พิมพ์หน้านี้ - เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ:สถานีอยุธยา UP 3/5/2562

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: Inomeki ที่ 04-04-2019 22:30:01

หัวข้อ: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ:สถานีอยุธยา UP 3/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 04-04-2019 22:30:01
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย 

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

************************************************************

เรื่องสั้น ธีม Bookfair พล็อตนี้เกิดเมื่อวันนี้ขึ้น MRT ไปงานหนังสือพอดี ฝากติดตามด้วยค่ะ ^_^
Twitter   @Inomekii   แท็ก>>    #สถานีดีต่อใจ

"คุณเคยแอบส่องใครสักคนใน MRT มั้ยครับ
ถ้าไม่...บอกเลยว่า ต้องลอง! ผลลัพธ์ที่ได้นี่มัน...ดีต่อใจจริง ๆ"


เรื่องของหนุ่มวายตะเร้ก ๆ แบกกระเป๋าเข้ากรุงมางานหนังสือ
กับคุณพี่นักศึกษาผู้เสียหายที่ถูกอิน้องลวนลามทางสายตาใน MRT
แต่ที่ไหนได้... ไม่อยากบอกน้องเขาเลยว่า
 %^#@&@$


คำเตือน : [คอมเมดี้/น่ารัก/ใสๆ/ดีต่อใจเหลือเกิน]  :hao5: 


Read me like a book [สถานะ : ยังไม่จบ]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70080.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70080.0)

____________________________________________________________
 


MRT #สถานีดีต่อใจ   สถานีที่ 1

   ติ๊ด ๆ
    เสียงเตือนจากระบบรถไฟใต้ดิน MRT ดังขึ้นทำให้ผมต้องรีบก้าวขาตามคนก่อนหน้าเข้าไปใน MRT พร้อมหิ้วกระเป๋าลากใบโตเข้ามาด้วยอย่างทุลักทุเลจากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปหาที่นั่งก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนออกจากสถานี

    เฮ้อ อากาศเดือนเมษาประเทศไทยนี่มันร้อนชะมัด โชคดีตอนนี้คนยังไม่เยอะมากเท่าไรแอร์ภายในตู้โดยสารเลยยังทำหน้าที่ได้ดีอยู่

    ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดธรรมดา ๆ เรียน ๆ เล่น ๆ เผลออีกไม่นานก็จะขึ้นม. 6 แล้ว รู้นะว่าต้องเตรียมอ่านหนังสือสอบแบบคนอื่น ๆ แต่พอเปิดหนังสือเรียนเท่านั้นแหละ ไม่กี่หน้าก็แทบจะหลับคาหนังสือแล้ว! แค่คิดก็ง่วงแล้วเนี่ย ถึงผมจะชอบอ่านหนังสือนิยาย การ์ตูนก็เหอะ แต่มันคนละเรื่องเลยนี่นา

    ใช่แล้ว ผมกำลังจะไปงานหนังสือ! 

    ในที่สุดความใฝ่ฝันของเด็กบ้านนอกหนอนหนังสือตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ก็เป็นจริง ปกติแล้วก็ได้แต่นอนอยู่บ้านกดสั่งหนังสือออนไลน์เป็นว่าเล่นจนเจอทั้งพี่ไปรษณีย์ พี่เคอร์รี่จนพ่อแซวว่าผมจีบพี่เขาอยู่ แต่ตอนนี้ผมจะได้ไปเหยียบดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวหนอนหนังสืออย่างเรา ๆ สถานที่ที่รวบรวมส่วนลดและโปรโมชั่นมากมายชวนเสียไต ว่ะฮะฮ่า!

    รู้ไหมว่ากว่าผมจะเก็บเงินค่าขนม ทำงานพิเศษ ไหนจะกราบอ้อนวอนท่านพ่อท่านแม่ให้ยอมปล่อยเข้ามากรุงเทพฯ ได้นี่ก็ลำบากแทบตาย แต่ผมจะสู้! 
    สู้เพื่อนิยายวายและการ์ตูนทั้งหลายที่อยู่ในลิสต์สองกระดาษเอสี่

    ใช่ครับ ยืดอกรับ ผมเป็นหนุ่มวาย

    หนุ่มวายแล้วทำไม ถึงแป้งจะแคร์ แต่ผมไม่แคร์ ไม่ว่าใครจะมองว่ายังไงก็เหอะ  เดี๋ยวนี้หนุ่มวายเยอะแยะ

    คุณต้องเข้าใจนะ เวลาอ่านเจอโมเม้นต์เคะร่างบางน่ารัก ๆ แล้วใจมันเต้นตึกตัก ๆ อะ

    แม่! ผมจะเอา!  อยากฟัดบ้างไรบ้าง *หอมหัว

    พอมีภาพเคะน้อยน่ารักในนิยายก็ไม่อยากมีมงมีเมียมันแล้ว ลองนึกภาพนักเรียนหญิงแกร่งในโรงเรียนสหฯ ดูสิ ทั้งแบกทั้งหาม เก่งเรื่องใช้กำลัง พูดจามึงกู ไหนครับ ไหนคือกุลสตรีแม่ศรีเรือน สรุปคือผมอยากได้น้องตะเร้ก ๆ แบบในนิยายอะ

    ยังดีที่บ้านผมเปิดกว้าง ไม่งั้นพ่อกับแม่คงอกแตกตายที่เห็นว่าในห้องลูกชายเต็มไปด้วยนิยายวาย แทนที่จะมีพวกแผ่นดีวีดีหนังโป๊สาว ๆ ญี่ปุ่นเทือก ๆ นั้นอะ

    โถ แม่ไม่รู้จักเว็บดูออนไลน์ซะแล้ว อย่างเว็บพะ- แค่ก ๆ อะล้อเล่ง

    ถึงจะบอกว่าอยากมีเคะน้อยเป็นของตัวเองก็เถอะนะ พอลองมองดูสภาพตัวเองในเงาสะท้อนฝั่งตรงข้ามก็ต้องถอนหายใจ (ขอโทษที ตอนนี้ผมไม่มีกะโหลกให้ชะโงกดูเงา...)

    ทานโทษนะครับ มันจะมีใครสนใจรุกน้อย ตัวเล็ก ไซส์มินิขนาดพกพาอย่างกูบ้างมั้ยครับ
    อยากจะร้องไห้ให้ส่วนสูงร้อยหกสิบห้าเซ็น ทำไมโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ของผมมันขี้เกียจทำงานขนาดนี้วะ! ฮือ

    แถมใครกล้าบอกว่าผมหน้าหวานนะ จะตีปากให้! นี่แหน่ะ ๆ กดโกรธ

    ผมไม่ใช่เคะนะโว้ย! ไม่! ไม่! ไม่!  ถ้าจิตใจเรารุก เราก็สามารถจะเป็นรุกที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีได้ หึหึหึ


   ติ๊ด ๆ

    เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น ประตู MRT เปิดอีกครั้ง คราวนี้คนขึ้นมาจนแน่นตู้โดยสาร หลายคนรีบมองหาที่นั่งก่อนจับจองด้วยความรวดเร็ว ผมมองไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะหันไปเจอผู้โดยสารที่เป็นคุณยายวัยน่าจะหลังเกษียณมาพร้อมกับกระเป๋าสัมภาระใบโตกำลังยืนมองหน้าที่นั่งว่าง ๆ อยู่

    ผมลองหันไปดูที่เก้าอี้สำรองสำหรับเด็ก สตรีมีครรภ์ และคนชรา ก็พบว่ามีคนชราวัยใกล้เคียงกับผมกำลังนั่งเสียบหูฟัง ดูท่าเหมือนจะกำลังเล่นเกมอยู่แบบไม่สนใจใครทั้งสิ้น 

    พอหันไม่มองผู้โดยสารคนอื่น ต่างก็มีท่าทีเฉย ๆ เหมือนกับว่าไม่แปลกตรงไหน

    เฮ้ย! อันนี้ผมรับไม่ได้อะ ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปสะกิดเรียกคุณยายให้เข้ามานั่งที่นั่งผมแทน คุณยายยิ้มให้แล้วบอกขอบคุณผมหลายรอบ

    โอย รู้สึกหล่อขึ้นทันทีหกสิบเปอร์เซ็นต์เลยกู! #คนหล่อขอทำดี

    เอ่อ...ต้องกลับไปเขียนลงสมุดบันทึกความดีแล้วให้คุณยายเซ็นต์ด้วยมั้ยเนี่ย -__-
    ผมเกาแก้มอย่างเขิน ๆ ก่อนจะลากกระเป๋าแล้วเดินออกไปอย่างเท่ ๆ 

    แล้ว... จะไปสิงตรงไหนดีวะเนี่ย

    ชะโงกหน้าไปตู้หลังก็คนแน่น ตู้หน้าก็ยังมีคนบ้างแต่ไม่แน่นเท่าไร
    พอตัดสินใจคว้ากระเป๋าเดินไปถึงตู้ด้านหน้าก็แทบจะร้องไห้ ทำไมไม่มีเก้าอี้อ่า *กรีดร้อง
    เงยหน้าดูสถานี...ชิบ เหลืออีกตั้งเก้าสถานีกว่าจะถึง ฮือ

    หันไปมองรอบตัว ทุกคนล้วนยืนชิว ๆ พึงหน้าตาเล่นโทรศัพท์ไปแบบไม่สนใจใคร เอาเป็นว่าที่เห็นอยู่ตอนนี้ไม่มีใครไม่เปิดโทรศัพท์
    เอาวะ ยืนก็ยืน ยืดกล้ามเนื้อก่อนเดินงาน ฮึบ ๆ

    ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แน่นอนว่าในโทรศัพท์ของหนุ่มวายอย่างผมต้องมีแอปอ่านนิยายยอดฮิตทั้งหลายทั้งปวง ผมกดเลื่อนหานิยายที่กดติดตามไว้แล้วก้มหน้าอ่าน

    เรื่องนี้ใส ๆ เรตทั่วไป แน่นอนว่าคนข้าง ๆ จะไม่เห็นประโยคอย่าง “อ่า” หรือ “ซี้ด” แน่นอน


   ติ๊ด ๆ

    เสียงสัญญาณประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมเอี้ยวตัวและคว้ากระเป๋าลากใบโตหลบผู้โดยสารที่ขึ้นมาใหม่ ส่วนสายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับพระเอกที่กำลังตามไปเฝ้าไข้นายเอกที่บ้าน

    โอย หนูรู้ก ทำไมต้องไปตากฝนเพื่อเรียกร้องความสนใจอิพระเอกมันฮะ มาหาป๋านี่มา  ฮึ่ย ขัดใจอะ พระเอกแม่งไม่ได้เรื่องเลย กับอีแค่ตัวประกอบมาอ่อยก็ยังหลงกลเชื่อไปได้

    ตุบ!

   เสียงของกระแทกบางอย่างทำให้ผมต้องละสายตาจากโทรศัพท์เพื่อเงยหน้าขึ้นมามอง กระเป๋าลากไปโตเลื่อนออกไปเล็กน้อย ตรงหน้ามีพี่ผู้ชายผิวขาวร่างสูงก้มหัวให้นิด ๆ เหมือนจะขอโทษที่เดินเตะกระเป๋าผม

    ผมพยักหน้าพลางยิ้มแหะ ๆ ให้แบบมึน ๆ อ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนเสียงไม่ยอมออกมา..

    ให้ตาย หล่อจนตาพร่าอะ น่าอิจฉาชะมัด แม่งโคตรเมะนิยายวายในอุดมคติชัด ๆ

    ถ้าผมหล่อได้เท่านี้ เอาใหม่ ขอแค่สัก หกสิบเปอร์เซ็นต์ของคนนี้ก็ได้ รับรองว่าต้องมีเคะน้อยน่ารักตามมาจีบผมตรึมแน่นอน หึหึ

    ปาดน้ำลายแป๊บ //ซี้ด

    ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาทำทีเป็นว่ากำลังสนอกสนใจแต่โทรศัพท์ตรงหน้า แต่สายตาก็แอบลอบมองพี่เมะในชุดนักศึกษาตรงหน้า เขายืนพึงกระจกเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมไม่ไกล

    อืม...เขาสูงกว่าผมเกือบ... ประมาณด้วยสายตาก็น่าจะยี่สิบเซ็นต์
    ขาวเหมือนไม่เคยโดนแดดประเทศไทย แถมยังใส่ชุดนักศึกษาแบบพับแขนเสื้อโชว์นาฬิกาข้อมือ กางเกงสแล็คสีดำยิ่งขับผิวกับขายาว ๆ ให้ลุคเท่ไปอีก ถึงจะใส่เสื้อนักศึกษาเข้าในกางเกงแล้วคาดเข็มขัดก็เหอะ

    โห แบดไปปะวะพี่ ไทป์อย่างนี้ดูท่าว่าคงจะเป็นพวกเมะหัวรุนแรง เบดบอย มาเฟีย ใจร้อน เอะอะชอบใช้กำลัง แถมยังชอบแหกกฎ ทำผิดระเบียบชัวร์

    บุ๊ครู้ บุ๊คสัมผัสได้ บุ๊คอ่าน(นิยายวาย)มาเยอะ!

    ผมลอบมองร่างสูงตรงหน้าเปิดกระเป๋าเป้ ก่อนจะต้องตกใจที่เห็นเขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดหน้าที่คั่นไว้แล้วก้มหน้าอ่านต่อแบบไม่สนใจใครต่อใคร

    เชี่ย โคตรเท่

    ถึงลุคพี่แกดูจะเหมาะกับถือปืนมากกว่าก็เหอะนะ แต่พอมีหนังสือเป็นพร็อพประกอบแล้วมัน... ฮือ กุมใจ

    ยิ่งผมชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว พอมาเห็นคนอ่านหนังสือด้วยนี่มันยิ่งรู้สึกดีอะ จริง ๆ นะ

    เดี๋ยว ๆ เอ่อ...ผมแค่กุมใจเพราะเหมือนเห็นคาแรคเตอร์เมะในนิยายเวอร์ชันคนจริง ๆ นะ หล่อจนผมแสบตาไปหมดแล้ว

    ถ้าผมหยิบหนังสือมาอ่านบ้างแม่งจะหล่อได้ขนาดนี้มั้ยวะ

    ยิ่งอยู่ท่ามกลางคนอื่นที่กำลังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ (รวมทั้งผมที่ทำเป็นแอบกด ๆ เลื่อน ๆ) พี่เขายิ่งดูโดดเด่น ตอนนี้รอบตัวเขาดูมีฟิลเตอร์ออร่าสีฟ้าอ่อนระยิบระยับเหมือนพวกเทพเซียนเลย แถมท่าถือหนังสือกับพลิกหนังสือนี่ก็อย่างกับนายแบบ เก๊กปะเนี่ยพี่!

    อ๊ะ! เทวดาไอคิวร้อยห้าสิบในหัวผมบอกว่าถ้าผมมีรูปร่างหน้าตาหรือบรรยายกาศแบบพี่เขาได้นะ รับรองว่าอนาคตสุดยอดเมะแห่งโรงเรียนคงอยู่ไม่ไกลแน่นอน (ความฝันอันสูงสุดก่อนจบม.ปลายคือมีรุ่นน้องผู้ชายน่ารัก ๆ รุมกันแย่งเอาดอกกุหลาบมาให้ผมตอนวันปัจฉิมฯ ครับ)

    แต่เอาเป็นว่าเรื่องรูปร่างหน้าตาผมคงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้ พ่อกับแม่ไม่ได้ให้มาเท่าพี่เขา แถมไม่ได้ให้เงินไว้ทำศัลยกรรมด้วย (พ่าม!) หรือควรเก็บเงินไปยืดกระดูกให้มันสูงขึ้นดี ฮือ  แต่ผมกะว่าจะลองจำท่าทาง ท่าโพสต์ไว้เลียนแบบคงไม่เสียหายมั้ง

    ติ๊ด ๆ

    สัญญาณบ้านี่อีกละ เผลอแป๊บ ๆ ผ่านไปอีกสองสามสถานี ผมไม่รู้ว่าเขาจะลงที่สถานีไหน แต่ตอนนี้ขอแค่ให้มีเวลาลอบสังเกตเขานาน ๆ เป็นพอ ถือเป็นการเก็บข้อมูลไปในตัว ยูโน้ว

    แต่เหมือนฟ้าไม่เข้าใจอะ สถานีนี้คนขึ้นมาจนทั้งตู้โดยสารเต็มไปด้วยคน คน แล้วก็คน
        ฮัลโหลครับ ผมจะถูกฝรั่งหนีบแบนแล้วครับ พี่แกสูงท่วมหัวจนโคตรน่ากลัวเลย ยิ่งคนมากขึ้นต้นแบบเมะสุดหล่อของผมก็โดนคนอื่นบดบังไปจากสายตา

    ม่ายยยย กระซิก ๆ ผมยังสังเกตเขาไม่หนำใจเลยอะ มองตรง ๆ จากมุมนี้เห็นแค่นิดเดียวเอง ฮือ

    “Oop, Sorry”  อีตาฝรั่งตัวโตเซมาโดนตัวผมเมื่อรถเลี้ยวพร้อมกับส่งยิ้มแปลก ๆ มาให้ ด้วยสกิลภาษาอังกฤษเกรด 4 ผมเลยยิ้มแหะ ๆ แล้วหันตัวหนีหลบเข้ามุม ฮือ พ่อจ๋าแม่จ๋า ผมหายใจไม่ออก

    ด้วยความที่ไม่ค่อยชินกับสภาพแบบนี้ คนเยอะ อึดอัด ผมเลยหันหน้าหนีพยายามสะกดจิตตัวเองให้ไปโฟกัสที่ความมืดมิดสีดำข้างนอกแทน ไม่องไม่อ่านนิยายมันแล้ว แค่จะขยับตัวยังลำบากเลย ขืนผมเลื่อนอ่านแล้วเจอฉากบรุ๋ง ๆ กิ้ว ๆ รับรองว่าคนข้างหลังได้อ่านฉากแบบบรุ๋ง ๆ ไปด้วยแน่นอน ชัดแบบ FULL HD แทบจะสิงร่างกันอยู่แล้วเนี่ย! ฮ่วย!

    พอปรับสภาพร่างกายได้จิตใจก็เริ่มจะสงบ ผมพยายามนึกถึงงานหนังสือหนอ ๆ อีกไม่กี่สถานีก็ถึงสถานีศูนย์สิริกิติ์ที่เป็นที่จัดงานแล้ว     

    ส่วนพี่เมะคนนั้น... คงได้แค่ทำใจ คนเยอะขนาดนี้จะไปมองเห็นเขาได้ยัง---

    เอร้ยยยยยยยยย เงาสะท้อนในกระจกข้างหน้าทำให้ผมเห็นพี่เขาหล่อโดดเด้งทะลุความมืดมาเลยอะ แถมมุมนี้ยังลอบมองได้แบบไม่ต้องกลัวพี่เขาหันมาจ๊ะเอ๋สบตากันปิ๊ง ๆ ด้วย มุมดีจริงขอบอก แนะนำว่าควรเอาไปลองเป็นเยี่ยงอย่างนะครับคุณผู้อ่าน คอนเฟิร์ม!?!

    ....เดี๋ยวนะครับ
    วิ้ง.... ในหัวตอนนี้อะวิ้ง!

    รู้สึกเหมือนแขนขาชาวูบ หนูจาเป็นลมแย้ว

    พะ พี่...พี่เขาเงยหน้าจากหนังสือจ้องมาทางผม!

    อ๊ากกกกกกก ทำไงดีวะ ทำยังไงดีไม่ให้เขารู้ว่าผมแอบมองอะ

     แง แม่จ๋า ในใจผมนี่ลนลานไปหมด ถ้าเกิดพี่เขาเอาเรื่องผมนี่ทำยังไงอะ แค่วัดไซส์ก็ทายผลได้เลยว่าใครจะชนะ เกิดพี่มันเข้ามาหาเรื่องผมแบบในนิยายมาเฟียอะ “มองหากูนี่อยากมีเรื่องหรือไงฮะ!” ตาย ๆ พ่อแก้วแม่แก้ว

    ทั้ง ๆ ที่ในใจนี่คิดไปร้อยแปดเรื่องแล้ว แต่ผมกลับพยายามตีหน้านิ่ง ทำหน้าเหม่อแบบหล่อ ๆ  สะกดจิตตัวเองว่าฉันกำลังจ้องมองหลุมดำอันเคว้งคว้าง ฉันไม่ได้มองนาย ฉันไม่ได้มองโว้ย

    เนียนสัส ๆ บอกเลยว่าไม่สะดุ้งตกใจเลยสักนิด หึหึ     

    ไม่นานนักเขาก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป เอ๊ะ หรือเขาไม่ได้โฟกัสผมวะ ก็ดูนิ่ง ๆ เหม่อ ๆ เหมืนอกัน เออ คงไม่ได้มองผมแน่นอน คนเยอะขนาดนี้จะให้เอาสายตาไปวางไว้ไหนละเนอะ

    ผมนี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวใจจะวาย ฮือ แต่ก็ยังคงพยายามลอบมองเขาต่อไปแบบไม่ให้รู้ตัว คึคึคึ

    ติ๊ด ๆ
    สถานีต่อไป ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์. Next station Queen sirikit Centre.


   หืม.... จะต้องลงสถานีหน้าแล้วหรอ เหมือนกับเพิ่งผ่านไปไม่กี่สถานีเองนะ ไม่ยุติธรรมเลย ฟ้องสคบ. ได้มั้ย ผมยังมองพี่เมะไม่สะใจเลยอะ เก็บข้อมูลได้นิดเดียวเองงงงงงง อยากเห็นชื่อหนังสือที่พี่เขาอ่านจัง เผื่อจะไปลองซื้อมาอ่านดูบ้าง คิดว่าตัวเองน่าจะดูฉลาดขึ้นด้วย 

    ดูท่าว่าพี่เขาก็คงยังไม่ลงนะ เพราะยังยืนเท่อ่านหนังสือสบาย ๆ อยู่เลย

    หรือว่าผมจะยังไม่ลงสถานีนี้ดีอะ แอบตามดูพี่เขาจนรอให้พี่เขาลงไปก่อน ค่อยขึ้นรถย้อนกลับมา อยากตามติดชีวิตนักศึกษาเมะหนุ่มรูปหล่อต่อไปอ่า ทำไงดี

    .....อุ๊ย
    เชี่ยยยย! ตบปากสามที! กูคิดอะไรอยู่เนี่ย ถ้าเจ้าคุณแม่รู้ว่าลูกชายเป็นคนแบบนี้ต้องน้ำตาไหลแน่นอนเลย
____________________________________________________________
ดูน้องเขาปูมาขนาดนี้ บอกเลยว่าดราม่าไม่มี คอมเมดี้ล้วน ๆ ค่ะ 55555
//ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านน้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจให้ปั่นต่อไปด้วยค่ะ แฮ่ เขินจัง  :hao5:
ป.ล. คอมเม้นต์ติ-ชมก็ได้น้าาา
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นงาน bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 04-04-2019 22:56:41
นว้องงงงงงงงงงงงงงงงงง โอ้ย สายฮามาก  :laugh:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นงาน bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-04-2019 01:27:12
น้องงงง มางานจะได้หนังสือหรือได้คนอ่านหนังสือกลับไปเอ่ยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นงาน bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 05-04-2019 02:09:02
น้อนรุกตัวเร้กๆ  :impress2:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นงาน bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 05-04-2019 03:38:52
รุกแบบตะเร้กๆ น่ารักๆ น้อนนนน //ลงสิบบาทว่าพี่เขารู้ตัว
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นงาน bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ]
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 05-04-2019 04:33:35
น้องอย่าหยุดแค่ในนิยายลูก น้องต้องได้เมะ ..ดุๆ เป็นของตัวเองเลย
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 2 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 05-04-2019 10:35:23
MRT #สถานีดีต่อใจ : สถานีที่ 2
[/b]


สถานี ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ท่านผู้โดยสารโปรดระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ
Queen sirikit centre station Please mind the gap between train and platform



    เมื่อได้ยินเสียงประกาศ ผมก็ถอนหายใจก้มหน้าหงอย ๆ คว้ากระเป๋าลากก่อนจะรอต่อคิวเพื่อออกจาก MRT อุตส่าห์เลือกเข้ามาวันธรรมดา ยังต้องมาเบียดเสียดกับคนเยอะแยะอีก ชีวิตเศร้าจัง

    พี่ ๆ ค้าบ อย่าเบียดผม อย่า เพิ่ง ดัน ม้า นี่ก็ยังออกไปไม่ได้โว้ย แอร่ก!

    ผมแอบเหลือบไปมองทางที่คุณพี่เมะยืนอยู่แต่ด้วยปริมาณคนที่กำลังเบียดเสียดกันแน่นทำให้มองไม่เห็น ในที่สุดธรรมะในตัวผมก็เห็นว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าผู้ชายแล้วตัดใจเดินออกมาข้างนอก แค่หล่อนิดหล่อหน่อยจะไปสนทำไมมากมาย เนอะ

    ถึงจะเสียใจนิด ๆ ก็เหอะ แหม นาน ๆ จะเข้ากรุงเทพฯ มาเจอคนหน้าตาอย่างกับหลุดออกมาจากนิยายมั้ยล่ะ ขอหน่อย ๆ

    แหงะ คอตก มองไม่เห็นพี่คนนั้นแล้วแหะ ... ผมยกมือมาตบหน้าเรียกสติ สะบัดหัวด๊อกแด๊กสองสามที

    เฮ้อ ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อย มองตามคนส่วนใหญ่ที่พากันเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังบันไดเลื่อนด้วยความรวดเร็วประหนึ่งวิ่งแข่ง ส่วนผมรอให้เขาไปกันก่อนพลางหันมาคว้ากระเป๋าลากแล้ว ค่อย ๆ เดินไป ไม่รีบครับ ไม่รีบ ขืนเข้าไปรุมกับเขาตอนนี้มีหวังโดนดีดกระเด็นแน่นอน

    ย้อนกลับไปดูส่วนสูงผมด้วยครับพี่ครับ! ขนาดพกพาพับใส่กระเป๋าได้เนี่ย จะร้อง

    วืด... หางตาเหลืบไปเห็นกางเกงแสล็คสีดำกำลังเดินเข้ามาทางนี้ เอ๊ะ ออร่าวิ้ง ๆ นั่นมัน..

    อิพี่เมะ!?!

    เขาเดินตามหลังออกมาด้วยนี่นา คุณผู้ชมครับ พี่เขาลงสถานีเดียวกับผมด้วย!!

    กรี๊ดได้มั้ยอะ ขอกรี๊ดดดดดดดดดด

    เหมือนเจอศิลปินดาราที่เราคลั่งไคล้ใกล้ ๆ ตอนนี้เหมือนสมองมันเออเร่อเราทำอะไรไม่ถูก ฮืออออ ระยะใกล้ยิ่งหล่อมากพี่

    ขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านผมไป ผมที่ทำอะไรไม่ถูกก็ลนลานหยิบมือถือออกมาเป็นตัวช่วยเพื่อความสบายใจก่อนทำทีเป็นรับสายแล้วทำเป็นฮัลหลงฮัลโหลคุยเม้าท์มอยกับปลายสายที่โทรเข้ามาอย่างออกรส (ครับแม่ บุ๊คถึงงานหนังสือแล้วครับ ครับ ปลอดภัยดี คนเยอะมากแม่แต่ไม่ต้องห่วงน้า) แต่สายตาก็จับจ้องไปยังแผ่นหลังของร่างคุณพี่เมะที่เพิ่งเดินสวนไปมุ่งหน้าไปขึ้นบันไดเลื่อน พลางเอาโทรศัพท์แนบหูแล้วพึมพำ อือ ๆ เออ ๆ กับคุณแม่ในสายไปด้วย

    ยังอีก... ยังไม่หยุดอีก อย่าว่าแต่ปิดเสียงไว้เลย สั่นสักนิดยังไม่มี!

    กูทำอะไรอยู่วะเนี่ย แง เป็นบ้า 5555555

    กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ลอยมายิ่งทำให้พี่เขาโคตรฮอตเป็นบ้า ผมเดินเข้าไปจิ้ม ๆ สะกิดถามเขาดีมั้ยอะ  พี่ครับใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไรหรอครับ

    ผมบอกลาคุณแม่ในสายมโนของผม กดปิดโทรศัพท์แล้วรีบสะกดรอย- เอ๊ย!

    รีบลากกระเป๋าเดินเว้นระยะตามพี่เขาออกมาห่าง ๆ เพื่อเดินขึ้นบันไดเลื่อนจะได้ไปเข้างานสักที
    ใครบอกว่าผมเดินตงเดินตามผู้ชายไป ไม่มี้! จะเดินเข้างานก็มีแต่เดินไปทางนี้เท่านั้นนี่นา


    ผมลากกระเป๋าเดินมาตามทางเพื่อที่จะเข้าไปในงาน จริง ๆ จะเดินแซงคนข้างหน้าก็ได้อยู่หรอก คือเหมือนพี่แกเดินเก๊กไปหล่อไปอะ เห็นแล้วแบบอยากหันไปบอกจังเลยว่า “พอแล้วครับ หล่อเกินไปแล้วครับ” คือพี่จะชิวไปไหน มือข้างนึงยังคงถือหนังสือไว้เป็นพร็อพส่วนอีกมือนึงเห็นว่ากดโทรศัพท์อยู่ นี่จะหัดซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอหรอ

    ครั้นจะตีไฟเลี้ยวใส่สปีดเดินลากกระเป๋าใบโตนำไปก็ไม่อยากทำอะ
    แผ่นหลังเขาเท่ดีง่า งุ้ย ๆ

    ผมลอบเดินตามเขาจนออกมาจากสถานี มาถึงบันไดเลื่อนอันสุดท้าย ...สูงชิบ

    เอาจริงเห็นตอนแรกนี่ก็แอบหวิว ๆ นะ
    กูกลัวความสูงครับ แง้


    พอก้าวขึ้นไปได้ก็รีบเอามือคว้าเกาะขอบแน่น อีกมือยึดกระเป๋าไว้ไม่ให้มันร่วงไป เหนือขึ้นไปไม่กี่ขั้นยังมีร่างสูงคุ้นตายืนอยู่ คือพี่ขึ้นบันไดเลื่อนก็ไม่จำเป็นต้องเท่ปะครับ

    ไม่กงไม่เกาะราวใด ๆ ถ้าพี่หงายหลังกลิ้งลงมานี่พี่ทับผมเป็นคนแรกเลยนะโว้ย

    ในที่สุดผมก็ลากกระเป๋าเดินเข้ามาในงาน อ่า... สัมผัสได้ถึงลมเย็น ๆ จากแอร์
    ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้า วะฮ่ะฮ่า! ผู้ชงผู้ชายอะไร ช่างเขาสิ

    ผมคว้าลิสต์ที่เตรียมไว้มากางดูก่อนจะตัดสินใจว่าจะเริ่มพุ่งไปที่บูธไหน โซนไหนก่อนดี

    ตุบ! เสียงของตกดังขึ้นจากด้านหน้าทำให้ผมละสายตาไปดู เห็นว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งร่วงแปะอยู่ที่พื้น

    กรี๊ด อีกนิดนึงนี่ผมเตะแล้วเนี่ย!

    เตะหนังสือหรอ... เปล่า เตะอิพี่เจ้าของหนังสือเนี่ยแหละ จู่ ๆ เขาก็หยุดเดินเพื่อก้มหยิบหนังสือ แต่เกือบโดนผมที่มัวแต่สนใจกับลิสต์ก้าวมาเหยียบแล้ว เกือบไปแล้วววว

    เขาแค่เหลือบสายตามามองคนที่มันยืนค้ำหัวอยู่อย่างผมแบบนิ่ง ๆ แต่ดูดุโคตร ๆ    

    ผมก้มหัวขอโทษเขารัว ๆ แบบไม่มีเสียงออกมาอีกครั้ง

    พี่เขาดูทำหน้าเบื่อหน่ายไม่ได้ว่าอะไรอีกก่อนจะลุกขึ้นยืนปัดหนังสือแล้วเดินนำหน้าไป

    ฟู่ว ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก คือหน้าพี่เขาชวนบวกมากเลยอะ จริง ๆ นะ แค่มองมาก็ทำให้คนถูกจ้องอย่างผมเหมือนกำลังโดนบีบคออยู่ เหมือนจะหายใจไม่ออกถึงจะแค่แว็บเดียวก็เหอะ

    ผมคว้ากระเป๋าก้าวออกไปอีกครั้งแบบไม่มีสติ ให้ตายสิ แค่เจออิพี่นี่หัวใจจะวายแล้ว
    ชะอุ๋ย รู้ตัวอีกทีคือผมดันเดินเหม่อเลี้ยวตามหลังเขามาแบบเบลอ ๆ อะ

    อีกนิดนี่เดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำตามเขาไปแล้วโว้ย!!!
 
    อ๊าก สติรู้ก กลับม้า! เฮ้ย ผมไม่ได้ตั้งใจจะเดินตามพี่เขาไปนะ จริงจริ๊ง!?! สาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่เลยเอ้า!

    ผมหันซ้ายหันขวาละสายตาจากร่างสูงที่หายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว ตรงนี้เป็นทางที่จะเข้าไปในงานได้พอดี เอ่อ มีบันไดอยู่ประมาณสิบกว่าขั้น...แถมไม่มีทางชันให้ลากกระเป๋าขึ้นไปด้วย

    หันไปมองกระเป๋าลากใบโต ฮึบ ๆ ผมไหว ๆ ลูกผู้ชายแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว
    แฮ่ก ๆ ซะที่ไหน

    ยอมรับก็ได้ว่าไม่ชอบออกกำลังกาย ชอบกินกับนอนอ่านนิยายไปวัน ๆ ฮือ แค่ยังไม่ถึงครึ่งทางผมก็หอบแฮกแล้วอะ คือต้องเข้าใจว่าผมลากสังขารหนีออกจากบ้านหอบกระเป๋าใบโตมาตั้งแต่เช้า หมดแรงข้าวต้มแล้ว ณ จุดนี้ จะร้อง ใครให้เอากระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้มาเนี่ย ใคร!

    ไม่อยากนึกสภาพตอนมีหนังสือเต็ม ๆ ขากลับนี่จะลากไปไหวมั้ยอะ แค่คิดก็มือสั่นแล้ว

    ควับ

    อยู่ ๆ ก็มีมือเอื้อมมาคว้าหูกระเป๋าลากผมไปถืออะ ขโมยปะเนี่ย! ถึงในนั้นจะไม่มีของมีค่าเลยก็เถอะ แต่กระเป๋าแพงครับกระเป๋าแพง!

    “เฮ้ย! เดี๋ยว-” ให้ตายสิ ใบ้กินจนเผลอทำปากพะงาบ ๆ อีกแล้ว ขณะที่กำลังจะด่า ผมดันเงยหน้าไปเห็นโจรพี่เมะคนเดิมเพิ่มเติมคือกำลังจับกระเป๋าลากผมอยู่

    “เราเกะกะขวางทางคนอื่นเขา ถ้ากระเป๋าล้มทับไปจะเป็นยังไง”

    ...ระบบกำลังประมวลผล กรุณารอสักครู่

    “เอ้า เอ๋อเลย เดินตามมาสิ” พี่เมะคนหน้าพูดขึ้นอีกครั้ง เสียงทุ้มน่าฟังทำให้ผมเหมือนโดนคาถาสะกดวิญญาณ รู้ตัวอีกทีก็เดินตามพี่เขาที่ช่วยยกกระเป๋าใบโตขึ้นมาให้จนถึงด้านบนที่เดินไปยังโซนต่าง ๆ ได้

    “เอ่อ.. ขอบคุณครับ” ผมก้มหน้าพูดเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋ามาจากพี่เขาแล้วรีบก้มหน้าเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังโซน Plenary hall ที่เป็นหอประชุมใหญ่ทันที

    ให้ตาย จด ๆ ออร่าเมะอันเจิดจ้า ต้องมาพร้อมกับสกิลการเทคแคร์อันแสนอบอุ่น ตาพร่าอีกแล้วกู
    แต่โมเม้นต์เมื่อกี้นี่ดีต่อใจจริง ๆ เลย เอาไว้เดี๋ยวไปลองทำกับพวกน้อง ๆ ที่โรงเรียนบ้างอะไรบ้าง

   ไหวมั้ยตัวเล็ก ส่งมาเดี๋ยวพี่ช่วย 

    เท่สัส แค่คิดก็ขนลุกแล้ว คึคึคึ

    แต่เอ่อ ... ลืมไปนิด ก่อนที่ผมจะไปเรียกใครว่าตัวเล็กได้ แม่งต้องหามนุษย์เคะเพศชายที่เตี้ย – เอ่อ หมายถึง สูงน้อยกว่าผมอีกนะ ส่วนสูงน้อยกว่าร้อยหกสิบห้า จะหาจากไหนอะแม่ เด็กประถมหรอ! เด็กม.ต้นสมัยนี้ยังตัวสูงกว่าผมอีกอะ ฮือ      

    กลับบ้านไปผมจะกินนมให้มากขึ้นอีกคอยดู! ถึงทุกวันนี้แทบจะซดแทนน้ำเปล่าแล้วก็เถอะ แง


 
    ผมลากกระเป๋าเดินเข้ามาในหอประชุมใหญ่กลางงานก่อนมุ่งหน้าเดินไปยังบูธสนพ. หนึ่งเพื่อมาหาการ์ตูนตามที่ลิสต์เอาไว้ นอกจากชอบอ่านนิยายวายแล้วผมก็เหมือนกับพวกเด็กนักเรียนชายหลายคนที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น พวกแนวการ์ตูนต่อสู้ การ์ตูนทำอาหารที่มีตัวเองฝีมือขั้นเทพ หรือการ์ตูนกีฬาที่แอบมีโมเม้นต์ให้จิ้นบ้างอะไรบ้าง

    รู้ครับรู้ว่ามันมีมิตรภาพลูกผู้ชาย  แต่ถ้าจิตใจเราจะจิ้น อะไรก็ห้ามไม่ได้อะเนอะ

    ดังนั้นผมเลยชอบสะสม ที่บ้านนี่มีเก็บเป็นตู้ ๆ เลย จากทีละเล่ม ๆ ปีนึงก็ได้หลายเล่มจนรู้ตัวอีกทีก็แทบจะเต็มห้องแล้ว ข้อดีอีกอย่างของการอ่านการ์ตูนพวกนี้คือเราจะเจอสังคมที่มีคนชอบอ่านอะไรแนว ๆ นี้เหมือนกันในโรงเรียนด้วยครับ ยิ่งกับพวกผู้หญิงนี่อ่านการ์ตูนผู้ชายเป็นว่าเล่น

   เออ รู้นะว่าพวกมึงมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง แค่มองตาก็เห็นไส้ติ่งพวกมันแล้ว

    ผมโดนลากเข้าวงการนี้ตั้งแต่ได้สัมผัสประสบการณ์เปิดโลกใหม่ผ่านการ์ตูนเรื่องนึงที่ตัวเองได้รับพลังจากแหวนแล้วกลายเป็นหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียนั่นแหละ อย่างเท่! คือมีพระเอกเรื่องนั้นเป็นไอดอลเลยครับ ดังนั้นไซส์พกพาอย่างผมก็สามารถเท่แบบนั้นได้เหมือนกัน หึหึหึ

    ถึงผมจะโอเคกับการจิ้นจากการ์ตูนหรือนิยาย แต่ห้ามเอาชื่อผมไปต่อท้ายเด็ดขาดนะเว้ย พวกผู้หญิงในห้องนี่ตัวดีเลย ชอบเอาชื่อผมไปต่อท้ายพวกเพื่อนผู้ชายในห้องแล้วเอามาแซวบ่อย ๆ

    ดูปากนี่นะ ชื่อกูจะต้องอยู่หน้าโอนลี่ เข้าใจ๋?
    ใครไม่เชื่อฟังออกจากกลุ่มเราไปได้เลย เชอะ

    ผมวางกระเป๋าไว้มุมนึงก่อนเดินเข้าไปเลือกการ์ตูนในบูธตามที่ได้ลิสต์เอาไว้ เรื่องละเล่มสองเล่ม แต่รวม ๆ ในลิสต์ที่ตามเก็บอยู่ก็มีหลายเล่มเหมือนกัน

    ข้อเสีย(หรือเปล่านะ?) อย่างนึงเวลาเลือกซื้อหนังสือคือผมชอบสภาพแบบกริบ ๆ อะ

    คือไม่รู้สิ...ไหน ๆ เราก็มีสิทธิเลือกใช่มั้ย ผมก็อยากได้เล่มที่ต้องกริบมาก มุมไม่ยับ สันไม่เลอะหมึก กระดาษไม่ย่น ขอบไม่บุบ ต้องกริบ ต้องสภาพกริบเท่านั้น เลยทำให้กว่าจะเลือกได้แต่ละเล่มนี่ใช้เวลาสักพัก พี่พนักงานขายก็เข้าใจดีเลยยิ้ม ๆ แล้ว
ปล่อยให้ผมลั้นลากับการเลือกหนังสือไปโดยไม่เข้ามายุ่ง

    เอ เล่มนี้ไม่ผ่าน มุมหนังสือยับมุมนึง

    เล่มนี้ก็ไม่ผ่าน สันหนังสือเลอะมือเป็นปื้นเลย

    เล่มนั้นก็ปกแจ๊คเกตยับเป็นรอยเชียว ฉีกนิด ๆ ด้วย

    ผมตั้งท่าจะไปคว้าหนังสือเรื่องเดียวกับอีกเล่ม แต่ติดที่ว่ามีมือใหญ่เข้ามาหยิบเล่มนั้นไปก่อน ทำให้ผมชะงัก เกือบคว้ามือเขาไปแล้วมั้ยล่ะ พล็อตน้ำเน่านี่มันอะไรครับ ฮัลโหล

    ผมตวัดตาหมายจะหันไปตำหนิเจ้าของมือที่ตัดหน้าแย่งหนังสือไปถือ ทำงี้ได้ไงอะ!
    แต่ไม่ทันไรก็ต้องรีบหันกลับมา

    ฮือ... กูแพ้ตั้งแต่ยังไม่สู้อีกละ ใครมันจะสู้สายตาที่แค่มองมาก็เหมือนจะฆ่าปาดคอคนได้ของพี่เมะเอ็มอาร์ทีนั่นล่ะ

    ใช่แล้วครับ ผมเจอพี่มันอีกแล้ว เขายืนเยื้องซ้อนด้านหลังผมห่าง ๆ แต่แขนยาว ๆ นั่นเอื้อมมาคว้าหนังสือเล่มที่ผมเล็งไว้(ในใจ) แม่ง ยิ่งมายืนเทียบขนาดนี้ผมยิ่งรู้สึกเตี้ยเหมือนตัวหดไปอีกสิบเซ็นต์เลย

    “พี่.. ผมจะหยิบเล่มนั้นดูก่อน” พี่ตัดหน้าผมได้ยังไง นิสัย เอาคืนมาเลยนะ ...อันนี้ต่อในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกไปสักคำ ฮรึก

    “เล่มอื่นตรงหน้าน้องก็มีเยอะแยะมั้ย” เขาเหลือบสายตามองมาเหมือนจะรำคาญ มันก็จริงอย่างที่พี่เขาว่าแหละ ชั้นนี้ทั้งแถบเป็นหนังสือออกใหม่ แต่มันไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. ของผมไงครับ

    “มันไม่เหมือนกัน ผมจะเอาเล่มนั้น”

    “ไม่เหมือนกันตรงไหน” เขาหันมากอดอกจ้องหน้าผม มือข้างนั้นยังคงถือหนังสือเล่มที่ผมเล็งเอาไว้อยู่ เขาเลิกคิ้วนิด ๆ แม่ง จะหาเรื่องกันหรอ ชวนบวกมาก ถึงหล่อขนาดไหนแล้วไงอะ

    “เล่มอื่นมันมีตำหนิ” ผมจ้องตาตอบแล้วพูดแบบห้วน ๆ เรื่องนี้ผมสู้นะเว้ย!

    “งั้นหรอ..” เขาลองหยิบเล่มที่อยู่ตรงหน้าผมออกมาพลิกดู “ไหน ไม่เห็นมีสักหน่อย น้องมั่วปะเนี่ย”

    อ้าว อิพี่! หาเรื่องไงเนี่ย

    “มันมี! มุมตรงนี้ยับ ไม่เห็นหรอ นี่ ตรงนี้สันก็เลอะหมึกดำจุดนึง ตำหนิเพียบเลย ผมไม่เอาเล่มนี้ ผมจะเอาเล่มที่พี่หยิบไปเมื่อกี้ ขอคืนด้วยครับ”

    เขาหันมาจ้องตาผมนิ่ง
    ... เชี่ย กูพูดตรงไหนผิดไปไม่เข้าหูเขาหรือเปล่า จะโดนต่อยมั้ยอะ แง

    “น้องอ่านหนังสือจากเนื้อหาหรือหน้าปก”

    “ฮะ?”

    “น้องครับ เวลาอ่านหนังสือเนี่ย เราก็อ่านเนื้อหาในเล่มไม่ใช่ไง แล้วรูปร่างภายนอกมันเกี่ยวอะไรด้วยอะ” 

    .... ผมนิ่งไปสักพัก ระหว่างนั้นสายตาคมก็จ้องมองมาตลอด

    “พี่แม่งไม่เข้าใจ... มันไม่เหมือนกันซะหน่อย” ผมบ่นอุบเบา ๆ พี่มันต้องทำหน้าจริงจังขนาดนี้ด้วยมั้ย มันก็แค่หนังสือนะ
    ผมจะร้องไห้แล้วเนี่ย น้อยใจว่ะ ก็นิสัยผมเป็นแบบนี้อะ ผมชอบหนังสือ เลยอยากได้ที่เป็นสภาพกริบ ๆ คือผมเป็นคนรักษาหนังสือดีมาก มันผิดมากหรอที่เลือกแล้วเลือกอีกอะ

    “เด็กจริง ๆ”  คนข้าง ๆ บ่นออกมาเบา ๆ แต่ผมได้ยินนะเว้ย เลยหันไปมองค้อนพี่มันทันที

    เขาเอาหนังสือมาเคาะหัวผมเบา ๆ ก่อนจะโยนส่งมาให้จนผมต้องรีบคว้าไว้กันมันร่วง
    จากนั้นเขาก็หยิบเล่มอื่นในชั้นไปแทนแบบไม่ใส่ใจแล้วเดินออกไปชำระเงิน

    แม่ง พี่บ้า เมะในอุดมคติอะไร ผันไปเหอะ! ฮึ่ย กดโกรธ

   เมะแล้วไง หล่อขนาดไหนก็อย่าได้มาจองเวรกันเลย เพี้ยง!      

    ผมพลิกหนังสือเล่มที่อยากได้ในมือดูสภาพ น้ำตาแทบไหล เล่มนี้ก็มีตำหนิ! แง จะเลือกอีกก็ไม่ได้ มันหมดทั้งชั้นแล้ว ครั้นจะไปขอพี่พนักงานก็เกรงใจเขาอีก เลยได้แต่ตัดใจแล้วคว้าเล่มอื่นที่เลือกไว้เดินคอตกออกไปจ่ายเงิน ก่อนจะเอาหนังสือที่ซื้อมาไปเรียงใส่กระเป๋าลากแบบไม่ต้องใส่ถุงหิ้วสักใบ

    หล่อแล้วยังรักษ์โลกอีก เป็นไงล่ะ เท่ล่ะสิ กลับบ้านไปผมจะไม่ลืมหัดวิธีรุกแบบเมะ ๆ เอาให้กลบรัศมีมนุษย์เมะบ้าอำนาจแบบพี่มันเลย หงุดหงิด ๆ แง่ง

    แคว่ก

    ผมแกะซีลห่อหนังสือออกแล้วดมกลิ่นหนังสือเพื่อสงบสติอารมณ์ ฮึ่ม
    แค่ก ๆ เอ่อ... ลืมไป...กลิ่นหนังสือการ์ตูนมันไม่หอมเหมือนกลิ่นหนังสือนิยายอะ ขมคอเลย แง

    เอาเป็นว่าระหว่างผมกับอิพี่นั่นเป็นคุณจะเลือกใคร ไหนตอบให้ผมชื่นใจหน่อย!    :m16:

_________________________________________________________________________________


 
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 2 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 05-04-2019 11:52:26
 :jul3:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 2 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-04-2019 12:16:27
อี๋แทนน้องสูดกลิ่นการ์ตูน นี่ไม่โอเคกลิ่นมาก อ่านบ่อยๆนิ้วก็ดำ ติดหมึกมา ส่วนพี่คนนั้น ยังไงคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 2 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 05-04-2019 19:59:36
ทำไมนึกถึงตัวเอง ตอนไปงานหนังสือ :mew5:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 2 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 05-04-2019 22:25:36
ผช.ชอบแกล้งคนที่ชอบ ฮั่นน่อวววววว แอบขอบน้องบุ๊คเหรอพี่เมะ เอ็มอาร์ที  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 2 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 05-04-2019 22:47:57
 o18
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 05-04-2019 23:53:52
MRT #สถานีดีต่อใจ : สถานีที่ 3

   พอออกจากโซน Plenary Hall ผมก็มุ่งตรงต่อไปยังโซนที่รวบรวมบูธสนพ.พิมพ์นิยายวายทั้งหลายไว้มากที่สุด นั่นก็คือ คือออ C1 นั่นเอง สวรรค์สุด ๆ เอาเป็นว่าลากกระเป๋าเดินมาไม่ไกลเท่าไรผมก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อไปยังบูธสนพ.นิยายวายก่อนเลยเป็นอันดับแรก

    คืออยากขอเล่านิดนึงว่าตอนเริ่มหัดเป็นหนุ่มวายใหม่ ๆ เนี่ย อย่าว่าซื้อเลย หยิบมาดูยังไม่ค่อยกล้า ต้องแอบ ๆ กลัวคนอื่นมองมาไม่ดี กลัวนั่นกลัวนี่ จะซื้อทีต้องแอบกดสั่งเอาจากเว็บไซต์เท่านั้นแล้วรอพี่ไปรฯที่รักมาส่ง

    แต่พอเริ่มอัปสกิลแล้วนะหรอ ... ตอนนี้บอกเลย ชอบเล่มไหนผมกวาดเรียบ

   ยิ่งถ้าเล่มไหนหน้าปกสวย ๆ นี่ยิ่งรักเลย สนพ.เดี๋ยวนี้เหมือนรู้ทันพวกเราชาววายด้วยอะ ปกนิยายวายนี่สวย ๆ ทั้งนั้นนนน 
    เดินตรงเข้ามาที่บูธอย่างมั่นใจพร้อมกับลิสต์นิยายวายยาวเหยียดในมือ ระดับนี้คำนวณโปรโมชั่นมาพร้อมหมดแล้วด้วยนะครับ แลกซ้งแลกซื้อเล่มพิเศษ จัดมาให้หมด!

    ถามว่าผมรอดไม่ ...ก็ไม่! เปย์วนไปสิครับ ทั้งวายแต่ง วายแปล เดี๋ยวนี้มีหลากหลายแนวมาก เลือกอ่านกันไม่หวาดไม่ไหว สภาพตอนแบกกลับบ้านนี่... ช่างมันก่อนครับ ค่อยไปคิด!

    เรียกได้ว่าเก็บเงินมาเปย์หมดตัวเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

    กายพร้อม ไตพร้อม เราเปย์ได้!!! 

    ไหนจะลิสต์ที่พรีไว้นัดรับในงาน ไหนจะมารับผ้าแขวน เอาเป็นว่าวันนี้เข้ามารอบเดียวผมเก็บครบทุกไฮไลท์นิยายวาย เย่

    ผมลากกระเป๋ามานั่งพักพร้อมกับหยิบหนังสือออกมาเช๊คตามลิสต์อีกครั้งก่อนจะเรียงใส่กระเป๋าให้เป็นระเบียบ ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บไว้แล้วอัปขึ้นไอจี อ้อ ผมยังไม่ได้เล่าใช่มั้ยอ่าว่านอกจากชอบอ่านหนังสือแล้วผมยังชอบถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำด้วย

    เมื่อก่อนหน้าที่ผมจะหันมาชอบการถ่ายรูปเวลามีเรื่องที่อยากนึกถึงแต่นึกไม่ออกว่าตอนนั้นเกิดอะไร ทำอะไร กับใคร ผมหงุดหงิดตัวเองพอสมควร คือเราก็อยากเก็บทุกเรื่องทั้งที่ดีและไม่ดีไว้เป็นประสบการณ์ในชีวิตอ่านะ

    พอผมได้มาหัดถ่ายรูปก็เลยสมัครไอจีไว้อัปเรื่องต่าง ๆ ที่พบในชีวิตประจำวันไว้คล้าย ๆ เป็นไดอารี่นั่นแหละ เวลากลับมาย้อนอ่านดูมันก็สนุกดีเหมือนกันนะ...เราจะนึกออกทันทีเลยว่าช่วงเวลาในภาพถ่ายนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ยอดไลก์ไม่ได้สำคัญเท่ากับความทรงจำในภาพถ่าย
 
    ผมถ่ายเพราะอยากถ่าย อัปเพราะอยากอัปก็แค่นั้น

    ถึงแม้ว่าไอจีผมจะเปิดเป็นสาธารณะไว้แต่ก็มีคนฟอลเพียงแค่พวกเพื่อนสนิท อีกส่วนเป็นพวกชาวต่างชาติที่ชื่นชอบภาพที่ผมถ่าย         

    พออัปรูปเสร็จก็หันมาดูกองหนังสือข้างตัว ผมได้นิยายวายตามที่จดมาครบทั้งหมดแล้ว (ตังค์ในกระเป๋าก็เช่นกัน) พอดูเวลาตอนนี้อีกนิดก็เที่ยงกว่าแล้ว เรียกได้ว่าเดินช็อปจนลืมหิว เดี๋ยวค่อยออกไปหาอะไรกินแถวหัวลำโพงแทน ใช่ครับ...ผมจะนั่งรถไฟกลับ ประหยัดค่าเดินทางได้เยอะเลย แถมไม่ต้องเจอรถติดอีก

    เพราะงั้นผมเลยกะว่าจะเดินไปดูพวกโซนหนังสือเรียนเตรียมสอบอีกนิดนึงก่อนจะออกจากงานกลับบ้าน

    แหม เห็นแบบนี้ผมก็ยังมีสติเหลืออยู่บ้างนะ    

    ถึงจะไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือเรียนเลยก็เหอะ แต่รู้ดีว่ามันมีเส้นบาง ๆ ระหว่างคำว่าความชอบกับความรับผิดชอบอยู่ แต่แม้ว่าผมจะไม่ชอบอ่านหนังสือแต่ผมก็ตั้งใจเรียนในห้องในระดับปานกลางนะ ไม่เกเร ไม่ค้างงาน (คือรีบปั่นงานส่งจะได้มีเวลามาอ่านนิยาย) เกรดตอนนี้ก็เลยไม่ขี้เหร่ พอไปวัดไปวาได้บ้าง

    ไหน ๆ ก็จะขึ้นม. 6 แล้ว ผมรู้ดีว่าจะมัวนั่ง ๆ นอน ๆ อ่านนิยายไปวัน ๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องฝืนใจแบ่งเวลาไปอ่านหนังสือบ้างเนอะ ...เป็นไงครับ จบสวยมั้ยจบสวย

    พอดีกับที่ผมกำลังเดินผ่านบูธของสนพ. แห่งหนึ่งที่ส่วนใหญ่มีหนังสือสำหรับเด็กเตรียมสอบพอดี ผมเลยลองมอง ๆ ดูเผื่อมีเล่มไหนที่สนใจ 

    “สวัสดีค่ะ สนใจเล่มไหนสอบถามได้นะคะน้อง” พี่พนักงานผู้หญิงยิ้มต้อนรับอย่างอัธยาศัยดี   

    “เอ่อ...” ผมเกร็ง ๆ นิดหน่อย คือด้วยความที่เป็นมนุษย์นอนอ่านนิยายในห้องแอร์ผมเลยไม่ค่อยคุ้น ๆ กับพวกที่มาจู่โจมแบบกะทันหันน่ะครับ ทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไร จะว่ายังไงดี เหมือนเป็นพวกพูดได้นะ แต่ขี้เกียจพูดอ่า แหะ ๆ ยกเว้นจะชวนผมคุยก่อน ...แบบว่าเป็นพวกคิดเยอะนะ นู่นนั่นนี่ แต่กับคนอื่นจะพูดน้อย แปลกมั้ยเนี่ย

   “ไหนพี่ขออนุญาตถามหน่อย ตอนนี้อยู่ม.อะไรแล้วเอ่ย”

    “ขึ้นม.6 ครับ”  อันนี้ก็จะตอบตามมารยาท

    “อุ๊ย ตอนแรกพี่นึกว่าอยู่ม.4 นะเนี่ย ตัวเล็กน่ารักจังเลยน้า” โกรธครับ ร้องเรียนพนักงานได้มั้ย

    “ตอนนี้ที่บูธมีโปรโมชั่นหนังสือเตรียมสอบหลายเล่มเลย ลองเลือกดูก่อนได้เลยน้า น้องสนใจคณะไหนเป็นพิเศษมั้ย เผื่อพี่พอจะแนะนำได้น้า”

    “เอ่อ..สายครูครับ” 

    อันนี้ผมซีเรียสนะ จะมีคนขำมั้ยเนี่ยที่เห็นว่าผมอยากเป็นครู เออ ผมยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองเลยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เคยติดสอยห้อยตามแม่ที่เป็นครูเข้าไปในโรงเรียนบ่อย ๆ รวมทั้งมานั่งทำชีทสรุปก่อนสอบให้ตัวเองอ่านจนพวกเพื่อนหลังห้องพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย

ผมเลยพบว่ามันก็สนุกดีนะที่จะได้ลองถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้ให้คนอื่นเข้าใจได้แบบง่าย ๆ ด้วย เอาเป็น เวลาพอถึงเวลานั้นค่อยไปฝึกเรื่องการพูด การเข้าสังคมเอาแล้วกัน เนอะ

    “งั้นน้องมาดูด้านนี้เลยค่ะ โปรโมชั่นตอนนี้ซื้อห้าเล่มลดทันที 30% เลยจ้า” พี่พนักงานแนะนำก่อนจะยื่นตัวอย่างหนังสือให้ผมดู ผมลองเปิดผ่าน ๆ แต่ดูท่าแล้วไม่ค่อยโอเคเท่าไร คือ มนุษย์สายขี้เกียจอ่านหนังสือเรียนอย่างผมเป็นโรคภูมิแพ้ตัวหนังสือเยอะ ๆ อ่านะ ยกเว้นนิยาย  อันนั้นห้าร้อยกว่าหน้าก็อ่านรวดเดียวจบได้เลย 

    “น้องกระเป๋าลาก สามเล่มนี้ดีนะ... มีสรุปเข้าใจง่าย” 

    อยู่ ๆ ก็มีคนยื่นหนังสือ GAT เชื่อมโยง GAT ENG และสรุปเนื้อหา O-NET มาด้านหน้าผม
    ผมสะดุ้งก่อนรีบหันไปมองคนข้างด้วยความรวดเร็วด้วยความตกใจ ใครมันเรียกผมว่าน้องกระเป๋าลากฮะ!

    ....อะไรเนี่ย ทำไมเป็นอีพี่เอ็ม(อาร์ที)อีกแล้วล่ะเฮ้ย!!

    “อะไร..ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ พี่อ่านพวกนี้ก่อนสอบ ก็เข้าใจง่ายดี”

    ผมหรี่ตามองเขาที่ยังคงแนะนำหนังสือให้อยู่ นี่เป็นพนักงานขายบูธนี้ปะเนี่ย

    ขายเก่ง!

    “เอ้า ลองดูก่อน...” เขายื่นหนังสือส่งมาให้ผม “รับสิ”

    บอกแล้วว่าผมเป็นพวกมีมารยาท (จริง ๆ นะ) คือถ้าคุณไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ผมก็คุยได้เรื่อย ๆ แหละ ยกเว้นอย่าทำให้ผมโมโหเท่านั้นเป็นพอ

    ผมยื่นมือไปรับหนังสือเล่มนึงมาลองพลิก ๆ ดู (ย้ำว่าตามมารยาท) แต่ดู ๆ ไปแล้วก็พบว่ามันสรุปเข้าใจง่ายอย่างที่พี่เขาบอกจริง มีผัง มีภาพประกอบคำอธิบายแถมตกแต่งเน้นหัวข้อแบบดูน่าอ่านด้วย

    พอลองเปิดดูอีกสองเล่มที่เขาส่งมาให้ก็พบว่าเขียนเข้าใจง่ายจริง ๆ มีเน้นจุดสำคัญไว้ด้วย

    ฮึ่ย! เอาเป็นว่าจะลืม ๆ ที่แกล้งผมไว้ก่อนแล้วกัน ไม่น่าเชื่อว่าพี่เขาจะเป็นคนมีสาระขนาดนี้ คุณพระ

    “...ขอบคุณครับ” ผมก้มหน้าพูดขอบคุณเบา ๆ ก่อนหยิบสามเล่มที่พี่เขาเลือกมาให้เพื่อจะไปจ่ายเงิน

    ใครดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ ก็แค่นั้นอะ

    “เดี๋ยวสิเอาของเรามานี่ก่อน เดี๋ยวรวมไปจ่ายด้วยกัน”

    พี่เขาเอื้อมมือมาคว้าหนังสือที่ผมถือไว้ก่อน ผมมองงง ๆ ก็เห็นว่าในมือเขามือหนังสือเหมือนกันกับที่เลือกให้ผมอีกสองเล่ม อายุปูนนี้จะเตรียมสอบไปไหนอีก

    “นี่ซื้อไปให้น้องนะ กำลังจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยเหมือนกัน”

    “อ๋อ ครับ”

    “เราอยากเข้าคณะอะไรเนี่ย”

    “ก็...สายครูครับ”

    “ครุศาสตร์มหาลัยพี่ก็ดังนะ สนใจมาเข้ามั้ย” หืม? เดี๋ยวนะ ผมไม่ได้สังเกตชุดนักศึกษาเขามาตลอด แต่พออยู่ใกล้ ๆ แล้วลองดูดี ๆ เข็มสัญลักษณ์มหาลัยตรงเนคไทนั่นก็ทิ่มตา

    ชัดเลยครับ พระเกี้ยว..

    “จะบ้าหรอพี่ เข้ายากขนาดนั้น ผมคงสอบติดหรอกมั้ง” ผมบ่นอุบ จริง ๆ ผมก็ไม่ซีเรียสเรื่องมหาลัยนะ เพราะใจนึงก็อยากเรียนใกล้ ๆ แถวบ้านนั่นแหละ ไม่ต้องมาอยู่หอหรือเดินทางไกล แต่อีกใจก็อยากไปเรียนไกล ๆ บ้านบ้าง จะได้ลองอยู่แบบพึ่งพาตัวเอง ยังดีว่าที่บ้านก็ไม่กดดันด้วย จะเรียนที่ไหนก็แล้วแต่เอาที่ผมสบายใจ

    “ไม่หรอกน่า จริง ๆ พี่คิดว่าถ้าเราพยายามมันไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก เชื่อสิ”

    “แต่ผมไม่ได้หัวดี ความจำสั้นด้วย” ผมตอบเสียงเบา   

    “อย่าไปสะกดจิตตัวเองแบบนั้นสิ เรายังไม่ได้ลองทำเลยนี่นา ทำมาหงอยอะไร ตัวห้าวเป้งที่จะกัดพี่ที่บูธการ์ตูนเมื่อกี้หายไปไหนฮะ” อ้าวพี่นี่วอนแล้วมั้ยล่ะ คนเขาอุตส่าห์คุยดี ๆ ด้วยนะ

    ก็นะ...ถ้าถามว่าเคยลองพยายามเต็มที่หรือยัง

    บอกได้เลยว่าผมไม่ได้สนใจคิดเรื่องนี้เลย ตอนแรกก็เรียน ๆ ชิว ๆ ไปอ่านหนังสือบ้างไม่อ่านบ้างตามสไตล์ คือก่อนสอบก็ค่อยอ่านนั่นแหละ

    เมื่อเห็นผมนิ่งไปเขาเลยคว้าหนังสือที่มือผมออกไปจ่ายเงินรวมกับหนังสือของเขาแทน
 
    ช่างเหอะ ... ถือซะว่าได้ส่วนลดเพิ่มตั้ง 30% เดี๋ยวค่อยเอาเงินให้พี่เขาก็ได้

    จะว่าไปคนนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไรแหะ


    “เอ้า นี่หนังสือเรา” หลังจากที่เขาไปจ่ายเงินเสร็จสรรพ พี่เอ็ม(ผมไม่รู้ชื่อเขานี่)ก็ยื่นหนังสือส่งมาให้สี่เล่ม

    “ของผมมีสามเล่มนะพี่” ผมเงยหน้ามองเขาแบบงง ๆ อีกเล่มที่เพิ่มมาเป็นข้อสอบ PAT5 ที่สำหรับสอบความถนัดทางวิชาชีพครูโดยเฉพาะ ตอนแรกผมไม่ได้เลือกเล่มนี้ไว้นะ

    “อ๋อ เล่มนี้พี่ที่บูธเขาแถมมาให้น่ะ” ผมหรี่ตามอง จริงดิ? “ไม่เชื่อลองไปถามดูเลยไป”

    “ครับ ๆ แถมก็แถม ขอบคุณครับ ของผมเท่าไรอะ”

    “สามร้อย” มีการชูสามนิ้วดิ๊ก ๆ ทำไมดูกวนตีนอะพี่

    “แต่ในปกนี่ปาไปเล่มละสองร้อยกว่าแล้วนะพี่ สามเล่มของผมก็เจ็ดร้อยกว่าแล้วปะ” ผมขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย สามสิบเปอร์เซ็นต์ของหนังสือห้าเล่มราคารวมน่าจะพันกว่าบาทนี่มันเป็นเงิน..... เอ่อ พี่ครับ ขอกระดาษทดด้วยครับ (ไม่ต้องงงครับไม่ได้จะเป็นครูคณิตแน่นอน ผมอยากเป็นครูศิลปะ)

    “เออน่า งอแงจริง บอกว่าสามร้อยก็สามร้อยสิ” คนตรงหน้าเริ่มทำหน้าดุ

    แค่ถามเฉย ๆ เอง ดุอะไรอะ 

    “ครับ ๆ” อะไรของพี่แกวะ หรือสงสัยสนพ.เขาลดให้เยอะล่ะมั้ง ผมยื่นแบงค์ร้อยไปให้สามใบแบบไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ก่อนจะเก็บหนังสือใส่กระเป๋าลากเตรียมไปขึ้นรถกลับบ้าน

        พอดีอะ หมดตัวพอดี 

    “แล้วนี่จะไปไหนต่อเนี่ยน้องกระเป๋า” ก่อนออกจากบูธเขาหันมาถามผม

    “อ๋อ เดี๋ยวว่าจะกลับแล้วฮะ...พี่เรียกใครว่ากระเป๋านะ ไม่ได้ชื่อกระเป๋าโว้ย!”

    “พอดีเลย งั้นกลับพร้อมกัน” เขายิ้มเล็ก ๆ ไม่สนใจผมที่โวยวายอยู่ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ากระเป๋าลากใบโตของผมไปก่อนจะเดินนำลิ่ว ๆ ออกไปตรงไปทางออกเพื่อไปที่สถานี MRT ปล่อยให้ผมวิ่งตัวปลิวตามหลังมา

    “เห้ยย หะ.. เดี๋ยวสิ พี่ รอก่อน กระเป๋าผม!” รอบนี้ผมหวงกระเป๋ายิ่งกว่าชีวิตนะเฮ้ย หนังสือในนี้รวมแล้วมูลค่าเป็นหมื่นอะบอกเลย (แต่ถ้าแม่ถามจะบอกว่าทั้งกระเป๋านี่หมดไปแค่สามพัน โอเคนะครับ)

    เรียกได้ว่าหมดเนื้อหมดตัวแล้วจ้า เหลือตังค์แค่ค่ารถกลับบ้านอะ ฮรุก
    คุณแม่จะตีมั้ยครับ~~


    ตอนแรกนึกสภาพว่าคงทุลักทุเลน่าดูกว่าผมจะลากกระเป๋าใบโตที่มีหนังสืออัดจนเต็มนี่กลับขึ้นรถยังไง แต่ยังดีหน่อยที่พี่เอ็มเขาช่วยลากมาให้จนกระทั่งลงมาในสถานี ปล่อยให้ผมเดินตัวปลิวสบาย ๆ แถมยังออกค่าตั๋วให้อีก อิอิ

    อยากกราบแทบอกมากครับ ณ จุดนี้  พี่แม่งหล่อขึ้นอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย!
    ขอถอนคำพูดที่เคยว่าไว้ทั้งหมดฮะ ซาบซึ้งมาก

    จริง ๆ ตอนนี้ผมก็แทบจะหมดแรงแล้ว แขนข้างขวานี่ชาดิก ขาก็เริ่มปวดตุ๊บ ๆ เดินไปต้องแอบบีบ ๆ นวด ๆ ไป โชคดีที่พอเราสองคนขึ้นมาบน MRT แล้วมีที่นั่งเหลืออยู่พอดี 

    ...แต่ก็เหลืออยู่ที่เดียวอ่านะ ซึ่งแน่นอนว่าท่านพี่ (บูชาแล้วฮะ) เขาเสียสละให้ผมนั่ง 

    แต่คือ... อิพี่มันดันหัวผมลงมานั่งเก้าอี้นี่เรียกเสียสละได้มั้ยอะ ฮึ่ย

    ใช่ครับ เราขึ้นรถ MRT ขบวนเดียวกันไปทางเดียวกัน 

    เห็นว่าพี่เขาจะลงที่สถานีสามย่าน ก่อนหน้าสถานีผมหนึ่งสถานี ส่วนผมก็จะไปลงที่สถานี หัวลำโพง แล้วเดี๋ยวรอรอบรถไฟเพื่อขึ้นรถกลับบ้าน 

    ประหยัดไปได้อีกเกือบห้าสิบบาทแหนะ! แถมไม่ต้องกลัวรถติดด้วย เย่!

    “เออ พี่เรียนคณะไรอะเนี่ย” ผมเงยหน้าขึ้นไปชวนคุยคุณพี่ที่ยืนจับห่วงอยู่ด้านหน้าผม

    “คะน้าหมูกรอบสองจานพิเศษครับ”

    ....

    คุณได้ยินเสียงความเงียบมั้ยครับ....

    กา กา กา

    “คือ...ดูหน้าแล้วพี่ไม่น่าใช่คนกวนตีนขนาดนี้นะ”

    “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปกอะ ฮ่า ๆ”

    “โหย เอาดี ๆ ดิ นี่ถามด้วยความอยากรู้ส่วนบุคคลนะ”

    “นิเทศศาสตร์ เอาปีด้วยมั้ย ปีนี้ปีสองแล้ว”

    “มิน่า หน้าแบบนี้ไปเป็นดาราได้สบายเลย” อันนี้ชมจากใจจริงนะ ไม่ได้ประชด

    “หืม นี่เราชมพี่หรอนี่ ไม่น่าเชื่อแหะ หูฝาดเปล่าวะ”

    คนตรงหน้าทำท่าเป็นแคะหูอีก ยี้

    “ก็งั้น ๆ อะ พอเห็นแบบนี้นี่ไม่หล่อแล้ว ดูท่าแล้วรุ่นน้องไม่น่าจะนับถือเลยนะพี่” จริง ๆ คนหล่อทำอะไรก็หล่อครับ ... แต่ปล่อยพี่มันไปเถอะ

    “นี่ พี่จริงจังเรื่องที่ว่าอยากให้เราลองมายื่นที่คณะครุ ม.พี่ดูนะ” ง่า....จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นโหมดทำหน้าจริงจังเฉยเลย

    ผมเงยหน้ามองสบตาเขาเงียบ ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

    ..ใครเขาจะเข้าได้กัน

    ติ๊ด ๆ

    สถานี คลองเตย โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ


    เสียงสัญญาณรถไฟฟ้าดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย คนเริ่มทยอยลงไปบ้าง ทำให้เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมมีที่ว่างอยู่ พี่เขาเลยเดินเข้าไปนั่งตรงนั้นพร้อมกับลากกระเป๋าใบโตของผมเข้าไปด้วย

    คือ ภาพที่เห็นตอนนี้ชวนขำมาก ด้วยความที่พี่แกดูลุคเท่ ๆ แต่กระเป๋าลากผมนี่มาทำให้บรรยากาศรอบตัวดู... น่ารักขึ้นเยอะล่ะมั้ง

    ผมทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเลื่อนดู ไม่ลืมที่จะปิดเสียงก่อนลอบถ่ายภาพคนตรงหน้า
โดยให้ติดภาพกระเป๋าลากใบโตของผมไปด้วย พอดูเทียบแบบนี้แล้วกระเป๋าที่ผมแบกมานี่ใหญ่มากจริง ๆ
บ้าไปแล้ว

    ผมเข้าแอปแต่งภาพแล้วปรับโทนสีจนพอใจก่อนเปิดเข้าไปไอจี ตั้งใจว่าจะลงรูปก่อน

    รู้ตัวอีกทีที่นั่งข้าง ๆ ผมก็ว่าง เพราะคุณป้าลุกย้ายเดินออกไปอีกฝั่ง น่าจะเข้าใจว่าผมกับพี่เขามาด้วยกันล่ะมั้ง เลยทำให้พี่เขาย้ายฝั่งมานั่งข้างผมแทน

    “ชอบถ่ายรูปหรอเรา” พี่เขาถามพร้อมกับชะโงกหน้าเขามามองภาพในไอจีผมด้วยความสนใจ “ถ่ายสวยดีนี่นา”

    “ฮะ จดไว้เป็นไดอารี่ส่วนตัว... เฮ้ย พี่ห้ามดู” ไม่ได้ ยังไงก็ดูไม่ได้เด็ดขาด! ดีนะยังไม่ได้เปิดรูปพี่เขาอยู่ ไม่งั้นอายตายเลย แถมมีรูปอื่นอีกต่างหาก ผมรีบร้อนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าทันที โดยยังไม่ทันได้อัปภาพล่าสุดที่เพิ่งถ่ายไป

    “อ้าว อะไรเนี่ย คนเขาอุตส่าห์ช่วยยกกระเป๋าให้นะ แค่นี้ทำมาหวง”

    “เดี๋ยว ๆ ได้ข่าวว่าพี่ลากกระเป๋าผมออกมาเองนะ จริง ๆ ผมหิ้วมาเองก็ได้เหอะ”

    “หรอ.. ตัวกะเปี้ยกแค่เนี้ย”

    “อ้าวพี่ ผมโกรธแล้วนะเว้ย ว่าอย่างอื่นได้ ห้ามบอกว่าผมตัวเล็ก!” ผมกอดอกจ้องมองเขาตาเขียว ไม่ว่าใครพูดก็มีเคืองอะบอกเลย!

    “โอ๋ ๆ ขอโทษครับน้องตัวโต ฮ่า ๆ” ดูพี่มันประชด โว้ยยย นี่ผมจริงจังนะเนี่ย

    “เออ ว่าจะถามตั้งนานแล้ว ทำไมเราไม่ใช้บริการส่งไปรษณีย์อะ จะได้ไม่ต้องแบกกลับบ้านเอง” พี่เขาหันมาถาม จริง ๆ แล้วผมก็เคยคิดนะ...แต่พอลองคิดไปคิดมาก็....

    “เสียดายตังค์อะ ตั้งหลายร้อย”

    “อ๋อ งก ว่างั้นเหอะ”

    “เดี๋ยว ๆ ก็แค่ประหยัดมั้ยล่ะครับ ถึงมันจะเหนื่อยหน่อยแต่มันก็สนุกดีนะผมว่า ระดับนี้แล้ว แบกได้สบาย ๆ”

    “หรอครับ แล้วใครนะที่มันยกกระเป๋าขึ้นบันไดไม่ได้น่ะ”

    “เฮ้ย ไม่ได้ยกไม่ได้นะ ก็ค่อย ๆ ยกไง ทีละขั้นแบบปลอดภัยไว้ก่อน เข้าใจปะ?”

    “ครับ ๆ อีกนิดคงล้มกลิ้งลงมาทั้งคนทั้งกระเป๋าอะ”

    “พี่แม่งเว่อร์ละ” ผมบ่นอุบ ไม่ได้ขนาดนั้นซะหน่อยมั้ยล่ะ

    “ตัวไซส์นี้นี่พับเก็บใส่กระเป๋าได้นะเอาจริง ๆ ฮ่า” นี่ก็ยุ่งกับไซส์ผมจัง เดี๋ยวปั๊ด!!

   ติ๊ด ๆ
    สถานี ลุมพินี โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ


    “งานหนังสือคราวหน้าเราจะมาอีกมั้ยเนี่ย”

    “ไปสิพี่ ไม่พลาดแน่นอน แต่ต้องขอที่บ้านก่อนนะ” กว่าจะขอยื่นอนุมัติได้นี่ลำบากแทบแย่

    “เขาว่าจะเปลี่ยนที่จัดนะ ที่เดิมจะปิดซ่อมหลายปีเลย”

    “เฮ้ย จริงดิพี่ แล้วทีนี้ผมจะไปยังไงอะ ยิ่งไม่ค่อยชำนาญทางในเมืองอยู่ด้วย”

    “งั้นเอาไว้ถึงงานหน้าเมื่อไร ไปด้วยกันมั้ยล่ะ เดี๋ยวพาไป”

    “ฮะ? ผมกับพี่เนี่ยนะ”

    “กับแมวมั้ง ถามมาได้”

    “เอาดี ๆ ดิพี่ ผมจริงจังนะเนี่ย”

    “แล้วใครว่าพี่ไม่จริงจังฮะ”

    “อะไรของพี่วะเนี่ย ตามไม่ทันแล้ว ไม่ปงไม่ไปมันละ”

    “ทำหน้าแมวขู่ฟ่อ ๆ อีกละ ฮ่า ๆ” ไม่ว่าเปล่ายังยื่นมือมาบีบแก้มผมอีก เดี๋ยว ๆ

    “มากไปละครับพี่ มากไป ๆ ผมก็ลูกมีพ่อมีแม่นะขอบอก มาจงมาจับ ฮื้ออออ ปล่อยเลย” ผมตีมือสองข้างที่กำลังบีบแก้มอยู่ ลวนลามเด็กมั้ยล่ะ! ผมยังไม่สิบแปดเลยนะเว้ย! คุณตำรวจครับ!!     

   ติ๊ด ๆ
   “ครับ ๆ งั้นไว้ไปขอพ่อกับแม่แล้วค่อยจับได้ใช่มั้ย?”
    “...หืม?” พี่แกว่าอะไรขอ ๆ นะ พอดีเสียงสัญญาณดังเลยไม่ค่อยได้ยินง่ะ แถมดันพูดเสียงเบาอีก
    สถานี สีลม โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ

    “พี่ลงสถานีหน้าใช่ปะอะ สามย่าน”

    “อืม ทำไมอะ จะลงด้วยหรอ”

    “ไม่ใช่ละ” ผมเก็บข้อมูลเฉย ๆ ไม่ได้ไง! เผื่อมีโอกาสมาเป็นนิสิตแถวนี้บ้างอะไรบ้าง

    ฮือ ขอไปนอนฝันก่อนเนอะ

    “แถวนี้มีร้านเค้กเจ้าอร่อยด้วยนะ สนใจเปล่า เดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง” ไม่ต้องมาทำหน้าเจ้าเล่ห์เลย

    “หรอ ผมก็ชอบของหวานนะ แต่คงไม่ไปอะ”

    “งั้นไอติม? คาเฟ่ต์แมว? ชาบู? ซูชิ? ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยไม่ใช่หรอเราอะ ไม่หิวไง”

    “หลอกล่ออะไรผมเนี่ย จะพาไปค้ามนุษย์หรอฮะ! ผมโทรฟ้องสคบ.นะเว้ย”

    “ฮ่า ๆ เรื่องนี้สคบ.เกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย พี่ชวนไปกินจริง ๆ”

    “เดี๋ยวผมตกรถไฟอะ กลัวกลับบ้านไม่ทัน พี่ไปเหอะ” คือถ้าตกรอบนี้ก็ต้องรออีกชั่วโมงกว่าเลยไง
ถ้าขึ้นรอบเย็นกว่าจะถึงบ้านก็ค่ำเลยด้วย

    “ว้า เสียดาย อดเลี้ยงอาหารแมวเลย”

    “พี่พูดอะไรผมได้ยินนะ เดี๋ยวปั๊ดข่วนหน้าเลย”

    “ดุอีก ไปหาหมอฉีดยายังเนี่ยตัวเนี้ย”

    “ฉีกแล้วโว้ย จะลองมั้ย กัดให้ได้นะ!” แง่ง คุยกันดี ๆ ได้ไม่กี่ประโยคพี่เขากวนตีนผมตลอดเลยอะ

    จะชวนทะเลาะให้ได้ใช่มั้ยเนี่ย! บวกกันเลยปะมา ๆ!    
    
   ติ๊ด ๆ
    สถานี สามย่าน โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ


    อ่า... ยังไม่ทันได้บวก หมดเวลาสนุกแล้วสิ 

    ผมหันไปมองคนข้าง ๆ เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณบอกสถานี 

    “ลืมถามเลย เราชื่ออะไรเนี่ย?” เขาลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวออกจาก MRT ก่อนหันมาถามผม

    “ชื่อ บุ๊ค ที่แปลว่าหนังสือ”

    “โอเค งั้นพี่ไปนะน้องบุ๊ค” ไม่ว่าเปล่ายังยิ้มกว้างแล้วยื่นมือเข้ามาลูบหัวผมเบา ๆ สองสามทีจากนั้นก็เดินออกไปนอกขบวนรถด้วยความรวดเร็ว

    ตัดภาพมาที่ผมคือ... เครื่องช็อตไปแล้วอะ....

    รถค่อย ๆ เคลื่อนออกจากสถานี เมื่อหันไปมองนอกหน้าต่าง ยังทันเห็นพี่เขาโบกมือให้ ก่อนที่ภาพนั้นจะแทนที่ด้วยกำแพงสีดำแล้วสะท้อนภาพของผมที่ตอนนี้กำลังจับหัวตรงบริเวณที่พี่เขาลูบเบา ๆ เมื่อกี้

    บ้าเอ๊ย

    อาการที่หัวใต้เต้นหนึบ ๆ นี่มันอะไร

    ทำไมผมต้องทำตัวเหมือนเคะในนิยายวายขนาดนี้วะ ใจสั่นชิบหาย ฮือออ

    เวลาสั้น ๆ ระหว่างทางก่อนจะถึงสถานีปลายทาง ผมย้อนคิดทบทวนเรื่องราวระหว่างเขากับผม จุดเริ่มต้นจากคนแปลกหน้าสองคนธรรมดา ๆ ที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้เลย

    พี่เขาใจดี

    ใช่ เพราะความใจดีนั้นยังทำให้ผมใจสั่นอยู่นี่ไง

    หรือผมคิดมากไปเองกันแน่ ... เราเหมือนเส้นตรงสองเส้นที่ลากเข้ามาหากัน เกิดจุดตัดแค่จุดเดียว
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ย

    ผมลืมถามชื่อเขากลับไป

    ผมไม่รู้ว่าพี่เขาชื่ออะไร

    แต่เชื่อได้เลยว่า...ถ้าถึงช่วงงานหนังสือเมื่อไร ผมคงจะเผลอคิดถึงเรื่องของเขาแน่นอน


    
    ติ๊ด ๆ
    สถานี หัวลำโพง โปรดใช้ความระมัดระวังขณะก้าวออกจากรถ ขอขอบคุณที่ใช้บริการรถไฟฟ้ามหานคร
    ผู้โดยสารโปรดทราบ รถขบวนนี้จะหยุดให้บริการที่สถานีหน้า กรุณาลงจากรถและติดต่อเจ้าหน้าที่สถานีหากต้องการความช่วยเหลือ ขออภัยในความไม่สะดวก ขอบคุณค่ะ



    ระหว่างที่รถไฟค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลา

    ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเข้าไอจี ก่อนจะลงภาพสุดท้ายที่เพิ่งถ่ายไปบน MRT

    ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเข้ามาเห็นไอจีของผม แต่อย่างน้อยผมก็อยากเก็บมันไว้เป็นความทรงจำดี ๆ

   
   Book'worm   ขอบคุณพี่เมะ MRT สำหรับวันนี้ด้วยนะครับ น่าจะจำงานหนังสือปีนี้ไปอีกนาน #สถานีดีต่อใจ   


       
_____________E__N__D__(หรือเปล่านะ)___________________



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามอีกครั้งค่ะ ประเดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเก็บของหนีไปไหนน้าาาา ยังมีตอนพิเศษอีกค่ะ


รบกวนคอมเม้นต์แนะนำได้นะคะ เรื่องนี้เป็นแนววายกุ๊กกิ๊กคอมเมดี้ปกติที่เพิ่งเคยแต่ง (แล้วจบ) ฮา
เรื่องก่อนหน้านี้มีแต่ธีมสัตว์โลก โทนบรรยากาศหม่น ๆ

ใครสนใจเข้าไปอ่านได้ที่ >> Animalia : บนโลกสีเทา  เป็นเรื่องสั้นฉบับสัตว์โลกค่ะ

ใครเล่นทวิตมาคุยกันได้ที่ @Inomekii    แท็ก #สถานีดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 06-04-2019 01:19:01
พี่เอ็ม(?)ทำมาเปงงงงง แกล้งเก่งแต่ใจดี ป๋าด้วยสายเปย์อีกต่างหาก จีบน้องบุ๊ค ดูออก!!!
ขนาดนี้แล้วน้องต้องได้เรียนครุ ฬ แล้วล่ะะะะ รอตอนพิเศษเลยค่ะไรท์  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-04-2019 21:28:59
อย่าเพิ่งจบ...บบบบบ น่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 08-04-2019 10:35:45
 :pig4:น่ารักมากกกกอยากอ่านตอบอย่าพึ่งจบเลย
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 08-04-2019 19:36:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-04-2019 22:48:34
แอบจำชื่อไอจีน้องไปหรือเปล่าคะ อิอิ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 09-04-2019 00:30:26
พี่เมะรีบส่องคนเช็คอินที่ศูนย์สิริกิตฯในไอจีเลยย
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 09-04-2019 17:41:56
 
สถานีดีต่อใจ #สถานีพิเศษ


          “ครับคุณไก่ เล่นโทรตามจิกเอาซะกูพรุนหมดแล้วเนี่ย” ผมรับสายเพื่อนสนิทที่โทรเข้ามาแล้วหัวเราะเบา ๆ

          [ไอ้สัส เห็นกูจิกนี่ก็ยังไม่รีบมาอีกเนอะ มึงหายหัวไปไหนเนี่ย เมื่อไรจะถึงม.ซักที พวกกูจะได้เริ่มประชุมครับ
นัดบ่ายโมงตามเวลาประเทศไทยนะครับคุณมึง]

          “เออๆ ถึงแล้วน่า อยู่จามสแควร์แล้ว กะว่าจะซื้อขนมปังแป๊บ เดี๋ยวเดินไปคณะ” ตอนนี้เหลืออีกสิบนาทีจะบ่ายโมง โชคดีที่คณะนิเทศของผมอยู่ไม่ไกลจากสถานีเลยพอเดินไปได้

[ยังอีก ยังไม่สลด ยังมีฟีลเดินเล่น รีบมาสักทีโว้ยยยย จะถึงเวลาแล้วเนี่ยแต่เฮดฝ่ายกูยังไม่โผล่หัวมา!]

          “เออน่า กำลังไป กูยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยนะ” ผมแกล้งพูดออกมาแบบเหนื่อย ๆ เรียกความสนใจจากปลายสาย

          [อ้าว ไหนมึงบอกว่าขึ้น MRT ตั้งแต่สิบโมงแล้วไม่ใช่ไง มัวทำไรอยู่วะ]

          “ไปงานหนังสือมา”

          [ฮะ!?! งานหนังสือ แล้วจะไปเพื่อออออออออ มึงนี่มัน…. %€^$=#]

          “ครับ ๆ อย่าเพิ่งด่า นี่กูใจดีซื้อหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยมาฝากน้องสาวมึงด้วยนะเนี่ย”

          [เดี๋ยวนะ....มึงครับ...ได้ข่าวว่าน้องสาวกูเพิ่งจบม.3 ครับ มึงจะรีบให้น้องกูอ่านหนังสือไปไหนวะฮะ! บ้าปะเฮ้ยยย!]

          “เอาน่า ซื้อมาให้ไง พูดมากว่ะ แค่นี้ก่อนนะ หิวอะ ขอหาไรกินก่อน”
         

          ใช่ครับ..จริง ๆ แล้ววันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะไปเดินงานหนังสือหรอก ผมมีนัดประชุมสโมฯ ตอนบ่ายโมง ออกจากคอนโดมาตั้งแต่เก้าโมงเพราะอยากมาเดินเล่นหาร้านกาแฟนั่งอ่านหนังสือชิว ๆ ก่อนประชุม ...แต่พอเจอคนตัวเล็กที่รถไฟใต้ดิน กลายเป็นว่าผมตัดสินใจลงที่สถานีศูนย์สิริกิติ์ที่เป็นทางผ่านแทน
          ถามว่ารู้ได้ยังไงน่ะหรอ เดาไม่ยากหรอกครับ มีหลายคนที่เวลามางานหนังสือเขาก็เตรียมกระเป๋าลากมาเอง

          ตอนแรกก็ไม่มั่นใจหรอก ว่าจะใช่มั้ยนะ แต่พอผม “แกล้ง” เดินสะดุดกระเป๋าลากใบโตนั่นก็รู้สึกได้เลยว่าข้างในไม่มีของอะไร

          เขาคงลากมาเพื่อไปใส่หนังสือชัวร์! ให้ร้อยนึงเลยเอ้า!

 

          ผมพนันกับตัวเองนะ… ว่าถ้าน้องลงที่งานหนังสือก่อน ผมก็อยากจะลองตามเขาไป

          แต่ถ้าไม่… ผมก็...จะตามน้องไปลงสถานีที่เขาจะลงอยู่ดีอะ

 

          เอ้า! คนที่น่าสนใจจนทำให้เราเผลอยิ้มได้ไม่ได้เจอกันง่าย ๆ นี่ครับ

          ผมเดินเลือกซื้อขนมปังกับนมมารองท้องมื้อเที่ยงพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าแอปไอจีของตัวเอง 
          พอนึกถึงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ผมก็ยิ้มขำ ๆ ขึ้นมา

         
          ใครจะไปคิดกันล่ะเนอะ …

          ว่าคนแปลกหน้าสองคนจะทำความรู้จักกันแบบนี้ก็ได้อะนะ

 _________________________________________________________________           

          [09.35 น.]

          ผมตื่นเช้าตามปกติ เก็บของใส่กระเป๋าโดยที่ไม่ลืมพกหนังสือที่อ่านค้างไว้มาด้วย ก่อนจะออกจากคอนโดย่านลาดพร้าวไปขึ้น MRT เพื่อที่จะไปมหาลัย
          จริง ๆ วันนี้ผมมีธุระตอนบ่าย มีประชุมกับพวกสโมฯ นิสิต แต่ที่ไปเช้าเพราะว่าอยากหามุมสงบ ๆ จิบกาแฟพร้อมกับนั่งอ่านหนังสือไปด้วยชิว ๆ

          ผมชอบอ่านหนังสือนะ ถึงหลายคนจะบอกว่าดูไม่เหมือนพวกที่ชอบอ่านหนังสือเลยก็เถอะ
          ด้วยความที่พ่อกับแม่ผมท่านเป็นพวกนักอ่านตัวยงเลยเหมือนกัน ดังนั้นในบ้านผมนี่จะมีชั้นหนังสือที่ข้างในเต็มไปด้วยหนังสือที่พ่อกับแม่ชอบ ตอนเด็ก ๆ ผมก็โตมากับหนังสือพวกนี้แหละ บางเรื่องนี่ก็กลายมาเป็นหนังสือเล่มโปรดของผมด้วย
          แต่บรรยากาศสบาย ๆ ยามเช้าก็ถูกแทนด้วยความซ้ำซากจำเจแบบเดิม ๆ

          เฮ้อ คนเยอะ...อีกแล้ว 

          เมื่อขบวน MRT มาถึงผมก็เดินหลบมุมเข้ามาริมสุดของตู้โดยสาร พร้อมกับหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าแล้วมาก้มหน้าเปิดอ่านต่อโดยไม่สนใจใคร
          “นั่งที่ผมได้นะครับ” เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นไม่ไกลกันนัก เรียกความสนใจจากผมได้ไม่น้อย 
          เมื่อแอบเงยหน้ามองก็เห็นเด็กผู้ชายใส่แว่น ตัวไม่สูงมาก ดูท่าว่าจะอยู่มัธยมกำลังบอกคุณยายท่านนึง ให้มานั่งที่นั่งตัวเองแทน บนใบหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำขอบคุณ ก่อนที่จะลากกระเป๋าเดินทางลายหมีใบโตเดินออกไปที่ตู้อื่น พอหันไปดูตรงที่นั่งสำรองก็เห็นว่ามีผู้ชายวัยรุ่นนั่งเล่นเกมอยู่แบบไม่แคร์ใครทั้งนั้น
          ชื่อก็บอกว่าที่นั่งสำรอง อย่าน้อยก็น่าจะมีน้ำใจสละให้คนที่ต้องการมากกว่าตัวเองหน่อยอะนะ
          ผมลอบมองตามหลังคนตัวเล็กที่กำลังเดินไปตู้ด้านหน้า

          จริง ๆ น้องเขาก็น่ารักนะ แต่ก็ยังถือว่าธรรมดา ๆ ถ้าเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันหลายคนที่ผมเคยเจอ
          แปลกก็ตรงที่ผมละสายตาออกไปจากความธรรมดาที่ดูน่ารักของเขาไม่ได้เลย

          หายากนะ...กับการที่จะมีใครสักคนยอมเสียสละของของตัวเองให้คนอื่น ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ได้มีใครบังคับอะไร อีกทั้งยังไม่ได้อะไรตอบแทนด้วย
          ทุกคนก็จ่ายค่าโดยสารเหมือน ๆ กัน
          แต่เด็กคนนั้นกลับยิ้มออกมาอย่างกับว่าตัวเองได้รับรางวัล
          ผมค่อย ๆ ปิดหนังสือคั่นไว้แล้วเดินช้า ๆ ไปยังตู้ก่อนหน้าที่คนตัวเล็กยืนอยู่ เขากำลังเงยหน้ามองป้ายสถานีตาแป๋วพลางชูนิ้วขึ้นมานับสถานี เป็นท่าทางที่เห็นแล้วชวนขำอยู่เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าผมพอเดาได้แล้วล่ะว่าเขาจะลงที่ไหน จากนั้นไม่นานเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วก้มหน้าก้มตาเลื่อนดูอะไรสักอย่างแถมยังมีการหัวเราะคิกคักด้วย ..ยัง ยังไม่พอ ยิ้มคนเดียวอีกต่างหาก

          ...หรือว่าน้องมีแฟนแล้ววะ
          นกตัวเป้งเลยนะครับ

          ไม่ได้สิ ไม่มีหลักฐานสักหน่อย...เอาเป็นว่า ณ จุดนี้จะทำยังไงให้น้องเห็นผมดีนะ
          โอมจงเงยขึ้นมา ๆ เพี้ยง ๆ

          โอ๊ะ...พอเหลือบไปดูที่กระเป๋าลากใบโตของเจ้าตัวผมก็ได้ไอเดียดี ๆ เอาวะ ทนเจ็บขาหน่อยก็แล้วกัน


          หลังจากที่ขอโทษน้องที่เผลอ(แกล้ง)ไปสะดุดกระเป๋าของเขาเข้า ผมลอบขำในใจที่เห็นน้องทำตาโตพร้อมกับมองมาที่ตัวเอง คือไม่ได้อวยตัวเองจริง ๆ นะ แต่หลายคนก็บอกว่าผมหน้าตาดีอยู่แหละ แต่ยิ่งพอเห็นตากลมโตนั่นจ้องมาก็เริ่มสงสัยว่าผมมีอะไรให้ติดใจขนาดนั้นนะ
          เอาล่ะ เหยื่อติดกับแล้ว แผน 1 สำเร็จ

          แค่เจ็บขานิด ๆ เหมือนมดกัด ซี้ด

          ผมเลือกที่จะยืนฝั่งตรงข้ามกับน้องเขา เยื้องถัดออกมาไม่ไกลนักแต่ยังอยู่ในระยะที่ลอบมองได้สะดวกดี ก่อนจะเปิดหนังสือที่คั่นหน้าไว้แล้วทำท่าเป็นอ่านหนังสือ
          ครับ “ทำเป็น” อ่านหนังสือ ...ก็แหม ตอนนี้น้องตรงหน้าดูน่าสนใจกว่าหนังสือในมือนี่หว่า ถึงอ่านไปก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี ในสมองผมตอนนี้มีแต่แววตาใส ๆ ภายใต้แว่นกลม ๆ ของคนตัวเล็ก

          ส่วนแผนที่ 2 ที่เพิ่งคิดได้สด ๆ ร้อน ๆ หลังจากเผลอ(ตั้งใจ)เตะกระเป๋าเขาก็คือ... น้องไปไหน พี่ขอไปด้วยครับ
          วิเคราะห์ตามหลักการเลยนะ...กระเป๋านั่นดูไม่มีอะไรเลย แถมที่เมื่อกี้ผมแอบเห็นเจ้าตัวยกนิ้วขึ้นมานับตอนที่ดูป้ายสถานีด้วย ผมว่ามีความเป็นไปได้ 80% ที่น้องกำลังจะไปลงที่งานหนังสือ คาดว่าคงเป็นพวกสายช็อปหนังสือนั่นแหละ อืม...ตอนนี้ก็ใกล้จะ ๆ สิบโมง ยังมีเวลาก่อนประชุมอีกเกือบสามชั่วโมง
          คิดซะว่าเดินเล่นก็แล้วกัน
          ดูโรคจิตไปมั้ยเนี่ย แต่ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรน้องเขาเลยนะ สาบานได้ แค่อยากรู้ว่าเขาจะมีโมเม้นต์น่ารัก ๆ อย่างอื่นอีกมั้ยนะ
แค่นั้นเอง
          สายตาผมจดจ่อไปที่หนังสือราวกับตั้งใจอ่านเตรียมสอบเข้าแพทย์ แต่จริง ๆ แล้วนั้น....


          แป๊บนะ...ขอพลิกหน้าหนังสือก่อน


          ไม่มีอะไรเข้ามาในหัวเลยสักคำ
          คือว่าพอเจอสายตาแอบจ้องมาตลอดแบบนี้ผมก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกเหมือนกันนะ มือไม้มันเกะกะไปหมด ตอนนี้ไม่รู้จะทำท่ายังไงดีนอกจากจับหนังสือเกร็งไว้เนี่ย บ้าชิบ
          เฮ้ย ๆ! ตอนนี้น้องผม(จองไว้แล้ว)โดนฝรั่งตัวโตเบียดจนตัวลีบหมดแล้วเนี่ย ด้วยความที่ผมสูงพอเลยทำให้มองเห็นร่างเล็กที่ก้มหน้ามุดอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ คือก็แอบหวงน่ะแหละ แต่ทำยังไงได้...จะให้เดินไปโต้ง ๆ แล้วบอกให้เข้าหลบหลังผมแทนนี่ก็ดูประหลาดเกิ๊น!
          ไม่นานนัก น้องตัวเล็กก็คอตกแล้วหันหน้าออกไปมองด้านนอกหน้าต่าง ผมยังทันเห็นสีหน้าจ๋อย ๆ ที่ดูแล้วยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่
ให้ตายสิ น่าแกล้งชะมัด
          ชิบ เหมือนน้องจะเงยหน้าขึ้นแล้ว..ขอก้มก่อน ๆ

          เดี๋ยวนะ... ไม่ได้สบตาตรง ๆ กันนี่หว่า ถึงน้องจะเห็นก็เถอะ แต่ตอนนี้คนแน่นจะตาย เขาคงไม่รู้หรอกมั้งว่าผมโฟกัสอะไร อาจจะเข้าใจว่าผมไม่ได้มองเจ้าตัวก็ได้

          พอเงยหน้าขึ้นไปหัวใจก็เหมือนกระตุกวูบทันที.... เชี่ย อยากยกมือขึ้นมากุมใจ
          น้องสบตากับผมอะ น้องสบตาผม!!
          คือถ้าไม่ติดที่กลัวว่ายิ้มแล้วจะเหยื่อจะรู้ตัวหลุดป่านนี้ผมยิ้มปากฉีกแถมแหกปากกรีดร้องไปแล้ว อ๊ะ เมื่อกี้เจ้าตัวเล็กแอบสะดุ้งนิด ๆ อยู่เหมือนกันหลังจากที่รู้ตัวว่าดันเผลอสบตากับผมเข้า
          แต่ระดับนี้แล้วครับ  ผมรักษามาดนิ่งสงบสยบคนตัวเล็กโดนการที่ทำว่าโฟกัสที่อื่นที่ไม่ใช่เจ้าตัวด้วยแอคติ้งขั้นเทพ
          เชิญน้องมองต่อได้ครับ..พี่ไม่รู้ไม่เห็นใด ๆ ทั้งสิ้น มองฟรีไม่มีค่าธรรมเนียม
          ตอนนี้ช่วงโปรโมชั่น เอาไว้หลังจากรู้จักกันแล้วค่อยคิดราคาแทนเนอะ หึหึ
 

          ผมแอบลองมองเขาโดยที่ทำเป็นพักสายตาจากหนังสือที่อ่านบ้าง
          ส่วนเขาก็แอบมองผมตลอดเวลา (ผ่านกระจกหน้าต่างนั่นแหละ ... พี่รู้ตัวนะครับน้อง)
          ไม่ทันไรเผลออีกทีคนตัวเล็กก็สะดุ้งแล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนเตรียมหาทางออกเพื่อจะลงสถานีหน้า
          ...สถานีศูนย์สิริกิติ์

          เป็นไงล่ะ บอกแล้วว่าอย่างน้องนี่ต้องไปงานหนังสือชัวร์ ๆ
          ผมยังคง(แกล้ง)อ่านหนังสือต่อไปแบบไม่สนใจใคร แต่พอขบวนรถเข้าจอดที่สถานีผมก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคนตัวเล็กที่เดินลากกระเป๋าคอตกพร้อมกับทำหน้าหงอย ๆ ออกไปแบบไม่ให้เข้ารู้ตัว

          ไม่ได้สิ...ต้องให้เขารู้ตัวว่าผมลงสถานีนี้ด้วยนี่หว่า เผื่อเขาจะได้เดินตามผมมาเลย เมี้ยว ๆ

          ผมแกล้งเดินช้า ๆ ผ่านน้องเขา ในมือยังคงถือหนังสือไว้อยู่ ทำเป็นเดินมองนู่นนี่นั่นไปตามประสา 

          จู่ ๆ น้องตัวเล็กก็ทำท่าเป็นรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคุยเสียงงุ้งงิ้ง 
          หึหึ น้องครับ ไม่มีเสียงหรือมีสั่นสักนิดเลยหรอ รู้ได้ไงเนี่ยว่ามีคนโทรมา แอคติ้งยังไม่เนียนควรเรียนมาใหม่นะครับ (เห็นแบบนี้ผมเคยผ่านคลาสแอคติ้งมานะ) แต่เอาเป็นว่าตอนนี้น้องทำอะไรก็น่ารักไปหมดในสายตาผม
          พอลอบมองไปที่กระจกด้านข้างสถานี ผมก็อดขำไม่ได้ เจ้าตัวยังคงทำทีเป็นคุยโทรศัพท์กับปลายสายแต่สายตานี่ต้องผมเขม็งเลย โอย อยากหันกลับไปลูบหัวลูบหู เอ็นดู้!
         

          ขนาดผมเดินช้าชนิดที่ถ้าเป็นคนอื่นคงด่าในใจเละไปแล้ว แต่น้องก็ยังมานะเดินตามผมมาต้อย ๆ นี่หลอกจับตัวไปขายได้ง่ายมากเลยนะเนี่ย ตอนขึ้นบันไดเลื่อนนี่ก็เกาะขอบแน่นตัวเกร็งไปหมด (อยากหอมหัว!) จนผมเกือบหันไปถามแล้วว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
          แต่ทันทีที่เดินเข้ามาในงาน เจ้าตัวเล็กกลับเดินก้มหน้าก้มตาสนใจกระดาษในมือแทน ไม่เงยหน้ามาสนใจผมแล้ว ...อ้าว ได้ไงอะ!
          ผมทำเป็นแอบปล่อยหนังสือที่ถือมาลงกับพื้น (โทษ ๆ หลุดมือ) จากนั้นก็หยุดเดินแล้วก้มลงเก็บ เจ้าตัวเล็กที่เดินก้มหน้าก้มตา
มองแต่กระดาษไม่สนใจใครเกือบเหยียบผมแล้ว ดีนะชะงักทันไม่งั้นเสื้อผมคงได้รอยประทับกลับไปเป็นที่ระลึก

          นี่ทุ่มทุนสร้างไปมั้ยอะ

          สองตากลมโตด้านหลังเลนส์แว่นนั่นดูตกใจพอสมควร เขาก้มหัวขอโทษรัว ๆ ผมยิ้มให้นิด ๆ ก่อนจะทำทีเป็นออกเดินเข้างานต่อ ถามว่าทำไมไม่รอน้องไปก่อนน่ะหรอ...ก็เขาเดินตามผมอะ! ให้ทำไง
          ผมเดินเข้ามาตามทางเรื่อย ๆ เมื่อลอบมองไปด้านหลังยังเห็นกระเป๋าลากใบโตแวบ ๆ ทางหางตาแสดงว่าเขาก็เดินมาทางนี้เหมือนกันแน่นอน
          หึ ผมแกล้งเดินตรงไปเข้าห้องน้ำชาย...อยากเห็นจังว่าจะยังเดินตามเข้ามาอีกมั้ยนะ
          ...อ้าว ไม่แหะ เหมือนสติน้องกลับเข้าร่างแล้วอะ
          ผมทันเห็นเขาสะบัดหัวด๊อกแด๊กไปมา พร้อมกับเอามือตบแก้มป่อง ๆ แล้วลากกระเป๋าใบโตเดินออกไป


          ง่ะ อดแกล้งเลย


          ทันทีที่เขาเดินเลี้ยวไปผมก็รีบหันหลังกลับจากห้องน้ำลอบสังเกตเขาแทน
          ภาพที่เห็นตอนนี้ชวนขำอยู่ไม่น้อย เจ้าตัวเล็กพยายามที่จะแบกกระเป๋าลากใบโตขึ้นบันไดทีละขั้น คือแค่กระเป๋านี่ก็สูงเกือบถึงเอวเจ้าตัวแล้วนะ พอไปได้ไม่กี่ขั้นเขาก็หยุดยืนเอามือเท้าเอวก้มตัวหอบนิด ๆ
          เพลงมา...ฮีโร่ต้องมาแล้วปะล่ะ ฮั่นน่อว
          ไม่รอช้า ผมเดินเข้าไปหาเขาแล้วยื่นมือไปช่วยยกกระเป๋าใบโตของเขาขึ้นบันไดให้ แอบบ่นเขาเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง คือถ้าสมมติร่วงไปแล้วกระเป๋าทับนี่...มีเจ็บแน่นอน
          ตอนแรกเจ้าตัวก็ดูตกใจนิด ๆ แต่พอเห็นว่าผมมีเจตนาดีก็ไม่ได้บ่นอะไร (หรือบ่นในใจ?) เมื่อถึงขั้นบนสุดเขาก็คว้ากระเป๋ากลับคืนพลางก้มหัวพูดขอบคุณผมด้วยความรวดเร็วก่อนจะรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งลากกระเป๋าใบโตเข้างานไป
          น้องครับ...พี่เห็นแก้มเราแดงนะนั่น

 



          เป้าหมายแรกของผมคือโซน Plenary Hall

          ไม่ใช่สิ... เอาเป็นว่าเป้าหมายของเขาก็คือหมายของผมนั่นแหละ เหมือนกันเหมือนกัน
          อย่างที่บอกแล้วว่าผมก็ชอบอ่านหนังสือนะ ชอบสะสมด้วย พวกการ์ตูนญี่ปุ่นผมก็อ่านนะ พวกเพื่อนมหาลัยบางคนก็ยังอ่านอยู่เหมือนกันเลยไม่คิดว่าแปลกอะไร เพราะมันมีเรื่องที่ตามมาตั้งแต่สมัยประถมแล้วมันยังไม่จบนี่สิ!
          อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นน้องเขาตรงไปที่บูธสนพ.พิมพ์ที่มีการ์ตูนหลายเรื่องที่ผมตามอยู่พอดี
          แหม บังเอิญจังเนอะ หึหึ

          ผมลอบมองเขาจากด้านนอกบูธ น้องพุ่งเข้าไปที่ชั้นวางหนังสือแบบมีเป้าหมาย ก่อนจะหยิบหนังสือการ์ตูนมาพลิกไปพลิกมาแล้วก็วาง สลับไปมาหลายรอบจนกว่าจะได้เล่มที่พอใจแล้วก็เดินไปหาเรื่องอื่นแล้วก็ทำแบบเดิม จนอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่กำลังเล่นอะไรอยู่เนี่ย
          พอดีกับที่เห็นว่าน้องกำลังเลือกการ์ตูนภาคต่อเรื่องนึงที่ผมก็ตามอยู่เหมือนกัน ไหน ๆ ก็เพิ่งมีเล่มใหม่ออกมา ผมเลยเดินเข้าไปด้านหลังน้องเขาแล้วเลือกหยิบออกมาบ้าง
          อืม...กลิ่นหนังสือการ์ตูนตรงหน้านี่...หอมเป็นพิเศษเลยแหะ

          ผมเพิ่งรู้ว่าน้องกำลังเลือกเล่มที่ไม่มีตำหนิ ถึงจะมีแค่จุดเล็ก ๆ น้องก็บอกว่ามันมีตำหนิ จริง ๆ ในใจผมก็อดขำในความงอแงนั่นไม่ได้นะ เลยเผลอแกล้งเขาไปนิดนึง จนเจ้าตัวเผลอแสดงสีหน้าออกมาหลากหลายไหนจะดูน้อยใจ ไหนจะโกรธด้วย (ปากเม้มแก้มป่อง ดุได้น่ากลัวมากครับ) แต่หนักเข้าผมก็เห็นว่านัยน์ตาน้องเริ่มสั่นแปลก ๆ เลยรีบยอมแพ้ส่งหนังสือในมือที่เขาอยากได้ให้ไป แล้วหันไปหยิบเล่มอื่นมาแทน

          แต่เอาเป็นว่าหลังจากนี้ผมจะไม่ซื้อเรื่องนี้ต่อแล้วนะ พร้อมกับจะเอาเล่มที่มีอยู่ที่บ้านไปบริจาคทั้งหมดเลยด้วย...ไม่งั้นพอถึงวันที่เราอยู่ด้วยกันมันก็มีซ้ำสองชุดน่ะสิ! 

          ของของ(ว่าที่)แฟนก็เหมือนของเรานั่นแหละเนอะ!
          ก่อนที่จะเดินออกไปจ่ายเงิน ผมอดยื่นมือเอาหนังสือไปเคาะเบา ๆ ที่หัวทุย ๆ นั่นไม่ได้
          ก็แหม มันเขี้ยวอะ เด็กน้อยนี่มันเด็กน้อยจริง ๆ

 



          หลังจากที่แอบหลบมุมดูหนังสืออยู่บูธไม่ไกลกันนัก ผมก็ลอบเดินตามหลังน้องออกมาห่าง ๆ ไม่ให้เขารู้ตัว พอก้มดูเวลาก็ยังเห็นว่ายังมีเวลาเหลือเฟือ ผมก็เดินดูหนังสือบูธนั้นบูธนี้แต่ก็ไม่ให้น้องคลาดไปจากสายตา ส่วนเจ้าตัวนั้นพอฟึดฟัดแง้ว ๆ กับผมเสร็จก็กลับไปลั้นลากับการช็อปต่อโดยไม่สนใจอะไรเลย เรียกได้ว่าพุ่งไปแบบมีจุดหมาย ลิสต์ในมือนั่นท่าจะยาวเหยียดแน่นอน

          บูธที่สองน้องก็ทำผมเซอร์ไพรส์ไม่แพ้บูธแรก ....

          บนไวนิลมีรูปผู้ชายคู่กันเด่นหรา แถมปกหนังสือทุกปกก็มีแต่ผู้ชายขึ้นปกคู่กัน แต่ดูแล้วน้องเขาก็หาได้แคร์ไม่ เจ้าตัวเดินลากกระเป๋าเข้าไป คว้าหยิบหนังสือโดยไม่มีการลังเลพร้อมกับเข้าสู่โหมดออโต้พลิกหนังสือไปมาเหมือนเดิม โดยที่ไม่มีการพลิกอ่านปกหลังเลยสักนิด
          ดูท่าว่าเจ้าตัวนี่คงชอบอะไรแบบนี้สินะ...ณ จุดนี้เหมือนผมได้รับฮีลจากนางฟ้าเลยครับ แสดงว่าถ้าผมลองจีบเขาจริงก็น่าจะพอมีโอกาสบ้างสินะ หึหึ
          “เอ่อ..ถ้าสนใจเล่มไหนหนูแนะนำได้นะคะพี่”
          จู่ ๆ น้องพนักงานผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนนึงก็เดินเข้ามาแล้วถามผมแบบอาย ๆ คือด้วยความที่บูธนี้ใหญ่พอสมควรแถมยังมีคนเข้ามารุมดูหนังสืออยู่ทำให้ผมแอบมองน้องห่าง ๆ ได้ แต่ไม่คิดว่าจะมีพนักงานเข้ามาจู่โจมขนาดนี้มั้ยล่ะ
          “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูเองดีกว่า”  พร้อมกับส่งรอยยิ้มการค้ากลับไป : )
          “ค่ะ ๆ สงสัยอะไรสอบถามได้เลยนะคะ” 
          ผมหันกลับไปชะเง้อมองหาน้องอีกครั้ง แต่ก็แอบประหลาดใจที่เห็นน้องเขากำลังยืนคุยงุ้งงิ้งกับเด็กผู้ชายตัวพอ ๆ กับน้อง หน้าตาค่อนไปทางน่ารักคนนึง (สำหรับผมแล้วตอนนี้น้องน่ารักที่สุด!) เดี๋ยว ๆ ยิ้มกว้างไปแล้วครับน้อง ทำไมดูแฮปปี้ดี๊ด๊าขนาดนั้นอะเฮ้ย! คุยอะไรกันวะ! อยากมีส่วนร่วมด้วยอะ
          ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้ผมยังเป็นคนแปลกหน้าสำหรับน้องเขาอยู่ (จะร้องไห้) ผมอยากเดินเข้าไปแยกสองคนนั้นออกจากกันแล้ว ถึงจะดู ๆ ไปก็ดูไม่มีสัญญาณอันตรายอะไรก็เถอะนะ เหมือนลูกแมวสองตัวคุยกันงุ้งงิ้งมากกว่า แน่นอนว่าลูกแมวของผมน่ารักกว่าอยู่แล้ว
          ผมแอบดูสองคนนั้นเขาคุยเล่นกันไปหยิบหนังสือใส่ตะกร้ากันไป จนกระทั่งได้เกือบเต็มตะกร้า เมื่อตัวเล็กเดินไปจ่ายเงินผมก็เดินออกจากบูธไปรอด้านนอก พอแอบดูอีกทีก็เห็นสองคนนั้นทำท่าเหมือนกับแลกคอนแทคติดต่อกันไว้อีก ...ได้ไงอะ!

          หรือผมจะลองไปเต๊าะขอจากน้องนั่นดี
          ไม่ ไม่ ไม่! เราจะต้องพยายามด้วยตัวเองดิวะ ให้รู้ซะบ้างว่านี่ใคร!

 

          หลังจากออกมาจากบูธนิยายวายบูธแรก น้องก็ลากกระเป๋าพุ่งตรงไปยังบูธนิยายวายบูธที่สอง เดินเข้าไปเลือก เก็บใส่กระเป๋า จากนั้นก็พุ่งไปที่บูธนิยายวายบูธที่สาม สี่และห้าต่อโดยไม่หยุดพักสักนิด ผมนี่โคตรจะนับถือในความแข็งแกร่งของเขาจริง ๆ ไปเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะกันฮะ! เจ้าตัวที่แบกกระเป๋าขึ้นบันไดเมื่อกี้ไม่ไหวไปอยู่ไหนแล้ว!
          ไม่นานนักเจ้าตัวเล็กก็เดินเก็บตามลิสต์จนดูท่าว่าจะพอใจแล้ว เขาลากกระเป๋าใบโตเข้ามานั่งพักด้านข้างร้านขายน้ำ พลางเปิดกระเป๋าขึ้นมาดูหนังสือข้างในควบคู่ไปกับดูกระดาษที่จดลิสต์ไว้ เหนื่อยมั้ยล่ะนั่น
          ผมแอบเดินอ้อมไปสั่งน้ำที่ร้านใกล้ ๆ กับที่น้องนั่ง ไม่รู้หรอกว่าน้องชอบดื่มอะไรเลยเลือกน้ำหวาน ๆ อย่างนมเย็นปั่นหวังว่าจะช่วยให้เขาสดชื่นมีแรงขึ้นหน่อย ก่อนจะ(ใช้หน้าตา)อ้อนวอนให้พี่พนักงานช่วยตีเนียนเอาน้ำไปให้น้องเขาที ผมแสดงเจตนาดีว่าไม่ได้จะล่อลวงน้องไปไหนนะ...แค่อยากรู้จัก อยากเทคแคร์น้องเขาเฉย ๆ  ถ้าผมเอาไปให้เองนี่น้องคงไม่ยอมรับไปแน่นอน
          โชคดีที่ต้องนี้ในร้านไม่ยุ่งมาก พี่พนักงานเขาเลยยิ้ม ๆ แล้วยอมทำตามที่ผมขอโดยการที่ไปถามน้องเขาว่าใช้โทรศัพท์มือถือเครือข่ายอะไร จากนั้นก็บอกว่าพอดีที่ร้านมีโปรโมชั่นพอดี สามารถบอกเบอร์โทรศัพท์เพื่อรับสิทธิ์รับน้ำปั่นฟรีได้เลย
          ใช่ครับ...น้องตกหลุมอย่างจังจนผมอดกุมขมับไม่ได้ โดนหลอกง่ายไปมั้ยเนี่ยหนู
          ถึงจะดีใจก็เหอะที่พี่พนักงานเขาแสดงเล่นใหญ่ยิ่งกว่ารัชดาลัยจนแอบจำเบอร์โทรศัพท์น้องเขามาบอกผมได้เนี่ย นับถือจริง ๆ
          จริง ๆ ผมก็อยากขอกับน้องเขาเองนะ...ดูความหวังนี่ริบหรี่เหลือเกิน เพราะงั้นขอเมมไว้ก่อนก็แล้วกัน


          ‘เจ้าตัวน่ารัก <3’
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีที่ 3 <UP>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 09-04-2019 17:43:03
     
           หลังจากที่น้องนั่งพักพลางดื่มน้ำที่ผมแอบซื้อให้เรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ เจ้าตัวก็รีบลุกขึ้นคว้ากระเป๋าออกเดินต่อ ผมแอบเห็นคนที่มานั่งต่อเป็นสองแม่ลูกที่ดูท่าว่าจะกำลังหาที่นั่งอยู่พอดี แต่มีเก้าอี้เหลือเพียงตัวเดียว เด็กดีของผมเลยสละที่นั่งลุกให้แทน ทำไมน่ารักขนาดนี้เนี่ย

          ตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว ตอนแรกผมคิดว่าเขาคงจะออกไปกินข้าวกลางวัน แต่แทนที่น้องเขาจะไปนั่งหาอะไรกินในแคนทีนกลับเดินเตาะแตะมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาหนังสือบางอย่างอยู่
          ผมยังคงลอบเดินตามเขามาห่าง ๆ จนกระทั่งเห็นคนตัวเล็กตรงหน้าเดินมึน ๆ เข้าไปที่บูธของสนพ.ที่มีหนังสือเตรียมสอบขายอยู่ มองเห็นน้องพนักหน้าหงึก ๆ เออ ๆ ออ ๆ ฟังที่พี่พนักงานเขาแนะนำก่อนจะเกาหัวแกร๊ก ๆ เหมือนไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไงดี

          เหมือนนางฟ้ามอบโมเม้นต์นี้มาให้ผมอะ

          คราวนี้ผมรีบเดินไปหยิบหนังสือเตรียมสอบที่ตัวเองเคยอ่านตอนเตรียมตัวเข้ามหาลัยมาก่อน แล้วยื่นให้คนตรงหน้า เชื่อได้เลยว่าเขาต้องชอบ
          “น้องกระเป๋าลาก สามเล่มนี้ดีนะ... มีสรุปเข้าใจง่าย” สาบานได้ว่าผมไม่ได้กวนตีนนะ ก็ไม่รู้ชื่อน้องเขานี่นา
          “อะไร..ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ พี่อ่านพวกนี้ก่อนสอบ ก็เข้าใจง่ายดี”
        ทำไมน้องมองหน้าผมแบบระแวง ๆ อะ! เสียใจนะเนี่ย!

          หลังจากที่เจ้าตัวพลิกดูตัวอย่างการเขียนสรุปจนพอใจ ดูท่าว่าเขาจะสนใจอยู่เหมือนกัน เป็นไงล่ะ พอดีกับที่ผมเห็นป้ายโปรโมชั่นเลยเอื้อมไปหยิบเล่มที่เหมือนกันมาอีกสองเล่มแล้วหาเรื่องขอหนังสือน้องไปจ่ายเงินให้ ไปไงล่ะ สายเปย์ปะล่ะ
          น้องดูทำหน้างง ๆ พอสมควรที่เห็นผมจะซื้อด้วย เอาไงดีวะ...
          “นี่ซื้อไปให้น้องนะ กำลังจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยเหมือนกัน” ถึงจะเป็นน้องเพื่อนที่เพิ่งขึ้นม. 4 ก็เหอะ เดี๋ยวก็ต้องใช้น่า ก็ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยเหมือนกันแหละ
          ผมลองชวนเขาคุยดูสักพัก ดูท่าว่าจะสนใจอยากเป็นครูแหะ ผมเลยลองโน้มน้าวให้เขามาลองสอบเข้าที่มหาลัยผมดู

          เรื่องเรียนในคณะก็ส่วนนึงครับ...แต่เหตุผลจริง ๆ น่ะหรอ


          ก็... ถ้าน้องเลือกเขาครุ จุฬาได้จริง ๆ
          คณะเขาจะอยู่ข้างคณะผมเลยไง แหม...แค่คิดก็ฟินแล้วครับ


          “เอ้า นี่หนังสือเรา” พอ(มัดมือชก)หยิบหนังสือเขารวมไปจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ ผมก็ส่งหนังสือให้เขาไป 4 เล่ม โดยที่ 3 เล่มแรกเป็นเล่มที่ผมแนะนำให้ ส่วนอีกเล่มน่ะหรอ....เพิ่งแอบหยิบเพิ่มตอนก่อนจะไปจ่ายเงินเมื้อกี้นั่นแหละ
          “อ๋อ เล่มนี้พี่ที่บูธเขาแถมมาให้น่ะ” ซะเมื่อไหร่ ..โปรโมชั่นอะไรไม่มีทั้งนั้นอะครับน้อง
          เปย์เองล้วน ๆ เพื่อการศึกษาครับ เพื่อการศึกษา
           “ไม่เชื่อลองไปถามดูเลยไป” น้องจ้องผมนิ่งเลยอะ หรือผมไม่เนียนวะ?
          “ครับ ๆ แถมก็แถม ขอบคุณครับ ของผมเท่าไรอะ”
          “สามร้อย” หนังสือสี่เล่ม... จากพันนึง เหลือแค่สามร้อย ลดไปได้ตั้งเกือบ 70% โปรฯ ดีขนาดนี้หาที่บูธไหนก็ไม่มีนะครับน้อง
          คือจริง ๆ แล้วผมจะออกให้หมดเลยก็ได้นะ แต่มันก็เกินไปปะที่จู่ ๆ คนแปลกหน้าจะซื้อของให้ฟรี ๆ ผมกลัวของระแวงจนวิ่งหนีเตลิดไปเลยอะ
          “แต่ในปกนี่ปาไปเล่มละสองร้อยกว่าแล้วนะพี่” 
          “เออน่า งอแงจริง บอกว่าสามร้อยก็สามร้อยสิ” ผมแกล้งทำหน้าดุจนน้องเขาต้องยอมให้
          หลังจากเคลียกันเรียบร้อย ผมก็แกล้งเรียกเขาว่าน้องกระเป๋าก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ากระเป๋าลากใบโตของเขาเดินนำลิ่ว ๆ ออกไปยัง MRT อย่างอารมณ์ดี


          ข้าวกลางวันไม่ต้องกินแล้วก็ได้ ปลื้มปริ่มอิ่มใจจังเลยครับ   



        - บน MRT -
          ผมกดตัดสายโทรศัพท์ที่เข้ามาถี่ ๆ ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา ก็เข้าใจความรู้สึกของซินเดอเรลล่าที่หมดเวลาสำหรับงานเลี้ยงเต้นรำแล้วครับ ไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาประชุมแล้วด้วย
          ยังไม่พอ...อยากรู้จักน้องเขามากขึ้นกว่านี้อีก
          เขาเริ่มเปิดใจคุยกับผมมากขึ้น แต่ช่วงเวลาสองนาทีระหว่างสถานีกลับกลายเป็นเวลาที่สั้นมาก สถานีแล้วสถานีเล่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ถึงสถานีที่ผมต้องลงแล้ว
          ก่อนจะลงจากรถผมไม่ลืมหันไปถามชื่อน้องเขา ก่อนที่อะไรไม่รู้จะดลใจให้ผมดันเผลอตีเนียนยกมือขึ้นมาลูบหัวน้องเขาอีก

          หมอไม่ต้องมาวินิจฉัยก็รู้เลยว่าผมมีการอาการหลงเด็กระยะแรกเริ่มแล้ว ดูท่าว่าจะโคม่าขึ้นเรื่อย ๆ

          หัวใจ...เต้นช้าหน่อยได้มั้ยมึง




          ติ๊ด ๆ

          ผมรีบเดินออกจากขบวนรถด้วยความเขินนิด ๆ ยิ่งพอมองกลับเข้าไปแล้วเห็นน้องมองมาทางนี้เหมือนกัน ในขณะที่มือก็เผลอเอื้อมไปจับหัวทุย ๆ ของตัวเอง โคตรน่าเอ็นดูเลยมั้ยล่ะ

          ผมโบกมือลาเขาพร้อมกับยิ้มออกมา ก่อนที่ขบวนรถจะแล่นออกไป แต่ไม่ทันไรเสียงมือถือก็ดังแทรกขึ้นมาขัดจังหวะทันที

          ไอ้เพื่อนเวรนั่นแน่ ๆ ไลน์ตามไม่หยุดมาสักพักแล้ว พอเห็นว่าผมไม่อ่านไม่ตอบเลยโทรจิกให้ผมรับสายแทน
          เฮ้อ เหมือนโดนดึงกลับสู่โลกความจริง


          หลังจากที่วางสายไอ้เซสเพื่อนสนิทผมก็แวะซื้อขนมปังเป็นมื้อเที่ยงง่าย ๆ พลางเดินกลับไปที่คณะ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้าไอจีตัวเองลงรูปที่ได้ถ่ายมาวันนี้

          เสร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะเข้าเมนู....



          ค้นหา บัญชีผู้ใช้  Book’worm   


          ยอมรับว่าขี้เสือกนิด ๆ ใครใช้ให้เขาตั้งชื่อไอจีจำง่ายขนาดนี้เนี่ย

        คือจังหวะบน MRT เมื่อกี้ที่น้องเขาเข้าไอจีตัวเองแล้วผมดันมาเห็น สิ่งแรกเลยที่ผมโฟกัสคือชื่อไอจีเขา แล้วก็เห็นรูปในไอจีแบบผ่าน ๆ พอมองออกว่าเขาชอบถ่ายรูปด้วย ทั้งมุมกล้อง โทนสี สตอรี่ของแต่ละภาพจัดว่าดูน่าสนใจเลยทีเดียว ก่อนที่เจ้าตัวจะแอบไม่ให้ผมดูอ่านะ

          ผมขำออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นตัวการ์ตูนหนอนใส่แว่นตาอันโตที่เป็นรูปโปรไฟล์ของเขาแล้วจึงเลื่อนดูภาพที่เขาอัปวันนี้ โห...เยอะมากครับน้อง คือถ้าฟอลไอจีเข้าไว้นี่คงเห็นความเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลาเลยทีเดียว


          รูปแรกของวันนี้เป็นรูปกระเป๋าใบโตที่ถ่ายติดรองเท้าจากมุมบน
          Book’worm ‘แหกขี้ตาขึ้นรถตู้ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า ขี้เกียจขึ้นรถตู้ ใครมีใบวาร์ปเข้ากรุงเทพฯ ขาย DM มาได้เลยครับบบบ ’

          รูปที่สองเป็นรูป….ผม เฮ้ยยยย น้องแอบถ่ายผมอะ อันนี้ตอนไหนไม่รู้ตัวจริง ๆ ตอนนั้นผมกำลังยืนแกล้งทำท่าเป็นก้มหน้าพิงผนังอ่านหนังสือในมือ มือข้างนึงล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ โหย ใครวะ หล่อเป็นบ้าเลย
          Book’worm ‘ออร่าคนหล่อทิ่มตา โคตรเท่เป็นบ้าเลยคนอะไร อยากบอกว่า MRT วันนี้ #สถานีดีต่อใจ มากกกกกกกก’
 

          โอ้โห มีการตั้งแฮชแท็กให้ซะด้วย 5555


          รูปที่สามเป็นรูปกระเป๋าลากที่ถ่ายกับป้ายงาน เห็นภาพเป็นเส้นสีจาง ๆ ที่เกิดจากคนเดินผ่านไปมา ดูท่าว่าคงตั้งสปีดชัตเตอร์ถ่ายสักพัก
          Book’worm ‘กายพร้อม ไตพร้อม เราเปย์ได้ \(^O^ )Z !?!’

          รูปที่สี่เป็นรูปหนังสือการ์ตูนแหะ เล่มที่ผมแอบแกล้งไม่ยกให้น้องนั่นแหละ แล้วก็ยังมีเล่มอื่น ๆ อีกสี่ห้าเล่ม
          Book’worm ‘มี ตำ หนิ TTOTT!!! แต่มีคนบอกว่าอย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก   (แต่ถ้าปกสวยก็...ซื้อนะ)’

          ยังครับยังไม่หมด


          รูปที่ห้าเป็นรูปแก้วนมเย็นที่ผมแอบซื้อให้เจ้าตัว ภาพพื้นหลังละลายจนเห็นเป็นโบเก้กลม ๆ ช่วยให้แก้วนมเย็นดูน่าสนใจกว่าเดิม
          Book’worm ‘นมเย็นสีจมปูว แก้วนี้ได้ฟรี ชื่นใจเป็นบ้า ขอบคุณโปรโมชั่นดี ๆ ด้วยนะครับ’
         
          รูปที่หกเป็นรูปกระเป๋าลาก ข้างในมีทั้งหนังสือ ทั้งบ็อกเซตเกือบเต็มกระเป๋า ดูท่าว่าจะเสียหายหนักนะเนี่ย ที่แปลกใจคือ...เราลากไหวได้ยังไงกันนะ
          Book’worm ‘กองนี้คือมีหมื่นหมดหมื่น มีแสนหมดแสน ...ส่วนที่ยังไม่มีแฟนนี่คือเราเอง //เดี๋ยว ๆ’


          เอ่อ…. อย่างงี้ก็ได้หรอ ฮ่า ๆ
          แต่ก็เอาเป็นว่า...น้องโสดครับ น้องโสดดดดดด ฮิ้วว


          รูปที่เจ็ดเป็นภาพผม… น้องถ่ายผมออกมาหล่ออีกแล้ว ตอนนั้นเรากำลังยืนรอ MRT เขาถ่ายภาพผมที่หันหลังให้เขาในมือก้มหน้าดูข้อความในไลน์  เงาสะท้อนกระจกด้านหลังติดภาพคนตัวเล็กที่กำลังยกมือถือขึ้นมาถ่ายอยู่ด้วย
          ผมลอบขำเบา ๆ เมื่อเห็นแคปชั่นภาพนี้ แม่ง เขินว่ะ
          Book’worm ‘เหมือนชาติที่แล้วทำบุญมาดี มีคนช่วยถือกระเป๋าให้ ไม่ต้องแบกเอง เย่! หล่อแถมยังใจดีอีกนะเนี่ย ป.ล. นี่คือพี่ที่ยืนอ่านหนังสือคนเดิม (บังเอิญจังเลยเนอะ) ณ จุดนี่พี่แม่งเท่ขึ้น 90% แล้ว  #สถานีดีต่อใจ

         
          ผมยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นภาพสุดท้ายที่เพิ่งอัปเมื่อสองนาทีที่แล้ว
          เป็นภาพที่ผมนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาใน MRT ขากลับ ด้านข้างผมมีกระเป๋าใบโตของเจ้าตัวอยู่ด้วย น้องเขาแอบถ่ายผมทีเผลออีกแล้ว
          Book’worm ‘ขอบคุณพี่เมะ MRT สำหรับวันนี้ด้วยนะครับ น่าจะจำงานหนังสือปีนี้ไปอีกนาน #สถานีดีต่อใจ



        ให้ตายสิ...แค่นี้พี่ก็หลงจะตายอยู่แล้ว!
        เจ้าตัวเล็กนี่จะทำตัวน่ารักไปไหน อยากบอกว่าน้องก็ "ดีต่อใจ" พี่ด้วยเหมือนกันครับ

     

_______________________________________________________________________


          ผมเหม่อมองเห็นบ้านเรือนและรถยนต์ที่เลื่อนผ่านไปตามความเร็วของรถไฟ เงยหน้ามองปุยเมฆสีขาวตัดกับฟ้าใส แดดร้อนยังไม่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายเท่ากับความรู้สึกในตอนนี้ ผมถอนหายใจออกมานิด ๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเข้าไอจีตัวเองอีกครั้ง

          จู่ ๆ ก็อยากเติมแฮชแท็กให้ทุกภาพในวันนี้...ผมลบภาพพี่ตัวโตออกไปจากสมองไม่ได้เลย
          คือเวลาที่เราอยากย้อนกลับมาดู มันหาง่ายมากเลยนะ เหมือนสร้างโฟลเดอร์ให้อัลบั้มภาพนั่นแหละ

          ผมเข้าไปแก้ไขข้อความในภาพที่อัปวันนี้ทุกภาพ เติมแฮชแท็กที่คิดได้เมื่อเช้าหลังจากที่เจอพี่เมะร่างสูงลงไป
          จริง ๆ ตอนแรกที่ตั้งก็ไม่ได้คิดอะไรนะ...ขำ ๆ มากกว่า พอดูตอนนี้นี้มัน...น่าอายชะมัด พิมพ์ไปได้ไงวะเนี่ย


          หืมมมม…. ไม่คิดว่าจะมีคนใช้แฮชแท็กนี้เหมือนกันนะ ได้ไงอะ ผมจองแล้วนะเฮ้ย! หวงด้วย! 
          ผมกดเข้าไปส่องดูภาพที่เข้ามาใช้แฮชแท็ก #สถานีดีต่อใจ ของผมด้วยความหงุดหงิด


          ...เดี๋ยวนะ ทำไมมันคุ้น ๆ วะ

 

          ภาพแรกเป็นภาพ….ผม! เฮ้ย!?! ถึงจะเห็นแค่ด้านหลังก็รู้อะว่านี่มันผมเอง ตอนนั้นสภาพโคตรแย่เลย กำลังปลุกปล้ำหิ้วกระเป๋าลากขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล ตัวนี่เอียงไปข้างนึงเลย
          IN.me ‘ฮึบ ๆ จะกลิ้งลงมาทั้งคนทั้งกระเป๋ามั้ย ...เดี๋ยวพี่ไปช่วยนะตัวเล็ก ^ ^ #สถานีดีต่อใจ
          ZESSi ‘พี่ช่วยรีบวาร์ปกลับมาคณะหน่อยได้มั้ยครับ ไอ้สัสนี่ รอมึงคนเดียวเนี่ย! โว้ยยยยย’
          IN.me ‘@ZESSi รีบอ่อ กูเห็นประธานแม่งยังต่อคิวซื้อน้ำอยู่ที่โรงอาหารอยู่เลย’

          ส่วนอีกภาพที่คนแปลกหน้าคนนี้โพสต์ลงในแท็กผมเป็นภาพแก้วนมเย็นปั่นในมือของเจ้าของไอจี
              ...นี่มัน คุ้น ๆ เหมือนแก้วที่ผมได้ฟรีจากโปรเลยนี่หว่า

          IN.me ‘แอบอยากลองชิมบ้าง หวังว่าน้องจะ “ชอบ” นะครับ #สถานีดีต่อใจ
          ZESSi ‘...เพ้อเชี่ยอะไรของมึง! รีบกลับคณะด้วยโว้ยยยย’
          IN.me ‘@ZESSi ขอบล็อกมึงได้มั้ย...ในฐานะเฮดฝ่ายก็ได้เอ้า’
          PANGKawaii ‘อยากได้บ้างจัง ทั้งน้ำปั่น...ทั้งพี่’
          Booko ‘ขอ ชิม หน่อยได้มั้ยอ่า’
          IN.me ‘@PANGKawaii @Booko ขอโทษครับ มีเจ้าของแล้วทั้งคู่ครับ : )’



          เดี๋ยว ๆ… สมองแบล๊งเลยครับ ขอประมวลผลแป๊บนะ ฮืออออ

          สรุปก็คือว่า……..

 

          IN.me ได้เริ่มติดตามคุณ

          IN.me ถูกใจโพสต์ของคุณ
          IN.me ถูกใจโพสต์ของคุณ
          IN.me ถูกใจโพสต์ของคุณ
          IN.me ถูกใจโพสต์ของคุณ
          IN.me ถูกใจโพสต์ของคุณ
          IN.me ถูกใจโพสต์ของคุณ
          IN.me ถูกใจโพสต์ของคุณ

 

          IN.me ได้แสดงความคิดเห็น : ‘@ฺBook'worm ถ้าพี่เป็นเมะ...แล้วเราจะยอมมาเป็นเคะของพี่มั้ยล่ะ
          ป.ล. พี่ชื่อ พี่อินน์นะครับ น้องตัวเล็ก แบร่ : P ’

 


          ฮื้ออออออออออ ไอ้พี่เมะ!!!!!!!!

___________________________________________________________________________________

ป.ล. ของป.ล. แล้วเจอกันใหม่งานหนังสือคราวหน้านะครับ //จากพี่เอง :D
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: skies ที่ 09-04-2019 18:43:36
ไม่ไหว คือเขินไปหมดดด งื้ออออ พี่แกก็ร้ายอะ รู้ตั้งแต่แรกเลย 5555
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 09-04-2019 22:09:41
แหมมมมมมมมมม พี่อินน์คะะะะะะ นี่ก็เล่นใหญ่ จีบเก่ง โอ้ย เหม็นความร้ากกกกกกกกกกกกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 10-04-2019 00:23:38
อิพี่มันร้าย...ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย    ช๊อบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnanana21 ที่ 10-04-2019 17:01:25
โอ้ยยยย กุมใจ น่ารักไป๊
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-04-2019 22:08:38
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 10-04-2019 22:18:56
อิพี่มันร้ายยยยยยยยยยย ล่อลวงเด็กง่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 11-04-2019 00:26:46
 :o8:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-04-2019 16:00:55
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 11-04-2019 16:11:53
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 11-04-2019 21:49:03
ไม่ไหวแล้ว ใจละลาย น่ารักทั้งพี่ทั้งน้อง ขอตอนพิเศษเพิ่มอีกค่ะ ต่ออีกยาว ๆ เลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 14-04-2019 20:39:05
'จากที่เผลอลอบมองเขาบน MRT  จนตอนนี้กลายเป็นว่าผมโดนมนุษย์พี่เข้ามาวอแวในไอจีแทนแล้วครับ งื้อออ'


 อุปสรรคตอนนี้ของพวกเขาคือระยะทาง ต่างคนก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ถึงจะไม่ได้เจอหน้ากัน แต่ถ้าใจเราอยากคุยซะอย่าง...
อ่อยทางไกลบ้างก็ได้เนอะ :)

ป.ล. จะจีบแล้วนะ อย่าหาว่าไม่เตือน   



ค้นหาใน JOY>>> MRT | สถานีดีต่อใจ : After story


_________________________________________________________

  เรื่องราวหลักจบลงแล้ว.... แต่เรื่องของพวกเขาเพิ่งเริ่มต้นอีกครั้งหลังจากที่(อิ)พี่อินน์ฟอลไอจีบุ๊คไป

จอยอันนี้เป็นกิมมิคเล็ก ๆ ที่เราอยากขอบคุณที่มีคนชอบเรื่องราวของบุ๊คกับพี่เมะ ดีใจมาก ๆ เลยยย
แอบอยากบอกว่าเราอ่านของทุกคอมเม้นต์เลย อ่านไปยิ้มไป อ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ 55555
ดีใจที่มีคนชอบน้า เป็นกำลังใจได้เยอะเลย >< 
"สถานีดีต่อใจ"   เป็นนิยายวายคอมเมดี้เรื่องแรกที่แต่ง (แล้วจบ) แฮปปี้มากค่า
ตอนนี้กำลังเรียบเรียงพล็อตคู่อื่น ๆ อยู่ แต่แอบรู้สึกกดดันเพราะพี่อินน์ดันทำมาตรฐานพระเอก(ในใจ)สูงเกินไปแล้ว แง 
อยากได้บ้างอะไรบ้าง!!!! ความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ แฮ่

ขอพื้นที่โฆษณาอีกรอบ ใครเล่นทวิตมาคุยเล่นกันได้ที่ @Inomekii   
หรือใครอยากจะปาหนังสือ หวีดพี่ โอ๋น้อง  ก็สามารถติด #สถานีดีต่อใจ (ของน้องบุ๊ค) ได้เลยค่ะ  ^^
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: 15magnitude ที่ 15-04-2019 15:14:12
ร้ายมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: boobee ที่ 15-04-2019 17:15:31
ไม่ใช่แค่ สถานีดีต่อใจ แต่เรื่องสั้นเรื่องนี้ ดีต่อใจเรามากมาย คือน้องน่าร๊ากมากกกกก อยากจะจับมาฟัดแก้มซ้ายขวา เอ็นดูว์ อิพี่ก็ร้ายยยยยยย ทำไมเป็นคนแบบเน้ค่ะ หูยยย อยากอ่านต่อเป็นตอนพิเศษก็ได้น๊าาา อยากอ่านตอนน้องเข้ามหาลัยอะ งุ๊ยๆๆ  :hao6: // ชอบการบรรยายที่รู้สึกประหนึ่งไปเดินลากกระเป๋าในงานตามหาหนังสือ มีหมื่นหมดหมื่น มีแสนหมดแสน มีความขายไตเปย์หนังสือ มันใช่เลยยยยยยยย 
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 15-04-2019 17:21:03
งุ้ยยยยย ตามไปอ่านน้าาาา น่ารักมากๆเลย MRT จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เหม็นความรักกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: mintmink03 ที่ 15-04-2019 17:39:26
 :-[ มีความนว้องงงงแรงมากก น่ารักตะมุตะมิ มากเลยค่า หุบยิ้มไม่ได้เลยอ่ะ งืออออออ นั้ลล้าคคคคค
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: PoppyPrince ที่ 15-04-2019 17:47:47
น่ารักมากเลยค่ะ น้องบุ๊คสอบให้ติดครุที่มอเดียวกับพี่อินนะคะ เผื่อพี่จะได้เจอน้องบุ๊คในคณะ อิอิ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: mhaparn ที่ 15-04-2019 18:05:51
กรีดร้องหนักมาก เขิล >//<
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Sevenyour ที่ 15-04-2019 21:03:54
 :pig4: พี่อินดีงามมากค่าา
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: NoteZapZa ที่ 15-04-2019 21:45:00
#เรื่องนี้ดีต่อใจ   ขอเป็นเรื่องยาวเลยได้ไหมคะ อยากตามติดชีวิตน้อง ดูมีความบันเทิง   ส่วนพี่อินน์โว้ยยยยยยย จีบเก่ง อ่อยเก่ง กุมใจ เขินไปหมดแล้ว ต่อไปเวลาขึ้น MRT จะต้องคิดถึงน้องแน่ๆๆ เอ็นดู
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: momonuke ที่ 15-04-2019 23:18:39
กี้ดดดดด ฮือออ ไม่ไหวค่าาา น่ารักมากๆเลยยย กรี๊ดอัดหมอนแร้ว แงงงง
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: ปานกลาง ที่ 16-04-2019 02:11:33
คือดีต่อใจจริงๆค่ะ อยากมีแบบนี้บ้างงงงง พี่ไปงานหนังสือทำไมไม่เจอแบบนี้บ้างงงง ถ้าไปช่วงเดือนเมษาวันธรรมดาแสดงว่าน้องบุ๊คต้องมาเลือกซื้อนิยายวายกับพี่ซักบูธแล้วอ่ะ 555
ขอบคุณที่แต่งนิยายน่ารักๆมาให้อ่านนะคะ   :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: lalilali ที่ 16-04-2019 10:10:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: mrsnikiforov ที่ 16-04-2019 10:28:52
อรุ่มมม ชื่อแท็กน่ารักมากเลยค่ะ แงง สถานีดีต่อใจ ฮือออ
เอ็นดูวน้อนนโดนวางแผนตกโดยอิพี่มาแบบเนียนๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องน่ารักๆค่ะ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: ktyama ที่ 16-04-2019 12:06:02
พออ่านจบแล้วมัน ‘ดีต่อใจ’ จริงๆ //กุมมือถือในมือแน่นพร้อมก้มหน้าหวีดดด
น่ารักอ่ะ น้องงงงง  :-[
ขอบคุณนะคะผู้แต่ง^^
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 17-04-2019 08:07:04
น้องบุ๊คน่ารักมาก ๆ เอ็นดูการจะเป็นเมะสายหล่อ5555 ตาพี่นี่ก็เนียนเกิ๊น เดี๋ยวไปโหลดจอยอ่านเรื่องนี้นะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: ayano ที่ 17-04-2019 08:11:29
 :a5: จบแล้ว !!! Nooooooo  :serius2: เอาอีก ๆๆๆๆ อยากได้เรื่องยาวอ่ะไรท์  :katai1: #สถานีดีต่อใจ (แต่ไม่ดีต่อไตเรา) แงงงง  :ling1: ลงแดง
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 17-04-2019 09:28:43
ดีมากๆเลย น่ารักมากก ดีที่อิพี่มันขี้เสือกนิดๆ จำชื่อไอจีน้องได้

ไม่งั้นไม่ได้รู้จักกันแน่ๆ ดีต่อใจคนอ่านจริงๆ  :-[
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 17-04-2019 10:42:29
ฟินมากเลยค่ะ น่ารัก อิพี่ล่อลวงน้องเรอะ 555 อ่านแล้วอยากไปงานหนังสือเลยค่ะ แต่รอบนี้ไม่มีตังค์ อดไปเลย  ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้นดีๆนะคะ สนุกมากเลย  o13
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 03-05-2019 21:32:46
สถานีพิเศษ : สถานีอยุธยา

    ตุ้บ!
            โอ๊ยย ไอ้บ้า! เจ็บ!
            ผมลูบหน้าที่โดนโทรศัพท์ร่วงมาใส่ เจ็บจนน้ำตาซึมเลยเพราะไอ้ข้อความล่าสุดในไลน์ที่ส่งมาจากมนุษย์(เคย)แปลกหน้าจอมวอแวนั่นแหละ 
            ‘จุ๊บเหม่งน้องต่ายยยย จุ๊บ ๆ ’
            พออ่านข้อความที่พี่อินน์มันส่งมาจบปุ๊บนี่มือไม้อ่อนไม่มีแรงทันที แต่รู้ตัวอีกทีก็ดันเผลอเอาหน้าซุกหมอนกลิ้งไปมาแล้ว
            ให้ตาย ทำไมต้องหูร้อนด้วย อ๊ากก!!!
            สติ๊กเกอร์กระต่ายจุ๊บนี่มันอะไรเนี่ย! โว้ยยย ไม่น่าส่งสติ๊กเกอร์กู้ดไนท์ไปให้เลย พี่แกนี่ก็ขยันหาเรื่องมาแซวกวนประสาทผมได้ทุกวัน 
            เผลอแป๊บ ๆ ก็เกือบเดือนนึงแล้ว นับจากวันที่ผมไปงานหนังสือมา ดันมีเจ้ากรรมนายเวร...ที่ เอ่อ ก็หน้าตาดีในระดับนึงนั่นแหละ เขาดันแอบมาฟอลไอจีผม!
            ไม่พอยังทักมาชวนคุยไปเรื่อย ขยันหาเรื่องมาวอแวอยู่ได้ทุกวัน หลัง ๆ ตั้งแต่ได้ไลน์ผมไปนี่พี่แกเล่นคอลไลน์มาหาอีก
            จะว่าน่ารำคาญมันก็ไม่เชิง...มั้งนะ
            มันก็ดีแหละที่มีเพื่อนมาคุยด้วย ยิ่งช่วงนี้ปิดเทอมผมก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนฝูงอะไรเท่าไร ส่วนใหญ่หลายคนก็มีเรียนพิเศษยุ่ง ๆ กัน ต่างจากผมที่เลือกจะอยู่บ้าน อ่านหนังสือนิยายบ้าง หรือไม่ก็อ่านหนังสือเรียนบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ
            แต่มันก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่เขาส่งข้อความมาผมจะเผลอยิ้มขำไปด้วยทุกที นึกภาพผู้ชายอย่างเท่ส่งข้อความตะมุตะมิงุ้งงิ้งปัญญาอ่อ--
            เอ่อ เอาเป็นว่ามันขัดกับลุคพี่แกมากจริง ๆ นะ ใครจะไปคิดว่าตัวจริงอย่างเท่เหมือนเดือนมหาลัย
แต่พอมาในแช็ตนี่ดันเหมือนเด็กประถม ฮ่า ๆ 
            แปลก ๆ ตรงพี่แกขยันหยอดได้หยอดดี หยอดถี่ หยอดได้ทุกวัน
            ถึงบางวันจะมาโหมดจริงจังยอมแนะนำพวกเทคนิคเตรียมตัวสอบอะไรแบบนี้บ้างก็เหอะ แต่ก็ถือว่าน้อยถ้าเทียบกับที่คุยเรื่องไร้สาระต่าง ๆ นานา
            ตั้งแต่วันนั้นที่เจอพี่อินน์ผมก็รู้สึกดีนิด ๆ ที่เขามาช่วยอะไรหลาย ๆ อย่างนั่นแหละ แต่พอได้เริ่มคุยมันก็อดคิดเข้าข้างตัวเองแปลก ๆ ไม่ได้ รู้สึกว่ามันชักจะเกินเส้นแบ่งของพี่น้องขึ้นไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยคุยกับใครแบบนี้มาก่อนเลยก็เถอะ
            มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าที่เขาทำแบบนี้เพราะอะไร... 
            ผมยังจำเมนต์แรกที่เขาพิมพ์ตอบมาในไอจีได้จนถึงตอนนี้เลย
            ‘ถ้าพี่เป็นเมะแล้วเราจะยอมมาเป็นเคะของพี่มั้ยล่ะ’
            สารภาพตรง ๆ ว่าตอนนั้นพออ่านจบผมก็ตกใจอยู่เหมือนกันนะ เขาแกล้งแหย่เล่นหรือเปล่า
            ทำไมพี่ถึงพิมพ์แบบนี้ ไม่ดีต่อใจผมเลยนะเว้ย!!
            แต่ผมก็ไม่กล้าถามออกมาตรง ๆ ทุก ๆ ครั้งที่เขาพิมพ์ข้อความหยอด ๆ ส่งมา ใจผมมันก็แกว่ง ๆ บ้างแหละ เอ่อ แค่นิดเดียว...ใจแกว่งนิดเดียว ได้แต่พยายามฮึบไว้ไม่ให้หัวใจมันเต้นเร็วมากนัก
            ยิ่งเหมือนจะอดทนไว้มากเท่าไร เหมือนยิ่งจะมีความรู้สึกแปลก ๆ ก่อตัวมามากขึ้นเท่านั้น
            กลัวก็แต่จะติดเขาจนเผลอถลำตัวถลำใจเข้าไปเยอะจนหนีออกมาไม่ได้นี่แหละ
            เฮ้อ มีนิยายวายเรื่องไหนที่มีพล็อตประมาณนี้มั้ยนะ ผมจะได้อ่านเอาไว้ศึกษาบ้าง
            ตกลงพี่บ้านั่น...คิดยังไงกับผมกันแน่นะ

           
            ผมตื่นเช้าตามปกติด้วยความเคยชิน สิ่งแรกที่ทำคือควานหาโทรศัพท์ข้างตัวเข้ามาเลื่อนดูนั่นนี่เล่น ไล่เช๊คทวิตและเปิดดูข้อความค้างจากเพื่อน...และพี่อินน์ เมื่อคืนผมรีบกดออกตั้งแต่เห็นจุ๊บ ๆ แล้ว!
            IN.me : ‘......อ้าว’
            IN.me : ‘เขินจนหนีเลยหรอครับ กิ๊ว ๆ’
            IN.me : ‘ป.ล. พรุ่งนี้อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะครับ : P’
            เนี่ย ชอบพิมพ์แบบนี้อีกละ.... คือกะจะทำให้ผมหัวใจจะวายแต่เช้าเลยว่างั้น
            ติดใจก็ตรง ป.ล. พี่แกนี่แหละ หมายความว่ายังไง?
            เลื่อนดูข้อความต่อมาที่เพิ่งส่งมาเมื่อสามสิบนาทีก่อน
            IN.me : ‘สะใภ้คร้าบบบ เอ๊ย เซอร์ไพรส์!!! ตื่นแล้วทักพี่มาหน่อยน้า อิอิ’
            แทบกุมขมับ... สาบานมั้ยพี่ว่าไม่ได้ตั้งใจ?
            Book’worm : ตื่นแล้ว พี่มีปัญหาอะไรแต่เช้าเนี่ย
            IN.me : รอพี่เขาจอดรถแป๊บนะจ๊ะ
            Book’worm : ..... (สติ๊กเกอร์แมวงง)
            IN.me : มาแล้วจ้า คืองี้.... เอาแบบสั้นหรือแบบยาวอะ
            Book’worm : ขอสรุป ๆ ผมเพิ่งตื่น ขี้เกียจประมวลผลอะ
            IN.me : พี่กำลังจะขับรถไปยุดยาจ้า
            Book’worm : .....ฮะ!!!! มาทำไมเนี่ย
            IN.me : หึหึ เรื่องมันยาวอะ ขี้เกียจพิมพ์ คอลไปนะครับ รับด้วยเด้อออออ
            Book’worm : เดี๋ยวสิ!
            ตื้ด ๆ

            ไม่ทันขาดคำพี่อินน์ก็คอลมาหาผมทันที

            [พี่กำลังขับรถไปยุดยาจ้า เซอร์ไพรส์พอมั้ยล่ะ หึหึ]
            “มาเที่ยวหรอครับ แล้วบอกผมทำไมอะ เกี่ยวไรด้วยเนี่ย”
            [อ้าว คุณไกด์ครับ ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดหน่อยได้มั้ยครับเนี่ย เที่ยวไทยเท่อะ เคยได้ยินโฆษณามั้ย มาเป็นไกด์ให้พี่หน่อยน้า นะ ๆ น้องบุ๊คครับ พี่ทำตาปิ๊ง ๆ อยู่นะ]
            “เอ่อ... วันนี้ผมคงไม่สะดวกเท่าไร จู่ ๆ พี่ก็มาไม่บอกอะ”
            จริง ๆ ว่างทั้งวันแหละ แต่ให้ตายสิ แบบนี้ผมรับไม่ทันมั้ยล่ะ ไม่ให้ตั้งตัวเลยอะ!!
            [ทำไมใจร้ายเนี่ย เมื่อคืนใครบอกว่าว่างน้า พี่มีหลักฐาน แคปไว้ด้วยนะ]
            “นั่นมันเมื่อคืนไงครับ”
            [จริง ๆ แล้ว...แม่พี่มาด้วยแหละ จู่ ๆ คุณนายเขาก็นึกอยากไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยาขึ้นมาน่ะสิ พอดีวันนี้พี่ไม่มีเรียนด้วย อาจารย์งดคลาส เลยอาสาขับรถมาให้เนี่ย]
            “เอ่อ...” หมายความว่า...แม่พี่อินน์มาด้วย ยิ่งเกร็งเข้าไปใหญ่มั้ยล่ะ! ฮือ
            [นะ ๆ แม่พี่ใจดี๊ใจดี มาให้แม่พี่เห็นหน้าด้วยไงจะได้ฝากเนื้อฝากตัวไว้แต่เนิ่น ๆ ไงจ๊ะ โอ๊ย! แม่ตีผมทำไมอ่า
เจ็บน้า]
            “...”
            [สวัสดีจ้ะหนูบุ๊ค แม่พี่อินน์เองนะ หนูไม่ต้องไปสนใจพี่เขาก็ได้ แม่อยากมาไหว้พระจริง ๆ ถ้าหนูสะดวกแม่ก็อยากจะขอรบกวนให้มาช่วยแนะนำหน่อยน่ะจ้ะ ถือว่าแม่ขอร้องนะ]
            “เอ่อ..."           
            [นะจ๊ะ คงไม่รบกวนหนูนานเท่าไรนะ แม่กับอินน์ไม่เคยมาอยุธยามาก่อนด้วย ถ้าหนูบุ๊คมาด้วยคงจะช่วยได้เยอะเลยจ้ะ]

            "ก็ได้ครับ”

            [แล้วเจอกันจ้ะ ตอนนี้กำลังออกจากกรุงเทพมาสักพักแล้วจ้ะ เดี๋ยวคุยกับอินน์ต่อนะ...]
            คิดถูกมั้ยเนี่ย... แต่ผมไม่ชอบปฏิเสธผู้ใหญ่ซะด้วย
            [เย่ ต้องแบบนี้สิ ตอนนี้ออกมาเกือบถึงปทุมละ เดี๋ยวพี่ไปรับเราที่บ้านนะ]
            “หืม ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ถึงแล้วบอกก็ได้ ให้ไปเจอกันที่ไหนก่อน”
            [ไม่ได้สิ เดี๋ยวคุณนายเขาตีพี่ง่า แชร์โลฯมาให้พี่หน่อยนะ อ้อ ไม่เอารูปโลมานะ!]
            “ครับ ๆ ถ้าจะมัดมือชกกันขนาดนี้ เดีี๋ยวผมส่งให้ งั้นแค่นี้นะครับ”
            [แล้วเจอกันครับ หึหึ]
            พี่อินน์วางสายไป...ปล่อยให้ผมนั่งสตั๊นอยู่สักพัก สรุปว่าเขากำลังมาที่นี่...
            อ๊ากกกก ไอ้พี่อินน์ไม่ให้ผมได้ตั้งตัวสักนิด พี่มึงนึกจะมาก็มาแบบนี้ได้ไงฮะ!
            พอตั้งสติได้ผมก็รีบเตรียมชุดคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าไปอาบน้ำแปรงฟัน ออกจากห้องนอนมาก็หากับข้าวกินรองท้องทันที กว่าจะถึงอยุธยาก็คงจะใช้เวลาขับรถอีกประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ถ้าเขาไม่ได้เหยียบซิ่งมากนะ
            เสร็จแล้วผมก็เปิดคอมเตรียมแพลนลิสต์รายชื่อสถานที่น่าสนใจเตรียมตัวเป็นไกด์แนะนำให้แม่พี่อินน์ จดไฮไลท์ ดูเส้นทางให้ไปง่ายที่สุด อ้อ แล้วก็หาร้านอาหารแนะนำไว้ด้วย ปกตินักท่องเที่ยวจะชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาหรือไม่ก็หาร้านอาหารกินกุ้งเผา  จริงๆผมก็มีร้านประจำที่ชอบไปอยู่แต่ไม่รู้ว่าเขาจะชอบมั้ย ว่าแล้วก็อยากกินกุ้งเผาบ้างอะ ฮือ
            เอาเป็นว่าตอนนี้ข้อมูลพร้อมแล้ว บอกเลยว่าแน่นเหมือนตอนลิสต์นิยายวายนั่นแหละ!
            อย่างน้อยจะได้ไม่เสียชื่อว่าเป็นคนอยุธยาไง ขืนตอบไม่ได้นี่แย่เลยเด้อ 

            จะว่าไปขนาดเป็นคนอยุธยาแท้ ๆ ผมก็ยังไม่เคยไปไหว้พระ 9 วัดในวันเดียวเลยนะเนี่ย พอหาข้อมูลก็เหมือนจะสนุกไปโดยที่ไม่รู้ตัว บางวัดนี่ไปเป็นประจำตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยหอยสังข์ บางวัดก็ไม่เคยไปเลยด้วยซ้ำได้แต่ผ่าน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ได้โอกาสไปเที่ยวด้วย
            ...เอ่อ ถึงจะร้อนนรกแตกไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าพอรับไหว แค่อุณหภูมิแค่สามสิบกว่า ๆ ก่อนอื่นต้องเตรียมพกร่มกับหมวกด้วยสินะ
            อ้อ โบกครีมกันแดดด้วย โบก ๆ อย่าดูถูกรังสียูวีที่นี่เด็ดขาด
            เมื่อก่อนนี่ก็เคยอยากลองมาปั่นจักรยานเที่ยวถ่ายรูปเล่น เนียน ๆ เป็นนักท่องเที่ยวบ้างอะไรบ้าง
แต่พอเห็นแดดประเทศอยุธยาทีไร ใจมันก็พลอยจะฝ่อทุกที นอนตากแอร์อยู่บ้านดีกว่า ฮือ

            ตากแดดนาน ๆ นี่ไข้ขึ้นได้เลยนะ อย่าดูถูก!



            ติ๊ง
            IN.me : ถึงอยุธยาแล้วน้า ><
            ผมเลื่อนดูข้อความที่เพิ่งส่งมาจากพี่อินน์ ให้ตายเถอะ อยู่ ๆ ก็ตื่นเต้นตัวเย็นขึ้นมาเลย
            พ่อฮะ แม่ฮะ บุ๊คไม่ได้จะหนีตามผู้ชายไปไหนนะ!
            ฮือ วันนี้พ่อกับแม่ผมออกไปทำงานข้างนอกที่บ้านเลยไม่มีคนอยู่ด้วย หวังว่าผมคงจะไม่โดนหลอกไปขายใช่มั้ยเนี่ยยยยย!


            ปี๊น ๆ
            IN.me : อยู่หน้าบ้านเราแล้วครับ ^^
            ผมแง้มม่านหน้าตาชะโงกหน้าแอบดูรถสีดำคันหรูที่จอดอยู่หน้าบ้าน ไม่นานนักคนขับก็เปิดประตูลงจากรถมายืนโบกไม้โบกมือเข้ามา

           ร่างสูงคุ้นตามาในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำ สวมเสื้อคลุมแขนสั้นสีดำ ยิ่งดูเท่เหมือนพวกนักท่องเที่ยวเกาหลี เขาค่อย ๆ ถอดแว่นกันแดดออกพร้อมกับส่งยิ้มเข้ามาจนผมตาพร่า

            ...พี่อินน์ ตัวจริงเสียงจริง
            มือสั่นทำไมเนี่ย ประหม่าสุด ๆ ไปเลย ฮือ
            ถึงจะเคยเจอกันเมื่อตอนที่ไปงานหนังสือก็เถอะ แต่ก็แค่ครั้งเดียว... ไม่นับที่เราแช็ตกันทุกวัน
            มันก็เหมือนกับยังไม่คุ้นเคยกันเท่าไรอยู่ดี
            ฮึบ เอาวะ ไหน ๆ ผมก็รับปากแม่เขาไว้แล้วด้วยว่าจะเป็นไกด์ให้ คงไม่แย่หรอกมั้ง อย่างน้อยแม่พี่อินน์ก็อยู่ด้วย เขาคงไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้ามาแกล้งผมหรอก
            ผมสูดหายใจฮึบเรียกความกล้า ก่อนจะคว้ากระเป๋าและล็อกประตูบ้านเดินออกมาหาพี่อินน์ที่ยืนยิ้มแป้นอยู่
            “เซอร์ไพรส์จ้า”
            มีการทำไม้ทำมืออีก เชื่อแล้วว่าเซอร์ไพรส์จริง ๆ ไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวเลยนะ
            “เอ่อ... หวัดดีครับ” ผมเผลอยกมือขึ้นไหว้เขา
            ... พี่อินน์ชะงักไปนิด ๆ แต่ก็ยังยิ้มขำ ๆ ให้ตาย ผมทำอะไรไม่ถูกนี่นา!
            “คิดถึงจังเลยยย น่ารักขึ้นปะเนี่ยเรา"
            "...." ผมไม่รู้จะตอบยังไงเลยเลิกลั่กมองไปที่อื่น ทำเป็นสำรวจข้าวของในกระเป๋า
            "ฮ่า ๆ ไม่เขินน้าตัวเล็ก ขึ้นรถดีกว่า ไปครับ เรากินข้าวเช้าแล้วใช่มั้ย” เขาว่าพลางคว้าข้อมือผมเดินนำมาที่รถ เปิดประตูหน้าด้านข้างคนขับให้
            “เอ่อ.. แล้วแม่พี่ล่ะครับ”
            “รายนั้นเขาอยากนั่งเบาะหลังสบาย ๆ มากกว่าน่ะ อีกอย่างเราเป็นไกด์ด้วยไง ต้องคอยช่วยบอกทางให้พี่สิ”
            ผมพยักหน้าตอบนิด ๆ แล้วรีบมุดตัวเข้าไปนั่งที่เบาะตามที่เขาบอกทันที ไม่ลืมหันไปยกมือไหว้คุณแม่พี่อินน์ที่นั่งอยู่เบาะด้านหลัง
            “สวัสดีครับ”
            “สวัสดีจ้ะหนูบุ๊ค ตาอินน์เขาเล่าเรื่องเราให้แม่ฟังเยอะเลย ถ้ายังไงวันนี้ขอรบกวนเราหน่อยนะจ้ะ”
            “ครับ ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...อากาศค่อนข้างร้อนนะครับ ไม่ทราบว่าคุณป้าได้พกร่มมาด้วยมั้ยครับ
ถ้าไม่มีผมจะได้หยิบจากในบ้านมาให้”
            “โอ๊ย เรียกแม่ก็ได้จ้ะ เราคนกันเอง แม่เตรียมมาพร้อมเรียบร้อยหายห่วง ยาดงยาดมแม่มีพร้อม”
            “เรียบร้อยแล้วเนอะ งั้นเราไปกันเลยมั้ยครับ” พี่อินน์เตรียมสตาร์ทรถแล้วหันมาถาม “ที่แรกไปที่ไหนดีครับไกด์”
            “ออกไปตามถนนเส้นนี้ก่อนครับ อ้อ..พี่อินน์อย่าลืมคาดเบลท์ด้วยสิ!”
            “ครับ ๆ คาดแล้วครับคุณ ดุพี่ง่า” 
            “ตาอินน์นี่ก็อย่าแซวน้องสิ น้องเขาอุตส่าห์เป็นห่วง”
            “อ้าว เหมือนผมโดนรุมเลยอะ”
            “พอเลยพี่อินน์ ตั้งใจขับรถไปเลย เดี๋ยวแยกหน้าเลี้ยวขวานะครับ เราจะไปที่วัดพนัญเชิงกันก่อน”
            “ได้เลยจ้า รับทราบครับกัปตัน” เขาว่าแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี มีการฮัมเพลงเบา ๆ ตามที่เปิดไว้ด้วย
            “แหม ลั้นลาเชียวนะ ทีเมื่อก่อนแม่อยากมาทำไมเราไม่เห็นกระตือรือร้นแบบนี้เลยฮะ”
            “โถ่คุณนายครับ ผมก็อยากมาเที่ยวยุดยาบ้างเหมือนกันนะ ไหน ๆ ก็พาแม่มาไหว้พระด้วยไง”
            “จ้า ๆ นี่อาสาขับรถมาให้เลยด้วย แม่นึกว่าเราผีเข้าซะแล้ว”
            “ผมก็มีโมเม้นต์อยากมาไหว้พระบ้างนะ มาดูของดีอยุธยาไรงี้ หึหึ”
            “ถึงวัดแล้วจะรอในรถก็ได้นะ เดี๋ยวแม่เข้าไปกับหนูบุ๊คเอง”
            “ได้ไงอ่า คนเขาอุตส่าห์ขับรถมาให้พร้อมหาไกด์ให้อีก จะทิ้งผมไว้ไม่ได้นะแม่”
            “เข้าวัดได้ไม่ร้อนใช่มั้ย”
            “แม๊! นี่ลูกไง ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อนนะ”
            “อย่าถือสาตาอินน์เลยนะจ้ะ”
            “ครับ ผมเริ่มชินแล้วครับ” ผมบอกอย่างปลง ๆ นี่ถือว่าเบามาก ถ้าคุณแม่เจอพี่อินน์ในไลน์นี่จะต้องตกใจแน่นอน
            “บุ๊คอ่า!” พี่อินน์ทำเสียงงอแงโวยวาย ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไปโดยไม่บ่นอะไร ผมลอบมองเขายิ้ม ๆ พอได้มาลองคุยแบบนี้ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย หายเกร็งไปเยอะเลย คุณแม่พี่อินน์ก็ดูเหมือนจะเอ็นดูผมด้วยอีกต่างหาก
            หลังจากที่เราเข้ามาในวัดพนัญเชิงกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็พาพี่อินน์กับแม่เดินเข้ามาในพระวิหาร
วันนี้เป็นวันธรรมดา ยังมีนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าเสาร์อาทิตย์แต่วัดพนัญเชิงก็ยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้ากราบไหว้และถ่ายรูปพอสมควร
            “พระพุทธไตรรัตนนายกหรือหลวงพ่อโตองค์นี้มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยาเลยครับ ชาวไทยเชื้อสายจีนต่างก็นับถือ บ้างก็เรียกว่าซำปอกง ว่ากันว่าวัดนี้สร้างก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาด้วย คือถ้ามาที่อยุธยาต้องไม่พลาดวัดนี้เลยนะครับ”
            ผมสวมวิญญาณไกด์ท้องถิ่นแนะนำข้อมูลพื้นฐานของวัดที่พอจะรู้มาบ้างให้นักท่องเที่ยวสองคนที่กำลังยืนชื่นชมหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ หลังจากที่พากันไปไหว้พระเรียบร้อยแล้ว
            “สนใจไปไหว้เจ้าแม่สร้อยดอกหมากกันมั้ยครับ”
            “คืออะไรหรอจ้ะ”
            “ในวัดมีเจ้าแม่ด้วยเหรอ” พี่อินน์หันมาถามผมด้วยสีหน้างง ๆ

            “ที่นี่มีตำนานรักระหว่างพระนางสร้อยดอกหมากกับพระเจ้าสายน้ำผึ้งน่ะครับ” ผมบอกพลางนึกถึงตำนานที่พวกผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ๆ พร้อมกับพาทั้งสองคนเดินมาด้านหลังวิหาร ชมตำหนักพระนางสร้อยดอกหมากที่เป็นสถาปัตยกรรมจีน

            “ตามตำนานเขาว่ากันว่าพระนางสร้อยดอกหมากพระธิดาของพระเจ้ากรุงจีนได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้งแห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อขบวนเรือของพระนางสร้อยดอกหมากมาถึงแม่น้ำบริเวณนี้ พระนางพบว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่ได้เสด็จมารับพระนางด้วยพระองค์เองก็เลยน้อยพระทัยไม่ยอมเสด็จลงจากเรือ ด้วยความเข้าพระทัยผิดเลยเสียพระทัยหนักจนทิวงคตบนเรือสำเภาพระที่นั่งนั้นเอง เท่าที่ผมพอจะจำได้ก็ประมาณนี้น่ะครับ”

            “น่าสงสารพระนางเนอะ” คุณแม่พี่อินน์พูดขึ้นมาเบา ๆ ระหว่างที่มองดูภายในตำหนัก
            “ครับ บางตำนานก็ว่ากันไปคล้าย ๆ กัน เลยมีการสร้างศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากไว้ที่นี่ เห็นว่าจะขอเรื่องความรักก็จะประสบความสำเร็จสมหวังด้วยนะครับ”
            “โอ้ งั้นเดี๋ยวพี่ขอไหว้เจ้าแม่ก่อนนะ” พี่อินน์ว่าแล้วรีบนั่งลงพนมมือตั้งใจไหว้เจ้าแม่ทันที
            “เห็นแบบนี้เจ้าแม่ไม่น่าช่วยนะ”
            “โถ่ แม่ครับ ขอที่พึ่งนิดนึงนะ”
            ผมยิ้มขำ ๆ เมื่อได้ยินแม่ลูกเขาแซวกัน แต่ในใจก็แอบหวิว ๆ อยากรู้เหมือนกันว่าพี่อินน์จะขอพรจากเจ้าแม่ว่าอะไรนะ
            “โอ๊ะ ข้างล่างริมแม่น้ำนั่นเป็นแพไว้ให้อาหารปลาหรอ ไปให้อาหารปลากัน”
            ไม่ว่าเปล่าคุณพี่เขาก็เดินนำลงไปในแพริมแม่น้ำด้านล่างทันที ผมเลยได้แต่ช่วยประคองคุณแม่พี่อินน์ให้ค่อย ๆ ก้าวลงบันไดมาแล้วจึงเดินตามเขาไป
            ทันทีที่ถึงแพด้านล่าง ผมก็เห็นเด็กชายอินน์กำลังยืนหน้าเครียดหน้าตู้ให้อาหารปลา ตู้นี้มันต้องหยอดเหรียญใส่ไป ถึงจะมีอาหารปลาหล่นออกมาในถึง
            “บุ๊คครับ พอจะมีสักหนึ่งร้อยไหม” พอเขาเห็นผมก็เดินปรี่เข้ามาเกาะชายเสื้อผมทำตาปริบ ๆ
            “หืม?” ผมมองหน้าเขางง ๆ 
            “ขอยืมหน่อย ที่ตัวพี่ไม่มีแบงค์ย่อยเลยง่า ที่นี่รับบัตรมั้ยล่ะ”
            “เว่อร์ไปแล้วครับ ไม่ลองขอยืมคุณแม่พี่ล่ะ”
            “เดี๋ยวคุณนายได้ล้อพี่ตายเลย นะ ๆ ขอยืมหน่อยนะ”
            “ครับ ๆ ขูดรีดเด็กตาดำ ๆ จังเลย” ผมแกล้งถอนหายใจนิด ๆ แต่ก็ยอมยื่นแบงค์ยี่สิบให้ห้าใบ ให้พี่เขาไปแลกซื้ออาหารเม็ดมาให้ปลา
            “เย่ ขอบคุณครับผม เอาไว้พี่คืนให้คราวหน้าเนอะ แฮ่” พี่อินน์ยิ้มกว้างพร้อมกับหิ้วถังใส่อาหารปลามาส่งให้ผมกับแม่
            “คราวหน้านี่ตอนไหนเนี่ย”
            “ตอนที่เราเจอกันคราวหน้าไง”
            “ยังจะมีคราวหน้าอีกหรอครับ!”
            “ไหงพูดงั้นอ่า พี่เสียใจนะเนี่ย” เขาว่าแล้วแกล้งทำท่าหงอยคอตก ผมหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับหันไปให้อาหารปลาแทน
            “โอ๊ะ ตัวนั้นทำหน้าเหมือนลูกแม่ตอนนี้เลยนะเนี่ย” คุณแม่พี่อินน์ชี้ไปที่ปลาบึกหน้าทู่ตัวโตที่กำลังอ้าปากกว้างว่ายเข้ามาแย่งอาหาร
            “แม๊! ผมลูกแม่นะครับ”
            “ฉันรู้ทันหรอกย่ะ ไม่ต้องแผนสูงใส่น้องเลย”
            “ผมเปล่าน้า งื้อ”
            พี่อินน์โหมดขี้อ้อนคุณแม่นี่เห็นทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที ผู้ชายตัวโตทำท่างุ้งงิ้งงอแง แถมยังเอาก้มหน้าไปถูไหล่แม่เขาอีก นี่พี่อายุเท่าไรกันแน่เนี่ย
            ตู้ม!! ฝูงปลาบึกปัดป่ายไปมาตีน้ำจนสะบัดกระเด็นขึ้นมาอย่างแรง ผมรู้ทันเลยย้ายไปหลบหลังพี่อินน์ เป็นอันว่างานนี้พี่เขาอินน์รับน้ำไปเต็ม ๆ
            “เฮ้ย!”
            “ขนาดปลามันยังรำคาญพี่เลยอะคิดดูแล้วกันครับ” ผมแซวขำ ๆ ระหว่างที่หันไปโยนอาหารเม็ดให้ปลาต่อ   
            “ทำไมใจร้ายอ๊า!”
            “ฮ่า ๆ”

            สุดท้ายก็จบลงตรงที่ว่าพวกเราให้อาหารน้องปลาบึกจนพวกมันคงจุกไปเป็นแถบ ๆ ซัดไปห้ากระป๋อง ผมโยนเล่นแข่งกันกับพี่อินน์ว่าใครขว้างไปได้ไกลกว่ากันหมดไปสองกระป๋อง พี่อินน์เผลอสะดุดจนเทหกไปพรวดเดียวหนึ่งกระป๋อง เล่นเอาปลาแตกตื่นว่ายมารุมแย่งกันกินจนตีน้ำกระเด็นแรงมาก อีกสองกระป๋องเป็นของคุณแม่ที่ค่อย ๆ ให้ทีละนิดแบบผู้ดี
            ทั้งแม่ทั้งพี่อินน์ต่างก็ดูอิ่มอกอิ่มใจที่ได้ทำบุญไปตาม ๆ กัน สาธุ
            เอ๊ะ ตังค์ผมนี่นา...

 หลังจากนั้นเราออกมาไม่ไกลจากวัดพนัญเชิงเท่าไร ย้อนกลับมาทางเดิมก่อนจะเข้าเมืองทางด้านขวามือมีพระเจดีย์องค์ใหญ่ ตั้งอยู่ในวัดใหญ่ชัยมงคลสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของจังหวัดที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศนิยมเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และถ่ายภาพ พิเศษก็ตรงที่สามารถขึ้นบันไดไปบนเจดีย์เพื่อชมวิวอยุธยาจากมุมสูงได้ด้วย
            “วัดนี้เดิมชื่อว่าวัดป่าแก้วครับ ปัจจุบันนิยมเรียกว่าวัดใหญ่ชัยมงคล จุดเด่นก็จะมีพระนอนด้านหน้า พระตำหนักพระนเรศวรด้านหลัง แล้วก็พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่เห็นนี่คือพระเจดีย์ชัยมงคล เชื่อกันว่าสร้างขึ้นหลังจากที่พระนเรศวรมีชัยชนะแก่พระมหาอุปราชาของฝั่งพม่าครับ สามารถเดินขึ้นบันไดไปด้านบนเจดีย์ได้ด้วยนะครับ”
            พอเราไหว้พระกันเรียบร้อยแล้ว แม่พี่อินน์บอกว่าอยากนั่งรอข้างล่างมากกว่าขึ้นเจดีย์ไม่ไหว
ผมเลยโดนลากให้มาเป็นเพื่อนพี่อินน์ที่ดูระริกระรี้เป็นพิเศษ ปัญหาไม่ใช่อะไรครับ
            ...นี่กลัวความสูงไง!
            แต่จะไม่ขึ้นไปเดี๋ยวพี่อินน์มันแซวนั่นนี่อีก ผมเลยฮึบแล้วพาเขาขึ้นบันไดไปบนเจดีย์
            แบบแข้งขาสั่นอะ คือสำหรับผมนี่บันไดมันชันอะครับ ต้องค่อย ๆ ไต่ก้าวไปทีละขั้น มือก็เกาะขอบแน่น
            “ไหวมั้ยครับน้อง” พี่อินน์ที่เดินนำอยู่ด้านบนหันมามองผมที่ยืนขาสั่นอยู่ แถมขำผมอีกน้ำตาจะไหลเนี่ย
            “พี่ไหวก็ไปก่อนเลยไป” ผมพยายามไม่ใส่ใจน้ำเสียงกวนประสาท ค่อย ๆ ใช้สมาธิในการก้าวขึ้นบันไดชัน ๆ นี่ทีละขั้น
            ห้ามหันลงไป ห้ามหันลงไป ฮือ
            “กลัวหันมาอีกทีมีคนตกลงไปข้างล่างน่ะสิ ไม่ร้องไห้นะ เอ่เอ๊”
            “ใครตก! ผมไม่ได้กลัวสักหน่อย มั่วเปล่า”
            “ครับ ๆ มือเกาะแน่นขนาดนั้นอะ ฮ่า ๆ”
            “ขึ้นไปเลย เดี๋ยวตกลงมาจะขำให้ ไม่เก็บซากด้วยนะ”
            “น่ากลัวจังง่า” เขาว่าขำ ๆ แต่ก็ยอมหันกลับไป ถึงจะคอยมองกลับมาดูผมตลอดก็เถอะ
            กดดันนะเนี่ย!
            ในที่สุดผมก็รอดถึงขั้นบนสุด เราเข้ามาดูด้านในตัวเจดีย์ที่มีการค้นพบชัยมงคลคาถา จริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ขึ้นมาบนนี้จากนั้นเราก็เดินออกไปดูวิวริมระเบียง ผมยังคงคอนเซปเกาะระเบียงแน่นระหว่างที่มองลงมาชมวิวตัวเมืองอยุธยาด้านล่าง โชคยังดีที่แดดเช้ายังไม่ร้อนมากเท่าไรนักท่องเที่ยวก็ยังไม่เยอะมาก
            “แฮ่ ร่วงแล้ว” จู่ ๆ พี่อินน์ก็เดินเข้ามาด้านหลังแล้วแกล้งจิ้มไหล่ผม
            “จิ๊ เล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้”
            “ง่า ไม่กลัวแหะ บนนี้สวยดีเนอะ เราเคยขึ้นมาก่อนมั้ย”
            “ไม่เคยครับ นี่ขึ้นมาครั้งแรก”
            “ดีจังเลยน้า” เขาพูดยิ้ม ๆ หันมามองผมสักพักแล้วก็มองออกไปดูวิวด้านนอกต่อ
            “หืม?”
            “ก็ถ้าเราผ่านมาเห็นเจดีย์นี่ทีไรเราก็ต้องคิดถึงพี่แน่นอนเลย ...เนอะ”
            “...คงงั้นมั้งครับ” ผมตอบเบา ๆ พยายามกลั้นใจไม่ให้หัวใจตื่นเต้นไปมากกว่านี้
            ผมอยากถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจมาเกือบหนึ่งเดือน...
            แต่ก็ ยังไม่กล้าพอที่จะถามว่าพี่คิดยังไงกับผม

           
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 03-05-2019 21:36:49
   หลังจากที่ชมวิวแล้วก็ถ่ายรูปกันไม่นานพี่อินน์ก็ชวนผมลงกลับไปข้างล่าง

            ผมสูดหายใจลึกอีกรอบ พยายามไม่สนใจความสูงที่ดูด้วยสายตาแล้วมันช่าง....น่าหวาดเสียว
            ขาขึ้นว่าวัดใจแล้ว ขาลงนี่โคตรวัดใจ
            ขานี่สั่นพั่บ ๆ อะ! กลัวเป็นลมร่วงวูบลงไปจังโว้ย ฮือ
            “ลงมาสิ พี่อยู่ข้างหน้าเราไม่เป็นไรหรอก”
            ผมเกาะราวสั่น ๆ มองพี่อินน์ที่ดูด้านล่างถัดไป รายนั้นนี่เดินชิว ๆ เลย น่าหมั่นไส้ไปอีก
            “ผมลงเองได้น่า”
            “จะจับมือพี่ไว้มั้ยล่ะ ก้าวพลาดตกลงมาจะได้คว้าทัน หึหึ” ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือขาว ๆ นั่นส่งมาด้วย
            “ไม่ต้องครับ”
            “นี่คือ...เห็นราวบันไดนั่นดีกว่ามือพี่?”
            “ใช่ครับ” ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ยึดราวไว้นี่อุ่นใจกว่าเยอะ ถ้าเกิดจับมือเขานี่อาจจะหัวทิ่มลงไปข้างล่างทั้งคู่ก็ได้ จริงมั้ยล่ะ
            ผมเลิกสนใจคนตัวสูงข้างหน้าที่ทำเป็นคอตกเดินลงไปหงอย ๆ แล้วกลับมาเพ่งสมาธิก้าวลงบันไดต่อ คือถ้าไม่กลัวเสียฟอร์มนี่จะนั่งลงแล้วค่อย ๆ ถัดก้นลงมาทีละขั้นแล้วนะ บอกเลย! ฮือ
            เมื่อเดินลงมาถึงข้างล่างได้ผมก็รีบเดินกลับไปหาแม่พี่อินน์ที่นั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ทันที ทิ้งให้พี่อินน์เดินตามหลังมา
            “ร้อนไหมครับ”
            “แม่ยังไหว้จ้ะ ยังดีมีร่มกับพัดช่วยไว้ เป็นยังไงข้างบนสวยไหม”
            “สวยมากครับแม่ ร้อนแสบ ๆ ดีด้วยครับ ฮ่า ๆ แต่กว่าจะขึ้นไปถึงมีคนขาสั่นพั่บ ๆ เลย แถมตอนลงก็เกาะราวแน่นอีกต่างหาก” พี่อินน์ชิงตอบก่อนแล้วยิ้มขำ ๆ ผมเลยหันไปมองค้อนเบา ๆ อย่าให้ถึงทีมั่งนะ เดี๋ยวก่อน ๆ
            “เอ่อ...ไปที่อื่นกันต่อเถอะครับ”
            “แหนะ ๆ เปลี่ยนเรื่องเก่ง ฮ่า ๆ”
            “ตาอินน์จะแกล้งน้องทำไมเนี่ย เดี๋ยวแม่บอกหนูบุ๊คให้หมดเลยว่าเรากลัวอะไรบ้าง”
            โอ๊ะ พอได้ยินคุณแม่พี่อินน์พูดแบบนี้ผมนี่ตาลุกวาวเลย ฮ่า ๆ
            “ง่า ใจเย็นนะครับคุณนาย ผมว่าเราไปที่อื่นต่อกันเลยดีกว่าเนอะ แหะ ๆ”
            “ทั้งสองคนหิวหรือยังลูก” คุณแม่พี่อินน์ถามขึ้นเมื่อพวกเราขึ้นมานั่งในรถเรียบร้อย
            “ใกล้จะเที่ยงแล้วนี่นา คุณแม่อยากกินอะไรหรอครับ ผมอยากกินกุ้งอะ” พี่อินน์หันไปถาม ไม่พอยังหันไปทำตาแป๋วอ้อนแม่ตัวเองอีกต่างหาก
            “อายน้องบ้างไหมเนี่ย เฮ้อ แถวนี้มีร้านอาหารที่เราแนะนำบ้างไหมจ๊ะหนูบุ๊ค มีเด็กอยากกินกุ้งด้วยเนี่ย”
            “กุ้ง กุ้ง กินกุ้ง กุ้งตัวใหญ่ ๆ”
            “ครับ ๆ ได้ครับ เดี๋ยวผมพาไป” ผมบอกก่อนจะยิ้มขำ ๆ เมื่อเห็นเด็กตัวโตทำท่าดีอกดีใจตาเป็นประกายวิ้ง ๆ พอบอกทางให้ก็ขับรถออกไปอย่างอารมณ์ดี 
            “ขอบคุณนะจ๊ะที่ช่วยแม่เลี้ยงน้องอินน์” คุณแม่พูดขึ้นมาทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้ คุณแม่พี่อินน์ก็ดูขำที่สามารถแหย่ลูกชายตัวเองได้เหมือนกันจนคนขับรถหน้ามุ่ย
            เฮ้อ บอกเลยว่าพี่เมะคนเท่นั่นมันคือมายา เจ้าเด็กน้อยข้างหน้านี่คือตัวจริง!!!

 

           "หิวน้ำจังครับ บุ๊คส่งขวดน้ำข้างเรามาให้พี่หน่อยสิ" ระหว่างทางที่จะไปร้านอาหาร จู่ ๆ พี่อินน์ก็หันมาบอกผม ผมเลยหยิบขวดน้ำในช่องข้าง ๆ มาเปิดฝาแล้วให้จากนั้นก็ยื่นขวดน้ำให้เขา
          แต่พี่อินน์ก็ไม่ยอมรับไปสักที
          "พี่ขับรถอยู่นะเนี่ย สองมือต้องจับพวงมาลัยหยิบขวดไม่ได้หรอก เดี๋ยวรถเสียหลักไง ป้อนหน่อยสิ"
          "แล้วปกติพี่กินน้ำยังไงล่ะ"
          "เมื่อเช้าแม่พี่ก็หยิบหลอดมาป้อนให้ที่ปากอ่าน้า"
          "..."
          "เร็ว ๆ สำหรับ คนขับรถคอแห้งหมดแล้วเนี่ย"
          "ฮึ่ย" ว่าไม่ได้ ผมเลยหยิบหลอดน้ำไปจ่อที่ปากพี่เขา เจ้าตัวถึงยอมก้มลงมาดูดน้ำแต่โดยดี
          "ฮ่า ชื่นใจจัง น้ำหว๊านหวาน" พี่อินน์พูดขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จ แถมยังยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีด้วย
          "นี่น้ำเปล่านะครับ"
          "ก็ลองชิมดูสิ"
          "พี่ดูดหลอดนี้ไปแล้ว ผมกลัวติดเชื้อ"
          "พี่ฉีดยาแล้วครับ ไม่เชื่อถามแม่พี่ได้เลย"
          พอเห็นว่าผมไม่ว่าอะไรต่อพี่อินน์ ก็ขับรถตามพี่ผมบอกไปเงียบ ๆ ไม่กวนผมต่อ....ไม่สิ เขากวนผมโดยการร้องเพลงคลอไปกับที่เปิดในรถด้วย ถึงเสียงพี่เขาจะดีก็เถอะ แต่อะไรก็ต้องร้องไปยิ้มไปใส่อินเนอร์ไปเบอร์นั้นเนี่ย

         "อยากมีคนรัก คนมีรักมันเป็นแบบไหน คนอย่างฉันมันยังไม่เคยเข้าใจ บอกก็คงไม่รู้ ดีแค่ไหนก็คงไม่รู้ คงต้องหาซักคนมาเป็นเนื้อคู่"

         "...."

         "ฉันจะพาเธอลอยล่องไปในอวกาศที่มีแต่เธอมีแต่เธอแต่ไม่ต้องกลัว ฉันจะพาเธอลอยล่องไปในอันตรายจะมีแต่เธอมีแต่เธอแต่ไม่ต้องกลัว”

         "....."

         "แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องมาเขิน ฉันพูดจริงๆ เธอมีเสน่ห์มากมาย จะน่ารักไปไหน อยากจะได้แอบอิง ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์"

          ".........เหนื่อยมั้ยเนี่ย"

         "แค่ฉันมีเธอ ข้าง ๆ กัน อย่างวันนี้ Just You And Me ฉันก็ Finn ไปได้ทุกวัน”

         "..........ไม่น่าให้พี่ดื่มน้ำเลยแหะ"

          หลังจากทนฟังพี่อินน์ร้องจบไปหกเจ็ดเพลง เราก็มาถึงร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าประจำที่ผมชอบมากับที่บ้าน เราเลือกนั่งโต๊ะริมระเบียงที่สามารถมองออกไปชมวิวริมแม่น้ำได้ โชคดีที่กลางร้านมีต้นก้ามปูต้นใหญ่ให้ร่มเงาอยู่

            ที่นี่บรรยากาศดีมากโดยร้านออกแบบเป็นบ้านโบราณใต้ถุนสูงด้านในตกแต่งด้วยภาพและข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณ แถมภายนอกยังร่มรื่นไปด้วยต้นไม้หลายชนิดทำให้บรรยากาศในร้านไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนกับด้านนอก และที่สำคัญอาหารยังราคาเหมาะสมไม่แพงมาก
            “พี่อินน์กับคุณแม่แพ้อาหารอะไรหรือเปล่าครับ”
            “แม่แพ้ปูแค่นั้นจ้ะ อย่างอื่นทานได้หมด เราอยากกินอะไรเลือกได้เลยนะ” คุณแม่พี่อินน์บอกแล้วก็เลือกเปิดดูเมนูอาหาร
            “พี่ ๆ พี่แพ้บุ๊คนะ” จู่ ๆ พี่อินที่นั่งข้าง ๆ ผมก็ชะโงกตัวมากระซิบเสียงเบา
            “ฮะ!!! แพ้อะไรนะ” ...หรือผมฟังไม่ชัด
            “อ๋อ แบบแพ้...บุก...ไง เส้นบุกอะ สีขาว ๆ แฮ่”
            “ที่ร้านนี้ไม่มีเส้นบุกหรอกครับ พี่อยากกินอะไรนอกจากกุ้งบ้างมั้ย”
            “ไม่เป็นไร เราเลือกเมนูได้เลย อยากกินอะไรสั่งเอาเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
            “เอ่อ...แล้วแต่แขกสิครับ ถ้าเมนูขึ้นชื่อของร้านที่ผมเคยกินก็มี กุ้งเผา ปลากะพงทอดน้ำปลา ต้มยำกุ้ง รสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ” ผมบอกเมนูแนะนำของร้านคร่าว ๆ ไม่รู้ว่าพี่อินน์กับคุณแม่ชอบทานอะไร
            “เอาตามนี้เลยครับ” พี่เขาหันไปบอกพนักงานทันที
            “ไม่คิดจะหันมาถามแม่หน่อยเหรอฮะตาอินน์! อ้อ แม่ไม่ได้ดุหนูบุ๊คนะจ้ะ”
            “ครับ ๆ คุณนายเชิญสั่งเพิ่มตามที่อยากทานได้เลยครับ”
            “แม่ขอเป็นทอดมันปลากรายกับปลาดุกฟูแล้วกัน รวมแล้วน่าจะพอเนอะ”
            ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟคุณแม่พี่อินน์ก็ชวนคุยเรื่องวัดที่จะไปต่อ ผมเลยเสนอชื่อวัดตามที่คิดไว้ก็จะมีวัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะที่กะว่าจะได้เข้าไปเดินชมพระปรางค์ แล้วก็มีวัดหน้าพระเมรุ วัดท่าการ้อง วัดเชิงท่า วัดธรรมิกราช และวิหารพระมงคลบพิตรที่เป็นสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวอยุธยา ส่วนพี่อินน์ก็ได้แต่นั่งพยักหน้าฟังเงียบ ๆ ไม่ออกความคิดเห็นบอกว่าขับรถไปให้ได้หมด อยากไปที่ไหนก็บัญชามาได้เลย
            ตอนนี้ผมกังวลอยู่อย่างเดียวคือสภาพอากาศตอนนี้ดูจะแปลก ๆ น่ะสิ อย่างเมื่อสองสามวันก่อนจู่ ๆ ก็มีฝนตกลงมาเพราะพายุฤดูร้อน
            “ว้า อดเลยแหะ” พออาหารเมนูแรกมาเสิร์ฟ พี่อินน์ก็มองจานใส่กุ้งแม่น้ำเผาตัวโตเนื้อแน่นสามตัวที่ผ่ามาแล้วจนเห็นเนื้อสีขาวและมันกุ้งสีส้มเยิ้ม ๆ อย่างตาละห้อย จนผมอดแปลกใจไม่ได้
            “เป็นอะไรไปอะพี่อินน์”
            “ตอนแรกกะว่าจะอ้อนให้บุ๊คแกะกุ้งให้สักหน่อย มาแบบนี้อดเลย เฮ้อ”
            “คิดจะอ้อนน้องเป็นเด็ก ๆ ไปได้ สมควรแล้วแหละ หึ”
            “เอ่อ...จะมาอ้อนอะไรผมล่ะ กินไปเลย” ผมบ่นอุบแล้วไม่สนใจเขาต่อ ส่วนตัวการก็นั่งขำ ๆ เหมือนจะภูมิใจที่แหย่ผมสำเร็จ
            “ขำน้องเข้าไป ถ้ากุ้งติดคอแม่จะขำให้ ไม่ช่วยด้วยนะ”
            “รสชาติถูกปากมั้ยครับ” ผมปล่อยพี่อินน์ไว้แล้วคุยกับคุณแม่พี่อินน์แทน
            “อร่อยมากจ้ะ รสกำลังดีเลย น้ำจิ้มก็ใช้ได้ด้วย”
            “ไว้วันหลังเรามากินอีกนะครับแม่” พี่อินน์รีบพูดขึ้นมายิ้ม ๆ
            “เราจะขับรถพาพ่อกับแม่มากินถึงนี่เลยใช่มั้ยล่ะ”
            “ได้เสมอครับคุณนาย ยินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง!”
            “จ้า ๆ ติดใช้รสชาติอาหารหรือติดใจอย่างอื่นกันแน่ฮึ”
            “แหม แม่ก็ ไม่เอาไม่พูดสิ” ...เอ่อ ไม่ว่าเปล่า มีท่าบิดผ้าเช็ดปากแบบเขิน ๆ ด้วย สะดีดสะดิ้งสุด ๆ
            “จะพูดอะไร จะทำอะไรก็ช่วยเกรงใจหน้าหล่อ ๆ เหมือนพ่อแกด้วย ฉันล่ะกลุ้มจริง ๆ”
            อุ๊บ ผมแอบก้มหน้าขำเบา ๆ แกล้งทำเป็นไอกลบเกลื่อน มองพี่อินน์ที่ทำหน้างอนหลังจากโดนคุณแม่ดุ
            ก็สมควรมั้ยล่ะ ดูพี่แกเล่น น่าหมั่นไส้จริง ๆ เลย
            พออาหารเมนูอื่น ๆ มาเสิร์ฟจนครบ พี่อินน์ก็ดูสนุกสนานที่ได้ตักกับข้าวจากแต่ละจานมาใส่ทั้งในจานผมแล้วก็จานคุณแม่ จนต้องเอ่ยปากบอกถึงจะยอมหยุด
            ยังไม่พอตอนที่เราสั่งของหวาน พี่เขายังมาแย่งชิมลอดช่องน้ำกะทิของผมไปอีก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเลือกสั่งเฉาก๊วยมาเองแท้ ๆ จนผมต้องขู่ฟ่อปกป้องลอดช่องน้ำกะทิของตัวเองไว้สุดชีวิต!
            นี่ของโปรดผมเลยนะเว้ย!
            พอถึงตอนจ่ายเงินกลายเป็นว่าเสี่ยพี่อินน์เขาเป็นคนออกค่าอาหารให้ทั้งหมด จริง ๆ ผมก็เกรงใจอยู่นิด ๆ นะ แต่เขาก็บอกว่าตอบแทนที่มาช่วยเป็นไกด์ให้ด้วยเลยไม่ได้ปฏิเสธไป
            ลัคกี้! สรุปว่ามื้อนี้ อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ เย่

            หลังจากที่เราออกมาจากร้านอาหาร ผมก็บอกทางให้พี่อินน์ขับรถเข้ามาในเกาะเมือง ระหว่างทางดูท่าเหมือนกับเมฆฝนจะตั้งเค้า ท้องฟ้าเริ่มปกคลุมไปด้วยสีเทา ลมพัดแรงขึ้น ในที่สุดฝนก็ตกเทลงมาพอดีกับตอนที่รถเรามาถึงแถวหน้าวัดมหาธาตุ
            ผมเลยเสนอว่าให้ไปนั่งเล่นที่ร้านคาเฟ่แถวนี้ก่อนระหว่างที่รอฝนซา ทุกคนก็ตกลงด้วยตามนี้ ซึ่งที่คาเฟ่ก็อยู่ตรงข้ามกับตัววัดเลยพอมองออกมานอกร้านก็จะเห็นพระปรางค์ของวัดด้วยเหมือนกัน
            พี่อินน์ขับรถมาจอดชะลอที่หน้าร้าน ลงมากางร่มแล้วเดินไปส่งให้คุณแม่ได้เข้าไปในร้านก่อน ตอนแรกเขาก็จะให้ผมลงมาด้วย แต่ผมคิดว่าคงต้องบอกทางไปหาที่จอดรถใกล้ ๆ นี้เลยไม่ได้ลงไปพร้อมกัน
            พอพี่อินน์กลับขึ้นมาเราก็ไปหาที่จอดรถได้อยู่ฝั่งตรงข้ามร้าน ต้องข้ามถนนแล้วเดินต่อสักพัก โชคดีที่วันนี้ผมพกร่มมาด้วยอีกคัน
            ...แต่ พี่อินน์ดันไม่มีร่มอีกนี่สิ
            “ทำไมเมื่อกี้พี่ไม่เอาร่มที่คุณแม่กลับมาด้วยเนี่ย” ผมบ่นอุบเบา ๆ ตอนนี้กลายเป็นว่ามนุษย์เพศชายสองคนต้องมาเบียดกันอยู่ใต้ร่มคันเล็กเดินกลางสายฝนนี่สิ ลำบากชะมัด
            ค่อยยังชั่วที่ผมไม่ต้องถือร่มเองให้เมื่อย หึ
            “แฮ่ ก็...อยากอยู่ใต้ร่มคันเดียวกับเราไงครับ”
            “เดี๋ยวนะ.. มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย พี่อินน์!” ผมหันไปมองค้อนร่างสูงข้าง ๆ แต่รายนั้นดูไม่สำนึกผิดสักนิด รู้แบบนี้ผมน่าจะลงที่ร้านไปพร้อมกับคุณแม่พี่อินน์เลย ฮึ่ย
            “น่า เขยิบเข้ามาใกล้หน่อยก็ได้ เดี๋ยวเปียกฝนแล้วเป็นหวัดขึ้นมาจะทำยังไง”
            “ไม่เอา อึดอัด”
            “ครับ ๆ เดี๋ยวกระผมจะกางร่มให้เองขอรับ” ผมเดินกอดกระเป๋าแนบอกกันไม่ให้มันเปียกฝน โดยที่ไม่หันไปมองคนข้าง ๆ เว้นระยะห่างเล็กน้อย แต่พอรู้สึกว่าฝั่งนี้ไม่โดยละอองฝนสาดเข้ามาเลยสักนิดทำให้แปลกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นไปดู
            พอเห็นแบบนี้แล้วเท้าสองข้างชะงักทันที...พี่อินน์เขาเล่นบทพระเอกมิวสิคชูร่มมาทางผมอะ ไหล่ซ้ายของเขาเลยเปียกฝนไปเต็ม ๆ
            “ถ้าเปียกฝนจนเป็นหวัดขึ้นมาจะทำไง” ผมหยุดมองเขานิ่ง ๆ แต่พี่เขายังคงทำหน้าระรื่นได้เหมือนเดิม
            “เป็นห่วงพี่ใช่มั้ยล่า หึหึ”
            “...”
            “ตากฝนแค่นี้สบายมาก ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
            “เขยิบเข้ามาแล้วกางร่มให้ตัวเองด้วย” ผมว่าแล้วค่อย ๆ เดินต่อ
            “เราก็อย่าเดินห่างขนาดนั้นสิ” ไม่ว่าเปล่าเขาเหมือนจะคว้าตัวผมเข้าไปหา ผมรู้สึกได้ว่ามือข้างนึงของพี่อินน์ยื่นเข้ามาโอบเอวผมไว้หลวม ๆ จนผมเผลอกลั้นหายใจตัวเกร็ง ส่วนรายนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินต่อไปเงียบ ๆ 
            ให้ตายสิ จะมาทรมานกันขนาดนี้ไม่ได้นะ!
            หัวใจจะระเบิดอยู่แล้วเนี่ย!!
            ผมจะดิ้นนิด ๆ ให้เจ้าตัวรู้ แต่ยิ่งดิ้นมันยิ่งเหมือนจะยิ่งใกล้ชิดกันเข้าไปอีกนี่สิ   
            “ถ้าดื้อมากไม่ยอมเดินดี ๆ เดี๋ยวพี่สปอยล์ End game เลยนะ!”
            “ขี้โกงอะ”
            “พอต่อจากภาคก่อนใช่มั้ยพวกอเวนเจอร์ที่เหลือก็--อุ๊บ”
            “เดี๋ยว!!! หยุดเลยนะ!!!” พอเห็นว่าเขายังพูดต่อผมเลยเผลอยกมือนึงไปปิดปากคนถือร่มข้าง ๆ ทำหน้าดุขู่ให้พี่อินน์หยุดพูดแต่รายนั้นกลับยังทำหน้ายิ้มระรื่นเหมือนเดิม
            ฮึ่ย นี่เลยได้แต่ชักมือกลับมาแล้วสาวเท้ารีบเดินไปที่ร้านแบบไม่สนใจคนข้าง ๆ ทันที
            “นิ้มนิ่ม”
            ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาตัวโตด้วย!
            “ตายแล้ว เปียกไปหมดเลย เช็ดตัวก่อนลูก” พอเข้ามาในร้านปุ๊บคุณแม่พี่อินน์ก็รีบกุลีกุจอช่วยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าให้...เอ่อ ผม
            ปล่อยให้ลูกชายตัวเองยืนหน้าเหวอข้าง ๆ ตลกชะมัด
            “ขอประทานโทษนะครับคุณนาย..ลูกอยู่นี่นะครับ” พี่อินน์บ่นออกมาเบา ๆ ทำท่าเหมือนน้อยใจระหว่างที่ดึงทิชชู่เข้ามาซับหน้าตัวเอง
            “นี่ก็ลูกแม่อีกคนไม่ใช่เหรอไง หรือเราจะเถียง!” คุณแม่พี่อินน์ดูท่าจะสนุกใหญ่ที่แกล้งพี่เขาได้ แต่ผมก็บอกขอบคุณก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาเอง
            “ครับ ๆ ไม่เถียงครับ ตามสบายเลยครับ หึหึ”
            “ผมขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมบอกทั้งสองคนแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ กะว่าจะได้ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นด้วยปล่อยให้สองแม่ลูกเขาได้คุยกัน


            _____________________
            “ตาอินน์ นี่ติดใจอยุธยาละซิท่า รู้นะว่าเรามีแผนอะไรเนี่ย”
            “น่ารักมั้ยล่ะครับ”
            “น่ารักกว่าเราเยอะแล้วกัน”
            “เอ่อ...นี่ลูกเอง เหมือนแม่จะลืมนะครับ”
            “มิน่าพอแม่บอกว่าอยากมาไหว้พระที่อยุธยาปุ๊บ เรารีบอาสาขับรถพามาให้ทันทีเลย ร้อยวันพันปีไม่เคย พอแม่จะชวนมาเราก็บอกว่ายุ่งตลอด”
            “ยิงนกนัดเดียวได้ปืนสองตัวไงครับ”
            “...อย่าบอกใครเขานะว่าแม่เคยสอนภาษาไทยแกสมัยมัธยม เฮ้อ”
            “ล้อเล่นหรอกครับคุณครู ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไง”
            “สงสารหนูบุ๊คขึ้นมาเลย น้องเขายังเด็กนะ เราไปล่อลวงเขาอีท่าไหนฮึ”
            “ยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักท่าครับแม่”
            เพี๊ยะ!
            “โอ๊ย ผมแหย่เล่นน่ะแม่”
            “พูดอะไรเนี่ยฮะ มันน่านัก!”
            “ตอนนี้ก็ชวนคุยเฉย ๆ เอง เอาให้สนิทใจก่อน กลัวเขาวิ่งหนี”
            “ก็สมควรอยู่หรอก ชอบแกล้งชอบแหย่เขาจัง ถ้าน้องเขารำคาญจนทนไม่ไหว แม่จะขำให้”
            “ง่า ไม่หรอกครับ”
            พอดีกับที่บุ๊คเดินกลับมาที่โต๊ะ ผมเลยให้น้องเขาได้ดูเมนูว่าจะสั่งขนมกับเครื่องดื่มอะไร  ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังก้มไล่ดูเมนูอยู่ ผมก็แกล้งบอกเหมือนที่ตอนพนักงานที่งานหนังสือเคยทำ
            “ตอนนี้มีโปรโมชันนะครับ ถ้าบอกเบอร์โทรศัพท์มือถือก็จะได้เครื่องดื่มฟรีเลย”
            “...” น้องเงยหน้าอึ้ง ๆ ขึ้นมามองผม อ้าปากเหมือนจะพูดอะไร คงจะตกใจน่าดูที่ได้ยินผมแกล้งบอกแบบนี้
            “ตกลงจะรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ นมเย็นมั้ย”
            “เอาชาไทยปั่นกับเครปเค้กวนิลาครับ” น้องเดินผ่านผมไปแบบไม่สนใจแล้วบอกกับพนักงานเอง เหวอเลยครับ ..
            พอเขากลับมานั่งหน้ามุ่ยที่โต๊ะผมจึงพยายามรวบรวมความกล้า “เอ่อ... บุ๊คครับ โกรธเหรอ”
            “วันนั้นพี่หลอกผม?” เจ้าตัวพูดมานิ่ง ๆ ตากลมดูเหมือนจะมองมาแบบดุ ๆ ...แต่เอ่อ มันก็ดูไม่ดุอ่านะ
            “เปล่า จริง ๆ นะ พี่พนักงานเขาคิดเองต่างหาก พี่แค่อยากเลี้ยงน้ำปั่นเราเฉย ๆ”
            “แล้วขอแลกกับเบอร์ผม?”
            “...ง่า พี่ไม่เกี่ยว เขาพูดเองนะ คงแค่อยากช่วยมั้ง”
            “พี่ไม่ได้เมมมันไว้ใช่มั้ย”
            “พี่เมมไว้เรียบร้อย” ผมยอมรับตรง ๆ
            “ผมเปลี่ยนเบอร์ทันมั้ยเนี่ย” เขาบ่นออกมาเบา ๆ จนผมใจไม่ดี
            “ไม่น้า พี่ขอโทษจริง ๆ พี่อยากขอจากเราเองด้วยแต่ไม่มีโอกาส”
            “....เฮ้อ ผมผิดเอง ไม่น่าลืมตัวบอกเบอร์กับคนแปลกหน้าแบบนี้เลย”
            “ขอโทษนะครับ” นี่พูดออกมาจากใจจริง ๆ นะ ในใจรู้สึกโล่งขึ้นมาเมื่อไม่ต้องแอบเก็บความลับนี้ไว้แล้ว พอมองหน้าน้องก็เห็นว่าเขายอมยกโทษให้เหมือนกัน อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่มิจฉาชีพนะ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีด้วย
            เฮ้อ ค่อยยังชั่ว
            “ห้ามทำแบบนี้อีกแล้วนะครับ ห้ามโทรมาโดยที่ผมไม่ได้อนุญาตก่อนด้วย”
            “ครับ กลัวแล้วจ้า” ผมยกสองมือขึ้นยอมแพ้แล้วก้มหน้าเศร้า “อะ แต่เราก็อย่าให้เบอร์คนแปลกหน้าไปง่าย ๆ สิ”
            “จัดการได้เต็มที่เลยนะหนูบุ๊ค แม่อนุญาตจ้ะ มีอะไรมาฟ้องแม่ได้ตลอดเวลาเลย” จู่ ๆ แม่ที่นั่งฟังเก็บข้อมูลมาก็หันไปยิ้มให้ท้ายกับน้องเต็มที่
            รู้สึกโดดเดี่ยวยังไงชอบกลแฮะ
            พอเค้กกับน้ำปั่นมาเสิร์ฟน้องเขาก็นั่งก้มหน้าก้มตากิน เคี้ยวตุ้ย ๆ เหมือนเมื่อกลางวันจนผมลอบอมยิ้มไม่ได้ น่ารักชะมัด แก้มขาว ๆ นั่นน่าบีบจริง ๆ เลย
            ผมสั่งเค้กช็อกโกแลตกับลาเต้ไป พอพนักงานมาวางที่โต๊ะนี่ก็เหมือนจะรับรู้ทันทีเลยว่ามีสายตาเป็นประกายแอบเล็งอยากจะตักจ้วงเค้กผมอยู่
            “หึหึ อยากกินก็ตักไป หรือจะให้พี่ป้อนครับ” ผมเงยหน้าไปแซวน้องที่กำลังจ้องเค้กผมตาเป็นมัน ดูท่าว่าอยากลองกินมาก พอผมอนุญาตเจ้าตัวก็คว้าช้อนมาตักเค้กผมไปชิมทันที แถมเขายังเผลอทำหน้าฟินอีก งื้อ น่ารัก!!!!!!
            “...อ้อ ขอแลกกับชาไทยนะ” พอพูดผมผมก็แกล้งคว้าแก้วชาไทยของเขาขึ้นมาจับหลอดเตรียมจะดูด
            คนตรงหน้ามองมาแบบตกใจจนชะงักนิ่งไป ผมเลยแกล้งแอบดูดจากหลอดเขาเบา ๆ พอไม่เห็นเขาว่าอะไร
            “อา ชื่นใจจัง”
            กินน้ำหลอดเดียวกับน้องด้วย อ๊ากกกก
            นะ..นี่มัน จุ๊บทางอ้อม!!!!
            “ขี้โกงอะ” ผมลอบขำที่เจ้าตัวเล็กคว้าแก้วไปกำแน่นเหมือนกลัวว่าผมจะแย่งอีก แถมยังจ้องมาที่ผมแบบดุ ๆ
            ดุเหมือนลูกแมวขู่ฟ่อ ๆ จะน่ารักไปไหนเนี่ย
            “แลกกับเค้กไงครับ พี่จ่ายเงินให้ด้วยก็แสดงว่าพี่เป็นเจ้าของใช่มั้ยล่ะ”
            “อย่าแกล้งน้อง! แม่ก็นั่งหัวโด่อยู่นี่นะ ลืมหรือไงฮะ” 
            “โอ๊ย ยอมแล้วครับ เจ็บน้า” คุณนายเขาเล่นเอื้อมมือมาบิดหูผมด้วยเนี่ย นี่ตกลงว่าจะเข้าข้างลูกใหม่จริง ๆ ใช่มั้ย
            ยังไม่ทันไรก็เห็นลูกสะใภ้ดีกว่าลูกในไส้แล้วหรอครับ!
            แต่... ขืนพูดประโยคที่นึกในใจเมื่อกี้ออกไป มีหวังผมโดนรุมคอมโบจัดชุดใหญ่จากว่าที่ลูกสะใภ้คุณแม่แน่นอน

 ________________________

   
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ <END>
เริ่มหัวข้อโดย: Inomeki ที่ 03-05-2019 21:45:20
หลังจากเรานั่งเล่นในร้านคาเฟ่รอให้ฝนซาอยู่พักใหญ่ จนเกือบจะบ่ายสองผมก็พาพี่อินน์และคุณแม่เข้าไปเดินชมข้างในวัดราชบูรณะที่เป็นโบราณสถานเก่าแก่และทรงคุณค่าแห่งหนึ่งจังหวัด
            “ด้านในพระปรางค์ประธานเคยมีกรุเก็บทรัพย์สมบัติเครื่องทองและอัญมณีมีค่ามากมายครับ แต่หลังจากที่มีข่าวว่าค้นพบกรุที่วัดราชบูรณะนี้ก็มีพวกขโมยลักลอบเข้ามาขุดหาสมบัติจำนวนมากมายมหาศาลนี้ไปขาย บางส่วนก็ตามกลับมาได้ส่วนสมบัติอื่น ๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาครับ” 
            “น่าสนใจจังเลยนะจ๊ะ แม่ชักอยากเข้าไปดูพวกของที่ขุดพบนี่ด้วย เอาไว้วันหลังเรามาใหม่เนอะ”
            “ได้เลยครับ ผมขับรถพาคุณนายมาเอง จะว่าไปบุ๊ครู้พวกข้อมูลวัดต่าง ๆ เยอะเหมือนกันนะเนี่ย เก่งจังเลย”
            “ผมหาเพิ่มเติมบางส่วนก่อนจะมานี่ด้วยน่ะครับ แต่อย่างวัดพวกนี้ก็เป็นที่โด่งดังอยู่แล้วเลยพอรู้มาบ้างครับ”
            “สมเป็นไกด์จริง ๆ เลยน้า”
            “เราเดินไปวัดมหาธาตุข้าง ๆ นี้กันเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
            “นำเลยครับไกด์”
            “ไฮไลท์ของวัดนี้ถ้าไม่มาดูนี่เหมือนกับเห็นแสดงว่ายังมาไม่ถึงอยุธยานะครับ”

            ผมพาทั้งสองคนมาเดินชมภายในวัดมหาธาตุ ตัวพระปรางค์ประธานขนาดใหญ่พังทลายไปหมดแล้ว แต่ด้านหน้า
ยังมีร่องรอยปรากฏให้เห็นบ้าง สิ่งสำคัญที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาชมก็คือเศียรพระพุทธรูปที่ถูกล้อมรอบไปด้วยรากของต้นโพธิ์ซึ่งจุดนี้มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกจำนวนมาก 

            เมื่อเรากลับมาที่รถต่อผมดูเวลาก็ใกล้จะบ่ายสามแล้ว เลยพาไปไหว้พระต่อ ขับรถตรงต่อออกมาไม่ไกลโดยระหว่างทางก็แวะสักการะไหว้พระที่วัดธรรมิกราชที่เป็นทางผ่านด้วย
            เราเดินเข้ามาด้านในวิหารพระมงคลบพิตร ผมก็แนะนำประวัติคร่าว ๆ ว่าจุดเด่นคือพระพุทธรูปขนาดใหญ่ด้านในวิหารที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา ครั้งกรุงแตกองค์พระประธานและวิหารถูกเผาทำลายจนชำรุดทรุดโทรมหนักและได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
            “บุ๊ค ๆ ดูเซียมซีที่พี่ได้นี่สิ เขินอ่า เนื้อคู่อยู่ไม่ไกลด้วย” พี่อินน์เดินเข้ามายื่นเซียมซีของตัวเองให้ผมดู ยังไม่พอมาคว้าใบเซียมซีของผมไปดูด้วย
            “โอ๊ะ ....ถามเนื้อคู่ชู้ชื่นจะเชยชิด คงสมจิตสมรักสมศักดิ์ศรี ความรักดีเหมือนกันเลยเนอะ หึหึ”
            คนข้าง ๆ เหมือนยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก ผมทำอะไรไม่ได้ก็เลย...เดินหนี แอบหน้าร้อนนิด ๆ เหมือนกัน
            “ฮั่นแน่ หน้าแดงจังเลยน้า แหนะ ๆ เขินหรอครับ” 
            “เปล่าสักหน่อย อากาศมันร้อนต่างหาก ...ไปต่อกันเถอะครับ” ผมว่าแล้วเดินนำออกมาด้านนอกวิหาร ทิ้งให้ผู้ชายตัวโตแบบพี่อินน์ยืนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว
            จากนั้นเราก็ออกมาเดินชมวัดพระศรีสรรเพชญ์ที่ซึ่งเคยเป็นวัดหลวงประจำพระราชวังโบราณ จุดเด่นของโบราณสถานแห่งนี้คือมีเจดีย์ทรงลังกาขนาดใหญ่ (ผมเพิ่งค้นมาจากกูเกิ้ล) วางเรียงกันสามองค์สร้างไว้สำหรับบรรจุพระบรมอัฐิของกษัตริย์สามพระองค์ในสมัยอยุธยา
            หลังจากที่ฝนตกก็แดดออกจ้า บ่ายวันนี้อากาศจึงร้อนพอสมควร ผมเข้าไปถามคุณแม่พี่อินน์ระหว่างที่เราไปพักในศาลาไม่ไกลจากวัด พลางหยิบยาดมกับพัดมาช่วยพัดให้สดชื่นขึ้น
            “คุณแม่เหนื่อยหรือยังครับ” 
            “ก็เริ่มเหนื่อยบ้างแล้วจ้ะ คนแก่ก็อย่างนี้แหละ ขอบใจนะจ๊ะ”
            “แหม เรียกแม่พี่จนคล่องปากเลยน้า หึหึ” พี่อินน์กระซิบเบา ๆ แถมหัวเราะเจ้าเล่ห์อีก ผมเลยตีเขาเบา ๆ ไปทีนึงด้วยความหมั่นไส้ล้วน ๆ
            “แซวเฉย ๆ เอง ซ้อมไว้ไม่เสียหายนี่นา เนอะ ๆ”
            “ไปต่อไหวไหมครับ” ผมทำเป็นไม่สนใจพี่อินน์ หันไปถามคุณแม่พี่อินน์ที่นั่งข้าง ๆ
            “เดี๋ยวนั่งพักสักหน่อยก็ดีขึ้นจ้ะ”
            “ตอนนี้ก็ 4 วัดแล้วนะครับคุณนาย เหลืออีกตั้ง 5 วัด วันนี้จะครบมั้ยเนี่ย”
            “ไม่ครบก็มาวันอื่นก็ได้ ใกล้แค่นี้เอง ไหนเราบอกว่าจะขับรถมาให้แม่ไงล่ะ หรือไม่อยากมาแล้วฮึ”
            “โถ่ ผมอยากมาอยู่แล้วสิครับ มาได้เสมอตามที่คุณนายจะบัญชาครับ”
            “แล้วไป ไม่งั้นไว้แม่จะให้คนขับรถพามาเที่ยวเองก็ได้ พาหนูบุ๊คไปกินข้าวกันสองคน เชอะ”
            “กอดน้าอย่างอนสิครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อนมั้ยล่ะครับ นี่ก็บ่ายสามกว่าแล้วจะไปกลับถึงบ้านไม่ค่ำเท่าไร”
            “ตามใจคนรับรถก็ได้ จริง ๆ แม่ก็เหมือนจะเริ่มปวดแข้งปวดขานิด ๆ เอาไว้คราวหน้าแม่มารบกวนเราให้เป็นไกด์อีกได้ไหมจ๊ะ”
            “ได้ครับ ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ผมมาด้วยได้เสมอครับ” ผมยิ้มแล้วบอกอย่างยินดี คุณแม่พี่อินน์ใจดีแถมน่ารักกว่าพี่อินน์ตั้งเยอะ
            “หนูบุ๊คคงใกล้จะเปิดเทอมแล้วนี่เนอะ งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อของฝากก่อนกลับหน่อยแล้วกัน ดีมั้ยจ๊ะ”
            “ได้เลยครับ เดี๋ยวผมพาไป”
            "งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ" พี่อินน์บอกแล้ววิ่งออกไปทางร้านขายโปสการ์ดและของที่ระลึก ผมไม่ได้เดินตามไปดู แต่พอจะมองเห็นว่าเขาเลือกซื้อโปสการ์ดมา แล้วยืนเขียนอยู่ไม่นานก่อนจะเดินกลับมา

            พอออกมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ผมก็บอกทางให้พี่อินน์แวะไปซื้อโรตีสายไหมที่ร้านประจำที่ผมชอบ ผมมาซื้อตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนคนขายจำหน้าได้ เขาก็ใจดีม้วนโรตีสายไหมมาให้พี่อินน์กับคุณแม่ได้ลองชิมดูก่อนด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็ซื้อกลับไปคนละกิโล คือ... แทบจะแจกได้เป็นสิบ ๆ คนเลยนะครับนั่น
            อ้อ พี่อินน์งอแงจะให้ผมป้อนโรตีให้ด้วยนะ เขาอ้างว่าจับพวงมาลัยแล้วมือเปื้อนแต่ดันโดนคุณแม่ตีเข้าให้ซะก่อนเลยหงอยไปตามระเบียบ สมควร ฮ่า ๆ
            ก่อนจะกลับผมก็พามาที่ร้านเค้กบ้านสวนเจ้าโปรด ซึ่งทั้งพี่อินน์ทั้งคุณแม่พอได้ลองชิมก็ติดใจซื้อกลับกรุงเทพฯ จนหิ้วกันแทบไม่ไหว พี่อินน์ก็บอกว่าจะเอาไปขายต่อเพื่อนด้วย ...เอ่อ ช่างเขาเถอะครับ
            เอาเป็นว่างานนี้การท่องเที่ยวอยุธยาควรจะต้องขอบคุณผมนะเนี่ย
            “เดี๋ยวพี่ส่งผมหน้าปากซอยก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมเดินต่อเข้าบ้านเองจะได้ไม่ลำบาก” ผมหันไปบอกระหว่างทางที่ใกล้จะถึงบ้าน
            “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่เข้าไปส่งเราหน้าบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องเดินตากแดดด้วย เกรียมหมด”   
            ผมขำนิด ๆ แต่ก็จริงอย่างที่เขาบอกนะ แดดตอนเย็นนี่โหดร้ายน่าดูเหมือนกัน เจิดจ้าซะเหลือเกิน ตาพร่าไปหมด
            “คุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่กลับมาหรือจ๊ะ” คุณแม่พี่อินน์ถามขึ้นเมื่อรถมาจอดที่หน้าประตูบ้าน สงสัยเห็นว่าด้านในที่จอดรถไม่มีรถอยู่
            “ยังเลยครับ คงจะยังไม่กลับจากที่ทำงาน”
            “ไว้คราวหน้าเดี๋ยวแม่กับพ่อจะมาเยี่ยมแล้วกันนะจ๊ะ วันนี้ขอบคุณเรามากเลยนะที่ช่วยพาแม่เที่ยว”
            “ยินดีครับ”
            “โชคดีนะจ๊ะ อ้อ ถ้าพี่เขาแกล้งอะไรมาฟ้องแม่ได้ตลอดเลยนะ
            “งั้นผมลานะครับ สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้คุณแม่พี่อินน์แล้วลงจากรถ พอดีกับที่เห็นว่าพี่อินน์เดินลงจากรถมายืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยเหมือนกัน           

            " พี่ให้เรา ขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วยนะครับ" พี่อินน์พูดพร้อมกับยื่นโปสการ์ดใบนึงส่งมาให้ผม

            นึกว่าจะส่งให้ตัวเองซะอีก...

            “วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภานี้เราว่างมั้ย” 
            “เอ่อ...ผมมีธุระที่กรุงเทพฯ”
            ยังไงก็พลาดไม่ได้เด็ดขาด!
            “หึหึ ธุระที่ว่าใช่งาน.....วาย ๆ หลิก ๆ อะไรนี่หรือเปล่าน้า”
            “พี่รู้หรอ!” ผมตกใจจนเผลอพูดเสียงดัง
            “ก็เห็นในสตอรี่ไอจีเราไง หึหึ พอดีพี่ซื้อบัตรไว้แล้วด้วยสองใบ ขอไปกับเราด้วยคนได้มั้ยครับ”
            “ผมก็ซื้อมาแล้วใบนึง...”
            “ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่ซื้อต่อเราเอง ขอคำตอบด้วยครับ”
            “ก็ได้ครับ แต่...”
            " ...ไปกับพี่นะ นะๆ"
            "ถ้าจบงานแล้วผมขอเก็บบัตรทั้งหมดไว้นะ" ไม่ได้เห็นแก่ลายบนบัตรเข้างานเลยสักนิด สาบานได้!
            “แค่นี้หรอ... ได้เลยจ้า อ้อ แล้ววันนั้นเราจะไปยังไงอะเนี่ย”
            “ก็คงขึ้นรถตู้ไปลงหมอชิตแล้วต่อ BTS ไปสนามเป้าอ่าครับ”
            “โอเค งั้นเจอกันนะ”
            “ขับรถดี ๆ นะครับ”

            พี่อินน์ยิ้มร่าเมื่อได้ยินที่ผมบอกก่อนจะกลับขึ้นไปบนรถ ผมยืนส่งอยู่หน้าบ้าน จังหวะที่เขากลับรถย้อนมา จู่ ๆ พี่อินน์ก็เปิดกระจกฝั่งคนขับพร้อมกับชะโงกหน้าออกมา

            “อ้อ อย่าไปเผลอส่องใครบน BTS ล่ะ พี่หึง!”     
            .... เดี๋ยวนะ!!
            “พี่อินน์!!!!”
            รู้ตัวอีกทีเขาก็ขับรถออกไปไกลแล้ว ฮึ่ย ฝากไว้ก่อน ขอให้โรตีติดคอเลย!!!
                 

 

            พอเข้ามาในบ้านผมก็ก้มดูโปสการ์ดภาพถ่ายซิลลูเอตวัดพระศรีสรรเพชญ์ยามเย็นที่ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีสันต่าง ๆ ก่อนจะพลิกอ่านข้อความที่เขาเขียนเอาไว้ด้านหลัง...

             ‘ขอบคุณอาหารปลา ขอบคุณเจดีย์วัดใหญ่ ขอบคุณฝน ขอบคุณร่ม ขอบคุณชาเย็นที่ทำให้รู้สึกว่าหวานชื่นใจกว่ากาแฟ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวทุกอย่างในวันนี้ที่ทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น ขอบคุณนะครับคุณไกด์ อ้อ หวังว่าเจ้าแม่สร้อยดอกหมากจะเป็นกำลังใจให้พี่บ้างนะ

           ป.ล. แล้วจะมาอีกแน่นอนครับ'

       

            เอ่อ... เหมือนอยุธยามันร้อนขึ้นอีกสิบองศาหรือเปล่านะ หน้าผมร้อนจนแทบไหม้ไปหมดแล้วเนี่ยยยย
     

 

              ช่วงหัวค่ำ มีเบอร์แปลกที่ผมไม่ได้เมมไว้โทรเข้ามา ถึงใจนึงจะไม่อยากรับแต่ผมก็จำใจกดรับเผื่อเป็นเพื่อนคนไหนโทรมา

             "สวัสดีครับ"

             "พี่อินน์เองน้า ถึงบ้านแล้วนะครับ นี่เบอร์พี่เอง เมมไว้ด้วยนะครับ"

             .....!!!!!!

             ผมรีบกดวางสายทันทีด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะโทรเข้ามาปุบปับแบบไม่ทันได้ตั้ง อีกมือนึงก็เผลอกุมหัวใจที่เต้นรัวอย่างไม่หยุด

             ตึ๊ง!

             เสียงแจ้งเตือนในมือถือดังขึ้นเรียกให้ผมสะดุ้งก่อนจะหยิบมาเลื่อนเปิดดู

            ......ให้ตายเถอะ อาการหนักกว่าเดิมอีกเนี่ย!!!!!

           พี่เขาลงภาพที่ดูเหมือนว่าจะแอบถ่ายจากด้านหลังโดยฝีมือคุณแม่พี่อินน์ในระหว่างที่ผมกับพี่อินน์กำลังจุดธูปไหว้พระที่วิหารพระมงคลบพิตร 
     

          IN.me ได้มาทำบุญร่วมชาติแล้ว...เหลือตักบาตรร่วมขันเนอะ แบร่ : P

          คือ......

           นี่กะจะหยอดคอมโบคิลให้ผมชุบไม่ทันเลยใช่มั้ยฮะพี่อินน์!!!!!!

         

 ========================================

สำนักงานท่องเที่ยวอยุธยาจะต้องให้รางวัลเราแล้วล่ะ >< จะมีใครมาลองของเที่ยวตามรอยมั้ยน้า 555555
ตอนแรกกะว่าจะเป็นตอนสั้น ๆ ให้พี่อินน์มาหาน้อง...กลายเป็นว่ายาวไปอีก ที่ขับรถมาให้คุณแม่นี่ข้ออ้างทั้งนั้นแหละ

ดีใจมาก ๆ ที่เห็นหลายคนชอบ อยากบอกว่าทั้งคู่ยังวนเวียนอยู่กับเราตลอดค่ะ
หลังจากนี้เราก็คงจะมีตอนต่อออกมา (คงจะไม่บ่อยมาก) แนว ๆ Slice of life
ที่เป็นเรื่องของพวกเขาทำค่อย ๆ ทำความรู้จักศึกษากันไปก่อน ..และที่ตั้งใจไว้ก็คือจะเป็นเรื่องราวตามไทม์ไลน์จริง ๆ ค่ะ :)


ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่เอ็นดูน้องบุ๊ค และ(อิ)พี่อินน์ของเรา

#สถานีดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ:สถานีอยุธยา UP 3/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-05-2019 21:58:45
ได้ไปเที่ยวอยุธยากับพี่อินน์ด้วย....ได้ความรู้คู่บันเทิง   o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ:สถานีอยุธยา UP 3/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: tuuili ที่ 04-05-2019 12:45:14
ดีต่อใจจจจ อยากจะไปนั่งเอ็มอาร์ทีเก็บโมเมนต์จังเลยค่ะ 555555
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ:สถานีอยุธยา UP 3/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-05-2019 09:13:27
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ:สถานีอยุธยา UP 3/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 09-05-2019 23:26:21
น่ารักมากๆเลยค่า
หัวข้อ: Re: เรื่องสั้นธีม bookfair [MRT #สถานีดีต่อใจ] : สถานีพิเศษ:สถานีอยุธยา UP 3/5/2562
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-05-2019 01:37:09
พี่อินน์ดูก๊องมากกว่าที่คิด ตลก น้องอย่ายอมเป็นแฟนง่ายๆนะคะ

ปล. น่าไปเที่ยวมาก แต่สู้แดดไม่ไหวค่ะ  :serius2: