-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
===================================================
สวัสดีค่า wickedwish_ เองค่าา
ยินดีต้อนรับเข้าสู่เรื่องสั้นของเราน้าา
เรื่องนี้จะเป็นเซ็ต 7 วัน 7บาร์ ตามชื่อเรื่องเลย
ก่อนจะเริ่มอ่านขอฝากผลงานที่มีด้วยเน้อ
Wish on the ocean: คำอธิษฐานแห่งท้องทะเล (https://www.readawrite.com/a/8fb8b0029d43f31fceb41865a9396cd6)
Wish on the winter: คำอธิษฐานแห่งเหมันต์ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67586.0)
Tricky Star: มายาดวงดาว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66644.0#top)
-
บทนำ
Birthday
เสียงออดที่ดังอยู่สองสามครั้งด้านนอกบานประตูทำให้ผมต้องละสายตาออกจากใบหน้าตนเองในแผ่นกระจกห้องแต่งตัว ผมขานรับก่อนจะก้าวไปยังบานประตูดังกล่าวอย่างไม่เร่งรีบนัก
“มาก่อนเวลาตลอด...”
“ก็รู้ว่าพี่อิทจะลำไยนี่คะ”
“เธออย่าไปจิกพี่แบบนี้ต่อหน้าลูกค้าเชียวล่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นเมียพี่เอา” ผมว่าหน้าตาย
เจ้าของตำแหน่งเลขาสาวสวยกลอกตามองอย่างเซ็งๆ แต่ก็ไม่วายเดินเข้ามาจัดปกเสื้อเชิ้ตให้เข้ารูป
“วันนี้มีแต่คนกันเองค่ะ”
“รู้น่า ก็เตือนไว้ก่อนไง” ผมจิ๊ปาก
“ค่าๆ ไปได้แล้ว คุณหมอมารอเป็นยี่สิบนาทีแล้วนะ”
“หา? แล้วมันจะรีบมาทำไมเนี่ย”
“พี่อิทคงต้องถามเจ้าตัวเองแล้วล่ะ”
“เฮ้อ...อยากให้คนถือหุ้นทุกคนมาตรงเวลาบ้างจังโว้ยยยย”
ผมบ่นอุบอิบพลางกับหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วจึงลงลิฟต์ไปยังห้องประชุมชั้นล่างกับแนน เห็นทีว่าซักวันคงต้องได้ปรับทัศนคติเกี่ยวกับการมาก่อนเวลาในที่ประชุมซะแล้ว ก็ผมไม่ชอบให้ใครมารอ...และก็ไม่ชอบรอใครด้วย แต่สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้คล้ายจะทำให้ผมหงุดหงิดเล็กน้อย
อ้อ...ลืมบอกไปครับ ผมเป็นผู้บริหารสูงสุดของเซเว่นบาร์ บาร์ที่คิดคอนเซปร้านเหล้าทั้งเจ็ดรอบมหาวิทยาลัยให้เป็นชื่อวันประจำสัปดาห์ ฟังดูน่าสนใจนะ...ก็ใช่แหละ สมัยนี้ถ้าคิดจะทำธุรกิจอะไรซักอย่างความแหวกแนวและแปลกใหม่นับเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง
“พี่อิทรีบประชุมนะ ผมมีขึ้นเวรตอนสี่ทุ่มครึ่ง”
“อ้าว...กูนึกว่ามึงขึ้นเวรเฉพาะตอนเช้า”
“น่า...เฉพาะวันจันทร์ วันอื่นผมไม่เทร้านหรอก”
ผมพยักหน้าให้เจ้าของทิวซ์เดย์ที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์ไปพลางคุยกับผมไปพลาง นั่นแหละ...การที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความสนใจของลูกค้าได้โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษา วิธีที่ดีที่สุดก็คือการซื้อตัวนักศึกษาหรือผู้ที่เคยเป็นนักศึกษาในมอนั้นๆ มาก่อนให้บริหารงาน
ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนต่างจำเป็นต้องได้รับการเทรนด้านการตลาดรวมถึงการบริหาร ผมแบ่งบาร์เป็นทั้งหมดเจ็ดบาร์ตามชื่อวัน กระจายไปตามจุดต่างๆ รอบมอ
แน่นอนว่าผมไม่ใช่นักศึกษามอนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำได้จึงเป็นการซัพพอร์ตด้านทรัพยากร การตกแต่ง คอนเซปร้าน หรือการจัดโปร ทุกอย่างผมออกค่าใช้จ่ายให้เหล่าเจ้าของร้านทั้งหมด แม้ถ้าว่ากันตามจริงแล้วคนพวกนี้จะนับเป็นแค่ผู้จัดการร้านก็เถอะ
แต่ก็นะ...เพราะผมมีหน้าที่แค่ออกเงินกับนัดประชุมประจำเดือนเพื่อทราบความคืบหน้า ดังนั้นการบริหารต่างๆ ผมจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากมาย จะมีแต่เพียงการส่งคนเข้าไปตรวจสอบเป็นครั้งคราว รวมถึงนั่งรอรับเปอร์เซ็นต์จากรายได้สุทธิอยู่บนออฟฟิศกลางที่เป็นเพนเฮาส์ชิวๆ
“ถ้ารีบมากก็นู่น ช่วยตามเพื่อนๆ มึงอีกหกคนก่อนนู่น” ผมชี้นิ้วเป็นท่าประกอบไปยังประตูทางเข้า
“ขอรับ...รับทราบขอรับคุณอิทศิรินทร์”
ผมใช้เวลารออีกประมาณยี่สิบนาทีซึ่งก็คือเวลาสองทุ่ม เจ้าของมันเดย์กับเทิร์สเดย์ก็เดินยิ้มกริ่มเข้ามาด้วยท่าทางสดใส รู้แล้วแหละว่าช่วงนี้กำลังมีความรักกัน แต่พวกมันก็ยิ้มซะจนผมหมั่นไส้
“มึงเป็นไรมากป่ะไอ้เพิร์ท”
“เปล่านี่ครับ” นั่น...มันยังตอบกลับด้วยรอยยิ้มน่าหมั่นไส้อีก
“พี่อิทไม่งอแงดิ”
“งอแงพ่องอ่ะ” ผมแหวตาเขียวใส่ไอ้ของขวัญที่เดินตามมาติดๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ว่างข้างๆ “มาแล้วก็นั่งสิครับ ตามเพื่อนมึงด้วย”
“คิกคิก แนน...ผมว่าบอสแนนต้องไม่ไหวแล้วแน่ๆ”
“ไอ้หมอ!” ผมจ้องเจ้าของชื่อคาดโทษ
มีอย่างที่ไหนมาแซวผู้บริหารสูงสุด เดี๋ยวจะโดนเข้าให้ ลืมไปแล้วหรือไงว่าผมคือคนที่คอยจ่ายเงินให้พวกมันทุกอย่างนะโว้ยยย
“โทษที มาช้าไปห้านาที”
“อื้ม...พี่ไม่ใช่คนสุดท้ายหรอก”
ผมพยักหน้ารับพี่ขุนพลเจ้าของซันเดย์ที่ทิ้งตัวลงข้างๆ ไอ้ของขวัญ ถ้าไล่เรียงอายุเจ้าของร้านเซเว่นบาร์ทั้งเจ็ดคนแล้ว พี่ขุนพลนับเป็นผู้อาวุโสสูงสุด แต่ถึงแม้จะแก่...อายุของพี่แกก็ยังคงอยู่แค่สามสิบสอง
“เพื่อนซี้พี่ล่ะ?” ของขวัญถามพี่ชายตัวยักษ์
“มากับกูนี่แหละ” คนที่ตัวโตกว่าชาวบ้านเพราะชอบเล่นบาสเป็นชีวิตจิตใจตอบพลางกับพุ้ยหน้าไปยังบานประตูที่มีเลขาสาวสวยยืนรออยู่ “นั่นไง พูดถึงก็มาพอดี...เห้ย! ไอ้วินเร็วดิ บอสหน้านิ่ว”
“พี่นี่ก็เว่อร์”
ผมส่ายมือบอกกวินเจ้าของแซทเทอร์เดย์ที่เดินมานั่งเก้าอี้ตัวถัดไปว่าอย่าเชื่อคำพี่แกนัก จริงๆ พี่ขุนก็ไม่ใช่คนกวนตีนอะไรหรอก แต่พอพวกเรารวมตัวกันแปดคนทีไรปุ๊บ ฮอร์โมนแห่งความไม่ดีบางอย่างก็เลยถูกกระตุ้นออกมาซะดื้อๆ ปั๊ป
“แล้วไอ้สองจิ๋วไปไหน นี่เลยเวลามาจะครึ่งชั่วโมงละ” กวินหันมาทางผมสลับกับคนอื่นๆ เชิงถาม
“เอ่อ...ไอ้จันทร์รถเสียอ่ะครับ ไอ้วาเลยแวะรับ” เพิร์ทที่เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์พอดีเอ่ยขึ้น
“เออ! สายตลอด งั้นประชุมรอแม่งไปก่อนละกัน”
ผมบอกกตัดรำคาญ แค่รำคาญนะ...เพราะผมไม่ได้โกรธหรอก รู้ดีว่าไอ้นาวาเจ้าของฟรายเดย์คงไม่มีทางมาตรงเวลาอยู่แล้ว แหม...วันๆ คงเจอเด็กปีหนึ่งต้อยไม่หยุดล่ะสิท่า
ส่วนไอ้จันทร์เจ้าของเวนซ์เดย์คงรถเสียจริงๆ ใช่แล้ว...ผมรู้ดีว่าน้องชายคนนี้ไม่ได้โกหก แต่ก็นะ...ผมไม่สามารถรับปากได้ว่าถ้าไปอยู่กับไอ้วาน้องจันทร์จะกลายเป็นคนยังไง
ประชุมได้ไปหนึ่งชั่วโมงหลังจากไอ้เพิร์ทกับไอ้หมอสะท้อนผลประกอบการของร้าน ไอ้เด็กเกเรสองคนก็วิ่งหอบแฮ่กเข้ามา ดีหน่อยที่คุณเลขาแนนจัดการให้หมด อันที่จริงมีแนนเป็นเลขาก็ดี ตามงานสะดวก จิกไอ้พวกเจ้าของร้านก็ง่าย นี่แหละน้าอย่าปล่อยให้ผู้หญิงเป็นใหญ่
“เอาล่ะ...ในฐานะที่น้องวากับน้องจันทร์มาช้า วันนี้น้องทั้งสองจะต้องปรนนิบัติพวกป๋านะจ๊ะ” ผมยักคิ้วอย่างเหนือๆ
หึ...เห็นหน้างอนๆ นั่นก็อยากแกล้งชะมัด ถ้าทำความรู้จักอย่างใกล้ชิดจนสนิทสนมกับเจ้าของเซเว่นบาร์ทั้งเจ็ด จะรู้ดีว่าเจ้าของเวนซ์เดย์กับฟรายเดย์นี่แหละน่าแกล้งสุดๆ แล้ว
“โถ่...รู้น่า” นาวายู่ปาก “แต่ขอกลับก่อนสี่ทุ่มนะครับ อินมารอรับอ่ะ เนี่ยส่งข้อความตามไม่หยุดเลย”
“อินไหน?”
“อินที่เป็นรูมเมทมันไง ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วนะเออ” จันทร์ว่า
“โหยบอส เดี๋ยวนี้เขาฮิตมีแฟนกันหมดแล้ว มีแต่บอสแหละตกเทรนคนเดียว” กวินเสริม
ผมรู้สึกหน้าชา ไม่คิดว่าการผ่านไปสองปีจะทำให้คนเจ็ดคนมีแฟนกันหมด อันที่จริงก่อนหน้านั้นพวกมันก็มีมาอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าการประชุมครั้งล่าสุดนี้จะกลายเป็นมีจนครบเซ็ต ผมไม่ได้กลัว...ทว่าแค่รู้สึกหวั่นๆ
หรือผมจะตกเทรนอย่างที่พวกมันพูดจริงๆ
“งั้นในฐานผู้บริหารสูงสุดของเซเว่นบาร์” ป้าบ! ผมทุบโต๊ะจนเกิดเสียงดัง “กูขอสั่งให้พวกมึงแบไต๋ชีวิตรักออกมาให้หมด!!” เอาสิ...อยากอวดนักใช่มั้ย!! เฮียจะให้อวดจนพอใจไปเลยพวกมึง
“บอสจะฟังให้เจ็บกระดองใจไปทำไมหรอ?”
“ไอ้เหี้ยวา!” ผมแหวเสียงหลง
นี่มันหยามหน้ากันชัดๆ ปลดมันออกจากตำแหน่งเจ้าของฟรายเดย์กลางอากาศเลยดีมั้ย แต่ทำงั้นก็ไม่ได้ เพราะฟรายเดย์ที่บริหารโดยไอ้นาวาดันติดท็อปสามเซเว่นบาร์ที่ทำรายได้เยอะสุดๆ
“เคร๊ๆ งั้นเริ่มจากใครก่อนดีครับ” คนยียวนทำลอยหน้าลอยตา
“มึงก่อนเลยแล้วกัน”
“ใจเย็นบอสส หมุนขวดไหมแฟร์ดี”
“มันจะแตก กูไม่อยากหมุน”
“บอสรู้จักแอพวงเหล้าป่ะ โด่วบอสนี่ไม่ทันสมัยเลย”
“วา...เลิกแหย่เจ้าอิทได้แล้วน่า”
พี่ขุนพลที่หลุดขำออกมาหลายครั้งออกตัวห้ามปราม แหมเกือบดีแล้วพี่ ถ้าพี่ไม่หลุดขำผม
“คร้าบ ผมหมุนแล้วนะ หมายถึงหมุนในแอพ...” นาวากุลีกุจอ “จันทร์มึงเขยิบไปดิ”
คนพูดว่าพร้อมแทรกตัวเข้ามายังกลางวง ก่อนจะวางสมาร์ทโฟนในมือลงพอให้ทุกคนเห็นเป็นหลักฐาน นิ้วเรียวจิ้มลงไปยังปุ่มสปินสีแดง เข็มดิจิตอลหมุนตามภายในไม่กี่วินาทีต่อมา
ติ๊ก!
ติ๊ก!
ติ๊ก!
และผู้โชคดีที่จะได้เล่าประสบการณ์ความรักคนแรกก็คือ...
“โว้ว วันแรกของสัปดาห์!”
“มาว่ะ เจ้าของร้านมันเดย์”
“ไอ้เพิร์ท!”
============== To be continued in > Monday is so boring < ==============
/เปิดเรื่องอย่างคอมพลีทแล้ววว
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นนะคะ แต่ละตอนจะเป็นชื่อของแต่ละบาร์
และแต่ละตอนจะมีเพียงแค่สามอีพีเท่านั้น เค้าจะทยอยลงทีละบาร์ไปเลยนั่นก็คือทีละสามอีพีเน้อ (ถ้าเขียนเสร็จ)
ปล. เรื่องนี้จะสลับเขียนกับเรื่องยาวเรื่องอื่นๆไปเรื่อยๆ เพราะงั้นอาจจะจบปีหน้า /ร้องห้ายยย ยังไงก็ฝากเซเว่นบาร์ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยน้า เนื้อเรื่องอาจจะยังไม่ลึกเท่าเรื่องยาวเพราะลองเขียนเรื่องสั้นครั้งแรก แต่เค้าจะพยายามเขียนให้ดีที่สุดจ้า
ขอคนละหนึ่งเม้นเป็นกำลังจัยได้มั้ยเอ่ยยย >//<
-
Monday is so boring
01
เพล้งงงงง!!
เสียงภาชนะเซรามิกตกกระทบพื้นแตกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของเดือน ก่อนจะตามด้วยเสียงเด็กชายหัวหยิกลูกจ้างประจำร้านที่วิ่งลิ่วเข้ามาถึงในห้องทำงานผู้บริหาร ไม่ต้องเดาก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
เป็นชีวิตวนลูปแบบเดิมๆ อันแสนน่าเบื่อ
“พี่เพิร์ท! ผมขอโทษ ผม...ผมยอมให้พี่หักเงินเดือนไปจ่ายค่าแก้วเลยก็ได้เอ้า!”
“มึงไม่พูดกูก็หักทุกทีแหละ”
“ฮืออ ขอบคุณที่พี่ยังเมตตาผม”
ไม่รู้จะทำยังไงกับไอ้เด็กคนนี้ดี เพราะถ้าไม่หักเงิน จำนวนแก้วที่แตกไปในแต่ละเดือนก็คงพอๆ กับค่าเปิดของโต๊ะลูกค้าคนนึงเลย แต่ที่แปลกก็คือไอ้เด็กนี่กลับไม่ยักจะคิดย้ายไปไหน
“มึงลาออกมั้ย? จ่ายค่าแก้วอยู่เรื่อยแบบนี้มันคุ้มหรอ”
“โนครับ หักลบกลบหนี้เสร็จก็เหลือประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นอ่ะพี่ ผมว่าก็ยังพอมีใช้อยู่ อีกอย่างนะ ขืนลาออกไปจะมีร้านไหนกล้าจ้างเด็กซุ่มซ่ามอย่างผมนอกจากมันเดย์มั้ยอ่ะ?”
สิ้นประโยคอีกฝ่ายก็เดินถืออุปกรณ์ตักขยะพร้อมเศษแก้วเล็กใหญ่ที่ปะปนอยู่ด้านในออกไปทิ้ง โชคดีที่ลูกค้ายังไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเสียงอุบัติเหตุเมื่อครูคงรบกวนน่าดู
มันเดย์เป็นหนึ่งในร้านเหล้าของเครือเซเว่นบาร์ บาร์ที่คิดคอนเซปร้านเหล้าทั้งเจ็ดรอบมหาวิทยาลัยให้เป็นชื่อวันประจำสัปดาห์ แน่นอนว่า เซเว่นบาร์ทุกร้านย่อมถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตีตลาดกลุ่มนักศึกษาในมออยู่แล้ว เพราะงั้น การที่ร้านเครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ คิดจะเปิดขึ้นมาแข่งก็คงยากหน่อย
ทว่าหากเปรียบยอดขายทั้งหมดจากร้านคู่ขนานแล้ว มันเดย์นับเป็นร้านที่ทำยอดได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินสุดๆ อาจเพราะ target group ของร้านส่วนใหญ่เป็นเด็กจากคณะนิเทศและสถาปัตซึ่งมีแต่พวกติสท์แตก และด้วยความติสท์แตกนี่แหละที่ทำให้เด็กพวกนี้มักจะเข้ามาสั่งแค่ค็อกเทลหรูๆ หรือวอดก้าผสมผลไม้ซักแก้วก่อนจะหยิบคอมขึ้นมาปั่นงานชิวๆ หรือบางทีก็ยกโมมาตัดกัน เป็นอย่างงั้นร่วมหลายชั่วโมงมันถึงเก็บของกลับหอไป แถมด้วยความที่เรียนสถาปัตย์ เขาจึงมักแวปไปช่วยให้คำปรึกษาไอ้เด็กพวกนี้อยู่บ่อยๆ
ไม่ได้อะไรเลย...ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ ...
จะมีวันที่รับทรัพย์หนักๆ ก็ช่วงคืนวันศุกร์และเสาร์ ต่างจากวันในธรรมดาที่มันเดย์จะประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซาเงียบแบบเงียบมากๆ เขาจะไม่อะไรเลยถ้าเพื่อนหัวหน้าอีกทั้งหกร้านกลับไม่เจอปัญหาแบบนี้ จะมีเพียงแค่ยอดขายตกบ้างนิดหน่อย แต่ก็ยังมากกว่าสิ่งที่มันเดย์เผชิญหลายเท่า
ในวันจันทร์ ร้านจะจัดโปรโมชั่นลดครึ่งราคาสำหรับนักศึกษาคณะนิเทศและสถาปัต แม้จะเป็นโปรที่ปรับเปลี่ยนเลียนแบบมาจากเซเว่นบาร์ร้านอื่นๆ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผลซักเท่าไหร่ เพราะเด็กพวกนั้นก็ยังมาด้วยอัตราเท่าเดิม ใช้จ่ายเท่าเดิม และนั่งแช่จนร้านปิดเช่นเดิม
ที่ยิ่งไปกว่านั้น โดยเฉพาะวันจันทร์ วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของสัปดาห์ใหม่ วันที่ทุกคนบนโลกไม่อยากจะลุกออกจากเตียงไปไหน มันเป็นวันเดียวกันกับที่มันเดย์ทำยอดขายได้ต่ำสุดๆ ต่ำกว่ายอดขายของวันจันทร์เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ต่ำกว่าด้วยความแปลกใจที่ว่า ทั้งๆ ที่ก็เป็นวันจันทร์เหมือนกัน แต่ทำไมร้านพวกนั้นถึงยังขายได้วะ
วันจันทร์แม่งโคตรเฮงซวย!
“ขอโทษนะครับ”
“…..”
“พี่ครับ”
“…..”
“พี่ครับ!!”
เพิร์ทสะดุ้งตกใจพร้อมสะบัดศรีษะออกจากความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนสายตาจะเลื่อนขึ้นมองภาพเด็กชายเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลวาวที่สวมเสื้อคลุมลายสก็อต พร้อมเสื้อด้านในที่เป็นเสื้อยืดสีขาว ทรงผมปัดเป๋ซ้ายนิดๆ พอไม่ให้ดูปรกตา ยิ้มของน้องเป็นยิ้มหวานๆ ที่มีเอกลักษณ์ เป็นรอยยิ้มที่มองทีไรก็ทำให้ใจเต้นทุกที
น้องยิ้มหวาน...
“คะ...ครับ มีอะไรครับ?”
“คือ....พอดีผมจะสั่งเครื่องดื่ม แต่ไม่เห็นพนักงานเลย...”
“อ่า สั่งกับพี่ก็ได้ครับ พี่เป็นเจ้าของร้าน”
เพิร์ทพยักหัวรับอย่างว่าง่ายก่อนจะกุลีกุจอหากระดาษมาจด จริงๆ ไม่จำเป็นต้องจดก็ได้เพราะยังไงน้องก็คงสั่งแค่เมนูเดียว แต่ก็ต้องหาอะไรทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หมายถึง...ความสนใจของตัวเขาเองนี่แหละ
ก็เขินนี่หว่า...
“บลูฮาวายแก้วนึงครับ”
“เหมือนเดิมเลยเนอะ”
“ครับ?”
“อ๋อ พี่หมายถึง พวกพนักงานชอบหายหัวไม่รับแขกเหมือนเดิมเลยเนอะ”
เพิร์ทรีบปั้นหน้าให้เป็นปกติเพื่อเก็บอาการประหม่า เขาไม่อยากให้น้องยิ้มหวานรู้ตัว ขืนเป็นงั้นน้องไม่คงกล้ามามันเดย์อีกแน่ๆ แค่ลำพังแอบชอบลูกค้าขาประจำคนเดียวในร้านก็แย่พออยู่แล้ว
ท่ามกลางความน่าเบื่อหน่ายที่เกิดขึ้นกับมันเดย์ เขาคิดว่าน้องยิ้มหวานคือความโชคดีเหนืออะไรทั้งหมด ที่เรียกน้องยิ้มหวานก็เพราะไม่รู้ว่าน้องชื่ออะไร เคยเห็นแค่น้องหลุดยิ้มหวานๆ ออกมาเวลานั่งเล่นคอมอยู่คนเดียวตรงมุมเล็กๆ ในร้าน และนั่นก็เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ไอ้เจ้าของร้านคนนี้หลงน้องแบบโงหัวไม่ขึ้น
แต่ก็ทำได้แค่แอบหลงน้องอยู่คนเดียวเงียบๆ
“แหะๆ รบกวนพี่เจ้าของร้านแย่”
“ไม่เป็นไรเลยครับ พี่เต็มใจ”
น้องไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มบางๆ ให้ ก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะที่ประจำตัวเหมือนเดิม และเหตุการณ์เดิมๆ เช่นนี้ก็วนลูปซ้ำอยู่แบบเดิม ลูปที่เขาไม่กล้าคุยกับน้องมากไปกว่าช่วงเวลาที่พวกเด็กรับออเดอร์ไม่อยู่
ถึงแม้มันเดย์จะเป็นร้านที่กำลังประสบวิกฤตการณ์ปัญหาเศรฐษกิจเมื่อเทียบกับเซเว่นบาร์ร้านอื่นๆ ทว่าน้องยิ้มหวานกลับสวนกระแสโดยการกลายเป็นกำลังใจน้อยๆ ให้เขาเงียบๆ อย่างไม่รู้ตัว
ในมือน้องจะมาพร้อมไอแพดอันโปรด ไม่ก็คอมพิวเตอร์รุ่นบางหนึ่งเครื่อง เขาไม่กล้าถามว่าน้องชื่ออะไร หรือเรียนคณะไหนทั้งๆ ที่อยากรู้ใจจะขาด ไอ้ลูกน้องคนสนิทที่ทำแก้วแตกประจำเคยคิดจะไปถามให้ครั้งนึง แต่เขาก็รีบเบรกมันไว้แทบจะทันทีเพราะกลัวว่าน้องจะไหวตัวทันแล้วหนีไป สำหรับคนที่ไม่เคยมีแฟนอย่างเขาแล้ว
การทำอะไรแบบนี้ช่างดูน่ากลัวไปหมด
“อะไรครับพี่เพิร์ท ห้องทำงานพี่อยู่ด้านบนไม่ใช่หรอ”
“อย่าเสือก มีอะไรทำก็ไปทำ”
จิ๊ปากใส่ไอ้ลูกน้องตัวดีที่วกกลับมาแซะเขา บางทีก็รู้สึกพลาดที่ให้ความสนิทสนมกับผู้ใต้บังคับบัญชามากเกินไป อีกฝ่ายเลยชอบทำตัวตีเสมอนายทั้งๆ ที่ตนเองเป็นลูกน้อง แต่จะว่าแบบนั้นก็ไม่ได้เพราะมันก็เป็นคนเดียวที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องน้องยิ้มหวาน
ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเราจะไม่คืบหน้าเอาซะเลย
“พี่ว่าน้องจะเขารู้ไหมว่าพี่แอบมองทุกวัน”
“มึงว่ารู้มั้ยล่ะ กูเห็นเอาแต่นั่งจ้องหน้าคอม” เพิร์ทตอบกลับคล้ายประชด
“ก็จริง แต่น้องมาทุกวันเลยนะ”
“พวกไอ้เด็กถาปัตกลุ่มนั้นก็มาทุกวัน”
“เอ๊ะ! พี่นี่เป็นคนยังไงวะ ผมอุตส่าห์ให้กำลังใจก็ยังจะตัดกำลังใจตัวเอง”
เด็กเสิร์ฟตัวจุ้นจิ๊ปากใส่เขาคืน ก่อนจะเดินถือถาดใส่น้ำกลับเข้าไปหลังร้านตามเดิม มันคงจะเอือมระอาในความป๊อดของเขาเต็มทน นี่ถ้าเดินไปบอกน้องยิ้มหวานได้ว่ามีคนแอบชอบอยู่มันคงเดินไปแล้ว เหอะ...อดทนแอบชอบเขามาได้ไงก็ไม่รู้ตั้งสองสามเดือน
นอกจากห้องทำงานชั้นสองที่ได้เพิร์ทลงมือออกแบบเองแล้ว โต๊ะแคชเชียร์ด้านในสุดของร้านก็เป็นอีกที่ที่เขาออกแบบเอง แถมยังเป็นที่ที่เข้าใช้เป็นฐานทัพสำหรับปักหลักในการสอดส่องน้องยิ้มหวาน
โต๊ะจะถูกดีไซน์ให้ยาวเป็นแนวขวางประมาณแปดเมตร สามเมตรแรกเป็นพื้นที่สำหรับพนักงานแคชเชียร์ ส่วนพื้นที่ที่เหลือเป็นจุดสำหรับวางของตกแต่งจำพวกขวดเหล้าหรือไวน์ นอกจากนี้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์อันเหมาะเหม็งสำหรับจับตามองใครบางคน จริงๆ เขาก็เพิ่งค้นพบจุดนี้เมื่อสองสามเดือนที่แล้วเองแหละ
มันเดย์ ไม่สิ...เซเว่นบาร์ทุกร้านไม่ได้เน้นขายเฉพาะเครื่องดื่มมึนเมา แต่ยังรวมไปถึงเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เช่นน้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือแม้แต่นมก็มี ขึ้นอยู่กับว่าคุณลูกค้าจะสั่งแบบไหน แต่ส่วนใหญ่ก็อย่างที่เห็น…
“พี่เพิร์ทคะ พี่ยุ่งอยู่ไหม?”
“ไม่นี่ ทำไมหรอ?”
“คือหนูว่าจะวานพี่ให้ไปเก็บตังน้องโต๊ะนู้นให้หน่อยค่ะ คือหนูเพิ่งกินมะม่วงน้ำหวานมา แล้วแบบ มันมาแล้วคร่า ไม่ไหวแล้ว!! มันจะออกให้ได้เสียเดี๋ยวนี้ กรี๊ดดดด หนูไปก่อนนะคะ มันมาแล้ว!!”
ไม่ทันจะได้ตั้งตัว แคชเชียร์สาวปากแดงก็วิ่งลิ่วไปยังห้องน้ำของหอตนเองที่อยู่ข้างๆ บาร์แล้ว คือคุณเธอเคยบอกว่า อึ๊ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรา เพราะงั้นหน้าที่เก็บเงินจึงตกมาอยู่ที่เจ้าของร้านเฉย
บางทีก็นึกสงสัยนะว่าเขาจะต้องจ้างลูกน้องมาทำไม ถ้ามันจะกล้ามาใช้เขาต่อ หรือเขาควรจะตัดเงินเดือนพวกนี้ลงดี อย่างน้อยก็ช่วยลดรายจ่ายของร้านไปได้บ้าง แต่ก็นะ...สงสารน้องๆ มัน มีแต่นักศึกษาทั้งนั้น
และด้วยความที่เป็นนักศึกษาเหมือนกันนี่แหละถึงทำให้เข้าใจหัวอกน้องๆ โดยเฉพาะน้องๆ ที่กำลังทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย รู้ว่าการต้องใช้เงินมากขึ้นทั้งๆ ที่รายรับเราเท่าเดิมนับเป็นอะไรที่ค่อนข้างลำบาก
เขานึกขอบคุณพี่อิท ผู้บริหารสูงสุดของเซเว่นบาร์แทบจะนับครั้งไม่ถ้วนที่ยอมเปิดใจให้เขาเข้ามาดูแลมันเดย์ จากเด็กสถาปัตปีสามไส้แห้งตอนนั้น ก็กลายมาเป็นเด็กสถาปัตปีสี่ที่พอจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือในตอนนี้ แม้ว่าปัจจุบันจะค่อนข้างเครียดที่ถูกพวกหกร้านที่เหลือคุยโม้ทับถมเรื่องยอดขายก็เถอะ
อ๊ะ เหมือนเขาจะลืมอะไรบางอย่างไปเลยนี่หว่า เขากำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะแคชเชียร์ตรงนี้ กำลังถือบิลโต๊ะสามสิบห้าตอนนี้ กำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดสิ่งที่กำลังติดค้างอยู่ในหัวนี้
ใช่แล้ว! ต้องเก็บตัง คิดอะไรเพลินจนลืมไปเสียสนิทเลย เพิร์ทนวดขมับเพื่อจูนสมอง ก่อนเพ่งมองไปยังโต๊ะสามสิบห้าที่ว่า เดี๋ยวนะ... ไอ้โต๊ะสามสิบห้าทำไมมันคุ้นๆ เหมือนว่าจะเป็นโต๊ะของ...
น้องยิ้มหวาน!!!
ไอ้เชี่ยเอ๊ยยยย ใครจะกล้าไปวะ แค่มองหน้าไกลๆ ก็เขินแล้ว นี่ยังจะให้เขาเดินไปหาน้องถึงโต๊ะเลยหรอ จ้างให้ก็ไม่ไปโว้ยยย เอ๊ะ! แล้วพวกพนักงานมันไปไหนกันหมด ร้านปิดตีหนึ่งไม่ใช่รึไง นี่เพิ่งจะหกทุ่มเองนะเว้ย ทำไมถึงไม่ออกมาทำงานกัน สงสัยจะต้องตัดเงินจริงๆ!!
“พี่เจ้าของร้านครับ”
“คะ...ครับ!!”
เพิร์ทอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบหุบปากลงแล้วกลืนน้ำลายอึกโตทันทีเมื่อเห็นลูกค้าโต๊ะสามสิบห้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า นั่นไง...ไม่ยอมไปดีนัก น้องเขามาเองเลย เป็นไงล่ะทีนี้หัวใจ อย่าตื่นเต้นนะเว้ยไอ้เพิร์ท!!
“ไม่มีคนมาเก็บตัง...”
“อ๊ะ! ครับๆ พี่ขอโทษ เอ่อ...ของโต๊ะน้องหกสิบห้าบาทครับ”
“ครับ นี่ครับ”
มือเรียวๆ ยื่นแบงค์สีแดง ก่อนจะวาดยิ้มหวานให้ตามเดิม ไอ้เชี่ย! เขาทอนเงินแทบไม่ถูก ทำไมน้องถึงอันตรายขนาดนี้ ไอ้ลูกจ้างไปไหน ถ้าเจอหน้าเขาจะด่ามันโทษฐานที่ไม่ยอมอยู่ช่วยจนเจ้าของร้านเกือบจะหัวใจวายตาย
“ขอโทษทีนะครับ พนักงานร้านพี่ใช้ไม่ได้ซักคนเลย”
“ทำไมล่ะครับ?”
“ก็ไม่ยอมมาบริการน้อง ออเดอร์น้องก็ต้องเดินมาสั่ง เงินน้องก็ต้องเดินมาจ่าย”
เพิร์ทพูดพร้อมเกาแก้มเก้อๆ เขาไม่สามารถมองหน้าน้องยิ้มหวานได้เกินสามวินาทีแน่ๆ แค่เห็นดวงตาอันมีเสน่ห์แบบนั้นเขาก็แทบกัดปากกรอด ทำไมกัน...ทำไมชอบมาทำให้ใจเต้นอยู่เรื่อย เด็กบ้า
“ผมว่าเป็นเรื่องดีนะ เพราะมันทำให้ผมได้รู้จักกับพี่เจ้าของร้าน”
“คะ...ครับ?”
น้องไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากก้มหัวให้แล้วเดินออกไป เขารู้สึกราวกับหูตัวเองดับไปชั่วขณะ พยายามตั้งสติว่าประโยคเมื่อกี้น้องพูดมันออกมาจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
น้องอยากรู้จักเขา
“พี่เพิร์ท ยืนยิ้มอะไรวะ”
“กูยิ้มหรอ?”
“ร้องไห้มั้ง”
เอ้าไอ้เวรนี่ มันยังเห็นเขาเป็นเจ้านายอยู่มั้ย มันเคยรู้บ้างมั้ยว่าคนที่มันกำลังกวนตีนอยู่สามารถไล่มันออกได้ แต่เขาจะไม่ถือโทษโกรธมันหรอก เพราะตอนนี้กำลังมีความสุขมาก มีความสุขแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
ก็น้องยิ้มหวานอยากรู้จักเขา…
“พี่เพิร์ทๆ”
“อะไรอีก”
“สมุดลูกค้าลืมไว้อ่ะ เห้ยย!! จากโต๊ะสามสิบห้า โต๊ะของน้องยิ้ม...”
ว่ายังไงนะ โต๊ะของน้องยิ้มหวานงั้นหรอ!? เพิร์ทรีบปรี่เข้าปิดปากเด็กช่างแส่ เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินมีหวังคงลือกันให้สนุกปากแน่ว่าเจ้าของร้านมันเดย์คิดจะเคลมลูกค้า
“เอามานี่!”
แย่งสมุดสีพื้นที่มีรูปเมฆยิ้มอยู่ตรงกลาง สมกับเป็นน้องยิ้มหวาน เพราะแม้แต่สมุดก็ยังยิ้มหวานเลย เพิร์ทหลุดยิ้มตามเมื่อนึกถึงใบหน้าอันแสนคิดถึงของเจ้าของสมุดแม้ว่าเพิ่งจะจากกันไปเมื่อครู่
“จะเอาไปให้เขาหรอ?”
“ปะ...เปล่า รอให้พรุ่งนี้”
“โห พี่อย่าป๊อดได้ปะ ตอนนี้คือเวลาทำคะแนนแล้วนะเว้ย”
“กูไม่ได้ป๊อด กูแค่ไม่อยากให้น้องเขารู้...”
ลูกจ้างเจ้าประจำตบบ่าเจ้านายจอมคิดมาก รู้ดีว่าพี่เพิร์ทของเขาค่อนข้างใจเสาะ แต่ถ้าไม่เดินหน้าจีบซักที สถานะของอีกฝ่ายกับน้องยิ้มหวานก็คงจะยังเป็นแค่พ่อค้ากับลูกค้า
“แค่เอาสมุดไปให้ ใครเขาจะคิดว่าพี่จีบ พี่อย่ามโนเหอะ”
“เอ้าไอ้เหี้ยนี่!”
“เร็วพี่ น้องเขาไปขึ้นรถที่จอดไว้ในลานอ่ะ พี่ก็แค่ทำทีเอาไปให้แล้วก็กลับ มันจะมีอะไรวะ”
“แต่ว่ากู...”
“ถ้าพี่ไม่ไป เดี๋ยวผมไปเอง ไว้ผมจะจีบน้องเขาเองด้วยเลยเอ้า รำคาญ”
“ไอ้สัส! ไม่ต้อง”
ว่าเสร็จก็รีบผลักคนที่จะเข้ามายื้อแย่งสมุดเมฆยิ้มออก มีอย่างที่ไหนช่วยกันมาตั้งนานแล้วจะชุบมือเปิป เขาไม่ยอมหรอก ถึงอาจจะไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ขอแค่ได้คุยกับน้องยิ้มหวานบ้างเท่านั้นก็พอ
เพิร์ทเดินเลาะพื้นที่บาร์มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดจอดมอเตอร์ไซค์ เขาเหลือบไปเห็นกับเจ้าของสมุดรูปร่างสมส่วนกำลังบิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง สงสัยคงจะลืมจริงๆ สินะไอ้สมุดเนี่ย
“เอ่อ...คือน้องครับ”
รีบปรี่เข้าไปขวางเด็กชายตาสวยที่ว่า น้องเปิดหมวกกันน็อคออกมาพร้อมใบหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานเหมือนอย่างทุกครั้ง แม่งเอ๊ย...อย่ายิ้มให้พี่สิครับ พี่จะละลายแล้วนะ
“พี่เจ้าของร้านมีอะไรรึเปล่าครับ?”
“คือ...น้องลืมสมุด...” เพิร์ทยื่นสมุดเมฆยิ้มให้
“อ๊ะ ขอบคุณมากเลยครับ ผมลืมซะสนิทเลย”
น้องยิ้มหวานรีบรับสมุดมาก่อนจะกุลีกุจอเก็บใส่กระเป๋า เพิร์ทใช้เวลาช่วงนั้นสังเกตอิริยาบถต่างๆ ของน้องไปพลาง และทำให้เขาค้นพบว่า
เฮ้อ...ตัวเองแม่งหลงน้องจริงๆ ว่ะ
“เอ่อ...พี่เจ้าของร้านมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ?”
“...เปล่าครับ”
“อ่อครับ...งั้นผมขอตัวก่อนนะ”
น้องยิ้มจางๆ ให้อีกครั้งก่อนจะปิดหน้าปัดหมวกกันน็อคลง อ่า...คงจบแบบทุกครั้งสินะ จบด้วยรอยยิ้มหวานๆ ของน้องแบบที่ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย จบแบบที่น้องยิ้มหวานก็ยังเป็นน้องยิ้มหวานอยู่วันยังค่ำ ส่วนเขาก็ยังเป็นไอ้เพิร์ทคนห่วยของมันเดย์อยู่เหมือนเดิม
“ดะ...เดี๋ยวก่อนครับ....คือ...น้อง”
“ครับ?”
“น้องชื่อ...อะไรหรอ?”
“ครับ?” คนฟังเปิดหมวดขึ้นมาเลิกคิ้วสงสัย
“พอดี เด็กที่ร้านเห็นเรามาทุกวันเลย มันว่าจะถามชื่อแต่ก็ลืม พี่เลยถือโอกาสถามไปเผื่อ”
เพิร์ทรวบรวมความกล้าอันน้อยนิดทั้งหมดที่มีพูดออกไป ใครจะไปคิดล่ะว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่กล้าพูดกับน้องมากกว่า ‘อยากสั่งเครื่องดื่มแบบไหนครับ’ หรือ ‘ทั้งหมดหกสิบบาทครับ’
แต่สุดท้ายก็พูดออกไปจนได้
น้องยิ้มหวานส่งยิ้มหวานตอบกลับมาเช่นเดิม ต่างตรงที่คราวนี้ยิ้มหวานของน้องโคตรจะน่ารักกว่าเก่า น่ารักถึงขนาดที่ว่าเขารีบเบือนสายตาหนี อยากรู้เหลือเกินว่ามีปัจจัยอะไรที่หล่อหลอมให้เด็กคนนึงยิ้มหวานได้ขนาดนี้วะ
“นินครับ....ผมชื่อนิน”
======================TBC======================
-
Monday is so boring
02
น้องนิน...
คำหนึ่งคำที่ลอยล่องอยู่ในหัวเพิร์ทซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาเกือบทั้งอาทิตย์ เป็นความสัมพันธ์แบบแอบรักที่เขารู้สึกชุ่มชื่นหัวใจสุดๆ อยู่ฝ่ายเดียว แต่ก็คงทำได้เพียงเท่านี้ เพราะสำหรับคนป๊อดๆ อย่างเขา...การได้รู้จักชื่อคนที่แอบชอบมาตลอดหลายเดือน...แค่นั้นก็คงเพียงพอแล้วล่ะ
“ก็จะมีคนยิ้มอยู่หน่อยๆ”
“จุ้น”
“แน่ะ อารมณ์เสียใส่น้องได้ไง ใครกันน้าที่ช่วยให้พี่ได้รู้จักน้องยิ้มหวาน เอ๊ย!” คนที่กำลังจับไม้กวาดปัดพื้นอยู่ชิวๆ ก้มหน้าลงมายิ้มกวน “ตอนนี้ต้องเรียกว่าน้องนินแล้วสิเนอะ...น้องนินของพี่เพิร์ท”
“ถ้าไม่เลิกกวนตีนก็เตรียมหางานใหม่”
“โหย พื้นสกปรกมากเลยพี่ กวาดแปป”
เพิร์ทส่ายหัวใส่คนที่เปลี่ยนสีไวยิ่งกว่ากิ้งก่า ก่อนจะนั่งเท้าคางตรงที่ว่างข้างโต๊ะแคชเชียร์ตามเดิม กลายเป็นว่าพอได้รู้จักกับใครบางคน ห้องทำงานก็เลยดูเหมือนไม่ค่อยจะจำเป็นอีกต่อไป...พูดให้ถูกก็คือ นั่งตรงนี้มันสามารถสอดแนมได้ง่ายกว่าต่างหาก อีกหน่อยเขาคงได้ยกคอมยกเอกสารลงมาตาม
และอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาเกลียดวันจันทร์เอามากๆ ก็คือ วันจันทร์มักเป็นวันที่น้องนินไม่มามันเดย์ เป็นวันเดียวจากทั้งสัปดาห์ที่เพิร์ทจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ นั้น เขาไม่รู้ว่าน้องไปไหน...รู้แค่ว่า
เขาชักจะรำคาญวันจันทร์ขึ้นทุกที
แต่ความพยายามไม่เคยทำร้ายคนที่ตั้งใจ บีเอ็นเคได้กล่าวไว้ เพราะวันนี้เป็นวันอังคาร เพิร์ทตั้งหน้าตั้งตารอตั้งแต่บ่ายสามหลังกลับจากคุยโปรเจ็คกับเพื่อนๆ และอาจารย์ จนตอนนี้เวลาสี่โมงห้าสิบ อีกไม่กี่นาทีเจ้าของรอยยิ้มอันแสนคิดถึงก็คงจะปรากฏอยู่ตรงหน้า แค่จินตนาการหัวใจก็เหมือนสูญเสียการควบคุม
“บลูฮาวายนะครับ”
นั่นไง นึกถึงก็มาพอดีเลย
เพิร์ทมองคนที่รอคอยมาตลอดสองวัน เจ้าของเสื้อคุมลายสก๊อตกับทรงผมปัดซ้ายนิดๆ ที่กำลังยืนสั่งเมนูอันโปรดตรงหน้าเคาท์เตอร์ สงสัยตั้งแต่ที่ต้องเดินมาสั่งเองคราวนั้น ดูเหมือนจะทำให้น้องขี้เกียจนั่งรอคนมารับออเดอร์ แต่ก็ดีแล้วแหละนะ
พี่จะได้มองน้องใกล้ๆ ...
“หวัดดีครับ”
“คะ...ครับ หวัดดี...”
เพิร์ทปั้นหน้าแทบไม่ถูกเมื่อน้องยิ้มวานส่งรอยยิ้มจางๆ มาให้เป็นการทักทาย ก่อนจะเดินดุ่มๆ กไปยังโต๊ะมุมสุดที่ประจำของร้านตามเดิม ไม่เคยจะรับมือกับความสดใสนั้นได้เลย
เฮ้อ...ทำไมน้องถึงน่ารักขนาดนี้วะ
อีกความหนึ่งความลับก็คือ เขามักชอบใช้ไอ้ลูกน้องให้ไปขัดเช็ดถูโต๊ะดังกล่าวเป็นพิเศษ แค่รู้ว่าน้องนินจะต้องมานั่ง ก็อยากให้น้องได้นั่งในที่ที่สะอาดหน่อย
“อ่ะพี่ บลูฮาวายได้ละ”
เพิร์ทขมวดคิ้วเมื่อแก้วโปร่งที่บรรจุของเหลวสีฟ้าในถาดถูกวางลงเบื้องหน้า “อะไร? กูไม่ได้สั่ง”
“ของพี่ที่ไหนล่ะ” เด็กหนุ่มจิ๊ปากเหมือนรำคาญ “ของน้องนินเฟ้ย พี่เอาไปให้น้องเซ่”
“มะ...มึงก็เอาไปให้สิ ถ้ามาใช้กูแบบนี้ กูจะจ้างเด็กเสิร์ฟไว้ทำไมวะ”
“โว้ยย พี่มึงครับ” เด็กหนุ่มที่เปลี่ยนมายืนบดบังทัศนะวิสัยพลางก้มลงพูดกับเจ้านายตาเขม็ง “ชอบเขาก็กล้าๆ หน่อยสิวะพี่ เนี่ยผมไม่ได้ให้พี่เข้าไปจีบ ผมแค่ให้พี่เข้าไปเสิร์ฟน้ำ ทำทีเป็นเจ้าของร้านอัธยาศัยดีมันยากมากหรอ”
“ตกลงใครเจ้านายใครลูกน้อง...”
“เอาน่า พี่ว่าหน้าตาแบบนั้นจะอยู่รอดจนจบปีสี่มะ พี่ทำใจได้ไง๊ถ้าน้องมันจะเจอคนอื่นจีบ?”
คำพูดดังกล่าวทำเอาเพิร์ทถึงกับไปไม่เป็น จริงอยู่ที่เขาอาจยังไม่ได้ชอบน้องยิ้มหวานถึงขนาดที่เรียกว่าความรัก แต่เขาก็คงไม่แข็งแรงพอที่จะอดทนเห็นน้องมีแฟนไปต่อหน้าต่อตา
เคยนึกน้อยใจพระเจ้าที่ให้เฉพาะพรสวรรค์ด้านการออกแบบขั้นเทพมา หากแต่ไม่ยอมให้สกิลด้านความกล้าติดตัวมาเลย เขารู้สึกว่าตาชั่งชีวิตค่อนข้างเอียง คนเรามันไม่ควรเก่งด้านเดียวแบบนี้ป่ะวะ
“มึง...คือกู...”
“ถ้าพี่ไม่ไปผมจะเดินไปบอกน้องเขาเดี๋ยวนี้ว่าพี่ชอบ”
“อย่านะไอ้เหี้ย!”
เพิร์ทกระซิบเชิงตะโกน และดูท่าว่าการที่เขากับไอ้ลูกน้องคุยกันยาวนานจะเริ่มผิดปกติ ชัดเจนจากสายตาของแม่สาวแคชเชียร์ที่กำลังมองมาด้วยเครื่องคำหมายคำถามอันโตว่า ‘พวกพี่เป็นอะไรกัน’ นั่นไง พิรุธเริ่มออก เขาจะให้คนในร้านรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาคิดจะเคลมลูกค้า!
ยอมรับว่าตั้งแต่ที่ถามชื่อคราวนั้น น้องก็คุยกับเขามากขึ้น มากขึ้นในเชิงที่ว่า ‘อากาศดีนะครับ’ ‘ร้านพี่สวยเนอะ’ เป็นการคุยแบบเบสิคเหมือนน้องถามเพื่อมารยาท แต่ก็เอาวะ...อย่างน้อยก็ถือว่าได้คุย
“บะ...บลูฮาวายที่สั่งได้แล้วครับ”
เพิร์ทค่อยๆ วางถาดไม้สีอ่อนลงบนโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนเครื่องดื่มไปตรงหน้าเด็กชายเจ้าของรอยยิ้มหวานอย่างประหม่า ใช่! เขายอมรับว่าตอนนี้ตนเองโคตรจะประหม่า เขาเหมือนกำลังจะเข้าฟังคอมเม้นกรุงโรมที่นั่งทำมาทั้งคืนจากอาจารย์ ต่างกันตรงที่คราวนี้อาจารย์ตอบกลับมาด้วยยิ้มหวานแห่งความรุนแรง
“ทำไมได้มาเสิร์ฟล่ะครับ? พนักงานไม่ว่างอีกแล้วหรอ”
“ก็...ประมาณนั้นครับ”
เพิร์ทยกมือเกาหัวเก้อๆ เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลวาวเบิกขึ้นคล้ายสงสัย น้องจะรู้มั้ยว่าท่าทางแบบนั้นของน้อยโคตรกร้าวใจพี่เลย เฮ้อ...พี่อยากส่งมีดให้น้องมาช่วยตัดโมชะมัด
สำหรับถาปัตอย่างเราแล้ว คงไม่มีอะไรอยากมอบให้คนที่ชอบนอกจากชวนมาตัดโมล่ะนะ...
“นั่งด้วยกันมั้ยครับ?”
“คะ...ครับ?”
ชายหนุ่มทวนเสียงเหมือนคนติดอ่าง พอเป็นน้องนินทีไร เขาก็พูดจาตะกุกตะกักอยู่เรื่อย แล้วประโยคเมื่อกี้คืออะไร เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? น้องชวนเขานั่งร่วมโต๊ะด้วยใช่ไหม?
“ผมเห็นพี่ไม่ค่อยมีอะไรทำเลยจะชวนมานั่งคุยเป็นเพื่อนผมน่ะ”
ทำไมรู้สึกเหมือนโดนด่าว่าว่างงานเลยว่ะ “เอ่อ...จริงๆ พี่ก็มีอะไรทำอยู่บ้าง”
“อ่าครับ งั้นไม่เป็นไร” น้องยิ้มตอบก่อนลดระดับสายตากลับไปจดจ่อยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามเดิม
“แต่...เดี๋ยว พี่นั่งก็ได้...ไว้คนเยอะค่อยออกไปช่วย” ว่าเสร็จชายหนุ่มก็ทิ้งลงตรงที่นั่งตรงข้ามน้อง
โว้ยยยยยยยยยยยยยย ทำไปแล้ว กูทำไปแล้ว!!
ในที่สุดก็ทำไปจนได้!! ตอนนี้เหมือนอกจะระเบิด ถ้าเปรียบร่างกายเป็นสิ่งปลูกสร้างซักหลัง เขาคงเริ่มพังทลายจากโครงสร้างภายในอย่างช้าๆ แม่ง...เพราะน้องนินคนเดียวเลย
“จริงๆ ผมก็เคยชวนพี่เด็กเสิร์ฟนะ แต่เขาก็บอกว่าไม่ว่างต้องทำงานตลอดเลย” น้องหัวเราะแห้งๆ “อ๊ะ! พี่เจ้าของร้านอย่าไปตัดเงินเดือนพี่เขานะครับ ผมแค่ชวนเล่นๆ เฉยๆ น่ะ พอดีมานั่งทำงานคนเดียวเลยเหงาๆ บ้าง”
อื้ม...
ไอ้เราก็นึกว่าน้องแอบพิศวาสอะไรพี่เพิร์ทคนนี้ซักเล็กน้อย แต่ความจริงคือไม่เลย น้องไม่ได้คิดอะไรเลย มีแต่ตัวมึงเองเนี่ยที่คิดไปเองคนเดียวไอ้เพิร์ทเอ๊ย!! แล้วยังจะชวนไอ้ลูกน้องมานั่งร่วมโต๊ะด้วยหรอน้องนิน จะข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปแล้วนะ...
แต่เขาจะทำอะไรได้ ป๊อดขนาดนี้ แค่มองหน้าน้องเกินสามวิยังไม่กล้าเลย
“พี่เจ้าของร้านดูไม่ค่อยพูดนะครับ”
“เอ่อ...เรียกพี่เพิร์ทก็ได้”
“ครับพี่เพิร์ท...”
น้องยิ้มหวานตอบกลับมาอีกแล้ว โว้ยยยย ทำไมถึงยิ้มได้สดใสขนาดนี้
“พี่ก็เป็นงี้แหละ...พูดไม่เก่ง ดุลูกน้องก็ไม่ค่อยดุ บางทีพวกมันยังเผลอจะเล่นหัวพี่ด้วยซ้ำ”
อ๊ะ! ชวนคุยอะไรของมึงวะไอ้เพิร์ท แบไต๋ความกากของตัวเองเรอะ โว้ยยยย ได้คุยทั้งทีแทนที่จะคุยเรื่องน่าอวดอย่างได้เกรดสี่จุดศูนย์ๆ ตอนปีหนึ่งซะหน่อย โถ่...กากของจริง
“ฮ่ะฮ่ะ แต่ผมกลับมองว่าพี่เพิร์ทดูใจดีออกนะครับ”
“ยะ...อย่างนั้นหรอ” ชายหนุ่มเกาแก้มเพราะไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนดี “แล้วน้องนิน...ทำไมถึงชอบมาร้านพี่ล่ะ”
“เซอเวย์หรอครับ?”
“เซอเวย์?”
“ผมชอบถูกรุ่นพี่ปีสี่เข้ามาถามแบบนี้บ่อยๆ น่ะ เห็นว่าเป็นโปรเจ็คจบ”
เป็นอย่างที่ไอ้ลูกน้องว่าไม่มีผิด เจ้าของยิ้มหวานขนาดนี้มีหรอจะไม่ถูกมอง เหอะ...แล้วจะแปลกอะไรถ้าน้องจะมีคนอยากเข้ามาทำความรู้จักโดยการใช้โปรเจ็คบังหน้า แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้นะ
“พี่ถามเฉยๆ ...เซเว่นบาร์ก็มีตั้งหลายร้าน ทำไมน้องนินถึงมามันเดย์” เพิร์ทรีบหลบตาเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป....เขาไม่อยากให้น้องรู้....
ว่ามีคนกำลังชอบ
“อืมม...” เด็กชายเอานิ้วจิ้มคางพร้อมเงยมองราวกับกำลังใช้ความคิด “มันเดย์คนน้อยมั้งครับ ผมชอบที่ที่สงบๆ เวลาทำงานน่ะ”
เหมือนโดนกระดาษชานอ้อยฟาดเข้าอย่างจังที่ใบหน้าแรงๆ ขนาดน้องยิ้มหวานยังรู้เลยว่าเศรษฐกิจของมันเดย์มันย่ำแย่ขนาดไหน นี่ถ้าน้องรู้ว่าเจ้าของร้านสุดห่วยกำลังหลงรักน้องอยู่คงจะลำบากใจแย่...
หมดกันเหตุผลที่จะคิดเข้าข้างตัวเอง น้องไม่ได้รู้สึกแม้แต่เศษเสี้ยวกับเขาเลย น้องก็แค่สบายใจกับบาร์ที่มีคนไม่พลุกพล่าน น้องก็แค่อยากมานั่งทำงานเงียบๆ เฮ้อ...บราเธอร์โซนแท้ๆ ไอ้เพิร์ท
“เดี๋ยวพี่ว่า...พี่ต้องกลับไปทำงานแล้วล่ะ...” เพิร์ทยิ้มเจื่อนก่อนจะค่อยๆ ยันตัวลุกด้วยความรู้สึกยอมแพ้
“ครับ ขอบคุณที่สละเวลามาคุยกับผมนะ”
“อื้ม”
“เอ้อ พี่เพิร์ทครับ”
เจ้าของชื่อหันมองแค่เพียงใบหน้าหลังจากถูกเรียนในตอนที่กำลังจะเดินกลับไปยังโซนแคชเชียร์ ไม่รู้เลยว่าประโยคที่กำลังจะได้ยินต่อจากนั้นกำลังจะทำให้กรุงโรมต้องแตกอีกครั้ง
“ถ้าว่างๆ ...มานั่งคุยกับผมอีกนะ”
น้องนิน นิเทศศาสตร์ปีหนึ่ง ชอบมานั่งตัดต่องานอยู่ในคาเฟ่ชิวๆ ที่คนไม่พลุกพล่าน เครื่องดื่มเมนูประจำก็คือบลูฮาวายเพราะรสชาติเปรี้ยวๆ จะทำให้รู้สึกตื่นตัวตลอดเวลาดี คุณพ่อจับใส่เสื้อลายสก๊อตมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นเวลาออกไปไหนก็เลยชอบหยิบเสื้อลายสก๊อตมาใส่คลุมตลอด
แน่นอนว่าข้อมูลสุดเอ็กซ์คลูซิฟทั้งหมดที่กล่าวมา น้องนินเป็นคนบอกจากปากของน้องเอง เป็นช่วงเดือนที่เพิร์ทหลุดยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวซ้ำๆ การแอบชอบใครซักคนมันจะอบอุ่นหัวใจขนาดนั้นเลยหรอ
“เหงาสิครับวันนี้”
“พูดมาก ไปชงบลูฮาวายมาให้กูแก้วดิ”
“เห้ยๆ ชอบกินบลูฮาวายซะด้วย”
ตั้งแต่วันนั้นเขาก็เนียนไปเสิร์ฟโต๊ะน้องบ่อยๆ แถมยังเนียนนั่งคุยไปเรื่อย...แต่นั่งแปปเดียวนะเพราะความเขินมันมีมากกว่า โถ่...ยังไงก็เขินรอยยิ้มหวานๆ นั่นนี่นา
ถึงกระนั้นก็ขอบคุณความใจกล้าหน้าด้านของตนเองที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมสองเปอร์เซ็น แล้วก็ขอบคุณความเฟรนลี่ของน้องนินที่คุยสนุกถึงแม้เกือบทั้งบทสนทนาจะมีแต่เสียงน้องพูดอยู่คนเดียว หากอย่างน้อยก็ทำให้เพิร์ทรู้จักน้องมากขึ้น ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่าที่ทั้งหมดที่น้องทำมานั้นเพราะน้องอัธยาศัยดี
“รู้แล้วก็เลิกแซว โดยเฉพาะต่อหน้าน้องมึงห้ามเลยนะ” ชี้นิ้วคาดโทษ
“คร้าบๆ คิกคิก”
เพิร์ทมองตามแผ่นหลังของไอ้ลูกน้องในชุดผ้ากันเปื้อนที่กำลังเปิดประตูออกไปชงเครื่องดื่มตามคำสั่ง ถึงมันจะกวนตีนไปหน่อย รวมถึงชอบทำอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้าน แต่ก็ต้องขอบคุณอีกฝ่ายล่ะนะ เพราะถ้าไม่มีคนกวนตีนแบบนั้น ก็คงไม่มีพี่เพิร์ทคนกล้า (นิดนึง) ขนาดนี้
และแล้ววันจันทร์ก็วนกลับมาอีกรอบ วันที่เศรษฐกิจของมันเดย์ซบเซาจนอยากจะปิดร้าน ยิ่งกว่านั้นคือยังเป็นวันที่เขาไม่ได้รับกำลังใจจากรอยยิ้มหวานๆ ของน้องยิ้มหวาน
ถ้าพูดตามหลักก็คือเขาไม่ได้เกลียดวันจันทร์ตรงที่ขายของไม่ค่อยได้หรอก เพราะรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของมันเดย์ก็ยังคงอยู่ในเป้าที่เฮียอิทตั้งไว้ ถึงแม้จะเป็นรายได้ที่มียอดต่ำสุดๆ เมื่อเทียบกับเซเว่นบาร์ทั้งหกร้านก็เถอะ แต่ไอ้ที่บ่นก็เพราะไม่ได้เจอใครบางคนล้วนๆ ต่างหาก
“มาแล้วคร้าบ”
เพิร์ทรับเครื่องดื่มสีฟ้าจากมือไอ้ลูกน้องจอมจุ้น ก่อนจะทอดมองลงไปยังโต๊ะสามสิบห้าที่ว่างเปล่า
จะมีแค่วันจันทร์วันเดียวเท่านั้นแหละที่เขามักจะขึ้นมานั่งทำงานในห้องส่วนตัว เพราะวันอื่นๆ ก็เอาแต่ส่องใครบางคนอยู่ตรงโต๊ะแคชเชียร์ บางทีก็นึกเบื่อชีวิตปีสี่เหมือนกัน เรียนน้อยแต่งานหนักเป็นบ้า พอว่างทีนึงก็ดันต้องมานั่งคิดถึงเจ้าของรอยยิ้มอันสดใสคนนั้นเฉยเลย
“พี่ว่าน้องนินจะชอบพี่ป่ะ”
“พะ...พูดอะไรของมึง”
เพิร์ทตอบอย่างตะกุกตะกัก แก้วบลูฮาวายรีบถูกกระดกดื่มเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขิน เขาไม่รู้หรอกว่าน้องจะชอบเขามั้ย ก็อย่างที่เห็น...ถึงแม้น้องจะบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวมาบ้าง หากนั่นก็ไม่ทำให้เขาสามารถคิดเป็นอื่นนอกจากว่าน้องเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีสุดๆ ไม่รู้สิ...หรือเขาอาจจะแค่กลัว
กลัวผิดหวัง...
“ก็น้องยิ้มเวลาคุยกับพี่อ่ะ”
“น้องก็ยิ้มเวลาคุยกับทุกคนนั่นแหละ...”
“เออก็จริง” คนเปิดประเด็นพยักเพยิดหน้าคิดตาม “เพราะเวลาที่พี่ป๊อดๆ ไม่กล้าไปเสิร์ฟ น้องเขาก็คุยกับผมดีชิบหาย”
“อ้าว...ไอ้เวร”
เพิร์ทมองตาเขียว อยู่ดีๆ ก็มาคุยอวดซะงั้น รู้อยู่หรอกว่าน้องเฟรนลี่กับทุกคนบนโลก ขนาดเจ้าตัวยังเคยเอ่ยปากเลยว่าอยากคุยกับไอ้ลูกน้องแต่ก็ไม่กล้าเซ้าซี้เพราะกลัวมันยุ่ง โว้ยยยย แล้วทำไมเขาต้องรู้สึกหงุดหงิดอะไรขนาดนี้วะ ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่มีสิทธิ์ไปหวงเขานะเว้ย
คนฟังหัวเราะชอบใจ ถึงพี่เพิร์ทจะเป็นคนป๊อดๆ จนน่าแกล้ง แต่พี่แกก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านาย แถมยังเป็นเจ้านายสุดใจดีที่ยังเก็บเด็กเสิร์ฟห่วยแตกคนนี้ไว้ ไม่ต้องห่วงนะเจ้านาย น้องจะช่วยเจ้านายเอง!
“งั้นเรามาทำให้น้องแสดงความรู้สึกออกมากันมั้ย”
“มึงหมายความว่ายังไง?”
“ก็พี่อยากรู้ไม่ใช่หรอว่าน้องนินชอบพี่มั้ย เพราะงั้นผมจะช่วยให้น้องเผยความลับในใจเอง”
“มะ...ไม่ต้องเลย”
เพิร์ทรีบบอกปัด รู้สึกไม่ไว้ใจไอ้เด็กบ้านี่ชะมัด ความคิดมันแต่ละอย่างเหมือนจะเริ่มไม่ปลอดภัยขึ้นเรื่อยๆ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ...เขาไม่กล้าจาบจ้วงเข้าไปในความรู้สึกของน้อง เพราะถ้าหากคำตอบที่อยากรู้มันไม่ใช่ล่ะ....ถ้าน้องนินไม่ได้รักเขาจริงๆ ล่ะ
สู้ให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเสียยังจะดีกว่า เขาไม่อยากเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่กำลังจะไปได้ดีนี้...หมายถึงความสัมพันธ์แบบบราเธอร์โซน อย่างน้อย...เราก็ยังได้คุยกัน
“โหยพี่ ผมว่าน้องเขาชอบพี่ เชื่อดิ ไม่งั้นจะมาร้านเราทุกวันหรอ”
“กะ...ก็น้องบอกอยู่ว่าร้านเรามันเงียบ”
“พี่นี่ทำไมเป็นคนแบบ...” ทว่าไม่ทันจะได้พูดจบ ลูกน้องจอมจุ้นก็เหลือบไปเห็น “เห้ย! น้องนิน มาได้ไง”
เพิร์ทรีบหันลงไปมองยังโต๊ะที่อยู่ด้านล่างตาม และก็พบว่าเป็นน้องนินจริงๆ ทำไมล่ะ? วันนี้เป็นวันจันทร์ ทำไมน้องนินถึงมาได้....
“…ครับ เดี๋ยวเจ้ช่วยตามลูกค้าขึ้นมาเลยนะ บอกว่าพี่เพิร์ทมีของสัมมนาคุณ อื้อ...น้องขาประจำนั่นแหละ”
“เห้ยๆ ทำอะไรของมึงเนี่ย”
ชายหนุ่มแหวเสียงหลงเมื่อพบว่าไอ้ลูกจ้างตัวดีกำลังยกหูโทรศัพท์คุยจ้อเฉยเลย นี่มันโทรศัพท์ของผู้บริหารนะเว้ยจะมาสุ่มสี่สุ่มห้าใช้ได้ไง สงสัยเขาคงต้องจับเข่าคุยเรื่องมารยาทจริงๆ จังๆ ซะทีละ
“ผมมีแผนน่า พี่ก็รู้ผมหวังดีกับพี่จะตายไป”
“แผนอะไรของมึง ช่วยเตรียมกับกูก่อนได้มั้ย”
“ก็ทำให้น้องนินหึง...”
ว่าเสร็จเพิร์ทก็ถูกจับให้นั่งลงบนเก้าอี้ล้อเลื่อนประจำตำแหน่ง ส่วนคนวางแผนก็เปลี่ยนมานั่งบนโต๊ะทำงาน
“หะ...หึงเหี้ยไร พวกกูคุยกันได้แค่สองอาทิตย์เองนะ” เพิร์ทว่าอย่างเงอะงะ “แล้วนี่มึงกล้าดีมายังไงมานั่งบนโต๊ะทำงานกูเนี่ย”
ก๊อก ก๊อก
“อ่ะสงสัยมาละ” เด็กหนุ่มพยักพเยิดหน้าไปทางประตูโดยไม่ได้ฟังคำดุบ่นเมื่อซักครู่แม้แต่นิด ก่อนจะหันไปตะโกนด้วยน้ำเสียงดังพอประมาณให้คนด้านหลังบานแผ่นไม้ได้ยิน “เข้ามาเลยครับ”
“นี่มึงจะ...”
จุ๊บ!
ไม่ทันที่ทุกอย่างจะได้เคลียร์แน่ชัด ปลายคางของชายหนุ่มก็ถูกเชยขึ้นเล็กน้อยให้เงยรับริมฝีปากของไอ้ลูกน้องเจ้าปัญหา ความรู้สึกขนลุกเสียววาบไหลแล่นไปทั่วร่างกาย เมื่อสมองประมวลผลเสร็จสรรพ เพิร์ทก็รีบผลักไอ้คนชอบฉวยโอกาสออกจนแทบจะตกโต๊ะ
“พะ...พี่เพิร์ท...”
“นะ...น้องนิน มันไม่ใช่แบบที่น้องคิดนะ!”
“ผมคงมารบกวน...”
มือน้อยๆ หันกลับหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก ไม่มีซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ไม่มีซึ่งรอยยิ้มหวานอย่างเคย อย่าว่าแต่ยิ้มเลย วินาทีนั้น...เหมือนแค่ใบหน้าเขา น้องยังไม่อยากมอง
“น้องนิน เดี๋ยวก่อน น้องนิน!!”
===================TBC===================
-
Monday is so boring
03
“ไอ้ตินเร็วๆ ดิ กูหิวข้าวแล้วเนี่ย”
“แปปดิเก็บของอยู่เนี่ย ข้อสอบก็ยากจัง มึงก็เร่งอยู่ได้”
คนถูกเร่งมุ่ยหน้าพลางกับยัดปากกาดินสอรวมถึงบัตรประชาชนเก็บใส่กระเป๋าอย่างเร็วพลัน ใครจะไปคิดล่ะว่าการสอบมิดเทอมของมหาลัยจะหินเอาเรื่อง เล่นโยนคำถามสามสี่ข้อกับกระดาษเปล่าๆ มาแบบนี้ก็แถจนมือหงิกเลยน่ะสิครับ
“เป็นไรของมึงอ่ะ ตอนแรกเห็นเร่งเชียว”
“......”
“นิน”
“…..”
“ไอ้นิน!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกฝ่ามือที่ขนาดไม่ต่างกันแตะเข้าที่ไหล่...ไม่สิ ต้องเรียกว่าตบดังป้าบเลยต่างหาก ชนินญ์หันหลังไปส่งสายตาดุใส่เฌอตินเพื่อนรัก แต่ทำได้ไม่นานก็ต้องรีบเบือนสายตากลับไปยังห้องสอบข้างๆ ตามเดิม
“เป็นไรอีก เหม่อจัง”
“ติน...คนนั้น”
“คนไหน?” เฌอตินชโงกมองไปตามเรียวนิ้วของเพื่อนชาย “ผมยาวๆ เซอร์ๆ อ่ะนะ?”
“ทำไมเขาดูดีจัง...”
ชนินญ์รู้สึกเหม่อลอย เสื้อช็อปสีน้ำตาลของคณะถ้าเดาไม่ผิดน่าจะสถาปัต เรือนผมหยิกนิดๆ ประบ่าคล้ายกับศิลปินติสท์ๆ ซักคน ส่วนสูงที่น่าจะสูงกว่าเขาซักหน่อยจนน่าซบ ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรงขนาดนี้...พ่อบอกว่า หัวใจคนเรามักไม่ได้เต้นตึกตักแบบนี้ตลอดเวลานักหรอก เว้นเสียแต่ว่า...
เราจะเจอคนที่ชอบ
“ชอบหรอ?”
“...อื้อ”
เด็กชายตอบไปอย่างล่องลอย เขาแทบไม่ได้ยินเสียงที่เฌอตินถามเลยแม้แต่นิด มันคล้ายกับประสาทสัมผัสทั้งหมดถูกปิดการใช้งานจนเหลือเพียงแต่ประสาทด้านการมองเห็นด้านเดียวที่ยังคงจ้องมองไล่ตามแผ่นหลังสมส่วนนั่นค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ
ยอมรับเลยว่ารสนิยมของเขาคือชอบผู้ชาย และนั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากับเฌอตินคบกันอยู่แค่สองคน เพราะเราต่างก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน... ทว่าไม่ใช่ผู้ชายทุกคนซะหน่อยที่เราจะรู้สึกสนใจ แหงสิ...คนอย่างเราๆ ก็มีสเปคเหมือนกันนะ และสเป็คของชนินญ์ก็คือ..
หนุ่มเซอร์
“เปิดเทอมมาได้ไม่กี่เดือนก็ปิ๊งหนุ่มซะละ”
“อย่าให้กูแซวมึงมั่งนะติน” ชนินญ์ชี้นิ้วดุเพื่อนรักราวกับกำลังกำความลับของอีกฝ่ายไว้เช่นเดียวกัน
“โอเคร เราจะไม่ล้อกันเนอะ”
“ให้มันได้อย่างนี้” คนพูดพยักหน้าพอใจ “อ๊ะ! ต้องไปดูรายชื่อ”
ว่าเสร็จชนินญ์ก็ปรี่เข้าไปดูแผ่นกระดาษที่แปะไว้บนประตูห้องสอบห้อง1417ที่อยู่ข้างๆ โห...เป็นนักศึกษาถาปัตจริงๆ ด้วย แถมยังมีตั้งเกือบสามสิบคนแน่ะ แสดงว่าเด็กถาปัตที่ว่าน่าจะยกขโยงกันลงเรียนวิชาเสรีของนิเทศกันตรึมเลยแฮะ
เดี๋ยวนะ...ปีสี่? งั้นก็แสดงว่าเป็นรุ่นพี่น่ะสิ มิหนำซ้ำยังแก่กว่าตั้งสามปีเลยหรอ แต่ไม่เป็นไร อายุไม่ใช่อุปสรรคซักหน่อย...หมายความว่าคนเราจะคบกันได้ต้องไม่สนเรื่องอายุต่างหาก
มันต้องมองกันที่ใจสิ
แต่เห้ย!! นี่เขาฝันเฟื่องไปไกลถึงขนาดนั้นเชียว ชนินญ์ทะเลาะกับตนเองอยู่คนเดียว...หยุดคิดเลยไอ้นิน...นี่คนที่เพิ่งจะรู้จักแค่ไม่กี่นาทีเองนะ ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ไอ้นินเอ๊ย
เมื่อออกจากห้วงความฝันได้ เด็กหนุ่มก็หลุดถอนหายใจ...นึกๆ ดูแล้วมันก็ยากเอามากๆ เลยแฮะที่เราจะเข้าไปอยู่ในใจของใครซักคนได้ คงจริงอย่างที่พ่อบอก...ความรักมันไม่เคยง่ายเลย...
ทำไมรู้สึกท้อตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้วล่ะ...
“ถ่ายรูปรายชื่อทำไมวะ?”
“ติน!” ชนินญ์ตบบ่าเพื่อนรักพร้อมจ้องมองด้วยสายตามุ่งมั่นโดยไม่ได้สนใจคำถามอีกฝ่ายแม้แต่นิด
“หะ...หา?” คนฟังชะงักเล็กน้อย อะไรของมัน อยู่ดีๆ ก็ทำท่าจริงจังซะงั้น
“มึงต้องช่วยกูหาเฟสพี่เขาให้เจอ!”
สุดจะจนปัญญา
ขนาดนักเขียนชื่อดังอย่างเฌอตินณาราผู้ที่สามารถหาเรฟเฟอร์เรนซ์อิมเมจนิยายได้ทุกคนตามใจนึกยังแห้วเป็นหมา ชนินญ์ไม่รู้ว่าทำไมพี่ถาปัตคนนั้นถึงไม่เล่นโซเชียลอะไรซักกะอย่าง
อย่าว่าแต่เฟสหรือไอจีเลย ความบังเอิญให้เห็นหน้ากันอีกซักครั้งก็ยังไม่มี สงสัยทฤษฏีแรงดึงดูดคงเป็นแค่หลักการหลอกเด็ก เพราะต่อให้เขาอยากจะดึงดูดพี่คนนั้นยังไง หากถ้าแรงดึงดูดจากอีกฝ่ายไม่รุนแรงมากพอ...ความสัมพันธ์ของเราก็คงริบหรี่
ชนินญ์คนนก...
“นิน พี่คนนั้นเขาใช่คนรึเปล่าอ่ะ ทำไมกูหาไม่เจอเลย”
“มึงนี่ก็…”
เด็กหนุ่มฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้หินอ่อนใต้ต้นมะขามต้นใหญ่ข้างคณะ พวกเขาหามาทั้งอาทิตย์แล้วนะ นี่ขนาดคณะอยู่ใกล้กันก็ไม่ยักกะเจอเลย ตกลงวันนั้นเขาไม่ได้ตาฟาดไปใช่ไหมเนี่ย...
“ลองเปลี่ยนเป้าหมายเป็นพี่กีฬาดูไหม กูเห็นพี่เขาก็สนใจมึงเหมือนกันมะ”
“มึงไม่เอาล่ะ พี่เขาก็ดูท่าสนใจมึงเหมือนกันนี่” ชนินญ์สวนกลับ
“มึงก็รู้ว่ากู...”
“เฮ้อ...กูก็คงเหมือนกันแหละมั้ง ดันลบภาพพี่เขาไม่ออกซะงั้น โคตรนิยาย”
ชนินญ์หลุดถอนหายใจอีกเฮือก สงสัยครั้งนี้จะถอนดังเกินไปจนไอ้เพื่อนรักต้องเอาฝ่ามือมาอังลม บางทีเฌอตินก็เป็นคนแปลกๆ ด้วยความที่จินตนาการมันล้ำลึก เจ้าตัวเลยชอบทำท่าทางพิลึก อย่างเอามือมาจับแก้มเวลาเขากินข้าว หรือจ้องมองเวลาเขางีบหลับ สงสัยจะเป็นวิธีการเก็บข้อมูลสำหรับเขียนนิยายของมันล่ะมั้ง...
“จ้างนักสืบป่ะ”
“ต้องขั้นนั้นเลยมั้ย”
“ก็กูหาไม่เจออ่ะ”
“มึงดูติดใจกับการหาไม่เจอจริงๆ เนอะ”
“แหงดิ ปกติมึงให้กูหาคอนแทคใครกูก็หาเจอหมด แล้วทำไมพี่คนนี้ไม่เจอนะ”
ชนินญ์ส่ายหน้าในความเว่อร์ของเพื่อนรัก ถึงเขาจะแอบปลื้มพี่ถาปัตคนนั้น แต่ก็ไม่ได้โหยหาถึงขนาดต้องจ้างนักสืบซะหน่อย... จริงๆ ก็อยากจ้างอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่า...เสียดายตังค์ แล้วก็...เขิน
เขินอะไรวะนิน ยังไม่ได้เจอกันเลย
“...ได้ครับ เดี๋ยวผมส่งรายชื่อไปให้นะ ครับ...ทั้งสามสิบคนนั่นแหละ”
“เห้ยๆ ไอ้ติน ทำอะไรเนี่ย”
เด็กหนุ่มเขย่าแขนเพื่อนรักเมื่อหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายที่กำลังยกหูโทรศัพท์คุยกับใครซักคน
อย่าบอกนะว่า…
“จ้างนักสืบไง”
“เชี่ยยยย!!” ชนินญ์อ้าปากหวอพร้อมอุทานเสียงหลง “มันแพงงง สามสิบคนจะกี่แสนวะนั่น”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจ่ายให้”
“เห้ย เงินแสนเลยนะเว้ย มึงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ติน กูไม่เอานะติน!!”
ชนินญ์รีบคัดค้าน ต่อให้รู้อยู่เต็มอกยังไงว่าเฌอตินเพื่อนรักเป็นมหาเศรษฐี แต่เขาก็ไม่ใจกล้าหน้าด้านขนาดเอาเงินเพื่อนมาจ้างนักสืบให้ไปค้นหาคอนแทคของคนที่แอบชอบหรอก
“ถือว่าเป็นของขวัญวันเกิดย้อนหลังสามปีรวดไง”
“มันจะต้องรวยอะไรขนาดนั้น”
“เอาน่านิน ไหนๆ กูก็จ้างไปแล้ว มึงไม่เอาก็เสียของนะ”
ชนินญ์มองค้อนเพื่อนรักด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย ก็ไม่คิดหรอกว่ามิตรภาพตอนซัมเมอร์สมัยมอสามที่เมกาจะทำให้เราสนิทกันมาถึงตอนนี้ เพราะเขาก็กลับมาต่อไฮสคูลที่ไทย ส่วนเฌอตินก็ยังคงอยู่ที่นั่นตามเดิม
“บลูฮาวายแก้วนึงครับ”
“พวกพนักงานชอบหายหัวไม่รับแขกเหมือนเดิมเลยเนอะ”
ประโยคแรกที่ได้คุยกันทำเอาเขาหุบยิ้มไม่หยุด...หากเป็นการแอบลอบยิ้มลับหลังพี่เจ้าของร้านคนนั้น เซอร์ไม่พอ ยังเป็นเจ้าของร้านเหล้าอีก ทำไมพี่ถึงได้คูลขนาดนี้นะ
“เรียกพี่เพิร์ทก็ได้”
“ครับ พี่เพิร์ท...”
ขนาดชื่อยังคูลเลย นี่เขาแอบชอบคนคูลขนาดนี้ไปได้ยังไงกัน ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เด็กชายกากๆ คนนึงจังเลยล่ะ แถมไอ้นิสัยยิ้มไม่หยุดก็ไม่รู้ดันแสดงออกมาตอนไหนบ้าง กลัวเหลือเกิน...กลัวว่าพี่เพิร์ทจะรู้ความลับ ความลับที่มีคนแอบชอบ เพราะถ้าเป็นงั้น...
พี่เพิร์ทคงไล่เขาออกจากร้านแน่ๆ
[ให้กูไปนั่งเป็นเพื่อนเปล่า กูไปนั่งเขียนนิยายเงียบๆ ได้นะ]
“ไม่ต้องเลย ถ้ามึงมาพี่เขาก็ไม่แวะมาคุยกับกูอ่ะดิ”
[ร้ายว่ะนิน กูยืมคาแรคเตอร์มึงแปป]
“จะทำอะไรก็ทำ แล้วไม่ต้องโทรมาเวลานี้อีกเข้าใจป่ะ”
[ใช่สิ]
“อย่ากวนตีนครับน้องเฌอติน แค่นี้แหละ ส่วนเรื่องเงินเดี๋ยวไว้กูช่วยเรื่องมึงกับพี่...”
[อ๊ะ ไม่ต้องเลย แค่นี้นะ!]
กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ชนินญ์มักจะต้องมานั่งชิวตรงโต๊ะมุมสุดของมันเดย์จนร้านปิดไปแล้ว ยิ่งพักหลังๆ พี่เพิร์ทดันชอบแวะมาคุยด้วยบ่อยๆ จนหัวใจเหมือนถูกชาร์จด้วยไฟฟ้าที่ไม่มีวันหมด
เขาเคยคิดนะว่าพี่เพิร์ทจะแอบชอบเขาอยู่บ้างหรือเปล่า หากแต่พอลองมองดูสถานการณ์รอบๆ กลับต้องหลุดขำแห้งๆ คนเดียว ก็เล่นมาทุกวันขนาดนี้ แถมมันเดย์ยังมีลูกค้าน้อยขนาดนี้ จะแปลกอะไรกันที่พี่เจ้าของร้านจะอยากทำความรู้จักเพื่อตีสนิทให้มาอุดหนุนตลอด
ช่างมันเถอะนิน...อย่างน้อยก็ได้คุยกับคนที่แอบชอบ
“พี่ว่าจะจ้างรีทัชรูปให้หน่อยอ่ะ ใกล้รับปริญญาแล้ว”
“ได้ครับ พี่สะดวกบรีฟงานทางโทรศัพท์หรือนัดเจออ่ะ?”
ปกติชนินญ์มักจะไม่ค่อยมามันเดย์ในวันจันทร์ซักเท่าไหร่หรอกเพราะพ่อชอบแวะมาหา แล้วก็พาไปกินข้าวรวมถึงขนมอร่อยๆ กันสองคน เขาเลยถือโอกาสนี้เดย์ออฟไปหนึ่งวันในตัว คิดๆ ดูก็ดีเหมือนกัน...หัวใจจะได้พักผ่อนบ้าง
เว้นเสียแต่วันนี้ที่พี่รหัสมัยมัธยมติดต่อจ้างกะทันหันให้รีทัชรูปสำหรับงานรับปริญญาปลายปี เขากะว่าจะทำให้ฟรีแหละ ยังไงก็พี่น้องกันนี่เนอะ อีกอย่าง...เขาอยากมาเจอพี่เพิร์ทด้วย ถึงแม้จะได้เจอแปปเดียวเพราะตอนเย็นต้องรีบกลับไปกินข้าวกับพ่อ และถึงแม้พรุ่งนี้หรือวันอื่นๆ ก็ยังจะได้เจอเหมือนเดิมก็ตาม
“น้องขาประจำคะ พอดีพี่เพิร์ทเรียกให้ขึ้นไปพบน่ะค่ะ น้องสะดวกขึ้นไปไหมเอ่ย”
“ผมหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ ห้องข้างบนนะ เดินขึ้นบันไดไปก็เจอเลย”
ชนินญ์ไม่รู้ว่าทำไมพี่เพิร์ทถึงเรียกให้เขาขึ้นไปหาที่ห้องข้างบนนั้น นี่เราสนิทกันถึงขนาดเขาห้องกันได้เลยหรอ หรือพี่เพิร์ทคิดจะจ้างงานอะไรเขารึเปล่าหว่า ต้องใช่แน่ๆ ...เพราะเขาก็ชอบยกคอมมาเนียนทำงานทุกวันเพื่อที่จะได้แอบส่องพี่แก
จริงๆ ก็มีงานทำแหละ คือเขารับงานรีทัชรูปมาทำแก้เขินน่ะ ขืนมานั่งเล่นคอมเฉยๆ คงได้โป๊ะแตกเขาซักวัน อาจด้วยเหตุนี้ล่ะมั้งคุณพี่รหัสถึงติดต่อมาให้ช่วยรีทัชรูป
ส่วนที่พี่เพิร์ทเรียกให้ขึ้นไปหานั้น...เอาวะ อีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าคุณพี่รหัสจะมา ขึ้นไปหาซักหน่อยคงไม่เป็นไร...พี่เพิร์ทคงจะมีธุระด่วนจริงๆ อีกอย่างก็...เขาอยากแอบดูห้องทำงานของพี่เพิร์ทด้วย
ก๊อก! ก๊อก!
“เข้ามาเลยครับ”
เสียงพี่เพิร์ทหรอ? ทำไมถึงไม่คุ้นเลยล่ะ ชนินญ์ขมวดคิ้วพลางกับเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ใส่ใจหลังคำอนุญาต ทว่าภาพตรงหน้าที่เห็นกลับทำเอาคนมองแทบล้มทั้งยืน
พี่เพิร์ทกับพี่เด็กเสิร์ฟกำลังจูบกัน...
อย่างนี้เองหรอกหรอ สองคนนี้เป็นแฟนกันหรอกหรอ นี่เขาหลงรักคนมีเจ้าของมาตลอดหรอกหรอ...
“พะ...พี่เพิร์ท”
“นะ...น้องนิน มันไม่ใช่แบบที่น้องคิดนะ!”
“ผมคงมารบกวน...”
ชนิญไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะจัดการความรู้สึกของตนเองยังไง รู้เพียงแค่ว่าเขาเดินออกมาจากห้องๆ นั้นอย่างเร็วพลันราวกับได้ตัดตัวตนออกจากโลกใบนี้ชั่วคราว...
ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่ทำไมถึงรู้สึกจุกอกขนาดนี้ล่ะ? มันไม่แฟร์ชะมัดเลย เขายังไม่ได้รักพี่เพิร์ทเลยนะ...เขาก็แค่...แอบชอบพี่เพิร์ท แล้วก็แค่...มีความสุขเวลาได้คุยกับพี่เพิร์ท
นี่เขาอกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยหรอ...
“ฮึก...”
ร้องไห้ออกมาเฉยเลยชนินญ์ ทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้ล่ะ เด็กหนุ่มยกแขนหนึ่งข้างปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะย่ำฝีเท้ารีบตรงยังลานจอดรถอย่างรวดเร็ว เรื่องงานไว้ค่อยนัดคุยทีหลังก็แล้วกัน วินาทีนี้เขาคงไม่สามารถทนให้ใครเห็นสภาพห่วยๆ ของตนเองได้
ถ้าเป็นเฌอตินคงไม่พ้นถูกอีกฝ่ายหยิบเรื่องนกๆ นี้ไปเขียนเป็นนิยายอีกแหง ส่วนถ้าเป็นพี่เพิร์ทคงถูกไล่ออกจากร้านโทษฐานคิดไม่ซื้อกับพี่พ่อค้า แย่ว่ะนิน...ทำไมการแอบรักใครซักคนมันถึงทรมานขนาดนี้
ถ้าเขาสามารถรีทัชความรู้สึกร้ายๆ ที่กำลังเป็นอยู่ออกไปได้ก็คงดี...
“มึงทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ยย!!” เพิร์ทยกมือปาดป้ายริมฝีปากอย่างขนลุกหลังถูกไอ้เด็กเวรจุมพิต
“นั่นไง น้องเขาชอบพี่จริงๆ ด้วย”
“ชะ...ชอบเหี้ยอะไร” ชายหนุ่มว่าตะกุกตะกัก
“พี่...ถ้าคนปกติเห็นคนจูบกันเขาคงแซวหรือทำหน้าล้อๆ ไม่ใช่วิ่งหนีไปแบบนั้น” คนที่ถูกผลักจนล้มลงไปกับพื้นยันตัวขึ้นพลางปัดเช็ดร่างกายเล็กน้อย “พี่เชื่อผมดิ น้องนินต้องชอบพี่แน่ๆ”
เพิร์ทกำหมัดแน่น เขาไม่รู้ว่าวินาทีนี้ตนเองควรทำอะไร เพราะเมื่อกี้สีหน้าของน้องนินเห็นได้ชัดว่าเจื่อนเอามากๆ น้องจะเข้าใจผิดหรือเปล่า...น้องจะเกลียดเขาหรือเปล่า
“ยัง...ยังไม่ตามไปอีก”
“ตะ...ตาม ทำไมวะ”
“ไปอธิบายไงโว้ยยยย จะให้น้องเขาเข้าใจผิดอย่างนี้เรอะ”
“ก็มึงเป็นคนทำให้เข้าใจผิดไม่ใช่รึไง!!”
“ยัง...ยังไม่ไปอีกคุณเจ้านาย”
“อ...เออ! ไปแล้ว”
เพิร์ทก้าวขาจนแทบจะวิ่งเพื่อมุ่งไปยังลานจอดรถ เขาไม่รู้หรอกว่าน้องนินกำลังจะไปไหน แต่ถ้าให้เดาน้องคงอยู่ที่นั่น ไม่รู้สิ...เขามีเซนส์ล่ะมั้ง หรือบางทีอาจเป็นเพราะหัวใจที่กำลังเต้นตึกตักคล้ายกำลังบอกทาง
ใช้เวลาไม่นานก็ตามทันเด็กหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มหวาน
ร่างสมส่วนโผเข้าไปหยุดยืนพร้อมกับอ้าแขนกั้นไม่ให้รถมอเตอร์ไซคันสีเหลืองเคลื่อนออกจากลานได้ เพิร์ทมาทันเวลาพอดี ทันเวลาพอที่จะทำให้เจ้าของหมวกกันน็อคหยุดชะงัก หากแต่ไม่ยอมเปิดใบหน้า
“พะ...พี่เพิร์ท...มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปิดหมวก...ก่อนดีไหม”
“ไม่ดีกว่า...ผมรีบ”
เพิร์ทยิ่งกำหมัดแน่นขึ้นไปอีก เขารับรู้ได้แน่ชัดเลยว่าตนเองแคร์ความรู้สึกของน้องมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในเวลานี้น้องกำลังเป็นอะไร
“ถอดได้มั้ย…นะ น้องนิน”
น้องชะงักเล็กน้อยคล้ายกับใช้ความคิด ก่อนจะค่อยๆ ดึงหมวกสีดำอันใหญ่ออกจากศีรษะ ริมฝีปากบางสวยเม้มแน่นเข้าหากันราวกับตื่นกลัว รอยยิ้มอันสดใสที่เคยมีจางหายไปจนหมด และที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ...
น้องร้องไห้...
“ผม...ขอโทษ ผมทำไม่ได้จริงๆ ฮึก”
“นะ...น้องนิน เป็นอะไร ทะ...ทำไมต้องร้อง”
เพิร์ทรีบปรี่เข้าไปจับตามเนื้อตัวเด็กชายที่กำลังสะอื้นไห้ ยอมรับเลยว่าเขาทำอะไรไม่ถูก ยิ่งโดยพื้นฐานเป็นคนป๊อดๆ อยู่ด้วยแล้ว พอมาเห็นคนที่ตนเองแอบชอบกำลังยืนร้องไห้เสียใจ ก็ยิ่งเหมือนร่างกายสูญเสียการควบคุม เขาอยากปลอบน้อง อยากกอดน้องเหลือเกิน....
แต่ติดตรงที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน
“...ไม่บอกก็ไม่เป็นไร ตะ...แต่ ให้พี่อยู่ข้างๆ ได้ไหม” เพิร์ทพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
เขาทำได้มากสุดก็เพียงแค่แตะไหล่ปลอบปะโลมด้วยแรงเบาบาง
“ฮึก ผม...ผมจะบอก”
ชนินญ์พยายามกลั้นน้ำตา เพราะเขาอดทนเก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่าพี่เพิร์ทกับพี่เด็กเสิร์ฟเป็นแฟนกัน...แต่อย่างน้อย ก็ขอให้เขาได้บอกความรู้สึกของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันเดย์จะกลายเป็นแค่ความทรงจำของสองเรา...
“ผมชอบพี่…”
แยกไม่ออกว่ามันเป็นความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างดีใจหรือตกใจ เพิร์ทไม่คิดว่าสิ่งที่ตนเองคาดหวังมาทั้งหมดจะกลายเป็นจริง เขาไม่ได้หูฝากไปอย่างนั้นหรอกหรอ น้องยิ้มหวานชอบเขา...อย่างงั้นหรอกหรอ
“น้องนิน...”
“…ผมขอโทษ” เด็กชายก้มหน้างุดราวกับรู้สึกผิด
“ขะ...ขอโทษทำไม”
“ผมไม่อยากทำให้พี่ลำบากใจ”
“ถ้าเราขอโทษพี่ พี่ก็คงต้องขอโทษเราเหมือนกัน”
เพิร์ทยกมือเกาแก้มเก้อๆ ตอนนี้โครงสร้างทั้งหมดในหัวใจดันถูกพังทลายลงด้วยคำพูดเพียงคำเดียว คำพูดที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยิน แต่ไม่เป็นไร...เขาเต็มใจให้มันพัง หากมันจะพังด้วยฝีมือของน้องนิน
“เพราะพี่ก็...ชอบน้องนิน”
“พะ...พี่เพิร์ท” เด็กหนุ่มยิ่งก้มหน้างุดมากขึ้นไปอีก “มะ....ไม่ต้องมาพูดให้ผม ฮึก...ดีใจเลย”
“พี่พูด...จริงๆ”
เพิร์ทกลืนน้ำลายดังเอื้อกก่อนจะรวบรวมความกล้าอันน้อยนิดเอื้อมมือไปจับฝ่ามือน้อยๆ ขึ้นมากุมไว้อย่างนุ่มนวล โว้ยยยย จับไปจนได้ แถมมือน้องยังโคตรนิ่ม นี่น่ะหรอมือของคนที่แอบชอบ มันนิ่มสะจนเขาอยากจับไปทั้งวัน ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เขาไม่เคยต้องอดทนฝืนอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย
หากแต่เป็นการฝืนที่สุขใจชะมัด
“……”
“ยะ...อย่าเงียบสิ พี่ใจคอไม่ดี”
“ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร…”
มันเหมือนฝัน คนที่ตามหามาตลอด คนที่เฌอตินเสียตังเกือบแสนเพื่อจ้างนักสืบ คนที่เขามานั่งเฝ้าทุกวันจนร้านปิด คนที่เขาลงทุนรับงานพิเศษเพื่อจะได้หาอะไรทำให้อยู่ใกล้ๆ
คนนั้นที่จู่ๆ ก็กลายมาเป็น...คนที่ชอบเรา
“ฮือ พี่พูดจริงๆ ใช่มั้ย” คนน้องยกมือปิดหน้า
“อะ...อื้อ พี่ชอบเรา...ชอบจริงๆ”
เพิร์ทรู้สึกหน้าแดงเมื่อต้องสารภาพความรู้สึกเป็นครั้งที่สอง ไม่วายก็ต้องหลุดยิ้มให้ความน่ารักของน้อง นี่น้องก็เขินเขาเหมือนกันใช่มั้ย...เขินเพราะรู้สึกเหมือนกับเขาใช่มั้ย
“แล้ว...เราควรทำอะไรต่อดีครับ” ชนินญ์ค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองร่างที่สูงกว่าเล็กน้อย
“กะ...ก็” เพิร์ทเกาแก้มด้วยนิ้วชี้พลางหลบสายตาเมื่อถูกเด็กชายที่แก้มแดงจากการร้องไห้ถามอย่างน่าเอ็นดู “ต่อไป...พี่ก็คงต้อง...จีบเรา”
“จีบจริงใช่มั้ย”
“จีบจริงๆ”
“งั้นผมจะไม่มาร้านพี่ทุกวันแล้วนะ”
“ดะ...ได้ไงล่ะ” เพิร์ทคิ้วตก “พี่ก็...เอ่อ...คิดถึงแย่ดิ”
ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทางเก้อกระดาก ถ้าไอ้ลูกน้องรู้มันคงล้อเขาไม่เลิกว่าพูดจาหวานๆ ก็เป็นด้วย ก็นะ...ความรักมักเปลี่ยนให้เรากลายเป็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเสมอแหละ เขาเคยอ่านผ่านหนังสือซักเล่ม
และข้อความนั้นก็แน่ชัดในวันนี้...
“ผมจะไม่มาเฝ้าพี่แล้ว มันทำให้ผมดูใจง่ายอ่ะ เพราะงั้นเราต้องเปลี่ยนกันบ้างนะครับ”
“พูดแบบนี้แปลว่าให้จีบใช่มั้ย”
ชนินญ์หลุดยิ้มหวาน ถึงแม้จะมีคราบน้ำตาเปรอะเลอะนิดๆ หากแต่รอยยิ้มอันมีเสน่ห์กลับเปรอเลอะกว่า บางทีคงถึงเวลาที่ต้องซื้อของขวัญวันเกิดย้อนหลังสามปีซ้อนให้เฌอตินเพื่อนรักเหมือนกัน
“ผมรอให้พี่จีบตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้ว”
==============================END==============================
To Be Continued in >>> I was sick on Tuesday
จบแย้วค่า เรื่องสั้นเรื่องแรกของเก๊า ไม่เคยเขียนแต่อยากลองดูแหะๆ ถ้าขาดความละเอียดอะไรบางอย่างไปก็แนะนำได้น้า พลอตอาจจะไม่ลึกเท่าไรเน้อออ
ปล. คอมเม้นติชมได้ คอมเม้นให้กำลังจัยเค้าก็ได้ ><
ปล2. ฝากแฮชแท็ก #วันเมาๆกับร้านเหล้าทั้งเจ็ด ในทวิตเตอร์ด้วยจย้าา
-
I was sick on Tuesday
01
มันเป็นค่ำคืนที่เสียงนกแสกน่ารำคาญบินว่อนอยู่บนดาดฟ้าคอนโด ความรู้สึกว้าวุ่นก่อตัวเกิดในจิตใจทำเอาสมองผมเริ่มวอกแวก เดือดร้อนอาร์มสตรองต้องขึ้นไปจัดการไล่เจ้ากลุ่มสิ่งมีชีวิตดังกล่าว
พิธีกำลังจะเริ่ม และผมก็มีโอกาสแค่ครั้งเดียว ปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดแถมยังเต็มดวงขนาดมหึมาไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ผมกำลังก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความเป็นผู้ใหญ่อีกขั้น หนทางที่ไม่สามารถหวนคืนกลับ
“เอาแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ย ถอนตัวยังทันนะ”
“ตัดสินใจไปแล้ว อย่าทำให้ไขว้เขวสิ”
“หึหึ ไม่เคยเลย แบบนี้สิน่าสนุก น่าสนุกที่สุด! ”
ก่อนจะฟังเรื่องราวอันแสนวุ่นวายในค่ำคืนคล้ายหนังสยองขวัญ ผมอยากเล่าที่มาของเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้เสียก่อน จริงๆ ก็ไม่ได้เรียกว่าแปลกประหลาดนักหรอก เพราะคนประเภทผมก็มักทำกัน
สวัสดีครับ ผมชื่อนะโม นักศึกษาแพทย์ปีสองผู้รักการเรียนเป็นชีวิตจิตใจ...
โกหกน่ะสิ ผมเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ทั่วไปที่ผลการเรียนอยู่ในระดับปานกลางไม่ได้โดดเด่น มีเพื่อนกลุ่มน้อยเท่าหยิบมือเพราะไม่ได้มนุษย์สัมพันธ์ดี หน้าตาจัดอยู่ในระดับหล่อ ผมคิดว่างั้นนะ แต่ที่ไม่ได้เป็นเดือนก็เพราะคณะแพทย์มันเป็นศูนย์รวมของพวกเหนือมนุษย์ที่นอกจากจะหัวกะทิดุจดั่งไอน์สไตน์กลับมาชาติมาเกิดกันแล้ว ยังมีแต่คนหน้าตาดีระดับเทพเต็มไปหมด
ทว่าช่างเถอะ...ผมไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจซะหน่อย เป็นนะโมโนบอดี้ต่อไปแบบนี้ก็สบายใจออก
“โม วันนี้เลี้ยงสายทิวซ์เดย์ เลิกเรียนกี่โมง ให้พี่ไปรับไหม”
“หกโมงครับพี่ไปป์ แต่เดี๋ยวโมไปเองดีกว่า พอดีมีธุระต้องจัดการก่อนที่ห้อง”
“ได้ ยังไงโทรบอกพี่ด้วยนะ”
พยักหน้ารับพร้อมอมยิ้มให้พี่รหัสที่กำลังโบกไม้โบกมือร่ำลาอยู่ตรงสะพานเชื่อมตึก พี่ไปป์เป็นพี่รหัสในสายที่ผมสนิทสุดๆ อาจเพราะได้มีโอกาสเป็นพี่เลี้ยงดาวเดือนตอนสมัยปีหนึ่ง แล้วเผอิญพี่แกก็เคยทำงานในส่วนนี้ด้วย เราจึงคุยกันถูกคอกันอย่างรวดเร็ว
ตอนเย็นผมต้องกลับห้องไปรับแอปเปิ้ลอาบยาพิษที่ม๊าส่งมาให้เพื่อส่งต่อปลีกให้ลูกค้า ม๊าบอกว่าให้ผมเป็นไลน์แมนเดลิเวอรี่ไปส่งจะสามารถอัพราคาได้มากกว่ายิงยาวจากบ้าน ส่วนกำไรที่ได้ก็ให้เอาเข้ากระเป๋าถือเป็นค่าขนมผมไป
บ้านผมทำธุรกิจเกี่ยวกับเกษตรกรรมโลกมืด ลูกค้าส่วนใหญ่ๆ ก็จะเป็นลุงๆ ป้าๆ แถบชานเมืองที่คอยรับซื้ออะไรทำนองนี้ผ่านเพจในเฟสบุค ขืนให้พี่ไปป์มารับคงได้มีคนเมาแอปเปิ้ลตาย
ใช่แล้วครับ...ผมเป็นพ่อมด
แต่ถ้าคุณกำลังนึกถึงภาพเด็กหนุ่มที่มีแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผาก ถือไม้กายสิทธิ์ ขี่ไม้กวาด แยกบ้านตามพรรคตามฝ่ายขอให้ลืมชุดความคิดทำนองนั้นไปเลย ชีวิตผมไม่ได้ใกล้เคียงกับเรื่องราวเหล่านั้นเลยซักนิด ผมก็เป็นแค่พ่อมดคนนึงที่กำลังเรียนแพทย์จนหัวฟู
จริงๆ ถ้าจะว่าใกล้ก็คงใกล้มั้ง หากคงเป็นช่วงชีวิตในอดีตเมื่อห้าปีก่อนหลังจากที่ผมเข้าพิธีแบพธิซึมหรือที่เรียกกันว่าพิธีล้างบาป ต่างจากของมนุษย์ตรงที่พ่อมดอย่างพวกเราจะเรียกว่าพิธีรับบาป
หลังรับบาปผมจะต้องเข้าเรียนโรงเรียนฝึกการใช้เวทย์มนต์อย่างเข้มงวดเป็นเวลาสามปี หลังจากนั้นจึงถูกปล่อยออกมาใช้ชีวิตตามปกติ ให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนชีวิตมัธยมปลายของพวกมนุษย์อีกนั่นแหละ บางคนก็ฝังใจกับชีวิตตอนนั้นราวกับว่าคือนรกเพราะโดนบูลลี่อย่างหนัก แต่สำหรับผมแล้ว สมัยเรียนมันสนุกสุดๆ ไปเลยต่างหาก
“ขอบคุณที่อุตส่าห์มาส่งนะจ๊ะ รบกวนแย่เลย พอดีแฟมมิเลียป้าไม่รู้ออกไปไหน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”
ยิ้มแหยะๆ ก่อนจะยกมือไหว้คุณป้าแล้วเดินออกมา แฟมมิเลียก็คือภูตรับใช้ที่พ่อมดแม่มดเลี้ยงไว้ติดตัว แฟมมิเลียของแต่ละคนนั้นจะอยู่ในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปตามที่เจ้าของปราถนา อย่างของผมก็เป็นเจ้ากบสีเขียวที่ชื่ออาร์มสตรอง อันที่จริงถึงผมจะชอบการ์ตูนกบเคอร์มิท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะอยากได้แฟมมิเลียเป็นกบซะหน่อย
แต่ช่างเถอะ...มีอาร์มสตรองมันก็คุยสนุกดี
ผมมาถึงทิวซ์เดย์ตอนสองทุ่มสิบห้า ถือว่าเลทกว่าเวลานัดสิบห้านาทีเพราะต้องอาบน้ำปะแป้งให้ดูดีกว่าปกติ มาร้านเหล้าทั้งทีจะแต่งตัวเชยๆ พี่รหัสคงอายตาย อีกอย่างผมกลัวไม่มั่นใจเวลาเจอใครบางคน
ทิวซ์เดย์เป็นร้านเหล้าในเครือเซเว่นบาร์อีกร้านที่ค่อนข้างบูมในหมู่วิศวะกับแพทย์ เรื่องมันแปลกตรงที่คณะสายแพทย์อื่นๆ ล้วนกระจุกอยู่เทิร์สเดย์กันหมด ยกเว้นคณะแพทย์เราที่ไม่รู้จับพัดจับผลูมาตั้งวงกับเหล่าวิศวะได้ยังไง
“วู้ว น้องหมอ มาคนเดียวหรอครับ”
“แก้มแดงน่ารักเชียว เขินพวกพี่หรอหืม”
ผมโดนนัวเนียโดยแก๊งค์วิศวะหน้าม่อที่กำลังยืนแอ๊วเด็กหน้าประตูร้าน ขนาดผมเป็นผู้ชายมันก็ยังไม่เว้นหรอวะ หรือจะเมาจนแยกหญิงแยกชายไม่ออก แล้วดูเข้า...ปากพูดไม่พอ มือยังเลื้อยมาลวนลามอีก เสกให้อ้วกออกมาเป็นแมลงดีไหม ผมถนัดเวทย์มนต์ทำนองนี้นะ อาร์มสตรองกินบ่อย
“ขอโทษครับ นี่ร้านเหล้า ไม่ใช่ซ่อง”
พี่ไปป์ขี่ม้าขาวมาช่วยพอดิบพอดี พวกมนุษย์วิศวะปากมอมจึงรอดพ้นจากคำสาปผมมาได้หวุดหวิด ถึงอย่างนั้น ขนาดเป็นระดับพี่ไปป์ก็ยังโดนพวกนี้แทะโลม แต่พี่ไปป์น่ะแข็งแกร่ง แซวมาแซวกลับไม่โกง ตอกหน้าหงายเก่งสมกับเป็นพี่รหัสของผมจริงๆ
สายรหัสเรามีกันอยู่เจ็ดแปดคน หรือเก้าหว่า...ถ้าให้ไล่ผมคงตายเพราะทักษะในการจดจำใบหน้าผู้คนนั้นติดลบเหลือเกิน ถ้าไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริงบอกเลยว่านะโมโนบอดี้จำไม่ได้แน่ๆ ครับแง่
“ไม่เรียนกันหรือไงเด็กพวกนี้ ขยันมาให้เลี้ยงซะจริง”
“โหย ใครจะให้เฮียเลี้ยงทุกรอบ ขาดทุนพอดี...ขอแค่เซ็ตเปิดก็พอครับแหะๆ”
พี่ไปป์ยกมือเกาหัวเก้อเขินคุยกับคู่สนทนาเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเรามาบ่อย พอเห็นพี่ไปป์เขินผมก็เขินตาม แต่เป็นเขินแบบที่เก็บอาการอยู่หมัด พ่อมดอย่างพวกเราไม่แสดงอาการประหม่าหรือความรู้สึกรักใคร่ออกมาให้ผู้อื่นเห็นอยู่แล้ว
“โม...จินโร่รสพีชเหมือนเดิมเนอะ”
ฝ่ามือใหญ่ของเขาที่วางทับแผ่วเบาลงมาบนหัวผมทำเอาหัวใจพองโตคล้ายจะระเบิดออกมา เป็นมนุษย์ประเภทไหนกันถึงสามารถทำให้พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านะโมหน้าร้อนขึ้นมาได้ ถ้าป๊ารู้คงล้อผมว่าเป็นพ่อมดกระจอก แล้วคงลงโทษด้วยการบังคับกินอึแมวแน่ๆ
“ครับ พี่ธรรพ์”
พี่ธรรพ์ ชายหนุ่มร่างสูง185เซนติเมตร เจ้าของทิวซ์เดย์ ลุคอปป้า แค่ปัดผมเป๋นิดเดียวก็ทำเอาสาวๆ ใจละลายเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ น้ำเสียงทุ้มติดแหบที่เมื่อได้ยินกี่ครั้งก็ทำเอาการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดรวนไปหมด ส่วนอีกเหตุผลคงเป็นเพราะพี่แกเปิดร้านเหล้าจึงทำให้ภาพลักษณ์ดูเหมือนคุณหมอแบดบอยสุดกร้าวใจ
และใช่ครับ...ผมตกหลุมรักพี่ธรรพ์
วินาทีแรกที่รู้ว่าตกหลุมรักเขา มันเป็นวินาทีเดียวกันที่ผมรู้ตัวว่าต้องแห้วแน่ๆ
เราต่างกันเกินไป ผมเป็นพ่อมด ส่วนพี่เขาเป็นมนุษย์ ถึงแม้กฎหมายฉบับใหม่ของโลกเวทย์มนต์จะไม่ได้ออกเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่าห้ามมนุษย์กับผู้ใช้คาถาคบกัน แต่ตามหลักครรลองคองธรรมแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพ่อมดดูท่าจะไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่
“ส่วนไปป์ก็ผสมโค้กกับโอเล่หนึ่งเม็ด”
ฟินได้ไม่นานพี่ธรรพ์ก็เป็นคนกระชากผมลงมาจากก้อนเมฆแห่งความเพ้อฝันทันที พี่ธรรพ์เป็นพี่รหัสสายเดียวกับผมที่เรียนจบไปนานมากแล้ว จริงๆ พี่เขาสามารถตัดสายไปเลยก็ได้ แต่เพราะความใจดีเกินเหตุนี่แหละ ผมถึงยังสามารถเป็นน้องรหัสของคุณธรรพ์เจ้าของทิวซ์เดย์มาจนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าพี่ธรรพ์ไม่ได้ปฏิบัติตัวน่ารักแบบนี้กับแค่ผมคนเดียว แต่เป็นกับน้องๆ ในสายรหัสทุกคน ขนาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยที่ว่าพี่ไปป์ชอบกินเหล้าผสมลูกอมโอเล่พี่แกยังจำได้ขึ้นใจ ผมที่ชอบกินจินโร่รสพีชจึงดูกระจอกไปโดยปริยาย
“มาเถอะ ฉลองสอบมิดเทอมเสร็จ พี่แบบโคตรอยากปลดปล่อย”
“แล้วไปป์ไม่ชวนน้องอุ่นมาด้วยหรอ”
“นี่เลี้ยงสายไงครับ โถ่...ไปป์ก็หล่อไม่แพ้ไอ้อุ่นหรอกน่า”
ผมนั่งฟังพี่ไปป์ถกเถียงกับพี่รหัสปีสี่ไปเรื่อย ส่วนน้องปีหนึ่งเห็นว่าจะตามมาทีหลัง ผมชอบบรรยากาศตอนที่ได้ฟังทุกคนเล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต มันเพลินดี ถ้ามีจังหวะผมก็มักตบมุกกับพี่ไปป์บ้าง พี่ๆ คนอื่นบ้าง ในเวลาเดียวกันเจ้าสายตาซุกซนก็มักเหลือบมองหาใครบางคนทันทีที่สบโอกาส
เพราะตัวตนของสองเรา ผมจึงรู้ดีว่าระหว่างผมกับพี่ธรรพ์นั้นเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเขายังเป็นพี่รหัส และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด...พี่ธรรพ์ไม่ได้ชอบผม
แต่ให้ทำไง ก็ผมชอบของผม แอบรักไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ไม่เห็นเสียหาย มันอาจเนิ่นนานจนถึงวันที่พี่เขาตาย แต่ก็ดีนะ อย่างน้อยผมก็ยังได้ขึ้นชื่อว่ารักคนคนหนึ่งจนวันตาย ความรักของผมจะดูยิ่งใหญ่ แหม...พ่อมดเราอายุยืนเป็นหมื่นปี แค่หลงรักมนุษย์คนนึงที่อายุไม่เกินร้อยมันจะไปเจ็บอะไรมากมาย อีกอย่างผมก็เพิ่งจะยี่สิบเอ็ด
ทว่าผมชอบพี่ธรรพ์จริงๆ นะ ชอบเวลารูปหน้าอันสมบูรณ์แบบอมยิ้มมองมาด้วยแววตาอบอุ่น แถมแผ่นอกใหญ่ๆ ที่มองแบบไม่ต้องถอดเสื้อก็ยังรู้เลยว่าน่ากอด ผมเป็นโรคบ้าพี่ธรรพ์ บ้าถึงขนาดให้อาร์มสตรองตามดูชีวิตประจำวันของพี่เขาตลอด ผมว่าสิ่งที่ผมกำลังเป็นมันเกินกว่าคำว่าคลั่ง ต้องใช้คำว่าอะไรล่ะ…
Obsess?
อื้อ ผม obsess พี่ธรรพ์มากๆ เลยล่ะ เป็นมาหนึ่งปี แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นไปจนถึงเมื่อไหร่ แต่ผมไม่ได้แคร์นะว่าคนจะมองว่าบ้า เพราะพ่อมดอย่างผมมักบ้าคลั่งอะไรบางอย่างแบบสุดโต่งอยู่แล้ว และที่สำคัญ...นอกจากอาร์มสตรองก็ไม่มีใครรู้ซะหน่อยว่าผมแอบชอบพี่ธรรพ์
เป็นความสัมพันธ์ที่วินๆ กันทั้งสองฝ่าย
เนอะพี่ธรรพ์ ;’ )
“ยิ้มอะไรน่ะโม”
“หืม...เปล่านะครับพี่ไปป์”
“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม เนี่ยแก้มยืดหมดแล้ว”
พูดไม่พอยังยื่นมือมาหยิกแก้มผมอีก พี่ไปป์น่ะชอบเล่นแก้มผมอยู่เรื่อย บางทีกลับห้องไปยังต้องคอยส่องกระจกเลยว่ามันแดงมากไหม แย่จัง...ผมอยากให้พี่ธรรพ์เล่นแก้มผมมั่ง
ผมได้แต่นั่งมองพี่เขาเป็นหมามองเครื่องบิน พี่ธรรพ์ชอบแวะมานั่งเล่นกับโต๊ะเราบ้าง แวะขึ้นไปสะสางงานบนออฟฟิศบ้าง พี่ธรรพ์ไม่ได้เป็นคนคุยสนุก คนคุยสนุกอ่ะพี่ไปป์นู่น แต่พี่ธรรพ์จะเป็นคนต่อบทสนทนาสนุก แค่เปิดประเด็นถาม พี่ธรรพ์ก็จะเล่าออกมาเป็นเรื่องราว และผมก็ชอบฟังเสียงพี่ธรรพ์ชะมัด
ตอนสี่ทุ่ม จินโร่สีชมพูของผมถูกซัดหมดไปหลายกระป๋อง ตอนนั้นพี่จิวพี่รหัสปีห้าก็มาพอดี ที่จำพี่จิวได้ก็เพราะในสายของเราปัจจุบันพี่จิวจัดว่าหน้าดีแบบสุดๆ ดีแค่ไหนเอาเป็นว่าพี่เขาได้เล่นซีรีส์หลายเรื่องเลยล่ะ พี่จิวเป็นไอดอลเรื่องการทำงานสำหรับผม เพราะสามารถเรียนหมอไปทำงานไปได้โดยไม่เกิดผลกระทบร้ายแรง ไม่รู้แบ่งเวลายังไง
แต่ก็แค่เรื่องงานล่ะนะ...
“ไปป์ แกว่าพี่ธรรพ์มีแฟนยังวะ”
“เท่าที่รู้จักมาก็ยังนะ พี่ธรรพ์ทำงานหนักจะตาย เอาเวลาไหนไปมีแฟน”
“งั้นแกช่วยพี่จีบพี่ธรรพ์หน่อย”
จินโร่ที่กระดกเข้าไปเมื่อครู่แทบจะพุ่งออกมาจากปาก ดีที่ยกมือปิดปากไว้ทัน ผมแก้ตัวกับทุกคนว่าเมาไปหน่อยเลยสำลักน้ำ และทุกคนก็คงเชื่อสังเกตได้จากแก้มแดงเป็นลูกลิงทั้งสองข้างของผม
“แต่พี่จิวมีแฟนแล้ว”
“คนคุยไม่นับว่าแฟน”
สาบานว่าตอนนั้นผมโกรธพี่จิวมาก ไม่ใช่เพราะฤทธิ์น้ำเมาหรอก ถึงอาการทางกายภาพจะบ่งบอกว่าผมคล้ายคนเมา แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใกล้เคียง พ่อมดไม่เมา ยิ่งผมที่ถูกฝึกมาให้คุ้นชินกับยาพิษด้วยแล้ว แอลกอฮอล์แค่นี้กระจอกมาก
“เห็นแก่ข้าวแดงแกงร้อนที่พี่เลี้ยงผมมานะ”
“ให้มันได้งี้”
“แต่ไม่รับประกันว่าจะจีบติด ผมแค่ช่วยเฉยๆ”
ไอ้พี่ไปป์คนทรยศ! ทำไมไปช่วยพี่จิว ทำไมไม่ช่วยน้องตัวเอง ผมอยากได้พี่ธรรพ์มากกว่าที่พี่จิวอยากได้อีก ผมชอบของผมมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนนั้นพี่จิวก็ไม่ยักจะเห็นรู้สึกสนใจอะไรพี่ธรรพ์เลย แถมยังควงหนุ่มน้อยมากหน้าหลายตา มีแต่ผมที่รักมั่นคง ทำไมโลกนี้ไม่แฟร์
ผมนั่งหน้ามุ่ยฟังแผนการที่พี่จิวกับพี่ไปป์กำลังวางแผนจับพี่ธรรพ์ เป็นแผนการตามแบบฉบับละครยุคเก่าที่ตัวร้ายแสร้งเมาขอให้พระเอกไปส่งที่บ้าน จากนั้นจึงค่อยสานสัมพันธ์กันยาวๆ พี่จิวต้องการแค่โอกาส ส่วนที่เหลือเจ้าตัวคงมั่นใจได้ว่าจะจับพี่ธรรพ์อยู่หมัด
และผมก็มั่นใจว่าพี่จิวทำได้ ก็พี่จิวหน้าตาดีซะขนาดนั้น...
เป็นตอนนั้นเองที่สายตาผมสบประสานกับคนที่นั่งอยู่บนห้องทำงาน พี่ธรรพ์เปิดผ้าม่านออกเหลือเพียงกระจกใสกั้นจึงทำให้คนข้างล่างสามารถมองเห็นได้โดยไม่ยาก
ว่ากันว่าถ้าเราสบตาใครนั่นหมายความว่าเขาผู้นั้นกำลังแอบมองเราอยู่ ผมคิดว่าทฤษฏีนี้คงจริง แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ไม่สิ...ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ เพราะพี่ธรรพ์ดันหันไปยิ้มต่อให้พี่จิวหน้าตาเฉย
ผมกลายเป็นแค่ทางผ่าน
วินาทีนั้นความรู้สึกในอกมันวูบโหวง แค่คิดว่าผู้ชายอบอุ่นที่ชอบสั่งจินโร่รสพีชให้ผมกำลังจะกลายเป็นของคนอื่นผมก็ยิ่งเจ็บปวด ผมสงสารพี่ธรรพ์ ไม่อยากให้คนดีๆ อย่างพี่ธรรพ์คบกับพี่จิวเลย อย่างเลวร้ายที่สุดพี่ไปป์ขี้เมาของผมยังดีซะกว่า อีกอย่างพี่จิวน่ะไม่ได้จริงใจ คนที่ไม่เคยคบใครเกินสองเดือนแบบนั้น มองปร้าดเดียวก็รู้แล้วว่าพี่ธรรพ์ต้องโดนทิ้งเข้าในเร็ววัน
“ไปไหนน่ะโม?”
“เข้าห้องน้ำครับ”
“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”
“โมไปแปปเดียว พี่ไปป์คุยกับพี่จิวต่อเถอะ”
ผมปวดไมเกรน มันเป็นผลพวงมาจากการคิดมากผมรู้ดี เป็นโรคประจำตัวที่รักษายังไงก็ไม่หายมาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่คิดหรอกว่าการที่คนที่เราแอบชอบกำลังจะกลายเป็นของคนอื่นมันทำให้ปวดหัวขนาดนี้
ผมเดินเข้ามาในห้องน้ำเพื่อล้างหน้า ปล่อยให้สายน้ำเย็นๆ ไหลผ่านใบหน้าคงทำให้สมองแล่นขึ้น อื้ม...รักษาได้ไม่อยากหรอก แค่ทำจิตใจให้ผ่อนคลายกับหยุดคิดฟุ้งซ่านอาการก็ทุเลาลงไปเปราะนึง
เมื่อวักน้ำล้างหน้าจนสาแก่ใจ ภาพในกระจกบานใหญ่ก็สะท้อนเงาของใครบางคนอันคุ้นเคย ผมจากที่ปวดหัวก็เปลี่ยนมาเป็นปวดใจเฉยเลย ใจมันเต้นตึกตัก พี่ธรรพ์เดินหน้ายู่เข้ามาในห้องน้ำ เดาได้เลยว่าคงหนักใจเรื่องงาน พักนี้ที่โรงพยาบาลคงงานเยอะล่ะสิ เป็นทั้งหมอและเจ้าของร้านเหล้าก็เหนื่อยแบบนี้
อ่า....นี่ผมคิดแทนพี่ธรรพ์หมดเลย
“กินเยอะน่ะสิเรา”
พี่ธรรพ์วางมือบนหัวผมอย่างเคย ผมเกลียดพี่ธรรพ์ตรงนี้ชะมัด พี่ชอบทำแบบนี้กับน้องทุกคน ทำไมอ่ะ ทำไมพี่ถึงทำแบบนี้กับผมคนเดียวไม่ได้ ผมอยากพิเศษสำหรับพี่...คนเดียว
“งานยุ่งหรอครับ”
“ประมาณนั้น วันนี้คงไม่ได้อยู่คุยอีกแล้วนะ”
“ครับ...ไม่เป็นไร”
ผมฉีกยิ้มหวานเป็นกำลังใจให้พี่ธรรพ์ แอบแฝงความหมายบางอย่างลงไปว่าผมชอบพี่ แต่ยิ้มที่พี่เขาตอบกลับมาแม่งโคตรผู้ใหญ่ เหมือนคุณพ่อยิ้มให้ลูกชายเลย โถ่...พี่ควรแยกยิ้มให้ออกนะครับว่าแบบนี้แปลว่ามีคนกำลังชอบ
ผมถอนหายใจในตอนที่แผ่นหลังสูงใหญ่หายลับขอบประตูไป เอายังไงดี...พี่ธรรพ์ต้องกลายเป็นของพี่จิวแน่ๆ ผมถอนหายใจอีกรอบก่อนจะเหลือบไปเห็นผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายทำหล่นไว้บนพื้น
คงจะเป็นตอนที่พี่ธรรพ์หยิบออกมาเช็ดแล้วเก็บใส่กระเป๋าไม่ลึก
ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าดังกล่าวขึ้นมาดม กลิ่นพี่ธรรพ์เป็นกลิ่นของผู้ใหญ่ เป็นกลิ่นที่ดมแล้วรู้สึกสะอาดและผ่อนคลายมากๆ ยิ่งกลิ่นโคโลญจ์ตอนพี่เขาเข้ามาใกล้ๆ ยิ่งทำลายล้าง
ทันใดนั้นความคิดชั่วร้ายบางอย่างก็ผุดขึ้นในหัว ผมดันนึกถึงคาถาโบราณในคัมภีร์เวทมนต์ เป็นคาถาที่พ่อมดแม่มดมักใช้กันในสมัยก่อนเพื่อกักขังมนุษย์ไว้เป็นทาสรับใช้
การทำเสน่ห์
ผมง่วนอยู่กับการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับทำพิธีในคืนถัดมา เพราะมันตรงกับคืนพระจันทร์สีเลือดที่ประตูนรกจะเปิดออกอย่างเต็มที่ พลังของท่านซาตานจะช่วยให้ผมสามารถใช้เวทมนต์ได้เกินขีดจำกัด
อาจลืมบอกไป...ผมเป็นพ่อมดมืด หรือที่เรียกกันว่าวอร์ลอค ผู้บูชาศาสตร์มืดทุกสรรพสิ่ง ผมปฏิเสธเทพเจ้าและยอมรับซาตาน ต่างจากพวกพ่อมดขาวที่เลือกอยู่ข้างพระเจ้า และบูชาพลังของธรรมชาติและความดีงาม
บางคนอาจคิดว่าคนที่บูชาศาสตร์มืดต้องเป็นตัวร้ายอย่างในละคร คอยกลั่นแกล้งชาวบ้านไปวันๆ แต่บอกเลยว่านั่นมันไร้สาระมาก การเลือกฝ่ายเป็นเพียงแค่ความเชื่อ และการที่ผมไม่ยอมรับพระเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องคอยทำร้ายคนอื่นซะหน่อย
กลับกัน...ผมกับพวกพ่อมดขาวก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข เราแค่ต่างนับถือและเคารพในสิ่งที่ต่างกันออกไป แหงล่ะ...นี่มันยุคสี่จุดศูนย์แล้วครับ ความคิดล้าหลังน่ะลืมไปได้เลย
“เอาแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ย ถอนตัวยังทันนะ”
อาร์มสตรองที่นั่งอยู่อีกฝั่งของวงเวทย์เพนทากอนกล่าวขึ้น วัตถุดิบส่วนใหญ่ก็เป็นเจ้าตัวทั้งนั้นแหละที่หามาให้ นึกอยู่เหมือนกันว่าชีวิตที่ไม่มีแฟมมิเลียมันจะลำบากขนาดไหน
“ตัดสินใจไปแล้ว อย่าทำให้ไขว้เขวสิ”
“หึหึ ไม่เคยเลย แบบนี้สิน่าสนุก น่าสนุกที่สุด!”
แฟมมิเลียย่อมสนับสนุนเจ้าของ ยิ่งหนทางในการเข้าสู่ด้านมืดด้วยแล้วยิ่งไม่มีเหตุผลต้องให้ขัดขวาง บางทีผมก็เกลียดยิ้มตัวร้ายแบบนั้นของอาร์มสตรอง บอกแล้วไงว่าผมต้องไม่เป็นตัวร้าย ผมก็แค่เด็กผู้ชายคนนึงที่หลงรักพี่ธรรพ์ และไม่อยากให้พี่ธรรพ์ต้องตกเป็นเหยื่อของคนหลายใจอย่างพี่จิว
กลายเป็นว่าผมยอมแหกกฎการล้ำเส้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพ่อมดซะงั้น แต่ทำไงได้...พี่ธรรพ์คบกับผมอาจมีความสุขมากกว่าคบกับพี่จิว อย่างน้อยพี่ธรรพ์ก็ไม่ต้องเจ็บ
เพราะผมรักพี่ธรรพ์มาก...พ่อมดย่อมรู้หัวใจของตนเองดีกว่ามนุษย์หลายเท่า
‘ในนามของผู้ใช้คาถา ข้าขอปฏิเสธพระเจ้า และยอมรับซาตาน...’
เวทมนต์อาจทำให้พี่ธรรพ์ทรมาน แต่มั่นใจเถอะว่าผมจะไม่มีวันปล่อยให้พี่ธรรพ์เป็นอะไรไป
‘...ปฏิเสธเทพแห่งความรัก และยอมรับเทพแห่งความมัวเมา’
อย่างน้อยก็แค่ช่วงนี้ ช่วงที่พี่ธรรพ์ได้เป็นของผม ผมจะทำให้พี่ธรรพ์กลายเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุด
‘ข้าใช้หัวใจ แลกกับหัวใจ ผูกพันกันไปชั่วกาล ก่อนฟ้ารุ่งสางจะลืมตื่น พันธนาการด้วยจิตวิญญาณ...’
...ในคืนนั้นผมร่ายมนต์ และทำให้เขากลายเป็นของผม
ทั้งหัวใจ…
tbc.
=======================================
สามตอนจบเช่นเคยค่ะ เดี๋ยวมาทยอยอัพทุกวันนะค้า เม้นให้กำลังเค้าหน่อยเน้อ
ฝากแท็ก #วันเมาๆกับร้านเหล้าทั้งเจ็ด ในทวิตเตอร์ด้วยจ้า
-
สงสารบอส นกอยู่คนเดียว อวยพรให้นางได้ผู้ ถึงบอสแกจะดูแมนโคตรๆก็เถอะ
รอตอพี่ทันจ้า
-
:L2: :pig4:
-
รอจ้า
-
I was sick on Tuesday
02
ผมตื่นขึ้นมาในตอนเกือบสิบโมงเช้าด้วยอาการอ่อนเพลียขั้นสุด แขนสั้นๆ ยืดออกมาจากผ้าห่มผืนใหญ่บิดขี้เกียจทั้งๆ ท่านอนอยู่สองสามที ก่อนจะพลิกตัวเกี่ยวขากับหมอนข้าง เอื้อมมือไปหยิบเจ้าสมาร์ทโฟสคู่ใจไถเล่นตามปกติ
ดวงตาของผมคล้ายจะปิดลงอีกครั้งเมื่อความง่วงเข้าจู่โจม ไม่ไหวอ่ะ...ผมใช้เวทย์มนต์เยอะเกินไป เวทมนต์ระดับนั้น กับอายุแค่ยี่สิบเอ็ดมันช่างหนักหน่วงเหลือเกิน ร่างกายผมปวกเปียกต้องการการพักผ่อน
แต่อาร์มสตรองจอมยุ่งกลับปลุกอะไรผมอีกไม่รู้ ผมเอาหมอนปิดหน้า แต่ไอ้กบเขียวก็ยังกระโดดหยองๆ ยุกยิกอยู่บนหมอนผมไม่หยุด
“โมตื่นได้แล้วโม โม... นะโมโว้ยยยย!!”
“วันนี้วันอาทิตย์ ไม่มีเรียน อาหารทำกินเองก่อนได้มั้ย”
“คนที่แกทำเสน่ห์ใส่เมื่อคืนกำลังจะมาแล้ว”
ผมตื่นเต็มตาทันทีหลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตนเองทำเสน่ห์ใส่ใครเอาไว้ วินาทีนี้ร่างกายกากๆ ก็ร่างกายกากๆ เถอะ ผมต้องรีบเก็บห้องโดยเฉพาะตรงลานพิธีหน้าเตียงที่มีอักษรเลือดวงเวทย์เพนทากอนวาดอยู่ มันไม่ใช่เลือดผมหรอกไม่ต้องตกใจ เพราะสิ่งที่ต้องตกใจก็คือข้าวของอันระเกะระกะที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
“ฮือ ทำไมของเยอะแบบนี้อ่ะอาร์ม”
“แกเป็นคนให้หามาเองนี่นา”
บ่นไปแต่ก็ต้องช่วยกันเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลงกล่องกระดาษให้มิดชิดอยู่ดี ขืนพี่ธรรพ์มาเห็นห้องผมตอนนี้มีหวังคิดว่าผมเป็นหมอผีแน่ๆ ถึงจะโดนเสน่ห์แต่ก็ใช่ว่าพี่ธรรพ์จะหลงผมมัวเมาแบบเชื่อทุกอย่างที่พูด
มนต์เสน่ห์ขั้นสูงที่ผมทำเรียกว่า ‘คาถาพิชิตใจ’ มันเป็นคาถาหนึ่ง ในหมวดหมู่การสะกดจิตที่จะทำให้ความทรงจำบางอย่างของเหยื่อถูกบิดเบือนจนเกิดการรับรู้คลาดเคลื่อน เหมือนจิกซอว์ด้านความทรงจำเกี่ยวกับความรักของพี่ธรรพ์จะถูกรีเซตใหม่ลงไปว่ามีผมเป็นคนรัก
พูดง่ายๆ ก็คือพี่ธรรพ์จะไม่ได้หลงผมหน้ามืดตามัวเหมือนอย่างในละครที่มนุษย์ทำกัน พี่ธรรพ์ก็เป็นพี่ธรรพ์คนเดิม หากเป็นพี่ธรรพ์ผู้มาพร้อมกับความทรงจำชุดใหม่ว่าเจ้าตัวรักผมมาก อันหลังผมอ่านมาจากคำอธิบายในหนังสือนะ ของจริงต้องรอดูพร้อมกันอ่ะ
ผมเก็บของทุกอย่างที่มีลักษณะปะเจิดปะเจ้ออันสามารถบ่งบอกได้ว่าผมไม่ใช่บุคคลธรรมดาเข้ากล่องกระดาษจนหมด จริงๆ มันก็ไม่เยอะหรอก เพราะผมไม่ใช่พวกทำพิธีกรรมบ่อยๆ เวลาใช้เวทมนต์ก็จะใช้คาถาง่ายๆ ที่ไม่ต้องเตรียมวัสดุแค่ร่ายปากเปล่า แต่มันเหนื่อยสะสมจากกิจกรรมเมื่อคืน
“โม นาฬิกาเก็บไหม”
ผมเด้งตัวออกจากเตียงหลังนอนแผ่หลาพักได้ไม่ถึงนาที เพ่งมองนาฬิกาในมือเจ้ากบเขียวด้วยแววตาโรยรา เป็นนาฬิกาห้อยคอสีทองที่ขอบด้านล่างสลักรูปดาวไว้หนึ่งดวง ฝาด้านในสลักชื่อจริงของผมด้วยฟอนต์ร่วมสมัย รูปทรงสุดประณีตและโดดเด่น สัญลักษณ์ของผู้ใช้คาคา ผมได้มันมาหลังพิธีจบการศึกษาสมัยเรียนโรงเรียนเวทย์มนต์
“งืม...ต้องเก็บไว้สิ”
ยื่นมือไปหยิบเอาเจ้านาฬิกาดังกล่าวยัดใส่กระเป๋าเป้แทนการเอาใส่กล่องกระดาษเหมือนอุปกรณ์อื่นๆ กลัวหายอ่ะ นาฬากาเรือนนี้สำคัญกับชีวิตพ่อมดอย่างผมมากเลยนะ ครั้นจะใส่ห้อยคอเป็นจี้เครื่องประดับก็คงจะดูเว่อร์เกินคนปกติไป เอาเป็นว่าเก็บไว้ในที่ปลอดภัยก่อนดีกว่า...
เสียงออดดังขึ้น แง่ ผมเลิกลั่กแล้ว ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว หัวใจมันเต้นกระวนกระวายไปหมด แค่เพียงคิดว่าชายหนุ่มด้านหลังบานประตูนั้นเป็นใครก็ทำเอาธาตุในร่างปั่นป่วนเหมือนมีพายุหมุนวนอยู่ ที่แย่กว่านั้นก็คือหน้าผมก็ยังไม่ได้ล้าง ฟันผมก็ยังไม่ได้แปรง พี่ธรรพ์ต้องมาเห็นผมในสภาพซอมบี้นะโมจริงๆ น่ะหรอ
กริ๊ก!
“พะ...พี่ธรรพ์!! เข้ามาได้ยังไงครับเนี่ย” ผมแหวเสียงหลง
ร่างสูงอมยิ้มพลางไหวไหล่อย่างไม่จริงจักนัก ก่อนจะวางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงบนโซฟา แล้วหยิบถุงกระดาษที่ดูท่าจะบรรจุห่ออาหารเดินเข้าไปในครัว
“ถามแปลก...ก็เปิดประตูเข้ามาสิครับ โมไม่เปิดประตูให้พี่ซักที” เขาตอบพลางจัดแจงจานชามวางลงบนโต๊ะ
ห้องของผมเป็นห้องสูท หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น แถมยังมีครัวในตัวให้พร้อมบรรเลงฝีมือเชฟกระทะเหล็ก ใช่แล้วล่ะ...ถึงครอบครัวผมจะเป็นเกษตรกร แต่เราก็เป็นผู้ใช้คาถาที่ฐานะดีระดับหนึ่ง ทว่านั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะมาคุยอวดในตอนนี้นี่นา
“พี่รู้รหัสห้องผมหรอ”
“แทนตัวเองว่าโม”
“...ครับ?”
“ไหนตกลงกันแล้วว่าเวลาคุยกับพี่ให้แทนตัวเองว่าโม”
ผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที พี่ธรรพ์เวอร์ชั่นแฟนทำไมถึงอ้อนให้ทำอะไรแบบนี้ล่ะ มาถึงก็กะฆ่ากันให้ตายไปข้างตั้งแต่เช้าเลยหรอ ร่างกายผมอ่อนแอนะ ผมชักจะรับไม่ไหวตั้งแต่เริ่มต้นแล้วนะ!
“พี่ธรรพ์ เอ่อ...รู้รหัสห้องโมได้ไงครับ” ว่าพร้อมเกาแก้มเก้อๆ หลบสายตาไปทางอื่น แต่ก็ไม่วายยอมทำตามที่อีกฝ่ายเรียกร้อง
“ก็พี่เป็นแฟนโมไงหืม...ถามแปลกจังเลยตัวเล็ก”
เขาเดินมาบิดแก้มผมอย่างหมั่นเขียว แถมยังยีหัวผมจนฟูฟ่องเหมือนคนโดนไฟช็อต ก่อนจะกลับเข้าไปล้างมือหน้าซิงค์ หยิบถุงแกงเทใส่ภาชนะคล้ายกำลังเตรียมอาหารเช้า
แง่...เขาเรียกผมว่าตัวเล็ก ไอ้พี่ธรรพ์บ้า ผมเขินมากนะว้อย ทำไมทำแบบนี้ เป็นแฟนกันแล้วคิดว่าจะทำตัวอันตรายยังไงก็ได้หรอ ผมใจบางฮืออ ส่วนอาร์มสตรองก็หายไปอยู่ในกล่องกระจกเอาตัวรอดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หน็อย...ไอ้กบเห็นแก่ตัว!
“พี่ว่าจะย้ายมาอยู่กับโมซักพักนะ” อีกฝ่ายชี้ไปยังกระเป๋าเป้เสื้อผ้าเป็นหลักฐาน
“แต่...คอนโดโมอยู่ไกลจากทิวซ์เดย์นะครับ”
“แต่ใกล้โรงพยาบาล”
“พี่อยู่ทิวซ์เดย์มากกว่าโรงพยาบาล…”
“พี่อยากอยู่กับโมนั่นแหละ”
โดนไปอีกหนึ่งช็อท อยู่ดีไม่ว่าดีอยากหัวใจล้มเหลวเป็นไงล่ะนะโม พี่ธรรพ์เวอร์ชั่นมนุษย์แฟนช่างทำลายล้างเหลือเกิน ผมจะอยู่ไหวมั้ยอ่ะ แค่คิดว่าต้องตื่นมาเจอผู้ชายที่แอบชอบพูดจาหวานๆ ใส่ทุกวัน หัวใจก็คล้ายจะละลายกลายเป็นน้ำเหลวเป๋ว
“แล้วยืนแก้มแดงอะไร ไปแปรงฟันสิ พี่หิวข้าว”
“เอ่อ...ครับ” ผมตอบรับก่อนจะรีบหมุนตัวตรงดิ่งไปยังห้องน้ำ
“เขินอะไรพี่ก็ไม่รู้ตั้งแต่เช้าเด็กคนนี้” อีกฝ่ายเอ่ยไล่หลัง
“ผะ...ผมไม่ได้เขินซะหน่อย!”
ปิดประตูดังปัง ก่อนจะเท้าฝ่ามือทั้งสองข้างกับซิงค์มองตนเองผ่านบานกระจก ไม่เขินก็บ้าแล้วหน้าแดงแปร๊ดเป็นลูกแอปเปิลอาบยาพิษที่บ้านเลย
ผมวักน้ำที่ไหลจากก๊อกผ่านใบหน้าเพื่อดับความร้อน อะไรกันนะโม เป็นคนทำเสน่ห์เองจะมาพ่ายแพ้เองได้ยังไงกัน ตอนนี้ต้องมีสติ สติสำคัญที่สุด ผมหายใจเข้าออกซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนแก่เตรียมพร้อมรำไทเก๊ก
“พี่ธรรพ์เป็นแฟนเรา พี่ธรรพ์เป็นแฟนเรา...”
สะกดจิตตัวเองอยู่นานสองนานเรียกความกล้า ผมต้องเลิกประหม่า มันไม่มีอะไรเลยแค่แฟนมาหาที่ห้องเอง ใช่แล้วล่ะ ผู้ชายคนนี้รักผม และผมก็รักผู้ชายคนนี้ ผมสามารถทำตัวเป็นมนุษย์แฟนเด็กเท่าไหร่ก็ได้อย่างที่อยากทำมาตลอด กล้าๆ หน่อยสินะโม ตอนนี้เขาเป็นของเราแล้ว
“โมครับ พี่หิว”
“ครับๆ เสร็จแล้วครับ”
ผมรีบสะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่าน จัดการกิจวัตรในห้องน้ำให้เสร็จ ออกมาก็เห็นใครบางคนนั่งอมยิ้มมองมาจากโต๊ะกินข้าว พี่ธรรพ์จัดการเตรียมจานชามเสร็จสรรพ โถ่...มาห้องผมครั้งแรกก็ยังต้องเลี้ยงข้าวผมอีกหรอ รู้สึกเป็นแฟนที่แย่จัง
“เรียนเป็นไงบ้างน่ะเรา”
“ก็ดีครับ..แต่นิวโรยากมากเลย”
ผมมุ่ยปาก พี่ธรรพ์อมยิ้มไม่หยุด ฝ่ามือใหญ่ของเขาคอยตักนู่นตักนี่ให้ผมกินตลอดทั้งมื้ออาหาร ความลับอย่างแรกที่ค้นผมค้นพบในตัวพี่ธรรพ์เลยก็คือ เขาเป็นคนชวนคุยเก่งในระดับหนึ่ง
ต่างจากตอนอยู่ทิวซ์เดย์ที่มักเป็นคนเงียบๆ คอยรับส่งบทสนทนา พี่ธรรพ์สามารถสรรหาเรื่องมาคุยกับผมตั้งแต่ปัญหารถติดหยุมหยิมจนถึงวาระอันยิ่งใหญ่อย่างการเลือกตั้ง ผมไม่ได้รังเกียจคนพูดมากนะ เพราะผมเองก็พูดมากกับคนที่สนิทเหมือนกัน
“กินเลอะจังเลยหืม”
ผมนั่งนิ่งให้เขาเช็ดปากด้วยนิ้วมือ ความลับอย่างที่สองที่ผมค้นพบในตัวพี่ธรรพ์ก็คือ เขาเป็นคุณหมอแบบคุณหมอมากๆ อาหารทุกอย่างล้วนดีต่อสุขภาพ วิธีการคิดต่างๆ ก็ต้องเบสออนสุขภาพ เหมือนพี่ธรรพ์วางแผนชีวิตมาแล้วว่าอายุเท่านี้มีเป้าหมายจะทำอะไร และดูเหมือนว่าจะวางไว้เผื่อผมด้วยล่ะ
“เดี๋ยวโมล้างจานให้...”
“ปกติเราล้างด้วยกัน”
แน่ะ ไอ้คาถาพิชิตใจนี่ชักจะเล่นใหญ่เกินเบอร์สมกับเป็นเวทมนตร์ขั้นสูง อยากรู้จริงๆ ว่าพี่ธรรพ์ถูกเซ็ตข้อมูลอะไรลงไปบ้าง เห็นทีว่าผมคงต้องเปิดหนังสืออ่านคำอธิบายการใช้คาถาบทนี้อย่างละเอียด ไม่ได้เลยนะ...พี่ธรรพ์น่ารักเกินไป ผมต้องหาวิธีรับมือ
“งืม...แค่วันนี้ก็ได้ พี่ธรรพ์ซื้อกับข้าวมาให้โมแล้ว ไปพักเถอะนะครับ”
“ก็ได้ครับ พี่นอนโซฟานะ โมล้างจานเสร็จแล้วมานอนกับพี่”
ผมพยักหน้ารับเก้อๆ เพราะหูแดงหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ ที่ว่าพ่อมดสามารถเก็บอาการความรู้สึกรักใคร่ได้นั้นคงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ผมควบคุมร่างกายไม่ได้ซักอย่างเลยเวลาอยู่ต่อหน้าเขา
ล้างเสร็จผมก็เดินมาทิ้งตัวลงบนพื้นที่ว่างบนโซฟาตามสัญญา พี่ธรรพ์ใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดเผยให้เห็นกล้ามอกจางๆ คิดไว้ไม่มีผิดว่าหุ่นต้องดี ผมพยายามมองไปทางโทรทัศน์เพราะกลัวจะโดนจับได้ว่าเป็นเด็กหื่น โถ่...ของแบบนี้เป็นใครก็ต้องมองหรือเปล่าล่ะ
ซักพักเขาก็เขยิบเข้ามาใกล้ผม ไม่ทันจะได้ชวนคุยก็ทิ้งศีรษะลงบนตักผมเฉยเลย
“พี่ธรรพ์...”
“ตักโมนุ่ม” คุณหมอเอ่ยเสียงยานคาง
“โมยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไร โมตัวหอม”
เขาว่าพร้อมหันหน้าเข้าแผ่นท้องผม ก่อนจะถูจมูกไปมา วินาทีนั้นผมยกหมอนขึ้นปิดหน้าทันที ไม่ไหวแล้วล่ะ ท่านนะโมจะตายแล้ว หนังสืออยู่ไหน ผมจะถอนมนต์แง่
“พี่ชอบเวลาโมเขินพี่”
“.....”
“เอาหมอนออกสิครับ พี่อยากเห็นหน้าโมตอนเขิน”
เขาไม่รอผมเอาหมอนลง แต่กระชากออกเลย โหย...ไอ้พี่ธรรพ์บ้า ผมเม้มปากแน่นพลางเสสายตาไปทางอื่น มือหนาของเขาเอื้อมขึ้นมาเกลี่ยไปตามริ้วแก้มของผมก่อนจะขอร้องให้สบตากัน
“เด็กอ้วน”
“อะไรเล่า โมไม่ได้อ้วนซะหน่อย หนักแค่ 60 เอง” ผมแหวกลับเสียงหลง
สูง173 หนัก 60 ไม่ได้เรียกว่าอ้วนนะครับ เรียกว่าสัดส่วนมาตรฐานสอดคล้องกับ BMI แบบนี้สิกำลังพอดี ถึงจะไม่มีกล้ามเนื้อเหมือนพี่ธรรพ์ แต่ของแบบนั้นใช้เวลาเข้าฟิตเนสซักสองสามเดือนก็คงจะได้ แต่เอ๊ะ...หรือผมจะใช้เวทมนตร์ดีหว่า มันมีคาถาเสกให้มีซิคแพคมั้ยนะ...
“หึ...อ้วนก็อ้วนไปสิ พี่ชอบเด็กอ้วน”
ผมไม่คุยกับพี่ธรรพ์แล้ว ดูทีวีสบายใจกว่าตั้งเยอะ ทว่าดูเหมือนใครบางคนจะคิดตรงกันข้าม เขานัวเนียผมไม่หยุด ลูบท้องผมมั่ง ลูบหัวผมมั่ง หยิกแก้มผมมั่ง พยายามทำใจให้แข็งแกร่งแต่มันก็มีบางช็อตที่ต้องใจบาง อย่างเช่นจู่ๆ เขาก็จับมือผมมาหอมแล้วบอกว่านะโมของพี่น่ารัก
เห้อ...ร้ายกาจจริงๆ เลยคุณหมอ
พี่ธรรพ์มีเข้าเวรทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็นตามเวลาราชการ แล้วถึงจะแวะเข้าร้านอีกทีตอนดึกๆ แบบอยู่ยาว ยกเว้นวันนี้ที่เขาลาช่วงเช้า ดังนั้นเวลาทั้งหมดจึงตกเป็นของผมโดยอัตโนมัติ เขาขยันมากเลยนะ เห็นว่าอยากเปิดคลินิกอีก แต่ผมว่าทำถ้าทำงั้นผมคงต้องช่วยร่ายมนต์ให้วันนึงมีซักห้าสิบชั่วโมง
“พี่ธรรพ์ครับ โมขอไปอาบน้ำได้มั้ย”
เมื่อเห็นว่าใครบางคนหยุดวอแวไปซักพักจึงก้มหน้าลงไปถาม ก่อนจะพบว่ามนุษย์ผู้อันตรายต่อหัวใจที่สุดได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมเกลี่ยเส้นผมที่ปรกตาเขาออกแผ่วเบาด้วยปลายนิ้ว ก่อนจะเริ่มลากไล้ไปตามรูปหน้าอันสมบูรณ์แบบ พี่ธรรพ์ก็หล่อจริงๆ นั่นแหละ ขนาดเวลาหลับยังหล่อ…
หัวใจผมเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในสถานะที่เรียกว่าแฟน แต่ก็ต้องกลับมาปวดใจอีกครั้งเมื่อคิดได้ว่ามนต์เสน่ห์ไม่สามารถคงอยู่ตลอดไป
ร่างกายของมนุษย์ต่างจากพ่อมด มันไม่สามารถรองรับระดับพลังงานเวทมนตร์มหาศาลได้เป็นเวลานาน ยิ่งเป็นคาถาพิชิตใจที่เป็นเวทมนตร์ขั้นสูงด้วยแล้ว ร่างกายของพี่ธรรพ์อาจจะทนได้อย่างมากสุดหกเดือน หรือโชคดีอาจนานถึงหนึ่งปี
ถ้าผมตกหลุมรักพ่อมดด้วยกันเรื่องคงง่ายกว่านี้ แต่นั่นมันช่างเพ้อฝัน ผมไม่สามารถทำเสน่ห์ใส่ผู้ใช้คาถาเช่นเดียวกันได้ สุดท้ายมนุษย์ก็จัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่างอ่อนแอเสมอ
“ทนหน่อยนะครับพี่ธรรพ์ ไม่นานหรอก ไม่นานโมจะปล่อยพี่ธรรพ์ให้กลายเป็นอิสระ...”
กระซิบแผ่วเบาบอกชายหนุ่มที่ติดอยู่ในห้วงนิทรา ขอแค่ตอนนี้ ช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาแห่งความสุขอันแสนสั้นที่เขาได้กลายเป็นของผม ผมไม่มีศรัทธากับคำว่าตลอดไปหรอก ขอแค่มันสามารถทำให้ความรู้สึกพองโต ถึงแม้จะได้สัมผัสแค่เพียงช่วงอึดใจ
ผมก็ยอม...
//มีต่อจ้า
-
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่ธรรพ์เริ่มคงตัวและดีมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มเขินเขาน้อยหลงแล้ว จะว่าไงดีล่ะ...มันก็ยังเขินอยู่ เพียงแต่ว่า ผมมีภูมิต้านทานไม่วิ่งแจ้นหนีหายเข้าไปในห้องน้ำเหมือนตอนแรกๆ
หลายเดือนมานี้ กิจวัตรประจำวันของผมกลายเป็นการมานั่งเฝ้าพี่ธรรพ์ยามว่าง ส่วนใหญ่จะเป็นที่ทิวซ์เดย์เพราะเป็นช่วงผมเลิกเรียน นานๆ ครั้งจะได้ไปโรงพยาบาล พี่ธรรพ์ไม่ค่อยอยากให้ไปที่นั่นเท่าไหร่เพราะกลัวติดเชื้อโรค พอได้ฟังเหตุผลก็อดขำในความห่วงใยไม่ได้ ผมเรียนหมอ ยังไงในอนาคตผมก็ต้องขลุกอยู่กับโรงพยาบาลอยู่แล้ว…
“โมง่วงมั้ย เดี๋ยวพี่ให้คนขับรถไปส่งตอนสี่ทุ่ม”
“พี่ธรรพ์ไม่อยากให้โมกลับด้วยหรอครับ?”
ผมวางไอแพดที่ใช้จดเลคเชอร์ลง มองเจ้าของร้านเจ้าเสน่ห์ที่กำลังเลิกคิ้วเป็นเชิงถามมาจากโต๊ะทำงาน ผมได้รับอภิสิทธิ์ให้ขึ้นมาบนนี้ในฐานะแฟนผู้บริหารทิวซ์เดย์ แน่นอนว่าพนักงานในร้านรับรู้หมดเพราะผมมาทุกวัน แต่เพราะไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่โตผมจึงขอร้องให้พี่ธรรพ์อย่าบอกใครยกเว้นคนสนิท
แต่จากการกระทำ ผู้พบเห็นก็คงเดาได้ไม่ยาก
“พี่ไม่อยากให้โมนอนดึกทุกวัน เรายังเด็กต้องพักผ่อนเยอะๆ”
“งั้นโมไม่มาเฝ้าพี่ธรรพ์แล้วก็ได้ครับ”
“อะไรกัน พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”
เขารีบลุกจากเก้าอี้ล้อเลื่อนตรงเข้ามาหาผม ทิ้งตัวลงข้างๆ พร้อมซบไหล่ออดอ้อน
“พี่แค่อยากให้โมอยู่ให้กำลังใจพี่ แต่พี่ก็อยากให้โมได้นอนเร็วเหมือนเด็กคนอื่น แต่ถ้าสิ่งที่พี่ทำมันทำให้โมไม่มีเวลาส่วนตัว โมไม่ต้องมาหาพี่ก็ได้ พี่จะอดทนรอเจอโมในตอนเช้า…”
อยู่ๆ ก็เข้าดราม่าเฉยเลย เพิ่งรู้นะว่าคุณเจ้าของทิวซ์เดย์เป็นดราม่าตัวพ่อ แล้วดูทำหน้าเข้า พูดมาขนาดนี้แล้วคิดว่าผมจะปฏิเสธเขาลงหรอ
“เอางี้ครับ เราจะกลับพร้อมกันตอนร้านปิดเนอะ โมจะได้อยู่กับพี่ธรรพ์ พี่ธรรพ์ก็จะได้มีกำลังใจทำงาน ส่วนเรื่องนอนพี่ธรรพ์ไม่ต้องเป็นห่วง โมชอบงีบช่วงหัวค่ำอยู่แล้ว นอนพอแน่นอน”
เขาอมยิ้มเหมือนพอใจในคำตอบ ฝ่ามือที่ใหญ่กว่ายกลูบหัวผมอย่างเอ็นดูก่อนจะกลับไปนั่งทำงานตามเดิม ส่วนผมก็กลับมาเลคเชอร์เนื้อหาเตรียมสอบตามเดิม
จริงๆ การเป็นแฟนกับพี่ธรรพ์ก็ดีนะ พี่ธรรพ์เรียนเก่ง เวลาผมสงสัยอะไรเขาก็ตอบได้หมด มิหนำซ้ำยังเป็นที่ปรึกษาที่ดีมากๆ คนนึงเลยล่ะ ผมคิดว่าชีวิตผมชักจะเคยชินกับการมีอยู่ของพี่ธรรพ์มากเกินไปแล้ว
ตอนสามทุ่มพี่ไปป์มานั่งชิวที่ร้าน เจ้าตัวแชทมาบอกให้ผมลงไปนั่งเป็นเพื่อน ผมขออนุญาตพี่ธรรพ์ผ่านถึงได้ลงไป เราติดขออนุญาตกันเวลาทำกิจกรรมต่างๆ
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ต้องขออนุญาตหรอก อย่างพี่ธรรพ์เวลาจะออกไปสังสรรค์ที่ไหนเขาก็มักขออนุญาตผมก่อนเสมอ แต่เรื่องแบบนั้นไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่เพราะชีวิตพี่ธรรพ์วันๆ ก็มีแค่โรงพยาบาล ทิวซ์เดย์
แล้วก็ผม....
“เห็นกี่ทีก็ช็อค โมกับพี่ธรรพ์เนี่ยนะ”
“แหะๆ พี่ไปป์ไม่ได้โกรธผมใช่มั้ย”
“ไร้สาระน่า น้องพี่ได้คนดีๆ เป็นแฟนพี่ก็ต้องดีใจสิ”
อีกฝ่ายส่ายหัวขำพร้อมกระดกแก้วของเหลวสีน้ำตาลเข้มเข้าปาก พี่ไปป์เล่าว่าพี่จิวโกรธมากตอนรู้เรื่องของผมกับพี่ธรรพ์ เจ้าตัวออกปากเลยว่าจะตัดสาย ถ้ามีการเลี้ยงสายจะต้องไม่เห็นผม
ว่ากันตามตรงผมไม่ได้แคร์พี่จิวนะ เขาจะโกรธก็โกรธไป เพราะเขาไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตผมอยู่แล้ว เงินก็ไม่ได้ให้ใช้เหมือนป๊ากับม๊า ชีทเรียนผมก็ขอพี่ไปป์ ถ้ากลัวจะโดนโกรธ ผมกลัวโดนพี่ไปป์โกรธมากกว่า พี่รหัสแสนดีเพียงคนเดียวของผม
ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ธรรพ์ฟัง พี่ธรรพ์บอกว่าอย่าไปใส่ใจ ถึงเขาตัดสายไปพี่ธรรพ์ก็เลี้ยงผมได้สบายอยู่ดี ‘โมจะกลัวอะไรครับ พี่เป็นทั้งแฟนโมทั้งพี่รหัสโม ถึงโมไม่มีพวกนั้นโมก็ยังมีพี่’ นั่นแหละ...ให้ท้ายผมเก่งเป็นที่หนึ่ง เคยรู้ตัวไหมว่าตนเองกำลังโดนทำเสน่ห์อยู่เนี่ย
นั่งคุยเล่นกับพี่ไปป์จนถึงห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนพี่ธรรพ์ก็ไลน์มาตามให้ผมขึ้นไปข้างบนได้แล้วเพราะต้องเตรียมเก็บของกลับบ้าน ผมร่ำลาพี่ไปป์ที่เปลี่ยนมาอมควันอยู่ด้านนอกร้านก่อนจะรีบวิ่งแจ้นขึ้นไปเพราะใครบางคนยืนกอดอกกดดันมองลงมา พี่ธรรพ์น่ะขี้หึงชะมัดเลย
แต่ผมช๊อบชอบ...
“ดึกขนาดนี้ ไปป์มันชวนคุยอะไรนักหนาหืม?”
“ก็คุยไปเรื่อยแหละครับ พี่ไปป์คุยสนุกจะตาย”
ผมว่าพร้อมเก็บสัมภาระทุกอย่างลงกระเป๋า แต่เก็บไม่ทันเสร็จก็ถูกใครบางคนสวมกอดจากด้านหลัง
“พี่ธรรพ์เดี๋ยวคนเห็น!”
“เห็นได้ไง นี่ห้องทำงานพี่”
จมูกโด่งไม่สนใจคำร้องประท้วง ซ้ำยังหอดฟุดฟิดไปมาตามซอกคอผมอีก ความลับอย่างที่สามที่ผมค้นพบในตัวพี่ธรรพ์ก็คือ เขาเป็นคนรุ่มร่ามมากกกกกก ชอบทำอะไรแบบนี้ตลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมเสียจูบแรกให้เขาไปแล้ว
มันเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่เราเป็นแฟนกัน เขามานั่งมองผมทำการบ้านตรงโซฟา นั่งมองอยู่นานจนผมถามว่ามีอะไร แล้วเขาก็ประกบปากลงมาทั้งอย่างนั้นโดยให้เหตุว่า เรายังไม่เคยจูบกันเลย ‘พี่ขอจูบนะโมได้มั้ย’
จำได้ว่าวันนั้นผมวิ่งหนีเข้าไปในห้องไม่คุยกับเขาเป็นชั่วโมง โอ้ย...ไอ้พี่ธรรพ์บ้า มันต้องรอให้ผมอนุญาตก่อนไม่ใช่หรอถึงจะจูบได้อ่ะ แล้วจู่ๆ มาจูบ...ต่อให้เป็นพ่อมดก็สามารถหัวใจวายตายได้เหมือนกันนะ
“ก็ห้องพี่ธรรพ์มันเป็นกระจก คนมองขึ้นมาก็เห็นหมดแล้ว”
“แสดงว่าโมแอบมองพี่บ่อย”
“ปล่อยก่อนสิครับถึงจะบอก...”
เขายอมปล่อยแต่โดยดี คงอยากรู้คำตอบมากสิท่า ผมเกลียดสายตาและรอยยิ้มล้อเลียนแบบนั้นของพี่ธรรพ์มาก เขารู้ดีว่าเราจะไม่โกหกกันก็เลยชอบถามสิ่งที่เป็นอันตรายต่อหัวใจตลอด
“คำตอบล่ะครับ”
“อื้อ…โมก็มองอยู่ตลอดนั่นแหละ”
คุณเดาออกไหมล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ครับ...พี่ธรรพ์กดรีโมทปิดผ้าม่านแล้วพุ่งเข้ามาจูบผมเหมือนหมาบ้าเลย ใช้เวลาอยู่นานถึงจะยอมปล่อย ผมโกรธพี่ธรรพ์เพราะปากผมแดงไปหมด ตอนออกจากร้านก็ใส่หมวกฮู้ดกับหน้ากากอนามัยปิดไว้กลัวพี่ๆ พนักงานจะเห็น ถึงผมจะชอบพี่ธรรพ์ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาวอแวผมขนาดนี้นะโว้ย!
“เด็กอ้วนงอนพี่”
เขายกนิ้วเกาแก้มผมกิ๊วๆ ขณะขับรถออกจากบาร์ ผมกอดอกแน่นิ่งไม่คุยด้วยเพราะผมโกรธจริง จูบผมจนปากเจ่อแบบนี้ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเลยเถิดไปถึงเรื่องทำนองนั้นร่างกายผมจะบอบช้ำขนาดไหน แง่...แค่คิดก็ใจบางแล้ว หยุดเพ้อเจ้อเลยนะนะโม ยังไม่พร้อม ตอนนี้ยังไม่พร้อมเสียตัวให้พี่ธรรพ์แม้แต่นิดเดียว!
“ดีกันนะครับ เดี๋ยวพี่พาไปกินซูชิเจ้าอร่อยเนอะ”
พูดจาหวานๆ ไม่พอ พี่แกยังจอดรถข้างทางเริ่มการออดอ้อนผมอีกรอบ เนี่ย...คนหล่อพอทำตัวแบบนี้ก็ยิ่งทำเอาผมระทวยไปหมด แล้วมีหรอผมจะไม่ใจอ่อน
พอผมหายโกรธเราก็กลับมาคุยจ้อกันอีกรอบ ผมเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็วน่ะ ยิ่งเป็นคนที่ชอบด้วยแล้วยิ่งไม่รู้ว่าจะโกรธนานไปเพื่ออะไร มนุษย์เขาไม่ได้มีอายุยืนเหมือนพวกผม วันดีคืนดีพรุ่งนี้อาจตายง่ายๆ เลยก็ได้ เพราะงั้นผมต้องเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขให้ได้มากที่สุด
“นี่พี่ธรรพ์ครับ ทำไมเราถึงไม่ไปนอนคอนโดพี่บ้างล่ะ มันใกล้ทิวซ์เดย์กว่าไม่ใช่หรอ”
“โมว่าห้องทำงานพี่รกมั้ย?”
“ก็...รกนะครับ” ห้องทำงานพี่ธรรพ์น่ะของวางเกะกะเต็มไปหมด มันไม่ได้สกปรกนะแค่ของเยอะ พี่เขาเป็นพวกรักสะอาดแต่ไม่ค่อยชอบเก็บของคุณงงไหม?
“คอนโดพี่รกกว่านี้สิบเท่า พี่ถึงต้องมานอนห้องโมไง”
“ยังมีรกกว่าห้องทำงานพี่ธรรพ์อีกหรอเนี่ย”
“อื้ม...ไว้พี่จ้างแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดให้เสร็จ แล้วเราค่อยไปนอนที่นั่นกันเนอะ แต่คงต้องจ้างซักสิบคน” อีกฝ่ายว่าติดตลก แหมะ...คงเป็นนิสัยเสียเพียงอย่างเดียวที่ช่วยดึงไม่ให้พี่ธรรพ์กลายเป็นคนสมบูรณ์แบบจนเกินไปสินะ
ขับมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เข้าย่านชานเมืองซึ่งไม่ใกล้คอนโดผมเลยซักนิด ผมถามพี่ธรรพ์ว่าจำทางผิดหรือเปล่า แต่เจ้าตัวก็บอกว่าเปล่า แค่อยากพาไปที่สวยๆ ผมพยักหน้ารับหงึกๆ ไม่ได้ไม่อยากไปนะ แค่บางทีก็งงว่าไหนตอนแรกอยากให้ผมนอนเร็วๆ ไง นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้วนะคุณ
“พี่ธรรพ์ครับ ทำไมมีแต่ป่า”
ผมถามขึ้นในตอนที่รถหยุด ถึงจะมีแสงสีส้มสลัวตามเสาไฟข้างถนน แต่บรรยากาศโดยรอบล้วนเป็นป่า มีบ้านคนตั้งเรียงรายห่างกันกระจัดกระจายแบบสุดๆ ผมไม่ได้กลัวนะ เพราะพ่อมดมืดย่อมคลุกคลีอยู่กับบรรยากาศทำนองนี้อยู่แล้ว
“ชานเมืองก็มีแต่ป่าสิครับ...” เขาตบเบาๆ ที่หน้ากระโปงรถหลังเปิดประตูลงไป “...มาเร็ว นอนตรงนี้”
พี่ธรรพ์เอนแผ่นหลังโชว์เป็นตัวอย่าง แขนหนึ่งหนึ่งข้างยื่นออกมาเชื้อเชิญให้ผมลงไปนอนหนุน คิดได้ดังนั้นผมก็หน้าร้อน นอนหนุนแขนพี่ธรรพ์กลางแจ้งหรอ แง่ ตั้งแต่เป็นแฟนกันมายังไม่เคยทำเลย
อิดออดได้แปปเดียวผมก็ทำตามอย่างที่อีกฝ่ายว่า วางศีระษะไว้บนท่อนแขนแข็งแรง กลัวพี่ธรรพ์เมื่อย แต่คงยากหน่อย แขนพี่ธรรพ์น่ะใหญ่ชะมัด แถมกลิ่นน้ำหอมของเขาที่ดมอยู่ทุกวันก็หอมไม่เคยเปลี่ยน
นิ้วชี้ยาวๆ ชี้ไปยังภาพท้องฟ้ายามค่ำคืน กลุ่มดาวมากมายที่ไม่สามารถเห็นได้ง่ายๆ ถ้าดูจากคอนโดเราทำเอาดวงตาผมลุกวาว มันสวยจริงๆ นะ บ้านผมก็มีดาวเยอะแบบนี้ เห็นแล้วก็นึกถึงบ้าน นานเท่าไหร่กันที่ไม่ได้ดูกลุ่มดาวระยิบระยับชัดๆ อย่างภาพเบื้องหน้า
“สวยไหม?”
“สวยมากเลย”
“ถ้าพี่ชวนมาบ่อยๆ?”
“โมก็ไปทุกที่กับธรรพ์อยู่แล้วนี่ครับ”
เขาอมยิ้มพร้อมเลื่อนริมฝีปากประทับจุมพิตอ่อนโยนลงบนหน้าผากผม พี่ธรรพ์โรแมนติกจนหัวใจผมเต้นแรง ถ้าให้นับว่าการอยู่กับพี่ธรรพ์ทำให้หัวใจเต้นแรงบ่อยแค่ไหน ผมคงต้องสารภาพว่าผมตกเลข
เพราะมันนับไม่ถ้วน...
สำหรับมนุษย์แล้ว การขอพรจากดวงดาวคงเป็นปรากฏการณ์ยอดฮิต โดยเฉพาะดาวตก แต่สำหรับพ่อมดมืดอย่างผม...พวกเราไม่ได้ศรัทธาในศาสตร์แห่งดวงดาวนัก ดวงดาวเป็นสัญลักษ์ของสีขาว ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่
แต่ถ้าผมจะลองขอพรอะไรซักอย่างจากดวงดาวซักครั้งบ้างจะดีไหมนะ...
“อยู่กับโมไปนานๆ ได้มั้ยครับ...”
“ถามแปลกๆ อีกแล้ว? พี่ก็ต้องอยู่กับโมอยู่แล้วสิครับ”
ในนามของผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้า และยอมรับซานตาน
...ขอให้เวทมนตร์ในร่างของผู้ชายคนนี้ คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์
tbc
=================================
เม้นเป็นกำลังใจให้พ่อมดน้อยของเราหน่อยนะค้า ตอนหน้าจบแล้วจ้า
สกรีมแท็ก #วันเมาๆกับร้านเหล้าทั้งเจ็ด
-
เป็นกำลังใจให้น้องโม
เดาว่าพี่ธรรณก็ต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน
:L2: :L2:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
I was sick onTuesday
03
ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหวนกลับคืนมาอีกครั้ง แต่คุณพระจันทร์ไม่ใช่สีแดงเลือดอย่างเมื่อวันนั้น เป็นเพียงแค่พระจันทร์ข้างขึ้นธรรมดา ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันแปลกๆ ฝันว่าพี่ธรรพ์กำลังจะทิ้งผมไป และเมื่อพบว่าพื้นที่ว่างข้างเตียงไม่มีใครบางคนอยู่ หัวใจดวงน้อยก็เริ่มวูบโหวง
“พี่ธรรพ์! พี่ธรรพ์อยู่ไหนครับ!”
ผมส่งเสียงร้องตกใจ ดวงตาชื้นเอ่อไปด้วยของเหลวสีใส เปิดประตูวิ่งออกไปยังห้องนั่งเล่นตามหาใครบางคน ก่อนจะเจอคนที่ตามหาอยู่ลุกขึ้นจากโซฟาคล้ายกำลังจะออกตามหาเสียงเรียกของผมเช่นเดียวกัน
“โม เป็นอะไรครับ?”
สายตายและท่าทางตื่นตระหนกแบบนั้นของพี่ธรรพ์ทำเอาผมรู้สึกพองโต มันเหมือนกับว่าเขาเป็นห่วงผมมากเหลือเกิน และผมก็ชอบปฏิกิริยาแบบนั้นมากเหลือเกิน
“...ฝันร้าย”
เขาดึงผมมากอดจมอก ผมไม่ได้ร้อง เพียงยกมือกำเนื้อผ้าชุดนอนกำมะหยี่ตรงแผ่นหลังของเขาจนยับยู่ สูดกลิ่นหอมที่เคยดอมดมทุกวันราวกับกลัวมันจะอันตรธานหายไป พี่ธรรพ์ยกมือลูบหัวผมป้อยๆ คล้ายปลอบปะโลม แถมยังกระซิบแผ่วเบาว่า ‘ไม่เป็นไรนะครับ’ ซ้ำไปซ้ำมา
ผมชักจะฝันทำนองนี้บ่อยขึ้นทุกทีเมื่อเข้าใกล้ระยะเวลาครบรอบหนึ่งปี มันเกินหกเดือนมาแล้วล่ะที่พี่ธรรพ์ตกอยู่ในห้วงมนต์เสน่ห์ของผม เท่ากับว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มากที่ผมจำเป็นจะต้องถอนคำสาปนี้ออก ไม่อย่างนั้นร่างกายของพี่ธรรพ์ก็คงแย่
ผมฝันบ่อยขึ้นในทุกคืนวันเพ็ญ ถ้าผมเป็นพ่อมดที่มีญาณทำนายฝัน เรื่องคงเครียดกว่านี้ แต่ผมไม่มี ฝันบางอย่างจึงเป็นแค่เพียงจินตนาการ
หากความจริงที่เจอในทุกวันช่างแตกต่าง พี่ธรรพ์รักผมมากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยเสียจนผมกลัวว่าถ้าวันหนึ่งต้องถอนคำสาปออก ผมจะทนไหวหรือเปล่า...
ครั้นจะปล่อยให้เขาติดอยู่ภายใต้คาถาบทนี้ต่อไปก็ทำไม่ลง
ผมรักเขาเข้าแล้วจริงๆ
“พี่ขอโทษ พี่นอนไม่หลับน่ะเลยออกมานั่งทำงานเผื่อจะทำให้ง่วง นี่ทำให้โมตื่นเลยใช่มั้ย”
“…ไม่เป็นไรครับ”
“เราไปนอนกันเถอะ”
“แต่พี่ธรรพ์ยังไม่ง่วง...”
“นอนกอดโมซักพักก็ง่วงแล้ว แต่รอบนี้ต้องแถมด้วยหอมแก้มพี่”
เขาพูดติดตลก ทว่าทำจริงนะ เขาพาผมกลับไปที่เตียง สวมกอดจากด้านหลังเหมือนทุกวัน วางจมูกไว้บนแก้มป่องๆ ของผมจนเหมือนจะดูดเข้าไป ผมยอมให้พี่ธรรพ์ทำทุกอย่างแหละถ้ามันจะทำให้เราสามารถนอนหลับไปพร้อมกันได้...
ผมทำชาโรสแมรี่อุ่นๆ ให้เขาดื่มในตอนเช้า แน่นอนว่าอาการของพี่ธรรพ์ในช่วงนี้ไม่ได้มาจากการทำงานหนักจนไม่เป็นเวลาแน่ๆ ผมรู้ดี ผลข้างเคียงของเวทมนตร์เริ่มทำงานแล้ว และผมก็เป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบ
โรสแมรี่นอกจากจะถูกนำมาเป็นสมุนไพรบำรุงเลือดลมในหมู่มนุษย์ อีกหนึ่งความลับก็คือมันยังเป็นยาชั้นดีในการบรรเทาอาการด้านลบจากคำสาปของพ่อมดแม่มด แต่ก็เห็นผลแค่ในระดับหนึ่ง ไม่สามารถลบล้างเวทมนตร์ให้หายขาดได้ เอาเป็นว่าช่วงนี้ผมจะชงชาโรสแมรี่ให้พี่ธรรพ์ดื่มบ่อยๆ เขาจะได้ไม่ป่วย
พี่ธรรพ์บอกว่าอร่อย ผมอมยิ้มวิ่งไปชงให้เขาดื่มอีกแก้ว จากนั่นเราจึงเริ่มรับประทานอาหารเช้า ผมทำอาหารเป็นแค่เมนูง่ายๆ พี่ธรรพ์ก็เช่นกัน ดังนั้นบางวันเราจึงช่วยกันทำ ไม่ก็ออกไปจ่ายตลาดตั้งแต่เช้า อย่างวันนี้ที่ผมอาสาลงมาซื้อมื้อเช้าให้
[กลับมาได้แล้วครับ]
“เนี่ย...โมขึ้นลิฟต์แล้ว”
เห็นว่าง่วงๆ ผมจึงบอกให้เขานอนต่ออีกซักงีบ แต่เขาไม่ยอม คะยั้นคะยอว่าจะลงมาซื้อมื้อเช้าเป็นเพื่อนให้ได้ ผมจึงหอมแก้มเขาไปหนึ่งที พี่ธรรพ์ชอบให้ผมอ้อนมาก พอโดนทำแบบนั้นเข้าถึงยอมเอาดื้อๆ แต่ก็ไม่นานหรอก ผมบอกว่าจะออกไปแค่ครึ่งชั่วโมง พอเกินไปห้านาทีปุ๊ปพี่แกก็โทรตามทันทีเลย
กินข้าวเสร็จผมก็ไลน์คุยกับพี่คาถาให้จัดการสะสางธุรกิจส่งของให้ พี่คาถาเป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทที่ตอนนี้กลายมาเป็นเบ๊ผมชั่วคราว พูดให้ถูกก็คือผมไปขอร้องไหว้วานให้พี่เขาจัดส่งแอปเปิลอาบยาพิษ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ที่เป็นธุรกิจครอบครัวแทนต่างหากล่ะ ส่วนกำไรก็หักแบ่งกันครึ่งต่อครึ่งถือซะว่าเป็นค่าแรง
โถ่...ผมไม่กล้าให้พี่ธรรพ์รู้หรอกว่าบ้านผมทำธุรกิจอะไร
“โม ไปว่ายน้ำกัน”
เขาชอบชวนผมไปทำกิจกรรมที่ว่าเกือบทุกสุดสัปดาห์ และผมก็ไม่เคยปฏิเสธ ผมชอบทำกิจกรรมทั้งหมดที่มีพี่ธรรพ์อยู่ด้วยนั่นแหละ เหมือนกับว่าผมตัวติดเขานะ แต่จริงๆ แล้วเขาก็ตัวติดผมเหมือนกัน อย่างวันปกติ พี่ธรรพ์จะเป็นคนปลุกผมไปเรียนและขับรถไปส่งที่คณะ ข้าวเช้าเราก็แวะกินกันข้างทาง
พี่ธรรพ์ไม่ได้ชอบว่ายน้ำหรอก เขาแค่หาอะไรทำแก้เบื่อนอกจากการนอนอยู่ห้องเฉยๆ เผอิญคอนโดผมมีสระว่ายน้ำตรงชั้นเก้า แถมไม่ค่อยมีใครไปใช้บริการรวมถึงผม พี่ธรรพ์จึงชวนให้ลงไปใช้สระบ้างจะได้คุ้มค่าส่วนกลาง
“โมใส่แค่กางเกงตัวเดียวแบบพี่ธรรพ์ไม่ได้หรอครับ?”
“ไม่ได้ครับ อากาศมันหนาว เดี๋ยวเป็นหวัด”
“แล้วพี่ธรรพ์ไม่กลัวเป็นหวัดรึไง”
“พี่แข็งแรง”
เขายกกล้ามแขนโชว์เป็นหลักฐาน ผมเสสายตาไปทางอื่นเพราะหุ่นพี่ธรรพ์ดี๊ดี ยิ่งใส่กางเกงว่ายน้ำยิ่งเห็นสัดส่วนอันงดงามทั้งด้านบนและด้านล่างอย่างชัดเจน ต่างจากผมที่ต่อให้ใส่สวิมสูทรัดรูปก็ยังไม่เห็นเค้าโครงแห่งความเป็นชายเหมือนอีกฝ่ายเลยซักนิด
ผมไม่ได้อยากโชว์หุ่นแบบพี่ธรรพ์หรอกนะ แค่รู้สึกว่ามันอึดอัด อยากใส่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียวแบบพี่ธรรพ์บ้าง แต่เจ้าตัวไม่ยอมอนุญาตตลอด ผมชักจะคิดว่าบางทีพี่ธรรพ์ก็เป็นคนเผด็จการ
เราเล่นน้ำอยู่นานจนผมปากซีดพี่ธรรพ์ถึงชวนขึ้น การที่พ่อมดปากซีดไม่ได้แปลว่าร่างกายไม่ไหวเหมือนมนุษย์ซะหน่อย แต่พี่ธรรพ์ไม่เข้าใจหรอก เขาแทบจะอุ้มผมขึ้นจากสระเพราะกลัวป่วย
“ผิวโมแดงง่ายจัง”
เขาถามขณะเช็ดกลุ่มผมเปียกๆ ให้ผมอยู่บนโซฟาหลังเราอาบน้ำเสร็จ คงจะสังเกตเห็นรอยแดงตรงขาที่ผมเผลอไปชนอะไรเข้าซักอย่างตอนดำน้ำ รวมถึงตรงแก้มที่โดนเขาบีบอย่างหมั่นเขี้ยว
“โมไม่เจ็บครับ พี่ธรรพ์ไม่ต้องห่วง”
ผมไม่เจ็บจริงๆ เพียงแค่มันแดงง่ายแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
“พี่ไม่ได้กลัวโมเจ็บ แต่พี่อยากทำให้มันแดงไปทั้งตัวเลยต่างหาก”
“พะ...พี่ธรรพ์!”
ผมตีไหล่เขาดังป้าบ นับวันตาลุงหมอก็ชักจะพูดจาหื่นกามใส่ผมมากขึ้นทุกที เขาหัวเราะบอกว่าล้อเล่น ก่อนจะเริ่มเช็ดผมเปียกๆ ของผมให้แห้งต่อไป ผมรู้หรอกว่าเขาพูดจริง
สำหรับความทรงจำของพี่ธรรพ์ในตอนนี้แล้ว ผมคงเป็นฟันเฟืองตัวสำคัญมากๆ ในชีวิตเขา ชัดเจนจากการดูแลประคบประหงมเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน ผมอดคิดไม่ได้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนพี่ธรรพ์จริงๆ ในอนาคตจะโชคดีขนาดไหน เอาแค่ผมที่ได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยนในตอนนี้ยังใจบางแทบทุกวัน
เขาดูแลผมดีเสียยิ่งกว่าแฟนจนเกือบจะเหมือนป๊า หรือเท่ากับป๊าไปแล้ว? ขนาดเช็ดผมยังต้องเช็ดให้ ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงโปรนะครับ พี่ธรรพ์ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มาตั้งแต่ช่วงแรกที่เราคบกัน จนกระทั่งปัจจุบัน แน่นอนว่าผมต้องทำคืนให้เขาบ่อยๆ และที่ทำก็ไม่ใช่เพราะหน้าที่ แต่เพราะอยากทำให้เหมือนกัน
ก็เป็นซะแบบนี้...แล้วผมจะไปไหนรอด
อีกสามวันจะถึงวันเกิดของพี่ธรรพ์ ถามถ้าว่าทำไมถึงรู้ ผมคงตอบว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับพี่ธรรพ์บ้างที่ผมไม่รู้ ตอนผมบอกเขา...เขาดูตกใจพร้อมกับหลุดขำที่ลืมวันเกิดตัวเองไปเสียสนิท พี่ธรรพ์น่ะเอาแต่ทำงาน ยิ่งมีผมเข้ามาในชีวิต เขาก็เหมือนมีเรื่องให้โฟกัสนอกจากงานเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่องจนลืมโฟกัสเรื่องของตัวเอง
ผมควรเขินที่เขาแคร์ผมขนาดนี้ แต่ผมก็อยากให้เขานึกถึงตัวเองมากๆ บ้าง
[โมอยู่ไหนครับ]
“กำลังไปหาพี่คาถาครับ”
[อ้าว...ไปทำไม?]
“ช่วยงานที่บ้านนั่นแหละครับ แปปเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้ว”
เขาไม่ค่อยอยากให้ผมออกไปไหนเท่าไหร่ ยกเว้นที่คอนโด ทิวซ์เดย์ หรือโรงพยาบาลของเขา ความลับข้อที่สี่ที่ผมค้นพบในตัวพี่ธรรพ์ก็คือ เขาเป็นคนติดแฟนมากกกกกก ถ้าถามว่าติดขนาดไหน ก็คงถึงขั้นที่ว่าผมต้องอยู่ภายใต้การรับรู้ของเขาในทุกชั่วโมงชีวิต นะโมทำอะไรพี่ธรรพ์ต้องรู้ นะโมไปกับใครพี่ธรรพ์ก็ต้องรู้
อาจฟังดูเยอะแต่ผมกลับชอบ ผมไม่เคยอึดอัดที่จะบอกเขาเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ เช่นเดียวกันที่เขาก็ชอบบอกผมทุกอย่างว่ากำลังทำอะไรอยู่ บางทีคงเพราะ...ถ้าเป็นคนที่เราชอบ ต่อให้เป็นเรื่องน่าเบื่อเพียงใด ก็สามารถใช้ชีวิตอันแสนน่าเบื่อไปได้อย่างมีความสุข
[ให้พี่ไปรับไหม โมจะมาคอนโดก่อน หรือไปทิวซ์เดย์เลย]
“เดี๋ยวโมไปร้านเลยครับ พี่ธรรพ์จะได้ไม่ต้องลำบาก”
[ใครว่าพี่ลำบาก พี่อยากไปรับเด็กอ้วนของพี่]
“เดี๋ยวโมผอมแล้ว พี่ธรรพ์เรียกโมว่าเด็กอ้วนไม่ได้แล้ว”
[งั้นเรียกว่าอะไรดีหืม เมีย?]
ผมหน้าร้อนเห่อก่อนจะบ่นอุบอิบใส่เขาแล้ววางสายไปในทันที ผมเกลียดน้ำเสียงลามกแบบนั้นของเขาชะมัด ไม่ต้องถามต่อก็สามารถเดาได้ว่าเมียในพจนานุกรมของพี่ธรรพ์หมายความว่าอะไร ทำไมผมถึงตกหลุมรักผู้ชายที่หื่นขนาดนี้ลงนะ
ผมมาถึงคอนโดของพี่ธรรพ์ในตอนบ่ายโมงเนื่องจากอาจาร์แคนเซิลคลาส ไม่ได้บอกเขาหรอกเพราะมันคือเซอไพรส์ พี่ธรรพ์เล่าว่าในวันเกิดทุกปี คุณพ่อคุณแม่มักจะมาหาที่คอนโดแล้วทำอาหารกินกันจนกลายเป็นธรรมเนียม แน่นอนว่าในปีนี้ตัวผมก็ได้กลายเป็นหนึ่งในธรรมเนียมชีวิตของเขาไปโดยปริยาย
ขยันทำให้ผมรู้สึกดีไม่หยุด...
เราตกลงกันไว้ว่าจะช่วยกันทำความสะอาดห้องของคุณหมอในอีกสองวันเพื่อต้อนรับคุณพ่อคุณแม่ แต่ผมอยากให้ของขวัญเขา ครั้นจะซื้อของราคาแพงก็ดูเหมือนว่าพี่ธรรพ์จะมีหมดแล้ว อีกอย่างพี่ธรรพ์ไม่ใช่พวกวัตถุนิยม เลยเอาเป็นว่าผมแอบมาทำความสะอาดให้นี่แหละเขาต้องดีใจแน่ๆ
“รกจริงๆ แฮะ”
ผมบ่นอย่างไม่จริงจังนักเมื่อเปิดประตูเข้ามา ถ้าถามว่าเข้ามาได้ยังไงก็เพราะคีย์การ์ดในมือ ผมแอบหยิบมาจากกระเป๋าพี่ธรรพ์ตอนเขานอนหลับ พี่ธรรพ์ไม่รู้หรอก เห็นอย่างนั้นคุณหมอก็มีมุมป้ำๆ เป๋อๆ เหมือนกัน
ห้องพี่ธรรพ์เป็นห้องสูทขนาดใหญ่ ใหญ่กว่าห้องผมเสียอีก มีหนึ่งห้องนั่งเล่นกับอีกสองห้องนอน ไม่รู้ว่าอีกห้องเอาไว้ให้ใครนอน แต่น่าจะไว้สำหรับรับแขก
ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด แถมฝุ่นยังลอยฟุ้งจนผมต้องลงไปซื้อหน้ากากอนามัยมาปิดปาก ถึงเป็นพ่อมดก็ต้องรักษาสุขภาพนะครับ ผมใส่ถุงมือตั้งท่ายืดเส้นยืดสายทะมัดทะแมงก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าปลาทองตัวโตในโหลข้างหน้าต่างกำลังว่ายดุ๊กดิ๊ก
“พี่ธรรพ์นี่แย่จริงๆ เลย”
ผมบ่นหน้ายู่ ยกมือเท้าเอวติเตียนการกระทำของคุณแฟน เลี้ยงสัตว์แต่หนีมาอยู่กับผมโดยไม่สนใจสัตว์เลี้ยงเนี่ยนะ แล้วตอนน้องหิวจะทำยังไง
ทว่าเม็ดอาหารหลากสีที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทำให้เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายคงแวะมาที่ห้องนี้บ่อยๆ เพียงแต่ไม่ได้ทำความสะอาดเลย อาจมาเปลี่ยนชุด หย่อนอาหารแล้วก็จากไป
มีทุกอย่างยกเว้นความสะอาด...
“เดี๋ยวพี่พาไปอยู่ห้องด้วยกันเนอะ ที่นั่นมีอาร์มสตรองด้วย น้องต้องไม่เหงาแน่ๆ”
บอกสิ่งมีชีวิตครีบส้มในโหลแก้วที่กำลังมองมาด้วยตาโปนๆ อย่างน้อยถ้าไปอยู่ห้องผม เวลาไม่มีคนอยู่ อาร์มสตรองก็สามารถเอาอาหารให้เจ้าปลาทองกินได้ เว้นเสียว่าอาร์มสตรองมันจะไม่หน้ามืดตามัวอยากกินปลาขึ้นมาเอาซะก่อน แต่กบอะไรจะกินปลาทองกัน...
ขณะกำลังลูบโหลแก้วคุยกับน้องปลา ความคิดบางอย่างก็แทรกขึ้นมาในหัว ผมอาจไม่ควรเอาน้องปลาไป หรือแม้แต่สิ่งของอื่นๆ ในห้องพี่ธรรพ์ เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็จะถูกส่งกลับมายังที่แห่งนี้ตามเดิม ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความทรงจำดีๆ ที่มีแค่ผมเท่านั้นที่รับรู้
อื้ม...ผมวางแผนรับมือเหตุการณ์หลังจากที่เราเลิกกันไว้หมดแล้ว หมายถึง...เหตุการณ์หลังจากที่ผมถอนมนต์สะกดออกจากตัวพี่ธรรพ์ ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ หลุดพ้นจากพันธนาการรักที่ไม่ได้เต็มใจ
ผมจะเลิกไปทิวซ์เดย์อย่างถาวร แล้วก็จะตัดตัวเองออกจากสายรหัสสายนี้ อาจเหลือพี่ไปป์ไว้ซักคนเพราะพี่เขาดีกับผมมากๆ แล้วก็จะเก็บเขาไว้เป็นที่ปรึกษาด้านการเรียน
ส่วนพี่ธรรพ์ ความทรงจำหลังจากนั้นของเขาอาจเริ่มต้นด้วยความมึนงงที่ว่าเขาเลิกกับผมแล้ว เลิกโดยทั้งๆ ที่จำไม่ได้ว่าช่วงเวลาคบกันระหว่างเรามันเคยเป็นยังไง
แต่ไม่ต้องห่วง เขาจะไม่สนใจอาการว้าวุ่นในสมองนานเท่าไหร่ ท้ายที่สุดก็จะลืมความทรงจำรักจอมปลอมเหล่านั้นไปเอง ผมคงอธิบายมากไม่ได้นักเพราะก็ยังไม่เคยถอนมนต์ นี่ก็อ่านมาจากหนังสือ ยังไงไว้รอดูพร้อมกันเนอะ
“มโนอะไรของเอ็งนะโม”
สะบัดศีรษะปลุกตัวเองให้ตื่นจากอารมณ์ดราม่าเรื้อรัง พักนี้ผมชอบคิดถึงเรื่องเลิกกันกับพี่ธรรพ์บ่อยๆ ความฝันเองก็มีส่วน ผมทำอะไรมากไม่ได้นอกจากรอคอยและยอมรับอนาคตสุดเจ็บปวด
เฮ้อ...ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเบื่อตัวเองที่เป็นแบบนี้ จะเศร้าไปทำไมล่ะในเมื่อก็รู้อนาคตอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในวินาทีที้ก็คือการทำปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด
อย่างน้อยหัวใจผมจะได้จดจำไว้ว่า เคยสัมผัสความรักแสนอบอุ่นจากเขามากขนาดไหน
ผ้าห่ม เสื้อผ้า กางเกงรวมถึงเครื่องนุ่งห่มทุกอย่างในตู้เสื้อผ้าถูกนำออกมาซักอบแห้งจนหมด บางตัวเหมือนซื้อมาแล้วแต่ยังไม่ได้ซักด้วยซ้ำมั้ง ผมว่าพี่ธรรพ์ชักจะกินอยู่ที่โรงพยาบาลกับทิวซ์เดย์มากเกินไปจนลืมว่ายังมีคอนโดอยู่ เขาดูเป็นมนุษย์ที่ต้องการแม่บ้านมากที่สุดแล้วล่ะ
แง่...ผมอยากเป็นแม่บ้านให้เค้าตลอดไปจัง
ระหว่างรอเครื่องปั่นทำงาน ผมก็เริ่มปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุมในห้องให้มากเท่าที่จะทำได้ เอาจริงผมทำคนเดียวไม่หมดภายในวันนี้หรอก เดี๋ยวทุ่มนึงก็ต้องไปทิวซ์เดย์แล้ว เจ้าของร้านนั้นขี้เหงาเป็นที่หนึ่งเชียว
นั่นไง...นินทาในใจได้ไม่กี่ประโยคก็โทรมา
[พี่ออกเวรแล้ว]
ผมยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาก่อนจะพบว่าเป็นเวลาห้าโมงเย็นกว่าๆ กรรม...ต้องเร่งมือแล้วสินะ
“ครับ เจอกันร้านเลยนะ”
[ยังไม่เสร็จอีกหรอ โมอยู่ไหน]
“ที่เดิมแหละครับ กำลังเอาของไปส่งให้ลูกค้า”
[พี่ไปรับโม อยากเจอโม]
“พี่ธรรพ์งอแง”
กล่อมอยู่นานคุณหมอจอมงอแงถึงยอมวางสายไป ผมว่าเขาคงไม่ชินกับการเลิกงานแล้วไม่เห็นผมอยู่ห้อง ใครจะไปรู้ว่าคุณหมอสุดคูลคนนั้น พอได้มาเป็นแฟนจะกลายเป็นมนุษย์แฟนจอมงอแงขนาดนี้
อย่างที่บอก ห้องพี่ธรรพ์ไม่ได้รกเพราะสกปรก แต่รกเพราะของเยอะ เวลาจัดจึงแค่ต้องหาตำแหน่งดีๆ ในการวาง เท่านั้นห้องก็ไม่รกแล้วล่ะ
เขาโทรมางอแงถามว่าอยู่ไหนอีกรอบ สายตาผมทอดมองไปยังเจ้าปลาทองที่กำลังว่ายวกวนเหมือนลนลานอะไรบางอย่าง ผมว่าน้ำเสียงโวยวายกับท่าทางของเจ้าปลาทองตอนนี้เหมือนกันไม่มีผิด นี่สินะที่เขาว่าสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของมักมีนิสัยคล้ายคลึงกัน
“โมใกล้เสร็จแล้วครับ พี่ธรรพ์อย่างอแงซี่”
ผมวางสายแล้วรีบจัดการเก็บสิ่งที่อยู่ในเครื่องซักเข้าตู้ให้เรียบร้อย เตียงนอนถูกปูจนตึงพร้อมกลิ่นหอมฉุยของน้ำยาปรับผ้านุ่ม ถ้าไม่ได้เรียนหมอผมคงเรียนการโรงแรมไปแล้ว
ทันทีที่ปิดประตูห้องนอนเตรียมจะกลับผมก็ชะงัก ลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังเหลืออีกห้องที่ผมไม่ได้เข้าไปทำความสะอาด ผมสะบัดศีรษะบ่นความสะเพร่าของตัวเองก่อนจะพยายามเปิดประตูห้องดังกล่าวเข้าไป
แต่มันล็อค...
ผมขมวดคิ้วมุ่น แปลกชะมัด ทำไมห้องนอนล็อค แต่ห้องนี้ถึงไม่ล็อค ตามหลักตรรกะแล้วถ้าจะล็อคห้องก็ควรล็อคให้หมดสิ เว้นเสียแต่ว่าพี่ธรรพ์กุมความลับอะไรบางอย่างไว้อยู่ ความลับที่ทำให้เจ้าตัวชอบมานอนห้องผม แล้วไม่เคยชวนผมไปนอนห้องตัวเองเลย
“ถ้ามีกิ๊กพี่ตายแน่ๆ”
ผมเป็นพ่อมดมืด การมีความเมตตากรุณาสามารถตัดออกไปได้เลย ผมใช้ชีวิตด้วยแพสชั่นของตัวเองอย่างเปี่ยมล้น นั่นเท่ากับว่าถ้ามีคนมาทำลายความสุขของผม ผมก็พร้อมจะทำลายมันกลับ
ผมเริ่มคิดถึงการจองจำพี่ธรรพ์ไว้ด้วยคาถาพิชิตใจให้นานขึ้นอีก ในเมื่อเขาเลือกที่จะนอกใจ ผมก็จะไม่สนใจร่างกายเขาอีกต่อไป!
ใช่แล้วล่ะ ถึงแม้จะใช้มนต์เสน่ห์ผูกมัด แต่ผมก็ไม่เคยคิดนอกใจเขาแม้แต่ครั้งเดียวเลยนะ ผมรักเขาคนเดียวไม่เคยมีกิ๊ก แล้วเขาจะมามีได้ไง โดนมนต์ผมอยู่ก็ยังกล้ามีกิ๊กหรอ กล้ามากคุณหมอ!!
“ใจเย็นนะโม พี่ธรรพ์แค่ล็อคห้อง...”
ผมปลดล็อคประตูด้วยคาถาสะเดาะกลอน อาจดูเหมือนโจรไปหน่อย แต่ผมเป็นพ่อมดนะครับ ห้องนี้มีลักษณะเหมือนกับห้องนอนทุกอย่าง เว้นแค่ไม่มีเตียง หากชั้นหนังสือติดผนังทั้งสี่ด้านรอบห้องทำเอาผมอ้าปากค้าง เป็นห้องหนังสือนี่เอง เขาเป็นหมอที่สมกับหมอจริงๆ เลยแฮะ
[โมอยู่ไหน กลับได้แล้วครับ พี่เป็นห่วง]
“ครับๆ กำลังจะขึ้นรถแล้ว”
คงได้เวลาที่ผมควรจะกลับแล้วเสียที เพราะมีใครบางคนโทรตามไม่หยุดหย่อนตั้งแต่บ่าย เขาควรติดแบล็คลิสต์คุณหมอขี้เหงาประจำปี
ขณะกำลังหมุนลูกบิดประตูออกไป สายตาของผมก็สะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้น เวลานั้นเสียงน้ำกระฉอกดังขึ้นมาจากโหลแก้วที่มีเจ้าปลาทองว่ายอยู่ราวกับว่ามันอยากกระโดดออกมา แต่ความสนใจผมดันอยู่ที่หนังสือเล่มนั้นเพียงอย่างเดียว
ผมเดินเข้าไปหยิบหนังสือดังกล่าวออกมาจากเชลฟ์ไม้ ค่อยๆ จับจากทางสันเผยให้เห็นปกสีดำสนิท เสียงโทรศัพท์จากพี่ธรรพ์ในมือสั่นรบกวนอีกครั้ง ผมยกสมาร์ทโฟนแนบหู พลางสายตาก็ละเลียดไล่อ่านชื่อของหนังสือเล่มที่ว่า
[โม ถึงไหนแล้วครับ โม...โม!!]
Lost harebell
ผมทำโทรศัพท์ตกลงพื้นทันทีที่ชื่อของหนังสือปรากฏ ในยุคแรกเริ่ม..ดอกแฮร์เบลถือเป็นพืชที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้คาถาโดยตรง เพราะมันเป็นดอกไม้ที่เชื่อกันว่ามีภูติอาศัยอยู่ ดอกแฮร์เบลอาจโด่งดังสำหรับมนุษย์ในแง่ของความงาม แต่สำหรับพ่อมดแม่มด มันคือดอกไม้ที่ทรงอำนาจไปด้วยพลังงานเวทมนตร์
จึงเกิดเป็นตำราสมุนไพรของผู้ปรุงยา ‘Lost harebell’
และไม่มีทางที่หนังสือที่เขียนโดยแม่มดจะถูกนำมาวางในชั้นห้องของคุณหมอธรรพ์
บางทีเขาอาจเป็นทาสของแม่มดหรือพ่อมดซักคน ใช่ว่าจะมีผมเพียงคนเดียวในเมืองนี้ที่ใช้คาถาได้ ผมลืมความเป็นจริงไปเสียสนิทเลยว่าบุคคลแบบผมต่างก็แอบแฝงกระจัดกระจายอยู่ในสังคมมนุษย์
และพี่ธรรพ์อาจตกเป็นเหยื่อ...
หัวใจผมกระวนกระวายเหมือนจะระเบิดออกมา ผมเก็บหนังสือเข้าชั้น ก้มลงหยิบโทรศัพท์บนพื้นพรม ทว่าเจ้าสายตาซุกซนดันเหลือบไปเห็นเครื่องประดับบางอย่างที่ติดอยู่ข้างใต้ชั้นไม้ ไม่เหมือนกับการทำหล่นเพราะช่องว่างมันแคบนิดเดียว คล้ายกับถูกเก็บยัดซ่อนไว้เสียมากกว่า
[โม โม! อยู่ไหนครับ ตอบพี่!!]
เสียงพี่ธรรพ์ตะโกนโหวกเหวกออกมาจากโทรศัพท์ไหวๆ แต่ผมไม่สนใจ ของตรงหน้าต่างหากคือสิ่งที่ต้องได้รับการพิสูจน์ ผมปัดฟุ่นเครื่องประดับกล่าวออกก่อนจะพบว่ามันคือสร้อยนาฬิกาทำจากทองคำบริสุทธิ์ และสิ่งที่สลักด้านใต้ขอบนาฬิกานั้นเป็นรูปดาวสามดวง…
รูปทรงคล้ายกับของผมไม่มีผิด!
สมมติฐานที่ว่าเขาคือทาสของผู้ใช้คาถาพังทลายลงทันทีเมื่อฝาด้านในนาฬิกาในมือถูกแง้มออก มันคือชื่อของผู้ครอบครองเครื่องประดับเรือนนี้ และมันเป็นชื่อของเขา...
‘ธรรพ์’
แกร้ก!
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ร่างสูงกำลังหอบแฮ่กเท้าฝ่ามือกับหัวเข่ามองมาทางผมอย่างหมดแรง ผมเม้มปากแน่น จ้องมองเจ้าของห้องตัวโตที่ยกมือเกาหัวเก้อๆ ของเหลวสีใสเอ่อคลอจากดวงตา เขาอมยิ้มพลางเสสายตาไปทางอื่นเหมือนเด็กเล็กที่ถูกจับความผิดได้คาหนังคาเขา
“อื้ม...พี่ก็...เป็นพ่อมดเหมือนกับโมนั่นแหละ”
End.
=======================================
to be continued in Back to Friday
จบแล้วจ้าาา สนุกกันมั้ยเอ่ย
เม้นให้กำลังใจเค้าได้น้า หรือจะมาหวีดได้ในแท็ก #วันเมาๆกับร้านเหล้าทั้งเจ็ด
-
ที่แท้ก้อเป็นพ่อมดเหมือนกัน..อยากอ่านต่ออีกซักนิด :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
ชอบบบ สนุกมากค่ะ
-
อยากอ่านต่อแล้วอ่าาาาาา
-
ค้างเลย นี่ก็คือความลับของพี่ธรรพ์ที่ไม่ยอมให้น้องมาที่ห้อง