่มันฉุดนั้นแหละ  ....มันนานมาแล้ว  เจดีย์องค์นี้ก็ยังอยู่มาตลอด เจดีย์อื่นด้านข้างพังหมด  เห็นจะมีแต่องค์นี้องค์เดียวที่ไม่เคยพัง  ไม่รู้ว่าเพราะอะไร  คนเฒ่าคนแก่เค้าเล่าให้ฟัง  ถ้าเจ้าของที่แท้จริงเค้ากลับมา  เจดีย์นี้ถึงจะพังลงไป องค์เก่าแล้ว อันตรายเหลือเกิน เด็กๆ แถวนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามา กลัวจะพัง ง่อนแง่นรอวันจะที่จะพังลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

เสียงพูดจากคุณยายคนหนึ่งที่ผมฝันเห็นบ่อยเหลือเกินช่วงนี้  มันอาจจะดูเหมือนคล้ายๆ กับคนบ้า  ..... ผมได้รับอนุญาติจากพ่อ  ให้เข้ามาดูแลต้อง  แต่ทุกอย่างยังถูกจำกัดเอาไว้ในขอบเขต  ผมได้มานอนเฝ้าต้องเพียงแค่ช่วงเสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น แต่อีกห้าวันที่เหลือ จะเป็นของเจ้าหน้าที่พยาบาลที่พ่อกับน้าตาจ้างมาให้ดูแลเป็นพิเศษ และผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปเยี่ยมไม่ว่ากรณีใดๆ

ต้องยังคงหลับอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา สมองที่ถูกแสกนเมื่อล่าสุดสร้างความงุนงงสงสัยให้กับทีมแพทย์ที่ดูแลอยู่  สมองของต้องสมบูรณ์แบบทุกอย่าง  ไม่มีส่วนใดซักนิดที่สูญเสียไป ไม่มีส่วนใดเลยที่ได้รับกระทบกระเทือน 

แต่ต้องยังคงหลับอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น

หมอคนหนึ่งเคยคุยกับผม  ว่าสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตมีความลึกลับซับซ้อน ไม่ว่าจะวิทยาการก้าวหน้าไปขนาดไหน มนุษย์เราก็ไม่สามารถค้นพบอะไรไปได้ซะทุกอย่าง

โดยเฉพาะเรื่องของ “จิตใจ”  ว่าร่างกายนั้นซับซ้อนแล้ว แต่จิตใจของแต่ละคนมันซับซ้อนหนักยิ่งกว่าหลายเท่า

ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตอนนี้  จิตใจของต้องตอนนี้ไปอยู่ตรงไหน  ทำไมถึงปล่อยให้ผมทรมานแบบนี้

.
.
.
.
.
.
วันนี้ เป็นวันหยุด  และเพื่อนๆ ทุกคนของผม ไม่ว่าจะเป็นไอ้เอกหรือไอ้นันต์ และซิว  จะไม่มีใครโทรหาผมเด็ดขาด เพราะพวกมันคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าเสาร์และอาทิตย์  ผมจะอยู่ที่ไหน และพวกมันก็คงจะปล่อยให้ผมทำตามที่ปฏิบัติอยู่แล้วจนกลายเป็นเรื่องปกติ

   รถเมล์ฟรีเพียงต่อเดียวจากหอผมมาถึงโรงพยาบาล ทำให้ไม่เสียเวลามากนัก วันนี้ผมเอาการ์ตูนเล่มโปรดที่ต้องชอบอ่านตอนเด็กๆ  เสียเวลาอยู่เกือบชั่วโมงๆ  กว่าจะค้นเล่มนี้เจอ  มันมีหลายตอน แต่ถ้าจำไม่ผิด  ที่ห้องต้องที่ผมเคยเข้าไปนั่งเล่นตอนเด็กๆ จะมีหนังสือเล่มนี้อยู่ และจะมีเกือบทุกเล่มทุกตอน  คงจะสะสมตามความรู้สึกของเด็กๆ ด้วยล่ะมั้ง     ไม่รู้ว่าต้องจะชอบหรือเปล่า แต่วันนี้ผมจะไปอ่านหนังสือการ์ตูนให้ต้องฟัง

   ความเคยชินที่ทุกครั้ง ผมเข้าไปในห้องผู้ป่วยพิเศษ ถ้าเป็นเสาร์- อาทิตย์  จะไม่มีใครอยู่เลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า  เค้าอยากให้ผมอยู่กับความเป็นส่วนตัวกับต้อง หรือว่าพ่อ... ไม่อยากเห็นหน้าผมกันแน่  ......

   เพียงแต่วันนี้ผิดคาด  ทุกคนในห้องอยู่กันพร้อมหน้า  อาหมอ   คุณพ่อ  น้าตา  ไอ้นันต์ และไอ้เอก รวมไปถึงน้องเบสต์และซิวด้วย 

   ผมค่อนข้างงุนงงอยู่เหมือนกัน  แต่ก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน.... ว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้น.......... ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย

   มือยังคงกำลูกบิดประตูนั้นไว้แน่น  ไม่อยากให้มันเป็นสิ่งที่ผมคิด

   น้าตาเดินเข้ามาหาผมช้าๆ  น้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม  มองมาทางผมแบบตัดพ้อ......

   ในมือของน้าเขา ถือซองเอกสารอย่างหนึ่ง .... ที่มันทำให้ผมไม่กล้ารับมัน....... คำถามจากคนตรงหน้าเจือเสียงสะอื้น  ถึงแม้มันจะเบาขนาดไหน แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน

   ..............  “ธิว....  รักน้องไหม..”   



หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:45:53
ตอนที่ 26


ผมค่อนข้างงุนงงอยู่เหมือนกัน  แต่ก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน.... ว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้น.......... ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย

   มือยังคงกำลูกบิดประตูนั้นไว้แน่น  ไม่อยากให้มันเป็นสิ่งที่ผมคิด

   น้าตาเดินเข้ามาหาผมช้าๆ  น้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม  มองมาทางผมแบบตัดพ้อ......

   ในมือของน้าเขา ถือซองเอกสารอย่างหนึ่ง .... ที่มันทำให้ผมไม่กล้ารับมัน....... คำถามจากคนตรงหน้าเจือเสียงสะอื้น  ถึงแม้มันจะเบาขนาดไหน แต่ผมก็ได้ยินชัดเจน



   เสียงเงียบ ทุกอย่างไม่ใช่คำตอบ แต่สิ่งที่ผมทำคือตอนนี้ร่างเล็กๆ นั้นไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว ....... 
   
!!!  ต้องหายไปไหน  !!!

   “ต้องไปไหน..... ต้องอยู่ไหนครับอาหมอ”  คำถามคาดคั้นเอาเป็นเอาตาย  อาหมอ ญาติของไอ้นันต์เงียบ คนที่ตอบเป็นอีกคนหนึ่ง  คนที่คิดว่าตอนนี้คงเกลียดผมมากแล้ว

   “ลูกของฉันอีกคน ตอนนี้เข้าห้องเอ็กสเรย์สมอง  แกไม่ต้องห่วง ฉันดูแลลูกคนนี้ของฉันได้  ส่วนแก ..... รับเอกสารนั่น แล้ววันนี้กลับบ้านไปก่อน ..... พรุ่งนี้ ค่อยมา” 

   ลูกของพ่ออีกคน.... แล้วผมล่ะ ตอนนี้ผมไม่ใช่ลูกของเขาแล้วใช่ไหม

   “ผมขอเจอต้องก่อน แล้วผมจะกลับ”

   “แกไม่มีสิทธิ์  !!!!” 

   “ใครกันแน่ที่ไม่มีสิทธิ์  พ่อหรือผม  .... ทำไมผมจะเจอต้องไม่ได้... ผมจะเจอ ..  ผมจะไปหาต้อง  พ่อไม่มีสิทธิ์มาห้าม” 

   “ทำไมฉันจะห้ามแกไม่ได้ ไอ้ธิว  !!!” 

   “ผมเป็นผัวต้องไง .... ชัดเจนไหมครับ ....  ผมจะไปหาเมียผม !!!  เมียผม  พ่อได้ยินชัดไหม !!!”   

  เสียงตะโกนมันดังไปถึงไหนผมไม่รู้  แต่มันก็สะใจดีเหมือนกัน  ผมรู้ว่าพ่อรู้เรื่องนี้แล้ว แต่คงไม่คิดว่าจะได้ยินสิ่งที่ผมพูดออกมาอย่างเต็มปาก

   “ไอ้ลูกสารเลว”    เสียงที่ดังตะโกนแข่งออกมา มันไม่ใช่มีน้ำเสียง  แต่สิ่งที่ตามมาคือฝ่ามือคนที่เคยเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ...

   ในเสี้ยวชีวิตหนึ่ง  ผมโดนพ่อแท้ๆ ตบหน้าถึงสองครั้ง 

   “........ พ่อ ……” 

   “มึงเอาซองเอกสารนั้นกลับไป  กลับไปอ่านซะให้หมด  แล้วมึงจะรู้ว่ามึงทำชั่วอะไรเอาไว้บ้าง คนที่มึงล้างแค้นอย่างบ้าคลั่งที่สุด  คนที่มึงโกรธ  คนที่มึงแค้น เค้าทำอะไรเอาไว้  มึงเอาไปดูซะ  จะได้หายโง่เสียที” 

   น้าตาถือซองเอกสาร เอาแต่ร้องไห้  ไม่ได้เข้ามาขวางระหว่างพ่อกับผม  ครั้งนี้น้าตาไม่ห้าม ยื่นเอกสารซองนั้นมาให้

   “ผมอยากเจอต้อง... น้าตาครับ  ได้โปรด..... ให้ผมเจอต้องได้ไหม”  นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมขอร้องผู้หญิงคนนี้ คนที่เข้ามานั่งแทนที่แม่ แต่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งสิ้น น้าตายังคงเงียบ  มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ จากร่างเล็กๆ อีกคนเท่านั้น ที่เสหันมองไปทางอื่นเสีย เปรียบเสมือนว่าไม่มีผมอยู่  แต่คำพูดนั้นก็คือพูดกับผมโดยตรง

   “พี่วัจน์  บางทีเบสต์ก็ไม่อยากให้ต้องตื่นขึ้นมา  ถ้าตื่นแล้วต้องมาเจอหน้าพี่  เบสต์อยากให้เพื่อนเบสต์หลับแบบนี้ตลอดไป  หรือถ้าเขาตื่นขึ้นมา ก็ขอให้เขาลืมคนอย่างพี่ไปเสียเถอะ สิ่งที่พี่ทำเอาไว้ มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของต้อง  เบสต์อยากให้ต้องหลับตลอดไป” 

   ไม่รู้ว่าความรู้สึกผมมันชาหรือว่าอะไรกันแน่ ตอนนี้เหมือนกับไม่อยากรับรู้อะไร ความรู้สึกที่ถูกกดดันมันทำให้อยู่ตรงห้องนั้นไม่ได้  เพื่อนๆ ที่อยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นไอ้เอกหรือไอ้นันต์มันไม่สามารถที่จะช่วยอะไรผมได้ นอกจากส่งสายตาแห่งความเห็นใจมาให้ก็เท่านั้นเอง  เพราะพวกมันตอนนี้ก็คงอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เช่นกัน

   ไม่รู้ว่ากลับมาถึงห้องพักตอนไหน  ทางที่จริงตลอดระยะเวลาในการเดินทางกลับมาที่ห้องมันไม่ได้ไกลอะไรมากนัก  เพียงแต่ผมไม่กล้าเปิดซองเอกสารนั่นดู 

   .................สิ่งที่เห็น ทำให้ผมสงสัย แล้วก็แปลกใจกับบางอย่าง ... มันไม่ใช่เอกสารของทางโรงพยาบาล  มันเป็นสมุดโน้ตเก่าๆ เล่มเล็กๆ  เล่มหนึ่งเพียงเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นสมุดเงินฝากธนาคาร ลงชื่อ ต้องชนัญ บุญภาสกร ทั้งสองเล่ม และบัตรATM  ใหม่เอี่ยมอีกใบหนึ่ง ที่เหมือนกับไม่เคยได้ใช้

   ... สมุดโน้ตเล็กๆ  ที่บันทึกเอาไว้  เขียนและลงรายการที่จะต้องใช้ในแต่ละวัน รายจ่ายที่น้อยกว่ารายรับ หักลบกันแล้วก็อยู่ในเพียงแค่หลักสิบ  วันไหนที่เจ้าของสมุดนั้นใช้เกินกว่าที่กำหนดเอาไว้ ก็จะทำตัวเป็นหนังสือสีแดง  เพื่อที่จะให้วันต่อไป ใช้ได้น้อยลงกว่าเดิม ....... บางวันไม่มีรายจ่ายสำหรับค่าข้าวกลางวัน

   ทุกสิ้นเดือนในสมุดโน้ตนั้นเขียน  จะเป็นรายรับเงินก้อนหนึ่งซึ่งบางครั้งมันยังน้อยไปกว่าอาหารมื้อค่ำที่ผมเคยกินกับบรรดาคู่นอนของผมเสียอีกในช่วงเวลาที่เคยผ่านมา 

   เงินเดือนแต่ละก้อนที่ได้จากสิ้นเดือนนั้นก็คงจะเป็นงานพิเศษที่ต้องทำที่โรงเรียน ที่ผมเคยเห็นแต่ก่อน  .....

   ........... งานของต้อง ที่ผมเคยแกล้ง พยายามบีบบังคับให้ออก........

   สายตาตอนนี้มันเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ  น้ำตามันซึมออกมาได้อย่างไรผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า คงสมแล้วหรือเปล่าที่เขาจะเกลียดเรา  และหนักไปกว่านั้น  สมุดบัญชีธนาคารที่ผมเห็น  ยอดเงินแต่ละเดือนถูกโอนเข้ามาหลายหมื่น ....... มันมีแต่ยอดโอนเข้า แต่ไม่เคยมียอดถอนออกเลย  ....   

   พ่อผมให้เงินต้องใช้  หรือไม่ก็คงเป็นน้าตา ..... แต่ทำไมต้องถึงกลับไม่เคยใช้มัน

   ต้องไม่เคยแตะเงินเหล่านั้น ..... เงินของทางบ้านผมที่ส่งให้ ... และมันก็ยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์ 

   ตอนนี้ผมรู้แน่ชัดกว่าเดิมแล้ว ว่าทำไมทุกคนถึงได้เกลียดผมขนาดนี้  ....  และผมรู้แล้วว่าทำไมเบสต์ถึงไม่อยากให้ต้องฟื้นขึ้นมา ......

   สมุดเล่มสุดท้ายดูจะสวยและเรียบร้อยกว่าทุกเล่ม  .... มันเป็นสมุดปกแข็งเล่มหนึ่งซึ่งก็ดูมีราคาเหมือนกัน ผมค่อยๆ เปิดออกไปอย่างช้าๆ  พยายามถนอมให้เบามือที่สุด เพราะความรู้สึกบางอย่างมันสัมผัสได้ว่าสมุดเล่มนี้ เจ้าของคงจะรักและหวงขนาดไหน

   เพียงหน้าแรกที่เปิดไป มันทำให้ผมหยุดอยู่หน้านั้นเป็นนาน  มือพยายามสัมผัสกับสถานที่แห่งนั้นให้ได้รับความรู้สึกนั้นซึมผ่านเข้าไปทั้งในจิตใจและความหลัง 

   .......  ต้นมะขามที่ไม่สูงมากต้นหนึ่ง ที่เจ้าของรูปถ่ายบรรจงถ่ายรูปเอาไว้  เหมือนกับให้รู้ว่ากำลังมองลงมาข้างล่าง  ...  สายตาที่ผ่านเลนส์  คือสายตาของคนที่อยู่ข้างบน มองลงไปข้างล่าง   ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น  ....  แต่มันไม่ใช่เมื่อหลายปีที่แล้ว  ความรู้สึกที่เด็กตัวป้อมๆ เล็กๆ  หวนกลับเข้ามาอยู่ในความทรงจำอีกครั้ง  วันนั้นเจอกันครั้งแรก  เจ้าของรูปถ่ายภาพนี้อยู่บนต้นมะขามต้นเดียวกับที่มองเห็นตรงหน้า

        “ใครอ่ะ !!!”   

   “ไปทำอะไรบนนั้น”     

“พี่เป็นใครอ่ะ !!!!” 

   “พี่เพิ่งย้ายมาเมื่อวานครับ บ้านหลังนั้น”   

   “อ๋อ....   เห็นสร้างตั้งนาน ที่แท้เจ้าของก็มาแล้วนี่เอง......” 

   “นัญมาตามอ้วนพีกลับบ้าน ... อ้วนพีเกเร  วันนี้แอบมากินลูกนก”
   
   “ชื่อนัญหรอ”

   “ฮะ.....แล้วพี่ชื่อไร

   “พี่ชื่อธิว”

   “พี่ธิว.... พี่ธิวช่วยมาตามอ้วนพีลงไปหน่อย.... นัญจับอ้วนพีไม่ถึง” 

   “..........  ? ………….” 

   “อ้วนพีคือใครอ่ะ....”

  อ้วนพีคือน้องชายของนัญ  เมื่อวานอ้วนพีก็มาอยู่บนนี้นัญตามทีนึงแล้ว...  แต่วันนี้อ้วนพีหนีมากินลูกนกอีก...ถ้านัญจับได้นัญจะตีอ้วนพี...”

   “ไปตีทำไม... เด๋วน้องก็เจ็บ” 

   “ไม่เป็นไร นัญโตแล้ว นัญตีได้”     

“โตแล้ว.... นัญกี่ขวบ”   

   “เจ็ดขวบ... นัญโตแล้ว” 

   “แล้วอ้วนพีอยู่ตรงไหน...” 

   “นั่นไง”

   “นั้นมันแมว..... ไหนบอกน้อง”   

   “ก็น้องของนัญนี่นา... ไม่ใช่แมวนะ... อย่าบอกว่าเป็นแมวนะเดี๋ยวอ้วนพีเสียใจ”

   “ก็เห็นเป็นแมวชัดๆ  มีหางด้วย  ขนก็ปุย...  เปอร์เซียนี่” 

   “ไม่ใช่ๆๆๆ พูดใหม่เลย อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชาย อายุน้อยกว่านัญปีนึง”   

   “พูดซิฮะ ....   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายนะ” 

   “ครับๆๆ   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายก็ได้”   

   “ห้ามมีคำว่า  ก็ได้” 

   “อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายครับ...พอใจยังเอ่ย”   

   “ฮิๆๆ   อ้วนพีเป็นแมวต่างหาก”   

   “ฮ่าๆๆ” 

   “ฮ่าๆๆ….. !!!!”   

   .........................

   ความทรงจำในวันเก่า ทำให้ผมยิ้มมาได้อีกครั้งทั้งน้ำตา  หลังมือยังคงเช็ดน้ำตาไปเรื่อยๆ  ภาพแรกมันผ่านไปได้ ความทรงจำนั้นก็ยังอยู่  นัญน่ารักเสมอเมื่อตอนเด็กๆ  ... ขี้งอน  เอาแต่ใจ  แต่ก็ร้องไห้หาผมเสมอ เวลาที่ตกใจ หรือกลัวอะไร  โกรธผมที่ผมไม่ยอมเล่นด้วย   แต่พอเล่นแล้วไม่ได้อย่างใจที่ตัวเองต้องการก็พาลไม่เล่นแล้วก็บังคับไม่ให้ผมไปเล่นกับคนอื่นอีก .......

   ลายมือที่สละสลวย  เขียนเอาไว้แม้ตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษนั้น ทำให้รู้ว่าเขียนมานานแล้ว แต่มันก็ยังอ่านได้ชัดเจน 

   .............  วันนี้ฝันถึงแบบเดิมอีกแล้ว ...เมื่อไหร่ความฝันนั้นจะหายไปซักทีนะ .... ไม่เคยฝันเรื่องนี้ตั้งนาน  แต่เมื่อคืนกลับฝันถึง  ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร  ..... ตอนนั้นเรายังมีพี่ธิวอยู่  ถ้าฝัน.... ก็ยังจะกอดพี่ธิวให้หายกลัวได้  แต่ตอนนี้พี่ธิวไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้   ถ้าฝันอีกครั้ง .... ฝันแบบเดิม จะทำอย่างไร.............
   ......
      ......
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้พี่ธิวไปอยู่ไหน .... สบายดีหรือเปล่าก็ไม่รู้... จะลืมน้องชายคนนี้ได้หรือยัง นัญไม่เคยเจอพี่ธิวเลย  ..... พี่ธิวรู้ไหม... นัญอยากไปจับปลาในทุ่งนากับพี่อีกครั้ง  .... นัญอยากให้พี่ธิวขี่รถจักรยานพานัญไปหาแม่ที่ตลาด อยากให้พี่ธิวเล่นกับนัญอีกจัง  .... ตอนที่พี่ธิวไป นัญไม่มีเพื่อนเหลือยู่เลย  .....  พี่ธิวไปได้แค่ไม่กี่วัน อ้วนพีก็ไม่กินอะไร มันเอาแต่ผอมลงๆ  นัญกับแม่พาอ้วนพีไปหาหมอ  หมอบอกว่าตอนนี้ร่างกายภายในมันเกิดอาการติดเชื้อ  แต่ทางที่จริงนัญว่ามันตรอมมากกว่า  พี่ธิวรู้ไหม ตั้งแต่วันนั้นที่พี่ธิวอุ้มมันลงมาจากต้นมะขาม ก็เหมือนกับว่ามันเริ่มติดพี่ธิวนะ  พอพี่ธิวไป มันก็ไม่กินอะไร  แล้วมันอยู่ได้อีกไม่กี่วัน มันก็จากนัญไปอีก  ทำไมมีแต่คนจากนัญไปก็ไม่รู้....  นัญไม่มีเพื่อนเล่น บางวันนัญก็นั่งอ่านการ์ตูนอยู่คนเดียว  .....  ถ้าพี่ธิวไม่ทะเลาะกับนัญ พี่ธิวหายโกรธลุงธินแล้ว  พี่ธิวพานัญไปอยู่ด้วยได้ไหม... แม่กับลุงไม่ว่าอะไรพี่ธิวหรอก  ...  ลุงธินไม่เคยเกลียดอะไรพี่ธิวเลยนะ 

เมื่อวานที่โรงเรียน มีรุ่นพี่คนนึงมาหาเรื่อง ไม่เคยมีเรื่องกับใครตั้งนาน จนกระทั่งมาเมื่อวาน.... อยากจะบอกกับรุ่นพี่คนนั้น ... ถ้าเป็นสมัยก่อนนะ นัญไม่กลัวหรอก  ...  ถ้าใครมาแกล้งอะไรนัญ  พี่ธิวจะมาช่วยนัญเสมอ...  ถึงจะตัวใหญ่กว่าก็เถอะ พี่ธิวต่อยทีเดียวพวกมันก็กลัวกันหมดเลยแหละ....

พี่ธิวจ๋ากลับมาเถอะนะ

.......... นัญเหงา................

   ....


   มือผมค่อยๆ บรรจงวางสมุดเล่มนั้นลง  ความรู้สึกที่รับรู้ได้ มันบอกว่าไม่ไหวแล้ว ถ้าจะให้อ่านต่อไปยังหน้าอื่นๆ อีก  มือผมสั่น  ร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องไห้มาก่อน ....... 

“ฮึก.. ฮืออๆๆๆ  นัญ....... พี่ขอโทษ”

.
.
.
.

บรรยากาศในตอนเช้าของโรงเรียน ยังคงจอแจอยู่อย่างเดิม งานใหม่ของผมที่ทำอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาก็คือช่วยป้าคนหนึ่งขายกล้วยปิ้งหน้าโรงเรียน  .... อย่างน้อยมันก็ยังมีความทรงจำดีๆ  ตรงนี้บ้าง ทำให้ผมได้นั่งคิดถึงใครบางคนอยู่ตรงนี้

“หวัดดีครับป้าแส” 

“อ้าว....ว่าไงไอ้หนู .... วันนี้ป้าขายดีลูก เหลืออีกแค่สองไม้เอง” 

“หรอครับ ...ดีจัง วันนี้ป้าแสก็กลับไปพักเร็วซิครับ” บางทีผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าการที่เราได้คุยกับคนธรรมดา เดินดินกินข้าวแกง ตามท้องถนน  คนเราไม่ได้วัดกันที่เงินทองเสมอไป  ผมว่า บางทีช่วงตอนที่ผมมีเงิน ผมอาจจะไม่มีความสุขเท่าป้าเขาตอนนี้ก็ได้นะ

“จ้า... วันนี้กลับเร็วหน่อยก็ดี  เหนื่อยเหลือเกิน แก่ลงทุกวันๆ  เอ้าๆ มันยังอยู่อีกสองไม้ เอาไว้กินซิ่ เอาไปๆ ป้าไม่คิดตังค์หรอก”

“ไม่เป็นไรครับป้า... ผมยังไม่ค่อยหิวเลย”  คงเป็นความเคยชินของผมด้วยละมั้ง ที่เดี๋ยวนี้ข้าวเช้าไม่ค่อยจะกิน ส่วนใหญ่รวบยอดไปกินมื้อกลางวันทีเดียว ตกเย็นค่อยไปอาศัยฝากท้องร้านพี่ภาเอา

“เอ้าๆ  ไม่ดีๆ เอาไป ๆ  มาช่วยป้าทุกวันเลย เอาไปกินเล่นๆ นะลูกนะ”   .... ผมไม่อยากจะปฏิเสธน้ำใจของป้าเขา เพราะถ้าขืนจะดื้อดึงไม่รับเอาไว้อย่างไร ก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้วแหละ น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ กับกล้วยปิ้งสองไม้  ทำให้บางทีผมก็อดมีความสุขไม่ได้...

   บางที การที่ผมมาลิ้มรสชาติของคนที่แทบจะไม่มีเงินติดตัวดูบ้าง มันก็เป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่สอนเราได้เหมือนกันนะ 

   เส้นทางสายเดิมๆ  จากที่เคยมีรถ แต่มันเปลี่ยนทำให้ผมต้องเดินเข้ามาในโรงเรียน ....ผมรู้ว่าแต่ก่อนผมเป็นจุดสนใจจากหลายๆ คนในโรงเรียนขนาดไหน  ... ถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่  บางคนที่มันเคยเกลียดเรามันก็สมน้ำหน้า  ส่วนบางคนที่เค้าไม่เคยเกลียดเราก็เพียงแค่มีแต่ความสงสัยว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ .....

   ป่านนี้ไอ้เอก กับไอ้นันต์ และซิวคงรออยู่ที่เดิม  และผมกำลังจะไปหามัน ถ้าเผอิญไม่เดินไปชนใครเข้าให้เสียก่อน

   “โอ๊ย...!!!”

   “โอ๊ย.... !!!!  ขอโทษครับ !!!”    ยังดีครับที่ยังมีคำว่าขอโทษเอ่ยออกมาจากปากของมัน  ผมกะจะสวนกลับเข้าไปให้อยู่แล้ว ทางเดินออกกว้าง ...แต่ดันเดินมาชนกันซะได้   แต่พอเงยหน้าขึ้นมา  ไอ้สิ่งที่ว่าจะไม่ทำ มันกลับอยากทำขึ้นมาทันที

   “ไอ้เรย์  !!!”



หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:49:07
ตอนที่  27

บางที การที่ผมมาลิ้มรสชาติของคนที่แทบจะไม่มีเงินติดตัวดูบ้าง มันก็เป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่สอนเราได้เหมือนกันนะ 

   เส้นทางสายเดิมๆ  จากที่เคยมีรถ แต่มันเปลี่ยนทำให้ผมต้องเดินเข้ามาในโรงเรียน ....ผมรู้ว่าแต่ก่อนผมเป็นจุดสนใจจากหลายๆ คนในโรงเรียนขนาดไหน  ... ถึงปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่  บางคนที่มันเคยเกลียดเรามันก็สมน้ำหน้า  ส่วนบางคนที่เค้าไม่เคยเกลียดเราก็เพียงแค่มีแต่ความสงสัยว่าทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ .....

   ป่านนี้ไอ้เอก กับไอ้นันต์ และซิวคงรออยู่ที่เดิม  และผมกำลังจะไปหามัน ถ้าเผอิญไม่เดินไปชนใครเข้าให้เสียก่อน
   “โอ๊ย...!!!”
   “โอ๊ย.... !!!!  ขอโทษครับ !!!”    ยังดีครับที่ยังมีคำว่าขอโทษเอ่ยออกมาจากปากของมัน  ผมกะจะสวนกลับเข้าไปให้อยู่แล้ว ทางเดินออกกว้าง ...แต่ดันเดินมาชนกันซะได้   แต่พอเงยหน้าขึ้นมา  ไอ้สิ่งที่ว่าจะไม่ทำ มันกลับอยากทำขึ้นมาทันที

   “ไอ้เรย์  !!!” 

   “ไอ้วัจน์  !!!” 

   มันเองก็คงจะตกใจพอๆ กัน  เพราะหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว  ผมกับมันไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย   รุ่นเดียวกัน  ม. เดียวกัน แต่ก็คนละห้อง แถม นักเรียนปีสุดท้าย ต่างก็ต้องยุ่งกับการที่จะหาที่เรียนต่อด้วย ต่างคนต่างไม่สนใจกันมากนัก อีกทั้งช่วงหลังๆ มาผมก็เริ่มๆ ที่จะทำตัวเงียบหายไปมากขึ้น

   สายตาที่มันมองมาทางผมเหมือนกับไม่เชื่อตัวเอง  ....มันก็แน่ล่ะ  สายตาแบบนั้นผมเริ่มชินแล้วจากคนรอบข้าง  เสื้อผ้าที่ดูซอมซ่อขึ้น เพราะว่าต้องรีดเสื้อผ้าเอง  ซักเสื้อผ้าเอง  ให้มันขาวได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากๆ แล้ว

   “กูไม่อยากมีเรื่องกับมึงตอนเช้า”   ทำอย่างกับผมอยากยุ่งกับมันอย่างนั้นเหมือนกัน  จึงตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมาจากมัน แล้วก็เข้าไปที่ห้องเรียน  โดยไม่ได้หันหลังไปมองอีกเลย

   ชีวิตในห้องเรียน ของผมผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย   จนการเรียนมันแย่หนักลงไปกว่าเดิม  บางครั้งการบ้าน  ถ้าไม่ได้ซิวช่วย ผมก็คงจะตกไปหลายวิชา   ไอ้นันต์ก็ห่วง  และคอยดูผมไม่ห่าง  จะมีเพียงก็แต่ไอ้เอกเท่านั้นที่ตอนนี้มันต้องไปเริ่มอะไรใหม่หลายๆ อย่าง  และตอนนี้ถ้าผมพอทราบมันก็คงจะทบทวนตำราเรียนอยู่กับน้องเบสต์  เพื่อนของต้อง  เบสต์เคยบอกผมเอาไว้ และยังจำได้ดี  ถ้าต้องตื่นขึ้นมา  แล้วจะต้องมาเจอผมอีก  เบสต์คงไม่อยากให้ต้องตื่นขึ้นมา  ขอให้ต้องหลับไปอย่างนั้นตลอด   .....   มันเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจผมอย่างมาก   ไม่แปลกที่เบสต์จะเกลียดผม  เพราะผมก็ทำกับเพื่อนเค้าไว้อย่างหนัก   ไม่แปลกที่ต้องจะเกลียดผม  แต่ผมขอได้ไหม  จะเกลียดจะฆ่าผมอย่างไง  ก็ขอให้ต้องตื่นขึ้นมาเถอะ  ต่อให้จากกันตลอดชีวิต   จะแลกด้วยร่างกาย ชีวิตทั้งหมดของผมที่มี   จะให้ทำอะไรก็ได้  ขอเพียงให้ต้องฟื้นขึ้นมา

    สมุดบันทึกของต้อง   ผมอ่านซ้ำไปซ้ำมาจนจำมันขึ้นใจ  จนจำได้หมดทุกบรรทัด ที่เด็กคนหนึ่ง  หัวใจคนหนึ่งจะเขียนหาถึงพี่ชายของเขา  ที่ผมไม่เคยรู้เลยจนบัดนี้  วันเวลาที่อยู่กับผม และจนเจอเบสต์ตอน ป.3  หัวใจของต้อง อยู่ที่ผมตลอด  อดีตของต้องอยู่ที่ผมตลอด แม้กระทั่งฝันร้าย  คนแรกที่ต้องตื่นขึ้นมา ต้องก็ยังเรียกผมอยู่   

   ไม่รู้ว่าต้องจะเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้    หัวใจของต้องอยู่ที่ไหน ตอนนี้จะฝันร้ายหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้เลย   อย่างน้อยก็ยังดีที่พ่อกับน้าตายังให้ผมเยี่ยมต้องได้เหมือนเดิมแต่ก็เพียงแค่เสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น  ทุกครั้งก่อนจะไปทำงานที่ผับ  ผมจะต้องเข้าไปเยี่ยมต้องก่อน และจะกลับออกมาทุกครั้งก่อนเวลา 5  โมงเย็น  ไม่ใช่เพราะว่าผมต้องรีบไปทำงานเพราะเดี๋ยวนี้ เมื่อผมได้ร้องเพลงในผับนั้นแล้ว   ผมก็เข้าสายได้กว่าคนอื่น  เพียงแต่ที่ผมต้องออกมาก่อน  คือผมไม่ต้องการเห็นน้าตา 

   .... ผมไม่ได้เกลียดน้าตาแล้ว  แต่ผมไม่มั่นใจเลย  ว่าน้าตาจะยังสงสารผม จะอภัยให้ผมแล้วหรือยัง กับสิ่งที่ผมได้ทำกับลูกเค้าเอาไว้.. ผมไม่กล้าสู้หน้าคนที่ผมทำร้ายได้ลงคอ

   ..........อภัยให้ผมเถอะ....... 

   คนในผับยังคงแน่นเหมือนเดิม  และทุกครั้งที่ผมขึ้นไปร้อง  ก็ได้รับเสียงปรบมือ  ชื่นชมทุกครั้ง มันเป็นการง่ายกว่าเดิมมาก ที่ผู้หญิงจะเข้ามาหาผมแบบเดิม   ผู้หญิงที่มีเงินพอโดยไม่สนใจว่าผมอยู่ในฐานะอะไร  ตอนนี้จะจนเพียงไหน  แต่ผมซะอีกที่กลับไม่สนใจคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวเหล่านั้นเลย   ร่างกายยังเป็นของผม  แต่หัวใจผมยกให้ใครอีกคนไปแล้ว  และมันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนไปได้  ผมยังคงนั่งคุยกับแขกไปเรื่อยๆ ที่จะมีคนนั้นหรือคนนี้ เรียกให้ผมเข้าไปนั่งคุย ก็เป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องเอ็นเตอร์เทนแขกที่เข้ามาในร้าน  เพราะมันก็คือการบริการอย่างหนึ่ง   จนได้ระยะเวลาที่พอเหมาะผมจึงขอออกมานั่งอยู่เพียงคนเดียว จนมีคนมานั่งข้างๆ  ด้วยแต่ผมก็ยังไม่สนใจ

   “น้องเค้ายังไม่ฟื้นอีกหรอ”   เสียงที่อ่อนโยน และคุ้นหูผมมากทำให้ผมต้องหันกลับไปยังเสียงนั้น    พี่ภา  พอรู้เรื่องของผมบ้าง แต่ก็ไม่ละเอียดนัก   ผมเล่าเพียงบางอย่างและบางอย่างก็จงใจปิดมันเสีย

   “ยังครับ”  คำตอบสั้นๆ   ที่ผมบอกพี่เค้าไป ทำให้พี่ภายิ้มให้บางๆ  ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

   “เดี๋ยวซักวันเค้าก็ต้องฟื้นขึ้นมา  พี่อยากให้วัจน์เข้มแข็ง  คนที่ดูแลต้องนอกจากพ่อกับแม่แล้ว  ยังมีวัจน์อีกคนหนึ่งนะ    ถ้าวัจน์แย่ไป   วัจน์ไม่รักตัวเอง แล้วใครจะเป็นคนดูแลต้องล่ะ”   ผมก็คิดในใจ ถ้าผมแย่ไป  ต้องจะดีใจหรือเสียใจ    และก็คงเป็นอย่างแรกมากกว่า  ถ้าเค้ารักผม เค้าต้องฟื้นขึ้นมาแล้ว   ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ  จนพี่จักรเดินเข้ามาและนั่งอยู่ข้างๆพี่ภา พร้อมกับตบไหล่ผม

   “ไงไอ้เสือ  สาวๆติดเกรียว  สวยๆ ทั้งนั้น ไม่สนบ้างไงวะ”  ผมยิ้มให้พี่จักร  พร้อมกับส่ายหน้า  ไม่ได้รังเกียจผู้หญิงพวกนั้น  แต่ก็อย่างที่ผมบอก  หัวใจผมอยู่กับอีกคนหนึ่งแล้ว  พี่จักรพอทราบเรื่องของผมจากปากของพี่ภา  เพราะเค้ายังเคยไปส่งผมที่หน้าโรงพยาบาลออกบ่อย  แต่ก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรมากนักเช่นกัน   พี่จักรนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้สึกคุ้นหน้า  เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน   แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก     

   “เดี๋ยวน้องเค้าก็ฟื้น   หมอที่นั่นเก่ง และก็รักษาได้ดีจนหายมาหลายคนแล้ว  เพื่อนของน้องชายพี่ก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน   เป็นมาไล่เลี่ยกันกับแฟนของวัจน์นั่นแหละ   อายุก็น่าจะเท่าๆ กันมั้ง  ตอนนี้ก็รอได้อย่างเดียวคือปาฏิหาริย์”    พี่จักรพูดให้กำลังใจผมตลอดเวลา  และทุกครั้งก็ยังถามกึ่งห่วง กึ่งแซว ว่าแฟนผมที่ผมทึกทักเอาเองว่าต้องคือคนรัก  ว่าสวยขนาดไหน   พี่จักรไม่รู้ว่าต้องคือผู้ชาย   ผมไม่ได้บอกใครว่าคนที่ผมรอให้ฟื้นอยู่ ชื่อต้อง  หรือชื่อนัญ ผมบอกอย่างเดียวว่าเค้าคนนั้นคือคนรักของผม

   พี่จักรจะช่วยพี่ภาดูแลผับของที่นี่อีกเพียงแค่อาทิตย์เดียว ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศและต้องไปดูแลงานเรื่องโรงแรมของครอบครัว และครั้งนี้พี่ภาก็คงจะไปเรียนต่อตามพี่จักรไปด้วยด้วย  แต่กิจการของผับก็ยังคงอยู่ในการดูแลของพี่จักรต่อไป เว้นเสียแต่ว่าให้ใครมาดูแลก็เพียงเท่านั้น  ผมไม่สนใจว่าใครจะเป็นหัวหน้าของผมคนใหม่    พี่จักรบอกเพียงว่าใจดี ถึงจะอายุน้อยหน่อย แต่ก็ดูแลงานที่บ้านและที่โรงแรมมาเยอะแล้ว   

   ผมร้องเพลงจนเสร็จ  เพลงสุดท้ายเกือบเที่ยงคืน ก่อนจะขออนุญาตพี่ภากลับ    วันนี้เป็นคืนวันเสาร์  ลูกค้าค่อนข้างเยอะ  แต่หลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว  ก็จะมีนักร้องอีกวงหนึ่งเข้ามาร้องแทน และก็ไม่ใช่หน้าที่ของผมอีกต่อไป   

   วันเสาร์ผมได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมต้องได้    บรรยากาศในห้องเปิดไฟเพียงสลัวๆ  พยาบาลที่ถูกจ้างมาประจำยังคงไม่นอนหลับ เพราะพยาบาลของที่นี่ถูกจ้างมาถึงสามคน  ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมง   น้าตาเป็นคนจ้างมาเอาไว้   ให้คอยดูแลต้องทุกๆ วัน   เมื่อพยาบาลเห็นผม ผมไหว้  ก่อนที่พยาบาลนั้นจะออกไป  ทุกครั้งที่ผมมาเยี่ยมต้อง   พยาบาลที่นี่จะไม่มีใครอยู่ในห้อง   เพราะรู้ว่าผมอยากมีเวลาส่วนตัวกับต้องให้ได้มากที่สุด  พยาบาลออกไปแล้ว  คนที่นอนอยู่ตรงหน้า ยังคงไม่ไหวติง    ดวงตาของต้องยังคงปิดสนิท  เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผมเจอ   มือเล็กๆ ข้างนั้น มีสายน้ำเกลืออยู่ตลอดเวลา   ต้องจากที่ร่างเล็กๆ   อยู่แล้ว   ทุกวันนี้ดูผอมกว่าเดิม  ผิวพรรณของต้องยังคงสดใส ไม่มีอะไรผิดแผกไปมากนัก  ผมเริ่มยาวขึ้น แต่ก็ยังคงนุ่มสลวยเหมือนเดิม  ผมลูบหัวเบาๆ  ช้าๆ ได้แต่ขอร้องให้ตื่นขึ้นมา    ต้องเล็บยาวขึ้น แต่ก็ยังไม่มากนัก   นิ้วก้อยเรียวๆ   เมื่อครั้งที่เค้ายังเป็นเด็ก  นิ้วก้อยนี้จะเกี่ยวกับนิ้วก้อยผมทุกครั้ง เวลาที่พาไปเดินเล่น  ผมคิดถึงเด็กตัวเล็กๆ   กลมๆ คนนั้น

   บรรยากาศในห้องเงียบ  สงบ   ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาทั้งสิ้นแม้แต่เสียงเครื่องปรับอากาศผมก็ไม่ได้ยิน   มือข้างหนึ่งผมจับอยู่ที่มือเล็กๆ  นั้นอย่างทนุถนอม  นั่งเงียบ  ไม่พูดอะไร  ขอเพียงได้เห็นหน้าเท่านั้นก็สุขใจ  กรรไกรตัดเล็บ   อยู่ข้างๆ ที่นอน  เมื่อก่อนที่พยาบาลคนนั้นจะเดินออกไป   ผมเห็นพี่เค้ากำลังจะตัดเล็บให้ต้องอยู่  ก่อนที่จะเดินออกไปเมื่อตอนที่ผมเดินเข้ามา

   ผมค่อยๆ บรรจงตัดเล็บให้ต้องอย่างช้าๆ เพราะกลัวจะตัดเข้าไปโดนเนื้อ  มือข้างนี้  เคยเงื้อมมือตบผมเมื่อครั้งที่แล้ว   ตอนที่ผมเอาตุ๊กตาที่เป็นของขวัญวันเกิดที่พ่อเค้าให้ไว้ก่อนจะเสียไป เขวี้ยงทิ้ง   

   “ตื่นมา แล้วตบพี่อีกกี่ร้อยครั้งก็ได้นะ”   เสียงอันแผ่วเบา พูดกับคนที่ไม่มีทางจะได้ยิน   ผมค่อยๆ ตัดเล็บให้ต้องจากนิ้วชี้ ไปจนถึงนิ้วนาง  น้ำตาจากลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ในชีวิตนับครั้งได้จะไหลออกมาอย่างช้าๆ   ผมสงสารต้อง   และก็สมน้ำหน้าตัวเองที่ต้องมาเจอกับสิ่งแบบนี้  มือนุ่มๆ ข้างนั้น ผมเอามาแนบแก้มทุกครั้งที่เวลาได้อยู่กับต้อง  น้ำตาไหลออกมาช้าๆ  ถ้าผมอยู่กับคนอื่นคงไม่ร้องไห้  เพราะอายตัวเองที่ต้องมีน้ำตาต่อหน้าคนอื่น  แต่สำหรับตอนนี้  ผมขอเถอะ  อย่างน้อยน้ำตาที่ไหลออกมา  มันก็ยังบรรเทา  ความอัดอั้นตันใจ   ความขมขื่นใจไปได้บ้าง   

   ขอร้อง........   ขอร้อง  .......  ให้แลกด้วยอะไรก็ยอม  ฟื้นมาเถอะนะ   กลับมาเป็นต้องคนเดิม   คนที่มีรอยยิ้มสดใสแบบเดิมเถอะนะ

   “ฮึก ....  ฮึก    นัญ  ตื่นมาเถอะนะ    พี่ขอร้อง   เห็นใจพี่ด้วย  พี่ขอโทษ” ใบหน้าที่น้ำตาอาบแก้มก้มลงไปที่ฝ่ามือเล็กๆ  นั้น  ผมร้องไห้อย่างไม่อายใคร  หัวใจมันปวดร้าว  เมื่อไม่รู้ว่าคนที่ผมรักจะฟื้นตอนไหน จะได้ยินเสียงกันอีกหรือเปล่า  จะเห็นต้องยิ้มสดใส  จะเห็นต้องหัวเราะอีกบ้างหรือเปล่า   

   “หักห้ามใจเถอะลูก ซักวัน  ต้องก็ต้องฟื้นขึ้นมา .....  เข้มแข็งเข้าไว้   อย่าทำให้น้องเค้าเสียใจอีกเลยนะ”  แค่ฟังจากน้ำเสียง ผมก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังผมนั้น  มือเล็กๆ ที่วางไว้บนบ่า   น้ำเสียงที่พูดมา ไม่ใช่ปลอบโยนผม  แต่เป็นเพียงบอกกล่าวเหมือนกับให้กำลังใจตัวเอง ว่าลูกที่มีเหลืออยู่แค่คนเดียว ของผู้หญิงด้านหลังนี้  ซักวันคงจะต้องตื่นขึ้นมา ตามที่พูดเอาไว้

   ผมหยุดร้องไห้   จริงอยู่   ผมไม่เกลียดน้าตาแล้ว  ตั้งแต่เมื่อได้รู้ความจริง  แต่ก็ยังคงกระดากอยูบ้าง  ที่จะพูดคำว่า ขอโทษ  จริงซินะ  ผมไม่เคยชินกับการเป็นคนดีเลย   

   ไม่รู้ว่าน้าตาอยู่ตรงนั้นในห้องนั้นอีกนานเท่าไหร่  ระหว่างเราสองคน ไม่มีบทสนทนาใดๆ  เกิดขึ้น   ยังขอบคุณที่เค้าไม่ไล่ผมออกจากห้องนี้ไป   น้าตายังคงปล่อยให้ผมอยู่กับต้อง  จนท้ายสุดเค้าก็เดินออกไปเอง  เวลามันจะผ่านไปนานอีกเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ   สำหรับวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ที่ผมหยุดเรียน  ในห้องของต้อง  พยาบาลยังเดินมาตรวจอาการอยู่เรื่อยๆ  นานๆ  ทีหนึ่งจะมีหมอซักคนเดินเข้ามา   อาหมอที่ผมพอคุ้นหน้าอยู่บ้างเพราะก็คงจะเป็นญาติห่างๆ ของไอ้นันต์นั้นแหละ

   เรื่องราวมันมาแดงเพิ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน   หมอคนที่สนับสนุนและอนุมัติที่ให้นัญ สามารถให้เลือดกับผมได้จนเกินพิกัดกับการให้เลือด  เพราะมันมีการตกลงกันลับๆ  โดยมีเงินจำนวนมากอยู่เหมือนกัน  ที่จะทำให้หมอคนหนึ่ง ผิดจรรยาบรรณที่เรียนมา   ผมสงสัยอยู่นาน ว่านัญเอาเงินมาจากไหนก้อนโตขนาดนั้น ทั้งๆ ที่ในบัญชีที่พ่อผมโอนเข้ามาให้ก็ไม่มียอดถอนออกไปซักยอดเดียว  มีเพียงยอดเดียวเท่านั้นที่หายไปครั้งล่าสุด ก็คือเงินในบัญชี ของกรมธรรณ์ ที่พ่อของนัญทำเอาไว้ให้ก่อนเสียชีวิต 

   เค้าไม่ได้แตะต้องเงินของพ่อผมเลย
   
     เวลาส่วนมาก  ผมหมดไปกับการนั่งอ่านหนังสือให้นัญฟัง  เพราะหวังในใจลึกๆ  ว่านัญเองคงจะรับรู้และสัมผัสได้ว่า  มีผมอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา และพร้อมจะชดใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง  เมื่อถึงวันที่นัญพร้อมจะตื่นขึ้นมา
   
   อาหมอคนเดิม เข้ามาตรวจอีกครั้งในช่วงเย็น ก่อนที่ผมจะต้องไปร้องเพลงที่ร้านของพี่ภา  สีหน้าที่ดูใจเย็นขึ้นของอาหมอ ทำให้ผมอดสงสัยที่จะถามไม่ได้   
   
   “นัญเป็นไงบ้างครับ”   
   
   “อาการโดยรวมดีขึ้น  ไม่ทรุดลงไปกว่าเดิม  อาเคยเจอเคสนี้  คนหนึ่ง นานแล้ว ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ที่อเมริกา”    น้ำเสียงดูราบเรียบ และหยุดซักพักหนึ่ง  เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ก่อนจะพูดขึ้นต่อ 

   “วัจน์อยากฟังไหม”

   “ครับ”   ผมตอบกลับไปช้าๆ   ใจหนึ่งก็กลัว   แต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะรู้ว่าเป็นแบบไหน

   “คนไข้รายนั้น กับต้อง ดูจากสภาพร่างกายภายนอกแล้ว แทบไม่ต่างกัน  จริงอยู่ที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้ช้าเกินไป  ทำให้เกิดคล้ายกับอาการฮีทสโตรก  แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว   สมองและก้านสมองของคนไข้รายนั้นกับต้อง ไม่ต่างกันเลย  คือสมบูรณ์ทุกอย่าง  ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย  แม่แต่สมองเบื้องลึกที่สั่งการต่างๆ อันเหนือการควบคุมของจิตใจเรา ก็ไม่มีผลเสียหาย”   อาหมอมองหน้าผม  แล้วยิ้มขึ้นมาช้าๆ และพูดต่อไปก่อนจะหันไปมองหน้าต้องอีกครั้ง

   “คนไข้รายนั้นที่อาเคยรักษา  เค้าเป็นเพื่อนของอาเอง  เค้ามีปัญหาทางบ้าน  เค้าถูกพ่อทำร้ายตั้งแต่เด็กๆ   เค้าเรียนเก่ง  แต่เค้าก็มีปัญหาทางครอบครัว  กลับไปบ้าน  เค้าจะโดนพ่อทำร้าย   บางทีก็โดนตี   โดนซ้อม   ...... เพราะอะไรวัจน์รู้ไหม”    คำพูดนั้นหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็ยิ้มให้ผม  และพูดต่อไปเหมือนเดิม  หันไปมองหน้าของนัญอีกที

   “เพราะพ่อของเค้า  บังคับให้เค้าต้องขายตัวให้พวกคนที่มีอำนาจ มีเงินเยอะๆ พ่อเค้าติดการพนันอย่างหนัก  จนถึงกับต้องขายลูกชายให้ไอ้พวกบ้าตัณหาเหล่านั้น   .............  วันหนึ่ง  เค้าโดนพ่อซ้อมหนักเกินไป  จนเผลอล้ม  และตกบันไดลงมา  หัวไม่ได้รับการกระแทกอะไรทั้งสิ้น  แต่เพื่อนของอา  โดนมีดที่อยู่ข้างล่างตรงนั้น บาดยาวจนเกือบทั้งขา”   

 เสียงถอนหายใจยาวๆ  ของอาหมอ  ผมรับฟังอย่างนิ่งเงียบ   ยังคงไม่พูดอะไรต่อไป

   “เพื่อนของอาเสียเลือดมาก  จนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ  เป็นเจ้าชายนิทราอยู่เกือบเดือนถึงจะตื่นขึ้นมา”    แค่ผมได้ยินแค่นั้น   ความดีใจก็เกิดขึ้น   ผมดีใจ   ใช่   เพราะนั้นหมายถึงว่านัญก็น่าจะฟื้นขึ้นมา   

   “เพื่อนของอาฟื้นขึ้นมา  ก็จะเหมือนกับนัญใช่ไหมครับอาหมอ”    อาหมอยิ้มให้ผมแบบเดิม ก่อนจะเล่าใหม่อีกครั้ง

   “ใช่ ....  เพื่อนของอาฟื้น  แต่วัจน์รู้ไหม  เค้าฟื้นขึ้นมา   เค้าจำได้หมดทุกคน  ทุกคนรู้  และก็จำได้  เค้าจำแม่เค้าได้  เค้าจำอาได้  จำเพื่อนๆ  ได้  จำได้แม้กระทั่งบางคนที่เดินสวนกันใน โรงพยาบาลตอนเรียน   ......... มีเพียงคนเดียว ที่เค้าจำไม่ได้”   ......

   “ใครครับ......”

   “พ่อของเค้าไงล่ะ   เค้าจำพ่อเค้าไม่ได้   เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีพ่อของเค้าอยู่   สิ่งที่อาจะพูด  อาจจะไม่เกิดกับต้องก็ได้   แต่สิ่งที่อาจะบอก  ก็คือว่า มนุษย์เราสิ่งที่ซับซ้อนที่สุด  และไม่สามารถมีเทคโนโลยีใดๆ  จะแก้ปัญหา  หรือหาต้นตอของมันพบ ก็คือ จิตใจ  จิตใจที่ซับซ้อนและลึกที่สุด   วัจน์รู้ไหม  ว่าถ้าคนเราได้รับผลกระทบอะไรที่รุนแรงมากเกินไป  เกินกว่าที่ตัวเองจะรับไหว   จิตใจใต้สำนึกเราจะปกป้อง เพื่อให้ร่างกายยังมีชิวิตอยู่  โดยให้ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบนั้น แต่ในทางตรงกันข้าม  จิตใจก็จะสูญสิ้นโดยสิ้นเชิง หรือที่เราเรียกกันว่า “วิกลจริต”  หรือ “คนบ้า”   จิตใจสู้ไม่ไหว แต่ร่างกายยังคงอยู่  .........  เพื่อนของอาไม่ได้บ้า  แต่จิตใจของเค้าปกป้องตัวเองไว้    ทำให้เค้าจำพ่อของเค้าไม่ได้  จนถึงทุกวันนี้  เกือบ 20 ปี  เค้าก็ไม่สามารถจำพ่อของเค้าเองได้” 

   สิ่งที่ผมได้ยิน   ถึงแม้อาหมอจะพูดโดยอ้อมๆ  ให้รู้ว่า  ถ้านัญฟื้นขึ้นมา นัญอาจจะจำผมไม่ได้   
   ถูกต้องแล้ว  เพราะผมทำกับเค้าเอาไว้มากเกินไป
   อาหมอไม่ได้พูดอะไรต่อ  ไม่ว่าอะไรผมทั้งสิ้น  ไม่แม้กระทั่งพูดขึ้นมาซักนิดว่า   นัญอาจจะตื่นขึ้นมาแล้วจำผมก็ได้  มันอาจจะไม่ใช่เคสแบบที่อาหมอเล่าให้ฟัง   แต่เปล่าเลย   ผมรู้ว่าอาหมอทราบดี  เพราะคงคุยกันแล้วในกลุ่มของผู้ใหญ่  ว่าทำไมนัญถึงต้องมาอยู่สภาพเช่นนี้   
   ผมไหว้อาหมอ  ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง
   
   ไม่เป็นไร  ...........

      ถ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว จำผมไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร   ถ้ามีโอกาส ขอแค่ซักครั้ง   ผมจะเริ่มใหม่ และยกชีวิตทั้งชีวิตนี้เพื่อให้คนที่ผมรัก

   .............  วันนี้วันเสาร์  .............  คนที่ร้านน่าจะเยอะ   

   ผมแหงนมองดูบนฟ้า   ท้องฟ้าในกรุงเทพฯ  ที่แทบจะไม่มีดาวให้เห็นซักดวง   วันนี้ต้นเดือน  วันที่  1 ธันวา   วันนี้มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่าพระจันทร์ยิ้ม  ผมยิ้มให้กับพระจันทร์นั้น เพราะมันน่ารัก  และสวยงามเสมอ  พร้อมกับจับมือถือออกมา  และถ่ายรูปเก็บเอาไว้ 

   “พี่เก็บเอาไว้ให้นัญนะ   ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่  พี่จะให้นัญนะครับ” 

   ผมยิ้มให้กับตัวเอง  เดินไปช้าๆ  ออกจากโรงพยาบาล
   ใช่แล้ว นัญยังคงไม่ตื่น   เมื่อเช้าผมสังเกตเห็นมีเค๊กก้อนหนึ่งวางอยู่บนหัวเตียง   ใช่  วันนี้วันเกิดนัญ   เค๊กก้อนนั้น ก็คงจะเป็นของน้าตา   ส่วนผมหรอ  รอให้นัญฟื้นขึ้นมาก่อน  ผมคงจะสวมให้  ในวันที่พร้อม
    
   เงินเก็บพอมีบ้าง  ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง  ก่อนที่จะเก็บกล่องแหวนเข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม   
   
...

[/color]
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:50:05
   
                ตลอดระยะเวลาของการขับรถกลับ  ผมหลับเกือบไปตลอดทาง เพราะเมื่อคืน ผมแทบไม่ได้นอนเลยจนถึงวัด  และเบสต์มันก็ไม่อยู่ค้าง  ไม่อะไรทั้งสิ้น  ไอ้ตัวเล็กข้างๆ  ผมนี่ขับรถเก่งเหมือนกัน  ขับไม่ไว  แต่ก็รู้ว่าปลอดภัย   

   “ครับพี่จักร   ถึงขอนแก่นแล้วครับ  .......  ครับ............   ครับ   ก็เดี๋ยวผมขออีกสองสามวันแล้วกันครับ  เดี๋ยวจะไปดูที่ร้านให้ .....”    คนที่มันพูดถึง น่าจะเป็นพี่ชายของมัน เหมือนเคยจะได้ยิน  ผมเคยแอบฟังมันคุยครั้งหนึ่งกับพี่มัน   คงน่าจะเปิดร้านอาหารอะไรซักแห่งคู่กับแฟน
แต่ตอนนี้ ความรู้สึกผมมันคิดว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงเท่านั้น   ตอนนี้ถึงขอนแก่นแล้วหรอ ไวเหมือนกันนะ
   
   “เดี๋ยวเปลี่ยนกันขับก็ได้นะเบสต์   พี่ไม่ง่วงแล้ว”   ผมอาสาที่จะขับเอง  เพราะตลอดระยะเวลาขากลับนั้น  เบสต์มันเหมามาตลอดเส้นทาง   เลยทำให้ผมมีแรงที่จะขับอีกครั้งได้อย่างเต็มที่   
   “หิวข้าว  เดี๋ยวจะจอดหาอะไรกินก่อน   เบสต์ยังไม่ได้กินข้าวเลย”     
   “รอพี่หรอ ?”   ผมแกล้งแหย่ๆ มัน   ให้รู้สึกไม่เงียบเหงาซักนิดหน่อย
   
“อย่าสำคัญตัวเองผิด”   เบสต์มันพูดขึ้นมาเสียงไม่ดังนัก แต่ก็ฟังชัด  ไม่หันมองผมซักนิด  ยังตั้งหน้าตั้งตามองเส้นทางนั้นไปเรื่อย

   “อุตส่าห์คุยดีด้วย  ดีด้วยแป๊บเดียวเอง”     คนอะไร หน้าตาก็น่ารักอยู่หรอก  แต่ดูเอาแต่ใจชะมัด   ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ  เพราะตอนนี้เหมือนเบสต์มันจะแวะจอดร้านอาหารที่อยู่ในปั้มน้ำมันพอดี   เราสองคนเดินเข้าไปข้างใน  มันทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นเลย  เดินไปสั่งๆ  แล้วก็ซื้อน้ำตรงด้านข้างร้าน  แถมยังซื้อมาแค่ขวดเดียว  ไอ้นี่  ไม่มีน้ำใจ

   “งกว่ะ !!!”   ผมพูดลอยๆ    และมันก็คงรู้ตัว  แต่ก็ไม่เงยมามองหน้าอะไรผมทั้งสิ้น   เหมือนเป็นอากาศไปซะอย่างนั้น   จนสุดท้ายแล้ว  ผมก็ต้องเดินไปซื้อกาแฟมากิน   ตอนนี้ถึงมันจะหิว แต่ก็ไม่อยากแตะข้าวหรืออะไรที่มันหนักท้องซักเท่าไหร่   ผมหายง่วง  แต่ก็อยากได้กาแฟ  ให้มันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกซักนิด ผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเบสต์  และมองหน้าเรียวเล็กๆ ตรงหน้านั่นอยู่สักพัก  ก่อนจะตัดสินใจคุยกับมันเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบๆ อยู่แบบนี้

   “ทำไมถึงต้องรีบมาหาหลวงพ่อด้วยหรอเบสต์  ตอนแรกพี่คิดว่า หลวงพ่อจะช่วยได้ซะอีกเรื่องของต้อง   คือพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ  แต่เรื่องไสยศาสตร์นี่  มันดูไม่เหมาะกับเบสต์เท่าไหร่นะ”
   
ผมพูดและคิดอย่างนั้นจริงๆ   เจตนาจริงๆ  ผมไม่ได้คิดที่จะมองมันในแง่แบบนั้น  มันดูเป็นเด็ก และก็โตมาในสังคมของคนยุคใหม่  ไม่น่าเชื่อว่าเบสต์จะมีมุมนี้เหมือนกัน   ถ้าไปหาหลวงพ่อ  แล้วให้หลวงพ่อช่วยเรื่องเพื่อนของมัน ผมก็ว่าไม่น่าจะใช่  คนที่ช่วยต้องได้ตอนนี้คืออาหมอ ทั้งอาและพ่อของไอ้นันต์ที่โรงพยาบาลเท่านั้น

“ถ้าพี่ไม่รู้อะไร พี่ก็หยุดพูดเถอะ” 
“ก็เพราะพี่ไม่รู้ไงครับ  พี่ถึงถาม” 
ใช่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ  ผมไม่รู้ ผมเลยถามออกไป ถามตรงๆ 
“พี่ยิงปืนเป็นหรอ” 
มันดันมาถามผมกลับ  คำถามที่ถามไป ไม่มีคำตอบกลับมา  แต่มีคำถามโต้ตอบกลับมาแทน 

“ยิงไม่เป็น” 

    ผมตอบไปตามความเป็นจริง ถูกต้อง  ผมยิงปืนไม่เป็น   แต่สามารถยิงได้ และทุกครั้งที่ยิงออกไป มันก็ถูกเป้าหมายที่ผมต้องการให้ถูกทุกครั้ง  ผมไม่เคยฝึกยิงปืนที่ไหน  ไม่เคยซ้อม  ไม่เคยเรียน   แต่ผมก็ยิงได้ ....... ไม่รู้ทำไม

เบสต์มองหน้านิ่ง   เหมือนอยากจะถามอะไรผมอีกครั้งหนึ่ง  แต่ผิดไปที่ครั้งนี้  เบสต์มองผมแบบไม่ได้โกรธแค้นหรืออะไร    ผมจ้องมองกลับไปนิ่งๆ  อยากให้มันมองจนทะลุดวงตาคู่นั้น  ดวงตาที่ผมนึกอย่างไงก็นึกไม่ออก  แต่ความรู้สึกมันจับได้ว่า  ผมกับเบสต์ต้องรู้จักกันมากกว่านี้   รู้จักกันมานานแสนนาน

   มันรวบช้อนเก็บเข้าหากัน   เงยหน้ามองไปบนเพดานของร้านอาหารที่มันไม่มีอะไรน่าดูเลย ผมยังคงจิบกาแฟต่อไปอย่างเงียบๆ  จนเวลาผ่านไปซักพัก  ผมเองนั้นที่เริ่มถามมันอีกครั้ง

   “จะไปกันหรือยัง   เดี๋ยวพี่ขับเอง”   ผมพูดพร้อมกับถือวิสาสะ  หยิบกุญแจรถของผมคืนมาเอง  และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าร่างกายของผมมันพร้อมที่จะเดินทางต่อได้แล้วด้วยตอนนี้ 

   “ขอพักอีกซักเดี๋ยวได้ไหม”    ดีจัง  เวลาเบสต์มันพูดโดยไม่ใส่อารมณ์นี่ก็น่ารักดีเหมือนกัน
   “ได้ครับ  แล้วแต่น้องเบสต์แล้วกัน”
   “พี่เอก” 
   “หืม” 
   “พี่อยากรู้ไหม  ว่าทำไมพี่ถึงยิงปืนแม่น”   อยู่ดีๆ มันจะถามทำไม และมันรู้ได้ไงว่าผมยิงปืนแม่น  ทั้งๆ ที่ผมก็บอกไปแล้วว่าผมยิงปืนไม่เป็น

   “เบสต์จะเล่าให้พี่ฟังป่าวล่ะ”   ผมก็ชักอยากรู้เหมือนกันนะตอนนี้   เอาเป็นว่ารอดูไอ้ตัวเล็กข้างหน้าจะพูดอะไรต่อก็แล้วกัน

   “พี่เชื่อเรื่องภพชาติ  เชื่อเรื่องอดีตชาติไหม”  ผมว่าแล้ว  ผมไม่ตอบคำถามที่มันถามมา แต่ถามกลับไปอย่างอารมณ์ดีมากกว่า  ถ้ามาแนวๆ นี้  ถามแนวนี้ ก็หยอก เย้าๆ เล่น ให้จิตใจมันสนุกสนานขึ้นมาบ้าง
   “น้องเบสต์เชื่อหรอ”    แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะเรื่องพวกนี้ มันพิสูจน์ไม่ได้ และเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระมากกว่า

   “ครับ  เบสต์เชื่อ” 

   “ชาติที่แล้วเบสต์เป็นไรล่ะ”  ผมถามกลับไป อย่างนึกสนุก

   “พี่อยากฟังป่าวล่ะ”   เบสต์จ้องหน้าผม  ไม่ใช่คำถามที่ถามเล่นๆ  แต่เบสต์ต้องการคำตอบจริงๆ  มากกว่า   มันทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้น   และยังไม่ทันที่ผมจะตอบมันกลับไป  เบสต์ก็พูดต่อ  จนผมนึกอยากจะฟังขึ้นมาจริงๆ  อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาช่วงพัก หรือไม่ทำก็ทำให้เราสองคนต้องมานั่งกันเงียบๆ  แบบนี้   

   “ชาติที่แล้วเบสต์เป็นพี่สาวของต้อง”   น้ำเสียงที่ดูราบเรียบ แต่มันก็สะดุดใจผม   และอยากจะฟังต่อไปอีกว่ามันเป็นอย่างไงกันแน่  ทำไมเบสต์พูดออกมาแนวนี้   มันดูว่าไม่ใช่ตัวของมันเลย

   “ถ้าอย่างนั้น  พี่ก็ขอเป็นนักฟังที่ดีแล้วกัน  เบสต์เล่ามา   พี่จะเชื่อในสิ่งที่เบสต์พูด  หรือไม่เชื่อ  แต่เบสต์ก็ลองเล่ามาเถอะ  เดี๋ยวพี่ขอฟังเงียบๆ  แล้วกันครับ”

   “ชาติที่แล้วเบสต์เป็นพี่สาวของต้อง”   เบสต์มันพูดซ้ำอีกครั้งเหมือนจะเริ่มต้นใหม่

   “เราสองคนเป็นพี่น้องกัน  เบสต์เป็นพี่สาวคนโต ส่วนต้องเป็นน้องชายคนเล็ก เรามีกันแค่สองคนพี่น้อง  เราสองคนยากจนพอๆ กันทั้งคู่   พ่อกับแม่ของเราจากไปตั้งแต่ที่ยังเด็กๆ  ความรู้สึกของเบสต์  เหมือนกับว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ  เมื่อชาติที่แล้วนะ .........   ต้องเป็นคนที่เจ้าชู้  แอบชอบผู้หญิงไปเรื่อยๆ  พอใจใครคนไหนก็ฉุดเอามาเป็นเมียดื้อๆ ซะอย่างนั้น  เกือบทุกครั้ง เบสต์จะเป็นคนแก้ปัญหาให้ ความรู้สึกของเบสต์บอกว่า เบสต์รักน้องคนนี้มาก   ถูกต้อง  เบสต์รักต้องมากในชาติที่แล้ว  เบสต์ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องชายของตัวเอง   ถึงเค้าจะทำผิด  เค้าก็ยังคือน้องชายของเบสต์   พี่น้องกัน  ต่อให้ผิดกันมากขนาดไหน สายเลือดมันก็ตัดไม่ขาด”   

สองมือมันกำอยู่ที่เดิม แต่ดูเหมือนว่าจะพยายามบีบเข้าหากัน    ผมยังคงฟังต่อ   อารมณ์ตอนแรกที่ว่านึกสนุก  อยากหาเรื่องคุย  ตอนนี้มันกลายเป็นอยากรู้มากกว่า   ผมมองหน้าเบสต์  ในขณะที่มันยังคงก้มหน้า  และพูดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

“แต่ต้อง  ไม่เคยมองเบสต์เป็นพี่สาวเลย   วันสุดท้ายที่มันอยู่ในความทรงจำของเบสต์  ต้องฉุดผู้หญิงอีกหมู่บ้านหนึ่งมา   ตรงนั้นเป็นชายป่าอ้อยหลังหมู่บ้าน  เบสต์เข้าไปห้ามไม่ให้ต้องทำร้ายอะไรผู้หญิงคนนั้น  แต่สิ่งที่เบสต์กลับได้รับ คือต้องตบหน้าเบสต์จนสุดแรง  พร้อมกับบีบคอเบสต์   ความรู้สึกตอนนั้น  เบสต์ทั้งกลัว  กลัวว่าต้องจะทำอะไรผู้หญิงคนนั้นจนเกินเลย   เบสต์เข้าไปห้ามอีกครั้ง  แต่พี่รู้ไหม  ต้องทำเบสต์จนเบสต์นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น  .......  ใช่แล้ว  เบสต์นอน  มันควรที่เบสต์จะไม่รู้สึกตัว  แต่นั่นมันคือตัวตนของเบสต์เมื่อชาติที่แล้วไง  และชาตินี้เบสต์กลับมองเห็นมันอีกครั้ง   .........”   

มันเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้ง   ผมเห็นน้ำตาของคนข้างหน้าอีกครั้งแล้วหรอ   ไม่อยากให้มันร้องไห้เลย 

“ถ้าไม่อยากเล่า  ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้นะเบสต์  เรากลับกันเถอะครับ”   ไม่ทะเลาะกันซักวันได้ไหม   ให้ทำอะไรผมก็ยอม   ไม่ได้รักมัน หรือห่วงมัน  แต่ผมไม่อยากให้มันร้องไห้

เบสต์ส่ายหน้าช้าๆ  พร้อมกับพูดต่อ

“พี่เอก.......พี่อยากรู้ไหม  ว่าผู้หญิงคนที่ต้องฉุดเมื่อชาติที่แล้วคือใคร”     น้ำตามันไม่ได้ไหลออกมา  เพียงแต่เอ่ออยู่ในสองนัยน์ตานั้น  เบสต์พูดยิ้มๆ  ก่อนจะก้มหน้าลงไปอีกครั้ง

“ผู้หญิงคนนั้น ก็คือเพื่อนพี่ไงล่ะ  ......  พี่วัจน์  ....  เพื่อนพี่เอกนั้นแหละ”   คำตอบที่ได้รับ ทั้งๆ  ที่ผมไม่ได้ถาม   มันทำให้ตอนนี้  สายตาผมเริ่มพร่ามัวไปหมด  เส้นขนที่แขนผมลุกเกรียว  ถ้าเบสต์จะหาคำโกหก หรือเรื่องเล่าคลายความเงียบ  ผมว่าเบสต์เล่าเรื่องที่มันน่ากลัวเกินไป

“เบสต์ .....”  ผมครางชื่อมันอีกครั้ง  เพื่อที่จะขอร้องให้มันหยุดพูด   ยิ่งเบสต์พูดไปเรื่อยๆ  ผมก็รู้สึกกลัว  ผมไม่รู้ว่าผมกลัวอะไร  แต่ผมกลัว  มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวัง  เบสต์ยังคงเล่าเรื่องบ้าๆ นั่นต่อไปอีก

“ครับ ..... เค้าคือพี่วัจน์ เมื่อชาติที่แล้ว   เบสต์ตื่นขึ้นมาอีกที มันก็สายไป  ต้อง หรือน้องชายของเบสต์เมื่อชาติที่แล้ว  ทำในสิ่งที่เค้าต้องการจนสำเร็จ   แต่เค้าทำเกินไป  ผู้หญิงคนนั้นถูกต้องข่มขืน และตายไปต่อหน้า  ..........  เบสต์เกลียดพี่วัจน์ในชาตินี้  ที่เกลียด   เพราะเบสต์กลัว กลัวว่าซักวันเค้าจะทวงคืน......   มันอาจฟังดูโหดร้าย  มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัว  เพราะเบสต์รักต้องมากเกินไป  พี่เชื่อไหม ......  ถ้าเป็นไปได้  เบสต์ก็ไม่อยากจะรู้เรื่องอดีตพวกนั้น  และไม่อยากให้ใครรู้     แต่ทำไมเบสต์อยากให้พี่เอกรู้   พี่รู้หรือเปล่า   .......” 

สายตาของเบสต์  เปลี่ยนไป  มันยังคงดูน่าสงสาร  แต่ในขณะเดียวกัน  มันก็เจือไปด้วยความน่ากลัวบางอย่างที่ผมก็ยังไม่อาจสัมผัสได้   .......  ถ้ามันเจ็บ  อย่าเล่าอีกเลยนะเบสต์.......

“เบสต์ตื่นขึ้นมา  เพื่อเดินไปหาน้องชายของเบสต์   อีกนิดเดียวเท่านั้น  เบสต์ก็สามารถดึงน้องชายกลับมาได้   แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิด   ............

        ปัง  !!!!!!!!
   ปัง  !!!!!!!   

เสียงปืนสองนัด    นัดแรกโดนเข้าอย่างจังที่หน้าอกข้างซ้ายของต้อง   ส่วนนัดที่สอง  มันผ่านไปตรงกลางหน้าผากพอดี   แม่นเหมือนจับวาง   .........   พี่รู้ไหม  ใครยิง  !!!!!!”

ถ้าเบสต์มีน้ำตาไหลออกมา   แต่มันไม่ใช่  เบสต์ไม่ได้ร้องไห้   แต่แววตาของเบสต์ยังมีน้ำตาซ่อนอยู่  ซึ่งตอนนี้มันก็ไม่ต่างกับผม  ......  ผมรู้แล้วว่าทำไมผมถึงยิงปืนได้แม่นยำขนาดนี้.....  เพราะแบบนี้ซินะ

“...............พี่ไงพี่เอก    พี่เป็นคนยิงต้อง................”  

ตอนนี้ผมรู้แล้ว ...........  ความรู้สึกมันกลับมาหมด  ผมรู้แล้วว่าทำไมหลวงพ่อรูปนั้น  ถึงบิณฑบาตขอเอาไว้  ไม่ให้ผมไปยิงใครอีก   เพราะแบบนี้ซินะ   เบสต์กลัว   เบสต์กลัวเพราะแบบนี้ใช่ไหม   ......  อย่าเลยครับ  อย่ากลัว   ผมไม่ใช่คนแบบนั้น   เบสต์อย่ากลัวเลยนะ   ผมไม่มีความสามารถพิเศษอะไรทั้งสิ้น   ไม่มีบุญอะไรพอที่จะทำให้ตัวเองระลึกชาติที่แล้วได้เหมือนเบสต์    แต่ทำไมผมรู้สึกเช่นนั้น   
 
ผมถามเบสต์กลับไป  ไหนๆ  ถ้าจะให้รู้แล้ว  มันก็ต้องรู้ความจริงทั้งหมด   เรื่องอดีต ให้มันผ่านไป  ผมรู้และทราบว่าทำไมผมถึงต้องยิงต้องให้ตาย  ผมรู้เหตุผลนั้น  และผมก็รู้ ว่าชาติที่แล้ว ระหว่างผมกับไอ้วัจน์ เราสองคนก็คือพี่น้องกัน  ผมไม่รู้ว่าผมรู้ได้อย่างไร   แต่ผมรู้  ...... ใช่แล้ว  ผมรู้   

และมันก็ต้องรู้ความจริงทั้งหมด   

“แล้วเมื่อชาติที่แล้ว  ....... เราสองคน  เป็นอะไรกันหรอเบสต์”

สายตาที่ว่าเย็นชาแล้ว  แต่คำพูดที่เบสต์พูดกลับมา  มันเย็นชายิ่งกว่าเสียอีก

“เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน” 

หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 22:57:04
ตอนที่   28




   
“แล้วเมื่อชาติที่แล้ว  ....... เราสองคน  เป็นอะไรกันหรอเบสต์”

สายตาที่ว่าเย็นชาแล้ว  แต่คำพูดที่เบสต์พูดกลับมา  มันเย็นชายิ่งกว่าเสียอีก

“เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน”   

คำพูดที่เบสต์พูดออกมายังก้องอยู่ในหัวผม  ความรู้สึกที่สับสน  มันบอกไม่ถูกว่าผมรู้ได้อย่างไง  และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  ถูกต้องแล้ว  เบสต์โกหก  และในความรู้สึกนั้น  ผมคิดว่า ช่วงระหว่างความทรงจำที่มันหายไปสองปี  ผมกับมันน่าจะเคยรู้จักกันมาก่อน  แต่จะถามใครล่ะ  !!!  ไอ้วัจน์    หรือไอ้นันต์  หรือจะเป็นซิว     ทุกคนดูเหมือนจะปิดปากเงียบกันหมด  ไอ้วัจน์ที่พอน่าจะให้คำตอบได้บ้าง  ตอนนี้ก็ดูเหมือนมันไม่ใช่คนก่อนที่ผมเคยรู้จัก   ไอ้นันต์ก็เช่นกัน   ส่วนซิวนี่แล้วใหญ่ อะไรที่ไปในทางไม่ดี  ซิวไม่เคยสนับสนุนเพื่อนคนไหนซักคน   

เบสต์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ  หลังจากที่พูดคำนั้นจบ มันไม่กินข้าวที่อยู่ตรงหน้าต่อ  ทั้งๆ ที่บ่นว่าหิวก่อนที่เราจะมาจอดกินข้าวกัน  แต่มันแตะไปไม่ถึง  5 คำ ที่ผมสังเกตได้  บริเวณปั้มน้ำมันที่เรามาจอดกัน ตอนนี้เป็นช่วงเกือบๆ เที่ยง  ผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่  ปั้มน้ำมันใหญ่  เป็นเรื่องปกติที่คนจะเข้ามาใช้บริการค่อนข้างมาก ผมจิบกาแฟไปเรื่อยๆ   ระหว่างที่รอเบสต์กลับมา  แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไปนานจนผิดปกติ

“ก็ลมมันแรงอ่ะครับแม่   มันเลยหลุดมือผมไป”
“ลมแรงที่ไหนกัน  เราน่ะปล่อยมันหลุดมือไปต่างหาก” 
“ไม่นะ  ผมจับแน่นแล้วนะ  แต่ลมแรงจริงๆ ไม่เชื่อแม่ก็ลองดูซิ่”
“พอเลย ต่อไปแม่ไม่ซื้อให้แล้วนะ  ไปๆ ขึ้นรถ  พ่อรออยู่”
เสียงบทสนทนาตรงด้านหน้าผม  ไม่ห่างไปซักเท่าไหร่นัก   ผมมองไอ้ตัวเล็กด้านหน้าที่มีทีท่าเหมือนเสียดายลูกโป่งที่ลอยไปบนฟ้า    นั่นซิ่นะ ....

เป็นเพราะว่าลมมันแรงไป   หรือเราจับไว้ไม่แน่นพอ  มันเลยหายไปจากเรา

โทษใคร   ลม  หรือสองมือเราเอง

   ผมปล่อยให้อารมณ์และใจ คิดไปเรื่อยๆ   สองปีที่หายไป   ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง  ถ้าเป็นเรื่องดี มันก็ดีไป  แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีล่ะ    ความรู้สึกความทรงจำที่หายไป   ให้มันหายไปจะดีกว่าไหม  ........  ผมรอจนอีกซักพักใหญ่   ไอ้คนที่มันชวนผมทะเลาะอยู่บ่อยๆ  ก็ยังไม่กลับออกมาจากห้องน้ำซักที  จนรู้สึกเอะใจ 

   “หายไปไหน”   ผมคิดในใจ พร้อมกับเดินไปทางห้องน้ำซึ่งมีอยู่มีที่เดียวในปั้มน้ำมันแห่งนั้น
   “เบสต์” 
   “เบสต์”
   “เบสต์”

   ผมเรียกทุกห้อง  ที่ประตูปิดอยู่   แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาของไอ้ตัวปัญหานี่  ..........  มันอันตรธานหายไปไหน   ตอนนี้ความรู้สึกมันวุ่นวายใจ  และกังวลเป็นที่สุด ก่อนที่จะออกมาข้างนอกอีกครั้ง  เบสต์มันอาจจะไปรอที่รถแล้วก็ได้   ผมรีบวิ่งกลับมาที่รถอีกครั้ง  และตรงนั้นนั่นเอง มันยังคงอยู่ที่นั่น  แต่ไม่ใช่รถของผม

   ข้างหน้า  รถคันใหญ่สีดำ  เบสต์อยู่กับผู้ชายอีกสองสามคน ที่ผมไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จัก  แต่มันดูไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น  ผู้ชายที่ใส่สูทด้านหลัง  เอื้อมมาเปิดประตูให้ 

   “เบสต์ !!!!!!!”   ผมตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ไอ้คนที่ผมเรียกเพียงแต่หันกลับมามองเท่านั้น  ไม่รอผม  ไม่อะไรทั้งสิ้น  นั่งเข้าไปในส่วนของที่นั่งด้านหลังของรถ  ก่อนที่ผู้ชายคนเดิมจะปิดประตูให้   ผมรีบวิ่งเข้าไปหา  แต่มันก็เหมือนจะช้าไป   เพราะทันทีที่เบสต์เข้าไป  รถคันนั้นก็ออกไปเลยทันที    พร้อมกับมีรถอีกคันขับตามกันไป 

   ผมรีบวิ่งกลับเข้ามาที่รถ 

   แต่.........

   กุญแจรถผมอยู่ที่เบสต์นี่  ไอ้ตัวดีนั่นนอกจากจะทิ้งผม  มันยังกันเอาไว้ไม่ให้ผมขับตามไปด้วย    ไอ้นี่มันโคตรร้าย 

   “Kเอ้ย  !!!!!”   ผมสบถออกมาอย่างดัง ไม่สนใจว่าคนรอบข้างมันจะได้ยินกันหรือไม่ 

   .... “เอ่อ  พี่คะ”  เสียงจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปแทบจะทันที แต่ด้วยความที่อารมณ์มันยังหัวเสียอยู่  ผมไม่สนใจว่าจะเป็นใคร   เพราะตะคอกกลับไปสุดแรงเหมือนกัน 

   “มีไร !!!!”   

   “คือว่า ....  มีพี่คนหนึ่งเค้าให้มาบอกว่า ฝากกุญแจรถเอาไว้ที่ผู้จัดการปั้มน่ะค่ะ   ให้พี่ไปรับกุญแจได้  แต่ตอนนี้ผู้จัดการไม่อยู่    น่าจะอีกประมาณครึ่งชั่วโมงผู้จัดการเค้าถึงกลับมาน่ะค่ะ” 

   ยังดีที่มันยังอุตส่าห์ทิ้งเอาไวให้ ไม่งั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะทำไงต่อ มือถือก็อยู่ในรถ  โทรหาใครก็ไม่ได้ นี่มันเพิ่งจะขอนแก่นเองแท้ๆ กว่าจะถึงกรุงเทพก็คงจะอีกนาน   

   “ได้ครับ  เดี๋ยวพี่รออยู่แถวๆ นี้แล้วกัน  ถ้าผู้จัดการมา ก็บอกพี่หน่อยนะ”   ความหวังที่จะขับตามคงไม่ได้แล้ว  ถ้าครึ่ง ชม. กว่าผู้จัดการจะมา ป่านนี้ คนกลุ่มนั้นก็คงจะพาเบสต์ไปไกลจนผมไม่รู้ว่าถึงไหน   มั่นใจได้หน่อยก็ตรงที่ ผู้ชายพวกนั้นคงจะเป็นคนของที่บ้านเบสต์นั่นเอง  เพราะก่อนที่อาจารย์จะให้มันมาติวหนังสือย้อนหลังให้ผม   ก็พอที่จะรู้ประวัติของมันมาบ้าง

   บ้านมันทั้งรวย ทั้งมีอำนาจ  ลูกของปลัดกระทรวงอะไรซักอย่าง แถมที่บ้านทำหลายธุรกิจด้วย  ทั้งธุรกิจโรงแรมแบบเดียวกับที่บ้านผม  อสังหาริมทรัพย์อีก   เท่าที่รู้ บริษัทน้ำมันก็มีด้วยมั้ง   ท่านปลัดกระทรวง เดช   วัฒนไพบูลย์  นามสกุลดังซะด้วย  แถมปั้มน้ำมันนี้  ก็ดันชื่อวัฒนไพบูลย์ ปิโตรเลียมอีกต่างหาก  ดูเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ

   ......... หนึ่งเดียว  วัฒนไพบูลย์......  นี่คือชื่อจริงๆ ของเบสต์

   เดช   วัฒนไพบูลย์  ปลัดกระทรวงอะไรซักอย่างผมก็จำไม่ได้

   แล้ว ..........  แล้ว  ปั้มน้ำมันนี้ล่ะ  วัฒนไพบูลย์   ใช่แล้ว ........  นี่ปั้มน้ำมันของที่บ้านมันแน่ๆ   ผมหลงกลแล้ว  ไอ้ผู้จัดการปั้มอะไรนั่น ไม่ได้ไปไหนหรอก  อยู่ในออฟฟิสนั้นแหละ 

   ........ฮึ่มมมม หลอกกูได้นะมึง   ไอ้ตัวเล็ก

   ผมรีบวิ่งกลับไปตรงด้านหลังปั้มอีกที  ก่อนที่จะมองสำนักงานของมัน   และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น   ไม่ขออนุญาตใครมันทั้งนั้นด้วย  ถือวิสาสะ เปิดประตูมันไปเลย   ไม่สนใจมันแล้ว

   “ไหนบอกว่าผู้จัดการไม่อยู่  คุณใช่ไหม ผู้จัดการของที่นี่  เอากุญแจรถผมมา”     แค่พูดจบ  ผมก็สาวเท้าก้าวเข้าไปอยู่ตรงหน้า ไอ้โต๊ะหลังสุด   คนนี้ดูภูมิฐาน  แน่นอน  ต้องเป็นคนนี้นี่แหละ   ผู้ชายคนนั้นมันยิ้มแบบยียวนกวนประสาทเล็กน้อย  ก่อนจะยืนขึ้นเต็มตัว

   “รออีกซัก  20  นาที  เดี๋ยวผมให้กุญแจรถคุณ   ตอนนี้ขอให้คุณหนูออกไปไกลอีกซักหน่อย  คุณจะได้ตามไม่ทัน”  นั่นไง  ผมคิดไว้อยู่แล้ว  แผนการของมันจริงๆ 

   “เอา  กุญแจ  รถ  ผม  มา .....”   ผมพูดเน้นช้าๆ    พร้อมจะมีเรื่อง

   “เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอก  ตาม  รปภ มาสองคน”   เสียงของมันตะโกนสั่งคนที่อยู่ข้างนอกทันที  เพราะคงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

   “มึง  !!!!!!!!!!”   ผมบอกแล้วว่าผมไม่ใช่คนดี  เพราะต่อให้อายุเยอะมากกว่าขนาดไหน  ถ้าหาเรื่องแบบนี้ ผมก็ไม่สน

   “ถ้าขืน  ....  คุณยังไม่ยอมทำตามที่บอก  คุณเจ็บตัวเสียเปล่าๆ  อย่ามีเรื่องดีกว่าครับ  ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงจะแจ้งตำรวจ  แถมคุณยังจะเจ็บตัวก่อนอีก  และสุดท้าย  เราคงต้องแจ้งบอกกับทางคุณพ่อของคุณ  อย่าให้เรื่องมันบานปลายเลยครับ”

   ไอ้เรื่องเจ็บตัวผมไม่กลัว  แต่เรื่องนี้ก็ไม่อยากให้ทางบ้านต้องมารับรู้ด้วย   ไม่อย่างนั้นคงจะเกิดเรื่องราวกันไปใหญ่อีก  ช่วงนี้ผมโดนคาดโทษจากทางบ้านอยู่ด้วย ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นกับไอ้วัจน์     ไอ้ผู้จัดการปั้มมันพูดยิ้มๆ  เหมือนว่าตัวเองชนะ   
   ผมรอจนครบ  20  นาที   และมันก็ทำตามที่บอก  กุญแจรถถูกส่งมาให้ผม   และก็คงจะตามไปไม่ได้ ตอนนี้ก็ทำเพียงได้แค่ปล่อยให้มันไปก่อนและกัน   แต่อย่าคิดว่าจะหนีได้ตลอด      ตลอดระยะเวลาที่ขับกลับมา ผมเอาแต่หัวเสียเรื่องของมัน  ถ้าให้กลับไปบ้านคงจะไม่ไหว 
   “วัจน์  วันนี้มึงไปทำงานหรือเปล่า”   ผมตัดสินใจโทรหาไอ้วัจน์    เดี๋ยวนี้ตั้งแต่มันโดนตัดหางปล่อยวัดจากที่บ้าน  มันต้องเรียนไปทำงานไป   คราบไอ้คุณชายไฮโซ ของมันที่ผมเคยเห็น  เดี๋ยวนี้ไม่มีเหลือเค้าหลงเหลืออยู่เลย   แต่มันก็ทำตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนี้   ผมรู้ว่ามันรักต้องมาก  เพราะต้องคือรักแรกของมัน ตั้งแต่ยังเด็กๆ   ครั้งที่ผมเคยไปเล่นบ้านมัน  มันกับต้องจะเหมือนเงาตามตัว  ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี  ไม่น่าเชื่อ วันมันมีอะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปมาก    ถึงผมจะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นไปบ้างในระยะช่วงเวลาสองปีที่ความทรงจำมันหายไป  แต่ก็พอเดาได้คร่าวๆ  จากปากที่ลุงธิน ทะเลาะกับไอ้วัจน์ในวันนั้น   เพื่อนของผม คงทำมันไว้แรงจริงๆ 
   เพียงชั่วเวลาไม่กี่ ชม.  ผมก็เหยียบไมล์จนมาถึงร้านที่ไอ้วัจน์ทำงานอยู่  ดีหน่อยที่เงินมันดีขึ้น  เพราะไม่ต้องเป็นพนักงานเสริฟแล้ว แต่เลื่อนขึ้นไปเป็นนักร้องแทน   ไอ้นี่นอกจากจะหล่อ ยังร้องเพลงเพราะอีกต่างหาก   ผมเห็นสาวๆ  ไม่รู้กี่คน มองตามันเยิ้มจนน่าอิจฉา    ผมขอให้มันเลือกโต๊ะที่อยู่ตรงมุม    เพราะขี้เกียจจะให้ใครเข้ามาวุ่นวาย  ไม่ใช่ว่าอยากจะใช้ความคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ    แต่บางครั้งผมก็อยากจะทบทวนอะไรคนเดียวบ้าง   มันหายไป  ความทรงจำที่ผมอยากรู้
   เสียงเพลงจากเพื่อนผมมันเข้ามาในโสตประสาท  จนผมต้องฟังตาม   ไม่รู้ว่ามันร้องเพลงอะไร  แต่ทำไมถึงเศร้าขนาดนี้นะ

   สักเรื่องก็ไม่เคยจะถูกใจ
จะทำอะไรก็ผิดทุกที
ฉันน่าเบื่อ ฉันมากไป
ฉันวุ่นวาย ฉันไม่ดี
ไม่เห็นมี สิ่งที่เธอชอบใจ
เหมือนฉันแค่ยืนก็เกะกะตา
ดูเป็นปัญหากับเธอร่ำไป
พูดก็บอก พูดไม่คิด เงียบก็ผิด ไม่เข้าใจ
อย่างกับคนอื่นคนไกล ไปทุก ๆ วัน
 
ดีที่สุดของฉัน
มันไม่เคยดีพอสำหรับเธอ
เจ็บเสมอ ตอนเห็นแววตาเธอไม่แคร์กัน
ที่ฉันทำ ฉันเป็นเธอไม่เคย เห็นมัน
มันทรมานได้ยินไหม
 
ความใส่ใจของฉัน เป็นแค่ความรำคาญสำหรับเธอ
ผิดเสมอ เหตุผลก็คือเธอจะหมดใจ
ให้ทุ่มเท ให้ดียิ่งกว่านี้สักเท่าไร
ถ้าคนมันจะหมดเยื่อใย
หายใจก็ยังผิด

ฉันพยายามที่จะปรับตัว
ในใจมันกลัวเธอจะเลิกรา
ยิ่งระวัง ก็ยิ่งคิด
ก็ยิ่งผิด ยิ่งแย่กว่า
เธอก็เลยยิ่งเย็นชา ไปทุก ๆ วัน

ดีที่สุดของฉัน มันไม่เคยดีพอสำหรับเธอ
เจ็บเสมอ ตอนเห็นแววตาเธอไม่แคร์กัน
ที่ฉันทำ ฉันเป็นเธอไม่เคย เห็นมัน
มันทรมานได้ยินไหม

ความใส่ใจของฉัน เป็นแค่ความรำคาญสำหรับเธอ
ผิดเสมอ เหตุผลก็คือเธอจะหมดใจ
ให้ทุ่มเท ให้ดียิ่งกว่านี้สักเท่าไร
ถ้าคนมันจะหมดเยื่อใย
หายใจก็ยังผิด

ก็ไม่รู้ทนอะไรอยู่
และไม่รู้ทำยังไงต่อ
ได้แต่ท้อใจ
ได้แต่น้อยใจ
เรามันไม่สำคัญ

ดีที่สุดของฉัน
มันไม่เคยดีพอสำหรับเธอ
เจ็บเสมอ ตอนเห็นแววตาเธอไม่ผูกพัน
ที่ฉันทำ ฉันเป็น เธอแค่เห็นว่าช่างมัน มันทรมานกว่าสิ่งไหน

ความใส่ใจของฉัน เป็นแค่ความรำคาญสำหรับเธอ
ผิดเสมอ เหตุผลก็คือเธอจะหมดใจ
ให้ทุ่มเท ให้ดียิ่งกว่านี้สักเท่าไร
ถ้าคนมันจะหมดเยื่อใย
หายใจก็ยังผิด


................หายใจก็ยังผิด.................


ใจผมก็คิดไปถึงไอ้คนที่มันเพิ่งหนีมาเมื่อตอนเที่ยง  ก็จริง  ผมกับมันไม่ได้ชอบกัน   และความรู้สึกนั้นมันก็ยังไม่เกิด  แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมคิดว่า  ในช่วงเวลาหนึ่งผมและเบสต์ต้องเคยรู้จักกันมาก่อน   ตอนนี้ไม่ดื่มไปเยอะนัก   ผมให้ความสนใจกับแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้า  จนไม่สนใจคนรอบข้าง  และก็ไม่รู้ว่าไอ้วัจน์มันร้องไปอีกกี่เพลง จนมันมานั่งข้างๆ  ผม

“ไงมึง  หายไปไหนมา”  บทสนทนาแรกหลังจากที่มันร้องเพลงจนจบ มันเข้ามานั่งกับผม  ก็คงจะเป็นเหมือนพนักงานเอนเตอร์เทนลูกค้า  สำหรับนักร้อง นักดนตรี ซึ่งก็มีสิทธิ์ทีจะนั่งกับแขกได้อยู่แล้ว   

“กูขับรถไปให้เบสต์  ไปหาหลวงพ่ออะไรของมันก็ไม่รู้ที่หนองคาย  วัดอะไรกูก็ไม่ได้สนใจ  ขับรถกันเกือบทั้งคืน   คุยกันห้าประโยคแล้วมันก็กลับ  แถมคุยอะไรแปลกๆ  จนกูงงไปหมด”

“อย่างมึงเนี่ยนะ   เข้าวัด” 
“อือ   ก็เพราะเบสต์หรอก  กูเลยไป   ตอนแรกมันจะไปคนเดียว แต่กูบังคับให้ตัวกูไปกับมันด้วย”
   “แล้วมันไปทำไมของมัน”  ไอ้วัจน์มันถามต่อ  จริงๆ  ผมว่ามันไม่ได้สนใจเรื่องของเบสต์หรอก  แต่มันอยากรู้เรื่องอื่นมากกว่า

   “มันไปเรื่องของต้อง   ไอ้สองคนนี้ห่วงกันจนกูสงสัย  นึกว่าเป็นผัวเมียกัน”

   “ฮื้อ  !!!  มึงก็พูดไปเรื่อย ......  แล้วหลวงพ่อเค้าว่าไงบ้าง”     เป็นไปอย่างที่ผมคาด  ไอ้วัจน์มันอยากรู้เรื่องของต้อง

   “เค้าบอก  ว่าเดี๋ยวต้องก็ฟื้น  มึงก็สบายใจได้   กูก็ไม่เชื่อเต็มร้อยหรอก   พระนะมึง  ไม่ใช่หมอ  จะไปรู้ได้ไง ว่าต้องมันจะฟื้นหรือไม่ฟื้น  กูก็ไม่คิดว่าเบสต์มันจะเชื่อแนวทางนี้ด้วย   ลักษณะท่าทางของมัน  ไม่มีแววว่าจะไปทางด้านนี้เลย  กูก็งงมันเหมือนกัน”   ผมพูดเพียงแค่นั้น   ก่อนจะมองหน้าไอ้วัจน์   ตอนนี้เสียงเพลงที่ดังอยู่รอบๆ ตัว   ผมไม่เคยรู้สึกสนุกไปกับมันเลย  และก็เชื่อว่าไอ้วัจน์เองก็คงเช่นเดียวกัน   บรรยากาศแบบนี้มันควรสนุก   แต่มันไม่ใช่เวลานี้ ผมรู้ว่าไอ้วัจน์เครียดเรื่องต้อง  ส่วนผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเครียดเรื่องเบสต์หรือเปล่า   แต่มันก็ทำให้จิตใจตอนนี้มันปั่นป่วนอยู่เหมือนกัน   

   “ไอ้เรื่องนั้นกูไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่หรอก  แต่เรื่องที่เบสต์มันพูดกับกูตอนขากลับนี่แหละที่ทำให้กูสงสัย”   วัจน์มันเงยหน้ามองผมอีกครั้ง   ก่อนจะทอดสายตามมองด้วยความสงสัย   มันไม่ถามผมต่อว่าเรื่องอะไร  แต่สีหน้าของมันก็คือการถามกลายๆ  นั้นแหละ   .....  ผมชั่งใจว่าควรจะพูดไปดีไหม  เพราะเรื่องราวอันเหลือเชื่อที่เบสต์เล่าให้ผมฟัง    มันมีทั้งตัวผมกับเบสต์ รวมไปถึงไอ้วัจน์กับต้องด้วย   ความชั่งใจที่มีอยู่ มันทำให้ผมพูดไปอีกอย่าง

   “ไอ้วัจน์  กูถามจริงๆ    กูขอความจริงได้ไหม ไอ้ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ ม. 5  จนถึง  ม.  6 จนเราเกือบจะจบกันเนี่ย  กูกับไอ้น้องเบสต์เพื่อนของต้องนี่เคยรู้จักกันมาก่อนป่าว”    ที่ผมตัดสินใจถามมันไป  เพราะเสี้ยวหนึ่งในความรู้สึก   ตอนที่เบสต์เล่าให้ผมฟังนั้น  มันรู้สึกว่าผมเคยรู้จักกับมันมาก่อน  ....  ที่ไหนซักแห่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง

   มันยิ้มเพียงมุมปากกลับมา  ไอ้วัจน์นิ่งเงียบ   ปากมันขยับร้องเพลงตามเสียงนักร้องคนใหม่ที่ไปร้องแทนมันอยู่บนเวที  ตอนนี้ทำนองเพลงช้าลง   

   “เอก”  ........   คือ  .........  มันเรียกชื่อผมแต่นิ่งไปซักพัก  ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

   “ซักวันมึงก็จะรู้เอง   มึงอย่าคาดคั้นเอาจากกูหรือไอ้นันต์เลย  รวมไปถึงซิวด้วย    เพราะคงไม่มีใครบอกมึง   ไม่ใช่ว่าเห็นมึงไม่ใช่เพื่อน แต่เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น   กูขอว่าอย่าเพิ่งให้พวกกูต้องลำบากใจที่จะเล่าอะไรให้มึงฟังตอนนี้   ............
   มึงจำเอาไว้แต่เพียงว่า  มึงกับกู  ทำผิดเอาไว้มาก ทั้งต่อต้องและเบสต์ ก็แค่นั้น”     

   จริงซินะ   ผมคิดเอาไว้ต้องเป็นแบบนี้  แต่ผมทำอะไรไว้    จริงแล้วผมควรรู้   แต่เพียงแค่ว่าตอนนี้มีใครกล้าบอก    จริงของไอ้วัจน์  ผมคงไม่ทำให้มันลำบากใจ เพราะตอนนี้จิตใจมันก็ย่ำแย่พอกัน  เด็กหนุ่มที่หน้าตาดี  เพื่อนผมไอ้คนนี้มันดูเปลี่ยนไป   มันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  ก็คงเป็นเพราะสถานการณ์รอบข้าง  รวมถึงหลายสิ่งที่มันเปลี่ยนไป  วันนี้ผมบอกกับมันว่าจะไปส่งมันที่หอพัก  ที่มันไปเช่าเอาไว้ใหม่หลังจากที่ออกมาจากโรงพยาบาล  มันตัดสินใจย้ายห้องไปในที่ที่ถูกกว่าเดิม  แถมไกลออกจากโรงเรียนไปมาก    เรื่องตรงนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่สำหรับมัน  แต่ที่มันย้ายไปอยู่ที่นั่น เพราะมันใกล้กับโรงพยาบาลที่ต้องรักษาตัวอยู่ 
   มันเคยบอกกับผมว่า  ถึงไม่ได้อยู่ใกล้ต้อง   ไม่เห็นก่อนนอน  แต่ในระดับของสายตา   มันก็ยังสามารถมองต้องจากไกลๆ  ได้
   มันเปลี่ยนไปมาก  ผมรู้สึกได้  มันเปลี่ยนไป  .......... แล้วผมล่ะ    ผมรักซิว    ผมเป็นแฟนกับน้องรินอยู่ไม่ใช่หรอตอนนี้  แต่ทำไมความรู้สึกบางอย่างมันแปลกไป   ทำไมผมมองเห็นแต่หน้าของอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ตลอด    ......  เบสต์  .....
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 23:00:25

ตอนที่  29

แค่เพียงชั่วโมงกว่าๆ  หลังจากที่ไอ้เอกมันโทรมาหาผม เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น มันก็เข้ามาอยู่ในร้าน   ผมไม่เจอมันสองวัน  และก็เพิ่งรู้ว่ามันไปกับเบสต์มา   อันที่จริงระหว่างเรื่องไอ้เอกกับเบสต์  ผมและเพื่อนๆ  ไม่อยากจะเล่าให้มันฟัง อยากให้มันจบและวางเพียงแค่นั้น   จริงอยู่ที่ไอ้เอกทำผิดกับเบสต์เอาไว้มาก   แต่การที่มันจะขอโทษเบสต์ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้   เพราะถ้าขอโทษขึ้นมา ความสงสัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วของไอ้เอก คงจะต้องเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกแน่นอน   

   “ไอ้วัจน์  กูถามจริงๆ    กูขอความจริงได้ไหม ไอ้ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ ม. 5  จนถึง  ม.  6 จนเราเกือบจะจบกันเนี่ย  กูกับไอ้น้องเบสต์เพื่อนของต้องนี่เคยรู้จักกันมาก่อนป่าว”    เป็นไปตามที่ผมคาด   คิดอยู่แล้วว่าซักวันไอ้เอกคงจะต้องถามคำถามนี้ขึ้นมา   ผมนิ่งเงียบ และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้เอกมันจำเรื่องราวทุกอย่างไม่ได้ อย่างที่เป็นเช่นตอนนี้

   “เอก”  ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อไป

   “ซักวันมึงก็จะรู้เอง   มึงอย่าคาดคั้นเอาจากกูหรือไอ้นันต์เลย  รวมไปถึงซิวด้วย    เพราะคงไม่มีใครบอกมึง   ไม่ใช่ว่าเห็นมึงไม่ใช่เพื่อน แต่เรื่องมันซับซ้อนกว่านั้น   กูขอว่าอย่าเพิ่งให้พวกกูต้องลำบากใจที่จะเล่าอะไรให้มึงฟังตอนนี้   ............
   มึงจำเอาไว้แต่เพียงว่า  มึงกับกู  ทำผิดเอาไว้มาก ทั้งต่อต้องและเบสต์ ก็แค่นั้น”       ใช่แล้ว  ทั้งผมและมันทำผิดเอาไว้มากกับต้องและเบสต์  สำหรับไอ้เอก  มันจะไม่สานต่อก็เป็นเรื่องที่ดี  เพราะในใจผมรู้ตลอดว่ามันรักและชอบซิวมานานแล้ว  ถ้าผมพูดเรื่องราวทั้งหมดไป  ผมไม่รู้ว่าไอ้เอกจะเสียใจหรือเปล่า แต่เบสต์ และต้องคงต้องเสียใจแน่นอน   ผมทิ้งให้มันนั่งอยู่ตรงโต๊ะนั้นเหมือนเดิม ก่อนที่จะถึงเวลา  ที่จะขึ้นไปร้องเพลง   เป็นไปตามที่พี่จักรได้พูดเอาไว้  ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมไม่ต้องทำงานเสริฟอีกต่อไป  มีหน้าที่อย่างเดียวคือไปร้องเพลง  แต่ข้อเสียอย่างหนึ่ง คือ  เพลงที่ผมร้อง มันมีแต่เพลงเศร้าเท่านั้น  พี่จักรไม่เคยว่า  แม้แต่พี่ภาก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน   เพราะคงรู้ดีว่า  ต่อให้ ณ ตอนนี้  ผมจะร้องเพลงที่มันสนุกแค่ไหน  จังหวะเพลงเร็วแค่ไหน  มันก็ไม่ได้อออกมาจากจิตใจของผมจริงๆ   มันเป็นข้อเสียของผมจริงๆ  ที่ไม่สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันได้  แต่ผู้ใหญ่สองคนของผมนั้นก็ไม่เคยว่าอะไรทั้งสิ้น

   มีคำบางคำ
ที่เก็บเงียบงัน
คอยเฝ้ารอวัน
ที่ควรบอกคำนั้น
ให้เธอได้รับฟัง
ยังพยายาม
ยังทำทุกทาง
ผ่านมาแสนนาน
เพื่อจะสื่อไปหา
ให้เธอได้รู้สึก
แต่ยิ่งทำเท่าไร
กลับเหมือนว่าเธอไม่สน
ยิ่งทำแค่ไหน
ยิ่งเกิดคำถามในใจ
เป็นความเงียบ
ที่ดังข้างใน
เธอเคยรู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม
เสียงข้างในที่ดัง
ตะโกนฉันรักเธอ
เก็บเอาไว้ข้างใน
เรื่อยมาตลอด
รู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม
รักที่ฉันนั้นยัง
ไม่เคยได้พูดไป
เก็บเอาไว้ข้างในหัวใจ
ตลอดมา
เป็นความเงียบ
ที่ดังที่สุดในใจฉัน
เป็นความเงียบ
ที่ดังที่สุดในใจฉัน
ควรทำยังไง
ต้องนานเท่าไร
เธอจะเข้าใจว่าทุกสิ่ง
ที่ฉันทุ่มเทเพราะรักเธอ
แต่ยิ่งทำเท่าไร
กลับเหมือนว่าเธอไม่สน
ยิ่งทำแค่ไหน
ยิ่งเกิดคำถามในใจ
เป็นความเงียบที่ดังข้างใน
เธอเคยรู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม
เสียงข้างในที่ดัง
ตะโกนฉันรักเธอ
เก็บเอาไว้ข้างใน
เรื่อยมาตลอด
รู้สึกไหม
ได้ยินบ้างไหม…


   เป็นเวลาที่ผ่านไปไม่นานนัก แต่หลังจากที่ผมร้องทุกครั้งมันสะกดความเงียบไปทั้งร้าน   มันไม่ได้เพราะอะไรมากนัก   เพียงแต่  คนที่เข้ามาในร้านเค้าคงรู้ล่ะมั้ง ว่าตอนนี้ผมโหยหาความรัก  โหยหาความต้องการมากเช่นไร   เป็นไปดังคาด   ผมเห็นแต่พี่จักรเท่านั้น ที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์  แต่สำหรับพี่ภา  ผมไม่เห็นแล้วเช่นเดิม   ........  ผมขอโทษ ที่ทำให้พี่สาวของผมคนนี้ต้องร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง

   วันเวลาผ่านไปแต่ละวัน  สำหรับผมมันยาวนาน   และมันก็เหมือนกับวนมาซ้ำๆ อยู่ที่เดิม  วันนี้วันหยุด   ผมรีบตื่นแต่เช้า  เพื่อที่จะไปโรงพยาบาล   ป่านนี้คนอื่นน่าจะยังไม่มากัน   ต้องคงหลับเช่นเดิม     ผมแค่หวังไว้ลึกๆ ว่า ถ้าต้องตื่นขึ้นมาแล้ว  ผมอยากให้เค้าเห็นผมเป็นคนแรก  จะจำผมได้ หรือจำไม่ได้ช่างมัน

   ภายในห้องที่ต้องอยู่  จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม   ผมคิดว่าทุกวันน่าจะมีคนเอาดอกไม้มาเปลี่ยนเสมอ  สำหรับพ่อ  ผมคิดว่าคงผ่านมาบ้าง  แต่น่าจะไม่ทุกวัน เพราะช่วงนี้  เห็นมีข่าวในโทรทัศน์ออกมา ว่าเปิดสาขาใหม่ที่ต่างประเทศอีกแล้ว  แต่สำหรับน้าตา คงจะมาทุกวัน  เพียงแต่วันเสาร์อาทิตย์นั้น  น้าตา คงจะรู้ว่าผมมา เพราะมาทุกครั้ง  ผมจะเห็นน้าตาอีกทีก็เกือบตอนเย็นจะใกล้กลับ   

   เวลามันผ่านไปช้าๆ  ผมอ่านหนังสือให้ต้องฟัง  การ์ตูนเล่มโปรด ที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอ่านวนไปกี่รอบแล้ว  ต้องชอบการ์ตูนเรื่องนี้  เพราะครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ  เคยชมพระเอกว่าหน้าตามันหล่อเหมือนพี่ธิว   พี่ธิวของน้องต้อง .....  ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง  ก่อนที่เรื่องเก่าๆ  เหตุการณ์เก่าๆ  มันจะกลับเข้ามาในหัวอีกเหมือนเดิม   ก้มหน้าลงไปพร้อมกับจุมพิตเบาๆ  ที่อุ้งมือขาวสะอาดนั้น   ตื่นมาซักทีเถอะนะ  พี่ขอร้อง  ต้องนอนนานเกินไปแล้วนะ

   บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบ  ไม่ได้ยินแม้กระทั้งเสียงเครื่องปรับอากาศ  จนผมไม่รู้ว่ามีใครอีกคนเดิมเข้ามา   ผมไม่รู้ว่าน้าตาเดินมาตอนไหน และเห็นอะไรบ้าง   ผมไม่ชอบที่จะอ่อนแอให้ใครเห็น  เพราะผมไม่รู้ว่าสายตาที่เค้ามองมาหาเรานั้น  เค้าสงสารเรา หรือเค้าสมเพสเรากันแน่ ผมรีบเช็ดคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้า ก่อนจะลุกยืนขึ้น มือของน้าตาเมื่อซักครู่ปล่อยออกไปจากไหล่ผม  เมื่อรู้ทันทีว่าผมก็ยังไม่เต็มใจนักที่จะรับคำปลอบโยนจากใคร  โดยเฉพาะตัวน้าตาเองก็เหมือนกัน  ผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งที่ผมเห็นเมื่อครั้งก่อนนั้นตอนที่อยู่บ้านต่างจังหวัด หน้าตาที่ดูอิ่มเอิบ ผ่องใส  บัดนี้หน้าตานั้นดูเศร้า   อิดโรยและเป็นกังวลไปอย่างมาก  จนผมเองก็อดใจหายเหมือนกัน
   
             ผมไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยกมือไหว้เท่านั้น  ช่วงเวลาที่ผ่านมา เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมา มันทำให้ผมรู้สึกผิดต่อต้องและก็น้าตาเป็นอย่างมาก   และคงพร้อมที่จะยอมรับความผิดนั้นเพียงคนเดียว  น้าตาเดินอ้อมไปอีกด้าน  มองหน้าผมอีกครั้งและยิ้มให้อย่างเศร้าๆ  มือทั้งสองข้างเอื้อมไปคว้าจับข้อมือเล็กๆ   ของคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง นั้นอย่างเบามือ และทนุถนอม ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากคนที่อยู่ตรงหน้าผม 
   
                “พี่เค้ามาเยี่ยมนะลูก   พี่เค้ามาทุกอาทิตย์เลย  คืนนี้แม่กับลุงธินไปงานเลี้ยงที่บริษัทฯ   มา  ผ่านมาทางนี้เลยมาเยี่ยมลูกด้วยนะ”   

                  น้าตาพูดไปพร้อมกับจับมือของต้องแล้วลูบไปเรื่อยๆ อย่างรักใคร่   ส่วนตัวผมกลับไม่กล้ามองภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น และเสหันมองไปทางอื่นเสีย   เพราะไม่อยากเห็นสิ่งที่มันทำให้ใจปวดร้าวหนักไปกว่าเก่า  เพียงครู่เดียว คนที่ผมคิดว่าเค้าคงเกลียดผมไม่น้อยไปกว่าใคร   ก็เดินเข้ามาในห้องที่ต้องนอนอยู่   พ่อสวมสูทสำหรับชุดออกงานกลางคืน  ก็คงอย่างที่น้าตาว่า   พ่อกับน้าตาคงไปงานเลี้ยงที่ไหนซักแห่ง ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะได้สนใจมากนัก  พ่อไม่ได้มองที่ผมอยู่ตรงนี้   กับมองข้ามแล้วก็เดินไปใกล้ทางน้าตาไม่ได้สนใจซักนิดว่าผมจะยกมือไหว้หรือเปล่า   หางตาก็ไม่ได้มองด้วยซ้ำ
   
              “พยาบาลไปไหน”    เสียงของพ่อผมถามขึ้นมาลอยๆ    น้าตาไม่ได้ตอบ  แต่ก็เป็นผมที่ตอบกลับไป
   
              “ออกไปข้างนอก เมื่อตอนที่ผมเดินเข้ามา  น่าจะแค่ห้านาที”     

                “แล้วเมื่อไหร่แกจะกลับไปที่พักของแก”   ผมไม่รู้ว่าพ่อถามเพราะเป็นห่วงหรือยากไล่ให้ผมกลับ เพราะไม่อยากเห็นหน้ากันแน่  แต่ถ้าฟังจากน้ำเสียง  ความเป็นห่วงซักนิดมันก็ไม่มี   และมันก็คงเป็นอย่างหลังมากกว่า ผมไม่ได้โกรธที่พ่อพูดแบบนี้  ไม่ได้เสียใจ  แต่มันน้อยใจต่างหาก  ไอ้ลูกคนนี้มันไม่ใช่ลูกของพ่อแล้วใช่ไหม 

                  “อีกซักพัก  ผมยังไม่ง่วง  ....”   น้ำเสียงพยายามไม่ให้มันสั่น  และผมก็เก็บอารมณ์นั้นไว้ได้อยู่    จะอยู่ก็อยู่กันไป  ผมก็จะอยู่ของผมอย่างนี้  หางตาที่ชำเลืองมองไป เหมือนน้าตาจะพยายามบีบแขนของพ่อผมเอาไว้  คงจะให้ผ่อนอารมณ์ลงไปบ้าง

                “เดี๋ยวผมออกไปรอคุณข้างนอกนะ”   พ่อผมพูดกับน้าตา  โดยไม่หันมามองผมอีก ก่อนที่จะสาวเท้าก้าวออกจากห้องไป  ผมย้ายตัวเองเข้ามานั่งอยู่ตรงโซฟารับแขก  ห้องทั้งห้องเงียบสงัด  จะได้ยินก็เพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ต้องใช้อยู่ก็เท่านั้น แต่มันก็เบาซะเหลือเกิน    ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่จนผู้หญิงที่อยู่ในห้องด้วยกันเข้ามานั่งข้างๆ ผม

                 “ธิวมาตั้งแต่เมื่อไหร่”  เสียงของน้าตา พูดเบาๆ แต่ผมก็ได้ยิน

                  “ก่อน......   จะเข้ามาซักสิบนาที”  ผมเคยเรียกเค้าว่าน้าตา   แต่หลังจากที่เกิดเรื่อง  ผ่านมาเกือบสิบปี   ผมแทบจะไม่เรียกชื่อของเค้าอีกเลย    จะให้เรียกกลับไปเหมือนเดิมก็ไม่สะดวกใจนัก   ผมก้มหน้าลงไปมองที่พื้นไม่กล้าที่จะสบตา คนที่อยู่ข้างๆ   เสียงที่ดูอบอุ่น  เสียงที่ดูเป็นผู้ใหญ่ของสตรีคนหนึ่ง มันทำให้ผมคิดถึงแม่

           “หิวข้าวไหม .....  ลูก”   

           ถึงผมจะพูดกับเค้า   แบบไม่ค่อยสัมมาคารวะเท่าไหร่ ถึงผมจะพูดกับเขาในทำนองที่เด็กไม่ควรพึงคุยกับผู้ใหญ่เท่าไหร่ แต่น้าตาก็ไม่เคยถือสาผม  ผมไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหน้าเท่านั้นเป็นเชิงปฏิเสธ    นานแล้วที่ไม่มีใครเรียกผมว่า “ลูก”

               “ธิว ดูผอมไปนะ   กินข้าวบ้างหรือเปล่า”   

                มือของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ  ผม เอื้อมมือมาจับอย่างช้าๆ  นี่ซินะ  มือของคนที่ว่าเป็นแม่ ฝ่ามือทั้งสองนี้ ผมสัมผัสได้ถึงความห่วงใย สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น  ที่มันหายไปจากจิตใจผมไปนานแสนนาน   ใจผมมันไม่ได้แข็งแรงมากนักอย่างที่ใครหลายๆ  คนเข้าใจ     แต่มันเจ็บช้ำมากว่าเก่า ที่รู้ว่ามือคู่นี้ เคยทำให้ดวงใจของผู้เป็นแม่คนหนึ่งต้องเกือบจะสลายลงไป ผมทำร้ายลูกของคนที่เค้าเป็นห่วงเป็นใยผม  ผมทำร้ายลูกของคนที่เค้ามีแต่ความรู้สึกดีๆ  ให้ผมมาโดยตลอด    ผมไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น  มันพูดไม่ออกมันจุกไปหมด  มือทั้งสองข้างของน้าตา ยังคงกุมมือผมอยู่  แต่ก็ไม่ได้แน่นมากนักและตอนนี้มันเริ่มสั่น พร้อมกับเสียงเครือๆ ที่พูดกับผมต่อ  ไม่ใช่คำถาม หรือไม่ได้คำบอกแต่มันคือการขอร้อง

                  “ถ้าต้องฟื้นขึ้นมา   ธิว จะอภัยให้น้องได้ไหมลูก   ธิวจะอภัยให้น้าได้ไหม  ..... อภัยให้เราสองแม่ลูกได้ไหม   น้าขอเถอะนะ  น้ามีลูกชายแค่คนเดียว  ต้องรักธิวมากนะ  เค้าไม่เคยมีพี่ชายคนไหนเลย  เค้าไม่เคยสนิทกับใคร  วันที่ธิวออกจากบ้านไป ต้องเค้าร้องไห้ตลอด   น้าขอเถอะ  ขอร้องจากผู้หญิงคนหนึ่ง ให้อภัยเถอะนะ....”
   
                มันไม่ไหวแล้ว  พอเถอะครับ   ผมขอร้อง อย่าทำแบบนี้อีกเลย  น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ใครเห็น มันค่อยๆ ไหลออกมา ผมเลวมากเหลือเกิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี่  มันไม่มีคำตอบอะไรออกไปออกจากปากผมไปทั้งสิ้น เพราะมันพูดไม่ออก   มือข้างที่น้าตากุมอยู่   ผมกุมมือนั้นกลับ  และกระชับให้แน่นขึ้น  ก่อนจะผ่อนคลายลงไป   
   
                 ถึงเวลาแล้วซินะ   บัดนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง ความคิดของเด็กเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว  ความโกรธ เกลียด  แค้น  ผมคิดไปเองทั้งนั้น  ผู้หญิงคนที่อยู่ข้างๆ ตรงนี้  ไม่เคยคิดจะมาแทนที่ของแม่ผมแต่อย่างใด   แต่คราวนี้มันคงถึงเวลาแล้ว  ถ้าหากเขาคือแม่คนที่สองของผม  ผมก็ต้องยอมรับในความดีที่ผ่านมา   และก็ยอมรับมันด้วยใจที่บริสุทธิ์
   
                  การกระทำมันมากกว่าคำตอบ  ผมค่อยๆ  ปล่อยมือออกจากน้าตา  และนั่งลงไปข้างล่างที่ต่ำกว่า   คุกเข่าต่อหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง  ผมไม่รู้ว่าพ่อเปิดประตูมากลับตั้งแต่เมื่อไหร่ น้ำตาไหลอาบแก้มจากคนทั้งสองคน บัดนี้พ่อผมได้เห็น  น้าตาร้องไห้  ซึ่งไม่ต่างอะไรกับผมที่ร้องไห้อยู่เช่นกัน  น้าตาคงสงสัยว่าผมกำลังจะทำอะไร และก็คงจะตกใจพอๆ กัน ว่าตลอดทั้งชีวิตนี้ คงไม่คิดว่าผมจะทำ  ผมค่อยๆ ก้มลงไป  และกราบกับแทบเท้า  และก็กราบอยู่อย่างนั้น   สิ่งที่ผมทำไม่ได้หวังให้น้าตาลิกเกลียดผม ไม่ได้หวังให้รักผม  หรือไม่ได้หวังให้ผมเป็นลูกของท่านคนหนึ่ง  แต่ผมหวังอย่างเดียวว่า  น้าตาคงจะอภัยให้ผมในสิ่งที่ผ่านๆ มา  เสียงของน้าตาร้องไห้ดังขึ้น จะกลายเป็นเสียงสะอื้น   นานเท่านานกับเวลาที่ผ่านไป มือข้างที่กุมมือผมอยู่เมื่อซักครู่นี้ค่อยๆ มาลูบหัวผมช้าๆ  มันเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ไม่สามารถจะอธิบายได้ การกระทำมันมากกว่าคำพูดจริงๆ  ผมเชื่ออย่างนั้น  ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ที่อภัยกับคนเลวๆ  อย่างผมเช่นนี้

                  “ผมขอโทษครับน้าตา  ขอโทษครับ   ขอโทษที่ผมทำกับน้า   ขอโทษที่ทำกับต้อง ทุกๆอย่างที่ผ่านมา  ผมขอโทษ ฮือๆๆๆ ..... ขอโทษครับ  !!!!!”   

                  ผมพูดแต่คำว่าขอโทษ ซึ่งต่อให้ไม่รู้กี่ร้อยครั้งมันก็ยังไม่สาสมเท่า  ผู้หญิงที่อยู่เบื้องบนของผมนี้  ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นอกจากลูบหัวผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แรงสะอื้นยังมีมากขึ้นกว่าเดิม   มือทั้งสองข้างย้ายมาจับที่บ่าของผม ก่อนจะพยายามดันมันขึ้น ไม่ให้ผมก้มลงกราบๆ    มันทำให้ผมเห็นใบหน้านี้ได้ชัดมากยิ่งขึ้น น้าตาจ้องหน้าผม มือทั้งสองข้าง  ลูบไปที่แก้มตอบๆ ของผมทั้งสอง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ

                 “ขอบใจเหลือเกิน   ขอบใจมาก  ธิวรู้ไหม  น้าไม่เป็นสุขเลย เมื่อวันที่ธิวออกจากบ้าน  น้าไม่เคยเป็นสุข  ที่ธิวไม่อยู่   บ้านมันไม่ใช่ครอบครัว  ต่อให้หลังใหญ่ขนาดไหน เมื่อขาดคนที่เรารักไป  มันก็ไม่ใช่บ้าน  น้าไม่เคยเข้ามาแทนที่แม่ของธิว  น้าไม่เคยคิดว่าตัวเองคือคุณผู้หญิงของบ้าน  น้าไม่เคยใช่คุณหญิงของวัจนสกุล    น้าเป็นเพียงน้าตา   แม่ค้าขายของในตลาด และมีลูกชายอยู่เพียงสองคนเท่านั้น  .......    ลูกชายของน้าคนหนึ่งยังไม่ยอมตื่นขึ้นมา ส่วนอีกคน  คนที่น้าคิดว่าคือลูก เค้าก็ห่างหายไป จนน้าเองก็ใจหาย  ขอร้องล่ะธิว ลูกเอ๋ย   อย่าไปไหนอีก อย่าทิ้งพ่อไป อย่าทิ้งน้าไป  พ่อกับน้าใจจะขาด   ใจมันจะขาด  อย่าไปอีกเลยนะ”   

              มือสองข้าง ที่จับแก้มผมอยู่  มันถ่ายทอดออกมาหมด  ความรักใคร่   ห่วงใย  ท้อใจ   สิ้นหวัง   สารพัด  ที่ผมรู้สึกได้   ผมร้องไห้ตลอดระยะเวลาที่น้าตาพูด   นิ้วของน้าตาเกลี่ยน้ำตาผมออกตลอด คล้ายๆ กับว่าไม่อยากเห็นน้ำตาของผมอย่างนั้น  น้าตาขอร้องพูดตลอดให้ผมหยุดร้องไห้ แต่น้าตากลับร้องไห้หนักกว่าเก่า      บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง  กำแพงแห่งความเกลียดชัง  ระหว่างผมกับน้าตา มันได้หมดไปแล้ว    ถึงน้าตาไม่อยากจะรับตำแหน่งนั้น  แต่ผมอยากให้น้าตาเป็นเหลือเกิน   ..........   เป็นแม่ผมได้ไหม 

               “แม่  แม่ครับ ผมเรียกแม่ได้ไหม ได้ไหมครับ”  พูดไป ผมก็ร้องไห้   น้าตาร้องไห้ พร้อมกับพยักหน้า
   
                “ลูกแม่ ขอบใจเหลือเกิน ขอบใจที่อภัยให้  อย่าไปไหนอีกเลยนะ  แม่ไม่รู้ว่าต้องจะเป็นไงบ้าง แม่กลัว  กลัวเหลือเกิน  แม่ขอร้องธิว อย่าไปไหนอีก อยู่กับแม่ อยู่กับพ่อเป็นกำลังใจให้เราสองคนด้วย”  คนที่ขอร้องการให้อภัย  คือผมต่างหาก แต่ก็ขอบคุณเหลือเกินที่เป็นแบบนี้   พ่อผมมานั่งข้างๆ  เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  มือของท่านกระชับแน่นที่บ่าของผมเหมือนกับให้กำลังใจ  ผมเคยกอดพ่อตั้งแต่ตอนเด็กๆ  แต่ตอนนี้ผมอยากกอดพ่อผมเหลือเกิน ผมยังกลัวจริงๆ  กลัวว่าต้องจะไม่ฟื้นขึ้นมา  ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะทำอย่างไร
   
              “พ่อครับ   แม่ครับ   ผมกลัว  กลัวต้องหนีผมไป  ฮึก ฮึก  ผมกลัว    เอาชีวิตผมไปก็ได้ครับ ถ้าจะทำให้ต้องฟื้นขึ้นมา  ฮือๆๆๆๆ  ผมกลัว กลัวเหลือเกิน”   

……………….
……………….
……………….
……………….   ติ๊ดดดดด
……………….
……………….
……………….
……………….  ติ๊ดดดดด


“น้ำ  ....  ผมหิวน้ำ”   

มันไม่ใช่เสียงของผม ไม่ใช่เสียงของพ่อ และไม่ใช่เสียงของน้าตา


แต่เป็นอีกเสียงที่ผมเฝ้ารอมานานแสนนาน

“ต้อง !!!!!!!”    ผมตะโกนออกไปสุดเสียง
   
มันไม่ใช่เสียงของผม ไม่ใช่เสียงของพ่อ และไม่ใช่เสียงของแม่ 

แต่เป็นอีกเสียงที่ผมเฝ้ารอมานานแสนนาน

“ต้อง !!!!!!!”    ผมตะโกนออกไปสุดเสียง 

“ต้องๆ  ได้ยินเสียงพี่ไหม  !!!  พ่อครับ  ต้องตื่นแล้ว” 
 
                    ผมดีใจจนสุดขีด  แม่ทำอะไรไม่ถูก เงอะงะไปหมด    ความดีใจ บวกกับความตกใจ แต่อย่างไงพ่อผมก็ยังตั้งสติได้อยู่  ผมเขย่าตัวต้องถึงจะไม่แรง  แต่ก็น่าจะทำให้คนที่นอนอยู่ตรงนี้รู้สึกตัว   ผมหอมที่ฝ่ามือของน้อง  ทั้งหอมทั้งเขย่าจนมั่วไปหมด  ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างจากใครทั้งสิ้น  ผมไม่รู้ว่าพ่อตะโกน หรือเรียกพยาบาลดังขนาดไหน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แต่สำหรับผมตอนนี้มันเป็นความสุขของผมอย่างที่สุด   แม่ยิ้มทั้งน้ำตา   มาอยู่ข้างๆ  เตียงที่ต้องนอนอยู่ จับมือของต้องแน่น  ต้องยังคงเพ้อขอน้ำอยู่  จนพยาบาลที่เข้ามาต้องให้น้ำ และให้น้องเค้าจิบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   แต่ว่าคนที่ต้องการน้ำ ยังจะขอซ้ำอีกเรื่อยๆ   ดวงตาที่หลับอยู่ค่อยๆ  เผยอออกมาทีละนิดๆ  ต้องไม่ได้หันมามองทางผม แต่ยังมองบนเพดานอยู่ จนแม่เรียกชื่อซ้ำอีกครั้ง

                    “ต้อง  !!!!  มองหน้าแม่นะลูก  ลูกฟื้นแล้ว  ฟื้นแล้วนะ”

                    น้าตาผวาเข้าไปกอดร่างเล็กๆ ที่นอนซมอยู่บนเตียง   ร้องไห้ด้วยความดีใจอย่างดัง จนพ่อผมต้องเข้าไปปลอบ เจ้าดวงใจของผมมองหน้าไปที่แม่ และพ่อ ยิ้มเพียงมุมปากเท่านั้น  ก่อนจะหลับตาด้วยความเหนื่อยอ่อน เสียงนั้นแผ่วเบามาก แต่น้ำเสียงก็ยังคงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด    ต่อให้เสียงพูดนั้นบางเบาขนาดไหน แต่ผมก็ยังได้ยินมันอยู่ชัดเจน คำพูดที่ต้องถามแม่ มันทำให้ผมชาไปหมดทั้งตัว

                “แม่  ...... พี่ธิว   พี่ธิว    เป็นไงบ้าง”

 ................    ไม่ห่วงตัวเองบ้างเลยหรือ   ต้องห่วงพี่อยู่ใช่ไหม   ต้องรู้ไหมว่าเลือดของต้องทำให้พี่ฟื้นขึ้นมา   แรงใจของต้องทำให้พี่ฟื้นขึ้นมา    ต้องยังมองหน้าแม่อยู่  น้ำตาจากดวงตาเล็กๆ  ไหลผ่านแก้มใสๆ  จนผมมองเห็นแม่ยิ้มให้ ยิ้มแต่ก็ยังร้องไห้สะอื้นอยู่ มันทำให้แปรความหมายไปอีกแบบ ต้องร้องไห้หนักขึ้น และมองไปยังแม่ และพ่อ สลับกันไป พยายามที่จะลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีแรงพอ ทำได้แต่เพียงกอดแม่และหันหลังให้ผมเท่านั้น   

          “ฮึก  ฮึก  !!!!  แม่   พี่ธิวอยู่ไหน    พี่ธิวเป็นไงบ้าง” 

             ต้องกอดแม่ และร้องไห้อยู่อย่างนั้น  ส่วนแม่ก็เอาแต่ลูบหลังแล้วก็ปลอบอยู่  ต้องไม่เห็นผมเลย  ไม่ได้มองมาด้านหลัง ทั้งๆ  ที่ผมอยู่ตรงนี้นี่เอง   ความสงสารจนจับใจ  ร่างเล็กๆ ที่กอดแม่อยู่นั้นสะอื้นไห้จนตัวโยน   เป็นห่วงผมขนาดนี้  รักผมขนาดนี้ และทำเพื่อผมขนาดนี้ ทำไมนะ   ทำไมที่ผ่านมาผมจึงร้ายได้ขนาดนั้น ผมถึงเลวได้ขนาดนั้น 

              “........ ต้อง........”   

              เสียงเรียกที่ผมเรียกไป ไม่ดังนัก แต่มันก็หนักแน่น จนทำให้คนที่ผมเรียก ปล่อยออกจากอ้อมกอดของแม่ และหันหลังมาอย่างช้าๆ   ต้องเหมือนไม่เชื่อตัวเอง  เหมือนไม่เชื่อเสียงที่ได้ยินอยู่   แต่สิ่งที่ต้องเห็น รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตา  ต้องมองผมก่อนจะเคลื่อนตัวมาอย่างช้าๆ    แต่สิ่งที่มองเห็นเหมือนกับจะยังไม่เชื่อสายตา  มือเล็กๆ ทั้งสองข้างทั้งๆ  ที่ยังมีสายน้ำเกลืออยู่ ค่อยๆ สัมผัสที่ใบหน้าผมช้าๆ น้ำตาที่พร่ามัวทำให้ต้องมองเห็นผมได้ไม่ชัด ผมปล่อยให้ต้องทำอยู่อย่างนั้น   ให้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน คนที่ต้องตามหาอยู่ตรงนี้  และผมไม่มีวันที่จะทิ้งไปเด็ดขาด   น้ำตาแห่งความดีใจ  ผมหลั่งมันออกมาอย่างไม่อาย  ต้องเหมือนแม่ นิ้วเล็กๆ พยายามเกลี่ยน้ำตาของผมทิ้ง เหมือนกับไม่อยากเห็นน้ำตาของผมอย่างนั้น   มันทำให้ผมยิ่งร้องไห้หนักไปกว่าเดิม 

            ผมค่อยๆ  จับมือที่สัมผัสอยู่บนใบหน้าผมทั้งสองข้างอย่างช้าๆ กอบกุมข้อมือเล็กๆ นั้นไว้อย่างทนุถนอม   ก่อนจะเลื่อนมันลง แล้วเข้าไปสวมกอดคนที่ผมคิดถึงมานานแสนนาน   ความสุขที่สุดในชีวิตของผมกลับมาแล้ว  ต้องร้องไห้สะอื้นหนักไปกว่าเดิม  จนพยาบาลจะบังคับให้นอน  มือเล็กๆ ทั้งสองข้างกอดผมกลับ ทั้งกอด ทั้งทุบหลัง ผม แต่ผมไม่เคยเจ็บเลย   

                 “พี่ธิวฟื้นแล้ว  พี่ธิวหายแล้ว  ต้องดีใจ  ดีใจที่สุดเลย”   

 เจ้าตัวเล็กร้องไห้  พูดไปก็ร้องไห้ไป   ความเป็นเด็กยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยน หน้าเล็กๆ ของมันซุกอยู่ตรงไหล่  ผมปล่อยให้ต้องตีหลังผมอยู่อย่างนั้น   ไม่ว่าจะดีใจ  หรือจะอ้อนอะไรทั้งหมดผมก็ยอม  เพื่อให้ต้องฟื้นกลับมา  และตอนนี้เค้าก็ฟื้นกลับมาแล้ว  ต้องร้องไห้จนตัวโยน  จนพยาบาลต้องพยายามให้กลับลงไปนอนแบบเดิม  เพราะว่าต้องเพิ่งฟื้นมา แล้วร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรมากนัก  ร่างกายที่อ่อนแอ บวกกับเพิ่งฟื้นขึ้นมา  ทำให้ผมพยายามบอกกับต้องว่าให้กลับลงไปนอนแบบเดิม  แต่ไม่มีทีท่าว่าไอ้ตัวเล็กนั้นจะกลับนอนลงไปเลย

              “ฮือๆ   พี่ธิว ........”      ทำไมต้องร้องไห้มากกว่าปกติ

“พี่ธิว .... ฮึก  ต้อง ….. ต้องปวดหัว  ฮือๆๆๆๆ ต้อง.....  ปวด  .... หัว  พี่ธิวอย่าทิ้งต้องไปไหนนะ”     
สิ่งที่ต้องพูด มันทำให้ผมตกใจอีกครั้ง เพิ่งฟื้นแท้ๆ อย่าเป็นอะไรไปอีกเลยนะ   สิ่งที่ต้องพูดไปอย่างนั้น ทำให้ตอนนี้ทั้งคุณหมอประจำเวร และพยาบาลต้องบอกให้ต้องนอนลงไปอีกครั้ง   ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คนรอบข้างมากันเยอะแยะอะไรขนาดนี้ ทั้งคุณหมอ  นางพยาบาลที่แม้จ้างเอาไว้ และพยาบาลประจำเวรมาอีกสองถึงสามคน

“ต้องครับ  พี่อยู่นี่ ไม่ทิ้งครับ  นอนก่อนนะ ต้องเพิ่งฟื้นยังไม่หายไข้ดีเลยนะ” 

ผมพูดไปพร้อมกับลูบหัวอยู่อย่างนั้น ตอนนี้ต้องนอนลงไปแล้วตามที่หมอสั่ง ดวงตาเริ่มปิด แต่ก็ยังส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น ดวงตาต้องเริ่มหลับ  แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดร้องไห้  ทั้งร้องไห้และพูด จนเหมือนเพ้อ

“ฮือๆ  อย่าทิ้งต้องไป พี่ธิว...... พี่ธิวใจร้าย  อย่าทิ้งต้องไป”    ผมอยู่ข้างๆ นะ  ต้องไม่เห็นผมหรือ

“พี่ธิว   พี่ธิวไปไหน   พี่ธิวใจร้ายทิ้งต้องไปไหน”   



หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 01-11-2019 23:02:32
ตอนที่  30   ตอนพิเศษ   ความทรงจำ

   ทำไมมืดแบบนี้นะ ........  ทั้งมืด  และเศร้าจัง

   ผมมองไปรอบๆ  หลังจากที่ตื่นขึ้นมา   ที่นี่คือที่ไหน  ไม่ใช่บ้านเรานี่นา   เพราะถ้าที่บ้าน  ผมจะต้องเจอแม่  จะต้องเจอลุงธิน  แต่นี่ไม่มีใครอยู่เลย
   
   มืด  เงียบ   และสงบ   ถูกต้องแล้ว  ผมคือต้อง  ผมตื่นขึ้นมาแล้ว  แต่ไม่รู้ว่ามาตื่นที่ไหน  ที่ตู้เสื้อผ้านั้น  มันจะยังมีชุดนักเรียนหรือเปล่านะ  วันนี้แล้วซินะ ที่ผมต้องโดดข้ามชั้นปีที่เรียนไปอีก  1  ขั้น  ใช่แล้ว  ผมกำลังจะขึ้น  ป. 3  ไปเรียนดีกว่า  ถึงจะเจอเพื่อนใหม่ๆ  บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร   ผมไม่มีใคร  ไม่มีเพื่อน ไม่มีพี่  ไม่มีน้อง  ผมคือลูกคนเดียวของแม่
 
   แต่ทำไมถึงได้สับสนแบบนี้นะ  ผมเรียน ป. 3  หรือ  ม.  5 กันแน่   ไม่ใช่แล้ว ....  นี่คือเรื่องบ้าที่สุด   ทำไมในกระจก ผมถึงตัวโตขนาดนี้  ชุดนักเรียน ไม่ใช่ชุดของเด็กประถมนี่นา  แต่มันคือชุดของนักเรียนมัธยม
 
   ผมหยุดนิ่ง แล้วคิดอยู่ชั่วครู่  นั่งก่อนดีกว่า ก่อนที่อะไรๆ  มันจะทำให้ผมงงไปมากกว่านี้   ........  ความทรงจำเริ่มเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ  ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ผมอยู่บ้านหลังเก่า  บ้านที่ผมอยู่กับแม่เพียงสองคนหลังจากที่พ่อผมเสียไป   แล้วแมวล่ะ  ผมมีแมวอยู่ตัวหนึ่งนี่  อ้วนพีอยู่ตรงไหน  ....    ผมยิ้มให้กับความรู้สึกของตัวเอง  ก่อนจะเดินออกจากประตูห้องไป  บ้านยังคงหลังเดิม  แต่เครื่องเรือน  เฟอร์นิเจอร์ ไม่มีเลยซักชิ้น  มันเป็นเพียงบ้านเปล่าๆ  ทาสีขาว  หมอกจางๆ  ที่ทำให้ผมคิดว่า นี่น่าจะเป็นฤดูหนาว ในยามเช้า

   เสียงเครื่องจักรที่อยู่ตรงข้ามบ้าน   ใช่ .....  มีบ้านหลังหนึ่งกำลังปลูกใหม่  หลังใหญ่ซะด้วย   แต่ปลูกนานแล้วนี่  ทำไมถึงยังไม่เสร็จซักทีหนึ่งล่ะ   ผมจำได้  ปลูกตั้งแต่ผมยังอยู่ประถมเลยไม่ใช่หรอ

   เกิดอะไรขึ้นกันแน่

   ตอนนี้ผมอายุเท่าไหร่    และทำไมบ้านถึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้

   ก่อนจะทำอะไรให้มันงงมากกไปกว่านั้น   ผมตัดสินใจเดินออกไปนอกบ้านอีกครั้ง    ยิ่งเดินออกไป  มันก็เหมือนผมย้อนเวลา  .....  ใช่แล้ว  ผมย้อนเวลาจริงๆ ด้วย   ดีจัง  .... ได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ยิ่งเดินออกไป มันก็ยิ่งทำให้ผมตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ  ลงไปเรื่อยๆ 

   ถูกต้องแล้ว  ผมยังอยู่เพียงแค่  ป. 3  เท่านั้น

   ไปหาอ้วนพีดีกว่า  น่าจะยังอยู่บนต้นมะขาม ชอบแอบไปซนข้างบนอยู่เรื่อย  ผมยิ้มให้กับตัวเอง  หมดความสงสัยอะไรในตัวเองทั้งสิ้น    ไม่สงสัย  ไม่จำอะไร  มันเป็นเรื่องว่างเปล่าจริงๆ  และมันก็ไวเท่าความคิดของผมนั้นแหละ  วัยเด็กของผมกลับมาแล้ว  กลับมาได้อย่างไรก็ช่างมัน  ตอนนี้เช้าๆ  แบบนี้ ถ้าจำไม่ผิด  แม่ผมคงจะเอาขนมไปขายที่ตลาด  ตอนนี้ไปหาอ้วนพีก่อนดีกว่า

   “อ้วนพี !!!!!!!!  อ้วน  ไอ้อ้วน  ไอ้อ้วนพี”  น้องชายผมมันหายไปไหน   อันนี้ผมใช้อารมณ์จินตนาการเอาเองนะ  ว่าแมวคือน้องชาย   อย่างน้อย  ผมก็อยากมีพี่น้องกับเค้าเหมือนกันซักคนนี่นา   จะน้องชาย  หรือ พี่ชายก็ได้  ผมไม่เกี่ยง   ......... อยากมีพี่ชายซักคนจัง.......

   ระยะทางจากตรงประตูหน้าบ้าน  กับตรงต้นมะขามมันไม่ไกลกันมาก     แต่ก่อนที่จะเดินไปถึง ผมก็ต้องสะดุดกับอะไรบางอย่าง

   ....ตุ๊กตา อุลตร้า....   มันคือของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้าย ที่พ่อผมให้ไว้ ก่อนที่ท่านจะจากไปจากโลกนี้    ผมรีบอุ้มมันมาไว้กับตัวทันที   ปกติผมไม่เคยทิ้ง  ตุ๊กตาตัวนี้ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ  ........  ทั้งตัวของมัน มีรอยไหม้  .....  ใครกันนะ   มาเผาตุ๊กตาของผม   

   ผมไม่ได้เสียใจ   เพราะมันไม่ได้หายไปไหน  เสียหายไปบ้าง แต่ก็ยังคงอยู่   จะใครเผาก็แล้วแต่  แต่มันกลับมาหาผมแล้วนี่นา   ไม่เป็นไร   เดี๋ยวเอาไปซ่อมซักหน่อยก็คงหาย

   “เมี๊ยววววว  !!!!!”  นั่นไง  ไอ้ตัวก่อกวน  อยู่บนต้นมะขามจริงๆ  ด้วย

   “รอแป๊บ  ไอ้อ้วน  เดี๋ยวขึ้นไปรับ”   มันเป็นแมวที่ขึ้นเองได้  แต่ลงไม่ได้  ผมต้องปีนขึ้นไปรับมันตลอด
   ผมวางตุ๊กตาไว้ตรงโคนต้น ก่อนจะปีนขึ้นไป  สงสัยเกิดปีวอก  แป๊บเดียว ผมก็อัญเชิญตัวเองขึ้นไปอยู่บนต้นมะขามเรียบร้อย   แต่วันนี้มันดันทำไมถึงปีนขึ้นไปสูงกว่าเดิมอีกล่ะ 
   
   “เมี๊ยวววววว  !!!”   

   “ก็มันไม่ถึงนี่นา....”     จะร้องเรียกทำไมเนี่ย   กิ่งมันเล็ก  ผมไม่กล้าปีนขึ้นไปอีกหรอก มันปีนขึ้นไปได้ ครั้งนี้มันต้องกลับมาเองได้แล้ว   

   อ๋อ !!!  ผมรู้แล้ว ว่าทำไม มันถึงปีนไปสูงกว่าเดิม ที่แท้  แอบจะมากินลูกนกนี่เอง  ไอ้แมวก่อกวน  ไอ้นี่  ไปเอาเชื้อโหดมาจากไหน 

   “ก็ไปยุ่งกับมันก่อนหรือเปล่าล่ะ..... ถ้าขึ้นไปอีกทีจะฟ้องแม่ด้วยยยย”  ผมแกล้งๆ  ขู่ไปอย่างนั้น  แต่จริงๆ  ต่อให้อ้วนพีมันผิดแค่ไหน  ผมก็ไม่เคยเอาไปบอกแม่หรอก

   “ใครอ่ะ !!!”     ผมหันมองลงไปข้างล่างทันที  เหมือนมีคนมาเรียก
 
   แต่เปล่า  ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น    เอาล่ะ   ถ้าอย่างนั้นก็แกล้งไอ้จอมกวนนี่ซะหน่อย  ดันจะไปกินลูกนกซะได้  น่าสงสารจะตาย  ดีนะ  ผมเอาตุ๊กตาวางไว้ตรงโคนต้นไม้พอดี   เอาเป็นว่า อุลตร้าของพ่อ   ช่วยผมหลอกไอ้อ้วนพี่ให้หน่อยแล้วกันนะ
   
   “พี่เป็นใครอ่ะ !!!!”  ผมแกล้งๆ  พูดลงไป   กับตุ๊กตา

   “พี่เพิ่งย้ายมาเมื่อวานครับ บ้านหลังนั้น”   ผมดัดเสียงให้ดูแข็งๆ คล้ายหุ่นยนต์    ใช้ได้  ไอ้อ้วนพีมองหน้า  แถมเอียงคอนิดหนึ่ง   สงสัยใช่ไหมล่ะ   555555 

   “อ๋อ....   เห็นสร้างตั้งนาน ที่แท้เจ้าของก็มาแล้วนี่เอง......”    อันนนี้น้ำเสียงปกติของผมเอง  ก่อนที่จะพูดต่ออีกทีหนึ่ง   

   “นัญมาตามอ้วนพีกลับบ้าน ... อ้วนพีเกเร  วันนี้แอบมากินลูกนก”   

   “ชื่อนัญหรอ”   ทำเสียงแข็งๆ ต่อ


   “ฮะ.....แล้วพี่ชื่อไร”    สลับเสียงตัวเองไปมา   งงไปหมด 

   “พี่ชื่อ  ........  อุลตร้าครับ”

   “พี่อุลตร้า.... พี่ช่วยมาตามอ้วนพีลงไปหน่อย.... นัญจับอ้วนพีไม่ถึง” 

   “..........  ? ………….” 

   “อ้วนพีคือใครอ่ะ....”   ผมหันหน้าไปอีกข้าง ไม่ให้ไอ้แมวจอมยุ่งนั่นรู้ว่าเป็นเสียงผมเอง  แต่เป็นเสียงที่แปล่งๆ ขึ้น ให้ดูแข็งๆ  เหมือนอุลตร้า

  “อ้วนพีคือน้องชายของนัญ  เมื่อวานอ้วนพีก็มาอยู่บนนี้นัญตามทีนึงแล้ว...  แต่วันนี้อ้วนพีหนีมากินลูกนกอีก...ถ้านัญจับได้นัญจะตีอ้วนพี...”

   “ไปตีทำไม... เด๋วน้องก็เจ็บ” 

   “ไม่เป็นไร นัญโตแล้ว นัญตีได้”  ผมโตแล้วนี่นะ  โตแล้ว ตีแมวได้

   “โตแล้ว.... นัญกี่ขวบ”   เป็นตุ๊กตา จะถามทำไม

   “เจ็ดขวบ... นัญโตแล้ว”  แม่ผมบอก ว่าผมโตตั้งแต่ตอนห้าขวบ  ใช่แล้ว....

   “แล้วอ้วนพีอยู่ตรงไหน...”  คราวนี้แหละ  ไอ้อ้วนพีซวยแน่  พี่อุลตร้าจะขึ้นมาแล้ว

   “นั่นไง”   ผมชี้ไปข้างหน้าทันที  ฟ้องซะ

   “นั้นมันแมว..... ไหนบอกน้อง”   ไอ้พี่อุลตร้า ไอ้พี่ทรยศ  555555   

   “ก็น้องของนัญนี่นา... ไม่ใช่แมวนะ... อย่าบอกว่าเป็นแมวนะเดี๋ยวอ้วนพีเสียใจ”

   “ก็เห็นเป็นแมวชัดๆ  มีหางด้วย  ขนก็ปุย...  เปอร์เซียนี่”     ผมยังคงเถียงกับตัวเองต่อ  สนุกดี   ไม่มีใครเล่นด้วย  ผมเล่นของผมเองคนเดียวก็ได้ 

   “ไม่ใช่ๆๆๆ พูดใหม่เลย อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชาย อายุน้อยกว่านัญปีนึง”     อ่ะ  แม่บอกว่า   ถึงมันจะเป็นสัตว์เลี้ยง แต่มันก็คือสมาชิกในครอบครัว  ผมให้อ้วนพีเป็นน้องชายของผมนานแล้วนะ 

   “พูดซิฮะ ....   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายนะ”   ผมต้องบังคับ  พี่อุลตร้าเสียแล้ว   ต้องพูดตามที่ผมบอกเท่านั้นนะ

   “ครับๆๆ   อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายก็ได้”    โอเค  พูดตามเสียทีนึง

   “ห้ามมีคำว่า  ก็ได้”   ใช่แล้ว  ต้องพูดให้ตามที่ผมบอก  ห้ามีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

   “อ้วนพีเป็นเด็กผู้ชายครับ...พอใจยังเอ่ย”   ผมยังคงแปลงเสียงตัวเองต่อไป ให้อ้วนพีมันงงเล่นๆ

   “ฮิๆๆ   อ้วนพีเป็นแมวต่างหาก”   สะใจและ  ผมหลอกพี่อุลตร้าได้

   “อ้าวว !!!!   หลอกพี่หรอนี่” 

   “เปล่าหลอกซะหน่อย   พี่อุลตร้าช่วยจับหน่อย  มือนัญเอื้อมไม่ถึง” 

   “ถ้าพี่ช่วย..... แล้วพี่ได้อะไร”    เอ  ???  เป็นแค่ตุ๊กตา จะเอาไรมากล่ะ

   “...อืม...”  ทำท่าครุ่นคิดแบบผู้ใหญ่ซะหน่อย

   “อืมมมม”   อย่าพูดตามซิ่  ปรับเสียงไม่ทัน

   “เดี๋ยวนัญให้ยืมการ์ตูน... ที่ห้องนัญมีการ์ตูนเยอะ” 

   “เรื่องไรอ่ะ...”   เป็นตุ๊กตา จะอ่านการ์ตูนทำไมเล่า 

   “เงื่อนรักข้ามมิติ....  รักนายเจ้าชายจอมแก่น... ชินจัง... โดเรมอน..... @#&^_(^X”|?><+_”    ทำไมพี่อุลตร้าทำหน้าตาแบบนั้น

   “เอ่อ... ไม่เป็นไร  พี่ช่วยอย่างเดียวก็ได้ พี่ไม่ค่อยชอบอ่านการ์ตูนอ่ะครับ”   ดีแล้ว  เหมาะกับเป็นตุ๊กตาจริงๆหน่อย

   “ไม่ได้ๆๆๆ พี่ช่วย  นัญต้องตอบแทนนะ... เอาไปอ่านเหอะ นะ นะ นะๆๆๆๆ”    อ้อนหน่อยได้ไหม  ในฐานะ  ตุ๊กตาโดนเผา   55555 

   และสุดท้ายไอ้เจ้าอ้วนพี  ของผม  ก็เป็นผมเองนั้นแหละ ที่ดึงมันลงมาได้  หลังจากที่ไปนั่งหมอบเฝ้ารังลูกนกที่อยู่บนต้นมะขามนั้นตั้งนาน  ... แต่กว่าจะเอาลงมาได้ ก็เหนื่อยเอาการอยู่  ผมไม่ได้เหนื่อยกับแมวหรอก  แต่เหนื่อยกับการทำเสียงอีกเสียงให้ดูเป็นตุ๊กตาอุลตร้ามากกว่า    เป็นแค่ตุ๊กตาทำเป็นสั่งซะใหญ่เลย  กว่าจะเอาลงมาถึงพื้นได้ทุลักทุเลน่าดู   ตอนนี้ผมกับไอ้เจ้าแมวจอมซ่านี่ลงมาอยู่ที่พื้นแล้วเรียบร้อย  ... แต่ทำไมอยู่ดีๆ  ตุ๊กตาตัวนั้น ถึงไปอยู่ข้างบนได้ล่ะ

   “อ้าว... ทำไมไม่ลงมา”

   “ถ้าไม่ลงมา   นัญไปแล้วนะ ..............  ไปแล้วนะ  ............   ไปแล้วนะ
      ไป
            แล้ว
            นะ
   ถูกต้องแล้ว   ..........  ผมพูดกับตุ๊กตาอุลตร้าโดนเผาตัวนั้น  .......

   ใครเผาไป  ทำไมใจร้ายจัง   

   ผมเดินออกมาพร้อมกับอ้วนพี   หนทางที่จากต้นมะขาม  และหน้าบ้านไม่ไกล   แต่มันก็ไกลพอในความฝันนั้น  ....... หรือไม่ใช่ความฝัน   หรือเรื่องจริง  ผมไม่ทราบ   แต่มันก็นานพอดู ที่จะทำให้ผมเดินมาเรื่อยๆ  จาก เด็ก ป. 3   และตอนนี้  ผมอยู่  ป.3 หรือ ม. 5  นะ   ผมย้อนมองกลับไปตรงต้นมะขามนั้นอีกที
 
ตุ๊กตาอุลตร้านั่นน่าจะยังอยู่ข้างบน   แต่มันไหม้ไปแล้วนี่   คงไม่มีค่าอะไรแล้วที่จะให้ผมจำ

ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง  แล้วเดินออกมา ที่ตรงนั้นว่างเปล่า  ไม่มีใคร  ถูกต้องแล้ว  แม่ไปขายของที่ตลาด ลุงคนข้างบ้านถ้าจำไม่ผิด เค้าชื่อลุงธิน     และผม  และอ้วนพี 

         ……..  แค่นั้น  .....


……………………………………
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 02-11-2019 14:33:27
 :L2: :pig4:
 :mc4: :mc4:

ขอบคุณครับ กำลังสนุก อ่านกำลังมัน ยาวติดต่อได้ใจดี แต่จบเสียแล้ว

รุ่นเก๋ามาแล้ว นาน ๆ จะได้เจอคำว่า " นักเขียน " " นักอ่าน " สักที
ตอนหลังมานี่เขาจะใช้ " ไรเเดอร์ " กับ " รีดเดอร์ " กัน ซึ่งเราไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ ฮ่ะ ฮ่า
ซึ่งเล้าเองเคยรณรงค์มานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนใช้อยู่ ไม่เป็นไร
แต่ขอให้นิยายสนุกมีอรรถรสก็พอ ฮ่า ฮ่า

รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 02-11-2019 18:54:04
:L2: :pig4:
 :mc4: :mc4:

ขอบคุณครับ กำลังสนุก อ่านกำลังมัน ยาวติดต่อได้ใจดี แต่จบเสียแล้ว

รุ่นเก๋ามาแล้ว นาน ๆ จะได้เจอคำว่า " นักเขียน " " นักอ่าน " สักที
ตอนหลังมานี่เขาจะใช้ " ไรเเดอร์ " กับ " รีดเดอร์ " กัน ซึ่งเราไม่ค่อยคุ้นสักเท่าไหร่ ฮ่ะ ฮ่า
ซึ่งเล้าเองเคยรณรงค์มานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนใช้อยู่ ไม่เป็นไร
แต่ขอให้นิยายสนุกมีอรรถรสก็พอ ฮ่า ฮ่า

รอตอนต่อไปจ้า

ขอบคุณจ้า  กำลังเขียนตอนต่อไปอยุ่นะคะ  ^_^
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: chin_va ที่ 02-11-2019 23:35:06
ตอนที่  31

               มือผมจับต้องให้แน่นกว่าเดิม    ดวงตาต้องปิดสนิท  คล้ายคนละเมอ  ทำไมนะ ทำไม เพิ่งฟื้นแท้  ทำไมถึงเป็นอะไรไปอีกแล้ ว

              “แม่  ...... แม่ตามพี่ธิว   พี่ธิวหนีต้องไป  พี่ธิววิ่งหนีต้องไปไหนแล้ว” 

                เสียงพูดต้องดังขึ้น  จนคุณหมอ และพยาบาลต้องมาจับตัวเอาไว้ เพราะไม่เพียงแต่ร้องอย่างเดียวแต่ต้องยังพยายามจะวิ่งออกไปจากห้องด้วย แม่และพ่อที่อยู่ด้านข้าง  ทั้งพยายามเรียก ทั้งปลอบ ทั้งพูด  และจับตัวเอาไว้ ผมอยู่ใกล้ต้องที่สุด  แต่ต้องมองไม่เห็น  มันเกิดอะไรขึ้น  !!!!!

          “ต้องครับ   พี่อยู่นี่  ต้องครับ”   

              ผมเรียกย้ำๆ ซ้ำๆ   แต่ต้องยังไม่ลืมตา  มือที่ผมจับอยู่ดึงจนมันหลุดออก  ร้องไห้หนักจนหน้าและตัวแดงไปหมด  สายน้ำเกลือที่อยู่ตรงฝ่ามือหลุดออกจนเห็นเลือดไหลออกมาอย่างชัดเจนผมปวดใจที่สุดที่รู้ว่าคนที่ผมรักเจ็บ   ผมเข้าไปสวมกอดอีกครั้ง  แต่เหมือนต้องพยายามที่จะผลักออกทั้งๆ  ที่ตอนแรกไม่ใช่อย่างนี้    ดวงตาที่ปิดอยู่เริ่มเปิดขึ้นอีกครั้ง  คราบหยาดน้ำตาเต็มดวงตาทั้งสองข้าง  ต้องตื่นมามองอีกครั้ง   ...................  แต่ต้องไม่เห็นผม  ................

               “แม่ แม่  แม่เรียกพี่ธิว   พี่ธิวเดินหนีไปแล้ว  แม่ครับบ   เรียกพี่ธิวให้ต้องที  ฮือๆๆ  พี่ธิว  พี่ธิวอย่าทิ้งต้องไป” 

              ผมกอดจนแน่น  สัมผัสได้ทั้งเสียงและร่างกาย   แต่ต้องไม่รู้  เหมือนมองไม่เห็นอย่างนั้น  ร่างกายที่ตอนแรกเย็นเฉียบ ตอนนี้มันเปลี่ยนมาเป็นร้อน  ผมไม่รู้ว่าเกิดจากการร้องไห้อย่างหนัก  หรือว่าเพ้อจากพิษไข้    ต้องเรียกแม่  และพ่อ เรียกนางพยาบาลทุกคน   หันหน้าไปมองและเรียกชื่อถูกทุกคน แต่ต้องไม่เห็นผม   ผมกอดอยู่ แต่ต้องไม่รู้   ผมเรียกอยู่  แต่ต้องยังหาว่าผมทิ้งไป

                    “ต้องครับ    พี่อยู่นี่   พี่กอดต้องอยู่ไงครับ ไม่ได้หนีหายไปไหน” ผมเรียกซ้ำๆ   แต่ไม่มีทีท่าว่าต้องจะได้ยิน เหมือนอยู่กันคนละโลก

                  “ฮือๆแม่  แม่  ต้องปวดหัว   แม่ช่วยด้วย   ต้องปวดหัววว”   ต้องร้องไห้  มองหน้าไปที่แม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ  พร้อมกับจับมือแน่น   ผมต้องปล่อยออกไปเพราะหมอมาดึงตัวจนกลับไปนอนได้เหมือนเดิม   ตอนนี้ผมทำตัวอะไรไม่ถูก แม่พยายามจะเข้ามาแต่ก็ถูกพ่อกันเอาไว้   เพราะว่าต้องอยู่ในหน้าที่ของแพทย์และพยาบาล   ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สังเกตจากด้านนอก  แสงยามเช้าเริ่มมาแล้ว  ต้องหลับไปอีกครั้งหนึ่ง  จนหมอเช็คอย่างละเอียด   ก่อนจะเชิญให้พ่อกับแม่และผมเข้าไปอยู่ในห้องรับรองของโรงพยาบาลที่อยู่ถัดออกไป

               เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมไม่รู้  แต่ก็คิดว่านานพอสมควร  เช้าวันใหม่ของอีกวันผ่านเข้ามา  ผมยังคงไม่ไปไหน  ยังคงอยู่ในห้องรับรองที่ทางโรงพยาบาลจัดเอาไว้ให้จนผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง   เพื่อนของต้องเดินเข้ามา   ไหว้พ่อกับแม่ แต่ไม่มองหน้าผมซักนิด  ผมรู้และเข้าใจดี  เบสต์ก็คงจะเกลียดผมเหมือนกัน  ผมไม่โกรธเบสต์ เพราะผมก็ทำกับเพื่อนเค้าเอาไว้มาก   

                 ซิว  กับนันต์มาพร้อมกับคุณหมอ  ที่เป็นพ่อของไอ้นันต์   และขอรับเคสต์นี้ต่อจากหมอที่เป็นเวรประจำเมื่อคืน    ต้องถูกส่งเข้าห้องไอซียูอีกครั้ง หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกตัว  ก่อนจะเพ้ออย่างหนักอีกครั้ง   สิ่งที่คุณอาหมอถือมา คือแผ่นภาพเอ็กซ์เรย์สมอง สีหน้าดูเป็นกังวลมาก แต่ก็ยังมีแววแห่งความหวังอยู่บ้าง  ทุกคนอยู่กันเกือบจะพร้อมหน้า เว้นไอ้เอก ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่ไหน แม่รีบวิ่งออกไปพร้อมกับถามอาการ    ส่วนตัวผมได้นั่งอยู่ตรงนั้น  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แล้วแต่   ถ้าเป็นไปในทางที่ไม่ดีเมื่อไหร่ ผมไม่พร้อมจะรับฟัง

“พี่ธินครับ พี่ตาครับ”  พ่อไอ้นันต์ เรียกพ่อและแม่  ก่อนจะพูดต่อ  พร้อมกับยกแผ่นเอ็กซเรย์ขึ้น

“ผลจากการเอ็กซเรย์  ตอนนี้ น้องเค้าฟื้นแล้วนะครับ   และสมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน” อาหมอพูดและหยุดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นต่อ

แต่ผมไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง” 

 แผ่นฟลิล์มเอ็กซเรย์ยังคงถืออยู่ที่มือของอาหมอ แม่ถามกลับไปด้วยเสียงเครือเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรไปในทางที่ไม่ดี

“ไม่มั่นใจอะไรคะ  บอกทีเถอะ”    น้าตาถามกลับ เสียงสั่น  จวนจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

“ผลเอ็กซเรย์สมอง แทบจะเป็นปกติ  น้องต้องไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจากสมอง  เมื่อซักครู่นี้ต้องตื่นขึ้นมา  จำผมได้  จำอายุตัวเองได้  และจำได้ว่าเรียนอยู่ชั้นไหน”  .......... มันก็ฟังดูเข้าที ผมนึกว่าต้องจะเจอแบบเดียวกับไอ้เอก  พูดแค่นี้ผมก็โล่งใจไปครึ่งหนึ่งแล้ว  แต่อะไรล่ะ ที่คุณอาหมอยังคงหวั่นใจอยู่

“แต่ ......  จิตใจของคนเรามันซับซ้อน  จิตของมนุษย์ ต่อให้เป็นแพทย์เก่งขนาดไหน ผมก็ไม่มั่นใจเลย ว่าต้องเจอกับอะไรมาบ้าง  ผลจากเช็ค และตรวจดู   สิ่งที่ลึกลับที่สุดของมนุษย์ก็คือจิตใจ   ผมไม่มั่นใจว่าส่วนหนึ่งของความทรงจำ  ต้องตัดอะไรมันทิ้งไป   เค้าตัดทิ้งไปกับความทรงจำนั้น  ต้องความจำเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์    ผมถามเค้าจำแม่ได้ไหม .....  เค้าจำได้ เค้าจำลุงธินได้ไหม.... เค้าจำได้  สุดท้ายเค้าก็ยังจำน้องเบสต์ได้   แต่ผมรู้ และมองออก ต้องจำสิ่งที่มันกระทบกระเทือนจิตใจเค้ามากที่สุดไม่ได้   ส่วนหนึ่งของจิตใจถูกบังคับให้ลืมบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้ร่างกายและสภาพของใจและความทรงจำนั้นยังคงอยู่ ไม่ย่ำแย่และไม่จากไป   ต้องไม่ได้ความจำเลอะเลือน จิตใจไม่ได้หลุดเหมือนคนบ้าหรือไม่สมประกอบ แต่ต้องเป็นคนที่ความจำบางเสี้ยวขาดหายไป”   

ผมชาและนิ่งไปทั้งตัว  !!!!!! ต้องจำสิ่งที่มันกระทบกระเทือนจิตใจเค้ามากที่สุดไม่ได้  !!!!!!!

ขอร้องล่ะอย่าเป็นอย่างที่ผมคิด   ผมขอร้องอย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยนะ

น้าตากับพ่อมองหน้ามาทางผม ไม่พูดอะไร   แต่มือของน้าตาเอื้อมมากุมมือผมเอาไว้ และกระชับขึ้นเหมือนให้กำลังใจ  และส่ายหน้าไปมา   คงจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ และก็คงไม่อยากให้ผมคิดอย่างนั้น

“เราไปเยี่ยมต้องได้ไหมคะคุณหมอ ไปกันทั้งหมดนี้”    น้าตาหรือ  ตอนนี้ที่ผมเรียกเค้าว่า แม่พูดขึ้น แกมขอร้องและเหมือนอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง

“ได้ครับ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยากให้ทุกคนรับให้ได้”    คุณอาหมอพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืน   

ผมเดินตามแม่และพ่อไปช้า    เส้นทางจากห้องรับรองไปยังห้องที่ต้องพักฟื้นอยู่  ไม่ไกลมากนัก   ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ผมอยู่ที่โรงพยาลตั้งแต่เมื่อคืน  จนเวลาผ่านไปขนาดนี้ นี่ถ้าไม่เห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงฝาผนัง ผมคงยังนึกว่ามันยังเช้าๆ อยู่

ทุกคนในห้องรับรองถูกเชิญให้เข้าไปเยี่ยมต้องทั้งหมด    ถ้าต้องจำซิวไม่ได้ จำไอ้นันต์ไม่ได้  คงไม่เห็นแปลก  เพราะในช่วงที่ผ่านมา ซิวกับไอ้นันต์ไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับเรื่องของผมกับไอ้เอกเท่าไหร่อยู่แล้ว    แต่ถ้าต้องจำผมไม่ได้ล่ะ   ............ ผมจะทำอย่างไรดี

เด็กตัวเล็กๆ นั่งกึ่งนอนอยู่ที่เตียงใหญ่ด้านหน้า ต้องถูกอาบน้ำและเปลี่ยนในชุดใหม่เรียบร้อย  แต่ก็ยังสวมชุดคนไข้อยู่   หน้าตาดูผ่องใสขึ้น มองหน้าแม่ทีหนึ่ง สลับมองหน้าพ่อผมทีหนึ่ง  ยิ้มให้อย่างอิดโรย   แต่สายตามีแววประกายจ้ามากยิ่งขึ้นกว่าที่ผมเห็นเมื่อคืน  แก้มใสๆ ที่ผมไม่ได้เห็นนานตอนนี้เห็นชัดขึ้น แต่ก็ยังเดินอยู่ด้านหลังพ่อกับแม่อยู่อย่างนั้น    ความรู้สึกบางอย่างทำให้ผมไม่กล้าที่จะไปใกล้ๆ ต้อง

ต้อง เหมือนไม่ใช่คนเดิม

แม่เดินเข้าไปหาพร้อมกับกอดต้อง  รอยยิ้มปรากฏไปทั่วใบหน้า ต้องกอดแม่กลับ   ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างช้า

“คุณหมอบอกว่าต้องไม่สบาย  แม่กับพ่อเลยต้องมาเยี่ยมต้องถึงกรุงเทพเลย  ต้องขอโทษแม่กับพ่อด้วยนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”   ต้องพูดช้าๆ   และกอดแม่ของเค้าอยู่อย่างนั้น  ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้เสียใจ   และไม่มีความกังวลอะไรอยู่แล้ว  ลุงธินยืนอยู่ข้างๆ  กัน   จนเบสต์เดินเข้าไปหา

“ต้อง  !!!!  หายดีแล้วใช่ไหม”     เบสต์เอื้อมมือมาจับเพื่อน    ดูก็รู้ว่าเพื่อนของต้องคงจะข่มน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล   เบสต์แข็งแรงกว่าต้องแต่ก็ไม่ได้มากซักเท่าไหร่  ที่ไม่กล้าร้องไห้เพราะกลัวว่าต้องจะเป็นห่วงนั่นแหละ   หรือว่าเบสต์กำลังจะทำอะไรบางอย่างอยู่   ผมเดาเด็กคนนี้ไม่ออก  เหมือนเบสต์รู้ทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด  แต่ก็ไม่เคยปริปากพูดอะไร

“เบสต์ !!!!”   ต้องเรียกเพื่อนเสียงอย่างดัง และยิ้มจนแก้มปริ มือที่โอบกอดแม่อยู่ย้ายมากอดเบสต์ ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะกอดกันจนตัวกลม   พูดพร่ำเป็นห่วงกันสารพัด   สิ่งที่ทำให้ผมกลัวที่สุด  ไม่ใช่พ่อหรือแม่ทำ แต่เป็นจากเด็กร่างเล็ก เพื่อนของต้องนี้ต่างหาก    คำถามที่ผมกลัวที่สุด   กำลังจะเกิดขึ้น

“ต้อง   .....  มองดูช้าๆ นะ  คิดช้าๆ   ในห้องนี้  ต้องจำใครได้บ้าง” 

เบสต์พูดกับต้อง แต่สายตามองมาทางผม เหมือนคงจะให้ผมรับรู้บางสิ่งไปด้วย
   

“เบสต์ !!!!”   ต้องเรียกเพื่อนเสียงอย่างดัง และยิ้มจนแก้มปริ มือที่โอบกอดแม่อยู่ย้ายมากอดเบสต์ ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะกอดกันจนตัวกลม   พูดพร่ำเป็นห่วงกันสารพัด   สิ่งที่ทำให้ผมกลัวที่สุด  ไม่ใช่พ่อหรือแม่ทำ แต่เป็นจากเด็กร่างเล็ก เพื่อนของต้องนี้ต่างหาก    คำถามที่ผมกลัวที่สุด   กำลังจะเกิดขึ้น

“ต้อง   .....  มองดูช้าๆ นะ  คิดช้าๆ   ในห้องนี้  ต้องจำใครได้บ้าง” 

เบสต์พูดกับต้องอีกครั้ง  มือทั้งสองข้างของต้องกับเบสต์ยังจับกันอยู่จนแน่น  ต้องมองไล่ไปทีละคนอย่างช้าๆ  งุนงงกับคำถามที่เบสต์ถามอยู่  แต่ก็ยังทำตามที่เพื่อนรักบอก  ต้องมองหน้าแม่  พร้อมกับยิ้มให้  และโผเข้าไปกอดอีกครั้ง  ก่อนจะเรียกแม่ของต้องเองด้วยเสียงแผ่วเบา   สองแม่ลูกกอดกันอยู่อย่างนั้นจนผ่านเวลาไปนาน   ต้องนั่งลงมาที่เดิมอีกครั้งก่อนที่จะไหว้พ่อ   จนพ่อเองต้องมายืนอยู่ใกล้   ลูบหัวไปมาด้วยความรักใคร่

“หมดเคราะห์ซะทีนะลูก”   
   
ต้องจำแม่ กับพ่อได้   ส่วนเบสต์ไม่น่าห่วง  เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าต้องจำได้แน่นอน    สายตาของคนที่อยู่บนเตียงไล่มาเรื่อยๆ  ไหว้ขอบคุณคุณหมอที่ช่วยให้จนหายดีก่อนจะมามองหยุดอยู่ที่ ซิวกับนันต์ 

“น้องต้อง   นี่พี่ซิวนะครับ  จำได้ไหม”   สายตาที่ต้องมอง  พร้อมกับที่ซิวถามขึ้น   ต้องยิ้มให้นันต์กับซิว    พูดขึ้นมา

“พอคุ้นๆ ครับ  พี่ซิว รุ่นพี่ที่โรงเรียนหรือเปล่าครับ   พี่ซิวแล้วก็อีกสองคนเพื่อนพี่ใช่ไหมครับ  ผมเคยเห็นที่โรงเรียน....”

............เพื่อนพี่ซิว............  ผมแย้งคำถามนี้อยู่ในใจ

“ต้องจำใครได้บ้างสามคนนี้  คุ้นหน้าใครบ้าง พูดให้เบสต์ได้ยินหน่อย”     เบสต์พูดแต่ยังมองหน้าผมอย่างนั้น  เบสต์อยากได้ยินในสิ่งที่ผมไม่อยากให้ต้องพูดออกมา    แต่คำพูดที่ต้องพูดออกมา มันทำให้ผมดีใจซะยิ่งกว่าอะไร   

“จำได้ทุกคน”      มันเหมือนฟ้าประทานมาให้ผมเหมือนเดิม   ต่อให้นับจากนี้ต้องจะเกลียดผมอย่างไง ผมก็ไม่สนต่อให้ขับไล่ไสส่งขนาดไหนผมก็จะไม่หนีต้องไปไหน  อะไรที่ทำไว้ไม่ดี  ผมจะชดใช้ให้หมดทุกอย่าง ขอให้ต้องจำผมได้ก็พอ   

ตาของเบสต์แดง ที่รู้ว่าต้องจำได้หมดทุกคน   และเดินถอยออกมาก้าวหนึ่ง  มันเป็นจังหวะเดียวกันพอดี กับที่ผมเดินไปใกล้ๆ  จนมือสองคนเราสัมผัสกันอีกครั้ง  ต้องมองหน้าผมแบบตกใจตื่นที่คิดว่าผมจะทำอะไร ก่อนที่ผมจะพูดขึ้น

“ต้องจำพี่ได้ใช่ไหมครับ  จำพี่ธิวได้ใช่ไหม !!!!!”

“ครับ   จำได้”   ต้องมองหน้าผม พร้อมกับพยักหน้าให้ช้าๆ   ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“พี่เป็นรุ่นพี่ผมที่โรงเรียนนี่ครับ !!!!!”    ต้องยิ้มให้ผม  และก็หยุดพูดอยู่แค่นั้น   แต่สิ่งที่ต้องพูดต่อมันทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก   ความรู้สึกที่ดีใจอยู่เมื่อครู่มันหายไปหมด  ต้องหันไปหาเบสต์ต่อ ก่อนที่เบสต์จะกอดต้องอีกทีและเหมือนพยายามกันผมออกไป   ตอนนี้มันทำอะไรไม่ถูกไปหมดแล้ว  ผมเดินถอยหลังออกมาอย่างไม่รู้ตัว จนพ่อต้องมาจับที่บ่าเอาไว้ 

“รุ่นพี่ที่โรงเรียน”   ผมทวนคำพูดของต้องขึ้นอีกครั้ง   ..................  แค่นั้นเองหรอ   จำไม่ได้มากกว่านี้หรอ  ความรู้สึกมันจุกแน่นจนพูดไม่ออก  คำพูดหลายคำในความคิดที่คิดเอาไว้ มันไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อ   ต้องจำผมไม่ได้  ต้องจำคนอื่นได้หมดแม้กระทั่งซิวกับนันต์  ต้องก็ยังพอคุ้นหน้าว่าเป็นพี่ที่โรงเรียน และสำหรับผมตอนนี้ ผมก็เป็นได้เพียงแค่ รุ่นพี่ในโรงเรียนเท่านั้นเหมือนกัน

“แม่  ต้องอยากออกจากโรงพยาบาล ต้องกลับวันนี้เลยได้ไหม”  ต้องพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใสกว่าเดิม   เหมือนกับให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองแข็งแรงพอแล้วที่จะออกจากโรงพยาบาลได้

“อย่าเพิ่งดีกว่าลูก  รอให้แข็งแรงดีกว่านี้ก่อนนะ แล้วเดี๋ยวค่อยออก ต้องเพิ่งฟื้นเองนะลูก อีกซักสองสามวันดีกว่าไหม”  ยังดีที่แม่ของต้องห้ามเอาไว้  ไม่อย่างนั้นไอ้ตัวเล็กที่อยู่บนเตียงก็คงจะดื้อที่จะออกจากโรงพยาบาลให้ได้ แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว   ไอ้เจ้านี่ถ้าป่วยขึ้นมา ถ้าไม่แย่จริงๆไม่มีทางที่จะนอนโรงพยาบาลเด็ดขาด   ตอนเด็กๆ ต้องกลัวโรงพยาบาล เพราะคิดว่าโรงพยาบาลจะมีผี  ......   มาถึงตรงนี้ หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างก็ทำให้ผมอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้   ต้องไม่เปลี่ยนไปจากเด็กมากนัก  พ่อของผม น้าตาและเบสต์  ยังคุยกันอีกหลายเรื่อง   และนันต์กับซิว ก็เข้าไปใกล้และรายล้อมอยู่บนเตียงที่ต้องยังนั่งกึ่งนอนอยู่  มีเพียงผมเท่านั้น ที่ยืนอยู่ห่างที่สุด  ไม่กล้าเข้าไปใกล้

“พี่ธิว”  ผมมัวแต่คิดเรื่องราวของต้อง จนไม่รู้ว่าเบสต์มาเรียกผมอยู่ข้างๆ  เมื่อไหร่ ตอนนี้พ่อ และคุณอาหมอออกไปข้างนอกแล้ว  คงจะออกไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ   พร้อมกับนันต์และซิว   ทำให้ผมก็เพิ่งรู้ว่า ห้องทั้งห้องตอนนี้มีเพียง  ผม  เบสต์  ต้องและแม่เท่านั้น

“............”  ผมมองหน้าเบสต์  แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกับไป จนเบสต์เรียกอีกครั้ง

“ผมขอคุยกับพี่ธิวหน่อยนะ   ข้างนอกนะครับ”  เบสต์พูดจบเพียงแค่นั้นก็เดินออกไปข้างนอก  ปล่อยให้แม่กับต้องอยู่กันเพียงแค่สองคน เบสต์คุยกับผมแทบจะเป็นเสียงกระซิบก็คงจะไม่อยากให้ต้องได้ยินนั้นแหละ  และสิ่งที่เบสต์จะคุยกับผมก็คงไม่พ้นเรื่องของต้องแน่ๆ   ผมเดินตามเบสต์ออกไป จนถึงระเบียงของตึกอีกด้าน  ตรงนี้เงียบ และไม่มีผู้คนเดินไปมามากนัก  เพราะเป็นส่วนของห้อง ICU ที่จะจัดไว้ให้เฉพาะของแขก VIP  ในตัวโรงพยาบาล 

“ผมจะคุยกับพี่เรื่องของต้อง” 

“ครับ”  ผมรับคำเพียงแค่นั้น

“ต้อง จำพี่ไม่ได้”    ผมไม่รู้ว่าเบสต์ตอกย้ำซ้ำเติมผม  หรือว่าจะเป็นการเตือนอะไรกันแน่

“ครับ” 

“พี่จะทำอย่างไงต่อไป” 

“พี่จะทำทุกอย่าง  พี่ไม่ได้หวังให้ต้องจำพี่ได้ เพราะถ้าต้องจำได้ต้องก็คงจะเกลียดพี่ แต่พี่รักต้อง  และพี่จะไม่ยอมเสียต้องไปอีกเป็นอันขาด”  ผมพูดกับเบสต์ ถึงน้ำเสียงมันจะไม่หนักแน่นนัก  เพราะผมไม่มั่นใจว่าคนตัวเล็กข้างหน้านี้จะขวางอะไรผมบ้าง แต่จิตใจผมมีผมเท่านั้นที่รู้ว่าวันข้างหน้ามันจะมั่นคงเพียงไหน

“หึ  !!!!!   รักหรอ   พี่รู้จักคำนี้ด้วยหรอ  พี่กับเพื่อนพี่   รู้จักคำว่ารักด้วยหรอครับ  ผมถามหน่อย  คนที่รักกัน  เค้าทำแบบนี้หรอ”

“เบสต์  .....”   ผมครางเรียกชื่อเพื่อนของต้อง และไม่คิดว่าลักษณะท่าทีเหมือนเด็กแบบนี้จะพูดออกมาทำให้ผมเสียใจไปมากกว่าเก่า

“ตัวพี่เอง กับเพื่อนพี่ มันห่างไกลมากกับคำว่ารัก เรื่องราวที่มันผ่านมานาน  มันนานมากจนพี่เองไม่มีวันรู้  ต้องอาจจะเคยทำผิดกับพี่เอาไว้ แต่เค้าก็ได้ใช้ให้พี่หมดแล้ว มันหมดกันไปตั้งแต่ที่ต้องเสี่ยงชีวิตช่วยพี่ครั้งนั้น................  ถ้าพี่บอกว่ารักต้องจริง พี่ต้องปล่อยต้องไป”   

น้ำตาของเบสต์เริ่มไหล   ผมผิด  ผมรู้  แต่ผมอยากจะชดใช้ในสิ่งที่ทำมาทั้งหมดและไม่รู้ว่าคนสองคนนี้จะอภัยให้ผมหรือเปล่า

“เบสต์   ให้โอกาสพี่เถอะนะ  ให้พี่ได้แก้ตัว  พี่กับเอกจะไม่ทำแบบนั้นอีก พี่ให้สัญญา ..............”     ผมจะพูดต่อ แต่เบสต์ขัดจังหวะก่อน ก่อนจะกระแทกเสียงใส่หน้าผมอีกครั้งอย่างดัง

“ให้โอกาส   !!!!! พี่เคยให้โอกาสต้องไหมล่ะ   เพื่อนพี่เคยให้โอกาสผมไหมล่ะ   ผมผิดอะไร   ผมทำอะไร ผมเคยทำร้ายใครหรอ   ผมเคยไปบังคับ  ไปทำร้ายจิตใจใครหรอ   .............  ผมเปล่าเลย    ต้องอีก  เค้าก็ไม่เคยทำ   ผมกับต้องอยู่กันในโรงเรียน  เรามีกันแค่สองคน   และสองคนเรา อะไรหลบได้เราก็หลบ  อะไรหลีกได้ เราก็หลีก  คนในห้องเค้าก็ไม่อยากคบผมสองคน เพราะผมสองคนมันอ่อนแอไง  ...........  แล้วพี่   แล้วเพื่อนพี่  มาทำพวกผมทำไม !!!!!  ทำไม    ทำพวกผมทำไม !!!!”   

 น้ำตาที่มันเริ่มไหลออกมาจากสองตาของเบสต์   ถูกปาดทิ้งเอาไปหมดจนผมเห็นแต่สายตาที่แข็งกร้าว จากร่างเล็กๆ  ตรงหน้า   ผมพูดอะไรไม่ออก  สิ่งที่เบสต์พูดคือความจริงทุกอย่าง 

“เบสต์จะให้พี่ทำไง  ถึงจะหายโกรธ   เบสต์บอกพี่ซิครับ ให้พี่ตายไหมล่ะ เรื่องมันถึงจะได้จบ” 

“ตายหรอ  !!!! คนอย่างพี่ตายไปก็ไม่คุ้มหรอก  พอๆกับเพื่อนของพี่นั้นแหละ”   

เบสต์มันพูดอีกครั้งอย่างอาฆาตเคียดแค้น  แต่ก่อนที่จะพูดอะไรกันต่อ บุคคลที่สามที่เบสต์เอ่ยถึงก็ก้าวเข้ามาพอดี   ผมไม่รู้ว่าไอ้เอกมันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนไหน  แต่ตอนนี้มันอยู่ข้างหลังเบสต์นั้นเอง และเบสต์ก็คงจะไม่รู้ตัว

“เพื่อนของไอ้วัจน์ หมายถึงพี่หรือเปล่า”   

 ไอ้เอกเป็นคนพูดขัดจังหวะขึ้นมา  ทำให้เบสต์ตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับตกใจมากมายเหมือนที่แล้วๆ  มา   ก่อนจะหันหน้าไปทางไอ้เอกอย่างช้าๆ

“อ่อ   ตายยากจริงๆ    ผมอุตส่าห์หนีมาก่อนจากหนองคาย   ไม่น่าเชื่อ กลับมาไวเหมือนกันนี่”     เบสต์มันคงจะหมายถึงไอ้เอกที่ตามไปด้วยกันกับวัดที่หลวงพ่อท่านนั้นอยู่

“พี่ถามว่า หมายถึงพี่หรือเปล่าครับน้องเบสต์”  ไอ้เอกไม่ถามเปล่าแต่จับที่ไหล่ของเบสต์แทบจะทันทีที่ถามจบ

“ผมจะหมายถึงใครมันก็เรื่องของผม”  มันหยุดพูดลงแค่นั้น  ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้ง    สิ่งที่มันทำ เหมือนจะดึงเอาความโกรธที่มีต่อผมและไอ้เอกเข้าไปด้วย     และก็เหมือนจะระงับอารมณ์โกรธของตัวเองลงได้    เบสต์พูดขึ้นอีกครั้ง ช้าๆ  แต่ผมก็จับได้ทุกถ้อยคำที่มันพูดออกมา

         “เรื่องมันจบไปแล้วแหละพี่วัจน์   ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่แล้ว  ........... พี่วัจน์  ต่อให้พี่กลับมาเป็นคนดีขนาดไหน   ต่อให้พี่ต้องการจะลบล้างความผิดขนาดไหน   มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะทำให้ผมกับต้องอภัยให้  พวกผมเจ็บ  เจ็บจนมันเลยคำว่าให้อภัยมาแล้ว  เวรกรรมอะไรของผมที่ทำให้ต้องมาเจอพวกพี่  ถ้าเป็นไปได้  ผมอยากจะเสียความทรงจำแบบต้องไปซะยังดีกว่า  ดีกว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้   ผมไม่ได้เกลียดพี่  และผมก็ไม่ได้เกลียดเพื่อนของพี่แล้ว   เพราะถ้าผมยังเกลียดพี่สองคนอยู่  แสดงว่าผมยังมีความรู้สึกต่อพี่อยู่ ถึงจะเป็นความรู้สึกเกลียดก็เถอะ ผมไม่เกลียดพี่สองคนแล้ว   แต่  ……  พี่สองคนไม่มีตัวตนสำหรับผมและต้องต่างหาก” 

มันพูดจบแค่นั้นก่อนจะเดินลับออกจากตรงระเบียงตึกไป  ไอ้เอกมองมาทางผมที  กับเบสต์ที ก่อนจะวิ่งตามไอ้ตัวเล็กนั่นไป   

ผมมองตามทอดไปจนสุดสายตา  สิ่งที่เบสต์พูดทิ้งท้ายเอาไว้ มันยังก้องอยู่ในหูของผม  คนเราต่อให้เกลียดกัน  ก็แสดงให้เห็นว่ายังรู้สึกต่อกันอยู่   ยังมีตัวตนอยู่   แต่สิ่งที่เบสต์พูดออกมาเมื่อสักครู่

.....มันทำให้ผมเหมือนไม่มีตัวตน...........
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 29-02-2020 16:34:32
^^
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-03-2020 18:42:38
เฉือดเฉือนในอารมณ์มาก เอามีดมาปักอกกันเถอะพูดขนาดนี้
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 02-03-2020 18:46:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-03-2020 22:45:54
จบแล้วหรอ? ทำไมหายไปนานจังเลย
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 02-03-2020 23:42:29
นึกว่าตาฝาด ดีใจที่มาต่อครับ
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 24-03-2020 23:46:26
คิดถึงมาก. นึกว่าจะไม่ได้อ่านแล้ว ขอบคุณที่มาลงให้อ่านอีกค่ะ.
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-03-2020 02:21:53
ยังรออยู่นะ
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: Kenta ที่ 16-06-2020 02:00:03
รักเรื่องนี้ ชอบฉากที่โยนตุ๊กตาเข้ากองไฟ อ่านแล้วร้องไห้ตลอด

ถ้ามีโอกาสรวมเล่ม ก็ดีสินะครับ ผมรักเรื่องนี้มาก :hao5:
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 17-06-2020 13:37:53
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 25-01-2021 15:42:40
รออยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ไอ้หนุ่มหล่อสุดเก๊ก กับเด็กน้อยน่ารัก (ขอโทษที่หายไปหลายปี)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-02-2021 22:39:45
 :pig4: :pig2: :pig4: