-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
***************************************************
#ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
ลูกเพื่อนแม่คนที่1 รามิล เตชนะหิรัญ
- SECRET GARDEN#ความลับของต้นไม้ END (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66975.msg3820701#msg3820701)
** เนื้อเรื่องไม่ได้ต่อกันอ่านแยกได้จ้า
(https://www.img.in.th/images/927e378ef08376588b18a9e2f64680e4.png)
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
-PROLOGUE-
เกียรติธนธาดา ..หรือ KTD [เคทีดี] ENTERTAINMENT เป็นครอบครัวธุรกิจบันเทิงรายใหญ่ในประเทศโดยเริ่มจากค่ายเพลงเป็นธุรกิจเริ่มแรกของตระกูล ซึ่งก็เรียกว่าประสบความสำเร็จมากที่เดียว KTD ผลิต นักร้อง ศิลปิน ชื่อดังระดับซูเปอร์สตาร์ เพลงก็ฮิตติดชาร์ต เรียกได้ว่าเป็นนักร้องแถวหน้าของวงการบันเทิง และมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอดจากรุ่นสู่รุ่น
ปัจจุบันเจ้าสัวกรรณ เป็นหัวเรือใหญ่ของ KTD ENTERTAINMENT ถึงแม้อายุอานามจะมากแล้วแต่ก็ยังคล่องแคล่วกระฉับกระเฉิง และยังบริหารงานในเครือของ KTD ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง และสามารถขยายธุรกิจจากเดิมที่มีแค่ธุรกิจดนตรีไปจนถึงธุรกิจสื่อโทรทัศน์ แต่ที่ทุกคนสนใจมากกว่าธุรกิจก็คือบรรดาทายาทที่จะเข้ามารับช่วงต่อในรุ่นต่อไป เป็นที่รู้กันในแวดวงธุรกิจ ว่าเจ้าสัวกรรณตอนสมัยหนุ่มๆ ก็เจ้าชู้พอตัว เลยไม่แปลกที่บรรดาทายาทของ KTD เป็นลูกคนละแม่กันทั้งนั้น
แต่ทุกคนรักใคร่กลมเกลียวกันดี
ไม่ตบตีแย่งชิงสมบัติเหมือนในละคร
แต่ที่เห็นจะมีข่าวให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์มากกว่าคนอื่นๆ ก็คงจะมีแค่ เบนจามิน เกียรติธนธาดา ทายาทลูกครึ่งฮ่องกงคนสุดท้ายของตระกูล ภรรยาชาวฮ่องกงของเจ้าสัวกรรณยังคงทำงานที่อยู่ฮ่องกงและไปกลับระหว่างไทยอยู่เป็นประจำ เจ้าสัวกรรณเลยมักจะออกงานคู่กับเบนจามินสองคนอยู่เสมอแต่ถึงอย่างนั้น เบนจามินก็ยังนับว่าเป็นทายาทนักธุรกิจที่ยังคงทำตัวเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป ถ้าไม่ได้ออกสื่อก็ไม่ได้ทำตัวไฮโซจนดูน่าหมั่นไส้
ด้วยรูปร่างหน้าตาและไลฟ์สไตล์ทำให้เบนจามินถูกบรรดาผู้จัดละครต่างทาบทามให้แสดงละครอยู่บ่อยครั้ง แต่เจ้าตัวก็ปฎิเสธมาตลอดพร้อมกับบอกว่าขออยู่เบื้องหลังดีกว่าไม่อยากออกล้องเพราะแอคติ้งไม่เก่ง และแน่นอนว่าเรื่องความรักก็เป็นเรื่องที่บรรดาแฟนคลับทายาท KTD อยากรู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวจริงของเบนจามินแต่ท่าทางจะยากมากทีเดียวสำหรับตำแหน่งสะใภ้เล็กของ KTD เพราะเห็นว่าเปลี่ยนคนเป็นว่าเล่นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในที่สุดแล้ว
ตำแหน่งนี้จะเป็นใครกันที่ได้ครอบครองหัวใจทายาทคนเล็กของ KTD
.......................
......................................................
-
......................................
................................................................
“ตลกว่ะ”
เบนจามินนอนอ่านข่าวซุบซิบไฮโซที่ไอ้ทิมแปะไว้ให้ในกรู๊ปลูกเพื่อนแม่ ตอนแรกไม่ได้จะกดเข้าไปอ่านหรอกแต่ทิมบอกว่าให้อ่านเพราะเขาเขียนสนุกไม่เถียงหรอกว่ามันก็อ่านเพลินดีแต่เบนเองก็รู้สึกว่ามันเวอร์ไปหน่อย สมัยนี้จะมีคนสนใจเรื่องพวกนี้อีกเหรอ ทายาทไฮโซ ตำแหน่งสะใภ้ ไร้สาระฉิบหาย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ยังไม่ทันจะได้กดออกไปแอพลิเคชั่นอื่นไลน์กรุ๊ปครอบครัวก็เด้งขึ้นมาพอดี
@BEN : พรุ่งนี้ประชุม 9.30 น. ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามตาย !
นี่มันข้อความเชิญประชุมหรือจดหมายขู่ฆ่า...
เบนจามินเปิดไลน์ครอบครัวแล้วก็เจอข้อความที่ผู้เป็นพ่อเมนชั่นมาถึงเขาโดยตรง รู้เลยว่าภายในห้องประชุมจะต้องมีเฉพาะเขาแน่ๆ นี่ไปทำอะไรผิดมาอีกวะพักนี้เบนมั่นใจว่าเขาทำตัวดีมากแล้วแท้ๆ งานการที่ต้องทำ (ถึงจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนคนอื่น) แต่ก็ตั้งใจเต็มที่ พูดถึงเรื่องนี้เบนจามินก็คิดว่าเขายังไม่โตพอหรือฝีมือในการบริหารงานเขายังไม่ถึงขั้นพ่อถึงไม่มอบหมายโปรเจคใหญ่ หรือแบ่งงานให้เขาได้รับผิดชอบอย่างเต็มตัวสักที มีแค่โปรเจคเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านั้นที่เขาจะมีส่วนร่วม
มันเป็นเพราะอะไรเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
เอาเถอะอย่างน้อยก็มีงานให้ทำไม่โดนไล่ออกจากตระกูลก็พอ
MUSIC BOX
ทำไมทั้งห้องประชุมมีแค่นี้วะ
เบนมองไปรอบๆ ห้องหัวโต๊ะมีพ่อ(เจ้าสัวกรรณ) พี่เบอร์ดี้พี่สาวคนที่สองและสุดท้ายคือผู้ช่วยเขาที่ชื่อ มาร์ช นี่ก็มาแทนคนเก่า เจ รายนั้นขอลาไปเรียนต่อโท แต่ที่สำคัญคือยังมีเก้าอี้ว่างสองตัวที่มีแก้วน้ำวางอยู่สองแก้วเดาว่าจะต้องมีคนเข้ามาประชุมเพิ่มอีกสองคนแน่ๆ แต่ยังไม่มา เป็นการประชุมที่แปลกดีทุกทีเวลาประชุมโปรเจคหรืองานคนเข้าประชุมแทบจะทั้งแผนก แต่วันนี้ไม่มีใครมาสักคน
“ปีนี้เราอายุเท่าไหร่เบน”
“27ครับ”
“โตเร็วเนอะเมื่อก่อนยังวิ่งแก้ผ้าอยู่เลย”
“เจ๊เบอร์ดี้รำลึกความหลังทำไมกัน”
“ตอนเด็กแม่พี่ยังจับเราแต่งตัวเป็นตัวซูเปอร์ฮีโร่อยู่เลย จำได้เราน่ะชอบมากใส่ไม่ยอมถอด”
“ป้าพินบอกว่าผมน่ารักเป็นอาตี๋น่ารัก”
“โตมากวนตีนไง”
“โตมาก็น่ารัก เออ..ผมถามอะไรหน่อยได้ไหมทำไมทั้งห้องประชุมมีแค่เรา นี่เราเริ่มประชุมกันหรือยัง”
เบนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเวลาเลยมาเกือบสิบโมงแล้วแต่ก็ยังไม่มีหัวข้อประชุมอะไรทั้งนั้น นี่ก็ดื่มกาแฟไปสองแก้วแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นจะมีเอกสารสักแผ่น เจ้าสัวกรรณวางโทรศัพท์แล้วขยับตัวมานั่งดีๆ สองพี่น้องที่คุยเล่นกันอยู่เลยหันหน้ามาฟังผู้เป็นพ่อ
“อย่างที่รู้บริษัทเรามีโปรเจคใหม่ที่เพิ่งประชุมไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว จริงๆ ก็ไม่ใช่โปรเจคใหม่อะไรบริษัทเราทำโปรเจคนี้ทุกปี”
“สิบนักร้องสิบเพลงรัก”
“ใช่ ที่ผ่านมาโปรเจคนี้เบอร์ดี้จะเป็นดูแลทั้งหมดแต่คราวนี้พ่อจะเปลี่ยนทุกอย่าง ทั้งแนวเพลง นักร้อง คนแต่งเพลง รวมทั้งคนดูแลโปรเจค”
ทั้งห้องประชุมเงียบสนิทเมื่อเห็นว่าสายตาของเจ้าสัวกรรณมองมาที่ทายาทคนเล็ก เบนจามินรู้สึกว่าใจเขาเต้นเร็วมากเมื่อได้ยินประโยคเมื่อสักครู่ ทั้งๆ ที่พอเดาออกว่าคนที่จะรับผิดชอบโปรเจคแทนพี่เบอร์ดี้จะเป็นใครแต่มันก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
“คนที่จะมาทำเพลงให้โปรเจคนี้จะไม่ใช่คนในบริษัท พ่อไม่แน่ใจว่าลูกจะรู้จักเขาหรือเคยได้ยินชื่อมาบ้างหรือเปล่าพ่อเองก็รู้จักกับพ่อเขามานานตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง KTD เลยก็ว่าได้”
สายตาเบนมองไปที่ประตูเมื่อเห็นว่ามีเงาคนยืนอยู่ที่หน้าประตูและทันทีที่ประตูเปิดออกก็เห็นว่ามีร่างสูงใหญ่ของชายสูงอายุเดินนำเข้ามาก่อน ตามด้วยคนที่ใส่กางกางแสล็คสีขาวเสื้อเชิ้ตลายทางสีฟ้าพร้อมกับสะพายกระเป๋าใส่กีตาร์ไว้ด้านหลัง ทุกคนในห้องประชุมลุกขึ้นยืนทักทายผู้ที่เดินเข้ามาใหม่
ทำไมเบนจามินจะไม่รู้จัก
อคิราห์ นันทสกุล
มือกีตาร์มือหนึ่งของวงการเพลง
สมาชิกของวง The music box ในตำนาน
“ไม่เจอกันนานเลยเจ้าสัวกรรณ ยังหนุ่มยังแน่นเหมือนเดิม”
“พี่ก็พูดเกินไปแค่เดินไปเดินมาก็เหนื่อยแล้วตอนนี้ แล้วนี่ลงมากรุงเทพเมื่อไหร่นึกว่าเจ้าคีย์จะมาคนเดียวซะอีก”
“แขกระดับ VIP ของ KTDติดต่อมาทั้งทีใครจะพลาด เลยขอลงมาจากเชียงรายมาทักทายด้วยตัวเอง”
“เป็นเกียรติของ KTD ต่างหากที่ร่วมงานกับนักแต่งเพลงระดับมืออาชีพ”
“อย่าไปชมมันมากเดี๋ยวมันเหลิง”
เป็นบทสนทนาที่ฟังแล้ว งงๆ
เบนจามินจับใจความว่าพ่อคงรู้จักกับคุณอคิราห์มานานแล้วเจ้าจิ๋วที่แบกกีตาร์อยู่คือลูก แต่ที่ไม่เข้าใจคือใครแต่งเพลง แล้วนักแต่งเพลงมืออาชีพนี่คือใคร คนลูกหรือคนพ่อ?
“เอ๊า ทักทายกันเพลินนี่แนะนำตัวกันหน่อยเบอร์ดี้นี่รู้จักกันอยู่แล้วใช่ไหม งั้น..”
เจ้าสัวกรรณกวักมือเรียกให้เบนจามินเดินมาอยู่ข้างๆ ส่วนคุณอคิราห์ก็หันไปรั้งคนที่สะพายกระเป๋ากีตาร์ให้เดินออกมาข้างหน้า ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นเบนจามินเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะอายุน้อยกว่าเขาเยอะพอสมควรเพราะดูแล้วก็ยังไม่โตเท่าไหร่ถ้าแต่งตัวกางเกงยีนส์เสื้อยืดก็วัยรุ่นสยามทั่วๆ ไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่เพราะเบนก็เห็นว่าสายตาจากฝั่งนั้นก็มองเขาเหมือนประเมินอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ
“นี่คือนักแต่งเพลงสำหรับโปรเจคนี้ คีตา นันทสกุล และนี่เบนจามิน เกียรติธนธาดาผู้รับผิดชอบโปรเจคของ KTD ครับ”
เบนจามินหันมามองหน้าเจ้าสัวกรรณที่ยิ้มให้พร้อมกับตบลงบนไหล่ลูกชายคนเล็กเบาๆ คิดว่าเจ้าลูกชายก็คงตกอกตกใจพอสมควรเพราะเขาไม่เคยที่จะมอบหมายงานให้เจ้าตัวทำคนเดียวจริงๆ สักทีแต่ครั้งนี้เขาคิดมาดีแล้วว่ามันถึงเวลาที่เบนจามินจะได้เติบโตและเรียนรู้การทำงานของ KTD อย่างจริงจัง อย่างน้อยโปรเจคนี้เบนจามินก็มีเคยมีส่วนร่วมมาบ้าง
“เจ้าสัวกรรณผมว่าเราปล่อยให้เด็กๆ เขาทำความรู้จักกันดีกว่าครับ”
ไปจริงๆ
ทุกคนในห้องประชุมไปหมดขนาดมาร์ชผู้ช่วยยังออกไปด้วย เบนจามินไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่เวลาที่เราต้องเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ในอายุอานาม27ปีจะเริ่มจะคุยจะทักอะไรยังไงอีกฝ่ายก็ดูติสท์ๆ ชอบกลเอาวะ..ถ้าเด็กกว่าก็น่าจะคุยกันง่าย
“คุณคีตา”
“เรียกผมว่าคีย์ก็ได้ครับ”
“อ้อ..งั้นคุณเรียกผมว่าเบนก็ได้”
เงียบ…ปกติเวลาจะทำงานร่วมกับใครเขาทักทายกันแค่นี้หรือเปล่าวะ
ยังไม่ทันจะได้พูดแนะนำตัวต่อคนที่นั่งอยู่ก็พูดขึ้นมาซะก่อน
“รู้รายละเอียดโปรเจคนี้ไหมครับ ผมเห็นว่า KTD ทำโปรเจคนี้ทุกปีไม่ทราบว่าปีก่อนๆ เป็นแบบไหน”
“ก็สิบเพลงสิบนักร้อง”
“แค่นั้นเหรอครับ…แล้วปกติเพลงเป็นแนวไหนครับ ต้องเป็นเพลงรักอย่างเดียวหรืออกหักก็ได้”
“ก็เพลงรักทั่วๆ ไปครับ”
“แค่นั้น?”
“ก็งานมีแค่นั้น คุณแต่งเพลงเลือกนักร้องก็แค่นั้นมีอะไรที่ยากเหรอครับ”
คีตานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อได้ยินทุกอย่างจากคนที่นั่งฝ่ายตรงข้าม เด็กฉิบหาย..รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุเยอะกว่าเขาแต่เห็นแบบนี้ก็รู้เลยว่าทำงานโคตรไม่เป็นมืออาชีพคีตาไม่เคยรู้จักทายาทไฮโซอะไรทั้งนั้นเขาไม่เคยสนใจแต่ก็คิดไว้ในลึกๆ ว่าจะเป็นแบบนี้ตอนที่ KTD ENTERTAINMENT ติดต่อมาตอนแรกจะปฎิเสธเพราะปกติแนวเพลงที่เขาแต่งไม่ใช่แนวพวกวัยรุ่นป๊อปใสๆ เท่าไหร่แต่พ่อของเขาซึ่งเคยรู้จักกับเจ้าสัวกรรณมาก่อนบอกให้เขาลองดู
ยังไงถือว่าฝึกฝีมือ
นี่ก็ทำใจไว้หลายเรื่องเพราะไม่เคยร่วมงานกับบริษัทใหญ่ๆ มาก่อนแต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอปัญหาตั้งแต่เฮดใหญ่ของโปรเจค ทายาท KTD คนอื่นๆ ก็ดูเป็นงานเป็นการยกเว้นไอ้คนที่นั่งตาตี่อยู่ตรงหน้านี่ ใจจริงคีตาไม่สนใจเรื่องเงินเรื่องรายได้อะไรทั้งนั้นแต่ทั้งหมดนี่คือเกรงใจพ่อและเจ้าสัวกรรณเพราะเห็นว่ารู้จักกันมานานไม่งั้นตอนนี้กลับบ้านนอนไปแล้ว
เสียเวลาโคตรๆ
ทำงานกับเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้
“คุณเบนมีแผนการทำงานของโปรเจคนี้ยังไงเหรอครับ”
“แผนการทำงาน?”
“เอาแค่คร่าวๆ ก็ได้ครับ”
“ไว้ผมค่อยคิดแล้วกันมันก็ดูไม่ยากเท่าไหร่”
“…………………………………………………….”
“คุณเบนจามิน”
“ครับ?”
“ผมขอพูดตรงๆ เลยนะ ผมเป็นคนแต่งเพลง ทำเพลง ให้กับโปรเจคนี้ของบริษัทคุณถึงแม้ว่าคุณจะไม่มีความรู้ทางด้านดนตรีแต่อย่างน้อยด้านการบริหารคุณก็น่าจะมีความรู้บ้าง”
“ที่คุณพูดนี่หมายความว่าไง”
“ถ้าคุณเบนยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบงานใหญ่ขนาดนี้ก็ควรจะบอกเจ้าสัวกรรณ”
“คุณ…”
“สำหรับผม ผมว่าคุณยังไม่พร้อมจริงๆ คุณยังดูเล่นๆ อยู่เลย”
“คุณเอาอะไรมาตัดสินผมเหรอครับ”
“แค่ตอนนี้ผมก็รู้แล้ว สิบนักร้องสิบเพลงรัก รักแบบไหน มีอะไรบ้าง แนวดนตรี ทั้งหมดนี่คุณตอบผมได้ไหม มีไอเดียอะไรในหัวคุณบ้าง คุณคิดว่าคนรับผิดชอบโปรเจคมีหน้าที่แค่เซ็นเอกสารงั้นเหรอขนาดผมถามว่าปีที่ผ่านมาโปรเจคนี้เป็นยังไง คุณยังอธิบายให้ผมฟังไม่ได้เลย คุณเบนจามิน”
“………………………………………………………..”
“ผมไม่รู้นะครับว่าคุณเบนทำงานที่ KTD มานานแค่ไหนแต่คิดว่ามันเป็นธุรกิจครอบครัวคุณน่าจะรู้ทุกอย่าง ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ ”
“………………………………………………………..”
“เอาเป็นว่าผมจะไม่ถอนตัวจากการแต่งเพลงให้โปรเจคนี้ขึ้นอยู่กับคุณเบนแล้วกันว่าจะเอายังไง”
“………………………………………………………..”
เบนจามินมองไปยังคนที่เพิ่พูดประโยคนั้นจบ คีตา นันทสกุล เขาไม่เคยรู้จักและไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเบนยอมรับว่าถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในแวดวงดนตรีแต่ที่จริงแล้วเขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเขาถึงเลือกเรียนบริหารตั้งแต่ตอนเข้ามหา’ลัยและไม่เคยสนใจคณะที่เกี่ยวกับดนตรีเลยสักนิด เขาเล่นดนตรีได้เพราะที่บ้านส่งให้เรียนตามพี่น้องคนอื่นๆ เขาพูดได้ไม่เต็มปากว่าชอบดนตรีที่ยังอยู่ตรงนี้เพราะเป็นธุรกิจของครอบครัวถ้าไม่สานต่อจะให้เขาไปทำงานที่ไหน
ถ้าถามว่าชอบดนตรีไหมเขาจะตอบว่าโอเคเขาอยู่กับมันได้
แต่ไม่ถึงขนาดที่ทำให้เขาทุ่มเททุกอย่างไปกับมัน
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้บอกได้เลยว่ามีความเป็นนักดนตรีเต็มเปี่ยมอย่างน้อยก็มันก็คงอยู่ในสายเลือด ก็เป็นลูกชายมือกีตาร์มือหนึ่งระดับประเทศ นักแต่งเพลง (คิดว่ามีชื่อเสียงพอสมควรแต่เขาก็ไม่รู้จัก) แถมสะพายกีตาร์ไปไหนมาไหนแบบนี้ดูก็รู้ว่าคงรักดนตรีมาก หน้าตาโคตรเด็กดื้อ ตาก็ไม่ได้โตไปกว่าเขาเท่าไหร่ยกเว้นแก้มที่มีเยอะจนมันล้นออกมา ที่จริงเขาก็ยังไม่รู้อายุคนตรงหน้าเดาไว้ก่อนว่าเด็กกว่าเพราะท่าทางเหมือนเด็กเอาแต่ใจอยู่เหมือนกัน
โดยเฉพาะคำพูดคำจานี่เจ็บแสบไปถึงทรวง
ไอ้เด็กเปรต (ด่าในใจ)
“ถ้าคุณคีตาคิดว่าผมห่วยมากนักผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมจะเป็นคนที่รับผิดชอบโปรเจคนี้”
“คุณเบนจะไม่ถอนตัว?”
“ก็ถือว่าเราเสมอกัน เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณแต่งเพลงเก่งแค่ไหน เก่งระดับโลกหรือเปล่า เพลงที่แต่งเพราะไหมหรือว่างั้นๆ คนอื่นอาจจะบอกว่าเพราะแต่สำหรับผมมันอาจจะแย่มากก็ได้ ก็คงต้องลองดูกันสักหน่อยว่าเราสองคนจะทำให้โปรเจคนี้ไปรอดหรือว่าล่ม”
“คุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกเหรอครับ”
“ผมไม่เคยคิดว่างานเป็นเรื่องสนุก แต่ผมคิดว่าเราสองคนทำงานด้วยกันอาจจะสนุกมากก็ได้ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคีตา นันทสกุลจะแต่งเพลงออกมาได้เพราะสมคำร่ำลือหรือเปล่า”
ตีตาลุกขึ้นยืนพร้อมกับจ้องหน้าคนที่ยืนยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาคิดว่าคนอย่างเบนจามินจะอารมณ์ร้อนปล่อยสักหมัดแล้วเดินไปถอนตัวจากโปรเจคนี้กับเจ้าสัวกรรณแต่เขาคิดผิดยิ่งโดนยั่วโมโหแบบนี้มันเหมือนกับว่าศึกครั้งนี้เขาจะแพ้ไม่ได้
“ถ้าคุณเบนตัดสินใจแบบนี้ผมก็ยินดี หวังว่าคุณจะทำงานแบบมืออาชีพนะครับไม่ใช่ทำงานแบบเด็กประถม”
ตอนนี้ที่หน้าห้องประชุมมีทั้งเจ้าสัวกรรณ คุณอคิราห์ เบอร์ดี้และผู้ช่วยมาร์ชยืนเกาะประตูดูความเป็นไปของทั้งคู่ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่กล้าผลักประตูเข้าไปแค่รู้สึกว่าเข้าไปตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เจ้าสัวกรรณยืนกอดอกมองเจ้าลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้หน้านิ่งสนิทดวงตาเรียวเล็กจ้องหน้านักแต่งเพลงเขม็ง เขาเลี้ยงของเขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อยรู้เลยว่าเจ้าเบนจามินกำลังไม่พอใจมากๆ เดาได้เลยว่า
โปรเจคงานครั้งนี้คงจะไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
แต่เขาจะไม่เข้าไปยุ่งเด็ดขาดบอกแล้วว่าเบนจามินจะต้องเติบโตขึ้นด้วยตัวเอง
“เราเข้าไปกันเถอะ ยืนกันอยู่อย่างนี้พนักงานมองกันหมดแล้ว”
ทันทีที่ทุกคนผลักประตูเข้ามาเป็นจังหวะเดียวกับที่คีตาถกแขนเสื้อแล้วยื่นมือมาตรงหน้าทายาทคนเล็กของ KTD เบนจามินเหลือบมองมือที่ยื่นมาตรงหน้าสังเกตเห็นว่าตรงข้อมือด้านในของอีกฝ่ายสักลายกุญแจเอาไว้
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกับ KTD ENTERTAINMENT นะครับคุณเบนจามิน เกียรติธนธาดา ”
“ยินดีเช่นกันครับคุณคีตา นันทสกุล”
ทุกคนในห้องประชุมมองทั้งคู่ที่จับมือกันอยู่ตรงโต๊ะกลางห้อง ทั้งๆ ที่มันควรเป็นภาพที่น่าชื่นชมที่เห็นทั้งสองคนเริ่มต้นกันด้วยดีแต่ทำไมสายตาของทั้งคู่ที่มองกันอยู่มันฟาดฟันกันจนแทบจะมีสายฟ้าฟาดออกมา แถมมือที่จับอยู่ก็บีบกันแน่นจนขึ้นรอยแดงเหมือนต่างคนต่างไม่ยอมแพ้
ให้ตายเถอะ
นี่ค่ายเพลงหรือค่ายมวย
TO BE CON
MUSIC BOX
ฝากแทก #นิยายกล่องดนตรี
ในทวิตเตอร์ด้วยนะคะ
ทะด้า นี่คือเบนจามิน เกียรติธนธาดา ลูกเพื่อนแม่คนที่สองจาก #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่ ค่ะขอบอกก่อนว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีหรือการแต่งเพลงมาก่อนเลยเลยจะไม่ลงเน้นพวกทฤษฎีการแต่งเพลงอะไรแบบนี้นะคะกลัวผิดเด้อ จะพยายามแทรกอันที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ แต่เรื่องนี้จะเน้นบรรยากาศเวลาที่เขาอยู่ด้วยกันมากกว่า แต่ถ้ามีอันไหนผิดท้วงได้เสมอนะคะ
Ps.กล่องดนตรีนี้มีความหมายนะเออ
ps1 SECRET GARDEN ความลับของต้นไม้ รามิล เตชนะหิรัญจะได้ตีพิมพ์นะคะไว้เดี๋ยวมีอะไรคืบหน้าจะแจ้งข่าวค่ะ ^^
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
มาเจิมเรื่องใหม่ค่าาา รอติดตามอยู่นะคะ
-
ตามมาจาก secret garden ค่ะะะะ มาเจิมไว้ก่อน อิอิ
เรื่องนี้ท่าทางจะเป็นแนวลิ้นกับฟันนะคะเนี่ย น่าสนุก
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.1 : Choice
“คีตา นันทสกุล ลูกชายคนเล็กของอคิราห์ นันทสกุลมือกีตาร์วง The music box ในวงการใช้ชื่อว่า KEY ในการแต่งเพลงด้วยอายุแค่ 25 แต่แต่งเพลงมาแล้วเกือบร้อยเพลง แค่นี้…ทำไมประวัติมีแค่นี้วะ”
“เขาก็เขียนอยู่ว่า ขอไม่เปิดเผยประวัติส่วนตัวทิม มึงอ่าน”
“เห็นรูปแล้วเหมือนมีไอ้ทิมสองคน หน้าตาดูกวนประสาทเห็นแล้วปวดหัวจี๊ดแต่แก้มเยอะฉิบหายเลยน่าเอ็นดูขึ้นมาหน่อย”
“อย่าไปเอ็นดูมันคิน มันกวนประสาทจริงๆ โว้ยคุยกับกูนี่ ทุกประโยคบาดจิตบาดใจกูมากไม่ได้คิดว่ากูอายุมากกว่าเลยใส่เอาๆ ตัวเท่าลูกหมาทำเป็นซ่า”
“มึงไปกวนตีนน้องเขาก่อนหรือเปล่าเบน กูรู้นิสัยมึงดี”
เช้าวันอาทิตย์ที่สนามยิงปืนวันนี้ถึงคิวเบนที่คิดกิจกรรม ทุกคนออกจะ งง ๆ เล็กน้อยเมื่อถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมกับโดนลากมาที่สนามยิงปืน ไอ้ทิมนี่ยังหลับตาขี่หลังคินที่ยังดูไม่ตื่นดี ส่วนรามิลก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งเพราะบอกว่ายังไม่ทันจะได้ฟัดต้นไม้ก่อนออกจากบ้านไม่รู้ไอ้เบนจะรีบไปไหนทุกทีนี่มันตื่นสิบโมงด้วยซ้ำ พอมาถึงก็เอาแต่ยิงๆ อย่างเดียวไม่พูดไม่จา
กว่าจะรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นไอ้เบนก็ยิงปืนซะจนกระสุนแทบหมดสนามพี่แทนเจ้าของสนามแทบจะยกมือไหว้มันให้หยุดยิง พอได้พักไอ้ทิมจัดการค้นหาประวัติคู่กรณีภายในสองวิ ไม่มีใครคุ้นหน้าคุ้นชื่อนอกจากไอ้คินที่ทำงานอยู่ในวงการโฆษณาบอกว่าเคยฟังเพลงที่เขาแต่งมาบ้าง แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ก็ลองทำงานด้วยกันก่อน เนี่ยเจ้าสัวกรรณมอบโปรเจคใหญ่ขนาดนี้ให้มึงทำแล้วต้องเต็มที่นะเว้ย”
“เรื่องงานกูตั้งใจทำอยู่แล้วแต่ไอ้เพื่อนร่วมงานนี่กลัวว่าจะตีกันตาย”
“น้องเขาเด็กกว่าก็ใจเย็นๆ กับน้องเขาหน่อย”
“กูจะพยายามแล้วกัน”
“เบน โตแล้วนะจะทำอะไรคิดดีๆ”
รามิลบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่เบนจะลุกไปยิงปืนต่อ ทั้งสามคนในแกงค์ลูกเพื่อนแม่ได้แต่มองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ถึงแม้จะได้ยินประโยคที่น่าจะทำให้สบายใจแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ใช่ธรรมดาเช่นกันดูจากรูปและสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องประชุมที่เบนเล่าให้ฟัง
ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่ร้ายแรง
ถึงขนาดเลือดตกยางออก
MUSIC BOX
ผมขอนัดคุยกับคุณเบนจามินเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับเรื่องการทำงานของผมกับคุณ
เบนจามินมองข้อความที่เด้งขึ้นมาในไลน์เจ้าเปี๊ยกจอมซ่ามีการไลน์มาหาส่วนตัวอย่างนี้ท่าทางคงอยากจะเคลียร์กับเขาให้มันรู้เรื่อง ตอนแรกเบนจะตอบตกลงแต่อยู่ดีๆ ก็คิดว่าแกล้งเด็กเล่นหน่อยจะเป็นอะไรไปวันนั้นด่าเขาไว้ซะเยอะ สุดท้ายก็พิมพ์ตอบกลับไปว่าพรุ่งนี้ตอนบ่ายเจอกันที่ร้านกาแฟแถวอารีย์เพราะมีนัดลูกค้าที่นั่น
อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าขอคุยที่บริษัทได้ไหมแต่เบนจามินก็แกล้งตอบไปว่าเขาไม่ได้เข้ากลัวว่าจะช้าพอตอบไปแบบนั้นทางนั้นก็เลยตกลงเบนจามินกดออกจากไลน์แล้วเสิร์ชหาอินสตาแกรมของคีตา นันสกุลยังดีที่ยังเปิดเป็นสาธารณะ ในไอจีไม่ค่อยลงรูปตัวเองเท่าไหร่มีแต่รูปตอนเล่นดนตรีโดยเฉพาะตอนเล่นกีตาร์แต่ไม่มีรูปไหนเห็นหน้าชัดๆ ขนาดไอจียังดูติสท์ๆ เป็นตัวของตัวเองโคตรๆ นอกนั้นก็มีแต่รูปกล่องดนตรี
ชอบ?
หรือไม่ก็ของสะสม
กล่องดนตรีในแบบต่างๆ เห็นแล้วแปลกตาดี
ไม่คิดว่าผู้ชายจะชอบอะไรแบบนี้
15.48 น.
เกือบสามชั่วโมงแล้วที่คีตานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟ เขาสั่งเครื่องดื่มไปสองแก้วแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าไอ้ทายาท KTDจะโผล่หน้ามาคุยล่าสุดไลน์มาบอกว่าใกล้เสร็จแล้วหลังจากนั้นพอไลน์ไปก็ไม่อ่าน ไม่กล้าโทรไปเพราะกลัวว่าจะยุ่งอยู่ คีตาพยายามคิดในแง่ดีว่าอีกฝ่ายคงไม่ปล่อยให้เขาคอยเก้อหรอกในเมื่อนัดกันมั่นเหมาะขนาดนี้
17.34 น.
โอเค..เริ่มไม่มั่นใจละไอ้ตี๋นั่นจะต้องวางแผนแกล้งเขาอยู่แน่ๆ แต่ความดีในตัวก็ยังบอกว่าอีกฝ่ายอาจจะยังคุยกับลูกค้าไม่เสร็จ นี่เขาก็ไม่อยากจะไลน์ไปแล้วเพราะทุกข้อความที่ส่งไปก่อนหน้านี้มันยังไม่ขึ้นว่าอ่านแล้วสักข้อความเลยเลิกส่ง เอาวะ..ไหนๆก็รอมาขนาดนี้แล้ว
20.38 น.
“ผมขอโทษนะครับคุณคีตาผมลืมว่านัดคุณไว้ ผมนัดแฟนผมไว้แล้วคุณช่วยเห็นใจผมนะครับพวกผู้หญิงถ้างอนแล้วง้อยาก”
โอเค..ใจเย็นๆ นะคีตาตอนนี้ร้านกาแฟปิดไฟเป็นที่เรียบร้อยเขานี่แหละลูกค้าคนสุดท้ายของร้าน ทันทีที่ก้าวขาออกมาจากร้านก็เจอกับข้อความที่เด้งมาในไลน์ครั้งแรกที่เห็นนี่ดีใจมากแต่พออ่านข้อความนี่เรียกได้ว่าถ้าตอนนี้มีควันออกจากหูได้คงมีไปแล้วหลังจากที่อ่านจบคีตาก็กำมือแน่น
“จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม ไอ้ตี๋รู้จักคีตาน้อยไปมากเบนจามิน”
MUSIC BOX
“อาหารที่นี่อร่อยนะคะเบนแจนไม่เคยรู้เลยว่ากรุงเทพจะมีร้านบรรยากาศดีๆ แบบนี้”
เบนจามินยิ้มให้กับผู้หญิงตรงหน้าวันนี้เลิกงานเร็วก็เลยพาแจนมาทานอาหารอร่อยๆ คิดไม่ผิดที่พามาร้านนี้เพราะขึ้นชื่อว่าบรรยากาศดีรสชาติอร่อย จริงๆ ระหว่างเขาสองคนยังไม่ใช่แฟนกันซะทีเดียวก็เรียกว่าคู่ควงละมั้งเพราะไม่ได้ตกลงกันถึงสถานะตอนนี้ สาวสวยตรงหน้าก็เรียกว่าสวยขนาดผู้ชายทุกคนในร้านให้ความสนใจ ก็ดี..ควงคนสวยก็ต้องภูมิใจเป็นเรื่องธรรมดา
“เฮ้ยไรวะ!”
เบนจามินร้องลั่นเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีคนเดินมาชนแล้วเครื่องดื่มในมือของอีกฝ่ายหกใส่เสื้อเต็มๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เดินเข้ามาชนก็หยุดชะงัก
คีตา..
“อ้าวคุณเบนมาทานข้าวเหรอครับ เมื่อวันก่อนคุณก็มาทานกับคุณจ๋อมที่สวยๆ วันนี้มากับใครครับลูกค้าเหรอครับ ขอโทษด้วยนะครับเรื่องเสื้อพอดีผมไม่ได้ตั้งใจสะดุดเก้าอี้ ไม่ทันได้มอง”
“…………………………………………………..”
“โทรหาคุณจ๋อมด้วยนะครับ ไม่งั้นแฟนคุณเบนจะต้องโกรธมากแน่ๆ อย่ามัวแต่ทานข้าวกับลูกค้า”
“…………………………………………………..”
“เบนคะ”
ยังไม่ทันจะได้คุยกับไอ้คนที่ก่อเรื่องที่พูดเสร็จก็เดินหนีไปทางอื่น แต่เสียงเย็นยะเยือกจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำให้เบนหันกลับมาหา เสื้อสีขาวก็เลอะเครื่องดื่มสีแดงเต็มเสื้อ คนในร้านก็เอาแต่มองไม่เลิกและท่าทางน้องแจนกำลังจะโกรธแบบไฟลุกภายในห้านาทีนี้ เบนหันไปมองไอ้เปี๊ยกคีตาที่โบกมือลาเขาก่อนจะเดินออกจากร้านไปด้วยท่าทางสบายใจเต็มที่
ไอ้เด็กเปรต!
MUSIC BOX
“ผมจะไปเจอคุณที่บริษัท! เบนจามิน”
“ก็มาสิครับคุณคีตา หาผมให้เจอ”
เบอร์ดี้กำลังยืนมองน้องชายตัวเองที่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหมุนตัวส่งจูบแล้วกดลิฟท์หายไป แค่เพียงไม่นานลิฟท์ตัวข้างๆ ก็เปิดออกพร้อมกับนักแต่งเพลงน้องคีตา ทันทีที่คีตาถามถึงเบนจามินเบอร์ดี้ก็บอกว่าเมื่อกี้ลงลิฟท์ไปแล้ว นี่เธอก็ไม่รู้ว่าตอบอะไรผิดหรือเปล่าเพราะเห็นว่าคีตากำหมัดแน่นๆ ท่าทางเหมือนโมโหมากๆ เบอร์ดี้เลยขอตัวไปทำงานเพราะมีประชุมต่อ คีตายกมือไหว้แล้วกดเบอร์โทรศัพท์ไปหาผู้ช่วยของเบนจามินที่เคยขอเบอร์ไว้
“สวัสดีครับคุณมาร์ช ผมคีตา นันทสกุล”
“เด็กนรก?”
“ห๊ะ?”
“คือคุณเบนจามินเมมเบอร์นี้ให้ผมว่าเด็กนรกครับ”
“ไอ้เวรเอ๊ย”
“คุณคีตาว่าอะไรนะครับ ผมได้ยินไม่ถนัด”
คีตาพยายามสงบสติอารมณ์พร้อมกับบอกว่าไม่มีอะไรก่อนจะได้คำตอบว่าเบนจามินออกจากบริษัทไปแล้วก่อนที่เขาจะเข้ามาไม่ถึงห้านาที คีตายังไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ถึงหูผู้ใหญ่เมื่ออีกฝ่ายตั้งใจจะยียวนกวนประสาทแบบนี้เขาก็พร้อมจะเล่นด้วยจนกว่าความอดทนเขาจะสิ้นสุด
แต่ก็คิดว่าอีกไม่นานแล้วเหมือนกัน
MUSIC BOX
“คิดไงมาทำงานในวันหยุด ปกติไม่เห็นจะมา”
เบอร์ดี้ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเบนจามินนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานทั้งๆ ที่ปกติน้องชายไม่เคยจะมาทำงานในวันเสาร์อาทิตย์แบบนี้อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าอารมณ์ดีอะไรนักหนาเห็นเอาแต่ยิ้มจนตาตี่ๆ นั่นเป็นเส้นตรงพอถามก็บอกว่าไม่มีอะไรเบอร์ดี้เลยเลิกสนใจแต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาไปไหน อยู่ดีๆ มาร์ชก็ตะโกนเรียกใครสักคนตรงหน้าห้องทำงานตามด้วยคีตาที่เปิดประตูแล้วเดินตรงดื่งเข้ามาในห้อง
“ไหนบอกว่าวันนี้ป่วยไงครับคุณเบน”
เบนจามินเงยหน้ามองคนที่ทุบโต๊ะทำงานเสียงดังลั่นท่าทางจะโมโหมากเพราะตานี่จ้องเขาเขม็ง หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ที่ต่างฝ่ายเหมือนเล่นไล่จับอีกคนไล่อีกคนหนีจับไม่ได้ไล่ไม่ทันพอเบนได้แต้มคีตาก็จะไม่ยอมแพ้หาทางมาแกล้งคืนสมน้ำสมเนื้อสารพัดวิธีที่ทั้งสองคนผลัดกันเอาคืนไม่หยุด
นัดแล้วไม่ไป
นัดอีกร้านไปอีกร้าน
นัดแล้วเปลี่ยนร้านกระทันหัน
นัดไปเจอร้านที่ปิดแล้ว
นัดกันที่นู่นโผล่มาที่นี่
นัดกันที่นี่โผล่ไปที่อื่น
แต่สำหรับเบนบอกได้เลยว่าแค่อาทิตย์เดียวไอ้เปี๊ยกแก้มป่องนี่ทำเอาชีวิตเขาแปรปรวนไปหมด อย่างน้อยตอนนี้คู่ควงสาวสวยกระเจิงไปคนละทิศคนละทางเพราะโดนฤทธิ์ของคีตาเด็กเปรตนี่
“ก็หายแล้วไม่ได้เหรอครับ”
“คุณตั้งใจแกล้งผมคุณเบน”
“แกล้งอะไรกันคุณคีตา ผมทำอะไรแล้วที่ผ่านมาอย่าบอกนะว่าคุณไม่ได้แกล้งผมเหมือนกัน”
“ตกลงจะเอายังไง จะเอายังไงพูดสิวะ! ทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย!”
เบอร์ดี้ยกมือขึ้นมาทาบอกเมื่อเห็นว่าคีตาผลักอกเบนจามินจนน้องชายเธอเซไปด้านหลัง ก่อนที่เบนกระชากคอเสื้อของคีตาแล้วรั้งให้เข้ามาใกล้ยังดีที่ไม่ได้ยกมือขึ้นมาต่อยกันแต่ต่างคนจ้องหน้ากันไม่เลิกสายตาที่มองกันทำให้เบอร์ดี้บอกให้มาร์ชรีบไปตามผู้ใหญ่มาเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่อง
“ตัวต่อตัวเลยไหมจะได้จบๆ ”
“ก็ได้นะแต่กลัวว่าจะกลายเป็นว่าผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
“เด็กประถมยังโตกว่าคุณเลย”
“ก็ไม่ต่างกันหรอกตัวเท่าลูกหมาเตะทีก็กระเด็นแล้ว”
“เสียเวลาว่ะเอาเลยไหม”
"ต่อยถึงก็เอาเลย ไอ้เปี๊ยก"
“เบนจามิน! คีตา!”
เสียงของเจ้าสัวกรรณและคุณอคิราห์ที่ดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนหยุดนิ่ง แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมแยกออกจากกันจนผู้ใหญ่ทั้งสองคนต้องเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา เจ้าสัวกรรณรู้เรื่องทั้งหมดภายในหนึ่งอาทิตย์ที่เกิดขึ้น เพราะเขารู้ดีว่านิสัยของสองคนนี้ไม่มีทางที่จะยอมกันง่ายๆ ขนาดนั้นถึงได้ให้คนคอยดูอยู่ห่างๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดนี่ก็ตั้งใจจพูดเรื่องนี้อยู่เหมือนกันเพราะกลัวว่าปล่อยไว้จะเป็นปัญหาใหญ่
แต่วันนี้ไหนๆ ก็จะต่อยกัอยู่รอมร่อ
งั้นคงจะต้องจัดการให้มันเด็ดขาดไปเลยแล้วกัน
“ทำงานด้วยกันนี่มันยากมากนักใช่ไหม เบนจามิน..พ่อคิดว่าลูกน่าจะโตพอจนแยกระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกแต่ท่าทางพ่อจะคิดผิด”
“………………………………………………………………………………………..”
“โปรเจคนี้พ่อตั้งใจให้เบนรับผิดชอบเพราะเชื่อในฝีมือลูก แต่พ่อก็ไม่เริ่มไม่แน่ใจว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่าเพราะแค่เริ่มก็เละไม่เป็นท่าแบบนี้ เราอายุมากกว่าคีตานะเบนมีวุฒิภาวะหน่อย”
“………………………………………………………………………………………..”
“เอาเป็นว่าถ้าเรายังไม่พร้อมกันทั้งคู่ พ่อจะเปลี่ยนคนรับผิดชอบโปรเจคหรือไม่ก็เลื่อนโปรเจคนี้ไปก่อน ส่วนเบนจามินถ้าจะพักงานทั้งหมดไปคิดทบทวนกับสิ่งที่ตัวเองทำพ่อก็ไม่ว่า พ่อว่าเรายังไม่พร้อมที่จะทำงานใหญ่ขนาดนี้หรือไม่ก็ไม่พร้อมสำหรับ KTD”
“………………………………………………………………………………………..”
เบนจามินค่อยๆ คลายมือที่จับคอเสื้อคีตาไว้
สายตาของเบนที่มองไปยังเจ้าสัวกรรณทำให้คีตาเองก็ปล่อยคอเสื้ออีกฝ่ายเช่นกัน
“ไม่ใช่แค่เบนจามินหรอกนะ เราก็เหมือนกันคีตา”
อคิราห์เดินเข้ามาหาลูกชายที่ยืนพิงโต๊ะอยู่เขาเองก็รู้นิสัยคีตาดี เพราะเลี้ยงมาคนเดียวตั้งแต่เลิกกับภรรยาถึงได้รู้จักเจ้าลูกชายชนิดที่มองตาก็รู้ใจ เขารู้ว่าเบนจามินก็คงวางแผนแกล้งแล้วเจ้าลูกชายก็ไม่ยอมแพ้หาทางแกล้งกลับ และอคิราห์เองก็รู้ว่าคีตาต้องการคุยกับเบนจามินเรื่องงานเพลงก็คงเหมือนทุกครั้งที่เวลามีงานติดต่อเข้ามาคีตาจะขอทำงานคนเดียวต่างคนต่างอยู่ เจอกันแค่ตอนประชุมก็แค่นั้น
และเขาผู้เป็นพ่อ
ไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงเหมือนเดิม
“ที่จริงแล้วที่พ่ออยากให้คีย์ทำงานกับ KTD ไม่ใช่เพราะว่าพ่อรู้จักกับเจ้าสัวกรรณหรอกนะ พ่ออยากให้คีย์ทำงานนี้ก็เพื่อตัวคีย์เอง”
“………………………………………………………………………………………..”
“คีย์ทำงานคนเดียวไม่เคยทำงานร่วมกับคนอื่นเลย ไม่ใช่ว่ามันแย่แต่พ่ออยากให้เราเรียนรู้การเข้าสังคมบ้าง อยากให้เรามีเพื่อนร่วมงาน มีคนที่คอยแชร์ความคิด มีทีมงานคอยให้คำปรึกษา”
“………………………………………………………………………………………..”
“พ่อรู้ว่าการแต่งเพลงและดนตรีคือสิ่งที่คีย์ชอบและก็ทำมันได้ดี แต่ถ้าคีย์ได้ลองแต่งในแบบที่เป็นมุมมองของคนอื่นบ้างมันก็อาจจะทำให้ลูกได้พัฒนา ถ้าได้มีเพื่อนมีพี่มีใครสักคนให้ได้เราได้แชร์เวลาทำงานมันก็อาจจะทำให้เพลงของคีย์ดีกว่าเดิมก็ได้”
“………………………………………………………………………………………..”
“แต่ถ้าคีย์คิดว่าทำงานคนเดียวแบบเดิมมันดีอยู่แล้วพ่อก็ไม่ว่า ยังไงพ่อก็ตามใจเราอยู่แล้ว”
“………………………………………………………………………………………..”
คีตาก้มหน้าลงเมื่อได้ฟังในสิ่งที่พ่อพูดไม่อยากจะยอมรับว่าที่พ่อพูดถูกทุกอย่าง เขารู้มาตลอดว่าเขาเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เก็บตัว และไม่ชอบยุ่งกับใครเพื่อนสนิทก็มีแค่ไม่กี่คนคีตาทำงานคนเดียวมาตลอดเพราะคิดว่าทำงานกับคนอื่นมีแต่เรื่องวุ่นวาย เลยเลือกที่จะทำทุกอย่างคนเดียว ถ้ามีคนจ้างเขาก็แค่ทำงานที่บ้านเพียงลำพังพอถึงเวลาก็แค่ไปประชุมไม่ผ่านก็กลับมาแก้ มันเป็นแบบนี้มานานตั้งแต่เขาเริ่มทำงานในวงการนี้ ไม่เคยต้องปรึกษาใคร ไม่เคยต้องคุยกับใคร
จริงๆ เขาก็เริ่มรู้ตั้งแต่ที่เขาฟังเพลงที่ตัวเองแต่งแล้ว
เนื้อหาเพลงมันวนเวียนอยู่แต่แบบเดิมไม่มีอะไรแปลกใหม่ เหมือนงานเพลงเขาย่ำอยู่กับที่
เจ้าสัวกรรณเดินเข้ามาหาทั้งสองคนที่ยืนข้างกันก่อนจะวางมือลงบนไหล่ของทั้งคู่ เขาไม่ได้ตั้งใจพูดให้เบนจามินเสียกำลังใจแต่ถ้าเขาไม่ใช้ไม้แข็งก็คงจะไม่รู้สึกตัว แววตาของลูกชายที่มองเขาอยู่ตอนนี้เขารู้เลยว่าเบนจามินที่เขาเลี้ยงมาไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และเขาก็ยังเชื่อว่าฝีมือของเจ้าลูกชายก็เก่งไม่แพ้ใคร
“พ่อมีทางเลือกให้สองทางสำหรับเบนจามินและคีตา”
“………………………………………………………………………………………..”
“หนึ่งคือแยกกัน..จะไม่มีใครได้ทำโปรเจคนี้ทั้งนั้นพ่อจะยุบโปรเจคไม่ก็เลื่อนออกไปจนกว่าอะไรจะลงตัว หรือข้อสอง ทั้งสองคนจะทำงานด้วยกันทำให้ทุกคนเห็นว่าเบนสามารถรับผิดชอบโปรเจคนี้ได้และคีตาก็สามารถแต่งเพลงในแบบใหม่ๆ ให้ทุกคนได้เห็นฝีมือและการพัฒนา”
เบนจามินและคีตาหันมามองหน้ากันเหมือนต่างคนต่างใช้ความคิด เบนไม่รู้ว่าไอ้เปี๊ยกคีตานี่คิดอะไรอยู่แต่ท่าทางจะเจ็บปวดกับคำพูดของคุณอคิราห์อยู่ไม่น้อยเพราะแววตาที่ตอนแรกมีแต่ความดื้อรั้นตอนนี้มันอ่อนลงจนเหลือแต่ความไม่มั่นใจจนเขาสังเกตได้ เอาเข้าจริงคีตา นันสกุลเวลาแบบนี้ก็เหมือนเด็กตัวเล็กๆ คนนึงเท่านั้น
ไม่เหมือนเด็กดื้อกวนประสาทที่เขาเคยเจอ
“ตกลงว่ายังไง”
เจ้าสัวกรรณถามซ้ำอีกครั้งก่อนที่เบนจามินจะหันมามองคนเป็นพ่อ
เช่นเดียวกับคีตาที่หายใจเข้าเหมือนเรียกความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง
“คือผม….. / ผมคิดว่า…..”
TO BE CON
MUSIC BOX
ไม่ใช่เบนที่มีปัญหา น้องคีตาก็มีปัญหาเหมือนกันนะคะ
และนี่คือคู่ที่มีปัญหา 555555555
Ps.กล่องดนตรีนี้มีความหมายนะเออ
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
รอติดตามต่อคราบบบ ให้ +1 แต้มนะครับ :a2:
-
มาแล้วววววววแก๊งเพื่อนแม่อีกราย จะรอติดตามนะคะ
-
ดี ๆ ต้องโดนซะบ้าง อย่ามัวแต่เล่นเป็นเด็ก
-
เป็นแฟนคลับ ... ต้นไม้
เลยตามมาดูแก๊งค์ลูกเพื่อนแม่รายต่อมา
... แต่ ดูเล่นมากไปเนอะ แบบขนมพอสมน้ำยาแหละ
เอาว่าจะลองตามต่อไปอีกสักพักค่ะ
-
อ่านไปแล้ว ฉันว่าคีตาไม่ผิดนะ โดนแกล้งตลอด แล้วเบนเป็นคนเริ่มและทำมันอย่างนั้นซ้ำๆ ไม่แปลกถ้าคีหมดความอดทน ผู้ใหญ่ควรให้คีไปทำงานกับคนอื่นก็ได้ เรามั่นใจว่าทำได้นะ เปลี่ยนคนทำก็เหมือนก้าวไปอีกขั้นป่ะ ไม่ใช่ล้มโปรเจค มองดีๆ ตีตีไม่ผิดอ่ะ ทำไมต้องโดนไปด้วย ผู้ใหญ่บางทีก็้หมือนคนโง่อ่ะ ปัญหาแก้ได้นิดเดียวไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย
.
มีปัญหาที่เบน ควรแก้ที่เบน ไม่ใช่ตีตา
#โทษทีอินไปหน่อย #คิดว่าไม่สมเหตุผลเท่าไหร่
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.2 : ANNA
นี่เขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า..
วินาทีที่เขาและไอ้เด็กคีตาตัดสินใจว่าทำงานร่วมกันเหมือนเดิมไม่มีใครถอนตัวไปจากโปรเจคนี้ ก็นึกว่าแค่จับมือเซ็นสัญญาสงบศึกแล้วก็ร่วมกันทำงานแบบมิตรไมตรีแค่นั้น แต่ไม่คิดว่าพ่อเขาและพ่อเจ้าเปี๊ยกนี่จะมีข้อตกลงเพิ่มเติมเข้ามาและเหมือนมันจะเป็นข้อตกลงที่เกินคาดคิดมากๆ…
“ของทั้งหมดนี่ให้เอาไว้ห้องไหนครับ”
“วางไว้หน้าโซฟาก่อนก็ได้ครับ”
“เปียโนเจ้าสัวกรรณบอกว่าให้เอาไว้ตรงนี้นะครับ”
“ตามนั้นเลยครับ”
“เดี๋ยวผมจะไปเดินสายไฟในห้องสตูดิโอ มีอะไรเรียกได้นะครับ”
“เอ่อ…ครับ”
ตอนนี้เบนจามินและคีตากำลังยืน งง อยู่กลางห้องคอนโดพร้อมกับมองพนักงานที่ขนของไปมาให้วุ่นวาย ทั้งข้าวของเครื่องใช้และเครื่องดนตรีที่ถูกยกไปวางตรงห้องซ้อมที่ทำขึ้นมาใหม่ รวมทั้งสตูดิโอทำเพลงที่คีตาเห็นครั้งแรกยังยืนช็อคอยู่หน้าประตูเพราะนึกว่ายกจาก KTD แล้วเอามาวางไว้ที่นี่
ทุกอย่างพร้อมมาก
พร้อมสำหรับ..
“อ้อ..พ่อกับคุณอคิราห์คุยกันแล้วจะเป็นอะไรไหมถ้าพ่อให้เราสองคนอยู่ด้วยกัน”
นั่นคือประโยคจากเจ้าสัวกรรณเมื่ออาทิตย์ที่แล้วยอมรับว่าฟังครั้งแรกนี่เหมือนโลกหยุดหมุนไปเกือบสิบวิ..คำว่าอยู่ด้วยกันนี่คิดไปในทางที่ดีก่อนว่าอาจจะแค่ทำงานด้วยกันที่บริษัทเดียวกัน ห้องทำงานเดียวกันแค่นั้นแต่คำว่าอยู่ด้วยกันของเจ้าสัวกรรณไม่ได้คิดมาก่อนว่ามันคือการ
ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
แบบใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน!
จะปฎิเสธทันทีก็กลัวว่าจะมีปัญหาเพราะเพิ่งญาติดีกันไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว เลยยืนฝืนยิ้มยังไม่ตอบตกลงหรือว่าปฎิเสธ คีตาคิดว่าอีกฝ่ายก็น่าช็อคไม่ต่างจากเขาพอสมควร พอเห็นว่าไม่มีใครตอบรับเจ้าสัวกรรณก็บอกว่าจะได้เตรียมสถานที่ไว้ให้แล้วนี่ก็คิดในใจว่าคงเตรียมการมาอย่างดีแล้วแน่ๆ
“คอนโดจะมีสองห้องนอนสองห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ที่เพิ่มมาคือห้องทำงานของเบนห้องซ้อมดนตรี และสตูดิโอทำเพลงของตีตา”
โอ้โห..พร้อมขนาดนี้
จะให้เขาปฎิเสธยังไงได้กัน
“ผมตกลงครับ”
เบนจามินเป็นคนตกปากรับคำก่อนคีตาเลยหันไปมองหน้าไอ้คนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าตาไม่ได้ล้อเล่นเหมือนที่ผ่านมาเลยสักนิด คีตาเลยเงยหน้ามองผู้ใหญ่สองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับตอบตกลงไปเช่นกัน กว่าจะคุยเรื่องรายละเอียดเสร็จก็ปาไปหลายชั่วโมง และทันทีที่ประตูห้องทำงานถูกปิดลงความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
คีตาเองก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเบนเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร
สุดท้ายก็ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบอยู่อย่างนั้น..
MUSIC BOX
“คุณอคิราห์ ผมต้องขอโทษด้วยนะที่ต้องใช้ไม้แข็ง ผมไม่ได้คิดจะถอนตัวคีตาออกจากโปรเจคนี้หรอกผมแค่พูดไปให้เบนสำนึกเท่านั้น เขาจะได้รู้ว่าผลของการกระทำแบบเด็กๆ มันส่งผลกระทบต่อคนอื่นมากแค่ไหน”
“……………………………………………………………………………”
“KTD ยินดีร่วมงานกับตีตาอยู่เสมอ”
“ผมเข้าใจครับเจ้าสัวแต่ที่ผมพูดในห้องทำงานมันคือเรื่องจริงตั้งแต่ผมหย่ากับเพลงคีย์ก็มีแค่ผมมาตลอด เขาไม่เคยร้องไห้ให้กับเรื่องนี้เลยแต่ผมซึ่งเป็นพ่อเขาแท้ๆ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกตัวเองคิดอะไรอยู่ ”
“……………………………………………………………………………”
“ตั้งแต่ผมหย่าคีย์ก็ใช้ชีวิตคนเดียวเหมือนไม่อยากผูกพันกับใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร เจ้าสัวรู้ไหมผมยังไม่เคยเห็นคีย์มีเพื่อนสนิทหรือคนรักเลยสักคน ผมเหมือนเป็นคนเดียวที่คีย์เหลืออยู่บนโลก”
“แล้วเรื่องที่ให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันมันจะ..”
“จริงๆ ผมก็อยากใช้โอกาสนี้ให้คีย์ได้ลองเปิดใจ ผมเชื่อว่าเบนจามินจะทำให้คีย์ได้รู้จักอะไรใหม่ๆ หรือกล้าพอที่จะเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างอย่างน้อยเจ้าเบนก็น่าจะทำให้คีย์ปวดหัวทุกห้านาทีคงไม่เหงาเท่าไหร่”
“……………………………………………………………….”
“มากกว่าเพื่อนร่วมงานผมก็อยากให้คีย์มีพี่ชายที่คอยดูแลหรือใครสักคนที่เขาสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ผมเองก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า”
“ผมเองก็หวังว่าความเอาจริงเอาจังในการทำงานของคีย์จะทำให้เบนจามินโตเป็นผู้ใหญ่ได้สักที และเชื่อเถอะไอ้เจ้าเบนเห็นมันบ้าๆบอๆ แต่ก็มีมุมที่จะดูแลใครได้เหมือนกัน ก็ลูกเราทั้งคนคนเป็นพ่อก็ต้องห่วงเป็นเรื่องธรรมดา”
ผู้ใหญ่สองคนมองไปยังแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะละขอบฟ้า
หวังว่าเรื่องที่เขาตัดสินใจในวันนี้มันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม
เสร็จเรียบร้อยสมกับมืออาชีพ
บรรดาช่างไฟและพนักงานขนของกลับไปหมดแล้วพร้อมกับงานที่ได้รับมอบหมายมาจากเจ้าสัวกรรณเสร็จเรียบร้อยชนิดที่ว่าเพอเฟ็คเหมือนย้ายบ้านและที่ทำงานมาอยู่ที่นี่เบนเองก็เพิ่งรู้ว่าคีตาอยู่ที่กรุงเทพคนเดียว ส่วนคุณอคิราห์อยู่ที่เชียงราย และทันทีที่พนักงานคนสุดท้ายออกจากห้องไปแล้วคนสองคนที่ทะเลาะกันมาเกือบทั้งอาทิตย์ได้แต่ยืนมองหน้ากันก่อนที่คีตาจะเป็นฝ่ายเดินไปลากกระเป๋าเข้าห้อง
“เดี๋ยว..ผมว่าเราควรมาคุยกันก่อน”
“ผมก็ว่างั้น”
“ทุกอย่างที่นี่ใช้ร่วมกันได้หมด ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องซ้อมดนตรีผมคิดว่าคุณน่าจะใช้บ่อยมากกว่าผม ส่วนสตูดิโอ..”
“ใช้ร่วมกันได้เผื่อคุณเบนอยากทำงานเพลง”
“ยกเว้นห้องนอนห้องทำงานผมที่เราจะไม่ก้าวก่ายกันและกัน”
“ห้ามสูบบุหรี่ในห้อง ระเบียงได้”
“ห้ามฟาแฟนขึ้นห้อง”
“ข้อนี้ผมควรเป็นฝ่ายบอกคุณมากกว่านะ”
“ดีล ทุกอย่างตกลงส่วนเรื่องงานไว้ค่อยคุยแล้วกัน อย่าเพิ่งด่าว่าผมขี้เกียจของคุณน่าจะเยอะไปจัดก่อนดีกว่า อีกอย่างคุณน่าจะต้องทำความคุ้นเคยกับสตูดิโอที่เพิ่งทำใหม่ คงอยากจะปรับนู่นปรับนี่”
“………………………………………………………………”
“ถ้าโมโหมากตะโกนด่าผมได้ตามสบายห้องเก็บเสียงอย่างดี”
“………………………………………………………………”
กวนตีนไม่มีเปลี่ยนคีตาได้แต่มองตามหลังคนที่ถือกล่องใส่ไวโอลินเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีเลี้ยวเข้าห้องนอนตัวเองไป นี่ก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับคนที่ตบตีถึงขั้นจะลงไม้ลงมือมาเกือบอาทิตย์ เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าไอ้การมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่รู้จะเรียกว่าดีหรือร้ายแต่ถ้าตัดสินใจไปแล้วเขาเองก็คงต้องทำให้มันดีที่สุด
เขาไม่อยากทำให้พ่อผิดหวัง
ห้องนอนกว้างมากไม่แปลกใจเท่าไหร่ระดับ KTD เหมาทั้งชั้นนี้ก็ยังได้พอจัดของเสร็จเงยหน้ามองนาฬิกาก็เกือบสี่โมงแล้ว จริงๆ ของคีตาไม่ค่อยมีอะไรมากเท่าไหร่ส่วนมากก็เครื่องดนตรี อุปกรณ์ทำงานต่างๆ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ กล่องดนตรีที่วางอยู่ตรงหัวเตียง มันเป็นกล่องดนตรีหลากหลายแบบ คีตานั่งลงบนเตียงแล้วหยิบกล่องดนตรีรูปแม่กุญแจขึ้นมาถือไว้
“คีตาลูกแม่เหมือนกล่องดนตรี…”
ตั้งใจจะหมุนให้กล่องดนตรีเล่นเพลงแต่อยู่ดีๆ ก็มีเสียงเหมือนมีอะไรมาเกาประตูคีตาพยายามฟังอีกรอบมันก็เป็นเสียงแควกๆ เหมือนใครมาข่วนนี่ก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องผีสางนางไม้อะไรหรอกนะแต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงที่เกิดขึ้นมันคือเสียงอะไรเลยตัดสินใจเดินไปที่หน้าประตูยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนมากขึ้น
และทันทีที่เปิดประตูออก
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้คีตายืนมองอยู่อย่างนั้น
แมว?
แมวสีขาวขนฟูฟ่องมีสีน้ำตาลพาดหน้านั่งจ้องเขาอยู่ตรงหน้าประตู คีตาไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อนเพราะคิดว่าเขาไม่คิดว่าจะดูแลมันได้พอเจอสถานการณ์แบบนี้เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเจ้าแมวสีขาวคงจะเป็นแมวของทายาท KTD แต่คิดแล้วนะ..โคตรไม่เข้าแมวสวยสง่าขนาดนี้จะมีเจ้าของเป็นไอ้ตี๋โย่งนั้นได้ยังไง
อ้อ..เหมือนกันอย่างหนึ่งคือหน้าตาไม่รับแขก
“ชื่ออะไรเรา ห้องเจ้านายเอ็งอยู่โน่น”
แมวฟังรู้เรื่องป่ะวะแต่ก็คิดว่าไม่..เพราะเห็นว่าไม่หือไม่อือยังคงนั่งจ้องหน้าเขาเหมือนเดิม เดาใจไม่ถูกว่าตอนนี้ไอ้แมวขนฟูนี่คิดอะไรอยู่ไม่รู้ว่าถ้าเอื้อมมือไปจับนี่จะกระโดดกัดหรือเปล่า คีตาเลยนั่งลงตรงหน้าพร้อมกับร้องเหมียวๆ ลองเชิงก่อนแค่เพียงไม่นานเจ้าเหมียวขนฟูก็เดินเข้ามาคลอเคลียเหมือนรู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อน
เอ้อ..เป็นมิตรกว่าเจ้าของเยอะ
“ไปเล่นข้างนอกดีกว่าเนอะ”
เผลอหลับ..เบนจามินวางเอกสารโปรเจคงานเก่าๆ ลงบนเตียงก่อนจะลุกขึ้นมาขยับตัวไปมา ตั้งใจว่าอ่านงานเก่าๆ ที่ผ่านมาว่าเป็นแบบไหนแต่สงสัยเขาจะเพลียเพราะเพิ่งจัดของเสร็จ ลองกวาดมือไปข้างตัวหวังว่าจะได้พบกับน้องอันนาที่พ่อเขาส่งมาให้ทีหลัง แต่ก็พบแต่ความว่างเปล่าเบนเลยรีบลุกขึ้นนั่ง มองหาเจ้าแมวที่รักก็ไม่เห็นว่ามันอยู่ในห้องยิ่งเห็นว่าประตูห้องนอนแง้มไว้เลยรีบลุกออกไปหา
“น้องอัน..”
ตอนออกจากห้องนี่ใจร้อนรนมากเพราะปกติน้องอันนาไม่เอาใครหน้าไหนทั้งนั้น สนิทกันก็มีแค่แกงค์ลูกเพื่อนแม่เพราะเลี้ยงกันมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ แต่ถ้าคนอื่นเข้าไปเล่นด้วยจะกระโดดหนีไม่ก็ข่วนจนได้แผล นี่ก็กลัวว่าไอ้เปี๊ยกคีตาจะโดนน้องอันนาจัดการแต่พอเดินมาถึงห้องนั่งเล่น ภาพที่เห็นทำให้เบนเลือกที่จะยืนกอดอกพิงกำแพงมองอยู่อย่างนั้น
“หิวไหม ไม่รู้ว่ากินอะไรได้นี่ก็ไม่เคยเลี้ยงแมว”
“………………………………………………..”
“ฟังเพลงมะดีดกีตาร์ให้ฟัง หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว ลูกแมวเหมียว”
“………………………………………………..”
สาบานได้ว่าเบนจามินพยายามกลั้นหัวเราะไว้สุดความสามารถแล้วแต่ไอ้เสียงดีดกีตาร์และเสียงร้องเพลงที่เขาเคยได้ยินในสมัยเด็กทำให้เขาหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทันทีที่เขาหัวเราะเสียงดีดกีตาร์ก็หยุดลงก่อนที่คีตาจะหันมามอง เบนเลยเดินเข้ามาหาพอแมวขนฟูเห็นเจ้านายก็เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“ไม่คิดว่าน้องอันนาจะยอมอยู่เฉยๆ ”
“น้องอันนา?”
“เจ้านี่ชื่อน้องอันนา”
“ก็ไม่เห็นจะดุอะไรนะแต่หน้านิ่งไปหน่อย”
“ไม่แพ้ขนแมวใช่ไหมเป็นภูมิแพ้หรือเปล่า อันนาติดผมมากตอนแรกจะให้อยู่บ้านแต่แม่บ้านบอกว่ามันร้องทั้งวัน พ่อเลยเอามันมาส่งให้ถ้าแพ้จะได้เอากลับไป”
“ไม่แพ้ครับ อยู่นี่ก็ได้อันนาก็น่ารักดี”
“นึกว่าจะบอกว่าน่ารักกว่าเจ้าของ”
“แค่คิดในใจครับ”
“เราจะไม่ต่อยกันตั้งแต่วันแรกใช่ไหมครับ”
เบนจามินนั่งลงบนโซฟาก่อนจะปล่อยให้น้องอันนาเดินเล่นไปมาอยู่ข้างล่าง เป็นแบบนี้ทุกทีเวลาที่อยู่ด้วยกันมันจะเงียบแบบนี้ก็เข้าใจนะว่าคนที่ไม่รู้จักกันแถมยังเป็นคนที่ไม่ชอบหน้ากันมาก่อนมันจะให้มานั่งหัวเราะร่าเริงมันก็คงจะแปลกๆ อยู่พอเห็นว่าถ้าเงียบแบบนี้ต่อไปก็คงจะไม่ดีเบนเลยหยิบเอกสารที่ถือติดมือขึ้นมาอ่าน
ที่เขาตอบตกลงที่จะอยู่ด้วยกันไม่ใช่แค่อยากตัดปัญหาเพื่อให้พ่อสบายใจ ทันทีที่พ่อพูดมันเหมือนกับว่าเขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ผ่านมาเขากำลังทำอะไรอยู่เขาอายุ27ปีแต่ยังทำตัวเหมือนเด็กประถมคอยแกล้งอีกฝ่ายจนน๊อตหลุดขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยโดนไอ้รามิลหัวหน้าแกงค์อบรมตั้งแต่เช้ายันเย็นให้หันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดไปแล้ว แต่ก็นะจะให้เขาปรับตัวปุบปับร่าเริงคุยเล่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนมันก็ยากอยู่
อย่างน้อยวันนี้ก็วันแรก
มันก็ทำตัวไม่ค่อยถูกกันทั้งคู่
“คีย์การ์ดคุณคีย์วางอยู่บนชั้นนะเผื่ออยากออกไปข้างนอก”
“อ้อ..ครับ”
“โทรหาผมแล้วกันถ้ามีปัญหาอะไร”
“ครับ..จะดีมากถ้าไม่เมมชื่อผมว่าเด็กนรก”
คีตาหยุดดีดกีตาร์แล้วหันมามองหน้าเบนจามินที่ทำท่าเหมือนทำความผิดร้ายแรงแล้วโดนจับได้เลยเฉไฉทำเป็นอ่านเอกสารในมือ เอาเข้าจริงก็ยังไม่มีใครเริ่มทีจะคุยเรื่องงานสักทีคงเพราะต่างคนต่างเลี่ยงที่จะคุยคงกลัวว่าจะลงไม้ลงมือกันอีกอยากจะให้อะไรๆ มันลงตัวมากกว่านี้พอไม่มีอะไรทำเบนจามินก็เลยเรียกน้องอันนาให้เดินเข้ามาหาแต่เจ้าเหมียวขนฟูกลับยืนมองสลับไปมาระหว่างสองคนเหมือนลังเลว่าจะไปหาใคร
“อันนา” / “อันนา”
ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าสงครามหรือเปล่าแต่ทั้งคู่เลือกที่จะเงียบรอดูท่าทางของเจ้าแมวขนฟู
ก่อนที่คีตาจะพยายามกลั้นยิ้มอย่างสะใจเมื่อเห็นว่าน้องอันนาเลือกที่จะเดินเข้ามาหาเขาแทนเจ้าของที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็ก
โธ่…แพ้ว่ะ
BEN : น้องอันนาไม่รักกูแล้ว
แกงค์ลูกเพื่อนแม่กำลังอ่านข้อความที่มันเด้งขึ้นมาไลน์กลุ่มทิมเลยเป็นคนถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่สิ่งที่เบนพิมพ์มาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้อ่านทำให้คินพิมพ์กลับไปว่า
KIN: ปัญญาอ่อน
แน่นอนว่าไอ้คนที่แมวไม่รักยังคงพรรณาต่ออีกสองสามบรรทัดรามิลเลยจบประโยคด้วยว่ากำลังจะเข้าไปเยี่ยมพร้อมกับคุณนายเจียซินแม่ของเบนที่เพิ่งบินกลับมาจากฮ่องกงไอ้คนที่บ่นตัดพ้อเมื่อกี้เปลี่ยนมาสั่งอาหารยาวเหยียดเหมือนไม่ได้กินอะไรมาสามวัน
นี่มันย้ายไปอยู่คอนโดหรือไปเข้าค่ายดัดนิสัย
“น้องอันนาลูกกูจะมาอยู่ที่นี่เหรอ พ่อมิลคิดถึงตาย”
“เออ แล้วคุณคีตาอยู่ไหนวะไม่เรียกเขาออกมากินข้าวกินปลา”
“นี่มึงอย่าไปแกล้งอะไรน้องเขาอีก คุณนายเจียตีไอ้เบนแรงๆเลยครับ”
“ม๊าจะตีอยู่แล้วค่ะพี่เบนทำตัวไม่น่ารัก พี่ใบบัวโทรมาเล่าเมื่อวันก่อนม๊าอยากจะฟาดสักทีสองที”
เสียงพูดคุยอยู่ตรงห้องนั่งเล่นทำให้คีตาเลือกที่จะหยุดเดินแล้วชะเง้อมองดู ผู้ชายสามคนที่นั่งเล่นอยู่ตรงด้านล่างโซฟาคิดว่าคงเป็นเพื่อนของคุณเบนจามิน ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังกอดคุณเบนไว้แน่นท่าทางเหมือนจะดุแต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ตีมันเลยครับคุณนาย มัน..อ้าวคุณคีตา”
รามิลเป็นฝ่ายเห็นคนทื่ยืนหลบมุมอยู่เลยเอ่ยทักทุกคนในห้องนั่งเล่นเลยลุกขึ้นยืนทักทายพร้อมกับแนะนำตัว คีตายกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่แนะนำตัวว่าเป็นแม่ของคุณเบนจามินถึงจะพูดไทยไม่ค่อยชัดแต่ก็พอฟังรู้เรื่องอยู่บ้าง
“ทานข้าวยังคะ ม๊าซื้อของมาเต็มเลยพี่เบนสั่งให้ซื้อหมดทุกร้านคีตามาทานด้วยกันสิคะ”
ใบหน้ายิ้มแย้มผิดจากคนเป็นลูกทำให้คีตายิ้มตามแต่สุดท้ายคีตาก็เลือกที่จะปฏิเสธพลางบอกว่าอยากให้ทุกคนคุยกันตามสบายตามประสาคนรู้จักมากกว่าก่อนจะขอตัวไปทำงานเพลงต่อ พอเห็นท่าทางแบบนั้นคุณนายเจียเลยไม่ได้ทักท้วงพร้อมกับบอกว่ายังไงถ้าหิวก็มีอาหารเยอะมากให้ออกมาทานได้เลย
ตามด้วยคุณมิลคุณคินและคุณทิมที่ยั่งอยู่บนพื้นโบกมือให้เขาอีกรอบ
คีตาหันหลังกลับไปที่ห้องนอนตัวเองแต่ก็ยังหันหน้ามามองเสียงโวยวายที่ดังขึ้นมา ภาพผู้ชายสี่คนที่พยายามแย่งอุ้มแมวตัวเดียวมันก็ดูตลกดี ถึงแม้จะมีเสียงของคุณนายเจียซินคอยห้ามปรามทุกห้านาทีว่าแก่แล้วยังเล่นอะไรเป็นเด็กๆ แต่ก็ดูไม่เป็นผลมันนานแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นบรรยากาศแบบนี้
บรรยากาศที่เรียกว่าครอบครัว
นานมากแล้วจริงๆ
“กูต้องกลับบ้านละ คราวนี้อย่าทำตัวแบบเดิมอีกนะเว้ยเบน”
“ถึงกูจะเป็นเพื่อนรักมึงตั้งแต่เกิดก็ไม่ใช่ว่ากูจะเข้าข้างมึง งานนี้มึงผิดเต็มๆ”
“มันขอโทษเขาหรือยังเหอะ”
แกงค์ลูกเพื่อนแม่กลับไปแล้วแต่สิ่งที่ทุกคนพูดมันยังวนเวียนอยู่ในหัวเบนจามินเดินเข้าห้องนอนตัวเอง ล้มตัวนอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ทำอย่างนี้ซ้ำอยู่สองสามรอบก่อนจะตัดสินใจเดินไปที่หน้าห้องนอนของตีตา ตั้งใจจะยกมือขึ้นมาเคาะแต่เสียงเพลงที่ได้ยินทำให้เบนยกมือค้างไว้แล้วตั้งใจฟัง
เสียงเพลงจากกล่องดนตรี?
