พิมพ์หน้านี้ - Pleasing scent ตอนที่ 12 17/12/2561

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Letter123 ที่ 22-08-2018 10:03:27

หัวข้อ: Pleasing scent ตอนที่ 12 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 22-08-2018 10:03:27
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



***********************************************************************************


แอบมาเปิดเรื่องไว้ก่อนนะคะ

ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ





***********************************************************

ผลงานที่แล้วมา
Love Diary รักที่แอบมอง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54878.0
ไร่สายลม
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59812.0

Half an hour ช่วงเวลาแห่งความสุข
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66116.msg3785385#msg3785385

Bad plan แผนร้าย แผนรัก (on air)
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67390.msg3840515#msg3840515
 และอีกสองเรื่องไม่ได้ลงในเล้านะคะ
สามารถเข้าไปติดตามข่าวสาร ทวงนิยายได้ที่
https://www.facebook.com/letter123.writer/
หัวข้อ: Re: Pleasing scent บทนำ 22/8/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 22-08-2018 10:04:06


บทนำ

เวียนหัว กลิ่นต่างๆ ที่ประดังเข้ามาทำให้ร่างสูงทรุดนั่งลงกับพื้นท่ามกลางสายตาสงสัยจากคนที่เดินผ่านไปมาแต่ก็ไม่มีใครคิดเข้าไปถามเพราะสภาพใส่ชุดดำผมเผ้าปิดหน้าผิดตาใส่เสื้อคลุมปิดมิดชิดไหนแมสที่ปิดหน้านั่นอีกบรรยากาศไม่ได้น่าเข้าใกล้สักนิดหลายคนเลยหลีกเลี่ยงที่จะเดินใกล้ หลังจากที่ทรุดนั่งสักพักเจ้าตัวค่อยประคองตัวเดินโซซัดโซเซเดินเข้าตึกกลางของมหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจสายตาแปลกๆ จากทุกคนที่พอเข้าลิฟท์ทุกคนก็แทบจะขยับไปรอลิฟท์อีกตัวแทนซึ่งก็ดี จะได้หายใจหายคอได้คล่องหน่อย

“เดี๋ยวครับรอด้วยๆ” ประตูลิฟท์ที่กำลังจะปิดถูกกระบอกพลาสติกก่อนที่คนที่เรียกจะพุ่งเข้ามากดชั้นที่ต้องการโดนไม่ได้สังเกตคนที่อยู่ข้างหลังเลยสักนิด

ร่างสูงได้แต่พยายามที่จะเบือนหน้าหนีทั้งๆ ที่คิดว่าจะได้พักหายใจแต่ทำไมเจ้าเตี้ยนี่ถึงได้วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามากันนะ เพราะกลัวว่าจะได้กลิ่นที่เขาแสนเกลียดแต่พอผ่านไปสักพักร่างสูงก็ยังไม่ได้กลิ่นที่ชวนเวียนหัว

ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

นิ้วเรียวขาวซีดอย่างที่ไม่เคยออกแดดเกี่ยวแมสที่ปิดจมูกออกเพื่อพิสูจน์ความสงสัยของตัวเอง แต่สิ่งที่ได้กลิ่น

มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ กลิ่นที่เหมือนแสงแดดยามเช้า

กลิ่นที่เขาไม่เคยได้จากใคร เป็นกลิ่นที่ชวนให้สบายใจ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่จูมูกโด่งสูดกลิ่นหอมนี้เข้าเต็มปอด ถ้าได้กลิ่นนี้ทุกวันจะดีแต่ไหนกันนะ

โดยไม่รู้ตัวเจ้าตัวขยับเข้าไปใกล้จนแทบชิดจมูกก้มลงเพื่อสูดกลิ่นหอมที่ทำให้เขาหายใจเข้าปอดลึกๆ อ่า เอากลับบ้านได้ไหม

พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยหนูด้วย ฮือออ ไม่น่าเลยไม่น่าเข้าลิฟท์ตอนนี้เลย นี่เขาต้องเจอคนโรคจิตหรอกเหรอเนี้ย เพราะต้องรีบขึ้นไปส่งงานเลยต้องวิ่งเข้าลิฟท์ที่กำลังจะปิดถ้าย้อนเวลาได้เขาจะไม่ขึ้นมาเด็ดขาด

ฮืออ มันขยับเข้ามาใกล้แล้วอ่ะ

มาดมใกล้ๆ เขาด้วย

แม่จ๋า ลูกกลัวแล้ววววววววววววววววววว

จะขยับหนีก็ตัวแข็งทื่อขนลุกขนพองไปหมดแล้ว และเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นชั้นที่เขากดไว้ ยังไม่ทันที่ประตูจะออกจนสุดเขาก็พุ่งออกไปหอบกระเป๋าข้าวของพุ่งออกจากลิฟท์ไม่ได้หันหลังกลับไปมองข้างหลังเลยสักแวบ

ฮือออ ซวย!!

ซวยเชี่ยๆ ส่งงานเสร็จก่อนเถอะ จะไปทำบุญล้างซวยเก้าวัด!!

ร่างเล็กพร้อมกับกลิ่นหอมวิ่งหนีไปจะคว้าตัวก็ไม่ทันซะแล้ว จะทำยังไงถึงได้ดมกลิ่นที่ทำให้สบายอย่างนี้อีกนะ นิ้วเกี่ยวแมวขึ้นปิดจมูกเหมือนเดินแววตาคมติดจะเศร้าหน่อยๆ ที่จะไม่ได้กลิ่นนี้อีกแล้ว เมื่อถึงชั้นที่ต้องออกขายาวๆ กำลังจะก้าวออกจากลิฟท์แต่ก็สะดุดกับอะไรที่เขาเตะเสียก่อน

หือ

นี่มันบัตรนักศึกษา ที่พอหยิบขึ้นมาดูชัดๆ ก็เห็นว่าเป็นของคนตัวเล็กกลิ่นหอมคนนั้น

อ่า

คงจะได้เจอกันอีกสินะ

*******************************************

เอามาลงเปิดเรื่องไว้ก่อนนะคะ 

ส่วนตอนต่อนั้น ไว้เจอกันนะคะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent บทนำ 22/8/2561
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 22-08-2018 10:08:48
มาเจิมค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 1 31/8/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 31-08-2018 11:38:19
1

ซวย

ซวยมากๆ ซวยเชี่ยๆ

ชีวิตไอ้สตางค์ เงินไม่มี เพื่อนก็น้อย ยังต้องมาเจอกับโรคจิตด้วยเหรอ ตอนนี้โคตรหลอนต้นคอเลยให้ตายสิ เหมือนยังมีลมหายใจร้อนรดอยู่ตลอดเวลาเล่นทำเอาขนลุกซู่เป็นระยะๆ

ฮือ ไอ้สตางค์จะไปลดน้ำมนต์ล้างซวย ยกมือถูต้นคอจนเพื่อนตัวสูงเหลือบมองหลายครั้งกับท่าทางประหลาดๆ ของเพื่อนซี้

“สตางค์เป็นไรวะ” อดไม่ได้ที่จะถามกับท่าทางสะดุ้งเป็นระยะๆ

“ปะ...เปล่าวะ ไปส่งงานให้เสร็จเหอะ จะได้รีบกลับ ฉันต้องไปทำงานพิเศษอีกที่อยู่” ร่างเล็กรีบบอกปัดก่อนที่จะสาวเท้าไปที่ห้องพักอาจารย์ หลังจากที่ส่งงานเรียบร้อยเขาและเพื่อนก็มายืนที่หน้าตึก

“จะให้ไปส่งไหม”

“ไม่ต้องหรอกที่ทำงานมันอยู่ไม่ไกลหอฉันเท่าไหร่” ผมรีบปฏิเสธหอเขานั้นทางเข้าแทบจะตายจะให้มันขับรถไปส่งก็ไม่ได้มีอะไรขึ้นมาแถมยังต้องลำบากมันอีก

“เออๆ แต่มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะ” ถึงจะเคยบอกไปแล้วก็เถอะแต่ไอ้เพื่อนตัวเล็กของเขาก็ไม่ยอมที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือสักครั้ง

“อือๆ ขอบใจมากนะ ไปละ” บอกลาเพื่อนก่อนที่จะวิ่งกลับหอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับงานเสิร์ฟในตอนบ่ายที่ร้านอาหารแถวนั้นก่อนที่ตอนสองทุ่มจะต้องไปวิ่งรอกงานล้างจาน วันนี้เป็นวันหยุดของงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ ตารางงานวันนี้ของผมก็มีเท่านี้ ส่วนวันอื่นก็ปรับเปลี่ยนไปตามตารางงานพาร์ทไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ ส่วนเวลานอนผมนอนไม่กี่ชั่วโมงก็พอแล้ว

“อ่าวน้องสตางค์มาแล้วเหรอ”

“หวัดดีครับพี่” ยกมือไหว้พี่เจ้าของร้านใจดีที่ยอมรับผมเข้าทำงานแถมยังจ่ายเงินเป็นรายวันให้ผมอีก เพราะถ้าไม่ได้เงินรายวันแบบนี้ผมคงต้องแทะผนังห้องกินเป็นปลวกแล้ว

“วันนี้มาเร็วนะเอาของไปเก็บแล้วออกไปช่วยข้างนอกเถอะไป”

“คร๊าบเจ๊” พูดเสียงทะเล้นก่อนที่จะหลบมือยาวที่จะโบกหัวผมหนีไปทำงานข้างนอก

อ๊ะ จะถามล่ะสิว่าทำไมผมถึงต้องมาทำงานเยอะแยะมากมายอะไรแบบนี้ ก็เพราะเงินนะสิ ชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ความหมายดี๊ดี แต่ผมนั้นจนเข้าขั้นกรอบ ส่วนพ่อแม่นั้นประสบอุบัติเหตุเสียไปตั้งแต่ผมอยู่มอหก ตอนนี้ก็ปีสองก็ราวๆ สามสี่ปีแล้วล่ะนะ พอเสียพ่อแม่ไปญาติๆ ผู้แสนดีก็เปิดศึกแย่งชิงทุกอย่างของผมไป พอไม่มีอะไรติดตัวทุกคนก็ต่างเบือนหน้าหนี ยังดีที่พ่อกับแม่มีเงินประกันไว้ให้แต่มันก็ไม่ได้มากมายจนสามารถอยู่ดีกินดีเพราะเงินส่วนนั้นคิดไว้แล้วว่าจะเอาไว้เป็นทุนในการเรียน ฉะนั้นค่ากินค่าอยู่ผมเลยต้องหาใช้เอง

“เหนื่อยชะมัด” หลังจากวิ่งรอกสองงานวันนี้ก็จบแล้ว เดินโซเซขึ้นชั้นสองของหอพักเก่าๆ แต่มันก็ช่วยประหยัดเงินได้ดีทีเดียวเชียวล่ะ เข้าห้องปิดประตูโยนของกองๆ ไว้มุมห้องก่อนที่จะล้มตัวนอนบนฟูกเก่าๆ

อาบน้ำเหรอ

พรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน ไม่ได้ซกมกอะไรหรอกนะแต่เหนื่อยจนขยับตัวไม่ไหวแล้วเพราะยืนล้างจานนานถึงสองชั่วโมงเล่นเอาขาผมเหมื่อยไปหมด พรุ่งนี้ต้องทำงานอีก นอนๆ ๆ

.

กริ๊งๆ

เสียงมือถือปุ่มกดล้าสมัยดังขึ้นทำเอาคนที่ยังนอนหลับอุตุสะดุ้งตื่นขึ้นมารับอย่างงัวเงีย

“ครับ”

“ (สตางค์ วันนี้แกช่วยแวะเอาบัตรนักศึกษามาให้ที่คณะได้ไหม) ” ตากลมหรี่มองชื่อที่โทรเข้ามา อ้อ ไอ้อิฐนี่เอง

“อือๆ เอาไปทำอะไร”

“ (แกคงไม่ลืมนะว่าวันนี้ต้องลงทะเบียนแล้ว รีบๆ เอามาให้เลยนะเว้ย) ” เสียงตะโกนที่ทำให้ผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างหู อ่า ช่วงเวลาเสียเงินอีกแล้วเหรอ

“อือๆ เดี๋ยวเอาเข้าไปให้นะ” กดวางสายก่อนที่จะนอนนิ่ง จะหลับก็คงหลับต่อไม่ได้แล้วเลยลุกพาสังขารเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวเพื่อแวะเข้าคณะก่อนไปทำงาน

ร่างบางในชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อเดินหัวฟูเข้าคณะเรียกสายตาของรุ่นน้องได้เป็นอย่างดีแต่คนอย่างสตางค์ไม่คิดจะสนใจรีบเดินไปยังห้องที่เพื่อนสนิทสิงสถิตอยู่ในทันที

“หัวฟูเชียวนะ เมื่อคืนนอนกี่โมง” อิฐถามด้วยความเป็นห่วงเพราะดูจากสภาพท่าทางจะนอนไม่เต็มอิ่มด้วยซ้ำ

“เออๆ นอนพอก็แล้วกัน” แม้สภาพจะไม่ใช่อย่างที่พูดก็เถอะ อิฐได้แต่ส่ายหัวให้กับการตอบส่งๆ ของเพื่อนตัวเล็ก

“เอาบัตรมา ลงเหมือนกันกับกูเลยนะ” ผมพยักหน้าเปิดกระเป๋าเป้เก่าๆ

หือ

ไม่มี

หายไปไหน

แทบจะมุดหัวเข้าไปหาในกระเป๋าหลังจากที่ควนหาไม่เจอ ผมก็เทของในกระเป๋าออกมาแถมยังเขย่าอีกหลายๆ ที แต่ก็ยังไม่เจอ สงสัยว่าอาทิตย์นี้ผมคงจะซวยจริงๆ

“ไม่มีอ่ะ” เงยหน้าบอกเพื่อนด้วยน้ำตาคลอเบ้า ไม่มีบัตรหลายๆ อย่างก็ยุ่งยาก ที่สำคัญมันต้องเสียเงินค่าทำใหม่ ไอ้สตางค์ทำไมเป็นคนอย่างนี้

“เห้ย ไปทำใหม่เลย”

“มันแพง” ผมบอกเสียงอ่อย “โอ๊ยๆ เจ็บๆ ไอ้อิฐเจ็บ!!” ร้องโอดโอยเพราะไอ้อิฐเล่นตบหัวแรงๆ ไปทีก่อนที่จะดึงแก้มผมจนยืด เสียงโวยวายที่เรียกสายตาของหลายคนในห้อง

“เดี๋ยวออกให้ถ้าแกไม่มีบัตรเดี๋ยวก็ลงทะเบียนไม่ได้” ไอ้อิฐทำหน้าจริงจังซะจนไม่กล้าโวยวาย ได้แต่พยักหน้ายอมให้ไอ้อิฐลากลงจากตึกไปฝ่ายบริการนักศึกษาแต่ยังไม่ทันที่จะออกพ้นตึกผมก็ต้องรีบหลบหลังไอ้อิฐ

“ทำบ้าอะไรของมึงเนี้ยไอ้สตางค์” มันว่าผมแต่ผมก็ไม่สนใจหรอกนะ แอบชะโงกหน้าผ่านไหล่มันเพื่อดูร่างตะคุ่มๆ ดำๆ ที่อยู่ข้างเสา

นั่นมันไอ้โรคจิตนี่น่า

“มึงหลบอะไรของมึง”

“กูหลบโรคจิตวะ” ยังดีไอ้อิฐมันตัวโตแถมยังไหล่หนากว่าผมอีกเลยบังผมซะมิด

“โรคจิตไหนวะ เลิกเล่นได้แล้วเดี๋ยวต้องไปทำงานไม่ใช่เหรอ”

“เออๆ มึงก็เดินไปดิ” ผมดันหลังให้มันเดินนำไป อิฐได้แต่ถอนหายใจกับอาการบ้าๆ บอๆ สงสัยทำงานหนักมากเกินไป ยังไม่ทันที่จะก้าวผ่านเสาที่ไอ้โรคจิตนั่นยืนพิงอยู่

หมับ

“เฮ้ย ปล่อยนะ” ผมร้องลั่นเมื่อคนที่คิดว่าจะหลบพ้นกลับจู่ๆ ถูกคว้าข้อมือไว้แน่นเล่นเอาผมแทบถลาเข้าไปหาไอ้โรคจิตยังดีที่จิกปลายเท้าไว้ได้ทำให้ผมอยู่ห่างจากมันแค่ไม่กี่ฝ่ามือ

“หอม”

“หอมบ้าหอมบออะไร ไอ้อิฐช่วยด้วย” ใบหน้าซีดใต้แมสสีดำกับผมปิดหน้าทำให้ผมรู้สึกกลัว ฮือออ มันจะเอามีดมาจิ้มผมไหม

“นายกลิ่นหอม” ยังมีหน้ามาทำจมูกฟุดฟิดรอบตัวผมอีก พ่อจ๋าแม่จ๋าไอ้สตางค์กลัวแล้ว อาจจะเพราะผมตื่นกลัวทำให้น้ำตาผมเอ่อคลอจนภาพข้างหน้าพล่ามัว

“อย่าร้องไห้สิ”

“ถอยออกห่างเพื่อนกู” ยังไม่ทันที่มือขาวซีดจะแตะหน้าแต่เจ้าเพื่อนสนิทขยับเข้ามาบังผมไว้

“กลิ่นคุณแปลกมาก” ไอ้อิฐก็คิ้วขมวดอีกคนมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ

“มีอะไรกับเพื่อนกู” ผมขยับเข้าไปชิดไอ้อิฐแม้ข้อมือจะถูกจับไว้ไม่ยอมปล่อย ไอ้โรคจิตที่เห็นหน้าแค่ครึ่งเดียวแต่แววตาที่จ้องมองมาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

“ผมแค่อยากเจอ และเอานี่มาคืน” ก้มลงมองมือซีดที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วยื่นสิ่งที่ผมแทบจะมุดกระเป๋าหา บัตรนักศึกษา

“คุณไปได้มายังไง”

“ผมเก็บได้จากวันนั้นที่ลิฟท์” อ่า ผมกล้าที่จะขยับออกมาจากหลังไอ้อิฐเพราะดูท่าทางก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงจะมีพฤติกรรมแปลกๆ ก็เถอะ

“ขอบคุณ” ผมรีบคว้าบัตรแล้วส่งให้ไอ้อิฐ แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมที่จะปล่อยมือผมจนได้

“ผมไตเติ้ล กลิ่นของคุณ.......ผมไม่เคยเจอและมันทำให้ผมสบายใจ” เอ่อ...ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าพูดเรื่องอะไรแต่ดูท่าทางไม่อันตราย

“พูดอะไรแปลกๆ ผมไม่อยากรู้จักคุณขอบคุณสำหรับเรื่องบัตรนักศึกษา” ผมพยายามบิดข้อมือออกและเจ้าของมือยอมที่จะปล่อยผม

“อาจจะฟังแปลกๆ แต่ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ”

“ขอโทษด้วยครับ ไอ้อิฐป่ะ” ผมรีบลากไอ้อิฐหนีทันที แม้ว่าภาพคนโรคจิตยืนคอตกจะดูน่าสงสารก็เถอะ

“มึงไปรู้จักได้ไงวะ”

“ก็แค่คนโรคจิตที่บังเอิญเจอ”

“แต่ก็น่าสงสารนะเว้ย” ไอ้อิฐหันไปมองข้างหลังแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ผมไม่ได้มีเวลามาสนใจกับคนที่ต้องการผมเป็นเพื่อนหรือต่อให้เป็นใครก็ตาม เรื่องปากท้องผมสำคัญกว่าเยอะ





*********************************

แอบเอาเรื่องนี้มาลงฮ่าๆๆ

สำหรับเรื่อง น้องริน ถ้าทันอาจจะลงวันนี้นะคะ

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 1 31/8/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-08-2018 12:44:03
เขากลัวหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 1 31/8/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-08-2018 13:56:27
 :L2: :pig4:

อยากรู้ว่าทำไมได้กลิ่นไม่เหมือนคนทั่วไป
แต่มาแบบนี้เป็นใครก็ตกใจนะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 1 31/8/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 01-09-2018 11:52:28
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13 o18 :man1: :z2: :m4: :จุ๊บๆ: :oni1:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 1 31/8/2561
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 01-09-2018 21:07:55
ทำไมพูดจาแปลกๆอะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 2 8/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 08-09-2018 11:56:30


                หลังจากที่บอกปฏิเสธโรคจิตไปก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆแล้วไม่มีคนตามไล่ดมกลิ่นหรือคนที่แอบอยู่ตามเสามาคอยทำให้ตกใจทั้งผมและไอ้อิฐต่างก็ลืมไปแล้วว่าอาทิตย์ที่แล้วเกิดอะไรขึ้น ผมเดินเข้าตรอกเล็กๆทางเข้าหอพักเป็นหอพักเก่าๆและมีอาม่าเป็นคนดูแลนานๆทีหลานสาวถึงจะมาช่วย หอเก่าที่มีเพียงสองชั้นและห้องไม่กี่ห้องยังดีที่สภาพแวดล้อมไม่ได้เลวร้ายห้องข้างๆเป็นคุณป้าสูงวัยที่ไม่เคยออกจากห้องนานๆทีถึงจะได้เจอ

                “อ่าอาตางค์วันนี้กลับมาเร็วจัง”

                “ครับอาม่าวันนี้ร้านอาหารไม่เปิดนะครับ” เจ้าของร้านไม่ได้โทรมาบอก ไม่ใช่สิโทรศัพท์ผมเจ๊งนี่เลยไม่รู้เรื่องที่ร้านปิดหลายวันเพราะเจ๊เจ้าของร้านไปเที่ยวผมเลยแต่งตัวไปทำงานเก้อและผมก็ว่าง....ซึ่งเสียเวลาชะมัดถ้ารู้แต่แรกผมคงจะไปขอเพิ่มเวลางานที่ร้านสะดวกซื้อ เอาเถอะถือว่าเป็นการพักผ่อน

                “ดีๆอาตางค์จะได้พักบ้าง ดูสิผอมหมดแล้ว”

                “ครับม่า” ผมยกมือไหว้อาม่าที่หันไปนั่งเล่นกับแมวต่อผมเลยเดินขึ้นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหยิบเอกสารที่ต้องเรียนเนื้อหาในวันพรุ่งนี้ พอนั่งๆอ่านไปสักพักความง่วงก็ครอบงำ หยิบมือถือที่ดันตกน้ำหน้าจอสีดำนั้นดับสนิทไอ้อิฐบอกว่าจะออกให้ก่อนแต่เขาไม่อยากเป็นหนี้ หาซื้อมือสองคงจะประหยัดดี เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปหาซื้อของเข้าตู้เย็น จะให้ซื้อกินทุกวันก็คงไม่ไหว

                “เย้ยยยยยย” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อจู่ที่กำลังเดินเพลินๆก็มีคนมายืนดักหน้า บรรยากาศรอบตัวอึมครึมไม่น่าเข้าใกล้ อะ....ไอ้โรคจิต ขาขยับออกห่างไปหลายก้าว

                “มาได้ไงวะ” ไอ้ที่คิดในใจก็เผลอพูดออกมาเพราะตกใจไม่คิดว่าจะเจอนี่มันโรคจิตขนาดแท้เลยนี่หว่า     

                “เอ่อ.ขอโทษที่ทำให้ตกใจ...ผมเอานี่มาให้” แขนยาวๆยื่นถุงกระดาษมาตรงหน้าจนแทบชิดหน้าผม

                “อะไรของนาย”

                “มันจำเป็นต่อคุณไม่ใช่เหรอ รับไปสิครับ” น้ำเสียงทุ้มพูดราบเรียบแทบจับความรู้สึกไม่ได้

                “เดี๋ยวสิมันไม่ดีหรอกมั้ง”

                “ผมอยากให้ เอาไปนะครับ ผมต้องรีบไปแล้ว” เจ้าโรคจิตยัดถุงใส่มือก่อนที่จะรีบเดินหนีไปขึ้นรถราคาแพงที่จอดรออยู่ ปล่อยให้ผมยืนเอ๋อยืนมึนจนผ่านไปสักพักถือได้เปิดถุงออกมาดูข้างในนั้นเป็นกล่องโทรศัพท์รุ่นใหม่ราคาแพงที่ต่อให้ทำงานครึ่งปีผมก็ยังไม่ปัญญาจะซื้อ

                “เห้ย เอามาให้ทำไมวะ” ได้แต่ยืนโวยวายฮึดฮัดทำอะไรไม่ได้เพราะเจ้าตัวก็ไม่อยู่ตรงนี้ ว่าแต่รู้ได้ยังไงว่าโทรศัพท์เขาพัง

                บรือออ

                ขนลุกแหะ

                ร่างสูงที่เพิ่งเอาของไปให้คนที่...อืม..เรียกได้ว่าสนใจก็น่าจะถูกเป็นคน คนแรกที่เขาสนใจเป็นมนุษย์คนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกหายใจได้เต็มปอด ในชีวิตที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเพราะไม่สามารถออกมาอยู่ข้างนอก เพราะสิ่งที่ทุกคนเรียกว่าความพิเศษแต่สำหรับเขามันเป็นเพียงคำสาป เพราะไม่สามารถเข้าสังคมได้ คุณพ่อกับคุณแม่เลยติดต่อครูมาสอนให้ที่บ้านแต่กว่าจะได้ครูที่ทำให้ผมสามารถทนได้ก็ผ่านไปหลายคน

                “คุณไตเติ้ลจะไปไหนต่อไหมครับ” คนขับรถที่เปิดกระจกกั้นมาถามขณะที่รถติดไฟแดง เขาส่ายหน้าแค่การออกนอกบ้านครั้งที่สองติดกันภายในหนึ่งเดือนก็แทบทำให้คนในบ้านแปลกใจแล้ว

                “เติ้ลไปไหนมาลูก” คุณแม่ทันทีที่เห็นก็รีบเดินมาหา นิ้วยาวเกี่ยวแมสบางหยักยกยิ้มบางๆ คุณแม่จะมีกลิ่นเศร้าๆและก็คงเป็นเขาที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่มีกลิ่นแบบนี้

                “ไปหา..ใครบางคนครับ” คำตอบที่ทำให้ทุกคนทำหน้าแปลกใจ

                “งั้นเหรอแม่รู้จักเขาไหม”

                “อืมไม่หรอกครับ ผมเจอเขาโดยบังเอิญ” เพียงเพราะกลิ่นนั้นมันทำให้เขายึดติด

                “แม่ชักอยากเห็นแล้วสิว่าเป็นใครที่ทำให้ลูกชายของแม่ยิ้มกว้างแบบนี้” พอถูกทักผมก็ยกมือขึ้นแตะที่ปากนี่เขายิ้มกว้างขนาดนั้นเลยเหรอ

                “อ่าผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ” พอรู้สึกตัวก็ต้องขอหลบสายตาล้อๆของมารดา ห้องส่วนตัวที่มีขนาดกว้างกว่าห้องทั่วไปภายในห้องมีสีสันไม่เหมือนเสื้อผ้าสีดำที่อยู่บนตัวเอาจริงๆตัวเขาก็ไม่ได้ชอบสีดำอะไรมาเพียงแต่ถ้าออกไปข้างนอกใส่สีนี้ก็สะดวกกว่าไม่สะดุดตาเท่าไหร่

                “จะยอมใช้ไหมนะ” ได้แต่บ่นเบาๆกับตัวเอง ตากลมที่สบตาเขาโดยตรงแม้จะเรียกสรรพนามที่ทำให้ผมต้องมาพิจารณาตัวเองว่าเหมือนคนโรคจิตตรงไหน แค่อยากได้กลิ่นหอมนั้นใกล้ๆแค่นั้นเอง ส่วนการแต่งตัวก็แดดมันร้อนมากผมเลยใส่สีดำก็แค่นั้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานแม้จะไม่ได้ไปเรียนตามมหาลัยแต่ผมก็เรียนกับอาจารย์สูงวัยที่มาสอนท่านเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมเลยได้เรียนทุกอย่างแม้บางอย่างมันจะเกินวัยมัธยมของเขาไปหน่อยก็เถอะ ตอนนี้ผมเลยได้ช่วยคุณพ่อทำงานบางส่วนแต่เพราะเจอคนมากไม่ได้

                ประวัติคนตัวหอมอยู่ในมือทั้งที่ผ่านชีวิตแบบนั้นทั้งเจอกับคนเห็นแก่ตัวแต่ทำไมยังคงมีกลิ่นหอมบริสุทธิ์แบบนั้นอยู่ได้ ยิ่งทำให้อยากรู้จัก อยากเรียนรู้ อยากจะลักพาตัวมาทำให้ห้องเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเบาสบายนั่นจังเลย

                “ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีสิ” แค่เข้าใกล้ยังไม่ได้เลย โดนตราหน้าว่าโรคจิต หรือเขาจะโรคจิตจริงๆ

                คิดไปคิดมางานการก็ไม่ได้นิ้วเรียวลูบเบาๆที่รูปถ่ายในประวัติที่ให้เพื่อนสืบให้ อ๊ะเห็นอย่างนี้ผมก็มีเพื่อนนะ แต่เป็นเพื่อนออนไลน์นะ เปิดคอมกดเข้าเฟสบุ๊คที่ไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งรูปดิสะกดค้นหาชื่อคนตัวหอมรูปดิสในภาพทำให้เขาหลุดขำ ดูท่าจะเป็นรูปตอนรับน้องใบหน้าขาวเต็มไปด้วยสีและทรงผมประหลาดๆแถมเจ้าตัวยังทำหน้าประหลาดๆอีก เม้าส์ค้างอยู่ตรงคำร้องขอเป็นเพื่อน ชั่งใจอยู่นานก่อนที่จะกดส่งไป และนั่งรอลุ้นว่าคนตัวหอมจะกดรับคำขอของเขารึเปล่า

.

.             

                ติ๊ง

                เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูที่โดนคนโรคจิตยัดใส่มือมาขึ้นแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นยอดฮิด คำขอเป็นเพื่อนจากคนที่ไม่รู้จักแถมรูปก็ยังไม่มีทำให้ผมไม่กดรับ ทีแรกที่ได้เจ้าเครื่องนี้มาผมยังไม่กล้าที่จะแกะออกจากกล่องด้วยซ้ำมันหรูเกินไป จนท้ายที่สุดเพราะความจำเป็นผมเลยยอมใช้ถ้าเจอจะเอาไปคืนคงขายมือสองได้ล่ะมั้ง

                “ไอ้อิฐช่วยกูที” ยังไม่ทันที่อิฐพูดอะไรผมก็ใส่มันก่อน

                “(เดี๋ยวๆ มึงซ่อมโทรศัพท์แล้วเหรอ)”

                “ยังไม่ได้ซ่อมวะแต่มีคนเอามาให้” ผมบอกมันเสียอ่อย เดาได้เลยว่ามันจะต้องด่าผมยาวแน่ๆ

                “(ไอ้สตางค์!! สติมึงยังมีอยู่ไหมใครให้มึงแล้วมึงไปรับมาทำไม แล้วใครให้มา ยังมีหน้ามาใช้โทรหากูอีก รู้ไหมว่าเขาให้เพราะเขาต้องการอะไรไอ้...ไอ้..)” เหมือนว่ามันจะด่าผมจนหาคำจะด่าผมไม่ได้อีกแล้ว ดีนะนี่แค่คุยถ้าอยู่ตรงหน้ารับรองว่าผมเละแน่ๆ

                “ก็..ก็ไอ้โรคจิตคนนั้นไง”

                “(ไอ้สตางค์)” น้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจทำให้ผมรู้สึกผิด

                “กูจำเป็นแต่กูก็คิดจะเอาคืนมันนะ”

                “(แล้วมันรู้ได้ไงว่าโทรศัพท์มึงพัง ไอ้สันขวาน หัวแกมีสมองหรือมีแต่ฟองน้ำวะ)”

                “ผิดไปแล้วครับพ่อ”

                “(เงียบไปเลยมึง)”ได้ยินเสียงถอนหายใจยาว ก่อนวางสายมันจะบอกว่าจะมาหาที่ห้อง นี่ผมทำให้เพื่อนเป็นห่วงใช่ไหม ได้แต่นั่งคิดรึเขาจะคิดง่ายเกินไปกับการที่เอาของหมอนั่นมาใช้ โอ๊ยยยยไอ้สตางค์ทำไมคิดน้อยแบบนี้โดนไอ้อิฐด่าจนหูชาแน่ๆ

                รอไม่นานเสียงเคาะประตูดังลั่นซะจนผมต้องรีบไปเปิดเพราะกลัวว่าจะโดนห้องข้างๆตะโกนด่า เหมือนจะเดินขึ้นลานประหารพอเปิดประตูมาไอ้อิฐยืนหน้าทะมึง ปิดประตูตอนนี้ทันไหมเหมือนมันจะเดาความคิดผมได้รีบเบียดตัวเข้ามาในห้องแล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากเดินตัวลีบไปนั่งสงบเสงี่ยมที่พื้นส่วนไอ้อิฐเดินไปนั่งที่เตียงยกมือกอดตาคมจ้องซะจนเขาหลบสายตา

                “ไหนเอามาดู” หยิบโทรศัพท์ส่งให้เพื่อนที่คุมยิ่งกว่าพ่อ มันรับโทรศัพท์เครื่องหรูไปพลิกไปพลิกมาแล้วเปิดดูข้างใน

                “ทำไมมันถึงเอามาให้มึงได้ แล้วมึงก็ไปใช้ของมันนี่นะจะให้ดูทำยังไงกับมึงดีหือไอ้สตางค์”

                “ก็..กู..”

                “พอ..มันไม่ได้ทำอะไรมึงใช่ไหม” ผมรีบส่ายหน้ารัวๆ

                “ไม่อ่ะเอามาให้แล้วก็กลับเลย” อิฐมันไม่ได้ถามอะไรอีกเพียงแต่เปิดโน่นเปิดนี่ดูในเครื่อง ยิ่งดูคิ้วมันยิ่งขมวดแน่น

                “ใครแอดเฟสมึงมา”

                “ไม่รู้พอเข้าเฟสเขาก็แอดมา” ประหนึ่งโดนสอบสวนเลยให้ตายเถอะ ได้แต่นั่งคุกเขามือกุมแน่นอยู่บนตักก้มหน้าก้มตารับแรงกดดันจากไอ้เพื่อนสนิทที่ผันตัวมาเป็นพ่อแล้ว มันยุ่งวุ่นวายกับโทรศัพท์อยู่ครู่ใหญ่ ไม่รู้พิมพ์อะไรยุกยิก ก่อนที่มันจะยิ้มมุมปากแววตาสนุกของมันทำให้เขาขนลุกซู่

                “หึ เอาจริงสินะ ไอ้สตางค์มึงฟังกู ต่อไปถ้ามันมามึงไม่ต้องคุยกับมันแต่ถ้ากูอยู่คุยกับมันได้ ถึงมันจะดูไม่ได้ทำร้ายมึงแต่กูก็ไม่ไว้ใจมันเพราะฉะนั้นกูนัดมันมาเจอมึงแล้วจะได้จบๆเรื่องไป”

                “ดะ..เดี๋ยวสิไปนัดกันได้ยังไง”

                “ก็ไอ้คนที่แอดเฟสมึงมาไงแถมเบอร์มันก็อยู่ในเครื่องนี้อีก ช่างเถอะกูนัดมันไว้แล้วพรุ่งนี้ยังไงมึงก็ว่างเพราะงั้นมึงต้องไปกับกู” เดี๋ยวนะนี่มันฉลาดหรือกูโง่เองวะ มันบ่นอีกสองสามคำก่อนที่จะขอตัวกลับนี่มันมาเพื่อด่าผมโดยเฉพาะเลยสินะ

                ง่า             

                ไม่อยากไปเจอเลยให้ตายสิ



*************************************

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยคนเขียนหวัดกินเลยค่ะ

ยังไงก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

อ่านแล้วเป็นไงก็บอกเราด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 2 8/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 10-09-2018 08:06:21
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 2 8/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 10-09-2018 08:35:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 2 8/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-09-2018 09:06:52
มารอ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่3 15/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 15-09-2018 13:22:03
3

ตอนแรกรู้สึกแปลกใจเพราะทำใจไว้แล้วว่าคนตัวหอมคงไม่รับคำขอส่งเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คแต่จู่ๆ แจ้งเตือนการรับแอดพร้อมกับข้อความเด้งขึ้นมา

สตางค์คนเกรียน

มึงทำไมถึงมายุ่งเพื่อนกูจัง

แล้วทำไมถึงได้เอาของมาเปย์มันแบบนี้



Ça sent bon

ผมแค่อยากเป็นเพื่อนกับสตางค์
สตางค์คนเกรียน

แต่กูไม่อยากให้เพื่อนกูสนิทกับคนโรคจิตที่จู่ๆ ก็เปย์

โทรศัพท์เครื่องเป็นหมื่นให้เพื่อนกูแถมยังรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันอีก

Ça sent bon

ผมไม่ได้หวังร้ายอะไรกับสตางค์เลยนะครับ

ผมอยากเป็นเพื่อนเขาจริงๆ และที่ให้ก็เพราะอยากให้จริงๆ



เงียบไปนานจนผมใจตุ้มๆ ต่อมๆ เพื่อนของสตางค์เป็นคนฉลาดอย่างที่สัมผัสได้แต่จำหน้าไม่ได้ รอไม่นานข้อความตอบกลับมาทำเอาผมยิ้มกว้าง สถานที่และเวลานัดจากนั้นก็ออฟไลน์ไปไม่อยากเชื่อทำยังไงดีผมจะได้เจอกันอีกครั้งในเวลาที่เร็วแบบนี้ถึงแม้จะเป็นการนัดจากเพื่อนสนิทที่ดูท่าทางจะไม่ชอบเขาเอามากๆ อ่าจะแต่งตัวแบบไหนดีทำไมตื่นเต้นแบบนี้นะ

ก๊อกๆ

“เติ้ล นี่แม่นะลูก” เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้เมื่อจะเข้าห้องคือต้องเคาะประตูและต้องรอให้ทางเขาเป็นฝ่ายเปิดห้องเพราะนี่ถือเป็นโลกส่วนตัวของผมและผมก็ไม่อยากให้กลิ่นอะไรมาเจือปนในห้อง เพราะไม่อยากให้ใครเข้าห้องเลยเลือกที่จะออกจากห้องก็เจอคุณแม่ยืนรออยู่แล้ว กลิ่นหอมเศร้าจางๆ ที่หนักอึ้งกดให้ความรู้สึกผิดของผมมากขึ้นทุกครั้งที่เจอหน้า การมีลูกที่ผิดปกติไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ในสังคมแถมยังโดนสายตารังเกียจสงสัยจากญาติที่คอยค่อนแคะว่าผมเป็นคนโรคจิต ป่วยทางประสาท

“มีอะไรหรือครับ”

“แม่จะต้องเดินทางไปที่สาขาต่างจังหวัดกับคุณพ่อ ลูกอยู่บ้านได้นะคะ”

“ได้ครับ พรุ่งนี้ผมมีนัดช่วงสายอาจจะไม่ได้ไปส่งนะครับ” พอคิดถึงนัดพรุ่งนี้แล้วก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ และมันคงเป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนเป็นแม่แปลกใจ

“นัดกับใครเหรอคะ” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ลูกชายคนเดียวของเธอออกนอกบ้านสองวันติดซึ่งเป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก จนเธออยากจะรู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายเธอกระตือรือร้นแบบนี้

“เอ่อ...คนที่น่าสนใจคนหนึ่งครับ”

“งั้นแม่ก็ต้องขอบคุณคนนั้นสินะที่ทำให้ลูกชายของแม่มีความสุขแบบนี้” ไม่รู้หรอกว่าอะไรคือท่าทางมีความสุขของผมที่แสดงออกไปแต่กลิ่นของแม่ไม่มีความเศร้าอยู่แล้วมีเพียงความรู้สึกดีใจที่ต่อให้ไม่กลิ่นก็ยังรู้สึกได้ ผมเพียงพยักหน้า

“ก็งั้นมั้งครับ”

“งั้นแม่ลงไปเตรียมทำข้าวเย็นก่อน” ผมพยักหน้าพร้อมกับบอกว่าจะลงไปทานข้าวเย็นด้วยแล้วก็กลับเข้าห้อง จัดการทำงานที่จะต้องส่งคืนคุณพ่อ และอ่านหนังสือเพื่อที่จะไปสอบวัดผล ในห้องกว้างที่กินพื้นที่เกือบชั้นหนึ่งของบ้านแต่เป็นเพียงฉากกั้นระหว่างห้องนอนกับพื้นที่ใช้สอย เตียงนอนกว้างอยู่หลังฉากกั้นแยกพื้นที่ ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ครอบคลุมด้วยชั้นหนังสือและโต๊ะทำงาน เคยคิดที่จะเลี้ยงสัตว์แต่ว่า..การผูกพันบางครั้งก็เป็นเรื่องยากลำบาก

มื้อเย็นเป็นมื้อที่ทั้งพ่อและแม่ดูจะตื่นเต้นกับข่าวที่ผมจะออกไปข้างนอกพรุ่งนี้เหลือเกิน ทำให้กลิ่นดูผ่อนคลายและมีความสุข นี่เป็นผลของการที่ผมได้เจอกับสตางค์ด้วยหรือเปล่า

“พรุ่งนี้พ่อจะเดินทางตอนเช้า ส่วนงานพ่อจะให้เลขาอีกคนมาส่งไว้ที่บ้านนะ”

“ครับ” รับคำเพราะยังไงก็ดีกว่าอยู่ว่างๆ ได้ทำงานก็คงจะช่วยฆ่าเวลาได้ดี หลังมื้อเย็นขึ้นห้องมาก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ แต่ผมกลับนอนไม่หลับ เพราะอะไรกันหรือเพราะตื่นเต้นเหรอ?? ในชีวิตผมมีเรื่องให้ตื่นเต้นเกิดขึ้นแล้วสินะ นอนพลิกตัวไปมากว่าจะหลับได้ครั้งสุดท้ายที่เห็นนาฬิกา เข็มสั้นก็ชี้ที่เลขสองแล้ว

.

“แม่ว่าลูกไปเปลี่ยนเสื้อข้างในดีกว่านะคะ” ผมที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวก่อนเวลานัดตั้งสองชั่วโมงยังไม่ทันที่จะออกจากบ้านก็โดนติงเรื่องเสื้อผ้าเสียแล้ว

“เอ่อ..ทำไมเหรอครับ”

“สีดำลูกใส่แล้วก็เข้าอยู่หรอกนะ แต่ว่าลูกลองใส่สีอื่นน่าจะดีกว่านี้” ก้มมองชุดสีดำที่ตัวเองใส่ดูผมก็ดูไม่มั่นใจขึ้นมาเสียก่อน อ่า ลองเชื่อคุณแม่สักครั้งล่ะกัน

“ครับเดี๋ยวผมจะไปเปลี่ยน”

“งั้นแม่ไปก่อนนะคะ ทานข้าวให้ตรงเวลานะคะ” เพราะลูกชายที่ขังตัวเองอยู่ในห้องบางครั้งก็แทบลืมวันเวลาอยู่บ่อยๆ

“ครับ” กอดลากับคุณแม่ พอลับตาผมก็หมุนตัวเข้าห้องก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่พอเปิดออกมามันก็ล้วนแต่มีสีดำอ่า...เสื้อเชิ้ตที่คุณแม่ซื้อให้ตอนต้นปีอยู่ไหนนะ หลังจากที่ค้นจนแทบที่จะลื้อตู้ก็เจอกับถุงเสื้ออยู่ตรงซอกตู้ เขารีบเปลี่ยนจากเสื้อยืดทีดำเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พึ่งเคยใส่เป็นครั้งแรก มันดูเป็นอะไรที่ไม่คุ้นชินเอาเสียเลย แต่มัวคิดไปก็คงจะไม่ทันการณ์เพราะแค่หาเสื้อก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

“ไปที่ร้าน xxx ครับ” บอกกับคนขับรถเสร็จก็เกี่ยวแมสมาปิดจมูกไว้ รถคันหรูขับออกจากบ้านหรู เป็นครั้งแรกที่ออกจากบ้านติดต่อกัน เป็นครั้งแรกที่อยากจะรู้จักใครขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่อยากอยู่ใกล้ชิดอยากมีส่วนร่วมในชีวิตของคนอื่น และอยากได้ใครบางคนมาอยู่ในชีวิต

.

.

“กูไม่อยากปายยยยยยยยยย” ยิ่งใกล้ถึงเวลานัดยิ่งไม่อยากไป ได้แต่ร้องโหยหวนเกาะหัวเตียงแน่นแม้จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว

“มึงต้องไป กูนับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ปล่อยกูจะนัดมันมาที่นี่”

พรึบ

ปล่อยจ้า ปล่อยแล้วครับพ่อ พอไอ้อิฐทำเสียงเข้มแถมยังขู่สิ่งที่ผมกลัว รีบปล่อยแล้วนั่งสงบเสงี่ยมให้ไอ้อิฐว่าผมอีกสองสามคำ

“ลุก!!”

“กูไม่ไปได้ไหม” นั่งคุกเข่าบนเตียงช้อนตามองไอ้อิฐส่งสายตาที่คิดว่าอ้อนที่สุดให้มันหวังว่าจะได้ผล

“ไป เลิกทำหน้าหมาเมายาได้แล้ว” โถไอ้สันขวาน มาว่ากูที่อุตส่าห์ลงแรงอ้อนซะเสียหมาเลย นี่ผมอ้อนไม่ขึ้นจริงๆ เหรอ เมื่อเพื่อนซี้ทำหน้าจริงจังผมเลยเลิกอิดออดคว้ากระเป๋าสะพายข้างเดินคอตกตามไอ้คนวางแผนไปขึ้นรถของมัน

ถ้าจะถามว่าทำไมผมถึงเชื่อฟังมันขนาดนี้ เพราะตอนที่ผมตัวคนเดียวเสียครอบครัวทั้งหมดไป เสียซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของตัวเองก็มีมันอยู่ข้างๆ หลายครั้งที่ผมเป๋ออกนอกทางก็จะถูกไอ้อิฐตบสติให้ผมกลับเข้าที่เข้าทางเพราะฉะนั้นการที่มันทำแบบนี้ผมก็เชื่อมัน มันฉลาดกว่าผมครับ!!

ขับรถมาถึงร้านขนมที่อิฐมันนัดไว้ ผมได้แต่เกาะเสื้อเดินตามหลังไอ้อิฐเข้าร้านแทบจะสิงร่างมันไปอยู่แล้ว อิฐกวาดสายตามองรอบๆ ร้านเพื่อหาร่างสูงในชุดดำอึมครึมแต่ก็ไม่เจอจนสายตาไปหยุดกับร่างสูงที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวนั่งหันหลังให้ทางเข้าที่ดูคุ้นตา น่าจะใช่ พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นครึ่งหน้านั่นใส่แมสอยู่

“นาย”

“มาแล้วเหรอครับ” น้ำเสียงดีใจอย่างไม่ปิดบังนั่นทำให้อิฐมองสำรวจไอ้โรคจิตอย่างเต็มตา ท่าทางไม่ได้มีอะไรอย่างที่กลัว ท่าทางเป็นพวกปิดตัวเอง หันไปจูงไอ้เพื่อนซี้ที่หดหัวเข้าไปในกระดองเรียบร้อยลงไปนั่งตรงข้าม

“อ่า โทรศัพท์นี่ฉันคืนนะ” ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงส่งโทรศัพท์เครื่องหรูที่ถอดซิมออกแล้ววางบนโต๊ะโดยไม่สนใจสายตาคมที่มองมาเลยสักนิด

“ผมตั้งใจจะให้คุณอยู่แล้ว”

“แต่เราไม่รู้จักกัน” ไม่รู้จักกันแต่ก็มาให้ของแบบนี้มันก็ออกจะแปลกๆ แต่ที่แปลกคือตัวเขาเองที่ไปรับเอาของมาใช้เฉยเลย

“ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมรับ”

“เดี๋ยวพวกมึงสองคนเลิกคุยกันเรื่องนี้ก่อนไอ้ตางค์ไปสั่งขนมไป” ผมที่กำลังจะหันไปว่าไอ้อิฐแต่พอเห็นสายตาของมันแล้วผมก็ยอมที่จะลุกไปสั่งน้ำและขนมสั่งเผือไอ้อิฐด้วย ผมได้แต่เหลือบมองเป็นพักๆ เมื่อเห็นไอ้อิฐกับไอ้โรคจิตนั่นคุยกันเรื่อยๆ และเมื่อผมถือเอาน้ำที่สั่งกลับมาที่โต๊ะ ไอ้อิฐก็ดูจะสนิทสนมกับไอ้โรคจิตตรงหน้าไปเสียแล้ว

“เรื่องโทรศัพท์มึงก็รับไว้เถอะตางค์”

“เดี๋ยวสิอะไรกันจู่ก็ให้กูรับ” ผมหันไปประท้วงทั้งๆ ที่ตอนแรกมันหัวเด็ดตีนขาดก็ให้เอามาคืน ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปในเวลาสั้นๆ เล่า

“สตางค์ ผมอยากให้คุณจริงๆ ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลยนะครับ” ไอ้สายตาหมาโดนทิ้งนี่คืออะไรกัน ผมหลบสายตาลูกหมาของไอ้โรคจิต

“แล้วทำไมถึงได้มาตามติดกันแบบนี้เล่า”

“ผมอยู่ใกล้คุณแล้วสบายใจ” น้ำเสียงอ่อนลงของคนตรงหน้าทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดหาเรื่องอะไรอีก

“เอาล่ะถือว่ารู้จักกันแล้วนะ ถ้าจะมาเจอก็นัดมันเองล่ะกันถ้ามันอยากเจอก็คงจะมาเจอเอง” เดี๋ยวๆ ผมรีบหันไปมองเพื่อนสนิทที่มันตกปากรับคำโดยไม่ถามความคิดเห็นเขาเลยสักนิด

“มึงไปบอกมันอย่างนั้นได้ยังไง”

“ก็ไม่ได้มีอะไรซักหน่อยถ้ามึงไม่อยากเจอมึงก็ไม่ต้องไปคำชวนของมันก็สิ้นเรื่อง” เออวะ ผมพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ทันสังเกตตัวเองนั้นถูกเก็บภาพความน่ารักไว้ตลอด

“ตกลงชื่ออะไรนะ” สตางค์หันไปถามหลังจากที่ตกลงกับอิฐได้

“ไตเติ้ลครับ สตางค์ไม่ได้ทำงานเหรอครับวันนี้” ไอ้หมอนี่จะรู้ดีเกินไปแล้วนะ

“วันนี้ร้านเจ้ไม่เปิด ไม่รู้ว่าหายไปไหนโทรไปก็ไม่รับ” ผมเผลอบ่นออกมาเพราะเจ้านายร้านอาหารหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ตอนแรกที่ว่าปิดสามวันแต่พอผ่านมาสามวันแล้วก็ไม่เห็นจะกลับมาดูท่าผมจะต้องหาที่ทำงานใหม่เสียแล้ว

“งั้นสตางค์ก็ว่างสินะครับ”

“อือ” ผมตอบพร้อมกับจ้วงเค้กมื้อนี้ไอ้อิฐเลี้ยงเพราะฉะนั้นต้องกินเยอะๆ

“งั้นทำงานกับผมไหมครับ”

“ทำงานอะไรกันดูไม่น่าไว้ใจ”

“ผมจะให้เงินเดือนเท่ากับเงินเดือนพนักงานที่บริษัท แต่ทำงานช่วงเวลาที่สตางค์ว่าง” ผมนี่ตาโตกับข้อเสนอถึงไม่รู้ว่าไอ้เงินเดือนพนักงานบริษัทของมันเท่าไหร่แต่งานที่มันได้เป็นเงินเดือนก็ดีกว่า ตานี่เปล่งประกายในหัวคำนวณเงินอย่างรวดเร็ว

“เงินเดือนเท่าไหร่” ผมไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะครับ เงินซื้อผมไม่ด้ายยยยยย

“พนักงานผมเหรอ.........ก็ราวๆ หมื่นต้นๆ นะครับ” ผมนี่ตาโตกับเงินเดือนและที่สำคัญคือทำตอนที่ผมว่างนั่นหมายความว่าผมมีงานประจำโดยไม่เสียเวลาเรียน

“เดี๋ยวนะ มึงบอกว่าพนักงานบริษัทมึงนี่ทำงานแล้วเหรอวะ” อิฐที่นั่งฟังมานานขัดขึ้นเพราะสะดุดกับคำว่าพนักงานของมัน

“ก็ทำงานแล้วครับแต่ก็ยังเรียนด้วย ส่วนบริษัทก็เป็นบริษัทคุณพ่อ”

“กู..เราทำอะไรไม่เป็นเลยนะ” พอจะพูดคำหยาบก็รู้สึกเกรงใจ คำพูดของมันโคตรดีไม่มีคำหยาบเลยสักนิดถ้าพูดหยาบผมนี่ดูเลวไปเลย แต่ผมจะทำงานบริษัทได้เหรอเคยทำแต่งานใช้แรงไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า

“ไม่เป็นไรเลยครับแค่สตางค์อยู่ใกล้ผมก็พอแล้ว”



ผมขอถอนความคิดดีๆ ก่อนหน้านี้ มันโรคจิตชัดๆ




**************************************

น้องสตางค์คนจนคนเดิมมาแล้วค่ะ

ถถถถนึกว่าจะหลุดพ้นจากคำว่าโรคจิตแล้วซะอีก

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 3 15/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-09-2018 00:03:38
โดนกลับไปเป็นโรคจิตอีกแล้ว 55555555555555
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 3 15/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-09-2018 08:34:19
ติดตาม
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 3 15/9/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 18-09-2018 09:15:11
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 4 2/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 02-10-2018 10:15:19
4

หลังจากที่ได้เจอและได้คุยกับไอ้โรคจิตสุดท้ายผมก็ตัดสินใจคิดว่าหมอนั่นมันโรคจิตดีๆ นี่เองเอาจริงๆ นึกว่าจะเป็นคนเงียบๆ แต่จริงพูดมากอย่างไม่น่าเชื่อ รู้ได้ไงนะเหรอ

หมอนั่นมันทักแชทผมมาทุกวันไง!!

ถ้าไม่คุยก็จะรู้สึกสงสารยังไงก็เคยคุยกันแล้วและยิ่งคุยก็เหมือนว่าหมอนั่นจะดูดีใจที่ผมยอมคุยแถมบางทีก็ขอจะมาหาจนผมต้องรีบไปล็อกห้องเพราะความหวาดระแวงกลัวว่าจะโผล่มาหน้าห้องจริงๆ ตอนนี้งานที่ร้านอาหารเจ้ก็ปิดตัวลงเพราะเจ้ปิดไปตามผัวโดยที่ลอยแพผม ทำให้งานช่วงเย็นผมว่าง....ว่างซะจนคิดถึงข้อเสนอของไอ้โรคจิตนั่น

“ไอ้อิฐ” ผมเรียกมันขณะที่กำลังนั่งกินข้าวที่หอวันนี้มันหอบข้าวมากินกับผมที่หอเพราะไม่มีเรียนแถมยังไม่มีงานทำให้ผมว่าง

“อะไรของมึงไอ้สตางค์” อิฐทำท่างงๆ เมื่อเพื่อนตัวเล็กมันทำหน้าเหมือนหมาหงอยคิ้วขมวดเหมือนคิดอะไรอยู่

“กู..จะไปทำงานกับมันดีไหมวะ” น้ำเสียงอ่อยๆ เพราะกลัวเพื่อนที่ผันตัวเป็นพ่อเขาตลอด

“งานที่มันบอกนะเหรอกูก็ว่าดีอีกอย่างมึงจะได้เลิกไปทำงานดึกๆ ดื่น ปีหน้ามึงก็จะขึ้นปีสามแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำงานมาพัก” นั่นไงครับร่ายยาวมาเลย ซึ่งสิ่งที่มันพูดก็ตรงกับที่ผมกังวลแค่ตอนนี้ผมได้นอนวันละไม่กี่ชั่วโมงเองไหนงานที่มีเยอะขึ้น ถ้ายังฝืนผมไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาผลการเรียนเพื่อที่จะได้ทุนหรือเปล่า

“นั่นสิ กูก็คิดอยู่”

“คิดไรมากวะเท่าที่เห็นไอ้ไตเติ้ลแม่งก็แค่เด็กขี้เหงาที่ดันมาถูกใจมึงแค่นั้น”

“เดี๋ยวนะกูว่ามึงใช้คำแปลกๆ วะ” ไอ้อิฐมันไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่หัวเราะเบาๆ แล้วบอกให้ผมรีบกินข้าว

“กูกลับล่ะ ยังไงมึงก็คิดดูดีๆ ได้ทำงานที่เป็นเวลาแถมมันยังให้เป็นเงินเดือนอีก” ก่อนกลับไอ้อิฐก็บอกให้ผมคิดดีๆ อีกครั้ง ผมพยักหน้ารับปากว่าจะเอาไปคิดให้ดีๆ เงินในบัญชีที่เขาเก็บหอมรอมริบเอาไว้มันไม่ได้มีมากมายพอที่จะทำให้เรียนจบโดยที่ไม่ลำบาก

“เอาวะเป็นไงเป็นกัน” เมื่อคิดถึงเรื่องที่ต้องเจอในอนาคตอันใกล้นี้ทำให้ผมตัดสินใจ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้ายอะไร กดเบอร์ที่มีอยู่ในโทรศัพท์เครื่องหรูที่เจ้าตัวเขายืนยันที่จะให้ผมใช้และแทบไม่ต้องรอปลายสายก็กดรับเล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกเพราะไม่คิดที่จะรับเร็วแบบนี้

“ (สตางค์ ได้ยินผมรึเปล่าครับ) ” เสียงเรียกครั้งที่สองเรียกสติกลับคืนมา

“ได้ยินๆ นี่ ฉันอยากรู้ว่างานที่จะให้ทำนะ นายยังรับอยู่รึเปล่า” ผมถามเบาๆ เพราะเล่นด่ามันไว้ว่าโรคจิตทั้งต่อหน้าและลับหลังแต่พอตอนนี้กลับอยากได้ความช่วยเหลือผมก็รู้สึกละอายใจ

“ (สตางค์จะมาทำงานกับผมเหรอครับ ผมดีใจจัง) ”

“ยังไม่ได้ตัดสินใจสักหน่อยแต่ว่าฉันสนใจ”

“ (ผมดีใจที่สตางค์สนใจ จะให้ผมไปคุยด้วยได้ไหม) ” อยากจะวางสายหนี สุดท้ายก็อยากมาเจอผมอยู่ดี แต่พอคิดไปคิดมามันก็ไม่มีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ

“จะมาก็ได้นะฉันอยากคุยรายละเอียดด้วย” เพราะถ้าจะให้คุยตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกว่าจะถามอะไรอยู่ดี

“ (ได้ครับผมจะรีบไป) ” น้ำเสียงดีใจแถมเจ้าตัวยังวางสายทันที นี่........จะรีบร้อนไปหน่อยไหม ผมรีบลุกจากที่นอนจัดการเก็บห้องให้มันดูเรียบร้อยกว่านี้ เพราะเสื้อผ้าที่ผมยังไม่ได้ซักที่กระจัดกระจายทั่วห้องกางเกงในยังขดเป็นเลขแปดอยู่มุมห้อง แหมก็ห้องชายโสดนะครับ ผมเปล่าซกมกนะ

ก๊อกๆ

ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีคนมาเคาะประตูอย่าบอกนะว่าเป็นไอ้โรคจิตนะ ผมรีบโยนเสื้อกางเกงใส่ตระกล้ากวาดสายตามองรอบห้องดูเรียบร้อยแล้วล่ะนะ เดินไปส่งตาแมวก็เห็นไอ้โรคจิตยืนอยู่หน้าห้องกับไอ้ชุดดำคาดแมสผมเผ้าปิดหน้าปิดตา ผมเลยเปิดประตูห้องออก

“ไง”

“คุณยังกลิ่นเหมือนเดิมเลยนะครับ” ถ้าผมจะปิดประตูอัดหน้าก็คงจะไม่ผิดอะไร กำลังที่จะปิดประตูอัดหน้าใส่คนที่มันพูดอะไรประหลาดๆ ออกมาอีกก็โดนกันไว้เสียก่อน

“ขอโทษ ผมเผลอไปอีกแล้ว” เมื่อเห็นสีหน้าสำนึกผิดก็โกรธไม่ลง ยอมเปิดประตูให้เข้ามา เมื่อเข้ามาในห้องหมอนั้นก็ปลดแมสออกสายตากวาดมองรอบห้อง

“นั่งลงสิ” ผมนั่งลงที่พื้นโดยมีโต๊ะญี่ปุ่นกางอยู่

“ครับ ห้องสตางค์น่าอยู่นะครับ” ยัง..ยังไม่เลิกสำรวจอีก

“นี่คุยกันเรื่องธุระดีกว่า”

“ครับ นี่เอกสารที่สตางค์น่าจะต้องรู้ครับ” ไตเติ้ลส่งซองน้ำตาลมาให้ ผมรับไว้แล้วเปิดออกมาอ่าน แรกๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรกับเนื้อหางานที่ผมต้องเจองานมันโคตรสบายแต่ที่ผมตกใจคือค่าตอบแทนมันยิ่งกว่านักเรียนจบใหม่เสียอีก

“นี่ฉันดูตัวเลขผิดไปหรือเปล่า”

“ไม่หรอกครับ นั่นเป็นตัวเลขที่ผมจะให้สตางค์”

“แต่มันไม่มากเกินไปเหรอ” ตัวเลขห้าหลักนั่นทำให้ผมเครียด ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีแต่มันมากเกินกว่าที่จะรับไว้ได้ ผมยอมทำงานหนักดีกว่างานเบาแต่ค่าตอบแทนมากขนาดนี้

“ไม่มากครับ”

“แต่งานมันไม่หนักสมกับค่าแรงเลยนะ” ผมโวยวาย

“แต่ที่นายให้มันเยอะจริงๆ ฉันรับไว้ไม่ได้”

“ผมว่ามันคุ้มที่จะให้และไม่ได้มากมายเลย แค่คุณมาทำงานกับผม ผมก็ดีใจมากแล้ว” ไอ้สตางค์อยากจะทึ้งหัวตัวเองมีที่ไหนกับการคุยงานไม่ได้มีปัญหาเรื่องงานแต่มีปัญหาเรื่องเงินเดือนเกือบสามหมื่น

“ฉันลำบากใจนะ”

“ผมคิดมาแล้วครับว่าถ้าให้เท่านี้สตางค์ก็จะไม่ลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรอีกแต่มีข้อแม้คือต้องทำงานกับผมงานเดียว” นี่เป็นประโยคยาวๆ ครั้งแรกที่ได้ยิน ก้มลงอ่านหน้าที่อีกครั้ง

- ไปทำงานเมื่อว่างตามตารางเรียน เสาร์อาทิตย์ทำเต็มวัน

- ตำแหน่งผู้ช่วย

- คอยอยู่ใกล้

เดี๋ยวนะไอ้ข้อนี้ทำไมมันแปลกๆ

“นี่ๆ ข้อนี้มันแปลกๆ นะ” ผมยื่นข้อนี้ให้มันดู

“ไม่แปลกหรอกครับ ผมอยากให้สตางค์อยู่ใกล้ ผมสบายใจที่สตางค์อยู่ใกล้” หลายครั้งที่มันพูดแบบนี้ทำให้ผมคิดถึงคำพูดไอ้อิฐ

“นี่...นายไม่มีเพื่อนเหรอ”

“ไม่มีครับ” แล้วทำไมมันยังยิ้มได้ นี่ปกติใช้ชีวิตยังไงของมันกัน

“ปกตินายทำอะไร” เป็นครั้งแรกที่สนใจในตัวคนตรงหน้า

“อืม..ผมจะอยู่ในห้องตลอด ถ้ามีงานก็จะทำงานในห้องส่วนมาผมก็จะอ่านหนังสือ”

“แล้วไม่เคยออกไปข้างนอกเลยเหรอ” ผมแทบอ้าปากค้าง นี่มีชีวิตได้ยังไงกันอยู่แต่ในห้องแคบๆ (อันนี้มโนเองนะครับ)

“ไม่ครับผมออกมาข้างนอกเท่าไหร่แต่ถ้ามาเจอสตางค์ผมอยากมานะครับ” นั่นไง ยังวกกลับมาที่เขาได้อีก

“ฉันไปทำให้นายสบายใจได้ยังไง”

“กลิ่นไงครับ” มันเว้นวรรคนานผมก็เงียบฟังแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พูดอะไร แหมคันปากอยากจะถามแต่ก็คงไม่ดี

“เอาเสื้อฉันไปดมแทนไหม”

“มันไม่เกี่ยวกับเสื้อผ้าหรือ “กลิ่น” อย่างที่สตางค์เข้าใจหรอกนะครับ” ผมได้แต่ทำหน้างงไม่เข้าใจว่าความหมายของกลิ่นที่หมอนี่พูดและกลิ่นที่เขาเข้าใจมันไม่เหมือนกันตรงไหน พอๆ เลิกนอกเรื่อง

“งั้นฉันจะไปทำงานกับนาย อ๊ะ แต่ว่าห้ามทำอะไรแปลกๆ โรคจิตๆ กับฉันนะ” พอนึกเรื่องสำคัญได้ผมก็รีบบอกไปทันที เรื่องนี้สำคัญกว่าเรื่องไหนๆ อีก

“ผมรับปากครับ สตางค์จะเริ่มงานวันไหนครับ”

“ฉันจะเริ่มอาทิตย์หน้าเลยได้ไหม” เพราะต้องไปลาออกจากร้านสะดวกซื้อและงานอีกงานที่ทำไว้

“ได้ครับเดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมจะส่งคนมารับ” อือหือ โคตรทุ่มทุนมีลูกจ้างที่ไหนได้แบบนี้บ้าง หลังจากที่พูดคุยและเซ็นสัญญาเรียบร้อยผมเตรียมที่จะไล่ออกจากห้องแต่ท่าทางงอยๆ นั่นทำให้ผมเอ่ยปากไล่ไม่ออก โอ๊ยยยยทำไมผมเป็นคนแบบนี้

“นี่กินอะไรมารึยัง”

“ยังครับ” แล้วก็มานั่งคุยกับผมเป็นชั่วโมงๆ

“งั้นจะให้ฉันสั่งขึ้นมาให้ไหม” เพราะรู้ว่าไม่ชอบคนเยอะๆ ถ้าพาออกไปก็คงจะลำบากเปล่าๆ

“เดี๋ยวผมโทรไปสั่งคนของผมเองครับ สตางค์จะทานอะไร” แหมพ่อคนรวย

“อยากกินสุกี้” ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้กินข้าวกับไอ้อิฐไปแล้วแต่เมื่อจะมีคนเลี้ยงท้องผมก็ว่างเสมอแหละน่า พิมพ์อะไรหยุกหยิกกับโทรศัพท์แล้วก็มานั่งจ้องหน้าผมแม้จะเห็นตาลางๆ จากผมที่ปิดไว้นั่นล่ะนะ

“จ้องอะไรขนาดนั้น”

“ผมไม่คิดว่าจะได้มานั่งคุยกับสตางค์แบบนี้” เออเอาเข้าไป

“ไม่รำคาญผมข้างหน้าบ้างเหรอ”

“ไม่ครับ”

“โอ๊ย เลิกพูดเพราะกับฉันทีเถอะ” มันไม่ชินเลยจริงๆ ปกติผมไม่ได้หยาบคายอะไรหรอกนะแต่แบบไอ้ที่พูดสุภาพทุกคำคือไม่ชิน

“ผมชินแบบนี้” มันบอกเสียงอ่อนทำไมผมรู้สึกผิดวะ เลยเลิกที่จะหาเรื่องคุยเดินไปนั่งที่เตียงอ่านหนังสือการ์ตูนที่กองไว้ เอาเถอะถือว่าไม่มีคนอยู่ในห้องก็แล้วกัน และเจ้าตัวก็ทำตัวเองเป็นอากาศธาตุจริงๆ นั่งนิ่งๆ บางครั้งก็หยิบโทรศัพท์อ่านยังไม่ทันจะหมดเล่มเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นผมรีบกระโดดลงไปเปิดประตู

ใคร??

“สวัสดีครับผมเอาของมาส่ง”

“สตางค์รับมาเลยครับ” ผมที่กำลังงงเสียงทุ้มด้านหลังช่วยไขข้อข้องใจ ผมรับเอาข้าวของที่คุณน้าในชุดสูท อ่า ไม่อยากกินสุกี้เลย ดูจากยี่ห้อแล้วมันส่งตรงจากห้างดังเลย น้ำตาจะไหลเสียดายเงิน

เมื่อได้ของผมก็ไปขนถ้วยชามกับกระทะไฟฟ้ามาตั้งที่โต๊ะญี่ปุ่น อาหารไฮโซแต่สภาพการกินโลโซมาก ยังดีที่มีถ้วยพอที่จะใส่ของที่ซื้อมา

“อ่ะ ทานนี่สิ” ผมคีบเนื้อชั้นดีใส่ถ้วยคนที่นั่งกินเงียบๆ ไม่คิดว่าจะเป็นของราคาแพงแบบนี้ทุกอย่างอร่อยอย่างที่ผมคงไม่มีทางไปกินที่ร้านแน่ๆ

“ขอบคุณครับ” และผมก็ได้รู้ว่าการทานข้าวเงียบๆ กับคนที่ผมตราหน้าว่าโรคจิตกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและดูเหมือนว่าเจ้าหมอนี่จะดีใจจนไม่ยอมหยุดยิ้มสักที คุยงานก็คุยแล้ว กินข้าวก็กินแล้วได้เวลาผมต้องไปทำงานกะเย็นแล้วด้วย

“งั้นผมกลับเลยนะครับ แล้วเจอกันนะครับ” ผมโบกมือไล่คนที่มากพิธีรีตองในการล่ำลาเสียจริง ผมเก็บจานชามไปกองไว้เยอะขนาดนี้เดี๋ยวกลับมาค่อยล้างละกัน ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงาน เอาล่ะ สู้ๆ




**************************************

แง่มน้องสตางค์เราเข้าปากเสือไปเรียบร้อยค่ะ

ฮ่าๆ อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 4 2/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 02-10-2018 11:49:25
มาต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 4 2/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 30267 ที่ 02-10-2018 13:00:13
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ / รอเลยๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 4 2/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 02-10-2018 15:54:36
เขามาเป็นเจ้านายแล้วนะอย่าเผลอไปว่าเขาอีกล่ะ 55555555
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 4 2/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-10-2018 13:56:26
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 5 10/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 10-10-2018 20:49:57
5

“ไม่นะ น้องสตางค์ของพี่จะลาออก โอเอซิสของพี่” ใครก็ได้ช่วยแงะพี่ผู้จัดการที่พุ่งเข้ามาฟัดผมทันทีที่บอกว่าจะขอลาออก พี่น้ำเป็นผู้จัดการของสาขาที่คอยช่วยเหลือผมอยู่เสมอๆ ทั้งจัดตารางงานให้ทั้งบางครั้งก็ให้เขาไปพักในห้องพักในเวลางาน

“ผมได้งานใหม่ที่โอเคมากๆ เลยครับ”

“หนูไม่ได้โดนใครหลอกไปใช่ไหมลูก” พี่น้ำลูบหัวลูบหางทำราวกับว่าใครมาล่อลวงผมไปเขาไปขาย

“ไม่ครับเขาเป็นเพื่อนผมเอง” ที่รู้จักกันไม่นานเท่าไหร่เอง นี่ผมไม่ได้เห็นแก่เงินเลยนะครับ

“แล้วพี่จะฟัดใครได้ล่ะ”

“ก็พี่น้องไงครับ” ผมโบ้ยไปทางเพื่อนร่วมงานกะดึกที่พอพูดถึงพี่น้ำก็ทำหน้าเหม็นเบื่อแล้วหันมาฟัดผม ตอนแรกๆ ก็ไม่ชินหรอกนะครับแต่พอโดนบ่อยๆ ผมก็รู้ว่าหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ยิ่งหนีพี่น้ำยิ่งฟัดนานขึ้นแต่ถ้าอยู่นิ่งให้พี่น้ำฟัดจนพอใจก็เลิก หลังจากที่บอกพี่น้ำผมก็เข้ากะทุกวันก่อนที่จะครบวันลาออกและเป็นกะดึกทุกวัน วันนี้กะของผมเลิกตีห้า หลังจากที่รีสต๊อกของเสร็จผมก็เก็บของเพื่อเตรียมกลับหอ

“พี่น้องกลับล่ะนะครับ”

“อือ” เพื่อนร่วงงานผู้พูดน้อยพยักหน้าให้ระหว่างทางกลับหอแวะซื้อน้ำเต้าหูเจ้าประจำที่เมื่อไปซื้อจะได้ปาท่องโก๋แถมเป็นประจำ ประหยัดได้อีก หิ้วน้ำเต้าหู้ขึ้นมาบนห้องแกะน้ำเต้าหู้ใส่แก้วหยิบปาท่องโก๋มาฉีกจุ่มลงในน้ำเต้าหู้เป็นวิธีกินที่ไอ้อิฐเห็นแล้วบ่นประจำ ก็แบบนี้มันอร่อยในความรู้สึกผมยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่มจนหมดเก็บแก้วไปล้าง เดินไปอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอน วันนี้มีเรียนบ่ายเพราะงั้นมีเวลานอนอยู่ซักสี่ห้าชั่วโมงตั้งนาฬิกาปลุกแล้วก็เข้านอน

กริ๊ง!! กริ๊ง!! กริ๊ง!!

เสียงนาฬิกาปลุกลั่นห้องทำให้คนที่แทบจะฝังตัวกับเตียงค่อยๆ งัวเงียลุกขึ้นนั่งนิ่งๆ อยู่ร่วมนาทีก่อนที่สติจะเข้าร่างแล้วค่อยๆ เดินไปอาบน้ำ เพราะการนอนไม่เป็นเวลาทำให้เบลอตอนตื่นเป็นประจำหลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยผมก็คว้ากระเป๋าสะพายขึ้นหลังปิดห้องเดินเบลอๆ ลงจากหอ ไม่สังเกตถึงรถหรูที่จอขวางทางอยู่สักนิดจนแทบจะเดินผ่านไปแล้วถ้าไม่มีเสียงเรียกชื่อเขาขึ้นมาเสียก่อน

“คุณสตางค์ครับ”

“หือ..ครับ” ผมขานรับอย่างแปลกใจเพราะคนที่เรียกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน

“คุณไตเติ้ลส่งผมให้มารับคุณไปส่งที่มหาลัยครับ”

หือ เดี๋ยวนะส่งรถมารับอะไรกัน มองรถหรูสีดำที่อยู่ข้างหลัง ให้ตายเถอะมันจะหรูเกินไปนะผมยังไม่ทันที่จะเริ่มงานเลยด้วยซ้ำจะมารับมาส่งอะไรกันแต่เมื่อคิดถึงความสะดวกผมเลยไม่ปฏิเสธที่จะขึ้นรถ

“พี่ทำไมได้มารับผมตอนนี้”

“คุณไตเติ้ลบอกให้มารับครับบอกว่าคุณสตางค์มีตารางเรียนช่วงนี้ครับ” ไม่น่าถามคำถามที่รู้ดีเลยเล่นรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผมแบบนี้ก็รู้สึกขนลุกอยู่นะถึงจะตกลงทำงานร่วมกันแล้ว

“เจ้านายพี่นี่โรคจิตจริงๆ”

“ฮ่าๆ คงเป็นเพราะคุณสตางค์เป็นคนแรกล่ะมั้งครับ” หือ คนแรกอะไรพอถามพี่แกก็ไม่บอกอะไรอีกจนมาถึงหน้าคณะโดยที่ผมไม่ได้บอกอะไรคงเป็นหมอนั่นที่บอกหมดแล้วสินะ

“ผมจะมารับตอนห้าโมงนะครับคุณสตางค์จะให้มารับก่อนรึเปล่าครับ”

“ไม่ต้องเลยพี่ผมจะกลับเองแล้วบอกเจ้านายพี่ด้วยว่าไม่ต้องมารับมาส่งผมอีกนอกจากวันเริ่มงาน” ถามว่ามันสบายไหมมันก็สบายใครจะไม่รักความสะดวกสบายล่ะครับแต่มันเกินความจำเป็นสำหรับผม แค่มหาลัยผมเดินไม่ถึงชั่วโมงก็ถึง

“ครับผมจะบอกคุณไตเติ้ลให้ครับ”

“ขอบคุณครับพี่” ผมรีบลงจากรถแล้วก็ตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมคณะที่แปลกใจเมื่อเห็นผมลงจากรถก็นะไอ้เด็กเงียบๆ ที่วันๆ ทำแต่งานจะมีหรูมาส่งได้ยังไง เฮ้อ ความอยากรู้อยากเห็นของคนเราช่างน่ากลัว เดินขึ้นตึกไปยังห้องเรียนที่ไอ้อิฐมันมาถึงก่อนแล้ว

“ไงมึง”

“ไง ตื่นยังวะ” ผมพยักหน้าเหนื่อยๆ เพราะยังเหนื่อยจากการนอนน้อย และยังดีที่วันนี้ไม่ต้องเดินมาเอง

“ดีแล้วที่มึงเลือกงานกับไอ้ไตเติ้ล” และก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเพราอาจารย์เข้ามาพอดี

.

.

ใครก็ได้ช่วยเอาเปลมาหามผมกลับหอที วันนี้วิชาโหดจริงทั้งคำนวณทั้งภาษาอังกฤษจนผมแทบอ้วกออกมาเป็นตัวเลขกับคำศัพท์แล้วหลังอาจารย์วิชาออกผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทันทีพลังงานจากน้ำเต้าหูและปาท่องโก๋จากตอนเช้าหมดไปแล้ว อิฐมองร่างเพื่อนที่ตอนนี้กลายเป็นผักเปื่อยอยู่ตรงโต๊ะ

“ไหวไหมเฮ้ย”

“กูตายแล้ว” อดขำกับคำพูดมันไม่ได้สงสารก็สงสารนะ แต่ท่าทางตอนนี้มันน่าขำจริงๆ ท่าทางเหมือนแมวที่ไหลไปกับโต๊ะ

“มึงทำงานอีกไหมวันนี้”

“ทำตอนสองทุ่ม” นี่ก็หกโมงแล้วคงต้องไปหาอะไรกินแล้วกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอค่อยไปทำงาน

“แล้วงานที่อาจารย์สั่งวันนี้ล่ะ” รายงานสองเล่มทำให้ผมคิดหนักแม้จะส่งอีกสองวันแต่ถ้าเทียบกับตารางงานเต็มของเขาก็คิดหนักเหมือนกัน

“ลาเถอะวะ มึงจะเป็นซอมบี้อยู่แล้วนะ” ไอ้อิฐแม่งเอานิ้วจิ้มผมเหมือนผมเป็นซากอะไรสักอย่างแม่งไอ้เพื่อนเชี่ย ลุกขึ้นฟาดมือที่ยังจิ้มตามตัวไม่เลิก

“กูยังไหว”

“ดูใต้ตามึงก่อนเถอะเพื่อน” และมันก็บ่น บ่นตั้งแต่ห้องยันเดินลงมาใต้ตึกแล้วก็ยังไม่เลิกบ่นอยากจะยกตำแหน่งพ่อคนที่สองให้มันจริงๆ บ่นตั้งแต่เรื่องที่ไม่ยอมลาแล้วพอรู้ว่าผมยังไม่ได้กินอะไรยิ่งบ่นไปอีก

“ครับพ่อ เลิกบ่นเถอะกูขอร้อง” หูชาหมดแล้วหันไปทำหน้าตาหน้าสงสารกระพริบตาปริบๆ ให้มันดูน่าสงสารขึ้นไปอีก

“ไปหาอะไรกินกัน” มันกอดคอผมลากไปแต่ผมดันเห็นอะไรเสียก่อนขาหยุดนิ่งเมื่อเห็นรถคุ้นตาผมเลยลากไอ้อิฐให้ไปที่รถคันนั้นด้วย

ก๊อกๆ

ผมเคาะกระจกรถเบาๆ กระจกเลื่อนลงเห็นพี่ที่มาส่งเมื่อเช้า

“พี่มาทำไม”

“อ่าถามคุณไตเติ้ลเองดีกว่าครับ” พี่แกปลายตาไปด้านหลังที่ผมพึ่งเห็นว่ามีกระจกทึบกั้นอยู่ดูท่าตัวต้นเหตุจะอยู่ด้วย แงะแขนไอ้อิฐออกจากไหล่เดินไปเปิดประตูด้านหลัง

“มาทำไม” อาจเป็นเพราะนอนไม่พอทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่าไม่อยากให้มา

“สตางค์ดูเหนื่อยมากเลย” และมันก็ยังเป็นคนที่พูดกันคนละภาษาเหมือนเดิม

“เออ เหนื่อย เหนื่อยที่ต้องมาเจอมึงด้วยเนี้ย” เพราะเหนื่อยบางครั้งผมก็คุมตัวเองไม่อยู่ไอ้อิฐจะรู้ดีตอนนี้ผมเอาอารมณ์ไปลงกับคนตรงหน้าทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดีแต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้

“เฮ้ยๆ ไอ้ตางค์” ไอ้อิฐที่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาห้ามแต่ก็ช้ากว่าคนในรถที่ดึงข้อมือจนผมถลาเข้าไปในรถมืออีกข้างมันกดที่ท้ายทอยให้ผมซบลงกับอกก่อนที่ผมจะอ้าปากด่าอะไรมันอีก มือที่กดท้ายทอยเลื่อนมาลูบหลังขึ้นลงเบาๆ

“พักก่อนนะครับ” อาจจะเพราะมือที่ลูบหลังหรือเพราะกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น ไอ้อารมณ์เสียที่กำลังปะทุหายวับไปทันที มือลูบหลังขึ้นลงเหมือนกล่อม

อาจจะเพราะเหนื่อย

อาจจะเพราะไม่เคยมีใครกอดแบบนี้

อาจจะเพราะกลิ่นหอมๆ



อิฐอ้าปากค้างเมื่อไอ้คนที่จู่ๆ ก็ขึ้นหลับไปดื้อๆ อย่างนั้น ไอ้คนที่กล่อมเพื่อนเขาหลับค่อยๆ ประคองให้มันนอนบนตักนี่มันเรื่องสยองสองบรรทัดชัดๆ

“ผมจะไปส่งสตางค์ที่หอเองนะครับ”

“เออ..ฝากมันด้วยนะ” เพราะไม่รู้จะบอกอะไรไอ้คนที่เป็นห่วงนั่นก็หลับสนิทอยู่บนตักเขา บอกลาแล้วปิดประตูรถให้มัน มองดูรถหรูที่เคลื่อนตัวออกไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อ่า เหมือนส่งตัวลูกเข้าหอเลยวะ แต่เฮ้ยกูไม่มีลูกนี่หว่า ขยี้หัวแรงๆ ไล่ความคิดบ้าๆ

ไตเติ้ลก้มลงมองคนที่หลับสนิทบนตักใต้ขอบตาดำช้ำเพราะทำงานดึกทุกวันผมรู้ได้ยังไงนะเหรอ อ่าก็ผมให้คนตามตลอดแต่เจ้าตัวเขาก็ไม่รู้ ตลอดอาทิตย์ที่ผมไม่ได้เจอและรู้ดีว่าอีกคนยุ่งเลยไม่ได้ทักมาชวนคุยหรือมาหา ไม่คิดว่าสตางค์จะทำงานหนักจนถึงขั้นนี้ พอเจอหน้าไม่คิดว่าจะโดนโมโหใส่แต่ก็เข้าใจว่าคงจะเหนื่อย ไหล่เล็กๆ จะแบกอะไรหนักๆ ได้เหรอ

“พาไปส่งที่หอเลยนะครับ” เพราะมีสตางค์อยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมไม่ต้องปิดกระจกเขาก็สามารถหายใจได้ทั่วปอด

“ครับ” มีเพียงเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่หลับสนิทอยู่บนตักเมื่อรถจอดหน้าหอพักเก่าๆ ก็ค่อยๆ ประคองคนหลับขึ้นอุ้มแล้วเดินขึ้นห้องพักเห็นอย่างนี้ผมก็ออกกำลังกายนะครับแม้จะไม่ได้ออกไปไหนก็เถอะ แต่อุ้มคนที่ตัวบางแบบนี้อุ้มได้สบายๆ อยู่แล้ว พี่โตเดินขึ้นมาเปิดประตูให้แล้วก็เดินออกไปซื้อของตามที่ผมสั่งไว้ ค่อยๆ อุ้มคนตัวเล็กไปวางที่เตียงที่พอได้เจอเตียงนุ่มๆ แล้วก็พลิกตัวไปซุกกับหมอน

“น่ารัก” อ่า ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะ สตางค์น่ารักมากจริงๆ ผ่านไปไม่นานข้อความจากพี่โตบอกว่าของที่ให้ซื้ออยู่หน้าประตูแล้ว พิมพ์ขอบคุณส่งไปแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูเอาของเข้ามาวางบนโต๊ะแล้วก็กลับมานั่งมองคนนอนหลับ แค่นี้ผมก็รู้สึกว่ามีความสุขมาก

“อือ” ผมตื่นเพราะรู้สึกหิว

“ตื่นแล้วเหรอครับ” หือ ผมว่าผมอยู่ห้องคนเดียวนะแล้วใครมาทักกูวะ ตื่นเต็มตาเลยครับทีนี้ผมผุดลุกขึ้นนั่งมองรอบๆ ห้องก็เห็นไตเติ้ลมันนั่งมองผมอยู่ อ่า..ขอประมวลผลแปบ เลิกเรียนแล้วมาเจอมัน โมโหใส่ โดนดึงเข้าไปกล่อมจนหลับ เชี่ย นี่ทำอะไรลงไป โอ๊ยยยย อับอายขายขี้หน้า

“หิวแล้วใช่ไหมครับ ผมให้พี่โตซื้อมาหลายอย่างเลยไม่รู้ว่าสตางค์ชอบแบบไหน” น้ำเสียงและรอยยิ้มเหมือนเดิมนี่มันไม่ได้โกรธเขาเลยเหรอ

“ไม่โกรธเหรอวะ” เร็วกว่าความคิดก็ปากผมนี่ล่ะครับ อยากจะปิดปากไว้ก็ไม่ทันซะแล้ว

“ไม่โกรธหรอกครับ เดี๋ยวผมไปอุ่นให้นะครับ” ไม่รู้ว่าจะตอบอะไร ไอ้คนที่ถือวิสาสะทำเนียนอยู่ในห้องก็ลุกไปอุ่นกับข้าว เสร็จก็ตั้งโต๊ะเตรียมจานช้อนให้ผมเสร็จสรรพบริการทุกระดับประทับใจ เหลือแค่ตักข้าวป้อนแค่นั้น อ่า รู้สึกไม่ชินเลยแหะกับการที่มีใครมาทำอะไรให้แบบนี้ พอรู้สึกตัวก็ค่อยลงจากเตียงกลิ่นหอมของอาหารตรงหน้าทำให้ท้องร้องทันที

“อร่อยยย ขอบคุณนะ” ขอบคุณเสร็จผมรีบจ้วงเข้าปากไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่ด้วย อาหารที่ซื้อมาถูกใจผมมากเลยล่ะ

“โอ๊ยอิ่ม เฮ้ย ไม่ต้องเดี๋ยวฉันทำเอง” ผมที่นั่งอืดอยู่รีบห้ามไอ้คนเนียนที่กำลังจะเก็บจานแค่ซื้อแค่เตรียมให้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว

“ไม่เป็นไรครับ”

“หยุด!!! ถ้าไม่ฟังก็กลับไปเลย” ได้ผลครับมันยอมนั่งนิ่งๆ ให้ผมเก็บจานชามไปไว้มองนาฬิกาก็เห็นว่าจะได้เวลาทำงานผมแล้วผมเลยวางจานชามไว้

“นี่จะไปทำงานเหรอ”

“ใช่”

“ผมว่าสตางค์ควรพักนะ”

“เฮ้ยแค่นี้ไม่เป็นไรเมื่อกี้ก็ได้นอนพักแล้ว” ผมแค่..รู้สึกสบายมากไปเลยหลับไปแค่นั้นเอ๊ง

“งั้นผมจ้างสตางค์หยุดครับ”

“ห๊ะ”

“เอาจริงครับ จนกว่าจะทำงานด้วยกันผมจ้างให้สตางค์หยุด” มองแววตาจริงจังของมันแล้วก็รู้เลยว่ามันเอาจริง จ้างหยุดทำงานนี่นะ ไม่ใช่มันทำไม่ได้นะ

“หยุดก็ได้แต่ไม่ต้องจ้างหรอก แล้วนี่จะกลับเมื่อไหร่” อีกไม่กี่นาทีก็สองทุ่มแล้วคงต้องโทรบอกพี่น้ำก่อนยังดีที่พี่น้ำจัดกะให้พนักงานอีกคนมาช่วยก่อนเพราะผมจะออก

“ขอบคุณครับพี่น้ำผมขอโทษด้วยนะครับ” พี่น้ำไม่ได้ว่าอะไรถ้าหากผมจะขอลาตั้งแต่วันนี้เพราะจริงๆ พี่แกก็บอกให้ผมหยุดตั้งแต่สองวันที่แล้วจากสภาพซอมบี้ของเขา

“งั้นผมกลับนะครับ”

“ขอบคุณมากเลยนะวันนี้และก็ขอโทษด้วย” ผมบอกคนที่ยังยืนอยู่หน้าประตูไม่รอฟังคำตอบอะไรก็ปิดประตูใส่ทันที

แปลก

แปลกจริงๆ

ไอ้หมอนั่นเหรอ

เปล่า ผมนี่ล่ะแปลก!!!
********************************************

สตางค์ลูก ลูกยังไม่แปลกลูก ไอ้คนที่แปลกมีคนเดียวในเรื่องเท่านั้นล่ะ

ฮ่าๆๆ อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

ยังไม่ได้เช็คคำผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ 



หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 5 10/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-10-2018 21:13:22
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 5 10/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 10-10-2018 23:29:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 5 10/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-10-2018 23:58:59
แหม่ะ ! เจออกแน่นๆแล้วหลับปุ้ย
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 5 10/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-10-2018 01:08:13
หลับง่ายเลยทีนี้ 555555555555
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 5 10/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-10-2018 16:34:01
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 6 21/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 21-10-2018 16:45:02
6

วันนี้ก็เป็นวันแรกที่ผมจะได้เริ่มงานกับไอ้โรคจิตที่ตอนนี้ไม่ได้มาหาหลังจากวันนั้นมีแต่ข้อความที่บอกว่าจะส่งคนมารับในวันนี้ อ่า ตื่นเต้นจังแหะ ผมเปิดตู้เสื้อผ้ามองอยู่นานแต่ก็ไม่รู้ว่าจะใส่อะไรไปดีเพราะเสื้อผ้าส่วนมากก็เป็นเสื้อธรรมดาที่ไว้ใส่ในห้องเพราะทำงานปกติก็มียูนิฟอร์มให้เลยไม่ได้ลำบาก ไอ้ชุดไปเที่ยวมันก็มีแต่รอยขาดตรงกางเกงที่ไอ้อิฐมันชอบว่าเวลาที่ผมใส่กางเกงตัวนี้ไปเที่ยว มันบอกว่านึกว่าเอาผ้าขี้ริ้วมาใส่ แม่งดูถูกกางเกงตัวเก่งกู

“ใส่ชุดนักศึกษาก็ได้วะ” ดูสุภาพและเป็นทางการที่สุดละ ผมรีบแต่งตัวเพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลานัด เช็คความเรียบร้อยก่อนที่จะรีบออกจากห้องล็อกแน่นหนาเดินลงไปรอคนมารับ และพอถึงเวลานัดรถคันที่เคยมารับก็มาจอดตรงหน้าผมเปิดประตูด้านที่นั่งข้างคนขับ

“สวัสดีครับพี่”

“เรียบร้อยนะครับ” ผมพยักหน้าให้พี่ที่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ถามชื่อ

“ผมถามได้ไหมครับว่าผมต้องไปทำงานที่ไหน” เพราะที่เซ็นตอนนั้นมันไม่ได้บอกสถานที่ทำงานผมก็คิดไปว่าคงทำที่บริษัทแต่เมื่อคิดดีๆ ถึงไอ้อาการประหลาดๆ ของนายจ้างก็คิดได้ว่าคนอย่างหมอนั่นคงออกไปเจอใครไม่ได้

“เรื่องนี้พี่ก็ไม่รู้ครับ”

“โถ่ นึกว่าจะรู้ซะอีก ว่าแต่พี่ชื่ออะไรอ่ะ” เพราะไม่รู้ว่าต้องนั่งรถไปนานแค่ไหนตีสนิทไว้คงไม่เสียหาย

“อ้อพี่ชื่อกานต์นะ ทำงานด้วยกันนานๆ ล่ะ” ผมยิ้มรับเขาก็อยากทำงานให้นานเหมือนกันเพราะมันมั่นคงและได้เงินดีด้วย ผมนั่งถามอะไรหลายเรื่องทั้งเรื่องเจ้านายคนใหม่และก็ไอ้นิสัยประหลาดๆ ของมันด้วยแต่พี่กานต์ก็ไม่ยอมแง้มบอกเลยสักนิด คุยจนมาจอดที่หน้าประตูใหญ่ไม่ใช่ใหญ่แค่ประตูนะรั้วแม่งก็โคตรสูงขนาดรั้วบ้านยังใหญ่โตขนาดนี้แล้วบ้านจะขนาดไหน กานต์หลุดขำกับท่าทางตกใจสีหน้าประหลาดๆ ของเด็กคนนี้

ประตูรั้วเลื่อนออกรถค่อยเคลื่อนเข้าไปจากที่คิดไว้ว่าบ้านคงจะหลังใหญ่มากแต่เอาเข้าจริงๆ กลับเป็นบ้านที่ขนาดกลางสไตล์โมเดิลแต่ที่ใหญ่คือสวนพอรถจอดผมก็ไม่อยากลงจากรถเลยทีเดียวเกร็งไปหมดแล้ว

“ลงมาเถอะครับคุณไตเติ้ลรออยู่ข้างในแล้วครับ”

“คะ..ครับ” ผมรีบลงจากรถเดินตัวลีบตามพี่กานต์เข้าไปในบ้าน ก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้เข้ามาทำงานในบ้านนึกว่าจะเป็นที่ทำงานส่วนตัว ไอ้อิฐกูเกร็งงงง

“อ่าวกานต์มาแล้วเหรอจ๊ะ”

“ครับคุณผู้หญิง นี่สตางค์ครับคนช่วยงานของคุณไตเติ้ล” พี่กานต์แนะนำผมให้กับผู้หญิงสูงวัยตรงหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ตลอดเวลาที่มองหน้าเขา

“สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ทันที

“หนูน่ารักจังเลยนะ ขอบใจมากๆ นะจ๊ะที่ยอมมาช่วยงานลูกน้า” ผมรู้สึกประหลาดใจกับรอยยิ้มเศร้าของคนตรงหน้า

“ไม่ใช่หรอกครับผมต่างหากที่ต้องขอบคุณอะ...ไตเติ้ล” ยังดีที่รีบกลับคำทันเกือบแล้วเกือบหลุดคำที่ใช้กับมันบ่อยๆ

“งั้นขึ้นไปหาเติ้ลเถอะจ๊ะ คงรอนานแล้ว” ผมยกมือไหว้อีกครั้งแล้วเดินตามพี่กานต์ขึ้นไปชั้นสองพี่กานต์เคาะเบาๆ ที่หน้าประตูสองครั้ง รอสักพักก็ได้ยินเสียงปลดล็อกประตูเจ้านายคนใหม่ก็โผล่ออกมา

“มาแล้วเหรอครับสตางค์” น้ำเสียงดีใจของเจ้าตัวยังไม่ชัดเท่ากับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า นี่ดีใจอะไรขนาดนั้นกัน พี่กานต์ที่พอไตเติ้ลมาเปิดประตูเจ้าตัวก็เดินลงไปข้างล่าง

“อือ จะให้ทำงานที่นี่เหรอ”

“ใช่ครับ เข้ามาสิครับ” ไตเติ้ลเปิดประตูห้องออกกว้างทำให้เห็นภายในห้องแต่ผมกลับไม่มั่นใจที่จะเข้าไป อยู่ภายในห้องด้วยกันสองคนมันจะทำอะไรแปลกๆ เขาไหม ผมรีบไล่ความคิดบ้าๆ ของตัวเองก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องกว้าง ไม่สิต้องบอกว่าโคตรกว้าง กว้างชิบหาย แต่ภายในห้องไม่ได้มีอะไรตกแต่งมากมายแถมยังคุมโทนขาวดำอีก ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้อง

“สตางค์นั่งตรงนี้นะครับเดี๋ยวผมจะเอางานมาให้” ผมเดินไปนั่งที่โซฟากว้างที่หมอนั่นชี้ อือหืออออขนาดโซฟาแม่งยังนุ่ม ข้าวของแต่ละอย่างมันช่างดูมีราคามากจนไม่กล้าขยับ

“นี่งานสตางค์นะครับ โน๊ตบุ๊คสตางค์ก็ใช้ได้เลยนะครับ”

“อือ จะให้เราทำอะไรเหรอ” บอกตามตรงไม่กล้าพูดคำหยาบกับมันแล้วครับ

“นี่เป็นเอกสารที่ผมอยากสตางค์สรุปให้ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามผมได้เลยนะครับ” แฟ้มเอกสารหนาที่วางอยู่ตรงหน้า นี่ผมจะใช้เวลาเท่าไหร่กัน เอาเถอะต้องลองดู ไตเติ้ลลุกไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดแฟ้มค่อยๆ อ่านไปทีละหน้ายังดีที่บางส่วนก็ถูกสรุปไว้บ้างแล้ว นั่งตรงโซฟาแล้วก้มไม่ลงไปพิมพ์ไม่ถนัดผมเลยนั่งลงกับพื้นพรมค่อยๆ สรุปไปที่ละอัน

“สตางค์ครับเที่ยงแล้วพักทานข้าวกันครับ”

“อ่าวเที่ยงแล้วเหรอ” เพราะทำงานเพลิน

“ครับลงไปทานข้าวกัน”

“ข้างล่างเหรอ”

“ครับ” ไตเติ้ลบอกก่อนที่จะหยิบเอาแมสมาสวมนี่ขนาดในบ้านยังต้องใส่แมสอีกเหรอ ผมมองด้วยความสงสัย

“ทำไมถึงต้องใส่แมสด้วยอ่ะ” ต้องโทษความปากไวของผมครับที่พอคิดก็ถามออกไป

“เอ่อ เพราะกลิ่นนะครับ”

“กลิ่นอย่างที่นายพูดตอนเจอกันแรกๆ นะเหรอ” ผมลุกเดินตามไตเติ้ลที่สวมแมสลงไปข้างล่าง

“ใช่ครับ”

“แต่นี่มันบ้านนายไม่น่าจะต้องใส่นะ”

“มันไม่ใช่กลิ่นอย่างที่สตางค์เข้าใจหรอกนะครับ” อ่าวแล้วมันต่างกันตรงไหนวะ พอถามเจ้าตัวก็ไม่ยอมอธิบายอะไรอีก พอแม่บ้านตั้งโต๊ะเสร็จก็ออกไปจากห้องไตเติ้ลถึงยอมปลดแมสออก แปลกคนจริงๆ

“อร่อยอ่ะ” ผมว่าการมาทำงานกับไตเติ้ลมีข้อดีอีกอย่างแล้ว อาหารที่ป้าแม่บ้านทำอร่อยมากเลยล่ะ

“ทานเยอะๆ นะครับ พรุ่งนี้สตางค์ว่างช่วงบ่ายก็ค่อยเข้ามานะครับเดี๋ยวผมให้คนไปรับ”

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวมาเองจำทางได้แล้ว” ผมรีบบอกปัดจะไปรับทำไมให้วุ่นวาย พอมันจะอ้าปากพูดผมก็ห้ามมันไว้ก่อนยืนคำขาดมันไปเลย

“ไม่ต้องเลยนะเดี๋ยวมาเองฟังกันบ้าง” จะมาเซอร์วิสอะไรกันมากมายมันสบายซะจนผมกลัวว่าจะเคยตัว

“ก็ได้ครับ” หลังจากตกลงก็ก้มหน้าก้มตาทานเงียบๆ กินเสร็จก็ขึ้นไปทำงานต่อ ผมแอบมองด้านหลังของคนที่ตอนแรกถูกผมตราหน้าว่าเป็นโรคจิตแต่พอดูตอนนี้กลับดูจริงจังและเก่งมากดูจากงานที่ผมได้ดูจากเอกสารนี่สิ กว่าเขาจะเข้าใจต้องใช้เวลาตั้งนานแต่หมอนี่กลับทำงานได้อย่างรวดเร็ว ผมล่ะทึ่ง พอถึงเวลาเลิกงานมันก็ให้พี่กานต์ไปส่งผมที่หอ หลังจากอาบน้ำเตรียมตัวพักผมก็รู้สึกไม่ชิน

“ว่างชะมัด” เพราะเคยชินกับการทำงานหนักตลอดเวลาพอได้ทำงานเบาแล้วเลิกเร็วเขาไม่ชินเลยจริงๆ นอนกลิ้งเล่นไม่นานโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“ว่าไงไอ้อิฐ”

“ (ไงทำงานวันแรก) ” ผมยิ้มกว้างแล้วสาธยายงานวันนี้ให้มันฟัง

“นี่เว้ยแม่งโคตรเก่งเลยวะไม่นึกเลยว่ามันจะอายุเท่ากู” ผมเล่าอย่างสนุกปากเอ่ยชมเจ้านายคนใหม่อย่างไม่รู้ตัว

“ (แหม เจ้านายมึงนี่ดีจังนะ) ” น้ำเสียงกระแนะกระแหนได้น่าโบกหัวมากเลยไอ้อิฐ

“เออเจ้านายกูใจดี” อันนี้เรื่องจริงครับไม่เถียงฮ่าๆ

“ (ไหนไอ้คนที่ด่ามันวะ หายไปไหนแล้ว) ”

“ไหนไอ้คนไหน อู้ยย มันวิ่งไปโน้นแล้ว”

“ (มึงเป็นคนหรือกิ้งก่าวะ) ” คำด่าแค่นี้จิ๊บๆ ไม่ได้ทำให้ทะลุรูขุมขนผมด้วยซ้ำ

“โถไอ้สัตว์เลื้อยคลาน ยังมีหน้ามาด่ากู” คบกันมาจนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วด่ากันแค่นี้ยังเบาๆ ด้วยซ้ำ

“ (มึงว่างใช่ไหมออกมาหาอะไรกินกัน หมูกระทะร้านเจ๊ป่ะ) ”

“เออดีๆ มารับกูด้วยนะเว้ย” หลังวางสายผมรีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า รอให้ไอ้อิฐมารับ ไม่นานไอ้อิฐก็ขับมอไซค์มารับไอ้นี่มันเศรษฐีแต่ชอบทำตัวยาจกครับ ทั้งที่มันมีปัญญาซื้อคันหรูๆ ขี่แต่มันก็ดันขับเวฟร้อยเก่าๆ ตะลอนๆ ทั่วมอจนสาวๆ ที่อยากจะเข้ามาหาต้องถอยไปเอง พอถามเหตุผลมัน

“ก็ดีป่ะวะ รถมันขี่ได้กูก็ขี่ไม่ได้จำเป็นอะไรขนาดนั้นอีกอย่างถ้าแค่นี้รับไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ได้รักกูชอบกูในแบบที่กูเป็น” ลุกขึ้นตบมือให้มันเลยครับ โคตรหล่อ โคตรพระเอก บางครั้งมันก็มีมุมผู้ใหญ่แบบนี้ล่ะครับ

“อ่ะมึงกินเยอะๆ พรุ่งนี้มึงจะไปทำงานยังไง”

“ว่าจะนั่งรถเมล์ไปอ่ะ มีผ่านปากซอยอยู่” ผมจำรถเมล์ที่ผ่านหน้าปากซอยทางเข้าบ้านไตเติ้ลได้อยู่

“เหอะๆ เป็นไงวะบ้านมัน”

“ไม่รู้วะ บ้านก็หลังใหญ่แต่เหมือนมันอยู่คนเดียวอ่ะ” ผมตอบมันพร้อมกับคีบหมูขึ้นย่าง ถึงใครจะบอกว่ากินเยอะแม่งก่อให้เกิดมะเร็ง ช่างมันแม่งอร่อยซะอย่าง

“เหรอ ว่างๆ ก็ชวนมันออกมาข้างนอกบ้างสิ”

“โหย มึงเห็นมันไหม กูว่าคงไม่มีทางออกมาหรอก” ผมบอกได้เลย ดูจากการที่แม่มันดีใจเมื่อเห็นผมเข้าไปทำงานในบ้าน

“เออว่ะ” มันพยักหน้าเห็นด้วย กินเสร็จผมก็ส่งเงินให้ไอ้อิฐไปจ่าย แล้วขึ้นไปซ้อนท้ายรถเวฟลูกรักของมันกลับหอ

“เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”

“อือ” โบกมือลาแล้วขึ้นห้อง ก่อนที่จะอาบน้ำล้างกลิ่นควันแล้วค่อยปีนขึ้นเตียงล้มตัวลงนอน

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังลั่นห้องทำให้ร่างที่กำลังหลับฝันดีสะดุ้งตื่นจนเกือบตกเตียง ใบหน้ายับเป็นรอยหมอนครึ่งซีกหัวฟูๆ ที่คงยังฟูไม่พอยังยกมือขึ้นขยี้ให้ฟูฟ่องเป็นแผงคอสิงโต นั่งเหม่อเหมือนวิญญาณยังไม่เข้าร่างไปสิบนาทีกว่าจะรู้ตัววิ่งเข้าห้องน้ำเตรียมไปเรียน

“ไงมึง” ผมที่วันนี้นอนหลับเต็มอิ่มเลยมาทันก่อนเข้าเรียน ปกตินี่ต้องแอบเข้ามาในห้องเรียนด้วยซ้ำ

“โอ้คุณชายสายเสมอมาเรียนทันด้วย”

“นอนหลับเต็มอิ่มด้วย” อาจจะเพราะใบหน้าที่ดูร่าเริงเพราะไม่ต้องอดหลับอดนอนทำงานเกือบเช้า

“ดีแล้วล่ะ” ว่าจะคุยกันต่อแต่อาจารย์ก็เข้ามาเสียก่อน คาบนี้เป็นวิชาภาษาอังกฤษวิชาที่ผมไม่ถนัดเลยสักนิดเลยต้องตั้งใจฟัง

ใครบอกว่าตั้งใจแล้วจะเข้าใจวะ

โอ๊ยยย แกรมมงแกรมม่านรกอะไรเนี้ย อยากจะบ้าตาย ไอ้อิฐที่เห็นผมจะเป็นจะตายกลับชอบใจ อยากจะขอให้มันติวนะแต่ให้มันติวก็เปิดประตูสู่นรกแน่ๆ ปกติมันบ่นเหมือนพ่อใช่ไหม ตอนมันติวก็เอาคูณ10เท่าไปเลย

“จะกินข้าวก่อนไหม” ผมยกนาฬิกาขึ้นดู

“ไม่ล่ะเดี๋ยวเข้าไปทำงานเลย” ไอ้อิฐเลยขับรถไปส่งขึ้นรถเมล์ ผมนั่งรถเมล์จนมาถึงหน้าปากซอย กวาดสายตามองแต่หน้าปากซอยนี้มันไม่มีวิน!!

พระเจ้า

นี่เขาต้องเดินเข้าไปเหรอ ผมที่กำลังยืนเคว้งตัดสินใจไม่ถูก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาพอยกขึ้นมาดูก็เห็นชื่อเป็นไตเติ้ล

“ไง”

“ (ถึงแล้วใช่ไหมครับ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปากซอยไม่มีวินผมเลยจะส่งคนไปรับนะครับ) ”

“ขอบคุณมากเลย” บางครั้งการที่หมอนั่นรอบคอบก็เป็นเรื่องดีผมยืนรอไม่นานรถเจ้าประจำก็มาจอดผมรีบกระโดดขึ้นรถหนีอากาศร้อน

“สวัสดีครับพี่กานต์”

“กำลังคิดว่าจะปล่อยให้เดินเข้าไปเองอยู่เลย”

“โถผมได้ไหม้ละลายก่อนนะสิ” ผมตอบไปขำๆ อากาศประเทศไทยเดินตากเกิน 10 นาทีได้ไหม้แน่ๆ พอถึงบ้านพี่กานต์ก็เดินหนีปล่อยให้ผมเดินเข้าบ้านเอง จะไว้ใจกันเกินไปไหมบ้านนี้ พอเข้าบ้านแม่บ้านก็เพียงเงยหน้าส่งยิ้มผม

ก๊อกๆ

“เข้ามาเลยครับสตางค์” เสียงร้องบอกออกมา ทั้งๆ ที่ปกติจะล็อกห้องไว้ผมเปิดประตูเข้าไป

“ไอ้โรคจิต!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
************************************************

คำเดิมกลับมาอีกแล้วค่ะ 

สงสารน้องฮ่าๆๆๆ 

อ่านแล้วเป็นไงก็บอกด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 6 21/10/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 21-10-2018 18:24:02
ไอ้โรคจิตอีกแล้ว 55555555
เติ้ลเปิดประตูสภาพไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 7 5/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 05-11-2018 14:35:35
7.

ฮืออออออออออออออ

พ่อครับแม่ครับ ตาลูกมีมลทินแล้ว อยากจะได้น้ำมนต์มาล้างตาชะมัดถึงแม้มันจะไม่ได้เห็นคาตาก็เหอะแต่แค่นี้ก็ทำเอาผมไม่กล้ามองหน้าเลย อยากรู้ให้ไหมว่าผมเห็นอะไร ก็ตอนเปิดประตูเข้ามา ไอ้หมอนี่ก็อยู่ในสภาพเสื้อไม่ใส่ส่วนข้างล่างก็มีเพียงผ้าขนหนูคาดเอว ผมจะไม่ร้องเลยถ้าไม่เห็นเศษซากที่บ่งบอกว่ามันไม่ได้ใส่อะไรไว้เลย

ทั้งๆ ที่ต้องรู้ว่าผมต้องเข้ามาแล้วทำไมถึงไม่แต่งตัวให้มันเรียบร้อยนะ

“เอ่อ...นี่งานวันนี้นะครับ”

หงึกๆ

ผมพยักหน้าแต่ก็ไม่ยอมหันไปมองคนที่ส่งงานให้ ไอ้บรรยากาศประดักประเดิดนี่มันอะไรกัน แต่เมื่อได้รับงานผมก็หันมาโฟกัสกับงานพยายามลบภาพนั้นในหัว

ไหนว่าไม่ค่อยออกไปไหนทำไมหุ่นมันดีจังวะ

ไอ้สตางค์ไหนว่าจะไม่คิดวะ เพราะมัวแต่ทะเลาะกับตัวเองเลยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตกอยู่ใต้สายตาของใครอีกคนในห้อง ไตเติ้ลมองคนที่เดี๋ยวก็น่าแดง เดี๋ยวก็ส่ายหัว ทำหน้าตาน่ารักจนเขาอดไม่ได้ที่จะต้องหันไปมองบ่อยๆ แต่ถ้าทำอย่างนั้นงานเขาคงไม่เดิน

ทำงานกันต่างฝ่ายต่างเงียบจนกระทั่งเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาก็เห็นว่ามันเย็นค่ำแล้ว ผมรีบเซฟงานปิดคอมพับงานที่ทำค้างไว้ ผมเพราะต้องรีบกลับงานวิชาภาษาอังกฤษวันนี้ผมแทบจะอยากลาไปเกิดใหม่ที่เมืองนอกเผือจะได้เข้าใจความหมายมันมากกว่านี้ จะให้เขาทำอย่างอื่นก็ได้นะแต่กับภาษาอังกฤษนี่ไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ได้ไอ้อิฐคอยติวให้ก่อนสอบไม่อย่างนั้นคงได้ตายตั้งแต่ปีหนึ่ง

“รีบเหรอครับ”

“อือพอดีต้องไปทบทวนบทเรียนนะ พอดีวิชานี้ไม่ค่อยเข้าใจ” แม้จะเกรงใจที่ช่วยงานได้ไม่เต็มที่แต่คิวซวันศุกร์นี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

“วิชาอะไรเหรอ”

“อังกฤษ”

“ให้ผมช่วยไหม” ผมหรี่ตามองไอ้คนที่อยู่ติดบ้านถึงจะเห็นเอกสารภาษาอังกฤษที่อยู่บนโต๊ะมันก็เถอะแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเก่งสักหน่อย

“ช่วยได้จริงๆ เหรอ” ผมพูดเสียงสูงไม่ได้จะปรามาสหรืออะไรหรอกนะแต่ไม่เชื่อจริงๆ ว่าหมอนี่จะติวให้ได้

“ให้ผมลองดูก่อนสิครับ” ไตเติ้ลลุกขึ้นมานั่งที่โซฟาข้างๆ ผมเลยส่งชีทวิชาให้ มันรับไปเปิดดูคร่าวๆ แล้วถามว่าผมไม่เข้าใจตรงไหน

“ทุกตรงนั่นล่ะจะเรียนไปทำไมก็ไม่รู้” ผมบ่นอุบอิบ

“งั้นลงไปทานข้าวก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะช่วย” เมื่อยืนยันที่จะช่วย ผมเลยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเอาจริงๆ ก็หิวด้วยล่ะนะ เดินตามหลังเจ้าของบ้านไปด้านล่างพอดีกับแม่บ้านกำลังตั้งโต๊ะ และคุณแม่ที่กำลังทำกับข้าวในครัว

“ลงมาแล้วเหรอคะ แม่ทำอาหารไว้เยอะเลย”

“ขอบคุณครับ” ผมรู้สึกเกรงใจคุณแม่ของไอ้ไตเติ้ลมากเลยครับแค่มาทำงานแต่คุณแม่เลี้ยงดูปูเสื่อผมดีมากทั้งขนมนมเนยไม่ขาดแถมยังชวนผมทานมื้อเย็นด้วยตลอด ผมแทบไม่ได้เสียค่าอาหารเย็นเลย

“ไม่เป็นไรจ๊ะ เดี๋ยววันนี้คุณพ่อก็จะมากินข้าวด้วยนะคะ” ไตเติ้ลไม่พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าจนผมอยากจะตีมันสักที

“ลงมากันแล้วเหรอ” ผมที่กำลังจะกระซิบถามเรื่องพ่อ แต่เสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ผู้ชายสูงวัยแต่ดูท่าทางภูมิฐานแถมยังดูดีมากเล่นเอาผมมองตาค้าง

“อือ เล่นไรเนี้ยปล่อยเลยนะ” ผมร้องประท้วงเมื่อจู่ๆ ก็โดนปิดตาจากคนนั่งข้างๆ

“เลิกมองพ่อได้แล้ว” น้ำเสียงติดจะห้วนทำให้ผมขมวดคิ้ว เป็นบ้าอะไรของมันอีกล่ะเนี้ยะ

“ปล่อยๆ ไม่ปล่อยจะไม่ให้ติวให้แล้วนะ” พอพูดจบมันก็ปล่อยผมทันทีแต่ก็ยังไปมองค้อนพ่อตัวเองอีก

“หึๆ อะไรของแกไตเติ้ล”

“เปล่าครับ” ท่าทางสะบัดสะบิ้งงอแงจนผมหลุดขำ หมอนี่ท่าทางเป็นเด็กๆ

“พอค่ะพอทานข้าวกันค่ะ อายน้องสตางค์บ้าง” ผมได้แต่ยิ้มจางๆ ให้คุณแม่ทุกคนประจำที่มือเย็นพร้อมกับครอบครัวที่ผมไม่ได้พบเจอมานาน มันรู้สึกแปลกๆ ยิ่งคุณแม่ตักกับข้าวให้คอยถามว่าถูกปากไหมชอบรึเปล่าทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาที่ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้า อาจจะเพราะผมเงียบไปคนที่นั่งข้างๆ เลยรู้สึกได้ถึงอาการเปลี่ยนไปถึงได้เอื้อมมือมาแตะมือเขาเบาๆ

“อ๊ะ”

“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

“ปะ..เปล่าครับ” ผมรีบปฏิเสธแล้วก้มลงกินข้าวต่ออารมณ์มืดมนก่อนหน้านี้หายวับไปเรียบร้อย ผมเลยตักชิ้นปลาหมึกใส่จานคนข้างๆ อะไรผมไม่ได้คิดอะไรนะแค่อยากตอบแทนเฉยๆ จริงๆ นะเชื่อผมสิ

หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จช่วงเวลานรกของผมก็มาถึงผมนั่งลงกับพื้นอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวส่วนคนติวก็นั่งอ่านเลคเชอร์ที่ผมจดกับชีทที่ส่งให้ เงียบอยู่นานครูจำเป็นก็เงยหน้าขึ้น

“สตางค์ไม่เข้าใจเรื่องไวยากรณ์สินะครับ”

หงึกๆ ผมพยักหน้ารับไวยากรณ์เป็นอะไรที่ผมเกลียดมากเลยครับโดยเฉพาะไอ้กริยาสามช่องเนี้ยะ ทั้งคำศัพท์มากมายอีก ไตเติ้ลไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแต่ลุกขึ้นไปที่โต๊ะทำงานเปิดลิ้นชักค้นอะไรอยู่สักพักแล้วเอาสมุดคำศัพท์แบบที่ไว้ท่องศัพท์มาให้ผม

“สตางค์เอาตัวนี้ไปท่องนะครับ ส่วนวันนี้ผมจะติวเรื่องที่สตางค์เรียนในวันนี้”

“อือ ขอบคุณนะ” ผมยกยิ้มจนตาหยี ถึงมันจะโรคจิตไปหน่อยแต่ก็เป็นคนดีทีเดียวเลยล่ะ เอาเถอะจะให้เขามานั่งด้วยหรือจะบอกว่าได้กลิ่นแล้วสบายใจก็เอาเถอะจะยอมๆ ให้

“อันนี้อย่างนี้นะ” และผมก็ต้องกราบความอดทนของมันที่ยอมสอนคนโง่อิ้งค์ให้เข้าใจได้ ถ้าให้ไอ้อิฐติวให้นะป่านนี้มันกินหัวผมไปแล้ว สองชั่วโมงแห่งการเปิดโลกใหม่ ผมเข้าใจเนื้อหาที่มันติวให้แต่มันก็แทบสูบพลังงานเขาไปจนหมด

“ดึกแล้วสตางค์นอนที่นี่ก็ได้นะ”

“เฮ้ยๆ ไม่เป็นไรแค่สามทุ่มเองดึกตรงไหน” ผมแย้งแค่สามทุ่มมันจะดึกตรงไหนกัน ดึกผมต้องโน้นเที่ยงคืน

“งั้นไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมให้คนไปส่งนะ” เพราะรู้ว่าปฏิเสธไปก็ลำบากตัวเองเปล่าๆ แถมมันคงไม่ยอมให้ผมกลับเองแน่ๆ เลยพยักหน้า

“ขอบคุณนะ พรุ่งนี้จะเข้ามาแต่เช้าเพราะไม่มีเรียน”

“ครับ ผมจะรอ” ทำไมรู้สึกแปลกๆ กับคำนี้นะ แล้วอย่ามาทำเสียงนุ่มใส่เขาด้วยสิ มันรู้สึกจักกะจี้แฮะ เพราะรู้สึกแปลกๆ เลยเออออส่งๆ ไปแล้วออกจากห้องพอลงมาพี่กานต์ก็เอารถมาจอดรออยู่แล้ว

“ขอบคุณนะครับพี่กานต์” ผมยกมือไหว้พี่กานต์ก่อนที่จะเดินเข้าหอหลังจากทำธุระเสร็จผมก็ขึ้นมานอนกลิ้งบนเตียงในหัวคิดถึงเรื่องนายจ้างคนใหม่

ไตเติ้ลมันเป็นคนแปลก.....แต่ก็ใจดี

เป็นคนที่รวยมากกกก....แต่ก็เหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจ

ชอบทำตัวโรคจิตโดยการมาอยู่ใกล้ๆ เขา

อืม มันยังช่วยผมตอนที่ลำบาก งั้นผมจะไม่ว่ามันเป็นโรคจิตก็ได้

.

. หลังจากคนกลิ่นหอมกลับบ้านไปร่างสูงก็ยังคงไม่ได้นอนเพราะมัวคิดถึงแต่ตอนเย็นที่ดูเหมือนสตางค์จะดูเป็นมิตรมากขึ้นแม้ก่อนหน้านั้นเขาดันเผลอทำตัวแบบที่สตางค์ว่าผมโรคจิตใส่อีก ตอนนั้นผมขอแก้ข่าวนะครับเพราะตอนสตางค์มาผมดันเผลอทำน้ำหกใส่ตัวเองเลยเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงนั้นตามความเคยชินเลยโดนตราหน้าว่าโรคจิตอีกแล้ว เขาก็เพิ่งรู้ว่าสตางค์อ่อนอังกฤษทั้งๆ งาที่ช่วยเขาทำก็ทำได้ดี พอได้ติวให้ผมก็รู้สึกเหมือนได้เข้าใกล้เข้าไปอีกนิด ยิ่งอยู่ใกล้ผมยิ่งรู้สึกดี

ก๊อกๆ

“เข้ามาเลยครับ” เพราะหลังจากที่สตางค์มาทำงานด้วยห้องของผมก็ไม่ได้ล็อกตลอดเวลาเหมือนอย่างที่ผ่านมา

“แม่เข้ามาถามพรุ่งนี้ลูกอยากทานอะไรไหม”

“เอาอาหารทะเลได้ไหมครับ สตางค์คงชอบ” เพราะสังเกตว่ามื้อเย็นนั้นสตางค์ตักปลากหมึกและกุ้งบ่อยๆ คงจะชอบ คนเป็นแม่ได้แต่ลอบอมยิ้มเดี๋ยวนี้ลูกชายเธอร่าเริงแถมยังไม่ได้ปิดกั้นตัวเองอีกต่อไป ต้องขอบคุณหนูสตางค์สินะ

“ได้จ๊ะเดี๋ยวแม่จะเตรียมไว้ให้ ว่าแต่หนูสตางค์น่ารักดีนะคะ” ร่างสูงขยับมานั่งที่โซฟากับมารดา กลิ่นที่เคยอึดอัดกดดันแน่นกลับเจือจางลง

“ครับ ทั้งน่ารักและขยันมากเลยครับ” พอได้พูดถึงสตางค์ก็เหมือนจะมีออร่ามีความสุขแผ่ออกมานี่ขนาดเจ้าตัวไม่อยู่นะ ยังทำให้ลูกชายเธออารมณ์ดีได้

“ถ้าหนูสตางค์เรียนจบแม่ว่าให้มาทำงานช่วยลูกดีไหมคะ” พอได้ยินตาคมภายใต้ผมยาวนั้นเบิกกว้างแล้วรีบพยักหน้าเห็นด้วย เพราะคิดไว้แล้วว่าจะชวนให้สตางค์มาเป็นผู้ช่วยเขาแต่ก็ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้

“ผมก็อยากทำแบบนั้นครับแต่ก็คงต้องคุยกับสตางค์ดูก่อน”

“แม่ดีใจที่เห็นลูกเปลี่ยนไปนะคะ” ผมที่กำลังคิดหาทางชวนให้สตางค์ทำงานกับเขาก็หยุดชะงัก ทั้งแววตาและรอยยิ้มของมารดาทำให้เขารู้สึกละอายใจ

“ผมขอโทษนะครับ”

“ไม่เป็นไรลูก สตางค์ทำให้ลูกดีขึ้นใช่ไหมค่ะ”

“ครับ สตางค์ทำให้ผมไม่ได้กลิ่นแย่ๆ ที่ชวนเวียนหัวขอเพียงมีสตางค์อยู่ใกล้ๆ แค่นั้นก็พอครับ” พอพูดออกไปก็รู้สึกอายเมื่อที่พูดไปความหมายมันดูยังไงๆ ก็ไม่รู้ แต่มันก็เป็นความจริงที่เขาอยากให้สตางค์อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา

“จ๊ะ แม่ไปล่ะ ฝันดีนะคะลูกรัก”

ฟอด

“ฝันดีเหมือนกันครับแม่” ผมลุกเดินไปส่งแม่ที่หน้าประตูพอปิดประตูล็อกเรียบร้อยก็กลับมานั่งย่อจดชีทที่จะเอาให้สตางค์อ่านเพื่อที่จะเข้าใจได้ง่ายกว่าชีทของอาจารย์ กว่าจะจบก็ครึ่งค่อนคืนแล้วเขาค่อยเดินไปนอน

*******************************************************

ตอนนี้ก็จะเรื่อยๆ ช่วงนี้กลับมาปั่นอย่างจริงจังแล้วนะคะ

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ปล.สามารถติดตามข่าวสารและคนเขียนพร่ำเพ้อที่เพจน่อ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 7 5/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-11-2018 16:26:35
ทำไมถึงได้กลิ่นอึดอัดจากแม่ตอนแรกๆนะ
ตอนนี้ก็ดูปกติดี  :ling2:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 7 5/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-11-2018 16:59:53
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 7 5/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-11-2018 19:28:04
แนวเรื่องแปลกดีครับ น่าติดตามสุด
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 7 5/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 06-11-2018 09:15:30
ทำไมถึงได้กลิ่นอึดอัดจากแม่ตอนแรกๆนะ
ตอนนี้ก็ดูปกติดี  :ling2:
เพราะคุณแม่ไม่ได้รู้สึกผิดที่ช่วยอะไรลูกไม่ได้ เพราะมีสตางค์เข้ามาช่วยให้ไตเติ้ลมีความสุขมากกว่าแต่ก่อนค่ะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 8 17/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 17-11-2018 14:24:44
​​

8

                “สตางค์ไปทำธุระกับผมได้รึเปล่าครับ”

                เพราะคำชวนจากเจ้านายทำให้เขาต้องมานั่งรอที่หน้าฟร้อนของโรงแรมหรูเล่นเอาผมต้องมองเสื้อผ้าตัวเองอย่างอายๆเสื้อเชิ้ตกางเกงยืนสีซีดกับรองเท้าผ้าใบคู่ใจ รู้อย่างนี้ผมน่าจะตกลงให้มาพร้อมมันดีกว่า

                “เฮ่อ” เสียงถอนหายใจรอบที่สิบของผมจะให้ทำยังไงได้ก็ในเมื่อตัวเองมาก่อนเวลานัดตั้งเกือบชั่วโมงเพราะกลัวว่ารถจะติดแต่วันนี้ถนนกลับโล่งทำให้เขาต้องมานั่งรอที่ฟร้อนท่ามกลางสายตาใคร่รู้ของแขกและพนักงาน โอ๊ยอยากจะทำตัวให้เล็กที่สุดจะได้หายไปจากตรงนี้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

                “สตางค์ รอนานไหมครับ” และเสียงสวรรค์ที่มาช่วยพอดีผมรีบลุกขึ้นหันกลับไปมองไตเติ้ลที่ดู.......แปลกตา และมันดูดีมากถึงจะคุมโทนในชุดสีดำเพียงแต่วันนี้เป็นเสื้อเชิ้ตคอจีนกับกางเกงสแล็คทรงผมที่ปกติแค่สะบัดทั้งปิดหน้าปิดตาแต่ตอนนี้เซ็ทขึ้นเปิดหน้าแต่ก็ยังปิดหน้าด้วยแมสอยู่ดี

                แม่ง

                ดูดี ดูดีเกินไปแล้ว ไอ้โรคจิตนี่ดูดีขนาดนี้เลยเหรอ ผมนี่ดูยาจกไปเลย

                “เอ่อ..ผมดูแปลกๆเหรอครับ” เพราะว่าผมมัวแต่มองนิ่งเจ้าตัวเลยถามพร้อมกับก้มมองสำรวจตัวเอง   

                “ปะ..เปล่าแค่ดูแปลกตาแต่ดูดีนะ” แค่ผมชมว่าดูดีไตเติ้ลก็ยิ้มกว้างแม้จะมองไม่เห็นรอยยิ้มแต่ตาคมที่โค้งขึ้น

                “ขอบคุณครับ ไปกันเถอะครับ” พอเปรียบเทียบระหว่างตัวเองกับหมอนั่นทำเอาไม่อยากยืนอยู่ข้างๆเลยสักนิดผมที่กำลังคิดมากก็ถูกจับมือดึงให้เดินไปด้วยกันท่ามกลางสายตาของพนักงานที่ดูจะแปลกใจ

                “นายไม่เวียนหัวเหรอ” ผมก้าวขึ้นไปเดินข้างๆเงยหน้าถาม เพราะมันเดินเข้ามานิ่งๆไม่มีอาการปวดหัวหรืออะไรๆที่เคยเลย

                “ไม่ครับเพราะมีสตางค์อยู่ด้วย” ผมได้แต่ทำหน้างงๆเลยได้เสียงหัวเราะทุ้มจากลำคอแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เออนี่ผมกลายเป็นแท่นหอมให้เจ้านายอีกอย่างสินะ ไตเติ้ลจูงมือคนที่มัวแต่มองซ้ายมองขวามือที่วางก็จับเสื้อเชิ้ตตัวเองไปมาเหมือนไม่มั่นใจแต่เขากลับมองว่าน่ารักดี ดูสิยอมให้เขาจูงมือง่ายๆโดยไม่โวยวายอะไรเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาโรงแรมปกติจะทำงานอยู่ที่ห้อง แต่เมื่อคืนพ่อกลับขอให้เขาเข้ามาโรงแรมเพื่อเรียนรู้งาน

                “ผมไม่อยากไป”

                “เอาสตางค์ไปด้วยสิพ่ออนุญาต”ถ้าไม่บอกว่าให้ผมพาสตางค์ไปให้ตายผมก็ไม่ยอมออกจากบ้านหรอกนะ เมื่อเห็นว่าพ่อจริงจังเขาเลยพยักหน้ายินยอมที่จะทำตาม พอเห็นว่าผมยอมก็ดูดีใจมากถึงขั้นกลิ่นที่โชยออกมา ลิฟต์มาหยุดยังชั้นบริหาร คนที่เดินอยู่ข้างๆก็บีบมือผมแน่นแถมยังขยับเข้ามาชิดเพราะความไม่มั่นใจ ส่วนผมนะเหรอไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะตั้งแต่เด็กแม่จะให้คนมาสอนเรื่องบุคลิกภาพให้แม้จะออกมาข้างนอกไม่ได้ก็ตาม

                “คุณไตเติ้ล” เลขาที่คอยเอางานไปส่งให้เรียกผมอย่างแปลกใจ

                “พอดีคุณพ่อให้ผมมาประชุมวันนี้ครับ”

                “อ่า..ครับเชิญด้านในเลยครับแล้วคนนี้...” สายตาใต้แว่นกรอบใสมองสตางค์ด้วยความสงสัยว่าเป็นใคร

                “นี่สตางค์ผู้ช่วยผมเองครับ” ผมปล่อยข้อมือเรียวเพื่อให้สตางค์ยกมือไหว้คนสูงวัยกว่า คุณนิลไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ยกมือรับไหว้แล้วเปิดประตูห้องทำงานให้พวกผมเข้าไปในห้องทำงาน คุณนิลเดินออกไปข้างนอกไม่นานก็ยกกาแฟและขนมมาให้พวกเขา

                “นี่เรามาทำอะไรเหรอ”หลังจากอยู่ด้วยกันสองคน สตางค์ก็ถามขึ้น

                “ผมมาประชุมนะครับแทนคุณพ่อ”

                “อ่าวแล้วให้ผมมาด้วยจะดีเหรอครับ”พูดจบสตางค์ก็ก้มมองเสื้อผ้าตัวเองด้วย

                “ไม่เป็นไรครับถ้าไม่มีสตางค์ผมก็คงไม่มา” สตางค์เอียงคองงๆแล้วก้มหน้าก้มตากินขนมจนหมด

                ก๊อกๆ

                “ได้เวลาแล้วครับ” เขาพยักหน้าลุกขึ้นไปหยิบเสื้อสูทที่แขวนไว้มาใส่เพราะถึงจะเป็นการประชุมที่ไม่เป็นทางการก็เถอะ

                “ไปกันเถอะครับ”

                “ไม่ไปไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงอ่อยๆของสตางค์ชวนให้ผมใจอ่อน แต่ถ้าสตางค์ไม่ไปผมก็คงไม่ไป

                “ไม่ได้ครับ” ร่างเล็กถอนหายใจยาวลุกขึ้นเช็คตัวเองแล้วเดินตามติดผมไปที่ห้องประชุม ที่พอผมเข้าไปก็ดูทุกคนจะแปลกใจที่เห็นผมแต่ก็ดูจะเก็บอารมณ์ได้ดี กลิ่นในห้องนี้มีบางคนน่าสะอิดสะเอียนจริงๆ เพราะได้กลิ่นไม่พึงประสงค์เลยคว้าข้อมือดึงให้สตางค์เข้ามาอยู่ใกล้ๆ

                “คุณหนูไตเติ้ลลมอะไรพัดมาถึงได้เข้ามาประชุมได้ล่ะ” น้ำเสียงเหมือนจะพูดแหย่แต่มันเป็นการข่มและดูถูกผม คนคนนี้คงเป็นคุณเกรียงสินะ

                “คุณเกรียงครับอย่าว่าอย่างนั้นสิครับ คุณไตเติ้ลก็บริหารงานได้ดีเลยนะครับ” ชายสูงวัยอีกคนคุณศักดิ์รีบพูดแย้งปกป้องผมทันที ผมที่ตอนนี้ถอดแมสออกแล้วยกยิ้มบางๆ

                “สวัสดีครับทุกคน เริ่มประชุมกันดีกว่านะครับ”

                “เดี๋ยวสิหลานชาย คนนอกมาเกี่ยวอะไรกับการประชุมภายใน” พอคุณเกรียงทักทุกคนก็หันเป้าหมายไปมองสตางค์ที่พอถูกมองก็ขยับมาชิดผมทันที

                “สตางค์ไม่ใช่คนนอก แต่เป็นผู้ช่วยผม” เพราะไม่พอใจกับการที่สตางค์ถูกหาว่าเป็นคนนอกน้ำเสียงที่พูดเลยแข็งกร้าวในห้องประชุมต่างเงียบกริบ เขาเลยนั่งลงตรงตำแหน่งประธานแล้วดึงให้สตางค์นั่งลงข้างๆเพราะเมื่อมีกลิ่นสบายๆช่วยทำให้กลิ่นที่ชวนอ้วกนี้เจือจางไป

                “เรื่องการเปิดโรงแรมที่เชียงใหม่ทำไมงานถึงไม่ได้ตามแพลนที่วางไว้ครับ” โครงการในเชียงใหม่เป็นโรงแรมที่สร้างในโครงการแอบอิงธรรมชาติโรงแรมที่สร้างโดยการไม่ทำร้ายธรรมชาติทำให้มันเป็นโฮมสเตย์แต่ระดับห้าดาวแม้จะไม่ใช่โครงการใหญ่มากแต่ก็เป็นโครงการที่น่าจะทำเงินและเป็นโครงการเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์

                “ก็สภาพอากาศมันทำให้งานไม่เดินจะให้ทำยังไง” คุณเกรียงโผล่งขึ้นมาแต่ผมก็ไม่ได้ถือสา

                “เห็นว่ามีฝนตกครับเลยไม่สามารถก่อสร้างต่อได้” ผมพยักหน้าแม้จะรู้ดีว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่สภาพอากาศ เคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ

                “แล้วการที่ส่งวัสดุก่อสร้างล่าช้านี่เพราะอะไรกันล่ะครับ” และห้องประชุมก็เงียบสงัดอีกครั้ง สตางค์มองคนข้างๆด้วยความประหลาดใจรู้ว่าเก่งแต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเก่งแบบนี้

                “ผมต้องการคำอธิบายเรื่องธรรมชาติผมเข้าใจแต่ถ้าเป็นเพราะ...คน” สายตาคมกวาดมองรอบที่ประชุมก่อนที่จะพูดขึ้นอีกรอบ “ผมจะจัดการอย่างเด็ดขาดและขอให้เร่งทางผู้ก่อสร้างให้ทำตามกำหนดด้วยน้ำครับ” หลังจากนั้นประเด็นในห้องประชุมก็เป็นเรื่องโปรโมชั่น เรื่องสวัสดิการต่างๆและโครงการรออนุมัติจนกระทั่งปิดการประชุมหลายคนเดินออกไปแต่ไตเติ้ลยังคนนั่งนิ่งเพราะดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนต้องการที่จะคุยกับเขา 

                “มีอะไรหรือเปล่าครับลุงเกรียง”

                “หึ เราดูเปลี่ยนไปนะ” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากตอนเข้าประชุมกันคนละโยชน์

                “ก็ครับ เรื่องที่เชียงใหม่เดี๋ยวผมจัดการเองนะครับ ขอบคุณนะครับลุง”

                “หึๆ ก็แค่อยากเห็นอะไรสนุกๆ” ผมได้แต่ส่ายหน้ากับอาการที่อยากเห็นเรื่องสนุกของคุณลุงเกรียงที่ปรับสีหน้าขรึมเดินออกจากห้องประชุมไป พอหันมาดูคนนั่งข้างๆก็เห็นเพียงสีหน้างงๆอ้าปากน้อยๆท่าทางที่ดูตลกจนหลุดขำออกมา

                “ไปทานข้าวกันดีกว่าครับหึๆ”

                “อืม แล้ววันนี้จบแล้วเหรอ ให้ฉันมาแค่นี้นะเหรอ” ผมอมยิ้มกับสตางค์ที่บางครั้งพอสนใจอย่างอื่นก็จะลืมบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่เขายังจับมืออยู่แต่เจ้าตัวก็ลืมไปแล้ว

                “ใช่ครับแค่สตางค์มาด้วยก็พอแล้ว”

                “ประหลาด นายแม่งโคตรประหลาด” สตางค์บ่นพึมพำแต่ผมกลับขำเพราะจากเป็นโรคจิตแล้วผมยังเป็นคนประหลาดอีกด้วย อ่าดูท่าผมคงจะได้เป็นหลายๆอย่าง จูงมือจนมาถึงลานจอดรถ

                “สตางค์อยากทานอะไรครับ” เพราะไม่ได้ออกมาข้างนอกบ่อยเลยคิดไม่ออกว่าจะไปไหน

                “แล้วนายไม่เป็นไรเหรอออกมาเจอคนมากๆแบบนี้ กลับไปกินที่บ้านนายไหมล่ะ”  น่ารักทำไมถึงเป็นคนน่ารักและทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างนี้นะ

                “ถ้ามีสตางค์อยู่ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับอาจจะอึดอัดนิดหน่อยแค่นั้นเอง เอาตามที่สตางค์สบายใจเถอะครับผมตามใจ”

                “งั้นกลับบ้านนาย” หลังจากตกลงกันได้ก็บอกพี่กานต์ที่มาขับรถให้ว่าให้กลับบ้าน

                “แล้วท่องศัพท์ไปถึงไหนแล้วครับ”

                “พูดถึงแล้วอยากจะอ้วกมากแต่วิธีที่นายสอนทำให้ฉันเข้าใจมากขึ้น” มองคนที่ตอบด้วยรอยยิ้มนิ่ง พอได้รู้จักเขายิ่งคิดว่าสตางค์ไม่ได้มีดีแค่ทำให้เขาสบายใจ  หลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกจนกระทั่งมาถึงบ้าน เจ้าตัวก็เดินลิ่วเข้าบ้าน เอาเถอะครับทุกวันนี้สตางค์เป็นลูกรักมากกว่าผมไปแล้วซึ่งมันก็ดี

                “นี่ๆ ไอ้อิฐจะมาหา ให้มันมาได้มาไหม” หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็ขึ้นมานั่งทำงานส่วนสตางค์วันนี้ผมไม่มีงานให้ช่วยเลยนั่งทบทวนวิชาที่ต้องเรียน

                “ได้สิครับ”

                “อือ” หลังจากนั้นก็หันไปพิมพ์หยุกหยิกกับโน๊ตบุ๊คคงจะตอบคุณอิฐอยู่สินะ กับคุณอิฐเขาแม้จะไม่ได้กลิ่นที่ชวนเวียนหัวแต่ก็ไม่ได้ให้ความสบายใจเหมือนสตางค์ ถ้าจะให้บอกออกมาตรงๆก็คงเป็น ความเจ้าเล่ห์และมั่นคง ไม่นานสตางค์ก็ขอตัวลงไปรับอิฐที่มาถึงแล้ว

                “ไง”

                “สวัสดีครับ”ผมทักคุณอิฐที่เดินเข้าห้องมา เพราะสตางค์ขอผมแล้ว

                “ไงไอ้เด๋อมันทำงานดีไหม” บางทีผมก็เห็นด้วยกับสตางค์ที่ชอบบ่นให้ฟังว่าอิฐนั้นดูแลเขายิ่งกว่าพ่ออีก

                “สตางค์ช่วยงานผมได้มากเลยครับ” พอได้ยินผมบอกแบบนั้นอิฐก็พยักหน้าแล้วยกมือขยี้ผมนิ่มของสตางค์จนฟูเลยได้รับเสียงโวยวายและการขู่ของสตางค์เป็นการตอบแทน             

                “ไอ้สตางค์มึงทำอะไรของมึงเนี้ย อันนี้มันผิดเว้ย”

                “ก็...นิดเดียวเอง”

                “เลิกบ่นแก้ให้หมดเลยนะ” ฟังเสียงทะเลาะกันของเพื่อนซี้แล้วผมก็หลุดขำเวลาที่สตางค์โดนคุณอิฐดุแล้วต้องนั่งทับขาตัวเองทำท่าทางเหมือนลูกหมาที่โดนดุแล้วหูลู่ลง

                “งือ เหนื่อยแล้วอ่า”

                “งั้นผมช่วยครับ”เพราะเห็นท่าทางเหนื่อยๆของสตางค์ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป คุณอิฐหรี่ตามองผมอย่างสำรวจแล้วก็หันไปมองสตางค์ก่อนรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจจะปรากฏขึ้น

                “ไม่ต้องหันไปอ้อนเจ้านายมึงไอ้สตางค์ ส่วนมึงไปคุยกับกูดิ๊” คุณอิฐกระดิกนิ้วเรียกผมให้เดินตามออกไป

                “เดี๋ยวสิทำไมไม่ให้กูไปด้วย จะปิดบังไรกู”

                ผลัวะ

                “เงียบแล้วทำงานไปไอ้เด๋อ” เอ่อ...ผมอยากจะห้ามนะครับก็คุณอิฐเล่นตบหัวสตางค์ซะแรง ปากเรียวบ่นขมุบขมิบแต่ก็ไม่กล้าบ่นเสียงดัง คุณอิฐเลยเดินนำผมออกไปนอกห้อง

                “กับไอ้เด๋อนั่นยังไง” พอประตูปิดคุณอิฐก็ถามตรงๆเลยทันที

                “ก็นายจ้างกับลูกจ้างไงครับ” หากเป็นปกติเขาคงกล้าสบตาแต่ตอนนี้กลับหลบสายตาคมของคนที่จ้องมองไม่วางตา

                “เอาตรงๆ” ผมรู้แล้วว่าทำสตางค์ถึงได้กลัวคุณอิฐ ขนาดผมที่ไม่เคยสนใจอะไรยังต้องยอม

                “สตางค์....เป็นที่ที่ทำให้ผมสบายใจ เป็นอากาศของผม”

                “หึๆ ไอ้นั่นมันเด๋อก็ทำใจหน่อย” ผมพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากที่คุยกันผมก็ได้กลิ่นจริงๆของคุณอิฐ คนคนนี้ห่วงสตางค์จริงๆ พอเข้ามาในห้องสตางค์ก็ดูจะงอนๆไม่ยอมคุยกับผมและอิฐ ปากบางๆนั่นคว่ำลง และผมก็ได้รู้อีกอยาก

                สตางค์ไม่เพียงมีกลิ่นหอม

                สตางค์ไม่เพียงขยัน

                แต่สตางค์เป็นคนน่ารักที่น่ารังแก                             

**********************************

หนีไปลูกสตางค์ ธาตุแท้ของไอ้คนประหลาดออกมาแล้วลูก

นิยายเรื่องนี้ฟิลกู๊ดนะคะ ก็จะเอื่อยๆเหมือนคนเขียน 555

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

                       ​
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 8 17/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-11-2018 23:09:40
 :pig4: :pig4:  +1
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 8 17/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 18-11-2018 01:48:53
อย่าให้สตางค์ได้ยินความคิดเชียวนะ 555555555555555555
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 9 24/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 24-11-2018 18:06:32


  9

                ไม่รู้ว่าพวกนั้นคุยอะไรกันแต่พอกลับเข้ามาแล้วก็คุยกันถูกคอเล่นเอาเขาเป็นอากาศไปเลย อะไรอ่ะไหนจะมาช่วยเขาทำงานอ่ะ แล้วทำไมมาคุยกันอยู่สองคนล่ะ

                “หน้าบึ้งเป็นตูดเลยมึง เป็นไร”

                “หึ” ผมส่งเสียงหึสะบัดหน้าหนีไอ้อิฐ

                “ขอให้มึงคอเคล็ด”

                “ไอ้สัส” ตวาดด่ามันไปทีแต่ก็โดนมันโบกหัวไปหนึ่งทีแรงจนผมน้ำตาซึม ไอ้เพื่อนเลว

                “เจ็บมาไหมครับ” คำถามที่มาพร้อมกับมือใหญ่ที่ยกมาลูบหัวผมเบาๆ

                “ฮือเจ็บ”

                “ไอ้สำออย” ไอ้อิฐมันเบะปากมองผมแรง แต่เมื่อมีคนโอ๋เรื่องอะไรผมจะยอมให้มันว่า

                “เจ็บมากเลยล่ะ” หันไปช้อนตามองคนนั่งข้างที่ลูบผมอยู่ ซึ่งผมก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อใบหน้าคมนั่นปรากฏริ้วแดง

                “เอ่อ..”

                “ไอ้สตางค์มึงมานั่งข้างกูเดี๋ยวนี้!!” ไอ้อิฐตะโกนลั่น ผมเลยรีบขยับไปนั่งข้างๆไอ้อิฐทำหน้างงๆที่จู่ๆมันก็ทำหน้าเข้มใส่ผม แบบที่มันชอบทำเวลาที่จะบ่นผม

                “โถ่คุณอิฐผมไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”

                “มึงไม่ผิดแต่ไอ้นี่นะผิด แม่งไม่เคยรู้ตัวอะไรเล๊ย นี่กูมีเพื่อนหรือมีลูกวะ” ผมได้แต่กระพริบตามองมันสองคนคุยกันปริบๆ ไม่รู้เรื่องที่มันคุยกันสักนิดแต่ที่รู้แน่ๆมันมีผมเกี่ยวข้อง

                “ไอ้อิฐกูผิดอะไรวะ มึงชอบกล่าวหากู” อยากจะประท้วงมากกว่านี้อยู่นะแต่ไอ้อิฐแม่งแค่หันมามองผมก็เก็บปากทันทีจ้องซะจนผมกลัว ทุกเรื่องผมไม่กลัวแต่ถ้าไอ้อิฐมันทำหน้านิ่งสายตาดุๆของผมก็แทบเถียงมันไม่ออกแล้ว นี่เพื่อนหรือพ่อ

                “เงียบไปเลยมึง ทำงานไป เดี๋ยวกูกลับแล้วอย่าไปอ้อนไอ้เติ้ลมันมากนัก” ไอ้อิฐว่าพร้อมกับขยี้หัวผมจนฟูอยากจะถามมันนะว่าเป็นอะไรกับหัวผมหนักหนา แต่พอถามมันก็ขยี้อีก เออเอาที่มึงสบายใจ  พอไอ้อิฐเก็บข้าวของกลับไปก็มีเพียงผมกับไตเติ้ลที่นั่งจ้องหน้ามีเพียงแค่โต๊ะกระจกกั้น แล้วทำไมผมต้องรู้สึกแปลกๆกับสายตามันด้วยนะ

                “มาครับผมช่วยทำให้เสร็จ”

                “ดีๆ ช่วยเลย” พอมันพูดถึงเรื่องงานแล้วผมก็หันกลับมาสนใจกับงานที่ต้องส่ง ต้องขอบคุณไตเติ้ลมากครับอธิบายดีกว่าไอ้อิฐอีกแถมยังไม่ด่าเขาเวลาไม่เข้าใจอีกถ้าเป็นไอ้อิฐนะป่านนี้หูผมดับไปแล้ว  จนงานทั้งหมดเสร็จผมต้องถอนหายใจแรงโล่งแล้วครับงานเสร็จพร้อมกับเนื้อหาที่เขาเข้าใจมากขึ้น จนแทบอยากจะกราบไหว้มันเป็นอาจารย์

                “สตางค์จะกลับไปเลยไหมครับ”

                “อือ เหนื่อยวะ” ยอมรับตอนนี้ผมอยากล้มตัวลงนอนบนพื้นพรมตรงนี้ สมองเบลอไปหมดแล้ว

                “นอนพักก่อนได้นะครับ เดี๋ยวจะให้พี่กานต์ไปส่ง” ผมพยักหน้าเหนื่อยๆแล้วก็ล้มตัวลงนอนตรงพื้นทันที แอร์เย็นๆนี่จะทำให้ผมหลับมาตั้งนานไม่นานผมก็หลับไป

                .

                ไตเติ้ลมองคนที่หมดแรงล้มตัวนอนตรงพื้นแม้อยากจะให้ไปนอนเตียงเขาดีๆแต่ก็หักใจปลุกคนที่หลับไม่ได้ สตางค์จะไว้ใจเขาเกินไปแล้วหรือเปล่า เหมือนอย่างที่คุณอิฐว่าไว้เลย

                ตอนที่สตางค์อ้อนบอกว่าเจ็บผมแทบอดทนไม่ไหวยังดีที่คุณอิฐเรียกเจ้าตัวอ้อนไม่รู้ตัวไปนั่งข้างๆ ชักจะน่ารักเกินไปแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปที่เตียงหยิบเอาหมอนและผ้าห่มมาคลุมให้ร่างเล็กที่นอนหลับสนิท เลี้ยงดูง่ายจังนะ นั่งจ้องอยู่ครู่ใหญ่ผมก็ลุกไปหยิบงานมานั่งทำใกล้ๆคนหลับ แม้จะเงียบสงบอย่างที่เคยเป็นมาแต่บรรยากาศกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน

                ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงรู้เพียงว่างานของเขานั้นเสร็จไปหลายอย่างรวมทั้งงานโรงแรมทางเหนือพ่อก็โยนมาให้เขาทำเต็มตัวทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเขายังไม่ชินกับการเจอกับคนหมู่มากแบบนั้นยังจะโยนงานมาให้เห็นว่าสตางค์ช่วยได้ล่ะเอาใหญ่เลยนะ แต่ถ้าจะให้ไปด้วยสตางค์จะไปด้วยไหมนะ ติดเรียนหรือเปล่านะ ตารางของผมนั้นว่างเปล่าอยู่แล้วถ้าจะไปคงต้องรอถามสตางค์สินะ พอคิดแบบนั้นก็หันไปมองคนที่หลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลยสักนิด

                “ดึกแล้วสินะ”  เปิดโทรศัพท์ดูเวลาที่เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว วันนี้สตางค์คงจะได้นอนที่แล้วล่ะนะ  แต่ถ้าจะให้นอนอย่างนี้ก็คงไม่ดีอาจจะไม่สบายก็ได้

                “ขอโทษนะครับ” กระซิบขอโทษเบาๆกับคนที่ยังหลับสนิทแล้วอุ้มขึ้นแนบอกค่อยเดินไปที่เตียงก่อนวางน้องลงพอได้สัมผัสกับเตียงนุ่มสตางค์ก็พลิกตัวหาที่สบายก่อนที่จะหลับไปอยากจะยืนดูอยู่หรอกนะครับแต่นี่เลยเที่ยงคืนมาแล้วผมคงต้องนอนเหมือนกัน

                “ฝันดีนะครับ” บอกฝันดีก่อนที่จะเดินไปหยิบผ้าห่มอีกผืนเดินไปนอนที่โซฟา ใครจะกล้านอนด้วยบนเตียงด้วยล่ะครับแม้จะเป็นเตียงขนาดที่ผู้ชายสองคนนอนด้วยกันได้ก็เถอะ

               

                อือ ดวงตากลมกระพริบถี่เมื่อเห็นเพดานขาวสะอาดไม่คุ้นตา ก็ฝ้าเพดานห้องเขามันมีรอยเชื้อราประดับเป็นงานอาร์ตอยู่นะสิ พอสติเข้าร่างก็รู้ว่าตัวเองอยู่ไหนผมรีบดีดตัวลุกขึ้นเห็นว่าตัวเองอยู่ในสภาพเหมือนเดิมและนอนอยู่คนเดียวก็โล่งอก รีบลงจากเตียงว่าจะหนีกลับแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นขายาวของเจ้าของห้องที่ยาวพ้นโซฟา

                “เอ๋” ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง นี่ยอมสละที่นอนแล้วตัวเองมานอนหลังขดหลังแข็งที่โซฟานี่นะ คงจะนอนไม่สบายเท่าไหร่เพราะขนาดโซฟาไม่พอดีกับตัวคนนอน จากที่คิดว่าจะหนีกลับผมก็เดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ

                “ตื่นนานรึยังครับ” พอออกมาจากห้องน้ำ ไตเติ้ลที่ตื่นแล้วนั่งหัวฟูนั่งทำตาปรือมองผม

                “ไม่นานหรอก ฉันจะกลับหอก่อนนะขอโทษที่รบกวนนะเมื่อคืนนี้” มานอนบ้านเขายังไม่เท่าไหร่ยังลำบากให้เจ้าของห้องนอนบนโซฟาอีก

                “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวให้พี่กานต์ไปส่งนะครับ”

                “อือขอบคุณมากนะ” ผมยิ้มกว้างให้หยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องลงมาข้างล่าง ปล่อยเบลอไตเติ้ลที่นั่งทำหน้างงให้อยู่ในห้องคนเดียว โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในบ้านพอเดินออกมาก็พอดีกับพี่กานต์ที่กำลังเช็ดรถอยู่ที่โรงรถพอดีเลยได้พี่กานต์มาส่งที่หอ พอถึงหอผมก็รีบใส่เกียร์หมาวิ่งเข้าห้องไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะวันนี้มีเทสย่อยวิชาที่หมอนั่นอุตส่าห์ติวให้ ผมรีบหอบเอางานวิ่งไปเรียกพี่วินไปส่งที่หน้าคณะ

                “ไงมึงพร้อมไหม” ไอ้อิฐถามผมที่ทำหน้าไม่มั่นใจอยู่หน้าห้องสอบงานที่ทำเสร็จก็เอาไปส่งแล้วเหลือแต่เทสนี่ล่ะที่ผมไม่มั่นใจเอาเสียเลยแม้จะถูกติวมาแล้วก็เถอะ

                “อือ ไม่มั่นใจเลยวะ”

                “เออทำตามที่มึงเข้าใจไอ้เติ้ลมันอุตส่าห์ติวให้คนสมองฟองน้ำอย่างมึงไม่ใช่เหรอ” จะดีมากถ้ามันไม่แขวะผมในทุกๆประโยคที่มันคุย

                “เออออออออ กูก็แค่ไม่มั่นใจเฉยๆมึงนี่ก็ชอบด่ากูจัง”

                “เอาน่าไปๆเข้าไปสอบได้แล้ว” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆขอให้ความรู้ที่ไตเติ้ลพยายามติวให้จะไม่หายไปหลังจากที่นอนหลับ ผมเปิดข้อสอบอ่านข้อสอบอย่างครบถ้วนก่อนที่จะเลือกกาคำตอบอย่างความมั่นใจ และผมก็ออกจากห้องสอบก่อนไอ้อิฐ

                เหลือเชื่อ!!!!!

                โอ้ บิดามารดา ลูกทำได้แล้ว

                ผมมั่นใจเลยว่าคะแนนผมผ่านแน่นอนไม่คาดเส้นแดงเหมือนทุกทีแน่ๆ ระหว่างที่รออิฐผมก็หยิบโทรศัพท์ส่งข้อความไปบอกติวเตอร์กิตติมาศักดิ์เสียหน่อย

                (นี่ๆขอบคุณมากเลยนะที่ติวให้ อยากได้อะไรตอบแทน J ) ผมอยากตอบแทนจริงๆนะ พอขึ้นว่าอ่านก็มีสายเรียกเข้าพอดีก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

                “ว่าไง”

                “(ทำได้ไหมครับ)”

                “ได้มากเลยล่ะ ว่าไงอยากได้อะไรตอบแทน” ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆลอดออกมา

                “(ไปเหนือด้วยกันกับผมนะครับ)” เอ๋นี่มันไม่เรื่องตอบแทนนี่มันเป็นเรื่องงาน ให้ตายเถอะแยกออกเป็นอย่างๆไม่ได้หรือยังไง

                “ไม่เกี่ยวกันเรื่องไปเหนือ มันเป็นเรื่องงานไม่ใช่เหรอ ส่วนนี่ต้องการขอบคุณจริงๆ” และต่างฝ่ายต่างเงียบ

                “(สตางค์ทำอาหารได้ไหมครับ)”

                “ได้นะแต่ง่ายๆอย่าบอกนะว่าจะให้ทำให้กิน”

                “(ครับ)” ได้ยินเสียงหัวเราเบาๆ ถ้ากินลงไปคุณชายอย่างมันจะท้องเสียไหมนะ

                “ได้สิ วันนี้อีกเดี๋ยวจะเข้าไปนะ”

                “(ครับผมจะรอนะ)”แล้วมันก็ตัดสายไป  ให้ตายเถอะทำไมผมรู้สึกร้อนๆที่หน้านะ

                หมับ

                “ทำไมหน้าแดงไม่สบายเหรอวะ”

                “เปล๊า!! ไม่มีอะไรไปหาอะไรกินเถอะ” รีบปัดไอ้ความรู้สึกแปลกๆออกแล้วกอดคอเพื่อนสนิทไปที่โรงอาหาร

                พอแยกย้ายจากอิฐผมก็นั่งรถเมล์มาลงปากซอยที่พอดีมีวินขับผ่านผมเลยกระโดดขวางเรียกให้พี่เขาไปส่งที่บ้านไตเติ้ลได้จะได้ไม่รบกวนพี่กานต์ พอมาถึงกดกริ่งหน้าบ้านพี่ยามมาเปิดให้ทั้งๆที่ทำหน้าแปลกใจ

                “อ่าวคุณสตางค์ทำไมได้มาเองล่ะครับ”

                “พอดีเจอวินพอดีครับ” ผมไหว้พี่ยามแล้วเดินเข้าบ้านที่มีเพียงแม่บ้านอยู่คนเดียว บ้านหลังใหญ่แต่เงียบเหงาชะมัด เห็นว่าพ่อกับแม่ของสตางค์เห็นว่าไปดูงานของโรงแรมที่เมืองนอกส่วนที่ไทยก็เหมือนว่าจะยกให้ไตเติ้ลดูแลคนเดียวบางทีผมก็เห็นใจหมอนั่นและยังทึ่งกับการทำงานทั้งๆที่มันยังอายุเท่ากันกับผม

                ก๊อกๆ

                “ไง งานเยอะไหม” พอเคาะประตูผมก็เปิดประตูเข้าไปเพราะไตเติ้ลเคยบอกผมไว้ว่าถ้าเป็นผมเคาะแล้วเปิดเข้ามาได้เลยพอเห็นว่าบนโต๊ะทำงานของไตเติ้ลมีแต่แฟ้มงานและเอกสารผมรีบว่างกระเป๋าเดินเข้าหาที่โต๊ะเผื่อที่จะได้ช่วยทำงานอะไรได้บ้าง

                “สตางค์มาเหนื่อยๆพักก่อนเถอะครับ”             

                “ไม่เอาทุกวันนี้ฉันยังคิดว่าทำไม่คุ้มค่าจ้างที่นายให้ด้วยซ้ำ” เงินเดือนตั้งเยอะแต่งานที่ผมได้ทำมีเพียงนิดเดียวจนผมรู้สึกเกรงใจคนตรงหน้ามาก

                “แค่สตางค์ยอมมาทำงานด้วยและก็ยอมเป็นเพื่อนผมก็พอแล้ว” ให้ตายเถอะ..ทำไมผมถึงสบตาหมอนี่ไม่ได้นะ สายตาคมนั้นทอประกายไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอ สายตาแบบนี้ผมไม่ชิน

                “เอ่อ...ฉันลงไปดูที่ครัวก่อนนะ” ผมวางแฟ้มที่ถือไว้หมุนตัวเดินออกจากห้องทันที่ที่ปิดประตูผมต้องยกมือขึ้นจับหน้าอกข้างซ้ายตัวเอง ที่เต้นรัวซะจนน่ากลัว

                อ่า

                ต้องไปหาหมอรึเปล่านะ

                ฮือออไอ้อิฐช่วยกูด้วยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย



*

           "ฮัดเซ่ยยยยยยยยย" แม่งใครบ่นถึงกูวะ อิฐยกมือขึ้นเช็ดจมูกแรงๆ

**********************************************************

เอาน้องสตางค์ผู้น่ารักมาเสิร์ฟจ้าาาา

โอ๊ยยน้องเขิน ฮ่าๆๆๆ อยากบีบน้องจัง

อ่านแล้วเป็นไง บอกเราด้วยนะคะ

อย่าลืมคอมเม้นต์ให้กำลังใจเราด้วยนะ

กดถูกใจ กดติดตามด้วยนะคะ

พรุ่งนี้เดี๋ยวอัพเรื่องไคล์ต่อนะคะ

Chompoo reangkarn : ขอบคุณนะค้าาาาา
miikii : ไตเติ้ลมันร้ายค่ะฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 9 24/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-11-2018 22:54:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 9 24/11/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-11-2018 03:09:28
เขาพัฒนาแล้วอ่ะเดี๋ยวนี้
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 10 2/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 02-12-2018 13:24:49


10

อิฐ Part

การเป็นพ่อคนไม่ใช่เรื่องง่ายครับ อ่าว ไม่ใช่เหรอแต่การเป็นเพื่อนไอ้สตางค์ก็ไม่ต่างจากการเป็นพ่อคนเท่าไหร่เพียงแต่ลูกแม่งอายุเท่ากัน ผมลืมแนะนำตัว ผมอิสระ ชื่อเล่นก็อิฐที่ไอ้สตางค์มันชอบให้สรรพนามเพิ่มเติมว่าไอ้อิฐ เป็นเพื่อนกับมันมานานหลายปี คอยดูแลไอ้เอ๋อที่คิดว่าตัวเองดูแลตัวเองได้แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย มันโคตรเอ๋อ โคตรซื่อ จนบางครั้งผมไม่อยากจะเชื่อว่ามันโตขึ้นมาได้ยังไงก่อนที่จะเจอผม ดูอย่างวันก่อนที่ไอ้คุณชายมันแอบแสดงท่าทางสนอกสนใจเจ้าตัวมันยังไม่รู้เรื่องเลย ผมล่ะหนายใจแล้วจะไม่ให้ผมคอยว่ามันได้ซะที่ไหน

“มึงเป็นอะไรหน้าตาเหมือนหมางง” ผมถามสตางค์ ที่ทำหน้าเหมือนคนไม่ได้เข้าห้องน้ำมาหลายวันเลยถามมันแต่ถ้าให้เขาเดาคงไม่พ้นเรื่องคุณชายนั่น

“กูรู้สึกแปลกๆวะ” แค่มันเกริ่นผมก็เดาได้แล้ว พอบอกให้มันเล่าให้ฟังมันก็เล่าไม่หยุด พยักหน้าหงึกหงักตามจริงๆก็ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาสรุปใจความสำคัญจากที่มันพูดน้ำท่วมทุ่งมาเนี้ยคือแม่งหวั่นไหว

“อืมๆ แปลกๆก็แปลกๆไง ทำไมมึงเครียดเรื่องนี้วะ” เรื่องอะไรจะชี้โพลงให้กระรอกบอกมันหมดทุกอย่างผมออกจะเป็นดีปล่อยให้เด็กๆมันรู้สึกกันเอง

“ก็ไม่รู้ดิวะ” มันว่าเสียงอ่อยแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนหน้าขาผม เนี้ยมันเป็นแบบนี้ถ้ามันไว้ใจไอ้คุณชายมันก็จะทำตัวแบบนี้ ไอ้สตางค์มันเป็นลูกคนเดียวตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่มันยังอยู่มันก็ขี้อ้อนจะตาย แล้วพอเหลือเพียงมันตัวคนเดียวเปลือกนอกอาจจะดูเข็มแข็งแต่จริงๆแล้วมันขี้อ้อนจะตาย เวลามันเครียดมันจะชอบมาอ้อนผม

“อย่าคิดมาก มึงทำตามความรู้สึกมึงก็พอ”

“อือ”

ถ้าจะให้สาธยายความเป็นไอ้สตางค์ที่ทำให้ผมกลายเป็นพ่อมันทุกวันนี้ เพราะมันทำแต่งานเลยไม่รับรู้ความเป็นไปของโลกโทรศัพท์เครื่องเก่าถ้าผมไม่ไปซื้อมาให้มันก็จะยังใช้ปุ่มกดต่อไป  เพื่อนมันก็ไม่มีเพราะมันไม่กล้าไปคุยกับใครแต่ถ้าเป็นคนมีอายุหรือว่าอายุมากกว่าจะตีสนิทเขาในทันที ที่ผมเรียกมันว่าเอ๋อ เพราะมันเอ๋อจริงๆครับ เพื่อนหลายคนเห็นว่ามันน่ารักๆอยากจะมาคุยมาจีบถ้าไม่ได้ผมเป็นไม้กันหมาป่านนี้โดนลากไปแดกแล้ว

อีกอย่างไอ้เอ๋อนี่เป็นพวกใจดี ใจดีแบบเหมือนโลกนี้เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าลาเวนเดอร์ บางครั้งแม่งก็โดนหลอกต้มอยู่บ่อยๆ โดนหลอกเอาเงินบ้าง โดนหลอกให้ช่วยฟรีๆบ้างผมเลยปฏิบัติการณ์ล้อมคอกให้มัน อาจจะดูบ้าแต่เคยบ่นแล้วแต่มันก็ไม่ได้รับรู้อะไรเลย    เกิดเป็นไอ้อิฐแม่งลำบาก

“มึงเทอมหน้าฝึกงานที่ไหนวะกูจะไปกับมึง”

“โถไอ้เอ๋อคิดเหรอว่าจะได้ไปกับกู” พนันล้านหนึ่งเลยว่าไอ้คุณชายไม่ยอมปล่อยให้ไอ้เอ๋อไกลหูไกลตาแน่นอนขนาดทำงานยังให้ตามไปด้วยเลย

“ทำไมอ่ะ” มันรีบลุกขึ้นมานั่งจ้องผม ตากลมใสกระจ่างของมันตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอจนทุกวันนี้ก็ยังคงมีประกายเช่นเดิมอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปลูบขน...ไม่สิผมนุ่มของมัน

ทำไมนะ ทำไมรู้สึกเหมือนจะส่งตัวลูกเข้าหอเลยวะ

แต่เดี๋ยวไอ้อิฐมึงยังไม่เคยมีลูกจริงๆเว้ยยยย

.

.

หลังจากที่ปรึกษาไอ้อิฐแต่ไม่ได้คำตอบอะไรเลยพูดแต่อะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นเข้าใจเลยพอตกเย็นพวกเราก็ไปนั่งกินหมูกระทะ เพราะหมูกระทะจะเยียวยาทุกสิ่งอันนี้ได้จริงๆนะครับเชื่อผมเวลาเครียดๆไปหาอะไรกินนะครับช่วยได้จริงๆ

“มื้อนี้กูเลี้ยงเอง”

“แหมป๋าสตางค์” ดูมันทำหน้าตาสิครับอยากจะหือกับมันนะครับแต่ไม่เคยหือได้สักที

“หรือมึงจะเลี้ยง”

“เดี๋ยวกูโทรเรียกไอ้คุณชายมาเลี้ยง” ทำหน้าตาตื่นทันทีรีบไปจับมือถือมันไว้ทันทีมันไม่พูดเล่นๆแน่ๆดูจากสายตามัน

“มึงอย่านะกูเลี้ยงเองนะเพื่อนรัก” ผมอ้อนวอนขอร้องความเห็นใจ ไอ้อิฐยกยิ้มแบบคนชนะเยาะเย้ยผมเต็มที่เลยทีเดียว หลังจากกินหมูกระทะเสร็จไอ้อิฐก็มาส่งผมที่หอก่อนที่วันจะแว๊นซ์สุดหล่อมันกลับห้อง หลังจากที่อาบน้ำกำจัดกลิ่นหมูกระทะผมก็ขึ้นไปนอนกลิ้งบนเตียงไถไทม์ไลน์เฟสไปเรื่อย กำลังเพลินๆก็มีคนทักข้อความเข้ามา

หือ

ใครกัน??

รูปดิสไม่คุ้นตาทำให้ผมไม่ตอบแต่เหมือนว่าอีกคนจะไม่ละความพยายามทั้งสแปมข้อความทั้งส่งสติ๊กเกอร์เข้ามารัวๆ

“อะไรของเขากัน” เพราะไม่น่าไว้ใจผมเลยแคปหน้าเฟสแล้วส่งไปถามไอ้อิฐไม่ถึงวิหลังจากที่ขึ้นอ่านแล้วมันก็โทรเข้ามาทันที

“(อะไรของมึงนั่นใครวะ)”

“กูก็ไม่รู้อ่ะโคตรน่ากลัวเลย”

“(เออๆ มึงก็บล็อกๆไป)”

“อือๆ” ยังไม่ทันที่จะวางสายเสียงเคาะประตูห้องผมก็รัวยาวเล่นเอาผมสะดุ้ง

“(เสียงอะไรวะ)”

“คะ..ใครไม่รู้มาเคาะห้องกู แม่งเคาะรัวเลย ไอ้อิฐกูกลัว” คว้าเอาหมอนมากอดทันที ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้มันเงียบไปสักพักก่อนที่จะดังรัวขึ้นอีกแต่คราวนี้มันมีเสียงเรียกชื่อผมด้วยอ่ะ

“ฮืออไอ้อิฐมันไม่หยุดเลย อึก มันเรียกกูด้วย”

“(มึงปิดประตูแน่นใช่ไหมกูกำลังจะไป)”ตอนนี้ผมน้ำตาไหลแล้วครับแม้จะไม่ได้เคาะแรงมากแต่มันก็น่ากลัวซะจนผมไม่กล้าขยับตัว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายสายวางไปตั้งแต่เมื่อไหร่ผมได้แต่กอดหมอนแน่นน้ำตาไหลอาบแก้ม เสียงเคาะหายไปครู่หนึ่ง

ก๊อกๆ

เฮือก

“สตางค์ผมเองนะครับ” เสียงทุ้มคุ้นหูเรียกชื่อ ผมทิ้งทุกอย่างในอ้อมกอดวิ่งไปเปิดประตูให้ทันที

“ฮือออออออ”

“ไม่เป็นไรแล้วครับผมมาแล้วครับ” เพราะกลัวมากหรือเปล่าพอเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตูผมก็โผเข้าไปกอดทันที ถึงจะเคยด่าว่าเป็นโรคจิตแต่ไตเติ้ลไม่เคยทำร้ายผมหรือทำให้ผมกลัวสักครั้ง แต่เมื่อกี้มันน่ากลัวจริงๆ ยืนปล่อยให้อีกคนกอดปลอบอยู่นานจนผมได้สติเลยค่อยๆผละออก

“อึก มาได้ไงอ่ะ”

“คุณอิฐโทรบอกผมครับ” ผมเอียงหน้ามองงงๆถ้าเทียบกับไอ้อิฐบ้านของไตเติ้ลน่าจะไกลกว่าไม่ใช่เหรอ  คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไรต่อทำเพียงยกมือเช็ดน้ำตาออกจากแก้มใส “ผมตั้งใจจะมาหาสตางค์อยู่แล้วครับ ตอนคุณอิฐโทรมาผมก็อยู่ไม่ไกลครับ” ผมพยักหน้าก่อนที่จะกวาดสายตามองรอบๆอย่างหวาดระแวง

“เมื่อกี้น่ากลัวมากอ่ะ”

“ผมว่าสตางค์เก็บกระเป๋าดีกว่าครับอยู่ที่นี่ผมว่าไม่ปลอดภัย” ผมพยักหน้าเห็นด้วยแต่จะให้ผมไปอยู่ที่ไหนล่ะ กำลังคิดมากเสียงวิ่งตึงตังขึ้นมายืนหอบอยู่ตรงบันได

“มะ..มึงเป็นไงบ้าง”

“กูกลัวอ่ะมึงกูไปอยู่กับมึงได้ไหม” ผมวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหาไอ้อิฐ

“ไม่ได้น้องกูมาอยู่ด้วย” ผมแทบน้ำตาจะไหลพรากอีกรอบ ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้วแต่ถ้าจะให้ไปอยู่ที่อื่นคนเดียวผมก็กลัวจนไม่กล้าอยู่คนเดียวแล้ว

“กูกลัวนะ”

“สตางค์ไปพักกับผมได้นะครับ” อาจจะเพราะทำท่าดีใจมากไปหน่อยคนตรงหน้าถึงได้มีรอยยิ้มกว้างมอบให้ ผมรีบเข้าไปเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดส่วนเรื่องที่โดนรังควาญ ไตเติ้ลบอกว่าจะส่งพี่กานต์มาตรวจสอบให้เพราะมันคุกคามเกินไป ก่อนที่จะขึ้นรถไอ้อิฐก็ร่ายยาวกำชับกำชาให้ผมระวังตัวพอขึ้นรถมาอิฐก็ลากไตเติ้ลไปคุยห่างจากรถไม่เท่าไหร่ ทำไมชอบมีความลับกับเขาก็ไม่รู้

.

“ให้มันไปอยู่กับมึงไม่ได้หมายความว่าจะให้มึงทำอะไรก็ได้นะ” อิฐจ้องหน้าไอ้คุณชาย เพราะมันจำเป็นจู่ๆก็ไอ้เอ๋อลูกชายเขาก็โดนรังควาญไม่รู้เลยว่าเป็นใคร

“ครับผมจะดูแลสตางค์ให้ดี” อิฐอยากจะกรอกตามองบน เพราะรอยยิ้มกว้างของไอ้คุณชายตรงหน้า ดูหน้าก็รู้แล้วว่าดีใจแค่ไหน เอาเถอะทำไมฟ้าเข้าข้างมันขนาดนี้นะ อิฐพูดอีกสองสามคำก่อนที่จะปล่อยให้ไตเติ้ลพาไอ้เอ๋อไปที่บ้าน มองไฟท้ายรถที่ค่อยๆห่างออกไป

อ่า

ทำไมรู้สึกเหมือนส่งลูกเข้าปากเสือวะ

บนรถมีเพียงความเงียบผมกอดกระเป๋าเสื้อผ้าแน่นเพราะเมื่ออยู่เงียบๆแล้วก็นึกถึงการถูกคุกคามเมื่อกี้นี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเพราะความกลัว

หมับ

“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ”

“อือ ขอบคุณนะ” ผมขยับเข้าไปใกล้คนที่กำลังจับมือผมที่ช่วยทำให้ผมรู้สึกวางใจ น่าแปลกที่ผมรู้สึกปลอดภัยจากคนคนนี้ ผมไว้ใจหมอนี่ได้ใช่ไหมเพราะเปิดใจไว้ใจคนตัวสูงเลยขยับเข้าไปใกล้พิงไหล่หนา

ไตเติ้ลเหลือบมองคนที่พิงไหล่ อ่า ใจผมเต้นแรงมากกลิ่นของสตางค์ไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงแต่ผมรับรู้ถึงความรู้สึกของสตางค์ตอนนี้ มันคือความไว้วางใจ ต่อให้กลิ่นของสตางค์ไม่ได้บอกอะไรกับเขา แต่ผมก็รับรู้ว่าสตางค์ไว้ใจเขา

“สตางค์มาอยู่กับผมก่อนจนกว่าจะหาตัวคนร้ายได้นะครับ”

“คนร้ายไม่ใช่นายเหรอ คิกๆ” สตางค์พูดขำๆผมก็หลุดขำตามเพราะนึกถึงตอนแรกๆที่สตางค์เรียกผม

“ถ้าผมเป็นคนร้าย ผมคงจะอุ้มสตางค์ไปไว้ห้องแล้ว”

“นั่นไง ถามจริงเป็นอะไรกับกลิ่นของฉัน” พอได้ยินคำถามเขาก็ก้มลงมองคนที่ยังนั่งพิงไหล่แต่เงยหน้ามาถาม พอสบสายตาใสกระจ่างคู่นี้แล้วผมก็ไม่คิดที่จะโกหกอะไร

“สตางค์ถ้าผมบอกอะไรไปสตางค์จะเชื่อผมไหม” เพราะอดีตที่เคยบอกใครไปเกี่ยวกับความสามารถคำสาปนี้ ผมกลับได้ยินแต่เสียงหัวเราะและคำตราหน้าว่าโกหก

“อือเล่ามาสิ”

“ผมได้กลิ่น…”ผมเว้นวรรคไปช่วงหนึ่งใช้นิ้วโป้งลูบหลังมือเนียนไปเรื่อยๆ “ กลิ่นที่ว่าไม่ใช่กลิ่นหอมทั่วไปหรือกลิ่นตัวหรอกนะครับ..แต่เป็นเหมือนพวกอารมณ์มากกว่า และผมก็ห้ามมันไม่ได้”

“อ้อ เพราะอย่างนั้นถึงเจอคนมากๆไม่ได้ใช่ไหม”

“ครับ” สตางค์พยักหน้ากับไหล่ผมเบาๆไม่ได้หัวเราะหรือพูดอะไรออกมา “ยิ่งอยู่กกับคนมากๆผมยิ่งได้กลิ่นแรงมันตีกันจนผมทนไม่ไหวเลยออกไปไหนไม่ได้อีกอย่างผมก็ไม่กล้าออกไป”

“แล้วนายได้กลิ่นฉันยังไงทำไมฉันถึงเข้าใกล้นายได้” ตอนนี้สตางค์เหมือนเจ้าหนูจำไมที่สงสัยกับตัวผมอยากรู้เกี่ยวกับตัวผม

“กลิ่นของตางค์เป็นกลิ่นที่ทำให้ผมสบายใจ กลิ่นที่เหมือนยืนอยู่บนทุ่งกว้างและมันทำให้ผมอยู่กลับคนอื่นได้โดยไม่เป็นอะไรเลย”

“เพราะอย่างนั้นถึงได้ตามฉันอย่างนั้นเหรอ” พอคิดถึงตอนแรกที่ผมอยากอยู่ใกล้สตางค์จนทำอะไรเหมือนคนโรคจิตลงไปก็อดยิ้มไม่ได้

“ใช่ครับ”

“หึๆ ถึงแล้วอ่ะ”พวกเราลงจากรถ วันนี้พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่หลังจากที่กลับมาจากสาขาต่างประเทศพอทานข้าวเที่ยง

กับผมเสร็จก็บินลงใต้ต่อ เดินนำสตางค์ขึ้นบนบ้านเพราะเป็นเรื่องฉุกเฉินเลยไม่ได้จัดห้องไว้ให้เลยให้สตางค์พักที่ห้องส่วนผมจะไปนอนที่โซฟาเอง

“เตียงออกจะกว้างนอนด้วยกันก็ได้นะ” ให้ตายเถอะผมอยากจะโทรไปถามอิฐว่าเลี้ยงสตางค์มายังไงถึงได้น่ารักและทำตัวให้หัวใจผมทำงานหนักแบบนี้นะ

“เอ่อ มันไม่ดีมั้งครับ”

“ได้ดิ หรือกลัวว่าเรานอนดิ้น เรานอนนิ่งมากนะ” สายตาของสตางค์ใสซื่อพูดตามที่คิดเพียงแต่ผมที่เริ่มรู้ตัวเองกลับไม่อยากอยู่ใกล้ อ่าผมไม่ควรคิดมากเลยตอบตกลงผมปล่อยให้สตางค์มีเวลาส่วนตัว ผมไปอาบน้ำอีกห้องพอกลับมาสตางค์ก็ใส่ชุดนอนนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงแล้ว

“สตางค์นอนก่อนเลยก็ได้นะครับ”

“อ่าวแล้วนายล่ะ”

“ผมจะทำงานอีกสักหน่อยครับ” เพราะไม่กล้าที่จะนอนข้างๆตอนที่สตางค์ยังตื่นอยู่

“อ้อ งั้นนอนก่อนนะพรุ่งนี้มีเรียนเช้า” ผมพยักหน้ารับตารางเรียนของสตางค์เขาจำได้ขึ้นใจ

“ฝันดีครับพรุ่งนี้ผมจะไปส่ง”

“อือ” ร่างเล็กล้มตัวลงนอนผมเดินไปปิดไฟในส่วนห้องนอนเสร็จแล้วก็ไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ส่งข้อความบอกพี่กานต์เรื่องที่เขาจะไปส่งสตางค์เองวันพรุ่งนี้ พร้อมกับสั่งให้ไปช่วยสืบคนที่ทำให้คนตัวหอมต้องหวาดกลัว

อ่า ถ้าให้สตางค์มาอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยก็น่าจะดี     

ฃ******************************************************

หนีไปลูกสตางค์ 5555

พ่ออิฐผู้น่าสงสาร เปิดตัวละครใหม่แล้ววววว

อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

           
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 10 2/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 02-12-2018 13:58:21
ชอบอิฐเป็นทั้งคุณพ่อและเพื่อนที่ดีมาก
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 10 2/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-12-2018 09:36:28
สตางค์ซื่อจริงๆอ่ะ ถ้าไม่ได้อิฐก็แย่เลยแต่มีคนดูแลมาเพิ่มอีกหนึ่งคนแล้วน้าาา
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 10 2/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 03-12-2018 14:15:46
สตางค์ช่างน่ารักมัดใจจริง :o8:
+1
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 11 8/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 08-12-2018 18:40:14
11

ผมตื่นมาพร้อมกับอาการงงๆ เพราะลืมไปว่าตัวเองอยู่ที่ไหนพอนึกขึ้นได้ก็อยากล้มตัวนอนต่อเพราะต้องยอมรับเลยว่าเตียงของไตเติ้ลมันนุ่มจริงๆ

“ตื่นหรือยังครับ”

“อือ แต่อยากนอนต่อ” พูดจบผมแทบอยากจะมุดลงกับหมอนนุ่มกลิ่นหอม ฮืออออ อยากซื้อไปไว้หอ

“วันนี้สตางค์ต้องไปเรียนไม่ใช่เหรอครับ” พอได้ยินคำว่าเรียนผมก็ดีดตัวลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูวิ่งเข้าห้องน้ำทันที พอออกมาก็ไม่เห็นเจ้าของห้องในห้องแล้วมีเพียงชุดนักศึกษาที่รีดไว้เรียบร้อยวางไว้ที่เตียง ทำไมบริการดีอย่างนี้นะ ผมรีบแต่งตัวแล้วหยิบกระเป๋าลงไปข้างล่างกวาดสายตามองหาร่างสูง

“ทานข้าวเช้ากันครับเดี๋ยวผมไปส่ง” ผมได้แต่พยักหน้าตอนนี้ไตเติ้ลไม่ยอมใส่แมสตลอดเวลาที่อยู่กับผมเลยครับหรือแค่ผมอยู่ใกล้เจ้าตัวก็จะไม่ใส่ถึงแม้จะมีอาการคิ้วขมวดหน่อยๆ ก็เถอะ

“อือ แล้วจะไม่เป็นไรเหรอ” ผมถามเพราะความเป็นห่วง เกิดอาการหนักแล้วเกิดอะไรขึ้นผมก็รู้สึกผิดนะสิ

“ถ้าแค่บนรถไม่มีปัญหาอะไรครับ” อ้อ พยักหน้ารับต่างคนต่างนั่งกินข้าวเงียบ พอถึงเวลาเราก็เดินไปที่โรงจอดรถ ไตเติ้ลไปบอกพี่กานต์ว่าจะไปส่งผมเอง เล่นเอาพี่กานต์ตกใจจนทำกุญแจรถหล่นท่าทางมันน่าขำมาก ผมขึ้นไปนั่งที่ประจำพอออกรถมาได้สักพักเพราะเงียบเกินไปผมเลยชวนไตเติ้ลคุย

“นี่แล้วฉันต้องอยู่บ้านนายถึงเมื่อไหร่อ่ะ” เพราะน้องของไอ้อิฐมาอยู่ด้วยผมเลยไปอาศัยนอนห้องมันไม่ได้ส่วนเรื่องที่หอผมคงจะต้องย้าย เมื่อคืนมันน่ากลัวจริงๆ

“ก็ตามที่สตางค์สะดวกเลยครับ อยากอยู่นานแค่ไหนก็ได้” อยากจะข่วนหน้าหล่อๆ ที่เดี๋ยวนี้ชักจะยิ้มเก่งขึ้นไปทุกทีถึงจะเป็นการยิ้มมุมปากก็เถอะ

“คิดค่าเช่าเท่าไหร่ล่ะ”

“สำหรับสตางค์ผมให้ฟรีครับ” ผมยิ้มกว้างหลังๆ มาไอ้ท่าทางเงียบๆ ขรึมๆ นะไม่รู้ว่าหายไปไหน มีแต่คนอบอุ่นแม้คำพูดบางคำจะทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ก็เถอะ

“ถ้าอย่างนั้นเก็บฉันไว้เลี้ยงเลยไหม”

“ได้เหรอครับ” ไอ้สายตาเปล่งประกายนี่มันอะไรกันผมรีบหลบสายตานั้นทันทีเพราะมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ต้องถามไอ้อิฐ ไอ้อิฐต้องมีคำตอบให้ผมแน่ๆ พอถึงหน้าคณะผมก็รีบบอกขอบคุณเร็วๆ แล้วก็วิ่งลงจากรถได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าจะมารับผมเลยหันไปโบกไม้โบกมือแล้ววิ่งขึ้นห้อง โชคดีที่ไอ้อิฐมาแล้วพอเห็นหน้าเพื่อนผมก็พุ่งไปหามันทันที

หมับ

“ไอ้อิฐฐฐฐฐ”

“เห้ยๆ อะไรของมึงปล่อยกูก่อน” อิฐตกใจเมื่อจู่ๆ ไอ้เพื่อนสนิทก็วิ่งตรงเข้ามากอดแขนแล้วเรียงชื่อเขาไม่หยุด ไอ้คุณชายมันทำอะไรให้ล่ะเนี้ย

“มึงกูแปลกๆ” อีกแล้วคำนี้ อยากจะบอกมันนะว่ามันนะแปลกเป็นปกติอยู่แล้วแต่เพื่อไม่ให้ไอ้ตัวเล็กเจ็บปวดเลยถามว่าเป็นอะไร

“กู....กู..”

“ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคุยกับกูเหอะ” อิฐชักรำคาญเมื่อมันอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดสักทีจนจะถึงเวลาเรียนแล้ว

“เวลากูจ้องหน้ากับไตเติ้ลรู้สึกแปลกๆ แถมหมอนั่นชอบพูดให้กูรู้สึกแปลกอ่า” ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบาลงแถมแก้มป่องๆ ของมันที่ตอนนี้เริ่มจะป่องขึ้นเพราะไม่ได้ทำงานแดงระเรื่อ โอ๊ยกูอยากให้ไอ้คุณชายมาเห็นรับรองว่ามันไม่ทนแน่นอน

“กูบอกมึงไม่ได้แต่มันดีไหมล่ะความรู้สึกนี้” ไม่คิดที่จะชี้นำหรอกนะเรื่องแบบนี้มันต้องรู้ได้ด้วยตัวเอง

“ก็...ดีมั้ง” ท่าทางไม่มั้นใจของมันทำให้เขาอดลูบหัวไม่ได้ ลูกเขาจะโตแล้วสินะ

“เออค่อยคิดไป” มันก็พยักหน้ารับจริงจังดูท่ามันจะคิดจริงจังแน่ๆ “กูไปเข้าห้องน้ำนะ” บอกมันแล้วก็ลุกออกไป

ไอ้อิฐลุกออกไปส่วนผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะรออาจารย์เข้ามาสอนในหัวก็คิดถึงอาการแปลกๆ แต่ไอ้อิฐบอกว่าค่อยๆ อืม......งั้นค่อยคิดโยนๆ ทิ้งไปก่อน ไอ้อิฐเป็นพ่อเพราะอย่างนั้นเชื่อมันไม่ผิดแน่นอน

“สตางค์ครับ” หือ ผมเงยหน้ามองคนที่เข้ามาทัก ใครกันทำไมไม่คุ้นหน้า

“อ่ะมีอะไรหรือเปล่า” ผมขยับตัวให้อยู่ห่างคนที่ยืนใกล้ๆ แต่ก็ไม่ได้เท่าไหร่เพราะเป็นเก้าอี้เล็คเชอร์ไม่รู้ทำไมสายตาใต้แว่นนั่นถึงทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

“ผมซื้อมาฝาก ไม่ได้ทำงานแล้วเหรอครับ”

“เอ่อไม่ครับ” ผมไม่ได้ยื่นมือไปรับแต่เหมือนอีกคนจะไม่สนใจวางถุงขนมลงบนโต๊ะ

“ผมต้องไปก่อนนะครับ” ผมที่กำลังจะปฏิเสธเรื่องขนมหมอนี่ก็เดินออกไปทีพอดีกลับประตูห้องเปิดออกไอ้อิฐกลับเข้ามา พอมาถึงโต๊ะเห็นท่าทางผมแปลกมันก็ถาม

“ถุงอะไร”

“กูไม่รู้ว่ะ มีคนเอามาให้ โคตรแปลก” พอบอกไปไอ้อิฐก็คิ้วขมวดหยิบถุงขนมไปเปิดดูแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกนอกห้องพอกลับเข้ามาก็ไม่มีถุงขนมกลับมาด้วย

“ต่อไปไปไหนมึงต้องอยู่กับกู” อยากจะแย้งแต่เห็นสีหน้าของไอ้อิฐแล้วผมก็ตกลงตามใจมัน

“ดี” และวันนี้ผมก็เรียนแบบงงๆ เพราะเรื่องที่เกิดวันนี้ไอ้อิฐตามติดผมยิ่งกว่าอึปลาทองอีกจนกระทั่งรถหรูมาจอดหน้าคณะ

“เดี๋ยวกูไปส่ง”

“อือ” พอถึงรถไอ้อิฐก็จับผมยัดลงในรถแล้วก็เรียกไตเติ้ลออกไปทีแรกเจ้าตัวอิดออดไม่อยากออกไปแต่พอไอ้อิฐทำหน้าเครียดเจ้าตัวถึงยอมออกไปคุย ทำไมชอบคุยโดยที่กันผมออกไปไม่นานไตเติ้ลก็เปิดประตูรถเข้ามาแล้วขับออกไปเพราะผมทนไม่ไหวเลยถามออกไป

“มีอะไรหรือเปล่าทำไมทั้งนายทั้งไอ้อิฐต้องทำลับล่อๆ” ผมทำหน้าบึ้งเมื่อไตเติ้ลเงียบแต่สีหน้าเครียดนั่นทำให้ผมไม่สบายใจเอาเสียเลย

“สตางค์ผมเป็นห่วงสตางค์มากนะครับ”

“ห่วงอะไรกันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“สตางค์ต่อไปต้องอยู่ใกล้กับคุณอิฐและต่อไปสตางค์ก็ย้ายไปอยู่กับผม” ไอ้อยู่ใกล้เพื่อนนั้นไม่เท่าไหร่แต่ไอ้เปลี่ยนที่อยู่ไปกับมันคืออะไร

“ทำไมต้องย้ายไปด้วยล่ะ” ผมได้ยินเสียงไตเติ้ลถอนหายใจแรงแล้วก็เงียบไป จนกระทั่งมาถึงบ้านไตเติ้ลก็จูงมือผมขึ้นไปบนห้องดึงมานั่งที่โซฟา จ้องหน้ากันแต่ก็ไม่พูดอะไรจนกระทั่งไตเติ้ลถอนหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่ง

“ผมไม่ไว้ใจเลยตอนนี้ผมกับคุณอิฐคิดเหมือนกันคือให้สตางค์มาอยู่กับผม”

“มีอะไรหรือเปล่า” ถึงผมจะเอ๋อแต่ก็ไม่ได้บื้อขนาดนั้น จริงๆ คือสองคนนี้ทำอะไรชัดเจนเกินไป

“เรื่องเมื่อคืนมีคนตามสตางค์จริง และดูเหมือนเขาจะเข้ามาใกล้เรื่อยๆ” พอรู้สาเหตุผมก็รู้สึกขนลุกขนพอง

“จะบอกว่าหมอนั่นเป็นคนที่ตามฉันเหรอ” พอคิดถึงคนที่เอาขนมมาให้ผมก็คิดหน้าไม่ออกมันเหมือนมีอะไรที่ทำให้ผมคิดหน้าไม่ออกสิ่งที่นึกได้คือแว่นและแววตานั้น

“ก็อาจจะครับเพราะเมื่อคืนหลังจากที่ผมให้กานต์ไปดูแล้วมันใช้ไม่ได้” คราวนี้เป็นผมที่เป็นฝ่ายถอนหายใจเอง เพราะไม่รู้ว่าอะไรทำให้พวกโรคจิตตามติด คนแรกก็คนตรงหน้าผมนี่ไง

“แล้วต้องมาอยู่นี่นานแค่ไหนกัน” ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องการย้ายที่อยู่แต่การที่จะมาอยู่บ้านคนอื่นเลยนี่มันอีกเรื่องหนึ่งเลยนะ

“นานเท่าที่สตางค์อยากอยู่”

“แต่มัน..” ผมที่กำลังจะบอกว่าเกรงใจแต่ไตเติ้ลก็แย้งขึ้นมาเสียก่อน

“ผมเต็มใจและทุกคนก็ยินดีที่จะให้สตางค์มาอยู่ที่นี่” ผมพูดไม่ออกได้แต่ยอมพยักหน้า และไตเติ้ลก็เป็นคนจัดการทั้งหมดทั้งบอกว่าจะให้พี่กานต์ไปจัดการพอจะแย้งว่ารบกวนพี่กานต์

“ผมเป็นเจ้านายครับ” เนี้ย หมอนี่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เคยที่ไหนกับการใช้อำนาจแบบนี้แล้วแบบนี้ผมแย้งอะไรได้บ้างอย่าให้ผมรู้วิธีเอาคืนนะ

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาข้าวของที่จำเป็นของผมก็มาส่งถึงห้องที่ตอนนี้มีเตียงอีกหลังเพราะพอจะให้ผมย้ายมาอยู่นี่ไตเติ้ลก็ไม่ยอมให้ผมไปห้องอื่นพอจะแย้งก็บอกว่าเป็นคำสั่งเจ้านายแต่เอาเถอะผมก็คุ้นกับที่นี่แล้ว

“งั้นนายนอนเตียงใหม่นะ” เพราะติดใจกับความนุ่มแล้วก็กลิ่นหอมเรื่องอะไรจะเปลี่ยนไปนอนเตียงใหม่ ผมพูดโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าอีกคนนั้นมีท่าทางยังไง

ไตเติ้ลรู้สึกอยากจะรวบคนที่ขึ้นไปนั่งบนเตียงเขาแล้วพูดจาน่าฟัดจริงๆ ตั้งแต่เช้าแล้วท่าทางเหมือนแมวขี้เซาที่นอนอยู่บนเตียงทำไมน่ารักขนาดนั้นนะ มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมพึ่งเคยรู้สึก

ความรู้สึกที่อยากจะรวบใครสักคนมากอดและฟัดให้จมเขี้ยว

อ่า

ถ้าทำจริงๆ สตางค์คงจะหนีเหมือนตอนนั้นแน่ๆ เพราะตอนนี้สตางค์น่ารักเกินไปผมเลยลงไปข้างล่างเพื่อกำจัดความรู้สึกนี้

“อ่าวไตเติ้ลลูกทำไมลงมาอยู่ข้างล่าง” คุณผู้หญิงที่พึ่งกลับมาจากการดูงานแปลกใจที่เดินเข้าบ้านมาก็เห็นลูกชายออกมานั่งที่โซฟากลางบ้านได้

“อ่าสตางค์อยู่บนห้องครับ แม่ผมมีเรื่องจะปรึกษา” เมื่อคนเป็นแม่นั่งลงที่โซฟาตรงข้ามเขาก็เริ่มเล่าปัญหาที่สตางค์เจอแล้วก็ขออนุญาตให้สตางค์มาพักอยู่ที่นี่ด้วย

“ลูกไม่ได้บังคับน้องใช่ไหม”

“ไม่ครับ” แม่หรี่ตามองอย่างจับผิด แต่อย่างผมแล้วเรื่องหลุดไม่มีทาง

“ถ้าน้องไม่มีปัญหาแม่ก็ไม่มีปัญหาจ๊ะ อ่ะแต่ลูกห้ามทำอะไรน้องเชียวนะ”

“ผมจะทำอะไรเล่า” ผมอยากจะประท้วงยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะทำไมถึงห้ามล่ะ

เพราะถ้าจะทำสตางค์คงไม่รอดหรอกนะครับ

*****************************************

น้องงงงงงงงงงงงหนีปายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ใครว่าพระเอกดีคะ นางร้ายลึกนะจ้าาาา ใสๆไม่มีจริง

55555  อ่านแล้วเป็นไงอย่าลืมบอกเราน้าาาา

กดถูกใจให้กำลังใจกันด้วยนะคะ

ปล. ติดตามข่าวสารได้ที่เพจน่อ

ปลล.ถ้าเจอคำผิดขออภัยด้วยนะคะ

 Tiffany: พ่ออิฐเป็นพ่อทูลหัว ที่น่าหาคู่ให้ แค่กๆ
miikii : สตางค์ไม่ทันเหลี่ยมเสือร้ายยยยยยย
 Chompoo reangkarn : น้องน่ารักน่าฟัดมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 11 8/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-12-2018 00:09:05
ชอบตามติดเรื่องนี้ใสๆๆดีเบาสมอง :L2:+1
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 11 8/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 11-12-2018 00:20:08
อย่าทำน้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 12 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Letter123 ที่ 17-12-2018 13:39:22
12

“ทานเยอะๆ นะลูก”

“อ่าครับขอบคุณครับ” ผมรีบขอบคุณคุณแม่ที่ตักอาหารใส่จานผมพออย่างหนึ่งหมดก็จะมีอาหารวางบนจานทันที ความรู้สึกห่วงใยนี้ผมไม่ได้รู้สึกมานานตั้งแต่เสียครอบครัวไป

“แล้วของผมล่ะครับ” คนที่นั่งอยู่เงียบๆ ก็พูดขึ้น อะไรคือการตักกับข้าวให้กันอยู่แค่สองคน ร่างสูงเหมือนเป็นส่วนเกินบนโต๊ะอาหาร

“โอ๋ๆ คุณลูกน้อยใจเหรอคะ” คุณแม่ตักกับข้าวใส่จานไตเติ้ล ผมแทบหลุดขำเมื่อคุณแม่พูดเหมือนกับไตเติ้ลงอนเหมือนเด็กๆ

“เปล่าสักหน่อยครับ”

“วันนี้จะไปไหนกันหรือเปล่า ถ้าไม่ไปแม่จะยืมตัวน้องสตางค์ไปเที่ยวกับแม่” ผมรีบเงยหน้าจากจานข้าวทันที จริงอยู่วันนี้ผมไม่มีเรียนแต่ปกติก็ต้องอยู่ช่วยงานไตเติ้ล

“ไม่ได้”

“เราอย่าหวงน้องหน่อยเลยตัวเองไปกับแม่ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” ที่คุณแม่หมายถึงอาการของเจ้าตัวสินะ นี่ไม่เคยออกไปเที่ยวห้างเลยเหรอ

“ถ้าสตางค์ไปผมก็จะไป” เท่านั้นล่ะทั้งห้องทานอาหารมีแต่ความแปลกใจ คนอย่างคุณหนูจะออกไปเดินห้าง นับวันตั้งแต่มีคนตัวเล็กมาอยู่ด้วยคุณหนูยิ่งทำตัวเปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งทุกคนยินดีที่มันเปลี่ยนไป

“จ๊ะ งั้นสตางค์ไปกับแม่นะลูก แม่ว่าหนูย้ายมาที่นี่เลยก็ได้นะคะ” ผมก้มหน้าลงใช่อยู่ที่บ้านหลังนี้แต่ว่า..มันก็ไม่ใช่บ้านของเขาจริงๆ เสียหน่อย ถ้าจะให้มาอยู่เลยนั้นผมกลับรู้สึกว่าคงไม่ได้ที่นั่นถึงจะไม่ปลอดภัยแต่ก็เป็นที่ของเขา

“แม่ครับอย่าบังคับสตางค์” ไตเติ้ลส่งสายตาห้ามไม่ให้แม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะดูจากสีหน้าของสตางค์แล้วคงจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากตอบ

หลังจากทานข้าวก็แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวเพื่อเตรียมออกไปข้างนอกกับคุณแม่ ผมเลยได้ใช้ห้องของไตเติ้ลไปโดยปริยายส่วนเจ้าของห้องกลับไปอาบน้ำห้องนอนแขกของในห้องก็เริ่มมีของเขาวางปะปนทั้งๆ ที่ควรรู้สึกว่ามันแปลกๆ แต่เขารู้สึกว่ามันก็ดูลงตัว บ้า ไอ้สตางค์นี่แกว่างมากถึงได้คิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ สะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ ที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูเรียกสติให้กลับมาจากอาการฟุ้งซ่านผมเดินไปเปิดประตู ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมต้องก้มหน้าหลบสายตาทันที จะไม่ให้หลบได้ยังไงเล่าหน้าอกที่มีกล้ามเนื้อหน่อยๆ มันอยู่ตรงหน้าผมพอดี ร่างสูงที่ใส่เพียงกางเกงยีนผ้าขนหนูพาดอยู่บนไหล่ทำไมถึงทำตัวสบายๆ ได้แบบนี้นะ ผิดกับผมที่ตอนนี้หน้าร้อนไปหมดแล้ว

“อ่า พอดีเสื้อที่ผมเอาไปผมซุ่มซ่ามทำเสื้อเปียกเลยต้องมาหยิบเสื้อนะครับ”

“กะ..ก็เข้ามาเอาสิ” ผมรีบเบี่ยงตัวเปิดประตูให้เจ้าของห้องเข้ามาในห้องส่วนผมก็รีบหนีออกจากห้องทันที ใครจะอยู่ดูเล่า เดินลงมาพอดีกับคุณแม่ที่เตรียมตัวเสร็จแล้วเขาเดินไปนั่งลงข้างๆ

“สตางค์รู้ไหมตั้งแต่เลี้ยงไตเติ้ลมานี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวจะไปห้าง”

“เอ่อไตเติ้ลเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนเหรอครับ” คุณแม่ทำหน้านึกแววตาอ่อนโยนเมื่อนึกถึงลูกชายเมื่อครั้งยังเด็ก

“ตอนประมาณสามสี่ขวบตอนครั้งแรกที่เป็นทั้งแม่และพ่อตกใจกันไปหมดหมอก็ให้คำตอบไม่ได้จนต้องให้ไตเติ้ลอยู่ห้องคนเดียว” สามสี่ขวบต้องอยู่ห้องกว้างๆ เพียงคนเดียวหากจะเทียบกับเขาแล้วที่แม้ตอนนี้จะไม่มีครอบครัวอยู่แล้วแต่ความทรงจำวัยเด็ก การนอนกับพ่อแม่คือสิ่งที่รู้สึกอบอุ่นมาก

“แม่ดีใจนะที่ไตเติ้ลได้เจอสตางค์” รอยยิ้มกว้างและสายตาที่สื่อความหมายมากมายจนเขาต้องหลบสายตา ไม่นานไตเติ้ลก็ลงมาและเป็นผมที่คอยหลบสายตาคมที่มองมาอย่างเป็นห่วงไม่รู้ว่าเป็นอะไรทำไมผมถึงไม่กล้าสบตาหรือเพราะเรื่องราวที่คุณแม่พูดหรือเพราะความรู้สึกของผมที่แปลกไป นั่งรถไปได้ครึ่งทางคนข้างๆ ก็คงทนไม่ไหว

“สตางค์เป็นอะไรครับ”

“ปะ..เปล่าสักหน่อย” ผมหันหน้าหนีแต่ถูกมือใหญ่มาจับคางไว้บังคับให้ผมมองหน้าสบตาได้เพียงไม่ถึงสามวิผมก็ต้องหลบตา

“บอกมาสิครับว่าเป็นอะไร” ฮืออทำไมคุณแม่ถึงไม่ได้ขึ้นรถคันนี้มาด้วยนะ เพราะยังโดนจ้องคาดคั้นไม่เลิกผมเลยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะบอกออกไป

“ก็มันฉันรู้สึกแปลกๆ ใจเต้นรัวไปหมดแล้วรู้แล้วก็ปล่อย” ไม่รู้ว่าทำสีหน้ายังไงตอนพูดเพราะหลับตาแน่นสัมผัสที่คางหายไปผมเลยหันไปซุกกับประตู ฮืออออออออ คอยดูจะไม่หันไปเลย

ไตเติ้ลรู้สึกว่าหูและใบหน้าร้อนผ่าว คนคนหนึ่งต้องน่ารักตลอดเวลาได้ยังไง ภาพเมื่อกี้กับคำพูดที่ทำให้ใจเต้นทำให้เขาเผลอปล่อยมือจากผิวนิ่ม น่ารัก น่ารัก น่ารัก ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่คำคำนี้วนเวียนไปมา ยิ่งสตางค์เปิดใจให้มากเท่าไหร่ยิ่งมีแต่คำๆ นี้วนเวียน

“ผม...ผมก็รู้สึกเหมือนกัน” ร่างที่แทบจะสิงกับประตูรถแล้วสะดุ้งเมื่อผมบอกความรู้สึกไป และบรรยากาศกระอักกระอวลอบอวนไปทั่วคันรถจนกระทั่งถึงห้างต่างคนก็ต่างยืนห่างกันคนละวาไม่ยอมอยู่ใกล้กันจนคนสูงวัย มองอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่นานนักร่างสูงก็ต้องขยับเข้าไปใกล้กับสตางค์เมื่อเข้าในห้างกลิ่นของทุกคนปนเปกันไปหมด

“ไหวไหมขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ” เขาที่กำลังหน้าซีดถูกดึงแขนให้เข้าไปใกล้จนแขนชนกันกลิ่นเอกลักษณ์ของสตางค์โอบล้อมทำให้เขามีอากาศหายใจอีกครั้ง แม้กลิ่นจะไม่เหมือนเคยแต่มันกลับทำให้หัวใจเขารู้สึกอิ่มเอม ขยับเข้าไปใกล้จับมือเล็กมากุมไว้แน่น

“ขอบคุณนะครับ” แก้มใสมีริ้วแดงปรากฏขึ้นทันทีที่เขาก้มลงกระซิบ แม้จะไม่คุ้นชินกับการเดินท่ามกลางคนหมู่มากแบบนี้แต่เมื่อมีสตางค์อยู่ข้างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาเดินเข้าร้านโน้นร้านนี้ หลายอย่างที่คุณแม่แอบซื้อให้สตางค์โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เพราะถ้ารู้สตางค์คงไม่ยอมรับค่อยเอาไปให้ที่บ้าน ตอนนี้มาลงเอยที่ร้านขนมที่คุณแม่อยากทาน

“สตางค์อยากกินอะไรครับ” เพราะรู้ว่าร่างเล็กต้องเกรงใจผมเลยกางเมนูที่เจ้าตัวน่าจะชอบอันนี้แอบคุยกับคุณอิฐมา สตางค์ชอบกินสตอเบอรี่ซึ่งสตางค์ก็ดูจะผ่อนคลายสั่งของหวานมาทานสองสามอย่าง ส่วนผมนั้นของหวานนี่ไม่ถูกกันเลยจริงๆ ส่วนทั้งมารดาและสตางค์ต่างเอ็นจอยกับของหวาน สตางค์ดูมีความสุขมากที่ได้ใกล้ชิดกับคุณแม่ซึ่งผมจะแย้งอะไรล่ะดีสิ ยิ่งสนิทกันผมจะได้ชวนสตางค์มาอยู่บ้านง่ายๆ

“อร่อยไหมคะลูกสตางค์”

“อร่อยครับ” ผมมองรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุขของสตางค์เงียบๆ

“งั้นคราวหน้าเราแอบหนีไตเติ้ลมาเที่ยวด้วยกันนะคะ”

“ไม่ใช่แล้วล่ะครับ” เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไปกันสองคนแล้วผมต้องอยู่คนเดียวล่ะ

“คิก ดูคนจะโดนทิ้งสิคะ” ทั้งสองคนหันไปหัวเราะคิกคักเป็นผมที่โดนทิ้งอีกแล้ว หลังจากที่ช็อปปิ้งกันจนคนที่มาถือของต้องเอาของไปเก็บที่รถก่อนรอบหนึ่งตอนนี้ก็แยกย้ายขึ้นรถตรงกลับบ้าน อาจจะเพราะเดินเที่ยวกันทั้งวันพอถึงบ้านทั้งแม่และสตางค์ต่างขึ้นไปพักผ่อนส่วนผมนั้นเดินออกไปคุยกับพี่กานต์เสียก่อน แมสคู่ใจถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้ง

“ได้เรื่องว่ายังไงครับพี่กานต์”

“กล้องใช้ไม่ได้ครับแต่ว่าคนที่เอาขนมมาให้น้องสตางค์นั้นมีรูปครับตอนนี้กำลังให้คนสืบอยู่” ผมพยักหน้ารับ “แต่ว่ามีเรื่องแปลกครับห้องของน้องสตางค์ถูกงัดเข้าไปครับแต่ไม่มีอะไรหายไป”

“นั่นมันแย่แล้วล่ะครับ ผมคงให้สตางค์กลับไปไม่ได้แล้วให้คนไปเฝ้า แล้วกก็ติดกล้องในห้องของสตางค์ด้วยนะครับ ขอบคุณนะครับพี่กานต์” พอสั่งเรียบงานเรียบร้อยผมก็เดินขึ้นไปเคาะประตูห้องแม้จะเข้าออกได้ตามใจแต่เมื่อให้สตางค์ใช้ห้องนี้เลยเขาเลยเคาะประตูทุกครั้ง

“หาว..ว่าไงอ่ะ” สตางค์เปิดประตูออกมาพร้อมกับท่าทางเหมือนแมวขี้เซาขนฟูคงจะนอนอยู่สินะ ผมยกมือขึ้นไปลูบผมนิ่มที่ชี้ฟูไม่เป็นทรง อาจจะเพราะยังเบลออยู่สตางค์ถึงปล่อยให้เขาลูบอยู่นานจนรู้ตัวถึงได้ขยับตัวออก

“ผมขอเข้าไปคุยข้างในนะครับ”

“ห้องนี้มันห้องนายนะ” ผมยิ้มรับไม่ได้ว่าอะไรต่อเดินเข้าไปในห้องนั่งลงที่โซฟา สตางค์ก็เดินมานั่งเอนอยู่ข้างๆ ท่าทางง่วงงุนจนอยากจะดึงตัวมากอดแล้วลูบผมนิ่มนั่นอีกสักที

“สตางค์ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยดีไหมครับ”

“ไม่เอาหรอกที่นี่ไม่ใช่บ้านฉันสักหน่อย” ผมอยากแย้งว่าทุกคนเต็มใจให้สตางค์มาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว โดยเฉพาะคุณแม่รายนั้นแทบจะสั่งให้คนไปขนของมาทีเดียว

“งั้นคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของสตางค์สิครับ” หันไปสบตากลมที่เบิกกว้างเมื่อเขาพูดจบ ดวงตากลมคลอไปด้วยน้ำใส ที่จริงอาจจะเร็วไปแต่ผมก็มั่นใจกับความรู้สึกตัวเองว่ารู้สึกยังไงสตางค์ไม่ใช่แค่คนที่ทำให้เขาหายใจโล่งแต่สตางค์เป็นเหมือนอากาศที่ทำให้เขาหายใจ อากาศที่ไม่อยากให้หายไป ยกมือขึ้นแตะแก้มขาว

“ผมอยากให้สตางค์อยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกัน....นะครับ”

.

.

บ้าไปแล้ว คนตรงหน้าผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ น้ำเสียงทุ้มทอดเสียงนุ่มลงท้ายนั่นเหมือนในหัวเขาโดนระเบิดนิวเคลียร์ลง ทุกสิ่งทุกอย่างขาวโพลนไปหมด ตอนนี้ไตเติ้ลบอกว่าให้ที่นี่เป็นบ้าน ผมดีใจแทบตายแม้จะทำตัวเข้มแข็งแค่ไหนแต่ผมก็อยากมีบ้านมีที่ของเขา

“ว่ายังไงครับ” ผมสะดุ้งเมื่อไตเติ้ลถามอีกรอบสัมผัสร้อนที่แก้มทำให้ผมขยับตัวออกห่างเมื่อรู้สึกว่าอยู่ใกล้กันเกินไป พอถามถึงคำตอบผมก็เลิกลั่กเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรไป สายตาคมมองผมเหมือนกดดัน เง้อ ผมคิดไม่ออกแล้วจริง

“อ่ะ...ต้องถามไอ้อิฐก่อน” ผมร้องบอกเมื่อไตเติ้ลขยับเข้ามาใกล้พอได้ยินคำตอบก็เผยรอยยิ้มกว้างยอมขยับไปนั่งดีๆ ใช่เรื่องนี้ต้องปรึกษาไอ้อิฐมันต้องช่วยผมได้แน่ๆ

“ที่ห้องสตางค์มีคนงัดเข้าไปแต่ไม่มีอะไรหาย” พอได้ยินเรื่องราวผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ใครกันที่งัดเข้าไปแล้วงัดเข้าไปทำไม ดีที่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่อย่างนั้นถ้าผมยังอยู่จะเกิดอะไรขึ้น

“งั้นเราต้องคิดอีกที ได้ไหม” ไตเติ้ลพยักหน้าแล้วบอกว่าให้ผมพักผ่อนเจอกันมื้อค่ำ ผมรับคำเจ้าตัวพอใจแล้วก็เดินออกจากห้องไป ส่วนผมนั้นฟุบหน้าลงกับโซฟากรีดร้องไม่มีเสียง ใจผมยังเต้นแรงเหมือนเลือดสูบฉีดไปทั่วตัว ฮือออจะตายแล้ว หลังจากโดนดาเมจทำลายล้างกว่าจะตั้งสติได้ก็ผ่านไปหลายนาทีถึงได้ลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์กดโทรหาเจ้าเพื่อนสนิททันที

“ (งายมึง ไปเที่ยวสนุกไหม) ” มันรู้ได้ยังไงวะ

“ก็ดี ไอ้อิฐ ไตเติ้ลมันพูดแปลกๆ กับกูวะ” แล้วผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไอ้อิฐฟังทุกคำทุกอย่างบรรยายชัดๆ ให้เห็นภาพไปเลย

“ (โห ขอขนาดนั้นจัดงานแต่งกันไปเถอะ) ”

“ไอ้อิฐ” ผมร้องเสียงอ่อยแม้กระทั่งไอ้อิฐก็เป็นไปด้วย

“ (มึงมีคนดูแลก็ดีแล้วนิ อีกอย่างไอ้คุณชายมันก็ดูจะชอบมึงขนาดนั้น” ผมหน้าร้อนฉ่ากับคำพูดของไอ้อิฐ แค่คิดว่าไตเติ้ลชอบผมยิ่งเขิน

“มันดีแล้วจริงๆ เหรอวะ”

“ (มึงต้องคิดถึงความรู้สึกของมึงมากกว่าว่ามันดีหรือไม่ดีสุดท้ายถ้ามึงชอบกันจริงๆ ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอวะอีกอย่างไอ้คุณชายถ้ามันรู้คงมันจะรีบยกขันหมากมาขอมึงกับกู” ไอ้พ่ออิฐ ถ้าอยู่ใกล้ผมคงจะข่วนหน้ามันไปแล้ว แต่ที่มันพูดก็ช่วยเรื่องการตัดสินใจให้กับผมเป็นอย่างดี แต่ผมไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่เปล่าๆ หรอกนะ แต่คงต้องคุยกันอีกทีนั่งคุยกับอิฐเรื่องงานที่ผมต้องไปทำกับมัน ซึ่งมันก็เสนอหน้าว่าจะมาทำที่บ้านถามผมได้หรือเปล่าก็ไม่ ให้ตายเถอะสุดท้ายมันก็โมเมจะมา

“ (เรื่องที่มึงถามก็คิดเอา จริงๆ ไอ้คุณชายมันจริงจังเรื่องของมึงจะตายพ่อกับแม่มันก็ไม่มีปัญหา ไปคุยกันดีๆ ล่ะกันถ้ามีปัญหาอะไรค่อยโทรมาถามกู) ”

“ขอบคุณนะมึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย” มันหัวเราะก่อนที่จะวางสายไป พอดีกับเสียงเคาะประตูพร้อมกับเสียงแม่บ้านเรียกให้ไปกินข้าว พอลงมาก็แทบอยากจะหมุนตัวกลับขึ้นไปบนห้องเมื่อทุกคนอยู่กันครบตอนที่เขามาอยู่คุณพ่อไม่อยู่ตอนนี้กลับมาแล้วและนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะทำให้ผมไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปหากแต่มีมือใหญ่มาจับมือเขาไว้แล้วจูงไปนั่งที่โต๊ะ

“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ซึ่งคุณพ่อก็ยิ้มรับ

“พ่อได้ยินเรื่องหมดแล้วนะมาอยู่บ้านนี้นี่ล่ะที่หอนั่นดูอันตราย” น้ำเสียงนิ่งๆ กับหน้าตานิ่งๆ นั่นทำให้ผมเกร็งนิดหน่อยแต่คำพูดก็สื่อถึงความเป็นห่วง

“ผมจะขอคุณกับไตเติ้ลก่อนนะครับ” พอได้ยินอย่างนั้นคนข้างๆ ผมก็ตาลุกวาวทันที

“ครับได้เลยครับ”

“แค่กๆ ไม่ค่อยเท่าไหร่นะเจ้าลูกชาย” คุณพ่อแกล้งไอแล้ว ส่งสายตาอ่อนอกอ่อนใจให้กับลูกชาย

“พอเถอะค่ะ ทานข้าวกันดีกว่านะ สตางค์ทานเยอะๆ ลูก” ผมขอบคุณคุณแม่ที่ตักกับข้าวใส่จานให้ผมก่อนคนแรกแล้วถึงตักให้คุณพ่อ แต่เพราะคนข้างๆ คอยแต่มองผมอยู่เรื่อยไม่ยอมตักข้าวเองจนผมต้องถอนหายใจแล้วตักกับข้าวใส่จาน

“อ่ะ กินเยอะๆ นะ” นั่นล่ะถึงจะยอมกินข้าว ให้ตายเถอะและพอผมตักให้ก็ไม่ยอมที่จะตักกับข้าวเองต้องให้ผมตักให้ตลอดจนพ่อกับแม่ส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจที่ลูกชายตัวเองกลายร่างเป็นเด็ก

หลังทานมื้อเย็นเสร็จพวกเราก็นั่งดูทีวีที่ห้องรับแขกผมนั่งโซฟาตัวใหญ่ที่มีโคอาร่าคอยเกาะติดอย่างกับผมเป็นต้นยูคาลิปตัสไม่ยอมห่างผม จนทุกคนเลิกที่จะสนใจ

“อ่าเรื่องย้ายมาอยู่ที่นี่..ผมจะให้ไตเติ้ลหักเงินจากเงินเดือนนะครับ” ทั้งสามคนต่างขมวดคิ้วทันที

“เรื่องเงินพ่อไม่รับหรอกนะ ดูเจ้าคนที่ตามติดเราเถอะ แค่ดูแลกันให้ดีก็พอ” ง่า ทำไมมันฟังดูแปลกๆ นะ

“ใช่แล้วครับ ผมไม่รับเงินจากสตางค์หรอกนะส่วนเรื่องเงินเดือนสตางค์ก็ช่วยงานเหมือนเดิมก็พอแล้ว”

“ใช่แล้วจ๊ะ มาเป็นลูกแม่อีกคนนะ” มือนุ่มกุมมือผมไว้กับคำพูดที่ทำให้ผมต้องร้องไห้

“อึก ครับ ขอบคุณนะครับ”

“แม่อย่าทำให้สตางค์ร้องไห้สิครับ” หมีโคอาล่าดึงผมเข้าไปกอดแน่นพร้อมกับโยกตัวไปมา ท่าทางปลอบเหมือนเด็กๆ ทำให้ผมหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะดันตัวเองออกมานั่งดูละครกับแม่ดีๆ ความสุขของคำว่าครอบครัวที่ผมไม่ได้เจอมานานทำให้ผมยิ้มกว้าง

“หือ” มือที่วางอยู่ถูกดึงเข้าไปกุ่มไว้แน่น อืม ไว้จะพาไตเติ้ลไปแนะนำกับพ่อแม่ผมบ้าง ดีไหมนะ

ฉ่า

คิดอะไรของแกเนี้ยไอ้สตางค์ ถ้าไอ้อิฐรู้มันต้องด่าผมแน่ๆ



***************************************

น้องสตางค์ลูกทำไมไปตกหลุมคนเจ้าเล่ห์ล่ะลูกกกก

ขอโทษที่ช้านะคะ อ่านแล้วเป็นไงบอกเราด้วยนะคะ

hompoo reangkarn ขอบคุณนะคะ
 miikii  น้องหนีปายยยย
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 12 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-12-2018 16:13:37
ดีใจกับน้องด้วยน้าา หนีไม่ทันแล้ว 55555555
แต่น้องก็ไม่เคยมีปัญหากับใครไม่ใช่เหรอ ใครกันนะ :m16:
หัวข้อ: Re: Pleasing scent ตอนที่ 12 17/12/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 22-01-2021 19:29:39
ใครหน่อมางัดห้องสตางค์ แต่ดูจากวันเวลาที่โพสน์ ไม่รู้ว่าจะมาต่อเมื่อไหร่ :hao5: