พิมพ์หน้านี้ - ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบหก] 1.12.20

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: jyube ที่ 21-04-2018 00:15:03

หัวข้อ: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบหก] 1.12.20
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 21-04-2018 00:15:03
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



❥ใจก้าว.

❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

ก้าวหนึ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3820435#msg3820435) | ก้าวสอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3820438#msg3820438) | ก้าวสาม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3820440#msg3820440) | ก้าวสี่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3820442#msg3820442)
ก้าวห้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3820445#msg3820445) | ก้าวหก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3824415#msg3824415) | ก้าวเจ็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3824418#msg3824418) | ก้าวแปด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3824421#msg3824421)
ก้าวเก้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3824422#msg3824422) | ก้าวสิบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3824425#msg3824425) | ก้าวสิบเอ็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3830459#msg3830459) | ก้าวสิบสอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3830461#msg3830461)
ก้าวสิบสาม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3830462#msg3830462) | ก้าวสิบสี่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3830465#msg3830465) | ก้าวสิบห้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3830466#msg3830466) | ก้าวสิบหก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3869327#msg3869327)
ก้าวสิบเจ็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3870452#msg3870452) | ก้าวสิบแปด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3901721#msg3901721)  | ก้าวสิบเก้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3921542#msg3921542) | ก้าวยี่สิบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3929345#msg3929345)
ก้าวยี่สิบเอ็ด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3955856#msg3955856) | ก้าวยี่สิบสอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3964703#msg3964703) | ก้าวยี่สิบสาม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg3986029#msg3986029) | ก้าวยี่สิบสี่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg4006737#msg4006737)
ก้าวยี่สิบห้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg4038384#msg4038384) | ก้าวยี่สิบหก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66968.msg4052049#msg4052049)



.
.
.

เมื่อคุณหญิงแม่เข้ามาเอี่ยวเรื่องคู่ครองของ 'เหินฟ้า' เจ้าตัวถึงกับระอา

จนต้องโกหกไปว่า 'ผมไม่ได้ชอบผู้หญิงครับ' และนั่นทำให้คุณหญิงแม่รามือไปสักพักด้วยความเสียใจ

แต่ความหญิงแม่ที่จะไม่มีวันให้ลูกชายต้องอยู่เดียวดาย แม้ลูกจะชอบผู้ชาย แม่ก็สู้ตายถึงที่สุด ซึ่งคนที่แม่หามาให้นั้นก็คือหนู ‘เจ้าเกล้า’

ที่แม่มั่นใจเหลือเกินว่า ลูกเหินจะต้องเห็นความน่ารักของหนูเกล้าเหมือนที่แม่เห็นแน่ๆ

.
.
.
ฝากตัวด้วยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวหนึ่ง]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 21-04-2018 00:19:43
   

ก้าวหนึ่ง - เหินฟ้า


       เหินฟ้า ธราธัตต์ นักธุรกิจหนุ่มแห่ง Tara Gems ผู้เป็นลูกชายคนโตของบ้านธราธัตต์ซึ่งปกครองโดยคุณบัลลังก์ และคุณมุกสมุทร ผู้เป็นทั้งบิดาและมารดา

   เหินฟ้าในวัย 29 ปีซึ่งเป็นวัยบั้นปลายเลขสอง เป็นสัญญาณให้เขาต้องจริงจังกับชีวิตการทำงาน จากที่จริงจังแล้วคงต้องจริงจังให้มากขึ้น คงอีกไม่กี่ปีที่คุณบัลลังก์พ่อของเขาจะถอยออกมาและมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้เขา ประสบการณ์มากมายในชีวิตได้ผ่านมานั้นสอนให้เขาใช้เวลาในตำแหน่งรองประธานอีกไม่นานเพื่อทำให้เขาพร้อมกับตำแหน่งหัวเรือของบริษัท

   เหินฟ้าก่อนหน้านั้นไม่ใช่ไม่จริงจังกับการทำงาน แต่ธรรมชาติของสังคมสอนให้เขาเข้าใจชีวิตที่น่าจะเป็นแบบแผนของเด็กวัยรุ่น ตระกูลธราธัตต์ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ฐานะทางสังคมกวาดรวมเอาบรรดาผู้รากมากดีให้มารวมกัน และนั่นเป็นหนทางชีวิตของเหินฟ้า

   เขาได้พบเพื่อนๆ มากมาย และได้ถูกสังคมออกแบบมาให้ใช้ชีวิตในวัยรุ่นแบบที่คนทั่วไปในสังคมของเขาต่างทำกันจนเป็นเรื่องปกติ เหินฟ้าในวัยรุ่น ไม่ได้จริงจังกับใคร เมื่อมีใครต่อใครเข้ามาให้เลือกสรรมากมาย แน่นอนว่าในตัวเลือกเหล่านั้นเขาสามารถเลือกมาหนึ่ง สอง สามหรือมากกว่านั้นเพื่อสนองความต้องการในแบบของวัยหนุ่ม แต่เขาไม่ใช่เด็กมีปัญหา ลูกชายคนโตของบ้านธราธัตต์ทำงานเก่ง เรียนได้ดี มีความรับผิดชอบสูง และเป็นผู้ชายที่จริงจังกับหลายๆ เรื่อง แต่สำหรับเรื่องความรัก สังคมของเขามันสอนให้เขาไม่รีบเร่ง และเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ของช่วงวัยเอาไว้ให้มั่น เพื่อรอวันเติบใหญ่อย่างสง่างาม เหินฟ้าคิดอยู่เสมอว่า ณ วัย 29 ของเขานั้น เขาพอใจกับมันมาก เพราะประสบการณ์ต่างๆ มันหล่อหลอมมาจนเขาเข้าใจในหลายๆ เรื่อง

   แต่ก็มิใช่ทั้งหมด ผู้บริหารหนุ่มคนนี้ผ่านผู้หญิงมามากมายตั้งแต่เขาจำความได้ เรียกว่าแฟนบ้าง กิ๊กบ้างตามประสาหนุ่มวัยกลัดมัน แต่แน่นอนว่า ณ วัย 29 ปีที่น่าจะต้องคิดเรื่องความรักตั้งแต่ 4 หรือ 5 ปีก่อนได้แล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีสาวข้างกายสักคน

   เหินฟ้าเริ่มรู้สึกตัวเมื่อเข้าช่วงเบญจเพส เขาเริ่มเข้าใจความเป็นไปของชีวิตมากขึ้น แก่นแท้ของชีวิตเขาคือการทำงาน ใช่ มันเป็นอย่างนั้น เขาไม่เคยเกี่ยงธุรกิจอัญมณีของที่บ้าน เขาตั้งใจทำมัน ไม่ได้ใส่ใจว่าชอบหรือไม่ เขามีความรับผิดชอบพอที่จะเข้าใจว่ามันคือหน้าที่ และทำมัน พอก้าวเข้าวัย 26 เหินฟ้าเริ่มหยุดใช้สิทธิการเลือกผู้หญิง เขาเริ่มคบทีละคน และเริ่มมีช่วงระยะเวลาที่เป็นหนุ่มโสดอย่างเต็มตัวบ้าง พอเจอใครที่คิดว่าถูกใจก็คบ ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาไม่นาน และมักจะจบลงที่เขาเลือกงานมากกว่าเจ้าหล่อน แต่เขาก็ไม่ได้ระแคะระคายอะไรมากไปกว่าคำขอโทษในแบบฉบับของสุภาพบุรุษ

   แต่ปัญหาเรื่องความรักที่ดูจะเป็นจุดด่างพร้อยอย่างเดียวของหนุ่มใหญ่แห่งตระกูลธราธัตต์กลับกลายเป็นเรื่องน่าห่วงที่สุดในสายตาของคนเป็นนายหญิงแห่งตระกูลอย่างคุณมุกสมุทร หล่อนเข้าใจว่าลูกชายคบผู้หญิงไม่ซ้ำหน้านั้นคงเป็นไปตามวัย มีห้ามปรามบ้างแต่ไม่ได้ขัดขวางเพราะเหินฟ้าไม่เคยทำให้ครอบครัวต้องเสียใจหรือผิดหวัง เขาวางตัวอยู่ในกรอบเกณฑ์ คุณมุกสมุทรจึงวางใจว่า เมื่อเวลาที่สมควรมาถึงเธอคงจะได้เห็นหน้าสะใภ้ใหญ่ของตระกูล และเธอเองก็คิดว่าเวลานั้นมันคงจะไม่นานเท่าไหร่ อาจจะหลังเรียนจบ ไม่สิ ลูกชายเธอคบไม่ซ้ำหน้าขนาดนี้อาจจะช่วงเบญจเพส แต่พอถึงเวลานั้นเหินฟ้ากลับเลิกคบผู้หญิงในสต็อกที่ละคนสองคน จนเหลือเพียงแค่นิดหน่อย

   จากการตามสืบของคุณมุกสมุทรพบว่าในวัย 26 ปีช่างอันตรายนัก เหินฟ้าแทบไม่คบผู้หญิงเลยอยู่เป็นโสดนานเกือบครึ่งปี พอเริ่มคบกับใครก็ได้ไม่ถึงเดือน เพราะเจ้าตัวดูจะไม่สนใจใครนอกจากงานเลย พอคนเป็นแม่แยบๆ ถามว่าทำไมถึงเลิกกันเจ้าตัวก็บอกว่ายังไม่อยากมีใครกำลังสนุกกับงาน แหม ตอบได้ดาราเสียไม่มี และนั่นทำให้คุณมุกสมุทรเป็นกังวลอย่างมากจนเริ่มหาวิธีให้ลูกชายได้เจอกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา และล้วนอยู่ในเกรดพรีเมี่ยมทั้งสิ้น

   “เหินลูก วันนี้ไปทานข้าวกับแม่เถอะ คุณแพรวาเธอจะพาลูกสาวมาด้วย เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมืองนาหน้าตาน่ารักเชียว”

   บทสนทนาคล้ายแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากในวัย 27 ปีของเหินฟ้า มีบ้างที่เขายอมไปกับคุณแม่ แต่ในบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นเขาไม่เคยคบใครเลย เหินฟ้าเริ่มตั้งแง่กับคุณมุกสมุทร คุณแม่ไม่เคยยุ่งกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในชีวิตเขา เขารู้ว่าแม่เป็นห่วง แต่เขาย้ำแล้วหลายครั้งว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ วันหนึ่งเขาจะต้องเจอคนที่ใช่สำหรับเขา ไม่ใช่สำหรับแม่ จนวันหนึ่งที่เหินฟ้าทนไม่ไหวและได้มีปากเสียงกับคุณมุกสมุทร ถึงไม่รุนแรง แต่ลูกชายสุภาพบุรุษที่เชื่อฟังแม่มาตลอดชีวิตกลับมาพยศด้วยเรื่องนี้คุณมุกสมุทรทำใจไม่ได้ที่โดนหาว่าตั้งใจคลุมถุงชนให้ลูกชาย ทั้งๆที่จริงๆ แล้วหล่อนเพียงอยากให้ลูกได้มีคนดูแล ได้มีคนที่รักและคนนั้นก็เป็นคนดีๆ

   “ตาเหิน ทำไมพูดอย่างนั้น แม่ไม่ได้คลุมถุงชนนะลูก แต่ลูกจะเข้าวัยเลขสามแล้ว น่าจะมีคนอยู่ข้างกายได้แล้ว สมัยตอนแม่อายุเท่าเราแม่เร....”

   “แม่ครับ ผมเข้าใจครับ แต่ขอร้องให้ผมเลือกเส้นทางให้ชีวิตของผมเองเถอะครับ”

   ถ้อยคำราวกับผลักไสคนเป็นแม่ทำให้คุณมุกสมุทรผู้อ่อนไหวต่อความเป็นไปของคนในครอบครัวเริ่มน้ำตารื้น

   “เอ่อ แม่อย่าร้องไห้สิครับ”

   “ทำไมลูกไม่เข้าใจแม่เลยนะ ฮึก แม่อยากให้เราได้รักใครสักคน ได้เจอคนที่ดีๆ”

   “บางคนที่ดีก็ไม่ใช่นะครับคุณแม่”

   “ไม่รู้แหละ” คุณมุกสมุทรเริ่มเช็ดน้ำตาและคิดหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้ให้เด็ดขาดขึ้น

   “แม่จะยังให้เหินไปเจอกับลูกสาวของเพื่อนแม่เรื่อยๆ เข้าใจนะ”

   “แม่ครับ! ไม่ครับ ผมไม่ไป ทำไมต้องมาบังคับล่ะครับ” เหินฟ้าเริ่มคุกกรุ่น ทำไมแม่ไม่ยอมเข้าอกเข้าใจเขาบ้าง

   “ตาเหิน นี่เสียงแข็งใส่แม่หรอ ไม่รู้แหละถ้าเหตุผลของเรามีแค่นี้แม่ไม่สนอะไรทั้งนั้น เราต้องไป ถ้าไม่ไปก็คอยดูว่าแม่ทำอะไรได้บ้าง” คุณมุกสมุทรเริ่มกระเง้ากระงอดใส่ลูกชาย และถึงแม้ว่าจะพูดขู่ไปอย่างนั้นแต่อารมณ์ปุดๆ ที่ลูกชายกำลังมี มันทำให้เหินฟ้าเงียบไปพักหนึ่งเพียงหาเหตุผล และเขาก็ตัดสินใจโพล่งมันออกมา

   “ผม … ไม่ได้ชอบผู้หญิงครับ”

   ทันใดนั้นก็เหมือนอากาศในห้องเริ่มเบาบาง แทนที่ด้วยไอเย็นแบบแปลกๆ ที่เหินฟ้าไม่เคยได้สัมผัสมันจากมารดา

   “ตาเหิน! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่าเอาเรื่องแบบนี้มาประชดแม่ แม่จะรับได้ยังไงกัน” คุณมุกสมุทรเริ่มกรุ่นในอารมณ์แล้วเช่นกัน

   “แม่ครับ ตั้งใจฟังนะครับ ที่ผมไม่ค่อยคบใคร เพราะผมไปแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่ง...” พูดมาได้ไอ้เหินเอ๊ย ควรหยุดไหมวะเรื่องมันจะไปกันใหญ่ แต่เอาน่า แม่จะได้เลิกหาผู้หญิงให้เขาสักที

   “…” คุณมุกสมุทรยังเงียบด้วยใบหน้าตกตะลึงเกินวัย

   “เอ่อ คือ แต่เขาไม่รับรักผม ผมอกหักครับแม่ แต่ช่วงนี้ผมทำใจอยู่คงไม่อยากคบใครคนไหน โดยเฉพาะผู้หญิงน่ะครับ” ช่างแต่งเรื่องเสียจริงว่ะกู เหินคิดในใจ ใจหนึ่งก็กลัวแม่จะเป็นลม อีกใจก็อยากให้แม่เลิกยุ่งจริงๆ

   “เหิน…”

   และใจแรกที่กลัวก็เป็นจริง คุณมุกสมุทรหมดสติไปพักใหญ่ จนเมื่อฟื้นขึ้นมาก็เริ่มค่อนขอดลูกชายอีกครั้ง ว่าคนที่เขาไปชอบนั้นเป็นใคร อายุเท่าไหร่ บ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่ทำงานอะไร เหมือนเขาจะเอามาเป็นสะใภ้ยังไงยังงั้น แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงบอกว่าไม่อยากพูดถึงเพราะช้ำใจ และแน่นอนว่าการโกหกครั้งนี้มันได้ผล คุณมุกสมุทรเลิกตอแยเขาด้วยการเลิกแนะนำหญิงสาวผู้เป็นลูกเพื่อน หลานเพื่อน เหลนเพื่อน อะไรก็แล้วแต่ แต่ที่น่าห่วงคือนายหญิงแห่งธราธัตต์ดูเศร้าลง และไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน คนในบ้านเองทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว เพราะวันนั้นเมื่อคุณบังลังก์กลับมา คุณนายก็ปรี่เข้าไปฟ้องหวานใจเกี่ยวกับวีรกรรมของลูกชายตัวดี และยังโทษคนเป็นพ่ออีกว่าให้ลูกทำแต่งานจนต้องไปชอบพอกับผู้ชาย

   ผ่านไปหนึ่งปี คุณมุกสมุทรเริ่มทำใจได้ เลิกระแคะระคายเรื่องลูกชายเบี่ยงเบนทางเพศ กลับมาเป็นแม่ที่น่ารักคนเดิม ไม่มีการพาไปให้ดูตัวหรืออะไรทั้งสิ้น เหินฟ้าในวัย 28 ก็เริ่มได้รับงานใหญ่ๆ มากขึ้นจากผู้เป็นพ่อ และปีนั้นก็เป็นปีดีๆ ที่ราบเรียบแต่มีความสุขของบ้านธราธัตต์ เจ้าสู่เวหาน้องชายของเขาก็ใกล้จะเรียนจบมาแบ่งเบาภาระได้แล้ว แต่เมื่อผ่านวันเกิดวัย 29 ปีของเขาไปได้ไม่กี่วันก็เป็นอันต้องกุมขมับอีกครั้งเมื่อ...

   “...คู่หมั้น!!!” เสียงทุ้มต่ำที่มักจะวางมาดนิ่งเป็นอันต้องหลุดมาดไปสักสามวิเพราะแม่บังเกิดเกล้าพูดจาได้สแลงหูที่สุดในสามโลก

   “โอ้ย จะตะโกนอะไรตาเหิน” คุณมุกสมุทร ผู้เป็นใหญ่ในคฤหาสน์ธราทัตต์กล่าวปรามลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

   “ก็แม่พูดเรื่องคู่หมั้นอีกทำไมครับ เห็นหายไปสองปีนึกว่าคุณแม่จะเข้าใจแล้วว่าผมไม่ต้องการ”

   “เอาล่ะๆ” คุณมุกยกมือปรามก่อนลูกชายจะงาบหัวไปเสีย ทรงนี้นี่ตื่นมาทำสองชั่วโมงนะกว่าจะได้

   “แม่ไม่ได้ให้ลูกหมั้นหมายเลยเสียเมื่อไหร่ แค่ให้ไปคุยกันเฉยๆ คนนี้น่ารักมาก แม่เอ็นดูมาก ได้ก็ดีไม่ได้แม่ก็โอเค้” ทำยักไหล่เหมือนไม่ยี่ระถ้าลูกชายจะเซย์โนกับคนๆ นี้ แต่ในใจก็แอบหวังว่าลูกจะชอบ

   “ถ้าคุณแม่จำไม่ได้ ผมจะบอกอีกครั้ง ผม ชอบ ผู้ชาย ครับแม่”

   คุณมุกได้ยินแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม พอนึกจิ้นว่าลูกชายจะชอบคนที่หามาให้เหมือนอย่างที่เธอคิดก็คงจะดี แหมก็คนนี้หน่ะ น่ารักจริงๆ

   “นี่ตาเหิน แม่ไม่ได้ความจำเสื่อม ทำใจตั้งปีกว่า แม่บอกเลยหนูคนนี้น่ารักมาก แม่เชียร์ เป็นลูกชายเพื่อนแม่เอง เพื่อนประถมเลยนะลูก ไม่ได้เจอกันมานานนนน....”

   “แมมมมม่ครับ นี่แม่สนับสนุนให้ผมเป็นเกย์หรอครับ” ลูกชายคนโปรดรีบตัดบทก่อนที่คนเป็นแม่จะปาฐกถานอกประเด็นจนจบบทไม่งั้นเขาต้องนั่งฟังจนหลับไปข้างหนึ่งแน่

   “เอ้า! ลูกจะยังไงเนี่ย ก็ลูกยืนยันจะชอบผู้ชายแม่ก็ใช่ว่าจะรับได้นะ แต่แม่รักลูก แม่ก็อยากให้มีความสุข แม่เข้าใจหรอกสมัยนี้มันมีเยอะแยะ แถมบางคู่นี่ยังน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนแม่อยากจะเป็นผู้ชายเสียเอง โฮะๆๆๆ”    เธอกำลังนึกถึงหลานคุณนายศรีเมืองที่ไปอยู่ต่างประเทศแล้วกลับมาพร้อมหนุ่มหล่อล่ำเห็นแล้วมันจั๊กจี๊หัวใจดีจริงๆ ลูกชายเธอก็หล่อล่ำผิวออกแทนๆ สไตล์หนุ่มเอเชีย แถมยังเนี้ยบขรึมด้วยมาดนักธุรกิจ เห็นแล้วมันต้องเข้ากับลูกชายเพื่อนเธอแน่ โอ้ยคิดแล้วใจจะวาย

   “ผมไม่หมั้นกับใครทั้งนั้นครับคุณแม่ ขอให้ผมได้เลือกคู่ชีวิตด้วยตัวเองเถอะครับ” เขาเบื่อเหลือเกินกับวัฒนธรรมคลุมถุงชนของพวกสังคมไฮโซที่หายไปพักหนึ่ง และตอนนี้ก็กลับมาอีกครั้งแล้ว ไม่รู้จะอะไรนักหนา วุฒิภาวะระดับเขาจะไปเอาคนไก่กามาทำเมียได้ยังไง แน่นอนว่ามาตราฐานเขาสูงปริ๊ดกว่าหอเฟล แม่เองก็น่าจะรู้ดี

   “ตาเหิน แม่ไม่ได้ให้หมั้นเลยนะลูก แค่พาไปเจอน้องเฉยๆ คิดซะว่าพาแม่ไปทานข้าวกับเพื่อนก็ได้น่า แล้วอีกอย่างนะแม่ไม่เคยยัดเยียดให้ลูกเลย แค่เพิ่มตัวเลือกในชีวิตให้ลูกเท่านั้นเอง เห็นลูกเอาแต่ทำงานๆๆ อายุก็จะเหยียบเลขสามอยู่แล้วนะลูก สมัยแม่นะแม่....” มาอีกแล้วประโยคแบบนี้

   “คุณนายมุกครับ ผมไม่ไปครับ ผมขอล่ะ ผมไม่ชอบเลยที่ต้องถูกคลุมถุงชน ผมโตพอแล้วนะครับ อายุเยอะแล้วผมก็ต้องเลือกดีๆ” คุณนายมุกทำหน้ามุ่ยแบบสาวเกาหลีที่เธอเห็นในซีรีส์ที่ดูในช่วงนี้ ก่อนจะทำเป็นเออออห่อหมกกับทัศนคติของลูกชายด้วยการพยักหน้าหงึกๆ เพราะไม่อยากจะหาเรื่องทะเลาะเหมือนครั้งที่แล้วอีก

   “อ่ะๆ แม่จะไม่ยุ่งๆ ไม่ไปก็ไม่ไปค่ะ แต่ถ้ามีตัวจริงต้องรีบบอกแม่เลยนะตาเหิน”

   คุณมุกสมุทรทำทีเป็นล่าถอย รอจนลูกชายของเธอส่ายหน้าอย่างเพลียๆ เดินออกไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
.
.
.
   “ฮัลโหลๆ วรรณหรอ ตาเหินไม่ยอมไป ไอ้ฉันก็หลุดคำว่าคู่หมั้นไปหน่ะซี เอางี้ เดี๋ยวคงต้องหาแผนใหม่ พรุ่งนี้วรรณว่างไหมพาฉันไปหาน้องหน่อยสิ อยากเจอ” คุยได้สักพักก็วางสาย ตาเหินนะตาเหิน แม่บอกเลยถึงลูกจะชอบผู้ชายแม่ก็จะช่วยให้ได้เจอคนดีๆ เอาล่ะต้องเริ่มคิดแผนก่อน...


❤❤❤❤

แอบย่องมาลงในเล้าค่ะ
กลัวไม่มีคนอ่านจุง ฮ่าๆๆ
ยังไงฝากตัวด้วยนะคะ
ขอบคุณค่า


JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสาม]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 21-04-2018 00:22:40
       
ก้าวสอง - เจ้าเกล้า

    ถัดจากใจกลางเมืองหลวงที่รกชัฎไปด้วยตึกระฟ้ายังมีบ้านทรงไทยหลังหนึ่งที่แอบซ่อนอยู่บริเวณอันเงียบสงบห่างไกลจากความวุ่นวาย ตระกูลรัฐสกุลไม่ชอบความศิวิไลซ์แบบคนกรุงรุ่นใหม่ และชอบคงความสวยงามแบบไทยๆ ไว้ เรือนรัฐสกุลเป็นสมบัติของคุณนายตรึงจิต รัฐสกุล มารดาของคุณหญิงวรรณฤดี เรือนไทยหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำสายหลัก และขุดคลองเข้ามาในสวนของตัวบ้านอีกที ซึ่งร่มรืนด้วยแมกไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านขยันนำลงมาปลูกไม่เว้นวัน

   “หนูเกล้า คุณตรึงจิตเรียกไปชิมมัสหมั่นค่ะ” สาวใช้คนเก่าคนแก่อย่างมนต์วันนี้รับหน้าที่มาเรียกหนูเกล้าของทุกคน ร่างโปร่งสูงเพรียวลมที่กำลังใช้เวลาว่างในวันหยุดอ่านนวนิยายต่างประเทศหันมาตอบสาวใช้

   “เอ วันนี้คุณยายทำไวจังนะครับ”

   “เห็นวันนี้คุณอัฏฐ์กับคุณวรรณจะมาทานกลางวันด้วยน่ะค่ะ” มนต์กล่าวถึงลูกสาว และลูกเขยของคุณนายตรึงจิต

   “อ่อคุณพ่อกับคุณแม่จะมานี่เอง คุณยายถึงกับลุกขึ้นมาเตรียมเองเลย” คุณตรึงจิตในฐานะคุณยายของหลานๆ เป็นคนขยัน ตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่มาเตรียมของใส่บาตร รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดเรือนเล็กๆ น้อยๆ เข้าสวนดูพืชพรรณ ทำกับข้าวกับปลา อ่านหนังสือบ้าง ทั้งหมดนี้คือกิจวัตรของคุณนายตรึงจิตในวัยเกษียณที่วนไปวนมาในทุกๆ วัน

   “ค่ะ คุณเกล้าไปชิมเถอะค่ะ คุณหญิงเธอว่าเค็มไป บ่นว่าอาจเพราะลิ้นคนแก่”

   “ได้ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มให้พร้อมวางหนังสือลง และย้ายตัวเองเข้ามาในครัว

   “คุณยายครับ” ร่างเพรียวเอ่ยเรียก

   “หนูเกล้าลองชิมให้ยายที ลิ้นคนแก่มันว่าเค็ม ให้ลิ้นคนหนุ่มลองชิมดูดีกว่า” คุณตรึงจิตตักน้ำแกงใส่ช้อนคันใหม่แล้วยื่นให้หลาน
   “ไม่เค็มหรอกครับ กำลังอร่อย ใส่น้ำเพิ่มอีกนิดเป็นใช้ได้” นั่นแปลว่าเค็ม มนต์ทักอยู่ในใจ

   “ดีล่ะ งั้นมนต์ก็ตั้งโต๊ะเลยเถอะ หนูเกล้าไปเตรียมข้าวเถอะ” คุณตรึงจิตหันไปแจกแจงงานให้สมาชิกแต่ละคน

   ตระกูลรัฐสกุลมีหลานๆ อยู่สามคนคือ เจ้าปอย เจ้าจุก และเจ้าเกล้า ทั้งสามคนจะถูกเลี้ยงโดยคุณยายตรึงจิต ซึ่งคำว่าเลี้ยงนั้นหมายถึงการฝึกกริยามารยาท การวางตัวให้เหมาะสม ความเป็นแม่ศรีเรือน พร้อมด้วยการฝึกระเบียบวินัยดั่งผู้ดีควรพึงมี

   หลานๆ ทุกคนรักยาย แต่ไม่ใช่ทุกคนจะชอบการเลี้ยงดูของยาย เจ้าปอย เจ้าจุก และเจ้าเกล้าอายุห่างกันคนละสามปี พอโตขึ้นเจ้าปอยได้ไปเรียนต่างประเทศกลับมาจึงโดนบ่นใหญ่ว่าลืมสิ่งที่ยายสอนไปเสียหมด จึงย้ายไปอยู่บ้านคุณพ่ออัฏฐ์ในตัวเมือง ส่วนเจ้าจุกนั้นชื่นชอบการทำอาหารมาก ได้ฝึกวิชาหลากหลายจากคุณยาย แต่เพราะว่าเอาใจไม่เป็น โดนบ่นบ่อยๆ ว่าเป็นหญิงเสียเปล่าพูดจาไม่รื่นหู โตมาก็ตามไปอยู่บ้านพ่ออีกคน

   ส่วนเจ้าเกล้าที่เป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของบ้านกลับทำให้คุณยายทั้งรักทั้งเอ็นดู นอกจากมารยาทที่ยิ่งกว่ากุลสตรี เจ้าเกล้ายังมีสเน่ห์ปลายจวักเป็นเลิศ ตื่นแต่เช้าพร้อมกับยายไม่โอดครวญเหมือนพี่สาวคนโต รู้จักการพูดการจารักษาน้ำใจ ไม่เหมือนพี่สาวคนรอง ทำให้เจ้าเกล้าที่ตอนนี้อยู่ชั้นปีที่สี่ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถอาศัยอยู่กับคุณยายได้โดยไม่ถูกบ่น แต่ทั้งนั้นทุกคนในบ้านต่างรักและเอ็นดูเจ้าเกล้า และเกรงใจเขาไปพร้อมๆ กัน ด้วยบุคลิก นิ่งๆ ดูเย็นๆ แต่เป็นคนใจดี มีน้ำใจ และเอาใจใส่คนรอบข้างเป็นอย่างดี จึงไม่มีพี่น้องคนไหนริษยาน้องเล็กที่เหมือนจะโตที่สุดในบ้านคนนี้ได้เลย

   “คุณอัฏฐ์กับคุณวรรณมากันแล้วค่ะคุณท่าน คุณหนู” แก้ว หลานสาวของมนต์ขึ้นเรือนมาบอกเจ้าของบ้านถึงการมาเยือนของแขกที่รออยู่

   “หนูเกล้าไปรับพ่อแม่ไป”

   “ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มน้อยๆ ก่อนเดินออกจากเรือนไป


   

   “คุณพ่อ คุณแม่ สวัสดีครับ” ใบหน้าเรียวสวยที่ได้ฝั่งแม่มาเต็มๆ ยิ้มจางๆ ให้กับผู้เป็นบิดามารดา

   “หนูเกล้า มาให้แม่กอดที คิดถึงเหลือเกินจ้ะ” วรรณฤดีรีบปรี่เข้ามากอดลูกชายคนสุดท้องด้วยความคิดถึง อัฏฐ์และวรรณฤดีอาศัยอยู่บ้านใหญ่ในตัวเมืองเนื่องจากใกล้กับบริษัทของอัฏฐ์มากกว่า ส่วนวรรณฤดีที่เคยทำงานในสถานทูตก็ลาออกมาช่วยสามีบริหารงานในบริษัท

   “เพิ่งตัดผมมาหรอลูกหน้าหวานขึ้นไปอีกแน่ะ”

   “เฮ้อ สรุปว่าผมต้องคอยหวงลูกทุกคนเลยใช่ไหมเนี่ย” อัฏฐ์เดินมาจับแก้มลูกชายที่มองยังไงก็เป็นลูกสาวไปแล้ว ซึ่งในบ้านไม่มีใครเคยพูดถึงรสนิยมของเจ้าเกล้า แต่เพราะไม่เคยเห็นเจ้าเกล้าคบผู้หญิงคนไหน มีแต่ผู้ชายเข้ามาจีบจนคุณนายตรึงจิตที่แรกๆ ก็แอบรับไม่ได้ แต่หลังๆ มาต้องคอยกันผู้ชายเหล่านั้นไม่ได้ให้เข้ามาเป็นหลานเขยได้ง่ายๆ

   “ใครมันมาจีบบอกพ่อนะ ไม่ให้ไปง่ายๆ หรอกบอกเลย” คนเป็นพ่อกระชับกอดลูกให้แน่นขึ้น

   “คุณพ่อจะมีเวลามากันเกล้าจากคนพวกนั้นหรือครับ” เจ้าเกล้ายิ้มๆ ที่บ้านรัฐสกุลนั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ พ่วงด้วยบริษัทค่ายเพลงเล็กๆ ซึ่งเป็นงานอดิเรกของคุณอัฏฐ์ และเมื่อทั้งสองธุรกิจมาเจอกัน บอกได้เลยว่าการมาบ้านรัฐสกุลเพื่อหาลูกชายคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเชียว

   “ลองดูสิ สายพ่อเยอะ ลูกว่าพ่อไว้หนวดให้ดูโหดกว่านี้ดีไหม เดี๋ยวพอลูกเข้าทำงานพวกมันต้องเหิมเกริมแน่ๆ” เพราะเจ้าเกล้าอยู่ปีสี่คณะนิเทศศาสตร์สาขาประชาสัมพันธ์และหมายมั่นว่าคงทำงานในตำแหน่งพีอาร์ของบริษัทคุณพ่อไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง ซึ่งผู้บริหาร และพนักงานหนุ่มหลายคนที่เคยเห็นหน้าคร่าตาลูกชายคนเล็กของบ้านเพียงไม่กี่ครั้ง กลับมาเรียบๆ เคียงๆ ถามอัฏฐ์ และวรรณฤดี อยู่บ่อยครั้ง ทำเอาคนเป็นพ่อชักไม่อยากให้ลูกเข้าทำงาน

   “รีบขึ้นเรือนเถอะครับ เดี๋ยวคุณยายบ่นเอา”

   “หวายย นั่นสิ ลืมเลย ไปๆ คุณวรรณ หนูเกล้า เดี๋ยวแม่ยายพ่อยึดนามสกุลคืน ยุ่งเลย” อัฏฐ์รีบเรียกภรรยาและลูกชายที่ยิ้มออกมากับความขี้เล่นของคนเป็นพ่อ ด้วยความที่ตระกูลรัฐสกุลเป็นตระกูลเก่าแก่ และมีเพียงวรรณฤดีเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว คุณตรึงจิตจึงเจรจาขอให้อัฏฐ์เปลี่ยนมาใช้นามสกุลของฝั่งภรรยา ซึ่งอัฏฐ์ไม่ได้มีปัญหาเพราะเขามีพี่น้องเป็นชายล้วนถึงห้าคน พ่อกับแม่เขาจึงไม่ระแคะระคายกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

   “คิดถึงคุณแม่ยายจังเลยครับ” พอขึ้นมาถึงบนเรือน อัฏฐ์ก็รีบไปประเหลาะแม่ยาย กลัวจะโดนว่าที่มาสายถึงยี่สิบนาที

   “ประเหลาะกลบความผิด คิดว่าจะรอดหรือตาอัฏฐ์ ไปยังไงมายังไงถึงมาช้าได้ขนาดนี้ ลูกหรือก็รอทานข้าวพร้อมหน้า” เอาแล้ว คุณแม่ยายเริ่มแล้ว

   “เอาเถอะครับคุณยายรีบทานกันดีกว่าครับ เดี๋ยวคุณยายต้องทานยานะครับ” นี่แหละลูกบังเกิดเกล้าของเขา อัฏฐ์คิดในใจ

   “ฮึ่ย อย่ามาสายอีกล่ะทีหลัง มาๆ เริ่มทานได้แล้ว” เรียกว่าพระเจ้าเกล้าช่วยไว้ไม่ให้หูชากันเลยงานนี้



   “คุณหญิงคะ มีแขกมาค่ะ” แก้วขึ้นเรือนมาอีกครั้งหนึ่ง

   “เอ๋ ใครกันมามื้อกลางวันเชียว” คุณหญิงตรึงจิตปั้นหน้าฉงน

   “เอ อาจจะเป็นเพื่อนวรรณเองค่ะคุณแม่ เห็นบอกว่าอยากจะเข้ามาหาวรรณ แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วขนาดนี้ ยังไงเดี๋ยวรรณลองลงไปดูก่อนแล้วกันนะคะ” วรรณฤดีว่าขึ้น

   “เพื่อนยัยวรรณคนไหนหรือตาอัฏฐ์” หลังจากวรรณฤดีเดินหายไปจากโต๊ะทานข้าว คุณหญิงตรึงจิตจึงเริ่มพูดขึ้น

   “อ๋อ น่าจะเป็นคุณมุกสมุทรเพื่อนสมัยประถมมั้งครับ เห็นว่าช่วงนี้กลับมาติดต่อกันอีกครั้ง หลังจากไม่ได้เจอนาน”

   “อืม เหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อนี้เคยได้ยิน เอาเถอะเดี๋ยวคงได้รู้” เจ้าบ้านใหญ่ว่าก่อนจะหันกลับมาทานเนื้อมัสหมั่นที่หลานรักตักมาไว้ให้



   “มุกจริงๆ ด้วย” วรรณฤดีเมื่อลงมาถึงก็พบกับมุกสมุทรจริงๆ มาคนเดียวเสียด้วยเปรี้ยวไม่เปลี่ยนเลย

   “วรรณ บ้านคุณแม่ยังสวยเหมือนเดิมเลย นี่กี่ปีแล้วที่ฉันไม่ได้มาเหยียบที่นี่” สมัยเรียนประถมมุกสมุทร และวรรณฤดีถือเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่พอชั้นมัธยมมาวรรณฤดีก็ไปเรียนต่างประเทศสองสามปี ในขณะที่มุกสมุทรก็ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองมากขึ้น ประกอบกับสมัยนั้นไม่ค่อยมีหนทางติดต่อกัน ทำให้ขาดการติดต่อกันไปนาน จนได้มาพบกันในงานสังสรรค์งานหนึ่ง ทีแรกก็จำกันไม่ได้ จนเรียบๆ เคียงๆ ถามว่าจบจากที่ไหน เคยอยู่บ้านแถบชานเมืองหรือเปล่าเลยจำกันได้ และวันนั้นก็เป็นวันที่มุกสมุทรได้พบกับเจ้าเกล้าเป็นครั้งแรก และเกิดถูกชะตาจนอยากได้มาเป็นสะใภ้

   “นั่นสิ แปลกใจมากกว่าที่มุกยังจำได้ว่าสมัยก่อนเป็นอย่างไร”

   “แหมวรรณ บ้านแบบนี้มีอยู่ไม่กี่ที่หรอกในความทรงจำของฉัน ถึงแก่แต่ฉันก็ยังความจำดีน่า”

   “งั้นขึ้นเรือนเถอะ นี่กำลังทานข้าวกันอยู่มาทานด้วยกันเลยเนอะ”

   “ว้าย วรรณนี่ฉันมารบกวนหรือเปล่า ฉันกลับก่อนไหม แย่จริงๆ เลยลืมเลยว่ามันเที่ยง อยากเจอหนูเกล้ามากไปหน่อย” มุกสมุทรรู้สึกเกรงใจ เธอไม่ได้ดูเวลาด้วยซ้ำตอนออกมา จัดการธุระเสร็จก็รีบให้รถขับมาที่นี่ และพอขึ้นรถเธอก็ดูซี่รีส์เกาหลีจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องเวลาเลย

   “ไม่หรอกจ้ะมุกคุณแม่ไม่ว่าหรอก ดีเสียอีกไม่ได้เจอกันนาน จริงๆเพิ่งเริ่มทานกันเอง เร็ว ขึ้นมาเถอะ”

   “ไม่รบกวนแน่นะ”

   “ไม่จ้ะ ไปกัน”

   “ถ้างั้นก็ได้จ้ะ ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน”


❤❤❤❤
หนูเกล้าผู้น่าเอ็นดูของจิวมีแบ็คอัพดีๆ อย่างคุณมุกนี่ไม่รู้ว่าเป็นน่าโชคดีหรือเปล่านะคะ
ขอบคุณทุกการติดตามและสามารถติชม หรือแก้ไขคำผิดได้ตลอดเวลา
ขอบคุณค่า
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสาม]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 21-04-2018 00:24:24
     

ก้าวสาม - เรือนรัฐสกุล
     
      “คุณแม่คะ ไม่รู้คุณแม่จำได้ไหม นี่มุกสมุทร สมัยประถมก็มาเล่นที่บ้านบ่อยๆ” วรรณฤดีกล่าวแนะนำเพื่อนสนิทสมัยเด็กให้มารดาฟัง

   “หืม แม่หนูตัวเล็กๆ ฟันหลอๆ นั่นหรือเปล่า”

   “โธ่ คุณแม่ขา มุกฟันหักซี่เดียวเท่านั้นเองตอนนั้น ไม่ถึงกับหลอเสียหน่อย” มุกสมุทรยิ้มรับคำหยอกของมารดาเพื่อนสาวก่อนจะปรายตาทักทายอีกสองชีวิตที่อยู่บนโต๊ะอาหาร

   “นี่คงเป็นคุณอัฏฐ์ สินะคะ ครั้งที่เจอยัยวรรณที่งานเปิดตัวสินค้าของคุณพัฒน์ เสียดายที่ไม่ได้เจอกันนะคะ”

   “โอ้ ครับคุณหญิง ได้ยินแต่ชื่อ ผมเคยพบสามีคุณหญิงมาบ้างครับ แต่เสียดายไม่เคยพบคุณหญิงเหมือนกัน” อัฏฐ์กล่าวกลั้วหัวเราะ

   “ไงจ้ะหนูเกล้า จำน้าได้หรือเปล่า เจอกันล่าสุดเหมือนจะเกือบเดือนแล้วไหมเรา” คุณหญิงหันไปหาคนต้นเรื่องของเธอในวันนี้

   “สวัสดีครับคุณน้า”

   “จ้ะ จริงๆ ไม่อยากให้เรียกคุณน้าเลย แต่เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนก็ได้จ้ะ คิกคิก” คุณหญิงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว นึกอยากให้หนูเกล้าเปลี่ยนมาเรียกตนว่าแม่เร็วๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ในโต๊ะกลับทำรู้สึกงุนงงกับประโยคเมื่อครู่ เว้นแต่วรรณฤดีที่แอบสะกิดเพื่อนของเธอให้เก็บอาการหน่อย

   “เอ่อ ไหนๆ ก็มาแล้ววรรณเลยชวนมุกร่วมโต๊ะด้วยเลยนะคะคุณแม่” วรรณฤดีรีบเปลี่ยนประเด็นทันที

   “ดีสิ มานั่งเลยแม่มุก ไปยังไงมายังไงหลายปีแล้ว มาเล่าให้แม่ฟังหน่อยสิ” คุณหญิงตรึงจิตทานไปหัวร่อไปกับเรื่องเล่าต่างๆ ของมุกสมุทรที่สรรหามาเล่า ประกอบกับคำแซ็วของลูกเขยที่แน่นอนว่าทำให้มื้ออาหารครั้งนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน



   หลังจากทานข้าว ของหวาน ตบท้ายด้วยผลหมากรากไม้ที่คุณหญิงตรึงจิตภูมิใจนักหนาว่าเป็นคนปลูกเองมากับมือ เจ้าหล่อนก็ขอตัวไปพักผ่อนหลังมื้ออาหารปล่อยให้เพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันได้นั่งรำลึกความหลังกันไป ในขณะที่อัฏฐ์ก็ไปเดินเล่นย่อยอาหารปล่อยให้สองสาวเขาได้เม้าท์มอยกันไป จะมีก็แต่เจ้าเกล้าที่คุณมุกสมุทรรั้งไว้ให้ได้สนทนากันต่อ

   “ได้ข่าวว่าหนูเกล้าจะฝึกงานแล้วหรือคะ ปีสี่แล้วนี่ใช่ไหม” มุกสมุทรเริ่มบทสนทนาทันทีเมื่ออยู่กันสามคน

   “ใช่ครับคุณน้า” เกล้าตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยแม้ในใจจะยังงงๆ นิดหน่อยที่เขาต้องมาอยู่ในวงสนทนาของคุณแม่กับเพื่อนสนิทสมัยประถมคนนี้

   “วรรณเล่าให้น้าฟังว่าหนูเรียนประชาสัมพันธ์ใช่ไหมลูก ได้ที่ฝึกหรือยังล่ะ”

   “ยังเลยครับ เกล้าส่งไปหลายที่แล้ว แต่ยังไม่มีที่ไหนตอบรับมาเลยครับ”

   “นี่หนูเกล้า ถ้าไม่ว่าอะไร มาฝึกบริษัทน้าก็ได้นะจ้ะ ตอนนี้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็น่าจะยังต้องการคนอยู่” เจ้าเกล้าหลังจากฟัง ก็เริ่มหันมองหน้าแม่ของตน

   “บริษัทน้าทำเกี่ยวกับอัญมณีแล้วก็เครื่องประดับ ธาราเจมส์ น่ะจ้ะหนูน่าจะเคยได้ยินบ้าง”

   “อ๋อ เคยได้ยินมาบ้างครับ” แน่นอนว่าถ้าพูดถึงเครื่องประดับและอัญมณีเด็กเรียนพีอาร์อย่างเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็บริษัทใหญ่ขนาดนั้น แต่อยู่ดีๆ จะให้เข้าไปฝึกงานก็ยังไงๆ อยู่

   “ว่าไงจ้ะหนูเกล้า ไม่ต้องไปที่อื่นหรอก มาฝึกกับบริษัทน้าเนี่ยแหละ คนกันเอง เนอะ” มุกสมุทรยังคงตะล่อมคนที่เธอหมายมั่นให้เป็นว่าที่สะใภ้ ไม่รู้แหละช่วงนี้ถือเป็นโอกาสทองให้หนูเกล้าได้ไปอยู่ใกล้ๆ พ่อลูกชายตัวดีไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน

   “จะดีหรือครับคุณน้า ยังไงให้ผมส่งประวัติไปให้ทางบริษัทพิจารณาก็ได้ครับ” เจ้าเกล้าไม่มีปัญหาสำหรับสถานที่ฝึกงาน แต่เขาไม่อยากใช้เส้นสายทำแบบนั้นเท่าไหร่ มุกสมุทรเองก็คงเข้าใจถึงเจตนาของเจ้าเกล้าจึงว่า

   “งั้นก็ได้จ้ะ ลองส่งเข้ามาเหมือนปกติก็ได้”

   “แต่คุณน้าไม่ต้องบอกคนในแผนกไว้ก็ได้นะครับ ผมอยากให้เขารับไว้ด้วยความตั้งใจน่ะครับ” เจ้าเกล้าดักคอไว้ด้วยรอยยิ้มที่แน่นอนว่ามุกสมุทรก็ทำได้เพียงพยักหน้าหงึกๆ เด็กอะไรหน้าสวยเสียจริง สวยเฉยๆ ไม่ว่า แต่รอยยิ้มช่างมีเสน่ห์เหลือล้นนี่สิ ไม่แปลกเลยที่ยัยวรรณบอกว่าคุณพ่อจะหวงขนาดนี้

   “หนูเกล้าเดินไปตามคุณพ่อได้แล้วล่ะลูก เดี๋ยวแม่ว่าจะกลับแล้วค่ะ วันนี้พี่สาวเรากลับมาจากญี่ปุ่นแล้วด้วย”

   “คิดถึงพี่ปอยกับพี่จุกจังเลยนะครับ”

   “พี่เขาก็คิดถึงนะ แต่งานก็รัดตัว อย่างว่านะเป็นแอร์ฯ นิเนอะ”

   “เจ้าปอยเป็นแอร์โฮสสเตสหรอวรรณ”

   “ใช่จ้ะ ไม่ยอมช่วยคุณพ่อเขาทำงาน บอกอยากเที่ยวก่อน ไอ้เราก็ต้องตามใจแหละ เขาว่าเที่ยวพอใจแล้วจะมาช่วยงานจ้ะ” วรรณฤดีว่าด้วยรอยยิ้มขำ

   “ดีจังเลยนะ ฉันอยากจะมีลูกสาวน่ารักๆ จับแต่งตัวแต่งหน้าบ้าง ที่บ้านนะมีแต่ผู้ชายตัวโตๆ เดินกันให้ขวักไขว่ไปหมด และนี่นะนอกจากจะหน้าเหมือนกันแล้วนะ สามคนนั้นนิสัยยังพิมพ์เดียวกันอีกเธอเอ้ย เหมือนฉันอยู่กับผู้ชายคนเดียวตลอดเวลา...” คุณมุกสมุทรเมื่อลากเข้าประเด็นก็ยาวไปเรื่อย จนเมื่อเจ้าเกล้าตัดสินใจเดินไปเรียกอัฏฐ์ให้นั่นแหละ บรรยากาศการสนทนาถึงได้จริงจังขึ้นมา
   .
   .
   .

   “นี่วรรณ แน่ใจนะว่าหนูเกล้าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิงน่ะฮึ ฉันอยากได้จริงๆ นะเด็กคนนี้ เรียบร้อยน่ารักไปหมด” มุกสมุทรเริ่มประเด็น

   “เท่าที่เห็นก็มีแต่ผู้ชายมาจีบ คบใครหรือก็ไม่ ให้ตอบตรงๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะมุก เธอก็เผื่อใจไว้บ้างก็ได้ ถ้าเขาจะรักกันก็ให้เป็นเรื่องของเขาเถอะ” วรรณฤดีเตือนสติเพื่อนอย่างใจเย็น หลังจากกลับมาพบกันมุกสมุทรก็เล่าเรื่องราวในครอบครัวของเธอให้ฟังบ่อยๆ และส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องคู่ครองของลูกชายนี่แหละ แต่เธอก็ช่วยเตือนสติบ่อยๆ ว่ายุคนี้เราไม่ควรคลุมถุงชนลูกๆ ควรจะให้ลูกหาคนที่ถูกใจเอง แต่มุกสมุทรก็คือมุกสมุทร เจ้าหล่อนยังคงหาทางให้ลูกชายได้คนที่หล่อนต้องการ แม้จะไม่ใช่วิธีให้ดูตัวแบบเดิมๆ ก็เถอะ

   “ไม่รู้แหละ ฉันเอาน้องไว้ใกล้ๆ ตัวเจ้าเหินก่อนเป็นอันดับแรก ที่เหลือค่อยตะล่อมๆ คิกคิก” มาอีกแล้วอากัปกิริยายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ต้องบอกว่าคุณศรีเมืองที่มุกสมุทรเคยพูดถึงนั้นเป็นคนเปิดโลกใบใหม่ให้กับเจ้าหล่อนอย่างแท้จริง ตั้งแต่เห็นผู้ชายสองคนรักกัน เธอก็หยุดคิดไม่ได้ที่อยากจะให้ลูกชายมีคนน่ารักๆ ไว้ใกล้ๆ ตัวบ้าง

   “หึหึหึ เธอนี่ตลกดีนะ เอาเป็นว่าฉันจะไม่บังคับหนูเกล้า เธอเองก็จะไม่บังคับลูกชาย ใช่ไหมจ้ะ” วรรณฤดีส่ายหัวขำขันเพื่อนของหล่อนที่ชอบจินตนาการไปไกลซะเหลือเกินก่อนเน้นย้ำข้อตกลงสำหรับเรื่องนี้

   “จ้าๆๆ ฉันจำได้หรอกน่า แต่ก็ไม่รับปากนะว่าจะไม่ช่วยหนุนหลังน่ะ” แน่นอนว่าให้หัวของเธอมีแผนเป็นหมื่นเป็นพันสำหรับการหาคู่ครองให้ลูกชายตัวดี โฮะๆๆ

   “เอาเถอะ เราก็คอยห่วงอยู่ห่างๆ เนอะ เอาล่ะ เดี๋ยวเราไปลาคุณแม่กันเถอะ”

   “โอวเครจ่ะ” มุกสมุทรตอบรับด้วยสำเนียงแปร่งๆ ก่อนทั้งสองคนจะพากันไปไหว้ลาคุณตรึงจิต และรอจนอัฏฐ์มาและกลับบ้านใหญ่พร้อมๆ กัน และสัญญาว่าจะมาหาลูกชายคนเล็กบ่อยๆ ส่วนอัฏฐ์ก็ย้ำนักย้ำหนาว่าถ้ามีคนมาจีบให้รีบบอกทันที

❤❤❤❤

ขอเคลมหน่อยนะคะว่าเรื่องนี้มันก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเหมือนชื่อเรื่อง
คือใจก้าว ใจมันค่อยๆ ก้าวไป
และยังพ้องเสียงกับชื่อของน้องเกล้า อยากให้ลุ้นกันว่าใจน้องเกล้า จะก้าวไปได้สักแค่ไหน
เป็นไงคะ เป็นชื่อที่สิ้นคิดดีๆ นี่เอง ฮ่าๆๆ
ดังนั้นบางทีถ้าใครรู้สึกว่ามันเรื่อยๆ ก็อาจจะเป็นแบบนั้นนะคะ
แต่ถ้ามันมากเกินไปสามารถบอกเราได้น้า
ขอบคุณทุกการติดตามและสามารถติชม หรือแก้ไขคำผิดได้ตลอดเวลา
ขอบคุณค่า


JYUBE.
#ใจก้าว

หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสี่]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 21-04-2018 00:26:56
ก้าวสี่ - TARA GEMS.Co.,Ltd
       

      ยามบ่ายที่แสงอาทิตย์แรงกล้าพอๆ กับขุมนรก เจ้าเกล้ามาถึงบริษัทธาราเจมส์ตามที่ได้ถูกนัดแนะไว้ว่าด้วยเรื่องการสัมภาษณ์ หลังจากที่คุณมุกสมุทรเพื่อนของมารดาตนได้มาเสนอให้ส่งชื่อเข้าฝึกงาน เขาก็ส่งไปทันทีหลังจากวันนั้น และไม่นานก็มีคนติดต่อมาอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่บริษัทอื่นๆ ยื่นไปเกือบสองเดือนแล้วก็ยังเงียบหาย

   ขาเรียวยาวภายใต้กางเกงแสล็คสีดำดูเข้ารูปพอดีตัวกำลังก้าวย่างอย่างมั่นคงภายใต้ใบหน้าสง่างามแสนเด็ดเดี่ยวซึ่งสะกดสายตาหลายคู่ที่เดินผ่านอย่างอยู่หมัด ก่อนที่เจ้าของใบหน้าสวยจะหยุดยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของบริษัทและสอบถามจนได้ความว่าแผนกพีอาร์นั้นอยู่ชั้น 6 จึงดูเวลาและพบว่าตนมาถึงก่อนเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนเวลานัด จึงยังพอมีเวลาไปนั่งพักเหนื่อยที่ร้านกาแฟหน้าบริษัทที่เขาเล็งไว้แต่แรกแล้วเมื่อมาถึง

   “ยินดีต้อนรับค่ะ” พนักงานสาวสวยยิ้มรับให้กับผู้มาใหม่ หลังจากนั้นเจ้าเกล้าก็กำลังมองเมนูบนบอร์ดเพราะเจ้าตัวไม่เคยมาร้านนี้เลยชั่งใจอยู่ว่าควรสั่งเมนูที่เซฟๆ เผื่อว่าไม่อร่อย หรือว่าควรสั่งเมนูแปลกๆ ดี ต้องยอมรับว่าเจ้าเกล้าเป็นคนไม่ได้เรื่องมากกับการกิน แต่ค่อนข้างมีมาตราฐานสูงเพราะการกวดขันจากคุณยายตรึงจิตที่สอนวิชาอาหารไทยหลายแขนง บวกกับที่ตนมีความสนใจในอาหารและขนมทั้งฝั่งไทยและเทศ ทำให้ลิ้นของเจ้าเกล้านั้นสามารถรับรู้ถึงความไม่อร่อยได้มากกว่าความอร่อยเสียอีก

   “อ่าวพี่นิลมาซื้อกาแฟให้ท่านหรือคะ” ระหว่างที่เจ้าเกล้ากำลังเสือกสรรและชั่งใจกับเมนูมากมายอยู่นั้น พนักงานคนเดิมที่รอคนหน้าสวยอยู่เฉยๆ จึงหันไปทักทายพนักงานของบริษัทควบด้วยตำแหน่งเลขาของท่านประธานใหญ่

   “อ๋อ วันนี้มาซื้อให้คุณเหินจ้ะ คุณท่านไม่เข้าน่ะ”

   “โห เดี๋ยวนี้คุณท่านสบายขึ้นเลยสิ วางงานให้ลูกชายหมดแล้ว ดูสิคุณเหินไม่มีเวลาไปเดทสาวที่ไหนเลยเนอะพี่ ปกติตำแหน่งระดับนี้น่าจะมีสาวตามเป็นพรวน” พนักงานสาวกล่าวตามที่เห็น ก็แหม คนเพอร์เฟ็คอย่างคุณเหินฟ้ามันก็น่าแปลกนะที่ไม่มีแฟนเลย

   “ฮ่าๆ พี่ก็ว่างั้น แต่ก็ไม่แน่นะ เมื่อวันก่อนเห็นมีผู้หญิงมาเข้าพบอยู่พรพรรณเล่าให้ฟัง” นิลดาอ้างถึงพรพรรณเลขาของเหินฟ้าที่วันนี้ต้องนั่งเคลียร์งานเยอะเป็นพิเศษหล่อนจึงอาสามาซื้อกาแฟให้คุณรองประธานเอง

   “เอ๋!” สัญชาตญาณแห่งสตรีผู้(อยาก)รอบรู้ของพนักงานสาวถูกปลุกขึ้นมาทันใดเมื่อเป็นเรื่องเจ้านาย

   “รู้จักหรือเปล่า เธอชื่อคุณพิมพ์ ช่วงนี้ต้องติดต่องานกันบ่อย แต่งานก็เรียบร้อยหมดแล้วคุณพิมพ์ยังมาหาบ่อยๆ นะ ไม่รู้ยังไง” เมื่อพูดจบก็ต้องหัวเราะน้อยๆ ให้กับดวงตาแวววาวของพนักงานร้านกาแฟคนนี้

   “จริงหรือพี่ คุณพิมพ์คนขาวๆ ผมสวยๆ นั่นหรือพี่”

   “ใช่จ้ะ คุณพิมพ์แกก็เข้ามาช่วยคุณพ่อเธอบริหารงาน จะว่าไปก็ชะตากรรมคล้ายๆ คุณเหินเขานี่แหละ”

   “ว้าว หรือว่า...”

   “เอ้าๆ ไปชงกาแฟให้พี่ก่อนเร็ว เดี๋ยวโดนดุเอา”  นิลดาจำต้องหยุดความคิดอันโลดแล่นของสาวเจ้าเสียก่อน

   “เอ๋ เดี๋ยวนะพี่นิล” พนักงานสาวที่เม้าท์จนเพลินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีใครอีกคนที่เข้ามาก่อน

   “เอ่อคุณคะ ได้เมนูหรือยังคะ” สาวเจ้าหันมาหาเจ้าเกล้าซึ่งเจ้าตัวที่กำลังสนใจเมนูอยู่อย่างเคร่งเครียดจำต้องรีบตัดช้อยส์ให้เร็วที่สุด ประกอบกับเมื่อกี้ด้วยความที่อยู่ใกล้วงสนทนามากจึงเผลอตัวร่วมฟังไปนิดหน่อย เลยเลือกช้าไปอีกนิดนึง

   “คาราเมลแมคคิอาโต้แล้วกันครับ” เจ้าเกล้ายิ้มหวานก่อนเดินไปนั่งโซฟาริมหน้าต่าง เหลืออีกตั้ง 20 นาทีกว่าจะถึงเวลานัด สักสิบนาทีค่อยขึ้นไปแล้วกัน ระหว่างนั้นนิลดาถึงได้เห็นว่าคนที่เพิ่งเดินไปนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นคนเดียวกับที่คุณมุกสมุทรฝากฝังให้เจ้าหล่อนจัดการเรื่องฝึกงานให้

   “พี่นิลๆ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้เนาะ หน้าสวยมากเลย เมื่อกี้ยิ้มให้หนูใจเต้นเลยอ่ะ”

   “ไปทำกาแฟเข้าเถอะ แล้วให้เด็กเอาขึ้นไปให้แล้วกัน พี่ไปเอาเอกสารก่อน” นิลดาตับบท เพราะหล่อนเองก็มีธุระพอดีถึงได้ลงมาสั่งกาแฟเลยเพราะปรกติก็อาศัยโทรให้เด็กเอาขึ้นไปให้ประจำ แต่ก็อดเห็นด้วยไม่ได้ว่าร่างโปร่งที่นั่งอ่านแม็กกาซีนอยู่นั้นดูเผินๆ ทั้งหน้าตา และกริยามารยาทบอกได้เลยว่ามีความเป็นผู้ดีสูงมาก หล่อนเองก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องอะไรไปมากกว่าการที่คุณมุกสมุทรมีคำสั่งลงมาเท่านั้น

   “ได้ค่าา เดี๋ยวหนูรีบทำให้”




   ‘Public Relations’ ป้ายแผนกประชาสัมพันธ์ตรงหน้าประตูบอกถึงจุดหมายที่ถูกต้องของผู้มาเยือน เจ้าเกล้าผลักประตูเข้าไปเพื่อพบกับภาพความวุ่นวายของแต่ละคน

   ‘นิดเอาใบเสนอราคามาให้พี่ก่อน’

   ‘พี่นิดขาเอ้าซอร์สบอกว่าโร้ดโชว์รอบนี้ทางห้างไม่สะดวกให้แล้วค่ะ ทำไงดี’

   ‘บัวโทรไปถามผู้จัดการน้องเมญ่าสิ สรุปมางานอีเว้นท์เราได้ไหม’

   ‘พี่เตคะ Newsletter ที่จะส่งไปให้ Voguer ช่วยปรับตรงนี้หน่อยค่ะ’

   ‘พี่เอสช่วยลิซ่าดีลกับทางคอสตูมหน่อยสิ ไม่ได้ดั่งใจเลย’ ....

   “เอ่อ...” ทุกคนดูวิ่งวุ่นกันไปหมด จนเจ้าเกล้าไม่รู้จะทำตัวยังไง จริงๆ ถ้ายังไม่พร้อมสัมภาษณ์ก็ไม่น่ามานัดวันที่ดูไม่ว่างเลยนะ

   จึก จึก ... สัมผัสเบาบางที่หัวไหล่ทำให้เจ้าเกล้าต้องหันกลับไปมอง

   “เอ่อ น้องที่มาสัมภาษณ์ฝึกงานป่ะครับ” ชายหนุ่มร่างสูงที่ส่งยิ้มตาหยีมาให้

   “อ้อ ใช่ครับ” ขอบคุณพระเจ้าเจ้าเกล้าพลางนึกในใจที่มีคนทำให้ความกระอักกระอ่วนเมื่อครู่หายไป

   “..อ่อ งั้น เชิญทางนี้เลยครับ” ชายหนุ่มต้องชะงักไปกับรอยยิ้มสวยที่เหมือนจะขอบคุณอยู่ในที ก่อนที่จะหันหลังพาคนที่ตัวเล็กกว่าเดินออกจากห้อง

   “ผมนึกว่าต้องมาที่นี่ซะอีกนะครับ” เจ้าเกล้าหมายถึงเขาน่าจะมาถูกที่แล้ว เพราะประชาสัมพันธ์ด้านล่างว่ามาอย่างนั้น แถมคนนัดยังบอกให้มาแผนกพีอาร์ด้วย

   “อ้อ พอดีว่าวันนี้แผนกยุ่งๆ น่ะครับ เลยให้อีกฝ่ายเป็นคนสัมภาษณ์แทน”

   “จริงๆ เป็นวันหลังผมก็สะดวกนะครับ เห็นยังยุ่งๆ กันอยู่เลย” เจ้าเกล้าแสดงความเกรงใจ แน่นอนว่าอีกสองเดือนนู้นแหละกว่าจะได้เข้ามาฝึกงานจริงๆ ผลัดไปอีกอาทิตย์สองอาทิตย์ค่อยมาสัมภาษณ์ก็ยังมิสาย

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไหนๆ วันนี้ก็มาแล้วก็สัมฯ ให้เสร็จๆ เนอะ” หนุ่มพนักงานกล่าว จะบอกได้ยังไงล่ะว่าคุณมุกสมุทรเล่นสั่งมาว่าให้รีบรับให้เร็วที่สุด

   “อ่อครับ ผมเจ้าเกล้าครับ แล้วพี่”

   “อ้อ โทษที ลืมแนะนำตัวสินะ พี่ชื่อนพดลครับ เรียกแค่ดลก็ได้น้องเกล้า” คนแก่กว่าเปลี่ยนสรรพนามให้ตนและคู่สนทนาเสร็จสรรพ

   “ครับพี่ดล” คนหน้าสวยยิ้มหวานอีกครั้ง ก่อนทั้งคู่จะเดินเข้าไปในแผนกบริหารในชั้น 12 จนคนตัวบางกว่าเริ่มงุนงง ทำไมสัมภาษณ์งานถึงต้องมาแผนกบริหารล่ะ นึกว่าจะไปแผนกบุคคลากรอะไรทำนองนั้น

   “พี่ดลครับ เราจะสัมฯ กันที่นี่หรือครับ” เจ้าเกล้าอดสงสัยไม่ไหว

   “ก็… ประมาณนั้นครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวน้องเกล้านั่งรอตรงนี้นะครับ แล้วรอพี่ผู้หญิงเขามาเรียก เขานั่งโต๊ะตรงนี้แหละครับ ตอนนี้เขาคงติดธุระอยู่”

   “หน้าห้อง ...รองประธานฯ เนี่ยหรอครับ” เจ้าเกล้าเพิ่งเหลือบไปเห็นชื่อป้ายห้องซึ่งเขียนว่า ‘Hernfah Taratatta - Vice President’ ส่วนโต๊ะข้างหน้าก็เขียนว่า ‘Pornpun Sirikachorn - Assistant Vice President’ ซึ่งนั่นก็แปลว่า โซฟาที่เขานั่งอยู่นี้เป็นการรอเข้าพบ... รองประธานกรรมการบริษัทธาราเจมส์

   “ใช่ครับ เอาเป็นว่าน้องเกล้ารอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานก่อนแล้ว”

   “เอ่อ.. เดี๋ยวครับ” ไม่ทันแล้ว พอพูดปุ๊ปคุณนพดลก็เลี้ยวซ้ายเข้าตรอกไดอะกอนไปเสียแล้ว เอ มันแปลกๆ นะ ทำไมต้องมาสัมฯ ที่นี่ด้วย แต่ด้วยมารยาทคงจะต้องทำตามไปก่อน




   “ว้ายแก ดูนั่นสิ ใช่เด็กที่ยัยพิกุลมาเล่าให้ฟังไหมนะ” ไม่นานนักจากที่นั่งรอ ระหว่างที่เจ้าเกล้ากำลังอ่านแม็กกาซีนเครื่องเพชรของบริษัทอยู่นั้นก็มีสาวสองคนที่คิดน่าจะเป็นพนักงานและกำลังมาติดต่อโต๊ะของเลขากำลังซุบซิบอะไรกันระหว่างที่รอคุณเลขาอยู่เหมือนกัน

   “อ๋อ คนที่เส้นฝึกงานเข้ามาน่ะหรอ” กึก... เจ้าเกล้าที่กำลังเพ่งพินิจว่า Tara’s Ruby Aleasia Gems Limited Edition ปี 2014 นี่ใช่อันเดียวกับที่แม่มีหรือเปล่าก็เป็นอันต้องหยุดพิเคราะห์แล้วเปิดประสาทหูให้กว้างในขณะที่ท่าทางยังเงียบสงบเหมือนไม่ได้ยินอะไร

   “หน้าตาดีนะแก ก็คงเป็นลูกเพื่อนคุณมุกสักคนแหละ นี่ถ้าฉันมีพ่อแม่รวยๆ บ้างคงได้ฝึกงานที่นี่บ้าง กว่าจะได้ทำงานที่นี่นะเก็บเกี่ยวผลงานจากที่อื่นมาตั้ง 5 ปีแน่ะ เซ็งจริงๆ” นั่นซุบซิบแล้วจริงๆ หรอ มานั่งคุยกันตรงนี้เลยก็ได้นะ นั่นคือสิ่งที่เจ้าเกล้าแอบประชดประชันอยู่ในใจ ทั้งๆ ที่ลึกลงไปกว่านั้นเกิดความฉงนและหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

   “นี่ๆ น้องจ๋า” ทันใดนั้นคำแซะเล็กๆ ของเจ้าเกล้าก็เป็นจริง เมื่อแม่คุณเดินมานั่งที่โซฟาด้วย ที่สำคัญยังเจาะจงเรียกเขาอีกต่างหาก

   “ผมหรอครับ” เจ้าเกล้าทำหน้าเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

   “ใช่ๆ น้องนั่นแหละ” สาวอีกคนที่ดูจะพูดน้อยกว่าเอ่ยขึ้น

   “แม่น้องเป็นเพื่อนคุณมุกหรอ” สาวคนพูดเยอะดูจะไม่ยอมให้เพื่อนแย่งบทสนทนาของเธอไปได้ง่ายๆ

   “ใครคือคุณมุกหรือครับ” เจ้าเกล้าแสร้งเหมือนว่าในชีวิตนี้ไม่เคยได้ยินชื่อมุกสมุทรมาก่อน

   “เอ้า ก็คุณมุกสมุทรภรรยาคุณบังลังก์ไง ประธานบริษัทอ่ะน้อง” สาวพูดเยอะเริ่มใส่จังหวะในการพูดให้มากขึ้น

   “ไม่ทราบสิครับ” ถึงจะปฏิเสธไปแต่ในใจชักเริ่มไม่พอใจเล็กๆ เขานั่งอยู่ดีๆ แต่ก็มาหาเรื่อง ที่สำคัญถึงเขาจะเส้นจริงๆ พวกหล่อนก็ไม่มีสิทธิ์มาใส่อารมณ์แบบนี้

   “นี่น้อง พี่จะขอเตือนเอาไว้นะ เป็นเด็กเส้นน่ะ ก็ใช่ว่าจะมาทำหยิ่งผยองได้นะจ้ะ ทำงานไม่ดีถึงมีอิทธิพลยังไงมันก็ไปไม่รอดหรอกนะจ้ะ พี่หวังดีนะเนี่ย” สาวที่ดูจะเก่งในเรื่องการพูดกล่าวขึ้นด้วยความหมั่นไส้ในอากัปกิริยาของคนเด็กกว่าพร้อมการผงกหัวรับคำของคนเป็นเพื่อน

   “ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ถ้าผมได้มาทำงานที่นี่ อย่างแรกที่ผมจะทำคือการไม่หาเรื่องใครทั้งๆ ที่เขาอยู่เฉยๆ หรือพูดง่ายๆ คือผมคงไม่ไปยุ่งเรื่องของคนอื่นน่ะครับ ขอตัวก่อนครับ” เนื้อเสียงเย็นๆ รอยยิ้มบางๆ กับจังหวะพูดเนิบๆ นั้นฟังดูราวมีดพร้าแช่แข็งที่กำลังกรีดผิวหน้าของทั้งสองออกอย่างไร้ชิ้นดี และกว่าสมองของทั้งสองจะเข้าที่ร่างโปร่งบางของคนที่กล่าววาจาเฉือดเฉือนก็หายไปแล้ว

   “ว้ายแก ยัยเด็กนั่นด่าเราหรือเปล่า” คนหวังดีกล่าวขึ้นถามเพื่อนรัก

   “ฮื่อ” เพื่อนสาวส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่เรา เขาด่าแกคนเดียว”

   “กริ๊ด ยัยเด็กนั่นลามปามปีนเกลียวที่สุด อย่าได้เข้ามาทำงานในนี้นะ แม่จะรับน้องให้เข็ด” สาวเจ้านั่งมองบานประตูที่คนเด็กกว่าเดินหายไปพร้อมทำหน้าเคียดแค้นสุดฤทธิ์และได้แต่คิดแผนการร้ายอยู่ในใจ โดยไม่ทันสังเกตว่าด้านหลังนั้นประตูบานใหญ่ได้เปิดมาพักหนึ่งแล้ว

   “เอ่อ เดี๋ยวพรตามน้องไปก่อนดีไหมคะคุณเหิน” พรพรรณ เลขาส่วนตัวของเหินฟ้ากล่าวขึ้นถามคนเป็นนาย เมื่อครู่ทั้งหล่อนและเจ้านายได้ยินทุกบทสนทนาเพราะกำลังจะเดินออกไปพอดี แต่เจ้านายกลับให้ยืนรอเฉยๆ จนบทสนทนาสิ้นสุดลงนั่นแหละ คุณเหินถึงได้ผลักประตูออกมา

   “พวกเธอสองคนอยู่ฝ่ายอะไร” เสียงทุ้มเย็นๆ ที่สองสาวไม่ค่อยได้ยินบ่อยๆ ทำให้ต้องรีบหันมาด้วยความตกใจ

   “มาทำอะไรหน้าห้องรองประธานฯ” เหินฟ้ายังถามย้ำ ถูกของเด็กคนนั้นถึงใครจะเป็นเด็กเส้น สองคนนี้ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง หรือไปพูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่นแบบนั้น เห็นอย่างนี้แล้วคนที่ทำงานเกือบสิบปีอย่างเหินฟ้าก็ต้องตักเตือนสักหน่อย

   “เอ่อ…” สองสาวจำต้องก้มหน้าจนประชิดอกยอมสารภาพความทั้งหมดพร้อมรับคำตักเตือนอย่างโดยดี...



   เจ้าเกล้าหลบมานั่งตรงสวนหย่อมข้างบริษัทซึ่งรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ บริษัทใหญ่ๆ บนพื้นคอนกรีตแต่ให้ความสำคัญกับสีสันของธรรมชาตินั้นไม่เลวทีเดียว ส่วนในหัวของเจ้าเกล้านั้นก็หลากสีสันไม่แพ้กัน แต่คงเป็นสีโทนร้อนมากกว่า ว่าแล้วเชียวว่ามันแปลกๆ ที่เขาจะได้รับการตอบกลับไวขนาดนี้ ทั้งที่ฝ่ายพีอาร์ยุ่งจะตาย จริงๆ เขาไม่ควรตอบรับคุณนายมุกสมุทรหรอก แต่ว่าจะให้ปฏิเสธผู้ใหญ่ก็เสียมารยาทจนเกินไป
 
   “อ้าว น้องเกล้านี่ มาทำอะไรแถวนี้ล่ะ สัมภาษณ์เสร็จแล้วเหรอ” นั่นคือเสียงของนายนพดลคนที่หนีเข้าหลืบเล็กๆ ระหว่างห้องรองประธานฯ แล้วก็ทิ้งเขาไว้ตรงนั้น

   “เอ่อ ประมาณนั้นครับ แล้วพี่มาทำอะไรตรงสวนครับ ไม่ทำงานหรอ” อดสงสัยไม่ได้จริงๆ จนต้องถามออกไป

   “อ้อ ยังไม่ได้บอกสินะครับว่าพี่ทำงานอะไร” คนโตกว่ายิ้มให้อย่างนึกสนุก “เราลองทายดูสิ”

   “เอ่อ …” เจ้าเกล้าที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์นึกสนุกได้แต่มองหน้าคนสูงกว่าที่ยืมค้ำหัวเขาอยู่ด้วยสายตางงงวย “ไม่ทายไม่ได้หรือครับ”

   “ฮ่ะๆ ก็ได้ๆ หยอกเล่นหน่อยเดียวเองครับ” คนตัวโตว่าจบก็ทรุดนั่งลงข้างๆ ก่อนจะเฉลยคำถามที่ตนเพิ่งหยอกเล่นไปเมื่อครู่

   “พี่ทำงานให้คุณเหินฟ้าครับ เป็นผู้ช่วยส่วนตัว แต่ตอนนี้กำลังจะไปทำธุระให้เจ้านายครับ แต่เห็นเรานั่งอยู่ก็เลยเข้ามาทัก” เจ้าเกล้าเองก็เพิ่งสังเกตว่าสวนหย่อมตรงนี้สามารถลัดผ่านไปยังที่จอดรถได้ด้วย

   “มีเลขาสองคนเลยหรือครับ” คนเด็กกว่าเอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “ใช่ครับ อารมณ์มือซ้ายมือขวาแหละ ฮ่ะๆ”

   “ฟังดูเหมือนมาเฟียฮ่องกงอะไรทำนองนั้นนะครับ” รอยยิ้มน้อยๆ ค่อยๆ เผยออกมาเมื่อคิดว่าบริษัทอัญมณีอาจจะมีเยื้องหลังเป็นมาเฟียก็ได้

   “ยิ้มแล้วนะครับ”

   “หึ ขอบคุณครับ” เจ้าเกล้าเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงเดินมาเห็นเขาหน้าไม่ดีเท่าไหร่ก็เลยมานั่งคุยเล่นให้อารมณ์ดีขึ้น

   “น้องเกล้ายิ้มบ่อ...”

   “นพดล! ไม่ใช่ว่าฉันให้งานไปแล้วหรือไง มานั่งทำอะไรอยู่” เสียงทุ้มแข็งกร้าวเอ่ยออกจากทางด้านหลังจนทำให้สองคนที่นั่งคุยกันอยู่ต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้

   “หืม คุณเหินลงมาทำอะไรครับเนี่ย” คนที่อ้างว่าเป็นมือซ้ายมือขวาต้องเอ่ยถามเจ้านาย

   “…” แต่เหินฟ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากเปลี่ยนทิศทางจากที่คุยกับลูกน้องตนมายังเด็กหนุ่มหน้าสวยที่อยู่ข้างๆ

   “อ่อ มาตามน้องเกล้าหรือครับ” นพดลเสมองคนข้างตัวตามสายตาของเจ้านาย “น้องเกล้าครับนี่รองประธานฯ คุณเหินฟ้า แล้วก็... เป็นคนสัมภาษณ์น้องเกล้าในวันนี้ด้วยนะ ยังไงเดี๋ยวพี่ไปก่อน โชคดีครับ”

   เจ้าเกล้าที่เอาแต่หันหน้ามองไปทางอื่นมาตลอดการสนทนาต้องหันกลับมาหานพดลก่อนจะเอ่ยลา

   “ขอบคุณมากครับพี่ดล”

   ลับหลังนพดล คนเด็กกว่าจึงจำใจต้องหันมามองหน้าคนเป็นรองประธานฯ ที่ยืมมองเขาอยู่โดยไม่พูดอะไรสักคำ

   “สวัสดีครับ ผมเจ้าเกล้าครับ” อย่างไรก็ยังไม่ลืมมารยาท เจ้าเกล้าไหว้คนโตกว่าด้วยท่าทีนอบน้อม ถึงแม้ใจจะไม่อยากสัมภาษณ์แล้ว ไม่อยากทำงานที่ๆ มีคนคอยจับจ้องว่าเขาเป็นเด็กเส้นแล้ว แต่คงต้องคุยกับคุณรองประธานฯ ให้รู้เรื่องก่อน

   “ตามมา” เหินฟ้าไม่ได้กล่าวอะไรมากไปกว่านั้น ก่อนจะเดินนำกลับไปยังห้องทำงาน เด็กนี่ก็ไม่ได้แย่ มีสัมมาคาราวะ ดูจากการต่อปากต่อคำหน้าห้องก็ดูมีความคิดอยู่ แต่สิ่งที่เขาไม่ค่อยพอใจคือเขาถูกว่ายวานจากคุณมุกสมุทร มารดาที่รักยิ่งด้วยเรื่องของเด็กคนนี้นี่แหละ ถึงแม้แม่จะบอกว่าเป็นลูกของเพื่อนเก่าพ่อ แต่เขาก็ยังไม่ไว้ใจ ไม่ใช่ว่าแม่จะจัดการเรื่องคู่ครองเขาอีกหรอกนะ อย่างนี้มันต้องลองพิสูจน์ดู



❤❤❤❤

ตอนนี้เข้าพระเข้านางตอนแรก ยังไม่มีอะไร
ใจก้าวค่ะใจก้าว ท่องไว้ ค่อยๆ ก้าวนะคะ ระวังตกหลุม อิอิ
ตอนนี้ให้พี่ดลมาจีบหนูเกล้าสักนิด พอกระชุ่มกระชวย แต่พ่อพระเอกดันมาได้จังหวะพอดีเลยนะคะ
ขอบคุณทุกการติดตามและสามารถติชม หรือแก้ไขคำผิดได้ตลอดเวลา
ขอบคุณค่า


JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวห้า]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 21-04-2018 00:30:29
ก้าวห้า - ห้องรองประธาน

       “เจ้าเกล้าสินะ” คนโตกว่าเริ่มเปิดบทสนทนาหลังจากพากลับมาที่ห้องทำงานแล้ว

   “ครับ” เจ้าเกล้าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะทำงานกล่าวตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย

   “ทำหน้าเหมือนไม่อยากได้งาน” เหินฟ้าแสยะยิ้มเมื่อเห็นคนหน้าสวยเกร็งหน้าเกร็งตา จะว่าไปผู้ชายคนนี้ถ้าเป็นผู้หญิงละก็คงมีใจสั่นกันบ้าง ทั้งเครื่องหน้าสวยที่ไม่ได้สวยแบบผู้หญิงปกติ แต่สวยในแบบที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง หุ่นก็ดีถึงขนาดอยู่ในชุดผู้ชายก็ยังดูรู้ ผู้ชายอะไรมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่เอวก็ไม่ยักรู้

   “ทำไมรองประธานฯ ถึงเป็นคนสัมภาษณ์เด็กฝึกงานหรือครับ ... ขออนุญาตถามได้ไหมครับ” เจ้าเกล้าเอ่ยขึ้นสบตากับรองประธานฯ โดยไร้ท่าทีหวาดกลัว

   “ทำไมหรือ กลัวว่าจะถูกครหาว่าเป็นเด็กเส้น?” เมื่อเหินฟ้าเอ่ยจบเจ้าเกล้าก็ชะงักไปนิดหน่อยก่อนสมองอันปราดเปรียวจะค่อยๆ ประมวลผล

   “คุณได้ยิน?”

   “หึ… จริงๆ ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก คนเราเกิดมามีต้นทุนไม่เหมือนกัน เมื่อนายมีต้นทุนที่ดีกว่าก็จงใช้มันพิสูจน์ตัวเองสิ ไม่เห็นต้องสนใจสายตาคนอื่น” เหินฟ้ากล่าวลอยๆ ในขณะที่สายตาเรียบนิ่งกำลังจับจ้องอยู่ที่ใบประวัติของคนตรงหน้า

   “ระบบอุปถัมภ์ไม่เกี่ยวกับต้นทุนครับ ผมสามารถไปตีสนิทกับประธานบริษัทให้มากๆ เพื่อเข้าทำงานที่นี่ได้ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมใครหลายคนถึงพยายามประจบสอพลอ” เหินฟ้าเงยหน้าจากใบประวัติและจ้องเข้าไปในแววตาเด็ดเดี่ยวของเด็กคนนี้ เป็นเด็กฉลาด แต่ก็ยัง... ดื้อ ตามแบบเด็กนั่นแหละ

   “นายคงเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์แรงกล้าสินะ แต่โลกของผู้ใหญ่น่ะ ใครมือยาวสาวได้สาวเอา มันเป็นแบบนั้นแหละ”

   “…” เจ้าเกล้าไม่เถียงต่อ อย่างไรแล้วการที่เขาเด็กกว่าหากเอ่ยอะไรไปตอนนี้ก็คือการเถียงผู้ใหญ่ดีๆ นี่เอง คุณยายสอนเสมอว่าหากถูกตักเตือนก็แค่ฟังรับไว้เพราะพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง

   “เอาล่ะ ในเมื่อนายมีอุดมการณ์ฉันก็ไม่อยากขัด งั้นขอถามตรงๆ ยังอยากทำงานที่นี่หรือเปล่า”

   “ขออนุญาตถามตรงๆ กลับครับ ว่าคุณแม่ของคุณ ผมหมายถึงคุณมุกสมุทร เป็นคนฝากฝังผมให้ได้ทำงานที่นี่หรือเปล่า” แววตาเด็ดเดี่ยวนั้นหน้าชื่นชม แต่เล่นถามกันมาตรงๆ เหินฟ้าก็อดจะขำไม่ได้ แต่บรรยากาศซีเรียสขนาดนี้เขาจะขำออกมาก็กลัวเสียผู้ใหญ่น่ะนะ

   “ก็ไม่เชิง แม่ไม่ได้พูดอะไร นอกจากให้ฉันเป็นคนสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง ไม่ได้บอกให้รับหรือไม่รับ”

   “…ครับ” มันต่างกันตรงไหน คุณมุกสมุทรก็คงคิดไว้อยู่แล้วว่าการพูดจาทำนองนั้นก็เหมือนกับการบอกให้รับเอาไว้นั่นแหละไม่ใช่หรือ เจ้าเกล้าคิดในใจ

   “เอาล่ะ ตอบคำถามฉันเสียสิ จะได้ไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย ถ้าจะทำฉันจะบอกฝ่ายบุคคลให้รับนาย ส่วนถ้าไม่ นั่นก็ทางของนาย เลือกเอา” เหินฟ้าวางมือประสานบนหน้าตักพร้อมนั่งไขว่ห้างสไตล์นักธุรกิจผู้ซึ่งยื่นข้อเสนอที่ไม่ว่าจะไปซ้ายหรือขวาเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเท่าไหร่

   “คิดว่าไม่ดีกว่าครับ”

   “หึ” เหินฟ้าแสยะยิ้ม เขานึกไว้แล้ว เด็กคนนี้คงเก่งพอตัวถึงได้ไม่ง้อเส้น ไม่ง้อบริษัทที่ใหญ่ขนาดนี้ “อืม ตามใจนาย”

   “อย่างนั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวครับ ขอบคุณที่สละเวลามาสัมภาษณ์ครับ” เจ้าเกล้ากล่าวด้วยมารยาทแม้น้ำเสียงแข็งๆ นั่นมันจะฟังดูประชดประชันก็ตาม ไม่ชอบเลย ผู้ชายคนนี้กำลังเล่นลิ้นกับเขา มองเขาเหมือนเป็นเด็กๆ

   “อืม โชคดี พรพรรณฝากดูแลแขกด้วย” เหินฟ้าว่าแค่นั้นก็หันไปกดสายถึงเลขาหน้าห้อง
   .
   .
   .

   “ตาเหินนนนนนน!!”

   เสียงตวาดดังลั่นมาก่อนตัว ไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร เหินฟ้ากุมขมับทันที การมาของคุณนายมุกสมุทรครั้งนี้คงไม่พ้นพ่อเด็กเจ้าเกล้านั่นแน่ๆ เขายิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ

   “ครับคุณแม่” เหินฟ้าทำหน้าละเหี่ยใจก่อนกล่าวรับคำคุณนายมุสมุทรที่ตอนนี้ยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่หน้าโต๊ะของเขา

   “มีคนบอกแม่ว่าเหินไม่รับหนูเกล้าหรอ” หนูเกล้า? เอ็นดูเบอร์นั้น? เหินฟ้าคิดในใจพลางขมวดคิ้วกับท่าทีของคุณมุกสมุทร

   “ผมถามคุณแม่ตรงๆ นะครับ เด็กคนนั้นใช่คนที่คุณแม่เปรยๆ เกี่ยวกับเรื่องคู่มงคู่หมั้นอะไรนั่นหรือเปล่าครับ” เอาสิ เหินฟ้าไม่ยอมหรอกนะ ต้องเคลียร์กันวันนี้ แม้ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เดาจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา แต่ยังไงทุกครั้งเขาก็ต้องพูดอีกย้ำอีกให้คุณแม่รู้เรื่องจนกว่าจะเลิก

   คุณมุกสมุทรฟังแล้วถึงกับชะงักกึก ตายแล้วนี่ฉันมีพิรุธอะไรหรือไม่นะ ทำไมตาเหินถึงได้จับได้ ฮึ่ย คุณหญิงนึกโทษเชื้อความเจ้าเล่ห์ของลูกชายที่ได้มาจากตนไปแบบเต็มๆ

   “อะไรตาเหิน ไม่เกี่ยวสักหน่อย หนูเกล้าฯ หน่ะเป็นลูก เอ้ย หลานๆ หลานของน้องสาวของพี่สาวเพื่อนแม่ แล้วเขาว่ายวานมา แม่เห็นว่าไม่เสียหายอะไรก็เลยมาให้ลูกสัมภาษณ์เห็นว่าคนรู้จัก ให้เหินคุยเองจะได้สะดวกกว่าไง” คุณนายมุกสมุทรลอยหน้าลอยตาตอบลูกชาย บัดนี้ความฉุนเฉียวได้เบาบางลง จนเหลือแต่ความไหลลื่นที่จะต้องรอดจากข้อกังขาของลูกชายคนโตให้ได้

   “ไม่ใช่ว่าเป็นลูกของเพื่อนสมัยประถมฯ ที่ไม่ได้เจอกันนานนมอะไรนั่นหรือครับ” เหินฟ้ายังจำได้ที่วันนั้นมาเปรยเสียยืดยาว ว่าน่ารักอย่างนั้น น่าเอ็นดูอย่างนี้ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นคนนี้นี่แหละ เพราะช่วงนี้ก็ไม่เห็นจะมีใครมายุ่งวุ่นวายกับเขาเลย และที่สำคัญคนอย่างคุณมุกสมุทรก็ไม่น่าจะยอมแพ้ไปง่ายๆ แค่เขาพูดไปแบบนั้น

   “โอ้ยลูกเนี่ยพูดไม่รู้ความ เอาเถอะเดี๋ยวแม่ว่าจะไปดูโรงแรมเสียหน่อย น้องเราเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ไปดีกว่า” สู่เวหาลูกชายคนเล็กนั้นขณะนี้ระดมทุนกับคนพี่เปิดโรงแรมเป็นของตัวเองเป็นผู้บริหารใหญ่ คุณมุกสมุทรก็มักจะแวะเทียวไปเทียวมาระหว่างธาราเจมส์ กับธารามารีโนเท็ล

   “เฮ้อ ต้องมาสู้รบกับเรื่องเดิมอีกแล้วหรอวะเนี่ย แถมรอบนี้ยังเป็นผู้ชายอีก ไอ้เหินเอ้ย หาเรื่องแท้ๆ” เหินฟ้าค่อนขอดตัวเองในใจด้วยความเหนื่อยล้า
   




   ผ่านมาสามวันเจ้าเกล้าก็ยังไม่ได้เล่าเหตุการณ์ในวันสัมภาษณ์ให้ใครฟัง เขาคิดว่ามันไม่ได้สลักสำคัญอะไร ก็ไม่ต่างกับการไปสัมภาษณ์งานแล้วโดนปฏิเสธนั่นแหละ

   “นี่เกล้า วันนั้นบอกดินว่าจะไปสัมฯ เป็นไงบ้าง” ดิน หรือธรณัตต์ ชายร่างสูงในกลุ่มผู้เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนๆ เสมอกล่าวขึ้น ด้วยลุคแดดดี้ที่มองยังไงก็ไม่น่าเป็นเด็กมหา’ลัยของดิน จึงทำให้ได้ฉายาพ่อทุกสถาบันของกลุ่มไปโดยปริยาย

   “ไม่ได้น่ะ” เจ้าเกล้าตอบพลางไล่สายตาอ่านหนังสือทำอาหารไปพลาง วันนี้เขามีโครงการจะลองทำเค้กฝอยทองสำหรับเจ้าปอย เพราะใกล้จะถึงวันเกิดของพี่สาวแล้ว แต่เค้กฝอยทองในแบบของเจ้าเกล้าแน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่แค่ก้อนขนมปังยัดไส้ฝอยทอง หรือแค่โปะหน้าเฉยๆ แน่ ซึ่งเขาก็กำลังคิดอยู่ว่าไอเดียแบบไหนจะนำมาประยุกต์ได้บ้าง

   “อ้าว ระดับแม่เกล้าเนี่ยหรอจะไม่ได้งาน” พุฒ หรือพุฒิพัฒน์ ทักขึ้นเมื่อได้ยินบทสนทนาของพ่อและแม่ของกลุ่ม ใช่แล้วนอกจากฉายาพ่อ ฉายาแม่ก็เห็นจะมีแต่เจ้าเกล้าเนี่ยแหละที่เหมาะที่สุด ทั้งทำอาหารอร่อย งานบ้านงานเรือนเป็นเลิศ สุขุมนุ่มเย็น ดูเป็นผู้ใหญ่ นี่พุฒก็คิดอยู่ทุกวันว่าดินกับเกล้าน่าจะได้กันไปซะให้จบๆ คงจะช่วยกันเลี้ยงลูกได้ดีเยี่ยมทีเดียวเชียว

   “มีอะไรหรือเปล่าเกล้า” สำเนียงแปร่งๆ ถูกเอ่ยขึ้นจากฝีปากของเรน หรือเรนเนอร์ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น-อังกฤษ-ไทย จริงๆ แล้วเรนกับเกล้านิสัยคล้ายกันอย่างเป็นพี่น้อง แต่จะต่างกันตรงที่เจ้าเกล้าจะสุขุมด้วยความเป็นผู้ใหญ่ แต่เรนเนอร์จะสุขุมด้วยความโลกส่วนตัวสูง

   “อืม จริงๆ ก็มีนิดหน่อย แต่ไม่ได้สำคัญอะไรหรอกนะ” เจ้าเกล้าเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือทำอาหารที่ไปยืมจากห้องสมุดเมื่อเช้านี้

   “โดนใครแกล้งหรือเปล่า” ดินถามด้วยความเป็นห่วง เจ้าเกล้านั้นเป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่เห็นอย่างนี้เป็นคนดื้อรั้น กับคนที่ไม่รู้จักมักจะถูกกล่าวหาว่าเจ้าเกล้าเป็นคนเย่อหยิ่ง แต่จริงๆ เจ้าตัวไม่ค่อยใส่ใจคนอื่นเท่าไหร่หากไม่รู้จักมักจี่กันพอสมควร

   “โดนพูดจาถากถางนิดหน่อยน่ะ แต่เกล้าไม่ได้ต่อคำกับเขาหรอก” เจ้าเกล้าตอบดินพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่เช่นนั้นดินคงจะคิดเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตตามนิสัยคนขี้เป็นห่วง

   “ยังมีอะไรอีกสินะ หาวว~” เสียงยานคางนี้เป็นของอิน หรือต้นอินหนุ่มน้อยหน้าเหนื่อยที่นอนได้ตลอดเวลา แต่ระหว่างที่นอนก็จะเปิดประสาทรับรู้ทางหูไว้ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่อินไม่รู้ระหว่างหลับ เป็นคนที่เรียนได้ดีที่สุดในกลุ่มอีกด้วย แต่เจ้าตัวมักไม่ค่อยใส่ใจโดนเรียนไปนอนบ่อยๆ

   “อรุณสวัสดิ์อิน ปวดหัวไหม?” เจ้าเกล้าเอ่ยถาม อินชอบนอนไม่เป็นเวลา งีบพัก ตื่นพัก เขาจึงกังวลว่าเพื่อนอาจจะมีอาการเวียนหัว เพราะบางทีก็ได้ยินคนตัวเล็กบ่นๆ อยู่

   “ฮื่อ ม่ายหรอก เราหิวมากกว่า” กิจวัตรของอินก็คือกิน กับนอน แค่นี้จริงๆ

   “เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน เรียนกันก่อนอีกชั่วโมงก็ได้กินแล้ว” ดินบอกพลางพยักหน้าให้ทุกคนในกลุ่มเริ่มออกเดินทางไปยังห้องเรียน โดยมีเจ้าเกล้าคอยพยุงลูบหน้าลูบตาต้นอินที่ยังตื่นไม่เต็มตา

   กลุ่มของเจ้าเกล้านั้นมักจะใช้ชีวิตกันแบบเงียบๆ มีเพียงพุฒคนเดียวที่เฮฮาร่าเริงอยู่ตลอดเวลา และรายนั้นก็เป็นคนเดียวที่ได้คลุกคลีกับคนอื่นๆ มากที่สุดโดยเฉพาะกับสาวๆ จริงๆ แล้วกลุ่มของเจ้าเกล้านับว่าเป็นอีกกลุ่มที่คนนอกไม่ค่อยยุ่งด้วย เพราะความเป็นส่วนตัวและรังสีบางอย่างที่ดูไม่น่าเข้าใกล้ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าแต่ละคนในกลุ่มหน้าตาเข้าขั้นกันทุกคน

   ดินเองก็เป็นหนุ่มไทยร่างยักษ์ผิวแทนดูสมาร์ทบวกกับแว่นไร้กรอบที่ขับให้ออร่าความปราดเปรื่องสว่างจ้าขึ้นมา พุฒเองก็เป็นคนขี้เล่น ด้วยหน้าตี๋ๆ และสูงสูสีๆ พอๆ กับดิน จึงโดดเด่นเวลาที่เดินไปพร้อมกัน ส่วนอีกสามหนุ่มนั้นแม้จะเงียบๆ แต่ทั้งสาวทั้งหนุ่มในมหา’ลัยก็แอบมองกันอย่างปิดไม่มิด เพราะแต่ละคนมีสเน่ห์เหลือล้นจนคนในมหาลัยต่างอุปมาว่าเป็นแก๊งองค์หญิงที่มีอัศวินองครักษ์อยู่สองคน

   อย่างเจ้าเกล้าที่หน้าสวยคมกับหุ่นสูงเพรียว หากเป็นผู้หญิงก็คงจะเป็นนางแบบแล้วแน่นอน ส่วนเรนเนอร์เป็นผู้ชายที่บางมุมก็หล่อ บางมุมก็สวย แต่รวมๆ แล้วหลายคนลงความเห็นว่าดูเซ็กซี่ดีเหลือเกิน เรนนั้นสูงกว่าเจ้าเกล้านิดหน่อยด้วยดีกรีนายแบบจึงทำให้โดดเด่นขึ้นไปอีก ส่วนเจ้าหญิงองค์เล็กอย่างต้นอินก็เป็นชายหนุ่มหน้าใส แม้ตาจะปรืออยู่ตลอดเวลา แต่ก็น่ารักในสายตาใครหลายคน ดังนั้นกลุ่มของเจ้าเกล้าเวลาเดินไปไหนจะมีคนมองเหลียวหลังกันก็ไม่แปลก หรือเวลาที่เดินรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็ไม่แปลก ทั้งคณะนิเทศศาสตร์นี้รู้กันดีว่ากลุ่มนี้ไม่สนใจใคร และไม่ชอบให้ใครมาสนใจด้วย



❤❤❤❤


ตอนนี้เปิดตัวเพื่อนๆ ของเจ้าเกล้านะคะ
ไม่อยากเขียนอะไรที่สุดโต่งเกิน เพื่อนๆ เลยอาจจะไม่ได้สนุกสนานมากเท่าไหร่
แต่แอบป้องปากว่า จับตาดูดีๆ ค่ะ พวกเขาเหล่านี้ในอนาคตมีคู่กันหมดนะคะ โฮะๆๆ
ตอนแต่งก็ว่ายาวนะคะ แต่พอลงแล้วทำไมมันสั้นๆ ก็ไ่ม่รู้ ฮ่าๆๆ
เข้าพระเข้านางกันอีกรอบ จริงๆ น้องเกล้าเขาเป็นประเภท ดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับค่ะ
แต่ส่วนใหญ่จะดีไปก่อน คุณยายตรึงจิตท่านสอนไว้ อิอิ
ยังไงขอบคุณทุกการติดตามและสามารถติชม หรือแก้ไขคำผิดได้ตลอดเวลา
ขอบคุณค่า


JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสาม]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: tegomass ที่ 21-04-2018 16:00:02
ใจก้าว รักเลย ติดตามพี่เหิน น้องเกล้า
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสาม]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-04-2018 18:09:40
ติดตามอ่านจ้ะ สนุกดี
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวหก]. 21.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 29-04-2018 20:55:00
ก้าวหก - Hundred Seasons
     

        “คุณเหิน ทางนี้ครับผม” เวทย์ ศาสตรศิลป์ เป็นหนึ่งในเพื่อนซี้ของเหินฟ้า ปกติแล้วเหินฟ้าจะมีเพื่อนอยู่หลายกลุ่ม และเวทย์นั้นก็เป็นเพื่อนของเขาแทบทุกๆ กลุ่ม ซ้ำชะตาชีวิตการสานต่อธุรกิจของครอบครัวก็คล้ายๆ กัน จึงมักเป็นเพื่อนปรึกษาหารือปัญหาชีวิตได้ด้วย

   “เออ มานานยังวะ” เหินมาถึงก็นั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า วันนี้ไอ้เวทย์นัดมาเจอเพราะบอกเปิดร้านใหม่ นับรวมๆ ทั้งเมืองนี้เวทย์คงจะมี ‘ร้านเปิดใหม่’ อยู่แทบทุกมุมถนน เพราะเจ้าตัวเล่นไปหุ้นกับคนโน้น คนนี้ที ด้วยความสนุกสนาน กับตรรกะแปลกๆ อย่าง ‘กระจายความเสี่ยงไงเพื่อน ลงทุนเยอะโอกาสได้กำไรก็เยอะ’

   “ไม่เท่าไหร่ว่ะ เห้ย คนนั้นแจ่มว่ะ” ยังไม่ทันไรเวทย์ก็เริ่มออกลายแล้ว ในกลุ่มมหาลัยของเหินฟ้านั้นมีกันอยู่สามสี่คน และทุกคนเป็นเสือผู้หญิงกันทั้งนั้น จนพอโตมาเกือบสามสิบก็มีแค่เหินฟ้าคนเดียวที่เลิกนิสัยแบบนี้ แต่เพื่อนๆ เขาก็มักจะพาไปปลุกสัญชาตญานเสือป่าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเหินฟ้าเองก็เบื่อเหลือเกิน ปฏิเสธมากๆ เข้าก็หาว่าตายด้านไปอีก

   “แล้วไหน ร้านนี้มึงลงทุนไปเท่าไหร่” เหินฟ้ารับแก้วจากพนักงานมาจิบ พลางส่ายหน้าให้คุณชายรักสนุกเพื่อนยาก

   “เห้ย ไม่เท่าไหร่เว่ย ไอ้ซีมันลูกพี่ลูกน้องกู คุยๆ กันได้ งกๆ อย่างมึงกูเข้าใจแล้วทำไมผู้หญิงไม่เข้าหา ... อุ้ย ลืมไป ว่าเปลี่ยนรสนิยมแล้ว” เวทย์เอ่ยกลั้วหัวเราะเชิงเยาะเย้ยกลายๆ เรื่องที่เหินฟ้าไปโกหกคุณนายมุกสมุทรไว้เมื่อสองสามปีก่อนเขาเองก็รู้ และยังรู้อีกว่าช่วงนี้เพื่อนของเขาจะโดนยัดเยียดเมียให้เป็นผู้ชายด้วย

   “มึงเคยกินเหล้าอยู่ดีๆ ปากแตกไหม”

   “ฮ่าๆๆๆ อ้าว เห้ย ซีโว้ย ทางนี้ๆ” เวทย์หยอกล้อกับเพื่อนซี้ได้ไม่นานหางตาก็หันไปเห็นลูกพี่ลูกน้องพ่วงด้วยสถานะหุ้นส่วนของร้าน Hundred Seasons กำลังเดินเข้ามาใกล้บริเวณโต๊ะพวกเขา

   “ไงมึง เหนื่อยเลยดิ แดกก่อนๆ แหมเปิดร้านสองวันคนยังกะเปิดมานาน” เวทย์หันไปทักลูกพี่ลูกน้องพร้อมยื่นแก้วให้จิบ

   “ฮ่าๆๆ ก็ดีแล้วไหมพี่ คนเยอะพี่ก็ได้เงินเพิ่มป่าว” ซีซี่นก็หยอกล้อกลับ ตอนนี้โต๊ะของเหินฟ้ากลายเป็นจุดสนใจของเก้ง กวาง บ่าง ชะนีรอบๆ ไปโดยพลัน ก็ใครใช้ให้มีชายหนุ่มหน้าลิ้มลองสามคนมานั่งอยู่ด้วยกันล่ะ คนหนึ่งก็หล่อเข้ม ดูนิ่งขรึม คนหนึ่งก็ดูขี้เล่น อีกคนก็หล่อ และที่สำคัญทุกคนน่าจะมีนิสัยเหมือนกันคือ ‘รวย’

   “เออดี งั้นมึงหาลูกค้าให้เยอะๆ กูต้องเอาเงินไปเลี้ยงสาว นี่เพื่อนกูชื่อเหินฟ้า มึงเรียกมันเหินก็ได้ รุ่นๆ กันเว่ยมึง” หลังจากเวทย์แนะนำเพื่อนตัวเองให้หุ้นส่วนรู้จักแล้วก็สังเกตว่าเพื่อนซี้ของเขากำลังเหม่อๆ เหมือนสนใจอะไรบางอย่างอยู่

   “เฮ้ยไอ้เหิน!” เวทย์เรียกเพื่อนด้วยการตบบ่าแรงๆ หนึ่งครั้ง

   “โอ้ย ทำห่าไรมึง”

   “ก็มึงเงียบไป มึงมองไรวะ” พูดแล้วก็หันไปทางที่เพื่อนซี้มองไปเมื่อครู่ “เช้ด นั่นสเป็กมึงหรอวะ เห้ย สวยอยู่นะเว่ย แต่ .. ผู้ชายใช่ป่าววะ” เวทย์ต้องหยีตามองเพราะอีกฝ่ายถึงจะอยู่ไม่ได้ไกลมาก แต่แสงในนี้ก็ไม่ได้สว่างจนเห็นชัด แต่สิ่งที่เห็นคือใบหน้าเฉี่ยวคม ที่แม้จะไร้เครื่องสำอาง แต่ก็เต็มไปด้วยสเน่ห์เหลือล้น

   “กูป่าวมอง” เหินฟ้าหันกลับมาจิบอีกจิบหนึ่ง ตอนที่หุ้นส่วนของเวทย์เดินเข้ามาเขาก็มองไปทางนั้นพอดี จนเห็นเหมือนร่างขาวเพรียวๆ ที่คุ้นตา จึงจ้องอยู่พักหนึ่ง พอคิดว่าใช่แล้วก็ว่าจะเลิกมอง จนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายมีผู้ชายมาเกาะบ่า หล่อซะด้วย หน้าตาก็ดูเรียบร้อย ไม่คิดว่าจะมาผับมาบาร์ ไม่รู้ว่าคนนั้นแฟนหรือคู่ขากันแน่

   “หราาา ก็ดีนะ ถ้ามึงเปลี่ยนเป้าหมาย กูกับไอ้ซีจะได้มีตัวเลือกเพิ่ม ฮ่าๆๆๆ” เวทย์หันมาแทคมือกับซีซั่น

   “เออ ละนี่น้องที่กูบอก ชื่อไอ้ซี มึงอย่าเรียกมันซีซั่นเดี๋ยวมันต่อยเอา” เวทย์ถือโอกาสแนะนำอีกคนเพราะแน่ใจว่าเพื่อนเขาคงไม่ได้ฟัง ส่วนซีซั่นพอได้ยินพี่ล้อเรื่องชื่อเต็มก็แกล้งทำหน้าหาเรื่อง แต่จริงๆ เขาก็ไม่ได้อะไรมาก แต่เพื่อนๆ ชอบล้อว่ามันบ้องแบ๊วไม่เข้ากับหน้าถึกๆ ของเขาเท่าไหร่

   “อืม สวัสดี”

   “ครับพี่เหิน”

   “ชื่อร้านก็นายงั้นหรอ”

   “ใช่ครับพี่ ตอนที่ตั้งชื่อ ผมก็...” อยู่ดีๆ สายตาไม่รักดีของเหินฟ้าก็เหล่ไปทางด้านหลังของคู่สนทนาจนเห็นว่าร่างเพรียวขาวตรงนั้นตอนนี้มีผู้ชายถึงสามคนเข้ามารุมล้อม สามคน! พร้อมกันหรือวะเนี่ย ทำไมแม่ถึงหาคนแบบนี้จะเอามาเป็นคู่หมั้นของเขากัน

   ขณะนั้นเองที่เวทย์เห็นสายตาเพื่อนที่มองเลยหลังของซีซั่นไปเรียบร้อย คิ้วยังขมวดกันซะจนหน้านิ่งๆ นั่นเปลี่ยนไปเลย วะๆๆ เด็กคนนี้เป็นใครกันเนี่ยเพื่อนเขาถึงได้มีปฏิกิริยาสนใจขนาดนี้ เวทย์ยิ้มมุมปากก่อนที่จะเอ่ยออกมา

   “เห้ยยย พวกมึงสองตัว เรามาเล่นเกมส์แก้เบื่อกันดีกว่า”



      

   วันนี้เจ้าเกล้ากับเพื่อนในกลุ่มมารวมตัวกันที่ Hundred Seasons Bar and Restaurant แห่งนี้เพราะว่าเรนเนอร์ได้งานร้องเพลงที่นี่ เรนเนอร์เป็นคนที่ร้องเพลงเพราะมาก ร้องได้หลายแนว เสียงของเรนมีเอกลักษณ์มาก คือมีความกึ่งชายกึ่งหญิง ไม่แหลมจนน่ารำคาญ ไม่ต่ำจนง่วงนอน ฟังแล้วไม่จัดเป็นชายหรือหญิง แต่สะดุดหูจนต้องหยุดฟัง

   “เกล้า ดินว่าคนโต๊ะนั้นมองเกล้ามาสักพักแล้วนะ” ดินเข้ามาโอบบ่าเจ้าเกล้าแสดงความเป็นเจ้าของ ดินเองมักจะคอยปกป้ององค์หญิงทั้งสามมาตลอด วันนี้อินไม่ได้มาด้วย เรนเนอร์ก็ไปวอร์มหลังเวที ตรงนี้จึงมีแค่เขา เจ้าเกล้า และพุฒิ ซึ่งรายหลังนี่กำลังตะลอนๆ หาสาวมาควงอยู่มั้ง

   “ปล่อยเขามองไปเถอะ ดินไม่ต้องโอบเกล้าก็ได้” เจ้าเกล้ายิ้มกลั้วหัวเราะ ดินมักจะเป็นคนประเภทมีความห่วงจนเกินไป การโอบบ่าเขานั้นนอกจากจะไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว บางทียังมองดูไม่ดีด้วย ยิ่งอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่เขารู้เจตนาของดิน จึงไม่ได้พูดให้เสียน้ำใจ

   “โอเค เกล้ารู้จักเขาหรือเปล่า” ดินเหล่ไปมองด้านหลัง พร้อมเอามือที่โอบบ่าเจ้าเกล้าลง ผู้ชายโต๊ะนั้นยังจ้องมาทางนี้เขม็ง และที่สำคัญยังไงมันก็เจาะจงคนข้างๆ เขานี่แหละ

   “ไม่หรอก” เจ้าเกล้าปฏิเสธไป ทั้งที่จริงๆ เขารู้มาสักพักแล้วว่าคนที่จ้องเขาคือคุณรองประธานที่สัมภาษณ์เขาเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เขาทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย ทำไมถึงจะต้องมองกลับหรือทักทายด้วย แต่ประเด็นก็คือฝ่ายนั้นมีเหตุอะไรต้องจ้องเขาเขม็งซะขนาดนั้น ถึงเจ้าเกล้าจะแอบขนลุกอยู่นิดหน่อยกับสายตาทิ่มแทงของคนไกล แต่ก็ยังทำนิ่งเฉยดั่งแก้วน้ำของเขาที่ไม่ได้แตะเลยสักกะผีก

   “ยะโฮ่ว เฟรน ดูสิ้กูพาใครมา” พุฒิกระโดดโย่งเหย่งเข้ามาในวงพร้อมด้วยผู้ชายอีกคนหนึ่ง

   “เต้ย” เจ้าเกล้ากล่าวใบหน้ายิ้มแย้มให้กับชายหนุ่มตรงหน้า เต้ยเป็นลูกของเพื่อนคุณวรรณฤดี และเป็นเพื่อนของเจ้าเกล้าตอน ม.ปลาย ที่เข้าขั้นสนิทคนหนึ่ง นั่นรวมถึงเพื่อนของพุฒิด้วย เพราะพุฒิ เกล้า และต้นอิน มาจาก ม. ปลายที่เดียวกัน ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันที่นี่ ส่วนดินนั้นก็คุ้นเคยกับเพื่อนสนิทของเจ้าเกล้าคนนี้ดี ในช่วงระยะเวลาสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เต้ยมักจะแวะมาบ้าง แม้ไม่บ่อยแต่ก็ถี่จนพูดคุยอย่างสนิทสนมทั้งกลุ่ม

   “เกล้าสบายดีไหม” เต้ยเข้ามากอดคนตัวเล็กหลวมๆ กลิ่มหอมอ่อนๆ จากคนตัวขาวย้ำเตือนเขาอยู่เสมอว่าร่างกายนี้ หัวใจนี้ที่เขาต้องการมันไม่เคยเป็นไปได้ เขาแอบมองเจ้าเกล้ามาตั้งแต่ ม.ปลาย แม้ไม่เคยสารภาพรัก แต่คิดว่าคนฉลาดอย่างเกล้าน่าจะรู้ตัว แต่การที่เจ้าเกล้าทำทุกอย่างเป็นปกติ ทำให้การวางตัวของเขาก็เป็นได้แค่เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งเท่านั้น

   “สบายดี เต้ยเป็นไงบ้าง วันนี้อินไม่ได้มาด้วย วันหลังเรานัดเจอกันให้ครบๆ น่าจะดี” เจ้าเกล้ายังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีใจจนลืมไปแล้วว่าสายตาที่ทิ่มแทงอยู่เมื่อครู่ มาคราวนี้เหมือนจะยิงกระสุนมากลางวงเสียด้วยซ้ำ

   “ได้สิเกล้า คนนั้นเขามองเกล้าทำไม” พูดแล้วเต้ยก็เข้าไปโอบไหล่เจ้าเกล้าแสดงความสนิทสนมเพิ่มขึ้น เจ้าเกล้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้มีแต่คนอยากปกป้องเขาด้วยการโอบไหล่

   “ปล่อยเขาเถอะเต้ย ปล่อยเราด้วย” เจ้าเกล้าพูดขำๆ คนพวกนี้คิดว่าแค่เขาถูกมองจะสึกหรอหรือไงกันนะ

   “หืม นั่นคุณเหินฟ้าป่าววะ” พุฒิที่จ้องไปยังโต๊ะเป้าหมาย ซึ่งตอนนี้สายตานั้นชักกลับไปแล้ว แต่เขาจำหน้าได้ พุฒิเองที่บ้านก็ทำธุรกิจ ลูกเต้าเหล่าใครก็เคยๆ พบเจอมาบ้าง ไม่เหมือนคนอื่นๆ ในกลุ่ม ที่ถึงแม้บ้านจะทำธุรกิจ แต่ไม่ชอบสุงสิง หรือรู้จักกับใคร

   “คือใครหรอพุฒิ” ดินอดถามออกมาไม่ได้

   “เออ ก็ลูกคุณบัลลังก์ ธาราเจมส์ไง แต่พวกนายคงไม่รู้จักอ่ะ อย่าไปสนใจเลย เขาเลิกมองแล้วล่ะ” พุฒิกล่าวก่อนที่จะเดินไปชงผสมเครื่องดื่มให้กับผู้มาใหม่

   “เลิกมอง แต่กำลังเดินมาทางนี้แล้ว” ทันใดที่เสียงของเต้ยพูดจบ คนทั้งโต๊ะก็หันไปมองด้านหลัง จึงได้เห็นร่างสูงของใครคนที่กำลังตรงมาทางนี้ด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่เหยเกที่ดูก็รู้ว่าไม่เต็มใจ

   “เอ่อ ... เจ้าเกล้า ฉันขอคุยด้วยหน่อย” ทุกคนพร้อมใจกันมองมาที่เจ้าของชื่อ ทำไมคุณเหินฟ้าถึงรู้จักเจ้าเกล้าได้เล่า

   “เกล้ารู้จักเขาหรอ” ดินหันไปถามเจ้าเกล้าอีกครั้ง ก็ไหนเมื่อครู่เจ้าเกล้าบอกไม่รู้จักยังไงล่ะ

   “ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวน่ะ” เจ้าเกล้าตอบดินเสียงเบา

   “คุณมีอะไรคุยตรงนี้ก็ได้ครับ พวกเราไม่มีอะไรปิดบังกัน” เสียงเต้ยเข้มขึ้นมาหนึ่งระดับ สัญชาตญาณเขารู้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา

   “เอาล่ะ พวกนายใจเย็นๆ ฉันไม่ร่วมวงด้วยแน่ แต่ขอคุยนิดเดียว ฉัน..”

   “เหินฟ้าครับบบ ตามกฎนะครับบบ” เสียงของเวทย์กล่าวขึ้นมาเตือนว่ากฎของเกมส์คือห้ามเฉลยว่ากติกาคืออะไร เพราะมันรู้ว่าเขากำลังจะขอร้องเจ้าเกล้าว่านี่มันคือเกมส์

   “เอาล่ะ ฉันขอร้องดีๆ ไม่เกิน 10 นาทีจะพามาส่งคืน” เหินฟ้าเริ่มปั้นหน้านิ่งทรงอำนาจ ทำงานเป็นเจ้านายคนมาสิบกว่าปี เด็กพวกนี้มันต้องเชื่อฟังกันบ้างแหละ

   “แล้วคุณจะเอาเพื่อนผมไปทำอะไร ถ้ามันไม่ใช่เรื่องไม่ดีทำไมถึงบอกกันไม่ได้” ยังเป็นเต้ยคนเดิมที่กล่าวออกมาด้วยกระแสไม่พอใจ ดิน และพุฒิเริ่มหันไปมองผู้ชายสองคนที่เหมือนจะมีบทบาทมากกว่าพวกเขาที่คอยอารักขาเจ้าหญิงอีก

   “เต้ย ใจเย็นๆ ถ้าคุณไม่สะดวกตรงนี้ เราไปข้างหน้าร้านก็ได้ครับ” เจ้าเกล้าหันมาหาเพื่อนทั้งสาม “ข้างหน้าร้านก็พอมีคนบ้าง โอเคนะ” เจ้าเกล้าต้องหาสิ่งที่ประนีประนอมสำหรับคุณพ่อทั้งสาม กับหนุ่มที่มาพาตัวเขาไปมากที่สุด เดี๋ยวนะ มันฟังดูเหมือนกำลังหนีตามผู้ชายยังไงไม่รู้แหะ เจ้าเกล้ากล่าวจบก็เดินนำไปด้วยท่าทีสง่างาม ส่วนเหินฟ้ายังยืนไว้อาลัยกับชีวิตตัวเองอยู่

   “ไม่ไปหรอครับ” เจ้าเกล้าหันมามองคนที่ยืนนิ่งไม่ขยับ ทั้งๆ ที่มาชวนเขาไปเองแท้ๆ

   “อืม ไปสิ” เหินฟ้ารีบเดินตามด้วยพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

   “10 นาทีนะครับคุณเหินฟ้า” ดินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้กดดัน แต่รังสีแสดงให้ความหนักแน่นมากกว่าไอ้เด็กที่พยายามหาเรื่องเขาคนเมื่อกี้อีก สรุปทั้งสามคนนี่เป็นอะไรกับเจ้าเกล้ากันแน่ แฟนหรือพ่อวะ

❤❤❤❤

JYUBE.
#ใจก้าว
                                                               


หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 29-04-2018 21:00:25
         
ก้าวเจ็ด - หน้าร้านอาหาร


        ป้าย Hundred Seasons ที่ฉายแสงไฟสีทองส้ม พร้อมตัวอักษร Bar & Restaurant ตัวเล็กๆ ด้านล่างชื่อตัวใหญ่ ทำให้บริเวณลานกว้างหน้าร้านดูมีแสงสว่างมากขึ้นในยามราตรีที่ดูมืดมิดนี้

   เจ้าเกล้าเดินออกมาแล้วก็จับจ้องไปยังใบหน้าของคนตัวสูง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณมีเรื่องจะคุยกับผมสินะครับ”

   “ก็ อืม” เหินฟ้าจะว่าทำตัวไม่ถูกก็ว่าได้ ได้แต่นิ่งๆ ซึ่งสีหน้าแบบนั้นเจ้าเกล้าก็ไม่อาจเดาอารมณ์ได้เท่าไหร่

   “ไม่ต้องเกรงใจครับ พูดมาเถอะ” เจ้าเกล้ายิ้มให้เล็กน้อยเพื่อลดบรรยากาศที่น่าอึดอัดที่ก็ไม่รู้ว่ามาจากใครกันแน่

   “ก็เอ่อ ฉันมีเรื่องให้ช่วย” เหินฟ้าแทบพูดไม่ออก สิ่งที่จะขอต่อไปนี้มันออกจะยากเกินไปสักหน่อย เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้เขาเพิ่งปล่อยอีกคนไป แล้ววันนี้ ...

   “ครับ คุณพูดมาก่อนก็ได้ครับ เราค่อยตกลงกัน คุณอยากให้ผมช่วยเรื่องอะไรครับ” เจ้าเกล้าพยายามกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนโยน ถ้าให้เขาเดา โต๊ะนั้นคงเล่นเกมส์หรืออะไรกันสักอย่างแน่ๆ แหละ ผู้ชายคนนี้ถึงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้

   เหินฟ้าได้แต่ถอนหายใจอีกหนึ่งเฮือก ไอ้เวทย์นะไอ้เวทย์ เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง “ช่วยถ่ายรูปกับฉันหนึ่งรูป”

   “…” เจ้าเกล้ากะพริบตาปริบๆ เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะต้องพะอืดพะอมขนาดนั้น หรือมันจะมีอะไรอีกล่ะ “ถ้าแค่ถ่ายรูปก็ได้ครับ”

   เหินฟ้าถึงกับชะงัก เด็กคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว คงอ่านสถานการณ์ได้จากหน้าเขา ส่วนเจ้าเกล้านั้นพอเห็นปฏิกิริยาของคนตัวสูงก็เริ่มมองว่ามันไม่น่าไว้ใจแล้ว นิ่งแบบนี้แสดงว่ามันต้องมีอะไรอีกแน่

   “ก็ ป่าว แค่อยากให้นายทำหน้าแบ๊วๆ ด้วย เท่านั้น” เป็นกลอุบายที่ร้อนเสียจนปากแทบไหม้ หมดวันนี้ไปเขาจะไปเตะไอ้เวทย์แน่นอนคอยดู

   “… อ่อ ครับ” เจ้าเกล้าแอบเบะปากในใจ ไม่อยากทำเท่าไหร่ จะให้เขาทำหน้าแบ๊วเนี่ยนะ แต่เอาเถอะจะได้จบๆ เขาเชื่อว่าหน้าแบ๊วๆ ของเขาคงไม่ได้น่าเกลียดเท่าไหร่ “ไม่ถ่ายหรือครับ”

   “อืม เดี๋ยวฉันถือกล้อง นายมายืนข้างๆ” เจ้าเกล้าเดินไปอย่างไม่อิดออดในระหว่างที่เหินฟ้ากำลังเตรียมกล้องและหามุมสวยๆ ก็นะ จะถ่ายทั้งทีขอให้มันมีมุมดีๆ หน่อย เขาเองก็เล่นกล้องจะให้มาถ่ายแล้วได้รูปกิ๊กก๊อกก็ตลก

   “ได้มุมหรือยังครับ” เจ้าเกล้าที่เห็นคนตัวสูงหมุนไปหมุนมาก็เริ่มทัก เพราะข้างนอกนี่ถึงจะไม่ได้ร้อนหรือหนาว แต่คนมากมายมักเหล่มองพวกเขาอยู่เรื่อย ก็คนที่มากับเขาด้วยนี่คนธรรมดาเสียที่ไหน

   “อืม น่าจะมุมนี้ นายมานี่สิ” คุณรองประธานเรียกคนตัวเล็กให้เข้ามาใกล้ด้วยใบหน้านิ่งๆ กลบใบหน้าที่เริ่มวางแผนบางอย่างเอาไว้

   “คุณอยากให้ผมทำท่าอะไรครับ” เจ้าเกล้าถามยืดเวลาออกไปนิด เขาว่ามันไม่ปกติ บรรยากาศมันแปลกๆ เหมือนมีลางยังไงไม่รู้

   “เอา เอ่อ น่ารักๆ แล้วกัน ฉันจะนับหนึ่งถึงสามนะ” ฟังแล้วเจ้าเกล้าก็ถอนหายใจ เขาไม่ชอบถ่ายรูป โดยเฉพาะรูปน่ารักๆ อะไรนี่ไม่ใช่สไตล์อย่างแรง

   “หนึ่ง” เจ้าเกล้าเริ่มแอคท่าด้วยการยิ้มแบบเกร็งปากประมาณหนึ่งเพื่อให้มันดูออกมาบ้องแบ๊ว ซึ่งมันก็น่ารักจริงๆ นั่นแหละ สังเกตได้จากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็คิดว่าคนหล่อคนน่ารักสองคนนี้ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน

   “สอง” เจ้าเกล้าที่กำลังเก๊กท่าอยู่นั้นสังเกตปฏิกิริยาบางอย่างจากคนข้างตัว ตอนที่นับหนึ่งนั้นเหมือนเจ้าตัวจะยืดตัวเต็มความสูง แต่ตอนนี้ย่อตัวลงมาเกือบจะเท่าเขาแล้ว ทั้งที่คิดว่าน่าจะจัดเฟรมแล้ว

   “สาม”

   ฟอดดด


.
.
   “…” เจ้าเกล้าตาเบิกโพลง ปากที่เกร็งไว้แทบจะกระอักออกมาด้วยลมปรานบางอย่างที่อาจจะมีชื่อว่าความน่าอาย

   “คุณ..” เจ้าเกล้าหันมาจ้องอีกคน ถึงเขาจะตกใจมาก แต่ก็พยายามเข้าใจว่ามันคงเป็นเกมส์ ก็เลยแค่ตกใจนิดหน่อย แต่คนข้างๆ นี่ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้วหน้าหูแดงไปหมด แถมยังปิดหน้าเอาไว้ด้วย

   “ขอโทษที ฉันโดนเพื่อนแกล้ง” น้ำเสียงอู้อี้ที่ลอดผ่านฝ่ามือใหญ่นั้นฟังๆ ไปเหมือนเด็กๆ กำลังฟ้องผู้ใหญ่ว่าตัวเองโดนแกล้ง เห็นแลวเจ้าเกล้าก็ยิ้มออกมาด้วยกลั้นไม่อยู่

   “เอาเถอะครับ แต่คุณเป็นหนี้ผมนะรอบนี้” เจ้าเกล้าไม่อยากถือทวงบุญคุณอะไรหรอก แค่อยากแกล้งคนตัวใหญ่เฉยๆ

   “อืม นายอยากได้อะไรก็บอกได้” เหินฟ้าตอนนี้ปล่อยมืออกแล้วลูบหน้าหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะถอนหายใตเฮือกใหญ่ “ไม่โกรธใช่ไหม” คนตัวใหญ่ถามเสียงอ่อนด้วยใบหน้าที่ยังแดงครึ่งนึงแทนครึ่งนึง

   “ตกใจมากกว่าครับ แต่ผมก็เรียกร้องบุญคุณกับคุณ ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนกันก็ได้” จะว่าอย่างไรดี มันไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่เห็นความพยายามฝืนตัวเองของอีกฝ่าย แถมยังดูรู้สึกผิดมากๆ เอาเสียด้วย เลยพูดออกไปแบบนั้นให้อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกแย่จนเกินไป

   “อืม เอาไว้อยากได้อะไรให้มาบอก ไปเถอะ ฉันไปส่งที่โต๊ะ” ดูๆ ไปแล้วเด็กคนนี้ก็นิสัยดีจริงๆ เขาคิดว่าสถานการณ์เมื่อครู่น่าจะมีความเป็นไปได้สองแบบ คือหนึ่งโกรธ กับสองคือเขิน แต่คนๆ นี้กับตกใจเล็กน้อย แถมยังพูดจาเหมือนเข้าใจ และพยายามปลอบเขา

   “ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มให้ก่อนเดินไป และรู้สึกถึงมือที่ดันช่วงเอวของเขาไว้แปปหนึ่ง ทางด้านเหินฟ้านั้นก็แอบลืมตัวไปนิด เห็นคนตัวเล็กน่าเอ็นดูขึ้นมาหลายระดับ ก็นึกอยากสนิทสนมด้วย

   “นายไม่มาฝึกงานที่บริษัทฉันจริงๆ หรอ” ระหว่างเดินกลับเข้าไปคนตัวสูงก็ถามขึ้นมา “จริงๆ ประวัตินายไม่ได้แย่ แต่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่นี่ทำงานหนัก อาจไม่มีคนสอนงาน” เหินฟ้าเหมือนพูดลอยๆ ออกมาไม่ได้จริงจังอะไร เป็นคนตัวเล็กที่หยุดเดินแล้วเงยหน้ามอง

   “ดูเหมือนคุณอยากให้ผมไปฝึกงานกับคุณนะครับ” เจ้าเกล้าแหย่เล็กน้อย “จริงๆ ผมคิดไว้แล้วครับว่าคงไม่มีคนสอนงานแน่ๆ เพราะบริษัทมันใหญ่มาก แต่พอคุณแม่ของคุณให้ผมส่งไป ก็เลยลองส่งไม่คิดว่าจะเรียกไป อีกอย่างบริษัทที่ผมเคยส่งๆ ไปก็บริษัทเล็กๆ ทั้งนั้น”

   “นั่นแปลว่านายอยากฝึกงานจริงๆ สินะ” ความหมายของเหินฟ้าคือเข้ามาแล้วมีคนสอนงาน ได้ทำงานจริงๆ

   “มันถึงเรียกว่าการฝึกงานไม่ใช่หรอครับ” เจ้าเกล้ายิ้มให้ แน่นอนว่าตัวเขาเป็นคนขยันมาแต่เล็ก ตั้งใจเรียน และเชื่อฟังผู้ใหญ่นั่นรวมถึงการมองเห็นโอกาสในทุกๆ สิ่งที่อยู่รอบตัวด้วย

   เหินฟ้าฟังแล้วก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีสปิริตดี ฉลาดหลักแหลม น่าจะรู้งานเร็ว เขาหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างเต็มตัว “ถ้านายไม่มีปัญหา ฉันจะจัดการหาคนสอนงานให้ แต่คงต้องเข้าไปสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง”

   เจ้าเกล้ายิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าว “อย่าดีกว่าครับ มันก็ดูได้รับสิทธิพิเศษไม่ต่างจากที่คุณแม่คุณช่วยผมเลย แต่ถ้าคุณอยากให้ผมฝึกงานที่นี่จริงๆ ผมขอให้คนสัมภาษณ์ผมไม่ใช่คุณ แต่เป็นคนที่ประเมินผมโดยไร้สิทธิจรืงๆ ได้ไหมครับ” เจ้าเกล้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในแววตามุ่งมั่น โอกาสการทำงานที่ธาราเจมส์ไม่ใช่ใครจะได้รับสิทธิง่ายๆ ยิ่งฝ่ายประชาสัมพันธ์นั้นงานเยอะ ไม่ค่อยมีใครรับนักศึกษาฝึกงานเท่าไหร่นัก

   “อืม ฉันจะให้คนติดต่อกลับไป ขอบคุณสำหรับวันนี้”

   “เช่นกันครับ งั้นผมลานะครับ” เจ้าเกล้าพูดจบก็ไหว้คนโตกว่าทีหนึ่งก่อนปลีกตัวกลับไปที่โต๊ะ เหินฟ้ามองส่งอีกคนจนไปถึงโต๊ะ ก่อนจะรู้สึกถึงกลิ่นเหล้า กลิ่นเบียร์มาแตะจมูก น่าแปลกที่เมื่อกี้ได้แต่กลิ่นหอมๆ ไม่ยักได้กลิ่นเหล้าแหะ



   ป๊าป

   “โอ้ย ไอ้เหี้ย ใครวะ อ้าวไอ้เหิน ไรมึงเนี่ย” เวทย์ยกมือกุมหัวที่โดนตีไปเมื่อครู่ ไอ้เพื่อนบ้าของเขาอยู่ดีๆ ก็เอามือที่หนายังกะกีบควายมาตบที่หัว

   เหินฟ้าไม่ได้ตอบอะไรกับไป แต่โยนโทรศัพท์ที่เปิดรูปที่ถ่ายไปเมื่อครู่ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มมาจิบ และเสตามองไปทางอื่น

   “เชร้ดดดดดด น้องโครตน่ารักเลยมึง” ในรูปคือเหินฟ้าที่กำลังหอมแก้มคนน่ารักที่อยู่ข้างๆ ดูยังไงรูปนี้ก็เหมือนแฟนไม่มีผิด “กูว่ามึงมาทางนี้โคตรรุ่งอ่ะเพื่อน อีกอย่างกูว่าน้องไม่ใช่คนกลวงๆ เหมือนคนที่ผ่านๆ มาของมึงว่ะ นี่กูเดาจากโหงวเฮ้ง มึงว่าไงไอ้ซี”

   “โห เจ๋งว่ะพี่ ผมว่ารูปนี้ถ้าแม่พี่ได้เห็นคงกริ๊ดลั่นบ้าน ฮ่าๆๆ” ซีซี่นได้ฟังเรื่องราวของเหินฟ้าจากเวทย์มาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องคู่หมั้น

   “แหม ทำเงียบๆ ระวังนะเว้ยยย คนดีๆ มีไม่มาก โดนงาบแล้วจะพูดไม่ออก หุหุหุ” เวทย์ทำเป็นหัวเราะแบบคุณนายมุกสมุทร ส่วนเหินฟ้าตอนนี้ถึงแม้สายตาจะไม่ได้จับอยู่ที่เพื่อนๆ แต่ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงอย่างที่ไม่เคยเป็น

   “จบแล้วแน่ๆ เพื่อนกู ฮ่าๆๆๆ” เวทย์พูดจบก็โดนเหินปาทิชชู่ใส่ “โอ้ยไอ้นี่ สกปรกยี้ๆ”

❤❤❤❤

คุณเหินเขาไม่รู้ตัวหรอกค่ะว่าสนใจหนุ่มน้อยคนนี้เข้าให้แล้ว
ตอนนี้พรู๊ฟไปแค่รอบเดียวเอง มีคำผิดบอกด้วยนะคะ
ยังไงขอบคุณทุกการติดตามและสามารถติชม หรือแก้ไขคำผิดได้ตลอดเวลา
ขอบคุณค่า

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวแปด] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 29-04-2018 21:04:09
ก้าวแปด - ข้าวต้มมัดรัฐสกุล
             

       ณ คฤหาสน์ธราธัตต์ที่อาจจะเรียกว่าเป็นคฤหาสน์ส่วนย่อ เพราะคุณบัลลังก์เจ้าของบ้านมิได้ชมชอบความโอ่อ่าหรูหราอย่างผู้รากมากดีบ้านอื่น อยู่กันอบอุ่นแบบครอบครัวก็เพียงพอแล้ว อีกอย่างแต่ละคนก็ทำงาน ไม่ได้มีใครมาว่างอยู่บ้านทั้งวันทั้งคืนเมื่อไหร่ เอ่อ อาจจะยกเว้นอยู่คน

   “อ้าวคุณ วันนี้วันเสาร์ไปไหนแต่เช้าล่ะ” คุณบัลลังก์ที่กำลังจิบกาแฟเช็คข่าวพร้อมหุ้นบนแท็บเล็ตจอใหญ่อยู่นั้นพลันได้ยินเสียงปึงปังของคนที่ปกติจะอยู่ติดบ้าน หรือชอปปิง หรือไปวนเวียนอยู่แถวๆ ที่ทำงานของสมาชิกครอบครัวแล้วก็ต้องเอ่ยถามด้วยสงสัย

   “ไม่ต้องมาพูดเลยค่ะ ผู้ชายบ้านนี้ไม่ได้ดั่งใจสักคน น่าเบื่อ มุกจะไปหาเพื่อนแล้ว ชิ” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็สะบัดผมทรงสูง ที่วันนี้ทำต่ำลงมาหน่อยหลายเซ็นต์เพราะเดี๋ยวต้องไปบ้านรัฐสกุล เดี๋ยวคุณตรึงจิตจะมองว่าไม่เหมาะสมเอาได้

   หลังจากได้ยินคำพูดของภริยาสุดรัก คุณบัลลังก์ก็ได้แต่ร้องในใจว่า อ้าว ฉันไปทำอะไรให้แม่คนงามอีกเล่าเนี่ย “มุกโกรธอะไรผมกัน ผมตื่นมาก็มานั่งทานข้าวเลย วันนี้ก็คงทำงานที่บ้านด้วย” คุณบัลลังก์คิดว่าอาจเป็นเพราะช่วงนี้คุณหญิงคงเหงา อยากมีคนอยู่บ้านเป็นเพื่อน หรือพาเธอไปเที่ยวบ้าง แต่หนุ่มๆ ในบ้านไม่ค่อยว่างสักคน วันนี้ตนก็ว่าจะอยู่บ้านกับคุณเขาสักหน่อย

   “ไม่ต้องพูดเลยค่ะ ชิดเตรียมรถเสร็จหรือยังอร” คุณมุกสมุทรหันไปถามสาวใช้ที่กำลังปรับอารมณ์ตามนายหญิงของบ้านไม่ทัน ได้แต่ก้มหน้าบอกว่าเดี๋ยวจะไปรีบเร่งมาให้ ก็คุณนายไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าวันนี้จะไปไหน เลยไม่ได้มีการเตรียมรถไว้ก่อน

   “คุณพ่อ คุณแม่ อรุณสวัสดิ์ครับ” เหินฟ้าที่วันนี้มีนัดคุยกับลูกค้า ก็รีบตื่นมาเตรียมตัวพอดีกับที่บุพการีทั้งสองอยู่พร้อมหน้ากันอยู่

   “ชิ” คุณมุกสมุทรเพียงหันไปกลอกตาใส่ลูกชายหนึ่งรอบถ้วน แล้วหันกลับมายืนนิ่งๆ รอคนรถไปเตรียมรถมาให้

   เหินฟ้าได้แต่ทำหน้างง อะไรกัน ตื่นมาแม่ก็ค้อนใส่เสียแล้ว จึงหันไปมองคนเป็นพ่อ ที่ก็ส่ายหน้าประมาณว่า อะไรก็ไม่รู้

   “อ้าว อยู่กันพร้อมหน้าเลยหรอครับเนี่ย” สู่เวหาที่ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นทุกคนพร้อมหน้ากันแต่เช้า รีบเอ่ยปากทักสมาชิกในบ้าน

   “ชิ” คุณมุกสมุทรยังมิวายหันมาค้อนลูกชายอีกคน ให้ตายสิ บ้านนี้นี่มันน่าเบื่อจริงๆ “ชิชิชิ” แต่รอบนี้ก็ไม่ได้หันกลับไปเพียงแต่ขอระบายอารมณ์อีกสักหน่อยให้เต็มที่ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เจ้าหล่อนหงุดหงิดขนาดนี้ก็จะอะไรเสียอีก ถ้าไม่ใช่เรื่องของหนูเกล้า เธออุตส่าห์วางแผนจะไปง้อหนูเกล้าตั้งหลายวัน แต่ก็ไม่ค่อยว่าง ช่วงนี้มีแต่งานออกหน้า ก็คุณบัลลังก์น่ะสิ เปิดตัวสินค้าใหม่ พอต้องพบปะลูกค้าใหม่เธอก็ต้องไปด้วย เจ้าลูกชายตัวดีนี่ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาหรอก สุดท้ายก็มานั่งหน้าสลอนกันแบบนี้ตลอด เซ็งจริงๆ

   สามหนุ่มสามธราธัตต์หันมองกันอย่างเอ๋อๆ เช้าที่สดใสนั้นคงไม่สามารถใช้บรรยายบรรยากาศวันนี้ได้แล้วล่ะมั้ง
   .
   .
   .


   “คุณหญิงขา คุณมุกสมุทรมาเยี่ยมค่ะ” มนต์ขึ้นเรือนมาแจ้งเจ้านายที่บัดนี้กำลังนั่งหอข้าวต้มมัดอยู่กับหลานชายคนโปรด

   “อ้าว แม่มุกมาไม่บอกกล่าว หนูเกล้าไปดูน้าเขาเสียลูก”

   “ครับคุณยาย”



   “คุณน้าสวัสดีครับ วันหลังคุณน้าขึ้นไปบนเรือนเลยก็ได้นะครับ” เจ้าเกล้าพนมมือทักทายอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อม คุณมุกสมุทรเห็นก็พลันความฉุนเฉียวที่มีต่อบุรุษเพศสกุลธราธัตต์ได้จางหายไปดั่งหมอกควัน

   “แหมหนูเกล้า น้าก็เกรงใจคุณหญิงตรึงจิต เมื่ออาทิตย์ก่อนก็มาหา กลัวแกเบื่อหน้าน้า”

   เจ้าเกล้ายิ้มหวาน “ไม่เบื่อหรอกครับ คุณยายชอบพูดคุย ลำพังบ้านนี้มีไม่กี่คน มีคนมาเยี่ยมบ่อยๆ คุณยายก็ดีใจครับ”

   “งั้นหรอจ๊ะ ดีจริงๆ เราขึ้นเรือนกันเถอจ้ะ น้าเอาของมาฝากคุณหญิงกับหนูเกล้าด้วยนะจ๊ะ” คุณหญิงกล่าวพลางโอบหลังว่าที่ลูกสะใภ้ในใจของเธอพาขึ้นเรือน

   “ขอบคุณครับ” เจ้าเกล้าไม่ลืมยิ้มหวานขอบคุณสินน้ำใจคุณหญิง พร้อมช่วยถือของเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นไปบนเรือนด้วย
   


   “คุณแม่ขา สวัสดีค่ะ” คุณมุกสมุทรทักทายคุณหญิงตรึงจิตที่กำลังกรีดใบตองอยู่บนโต๊ะเตี้ย

   “อ้าว แม่มุก ไปยังไงมายังไงเล่า วันนี้ทำข้าวต้มมัดกัน บ้านจะรกสักหน่อย ยังไงอยู่ทานขนมก่อนกลับแล้วกัน” ยามเพลาสายในวันหยุดเช่นนี้ บ้านรัฐสกุลจะทำของกินกันเป็นประจำ ขนมบ้าง กับข้าวบ้าง บางทีก็ทำเผื่อคนละแวกใกล้ หรือบางทีก็ฝากคนรถขับไปฝากคนบ้านไกลอย่างคุณอัฏฐ์ และคุณวรรณฤดี

   “น่าทานจังเลยนะคะ คุณหญิงเนี่ยทำขนมเก่งจังนะคะ มุกอยากทำเป็นบ้างจัง ให้มุกช่วยนะคะ”

   “เอาสิแม่ ให้หนูเกล้าช่วยบอกแล้วกัน”

   “หนูเกล้าก็เก่งนะ หนูทำอะไรเป็นบ้างจ้ะเนี่ย” คุณหญิงหันไปคุยกับคนข้างตัวที่กำลังถือวิสาสะแยกผลไม้ที่คุณมุกสมุทรนำฝากใส่ตระกร้านำไปล้าง

   “ฉันทำอะไรได้ หนูเกล้าก็ทำได้หมดนั่นแหละ” คุณหญิงตรึงจิตโพล่งขึ้นมาขณะที่สายตายังจับอยู่ที่การห่อข้าวต้มมัดวางในซึ้ง

   “อุ้ย ดีจังเลยนะคะเนี่ย มาจ้ะหนูเกล้า ผลไม้ไว้ค่อยจัด มาสอนหน้าทำหน่อยดีกว่าจ้ะ เห็นแล้วคันไม้คันมือ”

   “ได้ครับ คุณน้านั่งตรงนี้ก็ได้ครับ” เจ้าเกล้าเดินนำคนตื่นเต้นที่จะได้ทำขนมไทยไปยังพื้นข้างๆ คุณหญิงตรึงจิต
   


   “ข้าวนี่หอมจังนะจ๊ะ”

   “ข้าวที่เอามาห่อจะนำไปผัดกับกะทิก่อนครับ ใส่เกลือ กับน้ำตาลพอประมาณ แล้วค่อยนำมาห่อกับกล้วยสุก ช่วงนี้กล้วยออกผลเยอะครับ คนโบราณก็มักจะเอากล้วยมาทำหลายๆ อย่าง” เจ้าเกล้ากล่าวด้วยรอยยิ้มขณะกำลังวางกล้วยสุกหั่นเพียงซีกไว้บนข้าวเหนียวผัดที่ส่งกลิ่นหอม คุณมุกสมุทรได้แต่นั่งชื่นชมในใจ ตาเหินนี่ไม่มีแววจริงๆ ลองมาเห็นเจ้าเกล้านั่งทำขนมสิ จะรู้เลยว่าสเน่ห์ที่มองแค่หน้าตานี่ไม่พอจริงๆ

   “ข้าวนี่เป็นข้าวเหนียวครับ ถ้าคุณน้าอยากลองทำครั้งหน้า ก็เอาไปซาวกับน้ำลอยดอกมะลิก่อน แล้วค่อยไปผัดกับเครื่องกะทิก็ได้ครับ จะได้หอมยิ่งขึ้น”

   “หนูเกล้านี่ทำเป็นทุกอย่างเลย วันหลังไปสอนน้าทำที่บ้านบ้างสิจ้ะ” คุณมุกสมุทรมีจิตใจอันแรงกล้าที่อยากพาว่าที่สะใภ้ไปเปิดตัวที่บ้านเสียเหลือเกิน

   เจ้าเกล้ายิ้มเกรงใจนิดๆ ก่อนจะตอบ “ไว้โอกาสหน้าถ้ามีเวลาจริงๆ ก็ได้นะครับ แต่ช่วงนี้ผมต้องอยู่บ้าน ทั้งงานครัว งานบ้าน” เจ้าเกล้าเหลือบไปมองคนเป็นยายเพียงปลายหางตา คุณมุกสมุทรได้ยินก็เข้าใจ หนูเกล้าแน่นอนว่าต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณยาย ถึงต้องอ้างว่าดูแลงานครัว งานเรือน ทั้งที่จริงแม่บ้านก็มีอยู่

   “หนูเกล้าทำงานบ้านด้วยหรอจ๊ะเนี่ย แม่บ้านก็มีไม่ใช่หรอจ๊ะ” กล่าวจบคุณตรึงจิตก็เงยหน้ามามองแวบหนึ่งก่อนจะวกสายตากลับไปเอาตอกมามัดแต่ละห่อเข้าด้วยกัน

   “ทำครับ” เจ้าเกล้ายิ้มสบายๆ พลางสบตาคนถามไปด้วย “งานบ้านทำให้หัวโล่ง ออกกำลังกายไปในตัวด้วย งานเบาๆ อย่างเช็ดถูปัดกวาด ถ้าไม่ลำบากมาก ทำเองได้ก็ทำครับ คุณยายสอนมาแบบนั้น” เจ้าเกล้าหันไปยิ้มให้คุณยายหนึ่งเปลาะ และนั่นทำให้คุณมุกสมุทรเห็นรอยยิ้มภาคภูมิใจบนริมฝีปากคุณตรึงจิตแวบหนึ่ง

   “คุณหญิงตรึงจิตสอนหลานดีจริงๆ เชียว นี่ถ้าเจอกันไวกว่านี้คงเอาหนุ่มๆ ที่บ้านมาเรียนการบ้านการเรือนบ้าง เมื่อก่อนนี่ซนอย่างทะโมนเชียวค่ะคุณหญิง” มุกสมุทรพอพูดเรื่องที่บ้านก็เริ่มออกท่าออกทางให้คนฟังต้องแอบอมยิ้ม

   “ขนาดผู้หญิงบ้านนี้เรียนมารยาทยังบ่นกันอุบ ผู้ชายบ้านแม่มุกคงไม่ประสากระมัง” การสนทนาในวงข้าวต้มมัดเป็นไปอย่างราบรื่น เว้นเสียแต่ว่าการทำข้าวต้มมัดในความคิดของคุณหญิงนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่จะยากก็ตรงที่ต้องห่อกับมัดเนี่ยแหละ มัดอย่างไรก็หลุด ห่ออย่างไรก็ไม่ตูมสวยเหมือนที่หนูเกล้าทำ แหม่ ให้ไปขัดถูเพชรยังดูจะง่ายเสียกว่า



   
   หลังจากห่อเสร็จก็ขึ้นซึ้งนึ่งพอดีกับเวลาอาหารกลางวัน วันนี้คุณหญิงตรึงจิตไม่ได้เข้าครัว แต่เป็นเจ้าเกล้า

   “อุ้ย ขนมเบื้องญวน นั่นก็แกงสายบัวใช่ไหมจ้ะ น้าไม่ได้กินนานเหลือเกิน ทานกันเลยไหมคะคุณแม่ มุกหิวแล้ว” คุณมุกสมุทรทำท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่งที่เธอจะได้ทานของพวกนี้

   คุณหญิงตรึงจิตได้ฟังก็แอบส่ายหน้า โตแล้วยังแก่นแก้วเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด ถึงจะนานมากแล้ว แต่คนอย่างคุณหญิงที่เคยเป็นอาจารย์มานั้นสมองดีที่หนึ่ง ยังจำได้แม่นเชียวว่าสมัยนั้นหล่อนอยากจะจับแม่เด็กผมเปียฟันหลอนี่มาฝึกมารยาทมากแค่ไหน

   บนโต๊ะนั้นมีอาหารหลากหลาย ทั้งแกงสายบัวที่คุณมุกสมุทรจ้วงเอาๆ ขนมเบื้องญวนโบราณสูตรเก่าแก่ที่หากินไม่ได้ง่ายๆ ในปัจจุบัน แถมยังมีแกงเทโพ กับไข่ลูกเขยอีก ที่สำคัญทุกอย่างล้วนเป็นฝีมือเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนี้ ไม่ได้แล้วมุกสมุทร ยังไงเด็กคนนี้ก็ต้องไปเป็นสะใภ้บ้านธราธัตต์ให้ได้




   “เอ้อ หนูเกล้า น้ารู้เรื่องสัมภาษณ์งานวันนั้นแล้วนะ น้าขอโทษนะจ๊ะ น้าไม่ได้อยากจะใช้ซงใช้เส้นให้หนูเกล้าเข้าไปฝึกงานเลยนะ แต่พอพนักงานรับคำสั่งไปคงคิดกันไปเอง” หลังจากมื้ออาหาร คุณตรึงจิตก็ขอตัวไปดูต้นไม้ในสวน คุณมุกสมุทรเลยได้โอกาสเข้าเรื่องที่หล่อนกำลังมีประเด็น “อีกอย่างที่น้าอยากให้ตาเหินมาสัมภาษณ์หนูเกล้า เพราะว่าหนูเกล้าเป็นคนมีความสามารถ และตาเหินนี่แหละจ้ะเป็นคนที่เคี่ยวที่สุดในบริษัทเลยก็ว่าได้”

   เจ้าเกล้าฟังจบก็กล่าวยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นคนเลือกเอง อีกอย่างคนในฝ่ายก็ดูยุ่งๆ คุณเหินเองก็บอกว่าถ้ารับเข้าไปบางทีอาจไม่มีคนสอนงาน” ฟังแล้วคุณมุกก็ได้แต่เข่นเขี้ยว ลูกชายบ้านนี้นี่ ไม่ได้ดั่งใจสักคน

   “คุณเหินอะไรกันจ๊ะ คนกันเอง เรียกพี่เหินดีกว่า ส่วนเรื่องงานหนูเกล้ามาฝึกกับน้าเถอะนะจ๊ะ จริงๆ น้ามีเรื่องอยากขอร้อง” คุณหญิงกล่าวด้วยกริยากระมิดกระเมี้ยนดั่งว่าเรื่องที่จะกล่าวนั้นทำให้เธอลำบากใจเสียเหลือเกิน ทั้งที่จริงก็เป็นแผนหนึ่งในหลายพันหมื่นกลยุทธ์เอาไว้หลอกล่อว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอนั่นเอง

   “เอ่อ อะไรเหรอครับ” เจ้าเกล้าถามกลับอย่างเกรงๆ คนบ้านนี้พูดจาแบบนี้ทีไร เป็นเซอร์ไพรส์ทุกที จริงๆ เขาก็ลำบากใจ จะให้บอกไปว่าเขากับเหินฟ้าเองได้ตกลงกันไปแล้ว ก็อาจจะดูไม่ดี เพราะฝ่ายนั้นแค่บอกว่าจะติดต่อกลับมาเท่านั้น

   “คือช่วงนี้น่ะจ้ะ มีสาวๆ ลูกสาว หลานสาว เหลนสาวเพื่อนน้าเองจ้ะ เข้ามานัวเนียพัวพันกับตาเหิน แต่ตาเหินเขาไม่ชอบหรอกนะจ๊ะ ตาเหินเขาชอบคนเรียบร้อย น่ารัก เป็นงานบ้านงานเรือน” เจ้าเกล้าได้แต่ทำหน้าแบบที่วัยรุ่นสมัยนี้เรียกว่าแดกจุด แน่นอนว่าพูดมาขนาดนี้เจ้าเกล้าจะไม่รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงก็ดูจะฉลาดน้อยไปเสียหน่อยแล้ว

   “อุ้ย!” คุณมุกสมุทรเพิ่งระลึกได้ว่าเผลอรุกหนักไปแล้ว ค่อยตะล่อมๆ สิมุก เสียแผนหมด “ช่างเรื่องสเป็คไปเถอะจ้ะ จริงๆ ตาเหินก็ชอบคนที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ชีวิตของเขาแหละจ้ะ หุหุหุ” ดีมากมุก เอาล่ะต้องรีบเปลี่ยนประเด็นไม่ให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน “นั่นแหละจ้ะ หนูเกล้า ทีนี้เรื่องของเรื่องก็คือ เหล่าผู้หญิงพวกนั้น น้าไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ อีกอย่างช่วงนี้ตาเกินก็โฟกัสกับงาน น้ากลัวเสียสมาธิ”

   คุณมุกสมุทรเว้นวรรคให้เรื่องราวดูน่าตื่นเต้น และจริงจังขึ้นมาบ้าง ไม่เสียแรงที่เธอเคยเข้าคอร์สพูดอย่างไรให้น่าสนใจมาแล้ว “ก็เลย ถ้ามีคนในอย่างหนูเกล้าเข้าไปช่วยเป็นหูเป็นตาให้น้าสักหน่อย น้าก็จะวางใจจ้ะ หนูเกล้าเป็นคนฉลาด และเก่ง น้าเลยอยากจะว่ายวานเสียหน่อย”

   ฟังจนจบเจ้าเกล้าก็ลอบคิดในใจ เอ คนระดับคุณมุกสมุทรนี่ไม่มีหูมีตาในบริษัท ดูจะเป็นไปได้ยากเสียหน่อย นี่คงไม่ใช่แผนการกามเทพสื่อรักให้เขาได้ใกล้ชิดกับลูกชายหรอกนะ...อืม แต่ก็อาจจะไม่ใช่ คนอย่างคุณมุกสมุทรคงไม่อยากให้ลูกชายรักชอบเพศเดียวกันให้เสียเกียรติหรอก

   “ถ้าเป็นเรื่องช่วยดูคุณ ... เอ่อ พี่เหิน ผมว่าอาจจะไม่เหมาะมั้งครับ คุณน้าลองไปคุยกับพี่เหินตรงๆ เขาน่าจะมีวิธีรับมือที่ดีนะครับ พี่เหินทำงานกับการวางแผน น่าจะเป็นคนจัดการอะไรได้อย่างเหมาะสมกว่าผมนะครับ” คุณมุกสมุทรฟังแล้วยังต้องแอบเอามือทาบอก(ในใจ) หนูเกล้านี่ไม่ง่ายเสียแล้ว เอาล่ะในเมื่อรุกคืบไม่ไหว ก็ต้องถอยออกมาก่อน

   “เรื่องนั้นเราค่อยว่ากันก็ได้จ้ะ แต่คือตอนนี้น่ะ หนูเกล้าไปสัมภาษณ์อีกสักรอบเถอะนะ น้าจะจัดหาคนสัมภาษณ์ให้ ไม่เอาตาเหินก็ได้ถ้าหนูไม่สบายใจ แล้วถ้าได้ไม่ได้ จะให้เขาตัดสินเลย” คุณมุกสมุทรกล่าวหน้าตาจริงจังแกมขอร้อง “แต่ถ้าได้ไม่ต้องกังวลไม่มีคนสอนงานนะจ๊ะ น้าหาให้ได้แน่นอน”

   เจ้าเกล้าได้ฟังแล้วก็ต้องถอนหายใจ เขาคงไม่อาจหาคำฉลาดใดๆ มาต่อกรกับผู้ใหญ่ที่หัวค่อนไปทางแข็งเสียหน่อยได้อีกแล้ว “ไปสัมภาษณ์ก่อนก็ได้ครับ”

   คุณมุกสมุทรได้ยินแล้วถึงกับแอบปาดน้ำตา(ในใจ) “ดีเลยจ้ะ เดี๋ยวน้าไปนัดตาเหิน เอ้ย น้าหมายถึงคนจะสัมภาษณ์หนูให้มาติดต่อหนูอีกทีดีไหมจ้ะ”

   “ได้ครับคุณน้า” เจ้าเกล้าจำต้องรับคำไปอย่างปลงๆ ทั้งคนแม่ คนลูก ก็เข้าใจยากพอๆ กันเลยให้ตายเถอะ

   “เอ้อ น้ามีอีกเรื่องที่อยากรบกวนหนูเกล้าจ้ะ” คนเป็นผู้ใหญ่เอ่ยเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาในทันที

   “ครับ”

   “คืองี้ๆ เมื่อกี้ที่คุยกันเห็นว่าน้องเกล้ารับสอนพิเศษด้วยใช่ไหมล่ะ”

   “ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มรับ ช่วงเช้าวันเสาร์อาทิตย์ เชาจะรับสอนพิเศษเด็กตัวน้อยๆ วิชาภาษาอังกฤษ กับวิชาภาษาไทย ส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กละแวกนี้ที่บ้านไม่ค่อยว่างก็จะมาฝากไว้ บางคนเรียนเสร็จช่วงเช้าก็อยู่เล่นบ้าง ทำขนมบ้างจนเย็นรอผู้ปกครองมารับ

   “เนี่ย หลานสาวของน้าเขากำลังหาที่เรียนพิเศษให้ลูก น้องน่ารักมากเลยจ้ะอยุ่ ป.1 น้าเลยว่าจะเอามาเรียนกับหนูเกล้าได้หรือเปล่า” เด็กน้อยที่กล่าวถึงเป็นลูกของลูกพี่สาวคุณมุกสมุทร และเป้นต้นเหตุของการค่อนขอดลูกชายทุกวันว่าเมื่อไหร่จะมีหลานให้เลี้ยงเหมือนบ้านอื่นเขาบ้าง

   “ผมไม่มีปัญหาครับ แต่หาที่เรียนในเมืองไม่สะดวกกว่าหรือครับ” เจ้าเกล้าทำหน้าฉงน เพราะจากในเมืองขับรถมาที่นี่ถ้ารถไม่ติดก็ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้ารถติดก็เรียกว่าหลับได้หลายตื่นกว่าจะมาถึง

   “อุ้ย เช้าๆ รถไม่ติดหรอกจ้ะ มาแค่อาทิตย์ละวัน สบายๆ อีกอย่างคุณตรึงจิตเล่าให้น้าฟังว่านอกจากจะสอนการเรียนแล้วหนูเกล้ายังสอนเด็กๆ ทำอาหาร ทำนู้นื่ด้วยใช่ไหมล่ะ น้าเลยคิดว่ามาหาหนูเกล้านี่คุ้มกว่าไปส่งโรงเรียนกวดวิชาอีกน้า”

   “เอ่อ ถ้างั้นก็เอาที่คุณน้าว่าก็ได้ครับ ถ้ายังไงพาน้องมาเจอผม หรือจะให้ผมไปเจอน้องก่อนสักครั้งก็ได้นะครับ เผื่อว่าน้องจะไม่ถูกใ..”

   “โอ้ยยย ไม่เลยๆ น้องรักเป็นเด็กดีมากเลยลูก ไม่ดื้อไม่ซนเลย น่าจะเข้ากับหนูเกล้าได้ เดี๋ยวเสาร์หน้า น้าพาน้องมาหานะลูก น้องชื่อน้องรักค่ะ ชื่อจริงว่าลานรัก”

   “ชื่อน่ารักจังครับ” เจ้าเกล้ายิ้มตาม เผลอจินตนาการถึงหน้าตาของเด็กน้อยว่าจะเป็นอย่างไร “น้องเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงครับ”

   “ผู้ชายจ้ะ จริงๆ มีน้องสาวนะ ชื่อลานไพลิน แต่น้องลินยังแบเบาะอยู่เลยค่ะ” คุณหญิงยิ้มด้วยความนึกเอ็นดูหลาน

   “ตั้งชื่อเก่งจังนะครับ เอาเป็นว่าวันเสาร์คุณน้าพาน้องมาสัก 9 โมงได้ไหมครับ เป็นช่วงเริ่มคลาสของเด็กๆ พอดีจะได้มารู้จักเพื่อนๆ กันเลย”

   “ว้าว ดีเลยจ้ะ ตามนั้นเนาะ” คุณมุกสมุทรยิ้มแป้น ไม่รู้ทำไม แต่บรรยากาศเวลาพูดคุยกับหนูเกล้ามันช่างร่มเย็นเหมือนบ้านสวนที่นี่จริงๆ เลย


❤❤❤❤

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวเก้า] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 29-04-2018 21:07:10
ก้าวเก้า - โรงอาหารนิเทศศาสตร์
     

          ผ่านไปไม่กี่วัน ทางบริษัทธาราเจมส์ก็เรียกตัวเจ้าเกล้าไปสัมภาษณ์อีกรอบที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โดยคนสัมภาษณ์คือพี่แอนรองหัวหน้าแผนก ผู้มีความใจเย็นและรอยยิ้มเอื่อยๆ เป็นอาวุธ หาได้เหมาะกับงานพีอาร์แม้สักนิด และนั่นก็ทำให้เจ้าเกล้าผ่านการสัมภาษณ์ฝึกงานไปอย่างไม่ยาก โดยพี่เลี้ยง หรือคนสอนงานนั้นจะได้รู้ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นวันเข้าทำงานจริง

   “แม่เกล้าได้ที่ฝึกงานแล้ว กูเอาไงดีเนี่ย” พุฒิที่หลังจากฟังเจ้าเกล้าเล่าเรื่องสัมภาษณ์ระหว่างมื้อกลางวันไปเมื่อครู่ก็แอบบ่นออกมาเบาๆ แบบที่มีเพียงคนรอบโต๊ะเท่านั้นที่ได้ยิน

   “พุฒิไม่ไปสมัครที่อินโทรแล้วหรอ” ดินเอ่ยถึงบริษัท Interior Design ชื่อดังที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัวได้ไม่นาน พุฒิเองมีความสนใจทางด้านสถาปัตยกรรมอยู่มาก บวกกับสาขาประชาสัมพันธ์เจ้าตัวอาจจะเห็นว่าสามารถประยุกต์ใช้กันได้

   “ก็ส่งไปแล้วนะพ่อ แต่เขาก็แบบ ยังไม่ตอบกลับเลย” แน่นอนว่าตัวเลือกของเขาก็คือบริษัทอินโทรอยู่แล้ว จริงๆ เขาไม่ได้อยากเรียนประชาสัมพันธ์เท่าไหร่ แต่เพราะตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกเลยตามเจ้าเกล้ามาแบบชิลๆ แต่นานวันเริ่มรู้สึกว่าตนจะมีความสนใจด้านสถาปัตย์มากขึ้น

   “แล้วเรนกับอินล่ะ ที่ส่งไปตอบกันมาบ้างไหม” เจ้าเกล้ากันมาถามคนข้างขวากับข้างซ้ายที่สภาพเซื่องซึมพอๆ กัน

   “ฮื่อ ส่งไปที่แบล็คยาร์ด สัมฯ อังคารหน้า” ต้นอินที่เลือกกินโจ๊กเป็นอาหารกลางวันเพราะขี้เกียจเคี้ยว ตอบกลับมาด้วยไปหน้าง่วงหงาวหาวนอนเป็นที่สุด

   “เรนล่ะ”

   “ออร์แกนโน่” ออร์แกนโน่เป็นบริษัทนำเข้าเครื่องดนตรีขนาดยักษ์ แน่นอนว่าเหมาะกับคนอย่างเรนมากที่สุด และทุกคนก็พยักหน้าเข้าใจ

   “แล้วคุณพ่อล่ะ ไม่เห็นพูดเรื่องตัวเองบ้างเลย” พุฒินิ่วคิ้วซ้ายถาม ดินเองก็มีความถนัดหลายด้าน เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นด้านข่าว และการเมือง เจ้าตัวเคยคิดจะเข้าภาคสื่อสารมวลชน แต่เป็นเพราะความห่วงเพื่อนๆ ที่เปรียบเสมือนครอบครัวในกลุ่ม (อีกนัยน์หนึ่งคือองค์หญิง) จึงเลือกสื่อสารมวลชนเป็นวิชาไมเนอร์แทน

   “อาจจะดีเทกท์”

   “ว้าว เป็นสำนักข่าวที่การเมืองจ๋ามากพ่อ แล้วส่งไปยังอ่ะ”

   “ยังเลย ยังทำรีซูเม่ไม่เสร็จ”

   เจ้าเกล้าที่นั่งสังเกตสมาชิกในกลุ่มไปพลางฟังไปพลางเอ่ยแทรกขึ้น “อืม จริงๆ นอกจากอิน ดินกับเรนช่วงนี้ทำงานหนักหรือเปล่า”

   “หืม ดูออกหรือเกล้า” ดินบอก

   “ดินใต้ตาคล้ำขึ้นนะ” เจ้าเกล้ากล่าวดั่งสังเกต

   ดินถอนหายใจหนักๆ ทิ้งหนึ่งระลอก “จริงๆ แล้วช่วงนี้เราสอนพิเศษลูกชายของป้า ดื้อมาก แกกำลังจะเข้า ม.3 เลยติวหนักหน่อย งอแงมากจริงๆ” ดินที่เป็นผู้ชายระดับความอ่อนโยงสูงเฉียดหอไอเฟลยังกล่าวแบบนี้กับเด็กๆ เห็นทีเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาเป็นแน่

   “มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้” เจ้าเกล้าว่า “เรนล่ะ ดูเพลียมากขึ้นนะ” สุ่มเสียงอันอ่อนโยน ทำให้เรนต้องเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวผัดไข่

   “งานที่ร้านแหละ”

   “Hundred Seasons หรอ? งานเรนไม่ใช่เลิกสามทุ่มครึ่งหรอ” เจ้าเกล้าขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรนเนอร์มาปรึกษาเรื่องการเข้าทำงาน เจ้าเกล้าเป็นคนขอต่อรองเวลางานของเรนเนอร์ด้วยตัวเอง วันนั้นจึงต้องไปที่ร้านด้วย และที่สำคัญเขาได้เจรจากับเจ้าของร้านแล้วว่าขอให้เรนเลิกงานก่อนสามทุ่มครึ่ง ส่วนกะดึกก็ให้เปลี่ยนคนแทน ซึ่งเจ้าของร้านก็เข้าใจและยอมรับข้อเสนอแนะ

   “ไม่มีอะไรหรอก ต้องอยู่ซ้อมด้วยนิดหน่อย” เจ้าเกล้ามองดูก็รู้ว่าเรนเนอร์ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด ในบรรดาสมาชิกกลุ่มนี้ เรนเนอร์เป็นคนที่ไม่ยอมพูดยอมจาที่สุด เหมือนจะเงียบ ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วด้านในยังเด็กมากนัก เพื่อนๆ ในกลุ่มจึงค่อนข้างเป็นห่วงเรนเนอร์มาก

   “โอเค มีอะไรก็บอก อย่าหักโหมเขาใจหรือเปล่า” เจ้าเกล้ากล่าวพร้อมเอื้อมมือไปลูบหน้าลูบหัวคนหน้าง่วง

   “อือ” เรนเนอร์ครางออกมาเบาๆ นอกจากพ่อแม่แล้วไม่เคยมีใครได้แตะหัว หรือตัวเขา เขาไม่ชอบ มีเพียงเจ้าเกล้าที่สามารถทำมันได้ เพราะสี่ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคนๆ นี้จริงใจ และอ่อนโยนกับเขาจริงๆ

   .
   .
   .


   บรรยากาศการทำงานในบริษัทธาราเจมส์ที่ตอนนี้ได้ลูกค้ารายใหญ่กำลังเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เร่งรีบ และจริงจังเป็นที่สุด แต่ผู้มาเยือนคนใหม่กลับเป็นคนที่ร่าเริงที่สุดในบริษัทนี้ก็ว่าได้

   “เหินลูกกกก” คุณนายมุกสมุทรผลักประตูเข้ามาไม่ได้แคร์บรรยากาศตรึงเครียดในห้องทำงานของลูกชายเลยแม้แต่น้อย

   “แม่?” เหินฟ้าที่นั่งหลังขดหลังแข็งมาครึ่งค่อนวัน จำต้องละสายตามาตอบรับคนเสียงแหลมที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

   “แม่เองลูกรัก” เนี่ย คำพูดคำจาแตกต่างจากจากวันนั้นลิบลับที่ตื่นเช้ามาก็เหวี่ยงคนทั้งบ้าน แต่พอกลับมาก็ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษมาจนถึงวันนี้ ถามก็ได้ความว่าไปบ้านเพื่อนมา ฟังดูน่าสงสัยชะมัด

   “มีอะไรครับ ผมกำลังยุ่งอยู่เลย”

   “อุ้ยต๊าย!” คุณมุกสมุทรเอามือป้องปาก “เดี๋ยวนี้ไล่แม่หรอคะ”

   เหินฟ้าถอนหายใจ “เปล่าครับ คุณแม่พูดธุระมาได้เลยครับ”

   “หึ ก็ได้ๆ คนบ้านนี้นี่น้า วันๆ ทำแต่งาน” คุณมุกสมุทรบ่นเบาๆ อย่างเซ็งใจ แน่ล่ะ ตั้งแต่เช้าเธอแวะเวียนไปหาคนในบ้านมาครบแล้ว จนมาจบที่ตาเหิน แล้วแต่ละคนก็ยุ๊งยุ่งเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยมีงานมาก่อน บริษัทก็เปิดมาจนใหญ่โต ให้คนอื่นทำบ้างก็ได้หรอก บ้างานกันจริงๆ ถึงไม่มีคู่ไม่มีครองอยู่แบบนี้ไง

   “คืองี้ค่ะลูก วันศุกร์นี้น่ะ พิมจะมาที่บ้าน จะพาหนูรักมาเรียนพิเศษ พอดีหาคุณครูได้แล้ว” คุณมุกสมุทรยิ้มกริ่มที่เป็นไปไม่ได้เลยที่เหินฟ้าจะจับพิรุธไม่ได้

   “ยัยพิมจะมา ...แล้ว?” เหินฟ้าเลิกคิ้วพร้อมถามหาความจริง

   “แหม นานๆ น้องจะมาบ้าน เหินก็อยู่กับน้องหน่อย แล้วก็ แม่วานไปส่งน้องเรียนพิเศษหน่อยได้ไหมลูก”

   “เดี๋ยวผมให้นพดลไปส่งใ...”

   “ไม่ด้ายยยย” คุณมุกสมุทรทำเสียงลูกจนปากการ่วงจากมือคนลูก “แม่ไม่ไว้ใจใครหรอกนะ หลานแม่น่ะ เราต้องเป็นคนไปส่งน้องเท่านั้น เพราะเป็นวันแรกด้วยที่น้องจะต้องไป” คุณมุกที่ปรี่เข้ามาจับขอบโต๊ะคุณรองประธานฯ กำลังทำหน้าเหี้ยมสไตล์นางเอกเกาหลีที่ช่วงนี้ทำจนติดเป็นนิสัย พร้อมยื่นขำขาด

   “แต…”

   “ถ้าเหินไม่ไปก็ไม่ต้องมาคุยกับแม่ แค่นี้ทำให้ครอบครัวเราก็ไม่ได้หรอ” เหินฟ้าที่เหมือนอยู่ดีๆ ก็โดนเอาหัวกดน้ำได้แต่ถอนหายใจ มาอีหรอบนี้ก็แพ้ตลอดแหละ เขาเคยขัดแม่ซะที่ไหน มากสุดก็เรื่องดูตัวนั่นแหละ

   “ครับๆ เดี่ยวยังไงผมทำงานก่อน วันนั้นค่อยว่ากัน” เหินฟ้าว่าพลางหันหน้าเข้าคอมที่อยู่ทางขวามือเพื่อเลี่ยงบทสนทนาอะไรก็ตาม คนแก้ก็ต้องดูแลตัวเองนั่นแหละนะ

   “โอ้ย ลูกเหินของแม่ งั้นแม่กลับไปก่อนนะ วันนี้จะทำข้าวต้มมัดให้กิน สูตรนี้ถึงจะไม่เด็ดเท่าเจ้าของ แต่ลูกศิษย์อย่างแม่รับรองว่าอร่อยเริ่ดไม่แพ้กัน” คุณมุกสมุทรกล่าวเสร็จก็ฟูลเทิร์นออกห้องไปแบบสวยๆ ทิ้งไว้ให้เหินฟ้าที่เห็นแม่เขาพูดเรื่องการทำข้าวต้มมัดมาเป็นอาทิตย์แล้วได้แต่นั่งสงสัย

   เหินฟ้ากอดอกพลางพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว จนได้คำตอบออกมาหนึ่งประการ ‘เจ้าเกล้า'

❤❤❤❤

จิวจะแวบๆ มาลงในเล้าแบบห้าตอนลงทีแล้วกันนะคะ
ลงในเล้าค่อนข้างใช้เวลา เลยไม่อยากทำยิบย่อย
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ >/\<

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 29-04-2018 21:10:40
ก้าวสิบ - โรงเรียนรัฐสกุล
     

      ปกติตอนเช้าเหินฟ้ามักจะได้ยินเสียงปลุกเป็นเสียงนกแก้วนกขุนทองบ้านคุณเจนจิราฝั่งตรงข้าม แต่ถึงวันนี้เขาจะตื่นเพราะเสียงเช่นกัน แต่มันไม่ใช่เสียงนก เพราะมันคือเสียงเจี้ยวจ้าวแต่เจื้อยแจ้วของเด็กๆ ที่เหินฟ้าจำได้ทันทีว่าเป็นหลานๆ สุดรักของคุณมุกสมุทร จริงๆ ก็รวมตัวเขาด้วยนั่นแหละ

   “อ้า พี่เหินนนน มาแล้ววว” ยังไม่ทันจะหยั่งเท้าถึงบันไดขั้นสุดท้าย ดวงตาใสๆ ก็จับจ้องมาพอดี พร้อมกับขาเตี้ยๆ ที่วิ่งมาเกาะขาของเขาจนต้องรีบย่อลงไปทักทาย

   “สวัสดีพี่หรือยังครับ”

   “สวัสดีครับ” มือน้อยพนมไหว้อย่างน่าเอ็นดูจนเหินฟ้าต้องให้รางวัลเป็นหอมไปหนึ่งฟอด น้องรัก หรือลานรัก พฤกษ์ไพรศร เป็นลูกของพิมนภาลูกสาวคนโตของคุณพลอยอัมพรพี่สาวของคุณมุกสมุทร พูดง่ายๆ ก็คือ แม่ของน้องรักเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเหินฟ้า จริงๆ แล้ว น้องต้องเรียกเขาว่าคุณอา แต่คุณมุกชอบเรียกแทนเขาว่าพี่ให้น้องฟังบ่อยๆ จนติดปากกันมาทั้งบ้าน

   “มาๆ เดี๋ยวไปกินข้าวกันก่อน เจ็ดโมงแล้ว สักแปดโมงเดี๋ยวเหินได้ไปส่งน้องกัน” คุณมุกสมุทรต้อนหลานๆ เข้าไปกินข้าวในห้องอาหาร พร้อมเรียกพิมพ์นภาที่กำลังอุ้มหนูลิน น้องสาวคนสุดท้ายของบ้านที่เพิ่งอายุได้แค่แปดเดือนเท่านั้น


   

   “นี่ ตาเหิน วันนี้น่ะ ไปส่งน้องแล้วรับน้องกลับมาด้วยนะ” เหินฟ้าเป็นอันต้องชะงักช้อนข้าวต้ม นี่แม่จะให้เขาไปส่งจริงๆ หรอ มันลำบากไปไหมน่ะ แล้วจะให้ไปรับด้วยเนี่ยนะ

   “แล้วให้ผมไปรอหรือครับ”

   “รอนิดรอหน่อยเป็นไรไป ที่โรงเรียนน่ะที่รอเยอะแยะ” คุณมุกสมุทรแอบอุบไว้ก่อนว่าโรงเรียนที่หมายถึงนี่ไม่ใช่แค่โรงเรียน แต่เป็นบ้านสวนร่มรื่น แหมแต่เรื่องที่รอเยอะแยะนี่ไม่ได้โกหกนะ “น้องรัก อยากให้พี่เหินไปรับไปส่งใช่ไหมครับ” ระหว่างที่ลูกชายตัวโตกำลังแบ่งสมาธิไปเคี้ยวข้าวนี่แหละ ต้องรีบหาตัวช่วย

   “อยากครับ” น้องรักผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะกำลังเอ็นจอยกับข้าวต้มหมูฝีมือยายสมรแม่ครัวประจำบ้านตอบออกมาอย่างซื่อตรง จนคนที่กำลังเคี้ยวข้าวต้มหม้อเดียวกันต้องเหลือบมามองมารยาคนเป็นแม่

   “ก็ได้ครับ เดี๋ยวตอนเย็นพี่พาไปกินไอติมเนอะ” ถ้ามีที่รอจริงๆ เอาโน้ตบุ๊คพกไปทำงานก็ได้ นานๆ ทีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี อีกอย่างเขาก็คิดถึงน้องรัก พาน้องไปเที่ยวก็ไม่เห็นเป็นไร ช่างแผนการคุณแม่ไปเถอะ

   “ไอติม รักอยากกินไอติมครับ” น้องรักยิ้มแป้น เพราะของที่ชอบมากๆ เลยก็คือไอติมนี่แหละ

   “ดีจ้ะ ทานอิ่มแล้วเดี๋ยวเราไปดูการ์ตูนกันเนาะ เหินก็ไปแต่งตัวซะ อย่าช้าล่ะ เรียนเก้าโมงนะ” คุณมุกสมุทรสั่งเสร็จก็จูงมือหลานรักเข้าบ้าน

   “พิม” เหินฟ้าหันมาเรียกคนที่เหลืออยู่ซึ่งกำลังป้อนข้าวน้องลินอยู่อย่างเพลิดเพลิน

   “ว่าไงเหิน”

   “แม่ไปพูดอะไรเรื่องเรียนพิเศษ”
   


   อุ๊บบ... พิมพ์นภาแทบกลั้นขำไม่อยู่ คุณมุกสมุทรชอบทำเนียนวางแผนนู้นนี่ ส่วนคนลูกก็ชอบจับผิด แต่ก็ตามใจแม่ตลอด

   “น้ามุกไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่บอกว่าได้คุณครูดีๆ มาคนนึง อยากให้น้องไปเรียน ฉันก็โอเคนะ น้องอยู่ว่างๆ เสาร์อาทิตย์ ถือซะว่าเข้าสังคม” พูดไปพลางป้อนน้องลินที่ดุนอาหารเด็กออกไปพลาง กินยากกินเย็นไม่เหมือนคนพี่เลยน้าเด็กคนนี้

   “…”

   “หืม อะไรเล่า” พิมพ์นภาที่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมามอง และเห็นอีกฝั่งกำลังจ้องมาเขม็ง เหมือนจะใช้อวัจนภาษากดดันให้เธอตอบความจริงอะไรออกมา

   “เอ้า ไม่มีอะไรจริงๆ เหินก็รู้จักน้ามุก ถ้าตัวอยากรู้ เนี่ย เดี๋ยวตัวไปตัวก็รู้” พิมพ์นภาพูดขำๆ ก่อนจะเช็ดปากให้เจ้าตัวน้อยที่กินไปแค่ครึ่งถ้วยเท่านั้นเอง

   “เฮ้อ จริงๆ ก็พอเดาได้นะ แต่แค่อยากแน่ใจ”

   “เรื่องเดิมๆ หรอ” พิมพ์นภาหมายถึงเรื่องคู่ครอง ซึ่งก็เป็นเรื่องเดียวที่คุณมุกสมุทรเรียกได้ว่ากัดไม่ปล่อยมาตั้งแต่เหินอายุเข้า 26

   “อืม”

   “เอ เหินบอกแม่ไปแล้วนี่ว่าชอบผู้ชาย” พูดถึงตรงนี้พิมพ์นภาก็แอบยิ้ม ลูกพี่น้องของเธอนี่กล้าโกหกออกไปได้ไม่อายปาก แล้วคนอย่างน้ามุกสมุทรก็เชื่อด้วยสิ

   “อืม” เหินเสตามองไปยังน้องลินที่เล่นลิ้นเล่นนิ้วไปพลาง ช่วงนี้เหมือนจะหัดเดินได้แล้ว พูดได้เมื่อไหร่แม่เขาคงถูกขโมยไปโดยสมบูรณ์แน่ๆ แล้ว

   “อุ้ย อย่าบอกนะว่า... ว้าย เขินจัง” พิมพ์นภายิ้มจนแก้มแดง ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะโดนคุณแม่จับคู่กับผู้ชายให้ ถึงจะแปลกๆ แต่ก็รู้สึกอยากเชียร์ยังไงก็ไม่รู้สิ ก็เหินเนี่ยเมื่อก่อนเจ้าชู้น้อยเมื่อไหร่ เพิ่งเลิกไปเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

   “เขินบ้าอะไรของเธอ ไปเตรียมตัวแล้ว” เหินลุกเดินไปไม่วายมาขยี้หัวเด็กน้อยลานไพลินก่อนจะผละเข้าบ้านไป

   “เอาพี่สะใภ้มาให้ฉันดูไวๆ น้า” พิมพ์นภาแอบแซะไม่ได้จนคนฟังที่หันหลังอยู่ต้องโบกไม้โบกมือเป็นเชิงไล่ให้ไปไกลๆ น่าสนใจจริงๆ รอบนี้คุณน้าดูทุ่มเทมากถึงขนาดมาปรึกษาเขาให้ช่วยเอาลูกมาเป็นตัวอ้างให้เหินไปส่ง เธอเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมากไปกว่านั้น เพิ่งมารู้วันนี้ งานนี้คงจะสนุกน่าดู



   “น้องรัก เอาอะไรใส่กระเป๋ามาบ้างครับ” เหินฟ้าที่กำลังทำหน้าที่สารถีในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงยีนส์สบายๆ หันไปชวนเด็กน้อยในอีกเบาะคุย น้องรักตอนนี้กำลังค้นกระเป๋าเช็คของอีกรอบหนึ่ง

   “รักเอาการบ้านที่โรงเรียน กับหนังสือไดโนเสาร์มาครับ”

   “หืม อ่านเข้าใจไหมครับ” เหินฟ้าหันไปมองหนังสือที่เขียนว่า Jurassic World ที่น่าจะเป็นหนังสือภาพภาษาอังกฤษ

   “เข้าใจครับ อันไหนไม่เข้าใจ รักจะถามคุณครูวันนี้ครับ” น้องรักเป็นเด็กชอบเรียนรู้ ขี้สงสัย ช่างซักถาม และกล้าที่จะพูดหากไม่รู้ หรือไม่เข้าใจ คนที่บ้านเลยเอ็นดูความฉลาดของน้องมาก

   “ดีแล้วครับ แต่ถ้าคุณครูไม่ว่างสอนพี่เหินก็สอนได้น้า” เพราะเด็กในคลาสน่าจะเยอะ คุณครูคงเตรียมอย่างอื่นมาให้น้องๆ เล่นมากกว่า อย่างว่าแหละ เด็กตัวแค่นี้จะเรียนอะไรมากมาย เขาเคยเห็นครูบางคนที่สอนพิเศษ สอนจริงๆ ไม่กี่นาที ที่เหลือก็เล่นบ้าง คุยบ้าง เพราะเด็กไม่ค่อยสนใจ

   “ครับผม” เด็กน้อยพยักหน้าจริงจัง พี่เหินคงอยากอ่านไดโนเสาร์บ้าง เหินฟ้าเห็นดังนั้นก็ลูบหัวป้อยๆ ด้วยความเอ็นดู

   .
   .
   .

   เหินฟ้าขับรถมาถึงจุดหมายที่คุณมุกสมุทรบอกทางมาให้ เข้ามาไม่ลึกเท่าไหร่ แต่ก็ไม่คิดว่าแถบนี้จะมีบ้านสวนแบบนี้ด้วย ดวงตาคมจับจ้องทิวพฤกษาที่สูงชันเทียมกับหลังคาจั่วไม้สีน้ำตาลเข้มผ่านกระจกรถ ก่อนจะเบนสายตามาที่ป้ายของบ้าน ‘เรือนรัฐสกุล’ เอ... นามสกุลนี้ เหมือนจะเคยผ่านตามานิดหน่อย

   “สวัสดีครับ” เสียงของใครคนหนึ่งที่มาก่อนตัว ทำให้เหินฟ้าต้องละสายตาจากป้ายไม้สีทองมาสู่ร่างของผู้ชายที่เพิ่งเจอกันไปเมื่อไม่กี่อาทิตย์ วันนี้เจ้าเกล้าแต่งตัวด้วยเสื้อคอกลมแขนยาวสีฟ้าอ่อน กับกางเกงขาจั๊มพ์สีขาวหม่น มองยังไงก็เหมือนเด็ก ม.ปลาย ไม่มีผิด เอ๊ะ ประเด็นไม่ใช่เรื่องนี้สิ ประเด็นคือ...

   “อ้าว คุณเหิน มาส่งน้องเองเลยหรอครับ” เท่านั้นแหละ เหินฟ้าจึงต้องร้องอ๋อในใจ อ๋อออจนคุณนายมุกสมุทรที่เลี้ยงน้องลินอยู่ที่บ้านต้องจามออกมาสามทีเพราะลูกชายคิดถึง ส่วนคนที่ยืมค้ำรถอยู่หลังจากทักคนตัวสูงในรถไปก็มาก็คิดได้ทันที หวังว่าการที่น้องมาเรียนที่นี่คงไม่ใช่แผนคุณมุกหรืออะไรเทือกนั้นหรอกนะ

   “อืม แล้วใครเป็นคนสอนเด็ก”

   “เอ คุณมุกไม่ได้บอกหรือครับ ผมสอนเด็กๆ เองครับ” นั่นปะไร คุณมุกสมุทร เอาล่ะตอนนี้เหินฟ้าขอฟันธงไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์เลยว่าไอ้ลูกเพื่อนแม่เพื่อนพ่อที่น่ารักน่ารักหนาเนี่ยมันคงเป็นคนตรงหน้าเขานี่แน่ๆ และการที่เขาต้องมาส่งน้องรักก็คงเป็นกลยุทธ์จัดหาคู่ชูชื่นของกามเทพสื่อรักอย่างคุณนายมุกแน่นอน แม่นะแม่ เหินฟ้าแอบถอนหายใจเบาๆ

   “เอาเถอะ ไปครับน้องรัก คุณครูมารับแล้ว” เหินฟ้าหันมาช่วยปลดเข็มขัดให้หลานตัวน้อย ก่อนจะลงรถไปพร้อมๆ กัน
   “สวัสดีครับน้องรัก คุณครูชื่อเกล้านะครับ” เจ้าเกล้ายิ้มหวานพร้อมย่อตัวลงมาให้เท่าๆ กัน จนเหินฟ้าแอบขำในใจว่าเหมือนพี่น้องกันมากกว่าคุณครูกับนักเรียนอีก

   “สวัสดีครับคุณครู” น้องเกล้าพุ่มมือไหว้คุณครูหน้าสวย พร้อมจับจ้องไม่วางตา

   “ครับ ไปกันเข้าบ้านเนอะ เพื่อนๆ รอแล้ว”

   “เอ่อ…” ระหว่างที่ทั้งสองพากันเดินเข้าบ้าน คนตัวสูงก็อึกอักๆ จนเจ้าเกล้าต้องหันกลับมา

   “คุณเหินมีอะไรหรือเปล่าครับ”

   “ฉันต้องรอรับน้องกลับ แถวนี้มีที่ให้นั่งรอหรือเปล่า” จริงๆ ก็ว่าจะรอที่นี่ แต่พอรู้ว่าเป็นบ้านของคนที่แม่พยายามจับคู่ให้ก็ออกจะอึดอัดไปสักนิด

   “อืม ถ้าเป็นพวกห้าง หรือร้านกาแฟก็ต้องขับออกไปอีกสักหน่อยนะครับ แต่จริงๆ ถ้าคุณเหินไม่ขัดข้อง นั่งรอในสวนก็ได้ครับ เช้าๆ แดดไม่ร้อน เดี๋ยวผมให้คนเอาของว่างไปให้”

   “เอ่อ ไม่ต้องของว่างก็ได้ ว่าแต่ไปทางนี้ใช่ไหม” คนตัวสูงชี้ไปทางที่น่าจะเป็นสวนเพราะมีต้นไม้เยอะกว่าตรงอื่น

   “ใช่ครับ ตรงนั้นมีม้านั่งอยู่ นั่งรอตรงนั้นก็ได้ครับ เด็กๆ จะเบรกกันช่วง 10 โมงครึ่งนะครับ” เจ้าเกล้ายิ้มพลางผายมือไปในสวน

   “น้องรักตั้งใจเรียนนะครับ พี่ไปนั่งรอ” เหินฟ้าเดินเข้ามาลูบหัวเด็กน้อยที่เอาแต่จ้องหน้าคุณครูไม่วางตา

   “ครับผม” น้องรักรับคำอย่างหึกเหิม วันนี้เขาจะเรียนเผื่อพี่เหิน เผื่อแม่พิม เผื่อน้องลิน เผื่อคุณพ่อ เผื่อคุณยายพลอย คุณยายมุก เผื่อทุกๆ คนเลย



   คลาสวันนี้มีเด็กๆ 5 คน น้องรัก น้องปาล์ม น้องฝ้าย ที่อยู่ ป.1 น้องเฌอแตม และน้องณัฐชั้น ป.2 เจ้าเกล้าเริ่มสอนด้วยการให้น้องเล่มเกมส์บันไดงู ใครที่ไปตกช่องไหนก็จะต้องทำตามที่ช่องนั้นสั่ง มีทั้งให้ร้องเพลง ให้เต้น ให้อ่านคำศัพท์ หรือแม้แต่ให้แสดงละคร บางช่องจะมีคะแนนด้วย ซึ่งคะแนนจะเอาไปใช้แลกขนมในช่วงพักเบรกได้

   “Ok! Roll the dice!” เจ้าเกล้าสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน เพราะเด็กๆ ตื่นเต้นมากกับการใช้ลูกเต๋าทำมือของเจ้าเกล้า และที่เด็กๆ เลือกไป มีหลายลาย ตั้งแต่ลาย Water, Fire, Grass, Sky แม้กระทั่ง Rainbow

   “Five!” กติกาอีกข้อคือ ทอยได้อะไรคนนั้นต้องพูดชื่อออกมาด้วย แต่เจ้าเกล้าไม่ได้บอกให้เด็กๆ พูดภาษาอะไร แต่เขาจะขานพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ แรกๆ เด็กๆ ก็ยังไม่มีใครพูดด้วย แต่หลังๆ ก็เริ่มพูดตามทุกๆ ประโยคที่เขาพูด

   “อันนี้อะไรเอ่ย น้องรักเคยเจอมาเมื่อรอบก่อนจำได้ไหมครับ”

   “Sing a song with a friend ร้องเพลงกับเพื่อนใช่ไหมครับ รักจำได้” น้องรักที่กระตือรือร้นกับเกมส์นี้มากเพราะตั้งใจจะแลกขนมไปให้น้องลินที่แม้จะยังกินไม่ได้แต่ก็ให้ไว้ก่อน ใส่ตู้เย็นไว้กินตอนน้องโตก็ได้ เพราะแม่บอกว่าขนมถ้ากินไม่หมดให้ใส่ตู้เย็นจะได้ไม่เสีย

   “Correct, and which friend will you pick?" เจ้าเกล้าบอกให้น้องเลือกเพื่อนที่จะร้องเพลง เขามักจะใช้ภาษาอังกฤษบ้างไทยบ้าง แต่ก็จะย้ำเสมอให้เด็กๆ พูดทีละภาษา ไม่ใช่คำไทยอังกฤษคำผสมกันมั่วไปหมด

   “I pick… Palm!”

   “โห่ เราอีกละ” น้องปาล์มที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน และเป็นเด็กผู้ชายเหมือนกันทำให้สนิทกับน้องรักไวกว่าเพื่อน และก็ทำให้โดนเลือกบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน

   “Ok then, what song will you sing? Pick one.”

   “I will sing Elephant เพลงช้างครับ”

   “ฮ่าๆๆ รอบที่แล้วเพลงชาติ รอบนี้เพลงช้างหรอครับ Ok, go ahead!” เจ้าเกล้าที่นั่งขดตัวอยู่ข้างๆ น้องรักช่วยปรบมือให้เด็กๆ ช่วยกันร้อง ส่วนน้องปาล์มที่เหมือนไม่อยากร้อง กลับเต้นไปด้วยอย่างสนุกสนาน

   เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ทำให้คนที่นั่งมุ่นคิ้วพิมพ์งานอยู่ในสวนต้องหยุดพิมพ์แล้วหันไปมองทางชานเรือนที่เด็กๆ กำลังเล่นเกมส์กันอยู่ เสียงร้องเพลงของน้องรักเขาจำได้ แต่พอหันไปกลับเจอคนตัวขาวที่นั่งคุกเข่าทำตัวลีบๆ กลืนไปกับฝูงเด็กๆ พร้อมปรบมือให้จังหวะ และยิ้มสดใสขำขันไปกับเด็กๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใสซื่อของเด็กๆ หรือเปล่าที่ทำให้รอยยิ้มของคุณครูดูใสซื่อไม่ต่างกันเลย

   เหินฟ้ามองอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ตัวว่าเจ้าของบ้านตัวจริงที่กำลังถือขนมกับน้ำกระเจี๊ยบมาให้ต้องหยุดมองคนที่แอบจ้องหลานของหล่อนไม่วางตา หืม ผู้ปกครองเด็กคนนี้ เห็นเจ้าเกล้าบอกว่าเป็นลูกชายแม่มุก หน่วยก้านใช้ได้ ดูมีการศึกษา ต้องลองชวนคุยสักหน่อย

   คุณตรึงจิตเป็นอีกคนหนึ่งนอกจากคุณอัฏฐ์พ่อของเจ้าเกล้าที่คอยคัดกรองหนุ่มๆ รอบตัวของหลานชายหน้าสวย ถึงแม้เจ้าเกล้าจะไม่สนใจใคร แต่คนสนใจเจ้าเกล้ากลับตรงข้าม ว่างๆ คุณยายก็จะชวนกลุ่มของเจ้าเกล้ามาบ้าน แล้วก็แอบถามเพื่อนๆ เกี่ยวกับดีกรีความฮ็อตของหลานชาย จนสุดท้ายต้องฝากฝังดินกับพุฒิว่าให้คอยดูแลให้ด้วย

   “ทานขนมก่อนค่ะคุณ” คุณนายตรึงจิตวางขนมไข่ที่เจ้าเกล้าอบไว้เมื่อคืน กับน้ำกระเจี๊ยบสดต้มเอง และใส่น้ำตาลน้อย ไม่หวานไป ไม่จืดไป

   “เอ่อะ ขอบคุณครับ” เหินฟ้าที่เพิ่งรู้ตัว รีบหันกลับมารับขนม แม่บ้านที่นี่เสียงดุดีจริงๆ ว่าแต่เมื่อกี้เขาเหม่อไปนานขนาดไหนนะ น่าอายชะมัด

   “มองเด็กๆ หรือคะ” คุณนายตรึงจิตเริ่มกระบวนการซักฟอก

   “อ้อ ครับ เห็นเด็กๆ สนุกกันมองแล้วเพลินดี” เหินฟ้าจิบน้ำกระเจี๊ยบเล็กน้อยกลบเกลื่อนความปลิ้นปล้อนเพราะเมื่อกี้ สิ่งที่มองจริงๆ ไม่ใช่เด็กเลยแม้แต่คนเดียว

   “เด็กๆ ที่มาที่นี่ชอบคุณครูมาก แกพยายามทำให้การเรียนกลายเป็นเรื่องที่ถูกซึมซับไปโดยธรรมชาติ ไม่อยากให้เด็กๆ เครียด ทุกๆ วันที่มีการสอน บ้านก็จะครึกครื้นแบบนี้แหละ” คุณนายตรึงจิตแหย่ด้วยคำชมหลานชายเพื่อดูปฏิกิริยาคนหนุ่มตรงหน้า

   “ครับ เอ่อ คุณครูเขาสอนมานานหรือยังครับ” นั่นปะไร คุณนายตรึงจิตแอบตีเข่าไปป้าปหนึ่งในใจ ถ้าเขาแหย่เรื่องหลาน แล้วอีกฝ่ายถามต่อแบบนี้ ต้องสนใจแน่ๆ ที่สำคัญผู้ชายคนนี้ดูไม่ธรรมดา รอบนี้คงต้องปรึกษากับตาลูกเลยเสียหน่อยแล้ว

   “สอนมาตั้งแต่เข้าเรียนมหาลัยแล้ว เคยจะเลิกเพราะงานหนัก แต่เด็กๆ ติดคุณครูแกมาก ผู้ปกครองเองก็ชอบ” คุณตรึงจิตเน้นคำว่าชอบพร้อมส่งสายตาเป็นนัยบางอย่างที่เหินฟ้าเองก็อ่านไม่ออก ได้แต่แอบบ่นในใจว่าแม่บ้านคนนี้แปลกมาก นอกจากจะพูดจาไม่นอบน้อม แถมดูแข็งๆ แล้ว ยังดูเหมือนพยายามจับผิดอะไรเขาอยู่

   “อ่อครับ” เหินฟ้าตัดบทด้วยการจิบกระเจี๊ยบไปอีกรอบหนึ่ง ส่วนคุณนายตรึงจิตนั้นก็ได้แต่เขม่นอยู่ในใจว่าอย่าได้ทำเป็นตัดบทไปเสียเฉยๆ หน่อยเลย หล่อนรู้ดีกว่าใคร เอาเถอะ ปล่อยเหยื่อให้ตายใจไปก่อน
   
   “อ้าว คุณยายลงมาเดินเล่นหรือครับ”

   ...คุณยาย? เหินฟ้าคิดในใจ

   “เอาขนมมาให้คุณเขา แล้วยังไง พักแล้วหรือ”

   “พักแล้วครับ น้องรักแลกขนมมาได้เยอะ เลยเอามาแบ่งพี่เขา” เจ้าเกล้ามองลานรักที่หอบขนมมาเต็มจาน มีทั้งไข่หงส์ ขนมวง ไข่นกกระทา ขนมไข่ อาลัว ขนมผิง

   “อ้อ เป็นไงตัวเล็ก เรียนสนุกไหมลูก” คุณยายหันไปถามเด็กตัวน้อย

   “สนุกมากเลยครับ พี่เหิน รักได้ขนมมาเต็มเลยครับ”

   “โอ้ ขอบคุณครับน้องรักมากินด้วยกันครับ พี่กินคนเดียวไม่หมดหรอก” เหินฟ้ารีบเข้าไปช่วยถือจานของน้องรักเพราะกลัวจะหกไปเสียก่อน

   “คุณเหินครับ นี่คุณยายของผมครับ คุณยายตรึงจิต” เจ้าเกล้าแนะนำคุณยายให้กับเจ้านายในอนาคตตามมารยาทอันควร

   …แม่บ้าน...บ้านแกสิไอ้เหิน!

   “คุณยาย ผมขอโทษนะครับที่เสียมารยาท พอดีผมไม่ร...”

   “ไม่ต้องถือสา ฉันไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่” เหินฟ้าฟังแล้วต้องหันหน้าไปมองเจ้าเกล้า ที่กำลังยิ้มหวานประมาณว่า คุณยายของเขาเองอะไรแบบนั้น แต่เขากลับรู้สึกเหมือนโดนแซะยังไงไม่รู้

   “พักแล้ววันนี้จะทำขนมหรือเปล่า”

   “ครับ วันนี้จะให้เด็กๆ ช่วยกันปั้นบัวลอย”

   “ไม่เบื่อกันหรือไง เอะอะทำบัวลอย”

   “ฮะๆๆ มันง่ายนี่ครับ เด็กๆ ก็ชอบปั้นด้วย”

   “อืม เอาเถอะ เธอเองจะมาปั้นกับเด็กๆ ด้วยก็ได้นะ” คุณตรึงจิตปรายตามาแค่นั้น แล้วก็เดินเชิดขึ้นเรือนไปแบบไม่รอใคร

   “เมื่อกี้ฉันไม่รู้ว่าเป็นคุณยายเลยเสียมารยาทไม่ได้ทักทายแกไป” เหินฟ้ารีบหันมาบอกคนตัวเล็กกว่า

   “คุณยายไม่ถือหรอกครับ แกอาจจะดูเคร่งๆ ไปบ้าง แต่นั่นเพราะแกเป็นครูมาก่อน ถ้าแกจะติ แกจะติโดยไม่ต้องพูดอ้อมค้อมเลยล่ะครับ” เจ้าเกล้ายิ้มหวานเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่เหินกลับคิดว่าอะไรกัน ถ้าไม่อ้อมค้อมนี่มันจะขนาดไหนกัน

   “น้องรัก ขึ้นไปทำบัวลอยกันดีกว่าครับ ถือขนมไปกินบนเรือนก็ได้” เจ้าเกล้าหันไปเรียกเด็กน้อยเพื่อขึ้นไปทำขนมบนเรือนที่ตอนนี้มีมนต์กำลังคอยช่วยดูเด็กๆ อยู่ “คุณก็ไปด้วยกันนะครับ ทำเสร็จคงเที่ยงพอดี” เพราะวันนี้พักตอน 11 โมงพอดีเพราะเล่นเกมส์กันเพลินไปหน่อย เจ้าเกล้าเลยยกประโยชน์ให้จำเลยโดยการจะให้เด็กๆ เล่มเกมส์ภาษาอังกฤษจากการปั้นบัวลอยแทน

   “อืม ไปครับน้องรัก” เพราะน้องรักที่เอื้อมไปจับมือเจ้าเกล้าก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้พอเหินฟ้าเอื้อมมือมาให้จับ หวังให้น้องรักเปลี่ยนมาจับมือเขา แต่น้องรักกลับรวบมือไปจับ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามือหนึ่งจับเขา มือหนึ่งจับคุณครูหน้าสวย ที่ไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับเหตุการณ์นี้เอาเสียเลย

   “ไปครับ” นอกจากนั้น ยังเดินจูงมือเด็กน้อย ที่พ่วงเขาไปด้วยเขาเองก็เงอะๆ งะๆ รีบหยิบจานขนมแล้วเดินตาม

   ภาพชายสองคนที่มีเด็กน้อยจูงมือคั่นกลางที่ระหว่างนั้นคนตัวเล็กกว่าก็ชวนเด็กน้อยตรงกลางคุยนู้นนี่ ส่วนคนตัวใหญ่ก็เอาแต่มองคนตัวขาวอีกทีทำให้คุณตรึงจิตที่มองมาจากบนเรือนต้องแอบทุบบนราวระเบียงไปหนึ่งที เจ้าเกล้าคงไม่ได้คิดอะไรเพราะรายนั้นชอบตามใจเด็กๆ แต่ไอ้หนุ่มหน้าตายนั่นที่คอยมองหลานของเขานี่มันไม่ปกติแน่ๆ คุณตรึงจิตคิดได้ดังนั้นก็หลบอยู่หลังเสาเงียบๆ คอยเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อวางแผนขั้นต่อไป...
   

❤❤❤❤

หนูเกล้าเนี่ย ใครอยู่ใกล้ก็ชอบค่ะ
ขนาดเรนเนอร์ ที่เป็นคนไม่สนใจโลก
ยังต้องยอมให้กับรังสีความอบอุ่นของแม่เกล้าเลยค่ะ

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: HZtaoFan ที่ 30-04-2018 10:51:25
สนุกมากเลยค่ะ
น่ารักกันทุกคนเลยยยย
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: PandP ที่ 30-04-2018 11:17:16
สนุกมากเลยจ้า
รอตอนต่อไปเน้อ
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 30-04-2018 12:04:01
 :katai2-1: ปักหมุดรอครับ....คุณยายกระดูกชิ้นโตเลย หวงหลาน
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 30-04-2018 14:53:44
มีคนเนียน แต่ยินดีด้วยค่ะคุณยายน้องหวงมากกกก :katai2-1: :hao3:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 30-04-2018 23:28:00
ตามจ้า
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบ] 29.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-05-2018 12:06:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบเอ็ด] 12.05.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 12-05-2018 23:50:32
       
ก้าวสิบเอ็ด - บัวลอยของเด็กๆ

               “คุณครูดู Elephant ของปาล์มสิคะ ฮ่าๆๆๆ” เสียงของสาวน้อยเฌอแตมจอมแก่นที่เผอิญว่าระหว่างที่กำลังปั้นบัวลอยเป็นรูปกระต่ายอยู่นั้นเหลือบไปเห็นบัวลอยของน้องปาล์มที่ดูยังไงก็... ดูไม่ออกว่าเป็น Elephant

   ได้ยินดังนั้นน้องปาล์มก็แหวใส่ “No! This is a dragon!” เห็นไหมล่ะ ดูไม่ออกจริงๆ เจ้าเกล้าแอบคิดในใจ

   “ฮ่าๆๆ ถ้าอยากปั้นเป็นมังกรน้องปาล์มต้องขยับปีกลงไปอีกครับ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นหูช้างนะครับ อ้อ เพิ่มคอให้คุณมังกรด้วยครับ” เจ้าเกล้าแนะนำด้วยรอยยิ้ม

   ขณะนี้เป็นเวลาพักผ่อนที่เด็กๆ ชอบที่สุดเพราะคุณครูเกล้าจะมีกิจกรรมทำอาหารให้ทำอยู่บ่อยครั้ง อาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งทำลูกชุบกันไป อาทิตย์นู้นก็ทำทองหยอด พอทำแล้วก็เอาไปฝากคุณพ่อคุณแม่จนได้รับคำชมกันยกใหญ่

   “เอ่อ คุณ มาปั้นด้วยกันไหมครับ” เจ้าเกล้าเหลือบไปมองคนตัวโตที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทานอาหาร แต่สายตานั้นดูก็รู้ว่ามองมาในวงแน่นอน ดูๆ ไปก็เหมือนเด็กโข่งที่อยากเข้ามาเล่นกับเพื่อน แต่ไม่มีใครชวนลยทำตัวไม่ถูก

   “…เอาสิ” งานที่พกมาทำด้วยเป็นอันต้องเบี่ยงไปก่อนด้วยเพราะไม่มีอารมณ์ทำแล้ว ส่วนอารมณ์ที่มันหายไป ก็... ไม่รู้สิ เหมือนมันจะอยู่กับบัวลอยไปหมดแล้ว เขาอาจจะหิวแน่ๆ

   “ทำยังไงบ้างล่ะ” เหินฟ้าที่ลงมานั่งแทรกหลานชายซึ่งแต่เดิมนั่งติดกับคุณครูคนสวยถามขึ้น บัวลอยนี่จำได้ว่าเคยทานในงานเลี้ยง แต่ก็ไม่เคยทำเลย

   “คุณเหินเคยปั้นดินน้ำมันไหมครับ”

   “อืม คิดว่าเคย แต่มันไม่เหมือนกันหรือเปล่า นี่มันแป้ง” เจ้าเกล้าฟังแล้วได้แต่ยิ้มน้อยๆ กับความไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของอีกคน
   “ปั้นเหมือนกันครับ คุณเหินเอามือถูกับแป้งนี่ก่อนนะครับ ตอนปั้นจะได้ไม่ติดมือ”

   “หืม นี่หรอ ทำยังไงล่ะ” เหินฟ้ามองแป้งแล้วก็มองมือตัวเอง คือต้องเอามือลงไปคลุกกับแป้งเลยหรอ แล้วคลุกแค่ไหนดีล่ะ แต่ก่อนที่เด็กโข่งนามเหินฟ้าจะได้คลุกมือลงไปยำกับผงแป้งนั้น คุณครูตัวขาวที่เล็งเห็นแล้วว่างานนี้ต้องมีคนเข้าใจผิด และอาจจะทำให้เกิดการเปื้อนเปรอะแน่ๆ เพราะจากแววตาแล้วน่าจะคิดอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนอีกแหง

   ดังนั้นเขาจึงรีบจับมืออีกคนมาวางบนมือตัวเอง พร้อมค่อยๆ เอาแป้งมาถูให้ แน่นอนว่าเขาทำอย่างนี้ให้เด็กๆ บ่อยๆ ซึ่งกิริยาที่เป็นธรรมชาตินี้กลับทำให้พ่อหนุ่มผู้ไม่ประสากับขนมไทยต้องตัวเกร็งไปพักหนึ่ง

   “อ่ะ เสร็จแล้วครับ” เจ้าเกล้าที่เอามือถูๆ แป้งให้คนตัวโตไม่ถึงนาทีกล่าวขึ้น ส่วนคนที่เพิ่งถูกช่วยเหลือไปนั้นต้องใช้พลังอย่างมากในการรวบรวมสติ เพราะกลิ่นใบเตยเอย กลิ่นแป้งเอย กลิ่นขนมเอยมันทำให้สติหลุดๆ ไปหมด โดยเฉพาะเมื่อกลิ่นเหล่านั้นมันมาจากคนตัวขาวข้างๆ นี่

   “คุณเหินครับ” เจ้าเกล้าเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องพบกับแววตาคมที่กำลังจ้องตนเองอยู่จึงคิดว่าเขาอาจจะลามปามไป เพราะเหินฟ้าเองก็แก่กว่าเขาเป็นรอบ “เอ่อ ขอโทษที่เสียมารยาทครับ พอดีชินกับเด็กๆ ไปหน่อย คุณเหินจะไปล้างมือเลยก็ได้นะครับ”

   “.. อ๋อ ไม่เป็นไร” เหินฟ้าที่เพิ่งรู้ตัวว่านิ่งไปพักหนึ่งจึงรีบเบนสายตามายังแป้งที่พร้อมปั้นแล้ว

   “พี่เหิน จะปั้นเป็นรูปอะไรครับ” น้องรักถามขึ้นระหว่างที่มือก็กำลังปั้นผลไม้ชนิดต่างๆ โดยเลือกใช้แต่ละสีมาประกอบกัน

   “อืม ไม่รู้เลย น้องรักอยากให้พี่ปั้นเป็นรูปอะไรครับ”

   “น้องรักอยากให้พี่เหินปั้นน้องลินครับ” เด็กน้อยตอบตาใส ใช่แล้วปั้นน้องลิน จริงๆ แล้วไม่ยาก ก็แค่กลมๆ มีผมน้อยๆ พี่เหินน่าจะปั้นได้เพราะทีแรกเขาเองก็ลองแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนน้องลินเลย เหมือนซาลาเปามากกว่า เอ แต่จริงๆ น้องลินก็เหมือนซาลาเปานะ

   “ฮ่าๆๆ ได้ครับคนเก่ง เดี๋ยวพี่เหินลองปั้นดูก่อนนะ”

   เจ้าเกล้าที่ปั้นไปฟังบทสนทนาของอาหลานไปก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาเหลือบมอง คุณเหินเวลาอยู่กับน้องรักแล้วบรรยากาศเปลี่ยนไปเลย ดูอ่อนโยนขึ้นเป็นกอง ไม่รู้ว่ารักเด็ก หรือว่าแค่รักคนในบ้าน

   “พี่เหินน้องฝ้ายอยากให้พี่เหินปั้นให้บ้างค่ะ” น้องฝ้ายที่อยู่ดีๆ ก็พูดขึ้น ถึงจะไม่เคยคุยกับคนๆ นี้ แต่รักบอกแล้วว่านี่คือพี่ชาย แล้วพี่ชายของรักก็หล้อหล่อ น้องฝ้ายอดไม่ได้ที่จะอยากคุยด้วยบ้าง

   “ฮ่าๆๆ เอาสิ เราอยากได้อะไรล่ะ” เหินฟ้าที่กำลังหยิบแป้งสีส้มที่ทำจากแครอทมาปั้นเป็นลูกกลมๆ แล้วเดี๋ยวกะจะเอาแป้งสีแดงจากสีของมะเขือเทศมาทำเป็นแก้มของน้องลินถามกลับไป

   “น้องฝ้ายอยากให้พี่เหินปั้นรูปหัวใจให้ค่ะ”

   “ได้ครับคนสวย รอสักครูนะครับ” น้องฝ้ายได้ยินก็แก้มแดงบิดไปบิดมาจนน้องปาล์มอดไม่ได้ที่จะ...

   “นี่แน่ะ” แปะ...

   “กริ๊ดดดด ไอ้ปาล์มนิสัยไม่ดี” เศษแป้งที่คลุกน้ำจนแฉะบนหน้าของน้องฝ้ายทำให้เจ้าตัวถึงกับปริ๊ด มาทำให้หล่อนขายหน้ากลางวงที่มีคนหล่อแบบนี้ได้ยังไง ไม่ย๊อมมมมม

   “เด็กๆ ครับ!” เจ้าเกล้าที่รีบบอกให้เด็กๆ หยุดก่อนจะบานปลายเพราะตอนนี้น้องฝ้ายกำลังหาอะไรมาปาใส่เป็นการแก้แค้น “ไม่แกล้งกันนะครับ น้องปาล์มไม่ควรทำแบบนั้นครับ” เจ้าเกล้าหันมาดุน้องปาล์มในขณะที่น้องฝ้ายพอเห็นหน้าสวยๆ นั่นเริ่มตึงขึ้นมาก็ไม่กล้าแก้แค้นแล้ว

   “ขอโทษครับ” น้องปาล์มทำเสียงอ่อยๆ พร้อมนั่งปั้นปีกมังกรต่อไป

   “ขอโทษคนที่น้องปาล์มแกล้งสิครับ” เจ้าเกล้าพูดเสียงอ่อนลง เด็กก็คือเด็ก สิ่งสำคัญคือถ้าดุก็ต้องค่อยๆ บอก ค่อยๆ เตือน

   “…ฝ้าย เราขอโทษ”

        "อืม ไม่เป็นไร" จริงๆ ฝ้ายอยากบอกว่ายังไม่หายโกรธ แต่ความเกรงใจคุณครูมีมากเหลือเกิน
     
   “ดีแล้วครับ คราวหลังก่อนที่น้องปาล์มจะทำอะไร จำที่คุณครูบอกได้ไหมครับ ว่าต้องหยุดคิดก่อน ว่าสิ่งที่จะทำ ทำไปเพื่ออะไร แล้วถ้าทำไปจะเกิดอะไรขึ้น มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นไหม อย่างครั้งนี้ น้องปาล์มคิดว่ายังไงครับ” คุณครูคนสวยที่ลุกเดินไปหาน้องปาล์มค่อยๆ ลูบหัวเด็กน้อยเจ้าอารมณ์ก่อนค่อยๆ ถ่ายทอดสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กๆ จากคุณยาย และคุณแม่ แม้ว่าเด็กๆ จะยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อสิ่งนี้อยู่ในหัวพวกเขาแล้ว เมื่อโตขึ้นมันจะถูกดึงออกมาใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติแน่นอน

   “ทำแล้วเพื่อนโกรธ คุณครูก็ดุ ทำแล้วไม่ดีครับ”

   “อือฮึ แล้วทำไมน้องปาล์มถึงทำครับ”

   “ก็ .. ก็ฝ้ายจีบแฟนคุณครูนี่ครับ ผมเลยไม่ชอบ” นี่ไง เด็กตัวแสบ เจ้าเกล้าคิดในใจก่อนจะยิ้มน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู

   “คนนี้ไม่ใช่แฟนคุณครูครับน้องปาล์ม นี่เป็นคุณอาของน้องรักนะ” เจ้าเกล้าเหลือบไปมองคู่กรณีแวบนึงก่อนจะหันมาบอกเด็กน้อย

   “แล้วคุณอาของรักเป็นแฟนคุณครูไม่ได้หรอครับ”

   “เป็นแฟนกันต้องรักกันก่อนนะครับ คุณครูเพิ่งเจอกับคุณอาวันนี้เอง” เจ้าเกล้าแอบบิดเบือนความจริงนิดหน่อย

   “แต่ๆ ปาล์มเห็นคุณอาพี่เหินมองคุณครู รักก็เห็น รักยังบอกเลยว่าคุณอาพี่เหินต้องชอบคุณครูแน่เลย” สรรพนามแบบใหม่นี้มาจากข้อมูลที่เพิ่งได้รู้ว่านอกจากเหินฟ้าจะเป็นพี่ของรักตามที่เจ้าตัวเคยบอกแล้ว ยังเป็นอาด้วย ผู้ใหญ่นี่ช่างสับสนดีแท้ ส่วนผู้ใหญ่ที่น่าจะใหญ่ที่สุดในวงนี้ก็ได้แต่กระแอมไอเบาๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สงสัยผงแป้งเข้าคอ

   “หืม ทำไมล่ะครับน้องรัก” เจ้าเกล้าอดอยากรู้ความคิดของเด็กๆ ไม่ได้

   “ก็พี่เหินเคยมองน้องลินอยู่นานมากๆ เลย รักถามแม่ แม่บอกว่าพี่เหินมองเพราะรักน้องลินชอบน้องลิน พี่เหินมองคุณครู พี่เหินก็ต้องชอบคุณครูแน่ๆ เลยครับ” เสียงสดใสเจื้อยแจ้วออกมาอย่างน่าเอ็นดู เจ้าเกล้าแอบทดในใจไว้แล้วว่าตัวเขาถูกมองขนาดที่เด็กๆ รู้เลยหรือนี่ หรือคนๆ นั้นมีอะไรอยากคุยกับเขาหรือเปล่านะ

   “เอาล่ะ เด็กๆ ที่คุณอามองคุณครูเพราะอาจจะมีเรื่องอยากถามคุณครูเฉยๆ ครับ ไม่ได้ชอบอะไรหรอก ใช่ไหมครับคุณเหิน” เจ้าเกล้าส่งยิ้มหวานไปให้อีกคนที่นั่งท่าแปลกๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว

   “เอ้อ อื้ม ใช่แล้วมีเรื่องอยากถาม แต่เดี๋ยวไว้ค่อยคุย”

   “เด็กๆ เข้าใจหรือยังครับ เพราะฉะนั้นคุณครูกับคุณอาไม่ได้เป็นแฟนกันเนอะ” เจ้าเกล้าพูดไปยิ้มไปกับแววตาซื่อๆ ของเด็กๆ ที่ตอนนี้ต่างพยักหน้ากันอย่างขยันขันแข็ง

   “ถ้างั้นเดี๋ยวเรารีบปั้นกันจะได้เอาไปต้ม แล้วก็กินกันนะครับ”

   “คร้าบบบบ/ค่ะะะะ”



   อีกฟากหนึ่งของบ้าน

   “เห็นหรือเปล่ายัยมนต์ เด็กมันยังดูออก” คุณนายตรึงจิตกล่าวขึ้น

   “จริงด้วยค่ะคุณหญิง แหมแต่ลูกชายคุณมุกสมุทรนี่เธอหน้าตาดีเชียวนะคะ คมเข้มและดูภูมิฐานมาก”

   “คงได้เชื้อพ่อเขามา แฟนยัยมุก คุณบัลลังก์เองก็หน้าทรงนี้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าเขาจะมาจีบหลานฉันนะมนต์”

   “แล้วคุณหญิงว่ายังไงล่ะคะ” มนต์ได้แต่ยิ้มแหยๆ กลับไป บ้านนี้ถ้าขึ้นชื่อว่าหลานแล้วเป็นต้องหวงทุกคน ดูสิ ตั้งแต่คุณปอย คุณจุก ยันคุณเกล้า ไม่มีใครมีแฟนสักคน ถึงจะมีก็มีคนคุยด้วยก็มีแบบลับๆ คุณชายคุณหญิงไม่เคยรู้ มีแต่คนใช้คนสวนนี่แหละที่พอจะได้ยินได้เห็นอะไรบ้าง แต่ก็ไม่กล้าไปรายงานเจ้านาย แต่อย่างกรณีคุณเกล้านี่เรียกว่าของรักของหวงของคนทั้งตระกูล โดยเฉพาะกับผู้ชาย แต่จะว่าไปหล่อนไม่เคยเห็นผู้หญิงเข้ามาจีบเกล้าสักคน

   “หน่วยก้านใช้ได้ ดูไม่รุ่มร่ามจนเกินไป หน้าที่การงานผ่าน ฐานะ อืม จริงๆ ข้อนี่ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ต้องรอดูนิสัยนี่แหละ แต่คงจะกระโตกกระตากไม่ได้ เอาเป็นว่าหล่อนโทรไปเล่าให้ตาอัฏฐ์ฟังเสีย ทางนั้นมีแม่วรรณคอยคุยกับยัยมุก ได้ช่วยๆ กันดู เดี๋ยวหนูเกล้าต้องไปทำงานที่เดียวกับคุณเขาอีก” ดูเอาเถิด ความหวงหลาน คุณยายตรึงจิตนี่เป็นประเภทหวงหลานแบบเงียบๆ ไม่เหมือนคุณอัฏฐ์ รายนั้นออกจะโผงผางไปเสียบ้าง แต่อย่างไรก็สู้ชั้นเชิงคุณผู้หญิงคนนี้ของหล่อนไม่ได้เลยจริงๆ

   “ทราบแล้วค่ะคุณหญิง”

.
.
.


   ผลงานต่างๆ อันได้แก่ บัวลอยรูปผลไม้โดยน้องรัก รูปมังกรโดยน้องปาล์ม รูปกระต่ายและรูปแครอทยักษ์โดยน้องฝ้ายและน้องเฌอแตม ที่มีหนูแฮมสเตอร์ของน้องณัฐอยู่ด้วย รวมถึงรูปน้องลิน และรูปหัวใจฝีมือผู้ใหญ่คนตัวสูง ส่วนเจ้าเกล้านั้นแค่ปั้นกลมๆ แบบปกติเท่านั้น ทั้งหมดที่ก่อนหน้านี้ลอยตุ๊บป่องๆ ได้สลายหายไปในท้องของสมาชิกทุกคนหมดแล้ว

   “เอาล่ะ เด็กๆ พักผ่อนกันนะครับ รอคุณพ่อคุณแม่มารับ” กว่าจะทานเสร็จก็หมดคาบเรียนพอดีเจ้าเกล้าจึงปล่อยคลาสเลย ส่วนเด็กๆ ก็วิ่งแจ้นหาของเล่นมาเล่นกัน  ซึ่งก็มีทั้งไม้จังก้า หรือคอนโดไม้ที่เป็นเกมส์สุดฮิต แน่นอนว่าใครทำไม้ล้มต้องโดนทำโทษ ส่วนเด็กผู้หญิงก็เล่นหมากเก็บกัน แต่กระนั้นของเล่นที่เจ้าเกล้าชอบซื้อมาฝากเด็กๆ ก็มีมากมายเต็มชั้นไปหมด เล่นกันได้แปปๆ ก็เปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น จนเหินฟ้าที่นั่งมองน้องรักมาครึ่งชั่วโมงอดสงสัยไม่ได้ว่าหลานเขาสมาธิสั้นหรือเปล่า นี่แค่ครึ่งชั่วโมงมันเปลี่ยนมา 5 อย่างแล้ว เอ หรือแค่เป็นคนเปลี่ยนใจเร็วเฉยๆ

   “คุณเหินจะพาน้องรักกลับเลยไหมครับ” เจ้าเกล้าเดินเข้ามาหลังจากไปดูแลคุณยายทานมื้อกลางวันเสร็จโดยให้แก้ว กับเด็กๆ ที่บ้านช่วยกันดูเหล่าทะโมนกันไป

   เหินฟ้าได้ยินเสียงเรียกก็หันไปเจอกับใบหน้าหวานที่ชวนใจกระตุก เด็กคนนี้เป็นคนเก่ง และมีทัศนคติดีในหลายๆ เรื่อง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่ไปอคติตั้งแต่แรก แต่ก็เพราะแม่เขานั่นแหละที่มายัดเยียดให้ จนกลายเป็นแบบนี้ไป เหินฟ้าคิดไปเรื่อยเปื่อยระหว่างที่จ้องหน้าคนตัวบางไปด้วย

   “เอ่อ.. คุณเหินครับ” เจ้าเกกล้าเบนหน้าเล็กน้อยด้วยความสงสัย จ้องหน้าเขานี่มีอะไรหรือเปล่านะ

   “เอ้อ คือ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” เจ้าเกล้าฟังแล้วก็ยิ้มก่อนจะเชิญไปคุยกันที่สวน โดยไม่ลืมกำชับให้พี่เลี้ยงทั้งหลายช่วยกันดูเหล่านักเรียนที่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนมาเล่นเกมส์เศรษฐีกันแล้ว
   



   สวนหย่อมที่แทรกด้วยไม้ยืนต้นมากมายทำให้เงาของแสงแดดที่ตกกระทบกับพื้นนั้นร่มรื่นไปพลัน สายธารน้อยๆ ที่ไหลเอื่อยๆ ให้เจ้าปลาเหลืองๆ แดงๆ ได้แหวกว่ายอย่างสบายใจยิ่งเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับสวนแห่งนี้ซึ่งคนจัดการจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณตรึงจิตเธอ

   “สวนนี้ร่มรื่น” คนตัวสูงที่กอดอกมองไปรอบๆ อยู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา

   “คุณยายเธอชอบต้นไม้ครับ ทุกเช้าคุณยายจะรดน้ำเอง พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลไม่ต่างจากลูกเลยครับ” เจ้าเกล้าพูดกลั้วหัวเราะ จนคนที่หันหลังอยู่ต้องกลับมามองคนหน้าสวยกำลังจ้องไปที่ลำธารด้วยแววตารักใคร่

   “นายคงรักยายมาก” เจ้าเกล้าได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้ม

   คนตัวบางเบือนหน้าไปมองพืชพรรณที่ต่างรื่นเริงอยู่กับชีวิตอันสงบสุข “ปกติเด็กๆ บ้านนี้จะมาหาคุณยายทุกปิดเทอมอยู่แล้ว แต่ช่วงที่ผมเกิดคุณพ่อกับคุณแม่วุ่นกับธุรกิจใหม่พอดี เลยมาฝากคุณยายเลี้ยง เลี้ยงไปเลี้ยงมาพอคุณพ่อคุณแม่ท่านขอคืน ก็ไม่ได้คืนแล้วครับ” เจ้าเกล้าขำกับตัวเองเล็กน้อย

   “หลานรักสินะ” เหินฟ้าอดจะกระตุกยิ้มตามไม่ได้

   “จริงๆ ก็หลานรักทุกคนแหละครับ แต่คุณยายเธอคงเหงา เลยอยากมีคนอยู่เป็นเพื่อน เลยรั้งตัวไว้จนตอนนี้แหละครับ” เจ้าเกล้า

   “ไม่หรอก นายน่ะน่ารั...” ไอ้เหิน เมื่อกี้เอ็งจะพูดอะไรวะ เกือบไปแล้วไหม

   “ครับ?” เอ เมื่อกี้เหมือนได้ยินคำว่าน่ารัก

   “อะแฮ่มๆ เปล่า บอกว่าบ้านนายน่ารักดี” ไม่ต้องห่วงเลยว่าสีข้างจะถลอกแค่ไหน

   “อ่อครับ คุณเห็นต้นนั้นไหมครับ สีแดงๆ เป็นพุ่มๆ” เจ้าเกล้าชี้ไปตรงลานดอกไม้ที่เยื้องๆ กับลำธารน้อย

   “อืม ไม่เคยเห็น” คนตัวโตกล่าว

   “นั่นคือดอกเกี้ยวเกล้าครับ หรือดอกหางกระรอก ตอนที่คุณยายไม่ยอมคืนผม คุณแม่เลยเอามาปลูกแทน กะว่าจะเอามาไถ่ตัวผม แต่คุณยายก็ยังไม่ยอม ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่หมดหนทางจนคิดอะไรไม่ออกเลยล่ะครับ”

   “อืม” เหินฟ้าไม่แปลกใจ เจ้าเกล้าเป็นผู้ชายก็จริง แต่บรรยากาศรอบๆ ตัวนั้นอ่อนโยน แต่ก็ยังมีความเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่พูดจาถูกกาลเทศะ ไม่ได้พูดเยอะ หรือน้อยจนเกินไป ไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นที่รักของคนในบ้าน ...รวมทั้งแม่ของเขาด้วย พูดถึงเรื่องแม่ ก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน

   “แม่ฉันเคยคุยอะไรกับนายไว้บ้าง” เหินฟ้าไม่รู้ว่าคนๆ นี้ร่วมมือกับแม่ของเขา หรือถูกแม่ของเขาจับมาเล่นละครว่าที่ลูกสะใภ้แบบไม่รู้ตัว จึงต้องลองเชิงไว้ก่อน

   “คุณหมายถึงเรื่องอะไรครับ” เจ้าเกล้าหันมาทั้งตัว เพราะรู้ว่าคงถึงเวลาเข้าเรื่องจริงๆ สักทีแล้ว

   “เรื่องงาน เรื่องน้องรัก ทั้งหมด” คนพูดมีนำ้เสียงแข็งกร้าวขึ้นนิดหน่อย ตามลักษณะของคนเป็นเจ้าคนนายคน

   “คุณน้าชวนผมไปสมัครงานครับ จริงๆ ท่านอยากให้ผมไปช่วยคุณ เพราะเป็นห่วง แต่ผมบอกไปแล้วครับว่าเรื่องนั้นคุณน่าจะจัดการตัวเองได้” ประโยคสุดท้ายนี้เองที่เหินฟ้าพอจินตนาการออกว่า คำว่า ‘ช่วย’ ของแม่ตัวเองจะหมายถึงอะไร คงไม่พ้นไปโกหกว่าเขามีผู้หญิงมาติดพัน จะให้เป็นหูเป็นตาอะไรแบบนั้นแน่ๆ

   “ส่วนเรื่องน้องรัก คุณน้ามาคุยไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนว่าคุณแม่น้องกำลังหาที่เรียน ทีแรกผมเห็นว่ามันไกลจึงปฏิเสธไป แต่คุณน้าอยากได้คนไว้ใจมาสอนหลาน ผมเลยรับน้องมาเรียนครับ” เจ้าเกล้าพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่จริงใจ จนคนฟังอารมณ์อ่อนลงไปกว่าครึ่ง สงสัยแม่เขาคงจะจับเจ้าเด็กนี่มาเล่นละครแน่ๆ

   “แม่ต้องการจับคู่ฉันกับนาย รู้เรื่องนี้ไหม” เหินฟ้าคิดมาแล้วว่าวันนี้จะต้องเผยไต๋แม่ตัวเองให้ได้ เด็กคนนี้ฉลาด น่าจะวางตัวได้ถูกถ้ารู้เรื่องนี้แล้ว

   “เอ๋? จริงๆ ผมก็ตะหงิดๆ ใจอยู่นะครับ แต่แค่คิดไม่ว่าคุณเหิน...” เจ้าเกล้าเว้นไปสักพักซึ่งกำลังคิดหาคำที่ดีๆ อยู่ เพราะกลัวคนตรงหน้าจะหงุดหงิดขึ้นมา

   “เป็นเกย์” เหินฟ้าต่อคำให้

   “ใช่ครับ... ผมเลยไม่ได้คิดอะไรตอนที่คุยกับคุณน้า” เจ้าเกล้ายังใช้น้ำเสียงสบายๆ ที่จริงจังขึ้นมาอีกหน่อย

   “ก็จริงๆ แล้ว...” เหินฟ้ากำลังคิดว่าจะบอกความจริงดีไหม ว่าจริงๆ เขาโกหกคนเป็นแม่ไป “อืม เปล่าหรอก ก็ตามนั้น แม่ฉันรู้แบบนั้น เลยพยายามจับคู่กับนาย แกถูกใจนายมาก” แต่แล้วก็ปล่อยเลยตามเลยด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ตัวเองก็หาคำตอบไม่ได้

   “แต่คุณเหินไม่เห็นด้วยกับการจับคู่สินะครับ” ดีจริงๆ ที่เข้าใจง่าย เขาเคยใช้มุกนี้กับคู่ดูตัวคนอื่น แต่พอเริ่มคุยปุ๊ป คุณหนูพวกนั้นก็จะทำหน้าใสซื่อ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ต้องให้อธิบายเยอะแยะจนน่ารำคาญ

   “ตามนั้น” เหินฟ้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเมื่อการเจรจาธุรกิจดูจะเป็นผล จึงย้ายตัวเองมานั่งที่ศาลา คนขาเรียวในกางเกงขาจั๊มพ์จึงรีบย้ายตัวเองมานั่งเมื่อคนตัวโตนั่งลงแล้ว

   “เข้าใจแล้วครับ แต่ผมต้องเข้าไปทำงานที่บริษัทคุณ...” เจ้าเกล้าไม่มีปัญหากับสิ่งที่เหินฟ้าให้ตัวเองทำ ก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ให้เห็นว่าตัวเขาเองก็ไม่ชอบการจับคู่

   “เรื่องนั้นไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายรู้ว่าต้องทำตัวยังไง”

   “คิดว่าเข้าใจครับ” เจ้าเกล้ายิ้มออกมา

   “อืม ตกลง หลังจากนี้เราเป็นคู่ค้ากัน” เหินฟ้ายื่นมือออกไปข้างหน้าตามแบบฉบับนักธุรกิจเมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง และได้ผลสรุปอย่างพึงพอใจทั้งสองฝ่าย

   “คู่ค้าหรือครับ ฟังดูน่าสนุกจัง งั้นตกลงครับ” เจ้าเกล้าแอบขำเล็กน้อยกับการเลือกใช้คำของอีกฝ่าย เพื่อนก็ไม่ได้นะ ต้องเป็นคู่ค้า

   มือนุ่มๆ ที่แม้แตะเบาๆ ก็รู้ว่ามันนุ่มนิ่ม เห็นทำงานนู้นนี่ ทั้งกับข้าว ขนม ไม่คิดว่ามือจะนิ่มขนาดนี้

   “เอ่อ คุณเหินครับ” เจ้าเกล้าต้องทักออกมาเพราะคุณคนนี้เขาจับมือกับคู่ค้ารายใหม่นานไปนิด แถมยังจ้องมือเขาเหมือนว่ามันจะมีเลขหวยออกมาอย่างนั้น

   “เอ้อ ขอโทษที คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

   “ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่มีธุระอื่นแล้ว ผมจะกลับขึ้นเรือนไปดูเด็กๆ คุณเหินจะเดินไปพร้อมกันเลยไหมครับ”

   “อืม ไปสิ”


❤❤❤❤
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ เป็นกำลังใจที่น่ารักมาก เดี๋ยววันนี้เหมือนเดิมค่ะ มาห้าตอนเด้อ
JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบสอง] 12.05.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 12-05-2018 23:54:17
   

ก้าวสิบสอง - สัมภาษณ์นอกรอบ


             วันเวลาผ่านไปแล้วหลายสัปดาห์ และวันเสาร์ของทุกๆ สัปดาห์ก็จะกลายเป็นวันที่บ้านรัฐสกุลจะต้องต้อนรับแขกหน้าใหม่ถึงสองคน และตอนนี้ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นหน้าเก่าไปแล้วด้วย

   “คุณเหินทานน้ำใบบัวบกก่อนครับ”

   “….” เหินฟ้าวันนี้ก็ตามติดน้องรักมาด้วยเพราะคำสั่งจากคุณนายแม่ บวกกับเจ้าตัวเริ่มจะติดใจบ้านสวนแห่งนี้ด้วยบรรยากาศ และกลิ่นอายที่อบอุ่น บอกตรงๆ ว่ามีสมาธิทำงานขึ้นเป็นกอง ...ถ้าไม่นับน้ำใบบัวบกนี่ละก็นะ

   “รับไปสิครับ” คนให้ยังยืนยิ้มอยู่ด้วยไมตรีจิต จะว่าไปช่วงหลังๆ มานี้คุยกับคุณเหินราบรื่นขึ้นเยอะ เพราะเจ้าตัวเหมือนจะเริ่มพูดกับเขามากขึ้น ในหลายๆ เรื่อง แต่ตอนนี้ไม่ยอมรับน้ำใบบัวบกไปสักที พักหลังๆ คุณตรึงจิตหล่อนทำน้ำใบบัวบกมาให้แขกคนนี้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งเจ้าเกล้าก็มีหน้าที่นำมาเสิร์ฟอย่างเคย

   “อืม ขอบใจ”

   เหินฟ้าแทบจะกลอกตาเป็นรถไฟเหาะ เจ้าน้ำสีเขียวเข้มนี่ไม่ได้มีอะไรน่าพิศวาสสักนิด แต่วันนั้นที่เขาไม่รับน้ำใบบัวบกมากิน พอตอนเย็นคุณตรึงจิตมาเห็นเข้าก็พูดออกมาว่า

   “หนูเกล้า วันหลังไม่ต้องเอาน้ำมาเสิร์ฟพ่อหนุ่มเขาแล้วก็ได้ เขาคงกินน้ำแบบนี้ไม่ค่อยจะคล่อง ไปๆ เก็บๆ” พูดไปก็ปรายตามาที่เขาเหมือนจะบอกว่า ต๊าย เลี้ยงดูมายังไง ทำไมกินน้ำใบบัวบกไม่เป็น และด้วยมารยาทในตัวอันสูงส่ง เหินฟ้าจึงรีบขอโทษ และดื่มจนหมดเดี๋ยวนั้น เรียกได้ว่าขมคอกว่านี้ก็บอระเพ็ดแล้ว จากนั้นคุณตรึงใจก็ถามคำถามที่กดดันเขาที่สุดในโลก

   “อร่อยไหม?” ไอ้ครั้นจะตอบว่าไม่อร่อยก็ดูจะขัดแย้งกับมารยาทอันสูงส่งในตัว

   “เอ่อ ดีครับ” ขมดีครับ

   “ก็ดีแล้ว นั่นน่ะประโยชน์ทั้งนั้น เดี๋ยววันหน้าทำมาให้กินอีก” ยังไม่ทันได้มีใครพูดอะไรต่อ คุณหญิงเธอก็สะบัดก้นหนีขึ้นเรือนปล่อยให้เจ้าเกล้ายิ้มเจื่อนๆ คุณเหินคงโดนคุณยายแกล้งเสียแล้ว

   “คุณเหินไม่ชอบทานใช่ไหมครับ วันหลังไม่ต้องทานก็ได้นะครับ คุณยายแกพูดไปอย่างนั้นแหละ” เหินฟ้ามองคนพูดที่กำลังแก้ต่างให้คุณยาย แล้วอยู่ดีๆ ก็คิดว่า แค่น้ำใบบัวบกเอง ไม่เป็นอะไรหรอก

   “ไม่เป็นไรหรอก กินได้” ... และนั่นคือจุดเริ่มต้นของชายผู้ที่กำลังนั่งจิบน้ำใบบัวบกที่เริ่มจะเข้มข้นขึ้นทุกสัปดาห์ๆ

   “วันนี้น้องรักเป็นไงบ้าง” ระหว่างพักคุณครูหน้าสวยก็จะลงมาคุยกับเหินฟ้าสักพักเพราะกลัวคนทางนี้จะเหงา เลยปล่อยให้คนบนเรือนช่วยดูเด็กๆ ไป

   “น้องรักหัวไวครับ ถ้าน้องเอาดีด้านภาษาคงรุ่ง”

   “คิดว่าควรเรียนนานาชาติไหม” เหินฟ้าเงยหน้ามาถามเพราะตอนนี้น้องเรียนโรงเรียนไทยอยู่ เหินฟ้าจริงๆ แล้วมีความคิดจะย้ายน้องรักไปเรียนนานาชาติอยู่ แต่แม่เจ้าตัวกลัวน้องจะปรับเข้าสังคมไม่ได้

   “ถ้าจุดประสงค์ของการเรียนนานาชาติเพราะอยากให้น้องได้ภาษาอังกฤษ ผมว่าเรียนโรงเรียนไทยก็ได้ครับ เพราะมันอยู่ที่น้องขวนขวาย กับการสนับสนุนในครอบครัวด้วย” เหินฟ้าฟังแล้วก็พยักหน้าตาม

   “นายเองก็เรียนโรงเรียนไทยมาตลอด” โรงเรียนอันดับหนึ่งทั้งนั้นเสียด้วย เหินฟ้ายังจำสิ่งที่เห็นในใบประวัติได้

   “ครับ”

   “ทำไมเก่งอังกฤษ”

   “ตอบยากจังครับ” คนตัวบางกลั้วหัวเราะเล็กน้อย “จะว่าไปเพราะว่าคุณแม่สอนด้วยครับ บวกกับใจรักด้วยมั้ง ถ้าชอบอะไรก็จะทำได้ดีน่ะครับ”

   “ดีแล้ว พีอาร์ที่บริษัทต้องการภาษาดีๆ” นอกจากทุกเสาร์เหินฟ้าจะได้พาน้องมาเรียน และสัมผัสกับบรรยากาศดีๆ แล้ว ยังได้มาแลกเปลี่ยนความคิดกับเด็กคนนี้อีกด้วย ช่วงที่ผ่านมานี้เขามักถามนู้นถามนี่อีกฝ่าย และมักได้คำตอบที่ชาญฉลาดกลับมา เลยพลอยสนุกไปกับบทสนทนาด้วย “ช่วงนี้บริษัทกำลังตีตลาดจีน ถ้าเป็นนาย คิดจะทำยังไง”

   คำถามเชิงสัมภาษณ์ที่มาแบบกว้างๆ ทำให้คนฟังต้องนั่งคิดคำตอบไปพักหนึ่ง “คนจีนชอบของถูกนะครับ การตลาดในประเทศจีนแข่งขันกันเรื่องราคาสูงมาก คีย์ของเค้าคือทำยังไงให้คุณภาพอยู่ในระดับปานกลาง ไปจนถึงสูง แต่ต้นทุนต่ำลงมา เพราะฉะนั้นถ้าจะสู้กับเจ้าที่ ก็ต้องมีอะไรดีกว่าเค้าน่ะครับ” หลักการตลาดแบบง่ายๆ แต่ตรงประเด็นที่สุด ทำให้เหินฟ้าหันมาตั้งใจฟังเป็นพิเศษ

   “แล้วอะไรที่ดีกว่า” เจ้าเกล้าฟังแล้วก็แอบคิดในใจว่านี่มันถึงเวลาฝึกงานแล้วหรือไง แต่ก็นั่นแหละ นี่คืออนาคตเจ้านาย เขาก็จะตอบเท่าที่คิดได้

   “ผมมองเรื่องการเพิ่ม value ให้กับสินค้าครับ เราอาจจะใช้ gems เกรดปกติ แต่เอาไปเป็นพร็อพเสริมในเสื้อผ้า หมวก หรือ accessories อื่นๆ หรือไม่ก็เพิ่ม function ให้ตัว gems พวกที่ถูกปรับแต่งแล้วเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ หรือตาม tactility อะไรแบบนั้นน่ะครับ...” เจ้าเกล้าพล่ามไปเรื่อยตามสิ่งที่คิด เพราะเป็นคนชอบวางแผนอยู่แล้ว พอได้คิดก็เพลิน

   “ไหนสอนเด็กๆ ว่าห้ามพูดไทยคำอังกฤษคำ” เจ้าเกล้าที่กำลังอยู่ในพะวังการโปรโมทสินค้าต้องปรับสายตามายังคนตัวสูง

   “แหะๆ... เวลาเรียนจะเป็นแบบนี้ทั้งนั้นเลยครับ เลยติดมา แต่ที่สอนเด็กๆ คือไม่อยากให้เค้าเอามาปนกันเฉยๆ ครับ” เจ้าเกล้ามักแยกแยะกาละเทศะออกว่าเวลาไหนควรพูดแบบไหน เพราะถ้าต้องคุยเรื่องงานจริงๆ การใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษหลายครั้งทำให้คู่สนทนามองเห็นภาพตรงกัน อีกอย่างตอนเรียนก็เรียนเป็นภาษาอังกฤษแทบทั้งหมด ก็จะติดนำคำนั้นๆ มาพูดในประโยคเลย เพราะนึกออกเร็วกว่า

   “ไม่ได้ว่า แค่สงสัย” พอคนตัวโตไม่ได้มีท่าทีตำหนิ เจ้าเกล้าก็กลับมายิ้ม ก่อนที่จะขอตัวกลับไปดูเด็กๆ ทิ้งให้คนที่กินใบบัวบกไปครึ่งแก้วได้แต่นั่งคิดเรื่องที่อีกคนพูดไว้ “function ของ gems งั้นหรอ...”




   เหลืออีกประมาณ​ 2 สัปดาห์ก่อนที่เจ้าเกล้าจะได้เริ่มฝึกงาน ซึ่งช่วงปิดเทอมนี้กลุ่มของเจ้าเกล้าก็นัดเจอกันบ้าง อย่างวันนี้ก็มาดูหนังด้วยกันที่ห้างใจกลางเมือง

   “แม่เกล้า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้น ยังตามรังควานอยู่ไหมน่ะ” พุฒิเกริ่นเรื่องขึ้นมาบนโต๊ะอาหารหลังจากดูหนังเสร็จแล้ว

   “หืม สิปป์น่ะหรอ ไม่มีอะไรนี่” เจ้าเกล้าหันไปเช็ดปากให้ต้นอินน์ที่เคี้ยวไปก็จะหลับไป ทำให้ข้าวเลอะเต็มปากไปหมด “โถลูก ค่อยๆ กินสิ” คนตัวบางบ่นเบาๆ

   “เห้อ ไหนจะพี่ทอร์ช ไหนจะไอ้สิปป์ นี่ยังไม่รวมอาจารย์รัชอีก กราบแล้วจ้าแม่เกล้าคนงาม”

   “ฮ่าๆๆ อะไรกันพุฒิ ตัวเองน้อยหน้าเราที่ไหน” เจ้าเกล้าขำ จริงอยู่ที่ช่วงนี้ มีคนมาขายขนมมจีบเป็นว่าเล่น จริงๆ ก็ไม่ช่วงนี้หรอก หลายช่วงเลยแหละ แต่เพราะช่วงนี้ถูกเรียกตัวไปทำส่วนกลาง เลยเจอคนเยอะขึ้น บางคนก็แซวเล่น บางคนก็คิดจริง แต่เจ้าเกล้าก็ปฏิบัติกับทุกคนอย่างปกติ ไม่ได้มีการชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น

   “เกล้า ดินถามจริงๆ เห็นเด็กสิปป์นั่นรุกใส่แล้ว เกล้าไม่หวั่นไหวใช่ไหม”

   “หืม ปกติไม่เห็นถาม ทำไมวันนี้ถึงถามความรู้สึกกันด้วย” ปกติอัศวินทั้งสองจะคอยป้องกันโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ ซึ่งเขาก็ปล่อยไปเพราะเพื่อนทำแล้วสบายใจ

   “เอาจริงๆ ดินก็ไม่ว่าถ้าเกล้าจะเปิดรับใครบ้าง จบฝึกงานเราก็เรียนจบกันแล้ว เรากลัวเกล้าจะชินกับการไม่มีใครเพราะพวกเรา” ตลอดมาเจ้าเกล้าไม่เคยคบใคร ส่วนหนึ่งก็เพราะเพื่อนๆ แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเองด้วย

   “ฮ่าๆๆ ขอบคุณที่หวังดี แต่เรายังไม่คิดจะมีใครหรอก เราอยากดูแลคุณยาย ถ้ามีแฟนต้องแบ่งเวลามาให้แฟน คุณยายต้องงอนเราแน่ๆ”

   “แน่นอน รายนั้นงอนแน่ๆ ฮ่าๆๆ” พุฒิเห็นด้วย และกำลังส่งสายตาให้เจ้าเกล้าเห็นว่าคนข้างๆ คอพับไปแล้ว

   “อินลูกกก ตื่นก่อน ข้าวยังคาปากอยู่เลย เมื่อกี้ในโรงก็ไม่ได้ดูหนังเลยไม่ใช่หรอ” เจ้าเกล้าที่กำลังเช็ดปากให้อยู่ดีๆ ก็หันไปหาเรนเนอร์ที่ตอนนี้กำลังจะเทพริกลงในอาหาร แต่มันรูมันตันหรืออะไรก็ไม่รู้เลยเทไม่ออก

   “เรนเอามาให้เกล้าเร็ว” เจ้าเกล้าหยิบผงพริกมาเปิดฝาแล้วเหยาะให้อีกคน เรนเนอร์เป็นคนกินเผ็ดมากถ้าเปิดฝาให้ใส่เองคงใส่ทั้งขวดแน่ๆ “เอาแค่นี้พอ เดี๋ยวปวดท้อง” พูดจบก็กลับไปเช็ดปากเช็ดมือให้ต้นอินต่อ ดินและพุฒิที่นั่งฝั่งเดียวกันหันมามองกันด้วยความเข้าใจ ก็เจ้าเกล้าเป็นคนแบบนี้ไม่แปลกที่ใครๆ ก็ชอบ เจ้าตัวติดดูแลคนอื่น จนไม่ได้ดูความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่เลย นี่แหละสิ่งที่ทั้งสองคนเริ่มกลัว



   “พี่เกล้า!” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง พอหันปก็เจอกับเด็กหนุ่มตัวสูงดีกรีเดือนคณะสถาปัตย์ที่ตามตื๊อเกล้าอยู่ในช่วงนี้

   “อ้าวสิปป์” เจ้าเกล้ายิ้มให้น้อยๆ ปกติแล้วเขาวางตัวไว้เป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง ถึงแม้น้องมันจะอยากได้มากกว่านั้นก็ตาม

   “อยู่นี่เอง พี่เกล้าไม่ตอบไลน์ผมอ่ะ” น้องไลน์มาถามเหมือนปกติว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน ซึ่งเจ้าเกล้าก็บอกชื่อห้างไป เหมือนเวลาคนถามว่าอยู่ไหน เราก็บอกอยู่บิ๊กซี อะไรแบบนั้น

   “อ้าว เรามีธุระด้วยหรอ ทำไมไม่โทรมาล่ะ”

   “อะแฮ่มๆ” พุฒิกระแอมขึ้นมา แหมมมม ช่างกล้าเหลือเกิน มาหาถึงที่ซะขนาดนี้ รู้จักอัศวินน้อยไปซะแล้ว

   “เอ่อ พี่ๆ สวัสดีครับ” เออเพิ่งรู้หรือไง พุฒิแอบค่อนขอดอยู่ในใจ

   “ตามเกล้ามาหรือไงเราน่ะ” พุฒิถามตรงๆ

   “แหะๆ ครับ ผมอยากเจอพี่เกล้าครับ” พูดพลางส่งนัยตาหวานเยิ้มมาให้ ซึ่งเจ้าเกล้าก็ยิ้มเอ็มดูตามปกติ

   “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่ก็เข้าไปใน ม. ยังไงก็เจอกันนะ” มุกจีบอะไรก็ใช้กับเจ้าเกล้าไม่ได้ทั้งนั้นแหละ รายนี้เบี่ยงได้หมด

   “เจอแค่นั้นไม่พอหรอกครับ” คนเด็กกว่าทำเสียงออดอ้อนจนพุฒิเท้าซ้ายเริ่มกระตุก

   “ไม่ให้...” เรนเนอร์ที่เงียบมานานโพล่งออกมา “ไม่ให้เกล้า!”

   “เอ่อ…” พุฒิอยากจะขำ กล้ามาถึงที่ก็ต้องเจอกันหน่อย เพราะคนที่หวงเจ้าเกล้าที่สุดในกลุ่มไม่ใช่อัศวินอย่างพวกเขา แต่คือเรนเนอร์ที่เทิดทูนเจ้าเกล้าเหนือสิ่งอื่นใดนี่แหละ

   “เกล้าไม่ได้ไปไหนเรน เจ้าเกล้าไม่ได้ชอบสิปป์” เจ้าเกล้าหันไปยิ้มอ่อนๆ ให้เรนเนอร์ซึ่งรายนั้นก็เริ่มสีหน้าดีขึ้นเมื่ออีกคนดึงมือมากุมไว้ ส่วนเจ้าเด็กสิปป์เริ่มหน้าชา เจ้าเกล้าไม่เคยปฏิเสธตรงๆ อืม หรือครั้งนี้เรียกอ้อมๆ ดี แต่ช่างเถอะ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก

   “เกล้า คุณยายโทรตามแล้วนิ กลับกันดีไหม” ดินเริ่มหาทางหนีทีไล่ให้ เพราะดูท่าแล้วเจ้าเด็กนี่มันน่าจะสู้ไม่ถอย

   “เอาสิ สิปป์มาเสียเที่ยวแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ” เจ้าเกล้าพูดแล้วก็เดินไปเลย ทิ้งให้อีกคนที่ยังไม่หายเหนื่อยจากการวิ่งมาหาหัวใจตัวเองดี ต้องยืนเคว้งพร้อมกับเกาหัวแบบงงๆ เหมือนเมื่อกี้เป็นแค่ฝันไปอะไรแบบนั้น


❤❤❤❤
JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบสาม] 12.05.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 12-05-2018 23:57:34
   

ก้าวสิบสาม - Public Relations Department


              “เจ้าเกล้าน่ารักจังเลย”

   “น้องเกล้าน่ารักมากเลย”

   “ขาวออร่าเซเลบริที่มากแกเอ้ย”

   วันนี้เป็นอีกวันที่แผนก PR มีงานยุ่งวุ่นวาย แต่ก็หาใช่อุปสรรคในการเม้าท์มอย (แบบระยะเผาขน) ถึงเรื่องของเด็กฝึกงานคนใหม่ แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าจะมีเด็กใหม่ แต่วันสัมภาษณ์ไม่มีใครเคยเห็นหน้านอกจากพี่แอน

   “น้องเกล้า”

   “พี่แอนสวัสดีครับ” เจ้าเกล้าที่มานั่งรอในห้องแผนกตั้งแต่ก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมงยกมือทักทายพี่แอน และพี่นพดลที่เดินตามมาด้านหลัง พร้อมกับหันไปยิ้มให้แบ็คกราน์ข้างหลังก็คือพี่ๆ ในแผนกที่แทบจะยกป้ายไฟขึ้นมาเชียร์น้องแล้ว

   “น้องเกล้า พี่นพดล รู้จักแล้วเนาะ”

   “ครับ”

   “ช่วงนี้ไม่มีใครว่างเลย ให้พี่นพดลช่วยดูแลไปก่อนแล้วกันเนาะ” เอ๊ะ พี่นพดลนี่ มือขวาคุณเหินไม่ใช่หรอ จะมาสอนงานพีอาร์หรอ เจ้าเกล้าได้แต่นึกสับสน

   “เอ่อ ครับ” แต่ก็พูดได้แค่นี้แหละ

   “อ้าวๆ แฟนเกิร์ลทั้งหลายไปทำงานได้แล้วค่ะ แล้วช่วยกันดูน้องด้วย แรกๆ สอนงานง่ายๆ ก่อนเข้าใจไหม”

   “ค่าาาาาา~”



   “น้องเกล้าทำ newsletter เป็นไหมคะ”

   “ได้ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มด้วยไมตรี ซึ่งหญิงสาวผู้รับรอยยิ้มปานนางฟ้านั้นก็แทบกระอักเลือกกับออร่าของน้อง

   “ฮืออ น้องเกล้าน่ารักมากเลย ผิวก็ดี ถามจริงๆ ใช้ครีมอะไร”

   “ใช่ๆ เนี่ย ดูผิวพี่สิ เทียบกับข้อศอกหนูยังด้านกว่าเลยลูก ฮืออ”

   “แหมนังดาว งานการไม่ทำ ว่าแต่น้องเกล้าจ๋า น้องเกล้าใช้น้ำหอมอะไรอ่ะ ตัวหอมมากเลยอ่า ฮืออ”

   เจ้าเกล้าได้แต่ยิ้มแหยๆ กับความวอแววุ่นวายของพี่ๆ ในแผนก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มไปตอบคำถามไป จนพี่ๆ ต่างเอ็นดู หยิบขนมในตู้เย็นที่พวกหล่อนตุนไว้มาประเคนให้อย่างสดุดี

   “อ้าวๆๆๆ ใครไม่ทำงานฟ้องคุณเหินนะครับผม” นพดลที่ออกไปหยิบเอกสาร เดินเข้ามาเห็นฉากที่สาวๆ กับลังมะรุมมะตุ้มคนตัวขาวอยู่พอดี เลยรีบเอาเจ้านายมาขู่

   “โอ้ยย พี่ดลอ่ะ ชอบเอาคุณเหินมาขู่ ดูสิ ใครเห็นน้องเกล้าก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงานทั้งนั้นแหละ”

   “ฮ่าๆๆๆ นั่นสินะ” นพดลหันมามองหน้าเจ้าเกล้า ก่อนจะเริ่มพูดจาเป็นงานเป็นการ

   “พี่อ่านหลักสูตรของมหาลัยเราแล้ว ก็เรียนมารอบด้านเลยเนอะ แต่บริษัทนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นสายโปรโมทกันทั้งนั้น ส่วนพวก Inner PR กับ PR issue ไว้ค่อยให้พี่ๆ เฉพาะเขามาสอน”

   “ได้ครับพี่ดล” เจ้าเกล้ายิ้มรับ

   “เดี๋ยววันนี้น้องเกล้าช่วยพี่ๆ เขาพรู๊ฟ newsletter ไปก่อนแล้วกันเนอะ เดี๋ยวตอนกลางวันพี่มาพาไปกินข้าว”

   “ได้ครับ”

   “แหมมม พี่ดลล ตอนหนูฝึกงานไม่เห็นมีใครพาไปกินข้าวเลยน้า”

   “นั่นสิ น้องเกล้าไปกินกับพวกพี่ดีกว่า หนูอยากกินอะไรลูก พี่เปย์สุดใจ”

   “ยัยช้าง หล่อนจะไปกินกับน้องเกล้าหรือไปแย่งน้องกินยะ”

   “ฮ่าๆๆๆ พี่ๆ เขาร่าเริงดีนะครับ วันนั้นเห็นวุ่นๆ กันเลยนึกว่าจะดูเครียดกว่านี้” เจ้าเกล้าหันมาพูดกับนพดลด้วยสีหน้าพึงพอใจกับความหรรษาของแผนก

   “ยังงี้แหละ เห่อไง อีกพักก็กลับไปเข้าโหมดทำงานเหมือนเดิมแล้วครับ ยังไงเดี๋ยวพี่ไปก่อน รอพี่ๆ เขาแจกงานมานะครับ”

   “ขอบคุณครับพี่ดล”

   “ยินดีครับ” นพดลยิ้มรับน้องที่ก้มหัวให้อย่างสวยงาม แล้วพอเดินออกมาจากแผนกก็ต้องงงเมื่อ

   “อ้าว คุณเหินมาทำอะไรครับ” เหินฟ้าที่อยู่ในท่าหมุนตัวกำลังเดินไปทางลิฟท์ต้องหันกลับมาอีกที

   “แฮ่ม เปล่าหรอก เดินผ่านมา เห็นเสียงดังๆ เลยว่าจะมาดู”

   “อ๋อ สาวๆ เห่อเด็กใหม่กันน่าดูครับ” นพดลพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

   “อืม แล้วไม่ทำงานกันหรอ”

   “ผมมอบหมายงานไว้ให้แล้วครับ แต่สาวๆ บอกว่า ‘ใครเห็นน้องเกล้าก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงานทั้งนั้นแหละ’ ” นพดลส่งสายตากรุ้มกริ่มเล็กน้อยเมื่ออ้างถึงประโยคของสาวๆ เพราะเหมือนจะเข้าตัวคนแถวนี้ด้วยเหมือนกัน

   “เอ้อ ประชุมตอนบ่ายที่ไหนนะ ลืมไปแล้ว” พูดแล้วก็หมุนตัวไปทางลิฟท์

   “อ่าว คุณเหินรีบไปไหนล่ะครับ ผมยังไม่ได้ตอบเลย”

   “ไปทำงานสิ!”



   แคนทีนของบริษัท TARA Gems ก็เหมือนที่อื่นๆ อาหารดาดดื่น คนก็เหมือนเดิม แต่วันนี้แปลกไปกว่าทุกวัน เพราะทุกสายตาในโรงอาหารล้วนจับจ้องมายังโต๊ะของสาวๆ พีอาร์ ที่ปกติก็เป็นตัวจิ๊ดของบริษัทอยู่แล้ว แต่เหมือนวันนี้ในโต๊ะจะมีออร่านางฟ้าที่กระเซ็นมากระแทกตาเหล่าปุถุชนในโรงอาหารกันจนไม่เป็นอันกินข้าว

   “แกๆๆๆ คือบับ ทุกคนมองโต๊ะเราหมดเลยอ่ะ เขาชอบชั้นป้ะวะ ไม่ได้นะ พี่แมนยิ่งขี้หึงอยู่”

   “เหอะ ยัยสวย หล่อนจะมโนก็ช่วยให้เกียรติน้องเกล้านิดนึง ดูสิ แม้แต่ปลายผมน้อง หล่อนยังไม่อาจเทียบ” สาวเจ้าส่ายหน้าไปมา

   “น้องเกล้าปกติชอบกินอะไรคะ” วันนี้พี่ๆ สั่งอาหารมาเป็นกับ แบ่งกันกินหลายๆ คนซึ่งเจ้าเกล้าก็นั่งอยู่ตรงกลางท่ามกลางสาวๆ พีอาร์กว่า 10 ชีวิต

   “หลายอย่างเลยครับ แต่ก็เป็นพวกอาหารไทย พวกผัด แกง อะไรแบบนั้นครับ” เจ้าเกล้ายิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงอาหารที่ทำเป็นตั้งแต่ขึ้นชั้นประถม เพราะคุณยายที่คอยสั่งคอยสอน เห้อ อยากกลับบ้านไปทำกับข้าวให้คุณยายทานแล้ว

   “หูยยย พี่ก็ชอบนะ แต่แถวนี้มันไม่อร่อยเลยอ่ะ หรือเราชินวะ”

   “ใช่แก แคนทีน หรือรอบๆ เนี้ย มันก็เหมือนกันหมดอ่ะ ทำหม้อเท่าช้างแล้วก็มาแบ่งๆ ใส่ให้หล่อนกินงี้อ่ะ”

   “ถ้าไม่รังเกียจ วันหลังผมทำมาให้ทานก็ได้ครับ”

   “อุ้ย น้องเกล้าทำอหารเป็นด้วยหรอครับ”

   “ของโปรดเลยครับ”

   “หูยยย ซัลเน่ปลายจาหวากกก”

   เสียงหัวเราะขบขันของบรรดากินรีในป่าหิมพานต์ในสายตาหนุ่มๆ ช่างน่าคำราญในสายตาใครบางคน

   “นั่นอิเด็กเส้นวันนั้นป้ะ”

   “หืมมม อุ้ยต๊าย นั่นยันเด็กที่ทำให้แกโดนคุณเหินด่านี่นา”

   “น่าหมั่นไส้ ลอยหน้าลอยตา ใช้เส้นซะขนาดนั้น คนก็เลยมารุมตอม หวังสูงกันใหญ่”

   “อย่างงั้นหรอ”

   “ชั้นว่าเรามาหาอะไรทำแก้เบื่อดีไหมแก”

   “ทำอะไรอ่ะแก”

   “เดี๋ยวแกก็รู้” สาวออฟฟิศคนสวยทำหน้าตาร้ายกาจจนเพื่อนข้างๆ อดจะงงไม่ได้ แต่ขอเถอะอย่าทำอะไรที่ต้องให้คุณเหินด่าอีกเลย วันนั้นนี่กลัวจนฉี่จะราดให้ได้


   
   เจ้าเกล้าทำงานมาได้สามวันแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ก็อดสงสัยว่าไม่เจอคุณเหินเลย ถึงแม้จะเจอไปแล้วเมื่อวันเสาร์ แต่ก็พอเข้าใจว่าคนระดับนั้นคงยุ่งไม่มากก็น้อย และหลังจากสาวพีอาร์ทั้งแผนกได้รู้จักเจ้าเกล้าต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน้องเป็นกันเองมาก น่ารัก ยิ้มสวย ไม่หยิ่งอย่างที่หลายๆ คนเห็นจากภายนอก และนั่นเป็นสาเหตุให้สามวันมานี้มีทั้งหนุ่มๆ สาวๆ เข้ามาคุยบ้าง ขอไลน์บ้าง ให้นามบัตรบ้าง ชวนไปกินข้าวบ้าง เรียกได้ว่าหัวกระไดแผนกพีอาร์แทบจะน้ำท่วม

   “พี่โต มาแผนกพีอาร์อีกแล้วน้าาา มาทำอะไรนักหนา งานการไม่มีทำเลยหรือไงกัน”

   “อะไรเล่า พี่มาหาน้องเกล้า เรายุ่งไรด้วยยัยช้าง” โตมรจากแผนกไอทีตอนนี้ทำตัวเป็นภมรมาดอมดมดอกไม้ของแผนกพีอาร์ได้ทุกวัน และด้วยความที่เป็นถึงตำแหน่งผู้จัดการฝ่าย จึงไม่มีใครกล้าว่าอะไร นอกจากแซวเล่นเฉยๆ

   “น้องเกล้าวันนี้ไปทานข้าวกับพี่เนาะ เดี๋ยวพี่พาไปกินอาหารอิตาเลียน ดีไหมครับ”

   “โอโห เสียง 14 ป่ะคะคุณพี่” สาวเจ้าเนื้อยังคงคอยแซะอยู่เรื่อยๆ

   “ว่าไงครับน้องเกล้า” โตมรไม่สนใจ เขายิ้มกว้างอย่างคนอัธยาศัยดี จริงๆ ทั้งบริษัทต่างก็รู้ว่าโตมรเป็นพวกแพ้ของน่ารักๆ ไม่ว่าชายหรือหญิง เจ้าตัวมักเข้าหาหมด ตั้งแต่พนักงานใหม่ จนเด็กฝึกงาน หรือแม้แต่หลานเพื่อนที่ทำงานพี่แกก็ไม่เว้น

   “ขอบคุณครับ แต่ผมกินที่แคนทีนกับพี่ๆ ก็ได้ครับ สะดวกกว่าเยอะเลย” เจ้าเกล้ายิ้มสวยใส่ แน่นอนว่าใครเล่าจะไม่ยอม

   “ว้ายย คนแถวนี้ต้องอิ่มแล้วแน่ๆ ยัยดาว”

   “ทำไมวะอีช้าง”

   “กินแห้วมาสองวันแล้วอ่ะ คงไม่ต้องกินอะไรแล้วล่ะ คิกๆๆ”

   “เดี๋ยวเถอะยัยช้าง ขอให้ไม่มีผัวยันชาติหน้า พี่ไปก่อนก็ได้จ้ะน้องเกล้า เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาใหม่” โตมรหันไปเขม่นเล่นหูเล่นตากับแม่สาวเจ้าเนื้อก่อนจะหันมายิ้มลาคนหน้าสวย คนอย่างเขาไม่ต้องรีบรุกมาก วันละนิดวันละหน่อย รับรอง ไม่เกินอาทิตย์ เสร็จ!




   “เดี๋ยว เด็กใหม่” ระหว่างที่เจ้าเกล้าเดินมาเข้าห้องน้า และกำลังจะเดินกลับ ก็เจอเข้ากับคู่กรณีตั้งแต่วันสัมภาษณ์งาน จริงๆ เจ้าเกล้าไม่ได้ติดใจอะไร เขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก แต่ก็พอมองออกว่าอีกฝ่ายคงคิดตรงข้ามกับตนร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน

   “ครับ”

   “คงยังไม่รู้จักชื่อ พี่ชื่อพี่ตานะจ้ะ ส่วนนี่เพื่อนพี่ ชื่อบัว”

   “ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มให้น้อยๆ เพราะยังตีความจุดประสงค์ของการชวนคุยครั้งนี้ของทั้งสองคนไม่ออก

   “เนี่ยน้าบัว ชั้นบอกหล่อนแล้ว ว่าคนเรามันดูกันภายนอกได้ที่ไหน เห็นผู้ดีๆ บางทีมารยาทน่ะไม่มีหร้อก เราก็อุตส่าห์มาแนะนำตัว ทั้งๆ ที่ปกติต้องเป็นรุ่นน้องหรือเปล่าที่มาแนะนำตัว” พูดจบก็แสยะยิ้มใส่คนตรงหน้า และตอนนี้เจ้าเกล้าก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าจุดประสงค์ของสองคนนี้คือ ‘หาเรื่อง’

   เจ้าเกล้าถอนหายใจเบาๆ แล้วถึงยิ้มบางๆ ให้ทั้งคู่ คุณยายมักสอนให้อภัยให้กับคนอื่น ยิ่งเราแบก เรายิ่งหนักเอง คนอื่นไม่ได้หนักกับเราด้วยเลย “สวัสดีครับ พี่ตา พี่บัว เจ้าเกล้าครับ เรียกว่าเกล้าก็ได้”

   “หึ เอาเถอะ เรียนรู้ไว้แล้วกันนะ เวลาปฏิบัติกับคนที่แก่กว่าน่ะ ควรทำยังไง? แต่ตอนนี้พี่กับเพื่อนคอแห้งมาก อยากกินกาแฟ ใช่ไหมยัยบัว”

   “หืม แกเพิ่งกินไปไ.. โอ๊ยยย” สิตาหยิกสีข้างเพื่อนเพื่อเตือนให้เพื่อนแสนซื่อ(บื้อ)ของหล่อนเข้าใจว่านี่มันเป็นแผนแกล้งไอ้เด็กเส้นคนนี้

   “นั่นแหละ น้องเกล้า ถ้าไม่รบกวน ไปซื้อกาแฟให้พวกพี่หน่อยสิ”

   เจ้าเกล้าเริ่มเห็นเค้าลางที่ไม่ดี แต่จะไม่ทำก็คงไม่ได้ “ครับ พี่ตากับพี่บัวอยากดื่มอะไรครับ”

   “อืม พี่เอา มอคค่า เฟรปเป้ น้ำตาลสองช้อน ใส่นมหนึ่งช็อต เพิ่มกาแฟสองช็อต ปั่นสามนาทีครึ่ง เพิ่มวิปครีม ช็อคชิพด้วย เรกูล่าร์ แล้วเธอล่ะเอาอะไรยัยบัว”

   “ลาเต้เย็..” สิตาหันขวับเมื่อกชกรเริ่มอ้าปากพูด ยัยบ้านี่ก็จะซื่อบื้อไปถึงไหน

   “ยัยนี่เอาลาเต้เย็น เพิ่มกาแฟสองช็อต หวานน้อย ใส่นมหนึ่งช็อต ไม่โรยผงอะไรทั้งนั้น อ้อ แล้วก็น้ำเอาไม่ร้อนมาก หล่อนกินอย่างนี้ทุกวัน ชั้นจำได้ คิกๆๆ อ่ะเงิน”

   “ครับ” เจ้าเกล้ารับเงินมาและเดินออกไปอย่างเซ็งๆ ไม่เข้าใจว่าไปทำอะไรให้ ทำไมต้องมากลั่นแกล้งกัน แต่ถ้ามันไม่ล้ำเส้นเกินไป เจ้าเกล้าก็น่าจะรับไหวแหละ มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียด เป็นเรื่องธรรมดา....

   … แต่มันจะไม่ธรรมดาก็ตรงที่

   “ไม่ใช่แล้วน้องเกล้า นี่ที่พี่สั่งจำได้หรือเปล่าไหนทวนสิ” สิตายิ้มกรุ้มกริ่ม ตัวเองยังจำไม่ได้เลย นังเด็กนี่จะจำได้ยังไงกันล่ะ

   “… พี่ตาสั่งว่า มอคค่า เฟรปเป้ น้ำตาลสองช้อน ใส่นมหนึ่งช็อต เพิ่มกาแฟสองช็อต ปั่นสามนาทีครึ่ง เพิ่มวิปครีม ช็อคชิพด้วย เรกูล่าร์ .. ครับ” เจ้าเกล้าอยากบอกเหลือเกินว่าอย่าดูถูกสมองเด็กพีอาร์ นอกจากต้องจำรายละเอียดของบริษัทแล้ว ตัวคน ตัวสินค้า หรือแม้แต่รายละเอียดยิบย่อยพวกเขาก็ถูกเทรนมาให้จำได้ให้หมด

   “….” สิตาอึ้งไปสักแปปนึง “... ม ไม่สิ ที่เอามาให้เนี่ยมันน้ำตาลกี่ช้อน พี่จะเชื่อได้ยังไง”

   “นี่ครับ ผมขอเขาอัดคลิปตอนเขาทำมาด้วย จริงๆ เขาไม่ให้นะครับ เพราะกลัวเอาสูตรของร้านไปใช้ เลยขอถ่ายแค่ตอนใส่น้ำตาล กับนม กาแฟ แล้วก็ตอนปั่น สามนาทีครึ่งเป๊ะๆ เลยครับ” เจ้าเกล้าหยิบมือถือออกมาเปิดคลิป เขาคิดอยู่แล้วแหละ ว่าถ้าสั่งกาแฟมา คุณเธอทั้งสองต้องทำท่าทีไม่พอใจแน่ๆ เอาสิ มาแบบนี้แล้วจะยังไงต่อล่ะคุณพี่

   “…” สิตาอึ้ง(รอบสอง)อีกพักนึง กว่าจะควานหาสติเจอ หล่อนไม่คิดว่าจะโดนตลบหลังแบบนี้ “ท เท่าไหร่ละ ไหนตังค์ทอน”

   “อ้อ ผมจะมาบอกว่า เงินที่พี่ให้ไปไม่พอครับ ขาดอีก 60 บาท” เจ้าเกล้ายิ้มบางๆ ใส่

   “อะไรกัน ปกติกินไม่แพงขนาดนี้นะ อะไรอ่ะไม่ใช่แล้ว เธอไปซื้อร้านไหนมา”

   “ร้านข้างล่างไงครับ” เจ้าเกล้าเริ่มรู้แกว มีช่องโหว่ให้โดนแกล้งจนได้สิ

   “ไม่ใช่แล้ว ร้านที่พี่กินประจำ มันอยู่ฝั่งตรงข้ามไง โอ้ยๆ ไม่ได้เรื่องเลย ซื้อผิดอย่างนี้ พี่ไม่จ่ายเพิ่มหรอกนะ ดูสิ จะอร่อยไหมก็ไม่รู้”

   ...เจ้าเกล้ายิ้มให้ “ไม่เป็นไรครับ ผมชอบทำบุญ รู้สึกอิ่มใจดีจังเลยครับ ขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ พอดีงานเยอะครับ ไม่ค่อยว่าง” เจ้าเกล้าพูดแล้วหันหน้าหนี แต่นึกอะไรขึ้นได้ เลยหันกลับมาอีกครั้ง “อ้อ สวัสดีครับ พี่ตา พี่บัว ผมเกล้า ขอตัวก่อนครับ” พูดแล้วก็ไม่รีรอ ทิ้งให้สาวทั้งสองอ้าปากค้างไปตามๆ กัน


❤❤❤❤

อย่ามาเล่นกับแม่เกล้า!
สตรองมากค่ะคุณน้อง แบบนี้อิพี่เหินไปไหนไม่รอดแน่ คุคิอุอิ
ติดแท็กกันได้น้าา เผื่ออยากบ่นในทวิต เราก็สิงๆ อยู่ในนั้น อิอิ
เลิฟยูจ้า

ปล. ชื่อในแผนกพีอาร์มีหลายคนมาก เราเหมือนจะแต่งไปหลายชืื่อเลย ฮ่าๆๆๆ เอาเป็นว่าเด่นๆ มีอยู่สามคน ยัยช้าง ยัยสวย และก็ยัยดาว นะคะ


JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบสี่] 12.05.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 13-05-2018 00:02:50
   

ก้าวสิบสี่ - ห้องท่านประธาน?


              หลังจากวันนั้น เจ้าเกล้าไม่ได้เล่าเหตุการณ์ที่โดนกลั่นแกล้งให้ใครฟัง เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นและเขาเอาตัวรอดได้เอง อีกอย่างเป็นเพราะพี่ๆ เหล่านี้... ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ในความคิดของเขา

    ก็จะมีคนสติดีที่ไหนอยู่ดีๆ ก็เดินเข้ามาหาตัวเขาที่นั่งทานข้าวกับพี่ๆ ในแผนกแล้วก็แกล้งทำน้ำหกใส่กันโต้งๆ แต่เจ้าเกล้าเห็นมาตั้งแต่ไกลลิบๆ แล้วว่ามีคนจ้องอยู่ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด และก่อนที่น้ำจะหกใส่เขาอย่างจัง เจ้าเกล้าก็ผุดลุกขึ้นดั่งตรัสรู้จนรอดพ้นจากภัยพิบัติอันนี้ไปได้ แต่คงเป็นโชคร้ายของหล่อนที่น้ำมันสาดไปโดนพี่แอนที่นั่งข้างๆ เขาแทน แม่คุณเลยโดนอบรมจากแม่พระแห่งพีอาร์ไปหนึ่งดอก
   

   และหลังจากทำงานมาได้สี่วันเจ้าเกล้าก็พบว่า ไม่มีวันไหนปกติสำหรับเขาสักวัน มันจะต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องประหลาดใจทุกๆ ครั้งไป อย่างวันนี้ที่แผนกพีอาร์ที่ปกติเอาแต่แว้ดๆ เป็นต้องเงียบไปตามๆ กัน เมื่อราชินีแห่งธาราเจมส์มาเยือนถึงแผนก

   “เอ่อ...พี่มุกมาทำอะไรถึงที่นี่คะ นั่งก่อนค่ะๆ” หลังจากมีคนไปเรียกพี่แอนด้วยความตกใจที่คุณมุกสมุทรมาโผล่อยู่หน้าแผนก เจ้าตัวจึงรีบวิ่งออกมารับ

   “อุ้ย ไม่มีอะไรจ้ะแอน พี่มาหาน้องเกล้า ไปไหนซะล่ะ” แอนเป็นพนักงานไม่กี่คนที่สนิทสนมกับคุณมุกสมุทรเพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาก่อน

   “อ๋อ แอนวานให้น้องไปส่งเอกสารให้มาร์เก็ตติ้งค่ะ เดี๋ยวคงมา”

   “อ๋อโอเค น้องทำงานเป็นไงบ้างเอ่ย” คุณมุกสมุทรแย้มยิ้มอย่างใจดี

   “เด็กๆ บอกว่าน้องเกล้าเก่งมากค่ะพี่ ทำงานไว แล้วก็ละเอียดรอบคอบมากค่ะ” แอนเล่าไปตามจริง ถึงแม้น้องจะเพิ่งมาทำงานได้ห้าวันเท่านั้น

   “ดีจังเลยน้า...​อ้าวมาพอดีเลย หนูเกล้าลูก” คุณมุกสมุทรลุกขึ้นทักทายเจ้าเกล้า

   “คุณมุกสมุทร สวัสดีครับ” เจ้าเกล้าตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามรักษาท่าที แน่นอนว่าเขาไม่ค่อยพอใจนักที่คุณมุกมาหาถึงที่แบบนี้ พนักงานคนอื่นคงมองเขาไปอีกแบบแล้ว

   “ว้าย คุณมุกอะไรกันลูก เรียกเหมือนเดิมก็ได้ แล้วนี่เลิกงานหรือยังคะ เดี๋ยวไปกับน้าหน่อยนะคะ” เจ้าเกล้ารู้สึกเกร็งไปหมด เฮ้อ สิ่งที่เขาไม่ชอบในสังคมไฮโซอย่างหนึ่งก็คือคนเหล่านี้เป็นพวกทำอะไรไม่ได้สนใจสายตาใครเท่าไหร่ ยกเว้นสิ่งที่จะทำให้ตัวเองดูไม่ดี

   “อ๋อ ยังไม่เลิกครับ อีกประมาณครึ่งชั่วโมง” เจ้าเกล้าละเว้นสรรพนามไว้เพราะไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเรียกว่าอะไร เรียกคุณน้าคนอื่นคงมองไม่ดี ถ้าเรียกคุณมุกสมุทร เจ้าตัวก็คงไม่ชอบ

   “น่า ไปกับน้าก่อนเถอะวันนี้น่ะ ไปได้ไหมแอน พี่ขอน้องเกล้าไปก่อนนะวันนี้”

   “ได้ค...”

   “ไม่ได้ครับ” เจ้าเกล้าแย้งขึ้นมาแบบนิ่งๆ แน่นอนว่าในชีวิตนี้นับครั้งได้ที่เขาจะพูดแทรกผู้ใหญ่ แต่ในกรณีนี้ไม่พูดไม่ได้ “อีกครึ่งชั่วโมงเองครับ ยังไงรอสักครู่ได้ไหมครับ ผมมีงานค้างที่ต้องจัดการอีกนิดน่ะครับ” เจ้าเกล้าพูดด้วยท่าทีนอบน้อมสุดฤทธิ์ พร้อมระบายยิ้มออดอ้อนในแบบของตน ที่ไม่ว่าใครก็ต้องยอม

   “โถ น้องเกล้านี่น่ารักจริงๆ ก็ได้จ้ะๆ ยังไงทำงานเสร็จแล้วเกล้าเดินไปหาน้าที่ห้องประธานนะลูก ถ้าไปไม่ถูกให้คนพาไปนะคะ”

   “ครับ”

   “จ้า ไปล่ะแอน”

   “สวัสดีค่ะพี่มุก”

   หลังจากคุณหญิงใหญ่แห่งธราธัตต์ออกจากห้องไป บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงัด ทุกคนเหมือนยังอยู่ในพะวังความคิด และแน่นอนว่าเจ้าเกล้าก็รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่จะทำให้คนอื่นๆ มองเขาอย่างไร

   “งั้น ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับพี่แอน”

   “จ้ะๆ เกล้าไปห้องท่านประธานถูกใช้ไหมคะ”

   “ได้ครับพี่แอน” เขาไม่เคยไปหรอก แต่น่าจะตามป้ายไปได้

   “โอเคจ้า เสร็จงานนี้แล้วก็ไปได้เลยนะ อย่าให้ผู้ใหญ่รอนาน” พี่แอนพูดยิ้มๆ แล้วก็เดินไป

   เจ้าเกล้ากลับมานั่งที่โต๊ะแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ คุณมุกสมุทรเล่นซะเขาเองก็ไปไม่ถูกเลย

   “น้องเกล้ารู้จักคุณมุกด้วยหรอ” พี่ดาวเป็นคนแรกที่เข้ามาคุยกับเขา ซึ่งเจ้าเกล้าก็ขอบคุณมากเหลือเกินที่เขาจะได้มีโอกาสแก้ต่างให้กับตัวเอง

   “ครับ คุณมุกสมุทรเป็นเพื่อนของคุณแม่ครับ เธอเลยชวนผมมาฝึกงานที่นี่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าจะไม่มีการใช้เส้นสาย ผมเลยส่งปรวัติมาน่ะครับ” เจ้าเกล้าพูดไปยิ้มไปเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทั้งๆ ที่ในใจก็แอบกลัวว่าพี่ๆ จะไม่เชื่อกัน

   “เนี่ย เห็นไหม เมื่อกี้ใครเป็นคนนินทาน้องเกล้าของชั้น เอาขนมมาเซ่นน้องเดี๋ยวนี้” ดาวตะโกนจนลั่นห้อง

   “เออ ชั้นก็บอกแล้ว และถึงจะเส้นจริงๆ น้องเกล้ายังทำงานดีกว่าหลายๆ คนอีกนะยะ” สาวเจ้เนื้อฉายาช้างกล่าวตาม

   “น้องเกล้าไม่ต้องห่วง พวกเราจะปกป้องหนูเองลูก พี่เชื่อหนูลูกๆ” สวยวิ่งเข้าไปกอดน้องและโยกไปมาเหมือนกอดเด็กๆ จนเจ้าเกล้าถึงกับหลุดขำออกมา

   “ขอบคุณครับ” เจ้าเกล้าว่าแล้วยิ้มกว้าง

   “ฮืออออออ หนูลูก ยิ้มอย่างนี้มีบ้านให้บ้าน มีรถให้รถเลยนะคะ”

   “ยัยดาว นังสวยมันพูดเหมือนมันมีอ่ะ”

   “แต่ชั้นเข้าใจมันนะ ถึงไม่มีแต่ก็พร้อมจะให้อ่ะแก โถลูกกก” ดาวทนไม่ไหวเข้าไปกอดน้องอีกคน จริงๆ แล้วทั้งสามคนผู้ซึ่งตั้งตนเป็นขบวนการพิทักษ์เจ้าเกล้านั้นได้สังเกตเห็นสีหน้าว่าน้องหน้าเสียไปเล็กน้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพวกหล่อนก็พร้อมจะช่วยน้องเกล้าให้พ้นภัยอย่างแน่นอน น้องเกล้าของพวกเรา ใครอย่าแตะ!


   
   มีคำกล่าวคำนึงที่สามารถเอามาใช้ในเหตุการณ์ปัจจุบันได้อย่างดี นั่นคือคำว่า Nobody’s perfect ทุกคนบนโลกไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียหมด เจ้าเกล้าเองก็เช่นกัน เพราะเขาเป็นพวกหลงทิศ... หลังจากขึ้นมชั้นบนสุดจึงได้รู้ว่า ชั้นนี้มีการจัดผังไม่เหมือนกับชั้นล่าง แถมซับซ้อน และมีบันไดเล็กๆ น้อยๆ เยอะไปหมด

   เจ้าเกล้าหลงทางมาประมาณ​สิบนาทีได้แล้ว ไม่อยากให้ผู้ใหญ่รอเลย แต่จะทำอย่างไรดี เพราะตรงนี้ไม่มีคนเลย

   “เอ หรือจะโทรหาพี่แอนดีล่ะ” เจ้าเกล้านั่งยองๆ เอามือกุมหัวแล้วหลับตาปี๋ เพื่อพยายามวาดภาพเส้นทางในสมองซึ่งตั้งแต่เกิดมา มันยังไม่เคยสำเร็จสักครั้ง

   “อืมม เข้ามาแล้วเราเลี้ยวซ้าย แล้วมันมีทางแยก ป้ายเขียนว่าไปขวา จากนั้นเราก็เดินตรงมา มีทางเลี้ยวขึ้นบันได แต่เราไม่ขึ้น เอหรือว่ามันต้องขึ้นบันไดล่ะเนี่ย” เจ้าเกล้าทำหน้ายู่ พร้อมบ่นด้วยเสียงอ่อนแรง

   “เอาล่ะ เดินหาบันไดต่อดีกว่า เฮ้อ ไปเกล้า สู้!”



   ทางด้านคุณมุกสมุทรที่นังจิบชากวนสามีมาครึ่งชั่วโมงแล้วนั้นก็บ่นกระปอดกระแปดใส่ จนคุณบัลัลงก์ไม่เป็นอันทำงาน

   “หนูเกล้าช้าจังเลยคุณ นี่งานแผนกนี้เยอะแบบนี้เลยหรอ น้องเป็นแค่เด็กฝึกงานเองคุณว่าไหม” คุณภรรยาที่ตอนนี้ลากคุณสามีมานั่งที่โต๊ะรับรองแขกด้วยกันเอ่ยกระเซ้า

   “เด็กมันตั้งใจทำงานก็ดีแล้วนี่คุณ เขาอาจจะรู้ไงว่ามันคือโอกาส ก็เลยต้องตั้งใจ”

   “โอ้ยคุณ นี่เพิ่งห้าวันเองจะให้หนูเกล้าทำงานหามรุ่มหามค่ำ มุกไม่ยอมนะคะ แล้วนี่ตาเหินก็ไม่มาซะที” คุณมุกสมุทรเดินไปทางโทรศัพท์และกดสปีกเกอร์ไปยังเลขาหน้าห้องประธาน “นิลดา โทรตามตาเหินให้ชั้นหน่อยเร็ว”

   “คุณเหินมาพอดีเลยค่ะคุณมุก”

   เสียงเปิดประตูพร้อมกับร่างสูงของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าลูก คุณมุกสมุทรเห็นก็อดจะบ่นไม่ได้

   “แม่เรียกให้มาหาตั้งนาน ทำไมเพิ่งจะมาคะคุณรองประธาน”

   “ผมเพิ่งประชุมเสร็จครับคุณแม่ แล้วนี่คุณแม่เรียกผมมามีอะไรครับ” เหินฟ้าค่อนข้างชินกับการที่อยู่ดีๆ คุณมุกสมุทรก็โผล่มาเรียกเขาไปหาที่ห้องประธาน ซึ่งส่วนใหญ่ธุระก็ไม่มีอะไร บางทีก็เรียกมาตอบคำถามที่เขาคิดว่าโทรไปไวกว่าเยอะ เพราะมาสายคุณเธอก็บ่น บางทีก็เรียกมารวมตัวกันทั้งครอบครัว หรือบางทีก็เรียกไปทานข้าวพร้อมกัน

   “วันนี้ไปทานข้าวด้วยกันนะลูก” รอบนี้ทานข้าวสินะ แต่รอยยิ้มของคุณแม่ทำไมมันถึงแปลกๆ

   “ได้ครับ นี่ก็หกโมงแล้ว เราไปกันเลยไหมครับ”

   “อุ้ย เดี๋ยวๆ น้องเกล้ายังไม่มาเลย อุ๊ปส์” คุณมุกสมุทรตะครุบปากเมื่อพลั้งไปจนได้ ให้ตายเถอะปากชั้นนี่ไวจริงเชียว แล้วดูสิตาเหินเริ่มเอามือมากอดอก พร้อมส่งสายตามาให้แล้ว

   “ไม่ต้องมามองคุณแม่อย่างนั้นเลยนะคะ ก็แม่อยากทานข้าวกับน้องบ้าง ตัวเองนั่นแหละไปเจอน้องทุกอาทิตย์ก็ไม่พาน้องมาทานข้าวที่บ้านบ้างเลย แม่ต้องไปหาน้องบ่อยๆ บางทีแม่ก็เหนื่อยนะคะ” คนเป็นแม่ยู่ปาก พร้อมบ่นออกมาเสียยืดยาว

   “ถ้าแค่ทานข้าวเฉยๆ ผมก็จะไปครับ แต่ถ้าทานข้าวเพราะคุณแม่จะจับคู่ ผมจะไม่ไปครับ” เหินฟ้าเอ่ยเสียงแข็ง

   “อ..อะไร้ จับคู่อะไรคะลูกชาย แม่แค่เอ็นดูน้องเฉยๆ เอง ก็เหมือนน้องของเราอีกคนไงลูก”

   “ถ้าคุณแม่คิดได้แบบนั้นจริงๆ ก็ดีครับ”

   “ค่ะๆ ฉลาดเหลือเกินนะคะ ไม่รู้ได้ใครมา” คุณมุกแอบหันไปค้อนคุณสามีแวบนึง จนคนถูกจ้องต้องสะดุ้ง

   “อะไรคุณ ผมอยู่ของผมเฉยๆ นะ” คุณบัลลังก์หัวเราะ “วันนี้เราไปกินกันแค่นี้ก็ได้ แล้วแกจะไปไหมไอ้ลูกชาย”

   “เฮ้อ งั้นผมกลับไปทำงานก่อนแล้วกันครับ”

   “เชอะ” น่านไง งอนไปเรียบร้อยแล้ว

   “ผมไปล่ะครับ คุณพ่อคุณแม่” เหินฟ้าลาแล้วก็ออกไป ปล่อยให้คุณแม่ต้องยืนสะบิดสะบิ้งเพราะไม่ได้ดั่งใจเลย

   “เอาน่าคุณ ผมว่าเชียร์โจ่งแจ้งไปลูกมันไม่ชอบหรอก ตลอดชีวิตมันเราไม่เคยกรอบลูกเลยนะ”

   “คุณคะ เราคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะ มุกแค่อยากให้ลูกได้คนดีๆ”

   “คนที่ดีกับคนที่ใช่ มันอาจจะไม่เหมือนกันไงคุณ เอาน่า คุณเองก็เพลาๆ หน่อย”

   “นี่ก็เพลาจะตายแล้วนะคะ มุกไม่ได้มาหาน้องตั้งหลายวัน”

   “แล้วนี่คุณจะรอเกล้าหรือเปล่า”

   “ก็ต้องรอสิคะ บอกน้องไว้แล้ว ว่าแต่ช้าจังเลยน้า ถ้าน้องต้องทำงานหามรุ่มหามค่ำจนป่วยไปยัยวรรณไม่มาแหกอกมุกหรอคะคุณใหญ่”

   “ฮ่าๆๆๆ คุณวรรณเขาไม่น่าใช่คนแบบนั้นนะคุณหญิง”

   “ไม่รู้ล่ะคะ ถ้ามุกได้รับข่าวว่างานหนักเกินไป มุกจะงอนคุณก่อนเลย”

   “ฮ่าๆๆๆ เอาไว้ผมค่อยง้อคุณแล้วกัน”



   “ซ้าย อืมม ตรงนี้เดินมาแล้วนี่นา ที่นี่สร้างเป็นวงกลมหรอ งงจัง” เจ้าเกล้าที่ค่อยๆ เดินไปชี้นิ้วไปกำลังหาบันได แต่ก็หาไม่เจอสักที “งือออ บันไดหนูอยู่ไหนลูกก เดินเหนื่อยแล้วนะ” เจ้าเกล้าหน้างอใหญ่ “คงต้องโทรหาพี่แอนจริงๆ แล้วสิ” แต่ก่อนที่จะได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็มีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินเข้ามาจากข้างหลังอย่างเงียบๆ

   “ทำอะไร”

   “ใจตก!” เจ้าเกล้าสะดุ้ง

   “หืม มันต้องเป็นตกใจหรือเปล่า”

   “โถคุณเหินตกใจหมด ใจตก คือใจหล่น ใจร่วงน่ะครับ”

   “เป็นภาษาที่แปลกดีนะ” เหินฟ้ากอดอกมองคนตัวเล็กที่มีเหงื่อซึมเล็กน้อย “มาทำอะไรตรงนี้”

   “เอ่อ จริงๆ คุณมุกเรียกให้ไปหาที่ห้องประธานน่ะครับ”

   “แล้ว?”

   “เอ่อ คือผมก็กำลังจะเดินไป”

   “ทางนี้ ไม่ใช่ห้องประธาน” .... นั่นไงเจ้าเกล้าว่าแล้ว มันต้องบันไดแน่ๆ

   “มันต้องขึ้นบันไดหรอครับ”

   “ใช่ เพราะชั้นลอยขึ้นไปตรงนี้เป็นห้องประธานทั้งหมดเลย ส่วนที่นายเดินอยู่นี่เป็นห้องบอร์ด กับห้องว่างๆ”

   “ถึงว่าไม่มีคนเลยนะครับ แหะๆ”

   “หลงทางหรอ?”

   “นิดหน่อยครับ ผมไม่ได้ขึ้นบันได ก็เลยเดินหลงมาทางนี้ แล้งทำไมคุณเหินถึงมาตรงนี้ครับ” เจ้าเกล้าจำได้ว่าห้องของเหินฟ้าอยู่อีกชั้นหนึ่ง

   “เฮ้อ เอาไว้ค่อยคุยกัน ไปกินข้าวกัน”

   “เอ๊ะ ผมต้องไปหาคุณมุกก่อนน่ะครับ”

   “ไม่เป็นไร คุณแม่คงทานข้าวแล้ว ที่แกเรียกไปก็จะไปทานนั่นแหละ แต่นายช้า”

   “เอ่อ ขอโทษครับ” แย่จังเลย ก็หลงอยู่ตรงนี้เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนี่นา

   “หึหึ” วันนี้เหินฟ้าได้เห็นใบหน้าใหม่ของอีกคน ใบหน้าที่งุ้มงอฉายชัดด้วยความรู้สึกผิด จนอดจะเอ็นดูไม่ได้

   “ไปกัน” เหินฟ้าเดินนำไป ก่อนจะหยุดแล้วหันมา

   “ต้องจับมือไว้ไหมจะได้ไม่หลง?” คนตัวสูงหันมายิ้มแหย่อีกคนที่ยังสีหน้าไม่ดีขึ้น

   “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ เดินนำก็พอ” เจ้าเกล้าก็งงนิดหน่อย ไม่ค่อยได้เห็นมุมเย้าแหย่ของผู้ชายคนนี้เท่าไหร่นัก


❤❤❤❤

อุ้ยต๊าย มาจบที่เข้าพระเข้านางแบบเบาๆ ได้ยังไง งงไปหมด
แต่น้องเกล้าคงจะไม่รู้หรอก ว่าอิตาพี่เหินตอนวัยรุ่นน่ะเสือดีๆ นี่เอง แกอย่ามาจับลูกชั้นไปกินนะยะ
ตอนนี้น้องเกล้าหลงทาง โถลูก ไปค่ะแม่จะจูงมือหนูไปทุกที่ /ปัดมืออีพี่เหินทิ้ง


JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบห้า] 12.05.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 13-05-2018 00:06:12
   

ก้าวสิบห้า - ร้านเวทตราคาร (ครึ่งแรก)


               ออกมาจากบริษัทไม่นานเหินฟ้าก็โทรบอกให้เลขาช่วยแจ้งคุณแอนและคุณแม่ให้ด้วยว่าเด็กฝึกงานขอกลับบ้านไปแล้ว และโทรศัพท์ก็มีสายคุณแม่โทรมาจิกยิกๆ แต่ก็มิได้นำพาคนตัวสูงเท่าไหร่ ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงไฟแดงแยกที่ห้าแล้ว กรุงเทพฯ มีแยกเยอะมากจนเจ้าเกล้าแอบคิดในใจว่าถ้าเขาต้องมาขับรถล่ะก็คงไม่ต้องเดาเลยว่าจะหลงทางหรือไม่

   “จริงๆ วันนี้แม่จะพาไปกินข้าวด้วย” เหินฟ้ากล่าวขึ้นมาเมื่อรถค่อยๆ ชะลอหยุดลงตรงแยกที่หก

   “จะให้ผมไปทานกับที่บ้านคุณเหินหรือครับ” คนหน้าขาวเอ่ยขึ้นขณะที่ยังไม่มีใครหันมามองกัน ต่างมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่วันนี้ก็คลาคล่ำไปด้วยพาหนะมากมายเหมือนทุกๆ วัน

   “อืม แม่ไปหาที่แผนกเหรอ” เมื่อตัวแม่อย่างคุณมุกสมุทรมาที่บริษัทมีหรือเหินฟ้าจะไม่รู้ แต่เรื่องที่แม่บุกไปหาเด็กหน้าสวยข้างๆ นี่ก็เพิ่งรู้จากพรพรรณเลขาหน้าห้องเมื่อก่อนออกไปเจอคุณนายเขาไม่นาน

   “ใช่ครับ คุณน้าก็คงชวนไปทานข้าว แต่ผมดันไปหลงทางเสียก่อน” เจ้าเกล้าหันหน้ามามองสารถีร่างใหญ่พร้อมกับยิ้มอายกับความเปิ่นของตัวเอง

   “หลงทางบ่อยหรือไงเราน่ะ” เหินฟ้าเอ่ยขึ้น แต่เพราะว่าคนฟังไม่ยอมตอบเสียที เลยหันไปมองเสียหน่อย ซึ่งสิ่งที่เห็นก็คืออีกคนกำลังหันหน้าไปอีกทาง อืม... แต่ถ้ามองไม่ผิด หูนั่นมันแดงผิดปกติใช่ไหมนะ

   “ก็…นิดหน่อยครับ เรียกว่าหลงทิศจะดีกว่าครับ ถ้าปกติใช้แมพนำทางก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปเจอตรอกซอกซอยแบบนั้นจะลืมว่าเข้ามาทางทิศไหน ... อ..อะไรแบบนั้นครับ” เจ้าเกล้าไม่คิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องน่าอายเลย สาบานได้ แต่ก็ไม่รู้ทำไมพอเล่าให้คนๆ นี้ฟังถึงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอายเหลือเกิน

   “หึ … จริงๆ ชั้นนั้นก็น่าหลงจริงๆ เอาไว้เดี๋ยวบอกให้คุณพ่อจัดใหม่” เหินฟ้าเองก็ไม่คิดว่าชั้นผู้บริหารจะเดินยากหรือเป็นปัญหาอะไรหรอกนะ แต่พออีกคนเดินแล้วหลง ก็เริ่มรู้สึกว่ามันน่าจะลำบากกับคนอื่นจริงๆ

   “เอ๋ ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเหิน ผมพอจะจำได้ลางๆ แล้วครั้งหน...”

   “ขอโทษ” อยู่ๆ ร่างสูงที่กำพวงมาลัยอยู่ก็พูดขึ้นมา สายตาที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าจับอยู่ที่ตัวเลขบอกวินาที มันกำลังนับถอยหลังช้าๆ เรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน ไม่เหมือนกับใจของคนบนรถหลายๆ คนที่กำลังอยากรีบหลุดออกไปจากตรงนี้เสียที แต่อาจจะยกเว้นรถคันนี้ไว้คันหนึ่ง “ขอโทษแทนคุณแม่...”

   “ครับ ไม่เป็นไรเลย” เจ้าเกล้ายิ้มรับ

   “พรพรรณเล่าให้ฟังแล้ว แม่ไม่ควรทำแบบนั้น นายคงรู้สึกไม่ดี” เหินฟ้าเข้าใจดี เด็กคนนี้มีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่ชอบพฤติกรรมของคุณมุกสมุทรที่เข้าไปทำตัวสนิทสนมกับน้องซึ่งจะนำพาความอึดอัดมาสู่เพื่อร่วมงานคนอื่นๆ ไม่รู้แม่คิดอะไรอยู่

   “ครับ ผมเข้าใจ” เข้าใจทั้งคุณเหิน และคุณมุก ทุกคนต่างมีความต้องการของตัวเอง อีกอย่างตนก็แก้ต่างกับพี่ๆ ในแผนกแล้วก็ไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่อะไร

   “เมื่อก่อนแม่เคยเสียลูกคนแรกไป ก่อนจะมีฉัน...” สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับตัวรถที่ค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ จนกลายเป็นเร็วขึ้น คนที่เริ่มประเด็นใหม่ขึ้นมาจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นเพราะรับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังตั้งใจฟังอยู่ “พ่อเล่าให้ฟังว่าพอเกิดเหตุการณ์นั้นก็เป็นซึมเศร้าไปพักใหญ่ จนมีฉันขึ้นมาแม่ก็มักจะคิดถึงลูกคนก่อนแล้วอาการก็จะกลับมาอีก ตั้งแต่เด็กพ่อจะสอนให้ลูกๆ ที่บ้านปกป้องแม่ และพยายามอย่าขัดใจแม่ เพราะกลัวอาการจะกลับมา คนในบ้านก็สปอยล์จะชินเพราะไม่มีใครปรามแกอยู่สักคน”

   “เพราะฉะนั้นคุณแม่ถึงรักคุณเหินมากเลยสินะครับ”

   “หืม?” เหินฟ้าถึงกับต้องแอบเหล่มาทางคนตัวเล็กที่นั่งข้างๆ ซึ่งบนใบหน้าอีกคนที่ยังประดับรอยยิ้มอยู่ทำให้เรื่องที่เล่าไปดูเบาบางลงเหมือนหมอกควันที่สลายไปพร้อมกับแสงแดด

   “ผมว่าคุณแม่เองก็ไม่อยากขัดใจคุณเหินเหมือนกันครับ แกก็คงห่วงในแบบของแก คงคิดเผื่อไว้หลายเรื่องเลย” พูดจบก็หันมามองหน้าคนขับที่ยังขมวดคิ้วเล็กๆ

   “อย่างเรื่องคู่หมั้น?” เหินฟ้าเริ่มเข้าใจสิ่งที่อีกคนกำลังพูด

   “นั่นก็ด้วยครับ คุณเหินทำงานเยอะนะครับ ตั้งแต่ผมรู้จักคุณเหินมา ผมไม่เคยเห็นคุณว่างเลย ไปส่งน้องรักก็เอาแต่ทำงาน แกคงอยากเห็นมุมที่ลูกตัวเองมีความสุขบ้าง คงอยากให้คุณมีคนรัก จะได้มีความสุข อาจจะเป็นแบบนั้นมั้งครับ” เจ้าเกล้ายิ่งพูดก็ยิ่งขำตัวเองที่ไปตัดสินเรื่องของคนอื่นหน้าตาเฉย แต่เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เวลาเรารักใคร สิ่งแรกที่ต้องการก็คือความสุขของคนๆ นั้น ทุกวันนี้เจ้าเกล้าหวังเหลือเกินที่จะให้คุณยายมีความสุข  รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ พี่สาว เพื่อนๆ ทุกๆ คนด้วย นี่เป็นสิ่งที่เขามักขอพรจากการไหว้พระทุกครั้ง

   “งั้นฉันควรหมั้น?” เหินฟ้าเอ่ยขึ้น

   “ไม่สิครับ...” เจ้าเกล้าส่ายหน้าพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณควรมีความรักต่างหาก”

   “หืม? พูดเหมือนง่าย” รักใครสักคนน่ะหรือ อืม นึกไม่ออกเลยว่ารักใครสักคนมันรู้สึกยังไง

   “ไม่ยากหรอกครับ คุณแค่ต้องลองเปิดใจบ้าง หากิจกรรมอื่นๆ ทำนอกจากทำงาน น่าจะดีนะครับ” เจ้าเกล้าทำหน้าเหมือนนึก กลอกตาไปซ้ายทีขวาที เหินฟ้าเหล่มองแล้วนึกขำในใจ ท่าทางแบบนั้นเหมือนตอนน้องรักนึกหาของขวัญให้น้องลินไม่มีผิด

   “อืม จะเก็บไปคิดแล้วกัน” หลังจากรับคำ เจ้าตุ๊กตาหน้ารถก็ระบายยิ้มกว้างๆ ให้หนึ่งที “แต่งานเยอะคงไม่ได้ไปหรอก” แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้ม ไหนลงเอยแบบนี้ล่ะคุณเหิน!



   พักใหญ่ๆ ที่ทั้งคนนั่งและคนขับมีบทสนทนกันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานที่คนเป็นเจ้านายถามไถ่เด็กฝึกงานของตนเกี่ยวกับงานต่างๆ จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารไทยร้านหนึ่งที่ตกแต่งด้วยแมกไม้นานาพรรณ ตัวบ้านมีสองชั้นตกแต่งสไตล์บ้านฝรั่งย้อนยุค ไม่ใหญ่ไม่โตมาก มีป้ายชื่อร้านว่า “เวทตราคาร”

   “ร้านน่ารักจังครับ” ลงรถมาเจ้าเกล้าก็มองซ้ายขวา ตื่นเต้นกับบรรยากาศน่ารักของที่นี่ พืชพรรณที่นี่มีทั้งของตะวันตกและของไทย จัดวางได้อย่างลงตัว ถ้าคุณยายมาเห็นจะต้องเอ่ยปากชมแน่ “คุณยายต้องชอบแน่ๆ”

   “ไว้วันหลังพาท่านมาทานที่นี่สิ” เจ้าเกล้ายิ้มพยักหน้าให้ “เข้าไปกันเถอะ ร้านนี้เป็นร้านเพื่อนฉันเอง” เหินฟ้าเดินนำเข้าไป

   “อุ๊ย! คุณเหินสวัสดีค่ะ... สวัสดีค่ะ เชิญด้านในเลยค่ะ เดี๋ยวหนูไปเรียกคุณเวทย์ให้” พนักงานที่ร้านรี่มาต้อนรับทั้งสองคน ซึ่งเจ้าเกล้าคิดว่าถ้าเอาพรมแดงมาปูให้ก็ไม่ได้เรียกว่าเว่อร์เลย

   “อ้าวไงไอ้คุณเหิน” ยังไม่ทันที่พนักงานสาวจะได้ปลีกตัวออกไป เจ้าของร้านพ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนสนิทของแขกสุดหล่อคนนี้ก็เดินเข้ามาต้อนรับด้วยตนเอง “มาไม่บอกไม่กล่าว อ้าว สวัสดีครับ”

   “สวัสดีครับ” เจ้าเกล้าสวัสดีคนตัวโตอีกคนที่น่าจะเป็นเพื่อนกับคุณเหิน

   “ไอ้เวทย์นี่เจ้าเกล้า เจ้าเกล้านี่ไอ้เวทย์ เพื่อนฉัน”

   “ครับคุณเวทย์” เจ้าเกล้ายิ้มให้ด้วยไมตรีจิต

   “โอ้ย เรียกพี่เวทย์เถอะน้องเกล้า ไปๆ แฟงพาน้องเขาไปนั่งข้างในเลย” เวทย์หันไปสั่งพนักงาน

   หลังจากพนักงานและเด็กฝึกงานหน้าหวานของไอ้คุณเหินเดินเข้าไปในร้านแล้ว บทสนทนาแบบเพื่อนๆ ก็เกิดขึ้น

   “แหมๆ ไอ้คุณเหิน หอมแก้มไปทีไวไฟเชียวนะมึง” เวทย์หยอกเย้าไอ้คนที่กำลังปั้นหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่พูดไป

   “พูดมาก หิว จะกินข้าว” พูดจบก็เตรียมจะเดินหนีไป

   “เหย ไอ้คุณชาย เดี๋ยวสิ มาเล่าให้ฟังก่อน มันเป็นมายังไง” เวทย์รั้งอีกคนไว้ทัน วันนี้มันต้องรีดต้องเค้นกันหน่อยล่ะวะ

   “ก็ไม่ทำไม ก็พาพนักงานมาเลี้ยงข้าว” เหินฟ้าตอบหน้านิ่ง

   “โอโห คนอย่างมึงมีเลี้ยงพนักงาน ไม่ดิ เด็กฝึกงาน ด้วยหรอวะ หรืออยากจะเลื่อนขั้นน้องเขามาเป็นเลขาส่วนตัวแล้ววะ” เวทย์เอ่ยอย่างยียวน ไอ้เพื่อนหน้าเข้มคนนี้มันห่างหายจากเรื่องรักๆ ไปพักใหญ่แล้ว อดตื่นเต้นไม่ได้ถ้ามันจะกลับมามีหวานใจอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าแตกต่างจากทุกคนในชีวิตของมันเลยก็ว่าได้

   “ยุ่ง กูหิว ปล่อย” เหินฟ้าสะบัดแขนออกพร้อมก้าวยาวๆ เข้าไปยังห้องวีไอพีด้านในสุดอย่างรวดเร็ว

   “เหอะ ถ้าวันนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวอย่ามาเรียกกูว่าไอ้เวทย์!”


   “กินอะไรก็สั่งมาเลยนะ” เหินฟ้าที่เดินมาถึงโต๊ะก็เอ่ยปากกับอีกคนที่นั่งอ่านเมนูเล่นมาพักนึง

   “ที่นี่อะไรอร่อยครับ” เจ้าเกล้าเงยหน้าขึ้นมาถาม

   “ยังไม่เคยมากิน มันชวนหลายครั้งแล้ว เพิ่งเคยมา” เหินฟ้าว่าพลางยกน้ำขึ้นจิบ

   “แล้วพี่เวทย์ไปไหนแล้วล่ะครับ” เหินฟ้ามองหน้าอีกคนที่เพิ่งเรียกเพื่อนตัวเองว่า ‘พี่เวทย์’ ไปหยกๆ

   “? คุณเหินมีอะไรหรือครับ” เจ้าเกล้าที่อ่านเมนูจำต้องเงยหน้าขึ้นมาเพราะอีกคนถามไม่ตอบ แถมยังนั่งจ้องหน้าเขาอีก

   “พี่เวทย์?” เหินฟ้าย้ำ

   “ครับ?” เจ้าเกล้าเอียงหน้าย้ำคำถาม

   “ทำไมเรียกมันว่าพี่” เจ้าเกล้าทำหน้าฉงน คือเราจะต้องมาคุยกันเรื่องนี้จริงๆ หรอคุณเหิน

   “เอ่อ ก็เขาบอกให้เรียกว่าพี่นี่ครับ” เจ้าเกล้าตอบออกไป ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวคิดไปเปรียบกับตัวเองที่เขาเรียกว่าคุณหรอกนะ ก็คุณเหินเป็นเจ้านายนี่นา จะให้มาเรียกพี่ไม่ได้หรอก

   “แล้วนายเรียกฉันว่าอะไร?” คนเป็นเจ้านายตอนนี้กอดอกคิ้วขมวด ยิงคำถามมารัวๆ

   “ก็ คุณเหิน... ไงครับ” เจ้าเกล้ายังยืนยันคำตอบ ถึงจะพอเดาๆ ได้แล้วว่าท็อปปิคในครั้งนี้คือเรื่องอะไรก็ตาม

   “ทำไม?” เหินฟ้ายังคงจี้ต่อ

   “… อะไรหรือครับ?” เจ้าเกล้าแสร้งทำเป็นไม่ค่อยเข้าใจ มันก็กระอักกระอ่วนในระดับนึงนะที่ต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับเจ้านายน่ะ

   “ก็ …” เหินฟ้าเองก็เพิ่งนึกออกว่าตัวเองกำลังไม่พอใจกับการเรียกขานนำหน้าชื่อตัวเองของเด็กคนนี้ ซึ่งจริงๆ มันไม่น่าจะเป็นอะไรเลย เขาเองก็เป็นเจ้านายของเด็กนี่ เรียกคุณก็น่าจะถูกแล้ว แต่ทำไมก็ไม่รู้ รู้สึกไม่ชอบเลย “เรียกไอ้เวทย์ว่าคุณเวทย์ด้วย”

   “อ้อ ได้ครับ ไม่มีปัญหา” เจ้าเกล้าเข้าใจว่าคุณเหินคงอยากให้เขาเรียกคนที่เป็นเพื่อนด้วยความสุภาพ เพราะพี่เวทย์ เอ้ย คุณเวทย์เองก็เป็นเพื่อนของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านาย

   “อืม” เจ้านายผู้เอาแต่ใจมีสีหน้าพอใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เจ้าเกล้าก็ไม่ยักรู้แหะว่าเรื่องแค่นี้ก็ทำให้คุณเหินอารมณ์ดีได้ด้วย


❤❤❤❤

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบหก] 2.08.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 02-08-2018 23:10:30
ก้าวสิบหก - ร้านเวทตราคาร (ครึ่งหลัง)


       บรรยากาศน่ารักๆ ทำให้สีสันของการสนทนาทั้งเจ้านายลูกน้องเป็นไปอย่างราบรื่น เจ้าเกล้าแอบคิดในใจอยู่หลายครั้งว่าการคุยกับคุณเหินนอกเหนือเวลางานไม่เคยน่าเบื่ออย่างที่คิด ผิดกับแรกๆ ที่ดูจะวางท่าใส่เขามาก แต่ถ้าคิดดีๆ แล้วแม่ของเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน ถ้าไม่มีเรื่องงานหรือเรื่อง ...เอ่อ คู่หมั้น เขาคิดว่าคุณเหินกับเขาคงจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมากๆ เพราะเขาเองก็ไม่มีพี่ชาย

   ส่วนเหินฟ้านั้นแอบสั่งอาหารเพิ่มไปสองสามอย่างที่ล้วนเป็นเมนูที่ตนเองคำนวณมาแล้วว่าใช้เวลา ‘นาน’ แน่นอนก็เห็นบรรยากาศดีๆ คนตัวขาวตรงหน้าก็ดูจะชอบ ก็ไม่ค่อยอยากจะให้รีบกลับนัก ยังไงเขาก็ไปส่งน้องอยู่แล้ว อีกอย่างบทสทนาของพวกเขาก็เป็นการใช้เวลาที่รอได้เป็นประโยชน์มากทีเดียว แต่คุยไปคุยมาเหินฟ้าก็แอบคิดว่าไอ้ตัวดีมันหายไปไหน มันแปลกมากเพราะปกติมันต้องมานั่งปั้นหน้าอยู่ใกล้ๆ คอยรบกวนแน่

   ยังไม่ทันที่เหินฟ้าจะได้หาคำตอบให้ตอนเองก็มีเสียงหวานๆ ของใครคนหนึ่งโพล่งเข้ามา

   “เหินนนนนนน คิดถึงจังเลยยยยย” สาวสวยรูปร่างสูงเพรียวราวนางแบบนิตยสารชั้นนำบัดนี้ได้ดึงดูดสายตาของคนในห้องทั้งสองไป โดยที่คนนึงมองด้วยสายตางงๆ กับอีกคนหนึ่งที่มองด้วยสายตาเข่นเขี้ยว ไอ้ตัวดี มันเล่นกูแล้วไหมล่ะ

   “อืม ฟ้า เกล้า นี่ฟ้า เพื่อนฉัน” หญิงสาวนามฟ้าที่กำลังเกาะแขนชายหนุ่มอย่างแนบแน่นปั้นหน้าบึ้งตึงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำกล่าวของอีกคน “เพื่อน... ใครเพื่อนเหินอ่ะ แล้วนี่ใครอ่ะ” ฟ้าหันไปมองหน้าชายหนุ่มหน้าละอ่อนอีกคนที่กำลังมองมา

   “นี่เกล้า... น้อง” เจ้าเกล้าหันมองคนสองคนตรงหน้าพร้อมประเมินสถานการณ์ ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้คงจะเคยคบกับคุณเหิน แต่อาจจะเลิกไปแล้ว หรือเปล่านะ แต่ก็แปลกที่คุณเหินไม่ยักห้ามปรามอะไรมากมาย อืม หรือว่าจริงๆ อาจจะยังไม่ได้เลิกกัน

   “สวัสดีครับ เกล้าครับ” คนหน้าสวยยิ้มละไมมาให้

   “อะไรกันคะ ฟ้าไม่ยักรู้ว่าเหินมีน้องหน้าตาแบบนี้ด้วยอ่ะ” ฟ้าเมินคนอ่อนกว่า แล้วหันไปกระเง้ากระงอดชายหนุ่มข้างตัว

   “…เฮ้อ ไอ้เวทย์ล่ะ” เหินฟ้าอดจะถอนหายใจไม่ได้ ไอ้เวทย์จะเอาใครมาก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้! เอาแม่เขามายังดีซะกว่า

   “เวทย์ก็อยู่ข้างนอกไง นี่น้องเกล้า ช่วยไปตามคุณเวทย์ให้พี่หน่อยเร็ว” ฟ้าหันไปชี้นิ้วสั่งคนตรงหน้า

   “เอ่อ...ครับ” เจ้าเกล้าลุกขึ้นเดินออกไปอย่างไม่อิดออด และเหินฟ้าก็ไม่คิดจะห้าม เพราะว่าเขามีเรื่องต้องคุยกับยัยคนนี้

   “… เลิกเล่นละครซะที ปล่อยมือด้วย” เหินฟ้าปัดมือที่เกาะแขนอยู่อย่างรำคาญใจ

   “คิคิคิ อะไรกัน ทำไมต่อหน้าน้องเหินไม่พูดแบบนี้อ่ะ”

   “มันเรื่องของเหิน ฟ้ามาทำไม” เหินฟ้ากอดอก

   “ไม่ต้องเลย! คนที่ต้องเอาคำตอบคือฟ้าต่างหาก ไม่ยักรู้ว่าเปลี่ยนรสนิยมแล้ว นี่ถ้าเวทย์ไม่โทรตามนะ ฟ้าก็คงไม่รู้ว่าเหินอ...”

   “พอ! น้องเป็นน้อง ไม่ได้เป็นอย่างอื่น” หึ ขอให้มันจริง ฟ้านึกค่อนขอดในใจ แค่ดูสายตาก็รู้แล้วว่าสนใจในตัวเด็กคนนั้น

   “ไม่ต้องเลย เรารู้ว่าเหินชอบน้องเค้า” คนฟังถึงกับสะอึก แต่ยังไว้มาด ...ไอ้ชอบน่ะมันก็ชอบ แต่เรียกว่า...

   “เอ็นดู”

   “ห้ะ?” ฟ้าเอียงคอถาม

   “แค่เอ็นดูไม่ได้ชอบ เจ้าเกล้าเป็นเด็กฉลาด”

   “น่ารักด้วยล่ะสิ” ฟ้ายิ้มกรุ้มกริ้มจนคนตัวสูงกลอกตาขึ้นบน

   “จะเล่นอะไรอีกวันนี้ เหินไม่เล่นนะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นหวังให้อีกคนเข้าใจความจริงจังของตน แม่สาวคนนี้ซึ่งชอบเล่นสนุกไปทั่วเป็นเพื่อนของเหินฟ้ามาตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านก็เคยหมายหมั้นให้คบกัน ก็ดูใจกันอยู่พักหนึ่ง แต่ไปๆ มาๆ ยัยฟ้านี่แหละที่ทนไม่ไหวกลับบอกว่าเป็นเพื่อนกันเถอะ พร้อมตบหัวตีหางกันอย่างใจๆ จนเหินฟ้าต้องส่ายหน้าให้กับความแมนของยัยฟ้า และหลังจากนั้นชีวิตเขาก็มียัยเพื่อนตัวป่วนตามมากวนใจตลอด ถึงแม้ว่าข้อดีจะมีเยอะก็เถอะ แต่นิสัยที่ชอบทำอะไรแผลงๅ นี่ ดูท่าจะแก้ไขยากเสียเหลือเกิน

   “ป่าวน้าาา น้องน่ารักอ่ะเหิน ฟ้าขอแหย่น้องนิดนึงนะ” หญิงสาวยกมือทำท่าทางเหมือนบี้มดให้เห็นว่านิดเดียวจริงๆ

   “ไม่ เล่น” เหินฟ้าย้ำชัดๆ

   “ถ้าไม่ให้ฟ้าเล่น ฟ้าจะบอกน้องเกล้าว่าเหินแอบชอบน้องมากๆ เลย อุ้ย! ว่าแล้วก็ไปบอกเลยดีกว่า” คน(แกล้ง)คิดไว้ทำไวกระชากตัวเองลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมเตรียมจะเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วถ้าไม่มีมือใหญ่ๆ มารั้งไว้เสียก่อน

   “ฟ้า…” เหินฟ้ารั้งข้อมือของอีกคนไว้

   “อ้าวเหิน ว่าไงหรอ” ฟ้าทำหน้าใสซื่อ แหมมมม ทำแค่นี้ฟ้าก็รู้แล้วว่าเหินคิดยังไงกับน้อง ถ้าไม่ได้ชอบถึงบอกน้องไปก็ไม่น่าเสียหาย

   “อย่าแกล้งให้มากเกิน เกล้าเป็นลูกเพื่อนแม่”

   “อู้ววว อ่ะๆ ก็ได้” ฟ้ายกมือขึ้นมาตบบ่าชายหนุ่ม



   แกร็ก... ใดๆ ในโลกล้วนเป็นใจให้ไอ้เหินเสียเหลือเกิน เมื่อคนตัวขาวเปิดประตูเข้ามาพอดีจึงมองเห็นท่าทางที่เหินกำลังจับข้อมือหญิงสาวไว้ซึ่งเจ้าหล่อนก็กำลังจับบ่าแกร่งไว้อย่างมั่นคง

   “อะโห้ววว ไอ้เหินใจเย็นๆ ดีกว่าไหม วันนี้มากับน้องไม่ใช่หรอ” เวทย์ที่เข้ามาถึง พอเห็นท่าทางแบบนั้นก็ใส่ไฟทันที วันนี้เขากับฟ้าไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งน้องหรอก ที่อยากแกล้งจริงๆ คือไอ้หมีหน้านิ่งนี่ต่างหาก หึ ดูสิว่ามันจะสารภาพไหมว่ามันคิดอะไรกับน้อง

   “อุ้ย เขินจังเลย น้องเกล้าอ่ะเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ฟ้าที่รู้ตัวก่อนจูนอินเข้าสู่บทบาททันทีพร้อมทั้งทำท่าเขินอายที่เวทย์เห็นแล้วบอกเลยว่าน่าตบมาก

   “เอ่อ ผมขอโทษครับ” เจ้าเกล้ารีบยิ้มแหยๆ ขอโทษ เขาก็ไม่ทันคิดว่าคุณเหินไม่ได้อยู่ในห้องคนเดียว

   “ไม่ได้ทำอะไร แค่คุยกันเฉยๆ” เหินฟ้ารีบโพล่งขึ้นมา เวทย์เห็นดังนั้นก็ไม่ปล่อยให้เพื่อนมีช่องว่าง

   “แหม น้องเกล้าอย่าถือสาเลยนะ เพื่อนพี่น่ะมันไวไฟ เมื่อก่อนนี้นะควงทีวันละสามสี่คน เปลี่ยนผู้หญิงไวกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก” เหินฟ้าได้ยินดังนั้นก็สะอึกระลอกใหญ่ ไอ้เจ้าพวกนี้ ไม่อยากตายดีหรือไงถึงขุดเรื่องนี้มาเล่าให้น้องฟัง ยอมรับหรอกว่าเมื่อก่อนตัวเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็เลิกมาตั้งสี่สาห้าปีได้แล้ว

   “หยุดพูดเลย ออกไปให้หมด เกล้ากลับมานั่งที่”

   ได้ ไล่กันแบบนี้ใช่ไหมเหิน “นี่เวทย์ เมื่อกี้น่ะ เหินเขาก็ไล่ฟ้านะ แถมยังบอกว่าเขาไม่ได้รักฟ้าแล้ว เขารักน้องเกล้าต่างหาก” เมื่อฟ้าโพล่งออกไป ทั้งสี่คนในห้องก็ต่างคนต่างอาการ คนอ่อนสุดยังมีสีหน้าปกติดี และเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นว่า อ้อ คุณเหินคงจะเอาเขาไปเป็นไม้กันหมา แสดงว่าคุณเหินคงไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่นัก ส่วนเวทย์และฟ้าต่างแอบยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในใจ ไงล่ะพ่อคุณคนเก่ง จะทำยังไงดีน้า

   เหินฟ้าที่หน้าชาแถมอยู่ดีๆ อกซ้ายก็บีบรัดตัวอย่างรุนแรงจนต้องแอบเหล่ไปมองปฏิกิริยาคนหน้าสวยอีกครั้ง น้องยังนิ่ง มีหันมามองเขาด้วยสีหน้าเหมือนกำลังประเมินอะไรสักอย่าง ...น้องเป็นคนฉลาด ถ้าเขามีท่าทีประหลาด น้องจะรู้ทันทีว่าเขาชอ... ไอ้เหินบ้า นี่แกชอบน้องเขาจริงหรอวะ เหินฟ้าตบตีกับตัวเองในหัวพักหนึ่งจนได้ข้อสรุปมาว่า ถ้าเจอหมีให้แกล้งตาย ในสถานการณ์แบบนี้เขาควร ‘เนียน’ เข้าไว้

   “ใช่ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก ตอนนี้เจ้าเกล้าเป็นคู่หมั้นฉันเอง เพิ่งคบกันไม่นาน” เหินฟ้าเดินเข้าไปโอบเอวคนตัวเล็กด้วยท่าทีเหมือนจะสบายๆ ถ้าไม่นับเหงื่อที่แตกพลั่ก กับหัวใจที่สูบฉีดเกินกว่าปกติ ยิ่งกลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ที่น่าจะมาจากคนหน้าสวยนี่ ยิ่งทำให้มือไม้เริ่มสั่นอย่างห้ามไม่อยู่

   ทางด้านพวกขี้เเกล้งทั้งหลายอันประกอบด้วยเพื่อนตัวดี และเพื่อนตัวป่วน ต่างตาเบิกโพลง ไม่คิดว่าอิตาเหินมันจะใช้มุกนี้ ไม่รู้เนียนแกล้งพวกเขา หรือเนียนแต๊ะอั๋งน้อง แต่อย่ามาดูถูกยัยภาพฟ้าหน่อยเลย เล่นละครมาเล่นละครกลับเว่ย ไม่โกง!

   “อะไรกัน ฟ้าไม่อยากเชื่อเลย ห.. เหินมีอะไรมาพิสูจน์อ่ะ ว่าทั้งสองคนคบกันจริงๆ ฟ.. ฟ้าไม่เชื่อ ถ้าไม่มีอะไรพิสูจน์ ฟ้าจะไม่ยอมไปแน่นอน” เหินฟ้าที่ตื่นจากภวังค์ของกลิ่นหอมๆ หันมามองบทละครที่เพื่อนสาวส่งมาให้ เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น นี่เราเล่นอะไรกันอยู่วะ

   “ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไร เกล้า เรากลับกันเถอะ” นี่ เอาสิ กูคิดอะไรไม่ออกแล้ว เชิญพวกมึงเล่นกันต่อไปเถอะ

   เหินฟ้าที่ ‘เนียน’ สอดประสานมือกับคนตัวเล็กแล้วลากออกจากห้องถูกยัยฟ้าที่กำลังเล่นบทตัวอิจฉาแย่งสามีชาวบ้านรั้งมือไว้และทำท่าจะร้องไห้ “ไม่นะ ไม่ยอมๆ”

   “เรื่องของเรา มันจบแล้วฟ้า ลาก่อน” เหินฟ้าที่ก็ยังอินกับบทอยู่รู้สึกเหมือนของมันขึ้น จึงต้องต่อบทให้มันจบๆ ไป พร้อมกับกระชากมือนุ่มนิ่มให้ออกไปด้วยกัน ทั้งที่ใจจริงๆ ก็ยังไม่อยากรีบกลับเท่าไหร่ ก็น้องยังไม่ได้กินข้าวเลย แต่แรงดึงกลับชะงักลง เพราะอีกคนไม่ยอมเดินตาม จนเหินฟ้าต้องหันไปหาว่าเกิดอะไรขึ้น

   “คุณเหินครับ... ทำแบบนี้ไม่ดีนะครับ” เจ้าเกล้าเอามือมากุมมือหนาอีกที เขารู้ว่าคุณเหินอึกอัดจนอยากกลับ เขาเองก็อยากกลับ แต่ผู้หญิงคนนี้ดูเศร้ามาก เขารู้สึกว่าถ้าปล่อยเอาไว้ก็มีแต่คาราคาซัง ไม่ช้าไม่นานหล่อนก็ต้องกลับมาหาคุณเหินอีก คุณเหินต้องเลิกหนี แล้วหันหน้าคุยกัน “คุณไปคุยกับเธอให้รู้เรื่องเถอะครับ เดี๋ยวผมไปรอข้างนอก คุยกับเธอดีๆ ครับ อย่าทำร้ายจิตใจของผู้หญิงคนหนึ่งเลย”

   ดวงตากลมโตกลับหางคิ้วที่ตกลงมาเล็กน้อยทำให้ใจของเหินฟ้าอ่อนยวบ ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งใบหน้า ทั้งมือนุ่มๆ นี่ถึงมีอิทธิพลขนาดนี้ และยังไม่ทันที่จะมีใครได้พูดอะไร เจ้าเกล้าก็เดินออกไปจากห้องแล้ว แถมยังลากไอ้คุณเวทย์ที่ยืนอ้าปากค้างงงๆ กับสถานการณ์พลิกล็อคนี้ไปด้วย

   เมื่อประตูปิดลงเหินฟ้าจึงหันมามองยัยตัวดีที่ตอนนี้ทำท่าทางปลื้มปริ่มเหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่

   “เหินนนนน น้องน่ารักมากเลยยยย ชั้นเชียร์คนนี้ แก! ต้อง! ได้!”

    “เฮ้อ เห็นไหมล่ะ เล่นจนได้เรื่อง แล้วจะอธิบายเกล้ายังไง” เหินฟ้าทำท่าทีอ่อนใจใส่

   “เรื่องนั้นชั้นจัดการเองได้ แต่เรื่องที่เหินต้องจัดการให้ฟ้าคือตอบฟ้ามา ว่าเหินคิดยังไงกับน้อง” ฟ้าเอามือขึ้นมาชี้ไปที่หัวใจของเขาที่เมื่อกี้มันเต้นเร็วจนแทบลืมหายใจ

   “…” ทั้งห้องเงียบฉี่ มีเพียงความคิดของเหินที่โลดแล่นไปพร้อมกับเสียงระรัวในอกข้างซ้าย เขายอมรับว่ารู้สึกดีๆ กับน้อง แต่ทั้งชีวิตมาเขาแทบไม่เคยมีความรักเลย ทุกอย่างเป็นเรื่องฉาบฉวย ทุกคนล้วนเข้ามาเพราะอะไรบางอย่าง จนมันถึงจุดๆ หนึ่งที่เขาเบื่อกับเรื่องพวกนั้น และหันหน้าเข้าหางานกับครอบครัว จนลืมใส่ใจกับเรื่องของหัวใจไปเสียสนิท

   “ว่าไงคุณเหินฟ้า ธราธัตต์” ภาพฟ้ายิ้มกรุ้มกริ่ม ทำเสียงเหนือชั้นกว่า

   “… เฮ้อออ” เหินฟ้าถอนหายใจยาวๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก “ยอมรับว่าสนใจ แต่ไม่รู้จะเรียกชอบไหม”

   “สนใจแบบไหน” หญิงสาวยังคงถามไปถึงเชิงลึก จะมาสนใจเฉยๆ มันใช้ได้ที่ไหน มันต้องชอบสิ ฮึ่ยย หงุดหงิดจริงๆ ผู้ชายคนนี้

   “ก็… ประมาณนั้นแหละมั้ง” เหินฟ้าก็โตพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของตน และด้วยความเป็นผู้ใหญ่นี้แหละจึงอยากทำอะไรให้มั่นใจ ช้าๆ แต่มั่นคง ไม่หวนกลับไปมีพฤติกรรมฉาบฉวยเหมือนอย่างในอดีตอีก

   “หึหึหึ ดีมากกกกกกกกก ฟ้าจะถือว่าเหินยอมรับแล้วว่าชอบน้อง” สาวสวยเอามือมาตบบ่าแรงๆ เหมือนเป็นโค้ชที่กำลังให้กำลังใจนักแข่งในทีม “ฟ้ารู้ว่าเหินรู้ว่าเหินควรทำยังไง เหินไม่ใช่เด็กๆ แล้ว มันไม่ได้มาบ่อยๆ หรอกนะ ไอ้อาการอยู่ใกล้เขาแล้วเหงื่อออก ได้กลิ่นเขาแล้วใจเต้น จับตัวเขาแล้วมือสั่นน่ะ”

   เหินฟ้าได้ยินถึงกับตาโต ทำไมยัยฟ้าที่เอาแต่เล่นไปวันๆ ถึงทำตัวเหมือนเข้ามาอยู่ในใจเขาแบบนี้ล่ะ

   “ไม่ต้องห่วงหรอกเหิน ฟ้าน่ะ มีประสบการณ์เรื่องนี้มากกว่าเหินเยอะ ก็เหินเอาแต่ทำงานๆๆๆ สนใจอะไรบ้างล่ะ เนี่ย เป็นโอกาสดีนะ ที่น้องจะทำให้เหินมองคนอื่นบ้าง และที่สำคัญ ‘มองตัวเองบ้าง’ ”

   เหินฟ้ามองหญิงสาวที่เดินหน้าระรื่นออกไปนอกห้องพร้อมบอกว่าจะเคลียร์ปัญหาเมื่อกี้ให้ ส่วนตัวเขาก็ได้แต่ถอนหายใจแรงอีกครั้ง ให้มันได้อย่างนี้สิ มาตกหลุมรักเด็กยังไม่พอ เป็นเด็กที่คุณแม่หามาให้อีก เฮ้อออ...

❤❤❤❤

อุ้ยย มีคนแถวนี้รู้ใจตัวเองอ่ะค่ะ อิอิ
เรื่องนี้พระเอกชอบไม่ต้องลุ้นเท่าไหร่ ไปลุ้มตามชื่อเรื่องดีกว่าค่ะ ใจหนูเกล้าเนี่ยค่ะ
เชียร์พี่เหินเขาด้วยนะคะทุกคน งานก็ต้องทำ เด็กก็ต้องจีบ น่าจะเหนื่อย

ชอบไม่ชอบเม้นบอกกันได้นะคะ ทุกเม้นท์เป็นกำลังใจที่มีพลังสำหรับคนเขียนมากๆ เลยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านค่ะ

รัก



JYUBE.

#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบหก] 02.08.18
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 04-08-2018 07:04:59
นิยายสนุกมาก ชอบคุณเหินกับหนูเกล้า
รอตอนต่อไปนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบสิบเจ็ด] 05.08.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 05-08-2018 18:33:28
ก้าวสิบเจ็ด - ประชุมลับ

     เหตุการณ์วันที่ได้เจอกับภาพฟ้ายังติดตาตรึงใจเจ้าเกล้าอยู่มากไม่รู้ลืม สุดท้ายเจ้าหล่อนก็มาสารภาพว่าสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านั้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่อ้างว่าพวกเธอเล่นกันแบบนี้ประจำ ส่วนเจ้านายตัวสูงที่เดินออกมาสมทบก็ทำหน้านิ่งๆ ก่อนจะยืนยันว่าเรื่องจริง เขาจะไม่แปลกใจเลยว่าพี่ภาพฟ้าชอบเล่นละคร เธอดูแก่นแก้วอยู่เหมือนกัน แต่คุณเหินนี่สิ... เล่นไปกับเขาด้วยหรอ

   หลังจากนั้นภาพฟ้าก็พูดกับเขาว่าฝากเหินหน่อย เจ้าเกล้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก อืม ไม่คิดมากหรอก ถ้ามันไม่มีอะไรแปลกๆ ไปจากปกติเหมือนอย่างวันนี้

   “อืม ลงมาแล้วอยู่ที่ลานจอดรถ” เหินฟ้าที่เริ่มติดต่อกับเขาทางโทรศัพท์มากขึ้นมักจะนัดเขาไปทานข้าวบ่อยๆ จริงๆ แล้วคือทุกครั้งที่คุณมุกสมุทรเรียกเจ้าเกล้าไปหา แม้เจ้าตัวจะยังเรียก แต่ก็เลิกพฤติกรรมไปบุกถึงห้องแล้วเพราะคุณเหินแอบไปบ่นมาให้ คนแม่เริ่มเคลียร์แล้ว แต่คนลูกนี่ไม่เคลียร์เท่าไหร่

   “ครับ..” เจ้าเกล้ารับคำ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่เหินฟ้าพาเขาหลบเลี่ยงคุณมุกสมุทรและจะใช้ลูกเล่นอันซับซ้อนในการทำให้เหมือนเขามีธุระต้องรีบไปทำ เจ้าเกล้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ คุณมุกสมุทรก็น่าจะชวนทานข้าว ทำไมไม่ไปทานพร้อมกันเลย และวันนี้แหละที่เจ้าเกล้าจะต้องคุยเสียหน่อย

   
   “ทำไมลงมาช้าล่ะ” เหินฟ้าหันไปหาใครอีกคนที่ช่วงนี้มาเป็นตุ๊กตาหน้ารถบ่อยๆ

   “คุณเหินครับก่อนไป ผมขอคุยด้วยสักหน่อยนะครับ”

   “อืม เอาสิ” เหินฟ้าวางโทรศัพท์ที่กำลังคุยงานลงพร้อมตั้งใจฟัง

   “คุณเหินชอบผมหรอครับ”

   ปึก... ถึงกับโทรศัพท์หลุดมือกันเลยทีเดียว

   “อะไรทำให้นายคิดแบบนั้น”

   “คุณเหินชวนผมไปทานข้าวบ่อยๆ นี่ครับ อีกอย่างช่วงนี้เราก็เจอกันบ่อยเวลาทำงาน เหมือนคุณเหินจะอยู่แถวๆ แผนกผมตลอดเลย” เจ้าเกล้าตอบไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

   “ก็บังเอิญน่ะสิ บังเอิญบ่อยๆ ก็ไม่แปลกเสียหน่อย”

   “การที่เราทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ นี่ล่ะครับ อ้อยังไม่นับที่พี่ฟ้าพูดจาแปลกๆวันนั้นด้วย”

   นี่ไง! เหินฟ้าอยากจะโทรไปด่าเสียให้เข็ด เล่นอะไรก็ไม่รู้น้องมันไก่ตื่นหมดแล้ว

   “คิดมาก ฉันเห็นเป็นน้องคุยกันรู้เรื่อง เลยอยากพาไปกินข้าวเฉยๆ” เหินฟ้าพูดพลางเช็คนู้นนี่บนรถอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนเจ้าเกล้าก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้เหมือนจะอ่านไม่ยาก แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

   “คุณเหินครับหลบเลี่ยงคุณมุกแบบนี้ไม่ดีนะครับ สุดท้ายผมว่าเราก็ต้องคุยกับท่านให้รู้เรื่อง”

   “เฮ้อ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ฉันไม่อยากยอมแม่ ฉันอยากหาคนที่รักด้วยตัวเอง” เหินฟ้าหันมามองคนตัวบางในประโยคสุดท้าย นัยตาที่อ่อนโยนกว่าปกติทำให้เจ้าเกล้าอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าคุณเหินชอบเขาอันนี้คงเป็นการพูดเพื่อจีบแน่ๆ

   “เอาอย่างนี้นะครับ เรานัดคุยกับคุณมุกให้เคลียร์ไปเลย ผมจะอยู่คุยด้วย เราไม่ได้รักกัน คุณน้าน่าจะเข้าใจ”

   “ไม่!” …

   “เอ่อ”

   “เอ่อ หมายถึงไม่ต้องตอนนี้ เดี๋ยวค่อยคิด” เหินฟ้าพูดจบก็เปิดวิทยุ พร้อมออกรถทันที มาเราไม่ได้รักกันอะไรเล่า คนทางนี้ก็ไม่ค่อยได้จีบใคร คิดแผนอะไรก็ไม่ค่อยออก งานก็เยอะ เฮ้อ



   ณ เรือนรัฐสกุลในวันนี้มีองค์ประชุมลับๆ กันอย่างนัดหมายประกอบด้วยคุณตรึงจิต คุณอัฎฐ์ผู้เป็นเขยใหญ่ คุณวรรณฤดีลูกสาว เจ้าปอย และเจ้าจุกหลานสาวผู้ก๋าแก่น

   “ทำผมอะไรน่ะยัยจุก กลัวมันมองไม่เห็นหรือไงถึงต้องทำสีฟ้า” ก่อนจะเริ่มวาระการประชุมคุณตรึงจิตก็อดจะทักสีผมของยัยหลานสาวไม่ได้ แหม้ มันคงอยากเป็นไฟนีออนกระมัง

   “นี่ ยัยปอยนั่งให้มันดีๆ เป็นสาวเป็นนาง หนูเกล้ายังนั่งเรียบร้อยกว่าหล่อนกี่เท่าก็ไม่รู้” หันไปด่าคนน้องก็วกกลับมาบ่นคนพี่ จนคุณวรรณฤดีถึงกลับกลั้นขำ สิ่งที่แม่เธอพูดนั้นล้วนเป็นเรื่องจริง ที่ลูกๆ เขาไม่ถือสา ก็เจ้าเกล้าน่ะเรียบร้อยจริงๆ

   “เอาล่ะๆ คุณแม่ครับ เรามาคุยเรื่องของเรากันดีกว่า เดี๋ยวหนูเกล้าจะกลับมาก่อน” อัฎฐ์เป็นคนเริ่มประเด็น เพราะไม่งั้นคุณตรึงจิตแกจะมันปากจนบ่นตั้งแต่หัวยันเล็บขบไม่หยุดเป็นแน่

   “อืม ช่วงนี้หนูเกล้ากลับดึก คนมาส่งก็ตาเหินฟ้า พอถามหลานก็บอกว่าไปกับคนที่ทำงาน คุยงานกันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ดูก็รู้ว่าหลานปิดบัง จะคบกันฉันไม่ว่า ลูกยัยมุกก็หน่วยก้านดี แต่มาปิดบังแบบนี้ใช่ไม่ได้” คุณตรึงจิตกล่าวด้วยดวงตาดุกร้าวระคนเป็นห่วงหลาน ครั้งหนึ่งเจ้าหล่อนเคยปล่อยให้หลานชายไปกับผู้ชายจนเกือบจะโดนเขาทำมิดีมิร้าย ผู้ชายสมัยนี้มันมือไวใจเร็ว ไม่น่าไว้ใจสักคน

   “เหินหล่อจะตายคุณยาย ปล่อยให้น้องไปมีความสุขเถอะค่ะ ถ้าน้องชอบน่ะ” เจ้าปอยเอ่ย เอาจริงๆ ทั้งสองคนน่ะเหมาะสมกันจะตาย

   “ไม่!” อัฏฐ์ที่นั่งอยู่ทุบโต๊ะเสียงดัง

   “เป็นบ้าหรือตาอัฏฐ์ ใจตกกันหมด” คุณตรึงจิตถึงกับเอามือทาบอกพร้อมส่ายหัว นี่ไงล่ะตัวต้นแบบพฤติกรรมม้าดีดกระโหลกของหลานสาวทั้งหลาย

   “ผมไม่ยอม ใครหน้าไหนก็ห้ามมาจีบลูกผม ปอยโทรหาเกล้าเดี๋ยวนี้น้องอยู่ไหน กลับบ้านเดี๋ยวนี้” อัฏฐ์ที่เลือดขึ้นหน้าไม่มีใครฉุดอยู่ เอ่อ เว้นแม่ยายไว้คนแล้วกัน

   “นั่งลงตาอัฏฐ์อย่ามาทำกริยาอันธพาลไร้การศึกษาที่เรือนของชั้น เป็นเจ้าคนนายคนต้องใจเย็นใจร่ม จะพาลจะอะไรดูเหตุดูปลายก่อน อารมณ์ยังคุมไม่ได้ จะไปคุมลูกน้องได้ยังไง@#@(#)^(” แล้วคุณตรึงจิตก็จัดคอมโบชุดใหญ่อีกเซ็ทหนึ่ง

   “โถ คุณแม่ครับ คุณแม่ก็เห็นหนูเกล้าน่ะ มีใครไม่ชอบบ้าง ผมหวงของผมมาตั้งหลายปีอยู่ดีๆ จะมีคนมาเอาไปได้ยังไง ไว้ใจได้ไหมก็ไม่รู้” คุณอัฏฐ์ที่บัดนี้ไปนั่งนวดๆ แม่ยายสุดที่รักได้แต่พึมพำตัดพ้อถึงความห่วงใยที่มีต่อลูกคนเล็ก

   “ยัยวรรณคิดว่ายังไง” คุณตรึงหันไปถามลูกสาวที่พ่วงด้วยแม่ของหลานตัวเอง

   “เจ้าเกล้าโตแล้วค่ะแม่ วรรณอยากให้ลูกเลือกสิ่งที่ลูกชอบเอง วรรณเองก็ห่วงลูกค่ะ และวรรณคิดว่าลูกก็รู้ว่าเราห่วงเขา แต่วรรณว่าเราต้องให้โอกาสเขาได้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยค่ะ” วรรณฤดียิ้มบาง เรื่องราวตอนนี้มีความวุ่นวายมากจนเธอแอบกุมขมับ ฝั่งเพื่อนก็ยัดเยียดคู่ให้ ฝั่งนี้ก็ไม่อยากให้มีคู่ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างไม่มีใครถามเจ้าเกล้าเลยสักคน

   …ทุกคนเงียบไปสักพักใหญ่ๆ และเมื่อตกตะกอนความคิดแล้วคุณตรึงจิตจึงสรุปออกมา “เข้าใจแล้ว ชั้นจะจัดการเรื่องนี้เอง ชั้นเองก็แก่แล้ว จะไปหวงชีวิตหลานมากไปก็ไม่ดี แต่จะปล่อยไปเลยก็ไม่ได้ ให้เป็นหน้าที่ชั้นเอง เอ้าไปทานข้าวกันได้แล้ว มนต์ ตั้งโต๊ะเลย” คุณตรึงจิตทำท่าจะลุกขึ้น แต่ไอ้ลูกเขยตัวดีมันไม่ยอมปล่อยเสียที

   “คุณแม่ครับขอผมร่วมขบวนการด้วยได้ไหมครับ”

   “ไม่ต้องย่ะ นี่ตาอัฏฐ์ ไม่ได้ฟังที่เมียแกพูดหรือไง หวงก็ให้มันมีขอบเขต โตแล้ว ลูกก็โตแล้ว อยากได้เด็กเล็กๆ มาหวงก็ปั๊มเอาใหม่” คุณตรึงจิตพูดก่อนจะสะบัดเท่าไม่แคร์ใคร “คุณแมม่” วรรณฤดีที่นั่งหน้าแดงอยู่ได้แต่ส่ายหน้ากับบทสนทนาของแม่ยายลูกเขย

   “วรรณ พี่ว่าแม่เขาก็ไอเดียดีนะว่าไหม” คุณอัฏฐ์อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนท่าทีมาหยอกเมียแบบงงๆ จนวรรณฤดีต้องปิดหูเดินหนี “เอ้า วรรณ ที่รักไปไหนล่ะ ยังไม่ได้คุยกันเลยรอบนี้เอาผู้หญิงหรือผู้ชายดี วรรณณณ”




   “ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ อร่อยมากเลย” เจ้าเกล้ายิ้มบางหลังจากเหินฟ้าเคลียร์เรื่องค่าอาหารเรียบร้อย จริงๆ ทุกครั้งที่เจ้าเกล้าถูกเจ้านายจอมเผด็จการชวนมาเขาเองก็ไม่อยากปฏิเสธด้วยมารยาทต่างๆ อีกอย่างต้องมานั่งให้คนอื่นเลี้ยงแบบนี้ เจ้าเกล้าก็กระอักกระอ่วนนิดหน่อย

   “อืม อร่อยดี เป็นหลนเต้าเจี้ยวที่อร่อย” ก่อนมาเหินฟ้าบอกกับเจ้าเกล้าแล้วว่าเขาชอบกินหลนของร้านนี้มาก

   “ร้านนี้สูตรคล้ายๆ ของคุณยายเลยครับเป็นสูตรชาววัง”

   “หืม นายทำอันนี้เป็นด้วยเหรอ” ถ้ายายทำเป็นเจ้าเกล้าก็น่าจะทำเป็นเหินฟ้าจึงถามไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เอาล่ะ ได้จังหวะแล้ว

   “เป็นครับ” เจ้าเกล้าตอบกลับด้วยยิ้มละไม

   “จริงเหรอ วันหลังทำให้ทานได้ไหม เดี๋ยวไปหาที่บ้าน” เหินฟ้าพูดหน้านิ่งๆ

   “เดี๋ยวผมทำมาให้ทานก็ได้ครับ ไม่ต้องไปถึงที่บ้านก็ได้ มันไกล”

   “ไม่หรอก ช่วงนี้ก็ไปบ่อยๆ อีกอย่างวันเสาร์ก็ต้องพาน้องรักไป” คนจะรุกอย่าเอาเรือขวาง เหินฟ้าเร่งเร้าเอาคำตอบ

   “อ้อ ได้ครับ เดี๋ยววันเสาร์นี้ ผมทำไว้เป็นอาหารกลางวัน” เจ้าเกล้ายิ้มรับโดยดี

   “อาหารเย็น”

   “ครับ?”

   “เอาไว้ทานเป็นข้าวเย็นดีกว่า เดี๋ยววันนั้นจะอยู่ทานด้วย” เรื่องอะไรจะต้องให้เด็กๆ พวกนั้นมาวุ่นวายด้วยเล่าเหินฟ้าที่ตอนนี้ยกมุมปากขึ้นมานิดๆ พร้อมกับทำสายตาแปลกๆใส่เป็นอะไรที่เจ้าเกล้าไม่ชิน

   “อ่ะ เอ่อ แล้วแต่คุณเหินเลยครับ ...เรากลับกันเลยไหมครับ” เจ้าเกล้ารู้สึกว่าอยู่ดีๆ ก็ถูกมองหน้า ไม่ได้หาเรื่องแต่เหมือน... เอ่อ โดนจีบ อีกแล้ว แต่เขาก็เชื่อที่คุณเหินบอกว่าไม่ได้ชอบนะ แต่หนูเกล้าอาจจะพลาดตรงที่คุณเจ้านายตัวดีไม่เคยพูดสักคำว่าไม่ชอบ


❤❤❤❤

JYUBE.

#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบเจ็ด] 05.08.18
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 11-08-2018 17:39:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบแปด] 18.10.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 18-10-2018 21:03:14
ก้าวสิบแปด - ห้องครัวเรือนใหญ่

   วันนี้เจ้าเกล้าไม่มาทำงาน ติดต่อก็ไม่ได้ เหินฟ้ามั่นใจว่าเมื่อวานน้องก็ดูปกติไม่น่าจะมีอะไร

   “เอ่อ คุณเหินคะ อีก 10 นาทีประชุมจะเริ่มแล้วนะคะ” พรพรรณรีบเข้ามาเตือน ประเด็นคือคุณเหินยังไม่อ่านรายงานครั้งก่อนเลย จะ follow up ไม่ทันเอา

   “เกล้ามาหรือยัง” เหินฟ้าหันไปถามคุณเลขาที่กำลังทำหน้างงอยู่ในตอนนี้

   “คะ?”

   “เจ้าเกล้า รัฐสกุล เด็กฝึกงาน แผนกพีอาร์ ” เหินฟ้าตอบกลับเสียงเย็น

   “อ่ะ เอ่อ เดี๋ยวพิกุลเช็คให้นะคะ”

   รอไม่นานคุณเลขาก็เข้ามาพร้อมคำตอบ

   “น้องโทรมาลาป่วยแล้วค่ะ”

   “เอ๊ะ ป่วยเหรอ เป็นอะไร เป็นไข้เหรอ ไปหาหมอหรือยัง แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์” เหินฟ้าถามอย่างร้อนรน

   “เอ่อ เห็นแจ้งว่าไข้หวัดธรรมดานะคะ ยังไงเดี๋ยวพิกุลติดต่อน้องให้ได้ค่ะถ้าคุณเหินต้องการ แต่ตอนนี้ต้องเข้าประชุมแล้วนะคะ” พิกุลพยายามประนีประนอม วันนี้ประชุมบอร์ดด้วย คุณรองประธานไม่ควรไปสาย

   “…” เหินฟ้ายืนคิดพักหนึ่ง เอามือลูบริมฝีปากไปด้วย “ผมฝากติดต่อที ได้เรื่องแล้วเท็กซ์มา ด่วน” พูดจบก็เดินออกจากห้อง ส่วนพรพรรณก็ได้แต่แปลกใจ เธอไม่เคยรู้เรื่องของเจ้านายกับเด็กคนนี้ เพราะเธออยู่แค่หน้าห้องเท่านั้น สงสัยต้องลองถามนพดลดูเสียหน่อย รายนั้นน่าจะรู้เรื่องรู้ราว ส่วนอีกเรื่องที่น่าแปลกใจก็คือปกติคุณเหินจะปิดโทรศัพท์เวลาเข้าประชุม หรือไม่ก็ฝากไว้ที่เธอ นี่เอาเข้าไปด้วย แถมยังให้ส่งข้อมูลที่ไม่ใช่เรื่องงานให้อีก เด็กคนนี้เป็นอะไรกับคุณเหินกันนะ



   แต่ความจริงหาใช่สิ่งที่เหินฟ้ารับรู้ไม่ ณ เรือนรัฐสกุลตอนนี้ทุกคนต่างวุ่นวายเพราะเจ้าของเรือนป่วยพับอยู่กับเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็ยังดีอยู่ แถมร้องเรียกหาแต่หลานรักจนเจ้าเกล้าตัดสินใจลางานกระทันหัน แต่ก็ให้เหตุผลไปว่าตนเองป่วยซึ่งก็ดูจะเข้าท่าสุด และนอกจากจะต้องคอยดูแลคุณยายแล้วเจ้าเกล้ายังต้องคอยรับโทรศัพท์จากพี่ๆ ในแผนก คุณมุกสมุทร และเพื่อนๆ ที่เขาเองก็งงๆ ว่าข่าวมันไปถึงได้อย่างไร จะมีก็แต่คุณเหินนี่แหละที่ยังไม่ได้โทรมาหา จะว่าไปเขาควรโทรไปบอกโดยตรงหรือเปล่าน้า เพราะตอนนี้เขากับคุณเจ้านายก็ดูเหมือนจะกลายเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากขึ้นแล้วด้วย

   “คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ” เจ้าเกล้าที่นั่งอยู่ข้างเตียงตั้งแต่เช้าเอ่ยถามหลังจากที่คนเป็นยายตื่นจากอรุณนิทราแล้ว

   “พอดีขึ้น แต่ก็ยังปวดหัวอยู่บ้าง ลางานแล้วหรอลูก” คุณตรึงจิตในสภาพ(แกล้ง)ป่วยลูบหัวลูบหน้าหลานชายคนโปรด

   “ลาแล้วครับ คุณยายไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเกล้าไปทำข้าวต้มมาให้คุณยายดีกว่านะครับ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว” เจ้าเกล้ากุมมือคุณยายเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย คุณยายเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กๆ ท่านเป็นเหมือนมารดาอีกคน การที่ได้เห็นคนที่คอยดูแลตนมาล้มป่วยลง เจ้าเกล้าเองก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย

   “หนูเกล้าไม่ทำหน้าอย่างนั้นสิลูก ยายแก่แล้ว ปวดนิดป่วยหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เราเถอะขาดงานอย่างนี้จะดีหรอ” คุณนายตรึงจิตเองก็ไม่ได้อยากใช้ลูกไม้ละครน้ำเน่าแบบนี้ แต่ก็อยากเห็นปฏิกริยาของทั้งสองมากกว่าถึงแม้จะรู้สึกแย่ที่เป็นเหตุให้หลานต้องขาดความรับผิดชอบก็ตาม

   “ไม่มีปัญหาครับ ยังไงคุณยายนอนพักนะ เดี๋ยวเกล้าไปทำข้าวต้มก่อน” เจ้าเกล้ากำลังจะผละออกไปเข้าครัว แต่ก็ต้องชะงักเพราะคุณยายยังรั้งตัวไว้

   “ไม่ต้องหรอก ให้มนต์ไปทำให้ก็ได้ มาคุยกับคนแก่ดีกว่า พักนี้ไม่ค่อยได้คุยกันเลย” คุณตรึงจิตเอ่ย ซึ่งเจ้าเกล้าก็เข้าใจได้ทันที เป็นเพราะเรื่องที่เขากลับบ้านดึก คุณยายที่เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มจึงไม่ได้อยู่คุย หรือทานข้าวเย็นด้วยกันเหมือนแต่ก่อน เจ้าเกล้าเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก การทำให้คุณยายรู้สึกเหงาเป็นอีกเรื่องที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้น

   “เกล้าขอโทษครับคุณยาย เกล้าก็ปฏิเสธ ..ไม่ค่อยได้” เจ้าเกล้าเข้าไปกอดง้อคนเป็นยาย จริงๆ แล้วการปฏิเสธนั้นทำได้ไม่ยาก เจ้าเกล้าเองก็ทำอย่างนั้นมาตลอด แต่... เขาแค่รู้สึกว่าถ้าเป็นเหินฟ้าก็น่าจะดีถ้าได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะการพูดคุยที่ลื่นไหล และความเข้าใจที่คล้ายๆ กันทำให้เจ้าเกล้ารู้สึกเหมือนมีพี่ชายที่สนิทคนใหม่

   “แต่หลังจากนี้คงไม่มีแล้วครับคุณยาย เกล้าจะปฏิเสธให้หมดเลย” เจ้าเกล้าออดอ้อนเหมือนเด็กๆ ทำให้คุณยายตรึงจิตได้แต่ยิ้มเอ็นดู ปกติแล้วไม่มีใครได้เห็นมุมนี้ของหลาน แม้แต่พ่อแม่หนูเกล้าก็ไม่ออดอ้อนมากมายขนาดนี้   

   “เอาล่ะ ไหนๆ ก็วกเข้าเรื่องนี้แล้ว ตอบยายมาก่อน กับพี่เขาเป็นอะไรกัน” คุณยายจับไหล่ของหลานชายพร้อมปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น

   “ไม่ได้เป็นอะไรกันครับคุณยาย แค่คุณเหินเป็นเจ้านาย แต่...” เจ้าเกล้ากลอกตาเล็กน้อย ชั่งใจว่าควรเล่าทุกเรื่องไหม

   “แต่อะไรลูก”

   “อยู่กับคุณเหิน เกล้าเหมือนมีพี่ชายอีกคนเลยครับคุณยาย เลยไม่อยากปฏิเสธเขาเท่าไหร่” เจ้าเกล้าพูดจบ คุณหญิงของเรือนก็นิ่งไปก่อนจะมองตาหลานชายหาแววตาโกหก ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าเกล้าไม่มีทางโกหกตนแน่นอน

   “แล้วเขาล่ะ”

   “ครับ?”

   “เขาเห็นเราเป็นน้องเหมือนกันหรือเปล่า” หล่อนค่อนข้างมั่นใจว่าสายตาที่หนุ่มคนนั้นมองหลานตนมิใช่สายตาฉันพี่น้อง

   “…ทีแรกเกล้าก็คิดว่าไม่ใช่ แต่พอถามเขาบอกว่าใช่ครับ”

   คุณนายตรึงจิตฟังแล้วก็ได้แต่เข่นเคี้ยว หลานเขาถามตรงๆ ขนาดนี้ตานั่นยังไม่กล้าพูดอีก ใช่ไม่ได้เลยจริงๆ ว่าแ้วก็รวบตัวหลานชายมากอด

   “หนูเกล้ารู้อยู่แล้วว่ายายรักหลาน พอรักก็ห่วง เป็นเรื่องธรรมดา แต่หนูโตพอแล้วที่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่ายายจะไม่อยากให้หนูต้องไปไหนก็เถอะ แต่คนแก่ก็คือคนแก่ วันนึงก็ต้องจากไป”

   “คุณยายไม่พูดแบบนั้นนะครับ คุณยายไม่ไปไหนหรอก เกล้าเองก็ไม่ไปไหน คุณยายคนเดียวเกล้าดูแลได้ คุณยายไม่ต้องห่วง” เจ้าเกล้ากอดรักคนเป็นยายแน่นขึ้นไปอีก เขาจะไปไหนได้อย่างไร ทุกวันนี้การดูแลคุณยายเป็นจุดมุ่งหมายอันดับแรกของเขาเลย

   “ฮึๆ หลานยายเมื่อไหร่จะโตเล่าแบบนี้ มีคนมาขอยายไม่ให้นะถ้าอ้อนอยู่แบบนี้” คุณยายลูบแก้มใสๆ ของเจ้าเกล้า หลานตัวเล็กๆ ในวันนั้น มาวันนี้เติบโตมาอย่างสง่างามทั้งร่างกายและใจคอ ไม่มีวันไหนที่เจ้าเกล้าไม่เคยทำให้เธอหมดความภาคภูมิใจ และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอพยายามกีดกันผู้ชายทุกคนที่เธอมองแล้วว่า ‘ไม่เหมาะสม’ ที่จะมาเคียงคู่กับความภาคภูมิใจของเธอ

   “ไม่ต้องมาขอหรอก เกล้าไม่ไป” ว่าแล้วเจ้าหนูตัวน้อยของคุณยายก็ซุกเข้าอกเหมือนเด็กตัวน้อยๆ

   “แล้วกัน เขามาขอแล้วเราไม่ไป เขาไม่เสียใจแย่หรอ”

   “เกล้ากลัวคุณยายเสียใจมากกว่า” เจ้าเกล้าพูดอู้อี้อยู่ในอก

   “ถึงเวลานั้น เจ้าเกล้าต้องมองที่หัวใจของตัวเองนะลูก ยายน่ะ อยู่กับหนูเสมอนั่นแหละ” สองยายหลายกอดกันกลมเหมือนห่างจากกันไปนาน ทั้งๆ ที่ก็เจอกันอยู่ทุกวัน มนต์ที่นั่งอย่หน้าห้องแอบปาดน้ำตาเงียบๆ คุณนายตรึงจิตแม้เป็นคนเคร่งครัดเจ้าระเบียบ ดุด่าว่าบ่น แต่เธอรักลูกหลานทุกคน เพราะเธอก็ไม่มีครอบครัวที่ไหนอีกแล้ว หนูเกล้าเป็นเหมือนดอกไม้ที่มาช่วยทำให้เรือนนี้สวยงามและน่าอยู่ คุณหญิงท่านจึงเบิกบานใจอยู่เสมอ

.
.
.
   บ่ายแก่ๆ ณ เรือนรัฐสกุล มวลพฤกษาล้วนเงียบสงบ เจ้าเกล้ากับคุณยายที่เริ่มรู้สึกดีขึ้นจากอาการ(แกล้ง)ป่วยจึงมานั่งเล่นที่สวน

   “คุณหญิงคะ มีแขกมาค่ะ” มนต์วิ่งเข้ามารายงานถึงการมาของแขกมิได้รับเชิญ

   “ใครกันมาเวลานี้” คุณหญิงที่กำลังนั่งสานใบลานถามโดยไม่เงยหน้า

   “คุณเหินฟ้าค่ะ” หลังมนต์พูดจบทั้งยายหลานก็มองหน้ากัน คนหนึ่งแอบยิ้มในใจว่ามาจนได้ ส่วนอีกคนกลับเกิดคำถามว่า มาทำไม

   “เดี๋ยวเกล้าออกไปรับแล้วกันนะครับคุณยาย” เจ้าเกล้ารีบลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไป ส่วนคุณนายตรึงจิตก็เอาปลายใบลานที่สานเป็นปลาตะเพียนพับเก็บเข้าไปในตัวปลาเป็นสัญญาณว่าเจ้าปลาตัวนี้ใช้การได้แล้ว


   
   “คุณเหินสวัสดีครับ” เจ้าเกล้าทักทายคนที่นั่งรออยู่บนเรือนเรียบร้อยแล้ว และพอเหินฟ้าเห้นเจ้าเกล้าก็รีบลุกขึ้นมา

   “เป็นยังไงบ้าง ออกมาเดินทำไม ป่วยทำไมไม่พักแล้วทานยาหรือยัง” พูดไม่พอ เหินฟ้ายังจับแขนจับคอน้องเช็คอุณหภูมิไปด้วยจนเจ้าเกล้าได้แต่งง

   “เอ่อ คุณเหินครับ ผมไม่ได้ป่วยครับ ที่ป่วยคือคุณยาย” เจ้าเกล้าดันไหล่คนตัวสูงให้ออกห่างหน่อย

   “อ้าว พรพรรณบอกว่านายโทรไปลาป่วย” เหินฟ้ากลับมาไว้กริยาเหมือนเดิม

   “กลัวมันฟังไม่ขึ้นน่ะครับถ้าบอกว่าคุณยายป่วย เลยเอาตัวเองไปอ้าง ยังไงขอโทษด้วยนะครับ”

   “เฮ้อ ดีแล้วล่ะ ที่ไม่เป็นอะไร แล้วคุณยายเป็นไงบ้าง” เหินฟ้าเอามือมาวางไว้บนหัวคนที่ตัวเล็กกว่า เขารู้สึกโล่งใจที่เจ้าเกล้าไม่ได้เป็นอะไรมาก การทำงานในห้องประชุมวันนี้ไม่ราบรื่นเท่าไหร่เพราะเขาไม่ค่อยมีสมาธิ เอาแต่พะวงว่าน้องจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ใจก็อยากรีบมาพาไปหาหมอ แต่งานก็ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ

   “ดีขึ้นแล้วครับ สานใบลานอยู่ในสวน”

   “อืม รีบมาเลยไม่มีของเยี่ยม” เหินฟ้ามองไปทางสวน

   “ไม่เป็นไรครับ ถือว่ามาเยี่ยมท่านเฉยๆ ก็ได้ครับท่านไม่ถือหรอก”

   “งั้นฉันไปสวัสดีท่านก่อน” เหินฟ้าไม่ลืมมารยาทไปลามาไหว้ จึงรีบตรงไปทางสวน

   

    
   “คุณตรึงจิตสวัสดีครับ” เหินฟ้าไหว้ทักทาย

   “อืม ลมอะไรพัดมาล่ะพ่อ”

   “เอ่อ..” จะบอกว่ามาเยี่ยมหลานเขาก็ดูจะออกตัวแรงไปหน่อย แต่ทำให้มันชัดเจนหน่อยก็น่าจะดี “นึกว่าน้องไม่สบาย เลยกะมาเยี่ยมครับ” การแทนเจ้าเกล้าว่าน้องทำให้คุณยายเงยหน้าขึ้นมาจากการสานใบลาน หล่อนคิดว่าสิ่งที่คำนวณไว้คงไม่ผิด

   “อืม ขอโทษแทนหลานฉันด้วยที่ขาดงานเพราะคนแก่”

   “ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ ถ้าผมรู้ว่าเป็นคุณหญิงป่วย ผมก็ให้น้องหยุดอยู่แล้ว” น่าแปลก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของรองประธานต้องมาใส่ใจ คุณตรึงจิตแอบคิดอยู่ในใจ

   “เอาเถอะ ไม่รีบก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเสียที่นี่ วันนี้หนูเก้าจะเข้าครัว รีบหรือเปล่าล่ะ”

   “ไม่รีบครับ” เหินฟ้าตอบอย่างรวดเร็วจนเจ้าเกล้าแอบคิดในใจว่าวันนี้คุณเหินดูกระตือรือร้นจัง

   “เกล้าพาพี่เขาไปเดินเล่นไป ไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้หรอก ยายไม่มีสมาธิ” ว่าแล้วก็นั่งสานต่อ

   “ครับคุณยาย เชิญครับคุณเหิน” หลังจากเด็กๆ เดินกันออกไปคุณตรึงจิตก็ได้แต่ทบทวนอยู่ในใจ การกระทำวันนี้ของเหินฟ้าพิสูจน์แล้วว่าเขาชอบเจ้าเกล้าแน่นอน ทิ้งงานมาหา และจากคำบอกเล่าของมนต์เหินฟ้าก็ดูเป็นห่วงเป็นกังวลมาก ใจหนึ่งก็อยากจะขัดขวาง แต่ใจหนึ่งก็อยากให้คนๆ นี้ได้ลองพิสูจน์หัวใจกับหลานของหล่อน


.
.
.
   หลังจากเดินเล่นสักพักเจ้าเกล้าก็เข้าครัวมาทำอาหารซึ่งเหินฟ้าก็เผด็จการด้วยการบอกว่าจะขอมาช่วยซึ่งลูกมือของเจ้าเกล้าในวันนี้ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากถามว่านี่คืออะไร นั่นเอาไว้ทำอะไร ทำไมต้องใส่อันนี้ จนเจ้าเกล้าที่ปกติทำครัวคนเดียวชักจะรำคาญขึ้นมา

   “คุณเหินบอกจะช่วยผม อยากลองทำอะไรดีครับ” เจ้าเกล้าเสนอออกมา เพราะถ้าคนๆ นี้ยังไม่มีอะไรทำก็คงไม่หยุดพูดแน่

   “อืม สั่งมาสิวันนี้ฉันเป็นลูกน้องหนึ่งวัน”

   “เอาอย่างนั้นหรือครับ” เจ้าเกล้ายิ้มขำกับหน้านิ่งๆ ของคนตัวใหญ่ “งั้นผมให้เลือกระหว่างตำพริกแกง กับหันผัก”

   “อืม เอาตำแล้วกัน ดูได้ออกกำลังกายดี”

   วันนี้เจ้าเกล้าจะทำแกงส้มชะอมไข่และหัวใจสำคัญคือพริกแกงส้ม เจ้าเกล้าใส่ส่วนผสมลงไป และสาธิตวิธีการตำให้ดูเพราะมั่นใจว่าคนที่ไม่เคยใช้ครกจะต้องตำแล้วเลอะเทอะไปหมดแน่นอน

   “ตำแบบนี้นะครับ ไม่ใช่ตำตรงกลาง เวลามันกระเด็นไปด้านข้างก็ใช้ปลายเกลี่ยให้เข้ามาตรงกลาง เราไม่ต้องยกมือสูงมากนะครับ ...” เจ้าเกล้าอธิบายยาวเหยียด แต่สมองของเหินฟ้ากลับสนใจแต่ภาพที่คนตัวเล็กในผ้ากันเปื้อนกำลังนั่งพับเพียบกับพื้นตำพริกแกงให้ดูเป็นตัวอย่าง เจ้าเกล้าในมาดพ่อครัวนั้นนอกจากจะน่ารักแล้วยังน่ากินอีกด้วย ...หมายถึง ทำให้อาการน่ากินน่ะ

   “คุณเหินพอเข้าใจนะครับ” เจ้าเกล้าที่อธิบายจบเงยหน้าขึ้นมาถาม

   “อืม แค่ตำทำไมมันถึงเยอะแยะขนาดนั้นล่ะ” เหินฟ้ารับครกมาและเริ่มตำ มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดถึงแม้จะมีกระเด็นบ้างก็ตาม

   “แบบนั้นแหละครับ” เจ้าเกล้าคอมเม้นต์เรียบร้อยจึงผละมาหั่นผักสำหรับน้ำพริกวันนี้

   เหินฟ้าที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตำได้ที่หรือยังจึงยกครกขึ้นมาเพื่อจะให้เจ้าเกล้าตรวจงาน แต่เพราะบริเวณพื้นมีเศษหนามชะอมที่ังเก็บไม่เกลี้ยงเหินฟ้าที่เดินมาไม่ทันระวังจึงเหยียบเข้าเต็มๆ

   “โอ้ย!” ไม่ทันที่เจ้าเกล้าจะได้หันมา คนตัวใหญ่ก็เสียหลักเพราะถือครกที่ไม่ใช่เบาๆ เหินฟ้าเซมากระแทกเจ้าเกล้าที่กำลังหันผัก จึงทำให้มีดแฉลลไปบาดมือเข้า

   “โอ้ย ซี้ดด” เจ้าเกล้าวางมือจากมีด และกุมนิ้วทันที

   “เกล้า!” เหินฟ้าเห็นคนน้องเลือดก็ตกใจรีบดึงเอาหนามชะอมออกจากเท้า วางครกไว้ที่พื้น แล้วเข้าไปดูคนตัวเล็กที่กำลังจะไปล้างมือ

   “ขอโทษ เป็นยังไงบ้าง” เหินฟ้ารีบเข้ามาหา พอเห็นว่าเลือดไหลไม่หยุดจึงจะพาน้องไปทำเผลอ

   “เหวออ คุณเหิน ทำอะไรครับ” เหินฟ้าที่หน้าดำคร่ำเครียดไม่ฟังอะไรทั้งนั้น อุ้มน้องในท่าเจ้าสาวแล้วพาออกไปนอกห้อง

   “ขออุปกรณ์ทำแผลด้วยครับ” เมื่อเจ้าตัวเดินผ่านแม่บ้านสักคนจึงรีบบอกด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ก่อนจะหอบเอาคนตัวเล็กมาที่โซฟากลางบ้าน

   “เจ็บหรือเปล่า” วางน้องลงก็รีบเอามือน้องขึ้นมาเป่าซับเลือดด้วยกระดาษทิชชู่ เจ้าเกล้าที่กำลังงงกับเหตุการณ์พอได้สติก็รู้สึกอายนิดหน่อยที่ถูกทำตัวเหมือนเด็กๆ

   “ไม่เป็นไรครับ มีดบาดตอนทำครัวผมเจอมาบ่อยๆ”

   “ขอโทษ ถ้าฉันไม่เข้าไป คงไม่โดนบาด” เหินฟ้ากล่าวด้วยแววตารู้สึกผิดจนอีกคนแอบใจกระตุกเบาๆ

   “เอ่อ.. ไม่ใช่ความผิดของใครหรอกครับ มันเป็นอุบัติเหตุ”

   มนต์เดินเข้ามาจะช่วยทำแผลให้ แต่เหินฟ้ากลับขอรับไปทำเอง เจ้าเกล้าไม่เคยรู้ว่าเหินฟ้ามือเบามาก และที่สำคัญคือดูจะทำแผลเก่งเสียด้วย

   “คุณเหินดูคล่องนะครับ”

   “หึ อย่าไปบอกใครล่ะ จริงๆ แล้วฉันอยากเป็นหมอ” เหินฟ้ากระตุกยิ้มไปพลาง พันแผลไปพลาง

   “เอ๊ะ จริงหรือครับ”

   “อืม แต่แม่อยากให้เรียนบริหารมากกว่า ฉันเองก็คิดว่าเรียนหมอมาคงไม่ได้ใช้อะไร เพราะยังไงก็ต้องมาทำงานที่บริษัทอยู่แล้ว เลยไม่ได้ขัดอะไร” เจ้าเกล้ามองคนๆ นี้ด้วยสายตาเห็นใจ คุณเหินทำเพื่อครอบครัวแทบจะทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ตัวเองสามารถเลือกชีวิตของตนเองได้ แม้กระทั่งเรื่องของคู่ครอง คุณมุกสมุทรก็ยังพยายามช่วยคุณเหินตัดสินใจ

   “ขอบคุณครับ” หลังจากทำเสร็จ เจ้าเกล้าก็มองมือตนเองก่อนที่จะเอ่ยออกมา

   “คุณเหินครับ ต่อจากนี้ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ เล่าให้ผมฟังได้นะครับ ผมอาจจะให้คำปรึกษาไม่ได้ แต่ผมจะคอยฟังคุณเอง” เจ้าเกล้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังเอาอีกมือหนึ่งไปกุมมือใหญ่ของอีกคนไว้ ส่วนเหินฟ้านั้นถึงแม้จะแอบตกใจกับกริยาของน้องแต่ก็หงายมือมาจับมือน้อง น้องฉลาด เขาคิดว่าน้องคงจะคิดไปถึงเรื่องแม่ของเขาแน่

   “พูดแล้วห้ามคืนคำ” เหินฟ้ายิ้มยียวนพร้อมกระชับมือนุ่มๆ ของอีกคนแน่นขึ้น

   “รับปากแล้วก็ต้องทำนะครับ ห้ามเก็บไว้คนเดียว” เจ้าเกล้าเอ่ยก่อนจะเผยร้อยยิ้มน่ารักจนคนมองอยากจะเอาหน้าไปฟัดตรงแก้มขาวๆ นั่น แต่ก็ทำได้แค่มอง จากนี้เหินฟ้าคงต้องรีบคิดแผนเร่งจีบให้ไวขึ้น จะได้รีบๆ พวงแก้มนั่นไวๆ

   สองเจ้านายลูกน้องนั่งจับมือคุยกันโดยไม่ได้สนใจเลยว่าเจ้าของเรือนนั้นกำลังยืนอยู่อีกมุมหนึ่งคอยสังเกตทุกอากัปกริยาของทั้งคู่ หล่อนเห็นความเอาใจใส่ของหนุ่มใหญ่คนนี้ แต่ขอทดสอบให้แน่ใจอีกสักหน่อย ก่อนจะต้องปล่อยให้หลานรักได้ไปอยู่ในมือคนอื่นจริงๆ

❤❤❤❤

อยากให้ลองเปรียบเทียบดูนะคะว่าบ้านเหินกับบ้านเกล้าความยืดหยุ่นจะต่างกัน
ความเคร่งครัดก็ต่างกัน บ้านน้องจะเคร่งเรื่องมารยาทต่างๆ แต่เรื่องชีวิตบ้านนี้ก็ยังคิดได้
แต่บ้านของเหินนั้นจะต่างออกไปค่ะ แต่อาจจะเป็นเพราะเหินฟ้าเองก็ไม่อยากขัดใจ เพราะแม่เองก็มีปม
ไม่รู้จะขัดใจหลายคนหรือเปล่าที่เราพลิกคุณยายมาให้ยอมง่ายๆ แบบนี้ ฮ่าๆๆๆ
บ้านนี้เขาใจดีกันนะคะ แต่ก็อาจจะหวงน้องไปเฉยๆ
อีกอย่าง คุณเหินเขาก็หน่วยก้านดี ผู้ใหญ่ก็ต้องเป็นธรรมดา อิอิ


JYUBE.

#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบเก้า] 09.12.18
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 09-12-2018 22:32:29
ก้าวสิบเก้า - ห่อหมกปลาช่อน

            วันนี้เป็นเช้าอีกวันที่สดใสของเจ้าเกล้า เขาตื่นมาพร้อมกับกลิ่นของดอกลีลาวดีที่ปลูกติดกับรั้วบ้านซึ่งชูช่ออวดความงามแข่งกันอยู่ หลังจากทำธุระปะปังเสร็จคุณหนูของเรือนก็เดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับได้ยินเสียงโขลกพริกดังออกมาจากครัว


            “นั่นจะตำหรือจะทุบพ่อคุณ ครกไม่ใช่กระท้อน ตำแล้วก็เอาปลายสากเกลี่ยพริกลงมาสิ นั่นไงๆ เร็วเข้าซี น้ำจะสุกเข้าเสียก่อน”


            เจ้าเกล้าแอบชะโงกหน้าเข้าไปดูในครัว ก่อนจะพบกับน้องรัก และผู้ปกครองเจ้าประจำที่มากันแต่เช้า พักนี้คุณเหินมาส่งเขาทุกวันจนคุณยายแซะแล้วแซะอีก ซึ่งเขาเข้าใจว่าคุณเหินน่ะขี้เหงาจะตายไป ก็ทำแต่งาน นานๆ ทีมีเพื่อน อืม ไม่สิ น้องชาย ก็คงอยากจะใช้เวลาด้วยกันล่ะมั้ง ไม่รู้ที่มานั่งโขลกน้ำพริกอยู่นี่คืออาสามาหรือคุณยายบังคับกันแน่


            “ทำอะไรกันอยู่ครับคุณเหิน น้องรัก อรุณสวัสดิ์ครับคุณยาย” เจ้าเกล้าเดินเข้ามาทักทายสมาชิกในครัว ก่อนจะเข้ามานั่งข้างๆ น้องรักที่กำลังเอาใบอะไรสักอย่างมาเล่น ดูแล้วน่าจะเป็นใบยอ สงสัยคุณยายจะเอามาทำห่อหมก


            “สวัสดีเจ้าเกล้า” เหินฟ้าเงยหน้ามาจากครก เมื่อเช้าเขาตื่นเช้ากว่าปกติ เลยมาถึงกันไวมาก คุณนายตรึงจิตที่เหินฟ้ารู้สึกว่าช่วงนี้เขม่นเขาบ่อยๆ เลยลากเขาเข้าครัวแล้วก็บ่นไม่หยุด หาว่าทำอาหารไม่เป็นจะให้เมียทำคนเดียวได้อย่างไร เมียเหนื่อยจะโดนทิ้งเอา แล้วลูกเต้าจะกินอะไรถ้าเมียไม่อยู่ จนเขาเริ่มงงแล้วว่านี่เขาไปมีครอบครัวตั้งแต่เมื่อไหร่


            “คุณเหินดูสนุกนะครับ” เจ้าเกล้ายิ้มละไมให้ แอบตลกคนตัวโตที่ดูหน้ากล้ำกลืนฝืนทน เจ้าเกล้าขอพนันเลยว่ามาอีหรอบนี้คุณยายเป็นคนลากคุณเหินเข้าครัวแน่ๆ “คุณยายสอนคุณเหินทำอาหารหรือครับ” เจ้าเกล้าหยิบใบยอที่น้องรักกำลังฉีกเล่นให้เป็นรูปอะไรสักอย่างมารวมๆ เพื่อจะนำไปหั่น


            “ใช่ มาทานข้าวได้ทุกวัน จะได้รู้ว่ากว่าจะได้สักจานมันไม่ง่าย กินแล้วจะได้อร่อยขึ้น อร่อยให้น้ำตาไหลเลย หนูเกล้ายายจะทำห่อหมกปลาช่อน ไปเตรียมกะทิให้ยายที” คุณนายตรึงจิตยังคงชี้มือชี้ไม้ให้เหินฟ้าที่ตอนนี้นั่งหลังขดหลังแข็งโขลกพริกแกงตามจุดที่คุณเธอบอก


            “น้องรักไปคั้นกะทิกับพี่ไหมครับ” เจ้าเกล้าชวนน้องรักที่กำลังเพลิดเพลินกับการทำลายใบไม้


            “คั้นกะทิ กะทิสีขาวใช่หรือเปล่าครับ” น้องรักเคยกินวุ้นอะไรสักอย่างที่มีสีขาว คุณแม่บอกว่านั่นคือกะทิ มันอร่อยมากจนอยากให้น้องลินได้กิน แต่น้องก็ยังกินไม่ได้ วันนั้นน้องรักเลยกินเผื่อน้องลินจนหมดกล่องเลย


            “ใช่ครับ ไปไหม”


            “อู้ว ไปครับๆ น้องรักอยากทำกะทิๆๆๆ” เสียงของครูและศิษย์ค่อยๆ เบาลงเมื่อทั้งสองคนออกไปจากห้องแล้ว เพราะเจ้าเกล้าต้องไปหยิบมะพร้าวที่อยู่ใต้ถุนของเรือน


            เมื่อในห้องเหลือเพียงเจ้าของเรือนและหนุ่มนักโขลกพริก ห้องก็ดูเงียบทันตา เหินฟ้ายังคงตำอยู่เรื่อยๆ จนคิดว่าจะเอาให้แหลกไปถึงไหน นี่มันละเอียดจนจะละลายไปกับเนื้อครกหมดแล้ว


            “พ่อคิดยังไงกับหนูเกล้ากัน” คุณตรึงจิตไม่รีรอ หลายวันมานี้พ่อหนุ่มตรงหน้ามาส่งหลานของหล่อนทุกวัน บางวันถึงขั้นมารับจนหล่อนต้องปรามไปว่าไม่จำเป็น เพราะบ้านไกล และถ้าไม่นับรวมวันที่ช่วยหนูเกล้าทำแผลมีดบาดแล้วละก็ วันอื่นๆ ที่มาส่ง(และขึ้นมาทานข้าวบนเรือน) ผู้ชายคนนี้ก็คอยดูแลเอาใจใส่หลานของหล่อนดีไม่ขาด จนหลายครั้งก็นึกหมั่นไส้ เจ้าเกล้าไม่ใช่คนมือเปลี้ยขนาดที่ทำอะไรไม่ได้เสียหน่อย ฉันเลี้ยงหลานของฉันมากับมือ ไม่ปล่อยให้ทำอะไรไม่เป็นหรอกพ่อ!


            “…เอ่อ หมายถึง...” เหินฟ้าไม่แน่ใจว่าคุณนายตรึงจิตจะดูความรู้สึกของเขาออกแล้ว และเพื่อให้แน่ใจจึงต้องค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ ไปก่อน


            “ลำบากใจคนแก่เสียจริง” คุณนายตรึงจิตถอนหายใจ “หมายถึงพ่อน่ะชอบหลานฉันหรือ” เหินฟ้าชะงักไปนิดหน่อย และนิ่งไปหลายวิ ไม่ใช่ตกใจ แต่เพื่อประเมินท่าทีของคุณยาย ผู้ที่เป็นด่านโหดมากๆ ในความคิดของเขา


            “…ผมชอบน้องครับ” เหินฟ้ากล่าวอย่างมาดมั่น มือที่ถือสากอยู่ถูกยกขึ้นมาแทนกำปั้นเพื่อย้ำถึงความจริงจังในความรู้สึกนี้


            “ชอบแบบไหน” คุณนายตรึงจิตขมวดคิ้วมุ่นและซักไซร้ต่อ


            “…” ‘ลำบากคนหนุ่มเสียจริง’ เหินฟ้าแอบคิดในใจ “ตอนนี้แค่ชอบ และเอ็นดูน้องครับ ยังไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านั้น”


            “ชอบแบบเป็นแฟนหรือ?” คนถามแอบบ่นอยู่ในใจ ทำไมไม่ตอบให้มันตรงๆ คำถาม คนสมัยนี้พูดจาวกไปวนมา น่ารำคาญเสียจริง


            “…ก็… ประมาณนั้นครับ”


            “ทำไมดูไม่มั่นใจ”


            “ครับ! อยากได้เป็นแฟนครับ!” สากถูกยกขึ้นมาอีกครั้งจนคุณนายตรึงจิตยังสะดุ้ง ใจตก! นี่จะเอาสากมาแสกหน้ากันหรืออย่างไร


            “วางสากไว้ในครกก็ได้พ่อคุณ” คุณตรึงจิตปรามก่อนที่ด้ามสากมันจะลอยมาอยู่บนหน้าหล่อน “ฉันถามต่อ พ่อเป็นลักเพศหรือ”


            “หมายถึง? เกย์หรอครับ?” ระหว่างนั้นเจ้าเกล้าเดินกลับมาพอดีจึงได้ยินคำสำคัญอย่างคำว่า ‘เกย์’ ขึ้นมา น่าแปลกใจ ทำไมคุณยายถึงคุยเรื่องเกย์อะไรก็ไม่รู้กับคุณเหิน แปลกมากๆ


            “ใช่ เป็นหรือเปล่าเรา”


            “เปล่าครับ ผมไม่ได้ชอบผู้ชายไปทั่ว ผมชอบคนเดียว” เจ้าเกล้าที่ฟังอยู่แอบใจกระตุกเบาๆ เสียงคุณเหินในตอนนี้ฟังดูอ่อนโยนกว่าปกตินะเนี่ย


            “เฮ้อ ไอ้ฉันน่ะไม่ว่าอะไรมันอยู่ที่ตัวหนูเก..”


            “พี่เหินๆ คุณยายๆ ดูสิครับ หิมะแหละ ฮะๆๆๆๆ” น้องรักที่เดินตามคุณครูมารีบวิ่งเข้ามาอวดเศษมะพร้าวขูดที่ติดมือมาซึ่งได้จากตอนคั้นน้ำกะทิ


            “หึๆๆ เล่นหิมะสนุกไหมลูก” คุณตรึงจิตหันมาทักน้องรัก ปล่อยให้เหินฟ้าที่กำลังจะขอจีบหลานคุณเธออย่างเป็นทางการเคว้งไปพักหนึ่ง


            “พี่เหินดูสิๆ พี่เกล้าเก่งมากเลยทำที่แบบนี้ๆๆ แล้วก็บีบๆ จะมีน้ำออกมาเยอะแยะเลย” น้องรักทำท่าทำทางให้ดู แต่เหินฟ้าไม่ได้ใส่ใจเพราะเหลือบไปเห็นสันจมูกขาวๆ ที่ขอบประตูพอดี ตายห่าแล้ว นี่น้องมามาฟังทันตั้งแต่เมื่อไหร่!


            “เอ่อ...เกล้า” เหินฟ้ารวบรวมความกล้าเรียกอีกคนเข้ามา


            “อ้อ ครับ เกล้าจะเดินมาถามคุณยายว่าเก็บใบตองมาหรือยังครับ เกล้าจะได้ไปเก็บให้”


            “มนต์เก็บมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น เดี๋ยวคงหยิบมาให้ หนูเกล้าเดินมาพร้อมกับน้องรักหรอลูก” คุณตรึงจิตมองเห็นแววตาตระหนกของหนุ่มใหญ่แล้วก็เลยลองถามให้ ส่วนตัวแล้วเธอไม่คิดว่าการที่หนูเกล้ารู้เรื่องที่คุยไปจะเป็นเรื่องไม่ดี หนูเกล้ารับมือกับเรื่องพวกนี้ได้ดีมาก


            “ใช่ครับ เมื่อกี้ยืนมองนกกาเหว่าตรงต้นมะขามอยู่ครับ เลยยังไม่ได้เดินเข้าไป” เจ้าเกล้าบอก เขามองนกจริงๆ ถึงจะแป๊ปเดียวก็เถอะ


            “อ้อ คู่นี้มันจีบกันมาพักนึงแล้ว แปปเดียวมีลูกแล้ว ตัวผู้มันเกี้ยวเอาๆ เพราะถ้ามันไม่เกี้ยวสักทีมันก็ไม่ได้” คุณตรึงจิตแอบส่งความนัยไปให้นักโขลกพริกตัวใหญ่ ถึงเธอจะไม่อยากยกหนูเกล้าให้ใคร แต่ผู้ชายคนนี้ก็มีดีในระดับหนึ่งหลังจากได้คุยกัน แกล้งไปก็เยอะ ให้โอกาสเสียบ้างก็แล้วกัน


            .


            .


            .


            มื้ออาหารเช้าวันนี้มีเสียงบ่นของคุณนายตรึงจิตอยู่เรื่อยๆ ว่าเนื้อพริกโขลกมันละเอียดเกินไปจนเหินฟ้าได้แต่แอบคิดในใจว่าก็คุณหญิงไม่ให้ผมหยุดตำเสียที ดูสิกล้ามขึ้นยิ่งกว่าตอนฟิตเนสที่ไปมาเมื่อวานอีก หลังจากทานกันอิ่มหนำสำราญเจ้าเกล้าจึงแยกตัวออกมาล้างจานเพราะอีกหนึ่งชั่วโมงเด็กๆ ก็จะมากันครบแล้ว เหินฟ้าเห็นน้องรักกำลังช่วยคุณนายตรึงจิตสานตระกร้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็เลยแอบย่องไปหาคุณครูในห้องครัวแทน


            “ทำอะไรครับ” เจ้าเกล้าที่ได้ยินก็หันมาหา พักนี้คุณเหินพูดครับกับเขาบ่อยขึ้นยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากไปกว่าคนพูดคงติดมาจากในการทำงาน


            “ทานข้าวเสร็จก็ล้างจานสิครับ”


            “ให้ช่วยหรือเปล่า” เหินฟ้าที่ใจอยากจะช่วยแต่ก็กลัวจะเกะกะอีกคนเลยออกอาการยักแย่ยักยันอยู่ข้างหลัง


            “จานมีอยู่นิดเดียวเองครับคุณเหิน ถ้าอยากช่วยก็ช่วยเป็นเพื่อนคุยก็ได้ครับ เกล้าจะได้ไม่เหงา” เจ้าเกล้าหันมายิ้มให้อีกหนึ่งที เขาชอบเวลาคนอย่างคุณเหินเสนอตัวอยากช่วยเหลือ ถึงแม้อีกคนจะทำอะไรม่ค่อยเป็นแต่ก็มีใจจะทำและเรียนรู้อยู่เสมอ จุดนี้เป็นสิ่งที่เจ้าเกล้าชื่นชมคนเก่งอย่างคุณเหิน


            “อืม เอ่อ...อะแฮ่มม” เจ้าเกล้าเหลือบไปมองคนข้างหลังที่เอากำปั้นมาป้องปากกระแอมไอเหมือนพร้อมจะพูดอะไรสักอย่าง “เกล้าไม่ได้มีใครมาจีบใช่ไหม” เหินฟ้าที่รับรู้ถึงโอกาสจากคุณนายตรึงจิตจึงคิดว่าเขาคงจะต้องเอาไอ้เจ้านกกาเหว่าสองตัวนั้นมาเป็นแบบอย่างเสียที


            คำถามปลายปิดที่เจ้าเกล้าวิเคราะห์เอาว่าคุณเหินอาจจะเป็นห่วงในฐานะพี่จึงบอกออกไป


            “อืม ก็มีบ้างนะครับ” เจ้าเกล้าพูดไปขัดซึ้งนึ่งไป


            “ใคร!” เหินฟ้าเผลออุทานออกมาเสียงดัง


            “?” เจ้าเกล้าได้ยินจึงตกใจ คุณเหินนี่น่าจะเป็นคนหวงน้องเหมือนกันแหะ


            “คือ เอ่อ บอกได้หรือเปล่า อยากรู้ว่ามีใครมาจีบ เป็นคนแบบไหน” เหินฟ้าตั้งสติก่อนสตาร์ทแล้วพุ่งทะยานสู่เป้าหมายอย่างพยัคฆ์ร้ายผู้แกร่งกล้า


            “เอ แปลกจังที่คุณเหินถามเรื่องนี้” ปกติเห็นถามเรื่องงาน ไม่ก็เรื่องครอบครัวของเขา “แต่ผมเล่าได้ไม่มีปัญหา จริงๆ คนที่เข้ามาคุยด้วยมีอยู่สองแบบครับ มีที่แบบเนียนๆ เข้ามา มาเป็นพี่เป็นน้อง” เหินฟ้าฟังแล้วก็เหงื่อตก ไอ่ประเภทนี้นี่น้องเขาไม่ชอบหรือเปล่านะ “อีกแบบนึงเป็นแบบเข้ามาหยอด เข้ามาชงแบบโต้งๆ ส่วนถ้าใครบ้างอันนี้ผมบอกยากมากเลย อืมที่มหา'ลัยก็น่าจะสัก....”


            ‘หนึ่ง แค่หนึ่งได้หรือเปล่าเจ้าเกล้า’ เหินฟ้าคิดในใจ ‘ไม่สิ คนอย่างเจ้าเกล้า อ่ะสองแล้วกัน อย่าตัวเลือกเยอะเลย เห็นใจกันบ้าง’


            “…” เจ้าเกล้าเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมา “น่าจะเจ็ดคนครับ”


            “เจ็ดคน!” เหินฟ้าอ้าปากค้างกับความฮอตของเจ้าเกล้า


            “ใช่ครับ ที่ทำงานอีกสอง” เจ้าเกล้ายิ้มตาปิด นี่ยังไม่นับพวกที่มาเล่นๆ หัวๆ อีกมากมาย


            “ที่ทำงานนี่ใคร” เหินฟ้าได้แต่เข่นเขี้ยวเบาๆ ใครมันบังอาจ


            “อ๋อ มีพี่โตมรแผนกไอทีครับ แต่เขาคงอารมณ์ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ส่วนอีกคนนึงเป็นเด็กฝึกงานแผนกไอทีเหมือนกันชื่อคิมครับ คิมนี่มาขอเบอร์โต้งๆ เลย แต่ผมว่าเขาคงไม่ได้จริงจังอะไร ดูเจ้าชู้พอๆ กับพี่โต” เจ้าเกล้าเล่าไปเพลินๆ พร้อมกับล้างครกอันเป็นอาวุธสำคัญของนักโขลกพริกตัวโตที่ตอนนี้แอบทดไว้ในใจแล้วว่าแผนกไอทีคงจะต้องมากางดูโบนัสปีนี้กันอีกที!


            “แล้วที่มหาลัยล่ะ” เหินฟ้าชักจะเหงื่อตกจริงๆ อะไรมันจะฮอตฮิตติดตลาดกันขนาดนี้ อืม แต่เขาก็เป็นอีกคนที่หลงมาเหมือนกันสินะ


            “อ้อ จะให้ไล่ชื่อหมดก็ยากนะครับ มีคนนึงเป็นอาจารย์ สองคนเป็นปีสี่ครับ มีเดือนมหา'ลัยปีสองคนนึง อีกคนนึงเป็นรุ่นพี่บัณฑิตที่คณะ อีกคนนึงเป็นพี่ทีเอ ส่วนคนสุดท้ายเป็นเดือนแพทย์ปีหนึ่งครับ” เจ้าเกล้าหันมายิ้มขำๆ กับตาโตๆ ของผู้ชายตัวใหญ่ เจ้าเกล้าไม่ได้อยากอวดเพราะปกติก็ไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังแม้แต่คุณยาย  แต่เห็นท่าทีรนๆ ที่น่าจะหวงน้องของคุณเหินแล้วตลกดี


            “แล้ว...เราชอบใครบ้างไหม” เหินฟ้าอดจะแอบคิดในใจไม่ได้ โดนจีบขนาดนี้ถ้าเป็นไอ้เวทย์เพื่อนของเขามันคงสอยครบทุกคนไปแล้ว


            “ไม่หรอกครับ ไม่รู้ผมเคยบอกคุณเหินหรือยัง แต่ผมยังไม่คิดจะมีแฟนหรอกครับ ผมต้องดูแลคุณยาย เห็นแกอย่างนั้นแกเป็นคนขี้เหงาครับ อย่างที่คุณรู้ ผมก็ไม่สามารถมีลูกมีหลานให้ท่านเล่นได้ ผมเลยจะเป็นลูกเป็นหลานมาดูแลท่านเองนี่แหละครับ” เหินฟ้าฟังแล้วหัวใจก็ห่อเหี่ยวอุตส่าห์จะเอานกมันเป็นแบบอย่าง ไหงนกซะงั้นล่ะเนี่ย แต่พอเห็นแววตาของหลานกตัญญูคนนี้แล้วก็แอบยิ้มขึ้นมาไม่ได้ อย่างนี้ไง ใครๆ ถึงได้รักเจ้าเกล้า


            “อืมดีแล้ว” เหินฟ้าอดไม่ได้ที่จะลูบหัวคนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังล้างน้ำเปล่าให้กับจานชามต่างๆ


            “ผมถามบ้างได้ไหมครับ”


            “หืม เอาสิ” เหินฟ้าไม่คิดว่าอีกคนจะมีคำถามด้วย


            “คุณเหิน...ชอบผู้ชายหรอครับ...ถามได้ไหมครับ?” เหินฟ้าได้แต่ทำตาโต เจ้าเกล้ามองแล้วก็ตลก จึงยิ้มให้น้อยๆ


            “รู้ได้ยังไง เราได้ยินหรอ”


            “ได้ยินที่คุณบอกว่าไม่ได้ชอบผู้ชายไปทั่ว ชอบแค่คนเดียว” เจ้าเกล้าพูดแล้วก็หน้าร้อนเบาๆ เพราะน้ำเสียงตอนนั้นมันละมุนจริงๆ เขาแค่ลองคิดว่าถ้าคุณเหินพูดแบบนั้นกับเขาด้วยน้ำเสียงนั้นคงจะเขินน่าดู


            “…ก็ …เอ่อ ก็ใช่” เหินฟ้าก้มหน้าตอบ แทบพูดไม่ออก จะบอกก็ไม่ได้ เพราะประโยคก่อนหน้านี้ของอีกคนทำเอาเขาไม่กล้าจีบต่อเลย


            “จริงหรอ คนที่คุณเหินชอบเป็นคนแบบไหนครับ” เจ้าเกล้าเห็นเหินฟ้ากล้าถาม จึงลองถามบ้าง


            “อืม เป็นคนน่ารัก” เหินฟ้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาใสๆ ของอีกคนที่เหมือนจะอยากรู้เรื่องของเขาเสียจนน่าฟัดให้จมเขี้ยว


            “จริงหรอ น่ารักเหมือนกระต่ายหรือเปล่า” เจ้าเกล้าแกล้งถามยิ้มๆ


            “ทำไมต้องเหมือนกระต่ายล่ะ”


            “ก็เห็นใครๆ ชอบเปรียบว่าคนที่ชอบเหมือนกระต่ายเพราะน่ารัก เกล้าก็โดนคนที่จีบพูดบ่อยๆ” เจ้าเกล้านึกถึงสิปป์ที่ชอบซื้อผลิตภัณฑ์กระต่ายมาให้เขาทั้งพวงกุญแจ กระเป๋า สมุด ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเหมือนกระต่าย


            “งั้นไม่เอา” จริงๆ เจ้าเกล้าก็เหมือนกระต่ายนั่นแหละ แต่ถ้าคนพวกนั้นบอกว่าน้องเหมือน เขาจะไม่ให้น้องเป็นกระต่าย!


            “เอ๋?” เจ้าเกล้าทำหน้าสงสัย


            “น่ารักเหมือนกวางน้อย”


            “เอ๋??” เจ้าเกล้างงหนัก


            “คนที่ชอบ น่ารักเหมือนกวางน้อย” เหินฟ้าพูดกับแม่กวางน้อยที่กำลังสบตากับเขา “สวย สง่า แล้วก็...”


            “…”


            “น่ารักมาก” เหินฟ้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปากแบบที่เคยทำกับสาวๆ เมื่อก่อนทำให้คนตัวเล็กที่กำลังจ้องตาเข้ามารู้สึกร้อนนิดๆ


            “เอ่อ... คงจะน่ารักมากเลยใช่ไหมครับ”


            “อืม หยุดมองไม่ได้เลย”


            “อ่อครับ”


            “ชอบมากจริงๆ”


            “อ่า…”


            “หลงมากเลย”


            “…ผมว่าคุณเหินไปดูน้องรักดีกว่าครับ เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว เดี๋ยวผมตามไปพร้อมของหวาน” เจ้าเกล้ารีบหันกลับมาล้างไม้ล้างมือ เมื่อกี้แอบใจกระตุกเบาๆ ก็แหงล่ะ คนหน้าตาดีๆ มามองทำตาหวานใส่ แถมยังทำเสียงนุ่มๆ นี่ถ้าคุณเหินไม่ได้ชอบคนอื่น เขาต้องคิดตัวเองถูกจีบอยู่แน่ๆ


            “เดี๋ยวอยู่ช่วย”


            “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเกล้าจะกวาดครัวด้วย คุณไปรอข้างนอกเถอะ”


            “ก็ได้ครับ” เหินฟ้าพูดแล้วก็ลูบหัวคนเด็กกว่าไปทีนึง วันนี้เอาแค่นี้ก็ได้ หยอดนิดๆ หน่อยๆ ตอดเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อนแล้วกัน เห้อ





❤❤❤❤

เหี่ยวแห้งไปนาน นานๆ มาอัพจะได้คิดถึงกันเยอะๆ อิอิ

ชอบไม่ชอบเม้นกันได้นะคะ ขอบคุณค่า

รัก

JYUBE.

#ใจก้าว



หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบเก้า] 09.12.18
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-12-2018 01:32:48
โอ๊ยยยยยยยยคนอ่านไม่ไหวแล้ววววววว :pighaun:อะไรจะน่ารักขนาดนี้

คุณเหินรีบรุกหนักๆเลยนะ น้องเกล้าจะได้รู้สักทีว่าจีบ :hao7: :ling1: ถ้าคุณหญิงแม่รู้ว่าพี่เหินชอบน้องเกล้านี่คงกริ๊ดดดดดดลั่นบ้านแน่ๆ55555
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวสิบเก้า] 09.12.18
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-12-2018 07:02:36
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบ] 01.01.19
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 01-01-2019 20:53:07
ก้าวยี่สิบ - ร้านไอศกรีม
       

        หลังจากเหินฟ้าได้ถูกกระตุ้นด้วยการอุปมาเรื่องนกกาเหว่าผัวเมียของคุณนายตรึงจิตแล้วพ่อหนุ่มมาดขรึมก็ได้ตัดสินใจเริ่มจีบอย่างจริงๆ จังๆ หลังจากที่โทรไปขอกำลังใจจากภาพฟ้าผู้เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่สำคัญของเขา ซึ่งยัยภาพฟ้าก็ไม่วายลากไอ้เวทย์มาประชุมสายด้วยอีก


    “เฮ้อ ขอคุยกับฟ้าคนเดียวไม่ได้หรือไง” เหินฟ้าโอดครวญผ่านสาย


    “อะไรมึงๆ เราเคยมีความลับด้วยกันหรอวะไอ้เหิน” เวทย์ด่ากลับด้วยน้ำเสียงด่าทอ เขารู้หรอกว่าที่เพื่อนตัวโตคนนี้มันไม่อยากให้รู้คงเพราะกลัวโดนล้อ


    “ไม่เป็นไรน่าเหิน ฟ้าบอกเวทย์แล้ว ว่ายังไงๆ ก็ห้ามล้อเพื่อนเด็ดขาด ถ้าเกิดว่าล้อมากๆ ฟ้าจะแช่งให้เวทย์มีแฟนเป็นผู้ชายแถมเป็นฝ่ายรับด้วย หึหึหึ” ภาพฟ้ากล่าวอย่างมาดมั่น


    “เห้ยฟ้า ไม่เอาดิ หน้าอย่างนี้ให้ไปรับให้ใครวะ สยองว่ะ แต่ถ้ามีแฟนเป็นผู้ชายแล้วได้แบบน้องเกล้านี่ก็ไม่เลวนะโว้ย” ว่ายังไม่ทันขาดคำเวทย์ก็แซวขึ้นมาแล้วหนึ่งประโยค


    “ไอ้สัตว์เวทย์ อย่าแม้แต่จะคิด!” เหินฟ้าด่ากลับ เมื่อก่อนเรื่องผู้หญิงอะไรนี่ไม่เคยหวงกันหรอก แต่แหม จะจริงจังทั้งที เพื่อนต้องไม่ยื่นปากมาชิมปลาย่างของเพื่อนสิ


    “โอ้ยรำคาญ! มีหวง กูไม่เอาหรอกโว้ย กูเห็นยายเขาแล้วรู้เลย ว่าถ้าได้เขามาเป็นเมียก็ไม่ต่างจากได้แม่เพิ่มอีกคนแน่ๆ” คำพูดของเวทย์ทำให้เหินฟ้านึกถึงช่วงเวลาสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เขากับน้องคุยกันมากขึ้น และเริ่มแสดงความห่วงใยออกมาทั้งการพูดและการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น และหลายครั้งที่ความห่วงใยเหล่านั้นถูกส่งผ่านออกมาในรูปของการดุเพื่อตักเตือน โดยเฉพาะฝ่ายของเจ้าเกล้าที่มักจะห้ามปรามเขาในเรื่องการกินข้าวให้ตรงเวลา หรือการขับรถให้ช้าลง เพียงแค่นึกถึงใบหน้าบูดบึ้ง กับปากงอๆ ที่พยายามจะดุเขา เหินฟ้าก็ยิ้มขึ้นมาทั้งหัวใจ


    “แหมมมทำเงียบ กูรู้เลยอนาคตเพื่อนกูแม่งกลัวเมียแน่ๆ เสือเข้มแม่งตายแล้วจริงๆ ใช่ไหมวะคราวนี้”


    “เออ กูยอม” เหินฟ้ากล่าวเสียงเบา


    “พอเลยๆ เวทย์ นี่วันนี้เหินเขาจะขอคำปรึกษานะ ไหนเหินว่ามาสิ มีอะไรอัพเดตให้ผองเพื่อนฟังบ้างคะ”


    หลังจากนั้นเหินฟ้าก็ได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมารวมทั้งการสนับสนุนแบบอ้อมๆ ของคุณนายตรึงจิต ซึ่งเมื่อเพื่อนสนิททั้งสองคนได้ฟังแล้วถึงกับร้องตกใจ


    “ไอ้เหิน มึงไปทำอะไรให้คุณนายจงอางจอมหวงไข่เขาไฟเขียววะ”


    “อืม ไม่รู้สิ แต่กูก็โดนเขาแกล้งเยอะนะ จริงๆ ก็ไม่คิดว่าจะยอมง่ายๆ”


    “ฟ้าว่าถือเป็นเรื่องดีนะ ฟ้าเชื่อแหละว่าคุณนายตรึงจิตต้องเห็นความจริงใจของเหินจริงๆ อีกอย่าง คนที่มาจีบน้องเกล้าส่วนใหญ่ที่ฟ้ารู้มาก็ดูเรื่อยๆ เปื่อยๆ คุณนายตรึงจิตคงจะรอคนที่มั่นคงแบบเหินแน่ๆ”


    “หืม ทำไมฟ้าถึงรู้เรื่องคนที่ตามจีบเกล้าได้ล่ะ” เหินฟ้ามีคำถาม


    “หึหึ รู้จักฟ้าน้อยไปแล้วเหิน ของอย่างนี้มันต้องมีตัวช่วย”


    “ตัวช่วยอะไรวะฟ้า” เวทย์ถามขึ้น


    “ไม่บอกจ้ะ เอาล่ะๆ ช่างเรื่องฟ้าเถอะ แล้วเรื่องแม่ของเหินล่ะว่ายังไงบ้าง”


    “อืม ช่วงที่ผ่านมานี้แม่ไปฮ่องกงกับพ่อยาวๆ เลย เลยไม่มีคนมาอะไรมาก”


    “กูว่ามึงควรบอกแม่ไหมวะเรื่องนี้”


    “ฟ้าเห็นด้วยนะเหิน อย่างน้อยแม่ของเหินจะได้เลิกจับคู่สักที”


    “อืม เรากะจะบอกเหมือนกัน แต่เราอยากคบกับน้องอย่างจริงจังก่อน” พูดแล้วเหินฟ้าก็นึกถึงใบหน้าสวยๆ ของคนในหัวใจจนต้องยิ้มออกมา เฮ้อ เป็นเอามากนะไอ้เหิน


    “เออเว้ย มันมีแผนว่ะ” เวทย์พูดกลั้วหัวเราะ


    “อย่างนั้นก็ได้นะเหิน แต่ฟ้าแนะนำให้รีบบอก as soon as possible นะ อย่ารอให้มันสายเกินไป”


    “อืมเข้าใจแล้วขอบคุณมากฟ้า”


    ทั้งสามคนคุยเรื่องสัพเพเหระอีกนิดหน่อยจนวางไป ส่วนเหินฟ้าก็นั่งคิดถึงเจ้าเกล้าต่ออีกหน่อยก่อนนอน พร้อมวางแผนเป็นขั้นๆ ว่าควรจะเริ่มและจบยังไง


 


    วันนี้เจ้าเกล้ามีธุระที่ห้างเพราะนัดเจอเพื่อนๆ หลังจากที่ได้คุยกันผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเดียวมาสักพักหนึ่ง แล้วจริงๆ วันนี้ก็ควรเป็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่งถ้าหากไม่มีคนตัวโตๆ หนึ่งคนคอยเดินประกบข้างอยู่ด้วยตอนนี้


    “เอ่อ คุณเหินจะมาด้วยจริงๆ หรือครับ” เจ้าเกล้าอดสงสัยไม่ได้ เพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายคนนี้พอรู้ว่าเขาจะมาห้างก็อาสามาเป็นสารถีให้ทันที แล้วยังเดินออกมาด้วยทั้งๆ ที่ก็บอกไปแล้วว่ามาหาเพื่อน เจ้าเกล้าแค่กลัวคุณเขาจะอึดอัดเท่านั้นแหละ


    “อืม ใช่สิ เจอเพื่อนๆ ของเกล้าได้ด้วยหรือเปล่า” เหินฟ้าถาม ดวงตาใสๆ ที่มองมาอย่างมีคำถามนั้นช่างน่ารักเหลือเกินในความคิดของเขา


    “ผมไม่ว่าอะไรครับ แค่กลัวคุณเหินอึดอัด” เจ้าเกล้าตอบ


    “ฉันไม่ถือนะ แค่อยากเจอเพื่อนๆ ของนายบ้าง” เหินฟ้าละสายตากลับมามองไปข้างหน้าแทนใบหน้าของอีกคน เพราะรู้สึกจ้องตานานๆ แล้วใจมันเต้นแรงเหลือเกิน


    “ก็ได้ครับ” เจ้าเกล้ายิ้มให้ จนสายตามองไปเห็นเพื่อนๆ ที่ยืนรอกันอยู่หน้าร้านไอศกรีมกันแล้ว และนอกจากเพื่อนๆ ของเขาทั้งสี่คนแล้ว ยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาด้วยอีกสองคนนั่นก็คือเต้ย และสิปป์


    “เห้ยยเกล้าโว้ยยย” พุฒิพัฒน์ตะโกนเรียกเจ้าเกล้า คนอื่นที่เหลือจึงหันมามองและได้พบกับใครอีกคนที่เจ้าเกล้าพามาด้วย หน้าตา หน่วยก้าน และอะไรหลายๆ อย่างทำให้ทั้งสองคนดูเหมาะสมดั่งเครื่องประดับที่เข้ากับชุดๆ หนึ่ง พุฒิหันมาสบตากับดินซึ่งในสายตาของเพื่อนชายอีกคนนั้นก็บอกเหมือนกันว่านี่คือสัญญาณอันตรายสำหรับองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิงอย่างพวกเขา


    “ใครอ่ะเกล้า” เรนเนอร์เป็นคนทักขึ้นมาเพราะมีแต่เรนเนอร์ และสิปป์ที่ไม่เคยเห็นเหินฟ้ามาก่อน นอกนั้นเคยเจอที่ร้าน hundred seasons แล้ว


    “หวัดดีเรน เต้ยกับสิปป์ก็มาด้วย” เจ้าเกล้าแจกยิ้มให้ทุกคน ส่วนเหินฟ้าที่มองเห็นสายตาไม่เป็นมิตรจากเพื่อนของเจ้าเกล้าแทบทุกคน ก็เริ่มฉงนใจเบาๆ ว่าวันนี้คงจะมีบททดสอบอะไรมาให้แก้ปัญหาอีกแน่ “ทุกคน นี่คุณเหินฟ้า เป็นเจ้านายของเกล้าเอง”


    “ทำไมเจ้านายถึงมาเดินเที่ยวกับลูกน้องล่ะเกล้า” ดินเป็นคนเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงแข็งๆ แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความไม่เป็นมิตร


    “จริงๆ คุณเหินช่วยเหลือเราไว้เยอะเลย ตอนนี้ก็สนิทกัน เป็นเหมือนพี่ชายเราอีกคนแหละ” เจ้าเกล้ายิ้มละไมขณะมองหน้าคนตัวโตอีกคนที่ทำสายตาหงอยๆ สงสัยจะตกใจที่เห็นเพื่อนๆ ของเขาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ซึ่งจริงๆ แล้วเหินฟ้านั้นเกลียดคำว่า‘พี่ชาย’ ขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และหมายมั่นว่าคำนี้มันต้องเปลี่ยนเป็นคำอื่นให้ได้โดยเร็ว


    “สวัสดีครับ คุณเหินฟ้า” ดินเป็นคนเริ่มทักทายหลังจากที่เมินอีกฝ่ายมานาน ทุกๆ คนจึงยกมือไหว้ตาม


    “สวัสดีครับ วันนี้ผมว่างเลยอาสาพาเกล้ามาส่ง เลยถือโอกาสนี้มาทำความรู้จักเพื่อนๆ ของเกล้าด้วยครับ” เหินฟ้าวางท่าทีสบายๆ แม้จะแอบเหงื่อซึมอยู่เล็กๆ


    “ทุกคนอย่าแกล้งคุณเหินสิ ไปกินไอติมกัน คนเยอะๆ สนุกดีออก” เจ้าเกล้าเห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่ยังไม่คลายลงของเพื่อนๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้


    


    บรรยากาศบนโต๊ะร้านไอติมเป็นไปอย่างเชื่องช้าและน่าอึดอัดในความรู้สึกของเหินฟ้า หนึ่งคือคนที่ชื่อดิน พุฒิ และเรนเนอร์ เอาแต่จ้องเขาที่นั่งหัวโต๊ะ สองคือเด็กที่ชื่อเต้ยกับสิปป์ที่ดูก็รู้ว่าคิดกับเจ้าเกล้าเกินเพื่อนกำลังแย่งกันคุยกับเจ้าเกล้าเรื่องนู้นเรื่องนี้จนน่าหมั่นไส้


    “ไม่ชอบ” เรนเนอร์พูดออกมาเสียงแข็งใส่เหินฟ้า แล้วสะบัดหน้าหนีทันทีจนคนอื่นๆ ถึงกับเงียบ


    “เอ่อ พี่เรนเป็นอะไรหรอ” สิปป์เอ่ยถาม


    “เรนไม่ชอบคนๆ นี้” ต้นอินที่ทำหน้าง่วงอยู่นานเอ่ยตอบพร้อมกับชี้ไปที่เหินฟ้าโดยที่แอบลอบยิ้มอยู่ในใจ วันนี้คงเป็นอีกวันที่สนุกมากๆ สำหรับกลุ่มนี้เลยล่ะ


    “เรน ไม่เสียมารยาทนะ คุณเหินถือว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งนะ” เจ้าเกล้าที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับเรนเนอร์ซึ่งมีสิปป์คั่นกลางกล่าวบอกพร้อมกับจับแขนให้อีกคนเย็นลง


    “เรนไม่ยอม เขาจะเอาเกล้าไป” เรนเนอร์เม้มปากแน่นและเริ่มมีน้ำตาปริ่มที่ขอบตา สัญชาตณานของเขาบอกให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้มีดีพอที่จะให้เจ้าเกล้ารัก และนั่นแปลว่าเขาจะเสียเจ้าเกล้าที่เขารักที่สุดไป


    “หืม เรนใจเย็นๆ สิปป์ พี่ขอสลับที่นั่งหน่อยสิ” หลังจากกล่าวเจ้าเกล้าจึงขยับมานั่งข้างเรนเนอร์


    “ไม่เอาไม่ร้องนะคนดี เกล้าไม่ได้ไปไหนเลย คุณเหินมากินไอติมด้วยเฉยๆ เอง” เจ้าเกล้าลูบหัวเช็ดน้ำตาให้กับอีกคนหนึ่ง เรนเนอร์ติดเขามากตั้งแต่ขึ้นปีหนึ่ง จะว่าเป็นเด็กขาดความอบอุ่นก็ได้ เจ้ากล้าจึงดูแลเอาใจใส่มาตลอด ทุกวันนี้อาการก็ดีขึ้นแล้ว พอห่างกันได้บ้าง แต่วันนี้เหมือนจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว “คุณเหิน ผมขอโทษแทนเพื่อนนะครับ เรนเป็นคนอ่อนไหวนิดหน่อย” เจ้าเกล้าบอกเหินพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ ไปให้


    “อืม อย่าคิดมากเลย ฉันเข้าใจ เราสั่งไอศกรีมกันดีกว่า ยังไงวันนี้พี่เลี้ยงทุกคนเองนะ” เหินฟ้ายิ้มมุมปากแบบเท่ๆ หนึ่งที พร้อมกับเรียกพนักงานมารับออร์เดอร์


    “พี่ให้เรนเลือกก่อนเลยว่าอยากทานอะไร” เหินฟ้าส่งเมนูให้เรนแต่อีกฝ่ายเอาแต่เมินหน้าหนี


    “เรนไม่อยากทานไอติมหรอ วันนี้เกล้าเลือกร้านนี้เพราะอยากให้เรนได้กินช็อคโกแลตเลยน้า” เจ้าเกล้าลูบหัวเรนไปพลางส่งซิกไปทางเหินฟ้าพลาง


    “นี่ไงน้องเรน วันนี้มีเมนูพิเศษที่มีแต่วันนี้เท่านั้นนะครับ เขาเขียนว่าเป็นซูปเปอร์ช็อคโกลาวา มีซอสช็อคโกแลตอยู่ในไอศกรีมด้วยครับ ไม่ต้องสนใจพี่ก็ได้ครับ แต่ต้องทานไอติมนะ เกล้าอยากมาหาเรนมากเพราะอยากให้เรนได้กินของอร่อยที่มีแค่วันนี้” เหินฟ้าใช้น้ำเสียงเวลาที่คุยกับน้องรัก ต้องขอบคุณเด็กน้อยที่บ้านที่ทำให้เขามีสกิลในการรับมือกับเด็กๆ ถึงแม้น้องรักจะไม่ได้ดูเอาแต่ใจแบบนี้ก็ตาม


    “เอาไหมเรน เกล้าก็อยากกินนะ เราสั่งเมนูนี้มากินด้วยกันดีไหม คุณเหินเขาก็กินของเขา เราก็กินของเรา ดีไหม” เจ้าเกล้ายิ้มให้เรนเนอร์จนอีกฝ่ายต้องหันกลับมามองตาอยู่นาน เรนเนอร์หันมองเกล้าที คุณเหินที ซึ่งตอนนี้คนที่นั่งหัวโต๊ะ กำลังกางเมนูช็อคโกแลตให้ดูอยู่พร้อมกับยิ้มน้อยๆ แต่ดูแล้วจริงใจในระดับนึง


    “เอา…ก็ได้ กินกับเกล้านะ” เรนเนอร์กล่าว


    “ได้เลยครับ เดี๋ยวเราไปล้างหน้ากันก่อนดีกว่าเนอะ ตาสวยๆ ของเรนช้ำหมดแล้วครับ ไปนะ เกล้าพาไป” เจ้าเกล้ากล่าวชวนเรนเนอร์ และอีกฝ่ายก็พยักหน้าเห็นด้วย “ทุกคนเดี๋ยวเกล้ามานะครับ พาเรนไปห้องน้ำเดี๋ยว เกล้าขอโทษอีกทีนะครับคุณเหิน” เจ้าเกล้ากล่าวเบาๆ ตอนที่กำลังจะเดินออกไป เหินฟ้ายิ้มและพยักหน้าเบาๆ ให้รู้ว่าเขาเข้าใจและไม่ได้กะจะว่าอะไรอีกฝ่ายเลย


    


    หลังจากทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว ทั้งโต๊ะก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ดินกับพุฒิมองหน้ากันอีกครั้ง ต่างคนต่างคิดตรงกันว่าคุณเหินฟ้าคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลย รับมือกับสถานการณ์ที่ปราบหลายคนที่เคยจีบเกล้ามาแล้วอย่างเรนเนอร์ได้ แถมยังดูไม่ตกใจอีก นิ่งและสงบมากจนคาดไม่ถึง


    “ทุกคนฝึกงานกันที่ไหนหรอครับ” เหินฟ้าเอ่ยออกมาทำลายบรรยากาศแปลกๆ นี้


    “เราแยกๆ กันไปครับ อย่างผมก็ไปสายข่าว” ดินเป็นคนตอบเหินฟ้า พร้อมกันนั้นก็ตอบแทนคนอื่นๆ ไปด้วย “พุฒิไปสายสถาปัตย์ อินไปแม็กกาซีน ส่วนเรนไปสายดนตรี”


    “อ๋อ น่าสนใจดี เราทำข่าวที่ไหนล่ะ” เหินฟ้าถามดินต่อ


    “ดีเท็กท์ครับ” ดินตอบ


    “อ้อ เป็นบริษัทที่ดี เพื่อนของพี่เป็นกรรมการบริหารอยู่ที่นี่คนนึง เห็นเคยเล่าว่ารับเด็กฝึกงานยากมาก เราเก่งนะที่ได้ทำที่นี่ ฝึกออกมาแล้วรับรองว่าเจ๋งแน่” เหินฟ้าเอ่ยชมอย่างจริงใจ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าดินเป็นคนเก่ง ฉลาดและเฉลียว แถมยังน่าจะซื่อสัตย์ คนอย่างนี้สมควรสนับสนุน


    “เราล่ะ สถาปัตย์นี่ทำที่ไหน” เหินฟ้าหันมาถามพุฒิต่อ


    “เอ่อ บริษัทอินโทรครับ” พุฒิยังงงๆ อยู่ว่าบรรยากาศเมื่อกี้เปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร


    “อาห้ะ เราสนใจสถาปัตย์หรอ”


    “ใช่ครับ จริงๆ ผมเข้านิเทศตามเพื่อนๆ แต่จริงๆ อยากเรียนสถาปัตย์น่ะครับ”


    “อื้ม งานสถาปัตย์ยากอยู่นะ ถ้าสมมติฝึกจบแล้วอยากลองทำสถาปัตย์ดูจริงๆ บอกพี่ได้นะ เพื่อนพี่ทำบริษัทครีเอทเอสเตท ทุกๆ ปีเขาจะมีโครงการเทรนคนที่อยากรู้เรื่องพวกนี้ ความรู้ที่ได้มาใช้ได้จริงเลย บางคนเอาไปต่อยอดจนเป็นสถาปนิกเก่งๆ ได้เลย” เหินฟ้าเล่าให้พุฒิพัฒน์ฟัง ซึ่งตอนนี้เด็กหนุ่มมีท่าทางตั้งใจและกระตือรือร้นมาก น่าจะชอบเรื่องสถาปัตย์จริงๆ


    “จริงหรอครับพี่ ผมเคยเห็นโครงการของครีเอทฯ แล้วครับ แต่เขาดูรับคนยากมากเลย น่าจะมีพื้นฐาน ถ้าได้เข้าผมจะดีใจมากเลยพี่” พุฒิในตอนนี้ได้ลืมการพยายามเขม่นคนตรงหน้าไปแล้ว แถมยังยกให้เป็นพี่เหินอีกด้วย


    “อื้ม ถ้าสนใจก็บอกได้ จริงๆ มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าอยากทำมากๆ ก็ไม่ยากเกินไปหรอก แสดงแพชชั่นให้เขาเห็น”


    “โห แล้วเคยมีคนที่ไม่มีพื้นแต่ผ่านเข้าไปได้เลยหรอครับ” พุฒิพัฒน์ถามออกมา แอบตกใจเหมือนกันเพราะโครงการนี้เพื่อนๆ สถาปัตย์เองยังบอกว่าเข้าร่วมยาก


    “มีสิ พี่ไง” เหินฟ้าเอ่ย


    “เหยดดดดดด พี่เรียนสถาปัตย์มาหรอครับ”


    “เปล่าเลย แต่ชอบ Interior เลยลองดู ตอนนั้นก็เหมือนเราเลย อยากทำมาก เขาเห็นเราชอบและน่าจะขยันเลยได้เข้าไป ช่วงนั้นเหนื่อยสายตัวแทบขาดเหมือนกัน...”


    บทสนทนาค่อยๆ ลื่นไหลไปเรื่อยๆ โดยที่คนที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในโต๊ะเป็นคนเริ่มแต่ละหัวข้อขึ้นมา โดยอิงจากน้องๆ แต่ละคน เหินฟ้าแนะนำเทคนิค วิธีการ และเส้นทางต่างๆ ในการทำงานที่เหมาะกับของแต่ละคน เพราะเขาเองก็เป็นมีแพชชั่นแต่เด็กๆ อยากทำนู้นนี่เยอะไปหมด แล้วก็ชอบที่จะลองทำเสมอ ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ยากเมื่อเขาสามารถดึงประสบการณ์ตรงของเขาออกมาแนะนำน้องๆ ได้ แถมยังมีคอนเนคชั่นอยู่แทบทุกที่ซึ่งคงเป็นความสามารถที่ได้แม่มา


    “พี่เหิน ผมขอถามตรงๆ ได้ไหมครับ” หลังจากคุยกันไปสักพัก พุฒิเห็นว่าเจ้าเกล้ากับเรนเนอร์ยังไม่มาจึงถือโอกาสนี้เปิดอกกับคนๆ นี้ที่หลังจากคุยกันเขารู้สึกถูกชะตา และอยากนับถือเป็นไอดอลเหลือเกิน


    “พี่ชอบเกล้า”


    “…”


    “…”


    “…”


    ทุกคนบนโต๊ะล้วนสะดุ้งยกเว้นต้นอินที่ฟุบอยู่กับโต๊ะแต่ก็แอบยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินถึงความตรงๆ ของผู้ชายคนนี้


    “เราคงหวงเพื่อนมาก ให้เดาก็คงกันคนมาจีบเกล้าใช่หรือเปล่า” เหินฟ้าแอบเหล่ไปมองเต้ยกับสิปป์ ทั้งสองคนถึงกับสะดุ้งน้อยๆ และที่เหินฟ้าเข้าใจก็เป็นเพราะเขาเองก็เคยกันภาพฟ้าจากหนุ่มๆ ทั้งในและนอกคณะ เขาเรียนบริหารซึ่งเป็นหลักสูตรอินเตอร์ ผู้ชายหลายคนที่เข้ามาหาภาพฟ้าจึงมีแต่หล่อ รวย และเจ้าชู้ ซึ่งเขาและเวทย์ก็มักช่วยกันสกรีนอยู่บ่อยๆ


    “ใช่ครับ จริงๆ เกล้าก็ดูแลตัวเองได้อยู่ แต่ครอบครัวของเกล้าเป็นคนฝากพวกเราไว้” ดินเป็นคนตอบข้อสงสัย


    “แล้ว นี่คือพี่จีบเกล้านี่ เกล้ามันยอมหรอ เห็นเมื่อกี้บอกเป็นพี่ชาย” พุฒิแซวขำๆ


    “เฮ้อ เอาจริงๆ พี่เพิ่งเริ่มจีบได้ไม่นาน แต่คงต้องคุยกันให้ชัดเจนกว่านี้” เหินฟ้าเอ่ยขึ้น


    “ผมคุยกับพี่แล้วรู้สึกว่าพี่น่าจะดูแลเกล้าได้ เราจะให้โอกาสพี่นะครับ” ดินพูด “ผมขอแนะนำว่าพี่ต้องทำให้แน่ใจว่าเกล้าชอบพี่บ้างแล้วสักนิดนึง ไม่งั้นล่ะก็ พูดไปตรงๆ เกล้ามีสิทธิปฏิเสธสูงนะครับ”


    “งั้นหรอกหรอ โอเค ขอบคุณมาก” เหินฟ้าดินและพุฒิอีกครั้ง “พี่อยากให้เราไว้ใจพี่ มันไม่ง่าย พี่เข้าใจ จับตาดูพี่เอาไว้นี่แหละ พี่เองไม่ได้ชอบใครง่ายๆ เหมือนกัน พอชอบแล้ว พี่ก็จะเต็มที่” เหินฟ้าพูดอย่างหนักแน่น “ส่วนสองคนนี้ พี่ต้องขอโทษด้วย” เหินฟ้าส่งสายตาไปให้ทั้งเต้ย และสิปป์ เขาจำเป็นต้องตัดคู่แข่งที่เป็นไปได้ทั้งหมด เขาจะไม่บอกให้มาแข่งกัน แต่เขาจะตัดสิทธิ์และยอมแพ้ไปซะ นี่คือหนึ่งในหลักของการเจรจาธุรกิจที่เขาต้องมี


    “ฮ่าๆๆๆ ขำหน้าพวกแม่งว่ะ โอ้ยพี่ ไอ้สองคนนี้แพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม ไอ้เต้ยนี่สายเนียน แต่เกล้ามันรู้ทันก็ไม่เล่นด้วย” เหินฟ้าแอบสะดุ้ง เขาเองก็สายเนียนเหมือนกันถ้าจำไม่ผิด “ส่วนไอ้หน้าอ่อนนี่ตอดมาเป็นเดือนแล้ว ชัดเจนกว่านี้ก็ควักหัวใจให้แล้ว แต่รายนั้นก็ทำแค่ยิ้มให้แล้วก็บอกปฎิเสธ แห้วกว่านี้ก็สวนแห้วแล้วไอ้สิปป์เอ้ย” พุฒิเป็นคนอธิบายเรื่องราวคร่าวๆ ของคู่แข่ง(ที่ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว)ของเหินฟ้า


    “เฮ้อ ผมก็ไม่อยากยอมแพ้นะพี่ แต่คงต้องยอม สู้กับใจพี่เกล้าว่ายากแล้ว ถ้าผมต้องสู้กับพี่เหินเนี่ย ผมว่าผมเอาเวลาไปกินแห้วให้อิ่มดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ” สิปป์พูดที่เล่นทีจริง


    “เอาน่าเดี๋ยวก็มีคนที่ใช่เข้ามา แต่คนนี้คือใช่ของพี่ พี่มาทีหลัง แต่ขอใช่ก่อน” เหินฟ้าพูดกลั้วหัวเราะ ทั้งโต๊ะจึงมีแต่เสียงขบขันจนกระทั่งเจ้าเกล้าและเรนเนอร์กลับมาบรรยากาศจึงดีขึ้นโข


    .


    .


    .


    หลังจากมื้อของหวานแสนอร่อยกับบรรยากาศดีๆ จบลง เหินฟ้าจึงอาสามาส่งเจ้าเกล้าอีกตามเคย


    “วันนี้ขอบคุณนะครับ” เจ้าเกล้าเอ่ยขึ้นขณะนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้กับคนตัวสูง


    “หืม เรื่องอะไรหรอ” เหินฟ้าถามสายตายังมองไปข้างหน้า


    “หลังจากที่เกล้ากลับมาอีกที บรรยากาศดีขึ้นมาก เมื่อกี้แอบถามดิน ดินเลยเล่าให้ฟังว่าคุณเหินเล่าหลายๆ เรื่องให้พวกมันฟัง มีประโยชน์มากเลย พุฒิเหมือนเอาคุณเป็นไอดอลแล้วนะครับตอนนี้” เจ้าเกล้ายิ้มจนตาปิด เขาแอบดีใจเล็กๆ ที่เหินฟ้าเข้ากับเพื่อนเขาได้ ถึงแม้เรนเนอร์จะยังไม่เปิดใจเต็มที่ แต่เหินฟ้าก็รับมือได้อย่างไม่ยากนัก


    “พี่” เหินฟ้าพูดขึ้นมา


    “ครับ?”


    “เรียกพี่ว่าพี่”


    “เอ๊ะ!”


    “เร็วเข้า เรียกพี่เหิน” เหินฟ้ายังตามองไปข้างหน้า


    “เอ่อ พี่เหิน” เจ้าเกล้างงนิดหน่อยที่อยู่ดีๆ ก็ให้เปลี่ยนสรรพนามกันดื้อๆ


    “ดีมากครับ ต่อจากนี้เรียกตัวเองว่าเกล้าเหมือนที่คุยกับคุณยายด้วยรู้ไหม” เหินฟ้าเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กดีของเขา


    “ค..ครับ” เจ้าเกล้ารู้สึกคันยุบยิบที่ช่วงอก มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาว่ามันไม่เลวเท่าไหร่นัก


    “เพื่อนๆ เราเป็นคนดี เขารักและห่วงเรามาก โชคดีมากเลยที่มีเพื่อนดีๆ ไว้ว่างๆ ให้พี่พาไปเลี้ยงขนมอีก” เหินฟ้ายังไม่ละมือออกจากผมนุ่มๆ ของคนตัวหอม


    “ผม เอ่อ เกล้าดีใจครับที่...พี่เหินเอ็นดูเพื่อนๆ”


    “อืม เอ็มดูทุกคนนั่นแหละ” โดยเฉพาะเรา เหินฟ้าคิดในใจ ส่วนใบหน้าก็แสดงออกด้วยการยิ้มกว้างๆ ออกมา


    “พี่เหินครับ” เจ้าเกล้าแอบรู้สึกขัดๆ นิดหน่อย แต่ก็พยายามพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ของตน ความรู้สึกชื่นชม และเคารพคนๆ นี้


    “ครับ” เหินฟ้าอดไม่ได้ที่จะใจกระตุกเบาๆ เวลาที่เอามือใหญ่ออกจากศีรษะของอีกคนซึ่งฝ่ายนั้นค่อยๆ เรียกชื่อเขาอย่างไม่ถนัดพร้อมกับค่อยช้อนสายตาขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่น่าจับขย้ำให้จมที่นอน


    “จริงๆ แล้วพรุ่งนี้เกล้ากับที่บ้านจะไปเลี้ยงอาหารเด็กๆ ที่มูลนิธิ ถ้าพี่ว่าง เกล้าอยากให้มาด้วยกันครับ” เจ้ากล้ากล่าวเชิญอีกคน


    “อื้ม ได้สิ พรุ่งนี้ว่างแหละนะ” คุณพรพรรณผมขอโทษด้วยจริงๆ พรุ่งนี้ผมขอเลื่อนประชุมไปอีกวันเถอะ เหินฟ้าได้แต่คิดในใจ “ว่าแต่ ไปเลี้ยงอาหารเนื่องในโอกาสอะไรล่ะ”


    “วันเกิดเกล้าเอง” เจ้าเกล้ายิ้มกว้างไปทั้งใบหน้า เขาอยากให้อีกฝ่ายไปด้วยกัน มันคงจะสนุกมากถ้าอยู่กันพร้อมหน้า นี่เขาทำเหมือนติดพี่เหินไปเสียแล้ว ก็เจอหน้ากันแทบทุกวันเลย แถมยิ่งรู้จักก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมและดีใจที่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้


    “เอ้า ทำไมไม่รีบบอก” เหินฟ้าแอบบ่นในใจว่าทำไมตัวเองไม่รีบหาข้อมูลก่อน ตายห่า ยังไม่มีของขวัญเลย พรุ่งนี้แล้วด้วย


    “ลืมทุกทีเลยครับ เกล้าเพิ่งนึกได้ เพราะเดี๋ยวต้องกลัวไปเตรียมของทำอาหารพอดี”


    “ไม่ให้เวลาพี่เตรียมของขวัญเลยหรอ” เหินฟ้าถาม


    “จริงๆ ของขวัญไม่ต้องก็ได้นะครับ แค่ถ้าเกิดว่า พรุ่งนี้พี่มาได้แล้วมาด้วยกัน ก็เป็นของขวัญให้เกล้าแล้วครับ” เจ้าเกล้าพูดออกมาจากใจ เพราะเขาคิดว่าของขวัญของคนตรงหน้าน่าจะเป็นของแพงแน่ๆ เลย


    “เฮ้อ ได้ยังไงเล่า ถ้าให้ย้อนหลังได้ใช่ไหม”


    “โถ่ ไม่จำเป็นจริงๆ นะครับ” เจ้าเกล้ายังคงยืนยันด้วยใบหน้าที่เริ่มง้ำงอ


    “เอาน่า ปีละครั้งเอง” เหินฟ้าพูดไปยิ้มไป


    “ไม่ต้องเลยพี่เหิน เกล้ารู้ว่าพี่ต้องซื้อของแพงๆ แน่ๆ เลย” เจ้าเกล้าเริ่มเปลี่ยนโทนเสียง


    “อ้าว ก็ไม่แพงนะ อย่างนาฬิกา กระเป๋า หรือจะเครื่องเพชรอย่างงี้ไง” เหินฟ้าแกล้งหยอก


    “นี่ไงๆ ห้ามนะครับ ถ้าพี่ซื้อของพวกนี้เกล้าโกรธจริงๆ ด้วย ถ้าอยากให้ก็ต้องให้อะไรที่มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าราคานะครับ” นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เหินฟ้ามีความสุข การที่ได้โดนเจ้าเกล้าดุ เตือน หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเขา เพราะเขาอยากให้อีกคนมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเหลือเกิน


    “ก็ได้ครับๆ เอาเป็นว่าถ้าพี่หาได้แล้วจะเอามาให้ย้อนหลังแล้วกันนะ” เหินฟ้ากล่าว


    “เฮ้อ ทำไมดื้อจังเลยครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วแต่พี่เหินเลยครับ แต่ห้ามแพงนะครับ สัญญาก่อน” เจ้าเกล้าเอ่ยเสียงแข็งที่คนฟังกลับรู้สึกว่ามันอ่อนนุ่มมากกว่า


    “สัญญาครับ” เหินฟ้าที่ได้ทีเนียนจับมือของอีกคนมาเกี่ยวก้อยหน้าตาเฉย แถมยังลูบไปลูบมาจนเจ้าเกล้าแอบตกใจนิดหน่อย แต่ก็แปลกที่เขากลับรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นการล่วงเกินอะไร แต่มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดความอบอุ่นให้กันมากกว่า...






❤❤❤❤

นานมาแล้ว....
ฮืออ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ทั้งงานและเรื่องส่วนตัวต่างรุมเร้าจนไม่ได้เขียนตอนใหม่สักที
ที่ว่าจะลงทีละห้าตอนคงต้องเปลี่ยนแล้วล่ะค่ะ มีเมื่อไหร่ก็ลงเลย ไม่อยากให้ทุกคนรอนาน
ยังมีคนรออยู่เนาะ ฮืออ

ขอบคุณที่เม้นมากๆ เลยนะคะ อย่างน้อยยังมีคนอ่าน ดีใจจุงงง

สุดท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านพบเจอแต่ความสุข ทั้งจากเรื่องงาน เรื่องคน เรื่องความรัก และเงินทองนะคะ

คิดหนึ่งให้ได้สอง คิดสองให้ได้สามไปเลยค่ะ สุขสันต์วันปีใหม่ 2019 ค่ะ (ลงเกือบไม่ทันวันนี้ แฮ่ๆ)



พบกันในตอนหน้าจ้า <3



JYUBE.
#ใจก้าว



หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบ] 01.01.19
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 01-01-2019 22:00:28
รอตอนต่อไปนะคะ
:mc3: สวัสดีปีใหม่ค่า
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบ] 01.01.19
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-01-2019 15:06:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบเอ็ด] 16.03.19
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 17-03-2019 00:07:54
ก้าวยี่สิบเอ็ด - บนโต๊ะอาหาร

            บ้านรัฐสกุลเป็นบ้านที่ตื่นเช้ามาก อย่างสายสุดก็คือหกโมงเช้า วันนี้ยิ่งพิเศษเพราะเป็นวันเกิดของคุณหนูของเรือน ทั้งคุณนายตรึงจิต เจ้าเกล้า และคนงานมากมายต่างลืมตาขึ้นมาในเวลาที่เข็มสั้นชี้ไปที่เลขสามพอดี ขณะที่ฟ้าครามยังไม่ทอแสงใดๆ เสียงโขลกบ้าง สับบ้าง ระงมกันอยู่ในครัว หากมีบ้านใกล้เรือนเคียงแล้วแน่นอนว่าต้องมีตื่นกันบ้าง โชคดีที่มีแต่คลองกับสวน พรรณไม้ต่างๆ จึงไม่มีปากเสียง



            วันนี้คุณนายตรึงจิตล้วนรับหน้าที่ทำของหวาน ทั้งบรรดาขนมตระกูลทอง และขนมไทยชาววังต่างๆ มากมาย แยกไว้สำหรับตักบาตรตอนเช้าและของแจกเหล่าเด็กๆ ในมูลนิธิ ส่วนเจ้าเกล้าก็รับผิดชอบของคาว วันนี้เจ้าตัวทำแกงมัสมั่นไก่ตำรับของคุณนายตรึงจิตสำหรับใส่บาตร และทำกับข้าวง่ายๆ อีกสองสามอย่างสำหรับแจกเด็กๆ ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้ยังมีต้มกะทิวุ้นเส้นที่เหินฟ้ามักชมไม่หยุดปากทุกครั้งที่เจ้าเกล้าทำให้กิน ก่อนนอนเมื่อคืนที่เขาได้คุยกับอีกฝ่าย ทำให้นึกถึงขึ้นมา จึงตัดสินใจว่าจะเพิ่มเมนูนี้เข้าไป


            ยังไม่ทันที่ของคาวหวานจะจัดใส่จาน รถคันนึงก็ตรงเข้ามาถึงหน้าบ้าน ซึ่งเจ้าของรถก็ถือวิสาสะขึ้นมาบนเรือนอย่างคุ้นเคย


            “คุณหญิงสวัสดีครับ” เหินฟ้าทักทายเจ้าของเรือน


            “เอ้อ รีบมาจริงเชียวพ่อคุณ ฟ้ายังไม่สางเลย” คุณตรึงจิตแอบเขม่นในใจที่หนุ่มใหญ่คนนี้นับวันยิ่งทำตัวไม่ห่างจากหลานชาย ยิ่งเปิดทางให้ก็ยิ่งติดหนึบ นี่เมื่อวานหลังจากมาส่งเจ้าเกล้าแล้วก็ยังมานั่งเล่นต่อถึงดึกดื่น อีกนิดนึงก็คงมาค้างที่นี่แล้วแน่ๆ


            “คุณ... เออะ พี่เหิน สวัสดีครับ” เจ้าเกล้าได้ยินเสียงทักทายของเหินฟ้าจึงเดินเข้ามาทักทาย


            “สวัสดีครับ มีอะไรให้พี่ช่วยไหมครับ วันนี้จะทำอะไรบ้าง”เหินฟ้าได้ทีเดินไปหาเจ้าเกล้าพร้อมโอบเอวเล็กน้อยเป็นเชิงดันให้อีกคนเดินเข้าครัว คุณตรึงจิตได้แต่มองด้วยสายตาเบื่อหน่าย


            “มัสมั่นครับ นี่มีต้มกะทิด้วยนะครับ” เจ้าเกล้าพูดไปเคี่ยวน้ำแกงไป


            “อืม พี่ชอบ” เหินฟ้าที่กำลังเพลิดเพลินกับภาพการทำอาหารของเจ้าเกล้า ได้แต่พึมพำออกมา อากัปกิริยาที่คล่องแคล่วนี้ชวนให้คนหลงใหลจริงๆ


            “เกล้ารู้ว่าพี่เหินชอบ นึกขึ้นได้เมื่อคืน พอดีมีกะทิอยู่เยอะก็เลยเอามาต้มครับ หวานๆ เค็มๆ เด็กๆ น่าจะชอบด้วย”


            “จริงสิ วันนี้เดี๋ยวเวทย์กับฟ้าจะมาด้วยนะ ได้หรือเปล่า”


            “อ้อ ได้สิครับ คนเยอะๆ สนุกดี เพื่อนๆ เกล้าก็มากัน”


            “อืม” เหินฟ้าที่รับคำเสร็จแล้วก็ไปยืนซ้อนหลังร่างบาง ก้มหน้าจนชิดใบหู สูดเอากลิ่นหอมหวานของกะทิเจือกับความหอมอ่อนๆ ตามแบบฉบับของเจ้าเกล้า “สุขสันต์วันเกิดครับเจ้าเกล้า”


            เจ้าเกล้าถึงกับสะดุ้ง “พี่เหิน ตกใจหมดครับ” เหินฟ้าไม่ได้ตอบอะไรแต่หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เจ้าเกล้าที่หันไปมองกลับถูกจับคางให้หันกลับไป


            “นิ่งๆ ครับ” เหินฟ้ากล่าวเสร็จ เจ้าเกล้าก็ได้รับรู้ถึงความเย็นจางๆ ที่คอ... สร้อยคอเหรอ? ความสงสัยจำเป็นต้องถูกลบล้าง คนตัวหอมเงื้อมือไปลูบตรงลำคอเรียว สิ่งที่เขาคลำมาได้ คือสร้อยคอสีเงินเกลี้ยงพ่วงด้วยจี้ตัวอักษรเลข 9


            “สวยจังครับ” หลังจากคนใส่ผละมือจากไปแล้วเจ้าเกล้าจึงหันมายิ้มให้กับอีกคน “แพงไหมครับเนี่ย” เจ้าเกล้าแอบเหล่ตามอง จริงๆ ถ้าเหินฟ้าอยากซื้อของแพงให้ก็คงห้ามไม่ได้ ผู้ใหญ่ให้ของยังไงก็ต้องรับ แต่ด้วยความสนิทแล้ว เขาไม่อยากให้ซื้อคุณค่าความสัมพันธ์ด้วยราคาเท่านั้นเอง


            “ไม่แพงครับ พี่ทำเอง” เหินฟ้ายิ้มอย่างภาคภูมิใจ


            “เอ๋ เอาเวลาที่ไหนไปทำครับ” เมื่อคืนเหินฟ้ากว่าจะกลับบ้านก็เกือบครึ่งค่อนคืนแล้ว เวลานี้ยังมาถึงที่บ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่ผลิแสง “พี่ได้นอนไหมครับเนี่ย” เจ้าเกล้าอดอุทานด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เพราะถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นแววตาล้าๆ ของชายหนุ่ม


            “ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่อยากซื้อ พี่อยากทำเอง นี่เป็นหินมูนสโตน เกลี้ยงเกลา บริสุทธิ์แต่มีพลัง เหมาะกับเกล้าดีครับ”


            “ค่อยมาเล่าให้เกล้าฟังทีหลังก็ได้ครับ แต่ตอนนี้เกล้าว่าพี่เหินไปนอนก่อนนะครับ ไปครับเกล้าพาไปที่ห้อง” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็ไม่พูดพล่ำทำเพลง รีบพาเหินฟ้ามาที่ห้องตัวเอง ส่วนเหินฟ้าเองนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าห้องอีกฝ่าย หลังจากมาคลุกคลีที่นี่อยู่นานก็มีเพียงห้องนอนของเจ้าบ้านสองคนที่ไม่เคยได้ยลโฉม


            “นอนนะครับ เดี๋ยวใส่บาตรแล้วเกล้าจะมาปลุก” เจ้าเกล้าดันไหล่กว้างของอีกคนให้ลงนอน กลิ่นเฉพาะตัวของเจ้าเกล้าที่อบอวลไปทั่วทั้งห้องทำให้หนังตาของเหินฟ้าเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ


            “ลูบหัวพี่หน่อยครับ” เหินฟ้าพูดไปยิ้มไป มาดเคร่งขรึมที่เคยสร้างไว้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ตอนเจอกันใหม่ๆ มลายหายไปอย่างกับคนละคน เจ้าเกล้าได้ยินก็อมยิ้มกลั้วหัวเราะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรคนตัวใหญ่ก็ดึงมือเรียวของเขาไปแปะไว้บนหัว


            “อีกปีเดียวพี่ก็จะสามสิบแล้วนะครับ” เจ้าเกล้าหัวเราะพลางลูบเบาๆ ยังไงเหินฟ้าก็โตกว่าเขา ไม่อาจเล่นแรงๆ ได้


            “สบายจังครับ” เหินฟ้าไม่สนใจคำแซวของอีกคน


            “ครับๆ เด็กชายเหินฟ้าหลับนะครับ เดี๋ยวคุณครูจะมาปลุก” เจ้าเกล้าแกล้งใช้น้ำเสียงเหมือนตอนที่สอนเด็กๆ


            “คุณครูน่ารักจังครับ” เหินฟ้าฝืนลืมตาขึ้นมานิดหน่อยก็เพื่อการนี้ เด็กๆ ชอบชมเจ้าเกล้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าตา เรื่องความรู้ หรือเรื่องการทำอาหาร


            “ไม่ต้องมาชมครับ นอนได้แล้ว เกล้าไปทำกับข้าวต่อแล้ว” เจ้าเกล้าว่าแล้วก็ผละออกไป ก่อนไปยังปิดไฟปิดม่านและห่มผ้าให้เรียบร้อย


            .


            .


            .


            ช่วงก่อนฟ้าสางไม่นาน บ้านรัฐสกุลก็มีแขกอีกกลุ่มหนึ่งมาถึงนั่นก็คือคุณอัฎฐ์ คุณวรรณฤดี เจ้าปอย และเจ้าจุก ครอบครัวอันเป็นที่รักของเจ้าเกล้านั่นเอง เมื่อมาถึงแล้วทุกคนก็ช่วยกันเตรียมข้าวของมาตั้งหน้าบ้านรอพระมาบิณฑบาตร


            “เอ่อ เดี๋ยวเกล้าไปปลุกพี่เหินก่อนนะครับ” เจ้าเกล้าเหลือบตามองแววตาระคนสงสัยของผู้เป็นบิดาพักหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าพ่อจะคิดยังไงถ้ารู้ว่าเหินฟ้ามานอนที่บ้าน แต่เขาจะพยายามอธิบายให้พ่อเข้าใจว่าเขาสองคนไม่ได้มีอะไรเกินเลย... ถึงแม้ช่วงหลังๆ มานี้เขาจะรู้สึกว่าการกระทำของเหินฟ้าจะดูใกล้ชิดไปหน่อยก็ตาม สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่ได้รู้สึกแย่ กลับยังรู้สึก...ดีด้วยซ้ำ


            กล่าวเสร็จเจ้าเกล้าก็ผละไปไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม “ไอ้หนุ่มนั่นมันมานอนที่บ้านเลยหรือครับคุณแม่” อัฏฐ์อดไม่ได้ที่จะถามออกไป ครั้งที่แล้วที่คุยกันคุณนายตรึงจิตปรามเขาว่าห้ามยุ่ง คุณนายหล่อนจะจัดการเอง ไฉนเรื่องราวมันจึงเลยเถิดจนถึงขั้นที่ไอ้หน้าหล่อนั่นมันมานอนค้างที่บ้านแล้ว นี่หรือว่า มันกับหนูเกล้าจะเกินเลยไปถึงขั้นไหนแล้ว โอโห แค่คิดจิตวิญญาณคนเป็นพ่อ(ที่หวงลูก)ก็รุ่มร้อนดั่งไฟลน


            “เดี๋ยวเรื่องนี้ค่อยคุยกัน ไม่ได้มีอะไรเกินเลยหรอกพ่อคุณ ตอนนี้จะทำบุญ คิดดีทำดีก่อน” คุณนายตรึงจิตไม่ได้หันมามองหน้าลูกเขย แต่ก้มหน้าจัดของทำเหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญไปมากกว่าการตักบาตรที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า





            เหินฟ้าได้งีบไปไม่กี่ชั่วโมงแต่กลับรู้สึกหลับสนิทอยู่มาก ตอนที่เจ้าเกล้าไปปลุกเขารู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ พอได้สติจึงเริ่มคิดว่าการที่มีคนๆ นี้มาปลุกในทุกๆ เช้าต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ เขาจะต้องทำให้วันนั้นมาถึงในเร็ววัน


            “คุณอัฏฐ์ คุณวรรณ สวัสดีครับ” เหินฟ้าเมื่อเดินมาถึงจึงทักทายพ่อและแม่ของเจ้าเกล้า


            “สวัสดีจ้ะพ่อเหิน เสียดายยัยมุกไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นจะชวนมาด้วยกัน” คุณวรรณฤดีว่า “นี่เจ้าปอย ลูกสาวคนโตของน้า พี่น้องเกล้า ส่วนนี่พี่อีกคน เจ้าจุก เด็กๆ อันนี้คุณเหินฟ้า ลูกชายคนโตคุณบัลลังก์กับคุณมุก เป็นเจ้านายหนูเกล้าด้วยจ้ะ” หญิงสาวกล่าวแนะนำ


            “สวัสดีค่ะ ได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะเลย ฉันเจ้าปอยค่ะ” หญิงสาวสูงระหงใบหน้าหวานหยดย้อยที่ถอดมาจากคนเป็นแม่พนมมือไหว้คนแก่กว่า เธอแต่งเติมเครื่องสำอางบางๆ แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ


            “หวัดดีค่ะพี่เหิน หนูเจ้าจุกค่ะ พี่หล่อจังเลยค่ะ อิอิ” พี่สาวของเจ้าเก้าผู้มีสีผมสีฟ้าเหลือบเทาระต้นคอผู้นี้รู้เรื่องของเหินฟ้าดีมาก เพราะชอบแอบลอบถามทั้งคุณยาย ทั้งตัวเจ้าเกล้าเอง และหล่อนยังเชียร์ให้น้องชายได้ออกเรือนกับหนุ่มใหญ่คนนี้สักที


            “เจ้าจุก ระวังกิริยาหน่อย เขาจะหาว่าไม่มีคนสั่งคนสอน” คุณยายเอ็ดจนเจ้าจุกได้แต่ทำหน้าออดอ้อน แต่ไหนแต่ไรมาหลานสาวคนนี้ก็มีแต่ต้องให้บ่น ด้วยกิริยาม้าดีดกะโหลก ไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรี ต่างกับเจ้าเกล้าโดยสิ้นเชิง


            “เอาเถอะจ้ะ มาๆ ตักบาตรกันได้แล้วล่ะ จะได้รีบออกเดินทางกัน” คุณวรรณฤดีรีบยิ้มห้ามทัพ เธอแอบเหล่ไปทางสามีที่มองเขม่นเหินฟ้ามาตั้งแต่ตัวเขาเดินมา สงสัยคงจะหวงลูกจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว


           


            ใช้เวลาไม่นานก็ตักบาตรเสร็จ หลังจากนั้นทั้งหมดก็ย้ายมาบนเรือนเพื่อทานอาหารเช้า ฝีมือของเจ้าเกล้ายังคงไม่มีตก ทั้งเจ้าปอย และเจ้าจุกที่ชอบทำอาหารยังคงชมไม่ขาดปาก เหินฟ้าเองก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยด้วยการเสริมความเห็นว่าฝีมือของเจ้าเกล้าทำเขาติดอกติดใจอยู่ทุกวัน


            “ไอ้หนุ่ม เอ็งมาที่นี่บ่อยหรือไง” คุณอัฏฐ์ที่รอคอยอยู่นานแล้วไม่อาจทนต่อไปได้ ไอ้นี่มันชักจะหน้าทนเกินไปแล้ว เขม่นมันมาเป็นชั่วโมงยังทำเป็นไม่เห็น ได้เอ็งได้


            เหินฟ้าได้ยินก็ถึงกับวางช้อนส้อม ดื่มน้ำหนึ่งอึกเตรียมพร้อมกับคำซักไซ้ต่างๆ นานา “ครับ ผมมาส่งน้องทุกวัน”


            น้อง! น้องบ้านเอ็งสิ กูมีลูกสามโว้ยย ผู้เป็นบิดาได้แต่สบถอยู่ในใจ


            “มาส่งทำไม เกล้ากับบ้านเองไม่ได้หรือไงลูก หรือถ้ามันลำบาก พ่อให้คนมารับส่งได้นะลูก” อัฏฐ์รีบหันมาคุยกับลูกชาย ในขณะที่คุณตรึงจิตได้แต่หลับตาซดน้ำแกงจืดอย่างสบายอารมณ์


            “เอ่อ...” เจ้าเกล้าเองก็ไม่คิดว่าคุณพ่อจะหวงขึ้นมา นึกอยู่เหมือนกันว่าคุณพ่อน่าจะระแคะระคายบ้าง ใจจริงเขาตั้งใจอยากจะแย้งออกไปเลยว่าไม่ต้องคิดอะไรมากเลยเพราะเขากับพี่เหินเป็นเพียงพี่น้อง แต่ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้เขาเองก็ไม่อยากจะพูดแบบนั้นออกไป


            “ผมอาสาเองครับ เราก็คนกันเองทั้งนั้น ผมเองก็เป็นห่วงน้อง บางทีทำงานดึกดื่น ให้กลับแท็กซี่ผมก็ไม่ไว้ใจ ผมว่าคุณอาน่าจะเข้าใจดีครับ พอผมมาส่งเกล้าก็เลยทำอาหารมาขอบคุณ” เหินฟ้าพยายามไม่ออกตัวมากจนเกินไป ดูก็รู้ว่าคุณอัฏฐ์จะต้องหวงเจ้าเกล้ามากแน่ๆ ฉะนั้นหากโพล่งอะไรที่อีกฝ่ายแปลได้ว่า ‘ผมจะจีบลูกชายคุณ’ แล้วล่ะก็ เกมส์โอเวอร์แน่นอน


            “เอ็งเป็นถึงรองประธานบริษัท ไม่ใช่กงการอะไรต้องมารับส่งพนักงานระดับล่าง พนักงานก็ใช่ว่าจะเป็นด้วยซ้ำ เป็นแค่เด็กฝึกงานเท่านั้นเอง ไม่แปลกหรอกถ้าจะมาส่งน้องนุ่งทุกวัน แต่มันจะแปลกเมื่อผู้บริหารมาส่งเด็กฝึกงานทุกวัน ไม่เป็นห่วงเลยหรือไงว่าลูกอาจะโดนนินทายังไงบ้าง” ตอนนี้ทุกคนได้วางช้อนส้อมแล้วอย่างสิ้นเชิง เว้นแต่คุณยายตรึงจิตที่เปลี่ยนจากแกงจืดไปเป็นชาสมุนไพรชาววังหอมกรุ่นแล้ว


            “คุณคะ นี่ยังทานข้าวกันอยู่เลย ไว้ค่อยคุยหลังจากนี้ดีไหมคะ” คุณวรรณฤดีรีบปรามคนเป็นสามี


            “ค...คือ คุณพ่อครับ เป็นเกล้าเองครับที่ไม่อยากเหนื่อย อีกอย่างเกล้าก็สนิทกับพี่เหิน เลยลืมไปว่าจริงๆ แล้วไม่ควรรบกวนพี่เหินมากเกิ...”


            “ไม่ เกล้า ไม่รบกวน พี่อยากมาส่งเราเอง อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ยังไงตอนมาส่งเราก็หลังเลิกงานแล้ว แม่ของพี่ก็เป็นคนฝากฝังให้พี่ดูแลเรา ยังไงพี่ก็คิดว่ามันเป็นหน้าที่” เหินฟ้าที่ไม่รอให้เจ้าเกล้าพูดจบหันมามองหน้าคนเป็นบิดาของเจ้าเกล้าอีกครั้งพร้อมกล่าววาจาหนักแน่น แต่ยังสุภาพ “คุณอาครับ ผมเข้าใจความกังวลของคุณอาครับ แต่ผมยังอยากมารับส่งน้องด้วยตัวเองครับ เรื่องในบริษัทผมเองคอยรับฟังอยู่เสมอ ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้ยินว่าจะมีใครระแคะระคาย แต่หากมีเรื่องอะไรบานปลาย ผมจะรับผิดชอบคำครหาพวกนั้นเองครับ”


            “เหอะ! คุณก็พูดง่ายสิ แล้วหากชื่อเสียงมันเสียไปแล้วคุณจะทำยังไง จะรับผิดชอบยังไงกัน” คุณอัฏฐ์เริ่มกรุ่นในอารมณ์จนใช้คำเรียกที่ห่างเหินกว่าเดิม กล้าพูดว่ายังไม่ได้ยินใครนินทางั้นหรอ แล้วยังไง ต้องรอให้มีคนนินทาก่อนหรือยังไงเล่า


            “ผมขอโทษครับ ที่ยังยืนยันที่จะดูแลน้องแบบนี้ แต่ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องไม่ใช่แค่เรื่องไปรับไปส่ง แต่เรื่องชื่อเสียง หรืออื่นๆ ผมสัญญาว่าก็จะดูแลอย่างดีครับ” เหินฟ้าที่ใช้แผนตั้งรับเริ่มคิดได้แล้วว่า เขาเองก็คงต้องรุกบ้าง คนอย่างคุณอัฏฐ์น่าจะชอบความจริงใจมากกว่า ในตอนนี้อารมณ์ของคนบนโต๊ะนั้นมีหลากหลาย คุณวรรณฤดีมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ้าปอยเองก็เป็นกังวลกลัวทั้งสองจะเกิดแตกหักทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้าเกล้าต้องเปลี่ยนไป ส่วนเจ้าจุกกำลังทำตาโตกับการพูดจาที่เหมือนมาขอลูกสาวเขาไปเข้าเรือนของเหินฟ้า และนอกจากคุณตรึงจิตที่ออกจะสบายๆ กับเหตุการณ์ตรงหน้านี้นั้น ก็เห็นจะมีแต่เจ้าเกล้าที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกวูบวาบที่ใบหน้า พี่เหินพูดเหมือนมาขอเขาไปดูแลอย่างนั้นแหละ มันเหมือนแบบ... เหมือน...


            ปัง! เสียงตบโต๊ะดังขึ้นจนเจ้าเกล้าที่อยู่ในภวังค์ต้องตกใจขึ้นมา หลังจากตบโต๊ะแล้วคุณอัฏฐ์ที่ไม่อาจทนต่อสถานการณ์นี้จึงยืนขึ้น “กล้ามากที่มาขอลูกผมง่ายๆ แบบนี้ คุณเป็นใคร มีดียังไงจะมาขอลูกผมไป ผมไม่ให้คุณหรอกอย่าหวัง คุณกลับไปเดี๋ยวนี้เลย อยู่ให้ห่างลูกผมไว้ พ่อขอสั่งนะเกล้า อย่า....”


            “ตาอัฏฐ์!!” คุณนายตรึงจิตที่เริ่มจะทนไม่ไหวกับอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นๆ ทุกนาทีของลูกเขยจนต้องรีบเข้าห้าม “พ่อเหิน เรากลับไปก่อน ค่อยไปเจอกันที่มูลนิธิในตอนบ่าย เกล้าไปส่งพี่เขาหน่อย ส่วนตาอัฏฐ์ตามฉันมานี่ ยายวรรณด้วย ปอยกับจุกไปเตรียมของแทนยายที น้องมาก็เรียกน้องไปช่วย” .... “ยังไม่ไปกันอีก”


            “ค.. คุณแม่ครับ” คุณอัฏฐ์ได้แต่ยืนอ้าปากงุนงงกับพฤติกรรมของคุณแม่


            “งั้นผมลาแล้วครับ คุณหญิง คุณอา คุณน้า แล้วเจอกันนะ ปอย จุก” เหินฟ้ารีบออกจากเรือนอย่างไม่รีรอ ต้องขอบคุณคุณนายตรึงจิตจริงๆ ที่เข้ามาช่วยห้ามทัพ เขาไม่อยากแตกหักกับว่าที่พ่อตาไปมากกว่านี้


           


            บรรยากาศในห้องหนังสือของเรือนนั้นเย็นเยียบและเงียบฉี่ คุณตรึงจิตที่พาคู่สามีภรรยาทั้งสองเข้ามาให้ห้องแล้วแต่กลับไม่พูดอะไร


            “คุณแม่ครับ” คุณอัฏฐ์ตัดสินใจเปิดฉากขึ้นมา “ไอ้หมอนั่นมันกะมาขอลูกผมง่ายๆ ผมแทบไม่รู้จักมันเลยด้วยซ้ำ แล้วนี่คุณแม่ให้มันมานอนที่บ้าน คุณแม่ครับ ถ้าคนอื่นรู้เรื่องขึ้นมา คน....”


            “พ่ออัฏฐ์” คุณตรึงจิตขัดขึ้นมาเบาๆ คำเรียกนี้มิใช่จะเรียกได้บ่อยๆ ครั้งสุดท้ายที่เรียกพ่ออัฏฐ์ด้วยน้ำเสียงนี้คงเป็นวันรดน้ำสังข์ของเขากับคู่ชีวิตที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่้ “ฉันเข้าใจความห่วงและหวงลูกของพ่อ ฉันเองเลี้ยงหลานมาเองกับมือ เผลอๆ ก็เลี้ยงมากกว่าเราทั้งคู่ด้วยซ้ำ ทำไมฉันจะไม่ห่วงหลาน” คุณตรึงหยุดสักครู่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่


            “ตั้งแต่วันนั้นที่เราคุยกัน ฉันใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อคอยดูทั้งสองคน ทุกครั้งที่พ่อเหินอยู่กับหลานของฉัน แววตานั้นมีแต่ความเอ็นดู อยากปกป้อง ทุกครั้งที่ฉันเห็นมัน ฉันอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่ฉันยกยายวรรณให้พ่อ แววตานั้นมันไม่ต่างกับที่พ่อใช้มองยายวรรณ และวันนั้นฉันจึงเชื่อเหลือเกินว่าพ่อจะดูแลยายวรรณได้ดี และสร้างโลกที่มีความสุขอีกใบหนึ่งให้กับลูกสาวของฉัน” คุณตรึงจิตหันมามองลูกสาวที่ตอนนี้ใบหน้ามีน้ำตาคลออยู่บ้าง วันที่หล่อนตัดสินใจแต่งงานกับอัฏฐ์ เป็นวันที่หล่อนนั้นดีใจมากอีกวันหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่แค่เพราะหล่อนได้อยู่กับชายที่รัก แต่เพราะหญิงที่หล่อนรักและเคารพที่สุดในชีวิตอวยพรให้ชีวิตของหล่อนพบเจอแต่ความสุข ซึ่งหญิงคนนั้นกล่าวไปก็น้ำตาไหลไป ทั้งๆ ที่ทั้งชีวิตนี้หล่อนแทบไม่เห็นคุณแม่ร้องไห้เลยสักครั้ง น้ำตาสายนั้นคงเรียกไม่ได้ว่าดีใจทั้งหมด มันระคนไปกับความอาทรและความห่วงใย “ฉันไม่ไดบอกว่าพ่อเหินดีเด่อะไรไปกว่าคนอื่น แต่อย่างน้อยเขาก็พร้อมและจริงใจจริงๆ แล้วรู้หรือไม่ ว่านอกจากฉันจะนึกถึงสายตาของพ่ออัฏฐ์แล้ว ฉันยังนึกถึงนัยตาของยายวรรณด้วย”


            “คุณแม่หมายความว่า...” คุณอัฏฐ์ถาม


            “เพราะสายตาหลานของฉันก็ไม่ต่างกับยายวรรณวันนั้นหรอก”




            .


            .


            .


            “เกล้าขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะครับ พ่อเอาแต่วางท่าหวงเกล้าบ่อยๆ แต่ไม่เคยเห็นว่าจะอารมณ์ขึ้นขนาดนี้สักที” เจ้าเกล้ากล่าวกับเหินฟ้าหลังจากที่เดินมาส่งที่รถ จริงๆ เขาอยากให้เหินฟ้าไปด้วยกันมากกว่า เพราะอีกฝ่ายเพิ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง กลัวจะหลับใน


            “ไม่เป็นไรครับ พี่เป็นพ่อเรา พี่ก็หวง” เหินฟ้าลูบหัวคนตัวเล็กกว่า ใจจริงเขาอยากคว้าอีกคนมากอดขอกำลังใจสักที พร้อมด้วยใช้ปากขยี้แก้มหอมๆ นั่นสักสองสามที แต่หากทำมันตอนนี้คงไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าคนข้างบนมาเห็น ไอ้เหินได้โดนปืนเจาะกบาลแน่นนอน ส่วนเจ้าเกล้าเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมา ช่วงนี้เขารู้สึกตัวเองเขินบ่อยจนน่าหงุดหงิด ปกติเขารับมือกับคำจีบคำหยอกอะไรพวกนี้ดีมาก



             ...คำ จีบ ...งั้นหรอ...


            “พี่เหินครับ เกล้าขอ... ถามอีกทีได้ไหมครับ” เจ้าเกล้าผู้ไม่เคยปล่อยให้ในใจเกิดคำถามจึงเลือกที่จะเคลียร์สิ่งที่สงสัยไปเสียตั้งแต่ตอนนี้


            “ได้สิ ว่ามาเลยครับ” เหินฟ้าเลิกลูบหัวอีกคน แล้วหันมาตั้งใจฟัง


            “คือ ... เกล้าเคยถามพี่เหินไปแล้วว่า พี่...จ...จี” ทำไมมันพูดไม่ออกล่ะ แถมหน้ายังร้อนมากๆ ด้วย เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยให้ตายเถอะ


            “จี? จี-สตริง?” เหินฟ้าแกล้งแหย่ “เกล้าอยากใส่จี-สตริงหรือครับ”


            “ไม่ใช่แล้วพี่เหิน เกล้าหมายถึง.. เอ่อ.. แบบจ..จี”


            “จี่หอย? อยากกินจี่หอยหรือครับ” 


            “โอ๊ย พี่เหิน เก้าไม่พูดแล้ว” เจ้าเกล้าหันหน้าหนีพร้อมจะเดินกลับ เห็นดังนั้นเหินฟ้าจึงเยื้อมือไปจับอีกคนให้หันมาอีกครั้ง ร่างบางๆ ถูกแรงหนักๆ กระชากจนตัวเกือบปลิว ด้วยไม่ได้ตั้งตัวว่าจะโดนดึง เจ้าเกล้าจึงเสียจังหวะเกือบล้ม แต่อกอุ่นๆ กว้างๆ ที่หน้าผากของเขาเข้ามากระทบอยู่นี้เป็นสิ่งที่บอกเขาว่าไม่ได้ล้มลงไปอย่างที่กลัวไว้


            “เอ่อะ พี่เหินครับ เดี๋ยวมีคนเห็นนะครับ” ถึงจะเป็นกอดหลวมๆ แต่เขาสองคนก็ยังไม่เคยกอดกันจริงจังสักครั้ง เหินฟ้าเองเมื่อครู่ก็ไม่ตั้งใจจะกอดน้อง แต่เพราะฟ้าเป็นใจแน่ๆ เขาถึงรีบคว้าน้องเข้าอกเพราะกลัวจะล้ม ดูสิ หน้าแดงๆ กับกลิ่นหอมๆ นี้แทบจะละลายความอดทนของเขาไปเสียหมด


            “พี่จะตอบคำถามจริงๆ แล้วครับ” เหินฟ้าก้มหน้ามาชิดริมหูขึ้นสีนั่น มันโผล่ออกมาจากกลุ่มผมดกสีดำสนิท น่าเอาปากไปขบกัดจริงๆ นี่ถ้าไม่ได้อยู่หน้าบ้านคนอื่น อย่าหวังว่าจะรอด “แต่พี่อยากให้เราไปหาคำตอบเองได้ไหมครับ”


            “ครับ?” ใบหน้าขาวที่เลือดฝาดเยอะเกินไปสักนิดในตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาหาคนตัวสูง


            “ถือว่าสอนงานไปด้วยแล้วกันครับ เราทำงานเกี่ยวกับอัญมณี ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าอัญมณีแต่ละชนิดมีความหมายยังไง มูนสโตนที่พี่ให้เราวันนี้ก็มีความหมายเหมือนกัน พี่ขอให้ความหมายของมันเป็นคำตอบของพี่นะครับ”


           


            เจ้าเกล้ายังคงเหมือนเบลอๆ อยู่เล็กน้อย หลังจากที่เหินฟ้าทิ้งปริศนาเอาไว้ แล้วก็ชิ่งกลับไป เขาได้แต่กุมเจ้ามูนสโตนเลขเก้านี้ไว้จนกระทั่งเดินขึ้นเรือนมาช่วยพี่ๆ เตรียมของ ก็ยังคงมึนๆ กับกลิ่นน้ำหอมจางๆ ของอีกฝ่ายอยู่ พลางคิดว่าหากเขารู้คำตอบของปริศนานี้แล้ว เขาจะต้องมาหน้าแดงอีกไหม เขาเหนื่อยกับการหน้าแดงเหลือเกิน เฮ้อ...








❤❤❤❤

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ รักคนอ่านมากๆ เรยยยย

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบเอ็ด] 16.03.19
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 17-03-2019 00:58:38
มาต่อแล้ววว  :m3:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสอง] 14.04.19
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 14-04-2019 21:44:34
           
ก้าวที่ยี่สิบสอง: บ้านปีกต้นกล้า

       เมื่อตะวันตั้งตรงหัวพอดี บ้านรัฐสกุลจึงมาถึง ณ มูลนิธิบ้านปีกต้นกล้า แม้บรรยากาศระหว่างการเดินทางจะไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ แต่ที่นี่กลับทำให้อารมณ์ขุ่นมัวหลายๆ อย่างหายไป เจ้าเกล้าพบเจอที่นี่เมื่อตอนขึ้นมหาวิทยาลัยและต้องทำโปรเจคเกี่ยวกับ CSR เด็กๆ ที่นี่แข็งแรงทั้งกายใจ เป็นต้นกล้าเล็กๆ ที่พร้อมติดปีกบินไปยังขอบฟ้า เด็กๆ เหล่านี้ถูกสั่งสอนจากครูปุ๊ก เป็นครูผู้บุกเบิกก่อตั้งที่นี่ด้วยความตั้งใจจะให้เด็กๆ เหล่านี้แข็งแรง แม้จะขาดอะไรบางอย่างไปจากชีวิต

 

            “พี่เกล้า!” “พี่เกล้ามาแล้ว!” “พี่เกล้าจ๋า!”

 

            เมื่อลงจากรถมาเท้ายังไม่ทันจะแตะพื้น เด็กๆ ที่มารอตั้งแต่เที่ยงก็รีบกรูกันเข้ามากอดพี่เกล้าขวัญใจของเด็กๆ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้มาหาเด็กๆ ที่นี่แค่วันเกิดหรอก นึกถึงก็มาอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่วันเกิดนี่จะมายิ่งใหญ่หน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งความยิ่งใหญ่นี้ก็ไม่ใช่พิธีรีตองอะไร แต่เป็นเงินบริจาคก้อนหนึ่งที่เขาเก็บออมจากงานพิเศษทั้งงานสอน งานแปล ต่างๆ ครูปุ๊กของที่นี่ไม่ได้เอาเงินนี้มาพัฒนาและสนับสนุนเด็กๆ อย่างเดียว แต่ยังนำเงินเข้าสหกรณ์กองกลางซึ่งเป็นเงินสำหรับเครือข่ายมูลนิธิอีกหลายสิบแห่งทั่วประเทศอีกด้วย

           

            “เด็กๆ อย่าเพิ่งไปรุมพี่เกล้าสิจ้ะ เดี๋ยวพี่เขาก็ล้มคะมำกันพอดี” เสียงสดใสเจือความอ่อนโยนของครูปุ๊กที่คุ้นเคยของเด็กๆ ทำให้เจ้าเกล้าต้องรีบหันไปกล่าวทักทาย

           

            “สวัสดีครับครูปุ๊ก ขอบคุณที่เหลือเวลาไว้ให้เกล้านะครับ เกล้าอยากมาที่นี่ในวันเกิดจริงๆ” เจ้าเกล้ากล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสปิดบังอารมณ์วุ่นวายในใจที่มีเพียงเขาและใครอีกคนหนึ่งที่รู้สาเหตุ

 

            “ถึงครูไม่เหลือไว้ เด็กๆ ทีรู้วันเกิดเราก็มาขอให้ทุกปีแหละจ้ะ ใช่ไหม” ครูปุ๊กหันไปถามเด็กๆ ที่พยักหน้าตาแป๋วกันทุกคน “สวัสดีค่ะคุณตรึงจิต คุณอัฎฐ์ คุณวรรณ หนูปอย หนูจุก คุณตรึงจิตไม่เจอกันนานเลยค่ะ ยังสวยเหมือนเดิม”

           

            “สวัสดีแม่ปุ๊ก ยังปากหวานเหมือนเดิม เจ้าเบนไม่อยู่รึไง ปกติหนูเกล้ามาต้องวิ่งโร่มารับเหมือนเด็กๆ”

 

            “พาน้องอัยหาหมอจ้ะ ไปแต่เช้าแล้ว น่าจะใกล้กลับมาแล้วล่ะ”

 

            “น้องอัยเป็นอะไรครับครู” เจ้าเกล้าที่นั่งยองๆ ให้เด็กๆ ปลุกปล้ำอยู่นั้นรีบถามด้วยความเป็นห่วง น้องอัยเพิ่งจะหกขวบเอง ตอนเขาหกขวบอย่างมากก็โดนแม่บ่นเพราะหล่นต้นไม้ ไม่เคยได้เข้าโรงพยาบาลอะไร

           

            “ไข้หวัดนี่แหละจ้ะ ที่ให้ไปหาเพราะเป็นมาจะอาทิตย์แล้วยังซมอยู่ เลยให้หมอดูหน่อย”

 

            “ไปเล่นซนมาหรือครับ ทำไมป่วยได้”

 

            “นี่ไง แก๊งนี้แหละ พากันไปตากฝน ครูก็ไม่รู้ วันนั้นเบนก็ไม่อยู่ ไม่มีใครคอยดู” ครูปุ๊กจับไหล่เด็กชายคนหนึ่งออกมาให้เจ้าเกล้าดูหน้า

 

            “คอปเตอร์พาอัยไปตากฝนมาหรือครับ” เด็กชายคอปเตอร์ผู้(สถาปนาตนเอง)เป็นหัวโจกของแก๊งเด็กหกขวบบิดไปบิดมาไม่กล้าจะบอกความจริง

 

            “ไงล่ะ จ๋อยไปเลย เข้าไปข้างในกันดีกว่าค่ะ ตรงนี้ร้อน แล้ววันนี้มากันแค่นี้หรือมีคนอื่นอีกไหมหนูเกล้า” ครูปุ๊กเดินนำแขกและครอบครัวเข้าไปในบ้าน ส่วนคนที่ได้ยินคำถามก็ถึงกับชะงัก เพราะหน้านิ่งๆ ของใครอีกคนก็โผล่มาซะอย่างนั้น

 

            “เอ้า เป็นอะไรไปเกล้า อยู่ดีๆ ก็หยุดเดิน” เจ้าปอยที่เดินตามหลังเกือบจะเบรกไม่ทันเพราะคนข้างหน้าชะงัก

 

            “เอ่อ เปล่าครับ เข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวมีเพื่อนๆ เกล้าอีกครับครู” เจ้าเกล้าไม่ลืมหันมาตอบครูปุ๊ก

 

            “อ้าว นั่นคุณเหินมาแล้วนี่ โห พี่แกจะไปเดินแบบรึเปล่าอ่ะ” เจ้าเกล้าที่ได้ยินจึงหันมองไปยังหน้าบ้านที่ใครอีกคนหนึ่งในห้วงภวังค์กำลังเดินเข้ามา ที่จริงชุดที่คุณเหินใส่ก็ธรรมดาๆ เสื้อคอจีนสีขาวตามแฟชั่น กับกางเกงสีน้ำตาลอ่อนที่ระกับข้อเท้าพอดี แต่อาจจะเพราะอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของคนมองกำลังระส่ำอยู่ไม่หยุด

 

            “ทำไมไม่เข้าบ้านครับ ข้างนอกร้อน เราหน้าแดงหมดแล้วนะ” เหินฟ้าที่มายืนตรงหน้าเจ้าเกล้าเมื่อไหร่เจ้าตัวไม่รู้เลย รู้แต่ว่าคนตัวสูงที่กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อให้ได้มอบยิ้มอ่อนโยนมาให้และทำให้เขานึกไปถึงโจทย์ปัญหาที่ได้ทิ้งไว้ให้เขาแก้เมื่อเช้า

 

.

.

ระหว่างทางไปยังมูลนิธิฯ ภายในรถคันใหญ่สำหรับครอบครัวที่คุณอัฏฐ์เลือกมาใช้วันนี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศแปลกๆ ที่แต่ละคนหอบมาจากเหตุการณ์ในตอนเช้า

 

            ด้านคุณอัฎฐ์ยังมีความคุกรุ่นในอารมณ์ ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าไอ้หนุ่มนั่นไม่เลว แต่อีกใจก็หวงลูก ไม่รู้ล่ะ ถึงคุณแม่ยายจะพูดขนาดนั้นแต่เขาต้องรู้เห็นกับตาว่าไอ้หมอนี่มันคู่ควร ฮึ่มม พูดแล้วอารมณ์ขึ้นขอเหยียบสักหน่อย

 

            “ตาอัฎฐ์! จะรีบไปตามโคที่ไหนกัน ไม่ต้องรีบขับ ลูกเมียอยู่ในรถยังจะขับเร็วอีก” โดนไปหนึ่งดอก...

 

            ข้างๆ คุณยายทั้งเจ้าปอยและเจ้าจุกต่างหันมองไปยังน้องชายคนสุดท้องที่กำลังนั่งเหม่อมองกระจกในเบาะหลัง ใบหน้าสวยมีริ้วรอยแดงจางๆ เจ้าปอยคิดว่าน้องคงจะเครียด ไม่ยักเห็นผิวน้องขึ้นสีมาก่อน หล่อนไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเดินทางไปถึงจุดไหน หากแต่หล่อนมองความสุขของคนในครอบครัวเป็นที่ตั้ง นั่นจึงทำให้หล่อนค่อนข้างจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณพ่อไปสักหน่อย

 

            แต่หารู้ไม่ว่า ในหัวของเจ้าเกล้าตอนนี้ ปราศจากเรื่องบาดหมางเมื่อเช้าไปแล้ว เพราะหลังจากที่แยกกับเหินฟ้า เขาก็ได้ไปทำการบ้านทันทีที่แยกกันตามภาษาเด็กคงแก่เรียน จึงได้รู้ว่ามูนสโตนนั้น

 

            “...มูนสโตน เป็นอัญมณีที่เสริมสร้างเรื่องความรัก จากตำนานกล่าวไว้ว่า มูนสโตน (Moonstone) หรือ มุกดาหาร คือของขวัญที่สูงค่าสำหรับความรัก เหมือนว่ามันเป็นตัวแทนอารมณ์รัก กิเลส ตันหา (Passion) ของผู้ที่ยื่นให้...”

 

            เจ้าเกล้ารู้สึกว่าข้อความนี้แลดูอีโรติกแปลกๆ แต่พอนึกไปถึงหน้าคุณเหินที่ทำหน้าจริงจังแล้วก็รู้สึกว่าตัวแทนแห่งดวงจันทร์ของคุณเหินนั้นออกจะดูจริงจังเลยทีเดียว อืม นี่เขายังติดเรียกคุณเหินตลอดเวลาเหมือนกันนะ ไม่ๆ นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะประเด็นคือตอนนี้เหมือนเขารู้สึกหน้าไหม้ไปหมด คือยังไง เป็นตัวแทนความรักของผู้ให้หรอ เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ หรอ คุณเหินจีบเขา...ตอนนี้... ไม่น่าใช่แค่ตอนนี้ ลองคิดดีๆ ทั้งชวนไปกินข้าว มารับมาส่ง ออกตัวปกป้อง ขอดูแลเขา... ตลอดมาเลยหรอ จริงๆ มันก็ดูออกชัดจะตายไป แต่เขาคิดไปเองทั้งนั้นว่านั่นคือความเป็นพี่ชาย เจ้าเกล้าอยากจะทึ้งหัวตัวเองสิบที

 

.



.

            “พี่เกล้าครับๆ..”

 

            “เอ่อ ครับๆ” เจ้าเกล้าสะดุ้งตกใจเพราะแรงกระตุกมือเบาๆ น้องรักนั่นเอง "น้องรัก"

 

            “น้องรักเรียกพี่เกล้ามาสามรอบแล้วครับ” น้องรักที่แหงนหน้ามองตาแป๋วเอ่ยยอกด้วยความงง เจ้าเกล้าเหมือนสติยังมาไม่ครบเหินฟ้าจึงเอ่ยออกมา

 

            “เราน่ะอยู่ดีๆ ก็นิ่งไป” เหินฟ้าเอียงตัวมากระซิบใส่เจ้าเกล้าเบาๆ “วันนี้พี่หล่อจนอึ้งเลยหรอครับ”

 

            “ไม่ใช่แล้วพี่เหิน!” เจ้าเกล้าตีไหล่คนขี้หลีเบาๆ พยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดูนั่น อ้อ ไม่สนใจด้วยว่าหน้าเขากำลังจะไหม้เพราะแสงแดดวันนี้มันแรงมากๆ “น้องรักเข้าไปข้างในดีว่าครับ ไปครับ” เจ้าเกล้าเอื้อมไปจูงมือน้องรักเข้าบ้านไป ส่วนเหินฟ้าก็เดินตามหลังมาติดๆ

 

            ภาพสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กอยู่ในสายตาของบ้านรัฐสกุลตลอดมา หากเจ้าเกล้าเป็นผู้หญิง นี่คงเป็นภาพของครอบครัวสุขสันต์ที่มีพ่อแม่ลูก เหมาะสม และเป็นที่อิจฉาของใครต่อใคร แต่ถึงใครๆ จะคิดอย่างนั้นแต่คุณตรึงจิตกลับยิ้มออกมาบางๆ เพราะสิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่แค่ภาพของครอบครัว แต่เป็นภาพของคนๆ หนึ่งที่มองคนอีกคนหนึ่งอย่างรักใคร่ เอ็นดูมากๆ ด้วยต่างหาก

 

.



.



.

            หลังจากเข้ามาบ้าน เล่นกับเด็กๆ และถามไถ่เรื่องชีวิตของเหล่าต้นกล้าน้อยๆ ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงของเด็กๆ อาหารที่เจ้าเกล้าทำวันนี้ตั้งใจให้เด็กๆ ได้กินอาหารที่คุณภาพดี ครบห้าหมู่ และอร่อย โชคดีที่เขารู้ว่ามีใครแพ้อาหารอะไรบ้างจึงสามารถทำมาเข้ากับความต้องการของทุกคนได้หมด

 

            “เอาผักไหมครับ” เจ้าปอยถามขณะกำลังตักต้มจืดตำลึงให้เด็กๆ

 

            “เอาครับบบบ ผักพี่เกล้าอร่อย”

 

            “หืม จริงหรอ นึกว่าเด็กๆ ไม่กินผักเสียอีก”

 

            “ปกติก็กินยากลูก แต่พอเป็นอาหารของหนูเกล้า ถึงเป็นผักคะน้าก็บอกอร่อยกัน บางทีครูก็งงเหมือนกันจ้ะ” ครูปุ๊กที่อยู่ใกล้ๆ เล่าให้ฟัง

 

            “เกล้านี่มีความเป็นแม่มากกว่าหนูอีกค่ะคุณครู” เจ้าปอยกล่าว และเธอคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะเจ้าเกล้านั้นรักและใส่ใจคนรอบข้างเสมอ เหมือนกับแม่ของหล่อนเลย





 

            เจ้าเกล้าไม่ได้อยู่ข้างในเพราะออกมารับเพื่อนๆ แก๊งเจ้าหญิงและองครักษ์

 

            “อ้าว เรนกับอินไม่มาหรอดิน”

 

            “อินนอน บอกว่าจะมากินข้าวด้วยตอนเย็น ส่วนเรนก็นึกว่าจะมาเหมือนกันอยู่ดีๆ ก็ไม่มา” ดินตอบ

 

            “แปลกจัง” ปกติเรนไม่เคยพลาดวันเกิดเขาด้วยซ้ำ อย่างปีก่อนถึงกับมานอนค้างด้วยเพราะจะได้เป็นคนแรกที่แฮปปี้เบิร์ดเดย์เขา

 

            “แต่ไม่น่ามีอะไรนะ โทรไปก็ดูปกติดี เหมือนจะอยู่กับใครสักคน”

 

            “ใครวะ” พุฒิถามขึ้น

 

            “ไม่รู้เหมือนกัน เรนบอกว่าอยู่กับพี่ แต่พอถามว่าพี่ไหนก็บอกว่าแค่นี้ก่อน”

 

            “เหยๆ ไอ้เรนมันมีแฟนป่าววะ”

 

            “จะใช่หรอ ถ้าใช่เกล้าต้องรู้สิ” เจ้าเกล้ามั่นใจมาก เพราะเรนแทบไม่มีความมั่นใจในการใช้ชีวิตเลย เกือบทุกเรื่องต้องมาปรึกษาหาหนทางตัดสินใจกับเจ้าเกล้า แต่นั่นก็เป็นความน่ารักของเรน

 

            “ก็ไม่แน่หรอกนะคุณแม่ เด็กมันโตแล้ว ลูกน่ะมันเลี้ยงได้แต่ตัว ฮ่าๆๆ” พุฒิเอ่ย “อ้าวเฮียเหิน หวัดดีคร้าบบบบบบ”

 

            “เออดี” เหินฟ้าโบกมือรับทั้งพุฒิและดินที่ยกมือไหว้เขา “คุณยายให้มาตามครับ เด็กๆ ถามหาใหญ่แล้ว พวกนายก็เข้าไปข้างในกันก่อน”

 

            “โหยยยย ไม่ใช่ม้างงง อ้างคุณยายแต่จริงๆ คิดถึงเขาก็บอก ฮ่าๆๆๆ ไปเว้ยดิน พ่อเขามาคุมละ” พุฒิกอดคอพาดินเข้าไปในบ้าน

 

            “พุฒิ!” เจ้าเกล้ากัดปาก ไอ้บ้า อุตส่าห์ปรับอารมณ์ไปแล้ว ดูดิ หน้าไหม้อีกแล้ว

 

            “หน้าแดงอีกแล้ว” เหินฟ้าทัก “กัดปากทำไมครับ เดี๋ยวเป็นแผลนะ” ด้วยสัญชาติญาณเหินฟ้าเอื้อมมือไปคลึงเขาๆ ที่ริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่น แรกๆ ก็เพลินมือดี หลังๆ ชักเริ่มอยากลามไปอย่างอื่น เขาจึงหยุดมือก่อนที่วิญญาณเสือจะถูกปลุก “เข้าข้างในกัน” พูดแล้วก็เดินนำออกไปเลย

 

            เจ้าเกล้ามองแผ่นหลังของอีกคนที่กำลังเดินออกไป เขาสังเกตว่าเมื่อครู่เหินฟ้าคลึงปากเขา จากนั้นก็หลับตา กัดกรามแน่น ผละมือออกไป... ท่าทางมันเหมือนคนสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่าง... อยู่ๆ สมองของเขาก็คิดเลอะเทอะจนหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม คอยดูนะ ถ้าเขารวยเมื่อไหร่ จะซื้อแอร์มาติดทั้งโลกเลย...

 



❤❤❤❤

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่าาาา
เมาไม่ขับนะคะทุกคน
รักจ้า


JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสอง] 14.04.19
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 17-04-2019 22:28:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสอง] 14.04.19
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 22-04-2019 14:15:17
ฮือ... ติดค่ะติดหนักมากรีบมาต่อไว้ๆนะ

 เป็นอีกเรื่องที่อ่านแล้วว่างไม่ลงสนุกมากค่ะ เอ็นดูน้องเกล้า หมั่นไส้พี่เหินทำเป็นไม่อยากเจอเขาแล้วเป็นไงที่นี้ไม่ห่างเขาเลยนะ แหม่ๆๆๆๆ...หมั่นไส้
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสอง] 14.04.19
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-05-2019 11:53:56
ซื้อแอร์มาติดก็ไม่น่าหายนะเจ้าเกล้า 55555555555555
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสาม] 28.06.19
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 28-06-2019 21:03:25
 
ก้าวยี่สิบสาม - ร้านไอศกรีม
   


           “พี่เกล้าระวังนะครับ แกงมันร้อน”

            “พี่เกล้าระวังสะดุดนะครับ”

            “มาครับพี่เกล้าผมช่วยถือ”

            “พี่เกล้าเขยิบมาตรงนี้ดีกว่าครับมันโดนแดด”

 

            หลังจากเดินขึ้นมาด้านบนเพื่อเริ่มกิจกรรมเลี้ยงอาหารเด็กๆ เหินฟ้าคิดว่าวันนี้เขาจะต้องมีความสุขแน่ๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในวันเกิดของเจ้าเกล้า ซึ่งมันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีไอ้เด็กเบนอะไรนี่! ตั้งแต่พาน้องคนนึงไปหาหมอ พอกลับมาก็ประคบประหงมเหมือนเจ้าเกล้าอายุห้าขวบ เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก นี่เขาจะเดินเข้าไปหาก็ต้องตักขนมเพราะเด็กๆ เริ่มอิ่มกันแล้ว

           

            เหินฟ้ายืนตักกล้วยไข่บวดชีฝีมือคุณนายตรึงจิตโดยที่สายตาไม่เคยละไปจากฝ่ายบริการน้ำดื่มที่เจ้าเกล้าและเด็กเบนกำลังเฝ้าอยู่เลยแม้แต่น้อย แถมสายตานี่ใครมองไม่ออกว่าหวงก็บ้าแล้ว

           

            “เอ้า พ่อเหิน จะตักก็มองด้วย หกเลอะเทอหมดแล้ว” คุณนายตรึงจิตที่มองหมาหวงก้างอยู่นาน รีบเข้ามาปราม

 

            “ครับคุณหญิง” เหินฟ้ากล่าว

 

            “นี่” คุณหญิงที่มองไปทางเดียวกับที่เหินฟ้ามองไปเมื่อครู่นี้เอ่ยทักขึ้นโดยยังคงวางสายตาไปที่เดิมอยู่

 

            “ครับ?”

 

            “หนูเกล้าน่ะ เป็นเด็กน่ารักมากๆ เลยนะ”

 

            “...”

 

            “เห็นไหมว่าเพื่อนๆ เรียกหนูเกล้าว่าแม่ ไม่ใช่แค่เพื่อนกลุ่มนี้หรอกนะ แต่ทุกๆ คนพูดเหมือนๆ กัน ตั้งแต่เด็กๆ หนูเกล้ามักจะดูแล ห่วงใยคนรอบกายเสมอ จนบางทีก็ไม่ค่อยสนใจตัวองเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าคนเหล่านั้นโดนรังแกล่ะก็ ความอ่อนโยนก็จะเปลี่ยนเป็นความร้ายกาจเลยล่ะ พ่อเค้าบอกว่ายามปกติหนูเกล้าจะเหมือนแม่ ยามโกรธแกจะเหมือนฉัน”

 

            “...” เหินฟ้าแอบเห็นด้วยกับประโยคหลังเบาๆ ในใจ

 

            “ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ด้วยความอ่อนโยนของแก มีคนเข้าหามากมาย แต่แกไม่สนใจเลย เพราะแกกลัวฉันเหงา กลัวไม่มีเวลาอยู่กับยาย” คุณนายตรึงจิตหันหน้ามองผู้ฟังร่างสูง “ฉันอยากให้หลานได้มองความสุขของตัวเองเป็นหลักบ้าง พ่อเหินช่วยหลานฉันได้ไหม” คุณตรึงจิตยิ้มบางๆ

 

            เหินฟ้าได้ฟังแล้วก็เหลือบไปมองเจ้าเกล้า แม้เขาจะยังไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ คุณนายตรึงจิตเข้ามาบอกเขาทำไม แต่มันทำให้เขาวางใจไปเปลาะหนึ่งว่าอย่างน้อยผู้ใหญ่อย่างคุณตรึงจิตก็ไม่คิดกันท่าเขาเหมือนกับ(ว่าที่)พ่อตา

 

            “ผมจะพยายามพิสูจน์ให้คุณอัฏฐ์กับครอบครัวของเกล้าเห็นครับ ว่าผมจริงจัง ผมตั้งใจและจะดูแลน้องให้ได้จริงๆ”

 

            คุณหญิงส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องพิสูจน์ พ่อเหิน ไม่ต้องพิสูจน์อะไร กาลเวลาต่างหากที่จะพิสูจน์ เมื่อก่อนฉันหวงหลานมากจริงๆ แต่วันนี้สัญชาติญาณคนแก่มันมองออกว่าใครจะดีใครจะไม่ดี ฉันเลยอยากให้โอกาส ตราบใดที่พ่อเหินมั่นคงกับความรู้สึกนี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหนูเกล้า หรือคนรอบตัว ก็จะดูออกสักวันเองนั่นแหละ”

 

.

.

.

 

            คำพูดของคุณนายตรึงจิตนั้นเป็นแรงผลักดันชั้นดีในแผนปฏิบัติการแยกดอกไม้ออกจากผึ้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากออกตัวมากนัก เพราะครอบครัวของเจ้าเกล้าก็อยู่ แถมคุณอัฏฐ์ยังจับตามองเขาไม่วางตา แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะเชื่อคำของคุณหญิงแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ความรู้สึกของเขา ทั้งเจ้าเกล้าและคนอื่นๆ จะได้สัมผัสมันด้วยตาเอง

 

            “เกล้าครับ” เหินฟ้าเดินดุ่มๆ เข้าไปท่ามกลางสายตาเกือบสิบคู่

 

            “คะ ครับ พี่เหิน” เจ้าเกล้าที่ฉลาดในเรื่องนี้แล้ว พอเห็นแววตาที่เหินฟ้ามองมาที่ตนตั้งแต่เมื่อครู่ก็พอจะเดาออกแหละว่าอีกคนกำลังรู้สึกอย่างไร แต่เขากลับไม่อยากเอามาใส่ใจมาก เพราะมันจะทำให้เขาหน้าแดง

 

            “ไปนั่งพักไหมครับ พี่เห็นเราหน้าแดงมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เดี๋ยวทางนี้พี่ทำเอง” เหินฟ้าที่ไม่ได้คิดแผนอะไรมาจึงอาศัยเอาหน้าแดงๆ ของคนน่ารักมาอ้างเสียเลย

 

            “พี่เกล้าไม่สบายหรอครับ” ทันทีที่พูดจบหนุ่มหน้ามนก็หวังจะวัดอุณหภูมิให้กับอีกคน

 

            “ดูสิครับ เหงื่อออกหมดแล้ว” แต่ไม่ทันเสียหรอก เพราะรองประธานฯ เขาเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อตัดหน้าคู่แข่งแบบสายฟ้าแลบ

 

            “เกล้าไม่เป็นไรครับพี่เหิน” เจ้าเกล้าเห็นเหินฟ้าที่ซับเหงื่อไปเหล่มองเบนไปก็รู้สึกเริ่มปวดหัด เพราะเบนเองก็มองอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน เบนเป็นหลานของครูปุ๊ก คอยช่วยงานมาตั้งแต่เด็กๆ ปีนี้เบนก็กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว บางครั้งมาก็ไม่ค่อยเจอ แต่ปกติถ้ามาเจอ เขาก็จะโดนกักตัวไว้แบบนี้ประจำ เขาไม่คิดว่าเบนจะชอบเขาแบบที่พี่เหิน เอ่อ ชอบเขาหรอก น้องน่าจะชอบเขาแบบไอดอลมากกว่า เพราะเอาจริงๆ เด็กหนุ่มก็หน้าตาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่แถมยังสูงชะลูดถึงแม้จะไม่ได้สูงเท่าคุณเหินก็เถอะ ซึ่งนั่นก็น่าจะทำให้น้องได้เจอคนหน้าตาดีๆ นิสัยดีๆ มากกว่าเขาบ้างแหละ

 

            “ไปครับ ไปดื่มน้ำกันก่อน” เหินฟ้าคว้าหมับที่มือนุ่มๆ ของคนตัวเล็กกว่า

 

            “พี่เหินครับ” แต่ก่อนจะเดินเจ้าเกล้าจำต้องทักท้วงเสียก่อน

 

            “ครับ” เหินฟ้าหันมามองหน้าอีกคนด้วยแววตาฉงน

 

            “เอ่อ ทานน้ำตรงนี้ก็ได้ครับ” เหินฟ้าลืมไปสนิทว่าเจ้าเกล้าเป็นฝ่ายบริการน้ำท่าให้กับเด็กๆ

 

            “พี่เกล้าไปพักในห้องผมก่อนดีกว่าครับ มีแอร์เย็นๆ ไปครับผมพาไป” มืออีกข้างของเจ้าเกล้าถูกเด็กหนุ่มตัวสูงคว้าเอาไว้ทันที เหินฟ้าเบิกตาโตก่อนจะตวัดสายตาไม่ชอบใจใส่ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ส่วนฝ่ายศัตรูก็ไม่น้อยหน้า ทำหน้าทำตาเหมือนอยากจะบอกว่าเจ้าเกล้ามานอนห้องมันบ่อย หึ! แก้มได้หอมรึยังเถอะ ไอ้หมาเอ้ย

 

            “ถ้าเกล้าอยากนอนห้องแอร์ไปนอนโรงแรมพี่ดีกว่าครับ ขับรถแปปเดียวก็ถึง พี่พาไป”

 

            “พี่เกล้าจะไม่อยู่เล่นกับน้องๆ หรอครับ วันนี้วันเกิดพี่เกล้านี่ครับ เด็กๆ ยังอยากเจออยู่เลย”

 

            “เดี๋ยวไปพักแล้วเย็นๆ ค่อยมาใหม่ก็ได้ครับเกล้า ไปครับ”

 

            “เย็นๆ เดี๋ยวน้องๆ ก็ต้องเตรียมตัวอาบน้ำเข้านอนแล้วนะครับพี่เกล้า”

 

            “เดี๋ยวพี่พ...”

 

            “พอเลยครับทั้งสองคน!” เจ้าเกล้าพูดขัดออกมา ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ก็ดุพอจะหยุดคนทั้งสองได้ คุณตรึงจิตแอบลอบยิ้มกับโหมดดุของหลานชายซึ่งได้มาจากหล่อนทั้งนั้น

 

            “เบนไปคอยดูน้องๆ ที่ทานอิ่มแล้วครับ ตรงนี้มีคนเดียวก็ได้ครับ จะได้แบ่งๆ งานกันทำ” เจ้าเกล้าหันมาหาพ่อตัวดี “ส่วนพี่เหินกลับไปตักบวดชีเลยครับ ผมสบายดี”

 

            พอฟังจบเหล่าชายหนุ่มนักรักต่างหันมองหน้ากันด้วยแรงอารมณ์สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง พุฒิเห็นทีจึงเดินมาแซว

 

            “แหมมมมม ฮ็อตกว่าเราตอนโดนหญิงแย่งในผับอีกอ่ะแม่เกล้า”

 

            “หยุดเลยพุฒิกลับไปทำงานเลย!” เจ้าเกล้าทำหน้าดุใส่จนพุฒิยังหงอ จากนั้นจึงกลับไปเก็บขยะต่อ

 

            ทางด้านเหินฟ้าก็กำลังตักกล้วยบวดชีอย่างเนือยๆ แต่ตาก็ยังแอบเหล่ไปทางเจ้าเกล้าบ่อยๆ แล้วพอฝ่ายนั้นหันมาเจอก็ทำหน้าดุใส่ จริงๆ แล้วเขาไม่กลัวเลย เห็นแล้วอยากเอาปากไปหยิกแก้มขาวๆ นั่นมากกว่า

 

            “พี่เหินครับ” แรงดึงชายกางเกงทำให้เหินฟ้าต้องก้มไปมอง เป็นน้องรักที่พาเด็กผู้ชายอีกคนมาด้วย

 

            “ว่าไงครับคนเก่ง ทานข้าวอิ่มแล้วหรอ แล้วนี่เพื่อนใหม่หรอครับ” เหินฟ้านั่งยองๆ คุยกับหลาน

 

            “น้องรักทานอิ่มแล้วครับ นี่คอปเตอร์ครับ” เหินฟ้าจึงนึกออกทันทีว่าเด็กคนนี้คือหัวโจกที่พาน้องผู้หญิงอีกคนออกไปเล่นน้ำฝนจนไม่สบาย

 

            “ครับ เอากล้วยบวดชีไหมครับทั้งสองคน”

 

            “คอปเตอร์บอกอยากกินครับพี่เหิน” น้องรักเอ่ยขึ้น

 

            “โอเคเดี๋ยวพี่หยิบให้” เหินฟ้าผละออกไปหยิบกล้วยบวดชีที่ตักไว้แล้ว ระหว่างนั้นก็ได้ฟังบทสนทนาของเด็กๆ ไปด้วย

 

            “เราจะเอากล้วยบวดชีไปหมั้นพี่เกล้า”

 

            ‘หืมมมม เสน่ห์แรงแม้กระทั่งเด็กหกขวบเลยหรอเจ้าเกล้า’ เหินฟ้าคิดในใจ

 

            “เอ๋ หมั้นคืออะไรหรอ คอปเตอร์”

 

            “พี่คีปบอกว่าถ้าเราเอาของไปจองคนที่ชอบไว้เรียกว่าหมั้น พอหมั้นแล้วโตไปก็จะได้แต่งงานกันไง”

 

            “ฮึ้ยยยยยย” น้องรักทำท่าทีตกใจด้วยตาเบิกตาโพลง “ไม่ได้ๆๆๆ พี่เกล้าไม่แต่งงานกับคอปเตอร์หรอกนะ”

 

            “อ้าว ทำไมล่ะ ก็เราจะหมั้นก่อนไง ยังไม่มีใครหมั้นกับพี่เกล้าซะหน่อย”

 

            “มีแล้วๆๆๆ” น้องรักรีบพยักหน้ารัวๆ

 

            “อะไรนะ ใครล่ะ ทำไมพี่เกล้าไม่บอก” คอปเตอร์ทำหน้าเศร้าเหมือนในละครหลังข่าวที่ดูมาเมื่อวานตอนที่พระเอกผิดหวังเพราะนางเอกบอกว่าไม่รัก

 

            “นี่ไงๆๆ” น้องรักรีบวิ่งไปดึงขากางเกงของเหินฟ้า ซึ่งเขาเองก็มองเด็กๆ คุยกันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วอดขำไม่ได้

 

            “คนนี้หรอหมั้นพี่เกล้าแล้ว”

 

            “ใช่ๆๆๆ พี่เหินชอบพี่เกล้า พี่เหินหมั้นพี่เกล้า พี่เหินจะแต่งงานกับพี่เกล้าด้วย ใช่ไหมพี่เหินๆๆๆ” เหินฟ้าดูท่าทีคาดหวังของเด็กน้อยก็นึกขำในใจ และแอบคิดมุกเด็ดออกมาได้ เขาหันไปมองแผ่นหลังของคนตัวหอมที่กำลังตักน้ำแข็งอยู่ก่อนจะหันมาพูดกับน้องรัก

 

            “พี่ยังไม่รู้เลย พี่เกล้ายังไม่ตอบพี่เหินเลยครับ” เหินฟ้าย่อตัวลงมาคุยด้วย

 

            “อ้าววววววว” น้องรักทำท่าเสียใจเหมือนโลกถล่ม “ทำยังไงๆๆ” น้องรักแอบกระซิบพี่เหินเบาๆ “น้องรักรู้ว่าพี่เกล้าไม่ชอบคอปเตอร์ พี่เกล้าชอบพี่เหิน”

 

            เหินฟ้าแอบลอบขำในใจกับจินตนาการของเด็ก “ทำไมถึงคิดงั้นล่ะครับ” เหินฟ้ากระซิบตอบ

 

            “พี่เหินชอบมองพี่เกล้า พี่เกล้าก็ชอบมองพี่เหิน น้องรักเห็นว่าชอบมองกัน มองแปปนึงๆ แต่มองทุกๆ รอบเลย” ฟังจบเหินฟ้าก็ยิ้มเบาๆ ถ้าน้องรักเห็นจริงๆ นั่นก็แปลว่าเขาเองก็คงถูกมองเหมือนกันสินะ หึหึ

 

            “พี่เหินก็คิดอย่างนั้นครับ แต่ไม่รู้ถูกไหม น้องรักช่วยพี่เหินได้ไหม พี่เหินอยากรู้คำตอบ” เหินฟ้าใช่วาจาล่อลวง

 

            “ได้ๆๆๆ พี่เหินให้น้องรักถามพี่เกล้าไหมครับ”

 

            “ได้ครับ นี่ครับ เอากล้วยบวดชีไปด้วย แล้วบอกพี่เกล้าแบบนี้นะครับ” เหินฟ้ากระซิบเบาๆ น้องรักได้ยินก็รับพยักหน้ารัวๆ เหมือนตุ๊กตาหน้ารถที่หัวโยกไปมา จากนั้นน้องรักก็วิ่งไปหาพี่เกล้าที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

            “ลุงก็ชอบพี่เกล้าหรอ!” เด็กคอปเตอร์ที่ยังยืนอยู่เอ่ยถามขึ้น หลังจากที่รักบอกว่าลุงคนนี้หมั้นพี่เกล้าไปแล้ว

 

            “หึ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” เหินฟ้าแสยะยิ้มใส่หัวโจก แอบหมั่นไส้นิดหน่อยที่โดนเพิ่มอายุเพราะอาการเหม็นหน้า สมกับเป็นหัวโจกจริงๆ

 

            “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของลุงนะ ผมจะหมั้นกับพี่เกล้า ทำไมพี่เกล้าหมั้นกับลุง”

 

            “อยากรู้ไหมล่ะ” เหินฟ้ายังเผยยิ้มอยู่อย่างขำขัน

 

            “อยากๆๆๆๆๆๆ” คอปเตอร์โดนลวงเข้าแล้ว

 

            “เอาหูมา” เด็กคอปเตอร์รีบทำตามทันที

 

            “...เพราะพี่หล่อ”

 

            “ห้ะ” เด็กน้อยทำหน้างง “อะไรของลุงอ่ะ ผมก็หล่อเหอะ”

 

            “เห้ย ยังไม่หมด”

 

            “อะไรอีกอ่ะ”

 

            “พี่หล่อ สูง หุ่นดี รวย มีบ้าน มีรถ มีโทรศัพท์ มีโรงแรม มีบริษัท มีงานทำ” พูดจบคอปเตอร์ก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนเหินฟ้าถึงจะรู้สึกผิดที่ไปเกทับเด็ก แต่ก็รู้สึกสะใจชอบกล

 

            ด้านน้องรักที่เดินไปถึงแล้วจึงสะกิดเจ้าเกล้า

 

            “พี่เกล้าจ๋าๆๆ”

 

            “อ้าว น้องรัก เอาน้ำหรอครับ เอาน้ำเปล่าไหม พี่เทให้”

 

            น้องรักส่ายหน้า “ป่าวครับๆๆ อันนี้พี่เหินฝากมา” เจ้าเกล้าฟังแล้วจึงเงยหน้าไปหาเจ้าของชื่อทันที ซึ่งอีกฝ่ายกำลังยิ้มปากถึงรูหูให้อยู่ เล่นอะไรอีกล่ะเนี่ย “พี่เหินฝากมาบอกด้วยครับ”

 

            “ว่าอะไรครับ” เจ้าเกล้าช่างสงสารเด็กยิ่งนัก ตาลุงแก่คนนั้นใช้เด็กตัวเล็กๆ เป็นเครื่องมือจนได้

 

            “พี่เหินบอกว่า ถ้ารักพี่เหินให้รับขนมอันนี้ แต่ถ้าชอบพี่เหินไม่ให้รับขนมอันนี้” เจ้าเกล้าฟังจบได้แต่กุมขมับอยู่ในใจ น้องรักก็ส่งสายตาใสซื่อจนน่าสงสาร เขาได้แต่มองไปหาอีกคนด้วยสายตาดุๆ

 

            “น้องเกล้าเอาไปทานเถอะครับ เดี๋ยวขนมเย็นแล้วไม่อร่อยนะครับ”

 

            “อ้าว พี่เกล้าไม่รักพี่เหินหรอครับ” น้องเกล้าทำหน้าผิดหวังเหมือนลูกหมาไม่ได้กินนมแม่

 

            “พี่เกล้าไม่บอกครับ ต้องให้พี่เหินมาถามเอง ตอนนี้น้องเกล้าไปนั่งทานขนมที่โต๊ะก่อนนะครับ ถือไว้เดี๋ยวหก” เจ้าเกล้าหันมามองเขม่นอีกคนที่กำลังยิ้มแป้นแล้นให้อีกรอบนึงก่อนจะพาน้องรักไปนั่งที่

 

            ระหว่างนั้นคอปเตอร์ที่รู้สึกด้อยค่าเพราะโดนเกทับอยากจะสานฝันให้ตนเองได้หมั้นกับพี่เกล้า เด็กน้อยจึงรีบวิ่งออกมาเพื่อจะไปแย่งกล้วยบวดชีถ้วยนั้นจากน้องรักให้ได้

 

            “เห้ย คอปเตอร์ อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม” เหินฟ้าได้แต่เรียก แต่ก็ไม่ทันแล้ว น้องมันซนจริงๆ

 

            “รักเอาขนมมาให้เรา เราจะให้พี่เกล้า” คอปเตอร์วิ่งมาถึงก็แย่งถ้วยขนมไปจนกระเด็นหกเลอะเทอะ

 

            “คอปเตอร์ครับไม่ทำแบบนี้นะครับ” เจ้าเกล้ารีบเอ่ย แต่ทั้งสองคนก็ยังไม่เลิกยื้อกัน คุณตรึงจิตที่กำลังเดินขึ้นมาจากชั้นหนึ่งเพราะไปเข้าห้องน้ำเห็นเหตุการณ์เข้าจึงหวังจะเข้ามาช่วย

 

            “เด็กๆ อย่าแย่งกันสิลูก หกหมดแล้วนะ” เสียงดุๆ ที่ลอยเข้ามาผ่านโสตประสาทกำลังถูกประมวลผลในสมองของเด็กๆ ว่าให้หยุดการกระทำ คอปเตอร์ที่โดนคุณหญิงดุบ่อยๆ จึงรีบปล่อยมือทันทีซึ่งเป็นจังหวะที่แรงดึงทั้งหมดพุ่งเข้าใส่น้องรักเต็มๆ

 

            “ว้ายย!!” “น้องรัก! คุณยาย!!” “คุณหญิง!”

 

            น้องรักกระเด็นถอยหลังมาโดนคุณหญิงตรึงจิต ซึ่งหล่อนก็ตั้งหลักไม่ทัน จึงเซไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นก็เจอเข้ากับราวบันได ร่างกายคนแก่ที่ทรงตัวได้ไม่ดีนักเหมือนแต่ก่อน รวมถึงความแม่นยำในการเกาะจับก็พร่องลงไปมาก หล่อนไม่อาจจับราวไว้ได้จนก้าวพลาดร่วงไปตามขั้นบันได

 

            เจ้าเกล้ารีบก้าวตามมาถึงแม้จะช้าไปเสียแล้ว ร่างของคุณหญิงที่ตกมาจากบันไดเกือบสิบขั้นนอนราบอยู่กับพื้น น้ำตาของหลานชายสุดโปรดรื้นขึ้น เขาพูดอะไรไม่ออก นอกจากรีบวิ่งไปประคองร่างของยายที่ชุ่มไปด้วยเลือด

 

            “คุณยายยยยย! คุณยายยยย!!!”



❤❤❤❤

มาช้าอีกตามเคยค่ะ แงๆๆๆ
อย่าทิ้งน้องเกล้ากันนะคะ อดทนไปด้วยกันค่ะ

ขอบคุณคอมเม้นท์มากๆ เลยนะคะ

เลิฟๆๆๆ


JYUBE.
#ใจก้าว

หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสาม] 28.06.19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-06-2019 22:25:03
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสาม] 28.06.19
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-06-2019 23:17:42
คุณยาย รีบพาไปโรงบาลเร็ว  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสาม] 28.06.19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 26-09-2019 23:33:32
พึ่งได้ตามมาอ่านค่ะ เรื่องสนุกดีค่ะ ลุ้นได้เรื่อยๆ
ว่าเจ้าเกล้าจะมาแบบไหน เหินจะทำอะไร
แต่ตอนนี้มีเรื่องน่าตกใจกว่าคือ คุณยายจะเป็นไรมากไหม
ขอให้ปลอดภัย และไม่เป็นอะไรมากนะคะ สงสารเจ้าเกล้า
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสี่] 06.10.19
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 06-10-2019 21:06:05

ก้าวยี่สิบสี่ - หน้าห้องฉุกเฉิน


             กลิ่นโรงพยาบาลไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเกล้าคุ้นเคย มันไม่เหมือนกลิ่นพริกแกง กลิ่นกะปิ หรือกลิ่นดอกลีลาวดีหน้าบ้าน ที่สำคัญมันเป็นกลิ่นที่ไม่เป็นมงคลสำหรับเวลานี้เลยสักนิด ภาพคุณยายที่ล้มลงยังคงติดตา เจ้าเกล้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำตาเขาไหลออกมาเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็มีผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งเข้ามาเช็ดให้ บอกกับเขาว่าคุณยายต้องไม่เป็นไร ก่อนจะรีบอุ้มคุณยายพาไปโรงพยาบาล

           

“หิวไหมครับ” เสียงทุ้มใหญ่คนเดียวกับที่นั่งปลอบเขามาตลอดเอ่ยถามขึ้น ตั้งแต่ที่พาคุณยายเข้าไปในห้องฉุกเฉินเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ทุกคนต่างอยู่ในภวังค์ของตัวเอง คนตัวเล็กข้างๆ เหินฟ้าเอาแต่ร้องไห้ ไม่สิ ต้องพูดว่าเอาแต่น้ำตาไหล เจ้าเกล้าไม่ได้ส่งเสียงใดๆ เลย เหินฟ้าจึงทำได้เพียงกอดอีกคนไว้และพร่ำบอกว่าทุกอย่างต้องไม่เป็นไร

 

“...” เจ้าเกล้าส่ายหน้าเบาๆ... เบามากจนแทบจะมองไม่เห็น แต่เพราะใบหน้าขาวนั้นซบอยู่ตรงกลางอกของคนตัวใหญ่ แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยอย่างไร เขาก็รู้สึก

 

คุณวรรณฤดีที่นั่งห่างออกไปกำลังมองมาที่ลูกชายคนสุดท้องของตนด้วยความรู้สึกสงสาร วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าตัว หลังจากไปทำบุญเรียบร้อย ลูกชายคนนี้จะกลับมาทำกับข้าวให้ทุกคนทาน พร้อมกับนำพวงมาลัยมากราบไหว้ทั้งคุณยาย ตัวหล่อน และสามี เจ้าเกล้ารู้คุณคนเสมอ เด็กน้อยมักคอยขอบคุณคนในครอบครัวที่เลี้ยงดูตัวเองมา หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วพวกหล่อนต่างหากที่อยากขอบคุณความดีที่เจ้าเกล้ามีให้คนรอบข้างเสมอ

 

            และวันนี้ลูกชายคนนั้นกำลังจะมีใครอีกคนคอยดูแล เหตุการณ์วันนี้ทำให้เธอหายห่วงด้วยอะไรหลายๆ อย่าง และดูท่าคุณสามีของเธอก็คงคิดเหมือนกัน ภาพเหินฟ้าที่รีบวิ่งไปพยุงทั้งเจ้าเกล้าและคุณยายพร้อมกันยังติดอยู่ในความรู้สึก คุณอัฏฐ์ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุจึงวิ่งมาไม่ทัน กว่าจะมาถึงเหินฟ้าก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งปลอบเจ้าเกล้า ทั้งพาคุณตรึงจิตมาโรงพยาบาล

 

            วรรณฤดีบีบมือผู้เป็นสามี หลังจากนึกถึงเรื่องราวของลูกชายเสร็จ หล่อนก็เงยหน้ากลับมามองประตูห้องฉุกเฉิน คุณตรึงจิตเป็นคนดื้อดึงและเจ้าระเบียบ แต่ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ครอบครัวของเธอคือที่สุดเสมอ หลังจากที่สามีของคุณหญิงเสีย หล่อนก็ประคับประครองตระกูลและลูกสาวเพียงคนเดียวมาโดยลำพัง ปราศจากการช่วยเหลือจากครอบครัวเก่า แน่ล่ะ เพราะเธอหนีออกมา

 

วรรณฤดีอดนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ออกมาไม่ได้ แต่ ณ เวลานี้ หล่อนมิอาจทำอะไรอย่างอื่นได้ นอกจากเฝ้ารอและปล่อยให้ความคิดโลดแล่นไปเรื่อยๆ

.

.

.

            บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินมีผู้คนหนาแน่น ยิ่งตอนนี้ฟ้าเริ่มทอสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกอย่างยังคงเงียบครัน เหินฟ้าเดินออกมารับโทรศัพท์ข้างนอก ซึ่งสายตายังคงจ้องมองเจ้าเกล้าที่บัดนี้เหมือนตัวเล็กกว่าน้องรักอีก น้องรักเองก็นั่งร้องไห้ไม่หยุด จนคุณแม่ของเด็กน้อยต้องรีบพากลับไปพักก่อน

           

            “ครับแม่” สายตรงจากประเทศฮ่องกงที่ดังถี่มาตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว แต่เหินฟ้ายังไม่วางใจจะปล่อยอีกคนออกจากอ้อมอกจึงไม่ใส่ใจกับแรงสั่นของโทรศัพท์ใดๆ ทั้งนั้น จนเพื่อนๆ ของเจ้าเกล้ามากันครบเขาจึงปลีกตัวออกมาบ้าง

 

            “ตายแล้วตาเหิน ทำไมเพิ่งรับโทรศัพท์แม่ล่ะลูก คุณนายตรึงจิตเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

 

            “แม่รู้ได้ยังไงครับ...คุณวรรณโทรไปบอกหรือครับ” เหินฟ้าอดเอะใจไม่ได้

           

            “เอ้อ ใช่แล้วลูก แม่โทรไปเมาธ์พอดี ยัยวรรณเลยเล่าให้ฟัง”

 

            “อ่อครับ ตอนนี้ยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินครับ ไม่รู้จะเป็นไงบ้าง” เหินฟ้ากล่าวโดยที่สายตากำลังมองเด็กที่ชื่อเรนกอดเจ้าเกล้าแน่นพร้อมโยกไปมาอย่างกับเด็กน้อย

 

            “โถ แย่จัง นี่พ่อก็ไม่เสร็จธุระสักที แม่ล่ะอยากกลับบ้านจะแย่ หนูเกล้าคงจะใจเสียนะลูก คอยดูน้องด้วย”

 

            “... ครับ เกล้าเข้มแข็งครับ” ถึงเขาจะรู้ว่าแม่พูดเฉยๆ แต่ความรู้สึกเวลาถูกแม่อวยมามันไม่เป็นที่ชอบใจเลยสักนิด ทำไมก็ไม่รู้ เขารักน้อง แต่เขาไม่อยากให้แม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับน้องกำลังเป็นไปอย่างที่แม่ต้องการ

 

            “ดีแล้วลูกๆ ยังไงคุณหญิงเธอออกมาจากห้องฉุกเฉินแล้วบอกแม่ด้วยนะตาเหิน อีกไม่นานคงได้กลับแล้วล่ะ”

 

            “ครับแม่” เหินฟ้ารับคำ

 

            “นี่ลูกเหิน...”

 

            “...”

 

            “แม่ถามตรงๆ นะ กับหนูเกล้าเนี่ย เราไม่ชอบบ้างเลยหรอ” เหินฟ้าแอบงงนิดหน่อยที่อยู่ดีๆ แม่ก็เปิดประเด็นที่เขาไม่อยากแม้แต่จะพูดออกมา

 

            “...”

 

            “เอ้า ว่างไงตาเหิน หรือว่าที่ตอบไม่ได้เนี่ย เพราะชอบใช่ไหมล่ะ”

 

            “คือผ..”

 

            “โอ้ยๆ แม่รู้หรอกจ้า ใครจะไม่ชอบบ้างหนูเกล้าเนี่ย แม่เป็นลูกนะแม่จะไม่ปล่อยไปเลย ทำกับข้าวก็อร่อย กริยางามสง่า เลี้ยงเด็กก็ได้ เนี่ยเห็นไหมคนที่แม่หามาให้มีแต่คนดีๆ ทั้งนั้...”

 

            “ไม่ได้ชอบครับ...” เหินฟ้าเอ่ยขัดคนเป็นแม่ “ผม...ไม่ได้ชอบเจ้าเกล้าครับ” คำพูดไวกว่าความคิด เหินฟ้าที่ไม่อยากรู้สึกพ่ายแพ้ให้กับปฏิบัติการคลุมถุงชนของคนเป็นแม่จึงปดออกไป

 

            “... อ่าวหรอ ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย แม่ก็นึกว่าเราจะชอบ เสียดายจังคนนี้แม่เชียร์กว่าทุกคนเลยนะเนี่ย...” เสียงคุณมุกสมุทรหายไปสักพักหนึ่ง “อ่ะลูก เดี๋ยวแม่ไปทานข้าวก่อน แขกมาแล้ว ยังไงถึงไม่ได้ชอบน้องแม่ก็ฝากดูหน่อย ในฐานะน้องนุ่งนะลูก ดูตัวเองด้วย ว่างๆ ก็โทรไปหาตาเวบ้าง แม่ไปแล้ว บ๊ายบายค่ะ”

 

            ...คุณมุกสมุทรวางสายไปแล้ว แต่ใจของเหินฟ้ายังคงเต้นระรัว ภาวะอารมณ์ของเขาตอนนี้เรียกว่าไม่คงที่เอาเสียเลย เขาเองไม่ใช่ไม่ตกใจ ไม่ใช่ไม่เครียดกับอุบัติเหตุก่อนหน้า ไม่ใช่ไม่รู้สึกอะไรกับน้ำตาใสๆ ของคนที่รัก คำพูดของคุณมุกสมุทรเป็นเหมือนชนวนชั้นดีที่โหมไฟให้กระหน่ำขึ้น เขาจึงแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดออกมา

 

            เหินฟ้ายืนปรับอารมณ์อยู่นานกว่าจะกลับเข้ามายังบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน

 

            “พี่เหินหิวไหมครับ” เจ้าเกล้าที่ดูจะสงบสติอารมณ์ได้มากแล้ว หันมาถามเจ้าของอกอุ่นที่กลับมานั่งข้างๆ กาย

 

            “ไม่ครับ เราล่ะ” เหินฟ้าเอื้อมมือไปเกลี่ยคราบน้ำตาที่เกาะกรังอยู่บนตาเรียวสวย

 

            เจ้าเกล้าส่ายหน้าช้าๆ เขาดึงมือใหญ่ออกมากุมไว้และบีบเบาๆ “วันนี้เกล้าขอบคุณพี่เหินมากนะครับ แต่พี่กลับไปพักดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน เกล้าคงอยู่รอคุณยายตรงนี้แหละครับ ที่บ้านก็อยู่”

 

            “ไม่เป็นไร พี่ว่...”

 

            “นะครับ... กลับไปก่อน พรุ่งนี้... พรุ่งนี้เราค่อยเจอกัน”

 

            “งั้นเดี๋ยวพี่กลับไปอาบน้ำ แล้วมานอนค้างด้วย” เหินฟ้ายังคงกุมมือขาวไว้ซึ่งบัดนี้ชื้นไปด้วยเหงื่อ

 

            “อย่าเลยครับ“ เจ้าเกล้ายิ้มบางๆ ในความรู้สึกของเหินฟ้า ยิ้มครั้งนี้ของเจ้าเกล้านั้นช่างเหน็ดเหนื่อย เหมือนดอกไม้พันธุ์งานที่ไม่ได้รับน้ำ ไม่ได้รับแสง ดูแห้งแล้งเหมือนจะเฉาตายได้ง่ายๆ

 

            “ทำไมไม่อยากให้พี่อยู่ครับคนดี” เหินฟ้าละมือออกจากอีกคน ครั้งนี้เขากุมแก้มตอบของคนตรงหน้า ใช้สายตาเป็นเครื่องมือค้นหาความในใจบางอย่างผ่านสายตาไร้แววคู่นั้น

 

            “ผม... เหนื่อยครับ”

.

.

.

            เหินฟ้ากลับไปแล้ว เหมือนจะคุยกันไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ เพราะเจ้าเกล้าก็เอาแต่ไล่ เหินฟ้าก็เอาแต่รั้ง จนคนหน้าสวยน้ำตาไหลขึ้นมาอีกระลอกนั่นแหละ คนเป็นพี่เลยยอมถอย ดินไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อครู่คืออะไร หลังจากที่เขามาถึงพร้อมอาหารมากมาย เจ้าเกล้าซึ่งอาสาไปเรียกเหินฟ้าที่อยู่ด้านนอก เมื่อกลับเข้ามาก็เหมือนจะซึมยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก

 

            “เกล้า ทานหน่อยเถอะ” ดินยื่นซาลาเปาไส้ครีมให้อีกคน ตอนนี้สายตาของเพื่อนตัวขาวไม่ละไปยังประตูห้องฉุกเฉินเลยแม้แต่วิ ใครยื่นอาหารก็เอาแต่ส่ายหน้าอย่างเดียว

 

            “โหย ดิน มึงไปซื้อมาจากไหนวะเนี่ย ไม่อร่อยเลยสู้ที่แม่เกล้าทำก็ไม่ได้” พุฒิที่กัดขนมจีบหมูไปหันมาแขวะดินหวังเปลี่ยนบรรยากาศให้ดีขึ้น แต่ความเงียบที่เป็นผลลัพธ์คงจะไม่ใช่ความสำเร็จที่เขาตั้งใจแน่นอน

 

            “เกล้า เกล้าต้องกิน เกล้าต้องแข็งแรง ถ้ายายออกมา เกล้าต้องช่วยพยุงยาย เกล้าต้องพายายเข้าห้องน้ำ ถ้าเกล้าไม่มีแรง เจ้าจะช่วยยายไม่ได้” ต้นอินที่เพ่งกินเสร็จไปลูบหลังเจ้าเกล้าพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ

 

            เจ้าเกล้านิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่น้ำตาระลอกใหม่จะไหลออกมาโดยปราศจากเสียงใด พุฒิมั่นใจมากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เขาเห็นเจ้าเกล้าร้องไห้ และคงเป็นการร้องไห้ที่เยอะที่สุดในชีวิตเจ้าตัวด้วยมั้ง

 

            “อ่ะเกล้า กินเหอะ ยายไม่เคยปล่อยให้เกล้าอดนะ กินเร็วๆ” พุฒิตัดสินใจทำตัวจริงจังขึ้นมาบ้างด้วยการหยิบขนมจีบที่เพิ่งด่าว่าไม่อร่อยมาให้เจ้าเกล้ากิน ซึ่งอีกคนหันมามองสักพัก ก่อนจะค่อยๆ อ้าปากกัดไปทั้งน้ำตา เพื่อนๆ ต่างโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยอีกคนก็พอกินอะไรบ้าง

 

            “ทุกคนกลับไปก็ได้นะ เดี๋ยวอีกพักนึง พี่ปอยกับพี่จุกก็คงมาแล้วล่ะ” เมื่อกินไปได้สองสามชิ้น เจ้าเกล้าก็หันมาบอกกับเพื่อนๆ

 

            “ไม่เอาอ่ะ อยากอยู่ดูคุณยาย” พุฒิพูดออกมา

 

            ดินที่นั่งชันเข่าอยู่ตรงพื้นเอื้อมมือมาจับมือเกล้า “เกล้าอยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า เราอยากอยู่เป็นเพื่อนกัน แต่ถ้าเกล้าอยากอยู่เงียบๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเรามากันใหม่ตอนเช้า เอางั้นไหม” สมาชิกกลุ่มผู้มีวุฒิภาวะมากที่สุดในตอนนี้ตัดสินใจถามอีกคนตรงๆ

 

            “...ขอบคุณ” เจ้าเกล้าไม่พูดอะไรมาก เขายิ้มบางๆ บีบมือนาของอีกคน และละสายตาไปยังบานประตูสีขาวนั้นอีกครั้ง และครั้งนี้เขาคงไม่ละสายตาไปที่อื่นอีกแล้ว เพราะในเวลานี้คนที่สำคัญกับเขาที่สุด ต้องเป็นคุณยายคนเดียว...


❤❤❤❤

ขอบคุณสำหรับการรอคอยนะคะ
มาช้านิดนึงค่ะ ขอโทษด้วย T-T


JYUBE.
#ใจก้าว

หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสี่] 06.10.19
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-10-2019 02:15:07
น้องได้ยินใช่มะ  :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสี่] 06.10.19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 07-10-2019 09:45:12
 :pig4:  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบสี่] 06.10.19
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 08-10-2019 22:50:58
ฮึยยย ทำไมไม่ยอมรับว่าชอบเกล้าอ่าาาา น้องต้องได้ยินแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบห้า] 17.05.20
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 17-05-2020 20:31:49
ก้าวยี่สิบห้า - ห้องผู้ป่วย


             “ผม..ไม่ได้ชอบเจ้าเกล้าครับ”
 
เจ้าเกล้ายังคิดถึงเรื่องราวเมื่อวานที่ตนไปพบเจอมา เขาพอเข้าใจสถานการณ์ว่าพี่เหินอาจจะพูดไปเพื่อกลบเกลื่อนหรือเปล่า แต่อีกใจก็เผลอไปคิดว่าหรือจริงๆ อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของพี่เหินก็ได้ อาจจะยังสับสนอยู่ เหมือนเขาในเวลานี้... ทั้งๆ ที่เมื่อวานก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนจีบมาตลอด
 
เวลานี้เจ้าเกล้ารู้สึกเปราะบางและเซนซีทีฟกว่าครั้งไหน คุณยายยังไม่ฟื้น และถึงแม้คุณหมอจะบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ความเงียบที่โถมเข้าใส่ทุกเวลาที่เขานั่งอยู่กับคุณยายมันไม่ชิน เขาอยู่กับคุณยายสองคนตลอด และทุกครั้งเรามักจะคุยกัน... เมื่อไหร่คุณยายจะตื่นมาคุยกับเกล้าครับ
 
ก๊อก ก๊อก
 
“เกล้ามาทานข้าวเช้าก่อนลูก” คุณวรรณฤดีเปิดประตูเข้ามาพอดีกับที่ลูกชายคนเก่งกำลังนั่งเหม่อ เจ้าเหล่อนคิดว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ค่อนข้างทำให้เจ้าเกล้าตกใจ ตั้งแต่เขาเกิดมาคุณแม่ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล หรือเกิดอุบัติเหตุสักครั้ง คุณตรึงจิตนั้นแข็งแรง วันๆ ไม่อยู่เฉยๆ ออกไปรดน้ำต้นไม้บ้าง ปลูกบ้าง ทำอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน
 
“เกล้าลูก” เจ้าเกล้าเหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของคนเป็นแม่ หล่อนจึงเดินไปลูบหัว หอมหัวลูกคนเล็ก “เนี่ย น้ำก็ไม่อาบ ผมเน่าแล้วลูกชายแม่” คุณวรรณฤดีแหย่ยิ้มๆ
 
เจ้าเกล้ายิ้มบางๆ ให้พร้อมเอื้อมมือไปกุมมือของคุณวรรณฤดี “คุณแม่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
 
“เรานั่นแหละ มัวแต่เหม่อ แม่เรียกก็ไม่ได้ยิน มาลูกไปทานข้าวก่อน” คุณวรรณฤดีเห็นลูกชายยังนิ่งเลยเริ่มดุขึ้นมานิดหน่อย “ไม่ได้นะเกล้า ต้องทานข้าว แม่บังคับ มาค่ะ”
 
       
 
         หลังทานข้าวเสร็จคุณวรรณฤดีต้องกลับออกไปทำงานและกำชับว่าช่วงเย็นจะมาพร้อมกับคุณอัฏฐ์ เพราะเช้านี้คนเป็นพ่อติดประชุมด่วน ช่วงสายเพื่อนๆ เจ้าเกล้าถึงเข้ามาเยี่ยม โชคดีที่วันนี้ยังเป็นวันหยุดอยู่
 
         “ไงเกล้า ตาโหลเชียว ไม่ได้นอนล่ะสิ” ดินเดินมาลูบหัวเจ้าเกล้าโยกไปมา
 
         “เดี๋ยวคุณยายตื่นมาแล้วเราไม่เห็น” เจ้าเกล้าหันไปส่งยิ้มบางเบา ซึ่งเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
 
         “เอาน่า คุณยายพ้นขีดอันตรายแล้วนิแม่ เดี๋ยวต้องฟื้นแน่ๆ เชื่อดิ” พุฒิเดินมานวดๆ ที่ไหล่ของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา
 
         “เกล้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ เรนเอาเสื้อผ้ามาให้” เรนเนอร์ยื่นเสื้อผ้าที่เป็นของตัวเองมาให้ เขาใส่ไซส์คล้ายๆ กับเจ้าเกล้า เรื่องเสื้อผ้าจึงไม่เป็นปัญหา
 
         “ขอบคุณนะเรน” ... “งั้นเราไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า ฝากดูคุณยายเดี๋ยวนะ” เจ้าเกล้าเอ่ยก่อนจะปลีกตัวไปที่ห้องน้ำ
 
         “ทำไมเกล้ามันทรุดจังวะ คุณยายก็ดีขึ้นแล้วนะ” พุฒิเริ่มประเด็น
 
         “เกล้าสนิทกับคุณยายมากนะพุฒิ” เรนเนอร์ว่า
 
         “แต่ดินก็เห็นด้วยกับพุฒิ เราว่าเกล้าต้องมีเรื่องอะไรไม่สบายใจอีก เรารู้สึกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
 
         “ลองถามดูไหม ถ้าไม่เค้น มันคงไม่บอกอ่ะ”
 
         “อย่าเพิ่งเลย เกล้าคงยังไม่พร้อมหรอกตอนนี้”
 
         “เดี๋ยวดินลองพูดดู จะพยายามไม่ให้กระทบจิตใจ” ดินสรุป ไม่นานนักคนตัวหอมที่เคยถูกบ่นว่าเน่าก็กลับมาหอมอีกครั้ง เขานั่งลงที่เดิมข้างๆ คุณยาย เอื้อมมือไปจับมือคุณยาย และ...เหม่อ
 
         การกระทำของเจ้าเกล้าที่เหมือนไม่เห็นเพื่อนๆ อยู่ในห้องนั้นแปลกประหลาดในสายตาพวกเขา เจ้าเกล้าคงมีเรื่องหนักใจบางอย่าง พุฒิจึงลากเรนไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะฝากให้เป็นหน้าที่ของดินผู้เป็นความหวังของกลุ่ม
 
         “ไหวไหมเกล้า” ดินลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เจ้าเกล้ายังไม่พูดอะไร เจ้าตัวเหมือนกำลังเหม่ออยู่ “เกล้า” ดินเขย่าแขนน้อยๆ เจ้าตัวถึงรู้ว่าเขาเรียกอยู่
 
         “หืม ว่าไงดิน”
 
         “...พี่เหินเขาไม่มาหรอวันนี้” ดินที่พยายามวิเคราะห์เหตุการณ์ลองเอ่ยถามทางไป
 
         “... ไม่รู้สิ” แปลก ไม่ใช่แปลกที่คำพูด แต่เป็นท่าทางของอีกคนที่หลุบตาและเบือนหน้าไปอยู่ที่มือคุณยาย
 
         “เกล้า...” ดินเอมไปจับมือเกล้าที่จับมือคุณยายอยู่ “ดินไม่รู้ว่าเกล้ามีเรื่องอะไรหนักใจ แต่เกล้ารู้ใช่ไหม พี่เหินเขาหวังดีกับเกล้ามากนะ เขาเป็นคนแรกที่เข้ามาหาคุณยายเมื่อวานด้วยซ้ำ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย อยู่เป็นเพื่อนคุณยายก็พอ”
 
         “...” เจ้าเกล้าเหมือนกับคนไร้สติ เขาไม่พูดอะไรเลยนอกจากชักมือกลับไปกุมที่มือคุณยายเหมือนเดิม “เราไม่รู้ดิน... แต่เราว่าเรายังไม่อยากเจอเขา”
 
         “อืม เราเข้าใจ” ดินว่า “หิวหรือยังเดี๋ยวดินไปซื้อขาวมาให้”
 
         “ยังหรอก ก่อนมาแม่เพิ่งเข้ามา เราเพิ่งทานข้าวไป”
 
         “โอเค งั้นดินไปซื้อขนมแปปนะ อยากได้อะไรไหม”
 
         “ไม่เป็นไร ขอบใจมาก”
 
         .
         .
         .
 
         “ว่าไงดิน” เหินฟ้าที่กำลังขับรถมาโรงพยาบาลหลังจากที่เคลียร์ธุระที่บริษัทเสร็จก็ได้รับสายจากเพื่อนสนิทของเจ้าเกล้าทันที เขาแปลกใจที่ดินติดต่อมา เขาไม่เคยได้ติดต่อกับเพื่อนๆ คนไหนของเจ้าเกล้าเลย ถึงแม้จะเคยแลกเบอร์ไว้แล้ว
 
         “คุณเหินมีปัญหาอะไรกับเกล้าหรือเปล่าครับ” ดินถามตรงๆ
 
         “หืม... เปล่านะ ทำไม เกล้าเป็นอะไร” เหินฟ้ารู้สึกทะแม่งๆ จริงก็ตั้งแต่เมื่อวานที่เขารู้สึกว่าคนตัวเล็กมีท่าทางแปลกๆ
 
         “เกล้าบอกว่าไม่อยากเจอคุณเหินครับ” ดินรายงานทันที
 
         “อ้าว เวรกำ ทำไมล่ะ ได้ถามไหม” เหินฟ้าร้อนใจขึ้นมาทันที เขาไปทำอะไรให้เกล้าไม่พอใจกัน เมื่อวานก่อนพาคุณนายตรึงจิตมาโรงพยาบาลก็ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย
 
         “ผมไม่อยากเค้นครับ เกล้าดูอารมณ์ไม่คงที่เท่าไหร่”
 
         “... ขอคิดก่อน” ...เหินฟ้านิ่งไปสักพัก “เมื่อวาน... ตอนที่ฉันออกไปรับโทรศัพท์ เจ้าเกล้าทำอะไรอยู่”
 
         “นั่นไง ผมว่าแล้ว... ตอนที่คุณออกไปโทรศัพท์ เจ้าเกล้าออกไปตามคุณมาทานข้าว...”
 
         “... ซวยแล้วกู” เหินฟ้าสบถออกมา “ขอบใจมากดินที่โทรมาบอก ฉันจัดการเอง”
 
         “เป็นกำลังใจให้ครับ”
 
         .
         .       
         .
 
         เหินฟ้าที่ขับรถดั่งเหินฟ้าตามชื่อมาถึงที่โรงพยาบาลในอีกมีกี่นาทีหลังจากวางสาย ความร้อนใจทำให้ชายหนุ่มเร่งรีบถึงเพียงนี้ ก็แน่ล่ะสิ จีบเขาอยู่แต่เขามาได้ยินเราบอกว่าไม่รัก... เป็นเขาก็คงเจ็บเหมือนกัน เพราะเอาเข้าจริงเขาเชื่อว่าตัวเกล้าเองก็น่าจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่บ้าง
 
         ก๊อก ก๊อก
 
         “เกล้าครับ” เหินฟ้าเคาะประตูและเปิดเข้ามาโดยไม่เว้นช่วง เขาเห็นคนตัวขาวกุมมือคุณยายและนั่งเหม่อ จนเขาต้องเข้าไปสะกิดใกล้ๆ
 
         “พ..พี่เหิน” เจ้าเกล้าตกใจเล็กน้อยก่อนก้มหน้าไหว้ตามปกติ “สวัสดีครับ วันนี้ไม่ต้องทำงานหรือครับ”
 
         “พี่เข้าไปประชุมมาแล้วครับ วันนี้พี่ว่างอยู่เป็นเพื่อนเกล้าจนถึงเย็นเลยครับ” เหินฟ้ายิ้มให้พลางเอื้อมมือไปหมายจะลูบผมนิ่มๆ ของอีกคน แต่ก็พลาดไปเพราะอีกคนที่ว่านั่น เบี่ยงตัวหลบไปอย่างเนียนๆ
 
         “เกล้าไม่พอใจอะไรพี่หรือเปล่าครับ” เหินฟ้าเอ่ยขึ้นมา
 
         “เปล่าครับ... เกล้าว่า พี่เหินกลับไปก่อนดีกว่าครับ เกล้าอยู่คนเดียวได้ พอดีอยากคิดอะไรนิดหน่อย” เหินได้ยินเข้าจึงจับไหล่ของอีกฝ่าย
 
         “คนดีของพี่เหิน พี่เหินเดาว่าเมื่อวานเราได้ยินพี่เหินคุยกับคุณแม่” เหินฟ้าพูดพลางสังเกตอาการของอีกคนไปด้วย น้องยังนั่งหลบตา “พี่เหินไม่ได้ตั้งใจจะพู..”
 
         “ช่างเถอะครับ” เจ้าเกล้าตัดบท “เกล้าไม่อยากคิดอะไรตอนนี้ เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังดีกว่าครับ” เจ้าเกล้าว่าพลางทำท่าจะลุกออกไป
 
         “เดี๋ยวสิครับ” เหินฟ้ารั้งอีกคนไว้
 
         “พี่เหินปล่อยเกล้าไปก่อนเถอะครับ” เจ้าเกล้าพูดโดยไม่มองหน้าอีกคน
 
         “เกล้ายังฟังพี่พูดไม่จบเลยนะครับ”
 
         “...”
 
         “เกล้าครับ” เหินฟ้าออกแรงดึงอีกคนให้นั่งลง เจ้าเกล้าอาศัยจังหวะที่อีกคนค่อยๆ ออกแรง สะบัดมือใหญ่นั้นและพุ่งเข้าไปในห้องน้ำ
 
         ปัง! แกร็ก...
 
         ปิดประตู ล็อกด้วย... เวรกำของไอ้เหิน เหินฟ้าได้แต่กุมหัว เขารู้สึกโทษตัวเองที่ชอบประชดมารดาจนเป็นนิสัย ไม่คิดอะไรก่อนพูด
 
         เหินฟ้ากลับออกไปแล้ว เจ้าเกล้าได้ยินเสียงอีกคนเปิดประตูออกไป... เขาออกมาจากห้องน้ำ ก้มหน้าก้มตากลับมานั่งที่เดิม ไม่ใช่ว่าเจ้าเกล้าไม่รู้สึกผิด ทั้งรู้สึกแย่ที่เป็นเด็กไม่ดี และรู้สึกแย่ที่ผิดใจกัน เขาไม่ใช่ไม่อยากฟัง... แต่เขายังไม่พร้อม... อารมณ์ในตอนนี้ดิ่งเกินไป เขาไม่อยากรับรู้อะไรเพิ่ม อยากให้คุณยายหายก่อน
 
         “เกล้าขอโทษครับ” เจ้าเกล้ากล่าวกับมือตัวเอง
 
         “ขอโท... แอ่กกๆๆ” เสียงแหบๆ ที่พูดยังไม่จบประโยคของใครอีกคนทำให้เขาสะดุ้งตกใจทันที
 
         “คุณยาย!!” เจ้าเกล้ารีบเดินเข้าไปเช็คว่าคุณยายฟื้นจริงๆ เขารีบกดปุ่มเรียกคุณพยาบาลเข้ามาดูอาการ “คุณยายๆ คุณยายเป็นอย่างไรบ้างครับ จำเกล้าได้ไหม” เจ้าเกล้าพูดไปน้ำตาคลอไป
 
         “น...น้ำ” คุณยายเสียงแหบจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่เจ้าตัวชี้ๆ ที่คอ เจ้าเกล้าเลยอนุมานไปว่าคุณยายคงจะคอแห้ง เขารีบกุลีกุจอไปเทน้ำมาเสิร์ฟให้ถึงปาก
 
         ไม่นานคุณหมอและพยาบาลก็เข้ามาตรวจอาการ ทุกอย่างปรกติดีจนเจ้าเกล้าต้องปาดน้ำตาอีกรอบ ช่วงนี้เขาอ่อนไหวง่ายจริงๆ คุณหมอย้ำเพียงว่ามีแผลบางจุดที่ยังฟกช้ำจากการกระแทกอยู่ที่ต้องดูแลเพิ่มเติม แต่รอดูอาการอีกไม่กี่วันหากไม่มีอะไรผิดปกติก็กลับบ้านได้
 
         “คุณยายยย” เจ้าเกล้ารีบวิ่งไปกอดคุณตรึงจิตหลังจากที่คุณหมอเพิ่งออกไป
 
         “โอ้ย หนูเกล้า ยายเจ็บซี่โครง”
 
         “ก.. เกล้าขอโทษครับ” เจ้าเกล้าย้ายมาเป็นลูบบนฝ่ามือคุณยายแทน “เจ้าเกล้าคิดถึงคุณยาย”
 
         “ยายเหมือนหลับไปแว่บเดียว ผ่านไปกี่วันแล้วล่ะ”
 
         “วันนึงครับคุณยาย”
 
         “รู้สึกหลับจนเต็มอิ่มเลย มีใครเป็นอะไรบ้างไหม”
 
         “ไม่มีครับ ทุกคนมาเยี่ยมคุณยายเมื่อวาน เดี๋ยววันนี้ครูปุ๊กจะพาเด็กๆ มาเยี่ยม เห็นว่าเมื่อวานอยากตามมากันแต่กลัววุ่นวาย ร้องไห้กันไม่หยุดเลยครับ”
 
         “เอ้อ ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก ยายแก่แล้ว ทรงตัวไม่ดี”
 
         “คุณยายยังไม่แก่หรอกครับ คุณยายยังสวยอยู่นะ”
 
         “หนูเกล้ามาชมยายก็ไม่ทำให้ยายหายหรอกลูก แล้วเราทะเลาะกับพี่เขาหรอลูก” คุณนายตรึงจิตบีบมือหลายชายเป็นกำลังใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้เจ้าเกล้าก็ซึมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
 
         “คุณยายได้ยินด้วยหรอครับ” เจ้าเกล้าอ้อมแอ้มถาม
 
         “แน่สิ ใครไม่รู้ปิดประตูลั่นห้องจนยายตื่นเลย ฮึๆ แต่ก็ดีแล้ว ไม่งั้นยายคงนอนเป็นผักอีกนาน”
 
         “เกล้าขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจทำเสียงดัง มันรีบไปหน่อย” เจ้าเกล้าแอบรู้สึกผิดที่กวนเวลานอนคุณยาย แต่เขาก็รู้สึกว่าดีแล้วจริงๆ ที่คุณยายตื่น
 
         “แล้วยังไง ตาเหินทำอะไรหลานยาย มีกิ๊กหรือไง วันเดียวไปมีกิ๊กนี่ใช่ไม่ได้นะยายว่า” คนเป็นยายแอบพูดแกมขำให้หลานรู้สึกดีขึ้น
 
         “ไม่ใช่ครับคุณยาย อีกอย่างยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
 
         “อ้าว แล้วเมื่อวานตอนเช้านี่ไม่ได้ตกลงปลงใจกันไปแล้วรึ ยายเห็นตาเหินเขาโพล่งไปขอพ่อเรากลางวงข้าวเลย” คุณตรึงจิตระลึกถึงความกล้าของเหินฟ้าในเหตุการณ์วันนั้น
 
         “ยังครับคุณยาย” เจ้าเกล้าหน้าร้อนขึ้นมา “พอดีเกล้าไปได้ยินบางอย่างมา แล้วเกล้าไม่ค่อยสบายใจเลย”
 
         “เราเลยงอนเขาเลยรึหลานยาย”
 
         “ป เปล่าครับ เกล้าแค่ยังไม่อยากคุย เกล้ากังวลเรื่องคุณยายอยู่ ยังไม่อยากรับรู้เรื่องอื่น”
 
         “งั้นก็ไปคุยกันเสีย ยายฟื้นขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ยายจะตายวันนี้พรุ่งนี้ ก็อยากให้หลานมีความสุข ถ้ามันไม่ได้ร้ายแรงก็ผ่อนเบาให้กันเถอะลูก” คุณนายตรึงจิตกล่าว เจ้าเกล้าเริ่มรู้สึกถึงฟีลอวยพรงานแต่งขึ้นมาตะหงิดๆ
 
         “คุณยายไม่พูดอย่างนั้นสิครับ คุณยายต้องอยู่กับเกล้าไปนานๆ นะ” เจ้าเกล้าค่อยๆ กอดคุณยายโดยเลี่ยงมือไม่ให้ไปโดนตรงชายซี่โครงอีก
 
         “เรื่องธรรมชาติลูกเอ้ย” คนอายุมากกว่าได้แต่ลูบหัวลูบหลังหลายชายแสนรักที่ฝังหน้าลงหน้าท้องของคนเป็นยาย “อย่าลืมไปคุยกันให้เข้าใจ ถ้าเราผิดตรงไหนเราก็ขอโทษเขานะลูก ยังไงพ่อเหินก็แก่กว่าเรา เราพูดอะไรทำอะไร อย่าให้เขาว่าได้ว่าคุณนายตรึงจิตสอนหลานให้ก้าวร้าว”
 
         “ครับคุณยาย” เจ้าเกล้าได้แต่ผงกศีรษะที่จมอยู่กับหน้าท้องของคุณยาย หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ไม่ตอบคุณยายอีก จนคุณนายตรึงจิตคงเดาว่าหลานของเธอคงไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน ตอนนี้เลยสลบไสลไปเสียแล้ว



❤❤❤❤


เพิ่งเห็นว่าตอนล่าสุดลงไปเมื่อปีก่อน ToT
ดองเค็มมากจริง ๆ ขอโทษด้วยนะคะ

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบห้า] 17.05.20
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 18-05-2020 08:46:26
 :mew2:
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบห้า] 17.05.20
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 18-05-2020 09:09:44
น้องเกล้ามาแล้ว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบห้า] 17.05.20
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 18-05-2020 18:51:09
เพิ่งได้มาอ่านไว้รีบมาต่อให้อ่านอีกน้าา
ชอบมากเลยความรักแบบนี้น่ารักมากก
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบหก] 1.12.20
เริ่มหัวข้อโดย: jyube ที่ 01-12-2020 00:04:26
   

ก้าวยี่สิบหก - ห้องโดยสาร


             วันต่อมาคุณยายก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว คุณหมอมาตรวจอีกครั้งและพบว่าอาการไม่น่าเป็นห่วง นอนโรงพยาบาลอีกคืนเพื่อให้น้ำเกลือและดูเกล็ดเลือด หากปกติก็สามารถกลับบ้านได้ ทุกคนต่างโล่งใจพร้อม ๆ กันหลังฟังข่าวดี

           

“เกล้าไปพักผ่อนที่บ้านก่อนไหม เดี๋ยวเราดูตรงนี้ให้ก่อน” ดินที่มาพร้อมกับพุฒิในตอนบ่ายเอ่ยปาก เจ้าเกล้าดูโล่งใจขึ้นแล้วแต่เหมือนในใจยังมีอะไรกังวลอยู่ เขาเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องคุณเหินแน่ ๆ

 

“เกล้าคงอยู่ก่อน... พอดีเรารอพี่เหิน ดินกับพุฒิกลับกันได้เลยนะ ขอบคุณสำหรับข้าวมาก” คนตัวเล็กยิ้มบาง แต่ก็เป็นยิ้มที่ยังไปไม่สุดเสียที

 

“อ้อ งั้นเกล้าอย่าลืมทานข้าวด้วย นี่คุณยายเข้าโรง’บาลแค่สองวัน เกล้าดูผอมเหมือนไม่ได้กินข้าวสองเดือนแน่ะ” ดินเอ่ยเย้า

 

“ตลกแล้วดิน เราก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

 

“โอเคงั้นเรากับพุฒิไปก่อน คุยกับคุณเหินดี ๆ นะ” สายตาของดินฉายแววเป็นห่วง เจ้าเกล้ารับรู้ได้ และเขาเดาได้ถึงขั้นว่าดินคงไปคุยอะไรกับพี่เหินไว้แล้ว ดินก็อย่างนี้แหละ เป็นพ่อ เป็นพี่ชาย ของทุกคนจริง ๆ

 

“มีไรโทรมาได้นะแม่” พุฒิอดลูบหัวอีกคนไม่ได้ ท่าทางจ๋อย ๆ ของคนตรงหน้าไม่ได้เข้ากับหน้าหวานของอีกคนเลย รอยยิ้มที่สดใสต่างหากที่เหมาะที่สุด เขาคิด

 

“คุณตรึงจิตสวัสดีครับ” ยังไม่ทันที่จะได้กลับ ดินและพุฒิก็พบว่า คู่กรณีของเจ้าเกล้ามาถึงพอดี จริง ๆ คุณเหินโทรมาหาดินก่อนแล้วล่ะ ว่าเจ้าเกล้าจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ นอกจากนี้ยังถามเพิ่มเติมว่ากินข้าวหรือยัง เมื่อคืนนอนหลับไหม ได้กินข้าวเย็นหรือเปล่า ร้องไห้ไหม อะไรอย่างนี้ด้วย...

 

“พี่เหินหวัดดีคร้าบ” “สวัสดีครับ” ดินและพุฒิรีบสวัสดี

 

“เอ้า พ่อเหิน ทานอะไรมาหรือยังล่ะ” คุณนายตรึงจิตเอ่ยทักคนตัวสูง

 

“...ยังเลยครับ ว่าจะมาเยี่ยมคุณหญิงก่อน และจะมารับเกล้าไปทานข้าวครับ” เจ้าเกล้าที่ก้มหน้าเงียบอยู่นานรีบหันมองอีกคนที่กำลังส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ เขารู้สึกผิดจริง ๆ ที่เมื่อวานทำตัวไม่น่ารัก แล้ววันนี้กลับเข้าหน้าไม่ติดเสียเอง ตัวตนที่งี่เง่าของเขาแบบนี้น่ะ....

 

แปะ

 

ดินเอามือมาแปะที่หัวเจ้าเกล้าเพราะเห็นอีกคนเริ่มจมดิ่งลงไปกับความคิดอะไรนั่นอีกแล้ว

 

“เกล้าไปทานข้าวกับคุณเหิน ดินกับพุฒิจริง ๆ ก็ว่าง เดี๋ยวเราดูแลคุณยายให้”

 

“แต่...” เจ้าเกล้าลังเล

 

“ไปเถอะหนูเกล้า ไปเถอะจ้ะ” คุณยายส่งยิ้มมาให้ เขามองใบหน้าของคุณยายที่บัดนี้ปล่อยผมยุ่งเหยิงและดูซีดเซียว แต่ก็ยังมีเลือดฝาด ไม่เหมือนเมื่อคืนก่อน สีเลือดฝาดที่จางหายไป เหมือนสีของหัวใจเขาที่เหมือนเลือดในกายหายไปหมด เมื่อเห็นคุณยายต้องนอนจมกองเลือด “ยายแข็งแรงดีแล้วลูก”

 

“ผมจะรีบพาน้องมาส่งครับ” เหินฟ้าเอ่ยกับเธอ “อันนี้คุณแม่ฝากมาให้นะครับ ส่งมาอย่างด่วนเมื่อวานจากฮ่องกงครับ ผมวางไว้ตรงนี้นะครับคุณหญิง”

 

“โอ้ย แม่มุกก็ข่างสรรหา ฉันหายดีแล้วอย่าลืมไปบอกแม่ด้วย แล้วยาจีนพวกนี้ฉันจะกินเป็นไหมก็ไม่รู้ ยังไงก็ฝากขอบใจด้วยแล้วกัน”

 

“ครับคุณหญิง” เหินฟ้ายิ้มรับ “พร้อมหรือยังครับเกล้า ไปกันเลยไหม”

 

“...ครับ”







 

.



.



.

 





บรรยากาศภายในรถมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุคลื่นเพลงสากลดังคลอไปเบา ๆ ก่อนหน้านี้ดีเจบอกว่าเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลใหม่ของศิลปินสาวชื่อดังที่กำลังมาแรง เจ้าเกล้าจำได้ว่าบริษัทพ่อกลังอยากจัดคอนเสิร์ตให้หล่อน ช่วงนี้เห็นว่ากำลังเตรียมร่างแผนเพื่อเข้าร่วมการประมูลราคาอยู่

 

“เกล้าครับ” เหินฟ้าเอ่ยเรียก

 

“ครับ”

 

“พี่ค่อนข้างใจร้อนน่ะครับ เราคุยกันเลยได้ไหม ถ้ารอกว่าจะไปถึงร้านอาหาร พี่คงอกแตกตาย เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ คือพี่..”

 

“ขอโทษครับ” เจ้าเกล้าขัดขึ้นมาดื้อ ๆ

 

“ครับ?” เหินฟ้าแอบงงเล็กน้อย มันควรเป็นเขาที่ต้องมาง้ออีกคนไม่ใช่หรือไงกัน

 

“เกล้างี่เง่าเองแหละ เครียดเรื่องคุณยายมากไป จนจับนู้นผสมนี่ เลยไปพาลใส่พี่เหิน เกล้าขอโทษครับ”

 

            “...” เหินฟ้าฟังอย่างตั้งใจ เขาคิดว่านี่คืออีกหนึ่งตัวตนที่ทำให้เขาชอบเด็กคนนี้ เจ้าเกล้าเหมือนคนมีทิฐิ มีความมั่นใจ แต่จริง ๆ เจ้าตัวเป็นคนมีมารยาท รู้ผิดถูก กล้ารุกกล้าถอย และกล้ายอมรับผิด ผิดกับเด็กเก่ง ๆ หลายคนที่มีอีโก้ล้นเกินไป

 

            กระจกหน้ารถสะท้อนประกายสีแดงของสัญญาณไฟ เหินฟ้าดูจากตัวเลขแล้ว เขาพอมีเวลาอยู่บ้าง จึงเอื้อมไปคว้ามือเรียวที่กุมกันอยู่มาข้างหนึ่ง “เกล้าครับ”

 

            “เอ่อ ครับ” เจ้าเกล้าที่เหมือนยังควานหาเสียงตัวเองไม่เจอ แอบแปลกใจที่อยู่ดี ๆ ก็โดนจับมือ

 

            “พี่ชอบเกล้า” เหินฟ้ากล่าว วันนี้เขาไม่สนหรอก ว่าน้องจะเข้าใจความรู้สึกเขาหรือยัง หรือน้องจะไปฟังอะไรมา ช่างมันสิ ถ้าเขาจะชอบใครสักคน สิ่งสำคัญคือเขาต้องรีบคว้าและรักษามันไว้ไม่ใช่หรือ

 

            “...” เจ้าเกล้ายังตั้งตัวไม่ทันเท่าไหร่ เขาไม่คิดว่าอยู่ดี ๆ บรรยากาศตึงเครียดจะหายไปแล้วแทนที่ด้วยบรรยากาศ...แบบนี้

 

            “พี่ไม่รู้ว่าเกล้าได้ไปทำการบ้านที่พี่บอกหรือเปล่า... แต่พี่ไม่สนแล้ว พี่จะบอกเรา พี่ชอบเรา ชอบมาก ๆ ครับ พี่สังเกตตัวเองในช่วงนี้ อยากเจอแต่เรา อยากกินแต่กับข้าวที่เราทำ อยากแต่จะคุยกับเรา อยากซื้อของให้ อยากกอด อยาก..”

 

            “พ พี่เหิน... พอก่อนครับ” เจ้าเกล้ารีบดึงมือกลับมา เขาไม่คิดว่าตัวเองจะหัวใจเต้นเร็วขนาดนี้ แต่แววตาท่าทาง และสัมผัสที่มือข้างนั้น เขา... เขารับมันไม่ไหว มัน... มัน...​เขิน... เกินไป

 

            “เกล้า” เหินฟ้ายังไม่ยอมหยุด เขาเอื้อมมือไปรั้งเอาสองมือเย็นเฉียบเมื่อกี้อีกครั้ง “พี่จริงจังนะครับ แล้วเราว่ายังไงครับ”

 

            “อ อะไรครับ”









 

            “เป็นแฟนกับพี่ไหม”

❤❤❤❤

ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ ><

JYUBE.
#ใจก้าว
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบหก] 1.12.20
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 01-12-2020 05:11:04
มาต่อแล้ววววววววว :hao7: ก็ว่าอยู่เรื่องนี้หายไปไหน เคยอ่านนานแล้ว o18
เป็นกำลังใจให้นะครับ รอตอนต่อไปน๊าาาาาาา
หัวข้อ: Re: ❥----ใจก้าว [ก้าวยี่สิบหก] 1.12.20
เริ่มหัวข้อโดย: pkjoe ที่ 10-12-2020 11:05:07
เนื้อเรื่องน่าติดตาม​ อ่านรวดเดียว​เลย
รอตอนต่อไป​นะครับ