มันเหมือนเล่นซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุดเบนจามินยอมรับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงเพลงจากกล่องดนตรีมานาน เคยเห็นของเจ๊เบอร์ดี้เมื่อตอนเด็กๆ เป็นรูปตุ๊กตาผู้หญิงกระโปรงบานพอหมุนก็จะเป็นเสียงดนตรีฟังแล้วสดใส เขาก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าเสียงจากกล่องดนตรีมันจะเหมือนกันหรือเปล่าแต่ที่ฟังอยู่ตอนนี้
ทำไมเสียงเพลงมันถึงฟังดูเหงาๆ
ไม่สดใสเหมือนที่เขาเคยได้ยินมา
TO BE CON
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
คีตา จะเป็นเสียงเพลงเหงาๆ ส่วนพี่เบนจะเป็นคนขี้เล่นที่อบอุ่น ฟิ้วววววววว นี่คือพระเอกนะคะ
ทั้งหมดนี่คิดเองเออเองอยู่คนเดียว 55555555
และตอนต่อไปจะเป็นการหาแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง เราจะมามองหาความรักในหลายๆ มุมมองกันค่ะ
พูดอย่างนี้แล้วสวยขึ้นมาทันที ฮ่าฮ่า และชื่อตอนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนิยายเท่าไหร่เพราะคิดไม่ออกเอาชื่อแมวไปตั้ง
เลิศมากกก
ปล.ถ้าทฤษฏีเรื่องดนตรีผิดตรงไหนทักท้วงได้ค่ะ
และขอเปิดตัวน้องอันนา นี่คือแมวของเพื่อนที่ยืมมาแต่งนิยาย (มีตัวตนจริงๆ)
ซึ่งชื่อจริงๆ ของอันนาคือ เจ๋อ.. -*-
Ps. เจ๋อจะต้องดีใจที่ได้ชื่ออันนาในเรื่องนี้ :z2:
ขอบคุณทุกคนค่ะ
-
ค่อยยังชั่ว เหมือนจะสงบศึกชั่วคราว
เบนเวลาอยู่กับเพื่อนก็โอเค สนุกสนานเฮฮาเป็นปกติ
แต่คีตาเหมือนมีโลกส่วนตัวสูง ใครก็เข้าไปไม่ได้
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
-
ลูกเพื่อนแม่คนที่สองงง ตีกันทุกวันต้องหวั่นไหวบ้างแหล่ะ :hao7:
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.3: KFC
เบนจามินเคยใฝ่ฝันชีวิตการอยู่หอกับแกงค์ลูกเพื่อนแม่ตอนสมัยเรียนมหา’ลัยและฝันก็ดับลงเมื่อแม่ของทุกคนบอกว่า บ้านห่างกันสองซอยต่างคนต่างสลับบ้านกันนอนตั้งแต่สามขวบ จะไปอยู่หอเพื่ออะไรเปลืองเงิน มนุษย์แม่ไม่เข้าใจเลยว่าการตื่นขึ้นมากินข้าวเช้าส่งเสียงดังเฮฮาปาจิงโกะ หรือจะเล่นเกมด้วยกันจนถึงเวลาตีหนึ่งตีสองพร้อมกับเพื่อนมันสนุกสนานมากแค่ไหน
แต่ทุกอย่างที่คิดไว้ในหัวหายวับไปกับตาเมื่อมาเจอกับความจริง
เบนคิดว่าทุกวันนี้นี่เขาใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ล่องหนหรือเปล่า?
เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เขาตกปากรับคำกับผู้เป็นพ่อว่าจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับคีตา นันทสกุล เพื่อให้โปรเจคของ KTD สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแต่บอกตามตรงว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่เรียกว่าการทำงานร่วมกันสักอย่าง เบนรู้อย่างเดียวว่า..
คีตา ตื่นเช้ามากทั้งๆ ที่บางวันก็ทำงานอยู่ในสตูดิโอจนดึกดื่น พอตื่นขึ้นมาก็มานั่งกินอาหารเช้าคนเดียวไม่มีอะไรมากมายมีแค่ขนมปังปิ้งไข่ดาวแล้วก็นมหนึ่งแก้ว นั่งกินเงียบๆ จนบางวันเบนนึกว่าหลับคาโต๊ะอาหารไปแล้วเพราะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย จากนั้นก็เดินไปเล่นกับน้องอันนาแป๊บนึง แล้วก็เดินเข้าห้องซ้อมดนตรีไปเล่นกีตาร์ พอเล่นดนตรีเสร็จก็เข้าไปทำงานในสตูดิโอจนเลยเที่ยงคืนทุกวัน
และมันก็เป็นอย่างนั้นซ้ำๆ วนไปทั้งอาทิตย์
ก่อนจะมาอยู่ด้วยกันพ่อก็บอกแล้วนะว่าคีตาเป็นคนเงียบๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเงียบขนาดนี้ วันๆ นึงทำหน้าตาไม่แคร์โลกเห็นยิ้มนิดนึงตอนน้องอันนาเดินเข้ามาเล่นด้วย นอกนั้นก็มีหน้าเดียวตลอด เบนจามินพยายามจะหาเรื่องชวนคุยแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง จะให้ทัก
เฮ้ย..ทำไมไม่พูดเลยวะ
ก็กลัวว่าจะกลายเป็นหาเรื่องแทนเบนเลยเลือกที่จะไม่ถามออกไป เพราะพื้นฐานเป็นคนเฮฮาปาร์ตี้เบนเลยมีนัดข้างนอกแทบทุกวันเวลาเลยไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ พอกลับมาคีตาก็เอาแต่อยู่ในสตูดิโอพอตื่นเช้าอีกฝ่ายก็นั่งกินข้าวคนเดียวเขาก็เลยไม่กล้าทักเลยไปกินข้าวเช้าที่บริษัทแทน
แต่สิ่งที่ได้ยินทุกวันจนเป็นเรื่องเคยชินคือ เสียงเพลงจากกล่องดนตรี
เบนจามินจะได้ยินตอนกลางคืนก่อนนอนอยู่เป็นประจำเหมือนเปิดกล่อมให้นอนหลับ เขาคิดว่าพวกนักดนตรีก็คงชอบอะไรพวกนี้อยู่แล้วเลยไม่ได้เอ่ยถามอะไร
มันก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่เพราะอาทิตย์หน้าพวกเขาต้องเข้าประชุมโปรเจคนี้แล้ว
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขากับคีตายังไม่เคยพูดถึงเรื่องงานกันสักครั้ง …
รู้สึกถึงความฉิบหายเร็วๆ นี้
“มันก็ต้องมีคนปรับ ถ้าต่างคนต่างอยู่แบบนี้กูบอกเลยชาตินี้งานนี้ก็ไม่เสร็จหรอก”
วันนี้เบนจามินมีนัดกับแกงค์ลูกเพื่อนแม่แต่ขาดสมาชิกอย่าง ภาคิน ที่รับงานต่างจังหวัดตั้งแต่มันออกมาทำฟรีแลนซ์ก็ขึ้นเหนือล่องใต้แทบจะทุกอาทิตย์เลยเหลือแค่หัวหน้าแกงค์อย่างรามิล และคุณชายทับทิม หลังจากที่เบนจามินพิมพ์หัวข้อประชุมลงไปในไลน์กลุ่ม
BEN : ประชุมด่วนเย็นนี้ต้องการเพื่อนคู่คิดมิตรคู่เรือนมาให้คำปรึกษา
แน่นอนว่าเจ้าเดิมคือไอ้คินที่อ่านข้อความแล้วตอบกลับมาว่าปัญหาเดิมๆ ชัวร์
แต่จบประโยคด้วยว่าสรุปให้มันรู้ด้วยเพราะไม่อยากตกข่าวแล้วขอตัวไปทำงานต่อ
“เขาโลกส่วนตัวสูงเฉยๆ เปล่าวะ”
“ไม่รู้ว่ะเหมือนเหงาๆ”
“เหงา?”
“เออ..กูก็บอกไม่ถูกรอบตัวเขามันดูเหงาๆ ทำอะไรอยู่คนเดียว กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว เล่นกีตาร์คนเดียว ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมากูยังไม่เคยเห็นเขาออกไปไหนหรือออกไปหาเพื่อนอะไรแบบนี้เลยว่ะ”
“เด็กมีปัญหา?”
“ไม่รู้ว่ะ ใครจะไปถามวะเรื่องแบบนี้”
“ก็อยู่ที่มึงแล้วเบน..ถ้าเขาเงียบมึงก็เอาความบ้าๆ บอๆ พุ่งเข้าใส่เลยคนอย่างมึงทำให้คนหัวเราะง่ายจะตายแค่มึงทำหน้าตาตลกๆ ด้วยตาตี่ๆ ของมึงคนอื่นเขาก็ขำจะเป็นจะตาย”
“วันนี้น้องทับทิมชมกูๆต้องได้เป็นอันดับหนึ่งแทนไอ้มิลแน่ๆ”
“ไอ้มิลเลี้ยงข้าวกูสามวันติดแล้วแถมคุณต้นไม้ยังให้ดอกไม้กูด้วยไอ้มิลยังเป็นอันดับหนึ่งอยู่”
“โหย…งั้นกูต้องแข่งกับไอ้คินเหรอ”
“มันเหงาไงเบน คู่กัดคู่หูข้างบ้านไม่อยู่ไอ้คินไปเชียงใหม่หนึ่งอาทิตย์”
“งั้นมึงไปกวนไอ้มิลถูกแล้วคนหลงเมียอย่างมันต้องเจอก้างซะบ้าง”
เบนจามินหัวเราะลั่นเมื่อรามิลแกล้งทำหน้าเบื่อใส่ทิมที่พอเห็นก็กระโดดเข้าชาร์ตใส่ เกิดการต่อสู้ระหว่างหัวหน้าแกงค์กับคนที่มีอำนาจกว่าหัวหน้าแกงค์ท่าทางตลกๆ ของแกงค์ลูกเพื่อนแม่ทำให้เบนนึกถึงอีกคนที่อยู่ด้วยกัน คีตาตัวพอๆ กับทิมถ้ายืนด้วยกันนี่ก็น่าจะเท่ากันแต่ที่อีกฝ่ายมีมากกว่าทิมก็คือแก้มที่ป่องออก
เอาจริงๆ หน้าตาก็ดูน่ารักดี
ติดที่เอาแต่ทำหน้าตายตลอดเวลา ไม่รู้ว่ามีอะไรในใจนักหนา
MUSIC BOX
“นี่คือผลงานแต่งเพลงของ KEY ครับคีตา นันทสกุลส่วนมากจะเป็นเพลงช้าเล่นกับกีตาร์ซะส่วนใหญ่”
เบนจามินรับเอกสารที่ให้มาร์ชหาให้มาเปิดดูถือว่าเก่งพอตัวเมื่อเทียบกับอายุ จริงๆ ก็เรียกได้ว่าพรสวรรค์เพราะเห็นเล่นดนตรีได้ทุกอย่างนี่คนหรืออเวนเจอร์ เผลอๆ ดนตรีไทย ขิม ระนาด ซออู้ ซอด้วง ก็อาจจะเล่นได้ เบนจามินไล่ดูเอกสารก่อนจะเสิร์ชหาชื่อเพลงแล้วใส่หูฟัง
แต่งเพลงเก่ง ทุกเพลงทั้งเนื้อเพลงและเมโลดี้ลงตัวหมด
เบนจามินยอมรับแต่…
แค่ฟังติดกันสามเพลงยังรู้สึกได้เลยว่าเพลงมีแต่เนื้อหาที่เกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวัง โดนทิ้ง เจ็บปวดจนไม่อยากเริ่มใหม่ เบนจามินลองฟังทุกเพลงที่มาร์ชหามาให้มันเป็นแบบเดียวกันหมด เนื้อหาไม่ต่างอะไรกันมากนี่เขาก็ไม่รู้เรื่องทฤษฎีการแต่งเพลงนี่มากเท่าไหร่แต่เพราะคุ้นเคยกับวงการนี้มาตั้งแต่เด็กเลยพอมีความรู้อยู่บ้าง แต่เพิ่งเคยเจอคนที่แต่งเพลงเกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวังห้าสิบกว่าเพลง
“หรือว่าโดนแฟนทิ้งมาวะ”
แต่ก็คิดว่าไม่น่าใช่…ถึงใช่เขาก็ไม่กล้าถามเผลอๆ อาจจะโดนต่อยกลับมาไปถามเรื่องละเอียดอ่อนขนาดนั้น ตอนนี้เบนเริ่มนึกถึงโปรเจคสิบนักน้องสิบเพลงรักอีกฝ่ายก็น่าจะเครียดอยู่เหมือนกันเพราะวันก่อนเบนลองเปิดสตูดิโอเข้าไปพบว่าเศษกระดาษที่เขียนทั้งคอร์ดกีตาร์ ทั้งเนื้อเพลง ถูกขีดฆ่าไม่ก็ขยำจนยับยู่ยี่เกลื่อนเต็มห้อง
เบนลองหยิบขึ้นมาอ่าน ..
ฉันไม่เคยเข้าใจคำว่ารักจนมาพบกับเธอ… #$%$^^$##$&&^
ท่าทางคนแต่งจะไม่เข้าใจจริงๆ ถึงได้เขียนไม่จบมีการขีดฆ่าและตัวการ์ตูนทำน้าบึ้งตึงเต็มไปหมด ท่าทางการทำงานกับ KTD จะไม่ง่ายสำหรับคีตา นันทสกุล เบนได้แต่ถอนหายใจเพราะเขาเองก็ผิดที่ไม่ได้เริ่มคุยกับอีกฝ่ายเป็นเรื่องเป็นราวสักที ทั้งๆ ที่พรุ่งนี้จะเริ่มประชุมโปรเจคนี้แล้วแท้ๆ
22.45 น.
เบนลองเอาหูแนบประตูห้องนอนของเจ้าเด็กเปี๊ยกคิดว่าคงยังไม่นอนเพราะวันนี้ยังไม่ได้ยินเสียงเพลงจากกล่องดนตรีเหมือนทุกวัน รู้สึกว่าห้องมันเงียบผิดปกติเบนเลยเขยิบเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม
“เฮ้ย!”
เบนจามินเสียหลักเมื่ออยู่ดีๆ ประตูห้องนอนก็เปิดออกไม่ทันตั้งตัวยังดีที่มือพิงผนังไว้ทัน คีตาชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครยืนอยู่หน้าห้องปกตินี่ไม่เคยได้เจอหน้ากันเลยสักครั้งต่างคนต่างอยู่ซะจนลืมไปแล้วว่าอยู่คอนโดเดียวกัน
“พรุ่งนี้ประชุมที่ KTD คุณคีย์คงไม่ลืมใช่ไหม”
“ไม่ลืมหรอกครับ”
“ไปรถผมแล้วกัน”
“เจอกันที่ KTD เลยก็ได้นะครับ”
“เราควรเตี๊ยมกันก่อนจะเข้าประชุมกับฝ่ายอื่น”
อ้อ…พอได้ยินแบบนั้นคีตาเลยพยักหน้ารับแล้วก็กลับมาเงียบตามเดิม เบนเลยตัดบทว่าให้รีบนอนพักผ่อนแต่พูดจบก็ไม่เห็นว่าจะเดินไปไหน คีตาเลยนึกว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อแต่ก็เห็นว่าเงียบเหมือนเดิมเลยเอาแต่ยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
“คุณเบนไม่นอนเหรอครับ”
“นอน..พรุ่งนี้”
“ครับ”
“เจอกันพรุ่งนี้เช้าให้ยืมน้องอันนาคืนนึงแล้วกันเผื่อคุณคีย์ตื่นเต้นเรื่องที่จะประชุมจนนอนไม่หลับ”
คีตามองคนตัวสูงที่หายเข้าไปในห้องแล้วอุ้มเจ้าแมวหน้าหยิ่งออกมาอีกข้างก็ถือเอาที่นอนแมวติดมือมาด้วย ท่าทางทุกลักทุเลน้องอันนาห้อยต่องแต่งจนคีตาต้องเข้าไปอุ้มมากอดไว้ พอได้ที่อุ่นๆ อันนาก็ซุกตัวร้องอย่างเอาใจเบนจามินต้องยกมือเขกหัวอย่างหมั่นไส้เพราะทำท่าสนิทสนมเกินหน้าเกินตาคนเป็นเจ้าของ
“เจอกันพรุ่งนี้”
“ครับ เจอกันพรุ่งนี้”
เบนจามินมองตามหลังคนที่อุ้มน้องอันนาเข้าห้องไปแล้วดูก็รู้แล้วว่าคีตากำลังเครียดอยู่ ใบหน้านิ่งสนิทแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวลทำให้เบนเองรู้สึกไม่ดีไปด้วย ถ้าเขาต้องทำงานร่วมกันแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายเครียดอยู่อย่างนี้สงสัยงานนี้คงจะล่มไม่เป็นท่า คำพูดของแกงค์ลูกเพื่อนแม่ในวันนั้นย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง
“มันก็ต้องมีคนปรับ ถ้าต่างคนต่างอยู่แบบนี้กูบอกเลยชาตินี้งานนี้ก็ไม่เสร็จหรอก”
เอาวะ..คนอย่างเบนจามิน เกียรติธนธาดาทำไมจะทำไม่ได้
ลองดูสักตั้ง
MUSIC BOX
นึกว่าจะตื่นไม่ทัน
เบนจามินเด้งตัวขึ้นมาทันที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกมาที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามีคีตา นั่งรอก่อนอยู่แล้วมองดูบนโต๊ะเห็นว่ามีขนมปังปิ้งเผื่อไว้สองสามแผ่น เบนเลยลากเก้าอี้แล้วนั่งลงทาแยมลงบนขนมปัง
เงียบมาก..
เป็นการกินข้าวเช้าที่เงียบสุดในชีวิต
เขาไม่ชินจริงๆ นั่นแหละเบนเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวใหญ่ มีญาติเยอะแยะจนนับไม่หมดมีลูกพี่ลูกน้องต่างวัยและวัยใกล้เคียงจนนับไม่ถ้วน มีเจ๊เบอร์ดี้ บุ๊ค บาส บี เบ บอย บิน โบว์ บอส บอล บิ๊ก แบ ถึงต่างคนต่างแยกย้ายไปอยู่คนละบ้านเล็กที่อยู่ในระแวกเดียวกันแต่ที่เวลาทานข้าวเช้าในวันหยุดก็จะรวมตัวกันที่บ้านใหญ่สนุกสนานครื้นเครงดี เจ๊เบอร์ดี้จะร้องกรี๊ดเวลาเฮียบาสขโมยไส้กรอก หรือเจ๊บุ๊คจะขอกินแต่กาแฟดำเพราะกลัวอ้วนแต่ก็จบด้วยขนมปังทาเนยที่เฮียบอยจับยัดใส่ปาก
ส่งเสียงดังเฮฮา มื้อเช้าโคตรมีความสุข
ไม่ได้การละ..มื้อเช้ามันจะเงียบเหงาแบบนี้ไม่ได้
ไม่แช่แนว!
อยู่ดีๆ เบนจามินก็ลุกขึ้นแล้วเดินหายเข้าไปในห้องครัวแล้วกลับออกมาพร้อมกับกล่องซีเรียลอาหารเช้าที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z สีสันสดใสคุณนายเจียซินซื้อมาตุนไว้ไห้สามสี่กล่อง ตอนแรกคีตานึกว่าเบนจะหยิบออกมาทานเฉยๆ แต่เห็นอีกฝ่ายเทซีเรียลใส่ชามใบใหญ่ตรงหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เรามาทานอาหารเช้าแบบเกียรติธนธาดากัน”
ตอนแรกไม่เข้าใจหรอก
แต่ตอนนี้กำลังเกิดการต่อสู้บนโต๊ะอาหารอย่างดุเดือด
“morning”
“O นี่มันของผมหยิบช้าอย่ามาโวยวาย”
“เฮ้ย! นี่โกงป่ะนี่คุณคีย์กำไว้ใช่ไหม”
“คุณเบนมี N สามตัวเอาให้ผมตัวนึงผมจะครบแล้ว”
“เรื่อง..ใครเขาให้สมบัติคู่แข่งเอา O มาแลก”
“ไม่! ผมมี O ตัวเดียวเอาของคุณเบนมาคำนี้ผมชนะแน่ๆ”
นี่คือสงครามแย่งตัวอักษรซีเรียลภาษาอังกฤษเบนจามินนึกขอบคุณคุณนายเจียชินและบรรดาญาติๆ ที่ชอบให้เขาเล่นหาคำศัพท์จากซีเรียลก่อนไปโรงเรียนทุกเช้า จำได้ว่าถ้าใครสะกดคำและหาตัวอักษรได้เร็วซีเรียลก็จะเต็มชามเมื่อก่อนเขาเป็นน้องคนสุดท้องเลยหาไม่ทันพี่ๆ แหกปากร้องไห้เพราะในชามมีซีเรียลแค่สามตัวสุดท้ายบรรดาพี่ๆ ก็เสียสละแบ่งซีเรียลให้เขาคนละช้อนสองช้อน
ถึงแม้จะโตจนไม่มีเวลาเล่นเหมือนเด็กๆ
แต่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้กลับมาเล่นอีกครั้งในวัย 27
“ผมชนะ!”
ไอ้คนที่เอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมเล่นด้วยในตอนแรกตอนนี้กำลังยิ้มจนลักยิ้มที่มีตรงแก้มข้างซ้ายบุ๋มลงไป นี่ก็ไม่เคยสังเกตว่าเจ้าเปี๊ยกนี้มีลักยิ้มกะเขาด้วยก็อย่างว่าเคยยิ้มให้เห็นซะที่ไหนทุกทีมองหน้ากันไม่ถึงห้านาที เบนจามินเท้าคางมองคนที่ตอนนี้อารมณ์ดีเพราะมีซีเรียลเต็มชามก่อนที่เบนจะลุกขึ้นเอาชามไปเก็บเพราะว่าใกล้ถึงเวลาที่ต้องไปประชุมแล้ว
“คุณ..”
“มันต้องเริ่มเช้าวันใหม่แบบนี้สิ ยิ้มซะบ้างทำหน้าตาเบื่อโลกไปทำไมกัน”
เบนขอตัวไปเอาของในห้องนอนทิ้งให้คีตานั่งมองตัวอักษรซีเรียลอาหารเช้าที่คนตัวสูงวางเรียงไว้ให้บนโต๊ะคงตั้งใจให้เขาเห็นก่อนที่จะยกมือขึ้นมาตรงริมฝีปากเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มอยู่จริงๆ
SMILE
MUSIC BOX
“วันนี้คงคุยเรื่องคอนเซ็ปต์อัลบั้ม แนวเพลง แล้วก็คงเรื่องทั่วๆไป”
“ครับ”
“คุณคีย์โอเคนะ”
“ครับ ผมไม่เป็นอะไร”
เบนจามินหันไปมองคนข้างๆ รู้หรอกว่ากำลังกังวลอยู่ตั้งแต่ในรถที่จับมือสงบศึก(ชั่วคราว) คีตาก็ไม่พูดไม่จาเอาแต่ตอบรับแค่คำว่าครับๆ เพียงเท่านั้น ที่เบนกังวลไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวแต่เห็นรายชื่อคนเข้าประชุมด้วยนี่ถึงกับถอนหายใจ เมธัส กิจดาการ นี่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามาตั้งแต่เด็กยันโตลูกชายของลุงบวรคนที่ทำงานให้กับ KTD มาตั้งแต่เริ่มบริษัท
ไม่รู้ว่าเกลียดอะไรเขานักหนา
ทำงานด้วยกันเมื่อไหร่จ้องจะหาเรื่องตลอด
“จริงๆ โปรเจคนี้ไม่มีอะไรมากและก็ไม่ได้ยากอะไรด้วยครับ แต่เพราะเป็นครั้งแรกที่จ้างนักแต่งเพลงจากที่อื่น และเป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนคนรับผิดชอบโปรเจคจากคุณเบอร์ดี้เป็น..”
มันมาละ..
“สิบนักร้องสิบเพลงรักไม่ทราบว่าคุณคีตาได้ลองแต่งเพลงรักบ้างหรือยังครับ”
“………………………………………………………”
“เท่าที่ผมลองฟังเพลงที่คุณแต่ง 95% คือเพลงที่เกี่ยวกับความรักที่ไม่สมหวัง แต่คุณคีตาทราบใช่ไหมครับว่าทุกปีโปรเจคนี้ของ KTD มีแต่เพลงรัก”
“คือผม..”
“ผมเห็น KTD จ้างคุณคีตามาปฏิเสธนักแต่งเพลงที่ผมวางตัวไว้แล้วก็หวังว่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่เพลงแบบเดิมๆ เนื้อหาเดิมๆ มันฟังแล้วอาจจะน่าเบื่อก็ได้นะครับ”
เบนจามินนั่งกอดอกมองไอ้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดด้วยหน้าตากวนประสาทรู้อยู่หรอกว่าตั้งใจให้เขาโมโหอยู่คงแค้นที่คนของตัวเองโดนปฏิเสธเลยเล่นไม่หยุดแบบนี้ ยิ่งเมธัสถามซ้ำๆ ย้ำๆ อยู่อย่างนั้นความอดทนเบนก็เริ่มจะถึงขีดสุดอยู่เหมือนกัน เขารู้ว่าคีตาก็คงอยากจะลุกขึ้นมาต่อยเมธัสให้ล้มคว่ำแต่เพราะเป็นเรื่องงานเลยได้แต่นั่งนิ่งอยู่แบบนี้แถมที่สำคัญคงเป็นจุดอ่อนของเจ้าตัวด้วยมั้ง…เรื่องแต่งเพลงรักนี่
“คือผมเข้..”
คีตาหันมามามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆเมื่อสัมผัสตรงข้อมือ เบนจามินเอื้อมมือมาจับไว้ก่อนที่คีตาจะพูดตอบกลับไปพอเห็นแบบนั้นคีตาเลยเลือกที่จะเงียบลง ก่อนที่เบนจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดบ้างหลังจากปล่อยให้เมธัสพูดเองเออเองอยู่คนเดียวตั้งแต่เริ่มประชุม
“อย่างที่คุณเมธัสบอกเพราะว่าปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ในฐานะที่ผมเป็นคนดูแลโปรเจคนี้ผมก็มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนทุกอย่าง”
“………………………………………………………”
“จริงอยู่ที่โปรเจคนี้ของ KTD เป็นสิบเพลงรักแต่ถ้าปีนี้จะเป็นปีแรกที่ผมขอเสนอให้เป็น ความรักหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่เพลงรักเหมือนอย่างเดิมทุกปี”
“………………………………………………………”
“เราไม่ต้องทำอะไรให้เหมือนเดิมทุกปีก็ได้นี่แบบใหม่บ้างก็ได้ ผมต้องการให้ทุกคนได้เห็นว่าความรักไม่ได้มีแค่ความรักที่สมหวัง หรือว่ามีแค่ความรักระหว่างคนรัก อาจจะเป็นพี่น้อง ครอบครัว หรือว่าเพื่อน ผมว่าคอนเซ็ปต์เป็นแบบนี้ก็ดูน่าตื่นเต้นดี คุณเมธัสว่าอย่างนั้นไหมครับ”
“………………………………………………………”
“ถ้ามีอะไรไม่เห็นด้วยขอให้ทำมาเป็นเอกสารในการประชุมครั้งหน้านะครับ ขอบคุณ”
“………………………………………………………”
เป็นการตัดบทประชุมที่ทุกคนในห้องประชุมกลืนน้ำลายกันอย่างยากลำบากและแน่นอนว่าจะต้องมีการแบ่งออกเป็นหลายฝั่ง มาร์ชผู้ช่วยของเบนกำหมัดร้องเยสเมื่อเห็นว่าเขาสามารถโต้คุณเมธัสได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่ก็นะคุณเมธัสเขาก็มีลูกสมุนของเขาตอนนี้คงไปรวมพลังมาสู้ใหม่เพราะเห็นเดินกลับห้องทำงานไปด้วยกัน
“คุณคีย์ไม่ต้องตกใจนะครับ คุณเมธัสเป็นแบบนี้ตลอดสงสัยอิจฉาที่คุณเบนหล่อกว่า”
“สัส หล่อน้อยกว่ากูแล้วยังจ้องจะหาเรื่องอีกเบื่อหน้ามันฉิบหาย”
“แล้วสรุปเพลงในโปรเจคนี้….”
คีตาถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเบนจามินพูดเหมือนสรุปทุกอย่างไปแล้วแต่เขาก็ไม่ได้คิดจะค้านอะไรหรอกเป็นอย่างที่คุณเบนบอกมันก็ดีกว่าสิบเพลงรักอยู่ดี แต่เอาเข้าจริงๆ หัวสมองมันก็ว่างเปล่าไม่ต่างกันเป็นครั้งแรกที่เขานึกอะไรไม่ออกเลยไม่มีแม้แต่เนื้อเพลงหรือเมโลดี้ในหัว
“หิวข้าว กินก่อนค่อยคิดท้องอิ่มหัวสมองแล่น”
นึกว่าจะระดับทายาท KTD จะกินแต่อาหารหรูๆ แต่สุดท้ายก็กลับคอนโดแล้วสั่งเคเอฟซีถังใหญ่ เบนจามินบอกประชุมดูดพลังต่อสู้กับเหล่าวายร้ายเลยอยากพักผ่อนไม่อยากไปนั่งร้านอาหารให้ปวดหัว คีตาเองก็ไม่อยากไปขัดเพราะคิดว่าเรื่องที่ประชุมวันนี้เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกันเลยได้แต่นั่งกินเงียบๆ อยากถามเรื่องงานต่อแต่ตอนนี้เขาเองก็ยังจัดการตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
เขาจะต้องแต่งเพลงแบบไหน
แล้วความรักมันมีกี่รูปแบบกัน ความรักสำหรับเขาก็มีแค่ด้านเดียว..
“ผมเปิดทีวีนะ”
“ครับ”
เบนจามินไล่ช่องไปเรื่อยๆ จนมาเจอกับละครที่ฉายช่องเคเบิ้ลเนื้อหาในละครก็เหมือนที่เคยดู นางเอกกำลังจะแต่งงานกับพระเอกพระรองที่เป็นเพื่อนนางเอกแอบชอบนางเอกมาตลอดก็ไม่กล้าจะบอกความในใจเลยเก็บเอาไว้จนถึงวินาทีสุดท้าย คีตาที่นั่งดูอยู่ด้วยก็คิดเหมือนในละคร
ถ้าเขาเป็นพระรองเขาก็จะเก็บความรู้สึกเอาไว้
ไม่บอกให้นางเอกรู้เหมือนกัน
“ทำไมไม่บอกชอบไปวะ”
“อะไรนะครับ?”
“ไอ้พระรองเนี่ยทำไมไม่บอกไปว่าชอบ”
“ก็เขากลัวเสียเพื่อนหรือเปล่าถ้าบอกออกไปแล้วทุกอย่างไม่โอเค”
“ถ้าเป็นผม ชอบใครผมก็จะบอกแล้วก็จะยอมรับผลที่ตามมาด้วย ถือคติบอกให้เขารู้ดีกว่าเขาไม่รับรู้อะไรเลยจะเก็บความรู้สึกนี้ไปจนตายไม่ได้”
“แต่คนส่วนใหญ่ผมคิดว่าเขาไม่บอกกันนะ ผมเองก็คิดแบบนั้น”
“อ้าวคุณ..ก็นี่มุมมองผมคนเราจะคิดเหมือนกันได้ไงถ้าคุณคีย์ไปถามคนร้อยคนเขาก็มีมุมมองความรักร้อยแบบ ทุกคนมีรูปแบบความรักของตัวเอง สำหรับผมจะทำทุกอย่างเพื่อความรักถึงแม้สุดท้ายผมจะไม่ได้อะไรกลับคืนมาก็ตาม”
ถามคนร้อยคนเขาก็มีมุมมองความรักร้อยแบบ
ทุกคนมีรูปแบบความรักของตัวเอง
“จะทำทุกอย่างเพื่อความรักถึงแม้สุดท้ายผมจะไม่ได้อะไรกลับคืนมาก็ตาม”
คีตาพูดประโยคที่ได้ยินจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ วนไปวนมามันเหมือนเพียงเสี้ยววินาทีที่ความคิดวิ่งเข้ามาในหัว เก็บความรู้สึกไว้แล้วไม่พูดออกไปก็คือรักที่ไม่สมหวังแต่ถึงจะบอกทุกอย่างไปแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็เป็นรักที่ไม่สมหวังเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่เลือกที่จะบอกหรือไม่บอก
เขารู้แล้ว..โปรเจคของ KTD
“เดี๋ยว..หยุด!”
เบนจามินกำลังหยิบส้อมจิ้มเฟรนซ์ฟรายเข้าปากตกใจกับเสียงตะโกนของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลยค้างชะงักอยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับตัวไปไหนก่อนที่คีตาจะลุกขึ้นแล้วหายเข้าไปในห้องกลับมาอีกทีพร้อมกับกีตาร์และแม๊คบุ๊คก่อนจะก้มหน้าพิมพ์อะไรยุกยิกๆ แล้วก็ยื่นกีตาร์ให้เบนจามินที่รับมาถืออย่าง งงๆ
“คุณเบนเล่นกีตาร์เป็นใช่ไหม”
“เป็นครับ”
“คุณลองดีดตามที่ผมบอกหน่อย”
เบนจามินค่อยๆ ดีดกีตาร์ไปตามคอร์ด
เมื่ออีกฝ่ายทำเสียงไล่เมโลดี้ไปเรื่อยๆ
“จะขอทำทุกอย่างเพื่อความรักถึงแม้สุดท้ายจะไม่ได้อะไรกลับคืนมา”
เนื้อเพลงที่คีตาลองร้องออกมาทำให้เบนจามินยิ้มกว้างเมื่อมันคือประโยคที่เขาพูดไปเมื่อสักครู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มหน้ากับแม๊คบุ๊คอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่เบนได้เห็นคีตา นันทสกุลในแบบนักแต่งเพลง คนตรงหน้าเรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อดนตรีโดยเฉพาะทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมดทั้งการเคาะนิ้วหาจังหวะหรือแม้แต่การฮัมทำนองเพลง
เบนบอกตรงๆ ว่าเขาละสายตาไปไม่ได้
“คุณเบนเรื่องที่ประชุมวันนี้ ผม….ขอบคุณนะครับ”
“ผมไม่อยากให้คุณเสียเวลากับเมธัส ถ้าคุณตอบเขาตอนนั้นรับรองว่าเขาไม่จบแค่นั้นแน่เขาก็จะถามจี้คุณไปเรื่อยๆ อีกอย่างนี่เราเรียกว่าปรองดองสามัคคีกันแล้วใช่ไหมครับ”
“ถ้าเรามีศัตรูคนเดียวกันก็คิดว่าใช่”
เบนจามินหัวเราะคงหมายถึงเมธัส ดีแล้วที่เขาห้ามคีตาเอาไว้เพราะเขารู้ดีว่าเมธัสนิสัยยังไง เพราะโดนแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแน่ล่ะเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่อนุบาลไอ้ทิมนี่หมายหัวเมธัสตั้งแต่ป.3เพราะมันเคยโดนผลักจนหล่นจากชิงช้ามันเลยขึ้นบัญชีไว้เลยว่าโคตรเกลียดแต่จริงๆ เบนก็พอรู้สาเหตุก็คงอิจฉาเขาในฐานะทายาท KTD
ก็ทำได้แค่ปล่อยไปวันๆ ยังไงก็ลูกหลานคนเก่าคนแก่
ไม่อยากให้มันมีเรื่องราวใหญ่โต
“แล้วเรื่องแนวเพลงที่คุณเบนบอก”
“ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ครับผมไม่อยากให้โปรเจคมันเหมือนเดิมทุกปี ไหนๆ ผมก็ได้ดูแลโปรเจคนี้แล้วก็อยากทำให้แตกต่างจากทุกปีไปเลย ส่วนเรื่องเพลง..”
“ที่คุณเมธัสบอกมันก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เพลงที่ผมแต่งเนื้อหามัน….”
“มีแต่เพลงรักที่ไม่สมหวังวันก่อนผมไปหาเพลงที่คุณคีย์แต่งมาลองฟัง ฟังไปสามเพลงถ้าอกหักอยู่ร้องไห้น้ำตาหมดตัวแล้วนะคุณ”
“ผมเพิ่งคิดได้เมื่อกี้ว่าจะลองแต่งเพลงแบบใหม่ ไม่ใช่จากมุมมองของผมคนเดียวเหมือนที่คุณเบนบอก”
“ผม?”
“ถามคนร้อยคนเขาก็มีมุมมองความรักร้อยแบบทุกคนมีรูปแบบความรักของตัวเอง สิบเพลงรักของKTD เรามาแต่งเพลงจากมุมมองความรักของหลายๆ คนกัน ตกลงนะ”
เบนจามินมองคนที่ยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มลงไปท่าทางมีความสุขในแบบไม่เคยเห็นทำให้ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าตอบรับไปเท่านั้นพออารมณ์ดีก็ดูเป็นเด็กน่ารักคนนึงเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่น เบนจามินก็ไม่รู้หรอกว่าระหว่างเขากับนักแต่งเพลงตัวเปี๊ยกนี่เรียกว่าญาติดีกันหรือยังแต่ก็ไม่ได้กระชากคอเสื้อเหมือนแต่ก่อนก็โอเคแล้ว
ถึงแม้ว่ารอบตัวของคีตาจะมีบรรยากาศเหงาๆ อยู่บ้าง
แต่เบนจามินก็หวังว่าความเหงาที่คีตามีสักวันมันก็คงจะหายไปก็คงมีสักวัน..
“ห้ามกินน่อง ผมจอง”
“ไม่ได้คุณ..น่องนี่ของโปรดผมคุณคีย์ก็กินนักเก็ตไป”
“ไม่! คุณเบนกินไปแล้วอันนึงอันนี้ของผม”
“ก็ผมจะกินสองอันงั้นผมให้ไก่ป๊อบคุณสองชิ้นแลกกัน”
“ไม่เอาจะกินน่อง”
“มุมมองความรักอีกอย่างนึงคือการเสียสละเอาน่องไก่ให้ผม”
“สำหรับเคเอฟซีไม่เคยมีคำว่าเสียสละ อย่าดันแก้ม! มือมันเลอะเห็นไหมเนี่ย!”
เบนจามินหัวเราะลั่นเมื่อเขาเผลอเอามือที่ถือซองซอสไปโดนแก้มของอีกฝ่ายจนเลอะซอสสีแดงๆ นึกว่าเจ้าเปี๊ยกจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแต่ก็แค่หันมาแยกเขี้ยวใส่แล้วก็พยายามจะแย่งน่องไก่ในกระป๋องอีกครั้ง แต่เบนก็ไวกว่ารีบคว้ากระป๋องมากอดไว้แน่น คีตาเอื้อมมือมาคว้ากระป๋องทำท่าจะแย่งไปให้ได้ท่าทางเอาจริงเอาจังทำให้เบนต้องยอมแพ้ จริงๆ ไม่ได้กลัวว่าจะไม่ได้กินน่องไก่หรอกแต่ท่าทางแบบบนี้ของคีตาเป็นครั้งแรกที่เพิ่งเคยเห็น
ตลกดีน่าเอ็นดูกว่าตอนทำหน้าเบื่อโลกตั้งเยอะ
เบนจามินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
ก่อนจะพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ในกรุ๊ปลูกเพื่อนแม่
BEN : พวกมึงวันนี้กูสั่งเคเอฟซีมากินไม่เคยมีใครแย่งกูกินน่องเลยเพิ่งมีคนแรก…เคเอฟซีอร่อยว่ะวันนี้กูอารมณ์ดีในรอบหนึ่งเดือน คิดถึงนะจ๊ะแกงค์ลูกเพื่อนแม่ จุ๊บ จุ๊บ
TO BE CON
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
ผู้ชายที่อันตรายคือ ผู้ชายที่หล่อและตลก -*-
-
เริ่มจะญาติดีกันแล้วทั้งคู่ คีย์ดูนิ่งๆเงียบๆแต่พอมีเบนเข้ามาก็สดใสขึ้นนะ
-
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.4: one sided love
ถึงจะคิดออกว่าโปรเจคของ KTD จะแต่งเพลงแบบไหน
แต่เอาเข้าจริงคีตาเองก็ไม่รู้จะเริ่มทำมันยังไง
ตอนนั้นหัวสมองมันแล่นแบบฉุดไม่อยู่เขียนนู่นเขียนนี่เยอะแยะแต่มันก็คิดว่ายังไม่ใช่อยู่ดี พรุ่งนี้มีประชุมโปรเจคนี้อีกรอบลึกๆ ก็กลัวว่าจะไม่มีอะไรไปสู้กับคุณเมธัสรายนั้นเรียกว่าจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา ขืนพลาดแค่นิดดียวโดนถล่มเหยียบจมดินแน่ๆ
ถึงคุณเบนจะบอกว่าไม่ต้องกลัวก็ตามเถอะ
พูดถึงคุณเบน...ก็ถือว่าดีขึ้นละมั้งก็อัพเกรดจากที่เคยกระชากคอเสื้อในห้องทำงานมาเป็นนั่งคุยกันดีๆ ได้แล้ว แต่พอคุยเรื่องงานมันก็ยังขัดๆ กันอยู่บ้างก็คงเป็นเรื่องปกติเพราะไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน
“เริ่มยังไงดีวะ”
คีตาขยำกระดาษที่เขียนเนื้อเพลงไว้คร่าวๆ เป็นแผ่นที่สิบหลังจากขีดๆ เขียนๆ มาเกือบครึ่งวันเสียงเกาประตูดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เงียบไปนานน้องอันนาเจ้าเดิม สิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในคอนโดนี้คุณเบนเคยบอกไว้ว่าไม่อยากให้เอาน้องอันนาเข้ามาในสตูดิโอเพราะกลัวว่าจะวิ่งวุ่นจนข้าวของเสียหาย
พอหันไปมองนาฬิกาเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเวลามันผ่านมาจนเกือบจะสามทุ่มแล้ว
ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินงานเพลงก็ไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ ไม่ได้อะไรสักอย่างเลยวันนี้
คีตาออกมาจากสตูดิโอแล้วอุ้มน้องอันนาขึ้นมากอดไว้เดินตรงไปห้องนั่งเล่น เสียงกุกกักที่ดังขึ้นตรงหน้าประตูเดาได้ว่าคุณเบนอาจจะกลับมาแล้วเสียงแตะคียการ์ดพร้อมกับประตูที่เปิดออก คนที่ก้าวขาเข้ามาในห้องชะงักค้างเมื่อเห็นมีใครยืนอยู่กลางห้อง
ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มทักยังไง
สุดท้ายคีตาก็เลยเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“หิวข้าวไหมครับ”
เป็นคำทักทายที่ฟังแล้วตลกดีเบนจามินหลุดขำออกมาแต่ก็พยักหน้ารับเพราะเขายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่บ่ายสาม สรุปคีตาก็ทำข้าวไข่เจียวง่ายๆ สองจานบรรยากาศบนโต๊ะไม่ได้ดูน่าอึดอัดเหมือนทุกที
“พรุ่งนี้มีประชุมคุณคีย์พร้อมนะ”
“จริงๆ ก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่”
“อย่าเพิ่งกลัวเมธัสมันบ้า ต่อให้คุณคีย์แต่งเพลงชนิดที่เรียกว่าเพอเฟ็ค เมธัสก็หาเรื่องติจนได้”
“แล้วอย่างนี้ถ้าเพลงผมมันแย่มันจะไม่ยิ่งกว่าเดิมเหรอครับ”
“มีผมอยู่ด้วยทั้งคนไม่ต้องกังวล”
“กังวลกว่าเดิมอีก”
“อ้าวคุณ..เดี๋ยวปล่อยให้ลุยเดี่ยวเลยโดนแกล้งนี่ไม่ช่วยนะ”
เบนจามินวางช้อนลงเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มออกมาแก้มที่ป่องอยู่แล้วตอนนี้มันป่องมากกว่าเดิมเพราะมีอาหารอยู่เต็มสองแก้มเหมือนหนูแฮมสเตอร์ เบนรู้สึกว่าบรรยากาศที่ดูเงียบๆเมื่อกี้ค่อยๆหายไปถึงแม้ว่าเรื่องที่คุยกันส่วนมากจะเป็นเรื่องงานแต่ก็ดีกว่านั่งก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร
คิดซะว่าอย่างน้อยก็มีคนตัวกะเปี๊ยกแก้มบวมนั่งกินข้าวไข่เจียวเป็นเพื่อนล่ะวะ
MUSIC BOX
เริ่มประชุมสิบโมงครึ่ง
แต่วันนี้เบนมาก่อนเพราะนัดกับเจ๊บีไว้
“ไอ้ตี๋ เดี๋ยวจะไปฝรั่งเศสอาทิตย์หน้าจะเอาอะไรไหม”
“พรีออเดอร์หรือของฝาก”
“ราคาคนในครอบครัวบวกค่าหิ้วแบบเต็มหน่วย”
“โว๊ะ..นี่ตี๋ไงตี๋ที่เจ๊เลี้ยงมากับมือ”
“แหมทำเป็นงอนของฝากก็ได้ย่ะ ฉันนี่เจ๊บีผู้ซื้อฟิกเกอร์สไปเดอร์แมนอันละแสนแปดให้แกเป็นของขวัญวันเกิด ต้องไปละมีประชุมกับเฮียบาส ได้ข่าวว่าแกมีประชุมกับเมธัสเพื่อนซี้”
“เจ๊บีไล่มันออกให้เบนหน่อยดิ มันแกล้งเบนตลอดเลย”
“โอ๊ยไอ้ตี๋แกที่ฉันจับมาอุ้มตั้งแต่เกิด ฉันก็รู้นิสัยแกเหมือนกันทำกับเขาไว้ไม่เบารวมพลังกับแกงค์ลูกเพื่อนแม่แกนี่ ขบวนการจูเรนเจอร์ชัดๆ”
“ฟ้องไอ้ทิมแน่”
“เด็กเปรตเปิดกระโปรงนักเรียนฉันตอนป.6 ฉันยังไม่ลืม”
คีตาได้แต่ยืนมองสองพี่น้องกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่ตรงหน้าห้องประชุม ถึงเขาจะไม่รู้จักตระกูลเกียรติธนธาดามากนักแต่พ่อก็เคยบอกว่าตระกูลนี้เป็นตระกูลใหญ่มีพี่น้องมากมายเคยคิดนะว่าถ้าญาติเยอะขนาดนี้จะสนิทกันได้ยังไง แต่วันนี้คีตาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่านิสัยขี้เล่น อารมณ์ดีของเบนจามินได้มาจากใคร คีตาเจอทายาทของ KTD มาก่อนหน้านี้บ้างทุกคนมีนิสัยคล้ายๆ กันหมด ยิ้มเก่ง หัวเราะเก่ง แค่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังรู้สึกสดชื่นไปด้วย
ขนาดเจ้าสัวกรรณที่ดูหน่าตาดุ
เอาเข้าจริงก็ขี้เล่นเป็นกันเองมากกว่าที่คิด
“ครอบครัวคุณเบนดูสนิทกันมากนะครับ”
“ก็อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กมีแต่คนแปลกใจทั้งนั้น คุณรู้ใช่ไหมว่าพ่อผมไม่ได้มีภรรยาคนเดียวแต่ลูกทุกคนก็รักกันดี ยังมีคนแซวบ่อยๆ ว่าพ่อผมทำบุญวัดไหนภรรยากับลูกถึงไม่ตีกันเลย”
“ไม่เคยทะเลาะกันเลยเหรอครับ”
“ก็มีแค่ตามประสาเด็กแต่ไม่เคยมีถึงขึ้นแตกหักถ้าคุณคีย์มาเจอญาติผมทุกคน รับรองฟังไม่ทันแย่งกันพูดไม่หยุด”
“คงสนุก”
“คุณคีย์เป็นลูกคนเดียว”
“ครับ”
“จริงๆ ผมก็ลูกคนเดียวแต่บังเอิญพี่น้องเยอะไปหน่อยมีเพื่อนเล่นเต็มไปหมด ตอนเด็กๆ เลยไม่ค่อยเหงา”
“ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่เหงาหรอกครับแต่..”
เบนจามินเห็นอีกฝ่ายเงียบไปเลยก้มลงไปมองแววตาที่ดูเศร้าๆ นั่นทำให้เบนคิดว่าท่าทางเรื่องครอบครัวของคีตาคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เบนเลยเลือกที่จะเปลี่ยนมาพูดเรื่องที่จะประชุมแทน เอาจริงๆ ทั้งคู่ก็กังวลพอสมควรเพราะเมธัสท่าทางเอาจริงไม่ออมมือแม้แต่นิดเดียวยิ่งอาทิตย์ที่แล้วโดนขยี้ขนาดนั้นเดาได้เลยว่าครั้งนี้ต้องเล่นหนักแน่ๆ
“อย่าเครียดขนาดนั้นสิคุณ”
“เครียดสิ”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้คุณคีย์จับมือผม”
“เพื่อ?”
“ข้อหนึ่งผมมีพลังด้านบวกเยอะมากถ้าคุณแบตหมดหรือโดนโจมตีจนตอบอะไรไม่ถูกให้จับมือผมเพิ่มพลัง”
“แล้ว?”
“ข้อสองพลังจะบวกคนก็เยอะมากเช่นกันช่วยจับมือผมไว้หน่อยไม่งั้นผมได้กระโดดถีบเมธัสกลางห้องประชุมแน่ๆ”
จากที่เครียดๆ คีตาก็หลุดขำออกมาท่าทางเบนจามินที่มันเหมือนจะจริงจังแต่ก็ยังมีมุมขี้เล่นทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย เอาเถอะก็จริงอย่างที่คุณเบนบอกถ้าเขากังวลมากไปเขาจะยิ่งคิดอะไรไม่ออกมันอาจจะทำให้ทุกอย่างดูแย่ไปหมด
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
นี่เขาเริ่มทำตัวเหมือนจะไปสู้กับเหล่าวายร้ายในหนังยังไงชอบกล
“แล้วสรุปคอนเซ็ปต์เพลงที่ใช้เราจะใช้เพลงแบบไหนครับ ได้ข้อสรุปหรือยัง”
“……………………………………………………………”
“ยังไงผมก็ยังหวังว่าจะได้ฟังเพลงรักจากนักแต่งเพลงรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณคีตา นันทสกุลอยู่นะ และก็หวังเป็นอย่างมากว่าจะไม่ใช่เพลงอกหักรักคุดเนื้อหาโดนทิ้งวนไปวนมาเหมือนที่ผ่านมา”
“……………………………………………………………”
“ได้เริ่มแต่งเพลงบ้างหรือยังครับผมเองก็มีส่วนร่วมในโปรเจคนี้ อย่างน้อยก็ควรจะได้รู้ความคืบหน้าของการทำงานบ้าง อยากรู้ว่าการทำงานของคนที่เล่นเส้น อ้อ..ไม่ใช่สิลูกชายนักดนตรีคนดังจะเป็นแบบไหน”
“……………………………………………………………”
“อย่าหาว่าผมจู้จี้เลยนะครับเพราะปกติโปรเจคนี้ ผมดูแลกับคุณเบอร์ดี้มาโดยตลอดทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร สมกับมืออาชีพมากแล้วมาเปลี่ยนคนรับผิดชอบโปรเจคแบบนี้ผมก็ต้อดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ยิ่งเป็นคนไม่มีประสบการณ์มาก่อนผมก็ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ”
“……………………………………………………………”
คีตาเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มือของเบนจามินที่วางอยู่บนโต๊ะเริ่มเคาะนิ้วเหมือนกำลังฝึกความอดทน เมธัสยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ และแน่นอนว่าเรื่องที่พูดก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่เหมือนตั้งใจยั่วโมโหให้คนฟังทนไม่ได้มากกว่า คีตาเห็นว่าเบนจามินเอามือลงจากโต๊ะมาวางไว้บนตัก
“ก็ไม่รู้ว่าโปรเจคของ KTD จะกลายเป็นโปรเจคเพลงเด็กประ..”
คีตาเอื้อมมือไปจับมือของเบนจามินที่วางไว้บนตักก่อนจะประสานนิ้วไว้แน่น
แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้คนที่นั่งหมุนปากกาอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ผมว่าคุณเมธัสอย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเองดีกว่าครับ ทุกคนก็ควรได้โอกาสแสดงฝีมือให้เห็นกันทั้งนั้น ทั้งตัวผมที่เป็นนักแต่งเพลงกิ๊กก๊อกไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือแม้แต่คุณเบนที่รับผิดชอบโปรเจคนี้ทุกคนก็ต้องเริ่มจากศูนย์เพราะไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด”
“……………………………………………………………”
“คอนเซ็ปต์อัลบั้มผมยังยืนยันคำเดิมครับคุณเมธัสไม่ต้องกังวล โปรเจคนี้ของ KTD จะเป็นเพลงรัก แต่มันจะเป็นเพลงรักในแบบคีตา นันทสกุล ในตอนนี้ผมอาจจะยังไม่มีอะไรคืบหน้าให้คุณเมธัสได้เห็น”
“……………………………………………………………”
“แต่ผมบอกได้เลยครับ คุณเมธัสจะไม่ผิดหวังเมื่อได้ฟังเพลงที่ผมแต่งช่วยรออีกหน่อยได้ไหมครับ และผมก็เชื่อว่าคุณเบนเองก็สามารถรับผิดชอบโปรเจคนี้ให้สำเร็จได้เหมือนกันผมเชื่อในความสามารถของทายาท KTD เบนจามิน เกียรติธนธาดา
“……………………………………………………………”
“หวังว่าคุณเมธัสจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ผมกับคุณเบนจะได้ทำงานกันต่อเสียเวลามามากแล้ว”
“……………………………………………………………”
ทั้งห้องประชุมเงียบกริบเมื่อคีตาพูดจบมาร์ชอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นมุมนี้ของคุณคีตาก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นมาพร้อมพูดไม่มีเสียงว่าเยี่ยมมาก แต่ที่แปลกคือเบนจามินที่นั่งยิ้มมุมปากเพียงเท่านั้นเป็นครั้งแรกที่เบนไม่ได้โต้ตอบกับเมธัส ทุกทีนี่แทบจะเขวี้ยงแฟ้มใส่กัน เมธัสเองก็เงียบมองหน้าคีตาที่ยิ้มตอบกลับไปเช่นกันก่อนที่เมธัสจะขอตัวไปทำงานต่อไม่ได้สนใจคนในห้องประชุมอีก
คีตาเลยหันไปฟังมาร์ชที่บอกเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อแรงกระชับตรงมือที่โดนจับไว้ คีตาหันไปมองเบนจามินที่หันไปฟังงานจากคุณนีนฝ่ายการตลาดอีกด้านแต่มือที่จับไว้บนตักก็ยังไม่ยอมปล่อยออก ดีที่มันอยู่ใต้โต๊ะพอดีไม่งั้นทุกคนก็ประหลาดใจกันทั้งห้องประชุมว่านั่งจับมือกันทำไม
คีตารู้ว่าคุณเบนเองก็เริ่มทนไม่ไหวกับคำพูดของคุณเมธัสเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปจับไว้ก่อนที่คุณเบนเองจะลุกขึ้นมาต่อยคนที่เอาแต่พูดดูถูกไม่เลิกก็ไม่อยากให้มีปัญหาตามมาเลยเลือกวิธีนี้ส่วนเขาน่ะเหรอ..
“ข้อหนึ่งผมมีพลังด้านบวกเยอะมากถ้าคุณแบตหมดหรือโดนโจมตีจนตอบอะไรไม่ถูกให้จับมือผมเพิ่มพลัง”
คิดว่าตอนนั้นเบตใกล้หมดเต็มทนเลยต้องการชาร์ต
แต่มันก็ได้ผลอยู่นะ…
100% เลยตอนนี้
MUSIC BOX
วันนี้วันอาทิตย์
คิวไอ้มิลคิดกิจกรรมแน่นอนว่ามันบอกไว้แล้วว่า คุณต้นไม้มีงานขายต้นไม้ให้ไปช่วยธุรกิจครอบครัวมาอีกแล้ว เบนจามินหนีบโทรศัพท์คุยกับรามิลเรื่องที่จัดงานวันนี้เพราะว่าเป็นสถานที่ใหม่ที่ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว นี่คุยไปตาก็เหลือบมองคนที่เดินมาหยิบอาหารเช้าซีเรียลมาเทลงใส่ชาม
ตั้งแต่วันที่ประชุมวันนั้น..เบนก็ไม่คิดว่าคีตาจะจับมือเขาไว้จริงๆ
ยอมรับว่ารู้สึกแปลกๆ มันนไม่ใช่ไม่ดี..วินาทีที่คีตาเอื้อมมือมาจับมือตอนนั้นความอดทนเขาแทบจะเหลือไม่ถึง 3% แล้วเขาโคตรอยากจะลุกขึ้นไปกระทืบไอ้เมธัสให้มันรู้แล้วรู้รอดแต่สัมผัสนั่นทำให้เขายั้งตัวเองไว้ได้ ไม่งั้นต้องเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้นแน่ๆ
จะบอกว่าอะไรดี
นึกไม่ออกแต่ก็คงเหมือนน้ำเย็นที่คอยช่วยเวลาที่เขาใจร้อน
BEN : พวกมึงคือกูอธิบายไม่ถูก..
KIN: เดี๋ยวนี้มึงอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นเหรอวะเห็นมีคำถามทุกวัน
เบนจามินกำลังจะพิมพ์ต่อในกรุ๊ปลูกเพื่อนแม่แต่สุดท้ายก็ตัดบทว่าไม่มีอะไร ไอ้คินด่าซ้ำอีกว่าทำให้อยากรู้แล้วก็ปล่อยให้คาใจมันก็เป็นที่เขาเองด้วย เพราะเขายังไม่รู้เลยว่าจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงเลยข้ามไปเรื่องอื่นแทน
“กูจอดรถฝั่งตรงข้ามได้เลยนะ เออๆ เนี่ยกำลังจะออก”
เบนหันไปมองคนที่นั่งกินซีเรียลอาหารเช้าเงียบๆ
และทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง
“มิล กูเอาเด็กหนึ่งคนกับแมวหนึ่งตัวไปด้วยได้ป่ะวะ”
โดนลากมา..
คีตาสะพายกีตาร์เดินตามหลังเบนจามินที่อยู่ดีๆ ก็บอกให้เขาไปเปลี่ยนชุดเพราะจะออกไปข้างนอก ตอนแรกก็อยากจะถามว่าไปไหนแต่คีตาก็เลือกที่จะเงียบเพราะยังไงแล้วถึงจะปฏิเสธไปคุณเบนก็จะต้องบังคับเขาให้มาด้วยอยู่ดี คีตาหยุดเดินแล้วมองบรรดาต้นกระบองเพชรนับร้อยต้นที่วางเรียงรายอยู่ในถาด
“สวัสดีครับคีตา นันทสกุล”
เสียงเรียกชื่อและนามสกุลเต็มยศที่ดังขึ้นทำให้คนที่ก้มมองดูต้นกระบองเพชรเงยหน้าขึ้นมามองแกงค์ลูกเพื่อนแม่อยู่กันครบ ตอนแรกยังไม่รู้ชื่อแกงค์หรอกแต่ดีที่คุณเบนเล่าให้ฟังก่อนว่าใครเป็นใครไม่งั้นเขาคงหัวเราะกับชื่อแกงค์นี้แน่ๆ ถึงจะเคยเจอกันมาแล้วครั้งนึงแต่มันก็แค่แป๊บเดียวทุกคนเลยแนะนำตัวกันใหม่อีกรอบ
“เนี่ย ทิมน้องเขาตัวเท่ามึงเลย”
“ตัวเล็กแล้วมันทำไมวะ คุณคีตาถ้ารำคาญไอ้คินเตะมันได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
“เจอฝาแฝดแล้วซ่าเหรอ”
“ใครซ่าไม่ทราบครับคุณภาคิน”
“กลัวแล้วจ้า โหดสัสทำไมมึงไม่เป็นหัวหน้าแกงค์ให้มันรู้แล้วรู้รอด”
คีตายืนกอดกระเป๋ากีตาร์มองคุณคินกับคุณทิมตบตีกันมาเกือบห้านาทีก่อนที่คุณเบนจะเข้าไปห้าม ไม่รู้ว่าแกงค์นี้เขามีกิจกรรมอะไรกันแต่ก็น่าแปลกใจดีไม่คิดว่าจะมาขายต้นไม้อะไรกันแบบนี้ คีตามองไปยังหน้าร้านที่มีคุณต้นไม้ยืนขายต้นกระบองเพชรอยู่ สักพักคุณมิลก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับแก้วกาแฟในมือ เห็นคุณมิลยกมือขึ้นมาจัดผมม้าที่ตกลงมาปิดตาของคุณต้นไม้ให้ คีตาตาโตเมื่อเห็นว่าคุณมิลก้มลงมาจูบหน้าผากคุณต้นไม้เร็วๆ หนึ่งทีก่อนที่คุณไม้จะไล่ให้ไปที่อื่น
“เขาเป็นแฟนกันไม่ต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น”
หน้าตาตกใจอ้าปากค้างของของคีตาทำให้เบนจามินหัวเราะออกมายังไงเขาก็ต้องถามไอ้มิลกับคุณไม้ก่อนอยู่ดีว่าสามารถเล่าเรื่องความรักให้นักแต่งเพลงตัวเปี๊ยกฟังได้หรือเปล่า ทันทีที่ทั้งสองคนพยักหน้าเบนจามินก็เลยเล่าให้คนที่นั่งมองเขาตาแป๋วฟัง
“หน้าตาคุณดูอยากรู้เรื่องชาวบ้านมาก”
“ด่าว่าเสือกเลยก็ได้ขนาดนี้ แต่สิบปีเลยเหรอ”
“สิบปี..รักข้างเดียวมาสิบปีไม่น่าเชื่อใช่ไหม”
คีตาหันไปมองคุณต้นไม้ที่นั่งเล่นกับคุณมิลอยู่อีกด้าน มันจะมีคนที่รักใครสักคนโดยไม่หวังอะไรเลยถึงสิบปีเลยเหรอ เขาไม่เคยเชื่อว่ามันจะมีความรักข้างเดียวที่ยาวนานขนาดนี้ แล้วตอนที่รักอยู่จะรู้สึกยังไงท่าทางคีตาจะเหม่อจนไม่รู้สึกตัวว่าต้นไม้เดินเข้ามาหาก่อนจะโบกมือไปมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่มองเขาค้างอยู่แบบนั้น
“ขอโทษครับ คิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“อยู่กับคุณเบนเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็…..ไม่ตีกันเหมือนแต่ก่อนแล้วครับ”
“ถ้าคุณคีย์อยากได้ต้นไม้ หรือต้นกระบองเพชรบอกผมได้นะครับ ผมให้ฟรีๆ เลย”
คุณไม้ยิ้มสวยมากๆ แถมยังใจดีจะให้ต้นไม้มาไว้ที่คอนโดแต่คิดว่าน้องอันนาอาจจะวิ่งชนกระถางต้นไม้ตกแตกแน่ๆ เลยขอเป็นดอกไม้แทน กิจกรรมวันอาทิตย์ของแกงค์ลูกเพื่อนแม่จบลงที่ต้นกระบองเพชรของร้านคุณไม้ขายจนหมดเกลี้ยง ทิมได้ยินเสียงเพลงดังออกมาจากร้านฝั่งตรงข้ามเลยบอกว่าอยากให้ร้านSECRET GARDEN มีเสียงดนตรีบ้างและแน่นอนว่าทุกสายตาหันไปมามองคนที่นั่งกอดกระเป๋ากีตาร์
“คือ..”
“เอาเลยไม่ต้องกลัว”
“แต่ไม่ได้เตรียมตัวมาเลยนะ”
“ไม่ได้สอบวัดคะแนนสักหน่อยไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลย”
“.............................................................”
“คีตา”
“............................................................”
ท่าทางลังเลของคนตรงหน้าทำให้เบนจามินวางมือลงบนไหล่เบาๆ เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้คีตาเป็นเด็กเก็บตัวขนาดนี้ แต่ถ้าเขาสามารถทำให้คีตาหลุดออกมาจากกรอบที่ตีไว้ได้มันก็เป็นเรื่องดี คีตาพยักหน้าลงก่อนจะหยิบกีตาร์ออกมาแล้วเริ่มเล่นเพลงจากเพลงอะคูสติกธรรมดาเริ่มเป็นเพลงบ้าๆ บอๆ ตามคำของเต้และทิมที่พยายามแข่งกันร้องแล้วเต้นท่าแปลกๆ ไปด้วย
“เมื่อเดือนก่อนยังกระชากคอเสื้อจะต่อยกันอยู่เลยดนตรีแม่งสร้างมิตรภาพจริงๆ”
“ก็บอกแล้วไอ้เบนมันมีข้อดีใครที่ได้อยู่ด้วยจะรู้สึกสบายใจเรื่องฮีลลิ่งคนมันเก่งจะตาย”
“คีตาหน้าตาก็น่าเอ็นดู แก้มเป็นก้อนโมจิเลยว่ะเป็นน้องเป็นนุ่งจับบีบทั้งวัน”
รามิลกับคินหันไปมองภาพที่อยู่หน้าร้านคีตากำลังดีดกีตาร์โดยมีเต้เป็นนักร้องข้างๆ มีเบนจามินกำลังจับน้องอันนาขยับแข้งขยับขาไปตามเสียงเพลงแต่เพราะหน้าตาของอันนาที่ดูไม่รับแขกนิ่งๆ หยิ่งๆ มันก็ดูตลกดีคนรุมถ่ายรูปกันใหญ่ นี่มันเรื่องแปลกอีกเรื่องปกติน้องอันนาเป็นแมวที่ไม่เอาใครหน้าไหนทั้งนั้นนอกจากเบนและแกงค์ลูกเพื่อนแม่ แต่เท่าที่ดูวันนี้อันนาก็ติดคีตาพอสมควรให้กอดให้อุ้มได้โดยไม่ดิ้นหนีก็เรียกได้ว่าสนิทแล้ว
เออ..เห็นแบบนี้ก็ดูเป็นครอบครัวแมวดี
พอถึงตอนเย็นทุกคนจะแยกย้ายเพราะมีธุระต่อ ตอนแรกคีตานึกว่าเบนเองจะแยกไปไหนเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ขับรถกลับคอนโดคีตาเลยเข้ามานั่งในสตูดิโอทำเพลง นั่งทำงานอยู่สักพักก็เปิดช่อง youtube ของตัวเอง
เขาไม่ได้อัพคลิปเล่นดนตรีนานมากแล้ว
เพราะมัวแต่ยุ่งกับงานของ KTD คีตาเลยหันไปหยิบกล้องก่อนจะหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นเพลงที่อยู่ดีๆ ก็นึกถึง จริงๆ คีตามีช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์คหลายช่องทางเป็นเรื่องปกติของคนที่ทำงานทางด้านนี้อยู่แล้ว ทันทีที่เขากดอัพคลิปก็มีโนติแจ้งเตือนกลับมาส่วนมากก็บอกว่าเขาหายไปนานหรือไม่ก็ข้อความเดิมๆ ว่าอัดคลิปเล่นดนตรีไม่เห็นได้เห็นหน้าสักที
คีตาพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ในทวิตเตอร์ส่วนตัวรวมทั้งหลังจบคลิปเล่นก็ทิ้งคำถามให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น เป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรแบบนี้..รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันปกติเขาไม่ค่อยคุยกับใครในโลกโซเชียลอยู่แล้ว
Q: ใครเคยมีประสบการณ์รักข้างเดียวเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ
Great : เดี๋ยวนี้มีแบบนี้ด้วย ดีจังอยากระบาย! หายไปนานเลยคีย์เมื่อไหร่จะได้เห็นหน้าเนี่ยถ่ายแต่กีตาร์ตลอด
KaewTa : รักข้างเดียวเคยมีสมัยม.5 ชอบเพื่อนต่างห้องค่ะแต่ตอนนั้นแค่ปลื้มๆ เลยไม่ได้ออกตัวจีบเลยชอบอยู่หนึ่งปีแล้วขึ้นม.6 เขาก็ไปมีแฟนก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าไหร่นะคะ แค่รู้สึกโหวงๆ โดยรวมๆ แล้วแฮปปี้
NEENA : อีกอล์ฟวิศวะโยธากูชอบมึงโว้ยยยยยยยยยยย! กูชอบมึง! นี่แหละค่ะรักข้างเดียวทำได้แค่บอกในนี้ชีวิตจริงบอกไม่ได้
ATOM : ชอบผู้หญิงที่ทำงานเดียวกันครับ เขาอยู่ฝ่ายบัญชีตอนแรกแค่คิดว่าน่ารักดีแต่พอนานเข้าก็คิดว่าชอบเขา ลังเลอยู่นานว่าจะจีบดีไหมชอบเขามาสี่ปีแล้ว แต่ว่าตอนนี้........เขากำลังจะแต่งงานเขาก็แจกการ์ดให้ผมนะวันที่เขาแต่งงานคงเป็นวันสุดท้ายของการแอบรักข้างเดียวของผมคงถึงเวลาที่ต้องตัดใจสักที
PP: เด็กอัสสัมเรียนอ.อุ๊รอบเสาร์เช้าที่ชอบใส่กางเกงสามส่วนเสื้อยืด ชอบมาก ชอบมากจริงๆ ชอบข้างเดียวมาตั้งแต่ม.4 แล้วทำยังไงดีคีตาแต่งเพลงให้หน่อย!
KRIT: แอบชอบลีดในงานจตุรมิตรตั้งแต่ปีที่แล้วบอกใครไม่ได้เลย โรงเรียนอยู่ใกล้แค่เดินไปสิบนาทีถึงเลยแกล้งไปดักรอทุกวัน เจอบ้างไม่เจอบ้างแต่แค่ได้เห็นหน้าก็ดีแล้วครับ แต่น่ารักจังวะ...
MAY B : บ้านอยู่ข้างๆ หมู่บ้านคนรวยเจอผู้ชายจูงหมาไซบีเรียนฮัสกี้มาเดินเล่นตอนเย็นทุกวัน หล่อและรวยมาก ตลกตัวเองอยู่ดีๆ ก็อยากออกกำลังกายขึ้นมา เลยไปวิ่งทุกวัน สกิลตอแหลทำเป็นโบกมือบ๊ายบายให้หมาเขาแต่จริงๆ อยากรู้จักเจ้าของหมาเป็นอย่างนี้มาสองอาทิตย์ เมื่อวานพัฒนาจากทักหมามายิ้มให้กันแล้ว หัวใจเต้นแรงมาก *Keyพรุ่งนี้ขอเพลงพี่ป้าง นครินทร์ ฉันต้องทำอะไร ทำอะไรสักอย่างแล้ว~
PAT: กดไลค์รูปไอจีเขาทุกรูปส่องมันทุกวันอยากให้รู้ว่าชอบ..แต่เขายังไม่รู้จักเราเลยอ่ะเศร้าแค่ไหน
Lalimnoon: คนที่แอบชอบคือพี่รหัสตัวเอง ใครใช้ให้มันหล่อละวะไม่กล้าบอกอะไรออกไปเลยกลัวทุกอย่างไม่เหมือนเดิมพี่จ๋าอย่าตัดสายหนู T_T
Jahjaaaa : นี่สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารักใช่ไหมคะ ขอเล่าๆประสบการณ์ตรงชอบผู้ชายคนนึงมาตั้งแต่รับน้องอยู่คณะเดียวกันนี่แหละแต่ไม่เคยได้คุยกัน คนละเซ็ค คนละกลุ่ม เดินสวนกันแทบทุกวันแต่ไม่เคยได้คุย ก็แอบมองเขามาตลอดแล้วก็ชอบเขามาเรื่อยๆ จนมาปีสามเขาก็มีคนมาจีบ โห..สวยเช้งระดับดาวคณะเรานี่ *เปิดเพลงเจ้านายรอเลย แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเขาเป็นแฟนกันค่ะ ตอนนี้ขึ้นปีสี่แล้วเขาก็ยังรักกันดี ก็เจ็บจี๊ดๆ นะตอนที่เห็นเขาอยู่ด้วยกันแต่ก็นะเข้าใจ บางทีแค่ได้รักก็มีความสุขแล้วคีตา
“บางทีแค่ได้รักก็มีความสุขแล้ว”
จริงอย่างที่คุณเบนบอก
ถามคนร้อยคนเขาก็มีมุมมองความรักร้อยแบบทุกคนมีรูปแบบความรักของตัวเอง
หลากหลายข้อความยังคงส่งเข้ามาเรื่อยๆ คีตาค่อยๆ ลองดีดกีตาร์เมื่ออยู่ดีๆ ทั้งเนื้อเพลงและเมโลดี้มันเริ่มผุดขึ้นมาในหัว
เป็นครั้งแรกที่เลยที่เขียนเพลงรักจนจบเพลงได้ เพราะคีตาใส่หูฟังอยู่เลยไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นคนที่เดินเข้ามาใหม่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังแล้วมองคนที่กำลังดีดกีตาร์ตามคอร์ดที่เขียนไว้
สงสัยจะอินมากถ้าเป็นโจรนี่คีตาโดนอุ้มไปแล้ว
“จะสั่งข้าวเย็นกินอะไรดีให้เลือกระหว่างพิซซ่ากับพิซซ่า”
พอได้ยินตัวเลือกคีตาก็เลยบอกอยากสั่งอะไรก็สั่งเถอะท่าทางคงอยากกินมากจริงๆ พอถามถึงเรื่องงานคีตาเลยเล่าให้ฟังว่ามุมมองจากหลายๆ คนช่วยให้เขาแต่งเพลงได้ง่ายขึ้น
“มีที่ตรงกับตัวเองบ้างไหม”
“ไม่มีเลยแต่ก็ได้เห็นอะไรหลายๆ มุมมองดี”
เบนจามินหัวเราะคิดว่าวัยอย่างคีตาก็น่าจะมีความรักมาบ้างที่จริงก็ห่างจากเขาแค่สองสามปีแต่ทำตัวเหมือนคนแก่วัยเกษียณอายุท่าทางจริงจังกับงานตรงหน้าทำให้เบนวางมือลงบนกลุ่มผมก่อนจะลูบเบาๆ
“มีความรักน่ะมันดีนะลองดู”
เบนจามินขอตัวออกจากห้องไปสั่งพิซซ่าทิ้งนักแต่งเพลงที่นั่งนิ่งถือกีตาร์ไว้
ข้อความยังคงถูกโพสต์อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งข้อความสุดท้ายที่คีตาเลือกที่จะอ่าน
Mook : แอบรักข้างเดียวนี่มันตื่นเต้นไปหมดยิ่งตอนที่เขาสัมผัสนี่มันใจเต้นจนแทบระเบิด จับมือ จับแขน ลูบหัว จะตายให้ได้เลยค่ะอยากตะโกนบอกให้เขารู้ว่าชอบ!
ลูบหัว
แล้วใจเต้น…
TO BE CON
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
เวลาดีกันแล้วมันน่ารักมาก โลกสดใสขึ้นทันตา
-
โง้ยยยย น่าร้ากกกก
นี่ตามมาจากคุณต้นไม้แฟนหัวหน้าแก๊งค์ลูกเพื่อนแม่
ชอบความมีพลังบวกของตาเบน...เติมพลังพร้อมบวกให้น้องคีย์ได้ด้วย 555
จับมือกันไว้นะ เอาไว้ปราบมาร อิอิ
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.5 : What's your type?
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“มื้อเช้าต้องกินอะไรเป็นพิเศษด้วยเหรอ”
“เฮ้ย กินแต่ขนมปังปิ้งซีเรียลทุกวันน่าเบื่อตาย”
“ไม่นึกว่าคุณเบนจะทำอาหารเป็น”
“ตกใจใช่ไหม ผมมีอะไรให้คุณคีย์คาดไม่ถึงอีกเยอะ”
“ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็คาดไม่ถึงแล้วครับ”
“ลืมไปหมดแล้วเจ้าแฮมสเตอร์”
อยู่ดีๆ ก็โดนเรียกว่าแฮมสเตอร์มันเกิดจากเขานั่งกินขนมปังแล้วคุณเบนก็มานั่งจ้องพร้อมกับบอกว่าเหมือนหนูแฮมสเตอร์เวลาอมของกินเขาไม่แปลกใจหรอกมีคนบอกเขาอย่างนี้เหมือนกันตั้งแต่เด็กๆ ว่าแก้มเขาเหมือนเจ้าหนูตัวกระจิ๊ดริดนั่น แต่ก็ไม่เคยมีใครคิดจะเรียกว่าเจ้าหนูแฮมสเตอร์จริงจังแบบนี้มาก่อน และก็ดูสนุกมากด้วย
เรียกทุกห้าวิ
นอกจากเรื่องชื่อแล้ววันนี้ก็ยังมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกเรื่อง ทันทีที่เขาเดินออกมาจากห้องนอนคุณเบนก็ยืนกอดอกพร้อมกับบอกว่าเบื่ออาหารเช้าแบบเดิมๆ แล้ววันนี้จะทำอาหารเช้ากินเอง ตอนแรกคีตาก็ไม่เข้าใจหรอกจนกระทั่งคุณเบนบอกให้เขาไปซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นเพื่อนหน่อยมีเวลาตัดสินใจไม่ถึงสามวิเพราะโดนลากมาเลย
เป็นครั้งแรกเลยนะที่มาซื้อของทั้งชุดนอน
ดีที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเท่าไหร่
เรื่องทำอาหารนี่คีตาบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากๆ ก็ทำได้แค่เมนูทั่วๆ ไป ไข่เจียว ไข่ดาว วันนั้นที่ทำให้คุณเบนทานก็ไม่เห็นคุณเบนบอกว่าทำอาหารเป็นถ้าทำอาหารได้ก็ควรจะทำกินเองดีกว่าต้องมานั่งกินไข่เจียวชืดๆ ที่เขาทำ
“ผมตัดสินใจแล้วผมจะทำไข่เบเนดิกต์”
“ทำเป็นด้วย?”
“คอยดูเลยคีตา เบนจามินคนนี้นี่แหละจะทำให้กินเอง”
“ไข่ยางมะตูมเซเว่นก็พอแล้วมั้ง”
“อร่อยแล้วอย่ามาขอให้ทำอีกบอกไว้ก่อน”
เบนจามิน เกียรติธนธาดาในมุมแบบนี้ดูแปลกตาดีนึกว่าจะไม่ยอมออกมาข้างนอกถ้าเสื้อผ้าหน้าผมไม่พร้อมทุกทีเห็นแต่งตัวเนี๊ยบตลอด แต่เล่นออกจากคอนโดมาทั้งกางเกงบอลเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่แว่นตากรอบสีดำคิดว่าเป็นแว่นสายตาและตอนนี้กำลังลังเลระหว่างผักสองชนิด มือซ้ายถือหน่อไม้ฝรั่ง มือขวามีแครรอทท่าทางบ่นงึมงำๆ อยู่คนเดียว
“เอาผักอะไรอีกดี”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ”
“ผมให้คุณคีย์เลือก”
“……………………………………………...”
“ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันนะคีตาอย่าแล้วแต่ผม ช่วยผมคิด เสนอก็ได้ ชอบอะไร ไม่ชอบกินอะไร คุยกับผมอย่าทำเหมือนอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่มีผมอยู่ด้วย”
เบนจามินหยุดเข็นรถเข็นแล้วหันหลังกลับมามองคนที่ยืนนิ่งอยู่ เขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแรงๆให้อีกคนเสียใจแต่เบนแค่อยากให้คีตาได้ลองเปิดใจ มันอาจจะเป็นใครก็ได้แต่เขาคือคนที่เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ก็อยากให้เริ่มจากเขานี่แหละ ต่างคนต่างยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเบนจามินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า คีตาจะโกรธหรือเปล่าที่พูดไปแบบนั้นเลยตัดสินใจหันกลับมาเลือกผักตามเดิม แต่แค่เพียงไม่นานมะเชือเทศก็ถูกวางลงบนรถเข็น
“ผมชอบมะเขือเทศ ไม่ชอบแตงกวา”
เบนจามินพยักหน้ารับก่อนจะหยิบของใส่รถเข็นอีกสองสามอย่าง
คีตาเลยเดินมาอยู่ข้างๆ แล้วช่วยเข็นรถให้
“เอาแซลมอนด้วยได้ไหม ผมเคยเห็นที่มันวางอยู่บนขนมปัง”
“มื้อเช้าเราหรูหราฟูฟ่ามาก”
“อยากกินน้ำเต้าหู้ด้วย”
“นี่มันเข้ากันตรงไหนเนี่ย ไข่เบเนดิกต์ แซลมอน น้ำเต้าหู้”
คุณเบนทำอาหารได้จริงๆ ไม่ได้โกหก คีตาทำได้แค่ล้างผักสองสามชนิดแล้วก็ออกมายืนจัดจานเตรียมไว้เท่านั้น ท่าทางการทำอาหารที่ดูคล่องแคล่วหยิบจับอุปกรณ์เครื่องครัวทำให้คีตาต้องลากเก้าอี้มานั่งดูตรงเคาน์เตอร์ เบนจามินกำลังก้มลงจัดขนมปังในจานพอรู้สึกว่ามีคนมองอยู่ก็เลยเหลือบตาขึ้นมามองก่อนจะหลุดขำเมื่อเห็นว่าคีตานั่งเท้าคางมองเขาตาไม่กะพริบ
“จ้องมากนี่ทำอะไรไม่ถูกนะเดี๋ยวโรยพริกป่นแทนพริกไทย”
“คุณเบนทำอาหารเป็นจริงๆ ”
“เอ๊า ...นี่หลอกอยู่เหรอ”
“คุณดูเป็นแบบ...ที่ผู้หญิงชอบเรียกว่าอะไร”
“ผู้ชายในฝัน”
“ประมาณนั้น”
“อย่างน้อยคุณคีย์ก็คือคนแรกที่ได้เห็นผมในมุมที่คนอื่นไม่ชอบ”
คีตานึกถึงวันแรกที่ได้เจอกันหรือวันต่อๆ มาที่เขากับคุณเบนทะเลาะกันแทบเป็นแทบตาย นี่ก็นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมานั่งทำอาหารด้วยกันได้ เบนจามินวางจานสองจานลงบนเคาน์เตอร์เมื่ออาหารเช้าวันนี้เสร็จเรียบร้อยคีตามองจานตรงหน้าเมื่อเห็นว่ามีมะเขือเทศมากกว่าอีกจานนึง
“ผมชอบมะเขือเทศ ไม่ชอบแตงกวา”
ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำได้..
เอาใจใส่คนเก่งเหมือนกัน
“บอกด้วยว่าอร่อยไหม”
“คนอื่นที่เคยได้กินเขาบอกว่าอะไรกันบ้าง”
“ไม่มี”
“ไม่มีนี่หมายความว่าอะไร”
“ไม่เคยมีใครได้กินฝีมือผมนอกจากแกงค์ลูกเพื่อนแม่ คุณคือคนแรกผมไม่ได้โกหก ผู้หญิงทุกคนที่ผมคบหรือคุยด้วยผมไม่เคยตื่นเช้ามาทำอะไรแบบนี้หรอก จบที่เตียงตอนเช้าก็ต่างคนต่างแยกย้าย”
“.....................................................................”
“ ถ้าไม่ได้คิดจะจริงจังก็อย่าสร้างความประทับใจให้ใคร ผมเทคแคร์ ดูแลได้ในลิมิตที่ผมคิดว่ามันโอเค แค่เรื่องอาหารเช้าคุณคีย์อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับผม มันคือการเริ่มต้นเช้าวันใหม่กับใครสักคน”
“.....................................................................”
“และผมก็ไม่ได้เป็นผู้ชายในฝันของใครด้วยออกจะใจร้ายด้วยซ้ำ ผมพยายามรักษาระยะห่างเพื่อไม่ให้ใครมาชอบ”
“.....................................................................”
“จะด่าผมว่าน้ำเน่าใช่ไหมเหตุผลจริงๆ อีกข้อคือขี้เกียจตื่นเช้าสภาพตอนเช้ามันไม่ค่อยหล่อเท่าไหร่ เหมือนอาตี๋หน้าจืดเดี๋ยวผู้หญิงตกใจ”
“.....................................................................”
นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่มานั่งพูดอะไรแบบนี้ให้ใครสักคนฟัง คีตาหัวเราะกับประโยคสุดท้ายเพราะเผลอไปมองหน้า..จะว่าไปก็เหมือนอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆ คีตาจับมีดขึ้นมาหั่นอาหารเช้าที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วตักเข้าปาก เบนจามินที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์โน้มตัวมารอฟังความคิดเห็นจากคนที่นั่งเขี้ยวแก้มตุ่ยอยู่ ยิ่งคีตาไม่พูดอะไรสักทีเบนจามินก็ยิ่งใจเสียนี่คิดว่าฝีมือการทำอาหารก็ไม่ได้แย่ขนาดกินไม่ได้ขนาดนั้น คีตาเหลือบมองคนที่ยืนลุ้นอยู่หลังเคาน์เตอร์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มให้
“อร่อยครับ”
MUSIC BOX
ทั้งๆ ที่วันนี้เป็นวันเสาร์แต่เบนจามินก็ต้องเข้าบริษัทเพราะมีงานที่ต้องเคลียร์ ตอนแรกก็จะมาคนเดียวแต่อยู่ดีๆ คีตาก็มาบอกว่าขอไปด้วยสะพายกระเป๋ากีตาร์พร้อมร่ำลาน้องอันนาเสร็จสรรพ รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันทุกทีวันเสาร์อาทิตย์คีตาจะอยู่ในสตูดิโอทำเพลงทั้งวันไม่เห็นจะออกไปไหน
“ผมมีเพลงที่แต่งเสร็จแล้วหนึ่งเพลงแต่ไม่แน่ใจว่ามันดีหรือเปล่า”
“เพลงรัก?”
“ครับ เพลงรัก”
“ที่คุณบอกผมว่าจะแต่งเพลงรักจากมุมมองของคนอื่น”
“แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะโอเคหรือยังเลยว่าจะมาขอความคิดเห็นของพี่ๆ ที่KTD”
เบนจามินเบรกรถซะหัวแทบทิ่มดีที่เข้าตรงที่จอดรถพอดิบพอดีไม่ได้ชนที่กั้นหรือกำแพงแต่อย่างใด เบนรู้สึกตกใจตอนที่คีตาบอกว่าขอความคิดเห็นจากพี่ๆ ที่KTD เพราะตอนแรกโปรเจคนี้ก็มีฝ่ายโปรดิวเซอร์ทำเพลงเตรียมไว้อยู่แล้วแต่พอเกิดเรื่องเบนจามินก็ไม่รู้ว่าคีตา นันทสกุลต้องการคำปรึกษาจากใครหรือเปล่าก็เห็นที่ผ่านมาทำงานคนเดียวมาตลอด
“พี่สอง กับ พี่เอกสุดยอดโปรดิวเซอร์ของ KTD คุณคีย์รู้จักใช่ไหม”
“รู้จักครับ พี่เอกเคยเป็นรุ่นพี่ที่คณะ”
“นึกว่าคุณคีย์อยากทำงานคนเดียวซะอีก”
“มันเป็นงานที่ไม่ถนัดและก็เป็นครั้งแรกที่ผมเขียนเพลงแนวนี้กลัวมันจะออกมาไม่ดี อีกอย่าง ประกาศต่อหน้าคุณเมธัสไว้ขนาดนั้นแพ้ขึ้นมานี่ไม่ไหว ”
เบนจามินนึกไม่ถึงว่าคีตา นันทสกุลก็มีความคิดแบบนี้ด้วย แต่ก็ยังดูออกว่าคงกังวลอยู่เพราะปกติไม่เคยทำงานร่วมกับใคร แต่นี่ก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้วที่คีตาเลือกที่จะขอคำปรึกษาจากใครสักคน
“คุณเบนก็ด้วย ห้ามเล่นเหมือนตอนที่เราเจอกันตอนแรกๆ ”
“ผมเล่นมากไปเหรอ”
“ตอนที่เจอกันคุณเบนรู้แค่ว่าต้องรับผิดชอบโปรเจคนี้แต่รายละเอียดงานคุณเบนไม่รู้อะไรเลย คุณทำงานเก่งนะแต่ใส่ใจรายละเอียดงานหน่อยก็ดี คุณอยู่ในฐานะผู้บริหารมันสำคัญนะครับ”
เบนจามินและคีตาหยุดเดินเมื่อมาถึงหน้าห้องทำงานของโปรดิวเซอร์ ท่าทางคีตาจะตื่นเต้นมากมีการถูมือไปมาเหมือนให้กำลังใจตัวเอง เบนเลยหันมาถามว่าพร้อมนะมีการพยักหน้าตอบตกลงอย่างแข็งขันเหมือนจะไปทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ พอเห็นอย่างนั้นเบนเลยเปิดประตูเข้าไปแล้วปล่อยให้คีตาอยู่กับโปรดิวเซอร์ทั้งสองคน
“คุณเบนครับ รายงานการประชุมเมื่อวันศุกร์อยู่ที่โต๊ะเซ็นด้วยนะครับ”
มาร์ชเดินมาข้างๆ แล้วบอกเจ้านายตัวเองที่กำลังยืนพิงประตูมองเข้าไปในห้องทำงาน ลองเรียกสองสามครั้งก็ยังไม่เห็นตอบสนองอะไรเลยชะโงกหน้าเข้าไปดูด้วย คุณคีตา คุณเอก และคุณสองกำลังดีดกีตาร์กันอยู่ท่าทางสนุกสนานหัวเราะกันใหญ่ มาร์ชมองตามสายตาของคุณเบนเมื่อเห็นว่าเอาแต่จ้องหน้าคุณคีตาไม่ละสายตาไปไหน
มองอะไรของเขา
แต่คุณคีตายิ้มแล้วก็น่ารักดีลักยิ้มบุ๋มเลย เพิ่งเคยเห็นตอนยิ้มเหมือนกัน
“น่ารักดีนะครับ”
“ใช่ น่ารัก”
“…………………………” / “……………………………”
เบนจามินกลับมาเก๊กท่าขรึมตามเดิมเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป พอเห็นท่าทางเจ้านายที่พยายามเฉไฉไปเรื่องอื่นมาร์ชเลยย้ำเรื่องงานอีกครั้งว่ารายงานการประประชุมอยู่บนโต๊ะทำงานเซ็นได้เลย
“อ่านก่อนดิวะ”
“ทุกทีคุณเบนไม่เคยอ่านเลยนะครับ”
“ไม่เคยอ่านเลยเหรอ”
“เกินแปดบรรทัดก็ไม่อ่านแล้ว”
“เฮ้ย ไม่ได้ตั้งแต่วันนี้จะอ่านทุกบรรทัดทุกตัวอักษรใส่ใจรายละเอียดงานหน่อยดิวะมาร์ช เสร็จแล้วเอาโปรเจคซีรีส์ที่ประชุมวันนั้นเอามาให้ด้วยขอรายละเอียดแบบละเอียดยิบ”
มาร์ชรับคำอย่าง งงๆ เมื่อยู่ดีๆ เจ้านายก็ลุกขึ้นมาเป็นคนขยันขึ้นมาหน้าตาเฉย ทุกทีไม่เคยสนใจเอกสารอะไรก็ตามที่วางอยู่บนโต๊ะใดๆ ทั้งสิ้นบางทีเซ็นงานไปยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไรมาร์ชหันกลับไปมองคีตาที่ยังคงเล่นกีตาร์อยู่เหมือนเดิม
อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้แย่นะ
อาจจะดีมากด้วยซ้ำไป
“ขอบคุณมากนะครับ ”
“เก่งเหมือนที่คิดไว้คีตา นันทสกุลไว้เจอกันคราวหน้าฝากขอลายเซ็นพ่อเรามาด้วยนะ พี่เป็นแฟนคลับ”
คีตายกมือไหว้โปรดิวเซอร์สองคนที่ขอตัวไปทำงานต่อ นี่ก็เพิ่งรู้ว่าเวลามันล่วงเลยมาเกือบสี่โมงเย็นลืมข้าวเที่ยงไปซะสนิท เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้คีตาหันไปมองมาร์ชเปิดประตูเข้ามาหาพร้อมกับบอกว่าคุณเบนรอทานข้าวอยู่ที่ห้องอาหาร ตอนแรกคีตานึกว่าคุณเบนทำงานมีประชุม หรือไม่ก็มีนัดที่ไหนแล้วเพราะไม่เห็นติดต่อมาหา แต่พอเปิดประตูเข้าไปในห้องอาหารตามที่คุณมาร์ชบอกก็เจอแกงค์ลูกเพื่อนแม่อยู่กันครบแกงค์นี้นี่สนิทกันดีเจอหน้ากันทุกวัน ตรงหน้ามีอาหารหลากหลายชนิดวางอยู่เต็มไปหมด
“ทานข้าวกันครับคุณคีย์”
“นี่ฉลองอะไรเหรอครับทำไมมันเยอะขนาดนี้”
“ไอ้เบนบอกคุณคีย์น่าจะหิวมากเห็นทำงานตั้งแต่เช้าเลยสั่งมาหมดทุกร้าน”
คีตาหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ มีการเถียงเพื่อนว่าอยากกินหลายอย่างต่างหาก เอาเถอะคนมันรวยสั่งมายี่สิบร้านก็ไม่สะเทือนจะว่าไปนี่มีอาหารแทบทุกประเภทตั้งแต่สเต็กยันส้มตำไก่ย่างน้ำตกสปาเก็ตตี้ เหมือนห้องอาหารนานาชาติในโรงแรม
คินสะกิดให้รามิลดูสองคนที่กำลังเถียงกันเรื่องของกินทั้งๆ ที่ก็เหมือนคุยกันปกติแต่คินเห็นว่าเบนจามินเลื่อนจานผักที่มีแตงกวาเอาออกไปไกลๆ หลังจากที่คีตาทำหน้ายู่ใส่แล้วเบนก็ตักมะเขือเทศมาใส่ไว้ในจานแทน รามิลยิ้มกับภาพที่เห็นก่อนจะส่งสัญญาณให้เพื่อนตั้งใจฟังในสิ่งที่เขากำลังจะถามไอ้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นี่ยังทะเลาะกันอยู่ไหมครับ”
“ก็ยังมีครับ” / “เมื่อวานยังแย่งรีโมททีวีอยู่เลยเว้ย ไอ้มิล”
“แล้วใครเป็นคนเริ่ม”
“คุณเบน” / “เฮ้ย คุณคีย์เป็นคนกดเปลี่ยนช่องก่อน”
“ไม่ได้ลงไม้ลงมือกันใช่ไหม”
“คุณเบนชอบเอามือมาดันแก้ม” / “ใครกันวะที่ชอบมาต่อยแขนผมทุกวัน”
“แต่ก็ดูสนิทกันมากขึ้นนะ”
“ไม่สนิท! ” / “ไม่สนิท!”
“น่องไก่อร่อยเหรอครับ”
““…………………………” / “……………………………”
คนที่บอกว่าไม่สนิททั้งสองคนหยุดชะงักค้างเมื่อเห็นว่าต่างคนต่างตักน่องไก่ใส่จานของอีกฝ่ายโดยไม่ที่รู้ตัว รามิล คิน และทิมเองก็เงียบลงเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเอาแต่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้นก่อนที่คีตาจะเป็นฝ่ายหยิบน้ำขึ้นมาดื่มแก้เก้อ ตามด้วยเบนจามินที่ทำเป็นก้มหน้าเล่นโทรศัพท์
นี่คือไม่สนิทกัน? เหรอวะ
MUSIC BOX
เบนจามินได้ยินเสียงเพลงจากกล่องดนตรีแต่นี่เพิ่งสามทุ่มไม่คิดว่าคีตาจะนอนเร็วขนาดนี้ ทุกทีจะได้ยินเสียงเพลงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว แต่เสียงเพลงที่ได้ยินวันนี้เหมือนมันจะขาดๆ หายๆ แปลกกว่าทุกวัน เบนขยับตัวเมื่อก้มหน้าอ่านเอกสารนานเกินไปเลยจะไปดูหนังที่ห้องนั่งเล่นคลายเครียดซะหน่อย พอเปิดประตูออกมาก็เจอคีตาถือกล่องดนตรีรูปกีตาร์ออกมาจากห้อง
“มันเสียเหรอครับ”
เบนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคีตาเอาแต่หมุนเจ้ากล่องดนตรีแล้วมันไม่มีเสียงออกมา เจ้าตัวพยักหน้าก่อนจะพยายามทำแบบเดิมซ้ำๆ ก่อนจะตัดสินใจวางมันลงบนพื้นเบนจามินเลยขอดูเจ้ากล่องดนตรีรูปกีตาร์ใกล้ๆ
“ช่างมันเถอะครับ มันเก่าแล้ว”
ท่าทางจะเป็นของสำคัญ…แววตาที่มองเจ้ากล่องนี้ดูเศร้าจนน่าใจหาย
คีตาเอื้อมมือจะมาหยิบกล่องดนตรีแต่เบนจามินกลับส่ายหน้า
“ผมขอลองซ่อมได้ไหม”
คีตาไม่รู้ว่าคุณเบนนี่เรียนจบอะไรมาแต่ไม่น่าจะใช่วิศวะเพราะตอนนี้เบนจามินกำลังวุ่นวายอยู่กับการซ่อมกล่องดนตรีรูปกีตาร์ พยายามซ่อมมาเกือบสองชั่วโมงแล้วแต่ก็ไม่เห็นว่ากล่องดนตรีจะมีเสียงออกมาเหมือนเดิม ท่าทางตั้งอกตั้งใจของคนตรงหน้าทำให้คีตาไม่กล้าที่จะพูดอะไร ได้แต่ปล่อยให้เบนจามินก้มหน้าก้มตาซ่อมอยู่อย่างนั้น มีการโทรหาเพื่อนอีกต่างหาก
“ไอ้โอ๊ต…ที่กูเอารูปให้มึงดูกูลองเอาไขควงไขตรงนี้แล้ว มันหมุนเว้ยแต่มันไม่มีเสียงทำไงวะ กูอยากให้เสียงมันออกมา เอาไขควงเบอร์หก สี่ หรือสิบ สัส!ไขควงมีเบอร์เยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ กูงง ”
ก็นะ..ก็ไม่คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้
อยู่ดีๆ คีตาก็เหมือนนึกอะไรได้วิ่งหายเข้าไปในสตูดิโอเพลงแล้วก็หยิบแมคบุ๊คออกมาด้วยตามด้วยกีตาร์และหูฟังพร้อมเสร็จสรรพมานั่งลงตรงข้างๆ เบนจามินที่ยังนั่งซ่อมกล่องดนตรีเจ้าปัญหาไม่เลิก คีตาจัดการเปิดช่อง youtube ของตัวเองแล้วก็กดอัพโหลดคลิปเล่นกีตาร์ที่อัดไว้ก่อนหน้านี้ลงไป ระหว่างที่รอโหลดคีตานึกถึงเรื่องวันนี้ที่ได้คุยกับโปรดิวเซอร์ของ KTD
“พี่เคยฟังเพลงที่เราแต่งนะคีตา ไม่คิดว่าวันนี้จะแต่งเพลงรักได้หวานขนาดนี้”
“หวานเหรอครับ”
“ก็นิดนึง ประสบการณ์ตรงไหมเพลงนี้”
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“นึกว่าฟอลอินเลิฟแต่งเพลงได้หวานขนาดนี้ ที่จริงก็มีแค่แก้คำบางคำให้มันลงตัวกว่านี้หน่อย เมโลดี้แบบนี้ก็โอเคแล้วต้องการให้เพลงนี้อะคูสติกใสๆ อยู่แล้วใช่ไหม”
“ครับ มีเสียงกีตาร์กับดอกไม้ผมนึกถึงแบบนั้น”
“เนี่ย ขนาดไม่ได้ฟอลอินเลิฟยังคิดได้ขนาดนี้ถ้ามีแฟนสงสัยเพลงจะหวานกว่านี้แน่ๆ ยังไม่มีแฟนจริงๆ เหรอเนี่ยไม่น่าเชื่อ ”
“ใครจะมาชอบผมกันครับ ไม่น่ามี”
“แล้วคีตาชอบคนแบบไหน แบบไหนที่คีตา นันทสกุลจะตกหลุมรัก”
คีตาไม่ได้ตอบคำถามที่พี่เอกถามไว้เพราะตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเขาไม่เคยคิดเรื่องความรัก…
อยู่ดีๆ เนื้อเพลงก็วิ่งเข้ามาในหัวแต่มันก็เป็นแค่บางประโยคเท่านั้น
คีตาเคาะนิ้วไปตามจังหวะก่อนจะตัดสินใจพิมพ์บางอย่างลงไป
Q: ตกหลุมรักคนแบบไหนกันครับ
AOMMY : KEY เดี๋ยวนี้มาบ่อยดีจัง..ตกหลุมรักคนหล่อค่ะ หล่อแล้วทำอะไรก็ดีไปหมด
Forestgirl : ขอเล่าๆ แฟนคนปัจจุบันเลยค่ะเพราะว่าเรียนห้องเดียวกัน เขาไม่ค่อยพูดเงียบๆ หน่อยเมื่อต้นเทอมที่ห้องมีงานละครเวทีแล้วต้องทำฉากเยอะมาก แล้วพวกผู้ชายไม่มีใครอยากทำเลยให้แสดงละครก็ไม่ยอมตอนนั้นมีแค่เขาที่ยกมือขึ้นมาแล้วบอกว่าจะทำฉากให้เอง ตอนนั้นประทับใจมากแล้วได้มาเห็นว่าทุกเย็นเขานั่งทำฉากเองทั้งหมด ตกหลุมรักเลยแล้วก็จีบมาเรื่อยๆ เป็นแฟนกันเมื่อเดือนที่แล้ว เขินจังโว้ยคีตา
NJ : เพิ่งตกหลุมรักผู้หญิงคนนึงครับ เราทำงานที่เดียวกันแต่ไม่เคยได้เจอกันเพราะเวลามีโปรเจคแผนกเขาส่งคนอื่นมาตลอด แผนกเขาให้เหตุผลว่าเขายังทำงานไม่เก่งเพิ่งเข้ามา ตอนแรกผมไม่ได้สนใจแต่โปรเจคนี้เราได้มีโอกาสได้ร่วมงานกันหน้าตาก็ธรรมดานะครับ ใส่แว่นตาอันโตๆ แต่ตอนที่ต้องไปพบลูกค้าด้วยกัน ผมทำผิดพลาดลืมเอาไฟล์ที่แก้มา ผมรนมากจนทำอะไรไม่ถูกแต่เธอช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่งมากแถมยังบอกผมว่า คนเราพลาดกันได้อย่าคิดมากสู้ๆ ตอนนั้นแบบ มึนไปชั่วขณะตกหลุมรักเขาเลย
Star: ตกหลุมรักคนที่หล่อและรวยมากจ้า!!!!!
OO: เก่งมาจากไหนก็แพ้หัวใจอย่างเธอ~ แพ้คนที่จำทุกอย่างเกี่ยวกับเราได้แต่ไม่พูดแต่แสดงให้เห็นเลยเนี่ย ตกหลุมรักคนแบบนี้
HJU: ตกหลุมรักผู้หญิงที่ยิ้มแล้วตายิ้ม ผู้หญิงที่เวลาเราเล่าอะไรแล้วเขาก็ยิ้มตามเวลาเจออะไรแบบนั้นแล้วยอมแพ้เลย
Rtrt: ตกหลุมรักรูมเมทตัวเองอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้นเทอม ประทับใจตอนที่ไม่สบายแล้วมันดูแลดีมาก ทั้งเช็ดตัวทั้งหาข้าวหาน้ำไม่ได้มันนี่ตายห่าไปแล้ว ตอนเอามือมาวัดไข้นี่ไข้ขึ้นเกือบสี่สิบองศาเขินฉิบหาย.. แพ้คนดูแลอยากป่วยต่อไปอยู่ในตู้เย็นดีไหมวะ? KEY
IUUI: บอส วศิน! ผู้ชายใน #เมีย2018 ฉันตกหลุมรักเขาทันทีที่ดูละคร
เวลาเกือบเที่ยงคืนคีตาเริ่มรู้สึกว่าตามันเริ่มหนักๆ เลยขยับตัวนอนคว่ำแล้วอ่านข้อความที่ยังคงส่งมาเรื่อยๆ ก่อนที่สายตาจะหันไปมองเบนจามินที่ยังคงก้มหน้าก้มตาซ่อมกล่องดนตรีไม่เลิก คีตาพยายามลืมตาเพราะอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเบนจามินแต่ท่าทางจะฝืนไม่ไหวจริงๆ คีตาเลยหันกลับมาอ่านข้อความต่อแล้วก็เลือกที่จะกดเซฟข้อความนึงไว้
MINNY: ตกหลุมรักผู้ชายที่พยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อเราค่ะ ตอนนั้นมันประทับใจมากรายงานที่อาจารย์สั่งเนื้อหาภาษาไทยแทบหาไม่ได้เลย แล้วคะแนนคิดเป็น 60% เลยค่ะตอนนั้นท้อแท้มากแต่มีผู้ชายคนนึงเป็นเพื่อนของเพื่อนรู้จักแต่ไม่ได้สนิทเขาเข้ามาช่วย ทั้งช่วยหา ช่วยแปล ช่วยพิมพ์กลับบ้านดึกทุกวัน เสาร์อาทิตย์เขาก็มาช่วย งานมันยากมากแต่เขาก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเรา มันอธิบายไม่ถูกเลยค่ะ คีตาคะ..อยากให้มาเห็นตอนที่เขามุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ ฉันละสายตาจากเขาไม่ได้สักวินาที ตอนนั้นนั่นแหละค่ะฉันถึงรู้ตัวว่าฉันกำลังตกหลุมรัก
คีตาอ่านประโยคสุดท้ายพร้อมกับเอียงหน้าไปมองคนที่กำลังเอาไขควงไขเจ้ากล่องดนตรีกล่องเดิม ท่าทางตั้งอกตั้งใจแบบนั้นทำให้ข้อความที่เพิ่งอ่านวนเข้ามาในหัวอีกรอบ
อยากให้มาเห็นตอนที่เขามุ่งมั่นตั้งใจจริงๆ ฉันละสายตาจากเขาไม่ได้สักวินาที ตอนนั้นนั่นแหละค่ะฉันถึงรู้ตัวว่าฉันกำลังตกหลุมรัก..
เพราะฝืนความง่วงไม่ไหวเปลือกตามันหนักจนลืมตาแทบไม่ขึ้นก่อนที่จะหลับตาลงคีตาเห็นว่าคุณเบนจามินไขลานกล่องดนตรีแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเขาได้ยินเสียงเพลงจากกล่องดนตรีรูปกีตาร์นั่นพร้อมกับสัมผัสเบาๆ ตรงแก้ม
“มันดังแล้วนะคีตา กล่องดนตรีของคุณ”
“มึงแน่ใจว่ามันยังไม่นอน กูโทรหาไอ้เบนเป็นสิบๆ รอบแล้วมันไม่เห็นรับโทรศัพท์กูเลย มันอยู่ห้องเหรอวะกูแวะไปบ้านมันมาคุณนายเจียซินฝากของกินมาให้มันเนี่ยกลัวไอ้เบนอดตาย”
“…………………………………………………………..”
“เออ ดีที่มันให้คีย์การ์ดไว้ กูถึงแล้วกำลังเปิดประตูทำไมมันไม่รับโทรศัพท์วะทำอะไรกัน..”
“……………………………………………………”
คินยืนค้างอยู่หน้าประตูเสียงเรียกของรามิลที่อยู่ในโทรศัพท์ยังคงเรียกชื่อเขาซ้ำๆ แต่คินไม่ได้ตอบอะไรเมื่อภาพที่เห็นตอนนี้ทำให้คินไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ตรงกลางห้องนั่งเล่นหน้าทีวีมีคีตา นันทสกุลนอนตะแคงหันซ้ายหลับสนิทมีกีตาร์วางอยู่ใกล้ๆ แมคบุ๊คที่เปิดค้างไว้วางอยู่ด้านบนศีรษะ คงจะทำงานจนหลับไปนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ไอ้ที่แปลกนี่คือเบนจามินเพื่อนรักของเขาก็นอนหลับตะแคงหันข้างเข้าหาคีตา หัวนี่ชนกันเลยทำเหมือนนอนมองหน้าเขาแล้วเผลอหลับในมือเบนยังคงถืออะไรสักอย่างคินก็ไม่แน่ใจรูปร่างคล้ายกล่องดนตรี
คินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่ารามิลยังถือสายรออยู่
“มิล กูว่าเพื่อนเรากับน้องคีตาไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เลยว่ะ”
TO BE CON
ps.ไม่สนิทกัน!
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
เอาแล้ว ๆ เพลงรักของโปรเจคนี้คงกำลังหวานขึ้นเรื่อย ๆ
-
เพลงรัก ถ้าไม่รัก ก็เขียนไม่ได้เนอะ พอคีย์ได้รู้จักความรักเดี๋ยวก็แต่งได้เอง o13
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.6 : Lonely
“ไข่กระทะ”
“ขี้เกียจทำ”
“ไข่ดาว”
“ไข่ต้มง่ายสุด”
“อยากกินไข่กระทะ”
“ไข่ดาวแล้วกัน”
เบนจามินเอี้ยวตัวหลบเมื่อผลส้มที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์โดนคีตาหยิบขึ้นมาทำท่าจะเขวี้ยงใส่เลยเอื้อมมือมาขยี้ผมให้คนที่ตื่นมาก็งอแงจนยุ่งเหยิง เบนจามินเลยไล่ให้ไปล้างหน้าล้างตาเดี๋ยวนี้สนิทกันถึงขั้นต่อล้อต่อเถียงได้แล้ว สุดท้ายมื้อเช้าก็เป็นไข่กระทะที่นักแต่งเพลงต้องการตั้งแต่แรก เบนจามินนั่งจิ้มไส้กรอกเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเมื่อคืนหลังจากที่เขาพยายามซ่อมกล่องดนตรีจนสำเร็จเงยหน้าขึ้นมาอีกทีเจ้าเด็กแก้มป่องก็นอนหลับสลบคาพื้นห้องไปแล้ว
เบนจามินก็ไม่รู้หรอกว่ากล่องดนตรีอันนี้มันมีความหมายกับคีตามากแค่ไหนแต่มันก็ทนไม่ได้ที่ต้องมาเห็นหน้าหงอยๆ กับแววตาเศร้าๆ นั่นยอมรับเลยว่าคนอย่างเขาซ่อมของไม่เป็นเท่าไหร่ทำได้แค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นบอกได้เลยว่ากล่องดนตรีอันนี้เป็นของชิ้นแรกที่เบนซ่อมเองกับมือ
ทันทีที่ลองหมุนกล่องดนตรีแล้วเสียงเพลงออกมานี่เขาดีใจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นระบำแต่เสียดายที่เจ้าของรอเขาซ่อมจนหลับไปแล้ว ตอนแรกวาจะแค่พักสายตาเฉยๆ เลยล้มตัวนอนแต่ไม่รู้ทำไมทั้งๆ ที่คิดว่าง่วงแล้วต่าตามันก็ไม่ยอมหลับ เบนนอนมองหน้าคีตาที่หลับสนิทอยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนรู้เบนรู้แค่ว่าเขาฝืนตัวเองไม่ไหวอีกแล้วรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองกระเถิบตัวมานอนใกล้ๆ
สิ่งสุดท้ายที่สติรับรู้คือ ตัวหอมดี
เสียงกรุ้งกริ้งๆ ที่ดังขึ้นทำให้เบนจามินรู้สึกตัวตื่น พอขยับก็รู้สึกว่าเมื่อยตัวไปหมดคงเพราะนอนบนพื้นแข็งๆ ทั้งคืน พอลืมตาขึ้นมามองก็เห็นคีตาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังถือกล่องดนตรีในมือ พอเห็นเขาลืมตาคีตาก็ยิ้มจนเห็นลักยิ้มข้างแก้มพร้อมกับบอก
“ขอบคุณครับ”
เบนจามินเอื้อมมือมาหยิบกล่องดนตรีแล้วลองไขลานเสียงดนตรียังคงเล่นไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนเมื่อวานที่หมุนๆ อยู่แล้วก็หยุดๆ ติดๆ พอหันไปมองเจ้าของก็หลุดยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าคีตาเอาแต่ยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นเพิ่งเคยเห็นตอนที่ดีใจไม่คิดว่าจะมีท่าทางแบบนี้
น่ารักดี
KTD ENTERTENMENT
“เราควรให้เงินเดือนคุณคีตาไหมครับ”
“เอามาทำตำแหน่งมึงอ่ะมาร์ช”
“โหย คุณเบนใครจะทำงานรับใช้คุณเบนได้ดีเท่าผม”
“กาแฟแก้วนี้คีตายังเป็นคนซื้อให้กูเลยมึงอ่ะหายไปไหน ไปจีบคุณจิ๊บชั้น15อยู่ใช่หรือไม่”
พอพูดเรื่องจริงผู้ช่วยมือหนึ่งของเบนเลยได้แต่หัวเราะแต่ที่เขาพูดเรื่องนี้ก็เพราะว่าหลายวันแล้วที่เห็นคุณคีตามาทำงานที่ KTD แรกๆ ก็มาทำในส่วนของตัวเองแต่หลังๆ นี่เห็นว่าช่วยทุกคนทุกฝ่ายจนเหมือนพนักงานของ KTD ไปแล้วมาร์ชคิดแค่ว่าคงเพราะต้องทำงานโปรเจคสิบเพลงรักถึงได้อยู่ด้วยกันแต่พอมาสังเกต มันไม่ใช่แค่เรื่องงาน ..วันๆ หนึ่งมาร์ชนับได้เลยว่าคุณเบนเรียกหาคุณคีตากี่ครั้ง
“คีตา ตอนนี้อยู่ห้องไหน”
“คีตา ผมอยากกินกาแฟตรงร้านข้างล่าง”
“คีตา คุณว่าเพลงนี้ดีไหม”
“คีตา ได้เวลากินข้าวแล้วหยุดแต่งเพลง”
“คีตา รอผมก่อนมีประชุม”
“คีตา อาหารเม็ดอันนาหมดแล้วขากลับแวะซื้อกัน”
คีตา คีตา คีตา และคีตามาร์ชสาบานได้เลยว่าตั้งแต่ทำงานด้วยกันมายังไม่เคยโดนเรียกชื่อบ่อยเท่าคุณคีตามาก่อน ส่วนนักแต่งเพลงพอคุณเบนเรียกก็จะโผล่หน้ามาหาแล้วก็โดนคุณเบนแกล้งพอเป็นพิธี มาร์ชเห็นคุณคีตาทำหน้าเบื่อแต่ก็ยอมมาหาทุกครั้งที่คุณเบนเรียก ถ้าวันไหนคุณเบนติดประชุมก็จะเห็นคุณคีตานั่งรอทานข้าว มาร์ชเคยบอกเหมือนกันว่าทานก่อนได้เพราะปกติคุณเบนจามินก็ทานข้าวไม่เป็นเวลาอยู่แล้วแต่นั่นแหละ ก็ยังรอเหมือนเดิม
นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครติดใครกันแน่..
“เอกสารประชุมเมื่อวันอังคารอยู่ในแฟ้มครับ มีนัดทานข้าวกับทีมงานซีรีส์ของคุณเพชรวันเสาร์นี้ คุณบอลส่งการ์ดเชิญงานเปิดตัวน้ำหอมที่น้องนีน่าเป็นพรีเซนเตอร์มาให้แล้ว ตารางานของมาร์ค มาร์ตินมีอัพเดทเพิ่มคุณเบนเช็คได้เลย ตอนนี้มีเวลาพักจนถึงบ่ายสองก่อนจะมีประชุมกับคุณบีอีกรอบ และสุดท้ายคุณคีตาอยู่ที่ห้องอัดกับคุณเอกและคุณสองครับ”
เบนจามินหันมามองผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ
มีการปิดแฟ้มรายงานแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้
“ฉันถามเหรอว่าคีตาอยู่ไหน”
“ตอนนี้ไม่ได้ถามแต่เดี๋ยวก็ถามครับ”
เบนโบกมือไล่ให้ผู้ช่วยไปพักผ่อนหลังจากทำงานวิ่งจนหัวหมุนไม่ได้หยุดพัก พอยกนาฬิกาขึ้นมาก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงพอดีเลยเบนเลยลุกขึ้นมาขยับตัวเพราะตั้งแต่เช้ามายังไม่มีเวลาลุกจากโต๊ะไปไหนและทันทีที่เขากำลังจะเปิดประตูมาร์ชก็ถามว่าเขาจะไปไหนถ้ามีใครตามตัวจะได้ตอบถูก
“ห้องอัด!”
MUSIC BOX
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้คนที่อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นมามองเอกเลยยกมือให้เข้ามาได้ คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาแก้เนื้อเพลงอยู่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองว่ามีใครเดินเข้ามาในห้องบนตักมีกีตาร์มือก็เขียนเนื้อเพลงแถมยังใส่หูฟังอีกต่างหาก สองบอกว่าคีตาเวลาตั้งใจทำงานนี่สมาธิไม่มีหลุดไปไหนนี่ก็ไม่เห็นกินน้ำกินท่ามาสองสามชั่วโมงแล้ว เขาสองคนก็ไม่กล้าที่จะเรียกเพราะกลัวว่าจะรบกวนการทำงานแต่เบนจามินกลับลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ แล้วยกนาฬิกาให้คีตาดู
“ไม่หิว”
“ให้อีกแค่สิบห้านาที”
“แต่งเพลงอยู่”
“เหลือสิบสามนาทีแล้ว”
สองกับเอกพยายามกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นว่าคีตาขมวดคิ้วแต่ก็หยุดเขียนเนื้อเพลงเมื่อเบนจามินเอาแต่แกล้งบอกเวลาที่มันลดลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับบอกว่าคีตาเคยทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงสามทุ่มโดยที่ไม่ได้กินอะไรทั้งวัน ตั้งแต่ตอนนั้นเบนเลยต้องไปเคาะให้เรียกกินข้าวเรื่อยๆ ไม่งั้นไม่สบายกันพอดี
“ขอโทษค่ะที่รบกวน พอดีมีเรื่องด่วน คุณเบนยังไม่ได้เซ็นสรุปโปรเจคของคุณแพรวเลยค่ะต้องได้ข้อสรุปภายในอาทิตย์นี้แล้วนะคะ เดี๋ยวทีมงานเตรียมงานไม่ทัน”
“เซ็นๆ ไปเลยได้ไหมประชุมมาร้อยรอบแล้ว โอ๊ย!”
คุณนุชที่ยืนถือแฟ้มอยู่หน้าประตูตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อคุณคีตาเอาสมุดเล่มเล็กๆ ฟาดลงบนแขนของคุณเบน ทั้งสองคนเถียงเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้ได้ยินแว่วๆ ว่าไหนบอกจะตั้งใจทำงานปรับปรุงตัวอย่าทำงานชุ่ยๆ และอีกหลายประโยคที่ดูท่าจะไม่จบง่ายๆ จนนุชต้องยกมือถามว่าเรื่องโปรเจคนี้อีกรอบ
“เซ็นเลยไหมคะไหนๆ ก็ประชุมมาร้อยรอบแล้ว”
“เฮ้ย ประชุมรอบที่ร้อยหนึ่งร้อยสองจะเป็นอะไรไปเอาไปวางที่โต๊ะผมๆ จะอ่านสรุปอีกรอบ เดี๋ยวให้มาร์ชไปบอกคุณนุชว่าจะประชุมอีกทีเมื่อไหร่”
ทั้งสามคน คุณนุช เอก และสองหันมามองหน้าเบนจามินเหมือนเจอเรื่องประหลาดทุกทีถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เบนจามินจะตัดบทเซ็นๆ ให้มันจบๆไม่ก็ให้คุณเบอร์ดี้เป็นคนตัดสินใจไม่มีหรอกนะมาอ่านเอกสารสรุปแบบนี้ พอเห็นว่าคีตาพยักหน้าคล้ายจะบอกว่าทำดีแล้วทั้งสามคนก็ยิ้มออกมาพร้อมกันแต่พอเบนจามินหันมาถามว่าเป็นอะไรก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ เสียงโทรศัพท์ของคีตาดังขึ้นเลยขอตัวไปข้างนอก
“นักแต่งเพลงเป็นไงบ้างครับ”
“คีย์เก่งอยู่แล้ว นี่ขนาดแต่งเพลงที่ไม่ใช่แนวที่ถนัดยังแต่งออกมาได้ขนาดนี้เบนลองดูไหม แค่อ่านเนื้อเพลงยังเขินเลย”
เบนจามินรับเนื้อเพลงที่ยังคงมีการแก้คำบางคำมาลองอ่าน ไม่คิดเหมือนกันว่าจะใช่คีตา นันทสกุลคนเดียวกับเมื่อหลายเดือนก่อนที่เขารู้จักคนที่แต่งเพลงเศร้าอกหักรักคุดในตอนนั้น ถึงตอนนี้จะมีแค่สองเพลงแต่เบนจามินก็ยอมรับว่าเพลงที่เขาได้ลองอ่านมันเป็นเพลงรักสไตล์ของคีตาแล้ว
“หวานหยดย้อย”
“นั่นสิ ผู้หญิงฟังคงเคลิ้มน่าดูจริงๆ คีตาก็ดูเป็นแบบที่ผู้หญิงชอบ ผู้ชายน่ารักๆ แต่งเพลงเล่นดนตรี”
“ผู้หญิงสมัยนี้ชอบแบบนี้เหรอเนี่ย”
“เราตาตี่เป็นก้านไม้ขีดยังผู้หญิงเข้าคิวรอต่อแถวเป็นร้อยหรือไม่ก็คีย์อาจจะนึกถึงแฟนตอนแต่งเพลง”
“แต่ผมไม่เคยเห็นคีตาคุยกับใครเลยนะจะมีแฟนได้ไง”
“ไม่มีแฟนก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้มีความรักนี่คีย์ก็อาจจะมีคนที่ชอบ”
เบนจามินเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์แล้วกลับเข้ามาในห้องอีกรอบ เอกเห็นว่าถึงเวลาพักเที่ยงเลยบอกให้คีตาไปพักผ่อนกินข้าวกินปลาซะบ้างดีดกีตาร์จนนิ้วเป็นรอยหมดแล้ว ทันทีที่เอกพูดจบก็สะกิดให้สองดูทั้งสองคนที่กำลังเถียงกันเรื่องข้าวกลางวัน ถ้ามองเผินๆ ก็เหมือนคนสองคนที่คุยกันเป็นเรื่องปกติแต่ภาพที่เห็นคือเบนจามินเอากระเป๋ากีตาร์มาถือเองพร้อมกับแกล้งแหย่คีตาไปด้วย
“ก็รู้นะว่าเบนจามินเป็นผู้ชายอารมณ์ดีแต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้”
“ถ้าเบนไม่ทำให้คีย์ยิ้มก็ไม่รู้เลยนะว่าคีย์มีลักยิ้มเจอทีไรเห็นทำหน้าเดียวตลอด ไม่เคยยิ้มกว้างๆ ให้เราเห็นเลย”
“ก็บอกแล้วว่าเพลงรัก”
“ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้”
MUSIC BOX
“ตอนเย็นกินอะไร”
“เราเพิ่งจะกินข้าวกลางวันไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว”
“จะพาไปกินก๋วยเตี๋ยวลุงชัยขาโหดแถวมหาลัยที่เคยเรียน”
“นั่นชื่อร้านเหรอ”
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับรามิลที่โผล่หน้าเข้ามาทักทายหัวหน้าแกงค์ลูกเพื่อนแม่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าที่โซฟาตัวยาวมีคีตากำลังนั่งดีดกีตาร์อยู่ ปกติเบนจามินไม่ชอบให้ใครเข้ามานั่งในห้องทำงานคนที่เข้าได้ก็มีแค่แกงค์ลูกเพื่อนแม่และมาร์ชที่เป็นผู้ช่วย
“ไง หัวหน้าคิดถึงกูเหรอ”
“กูมาดูโครงการบ้านจัดสรรแถวนี้เลยแวะมาหา”
“รวยขนาดนี้จะเอาเงินไปทำอะไรครับซื้อร้านดอกไม้เหรอ”
“เทคโอเวอร์ค่ายเพลง”
“สัส ตระกูลเกียรติธนธาดากูสู้สุดใจแน่”
“มึงนี่ชวนกูไร้สาระมึงได้ของที่คุณนายเจียซินฝากไปให้แล้วใช่ไหม ไอ้คินมันไปทำงานที่หัวหินกะทันหันเลยไม่ได้ไลน์ถามมึง”
“เออ กูเห็นวางอยู่ตรงเคาน์เตอร์คินมันเอามาให้ตอนไหนวะ”
“ดึกแล้ว มันบอกมึงน่านอนอยู่มันก็เลยไม่อยากปลุก”
รามิลหันไปคุยกับคีตาเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าจะไปทำงานต่อแล้ว
เบนจามิลลุกจากเก้าอี้มายืนพิงโต๊ะด้านหน้าเมื่อเห็นนักแต่งเพลงสะพายกีตาร์ไว้ที่ไหล่
“จะไปซื้อกาแฟคุณจะเอาไหม”
“หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้”
เบนเอื้อมมือไปรั้งกีตาร์ที่เจ้าตัวสะพายอยู่แล้วดึงเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นล๊อคแขนไว้ไม่ยอมปล่อย คีตาพยายามบิดแขนออกแต่เบนก็ไม่ยอมปล่อยรามิลได้แต่ยืนมองทั้งคู่สลับไปมาเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“วันนี้กินกาแฟไปกี่แก้วแล้ว”
“สอง”
“พอแล้ว กินแค่นี้พอคนบ้าอะไรกินกาแฟวันละสี่ห้าแก้วตายพอดี”
“เดี๋ยวมันง่วง”
“ง่วงก็นอน มาร์ชมีหมอนด้วยผ้าห่มก็มีไปขอมันได้”
“สามได้ไหม”
“บอกว่าสองก็สอง ห้ามกินมากกว่าสองแก้วต่อวัน”
“เบนจามิน”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อเต็มแล้วพี่เพ่อก็ไม่เคยจะเรียก จะให้มาร์ชคอยจับตาดูอย่าให้รู้ว่าลงไปซื้อกาแฟอีก”
รามิลพยายามกลั้นยิ้มเมื่อคีตาพยักหน้าส่งๆ แต่ก็แกล้งเหวี่ยงกระเป๋ากีตาร์ซะจนแทบโดนหน้าไอ้เบน พอไอ้เบนจะคว้าไว้อีกรอบคีตาก็รีบวิ่งออกจากห้องจับแขนมาร์ชที่เพิ่งเดินถือแฟ้มเข้ามาให้ออกนอกห้องไปด้วยไอ้เบนตะโกนบอกผู้ช่วยว่าห้ามพาไปซื้อกาแฟอีกรามิลอยากจะอัดคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วส่งให้แกงค์ลูกเพื่อนแม่ดูจริงๆ
“ปวดหัวฉิบหาย”
“เป็นห่วงเขาก็พูดตรงๆ สิวะ”
“ห่วงอะไร”
“ก็ไปห้ามกินเขากาแฟเยอะไม่ได้เป็นห่วงเขาหรือไง”
“กลัวป่วยแล้วงานไม่เสร็จกูรับผิดชอบโปรเจคนี้”
“ปากแข็งไปทำไมวะตอนนี้มึงดูสนิทกับน้องเขาดีนะ”
“เออสนิทมาก เรียกชื่อกูเฉยๆ ตลอดถ้าไม่เรียกคุณก็ไม่เคยเรียกกูว่าพี่”
“เดี๋ยวน้องเขาเรียกพี่เบนขึ้นมาจริงๆ มึงนั่นแหละเบนที่จะไม่รอด”
“ไม่รอด?”
“มึงเป็นผู้ชายประเภทที่พ่ายแพ้สารพัดของกุ๊กกิ๊ก คีตาตัวเล็กๆ แก้มป่องๆ เรียกมึงพี่เบนๆ ทุกวันมึงพร้อมเซ็นยกหุ้นKTDให้น้องเขาได้เลยนะ”
“นี่เราไม่ได้คุยเรื่องกาแฟกันอยู่เหรอ”
“เปลี่ยนเรื่องเร็วตลอดแล้วอยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้ถ้าวันนึงไม่ได้เจอกันไม่เหงาเหรอวะ”
“เหงาบ้าอะไรวะ ก็แค่ต้องทำงานด้วยกันไม่เจอกันกูไม่ได้เหงาอะไรหรอกมึงมันเพ้อเจ้อรามิล”
19.45 น.
ฝนตก..
ก็เป็นเรื่องปกติทุกวันนี้ฝนตกตอนเย็นตลอด คีตาไม่เคยสนใจหรอกว่าฝนจะตกเวลาไหน จนกระทั่งวันนี้..ตอนเกือบๆ ห้าโมงครึ่งหลังจากที่คีตาเดินมาหาเบนจามินที่ห้องทำงาน พี่มาร์ชผู้ช่วยคุณเบนก็บอกว่า เย็นนี้คุณเบนมีธุระด่วนอาจจะไม่ได้กลับคอนโดเดี๋ยวให้คนไปส่ง แต่คีตาก็ปฏิเสธพร้อมกับบอกว่ากลับเองก็ได้ยังไงคอนโดก็ติดรถไฟฟ้าอยู่แล้ว พอหกโมงเย็นก่อนจะเดินออกจาก KTD คีตาเห็นว่ามีผู้หญิงสวยคนนึงนั่งอยู่ตรงล๊อบบี้แค่เพียงไม่นานก็เห็นคุณเบนเดินออกมาจากลิฟท์แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปด้วยกัน
อ้อ..มีนัดกับแฟนนี่เอง
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้คีตาก็กลับบ้านคนเดียวเป็นประจำอยู่แล้วแต่พอมาอยู่คอนโดก็ไปกลับพร้อมเบนจามินตลอด นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันเลยมั้งที่กลับบ้านคนเดียว คีตาหยิบหูฟังขึ้นมาก่อนจะยืนมองสายฝนที่ยังตกลงมาไม่ยอมหยุด ทั้งๆ ที่เพลงที่ฟังอยู่ก็เป็นเพลงโปรด บรรยากาศรอบตัวก็เย็นดีแต่ทำไมรู้สึกเหมือนว่ามัน
ขาดอะไรไป..
มันเงียบซะจนคีตาได้แต่มองไปรอบๆ ตัวพยายามคิดว่าจะซื้ออะไรกลับเข้าไปกินที่คอนโดดี แต่ภาพของเบนจามินที่เดินออกไปพร้อมกับผู้หญิงสวยก็วนอยู่ในหัวไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คีตาได้แต่ยืนมองสายฝนอยู่อย่างนั้นว่าจะรอให้ฝนซากว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยเดินไปที่คอนโดแต่ดูท่าทีว่าฝนจะไม่หยุดง่ายๆ เลยตัดสินใจวิ่งฝ่าสายฝนที่ยังคงตกหนัก
“ไง อันนาคิดถึงคีตาหรือเปล่า”
เจ้าแมวอ้วนขนฟูเดินวนรอบตัวคนที่อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยก่อนที่คีตาจะอุ้มน้องอันนาแล้วเดินมาที่ห้องครัว มาม่ากระป๋องที่เทน้ำร้อนไว้ได้ที่พร้อมแล้ว คีตาเลยนั่งลงตรงเคาน์เตอร์ห้องครัวแล้วนั่งกินมาม่ากระป๋องเงียบๆ เพิ่งรู้สึกว่าคอนโดมันกว้างกว่าทุกวันแล้วก็เงียบกว่าทุกวันด้วย..
ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่
ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกว่า เหงา..
คีตาวางมาม่ากระป๋องที่กินไปสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบแม๊คบุ๊คออกมาจากห้องนอน จัดการอัดโหลดคลิปที่อัดไว้ก่อนหน้านี้ลงไปพร้อมกับคำถาม
Q: เคยรู้สึกเหงากันบ้างไหมครับ
Noon : นี่คือเหงานี่แหละเหงา ~
YuuRII : เหงามาสี่ปีแล้วค่ะ KEY เคยมีแฟนแล้วก็เลิกกันไปตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คุยกับใครอีกเลยตอนอยู่กับเพื่อนก็ไม่ได้รู้สึกเหงาอะไรมากมายเท่าไหร่แต่พอกลับบ้านมาอยู่คนเดียวนั่นแหละค่ะที่เรียกว่าเหงา
V : ไม่เหงาเลยเพราะแฟนอยู่ด้วยตลอด 24 ชั่วโมงเลยขออวดหน่อยครับ
ML: หมาที่เลี้ยงไว้เพิ่งตายค่ะทุกทีกลับมาที่หอจะวิ่งออกมารับเลยตอนนี้ไม่มีแล้วเลยรู้สึกเหงานิดหน่อย แต่ก็ไม่คิดจะซื้อตัวใหม่กลัวว่าตายแล้วจะเป็นอย่างนี้อีกเลยลองหาอะไรทำแก้เหงาไปเรื่อย เนี่ยพูดแล้วก็คิดถึง T_T
VIEW : แฟนไปเรียนต่อที่เมกาครึ่งปีแล้วเหงามากเลยโว้ยยยยยยยยย! นี่แค่ครึ่งปีนะแล้วมันไปสองปีขาดใจตายแน่ๆ มึงรีบเรียนรีบกลับมาได้ไหมวะจะขาดใจตายแล้ว อ่ะ!กูแทกด้วยเดี๋ยวมึงไม่รู้ @YOYO
PERTH : กินข้าวคนเดียวก็เหงา ดูหนังคนเดียวก็เหงา นั่งทำงานคนเดียวก็เหงา แต่ก็ไม่อยากมีแฟนเข้าใจป่ะวะคีตาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง
COCO: เหงาตอนที่บุพเฟต์มีโปรสี่จ่ายสาม สามจ่ายสองแต่อยากกินคนเดียว โคตรเหงาเลย
XX: เวลาที่เราอยู่กับใครแล้วลืมเวลา ลืมสิ่งรอบตัว เขาทำให้มีความสุข ทำให้เรายิ้ม ทำให้เราหัวเราะ เราได้รับสิ่งนั้นทุกวันจนวันนึงเขาหายไป ไม่ได้อยู่ด้วยเหมือนกันทุกวันมันเหงามากเลยนะ เหงาจนอยากร้องไห้เลย จะทำอะไรก็คิดถึงเขา จะกินจะนอนก็คิดถึงเขา ก็อยากให้เขากลับมาอยู่ด้วยกัน อยากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้เขาไปอยู่กับคนอื่น เหงาของเราเป็นแบบนี้แล้วเป็นเหมือนกันหรือเปล่า คีตา
23.18 น.
เบนจามินแตะคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูเข้ามาในห้องรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นว่าห้องมันมืดเหมือนไม่มีใครอยู่ ทั้งๆ ที่เวลาแค่ห้าทุ่มเท่านั้นคีตาไม่น่าจะนอนเร็วขนาดนี้พอไฟสว่างก็เห็นว่าน้องอันนานอนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ห้องครัว เบนเลยเดินไปเคาะประตูตรงห้องสตูดิโอพอไม่มีเสียงตอบรับก็เลยเปิดประตูเข้าไปดู
ไม่ใครอยู่
ห้องนอนก็เหมือนกัน..
“ไปไหนวะ”
เบนหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะไล่หาชื่อของคีตาแล้วพิมพ์ข้อความรออยู่สองสามนาทีก็ไม่ขึ้นว่าอ่านแล้วปกติเขาไม่ได้คุยกับคีตาผ่านทางไลน์เท่าไหร่เพราะว่าเจอหน้ากันอยู่ทุกวัน คิดในแง่ดีอาจจะออกไปหาเพื่อนข้างนอกเบนเลยเข้าไปอาบน้ำอาบน้ำท่าเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้วมานั่งดูหนังตรงห้องนั่งเล่น
ทั้งๆ ที่เป็นหนังเรื่องโปรดแต่เบนไม่มีสมาธิดูเท่าไหร่ รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่วันนี้มีเขาอยู่คนเดียวที่คอนโด ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรเขารู้สึกโหวงๆ เมื่อไม่เห็นคีตานั่งเล่นกีตาร์เหมือนทุกวันบางทีมันก็อาจจะเป็นแค่ความเคยชิน นี่ก็เงยหน้าดูนาฬิกาทุกสามวิ นั่งเล่นเกมส์ก็แล้ว นอนอ่านเอกสารก็แล้ว แต่ก็ไม่มีสมาธิอยู่ดี
รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้เลยจริงๆ เขาไม่ชอบที่ไม่เห็นคีตาอยู่ที่นี่
00.14 น.
คีตาถอนหายใจเมื่อเห็นว่าไฟห้องนั่งเล่นมืดสนิททั้งๆ ที่พี่มาร์ชก็บอกไว้แล้วว่าคุณเบนอาจจะไม่ได้กลับมาที่คอนโด แน่สิอยู่กับผู้หญิงสวยขนาดนั้นใครจะเสียเวลากลับมา ทันทีที่คีตาเปิดไฟสิ่งที่เห็นทำให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ เบนจามินในชุดนอนลายสไปเดอร์แมนนอนหลับอยู่ตรงโซฟาในมือยังคงถือโทรศัพท์ไว้แน่น คีตาค่อยๆ เดินเข้าไปหาแล้วชะโงกหน้าดูคนที่นอนหลับตาอยู่ แต่อยู่ดีๆ คนที่นอนหลับก็ลืมตาขึ้นมาแล้วคว้าเอาคนที่ยืนอยู่ข้างโซฟาให้ล้มลงมานอนข้างๆ กันก่อนที่เบนจามินนอนตะแคงมองคนที่นอนอยู่
“ลุกไหม”
“ไม่ลุกนอนคุยเนี่ยแหละง่วง แล้วไปไหนมา”
“คิดงานไม่ออกเลยไปนั่งร้านกาแฟ24ชั่วโมงตรงข้ามคอนโด”
“สั่งกาแฟ?”
“นมร้อน”
“แล้วโทรศัพท์มีไว้ทำไมไลน์ไปเป็นสิบๆ ข้อความไม่คิดจะตอบรอนานกว่านี้จะแจ้งความแล้ว”
“แต่งเพลงอยู่ไม่ได้จับโทรศัพท์แล้วก็ไม่คิดว่าจะกลับ พี่มาร์ชบอกว่าคุณเบนอาจจะไม่กลับคอนโดคืนนี้”
“ตอนแรกก็จะไม่กลับ”
“แล้วทำไมถึงกลับมา”
“…………………………………………………………………”
จริงๆ มันก็เป็นแค่คำถามสั้นๆ แต่ไอ้อาการช้อนตารอฟังคำตอบทำให้เบนจามินเลือกที่จะเงียบ เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เขามีนัดกับจี๊ดนางแบบระดับตัวท๊อปตอนที่ทานข้าวด้วยกันเบนกลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้สนใจจี๊ดเท่าไหร่พอรู้ว่าข้างนอกฝนตกในหัวเขาก็คิดไปถึงคนที่อยู่ที่คอนโด จะเป็นยังไง จะกินข้าวหรือยัง ทำอะไรอยู่ ขนาดจี๊ดที่นั่งป้อนอาหารให้เขาอยู่ตรงหน้าแต่เขาก็นึกถึงหน้าเด็กแก้มป่องที่คอนโดอยู่ดี
สุดท้ายก็จบตรงที่เขาไปส่งจี๊ดที่บ้าน
แล้วตัดสินใจกลับมาที่นี่
“ไม่เจอกันเกือบเจ็ดชั่วโมงเหงาไหม”
“ไม่เห็นจะเหงา”
เบนจามินก้มลงมองคนที่บอกว่าไม่เหงาแต่มือเอาแต่กำเสื้อนอนเขาไว้แน่นท่าทางเหมือนเด็กนั่นทำให้เบนยกแขนลงกระเถิบตัวลงมานอนบนหมอนใบเดียวกันแล้วมองหน้าอยู่อย่างนั้นมือของคีตาที่กำเสื้อนอนของเบนไว้แน่นค่อยๆ คลายออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นวางไว้บนอกกว้างแทน
“ไม่เหงาเหมือนกัน ไม่เหงาเลย”
ทั้งๆ ที่เบนบอกออกไปแบบนั้นแต่คีตาที่นอนมองหน้าอยู่กลับยิ้มออกมาเหมือนรู้ว่าสิ่งที่เบนพูดออกมามันไม่ใช่.. ความรู้สึกก่อนหน้านี้เหมือนหายวับไปตาเมื่อได้อยู่ด้วยกัน คีตานึกถึงข้อความสุดท้ายที่ได้อ่าน
XX: เวลาที่เราอยู่กับใครแล้วลืมเวลา ลืมสิ่งรอบตัว เขาทำให้มีความสุข ทำให้เรายิ้ม ทำให้เราหัวเราะ เราได้รับสิ่งนั้นทุกวันจนวันนึงเขาหายไป ไม่ได้อยู่ด้วยเหมือนกันทุกวันมันเหงามากเลยนะ เหงาจนอยากร้องไห้เลย จะทำอะไรก็คิดถึงเขา จะกินจะนอนก็คิดถึงเขา ก็อยากให้เขากลับมาอยู่ด้วยกัน อยากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้เขาไปอยู่กับคนอื่น เหงาของเราเป็นแบบนี้เป็นเหมือนกันหรือเปล่า คีตา
KEY @ XX: ครับ เป็นเหมือนกัน..
TO BE CON
หายไปนานเหลือเกินกลับมาแล้วจ้า
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
:L1: :pig4:
-
ใจตรงกันขนาดนี้ก็คงไม่เหงาแล้วเนาะ
-
ห่างหายไปนานคิดถึงแก๊งลูกเพื่อนแม่มากมาย
ชอบตอนนี้อ่ะ มีความมุ้งมิ้งเวอร์ๆ แล้วก็ปากแข็งมากเวอร์ทั้งคู่เลย
-
สงสารน้องงง
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.7 : I’m worried about you.
“มาร์ช วันนี้กูเข้าสายหน่อยเออ..ประมาณสิบโมง”
เบนจามินพยายามหนีบโทรศัพท์ไว้ตรงไหล่มือก็พยายามคนข้าวต้มในหม้อไปด้วย ไม่ใช่ว่านักแต่งเพลงอยากจะกินข้าวต้มเป็นอาหารเช้าแทนพวกตระกูลไข่ทั้งหลาย แต่วันนี้เบนตื่นเช้าขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวมานั่งรอคีตาอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว แต่พอรู้สึกว่าวันนี้ทำไมคีตาถึงตื่นสาย ทุกทีนี่มานั่งรอเขาทำอาหารเช้าตรงเคาน์เตอร์แล้ว
เบนตัดสินใจลองเคาะประตูห้องนอนรออยู่นานก็ไม่เห็นมีใครมาเปิด สุดท้ายเลยเปิดประตูเข้าไปคีตายังคงอนนหลับอยู่บนเตียง แต่ท่าทางจะไม่สบายตัวเพราะเห็นว่าคิ้วขมวดพอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่เห็นจะมีท่าทีรู้สึกตัวตื่น
“คีย์ คีย์ คีตา”
เบนเอื้อมมือไปแตะแขนอีกฝ่ายแต่พอโดนตัวถึงได้รู้ว่าอุณหภูมิร่างกายของคีตามันร้อนกว่าปกติ พอเลื่อนมาแตะที่หน้าผากก็รู้เลยว่าเจ้าเด็กแก้มป่องนี่กำลังไม่สบายมากแน่ๆ ลองเรียกอีกสักสองสามทีคีตาถึงได้ลืมตาขึ้นมามอง คงปวดหัวน่าดูถึงได้ขมวดคิ้วแล้วพลิกตัวหนีไปอีกทาง
“เป็นหนักหรือเปล่า”
“นิดหน่อย”
“เมื่อวานตากฝนใช่ไหม”
“เจ็บคอไม่อยากพูดแล้ว”
นี่พอไม่สบายคีตาก็ดื้อขึ้นมาเท่าตัว นี่ก็จับตัวพลิกไปพลิกมาหลายรอบไม่ยอมให้เบนวัดไข้สักที สุดท้ายเบนเลยตัดสินใจสอดแขนอุ้มคีตาให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ ก่อนจะจับแก้มทั้งสองข้างให้มองหน้ากันตรงๆ
“หยุดดื้อสักที ป่วยขนาดนี้ยังจะงอแงอีก”
“……………………………………..”
“ผมมีประชุมตอนสิบเอ็ดโมงแต่เดี๋ยวจะทำอะไรให้กินก่อนจะได้กินยาด้วย”
คีตาคงไม่อยากพูดเพราะเสียงแหบจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบตกลง ข้าวต้มหมูง่ายๆ หอมฉุยถูกวางลงตรงโต๊ะหัวเตียงเบนวางยาลดไข้ไว้ข้างๆ กันที่นี่ไม่ได้มียาอะไรมากมายก็มีแค่นี้ที่คุณนายเจียซินเคยซื้อไว้ให้ คนป่วยกินข้าวต้มไปแค่สองสามคำเบนอยากจะฝืนให้กินเยอะกว่านี้หน่อยแต่ก็เข้าใจคนที่ไม่สบายอยู่คงกินอะไรไม่ค่อยลง
“เงยหน้า”
คีตาเงยหน้าตามที่เบนบอกก่อนที่แผ่นลดไข้จะถูกแปะลงมาบนหน้าผาก คนป่วยที่หน้าแดงเพราะพิษไข้ตาก็ฉ่ำไปด้วยน้ำช้อนตาขึ้นมามองคนที่กำลังแปะแผ่นลดไข้ เบนจามินหยุดลูบแล้วมองหน้าคนป่วยที่อยู่ใกล้ๆ เวลาไม่สบายนี่ก็น่าสงสารแก้มป่องๆ สองข้างแดงแจ๋
อยากกอด..มันเป็นคำที่อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว
“สายแล้ว”
พอคนป่วยบอกแบบนั้นเบนเลยรู้สึกตัวก่อนจะขยับไทด์แก้เก้อเลยบอกให้คีตานอนพักผ่อนถ้ามีอะไรให้โทรมาหาได้ตลอดและก็ย้ำรอบที่สองร้อยว่าห้ามลุกไปที่สตูดิโอทำเพลงหรือแม้แต่จะหยิบโทรศัพท์ แม๊คบุ๊ค ไอแพดขึ้นมาแต่งเพลงเด็ดขาดคีตาชะงักไปนิดนึงเหมือนโดนจับได้ว่าคิดจะทำอะไรเบนเลยดันตัวให้นอนลงตามเดิม ห่มผ้าให้เสร็จสรรพ พอคนป่วยหลับตาไปแล้วเบนเงยหน้าขึ้นมามองห้องนอนของคีตา
มันก็เหมือนห้องเด็กผู้ชายที่ชอบดนตรีทั่วๆ ไปเครื่องดนตรีตรงมุมห้อง โน้ตเพลง แต่ที่เบนสนใจคือกล่องดนตรีรูปแบบต่างๆ ตรงหัวเตียงที่วางอยู่อันสุดท้ายคืออันที่เบนเพิ่งซ่อมไปเมื่อวันก่อน ไม่รู้ว่ามันเป็นของสะสมหรือของขวัญที่ใครให้มา เบนหันมามองคนป่วยที่นอนหลับตาไปแล้วก่อนจะหยิบกล่องดนตรีรูปกีตาร์ขึ้นมาแล้วไขลานให้เสียงเพลงดังแล้ววางไว้ที่เดิม
เสียงเพลงที่คุ้นเคยที่ดังขึ้นมาทำให้คีตาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง
ทั้งๆ ที่ปวดหัวจนแทบระเบิดแต่ตอนนี้ก็อยากจะยิ้มออกมาเหมือนกัน
MUSIC BOX
“ประชุมเริ่ม 11.30 ครับคุณเบน”
“ถามเวลาเลิก”
“อันนี้ขึ้นอยู่กับข้อสรุปในที่ประชุมครับ”
“แล้วมีอะไรต่อ”
“บ่ายโมงครึ่งคุณเบอร์ดี้จะนัดประชุมเรื่องตารางงานต่างประเทศของมาร์คครับ”
“แล้วต่อจากนั้น”
“คุณนีน่าจะเอาผลิตภัณฑ์น้ำหอมที่เป็นพรีเซนเตอร์มาให้ครับ”
“ส่งตารางงานให้เฮียบอล รายนั้นแฟนคลับนีน่า”
“คุณบีฝากถามว่าจะไปงานเปิดตัวซิงเกิ้ลใหม่ของวง Happy Girls ตอนบ่ายสามด้วยกันไหมครับ”
“เจ้บีไปกับเฮียเบเฮียเบส์ทก็พอแล้ว”
“ตอนเย็นหนึ่งทุ่มครึ่งทีมงานคุณแพรวมีนัดทานอาหารฝากชวนคุณเบนด้วย”
“บอกไปว่าไม่สะดวก ติดงาน”
มาร์ชกำลังใช้เม้าส์ปากกาจิ้มตารางนัดตามที่เจ้านายบอกแต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเบนอีกทีติดงานอะไรวะนี่เลื่อนตารางงานออกหมดเลยเนี่ย ตารางงานว่างยิ่งกว่าเงินในบัญชีเขาอีกวันนี้คุณเบนดูไม่ค่อยมีสมาธิตั้งแต่เช้า จริงๆ ก็ตั้งแต่บอกว่าวันนี้คุณคีตาป่วยไม่ได้มาที่ KTD ด้วยมาร์ชก็พยักหน้ารับรู้แล้วนะแต่เจ้านายก็มีอาการแปลกๆ ทั้งวัน
เอาแต่จ้องโทรศัพท์เหมือนว่าจะมีใครโทรมาหา ถามซ้ำๆ ย้ำๆ ว่าวันนี้เลิกงานกี่โมง เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยากจะกลับไปที่คอนโดอย่างเดียว เนี่ย..รู้ตัวไหมเนี่ยว่าเป็นห่วงเขาขนาดไหนนี่มาร์ชคิดในใจนะกลัวบอกออกไปแล้วไม่ได้เห็นท่าทางแปลกๆ ของเจ้านาย
รอเสือกอยู่..
“สรุปว่าเหลือแค่ประชุมกับคุณเบอร์ดี้งานเดียวครับเสร็จแล้วกลับคอนโดได้เลย”
“………………………………………………………….”
“คุณคีตาชอบทานอะไรอย่าลืมซื้อเข้าไปด้วยนะครับ ถึงจะกินอะไรไม่ค่อยลงแต่ของที่ชอบก็อาจจะทานได้เยอะขึ้น”
“………………………………………………………….”
เบนบอกให้มาร์ชไปทำงานทำการต่อได้หลังจากเคลียร์ตารางงานช่วงบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เบนเอนตัวไปกับพนักเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นบีบระหว่างคิ้ว เขายอมรับว่าเขากระวนกระวายแปลกๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคีตาก็อาจจะป่วยเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเผลอๆ กินยาสองสามเม็ดก็ลุกขึ้นมาวิ่งปร๋อได้แต่ก็ยอมรับว่าเขาก็ยังเป็นห่วงมากๆ อยู่ดี
บอกไม่ถูกเหมือนกันไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว
ป่วยหนักกว่าที่คิด
คีตารู้สึกว่าร่างกายมันปวดไปหมดตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้ายาลดไข้ที่กินเข้าไปไม่ได้ช่วยบรรเทาอะไรเท่าไหร่ คีตาพยายามลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงเพิ่งรู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานเหมือนกัน เพราะอาการปวดศีรษะมันเริ่มรุนแรงขึ้นจะให้นอนตอนนี้ก็คงนอนไม่หลับเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ขั่งใจอยู่นานว่ะจะเปิดเข้าFacebookดีหรือเปล่าเพราะเป็นแอพที่ไม่ได้เล่นมานานแล้วมันมีบางอย่างที่เขาเองไม่อยากรับรู้
ทันทีที่เลื่อนไปถึงหน้าเฟสของคนๆ นึง มือที่กำลังจะเลื่อนหน้าจอก็หยุดนิ่ง
Guitar taveewattakun
วันนี้ป่วยหนักมากพูดแทบไม่มีเสียงแม่เลยจับเช็ดตัวแถมบ่นอีกสามประโยคจับป้อนข้าวอีกเหมือนกลับไปอายุ 12 เลยแต่ตาร์ก็รักแม่เพลงนะครับ ^^
ทั้งๆ รูปที่ลงมันดูน่ารักดีที่ผู้ชายในวัยมัธยมกำลังนอนหนุนตักผู้หญิงคนนึงอยู่แต่คีตากลับยิ้มไม่ออก มือที่จับโทรศัพท์กำแน่นสายตาเอาแต่จ้องไปที่รูปนั่นก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลลงมาจากดวงตาเรียว
ไม่มีเสียงสะอื้น
ไม่มีเสียงร้องไห้
มีแค่หยดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดก็เท่านั้น
MUSIC BOX
16.47 น.
ไม่รู้จะให้มาร์ชเลื่อนตารางงานไปทำไมในเมื่องานไม่เสร็จสักอย่าง พอเซ็นอนุมัติงานนู้นก็มีคนวิ่งมาตามตัวให้เข้าประชุมงานนี้ลงชั้นสิบห้าขึ้นมาชั้นยี่สิบนี่ตอนแรกตั้งใจว่าประชุมงานกับพี่เบอร์ดี้แล้วจะขอตัวกลับเลยสรุปไม่ตรงตามแผนสักอย่าง เบนจามินมาถึงคอนโดก็เกือบห้าโมงไฟที่ห้องนั่งเล่นมืดสนิท ห้องสตูดิโอก็มืดมีแค่น้องอันนาที่นอนอยู่ตรงคอนโดแมว
แสดงว่าคนป่วยยังคงนอนอยู่ที่ห้องนอน
พอเปิดประตูห้องนอนเข้าไปคีตายังคงนอนหลับอยู่ที่เตียงนอนที่เดิม เบนคิดว่าไข้อาจจะลดลงบ้างแล้วแต่เจ้าตัวอาจจะแค่เพลียอยู่เลยไม่ยอมลุกจากเตียงสักที เบนยืนมองคนที่นอนซุกผ้าห่มอยู่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่สบายหรือเปล่าตาถึงได้บวมช้ำขนาดนี้เบนลองเอามือแตะลงบนต้นแขนเพื่อวัดอุณหภูมิ
“คีตา!”
พอรู้ว่าอุณหภูมิในร่างกายไม่ได้ลดลงแถมยังเพิ่มขึ้นจนน่ากลัวอีกต่างหาก เขาคงปล่อยให้กินยาเองแบบนี้ไม่ได้แล้วตัวคีตาร้อนจนน่าตกใจเบนพยายามเรียกให้คีตาลืมตาขึ้นมามองไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้ที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่าดวงตาของคีตาถึงได้ฉ่ำนเหมือนคนเพิ่งร้องไห้หนักขนาดนี้
“คุณตัวร้อนมากผมว่าน่าจะไปโรงพยาบาล”
“ไม่อยากไป”
“ไม่ได้!คีตาผมว่าคุณจะต้องไปหาหมอแล้ว”
“ไม่ไป”
“คีตา ฟังผม!”
“……………………………………………………….”
“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าตอนนี้เราอยู่ด้วยกัน อย่าทำเหมือนว่าไม่มีผมอยู่ด้วย สบายดีก็บอกผม ปวดตรงไหน เจ็บตรงไหนก็บอกผม อย่าทำเหมือนอยู่คนเดียวได้ทั้งๆ ที่ป่วยขนาดนี้ ผมอยู่กับคุณตรงนี้แล้วไง”
“……………………………………………………….”
ภายในห้องนอนเงียบสนิทคีตาเงยหน้ามองคนที่จับแขนทั้งสองข้างอยู่ ใบหน้าที่เขาเห็นอยู่ทุกวันยุ่งเหยิงเหมือนว่าเรื่องที่เขาป่วยมันเป็นเรื่องใหญ่ คีตาไม่รู้ว่ามันเกิดจากความรับผิดชอบที่อยู่เราอยู่ด้วยกันในฐานะเพื่อนร่วมงานหรือทั้งหมดนั่นเกิดจากความเป็นห่วงจริงๆ
“เดี๋ยวผมโทรหาคุณอคิราห์ให้แล้วกัน หรือมีใครที่อยู่กรุงเทพที่คุณให้ผมติดต่อให้ไหม”
“……………………………………………………….”
“โอเค เดี๋ยวผมจะโทรหาคุณอคิราห์”
เมื่อเห็นว่าคีตาเอาแต่เงียบไม่ยอมตอบอะไรเหมือนเดิมเบนเลยจะลุกออกไปโทรศัพท์ข้างนอก แต่แรงรั้งเพียงน้อยนิดทำให้เบนหันกลับมามอง มือของคีตายกขึ้นมากำเสื้อเขาไว้แน่นเสียงเรียกแผ่วเบาจนเบนต้องเขยิบเข้าไปใกล้ๆ คีตาซบหน้าลงอกกว้างที่อยู่ตรงหน้า
“พี่เบน”
“……………………………………………………….”
“ไม่ไหวแล้ว”
“……………………………………………………….”
“ปวดหัวไม่ไหวแล้วไม่ไหวแล้วจริงๆ เจ็บไปหมด เจ็บไม่ไหวแล้ว”
“……………………………………………………….”
เบนจามินยกมือขึ้นมาแล้วรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่นหยดน้ำตาไหลลงจนเสื้อที่เบนใส่อยู่เปียกชุ่ม เขาว่ากันว่าคนไม่สบายจะอ่อนแอมากกว่าเดิมทั้งร่างกายและจิตใจเขาเองก็ไม่รู้ว่าคีตาเจอเรื่องอะไรที่ทำร้ายจิตใจมาหรือเปล่าถึงได้ร้องไห้ขนาดนี้ มือใหญ่วางลงบนกลุ่มผมสีดำเบาๆ พร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
“พี่เบนอยู่นี่แล้วไงไม่เป็นไรนะไม่ต้องร้อง คีตา”
สรุปเป็นไข้หวัดใหญ่
หมอเลยสั่งแอดมิด
เบนจามินรับสายโทรศัพท์ของคีตาที่โทรเข้ามาเห็นเมมชื่อไว้ว่า ชาญ
พอเบนกดรับอีกฝ่ายก็โพล่งออกมาจนเบนเบรกแทบไม่ทัน
“เฮ้ย ไอ้แก้มมึงจะหายไปจากวงจรชีวิตกูแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ตอบไลน์กูบ้างคุยกันเป็นประโยคๆ ไม่ใช่แค่สติกเกอร์ แล้วออกมาหากันด้วย แดกข้าว แดกเหล้า แดกเบียร์ ตั้งแต่มึงบอกมึงไปทำงานที่ KTD กูก็เฝ้ารอลายเซ็นของน้องนีน่าทุกวัน แก้ม..ไอ้แก้มคีย์ คีตาโว้ย!!”
เบนจามินเลยบอกความจริงทั้งหมดให้คนที่ชื่อชาญฟังเพราะคิดว่าเป็นเพื่อนสนิท อีกฝ่ายขอโทษขอโพยเขาใหญ่เบนเลยบอกโรงพยาบาลที่คีตารักษาอยู่ให้เผื่อว่าจะมาเยี่ยม
“จ้างพยาบาลพิเศษไหมคะหรือว่าญาติจะเฝ้าเอง”
“ผมเฝ้าเองครับ”
เบนตอบพยาบาลที่เดินเข้ามาถามก่อนจะหันมามองหน้าคนป่วยที่หลับสนิทเพราะฤทธิ์ยา คีตาร้องไห้จนตัวแดงหน้าแดงไปหมดกว่าจะพามาโรงพยาบาลได้ก็ต้องรอให้หยุดร้องไห้ก่อนตอนนั้นถ้ายังไม่หยุดร้องเบนคงต้องอุ้มกันมาโรงพยาบาล ก็คิดไว้แล้วว่าต้องป่วยหนักนึกโกรธความดื้อของคีตาอยู่เหมือนกันป่วยหนักขนาดนี้ไม่โทรมาบอกเขาเลยสักนิด
น่าจับมาตีจริงๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เบนหันมามองผู้ชายที่ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาดๆ เปิดประตูเข้ามาหาคงเป็นคนที่ชื่อชาญเพื่อนของคีตา
“เห็นมันไม่ตอบไลน์ตั้งแต่เช้า บอกแค่ว่าป่วยไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้”
“ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นหนักตอนที่ผมกลับไปที่คอนโดเหมือนกัน ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคีตามีญาติที่กรุงเทพหรือเปล่า ผมจะได้ติดต่อบอกเขาได้”
“มีแม่ที่อยู่กรุงเทพฯ ครับแต่ผมคิดว่าคีตาคงไม่อยากให้บอก”
“………………………………………………….”
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวแต่ผมคิดว่าคุณเบนควรได้รู้พ่อกับแม่ของคีตาเขาหย่ากัน แม่ของคีตาเขามีครอบครัวใหม่ไปแล้วครับ ผมคงบอกได้เท่านี้”
“………………………………………………….”
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ไว้ผมมาเยี่ยมใหม่ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลเจ้าคีย์ อย่าเพิ่งรำคาญมันนะครับถึงมันจะไม่ค่อยพูดแต่มันน่ารักนะ น่ารักจริงๆ ”
เบนจามินยิ้มขำกับการฝากฝังเพื่อนของชาญมีการย้ำว่าเพื่อนตัวเองน่ารักรอบที่ล้านเบนเลยต้องพยักหน้ารับไม่งั้นไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแน่ๆ เบนเดินมาหาคนที่นอนหลับสนิทบนเตียงมือใหญ่ทาบลงบนแก้มป่องๆ นั่น
“ตัวแค่นี้เจอเรื่องอะไรหนักหนา”
MUSIC BOX
เสียงคนที่พูดคุยกันเบาๆ ทำให้คนที่เพิ่งรู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามอง พอลองขยับตัวผู้ชายสี่คนก็รุมล้อมอยู่ข้างเตียง คีตาเลยได้แต่นอนกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นหน้าทุกคนชัดๆ
แกงค์ลูกเพื่อนแม่
“คุณคีย์ฟื้นแล้วโว้ย”
“ทิมเขาไม่ได้สลบเขานอนหลับ”
“ไข้ลดลงแล้วนะครับ หายปวดหัวยังไอ้เบนโทรหาผมร้องกรี๊ดซะจนตกใจ”
“กูแค่บอกเฉยๆ ”
“เป็นห่วงเขาขนาดนี้ยังจะมาปากแข็ง ทับทิมจัดการ”
“สัสคิน บอกว่าอย่าเรียกทับทิม”
แกงค์ลูกเพื่อนแม่ยังสนุกสนานเฮฮาเหมือนเดิม คีตาหันมามองคนที่ยืนกอดอกอยู่ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือไปดึงเสื้อเบนจามินให้เดินเข้ามาใกล้ๆ
“นี่ก็ดึงเสื้อตลอดมือเมอก็ไม่ยอมจับ”
เบนนั่งลงตรงข้างเตียงเพราะคนป่วยเอาแต่จับเสื้อไม่ยอมปล่อย แกงค์ลูกเพื่อนแม่ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันแล้วหันมาดูเบนที่หยิบน้ำเปล่าให้คีตาดื่มมีการลูบผมที่ชี้โด่ชี้เด่ให้เข้าที่เข้าทางคิดว่าคีตาคงไม่มีเสียงพูดเพราะเอาแค่พยักหน้ากับสายหน้าอย่างเดียว เบนยื่นโทรศัพท์คืนให้คีตาเผื่อจะเอาไว้ตอบไลน์คุณอคิราห์ที่บอกว่าจะบินลงมาจากเชียงรายในวันพรุ่งนี้
“เมมเบอร์ผมไว้ด้วยได้ไหมครับ รามิล ภาคิน แล้วก็ทิมถ้ามีอะไรเร่งด่วนหรือต้องการความช่วยเหลือคุณคีย์โทรมาได้เสมอ เผื่อไอ้เบนมันไม่ว่าง”
คีตาเงยหน้ามองทั้งสามคนที่บอกเบอร์ตัวเองเสร็จสรรพคีตาเลยยกมือขึ้นมทำท่าสัญลักษณ์ว่าโอเคประโยคสุดท้ายจากแกงค์ลูกเพื่อนแม่ทำให้คีตาต้องเงยหน้ามายิ้มให้
“คิดซะว่ามีพี่ชายเพิ่มอีกสามคนแล้วกันนะ”
แกงค์ลูกเพื่อนแม่กลับไปแล้วเหลือแค่เบนจามินที่เปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อย คีตาเอาแต่มองตามคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ห้องที่คีตาพักอยู่หรูหราเหมือนนอนในโรงแรมห้าดาวตอนลืมตาขึ้นมาครั้งแรกนี่ไม่คิดว่าอยู่ในโรงพยาบาลแต่ระดับKTDคงเป็นโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงมากแน่ๆ
“คุณเบนจะนอนที่นี่เหรอครับ”
“ผมเปลี่ยนชุดนอนขนาดนี้แล้ว”
“นึกว่าจะเป็นพยาบาล”
“ผมอยู่ทั้งคนจะจ้างพยาบาลทำไมกัน ผมเป็นห่วงคุณขนาดนี้เฝ้าคุณเองจะสบายใจกว่ากลับคอนโดไปผมก็นอนไม่หลับหรอก”
“……………………………………………………………………….”
ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ต่างฝ่ายต่างรู้สึกเขินขึ้นมาซะดื้อๆ คีตาค่อยๆ ล้มตัวลงนอนแล้วดึงผ้าห่มขนเหลือแค่ลูกตา เบนเองก็ได้แต่
มองโน่นมองนี่ในห้องก่อนจะขอตัวไปเคลียร์งานที่ค้างไว้ พอเบนเดินออกจากห้องไปแล้วคีตาเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพิมพ์บางอย่างลงไป
KEY: เวลามีคนเป็นห่วงมันรู้สึกดีจริงๆ นะครับ
NUTTUN: เฮ้ย! วันนี้ไม่ใช่ประโยคคำถามเว้ย แต่มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละอย่างน้อยก็รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
IOIO: เนี่ย มีแฟนแน่ๆ คีตา มีแฟนใช่ไหมมมมมมมมมมมมมมมมมม!
PP: ใช่ค่ะ ตอนที่เขาบอกว่ามีอะไรบอกได้นะเขาเป็นห่วง โอ้โห..ร้องไห้ยิ่งกว่าเขื่อนแตกเขาไม่ใช่แฟนหรอกค่ะก็เป็นเพื่อนคนนึงตอแรกไม่กล้าจะเล่าให้ใครฟังเลยแต่พอได้ระบายก็รู้สึกโล่งขึ้นมาเขาลูบหลังเรา โอ๊ยตอนนั้นอ่อนแอเกินบรรยาย
99nine: อยากมีบ้างครับ รู้สึกเหนื่อยไปหมดทุกอย่างแค่รู้ว่ามีใครที่เป็นห่วงเราบ้างแค่คนเดียวก็พอแล้ว
POKPAK: คีตาจะมีแฟนแล้วแน่ๆ ไม่ใช่คำถามครั้งหน้าคือพรีเวดดิ้งที่ไหนนะ
Yubinbi: ตอนที่ไม่สบายแล้วเขาเอาแต่ห่วงเรา ทั้งเช็ดตัว เช็ดหน้า หาข้าวหายาคอยลูบหน้าลูบหลังอยู่กับเราตลอดทั้งวันตอนนั่นใจนึงก็คิดว่าอยากหายป่วยเร็วๆ เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงแต่อีกใจก็คิดว่าป่วยแบบนี้ก็ดีเวลาเขาเป็นห่วงเป็นใยดูแลเรานี่ใจฟูไปหมด
“นอนได้แล้ว ถ้าไม่นอนจะยึดโทรศัพท์”
“คุณเบนง่วงแล้วเหรอครับ”
“โควต้าเรียกพี่เบนนี่มีแค่วันละรอบเหรอ”
“ผมเรียกตอนไหนจำไม่เห็นได้”
เสียงแหบๆ เถียงกลับทันทีเบนเลยเดินมานั่งลงตรงเตียงคนป่วย สายตาที่หลบไปหลบมาไม่ยอมมองหน้ากันตรงๆ นี่ทำให้เบนรู้เลยว่าเจ้าตัวไม่ได้ลืมหรอกอาจจะเขินซะมากกว่า เบนจามินยิ้มให้คนป่วยแล้วยกมือขึ้นผลักหน้าผากคนป่วยเบาๆ จังหวะที่หันหลังจะกลับไปนอนที่เตียงคนเฝ้าเสื้อนอนข้างหลังก็ถูกดึงไว้
“เป็นอะไรกับการดึงเสื้อเนี่ย”
เบนกลับมานั่งบนเตียงตามเดิมเพราะนึกว่าคีตาจะเอาอะไรเพิ่ม
คนป่วยยิ้มให้จนเห็นลักยิ้มข้างแก้ม มือก็เอาแต่กำเสื้อไม่ยอมปล่อย
“พี่เบน”
“…………………………..”
“พี่เบน”
“…………………………..”
“พี่เบน”
“…………………………..”
คนป่วยหันหลังนอนหลับดึงผ้าห่มคลุมหน้าคลุมตาเรียบร้อยเบนเดินเข้าไปดูสายน้ำเกลือเพราะว่ากลัวว่าจะนอนทับเบนกลับมานอนบนเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์กรุ๊ปลูกเพื่อนแม่กำลังคุยกันอยู่พอดีเบนเลยพิมพ์ข้อความลงไป
แกงค์ลูกเพื่อนแม่
RM : วันนี้กับกูกับไม้กลับไปกินก๋วยเตี๋ยวลุงชัยขาโหดมาอร่อยเหมือนเดิม คิดถึงตอนที่เรียนอยู่
TIM: ลุงชัยเรียกกูเตี้ยตลอดไม่เคยจำชื่อกูได้
KIN : ลุงเขาเรียกกูคนหล่อว่ะ โทษทีทิม
TIM: กูไม่เชื่อมึงหรอกคินโหดขนาดนั้นไม่มีมาเรียกอะไรมุ้งมิ้งแบบนี้เด็ดขาด
KIN: คนหล่อนี่มันมุ้งมิ้งตรงไหนมันคือ fact โว้ย!!
BEN : พวกมึงกูว่ากูป่วยใจกูเต้นไม่หยุดเลยสัสเอ๊ย! แค่คำว่าพี่นี่มันจะอะไรกับกูขนาดนี้วะ
RM : What?
TIM: ไรวะ?
KIN : ห๊ะ?
TO BE CON
ไม่ถึงตอนไวโอลินสักกกกกทีนะคะพี่เบน..
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
ขนาดนั้นเลยเหรอพี่เบน
เวลาน้องอ้อนมันน่ารักนี่นะ เข้าใจ ๆ
-
สงสารน้อง...น้องคงคิดถึงแม่มากอ่ะ
ยิ่งเวลาป่วย ความอ่อนแอจะทำให้เราอยากอ้อนมากขึ้น
แม้เขาจะยังอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ข้างเรา...เจ็บเนาะ สงสาร
พี่เบนรักน้องมากๆ ล่ะ เป็นความอบอุ่นของน้องเถอะเนอะ ^^
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.8 : Be jealous
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วนะครับ อีกอย่างหมอเดาว่าคุณคีตาต้องทำงานที่ไม่เป็นเวลาแน่ๆ จากผลตรวจร่างกาย”
“กินข้าวไม่เป็นเวลา บางครั้งก็ลืมและก็ดื่มกาแฟวันละสี่ห้าแก้วด้วยครับ”
คุณหมอหันมามองคนที่ตอบแทนทุกอย่างมีการย้ำว่ากินแต่ของไม่มีประโยชน์ ข้าวก็ไม่ค่อยกินวันๆ ซัดแต่กาแฟ คนป่วยที่ใส่ผ้าปิดปากอยู่ทำท่าจะดึงออกแล้วมาเถียงแต่เบนก็ไวกว่าเอื้อมมือมาปิดปากคนป่วยไว้ทัน
“พักผ่อนก็น้อยด้วยครับ บางวันนอนเช้าบางวันก็ไม่ยอมนอน”
“งานสายอาร์ทแน่ๆ แบบนี้”
“นักดนตรีครับ”
“ปกติเลยครับ หมอเจอมาเยอะคนไข้สายอาชีพนี้คนที่มาหาหมอไม่ใช่เจ้าตัวเองหรอกนะ ญาติๆ คนใกล้ตัว แฟนมั่ง เพื่อนมั่ง บางคนนี่หามมาหาหมอแบบไม่ได้สติ ลืมตาตื่นขึ้นมายังถามหาโน๊คบุ๊ค แม๊คบุ๊คที่ใช้ทำงานอยู่เลย”
“กลัวว่าสักวันจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันครับ”
“หมอเข้าใจนะ งานแบบนี้มันทำเป็นเวลาลำบากแต่คนไข้ก็ต้องเข้าใจคนที่เขาเป็นห่วงด้วยนะครับ อย่าหักโหมเกินไปในเคสของคุณคีตาลดกาแฟลงหน่อยก็ดีครับ”
คุณหมอยังอมยิ้มตอนที่เขาพูดเรื่องนี้จริงจังกับคนไข้เรื่องผลเสียที่จะเกิดขึ้นถ้ายังใช้ชีวิตแบบนี้ คนไข้ชื่อคีตาทำท่าเหมือนเด็กที่โดนสั่งห้ามกินอมยิ้มเพราะฟันผุ ไอ้อาการหูลู่หางตกมันน่าเอ็นดูดีมีเสียงเยาะเย้ยจากคุณเบนจามินเป็นเสียงประกอบ นี่เขาเองก็รู้จักคุณเบนดีเขารักษาเกียรติธนธาดามาทั้งตระกูล ทั้งๆ ที่คุณเบนก็บอกว่าคุณคีตาเป็นคล้ายๆ พนักงานของ KTD เลยดูแลเป็นพิเศษจะว่าไปก็พิเศษจริงๆ เพิ่งเคยเห็นคุณเบนหอบผ้าหอบผ่อนมาเฝ้าไข้ใครสักคนก็คราวนี้
คุณหมอขอตัวไปตรวจคนไข้ต่อ คีตาเลยดึงผ้าปิดปากออกกำลังจะเงยหน้าถามเรื่องที่จะได้กลับบ้านพรุ่งนี้แต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเบนจามินวางถุงบางอย่างไว้บนโต๊ะทานข้าวตรงหน้า
“หายเจ็บคอหรือยังกินได้หรือเปล่า”
“เอามาจากไหน”
“มีคนฝากมาให้”
“เขามาที่นี่เหรอ”
“คุณหลับอยู่คงไม่อยากกวนแต่เขาฝากนี่ไว้ที่ผม บอกว่าเวลาที่คุณไม่สบายคุณจะต้องกินทุกครั้ง”
คีตาเอื้อมมือไปหยิบถุงกล้วยปิ้งเจ้าโปรดมาถือไว้ก่อนจะจิ้มแล้วลิ้มรส มันยังคงอร่อยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน คนป่วยยังคงเคี้ยวอยู่อย่างนั้นพร้อมกับปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ คนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขยิบเข้าไปใกล้ๆ แล้วจับศีรษะคีตาให้ซบลงมา
“คนอะไรกินกล้วยปิ้งไปร้องไห้ไป”
ใจจริงก็อยากจะถามให้มันรู้เรื่องแต่เบนก็รู้ดีว่าเขายังไม่ได้รับความไว้ใจถึงขนาดที่คีตาจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง และเบนรู้ดีว่ากล้วยปิ้งนี่มาจากใคร ตอนเช้าก่อนที่เบนจะออกไปทำงานคนป่วยยังคงนอนหลับสนิทพอเดินลงไปข้างล่างแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเอกสารไว้ที่โต๊ะเลยต้องกลับขึ้นมาใหม่เห็นอยู่นานว่ามีผู้หญิงวัยกลางคนถือถุงอะไรสักอย่างเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องทำท่าจะเข้าแต่ก็ไม่กล้าเปิด เบนยกนาฬิกาขึ้นมาดูใจจริงก็อยากจะรอดูเหตุการณ์ต่อแต่เขาจะสายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ขอโทษนะครับ มาเยี่ยมคีตาหรือเปล่า”
“อ้อ..ค่ะคือดิฉันไม่ทราบว่าคุณ”
“ผมเบนจามินเป็น..เป็น…..เอาเป็นว่าตอนนนี้ผมทำงานกับคีตาเข้าไปรอข้างในไหมครับอีกสักพักคีย์น่าจะตื่นแล้ว”
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะฉันฝากนี่ให้คีย์หน่อยได้ไหมคะไม่ต้องบอกก็ได้ว่าใคร”
“กล้วยปิ้ง?”
“ค่ะ เวลาแกไม่สบายอยากกินร้านนี้ตลอดเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“คีตาดีขึ้นแล้วครับอีกไม่กี่วันก็กลับบ้านได้แล้ว”
“ขอบคุณนะคะ”
แววตาเป็นห่วงจนปิดไม่มิดทำให้เบนเลือกที่จะบอกอาการให้คนตรงหน้ารับรู้ ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่เธอยิ้มรับพร้อมกับเอ่ยขอบคุณที่เขาช่วยดูแลคีตาเบนคิดไว้แล้วว่าคงเป็นแม่ของคนป่วยที่นอนอยู่ในห้องคงมีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถเจอกันได้เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องอ่อนไหวเบนเข้าใจดี
MUSIC BOX
คีตาหายป่วยเป็นปลิดทิ้งแล้วก็กลับมาบ้างานเหมือนเดิม ยังดีที่บอกอะไรแล้วเชื่อฟังขึ้นมาบ้าง วันนี้มีประชุมความคืบหน้าของโปรเจคสิบเพลงรักเบนจามินร้อนใจมากที่ครั้งนี้เขาไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้เพราะต้องอยู่ต้อนรับทีมงานโปรดิวเซอร์จากอเมริกาของมาร์ค มาร์ติน แน่ละโดนบังคับให้อยู่ต้อนรับกันทั้งตระกูล
“ผมจัดการได้คุณเบนไปทำงานเถอะ”
“เมธัสแกล้งคุณขึ้นมาจะทำไง”
“พี่มาร์ชก็อยู่”
“ห่วงกว่าเดิม”
“ไม่เชื่อว่าผมจะทำได้เหรอ”
“ผมอยู่ด้วยอุ่นใจกว่า”
มาร์ชกำลังยืนเกาะประตูพยายามฟังคนสองคนที่ยืนเถียงกันเรื่องเข้าประชุมมาเกือบสิบนาที คุณคีตาก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าประชุมได้ไม่มีปัญหาแต่คุณเบนก็ถามวนไปวนมาอยู่นั่นนี่ก็ไม่รู้ว่าวันนี้จะได้เข้าประชุมหรือเปล่า วันนี้คุณคีตาแต่งตัวเป็นทางการนิดนึงมีเซ็ทผมเปิดหน้าผากดูโตกว่าเดิมแก้มนี่ป่องน่าบีบคาดว่าคงโดนคุณเบนขุนให้อ้วนขึ้นหลังจากออกจากโรงพยาบาล
“โอเคนะ”
“โอเค”
“ถ้ามีอะไร”
“ให้โทรหาคุณเบนทันที”
“ถ้าโทรแล้วผมไม่รับ”
“ให้โทรหาคุณเบอร์ดี้ คุณบี คุณบุ๊ค คุณเบ คุณบอย หรือคุณ บ คนอื่น”
“ผมอยู่ชั้นไหน”
“25”
ร่ำลารอบที่สามร้อยจนสุดท้ายมาร์ชต้องเป็นคนพาคุณคีตาเข้าห้องประชุมเองไม่งั้นวันนี้ไม่ต้องทำอะไรกันทั้งนั้น พอเข้ามาในห้องบรรยากาศก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันทีคุณเมธัสเหมือนไปฝึกพลังมาหลังจากประชุมครั้งก่อนๆ โดนตอกหน้าซะจนหน้าหงายแต่ดูคุณคีตาจะเตรียมตัวมาพร้อมเช่นกันเห็นกระชับกีตาร์ที่สะพายอยู่แล้วเป็นฝ่ายทักคุณเมธัสก่อน
โห..เก่งขึ้นเยอะ
“เมธัสไม่มาด้วยเหรอวะทุกทีไม่เคยพลาดงานระดับนี้ปกติเห็นหน้าตลอด”
“เจ้บุ๊คใช้คำว่าเสนอหน้าเลยเหอะพูดมาขนาดนี้”
“มีประชุมโปรเจคสิบเพลงรักไง ไอ้ตี๋น้อยของเราถึงได้มานั่งอยู่นี่”
“นี่ทายาทนั่นใคร”
“เฮียเบออกตัวแรงมากว่าทีมไหน”
“เอ๊า..นี่น้องเราเฮียเลี้ยงไอ้เบนมาตั้งแต่มันเกิดรถบังคับคันโปรดเฮียยังยกให้มันเลย แล้วนี่เป็นอะไรนั่งหน้าเครียดอยู่ได้”
“ไม่รู้ว่าคีตาจะโดนเมธัสทำอะไรบ้าง เบนไม่สบายใจเลยเฮีย”
พี่น้องเกียรติธนธาดาเงียบลงทันทีเมื่อน้องชายคนเล็กนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ยอมเลิก ทุกคนรู้จักเบนจามินดีก็ประคบประหงมกันมาตั้งแต่มันเกิด อาตี๋น้อยตาตี่ที่ร่าเริงอารมณ์ดีเอาแต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเป็นคนสร้างบรรยากาศในครอบครัวนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นเบนจามินในมุมแบบนี้เหมือนกัน
“ทุกทีตีกันแรงเหรอวะเวลาประชุม”
“สำหรับเบนมันชินไงเฮียเมธัสแม่งหาเรื่องทะเลาะมาตั้งแต่เก้าขวบแต่คีตาไม่เคยเจอ เดี๋ยวมานะไปโทรหามาร์ก่อน”
“มันเพิ่งลุกไปโทรหามาร์ชเมื่อสิบนาทีที่แล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนเจ้เบอร์ดี้บอกว่าตอนแรกทะเลาะกันแทบตาย”
เบนจามินไม่รอใครตอบอยู่ดีๆ ก็ลุกเดินไปที่อื่นทุกคนได้แต่มองตามน้องชายคนเล็ก เจ้บีถามขึ้นมาว่าเบนจริงจังกับงานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จริงๆ ก็สังเกตมานานแล้วเบนทำตัวดีขึ้นจากคนที่เล่นไปวันๆ ก็ตั้งใจทำงานมากขึ้นแถมยังใส่ใจรายละเอียดงานชนิดที่ทีมงานที่ทำงานด้วยยังตกใจแถมยังชมให้เจ้าสัวกรรณยิ้มซะจนหน้าบาน
อีกอย่างที่เปลี่ยนจนพี่ๆ น้องๆ แปลกใจคือเรื่องความเจ้าชู้ เมื่อก่อนนี่เปลี่ยนแฟนเปลี่ยนคนคุยแทบทุกเดือน ถึงตอนนี้จะยังมีนัดทานข้าวกับพวกดาราและนางแบบอยู่บ้างแต่ส่วนมากก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจ และนอกรอบหลังหกโมงก็ปฏิเสธหมดอยากจะกลับแต่คอนโดอย่างเดียว
เปลี่ยไปเยอะเบนจามิน
เบนนึกว่าคีตาจะเลิกประชุมก่อนเขาแต่คิดผิดเกือบสี่โมงแล้วคีตากับมาร์ชก็ยังไม่ออกมาจากห้องประชุม ผู้ช่วยมาร์ชมีการสั่งว่าห้ามเขาโทรมาหาอีกจนกว่าจะเลิกประชุมน้ำเสียงเด็ดขาดมากด้วยมีการตัดสายทิ้งอีกต่างหากเริ่มไม่แน่ใจว่าใครเป็นเจ้านายกันแน่
นั่นแหละถึงได้มานั่งเป็นหมาหงอยอยู่นี่ ทันทีที่ห้องประชุมเปิดออกเบนก็กระเด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที หน้าตาของมาร์ชกับคีตาดูร่าเริงหัวเราะคิกคักท่าทางการประชุมจะผ่านไปได้ด้วยดีมาร์ชพอเห็นท่าเจ้านายก็ยิ้มร่าพร้อมกับรายงานที่ประชุมวันนี้ให้เจ้านายฟัง
“วันนี้ราบรื่นดีครับคุณเบน คุณคีตาเก่งมากตอกกลับคุณเมธัสได้ทุกคำถาม คุณเมธัสเองก็ดูซอฟๆ ลงไม่เถียง ไม่แซะ ไม่แขวะไม่ด่า ดีที่คุณเอกกับคุณสองเข้ามาร่วมประชุมด้วยคุณคีตาเลยได้โชว์เพลงที่แต่งให้ทุกคนฟัง ก่อนออกจากห้องคุณเมธัสยังชมคุณคีตาด้วยนะครับว่าวันนี้แต่งตัวน่ารักดี เซ็ทผมแบบนี้ดูแก้มป่องกว่าเดิมเห็นแล้วน่าจับ”
“……………………………………………………….”
มาร์ชยิ้มปิดประโยคสุดท้ายแล้วหันมามองเจ้านายที่ตอนแรกฟังที่เขารายงานสถานการณ์ในห้องประชุมด้วยสีหน้านิ่งระดับสิบแต่ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าอยู่ดีๆ ถึงได้คิ้วขมวดขึ้นมาซะเฉยๆ
“ฟังแล้วสบายใจแล้วใช่ไหมครับคุณเบน”
เบนจามินโยนปากกาที่หมุนไปหมุนมาลงบนโต๊ะทำงาน
แล้วเงยหน้ามองคีตาที่วันนี้ก็ดูน่ารักตามที่ใครหลายคนบอก
“ก็ยังอยากถีบเมธัสเหมือนเดิมมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ!”
MUSIC BOX
“วันนี้กินเหล้าเนื่องจากอะไรวะ”
“เนื่องจากคุณชายทิมคิดงานไม่ออกเลยขอแดกเหล้าเผื่อไอเดียมา”
นานๆ ทีแกงค์ลูกเพื่อนแม่จะดื่มแอลกอฮอล์ในวันธรรมดาเพราะทุกคนมีงานมีการทำกันทุกคน จะดื่มแล้วเมาหัวราน้ำทุกวันแล้วตื่นหกโมงเช้าไปทำงานก็คงไม่ใช่ รามิลสะกิดให้คินดูว่าท่าทางจะมีคนเครียดว่าทิมเพราะตั้งแต่มาถึงร้านเบนจามินก็ฟาดเหล้าไม่ยั้ง ไม่พูดไม่จาชงเหล้าอย่างเดียวพอเห็นแบบนั้นทุกคนก็ได้แต่ปล่อยให้ดื่มมาแบบนี้ไม่ยอมเล่าแน่ๆ ว่ามีเรื่องอะไร
“อ้าว คีตา”
รามิลเป็นคนทักขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะข้างๆ คือบรรดาโปรดิวเซอร์ของ KTD หนึ่งในนั้นมีคีตา นันทสกุล เบนลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาเขารู้แล้วว่า หลังจากที่เขาบอกคีตาว่าวันนี้มีนัดกินข้าวกับแกงค์ลูกเพื่อนแม่ให้คีตากลับคอนโดก่อนได้แต่คีตาก็ขอทำงานที่ KTD ต่อ เบนเดินมาชนแก้วกับพี่เอกพี่สองแล้วแกล้งทำเป็นผลักหัวนักแต่งเพลงที่กำลังยกแก้วขึ้นมาดื่มเบาๆ
“เฮ้ย พี่เอกไม่เจอกันนานเลยพี่นึกว่าลืมร้านผมไปแล้ว”
“ดนตรีสดร้านมึงดีมากกูจะลืมได้ไง”
“เออ ตอนนี้เจอปัญหาแล้วพี่ มือกีตาร์โดนรถชน ไม่เป็นอะไรมากแต่คงเล่นวันนี้ไม่ได้นี่ก็หาคนสำรองกันให้วุ่น”
ทันทีที่ทุกคนในโต๊ะได้ฟังปัญหาทุกสายตาก็หันมามองคนที่นั่งดื่มเหล้าเงียบๆ ก่อนที่พี่เอกจะยิ้มออกมาแล้วหันมาบอกเจ้าของร้านที่ยังยืนหน้าเครียดอยู่
“สุดยอดมือกีตาร์อยู่ตรงนี้แล้ว”
คีตาเก่งขึ้นเยอะ..
ไม่ใช่แค่ฝีมือแต่เบนหมายถึงการเข้าสังคม ถ้าเป็นเมื่อก่อนบอกได้เลยว่าคีตาคงปฏิเสธไม่มีทางขึ้นไปเล่นกีตาร์บนเวทีแบบนี้แน่ๆ มันก็ดีแล้วที่เป็นแบบนี้เขาก็เคยเป็นคนพูดเองว่าอยากให้คีตาเปิดใจกับคนอื่นบ้างแต่ลึกๆ ยอมรับว่าเขาหงุดหงิดเวลาที่คนอื่นมาชมคีตาว่าน่ารักบ้าง แก้มป่องน่าบีบบ้าง
เขารู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรแต่
แค่ยังไม่อยากบอกให้ใครรู้ก็เท่านั้น
“สุดยอดเลยพี่ คีตาโคตรเก่ง”
“น่ารักอีกต่างหาก ผู้หญิงกรี๊ดกันใหญ่ตอนผมแนะนำว่ามีมือกีตาร์แบบเร่งด่วนมีคนส่งดอกกุหลาบให้ด้วยนะ ผมนี่ร้องมาหลายปียังไม่เคยได้สักดอก”
พอลงจากเวทีเจ้าของร้านเลยพาวงดนตรีมาแนะนำตัวพอรู้ว่าเป็นโปรดิวเซอร์ของ KTD ก็แทบจะก้มลงไปกราบ เอกเลยเรียกเบนจามินให้เดินมาหาพร้อมกับบอกว่านี่คือทายาท KTD ฝากเนื้อฝากตัวได้เลยเบนหันมามองนัทนักร้องนำเอาแต่ชมคีตาไม่หยุด ชมฝีมือการเล่นกีตาร์ก็ไม่แปลกหรอกแต่ไอ้คำว่าน่ารักๆ ที่เอาแต่พูดไม่หยุดนี่เริ่มทำให้เบนชักจะอารมณ์ไม่ดี
“แก้มป่องขนาดนี้เก็บอะไรไว้ที่แก้มเปล่าเนี่ย”
“เฮ้ย!”
เงียบ…..
กริบ…..
ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นรวมถึงคีตาเอง ก็เมื่อนัทพูดประโยคนั้นจบและทำท่าจะจับแก้มของคีตาแต่เบนจามินคือคนที่ปัดมือนัททิ้งแล้วดึงให้คีตามายืนข้างๆ สายตาที่เบนมองนัททำให้แกงค์ลูกเพื่อนแม่ทุกคนลุกขึ้นมาจับตัวเบนไว้ก่อนที่เหตุการณ์มันจะร้ายแรงกว่านี้ รามิลกลัวว่าสถานการณ์จะยิ่งแย่เลยรีบขอตัว
“เดี๋ยวผมพาเบนกลับก่อนแล้วกันพี่เอกพี่สอง ดื่มไปเยอะแล้วเหมือนกัน”
“ขับได้แน่นะ”
“ผมไม่ได้ดื่มไม่เป็นไรครับ คุณคีย์จะกลับด้วยไหมครับหรือจะอยู่ต่อ”
คีตาเลยขอตัวกลับด้วยเพราะอยู่ต่อเขาก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน เบนจามินบอกลาทุกคนก่อนจะเอ่ยขอโทษที่เสียมารยาทกับวงดนตรีของร้าน ดีที่เจ้าของร้านไม่คิดอะไรมากไม่ได้ติดใจเอาเรื่องอะไร เอกกับสองมองตามเบนที่เดินออกนอกร้านไปแล้วทั้งๆ ที่มือยังจับคีตาไว้ไม่ยอมปล่อย
“แก้มคีตานี่กลายเป็นสมบัติของ KTD ตั้งแต่เมื่อไหร่”
คีตาไม่รู้ว่าคุณเบนเมาหรือเปล่า
ตั้งแต่คุณรามิลมาส่งที่คอนโดก็เอาแต่ก็นั่งนิ่งๆ อยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นนานแล้วขนาดคีตาเข้าไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเป็นชุดนอนคุณเบนก็ยังไม่ลุกไปไหน ตั้งแต่เหตุการณ์ที่ร้านอาหารคีตาเลือกที่จะไม่ถามถึงเหตุผลที่คุณเบนทำแบบนั้นกลัวว่าจะอารมณ์เสียมากกว่าเดิม
เขาไม่ใช่เด็กวัยใสและรู้ด้วยว่าที่คุณเบนทำอยู่มันเรียกว่าอะไร แต่จะให้พูดตรงๆ มันก็ดูหลงตัวเองเกินไปหน่อยเลยเลือกที่จะเงียบอยู่แบบนี้ พอเห็นว่าเบนไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวไปไหนคีตาเลยตัดสินใจเดินเข้าไปหาพยายามเรียกแล้วก็ไม่เห็นตอบอะไร อาจจะอยากอยู่คนเดียวคีตาเลยเลือกจะเดินกลับไปที่ห้องสตูดิโอแต่อยู่ดีๆ ก็โดนคว้าให้ลงมานั่งตัก
“คุณเบน”
เบนยอมรับว่าเขาดื่มเข้าไปเยอะอยู่เหมือนกันแต่มันก็ไม่อยากนอนตอนนี้มันเหมือนมีเรื่องค้างคาใจอยู่อยากจะพูดให้มันรู้เรื่องไปเลย เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ตอนที้เห็นว่านัทเอื้อมมือจะมาจับแก้มคีตา ถ้าแกงค์ลูกเพื่อนแม่ไม่จับตัวเอาไว้เขาอาจจะเผลอปล่อยหมัดออกไปแล้วก็ได้ เบนถอนหายใจแล้วมองหน้าคนที่เขากอดไว้นี่ก็ไม่เคยระวังตัวอะไรทั้งนั้นน่าจับมาตีจริงๆ
“หวงแก้มหน่อยดิวะ”
“…………………………………………………”
“อย่าให้ใครมาจับง่ายๆ ”
“…………………………………………………”
“ไม่ชอบเลยจริงๆ โคตรไม่ชอบให้พี่จับคนเดียวไม่ได้เหรอไง”
“ยังไม่เคยมีใครได้จับแก้มผมเลย”
“…………………………………………………”
“นอกจากพี่เบนคนเดียว”
“…………………………………………………”
คีตาตอบคนเมาคิดว่าเมาแหละถึงได้ทำอะไรแบบนี้ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเปล่าเบนจามินถึงได้กระชับกอดคนบนตักไว้แน่นก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบแก้มคนตรงหน้าเบาๆ คีตาไม่ได้ถอยหนีไปไหนสายตาที่มองกันทำให้สองคนเลือกที่จะเงียบระยะห่างมันค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเบนจามินกดจมูกลงบนแก้มนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคีตาเลยกำเสื้อเบนจามินไว้แน่น
“เมาหรือเปล่า”
คีตาถามขึ้นเบาๆ เมื่อเบนจามินเอาแต่หอมซ้ำๆ
และไม่ยอมปล่อยให้เขาลุกไปไหนเบนเลยผละออกมามองหน้าก่อนจะบอกใกล้ๆ
“เมา…แต่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่และพรุ่งนี้ก็ไม่ลืมด้วย”
Q: หวง
PATTO : นับวันประโยคของคีตาจะสั้นลงเรื่อยๆ แต่แบบนี้ต้องมีความรักแน่ๆเลย เราติดตามคีตามาหลายปีเราสัมผัสได้ถึงจะไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาแต่เราสัมผัสจากตัวอักษรและเพลงที่คีตาแต่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเพลงเศร้าแล้วเล่นกีตาร์เพลงแอบรักก็เป็นด้วย ดีจังชีวิตจะได้สดใสนะคีตา ส่วนเรื่องหวง.. ถ้าเราหวงเขาเนี่ยง่ายมากก็อยากให้เขาเป็นของเราคนดียว ทำแบบนี้ๆกับเราคนเดียวแต่ถ้าเขาห่วงเราก็กลับกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเขาไม่อยากแบ่งให้ใครเขาอยากมีสิทธิ์เพียงแค่คนเดียว..
TO BE CON
ตอนที่ 8 แล้วก็ยังได้แค่หอมแก้ม โถ…พี่เบน
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
เรียกได้ว่ามีพัฒนาการนะ พี่เบน ^^
เป็นนี่ก็อยากเตะสกัดขาเมธัสเหมือนกัน ข้อหาน่าหมั่นไส้ 555
-
ชอบตอนที่พี่ๆน้องๆอยู่ด้วยกัน มันน่าร้ากกกกกก เหมือนเบนเป็นเด็กน้อยของพี่ๆ :กอด1:
-
พอน้องปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ง่าย ออร่าความน่ารักก็ฟุ้งกระจาย อีคนพี่ก็จะตายให้ได้
-
เคลิ้ม
-
:m1:
-
พี่เบนน่ารักกกกกกกก นี้เขากำลังมีใจให้กันแล้วใข่มั้ยคะ! โอ๊ยยยยยยเขิน
-
ฮืออออ น้องแจ้มมของพี่ (//โดนเบนจามินต่อย)
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.9 : Your Energy
“เมา…แต่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่และพรุ่งนี้ก็ไม่ลืมด้วย”
ไม่น่าเชื่อคนเมาเลยว่ะ
คีตานั่งดื่มกาแฟอยู่ตรงเคาน์เตอร์ห้องครัววันนี้ตื่นเช้ากว่าทุกวันไม่เรียกว่าตื่นเช้าเรียกว่าไม่ได้นอนมากกว่าหลังจากเหตุการณ์ที่โซฟา ไอ้คนเมาที่เอาแต่หอมแก้มเขาไม่เลิกอยู่ดีๆ ก็นอนหลับซบลงตรงไหล่ตอนแรกก็นึกว่าแค่พักสายตาแต่ไปๆมาๆ คุณเบนก็หลับไปจริงๆ คีตาทำได้แค่จับให้นอนลงแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาให้จะแบกเข้าห้องนอนก็กลัวว่าจะล้มกลิ้งไปทั้งคู่
คีตาลูบหน้าตัวเองพลางย้ำกับตัวเองอย่าไปถือสาคนเมาแค่หลับไปคืนนึงตื่นมาก็ลืมแล้วว่าทำอะไรลงไป แต่ต้องมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่มันก็ยากอยู่ ส่วนไอ้คนก่อเรื่องยังคงเดินไปเดินมาอยู่ในครัวท่าทางจะยังคงมึนหัวอยู่ถึงได้ทำอะไรช้ากว่าเดิมนี่ก็นั่งรอให้หยุดเดินสักที
“เอาไข่อะไรวันนี้”
“ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
“ไข่กระทะไหม”
“ไม่หิว”
“ไข่ดาวระเบิดเมนูใหม่เดี๋ยวทำให้”
“คุณเบน”
“หืม?”
“ช่างเถอะ”
พอเห็นท่าทางของอีกฝ่ายคีตาก็คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเจ้าตัวก็คงจำไม่ได้ว่าทำอะไรลงไป เลยต้องตัดบทบอกว่าทำอะไรก็ทำเถอะกินได้ทั้งนั้น ยิ่งเห็นว่าเบนจามินหันกลับไปทำอาหารตามเดิมคีตาเลยถอนหายใจ ตอนแรกก็ทำใจไว้แล้วนะแต่เอาเข้าจริงมันอดจะรู้สึกน้อยใจลึกๆ ไม่ได้
จังหวะที่เบนเดินออกมาจากห้องครัวกำลังจะเดินผ่านคนที่นั่งหน้าบึ้งตึงก็ก้มลงมาจนชิดกับแก้มนุ่มก่อนจะกดจมูกลงบนแก้มเต็มแรงคนโดนหอมแก้มไม่ทันตั้งตัวตกใจจนแทบหงายหลังดีที่เบนคว้าเอวไว้ได้ทัน
“มอร์นิ่งคิสครับคีตาบอกแล้วว่าเมื่อคืนเมาแต่ไม่ลืม”
MUSIC BOX
“ไม่สบายกันหรือเปล่าครับ”
“เปล่า” / “เปล่า”
โห..ตอบเหมือนนัดกันมา
ที่ถามเพราะเห็นทั้งสองคนมีท่าทางแปลกๆ มาตั้งแต่เช้าคุณคีตาก็ดูหน้าแดงๆ เหมือนมีไข้ ตอนนี้มาร์ชมองทั้งคู่ที่นั่งกันอยู่คนละมุมห้องเจ้านายสุดที่รักก็นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะเป็นเรื่องปกติแต่สายตาเอาแต่มองไปยังนักแต่งเพลงที่นั่งเกากีตาร์ไปเรื่อยเปื่อยพอคุณคีตาเงยหน้าขึ้นมามองกลับคุณเบนก็ทำเป็นแกล้งก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนเดิมท่าทางยังกะเด็กวัยรุ่นอายุสิบสามสิบสี่แก่จะจนจะสามสิบอยู่แล้วจะมองเขาก็มองเลย
ไม่ได้ดั่งใจจริงๆ เลยว่ะเจ้านายสมัยนี้
“เดี๋ยวคุณเอกกับคุณสองจะคุยกับคุณคีตาเรื่องเพลงที่ต้องแก้นะครับ อีกประมาณครึ่งชั่วโมง”
“ส่วนคุณเบนว่างจนถึงบ่ายโมงครึ่งเดี๋ยวมีประชุมกับคุณเบอร์ดี้และทีมงานของคุณแพรว เพราะฉะนั้นตอนนี้ฟรีไทม์”
“.................................................”
เบนมองไปยังผู้ช่วยที่ยังคงยืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานก่อนจะส่งสายตาให้มาร์ชออกไปนอกห้อง แต่ท่าทางจะไม่ได้ผลเพราะผู้ช่วยมือหนึ่งยังคงยืนยิ้มอยู่ที่เดิม เบนจามินเลยได้แต่ถอนหายใจ
“ไปซื้อกาแฟให้หน่อยมาร์ช”
“คุณเบนไปซื้อกับคุณคีตาก่อนขึ้นมาแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“มีงานค้างไหม”
“ไม่มีเลยครับผมทำเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่สิบโมงเช้า”
“ฉันอนุญาตให้นายไปหาคุณจิ๊บPRชั้นสิบห้าได้ตามสบาย”
“งั้นผมไปเลยนะครับ มีอะไรด่วนให้โทรหาผมได้เลยครับผมจะรีบวิ่งขึ้นมามา”
“ไปเถอะ”
“ผมไปจริงนะ”
“จะไปไหนก็ไปเลยโว้ย!”
อีกนิดเบนจามินจะเขวี้ยงปากกาใส่หัวผู้ช่วยเนื่องจากกวนตีนเหลือเกิน ทันทีที่มาร์ชเปิดประตูออกจากห้องทำงานไปแล้ว เบนก็หันมามองนักแต่งเพลงที่ตอนนี้ก็ยังคงนั่งทำงานอยู่ เบนเองก็รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเหมือนพวกวัยรุ่นวัยใสเข้าไปทุกที จริงๆ คีตาต้องไปทำงานรอพี่เอกกับพี่สองที่ห้องสตูดิโอแต่เบนจามินก็บอกให้มานั่งทำงานที่นี่
ก็แค่กลัวว่าไปนั่งทำงานคนเดียวจะเหงาก็แค่นั้น
ไม่มีเหตุผลอื่น (จริงๆ)
“เครียดอะไรขนาดนั้น”
“ผมไม่รู้ว่าจะใส่ดนตรีตรงนี้เป็นเสียงกีตาร์หรือเสียงเปียโนดี”
“ทำไมไม่ลองทั้งสองอย่างก่อนค่อยมาเลือกอีกที”
“ยังไม่เคยลองเสียงเปียโนไม่ได้เล่นนานแล้ว”
“งั้นผมลองเล่นให้ไหม”
เบนจามินถามซ้ำอีกครั้งเมื่อคีตาเอาแต่มองหน้าเหมือนไม่มั่นใจจนเบนต้องลากเอาตัวนักแต่งเพลงมาที่ห้องซ้อมดนตรีที่มีเปียโนสีดำตั้งอยู่ คีตายอมรับว่าตอนนี้เขาตื่นเต้นตั้งแต่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยเห็นคุณเบนเล่นดนตรีเลยสักครั้งรู้อยู่หรอกว่าทายาทค่ายเพลงเรื่องดนตรีก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเผลอๆ อาจจะเล่นเก่งกว่าเขาด้วยซ้ำ
“ไม่ได้เล่นนานอาจจะมีผิดบ้างอย่าเพิ่งด่า”
“ใครจะกล้าด่าคุณเบน”
“โห..เจอกันวันแรกนี่ใครกันที่ด่าผมซะแทบไปไม่เป็น”
พอพูดเรื่องนี้ก็นึกขำอยู่เหมือนกันไม่นึกว่าวันนี้จะมานั่งอยู่ข้างๆกันได้โดยที่ไม่ต้องกระชากคอเสื้อต่อยกันคนละหมัด คีตากำลังจะเปิดโน๊ตเพลงที่เขียนไว้ให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่เสียงเปียโนที่ดังขึ้นทำให้คีตาต้องหันกลับมามอง ทั้งจังหวะนิ้วมือและท่วงท่ารวมทั้งเสียงเปียโนที่ดังก้องภายในห้องนี้เหมือนหยุดทุกอย่างเอาไว้เหลือแค่
คนที่กำลังเล่นเปียโนอยู่ตอนนี้เท่านั้น..
“ทำไมคุณเบนถึงไม่ชอบดนตรี”
ทันทีที่เสียงเพลงหยุดลงและคีตาเองก็รู้ว่าเพลงที่เบนจามินเล่นนั้นมันระดับมืออาชีพไม่ใช่แค่เล่นได้ธรรมดาทั่วๆ ไป ที่เขาถามขึ้นมาก็เพราะเขาสงสัยทั้งๆ ที่ทำงานใกล้ชิดกับดนตรีขนาดนี้แต่ไม่เคยเห็นคุณเบนจะแสดงให้เขาเห็นเลยสักครั้งว่าชื่นชอบในดนตรี เคยเห็นถือกล่องใส่ไวโอลินก็แค่ตอนย้ายเข้ามาในคอนโดครั้งแรก แต่เขาเองก็ไม่เคยได้ยินเสียงไวโอลินเลยสักครั้ง แต่ไม่ใช่แค่ไวโอลินก็เห็นขนมาหมด ทั้งคีย์บอร์ด กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์โปร่งเลยไม่รู้ว่าคุณเบนชอบเล่นดนตรีอะไร
“ไม่ถึงกับไม่ชอบหรอกแต่แค่ตอนเด็กๆ ผมโดนบังคับให้เรียนดนตรีแทบทุกอย่างจนไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรก็เลยเฉยๆ ”
“ไม่มีเครื่องดนตรีที่ชอบเลยเหรอครับ”
“ตอนแรกไม่มีเลยเล่นได้ทุกอย่างแต่ไม่มีอันไหนที่ชอบเป็นพิเศษ”
“ตอนแรก?”
“มันมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมรู้ว่าที่จริงแล้วผมชอบอะไร เป็นเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบแต่ตอนนี้…..ก็แค่กลับมาเฉยๆ เหมือนเดิม แล้วคุณล่ะทำไมถึงชอบกีตาร์”
“กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีแรกที่พ่อกับแม่ช่วยกันสอนผม ผมก็เหมือนคุณเบนตอนเด็กๆ ผมลองเล่นทุกอย่างเพิ่งรู้ว่ามีแค่อย่างเดียวที่ผมเล่นไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ก็เล่นไม่ได้”
“คือ?”
“ไม่บอกหรอกมันคือความลับของผม”
เบนจามินยกมือขยี้ผมคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะวาดแขนไปด้านหลังแล้วทำเป็นเล่นเปียโนต่อทั้งๆ ที่มีคีตาอยู่ในอ้อมแขน นักแต่งเพลงหันมามองหน้าคนที่ทำเป็นเล่นเปียโนหน้าตาเฉยแถมยังแกล้งขยับมือมาใกล้จนคีตาตัวแนบชิดกับอกกว้างแต่เห็นว่าเบนจามินเล่นเปียโนไปยิ้มไปเลยเลือกที่จะเงียบ
“คุณเบนจะกลับมาชอบดนตรีอีกครั้งได้ไหมครับ”
เสียงเปียโนเงียบลงเมื่อเบนจามินหยุดเล่นทั้งห้องเงียบสนิทเมื่อไม่มีเสียงเปียโน คีตารู้สึกว่าหัวใจเขาเต้นแรงเหมือนจะได้ยินเสียงออกมาข้างนอกไม่รู้ว่าเขาถามอะไรผิดไปหรือเปล่าอีกฝ่ายถึงได้เงียบไปแบบนี้ ยิ่งคุณเบนไม่ยอมพูดอะไรตอบกลับมาคีตาเลยค่อยๆ ขยับตัวออกมาแต่เบนกลับคว้าตัวให้กลับมากอดไว้ตามเดิม
“ชอบนักดนตรีด้วยดีไหมเริ่มจากคนเล่นกีตาร์แก้มเยอะๆ ก็ว่าดีเหมือนกัน”
“ผมไม่ใช่กีตาร์หรอกนะ”
“แล้วเป็นอะไร”
คีตาเงยหน้าขึ้นมามองเพิ่งรู้ว่าเราสองคนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ก็เมื่อเห็นสายตาที่เบนมองเขาอยู่เหมือนกัน มือที่วางอยู่บนเปียโนค่อยๆ ยกขึ้นมากำเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าที่เบนใส่อยู่ ท่าทางเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างเบนเลยก้มลงมาฟังใกล้ๆ
“กล่องดนตรี”
คีตาลูกแม่เหมือนกล่องดนตรี
เสียงเพลงจากลูกจะทำให้ทุกคนที่ได้ฟังได้รับพลังและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยิน
MUSIC BOX
คุณเบนโดนเรียกประชุมด่วน
ท่าทางเรื่องที่ประชุมจะเคร่งเครียดมากเพราะคีตาเห็นมาร์ชเดินกลับมาที่ห้องทำงานของคุณเบนด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คีตาแก้เพลงอยู่ที่สตูดิโอตั้งแต่ตอนบ่ายนี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้วคุณเบนก็ยังไม่ออกมาจากห้องประชุม ทันทีที่ประตูห้องทำงานเปิดออกคีตากำลังจะเอ่ยทักแต่ก็ต้องเงียบลงเมื่อเห็นว่ามีคุณเบอร์ดี้และคุณบีเดินตามคุณเบนเเข้ามาด้วย
“งานตอนนั้นเบนเซ็นอนุมัติไปได้ยังไง นี่เราได้อ่านเอกสารบ้างหรือเปล่า”
“.................................................”
“ดีที่คุณแพรวมาคุยกับเจ้ก่อนไม่งั้นเรื่องใหญ่กว่านี้แน่ๆ ”
“ขอโทษครับ”
“ไม่คิดเลยนะว่าเราจะทำงานชุ่ยได้ถึงขนาดนี้ เล่นอะไรให้มันเป็นเวลาหน่อยคนตามแก้มันเหนื่อย มันเดือดร้อนไปหมดเห็นบ้างไหม”
“ขอโทษครับ”
“เจ้เบอร์ดี้ บีว่าพอเถอะ”
“ถ้าปล่อยไปถ้างานหน้าพลาดขึ้นมาอีกจะทำยังไงกัน เจ้รู้ว่าหลังๆ มานี้เบนทำงานดีขึ้นแต่ครั้งนี้เจ้ปล่อยผ่านไปไม่ได้จริงๆ มันกระทบหลายฝ่าย”
“ขอโทษครับ”
“เอาเป็นว่าถือว่าเป็นบทเรียนแล้วกันอย่าให้มีเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก เราด้วยมาร์ชอย่าตามใจเจ้านายมากนักโตๆ กันแล้ว”
มาร์ชก้มหน้ารับคำก่อนที่คุณเบอร์ดี้จะเดินออกไปตามด้วยคุณบีที่ถอนหายใจแล้วเดินมาตบไหล่น้องชายคนเล็กเบาๆ ทั้งห้องเงียบสนิทไม่มีใครพูดอะไรออกมา คีตาได้แต่นั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาเขาไม่เคยเห็นคุณเบนเป็นแบบนี้มาก่อนใบหน้าเคร่งเครียดแววตาเศร้าหมองถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็พอเดาได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแบบไหน คีตาได้ยินคุณเบนบอกให้มาร์ชกลับบ้านได้แต่ผู้ช่วยก็ดูลังเลแต่สุดท้ายพี่มาร์ชก็ขอตัวกลับเมื่อเจ้านายเอาแต่นั่งหลับตาอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“กลับเลยไหมครับหรือจะพักก่อน”
“กลับเลยแล้วกัน”
นึกว่าจะได้กินพิซซ่า KFC หรือสั่งอาหารเดลิเวอรี่อย่างอื่น แต่พอกลับมาถึงคอนโดเปลี่ยนชุดเรียบร้อยคีตาได้ยินเสียงดังออกมาจากห้องครัวเลยเดินออกมาดู ไม่คิดว่าคุณเบนจะทำอาหารเย็นเองเพราะตอนขับรถกลับคอนโดก็เงียบมาตลอดทาง คีตาเองก็ไม่กล้าจะถามอะไรเลยได้แต่นั่งเงียบๆ
คนที่ทำอาหารแต่หน้าตานิ่งสนิทแถมยังยืนเฉยๆ ไม่หั่นผักหั่นเนื้อสักทีเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอเห็นแบบนั้นคีตาที่ยืนกอดอกมองอยู่ตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องนอนแล้วหยิบกีตาร์ออกมาด้วย
“หากว่าเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน~”
เงียบ..
“หากว่าเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน~”
เงียบ
“หากว่าเรากำลังสบายจงปรบมือพลัน~”
คีตาหยุดดีดกีตาร์แล้วเดินมาพิงเคาน์เตอร์มองคนที่ยืนนิ่งๆ อยู่ตรงเตาเบนจามินหันมามองคนที่ถือกีตาร์อยู่ก่อนจะยกมือขึ้นมาตบลงบนแก้มนุ่มๆ สองครั้งตามจังหวะเพลง จากนั้นเสียงกีตาร์ก็เปลี่ยนไปเป็นเพลงสมัยเด็กที่เคยได้ยิน ทั้งเพลงช้าง เพลงเจ้าขุนทอง หรือแม้แต่เพลง ก๊าบๆ ๆ เป็ดอาบน้ำในคลอง น้องอันนาพอได้ยินเสียงเพลงก็กระโดดขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์หางฟูๆ สะบัดไปมาตามจังหวะเพลง เบนจามินจากที่หน้านิ่งก็เริ่มอมยิ้มเมื่อได้ยินเพลงที่ไม่ได้ฟังมานานแล้ว
“เครียดมากเหรอครับ”
“ผิดหวังกับตัวเองมากกว่า ไม่คิดว่าทำงานแย่ขนาดนี้มาร์ชก็โดนด่าไปด้วย”
“ผมเคยบอกคุณแล้ว คุณเบนทำงานเก่งแค่เล่นเยอะไปหน่อยแล้วก็ใส่ใจรายละเอียดงานอีกนิด”
“ผมไม่เคยโดยเจ้เบอร์ดี้ว่าขนาดนี้มาก่อนเลย”
“คุณเบอร์ดี้อาจจะยังโมโหอยู่ ไว้รอให้ใจเย็นกว่านี้ค่อยไปคุยดีกว่าไหมครับ”
เบนเดินเข้ามาหาคนที่ยืนถือกีตาร์อยู่ก่อนจะหยิบกีตาร์วางลงข้างๆ
แล้วสอดมืออุ้มนักแต่งเพลงให้นั่งลงบนเคาน์เตอร์
“กอดหน่อยได้ไหมครับวันนี้พี่เบนหนื่อยมาก”
“................................................”
ทันทีที่ได้ยินคีตาก็นิ่งไปสักพักแล้วยกมือขึ้นมากางออกก่อนที่เบนจะเขยิบเข้ามาใกล้พร้อมกับซบหน้าลงไหล่เล็กๆ นั่น แผ่นหลังกว้างที่เห็นอยู่ทุกวันวันนี้คีตารู้สึกว่าเบนจามินเหมือนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ สัมผัสที่ลูบเบาๆ กลางแผ่นหลังทำให้เบนกระชับกอดให้แน่นขึ้น
“วันนี้จ๋อยเลย”
“ดูใช้คำ”
“โอ๋ๆ ยังไหวนะครับ”
“คีตา”
“ครับ”
“ขอบคุณ..เสียงเพลงจากคีตาเติมพลังให้พี่ได้จริงๆ ”
เบนยิ้มออกมาได้สักทีหลังจากเจอเรื่องแย่ๆ มาเบนยกมือขึ้นมาลูบแก้มคนที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์เบาๆ แต่พอจะก้มลงมาหาคีตาด็เอนตัวหลบ พร้อมกับบอกว่ามากไปๆ แต่เบนก็ไม่ยอมแพ้พยายามกอดคีตาไว้แน่นๆ เสียงหยอกล้อและเสียงหัวเราะดังลั่น
Q: เวลาที่เขารู้สึกแย่ทำอะไรให้เขายิ้มดีครับ
ALMOND: แค่อยู่กับเขาไม่ทิ้งเขาไปตอนรู้สึกแย่ก็พอแล้วค่ะ
745 : เล่นมุขตลกไหมเผื่อเขาจะหัวเราะออกมาเวลาแฟนเครียดเล่นมุขอะไรเอ่ยแบบห้าบาทสิบบาทก็หัวเราะแล้ว
Temtemmy: ทำอาหารให้เขาไหมคะหรือไม่ก็พาเขาไปกินอาหารอร่อยๆ
U : หมูกระทะจะเยียวยาทุกอย่างเอง ไปเลยคีตา!
Winning : นักแต่งเพลงในดวงใจของผมมีแฟนแล้วเหรอครับ อย่าลืมแต่งเพลงรักเยอะๆ นะมันจะต้องเพราะมากแน่ๆ
Lovelike: สำหรับคนอื่นฉันเองก็ไม่รู้นะคะ แต่ฉันเชื่อว่าดนตรีของคีตาจะทำให้เขายิ้มได้ฉันเชื่ออย่างนั้นค่ะ ^^
ถ้ามีโจรเข้ามาตอนนี้ของหายหมดคอนโดแล้ว
เจ้าของคอนโดไม่ได้สนใจเลยว่ามีใครเดินเข้ามาในห้อง
แกงค์ลูกเพื่อนแม่ทั้งสามคน รามิล ภาคิน และนพจินดายืนถือของพะลุงพะลังอยู่หน้าประตู นี่ได้ไลน์จากเกียรติธนธาดาจนแทบทั้งตระกูลคนแรกคือผู้ช่วยมาร์ชที่ไลน์มาบอกเรื่องที่เกิดขึ้น คนที่สองคือเจ้เบอร์ดี้ที่ส่งสติกเกอร์ไลน์แหกปากร้องไห้มาเกือบยี่สิบตัวตามด้วยข้อความที่บอกว่าวันนี้ด่าน้องชายสุดที่รักไปฝากซื้อขนมมาให้เบนด้วย หลังจากนั้น เจ้บี เจ้บุ๊ค เฮียบาส เบส บี เบ บอย ก็ไลน์มาหาแกงค์ลูกเพื่อนแม่แทบทุกคน
ก็ไม่แปลกที่เบนจะเป็นคุณชายเอาแต่ใจก็โอ๋กันซะขนาดนี้
ตอนแรกทั้งสามคนโคตรร้อนใจกลัวว่าจะเบนจามินจะคิดมากก็เจ้เบอร์ดี้เล่นใหญ่ซะจนกลัวไปหมด แต่พอมาถึงไอ้ภาพตรงหน้านี่มันอะไรวะ เบนจามินยืนเอามือคร่อมคีตาที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ เห็นแว๊บๆ ว่าไอ้เบนฟัดแก้มคีตาหลายทีอยู่ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่ได้เศร้าหมองอะไรทั้งนั้น คินยืนมองสองคนที่ยังกอดกันอยู่อย่างนั้นก่อนจะหัวเราะออกมา
“คนสุดท้ายที่กูคิดว่าจะมีแฟนเป็นผู้ชายคือไอ้เบน คนแรกที่กูคิดไว้คือไอ้ทิมไปๆ มาๆ ไอ้มิลแม่งเป็นคนแรก สัสเอ๊ยผิดแผนกูไปหมด แล้วจะกอดกันอีกนานไหมวะคุณคีตาโดนฟัดจนช้ำหมดแล้วเนี่ย”
TO BE CON
ปล. ผิดแผนหมดเลยพี่คิน
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
หูย~~~ อิจฉาเดอะแก๊งค์ได้เห็นช็อตเด็ด 555
ไม่ต้องมีขนมหรือหมูกระทะอะไร พี่เบนก็เติมพลังจากเสียงเพลงไปเต็มปอดแล้วจ้า~~~
-
คนมีความรักมักจะมีโลกส่วนตัวของพวกเขาแค่สองคน เดอะแก๊งค์เป็นส่วนเกินจ้า
-
พี่เบนโชคดีที่มี กล่องดนตรี แสนวิเศษอย่าง คีตา
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.10 :KEY
แกงค์ลูกเพื่อนแม่หอบของกินเหมือนเหมามาทุกร้านในประเทศไทย นี่ก็ไม่รู้ว่ามันมากันตั้งแต่ตอนไหน แต่น่าจะนานจนเห็นอะไรเด็ด ๆ ไปบ้างถ้ารามิลไม่ส่งเสียงเรียกทั้งเขาและคีตาก็คงไม่รู้สึกตัว ไอ้คินคือคนแรกที่ส่งสายตากรุ้มกริ่มมาให้ดีที่มันไม่แซวออกมาไม่งั้นคีตาคงไม่กล้าโผล่หน้าออกมาจากห้องแน่ๆ
“นี่มันเยอะไปไหมวะกูอยู่กับคีตาแค่สองคนเองนะ”
“ไปถามญาติพี่น้องมึงนู่น สั่งไลน์แมนมาให้พวกกูที่บริษัท”
“เจ้เบอร์ดี้เล่นใหญ่สุดของเจ้แกคนเดียวก็ห้าถุงแล้ว”
เบนจามินยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากแกงค์ลูกเพื่อนแม่นึกว่าบรรดาพี่ๆ น้องๆ จะโกรธเขาจนไม่อยากจะมองหน้าแต่พอได้ยินแบบนี้ก็พอใจชื้นขึ้นมาหน่อย พรุ่งนี้ก็คิดเหมือนกันว่าจะไปกราบขอโทษเจ้เบอร์ดี้อีกทีให้เป็นเรื่องเป็นราวถ้ายังไม่หายโกรธว่าจะเอาพวงมาลัยไปกราบแล้ว
“แดกเหล้าได้ไหมวะ”
“ต้องลงไปซื้อที่นี่ไม่มี”
“กูฟังผิดเปล่าวะปกติที่บ้านเกียรติธนธาดานี่มีเหล้าแทบทุกยี่ห้อ”
“นั่นของเจ้าสัวกรรณนี่คอนโดเบนจามิน ถ้าอยากกินมากมึงลงไปซื้อกับไอ้ทิมนู่น”
แล้วมันก็ลงไปซื้อจริงๆ เบนเลยนั่งคุยกับรามิลไปเรื่อยเปื่อยจนคีตาอุ้มน้องอันนาออกมาจากสตูดิโอแล้วมาร่วมวงด้วย พวกเขาไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่คีตาจะดื่มเหล้ายังไงก็ผู้ชายคนหนึ่งก็คงมีสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง แต่ท่าทางจะคอแข็งกว่าที่คิดไว้ทั้งการชงเหล้า คีบน้ำแข็งหรือแม้แต่การผสมชงสูตรเหล้าที่พวกเขาเองก็ไม่รู้จักมาก่อนไอ้คินมองตาค้างเหมือนเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในตอนนี้
“คีตาโคตรเท่เลยว่ะ”
“คณะที่ผมเรียนปาร์ตี้บ่อยเพราะมีงานกิจกรรมข้างนอกตลอด ก็จำๆ ที่เพื่อนทำมา”
“ไอ้เบนมึงเอาไอ้ทิมนอนนี่เลยแล้วกันพรุ่งนี้กูต้องไปเชียงใหม่ ส่วนไอ้มิลติดแฟนขนาดนี้ไม่มีทางนอนที่ไหนง่ายๆ”
“มึงก็ตะลอนๆ ดีเนอะคิน ไม่เบื่อเหรอวะรับงานขึ้นเหนือล่องใต้แม่งทุกอาทิตย์”
“ก็ยังไม่มีอะไรที่ทำให้กูอยากหยุดอยู่กับที่สักทีว่ะ”
“เหมือนกูคุยกับพระเอกละครกูจะรอดูหน้าคนที่ทำให้มึงหยุดเลยนะครับว่าเป็นคนแบบไหน”
กว่าปาร์ตี้เฉพาะกิจจะเลิกก็เกือบเที่ยงคืน รามิลแบกไอ้คินที่เมาไม่รู้เรื่องเพราะดื่มเหล้าที่คีตาชงแทบทุกแก้วกลับไปด้วย เบนจามินก้มลงมองทับทิมที่เมาหลับหนุนตักเขาตั้งแต่แก้วที่ห้า เสียงก๊องแก๊งที่ดังมาจากห้องครัวทำให้เบนอุ้มทิมเข้าไปนอนในห้องนอนตัวเองแล้วเดินออกมาหาคนที่กำลังยืนล้างแก้วอยู่
“ไม่เมาเลยเหรอไงเห็นดื่มไปตั้งหลายแก้ว”
“มึนๆ นิดหน่อยครับแต่ก็ยังโอเค”
“ของกินเยอะเต็มคอนโดขนาดนี้เราไม่อดตายแล้วคีตา”
“คุณเบน…คุณมีครอบครัวและคนรอบตัวที่ดีมากๆ”
คีตาเช็ดมือแล้วพลิกตัวมายืนพิงเคาน์เตอร์เขารู้สึกตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเกียรติธนธาดา เจ้าสัวกรรณรักลูกทุกคนและพี่น้องเกียรติธนธาดาก็รักใคร่กันดีจากที่เคยทำงานด้วยยังไม่มีใครอิจฉาหรือชิงดีชิงเด่น อย่างน้อยจากเหตุการณ์วันนี้คีตาก็ได้เห็นว่าครอบครัวนี้รักกันมากแค่ไหน
มันต่างกับเขา..
ต่างกันมากจริงๆ
“ผมก็รู้สึกว่าผมเองก็โชคดีครอบครัวทำให้ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ม๊าผมบอกเสมอว่า ผู้ชายอย่างเบนจามินจะทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุข”
“แล้วจริงไหม”
“ไม่รู้สึกเหรอครับ”
เบนเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะยืนหน้าเข้ามาหาคีตารู้แล้วว่าผู้ชายอย่างเบนจามินนี่แหละที่เรียกว่าอันตราย ทั้งสายตา คำพูดและท่าทางทุกอย่างทำให้ใจสั่นได้ง่ายๆ คีตาไม่ได้ตอบในสิ่งที่เบนถามจนเบนต้องถามย้ำ พร้อมกับระยะห่างก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ จนคีตาต้องยกมือขึ้นมากั้นไว้พร้อมกับบอกเบาๆ ว่าคุณทิมอยู่
“มันสลบไปแล้วป่านนี้”
“คุณเบนเองก็นอนได้แล้วครับวันนี้ควรพักผ่อนโดนด่ามาเยอะ”
พอแยกย้ายเข้าห้องนอนคีตาได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากห้องนอนของคุณเบนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอจะล้มตัวลงนอนเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดังขึ้นอีกคีตาเลยต้องลุกขึ้นไปเปิด เจ้าของห้องนอนฝั่งตรงข้ามในชุดนอนสีน้ำตาลเข้มในอ้อมแขนมีหมอนหนึ่งใบกับแมวตัวอ้วนสีขาวที่หน้าตาไม่สบอารมณ์หนึ่งตัวยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
“ไอ้ทิมนอนดิ้นมากแล้วเตียงผมมันเล็กขอนอนด้วยคืนหนึ่งนะคีตา”
ไม่รู้เรื่องจริงหรือข้ออ้างแต่จะให้ปฏิเสธเจ้าของคอนโดก็คงไม้ได้ จริงๆ ก็อยากจะบอกพื้นที่ตรงห้องนั่งเล่นกว้างกว่าห้องนอนเขาตั้งเยอะแต่คุณเบนก็เดินฉับๆ อุ้มน้องอันนาเข้ามาในห้องมีการจัดแจงวางหมอนบนหมอนบนเตียงเรียบร้อยเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
“หลับหรือยัง”
“ยังครับ”
“หมุนกล่องดนตรีไหม”
“มันเสียงดัง”
เบนลุกขึ้นหยิบหมอนมาพิงหัวเตียงแล้วหันมามองกล่องดนตรีที่วางเรียงอยู่ มันมีหลายรูปแบบแปลกตาดี พอเห็นคนที่นอนอยู่ข้างๆ ลุกขึ้นมานั่งคีตาก็เลยลุกขึ้นมาบ้างพร้อมกับหยิบกล่องดนตรีรูปกีตาร์มาถือไว้
“ของสะสม?”
“มีคนให้เป็นของขวัญวันเกิดทุกปีครับเขาบอกว่าผมเหมือนกล่องดนตรี”
“ก็เหมาะกับคุณดีเยอะเหมือนกันนะ”
“คงไม่มีอีกแล้วครับคนที่ให้เขาไม่ได้อยู่กับผมแล้ว”
บรรยากาศเงียบลงเพราะเบนเองก็เข้าใจว่าคนที่คีตาหมายถึงน่าจะหมายถึงแม่มากกว่าคนรักจากที่เขาเคยเจอแม่ของอีกฝ่ายตอนที่คีตาป่วยมาแล้ว เบนหยิบกล่องดนตรีรูปกีตาร์ในมือคีตามาไขลานจนมันเกิดเป็นเสียงเพลง ทั้งๆ ที่มันเป็นเสียงเพลงเดิมที่คีตาได้ยินทุกวันแล้วก็ฟังมันมาตลอดหลายปีแต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้อยู่ดีๆ ถึงอยากร้องไห้ออกมา
คีตาเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เอื้อมมือมาจับแก้มเบาๆ ก่อนที่เบนจะรั้งให้คนที่นั่งนิ่งซบลงตรงอก เสียงเพลงจากกล่องดนตรียังคงเล่นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับน้ำตาของคนในอ้อมกอดที่ร้องไห้เงียบๆ เบนเลือกที่จะไม่ถามเรื่องราวความเป็นมาแต่เลือกที่จะกอดไว้แน่นๆ สัมผัสที่อ่อนโยนทำให้คีตายกมือขึ้นมากอดเบนไว้เหมือนกันเมื่อเหตุการณ์ที่ไม่เคยลืมย้อนกลับเข้ามาอีกรอบ
“ที่ฉันยังอยู่ที่นี่ก็เพราะคีตารู้ไว้ด้วยนะคุณ! ถ้าไม่มีคีตาฉันไปตั้งนานแล้วฉันไม่อยากอยู่ที่นี่กับคุณอีกแล้ว!”
MUSIC BOX
สัมผัสตรงแก้มทำให้ทิมต้องลืมตาขึ้นมามอง และแน่นอนว่าต้องเจอหน้าน้องอันนาแมวสุดที่รักของไอ้เบนที่นอนเล่นอยู่ข้างๆ แล้วสะบัดหางมาโดนหน้า ทิมจับน้องอันนามาฟัดจนหนำใจก่อนจะตัดใจลุกจากเตียง นี่จำไม่ได้ว่าไอ้เบนมันนอนตรงไหนหรือมันนอนตรงพื้นข้างล่างก็ไม่รู้
แต่รู้สึกว่านอนสบายมากเหมือนนอนคนเดียว
“วันนี้ไข่กระทะใส่อะไรบ้าง”
“ไส้กรอก หมูสับ กุ้ง แฮมใส่หมดเลย”
“เลือกมาระหว่างไส้กรอกกับแฮม”
“บอกว่าใส่หมดเลย”
“แฮมแล้วกัน”
ทิมกำลังอุ้มน้องอันนายืนมองคนสองคนในห้องครัวที่กำลังเถียงกันเรื่องไข่กระทะ เป็นบทสนทนาที่ตลกดีทั้งๆ ที่อาหารที่เกียรติธนธาดาสั่งมาให้มีเต็มตู้แต่เบนเลือกที่จะทำอาหารเช้าเรื่องนี้ต้องรายงานให้แกงค์ลูกเพื่อนแม่รู้ เพราะไอ้เบนจามินเคยประกาศลั่นว่าการเริ่มมื้อเช้ากับใครสักคนมันเป็นสิ่งสำคัญ นี่ก็ไม่รู้ว่า..
คนที่เริ่มด้วยวันนี้สำคัญมากแค่ไหน
“คุณทิมเอาไข่กระทะไหมครับ”
“ไม่ดีกว่าครับขอแค่กาแฟก็พอ”
ทิมนั่งเท้าคางมองสองคนที่หันไปทำอาหารเช้าต่อ ภาพที่คีตายืนกอดจานจานรอเบนทำอาหารอยู่ข้างๆ มันดูน่ารักจนทิมต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ เบนจามินในชุดนอนหัวยุ่งตาตี่ใส่แว่นหัวเราะเสียงดังแบบที่ไม่ต้องรักษาภาพพจน์สำหรับทิมไม่แปลกใจหรอกเขาเห็นแบบนี้มาตั้งแต่สามขวบ แต่ที่แปลกคือคนที่ได้เห็นเบนจามิน เกียรติธนธาดาในแบบนี้เหมือนกันก็คือ
คีตา..
ทิมรู้ว่าเบนเป็นผู้ชายอารมณ์ดี เข้ากับคนได้ง่ายแต่จะขีดเส้นรักษาระยะห่างกับบางคนต่อให้อยู่ด้วยกัน24ชั่วโมงถ้าเบนไม่อยากสนิทก็จะไม่มีทางได้เข้าใกล้ได้ถึงขนาดนี้
ผู้ชายอารมณ์ดีกับผู้ชายที่มากับเสียงดนตรี
บางทีก็อาจจะเข้ากันได้ดีมากกว่าที่คิด
“เมื่อคืนนอนไหนวะเบน”
“ห้องนั่งเล่นมึงนอนดิ้นก็เลยอุ้มน้องอันนาออกมาด้วย อันนายังรำคาญมึงเลยทิม”
“จริงเหรอครับคุณคีตา”
“อย่าแกล้งคีตา”
“ทำไมคุณคีตาน่ารักจะตายดูแก้มดิ กูอยากหยิกแก้ม”
“เอามือออกไป”
“แก้มมึงเหรอเบนคุณคีตายังไม่ว่าอะไรเลย”
“เดี๋ยวกูเรียกไอ้คินมาสู้กับมึงก่อน”
“มันไปเชียงใหม่ตั้งแต่ตีห้าแล้วคงบินมาสู้กับกูหรอก”
เป็นมื้อเช้าที่ครึกครื้นมากคีตานั่งมองเพื่อนรักสองคนที่ยังเถียงกันไม่เลิกแต่เหมือนคุณเบนจะสู้คุณทิมไม่ได้เลย เห็นเถียงอะไรก็แพ้ตลอด อยู่ดีๆ เสียงโทรศัพท์ของคุณทิมก็ดังขึ้นแอบเห็นว่าคุณทิมทำหน้าเซ็งก่อนจะกดรับคุยไปสักพักคุณทิมก็สะกิดเรียกคุณเบนเหมือนส่งสัญญาณอะไรสักอย่างก่อนจะปิดลำโพงโทรศัพท์ไม่ให้เสียงลอดเข้าไป
“ใคร”
“เพื่อนของลูกค้ารำคาญโคตรๆ โทรมาจีบไม่หยุดตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว บอกจะติดต่อกูเรื่องงานแต่ไม่พูดเรื่องงานสักทีให้ออกแบบแหวนสร้อยอะไรก็ไม่บอกกูจะเทแล้ว”
“แน่ใจนะไม่งั้นกูจะจัดการ”
“เอาให้เหมือนทุกครั้งชนิดที่ไม่ต้องโทรมาหากูอีก”
คีตาเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณทิมถึงดูมีอำนาจกว่าคุณรามิลที่เป็นหัวหน้าแกงค์ ท่าทางเหมือนคุณชายเอาแต่ใจแต่เพราะหน้าตาน่ารักคีตาเลยรู้สึกว่าคุณทับทิมดูน่าเอ็นดูในแบบที่ใครเห็นก็ต้องชอบ แต่ท่าทางคนเข้ามาจีบอาจจะต้องฝ่าด่านยากสักหน่อยนี่ก็ไม่รู้ว่าคุณเบนคุยอะไรกับปลายสายแต่คิดว่าน่าจะเจอเรื่องแบบนี้จนชิน
“หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณจะโทรหาทิมนะครับ ที่ผมพูดไปทั้งหมดคุณคงเข้าใจอ้อ..แล้วก็อย่าใช้วิธีไปดักเจอที่บริษัทหรือร้านอาหารมันเชยมากถ้าผมหรือเพื่อนผมรู้..อย่าหาว่าผมไม่เตือน”
เบนจามินโยนโทรศัพท์คืนให้ทิมที่รับไว้แล้วหัวเราะเมื่อเบนเอาแต่เล่าว่าไอ้คนที่โทรมาจีบมึงเป็นผู้ชายที่พูดจาไม่รู้เรื่องดีที่เคลียร์ได้ ไม่งั้นจะส่งไม้ต่อให้คินรายนั้นเห็นตีกันทุกเรื่องแต่ก็หัวร้อนตลอดเวลามีคนเข้ามาจีบทิมงี้แหละความรักของเจ้านายกับลูกกระจ๊อกที่สะพายกระเป๋าแบกกระติกน้ำให้ตั้งแต่อนุบาล
“ถ้าคุณทิมจะมีแฟนแกงค์ลูกเพื่อนแม่ต้องหวงคุณทิมมากแน่ๆ ”
“สงสารแฟนมันล่วงหน้าเลยประสาทแดกตายก่อนเจอฤทธิ์ไอ้ทิมเข้าไป”
“คงมีหรอกมาเจอพวกมึงก็ถอยหนีไปหมดแล้ว”
“มึงเป็นแก้วตาดวงใจของกลุ่มเรานะทับทิมใครจะปล่อยให้คนมาจีบได้ง่ายๆ”
ทิมยังบอกอีกว่าสงสัยชาตินี้จะไม่มีแฟนเพราะยังไม่เคยมีใครผ่านด่านทั้งสามคนได้เลย เบนจามินเลยเสริมว่ารอดไปถึงไอ้รามิลหัวหน้าแกงค์นี่ยังไม่เคยมีใครได้ไปถึงตายที่เขาก่อนตลอด ทิมยกกาแฟในมือขึ้นมาดื่มก่อนจะหยิบกุญแจรถมาถือเพราะว่าถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว ก่อนจะไปยังมีการทิ้งคำถามไว้
“แล้วถ้าคีตาจะมีแฟนพี่เบนจะหวงมากหรือเปล่าครับ”
ทิมโบกมือลาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่าทันทีที่เขาถามคำถามทั้งสองคนก็สำลักกาแฟที่กำลังดื่มอยู่พร้อมกัน เบนจามินลุกขึ้นเอาจานไปวางไว้ตรงที่ล้างจานแล้วเดินมาหาคนที่ยังนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่เดิมก่อนจะอียงหน้ามากระซิบบอก
“ถ้ามีคนมาจีบคีตาจะเจอยิ่งกว่านี้อีกนะ บอกไว้ก่อน”
MUSIC BOX
ไม่ได้มาทะเลนานเหมือนกันคีตาใช้ชีวิตอยู่ในสตูดิโอแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงเรื่องไปเที่ยวนี่ตัดไปได้เลย ตอนที่มาร์ชบอกว่า KTD กำลังจะมีสัมมนาที่หัวหินคีตานึกว่าจะต้องอยู่คอนโดคนเดียวเพราะตัวเขาเองจะเรียกเป็นพนักงานของ KTD หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันแต่พอกลับไปที่คอนโดคุณเบนก็บอกให้เขาจัดกระเป๋า
“ห้ามปฏิเสธไม่งั้นผมจะอุ้มคุณขึ้นรถไปเลย”
นั่นแหละ..ถึงได้มายืนอยู่นี่
คีตายอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาร่วมสัมมนากับคนเยอะๆ แบบนี้ก็เขาไม่เคยทำงานบริษัทเลยด้วยซ้ำมากสุดก็แค่ไปเล่นดนตรีกับเพื่อนในคณะ แต่พี่มาร์ชก็บอกว่าสัมมนาของ KTD ก็คือการมาเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้อง และมันก็คงจะเป็นแบบนั้น…
ตอนนี้มีงานปาร์ตี้หลังจากทำกิจกรรมกันมาทั้งวันคุณบอยกับคุณเบกำลังกอดคอพนักงานตะโกนร้องเพลงเย้วๆ สนิทสนมกันดีเกียรติธนธาดาเวลาที่ไม่ได้สวมมาดเจ้านายก็ดูเป็นวัยรุ่นธรรมดาๆ ทั่วไปเหมือนกัน
“ต้องการเสียงกีตาร์ วงเหล้าต้องมีเสียงกีตาร์คุณคีตาครับเชิญหน่อย”
คีตาลังเลว่าจะลุกหรือไม่ลุกดีพอหันไปมองหน้าคุณเบนรายนนั้นก็แค่ยิ้มๆ เหมือนปล่อยให้เขาตัดสินใจเอง บอกตามตรงถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะปฏิเสธแล้วเดินหนีกลับห้องไปแล้วแต่มันก็จริงเหมือนที่คุณเบนเคยบอกเขา เขาจะทำตัวเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกไม่ได้..
เบนยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่านักแต่งเพลงที่เขาเคยมองว่าเอาแต่เก็บตัวไม่สุงสิงกับใครลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วหยิบกีตาร์เดินเข้าไปหากลุ่มที่ร้องเพลงปาร์ตี้กันอยู่ คีตา นันทสกุลโตขึ้นเยอะเมื่อเทียบกับวันแรกที่เจอกันเบนหยิบแก้วเหล้าแล้วลุกขึ้นไปแจมด้วยเพราะคีตากวักมือเรียกให้เขาเข้าไปหา มาร์ชที่เห็นเหตุการ์ณทั้งหมดเดินมาหารามิลเจ้าของรีสอร์ทที่ยืนกอดอกมองอยู่เหมือนกัน
“เปลี่ยนไปเยอะนะครับคุณคีตา”
“นายก็คิดอย่างนั้นเหรอมาร์ช”
“ตอนที่เจอกันครั้งแรกคุณคีตาเหมือนเสียงเพลงเศร้าๆ รอบๆ ตัวมันดูเหงาไปหมดขนาดผมที่เพิ่งเคยเจอยังรู้สึกได้เลย”
“ใครอยู่ใกล้ไอ้เบนก็ได้รับพลังบวกทั้งนั้นก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
“ครับ..ผมก็หวังว่าคุณเบนจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้สักที”
“ก็ขอให้ครั้งนี้เป็นกีตาร์ไม่ใช่ไวโอลินเหมือนครั้งที่แล้วก็พอ”
ร้องเพลงจนเหนื่อย
ทั้งเจ้านายและพนักงานของ KTD พลังล้นเหลือกว่าคีตาจะเลิกดีดกีตาร์ก็เกือบเที่ยงคืนเลยได้มีเวลานั่งพักมองทะเลบ้าง บางคนบอกทะเลเวลานี้น่ากลัวแต่คีตาก็คิดว่ามันสงบดีน้ำเปล่าเย็นๆ ที่แตะลงตรงแก้มทำให้คนที่คิดอะไรเพลินสะดุ้งเบนจามินปล่อยขวดน้ำในมือก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“เป็นไงสนใจทำงานที่ KTD ไหมสนุกสนานฮาเฮทายาทหล่อทุกรุ่น”
“สนุกดีครับผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
“ก็พอรู้นักดนตรีชอบอิสระคงไม่อยากสแกนนิ้วแปดโมงครึ่งเลิกงานหกโมงหรอก แล้วมีอะไรที่อยากทำไหมนอกจากแต่งเพลง ทำเพลง เล่นดนตรี”
“เคยคิดไว้ครับแต่ไม่กล้าจนกระทั่งมาเจอ..”
“เจอ?”
“เจอคุณเบน”
“…………………………………………………………”
เบนจามินไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะได้ยินคำตอบแบบนี้คีตาที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นทรายเอียงหน้ามายิ้มให้ คีตาไม่ได้โกหกจะว่าไปเบนจามิน เกียรติธนธาดาก็เป็นคนแรกในหลายๆ เรื่องของชีวิตคีตา นันทสกุล
“ตอนที่เจอกันผมโคตรเกลียดคุณเลย ปากร้ายนิสัยก็แย่โดยเฉพาะเรื่องงาน ”
“…………………………………………………………”
“แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันทุกวันผมเลยได้รู้อะไรหลายๆ อย่างถึงแม้ว่าคุณเบนจะมีบางอย่างที่ต้องแก้ไข แต่ผมชอบที่คุณเบนกล้าที่จะลงมือทำ กล้าเสนอ กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้วก็ไม่กลัวอะไรเลยด้วย ตอนคุณเถียงกับคุณเมธัสรู้ตัวไหมว่าโคตรเท่”
“…………………………………………………………”
“ถ้าผมมีความกล้าอย่างคุณเบนทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้”
เบนจามินยกมือขึ้นมาไล้ไปตามแก้มขาวที่เขาคุ้นเคยอยู่ทุกวันยอมรับว่าตอนนี้ก็เขินขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เบนไม่เคยบอกใครว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่เพอเฟ็คถึงจะมีคนบอกตลอดว่าเขาเป็นอารมณ์ดีแต่มันก็แค่นั้น เขาไม่คิดว่าคนอย่างเบนจามิน เกียรติธนธาดา ผู้ชายที่เล่นๆ คิดอะไรพูดอย่างนั้นจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้
“แล้วคีตาอยากทำอะไร”
“อยากเปิดสถาบันสอนดนตรีครับ ไม่ต้องใหญ่มากก็ได้ผมแค่อยากสอนใครสักคนอยากให้เขารักดนตรีเหมือนที่ผมรัก”
“……………………………………………….”
“พ่อบอกผมมาตั้งแต่เด็กว่าผมเล่นดนตรีได้ขนาดนี้มันคงจะดีถ้าผมสอนคนอื่นให้เป็นได้เหมือนผม”
“ทำได้อยู่แล้ว”
“จริงๆ เคยเลิกคิดไปแล้วครับแต่เดี๋ยวจะคิดใหม่”
คีตาโตขึ้นจริงๆ
เบนจามินรู้ว่าคนอย่างคีตาถ้าจะลงมือทำอะไรสักอย่างก็ทำได้อย่างเพลงรักที่เจ้าตัวเคยบอกว่าไม่ถนัดยังแต่งได้ขนาดนี้อย่างอื่นที่คิดไว้ก็คงทำได้เหมือนกัน เบนหันมามองนักแต่งเพลงที่ยกขวดน้ำในมือขึ้นมาดื่มรอยสักรูปกุญแจตรงข้อมือที่เบนเองเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันทำให้เบนเลือกที่จะถามออกไป
“ทำไมถึงเป็นรูปกุญแจ”
คีตายกข้อมือตัวเองขึ้นมาดูใกล้ๆ
เมื่อเบนถามขึ้นมา
“คีย์ไง ที่จริงชื่อเล่นผมมันคือคีย์ที่หมายถึงคีย์เพลงแต่ทุกคนคิดว่ามันคือกุญแจผมก็เลยเลือกที่จะสักลายนี้อีกอย่างหนึ่งที่คิดไว้…. ผมไม่บอกดีกว่า”
“เฮ้ย บอกมาพูดมาซะขนาดนี้แล้ว”
“สัญญาก่อนว่าบอกแล้วห้ามหัวเราะ”
“รอยสักมันจะตลกได้ไง”
“ผมไม่น่าบอกเลย”
“บอกมาคีตาไม่งั้นผมจะนั่งมองหน้าคุณทั้งคืน”
เบนจัดการล๊อคแขนทั้งสองข้างแล้วดึงคีตาให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ระยะห่างมันน้อยนิดจนคีตาเองไม่กล้าที่จะมองหน้าเบนตรงๆ เบนก้มลงมองรอยสักตรงข้อมือของอีกฝ่ายแล้วลูบมันเบาๆ คีตาเลยเอ่ยออกมาก่อนที่เบนจะขยับตัวเข้าไปฟังใกล้ๆ
“ถ้าผมมีคนรัก”
“……………………………………..”
“หมายถึงถ้าวันหนึ่งผมมีคนรักขึ้นมาก็อยากให้เขาสักรูปแม่กุญแจคู่กันแค่คิดไว้เฉยๆ ฟังดูเพ้อเจ้อดีเนอะ”
“……………………………………..”
บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิทคีตาบอกตามตรงว่าสายตาของคุณเบนตอนนี้ทำให้ทำตัวไม่ถูก อาจเพราะอยู่ใกล้กันเลยเห็นทุกอย่างชัดเจน พอฟังเหตุผลจากนักแต่งเพลงเบนก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะก้มลงมาจูบลงบนหน้าผากขาวตรงหน้าคีตากำเสื้อเชิ๊ตของเบนไว้แน่นจนเบนต้องละมือมาประสานสอดนิ้วเอาไว้แทน
“เวลาสักนี่เจ็บมากไหม”
เบนก้มลงมาถามใกล้ๆ คีตาได้แต่ส่ายหน้าเพราะสำหรับเขามันไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย
ก่อนที่ประโยคต่อมาจะทำให้ต้องกลั้นหัวเราะ
“พี่เบนกลัวเข็มมากนะคีตา”
ผ่านคืนวันโหดร้าย นานเหมือนชั่วกาล
กลับมีคนห่วงใยกัน สุขใจทุกวัน มีเธออยู่ข้างกาย
เริ่มรู้จักความหวานกับรักลึกซึ้งหมดใจ
เริ่มรู้จักความหมายของคืนวัน
TO BE CON
ปล.พี่เบนกลัวเข็ม..
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
ต้องรอลุ้นแล้วล่ะว่าจะได้เห็นรอยสักแม่กุญแจบนผิวขาว ๆ ของพี่เบนไหม
-
พี่เบนกลัวเข็ม
-
ง่อววววววววว ประโยคสุดท้ายคือแบบ พี่เบนจะขำก็ขำ เอ็นดูอ่า
-
ก็คือระทวยยย :ling1:
-
น่ารักมากๆ เป็นเรื่องที่ฟิลกู้ดสุดๆ ชอบๆๆๆๆมากคะ
-
พี่เบนนน อยากได้
5555
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.11 : Missing You
“เพลงรักหมดนี่ที่คีย์แต่งมาจากประสบการณ์จากคนรอบตัวหรือประสบการณ์ตัวเอง”
“ผมไม่มีแฟนครับ”
“ไม่ได้หมายถึงแฟนหมายถึงความรัก”
“..................................................................”
“เมื่อก่อนที่คีย์แต่งเพลงเศร้าคีย์ก็ไม่ได้อกหักนิถูกไหม”
“ครับ...แค่เจอมุมมองความรักที่ไม่ดีเท่าไหร่”
“แสดงว่าตอนนี้เจอความรักดีๆ ที่ทำให้คีย์มองความรักเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม”
“..................................................................”
คีตาไม่ได้ตอบคำถามพี่เอกและพี่สองที่รอฟังคำตอบเขาอยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาก็นึกถึงคุณเบนจามินขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อคนที่กำลังนึกถึงก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องทักทายพี่เอกพี่สองก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เก้าอี้
“วันนี้ผมมีประชุมต่อตอนเย็นแต่แค่แป๊บเดียว”
“งั้นเดี๋ยวผมกลั..”
“รอ”
“กลับก่อนก็ได้”
“รอก็คือรอ เดี๋ยววันนี้ไปกินข้าวข้างนอกกัน”
“โอเค…แต่กลับก่อนได้จริงๆ นะ”
“ก็บอกว่าให้รอพูดสามรอบแล้วเนี่ย คีตาฟัง”
คำพูดเหมือนจะโมโหแต่การกระทำนี่ขัดกับคำพูดมากๆ เอกเห็นว่าเบนเอามือจับๆ แก้มของคีตา นักแต่งเพลงก็เอียงหลบไปหลบมาเหมือนไม่ยอมให้เล่นแก้มแต่แค่เพียงไม่นานยอมอยู่นิ่งๆ แล้วปล่อยให้เบนจับยืดแก้มได้สำเร็จ เบนหันมาคุยกับโปรดิวเซอร์สองคนก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
“พี่จับแก้มเราบ้างได้ไหมคีย์”
“แก้มผม?”
“ไม่ได้เหรอ”
“คือ…”
“ล้อเล่นเห็นเราโดนเบนดึงแก้มขนาดนั้นเลยอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง”
“ด่าจนเลิกด่าไปแล้วครับ”
“สงสัยคราวนี้จะได้เพลงรักมากกว่าสิบเพลงแน่ๆ”
“ผมแต่งเยอะไปเหรอ ยังมีที่แต่งไม่เสร็จอีกตั้งเยอะเลยนะครับ”
เอกและสองหยิบบรรดาเนื้อเพลงที่คีตาแต่งขึ้นมาเปิดดูอีกรอบตอนที่เจอกันครั้งแรกคีตาบอกว่าแต่งเพลงรักจากประสบการณ์ของคนอื่น สองสามเพลงแรกที่คีย์เอามาให้เขาดูก็อาจจะมาจากประสบการ์ณของคนอื่นจริงแต่เพลงหลังๆ นี่.. เอกเงยหน้าขึ้นมามองนักแต่งเพลงที่กอดกีตาร์ไว้แน่นแล้วยิ้มให้
“แต่งมาเถอะ….พี่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าความรักของคีตาจะเป็นแบบไหน”
MUSIC BOX
บรรยากาศตอนนี้ไม่รู้จะอธิบายยังไง
เหมือนอยู่ท่ามกลงครามกลางเมือง
คีตานั่งรอคุณเบนจามินอยู่ที่ห้องทำงานก็เล่นกีตาร์ไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานพี่มาร์ชก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับบอกว่าคุณเมธัสให้เชิญไปทานอาหารคุณเบนและแกงค์ลูกเพื่อนแม่รออยู่แล้ว คีตาคิดว่าตัวเองอาจจะฟังผิดไม่ก็เข้าใจผิดแต่พอเดินมาที่ห้องประชุมที่มีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะก็รู้ว่าที่พี่มาร์ชบอกมันถูกแล้ว
“เชิญเลยครับน้องคีย์”
“สนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่เรียกคีย์เฉยๆ ก็ได้ไม่ต้องน้อง”
“ผมคุยกับคุณคีย์อยู่นะครับ คุณเบน”
“นอกเวลางานแล้วกูมึงก็ได้นะ”
รามิล คิน และทิมได้แต่นั่งเท้าคางมองคู่อริสองคนที่ตีกันมาตั้งแต่ป.สามอย่างเหนื่อยใจ เขาสามคนแวะมาหาเบนเป็นเรื่องปกติว่าจะชวนกินข้าวเย็นแต่มาร์ชบอกเบนมีประชุมด่วนกับเมธัสก็เลยนั่งรอ แต่พอเลิกประชุมเมธัสที่ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆ เป็นอะไรถึงเกิดจะใจดีเลี้ยงข้าวเย็นทุกคน พอเห็นแบบนั้นเลยไม่อยากจะขัด
ไม่รู้ว่ามีแผนอะไรหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆ ไอ้คนที่พร้อมจะบวกอยู่ตลอดเวลาก็คือเบนจามิน ทิมหัวเราะเมื่อคีตาจะเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ว่างตรงข้างๆ เมธัสแต่เบนก็คว้าแขนคีตาให้นั่งลงข้างตัวเองแทน กลายเป็นคีตาเลยต้องมานั่งตรงกลางระหว่างหมาบ้าสองตัว คินเห็นทั้งสองคนมองหน้ากันไม่เลิกเลยต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมา
“เมื่อไหร่จะเลิกตีกันวะไม่เบื่อเหรอไงทะเลาะกันมาตั้งแต่เด็ก”
“ใครจะลืมตอนป.สามมึงไปฟ้องครูว่ากูผลักมึงตกบันได”
“ก็มึงผลักกูจริงเบนจามิน”
“มึงสะดุดขากูตกลงไปเองต่างหากกูนั่งของกูอยู่เฉยๆ ตอนป.6 มึงยังทำให้กูโดนใบแดงตอนแข่งกีฬาสี”
“ก็มึงดึงเสื้อกูก่อนแล้วทีตอนม.2 มึงก็แย่งบทเจ้าชายตอนแสดงนิทานภาษาอังกฤษเจ้าชายห่าอะไรตาตี่ขนาดนี้”
“ม.4 มึงยังใช้มารยาเป็นคนถือธงโรงเรียนได้เลยทั้งๆ ที่คะแนนโหวตกูเยอะกว่ามึงชัดๆ ”
“ครูไม่อยากได้เด็กเกเรอย่างมึงเป็นตัวแทนโรงเรียนไงเขาเลือกกู กูยังจำตอนจบม.6ได้ที่กูกำลังพูดซึ้งๆ มึงแม่งแย่งซีนด้วยการเล่นกีตาร์ขึ้นมา”
“ก็ทำไมวะมึงพูดนานกูรำคาญ เวิ่นเว้อ”
แกงค์ลูกเพื่อนแม่บวกผู้ช่วยมาร์ชได้แต่คีบอาหารใส่ปากแล้วมองคนสองคนที่กำลังเถียงเรื่องเก่าๆ กันอย่างเอาเป็นเอาตายฟังดูคล้ายละครเพื่อนรักเพื่อนร้ายอยู่เหมือนกันตีกันขนาดนี้แต่ดันอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่อนุบาลยันวัยทำงาน สงสารก็แต่คีตาที่กินข้าวไปมองคนสองคนทะเลาะกันไป
“ดีที่มหา’ลัยเรียนกันคนละที่ไม่งั้นกูกับมึงคงโดนรีไทร์สักวัน”
“เออ กูก็เบื่อที่ต้องมาทะเลาะกับคนทำงานไม่ได้เรื่องอย่างมึง”
“อ้าวเฮ้ย กูพัฒนาแล้วตอนนี้กูเบื่อจะทะเลาะกับมึงแล้วเหมือนกัน ทะเลาะกันมาทุกช่วงอายุ”
“กูก็เบื่อตั้งแต่เก้าขวบ”
“หวังว่าตอนอายุ 28 เราคง”
“ต่อยกันแย่งผู้ชาย”
ทิมเป็นคนตัดบทไม่งั้นทั้งคู่คงไม่เลิกเถียงกันสักทีและเขาก็รำคาญเต็มทนอยากกินข้าวแบบสงบๆ แต่ทันที่ทีทิมพูดจบประโยคทั้งห้องประชุมก็เงียบกริบ ทุกสายตามองไปยังนักแต่งเพลงที่นั่งอยู่ตรงกลาง มาร์ชเองก็ไม่รู้ว่าคุณเมธัสนี่แกล้งแหย่ให้คุณเบนสติแตกหรือถูกอกถูกใจคุณคีตาจริงๆ
แต่ที่ไปเสือกจากเลขาคุณเมธัสมาอีกทีได้เรื่องมาอย่างนี้ คุณเมธัสบอกให้ฟังว่าไม่เคยเจอใคนที่แน่จริงอย่างคุณคีตาเลยจับตาดูเป็นพิเศษ เออ..คราวนี้คงจะพิเศษเพราะตอนแรกยังหาเรื่องตีกันอยู่เลย เห็นว่าเริ่มคุยกันดีๆ บ้างแล้วคุณคีตาก็หน้าตาน่าเอ็นดูอยู่แก้มป่องลักยิ้มบุ๋มขนาดนั้นใครจะมาใจร้ายได้ลงคอ
พอเห็นทุกคนเงียบคีตาเลยดันไหล่เบนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้กินข้าวตามเดิม แต่พอเมธัสเผลอเบนก็จัดการลากเก้าอี้คีตาให้ออกห่างจากเมธัส รามิลได้แต่ถอนหายใจ
อายุยี่สิบแปดก็ไม่ต่างอะไรจากตอนเก้าขวบ
MUSIC BOX
“ไปฮ่องกง คุณนายมาบอกอะไรตอนสามทุ่ม”
“……………………………………………..”
“ไปห้าวัน ห้าวันเลยเหรอม๊า”
“…………………………………………….”
“โอเคครับเดี๋ยวเบนแวะไปที่บ้านก่อนกลับคอนโด”
“…………………………………………….”
เบนจามินเลี้ยวรถไปอีกทางพร้อมกับบอกคีตาว่าจะกลับบ้านไปเอาของเพราะต้องกลับไปฮ่องกงเป็นเพื่อนคุณนายเจียซิน ปกติเบนบินไปกลับฮ่องกงบ่อยเป็นเรื่องปกติเพราะญาติทางฝ่ายแม่ก็อยู่ที่นั่น เคยไปอยู่เป็นเดือนก็เคยมาแล้ว
แต่ครั้งนี้ไปแค่ห้าวันแต่เบนกลับรู้สึกว่ามันนานเบนหันมามองคนที่นั่งฮัมเพลงอยู่ข้างๆ เวลาเจอเพลงเพราะๆ คีตามักจะเผลอร้องตามอยู่บ่อยๆ พอเห็นเขามองก็ยิ้มให้
ไปแค่ 5วันเองสบายๆ
บ้านเกียรติธนธาดาหลังใหญ่โตสมฐานะและมีทุกอย่างเหมือนที่ KTD ถึงจะรู้จักกับคุณเบนมานานแล้วคีตาเองก็ได้มีโอกาสเจอเกียรติธนธาดาคนอื่นๆ อยู่บ่อยๆ แต่มันก็ทำตัวไม่ถูกอยู่ดีเมื่อได้เจอทุกคนในชุดอยู่บ้านหน้าไม่แต่งและผมเผ้ายุ่งเหยิงโดยเฉพาะคุณเบอร์ดี้ที่ปกตินี่เนี๊ยบมาก คุณเบนเดินเลี้ยวไปหาแม่บ้านอีกห้องคีตาเลยเดินไปที่เปียโนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน
แค่มองก็รู้แล้วว่าคงสั่งทำและราคาต้องแพงมากแน่ๆ
“เล่นได้นะ”
“ปกติใครเล่นเปียโนเหรอครับ”
“ก็เล่นเป็นหมดแต่…ส่วนมากผมเป็นคนเล่น”
“แล้วคุณเบนไม่เล่นแล้วเหรอครับ”
“ก็……ไม่ได้เล่นนานแล้ว”
“อยากลองเล่นอีกครั้งไหมครับ”
“……………………………………..............”
“เล่นเหมือนที่ตอนที่เล่นให้ผมฟัง”
“……………………………………..............”
เบนจามินยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเขาไม่ได้เล่นเครื่องดนตรีอะไรจริงจังมากนานมากแล้ว มากสุดก็แค่ดีดกีตาร์ในงานบริษัทของรามิล เบนบอกตามตรงเขาลืมตัวเองตอนเล่นดนตรีไปแล้วเหมือนกันว่าเป็นแบบไหน จนกระทั่งได้มาเจอคีตา พอเห็นเขาเงียบไปนานคีตาก็เลยบอกเบาๆ ว่าไม่เป็นไรงั้นเดี๋ยวจะไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น
จังหวะที่คีตาหันหลังอยู่ดีๆ เสียงเปียโนก็ดังขึ้นมันเป็นเพียงแค่ตัวโน๊ตเดียวแล้วก็เงียบไปจากนั้นมันก็เป็นเสียงเพลง คีตาหันกลับมามองคนที่กำลังนั่งเล่นเปียโนอยู่ ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นแต่คีตาก็ยอมรับว่าเบนจามินตอนเล่นดนตรี
มีสเนห์มากจริงๆ
“เฮียบอยบอกจะเอาคู่สีดำแต่บีว่าสีขาวสว…บีได้ยินเสียงเปียโน ใช่เสียงเปียโนหรือเปล่า!”
พี่น้องเกียรติธนธาดาได้ยินเสียงเปียโนที่ไม่ได้ยินนานมากดังขึ้นมา ทุกคนเงียบแล้วมองหน้ากันก่อนจะลุกออกจากห้องแล้วเดินออกไปตรงกลางบ้าน บีเห็นเจ้าสัวกรรณและทุกคนในบ้านยืนมองที่มาของเสียงอยู่ตรงมุมห้อง ภาพที่ทุกคนได้เห็นคือเบนจามินน้องคนสุดท้องของตระกูลกำลังดีดเปียโนอยู่ ข้างๆ มีนักแต่งเพลงที่ฮัมเพลงเบาๆ
“เบนยอมกลับมาเล่นดนตรีแล้วเหรอ”
“ถึงจะไม่ใช่ไวโอลินแต่ก็ดีใจว่ะที่ได้ยินเสียงเปียโนในบ้านนี้อีกครั้ง”
เสียงเปียโนยังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่องคีตาบอกแล้วฝีมือเบนจามินสามารถเป็นครูสอนดนตรีได้เลย เสียงเปียโนกับเพลงที่ร้องเบาๆ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั่งคู่ทำให้เกียรติธนธาดาที่ยืนมองอยู่ยิ้มตาม เจ้าสัวกรรณมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขากังวลเรื่องที่ให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแต่สิ่งที่เห็นวันนี้ทำให้รู้ว่าเขาเองไม่ได้ตัดสินใจผิด
“คีตา นันทสกุล..เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย”
MUSIC BOX
“ขึ้นไปรอที่ห้องผมไหม”
“ไม่ดีมั้ง”
“คนแรกเลยนะเนี่ยที่ชวนขึ้นห้องแล้วโดนปฎิเสธ”
แต่สุดท้ายก็โดนลากขึ้นมาจนได้คุณเบนขอตัวไปเก็บเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว ที่ต้องกลับมาบ้านเพราะที่คอนโดมีแต่ชุดทำงาน คีตากำลังตื่นตาตื่นใจกับบรรดาฟิกเกอร์สไปเดอร์แมนที่วางเรียงกันอยู่ในตู้โชว์ ท่าทางจะชอบมากถึงได้มีเยอะเต็มตู้ขนาดนี้ห้องนอนคุณเบนก็เรียบๆ ตามประสาห้องนอนผู้ชายทั่วไป
มีแต่เอกสารของKTDวางอยู่เต็มไปหมด
ไม่มีเครื่องดนตรีอะไรอยู่ในห้อง
เสียงคุณเบนยังคงตะโกนคุยออกมาจากห้องแต่งตัวอยู่เรื่อยๆ คีตาก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างเพราะบางคำถามก็แกล้งแหย่เขามากกว่า คีตาไม่อยากเสียมารยาทเลยว่าจะนั่งรอตรงโซฟาแต่สายตาเหลือบไปเห็นรูปภาพที่วางอยู่ตรงชั้นข้างทีวีทำให้คีตาลุกขึ้นไปดูใกล้ๆ
“คีตา”
“ยังอยู่ครับ”
“แวะซื้อของเข้าคอนโดไหมผมไม่อยู่ตั้งห้าวันเลยนะ”
“ไม่ต้องก็ได้ยังไงผมก็ทำอาหารไม่เป็นอยู่ดี”
“ห้ามกินมาม่าทุกมื้อนะเว้ย”
คีตายืนมองรูปภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นภาพวาดสีน้ำมันทั้งๆ ที่สำหรับเขามันก็แค่รูปภาพธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่รูปภาพที่เอาไว้สำหรับตกแต่งห้อง มันเป็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเล่นไวโอลินอยู่ถึงแม้จะไม่เห็นหน้าแต่ทุกอย่างในรูปคีตาบอกได้เลยว่ามันลงตัว
เหมือนวาดจากคนจริงๆ
ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิดผู้หญิงในรูปจะต้องสวยมากแน่ๆ
คีตาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ รูปภาพก่อนจะเห็นว่ามีตัวอักษรเขียนอยู่ตรงมุมภาพ เสียงคุณเบนตะโกนออกมาบอกว่าเสร็จแล้วกำลังออกไปคีตาเลยก้มลงไปอ่านตัวอักษรที่เขียนไว้
จันทร์เจ้า…
คุณเบนไปฮ่องกงสองวันแล้ว น้องอันนาน่าจะติดเจ้านายอยู่เหมือนกันเห็นชอบกระโดดหนีเวลาคุณเบนเข้าไปฟัด แต่พอเจ้านายไม่กลับบ้านก็ไปนั่งรอที่หน้าประตู คีตาต้องไปบอกกับน้องอันนาว่าเจ้านายไม่อยู่เดี๋ยวกลับมานี่ก็คิดว่าตัวเองเริ่มคุยกับแมวเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่เลี้ยงน้องอันนามา
และไอ้เจ้านายก็เงียบหายไปเลย..
คีตาไปทำงานที่ KTD คนเดียวรู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันเพิ่งรู้ตัวว่าทุกวันนี้เขาเจอหน้าคุณเบนแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว นี่แค่ไม่เจอกันสองสามวันเดียวยังรู้สึกว่ามันเงียบเหงาแต่ยิ่งกว่าความเหงาคือเขา….คิดถึง
แต่คีตาเองก็ไม่รู้ว่าเขามีสิทธิ์บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกนี้หรือเปล่าระหว่างเขากับคุณเบนจามินมันคือความสัมพันธ์แบบไหนเขาเองยังตอบไม่ได้เลย พอนึกถึงเรื่องนี้เรื่องที่คุยกับชาญเพื่อนสนิทก็วนกลับมาให้คิดอยู่เรื่อย
“คีย์ มึงกับเจ้านายมึงนี่ยังไงวะ….คือมึงเข้าใจคำถามที่กูถามใช่ไหม”
“เข้าใจ”
“แล้วมันคือ..”
“คนที่อยู่ด้วยกัน”
“อะไรนะ”
“กูกับเขาตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันไง”
“ศํพท์ใหม่เหรอวะ ยิ่งกว่าคบกันแบบไม่มีสถานะ”
“ตอนนี้กูก็ตอบมึงได้เท่านี้ว่ะชาญ”
“กูเป็นห่วงมึงนะคีตาแต่ถ้าอยากรักก็รักกูก็อยากเห็นมึงตอนมีความรักเหมือนกัน มึงจะได้รู้ว่าความรักมันไม่ได้แย่อย่างที่มึงเคยเจอแต่ถ้าแย่ก็ถือว่าชีวิตหนึ่งได้อกหักนะเว้ย เท่จะตายห่ายังไงมึงก็มีกูเป็นเพื่อนแดกเหล้า”
นั่นแหละคำตอบที่เขารู้ตอนนี้
ก็ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันแค่นั่นเอง..
คิดอะไรเพลินๆ อยู่ดีๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นคีตาเห็นว่าเป็นคุณเบนจามินวีดีโอคอลมาพอกดรับก็เจอหน้าตี๋ๆ ยิ้มใส่กล้องแต่ไม่พูดอะไรสักคำ คีตาก็เลยไม่ยอมพูดบ้างเหมือนแข่งเล่นเกมว่าใครพูดก่อนแพ้
“เฮ้ย ทักทายดินอนมองหน้ากันทำไมเนี่ย”
“สบายดีไหมครับ”
“ถามเหมือนผมไปไหนไกล มาฮ่องกงสำหรับผมก็เหมือนเปลี่ยนที่นอนถามอย่างอื่น”
“กินข้าวยัง ข้าวอร่อยไหม วันนี้ทำอะไร อากาศดีหรือเปล่า”
“กวนตีนว่ะคีตาไม่เจอกันตั้งสองวัน”
คีตาหัวเราะก่อนจะนอนลงบนโซฟาเอาเข้าจริงก็กลับมาเงียบตามเดิมแต่สำหรับเขามันไม่ได้อึดอัดอะไร บางทีก็รู้สึกแปลกอยู่เหมือนกันเขากับคุณเบนอยู่ด้วยกันตลอดมันเลยไม่ค่อยคุ้นเมื่อต้องมาสื่อสารผ่านโทรศัพท์แบบนี้
“คิดถึง”
“………………………..”
“น้องอันนา”
“อ้อ”
พออีกฝ่ายบอกแบบนั้นคีตาเลยอุ้มเจ้าแมวยักษ์ให้เข้ามาอยู่ในกล้องวันนี้น้องอันนาใส่ผ้าพันคอลายจุดสีฟ้าน่ารักกุ๊กกิ๊ก ตั้งแต่อันนามาอยู่ที่คีตาก็ชอบซื้อนู่นซื้อนี่มาใส่ให้ตลอดเจ้าตัวก็คงชอบพอจับใส่ก็ไม่เห็นรำคาญอะไร
“กลับมาคอนโดกี่โมง”
“ทุ่มกว่าๆ”
“แล้วกินข้าวยัง”
“กินแล้ว”
“ห้ามนอนดึก”
“วันนี้ต้องแก้เพลง”
“ห้ามกินกาแฟอีก”
“วันนี้สองแก้วครบแล้ว”
“ห่มผ้าด้วย”
“ก็ห่มทุกวัน”
“คิดถึง”
“อันนาก็อยู่นี่ไง”
“คีตาต่างหากที่พี่คิดถึง”
“……………………………………………………………”
คนที่กำลังจะเถียงเงียบลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัดๆ
เบนเองก็เงียบไปเหมือนกันเมื่อเห็นว่าคีตาเอาแต่มองหน้าเขาแต่ไม่พูดอะไรออกมา
“บางทีก็อยากได้ยินอะไรกลับมาบ้าง ถ้าไม่อยากพูดก็พยักหน้าทำท่าโอเคหรือยิ้มให้อะไรแบบนี้เฮ้ย..ควรมีรีแอคชั..”
“พี่เบนกลับมาพรุ่งนี้เลยได้ไหมครับ”
เบนจามินชะงักค้างคีตาไม่ได้ทำเสียงสองเสียงสามอะไรทั้งนั้นก็แค่พูดปกติแต่ไอ้หน้าหงอยๆ กับแก้มป่องๆที่เขาเห็นอยู่ในโทรศัพท์ตอนนี้ทำให้เบนจามินหลับตาลงก่อนนจะลืมตาขึ้นมาอีกรอบ
“แค่นี้นะ…ไปหาไฟลท์บินกลับก่อน”
TO BE CON
ปล.จันทร์เจ้า..
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
ไวไป๊~~~ คุณเบน
เจอน้องบอกให้กลับก็จะกลับเลยงี้ โถๆๆ
กับเมธัสก็เป็นความสัมพันธ์ที่ตลกดี
ทะเลาะกันสนุกสนาน แต่นี่ว่าเอาเข้าจริง เขาก็ไม่ทำร้ายกันหรอก ขัดขากันพอให้ชีวิตมีสีสัน 555
ต่างคนต่างมีปม...มาเติมกันและกันได้ลงตัว ^^
-
โอ๊ย เหม็นฟามรัก
ปล.ทำไมหน้าออฟกันลอยมา
-
น้องคีตาสวนกลับได้ใจมากๆค่ะ
หวานกันขนาดนี้คงมีเพลงรักออกมาอีกเยอะเนอะ 555
-
อ่านจบตอนกำลังมีความสุข ยิ้มแก้มแตก เขินคุณเบนกับน้องคีย์ เค้าคิดถึงกัน
เจอ ปล. จันทร์เจ้า เข้าไปเบรคหัวทิ่มเลยเด้ออออ เฟลเลย
เฮ้อออออ กลัวมาม่ามากเด้อ :z3: :z3:
-
คนแต่งหายไปไหนนน รอติดตามอยู่นะคะ
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.12 : Your Story
“เคยมีคนด่ากูว่าติดแฟนจนโอเวอร์แล้วใครกันวะที่ต้องกลับมาก่อนกำหนดเพราะคิดถึงเด็ก”
“มึงก็มั่วรามิลกูกลับมาเคลียร์งานเฉยๆ เว้ย”
“มึงจะอ้างอะไรกับใครก็ได้แต่ไม่ใช่กับกู รามิลที่ตัวติดกับมึงมาตั้งแต่สามขวบ”
“กลับไปหาเมียได้แล้วมึงอ่ะ”
“ปลุกกูแต่เช้าให้ให้มารับที่สนามบินแล้วยังมีหน้ามาไล่กูอีกแล้วยังไงน้องคีตารู้ยังว่ามึงกลับมาหาเขาแล้ว”
“กูบอกว่ากูกลับมาเคลียร์งาน”
“เบนจามิน”
“เออๆ กูไม่เคยโกหกมึงได้เลยว่ะไอ้หัวหน้าแกงค์”
รามิลได้แต่หัวเราะแน่ล่ะเขากับเบนจามินตัวติดกันยังกะฝาแฝด เจอกันตั้งแต่ใส่ชุดเอี๊ยมแดงวิ่งเล่นไล่จับ พอโตมาก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลยันจบมหา’ลัยเห็นหน้ามันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง จะว่าไปรามิลก็แปลกใจอยู่เหมือนกันที่ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรักตั้งแต่ตีห้าบอกว่ามารับที่สนามบินด้วย
ตอนแรก งง ฉิบหายมันเพิ่งจะไปเองไม่ใช่เหรอวะ ทุกทีเวลามันกลับไปฮ่องกงนี่ไปอยู่เป็นอาทิตย์ เรียกว่าลาพักร้อนเพราะคุณชายเบนกินหรูอยู่สบายมากญาติฝั่งนั้นก็รักมันจะตาย นี่ก็นึกว่าจะกลับมาเคลียร์งานที่ค้างไว้ก็มันบอกให้เขามาส่งที่ KTD ไม่ใช่ที่คอนโด รามิลยังคิดเลยเดี๋ยวนี้ขยันผิดปกติมาก ขนาดมาร์ชมันยังไม่รู้เลยว่าเจ้านายมันกลับมาก่อนกำหนดเห็นวิ่งหน้าตั้งตอนที่เบนโทรมาหา แต่ทันทีที่เจอหน้ามาร์ชรามิลก็เข้าใจแล้วว่าทำไม
“คุณคีตาอยู่ที่ห้องทำงานของคุณสองครับตอนนี้”
อ้อ..งานไม่ยุ่ง
แต่ความคิดถึงมันห้ามไม่ไหวจริงๆ รามิลเข้าใจ
“เบน กูถามจริงๆ นะตอนนี้มึงกับคีตานี่ยังไงวะ”
“ก็ไม่ยังไง”
“อยู่ด้วยกันแต่ไม่มีสถานะมันฮิตนะแต่ไม่เท่”
“กูรู้”
“แค่มึงบินกลับมาจากฮ่องกงก่อนกำหนดกูก็ว่าหนักอยู่ เด็กอ้อนเหรอขนาดไหนวะทำให้พี่เบนบินกลับมาหาได้”
“หนักอะไรของมึงกูไม่ได้เป็นถึงขนาด..”
เสียงตึงตังหน้าห้องทำงานทำให้ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมามองและแน่นอนว่าเป็นคนที่เขาสองคนกำลังพูดถึง คีตาเปิดประตูห้องทำงานแล้วหยุดอยู่หน้าห้อง เบนจามินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานมองคนที่ยืนหอบหายใจเหมือนวิ่งมาจากที่ไหนสักแห่ง เบนเลยลุกขึ้นแล้วเดินมาพิงโต๊ะทำงานรอให้คนที่หอบหายใจได้พักหายเหนื่อย
“วิ่งมาจากไหน”
“กลับมาแล้ว”
“........................................................”
“พี่เบนกลับมาแล้วจริงๆ ด้วย”
เบนเงียบลงเมื่อนักแต่งเพลงเดินเข้ามาหาแล้วยิ้มให้จนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลงไป รามิลได้แต่ยืนกอดอกมองภาพคนสองคนที่เอาแต่ยืนยิ้มให้กันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าไอ้เบนลืมไปแล้วหรือเปล่าว่ามีเขาอยู่ในห้องด้วยถึงได้ยกมือลูบแก้มป่องๆ นั่นอย่างเพลินมือ แถมคีตาก็ยังยืนนิ่งให้ไอ้เบนทั้งจับทั้งหยิกถ้าเขาไม่แกล้งส่งเสียงสงสัยคงได้ไร้ตัวตนสำหรับสองคนนั้นจริงๆ
“ขอบใจเว้ยรามิลที่มารับกู”
รามิลเดินเข้ามาหาตบไหล่เพื่อนสนิทเบาๆ สองสามที
ก่อนจะโน้มตัวมากระซิบ
“มึงเป็นหนักกว่าที่กูคิดอีกว่ะเบน”
MUSIC BOX
“เบนกลับมาแล้วเหรอคีย์”
“กลับมาแล้วครับ”
“คีย์ก็ไม่หงอยแล้วสินะ”
“ผมไม่ได้หงอยสักหน่อยพี่สอง”
“เบนไปแค่สามวันเรานี่เหี่ยวเป็นต้นไม้ไม่ได้รดน้ำเลย”
สองยกมือเอาเนื้อเพลงตีลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนั่นเบาๆ เดี๋ยวนี้เขาเริ่มสนิทกับคีตา นันทสกุลแบบเล่นหยอกล้อต่อเถียงได้แล้ว เอาเข้าจริงคีตาก็ไม่ได้เก็บตัวหรือหยิ่งแบบที่เขาลือกัน อาจจะมีบ้างที่เงียบๆ หรือทำหน้านิ่งๆ ไม่ยอมยิ้ม พอสนิทก็คุยเล่นกันได้เหมือนรุ่นน้องทั่วๆ ไปแต่สองเองก็รู้ว่าคีตายังมีบางอย่างในใจที่เป็นอุปสรรคในการแต่งเพลง
ถึงแม้ในตอนนี้คีตาจะแต่งเพลงรักได้บ้างแล้วแต่พอเขาลองให้ปรับเปลี่ยนอะไร คีตามักจะถามว่า
“มันจะเป็นแบบนี้เหรอครับผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่”
เหมือนกับว่าไม่เชื่อเรื่องความรักที่สมหวังอะไรแบบนี้เลยสักนิด สองเองก็ได้แต่อธิบายคร่าวๆ ว่าความรักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้ว่าคีตาจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน
“กลับบ้านกลับช่องได้แล้วนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ ห้ามทำงานข้ามวันข้ามคืน”
“บอสไล่แล้วว่ะเก็บกระเป๋ากลับบ้านแล้วนะ”
สองก็เพิ่งรู้ว่าเวลามันล่วงเลยมาเกือบสองทุ่ม ปกติเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องเวลาเท่าไหร่เพราะอาชีพเขาทำงานไม่เป็นเวลาอยู่แล้ว แต่สงสัยทายาทKTDจะคิดถึงนักแต่งเพลงมากถึงได้มาตามด้วยตัวเองแบบนี้ สองหันไปมองทั้งคู่ที่นั่งคุยกันอยู่ เบนนั่งลงบนที่วางแขนโซฟาแล้วคีตาก็ยื่นโน๊ตเพลงให้เบนอ่าน แต่นั่นแหละเบนจามินไม่เข้าใจเรื่องแต่งเพลงเท่าไหร่เลยพยักหน้าไปแต่คิ้วก็ขมวดไป สงสัยจะ งง อยู่เหมือนกัน
“ผมควรแก้ตรงไหนอีกไหม”
“ตรงไหนล่ะ”
“คุณเบนไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลย”
“ฟังโว้ยแต่มันไม่เข้าใจพูดภาษาคนสิ”
“พี่สองยังเข้าใจเลย”
“คีตากวนตีนเหรอเดี๋ยวเจอภาษาเศรษฐศาสตร์บ้างจะพูดไม่ออก”
ถึงจะเถียงกันแทบทุกประโยคแต่เบนจามินก็รั้งให้คีตาเอนตัวเข้ามาหา มือก็เล่นผมคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ไปด้วย สองก็ไม่รู้หรอกนะว่าระดับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ตอนนี้มันอยู่ในระดับไหน แต่คิดว่าก็น่าจะสนิทมากกว่าเขาที่เป็นแค่โปรดิวเซอร์ที่เจอกันเฉพาะเวลาทำงาน
“เบน พี่ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”
“งานเหรอพี่? ”
“อืม งานของเรา”
ท่าทางของพี่สองดูจริงจังจนเบนต้องบอกให้คีตาไปรอที่ห้องทำงาน ทันทีที่นักแต่งเพลงปิดประตูไปแล้วสองก็เดินไปหยิบกระป๋องเบียร์ที่แช่ไว้พร้อมกับยื่นให้เบนที่รับมา งงๆ ก่อนจะเดินตามโปรดิวเซอร์ไปที่ระเบียง วิวจากชั้นยี่สิบก็สวยดีแสงไฟจากตึกระยิบระยับจนเบนเองก็ยิ้มออกมาไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน
“งานมีปัญหาเหรอครับพี่”
“เรารู้เรื่องคีตาบ้างหรือเปล่าเบน”
“เรื่องอะไรครับ”
“ครอบครัว เพื่อน ความรัก”
“รู้แค่ว่าแม่เลิกกับพ่อแล้วแม่มีครอบครัวใหม่คีตาอยู่กับพ่อผมรู้แค่นั้น”
“ออกข่าวด้วยนิคุณเพลงกับคุณอคิราห์พี่ยังเคยดูข่าวเลย เมื่อก่อนเป็นคู่ที่ดังมากนะมือกีตาร์กับครูสอนร้องเพลง”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคีย์เหรอครับ”
“เบนรู้อะไรไหมยังไม่มีเพลงไหนที่คีย์แต่งเสร็จ เหมือนไม่มั่นใจแก้แล้วก็แก้อีกทั้งๆ ที่คีย์แต่งออกมาเป็นสิบๆ เพลงแล้วแต่พอให้เลือกเพลงที่ต้องใช้กลับไม่เลือกบอกว่ายังไม่พอใจ”
“..............................................................................”
สองเคยได้อ่านเนื้อเพลงที่คีตาแต่งมาบ้างมันก็หวานเหมือนเพลงรักที่เขาเองเคยแต่ง เขายังแซวอยู่เลยว่าหวานหยดย้อย แต่วันต่อมาเนื้อเพลงก็ถูกแก้อีก แก้เป็นสิบๆ รอบเหมือนคีตาไม่มั่นใจกับเพลงที่แต่งออกมา จนเขาเองก็เริ่มจะกังวลขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน
“โปรเจคสิบเพลงรักนี่เหลือเวลาอีกกี่เดือนนะ”
“อีกสามเดือนกว่าๆ ครับ เจ้เบอร์ดี้อยากให้เปิดตัวโปรเจคให้ตรงกับช่วงวันวาเลนไทน์พอดี”
สองยื่นกระป๋องเบียร์มาชนกับเบน
ก่อนยกขึ้นมาดื่ม
“เคยได้ยินเนื้อเพลงใช่ไหมที่บอกว่า เพลงรักถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้”
“เคยครับ”
สองหันมายิ้มให้กับทายาทKTD ที่เขาเองก็รู้จักมาตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานที่นี่ จะว่าไปเบนจามินก็โตขึ้นเยอะเหมือนกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่มีทางมายืนคุยอะไรกับแบบนี้กับเบนแน่ๆ เมื่อก่อนเบนจามินเอาแต่เล่นไม่เคยจริงจังกับงานสักอย่างแต่ตอนนี้ผู้ชายหน้าตี๋สูงร้อยแปดสิบกว่าๆ เปลี่ยนไปจนทุกคนในKTDยังแปลกใจกับเบนจามินเวอร์ชั่นนี้ แต่มันถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี สองวางมือลงบนไหล่หนานั่นแล้วตบเบาๆ
“ช่วยเขาหน่อยนะทำให้เขารู้ทีว่าโลกนี้ยังมีความรักดีๆ รอให้เขาได้เจออยู่”
MUSIC BOX
เวลาสี่ทุ่มครึ่งกับคนที่อยากว่ายน้ำ
คีตานั่งดีดกีตาร์มองคุณเบนจามินที่ถอดเสื้อว่ายน้ำไปมารอบที่สิบ สระน้ำคอนโดไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากคุณเบนว่ายสองทีก็ถึงอีกฝั่ง นี่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้ชวนเขามาเล่นน้ำในเวลานี้ ตอนแรกเกือบโดนจับลงสระแต่เขาบอกก่อนว่าไม่อยากเปียกถึงได้ปล่อยให้เขานั่งเล่นกีตาร์อยู่ตรงนี้
ดีเหมือนกัน
วันนี้ยังแต่งเพลงไม่ได้เลยสักนิดหัวสมองมันว่างเปล่าไปหมด
“ลงมาไหม”
“ไม่เอา”
“มานั่งใกล้ๆ หน่อยมาดีดกีตาร์ตรงนี้”
“มันเปียก”
“นับหนึ่งถึงสามถ้าไม่มาจะขึ้นไปอุ้มเลยนะ หนึ่ง สอง”
พอได้ยินเสียงนับเลขคีตาเลยวางกีตาร์แล้วมานั่งห้อยขาจุ่มน้ำเบนเลยว่ายเข้ามาหา ท่าทางวันนี้นักแต่งเพลงจะเจอเรื่องเครียดเพราะเห็นทำหน้ายุ่งแล้วก็ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
“เครียดเหรอไง”
“นิดหน่อยครับ”
“สิบเพลงรักนี่ไปถึงไหนแล้ว รายงานให้บอสฟังซิเจ้าหนู”
“...................................................”
“เงียบอีก”
“คุณเบน”
“ฟังอยู่”
“ผมแต่งเพลงรักไม่ได้”
“...................................................”
“เคยคิดว่าแต่งได้แต่มันไม่ใช่ เพลงที่แต่งแล้วมันก็ไม่ใช่มันไม่ใช่เพลงที่คีตา นันทสกุลยากแต่งมันฝืนจนไม่อยากแต่งแล้ว”
“...................................................”
“โกรธหรือเปล่าครับ”
“เป่ายิ้งฉุบกัน”
“ครับ?”
“เป่ายิ้งฉุบที่ต้องออกค้อน กระดาษ กรรไกร”
“รู้..แต่ไม่อยากเล่นตอนนี้”
“ถ้าแพ้นี่ต้องทำตามคำสั่ง”
“ฟังกันบ้างไหมเนี่ย”
“เป่ายิ้งฉุบเร็ว หนึ่ง สอง สาม”
คีตาออกค้อนอย่าง งง ๆ เมื่ออีกฝ่ายอยู่ดีๆ ก็บอกว่าจะเล่นไม่รู้เหมือนกันว่าคุณเบนคิดอะไรอยู่แต่ก็นะแพ้จนได้เมื่ออีกฝ่ายออกกระดาษเบนกำมือคนที่ออกค้อนไว้ก่อนจะกระเถิบตัวเข้ามาหา คีตายกมืออีกข้างขึ้นมาวางบนไหล่หนานั่นเมื่อเห็นว่าคุณเบนแทรกตัวมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างขา
“เราแพ้นะทำตามคำสั่งด้วย”
“คุณเบนขี้โกงผมไม่ทันได้ตั้งตัวเลย”
“เป่ายิ้งฉุบเขาใช้ดวงจะต้องมาตั้งตัวอะไรกัน”
“จะสั่งให้ทำอะไรบอกมา”
เบนยกมือขึ้นมาวางระหว่างตัวคีตาก่อนจะเปลี่ยนมากอดเอวไว้หลวมๆ
คีตาเลยก้มลงมาหาเพราะนึกว่าจะโดนสั่งให้ทำอะไรแปลกๆ
“ความรักที่คีตาเจอมามันเป็นแบบไหนเหรอครับ เล่าให้พี่เบนฟังได้ไหม”
“...................................................”
ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทมีเพียงสองคนที่มองตากันอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มของคีตาค่อยๆ หายไปแต่เบนกลับไม่ยอมปล่อยให้คีตาลุกหนีไปไหน เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้นจนเบนเองเป็นฝ่ายที่ยอมแพ้มือใหญ่ค่อยๆ ละจากเอวคนที่นั่งอยู่ตั้งใจจะไปว่ายน้ำให้หัวสมองโล่งแต่ไหล่กลับโดนสองแขนรั้งไว้ให้กลับมายืนตามเดิม
“ผมเคยคิดว่าผมมีครอบครัวที่ดีมากๆ พ่อที่เล่นกีตาร์เก่งแม่ที่ร้องเพลงเพราะ ผมเติบโตมาพร้อมกับเสียงเพลงพ่อกับแม่ช่วยสอนผมเล่นเครื่องดนตรี เราสามคนร้องเพลงเล่นดนตรีด้วยกัน”
“...................................................”
“และมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอด ผมใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวันตื่นเช้าไปเรียน กลับบ้านเจอแม่ทำอาหารเย็น พ่อเล่นกีตาร์ร้องเพลงรอก่อนเราจะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา ผมไม่รู้อะไรเลยว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่..”
“...................................................”
“วันเกิดผม แม่จะให้กล่องดนตรีเป็นของขวัญทุกปีเพราะแม่บอกเองว่าผมเหมือนเจ้าสิ่งนั้น เสียงดนตรีจากผมจะทำให้คนที่ฟังมีความสุขเหมือนที่พ่อกับแม่ได้ฟัง”
“...................................................”
“วันนั้นเป็นวันเกิด ผมแค่อยากกลับบ้านเร็วเพราะอยากรู้ว่าแม่จะให้กล่องดนตรีแบบไหนกับผม แต่สิ่งที่ผมเจอ..”
คีตาค่อยๆ ก้าวทีละก้าวเพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะได้ยินเสียงว่าเขากลับมาก่อนเวลาเลิกเรียน คีตาเห็นพ่อกับแม่อยู่ตรงห้องนั่งเล่นตั้งใจจะเข้าไปโผล่ให้แม่ตกใจเล่นแต่เสียงของพ่อที่ตะโกนขึ้นมาทำให้คีตาต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่
“ผมไม่อยากให้คีย์เสียใจ เพลงก็รู้ว่าคีย์รักเพลงมากแค่ไหน ถ้าเขารู้ว่าจริงๆ แล้วเราเซ็นใบหย่ากันมาเกือบปีคีย์จะรู้สึกยังไง”
“อาร์…เราจะปิดบังลูกไปถึงเมื่อไหร่เราต้องแกล้งทำเป็นรักกันไปจนถึงเมื่อไหร่ คุณก็รู้ว่าฉัน..”
“ผมรู้ว่าคุณต้องไปหาเขาๆ รอคุณอยู่แต่เพลงคีตาคือลูกของเรา คุณอยากให้คีตารู้เหรอว่าทุกวันนี้เราแกล้งทำเป็นรักกัน ไอ้ครอบครัวสุขสันต์มันไม่มีตั้งนานแล้ว”
“ที่ฉันยังอยู่ที่นี่ก็เพราะคีตารู้ไว้ด้วยนะคุณ! ถ้าไม่มีคีตาฉันไปตั้งนานแล้วฉันไม่อยากอยู่ที่นี่กับคุณอีกแล้ว!”
คีตาโตพอจนรู้ว่าเรื่องที่พ่อกับแม่คุยกันคือเรื่องอะไร ทุกคำพูดมันฝังลงในใจ ทั้งๆ ที่อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้แต่คีตากลับก้าวขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว ภาพที่แม่ร้องไห้จนแทบขาดใจเพราะไม่อยากอยู่ที่นี่เป็นภาพที่คีตายังจำได้ไม่เคยลืม คีตาไม่ได้วิ่งหนีไม่ได้โวยวายเหมือนเด็กไม่รู้จักโตเขาแค่ยืนปล่อยให้น้ำตาไหลเงียบๆ จนพ่อกับแม่หันมาเจอ
แม่เพลงร้องไห้แล้วกอดคีตาไว้แน่นแต่คีตาก็ทำได้แค่ยืนนิ่งเหมือนคนไร้ความรู้สึก จนพ่อเป็นฝ่ายเข้ามาหาแล้วพาเขาขึ้นไปรอข้างบนห้องนอน ตอนนั้นจำได้ว่าร้องไห้จนหลับเป็นวันเกิดที่เขาเองจำได้ไม่ลืม ไม่มีเค้กก้อนโต ไม่มีเพลง Happy Birthday สุดท้ายพ่อก็เป็นฝ่ายเล่าทุกอย่างให้ฟัง คีตาจำสัมผัสครั้งสุดท้ายจากแม่ได้จากวันนั้นเพราะแม่ทิ้งไว้แค่กล่องดนตรีรูปกีตาร์ที่เป็นของขวัญวันเกิด
และมันก็เป็นกล่องดนตรีอันสุดท้าย
ที่เขาได้จากแม่
“พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันมานานแล้วครับ ทั้งสองคนตัดสินใจจะหย่ากันมานานแล้วแต่ที่ยังอยู่ด้วยกันก็เพราะผม มันจะต้องแย่มากแน่ๆ ถ้าไม่ได้รักกันแล้วแต่ต้องทนอยู่ด้วยกันทุกวัน ”
“...................................................”
“เพราะผมคนเดียวถ้าไม่ใช่เพราะผม แม่ก็มีความสุขไปตั้งนานแล้วไม่ต้องมาทนอยู่ หลังจากนั้นทุกอย่างเหมือนหายวับไปกับตาเลย ไม่มีคำว่าครอบครัวไม่มีเสียงดนตรีไม่มีเสียงร้องเพลงจากแม่ไม่มีพ่อที่เล่นกีตาร์รอแม่ทำกับข้าว มีแค่ผมกับเสียงเพลงจากกล่องดนตรีอันสุดท้ายที่แม่ทิ้งไว้ให้”
“คีตา”
“คำว่า ทนอยู่ แกล้งทำเป็นรักกัน ไม่อยากอยู่ที่นี่มันอยู่ในใจผมมาตลอด ใครๆก็บอกว่าพ่อกับแม่เลิกกันตอนโตลูกอย่างผมเลยไม่มีปัญหา แต่เพราะว่าโตแล้วผมถึงจำความรู้สึกจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ยอมลืมมันสักที”
“...................................................”
“ความรักที่ผมเจอมันเจ็บปวดจนผมไม่อยากรู้จักกับใคร ไม่อยากสนิทกับคนอื่น กลัวว่าสักวันเขามาต้องมาทนอยู่เพราะผม ผมเลยเลือกที่จะอยู่คนเดียว”
เบนจามินรู้ว่าเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องอ่อนไหวและมันก็เป็นเรื่องที่ใครไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ คีตาฝังใจมาตลอดว่าพ่อกับแม่ต้องทำเป็นรักกันเพราะตัวเอง คีตาไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นเพียงแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเรื่อยๆ เบนเลยเอื้อมมือไปปาดมันออกเบาๆ ก่อนจะอุ้มคีตาให้ลงมาในน้ำเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเครียดไปมากกว่านี้
“ปลอบใจคนไม่เก่งแต่ขอพูดอะไรหน่อย”
เบนอุ้มคีตาไว้ทั้งตัวให้ลงมาในน้ำด้วยกันจนนักแต่งเพลงต้องกอดคอคนที่อุ้มอยู่ไว้แน่น
สัมผัสแนบชิดทำให้คีตาต้องมองหน้ากันตรงๆ
“ผมรู้ว่าที่คุณเจอมันหนักแต่คุณรู้ใช่ไหมถ้าคุณยังติดอยู่กับมันๆ จะทำให้คุณไม่มีความสุข อย่าเอาเรื่องนี้มาคิดว่าความรักมันจะแย่ไปหมด”
“...................................................”
“บนโลกนี้ยังมีความรักอีกหลายแบบที่คุณจะต้องเจอ มันก็อาจจะดีบ้างแย่บ้างแค่เราต้องเรียนรู้ และอีกอย่างทุกคนมีเหตผลของตัวเองทั้งนั้นตอนนั้นพ่อกับแม่เราเขาก็มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน”
“ผมไม่ได้เจอแม่อีกเพราะแม่ย้ายมาอยู่กรุงเทพ แม่เคยโทรมาหาแต่ผมก็ไม่ได้รับแต่พ่อก็บอกตลอดว่าให้คุยกับแม่บ้าง แต่ผมกับแม่เราห่างกันจนตอนนี้ผมไม่กล้าที่จะเจอ แม่เองก็มีครอบครัวใหม่”
“...................................................”
“จริงๆ ผมไม่ได้โกรธแม่หรอกแต่กลัวว่าแม่จะไม่คิดว่าผมเป็นลูก ผมไม่ใช่กล่องดนตรีของแม่อีกต่อไปแล้ว”
เบนจามินไม่เคยเล่าเรื่องที่เจอแม่ของคีตาที่โรงพยาบาลให้ฟัง แต่จากท่าทางความเป็นห่วงและแววตาก็พอทำให้เบนรู้ว่าแม่ของคีตายังรักลูกเหมือนเดิมแต่คงเพราะเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้ไม่สามารถแสดงออกได้ก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยให้ทุกอย่างมันดีขึ้นมากกว่าเดิม
“เขาอาจจะไม่ได้รักกันแล้วแต่สำหรับผมเชื่อว่าเขาทั้งสองคนก็ยังรักคุณ คีตา คุณยังเป็นกล่องดนตรีของพ่อกับแม่เหมือนเดิมนั่นแหละ
“...................................................”
“อย่าเอาอดีตมาทำร้ายชีวิตปัจจุบันเลย ปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำก็พอชีวิตต้องเจออะไรอีกเยอะ ใช้ชีวิตให้มันสมกับเด็กอายุยี่สิบห้าหน่อย นี่อะไรหม่นหมองไปหมดยิ้มด้วยลักยิ้มก็มียิ้มให้มันเยอะๆ เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”
คีตาพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่เบนจะยิ้มจนตาตี่ๆ นั่นตี่ลงมากกว่าเดิมมันดูตลกจนคีตายิ้มออกมา เบนเลยยกมือขึ้นจับผมหน้าคีตาที่เปียกน้ำแล้วจัดให้มันไม่ปิดหน้าปิดตา คีตารู้ว่าเขายังฝังใจกับความรักที่ได้เจอมาแต่มันก็จริงอย่างที่คุณเบนว่าถ้าเขายังยึดติดกับเรื่องนี้เขาคงไปไหนสักที
เพลงที่แต่งอยู่แบบเดิมๆ เนื้อหาเดิมๆ
มันคงถึงเวลาที่ต้องเริ่มใหม่สักที
คีตามองคนที่ยังกอดเขาแน่นอยู่กลางสระก่อนจะมองใบหน้าที่เขาคิดว่ามันกวนตีนตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก ไม่คิดมาก่อนว่าเบนจามินคนนั้นจะกลายเป็นคนแรกที่เขายอมเล่าเรื่องที่ติดอยู่ในใจให้ฟัง
“มีคนบอกไหมว่าพี่เบนมีพลังด้านบวกเยอะมาก”
“เยอะแยะ…บางทีก็บอกว่าอารมณ์ดีเหมือนคนบ้า”
“เป็นผู้ชายใจดี”
“อันนี้เพิ่งเคยได้ยิน พวกผู้หญิงชอบด่าว่าใจร้ายมากกว่า”
“ดีกับผมก็พอแล้ว”
“ประโยคนี้นี่มันอยู่ในเพลงอะไรหรือเปล่า ทดสอบอะไรอยู่ใช่ไหมนี่ก็เขินเป็นเหมือนกันนะเว้ย”
“เด็กอายุยี่สิบห้าก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ทำยี่สิบเก้าเป๋ได้เลยนะ”
คีตาหลับตาลงเมื่อเบนแกล้งดีดน้ำใส่หน้า
แต่พอจะดันตัวออกเบนกลับกอดกระชับให้แนบชิดมากกว่าเดิม
“ถึงเวลามองโลกในแบบใหม่แล้วนะจ๊ะหนู อย่ามัวแต่แต่งเพลงอกหักรักคุดขอแบบรักกันจะเป็นจะตายสักสิบเพลง”
“ผมว่าผมจะแต่งเพลงใหม่หมด”
“หมดเลย? ที่ผ่านมาไม่เอาเลย”
“ไม่เอาเลยขอเริ่มใหม่ทั้งหมด”
“พี่สองร้องไห้ตายห่าแน่ๆ ช่วยแก้ไปแล้วเป็นสิบๆ เพลง”
เบนจามินกอดเอวคนที่หัวเราะเมื่อนึกถึงหน้าโปรดิวเซอร์ของ KTD คีตากอดคอเบนให้แน่นขึ้นจนใบหน้าทั้งคู่อยู่ใกล้กันมากกว่าเดิม สายตาที่มองกันอยู่ทำให้คีตาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ผมจะแต่งเพลงจากความรักของผม”
“กับใคร”
“รอฟังซิครับ”
“คีตา..พี่ไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเราเองก็รู้ใช่ไหมถ้าสักวันหนึ่งเราต้องร้องไห้เพราะพี่..ถ้าเกิดว่าพี่ทำให้เราเสียใจ”
“ผมไม่รู้ว่าพี่เบนดีไม่ดียังไงไม่รู้ด้วยว่าอนาคตมันจะเป็นแบบไหนแต่ตอนนี้พี่คือคนที่ทำให้ผมอยากแต่งเพลงรัก ผมรู้แค่นี้”
เบนจามินเงียบลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัดๆ คีตาหลับตาลงเมื่อเบนจูบลงบนหน้าผากขาวแล้วค่อยๆ ไล่ลงมาที่ปลายจมูกริมฝีปากที่เฉียดกันไปมาแต่ไม่กล้าที่จะสัมผัสกันเบนเลยถามเบาๆ
“จูบได้ไหม”
“ไม่ได้”
“ถ้าเป็นในละครนี่ต้องได้แล้วนะ”
“เคยดูแต่พระเอกจูบเลยโดยไม่ถาม”
“...........................................................................”
โห..ไอ้เด็กยี่สิบห้า
เบนอุ้มคีตาให้นั่งลงบนขอบสระก่อนที่ตัวเองจะแทรกตัวแล้วก้มลงไปหาคนที่หลับตาลง เบนรู้ลิมิตตัวเองว่าเขาจะไม่ล่วงเกินคีตาไปมากกว่านี้ มือใหญ่รั้งให้คีตารับจูบที่เขาตั้งใจมอบให้ เบนค่อยๆ ไล้ไปตามแผ่นหลังเล็กเบาๆ เมื่อคีตาที่วางแขนบนไหล่กว้างกอดกระชับแน่น
ไม่ได้ถึงขั้นดีฟคิสเพราะเบนคิดว่าสำหรับคีตายังไม่ถึงเวลา แต่แค่นี้ก็ทำให้เขาแทบบ้าได้เหมือนกัน ถ้าแกงค์ลูกเพื่อนแม่มาเห็นว่าเขาใจเต้นแทบระเบิดกับจูบไม่ประสีประสาของเด็กผู้ชายตัวเล็กแก้มป่องคงโดนล้อแน่ๆ
นึกแล้วก็ตลกอยู่เหมือนกันถ้าเป็นเมื่อก่อนบรรยากาศแบบนี้คงต้องเป็นผู้หญิงหุ่นระดับนางแบบใส่บิกินี่ตัวจิ๋วแต่คนที่ทำให้เบนไม่อยากปล่อยมือในตอนนี้กลายเป็นเด็กผู้ชายที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงบอล แถมยังจูบไปเขินไปจนทำให้เขาใจสั่น เบนผละออกมาแล้วแนบหน้าผากมองคนที่หอบจนหน้าแดง เบนเลยยิ้มนิดๆ แล้วก้มลงมาหอมแก้มนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะกระซิบเบาๆ ให้นักแต่งเพลงได้ยิน
“อย่างน้อยวันนี้ต้องได้เพลงรักสักเพลงแล้วคีตา”
TO BE CON
ปล.กลับมาแล้วจ้าาาาหายไปนานเหลือเกิน สิ้นปีเหมือนสิ้นใจงานหรืออะไรทับถมมาก
HNY นะคะทุกคน 2019 จะไม่หานไปนานแน่นอน ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ ^^
ปล2 พี่เบนไม่ใช่ผู้ชายที่ดี..
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
เนี่ยๆ ปล. ของคุณไรท์ ทำเราใจไม่ดีอีกแล้ววววว o22
ปล. พี่เบนไม่ใช่ผู้ชายที่ดี // ฮืออออ :sad4:
คุณไรท์เรื่องนี้ไม่ใช่แนวทุ่งลาเวนเดอร์หรอคะ :z3:
พี่เบนจะร้ายหรอ ม่ายยยยจิ้งงงงง :hao7:
-
็HNY 2019 จ้า
ช่วย ๆ กันแต่งสิจ๊ะ ต้องเป็นเพลงรักที่เพราะมาก ๆ เลย
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.13 : Spiderman
“เพลงนี้ก็เอาเหรอ เพลงนี้ด้วย แต่มีอีกสองเพลงที่คีย์เลือกไว้แล้วนะ”
“เกินสิบเพลงแล้วเหรอครับ”
“ยังหรอก ทุกทีโปรเจคแบบนี้เราจะเลือกเพลงเป็นสิบยี่สิบเพลงอยู่แล้วเวลาประชุมค่อยมาเลือกทีหลัง”
“ผมมีสิทธิ์ตัดสินใจมากแค่ไหน”
“ที่บริษัทอื่นขึ้นอยู่กับผู้ดูแลโปรเจคนั้นนะ ถ้าเป็น KTD ก็คือเบนแต่ที่นี่น่าจะสิทธิ์เรา100%”
“พี่สองขอแบบตรงๆ นะแบบหมายถึง…”
“หมายถึงไม่เกี่ยวกับที่เรากำลังกุ๊กกิ๊กกับเบนน่ะเหรอ”
“พี่….”
“โอเคเลิกแกล้ง ไม่เกี่ยวจริงๆ ที่ KTD เราทำงานเหมือนครอบครัวคุยกันได้ทุกเรื่อง คีย์มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกเพลงในโปรเจคได้100%แต่มันก็ต้องเข้าที่ประชุมนะ เราต้องเข้าใจด้วย”
ไม่ได้โกหกเลยสักนิด ที่เขาเลือกทำงานที่ KTD ก็เพราะแบบนี้ครอบครัวสุขสันต์หรรษา คิดดูแล้วกันว่าเขาสามารถเล่นหัวทั้งด่าทั้งตีเบนจามินทายาทหัวแก้วหัวแหวนของ KTD ได้โดยที่เจ้าสัวกรรณไม่ได้ถือโทษโกรธเขาแต่อย่างใด เขามีอิสระในการทำงานไม่ได้ตีกรอบเคร่งครัดจนทำให้เขาอึดอัด
KTD สำหรับเขาดีที่หนึ่งแล้ว
สองหยิบเนื้อเพลงที่นักแต่งเพลงเลือกไว้ขึ้นมาอ่านทีละเพลง ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่วันที่เขาพูดเรื่องนั้นกับเบนทั้งสองคนได้คุยอะไรกันอีกหรือเปล่ามันก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว แต่คิดว่าทุกอย่างมันน่าจะดีขึ้นเพราะวันรุ่งขึ้นคีตาก็เดินมาหาแล้วบอกว่าขอโทษ ตอนแรกสองโคตร งง ว่าเรื่องอะไร
“พี่สองครับผมขอแต่งเพลงที่จะใช้ในโปรเจคสิบเพลงรักใหม่หมดเลยนะครับ”
ได้ยินครั้งแรกนี่อยากเป็นลมล้มตึงไปเลยเพราะคิดว่าโปรเจคนี้ใกล้เสร็จแล้วด้วยซ้ำ เพราะเขาเองก็แก้ไปเกือบสิบๆ เพลงแต่พอเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของนักแต่งเพลง สองก็มั่นใจว่าเพลงที่ต้องแต่งใหม่มันจะต้องดีกว่าเพลงที่แล้วๆ มาแน่นอน พอมองเลยไปทางประตูไอ้คนที่กอดอกอยู่ก็ยิ้มจนตาตี่ๆ นั่นตี่ลงไปอีก
เบนจามิน เกียรติธนธาดาเวอร์ชั่นใหม่นี่พึ่งพาได้มากกว่าที่คิด
“เราไม่แก้แล้วแน่นะเพลงนี้”
“ไม่แก้แล้วครับ”
“คีย์…เพลงรักทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเพราะใครบางคนหรือเปล่า”
“ก็..ครับผมพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่”
“ก็เลยแต่งเพลงให้ซะเลย”
“พี่สองแค่อ่านก็รู้แล้วเหรอครับ”
“พี่อยู่ในวงการนี้มานานนะคีย์ ก็พอเข้าใจเรื่องแบบนี้อยู่บ้างถ้าเขาได้ฟังเพลงหมดทั้งโปรเจคนี้เขินจนเดินตกคลองแน่นอน”
“หวังว่าเขาจะได้ฟังนะครับ”
“ไม่อยากให้เบนเล่นดนตรีให้บ้างเหรอ เพลงไหนก็ได้สักเพลง”
“เขาดูไม่ค่อยอยากเล่นดนตรีเท่าไหร่เมื่อก่อนเขาเล่นบ่อยเหรอครับ”
“เบนเล่นได้ทุกอย่างแต่ไม่มีเครื่องดนตรีไหนที่เบนชอบเป็นพิเศษมีแค่อย่างเดียว..พี่ไม่รู้ว่าคีย์รู้หรือเปล่าว่าคืออะไร”
“คุณเบนเคยเล่าแต่ไม่เคยบอกว่าเครื่องดนตรีอันไหน”
“เดี๋ยวสักวันคีย์ก็น่าจะรู้พี่อยากให้เบนเป็นคนเล่าเอง”
“แล้วทำไมคุณเบนเขาถึงไม่เล่นแล้วล่ะครับ”
สองถอนหายใจเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานานแล้ว ภาพเบนจามินที่เอาแต่กอดเครื่องดนตรีแล้วร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นภาพเองที่สองเองก็จำได้ไม่ลืม เจ้าสัวกรรณที่เข้มแข็งแข็งแกร่งดั่งหินเห็นลูกตัวเองที่เคยร่าเริงอยู่ตลอดร้องไห้หนักขนาดนั้นใจก็แทบสลายอยู่เหมือนกัน สองหันมามองนักแต่งเพลงที่ยังรอฟังคำตอบเขาอยู่ก่อนจะยิ้มให้
“คงเป็นเหตุผลเดียวกับตอนที่คิดจะเริ่มเล่นเครื่องดนตรีอันนี้ล่ะมั้ง”
MUSIC BOX
“นั่งจ้องแบบนี้เดินมาจูบกันเลยดีกว่า”
“เรื่อง”
“งั้นก็เลิกจ้องแล้วเดินมาหาพี่”
คีตายังคงเท้าคางนั่งมองคนที่ก้มหน้าก้มตากับงานเอกสารตรงหน้า แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงทุ่มกว่าๆ แล้วก็ตาม ชีวิตผู้บริหารวุ่นวายคีตาก็พอรู้เขาเห็นคุณเบนทำงานแม้กระทั่งวันหยุด โทรศัพท์ติดต่อคนนู้นคนนี้ทั้งวันเดี๋ยวนี้ก็ขยันจนทำงานแทบจะทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว คีตาลุกจากเคาน์เตอร์ตรงห้องครัวแล้วเดินมาหาคนที่ยังนั่งทำงานอยู่
“หิวหรือเปล่าพี่ลืมข้าวเย็นไปเลย”
“โทรสั่งเอาก็ได้”
“เดี๋ยวแกงค์ลูกเพื่อนแม่มาหาแล้วเราไปกินข้าวกัน เอาร้านใกล้ๆ แถวๆ นี้”
“ผมไปด้วยเหรอ”
“เอ๊า..อยู่นี่ทิ้งให้กินอาหารอันนานะ”
“ก็นึกว่าคุณเบนอยากอยู่กับเพื่อน”
“ไม้ก็มาจำได้ใช่ไหม”
“จำได้แฟนคุณมิล แล้ววันนี้ทำไมคุณเบนยังทำงานอยู่”
“งานไม่เสร็จไงจ๊ะเจ้าหนู”
“ดูเหนื่อย”
“โคตรเหนื่อยมากอดพี่เร็ว”
คีย์เหล่ตามองคนที่แกล้งทำหน้าอ่อนล้าทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ยังทำหน้าตาทะเล้นอยู่เลย เบนจามินกระเถิบตัวมาพิงโซฟาทำท่าหมดแรงจนคีตาต้องเดินเข้ามาหาตั้งใจจะนั่งลงข้างๆ แต่กลับถูกดึงให้นั่งลงบนตักแถมยังถูกกอดไว้แน่น
“ผมว่าตัวผมไม่ใช่เบาๆ”
“หนักแก้มน่ะสิเรา ทุกอย่างไปอยู่ที่แก้มหมด”
“มีแก้มไม่น่ารักเหรอ”
“เดี๋ยว..ใครให้ถามประโยคแบบนี้กับคนอื่น”
“ก็โดนล้อเรื่องแก้มมาตั้งแต่เด็ก”
“เขาเรียกเอ็นดูไม่ใช่ล้อแล้วห้ามไปถามคำถามนี้กับใครอีก”
“มีแก้มไม่น่ารักเหรอ”
“บอกว่าห้ามถามไงวะ”
“ก็คุณเบนไม่เห็นจะตอบ”
“เราเหมือนทายาทไอ้ทิมเลยเนี่ยพี่กลัวแล้วนะ ถามจริงเคยมีแฟนหรือเปล่า”
เบนจามินขยับตัวแล้วกระชับกอดให้คนบนตักนั่งดีๆ ยิ่งคีตาเงียบอยู่อย่างนั้นเบนก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆ
จนคีตาต้องยกมือขึ้นมาวางพาดบนไหล่กว้าง
“คิดว่ามีไหม”
“จากเรื่องที่เราเล่าให้พี่ฟังดูเหมือนเราจะไม่เชื่อเรื่องความรักเท่าไหร่เพราะฉะนั้นเรื่องแฟนน่ะตัดไปได้เลย”
“แน่ใจ?”
“ตอนนี้เริ่มไม่ละหยิบยาดมก่อนดีไหม”
“พี่เบน…ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกันนะ ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายก็มีเข้ามาบ้าง แต่มีคนหนึ่งเขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะความสัมพันธ์ของผมกับเขามันไปไม่ถึงแฟนหรอกสุดท้ายมันก็จบไม่สวยเพราะผม เคยพยายามแล้วแต่ผมก็กลัวว่ามันจะเหมือนที่ผมเคยเจอมา สุดท้ายเขาก็ไป”
ความจริงมันก็อาจจะเป็นความผิดของคีตาเองด้วย เพราะความรักที่เขาเจอมันแย่จนเขาไม่กล้าพัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่น มันเลยหยุดอยู่แค่นั้นพออีกฝ่ายทนไม่ได้ก็ไม่มีใครอยากอยู่ด้วย เขาเองก็ไม่ได้เย็นชาตายด้านเรื่องแบบนี้แต่คิดว่าตอนนั้นมันยังไม่กล้าที่จะเริ่มความรู้สึกกับใครสักคนจริงๆ จัง มันกลัวไปหมด
ก็แค่อยากลอง
ก็แค่อยากรู้
ก็เท่านั้น
"ผมบอกพี่เบนคนแรกพ่อผมยังไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย"
“รักเขาไหม”
“พยายามจะรักมากกว่าแต่มันก็รู้สึกดีตอนที่เขาอยู่ด้วยนะไม่ได้แย่อะไร แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่รักผมอาจจะแค่เหงาไม่ก็กลัวละมั้ง”
“ถึงขั้นไหน”
“หมายถึง?”
“กอด หอม จูบหรือมากกว่านั้น”
“………………………………………”
เบนจามินบอกตามตรงเขาไม่ได้ถือเรื่องครั้งแรกอะไรแบบนั้นหรอกแต่ไม่รู้ว่าทำไมพอได้รู้เรื่องคีตาแล้ว ระดับคำว่าหวงมันพุ่งขึ้นมาแทบทะลุปรอทแล้วตอนนี้ ยิ่งคีตาเงียบอยู่อย่างนั้นเบนเริ่มหน้ามืดขึ้นมาจริงๆ เลยเป็นฝ่ายถามเองว่าเคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ไหมแล้วให้คีตาพยักหน้า พอถึงคำว่าจูบแล้วคีตาพยักหน้าเบนก็คิ้วขมวดแถมยังเผลอกระชับมือที่กอดเอวแน่นขึ้นมากกว่าเดิม
“มากกว่าจูบถึงขั้นนั้นไหม”
“พูดตรงๆ ได้นะไม่ถือ”
“เซ็กส์”
“ไม่ถึง”
“โอเค”
“แค่เกือบ”
“พี่จะหัวใจวายตายแล้วคีตา”
“โอ๊ยพี่เบนผมยี่สิบห้าแล้วนะ”
“สามสิบห้า สี่สิบห้า ห้าสิบห้าก็ไม่ได้! เนี่ยเส้นเลือดในสมองจะแตก”
ถึงเรื่องที่คุยจะเหมือนเรื่องซีเรียสแต่ก็ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เราสองคนได้รู้จักกันมากกว่าเดิม คีตามองเบนที่ทำหน้ายุ่งคิ้วขมวดไม่ยอมเลิกเพิ่งเคยเห็นเบนจามินในมุมแบบนี้เหมือนกัน คีตาก็พอรู้จักเบนจามินจากที่พ่อเคยเล่าให้ฟังอยู่บ้าง ทายาทคนเล็ก KTD เจ้าชู้ เพลย์บอยขนาดไหน
คีตาไม่เคยถามหรอกว่าตอนนี้เบนจามินมีใครหรือยังเจอกับผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า เขารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวและเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์มากแค่ไหนในตอนนี้ ต่างคนต่างเงียบเมื่อเบนจามินเอาแต่จ้องหน้าอยู่อย่างนั้น ก่อนที่คีตาจะดันไหล่เบนไว้เมื่อเบนก้มลงมาฟัดแก้มที่อยู่ตรงหน้า คีตาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโดนแกล้งเมื่อเบนยังคงหอมซ้ำๆ ย้ายข้างไปจนคีตาต้องบอกให้หยุดก่อน
“ทีตัวเองยังจีบเขาไปทั่วเลย”
“เฮ้ยไอ้หนูเมื่อก่อนยอมรับว่าแย่ สับรางเก่งชนิดที่เรียกว่าตัวพ่อแต่เออนั่นแหละไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ”
“ผมไม่ถามหรอกนะว่าตอนนี้พี่เป็นยังไงแล้ว…มีใครที่พี่คุยด้วยหรือเปล่าพี่มีสิทธิ์ แต่ถ้าวันไหนที่พี่มีตัวจริงเขาคือคนที่ใช่คนที่พี่รักผมจะไม่อยู่ตรงนี้”
“เหมือนพี่เอาเปรียบเราอยู่”
“ผมตัดสินใจเอง”
“แต่สำหรับพี่ๆ ไม่อยากให้เราคุยกับใครเลยมันดูเห็นแก่ตัวพี่รู้”
“ผมเข้าใจถ้ามันถึงเวลานั้นจริงๆ ผมจะไม่ใช่ตัวเลือก ตัวสำรอง หรือว่าตัวแทนของใครทั้งนั้นถ้าเป็นตัวจริงไม่ได้ ผมก็จะไม่อยู่เข้าใจผมด้วยนะครับ”
“คีตา”
“เอาเป็นว่าตอนนี้ที่พี่เบนอยู่ตรงนี้มันดีมากๆ แล้ว”
เบนเข้าใจที่คีตาต้องการจะบอก สถานะเราตอนนี้เราทั้งสองคนไม่ได้ระบุแน่ชัดว่ามันคืออะไร เราทั้งคู่ก็ยังต้องการเวลาให้ทุกอย่างมันชัดเจนมากกว่านี้ เบนบอกตามตรงยังมีผู้หญิงทักไลน์มาหาตลอดเขาทำงานอยู่ในวงการนี้แน่นอนว่าทั้งนักร้อง นางแบบ นักแสดงต่างเข้ามาหากันให้วุ่นถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงคุยกับทุกคน
เพราะเขาไม่คิดจะจริงจังกับใครอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เขาเองรู้สึกว่ามันเบื่อๆ ไปเองอาจเป็นเพราะเขาเริ่มโฟกัสกับงานจริงจัง ทุกอย่างมันก็เริ่มเปลี่ยนไปหมดแค่เวลาทำงานก็หมดไปแล้วเกือบทั้งวัน ไม่มีเวลาไปหยอดหรือจีบใครต่อใครอีก เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคุยกับคนอื่นหลายๆ คนมันไม่ได้เท่เลยสักนิดเดียว สลับตอบไลน์เกินสามคนเขาก็เริ่มปวดหัวเลยโยนให้มาร์ชเป็นคนจัดการแทน
เขาเคยคิดว่าไอ้รามิลทำได้ไงที่เลิกงานตรงเวลาแล้วตรงดิ่งไปร้าน SECRET GARDEN เพื่อไปหาต้นไม้ จนวันนี้เขารู้แล้วว่ามันเพราะอะไร เบนกลับบ้านพร้อมคีตาทุกวันบนรถเราคุยกันเรื่อยเปื่อย มีแวะกินข้าวบ้างบางวัน ไม่ก็ซื้อของเข้าคอนโดด้วยกัน ทุกอย่างมันธรรมดาแต่เบนก็รู้สึกว่ามันสบายๆ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมาก
มันมีความสุขเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเบนสามารถเล่นๆ บ้าๆ บอๆ ได้พูดจากวนตีนแค่ไหนก็ได้เป็นตัวของตัวเองโดยที่ไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ เป็นเหมือนรามิลเวลาที่มันอยู่กับต้นไม้ เป็นรามิลที่ติงต๊องหัวหน้าแกงค์ลูกเพื่อนแม่ไม่ใช่รามิล เตชนะหิรัญ
ถ้าต้นไม้เป็นเหมือนที่พักพิงให้กับรามิล
คีตาก็เป็นเหมือนเสียงดนตรีให้กับเขาเหมือนกัน
MUSIC BOX
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่คุณชายเบนจามินออกจากบ้านมากินข้าวด้วยชุดอยู่บ้านขนาดนี้”
“ร้านห่างจากคอนโดแค่ยี่สิบนาทีต้องแต่งอะไรให้มันมากมาย”
“เมื่อก่อนร้านหน้าปากซอยบ้านมึงยังแต่งซะไปดินเนอร์โรงแรมห้าดาว”
คีตาที่กำลังเลือกเมนูอาหารหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคนั้นเพราะตัวเองเคยรอคุณเบนแต่งตัวเกือบสองชั่วโมง ตอนนั้นยังคิดเลยว่าคนบ้าอะไรจะแต่งตัวนานขนาดนี้ จะว่าไปคุณเบนก็แต่งตัวสบายๆ ขึ้น ตอนเจอกันแรกๆ นี่เนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า เสื้อ เนคไทด์ นี่ต้องเข้าชุดรองเท้ามันแว๊บ ยังคิดอยู่เลยนึกว่าจะมีแต่ในละครชีวิตจริงก็มีคนแต่งตัวแบบนี้อยู่เหมือนกัน
“หัวเราะอะไรไอ้หนู”
“บีบแก้มนี่ต่อยเลยนะ”
“เนี่ยไอ้ทิมลูกมึงชัดๆ เดี๋ยวนี้พูดอะไรกูกลัวไปหมด”
“คีตาเหมือนกูเหรอ ดีว่ะ”
“แค่คิดว่าบนโลกนี้มีไอ้ทิมสองคนกูร้องไห้รอเลยนะ”
“คนหนึ่งมีกูดูแล ส่วนไอ้ทิมยกให้ไอ้คินดู”
“สัดเอ๊ย กูต้องรีบหาเมียแล้ว”
“พวกมึงทิ้งกูๆ จะเอาคุณไม้กับคีตาไปซ่อนบอกไว้ก่อนเลย”
“คนอื่นพูดกูมองว่าเป็นเรื่องตลกพอเป็นมึงพูดกูกลัวขึ้นมาทันที ไม้ต้องโทรหามิลยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะ”
คีตายิ้มออกมาเมื่อคุณไม้เคยบอกว่า คุณรามิลเป็นหัวหน้าแกงค์ที่อยู่ในวงเล็บว่าไม่มีอำนาจเพราะอำนาจอยู่ที่คุณทิมเพิ่งได้เห็นเหตุการณ์จริงๆ ก็วันนี้ นี่ก็ไม่ได้ทานอาหารกับคนเยอะๆ แบบนี้มานานเหมือนกันเพื่อนสนิทคีตาก็มีแค่ชาญเท่านั้น เพื่อนในคณะก็ไม่ได้สนิทถึงขั้นมานั่งเฮฮาหัวเราะได้แบบนี้
“เอาซุปเห็ดไหม”
“อยากกินซุปข้าวโพดมากกว่า”
“สปาเก็ตตี้แบบไหนขี้เมา คาโบ”
“เลือกไม่ได้ผมเลือกอันหนึ่งคุณเบนเลือกอันหนึ่ง”
“อยากกินก็สั่งมาให้หมด”
“เฮ้ย เลือกที่คุณเบนอยากกินซิ”
“กินได้หมดแบบไหนก็ได้ รู้หรือเปล่าว่าพี่ชอบกินอะไร”
“ลองใจเหรอ”
“อยู่ด้วยกันยี่สิบสี่โมงแล้วคีตา มันต้องรู้ใจกันบ้างแล้วพวกมึงสั่ง..เป็นอะไรกันวะ”
เบนเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อเห็นว่าทุกคนบนโต๊ะถือเมนูค้างไว้แต่สายตามองมาที่เขาคนเดียว คีตาเห็นแบบนั้นก็เลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำคงเพราะเริ่มเขินขึ้นมาเหมือนกันเพิ่งรู้ตัวว่าคุณเบนนั่งอยู่ใกล้มากแค่ไหนก็ตอนจะลุกเลยโดนดันให้เขยิบตัวออกไป
“สนิทกันดีเนอะเมื่อก่อนยังตีกันแทบตายเดี๋ยวนี้ให้เขาเรียกพี่เบนได้เต็มปากเต็มคำ”
“เรียกพี่เบนเฉพาะเวลาที่อยากจะเรียก นอกนั้นคุณเบนทีไอ้มาร์ชเรียกพี่ทุกคำเออ..ทำไมวะ”
“เดี๋ยวนี้คุณเบนไม่สั่งดอกไม้ร้านผมแล้วเหรอครับ SECRET GARDEN เหงาน่าดู”
“ผู้ชายอายุยี่สิบห้านี่เขาจะชอบดอกไม้แบบไหนล่ะครับไม้”
“ดีนะน้องเขายี่สิบห้าแล้วหน้าเด็กนึกว่าอายุสิบเก้า ไม่งั้นขาไอ้เบนเหยียบคุกไปแล้วข้างหนึ่ง”
“ยี่สิบห้านี่ทำใจกูสั่นสะเทือนไปหลายรอบแล้วนะ ถ้าพวกมึงรู้ว่าท็อปปิคที่กูคุยกันก่อนจะมากินข้าวเรื่องอะไรอาจจะช็อค”
“ใครช็อค”
“กูเนี่ยช็อคไปแล้ว เด็กสมัยนี้ไวไฟนัก”
“ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเห็นมึงในแบบนี้นะเบน”
“แบบไหน”
“แบบสบายๆ ใส่ชุดอยู่บ้านรองเท้าแตะผมไม่เซ็ทใส่แว่นตา พูดจากวนตีนไม่ใช่คุณชายเบนจามินแต่เป็นเบนจามินไอ้ตี๋แกงค์ลูกเพื่อนแม่”
“กูก็เป็นแบบนี้เวลาที่อยู่กับพวกมึง”
“หมายถึงกับคนอื่นคงรู้นะว่าหมายถึงใคร”
“ดีใจนะที่มึงเลิกคิดถึงเรื่องนั้นสักที กูรู้ว่ามึงยังไม่ลืมพี่เขาหรอกมึงเคยรักเขาขนาดนั้น แต่มึงจะต้องก้าวออกมานะเบนกูยังจำภาพที่มึงร้องไห้จะเป็นจะตายได้อยู่เลย”
“กูก็ไม่เคยลืมตัวเองตอนนั้นเหมือนกัน”
“ เขาอาจะไม่ได้เพอร์เฟค สวย น่ารัก เหมือนกับที่มึงเคยฝันไว้ แต่ถ้าตอนนี้มึงเจอคนที่มึงสามารถเล่นเป็นสไปเดอร์แมนด้วยได้มันก็โอเคแล้วใช่ไหมวะ”
รามิลไม่ได้พูดอะไรต่อเมื่อคีตาเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับอาหารที่สั่งไว้ทยอยมาเสิร์ฟ แกงค์ลูกเพื่อนแม่มองตามอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเบนจามิน ทุกคนนึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ที่เบนบอกให้คีตาลองสั่งอาหารที่เบนชอบ คีตาน่าจะสอบผ่านแล้วเพราะทุกจานคืออาหารที่เบนชอบทั้งนั้น
คีตาหยิบส้อมขึ้นมาจะจิ้มอาหารแต่ก็หันมามองเบนจามินที่ยังคงมองเขาอยู่อย่างนั้น กำลังจะเอ่ยถามว่ามีอะไรหรือเปล่าแต่อยู่ดีๆ เบนก็ทำท่ายิงใยแมงมุมแบบสไปเดอร์แมนใส่คีตา
ทุกคนที่กำลังหั่นสเต็กหยุดค้างชะงักเมื่อเห็นเบนทำแบบนั้น แกงค์ลูกเพื่อนแม่คอยลุ้นเหตุการณ์ตรงหน้าว่าคีตาจะทำยังไงต่อเพราะเบนเล่นแบบนี้ใส่คู่ควงคนเก่าๆ แล้วเคยโดนด่าว่าปัญญาอ่อนจนถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรงก็มี ทั้งโต๊ะเงียบกริบเมื่อคีตาเริ่มขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นมาทำท่ายิงใยแมงมุมใส่กลับเบน
“ว่าไงสไปเดอร์แมน”
อยู่ดีๆ ทั้งโต๊ะก็หัวเราะออกมาพร้อมกันจนคีตานึกว่าพูดอะไรผิด แกงค์ลูกเพื่อนแม่เลยต้องยกมือปฏิเสธพร้อมกับแก้สถานการณ์ด้วยการบอกซูเปอร์ฮีโร่ที่ตัวเองชอบกันยกใหญ่ อยู่ดีๆ เบนก็คว้าตัวคีตาให้เอนมาหาก่อนจะจูบตรงข้างขมับแรงๆ หนึ่งทีคีตาตาโตไม่นึกว่าคุณเบนจะทำแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนตั้งใจจะทุบให้สำนึกสักที แต่พอเห็นรอยยิ้มกับตาตี่ๆ ของคุณเบน คีตาเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เบนเลื่อนจานอาหารให้ใกล้คีตามากขึ้นก่อนที่คีตาเองก็หั่นสเต็กให้เขาอยู่มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เบนก็รู้สึกดี บอกตามตรงเขาไม่เคยเป็นฝ่ายที่ถูกดูแลมาก่อน ทุกครั้งที่เขาเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจมากกว่า คีตากำลังหยิบน้ำขึ้นมาดื่มหยุดชะงักเมื่อมือซ้ายของเขาถูกจับไว้แล้วไปวางบนตักของคุณเบน อยากจะถามเหมือนกันว่ากินมือซ้ายถนัดเหรอ
แต่ระดับเบนจามิน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
สไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นตี๋ๆ ก็น่ารักกว่าที่คิดไว้เหมือนกัน
TO BE CON
PS. HNY2019 นะคะทุกคน
ps2. เป็นโรคติดสัมผัสกันทั้งแกงค์ลูกเพื่อนแม่จ้า
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
เบนเอ๋ยตายในกำมือน้องแน่ๆ
-
คือดีย์~~~
คีตาสอบผ่านแล้ว พี่เบนล่ะ จะได้สอบยังคะ ^^
-
เป็นนิยายที่ชอบมากๆ ฮีลขั้นสุด ออกเป็นเล่มเมื่อไหร่ซื้อเก็บแน่นอน แต่อยากได้เป็นebook มากกว่า
เป็นกำลังใจให้คนเขียน ลงตอนต่อไปเร็วๆนะคะ :mew3:
-
HNY2019จ้า
งูยยยยย น้องคีย์น่ารักมากกกกก พี่เบนไม่หลงให้มันรู้ไปสิ
แต่ ๆๆๆๆ อดีตของพี่เบนคงไม่หวลคืนนะคะ กลัวใจ
-
ฮือออออ พี่เบนนนน น้องคีตาาาา น่ารักทั้งคู่
ชอบมากเวลาอยู่ด้วยกัน บรรยากาศความรักล่องลอย
รอคนเขียนมาอัพต่อนะคะยังคงติดตามอยู่น้าแวะมาเม้นให้กำลังใจค่ะ แล้วก็ยังจะรอติดตามชาวแก๊งลูกเพื่อนแม่ตลอดเลย
-
พี่เบนกับน้องคีตาน่ารักกกกกกกก :hao7:
ตกลงคือใครที่จะเป็นหวานใจของแก๊งส์ลูกเพื่อนแม่ต้องเจอความคลั่งซุปเปอร์ฮีโร่สินะ :o8:
-
น่ารักกกกก เบนไม่รอดแน่ๆ คีตาน่ารักขนาดนี้จะไปไหนได้ :กอด1:
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.14 : My Story
ประชุมทุกวัน..
ตั้งแต่คีตาบอกว่าจะแต่งเพลงโปรเจคสิบเพลงรักใหม่ทั้งหมด จำได้ว่าหน้าเมธัสช็อคนิ่งสนิทเพราะตอนนั้นโปรเจคนี้เรียกได้ว่าสำเร็จไปแล้ว 70% นี่ก็เหมือนกับต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ ถึงแม้ว่าเมธัสจะไม่ได้หาเรื่องเขากับคีตาเหมือนเมื่อก่อน แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะหัวเสียอยู่ไม่น้อย
คีตาเองก็คงรู้สึกผิด แต่พี่เอกกับพี่สองก็คอยช่วยเสริมให้ว่าเพลงที่คีตาแต่งใหม่มันดีกว่าเพลงเก่าแน่ๆ และคงไม่ต้องแก้อะไรมาก พอเป็นผู้ใหญ่ในบริษัทพูดแบบนี้ เมธัสก็เลยอ่อนให้บ้างคีตาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เขานี่ยังโดนมันแขวะไม่เลิก
“ตอนนี้ผมเชื่อในฝีมือคุณคีตานะครับ แต่สำหรับผู้รับผิดชอบโปรเจค..”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่ต้องแลกหมัดกันสักหมัดสองหมัด ดีที่ตอนนี้เป็นเบนจามินเวอร์ชั่นใหม่แล้วเลยพยายามยิ้มให้แบบเกร็งสุดชีวิตอยากมีคำพูดในแบบพระเอกๆ ให้ไอ้เมธัสหน้าหงายสักครั้ง แต่คีตาก็บอกว่ารอให้เพลงเสร็จเรียบร้อยก่อนดีกว่าค่อยคิดสุนทรพจน์ยาวสี่หน้ากระดาษเอสี่ยังได้
แปดหน้าเลยดีกว่าเอาสักสามภาษา
ไทย อังกฤษ จีน เอาให้มันเงิบไปเลย
พอเสร็จจากเมธัสเจ้เบอร์ดี้ก็เรียกต่ออีก นั่นแหละเพราะเจ้เบอร์ดี้ล๊อควันไว้แล้วสำหรับโปรเจคสิบเพลงรัก พอมีเรื่องที่คีตาขอแต่งเพลงใหม่หมดก็เลยกลัวว่าจะต้องเลื่อนวันเปิดโปรเจค ยังดีที่ไม่ได้เป็นการประชุมแบบทางการแค่เรียกมาคุยเรื่องรายละเอียดก็เท่านั้นแต่เบนเองรู้สึกว่าเหมือนพาแฟนมาเปิดตัวยังไงไม่รู้ สายตาเจ้เบอร์ดี้เหมือนจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา
“พี่ถามได้ไหมว่าทำไมคีตาถึงจะแต่งเพลงใหม่หมด”
“อยากแต่งเพลงจากความรู้สึกของตัวเองครับ”
“อธิบายซิ…พี่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
“ผมต้องขอโทษจริงๆ นะครับเรื่องเพลงที่เสร็จไปแล้ว แต่สำหรับผมที่เป็นนักแต่งเพลงถ้ามันยังไม่พอใจผมจะรู้สึกแย่จริงๆ คราวนี้ผมมั่นใจมากว่าจะไม่มีการเปลี่ยนเพลงอีกแล้วแน่นอนครับ”
“หมายถึงคราวนี้จะแต่งเพลงจากความรักของตัวเองใช่ไหมที่พี่เข้าใจ”
“ครับ”
“มีแฟนแล้วเหรอ เบน..เลอะหมดแล้วกินกาแฟยังไงให้สำลักขนาดนี้”
ยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามไอ้คนรับผิดชอบโปรเจคก็สำลักกาแฟที่เพิ่งดื่มเข้าไป ไอซะจนหน้าดำหน้าแดง คีตาที่นั่งอยู่ข้างๆ เลยยกมือลูบหลังเบาๆ เบอร์ดี้ที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชู่ให้น้องชายยกมือค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนตรงหน้าที่เคยทะเลาะกันแทบเป็นแทบตายในตอนนั้น แต่ตอนนี้สนิทกันจนเธอเองก็ยังสงสัย
การพูดคุย
การสัมผัสตัวระหว่างทั้งคู่มันดูเป็นธรรมชาติ
ไม่ได้ได้ฝืนหรืออึดอัดอะไร
“เจ้เบอร์ดี้สบายใจได้ไม่ต้องเลื่อนวันเปิดโปรเจคแน่นอน เบนสัญญา”
“เราไปช่วยเขาแต่งเพลงด้วยเหรอไง”
“ไม่แน่”
“รู้เรื่องการแต่งเพลงแบบนี้ด้วยเหรอไอ้ตี๋ เคยลองแต่งเพลงจีบสาวสมัยมัธยมพี่สองกินพาราแทบทุกชั่วโมง”
“เรื่องเก่าเก็บยังจะจำได้เจ้นี่”
“จ้า เจ้ก็อยากฟังเพลงที่เบนจามินแต่งสักเพลงคราวนั้นก็ล่มชาตินี้จะได้สักเพลงไหม”
“คอยดูเลยคอยดูถ้าแต่งได้จริงๆ ไม่แบ่งค่าลิขสิทธิ์นะบอกก่อน หัวเราะอะไรไอ้หนู”
เบนจามินหันมาบีบแก้มคนที่นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ คนโดนบีบแก้มได้แต่ร้องอื้อๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ เบอร์ดี้มองสลับไปสลับมาระหว่างน้องชายตัวเองกับนักแต่งเพลง พอจะเอ่ยปากถามประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับบีที่โผล่หน้าเข้ามาถามเรื่องประชุมตอนบ่ายสอง
“อ้าวตี๋อยู่นี่เหรอ เย็นนี้ไปตี้ป่ะจ๊ะ”
“ตี้ของเจ้บีนี่คือการกินข้าวกับทีมงานคุณแพรว”
“รู้ทันว่ะ นางแบบเพียบนะงานนี้เจ้แอบไปเห็นรายชื่อมา แซ่บงี้หุ่นใกล้เคียงกับฉัน”
“แบนเป็นไม้กระดานนี่เรียกแซ่บเหรอ”
“ไอ้ตี๋ถึงเป็นน้องสุดที่รักก็ถีบได้นะเว้ย สรุปไปไหมทุกทีบอกมีตี้เอ็งตอบตกลงตั้งแต่ห้าวิแรกแล้ว”
เป็นอย่างที่เจ้บีบอกเมื่อก่อนได้ยินคำว่าตี้นี่พยักหน้าตอบตกลงทันที ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นแต่ตอนนี้เบนเองกลับรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากไป พอเบนเหลือบตามองนักแต่งเพลงที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคีตาด้วยหรือเปล่าที่ทำให้เขาคิดแบบนี้ คีตาไม่ได้เอ่ยห้ามไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าใดๆ ทั้งสิ้น ก็พอรู้ว่าคีตาให้อิสระเขาเต็มที่
จะไปไหน กับใครยังไง ไม่เคยห้ามแต่กลับเป็นเขาเองที่รู้สึกเองว่ามันไม่แฟร์
แค่คิดภาพคีตานั่งเล่นกีตาร์เหงาๆ อยู่คนเดียวที่คอนโดก็รู้สึกแย่แล้ว
“ให้เฮียเบกับเฮียบอลไปเถอะกลัวไปแล้วแย่งซีน”
“สองคนนั้นนี่กลับบ้านไปเตรียมตัวแล้วนะกลัวไม่หล่อ แต่เราไม่ไปจริงๆ เหรอเบนแปลกมาก”
“ไม่ไปเจ้บี ขี้เกียจด้วย”
“ทำตัวเหมือนมีเมียแล้วเมียห้ามไปเที่ยวต้องกลับไปกินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตา ตายแล้วน้องคีตาเป็นอะไรไหมคะ”
บีเดินเข้ามาหาพร้อมกับลูบหลังคีตาเบาๆ เมื่อเห็นว่าสำลักน้ำที่ดื่มอยู่ เบอร์ดี้นิ่งไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาเพราะเหตุการณ์มันเหมือนฉายซ้ำกับเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ทั้งสามคนเลยหันมามองคนที่นั่งขำอยู่เพราะอยู่ดีๆ เจ้เบอร์ดี้ก็หัวเราะออกมาโดยที่ไม่มีสาเหตุ
“เจ้ไม่มีเรื่องคุยแล้วที่เรียกมาก็ไม่ได้จะว่าอะไร ตอนนี้คีตาก็ถือว่าทำงานให้ KTD เจ้ก็เลยอยากรู้จักเราด้วยไว้ว่างๆ มากินข้าวด้วยกันนะที่บ้านใหญ่ก็ได้ คนเยอะสนุกดี”
“เรียกว่าวุ่นวายมากกว่านะ”
เจ้เบอร์ดี้แทบเขวี้ยงปากกาในมือใส่หัวน้องชายที่ชอบขัดไปซะทุกเรื่อง จังหวะที่คีตากำลังหยิบกีตาร์ขึ้นมาสะพายตรงไหล่แต่สัมผัสตรงต้นแขนทำให้คีตาต้องหันมามอง เบอร์ดี้ยิ้มให้แล้วเดินเข้ามาหา
คีตา นันทสกุลเปลี่ยนไปเยอะจากที่เธอได้เจอในครั้งแรก
นักแต่งเพลงทายาทนักดนตรีชื่อดัง ตอนที่เจอกันท่าทางหยิ่งๆ ดูไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึกไปหมด แต่ตอนนี้ใบหน้าน่ารักนั่นมีรอยยิ้มที่เธอเองไม่เคยเห็น ลักยิ้มข้างแก้มที่บุ๋มลงไป แววตาสดใสไม่ได้อมทุกข์เหมือนเมื่อก่อน
ทุกอย่างในตอนนี้เหมือนคีตา นันทสกุลคนใหม่ในแบบที่ดีกว่าเดิม
ไม่ใช่แต่คีตาที่เปลี่ยน น้องชายเธอเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เบนจามิน เวอร์ชั่นใหม่ที่ใครๆ ก็ประทับใจ
“พี่เชื่อในฝีมือของคีตานะ เพลงรักครั้งนี้มันจะต้องดีกว่าเดิมมากแน่ๆ ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วก็..เบนน่ะเขาไม่ได้สนใจดนตรีมานานแล้วตั้งแต่…เอาเป็นว่าคีตาจะทำให้เบนกลับมาเล่นดนตรีอีกครั้งได้ไหม”
คีตาหันไปมองเบนที่ยืนเล่นอยู่กับคุณบีอยู่หน้าประตู ถึงแม้ว่าจะตัวเขาเองอยากจะรู้เรื่องคุณเบนมากแค่ไหนแต่จะให้ถามตรงๆ ก็คงไม่ได้และมันก็น่าจะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรทุกคนถึงดูเป็นห่วงคุณเบนขนาดนั้น
“ผมมีแค่กีตาร์และเสียงดนตรีเท่านั้นนะครับ”
เบอร์ดี้วางมือลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนั่น
ความรู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูเด็กคนนี้จนทำให้เธอลูบศีรษะเบาๆ
“แค่นั้นก็พอแล้ว ดนตรีจากคีตาน่ะเยียวยาเบนได้แน่ๆ พี่เชื่ออย่างนั้น”
MUSIC BOX
“คุณเบนจะไปปาร์ตี้ก็ได้นะ ผมกลับเองก็ได้”
“อยากให้ไปเหรอ”
“แล้วอยากไปหรือเปล่า”
“ถ้าตอบว่าอยาก”
“ก็ไปได้”
“เฮ้ย หวงกันหน่อยดิปาร์ตี้แบบสาวสวยเยอะนะ หุ่นแซ่บสะบึ้มๆ ทุกทีไปนี่ไม่เคยรอดเลย”
“ถ้าจะบอกขนาดนี้แล้วก็ไปเถอะ”
“งอนหรือเปล่า”
“งอนไรวะ ผมมีสิทธิ์เหรอ”
“มีซิ คีตามีสิทธิ์ทุกอย่างเลย ห้ามได้ โกรธก็ได้ งอนได้ ”
“ด่าได้ไหม”
“ได้”
“งั้นถ้าไปจะเกลียด”
“ใจกู..ไอ้เด็กยี่สิบห้านี่ถ้าพูดคำว่าเกลียดอีกจะจับจูบจริงๆ ”
เบนหยุดเข็นรถเข็นแล้วจับคนข้างๆ มาบีบปากจนร้องอู้อี้ๆ วันนี้วิญญาณพ่อบ้านเข้าสิงพอเลิกงานคุณเบนจามินก็พามาที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแถวๆ คอนโดวันนี้เกิดอยากจะทำอาหารชุดใหญ่เลยมาซื้อวัตถุดิบ เป็นภาพที่แปลกตาดีคุณชายเบนยังอยู่ในชุดทำงานเต็มยศ เข้าชุดตั้งแต่เนคไทด์ยันถุงเท้า เอาเถอะสไตล์ใครสไตล์มัน ตอนนี้กำลังเลือกผักตรงหน้าชนิดที่ว่าเคร่งเครียดคิ้วขมวด
ตลกดีเหมือนกัน
คุณชายขนาดนี้แต่ชอบทำอาหาร วันก่อนยังไปซื้อเตาทาโกะยากิมานั่งทำเองเลย
แกงค์ลูกเพื่อนแม่ตื่นเต้นกันใหญ่นั่งทำกันเป็นชั่วโมง นี่ถ้าโทรสั่งจากร้านได้กินแล้วนะ
“เดี๋ยวผมไปดูขนมนะ”
“เอาเลย์รสธรรมดามาสองห่อให้พี่ด้วย”
คีตายืนมองเจ้าเลย์รสที่คุณเบนสั่งตอนแรกจะซื้อสองห่อเล็กๆ แต่คีตาว่าถุงใหญ่ไปเลยน่าจะคุ้มกว่าแต่ไอ้ถุงใหญที่ว่าก็ดันอยู่สูงไปอีก นี่ก็พยายามจะเอื้อมมือไปจนสุดแขนแต่ก็ยังไม่ถึงสักที จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งหยิบลงมาให้
“ขอบคุ…กีตาร์”
“พี่คีย์”
คนตรงหน้าคือคนที่คีตารู้จักดี กีตาร์คือลูกติดของคนที่แม่ไปแต่งานใหม่ด้วยเด็กมัธยมปลายไม่แน่ใจว่าม.5 ก็ ม.6 คีตาเองก็จำไม่ได้ คีย์รู้จักเพราะพ่อเป็นคนบอกด้วยตัวเองว่าครอบครัวใหม่ของแม่เป็นใคร จริงๆ แม่ก็เคยจะนัดทานข้าวหลายครั้งแต่เขาเองก็ปฏิเสธตลอด
เขาไม่ได้เป็นลูกคนเดียวของแม่เพลงอีกต่อไปแล้ว
“พี่จำผมได้ด้วย”
“…………………………………………….”
“เราไม่เคยได้คุยกันเลยแต่ผมเห็นรูปพี่คีย์ตลอดเลยนะ แม่เพลงเอาให้ดู”
“…………………………………………….”
“และผมก็ชอบเพลงที่พี่แต่งทุกเพลง”
“…………………………………………….”
“พี่คีย์..”
“ตาร์จะเอาอะไรอีกไหมลูก แม่จะไปคิดเงินแล้วนะ”
“คีตาเอาซุปเห็ดหรือเปล่า พี่จะได้ทำ”
เสียงคนสองคนที่ดังขึ้นพร้อมกันก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงเมื่อผู้หญิงที่คีตาคุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า แม่เพลงยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย คงจะตกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นว่าเขายืนอยู่ตรงนี้คีตาทำอะไรไม่ถูกทำได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนที่ไหล่จะถูกจับไว้ด้วยมือใหญ่
เบนจามินพอจะเดาเหตุการณ์ตรงหน้าได้และเขาเองก็เคยได้เจอแม่ของคีตาตั้งแต่ตอนที่คีตาเข้าโรงพยาบาล มือที่วางอยู่ตรงหัวไหล่กระชับแน่นทันทีที่คีตาเงยหน้าขึ้นมามองรอยยิ้มกับตาตี่ๆ นั่นทำให้คีตารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
“คีย์..แม่”
“แค่ยิ้มก็ได้ ถ้ายังไม่พร้อมจะพูดอะไรแค่ยิ้มเฉยๆ ”
ความคิดในหัวของคีตาตีกันจนยุ่งเหยิงจนปวดหัว แรงบีบตรงหัวไหล่ทำให้คีตาพยักหน้าก่อนจะเงยหน้ามองผู้หญิงที่คีตาคิดถึงมาตลอด แววตาของแม่ไม่ได้มีความเกลียดชังหรือรำคาญเขาเหมือนอย่างที่คิด คีตาค่อยๆ ยิ้มให้จนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลงไป และสิ่งที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มของแม่ที่คีตาไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว
“ขอตัวก่อนนะครับ”
เบนจามินคิดว่าวันนี้คีตาทำดีมากแล้วแต่ให้อยู่ตรงนี้นานๆ ก็คงไม่ไหวเหมือนกันมันคงต้องใช้เวลาอีกหน่อย เบนหันหลังกลับไปมองภาพที่แม่ของคีตายกมือขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้แต่ยังมีรอยยิ้มให้เห็นนั่นก็เพียงพอสำหรับการเริ่มต้น
“อยากร้องไห้ไหมพี่จะได้ไม่สตาร์ทรถ”
“เกี่ยวอะไรกัน”
“เดี๋ยวพี่ต้องกอดปลอบเรานะจะขับรถไปด้วยได้ไง”
“งั้นอย่าเพิ่งสตาร์ทแต่ไม่ร้องไห้หรอกนะ”
“แล้วจะเอาอะไร”
“กอด”
เบนจามินปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะรับคีตาที่โผลเข้ามาหา คีตาไม่ได้ร้องไห้อย่างที่บอกแต่ก็นิ่งจนน่าใจหายเบนยกมือขึ้นมาลูบหลังปลอบเบาๆ ก่อนจะเอียงศีรษะมาจูบตรงข้างขมับ คนที่ซบหน้ากับอกกว้างก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ขนาดนี้เหมือนกันถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเดินหนีไปไกลๆ ไม่พร้อมเผชิญหน้าแบบนี้ คีตากอดกระชับเบนไว้แน่นๆ
อยากขอบคุณที่คอยอยู่ข้างๆ
MUSIC BOX
-
MUSIC BOX
เสียงไวโอลิน
คีตาได้ยินไม่ผิดถึงจะไม่ได้เล่นเป็นเพลงแต่มันคือเสียงไวโอลิน
“ทำอะไรครับ”
คีตาทักคนที่ก้มหน้ากับเครื่องดนตรีอยู่นานสองนานเบนจามินเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะชูสายไวโอลินที่ขาดให้ดู นี่ก็คงจะนั่งเปลี่ยนสายอยู่ คีตาเดินมานั่งลงข้างๆ นอกจากเปียโนกับกีตาร์แล้วคีตายังไม่เคยเห็นคุณเบนเล่นเครื่องดนตรีอะไรอีก ท่าทางระมัดระวัง และดูทะนุถนอมเครื่องดนตรีตรงหน้าทำให้คีตาได้แต่นั่งเงียบๆ
คงจะเป็นของสำคัญ
และไวโอลินที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ ดูก็รู้ว่าสั่งทำเป็นพิเศษ
“ไม่รู้ว่าเสียงเพี้ยนหรือเปล่าลองเล่นดูไหม”
คีตารับไวโอลินมาถือไว้กับตัว สวย..ไวโอลีนของคุณเบนสวยไม่มีที่ติ สายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างที่สลักไว้บนไวโอลิน คีตาค่อยๆ ลูบลงบนตัวอักษร B และรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว
จันทร์เจ้า…
มีแค่คำเดียวที่คีตานึกถึงมือที่ลูบอยู่หยุดชะงักก่อนที่คีตาจะเงยหน้าขึ้นมามองเบนที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาไม่ได้รู้สึกไปเองว่าคุณเบนเงียบผิดปกติทุกทีนี่ต้องคอยแกล้งกวนเขาแล้ว ใบหน้าตี๋ๆ นั่นก็ยังยิ้มให้เขาเหมือนทุกวันแต่วันนี้คีตารู้สึกว่ามันดูเศร้าแปลกๆ
“พี่เบน”
“ครับ”
“เป่ายิ้งฉุบ”
“อะไรนะ”
“เป่ายิ้งฉุบไง ที่ออกค้อน กระดาษ กรรไกร เร็วๆ นับหนึ่ง สอง สาม”
“โอเคๆ เล่นด้วยแล้ว”
ทันทีที่เบนออกกรรไกรแล้วคีตาออกค้อนก็รู้ผลแพ้ชนะตั้งแต่ครั้งแรกเบนได้แต่บอกว่าลืมถามว่าถ้าแพ้แล้วจะต้องทำอะไร คีตาได้แต่ยิ้มๆ ก่อนที่เขยิบเข้ามาใกล้ๆ เบนเลยยกมือขึ้นมากอดเอวเอาไว้ สายตาของคีตาก้มลงมองลายสลักบนไวโอลินก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง
“ความรักที่พี่เบนเจอมามันเป็นแบบไหนเหรอครับ เล่าให้คีตาฟังได้ไหม”
“……………………………………………………….”
มันเป็นประโยคเดียวกับที่เขาเคยใช้กับคีตาเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เบนเงียบลงเพราะไม่คิดว่าคีตาจะใช้วิธีเดียวกันกับเขา มันไม่ใช่เรื่องที่เล่าไม่ได้แต่แค่เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ใครฟังมานานมากแล้ว คีตาไม่ได้เร่งให้เขาเล่าอะไรเพียงแค่นั่งมองเขาเท่านั้นเบนก้มลงมองไวโอลินที่ยังอยู่บนตักคีตาก่อนจะยิ้มออกมา
“เมื่อก่อนพี่เป็นผู้ชายที่อีโก้สูงมาก คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่มีในทุกอย่างเกิดมาบ้านรวยมีกินมีใช้ ไม่ต้องทำงานหนักมากก็ได้ ครอบครัวก็รัก เพื่อนก็ดี”
“…………………………………………………………”
“ที่คิดไว้แฟนก็ต้องสวยมากๆ เอาแบบที่ควงแล้วคนอื่นอิจฉา”
“ครับ..แล้ว”
“ก็อย่างที่เรารู้ครอบครัวพี่ทำธุรกิจบันเทิงมานาน ทุกคนในครอบครัวโดนส่งให้เรียนดนตรีกันหมดทุกคน แต่ละคนก็มีเครื่องดนตรีที่ตัวเองชอบหรือถนัด เฮียเบตีกลองเก่งมาก เจ้บีเล่นเชลโลชนิดที่เรียกว่ามืออาชีพได้เลย”
“พี่เบนก็คือไวโอลิน?”
“ไม่มี”
“…………………………………………………….”
“คงอยู่ในวัยต่อต้าน คิดอยู่ตลอดว่าทำไมต้องชอบดนตรีขนาดนั้นก็คนมันไม่ได้สนใจ ให้เรียนก็เรียนได้ครูที่สอนยังบอกเลยพี่ไม่มีร่วมกับเครื่องดนตรีที่เล่นเลย”
“…………………………………………………….”
“ชีวิตไม่ได้จริงจังอะไรเป็นมาตั้งแต่เด็ก เล่นๆ มาตลอด เรียนก็เฉยๆ งานก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ดนตรีก็ไม่เอาจนวันหนึ่งน่าจะมหา’ลัยปีสามละมั้ง…”
พนักงานของ KTD เอ่ยทักทายาทคนเล็กของ KTD ที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา เบนจามินยกมือไหว้พนักงานที่มีอายุมากกว่าก่อนจะหมุนตัวเข้าลิฟท์ด้วยท่าทางนายแบบ จนป้าแม่บ้านที่เห็นเบนมาตั้งแต่เด็กอยากจะเอาไม้ถูฟาดใส่ เบนเดินขึ้นมาหาชั้นที่23ตั้งใจจะไปแกล้งเจ้บีก่อนที่จะไปหาเฮียบอล
เสียงไวโอลิน?
ทำไมถึงมีเสียงดนตรีบนชั้นนี้ได้ ชั้นนี้มีแต่ห้องผู้บริหารทั้งนั้น
เบนเดินตามเสียงไวโอลีนที่ได้ยินจนมาหยุดอยู่ที่ห้องประชุม ประตูที่เปิดแง้มไว้ทำให้เบนชะโงกหน้าเข้าไปมอง เขารู้แล้วว่าเสียงไวโอลินมาจากไหน ภาพตรงหน้าที่เขาเห็นทำให้เบนแทบหยุดหายใจ ผู้หญิงคนหนึ่งบอกได้เลยว่าสวยไม่มีที่ติปลายผมดัดลอนสีน้ำตาลพลิ้วไหวไปตามที่เจ้าตัวขยับท่าทาง เสียงไวโอลินที่เล่นเพราะมากจนเบนเองถึงกับไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงไวโอลินตรงหน้าเท่านั้น
ตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรก
“สุดยอดไปเลยจันทร์เจ้า MV นี้ต้องมีคนพูดถึงเยอะมากแน่ๆ เบน..มาตั้งแต่เมื่อไหร่เข้ามาๆ”
เจ้บีกวักมือเรียกให้เขาเข้ามาหาพร้อมกับแนะนำ ผู้หญิงสวยที่ยืนถือไวโอลินว่าเป็นเพื่อนของเพื่อน พอดีกำลังมองหาคนที่เล่นไวโอลินมาแสดงในเอ็มวีแล้วเพื่อนก็แนะนำจันทร์เจ้ามาให้
“อาตี๋น้อยเหรอ”
“เรียกได้มันไม่โกรธหรอก คนทั้งบ้านก็เรียกมันแบบนี้ตี๋น้อยน่ารักของเจ้”
“เบนโตแล้วนะเจ้บีเลิกฟัดได้แล้ว”
“เนี่ย ใจเจ้จะสลายเลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเท่าเข่าพอโตก็หอมไม่ได้”
ยิ้มก็สวย
หัวเราะก็สวย
เรียกว่ารักแรกพบได้เลย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจันทร์เจ้าหรือเปล่าเบนถึงกับไปรื้อไวโอลินที่เก็บไว้นานแล้วมาเล่นไม่หยุด ขนาดคนในครอบครัวยังตกใจเพราะไม่เห็นว่าเบนจะสนใจดนตรีเลยตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ได้อยู่ในชั่วโมงเรียนก็ไม่เคยจะหยิบเอามาเล่นอีก
“เขาคือคนที่ทำให้พี่เบนชอบไวโอลินเหรอครับ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ครั้งแรกที่พี่เห็นจันทร์ตอนนั้นอาจจะเรียกว่าประทับใจ แต่พอได้คุยได้เจอบ่อยๆ มันก็ค่อยๆ ตกหลุมรัก พี่ไม่เคยเบื่อเลยเวลาที่นั่งมองจันทร์เล่นไวโอลิน จะกี่ครั้งพี่ก็ยังรู้สึกว่ามันเพราะเสมอ”
“……………………………………………………………”
“จันทร์เป็นคนสอนไวโอลินให้พี่ เป็นครั้งแรกที่ครูสอนดนตรีหรือทุกคนที่ได้ฟังยังชมว่าเสียงดนตรีของพี่มันไม่ไร้อารมณ์เหมือนที่ผ่านมา”
“……………………………………………………………”
“เราคุยกันตลอด ไปไหนด้วยกันบ่อย ความรักครั้งนั้นพี่ทุ่มสุดชีวิตเลย ไร้สติ ไม่คิดอะไรทั้งนั้นจันทร์เจ้าโตกว่าพี่สองสามปี พี่โดดเรียนไปเฝ้าจันทร์เป็นว่าเล่น กลัวว่าเขาจะมีคนมาจีบ หวงเขาแทบจะเป็นบ้า ถ้าไม่ได้แกงค์ลูกเพื่อนแม่ก็ไม่รู้ว่าพี่จะเรียนจบหรือเปล่า”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“พี่คิดว่าพี่กับจันทร์เราเป็นแฟนกันแล้ว ถึงจะไม่มีใครพูดเรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ จนวันหนึ่งที่จันทร์จะไปเรียนดนตรีต่อที่อเมริกา แค่ไปเรียนต่อพี่ไม่ได้คิดมากเท่าไหร่อาจจะเหงานิดหน่อย แต่บินไปหาก็ได้เรื่องแค่นี้”
“……………………………………………………………”
“เลยสั่งทำไวโอลินเป็นพิเศษให้จันทร์แต่ก็ไม่ได้ให้”
สวยมาก ไวโอลินที่เบนสั่งทำไว้โคตรตรงใจทุกอย่างรวมทั้งลายสลัก ตัวอักษร B และพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เบนมาหาจันทร์เจ้าเป็นเรื่องปกติ จันทร์ทำงานเป็นครูสอนดนตรีที่สถาบันที่มีชื่อเสียง แผ่นหลังที่เขาคุ้นเคยกำลังเรียงเอกสารอยู่ในห้องทำงานเบนยิ้มนิดๆ จังหวะที่เปิดประตูเข้าไปเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นทำให้ต้องหยุดอยู่กับที่
“จันทร์เจ้านี่แกไปเมกากับเฮนรี่เหรอวะ”
“ก็ใช่ เฮนจะไปเรียนเบสต่อพอดี พอคุยกันก็เลยเออ มหา’ลัยเดียวกันก็เลยไปด้วยกันเลย”
“คุยกัน นี่คือแบบไหน”
“ก็คุยกันแบบคุยกันแบบพัฒนาได้”
“เฮ้ยเจ้า แล้วน้องเบนล่ะแกไม่ได้คบกับน้องเขาอยู่เหรอวะฉันเห็นแกไปสอนไวโอลินให้เขาขนาดนั้น”
“ฉันบอกแกตอนไหนว่าคบ ฉันเป็นครูสอนไวโอลินก็ต้องสอนไวโอลินเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเบนก็เล่นได้อยู่ สอนไม่ยากดูไม่ค่อยชอบดนตรีด้วยแต่ก็ดีที่ยังเล่นได้ไม่งั้นเสียเวลาตาย”
“เขาชอบเพราะแกเป็นคนสอนเขาป่ะเจ้า แล้วที่ผ่านมานี่ไม่ได้ชอบน้องเขาเลยเหรอไง”
“ มีเด็กมาอ้อนมันก็ดีป่ะแต่จะให้ฝากอนาคต ฝากชีวิตไว้กับเด็กขนาดนี้ก็ไม่ไหวป่ะวะ ไม่ได้ชอบเด็กขนาดนั้นด้วย”
“แต่น้องเขารักแกมากนะเจ้า ถ้าเป็นแค่พี่น้องควรบอกน้องเขานะเว้ยสงสารเทียวไปเทียวมาหาแกวันละสามเวลาขนาดนี้ดีนะเนี่ยที่น้องเขาเรียนจบแล้วไม่งั้นโดนรีไทน์แน่”
“เดี๋ยวฉันหายไปเรียนต่อที่เมกาก็คงรู้เองละมั้ง บอกจะบินมาหาบ่อยๆ กลัวจะพูดจริงทำจริง”
“แล้วเฮนรี่นี่ยังไง แฟนไหม”
“95%”
“โหแล้ว 5% จะทิ้…”
“นั่นซิครับ 5%จะทิ้งไว้ทำไม”
เสียงที่แทรกขึ้นมาทำให้คนสองคนที่คุยกันอยู่เงียบลง เบนจามินกำกล่องไวโอลีนไว้แน่นเขาไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีกเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนี้ จริงๆ จันทร์เจ้าก็ไม่ได้ผิด ใครเขาอยากจะอยู่กับคนที่ไม่เอาไหนขนาดนี้ จะฝากชีวิต ฝากอนาคตไว้ก็ไม่ได้ เด็กที่เพิ่งเรียนจบจะไปสู้กับใครได้ยังไง
“เบน”
“คิดถูกนะที่วันนี้เข้ามาไม่งั้นผมคงโง่อีกนานเลย”
“เดี๋ยวเบน”
“ไม่ใช่ความผิดของพี่จันทร์หรอกครับผมเข้าใจ อย่างน้อยพี่ก็ทำให้ผมรู้ว่าเครื่องดนตรีที่ผมชอบคืออะไร”
“เบนจามิน”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ พี่สาว”
วันนั้นเบนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับรถกลับมาที่ KTD ได้ยังไง เหมือนทุกอย่างมันมืดสนิทไปหมด ความตั้งใจที่จะทำตัวดีๆ เรียนรู้งานของ KTD มันหายวับไปจากสมองหลังจากที่คิดไว้แล้วว่า หลังจากนี้จะทำตัวให้ดีให้สมกับเป็นทายาท KTD คนหนึ่ง ให้พี่จันทร์ภูมิใจการมีแฟนเด็กกว่าไม่ใช่เรื่องน่าอายตรงไหน แต่ตอนนี้เบนเองก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อใคร
“เบน..”
“พี่สองเพลงอกหักเพลงไหนที่พี่แต่งแล้วมันเศร้าที่สุด”
“เบนจามินเราโอเคหรือเปล่าให้พี่โทรหาเบอร์ดี้ไหม หรือเบ บอย”
“พี่สองผมเจ็บไปหมดเลย”
สองทำอะไรไม่ถูกเมื่ออยู่ดีๆ ทายาทคนเล็กKTD กอดไวโอลินแล้วนั่งลงกับพื้นท่าทางเหมือนไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ ทันทีที่เขาแตะลงบนไหล่เบนจามินก็ร้องไห้ออกมาจนแทบขาดใจ สองทำอะไรไม่ถูกก่อนที่เขาจะโทรหาเบอร์ดี้ที่อยู่อีกห้องให้มาดูน้องชายตัวเอง เพราะมันน่าจะเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร
ไม่ใช่แค่เบอร์ดี้แต่พี่น้องคนอื่นในเกียรติธนธาดามากันหมด ขนาดเจ้าสัวกรรณที่ประชุมอยู่ยังทิ้งประชุมกลางคันแล้วเดินเข้ามากอดลูกชายคนเล็กไว้แนบอก สองถอนหายใจตระกูลนี้เลี้ยงของเขามาตั้งแต่เล็กคงจะเป็นห่วงกันมาก นี่ก็ยังไม่เคยเห็นเบนร้องไห้ขนาดนี้มาก่อน
“แล้วเขาก็ไปเมกาโดยทิ้งให้ทุกอย่างจบแบบนี้เหรอครับ”
“ก็ถูกของเขาแล้ว วันที่จันทร์ไปพี่ก็ไปที่สนามบินนะยังมีความหวังว่าเขาจะนึกถึงพี่บ้างก็ยังดี แต่ภาพที่เขาเดินควงผู้ชายที่ชื่อเฮนรี่เข้าไปในเกท พี่ถึงรู้ว่าควรเลิกหวังอะไรลมๆ แล้งๆ ได้แล้ว”
“ได้ติดต่อเขาอีกไหมครับ”
“แรกๆ ก็เข้าไปดูในเฟส ไอจี เขาทุกวันแต่ดูจันทร์เขาก็มีความสุขดีมีแต่พี่คนเดียวนี่แหละที่ยังคิดถึงเขาอยู่ พอนานเข้ามันก็ค่อยๆ หายเรียกว่าดีขึ้นแต่มันก็เหมือนกลัวความรักไปเลยไม่ค่อยกล้าจริงจังเท่าไหร่ เดี๋ยวได้เป็นน้องชายพี่ชายเขาโดยไม่รู้ตัวอีก”
“…………………………………………………..”
“จะว่าไปสตอรี่เราสองคนก็คล้ายๆ กันถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินคงไม่มีวันได้รู้ความจริง”
กว่าจะฟื้นตัวมาได้ขนาดนี้ก็นานอยู่เหมือนกัน ดีที่ครอบครัวเขากับแกงค์ลูกเพื่อนแม่คอยช่วยเขาทุกอย่าง นั้นแหละเขาถึงทำตัวเล่นๆ ได้ตลอดเพราะครอบครัวก็กลัวว่าเขาจะเครียด เรื่องดนตรีก็อย่าพูดถึงมันเหมือนว่าเบนไม่อยากกลับไปยุ่งกับมันอีกแล้ว เขาไม่ได้เกลียดแต่แค่มันไม่มีความรู้สึกว่าอยากเล่นเหมือนเดิมอีก ภาพที่เขากอดไวโอลีนแล้วร้องไห้ในวันนั้นนึกถึงทีไรก็รู้สึกแย่อยู่ตลอด คีตาเอื้อมมาจับมือของเบนไว้แน่นก่อนที่เบนจะกระชับมือตอบ
“ผมถามได้ไหม”
“ถ้าเป็นคีตาถามได้ทุกอย่าง”
“ยังรักคุณจันทร์เจ้าอยู่ไหมครับ”
“ไม่เหลือความรู้สึกรักแล้วแต่ก็ไม่ได้ลืมไปเลย ยังมีบ้างที่นึกถึงตอนนี้ก็ไม่ได้รู้เรื่องเขาเท่าไหร่มันผ่านมานานแล้ว”
“แล้วไวโอลิน”
“ก็ยังเป็นเครื่องดนตรีที่พี่ชอบอยู่ดีนั่นแหละ ถึงความทรงจำมันจะแย่มากก็ตาม”
“ผมมีความลับจะบอกพี่เบน”
“ความลับ?”
“จำได้ไหมที่ผมบอกว่ามีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมเล่นไม่ได้”
“จำได้”
“กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีแรกที่พ่อกับแม่ช่วยกันสอนผม ผมก็เหมือนคุณเบนตอนเด็กๆ ผมลองเล่นทุกอย่างเพิ่งรู้ว่ามีแค่อย่างเดียวที่ผมเล่นไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ก็เล่นไม่ได้”
คีตาวางไวโอลินคืนให้กับเบนจามิน
พร้อมกับมือที่จับกันไว้ค่อยๆ คลายออกจากกัน
“ผมเล่นไวโอลินไม่ได้ ทำยังไงก็เล่นไม่ได้ผมก็เลยไม่ได้จับมันอีก แล้วก็ไม่คิดจะเล่นไวโอลินอีกไม่ว่ายังไงก็ตาม”
ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสนิทเมื่อคีตาพูดประโยคนั้นออกมา เบนจามินเองก็เงียบไปเหมือนกันเบนก้มลงมองไวโอลินที่วางอยู่บนตักแล้วเงยหน้าขึ้นมามองนักแต่งเพลงที่ยังคงนั่งมองเขาอยู่ เบนจะเอื้อมมือไปจับตัวคีตาไว้แต่อยู่ดีๆ คีตาก็ลุกขึ้นแล้วเดินหายไป เบนรู้สึกตัวชาวาบความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบนี้กับเขามานานมากแล้ว
ความรู้สึกกลัว…กลัวว่าคีตาจะไม่อยู่กลัวว่าคีตาจะไม่อยู่ตรงนี้กับเขาอีกแล้ว เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะเป็นไวโอลินที่คีตาเล่นไม่ได้
เบนจามินหลับตาลงเขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้
ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ …
แต่สัมผัสตรงแก้มทำให้เบนต้องลืมตาขึ้นมามองอีกครั้ง
คีตากลับมานั่งที่เดิมพร้อมกับกีตาร์ตัวโปรดก่อนจะยิ้มให้จนลักยิ้มบุ๋ม
“แต่ผมเล่นกีตาร์ได้นะแต่งเพลงก็ได้ร้องเพลงได้นิดหน่อยถึงจะไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ ตอบฉันได้ไหมว่าฉันเพียงพอหรือเปล่า~ ”
เนื้อเพลงที่ไม่ได้ยินมานานถูกร้องขึ้นมาอีกครั้งเบนจามินพยายามกลั้นยิ้มเขาพอรู้ว่าคีตาพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่จะปลอบใจเขาเป็นคำพูดยาวๆ เหมือนที่เขาเคยทำตอนที่เจ้าตัวเล่าเรื่องครอบครัวก็คงไม่ได้ แต่คีตามีเสียงดนตรีที่ทำให้เขารู้สึกดีและสบายใจ
“อีกอย่าง..ไม่อยากมีพี่ชายเพิ่มด้วยนะ”
เบนจามินหัวเราะก่อนจะคว้าเอาตัวคีตาให้นอนราบไปกับโซฟาก่อนที่ตัวเองจะนอนตามลงไป อ้อมกอดรัดแน่นหน้าผากและแก้มขาวถูกหอมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่ทั้งคู่จะไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกมีแค่จูบที่ใช้เวลานานกว่าทุกครั้ง ไวโอลินถูกใส่กล่องตามเดิมโดนทิ้งไว้โดยที่ไม่มีใครสนใจ
มีแต่กีตาร์ที่สลักรูปกุญแจไว้วางอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา
เบนเหลือบมองกีตาร์เพียงนิดความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว
ก่อนที่จะปลดกระดุมเสื้อคีตาแล้วบรรจงจูบตรงหน้าอก
“ถ้าผมมีคนรัก”
“……………………………………..”
“หมายถึงถ้าวันหนึ่งผมมีคนรักขึ้นมาก็อยากให้เขาสักรูปแม่กุญแจคู่กันแค่คิดไว้เฉยๆ ฟังดูเพ้อเจ้อดีเนอะ”
“……………………………………..”
ตรงนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว
*สองคน หนึ่งความรัก
ต่างหลงทางเพื่อมาเจอที่พักพิงอยากเล่าหน่อยไหมเขาทำไงตอนที่ทิ้ง
ใช่อย่างที่คนนั้นของฉันทำไหม
เราเจ็บมาพอแล้วจะใช้คำว่าสองเราอย่างเข้าใจ
เมื่อต่างก็รู้ รักมีค่า มากแค่ไหนไม่มีวันทำร้าย จะอยู่เคียงข้างหัวใจ
ให้โลกมี เรื่องรักดีๆ เพิ่มขึ้นเรื่องหนึ่ง
TO BE CON
PS. เหมือนเป็นนิยายรายปี
หมายถึง 4 คู่นี่ 10 ปี 55555 เฮ้ยเรื่องนี้ใกล้จะถึงฝั่งฝันแล้วจ้า
เตรียมพบกับ ทับทิม นพจินดา Jewelry Design #อัญมณีที่รัก เร็วๆ นี้ (มั้งนะ)
ps.*เจ็บของฉันเหงาของเธอ ตูมตาม The star
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
ดีจายยยยย อัพแล้วๆ :mew4: :hao5:
-
โอ๋ ๆ นะพี่เบน
ดีแล้วที่ไม่ได้ลงเอยกับพี่สาวคนนั้น น้องคีย์น่ารักกว่าเยอะ
ทับทิมจะคู่กับใคร
-
น้องคีย์น่ารักที่สุดแล้วรอฟังเพลงน้องคีย์นะคะ5555
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.15 : The Moon
“ทำไมไอ้เบนทำหน้าเหมือนโมโหไอ้คินมาร้อยชาติแบบนี้วะ”
“กูโทรไปขัดจังหวะมัน”
“ขัดจังหวะ?”
“มันฟัดน้องคีตาอยู่กูโทรไปพอดีมันด่ากูสามชั่วโมงแล้ว”
“คือกูไม่รู้จะด่าใครดี”
“ไอ้หัวหน้าด่ามันซิโว้ยมันโทรมาก่อกวนกู”
“กูโทรมาหาเพราะจะชวนกินข้าวต่างหากใครจะรู้ว่ามึงทำอะไรเด็กอยู่”
“25 นี่ไม่เด็กแล้ว”
“วันก่อนมึงยังบอกน้องเขาเหมือนอายุ19อยู่เลยไอ้เบน ทิมมึงจัดการ”
“แล้วสรุปนี่มึงได้ทำอะไรน้องคีตาไหมวะ”
“กูถอดเสื้อน้องถอดเสื้อแต่กูอดทนแบบที่สุดของชีวิตแล้ว เก่งขนาดไหนพวกมึงต้องปรบมือให้กูสามครั้งปั๊มดาวให้ห้าดวงเลย ณ วินาทีนี้”
“ถ้าแค่กูโทรไปขัดจังหวะมันไม่น่าจะใช่กูรู้นิสัยมึงนะเบน อย่างมึงไม่ปล่อยไปหรอก”
เบนจามินนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อนมันจริงอย่างที่คินบอก อารมณ์ตอนนั้นบอกตามตรงเขาห้ามใจตัวเองแทบไม่อยู่แล้ว เขาทั้งหอมทั้งจูบคีตาที่นอนหอบหน้าแดงอยู่บนโซฟา เสื้อผ้าของเราทั้งคู่เหลือแค่กางเกงที่ปลดตะขอแล้วเรียบร้อย เบนไล่จูบมาเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าท้องขาวก่อนที่มือของเขาจะดึงกางเกงคีตาออกไปให้พ้นทาง เสียงโทรศํพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อไอ้คินโชว์เด่นหราอยู่บนหน้าจอ
ตอนนั้นเหมือนสติเราสองคนกลับเข้ามาทันที เบนขยับตัวขึ้นมาพร้อมกับนอนมองหน้าคีตาที่นอนนิ่งๆ แต่คงจะเขินอยู่เหมือนกันเพราะแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อไปหมด พอเอาแต่มองหน้ากันเงียบๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาทั้งคู่ เบนก้มลงมาหาก่อนจะจูบคีตาที่ยกศีรษะขึ้นมาเพื่อรับจูบให้ถนัด มือของเบนประคองกอดให้คีตาขึ้นมาแนบชิดพร้อมกับไล้มือไปตามหลังที่เปลือยเปล่าเบาๆ แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกรอบเบนถอนหายใจก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มคีตาที่บอกเบาๆ ว่าให้รับโทรศํพท์คินก่อนเผื่อเป็นเรื่องใหญ่
“แล้วมึงทำไมไม่ทำต่อวะ ระดับมึงแล้วเบน”
“ตอนที่กูคุยโทรศัพท์กับไอ้คิน กูนั่งมองคีตาค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งแล้วหยิบเสื้อมาใส่ตอนนั้นกูคิดว่าถ้าวันนี้กูกับเขามีอะไรกันทั้งๆ ที่สถานะมันยังไม่ชัดเจนแบบนี้มันจะดีแล้วเหรอวะ”
“ปกติมึงไม่แคร์เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”
“นั่นดิ ปกติกูแคร์ที่ไหนสถานะไหนกูไม่สนหรอกวันไนท์ออกจะบ่อยแต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่กูคิดว่า อยากมีเซ็กส์เพราะเราทั้งคู่รักกัน ยังไงดีวะอธิบายไม่ถูกแบบ กูเป็นคนรักเขาเขาเป็นคนรักกู”
“ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินประโยคนี้จากเบนจามิน”
“มือขวากูเป็นผู้เป็นคนแล้วเนี่ยตอนนี้เหลือแต่ลูกกระจ๊อกอย่างมึงแล้วคิน”
“กูเกลียดตำแหน่งตัวเองจริงๆ ให้ตาย”
“แล้วสรุปมึงคุยกับคีตาเรื่องนี้ยัง สถานะพวกมึง”
“กูอยากให้จบโปรเจคสิบเพลงรักนี่ก่อน กลัวคนมองคีตาไม่ดีด้วยคีตาเพิ่งทำงานให้ KTD ครั้งแรกไม่อยากให้โดนนินทาอะไร ด่ากูได้กูไม่เป็นไรแต่ไม่อยากให้คีตาต้องเจอเรื่องแย่ๆ อีก เรื่องครอบครัวก็หนักแล้วว่าเขาจะกลับมาร่าเริงได้ขนาดนี้ก็นานอยู่”
“…………………………………………………………………………………”
“อยากขอแบบดีๆ ด้วยไม่ใช่แค่พูดอยากให้คีตาประทับใจสุดๆ ไปเลยว่ะ กูอยากให้เขารู้สึกว่ากูเป็นเรื่องดีๆ ในชีวิตเขา ตอนนี้กูพยายามจะทำชีวิตตัวเองให้มันดีกว่านี้ด้วย กูเล่นมานานมากเกินไปแล้วปีหน้ากูสามสิบแล้วนะ”
“ไอ้มิลกูจะร้องไห้แล้ว นี่ใช่ไอ้เบนจามินที่กูรู้จักตั้งแต่สามขวบจริงป่ะวะ ไอ้เด็กตี๋ตาเท่าเม็ดก๋วยจี๊ที่แย่งรถบังคับกูเล่นทุกวัน จริงจังกับชีวิตแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คีตาแม่งโคตรนักดนตรีมหัศจรรย์”
“ถ้ามึงเจอคนที่มึงรักจริงๆ ก็อาจจะเป็นแบบกูก็ได้คิน เมื่อก่อนกูก็ไม่เข้าใจไอ้มิลเท่าไหร่แต่ตอนนี้กูโคตรเข้าใจเลย”
“เข้าใจว่า?”
เบนจามินขยับตัวมานั่งดีๆ พร้อมกับมองหน้าแกงค์ลูกเพื่อนแม่ที่นานๆ ทีจะมานั่งคุยเรื่องชีวิตรักแบบนี้ ล่าสุดที่พวกเขาคุยเรื่องพวกนี้ก็คงจะเป็นตอนที่รามิลอยู่ในช่วงสับสนความรู้สึกกับต้นไม้ พอเคลียร์กันได้ก็กลายเป็นคู่รักที่น่าอิจฉา ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดจะจริงจังกับความรักเท่าไหร่และรักที่เขาเจอมาก็มันแย่จนไม่อยากนึกถึง ไอ้ความรู้สึกแบบรักมาก อยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลาแบบนั้นเขาเองก็นึกไม่ออกว่ามันเป็นยังไง จนกระทั่ง…
“ก็วันนั้นที่กูคุยโทรศัพท์กับไอ้คิน กูอารมณ์ค้างด้วยมั้งหน้าตากูเลยดูเหมือนหงุดหงิด คีตาใส่เสื้อเสร็จแล้วเขาลุกขึ้นกูนึกว่าเขาจะเดินกลับไปที่ห้องแต่อยู่ดีๆ เขาก็เดินกลับมาหากูอีกรอบแล้วเข้ามาหอมแก้มกูพยายามทำให้กูอารมณ์ดีให้กูยิ้ม ดูก็รู้ว่าเขาโคตรเขินแต่น่ารักฉิบหาย”
“พ้อยของเรื่องคืออะไรวะ”
“พ้อยของเรื่องคือความคิดบางอย่างที่กูไม่เคยคิดถึงมาก่อนอยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว”
“แล้วมันคือ”
“รามิล ภาคิน นพจินดา กูอยากอยู่กับคนนี้ไปตลอดชีวิตเลยว่ะ”
MUSIC BOX
“สรุปว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเลือกเพลง ตอนนี้เรามีครบสิบเพลงแล้วใช่ไหมครับคีตา”
“เหลือเพลงสุดท้ายครับ ผมยังตัดสินใจอยู่”
“ยังแต่งไม่เสร็จหรือว่ายังเลือกไม่ได้ครับ”
“ยังตัดสินใจอยู่ครับว่าอยากให้เพลงนี้เป็นเพลงรักเนื้อหาแบบไหนระหว่าง Happy Ending กับ Sad Story”
“นี่ไม่ใช่โปรเจคสิบเพลงรักเหรอทำไมถึงมีเพลงเศร้า”
“แต่มันก็คือความรักไม่ใช่เหรอครับ”
ทั้งห้องประชุมเงียบกริบเมื่อคีตาพูดประโยคนั้นจบ มาร์ชถึงกับชูนิ้วโป้งอยู่ใต้โต๊ะคีตาเองเหลือบมาเห็นยังต้องแอบยิ้ม วันนี้เบนจามินก็ติดงานกับคุณเบและบาสอยู่อีกห้อง เลยต้องแยกกันประชุม แต่ตอนนี้คีตาก็ดูเก่งขึ้นแล้วสามารถเขาประชุมคนเดียวได้แต่เบนก็ยังห่วงไม่เลิกเลยเลยส่งมาร์ชให้มาเป็นกองกำลังเสริม
“เพลงสุดท้ายของคุณคีย์จะต้องดีมากแน่ๆ”
“ผมก็ยังไม่รู้เลยครับพี่มาร์ชว่ามันจะเป็นแบบไหน”
“แล้วทำไมถึงยังไม่รู้ล่ะครับ”
“มันอาจจะยังไม่ถึงช่วงสุดท้ายจริงๆ ก็เลยยังไม่รู้”
“หมายถึง?”
“ความรักของผม”
“………………………………………..”
“ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่คุณเบน”
ยังไม่ทันพูดจบประตูห้องข้างๆ ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเบนกับบาสที่เดินหัวเราะกันออกมา ท่าทางการประชุมจะราบรื่นเพราะเห็นอารมณ์ดีกันทั้งคู่ พอเห็นคีตากับมาร์ชยืนอยู่เบนเลยเดินเข้ามาหาพอถามความคืบหน้าเรื่องประชุมมาร์ชก็รายงานเป็นปกติใส่อารมณ์และแอคติ้งเกินร้อยจนเบนต้องยกมือบอกให้ลดๆ ลงมาหน่อย
“เดี๋ยวนี้สู้กับเมธัสโดยไม่ต้องมีพี่แล้วซินะ”
“ใช่ ล้มด้วยหมัดเดียวเลย”
“ตัวเท่าลูกหมาทำซ่า”
“เพื่อนรักคุณเบนนั่นแหละชอบมีปัญหา”
“เพื่อนรักใครวะเดี๋ยวจับโยนลงไปข้างล่าง”
พอคุยกันสองคนมาร์ชกับบาสที่ยืนอยู่ด้วยกันได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะไม่รู้จะแทรกบทสนทนาตรงไหนดี มาร์ชน่ะไม่เท่าไหร่คงจะเห็นจนชินแต่บาสที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้แต่มองทั้งคู่ที่ยืนคุยกันไปหัวเราะกันไป ไอ้เบนก็ยกมือลูบหัวเขาบ้างจับแก้มเขาบ้างส่วนคีตาก็ยืนให้จับเหมือนเป็นเรื่องปกติ พอทั้งคู่คุยกันเสร็จบาสเลยแนะนำตัวเพราะเขาเองก็ยังไม่เคยได้คุยกับนักแต่งเพลงลูกชายคุณอคิราห์สักที
“เพลงความรู้สึกสีเทาที่คีตาแต่งเพื่อนพี่ฟังตอนอกหักนี่ร้องไห้เป็นกะละมังเลยนะ ยังคิดอยู่เลยใครแต่งวะสุดยอด”
คีตาหัวเราะเพราะมีแต่คนบอกว่าเพลงนี้ฟังตอนอกหักแล้วร้องไห้กันทุกคน บาสเหลือบตามองเบนจามินที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ มือก็ยกขึ้นมาจับผมข้างหน้าคีตาให้เข้าที่เข้าทาง สายตาก็มองนักแต่งเพลงที่พูดเรื่องเพลงที่ตัวเองแต่งไปด้วย ถ้าเข้าเรื่องเพลงเมื่อไหร่คีตามักจะมีความสุขเสมอ ตาเป็นประกายปากก็ยิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มข้างแก้ม เสียงเรียกคีตาทำให้นักแต่งเพลงหันไปมองพี่สองกับพี่เอกเรียกให้มาดูเพลงที่ต้องแก้ ทันทีที่คีตาเดินไปหาโปรดิวเซอร์ทั้งสองคนบาสก็เอียงหน้ามากระซิบกับเบนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เก็บอาการหน่อยน้องชายมองเขาเหมือนจะแดกเข้าไปอยู่แล้ว”
“เก่งว่ะรู้ด้วย”
“นี่เมียหนึ่งลูกสองแล้วโว้ยแค่นี้ทำไมจะไม่รู้”
“แล้วเป็นไงบ้าง”
“หน้าตาน่าเอ็นดูเต็มสิบส่วนนิสัยคงต้องดูกันก่อนอาจจะเงียบๆ ไปบ้างแต่ก็นะตระกูลเราโวยยายแทบทุกคน ควรมีสะใภ้พูดน้อยน่ารักกุ๊กกิ๊กมิวสิคเทอราพีบ้างก็ดี”
“คีตานี่เป็นฝาแฝดไอ้ทิมได้เลยนะ”
“เหมือนไอ้ทิมนี่เฮียกุมขมับเลย เด็กเวร..ตอนเด็กป้อนข้าวมันพร้อมกับเอ็ง ป้อนไม่ทันใจกระโดดกัดแขนเฮียนี่ จำได้ไม่ลืม ”
“ดีเนอะ เอามันไปเลี้ยงบีมกับแบมบูสักวันสองวัน”
“ห่า..ลูกกูควรเป็นเด็กน่ารักไม่ใช่เด็กแสบแบบมันเหมือนไอ้ทิมนี่เมียกูกรี๊ดวันละแปดรอบแน่”
“เอาเป็นว่าตั้งแต่วันนี้เฮีบบาสอยู่ทีมเบนแล้วนะ ถ้าพ่อหรือคุณนายเจียซินฟาดกระบาลต้องวิ่งมารับแทน”
“กูพูดแล้วเหรอว่าทีมมึงเบน”
“ว่าที่แฟนน้องน่ารักขนาดนี้จะไม่ช่วยเหรอไง”
“กระจอกว่ะเรียกเขาว่าแฟนได้เมื่อไหร่ถึงช่วย”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อคีตาก็เดินกลับมาหาเบนทั้งคู่เลยขอตัวไปทำงานต่อ บาสเลยพยักหน้ารับภาพของทั้งคู่ที่เดินข้างๆ กันทำให้บาสยิ้มออกมาเขาก็ไม่เคยคิดหรอกว่าสุดท้ายแล้วเบนจามินจะลงเอยกับเด็กผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งไม่ใช่สาวสวยเปรี้ยวปรี๊ดอย่างที่คิดไว้ สำหรับเขามันไม่มีอะไรที่ไม่ดีเขาไม่เคยยึดติดกับเพศ ฐานะ หรืออะไรทั้งนั้น เขาเคยเห็นน้องชายร้องไห้แทบขาดใจกับความรักแย่ๆ มาแล้วเบนจามินควรจะได้เจอความรักที่ดีๆ กับเขาสักที
“คุณคีตาอาจจะดูเหมือนนักแต่งเพลงธรรมดาๆ แต่ก็ไม่ธรรมดานะครับ”
“อ้อ มีมึงอีกคนที่รู้เรื่องนี้สินะมาร์ช”
“คุณบาส คุณรู้ใช่ไหมคุณเบนทำงานให้มันผ่านไปวันๆ มาตลอด ยังจำเรื่องที่คุณเบนอนุมัติเอกสารผิดแล้วคุณเบอร์ดี้โกรธมากครั้งนั้นได้ใช่ไหมครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเบนกับคุณคีตาคุยอะไรกันแต่วันรุ่งขึ้นคุณเบนเดินมาหาผมแล้วก็พูดว่า ขอโทษที่ทำให้ผมเหนื่อยมาโดยตลอด ต่อไปนี้จะทำงานให้รอบคอบขึ้น”
“เบนเนี่ยนะทำแบบนั้น”
“ครับ ทายาทธุรกิจร้อยล้านขอโทษผู้ช่วยอย่างผม วันนั้นผมร้องไห้ยังกะเขื่อนแตก แต่คุณเบนบอกผมว่าคุณคีตาเป็นคนบอกเขาเองว่า ถ้าคุณเบนยังทำงานแบบนี้จะทำให้ผมเหนื่อยไปด้วย เวลาทำงานพลาดไม่มีใครกล้าด่าคุณเบนตรงๆ เพราะเป็นลูกเจ้าสัวแต่คนจะมาด่าผมแทน อยากให้คุณเบนนึกถึงตรงนี้”
บาสยิ้มออกมาเมื่อมาร์ชเล่าเรื่องให้ฟังและมีอีกหลายเรื่องที่บาสไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งสายตาและคำพูดดูก็รู้ว่ามาร์ชเองก็คงชอบคีตามากอยู่เหมือนกัน บาสยกมือกอดคอผู้ช่วยของเบนก่อนจะยกมือขึ้นมาชนในฐานะที่อยู่ทีมเบน
“สะใภ้คนเล็กเกียรติธนธาดาเจ๋งดีว่ะ อยากได้แบบนี้แบบไอ้เบนกวนตีนแล้วโดนกีตาร์ฟาดใส่”
MUSIC BOX
“อันนาทำหน้ารำคาญพี่เบนเต็มทนแล้วนะ”
คีตาที่อุ้มเจ้าแมวอ้วนอยู่ในอ้อมแขนบอกกับเจ้าของที่ถ่ายรูปอันนาไปเกือบยี่สิบรูปเพราะน้องอันนาเพิ่งอาบน้ำตัดขนแต่งตัวสวย เจ้าของทาสแมวเลยถ่ายรูปไม่หยุดแล้วดูน้องอันนาก็คงเอือมเจ้านายอยู่เหมือนกันพยายามมุดหน้ากับอกเขาหนีกล้องถ่ายรูปตัวละแสนที่จ่ออยู่ตรงหน้า
วันนี้เขามีเวลาว่างกันทั้งคู่เลยตื่นเช้าพาน้องอันนามาอาบน้ำอาบท่า ดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่เลยเดินเล่นดูของสัตว์เลี้ยงไปเรื่อยเปื่อย เบนจามินได้แต่มองคีตาเลือกผ้าพันคอให้น้องอันนาอยู่อย่างนั้นทุกวันนี้อันนาติดคีตามาก ตัวติดกันยังกะตังเมนอนด้วยกันทุกวัน ห้องนอนนักแต่งเพลงตอนนี้มีคอนโดแมวมาตั้งแล้วนะ เจ้าตัวสั่งมาเองด้วย
“พี่นั่งรอหน้าร้านแล้วกัน”
เบนไม่อยากถือตะกร้าน้องอันนาเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรีเพราะกลัวจะไปชนอะไรเขาพังขึ้นมาเลยเลือกมานั่งรอหน้าร้าน แล้วอุ้มน้องอันนามานั่งลงบนตัก แมวอ้วนขนฟูตัวหอมเรียกความสนใจสำหรับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ดี ยิ่งวันนี้เบนจามินแต่งตัวสบายๆ เสื้อยืดกางเกงสามส่วนไม่ได้เซ็ทผมทำให้ดูเหมือนเด็กวัยรุ่นในวัยยี่สิบต้นๆ
“ชื่ออะไรเหรอคะ”
“อันนาครับ”
“แล้วชื่อเจ้าของล่ะคะ”
มุกจีบเชยมากไม่เล่นด้วยหรอกนะจ๊ะน้องสาว … นั่นคือสิ่งที่คิดในใจเบนไม่ได้ตอบคำถามของกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงที่ยืนมุงดูน้องอันนาอยู่ ทำได้แต่ยิ้มๆ แต่ท่าทางจะไม่ยอมแพ้เพราะไม่เห็นจะขยับตัวกันเลยสักคน น้องอันนาเริ่มจะหงุดหงิดเมื่อทุกคนยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปรอบทิศทาง เลยแยกเขี้ยวขู่ไปสองสามที
ใจเย็นอันนาลูกป๊า
รอหม่าม๊าก่อนอย่าเพิ่งโมโหหิว
ภาพตรงหน้าทำให้คีตายืนนิ่งอยู่หน้าร้านเพราะไม่รู้ว่าจะเข้าไปตอนนี้ดีไหม พอพ้นกลุ่มนักศึกษาก็มีผู้หญิงสวยสองคนเดินเข้ามาหาอีก ยืนอยู่ตรงนี้เขามองไม่เห็นว่าพี่เบนเป็นยังไงทำหน้าแบบไหนเขาก็พอรู้ว่า เบนจามิน เกียรติธนธาดา ฮอตพอตัวก็ไม่แปลกหรอกหนุ่มตี๋ไฮโซบ้านรวยนามสกุลดัง หนุ่มโสดในฝันชัดๆ
“คีตา”
เสียงเรียกทำให้คีย์เดินเข้ามาหาอันนาพอเห็นหน้าเขาก็กระโดดเข้ามาให้อุ้ม ผู้หญิงสวยสองคนร้องว๊าวแล้วก็ถ่ายรูปต่อ เบนลุกขึ้นหยิบของที่วางไว้มาถือก่อนจะยิ้มให้คีตา
“ได้ปิ๊กกีตาร์ไหม”
“ปิ๊ก?”
“ไม่เจอที่ถูกใจสินะเดี๋ยวไปร้านอื่นก็ได้”
คีตาไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าผู้หญิงสองคนหันมามองหน้ากันก่อนจะพยักหน้าเหมือนเข้าใจกันสองคน ตอนที่คุณเบนพูดคำว่าปิ๊กกีตาร์ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อทั้งสองคนโบกมือให้น้องอันนาแล้วขอตัวคีตาเลยจับมืออันนาโบกคืนเพราะท่าทางสองคนนั้นจะชอบแมวจริงๆ ร้องกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
“เขามาจีบหรือเปล่า”
“จีบ”
“แล้ว?”
“บอกเขาว่าแฟนเลือกปิ๊กกีตาร์อยู่”
“…………………………………………”
“พี่เบนทำตัวน่ารักใช่ไหมจับหัวใจดูได้ใจไม่เต้นกับสาวสวยเลย สงสัยตายด้านไปแล้ว”
“เสี่ยวจริงๆ”
“นับวันคำพูดคำจายิ่งเหมือนไอ้ทิม”
คีตาหยุดเดินแล้วให้อันนาเข้าไปอยู่ในตะกร้าเหมือนเดิมก่อนที่มือจะจับลงบนต้นแขนของเบนแล้วเดินไปพร้อมกัน เบนได้แต่มองมือที่จับอยู่ที่ต้นแขนเขามันไม่ใช่เรื่องแปลกคีตาทำแบบนี้ออกจะบ่อย แต่อยู่ดีๆ เบนก็ยิ้มออกมาเมื่อมือของคีตาค่อยๆ เลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนมือเราทั้งคู่จับกันไว้แน่น นี่เป็นครั้งแรกในที่คีตาจับมือเขาไว้แบบนี้ในที่สาธารณะ
“สั่งกลับไปกินที่บ้านแล้วกัน ไม่อยากเอาอันนาเข้าร้านอาหาร”
เบนหันมามองคนที่เลือกเมนูอาหารให้พนักงานจด ทุกเมนูเบนแทบจะไม่ต้องเลือกเองด้วยซ้ำคีตาสั่งให้หมดทุกอย่างมีที่หันมาถามว่าอยากกินอย่างอื่นหรือเปล่า เขาเคยสงสัยว่าไอ้มิลมันสามารถยืนมองต้นไม้เลือกต้นกระบองเพชรเป็นชั่วโมงๆ โดยที่ไม่เบื่อได้ยังไง เพิ่งรู้ว่าตัวเองก็ไม่เห็นจะเบื่ออะไรตอนที่เขานั่งรอคีตาลองกีตาร์ที่จะซื้อเป็นชั่วโมงๆ เหมือนกัน
ความรู้สึกที่ว่าแค่อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว
มันก็คงเป็นแบบนี้
“คีตาวันหลังไปยิงปืนกันไหม”
“ยิงปืน?”
“ใช่ ยิงปืนที่สนามแกงค์ลูกเพื่อนแม่ไปกันบ่อย”
“ชอบเหรอ”
“เมื่อก่อนเล่นเพราะมันคลายเครียดดีเล่นไปเล่นมาก็ชอบ แต่ถ้าคีย์ไม่ชอบพี่ไม่บังคับ”
“ไปซิ”
“ไม่ต้องเอาใจนะ”
“แค่อยากทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันพี่เบนยังไปดูงานแสดงดนตรีกับผมได้เลย อยากทำอะไรอีกบอกนะ”
เบนจามินไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยตอนนี้หน้าตาเขาต้องตลกมากแน่ๆ
มันคงยิ้มจนตาเขาคงไม่เหลือคงเป็นเส้นขีดๆ เบนหันมามองคนที่ยังเปิดเมนูไปมา
“คีตา”
“เอาอะไรเพิ่มไหม”
“อยากแต่งงานแล้ว”
เบนจามินหัวเราะลั่นเมื่อคีตาโยนเมนูที่วางอยู่หน้าร้านใส่เขาเต็มๆ ขนาดพนักงานที่ยืนอยู่ยังกลั้นยิ้ม คีตาไม่ได้โกรธหรอกดูจากหน้าที่แดงก่ำกับอาการทำอะไรไม่ถูกก็คงจะเขินมากกว่า
MUSIC BOX
“กลับกี่โมง ให้พี่มารับไหม”
“ยังไม่รู้เลยเดี๋ยวผมโทรหาแล้วกัน”
“โอเค หอมก่อน”
คีตาที่กำลังเปิดประตูรถหันมามองคนที่ทำหน้าตาอ้อนใส่ จริงๆ ก็เรื่องปกติคุณเบนทั้งหอมทั้งจูบเวลาที่อยู่ด้วยกันคุณรามิลเป็นคนบอกเองว่าเป็นโรคติดสัมผัสกันทั้งแกงค์ลูกเพื่อนแม่ ขนาดคุณไม้แฟนคุณมิลยังบอกให้ทำใจเพราะโดนตลอด คีตาหัวเราะเมื่อคุณเบนยังทำหน้าหงอยทั้งๆ ที่เขาแค่จะมาหาพี่ที่เคยเล่นดนตรีด้วยกันเพื่อถามเรื่องเพลงที่จะแต่งแล้วบังเอิญพี่เขาเพิ่งว่างตอนเย็นพอดี
คีตาเอียงตัวเข้ามาหาก่อนที่แก้มขาวจะถูกหอมทั้งสองข้าง ท่าทางชื่นใจต่างจากเมื่อกี้ลิบลับจนคีตาต้องยกมือขึ้นมาดันหน้าไอ้คนที่ยังจ้องจะหอมไม่เลิกให้พอก่อน ไม่งั้นวันนี้คงไม่ได้ไปไหนกันพอดี สถาบันสอนดนตรีที่เขาเองเคยมาเมื่อหลายปีก่อนดูเปลี่ยนไปมากเหมือนกันคีตาเดินเข้ามาในห้องทำงานของพี่ที่นัดกันไว้แล้ว
“สวัสดีครับพี่เจมส์”
“คีตา…เฮ้ยไม่เจอกันนานน่ารักเหมือนเดิมขวัญใจเอกกีตาร์ของพี่”
“ผมลืมชื่อนี้ไปนานแล้วเนี่ย”
“แล้วเป็นไง ไหนเพลงที่จะให้พี่ดู”
คีตาวางกีตาร์ที่สะพายอยู่ก่อนจะหยิบเอาโน้ตเพลงที่แต่งค้างไว้ให้พี่เจมส์ช่วยดู มันเป็นเพลงสุดท้ายของโปรเจคแล้ว คีตาอยากให้มันออกมาดีที่สุดเลยตั้งใจเป็นพิเศษ บอกตามตรงว่าเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเพลงนี้จบลงแบบไหนเขาลองแต่งมาหลายรอบแล้วแต่ก็ไมได้สักที
“พักหน่อยไหม”
“ก็ดีครับ”
“พี่ก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ รู้ใช่ไหมคีตา เราเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะให้เพลงสุดท้ายมันทางไปไหนเราถึงแต่งไม่ได้สักที”
คีตาถอนหายใจพร้อมกับหลับตาพักก่อนจะขอตัวจากพี่เจมส์ไปห้องน้ำกะจะล้างหน้าให้สดชื่นมากกว่านี้ สถาบันสอนดนตรีมีเด็กมาเรียนเยอะพอสมควรหลังจากออกจากห้องน้ำคีตาเลยเดินดูตามห้องเรียนต่างๆ พอเห็นเด็กตัวเล็กๆ ตั้งใจเล่นดนตรีก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง โทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้คีตากดรับพร้อมกับเดินไปตามทางเดิน
“พี่เบนไม่อยากกินข้าวคนเดียวเลยครับ”
“เดี๋ยวผมก็กลับแล้วครับอย่างอแง”
“แล้วเรื่องเพลงเป็นยังไงบ้าง พี่ไม่อยากให้เราเครียดนะคีตา”
“ผมว่าอีกไม่นานผมน่าจะแต่งเสร็จ รอผมหน่อยนะครับ”
“พี่ไปอุ้มเรามานอนจากสตูดิโอแต่งเพลงทุกวันเลย เราหลับคาโน๊ตเพลงทุกวันถ้าไม่ได้เราเปลี่ยนชื่อโปรเจคเป็นเก้าเพลงรักดีไหม เดี๋ยวพี่บอกเจ้เบอร์ดี้ให้”
คีตาหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินพอได้คุยกันแบบนี้ก็ทำให้คีตารู้สึกผ่อนคลาย คุณเบนยังคงเป็นพลังด้านบวกให้เขาได้ตลอดทั้งมุขตลกๆ ที่ขุดมาเล่นหรือน้ำเสียงมันทำให้คีตาเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว อยู่ดีๆ คีตาก็หยุดเดินแล้วลดโทรศัพท์ในมือลงเสียงจากเครื่องดนตรีที่เขาเองไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหน พอตั้งใจฟังอีกรอบก็ได้ยินจริงๆ คีตารู้ว่าเสียงดนตรีที่เขาได้ยินมันมาจากห้องซ้อมสักห้องในชั้นนี้
คีตายกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบเขาไม่ได้ฟังเรื่องที่คุณเบนเล่าให้ฟังเท่าไหร่นักได้แต่ปล่อยอีกฝ่ายพูดไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินไปตามทางเท่าไหร่เสียงดนตรีก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ที่นี่คือสถาบันสอนดนตรีมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิดที่จะได้ยินเสียงดนตรี แต่ไม่รู้ว่าทำไมคีตาถึงรู้สึกว่าหัวใจเขาเต้นแรงผิดปกติเมื่อได้ยินเสียงดนตรีนี้
ประตูห้องที่ถูกเปิดทิ้งไว้ทำให้คีตาเดินเข้าไปใกล้ๆ เขารู้แล้วว่าเสียงดนตรีที่ได้ยินมาจากไหน ผู้หญิงผิวขาวผมสีน้ำตาลทองม้วนเป็นลอน ใบหน้าสวยไม่มีที่ติกำลังยิ้มยามที่เจ้าตัวกำลังเล่นไวโอลินไปด้วย เสียงเพลงที่ได้ยินมันเพราะจนคีตาไม่ได้ยินเสียงคุณเบนที่ยังอยู่ในสาย ท่วงท่าสวยงามเวลาที่เจ้าตัวขยับตัวมันทำให้คีตาละสายตาไม่ได้สักวินาที ภาพตรงหน้าคีตาเคยเห็นมาก่อน ผู้หญิงตรงหน้าคือคนเดียวกันกับในรูปวาดที่เขาเคยเห็นในห้องของคุณเบน
จันทร์เจ้า..
“เจ้า คุณธามกำลังมาพี่บอกแล้วว่าเจ้ากลับมาเยี่ยม”
“ขอบคุณค่ะพี่เจมส์นึกว่าจะมาเก้อซะแล้ว”
“นี่คีตารุ่นน้องที่คณะพี่เอง นั่นจันทร์เจ้าเคยเป็นครูสอนไวโอลินที่นี่แต่ตอนนี้ได้ดิบได้ดีอยู่ที่เมกาแล้ว”
“เวอร์ไปแล้วพี่เจมส์ สวัสดีค่ะ”
“………………………………………………”
“คีตา”
“………………………………………………”
“คีย์”
“สวัสดีครับผมคีตา นันทสกุล”
“ค่ะฉันจันทร์เจ้า สุนทรจิรการ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เบนจามินขมวดคิ้วเมื่ออยู่ดีๆ สายก็ถูกตัดไปจะโทรกลับก็กลัวว่าคีตาอาจจะติดธุระสำคัญเพราะเสียงสุดท้ายที่ได้ยินเหมือนเสียงเรียกชื่อใครสักคนเขาเองก็ได้ยินไม่ค่อยชัด แต่ที่แปลกใจก็คือเขาได้ยินเหมือนเสียงไวโอลินดังแว่วเข้ามาด้วย เบนเลยตัดสินใจไลน์ไปหาคีตาแทน ทันทีที่กดส่ง ข้อความจากทิมแกงค์ลูกเพื่อนแม่ก็โชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ ทิมบินไปทำงานเยอรมันตั้งแต่เมื่อวานยังบ่นคิดถึงมันอยู่เลยแต่ข้อความที่ทิมพิมพ์มามันทำให้เบนนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นมือที่กำลังจะพิมพ์ตอบหยุดค้าง..
TIM : เบน..เมื่อวานที่สนามบินกูเจอพี่จันทร์เจ้าเขากลับมาจากอเมริกาแล้วเหรอวะ
TO BE CON
PS. โอ๊ะ โอะ โอ,,,
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
น้องคีย์จะได้เพลงสุดท้ายของโปรเจคแนวไหนหนอ...รอลุ้นไปพร้อมพี่เบน อิอิ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
ตอนจบของเพลงสุดท้าย
โอ๊ะโอ จะแจกมาม่าหรือเปล่า? แต่คงไม่ใช่หรอกเนอะ
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
CHAPTER.16 :The last song
“คีตา เรามีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีนิครับ”
“เรานั่งมองหน้าพี่มาตั้งแต่ตอนตื่นแล้วนะ”
“มองเฉยๆ ไม่ได้เหรอครับ”
“นี่จีบพี่เหรอ”
คีตาแกล้งส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำหน้าเขินอายไม่เข้ากับตัวโตๆ สักเท่าไหร่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าคุณเบนรู้เรื่องที่คุณจันทร์เจ้ากลับมาหรือยัง และเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามีสิทธิ์ถามเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน วันนั้นเขาไม่ได้คุยอะไรกับคุณจันทร์เจ้าเท่าไหร่นักส่วนมากพี่เจมส์เป็นคนที่คุยมากกว่า
แต่ยอมรับเลยว่าคุณจันทร์เจ้า สวยมาก..
ไม่แปลกเลยที่คุณเบนเคยรักเธอขนาดนั้น
คุณเบนโทรกลับมาหลายรอบ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะรับสายเลยตัดบทไปในไลน์ว่ายังคุยเรื่องเพลงกับพี่เจมส์ แต่พอถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับ คีตาเลยโทรหาเบนอีกรอบคนในสายถามเขาอีกครั้งว่าให้ไปรับไหม ตอนนั้นคีตาหันไปมองคุณจันทร์เจ้าที่ยืนคุยกับพี่เจมส์อยู่ ใจหนึ่งเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเขาสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้งมันจะเป็นยังไง แต่สุดท้าย..
“เดี๋ยวผมกลับเอง ว่าจะแวะดูกีตาร์สักหน่อย”
เขายังไม่พร้อมจริงๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จคีตาสังเกตหลายรอบแล้วว่าคุณเบนเอาแต่กดโทรศัพท์ มันมีเสียงเรียกเข้าแต่คุณเบนก็ไม่ได้กดรับ แล้วก็มีข้อความที่โชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ ถ้าเป็นเรื่องงานปกติคุณเบนต้องบ่นออกมาแล้ว แต่สีหน้าคุณเบนดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เหมือนลังเลว่าจะคุยดีหรือไม่คุยดี
“ปัญหาเล็กน้อย”
เบนจามินยิ้มให้คนที่ยังเอาแต่จ้องเขาไม่เลิกท่าทางกังวลเหมือนเด็กคิดมากมันดูน่ารักดี เบนเลยยกมือขึ้นมาบีบแก้มป่องๆ นั่นพร้อมกับบอกว่ามันไม่มีอะไร แต่อยู่ดีๆ คีตาก็เอียงแก้มเข้าหามือแถมยังช้อนตามองอ้อนๆ อีกต่างหากเบนหยุดนิ่งเพราะทุกทีที่เขาบีบแก้มเจ้าตัวต้องร้องโวยายแล้ว
“ทำไมวันนี้อ้อนขนาดนี้”
“.....................................”
“ใจพี่เบนอ่อนยวบยาบเลยนะตอนนี้”
“........................................”
“ยังจะมายิ้มอีกลองในรถไหม โอ๊ย..เจ็บโว้ย!”
พอจบประโยคก็โดนฟาดลงบนแขนเต็มๆ แต่โดนอ้อนขนาดนี้แล้วมีหรือจะอยู่รอดปลอดภัยเบนเอื้อมมือไปยกตัวให้คีตามานั่งลงบนตักฝั่งคนขับ ท่าทางลำบากเล็กน้อยเพราะพื้นที่ไม่ได้กว้างขวางอะไร เบนกอดเอวคนที่นั่งอยู่บนตักไว้แน่นดีที่จอดรถค่อนข้างเป็นที่ส่วนตัวไม่งั้นยามต้องวิ่งมาหาแน่ๆ
“เสื้อยับหมดแล้ว”
“ความมผิดเราหมดเลยอ้อนพี่ทำไม”
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“พูดใหม่”
“ตั้งใจอ้อนนิดหน่อย”
“เดี๋ยวนี้คำพูดคำจาร้ายมากเลยว่ะ”
เบนแกล้งกอดรัดคนบนตักให้หายใจไม่ออก คีตาเลยต้องยกมือมาดันอกกว้างนั่นไว้ เบนหยุดแกล้งแล้วมองคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแถมตอนนี้หัวก็ยุ่งเหยิงชี้ไปคนละทิศคนละทาง คีตาหลับตาลงเมื่อแก้มโดนคุณเบนหอมเข้าไปเต็มๆ มีการกดย้ำ ๆ ซ้ำๆ พอโดนบ่อนว่าพอแล้วก็ย้ายมาอีกข้าง
“โกนหนวดหรือเปล่าจั๊กกะจี้”
“วันนี้ลืมแก้มแดงเลย”
“มันเป็นรอยต่างหาก”
“คีตา”
“ครับ”
“เราทำแบบนี้กันทุกเช้าเลยนะ”
คีตาเลื่อนมือขึ้นมาวางบนไหล่กว้าง พอเห็นรอยยิ้มกับตาตี่ๆ มันทำให้เขาหลุดยิ้มออกมา เรื่องขุ่นมัวที่ยังอยู่ในใจมันจางหายไปตอนไหนเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เบนก้มลงมาหาก่อนจะจูบเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะหยุดมองแต่พอเห็นคีตายิ้มก็ก้มลงไปหาอีกครั้ง มันไม่ได้ลึกซึ้งถึงขึ้นดีฟคิส แต่มันก็นานจนทำให้คนที่นั่งอยู่บนตักเริ่มหายใจไม่ทัน เบนถอยออกมาให้น้องได้พักแค่ไม่กี่วิแต่พอจะก้มลงมาหาใหม่หลังคีตาก็โดนแตรทำให้เสียงดังลั่นไปทั่วที่จอดรถ
“เราควรทำอะไรแบบนี้ไหมเนี่ย ดีนะไม่มีใครโผล่มา”
“มอร์นิ่งคิสไง”
“เบาๆ หน่อย”
“นี่ยังไม่หนักเลยนะ”
คีตาส่ายหน้าเมื่อเบนทำท่าจะจูบอีกรอบเลยกระเถิบตัวกลับมานั่งที่เดิม เพิ่งรู้ตัวว่าเวลามันล่วงเลยจนเกือบจะสายอยู่แล้ว เขาทั้งคู่ยังไม่ได้ออกจากคอนโดเลยด้วยซ้ำ อยู่ดีๆ คีตาก็นึกขึ้นมาได้โปรเจคสิบเพลงรักใกล้จะเสร็จแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้องย้ายออกจากคอนโดที่เราอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ยังไงที่นั่นก็ไม่ใช่บ้านเขาอยู่ดีจะให้อยู่ไปตลอดก็คงไม่ได้
“พี่เบน”
“เรียกพี่นี่ต้องมีอะไรแน่ๆ”
“...............................................”
“อ้าว เงียบ”
“พรุ่งนี้เช้าเรากินอะไรกันดี”
“ไอ้หนูมื้อเที่ยงมื้อเย็นเรายังไม่ได้กินเลย ใจเย็นๆ ค่ะ”
“ผมอยากคิดมื้อเช้าทุกวัน”
“ก็ให้คิดทุกวันอยู่แล้วหน้าที่ทำคือพี่”
“ตลอดไปเลยนะ”
เบนหันมามองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าคำพูดมันฟังดูเหมือนคีตาไม่มั่นใจเท่าไหร่จริงๆ ก็สงสัยตั้งแต่ทำตัวอ้อนตั้งแต่เช้าแล้ว เบนเลยยกมือวางลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลนั่นเบาๆ ก่อนจะแกล้งยีให้มันไม่เป็นทรง
“ตลอดชีวิตเลยจ้าคีตา ปลุกพี่เบนมาทอดไข่ได้เสมอ”
MUSIC BOX
“คุณคีย์ คุณสองบอกว่าระหว่างเพลงนี้กับเพลงนี้เลือกได้หรือยังครับ”
“.............................................................”
“หรือจะเอาสองเพลงนี้ใส่เข้าไปแล้วตัดเพลงนี้ออก”
“.............................................................”
“คุณเอกให้คุณคีย์ตัดสินใจได้เลย”
“.............................................................”
“คุณคีย์ คุณคีย์ คุณคีตา คีตาครับ!”
“.............................................................”
คนที่นั่งเหม่ออยู่สะดุ้งสุดตัวพร้อมกับหันมามองหน้ามาร์ชที่ทำเสียงปรบมือพร้อมกับเรียกชื่อเขาดังลั่น ต่างคนต่างเงียบแล้วมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น มาร์ชเลยรู้ว่าคุณคีย์น่าจะไม่ได้ฟังที่เขาพูดตั้งแต่ต้น จะว่าไปวันนี้ทั้งคุณเบนและคุณคียืก็มีอาการแปลกๆ มาตั้งแต่เช้า เหมือนทั้งสองคนมีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลา
เอาแต่นั่งเหม่อๆ
เขาพูดอะไรก็ไม่ได้ฟังเขาต้องพูดซ้ำๆ อยู่สองสามรอบ เกิดอะไรขึ้น?
“ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหมครับ”
“เปล่าครับ ผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“ขนาดตอบยังตอบเหมือนกันเลย มีต่างกันนิดนึง”
“คุณเบนบอกว่ายังไง”
“บอกว่าไม่ได้ทะเลาะกัน สวีตกันดีเมื่อเช้าก็ยังฟัดกันอยู่”
คีตารีบยกมือห้ามไม่ให้พี่มาร์ชพูดต่อรู้ว่าพูดจริงแน่ๆ เพราะคำพูดนี่ถอดแบบมาจากเจ้านายเด๊ะๆ ไม่มีผิดเพี้ยน พอสติเริ่มกลับมามาร์ชก็กลับมาตั้งใจทำงานเหมือนเดิม จนเวลาล่วงเลยไปจนถึงตอนเย็นพี่สองกับพี่เอกมีงานต่อ โปรเจคสิบเพลงรักเลยยกยอดไปพรุ่งนี้ จริงๆ ทุกอย่างเสร็จหมดแล้วเหลือแค่เพลงสุดท้ายเท่านั้น แต่โปรดิวเซอร์ก็ไม่ได้กดดันนักแต่งเพลงเพื่อให้เสร็จรู้ดีว่างานแบบนี้ต้องให้เวลา
“คุณเบนอยู่ที่ห้องทำงานครับ คุณคีย์ไปหาได้เลยเดี๋ยวผมต้องเอาเอกสารไปให้พี่นุชก่อน”
คีตาถอนหายใจรู้ตัวว่าวันนี้เขาเองไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ทั้งๆ ที่ควรโฟกัสกับงานตรงหน้าแต่ในหัวเขาเอาแต่คิดเรื่องคุณจันทร์เจ้าไม่หยุด หรือเขาควรจะคุยกับคุณเบนให้มันรู้เรื่องไปเลยดี มันเหมือนว่าตอนนี้ในหัวของเขามันมีเรื่องให้คิดหลายเรื่องจนน่าปวดหัว ทั้งเรื่องเพลงสุดท้าย เรื่องของคุณจันทร์เจ้า คีตาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องทำงานมือที่กำลังจะเคาะประตูห้องหยุดค้างอยู่ที่ห้องทำงานเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยของคุณเบนกับคุณคินภายในห้อง
“สรุปว่าพี่จันทร์เจ้าโทรมาหามึง แล้วมึงได้รับสายไหม”
“ไม่ได้รับว่ะ พอไม่รับก็ไลน์มาอีกไม่รู้ว่าเอาไลน์กูมาจากไหนกูว่าอันเก่ากูไม่มีชื่อเขาตั้งนานแล้ว”
“ตอบยัง”
“ไม่ได้ตอบ เขาพิมพ์มาว่าอยากคุยกับกู คุยเรื่องอะไรวะไม่เห็นเข้าใจ”
“จริงๆ ตอนนั้นมึงกับเขาก็จบกันแบบไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอวะ”
“ตอนนั้นจะให้กูจบดีได้ยังไงวะเสียใจฉิบหาย”
“แล้วไวโอลินที่มึงทำให้เขามึงยังอยากให้เขาอยู่ไหม เบน”
“.....................................................................”
“กูถามจริงๆ เลยนะเบนจามินมึงยังอยากเจอพี่จันทร์เจ้าอยู่ไหม”
“.....................................................................”
มือที่ยกค้างอยู่ตรงประตูกำแน่น คีตาเองยอมรับเลยว่าเขากลัวคำตอบที่จะได้ยินเขารู้หมดทุกอย่างว่าคุณเบนมีอะไรอยู่ในใจมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แล้วมันก็เป็นเรื่องที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด คีตาหลับตาแน่นเพื่อรอฟังคำตอบแต่ยังไม่ทันจะได้ยินอยู่ดีๆ ก็มีมือเอื้อมมือมาปิดหูไว้ทั้งสองข้างเหมือนตั้งใจจะให้เขาไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณเบนกำลังจะตอบ พอคีตาเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ปิดหูเขาอยู่ก็ยิ้มให้
คุณรามิล...
“เสร็จยังวะแดกข้าวกันเถอะไอ้ทิมโทรตามกูยิกๆ อย่าให้ไอ้ทิมโมโหหิว”
คุณรามิลบอกให้เขารออยู่ที่หน้าห้อง ก่อนที่ตัวเองจะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของคุณเบนเอาจริงๆ เขาก็ต้องขอบคุณคุณรามิลอยู่เหมือนกันเพราะเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่า ถ้าเขาได้ยินคำตอบที่คุณเบนบอกออกมาแล้วเขาจะรู้สึกยังไง พอดีกับที่พี่มาร์ชเดินกลับมาพอดีคีตาเลยเดินเข้าไปในห้องทำงานพร้อมกัน
“เพื่งประชุมเสร็จเหรอเห็นพี่เอกออกมาตั้งนานแล้ว”
“ครับ? เสร็จ..”
“เลิกงานแล้วถือคติห้ามคุยเรื่องงานเอาอย่างกูนี่หกโมงปุ๊บเด้งปั๊บ”
รามิลศอกใส่มาร์ชที่ยืนทำหน้า งง อยู่ข้างๆ ดีที่มาร์ชน่าจะรู้ทันเลยพยักหน้าเออออห่อหมกไปกับเขาด้วย พอมีคนตัดบทเลยไม่มีใครติดใจอะไรเบนลุกจากเกาอี้ทำงานแล้วเดินมาหาคีตา ก่อนที่ทั้งคู่จะคุยกันเรื่องอาหารเย็นที่กำลังจะไปกิน ตามด้วยมาร์ชที่โบกมือลาไปหาแฟนที่อยู่ชั้นสิบห้า
“เมื่อกี้มึงอยู่ข้างนอกกับคีตาใช่ไหมมิล”
“เออ เห็นคีตายืนอยู่นานแล้ว”
“ได้ยินอะไรไหม”
“ประโยคสุดท้ายไม่ได้ยิน”
“ทำหน้าที่หัวหน้าแกงค์ได้ดีมาก วันนี้มึงต้องเลี้ยงข้าวแล้วว่ะ”
“เลี้ยงกูสิวะไม่ใช่กูเลี้ยง”
“แล้วที่ไอ้เบนมันบอก..”
ที่รามิลไม่อยากให้คีตาได้ยินเพราะกลัวว่าจะเข้าใจไปผิดๆ เขาคบกับเบนจามินมานานรู้ดีว่าไอ้เพื่อนเขานั้นจะตอบว่าอะไร แต่เขาก็รู้อีกนั่นแหละว่าความหมายของมัน ไม่ใช่อย่างที่คีตาเข้าใจเขาเลยเลือกที่จะให้คีตาคุยกับเบนจามินเองจะดีกว่า อย่าเพิ่งฟังอะไรตอนนี้เลย คินได้ยินที่รามิลถามก็พยักหน้าเพราะสิ่งที่เบนบอกรามิลก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน
“อยากเจอ กูอยากเจอจันทร์อยากทำทุกอย่างที่ค้างคาให้มันจบสักที”
MUSIC BOX
นอนไม่หลับ..........คีตาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายที่นอนอยู่ข้างๆ ก็นอนไม่หลับเหมือนกันคุณเบนนอนห้องคีตาตั้งนานแล้วหลังจากที่ตอนแรกทำเป็นเนียนว่า มาตามหาน้องอันนาที่ชอบหนีมานอนที่ห้องบ่อยๆ ไปๆ มาๆ ก็นอนที่นี่ทุกวัน คีตาชะโงกหน้ามาหาและก็เป็นอย่างที่คิดไว้ คุณเบนยังคงนอนลืมตามองเพดานท่าทางเหมือนมีเรื่องให้คิดเพราะคิ้วก็ยังขมวดเป็นปม
“นอนไม่หลับเหรอไง”
“คุณเบนต่างหากที่นอนไม่หลับ”
“แค่นอนลืมตาเฉยๆ ”
“เป็นอะไรครับ”
“มีเรื่องให้คิดเยอะแยะ”
“เรื่องผมด้วยเหรอ”
“…………………………………………..”
เบนเลือกที่จะไม่ตอบและเขาก็คิดว่าระดับคีตาก็คงรู้อะไรมาบ้างเหมือนกันแต่เจ้าตัวก็เลือกที่จะไม่พูด นอกจากเรื่องจันทร์เจ้าที่เขาคิดมากแล้วยังมีอีกเรื่องที่เขายังไม่ได้บอกให้คีตาได้รู้ โปรเจคสิบเพลงรักใกล้จะเสร็จแล้วเบนใช้ชีวิตอยู่กับคีตาจนลืมวันเวลาลืมเหตุผลที่เราต้องมาอยู่ด้วยกันแบบนี้จนกระทั่งบนโต๊ะอาหารที่บ้านใหญ่ของเกียรติธนธาดา เจ้าสัวกรรณพ่อของเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“เบน โปรเจคสิบเพลงรักใกล้เสร็จหรือยัง”
“ใกล้แล้วครับเหลือแค่เพลงสุดท้ายแล้ว อาจจะใช้เวลาหน่อยแต่ผมว่าคีตาต้องแต่งได้แน่ๆ”
“ไหนๆ ก็จะเสร็จแล้วจะย้ายออกเลยไหม”
“ย้าย? ย้ายไปไหนครับ”
“เอ๊า..เราจะไม่กลับมาอยู่บ้านหรือไง คีตาเขาก็มีบ้านเขานะ อคิราห์เขาก็ถามพ่อเหมือนกัน เขาจะได้ให้คนไปดูบ้านไม่มีคนอยู่มาหลายเดือนเขาจะได้ให้คนไปทำความสะอาดที่กรุงเทพคีตาเขาก็อยู่บ้านคนเดียว”
“……………………………………………………………”
“เบน”
“เดี๋ยวผมคุยกับคีตาก่อนแล้วกันครับ”
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เขาตอบพ่อไป หลังจากนั้นเบนก็กินอะไรไม่ลงอีกมีแค่เฮียบาสที่นั่งอยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นมาบีบไหล่เขาเบาๆ ตอนนี้มันเหมือนกับว่ามีเรื่องหลายเรื่องถาโถมเข้ามาจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำเรื่องไหนให้มันเคลียร์ก่อน เพราะเบนเผลอคิดอะไรนานไปหน่อยเลยไม่เห็นว่าคีตาที่นอนอยู่ข้างๆ ยกตัวขึ้นมามองหน้า หน้าตี๋ๆ ที่ชอบทำหน้าทะเล้นอยู่บ่อยๆ ตอนนี้มีแต่ความกังวลจนคีตาเองก็รู้สึกได้
“จุ๊บเหรอ”
เบนรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อคีตาก้มลงมาจูบที่หน้าผากเบาๆ เบนเลยยกมือขึ้นมาคว้าเอาคีตาให้ขึ้นมานอนทับบนตัว คิดดูว่าคนที่อยู่ด้วยกันมายี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่ดีๆ จะให้ย้ายกลับบ้านกลับช่องต่างคนต่างอยู่ได้ยังไงกันเขาขาดใจตายกันพอดี
“พี่เบน”
“ครับ”
“ถ้าพี่เบนอยากทำอะไรทำได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจผม ไปทำทุกอย่างที่มันยังค้างใจอยู่เถอะครับ ถ้าสุดท้ายแล้วไวโอลินยังสำคัญสำหรับพี่เบน ผมก็เข้าใจ”
เบนไม่ได้ตอบรับประโยคที่คีตาบอกเพียงแค่เขาพลิกตัวคีตาให้ลงมานานข้างๆ แล้วกอดไว้แนบอกคนที่นอนกอดอยู่ตบหลังเขาเบาๆ คล้ายปลอบใจ เบนจามินกังวลเรื่องนี้อยู่หลายวันแต่เพียงแค่ประโยคเดียวทำให้เขาเหมือนยกภูเขาออกจากอก เบนเอื้อมมือไปไขลานกล่องดนตรีรูปกีตาร์ที่วางอยู่บนหัวเตียงแล้วปล่อยให้เสียงเพลงมันดังอยู่อย่างนั้น
“อันนา..”
ไอ้ก้อนขนฟูๆ ที่มานอนทับอยู่ตรงหน้าทำให้คีตารู้สึกตัวตื่นเจ้าแมวอ้วนหันมามองแล้วก็นอนบนหมอนต่อ คีตายกมือลูบขนอยู่สองสามทีก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น คนข้างๆ ที่นอนกอดกันทั้งคืนไม่ได้อยู่ในห้องแล้วคีตาเลยลุกแล้วเดินออกมาข้างนอก ห้องครัวและห้องนั่งเล่นก็เงียบกริบเลยตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของคุณเบน ทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงยกเว้น
กล่องใส่ไวโอลินที่หายไป..
เขาเองก็ควรจะทำเรื่องที่มันยังค้างคาใจอยู่เหมือนกัน
MUSIC BOX
ประตูรั้วสีขาวที่อยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่คีตาเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะมายืนอยู่ที่นี่ มือก็ยกขึ้นๆ ลงๆ ไม่กล้าที่จะกดกริ่ง เขายืนอยู่ตรงนี้มานานแล้วตอนแรกก็คิดมาอย่างดี แต่พอมาถึงจริงๆ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา แค่เพียงไม่นานร่างของผู้ชายดูมีอายุก็ลากสายยางมายังต้นไม้หน้าบ้าน ลุงพิชัย..คือสามีใหม่ของแม่คีตารู้จักแต่ไม่เคยได้คุยกันสักครั้ง คงเพราะเห็นว่ามีใครมายืนอยู่หน้าบ้านลุงพิชัยเลยเดินมาเปิดประตู
“มาหาใค..คีตา”
“………………………………………….”
“เข้ามาก่อนๆ คีตา”
“………………………………………….”
“เพลง เพลง คีตามา เพลง!”
เพราะเขาเอาแต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ลุงพิชัยเลยเลือกที่จะตะโกนเรียกคนที่อยู่ในบ้าน คีตาเห็นแม่เพลงวิ่งมาที่หน้าประตูตามด้วยกีตาร์ที่วิ่งตามมาติดๆ คีตายิ้มให้แม่ที่ยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะรีบวิ่งเข้ามากอดเขาไว้แน่น อ้อมกอดแม่ที่คีตาลืมไปแล้วว่าเป็นยังไงตั้งแต่วันที่แม่ย้ายออกไป สองมือที่ตกข้างลำตัวค่อยๆ ยกขึ้นมาก่อนที่จะกอดเอวแม่ไว้แน่นเช่นกัน หยดน้ำตาที่กลั้นไว้ค่อยๆ ไหลลงมาบนแก้มหลังจากนั้นคีตาเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนเด็ก เขาปล่อยโฮอย่างไม่อายใครโดยมีแม่คอยลูบหลังอยู่ตลอดเวลา
“ผมขอโทษ”
“แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ แม่ทำร้ายคีย์มาโดยตลอดเลยทั้งๆ ที่แม่เป็นแม่แท้ๆ แต่กลับทำให้ลูกเสียใจ แม่เองก็นึกว่าจะไม่มีวันนี้แล้ว วันที่แม่ได้กอดคีย์อีกครั้ง คีย์โตขึ้นเยอะเลยเมื่อก่อนตัวเท่านี้เท่าตุ๊กตาหมี”
“ผมยี่สิบห้าแล้วนะครับ”
“สายตาแม่คีย์ก็ยังแปดขวบ ไหนให้แม่กอดอีก”
คีตาหัวเราะเมื่อแม่เอาแต่พูดสองประโยคแล้วก็กลับมากอดเขาต่อ กอดๆ ปล่อยๆ อยู่อย่างนั้นคีตาได้พูดทุกอย่างที่ค้างคาใจตั้งแต่วันนั้นและอีกหลายเรื่องในช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราสองคนแม่ลูกสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องอดีตที่ผ่านมานอกจากมันจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วมันยิ่งจะทำร้ายเรายิ่งขึ้นไปอีก
“เดี๋ยวแม่จะออกไปจ่ายตลาดจะทำทุกอย่างที่เราชอบเลย แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ปลาผัดพริก ผัดผักรวม กุ้งทอดกระเทียม”
คีตาขมวดคิ้วเมื่อรายการอาหารที่แม่บอกมา แม่ไม่น่าจะรู้ขนาดนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาชอบตอนโตแล้วทั้งนั้น พอเห็นเขาทำหน้าสงสัยแม่ก็แกล้งเดินหนีไปเรียกลุงพิชัยให้เตรียมรถ คีตายิ้มนิดๆ เดาได้ว่าพ่อเขานี่แหละที่เป็นคนรายงานทุกอย่างให้แม่รู้ เขารู้ว่าพ่อกับแม่ยังคงติดต่อกันอยู่ถึงแม้จะไม่ใช่ในฐานะคู่ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ตาม คีตานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนที่เสียงเรียกชื่อเขาจะดังขึ้น
“พี่คีย์”
“กีตาร์”
“ผมมีอะไรจะให้พี่ดู”
กีตาร์ดึงมือเขาให้ลุกตามขึ้นมาข้างบนแล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องๆ หนึ่งทั้งๆ ที่มันก็อาจจะเป็นแค่ห้องธรรมดาทั่วๆ ไปแต่ไม่รู้ทำไมคีตาถึงรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้ กีตาร์ค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปก่อนจะเบี่ยงตัวแล้วให้เขาเป็นคนเดินเข้ามา ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้องบอกได้เลยว่าหัวใจแทบหยุดเต้น
“แม่เพลงเก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับคีตา นันทสกุลไว้ในห้องนี้”
คีตาเงยหน้ามองบรรดาซีดีเพลงที่เขาเคยแต่งเมื่อนานมาแล้ว ชื่อเพลงทุกเพลงที่แต่งโดยคีตา นันทสกุลถูกจดใส่สมุดไว้อย่างสวยงาม หรือแม้แต่รูปภาพเขาในวัยจบมัธยมปลาย จบปริญญาตรีหรือแม้แต่ข่าวเพียงแค่สองสามบรรทัดมันถูกใส่กรอบไว้เป็นเหมือนสิ่งล้ำค่า รูปเขาเล่นดนตรีกับพ่อที่เชียงราย รูปที่เขาไปรับรางวัลเพลง คีตาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้กระจกใบใหญ่แต่สิ่งที่อยู่ในตู้กระจกทำให้คีตายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“แม่เพลงสั่งทำกล่องดนตรีในวันเกิดพี่ทุกปีแต่แม่ไม่เคยกล้าเอาไปให้”
กล่องดนตรีหลากหลายแบบวางเรียงอยู่ในตู้ ทุกอันมีหลายเซ็นต์ของแม่สลักไว้เหมือนกับกล่องดนตรีรูปกีตาร์ที่วางอยู่บนหัวเตียงเขาตอนนี้ หยดน้ำตาเอ่อล้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกีตาร์พูดประโยคหนึ่งขึ้นมา
“แม่บอกผมเสมอว่าพี่คีตาเหมือนกล่องดนตรีเสียงเพลงจากพี่จะทำให้ทุกคนที่ได้ฟังได้รับพลังและมีความสุขทุกครั้งที่ได้ยิน”
กับข้าวฝีมือแม่เพลงยังคงอร่อยเหมือนเดิมคีตาไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตามานานแล้ว ลุงพิชัยตอนแรกไม่ค่อยคุยกับเขาเท่าไหร่แต่พอนานเข้าก็เริ่มคุยเล่น ส่วนกีตาร์ก็เป็นเด็กร่าเริงที่พูดไม่หยุดเขาสัญญาว่าจะเอาลายเซ็นต์น้องนีน่าศิลปินที่ KTD มาฝาก เป็นรอบหลายปีเลยนะที่เขาไม่ได้กินข้าวไปหัวเราะไปแบบนี้ คีตาไม่ได้พูดเรื่องห้องที่กีตาร์พาขึ้นไปดูเขาจะรอให้แม่บอกเขาเองหรือไม่บางทีแม่อาจจะอยากเก็บห้องนั้นไว้เป็นความลับของแม่ก็ได้ ก่อนจะกลับแม่เพลงเลยเดินมาส่งที่หน้าประตู
“คีย์คุยกับพ่อบ้างนะลูก แม่หมายถึงคุยกันแบบพ่อกับลูกชาย”
“…………………………………………….”
“เพลงสุดท้ายที่คีย์ยังแต่งไม่ได้ถ้าอยากได้คำแนะนำ เราน่ะลืมอะไรไปแล้วแน่ๆ “
“ลืม? ผมเหรอ?”
“พ่อเราน่ะนักดนตรีในตำนานเลยนะ”
คีตาเดินมาที่ร้านกาแฟใกล้ๆ บ้านแม่ เขาแค่อยากได้ที่เงียบๆ คิดอะไรนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจกดเบอร์โทรหาคนที่ตอนนี้อยู่ที่เชียงราย แค่เพียงไม่นานก็มีคนรับแต่เสียงเพลงดังโหวกเหวกจนคีตาต้องถามซ้ำสองสามรอบ
“พ่ออยู่เชียงรายรำลึกอามินชวนมาเล่นดนตรี เดี๋ยวนะคีย์พ่อหาที่เงียบๆ ก่อน”
“พ่อ”
“ว่าไง”
“วันนี้ผมไปหาแม่มา”
“แล้วเป็นไงบ้าง”
“พ่อต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆ ดูไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่”
“เรื่องเกี่ยวกับเราทุกเรื่องแม่เรารายงานพ่อหมด ตอนนั้นที่เราป่วยเข้าโรงพยาบาลไลน์หาพ่อเกือบจะสี่หน้ากระดาษเอสี่บอกให้พ่อส่งกล้วยปิ้งเจ้าโปรดมาจากเชียงรายไปให้ ต้องรีบบอกว่ากรุงเทพก็มีขายกลัวจะนั่งเครื่องบินมาซื้อที่นี่”
อีกหลายเรื่องที่พ่อเล่าเกี่ยวกับแม่ให้ฟังคงเพราะเขาเองได้คุยกับแม่แล้วพ่อถึงยอมเล่าให้ฟัง เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่คุยกันเยอะขนาดนี้คีตาหัวเราะเมื่อพ่อบอกว่าแม่ให้พ่อแอบถ่ายรูปเขาแล้วส่งให้ทุกวันสงสัยเขาต้องเซลฟี่แล้วส่งให้แม่เองแล้ว
“แล้วเป็นไงเรื่องงาน สิบเพลงรัก”
“พ่อ..เหลือแค่เพลงสุดท้ายแต่งยังไงก็แต่งไม่ได้สักทีผมถามคนมาหลายคนแล้ว”
“ยากขนาดนั้นเลย..แล้วเราอยากให้ความรักบทสุดท้ายจบแบบไหน”
“ทุกคนก็อยากให้ความรักจบแบบสมหวังไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ทุกคนที่สมหวังหรอกนะคีตา”
“พ่อยังรักแม่อยู่ไหม”
“รัก..แต่ในฐานะคนที่เคยเป็นสามี ภรรยาของพ่อคนเดียวก็คือแม่เพลงของคีย์ แต่ถึงแม้ทุกวันนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วแต่ตอนที่เรายังรักกันตอนนั้นพ่อกับแม่มีความสุขมากนะ ช่วงเวลาตอนจีบ ตอนเป็นแฟน แต่งงานหรือแม้แต่ตอนที่เราเกิด ทุกช่วงเวลามันมีแต่ความทรงจำดีๆ เต็มไปหมด”
“……………………………………………………”
“ถึงแม้สุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่ได้จบแบบ Happy Ending เหมือนในนิทานแต่ที่ผ่านมาพ่อก็มีความสุขจริงๆ ทั้งหมดนั่นมันคือความรักของพ่อ คีตา”
“……………………………………………………”
คีตายิ้มออกมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่พ่อบอกออกมาเป็นอย่างที่แม่บอก เขาขอคำปรึกษาจากคนรอบตัวหลายคนแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้นึกถึงคนที่อยู่กับเขามาทั้งชีวิต เขารู้ว่าตั้งแต่พ่อกับแม่เลิกกันเขาเอาแต่โหยหาความรักจากแม่โดยไม่ได้นึกถึงพ่อคนที่อยู่ด้วยกันเลยพ่อที่ทำให้เขาทุกอย่าง
“แม่บอกว่าให้ผมคุยกับพ่อบ้าง คุยแบบพ่อกับลูกชาย”
“ตั้งแต่พ่อกับแม่หย่ากันเราก็เอาแต่เงียบจนพ่อเองก็กลัวว่าจะไปพูดอะไรทำร้ายจิตใจลูกอีก แต่พ่อก็หวังว่าวันหนึ่งเราจะคุยกันได้ทุกเรื่องนะคีย์ ทุกเรื่องที่ลูกอยากจะพูดกินเหล้าไปคุยไปก็ได้”
“ถ้าสมมุติว่าผมอกหัก”
“กับใคร? เบนจามินน่ะเหรอ”
“พ่อ….”
“บางทีเรื่องบางเรื่องผู้ใหญ่เขาก็รู้แต่แค่เขาไม่พูดแต่พ่อยังไม่ได้บอกแม่นะเรื่องนี้ แล้วอกหักอะไรเห็นรักกันดีตัวติดกันยังกะปาท่องโก๋”
“นี่พ่อจ้างคนมาตามผมใช่ไหมยอมรับมาเดี๋ยวนี้”
“ลูกพ่อทั้งคนก็ต้องห่วงสิวะ กับเบนนี่รวยกว่าพ่อไม่สู้นะเจ้าสัวกรรณเอาปืนมายิงทำไง กลับมาซบอกพ่อที่เชียงรายนั่งมองนาฬิกาเปลี่ยนสีเดี๋ยวก็หายเศร้า”
“ผมบอกว่าถ้า..”
“อย่ากลัวเลยคีตาถ้ากล้าจะรักก็ต้องกล้ารับทุกย่างที่ตามมาด้วย โลกนี้ยังมีอะไรให้ลูกได้เรียนรู้อีกเยอะอย่างน้อยเบนจามินก็เข้ามาทำให้ชีวิตลูกได้เจออะไรใหม่ๆ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ถ้าสุดท้ายแล้วมันอาจจะต้องเจ็บแต่ก็ถือว่าชีวิตหนึ่งคีตาได้รักใครสักคนแล้วนะ
“………………………………………………..”
“เบนทำให้คีย์แต่งเพลงรักได้ เปิดใจในทุกเรื่อง เข้าสังคมที่คีย์ไม่มีมานาน ทำให้คีย์ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่งพ่อว่าสำหรับคีย์มันก็ดีมากแล้ว ส่วนเรื่องความรักเราบังคับใครไม่ได้นะ”
“……………………………………………………”
“ถึงสุดท้ายเขาจะไปแต่ที่ผ่านมาช่วงเวลาที่เขาอยู่ด้วยมันก็เป็นความทรงจำที่ดีสำหรับคีย์แล้วใช่ไหม”
“……………………………………………………”
คีตานึกตามที่พ่อบอกภาพที่เราตื่นนอนพร้อมกัน ทำอาหารเช้า นั่งดูหนังที่ห้องนั่งเล่น เล่นดนตรีกันสองคน มันทำให้คีตาเข้าใจได้ทั้งหมด ไอแพดถูกหยิบขึ้นมาก่อนที่เนื้อเพลงที่อยู่ดีๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่รู้จบถูกเขียนลงไป เขาจมอยู่กับเพลงสุดท้ายมาหลายวันจมอยู่กับมันจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน ถามหาคำแนะนำจากคนหลายคนและในที่สุดเขาก็แต่งมันได้สักทีคีตาใส่ชื่อเพลงสุดท้ายก่อนจะยิ้มออกมา
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เสร็จสักทีโปรเจคสิบเพลงรัก
“ผมได้เพลงสุดท้ายแล้วครับพ่อ ขอบคุณครับ”
.....................
.......................................................
-
........................................
.............................................................
MUSIC BOX
“นึกว่าเบนจะไม่อยากเจอพี่ซะแล้ว”
ร้านอาหารที่คุ้นเคยมันเป็นร้านโปรดที่เขากับจันทร์เจ้าชอบมาทานด้วยกัน อาหารอิตาเลียนหรูหรามีเพลงบรรเลงที่จันทร์เจ้าเคยชอบ จันทร์เจ้าเองรู้สึกว่าเบนจามินเปลี่ยนไปมากเหมือนกัน คนตรงหน้าไม่ใช่เด็กนักศึกษาที่เอาแต่เล่นไปวันๆ เบนจามินอยู่ในชุดลำลองราคาแพง ทรงผมและหน้าตาไม่ใช่อาตี๋ที่เอาแต่ยิ้มแป้นแล้นเหมือนเมื่อก่อน
“ผมไม่อ้อมค้อมนะจันทร์ ที่ผมออกมาเจอเพราะผมเองก็อยากจะคุยกันให้รู้เรื่อง”
“เราจบกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่พี่รู้”
“ผมขอโทษที่เมื่อก่อนทำตัวแย่”
“ตอนนั้นเราก็อาจจะเด็กกันทั้งคู่หมายถึงเรื่องความรัก เราเองก็ทุ่มกับความรักเต็มร้อยพี่เองก็เห็นแก่ตัวรั้งเราไว้ทั้งๆ ที่ไม่ได้รักเราเลย”
“จันทร์ได้ตอบคำถามที่ผมคาใจมาตลอดแล้ว”
“คำถาม?”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่จันทร์เจ้าเคยรักเบนจามินบ้างหรือเปล่า”
“เบน..”
“ไม่เป็นไรหรอกครับถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงโวยวายแล้วลุกหนีไปแล้ว ยังไงเรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วด้วย ผมแค่อยากทำในสิ่งที่ผมตั้งใจไว้แต่ไม่ได้ทำ”
ไม่มีใครแตะต้องอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าไวน์ราคาหลายพันยังคงเทใส่แก้วโดยที่ไม่มีใครคิดจะหยิบขึ้นมาดื่ม เบนหยิบกล่องไวโอลินขึ้นมาถือไว้ก่อนที่จะเปิดมันออกมา สิ่งที่เห็นทำให้จันทร์เจ้าเงยหน้ามองผู้ชายที่เธอเคยทำร้ายจิตใจในวันนั้น ที่เธอกลับมาไทยครั้งนี้เธออยากจะเจอเบนจามินอีกครั้ง เธอเลิกกับเฮนรี่เมื่ออาทิตย์ก่อนเลยอยากจะกลับมาไทยเพื่อพักใจ พอกลับมาเรื่องราวที่เธอเคยทำไว้กับเบนก็ย้อนกลับมาให้คิด
เหมือนกรรมตามสนอง
เฮนรี่ก็ทำแบบเดียวที่เธอทำกับเบน
จันทร์เจ้าเงียบลงเพื่อรอฟังในสิ่งที่เบนจะบอกไวโอลินที่อยู่ในมือเบนสวยงามมาก ในฐานะที่เป็นนักไวโอลินบอกได้เลยว่าเครื่องดนตรีอันนี้สวยจนเธอไม่กล้าที่จะแตะต้อง ยิ่งได้เห็นลายสลักตัวอักษร B และพระจันทร์ เธอเองได้แต่บีบมือตัวเองไว้แน่น
“ผมสั่งทำไวโอลินให้จันทร์ก่อนที่พี่จะไปเรียนต่อที่อเมริกา ผมตั้งใจตั้งแต่ออกแบบลายสลักรวมทั้งเลือกเพลงที่อยากจะให้พี่ฟังเป็นคนแรก”
“…………………………………………………………”
“ถึงวันนี้ระหว่างเราไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วแต่ผมก็อยากจะให้จันทร์อยู่ดี ถือซะว่าเป็นของขวัญจากน้องชายที่เคยดื้อมากๆ แล้วกันนะครับ”
“…………………………………………………………”
“เราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ผมคงไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกับพี่อีกตอนนี้ผมมีคนที่ผมรักเขาอาจจะไม่สบายใจถ้ารู้ว่าผมยังคุยกับพี่อยู่ เขาเป็นคนปัจจุบันและตลอดชีวิตที่เหลือของผม ผมไม่อยากให้อดีตของผมมาทำให้เขาเสียใจเข้าใจผมด้วยนะครับ พี่จันทร์เจ้า”
จันทร์เจ้ารับไวโอลินมากอดไว้แน่นสิ่งที่ได้ยินทำให้เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้เบนจามินในตอนนั้นผู้ชายที่เธอมองว่าไม่ได้เรื่อง เอาแต่เล่น ไม่เคยจริงจังอะไรแต่ก็ทำเพื่อเธอขนาดนี้คำพูดมากมายที่เธอเตรียมไว้หายไปทันทีมีแค่คำพูดเดียวที่เธออยากจะบอกให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้ฟัง
“พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะเบนจามิน”
สุดท้ายก็ไม่มีใครได้ทานอาหาร จันทร์เจ้ายิ้มให้เบนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นรถที่จอดรออยู่แล้ว เพื่อนที่เคยทำงานโรงเรียนสอนดนตรีด้วยกันหันมามองเมื่อเธอเอาแต่นั่งนิ่งกอดกล่องไวโอลินไม่ยอมปล่อย
“นั่นอะไรเจ้า”
“ของขวัญ”
“ไวโอลินเหรอ”
“โตขึ้นเยอะเลย”
จันทร์เจ้าไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนแต่เงยหน้ามองกระจกหลังเมื่อเห็นว่าเบนยังคงยืนอยู่ที่เดิมบทสนทนาก่อนที่เราจะแยกกันทำให้จันทร์เจ้ายิ้มออกมา
“แล้วเบนไม่เล่นไวโอลินแล้วเหรอ”
“ไวโอลินยังเป็นเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบครับแต่ตอนนี้ผมมี..”
“มีเครื่องดนตรีที่ชอบใหม่แล้ว?”
เบนจามินส่ายหน้า เขาพูดจริงๆ เขาไม่ได้ชอบเครื่องดนตรีอันไหนเลยนอกจากไวโอลิน เบนนึกถึงคนที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่ที่คอนโดโดยมีผู้ฟังคือเจ้าแมวอ้วนสีขาวที่กระดิกหางอย่างสบายอารมณ์ เบนยิ้มให้ผู้หญิงที่เขาเคยรักมากก่อนจะบอก
“ผมมีกล่องดนตรีแล้ว”
เบนไม่ได้ขับรถกลับบ้านอย่างที่ตั้งใจเขาเดินไปตามฟุตบาทไปเรื่อยๆ นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้เดินเล่นแบบนี้ ความรู้สึกของเขาในวันนี้มันเหมือนกับว่าเขาปลดล๊อคทุกอย่างหมดแล้ว ในใจเขามันไม่มีอะไรติดค้างอีก เบนยีผมตัวเองที่เซ็ทไว้อย่างดีดึงเสื้อที่ใส่ไว้ในกางเกงออกมาให้สบายตัวที่สุด เบนกดเบอร์โทรออกแล้วรอให้อีกฝ่ายรับสาย
“คีตา พรุ่งนี้เช้าเรากินอะไรกันดี” / “พี่เบน อยากกินอะไรตอนเช้า”
ประโยคที่พูดออกมาพร้มกันทำให้ต่างคนต่างเงียบก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงรถที่ดังเข้ามาทำให้เบนรู้ว่าอีกฝ่ายก็น่าจะอยู่ข้างนอกเช่นกันเผลอๆ อาจจะเดินเล่นแบบที่เขาทำอยู่ เบนจามินยังคงเดินคุยโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าร้านขายเครื่องดนตรีกีตาร์หลากหลายแบบทำให้เบนยืนมองอยู่อย่างนั้น
“พี่เบน”
“จริงๆ อยากบอกต่อหน้าแต่ตอนนี้บรรยากาศและความรู้สึกมันได้มาก”
“หืม? บอกอะไรนะไม่ค่อยได้ยินเลย”
“คีตา นันทสกุล”
“ครับ”
“พ่อถามพี่เรื่องที่เราจะต้องย้ายออกจากคอนโดแต่พี่บอกว่าขอคุยกับเราก่อน พี่จะไปบอกพ่อว่าเราจะไม่ย้ายออกไปไหนเราจะอยู่ด้วยกันต่อให้โปรเจคสิบเพลงรักจบไปแล้วหรือสัญญาเรากับ KTD จะสิ้นสุดลงแต่ถ้าพ่อถามว่าเราอยู่ด้วยกันในฐานะอะไรพี่ก็จะตอบไปเลย”
คีตากำโทรศัพท์ไว้แน่นสองขาที่เดินอยู่หยุดเดินเสียงรถที่เคยดังจนฟังอีกฝ่ายพูดไม่ค่อยได้ยินอยู่ดีๆ ก็เงียบลงคล้ายกับว่าตั้งใจให้คีตาได้ยินแค่ประโยคที่เบนจามินบอกให้ฟัง
“อยู่ในฐานะคนรักครับ เบนจามินน่ะโคตรรักคีตาเลยรู้ไว้ซะเจ้าหนู”
และทั้งความรักใจเดียวที่มีนี้ให้เธอไป หมดดวงใจที่รักเธอ
ไม่มีวันทิ้งกัน ไม่หลอกให้ฝันเก้อเลือกแล้วคือ ..เธอคนนี้
TO BE CON
PS. พี่เบนกลับมาแล้วจ้าาาาา
ตอนหน้าตอนจบแล้วเดี๋ยวมาเจอสิบเพลงรักของคีตากันค่ะ
เตรียมพบกับ ทับทิม นพจินดา ใน Jewerly Desing #อัญมณีที่รัก เร็วๆ นี้ค่ะ ^^
Thanks เนื้อเพลงเลือกแล้วคือเธอ เต้กันตะ
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
เป็นช่วงเวลาจัดการความรู้สึก ชัดและเคลียร์ในทุกความสัมพันธ์...มันดีอ่ะ
จบโปรเจคก็ให้พ่อมาขอได้เลยจ้า 555
-
:pig4: :pig4: :pig4:
รอตอนจบ หวังว่าคงอีกไม่นานนะ
-
อ่านรวดเดียว ขอบอกว่าวางไม่ลงจริงๆ
คอยลุ้นและเอาใจช่วยคู่นี้ เพราะเป็นความลงตัว ที่ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม
-
อ่านแล้วอิ่มใจมากเลย
-
MUSIC BOX
#นิยายกล่องดนตรี
ผมเติบโตมาพร้อมกับธุรกิจดนตรี
แต่มีเครื่องดนตรีเดียวที่ผมชอบคือ ไวโอลิน – เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ผมเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวนักดนตรี ผมเล่นดนตรีได้ทุกอย่าง
ยกเว้น ไวโอลิน – คีตา นันทสกุล
EPILOGUE : MUSIC BOX -END-
“นี่เพื่อนเราขยันตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อตตั้งแต่เมื่อไหร่วะข้าวปลาไม่มีเวลาแดกเลยสงสาร”
คินยื่นขนมจากร้านชื่อดังให้มาร์ชที่ท่าทางยุ่งไม่แพ้กัน ตอนนี้ KTD ฮ็อตมากเพราะเห็นมีโปรเจคเกิดใหม่แทบทุกอาทิตย์ ตอนนี้ได้ข่าวว่ามีศิลปินและดาราในสังกัดเพิ่ม รวมทั้งโปรเจคใหญ่ยักษ์ที่ร่วมทุนกับอเมริกาของมาร์ค มาร์ตินแต่ที่ช็อคกว่านั้นคือคนที่ดูแลโปรเจคอันนี้คือ ทายาทคนเล็กของตระกูล เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ได้ข่าวว่าตอนเจ้าสัวประกาศชื่อ ไอ้เบนช็อคไปเกือบสิบวิก่อนจะวิ่งถลาไปกอดเจ้าสัวไว้แน่น เฮียเบถ่ายรูปมาให้ดูเหมือนตอนนางงามได้มงกุฏไม่มีผิด และแน่นอนว่าโปรเจคสิบเพลงรักก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเหลือแค่วันแถลงข่าวที่จะเกิดขึ้นอาทิตย์หน้าและสัญญาของคีตา นันทสกุลกับ KTD ก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน คินหันไปมองเบนที่ใส่หูฟังโทรศัพท์เพื่อคุยงาน มือข้างหนึ่งเซ็นเอกสารอีกข้างหยิบขนมกิน ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่าจะได้เห็นภาพนี้เบนจามินโตขึ้นแล้วก็เก่งขึ้นด้วย
“คีตากลับมายังวะ”
“ยัง จะกลับมาก่อนแถลงข่าวโปรเจคสิบเพลงรักหนึ่งวันกูจะขาดใจตายเคยห่างกันนานขนาดนี้ที่ไหน”
“มึงเคยด่าไอ้มิลว่ามันเวอร์เวลามันต้องไปทำงานที่หัวหิน”
“เออ ทุกอย่างที่กูด่าไอ้มิลเข้าตัวกูหมดเลยห่าทำงานหนักๆ ก็อยากเจอหน้าแฟนกูฟัดของกูทุกวัน”
“ คีตาเขาก็แค่กลับไปหาพ่อที่เชียงรายป่ะวะ เชียงรายอยู่แค่นี้เอง”
“ตอนนี้สุขุมวิทไปบางนาก็ว่าไกลสำหรับกู”
“เกลียดพวกมึงจังเลยโว้ยไอ้พวกติดแฟน”
พอพูดถึงคีตาไอ้เบนก็เบะปากทำท่าจะหมดอาลัยตาย อยาก จนมาร์ชต้องเอียงตัวมากระซิบว่าเจ้านายมันเป็นแบบนี้ตลอดเวลาขยันก็ขยันอยู่หรอกนะแต่พอพูดถึงแฟนก็งอแงจนเขารับมือแทบไม่ไหว นี่ขนาดคีตาโทรมาหาทุกวันแล้ว เอาเหอะ..คินเองก็ชินกับนิสัยแบบนี้ของแกงค์ลูกเพื่อนแม่แล้ว
อยากรู้ตัวเองเหมือนกันถ้ามีแฟนเขาจะเป็นแบบไอ้สองคนนี้ไหม อ้อ ข้ามไอ้ทิมไปก่อนถ้าไอ้ทิมติดแฟนแบบนี้พวกเขาสามคนอาจจะหัวระเบิดตายไปก่อน เขาเลี้ยงของเขามากับมือจะไปติดคนอื่นง่ายๆ ได้ยังไงกัน
“วันนี้กลับคอนโด พี่เบนพาทีมงานมาร์คมากินข้าวแถวนี้เลยขี้เกียจกลับบ้าน”
“………………………………………………………………….”
“เราเหอะ คิดถึงพี่เบนไหม”
“………………………………………………………………….”
“คิดถึงก็กลับมาเลย พี่เบนก็อยากไปหาแต่งานกองท่วมโต๊ะแค่พี่เบนลุกไปเข้าห้องน้ำมาร์ชตะโกนเรียกชื่อลั่นบริษัทเลยนะ”
“………………………………………………………………….”
เบนจามินคลายเนคไทน์ให้ผ่อนคลายก่อนจะเดินมานั่งลงบนโซฟา ตอนนี้ของที่คอนโดหายไปเยอะเพราะบางส่วนคีตาก็ขนกลับบ้านไปบ้างแล้ว คีตาไปๆ กลับๆ ระหว่างบ้านตัวเองกับคอนโดเพราะรู้สึกเกรงใจเจ้าสัวกรรณถ้าให้อยู่ที่นี่เลยถึงแม้คอนโดจะเป็นชื่อของเบนก็ตาม เบนมองไปรอบๆ ห้องรู้สึกว่ามันเหงานิดหน่อยน้องอันนาเบนก็เอากลับไปอยู่ที่บ้านแล้วเพราะช่วงนี้งานเยอะเลยไม่ค่อยมีเวลาดูแล พอหลังเสร็จโปรเจคคีตาก็กลับไปหาคุณอคิราห์ที่เชียงราย
วันนั้น..เขากลับมาที่คอนโดพอเปิดประตูห้องก็เจอคีตานั่งดีดกีตาร์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นและผู้ฟังเจ้าประจำก็คือน้องอันนาที่นอนกระดิกหางไปมาอยู่ข้างๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นภาพที่เขาเห็นอยู่ทุกวันแต่วันนั้นเบนรู้สึกว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่กลับบ้านแล้วมาเจอภาพแบบนี้
“กินข้าวหรือยังครับ”
เบนไม่ได้ตอบคำถามที่คีตาถามแต่เดินเข้าไปหาแล้วหยิบกีตาร์ตัวโปรดของคีตาวางไว้บนพื้นก่อนที่เขาจะจับคีตาให้รับจูบที่เขามอบให้ ตอนแรกคีตายังคง งง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทันทีที่หลังสัมผัสกับโซฟาก็พอตั้งสติได้เลยยกมือวางลงบนไหล่กว้างของเบนเมื่ออีกฝ่ายเริ่มจูบจนเขาแทบหายใจไม่ทัน ปลายลิ้นหยอกล้อกันจนคีตาต้องบีบไหล่เบนไว้แน่นก่อนที่เบนจะผละออกมาแล้วแต้มจูบไปเรื่อยๆ พอนานเข้าคนที่นอนหอบหายใจอยู่ก็เริ่มหัวเราะเพราะเบนยังคงแกล้งจูบย้ำๆ ตรงแก้มขาว
“พอแล้ว”
“จูบพี่ก่อน”
“ตรงไหน”
“อยากจูบตรงไหน”
คีตายกศีรษะขึ้นแล้วจูบเบาๆ ตรงปากคนโดนจูบยิ้มจนตาตี่ๆ นั่นตี่ลงไปจนมันเป็นขีดเส้นตรง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเบนขยับตัวลงไปนอนข้างๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เบนมีเรื่องจะเล่าให้คีตาฟังหลายเรื่องแต่เอาเข้าจริงเขาก็อยากให้ทุกอย่างจบลงไปโดยไม่ต้องพูดถึงอีก คีตาเองก็คงรู้อยู่แล้วเหมือนกันว่าวันนี้เขาไปไหนมา
“วันนี้ผมไปหาแม่มา”
“ไปคนเดียวเลยเหรอ”
“ครับ รู้ตัวอีกทีก็หยุดอยู่ประตูหน้าบ้านแม่แล้ว”
“ทุกอย่างโอเคใช่ไหม”
“ครับ ถึงแม้ผมกับแม่ไม่ได้เหมือนเดิมเหมือนตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน แต่แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับ”
“อยากรู้ไหมว่าวันนี้พี่ไปไหนมา”
“ก็พอรู้แต่ถ้าไม่อยากเล่าผมก็ไม่ว่าอะไรถ้ามันทำให้พี่เบนไม่สบายใจ”
“ไม่มีอะไรที่พี่ต้องปิดบังเราหรอกแต่แค่อยากให้เป็นอดีตก็เท่านั้น”
“ไม่เสียดายไวโอลินเหรอครับ”
“มีกล่องดนตรีแล้วพี่จะอยากได้อะไรอีก”
คีตาเหลือบมองคนที่นอนยิ้มอยู่เขาได้ยินทุกประโยคที่เบนจามินบอกเขาก่อนที่จะวางสาย พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาคีตาก็ยกตัวขึ้นมามองหน้าคนที่นอนอยู่ข้างๆ พอเจอสายตาแบบนี้เบนก็เริ่มขมวดคิ้วเพราะคีตาเอาแต่จ้องเขาอย่างเดียวไม่ยอมพูดยอมจาอะไร
“ไอ้หนูพี่เบนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะมานอนจ้องหน้ากันทำไม”
“ลืมแล้วเหรอ”
“ลืมอะไร”
“ก่อนหน้านี้ยังพูดประโยคพระเอกละครอยู่เลย”
“พระเอกไรวะ”
“เฮ้ย แกล้งกันเหรอโปรเจคเสร็จแล้วเพลงสุดท้ายได้แล้วเก็บของกลับบ้านแล้วนะไม่อยู่ด้วยแล้ว”
“อ้อ”
“อ้อไร”
“ได้เพลงสุดท้ายแล้ว”
“ทั้งประโยคที่พูดไปคีย์เวิร์ดไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย”
“ต้องไฮไลท์ตรงไหน”
“ไม่! อยู่! ด้วย! แล้ว!”
“คีตา”
“ทำไม”
“เสียงแข็งเลยนะ”
“เสียงปกติ”
“พรุ่งนี้เช้าเรากินอะไรกันดี”
“ห้ามเปลี่ยนเรื่อง”
“ไข่กระทะใส่ไส้กรอกเยอะๆ”
“ไข่ดาวไม่สุก”
“ไข่ระเบิดใส่หมูสับแล้วกัน”
“ไข่กระทะใส่เบคอน”
“น้ำเต้าหู้ด้วยดีไหม”
“เรามาเรื่องอาหารเช้าได้ยังไง”
“หมูปิ้งใต้คอนโดขายกี่โมง”
“โอเค..เราจะข้ามเรื่องนั้นไปก็ได้ หกโมงเขาก็ขายแล้ว”
“กินไหม”
“ไม่กิน”
“คีตา”
“เรียกแล้วเรียกอีก”
“โคตรรักเลยว่ะ ทำยังไงดีวะไม่คิดว่าตัวเองจะรักใครได้มากขนาดนี้เลย”
“………………………”
คนที่นั่งหน้าตูมนิ่งไปสักพักก่อนที่จะอมยิ้มจนเบนที่นั่งจ้องหน้าอยู่หัวเราะออกมา ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าแกล้งคนที่ตัวเองรักแล้ว มือของคีตาตอนแรกจะยกขึ้นมาทุบคนตรงหน้าเปลี่ยนมาเป็นจับมือเบนเอาไว้แน่นจนเบนประสานนิ้วแล้วเอามาวางไว้บนตัก
“พี่บอกสองรอบแล้วไม่คิดจะบอกอะไรพี่บ้างเหรอ”
“ถามสิ”
“รักพี่เบนไหม”
เบนก้มลงมาถามใกล้ๆ ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทคีตายิ้มจนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลงไปก่อนจะบอกคำตอบที่ทำให้เบนหัวเราะแล้วซบหน้าลงกับไหล่เล็กๆ นั่น
“พรุ่งนี้เช้าตื่นไปซื้อหมูปิ้งให้นะ”
ไอ้เด็กยี่สิบห้า..
MUSIC BOX
“เออ เบนโปรเจคของมาร์ค มาร์ตินจะเริ่มอีกทีเดือนหน้าเลยตอนนี้ก็ดูรายละเอียดคร่าวๆ ไป”
“ครับ จอห์นนี่บอกเขาจะไปดูโลเคชั่นไว้เหมือนกัน”
“ตอนนี้เรากลับมาโฟกัสโปรเจคสิบเพลงรักก่อน อาทิตย์หน้ามีแถลงข่าวเปิดโปรเจคแฟนเรากลับมาจากเชียงรายยัง”
“พ่อ..ทำไมไม่เรียกชื่อ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน อาทิตย์ก่อนยังมาคุกเข่ากันอยู่เลย”
“บอลถ่ายคลิปไว้นะพ่อเก็บเอาไว้ดูคลายเครียด”
“บีกลั้นหัวเราะนานมากเจ้เบอร์ดี้แกล้งทำเป็นไอกลบเกลื่อนแต่จริงๆ คือขำไม่คิดว่าเฮียบาสจะเล่นกับเขาด้วย”
“พวกเอ็งรู้เรื่องนี้กันหมดแล้วไม่มีใครบอกเฮียเลย”
“รอทุกวันเลยเนี่ยว่าใครจะเปิดเรื่องไม่มีเลย บีอุตส่าห์ลุ้น”
พอพูดเรื่องนี้เบนต้องรีบยกมือบอกทุกคนให้พอก่อนอายจะตายอยู่แล้ว ก็นั่นแหละหลังจากที่ตกลงเรื่องความสัมพันธ์เรียบร้อยแล้วคีตากลับไปหาคุณอคิราห์ที่เชียงราย และเขาเองก็ยังมีเรื่องครอบครัวของเขาที่ต้องเคลียร์เหมือนกัน เบนจามินบอกกับคุณนายเจียซินก่อน ถึงเขาจะคุยกับม๊าทุกเรื่องแต่บอกตามตรงเรื่องแบบนี้มันก็พูดยากอยู่เหมือนกัน
“คิดว่าม๊าไม่รู้เหรอคะพี่เบนลูกม๊าทั้งคนเราติดน้องขนาดนั้น ม๊าไปคุยกับบัวมา”
“ผมแสดงออกขนาดนั้นเลย”
“บัวยังบอกว่าเราเหมือนตามิลกับต้นไม้ไม่มีผิด ติดแฟนเป็นตังเม”
“นี่คุยกันขนาดไหนเนี่ย”
“อ้าว ไม่สนิทกันขนาดนี้เราจะมีแกงค์ลูกเพื่อนแม่เหรอคะพี่เบน”
“ผมถามจริงๆ นะม๊าคิดยังไงกับเรื่องผมกับคีตา”
“ตอบตามความจริงก็ไม่คิดว่าพี่เบนจะชอบผู้ชาย…บัวเองเขาก็บอกม๊าว่าไม่คิดเหมือนกันว่ารามิลจะชอบผู้ชายแต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว”
“แล้ว..”
“ทุกวันนี้ม๊าก็เห็นบัวแฮปปี้ดี รามิลกับต้นไม้ก็มีความสุขดีเราน่ะพี่เบนพาน้องมาหาม๊าบ้าง ม๊าเคยเจอคีตาแค่ไม่กี่ครั้งเอง”
“ผมจะไม่มีลูกม๊าหวังเรื่องนี้ไว้บ้างไหม เรื่องหลาน”
“ตรงๆ ก็หวังไว้บ้างแต่ท้ายที่สุดแล้วความสุขของพี่เบนก็คืออันดับหนึ่ง”
“ใครๆ ก็บอกว่าผมมีครอบครัวที่ดี”
“เกียรติธนธาดาอยู่กับพี่เบนเสมอนะคะ”
เย็นวันนั้นเบนกลับเข้าไปที่บ้านใหญ่ทุกคนในบ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เบนสบตากับเฮียบาสอยู่นานก่อนจะตัดสินใจลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าเจ้าสัวกรรณที่นั่งนิ่งมองการกระทำของลูกชายทั้งสองคน
“พ่อครับ ผมกับคีตาเราคบกัน คบกันแบบคนรักที่ผมมาบอกวันนี้เพราะผมไม่อยากมีเรื่องปิดบังครอบครัวของผม ผมจะไม่ย้ายออกจากคอนโด ที่นั่นจะเป็นบ้านของผมกับคีตานะครับ”
“………………………………………………………………….”
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเงียบกริบทุกสายตามองไปยังเบนจามินที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าโซฟาข้างๆ มีบาสที่บอกว่ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เบนจามินเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อ ใบหน้าที่ดูน่าเกรงขามยังคงนิ่งสนิท ทุกอย่างเงียบเกินไปจนเบนเริ่มใจไม่ดีทั้งๆ ที่เตรียมใจมาแล้วแต่เอาเข้าจริงเขาก็อยากให้ครอบครัวเป็นคนที่เข้าใจเขามากที่สุดอยู่ดี
“พวกแกดูละครมากไปเหรอคุกเข่าทำไม ไปนั่งคุยกันดีๆ โซฟาก็มีแล้วเบนพ่อจะหักเงินเดือนเรา”
“หักเงินเดือนผม?”
“คุยกับอคิราห์แล้วค่าตัวคีตาน่าจะแพงอยู่ แต่พ่อคิดว่าเผลอๆ คีตาอาจจะรวยกว่าเราค่าสิขสิทธิ์เพลงเทคโอเวอร์ KTD ได้เลย”
“พ่อคุยกับคุณอคิราห์แล้วหมายถึงพ่อรู้เรื่องผมกับคีตาแล้ว”
“รู้สิวะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แล้วชอบน้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”
“วันนั้นพ่อยังคุยกับผมเรื่องย้ายออกจากคอนโด”
“ก็แกล้งพูดนึกว่าเราจะบอกเรื่องคีตาตั้งแต่วันนั้น ไม่เห็นพูดอะไร พ่อเลยแกล้งไม่รู้ต่อ”
“พ่อ..คือผม”
“ถ้าจะพูดเรื่องแต่งงานเรื่องลูกเรื่องหลานพ่อมีหลานให้เลี้ยงเยอะแยะอีกอย่างขี้เกียจตั้งชื่อ บ แล้วว่ะคิดไม่ออก”
ทันทีที่พ่อพูดจบเบนกระโดดกอดเจ้าสัวกรรณที่ยกมือขึ้นมาลูบผมลูกชายคนเล็กเบาๆ เขาไม่ได้กอดเบนจามินตั้งแต่เกิดเรื่องจันทร์เจ้าเมื่อคราวก่อน ก็นะพอลูกโตมันก็เขินๆ อยู่บ้าง จะมาแสดงออกว่ารักกันทุกวันมันก็ไม่ใช่แค่เพียงไม่นานเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นเฮียเบคือคนแรกที่บอกว่าขอเถอะกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วตามด้วยเจ้บุ๊คที่เข้าไปล้อเฮียบาสเรื่องคุกเข่าเหมือนพระเอกหนังจีนกำลังภายใน
นี่แหละเกียรติธนธาดาที่เขาโคตรภูมิใจ
“เคลียร์ตารางงานของนักร้องทุกคนในโปรเจคสิบเพลงรักหมดแล้วนะครับ ส่วนงานอีเว้นท์ของ Happy girls ที่พารากอนเปลี่ยนตัวจากแก้วเป็น ณิชาแล้ว”
“โอเค..ทุกอย่างลงตัวหมดแล้วคงไม่มีอะไร”
“คุณเบน”
“หืม?”
“ได้ฟังสิบเพลงรักของคุณคีตาหมดหรือยังครับ”
“เห็นแค่ชื่อเพลงแต่ระดับคีตา นันทสกุลมันก็ต้องดีมากอยู่แล้วใช่ไหม”
“ครับ ดีมากนี่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับสิบเพลงรักที่คุณคีตาฝากไว้ให้เฉพาะคุณเบนครับ แนะนำให้ฟังเพลงไปด้วยทีละเพลง ทั้งสิบเพลงอยู่ในแม๊คบุคคุณเบนแล้วนะครับ”
เบนรับแฟ้มที่มาร์ชยื่นมาให้ก่อนที่มาร์ชจะออกจากห้องมีการย้ำให้เขาเปิดเพลงฟังให้ได้เบนเลยพยักหน้า เพราะมีโปรเจคของมาร์คมาร์ตินเข้ามาเขาเลยบินไปกลับอเมริกาตั้งแต่เดือนก่อน นี่ก็เพิ่งมีเวลาว่างหลังจากทำงานหัวหมุนจนแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงเบนเปิดแฟ้มที่มาร์ชยื่นให้แล้วเปิดเพลงให้เล่นตามไปด้วย
Project : สิบเพลงรักสิบนักร้อง KTD ENTERTENMENT
MUSIC BOX BY KEETA NANTASAKUL
1.เพลง : แบบคุณ (Style)
ศิลปิน : จักรพรรดิ์ พัฒนพิชัย (เจเจ)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / ศรัณย์ สาธิตพิบูลย์
ทุกคนตกหลุมรักคนแบบไหน? ผมตกหลุมรักคุณตอนที่ตั้งใจทำอะไรสักอย่างให้ ตอนนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ใจเต้นกับคุณ สายตาที่มุ่งมั่นท่าทางตั้งอกตั้งใจทั้งๆ ที่ตรงหน้าเป็นแค่กล่องดนตรีที่เก่ามากแต่ผมละสายตาจากคุณไม่ได้ สเป็คที่คิดไว้คนในฝันทุกอย่างหายวับไปตาเพราะสุดท้ายแล้ว “ผมก็ตกหลุมรักคนแบบคุณ”
เบนจามินนึกไปถึงวันที่เขานั่งซ่อมกล่องดนตรีให้คีตา เพลง “แบบคุณ”ยังคงเล่นอย่างต่อเนื่องทุกประโยคเบนรู้ว่ามันหมายถึงใครเพราะเนื้อเพลงมันเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในห้องนั่งเล่นไม่มีผิด
2.เพลง : นาฬิกา (Clock)
ศิลปิน : ภัทรธิดา จิตตราวรรณ (แก้ว Happy Girls)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / เอกภพ วิจิตรไพศาล
เคยอยู่ด้วยกันทุกวันยี่สิบสี่ชั่วโมงพอวันหนึ่งไม่เจอกันเจ็ดชั่วโมง….นั่งมองนาฬิกาทุกห้านาทีมันเหงาจนทุกอย่างน่าเบื่อไปหมด เพิ่งรู้ว่าไม่เจอกันแค่เจ็ดชั่วโมงทำเขาเป็นบ้าได้ถึงขนาดนี้ไม่ทำอะไรเอาแต่นั่งมองนาฬิกาเมื่อไหร่คุณจะกลับมาสักที
“ไม่เจอกันเกือบเจ็ดชั่วโมงเหงาไหม”
“ไม่เห็นจะเหงา”
เบนอมยิ้มเมื่อประโยคในเพลง
มันเหมือนบทสนทนาที่เขาเคยนอนคุยกันวันนั้น
“เจ้าเด็กปากแข็งวันนั้นทำเป็นบอกว่าไม่เหงา
3.เพลง : อ่อนแอ (weak)
ศิลปิน : ดั่งตะวัน ไรวินท์วิกรณ์ (ตะวัน)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / เอกภพ วิจิตรไพศาล /ศรัณย์ สาธิตพิบูลย์
ไม่สบายจนปวดหัวไปหมดเจ็บจนทนไม่ไหวเลยร้องไห้ออกมา ขอบคุณที่กอดเอาไว้ในวันที่อ่อนแอมากที่สุด ขอบคุณที่คอยดูแลอยู่ตลอด ถ้าอยากได้ยินผมจะเรียกคุณ “พี่...” ทุกคำ
“โควต้าเรียกพี่เบนนี่มีแค่วันละรอบเหรอ”
“ผมเรียกตอนไหนจำไม่เห็นได้”
“พี่เบน..”
เบนยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเพลงที่สามยังคงเล่นอย่างต่อเนื่อง
เนื้อหาเพลงมันทำให้เบนยิ้มออกมา เจ้าเด็กป่วยในวันนั้น..
4. เพลง : เมา (Drunk)
ศิลปิน : Basic
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / เอกภพ วิจิตรไพศาล
อย่าถือสาคนเมา..เคยมีคนบอกอย่างนั้นแต่คุณบอกเองว่าไม่เมาสัมผัสตรงแก้มทำให้ใจสั่นสายตาที่คุณมองทำให้ผมแพ้ทุกอย่าง ตอนนี้เวลานี้ก็มีแค่คุณคนเดียวที่ได้สัมผัส แค่คุณคนเดียวจริงๆ
“เมา…แต่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่และพรุ่งนี้ก็ไม่ลืมด้วย”
“ก็บอกว่าไม่ได้เมา”
......................
........................................................
-
...................
...........................................
5. เพลง : วิตามิน (vitamin)
ศิลปิน : นรีกุล เรนเดอร์ (นีน่า)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / ศรัณย์ สาธิตพิบูลย์
คุณไม่เหมาะกับความเศร้าไม่อยากให้เจอเรื่องแย่ๆ ไม่อยากให้รอยยิ้มนั้นหายไป ถ้าเสียงเพลงของผมช่วยคุณได้ก็อยากจะเล่นให้คุณฟังไปตลอดชีวิต ผมอยากจะเป็นทั้งพลังงานและวิตามินที่คอยช่วยคุณในวันที่เจอเรื่องที่แย่ที่สุด
“คีตา”
“ครับ”
“ขอบคุณ..เสียงเพลงจากคีตาเติมพลังให้พี่ได้จริงๆ ”
6. เพลง : ระยะทาง (distance)
ศิลปิน : ธารนที ภัทรกุล (น้ำ the nature)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / เอกภพ วิจิตรไพศาล
“คิดถึง” เป็นคำเดียวที่นึกออกทั้งๆ ที่คุณไม่อยู่แค่สามวัน อยู่กันคนละประเทศระยะทางไกลกันมาก ไปหาก็ไม่ได้กอดก็ไม่ได้ไม่มีอะไรอยากจะบอกคุณนอกจาก อยากให้คุณกลับมาเร็วๆ
“คีตาต่างหากที่พี่คิดถึง”
“……………………………………………………………”
“พี่เบนกลับมาพรุ่งนี้เลยได้ไหมครับ”
7. เพลง : สระน้ำ (Pool)
ศิลปิน : ดั่งฟ้า (ฟ้า) , ดุจดาว (ดาว) จันทราพิทักษ์ ( The twins)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / เอกภพ วิจิตรไพศาล /ศรัณย์ สาธิตพิบูลย์
ไม่ใช่แค่สถานที่แต่เป็นครั้งแรกที่เปิดใจกับใครสักคนหมดทุกเรื่อง ไม่มีคำพูดปลอบใจสวยหรูมีแค่อ้อมกอดและจูบ..ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันและคอยรับฟังเรื่องราวในอดีต จากวันนี้คงได้เริ่มใหม่สักที ขอบคุณคุณจริงๆ
“ผมรู้ว่าที่คุณเจอมันหนักแต่คุณรู้ใช่ไหมถ้าคุณยังติดอยู่กับมันๆ จะทำให้คุณไม่มีความสุข อย่าเอาเรื่องนี้มาคิดว่าความรักมันจะแย่ไปหมด”
“...................................................”
8. เพลง : ของเล่น (Spiderman)
ศิลปิน : ณัฐพล ยามากูจิ (ณัฐ)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล / เอกภพ วิจิตรไพศาล
อยากให้มุมนี้ของคุณเป็นผมคนเดียวที่ได้เห็น จะชอบซูเปอร์ฮีโร่ จะเล่นเป็นเด็กๆ ผมก็ชอบทั้งนั้น อยากให้ผมเป็นแค่คนเดียวที่คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสบายใจ
“ว่าไงสไปเดอร์แมน”
9. เพลง : กีตาร์ (Guitar)
ศิลปิน : ธนดล สุทธิรักษ์พิสุทธิ์ (ดีน)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล /ศรัณย์ สาธิตพิบูลย์
อาจจะไม่ใช่เครื่องดนตรีที่คุณชอบแต่ผมสัญญาผมจะไม่มีวันทำเหมือนที่เขาทำกับคุณ ได้โปรดเชื่อใจผมมีแค่คุณ แค่คุณคนเดียว เสียงกีตาร์ของผมจะลบความเศร้าในใจคุณให้หมด เชื่อผมนะครับ
“แต่ผมเล่นกีตาร์ได้นะแต่งเพลงก็ได้ร้องเพลงได้นิดหน่อยถึงจะไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่”
10. เพลง : ทุกช่วงเวลา ( With You B)
ศิลปิน : ณารา โภคินสุนทร (Venus)
เนื้อร้อง : คีตา นันทสกุล
ทำนอง : คีตา นันทสกุล
เรียบเรียง : คีตา นันทสกุล /ศรัณย์ สาธิตพิบูลย์ / เอกภพ วิจิตรไพศาล
คุณกับผมอยู่ด้วยกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม ? ผมเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าสุดท้ายแล้วผมก็จะตกหลุมรักคนอย่างคุณ ทุกช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันผมมีความสุขมาก ขอบคุณที่เข้ามาทำให้ผมมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเราเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องของเราตอนจบมันจะเป็นแบบไหน แต่ผมจะไม่เสียใจเลยที่จะได้เจอกับคุณ ผมยังไม่เคยบอกคุณใช่ไหมว่า “ผมรักคุณ”
“พี่บอกสองรอบแล้วไม่คิดจะบอกอะไรพี่บ้างเหรอ”
“ถามสิ”
“รักพี่เบนไหม”
เพลงสุดท้ายได้เล่นจนจบแล้วเบนจามินยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นหยดน้ำตาที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวว่ามันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ สิบเพลงรักของคีตา คือทุกเรื่องราวระหว่างเราทั้งหมดเบนไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายอย่างเขาจะมีใครสักคนทำให้เขาขนาดนี้ จากนักแต่งเพลงที่แต่งเพลงรักไม่ได้สักเพลงแต่ในตอนนี้นักแต่งเพลงคนนั้นกำลังทำให้เขาจะบ้าตายกับเพลงรักสิบเพลง
เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้นและคนที่เข้ามาก็คือแกงค์ลูกเพื่อนแม่ ทั้งสามคนดูจะตกใจเมื่อเขายกมือขึ้นมาปิดหน้าแต่ระดับเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กก็คงรู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง รามิลเดินเข้ามาหาพร้อมกับหยิบเนื้อเพลงขึ้นมาอ่านแล้วยิ้มออกมา
“เบน..”
“สิบเพลงรักของคีตา ทุกเพลงทุกประโยคทุกความหมายเขาแต่งให้กู”
“………………………………………………………..”
คินกับทิมพยักหน้าอย่างเข้าใจเบนจามินผู้ชายที่เคยเจอความรักแย่ๆ จนแทบจะไม่จริงจังกับความรัก พอมาเจอแบบนี้ก็คงจะเก็บอาการไว้ไม่ไหว ทิมเดินอ้อมมาตบไหล่เบนเบาๆ พร้อมกับบอกร้องไห้ขนาดนี้อยากจะถ่ายคลิปให้คีตาดูจริงๆ คินวางเนื้อเพลงใส่แฟ้มตามเดิมเมื่อเห็นว่าบรรทัดสุดท้ายเขียนไว้ว่าอะไร
“เพื่อนกูคนหนึ่งเจอการบอกรักด้วยต้นไม้ นี่ก็เจอการบอกรักด้วยเสียงเพลงโคตรประทับใจพวกมึงโคตรโชคดีเลยว่ะ”
กว่าเบนจะหยุดร้องไห้ก็นานอยู่ เขามานั่งฟังเพลงวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นก่อนที่ความคิดบางอย่างจะแวบขึ้นมาในหัว เบนลุกจากเก้าอี้ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ห้องโปรดิวเซอร์ของ KTD เสียงเปิดประตูดังลั่นทำให้ เอกกับสองสะดุ้งสุดตัวทายาทคนเล็กของ KTD ยิ้มให้ก่อนจะบอก
“พี่เอกพี่สองผมมีอะไรให้ช่วยหน่อยครับ”
MUSIC BOX
14 Feb
งานแถลงข่าวเปิดโปรเจคสิบเพลงรัก KTD ENTERTENMENT
“ตื่นเต้นเหรอครับ”
มาร์ชถามคนที่ยืนสะบัดมือไปมาอยู่ด้านหลังเวที คีตาพยักหน้าเมื่อเขาเองรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ปกติคีตาไม่เคยต้องมางานแบบนี้มาก่อนที่ผ่านมาประวัติส่วนตัวเขาแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงยังไงเขาก็จะไม่ทำให้ KTD ผิดหวัง คีตากลับมาจากเชียงรายเมื่อวานแปลกใจเหมือนกันเมื่อพี่เบนบอกว่า งานยุ่งมากอาจจะไม่ได้กลับมาที่คอนโด ทั้งๆ ที่ทุกวันพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาบินกลับมาจากเชียงรายแทบทุกวัน คีตาไม่ได้งี่เง่างอแงขนาดนั้นหรอกเขาเข้าใจว่าพี่เบนตอนนี้ก็ขยันมากขึ้นกว่าเดิมเรียกว่าบ้างานได้เลย
“อีกสิบนาทีคุณคีตาต้องขึ้นเวทีแล้วนะครับ”
“ครับ”
“อย่าเป็นลมนะครับ”
“พี่มาร์ช”
ผู้ช่วยมือหนึ่งของ KTD ยิ้มขำก่อนจะบอกให้เขารออยู่ตรงจุดที่ต้องเตรียมตัว จะว่าไปวันนี้เขายังไม่ได้คุยกับพี่เบนสักคำ ทายาทKTDยุ่งจนหัวหมุนวิ่งวุ่นทักคนนู้นคนนี้ทั้งวัน เสียงประกาศของพิธีกรดังขึ้นคีตาหลับตาลงเรียกสมาธิก่อนที่สัมผัสเบาๆ ตรงแก้มจะทำให้เขาลืมตาขึ้นมามอง มือใหญ่ที่วางลงบนแก้มพร้อมกับใบหน้าของเบนที่ก้มตัวลงมามองใกล้ๆ
“พร้อมนะ”
“ครับ”
“พี่เบนจะต้องอยู่ตรงไหน”
“นั่งอยู่ข้างๆ เรานั่นแหละเจ้าหนู”
คีตายิ้มให้ก่อนจะทำมือเรียกพลังเหมือนเด็กๆ เบนได้แต่ยิ้มแล้วมองตามแผ่นหลังที่เดินออกไปด้านหน้าเวที คีตา นันทสกุลมีความกล้าขนาดนี้เขาเองก็ดีใจจากผู้ชายที่มีแต่ความเหงารอบๆ ตัว ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยยิ้ม แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่เพลงสิบเพลงร้องจบแล้วเบนมองไปที่คีตาที่ตอบคำถามของพิธีกรก่อนที่ตัวเองจะถูกเชิญออกไปในฐานะ ผู้บริหารของ KTD
“คุณเบนบอกว่าโปรเจคสิบเพลงรักมีเพลง Special ด้วยเหรอคะ”
“ครับ”
“แบบนี้ก็เป็นสิบเอ็ดเพลงรักเหรอคะ”
“สิบเพลงรักถูกแล้วครับเพลงที่สิบเอ็ดเป็นเพลงพิเศษไม่ได้อยู่ในอัลบั้ม MUSIC BOX และทุกคนจะได้ฟังจากที่นี่ที่เดียวครับ”
“หูว….พิเศษจริงๆ ด้วยค่ะ”
คีตาขมวดคิ้วหันไปมองหน้าเบนจามิน เพราะไม่คิดว่าโปรเจคสิบเพลงรักจะมีเพลงเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วใครเป็นคนแต่งกัน เบนจามินหันมายิ้มให้ก่อนจะกระซิบบอกให้เขายิ้มกว้างๆ เพราะตอนนี้หน้ายุ่งไปหมดแล้ว พิธีกรยังคงถามเรื่องเพลงพิเศษต่อเจ้าสัวกรรณเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนพอหันไปมองเบอร์ดี้ลูกสาวเองก็แกล้งทำเป็นมองไปที่อื่น แค่นี้ก็รู้แล้วว่าต้องสมรู้ร่วมคิดกันแน่ๆ
“ไม่ทราบว่าชื่อเพลงพิเศษชื่ออะไรคะแล้วใครเป็นคนแต่งเอ่ย”
“ชื่อเพลงว่ากุญแจและเสียงเพลงครับ เพลงนี้ผมเป็นคนแต่งเองมีพี่เอกกับพี่สองคอยช่วย เป็นครั้งแรกที่ผมแต่งเพลงเองทั้งเนื้อร้องและทำนองแต่จะให้ร้องเองคงไม่ไหวเลยให้มาร์คมาร้องให้”
“คุณเบนจามินแต่งเองเลย ขอโทษนะคะขอทราบชื่อเพลงอีกรอบ”
“กุญแจและเสียงเพลงครับ”
“ที่มาของชื่อเพลงนี่มาจากไหนเหรอคะ”
“เป็นชื่อของคนที่ผมรักครับ”
ตุบ!!!
เสียงไมค์หล่นกระแทกพื้นทำให้ทุกสายตามองไปยังนักแต่งเพลงที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น กว่าจะรู้สึกตัวเมื่อเบนจามินเป็นคนก้มลงเก็บไมค์แล้วยื่นให้ ตอนนี้คีตาอยากจะเป็นลมจริงๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอเหตุการณ์แบบนี้ เจ้าสัวกรรณได้แต่ส่ายหน้ากับความโอเวอร์ของเจ้าลูกชายคนเล็ก ใบหน้าเกรงขามนั่นมีรอยยิ้มจน ลูกคนอื่นๆ ต้องยื่นหน้ามาล้อเลยต้องแกล้งทำหน้าดุเพราะว่าอยู่ในงาน
“ฉันว่าลูกเรากำลังโดนจีบอยู่นะ”
เพลงที่นั่งอยู่ด้านล่างเวทีเอียงหน้ามากระซิบถามอคิราห์ ที่แกล้งทำเป็นบอกว่าไม่เห็นรู้เรื่องเลยแต่เสียงสูงและท่าทางที่ไม่แนบเนียนทำให้เธอต้องมองอย่างจับผิด อคิราห์เลยบอกว่านี่เป็นความลับของพ่อกับลูกชายเลยโดนฟาดไปอีกทีกีตาร์ที่นั่งอยู่อีกข้างเลยได้แต่นั่งหัวเราะ
เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมเสียงกรี๊ดเพราะมาร์ค มาร์ตินเดินร้องเพลงพิเศษออกมาจากหลังเวที นักข่าวยกกล้องในมือถ่ายรูปกันใหญ่ แกงค์ลูกเพื่อนแม่ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเวที มองไปยังเบนจามินที่เอาแต่นั่งมองหน้าคีตาเพื่อดูปฏิกริยา นักแต่งเพลงคงจะเขินจัดถึงได้ผลักให้ไอ้เบนหันกลับไปมองที่เวทีตามเดิม
“ทำไมพวกมึงบอกรักแฟนกันยิ่งใหญ่ขนาดนี้วะเหลืออะไรให้กูทำบ้าง”
“ตอนมึงเปิดตัวแฟน มึงต้องโรยตัวมาจากเฮลิคอปเตอร์แล้วตะโกนบอกรักแล้วนะคิน ถึงจะสู้ไอ้เบนกับไอ้มิลได้”
“แต่น้องทับทิมห้ามรักแฟนมากกว่าแกงค์ลูกเพื่อนแม่นะ รามิล เบนจามิน ภาคินขาดใจตายแน่นอน”
“กูเกลียดมึงที่สุดในแกงค์เลยคิน”
อายุจะสามสิบแต่ยังตีกันเหมือนเด็กสามขวบ รามิลเลยต้องพยายามห้ามไม่ให้ไอ้ทิมกระโดดเตะไอ้คินคอหักตายไปซะก่อน จะว่าไปตอนเซอไพร์สต้นไม้เขาก็ว่าตัวเองเวอร์มากแล้วนะ อย่างน้อยก็มีแค่ต้นไม้และพวกมันที่รู้ แต่ไอ้เบนเผลอๆ คนรู้กันทั้งประเทศ ก็พอเดาไว้ว่าเบนเตรียมอะไรไว้ให้คีตาแต่ก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะแต่งเพลงให้แบบนี้
สมกับเป็นคู่ทายาทค่ายเพลงอันดับหนึ่งของประเทศกับทายาทนักดนตรีในตำนาน
มาร์คร้องเพลงใกล้จบแล้วแน่นอนว่าตลอดงานคีตาต้องพยายามกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม เดาได้เลยว่าตอนนี้หน้าจะต้องแดงมากแน่ๆ ทันทีที่จบเพลงเบนจามินก็ยื่นกระดาษเอสี่ให้เขา มันคือโน้ตเพลงที่มีลายมือของพี่เบนเขียนไว้ซะเละจนอ่านไม่ออก แต่ถ้าอ่านดีๆ มันก็คือเนื้อเพลงที่มาร์ค มาร์ตินเพิ่งร้องไปเมื่อกี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในกระดาษแผ่นนี้คือ..
เพลง : กุญแจและเสียงเพลง (KEETA)
ศิลปิน : มาร์ค มาติน
เนื้อร้อง : เบนจามิน เกียรติธนธาดา
ทำนอง : เบนจามิน เกียรติธนธาดา / The record
เรียบเรียง : ศรัณย์ สาธิตพิบูลย์ / เอกภพ วิจิตรไพศาล
“ผมก็รักคุณ”
MUSIC BOX
สิ่งที่รบกวนการนอนในเช้าวันหยุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากน้องอันนาเจ้าประจำ คีตาเอื้อมมือมาจับแมวอ้วนสีขาวมาฟัดสองสามทีก่อนที่น้องอันนาจะหนีไปนอนที่หมอนตามเดิม คนที่นอนอยู่ข้างๆ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ห้องครัวเพราะได้ยินเสียงหยิบหม้อหยิบกระทะ คีตาลุกออกจากที่นอนแล้วเดินมาหยุดมองแผ่นหลังกว้างที่อยู่ตรงหน้า
เบนจามินในชุดนอนหัวยุ่งไม่เป็นทรง
กำลังยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเช้า
เมื่ออีกฝ่ายยังทำอาหารไม่เสร็จคีตาเลยมาเก็บของที่ห้องนั่งเล่นแทน ช่อดอกไม้แสดงความยินดีมากมายกับโปรเจคสิบเพลงรักวางเต็มพื้นที่ คีตาหยิบเอาของคุณต้นไม้แฟนคุณมิลมาถือไว้ร้าน SECRET GARDEN ยังคงเป็นร้านดอกไม้ที่เขาชอบมากที่สุดอยู่ดี
“คีตา”
“ครับ”
“น้ำหกใส่เสื้อ ตอนนี้มือเลอะปลดกระดุมเสื้อให้พี่หน่อย”
“ห๊ะ?”
“บอกว่าน้ำหกเสื้อเปียกหมดแล้วช่วยพี่หน่อย”
ถึงจะดู งงๆ ว่าน้ำหกใส่เสื้อได้ยังไงแต่อีกฝ่ายก็เอาแต่เร่งจนคีตาต้องเดินเข้ามาหาคนที่ยืนพิงเคาน์เตอร์หน้าห้องครัว ทันทีที่กระดุมเสื้อถูกปลดออกหมดสิ่งที่อยู่ตรงใต้กระดูกไหปลาร้าทำให้คีตายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น..
รอยสักรูปแม่กุญแจ
“พี่อาจจะสักตรงข้อมือไม่ได้แต่คิดว่าตรงนี้ก็โอเคแล้วใช่ไหม อย่างน้อยก็มีแค่คีย์คนเดียวที่เห็น”
“ไหนบอกกลัวเข็ม”
“เป็นลมสามรอบกว่าจะสักเสร็จไอ้ทิมนี่ถึงกับวิ่งไปซื้อยาดมมาให้ คิดดูพี่รักเราขนาดไหน”
คีตายิ้มจนลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลงไปก่อนจะโถมตัวกอดคนตรงหน้าไว้แน่น เบนจามินยกมือกอดตอบ เรื่องที่เขากลัวเข็มไม่ใช่เรื่องโกหก เขาไม่ถูกกับมันจริงๆ แต่อดทนสักได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว เพิ่งรู้ว่าตัวเองเวลามีความรักก็บ้าเต็มร้อยได้ถึงขนาดนี้ เบนก้มลงมามองคนที่ยังมองเขาตาแป๋ว แววตาของคีตาเปลี่ยนไปจนไม่เหลือแววตาเหงาๆ เหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรกแล้ว
“พรุ่งนี้ผมจะไปดูตึก”
“ตึก? ทำอะไร”
“ดูทำเลไว้ว่าจะเปิดสถาบันสอนดนตรี”
“เอาจริงแล้วนะ”
“เอาจริงไม่กลัวอะไรแล้ว”
“ดีมากเจ้าหนู ขาดเหลืออะไรบอกพี่แล้วกันอย่าลืมว่าแฟนรวยมาก”
“อยากได้พี่มาร์ชมาช่วยขอได้ไหม”
“คนนี้เราต้องต่อยแย่งกันหน่อยแล้ว คีตา..เราจะกอดกันอยู่อย่างนี้ไม่ได้อาหารเช้าไม่เสร็จกันพอดี”
“อยากกอด”
“งั้นข้ามไปมื้อเย็นเลยแล้วกัน”
พอเขาบอกแบบนั้นนักแต่งเพลงก็ผละออกเบนเลยดึงเข้ามาหอมสักฟอดสองฟอดก่อนจะกลับไปทำอาหารเช้าต่อ คีตาเดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้วออกมาอีกครั้งพร้อมน้องอันนา
คีตาเงยหน้ามองไปรอบๆ คอนโดที่เขาสองคนอยู่ด้วยกัน นึกถึงเหตุการณ์วันแรกที่เราย้ายเข้ามาที่นี่ เราสองคนต่างคนต่างอยู่ ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ไม่มีคำทักทาย เดินผ่านกันยังไม่มองหน้ากันเลย ข้าวของเครื่องใช้ก็แบ่งเขตเหมือนเป็นศัตรูกันแต่ชาติปางก่อน ข้อห้ามสารพัดที่เขาสองคนตั้งกันขึ้นมา แปลกดีเหมือนกัน…
ตอนนี้….อาหารเช้าสองจานวางอยู่บนโต๊ะ ตามด้วยกล่องซีเรียลตัวอักษรภาษาอังกฤษ กีตาร์ตัวโปรดของคีตาที่วางอยู่บนเก้าอี้ อุปกรณ์เล่นกีฬาของพี่เบนที่วางอยู่ตรงมุมห้อง กล่องดนตรีของคีตาที่วางไว้ชั้น ข้างๆ มีฟิกเกอร์สไปเดอร์แมนหลากหลายรูปแบบ น้องอันนาเดินป้วนเปี้ยนอยู่ตรงโต๊ะอาหาร สุดท้ายสายตาของคีตาหยุดอยู่ที่เบนจามิน เกียติธนธาดาที่กำลังยืนเลือกเพลงในโทรศัพท์
“เอาเพลงอะไรดี”
ผู้ชายตัวสูงผิวขาวตาตี่ผมยุ่งกับชุดนอนสีเข้ม
ทำให้คีตายิ้มออกมาการเริ่มมื้อเช้ากับคนที่เรารักมันดีมากจริงๆ
“เอาสิบเพลงรักของคีตากับเพลงพิเศษกุญแจและเสียงเพลงของพี่เบนครับ”
ให้มันเป็นเพลง บนทางเดินเคียง ที่จะมีเพียงเสียงเธอกับฉัน
อยู่ด้วยกันตราบนานๆ ดั่งในใจความบอกในกวี
ว่าตราบใดที่มีรักย่อมมีหวัง
คือทุกครั้งที่รักของเธอส่องใจ ฉันมีปลายทาง
THE END
ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มเรื่อง จนกระทั่งวันนี้ก็เป็นนิยายเรื่องยาวที่นานเหมือนกัน หมายถึงแต่ละตอนมาต่อนานเหลือเกิน 5555 เรื่องราวของซีรีส์ลูกเพื่อนแม่คนที่สองก็จบลงแล้วนะคะ พี่เบนและคีตา ^^ สิบเพลงรักก็คือสิบเพลงรักจริงๆ นิยายเรื่องนี้จะตีพิพม์กับ สนพ. Hermit นะคะถ้ามีอะไรคืบหน้าจะมาแจ้งให้ทราบตลอดเลยค่ะ ทุกครั้งที่แต่งนิยายจนจบจะขอบคุณคนอ่านทุกคนและก็นับถือตัวเองที่แต่งจนจบ แบบเฮ้ย..นิยายเราแต่งจบด้วยว่ะจากที่ร่างเป็นพลอตอยู่ในหัว 5555
ต่อไปขอเชิญพบกับลูกเพื่อนแม่คนที่สาม ทับทิม นพจินดาใน Jewelry Design #อัญมณีที่รัก คัมมิ่งซูน เร็วๆ นี้ไม่ติงนัง เพราะพิมพ์ตอนแรกไว้แล้วจ้า!!
ปล.เดี๋ยวนี้แต่งนิยายสี่เรื่องใช้เวลาเกือบสองสามปี โอ้วมายก็อต..ความแก่นี้
Thanks เนื้อเพลงกันและกัน คิว
#นิยายกล่องดนตรี #ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
หวานละมุนอบอุ่นหัวใจมาก
น้องคีย์ทำให้พี่เบนไปไหนไม่รอด คนอ่านก็ซึ้งตามไปด้วย
ขอบคุณคนเขียนนะคะ
-
หวานละมุนละไมอยู่ในทุกตอน
-
อยากให้มีอัลบั้มจริงเลยทีเดียว
คนฟังคงเขินกันตัวบิด 555
เป็นเรื่องที่น่ารักมาก ต่างเป็นส่วนเติมเต็มของกัน มันดีย์~~~ ^^
รอเล่มและรอเรื่องคุณหนูผู้ทรงอิทธิพลในแก๊งลูกเพื่อนแม่ต่อปายยยย
-
:pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณค่ะสำหรับนิยายดีๆ
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
อยากให้ทำเป็น E-book ด้วยค่ะ ขอร้องงงงงงงง
ถ้ามีตะอุดหนุนแน่นอนเลย
ปล. ชอบเรื่องนี้มาก อยากให้มีตอนพิเศษจังเลย :mew2:
-
จบได้หวานละมุน และอบอุ่นมากค่ะ
:mew1: :mew1: :mew1:
-
ขอบคุณค่ะสำหรับนิยายดีๆ
-
คีตาต่อไปโลกของหนูไม่เหงาแล้วนะจ๊ะมีพี่เบนมาเติมเต็มแล้วเพลงรักสมบูรณ์แล้ว ทั้งคู่คือท่วงทำนองของกันและกันมากกกก รอทิมเลยจ่ะจุดๆนี้ คินก็รออออหลงรักแกงค์นี้ไปแล้ววววววว
-
:กอด1:
อ่านไปซึ้งไป ร้องไห้ไป ฮือ
สมหวังในความรักสักทีนะสองหนุ่ม
ต่อจากนี้ไป ขอให้เป็นรักนิรันดร์นะ
รอติดตามผลงานต่อไปนะคะ
-
สนุกมากๆ ค่ะ น้องคีย์น่ารักมากๆ :กอด1:
เอ็นดูหนุ่มๆ แก๊งลูกเพื่อนแม่อ่ะ รอคนต่อไปจ้า :hao7: :pig4: :pig4:
-
:sad4: สนุกมากจริงๆๆๆๆๆ จะตามอ่านเรื่องน้องทิมต่อเลย :katai2-1:
-
:-[ เค้าหวานละมุนจนเราอิจฉา นี่ไม่อยากเชื่อว่าตอนแรกจะต่อยกันแล้ว :hao3: :hao3:
ขอบคุณผู้แต่งค่าา :pig4: :pig4:
-
สนุกมากเลยค่ะ
-
รอคู่ต่อไปอยู่นะ :katai4: :katai4: :katai4:
-
เรื่องนี่ละมุนมาก
น่ารักมาก
ทั้งเบนจามินและคีตาโชคดีมากที่ได้มาเจอกัน
-
:-[ :-[น่าร้ากกกกก อบอุ่น ละมุนมาก
จากรามิลกับคุณต้นไม้ มาต่อด้วยพี่เบญของคีตา คือดีมากๆๆๆๆๆๆเลย.....อิ่มเอมใจ
-
:pig4:
-
:pig4:
-
ขอบคุณนิยายดีๆ จะรอติดตามต่ออีกสองเรื่องน้าาา
-
อบอุ่นมากๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีค่ะ :mew1:
-
ชอบ
-
อบอุ่นหัวใจมากเลยค่ะ ชอบที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนี้ สนุกมาก ขอบคุณนะคะ :mew1:
-
อ่านแล้วมีความสุข o18
-
อ่านเรื่องของคุณนักเขียนในซีรี่ส์นี้จบเป็นเรื่องที่2อบอุ่นในหัวใจเหลือเกินค่ะและเรารอเรื่องต่อไปอย่างใจจดจ่อ..ขอบคุณนะคะสรรสร้างงานที่สละสลวยเช่นนี้
-
งือออออ ความรักมันดีจังเลยน้าาาาาา
คุณเบนกับน้องคีย์ แฮปปี้สุดๆ :katai2-1:
-
อ่านไปๆมีแต่คำว่าน่ารักเต้มไปหมด น่ารักอบอุ่นละมุนสุดๆ ชอบๆๆๆๆ :pig4:
-
ชอบจัง อ่านแล้วยิ้มกับความน่ารักของพี่เบนกับน้องคีตา รอตอนพิเศษค่ะ :katai2-1:
-
คีตาน่ารักกกกกก อยากฟังสิบเพลงรักจังเลยยย
-
:mew2:
-
ความแก็งลูกเพื่อนแม่นี้ :hao3:
เป็นอีกเรื่องที่ชอบเลย นักเขียนแต่งได้ดีเลย (อาจจะมีคำผิดบ้าง และ การเว้นวรรคบทสนทนาที่งงบ้างนิดเดียว) สื่ออารมณ์ได้ดีเลย มันเป็นความเหงาและความเศร้าที่ค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยความรักของทั้งสองคน :กอด1: พี่เบนฮีลน้องด้วยพลังบวกของตัวเอง น้องคีตาก็ฮีลพี่ด้วยเสียงเพลงกับความน่ารัก :o8:
ปล.จะติดตามต่อเรื่องน้องทับทิม รอดูความแสบของน้องเล็กของแก็งลูกเพื่อนแม่ ใครกันที่จะเอาอยู่ แล้วผ่านด่านของสามหนุ่มได้
ขอบคุณนักเขียนสำหรับนิยายดี ๆ :pig4:
-
น่ารักมาก..กกกกกกกก :กอด1:
-
ขอบคุณค่าา
-
กรี๊ดๆๆๆๆ จากรามิลก็มาเบนจามิล
มาตามติดชีวิตแกงค์ลูกเพื่อนแม่จ้า
-
ชอบอะ เป็นอีกเรื่องดีๆเลยค่ะ
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องจ้า
ภาษาดี บรรยายดี feel good เหมือนเดิม
ติดตามต่อไปเรื่องน้องทิม แกงค์ลูกเพื่อแม่นี้ รักทุกคน 5555
-
o13 o13 o13
-
ตามมาจาก secret garden
คือดียยย์มากกก
ชอบบบบ
รอสมาชิกแกงค์เพื่อนแม่อีกสองคนนะคะ :mew1:
-
ชอบมากค่ะ น่ารักมากเลย อบอุ่นหัวใจสุดๆๆ อ่านแล้วยิ้มตามทั้งเรื่องเลย :กอด1: :mew1:
-
:-[
-
ตามอ่านทุกเรื่องเลยค่ะ ชอบทุกเรื่องเลย :pig4:
-
นิยายของแก๊งลูกเพื่อนแม่สนุกทุกเรื่องเลย อ่านครบทั้ง3คู่แล้ว รอของลูกกระจ๊อกภาคินอีกคน ต้องสนุกเหมือน3คู่ของเพื่อนๆแน่นอน รอๆๆๆ :pig4:
-
แก๊งลูกเพื่อนแม่น่ารักมากๆๆๆๆๆ ตามมาตั้งแต่ secret garden แล้วก็ทิ้งช่วงไปนาน จนมาเจอว่าเขียนอีกสองเรื่องในเซตนี้จบแล้ว เรื่องน่ารักมากๆๆเลยค่ะ ตอนเขาตีกันนี่แบบโมโหอิตาพี่เบนมาก นิสัยไม่ดี ไม่โต ไม่มีความรับผิดชอบเลย จนเขาดีกันก็หวานๆ เขินๆ ดีต่อใจที่สุด ตอนเปิดปมของแต่ละคนคือสงสารทั้งคู่เลย จะร้องไห้ตาม อยากโอบกอดทั้งน้องทั่งพี่แน่นๆเลย สำคัญคือคนรอบข้างของทั้งสอง ทั้งเบน ทั้งคีย์ โชคดีที่มีคนรอบข้างที่น่ารัก เข้าใจ พร้อมจับมือให้กำลังใจไปด้วยกันตลอด เป็นนิยายที่อ่านแล้วดีต่อใจมากๆๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายที่ดีต่อใจแบบนี้นะคะ จะตามไปอ่านทับทิมต่อแล้วค่าาา
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
น่ารักอีกแล้ว อ่านเพลิน อ่านสนุก น้ำตามีไหลบ้าง ครบรส ชอบๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ น่ารักๆนะคะ
-
"ว่าไงสไปเดอร์แมน" อยากมีคนที่สามารถปล่อยตัวเองให้เขาเห็นอยู่เคียงข้างบางจัง อิจฉา!!!
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ
-
ชอบมากเลย ขอบคุณค่ะ :pig4:
-
็ฮีลได้จริงๆค่ะ กำลังใจเต็มมากตอนนี้
-
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ สำหรับพี่เบนกับคีตา ลุ้นแทบแย่แน่ะค่ะ กลัวพี่เบนจะทำคีตาเสียใจ
-
ตามเก็บนิยายแกงค์ลูกเพื่อนแม่อยู่ครับ โอ้ยมันเป็นน่ารักคิกคักคุกคิก หลงคีตาแบบไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว สงสัยต้องแย่งกับพี่เบนแล้วสิ :hao7: :hao7:
-
ทุกตัวละครมีเสน่ห์ทุกครั้งที่กลับมาอ่าน นุ้งคีย์ของป้าาาาอย่กฟัดพอ ๆ กับอันนาน้อยยยย
-
:pig4:
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ นะคะ
ิอบอุ่นหัวใจจังเลย
-
ฟีลกุ้ดอีกเรื่อง หลงรักพี่เบนเลยค่า
-
ชอบ ชอบทุกเรื่องของ "ลูกเพื่อนแม่" เลย
-
น่ารักมาก อ่านแล้วมีความสุข
-
:pig4: