พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ปลายฝน ที่ 12-07-2018 16:50:48

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฝน ที่ 12-07-2018 16:50:48
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

หากวันนั้น ผมไม่บังเอิญนั่งเบาะติดกับเขา
ชีวิตผมคงไม่กลายเป็นแบบนี้

สวัสดีค่ะ เราเป็นนักเขียนใหม่ที่สิงในเล้ามานานแล้ว5555 ยังไงก็ขอฝากเรื่องสั้นเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ
พูดคุยกันได้ที่ #เมล์เขียวคันนั้น ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |•
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฝน ที่ 12-07-2018 17:05:50
[1]

D06…

ชายหนุ่มในเสื้อโปโลสีขาวคอปกสีม่วงเผือก หน้าอกข้างซ้ายปักเป็นลายเส้นเล็กๆ รูปช้าง แสดงถึงมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ขายาวทว่าผอมแห้งก้าวช้าๆ ไปตามทางระหว่างที่นั่งทั้งสองข้าง ดวงตากลมเล็กอย่างคนมีเชื้อจีนมองไล่หมายเลขที่นั่งตามจังหวะที่ก้าวเดินไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าที่นั่งของตนมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาสลับมองตั๋วรถในมือ หมึกสีดำพิมพ์ไว้ชัดเจน อักษรตัวใหญ่สะดุดตาบอกว่าที่ตรงนั้นตรงกับหมายเลขที่นั่งของเขาจริงๆ

“ขอโทษนะครับ” น้ำเสียงเอ่ยทักอย่างสุภาพเรียกให้คนที่นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างหันกลับมา ใบหน้ารูปไข่ สันกรามคมชัดปรากฏไรหนวดจางๆ เข้ากันกับผมที่มัดจุกไว้ตรงกลางกระหม่อม ดูแล้วน่าจะอายุอานามใกล้เคียงกัน ดวงตารูปจันทร์ครึ่งดวงมองอย่างแปลกใจระคนสงสัย เขาปลดสายหูฟังพร้อมตอบกลับมาอย่างสุภาพ “ครับ”

“ไม่ทราบว่าที่นั่งของคุณหมายเลขอะไรครับ” เมื่อได้ยินคำถาม มือใหญ่ก็ล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด ควานหาสักพักก็ได้ตั๋วโดยสารสภาพยับยู่ยี่ไว้ในมือ เขามองตั๋วโดยสารก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบคำถาม

“C06 ครับ”

“งั้นรบกวนขยับมาเบาะข้างๆ ได้ไหมครับ พอดีว่าตรงที่คุณนั่งเป็นที่ของผม” ผายมือไปทางเบาะติดทางเดินอย่างสุภาพ คนนั่งผิดที่ยกมือเกาท้ายทอย ก้มมองตั๋วโดยสารอีกครั้ง เงยหน้ามองสติกเกอร์ที่แปะหมายเลขที่นั่งอยู่ ก่อนจะหัวเราะเจื่อนๆ “ขอโทษด้วยนะครับ”

เขาขยับย้ายที่ คนมาใหม่จึงก้าวเข้าไปนั่งแทนที่เดิมของเขา


ตำแหน่งที่เขาจองไว้อยู่ค่อนมาทางด้านหน้าของรถโดยสารปรับอากาศ 4แถวที่นั่ง เดินทางจากเชียงใหม่ถึงน่าน นอกกระจกรถมองเห็นความเคลื่อนไหวของผู้คนบนชานชาลา กระเป๋าหลากสีหลากขนาดวางอยู่บนม้านั่ง สถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ยังคงคึกคักแม้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลที่มักมีคนเดินทางทั้งมาเที่ยวและไปเที่ยว หรือแม้แต่เดินทางกลับภูมิลำเนา เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่พื้นเพไม่ได้อยู่จังหวัดนี้ แต่นับครั้งได้ที่เขาจะกลับบ้านเดิมเพราะภาระหน้าที่หลายอย่างกักขังเขาไว้ นับตั้งแต่มาเรียนและได้ทำงานที่นี่ ก็เป็นเวลา10กว่าปีแล้วที่เขาจากบ้านมา

แดดยามสายเริ่มแรงขึ้นตามองศาที่ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า รถโดยสารเคลื่อนที่ออกจากชานชาลาช้าๆ นับจากนี้อีกหกชั่วโมงเศษที่เขาจะอยู่บนรถคันนี้ เป้สีดำใบเขื่องถูกเปิดออก ไม่นานเจ้าของก็ปิดมันพร้อมหนังสือติดมือมาด้วย นิ้วอย่างคนทำงานไล่ไปตามขอบหนังสือจนถึงตำแหน่งที่คั่นไว้ กางออกอ่าน ก่อนจะถูกดูดดึงให้เข้าไปสู่ภวังค์ของนิยาย

เหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกจองที่นั่งติดหน้าต่างก็เพราะมันสว่าง ด้วยความที่มักจะอ่านหนังสือบนรถแก้เบื่อนี่จึงเป็นตำแหน่งที่ดีสำหรับเขา หลายคนชอบทักว่าอ่านแบบนี้ไม่เมารถหรอ เขาก็เพียงแค่ยักไหล่พร้อมคำตอบว่ามันคงเป็นความเคยชินไปแล้วสำหรับเด็กดอยอย่างเขา แต่หากถามว่าปวดตาไหม ก็พอควร ดังนั้นเขาอ่านไปได้เพียงชั่วโมงเดียวก็ทนความแกว่งไกวของรถไม่ไหว ตัดสินใจปิดหนังสือพักสายตา และเมื่อละสายตาจากหนังสือก็พบว่าคนข้างตัวกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตารูปจันทร์ครึ่งดวง พอเขาจ้องกลับก็สะดุ้งอย่างทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ…ชอบหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณเหรอครับ” คนมองก่อนถามตะกุกตะกัก ไม่คิดว่าแค่มองสำรวจหนังสือหน้าปกคุ้นๆ ที่อยู่ในมือคนข้างๆ จะทำให้เขารู้สึกตัว

“ก็ชอบครับ รู้จักด้วยเหรอ” เจ้าของหนังสือถามอย่างแปลกใจระคนดีใจ แม้เขาจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้หนังสือขนาดนั้นแต่ก็รู้ว่าผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้มีชื่อเสียงพอสมควร คนชอบหนังสือก็คงรู้จักกัน แต่คนใกล้ตัวเขาไม่ค่อยมีคอนิยายเท่าไหร่ นานทีจะเจอคนพูดจาภาษาเดียวกัน จึงทำให้เขานึกดีใจอยู่ลึกๆ

“ผม…เป็นแฟนคลับเขาครับ” เขาตอบก่อนจะหัวเราะเบาๆ “พอดีเห็นปกคุ้นๆ เลยแอบดู รบกวนหรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่หรอก ผมก็ว่าจะพักสายตาพอดี” คนอ่านหนังสือมานานตอบยิ้มๆ จากที่คิดว่าจะนอนก็เปลี่ยนใจ คุยกับคนข้างๆ ก็ท่าทางน่าสนุกเหมือนกัน คนชวนคุยทิ้งช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นใหม่

“เก่งนะครับ อ่านหนังสือบนรถได้ด้วย ไม่ลายตาเหรอครับ”

“ถ้าไม่ลายตาผมก็อ่านต่อจนจบเล่มแล้วล่ะ” ท่าทางตอบคำถามแบบยิ้มๆ ทำเอาคนฟังหัวเราะเบาๆ “ผมไม่น่าถามเลยเนอะ”

“เคยอ่านเล่มนี้แล้วเหรอครับ” เจ้าของหนังสือชูหนังสือขนาด B5 ในมือให้คนข้างตัวดู ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าเล็กน้อย ในหัวคนเคยอ่านนึกถึงเนื้อเรื่องภายในนิยายหน้าปกสีขาวแต่งแต้มด้วยภาพกราฟฟิกก่อนจะเอ่ยออกมา

“เคยครับ น่าเสียดายที่คนร้ายตาย พระเอกไปไม่ทันซะงั้น ทิ้งปริศนาไว้เต็มเลย”

“เดี๋ยวๆ” คนฟังรีบเบรกเอี๊ยดก่อนที่คนเล่าจะเล่าจนหมดเปลือก

...จะสปอยไคลแมกซ์แบบนี้ไม่ได้โว้ยยยยยย...

คนสปอยเห็นสีหน้าตกใจของคนฟังก็หัวเราะลั่น ยิ้มอย่างเอ็นดู รีบเฉลยก่อนจะโดนเข้าใจผิด “ผมพูดเล่นหรอก ใครจะบ้าสปอยอย่างนั้น ได้โดนหนังสือโบกกันพอดี” เท่านั้นคนฟังก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกดีใจที่อรรถรสในการอ่านของเขายังไม่ถูกทำลายจนย่อยยับ

“เป็นนักศึกษาหรอ” คนข้างกายเปิดประเด็นใหม่ ดวงตารูปจันทร์ครึ่งดวงมองสำรวจเขา คงเห็นว่าใส่เสื้อสมัยเฟรชชี่มหาลัยเลยคิดว่าเขายังเรียนอยู่แน่ๆ

“เปล่าครับ”

“อ้าวเหรอ แล้วทำอะไรอยู่ครับ” น้ำเสียงนิ่มนวลเอ่ยถามอย่างต้องการผูกมิตร เขานิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดไปดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ตอบคำถามออกไป

“เอ่อ...ขายยาครับ”

“...” ท่าทางนิ่งงันในทันทีที่ได้คำตอบทำเอาเขาแอบหัวเราะในใจ “ผมหมายถึงดีเทลยาครับ คิดไปถึงไหนเนี่ย” หัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้กับคนที่ได้แต่ยิ้มเจื่อนกับคำตอบของเขา

“เห็นหน้าใสๆ แบบนี้มาบอกว่าขายยา ผมก็ตกใจสิ”

“แล้วคุณล่ะ ทำอะไรอยู่” หนุ่มหน้าใสถามกลับ ดวงตากลมเล็กพิจารณาคนข้างๆ พลางคาดเดาคำตอบไปด้วย เขาเป็นคนมีกล้ามเนื้อพอสมควร ผมสีดำมัดจุกอย่างลวกๆ รวมทั้งหนวดเคราบางๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวมีความเป็นศิลปินอยู่พอควร เสื้อเชิ้ตมัดย้อมครามยิ่งส่งให้เขามีภาพลักษณ์ที่น่าจะเรียกว่าติสท์ มือแข็งแกร่งปูดโปนด้วยเส้นเลือดพอๆ กันทั้งสองข้าง เป็นลักษณะของคนทำงานที่ใช้ทั้งสองมือ ความขี้เล่นบางอย่างส่งผ่านออกมาทางแววตา คำพูดคำจาที่ชวนคุยได้โดยไม่ทำให้คู่สนทนาเคอะเขิน คงเป็นคนที่ผู้หญิงเรียกว่าเป็นผู้ชายอบอุ่น ประกอบกับกลิ่นหอมบางอย่างจากตัวเขาที่ยังไงก็ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอม ทำให้พอจะอนุมานได้ว่า...

“ผมทำร้านเบเกอรี่อยู่ครับ” คนฟังพยักหน้ารับ ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เขาได้กลิ่นหอมคล้ายขนมปังโชยมาตั้งแต่เพิ่งหย่อนก้นนั่งข้างๆ ทีแรกก็คิดว่ามาจากขนม แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีอาหารอยู่ข้างกาย ก็คงจะเป็นตัวเขาที่มีกลิ่นประจำกายเป็นกลิ่นขนม

“ถ้าให้เดา เมื่อเช้านี้คุณก็เพิ่งไปร้านมาใช่ไหมครับ” คนฟังเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างตื่นเต้นกับการคาดเดาที่ได้ยิน

“ใช่ครับ คุณรู้ได้ไงเนี่ย” ท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆ ทำให้คนเดาถูกอดยิ้มตามไม่ได้ ยักไหล่ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร ก่อนจะค่อยเฉลยให้คนคาใจฟัง

“ก็...คุณตัวหอม” ฟังดูแปลกๆ ชอบกล เขาอึกอักก่อนจะอธิบายใหม่ “แบบว่า...เหมือนกลิ่นหอมขนม กลิ่นแป้ง กลิ่นหวานๆ อะไรแบบนี้ แสดงว่าคุณคงทำงานเกี่ยวกับขนม ไม่เป็นคนขายก็เป็นคนทำ แต่ผมคิดว่าเป็นเป็นคนทำ เพราะเอ่อ...มือคุณ ดูแข็งแรงดี คงใช้ออกแรงบีบนวดบ่อยๆ” สบกับสายตากะลิ้มกะเหลี่ย เขาจึงรีบแก้ไขคำพูด “หมายถึงนวดแป้งน่ะครับ”

“เก่งจัง จมูกดีด้วย เหมือน...” หมา คนฟังเผลอต่อคำพูดในใจ ไม่รู้ควรดีใจกับความจมูกไวหรือควรเสียใจกับความเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่เรียกว่าหมาดี

“ชมหรือด่า”

“ชมสิ ทำไมถึงคิดว่าเป็นคำด่าล่ะ”

“ก็คุณบอกว่าผมจมูกดีเหมือน...” ไม่รอให้จบประโยค คนถูกเข้าใจผิดก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “เหมือนคนรู้จักผมน่ะ เขาชอบทายว่าผมไปทำขนมอะไรมา จมูกไวมาก บางทีแค่ยืนข้างๆ คนที่ฉีดน้ำหอมแรงๆ กลับมาก็โดนมองแล้วว่าไปเที่ยวผู้หญิงมา เป็นเรื่องเลยทีนี้” เล่าไปอย่างไม่รู้ตัว จากที่แค่ตั้งใจจะบอกว่าจมูกดีเหมือนใครคนนั้น ก็ประหวัดไปถึงเรื่องราวมากมายระหว่างกัน เรื่องราวที่คงมีแค่เขาเก็บมาคิดอยู่คนเดียว

“ความจมูกไวนี่แหละที่สร้างเรื่องมานักต่อนักแล้วคุณ” คนไวต่อกลิ่นเอ่ยขึ้นขำๆ “ถ้าใครคนสักคนตดขึ้นมา คนแรกที่ได้กลิ่นก็มักจะโดนแซวว่าเป็นคนตดเอง จริงไหม” คำเปรียบเปรยง่ายๆ เรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งสองให้ดังขึ้นพร้อมกัน

แต่กลิ่นความเน่ามันไม่ง่ายเหมือนเรื่องตดหรอก

ความหมายของคำว่า ‘จมูกไว’ ไม่เพียงอธิบายถึงลักษณะของคนที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นประเภทกลิ่น อีกนัยหนึ่งหมายความถึงการไวต่อข่าว’คาว’ มักสังเกตเห็นความผิดปกติในเรื่องที่ไม่ควร บ่อยครั้งที่ต้องทำเป็นไม่ได้กลิ่นก่อนที่ความฉิบหายจะมาเยือน

“เอ้อ คุณไปลงที่ไหนครับ” ประโยคคำถามเรียบๆ เรียกให้เขาหลุดจากภวังค์ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะให้คำตอบ

“น่านครับ ในเมืองเลย”

“สรุปไปน่านหรือไปเลย”

“...” อีกนิดจะถีบส่งไอ้คนถามลงไปเที่ยวกลางเขาละ

“โทษๆ มันอดไม่ได้” เสียงหัวเราะจากคนข้างๆ ทำให้คนเกรี้ยวกราดค่อยๆ คลายความเครียดปล่อยเสียงหัวเราะตามไป อันที่จริงการใช้ชีวิตง่ายๆ หัวเราะกับมุกกากๆ แบบนี้ก็ดูมีความสุขดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปคิดว่าพูดแบบนี้จะซื้อใจคู่สนทนาได้หรือเปล่า ถ้าเขาพาออกนอกทะเลแล้วจะดึงเขากลับมายังไง เข้าหาแบบไหนถึงจะไม่ดูเป็นการขายมากเกินไป

ไม่ได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าอย่างไร้แบบแผนมานานเท่าไหร่แล้วนะ

“ไปทำอะไรที่น่านหรอครับ” คนเบาะติดกันเอ่ยถามยิ้มๆ ดวงตารูปจันทร์ครึ่งดวงมองด้วยประกายระยิบระยับ ราวกับมอบความสนใจทั้งหมดให้คนฟัง ถ้าผู้หญิงคนไหนได้รับสายตาแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยเป็นต้องเกิดอาการเขิน พูดไม่ออกกันบ้างล่ะ แต่ในเมื่อเขายังมีสติเต็มร้อยจึงตอบคำถามได้ไม่มีสะดุด

“ไปเยี่ยมครอบครัวน่ะครับ คุณล่ะ ไปไหน”

“ผมก็ไปน่านเหมือนกัน” เขาพูดยิ้มๆ อธิบายต่อ “เคยไปมาหลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไปเที่ยวฤดูฝน” สถานที่เดียวกันแต่ต่างเวลา ต่างฤดู ก็คงให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน ทิวทัศน์ของเมฆหนาที่เคล้าเคลียกับยอดดอยเป็นอีกอย่างที่เขาอยากเห็น อันที่จริงจะเที่ยวในเชียงใหม่ก็ได้ แต่เขารักความเงียบของเมืองเล็กๆ แบบนั้นมากกว่า

รักบรรยากาศที่ครั้งหนึ่งเคยมีใครคนนั้นเคียงข้างในสถานที่ซึ่งไร้ผู้คน

“คุณดูเหงานะ” คนช่างสังเกตมองอาการเหม่อลอยชั่วครู่ของชายหนุ่มข้างตัวก็พอจะอนุมานได้ว่า คนหนุ่มอายุราว20ปลายๆ เดินทางคนเดียว แถมที่หมายก็เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ถ้าไม่หนีความวุ่นวายก็คงไปคลายเหงา แต่คนท่าทางอัธยาศัยดีแบบนี้มีเหรอจะเหงา เผลอๆ อาจจะหนีแฟนไปเที่ยวด้วยซ้ำ

คำพูดของเขาไม่ได้รับการตอบสนองในทันที คล้ายว่าคนฟังมีคำพูดต้องประมวลผลมากกว่าปกติ เขาจึงปล่อยให้คู่สนทนาได้มีเวลาคิดจนหาคำตอบได้ “ไม่รู้สิ ผมนิยามคำว่าเหงาไม่ถูกด้วยซ้ำ” รอยยิ้มเล็กๆ กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้งหลังจมอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำครู่หนึ่ง แม้เขาจะเงียบไปไม่นานแต่ในความรู้สึกราวกับว่าเขาได้ท่องไปในเรื่องราวนานนับหลายปี เรื่องราวที่อาจจะยาวนานกว่านี้หากเขาไม่พังมันลง

“แล้วทำไมถึงไปคนเดียว หรือว่านัดเพื่อนไว้ที่นั่น” คำถามนี้ทำให้เขาชะงักไปอีกครั้ง ก็ไอ้เพื่อนที่คุยไว้ดิบดีว่าจะไปเที่ยวด้วยกันนั่นแหละที่ทิ้งกัน ซึ่งมันควรเป็นทริปที่โรแมนติก เหมาะกับการทำ’อะไรๆ’ให้คนที่บอกว่าเป็นเพื่อนได้รู้ว่าเขาไม่อยากคิดกับมันแค่เพื่อนอีกต่อไป แต่เหมือนว่าเขาว่าจะปากไวใจเร็วไปหน่อย แผนที่วางไว้จึงล่มไม่เป็นท่า พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้ แต่ทำได้แค่สะกดน้ำตาไว้ ยิ้มกลับไปแม้จะดูเป็นรอยยิ้มที่ฝืนไปหน่อยก็ตาม

“ผม...เบื่อๆ นิดหน่อยน่ะ” คำโกหกที่ไม่ค่อยเนียนทำให้อีกฝ่ายมองอย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรอะไร เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ เป็นเชิงขอโทษและปลอบใจหากคำตอบจริงๆ ของคำถามนี้เป็นสิ่งที่คนพูดไม่อยากนึกถึง แต่ไม่รู้ว่าดวงตากลมเล็กที่หยีขึ้นตามการยกยิ้มร่ายมนตร์ใส่เขาหรืออย่างไร ความอัดอั้นในใจที่ไม่เคยพูดให้ใครฟังจึงถูกระบายออกมาหมดเปลือก

“อันที่จริง ผมเพิ่งอกหักมา” จังหวะการพูดเนิบช้า  เว้นช่วงเพื่อดูปฏิกิริยาคนฟัง เมื่อเห็นดวงตากลมเล็กคู่นั้นมองมาอย่างตั้งใจ เขาจึงเล่าต่อ “ผมแอบชอบเพื่อนตัวเอง ชอบมาหลายปีแล้วล่ะ จนรู้สึกว่าเก็บไว้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องพูดออกไป” เขากลืนน้ำลาย พยายามไม่ใส่อารมณ์เข้าไปด้วย “เราเคยไปเที่ยวน่านด้วยกัน เขาชอบมาก ผมแอบหวังว่าถ้าพาเขามาที่นี่แล้วบอกรักก็คงจะสมหวัง แต่ผมดันเผลอสารภาพไปแล้ว โดนตอกกลับจนหน้าชาเลย ยังไงความจริงที่ว่าเราเป็นเพื่อนกันก็ชนะความรู้สึกผมอยู่ดี” แต่ต่อให้ไม่ใช่เพื่อนเขาก็ไม่รักอยู่ดีว่ะ “ผมเลยต้องเที่ยวคนเดียวเลย” และสถานที่ที่คิดไว้ก็โคตรของความคู่รัก เขาหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความเจ็บช้ำในใจ แต่แล้วก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินประโยคที่ไม่คาดคิดจากคนข้างๆ

“ให้ผมไปเที่ยวเป็นเพื่อนมั้ยล่ะ” จากที่นั่งฟังมานานจึงตัดสินใจถามออกไป ไม่รู้อะไรดลใจให้เขากล้าขอไปเที่ยวกับคนแปลกหน้า คงเพราะเคมีคนเหงาที่มักดึงดูดคนประเภทเดียวกันให้เจอกันล่ะมั้ง ไหนๆ กลับไปครั้งนี้ก็คงจะว่างกว่าคราวที่แล้ว ออกไปเที่ยวเติมความสุขบ้างก็คงดี

“ที่บ้านคุณไม่ว่าหรอ กลับบ้านทั้งทีเขาอาจจะอยากให้คุณอยู่กับเขามากกว่า”

ก็คนที่อยากอยู่ด้วยเขาดันไม่อยู่แล้ว อยู่บ้านเฉยๆก็เหงาเปล่าๆ บ้านไม้หลังเล็กเคยอบอุ่น มีคนอาศัยพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูก แต่มันเป็นความอบอุ่นที่เขาเองก็แทบลืมไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงประถมปลายที่พ่อได้จากไปไกลถึงสรวงสวรรค์ ก็เหลือแค่แม่กับป้าที่อยู่ใกล้ๆกันคอยดูแลเขา เห็นความทุกข์ใจของแม่เขาจึงตั้งใจเรียนจนสอบติดโรงเรียนมัธยมดีๆ ในต่างจังหวัด อาศัยช่วยงานคุณครูบ้าง พาร์ทไทม์บ้าง จึงพอมีเงินช่วยลดภาระให้แม่ แต่การเดินทางกลับต่างจังหวัดเสียทั้งเวลาและรายได้ เขาจึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน รู้ว่าไม่ดีเท่าไหร่ที่ปล่อยแม่ไว้คนเดียวนานๆ แต่แม่เองก็มีเพื่อนและพี่สาวแม่คอยดูแลอยู่ เขาจึงวางใจใช้ชีวิตกับความสนุกสนานในเมืองใหญ่ ยิ่งสอบติดมหาวิทยาลัยได้เขาก็ยิ่งไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรกลับไป รู้ตัวอีกทีแม่ก็ป่วยหนัก ยื้อไว้กระทั่งปีก่อน แม่ก็จากเขาไปอีกคน

ความจมูกไวไม่ได้ช่วยให้เขารู้อาการป่วยของแม่เร็วขึ้นเลย ความรู้ที่อุตส่าห์เรียนมาสูงๆ ก็ช่วยแม่ไม่ได้ ที่พอทำได้ตอนนี้ก็มีแค่ดูแลป้าและลูกหลานป้าให้ดี แม้จะโดนเหน็บแหนมว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยกลับมาจนปล่อยให้แม่ป่วยตายไปแบบนั้นก็ตาม

“บ้านผมไม่มีใครอยู่หรอก” ถึงจะไม่ได้พูดออกไปตรงๆ แต่กระแสความเศร้าบางอย่างก็ทำให้คนฟังประมวลผลถึงนัยยะแฝงได้ ไม่รู้ว่าคลื่นความเศร้าสามารถส่งต่อถึงกันได้หรือเปล่า เขาถึงได้รู้สึกจุกแบบนี้ “ขอโทษนะ”

เจ้าถิ่นเพียงยิ้มบางๆ “ไม่ต้องขอโทษหรอก ตอบคำถามผมดีกว่าว่าอยากไปเที่ยวด้วยกันรึเปล่า”


แต่ใครจะไปรู้ว่าคำตอบจะพาให้ชีวิตเขาเปลี่ยนรสชาติไปขนาดนี้


TBC...


พูดคุยกันได้ที่ #เมล์เขียวคันนั้น แล้วเจอกันค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |•
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 12-07-2018 21:18:51
หอมกลิ่นความเหงา...รอจ้า  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• จบ
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฝน ที่ 13-07-2018 13:48:59
[2]



“อะไรนะครับ! ห้องที่ผมจองท่อแตกหรอ!” เสียงกึ่งตะโกนทำเอาพนักงานสาวสะดุ้ง ได้แต่ขอโทษขอโพยที่ทำให้ลูกค้าของโฮสเทลแห่งนี้เดือดร้อน ช่างที่ทำประจำก็ดันติดงาน กว่าจะมาทำได้ก็วันพรุ่งนี้ ห้องที่เหลือก็ไม่ว่างแล้ว นั่นทำให้คืนนี้ลูกค้าของเธอไม่มีที่นอน


“ต้องขออภัยจริงๆ นะคะ ทางเราจะคืนเงินมัดจำให้เต็มจำนวน และหากครั้งหน้าท่านมาพักที่นี่ เรามีส่วนลดให้ค่ะ ขออภัยจริงๆ นะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้คนหนุ่มกว่าอย่างรู้สึกผิด เขาถอนหายใจหนักๆ ยกมือขึ้นขยี้ผมอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร


“ไปพักบ้านผมแทนไหมล่ะ?” ขายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันถามขึ้น จากตอนแรกที่แค่จะมาส่งแล้วแยกย้ายกันไปพัก ถึงเวลานัดค่อยมาเจอกันอีกที เป็นได้เปลี่ยนแผนเสียใหม่ คนหัวเสียจึงหันไปมองอย่างคิดหนัก แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่ตลอดระยะทางที่นั่งรถเมล์ข้ามจังหวัดมาด้วยกันก็ทำให้เขาสนิทใจจนยอมตกลงให้อีกคนมาเที่ยวด้วยกัน ชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบ




บ้านไม้หลังเล็กยกพื้นสูง ชั้นล่างประมาณ2ใน3โบกด้วยปูน ที่เหลือปล่อยเป็นพื้นที่โล่ง มีกี่กระตุกตั้งตรงกลาง เปลญวนสีน้ำเงินสลับลายสีต่างๆ ผูกอยู่ระหว่างเสาสองต้น หน้าบ้านปลูกต้นลีลาวดีสูงใหญ่พร้อมด้วยไม้พุ่มเล็กๆ สนามหญ้าค่อนข้างรกเนื่องจากเจ้าของไม่ได้กลับมาเป็นแรมปี หลังบ้านปลูกต้นลำไยชูใบสีเขียวชะอุ่ม ใกล้กันเป็นดงกล้วย เจ้าบ้านไขกุญแจก่อนจะชักชวนเขาเข้าไป


ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้าน อากาศก็คล้ายเย็นขึ้น ชั้นล่างที่เขาเข้ามาเป็นโซนรับแขก มีตั่งไม้หรือในภาษาพื้นเมืองเรียกว่าแหย่ง ปูรองด้วยผ้าทอลายพื้นเมือง ด้านหนึ่งมีหมอนอิงสามเหลี่ยมวางอยู่ ตรงหน้าเป็นโต๊ะไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก บนโต๊ะมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารวางระเกะระกะ ตรงข้ามเป็นชั้นไม้วางโทรทัศน์ ข้างกันมีตู้หนังสือทำจากไม้ เต็มไปด้วยตำราและหนังสืออ่านเล่น ชั้นบนสุดมีรูปรับปริญญาของคนข้างๆ และรูปครอบครัวสมัยเจ้าตัวยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ รอยยิ้มไร้เดียงสาทำเอาเขาอดยิ้มตามไม่ได้


“นั่นคุณหรอ น่ารักจัง” เขาเอ่ยเย้า คนถูกชมว่าน่ารักแก้มขึ้นสีจางๆ เดินจ้ำอ้าวหนีไปห้องครัวข้างหลัง คนขี้แซวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสำรวจสิ่งของต่างๆ


เมื่อพินิจพิจารณารูปครอบครัวแล้ว เขาพบว่าลูกชายบ้านนี้มีความคล้ายแม่อยู่มากเหมือนกัน ทั้งดวงตากลมเล็ก ปากนิดจมูกหน่อย คงมีคิ้วเข้มที่ได้พ่อมาเต็มๆ เขามองรูปถ่ายอยู่สักพัก คนในความคิดก็โผล่มาพร้อมแก้วน้ำในมือ เขารับมาก่อนจะพากันไปนั่งที่ตั่ง


“คุณบอกว่าอยากไปเที่ยวถนนคนเดินใช่ไหม” เจ้าบ้านเอ่ยถาม


“ใช่”


“ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะเริ่มตั้งร้าน อยากไปไหนก่อนรึเปล่า”


“ผมยังไงก็ได้ แล้วแต่คุณ”




สุดท้ายก็จบลงที่ร้านกาแฟ


“นี่คิดอย่างอื่นไม่ออกแล้วใช่ไหมเนี่ย” คนต่างถิ่นหัวเราะเบาๆ แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาเองก็อยากกินอะไรเย็นๆ อยู่พอดี ร้านที่พามาก็บรรยากาศไม่เลวเลย หน้าร้านเป็นกระจกใส ผนังสองข้างซ้ายขวาเป็นไม้ ด้านหลังแคชเชียร์เป็นอิฐมอญสีขาว บนผนังมีกระดานดำเขียนเมนูด้วยชอล์คหลากสีพร้อมรูปตกแต่งเล็กๆ เสียงเครื่องทำกาแฟพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ กำจายไปทั่วร้าน หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จก็พากันมานั่งที่มุมหนึ่งติดกระจก


“คุณนี่แปลกดีนะ เป็นคนเมืองน่านแท้ๆ ดันชื่อปาย” เจ้าของชื่อเพียงส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ


“ใครจะไปชื่อน่ากินอย่างคุณล่ะครับ คุณลาเต้”


“น่ากินจริงเปล่า ไม่ลองไม่รู้น้า” ทอดหางเสียงอย่างกรุ้มกริ่ม ทำเอาคนฟังคันไม้คันมืออยากโบกคนพูดสักทีสองที เห็นเขาเล่นด้วยหน่อยเป็นไม่ได้ ลูกเล่นแพรวพราวเหลือเกิน แต่ในเมื่อปูมาแล้วเขาก็ต้องสานต่อ


“มาดิ เดี๋ยวกัดให้ขาดเลย” จงใจไม่บอกว่าอะไรจะขาด แต่คนฟังก็ทำหน้าสยอง หัวเราะแห้งๆ กลับมา

“โหดจังคุณ ไม่เล่นแล้วก็ได้” พูดจบก็ประจวบกับพนักงานถือถาดเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี แก้วหนึ่งเป็นชาไทย อีกแก้วเป็นมอคค่า


“แล้วปกติป้าคุณกลับมาบ้านกี่โมงเหรอ” ได้ฟังคำถาม ปายก็เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ สี่โมงเย็นแล้ว น่าจะได้เวลาเลิกงานพอดี


“ปกติก็สี่โมงนิดๆ คงกำลังจะกลับแหละ”


กลับบ้านที่ว่าก็ไม่ใช่บ้านเขา แต่เป็นบ้านใหญ่ถัดไปอีกสองหลัง ถึงจะเป็นบ้านไม้เหมือนกันแต่ก็ทาสีใหม่เอี่ยม จัดสวนเรียบร้อยดูสะอาดตา เป็นเพราะสามีป้าประกอบอาชีพเป็นช่างจึงชอบทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย วันนี้คุณลุงก็ไปช่วยงานที่ต่างอำเภอ ทำให้เขาไม่เจอใครตอนที่แวะไปหา


“อร่อยแฮะ คราวที่แล้วน่าจะแวะ” เต้พึมพำเบาๆ แต่ก็ไม่รอดหูคนฟัง “แล้วทำไมไม่แวะ”

 
คำตอบที่ได้มีเพียงเสียงคนน้ำแข็งในแก้วพลาสติก


ครั้งนั้นเขาก็เคยถาม’เพื่อน’ของเขาด้วยประโยคนี้เหมือนกัน เสียแต่ว่าคนพลังงานเยอะอยากรีบไปเดินเที่ยวมากกว่า รบเร้าคะยั้นคะยอจนสายชิลอย่างเขายอมตามใจ คิดๆ ดูแล้วก็เหมือนพาเด็กน้อยมาเที่ยวเลย ความสดใสร่าเริงทำให้เขาแพ้ทาง อ้อนอะไรก็ยอมแล้วทูลหัว


แต่ต่อจากนี้ ‘เพื่อน’คนนั้นคงไม่มาอ้อนอะไรเขาแล้วล่ะ อย่างเดียวที่พอเป็นไปได้น่าจะเป็นการขอร้องให้เขาออกไปจากชีวิตเสียที




ตะวันคล้อยลงต่ำ แดดสีส้มยามเย็นผสานกับสีน้ำเงินของท้องฟ้าไร้ซึ่งหมู่เมฆ เฉดสีไล่เรียงกันอย่างงดงามราวกับสรรค์สร้างจากฝีแปรงของจิตรกรชื่อดัง สองชีวิตแกว่งไกวชิงช้าเบาๆ เคียงกันใต้นภาสีสวย ต่างคนต่างดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ราวกับฉากในหนัง หากนี่เป็นหนังรัก คงจะเป็นฉากที่พระนางพลอดรักกัน หรือหากเป็นหนังสยองขวัญ ก็เป็นสัญญาณเริ่มต้นของช่วงเวลาออกล่า


แต่เขาไม่ใช่คู่รัก และไม่ใช่คู่หูล่าท้าผีด้วย


“ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าชีวิตนี้จะสามารถไปเที่ยวกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึง 24 ชั่วโมงได้” ปายพูดขำๆ


“เออจริง ผมโคตรบ้าที่เสือกตกลงไปกับคุณ” เต้พูดก่อนจะหัวเราะลั่น “นี่ถ้าคุณเป็นโจรก็คงหลอกผมสำเร็จแล้วล่ะ”


“ไม่แน่หรอก มีอย่างหนึ่งที่ผมเอามาจากคุณไม่ได้” ปายพูดยิ้มๆ สายตาแฝงนัยบางอย่างจนคนมองรู้สึกหวั่นใจ


“อะไร”


“ความกากไง” เท่านั้นเต้ก็รู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง ไม่น่าเล่าให้ฟังเลยโว้ย


หลังจากเล่าให้ฟังถึงครั้งแรกที่เห็นถนนกลางเมืองไร้ซึ่งเสาไฟ ด้วยความเอ๋อในตอนนั้นจึงหลุดปากถามไปว่า ไม่มีเสาไฟแล้วเขาเอาไฟฟ้าจากที่ไหนมาใช้ เท่านั้นคนฟังก็หัวเราะลั่น ไม่ต่างจากตอนที่เพื่อนของเขาได้ยิน ซ้ำยังเอาเรื่องนี้มาล้อเขาอีกเรื่อยๆ จากที่คิดว่าพอมีภูมิต้านทานเป็นต้องหน้าม้านทุกครั้งไป


“พอๆ เราไปเดินถนนคนเดินได้ยังเนี่ย” เขารีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะเข้าตัวไปมากกว่านี้ ขายาวยันพื้นลุกขึ้น ปายหัวเราะเบาๆ กับความน่าแกล้งนั้น แต่ก็ยอมตามใจพาไปถนนคนเดิน




ถนนคนเดินตั้งอยู่บนถนนผากองด้านข้างวัดภูมินทร์ ใกล้กันมีลานกว้างขนาดใหญ่เรียกว่า ลานข่วงเมืองน่าน เป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ และในวันที่มีถนนคนเดินเช่นนี้ บนลานจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับจัดวางโตกให้คนเดินถนนคนเดินได้มานั่งกินอาหารที่ซื้อมา นอกจากนี้ยังมีเวทีเล็กๆ ให้ศิลปินผลัดเปลี่ยนกันมาแสดง บ้างเล่นดนตรีพื้นเมือง บ้างก็เล่นดนตรีสากล หรือหากร่วมสมัยหน่อยก็จะมีกลุ่มวัยรุ่นมาเต้นบีบอยให้ดูบ้าง เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้อย่างล้นหลาม


ภายในถนนคนเดินมีร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า และร้านของฝากมากมาย ราคาก็เหมาะสมชวนซื้อ กลิ่นอาหารหลากชนิดหอมยั่วยวนจนเจ้าถิ่นและคนต่างถิ่นหมดเงินกันไปร่วมร้อย แต่ปริมาณที่ได้มาก็ทำเอาอิ่มจนพรุ่งนี้เช้า เต้ซื้อเสื้อกับกระเป๋าไปฝากเพื่อนสองสามตัว ส่วนปายไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มเติม เขาสองคนพากันมาจับจองโตกหวายบนลานกิจกรรม ของที่ซื้อมาก็แบ่งๆ กันกิน ขนาดแบ่งแล้วยังแทบยัดไม่หมด


“คราวที่แล้วก็ไม่ได้มานั่งแบบนี้” ไม่รอให้ถาม เต้ก็อธิบายเพิ่ม “ฝนตกน่ะ”


ปายพยักหน้ารับ “แล้วชอบมั้ย” ยิ้มน้อยๆ อย่างเจ้าบ้านที่ดี เต้เงยหน้าขึ้นมอง แสงไฟตกกระทบใบหน้าขับดวงตาที่หยีขึ้นเป็นรูปจันทร์เสี้ยวให้เปล่งประกายกว่าปกติ เน้นแสงเงาของโครงหน้าได้รูปให้งดงามราวภาพวาด เรียวปากแย้มยิ้มอวดฟันที่เรียงตัวสวยทำให้คนมองขยับยิ้มตอบโดยไม่รู้ตัว


อันที่จริงเขาก็แอบคิดอยู่ในใจว่าปายก็หน้าตาดีไม่หยอก แต่ไม่ใช่แบบที่คนจะเหลียวหลังมามองทันที ต้องอาศัยการพิจารณามองนานๆ บวกกับนิสัยที่ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกถึงความร้ายลึกในคราบหนุ่มหน้าใส  เกิดเป็นเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดแม้จะเพิ่งรู้จักกัน


บางที การที่เขามาเที่ยวน่านครั้งนี้อาจจะได้อะไรมากกว่าคลายเหงาก็ได้


“อือ ชอบ” คำตอบพร้อมรอยยิ้มละมุนทำเอาคนถามรู้สึกแปลกๆ ราวกับคำตอบนั้นไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เขาถาม แต่ไม่ว่าจะชอบอะไรก็เป็นเรื่องดีทั้งนั้น ปายสลัดความคิดก่อนจะกลับมาสนใจอาหารตรงหน้า


แต่ความสนใจของเขาเป็นอันยุติลงอีกครั้ง เมื่อสัมผัสสากจากนิ้วโป้งลากเบาๆ ผ่านมุมปาก อ่อนโยนราวกับผิวหน้าของเขาบอบบางปานกลีบดอกไม้ ซึ่งอันที่จริงมันก็ไม่ได้บอบบางขนาดนั้น


“กินยังไงให้เลอะเนี่ยคุณ” เขาเอ่ยเย้า ชูให้ดูเศษอาหารที่ติดปลายนิ้วโป้ง ก่อนจะส่งมันเข้าปาก ปลายลิ้นสีขมพูตวัดอย่างรวดเร็ว แต่ก็นานพอให้คนมองจ้องอย่างตาค้าง


ไม่โอเค ไม่โอเค...


ปายก้มหน้าจกข้าวเหนียวเข้าปากราวกับแรงบดเคี้ยวจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจได้ เฝ้าภาวนาให้ความมืดสลัวช่วยกลบเกลื่อนความเห่อร้อนบนใบหน้าเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมกะอิแค่ผู้ชายเช็ดปากให้ถึงทำให้เขาเขินขนาดนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเสียกิริยากับตัวผู้คนไหนมาก่อน


เอาน่า อาจจะมีแอบเหล่บ้าง แต่เพราะความเนิร์ดและไม่ค่อยพูดกับใครทำให้ไม่เคยมีใครรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยมีความรักกับผู้ชายเช่นกัน เรื่องที่ชวนคนตรงหน้ามาเที่ยวด้วยกันก็แค่เห็นว่าเหงาอยู่เท่านั้นเอง ไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์มากกว่านั้น


แต่แม่งเอ๊ยยยยยยย ทำแบบนี้เขาเริ่มจะคิดแล้วนะ


แล้วหน้าจะเป็นสิวมั้ยเนี่ย เวรเอ๊ยยยย ทำไมไม่ล้างมือก๊อนนนนนนน


“เอ่อ...ปาย นั่นถุงข้าวเหนียว คุณจะกินจริงๆ หรอ” ขากรรไกรที่เตรียมจะงับลงมาชะงักค้างไว้ท่านั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าข้าวเหนียวหมดถุงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาจึงได้แต่ขยำถุงพลาสติกกลบเกลื่อน


“อ๋อ...เอ่อ เปล่า” มือไม้วุ่นวายกับการขยำถุงไปมา “คือ...ติดนิสัยน่ะ ต้องทำให้เป็นก้อนเล็กๆ ก่อนค่อยทิ้ง” แถอะไรได้เอามาให้หมด ขอให้ดึงความสนใจออกจากนิ้วโป้งมหัศจรรย์นั้นเถอะ




อาหารมื้อใหญ่จบลง เขาสองคนนั่งฟังดนตรีต่อจนเกือบสามทุ่มจึงชวนกันกลับ ทีแรกกะจะแวะไปทักทายป้าของปาย แต่เห็นว่าดึกแล้วจึงเปลี่ยนเป็นวันพรุ่งนี้แทน ปายเดินนำเต้ขึ้นมาชั้นบน มีสองห้องใหญ่ ห้องแรกเป็นห้องของพ่อแม่ สุดทางเดินเป็นห้องของปาย


“วันนี้คุณนอนกับผมไปก่อนละกัน ห้องแม่ยังไม่ได้เก็บกวาดเลย” เต้พยักหน้า เดินตามปายเข้าไปในห้อง


ห้องของปายเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ไม่มีเตียง แต่เป็นฟูกนอนกับพื้นแทน ปลายฝั่งหนึ่งใกล้กับตู้เสื้อผ้า เหนือฟูกมีมุ้งแขวนไว้ มุมห้องมีโต๊ะอ่านหนังสือ ข้างกันเป็นชั้นหนังสือเล็กๆ เจ้าของห้องเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวกับผ้าห่มให้


“คุณไปอาบน้ำก่อนได้เลย อยู่ข้างล่าง” เต้ยื่นมือมารับผ้าห่มก่อนจะไปอาบน้ำ



อากาศกลางคืนเย็นลงกว่าเมื่อกลางวัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นหนาว น้ำจากฝักบัวรดผ่านผิวกายไล่ตามมือที่ลูบไล้ไปยังส่วนต่างๆ ผิวของเขาหยาบยังไงก็หยาบอย่างนั้น ไม่เห็นเหมือนแก้มของใครอีกคน


คือ...ก็ไม่ได้เนียนนุ่มขนาดนั้น แต่แบบ มันเหมาะมือดี จะออกแรงเหมือนนวดแป้งก็ไม่ต้องกลัวว่าผิวจะบอบบางเกินไป แต่ที่นุ่มจริงๆ เห็นจะเป็นริมฝีปากสีซีด ไม่รู้ถ้าทำอะไรกับมันจะมีเลือดฝาดเป็นสีแดงขึ้นมารึเปล่า


แล้วนี่อะไร ทำไมมาคิดเรื่องแบบนี้ได้วะ


เต้ส่ายหน้า รีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนที่เขาจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้




ผลัดกันอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็ได้นั่งเงียบๆ อยู่คนละฝั่งของฟูกที่นอน ต่างคนต่างยังไม่ง่วง เจ้าของบ้านนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฟ้าโปร่ง เป็นคืนเดือนมืดด้วย เขาจึงชวนแขกออกไปเดินเล่นดูดาว


สี่ทุ่มครึ่ง ความเงียบสงบแผ่ปกคลุมทั่วพื้นที่ ในคืนปกติบ้านหลังนี้คงมีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรพูดคุยกันเท่านั้น แต่ในวันนี้มีเสียงฝีเท้าสองคู่เดินเคียงกันมา ไม่นานก็หยุดลงที่สนามหน้าบ้าน แม้จะไม่มืดสนิทแต่ก็เห็นแสงระยิบระยับจากดวงดาวส่องสว่างแข่งกัน อากาศเย็นกำลังดีช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของหนุ่มจากเมืองใหญ่ทั้งสอง พวกเขาเพียงนั่งนิ่งๆ ข้างกัน ดวงตาจับจ้องยังหมู่ดาวที่อยู่ไกลแสนไกล


“สวยเนอะ” แต่ก็เป็นความงดงามที่ไกลเกินเอื้อม


“อือ” ปายตอบรับเบาๆ “มันสวยของมันเอง แต่ก็โดนแสงไฟจากอะไรไม่รู้กลบไปหมด กว่าจะได้ดูก็ต้องสรรหาที่ไกลๆ” เขาพูดต่อยิ้มๆ


ถึงเขาจะเกรี้ยวกราดหัวร้อนง่ายไปบ้าง แต่ก็มีความเชื่อว่าดาวคงเหมือนคน ทุกคนมีความงดงามในตัวเอง จะเปล่งประกายก็ต่อเมื่ออยู่ในที่ที่เหมาะสม แต่บางคนก็เป็นพระจันทร์ มองเห็นชัดเจนกว่าคนอื่นหน่อย


“นั่นสิ กว่าจะหาเจอก็ยากจริงๆ นั่นแหละ” เต้พูด สายตาไม่ได้จับจ้องดาวบนฟ้า แต่มองประกายดาวในดวงตาของอีกฝ่าย ยอมรับว่าแปลกใจตัวเองที่มีความคิดประหลาดโผล่ขึ้นมา


บางทีถ้าเป็นคนนี้...


“ผมว่าผมตัดใจจากเขาได้แล้วล่ะ” คนในสายตาหันขวับมามองอย่างประหลาดใจ


“ทำไมเร็ว”


“จริงๆ ก็เหมือนรู้ตัวมาตั้งนานแล้วว่ายังไงก็ไม่สมหวัง แต่ผมมันดื้อเอง” คนพูดหัวเราะเบาๆ “อีกอย่าง เรื่องมันเกิดมาเป็นเดือนแล้วคุณ”


“คุณอาจจะยังมีหวังอยู่ก็ได้นะ” ดวงตากลมมองเขาอย่างให้กำลังใจ


ความหวังน่ะอาจจะมี แต่ไม่ใช่กับคนเดิมแล้วล่ะ


“คือ...ผมคิดว่ามีเรื่องต้องบอกคุณนิดหน่อย” เขาตั้งสติก่อนจะพูดออกไปช้าๆ “คนคนนั้นเป็นผู้ชาย”


คนฟังเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่าผู้ชายหุ่นค่อนข้างหมี ท่าทางเซอร์ๆ แบบนี้จะชอบผู้ชายด้วยกัน เขาดูเหมือนคนประเภทที่เป็นพ่อบ้าน ให้เกียรติและดูแลผู้หญิงอย่างดี ใครจะไปรู้ว่าคนในใจกลับกลายเป็นผู้ชายซะงั้น


“คืนนี้ถ้าคุณไม่สะดวกใจให้ผมนอนด้วยก็ไม่เป็นไรนะ” เต้พูดยิ้มๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับปฏิกิริยาตอบกลับแบบนี้ เผลอๆ ความหวังครั้งใหม่ของเขาอาจจะดับวูบไปแล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกดีที่ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจออกไป


“ทำไมจะนอนด้วยกันไม่ได้ กลัวผมรังเกียจรึไง” ปายเอ่ยถาม เคลื่อนมือไปใกล้ๆ มืออีกฝ่ายที่วางอยู่ข้างกัน นิ้วปัดป่ายผ่านไอร้อนจากมือนั้นก่อนวางประสานลงไป “ผมชวนคุณเพราะเห็นว่าคุยกันถูกคอ คุณชอบผู้ชายก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากคุยกับคุณน้อยลงนี่”


อาจจะอยาก‘คุย’มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ


แรงบีบที่มือเบาๆ พร้อมรอยยิ้มละมุนละไมเปล่งประกายยิ่งกว่าแสงดาวทำเอาคนให้กำลังใจถึงกับใจสั่น เวรเอ๊ยยยยย ต้องเป็นเพราะกาแฟแน่ๆ ใครใช้ให้ไปกินกาแฟตอนเย็นวะ


“ขอบคุณนะ”

ทิ้งรอยยิ้มให้เขามองตาค้างไปอีกหลายวินาที กระทั่งรู้ตัวว่าจับมือกันนานไปแล้ว เขาจึงค่อยๆ คลายนิ้วออกแผ่วเบา แต่อีกคนกลับกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม “มือคุณอุ่นดี”


เขาปล่อยให้อีกคนจับมือไว้แบบนั้น ส่งผ่านความอบอุ่นที่ต่างก็มีกันคนละนิดคนละหน่อย แต่เมื่ออยู่ใกล้กันแบบนี้มันกลับกลายเป็นความอบอุ่นที่พอดี ไม่ร้อนแรงหรือหนาวเหน็บจนเกินไป ความอบอุ่นซึมซับผ่านผิวหนังเข้าสู่หัวใจ ให้หัวใจได้อยู่ในอุณหภูมิที่พอดี มีกำลังในการสูบฉีดเลือดต่อไป


แต่คือ ไม่ต้องเต้นเร็วไปก็ได้มั้ง


“ปาย” เจ้าของชื่อสะดุ้งราวกับเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกชื่อ


“หือ?”


“ถ้ากลับไปเชียงใหม่ผมจะได้เจอคุณอยู่ไหม” น้ำเสียงนุ่มติดอ้อนเล็กๆ ทำเอาคนได้ยินยกมืออีกข้างขึ้นมาถูจมูกอย่างไม่รู้ตัว นิ่งคิดสักพักจึงให้คำตอบ


“ถ้าอยากเจอ เราก็...แบบว่า นัดเจอกันได้”


“จริงนะ”


“อือ”


“เราจะเจอกันอีกจริงๆ นะ”


“ครับ”


“เราจ..”


“เออ! ถ้าถามอีกครั้งจะเปลี่ยนใจแล้ว!” เต้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาพอใจตั้งแต่ครั้งแรกแล้วล่ะ แต่แค่อยากแกล้งให้คนตีหน้าซื่อแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาบ้างเท่านั้นเอง


ก็แบบ น่ารักดี



ไม่รู้หรอกว่าครั้งต่อๆ ไปที่เจอกันจะเป็นยังไง อยู่ในสถานะแบบไหน ซึ่งถ้ามันจะไปไกลกว่าที่เขาคิดก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตไป


แค่วันนี้ได้นั่งอยู่ข้างคนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้แล้วสบายใจ มันก็เป็นอะไรที่มีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอ



จบ.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้นะคะ เราเพิ่งเขียนเป็นเรื่องแรก ยังไงก็ติชมกันได้เนาะ เม้าท์มอยกันก็ได้นะ555555 ที่ #เมล์เขียวคันนั้น ยังไงเราจะพยายามเขียนเรื่องอื่นๆ มาลงอีก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ^ ^


หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 13-07-2018 18:08:42
แง เขินนนนนน  :-[  :mew3:
ไรท์มันต้องมีตอนพิเศษอะ เอาจีงงงงงงๆๆๆ
แบบยังไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันเลยอะะ คนเดินไม่น้าบบบบบบบ!!! เต้ก็ยังไม่ได้ไปสวัสดีคุณป้าเลยด้วยยยย :hao7:
สนุกค่ะ ชอบพล็อตไม่ได้หวือหวาแต่บรรยายได้น่ารักเข้าบรรยากาศ ตัวละคร ชอบๆๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-07-2018 18:29:22
อบอุ่น..ละมุนละไม   :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 14-07-2018 17:12:17
น่ารักจังเลย ชอบๆๆๆๆ หว่นๆละมุนๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-07-2018 16:35:20
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: skykick ที่ 16-07-2018 16:56:59
   

           ละมุนตุ้น
     :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: patompong888 ที่ 16-07-2018 22:52:16

 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 21-07-2018 17:04:49
น่ารักจนอยากอ่านต่อ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] •| เมล์เขียวคันนั้นกับวันที่เรานั่งข้างกัน |• (จบแล้ว)
เริ่มหัวข้อโดย: Chanik ที่ 27-07-2018 05:46:54
 :pig4: :pig4: :pig4: