พิมพ์หน้านี้ - ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: rinyriny ที่ 09-03-2018 21:17:28

หัวข้อ: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 09-03-2018 21:17:28
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*************************************

หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||บทนำ|| 9-3-18
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 09-03-2018 21:19:18
บทนำ





"สวัสดีครับ ผมชื่อ อติวัชร์ ครับ หรือเรียกสั้นๆว่าติก็ได้ครับ"


      ยืนแนะนำตัว ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา ก็ทำให้ผมประหม่าอยู่ไม่น้อย เพราะผมเป็นสมาชิกใหม่ของบริษัทแห่งนี้


      อติวัชร์ ภูมิภูธรณ์ คือ ผมเองครับ ผมเรียนจบมา ที่นี่ก็เป็นที่แรกในการก้าวสู่โลกแห่งการทำงาน กับการเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัว ผมถึงตื่นเต้นพอสมควร


      หลังจากที่ผมแนะนำตัวเองเสร็จแล้ว หัวหน้าพาผมไปนั่งที่โต๊ะไม้ขนาดยาวที่มีคนนั่งราวหกคน ที่นี่จะไม่มีพาร์ทิชั่นกั้นแบ่งเป็นเหมือนคอก แต่เป็นออฟฟิสเปิดโล่ง ผนังทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยภาพวาดและลายกราฟิกที่ทันสมัย ทำให้มองไปรอบๆแล้วได้ความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลา ส่วนที่นั่งแบ่งเป็นโซนๆไป พวกผมหรือกลุ่มกราฟิกได้นั่งร่วมกับกลุ่ม AE (Account Executive)  ส่วนที่เหลือก็มีกลุ่มการตลาด พีอาร์ และมีห้องผู้บริหาร


      รู้ไหมว่าตอนที่ผมสมัครเข้าทำงานนะ ผมสมัครเพราะเห็นภาพบริษัทเนี่ยแหละ เพราะทุกมุมของพื้นที่นี้ตกแต่งได้เท่ และเจ๋งมากๆ ที่สำคัญ ที่นี่มีเตียงนอนให้ด้วย ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์ใช้ได้คนละชั่วโมง หากต้องการพักผ่อนจริงๆ อีกฟาก มีมุมบาร์ไว้ชงกาแฟ หรือทำอาหาร แถมยังมีขนมให้กินตลอดทั้งวัน


      ส่วนวิวน่ะเหรอ?...ยอดเยี่ยมเลยล่ะ เพราะเป็นตึกสูงระฟ้า ออฟฟิสก็ตั้งอยู่ที่ชั้นสิบหก มีวิวด้านนอกที่มองออกจากตึกไปสุดแสนสบายตา ฝั่งหนึ่งมองเห็นต้นไม้เขียวขจี อีกฝั่งมองเห็นตึกรามบ้านช่อง ท้องถนน ชวนรื่นใจไม่น้อย


       และทุกคนยังมีล็อกเกอร์เป็นของตัวเองไว้เก็บของได้ด้วย สิ่งที่ผมเล่ามา ดูเหมือนจะอวดสรรพคุณมากเกินไป ผมคิดว่า ผมพอดีกว่า...


       ติ หย่อนกายลงนั่งตรงข้ามเป็นพนักงานสาวน่ารัก คิกขุ ถ้านึกถึงภาพยนตร์ญี่ปุ่น ก็คงพอจะนึกสไตล์กันได้

       เธอ ชื่อ อชิ  เป็นคนที่สองรองจากหัวหน้าของผม ที่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร จนโลกทั้งโลกของผมเป็นสีชมพูขึ้นมาเลยทีเดียว
 

       นั่งคุยขอบเขตของเนื้องานที่ต้องทำ จนเวลาล่วงเลยมาหลายชั่วโมง เงยหน้ามาอีกทีก็ได้เวลากินข้าวมื้อกลางวัน
 
     อชิ เป็นคนชักชวนผมให้ไปด้วยกัน ผมลงลิฟต์มาพร้อมพี่ๆคนอื่นมันก็จะให้ความรู้สึกค่อนข้างเกร็งเล็กน้อย
 

     เมื่อได้ร้านที่ต้องการกันแล้ว ก็หาที่นั่ง สั่งอาหารกันจนครบทุกคน ระหว่างรอ พวกพี่ๆก็มีคุยเรื่องงานกันบ้าง เรื่องทั่วไปบ้าง ส่วนผมน่ะเหรอครับ? ก็ได้แต่นั่งมองหน้า เพราะจำชื่อใครไม่ได้เลย

"นี่ๆ...พี่ๆคะ...เราไม่ได้เล่นบัดดี้กันนานแล้ว มาเล่นบัดดี้กันเถอะ!."

"น่าสนใจนะ" ชายหนุ่มหน้าเคร่งขรึมโพล่งมา หลังจากนั้นก็มีคนเห็นด้วย


    ผมไม่เคยเล่นมาก่อน ขนาดตอนเรียนก็ยังไม่เคย จึงขอให้อชิอธิบาย ซึ่งหางตาผมเห็นนะ มีพี่คนหนึ่งแอบมองผมเหมือนทำนองว่า นี่มึงไปอยู่ที่ไหนมา?


    อชิเล่าเสียงใสว่า บัดดี้ (Buddy) ที่เธอนิยามก็คือ "การจับคู่เพื่อดูแลกัน"


    โดยถ้าใครจับฉลากได้คนไหนก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับห้ามให้คนที่จับได้รู้จนกว่าจะเฉลย และตลอดระยะเวลาที่อยู่ในเกมส์ ต้องดูแลและเทคแคร์เขาอย่างสุดความสามารถ และความน่าสนุกมันอยู่ตรงที่ การได้เดาว่าใครจับได้ใครนี่แหละ ที่น่าสนุกอีกอย่างก็คือ ต้องเดาใจว่าเขาชอบอะไรนี่แหละ เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเหมือนกัน...


     ติ มองว่าน่าสนใจเพราะอย่างน้อย เกมส์นี้จะช่วยละลายพฤติกรรมได้เป็นอย่างดี


     เมื่อทุกคนพยักหน้าตอบรับ อชิยิ้มหวาน


"ถ้างั้น กินข้าวเสร็จ อชิ จะขึ้นไปทำฉลากนะ"


     มองอชิที่ดูน่าเอ็นดูและน่าทะนุถนอม จนอดยิ้มตามไม่ได้จริงๆ


     จนกระทั่ง จัดการอาหารกันเสร็จ ทุกคนมีแวะซื้อเสบียงไว้ตุนรอบบ่ายแต่ผมไม่ไหวจริงๆ ต้องขอตัว เพราะอากาศยามบ่าย ร้อนมากและแดดเปรี้ยงแบบนี้ เสื้อเชิ้ตผมเริ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ แผ่นหลังเปียกชุ่ม และแน่นอน พอเห็นผมจะหนีไปก่อนน ก็เลยโดนอชิอ้อนให้ผมเป็นคนทำฉลากให้ซะอย่างนั้น...


     เพื่อ...อชิ...ผมทำได้ไม่มีปัญหาเลย

    แต่ติดตรงที่ว่า...

    ผมเพิ่งบอกไปใช่ไหมครับ? ว่าผมจำชื่อใครไม่ได้เลย...


    ถึงออฟฟิสแล้ว ผมจึงรีบเร่งหากระดาษรีไซเคิลมาตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ทำให้เรียบร้อยไว้ก่อน อย่างน้อยถ้ามาถึง ก็แค่เติมชื่อไปก็เท่านั้น


     ตัดกระดาษเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น..หนึ่งในคนที่ไปกินข้าวกับผมด้วยเมื่อสักครู่ ก็ขึ้นมา ผมรีบปรี่ไปถาม

"เอ่อ...พี่ครับ พี่พอจะบอกผมได้ไหมครับว่าพวกๆพี่ที่ไปกินข้าวด้วยกันชื่ออะไรบ้าง ผมจะเขียนในฉลากครับ"


   ส่งยิ้มไป แต่ใครจะคิดว่ารอยยิ้มไม่ช่วยอะไรเลย เพราะพี่ชายหน้าคมแกมหวานคนนี้กลับปรายตามองหยิ่งๆ แล้วตอกหน้ากลับมา


"แล้วผมจำเป็นต้องตอบด้วยหรอ?"

!!!

   ยืนหน้าชาเจอคนไม่เป็นมิตร ก็ใจเต้นแรงนึกโกรธ

   จะเป็นศัตรูกันตั้งแต่วันแรกเลยใช่ไหม? ก็ได้...

    ติ คิดในใจ


"ไม่เป็นไรครับ ผมถามคนอื่นก็ได้"


     เดินสะกดอารมณ์กลับมานั่งที่เดิม ก่อนจะจ้องไปยังคนนั้นที่ทำหน้านิ่งจนน่าหมั่นไส้
     

     สักพัก อชิก็เดินมาทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆอย่างเริงร่า


"อ้าว ทำไมติยังไม่เขียนชื่อล่ะ"

"เราจำชื่อใครไม่ได้น่ะครับ อชิ"

"อ้าวหรอ...โอเคๆ"



    จากนั้น อชิ ก็เขียนชื่อให้จนครบ เรียกพี่ๆทั้งหกคนมารวมตัว

    เมื่อสุ่มจับฉลากครบทุกคน ต่างฝ่ายต่างเปิดดูอย่างตื่นเต้น และออกอาการต่างกัน ยิ้มบ้าง หัวเราะบ้าง แต่ผมน่ะเหรอ แสดงอาการไม่ถูก เพราะผมไม่รู้อยู่ดีว่าชื่อที่จับได้เป็นใคร


    "ชิน"

    ใครวะ?

    ทำไงดี ถ้าถามอชิว่า ชิน คือ คนไหน อชิก็ต้องรู้สิว่าผมได้คนนี้ แต่เหมือนโชคประทานพรมาให้...

    เพราะ...

"พี่ชิน แอบถอนหายใจทำไมคะ"


     หันขวับมองชื่อที่อชิเรียกก็ต้องเบิกตาโพลง

     เพราะบัดดี้ของผม คือ คนที่ตั้งท่าจะเป็นศัตรูกับผมเมื่อกี้นี่เอง...






.................................




สวัสดีค่า มาเปิดนิยายเรื่องใหม่  เรื่องนี้ จะสดใส ซาบซ่า ไม่มีดร่ามาให้วุ่นวายใจ (555) เพราะยอมรับว่า เรื่องก่อนหน้าที่เขียนไป อย่าง เรื่อง แสงสุดท้าย มันดราม่าพอสมควร จนอยากพัก เขียนเรื่องใสๆบ้าง ขอให้ทุกคนสนุกกับการอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ

หรือถ้า ใครว่าง ก็อ่านนิยายที่เหลือของเราได้ค่ะ

ขอบคุณมากมายจ้า




 ..*ขอผมได้รัก*..
 https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57256.0  (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57256.0)


||*...สวัสดี▪นายพล▪ คนธรรมดา...*|| 
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60981.0#msg3664500  (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60981.0#msg3664500)


+..▪..+"แสง.สุด.ท้าย"+..▪..+
  https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61787.0  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61787.0)





   
หัวข้อ: Re: ▪▪▪ในมือของเขานั้นมีอมยิ้ม▪▪▪||บทนำ|| 9-3-18
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 19-03-2018 09:18:51
 :mc4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪ในมือของเขานั้นมีอมยิ้ม▪▪▪||บทนำ|| 9-3-18
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 19-03-2018 10:22:10
อุ้ยยยยย
น่าสนใจ ตามค่าาา :z1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪ในมือของเขานั้นมีอมยิ้ม▪▪▪||บทนำ|| 9-3-18
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 30-03-2018 13:10:06
 :hao6: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||บทนำ|| 9-3-18
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 30-03-2018 17:49:17
วันแรกก็เริ่มเลย o13
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 1.1|| 1-4-18 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 01-04-2018 18:56:55

ตอนที่ 1 อมยิ้ม





"เอานี่แล้วกันวะ"


    ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง ตอนเลือกหาซื้อของให้บัดดี้ที่ร้านสะดวกซื้อใต้ตึกที่ทำงาน

    วันแรกของการเริ่มเล่นเกมส์บัดดี้ว่ายากแล้ว เจอคนไม่ถูกชะตายากยิ่งกว่า เพราะผม ต้องดูแลให้ดีและทำให้พี่ชินประทับใจ แต่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้ทำความรู้จักมากกว่านี้ แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร...

     และสำหรับคนน่าบึ้งขนาดนั้น...อมยิ้มนี่แหละคือคำตอบ

    ผมหยิบอมยิ้มจูปาจุ้บส์มาหนึ่งแท่ง เดินไปวางที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์

    จ่ายตังค์เสร็จเรียบร้อย ผมเดินแตะบัตรพนักงานผ่านเครื่องกั้น ยืนรอลิฟต์ เมื่อเข้ากล่องสี่เหลี่ยมได้จนเคลื่อนสู่ที่สูงถึงชั้นของออฟฟิศผม ผมเดินออกมา แตะบัตรพนักงานที่หน้าประตู เดินเข้ามาด้านใน กวาดสายตาจนทั่ว ก็พบแค่พนักงานสองคน แต่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มการเล่นเกมส์บัดดี้



     ผมรีบเขียนข้อความลงบนโพสต์อิทสีเหลือง เสร็จแล้วก็แปะบนอมยิ้มและนำไปวางบนคีย์บอร์ด คอมพิวเตอร์ที่โต๊ะพี่ชิน


     ปรี่กลับมานั่งที่โต๊ะตัวเอง ซึ่งที่นั่งของผมนั้นหันหน้าไปทางพี่ชิน ถ้าเขามาถึง ผมย่อมเห็นแน่นอน


     ผ่านไปสิบห้านาที พี่ที่ใส่แว่น กับพี่ที่พูดมากก็ทยอยมา ส่วนผมก็นั่งทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง หางตาเห็นมีคนเดินเข้ามา จึงหันไปมอง ก็เห็นพี่ชินเดินมากับอชิโดยอชิแยกมาทางผม

      เห็นคนหน้าหยิ่งทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะ ผมแอบมองการกระทำพี่ชิน เพราะอยากรู้ว่าเขาจะทำหน้ายังไง พี่ชินหยิบกระดาษที่ผมเขียนไว้ขึ้นมาอ่าน

     เขาไม่ยิ้ม ไม่มีทีท่าดีใจแต่กลับขมวดคิ้วมุ่นแถมส่ายหน้า ยิ่งทำให้ผมเสียเซลฟ์พอสมควรกับการหาซื้อของและเขียนข้อความให้...


       ไม่เป็นไรก็แค่วันแรกเอง ผมไม่สนใจ ละสายตาจากพี่ชินกลับมานั่งทำงานต่อจนเวลาผ่านไปถึงเที่ยง ผมเดินไปกินข้าวกับพวกพี่ๆที่ผมแอบตั้งชื่อให้ว่า 'แก็งค์บัดดี้'

       ผมเดินรั้งท้าย เพราะผมไม่รู้ว่าพวกพี่เขาคุยเรื่องที่อะไรกัน เวลานี้ ผมต้องพยายามตั้งใจจดจำชื่อและใบหน้าเวลาที่พวกเขาเรียกกันให้ได้

      อย่างน้อยตอนนี้ ก็รู้ว่าผมกับอชิเด็กที่สุดในกลุ่มเท่านั้น

      ถึงร้านอาหารตามสั่ง ทุกคนเลือกนั่งกันตามใจชอบ โดยผมได้นั่งข้างอชิ ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับพี่ชิน

      ช่วงที่รออาหารมา ผมนั่งมองเขาคุยกัน และจดจำทุกคนได้แล้ว โดยผมต้องตั้งคำนิยามให้กับตัวเองด้วย

พี่ชิน คือ ผู้ชายหน้าตาดี ที่ทำตัวหยิ่งตลอดเวลา
อชิ คือ หญิงสาวหนึ่งเดียวที่น่ารักและแบ๊วในสายตาผม
พี่ป๊อด คือ ผู้ชายหน้าเถื่อนเหมือนคนพร้อมมีเรื่องได้ตลอดเวลา แต่นิสัยสุภาพบุรุษสุดๆ (เท่าที่ฟังจากการแซวกัน)
พี่พอล คือ ผู้ชายใส่แว่น สุขุม แต่หน้าหื่นสุดๆ
พี่แท็ค คือ ผู้ชายที่เฮฮา ปล่อยมุกและปากหมาและเป็นตัวตั้ง ตัวตีในการชวนกินเหล้ามากที่สุด (ผมฟังมาหลายหนแล้ว สังเกตจากการที่พี่เขาพูดมากกว่าคนอื่นๆ และเปิดประเด็นคุยก่อนทุกครั้ง)



"นี่ ใครได้อชิบอกไว้ตรงนี้เลยนะคะ ว่าวันนี้ที่ซื้อช็อคโกแลตมาให้น่ะ อชิไม่กินนะกำลังลดความอ้วน"
เธอพูดขึ้นมาลอยๆ และผมเห็นพี่แท็คยิ้มๆ

"จริงหรอ...อชิ เสียดายจังวันนี้พี่ว่าจะชวนอชิและไอ้ชินไปเลี้ยงเค้กกับชานมไข่มุกสักหน่อย"

"ไปค่ะ ถ้าฟรี! มีข้อยกเว้นได้"


   อย่างนี้ก็ได้เหรอ? ผมขำอชิมากที่ตอบทันควันจนพี่แท็คยังหลุดหัวเราะ

"พี่ล้อเล่นน่ะ"

"พี่แท็คก็ล้อเล่นกับชิทุกเรื่องนั่นแหละ เบื่อ!"
ผมมองอชิทำท่างอน สะบัดหน้าหนี ดูรู้เลยว่าเธอตั้งใจเล่นละครให้พี่แท็คง้อ

    ผมได้ยินพี่แท็คแกล้งทำมือป้องปาก พูดเบาๆว่า เอาไว้คุยกันสองคน ผมเลยหันไปมองอชิที่แอบอมยิ้ม

    ผมไม่รู้ว่าสองคนนี้ ชอบเล่นแบบนี้ตลอดเวลาเลยรึเปล่า? ถึงทำให้พี่ๆคนอื่นส่ายหน้าระอา

    ไม่นานนัก ผมเห็นพี่แท็คพูดขึ้น

"ส่วนใครที่จับได้ชื่อกู บอกเลยว่ากูอยากได้เหล้าหนึ่งกลม พรุ่งนี้ต้องเห็นนะ"

     ผมมองทุกคนรวมหัวกันด่าพี่แท็คแล้วหลุดขำ แต่ผมไม่เข้าใจว่า ถ้าอยากได้อะไรก็แกล้งพูดขึ้นมาลอยๆได้ด้วยหรอ?

     ขณะที่ผมนั่งคิดอยู่นั้น...

"ติล่ะอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?" ผมหันไปหาอชิ และยิ้ม

"อะไรก็ได้ครับ ผมไม่เรื่องมาก"


    รอยยิ้มผมหายไปทันที เมื่อได้ยินคนหัวเราะหึๆในลำคอ

    เสียงหัวเราะเย้ยหยันมันมาจากพี่ชิน อีกแล้ว...

    เขามีปัญหาคาใจอะไรกับผมมากไหมวะ ผมชักหงุดหงิดซะแล้ว

    ผมก้มหน้านั่งนิ่งเพื่อข่มใจ จนกระทั่งพี่แท็คโยนคำถามไปให้พี่ชิน ผมถึงเงยหน้ามองเขา


"แล้วมึงล่ะ ชิน"

"กูไม่จำเป็นต้องบอก ถ้าเขาอยากเทคแคร์กู เขาควรพยายามทำให้กูประทับใจได้เอง"

"โห! ไอ้ชิน มึงแม่งให้โจทย์ยากอีกละ"



     คนอะไรโคตรหยิ่งเลยว่ะ!...

     แล้วผมจะทำอย่างไรดี การจะล้วงข้อมูลจากพี่ชินก็คงจะหาทางได้ยากมาก
เสียด้วย

    แต่เอาน่า ผมปลอบใจตัวเองและปรับความคิดใหม่ว่ามันก็ท้าทายดีเหมือนกัน

    ถ้าอย่างน้อย ผมดูแลพี่ชินให้ดีไม่ได้ ก็จะกวนประสาทไปอย่างนี้เลยแล้วกัน

     เพราะผมไม่สนแล้วว่าเขาชอบอะไร ผมจะให้อมยิ้มพี่ชินทุกวันนั้นแหละ...


    จัดการอาหารเที่ยงเสร็จก็ขึ้นมาทำงานกันต่อจนเวลาล่วงเลยไปถึงเย็น  ผมสะสางงานเสร็จตามเวลา แต่เพราะพวกพี่ๆยังนั่งอยู่ ผมเลยไม่กล้ากลับก่อน จึงทำทีจับเมาส์คลิกนู่น นี่ นั้นไปพลาง

     สักพักใหญ่ๆ ผมเห็นพี่แท็คลุกขึ้น ผมรีบปิดคอมพิเวตอร์ ลุกตามและยกมือไหว้ลาพี่ๆทุกคน

     ก่อนกลับบ้าน ผมแวะเข้าห้องน้ำ ก็บังเอิญเจอพี่แท็คในห้องน้ำ เขาล้างมืออยู่แต่ก็หันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตรและชวนผมคุย


"กลับยังไงล่ะ"


"รถไฟใต้ดินครับ"

"เฮ้ย! เหมือนกันเลย วันนี้ กูไม่ได้เอารถมา กลับด้วยดิ"



     ผมตกใจเล็กน้อย ที่พี่แท็คคุยกับผมอย่างสนิทสนม จนผมตั้งตัวไม่ทัน ผมพยักหน้า และเดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดินพร้อมกัน

      ในระหว่างที่เดินกลับ พี่แท็คเล่าเรื่องราวมากมาย จนกระทั่ง เขาวกมาถามผม


"ได้ข่าวว่าเพิ่งทำงานที่นี่ที่แรก"

"ใช่ครับ"

"โอเคไหมล่ะ"

"ก็ได้อยู่นะครับ ถ้าผมมีอะไรที่ยังไม่ค่อยรู้ ผมอาจถามพี่เยอะหน่อยนะครับ"


"ได้...แล้วกูดูออกนะว่าจริงๆ มึงไม่ใช่คนเรียบร้อยหรอก แต่เด็กใหม่ก็อย่างนี้ทุกคน แรกๆทำเป็นติ๋ม เจี๋ยมเจี๊ยม พออยู่นานๆไปก็เริ่มออกลาย"


     ผมกลั้วหัวเราะเสียงดัง เพราะมันเป็นความจริงเลยทีเดียวที่พี่แท็คพูดออกมา



"ที่นี่อยู่แบบพี่-น้อง มึงสงสัยอะไรถามได้ พี่ๆทุกคนเต็มใจช่วย อย่างไอ้ชินเอง มึงอาจจะถามเรื่องงานมันไม่ได้ เพราะมาคนละสายกัน แต่เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องอื่นปรึกษามันได้เลย มันเก่งมาก และก็นิสัยดีด้วย"


    ผมหันขวับเมื่อเขาเอ่ยถึงบัดดี้ของผม

    ทำไมพี่แท็คพูดชื่นชมพี่ชินออกหน้าออกตาขนาดนั้น


"แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่เขาดูหยิ่งจังครับ?"

"ใคร?"

"พี่ชินน่ะครับ"

"ห้ะ! ไอ้ชินอะนะ"



    ผมเห็นพี่แท็คถามย้ำเหมือนไม่เชื่อ ถามเหมือนว่า เรื่องที่ผมบอกมันโกหกอย่างนั้นแหละ ผมเลยต้องอธิบายเพิ่ม


"ก็ตั้งแต่ผมมา ผมเห็นพี่ชินดูนิ่งๆ อารมณ์เหมือนลูกคุณหนูมาทำงาน วางตัวสูงส่งอะไรประมาณนั้นครับ"

"ฮ่าๆ โอ้ย! ไม่จริงเลย มองมันใหม่ซะไอ้น้อง ถ้าได้ลองสนิทกับมัน จะรู้ว่ามึงคิดผิด
ไอ้ชินบ้านมันรวยจริงแต่มันไม่เคยทำตัวสูงส่งอย่างที่มึงคิด มันถ่อมตัว หัวเราะง่าย ลุยถึงไหนถึงกัน แถมบ้างานจนพวกพี่และเพื่อนๆชอบแซวมันว่า มึงนี่ทำงานหนักอย่างกับมีหนี้ร้อยล้าน"

"พี่พูดแบบนี้ แสดงว่าพี่เป็นเพื่อนพี่ชินหรอครับ?"

"ใช่ เพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว ไอ้ชินชวนกูมาทำงานที่นี่ด้วยกันนี่น่ะ"


    ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

     หรือ บางทีสิ่งที่ตาเห็นอาจไม่เท่าได้สัมผัส

     จนกระทั่ง ผมและพี่แท็คเดินมาตรงที่แลกเหรียญ ขณะยืนรอต่อแถว ผมอดสงสัยไม่ได้จึงถาม

"แล้วทำไมพี่ชินต้องบ้างานขนาดนั้นด้วยครับ"

"มึงอยากรู้?"

"ครับ ก็ถ้าพี่บอกว่าบ้านพี่ชินรวยทำไมต้องบ้างาน ทำตัวว่างๆก็ได้นี่ครับ?"
ผมคิดว่าไหนๆได้เจอะคนใกล้ตัวพี่ชินแล้วก็ต้องล้วงข้อมูลของพี่ชินให้ได้มากที่สุด

    จู่ๆพี่แท็คก็หัวเราะ


"เหตุเพราะไอ้ชินมันอกหักน่ะ นี่ก็สองปีมาแล้วที่มันโสด"

    ไม่อยากจะเชื่อ ผมนึกว่าตอนนี้แกมีแฟนแล้วซะอีก

     เพราะถ้าผมตัดอคติตัวเองออกไปครู่หนึ่ง ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกัน ผมยังอิจฉาและยอมรับเลยว่าพี่ชินดูดี มีอ่อร่า ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน สมาร์ทราวกับเป็นนักธุรกิจพันล้าน แถมเพิ่งรู้จากพี่แท็คเมื่อสักครู่ว่าบ้านพี่ชินรวยอีก

    แต่โสด...มานานถึง 2 ปี...
 

    ผมถอนหายใจยาว ขนาดพี่ชิน ผู้ชายครบเครื่องยังโสด ผมก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะที่ตอนนี้ผมยังหาแฟนไม่ได้และโสดมาแล้วตั้ง 8 เดือน


"ถ้าโสดนานขนาดนี้ แสดงว่าพี่ชินคงตั้งสเปกไว้สูงแน่ๆ ถ้าจะเปรียบเทียบก็คงพวกระดับดารา ใช่ไหมครับ?"


"มึงแม่งเดาเก่งว่ะ ไม่ได้หมายถึงเรื่องสเปกที่ไอ้ชินตั้งไว้สูงนะ แต่ที่เดาถูก คือคนล่าสุดที่มันคบก็เป็นคนในวงการบันเทิงนั่นแหละ แต่ไม่ใช่พวกดาราดังๆหรอก อารมณ์พวกตัวประกอบในละครนะ แต่เห็นว่าเคยเป็นนายแบบพวกเสื้อผ้าด้วยน่ะมึง ไอ้ติ...กูจะบอกอะไรให้รู้ไว้อย่างนะ คนเราน่ะพออายุเยอะขึ้นเชื่อเถอะ ว่าความคิดจะเปลี่ยนไป ขอแค่เจอคนที่รักจริง ไม่หลอกลวง พร้อมจะสร้างอนาคตและลำบากไปด้วยกันก็พอ อุ้ย! กูแม่งเผลอเอาเรื่องเพื่อนมาเมาท์เยอะไปหน่อย เออถึงตากูพอดี"


    ผมมองแผ่นหลังพี่แท็คที่เดินไหวๆไปแลกเหรียญ ส่วนตัวผมยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิมเพราะสิ่งที่ผมตกใจ คือ ผมไม่ได้หูฝาดใช่ไหม?


    ...พี่ชินมีแฟนเป็นผู้ชาย...

     ผมเสียดายแทนผู้หญิงนะ ที่หมดผู้ชายครบเครื่องไปอีกหนึ่ง แต่ช่างมันเถอะจะอย่างไรก็ช่าง ผมก็ควรเลิกคิดเรื่องพี่ชินสักที...



****1.1****

ใครเป็นพระเอก-นายเอกก็ต้องลุ้นกันเนอะ

ขอบคุณทุกการอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 1.1|| 1-4-18p.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-04-2018 19:47:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

ที่บอกว่าจะขอพักเนี่ย  แสดงว่า "แสงสุดท้าย" จะถูกดองเหรอ?
หัวข้อ: Re: ▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 1.2|| 2-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 02-04-2018 23:30:34
ตอนที่ 1 อมยิ้ม(2)


      เวลาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นี่ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ที่ผมทำงานที่นี่ และงานก็เริ่มเยอะขึ้น แต่ผมก็ยังจัดการงานให้อยู่ในการควบคุมของผมได้

 
    แต่มันก็น่าแปลกที่นอกเหนือจากงานประจำ สิ่งที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปซะแล้วก็คือ การซื้ออมยิ้มให้พี่ชินทุกเช้า


     สองสามวันแรกๆ ผมเสียเซลฟ์ไปบ้างที่พี่ชินอ่านข้อความแล้วไม่ยิ้ม ไม่รู้สึกอะไร แต่หลังๆมา ผมเริ่มหงุดหงิด เพราะข้อความที่ผมเขียนมันหวานพอตัวเลย


    'ให้อมยิ้ม เพราะอยากเห็นคุณยิ้ม'


     ข้อความหยอดมุกหวานๆแบบนี้ ผมเชื่อว่าถ้าเป็นคนอื่นอ่านต้องมีหลุดยิ้มกันบ้างล่ะ  แต่กับพี่ชินไม่มีเลย

 
     และไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่า การที่ผมเฝ้ารอพี่ชินยิ้ม มันกลายเป็นความคาดหวัง

      คาดหวังจะเห็นรอยยิ้มจากเขา...

     
      ผมรีบปัดความคิดเกี่ยวกับพี่ชินไปก่อน เพราะงานที่รีบเร่งเข้ามา คืองานที่ต้องนำไปพรีเซนต์วันจันทร์นี้

      เมื่อผมต้องรีบปั่นงานให้เสร็จ มื้อเที่ยงนี้ ผมจึงไม่ได้ไปร่วมวงกับคนอื่นๆจึงฝากอชิให้ซื้อข้าวมาให้

      ชั่วโมงกว่าๆผ่านไป อชิถือกล่องข้าวมาวางบนโต๊ะผม พร้อมอมยิ้มจูปาจุ๊บส์...

      ผมเลิกคิ้วมอง


"อชิ ผมไม่ได้ฝากซื้ออมยิ้มนะครับ?"

"รับไปเถอะ ทั้งหมดนี้บัดดี้ฝากมาให้น่ะ และไม่ต้องจ่ายเงินด้วย"

      ผมโคลงศรีษะมองอชิ


"อชิรู้หรอ? ว่าใครเป็นบัดเดอร์ผม"

"อื้ม! รู้สิ แต่ไม่บอกหรอกนะ"

"ฮ่าๆ...รู้ทันนะ อชิ ผมไปกินข้าวดีกว่า"



    ผมถือถุง เดินไปนั่งกินที่ครัว 

    ผมนั่งตรงหัวโต๊ะไม้ขนาดยาว ดึงโพสต์อิสท์ที่แปะไว้หน้ากล่อง มาอ่านข้อความก่อนกิน


'กินข้าวให้อร่อยนะ เพราะข้าวนี่ไม่ได้ทำด้วยมือ แต่ทำด้วยใจ'


   ผมยิ้มปนขำกับข้อความที่อ่าน แล้วชะงักกึก เมื่อนึกถึงใบหน้าคนหยิ่งคนนั้น

   อะไรกัน!... ขนาดผมเจอข้อความแบบนี้เข้าไปยังหลุดยิ้มเลย ทำไมพี่ชินถึงไม่ยิ้มวะ?

    เป็นคนตายด้านทางความรู้สึกรึยังไงกัน...

    เอาอีกแล้ว... นี่วันนี้ ผมคิดเรื่องพี่ชินเยอะไปแล้ว

    ผมส่ายหน้า และรีบจัดการอาหารตรงหน้าอย่างไว เพื่อจะรีบไปทำงานต่อ



      ผมตั้งใจนั่งทำงานจริงจัง จนเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออีกทีก็หกโมงเย็น


      ผมพักสมองและสายตาด้วยการลงไปหาอะไรกินข้างล่าง เพราะวันนี้ ผมตั้งใจกลับดึก เพื่อเคลียร์งานให้ได้เยอะที่สุด...


     เดินออกจากตัวอาคาร จนถึงริมถนน ผมสั่งไก่ทอดและข้าวเหนียวกับพ่อค้ารถเข็น ช่วงที่ผมยืนรอ แม่ของผมก็โทรมาหาพอดี


    ผมรู้เลยว่าแม่คิดถึงผม เพราะก่อนหน้าที่ผมจะทำงาน ผมอยู่บ้านกับแม่แถวชานเมือง เราสนิทกันเพราะผมชอบอยู่ติดบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน แต่ตอนนี้ พอผมได้งาน ผมจึงต้องย้ายออกมาเช่าคอนโดอยู่คนเดียว และพอห่างกัน แม่ผมคงเหงาและเป็นห่วงผมเป็นพิเศษ เพราะผมทำงานที่นี่ที่แรก


     ส่วน พี่ตั้น พี่ชายผม ก็คงห่วงไม่แพ้กัน รบเร้าผมให้ไปพักคอนโดแกอยู่เรื่อย ซึ่งพี่ตั้นเลือกพักใจกลางเมือง แถวๆย่านพร้อมพงษ์เท่าที่ผมจำได้ แต่ผมไม่เอาหรอก ถ้าไปนอนห้องพี่ผม มีหวังนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนเหมือนคนจะขาดใจตายทุกคืนแน่ๆ   



    คนอะไรไม่มีแฟน แต่พอไปเที่ยวผับปุ๊ป...ได้คนมานอนด้วยแทบทุกครั้งไป ขนาดผมด่าพี่ตั้นอย่างเจ็บแสบว่าให้กลัวนรก กลัวเวรกรรมบ้าง แกยังไม่สำนึก คิดดู ผมล่ะละอายแก่ใจแทน ถึงตัดสินใจมาอยู่คนเดียวสบายใจกว่าเยอะ


[เป็นไงบ้าง ติ เงียบไปเลย]

"งานเยอะครับแม่ พอกลับถึงห้อง หนูอาบน้ำเสร็จก็เผลอหลับไปทุกทีเลย"

[นี่ผ่านไปแค่สัปดาห์เดียว ยังไม่โทรมาหากันเลย อีกหน่อยก็คงลืมแม่]

"ไม่ๆนะครับแม่ หนูไม่ลืมแม่นะ หนูขอโทษ" ผมรีบพูดอย่างกลัวแม่น้อยใจ ทำไงได้ ผมแคร์ความรู้สึกแม่กว่าใคร เพราะแม่ผมเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ด้วยสาเหตุที่พ่อผมหนีแม่ไปมีภรรยาใหม่ตั้งแต่ผมอยู่ช่วงประถมแล้ว

   ผมถึงติดแม่และรักแม่กว่าใคร รองลงมาก็พี่ตั้นนี่แหละ

  ...เพราะเราก็มีกันอยู่เท่านี้...แต่ก็มีความสุขสุดๆ


[ให้มันจริง แล้วคนที่ทำงานดีไหม ติ?]


"ดีทุกคนเลยครับแม่"


      พี่ๆและเพื่อนร่วมงานทุกคนดีกับผมจริงๆ เว้นเสียแต่คนหยิ่งคนนั้นที่ผมไม่บอกแม่ กลัวท่านเป็นกังวล และคนที่ผมพูดถึงมากที่สุด คือ อชิ

    ผมเล่าเรื่องเธอเยอะเป็นพิเศษ  ผมบอกแม่ว่าผมถูกใจอชิ เธอน่ารักดี และนิสัยที่เป็นกันเอง เลยทำให้ผมและอชิสนิทสนมกันเร็วมาก


    อย่างที่บอกว่าผมมีแม่คนเดียว ผมจึงไม่มีอะไรต้องปิดบังหรือมีความลับกับท่าน

      แต่แม่ผมเงียบไป ผมรู้นะ ว่าที่แม่เงียบเพราะอะไร ท่านคิดว่าการที่ผมพูดถึงผู้หญิงคงหนีไม่พ้นเรื่องความรักแบบชู้สาว ตอนนี้ ท่านคงไม่อยากให้ผมมีแฟนเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าหวงผมหรอก แต่คงห่วงกลัวผมเจอคนไม่จริงใจมากกว่า เพราะแฟนคนล่าสุดที่ผมเลิกไปจนผมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร จนแม่แอบมาเห็น ก็เพราะเธอนอกใจไปมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นจนตั้งครรภ์นั่นเอง

      แม่ผมเงียบนานเกินไป จนผมใจคอไม่ดี เลยเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้แม่คิดมาก


"ไม่ต้องห่วงนะแม่ หนูรู้สึกสนุกที่ได้ทำงานที่นี่ และ...หนูรักแม่นะ..."


[แม่ก็รักติ อาทิตย์นี้กลับบ้านไหม?]


    ฟังเสียงแม่ ดูรู้เลยว่าเหงา...


"กลับครับแม่"


    ผมไม่รีรอที่จะตอบ ก็ผมมีแม่คนเดียวนี่ครับ
 

[แม่จะรอนะ ไว้ค่อยคุยกันก็ได้ติ]

"ครับแม่" 


    ผมวางสายและยิ้มคนเดียว


    ในวันที่ผมเหนื่อย พอได้ยินเสียงแม่ มันเหมือนมีพลังวิเศษมาช่วยเติมเต็มให้ร่างกายของผมมีแรงทำงานได้อีกมากโข


    ผมจ่ายเงิน รับข้าวเหนียวและไก่ทอดเรียบร้อย ก็เดินขึ้นไปทำงานต่ออย่างมีความสุขเพราะมีกำลังใจดีๆ


    ถึงหน้าประตูกระจก ผมเห็นอชิ พี่แท็ค พี่พอลเดินสวนผมออกมา


"อ้าว นึกว่ากลับไปแล้วนะเนี่ย! ทำไมยังไม่กลับล่ะติ วันนี้ดึกหรอ?"

"ครับ อชิ"

"สู้ๆนะติ!"

"ขอบคุณครับอชิ"


    ผมยกมือไหว้พี่พอลและพี่แท็ค เดินเข้ามาด้านใน เหลือบมองไปยังอีกโต๊ะก็เห็นพี่ชินและพนักงานอีกสองคนที่ยังนั่งทำงานอยู่เหมือนกัน

     ผมมองอย่างไม่สนใจอะไร เดินปลีกตัวไปนั่งกินไก่ทอดที่ครัว ผมนั่งกินไก่พลางมองวิวด้านนอกก็สบายตาไปอีกแบบ


    นั่งแทะน่องไก่จนเหลือแต่กระดูก ผมวางซากลงบนถุงพลาสติก เตรียมเอาขยะไปทิ้ง แต่ผมหยุดชะงักเสียก่อน เมื่อพี่ชินเดินมากดน้ำดื่มที่ตู้น้ำ จากนั้น พี่ชินก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งดื่มน้ำโดยหันหลังให้


     ผมรู้นะว่า พี่ชินทำเป็นไม่เห็น จากทางเดินเข้ามาในครัว ยังไงก็ต้องเห็นว่ามีคนนั่งอยู่แล้ว


    ผมยังไม่ลุก ได้แต่นั่งมองพี่ชินเงียบๆ จนพี่ชินดื่มน้ำเสร็จ ลุกไปล้างแก้วเรียบร้อย นำไปผึ่งที่ชั้นวาง จังหวะที่แกหมุนตัวเดินกลับไปทำงาน


     ผมกับเขาประสานสายตากันโดยบังเอิญ พอเป็นอย่างนั้น ผมกลัวว่าพี่ชินจะจับได้ว่าผมแอบมองมาอยู่นานจึงส่งยิ้มให้แก้เก้อ...


   แต่ที่เจ็บจี๊ดไปจนถึงขั้วหัวใจ คือพี่ชินมองมาด้วยสายตาประมาณว่า มึงเป็นอะไรของมึง...อย่างนั้นเลยครับ


"คนอะไรวะ แม่งโคตรหยิ่งเลยว่ะ" ผมบ่นหลังจากที่เขาเดินพ้นตาไปแล้ว


    ทำไมมันช่างตรงกันข้ามเช่นนี้

    สิ่งที่พี่แท็คพูดมากับสิ่งที่ผมเจอ ไม่เห็นเหมือนกันเลยสักนิดเดียว

    อีกละ!... คิดเรื่องพี่ชินอีกละผมชักหงุดหงิดที่เขาเริ่มมามีอิทธิพลกับผมมากไปละ

    ผมสลัดความคิดทิ้ง ลุกไปทิ้งขยะ ล้างมือแล้วกลับมานั่งทำงานต่อ

    ผมรวบรวมสมาธิเพื่อจดจ่อกับการทำงานอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ผมยกมือบิดขี้เกียจ เงยหน้ามองเพดานอยู่นาน ก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือ อีกทีก็ปาไปสองทุ่มแล้ว


"เฮ้อ! พรุ่งนี้ค่อยทำต่อแล้วกัน"


    ผมดูจากเนื้องานแล้วเหลืออีกไม่มาก พรุ่งนี้ทำต่อได้แบบสบายๆ

    ปิดคอมพิวเตอร์ เก็บของลงกระเป๋าเป้ สะพายขึ้นบ่า ลุกขึ้นยืนพร้อมกลับบ้าน

    และเพราะก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากงาน จึงไม่รู้ว่าพี่สองคนที่นั่งโต๊ะเดียวกับพี่ชิน กลับกันไปหมดแล้ว ตอนนี้ ทั้งออฟฟิศจึงเหลือแค่ผมกับคนหยิ่งที่นั่งหน้าเครียด



     ลองให้โอกาสคนหยิ่งอีกสักครั้งก็แล้วกัน อีกอย่างผมก็เด็กกว่าด้วย เข้าหาก่อนก็เป็นสิ่งที่ดีและไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไร

    ผมเดินไปหาพี่ชินที่โต๊ะ แล้วเอ่ยอย่างเป็นมิตร

 
"ผมกลับก่อนนะครับ แล้วนี่พี่ชินยังไม่กลับหรอครับ?"

"ยัง"


"ไม่กลัวผีหรอพี่?" ผมถามเพื่อสร้างความสนิทสนม  ส่วนหนึ่งผมก็อยากรู้จริงๆเพราะถ้าเป็นผม ผมบอกเลยผมไม่กล้าอยู่คนเดียวแน่ๆ

     ผมยอมรับอย่างแมนๆเลยว่า ผมกลัวผีมากครับ

     คำถามของผม ถูกตอบด้วยสายตาที่มองมาอย่างชาเฉย


     ผมยืนนิ่ง มองคนหยิ่งอยู่นาน ที่ผมยังไม่กลับและไม่โกรธที่เขาทำกิริยาแบบนี้ เพราะสิ่งที่ผมสังเกตได้และเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนใบหน้าคนหยิ่ง


"พี่ชินไม่สบายหรือเปล่าครับ?"


    ยังคงหยิ่งได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

    เมื่อไม่ตอบ ผมก็ต้องพิสูจน์

    ผมเดินก้าวยาวๆไปหาพี่ชิน ถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะตรงลำคอ


"เฮ้ย! คุณทำบ้าอะไร?"


    ผมสะดุ้งสุดตัวที่พี่ชินตวาด ผมยอมรับว่ามันดูไม่เหมาะสมที่ไปแตะเนื้อต้องตัวเขา แต่หน้าพี่ชินดูไม่ไหวจริงๆ เขาหน้าซีดเผือกเหมือนกระดาษเปล่าเลย


"ผมขอโทษครับ แต่พี่ไม่สบาย รู้ตัวหรือเปล่า?"

"....."


    พี่ชินยังคงเงียบ


"พี่ต้องกินยานะ พี่กินข้าวรึยังครับ?"

"....."


     พี่ชินไม่ตอบ จนผมถอนหายใจยาว เปิดกระเป๋าเป้ตัวเอง หยิบซองพลาสติกที่บรรจุยาสามัญประจำบ้าน ยื่นแผงยาลดไข้ให้


"นี่ยาลดไข้ครับ พี่จะกินไม่กินก็เรื่องของพี่แล้วล่ะ ผมไปก่อนนะ สวัสดีครับพี่ชิน"


    ผมข่มใจพูดดีกับพี่ชิน แม้เขาจะทำเมินเฉย


    คนบ้าอะไรจะตายอยู่แล้วยังวางฟอร์มว่าตัวเองแข็งแกร่ง ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอีก
   

"เออดี ตายๆไปซะ...แม่ง!..."



   ผมเดินออกมาจากบริษัทและบ่นด้วยความหงุดหงิด ขณะที่รอลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่าง


   ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยเจอคนแบบนี้เลยให้ตายสิ...





.......................................

 ขอตอบ >> DrSlump
เรื่อง แสงสุดท้าย ที่ว่าพักคือมันดราม่าไปแต่ไม่ดองแน่นอนค่า เพราะเหลือแค่ตอนจบแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ ^3^




ขอบคุณทุกการอ่านค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 1.2|| 2-4-18p.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-04-2018 00:46:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

โล่งใจที่ แสงสุดท้าย จะไม่ถูกดอง  แถมเหลืออีกตอนเดียวจบ

แค่พักดราม่า มาปล่อยฟีลกู้ด อมยิ้ม กันไปก่อน
หัวข้อ: Re: ▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 1.2|| 2-4-18p.1
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 03-04-2018 02:33:09
 o13 เรื่องน่าลุ้นว่าจะน่ารัก ...  o13
หัวข้อ: Re: ▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 1.2|| 2-4-18p.1
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 03-04-2018 12:57:17
ทำไมต้องทำหยิ่งใส่ด้วย
ลุ้นต่อค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 2.1 || 5-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 05-04-2018 17:30:14
ตอนที่ 2 ใกล้กัน






       ผมเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมาตลอดทาง บอกตรงๆว่าอารมณ์เสียที่เห็นกิริยาพี่ชินเช่นนั้น



        เดินมาจนถึงคิวแลกเหรียญ ยืนต่อแถวที่ค่อยๆไหลไปข้างหน้า เมื่อถึงคิวผม ผมบอกสถานีปลายทางแก่พนักงาน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ ก่อนจะหน้าซีดเผือก


       ผมดึงกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่มาไว้ข้างหน้า รูดซิป เปิดกระเป๋า ควานหาจนทั่ว ก่อนจะรีบยกเลิกตั๋ว ขอโทษพนักงานและเดินออกจากแถว เมื่อพบว่า ผมลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนออฟฟิศ



"โธ่เอ้ย! วันซวยอะไรวะเนี่ย!"



    ผมฉุนเฉียวที่ต้องเดินกลับไปออฟฟิสอีกรอบ และผมโยนความผิดให้คนหยิ่งทันที เพราะมัวแต่โมโหเรื่องพี่ชินนั่นแหละถึงทำให้ผมสติหลุดจนลืมกระเป๋าสตางค์ไปซะได้


      ก้าวเดินไวๆ เข้าตึก ขึ้นลิฟต์ จนถึงชั้นออฟฟิสตัวเอง ผมเดินมาหยุดชะงักตรงหน้าประตูกระจก เมื่อพบว่าด้านในออฟฟิสมืดตื๊ดตื๋อ...

     พี่ชินกลับไปแล้วหรือวะ?

     ผมพูดกับตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าใจเต้นรัว พอรู้ว่าต้องเข้าไปเอากระเป๋าสตางค์เพียงลำพังท่ามกลางความมืดมิดแบบนี้


     กลืนน้ำลาย แตะบัตรพนักงานตรงที่สแกนบัตรและผลักประตูกระจก ก่อนจะรีบเดินไปเปิดสวิช์ไฟตรงผนัง เมื่อแสงสว่าง ผมเร่งฝีเท้าไวๆไปเอากระเป๋าสตางค์ที่โต๊ะ แล้วจะรีบเดินออกไป แต่สายตาผมสะดุดเข้ากับกระเป๋าพี่ชินที่วางบนโต๊ะทำงาน ทว่า กลับไม่มีพี่ชินนั่งอยู่

    ผมจะไม่สนใจเลย ถ้าพี่ชินร่างกายปกติดี


"ไปฟุบล้มที่ไหนหรือเปล่าวะ?"


   เวลานี้ คงไม่เรียกว่าใจดีสู้เสือ แต่ควรเรียกว่าใจกล้าสู้ผี ผมเดินไปที่โต๊ะพี่ชิน ก่อนจะกวาดตามอง จนเห็นร่างคนไม่สบายนอนที่เตียงกว้าง


   ผมรีบเดินไปตรงซอกนั้น ทิ้งตัวลงนั่งยองๆข้างเตียง


"พี่ชิน" เรียกคนนอนขดตัวเป็นกุ้งที่หลับไหล ใช้หลังมือแตะซอกคออีกฝ่ายที่ดูอุ่นๆ


      เวลานี้ พี่ชินดูอ่อนแอมากในสายตาผม ผมโกรธเขาไม่ลงจริงๆ เรื่องที่เขาชอบทำตัวหยิ่งใส่


"พี่ชินกลับบ้านไหวไหมครับ?" ผมพูดเสียงนุ่ม และพี่ชินปรือตามองผม


"ทำไมยังไม่กลับอีก?"

"ผมกลับไปแล้ว แต่ผมดันลืมกระเป๋าสตางค์เลยต้องขึ้นมาอีกรอบ"
ผมตอบยิ้มๆ และพูดต่อ

"พี่กลับไปนอนที่บ้านเถอะครับจะได้สบายตัวกว่านี้ พี่ให้ผมไปส่งไหม?"

"ไม่เป็นไร ผมขอนอนสักพัก คุณน่ะกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม"

"เฮ้ย...ทำไมต้องปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นด้วยวะ"
ผมสติหลุด เผลอตะโกนใส่เขาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

 
      ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมพี่ชินต้องปฏิเสธความหวังดีของผมทุกครั้ง เขาทำอย่างกับผม เป็นขยะที่น่ารังเกียจอย่างไรอย่างนั้น

   
      ผมถอนหายใจพรืด เมื่อเขาตาแดงหลังจากที่โดนผมต่อว่า แม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้า ตั้งท่าเป็นศัตรู แต่ผมมีจิตสำนึกมากพอและทิ้งเขาไม่ลงจริงๆ หากพี่ชินเกิดเป็นอะไรขึ้นมาผมคงรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพี่ชินให้ดีพอ



"เวลานี้ พี่ควรมีคนดูแลนะครับ"



   พี่ชินนอนมองผมแต่ไม่ตอบ ผมตัดสินใจลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หมุนตัวไปอีกทาง ไปเปิดล็อกเกอร์ของตัวเองหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำบิดหมาดๆเดินกลับมาหาพี่ชินอีกรอบ

   
    คราวนี้ผมหย่อนกายนั่งบนเตียง ค่อยๆประคองพี่ชินให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ


"คุณจะทำอะไร?"

"เช็ดตัวให้พี่ครับ"

"ไม่ต้อง ผมกินยาที่คุณให้มาแล้ว"

"กินแล้วก็ต้องเช็ดตัว ควบคู่กันไปครับ"


    พอผมเห็นพี่ชินอ้าปากจะเถียง


"ถ้าพี่กลัวว่าผมจะทำอะไร บอกเลยผมไม่ทำแน่นอนครับ ผมไม่นิยมวัตถุโบราณน่ะ" ผมถนัดในการต่อปากต่อคำมากซะด้วยสิ

"นี่...คุณ..." ก่อนที่พี่ชินจะด่าผม ผมรีบนำผ้าขนหนูซับทั่วใบหน้าไล่ลงมายังลำคอจองอีกฝ่าย


    พอเห็นพี่ชินเงียบไม่เถียงต่อ ผมดึงแขนพี่ชินมาวางพาดบนหน้าขาของตัวเอง

    ผมชะงัก เมื่อได้สัมผัสผิวกายของพี่ชิน ยิ่งตอนได้จับมือพี่ชินแล้ว พี่ชินตัวนิ่ม มือนุ่มเป็นบ้า มองใกล้ๆยิ่งเห็นผิวที่เนียนละเอียดยิ่งนัก

     มือของผมยังคงเช็ดตัวให้ไม่หยุด แต่สายตาผมเผลอมองใบหน้าพี่ชินที่นั่งหลับตาอยู่

     เป็นครั้งแรก ที่ใกล้กันแบบนี้ ผมพิจารณาทุกซอกทุกมุมของพี่ชิน จนกระทั่ง...

     เฮ้ย! หยุด!...ผมไม่ควรคิดอกุศลกับพี่ชิน   

     ผมควบคุมความคิดตัวเองให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอยที่มันควรจะเป็น และลุกไปซักผ้าและกลับมาเช็ดตัวซ้ำอีกครั้งก็เสร็จเรียบร้อย


"ดีขึ้นไหมครับ?"


    พี่ชินพยักหน้า


"ขอบคุณ คุณกลับไปเถอะ "

"ผมก็อยากเป็นคนเลวอะนะ แต่แม่ผมสอนมาดี ผมทิ้งคนใกล้ตายแบบนี้ให้อยู่ลำพังไม่ได้หรอก"

"ต่อปากต่อคำจริงๆ"

   ผมยิ้มยียวนและลุกจากเตียงลงไปนั่งที่พื้นเมื่อพี่ชินกำลังล้มตัวลงนอน เขาจ้องผมกลับมา

"คุณควรกลับบ้าน ผมไม่ชอบให้ใครมาลำบากเพราะผม"

"แล้วผมบอกพี่สักคำรึยังล่ะครับ? ว่า ผมลำบาก"

"ทำไมต้องเถียง"

"พี่ต่างหาก นอนเถอะครับ อย่างน้อยถ้าพี่ตายไปจริงๆ ผมจะได้รู้ว่าได้ดูแลพี่อย่างดีที่สุดแล้ว"

"คุณแช่งผม แค่กๆๆ"

"นั่นเห็นไหม? ไอแล้วเนี่ย นอนพักเถอะครับพี่ชิน ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ได้ทั้งคืน และด้วยความเต็มใจครับ"



    พี่ชินไม่พูดอะไรอีก และเมื่อพี่ชินหลับตา ผมที่นั่งกอดเข่าพิงผนังอยู่ ก็แอบมองและอมยิ้ม

   
    ไม่รู้สิ ทั้งๆที่พี่ชินหลับไปแล้ว ผมจะลุกไปไหนก็ได้ จะไปเปิดทีวีดูสารคดี ดูหนัง ดูอะไรที่บันเทิงใจเพื่อฆ่าเวลาก็ได้ แต่ผมไม่ทำ ผมกลับเลือกที่จะนั่งมองเขานอนหลับอยู่อย่างนี้

    พี่เป็นคนแบบไหนกันแน่วะ พี่ชิน?

    ผมนั่งมองเขาไม่ละสายตา

   ไวกว่าความคิด ผมกระเถิบตัวไปข้างหน้า ยื่นมือไปแตะริมฝีปากล่างของพี่ชิน แต่พอผมได้สติ ผมชักมือกลับ

"มึงเป็นบ้าอะไรวะ ไอ้ติ" ผมด่าตัวเอง ที่อยู่ดีๆก็ทำอะไรที่ไม่สมควร

    ผมถอยหลังกลับมานั่งที่เดิมและผล็อยหลับไป

    เกือบสองชั่วโมง


กึก กึก!...


    ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนเขย่ากระจกอย่างแรง ผมหาที่พึ่งเกาะแขนพี่ชินทันที

     ผมบอกแล้วไงครับว่าผมกลัวผี เวลานี้ ใครจะมาเขย่าประตูกันล่ะ


"เป็นอะไรของคุณ"

    ผมหันไปหาคนที่ลืมตามามอง ผมปล่อยแขนเขา และพี่ชินก็หยัดกายลุกขึ้นนั่งนิ่ง


"ผมได้ยินเสียงเหมือนคนเขย่าประตูกระจกด้านนอกครับพี่"


"คุณคิดว่าเป็นผีรึไง?"

"ก็ใช่น่ะสิ เวลานี้จะมีใครล่ะพี่"


"อาจจะเป็นรปภ.ก็ได้ นี่ก็โมงแล้ว"

"เกือบห้าทุ่มครับ"

"กลับกันเถอะ"

"พี่ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?


     พี่ชินเงียบ พอเขาเห็นผมจะยื่นมือไปแตะ

"อืม...ดีขึ้นแล้ว"


     ผมพยักหน้า และเดินขนาบข้างพี่ชินตลอดการเดินกลับบ้าน พยายามเฝ้าสังเกตพี่ชินว่าเดินไหวหรือเปล่า? ผมและพี่ชินเดินออกมานอกตัวอาคาร และผมก็ยืนรอเรียกแท็กซี่เป็นเพื่อน



"พี่ไหว แน่นะครับ"

"ไหว"
   
"พี่ชิน เบอร์อะไรครับ?"
ผมมัดมือชก ยื่นโทรศัพท์มือถือของผมเพื่อให้แกกรอกตัวเลขลงไป


"ทำไม?"

"ก็สักพักผมจะโทรหาพี่ไง ผมจะได้รู้ว่าพี่ถึงบ้านแล้วรึยัง?"



    พี่ชินกดตามแป้นทัชสกรีนครบทุกตัวเลข และแท็กซี่คันที่ว่างก็ผ่านมาพอดี


    ก่อนขึ้นรถแท็กซี่ พี่ชินหันมาขอบคุณผม ส่วนผมก็ยิ้มกลับอย่างจริงใจ



   ยืนมองรถแท็กซี่สีชมพูลับตาไป ก็ลดรอยยิ้มลง เมื่อหวนคิดเรื่องตัวตนพี่ชิน


    แม้จะใกล้กันขึ้นกว่าเก่า แต่มันก็แค่ร่างกายเท่านั้นที่ได้ชิดใกล้

    ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ว่าก็คือกำแพงที่พี่ชินกั้นไว้เพื่อปกป้องตัวเอง นั่นถึงทำให้ผมเข้าไม่ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เลย


.....

.....



      เช้าวันต่อมา ผมโทรหาพี่ป๊อด ซึ่งเป็นหัวหน้าของผมว่าขอลาครึ่งวัน เพื่อเข้าช่วงบ่าย อันที่จริงไม่ใช่เพราะเพลียหรืออะไร ผมแค่จะไปหาซื้ออมยิ้มยกโหลสักหน่อย ดูซิ...ว่าจะยิ้มได้ไหม?


     เมื่อหาได้แล้ว ผมดิ่งไปทำงาน ก็ถึงช่วงเที่ยงพอดี บนออฟฟิสไม่มีใครอยู่ คงลงไปพักทานข้าวกันหมด เมื่อไม่เห็นใคร ผมรีบเดินไปวางของบนโต๊ะบัดดี้คนเดิม โดยรอบนี้ ผมเขียนข้อความที่ต่างออกไปเผื่อจะช่วยสร้างรอยยิ้มได้บ้าง


     ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ พี่ชินเป็นอย่างไรบ้าง จะหายดีแล้วรึยัง? แต่ถ้าวันนี้เขาไม่มาผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ผมอยากให้เขาพักจนร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้วค่อยมายังจะดีซะกว่า


     เสร็จธุระ ผมเดินไปทางครัว เปิดตู้เย็น เห็นถุงพลาสติกที่มีชื่อผมแปะไว้อยู่ ผมอมยิ้มกับข้อความที่บัดเดอร์เขียนให้ผม


'ดื่มน้ำผลไม้ แก้เหนื่อยนะ คนดี'


     ผมนั่งดื่มน้ำผลไม้จนหมดกล่อง กะจะเดินกลับมานั่งทำงานต่อ แต่ชะงักเมื่อสายตาที่ผมมองไกลออกไปเห็นพี่ชินนั่งอยู่ที่โต๊ะของเขา


"คนอะไรตายยาก เพิ่งบ่นก็มาเลย"


    ผมยังไม่กลับไปนั่งที่โต๊ะ ยืนด้อมๆมองๆหลบหลังผนังครัว เมื่อเห็นพี่ชินก้มหน้าอ่านข้อความบนกระดาษ


    ยืนลุ้นตัวโก่งว่าเขาจะมีทีท่าอย่างไร เพราะรอบนี้ ผมซื้ออมยิ้มให้เป็นกระปุกใหญ่พร้อมข้อความที่เขียนต่างไปจากทุกที
   

    'เชื่อผมเถอะ ...ถ้าคุณยิ้ม ร้อยทั้งร้อยมีคนหลงเสน่ห์คุณแน่ๆ...อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่ง'
   

    ผมยืนตาเบิกโพลง เมื่อเห็นความเปลี่ยนไป

    คนหยิ่งจัดผุดรอยยิ้มกว้าง และส่ายหน้าน้อยๆพร้อมขบขัน

   เชี่ย!...โคตรน่ารักเลยว่ะ...


   รอยยิ้มจริงใจและเป็นธรรมชาติที่ออกมาจากปากและแววตา ผมว่ามันทำให้พี่ชินดูดีและมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลย

    พี่ชินนั่งยิ้มคนเดียวอยู่นานและผมที่แอบมองอยู่ก็เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว...

    แต่เดี๋ยวก่อนนะ มันเกิดอะไรขึ้นกับผม...จู่ๆ หัวใจของผมก็เกิดเต้นเร็วและแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด..

 


****1.1****
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 2.1 || 5-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-04-2018 19:18:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 2.2 || 7-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 07-04-2018 21:48:32
ตอนที่ 2 ใกล้กัน(2)


     ไม่รู้สินะ ทำไมวันนี้ทั้งวัน ผมถึงอารมณ์ดี ตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอผมจะกลับบ้าน อชิก็มาขอกลับด้วย ผมไม่มีปัญหาและยินดีมาก เราสองคนเดินลงมาด้วยกัน ตลอดเวลาที่อชิคุยกับผม ผมสังเกตอยู่นานว่าเธอดูแปลกๆ เธอคุยอ้อมไปอ้อมมา จนผมตัดสินใจเข้าประเด็น


"อชิ มีเรื่องอะไรอยากปรึกษาผมหรือเปล่าครับ วันนี้ถึงกลับมากับผม?"


      อชิชะงักเหมือนโดนจี้จุด เธอเงียบไปนาน ผมก็ไม่เซ้าซี้ รอให้เธอพร้อม


"ติมีแฟนรึยัง?"

"ยังไม่มีครับ"

"ชิ จีบได้หรือเปล่า?"


       เฮ้ย! ผมสบถในใจ ก็ยอมรับว่าสนิทกับอชิมากกว่าคนอื่น เพราะเธอเป็นเพื่อนร่วมงานคนเดียวที่ตั้งแต่ผมเข้ามา เธอคอยเทคแคร์ช่วยเหลือ ประสานงานหาข้อมูลที่ผมไม่มีให้ตลอดเวลา แต่ผมไม่แน่ใจว่า การที่เธอรุกผมหนักขนาดนี้ ชอบผมจริงๆหรือ?...


"อชิชอบผมจริงๆเหรอ?"

"อื้ม"


     ผมหรี่ตามองคนตรงข้ามยิ้มเขิน ผมคิดว่ามันทะแม่งๆยังไงชอบกล


"ก็สมัยนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนี่ ชิชอบก็บอกชอบ อีกอย่าง ติโสด ชิก็โสด เรามาลองคุยกันไหม เผื่อมีโอกาสพัฒนาต่อ"

"อชิ ผมว่า.....อชิพูดตรงๆมาดีกว่า"
ผมย้ำถามให้แน่ใจ

"บอกจีบต่อหน้านี่ยังไม่ตรงอีกหรอ? สรุปติจะไม่ลองให้โอกาสชิได้ลองดูเลยใช่ไหม?"


"เปล่าๆครับ ลองดูก็ได้ครับ อชิ"

"ขอบคุณค่า ติเป็นผู้ชายน่ารักจริงๆ ชิถึงบ้านแล้วจะไลน์ไปหานะ"

   

     หลังจากได้คำตอบ อชิแยกกับผมไปรอรถไฟใต้ดินอีกฝั่ง ปล่อยให้ผมยืนงงในการบอกกล่าว ผมไม่มั่นใจ แต่ผมจะลองเปิดโอกาสให้อชิได้ลองจีบดู อย่างน้อยถ้าคุยแล้วใช่...ใจตรงกัน...ก็ไปต่อ เพราะผมเองก็ชอบอชิเหมือนกัน

 
   
...........


...........



       วันถัดมา ผมมาทำงานตามปกติ แต่มีสิ่งที่ต่างออกไปจากกิจสัตรประจำวันของผม  คือการที่ผมคุยกับอชิทั้งคืน เราสองคนแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวอดีตและปัจจุบัน ความชอบ-ไม่ชอบ สถานที่ที่ชอบไปและอื่นๆอีกมากมาย


      มันควรจะดีสินะ ที่มีคนมาชอบผม และผมก็ชอบ แต่ความรู้สึกที่มีให้มันเหมือนไม่สุด มันบอกไม่ถูก

 
    เรื่องอชิถูกลากยาวมาตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมยังคงครุ่นคิดอยู่ จนมาถึงออฟฟิศแล้วก็ยังกังวลไม่หาย

   
     ผมรีบลืมๆมันไปก่อน และเดินไปที่โต๊ะพี่ชิน แต่หนนี้ผมชะงักเมื่อมีข้อความโต้ตอบกลับมา


'ถ้าจะให้อมยิ้มเยอะเป็นกระปุกอย่างนี้ ขอเบิกค่าทำฟันด้วย'


      ผมยิ้มสลับหัวเราะที่พี่ชินตอบกวนๆ ผมไม่คิดว่าพี่ชินจะมีมุมตลก ผมเก็บกระดาษที่พี่ชินเขียนไว้กับตัว วางของของผมบนโต๊ะพี่ชิน จังหวะที่ผมเดินกลับโต๊ะ ผมสะดุ้งตกใจที่เห็นพี่ชินเดินสวนมา และวันนี้ไม่ได้มาพร้อมอชิ

        ผมกลัวว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นบัดดี้ ผมจึงรีบคุยกลบเกลื่อน

"สวัสดีครับพี่ชิน วันนี้มาเช้านะครับ"



        ชวนคุยแต่อาการอีกฝ่ายคือไม่ยิ้มและไม่มอง เขาเดินผ่านผมไปนั่งที่โต๊ะเฉยเลย


"อะไรของเค้าวะ"



     ผมงึมงำและหันไปมองพี่ชินที่นั่งหน้าบึ้ง ผมงงมาก เมื่อวานเขาก็ยังดีๆอยู่เลย วันนี้เขาเป็นอะไร? 

     แต่จะว่าไป ทำไมผมต้องแคร์ ผมลืมเรื่องพี่ชิน กลับมาอยู่กับตัวเองไม่สนใจ ดื่มนม กินแซนด์วิชไปเรื่อยๆ คนอื่นๆก็ทยอยกันเดินเข้ามา


     ผมเห็นพี่ป๊อดถือกุหลาบช่อโตมา ผมชะเง้อหน้ามองอย่างอยากรู้ แล้วพี่ป๊อดก็วางไว้ที่โต๊ะอชิ สักพักใหญ่ อชิดินเข้ามา ตาโตตกใจ เมื่อเห็นบนโต๊ะมีช่อดอกไม้วางอยู่ แต่หลังจากนั้น อชิยิ้มแก้มปริ


     ถ้าให้ผมวิเคราะห์เป็นการส่วนตัว พี่ป๊อดไม่ใช่บัดดี้ตัวจริงและคนที่จับได้อชิต้องชอบอชิเป็นทุนเดิม ไม่อย่างนั้น คงไม่ซื้อกุหลาบสีแดงช่อโตแบบนี้มาให้หรอก ผมว่า คนๆนั้นกำลังใช้เกมส์บัดดี้ เป็นฉากบังหน้าอยู่

     แต่ไม่เป็นไร แม้วันนี้ ทุกคนจะยังไม่รู้ แต่วันเฉลยได้รู้แน่ๆ

     ลอบมองอชิที่หน้าแดง นั่งยิ้มเขิน ลูบกลีบดอกกุหลาบอย่างมีความสุข และอยู่ดีๆ อชิก็ลุกขึ้นไปหาพี่ชิน ตามด้วยพี่ป๊อด ไล่มาพี่พอลและพี่แท็ค สุดท้ายก็มาจบที่ผม เธอบอกพวกพี่ๆว่ายังไม่ได้เลี้ยงรับน้องใหม่ซึ่งก็คือผม เธอเอาข้ออ้างโดยที่เอาผมมาเอี่ยวจนได้ 


     พอข้ออ้างมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อย ทุกคนกลับเออออ เห็นด้วยกันซะอย่างนั้น ทำให้ผมยากที่จะปฏิเสธ เพราะอชิใช้ชื่อผมเป็นแกนหลักของงาน ผมจึงตอบตกลงและเธอก็ดูดีใจเกินเหตุจริงๆ


     เวลาผ่านไปจนได้เวลาเลิกงาน ทุกคนดูลัลล้ากันพอสมควร เก็บของกันอย่างอารมณ์ดี ผมที่เก็บของเสร็จก่อน จึงแวะไปเข้าห้องน้ำ

    ผมหยุดเท้า เมื่อเจอะพี่ชินด้านใน เขายืนเหมือนคนกำลังสงบสติอารมณ์อยู่หน้ากระจก
   
     
"พี่ชินเก็บของเสร็จแล้วหรือครับ?"
ผมลองพูดดีกับเขาดูอีกสักครั้ง

"คุณเห็นผมอยู่ตรงนี้ คิดว่าผมเก็บเสร็จรึยังล่ะ"

 "พี่ชินผมถามดีๆนะ"



    ผมโมโห หอบหายใจถี่ และไม่สนคำตอบของอีกฝ่าย รีบเดินออกมาเมื่อได้ยินเสียงอชิเรียกผมอยู่ด้านนอก


    ผมรู้ว่า อชิ ตกใจที่เห็นผมโกรธหน้าดำ หน้าแดง เธอรีบเดินมาแตะแขนผมเบาๆ แล้วยิ้มหวาน ผมรู้นะว่าเธอต้องการทำให้ผมใจเย็นลง


"มีอะไรรึเปล่า ติ?"

"ไม่มีอะไรหรอกครับ อชิ"

"จริงนะ ถ้างั้นก็ยิ้มนะ เราจะได้ไปพักผ่อนกันแล้ว"


    ผมข่มใจ ส่งยิ้มให้อชิ และเราสองคนไปยืนรอพี่คนอื่นๆกันตรงหน้าลิฟต์

    ราวสิบนาที พี่ๆทุกคนก็เดินออกมาและพร้อมใจทิ้งรถไว้ที่ออฟฟิศและแห่กันไปขึ้นรถของพี่ชินกันหมด


     ผมไม่มองหน้าพี่ชินเลย และโชคดีที่อชิก็ชวนผมคุยตั้งแต่เข้าลิฟต์ จนกระทั่งออกมาเธอยังพูดไม่หยุด

    เมื่อทุกคนเดินมาถึงตัวรถพี่ชิน ก็ยืนตกลงกันว่าใครจะนั่งไหน เนื่องจากอชิเป็นผู้หญิงคนเดียว ทุกคนเลยตัดสินใจให้อชินั่งข้างคนขับ และพวกผู้ชายนั่งข้างหลัง แต่พอมามองและวิเคราะห์ดูแล้ว พี่ผู้ชายแต่ละคนรวมถึงผมก็ตัวใหญ่กันทั้งนั้น นั่งเบียดไปนานๆผมว่าลำบากแน่

    ผมยกมือบอกว่าจะเสียสละนั่งรถแท็กซี่ตามไป แต่...


"ไม่เป็นไร ชินั่งตักติเอง"

 
    ไม่มีทาง ผมกับอชิยังไม่ได้เป็นอะไรกัน และการที่ผู้หญิงนั่งตักผู้ชายเนี่ย มันไม่เหมาะสม อชิคิดอะไรของเธออยู่?


"อชิ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ตามไปดีกว่า"

"ไม่ต้องหรอกมาถึงลานจอดรถ เดินออกไปก็เสียเวลานะ ติ"


"หรืออชิจะนั่งตักพี่?" เป็นพี่แท๊คที่แซวอย่างยิ้มๆ แต่จู่ๆพี่ชินก็ร้องขึ้นเสียงหลง

"อย่าแม้แต่จะคิดไอ้แท็ค ถ้างั้นให้อชินั่งกับตินั่นแหละ"

"แต่ผม..ว่า..."

"ทำไม กลัวผู้หญิง?"
ชินเลิกคิ้วขึ้นสูง ถามกลับอย่างยียวน


"ไม่กลัวครับ แต่มันไม่เหมาะสม"

"หึๆ ทีอย่างนี้ ทำมาพูดเป็นพระเอก ใจจริงก็อยากรึเปล่า?"




    ผัวะ!...

"เฮ้ย! / ไอ้ติ / อร้าย!"

   

      จังหวะที่ผมวิ่งไปชกพี่ชินที่ยืนพิงรถอยู่ ผมได้ยินเสียงคนอุทานลั่น พี่ชินที่ไม่ทันระวังตัวว่าผมจะต่อย เจ้าตัวจึงเซถลา ทุกคนวิ่งมาล็อคตัวผมจนผมดิ้นไม่หลุด ผมไม่กลัว ถ้าพี่ชินจะสวนกลับ ผมยังมีเท้าที่เป็นอิสระ สามารถถีบอีกฝ่ายได้


    พี่ชินตวัดสายตาดุๆมองกลับมาพร้อมเดินมาประชิดตัวผม



"คุณเป็นบ้าอะไร? ห้ะ!..." เขาไม่ต่อยผมกลับ แต่ตวาดใส่

"มึงนั่นแหละ...เป็นเหี้ยอะไร? กูพูดดีด้วยแล้ว ยังจะหยิ่งใส่ ทำไมวะ พ่อแม่ไม่รักหรอไงวะ"

      สติผมขาดผึง ในใจผมพร้อมลาออกครับ คนห่าอะไร พูดดีก็แล้ว ทำทุกอย่างก็แล้ว แม่งยังกวนตีนอีก...


"ไอ้ติ มึงหุบปาก!"


     ผมหันขวับมองพี่แท็ค ที่คราวนี้ แกน่าจะโมโหไม่ต่างกัน ไล่บอกเพื่อนๆทุกคนให้ปล่อยตัวผม แล้วแกก็ลากตัวผมให้เดินห่างออกมาจากตรงนั้น เหวี่ยงผมสุดแรงจนหลังของผมกระแทกกับเสาของอาคารจอดรถ


"มึงเป็นอะไร ไอ้ติ"

"ผมไม่ชอบที่พี่ชินกวนตีนผม ผมขอลาออกครับพี่แท็ค"


"เดี๋ยวกูมา..."


     ผมเห็นพี่แท็คเดินไปทางกลุ่มพี่ชิน ยืนคุยไม่นาน ผมเห็นทุกคนขึ้นรถไปเหลือแค่พี่แท็คที่เดินมาหาผม     
     
"มึงอยากลาออกเพราะไม่ชอบไอ้ชิน?"

     ผมมองคนที่ถามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าตอนแรก

"ใช่ครับ"


"เฮ้อ! ไอ้ติเอ้ย! กูเข้าใจว่ามึงเพิ่งทำงานที่นี่ที่แรก มึงยังประสบการณ์น้อย สำหรับสังคมการทำงาน มึงยังเด็ก ยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ แต่มึงควรมีเหตุผลกว่านี้"

"แต่ผมทำดีกับเขามาตลอดเลยนะพี่แท็ค มีแต่เขาที่ตั้งท่าจะเป็นศัตรูกับผม มองผมเหมือนเป็นไส้เดือนยังไงยังงั้น"


"เรื่องของไอ้ชินกูจะไปถามมันเองว่าทำไมมันต้องทำตัวแบบนั้นกับมึง แต่ในส่วนของมึง  ยังไงมึงก็ผิดที่ใส่อารมณ์ และมึงก็เด็กกว่าชินหลายปี มึงควรขอโทษมันนะ"
 

     ผมยืนมองพี่แท็คเงียบๆ


"แล้วเรื่องลาออกนี่ยังไง?"

"คำตอบเดิมครับ ขอลาออก"

"เฮ้อ! ไอ้ตินะไอ้ติ ตอนนี้มึงอยู่ในช่วงที่ยังอารมณ์ร้อนอยู่ คงขาดสติ ไว้กูจะเอาคำตอบมึงใหม่ในอาทิตย์หน้า"

    ผมเงียบและทำหน้าไม่พอใจพี่แท็คที่ดูเหมือนเขาจะเอนเอียงไปทางพี่ชินมากกว่า


"มึงเคยดูหรือได้ยินข่าวพวกทหารหน่วยรบพิเศษบ้างหรือเปล่า?"

"เคยครับ"

"มึงรู้สึกยังไงเวลาได้ยินข่าวพวกนั้น?"

"พี่ถามทำไม?"

"กูอยากรู้ ตอบกูหน่อย?"


   ผมตอบแบบขอไปที

"ก็รู้สึกนับถือ ที่เขายอมเหนื่อย ยอมทำเพื่อประเทศชาติ"


"ที่มึงพูดก็ถูก แต่มีส่วนหนึ่งที่มึงยังมองไม่เห็น คือ...การฝึกความอดทน...มึงคิดว่ากว่าเขาจะเก่ง ร่างกายจะแกร่งนี่สัปดาห์เดียวไหม..ก็ไม่? พวกนั้นเขาต้องผ่านอะไรมาเยอะ ต้องฝึก ต้องทนมาตั้งเท่าไหร่? เขาโดนมาหนักกว่ามึงอีก โดนทั้งคำพูดและการกระทำจากครูฝึกและอื่นๆ
 พวกเขาเหนื่อยไหม? ท้อไหม? กูเชื่อว่าแทบทั้งนั้น แต่มันก็ถือว่าทดสอบจิตใจตัวเอง ให้มีความอดกลั้น ใจเย็น ถ้าผ่านมาได้มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ภาคภูมิใจ...เฮ้อ! กูหวังดีกับมึงนะติ เพราะกูถูกชะตามึง กูเห็นมึงเหมือนน้องชายกูที่ตายไปแล้ว...
ไม่งั้นกูไม่มาพูดยาวขนาดนี้หรอก มึงควรฝึกความอดทน อดกลั้น ฝึกความใจเย็นให้มากกว่านี้หน่อย เพราะบางครั้งอารมณ์ไม่ใช่ทางออก กูไปละ...เดี๋ยวพวกไอ้ชินรอนาน"


     พี่แท็คตบบ่าผมสองสามที ก่อนจะเดินหนีออกจากตัวอาคารทิ้งให้ผมยืนนิ่งเพียงลำพัง
 






.......................................
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 2.2 || 7-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-04-2018 22:16:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 2.2 || 7-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: imvodka ที่ 08-04-2018 00:59:51
 :mc4: สนุก
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 2.2 || 7-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-04-2018 11:53:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3|| 12-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 12-04-2018 22:41:29
ตอนที่ 3 คำขอโทษ




      ผมมาหาแม่ตามสัญญา แต่หลังจากที่ผมถึงบ้านแม่แล้ว ผมก็ขึ้นไปขลุกตัวอยู่บนห้องนอนเพราะหลังจากวันที่มีเรื่อง ผมสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรทำกับพี่ชินแบบนั้น


      ผมคิดมากลากยาวมาจนถึงมื้อเย็นที่แม่เรียกผมลงไปกินข้าวด้วยกัน ขณะที่แม่ตักข้าวสวยใส่จานให้ผมนั้น เธอคงเห็นสีหน้าผมเป็นกังวลจึงเอ่ยถามว่าเป็นอะไร จากตอนแรกผมจะเก็บงำเอาไว้ แต่เพราะความอึดอัด ผมจึงตัดสินใจบอก


"หนูจะลาออกจากงานครับ"


"อะไรกันติ ทำงานยังไม่ถึงเดือนไม่ใช่หรอ?"

"ครับ แม่"


"เกิดอะไรขึ้น ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ"


      ผมชะงัก วางช้อน มองหน้าแม่ด้วยสายตารู้สึกผิดปะปนไปกับความกลัวที่ต้องบอกความจริง ผมกลัวว่าแม่จะผิดหวังในตัวผม ที่ผมเป็นคนดีไม่ได้ แต่เมื่อแม่ยังจ้องมองผมเหมือนจะเอาคำตอบให้ได้ ผมจึงต้องตอบทั้งๆที่ปากสั่น ตัวสั่น


"หนูไปต่อยพี่ที่ทำงานครับ"

"หาา! ติ...เรื่องมันหนักหนาถึงกับต้องไปทำร้ายร่างกายเขาเลยหรือลูก?"


"คะ...คือ...หนูไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ตอนนั้นหนูเหลืออดแล้วจริงๆ เขาหยิ่ง และพูดจาไม่ดีกับหนู ทั้งๆที่หนูพยายามพูดจาดีๆกับเขาแล้วนะแม่"
   
"ติไม่พอใจในนิสัยของเขาหรือติไม่พอใจที่เขาไม่ได้ดั่งใจตามที่ติต้องการ"



      ผมชะงัก เมื่อคำพูดของแม่ แทงใจดำ ผมเงียบจนแม่ต้องถามอีกรอบ


"ไหนลองเล่าให้แม่ฟังเพิ่มหน่อยได้ไหม?"



      ผมพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มเล่าที่มาที่ไปอย่างละเอียด  พอผมพูดจบ แม่ถึงกับกุมขมับ


"ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ติไม่ควรทำร้ายเขานะลูก สิ่งที่ติทำลงไปนั้นมันอารมณ์ล้วนๆ ติจำไว้นะ คนอื่นจะพูดดีหรือไม่ดีกับลูกยังไง? มันเป็นเรื่องของเขา แต่การที่เราเก็บเอามาคิด มาผูกใจเจ็บนั่นก็แสดงว่ามันเป็นเรื่องของเราที่เราทำให้ตัวเองเจ็บเองนะ "

"แม่ครับ หนูขอโทษ หนูสำนึกผิดแล้ว"
ผมก้มหน้ารับผิด และได้ยินแม่ถอนหายใจ จากนั้น...

"ช่างมันเถอะ แล้วนี่...ติจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง"

"ไม่รู้ครับแม่"

"ตั้งแต่มีเรื่องได้ขอโทษพี่เขาหรือยัง?"


"ยังครับ"

"ถ้างั้นโทรไปขอโทษ"

"ครับ"

     ผมหยิบเครื่องมือสื่อสาร เข้าหมวดรายชื่อ กดโทรออกไปยังเบอร์คู่กรณี และไม่นานเลยที่พี่ชินรับสายของผม

"พี่ชินครับ ผมตินะครับ"


[คุณโทรมาทำไม?]

"ผมโทรมาขอโทษครับ"

[อืม...หมดธุระแล้วใช่ไหม?]

"อะ...เอ่อ คะ....ครับ"


     อีกฝ่ายตัดสายทันที ไม่ให้ผมได้พูดต่อ ส่วนแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้เห็นสีหน้าและคำพูดของผมก็ส่ายหน้าระอา


"เฮ้อ..ติ.เดี๋ยวแม่คุยเอง"


       ผมทำหน้าจ๋อย พร้อมยื่นเครื่องมือสื่อสารไปให้แม่ จากนั้น มารดาของผมรับโทรศัพท์ เดินออกไปนอกบ้าน ผมก็ได้แต่นั่งเขี่ยข้าวอย่างหมดอารมณ์จะกิน


      ในขณะเดียวกัน ถัดมายังด้านนอก หญิงวัยกลางคนกำลังยืนสนทนากับคู่กรณีทางโทรศัพท์มือถือ


[คุณจะโทรมาทำไมอีก?]

"ขอโทษนะคะ คุณชินใช่ไหมคะ? นี่ดิฉันเป็นแม่ของอติวัชร์หรือติ คนที่ทำร้ายร่างกายคุณค่ะ"

       ปลายสายเงียบไปนาน

[เอ่อ สวัสดีครับ]

"ดิฉันรับรู้หมดแล้วเรื่องที่ลูกชายดิฉันต่อยคุณ ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ดิฉันสั่งสอนลูกไม่ดีพอ"

[อ่อ...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ...พอดีผมไม่ได้ถือโทษโกรธน้องเขาแล้วครับ]


"เพื่อเป็นการขอโทษ ดิฉันอยากให้คุณชินมากินข้าวที่บ้านด้วยกันสักมื้อได้ไหมคะ?"


[ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ ผมเกรงใจ]


"แต่ถ้าคุณชินไม่มา ดิฉันจะทราบได้อย่างไรว่าคุณชินไม่โกรธแล้วจริงๆ เพราะตอนนี้ ติเองก็เครียดมากกับสิ่งที่ทำลงไป"



      มารดาของติทิ้งช่วงให้อีกฝ่ายมีเวลาในการตัดสินใจ ซึ่งฟากนั้นก็เงียบไปนานพอสมควร


[ถ้าเพื่อความสบายใจผมไปก็ได้ครับ]

"ขอบคุณมากๆนะคะ และดิฉันต้องขอโทษแทนติอีกครั้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย"


[ไม่เป็นไรครับ]

       
       ผมมองแม่ที่เดินเข้ามาในตัวบ้าน และตีแขนผมไม่แรงมากนัก


"ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่แจ้งความน่ะ...ห้ะ เรานี่เป็นคนยังไงกันนะติ"

"หนูสำนึกผิดจริงๆแล้วครับแม่"

"ทีหลังอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีกนะ ส่วนวันพรุ่งนี้ แม่นัดให้คุณชินมากินข้าวที่บ้านเราแล้วด้วย"



      ผมตาโต อ้าปากค้าง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องชวนมาบ้านด้วย ก็ยอมรับนะว่า สิ่งที่ผมทำมันผิดมากจริงๆ แต่ผมคิดว่า การชวนใครมาบ้าน ในมุมมองของผม คือ คนที่ต้องสนิทกันแล้วระดับหนึ่งถึงจะพามาบ้านได้


"ทำไมแม่ต้องชวนพี่ชินมากินข้าวที่บ้านเราล่ะครับ?"

"หรือติอยากให้แม่ไปยกมือไหว้ขอโทษเขาหน้าออฟฟิสล่ะ ลูก?"


    เมื่อมารดาของผมว่ามาอย่างนั้น ผมก็สลดสิครับ


"ก็ได้ครับแม่"

"ความผิดพลาดครั้งนี้จำไว้เป็นบทเรียนนะลูก"

"ครับแม่"


      เมื่อเรื่องที่ผมเครียด แม่ของผมจัดการเป็นธุระให้เรียบร้อย ผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อย ที่เหลือก็คือ จะต้องทำตัวอย่างไรกับวันพรุ่งนี้ที่ผมต้องเจอหน้าพี่ชินเป็นวันแรก หลังจากที่มีเรื่องราวบาดหมางวันนั้น

...
...
...


 
    เวลาสามโมงเย็นของวันอาทิตย์ วันที่ผมควรนอนตีพุงอยู่บ้านอย่างสบายใจ แต่แม่ไล่ให้ผมออกมารับพี่ชินที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน เนื่องจาก กลัวว่า พี่ชินจะเดินทางมาบ้านไม่ถูก


    ผมเดินเตร็ดเตร่รอพี่ชินในห้างได้สักพัก พอใกล้เวลานัดหมาย ผมกะเวลาให้ใกล้เคียงกันแล้วเดินออกมายืนรอพี่ชินริมถนนหน้าห้างสรรพสินค้า ประจวบเหมาะกับที่พี่ชินโทรมากำชับว่าใกล้ถึง


    ผมยืนพลางดูรถที่ชะลอความเร็ว เมื่อผมดูเลขทะเบียนรถตรงกับที่พี่ชินบอกแล้ว ผมก็กระโดดขึ้นรถ จากนั้น ผมรีบหันไปไวๆยกมือไหว้พี่ชินและหลบหน้าเขาด้วยการออกไปมองนอกกระจกรถ


    ผมนั่งตัวเกร็ง และไม่รู้จะทำหน้ายังไง วางตัวไม่ถูก มือ-ไม้ก็ดูจะเก้ๆกังๆจนผมชักหงุดหงิดใจกับการกระทำของตัวเอง

    ยิ่งเงียบ ยิ่งแย่ ดูเหมือนว่าบรรยากาศดูน่าอึดอัด กระอักกระอ่วนกว่าเดิม ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ผมตัดสินใจเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนี้

   
"อีกไกลมากไหม? / ผมขอโทษอีกครั้งครับพี่ชิน"


    ผมไม่รู้ว่า พี่ชินจะโพล่งขึ้นมาพร้อมกัน ทำให้คำขอโทษของผมถูกกลบไปซะมิด


"พี่ว่าอะไรนะครับ? / คุณว่าอะไรนะ?" และเป็นอีกครั้งที่ใจตรงกัน ผมจึงหันไปมองหน้าเขาตรงๆ ก็รู้สึกผิดหนักกว่าเดิมเมื่อเห็นรอยช้ำตรงโหนกแก้มมันชัดมาก ผมหลุบตาลงต่ำกับความผิดตัวเอง...มองมือสองข้างที่บีบเข้าหากันแน่น

"คุณพูดก่อนเถอะ..."

"พี่ชิน เจ็บไหมครับ?" คิดแล้วก็ละอายตัวเอง คราวที่ไปต่อยเขา ก็ทำทีเป็นนักเลง ขาใหญ่ แต่พอมีสติคิดได้ แค่ถามอาการว่าเขาเป็นอย่างไร กลับใจปลาซิว ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า


"เจ็บ....ทุกอย่าง"



      ...เจ็บทุกอย่าง...

      ผมไม่รู้ว่าพี่ชินต้องการสื่อความหมายว่าอะไร  แต่ผมไม่กล้าถาม กลัวจะเป็นเรื่องไปอีก จึงได้แต่ก้มหน้าและเอ่ยขอโทษซ้ำๆ

     และผมพยายามจำคำที่แม่บอก ผมจึงคิดว่าการบอกความรู้สึกตัวเองออกไปอาจทำให้พี่ชินเข้าใจตัวตนผมมากขึ้นก็ได้


"พี่แท็คบอกว่าพี่ชินเป็นคนดี คอยรับฟังปัญหาและเป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่อง ผมก็แค่อยากรู้จักพี่ชินมากขึ้น เลยเข้าหาพี่ คุยกับพี่เพราะอยากเป็นมิตรด้วย แต่พอพี่พูดจาไม่ดีบ่อยๆ ผมก็เลยทนไม่ไหว ผมขอโทษนะครับที่ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต"


     ในตอนแรกผมอึดอัดมาก แต่พอได้ระบายความรู้สึกตัวเองจนหมดไส้ หมดพุง ผมยอมรับว่ามันโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก


"ผมก็ขอโทษเหมือนกัน ที่แสดงนิสัยแย่ๆและพูดจาไม่ดีใส่คุณ"


      ผมอึ้ง เพราะไม่คิดว่าพี่ชินจะขอโทษผม พอผมเงยหน้ามอง พี่ชินกลับเบนหน้าหนีไปทางอื่น

      ผมยิ้มคนเดียว และค่อนข้างมั่นใจว่าความสัมพันธ์ของเราสองคน ตอนนี้ มันดีขึ้นกว่าตอนแรก


      แม้เราจะไม่ค่อยพูดอะไรกันตอนอยู่บนรถ แต่หลังจากที่ผมพูดความในใจยอมรับว่ามันผ่อนคลายลงบ้าง ตอนนี้ ผมและพี่ชินเดินทางมาถึงที่หมาย ผมกำลังพาพี่ชินเข้าบ้าน แม่ผมคงได้ยินเสียงมีคนมา เธอจึงเดินออกมาต้อนรับ แต่วินาทีที่แม่เห็นหน้าพี่ชินเท่านั้นแหละ


"ช้ำขนาดนี้เลยหรือคะเนี่ย!"


       ผมก้มหน้าที่แม่ยังพูดย้ำถึงเรื่องนี้

"แม่หยุดพูดเถอะน่า หนูขอโทษเขาไปแล้ว"

     ครู่หนึ่ง ผมได้ยินเสียงหัวเราะหลุดออกมาจังหวะหนึ่งแล้วกลืนหายไปในลำคอ ผมหันขวับไปหาตัวต้นเหตุ ก็เห็นอีกฝ่ายเม้มปาก กลั้นยิ้ม


"ขำอะไรวะพี่?"  ผมสติหลุดอีกแล้ว ผมรู้นะว่าเขาต้องขำผมเรื่องการแทนตัวเอง เวลาที่คุยกับแม่แน่ๆ แต่พี่ชินยังไม่ทันจะตอบอะไร แม่ของผมก็ดุขึ้นมา


"ติ อย่าขึ้นเสียง"

"ขอโทษครับพี่ชิน"


"เชิญเข้าบ้านค่ะคุณชิน" แม่ผมมองผมดุๆแล้วหันไปคุยกับพี่ชินแทน

"ขอบคุณครับ"


     ผมเดินรั้งท้ายถึงสังเกตเห็นว่า ทุกการก้าวเดิน พี่ชินกวาดตามองรอบบ้านอย่างพินิจพิจารณา จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะดูสนอกสนใจอะไรนักหนา แต่เพราะผมรู้ตัวเองดี จึงคิดว่าการไม่ถามอีกฝ่ายคือทางออกที่ดีที่สุด


     เดินมาถึงโต๊ะอาหาร ทุกคนทิ้งตัวลงนั่ง ท่ามกลางเมนูอาหารละลานตาที่แม่ของผมตั้งใจทำสุดฝีมือ ไม่ว่าจะเป็น กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา, แกงจืดลูกชิ้นหมูสับ, พะแนงหมู, ไข่เจียวกุ้งสับ, หมูทอด ทำให้คนที่เพิ่งมาใหม่เห็นหน้าตาอาหารแล้วอดพูดขึ้นมาไม่ได้


"อาหารดูหน้าตาน่าทานจังเลยนะครับ"

"ถ้าน่าทาน คุณชินต้องทานเยอะๆนะคะ"

"ยินดีครับ"



      จังหวะที่พี่ชินคุยกับแม่ของผม  ใจผมมันสั่นๆ เมื่อพี่ชินยิ้มอีกแล้ว

      แต่หลังจากนั้น ความรู้สึกผมมันวูบหวิวๆแปลก เมื่อนึกขึ้นได้ว่า พี่ชินยิ้มและเป็นมิตรกับทุกคน แต่ยกเว้นผมคนเดียว...

      ผมคิดว่ามันไม่ใช่เวลามานั่งน้อยใจ ผมจึงฝืนยิ้มให้แม่ที่มองมา และเริ่มตักกับข้าวใส่จานตัวเอง

    เมื่อทุกคนลงมือจัดการอาหาร ก็มีเงียบบ้าง คุยบ้างสลับกันไป แต่ถ้าได้มีเปิดบทสนทนาเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ของผมเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้าเป็นผม เวลาผมพูดอะไรออกไป ดูเหมือนไม่ค่อยจะถูกใจพี่ชินทุกที ถามทีไร เป็นได้มีเรื่องกันทุกครั้ง...


     ผมลอบมองพี่ชินทุกครั้งที่เขาตอบคำถามแม่ผม เพราะในคำตอบจะแฝงด้วยรอยยิ้มที่น่ารักจนผมอดยิ้มตามไม่ได้


    รอยยิ้ม ที่ยากจะได้เห็นตอนพี่ชินอยู่ที่ทำงาน และพี่ชินมุมนี้ ผมว่าดูรีแลกซ์และน่ารักกว่าเป็นไหนๆ...


     ผ่านไปเป็นชั่วโมง แม้ผมจะไม่ค่อยมีบทพูด แต่ผมกลับมีความสุข เพราะสัมผัสได้ว่าพี่ชินดูอ่อนลงและเป็นกันเองกับแม่ผมมาก แม้ว่า ทุกคนจะจัดการอาหารตรงหน้ากันหมดไม่มีเหลือ แต่แม่และพี่ชินยังคุยกันต่ออย่างออกรสชาติ ทว่า แม่ผมนั่งคุยอีกไม่นาน ก็ปล่อยให้พี่ชินกลับบ้าน เพราะได้ยินเสียงฟ้าร้อง คำราม


"ขอบคุณคุณชินมากเลยนะคะ ที่ยอมเสียเวลามา"


"ผมก็ขอบคุณเช่นกันนะครับ อาหารอร่อยมากๆ ไว้ผมขอมาฝากท้องอีกวันหลังนะครับ"


      ผมชะงัก เมื่อพี่ชินพูดกับแม่ของผมแบบนั้น มันเป็นคำสัญญาลวงๆที่พูดเพื่อรักษามารยาท หรือคำสัญญาจากใจ อันนี้ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน

     ผมนั่งมองหน้าเขา เมื่อพี่ชินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง


"ยินดีมากๆค่ะ เอ่อ...ถ้าคุณชินไม่รังเกียจจะนอนค้างที่นี่ก็ได้นะคะ"

"เอ่อ..อย่าเลยครับ เดี๋ยวผมกลับบ้านดีกว่า"

"ได้ค่ะ"

"ผมลาแล้วนะครับ ขอบคุณมากครับ"

"ค่ะ...ติไปส่งคุณชินสิลูก"
แม่ผมยิ้มให้พี่ชินเสร็จก็หันมามองผมด้วยสายตาดุๆ

"ครับ"

   
        ผมเดินมาส่งพี่ชินจนถึงรถยนต์ของเจ้าตัว เขาก็หันมายิ้มให้ผม

        ผมไม่อยากจะเชื่อ? ผมตาฝาดไปหรือเปล่า?


"ได้ยินคุณคุยกับแม่แล้วน่ารักดี ไม่เคยเจอ.." มันจะดีอยู่แล้วเชียว ถ้าเขาไม่ถามผมด้วยคำถามนี้ ผมหน้าแดง ยอมรับว่าอาย เพราะสมัยเรียนมอปลาย เพื่อนผมก็ล้อบ่อยเหมือนกัน ผมชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ

"พี่อย่าเอาไปแซวผมที่ออฟฟิสนะ"

"ทำไม? ไม่ใช่เรื่องน่าอายสักหน่อย"

"พูดแบบนี้แสดงว่าจะเอาไปแซวหรอ?"



    ผมเห็นพี่ชินยักไหล่ไม่แยแส หมุนตัวกลับไปจับที่จับประตูรถอย่างไม่สนใจ ผมโกรธที่อีกฝ่ายไม่ตอบ ดึงไหล่พี่ชินให้หันมา แต่เพราะผมออกแรงมากไปหน่อย เลยทำให้พี่ชินเซถลา แผ่นหลังกระแทกรถ แววตาที่ดูผ่อนคลายกลายเป็นวาวโรจน์ พี่ชินคงประเมินอยู่ว่าผมจะต่อยเขาเหมือนคราวก่อนหรือเปล่า? 


    และใช่ครับ ผมเกือบทำอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่า คำพูดของแม่ลอยเข้ามาในหัวเสียก่อน

   ผมควบคุมอารมณ์ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ จุดรอยยิ้มละมุน ก้าวไปประชิดตัวพี่ชิน เหลือบมองรอยฟกช้ำ ก่อนจะยื่นมือไปแตะแผลเบาๆ และพูดว่า


"เพื่อเป็นการไถ่โทษ และถ้าพี่ไม่รังเกียจ...ผมขอทำแผลให้พี่ชินได้ไหมครับ?"

    อาจเป็นเพราะใกล้กันมาก ผมถึงเห็นอาการอีกฝ่ายชัด ทั้งหน้าแดง สายตาหลุกหลิก ก่อนจะรีบหลุบตาลงต่ำ และวินาทีต่อมา พี่ชินก็ปัดมือผมออกจากใบหน้าของเขา

"มะ...ไม่ต้อง เดี๋ยวผมกลับไปทำแผลที่บ้านเอง"




****1.1****
:hao3: :hao3: :hao3: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3|| 12-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-04-2018 23:21:49
l;

สวัสดีปีใหม่ไทย
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3|| 12-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-04-2018 23:30:34
 :katai2-1:

กรุบกริบ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3|| 12-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-04-2018 00:12:20
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3|| 12-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-04-2018 01:20:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...คล้ายว่าคนพี่จะแอบรู้สึกดีกับคนน้องนะ  เพียงแต่ว่าเขินมากจนต้องเสแสร้งพูดไม่ดีใส่ตลอดเว
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3.2|| 15-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 15-04-2018 18:58:28
ตอนที่ 3 คำขอโทษ (2)




    เมื่อวันหยุดผ่านพ้นไป วันแห่งการทำงานก็หวนกลับมาอีกครั้ง และวันนี้เป็นวันที่ผมต้องออกไปพรีเซ็นต์งานกับอชิ แต่ผมดันตื่นสาย สงสัยคงเป็นเพราะเมื่อคืนผมโทรคุยกับอชิดึกไปหน่อย เธอโทรมาเพราะห่วงผมเรื่องที่ทะเลาะกับพี่ชิน แต่ผมบอกเธอไม่ต้องห่วงเพราะผมรู้ดีแก่ใจว่าผมเคลียร์กับพี่ชินเรียบร้อย เพียงแต่ผมยังไม่บอกอชิเท่านั้น


      พอรู้ว่า ต้องออกไปคุยงาน ผมจึงแต่งตัวสุภาพใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงแสล็คสีดำ ซึ่งมันก็คงดูดีกว่าที่ผมแต่งแค่เสื้อยืด-กางเกงยีนส์แบบทุกครั้ง

       
        ผมใช้เวลาสี่สิบห้านาทีในการเดินทางก็ถึงที่ทำงาน ผ่านร้านสะดวกซื้อหน้าตึก ผมไม่พลาดที่จะซื้อของให้บัดดี้ แต่คราวนี้ ผมซื้อให้เยอะกว่าทุกที เพราะเห็นว่าผมจะออกไปข้างนอก


       จ่ายเงินเสร็จแล้ว ผมเดินขึ้นไปออฟฟิส เหลือบมองไปทางโต๊ะพี่ชินก็เห็นว่ามาถึงแล้ว ผมไม่สามารถเอาของที่ซื้อมาไปวางไว้ได้ จึงเดินไปโต๊ะตัวเอง นั่งได้สักพักพี่ชินก็เดินมาหาผม พอเห็นร่างสูงยืนค้ำหัว ผมเงยหน้าขึ้นไปก็เผลอมองตาค้าง ใบหน้าที่เคยนิ่ง หยิ่ง พอมาลุคส์นี้ ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์ น่าค้นหา ผมดำขลับเสยเรียบกับชุดสูทสีกรมท่าที่ดูเรียบโก้ สง่าแต่ทว่าลึกๆแล้ว ลุคส์นี้พี่ชินกลายเป็นผู้ชายเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก
     

"อชิโทรมาลาบอกว่าไม่สบาย คุณต้องไปกับผม"


      ผมจ้องมองตาไม่กระพริบ จนอีกฝ่ายโน้มตัวลงมา ตบโต๊ะเบาๆเรียกสติ


"เฮ้! ฟังผมอยู่ไหม?"


"หา...อะไรนะครับ"

"นี่คุณใจลอยไปไหน? อชิไม่สบาย เราต้องไปกันแล้ว นัดลูกค้าไว้สิบเอ็ดโมง เดี๋ยวไม่ทัน"

"อ้าวหรอครับ?"


      พี่ชินพยักหน้า โชคดีที่ผมยังไม่ได้เปิดคอมพิวเตอร์เลยลุกตามพี่ชินไปโดยใช้เวลาไม่นาน จนมาถึงหน้าลิฟต์ ขณะที่ยืนรอ ผมเพ่งมองรอยช้ำพี่ชินที่จางลง เหมือนเขาคงโปะครีมปิดทับหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ผมก็สังเกตได้ว่าร่องรอยยังเหลืออยู่


"รอยช้ำยังเห็นอยู่เลย พี่จะไปจริงๆหรือครับ?"

"ถ้าผมไม่ไป ใครจะพรีเซ็นต์งาน"


      ผมเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนลอบมองคนสปิริตแรงกล้า คงจริงอย่างที่พี่แท็คบอกแล้วล่ะว่า พี่ชินเป็นคนตั้งใจทำงานมากจริงๆ


      ตอนนี้ ผมและพี่ชินเดินออกมาจากลิฟต์ มุ่งหน้าไปยังรถยนต์ของคนพี่ จังหวะที่ผมสอดตัวเข้าไปในรถของพี่ชินก็ได้กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศ ผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นกลิ่นอะไร แต่กลิ่นมันสดชื่นๆเหมือนอยู่ริมทะเลอย่างไรอย่างนั้น


"อ้อ...ผมลืมไปเลย มีคนฝากมาให้พี่ครับ" ผมยื่นถุงพลาสติกที่บรรจุของกินอยู่ในนั้น พี่ชินบอกให้ผมวางไว้ข้างๆก่อน


     พอช่วงที่รถติด พี่ชินหยิบขึ้นมาแหวกถุงดูข้างใน



"ทำไมวันนี้ไม่มีอมยิ้ม"

"ก็เห็นว่าต้องออกไปข้างนอก ผมก็เลยซื้อของอย่างอื่นให้แทน"



       เชี่ยเอ้ย!

       ผมตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ด้วยความลืมตัวนึกว่าพี่ชินถามผม ผมเลยบอกไปอย่างไม่รู้เลยว่ามันต้องเป็นความลับ

       พี่ชินหรี่ตามอง


"คุณนี่เอง"

"เอ่อ คือ..."



      จนคำพูด เพราะไม่มีคำแก้ตัวอะไรที่ดูสมเหตุ สมผล


"หมดสนุกเลย แต่ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็เฉลยแล้ว ผมไม่บอกใครหรอก"


     ผมมองหน้าพี่ชินที่เขาก็ว่าเรียบๆไม่ได้สนใจอะไร แต่ตามกฏจริงๆเขาไม่ควรจะรู้ว่าใครเป็นคนให้ก่อนเฉลย ผมยืดอกรับอย่างแมนๆว่า...


"ผมยินดีให้พี่ทำโทษครับ"

"คุณเป็นอะไรมากไหม? มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรขนาดนั้น"

"แต่ผมไม่สบายใจ"


    พี่ชินละสายตาจากท้องถนนหันมามองผมทำนองว่า นี่...มึงเครียดเกินไปหรือเปล่า ? อย่างนั้นเลย


    จากนั้น พี่ชินตอบกลับมา...


"ไว้นึกได้จะบอกแล้วกัน ว่าแต่ทำไมคุณต้องให้อมยิ้มผมทุกวัน"


"ก็ผมอยากเห็นพี่ยิ้มนี่ อมยิ้ม ของผม คือตัวแทนของรอยยิ้ม"

"คุณมาที่นี่ก็เพื่อมาทำงานและเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงาน จะมาสนอะไรกับคนจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม"

"สนสิครับ เพราะถ้าพี่ชินยิ้ม มันก็ช่วยให้ผมมีแรงใจในการทำงานต่อไปได้ทุกวันไงครับ"


     ผมว่าผมใช้คำพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? ผมเห็นพี่ชินชะงัก กัดปากเงียบ ไม่หันมามองหน้าหรือพูดอะไรกับผมอีกเลย


     พอพี่ชินมีอาการเปลี่ยนไป ไม่ยอมพูดกับผม ผมเลยคุยแชทกับเพื่อนทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ผมมีเพื่อนมากมาย แต่ที่สนิทมากหน่อยก็สามคนครับ จะว่าไปแล้ว พอผมได้งานที่นี่ ผมก็ยังไม่เจอะเจอเพื่อนผมเลย สงสัยคงต้องนัดกันไปแฮงก์เอาท์สักหน่อย


      กินเวลาไปเกือบชั่วโมง กว่าจะถึงบริษัทที่ผมต้องมาพิชชิ่งงาน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง พี่ชินแลกบัตรประชาชนตรงจุดประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นบัตรผ่านในการเข้าลิฟต์ไป


     จังหวะที่เรายืนรอ พอประตูลิฟต์เปิดออก พนักงานส่งเอกสารปรี่ออกมาจากด้านในไม่ดูตาม้า ตาเรือ กระแทกไหล่พี่ชินอย่างจังจนคนหยิ่งเซถลามาหาผมที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผมจึงต้องประคองไว้



     ผมจะไม่โกรธเลยถ้าพนักงานส่งเอกสารจะหันมาขอโทษสักหน่อย


"เฮ้ย! ไม่คิดจะขอโทษหน่อยหรอวะ?"


     ผมตะโกนเสียงดังมากจนพนักงานรปภ. ที่ยืนห่างจากลิฟต์ไม่ไกลรีบเดินก้าวๆยาวอย่างกลัวจะเกิดเรื่องในอาคารอันหรูหรา


"เออ...ขอโทษเว้ย" หันมากระแทกเสียงใส่ด้วยหน้ายียวน

 
    ผมโมโหแทนพี่ชินแต่สิ่งที่ทำให้ผมอึ้งคือพี่ชินจับแขนผมให้รีบเข้าไปในลิฟต์ และหันมาหาผมด้วยความไม่พอใจ


"คุณจะโวยวายทำไม อายคนอื่นบ้างหรือเปล่า? เขาอาจไม่ได้ตั้งใจก็ได้"


      ผมชะงัก หันไปมองพี่ชินที่ก้มหน้าจัดสูทตัวเองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
     

"ก็...ถ้ามันชนพี่เบาๆ ผมจะไม่ว่าเลย แต่..."

"ไม่ต้องพูดแล้ว พอเถอะ...ตอนคุณต่อยผมเสร็จจากนั้นคุณขอโทษผมเลยหรือเปล่าล่ะ?"


   
 กึก!


     ชะงักงันทันที

      พอโดนย้อนกลับมาบ้าง ผมพูดไม่ออก เถียงก็ไม่ได้ เมื่อตัวเองก็เคยทำแบบนี้กับพี่ชินมาก่อน ผมมองหน้าพี่ชินสลด


"ผมขอโทษนะครับพี่ชิน"

 
     พี่ชินมองหน้าพลางลอบถอนหายใจ ทำให้ผมไม่กล้าพูดอะไรอีก จนกระทั่ง ประตู ลิฟต์เปิดออกกว้าง ผมและเขาก็เดินออกไป


    ผมเหวอเลย...ใบหน้านิ่งขรึมเมื่อสักครู่กลับแจกรอยยิ้มทรงเสน่ห์แก่พนักงานประชาสัมพันธ์ตรงหน้าทางเข้า


     ผมเห็นเธอยกหูโทรศัพท์ต่อสายคุยกับใครสักคน ก่อนที่จะบอกให้ผมและพี่ชินไปนั่งรอตรงส่วนรับแขก


      สิบนาทีมีหญิงสาว ปากแดง หุ่นดีเดินมาทัก


"สวัสดีค่ะ คุณชินดนัย"

"สวัสดีครับ" พี่ชินลุกขึ้น ผมถึงลุกขึ้นตาม

"วันนี้มาเองเลยหรือคะ?"

"ครับ"
ใบหน้าคมเข้มซ่อนหวานผุดรอยยิ้มขึ้น ผมยืนสังเกตอาการของผู้หญิงดูเหมือนเธอจะเคลิบเคลิ้มอยู่ไม่น้อย
   

   เธอเชื้อเชิญให้เราเข้าไปนั่งรอที่ห้องประชุมก่อน


   ช่วงที่ยังไม่มีใคร พี่ชินซักซ้อมกับผมว่า หากเขาไม่รู้เรื่องการออกแบบเชิงลึก เขาจะโยนคำถามมาให้ผม ผมพยักหน้า ยอมรับนะว่าตื่นเต้น ก็ผมเป็นคนทำงานเบื้องหลัง พอต้องออกมาปรากฏกายแก่สายตาคนหมู่มาก ผมมักไม่ชินเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่ชินต้องการความช่วยเหลือผมก็เต็มใจช่วย


     เมื่อลูกค้าสี่ท่านที่จะมาฟังการพรีเซ็นต์ของพวมผม เดินเข้ามานั่งกันครบ พี่ชินแนะนำตัวเองและผม พร้อมกับเข้าประเด็นในการพรีเซ็นต์งานวิดีโอโฆษณาเผยแพร่ทางออนไลน์เกี่ยวกับน้ำยาปรับผ้านุ่มว่าทางบริษัทเราจะทำโฆษณาอย่างไรให้ดึงดูดใจผู้บริโภค


     พี่ชินโชว์ สตอรี่ บอร์ด พร้อมพรีเซนต์งานไปได้อย่างไหลลื่น อธิบายเห็นภาพได้เป็นฉากๆ และทุกครั้งที่มีการพาดพิงถึงงานออกแบบ เขาจะให้เกียรติผมด้วยการแนะนำว่าผมเป็นส่วนสำคัญในการทำผลงานชิ้นนี้


    พี่ชินใช้เวลาไปสี่สิบนาทีในการพรีเซ็นต์ผลงานจนจบสิ้น ดูเหมือนว่าทุกคนค่อนข้างปลาบปลื้มกับผลงานของบริษัทผมและที่พี่ชินถ่ายทอดออกมา


    พี่ชินเก็บคอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ้คเข้ากระเป๋า และยื่นมาให้ผมถือ เพื่อจะเดินไปคุยกับหัวหน้าอีกท่านที่มีคำถาม ผมมัวแต่มองพี่ชินจึงรับกระเป๋ามาโดยไม่รู้เลยว่า มือผมวางทับบนมือของพี่ชินจนอีกฝ่ายตกใจ หันขวับมามองก่อนจะปล่อยมือออกจากที่จับกระเป๋าแล้วเดินไปคุยอีกฝั่ง


     ผมเดินออกมารอพี่ชินตรงส่วนรับแขก และยังคิดเรื่องพี่ชินพลางอมยิ้มคนเดียว ผมว่าพี่ชินมีหลายบุคลิกที่ผมคาดเดาไม่ได้เลยจริงๆ

     ผมรอไม่นาน ผู้หญิงปากแดงคนเดิมก็เดินมาพร้อมพี่ชินเพื่อมาส่ง

     จบแล้วสำหรับการคุยงาน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก และเดินเข้าลิฟต์มากับพี่ชิน


"พี่ชินเก่งจังครับ"


    พออยู่กันสองคนแล้ว ผมเอ่ยปากชื่นชมพี่ชินจากใจหลังจากได้เห็นความสามารถของเขา ผมเชื่อนะว่า คนเราถ้ามีความสามารถ หรือ มีความเก่งในแบบที่แต่ละคนถนัด มันเพิ่มเสน่ห์ได้หลายเท่าตัว

    และโดยเฉพาะพี่ชินที่มีความหน้าตาดีและยิ้มมีเสน่ห์เป็นทุนเดิมพอเสริมความเก่งเข้าไป ผมว่าพี่เขาเป็นอีกคนที่ดูน่าหลงใหลขึ้นเยอะเลย


"ขอบคุณ" คนตอบหน้านิ่ง และพูดต่อ  "วันนี้เสร็จงานเร็ว คุณจะกลับบ้านเลยก็ได้นะ"

"ครับ แต่นี่มันก็เที่ยงกว่าแล้ว เราไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ? พี่ชิน"


"เอาสิ"

 
    ผมยิ้ม จากนั้นเราเดินทางไปกินข้าวเที่ยงที่ห้างสรรพสินค้าที่ห่างออกมาหน่อย

    ถึงห้างสรรพสินค้า พี่ชินก็เดินดุ่มๆเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นโดยไม่ถามผมก่อนสักคำ

    ผมได้แต่คิดในใจว่า...พี่ชินครับ? เงินเดือนผมยังไม่ออกนะครับ ราคาร้านอาหารญี่ปุ่นขึ้นห้างแบบนี้ ถึงต่อให้หารสองแล้ว ราคาก็แพงหูฉี่อยู่ดี

    พี่ชินเลือกที่นั่งริมกระจก สักพักพนักงานก็เดินมายื่นเมนูให้ได้พิจารณาอาหาร

    ผมยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไร แต่พี่ชินสั่งไปสองเมนูแล้ว

    อีกฝ่ายปิดเมนูแล้วถามผม


"นึกไม่ออกหรอ?"

"ครับ พี่ชิน มีแนะนำไหมครับ?"

"คุณจะกินพวกเบนโตะ เซ็ตไหม?"


     พี่ชินพูดและเปิดเมนูขึ้นอีกครั้ง ชี้หน้าเมนูเหล่านั้นให้ผมดู ผมรีบเออออ จิ้มตาม พนักงานรับออเดอร์ทวนรายการ แล้วเดินจากไป ผมถอนหายใจยาว และมองพี่ชินที่อีกฝ่ายเหมือนมองผมอยู่ก่อนแล้ว


"พี่ชอบกินอาหารญี่ปุ่นหรอครับ?"

"อืม...ชอบ อย่าบอกนะว่าคุณไม่ชอบ?"

"เอาจริงๆเลยนะพี่ ไม่ชอบครับ แต่ก็พอกินได้แหละ"


     จู่ๆ พี่ชินชะเง้อคอมองอะไรบางอย่าง จากนั้นเขายกมือเรียกพนักงานให้เดินมาที่โต๊ะและบอกว่าอาหารที่สั่งไปทั้งหมดช่วยทำแบบกลับบ้านพร้อมคิดเงินให้ด้วย


    ผมมองพี่ชินอย่างไม่เข้าใจ
 

"พี่บอกเอากลับบ้านทำไมครับ เราจะไม่กินกันแล้วหรอ?"

"ก็คุณบอกไม่ชอบ"

"ผมไม่เรื่องมากหรอกครับ ถ้าสั่งแล้ว ผมก็กินได้"

"คุณชอบกินอะไร?" ผมมองพี่ชินที่ทำหน้าดุๆ สรุปแล้วเขาโกรธผมที่ไม่บอกว่าไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นหรือโกรธเพราะโมโหหิวกันแน่?

   พี่ชินทำหน้าไม่พอใจ ผมรีบตอบอย่างไว


"พวกอาหารอีสาน ส้มตำน่ะครับ"


    ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมใจสั่นและใจเต้นแรงอีกแล้ว...


    ผมเห็นอีกฝ่ายทำหน้านึก และได้ยินพี่ชินบ่นพึมพำเบาๆ


"ในห้างนี้น่าจะมี"


     นอกจากคนมีความสามารถ ผมแพ้คนเอาใจ และผมว่าพี่ชินกำลังทำกับผมแบบนั้น


     เกือบครึ่งชั่วโมงที่พนักงานนำอาหารญี่ปุ่นบรรจุกล่องอย่างดีมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับค่าอาหารที่พี่ชินเป็นคนจ่ายให้ทั้งหมด ผมยื่นเงินให้ เขาก็ปฏิเสธและบอกว่าเขารับผิดชอบเอง และพาผมไปยังร้านใหม่


       ทั้งๆที่มันต้องเดินไกล อยู่คนละโยชน์ คนละชั้น แต่พี่ชินก็พาผมมาถึงร้านอาหารส้มตำจนได้


        พอนั่งปุ๊ป ผมถามพี่ชินปั๊ป แต่ฝายนั้นบอกให้ผมเลือกได้ตามใจชอบ และพอเป็นเมนูอาหารอีสาน ผมนี่ลาภปาก สั่งได้แทบไม่ต้องดูเมนูอาหารด้วยซ้ำ


        สั่งเสร็จเรียบร้อยที่เหลือก็รออาหารมาเสิร์ฟ

 

"อันที่จริง พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ผมรู้สึกผิดน่ะ"

"รู้สึกผิดแล้วหรอ? เห็นสั่งรัวๆเลยนะ"


      มองคนพูดแขวะ แต่ผมก็หัวเราะกลับไป


"โถ่...พี่ชินผมสั่งเผื่อพี่นะ"

"ก็ดี...ผมไม่ชอบกินอาหาร ในขณะที่คนนั่งด้วยทำหน้าอมทุกข์"


"รับรองครับ พี่จะไม่มีทางได้เห็นสีหน้าแบบนั้นแน่นอน"



     ผมยิ้มหวานให้พี่ชิน แต่ผมเห็นว่าพี่ชินแกไม่สนรอยยิ้มของผมเลย กลับเสหน้าหนีไปทางอื่น
     
     เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พออาหารอีสานที่ผมสั่งทะยอยมาเสิร์ฟจนใกล้ครบ ด้วยความหิวจนแสบท้อง เพราะกว่าจะได้กินก็ล่อไปเกือบบ่ายสอง


     ผมเลยขออนุญาตพี่ชินกินก่อน อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ และค่อยๆตักลาบเป็ด ส้มตำคำน้อยๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับผม ที่ตักคำใหญ่โตไม่พอ แถมยัดเข้าปากอย่างไม่กลัวติดคอ ทั้งข้าวเหนียว คอหมูย่าง ลาบหมูทอด

    พออาหารถูกเติมลงท้อง อาการของผมก็เปลี่ยนไป ผมมีความสุขมากกว่าเดิม และไม่แปลกที่อาหารตรงหน้าจะหมดเกลี้ยงในพริบตา


     ผมกินจนไม่สนใจถามพี่ชิน พอถึงจังหวะจ่ายเงิน ผมจะควักจ่าย พี่ชินก็ชิงตัดหน้าไปก่อน และบอกว่า เขาเป็นเจ้ามือเอง


     ผมนั่งนิ่งเลยครับ ผมว่าพี่ชินเปลี่ยนไปมาก เช่นวันนี้ พี่ชินดูละมุนกับผม แม้จะมีบ้างที่สุ้มเสียงยังดูแข็งๆอยู่บ้าง แต่การกระทำนั่นดูอ่อนโยน และเอาใจใส่อย่างน่าประหลาด


"ขอบคุณนะครับพี่ชิน เออ แต่ผมเห็นพี่ชินกินน้อยมาก ไม่หิวหรอครับ"

"ผมเหลือท้องไว้กินอาหารญี่ปุ่น"
พี่ชินบอกพลันชำเลืองมองไปที่กล่องอาหารญี่ปุ่นที่วางอยู่ข้างๆ


     ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวก็ตอนนี้นี่แหละ...

    ผมก็คงไม่ต่างจากนิทานโบร่ำโบราณอย่าง ก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ล่ะมั้ง  พอผมหิวข้าวมากจนตาลาย แถมจะกินม้าได้ทั้งตัว เลยทำให้ละเลยใส่ใจความรู้สึกคนอื่น  การที่ผมถามพี่ชินก่อนหน้า มันก็แค่ถามเป็นพิธีไปอย่างนั้น

      จนกระทั่งอิ่มท้องอย่างมีความสุข ผมถึงมีเวลาได้ตระหนักว่า...


"พี่ชินไม่ชอบอาหารอีสานใช่ไหม?"

   
     ผมโน้มตัวไปหา วางศอกลงบนโต๊ะ หรี่ตามองพี่ชินที่ทำท่าอึกๆอักๆ ก่อนจะตอบปฏิเสธ


    ทำไมผมเป็นคนแบบนี้ไปได้ล่ะ ผมโคตรเห็นแก่ตัวเลย ผมเอาแต่ตัวเอง ผมรู้ได้ในทันทีว่า เขากำลังโกหกผมอยู่ พี่ชินไม่ชอบกินอาหารอีสาน ผมเหลือบมองจานของเขา อาหารที่ตักไปก่อนหน้ายังเหลือเท่าเดิม
 
    ผมกุมขมับ และขอตัวพี่ชินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อครุ่นคิดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

    ผมโคตรจะไม่ชอบตัวเองในมุมนี้เลย ให้ตายเถอะ!!

    แต่ในความไม่ชอบที่ตัวเองนิสัยเสีย ผมกลับเจอบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจผม

   ผมชอบพี่ชินเข้าแล้ว...

    อ้าว...แล้วอชิล่ะ ผมชอบเธอแบบไหนกันแน่?



...........................................


สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ (ทันไหม? 5555)

ขอบคุณทั้งคนอ่าน คนคอมเมนท์ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ  :z2: :z2: :z2: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3.2|| 15-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-04-2018 19:51:52
 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3.2|| 15-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-04-2018 22:51:54
 :เฮ้อ: สับสน
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3.2|| 15-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-04-2018 23:30:15
 :pig4: :pig4: :pig4:

จะ  "พี่ชิน"  หรือ  "พี่จิณณ์"  กันแน่เนี่ย?

สับสน

หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 3.2|| 15-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-04-2018 01:16:21
 :hao3:

ชอบมาสักพักแล้วจ่ะ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4|| 16-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 16-04-2018 23:01:34
ตอนที่ 4 รู้ใจตัวเอง




      เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงวันศุกร์อีกแล้ว หลายวันที่ผ่านมานี้ แม้งานจะเยอะมากก็จริง แต่ไม่รู้ ผมมีเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงทำงานหามรุ่ง หามค่ำได้ไม่มีเหนื่อย สงสัยคงได้รอยยิ้มทีเผลอจากใครคนนั้น...เพราะตั้งแต่ผมรู้ใจตัวเอง ผมชอบแอบมองพี่ชิน ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม



      แต่ก็แปลกใจอยู่อย่าง จากแต่ก่อน เดินไปกินข้าวด้วยกัน คุยงานกัน ผมรู้สึกเฉยๆ แต่พอรู้ใจตัวเองว่าชอบปุ๊ป แค่พี่ชินเดินเฉียดผม เอ่ยถามผมว่ากินอะไร เพียงเท่านี้ ผมก็ใจเต้นแรงขึ้นแล้ว



      แม้ผมยังไม่ได้บอกชอบพี่ชิน แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ ผมก็มีความสุขนะ ที่ได้มอง ได้คุย ได้อยู่ใกล้ คนเราก็ควรมีความสุขกับอะไรเล็กๆน้อยพวกนี้ไม่ใช่หรอ?

      และเลิกงานวันนี้...ผมตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะแก็งค์บัดดี้มีนัดสังสรรค์กันนิดหน่อย เนื่องจากนอกเวลางานทีไร ผมมักเห็นพี่ชินในมุมผ่อนคลายเสมอ

     นอกจากนี้ ผมเริ่มเชื่อที่อชิบอกแล้วว่า พี่แท็คชอบเป็นตัวตั้งตัวตีในการชวนเพื่อนๆดื่ม เพราะไม่ใช่แค่วันนี้ ที่พี่แท็คอ้างว่า พาน้องใหม่อย่างผมไปเลี้ยงอีกรอบ แต่พี่แท็คยังสามารถบังคับทุกคนให้ไปที่คอนโดแกในวันพรุ่งนี้ เพื่อเฉลยบัดดี้อีกด้วย

      ดูสิดู...พี่แท็คสามารถตั้งประเด็น หาเรื่องมาดื่มได้จริงๆ ผมล่ะนับถือแกเลย...


      แต่ผมรู้นะ เหตุผลหลักๆที่พี่แท็คพยายามคะยั้นคะยอทุกคนให้ไป ส่วนหนึ่งคงเป็นห่วงและอยากให้แน่ใจว่าผมกับพี่ชินไม่มีปัญหากันแล้วจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ พวกๆพี่ก็รู้อยู่ว่าผมมีคดีกับพี่ชิน แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมคุยกับพี่ชินเป็นปกติ มันสร้างความฉงนใจให้คนที่พบเห็น ผมจึงต้องหาโอกาสคุยกับพี่แท็ค สองต่อสอง บอกความจริงว่าผมไม่ลาออก และสาเหตุที่ผมคุยดีกับพี่ชินได้แล้วนั้น เพราะผมชวนพี่ชินไปทานข้าวที่บ้านเพื่อเป็นการขอโทษ


      และแล้วช่วงเวลาแห่งการสังสรรค์ได้เริ่มขึ้น ในเวลาหนึ่งทุ่มเศษๆ พวกผมก็เดินทางถึงร้านคราฟต์เบียร์กันแล้วเรียบร้อย


      จัดแจงหาที่นั่งกันได้ก็เรียงกันไปมีพี่ป๊อด อชิ ผม พี่แท็ค พี่พอล ส่วนพี่ชินนั่งตรงข้ามกับผมพอดี ผมนี่ยิ้มกรุ้มกริ่มเลยครับ เพราะจะได้มองอย่างถนัดถนี่


       พนักงานวางเมนูเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ ทุกคนกวาดตาหารายการโปรด ส่วนผมมีเมนูในใจ ไม่พลาดที่จะสั่งคราฟต์เบียร์ไทย อย่าง ชาตรี IPA ผมบอกพนักงานเป็นคนแรก ตามมาด้วยพวกพี่ๆที่เห็นจะสั่งพวกเบียร์สัญชาติเบลเยี่ยม บ้างก็เบียร์ดำ ส่วนสาวสุดน่ารักของผมอย่างอชิก็สรรหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ออกแนวฟรุตตี้หน่อย


    ช่วงที่รอเบียร์มาเสิร์ฟ ผมไม่สนใจคนอื่น นอกจากคนตรงหน้า ผมจ้องมองพี่ชินไม่ละสายตา


      ผมดีใจนะที่รู้ว่าเขายังไม่มีแฟน มันทำให้ผมมีโอกาสจีบ แม้ผมไม่รู้ว่ามันจะผิดหวัง -สมหวัง แต่ผมก็จะเสี่ยง


     ผมมองเขาอยู่อย่างนั้น จนเป็นจังหวะที่พี่ชินละสายตาจากเครื่องมือสื่อสาร เงยหน้ามาประสานสายตากับผมพอดี ผมถือจังหวะนี้ ส่งยิ้มให้เขา แต่พี่ชินเอาอีกแล้ว เขาเบนหน้าหนีไปทางอื่น ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้รุกคืบ


      ก้มหน้า ถอนหายใจ พี่ชินเป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า เอาแต่หลบหน้าผม แล้วเขาจะรู้ไหมว่าผมชอบ


      สักพัก เครื่องดื่มที่ทุกคนสั่งถูกวางลงตรงหน้าของเจ้าของเมนู พี่แท็คชูแก้วขึ้นสูงก่อนใคร แล้วเอ่ย


"ไหนๆก็มาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว เอ้า!!!! แด่น้องใหม่เว้ย"



        ทุกคนยื่นแก้วมาไว้กลางวงแล้วชนจนเสียงแก้วดังกระทบกัน


      เสียงชนแก้วดังขึ้น ดั่งระฆังแห่งมิตรภาพที่บ่งบอกว่ามันได้เริ่มต้นแล้ว


      ทุกคนกระดกกันพอเป็นพิธี แต่สายตาที่พี่แท็คหันมามองผมและยิ้มเจ้าเล่ห์นั้น ผมชักเสียวสันหลังแปลกๆ


"เราควรรับน้องใหม่หน่อยนะ"


        ภาพลักษณ์ภายนอกผมนี่โคตรเก๋ามากแต่ในใจลึกๆนี่กลัวสุดขีด


"รับน้องยังไงครับ บอกมาได้เลย"

"มึงแม่งเจ๋งจริงว่ะ ได้ทุกอย่างนะ"

"ได้ครับ"
ยิ้มมั่นใจเต็มที่

"จูบไอ้ชินตรงนี้"

    ทุกคนทำหน้าเหวอ

    ส่วนผมน่ะหรอ? ทำหน้าดีใจสิครับและรีบตอบอย่างไว จะรออะไรล่ะ


"ได้ครับ แต่ขอในห้องน้ำได้ไหม? ผมไม่อยากให้คนมองพี่ชินไม่ดีน่ะครับ"


     โดนคนชงมาให้ขนาดนี้ มีหรือจะพลาด!!... ผมพูดจริงทำจริงนะ บอกเลย!!...

     ทั้งโต๊ะ ส่งเสียงร้องโห่ฮิ้ว ชอบใจกันมาก แต่มีบางคนหน้าบึ้งเป็นตูดแล้วครับ


"เพื่อนเล่นหรอ?" พี่ชินตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์  ผมนี่จ๋อยเลย ไม่รู้สิพอผมชอบพี่ชิน ผมไม่ค่อยอยากขัดใจพี่ชินมากเท่าไหร่ 


     ส่วนพี่แท็คตอนนี้ ก็โดนเพื่อนด่าไปตามระเบียบ


"ไม่ต้องเอากูไปเกี่ยวเลย ไอ้แท็ค"

"โถ่...แค่อำเล่นน่า ไอ้ชิน ก็กูเห็นมึงเคยมีปัญหากัน ก็ไม่อยากให้เกลียดกัน รักๆกันไว้น่ะดีแล้ว!"



     พี่ชินไม่พูดอะไร และผมก็ไม่อยากให้บรรยากาศดูอึมครึมจึงอาสาสร้างความบันเทิง


   
"เอางี้...ดีกว่าครับ พี่แท็คกับผมมาดื่มกันให้หมดแก้ว ใครหมดทีหลัง คนนั้นโดนทำโทษ"


"โห...ท้ากูหรอไอ้ติ มึงมั่นใจว่ามึงไหว?"

"ฮ่าๆ ไหวสิครับ ถ้าไม่ไหวอย่างมากก็นอนป้ายรถเมล์ ผมเคยทำมาแล้ว"



"ไม่เอา เดี๋ยวยุงกัด ตินอนห้องชิก็ได้"

      จากเสียงหัวเราะครืนที่ลุ้นชายหนุ่มสองคนที่กำลังถกเถียงและท้าท้ายกันอยู่กลับเงียบกริบ เมื่อเสียงหญิงสาวแทรกขึ้น ทุกคนมองหน้าอชิและผมสลับกันไป-มา


"ทำไมอชิพูดแบบนั้น?" พี่ชินถามอชิ แล้วอชิก็ก้มหน้าตอบ

"ชิคบกับติอยู่ค่ะพี่ชิน"


       ผมหันขวับเลย เฮ้ย!...อชิทำแบบนี้ไม่ได้นะ พูดออกไปแบบนั้นได้ยังไง ผมยังไม่เคยบอกเลยว่าเราจะคบกัน


      ผมหันไปมองพี่ชินที่อีกฝ่ายมองมาพอดี ผมอ้าปากพะงาบๆไร้เสียงจะสื่อสารว่ามันไม่ใช่แบบที่พี่เข้าใจ แต่พี่ชินละสายตาจากผมไปมองหน้าอชิแทน


       ทำไม ทำไม? อชิทำกับผมแบบนี้...ผมหน้าเสีย และไม่กล้าบอกปฏิเสธ เพราะกลัวว่าจะเป็นการฉีกหน้าอชิต่อหน้าทุกคน


       ท่ามกลางบรรยากาศมาคุ ผมไม่สนเกมส์ที่บอกไปก่อนหน้า กระดกเบียร์หมดแก้วด้วยความเซ็ง ผมเหลือบเห็นพี่แท็คก็ทำแบบเดียวกับผม และระหว่างนั้น...


"พี่แท็คคะ"


       หันขวับกันทั้งโต๊ะเมื่อมีผู้หญิงแต่งตัววาบหวิวในชุดสีดำ เดินมาสะกิดไหล่พี่แท็ค


"อ้าว...มันแกว มาทำอะไรแถวนี้"

"มากินวันเกิดเพื่อนค่ะ"
ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปที่โต๊ะไกลออกไปหน่อย

"หรอ? พี่คิดถึงมันแกวพอดีเลย...เดี๋ยวกูมานะ"  พี่แท็คบอกพวกพี่ชินและดึงแขนผู้หญิงไปคุยที่อื่น พอผมจะหันไปเคลียร์กับอชิ ผมช็อคเมื่อเห็นเธอกระดกเบียร์หมดแก้ว ผมยังไม่ทันอ้าปากเลย ผมได้ยินเสียงพี่ชินดุอชิ


"อชิ...ถ้าเมาแล้วจะทำไง เราเป็นผู้หญิงนะ"


       อชิไม่ตอบ กลับแบะปากเหมือนจะร้องไห้ ทำไมอชิต้องกลัวพี่ชินขนาดนั้นด้วยล่ะ ไม่เข้าใจ


      ดูเหมือนเธอจะน้อยใจพี่ชิน จู่ๆ เธอลุกขึ้น ผมรีบตามเธอไปจนถึงส่วนหน้าห้องน้ำที่เป็นพื้นที่กว้างขวาง หรูหรา ผมกลัวเป็นเป้าสายตา รีบดึงแขนอชิไปยืนคุยตรงมุมมืด


"อชิ เป็นอะไรหรือเปล่า? ผมว่าวันนี้ อชิแปลกๆไปนะ"

"ไม่มีใครรักชิเลยติ ไม่มีเลย"
อชิยกมือปิดหน้าร้องไห้ ผมยืนโคลงศรีษะมองเธอ ผมไม่เข้าใจว่าอชิต้องการจะสื่ออะไร?

"ทำไม? อชิเล่าให้ผมฟังได้นะ เผื่อผมจะช่วยได้"
ผมจับไหล่เธอทั้งสองข้าง

     แต่ตอนนี้ ผมว่าผมรู้ตัวแล้วล่ะ


     ผมชอบอชิจริง แต่คงชอบเหมือนน้องสาวมากกว่าคู่รัก เพราะตอนที่อชิพูดว่าคบกับผมทั้งๆที่มันไม่เป็นความจริง ผมกลับห่วงความรู้สึกพี่ชินมากกว่าอชิซะอีก


"ติคบกับชิจริงๆได้ไหม?"

"แสดงว่าอชิก็รู้ว่าที่พูดมันไม่ใช่ความจริง แล้วอชิพูดแบบนั้นทำไมครับ?"



"ก็ชิอยากให้ติคบกับชิสักที"


    ผมมองเข้าไปยังนัยน์ตาของเธอ ผมว่าอชิมีบางอย่างที่เก็บไว้เป็นความลับแล้วไม่ยอมบอก


"ถ้าอชิชอบผมจริงๆ ผมขอจูบอชิได้ไหม?"

"บะ...บ้าหรอติ เห็นชิ เป็นคนยังไง ชิไม่ได้ง่ายๆขนาดนั้นนะ"


     ผมมั่นใจเต็มร้อยแล้วตอนนี้ อชิไม่ได้ชอบผมแล้วเธอชอบใครกัน?

     ผมใช้นิ้วจิ้มแก้มเนียน


"ผมก็แค่ล้อเล่น ผมว่าอชิไม่เหมาะจะเป็นแฟนกับผมหรอก"

"ทำไมล่ะ? ชิไม่น่ารักพอหรอ?!...ติพูดมาแบบนี้ ติไม่ชอบชิใช่ไหม?"


      ทำไงดีล่ะ ผมเป็นห่วงความรู้สึกอชิซะด้วยสิ ผมจะพูดอย่างไรที่พอถนอมน้ำใจเธอได้ แต่อีกใจผมก็ไม่อยากให้ความหวังอชิแล้วเหมือนกัน ผมมองอชิเงียบๆ ผมกำลังหาคำพูดที่ดีที่สุดมอบให้แก่เธอ แต่ทว่า....


    อชิดึงตัวผมเข้าไปใกล้ เขย่งเท้าขึ้นมาจูบ

     ผมตาโต ตกใจและรีบผละ


"อชิทำอะไรน่ะ"

"นี่มันที่สาธารณะนะครับน้องๆ.. แหม!...วัยรุ่นใจร้อนกันจริงๆ กลับกันก่อนไหม? เผื่ออะไรๆจะได้ง่ายขึ้น?"


       ผมหันไปหาพี่แท็คที่ยืนกอดอกมอง แต่แววตาที่ผมเห็นมันดูออกว่าโมโห


"พี่แท็คบอกชิ หรือบอกตัวเองคะ เห็นมองผู้หญิงคนนั้นตาเป็นมันเลยนะ"

"ก็...ไม่รู้สิ ทำไมล่ะ อชิสนใจจะไปร่วมห้องกับพี่ด้วยไหมล่ะ"
 


เพี้ยะ!


"พี่แท็คก็ทำตัวเจ้าชู้ไปเรื่อยแบบนี้ แถมไม่เคยให้เกียรติชิเลย"

"เฮ้ย...อชิใจเย็นๆ" ผมปรามเธอ เมื่ออชิตบหน้าพี่แท็คอย่างแรง


      ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว เมื่อทั้งสองไม่ยอมลงให้กัน แต่ทันใดนั้น...


"ติพาอชิกลับโต๊ะ!" พี่ชินเดินมาจับไหล่พี่แท็คบีบกระชับแรงๆ และบอกผม

"พี่ชินครับ คือ..."

"คุณพาอชิกลับไปก่อน ไอ้แท็คมึงมาคุยกับกู"


     อชิตาแดงก่ำ ผมไม่รู้จะตอบคำถามพี่พอล พี่ป๊อดยังไง เลยพาออกไปนอกร้าน เพื่อให้อชิได้ใจเย็นลงก่อน ผมว่าตอนนี้อชิเมาแล้วแน่ๆ


"ติเห็นไหม? พี่แท็คไม่เคยพูดดีกับชิเลย ชิทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจในสายตาเขา"

"อชิชอบพี่แท็คใช่ไหม?"

กึก!

     
     ผมพูดตรง จนเธอสะอึกอย่างเห็นได้ชัด อชิก้มหน้าและปล่อยโฮหนักกว่าเดิม


"ตะ....ติรู้ได้ไง"

"เฮ้อ!...ผมก็เอะใจอยู่แล้วเชียว ผมรู้นะว่า อชิใช้วิธีนี้ อยากให้พี่แท็คหึงใช่ไหม แต่มันคุ้มกันหรือเปล่า? เกิดพี่แท็คแอบชอบอชิอยู่เหมือนกันแล้วเขาเข้าใจผิด เลิกชอบอชิไปเลยล่ะ"

"อย่าใช้คำว่าเลิกชอบเลยติ เพราะพี่แท็คไม่เคยชอบ ไม่มีวัน"


"อชิรู้ได้ไง ลองแล้วหรอ? ถ้าอย่างนั้น ผมจะช่วยอชิเอง แต่อชิต้องไปบอกกับทุกคนนะว่าเรื่องที่เราคบกัน แค่อำเล่นเฉยๆ"


     หญิงสาวพยักหน้ารัวทั้งๆที่น้ำตานองหน้า ดูสิ...เธอเหมือนน้องสาวมากกว่าจะเป็นแฟนผมจริงๆ


     ผมยิ้มแล้วใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาเธอเบาๆ


"หยุดร้องแล้วกลับไปหาพี่แท็คก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะแย่งไปนะ" ไม่รู้ว่าการที่ผมพูดแบบนี้จะพอทำให้เธอฮึดสู้ได้หรือเปล่า?

"ติอะ...."

"ฮ่าๆๆ อชิยิ้มแล้ว ผมดีใจจัง"


     ผมดีใจนะที่ช่วยทำให้อชิสบายใจขึ้น ในระหว่างที่ผมและอชิเดินกลับโต๊ะ ผมข้องใจจึงถามไปอีกข้อ


"ทำไมอชิดูกลัวพี่ชินจัง"


"เอ่อ....คือ...ติห้ามบอกใครนะ พี่ชินเป็นลูกพี่ลูกน้องชิเอง"


    ผมเบิกตาโพลงอย่างตกใจ ตั้งแต่ ผมอยู่บริษัทนี้ มีเรื่องให้ผมประหลาดใจได้อยู่เสมอ

    พี่ชินชอบผู้ชาย อชิแอบชอบพี่แท็ค และยังเป็นลูกพี่ลูกน้องพี่ชิน

    ต่อจากนี้ จะมีเรื่องอะไรที่ชวนให้ผมได้ตกใจอีกไหมเนี่ย?...

   พอผมเดินกลับมาก็เห็นทุกคน ยกเว้นพี่ชิน ผมแกล้งทำเนียนๆถามพี่แท็คที่ดูเหมือนอารมณ์ดีขึ้น

   ได้คำตอบ ผมพาอชิมานั่งแล้วก็เดินดุ่มๆไปที่ห้องน้ำ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นพี่ชินยืนพิงผนังคุยกับผู้ชายคนหนึ่งหน้าลูกครึ่งและหล่อเลยทีเดียว

    ผู้ชายคนนั้นตัวสูงกว่าพี่ชิน หุ่นดีเหมือนนายแบบ หรือจะ...

    พี่ชินหันมาทางผมพอดี ผมจึงต้องเนียนเดินเข้าห้องน้ำไป


"แฟนเก่าหรือเปล่าวะ?" ผมงึมงัม แต่ไม่กล้าเดินออกไปเพราะตอนเดินเข้ามาผมได้ยินทั้งคู่เหมือนมีปากเสียงกัน ผมประวิงเวลาให้ช้าลงสักหน่อย เดินวนไปเดินมาในห้องน้ำ

"เป็นไงเป็นกันวะ"

    ผมเปิดประตูก็สวนกับพี่ชินที่เดินเข้ามาก้มหน้าก้มตาเดินไปที่อ้างล่างมือ

    ผมหันหลังกลับไปมองพี่ชินที่เปิดก็อก วักน้ำล้างหน้าตัวเอง

    จ้องเขาผ่านกระจกเงา พี่ชินขอบตาแดงก่ำ

    พี่ชินร้องไห้...แต่เหมือนพยายามทำตัวเข็มแข็ง


      อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมเดินไปใกล้เขา


"แฟนเก่าหรอครับ?"

"ไม่ใช่เรื่องของคุณ"
เขาตอบแต่ไม่ได้หันมาหาผม กลับเดินไปดึงกระดาษทิชชูมาซับมือ

"ผมแค่เป็น...ห่ว..."

"คุณออกไปก่อนได้ไหม?"

"ก็ได้ครับ"
ไม่ว่ากัน ถ้าพี่ชินอยากมีเวลาส่วนตัว ผมเดินออกมาไม่ไกลก็สวนกับหนุ่มลูกครึ่งที่เพิ่งเห็นเมื่อสักครู่


    พี่ชินบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของผม...ผมก็ไม่ควรแส่หาเรื่อง

    ผมกลับมานั่งลงตรงที่เดิม แต่ตอนนี้ ทุกคนหัวเราะเฮฮาต่างจากในห้องน้ำที่ผมเพิ่งประสบพบเจอมา


     พอมีจังหวะให้ถามพี่แท็ค ผมรีบสะกิดยิกๆ


"พี่เมารึยังครับ?"
ผมกระซิบถาม

"ยังว่ะ มีอะไร?"

"แฟนเก่า พี่ชินใช่ผู้ชายหน้าลูกครึ่ง หล่อๆ สูงกว่าพี่ชินหรือเปล่าครับ?"

"เฮ้ย! มึงรู้ได้ไงวะ"


"ผมเห็นเขาอยู่กับพี่ชินที่ห้องน้ำ"


    พี่แท็คลุกพรวดไปดู ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้น

    ผมร้อนใจอยากตามไปดู แต่พอพี่ชินขอร้อง ผมจะไม่ก้าวก่าย

    ผมสั่งเบียร์แบบเดิมอีกขวด ช่วงที่รอ ผมมองอชิก็ดูจะยิ้มมากกว่าเดิมคงได้พี่พอลและพี่ป๊อดชวนคุย ผมนั่งเงียบจนกระทั่งเบียร์มา รีบกระดก แต่ในใจก็ยังเป็นห่วงพี่ชิน

    สักพักใหญ่ๆ ผมเห็นพี่แท็คจับแขนพี่ชินออกมา แล้วสภาพที่ผมเห็นคือ...

    เสื้อเชิ๊ตพี่ชิน กระดุมเม็ดบนสุดหลุด จนสาบเสื้อแบะแยกออกจากกันทำให้เห็นแผงอกขาวรำไร

    พี่ชินไม่มองมาทางผมเลย

    เหมือนคนตั้งใจหลบหน้า...


"กลับบ้านไหม? ชิน" ขนาดคนพูดน้อยอย่างพี่พอลอย่างต้องเอ่ยถาม


    พี่ชินพยักหน้าเนือยๆ


"ขอโทษนะที่ทำให้หมดสนุก พวกมึงกินกันต่อเถอะ กูขอกลับก่อน"

"เออได้ๆ..."

"ขอผมนั่งรถไปเป็นเพื่อนพี่ชินได้ไหมครับ?"


    ผมถามทันที ผมไม่สนว่าใครจะมองยังไง แต่เวลานี้ ผมเป็นห่วงพี่ชินมากจริงๆ




****1.1****



พี่ชินจะให้ติกลับด้วยไหมน้า????  :katai1: :mew1: :mew4:




DrSlump >> สำหรับตอนที่แล้วเรื่องชื่อตัวละคร เราเบลอเองค่ะ ขอโทษนะคะ
มัวแต่คิดถึงพี่จิณณ์-แสงสุดท้าย-มากไปหน่อย 55555=
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4|| 16-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-04-2018 23:18:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้สาบเสื้อหลุดลุ่ยนี่ืคืออัลไล?

พี่ชินถูก...?
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4|| 16-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-04-2018 23:49:43
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4|| 16-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-04-2018 13:01:08
 :sad11:

อ๋าาาาา
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4|| 16-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 17-04-2018 14:20:08
รู้สึกความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงหน่อยๆ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4|| 16-4-18 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 17-04-2018 17:33:50
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วววว
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4.2|| 19-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 19-04-2018 20:06:09
ตอนที่ 4 รู้ใจตัวเอง (2)







"เออ กูเห็นด้วยว่ะชิน มึงควรมีเพื่อนกลับบ้านนะ" พี่แท็คเสริม

"ไม่ต้อง กูขี้เกียจต้องมารอส่งน้องขึ้นแท็กซี่กลับบ้านอีก"

"พี่ก็ให้ผมนอนบ้านพี่สิครับ ตอนเช้าผมค่อยกลับ"

"ชิเห็นด้วยกับตินะคะ พี่ชิน"



    ผมมองพี่ชินที่ไม่ให้คำตอบว่าผมต้องไปหรือเปล่า? เขาถอนหายใจก่อนจะลุกไปทันที

   
    ทุกคนส่งสายตากดดันมองมาที่ผม ผมพยักหน้ายกมือไหว้ร่ำลาพวกพี่ๆแล้ววิ่งตามไป


"พี่ชินครับ" ผมวิ่งไปจับต้นแขน พี่ชินสะดุ้งตกใจและสะบัดแขนออก
   
"มาทำไม คุณกลับไปเถอะ"

"ไม่ครับ"

"เอ้ะ! ก็บอกให้กลับไปไง"

"ไม่!...เพราะผมเป็นห่วงพี่ เมื่อไหร่พี่จะเลิกผลักไสผมสักทีวะ?"


   ผมโมโห ตวาดใส่ พี่ชินหยุดเท้า ชะงักไป ผมที่รู้ตัวว่าเผลอใส่อารมณ์ รีบไปดักหน้าและโค้งหัว ขอโทษ


"ผมขอโทษนะครับพี่ชิน แต่ผมไม่สบายใจที่...พี่"

"ถ้าคุณจะไปก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก" 


   ผมเดินตามเขาไป จนกระทั่งถึงรถยนต์คันงาม ผมสอดตัวเข้าไปในรถ นั่งเงียบๆและไม่ยุ่งย่าม ถามอะไรเพื่อให้พี่ชินไม่อึดอัดใจกว่าเดิม
 

   แม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกันเลยจนมาถึงบ้านพี่ชิน แต่ผมก็ดีใจที่พี่ชินยอมให้ผมมาเป็นเพื่อน


    พี่ชินเปิดไฟชั้นล่างสว่างโร่ ผมสอดส่องมองทั่วบ้าน ด้วยความสงสัย


"พี่ชินอยู่คนเดียวหรอครับ?"

"อืม"


    ผมตาโต พี่ชินไม่เหงาบ้างหรอ? ที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ ผมฉงนใจแต่ก็เดินขึ้นบันไดตามไปจนหยุดที่ชั้นสอง



"คุณนอนห้องนี้ก็ได้นะ"
พี่ชินชี้ห้องสุดทางเดิน


"แล้วพี่ชินนอนห้องไหนครับ?"

"ผมนอนชั้นสาม"

"ผมนอนกับพี่ได้ไหม?"

"อะไรของคุณเนี่ย"

"คะ...คือ ผมกล้วผีน่ะครับ"


       ผมมองพี่ชินที่ทำหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะลอบถอนหายใจ



"คุณนี่มัน!!....ตามผมมา" 



      ผมอมยิ้ม ผมรู้แล้วล่ะว่าพี่ชินน่ะ ที่แท้ก็เป็นคนปากร้ายใจดีนี่เอง...

       
      เมื่อถึงห้องนอนของพี่ชิน เปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องสีขาวล้วนตัดกับสีไม้ธรรมชาติจากเฟอร์นิเจอร์ มีความเรียบง่าย สไตล์มินิมัล ในห้องนอนพี่ชินมีแค่เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง มันโล่ง กว้าง สบายตา น่าอยู่ ผมยืนอยู่ตรงประตูห้องนอน พี่ชินยื่นผ้าขนหนูมาให้

"คุณลงไปอาบน้ำชั้นสองนะ ผมจะอาบที่นี่ หวังว่าคงอาบคนเดียวได้นะ"

     พูดแบบนี้เข้าทางผมมากๆ


"ไม่ได้ครับ ผมกลัวผี  ขออาบน้ำกับพี่ด้วยคนได้ไหมครับ?" ผมยิ้มกวนประสาท

"ตลกละ ถ้างั้นก็ไม่ต้องอาบ"


     ผมเห็นพี่ชินทำหน้าระอาใส่ แต่ผมกลับยิ้มกว้างอย่างมีความสุข


     ผมอาบน้ำไม่นานก็เดินขึ้นมารอพี่ชินในห้องนอนของเขาในสภาพที่มีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวพันไว้อย่างหมิ่นเหม่ เพราะผมไม่มีเสื้อใส่นอน เดี๋ยวถ้าพี่ชินออกมาจากห้องน้ำแบ้วผมค่อยขอ

    พอได้อาบน้ำก็สดชื่นขึ้นมาหน่อย แม้จะมีอาการมึนๆตกค้างอยู่บ้าง


    ผมรอพี่ชินที่ยังอาบน้ำไม่เสร็จ ยืนมองหุ่นตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา โชคดีที่ผมเป็นคนชอบออกกำลังกาย เลยทำให้รูปร่างของผมสมส่วน เห็นกล้ามท้องรำไร แม้มันจะไม่คมชัด กล้ามเป็นลอนๆเหมือนพวกนายแบบแต่ผมก็ภูมิใจในหุ่นของผม รวมไปถึงสีผิวของผมที่แม้จะเป็นผิวแทนดั่งชายไทยแท้ ไม่ขาวสว่างเหมือนดาราชายเกาหลี แต่ผมก็รักในแบบที่ตัวเองเป็น


     ผมยืนมองตัวเอง สักพักผมได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิด ผมหันไปเห็นพี่ชินนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเช่นเดียวกัน ผมจ้องไม่กระพริบตากับผิวที่ขาว ผุดผ่องเป็นยองใย พี่ชินหลุบสายตาลงต่ำ หน้าแดง


"ทำไมคุณไม่ใส่เสื้อผ้า!"


    ผมไม่ตอบพี่ชิน เพราะมัวแต่เพ่งมองผิวกายอีกฝ่าย แต่แล้วผมชะงัก เมื่อเห็นความผิดปกติบนผิวนั้น

"คะ...คุณจะทำอะไร? ไปแต่งตัวสิ"

  พี่ชินตกใจ เมื่อเห็นผมเดินย่างสามขุมเข้าไปหา เขาถอยหลังกรูดจนแผ่นหลังติดผนัง


    ผมหน้าเครียด ไม่สนคำที่พี่ชินพูด สายตามองหยดน้ำเกาะพราวทั่วผิวกาย ก่อนจะไล้ปลายนิ้วแตะตามรอยแดงอมเขียวหลายขนาดที่ต้นแขน ต้นคอ และหัวไหล่


   ร่องรอยของการทำรักและรอยของการใช้กำลัง...

   
    ไอ้เหี้ยนั่น!!!...


"มันทำอะไรพี่?"

"ไม่ใช่เรื่องของคุณ"

"พี่ชิน!!! ผม-ถาม-ว่า-มัน-ทำ-อะไร-พี่?"
ผมเน้นเสียงหนัก ย้ำไปทีละคำ ผมโกรธไอ้ลูกครึ่งนั้น กำมือตัวเองแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

    มันทำให้พี่ชินเจ็บ...


"เราแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย เลยพลั้งมือกันน่ะ"

"แล้วทำไมมันต้องใช้กำลังกับพี่?"


"ช่างมันเถอะ! ...ผมไม่อยากใส่ใจแล้ว เดี๋ยวผมหาเสื้อผ้าให้ใส่นะ"
ผมมองคนเปลี่ยนเรื่องผละจากผมไปที่ตู้เสื้อผ้า

"ถ้าพี่ไม่บอกไม่เป็นไร ผมแค่อยากให้พี่รู้ไว้ว่าผมเป็นห่วงพี่"


     ผมจะไม่ชวนพี่ชินทะเลาะ ผมไม่ใช่แฟนเขา ผมไม่มีสิทธ์ยุ่งเรื่องส่วนตัว

   
     ผมรับเสื้อผ้าจากพี่ชินมาสวมใส่ ถือวิสาสะ ลงไปชั้นล่าง เปิดตู้เย็นดู ผมเทน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติก ห่อด้วยผ้าขนหนูทำที่ประคบในแบบบ้านๆของผม

    ผมถือมันขึ้นไปก็เห็นพี่ชินแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว


"คุณนอนฝั่งนั้นนะ" พอพี่ชินเห็นผม เขารีบพูดขึ้นและชี้ไปยังที่นอนอีกฝั่งโดยกลางเตียงมีหมอนข้างวางไว้ ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆพี่ชินแล้วถาม


"พี่รังเกียจผมขนาดนี้เลยหรอ?"

"ปะ...เปล่า"

"ผมจะเชื่อได้ยังไงครับ? ดูสิ ถึงกับขนาดเอาหมอนมาคั่นไว้ ถ้าพี่ไม่สบายใจ ผมลงไปนอนห้องข้างล่างก็ได้ครับ"


"ไม่ใช่ไม่สบายใจ แต่ผมเป็นคนนอนดิ้นน่ะ คือ ผมกลัวจะดิ้นไปโดนคุณ"

     ผมเห็นอีกฝ่ายตอบไม่เต็มเสียง

"ไม่เห็นเป็นไรเลยครับพี่ชิน ถ้างั้นผมขอเอาหมอนออกนะ" ผมเห็นเขาออกอาการตกใจ ผมยื่นมือไปแตะหลังมือเขา รีบพูดดัก ก่อนที่จะโดนเถียงกลับ

"ผมประคบแผลให้พี่ก่อนนะ"  ผมพูดพร้อมยกหลักฐานที่อยู่ในมือชูให้ดู


"ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องลำบากหรอก"

"แผลจะได้หายไวๆนะครับ นี่ผมอุตส่าห์ลงไปทำมาให้พี่เลยนะ"



    พี่ชินพยักหน้า

"กะ..ก็ได้"

"แต่พี่ต้องปลดกระดุมก่อน ไม่งั้นผมประคบให้ไม่ได้"

     ผมแอบยิ้มที่เห็นพี่ชินหน้าแดง เขาปลดกระดุม แบะเสื้อเชิ้ต เปิดไหล่ เผยผิวขาวเนียนให้ผมได้ทำการรักษา


     ผมและเขานั่งหันหน้าเข้าหากัน ผมเห็นพี่ชินกัดปาก ทำหน้าเหยเกตอนที่ผมวางที่ประคบเย็นลงไป


"เจ็บหรอครับ?"

"นิดนึง"


"ถ้าผมอยู่ด้วย พี่ก็คงไม่มีรอยช้ำแบบนี้หรอก"
ผมแแซว ก็รู้หรอกว่าถ้าพูดแบบนี้ออกไป อีกฝ่ายต้องถามกลับแน่ๆ

"คุณคิดว่า คุณจะสู้เขาได้หรือไง?"


"แล้วใครบอกจะสู้ล่ะ ผมจะพาพี่วิ่งหนีต่างหาก"
ผมปล่อยมุกจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะทำเป็นเก็กขรึม กลั้นขำ

     
    การได้แอบชอบใครสักคน แล้วได้อยู่ใกล้ มันทำให้ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แค่ผมได้อยู่กับพี่ชินสองต่อสอง มันก็เกินความคาดหวังของผมแล้ว


    ผมวางที่ประคบบนรอยช้ำ ปล่อยทิ้งไว้สักพัก ก็คิดไปพลางๆ ทำไมพี่ชินถึงโสดมาได้ถึงป่านนี้

    ผมนั่งมองใบหน้าเขาอย่างพิจารณา ดวงตากลมโต ขนตางอนยาวและหนาเป็นแพ แก้มเนียน จมูกโด่ง เลื่อนสายตาจนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเขา


"พี่ชินรู้ไหมครับ? ว่าเวลาพี่ยิ้ม พี่หัวเราะ มันสดใสมากเลยนะ"

"แล้วไง?"

"อ้าว...ก็แล้วทำไมพี่ไม่ยิ้มบ่อยๆล่ะครับ"
ผมเอียงคอถาม

"ไม่เห็นจำเป็น"

"จำเป็นสิครับ พี่รู้ไหม? ผมชอบเวลาพี่ยิ้มนะ" ผมบอกตามความจริง พี่ชินจ้องผมกลับ


"ชอบแค่ตอนยิ้ม?"  ผมเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วถามทำหน้ากวนประสาท

     จากที่ผมแซวเล่นๆก่อนหน้า เปลี่ยนมาโหมดจริงจัง จ้องตาเขาอย่างสื่อความหมาย


"ก็ชอบทุกตอนล่ะครับ แต่พี่ชินไม่รู้เอง"


     ผมเห็นเขาชะงัก ผมสบตากับคนที่ผมชอบ ผมตื่นเต้น ผมใจสั่น

     ตอนนี้ เหมือนมีใครหยุดเวลาเอาไว้ อัตราการเต้นรัวของหัวใจผมเร็วขึ้นหลายเท่า เมื่อผมเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ จนปลายจมูกชนกัน ผมเอียงหน้าในองศาที่พอเหมาะเพื่อจะจูบ ริมฝีปากของผมสัมผัสกับริมฝีปากล่างพี่ชิน

    ริมฝีปากของเราทั้งสองแตะกัน ชั่วขณะ ผมเหมือนจะขาดอากาศหายใจ ทว่า...

"คุณเมาแล้วแน่ๆ พอก่อนเถอะ...ขอบคุณมากนะที่ทำแผลให้"

   
    อีกฝ่ายผละจากผมทิ้งตัวลงนอนตะแคงข้าง ปล่อยให้ผมนั่งนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก

    นี่ผมเกือบทำอะไรลงไปวะ? ผมจะจูบพี่ชิน ผมลุกไปห้องน้ำ วางที่ประคบลงบนอ่างล้างหน้า ยืนมองตัวเองตรงหน้ากระจกเงาทั้งๆที่ยังใจเต้นแรงไม่หาย


    พี่ชินเข้ามามีอิทธิพลกับผมมากเกินไปแล้ว แค่ผมได้มีโอกาสอยู่กับเขาสองต่อสอง ผมก็เกิดมีอารมณ์แห่งรัก ฮอร์โมนพุ่งพล่าน จนเผลอจะทำมิดีมิร้าย

     ผมยืนสงบสติอารมณ์ หักห้ามใจตัวเองอยู่ในห้องน้ำ ผมเป็นผู้ชาย เรื่องของเซ็กซ์ผมเองก็ยังมีความต้องการเฉกเช่นผู้ชายทั่วไป

    ผมจะทำยังไงดี ตอนนี้ ผมไม่กล้านอนเตียงเดียวกับเขา เพราะผมรู้ว่า ถ้าผมได้นอน ข้างพี่ชิน ผมรู้ว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น!!!...


     
..................................
 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4.2|| 19-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 19-04-2018 20:48:55
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 4.2|| 19-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-04-2018 21:29:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

ก็ลองทำตามที่คิดสิ เผื่อฟลุค 555
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5|| 21-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 21-04-2018 20:04:44
  ตอนที่ 5 เพื่อเพื่อน




 
   ผมตื่นมารับเช้าของวันใหม่ พลิกตัวตะแคงมองที่ข้างๆซึ่งไร้ร่างของใครบางคนนอนอยู่



    หยัดกายลุกขึ้นนั่งอย่างแปลกใจที่พี่ชินตื่นไว ผมนั่งนิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผมอารมณ์สงบลงได้ โดยที่พี่ชินก็ปลอดภัย ผมอายที่จะบอกว่าผมใช้ห้องน้ำพี่ชินเป็นพื้นที่แห่งการปลดปล่อย ระบายออกมาด้วยการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวของผมเอง


     ผมไม่สามารถล่วงเกินพี่ชินได้หรอก มันน่าเกลียดเกินไปที่จะทำเช่นนั้น เพราะพี่ชินยังไม่รู้ว่าผมชอบ อีกอย่าง ผมก็ไม่รู้ว่าเขาชอบผมรึเปล่าด้วย? หากผมจะมีเซ็กซ์กับใคร ผมอยากให้มันเกิดจากความรักที่ใส่รายละเอียดและความตั้งใจร่วมกันของทั้งสองฝ่าย มากกว่าเซ็กซ์ฉาบฉวย ต้องการความสนุก หรือแค่เอามันส์ทางอารมณ์เท่านั้น
   

      ผมไม่ได้อาบน้ำ แค่ล้างหน้า แปรงฟัน เสร็จแล้วผมออกมาจากห้องน้ำ ผมย่นจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนนมหรืออัลมอนด์อะไรเทือกๆนี้  ผมหยุดตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งถึงเห็นครีมทาผิวขวดใหญ่วางตั้งอยู่


"อื้อหืม!...ดีนะที่พี่ไม่ได้ทาเมื่อคืน ไม่งั้นมีหวัง ผมอดใจไม่ไหว เผลอปล้ำพี่แน่ๆ" ผมพึมพำคนเดียว



      สำหรับผม การได้กลิ่นหอมอ่อนๆมันมีผลและกระตุ้นต่อมความอยากของผมพอสมควร ถ้าพี่ชินใช้ ผมคงข่มใจอย่างหนักและมันก็คงทรมานมากเสียด้วย
 

     ผมเดินลงบันไดถึงชั้นล่าง กวาดตามองไปหยุดทางครัวก็เห็นพี่ชินยืนง่วนทำอะไรสักอย่างในครัว

 
     ยืนมองแผ่นหลังพี่ชินและยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ผมเป็นเอามาก ผมเพ้อ ผมบ้าอยู่คนเดียว ที่จินตนาการไปว่า ภาพตรงหน้ามันเหมือนแฟนทำอาหารให้กันอย่างไรอย่างนั้น


    ผมไม่คิดว่าผมจะได้มีโอกาสเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของพี่ชินขนาดนี้


     ก้าวยาวๆไปยืนขนาบข้าง เอียงหน้าถาม


"พี่ชินทำอะไรน่ะครับ"

"เฮ้ย! ตกใจหมด ทำไมมาไม่ให้สุ้ม ให้เสียง"

"อ้าว! นี่ไงครับพี่ ที่ผมพูดก็มีเสียงแล้วนะ"

"เดี๋ยวเถอะ กวนละนะ"


"แหะๆ แล้วนี่พี่ทำแซนด์วิชอยู่หรอครับ?"

"ทำวุ้นมะพร้าวมั้ง?"

"หืม! พี่ชินว่าแต่ผม ดูตัวเองก็กวนเหมือนกันแหละ แล้วนี่ทำเผื่อผมบ้างหรือเปล่านะ?"
ถามเสียงอ้อนจนพี่ชินเอียงหน้ามามอง

"คุณเห็นผมเป็นคนใจร้ายขนาดนั้นรึไง มีแขกมาบ้าน ผมก็ต้องดูแลสิ"


    ผมมองคนที่มุ่งมั่นกับการจัดผักกาดหอม ทูน่า วางแฮมลงบนแผ่นขนมปังโฮลวีท


    แล้วจะไม่ให้ผมชอบพี่ชินได้ยังไง พี่ชินเป็นคนน่ารัก เอาใจใส่คนอื่นขนาดนี้


"ดีพร้อมขนาดนี้ ทำไมถึงโสดล่ะครับ"

"คุณรู้ได้ไงว่าผมโสด?"
หันขวับมาหาผม

"โธ่...ผมมีสายสืบนะครับ"

"ไอ้แท็ค?"


     ผมลอยหน้า ลอยตา แต่ผมก็รู้หรอกว่าพี่ชินฉลาด ถึงหลุดส่ายหน้าระอาและบ่นเพื่อน


"พี่ไม่มีแฟน แถมอยู่บ้านคนเดียวแบบนี้ ไม่เหงาหรอครับ?"

"ก็มีบ้าง"


     มองคนที่ตอบแต่ไม่มองหน้า เอาแต่มองผลงานของตัวเองที่ทำใกล้จะเสร็จ


"ถ้าพี่ไม่อยากเหงา ให้ผมเข้าไปอยู่ในหัวใจพี่สิ"


     มือที่กำลังหั่นแซนด์วิชชะงัก


"คุณเมาค้างหรือไง? เพี้ยนใหญ่แล้ว"

"ไม่ได้เมา... ผมพูดจริงๆนะครับพี่ชิน"
ผมรุกหนัก แต่พี่ชินก็ยังทำเฉย ไม่สนใจ มิหนำซ้ำ โบกมือไล่ผมอีก


"ผมทำเสร็จแล้วล่ะ ไป...นั่งไป ผมเบื่อฟังคุณพูดจาอะไรเลอะเทอะ"


"ใจร้าย" บ่นอุบ ก่อนจะเดินตามไปนั่งข้างๆพี่ชิน อีกฝ่ายปรายตามอง คงสงสัยว่าทำไมไม่นั่งฝั่งตรงข้าม


     ผมกัดแซนด์วิชคำแรกก็รู้สึกถึงความอร่อย เพราะมันเป็นแซนด์วิชที่ทำจากคนที่ผมชอบ


      ผมเคี้ยวตุ้ยๆ จากนั้น ผมถามต่อ


"พี่ชินครับ กว่าจะไปห้องพี่แท็คก็ตั้งเย็นแหนะ ผมขอนั่งเล่นบ้านพี่ก่อนได้หรือเปล่า?"

"นี่คุณเป็นเด็กขาดความอบอุ่นหรือไงกัน?" 
ถามหน้านิ่ง ผมยิ้ม ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย

"ใช่ครับ ผมขาดความอบอุ่น พี่ชินช่วยมาเติมความอบอุ่นให้ผมหน่อยได้ไหมครับ?"


     พี่ชินอึ้งตะลึงงันที่ผมรุกหนักสองครั้งติดกัน ทั้งหมดทั้งมวล ที่ผมตั้งใจโยนมุกเสี่ยวเชิงหมาหยอกไก่ เพื่อให้มันเเป็นเรื่องตลกขบขัน พี่ชินจะได้ไม่เกร็งที่จะอยู่ด้วยกัน แต่ความเป็นจริงๆลึกข้างในนั้นผมก็ต้องการอยากให้เป็นอย่างที่พูด


      ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ?


      พี่ชินยังเงียบ แต่ใบหน้าแดงแจ๋ ทั้งที่ปากก็คาบแซนด์วิชคาไว้


"พี่ชินเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?"

"ฮะ...ปะ...เปล่า"



   อีกฝ่ายหลุบตาลงต่ำ ตั้งหน้าตั้งตากินแซนด์วิชแบบตั้งใจมากจนผิดสังเกต


"ผมถามหน่อยสิ ทำไมพี่ชิน ไม่เรียกชื่อผมแบบคนอื่นๆล่ะ? ผมชื่อ 'ติ' นะครับ"

"ขอโทษที ผมชินปาก"

      ผมกระเถิบเข้าไปใกล้พี่ชินอีกหน่อย โน้มตัวกระซิบ

"ผมว่าพี่เลิกเรียกคุณเถอะ...มันดูห่างเหิน แต่ถ้าพี่ไม่ถนัดเรียกชื่อ จะเรียกผมว่าที่รัก ผมก็ยินดีนะ"  ยิ้มนิดๆพลันเหลือบมองคนที่พอผมพูดจบ หันขวับ ทว่า เป็นจังหวะที่ริมฝีปากพี่ชินเฉียดแก้มผมโดยไม่ได้ตั้งใจ


     ชั่วขณะนั้น!...


"โอ้ย พี่ชิน!"


   ก็ไม่นึกว่าจะเป็นคนตกใจได้รุนแรงขนาดนี้ พี่ชินผลักผมจนตกเก้าอี้ แถมแซนด์วิชที่เหลือคำสุดท้ายก็หล่นใส่เสื้อผ้าผมจนเปรอะเปื้อน


"อะ...เอ่อ ผมขอโทษ ผมตกใจ ก็คุณยื่นหน้ามาใกล้ทำไมล่ะ"


    พี่ชินวางแซนด์วิชลงบนจาน ย่อตัวลงมาหาผมหวังจะช่วยประคอง  ผมยึดต้นแขนเขาพยุงตัวลุกขึ้นยืน มืออีกข้างที่ว่างพลางลูบก้นตัวเองที่มันเริ่มเจ็บและปวด


"ผมขอโทษ"

"เจ็บจัง แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมผิดเองที่จะแกล้งพี่"


"...ถ้าคุณไม่ได้เป็นอะไร ผมขึ้นห้องก่อนนะ"

"อ้าว...พี่ชินทิ้งผมเลยหรอ?"
   


     ไม่ตอบแต่เดินหนีไปหน้าตาเฉย ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก


"อะไรของเขาวะ?"


     จากนั้น ผมขึ้นไปอาบน้ำ พอแต่งตัวเสร็จก็ลงมานั่งเล่นข้างล่าง ผมยังปวดบั้นท้ายไม่หาย คนอะไร ตกใจได้น่ากลัวชะมัด


    ผมนั่งอยู่คนเดียว เพราะพี่ชินบอกว่ามีงานสำคัญต้องเคลียร์ เขาไม่อยากเสียสมาธิและให้ใครรบกวน รวมไปถึงเรื่องรอยช้ำก็บอกว่าจะทำแผลเอง ผมจึงต้องนั่งเปื่อยๆ รอแกข้างล่าง


     เมื่อถึงเวลาที่ต้องออกเดินทาง ก่อนไปคอนโดพี่แท็ค ผมรบกวนให้พี่ชินแวะไปห้องผมก่อน เพราะผมต้องเอาของให้บัดดี้ ผมให้พี่ชินขึ้นไปเป็นเพื่อนกัน แต่รอแค่หน้าห้อง เพราะผมอายห้องตัวเองที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่


    เข้าห้องไปไม่นาน ผมเดินออกมาพร้อมช่ออมยิ้มที่ผมตั้งใจทำมันอยู่เกือบอาทิตย์ ผมบรรจงจัดช่ออมยิ้มให้เหมือนช่อดอกไม้ มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ได้รูปทรงเป็นช่อสวยสดงดงาม


    สิ่งสำคัญ คือ ผมแนบการ์ดบอกความในใจว่าชอบเขาไปด้วย


    ถ้าพี่ชินได้อ่าน เขาจะรู้ความรู้สึกของผม


    ผมยื่นช่ออมยิ้มให้พี่ชิน


"ผมไม่อยากให้ต่อหน้าคนอื่น คือ ผมว่ามันตลกๆน่ะครับ"


     พี่ชินรับช่ออมยิ้มของผมไปแบบคนทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่



"ขอบคุณ แต่คุณไม่คิดจะให้อย่างอื่นบ้างหรอ?"

"พี่อยากได้อะไรล่ะครับ เดี๋ยวผมเก็บเงินซื้อให้?"



     ผมเห็นพี่ชินหลุดหัวเราะ


"โถ! พูดซะน่าสงสารเลยคุณ ผมล้อเล่นน่ะ"

"ฮ่าๆ เพื่อพี่ชินบอกมาเถอะ ผมทำได้"

"ช่างมันเถอะ"

"พี่ชินอย่าลืมอ่านการ์ดนะครับ"
ผมย้ำ


     พี่ชินพยักหน้า เขาก้มมองช่ออมยิ้มและมองผมอีกครั้ง


"ขอบคุณมากๆนะ"

   
     รอยยิ้มจริงใจเผยออกมา ทำผมเกาจมูกแก้เก้อ ผมรู้สึกว่าพี่ชินดูมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำให้ ในขณะที่เราสองยืนอยู่หน้าห้องของผมนั้น


      เครื่องมือสื่อสารของผมแผดเสียงดังขึ้น



"ว่าไงวะ "


[มึงอยู่ห้องหรือเปล่า?]

"อยู่"

[เออ กูกำลังขึ้นไปหานะ]

"เฮ้ย! มึงแม่งเป็นอย่างนี้ทุกทีเลยว่ะ ชอบถึงก่อน แล้วเพิ่งโทรมาบอกกู"
 
[กูขอโทษ กูเบื่อๆว่ะ ทะเลาะกับแม่มาน่ะ]

"เออๆ มึงไม่ต้องขึ้นมากูกำลังจะลงไป ค่อยคุย"


   ผมกดวางสายแล้วหันไปหาพี่ชิน


"พี่ชิน ผมมีลางสังหรณ์ว่าจะอดไปห้องพี่แท็คแน่ๆเลย"

"ทำไมล่ะ"

"เพื่อนผมทะเลาะกับแม่มัน ผมต้องอยู่กับมันน่ะครับ"

"ไม่เป็นไร คนอย่างไอ้แท็ค เดี๋ยวมันก็หาเรื่องดื่มได้อีกแหละ"


    ผมพยักหน้าเดินลงไปพร้อมพี่ชิน เห็นไอ้วุฒินั่งรอ ข้างๆมันมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่ คงหนีไม่พ้นมานอนห้องผมอีกแน่ๆ


    พอวุฒิเห็นผม มันลุกพรวดขึ้นมา ทว่า มันชะงักไปครู่ เมื่อเห็นพี่ชิน ผมจ้องมันที่ยืนมองพี่ชินตาไม่กระพริบ ผมรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก


"ไอ้ติ กูขออยู่กับมึงสักระยะนะ"

"เออ...เอาดิ"
มันคุยกับผม แต่ตามันเหล่มองพี่ชินเป็นระยะๆ จนผมต้องแนะนำตัวให้ทั้งสองรู้จักกัน

"จริงๆ วันนี้ กูไม่ว่างนะเนี่ย ต้องไปกินเลี้ยงกับพวกพี่ที่ออฟฟิศ!"

"เฮ้ย! มึงก็ไปกินเหอะ กูขอแค่กุญแจห้องก็พอ"


    ผมทำหน้าลังเล ใจหนึ่งก็อยากอยู่กับพี่ชิน แต่อีกใจก็เป็นห่วงเพื่อนที่มันเจอะปัญหามา
 
 
    ผมเคยบอกว่าผมมีเพื่อนสนิทสามคน วุฒิ เป็นหนึ่งในนั้น มันเป็นเพื่อนผมตั้งแต่มอต้นและมันเป็นเพื่อนที่ดีใช้ได้


    เคยมีครั้งหนึ่ง สมัยเรียนมอปลาย พวกเราโกหกพ่อ-แม่ หนีไปเที่ยวทะเล คราวนั้นผมเป็นตะคริวตอนเล่นน้ำ ก็ได้วุฒินี่แหละที่ช่วยชีวิตผมไว้ ทั้งๆที่คราวนั้นตัวมันเองก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด


    หลายต่อหลายครั้ง ที่มีเรื่อง มีปัญหา วุฒิคอยช่วยเหลือผมตลอด เพราะพวกเราไม่เคยทอดทิ้งกัน พอถึงคราวมันมีปัญหา ผมถึงไม่เคยปฏิเสธที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย


    ที่สำคัญ วุฒิเป็นผู้ชายที่หล่อ นิสัยดี และก็อยู่ในสถานะเดียวกันกับผมตอนนี้ คือ โสด


    วกมาอยู่กับความคิดในปัจจุบัน ผมมองหน้าพี่ชิน เพราะผมหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว


"ขอบคุณนะครับพี่ชิน ที่มาส่ง ผมขออยู่กับเพื่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องพี่แท็ค เดี๋ยวผมโทรไปขอโทษเอง"


"ได้ ถ้างั้นผมไปก่อนนะ" พี่ชินยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ผมดีใจจนใจไหวหวั่น


    ผมกับเพื่อนร่ำลาคนอายุมากกว่า จนกระทั่งพี่ชินลับตาไปไกล


"ใครวะ แฟนมึงหรอ?"

"เปล่า พี่ที่ทำงานน่ะ"

"โสดหรือเปล่า?" คำถามของเพื่อนทำผมใจตกระตุก

"โสด...มึงถามทำไมวะ?"

"กูชอบว่ะ"


 
     ชะงักงันราวกับถูกแช่แข็ง ผมพูดอะไรไม่ออก จนกระทั่ง วุฒิมาเขย่าแขนผม

 
"มึงมีเบอร์พี่เขาหรือเปล่า? กูขอหน่อยดิ"

"เอ่อ...ไอ้วุฒิ มึงแน่ใจว่าจะจีบพี่เขาหรอ? คะ..คือ...กูไม่เห็นมึงจีบใครนานแล้วนะ"

"แน่ใจ กูชอบพี่เขาจริงๆว่ะ พี่เขามีเสน่ห์ ไม่รู้ดิเห็นแวบแรก แม่งใจสั่น"

"แต่มึงเพิ่งเจอเขาครั้งแรก และมึงยังไม่รู้จักนิสัยใจคอเขาดีพอเลย มึงจะชอบเขาได้ยังไง"

"เอ้า! ไอ้ห่าติ ก็ถ้ากูไม่ทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้ กูจะรู้จักนิสัยใจคอเขาไหมล่ะ กูถึงต้องขอเบอร์จากมึงนี่ไง"


    ผมถึงทางตัน ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาพูดได้อีก


    ยอมรับว่าหนักใจพอสมควร ถ้าวุฒิจะเป็นเพื่อนที่นิสัยแย่หรือเลวสักหน่อย ผมคงยืนกรานไม่ให้มันได้สานต่อกับพี่ชินแน่นอน แต่เพราะมันมีบุญคุณกับผม ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง


"เอ่อ กูขอโทรถามพี่ชินก่อนแล้วกันว่าเขาโอเคหรือเปล่า?"


     ความรู้สึกลัลล้าก่อนหน้าได้อันตรธานหายไป ผมซึมกระทืออย่างบอกไม่ถูก ยืนกดตัวเลขเพื่อโทรไปหาพี่ชิน


"พี่ชินครับ"

[มีอะไรหรือเปล่า?]

"คะ...คือ...อะ..เอ่อ...เพื่อนผมที่พี่เห็นเมื่อกี้น่ะ มันชอบพี่ครับ ผมเอาเบอร์พี่ให้มันได้ไหม?"

[แล้ว...ติคิดว่าไงล่ะ?] ผมใจกระตุก เจ็บแปลบ ยืนเหงื่อแตกเมื่อเพื่อนผมกดดันทางสายตา

"คะคือ...พี่ก็โสด น่าจะลองเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆได้เข้ามาทำความรู้จักพี่มากขึ้น พี่ชิน อย่าปิดกั้นตัวเองเลยครับ"



     ปลายสายเงียบไปนาน ผมขอบตาร้อน เดินห่างจากเพื่อนเล็กน้อย มือที่กำโทรศัพท์มือถืออยู่เกิดสั่นขึ้นมา


[ถ้าติคิดว่าพี่ควรให้โอกาส พี่ก็จะทำ...ติเอาเบอร์พี่ให้เพื่อนไปเลย]


     ทำไมผมถึงอยากร้องไห้ล่ะ ผมอยากได้คำตอบจากพี่ชินแบบไหนกันแน่?

     แบบที่พี่ชินควรตอบว่า...


     พี่ไม่ให้หรอก เพราะพี่ชอบติอย่างนี้หรอ?

   
    ผมหวังแบบนั้น ผมผิดไหม?


"ขอบคุณครับพี่"


    ผมใจหาย วางสายเสียงสั่น หันไปมองเพื่อนและฝืนยิ้มกว้าง ตบบ่าเพื่อนสองที


"พี่เขาโอเค เดี๋ยวมึงลองโทรไปคุยดูแล้วกัน พี่ชินนิสัยดีด้วย"

"ขอบใจนะมึง ปะเหอะ...ขึ้นห้องกัน กูมีเรื่องอยากปรึกษามึงเยอะเลยว่ะ"


    ผมยิ้มพยักหน้ารัว

 
    ถ้าผมรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ ผมจะบอกมันไปตั้งแต่แรกซะก็ดีว่าพี่ชินเป็นแฟนผม แต่เอาเข้าจริง ผมก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะความเป็นจริงพี่ชินก็ไม่ใช่แฟนของผม ผมไม่มีสิทธิ์ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง

     อีกอย่างเกิดผมแสดงตัวเป็นเจ้าข้าว เจ้าของแล้วพี่ชินเกิดไม่ชอบผมขึ้นมา หลังจากนั้น เขาก็อาจจะเกลียดผมไปเลยก็ได้ที่ผมทำตัวแบบนั้น


     ลอบถอนหายใจตอนเพื่อนเผลอ ผมยิ้มให้กำลังใจตัวเอง และมองโลกในแง่ดีว่าไม่เป็นไรหรอก ถือซะว่า ผมยอมเสียสละของอันเป็นที่รักให้คนที่ผมรักอีกคนแล้วกัน


    ผมยอมหลีกทางเพื่อเพื่อนรักของผม แม้ว่า ตอนนี้ ผมเองที่จะต้องเป็นฝ่ายเจ็บก็ตาม...




****1.1****

ความรักไม่เข้าใครออกใคร
ด่าได้แต่อย่าแรง 555  :o8: :o8: :o8: :o8:
.
.
ขอบคุณนักอ่านที่น่ารัก


 





 
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5|| 21-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 21-04-2018 20:30:19
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5|| 21-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-04-2018 20:57:08
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่คิดจะหวงก้างหน่อยเหรอ นู๋ติ?
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5|| 21-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-04-2018 21:10:11
 :ling1:
 :serius2:
 :เฮ้อ:

ไหนว่าจะไมาเศร้าาา ฮื่ออออ คุณหลอกดาว
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5|| 21-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-04-2018 23:30:31
 :เฮ้อ:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5|| 21-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 22-04-2018 04:44:16
อ้าวววว .. ไหงงี้
ตกบ่อ 'ดราม่า' แล้วเหรอเนี่ย

งั้นรอ END ดีกว่าเนอะค่อยอ่านต่อ
//รับดราม่าได้ค่ะ แค่ไม่ชอบดราม่า..ที่ต้องรอแบบไม่รู้จะหายหน่วงเมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5.2|| 24-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 24-04-2018 19:57:14
ตอนที่ 5 เพื่อเพื่อน (2)




ทำไมต้องเป็นมึง?


    ผมพูดคนเดียวในใจ เมื่อยืนมองตัวเองผ่านหน้ากระจกเงา หลังจากที่ผมหนีมาเข้าห้องน้ำ เพราะทนไม่ได้ที่ต้องมองเพื่อนจีบพี่ชินออกนอกหน้า

    ผมเจ็บ...


    วันนี้วันหยุด วุฒิชวนผมมาดูหนังเป็นเพื่อน เนื่องจากมันไม่กล้าอยู่กับพี่ชินสองต่อสอง เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอย่างไร ผมจึงจำใจมานั่งเป็นคนกลางทั้งๆที่ทรมานใจสุดๆ

    ยืนมองตัวเองผ่านเงาสะท้อนที่พยายามนฝืนปั้นหน้ายิ้ม


    ผมฝึกยิ้มใหม่ให้ดูเนียน และซ่อนความเจ็บไว้ให้ลึกที่สุด ก่อนจะเดินออกไปยังร้านไอศกรีมเพื่อเป็นฝ่ายเอนเตอร์เทนท์ให้ทั้งสองมีความสุข


"ไอติมมานานแล้วหรอวะวุฒิ แม่งละลายแล้วอะ" ผมนั่งมองลูกไอศกรีมสีลูกกวาดอย่างบับเบิ้ล กัมของผมที่ไหลละลายเป็นน้ำด้วยแววตาสลด


"อืม...พอมึงลุกปุ๊ป ไอติมก็มาเสิร์ฟเลย"

"ติอยากสั่งใหม่ไหม?"
พี่ชินถามคงเพราะเห็นสีหน้าผมดูผิดหวัง


"ไม่ดีกว่าครับ เปลืองเงินน่ะพี่ ผมกินได้ ลงท้องไปก็ละลายเหมือนกัน"

"ถ้ารู้อย่างนั้น แล้วจะทำหน้าผิดหวังทำไม?"

"อาจเป็นเพราะผมคาดหวังว่ามันจะเป็นอีกแบบมั้ง"
[/b] ผมตักไอศกรีมเข้าปาก แล้วพี่ชินก็พูดต่อ

"ถ้าอย่างนั้น...พี่ว่าเราก็คงอารมณ์เดียวกัน"


    ผมมองหน้าพี่ชินที่พอเขาพูดจบก็ก้มหน้าก้มตา ตักไอศกรีมขึ้นมาชิม ลิ้ม ละเลียดมันช้าๆอย่างไม่สนใจผมเหมือนก่อนหน้า

     ผมโคลงศรีษะอย่างไม่เข้าใจ ทำไมพี่ชินถึงชอบพูดจาให้ผมต้องมาตีความหมายเอาเอง 


     วุฒิเห็นเสียงเงียบลง จึงเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนบ้าง


"พี่ชินช่วงนี้ว่างไหมครับ เราไปเที่ยวทะเลกันไหม? เห็นไอ้ติบอกว่าพี่ทำงานหนัก ควรหาเวลาพักผ่อนบ้างนะครับ"  พี่ชินมองหน้าผม ก่อนจะละสายตาไปมองวุฒิ

"ก็ดีนะ พี่ก็เคยคิดๆไว้เหมือนกัน"

"พี่ชิน อยากไปที่ไหนเป็นพิเศษไหมครับ?" เพื่อนผมถาม

"ไม่มีน่ะ วุฒิเลือกเลยแล้วกัน แล้วพี่จะเป็นคนหาวันที่สะดวกเอง"

"โอเคครับ"

 
     ผมนั่งกินไอศกรีมด้วยความอึดอัดที่เห็นสองคนส่งยิ้มให้กันก็ได้แต่ทรมานหัวใจ

     ผมต้องนั่งหน้าชื่น อกตรมไปอีกนานเท่าไหร่กัน...


    จนกระทั่งพวกผมจัดการไอศกรีมแสนอร่อยเสร็จ ก็มุ่งหน้าไปยังโรงภาพยนตร์ เมื่อรู้ว่าใกล้ถึงเวลาเข้าฉาย วันนี้ พวกเราสามคนเลือกดูหนังสยองขวัญ ของสตีเฟ่น คิง


    ผมเดินตามหลังวุฒิและพี่ชิน ยื่นตั๋วให้พนักงานตรวจตั๋วเพื่อฉีกหางตั๋ว ผมบอกวุฒิว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ให้วุฒิกับพี่ชินเดินไปกันก่อน เมื่อเพื่อนพยักหน้ารับทราบ ทั้งคู่เดินผลุบหายเข้าไปยังโรงภาพยนตร์ที่สาม

    ผมหันหลังกลับออกไปทางที่เพิ่งเดินเข้ามาเพื่อกลับบ้าน

   ไม่ใช่รังเกียจ รังงอนอะไรถึงต้องกลับก่อน เพียงแต่มันเร็วเกินไปที่ผมต้องมานั่งทนเห็นสองคนอยู่ด้วยกันตอนนี้ ขอเวลาทำใจให้นานกว่านี้หน่อย แล้วสักพักผมจะกลับมาเป็นคนเดิม
 

    ผมกดโทรศัพท์เพื่อโทรหาพี่ชาย


[ว่าไง]

"พี่ตั้นอยู่ห้องหรือเปล่า?"

[อยู่ มีอะไร?]

"ขอไปนอนค้างที่ห้องคืนหนึ่งดิ"

[แฟนทิ้งรึไง? ถึงมาได้]

"พูดมากว่ะ เดี๋ยวผมไปหานะ"


     รีบกดตัดสายอย่างรำคาญ พี่ตั้นชอบพูดจาทิ่มแทงหัวใจน้องจริงๆ ผมเดินมาถึงหน้าห้างสรรพสินค้า เพื่อรอเรียกแท็กซี่ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น


    มองหน้าจอ ผมลอบถอนหายใจ



[มึงอยู่ไหนวะ ไอ้ติ?]


"เอ่อ...กูขอโทษว่ะ กูคงดูหนังด้วยไม่ได้ มีธุระด่วน! พี่ตั้นเพิ่งโทรมาบอกว่าให้กูไปหาเดี๋ยวนี้"


[อ้าว! มึงทิ้งกูเลยหรอวะ?]


"กูก็ขอโทษแล้วไง อีกอย่างนะไอ้วุฒิ มึงจีบพี่ชินอยู่ มึงควรจะใช้เวลาอยู่กับเขาสองคน มึงจะเอากูไปเป็นกอ ขอ คอ. ทำไมวะ...อ่อแล้วคืนนี้ กูนอนห้องพี่ตั้นนะ มึงนอนห้องกูคนเดียวก่อนแล้วกัน"


    พอผมได้ยินเพื่อนมันบ่นๆก่อนจะตอบรับ ผมวางสาย เดินคอตกขึ้นแท็กซี่ไปยังคอนโดพี่ชาย
 
 
    ขึ้นมาไม่ทันไร ผมถอนหายใจเอนศรีษะพิงเบาะ ทำไมความรักของผมถึงไม่สมหวังกันนะ? ทั้งๆที่คนรอบตัวผมมีแต่คนมีความรัก อย่างเรื่องของอชิ ผมได้ข่าวจากเธอหลังวันที่มีการเฉลยบัดดี้ ว่าเธอได้คบกับพี่แท็คแล้ว


    อชิขอบคุณผมเป็นการใหญ่ เพราะผมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้พี่แท็คหึงหวง และคืนที่ผมกลับกับพี่ชิน พี่แท็คก็ไปส่งอชิที่บ้าน นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองเผยความในใจต่อกัน


    ผมดีใจกับอชิ ที่เธอสมหวัง เธอทิ้งท้ายให้สัญญาด้วยว่าจะพาผมไปเลี้ยงอาหารอร่อยๆเพื่อเป็นการตอบแทน เหตุผลส่วนหนึ่งคือเธอเป็นบัดดี้ของผมด้วย


    ผมพอเข้าใจสัจธรรมของความรักอยู่หรอก ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะพบเจอแต่เรื่องสมหวัง

   เพียงแต่ความผิดหวังของผมมันเร็วเกินไปหน่อย เลยไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนั้นยังไง? ก็เท่านั้นเอง



    ถึงที่หมาย ผมจ่ายเงินค่าโดยสาร ลงจากรถแท็กซี่ พี่ตั้นฝากผมซื้อเบียร์ที่ร้านสะดวกซื้อใต้คอนโด รอไม่นานพี่ตั้นก็ลงมารับผมขึ้นห้องของเจ้าตัว


     เพียงพี่ชายผมเปิดประตูห้องออกกว้าง ผมเดินเข้ามาได้ไม่ไกล หยุดชะงักเท้า เบิกตากว้าง เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาสะสวยอย่างกับผู้หญิง มีผมสีบลอนด์เทา นอนเหยียดขาบนโซฟา หันเท้ามาทางหน้าประตู เลยทำให้ผมเห็นขาอ่อนขาวจั๊วะ ไปจนถึงอันเดอร์แวร์ เพราะพี่คนนั้นใส่แค่เสื้อเชิ้ตตัวเดียวนอนโดยไร้กางเกงขาสั้น


"เนมครับ น้องตั้นมาแล้ว"


    ผู้ชายหน้าสวย ยันกายกึ่งนั่ง กึ่งนอน ขึ้นมองผมที่ยืนยิ้มแห้ง ยกมือไหว้


"หล่อไม่แพ้พี่ชายเลย"

"ไปโกหกน้องมันทำไม เห็นๆกันอยู่ว่าตั้นหล่อกว่า"


     ผมมองพี่ชายที่ส่งสายตาและยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยให้อีกฝ่าย ก่อนจะทิ้งผมเดินไวๆไปทิ้งตัวลงนอนทาบทับร่างใครอีกคน แล้วพี่ตั้นก็จูบพี่คนนั้นต่อหน้าต่อตาผมจนเสียงจ๊วบจ๊าบดังหลุดออกมาเป็นระยะ...


    พี่ชายของผมมันมียางอายเหลืออยู่บ้างไหมวะ?


"ตั้นอะ น้องเขายืนอยู่ทนโท่"

"แล้วไง? นี่คือบทลงโทษ เนมจะได้ไม่ต้องชมใครต่อหน้าตั้นอีก"




   ผมกลอกตา มองบน เบะปาก...

   ผมชักไม่แน่ใจแล้วล่ะสิว่าผมคิดถูกไหมที่มาขออาศัยห้องพี่ชายของผมในช่วงที่เศร้าแบบนี้


"พี่ตั้นผมกลับดีกว่า"

"ไม่ต้องเลยไอ้ติ จะไปยืนหน้าประตูทำไม มานี่!"

   

    มองคนกวักมือเรียกอย่างหน่ายใจ ก้าวยาวๆเดินไปหาพี่ชายตรงโซฟา ที่เจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมากอดคอผม

"เดี๋ยวตั้นมานะครับ ขอตัวไปรับฟังปัญหาน้องชายก่อน ติอกหักมาน่ะ"


"ติ อกหักหรือครับ?" พี่เนมถาม

"ปะ...เปล่าครับพี่เนม คือ...?"

"อย่าไปฟังมันเลย ประสบการณ์ทางความรักมันอ่อนด้อยมาก"

"พูดมากว่ะ แม่ง...ผมกลับล่ะ"


    ผมรำคาญ กำลังจะปัดแขนพี่ตั้นออกจากคอ แต่พี่เนมดึงมืออีกข้างไว้


"อย่าเพิ่งกลับสิติ เดี๋ยวเราจะมีปาร์ตี้เล็กๆ เพื่อนพี่จะมาอีกสองคน ติรอนะครับ"


    ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ตั้นถึงหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้ ความออดอ้อน ออเซาะ ลูกเล่นการใช้โทนเสียง สายตาแพรวพราวนั้น ถ้าคนจิตอ่อน อาจตกหลุมพรางได้ง่ายๆ


     พี่เนมก็ร้ายไม่เบา...ผมถือว่าสองคนนี้ เข้ากันได้ดีแบบไม่มีใครเสียเปรียบกันแน่นอน


"ครับ ผมไม่กลับแล้วครับ"


     พี่ตั้นยกยิ้มชอบใจ ก่อนพาผมออกไปคุยที่ระเบียง ยังมิวายโน้มตัวลงต่ำ จับปลายคางพี่เนมให้เชิดหน้าขึ้น แล้วจูบส่งท้ายกันอีก


     ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ได้โปรดเถอะ!....ช่วยเห็นใจคนโสดอย่างผมที่ต้องมาทนดูคนจูบกันอย่างดูดดื่มด้วยความคมชัดระดับ FULL HD แบบนี้


     เสร็จภาระกิจ พี่ตั้นล็อคคอผมเดินออกไปยืนตรงระเบียงห้อง จุดบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วจ้องผมที่หย่อนกายนั่งลงบนเปลญวน


"เลิกเก็บตัวได้แล้วติ เอาแต่อยู่ห้อง จะได้แฟนจากไหน?"


    นั่นไง...มาถึงก็บ่นผมเรื่องนี้ทุกที ผมเบ้ปาก


"ผมก็มีความสุขของผมแบบนี้อะ"

"แล้วตอนนี้ชอบใครอยู่?"

"มะ...ไม่มี"


"ไอ้ติ อย่าคิดว่ากูโง่" พี่ตั้นพ่นควันบุหรี่ลอยเล่นบนอากาศอย่างอิสระ ก่อนจะชี้หน้าผม


    พี่ชายของผม เป็นคนแบบนี้แหละ พูดจาโผงผาง นิสัยคล้ายนักเลง แต่จริงๆไม่มีอะไรเลย ผมก็รู้ที่เขาคาดคั้นเอาคำตอบ ลึกๆแล้วนั้นพี่ตั้นก็รักและเป็นห่วงผม แต่ที่ผมไม่
อยากพูด เพราะพอพูด ผมเศร้าจนอยากร้องไห้


   ผมเม้มปากแน่นก่อนจะหลุดคำนั้นออกมา


"ผมชอบพี่ที่ทำงาน"

"แล้วเขาไม่ชอบ?"


"เขาชอบผมไหมก็ไม่รู้ว่ะ? แต่ผมไม่เอาแล้ว เพราะไอ้วุฒิมันก็ชอบพี่ชินเหมือนกัน" พี่ตั้นรู้จักเพื่อนที่ผมสนิททุกคน ถึงเบิกตาโพลง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิม


"พระเอกไม่เข้าท่า"

"เอ้า!! ทำไมมาว่าผมล่ะ...ไอ้วุฒิก็เพื่อนผม อีกอย่างมันก็มีบุญคุณกับผมด้วย"


"ไร้สาระ... มึงรู้ไอ้วุฒิชอบ แต่ไอ้วุฒิรู้ไหมว่ามึงชอบคนนั้น?"


    ผมส่ายหน้า พี่ตั้นถอนหายใจแรงๆและเสียงดังอย่างตั้งใจให้ผมได้ยินว่าเขาระอากับผมมากแค่ไหน...

    ผมนั่งมองคนอัดควันบุหรี่เข้าปอดสองสามที ทิ้งก้นบุหรี่ลงในกระถาง ย่อตัวลงนั่งยองๆ มองผม และบีบไหล่ผม


"เฮ้อ! มึงเป็นน้องกูจริงๆใช่ไหม? ทำไมโคตรตรงข้ามกับกูเลย"

"ผมไม่เลวเหมือนพี่ไง ผมมีจิตสำนึกมากพอ...ผมรักใครรักจริง ไม่มั่ว...โอ้ย! ตบหัวผมทำไมวะ พี่ตั้น" พี่ตั้นตบศรีษะผมไม่แรงนัก

      จากที่นั่งยองๆ เขาลุกขึ้นมานั่งข้างผมบนเปลญวน ยกยิ้มร้ายกาจ



"หึๆ...ไม่เป็นไร มึงเป็นพระเอกน่ะดีแล้ว เดี๋ยวพี่จะเป็นตัวร้ายให้เอง"


"พะ...พี่จะทำอะไร?" แววตาน่ากลัวจากพี่ชาย ทำให้ผมเริ่มเสียวสันหลัง พี่ตั้นเป็นคนชอบเอาชนะเสียด้วย ถ้าเขาอยากได้อะไรก็ต้องได้


"กูก็จะแย่งคนนั้นจากไอ้วุฒิมาให้มึงไง"

"เฮ้ย!...หยุดเลยพี่ตั้น ผมไม่อยากมีปัญหากับไอ้วุฒิ อีกอย่าง ความรักมันเป็นเรื่องของคนสองคนนะพี่"


     ผมคิดว่าคนที่เราไม่รัก ทำอย่างไรก็ไม่รัก...ถึงต่อให้แกล้งทำเป็นรัก ทำอย่างไรก็ดูออกอยู่ดี


     ผมถึงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ตั้นจะช่วย เพราะว่ามันเปล่าประโยชน์


"มึงอย่ายุ่ง เดี๋ยวกูจัดการเอง อยู่เฉยๆเป็นพระเอกไปน่ะดีแล้ว...ว่าแต่ ขอดูหน้าหน่อยซิ ว่าคนที่น้องกูชอบเป็นยังไง? มันคุ้มพอจะแย่งรึเปล่า?"


     ผมเงียบ กำโทรศัพท์แน่น ผมมีภาพพี่ชินนะ ไม่ใช่ ไม่มี เพียงแต่ว่า...
 
 
"เร็วๆ อย่าลีลา ไม่งั้นกูบอกแม่นะ ว่ามึงอกหัก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ โทรมาร่ำร้องกับตั้นว่าจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย เพราะทำใจอยู่บนโลกนี้ไม่ได้"


"กวนตีนว่ะ เออๆ ให้ดูก็ได้"


    ในตอนแรกที่ผมไม่อยากให้พี่ตั้นดู เพราะผมหวง มันเป็นรูปที่ผมแอบถ่ายพี่ชินตอนหลับในคืนที่ผมไปทำแผลให้ที่บ้าน

    ภาพถ่ายที่อีกฝ่ายนอนหลับตาพริ้ม ยิ้มนิดๆบนเตียงหลังใหญ่


    ผมยื่นโทรศัพท์ที่เปิดภาพนั้นค้างไว้ ผมเห็นพี่ตั้นมองตาโต แล้วชะงักไป


"เหี้ย! โคตรน่า..." ผมกระชากโทรศัพท์คืน และผลักไหล่พี่ตั้น

"อย่าพูดดูถูกพี่ชิน"

"รู้หรอติ? ว่ากูจะพูดอะไร?"

"สมองอย่างพี่มีไม่กี่อย่าง"

"ไอ้น้องเวร ทำไมถึงมีภาพส่วนตัวขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะ...."
พี่ตั้นหรี่ตามองผม ผมรีบตอบ

"เออน่า!...อย่าถามมากได้หรือเปล่า? รำคาญ!"

"เขินหรอ?...โอเคๆ...คุ้มที่จะเสี่ยง เสี่ยงที่กูจะเอาเองอะนะ"

"เดี๋ยวเหอะ...พี่ตั้น เป็นพี่ชาย ผมก็ต่อยได้นะ"

"ฮ่าๆ...เสียสละให้เพื่อน ไม่เห็นเสียสละให้กูบ้างเลย"

"เพราะพี่ไม่เคยจริงจังกับใครไง แต่ไอ้วุฒิมันไม่ใช่"

"เฮ้อ!..เหนื่อยจะคุยกับพระเอกอย่างมึง เรื่องนี้เดี๋ยวกูจัดการเอง เข้าห้องดีกว่า จะบอกว่าเพื่อนเนมเด็ดๆทั้งนั้น!"



     ผมส่ายหน้าระอา เดินตามหลังไป ผมรักพี่ตั้น เขาเป็นพี่ชายที่ดี รักน้อง รักครอบครัว ขยันทำงาน แต่ติดตรงความเจ้าชู้นี่แหละที่แก้ไม่หายสักที


     ผมเคยถามพี่ตั้นว่าทำไมไม่รู้จักพอ พี่ชายผมพูดได้น่าตบปากมาก บอกผู้ชายเป็นเพศแห่งการสืบพันธ์เพื่อการอยู่รอด และต้องขยายอาณาจักร ผลิตลูกไปสู่วงกว้างเพื่อสืบเชื้อสายและเผ่าพันธ์ุต่อไป


    แล้วมันเกี่ยวกันด้วยหรอวะ? ผมไม่เข้าใจ ในเมื่อพักหลังๆมานี้ ผมเห็นคนที่มันพาขึ้นคอนโดก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น?


     ผมเคยคิดนะ ผมอยากเห็นคนที่มาปราบพี่ชายให้กลายเป็นคนเชื่องและยอมได้ทุกอย่างจริงๆ ผมเฝ้าภาวนาอยากรู้เหลือเกินว่าคนนั้นจะเป็นใคร?


     เข้ามานั่งเล่นในห้อง ผมต้องกดเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือรอ เพราะตอนนี้ พี่ตั้นพาพี่เนมเข้าห้องนอน โดยที่ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรกัน แต่พอเวลาผ่านไป พี่ชายผมออกมาหน้าตาระรื่น ผมว่าผมรู้แล้วล่ะ...


    พี่ตั้นเรียกผมให้ช่วยยกพวกกระติกน้ำแข็ง เครื่องดื่มมาตั้งวาง เพราะตอนนี้ เพื่อนพี่เนมมาถึงแล้วอยู่ข้างล่าง พี่เนมกำลังลงไปรับ



   จนกระทั่งพวกผมเตรียมข้าวของเสร็จ พวกพี่เนมเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี ผมยกมือไหว้ผู้มาใหม่ ที่เป็นผู้ชายทั้งคู่ คนหนึ่งดูท่วงท่าค่อนทางสาวหน่อย กระตุ้ง กระติ้ง ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายนิ่งๆ


   เพื่อนพี่เนมที่นิ่งๆจ้องมองผมไม่วางตา แต่ผมไม่สนใจ ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาข้างพี่ตั้น แต่พี่เนมดันให้ผู้ชายคนนั้นมานั่งข้างผมตรงฝั่งที่ว่าง


    หลังจากที่ทุกคนแนะนำตัวเองเรียบร้อย ก็เริ่มการสังสรรค์ แต่มันคงจะจืดชืดไปหน่อย ถ้าไม่มีเกมส์มาเกี่ยวข้อง ผมเห็นเพื่อนพี่เนมวางอุปกรณ์อะไรสักอย่างบนโต๊ะ เขาตั้งชื่อเกมส์ว่า เกมส์ลูกศรหมุนดื่ม ถ้าลูกศรชี้ไปทางใคร คนนั้นต้องกินหมดแก้ว


     มันก็ท้าทายดี เพราะผมก็อยากรู้ว่าใครจะซวยโดนดื่มเยอะที่สุด


     แต่ดูเหมือนตั้งแต่เริ่มเกมส์ ทำไมลูกศรถึงชี้มาทางผมตลอดเลยวะ ทุกคนสนุกสนานชอบใจกันใหญ่ แต่ผมเริ่มไม่สนุกเพราะโดนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากประเภทตีกัน ทั้งเบียร์ วิสกี้ เตกีล่าช็อต จนผมเริ่มมีอาการมึนเมา


     ชั่วโมงผ่านไป ผมมองอะไรก็ดูจะเบลอไปหมด ผมรู้แค่ว่าเพื่อนพี่เนมดึงมือผมไปวางบนตักของเขา ผมหมดแรงอิดออด คอพับคออ่อน แต่สิ่งที่ผมขนลุกชูชันก็ตอนที่สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่อุ่นชื้นลากไล้ตรงซอกคอผม


     จากนั้น ผมได้ยินเสียงแว่วๆ



"เหี้ย!...สนุกได้แต่อย่ามามั่วกับน้องกู"

"ตะ...ตั้นครับ...ใจเย็นสิ"


     ผมไม่รู้ว่าใครพูดบ้าง แต่หลังจากนั้น ผมรู้แค่ว่า ตัวผมลอยเหมือนมีใครแบกร่างผมไปที่ไหนสักแห่ง และต่อมา ผมภาพตัดฉับ ไม่รู้ตัวอะไรอีกเลย...







.............





ตั้น


     หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผมมองน้องชายนอนหลับใหลอยู่ตรงล็อบบี้ ผมนั่งรอให้ใครบางคนมารับน้องชาย หลังจากที่ผมโทรหาเขาด้วยเสียงตระหนก ชักแม่น้ำทั้งห้าหว่านล้อมให้เขาฟัง


     ในตอนแรกผมแค่ลองใจว่าเขาจะมาไหม? ปรากฎเขาตอบรับว่ามา ก็ดีเหมือนกัน ผมอยากพิสูจน์ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอะไรกับน้องผมบ้างหรือเปล่า ?


     ผมมองน้องชายอย่างหน่ายใจ มันรู้ตัวบ้างไหม? ว่ามันมีดีและมีเสน่ห์ในแบบของมัน เพียงแต่มันดึงมาใช้ไม่เป็น ขนาดเพื่อนของเนมยังถูกใจ อาศัยตอนผมเข้าห้องน้ำจะจูบน้องผม ถ้าผมไม่มาเห็นซะก่อน ผมว่ามันจะทำมากกว่านั้น โชคดีที่อีกฝ่ายก็เชื่อฟังกัน ผมถึงระงับอารมณ์โกรธลงได้บ้าง


    ผมสงสารติ น้องชายผมเป็นคนดี แต่มันซื่อและเกรงใจคนอื่นเกินไปจนบางครั้ง ก็พลอยทำตัวเองลำบาก 


     ผมอยากให้ติเห็นอกเห็นใจคนอื่นน้อยลงหน่อย

     เพราะสำหรับความคิดของผม...

     การจะอยู่บนโลกใบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นเกมส์

     ไม่ว่าจะเล่นเกมส์ไหน จุดสำคัญของมัน คือ การผ่านด่าน และเอาตัวรอด

     แรกเริ่มการเล่นเกมส์ผ่านด่านแรกๆจะง่ายหน่อย พอผ่านด่านต่อไปๆมันจะมีความยากขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้นยิ่งผ่านด่านได้มากเท่าไหร่ ก็จะรู้ทางหนี ทีไล่ มีชั้นเชิงและแข็งแกร่งมากขึ้น

      ผมจึงอยากให้ติมันอัพสกิลหรือการเอาตัวรอดเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันเสมือนเกราะหนามไว้กำบังตัวเอง ป้องกันคนอื่นทำร้าย


      ดีได้ไม่ผิด แต่ถ้ามันดีมากเกินไปจะส่งผลร้ายต่อติเอง


      ขนาดแค่ตัวอย่างง่ายๆอย่างคนที่ติชอบ มันยังยอมแพ้เพื่อเพื่อน

     มันไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่องด้วยซ้ำที่มันทำตัวเป็นพระเอกยกคนที่ตัวเองแอบรักให้คนอื่น!

     บ้าบอสิ้นดี!


    ผมรู้ว่าน้องชายไม่เคยขอความช่วยเหลือจากผม มันเป็นลูกผู้ชายพอ แต่พอเห็นแบบนี้ ผมนี่แหละจะขอเข้ามาเสือกเรื่องความรักของน้องชายเอง

    คิดเรื่องน้องชายด้วยความเป็นห่วง ผมเห็นเป้าหมายเดินเข้ามาหน้าตาร้อนใจ

     ผมเคยเห็นเขาจากในรูป แต่เขาไม่เคยเห็นผมมาก่อน ผมจึงได้เปรียบ ผมนั่งดูกิริยาของอีกฝ่ายโดยไม่เรียก


     ผู้ชายคนนี้มีดีไม่ใช่แค่หน้าตา ผมสัมผัสได้ ผมดีใจที่น้องชายผมตาถึง แม้ตอนแรกกะว่าจะขโมยน้องชายสักหน่อย แต่ไม่เป็นไร ผมเชื่อว่าผมเก่งกว่าน้อง ผมคงหาได้อีกมาก...


     ผมนั่งมองเขาจนกระทั่ง เขากวาดตามาทางที่ผมนั่งอยู่ แล้วชะงักเห็นตินอนหมดสภาพบนโซฟา เขาปรี่มาหา


"คุณชินใช่ไหมครับ?"



    ผมรีบทักก่อน พร้อมลุกขึ้นยืน ทักทาย แวบหนึ่งผมจับสายตาเขาที่ดูออกว่า ห่วง


"ใช่ครับ"



"ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ต้องรบกวนคุณดึกๆดื่นๆ ผมผิดเองครับ ผมผิดเอง ผมไม่คิดว่าเพื่อนผมมันชั่ว คิดจะปล้ำน้องผม ผมฝากติไว้กับคุณชินก่อนนะครับ แล้วถ้าผมเคลียร์เรื่องนี้เรียบร้อย ผมจะไปรับน้องชายเอง" ผมตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ

"คุณบอกว่าคุณเป็นพี่ชาย แล้วทำไมคุณถึงไม่ดูแลน้องคุณให้ดีล่ะครับ ทำไมถึงปล่อยให้ติโดนมอมไม่รู้ตัวขนาดนี้ แล้วถ้าติโดนปล้ำ...ช่างมันเถอะ!..."


    ผมก้มหน้าฟังคนที่พูดใส่อารมณ์ฉุนเฉียว



"ผมขอโทษจริงๆครับ ครั้งนี้ ผมพลาดเอง"


    ผมมองคนที่อยู่ดีๆก็ย่อตัวลงนั่ง แตะแขน แตะคอติ ลูบแก้มติเบาๆ แล้วโน้มตัวไปใกล้น้องชายผมพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน


"ไหนบอกว่ามีธุระด่วน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้? ติได้ยินพี่ไหม? ติลุกเถอะนะ? ไปนอนบ้านพี่ชินกัน"


    เขาคงคิดว่า ติคงจะได้ยินสินะ ผมยืนกอดอก เลิกคิ้วขึ้นสูง มองการกระทำอีกฝ่าย พลางแสยะยิ้ม


"ติเมามาก คงไม่ได้ยินหรอก เดี๋ยวเราช่วยกันไปส่งน้องที่รถดีกว่าครับ"


    ผมกับเขาลากคนเมาไปที่รถด้วยความทุลักทุเล พอถึง ผมเปิดประตูจับร่างน้องชายยัดเข้าไปที่นั่งข้างคนขับ เมื่อเห็นว่าร่างของน้องชายผมปลอดภัยเพราะอยู่ในการดูแลของใครอีกคน


     จังหวะที่ผมและเขาเอาตัวออกมาจากห้องโดยสาร ทันใดนั้น...


"เฮ้ย! คุณทำอะไรน่ะ"


    ผมโดนผลักอกอย่างแรง เมื่อผมนึกสนุกแกล้งเซ โถมตัวใส่ ใช้ทีเผลอแอบหอมซอกคออีกฝ่าย คิดซะว่า เป็นค่าจ้างที่ช่วยน้องชายแล้วกัน


    ตัวหอมใช้ได้...


"ผมขอโทษครับ ผมว่าผมมึนแล้วล่ะ ฝากดูแลน้องผมด้วยนะครับ" ผมค้อมหัวขอโทษ


"ถ้ารู้ว่าไม่พร้อมจะดูแลติ อย่าให้ติมาหาคุณอีกนะ"


    อีกฝ่ายต่อว่าด้วยท่าทีหวาดกลัว ทำหน้าเหมือนเห็นผมเป็นแมลงสาบ เขารีบเดินอ้อมรถไปฝั่งคนขับ จากนั้นรถค่อยๆเคลื่อนไปจนหายไปจากลานสายตา


"ทำให้ขนาดนี้ ถ้ายังไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วนะ"




.............







"โอ้ย!"


    ผมสะดุ้งสุดตัว รีบเด้งกายขึ้นด้วยความเร็ว เลยทำให้ผมปวดหัวจี๊ดๆกว่าเดิม

     ผมยกมือกุมขมับมันเหมือนสมองจะระเบิด มันทรมาน ร่างกายข้างในของผมมันปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก พอรู้ตัวว่าแฮงก์ ผมสบถเสียงดัง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันจันทร์


"พี่ตั้น ไปส่งผมที่ทำงานเลย เหี้ยเอ้ย...แม่ง...ปวดหัวว่ะ"



      ผมหลับตาฟุบหน้าลงกับเข่า


"แล้วใครใช้ให้ดื่มเยอะ!"
 

 
      ทำไมเสียงคุ้นๆ


      ผมเงยหน้ามอง ตาโตนั่งอึ้ง ก่อนจะกวาดตามองรอบห้อง


"ทะ...ทำไมผมมาอยู่บ้านพี่ชินได้ครับ?"

"ไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องตอบ แต่ทำไมติต้องดื่มหนักขนาดนี้ รู้ตัวบ้างไหมว่าเมื่อคืนติเมามากแค่ไหน? พี่เรียกหลายที ติก็ไม่รู้สึกตัว"


     พี่ชินมุมนี้...นึกว่าแม่ผมมาเอง เขายืนตระหง่านดุผมอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะปรี่มานั่งข้างเตียง


"มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องตอบเหมือนกัน"
ผมเปล่งเสียงแหบเสียงแห้งแค่จะแกล้งกวนประสาท แต่รอบนี้เขากลับไม่เล่นด้วย


"พี่ไม่ขำ!"

"โธ่!...พี่ชิน ผมขอโทษ ผมก็ไม่รู้จริงๆว่าทำไมผมถึงเมาไม่ได้สติขนาดนี้ จำได้ว่าเราเล่นเกมส์หมุนลูกศรกัน แล้วมันเป็นผมที่ซวยต้องดื่มตลอด จนหมดสภาพอย่างที่พี่เห็นนั่นแหละ พี่ชิน ผมหมดแรงเถียงแล้ว วันนี้ขอผมลางานได้ไหมครับ?"

"พี่โทรไปบอกแท็คให้แล้ว"

"ขอบคุณนะครับ ถ้างั้นพี่ชินไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วง แต่ผมขอนอนพักบ้านพี่ก่อนนะค่อยกลับ ผมไม่ไหวจริงๆ"


"แล้วใครจะกล้าทิ้งให้อยู่คนเดียว ทีหลังอย่าเมาแบบนี้อีก"


     พี่ชินทำหน้าตึงๆใส่ผม เขากำลังจะลุกจากเตียง ผมจับมือพี่ชินไว้แน่น


"พี่ชินไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่าครับ?"


   อีกฝ่ายยืนนิ่งเงียบส่งสายตาที่ดูผิดหวังมาทางผม


"นอนพักซะ แต่ถ้าไหวจะลงไปกินข้าวต้มหรือจะดื่มกาแฟร้อนก็บอก พี่จะทำให้" เขาสะบัดมือ แล้วเดินออกจากห้องนอน ปิดประตูดังปัง!


    ทิ้งให้ผมนั่งปวดหัวไม่พอ มาเพิ่มความเครียดให้ผมอีก


    พี่ชินเป็นอะไร?

     ไม่พอใจผมที่ผมหนีกลับตอนดูหนัง?


     หรือไม่พอใจที่ผมเมาไม่ได้สติ?


     ผมไม่อยากนึกเรื่องเมื่อคืน ยิ่งเค้นความคิดก็ยิ่งปวดหัว  ผมคลานลงจากเตียง ไปดูสภาพตัวเองตรงหน้ากระจก แต่ผมต้องอึ้ง...


"เฮ้ย! รอยอะไรวะเนี่ย!" 


    ผมตกใจ รีบก้มมองรอยจ้ำแดงหลายจุดที่อยู่เหนือแผงอกของผม


    ถ้าร่างกายผมกลับมาเป็นคนปกติเมื่อไหร่? ผมว่า ผมมีเรื่องต้องเคลียร์กับพี่ตั้นทันที!...






....................................






❤ อยากรู้จังว่าจะมีคนชอบพี่ตั้น หรือ เกลียดพี่ตั้น มากกว่ากันนะ?
555555
.
ส่วนตัวเรายังชอบน้องติมากกว่าค่ะ 555555 (อวยย)
ทุกคนมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองไม่มีใครผิด-ถูก เพียงแต่ความคิดนั้นต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอะเนอะ

.พี่ตั้นก็มีมุมของเขา. ที่ห่วงน้อง
.ติก็มีมุมของติ. ที่รักเพื่อน

รักหนอรัก เจ้าเอย!
.
❤ต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่คนเซ็งว่ามีดราม่า เราขอโทษ มุมมองเรา เราคิดว่า ดราม่าของเราต้องหน่วงหนักๆ อย่าง แสงสุดท้ายซะอีก (นิยายอีกเรื่องของเรา ขายของ 555)
.
อย่าเรียกว่า 'ดราม่า' เลยเนอะ  มันหนักไป
 เรียกว่า 'อุปสรรคระหว่างทาง' จะดีกว่าค่ะ (555555)
เรื่องนี้มันชิลๆ เบาๆจริงนะคะเนี่ย...เชื่อเถอะ (ทำหน้าอ้อนวอน)
.
.
❤ขอบคุณทุกความเห็น เราจะนำไปปรับปรุง และขอบคุณนักอ่านที่น่ารักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 5.2|| 24-4-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-04-2018 22:02:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

คนพี่น่าจะมีใจให้กระมัง

ส่วนคนน้องเนี่ย  จะพระเอกไปไหน  ให้คนกลางเขาตัดสินดีกว่า  แฟร์ ๆ ดี
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 6|| 1-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 01-05-2018 20:55:42

บทที่ 6 อย่าทำอย่างนี้ไม่ว่ากับใคร





 




        หลังจากยืนมองตัวเองอยู่ตรงหน้ากระจกได้ไม่ถึงห้านาที ผมรู้สึกวิงเวียนศรีษะ อึดอัดมวนท้อง จุกตรงลิ้นปี่ จากนั้นผมรีบวิ่งไปอาเจียนที่ห้องน้ำ พอรู้สึกโล่งศรีษะ และสบายตัวขึ้นมาหน่อย ผมล้างหน้า ล้างตา แล้วกลับมานั่งข้างเตียงดื่มน้ำตามมากๆ ก่อนจะเอนตัวพักอีกสักหน่อยค่อยตื่นในภายหลัง...




[ว่าแล้วว่าต้องโทรมา]

"ผมรู้ว่ามันเป็นแผนของพี่ที่ให้ผมมาอยู่บ้านพี่ชิน แต่การที่ผมมีรอยบนตัว คือ อะไรวะ ?"


     หลังจากที่ผมงีบหลับไปได้ชั่วโมง ผมตื่นมาอาบน้ำอาบท่า และรีบโทรหาพี่ชายตัวดี


[กูให้เนมทำเอง]


"เลวว่ะพี่ตั้น พี่ทำแบบนั้นทำไมวะ ผมไม่ตลกนะ"

[เลวตรงไหน? เป็นเรื่องปกติ มึงควรคิดดีๆกูควรต้องหึงเนมด้วยซ้ำที่ต้องเห็นเขาซุกไซ้คนอื่น อีกอย่าง มึงหลับไม่รู้สึกตัว จะเครียดทำไม]

"แต่ผมกลัวพี่ชินจะมองผมไม่ดี"

[สนใจทำไม ประเด็นมันอยู่ที่เขาหึงไหม?]

"เขาจะหึงทำไมวะ?"

[ถ้าเขาชอบมึง เขาต้องหึง แค่นี้ ก่อนจะคุยงานกับลูกค้าแล้ว]


   ถ้าเขาชอบ เขาต้องหึง?

   หมายความว่ายังไง ผมนั่งครุ่นคิด กิริยาพี่ชินตอนเห็นผมตื่นขึ้นมา ก็ดูไม่มีทีท่าจะหึงผมเลยสักนิด?...

   พี่ชินคงไม่ได้ชอบผมสินะ

   ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ถึงส่วนนั่งเล่น ผมเห็นพี่ชินนั่งขัดสมาธิบนโซฟา ตรงตักวางแล็ปท็อปอยู่
 

   พอพี่ชินเห็นผมเดินปรี่เข้ามานั่งตรงที่ว่าง เขาปิดฝาพับแล็ปท็อป ดันมันไปไว้ข้างกายอีกฝั่ง


"ดีขึ้นรึยัง?"

"พอได้อาบน้ำหน่อยก็ดีขึ้นครับ"

"อยากกินอะไรไหม?"


    ผมอ้อยอิ่งไม่ตอบ ขอแค่ได้มองหน้าพี่ชินใกล้ๆอย่างนี้ นานๆหน่อยแล้วกัน

    ไม่รู้สิ เวลาผมได้อยู่กับเขานอกเหนือเวลางาน พี่ชินจะมีมุมที่ผ่อนคลายกว่า ยิ้มง่ายกว่า และเข้าใกล้ได้ง่ายกว่า

     ผมเลยอยากอยู่กับเขาในช่วงเวลาแบบนี้..

    ขอหยุดเวลาไว้ตรงนี้ได้ไหม? ตรงที่ไม่มีใครมารบกวนเวลาของสองเรา แม้กระทั่ง เพื่อนผม

     ผมทรมานใจที่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอใจผมอยากจะรุกหนัก ความรู้สึกผิดเหมือนแย่งคนอื่นก็ตีตื้นเข้ามา พอผมจะอยู่เฉยๆทำตัวเหมือนพี่-น้องที่ร่วมงานกัน ผมก็นึกเสียดายโอกาสซะอย่างนั้น


    ตอนนี้ เหมือนมีสองคนสิงอยู่ในร่างของผมซึ่งกำลังโต้วาที ถกประเด็น หาเหตุผลมาตีกันในหัวของผมอยู่

    ผมก้มหน้า เม้มปาก หลับตาครุ่นคิด ก่อนพูดกับตัวเองในใจ...


     วุฒิกูขอโทษ...อย่าโกรธกูนะ

     ถ้ากูขอใช้เวลานี้อยู่กับพี่ชินให้นานและมีความสุขที่สุด


      ผมส่งยิ้มให้พี่ชินอีกครั้ง

      อาจเป็นเพราะผมไม่รู้จักพอ?

     เพียงผมเห็นพี่ชินเอาใจใส่ผมอย่างดี ผมอยากได้มันมากขึ้นเรื่อยๆ

     ผมนั่งชันเข่าบนโซฟา ฟุบหน้าลงกับเข่า ตะแคงมองเขา


"ผมอยากดื่มกาแฟร้อน ส่วนเรื่องกิน พี่ชินพาผมไปกินส้มตำข้างนอกได้ไหม?ผมอยากกินอะไรเผ็ดๆเผื่อช่วยได้"

"เอาสิ"

"แต่ไปร้านอาหารญี่ปุ่นก่อนนะครับ"

"ทำไมต้องไปสองร้าน?"
พี่ชินโคลงศรีษะมอง

"เพราะอาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่พี่ชอบ กินของพี่ก่อนอิ่มแล้วค่อยไปร้านที่ผมอยากกิน"


    พี่ชินชะงักก่อนตอบ


"ไปร้านส้มตำเลย พี่กินได้"

"พี่อย่ามาหลอกผมน่า ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบ ผมจำได้นะวันนั้นพี่กินน้อยหรือจะเรียกว่าแทบไม่แตะเลยก็ได้"

"ก็ตอนนั้นไม่ชอบ แต่ตอนนี้ชอบแล้ว"


      ผมมองหน้าพี่ชินด้วยความดีใจ


"จริงหรอครับ? พี่ไปแอบฝึกกินมาตอนไหนนะ"


"ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรขนาดนั้น เดี๋ยวพี่ลุกไปทำกาแฟให้ก่อน"



     คว้าหมับที่ข้อมืออีกฝ่าย พี่ชินก้มมองมือที่ผมจับ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองผม


"เดี๋ยวครับ!...เมื่อคืนพี่อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมหรอ?"


     หากถามตัวผมว่าอายไหม? ที่ต้องมีคนมาถอดเสื้อผ้า ชำระร่างกายให้ในขณะที่ไม่รู้สึกตัว ตอบได้เลยว่าอาย

      แต่เพราะผมก็มั่นใจในหุ่นของผมอยู่พอสมควรเลยไม่ใส่ใจอะไรเท่าไหร่ ที่ใส่ใจคือพี่ชินเห็นของผมทุกซอกทุกมุม โดยที่ผมยังไม่มีโอกาสได้เห็นของพี่ชินเลยด้วยซ้ำ!...


"อะอืมม..ใช่!"

"พี่แอบทำอะไรผมหรือเปล่าครับ? ทำไมมีรอยเหมือน...แบบ..."
ผมแกล้งถามทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ อีกฝ่ายสวนขึ้นมาทันควัน

"จะบ้ารึไง? ติเองนั่นแหละไปทำอะไรกับใครมา ถึงมีรอยจ้ำๆแบบนั้น"


    ผมคลายมือที่จับอยู่ตรงข้อมืออีกฝ่าย ค่อยๆเลื่อนต่ำลงไปสอดประสานมือพี่ชิน ผมยิ้มที่ได้สัมผัสมือนุ่มน่าจับอีกครั้ง โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ขัดขืน


"ถ้ามันไม่ใช่พี่ที่เป็นคนทำ ผมก็ไม่สนใจ"



    ผมไม่เห็นพี่ชินมีปฏิกิริยากระฟัดกระเฟียด หรือหึงอย่างที่พี่ตั้นบอกแต่อย่างใด จู่ๆ  ผมก็เกิดเสียความมั่นใจขึ้นมา


    อันที่จริง ผมไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้ ในเมื่อผมรู้อยู่แล้วว่า วุฒิชอบ

    หัวสมองมันเคยตอกย้ำ พร่ำบอกมาตลอดว่า คนนี้ ของเพื่อน คนนี้ของเพื่อน!

    แล้วผมจะหวังไปอีกทำไมกัน...

    ผมยอมรับว่าผมมีความสับสนพอสมควร ในจังหวะที่ผมพร้อมทำใจมันมักจะมีโอกาสที่เอื้อต่อการให้ผมแสดงออกว่าชอบเขาออกไป แม้ความเป็นจริงผมควรข่มใจ เพราะก็รู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้ ไอ้วุฒิก็มีใจให้พี่ชินเหมือนกัน

   
    เขาเงียบ ผมเงียบ แต่แปลกที่ความเงียบนี้ เป็นความเงียบที่ไม่อึดอัด ทว่า กลับทำให้ผมรู้สึกดีที่ได้มีโอกาสมองคนที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นได้นานขึ้นอีกหน่อย

    ไม่รู้เนิ่นนานเท่าไหร่ ที่ผมยังคงสอดประสานนิ้วเข้ากับมือของอีกฝ่าย ผมใช้ปลายนิ้วโป้งลูบวนหลังมือช้าๆ เอียงหน้ามองคนที่ไม่คิดจะหันมาสบตา

   ผมตัดสินใจทำลายความเงียบ

"เมื่อวานผมขอโทษด้วยนะครับที่กลับก่อน แล้วหนังเป็นไงบ้าง สนุกไหมครับ?

"อื้ม...สนุกดีนะ"

"แล้ววุฒิล่ะ เป็นไงบ้าง ? มันดูแลพี่ดีไหม?"

"ก็ดีนะ"

"พี่ชอบมันรึยังครับ?"

"รู้สึกดี แต่ยังไม่ถึงกับชอบ"




   ไม่รู้ว่าผมเลวหรือเปล่า? แต่พอจบประโยค ผมกลับดีใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด และความรู้สึกที่ตามมาจากนั้น คือความรู้สึกของคนมีความหวัง


"คิดว่าวุฒิพอจะมีโอกาสไหมครับ?"

"ติ จะคุยเรื่องวุฒิอีกนานไหม?"


    จังหวะที่พี่ชินสวนแล้วสะบัดมือผมออกจากกัน เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมชะงักและทันใดนั้น...


"ผมขอโทษครับพี่ชิน โอ้ย!"

"ติ เป็นอะไร?"
ผมมองพี่ชินที่ย่อตัวลงมาหาผมทันที สองมือแตะหลัง จับบ่า

"เหมือนอาการปวดหัวจะกำเริบ"

"แล้วจะไปข้างนอกไหวหรอ? อยู่บ้านไหม? พี่ไปซื้อส้มตำแถวนี้มาให้ติกินก็ได้นะ"



     ผมส่ายหน้าเพราะอาการที่กล่าวมา ผมยอมรับว่า มันก็แค่อาการที่เสแสร้ง


"ไม่เป็นไรครับ"

"พี่ว่าพี่ไปซื้อให้ดีกว่า ติรออยู่ที่บ้านนี่แหละ ติยังไม่หายดีเลย"

"ไม่เอาครับ พักอีกสักสิบนาทีน่าจะดีขึ้น ผมขอนอนหนุนตักพี่ชินแป๊ปนึงได้ไหม?"
   
"หมอนก็มีให้หนุน"


    พี่ชินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม เขาคว้าหมอนที่อยู่อีกฝั่ง ยื่นมาให้ผม



"แล้วพี่ชินคิดว่าหมอนมันทำให้ผมอบอุ่นได้เหมือนพี่ไหมครับ? ผมอยากอยู่กับพี่ชิน อยากให้พี่ลูบหัวผม กล่อมผมให้นอนแค่แป๊ปเดียว พี่ทำให้ผมได้ไหมครับ?"


    คราวนี้ พี่ชินลุกขึ้นยืนของจริง ผมรีบลุกตาม คว้าเอวอีกฝ่ายดึงเข้ามาประชิดตัว ฟุบหน้าลงบนลาดไหล่ของเขา

    จู่ๆ ก็อยากกอดพี่ชิน แต่ไม่กล้า จึงทำได้แค่รวบเอวไว้แต่ไม่ถึงนาที พี่ชินผลักผมออกและก้าวถอยหลังห่างออกไป


"พี่จะบอกให้รู้นะว่าถ้าติไม่ได้ชอบหรือมีใจ อย่าทำอย่างนี้ไม่ว่ากับใคร...เข้าใจไหม?"



     ผมหน้าเหวอที่พี่ชินต่อว่า ผมเดินก้าวไปข้างหน้าเพื่อใกล้ ทว่า พี่ชินก็ก้าวถอยหลังเหมือนต้องการทิ้งระยะห่าง
 


"คือ ผม คือ...ผมขอโทษ แต่ผม...ช..."

"การที่ติพูดจาหมาหยอกไก่ หรือด้วยวิธีที่ติทำอยู่ตอนนี้ ใครได้ยินหรือเป็นฝ่ายโดนกระทำ ถ้าคนที่ไม่คิดอะไรก็คงมองเป็นเรื่องขำๆ แต่ถ้าคนที่คิด...เขาจะเสียใจ...เพราะที่ติทำคือการ...ให้ความหวัง..."   

"ผมขอโทษครับ พี่ชิน แต่ผม...ไม่ได้..."

"พอได้แล้ว ไม่ต้องขอโทษพี่แล้ว พี่รู้ว่าติไม่ได้คิดอะไรกับพี่และพี่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับติ แต่พี่เตือนไว้เฉยๆว่าการทำแบบนี้ไม่ส่งผลดีต่อใครหรอกนะ"


   โธ่เว้ย!!

   พอเจอฉากสำคัญ ทำไมผมถึงไม่กล้าพูดออกไป

    เมื่อก่อนอาจใช่ เพราะผมคิดว่า ผมโสด ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่พูดแซว หยอกเอินแบบนี้กับทุกคนที่ผ่านเข้ามา แต่ตอนนี้ ผมพูดกับพี่ชินแค่คนเดียว แค่เขาคนเดียว!
 
     ผมจะบอกยังไงว่า ผมชอบพี่ชินแทบบ้า!

     ผมเกิดอาการสับสนอีกครั้ง ถ้าผมพูดออกไป ผมจะกลายเป็นคนเลวในสายตาพี่ชินทันที ที่ผมเองต้องมาแก่งแย่ง ชิงดีจีบคนๆเดียวกับเพื่อน
 
     เหมือนมีก้อนบางอย่างติดอยู่ในลำคอ จะพูดก็อึกๆอักๆ ใบหน้าที่เคยผ่อนคลายก็เริ่มตึงเครียด คิ้วขมวดกันเป็นปม
   

"ติไม่ต้องเครียดขนาดนั้นพี่แค่เตือนเฉยๆ เดี๋ยวพี่ไปทำกาแฟให้แล้วกัน"


    ผมนึกว่าวันนี้จะเป็นวันดีซะอีก ผมอุตส่าห์ได้มีเวลาอยู่กับเขาสองคนแท้ๆ

    สุดท้ายก็พังไม่เป็นท่าด้วยคำพูดและการกระทำของตัวผมเอง
   

    หลังจากที่ผมได้รับกาแฟดำตามที่ร้องขอไว้ก่อนหน้า พอพี่ชินทำกาแฟให้ผมเสร็จ ก็หนีขึ้นไปบนห้องไม่ลงมาอีกเลย เขาคงต้องการพื้นที่ส่วนตัวสำหรับสงบอารมณ์สักครู่หนึ่ง

   ผมนั่งเหม่อลอย ในมือของผมมีแก้วเซรามิกสีขาวบรรจุน้ำดำที่ผมหมุนเล่นไป-มา อุณหภูมิที่เคยร้อนก็กลายเป็นอุ่นจวนจะเย็น ผมสัมผัสได้ว่ามือผมชา และคงพองไม่มากก็น้อย


    ผมตั้งใจลงโทษตัวเองกับการกระทำก่อนหน้า ผมจะหวังอะไรได้อีก พอผมมีโอกาสผมกลับทำมันพลาดไป


    ผมไม่รู้ใจตัวเองในตอนนี้ ว่าสรุปแล้วผมควรสู้ หรือ ผมควรถอย

   
    เมื่อกาแฟเย็นลงผมสามารถซดรวดเดียวจนหมด โดยไร้ความรู้สึกรื่นรมย์ ที่จะต้องละเลียดไปกับความหอมกรุ่นหรือดื่มดำรสขมปร่าจากเมล็ดกาแฟพันธุ์ดีที่บดออกมาจากคนที่ผมชอบ


     ผมวางแก้วบนโต๊ะกระจก ขึ้นไปตามพี่ชินบนห้อง ผมเคาะประตู อีกฝ่ายเดินมาเปิด แล้วมองผมด้วยสายตาอ่านไม่ออก




"พี่ชินครับ ผมไม่สบายใจที่เห็นพี่เป็นอย่างนี้ ผมไม่อยากไปแล้ว"

"พี่ไม่ได้เป็นอะไร พี่บอกแล้วไง"


"แต่เหมือนพี่ชินยังโกรธผมอยู่"

"ช่างมันเถอะ ติจะเอายังไง สรุปจะไปอยู่ไหม?"

"ผมอยากไป แต่ผมไม่สบายใจถ้าพี่จะเป็นแบบนี้ พี่ยิ้มให้ดูก่อนได้ไหม? ผมจะได้รู้ว่าพี่ไม่ได้โกรธผมแล้วจริงๆ"


   พี่ชินถอนหายใจก่อนจะแสร้งยิ้มที่ผมก็ดูออก ผมไม่อยากเรื่องมากเลยพยักหน้า หมุนตัวลงบันได จนกระทั่งถึงหน้าบ้านสวมรองเท้า อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงรถยนต์คู่ใจอีกฝ่าย ผมเครียดมากจึงตัดสินใจพูดโพล่งออกไป


"พี่อาจจะมองว่าการกระทำและคำพูดแบบหมาหยอกไก่ คือการให้ความหวังคนอื่นไปทั่ว แต่นั่นมันเมื่อก่อน ถ้าถามตอนนี้ ผมพูดได้เลยว่าผมทำกับพี่ชินคนเดียวจริงๆนะครับ"

"เป็นคนคิดมากสินะ"


    ผมไม่ตอบ ผมเป็นคนคิดมากไหมไม่รู้ แต่ผมยอมรับว่าผมแคร์ความรู้สึกพี่ชินมากกว่าใครก็เท่านั้นเอง


    ในขณะที่ผมหยุดก้าว จู่ๆ พี่ชินก็เดินมาประชิด ก้มตัวลงเล็กน้อย ประคองหน้าผมให้มองรอยยิ้มกว้างอย่างจริงใจที่เขาแสดงออกให้ผมดู


    ผมโล่งใจและอดยิ้มตามไม่ได้


    เขาไม่โกรธจริงๆและพี่ชินยังคงน่ารักกับผมเสมอ...



"ทีนี้ เชื่อหรือยังว่าพี่ไม่ได้โกรธ?"

"เชื่อแล้วครับพี่ชิน"

"ถ้าอย่างนั้นก็เลิกงอแงเป็นเด็กสักที"

"ได้ครับ"



    ผมอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด จากนั้น เราก็ไปร้านส้มตำขึ้นชื่อย่านราชเทวีที่อยู่ริมถนน



    เมนูที่ผมโปรดปรานถูกวางจนครบ ผมเห็นพี่ชินตักต้มแซ่บกระดูกอ่อนใส่ถ้วยตัวเอง ผมดีใจที่เขามีทีท่าว่าสนใจอาหารอีสานขึ้นมาบ้าง ขณะที่ผมกำลังจิ้มคอหมูย่าง พี่ชินก็ยังเอาใจใส่ตักต้มแซ่บใส่ถ้วยให้ผมด้วย

"ขอบคุณครับ" ผมยิ้มให้เขา


    พี่ใส่ใจผมขนาดนี้ แล้วเมื่อไหร่กันนะที่ผมจะมีโอกาสได้ดูแลและเอาใจใส่พี่คืนบ้าง


    รอบนี้ ผมไม่เห็นแก่กินอย่างก่อน ผมคอยลอบมองเขาเป็นระยะๆ เพื่อดูว่าเขาสามารถกินได้จริงๆตามที่บอกหรือเปล่า? พอผมเห็นเขาจิ้มคอหมูย่างเข้าปาก ผมสบายใจ จากนั้น เขาก็เริ่มซดน้ำซุปต้มแซ่บ แล้วสอดส่องสายตาดูเมนูอื่นๆ ผมก็คลายกังวล


    เอาเป็นว่า มื้อนี้ก็ดีกว่ามื้อก่อน...



"พี่ชินครับ"


"ว่าไง"


"ถ้ากินส้มตำเสร็จแล้ว ผมขอนอนบ้านพี่ชินอีกคืนได้ไหมครับ?"


    ผมอยากใช้เวลาอยู่กับพี่ชินให้นานที่สุด และคืนนี้ จะเป็นคืนที่ผมอยากแก้ตัว


    ฟากพี่ชินเลิกคิ้วขึ้นสูง พอเขาเคี้ยวเสร็จ เขายิ้มและตอบกลับ


"ก็เอาสิ วุฒิก็มานอนเหมือนกัน"


    ผมเบิกตาโต


"วุฒิด้วยหรอครับ?"

"อืมใช่...พอดีพี่ชวนเขามานอนเองแหละ"


    ทำไมผมเจ็บ?


"เอ่อ...แต่ตอนเช้า พี่ชินเพิ่งบอกผมว่าพี่ยังไม่ได้ชอบวุฒิ แต่พี่ชวนวุฒิมานอน? คืออะไรครับพี่?"

"ถ้ากำลังคิดทะลึ่งอยู่ หยุดเลยนะ ที่พี่ชวนวุฒิมาเพราะวุฒิบ่นกับพี่ว่าเครียดเรื่องที่บ้าน พี่ก็เลยอยากรับฟัง อยากเป็นที่ปรึกษาให้วุฒิน่ะ ติเห็นพี่เป็นคนยังไง?"


    ผมรีบปล่อยช้อน ส่ายมือไปมาพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ



"เปล่านะครับพี่  คือ ผมไม่ได้คิดว่าพี่ชินกับวุฒิต้องเอ่อ...แต่ผมเดาเอาว่า การที่พี่ชินจะให้ใครสักคนมาบ้าน นั่นหมายความว่า เขาคนนั้นเป็นคนสำคัญแล้ว"

"ที่พูดมาก็ถูก การที่พี่จะให้ใครสักคนมาบ้าน เพราะพี่เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนสำคัญ"



    ผมเงียบ...

   ผมเกิดคำถามขึ้นมาในใจ? สรุปแล้วผมเป็นคนดีจริงๆหรือเปล่า?

   ผมไม่ใช่คนดี...ผมมันก็แค่คนที่พยายามทำตัวเป็นคนดีเพียงเพราะผมกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดีอย่างนั้นหรอกหรือ?

    ถ้าหากผมดีจริง ผมจะมานั่งเศร้าทำไม? ผมควรดีใจที่วุฒิได้เป็นคนสำคัญของพี่ชินแล้ว


    ผมยิ้มเจื่อนและตอบกลับ

"ถ้างั้น พี่อยู่กับวุฒิไปก็ได้ครับ ผมไม่กวนดีกว่า เผื่อบางที มันอาจมีเรื่องที่มันไม่อยากเล่าให้ผมฟัง"

"พูดเหมือนน้อยใจเพื่อน!"

"ไม่น้อยใจหรอกครับพี่ชิน แต่เรื่องบางเรื่อง ไอ้วุฒิมันอาจจะอยากบอกพี่มากกว่าผม ส่วนเรื่องเมื่อคืนที่ผมนอนค้างบ้านพี่ พี่อย่าบอกวุฒินะครับ"

"ได้สิ"


     คราวนี้เป็นผมเองที่ฝืนยิ้ม และผมไม่รู้หรอกว่าพี่ชินจะดูออกไหม?

     ก็อาจจะ...

    แต่สิ่งที่ผมรู้ได้ตอนนี้ ....ทำไมส้มตำโคราชใส่พริกแปดเม็ดจานเดิมที่ผมนั่งตักกินอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อครู่ จู่ๆก็เกิดไม่อร่อยขึ้นมาซะอย่างนั้น...





****1.1****
วิชาความรัก เขามีเปิดสอนสถาบันไหนกันบ้างไหมเอ่ย?  :z1: :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 6|| 1-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 01-05-2018 21:09:56
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 6|| 1-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-05-2018 21:26:34
 :pig4: :pig4: :pig4:

ต่างคนก็ต่างกั๊กความรู้สึกตัวเองเอาไว้  ไม่พูด เมื่อมันไม่เคลียร์ ก็มโนกันไป
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 6.2|| 3-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 03-05-2018 19:46:17
บทที่ 6 อย่าทำอย่างนี้ไม่ว่ากับใคร(2)



     ในเวลาเลิกงาน วันต่อมา...

       อชิถือโอกาสเลี้ยงข้าว เหตุที่เธอเป็นบัดดี้ผม เพราะวันนั้น ผมไม่ได้อยู่ตอนที่พวกเขาเฉลยบัดดี้


     แม้ผมจะปฏิเสธเธอหลายที เพราะผมไม่ชอบให้ผู้หญิงต้องมาจ่าย
แต่เธอยืนกราน ดึงดันให้มาอ้างว่าพี่แท็คบังคับ ผมจึงต้องมาอย่างอิดออดไม่ได้


     ท่ามกลางโต๊ะอาหารในร้านสุกี้ขึ้นชื่อบนห้างสรรพสินค้า ผม พี่แท็ค และอชิ กำลังใส่ผัก หมูนุ่ม เนื้อไก่ ลูกชิ้นปลาสวรรค์ และอื่นๆอีกมากมาย ในขณะที่รอต้มให้สุก พวกผมนั่งกินเป็ดย่างไปพลางๆ


     ผมไม่มีอารมณ์อยากกิน เพราะในหัวของผมนึกถึงแต่เรื่องพี่ชิน ผมไม่รู้ว่า ตอนนี้พี่ชินเป็นอย่างไรบ้าง


    วันนี้ พี่ชินกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงาน หลังจากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องผลงานที่ผมและพี่ชินเคยไปนำเสนอผลงานกับลูกค้าที่บริษัทแห่งหนึ่งว่ามีอีกบริษัทได้งานไป ความจริงเรื่องนี้พี่ชินรู้มาก่อนและทำใจได้ แต่ที่เพิ่งรู้มาหมาดๆคือบริษัทนั้น มีไอเดียเหมือนกันกับบริษัทของผม ต่างกันตรงที่บริษัทที่เข้าร่วมแข่งขันราคา เสนอราคาที่ถูกกว่ากันมาก และสาเหตุที่บริษัทนั้นได้ เพราะฝั่งนั้นเข้าไปเสนองานก่อน ทางลูกค้าจึงคิดว่าทีมของพวกผมก็อปปี้ไอเดียของบริษัทนั้น


    ผมไม่อยากจะเชื่อเลย เพราะวันที่ผมกับพี่ชินไปเสนอผลงาน เขายังชื่นชมนักหนาว่าดี ว่าชอบ แต่ไม่คิดว่า จริงๆ เขารู้ว่ามีผลงานเหมือนกัน แต่ทำเป็นเงียบไว้
 

    มั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นอกซะจากว่า ในบริษัท มีหนอนบ่อนไส้
 
 
    และก็จริงอย่างที่พี่แท็คบอก พี่ชินทุ่มเทกับงานมาก กว่าจะระดมสมอง นั่งประชุมตั้งแต่เช้าจรดเย็น เพื่อนำเสนอผลงานที่ดีที่สุดสู่มือลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จู่ๆกลับถูกขโมยไอเดีย มิหนำซ้ำยังกดราคาให้ต่ำกว่า เป็นใครก็คงเสียความรู้สึก

   
   ราวกับเชื้อโรคที่แพร่เชื้อถึงกัน เพราะความไม่สบายใจของใครอีกคน ส่งผลให้ผมไม่สบายใจตาม
     

"ชิโทรหา พี่ชินไม่รับเลย พี่แท็คคุยกับพี่ชินยังคะ?"


    ผมเงี่ยหูฟังอชิพูดกับพี่แท็ค อชิดูกังวลไม่น้อย เพราะเธอเป็นคนรู้เรื่องนี้ แล้วนำไปบอกพี่ชิน

   
"คุยแล้ว ชินมันบอกว่า มันไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากพักเลยกลับก่อน ส่วนบริษัทที่ได้งาน พี่ว่าจะลองสืบดูว่าคนที่บริษัทนั้น มีใครรู้จักกับบริษัทเราหรือเปล่า?"

"พี่ชินนะพี่ชิน ไม่รับโทรศัพท์น้อง แต่รับโทรศัพท์พี่แท็ค หึ..."

"อย่างอนชินเลยอชิ มันคงไม่อยากให้อชิไม่สบายใจมากกว่า"



   ขณะที่ผมนั่งเคี้ยวหมู ผมยิ้มมุมปากกับการกระทำพี่แท็คที่โยกศรีษะอชิอย่างเอ็นดู ไหนจะคำพูดคำจาพี่แท็คที่ดูอ่อนหวานกับอชิเป็นพิเศษ  เพราะโดยปกติพี่แท็คจะดูห่ามกว่านี้ พอเจอมุมละมุนเข้าไป ผมไม่ค่อยชินเท่าไหร่


   ผมยังคงดีใจกับอชิที่เธอสมหวัง และได้คบกับคนที่เธอแอบรัก



"ผมอยากทำให้พี่ชินมีความสุข มีอะไรที่ผมพอช่วยได้บ้างไหมครับ?" ผมโพล่งไป

"มึงใช้คำพูดแปลกๆว่ะ"

"หืม...แปลกยังไงครับ ก็ผมเป็นพนักงานที่นี่เหมือนกัน ผมเห็นพี่ชินเป็นแบบนี้ก็เลยเป็นห่วง"

"กูเข้าใจ แต่คำพูดและท่าทางมึงดูห่วงและกังวลเกินเหตุ พวกกูก็เครียดที่เห็นชินมันเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่อาการหนักเท่ามึงว่ะ"




   ผมชะงัก อาการผมดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าผมเป็นห่วงพี่ชิน? และผมไม่รู้จริงๆนะ ที่ว่า อาการหนักในความหมายของพี่แท็คคืออะไร?

   ขณะที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ในหัว อชิก็ถามผม
 

"ติอย่าโกรธชินะ คือ ชิจะถามว่า ติ...เอ่อ...คือ จะใช้คำพูดยังไงดีอะ อ้อ!...ติแบบรักเพศเดียวกันได้ไหม?"


    ผมขำอชิ ผมส่งยิ้มและพยักหน้าช้าๆ


"พี่แท็คคะ เชียร์ติให้จีบพี่ชินกันดีไหมอะ?" อชิกระดี๊กระด๊าตอนถามพี่แท็ค


"เออน่าสนแฮะ...กูถามมึงก่อน แบบไอ้ชินน่ะ มึงชอบไหมวะ?"

 
    โอ้โห!...ผมล่ะอยากขอบคุณพี่แท็คจริงๆที่คำพูดของพี่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผมมากเลยทีเดียว จะว่าไป ความเป็นจริงมันควรกลับกัน เพราะสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้นั้น มันควรจะเป็นว่า...

    คนแบบผมน่ะ พี่ชินจะชอบไหม นั่นต่างหาก?


"เดี๋ยวๆ มีอะไรกันหรือครับ?"

"กูกับอชิเคยคุยกันเล่นๆว่า กูอยากให้ชินมีแฟนใหม่ได้แล้ว เพราะช่วงนี้ มันเจอปัญหาหนัก ไหนจะงาน ไหนจะแฟนเก่ารังควานมันไม่เลิก คนที่มึงเห็นคราวนู้นนั่นแหละ และที่สำคัญเวลามันมีปัญหา ไอ้ชินเป็นคนไม่พูด ชอบเก็บเอาไว้คนเดียว ถ้ามันมีใครสักคนก็คงจะดี"


    ผมมองพี่แท็คที่ดูหน้าจริงจังขึ้นทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้
 
 
"ทำไมอยู่ดีๆแฟนเก่าถึงกลับมารังควานอีกล่ะครับ ก็เลิกกันนานแล้วไม่ใช่หรอ?" ผมสงสัย

"ก็เออดิ ก่อนหน้านี้ ชินมันเปลี่ยนเบอร์มือถือไง แฟนเก่าคงตามไม่ได้ แต่หลังจากที่เจอวันนั้น แฟนเก่ามันเสือกได้เบอร์ใหม่จากใครไม่รู้ โทรหาถี่ยิบเลย"

"หรอครับ? บล็อกเบอร์โทรก็ได้นี่ครับ"

"บล็อกไม่ได้แล้วเนี่ยดิ เพราะชินบอกกูว่า แฟนเก่ามันมีบางอย่างที่ทำให้ชินขาดการติดต่อไม่ได้"



   พี่แท็คพูดจบ คีบเนื้อเป็ดป้อนอชิ ยิ่งทำให้คนโสดอย่างผมอดอิจฉาตาร้อนไม่ได้

   นั่งตรงนี่ เหมือนเป็นส่วนเกินอย่างบอกไม่ถูก

   ผมคงต้องยอมรับความจริงและชินได้แล้วสินะ ที่ต้องเห็นคนรอบข้างหวานใส่กัน


"มันคืออะไรหรอครับ?"

"กูบอกไม่ได้ และถึงต่อให้มึงถามไอ้ชิน มันก็คงไม่บอก"


    พี่แท็คยิ่งพูดแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมอยากรู้ซะแล้วสิ แต่สิ่งที่ผมอยากรู้อีกเรื่อง คือ ...


"แต่พี่ชินไม่ได้มีเยื่อใยให้คนเก่าแล้วใช่ไหมครับ?"

"ใช่ มันหมดใจไปนานแล้วล่ะ"


   ผมเงียบ ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และอชิก็โพล่งอีกหน


"ติ ชิรู้ว่าความรักบังคับกันไม่ได้ แต่ถ้าติรู้สึกแบบ เอ่อ...ชอบพี่ชินเมื่อไหร่บอกนะ ชิเชียร์เต็มที่"

"ขอบคุณนะ อชิ"


    ผมยิ้มให้เธอ ผมไม่อยากบอกความจริงเลยว่า ถึงอชิจะเชียร์ผมแค่ไหน? ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะผมคงต้องหยุดไว้แค่ตรงนี้ เนื่องจากไม่อยากมีปัญหากับเพื่อน
   
    แต่อย่างน้อย ผมก็รู้สึกดี ที่ยังมีคนคอยสนับสนุนผมอยู่..
   

     หลังจากที่ผมกินข้าวกับอชิและพี่แท็คเสร็จเรียบร้อย กลับมาถึงห้อง เจอวุฒิสวมกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง

     วุฒิคงอาบน้ำแล้ว


"ไปนอนบ้านพี่ชินเป็นไงบ้างวะ โอเครึเปล่า?"


   ผมถามเพื่อนขณะที่ถอดเสื้อผ้าเพื่อเตรียมอาบน้ำ เนื่องจากวันนี้เหนื่อยและเพลียสุดๆ



"โอเค พี่ชินดีกับกูมากเลยมึง อ่อ..ติ กูจะหาห้องเช่าใหม่แล้วนะ เกรงใจมึงว่ะ กูตัดสินใจแล้วว่าจะไม่กลับไปอยู่บ้านแม่"


   ผมทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียง มองหน้าเพื่อน ท่าทางปัญหาระหว่างมันกับแม่มันน่าจะหนักเอาการ

   ผมไม่ห่วงวุฒิเรื่องที่อยู่อาศัย มันจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะฐานะทางบ้านมันรวย ขนาดทุกวันนี้ มันไม่หางานทำ ยังมีเงินไว้กินไว้ใช้ได้ตลอด

   ผมเชื่อว่าการทะเลาะกับแม่ ไม่ส่งผลต่อรายได้ เพราะมีพี่ชายคนโตให้ท้าย

   เผลอๆ พี่ชายวุฒิรักมันยิ่งกว่าแม่มันอีกมั้ง...

   
"มึงทะเลาะกับแม่หนักเลยเหรอ?"

"เออ..เบื่อฉิบหาย เรื่องเดิมๆ เขาจะให้กูแต่งงาน แค่กูเรียนจบตามคณะที่เขาต้องการมันก็น่าจะพอ บังคับให้กูช่วยงานพี่วิทย์ กูก็ตามใจ แล้วนี่จะบังคับให้กูแต่งงานกับคนที่กูไม่ได้รัก มันอะไรกันนักหนา จะเอาชีวิตกูไปเลยไหม?"

"เฮ้ย! ใจเย็นๆ แม่มึงคงมีเหตุผลล่ะ รอดูก่อนสิ ส่วนเรื่องห้อง มึงพักกับกูก่อนก็ได้ กูไม่อึดอัด มึงจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นหาห้องใหม่ แต่ก็แล้วแต่มึงนะ"

"เออๆ...ขอบใจมึงมากนะติ"



"มึงอยากเล่าอะไรให้กูฟังอีกไหม? กูรับฟังได้นะ"

"ขอบใจ แต่ช่างแม่งเหอะ พอนึกถึงก็หงุดหงิด ที่กูอยากเล่า คือ เรื่องพี่ชินมากกว่า กูกลัวผิดหวังว่ะ"

    วกมาเรื่องพี่ชิน ผมเจ็บแปลบขึ้นมาทันที


"เกิดอะไรขึ้นวะ?"

"ไม่มีอะไรหรอก แค่กูรู้สึกชอบพี่ชินมากกว่าเดิม กูเลยกลัวว่าถ้าเขาไม่ชอบกู ก็จะเจ็บน่ะ กูอยากขอเขาคบเป็นแฟนจะแย่ แต่กลัวเร็วไป เลยกะจะรอเวลาอีกนิดนึงค่อยถาม ว่าเขาคิดยังไงกับกู?"

"ก็ลองดู ทำให้เต็มที่แล้วกันมึง กูเอาใจช่วย"

"ขอบใจมากมึง ไม่ได้มึงกูคงแย่ว่ะ ติ..."


    คำพูดเพื่อน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ถ้าคิดจะแย่งมัน


"เออ...มึงเป็นคนเอาอมยิ้มให้พี่ชินหรือวะ?"

"มึงรู้ได้ไง?"

"พอดีเมื่อคืน กูเห็นพี่ชินหยิบช่ออมยิ้มออกมาจากตู้เสื้อผ้า กูเลยถาม เห็นเขาบอกว่าที่บริษัทเล่นบัดดี้กัน แล้วคนที่ให้คือมึง"


"แล้วทำไม?"

"พี่ชินโตเกินกว่าจะมานั่งแดกอมยิ้มปะวะ ทำไมมึงไม่ซื้ออย่างอื่นให้อะ"

"แล้วมึงเสือกอะไรด้วยวะ มันก็เรื่องของกูปะ?"

"กูขอโทษ คือ กูแค่ถามดู แบบถ้าเป็นกูนะ กูคงซื้ออะไรดีๆ แพงๆให้เขาประทับใจกว่านี้"


   บ้านผมไม่ได้รวยเหมือนมัน ที่จะมีเงินซื้อของในราคาแพงได้ๆ แล้วการที่ผมซื้ออมยิ้มให้พี่ชิน ผมผิดมากเหรอไง?


    อีกอย่างอมยิ้มช่อนั้น ผมทำด้วยความตั้งใจ กว่าผมจะทำได้เป็นช่อสวยงามก็ใช้เวลาหลายวัน พอมาเจอคำพูดลักษณะนี้ ก็บั่นทอนความรู้สึกพอสมควร


   แต่ผมรู้ว่าวุฒิไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก เพียงแต่มันมีนิสัยจุกจิก อะไรที่ขัดหู ขัดตาหรือไม่ได้ดั่งใจมันเมื่อไหร่ มันจะถามออกมาโต้งๆ ตรงๆ ให้คลายข้อสงสัยก็เท่านั้น


"เฮ้ย...มึงโกรธกูหรอ? กูแค่หวังดี จะแนะนำว่าควรซื้ออะไรที่เหมาะกับพี่ชินมากกว่านี้ อย่างเช่น เสื้อผ้าแบรนด์ดีๆ....เน...ค"


"ช่างแม่งเถอะ มันผ่านมาแล้ว อีกอย่างกูอยากให้อมยิ้มเขา แม้คนอื่นอาจจะมองว่าไม่มีค่า"

"มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ? กูขอโทษนะติ แค่กูมองว่ามันตลก เอ้ย...ไม่ใช่ๆนะ เอ่อ...แค่มันติดอยู่ในหัว เลยพูดออกมาน่ะ"


    ผมไม่อยากคุยถึงเรื่องนี้อีก ผมจึงเบี่ยงประเด็นถามทันที


"วันนี้ มึงได้คุยกับพี่ชินรึยัง?"

"คุยทางไลน์ตั้งแต่หัวค่ำ แต่พี่ชินบอกกูว่าปวดหัวนิดหน่อยจะขอหลับก่อนน่ะ"

"วันนี้ พี่ชินเครียดมาก มึงควรโทรถามอาการเขาหน่อยนะ"
ผมเอ่ย

"อ้าวหรอ?"

"ใช่ ทางที่ดี มึงควรไปหาพี่ชินที่บ้าน"


     ผมแนะนำ ทั้งๆที่ผมเองก็เจ็บอยู่ไม่น้อย


"แต่พี่ชินบอกกูว่าหลับแล้วอะดิมึง"

"ไม่ลองไม่รู้ มึงควรไปนะไอ้วุฒิ วันที่มึงเครียด มึงก็ไปหาพี่ชินให้เขาปลอบใจไม่ใช่เหรอ?"

"ก็ใช่แต่....เอ่อ...กูขี้เกียจออกจากห้องว่ะ นี่มันก็สามทุ่มกว่าแล้วมึง ไว้พรุ่งนี้กูจะโทรหาเขาอีกที"

"กูให้มึงคิดอีกที ไอ้วุฒิ"


    ผมย้ำเสียงหนัก วุฒิทำหน้าครุ่นคิดพักใหญ่ ก่อนจะมากอดคอผมแน่น ส่งยิ้มแห้งๆ เหมือนกลัวผมจะด่า


"เดี๋ยวกูโทรหาพี่ชินตอนนี้เลยแล้วกัน แต่กูคงไม่ไปว่ะ"



    ผมเงียบถอนหายใจแรง มองหน้าเพื่อนรัก

    กูถือว่ากูบอกมึงแล้วนะ....กูให้โอกาสมึงแล้ว

    ถ้ามึงไม่ไป กูไปเอง...









.............




ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง


   ในเวลาห้าทุ่ม ผมมายืนอยู่หน้ารั้วบ้านพี่ชิน ผมโกหกวุฒิว่ามีงานด่วนที่พี่โทรออฟฟิสโทรตาม ผมไม่รู้ว่ามันเชื่อไหม? แต่ผมไม่สนใจ

    ผมมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมไม่ได้จะมาเพื่อคิดแข่งหรือแย่งพี่ชินไปจากเพื่อน เหนืออื่นใด ผมมาเพราะผมเป็นห่วงพี่ชิน


    ถ้าไม่มา ผมคงนอนไม่หลับ ผมไม่สบายใจที่รู้ว่าพี่ชินเครียด และอยู่บ้านคนเดียว มันน่าหดหู่แค่ไหน หากในช่วงเวลาที่มีปัญหา ไม่มีใครเคียงข้าง

   พี่ชินควรมีคนปลอบใจ

   ผมคิดอย่างนั้น...

   ถึงแม้ว่าผมจะเพลียและล้าจากการทำงาน อีกทั้ง ห้องของผมกับบ้านของพี่ชินระยะทางจะห่างไกลกันพอสมควร แต่ผมอยากมา ขอแค่ได้รู้ว่าพี่ชินสบายใจ แค่นั้น ผมก็ยอม

   เนื่องจากวันนี้ทั้งวัน ผมกับเขาไม่มีโอกาสได้คุยกันแม้แต่คำเดียว พี่ชินไม่ลงไปกินข้าว คุยงานทางโทรศัพท์ตลอด จากนั้นเขาก็กลับบ้าน ส่วนผมก็งานเยอะจึงหาจังหวะถามไถ่ได้ยาก
 

    ผมยืนรอไม่นาน เห็นร่างสูงก้าวยาวๆออกจากตัวบ้าน ผมเห็นพี่ชินสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวเนื้อบางคอกว้างจนแทบจะหลุดจากไหล่กับกางเกงขาสั้นสีฟ้าอ่อน


"ติ...มีอะไร? ทำไมมาดึกดื่นขนาดนี้" พี่ชินดูหน้าตระหนกตกใจที่เห็นผมยืนอยู่มืดๆในยามวิกาล

"ผมขอโทษที่มารบกวน พ..พี่ชินหลับหรือยังครับ?"


"ยังน่ะ"


"พี่ชินโอเคไหมครับ? คือ...ผ..ผมเป็นห่วงพี่เรื่องงานเมื่อกลางวัน?"



     ผมเห็นพี่ชินหลุดยิ้มจางๆออกมา จากที่พี่ชินจะเปิดประตู เขากลับชะงักมือไว้


"คิดว่าพี่จะคิดสั้นหรือไง?"


    ผมกัดปากตัวเอง มองพี่ชินที่เลิกคิ้วขึ้นสูง


"ไม่คิดครับ ผมรู้ว่าพี่เข้มแข็ง เพียงแต่ผมคิดว่า เวลาที่พี่มีปัญหาพี่ควรมีใครสักคนคอยรับฟัง"


    ผมมองพี่ชินที่นิ่งอึ้งไปครู่ ก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากอีกครั้ง


"ถ้าแค่รับฟัง ติโทรมาก็ได้"


   ตอนนี้ พี่ชินยังไม่ยอมเปิดประตูให้ผมเลยคิดดูสิ เรายืนคุยกันผ่านรั้วเตี้ยกั้นกลางระหว่างกายสอง


"โทรได้ยินแค่เสียง แต่ถ้ามาหา จะได้ยินทั้งเสียง และได้เห็นว่าพี่เป็นยังไงด้วย"


    ผมเห็นพี่ชินมีทีท่าชะงักหลายครั้งกับคำพูดผม ผมมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง แต่พี่ชินกลับถอนหายใจ


"เฮ้อ!....ถ้าพี่ไล่ให้กลับบ้านจะใจร้ายไปไหม?"

"ไม่หรอกครับ ผมแค่อยากมาให้เห็นกับตาว่าพี่โอเค แค่นั้น ผมก็สบายใจแล้ว...ถ้างั้นผม...กล..."


"ถ้าไล่ก็คงจะใจจืด ใจดำไปหน่อย ติเข้ามาสิ"


    พี่ชินเพิ่งจะเปิดประตูให้ผมเดินเข้ามาในตัวบ้าน เขาเดินนำและบ่นเบาๆแต่ผมก็ได้ยินอยู่ดี


"นอกจากจะเป็นคนคิดมากแล้วยังดื้ออีก"

     ผมเถียงกลับ

"พี่ชินก็เหมือนกัน นอกจากจะชอบเอาใจใส่คนอื่นมากเกินไปแล้วยังชอบทำตัวเข้มแข็งเกินเหตุอีก"

"ยอกย้อนนะเรา"

"ก็จริงนี่ครับ พี่ชินก็เป็นอย่างนี้ทุกที"


    พี่ชินคงเบื่อผมถึงเลิกเถียง เขานั่งลงที่โซฟา เอนศรีษะพิงพนักเงยหน้ามองเพดานเหมือนคนเหม่อลอย


"ขอบใจนะที่เป็นห่วง"

"ครับ ว่าแต่พี่ชินอยากเล่าอะไรไหม? ผมพร้อมที่จะฟังนะ"


"ไม่รู้จะเล่าอะไร"




    ผมรู้ดีว่าพี่ชินเป็นผู้ใหญ่กว่าผม...
    เก่งกว่าผม...
    และสามารถรับผิดชอบทุกอย่างได้ดีกว่าผมอยู่แล้ว


    แต่คนเรา ต่อให้เก่งมาจากไหน ในวันที่มีปัญหาหรือเครียดมากเพียงใด กำลังใจและการมีคนคอยรับฟังสำคัญที่สุด


    คนเราอยู่คนเดียวได้ แต่ไม่มีใครอยู่คนเดียวตลอดชีวิตได้จริงๆหรอก...


    เพราะโลกได้สร้างผู้คนให้มาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กัน มันจึงเกิดเป็นสังคม ความรัก และความผูกพันขึ้นมา



    ผมกระตุกแขนพี่ชินให้เลิกมองเพดานแล้วหันมาหาผมที่หน้าขัดสมาธิมองเขาอยู่ พี่ชินตะแคงหน้ามามอง




"พี่ชินครับ เวลาที่คนเราเจอเรื่องเครียดๆมาแล้วเอาแต่เก็บไว้ไม่เคยปริปากพูดหรือได้ระบายออกมา พี่คิดว่ามันดีหรอ? ยิ่งเก็บและกดไว้มากเท่าไหร่ พอถึงวันที่มันสุดๆจริงๆ มันจะกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่และแย่กว่าเดิมนะครับ
พี่ชินไม่ใช่หุ่นยนต์ พี่มีหัวใจและความรู้สึก พี่ชินไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ ถ้ามันถึงจังหวะที่ต้องอ่อนแอก็อ่อนแอออกมาเถอะ..."


     
    ผมพูดจบ พี่ชินนั่งนิ่งไปเลย ก่อนจะส่ายหน้าขำและหันตัวมาหาผม

    มันเป็นครั้งแรก...

    ครั้งแรกจริงๆที่พี่ชินสัมผัสตัวผมอย่างอ่อนโยน ด้วยการยกสองมือมายีผมของผมเล่น


"เฮ้อ! ตินี่เหมือนเด็กเลย"

"พี่หมายความว่าไง?"

"ซื่อล่ะมั้ง"


"พี่ว่าผมเหรอ?"

"ไม่รู้สิ ทั้งชม ทั้งว่ามั้ง ติเป็นคนไม่มีพิษมีภัย ติใสซื่อแถมซื่อบื้ออีกต่างหาก อ้อ!...แล้วก็...ติเป็นคนซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง ไม่โทร แต่มาหา เพราะทำตามใจตัวเองที่บอกว่ามาแล้วจะมันดีกว่าใช่ไหม?"



   ผมอึ้ง เผลออ้าปากค้าง ทำไมพี่ชินอธิบายตัวตนผมได้เห็นภาพชัดเจนขนาดนี้

   

"เอ่อะ...คือ..."

"ขอบคุณนะติที่มา แต่พี่ไม่ได้เครียดอะไร พี่สบายดีจริงๆครับ"



   คงไม่ใช่พี่ชินที่ดูผมออกคนเดียวหรอก ผมก็ดูเขาออกเหมือนกัน เพราะตอนนี้พี่ชินกำลังโกหก แม้พี่ชินจะทำหน้าเหมือนคนไม่มีอะไรอย่างปากว่า

   แต่เชื่อเถอะ ว่า สายตา มันปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงไว้ไม่มิด

    ถ้าพี่ชินเลือกตอบแบบนั้น ผมจะไม่เซ้าซี้


หมับ!


    วินาทีนั้น ผมกระเถิบตัว ดึงมือพี่ชินมากุมไว้และวางลงบนตักผม

    ผมเชื่อว่าการได้สัมผัส มันช่วยให้พี่ชินผ่อนคลายได้



"ถ้าพี่ชินลำบากใจไม่ต้องเล่าก็ได้ แต่ในเวลาที่พี่ชินเครียดหรือมีปัญหา เป็นผมที่อยู่ข้างพี่ได้ไหม?"


     ผมพูดจริงๆ แค่วันนี้ที่ผมได้ยินจากปากพี่แท็คว่า พี่ชินเจอะเรื่องแฟนเก่ามาตามราวีอีก พี่ชินก็คงเครียดไม่น้อย ที่นอกจากงานแล้วยังมีปัญหาส่วนตัวประดังประเดกันเข้ามา

    ผมอยากดูแลและทำให้พี่ชินสบายใจแม้ว่ามันจะเป็นส่วนเล็กน้อยสำหรับเขา

    หากลองได้รักใครสักคน ผมเชื่อว่า ทุกคนอยากทำให้เขาคนนั้นมีความสุขไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม

    ซึ่งตัวผมเองก็เช่นกัน

   
    แม้ผมจะไม่มีเงินทองมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมทำได้ คือ การรับฟังในเวลาที่เขาอยากระบายปัญหา


    ไม่รู้ว่า คำถามนั้น ผมขอมากไปหรือเปล่า? ผมถึงเห็นพี่ชินน้ำตาคลอดวงตาสวย เขารีบเบือนหน้าหนีไปอีกทาง


"พี่ไม่ใช่คนประเมินเราผ่านโปรฯสักหน่อย ไม่ต้องมาดีกับพี่หรอก"


     ผมไม่โกรธที่พี่ชินพูดแบบนั้น เขาพูดก็เพื่อต้องการเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้ผมขยี้ จี้หัวใจที่อยู่ในสภาวะอ่อนแอจนแทบแหลกสลาย


    เพราะถ้าผมย้ำเรื่องเดิมอีกครั้ง พี่ชินร้องไห้หนักกว่าเดิมแน่ ผมกระชับมือพี่ชินแน่นขึ้น


    ฝ่ามือของเราสองคนที่เคยเย็นกลับอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ผมว่าความรักของผมน่าจะส่งผ่านไปถึงพี่ชินแล้ว

   ผมใช้มือที่ว่าง ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงผ้า ผมแบมือให้พี่ชินเห็นอมยิ้มที่อยู่ในมือของผม
 


"ผมให้"



    พี่ชินมองอมยิ้มในมือผมและรับมันไปอย่างงงๆ

   
    ผมนึกถึงคำพูดเพื่อน ผมจึงเอ่ยออกไป


"ผมขอโทษนะครับ ที่อมยิ้มอาจไม่มีค่าเท่าไหร่? แต่พี่ชินจำได้ไหมว่าที่ผมให้อมยิ้มพี่ตอนแรก นั่นเป็นเพราะอะไร?"

"เพราะอยากเห็นพี่ยิ้ม"

"ใช่ครับ แล้วตอนนี้ ถ้ามันไม่มากไป พี่ยิ้มให้ผมดูอีกครั้งได้ไหม?"


    พูดจบ ผมเห็นพี่ชินหันมาทางผม ด้วยขอบตาที่เแดงก่ำ รอยยิ้มเล็กๆมุมปากที่แม้มันจะบางเบาจนแทบแยกไม่ออกว่านั่นคือรอยยิ้มจริงๆหรือเปล่า?

    แต่ผมดีใจ..ที่พี่ชินพยายามทำตามความต้องการของผม แม้เขาจะเศร้าอยู่



"ผมไม่กวนพี่ชินแล้ว ผมจะนั่งเงียบๆอยู่ตรงนี้ ถ้าพี่ชินอยากขึ้นไปนอนเมื่อไหร่ บอกผมนะ"


    พี่ชินพยักหน้ารับ จากนั้น ผมทำตามที่บอก ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปาก นอกจากนั่งเคียงข้างพี่ชินให้รู้ว่า พี่ชินยังมีใครอีกคนที่เป็นห่วงเขาจากใจเท่านั้นก็พอ....






.....................................

 :mew1: :mew1: :katai5: :katai5: :m15: :monkeysad:


หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 6.2|| 3-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-05-2018 21:50:20
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวานซะ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 6.2|| 3-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 04-05-2018 18:23:10
ดี!! ทำได้ดี
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 7|| 5-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 05-05-2018 21:03:07

ตอนที่ 7 ที่พักพิง











       และแล้ววันที่พวกผมไปทะเลก็มาถึง ซึ่งตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตอนแรกอชิอยากมาด้วย แต่พี่แท็คกระซิบเพื่อเตี้ยมกับผมว่าอยากพาอชิไปสวีทหวานกันสองต่อสอง ผมถึงต้องโกหกอชิว่า ผู้ชายไปเยอะ กลัวอชิไม่สนุก เธอเข้าใจจึงไม่มา แต่กลายเป็นว่าคนที่พ่วงมาด้วยและผมไม่อยากให้มานั่นคือ พี่ชายผมเอง


      สี่คนเดินทางด้วยรถยนต์สองคัน ผมนั่งมากับพี่ตั้น ส่วนวุฒิไปกับพี่ชิน เราเดินทางมาถึงท่าเรือเฟอร์รี่ ขับรถลงจอดในเรือข้ามฟากเพื่อไปเกาะช้าง จากนั้นพวกผมเดินขึ้นไปนั่งกันที่ชั้นสองของตัวเรือ


    นั่งกันสักพัก ผมเห็นวุฒิและพี่ชินนั่งหลับภายใต้แว่นกันแดด ลมแดดและการเดินทาง อาจทำให้เพลีย ผมไม่อยากนั่งให้ตัวเองง่วง จึงลุกจากที่นั่งเดินไปรับลมตรงท้ายเรือ ยกโทรศัพท์มือถือเข้าหมวดกล้องเพื่อกดถ่ายรูปทะเลรัวๆ ยืนคิดอะไรไปเพลินๆ แต่ไม่พ้นเรื่องเดิม นั่นคือ เรื่องพี่ชิน

     ผมดีใจนะที่ได้มาทะเลกับพี่ชิน แม้จะไม่ได้มากันสองต่อสอง แต่เท่านี้ก็พอใจ

    เมื่อเห็นเกาะจุดหมายใกล้เข้ามา ผมถึงกลับไปนั่งก็เห็นพี่ตั้นตื่นแล้วหันมาคุยกับผม


     ชั่วโมงกว่าๆ จากการถึงฝั่งเกาะช้างและขับรถมาโรงแรมต่อ ทุกคนยกสัมภาระของตัวเองไปติดต่อตรงจุดเช็คอินของโรงแรม รับกุญแจและคีย์การ์ดมา ต่างก็แยกย้ายไปวางสัมภาระกันที่ห้อง

   ผมกับพี่ชินได้ห้องพักติดกัน โดยผมนอนกับพี่ตั้น ส่วนวุฒินอนกับพี่ชิน

   เราทุกคนนัดกันว่า หากเคลียร์ของเสร็จ ให้เจอกันที่ชายหาด ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกจากห้องไปก่อนพี่ชาย


   โรงแรมที่ผมพักติดทะเลเลยไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง ผมเจอะวุฒิก็ลากคอมันลงน้ำ ส่วนพี่ชินนั่งเล่นรอที่ชายหาด


   แม้แดดจะแรง แต่ผมไม่หวั่น ผมกับวุฒิเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน เราว่ายไปจุดที่ลึกขึ้น แต่ยังพอยืนเขย่งๆกันได้

    และเมื่อการมาทะเลทำให้หวนนึกถึงสมัยเรียนมหาฯลัย


"คิดถึงไอ้โจ้เลยว่ะ"


    โจ้ คือ เพื่อนอีกคนที่ผมสนิท และรักพอๆกันกับวุฒิ


"เออว่ะ น่าจะชวนมันมาเนอะ"

"อืม..แต่อย่างว่าช่วงนี้ มันติดเมีย ต่อให้ชวนก็คงไม่มา..ไอ้โจ้กลัวเมียจะตาย มึงก็รู้"



"เออก็จริง...แม่งพอมีเมียแล้วห่างเพื่อน"

"ฮ่าๆ...ว่าแล้ว เดี๋ยวพวกเราส่งรูปไปอวดมันดีกว่า"

"เออๆ...ดีๆ...ยั่วให้มันเสียดาย"



    พวกผมหัวเราะกันที่นึกหาเรื่องยั่วเพื่อนอีกคนได้สำเร็จ จู่ๆไอ้วุฒิกระโจนขึ้นมาขี่คอผม ทำอย่างกับเล่นขี่ม้าส่งเมือง ผมไม่ได้ตั้งหลัก ขาผมอ่อนแรง ทั้งตัวผมจึงจมมิด วุฒิกระเด้งออกจากตัวผม ระเบิดหัวเราะชอบใจใหญ่ที่เห็นผมพลาดท่า

     ผมยังไม่ยอมโผล่ขึ้นจากน้ำ กลั้นหายใจหวังจะแกล้งมันคืนที่เล่นบ้าอะไรไม่รู้

     ผมดำน้ำออกห่างจากจุดที่มันยืนอยู่ จากนั้น ผมกระโดดขึ้นจากน้ำ แกล้งตะกุยตะกาย ผมได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายและแรงกระชาก ผมรีบร้องห้ามไอ้วุฒิ ฝืนแรงเพื่อน ผมลูบหน้า ลืมตาแล้วหัวเราะที่แกล้งวุฒิคืนได้สำเร็จ

    แต่วุฒิกลับหน้าเหวอ จากนั้น มันผลักอกผมอย่างแรง และตะคอกใส่ผม


"ไอ้ติ! มึงเล่นเหี้ยอะไรวะ"


"แกล้งมึงคืนไง! เฮ้ย! เดี๋ยว! กูแค่แหย่เล่น ทำไมมึงต้องจริงจังด้วย"
ผมหน้าเสียที่เห็นวุฒิมันจริงจังเกินเหตุ


"เพราะกูกลัวมึงตายไง ไอ้สัด!"


     ผมชะงัก คว้าไหล่วุฒิที่เดินต้านแรงเสียดทานน้ำทะเลกลับไปชายหาด

     ผมอ้ำอึ้ง ไปต่อไม่ถูก  ไม่คิดว่าวุฒิจะพูดคำนี้ออกมา ไม่คิดว่ามันจะเป็นห่วงผมจริงจังขนาดนี้


"วุฒิอย่าเดินหนีกูสิวะ กูขอโทษ คือ...กูไม่ได้จะทำให้มึงไม่พอใจ"

"มึงจำตอนมึงเป็นตะคริวไม่ได้หรือไงวะ? ทีหลัง มึงอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ช่างแม่งเหอะ...กูไม่เป็นอะไรแล้ว กูไม่อยากให้พี่ชินกับพี่ตั้นรู้ว่าเราทะเลาะกัน"


"กูขอโทษนะวุฒิ"

"เออๆ กูรู้แล้ว"


   
   ผมจ๋อยเลย ตอนนี้ มีทั้งความรู้สึกดีและไม่ดีปะปนกัน ระยะทางที่พวกเรากลับเข้าฝั่งยังไม่มีใครพูดอะไร จนถึงชายหาด ผมเห็นพี่ตั้นที่นั่งคุยกับพี่ชินอยู่

    ผมเพิ่งรู้วันที่มาทะเลนี่ล่ะว่าพี่ชินกับพี่ตั้นมีอายุเท่ากัน ดูท่า เหมือนทั้งคู่สนิทกันมากกว่าเดิม แต่ถ้าถามว่า ถึงขั้นคุยกันถูกคอไหม? ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


"สนุกกันไหมเด็กๆ" พอพี่ตั้นเห็นพวกผมเดินตัวเปียกมะล่อก มะแล่ก กลับมาก็แซวได้กวนตีนทีเดียว


    ผมเห็นวุฒิแอบสบถเบาๆกับคำพูดพี่ตั้น ผมส่ายหน้าระอา คำพูดคำจา ทำให้พวกผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน พูดซะอย่างกับแม่พาลูกมาเที่ยว


    ผมนั่งพักข้างพี่ตั้น ส่วนวุฒินั่งข้างพี่ชิน พวกเรานั่งเช็ดตัวและพักกันครู่ใหญ่ จากนั้นลุกไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวออกมากินข้าวมื้อเย็นที่ร้านอาหารใกล้ๆที่พัก


   จัดการธุระตัวเองเสร็จเรียบร้อย ออกจากที่พัก เดินเลาะริมถนนหาร้านอาหารที่ขอคำแนะนำมาจากคนท้องถิ่น


    ถึงร้าน พวกผมนั่งเปิดเมนูเลือกอาหารจานโปรด แต่มาทะเลทั้งที คงหนีไม่พ้น พวกอาหารซีฟู๊ด

    สั่งเสร็จ ขณะที่รออาหารพวกผมก็นั่งคุยกันเรื่องไร้สาระ พยายามจะไม่เอาเรื่องงานมาเกี่ยวข้องในวันพักผ่อนแบบนี้

   ร้านอาหารที่นี่ ถือว่าทำอาหารรวดเร็ว รอกันไม่นาน อาหารก็มาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ

   ต้มยำกุ้ง ปูนิ่มทอดกะเทียม หอยเชลล์ผัดฉ่า ไข่เจียวกุ้งสับ และยังมีซีฟู้ดลวกจิ้มอีกชุดใหญ่ ที่พวกผมตื่นตาตื่นใจกับมื้ออาหารนี้มากๆ
         

     ตลอดมื้ออาหาร ผมเห็นพี่ชินเป็นฝ่ายเอาใจใส่ ตักอาหารให้วุฒิตลอด รวมถึงปอกเปลือกกุ้งให้ก็ตั้งหลายตัว ผมยิ้มจางๆมองเพื่อน แม้อารมณ์ส่วนลึก ผมอยากได้แบบนั้นบ้าง แต่ก็แค่คนขี้มโน

    ก้มหน้ากินข้าวต่อ จู่ๆ เนื้อกุ้งสีส้มสวยไร้เปลือกใสสองตัวถูกใส่ลงจานข้าวของผม

    ผมหันไปมองพี่ชายที่ยักคิ้วข้างหนึ่งพลันยิ้มกว้าง


"ผมมีมือ แกะกินเองได้น่า"


     ผมเขินพี่ชินที่มองผมอยู่จึงต้องพูดปัดๆไปแบบนั้น

     ผมไม่อยากให้พี่ชินมองผมเป็นลูกแหง่หรือติดพี่ชาย เพราะพี่ตั้นชอบทำผมเหมือนเด็กห้าขวบ นี่ผมอายุยี่สิบกว่าแล้วนะ...


"อ้าว? ติไม่ได้จะว่าเพื่อนว่าพิการใช่ไหม? ก็เห็นชินเอาแต่ตักกับข้าวให้วุฒิอยู่อย่างเดียวเลย!"

     ผมเหลือบมองวุฒิจ้องหน้าพี่ตั้นอย่างขุ่นเคือง ผมกลอกตาใส่


"พี่ตั้น อย่าปากหมา"

"ทำไมติว่าพี่ชายแรงจัง"
พอพี่ชินว่าผม ผมสลดทันที


     แต่หลังจากนั้น...พี่ชินเอ่ย


"ปล่อยเขาไปเถอะ ตั้นแค่เป็นคนพูดไม่คิดเท่านั้นเอง" ผมเห็นพี่ชินส่งยิ้มยียวนให้พี่ตั้น ผมนึกขำ


     คำพูดนิ่มๆแต่ถ้าคิดได้ แม่งเจ็บ!


      พี่ตั้นชะงัก ก่อนยกยิ้มเจ้าเล่ห์



"โอเค เห็นว่าเป็นชิน ตั้นถึงยอมให้นะ"



       ขนาดพี่ชินยังส่ายหน้ากับความกะล่อนของพี่ชาย ผมก็คงต้องปล่อยผ่านให้พี่ตั้นแล้วล่ะ


       เวลาผ่านไป ทุกคนจัดการอาหารตรงหน้าไม่มีเหลือ เมื่อจ่ายเงินค่าอาหารเสร็จแล้ว  ก่อนกลับห้อง พี่ตั้นขอแวะร้านสะดวกซื้อ บอกอยากซื้อเบียร์ไปตุนไว้ที่ห้อง


      เดินเข้าร้าน ผ่านโซนขนมขบเคี้ยว ผมยืนเลือกดูมันฝรั่งทอดกรอบเผื่อแกล้มเบียร์สักหน่อย

    หยิบขนมมาสองถุง เดินมาอีกล็อค ชะงักเท้าเมื่อเห็นไอ้วุฒิยืนหัวเราะกับพี่ชินตรงตู้ไอศกรีม

    ผมมองทั้งคู่แล้วยิ้ม แต่แปลกที่ใจกระตุก

   ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะก้าวยาวๆ แกล้งเดินไปแซวทั้งคู่


"ทำอะไรกันอยู่"

"ไอ้ติ มึงช่วยกูด้วย...พี่ชินดุกูว่ะ แค่กูอยากกินไอติม แต่พี่ชินห้ามบอกว่าดึกแล้ว เดี๋ยวอ้วน"

"ก็วุฒิบอกพี่เอง อยากหุ่นเฟิร์ม อยากมีกล้าม อันดับแรกก็ต้องพยายามงดของหวานตอนดึกได้แล้วนะ"

"โธ่...พี่ชินครับ ขอแค่แม็กนั่มทิรามิสุแท่งเดียวเอง...ไม่ได้หรอ?"
ผมเห็นวุฒิอ้อนใส่พี่ชิน

"ก็สมควรให้พี่ชินดุ!" ผมโพล่งขึ้น

"อ้าว...ไอ้ติ มึงต้องเข้าข้างกูสิวะ ไหงเข้าข้างพี่ชิน" วุฒิหันขวับหาผม

"กูเพิ่งนึกได้ว่า ตอนที่เราแวะพักกันที่ปั้มน้ำมัน มึงกินแม็กนั่มไปแท่งนึงแล้วนะ"


       ผมมองวุฒิทำหน้าสลดเมื่อโดนรุม ไร้คนเข้าข้าง


"ก็ได้ๆ ไอ้ติ ...มึงนะมึง!"



     มองเพื่อนชี้หน้าคาดโทษ ผมลอยหน้า ลอยตาไม่สนใจ แล้วกลั้วหัวเราะชุดใหญ่กับความหน้าบูด หน้าเบี้ยวของเพื่อน


     กระทั่ง ผมละสายตาจากมัน หันไปทางพี่ชิน เห็นสายตาของเขาที่จ้องผมอยู่ก่อน พอเราบังเอิญสบตากัน เขาหลุบตาลงต่ำ เดินหนีไปดูของที่อื่น


    ทำไมผมใจสั่นล่ะ...

   


"ไอติมแท่งเดียว ทำหน้าอาลัยอาวรณ์อย่างกับหมาตายเลยนะมึง!"



    ผมหันมาให้ความสนใจเพื่อนและล็อคคอมันให้เดินห่างตู้ไอศกรีม สายตามันยังโหยหาแถมบ่นเป็นหมีกินผึ้ง จนผมต้องทำเป็นหูดับ พามันไปมุมสแน็กเพื่อสุขภาพแทน


    หลังจากที่ทุกคนได้ความต้องการ ยกเว้นไอ้วุฒิที่อดกินไอศกรีม พวกผมก็เดินกลับห้อง ถึงที่พัก ก็แยกย้ายไปยังห้องพักของตัวเอง
 

     ช่วงที่ผมรอพี่ตั้นอาบน้ำ ผมตัดสินใจออกมาเดินเล่นริมทะเลคนเดียว เผื่อจะปลดปล่อยอารมณ์เศร้าที่มีอยู่ในใจ ขณะที่ผมเดินผ่านสระว่ายน้ำขนาดยาว เดินลงไปตามทางที่ทอดลงไปทะเล ผมเห็นมีใครคนหนึ่งนั่งตรงเตียงผ้าใบชายหาด

   พยายามเพ่งมองให้แน่ชัดว่าคนหรือผี

   ยืนพิจารณาอยู่นานถึงมั่นใจว่าเป็นคนและผมจำเสื้อที่ใส่ได้ ผมยืนขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมพี่ชินมานั่งมืดๆตรงนี้คนเดียว...




***1.1***
:mew1: :mew1: :mew1: :-[ :-[ :-[ :กอด1:


หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 7|| 5-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-05-2018 22:03:35
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไม่เห็นมุมความคิดของพี่ชิน  แค่เห็นการกระทำของพี่ชิน  ที่ยังเห็นว่าปฏิบัติกับทุกฝ่ายเท่าเทียมกัน 
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 7.2|| 6-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 06-05-2018 20:09:40
ตอนที่ 7 ที่พักพิง(2)





    ขายาวพาตัวเองไปถึงที่พี่ชินนั่ง

    ท่ามกลางแสงไฟสีส้มสลัวๆ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆพี่ชิน


"ทำไมมานั่งคนเดียว แล้ววุฒิล่ะครับ?"


   พี่ชินสะดุ้งตกใจ เพราะคงไม่รู้ตัวว่ามีคนเดินมา ขณะที่พี่เหลียวหน้ามามอง ผมเห็นพี่ชินร้องไห้

    ผมตกใจ ก่อนหน้านี้ พวกเรายังหัวเราะต่อกระซิกกันที่ร้านสะดวกซื้ออยู่เลย ทำไมตอนนี้ พี่ชินเป็นแบบนี้ไปได้


   คว้าไหล่ให้พี่ชินหันมาหาผมตรงๆ


"พี่ชินเกิดอะไรขึ้นครับ มีอะไรหรือเปล่า? "


ฟึ่บ!


    พี่ชินไม่ตอบ ทันใดนั้น ใบหน้าขาวเนียนที่มีน้ำตาอาบแก้ม ฟุบหน้าลงบนไหล่ของผม


"พี่เหนื่อยจัง!"



     พี่ชินเจอะอะไรมาถึงทำให้หมดความอดทนจนน้ำตาไหลราวกับเขื่อนแตก

    เสียงนั้นดับลง ผมกระชับมือพี่ชินแน่น

   ผมยังไม่พูดอะไร จนกระทั่ง บ่าข้างซ้ายของผมชื้นไปด้วยน้ำตา ผมดีใจนะที่ได้เป็นที่พักพิงให้พี่ชินยามไม่สบายใจ

     ผมบีบกระชับฝ่ามือพี่ชินที่เย็นเฉียบแล้วกล่าว


"ผมไม่รู้ว่าพี่เหนื่อยอะไรมา แต่ถ้าพี่ร้องไห้แล้วสบายใจ พี่ร้องออกมาเยอะๆเถอะครับ"


     ความสงบไร้ซึ่งสิ่งรบกวน มีเพียงดนตรีประกอบอย่างเสียงคลื่นทะเลซัดสาดมาเป็นจังหวะผนวกกับลมทะเลที่พัดผ่านมาปะทะผิวกายให้ความเย็นสบายเนื้อหนัง

    ผมนั่งจับมือพี่ชินเงียบๆ ไม่อยากจะหาเหตุผลแล้วว่าทำไมอยู่ดีๆพี่ชินถึงร้องไห้ขึ้นมา

    เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกมาเบาๆ ผมลูบหลังลูบไหล่พี่เพื่อปลอบใจไปด้วย

 
   สักพักใหญ่ๆ ที่ผมนั่งนิ่งเป็นดั่งเสาหลักให้เขาพักพิง พี่ชินปล่อยมือผม ผละห่าง แล้วลุกขึ้นพรวด


"ขอบคุณนะติ พี่ว่าเรากลับห้องกันเถอะ"


     พอเขาจะก้าว ผมคว้าข้อมือเขาไว้


"พี่ชินสบายใจขึ้นรึยังครับ?"


    พี่ชินพยักหน้า จากนั้น เราสองคนถึงเดินกลับห้องด้วยกันด้วยการไม่พูดไม่จามาตลอดทาง

    ถึงที่หมาย พี่ชินเดินมาส่งผมที่ห้องก่อนกลับห้องของเขา


   เหี้ยเอ้ย!


   ผมสบถอย่างหงุดหงิด เมื่อพี่ตั้นไม่ยอมเปิดประตูห้องให้สักที

    นี่เพิ่งสี่ทุ่มกว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่พี่ตั้นจะหลับแล้ว


"ติ นอนห้องพี่ก็ได้นะ วุฒิก็อยู่ด้วย"

"แปปนึงนะพี่ ผมขอโทรหาพี่ตั้นก่อน"


      ผมตัดสินใจ โทรหาพี่ชาย รอจนสายตัดก็ยังไม่รับ


"ดึกแล้วอย่ากวนเขาเลย"


      ผมมองหน้าพี่ชินที่ดูเพลีย เลยไม่อยากเป็นภาระอีก


"ก็ได้ครับ"



    สองเท้าก้าวเข้ามาในห้องพี่ชิน ผมขมวดคิ้วที่ไม่เห็นวุฒิอยู่ในห้อง

    ผมไม่รู้ว่าเป็นแผนของพี่ชายอีกหรือเปล่า?


"สงสัยวุฒิออกไปตามพี่แน่เลย"

    ผมพูดเพื่อให้พี่ชินสบายใจ จังหวะที่ควักโทรศัพท์ออกมาจะลองโทรหาพี่ชินอีกรอบ เห็นข้อความจากพี่ตั้นปรากฏขึ้นมาเสียก่อน


'เพิ่งได้ยินโทรศัพท์ วุฒินอนอยู่ห้องกู มึงนอนห้องชินเลยนะ'


"สงสัยพี่ตั้นคงชวนวุฒิไปเมาด้วยแน่เลย พี่ชินโอเคไหม? ที่ต้องนอนกับผมแค่สองคน"

    ผมบอก พี่ชินพยักหน้ารับ ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ  ส่วนผมขณะที่รอก็แอบขโมยชุดเพื่อนมาไว้ใส่นอน เพราะชุดของผมอยู่อีกห้อง


   ได้ชุดที่จะใส่ ระหว่างที่รอพี่ชินอาบน้ำ ผมยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องพี่ชินอยู่

    คนเข้มแข็ง ถ้าได้ร้องไห้ออกมาแล้ว แสดงว่ามันหนัก

    ขณะที่ผมนั่งคิดแต่เรื่องพี่ชิน ผมไม่รู้เลยว่ามันนานพอที่จะทำให้ใครอีกคนเดินออกมาจากห้องน้ำ

    ถึงตาของผมที่ไปอาบน้ำบ้าง ผมใช้เวลาไม่นานก็จัดการธุระตัวเองเสร็จ ผมเดินมาถึงปลายเตียง เห็นพี่ชินนอนแล้ว

    ผมไม่รู้ว่าเขาหลับหรือยัง? จึงเดินไปนั่งฝั่งที่พี่นอนตะแคงเพื่อมองใบหน้าอีกฝ่าย ผมเห็นพี่ชินไม่หลับแต่กลับนอนร้องไห้จนน้ำตาเปียกหมอน

    ผมทิ้งตัวลงนอนตะแคงตาม ยื่นมือไปประคองใบหน้า ใช้ปลายนิ้วโป้งปาดน้ำตาให้พี่

"ยังไม่ดีขึ้นเลยหรือครับ?"


   รอยยิ้มเล็กๆส่งมาพลางพยักหน้า


"ผมต้องทำยังไงเหรอ? พี่ถึงจะดีขึ้น"

    ผมบอก ฝ่ามืออุ่นๆของผมยังวางทาบลงบนแก้มของพี่ชินราวกับช่วยรองรับน้ำตาแทนหมอนที่เขานอนหนุน

    พี่ชินไม่ตอบแต่หยาดน้ำใสยังคงไหลออกจากดวงตาอยู่เรื่อย

    มันเจ็บนะ เมื่อเห็นคนที่รักเป็นแบบนี้ แต่ทำอะไรไม่ได้

    ผมต้องทำยังไงครับพี่ชิน...

    และแล้วสายตาซุกซนของผมเผลอเห็นรอยจ้ำช่วงแผ่นอกที่เห็นจากการเผยอของช่องหว่างระหว่างเม็ดกระดุมเสื้อเชิ้ต


   รอยจ้ำสีแดงคล้ำอมม่วงแบบเดียวกับที่เคยเห็นจากพี่ชินเมื่อนานมาแล้ว


   .รอยการทำรัก.


"พี่ชินไปเจอแฟนเก่ามาหรอครับ?"

"รู้ได้ไง?"

"ไม่รู้ครับ แค่ถาม"


    ผมตอบนิ่งๆ แต่พี่ชินดูอึกๆอักๆ ไม่ตอบ แต่กลับร้องไห้หนักกว่าเก่า

    สาเหตุที่ร้องไห้ เรื่องแฟนเก่าชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์

    ไม่ชอบเลยที่พี่ชินเป็นแบบนี้

     ผมใช้ข้อนิ้วเกลี่ยน้ำตาพี่ชินอย่างไม่นึกรำคาญ


"ตาบวมแล้วครับ"


     พี่ชินกดหน้าลงต่ำเหมือนอาย เมื่อผมบอก ผมใช้ข้อนิ้วไล่ไล้แก้มเนียน ก่อนจะตัดสินใจ ลุกขึ้นกึ่งนั่งเอี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่โต๊ะหัวเตียง เข้าช่องยูทิวป์ เปิดเพลงที่ผมชอบและเมื่อไหร่ที่ฟัง ผมจะนึกถึงพี่ชิน

     อยากให้เขาฟัง เพื่อหวังว่าพี่ชินจะดีขึ้น


"พี่ชินครับ ผมชอบเพลงนี้ ผมอยากให้พี่ฟังเผื่อพี่จะรู้สึกดีได้บ้าง"


   พี่ชินเลิกคิ้วขึ้นสูงมองหน้าผม


"ผมไม่ขอให้พี่ชอบ แต่ผมขอให้พี่ฟังความหมายของเพลงก็พอ"


    จากนั้น ผมกดเล่นมิวสิควีดีโอเพลง 'เวลาเธอยิ้ม ของ POLY CAT'


ไม่รู้ว่าต้องโตท่ามกลางหมู่ดอกไม้มากมายขนาดไหน
เธอจึงได้ครอบครอง รอยยิ้มที่สวยงามขนาดนี้

ทำให้รักใครไม่ได้อีกเลย วินาทีที่เธอ เจอกับฉันมันทำๆ ให้...

ความเดียวดายสลาย เพราะได้เจออะไรที่คู่ควร
ฉันขอบคุณและให้คำสัญญา ว่าจะรักษาไว้..
 

     
     

     อ้อ! ยังมีหลายคนที่ไม่รู้และผมไม่เคยบอกใคร ผมยังพอมีข้อดีอยู่บ้างนะ

     ผมร้องเพลงเพราะและถ้าจะให้พูดในบรรดาคนที่ผมชอบ

     พี่ชินจะเป็นคนแรกที่ได้ฟังผมร้อง

     ผมร้องคลอตามเพลงเมื่อถึงท่อนฮุก


 
ฉันไม่ต้องการใครอีก
ดวงดาวทั้งฟ้าต้องเสียใจ
และ...ไม่มีสิ่งไหนสวยงามต่อไป
ตราบที่โลกนี้มีคนอย่างเธอ


และฉันคือคนโชคดี
ได้อ่านความหมายทุกคำกวี
ไม่มีบทไหนงดงามอีกแล้ว
ตราบที่โลกนี้ยังมีชื่อเธอ



ได้โปรดให้ฉันเป็นคนสุดท้าย...ได้ไหม
เธอคือชีวิตและลมหายใจ


     ผมนอนร้องเพลงเบาๆพลางพิจารณาใบหน้านั้นอย่างละเอียด จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาแดงก่ำ ปากสั่นๆกลั้นเสียงสะอื้น แก้มขาวเนียนที่ผมลูบไล้ ในขณะเดียวกัน ผมก็คอยทำหน้าที่เช็ดน้ำตาให้ด้วย

   
     กระทั่ง เพลงจบ ผมเห็นพี่ชินแซว ผมดีใจนะที่เห็นเขายิ้มได้


"ร้องเพลงเพราะก็ไม่บอก" ผมหัวเราะ ก่อนพูดต่อ


"ฮ่าๆ...ของดีต้องนานๆอวดทีครับพี่"


      พี่ชินหลบตา ผมเปล่งวาจาอีกครั้ง


"ผมชอบเวลาพี่ยิ้มจัง วันไหนพี่เครียดขอให้เปิดเพลงนี้ขึ้นมาฟัง หรือไม่ก็...นึกถึงผมนะ"


    พี่ชินช้อนตามองผม ก่อนจะวางฝ่ามือลงทับบนหลังมือของผม


"ติ"

"ครับ"


"คิดยังไงกับพี่?"



กึก!


    ผมช็อค ไม่คิดว่าพี่ชินจะใช้คำถามจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ผมใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำกับคำถามที่ผมมีคำตอบอยู่ในใจ แต่พูดออกไปไม่ได้

   ผมจึงต้องโกหก

   
"คิดอยากทำให้พี่สบายใจครับ"
   

 
    มันเหนื่อยนะที่ต้องหักห้ามใจ บอกตัวเองอย่าหวั่นไหว ข่มความรู้สึกไว้ไม่ให้ทำอะไรมากกว่านี้ เพียงเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันค้ำคอ
 
   
    แค่นี้ผมก็เห็นแก่ตัวที่แสดงออกความรู้สึกของตัวเองมากเกินไป จนผมไม่อยากให้พี่ชินสงสัยในตัวผม


"งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ขอบคุณตินะ ติเองก็นอนเถอะ พี่ง่วงแล้วล่ะ"

"ผมหวังว่าตื่นมาพรุ่งนี้พี่จะหายเครียดนะครับ"

"ขอบใจนะติ ฝันดี"


   ผมอยากดึงตัวเขาเข้ามาหลับในอ้อมกอดของผม แม้จะอยากกอดสักแค่ไหน ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้

   ความเป็นจริงสิ่งที่ทำได้คือแค่...

   การกอดและจูบราตรีสวัสดิ์พี่ชินในฝัน


 





................




   วันรุ่งขึ้น

   ผมตื่นก่อนพี่ชิน ตั้งใจจะหนีหน้า แต่จังหวะที่ผมออกจากห้อง ผมสวนกับวุฒิที่มันดูท่าทางแปลกๆ อันที่จริงวันนี้ พวกผมมีทริปดำน้ำ ดูปะการัง แต่ผมโกหกเพื่อนว่าไม่สบาย และบอกให้วุฒิไปดำน้ำกับพวกพี่ชิน พี่ตั้นเลย

     แต่วุฒิกลับตอบทันควันว่าถ้าผมไม่ไป ก็ไม่ต้องให้พี่ตั้นไป ผมงงเป็นไก่ตาแตกที่พอพูดถึงพี่ตั้นดูวุฒิไม่พอใจ แต่ก็พยักหน้ารับเออออ

    ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องของผมก็พบว่าพี่ตั้นอาบน้ำอยู่

    พอพี่ตั้นอาบน้ำเสร็จ ผมบอกว่าผมไม่ไปดำน้ำ แต่ผมยังไม่ทันบอกว่าวุฒิมันให้พี่ตั้นอยู่กับผม พี่ตั้นก็พูดขึ้นมา


"วุฒิคงอยากให้กูอยู่กับมึง"

"อืม พี่รู้?"

"ไม่รู้ แค่เดา"



    ผมนั่งมองพี่ตั้นนั่งประสานมือไว้บนเข่าทำหน้าเครียดเหมือนคนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา พี่ตั้นดูผิดกับเมื่อวาน


     
"พี่ตั้นเป็นอะไรหรือเปล่า?"

"เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร"

"แน่ใจ"


      ผมมองคนที่ให้คำตอบสวนทางกับการกระทำ

"อืม"

"ทำไม เมื่อคืนวุฒิมานอนกับพี่"

"วุฒิมาตามชิน แล้วไม่เจอ กูเลยให้มานั่งเล่นที่ห้องก่อน จากนั้นมันเผลอหลับ"   


"มั่นใจนะว่ามีแค่นี้"

"อืม มีแค่นี้"


    ประหลาดใจที่พี่ตั้นถามคำตอบคำ ไม่กวนตีนเหมือนเคย


"พี่ตั้นโกหก"

"อย่าจับผิดกู สนเรื่องของมึงเถอะ เมื่อไหร่จะสู้วะติ...สู้เพื่อหัวใจของมึงเองน่ะห้ะ..."


    ผมเงียบ ผมจะสู้ไปทำไม ในเมื่อผมยินดีที่จะเสียสละให้เพื่อนตั้งแต่แรก


"เรื่องนี้ผมจัดการเองได้"

"ตามใจ ถ้างั้นกูขอออกไปเดินเล่นหน่อยแล้วกัน"

"พี่ตั้น ผมห่วงพี่นะ"

"ขอบใจ"



      ผมมองพี่ตั้นที่พยักหน้ารับ จนกระทั่ง เสียงปิดประตูดังขึ้น ผมก็ทิ้งตัวลงนอนหลับตาอีกครั้ง หวังว่าจะลืมเรื่องพี่ชินช่วงหลับบ้างก็ยังดี



      กระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงมื้อเที่ยง ผมนั่งกินข้าวกับพี่ตั้นสองคน เนื่องจากวุฒิกับพี่ชินยังไม่กลับมาจากดำน้ำ


      พี่ตั้นมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย ผมต้องหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของผม

       
       จบมื้อเที่ยง ผมกับพี่ตั้นกลับห้องมานั่งดื่มเบียร์กันแต่หัววัน เราตกลงกันแล้วว่าจะดื่มแค่คนละกระป๋อง เพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอที่พวกวุฒิดำน้ำเสร็จ
 

       น่าเบื่อนิดหน่อย ตรงที่พี่ชายผมไม่ร่าเริงเหมือนเคย เขานั่งกินเบียร์เงียบๆ จนเวลาผ่านไปถึงสี่โมงเย็น วุฒิและพี่ชินกลับมาถึงห้อง มันก็โทรมาบอกผมว่า มื้อเย็นให้ต่างคนต่างกินเลย แล้วค่อยนัดเจอกันอีกทีตอนออกไปดื่มที่บาร์ตามที่คุยกันไว้เมื่อวาน


      ผมวางสายจากเพื่อน รู้สึกว่าวุฒิมีพิรุธ ผมบอกพี่ตั้นให้รู้ เขาก็พยักหน้าเนือยๆ...

     สองคนนี้ เป็นอะไรกันวะเนี่ย!...

     ผมบอกพี่ตั้นว่าไม่หิว เขาก็เช่นกัน กลายเป็นว่าจากที่ตั้งสัจจะจะดื่มกระป๋องเดียว กลับเพิ่มจำนวนเพราะไม่รู้จะทำอะไร พวกเราเลยเดินถือกระป๋องเบียร์หวังไปดื่มรอวุฒิและพี่ชินที่เตียงผ้าใบริมชายหาดเพื่อฆ่าเวลา


    เวลานี้ ผมดื่มเบียร์ไปแล้วสองกระป๋อง แต่พี่ตั้นเนี่ยสิ ซัดไปสามกระป๋อง เขาจะต่อกระป๋องที่สี่ ผมต้องยกมือห้ามว่าต้องไปนั่งดื่มที่บาร์กันอีก

   พี่ตั้นพยักหน้า ไม่พูดอะไร ผมไม่อยากถามแกมากกลัวจะวกเข้ามาเรื่องตัวเองอีก

   สองพี่น้องนั่งทอดสายตามองไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่ที่ไกลสุดลูกหู ลูกตา

   ผมว่าความคิดคนเรานี่มันอิสระจนบางครั้งก็อันตรายเกินไปนะ หากเราไม่ควบคุมมัน

   เพราะผมไม่เคยสลัดความคิดเรื่องพี่ชินออกไปได้เลย ผมต้องใช้ความพยายามพอสมควรที่จะลืม  และแล้วเสียงโทรศัพท์ของผมดังขัดความคิด ผมรับสายวุฒิที่บอกว่าให้ไปเจอกันที่ล็อบบี้



"พี่ตั้นไปไหวไหมวะ"

"ไหว"


    มองหน้าพี่ชายที่หน้าแดงจนชักกลัวว่าเขาจะเดินไปไหวจริงๆหรอ?


   เวลาหกโมงเย็น สองพี่น้องเดินไปหาวุฒิ ณ จุดนัดพบ

   พวกเราเดินไปหาบาร์กึ่งร้านอาหารริมชายหาด จนกระทั่งเจอะที่ถูกใจ เป็นโต๊ะตั้งพื้นพร้อมเบาะรองนั่ง พวกเราทิ้งตัวลงนั่งของแต่ละฝั่งโต๊ะทั้งสี่ด้าน 



    ร้านนี้ มีแต่ชาวต่างชาติเลยไม่ค่อยมีใครสนใจพวกผมเท่าไหร่ ทุกคนต่างก็มาพักผ่อนและสร้างสรรค์ในแบบที่ทุกคนต้องการก็แค่นั้น

    ทุกคนเลือกสั่งเมนูเดียวกัน เป็นเหล้าถังที่มีส่วนผสมของ Vodka+Red Bull

    เพื่อไม่ให้บรรยากาศกร่อยจนเกินไป ผมชวนวุฒิคุยและถามมันว่าไปดำน้ำมาเป็นอย่างไรบ้าง มันตอบว่าสนุกแต่แดดแรง และบางเกาะก็ลงเล่นน้ำไม่ได้เนื่องจากแมงกระพรุนเยอะเกินไป

   ผมพยักหน้าเออออ แต่ตลอดเวลาที่นั่งมา ผมรู้อยู่อย่าง

   พี่ตั้นกับวุฒิมีปัญหากัน แต่พยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   เมื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาถึง ทุกคนยกมาชนกันแล้วดื่ม

    ผมค่อยๆดื่มเพราะก่อนหน้าผมเพิ่งดื่มเบียร์มาแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่าพี่ตั้นเป็นบ้าอะไร ถึงไปท้าพี่ชินให้ดื่ม Vodka+Red Bull หมดถัง

      ผมพยายามห้ามพี่ชินว่าอย่าไปเชื่อ แต่พี่ชินกลับบ้าจี้รับคำท้า ผมมองพี่ชินด้วยความเป็นห่วงที่เขาดื่มจนหมดจริงๆ

       พี่ชินกวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งเมนูเดิมต่อ

 "พี่ชิน เดี๋ยวก็เมาหรอกครับ"

      ผมห้าม

"ไม่หรอก ขอบคุณนะ"
       


        พี่ชินตอบแค่นั้นพลันยิ้มมุมปาก

        ผมล่ะกลัวจริงๆ กลัวพี่จะเมามากเกินไปแล้วดูแลตัวเองไม่ได้

        เมื่อเครื่องดื่มของพี่ชินมาเป็นถังที่สอง ผมเห็นพี่ตั้นแทรกขึ้น




"วุฒิไปห้องน้ำเป็นเพื่อนพี่หน่อย"

"ไปเองไม่เป็น?"

"วุฒิ อย่าให้พี่ต้องบอกว่า..."

"เออๆก็ได้...พี่ชิน เดี๋ยวผมมานะครับ"


    ผมมองหน้าวุฒิที่หันไปบอกพี่ชินก่อนจะลุกตามพี่ตั้นไป ผมมองสองคนสลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจ

    จนกระทั่ง สองคนลับตาไป ผมยิ้มแหยๆให้พี่ชินที่อีกฝ่ายจ้องมองมาทางผมพลางไล่นิ้วไล้ขอบแก้วเล่น

    เมื่อพี่ตั้นและวุฒิไม่อยู่ ผมล้วงอมยิ้มจูปาจุ๊บส์ในกระเป๋ากางเกงขาสั้นยื่นให้พี่ชิน

    'อมยิ้ม' เป็นสัญลักษณ์ที่เรารู้กันสองคน

     หากเห็นอมยิ้ม พี่ชินจะรู้ว่าผมต้องการสื่อถึงอะไร
 

"แกะให้หน่อยสิ"


    ผมใจกระตุก เมื่อพี่ชินยิ้มและอ้อนผม

    ผมข่มใจแกะเปลือกพลาสติกที่ห่ออมยิ้มจูปาจุ๊ปส์รสสตรอเบอร์รี่ทั้งๆที่มือสั่น แกะเสร็จ ผมยื่นให้ แต่พี่ชินส่ายหน้าแล้วบอก



"ป้อนหน่อย"


   พี่ชินเป็นอะไรเนี่ย!...

   ผมนั่งอึ้ง เมื่อพี่ชินจ้องผมตาหวาน ยกมือท้าวคางบนโต๊ะ ทำตัวน่ารัก น่ามอง


   นาทีนี้ ผมสับสนว่าผมเป็นคนหรือไอศกรีม

  ทำไมร่างจะละลายไปกับการส่งสายตาหวานฉ่ำคู่นั้น

  พี่ชินอย่ามองแบบนั้นเถอะ...ได้โปรด!...


   ผมมือสั่น ยื่นอมยิ้มไปจ่อปากอีกฝ่าย พี่ชินไม่รับอมยิ้มไปถือเองกลับวางมือทับไปบนหลังมือของผม ส่งปลายลิ้นออกมาแตะอมยิ้มจากนั้นใช้ลิ้นเลียวนอมยิ้มช้าๆ ตวัดปลายลิ้นซ้าย-ขวาไป มา ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าพี่ชินจะถืออมยิ้มเอง


   ราวกับมีมนตร์สะกด ผมนั่งนิ่ง แต่ลึกๆใจเต้นแรงและเร็ว แต่ผมก็ไม่อยากละสายตาไปจากใบหน้าซ่อนหวาน

    ลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมปลิวสไว แก้มแดงๆ รอยยิ้มเล็กๆติดจะยั่วเย้า และดวงตาคู่สวยอันหวานเยิ้มกำลังจดจ้องมองผม ภายใต้แสงสีส้มสลัวๆ ทำให้กรอบหน้าพี่ชินดูมีมิติ เขาดูมีเสน่ห์และน่ามองขึ้นอีกมากโข

   พี่ชินยังคงใช้ลิ้นเล่นและเลียอมยิ้มอย่างหยอกเย้า

   เห็นอย่างนี้ พี่ชินใช้ลิ้นได้โคตรยั่วเลยให้ตายเถอะ พระเจ้า..

   
    ผมพยายามห้ามความคิดตัวเองให้หยุดจินตนาการไปทางทะลึ่ง

    ผมกลืนน้ำลายลงคอได้ยากลำบาก เราสองคนยังจ้องตากัน พี่ชินหยุดเลียอมยิ้มที่ผมถืออยู่ก่อนจะยัดเข้าปาก

   พี่ชินอมแล้วดูดอมยิ้มด้วยท่วงท่าสบาย แต่คนที่จะตาย คือ ผม นี่แหละ

   มือไม้ผมอ่อนแรง ถ้าพี่ชินไม่จับมือผมไว้อยู่คงร่วงไปแล้ว

    จากที่พี่ชินนั่งพับเพียบเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งคุกเข่า โถมตัวมาด้านหน้า โน้มหาผมจนปลายจมูกของเราเกือบชนกัน

  สายตาที่ยั่วเย้า รอยยิ้มที่ยั่วยวน

  พี่ชินดึงอมยิ้มออกมาจากปาก นำมาแตะที่ริมฝีปากล่างของผม จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากอมยิ้มรสตรอเบอร์รี่ พี่ชินเอ่ยเสียงแผ่ว


"ช่วยพี่กินหน่อย"


   ฮื่อออออออ....พี่ชินไม่ควรทำอย่างนี้

   หากจะเปรียบเทียบคงเหมือนพี่ชินใช้ค้อนใหญ่ทุบกำแพงแห่งความอดทนของผมที่กำลังพังทลายลงเรื่อยๆ

   ผมใจเต้นแรงแทบทะลุออกจากอก ผมยังไม่อ้าปากรับอมยิ้ม แต่พี่ชินที่รออยู่ก็ส่งสายตาอ้อนวอน ร้องขอ

   ผมอ้าปากรับอมยิ้มเข้ามาในปากเพื่อรับรู้รสสตรอเบอร์รี่หวานๆที่มีส่วนผสมหลอมรวมของพี่ชินซ่อนอยู่ในนั้น

   ผมหน้าร้อนเห่อ ใจเต้นรัว ก่อนจะดึงอมยิ้มออกมา

   พี่ชินยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม ใบหน้าเราใกล้กัน เขายิ้มกัดปาก ดึงอมยิ้มออกไปจากมือผม แล้วเอาเข้าปากตัวเองอีกครั้ง

   พี่ชินดูดอมยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้น พี่ชินโน้มหน้ามาใกล้จนริมฝีปากเขาเฉียดมุมปากของผมและกระซิบ


"หวานดีเนอะ ติว่าไหม?"

   

    ผมอุตส่าห์ตะเกียก ตะกายขึ้นมาจากหลุมรักของพี่ชินหวังจะหนีไปให้ไกล

   แต่แล้วพี่ชินกลับมาออดอ้อนใส่ มันยิ่งทำให้ผมถลำและรักจนถอนตัวไม่ขึ้น แล้วผมจะปีนขึ้นจากหลุมรักนี้สำเร็จได้ยังไง?

   ยิ่งไปกว่า นาทีนี้ พี่ชินจะรู้ไหมว่าท่าทางยั่วยวนทั้งหมดของพี่ มันทำให้ลูกชายของผมตื่นตัวจนแข็งขึ้นมา

   แล้วอย่างนี้ ใครจะรับผิดชอบ!...

   




 
......................................


อะไรคือการชวนให้กินอมยิ้มอันเดียวกันคะพี่ชิน พี่เมาไหม? 555
 :hao6: :hao6: :m20:

ขอบคุณนักอ่านที่แวะเข้ามาจ้า
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 7.2|| 6-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-05-2018 20:57:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

เมาแล้วอ้อนนะ

ส่วนอีกคู่เนี่ย เมื่อคืนคงฟีเชอริ่งกันแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 8|| 10-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 10-05-2018 18:51:28
 ตอนที่ 8 ผมอยู่ตรงนี้





    หลังจากวันที่ไปทะเลกลับมา ผมก็ใช้ชีวิตทำงานตามปกติ ผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ที่ผมไม่มีโอกาสได้ถามพี่ชินเรื่องที่เขายั่วยวนใส่ผมว่าที่ทำลงไปรู้ตัวหรือเปล่า?


    แม้เราจะทำงานด้วยกัน แต่อย่างที่บอก เวลาทำงาน พี่ชินจริงจัง มุ่งมั่นเป็นพิเศษ ผมจึงไม่อยากเอาคำถามไร้สาระไปกวนเขา

   
    ไม่รู้สิ เวลาทำงาน พี่ชินดูเป็นคนละคน จนผมไม่อยากคุยด้วย แต่พอช่วงเวลาอื่น พี่ชินน่ารักกับผมมาก


     มากจนทำให้ผมคิดถึงและอยากหาเวลาว่างไปอยู่กับเขาอีกเรื่อยๆ...

   
    ผมหยุดคิงถึงพี่ชิน เพราะวันนี้ ผมรีบกลับห้องมาอยู่กับวุฒิ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดเพื่อนผม  อันที่จริง ผมชวนโจ้แล้ว แต่โจ้ไม่ว่าง ไปเที่ยวลาวกับแฟนพอดี ผมจึงต้องฉลองกับวุฒิเพียงสองคน

   ผมหอบหิ้วของพะรุงพะรังเข้าห้อง


"ไงมึง กลับเร็วนะวันนี้ เฮ้ย ซื้ออะไรเยอะแยะ"


    พอวุฒิเห็นผมถือของมากมาย มันลุกขึ้นมาจะช่วย แต่ผมรีบห้าม


"แหม! ทำเป็นพูด วันเกิดหมาทั้งทีไม่กลับเร็วได้ไงวะ"

"ยังไม่ถึงวันเกิดมึงสักหน่อย"


    ผมมองหน้าวุฒิที่ต่อปากต่อคำก็ส่ายหน้าระอา จะว่าไป ความกวนประสาทของผมกับมันเรียกได้ว่าสูสี อย่างว่า ไม่งั้นจะเป็นเพื่อนกันได้ไง...

 
     ผมยิ้มก่อนจะเดินไปหยิบจานสองใบมาใส่คอหมูย่าง และปากเป็ดทอด

    วุฒิไถลตัวจากเตียง ลงมานั่งที่พื้นกับผม

 
     แม้ห้องที่ผมพักอาศัย จะไม่หรูหราใหญ่โตเหมือนห้องพี่ตั้นที่แบ่งแยกส่วนชัดเจนทั้ง ห้องนอน ห้องครัว ส่วนรับแขก ตรงกันข้าม ห้องผมเล็กเท่ารูหนู ถึงต้องมานั่งดื่มเบียร์ที่พื้นแถวปลายเตียง แต่ผมก็ไม่คิดมาก แบบนี้ก็มีความสุขดี

    ความสุขของผมไม่ได้อยู่ที่ขนาดของพื้นที่หรอก มันอยู่ตรงที่ผมได้นั่งกินคอหมูย่างแกล้มเบียร์กับเพื่อนที่สนิท ผมก็สุขใจมากแล้ว

     
    ไม่รู้สิ หลายคนอาจเจอคนไม่ดีมาจนเหนื่อยใจ แต่เท่าที่ผมเจอะมา เรียกได้ว่า โชคดีละมั้ง ที่ผมมีแต่กัลยาณมิตรหรือเพื่อนดีๆ อย่างวุฒิเองบ้านมันรวยมาก มันมีสิทธิ์จะเลือกคบใครเป็นเพื่อนก็ได้ แต่มันกลับเลือกคบผม แถมทำตัวสมถะ ไม่เคยเหยียด รังเกียจผมหรือทำตัวโอ้อวดแต่อย่างใด วุฒิดีกับผมทุกอย่าง  มิหนำซ้ำ ยังเคยเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตผมให้รอดตายอีกต่างหาก


    แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผมยอมเสียสละพี่ชินให้มันได้อย่างไร

    ผมมองว่าวุฒิเป็นคนในครอบครัวผมไปแล้ว...



"คงเหงา ถ้ามึงไม่อยู่" 


     ผมเกริ่นเข้าเรื่อง เพราะตั้งแต่กลับจากทะเล วุฒิบอกผมทันทีว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมไม่ได้ห้าม แต่ลึกๆก็ใจหาย


"คิดถึงกูล่ะซี้" วุฒิกระเถิบตัวมาใกล้ กอดคอผม และแลบลิ้นเลียหน้าผม

"เหี้ย! ไอ้วุฒิ สกปรก"

 
     ผมใช้หลังมือเช็ดหน้าตัวเองลวกๆ ทำหน้าแขยง


"ฮ่าๆ มึงสิ สกปรก เค็มฉิบหาย"


"ก็มึงน่ะเลียเอง พอๆ มาดื่มเบียร์ให้หมดกระป๋องนี้ดีกว่า นี่กูอุตส่าห์รีบกลับเร็ว เพื่อมาฉลองวันเกิดกับมึงเลยนะ"


   ผมยกกระป๋องเบียร์ของผมไปชนกับกระป๋องเบียร์ของมัน


"กูไม่ใช่เมียมึง ไม่ต้องมาปากหวาน"

   
    ว่าจบ มันกระดกจนหมด ผมมองมันและอมยิ้ม เพราะวุฒิยังไม่รู้ว่าวันเกิดมัน ผมมีเซอร์ไพร์สอีกหลายอย่าง

     ผมแค่อยากให้เพื่อนประทับใจ

   
    วุฒิดื่มเบียร์หมดอย่างไว ลุกขึ้นไปหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ในตู้เย็น

    พอเปิดตู้เย็น มันเห็นไอศกรีมแม็กนั่มทิรามิสุสองแท่ง มันหันขวับมาหาผม


"เฮ้ย! มึงซื้อให้กูหรอ?"

"คิดว่าไงล่ะ"

"ไอ้เหี้ย มึงแม่งน่ารักว่ะ"

"สรุปจะชมหรือจะด่า?"


   มันหัวเราะหยิบเบียร์พร้อมไอศกรีมวิ่งถลามากอดคอผม


"จุ๊บหน่อย!" ดูความทะลึ่งของมัน มันล็อคคอผมให้หันไปหามันที่ยื่นปากมาจะจูบ ผมเบือนหน้าหนีและดันหน้าวุฒิออกห่าง

"ห่า...ไปไกลๆเลย กูขนลุก ไอ้วุฒิ!"

"ฮ่าๆ เอาน่า คิดซะว่าเป็นแฟนมึงไง"

"แฟนกูน่ารักกว่านี้..."
ผมผิดไหม? ที่พอวุฒิพูดแบบนี้ ผมกลับนึกถึงพี่ชิน

"แหม่ กูชักอยากเห็นวันที่มึงมีแฟนจัง"

 
     ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันที ไม่อยากให้คำถามมันวกมาที่ผมอีก


"แล้วมึงกับพี่ชินเป็นไงบ้าง คืบหน้าบ้างไหม?"

"ก็มีเมื่อวานไปกินข้าวกันมา มันบอกไม่ถูกน่ะ ไม่คืบหน้าแต่ก็ไม่ได้แย่เกินไป"

"แล้วจะขอเป็นแฟนพี่ชินเมื่อไหร่?"
ผมถามอย่างอยากรู้

"น่าจะเร็วๆนี้แหละ"


   ผมพยักหน้ามองวุฒิกัดแม็กนั่ม สลับกับกระดกเบียร์


   ผมว่าที่เพื่อนทำอยู่ มันแปลกนิดหน่อย ถ้าเป็นผมกินของหวานพร้อมเบียร์ ผมว่าผมคงเมาเร็วแน่ๆ แต่ที่วุฒิทำผมก็ได้แต่นั่งเงียบไม่ว่าอะไร

   ผมมองเพื่อนที่กัดไอศกรีมรสโปรดจนรู้สึกหมั่นไส้ เพราะวุฒิอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำหน้าฟิน สดชื่นราวกับนั่งอยู่ที่น้ำตกไนแองการ่า

   โอเว่อร์ แอคติ้งได้โล่ห์จริงๆเลยเพื่อนผม


    จากนั้น ผมกับวุฒิ เราคุยกันเรื่อยเปื่อย จนเวลาผ่านไป พวกผมดื่มเบียร์หมดไปสามกระป๋อง จากนั้นมีเสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นมา ผมเปิดอ่านข้อความ และลุกขึ้นเนียนๆไปที่หน้าประตู ขณะที่วุฒินั่งเล่นโทรศัพท์อย่างไม่สนใจอะไร



"เฮ้ย! ไอ้ติ ปิดไฟทำไมวะ"

     เมื่อผมดับไฟจนห้องมืดตึ้บ วุฒิก็ตะโกนเสียงหลง


     จากนั้น  แสงสว่างจากเทียนที่ปักบนหน้าเค้กกำลังเดินทางเข้าไปใกล้เจ้าของวันเกิด


 Happy birthday to you...
 Happy birthday to you
 Happy birthday Happy birthday......
 Happy birthday to youuuuuuuuu....


     ผมเดินตามคนที่ถือเค้กมาและนั่งลงยองๆให้เจ้าของวันเกิดได้เห็นเค้กของตัวเอง



"อธิษฐานเลยมึง"


    ผมบอกและเห็นวุฒิยิ้มแก้มปริ กุมมือหลับตาอธิษฐาน เป่าเทียนจนดับ ผมลุกไปเปิดไฟ

    หมุนตัว หันกลับมาอีกที สิ่งที่ผมเห็น คือ ใบหน้าเจ้าของวันเกิดดูออกอาการช็อค ตาโต ตกใจ


"กูนึกว่าไอ้โจ้" วุฒิโพล่งขึ้นมา อาจเป็นเพราะในตอนแรก มีแค่แสงสว่างจากเทียน วุฒิเลยเห็นหน้าคนถือไม่ชัด

     พี่ตั้นสวนทันควัน


"แล้วถ้าเป็นพี่ มันทำไมหรอครับ?"


    ผมมองพี่ตั้นพูดจาแปลกๆ

 
     ผมว่าทั้งสองยังมีปัญหาคาใจที่ไม่ยอมเคลียร์กันให้รู้เรื่อง และเป็นผมที่ไม่อยากให้บรรยากาศกร่อยจึงรีบเอ่ย


"มึงไม่ชอบหรอวุฒิ? คือกูอยากเซอร์ไพร์ส เลยวานให้พี่ตั้นไปซื้อเค้กให้ เผื่อมึงจะชอบ"

"กูชอบและขอบใจนะติที่มึงเซอร์ไพรส์กู แต่..."

"แต่...ไม่ชอบที่พี่มา"
พี่ตั้นพูด


    วุฒิไม่ตอบพี่ตั้น มันหลบตาพี่ชายก่อนจะหันมาหาผม


"ติ กูไปหาพี่ชินนะ"


    วุฒิลุกขึ้นพรวดอย่างไม่ลังเล พี่ตั้นคว้าข้อมือวุฒิไว้และลุกยืนเต็มความสูง


"รังเกียจพี่มากเลยหรือไง?"

"ใช่... พี่ตั้นปล่อยมือผม เดี๋ยวนี้"

"เฮ้ย! ใครก็ได้ ช่วยบอกกูที ว่ามันเกิดอะไรขึ้น กูงงไปหมดแล้ว..."


"กูผิดเองแหละที่...กู"

"พี่ตั้น ลืมเรื่องนั้นซะ ผมอโหสิกรรมให้ จากนี้เราอย่าเจอกันอีก กูไปก่อนนะติ กูอาจจะไม่กลับมาห้องมึงแล้ว"


"เฮ้ย! วุฒิ...ไม่เอาดิ" ผมใจหายที่มันพูดแบบนั้น

"วุฒิ พี่ไม่ให้ไป..." พี่ตั้นพูดทับประโยคผมและบีบต้นแขนวุฒิ


    ผมมองหน้าสองคนสลับกันไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ผมเห็นวุฒิมองพี่ตั้นด้วยสายตาผิดหวัง


"วันนี้วันเกิดผม ขอล่ะพี่ตั้น ขอให้วันนี้ผมได้เจอแต่เรื่องดีๆเถอะ"

"แต่...พี่!..."

"อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลยครับ"


 
วุฒิเดินไปคว้าของสำคัญ สวมรองเท้าก้าวออกจากห้อง

   ส่วนผมเป็นคนรั้งแขนพี่ตั้นให้หยุดเท้า

   หลังจากที่วุฒิออกจากห้อง จนพ้นตา


"พี่ตั้นพูดมา เกิดอะไรขึ้น?"

"ขอที่อยู่บ้านชิน กูจะไปหาวุฒิ"

"ไม่ บอกผมก่อน พี่มีปัญหาอะไรกับวุฒิ"


"เปล่า ไม่มีอะไร"

"เห็นอย่างนี้ ยังจะโกหกอีกหรอวะพี่"


"เลิกเซ้าซี้สักที บอกที่อยู่บ้านชินมา เดี๋ยวนี้!"
ผมไม่เคยเห็นพี่ตั้นตวาดใส่ผม


    ผมสวนกลับด้วยความไม่พอใจ


"ไม่มีทาง ถ้าไม่บอกก็ออกจากห้องผมไปเลย"

"กูปล้ำวุฒิ"

"ห้ะ! ว่าอะไรนะ?"


   ผมแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน


"แต่ยังไม่ถึงขั้นมีอะไรกัน วุฒิ....ขอ...ร้..."


ผัวะ!


    หมัดลุ่นๆกระแทกเข้าใส่ใบหน้าพี่ชาย


"ผมบอกแล้วไงว่าวุฒิเป็นคนดี ทำไมพี่ทำแบบนี้วะ"


    พี่ตั้นไม่ได้ต่อยผมกลับแต่เขากลับยืนสงบนิ่ง


"เหี้ยเอ้ย!" ผมโมโหขยี้ผมตัวเองและสบถไม่เป็นภาษา


    ทำไมวะ ทำไม?

    ทำไมพี่ชายผมถึงเป็นคนมักมากไม่รู้จักพอ แม้แต่เพื่อนผมก็ไม่เว้น

   

"พี่ทำแบบนี้กับวุฒิได้ไงวะ"

"กับวุฒิ กูจริงจัง"

"ใครจะเชื่อ พี่พูดแบบนี้มากี่คนแล้ว ออกจากห้องผมไปเลย!...แม่งเอ้ย!"

 
    ไม่น่าละ ทำไมวุฒิทำตัวแปลกและดูหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกเวลาเห็นพี่ตั้น


"ติ กูขอที่อยู่ชิน"

"ไม่!...พี่หยุดตื้อไอ้วุฒิได้แล้ว อย่างที่ไอ้วุฒิบอก วันนี้ วันเกิดมันปล่อยให้มันเจอเรื่องดีๆเถอะ "
 


    แม้ใบหน้าพี่ชายผมจะดูเคร่งครียด แต่ผมไม่สงสารและไม่สนใจ เพราะคนที่ผมสงสารคือวุฒิต่างหาก

   วุฒิจะเจ็บปวดแค่ไหน? ที่ต้องเก็บงำเรื่องเลวร้ายไว้ในใจ บอกใครไม่ได้ แม้แต่ผมที่เป็นเพื่อนสนิท มันก็ไม่เคยบอก


"กูไม่ไปบ้านชินก็ได้ แต่กูจะบอกว่ากูไม่เคยพูดคำว่า 'จริงจัง' กับใคร นอกจากวุฒิ จากนี้ กูจะจีบเพื่อนมึง"


     ผมไม่พูดอะไรอีก ผมเหนื่อยจึงปล่อยให้พี่ชายผมเดินออกจากห้อง และทรุดตัวลงนั่งปลายเตียงรีบคว้าโทรศัพท์กดโทรหาพี่ชิน เพื่อกำชับว่าช่วยดูแลวุฒิด้วย


     วางสายแล้ว ผมยกมือกุมขมับ และคิดไม่ตกว่า พี่ตั้นมีเด็กในสังกัดตั้งมากมายจะเลือกมีเซ็กซ์กับใครก็ได้ แต่ทำไม ต้องมาเกาะแกะ วุ่นวายและกระทำกับเพื่อนผมแบบนั้นด้วย....




 
*****1.1*****
:-[ :-[ :bye2: o13 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 8|| 10-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-05-2018 21:25:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

เดาถูกด้วย  แต่เดาเกินเหตุไปถึงขั้นฟีเจอริ่งกินตับ  555
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 8.2|| 11-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 11-05-2018 20:11:21
ตอนที่ 8 ผมอยู่ตรงนี้ (2)





       หลังจากวันที่มีเรื่อง...หกวันผ่านไป... วุฒิไม่กลับมาห้องผมอีกเลย แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่กลับมาเก็บ อาจจะเพราะคงกลัวพี่ตั้นมาตามหา ซึ่งผมก็ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง

     อีกคนก็เพื่อน อีกคนก็พี่ชาย

      เราคุยกันผ่านทางไลน์หรือโทรหากันเพื่อถามไถ่ความคืบหน้ากัน ผมทราบข่าวว่าวุฒิอาศัยที่บ้านพี่ชายบ้าง พี่ชินบ้างสลับกันไป
 
      ผมยังไม่พูดถึงเรื่องนั้น ซึ่งวุฒิเองก็ยังคงเก็บความลับไว้เนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     ผมโกรธพี่ชาย และคิดว่ายังไม่หายง่ายๆ เพราะจนบัดนี้ ผมไม่คุยกับพี่ตั้นแม้แต่คำเดียว
 
      และสายวันนี้ วุฒิทิ้งข้อความไว้ ให้ผมไปหาที่บ้านพี่ชิน มันบอกจะทำบาร์บีคิวปิ้งย่างกันง่ายๆ คิดซะว่าเลี้ยงส่งท้ายที่วุฒิจะย้ายไปอยู่ที่อื่น
 
       ผมไม่ลังเลที่จะไป ผมอยากเจอวุฒิ อยากรู้ว่าวุฒิจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ ...
 
      ใช้เวลาไม่นาน ในการอาบน้ำ แต่งตัว ผมเดินทางมาถึงบ้านพี่ชินในเวลาบ่ายสองโมงกว่าๆ
 
     กดกริ่งเรียกสักพักก็เห็นพี่ชินเดินออกมา

"สวัสดีครับพี่ชิน"
 
"อื้ม เข้ามาสิ"

 
    เราสองคนเดินเข้ามาในตัวบ้าน นั่งลงที่โซฟา
   
"วุฒิล่ะครับ?"
 
"ออกไปซื้อของน่ะ"
 
"อ้าว แล้วพี่ไม่ไปกับมันหรอ?"
 
"วุฒิไม่ให้พี่ไป"
 

"อ้อ...แล้วพี่มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ"
 
"ไม่มีแล้ว พี่หมักหมูกับไก่เสร็จแล้ว ส่วนที่เหลือ ต้องรอวุฒิมาก่อน อ้อ...ติ...พี่ถามอะไรหน่อย"
 
"ครับ?"

 
"ช่วงนี้ วุฒิเป็นอะไรหรือเปล่า?"
 

    นี่ไง...ผมถึงบอกว่าพี่ชินชอบเป็นห่วงและเอาใจใส่คนอื่นเกินเหตุ เพราะถึงแม้ตัวเองจะมีปัญหาเครียดมากมายแค่ไหน ก็ยังไม่วายที่จะถามและนึกถึงความรู้สึกคนอื่นก่อนเสมอ
 
   ผมแกล้งทำหน้านึกทั้งๆที่ผมรู้อยู่แก่ใจ

"ไม่รู้ครับ มันไม่บอกผมเลย นี่ก็ว่าจะถามมันอยู่ พี่ชินมีอะไรหรือเปล่าครับ?"
 

"วุฒิดูแปลกๆไป"
 
     ผมพยักหน้าพลันลอบมองใบหน้าพี่ชินที่ดูเป็นห่วงติดกังวล ผมว่าพี่ชินอาจมีใจให้วุฒิบ้างไม่มากก็น้อย ผมจึงถาม
 
"พี่ชอบวุฒิแล้วใช่ไหมครับ?"
 
    พี่ชินยังไม่ทันอ้าปากตอบ ก็มีเสียงกริ่งดังหน้าบ้าน
 
    พี่ชินลุกขึ้นไปเปิดประตู ผมนั่งรอนิ่งๆ เพราะคิดว่าเป็นวุฒิอยู่แล้ว แต่ผ่านไปสิบนาที พี่ชินยังไม่เดินเข้ามา จึงตามไปดู
 
  ผมชะงักเมื่อเห็น แฟนเก่าพี่ชิน

   มาได้ไงวะ..
 
   ผมเห็นพี่ชินยืนคุยกับแฟนเก่านอกรั้วบ้าน
 
   จู่ๆ ผมใจกระตุก ทำไมแค่พี่ชินยืนอยู่กับแฟนเก่าผมถึงเกิดอาการหึงหวงมากกว่าพี่ชินอยู่กับวุฒิล่ะ
 
   ผมไม่รีรอ เดินออกไปนอกบ้านเพื่อตามไปประกบพี่ชิน
 
"มีอะไรกันครับ" ผมแตะข้อศอกพี่ชินจนเจ้าตัวหัน และระหว่างนั้น ผมได้ยินเสียงแฟนเก่าแทรกขึ้น
 
"หืม?...อย่างนี้นี่เอง มิน่าละ ทำไมวันนั้น ผมขอ แล้วชินถึงไม่ให้เอา..."
 

"พูดจาระวังปากหน่อย ให้เกียรติกันบ้าง"

    ผมออกตัวแทนพี่ชิน ผมไม่ค่อยชอบคนพูดจาแบบนี้นะ มันดูต่ำและไม่ให้เกียรติความเป็นมนุษย์ด้วยกัน  คำพูดและรอยยิ้มเยาะของแฟนเก่าทำเหมือนว่าอีกฝ่ายเป็นของเล่นที่คิดอยากเมื่อไหร่ ก็แค่กดปุ่ม On/Off  ได้ตามใจชอบ
 
"เสือก!"
 
     พออีกฝ่ายว่าผม ผมเดินหน้าจะปะทะแต่พี่ชินจับแขนผมไว้
 
"เรื่องที่ไมค์รู้ว่าบ้านฉันอยู่ไหน ฉันจะไปสืบเอง แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินให้แล้วล่ะ"


"อย่างกหน่อยเลยแค่สองหมื่นเอง"
ผมตาโตเลยครับ
 
        พูดมาได้ไง...แค่สองหมื่นเอง บ้านคุณบิดามึงสิ!
 
        กว่าผมจะได้เงินสองหมื่นบาทนี่ ผมนั่งทำงานทั้งเดือนเลยนะครับถึงจะได้
 
"ฉันไม่มีให้แล้ว!"
 

"แน่ใจ? ผมไม่มีทางกลับไปมือเปล่าหรอก"
 
"ฉันไม่มีแล้วจริงๆไมค์ ขอล่ะ กลับไปเถอะนะ"
 
"ชินต้องเลือกแล้วล่ะ ถ้าไม่ได้เงิน ก็ต้องให้เอา เดี๋ยวนี้!"

 
     หนุ่มหน้ามนเดินมาใกล้ ยิ้มเยาะ ลูบแขนพี่ชินขึ้น-ลง ผมปัดมือออกทันที
 
เพี้ยะ!
 
"อย่ามาแตะตัวพี่ชิน"
 

    อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นสูงจ้องมองด้วยความไม่พอใจ
 
"มึงเป็นใคร?"
 
"กูไม่จำเป็นต้องบอก"
 
"ชินเลือกเร็วๆ หรืออยากให้ผมปล่อยคลิป?"
ผมหันขวับไปหาพี่ชิน
 
"คลิป? คลิปอะไรครับพี่?"
 

    ผมเห็นพี่ชินตาแดงเหมือนจะร้อง เขายืนตัวสั่น ปากสั่น
 
"อะ...โอเค ฉันมีเงินอยู่บนบ้าน เดี๋ยวไปเอาให้เดี๋ยวนี้เลย!"

 
       เฮ้ย! จะบ้าหรือไง ผมคิดในใจ ทำไมพี่ชินต้องให้กันได้ง่ายๆด้วยล่ะ ทันใดนั้น ผมคว้าข้อมือพี่ชินให้หยุดเท้า แล้วตอบกลับหนุ่มลูกครึ่ง
 
"เป็นแค่แฟนเก่า ไม่ใช่เจ้าของชีวิต อยากได้เงินก็ทำงานสิวะ มาขอคนอื่นทำไม?"
 

"ติพี่ขอ อย่ามีเรื่องกับเขา"
 

    ผมไม่โอเค เงินสองหมื่นบาท มันมากเกินไปที่ใครก็ไม่รู้จะมาแบมือขอกันง่ายๆ

   
"ชินจะให้-ไม่ให้"
 
"กูตอบแทนเลยว่า 'ไม่' "
ผมสวน
 
"มึงมีสิทธิ์อะไร เป็นแฟนใหม่ชินรึไง ห้ะ!"
 

     มันคงโกรธผมที่เป็นฝ่ายรั้งพี่ชินไม่ให้ขึ้นไปหยิบเงิน

     ทันใดนั้น
 
 หมับ!
 
   ผมดึงมือพี่ชินมาสอดประสานมือกันแนบแน่น
 
"ใช่! กูถึงห้ามพี่ชินไง และอีกอย่างนะ เลิกเอาคลิปมาขู่สักที อยากได้เงิน มึงก็ไปหาเอาเอง!"
 

ผัวะ!
 
    พูดจบ แฟนเก่าง้างหมัดมาชกหน้าผม ผมเซถอยหลังไปก้าว ก่อนจะตั้งหลักซัดมันกลับไป จากนั้นต่างฝ่ายต่างยื้ดยุดฉุดกระชาก ทั้งแทงเข่า บีบคอ จนผมและแฟนเก่าพี่ชินล้มลงไปนอนกองกับพื้น

 
"พอได้แล้ว หยุดนะ"

     พี่ชินพยายามจับผมกับแฟนเก่าแยกกัน แต่มันไม่เป็นผล จนกระทั่ง...
 
     คนข้างบ้านลงจากรถ ยกปืนขึ้นขู่ที่ผมเพิ่งรู้จากการแต่งกายว่า คนข้างบ้านพี่ชินเป็นทหาร
 
    ตอนนี้ ทั้งคู่ สภาพเสื้อผ้า หน้าผมยับเยินไม่ต่างจากหมาข้างถนน

    จังหวะนั้น ผมเห็นมันมองทหารอย่างไม่พอใจ และมัวแต่ก้มจัดชุดตัวเอง ผมตาดีเห็นโทรศัพท์มันกระเด็นตรงอยู่ตรงพื้น รีบเดินก้าวใช้เท้าเหยียบโทรศัพท์อำพรางไว้ และคนที่ไม่ได้สังเกตสังกาอะไรได้แต่เผ่นหนีขึ้นรถที่จอดถัดจากบ้านพี่ชินไปไม่กี่หลัง   
 
     ผมก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือ ใส่กระเป๋ากางเกง พี่ชินโค้มหัวขอบคุณเพื่อนบ้านและประคองผมเข้าตัวบ้าน

"ติ เป็นอะไรมากไหม? พี่บอกแล้วไงว่าอย่ามีเรื่องกับเขา"

 
     ผมไม่ตอบพี่ชิน ค่อยๆเดินตัวงอหยุดนั่งพักให้หายจุกที่ม้านั่งยาวตรงโรงจอดรถก่อน

    ยังดีที่ผมมีสติ ยกมือกันหน้าไว้ได้ เลยมีแผลแค่โดนต่อยหนแรกที่มุมปาก จะรู้สึกเจ็บและจุกตรงช่วงกลางลำตัวนี่แหละ
 
"ที่มันขู่คือคลิปอะไรครับพี่?" พูดพลางสบถและจิ๊ปากด้วยความเจ็บ
 
    พี่ชินก้มหน้า เม้มปากแน่น

"ถ้ามันลำบาก...ที่จะบอก..."

"คลิปที่ไมค์ถ่ายพี่ตอนมีอะไรกัน สมัยเมื่อพี่ยังคบเขา"
 

     ผมอึ้ง
 
"มันเอามาขู่เพื่อขอเงินและมีเซ็กซ์?"
 
"ชะ...ใช่ แต่พี่ไม่เคยมีอะไรกับเขาสักครั้งเลยนะติ พี่แค่..จูบ...กับ..."
 

"ช่างมันเถอะครับ แล้วนี่พี่หมดเงินไปเท่าไหร่แล้ว"
 
"แสนห้า"
 
"ห้ะ! พี่ให้มันทำไม ถ้ามันจะปล่อยคลิปก็ให้มันปล่อยไปดิ แล้วไงล่ะ"
 

"แต่...พี่อาย...พี่ ...กลัว...พี่ไม่"
 
"พี่ชิน ถ้าคนมันจะเหี้ยมันก็เหี้ย...ต่อให้พี่ให้เงินไปตามคำขู่ ถ้าใจคิดอยากจะปล่อยคลิป มันก็ทำอยู่ดี"
 
"พี่..."


    ผมถอนหายใจ เงินไม่ใช่น้อยๆ ผมเสียดายเงินที่พี่ชินต้องจ่ายให้กับความเหี้ยของคนๆหนึ่ง ผมเอื้อมมือไปวางบนหลังมือพี่ชิน
 
"พี่ชิน ฟังผมนะ อดีตก็คืออดีต พี่แก้ไขอดีตไม่ได้อยู่แล้ว ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ และถ้าพี่กลัวว่าคลิปหลุด กลัวคนจะรับไม่ได้ จะเลิกคบพี่ก็ช่างแม่งปะไร แต่พี่จำไว้ ว่าพี่มีผม ผมรับได้ ไม่ว่าพี่จะเป็นไง ...ผมอยู่ตรงนี้...อยู่ข้างพี่เสมอ"
 
    ผมพรั่งพรูคำพูดจากใจออกไป มันยังมีคำในหัวอีกมากมาย แต่...
 
ฟึ่บ!

    พี่ชินซุกหน้าลงบนบ่าของผม

"พะ....พี่ชิน...โอเคไหมครับ?"

 
    พี่ชินน้ำตาไหลแต่ไม่ถึงกับฟูมฟาย

    ผมไม่นึกเบื่อที่ได้อยู่ข้างๆยามพี่ชินมีปัญหา

    แม้ว่าความชื้นของน้ำตาจะหยดลงบนบ่าข้างเดิม

    ผมนั่งนิ่งรอบนี้ไม่ใช่เพราะอะไร ผมยังปวดตัวไม่หาย..

    แต่เป็นการเจ็บปวดที่รู้สึกดี เพราะผมได้ใกล้พี่ชินอีกแล้ว
 
"ขอบคุณนะติ"
 
    พี่ชินผละแล้วมองผม ผมใช้ข้อนิ้วค่อยๆเกลี่ยน้ำตาอีกฝ่ายให้จางหาย

    จากนั้น ผมพูดแซวหวังจะให้พี่ชินอารมณ์ดี

"ไม่ต้องเครียดนะ โทรศัพท์แฟนเก่าพี่อยู่กับผม"
 

    ผมเห็นพี่ชินดูจะอึ้งไปพอสมควร

"ติไปเอามาตอนไหน?"   

"ไม่ต้องสนหรอกครับว่าตอนไหน? สิ่งที่พี่ชินควรสนคือจะให้รางวัลอะไรกับผม  ผมขอไม่มากหรอกน้าา... แค่พี่ชินทำ...แผล..."
ผมอ้อนเขา กะว่าถ้าพี่ชินทำแผลให้ผมก็ดีใจแล้ว แต่ไม่คิดว่า...

 
จุ๊บ!
 
   ผมตาโต ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพี่ชินจะจูบผม
 
   ริมฝีปากนุ่มบดคลึงที่ริมฝีปากของผมช้าๆ
 
  เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ริมฝีปากของผมกับพี่ชินสัมผัสกัน แม้จะไม่รุกล้ำเข้าไปข้างในเพราะพี่ชินคงรู้ว่าผมเจ็บอยู่ แต่สิ่งที่รู้ คือผมอยากจูบพี่ชินนานกว่านี้

   ความเห็นแก่ตัวของผมกำลังครอบงำทั้งๆที่รู้ดีว่ามันไม่ควร
 
   เรายังไม่ได้เข้าบ้าน เรายังอยู่ตรงโรงจอดรถที่ซึ่งมีโอกาสคนผ่านไปผ่านมา
 
  และแล้ว...

"ผมกดกริ่งเรียกแล้วไม่มีใครได้ยินเลย พี่ชินมาเปิดประตูให้ผมหน่อยครับ"

   ผมและพี่ชินผละจากกันด้วยความตกใจ เมื่อผมหันไป เห็นวุฒิยืนชะโงกหน้า ชะเง้อคอมอง ด้วยของเต็มสองมือ

   ผมไม่รู้ว่าวุฒิ ยืนรออยู่นานแค่ไหน...ผมได้แต่ภาวนาให้วุฒิไม่เห็นภาพที่ผมกับพี่ชินจูบกันเมื่อครู่....
 

.....................................

อร้ายยยยยยยย :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 8.2|| 11-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-05-2018 21:35:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

เห็นไหม?  น่าจะเห็นนะนั่น 

แล้วจะเป็นไงต่อ?
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 9|| 13-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 13-05-2018 21:33:29

ตอนที่ 9 ชอบ


 


     ตอนนี้ พี่ชินต้องมานั่งทำแผลเบื้องต้นให้ผม ผมดีใจที่เห็นว่าพี่ชินดูเป็นห่วงผมไม่น้อย อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเขาคงรู้สึกผิดที่มันไม่ใช่เรื่องของผม แต่กลับต้องเอาตัวไปเสี่ยง เขาถึงดูแลผมดีเป็นพิเศษ

    ขณะที่พี่ชินทำแผลให้ผมตรงโซฟา เวลาเดียวกัน วุฒิเตรียมของทำบาร์บีคิวอยู่ในครัวคนเดียว วุฒิไม่บ่น เพราะรู้ว่าผมมีเรื่องจนได้แผล

    ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่พี่ชินจูบผม วุฒิเห็นแล้วไม่พูด หรือไม่เห็นจริงๆ แต่การที่ต้องอยู่ในบรรยากาศรักสามเส้าเช่นนี้ มันทำให้ผมกระอักกระอ่วนและไม่ชอบสักเท่าไหร่   

     ผมจ้องมองมือคนอายุมากกว่าที่บรรจงทำแผลบนหน้าให้อย่างเบามือ หลังจากที่เขาทำแผลให้ผมตรงช่วงท้องเสร็จเรียบร้อย

     ผมยิ้มที่พี่ชินตั้งใจทำแผลให้ไม่มีบ่น ยิ่งเห็นหน้าเขาก็ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่โรงจอดรถ ผมอยากถามเรื่องที่พี่ชินจูบผม แต่ไม่มีจังหวะ กลัวว่าจะถาม วุฒิจะเผลอมาได้ยินอีก

      ถึงอย่างไร ผมก็ต้องถามให้ได้ เพราะการที่พี่ชินทำแบบนี้ มันทำให้ผมมีความหวัง

      หวังว่าพี่ชินชอบผมเหมือนกัน


"พี่ชินครับ เสร็จแล้วพาผมขึ้นไปนอนข้างบนได้ไหม?"

"ได้สิ แต่เจ็บแบบนี้ จะเคี้ยวเนื้อก็คงลำบาก ติกินพวกข้าวต้มไหม? เอามะ...เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้ น่าจะดีกว่าเนอะ..."



    ผมเผลอใจกระตุกกับการใส่ใจของพี่ชินที่มันดูพิเศษกว่าเก่า เขาพูดและลูบแผลที่มุมปากไปด้วย

   ผมจะทำยังไงดี ผมไม่สามารถเลิกชอบพี่ชินได้สักที


"กะ...ก็ได้ครับ"

    ผมว่าตั้งแต่มีเรื่องกับแฟนเก่าพี่ชิน ผมสัมผัสได้อยู่หนึ่งอย่าง พี่ชินพูดและทำดีกับผมมากจนผมคิดว่าเขาปฏิบัติกับผมเหมือนว่าผมเป็นแฟนเขาแล้ว

    พี่ชินทำกับผมอย่างใส่ใจ นุ่มนวล และดูผิดแผก แตกต่างไปจากทุกที


"เดี๋ยวพี่พาติขึ้นไปก่อนแล้วกัน ค่อยลงมาช่วยวุฒิ"

"ครับ"

"ถ้าเจ็บบอกพี่นะ"


     ผมพยักหน้ารับ และค่อยๆลุกขึ้นจากแรงประคองของพี่ชิน เขาขนาบผมและค่อยๆพยุงผมให้ขึ้นบันได

    ขึ้นบันไดไปขั้นนึง ก็พักทีนึง ผมยังปวดตัวและระบมอยู่ไม่น้อย

    ถ้าร่างกายปกติดี ไม่ถึงห้านาที ผมคงเดินเข้าไปห้องนอนได้แล้ว แต่นี่สิบห้านาที ผมเพิ่งยืนอยู่หน้าบานประตูห้องนอนพี่ชิน


"ติไหวไหม?"

"ไหวครับ"


   พี่ชินไม่เคยถามความรู้สึกผมบ่อยขนาดนี้ ตลอดเวลาที่ขึ้นบันไดไปทีละขั้น พี่ชินถามตลอด และดูกลัวว่าผมจะเจ็บมากกว่าเก่า

   หลังจากที่ผมเดินเข้ามาในห้องนอน พี่ชินค่อยๆปล่อยแขนผม จัดท่าทางให้ผมทิ้งตัวลงนอนโดยให้เจ็บน้อยที่สุด


"เจ็บไหม?"

"นิดหน่อยครับ"

"นอนพักซะนะ"

"เสียดายที่ผมอดกินบาร์บีคิวกับพวกพี่เลย"

    ผมเห็นพี่ชินนั่งอมยิ้ม แล้วบอก


"ไม่ต้องเสียดายหรอก ถ้าติอยากกินบาร์บีคิว ติจะมากินอีกเมื่อไหร่ก็ได้"


   ผมชะงักกับคำพูดและต่อมาผมใจสั่นและเต้นแรงกว่าเก่า เพราะผมแพ้รอยยิ้มพี่ชิน พี่ชินยิ้มน่ารักจนใจละลาย

   ยิ่งเฉพาะรอยยิ้มที่มาจากใจด้วยแล้ว มันทำให้ผมหลงเสน่ห์พี่ชินจนยากจะถอนตัว


"ขอบคุณนะครับ"

"พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณเรื่องที่ติช่วยพี่"

"ยินดีครับ"


"ถ้าติตื่นหรืออยากได้อะไร ติโทรยิงมานะ พี่อยู่ข้างล่าง จะได้เดินขึ้นมาหา"


   ในวิกฤติย่อมมีโอกาส ผมเชื่อก็ตอนนี้จริงๆ แม้ผมจะเจ็บตัว แต่ผมได้รับการดูแลจากพี่ชินเป็นอย่างดี

   ผมพยักหน้าและยิ้มให้เขา

   อันที่จริงแล้ว ผมโลภมาก ผมอยากสัมผัสพี่ชินมากกว่านี้ อยากจับมือ อยากกอดพี่ชิน อยากทำอะไรหลายๆอย่าง ในช่วงเวลาที่ผมมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้

     แต่ที่ผมทำได้ คือ การนอนนิ่ง เพราะจะเอี้ยวตัวทำอะไรแต่ละทีก็ไม่ถนัดอย่างคนอื่นเขา

    ผมเห็นพี่ชินบอกผมเสร็จ ทำท่าจะลุก ผมรีบถามสิ่งที่ติดค้างในใจ


"พี่ชินครับ ผมอยากรู้เรื่องที่พี่จูบผม.."

"ติบอกอยากได้รางวัล"


   ผมพยักหน้าน้อยๆ แล้วตัดสินใจถามอีกครั้ง


"พี่ชินชอบ...ผม..."

จุ๊บ!

   พี่ชินก้มตัวลงมาจูบผมอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้จะไม่นานเท่าตอนอยู่ที่โรงจอดรถ แต่ก็ทำให้ผมอึ้งได้อยู่ดี


"นอนได้แล้วติ หายไวๆนะครับ"


   ผมเห็นพี่ชินแก้มแดง ก่อนจะลุกพรวดจากเตียงไปที่หน้าประตูห้องนอนอย่างไว

   ผมนอนกระพริบตาปริบๆ

   คืออะไร? พี่ชินไม่ตอบคำถามผม แต่จูบผมอีกแล้ว

   พี่ชินชอบผมใช่ไหมครับ?






    หลังจากที่ผมนอนหลับตัวแข็ง ไม่กระดิกกระเดี้ยวมาได้ชั่วโมงกว่า ก็มีเสียงใครบางคนปลุกให้ผมตื่นจากนิทรา


"ไหวไหมมึง?"

    ผมปรือตามามอง ก็เห็นวุฒิที่มองผมด้วยแววตาเป็นห่วง และในมือของเพื่อนมีถ้วยข้าวต้มอยู่


"ไอ้วุฒิ"

"ดีขึ้นไหมมึง?"

"ดีมั้ง"

"ทำหน้าผิดหวัง ทำไม? อยากให้เป็นพี่ชินรึไง?"


    ผมใจหายวาบ ไม่รู้ว่าทำไม วุฒิถึงแซวแบบนี้ ผมรีบเฉไฉ


"เปล่าสักหน่อย ขอโทษนะวุฒิที่ทำให้ปาร์ตี้มึงกร่อย"

"ไม่หรอกมึง เห็นมึงเป็นแบบนี้ ก็นึกอยากเห็นหน้าแฟนเก่าพี่ชินเลยว่ะ ทำไมมันเหี้ยจนรู้สึกว่าคำด่านี้มันยังน้อยไปเลยวะ"


    ผมหัวเราะพลางสบถ เมื่อเจ็บช่วงท้องตอนขำขึ้นมากระทันหัน


"ลุกขึ้นมากินไหวไหม?"

   ผมพยักหน้าน้อยๆ และพยายามกระเถิบดันตัวให้หลังพิงพนักเตียง


"อยากให้กูป้อนไหม?"


   ผมว่าวุฒิมันพูดแปลกๆ ผมพยักหน้ารับ จากนั้น วุฒิตักข้าวต้มหมู เป่าไล่ลมร้อนสองสามครั้งก่อนจะยื่นมาจ่อตรงปากผมให้ผมอ้าปากรับข้าวต้มเข้าไปคำแรก


   ผมค่อยๆเคี้ยวแล้วพยายามกลืน...

"กูป้อนจะอร่อยเท่าพี่ชินป้อนไหมวะมึง?"


"คะแค่กๆ...."   ผมสำลักทันที วุฒิรีบยื่นแก้วน้ำเปล่าให้ผมดื่ม



    ผมไม่เข้าใจ ทำไมวุฒิเล่นมุกเรื่องพี่ชินหลายรอบจนผมชักร้อนตัว ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาอย่างกลัวมันรู้ความจริง


"เป็นอะไรวะมึง กินไหวไหม?"


    ผมพยักหน้าแต่หลุบตาลงต่ำ

    ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กัน และวุฒิยังทำหน้าที่ดูแลผมได้อย่างดีเยี่ยม วุฒิป้อนข้าวให้ผมหลายคำ

    จากนั้น...


"มึงชอบพี่ชินใช่ไหม?"


    ผมตกใจ ที่วุฒิโพล่งมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย


"ห้ะ! ปะเปล่า..." ผมตาโต ส่ายหน้ารัว

"โกหกกูทำไมวะ?"

"คะ...คือ!"
ผมก้มหน้า

"เฮ้อ!...ทำไมต้องเป็นพี่ตั้นที่บอกเรื่องนี้กับกู ทำไมไม่เป็นมึง...กูตัดสินใจคุยวันนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเหมาะสุด มึงชอบพี่ชินมาก่อนกูแล้วทำไมไม่บอก มึงเห็นกูเป็นคนยังไงวะติ เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปี รู้จักกันมากี่ปี ทำไมถึงดูถูกความรู้สึกกู มึงคิดว่ากูจะเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นเลยหรอวะ"
 


     ผมมองวุฒิที่วางชามข้าวต้มไว้โต๊ะหัวเตียง แล้วระบายความรู้สึกออกมายาวเหยียด


     ผมเงียบ ไม่คิดมาก่อนว่าพี่ตั้นจะบอกเรื่องนี้กับวุฒิ

     ผมประมวลความคิดที่ผ่านมา แสดงว่า วุฒิรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ไปทะเล แต่มันเก็บเงียบ


"กูไม่ได้คิดว่ามึงเห็นแก่ตัวนะวุฒิ แต่...กูแค่อยากเห็นมึงมีความสุข"

"แล้วไง? มึงคิดว่าตอนนี้กูมีความสุขไหมละ? ในเมื่อพี่ชิน เขาไม่ได้ชอบกู"



   ผมอ้าปากค้าง ตาโต แสดงว่าที่วุฒิเคยบอกว่าจะถามพี่ชิน เรื่องขอเป็นแฟน วุฒิคงถามออกไปแล้ว และนี่คงเป็นคำตอบที่ได้รับ


"ห้ะ? หมายความว่าไง? พี่ชินบอกแล้วหรอว่าไม่ชอบมึง ทำไมอะ? ในเมื่อมึงก็เป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ ทำไมพี่ชินไม่ชอบมึงอะ" ผมเอียงคอถามเพื่อน

"มึงคิดว่าการเป็นคนดีอย่างเดียวหรอที่จะได้ความรักกลับมา ไม่งั้นคนดีๆทั่วบ้านทั่วเมืองทำไมยังโสดอยู่ล่ะวะ"


"คือ กูแค่คิดว่า...มึง"


"มันมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งไลฟ์สไตล์ ความชอบอะไรเหมือนๆกัน ความเข้ากันได้ ความถูกใจ เจอะแล้วรู้สึกว่า คนนี้ใช่  ติกูจะบอกอะไรให้นะ กูอาจเป็นคนดีอย่างที่มึงคิด แต่....การเป็นคนดีของกูมันไม่ได้เป็นคนที่ใช่...สำหรับพี่ชินว่ะ...."



    ผมรู้สึกแย่ทันทีที่ต้องเห็นวุฒิผิดหวัง ผมดูออกว่าการที่วุฒิต้องมานั่งพูดเรื่องแบบนี้ มันกำลังกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล


"..กูขอโทษ วุฒิ กูคะ...แค่..."

"พี่ชินชอบมึง!"






****1.1****

การเป็นคนดีของกูมันไม่ได้เป็นคนที่ใช่...สำหรับพี่ชินว่ะ....
.
สงสารวุฒิ...งือออ...
.
เดี๋ยวมาดูความรู้สึกวุฒิกันน่าฉงฉานนนน..

หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 9|| 13-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-05-2018 23:24:18
 :pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมช่างเป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกันจริง ๆ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 9.2|| 14-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 14-05-2018 23:47:36
ตอนที่ 9 ชอบ (2)



  ผมชะงัก


"ห้ะ...มึงว่าไงนะ"

"เขาชอบมึง เหี้ยเอ้ย!...ทำไมกูต้องมาเป็นคนบอกมึงด้วยวะ เจ็บสัด!"


   ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่วุฒิ แม้จะเจ็บแต่ผมฝืน เพราะอยากปลอบใจเพื่อน

"ไอ้วุฒิ คือ กู...ไม่รู้มาก่อนว่าพี่ชินชอบกู"

"ก็ตอนนี้ มึงรู้แล้ว ถ้ามึงขืนเล่นตัว กูจะถีบให้!!"

"กูขอโทษ"

"ไอ้ติ มึงจะขอโทษกูทำไม มึงไม่ผิด มึงชอบเขา เขาชอบมึง ก็ดีแล้ว เวลานี้ถึงต่อให้กูกราบตีนพี่ชินให้เขาชอบ กูก็ไม่ได้หัวใจเค้าอยู่ดี"

   ผมดีใจนะที่พี่ชินชอบผม แต่ผมสงสารวุฒิที่มันต้องมาบอกเรื่องนี้ ทั้งๆที่มันก็ชอบพี่ชินเหมือนกัน


"วุฒิ กูขอโทษจริงๆว่ะ"

"พอแล้วน่า มึงรู้ไหม? ที่กูบอกมึงตอนนี้ เพราะกูเห็นมึงเจ็บตัวอยู่ กูเลยสงสาร ถ้ามึงร่างกายปกติดี กูคงต่อยมึงไปแล้วว่ะ พอกูเห็นสภาพมึงแล้ว เราก็เจ็บไม่ต่างกัน!"

   ผมยิ้มแหยๆ แล้วจู่ๆ ผมกลับนึกถึงพี่ชาย แต่ปากผมมันพูดไปเองโดยอัตโนมัติ

"วุฒิ ถ้าพี่ตั้นเกิดชอบมึงขึ้นมา"

   ผมเห็นวุฒิชะงัก แล้วมันรีบตอบกลับ

"อย่าเพิ่งพูดเรื่องพี่ตั้นได้ไหม? ขอล่ะ"

"ขอโทษว่ะ เออ! วุฒิ แล้วพี่ชินรู้หรือเปล่า? ว่ากูชอบเขา..."

"ยัง กูไม่ได้บอก"

"ถ้างั้น อย่าเพิ่งพูดนะ เพราะกูอยากให้ร่างกายกูดีกว่านี้ก่อน"

   วุฒิพยักหน้า แม้มันจะเป็นข่าวดีที่ผมได้รับว่าผมและพี่ชินใจตรงกัน แต่ผมอยากทำให้การบอกชอบพี่ชินของผมมันดีกว่าที่ผมต้องมาอยู่ในสภาพนอนโทรมแบบนี้....



 




.................


-วุฒิ-


   ผมอกหักโดยสมบูรณ์

   คิดแล้วก็น่าขำ คนไม่โดนรับรักอย่างผม กลับต้องมาบอกข่าวดีให้คนที่สมหวังในความรัก

   มันก็คงไม่ต่างกับการแข่งรถที่พอถึงพิธีการมอบถ้วยรางวัล คนแพ้อย่างผมกลับต้องยื่นถ้วยรางวัลให้คนชนะนั่นแหละ...

   น่าเจ็บไหมล่ะ?

  เจ็บโคตรๆเลยเถอะ! แต่ยังดี คนที่ผมยื่นถ้วยรางวัลแห่งชัยชนะให้เป็นเพื่อนรักของผม

   มันเลยทำให้ความเจ็บลดลงมาได้ระดับหนึ่ง

   ผมยอมรับตรงๆว่าอิจฉาติที่พี่ชินเลือกมัน แต่ความรักมันก็เป็นเช่นนั้นเอง

   ในเมื่อติชอบพี่ชิน พี่ชินชอบติ มันก็ถูกต้องแล้วล่ะ เพราะถึงต่อให้ผมเอามีดขู่จะปาดคอพี่ชิน ถ้าพี่ชินยอมเป็นแฟนกับผมก็คงได้แค่ร่างกาย คงไม่ได้หัวใจ ผมว่าถ้าเป็นอย่างนั้นอยู่ด้วยกันไป ก็ทรมานกันไปเปล่าๆ

   เพียงแต่ผมเองก็มีหัวใจ มีความรู้สึก ตอนที่ผมต้องบอกเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้น ผมแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ พอทำใจได้ระดับหนึ่ง และรู้ตัวเองว่า การบอกข่าวนี้จะไม่เผลอร้องไห้ต่อหน้าติจึงเดินมาหาเพื่อนเพื่อบอกความจริง   
   
     ส่วนสาเหตุที่ผมรู้ว่าติแอบชอบพี่ชิน ผมรู้จากปากพี่ตั้น ตั้งแต่วันที่ไปทะเลหนก่อน

    ผมเสียใจที่ติทำตัวเสียสละโดยไม่ถามผมก่อน

    ติเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก ผมเคยช่วยมันให้รอดตายจากการเป็นตะคริวตอนเล่นน้ำที่ทะเล
 
    เวลาที่เล่าให้ใครต่อใครฟังคงดูเหมือนผมเป็นพระเอก จริงๆไม่ใช่เลย ถ้ามีใครเห็นภาพเพื่อนสนิทตัวเองตะเกียกตะกาย ตะโกนร้องเรียกชื่อผมให้ช่วย ด้วยใบหน้าซีดไร้สี จะรู้ว่าทรมานขนาดไหน

    ผมถึงรู้ในทันทีว่าถ้ามันตายโดยที่ผมไม่ทำอะไร ผมคงเสียใจไปตลอดชีวิต


   ผมดีใจที่เพื่อนมีความสุข ตรงกันข้ามกับผมที่ช่วงนี้เจอะแต่ปัญหา

   ปัญหาครอบครัว ความรักและชีวิตผมที่มีคนใจร้ายประทับตราบาปไว้บนตัวผม

  พี่ชายเพื่อน

   วันที่ผมรู้ว่า ติชอบพี่ชิน กับวันที่พี่ตั้นทำร้ายหัวใจผมเป็นวันเดียวกัน

    จุดเริ่มต้นมาจากคืนที่ผมออกมาจากห้องน้ำและสงสัยว่าพี่ชินหายไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่ห้องพัก จึงเดินออกมาตามหานอกโรงแรม แต่แล้วสองเท้าก็หยุดชะงัก

   เมื่อภาพที่เห็น คือ พี่ชินซบไหล่ติ

   สัมผัสใกล้ชิด สนิทสนมจนผมยืนเหวอ สมองเบลอ มึนงง ทำตัวไม่ถูกกับภาพตรงหน้าที่เห็น อยากหมุนตัวหันหลังหนีไป แต่ขากลับก้าวไม่ออก

    ผมยืนมองทั้งสองคนชิดใกล้กันนานหลายนาที  จนกระทั่ง มีเสียงใครอีกคนกระซิบข้างหู

"ปล่อยให้เขาอยู่ด้วยกันเถอะ"   

   ผมหันขวับ ไม่รู้เลยว่าพี่ตั้นมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่

"พี่ตั้นหมายความว่าไงครับ?"

"ติชอบชินมาตั้งนานแล้ว วุฒิไม่รู้เหรอ?"

  ผมอ้าปากค้างตาโต ก่อนจะส่ายหน้า

"อ้าว...นี่พี่นึกว่าเราแข่งกันจีบชินซะอีกนะเนี่ย!"

"พี่พูดบ้าอะไร? ถ้าผมรู้ว่าติชอบ ผมไม่จีบพี่ชินหรอก"


   ผมโกรธที่พี่ตั้นพูดจาแบบนี้ มันดูถูกความรู้สึกผมพอสมควร ผมไม่ใช่พวกเอาชนะที่ใครดี ใครได้ ผมไม่พอใจพี่ตั้นจึงเดินหนีไปให้พ้นหน้า
 
    ผมไม่รู้ว่าพี่ตั้นเดินตามมา จนกระทั่งถึงหน้าห้องของผม พี่ตั้นคว้าแขนผมไว้ ก่อนเปิดประตู

"พี่ขอโทษที่พูดแบบนั้น วุฒิเครียดเหรอ? มานั่งเล่นห้องพี่ก่อนสิ"

"ไม่ ผมอยากนอน"

"คิดซะว่านั่งกินเบียร์เป็นเพื่อนพี่ก็ได้...นะครับนะ...พี่เหงา"


    ผมชั่งใจแต่พอเห็นสายตาพี่ตั้นดูเศร้าสร้อย หงอยเหงา ผมสงสารจึงใจอ่อนเดินตามเข้าห้องพี่ตั้นไป

    เราสองคนนั่งดื่มเบียร์กันเงียบๆ ที่ผมเงียบเพราะคิดเรื่องที่ติชอบพี่ชิน ไหนจะภาพที่ทั้งสองซบกันอีก

   จู่ๆพี่ตั้นก็พูดแทรกความคิดของผมขึ้นมา

"พี่อยากมีโมเมนต์ถูกแย่งเหมือนชินบ้างจัง"

"พี่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกมากเหรอไง? ถึงพูดแบบนี้"

"ไม่ พี่พูดจริงครับ การที่มีแต่คนรุมรัก ใครๆก็อยากได้แบบนั้น หรือวุฒิจะเถียงว่าไม่จริง?"


   ผมเงียบไม่ตอบ เพราะคิดว่าคนอย่างพี่ตั้นพูดด้วยก็เหนื่อยเปล่าจึงลุกไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาสองกระป๋อง ทั้งของผมและเผื่อให้พี่ตั้น

    ผมอยากดื่มให้เมา หลับไวๆ จะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้อีก ผมกระดกเบียร์ไม่คิดชีวิต พอผมมึน ผมขอพี่ตั้นนอนในห้อง แล้วถ้าติมาค่อยปลุก เพราะเห็นว่าเป็นพี่ชายเพื่อนเลยไว้ใจ

    ผมหลับ แต่ไม่รู้ตัวว่านานหรือเปล่า? ไม่กี่นาทีต่อมา ผมรู้สึกตัวร้อนผ่าวผสมอารมณ์ซาบซ่านแปลกๆ ผมลืมตา ตกใจ เมื่อเห็นพี่ตั้นกำลังใช้ปากของเขาครอบแก่นกายผมอยู่

   ผมดิ้น ใช้มือผลักไหล่ให้พี่ตั้นรู้ว่าผมตื่น

"พะ...พี่ตั้นทำอะไร จะลักหลับผมเหรอ?"

   ผมมองอีกฝ่ายที่หน้าแดงจัดและมีท่าทางหื่นจนน่ากลัว

"พี่เห็นมันตื่นน่ะเลยจะช่วยให้มันสงบ"

"พะ...พี่ไม่ต้อง ผมจะกลับห้องผม...อื้อ"

   ผมพูดไม่ทันจบ พี่ตั้นไวมากที่กระโจนมาจูบปิดปากแทน เพียงผมเผยอปากเพื่อหายใจ พี่ตั้นก็ใช้ปลายลิ้นสอดเข้าไปในโพรงปากผมได้สำเร็จ

   พี่ตั้นจูบผมรุนแรง เหมือนจะกลืนกินผมไปทั้งตัว ยิ่งผมดิ้น เขายิ่งจูบหนักขึ้น ขณะเดียวกัน มือของพี่ชายเพื่อนยังรูดรั้งลูกชายของผมให้ตื่นตัวไปด้วย

   เซ็กซ์เป็นเรื่องปกติของผู้ชาย และเป็นสิ่งสำคัญที่ผมขาดไม่ได้

   ผมพยายามฝืนใจ แต่ผมยอมรับว่ามือร้อนผ่าวของอีกฝ่ายที่อุณหภูมิไม่ต่างจากแก่นกายของผมกำลังกระตุ้นอารมณ์ทางเพศและทำให้ผมรู้สึกดี จนอยากปลดปล่อย

     ผมอายที่เผลอหลุดร้องครางให้กับการกระทำของพี่ชายเพื่อน ผมห้ามไม่ได้จริงๆ เมื่อมือไม่คุ้นเคยกำแก่นกายผมแน่น มันทำให้ผมร้อนวูบวาบและเสียวซ่าน จนสุดท้าย ผมข่มอารมณ์ไม่ไหว ปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นออกมาหมดไม่มีกั๊ก

     ผมกัดปากก้มหน้าอย่างอายๆ เพราะไม่กล้าสบตาพี่ตั้นที่ตัวเองเผลอปล่อยของเหลวอย่างรู้เป็นความนัยว่าสื่อถึงอะไร

   ผมกดตาลงต่ำ แต่ดันเหลือบเห็นของเหลวสีขาวขุ่นของผมเองที่เปรอะเปื้อนมือของพี่ตั้น

    ผมชำเลืองมองพี่ตั้นที่ยกมือนั้นแล้วเลียหลักฐานจนหมดไม่เหลือคราบ แล้วทำไมกัน ทำไมผมต้องใจสั่นกับท่าทางเหล่านั้นด้วย

    พี่ตั้นยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะขึ้นคร่อมบนตัวผม รวบมือผมไว้เหนือศรีษะด้วยมือเดียว ผมไม่เคยเห็นพี่ตั้นมุมนี้มาก่อน พี่ตั้นก้มตัวลงต่ำมอบจูบแสนเร่าร้อนแบบที่ผมไม่เคยสัมผัสมาในชีวิต

     
     ผมยอมรับว่าพี่ตั้นช่ำชองจนผมอ่อนระทวยและไม่อาจขัดขืนได้อีก
   
     ช่วงที่ผมหลงใหลไปกับจูบเร่าร้อน ผมสัมผัสได้ถึงความลื่นจากของเหลวเย็นๆจากนั้น ผมรู้ว่านิ้วของพี่ตั้นสอดเข้าช่องทางข้างหลังทำผมจุก เสียดและเสียวอย่างน่าประหลาด

       มันไม่ควรเป็นแบบนี้!...

      ผมยอมรับว่าผมอ่อนไหวกับจูบพี่ตั้น จนมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ตั้นเอานิ้วออกแทนที่ด้วยแก่นกายที่แข็งจนน่ากลัว
 
     ผมไม่เคยให้ใครมารุกล้ำอาณาเขตของผม

    ไม่เคยคิดจะเป็นฝ่ายรับ และไม่!...เด็ดขาด!

    ช่วงแรกพี่ตั้นถนอมผม แต่พอถึงจังหวะจะร่วมรักกัน พี่ตั้นกลับรุนแรงและป่าเถื่อน  เมื่อพี่ตั้นยัดแท่งร้อนของเขาเข้าจนสุดลำ ผมน้ำตาไหล กัดปากจนเจ็บแสบไปหมด


"พี่ตั้นครับ ผมเจ็บ"


    เสียงที่เปล่งออกไป ช่างไร้ประโยชน์ พี่ตั้นไม่ฟัง และยังดึงดันเอาเข้า จนผมทำตัวไม่ถูก

   มันเหมือนแท่งเหล็กที่เข้ามาอยู่ในตัวผม พี่ตั้นดันจนสุด ก่อนจะถอนมันออกมาช้าๆ

   จังหวะนั้น...


"พะ...พี่ตั้น ผมเจ็บครับพี่ ผมเจ็บ..."


    แม้ย้ำเป็นครั้งที่สอง ก็ยังไม่เป็นผล พี่ตั้นไม่สนความรู้สึกผมแต่อย่างใด เอาแต่จะหาทางสอดใส่เข้าไปในช่องทางรักผมอีกครั้ง กระทั่ง เขาดันแท่งร้อน กระแทกเข้าไปใหม่จนสุดแรง ดันเข้า-ดึงออกจนสุดถึงสองครั้ง

     มันเป็นเพราะอะไรกัน!...

    ตอนที่พี่ตั้นช่วยให้ผมถึงฝั่งฝันกับตอนที่พี่ตั้นมีเซ็กซ์ ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

   ผมเจ็บ ผมทรมาน ผมน้ำตาไหล

   ผมไม่ไหว กรีดร้องทั้งๆที่กัดปากแน่น ผมใช้แรงที่มี ข่วนหลังพี่ตั้นจนเศษหนังหลุดติดอยู่ที่ปลายเล็บ


"พี่ตั้น ผมเจ็บครับ ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมใช้ปากช่วยพี่ก็ได้ ให้ทำอะไรก็ได้ แต่ขอร้อง!...หยุดเอาเข้าเถอะนะครับ ได้โปรดดด!" 


    ผมมองร่างคนตัวโตที่อยู่เหนือผมผ่านม่านน้ำตาอย่างพร่าเลือน ผมมองได้ไม่ชัดว่าเขาทำสีหน้าอย่างไร รู้แต่หลังจากนั้น พี่ตั้นถอนแก่นกายออก ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาที่ไหล


    ผมร้องไห้ ผมไม่เคยเป็นฝ่ายรับให้ใครมาก่อน


    ถึงวันหนึ่ง ถ้าผมคิดจะให้ใครสักคนจริงๆ มันควรเป็นการให้ด้วยความสุข ไม่ใช่แบบนี้!...


    พี่ตั้นทิ้งตัวลงนอนข้างผม ดึงตัวผมเข้าไปกอดจนแผ่นหลังของผมแนบไปกับอกกว้าง ผมไม่อยากทำตัวสำออยเหมือนผู้หญิง แต่ผมเจ็บจริงๆ ผมดิ้น สะดีดสะดิ้ง พยายามถีบตัวเองให้ห่างจากพี่ชายเพื่อน แต่แขนแข็งแกร่งกลับล็อคแน่น



"ชู่วว์ อย่าร้องนะครับ พี่ขอโทษวุฒิ พี่ขอโทษ..พี่ไม่รู้ว่าวุฒิไม่พร้อม พี่ไม่ทำแล้วนะ...พี่ขอโทษ"


"ทำไมพี่ทำกับผมแบบนี้ ผมเพื่อนไอ้ตินะ"


"พี่รู้ครับพี่รู้ พี่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก แต่วุฒิอย่าดิ้น พี่ขอนอนกอดได้ไหม?"


"พี่ปล่อยผมเถอะ ผม..ไม่อยากใกล้พี่ ผม ไม่ฮึก! พี่ข่มขืน..."
ผมพูดไม่เป็นภาษา


    ไม่รู้สิกลายเป็นว่า ผมกลัวพี่ตั้นไปเลย แม้แต่หน้าผมยังไม่กล้ามอง


"พี่ขอโทษครับ วุฒิอย่าร้อง มาๆให้พี่กอดนะวุฒิ แค่คืนนี้ คืนเดียวก็ได้นะครับ นะ..."


     ตอนพี่ตั้นมีเซ็กซ์ เขาดูดุดันจนน่ากลัว แต่พอตอนนี้ พี่ตั้นออดอ้อน อ่อนโยน พูดจานุ่มนวล กอดผม จูบซับหลังคอ พรมจูบทั่วลาดไหล่ จนผมสับสนและไม่รู้ว่าตัวตนของพี่ตั้น คือคนไหนกันแน่...

    ผมเหนื่อยจะดิ้น หมดแรงกับทุกสิ่ง สุดท้าย ผมจำใจนอนฝืนหลับทั้งน้ำตา ภายใต้อ้อมกอดของคนที่คิดจะข่มขืนผม....



..............................


.
สงสารวุฒิ...งือออ...
เรื่องของวุฒิยังมีต่อพาร์ทหน้าค่า :mew1: :mew1:
.



       
 
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 9.2|| 14-5-18 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-05-2018 01:17:52
 :pig4: :pig4: :pig4:

แล้วไหนบอกกับติว่าไม่โดนเสียบไง

ยังตะหงิดอยู่ว่าแค่ถูกปล้ำยังไม่โดนเสียบมันไม่น่าจะโกรธขนาดนั้นเนอะ

แต่แปลก ๆ กับอารมณ์ของตั้นเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 10|| 15-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 15-05-2018 19:01:33

 
 ตอนที่ 10 ภาพจำ




     แหละจากวันนั้น เรื่องที่ติแอบชอบพี่ชินแล้วไม่บอกผม กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยและยอมรับว่าผมก็หลงลืมเรื่องนั้นไป เพราะทุกขณะการใช้ชีวิตกลับมีภาพของใครบางคนซ้อนทับในสมองของผมขึ้นมา
 
 
    ภาพจำระหว่างผมกับพี่ตั้นยังชัดเจนเหมือนเดิมทุกอย่าง


     ใบหน้าพี่ตั้นที่จะมีเซ็กซ์กับผม / รสจูบอันเร่าร้อน / รอยรักสีกุหลาบทั่วแผ่นหลังของผม
 

     ใช่ว่าผมอยากจำ แต่ผมกลับสลัดหรือลบภาพเหล่านั้นไปจากใจไม่ได้

     ผมไม่เกลียด แต่กลัว
   
     ความกลัวที่ก่อตัวตอนที่พี่ตั้นพยายามดึงดันในการมีเซ็กซ์กับผม

     ผมเครียดเรื่องเกือบโดนพี่ชายเพื่อนข่มขืน แต่ต้องปั้นหน้าฝืนยิ้มว่ามีความสุขในทุกๆวัน เท่านี้ ผมก็เหนื่อยมากแล้ว     
   
     พี่ชินคือทางออกเดียวที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของผมได้ในวันที่ผมมีปัญหาถาโถม   

    ผมตัดสินใจแล้วว่าจะหาจังหวะถามความรู้สึกในใจพี่ชินให้ได้เร็วๆนี้
             
     ผมพยายามลืมสิ่งที่พี่ตั้นทำกับผมมาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่พี่ตั้นเข้ามาทำให้ภาพที่ใกล้จางหายกลับชัดเจนกว่าเก่า

    ภาพตรงหน้า คือ พี่ตั้นถือเค้กวันเกิดมาให้ผม

    คนที่ผมพยายามลืม กลับมายืนตรงหน้าในวันสำคัญของผม

    ผมพยายามคิดมาตลอดว่า คืนนั้น พี่ตั้นคงเมา และความเคยชินของคนที่เอาไม่เลือก เลยเตลิดเกิดเหตุแบบนั้น

    แต่ความคิดนั้นกลับสั่นคลอน เมื่อเจอสายตาพี่ตั้น ตอนผมเป่าเทียนเสร็จแล้วผมนึกว่าคนที่ถือเค้กเป็นเพื่อนของผมอีกคน


     สายตาพี่ตั้นที่แสดงออกว่าเสียใจ


     พี่ตั้นไม่ควรแสดงออกแบบนี้ จริงๆความรู้สึกของเขามันควรจบลงตั้งแต่วันนั้น อย่างมาก ก็อาจจะเสียดายที่ไม่ได้มีเซ็กซ์กับผม มากกว่าจะมานั่งเสียใจที่เผลอกระทำรุนแรงกับผม และอีกอย่างพี่ตั้นไม่ควรตัดพ้อ ทำท่าน้อยใจ เสียใจหรือว่ากันง่ายๆ เขาไม่ควรแสดงความรู้สึกอะไรที่ดูไปในทางว่าอยากสานสัมพันธ์ต่ออย่างนั้น...
 

    เพราะการที่พี่ตั้นทำแบบนั้นมันทำให้ผมโกรธเขาไม่ลง


     ผมได้สติรีบบอกติว่าไปหาพี่ชินทันที เพราะเหตุการณ์วันที่พี่ตั้นกระทำป่าเถื่อนใส่ผม มันผุดซ้อนขึ้นมาเป็นฉากๆจนผมจะร้องไห้


    ผมไม่อยากให้พี่ตั้นรู้ว่าผมอ่อนแอ สิ่งที่พี่ตั้นควรรู้ คือ ผมเข้มแข็งพอจะเชิดหน้าใส่ให้กับสิ่งที่พี่เขาทำในวันนั้น


    หลังจากที่ผมออกมาจากห้องติได้ ผมโทรหาพี่ชินว่าจะไปหา จากนั้นก็ปล่อยโฮทันที...


    ชีวิตผมพังไม่มีชิ้นดี ผมไม่มีความสุขจริงๆ นับตั้งแต่วันที่พี่ตั้นคิดจะข่มขืน

    แม้ผมจะหลบหนีไปพักบ้านพี่ชินบ้าง บ้านพี่ชายบ้าง หวังจะดีขึ้น

     แต่มันก็ได้แค่ร่างกายที่หนี แต่หัวใจกลับหนีพี่ตั้นไม่ได้เลย

    เรื่องของพี่ตั้นลอยวนในหัวตลอด  ผมไม่เคยเป็นแบบนี้


     ผมทรมานที่ไม่สามารถหยุดคิดถึงเรื่องนั้นได้


     ผมทนไม่ไหว จนคืนหนึ่งที่ผมอาศัยบ้านพี่ชิน ผมขออนุญาตพี่ชินให้ผมได้นอนห้องเดียวกับเขา ผมอ้อนขอกอดพี่ชิน ผมแค่อยากหาที่พักพิงจากใครสักคน และผมหวังว่าพี่ชินจะทำให้ผมดีขึ้น


    สิ่งที่ผมได้รับ มันทำให้ผมดีขึ้นได้จริงๆ ผมกับพี่ชิน เรานอนกอดกัน อ้อมกอดพี่ชินอบอุ่นเหลือเกิน แต่พอผมหลับตาเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทรา ภาพที่ผุดมากลับเป็นพี่ตั้นที่พูดเสียงอ่อนโยน จูบจากพี่ชายเพื่อนที่แตะหลังต้นคอ และทั่วลาดไหล่ของผม

    ทุกอย่างที่พี่ตั้นกระทำทิ้งไว้บนเรือนร่างของผมมันไม่เคยลืมเลือนได้เลย...


    เหมือนว่าสิ่งที่ผมตั้งใจจะลืม มันกลับกลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่า

   
    ผมรู้แล้วว่า ผมหนีไม่พ้น ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจแก้ปัญหาทีละเรื่อง


   เรื่องแรก คือ การถามความรู้สึกพี่ชินว่าคิดยังไงกับผม ถ้าพี่ชินรับรัก ผมอาจจะลืมเรื่องพี่ตั้นได้

    จากนั้น ผมจะมีเซ็กซ์กับพี่ชิน จูบพี่ชินเผื่อมันจะลบภาพเก่าให้หายไป

   แต่ถ้าพี่ชินตอบปฏิเสธ ผมอาจจะขอเงินพี่ชายไปต่างประเทศ หรือไม่ก็คงจะวันไนท์ แสตนด์ นอนกับใครก็ได้ และผมจะทำทุกวันให้มันลบภาพพี่ตั้นไปให้ได้ในเร็วที่สุด


     เมื่อผมได้ขอสรุป ผมหาวันที่เหมาะสมได้นัดติให้มากินบาร์บีคิวด้วยกัน เพื่อติจะได้รู้ความคืบหน้าของเรื่องผมด้วย

     ผมออกไปซื้อของ ตั้งใจว่าวันนี้ น่าจะเป็นวันดีของผม

    จนกระทั่งกลับมาถึงบ้านพี่ชิน ลงจากรถแท็กซี่ หอบหิ้วของเต็มไม้เต็มมือจะเข้าบ้าน กลับช็อค ตกใจ เมื่อภาพที่ผมเห็นตรงโรงจอดรถ คือ

    ภาพที่พี่ชินกับติจูบกัน

    ผมไม่คิดเลยว่าจะเจอแบบนี้ ผมแทบหมดแรงและคิดไม่ออก เพราะตั้งรับไม่ทัน แต่แล้วผมต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็นและรักษาสภาพจิตใจให้เหมือนว่าผมเป็นคนร่าเริง ไม่เสียใจ

    ผมยืนคิดอยู่ในครัวอยู่นานว่าผมจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี จนผมรู้แล้วว่า การปล่อยเวลาให้นานกว่านี้ ผมจะยิ่งเจ็บกว่าเดิม
   
    ผมตัดสินใจจะถามวันนี้ หลังจากติขึ้นไปนอนพัก ผมใจเต้นแรง แต่ก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


    ผมนั่งมองพี่ชินที่โซฟา ขณะที่เขานั่งพักดื่มน้ำ หลังจากไปส่งติที่ห้องนอน   

    แม้ภาพมันฟ้องและชัดเจนแค่ไหน แต่ผมไม่อยากคิดไปเอง

    ผมอยากได้คำตอบที่แน่ชัดจากปากพี่ชินมากกว่า

   ทิ้งตัวลงนั่ง ทำหน้าจริงจัง

"ผมว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ จนถึงตอนนี้ พี่ชินชอบผมบ้างไหมครับ?"


    ผมถามออกไปตรงๆเพราะเวลานี้ การพูดจาอ้อมค้อมรังแต่จะทำให้ผมเสียเวลาและเจ็บกว่าเดิม


"ถ้าสิ่งที่วุฒิถามหมายถึงชอบแบบแฟน พี่ขอโทษด้วยนะ พี่ไม่ชอบวุฒิแบบนั้น"


    เจ็บนะ แต่จำเป็นต้องถามต่อ


"ถ้างั้น พี่ชินชอบติใช่ไหมครับ?"
 

   
    พี่ชินอึกอัก แต่จากนั้น เขากลับตอบเสียงหนักแน่น


"ใช่ วุฒิรู้เพราะวุฒิเห็นหรือว่า..."

"ครับ ผมเห็น เห็นตั้งแต่ที่พี่ชินอยู่กับติที่ทะเลแล้วล่ะครับ เฮ้อ!...ผมเสียใจนะ...มากด้วย แต่ก็ดีที่รู้ว่าเป็นไอ้ติ"


"พี่ขอโทษนะ"

"ผมทำให้พี่ชินมีความสุขไม่พอหรอครับ?"


   แปลกนะ...ก็รู้อยู่แล้วว่าผิดหวัง ยังจะซ้ำเติมความเจ็บปวดด้วยการถามหาเหตุผลเพิ่มเติมทำไมอีกก็ไม่รู้     


"เปล่าหรอก วุฒิทำให้พี่มีความสุขเหมือนกัน เพียงแต่เวลาที่พี่อ่อนแอ คนที่อยู่ข้างพี่ตลอด คือติ ก็เท่านั้นเอง"


  คำธรรมดา แต่ผมกลับจุกจนแน่นิ่งไปเลย การที่พี่ชินบรรยายใครอีกคนด้วยสีหน้าปลื้มปีติช่างทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยไปถนัดตา


"นั่นสิ..เจ็บจัง..แต่ก็ขอบคุณนะครับที่พี่ชินพูดตรงๆ ผมอยากรู้ว่ามีอะไรอีกที่พี่ชินประทับใจในตัวติ"


   ผมงงตัวเองเหมือนกันว่าปากของผมทำไมถึงถามคำถามที่พาตัวเองช้ำใจ หรือผมเป็นพวกเสพติดความเจ็บปวดก็ไม่รู้

  ผมมองพี่ชินที่อมยิ้มเมื่อพูดถึงติ

"พี่ชอบตัวเองเวลาที่ได้อยู่กับติ พี่ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องสร้างภาพ ไม่ต้อง..."



"พอ..พอเถอะครับพี่ชิน...ผมไม่อยากรู้แล้วล่ะ แววตาพี่ดูออกมากว่าชอบเพื่อนผม ผมขอให้พี่โชคดีแล้วกันนะครับ!"


    ผมไม่ไหวแล้ว ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พี่ชินลุกขึ้นตามแล้วจับแขนผม


"พี่ขอโทษจริงๆนะวุฒิที่รู้สึกแบบนั้นกับวุฒิไม่ได้ แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นแฟนกัน วันไหนที่วุฒิเครียดหรือมีปัญหาอยากระบาย วุฒิมาหาพี่ได้เสมอนะ พี่พร้อมรับฟัง เพราะพี่รู้แล้วล่ะว่า หากวันที่เรามีปัญหา การได้มีคนอยู่ข้างๆ มันดียังไง?"

    แม้พี่ชินจะเลือกติ แต่ยังมิวาย พูดเป็นห่วงผมเช่นเคย

    ผมเพิ่งตาสว่าง และเข้าใจวันนี้นี่เอง ที่หลายครั้ง พี่ชินเอาใจใส่ผม เป็นห่วงผม รับฟังปัญหาของผม จนผมถึงกับนึกเข้าข้างตัวเองว่าพี่ชินคงมีใจให้ผมอยู่บ้าง...

    แท้จริงแล้ว มันไม่ใช่เลย พี่ชินไม่เคยชอบผม... ไม่เลยสักนิดเดียว!!...

    การที่พี่ชินปฏิบัติกับผมอย่างเป็นห่วง เป็นใย เพราะพี่ชินก็เป็นแค่คนดีคนหนึ่งที่ทำแบบนี้กับทุกๆคน ...เท่านั้นเอง....



****1.1****


"เพราะพี่รู้แล้วล่ะว่า หากวันที่เรามีปัญหา การได้มีคนอยู่ข้างๆ มันดียังไง?" 

 ชินห่วงวุฒิจริงๆถึงพูดแบบนั้น แต่เวลาที่ชินพูด เขาแค่นึกถึงใครอีกคนเท่านั้นเอง
อย่างประโยคนี้ วุฒิไม่รู้ว่าพี่ชินหมายถึงใคร? แต่ถ้าติเดินมาได้ยินอาจดีใจ...



ส่วนน้องวุฒิไปหาพี่ตั้นเถอะนะ ลองดู เขาดามใจได้อยู่แล้วล่ะ
อย่ากลัวเลย (พี่ตั้นเขาแค่ยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ได้ เลยเถื่อนไปหน่อย) 555555

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่า
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 10|| 15-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 15-05-2018 20:00:30
 โอ้ยยยยยยยย :m15: :sad4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 10|| 15-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-05-2018 22:21:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

น่าสงสารวุฒินะ  แต่ถ้าจะลองให้อภัยพี่ตั้น  ก็น่าจะเป็นหนทางแห่งความสุขได้  เพราะจากสิ่งที่ตั้นแสดงออกมา  ก็น่าจะบ่งชัดได้ว่าจริงใจกับวุฒิขนาดไหน
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 10.2|| 17-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 17-05-2018 19:08:09

ตอนที่ 10 ภาพจำ(2)



-ตั้น-



'วุฒิ คือ จุดเปลี่ยนของผม'





   ผมไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนน้องชาย จะทำให้ผมสูญเสียตัวตนได้ขนาดนี้



   ผมจำภาพวันที่มีเซ็กซ์กับวุฒิได้ชัดเจน



   ใบหน้าเหยเกแสดงความเจ็บปวด การส่งเสียงกรีดร้องเมื่อผมเผลอกระแทกสุดแรงตอนสอดใส่เข้าไปในช่องทางรัก และน้ำตาที่ไหลมาพร้อมเสียงขอร้องเหมือนขาดใจ   

   

    ตอนผมมีเซ็กซ์กับคนอื่น ไม่มีใครเคยห้ามกลางคันหรือปฏิเสธ กลับชอบและติดใจจนร้องขอว่า เอาอีก เอาอีก..



   แต่แปลกที่มันไม่ใช่กับวุฒิ

 

   น้องทำตัวตรงกันข้ามกับทุกคนที่ผ่านมา


   ผมไม่เคยมีเซ็กซ์กับใครแล้วนอนร้องไห้ น้ำตาไหลพรากขนาดนี้


    ผมไม่ได้ตั้งใจจะข่มขืน เพียงแต่ตอนนั้น ผมรู้สึกแปลกๆ มันรู้สึกดีกับวุฒิจนห้ามใจไม่ให้เอาเข้าไปไม่ได้ สมองของผมมันมีแต่อยากแลกเปลี่ยนสัมผัสกันและกัน แต่ผมไม่รู้ว่า วุฒิจะต่อต้านถึงกับขั้นรับไม่ได้และเสียใจอย่างหนัก


     พอเป็นอย่างนี้ ผมถึงตกใจ รีบปลอบประโลมและดึงตัวน้องเขาเข้ามากอด

   
     ซึ่งโดยปกติ เรื่องการกอด ผมเป็นคนไม่ชอบนอนกอดใครข้ามคืน  ผมรู้สึกอึดอัดและรำคาญตัว แต่แปลกที่พอเป็นเพื่อนน้องชาย ผมสามารถนอนกอดวุฒิได้ทั้งคืนไม่มีบ่นหรืออิดออดแต่อย่างใด


     หรือเป็นเพราะความรู้สึกผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน...


     แหละคืนนั้น กว่าผมจะนอนได้ก็ปาไปตีสองกว่า


    ผมจะนอนหลับตาลงได้อย่างไร? ในเมื่อผมเพิ่งได้ยินเสียงหยุดสะอื้นจากน้อง ตอนเที่ยงคืน ทั้งๆที่เราจบกิจกรรมบนเตียงไปตั้งแต่ห้าทุ่มกว่า


    ผมรู้สึกไม่ดีเพราะไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความรู้สึกน้องขนาดนั้น แม้ผมจะต้องการเซ็กซ์แค่ไหน แต่ผมก็ให้ความสำคัญกับคนที่ผมจะร่วมรักด้วยเสมอ


    คืนนั้นจึงเป็นคืนที่ผมหลับไม่ลง จนกระทั่งตอนเช้า ลืมตามาอีกที วุฒิก็ไม่อยู่แล้ว


    หลังจากไปทะเลกลับมาไม่กี่วัน ผมทำงานตามปกติ แต่ยอมรับว่ายังคิดถึงแต่เรื่องของวุฒิ จึงโทรเรียกน้องนักศึกษาที่เคยติดต่อกันมามีเซ็กซ์ พอวันถัดมาก็เรียกเนมมานอนด้วย หวังว่าจะช่วยให้ตัวผมเองดีขึ้น



     แต่น่าแปลก ที่ความรู้สึกผมกลับเปลี่ยนไป

      ผมมีเซ็กซ์ก็จริง แต่มันไม่สนุก ไม่มีความสุขเท่าแต่ก่อน ความมันส์ เร่าร้อนที่เคยได้รับ ทว่า จืดชืด ไร้รสชาติ


     หรือคงเป็นเพราะเจอะอะไรเหมือนเดิมอยู่ตลอด พอถึงจุดอิ่มตัว ผมก็เกิดเบื่อหน่าย ก็คงไม่ต่างจากกินเมนูข้าวกระเพราหมูสับทุกวันล่ะมั้ง เมื่อถึงวันหนึ่ง ผมกลับเอียน
   

     และอีกอย่างที่ทำให้ผมไม่อยากมีเซ็กซ์ ไม่รู้ว่าผมหลอนหรือเปล่า? แต่หลังจากที่ผมมีเซ็กซ์เสร็จแล้ว บางครั้ง ผมจะได้ยินเสียงแว่วของเด็กหนุ่มก้องในหัว


"หยุดเอาเข้าเถอะนะครับ ได้โปรด!..."


     ผมไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

     สำหรับวุฒิแล้วแตกต่างจากคู่นอนของผมทุกคน วุฒิเป็นผู้ชายรูปร่างใกล้เคียงกับผม เพียงแต่หุ่นบางกว่า เตี้ยกว่า และหน้าตาดูอ่อนกว่าวัย ที่ต่างอาจเป็นเพราะเวลาผมมองน้อง ผมรู้สึกว่าวุฒิเหมือนเด็กผู้ชายวัยสิบห้า ที่กำลังโตและอยู่ในวัยซุกซน แถมขี้อ้อนในบางเวลามากกว่า


    ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ยิ่งโดยเฉพาะตอนมีเซ็กซ์ น้องเป็นตามที่ผมคิดหมดเลย หรือเป็นความไร้เดียงสา ผมก็ไม่แน่ชัดในคำตอบเหมือนกัน


    เมื่อผมยังไม่ได้เคลียร์กับวุฒิ และเบื่อหน่ายทางเซ็กซ์ ผมจึงหยุดมีเพศสัมพันธ์กับทุกคนที่เคยผ่านเข้ามา


    หลังจากที่ผมคิดได้ ผ่านไปแค่วันเดียว ติก็โทรมาหาผม วานให้ซื้อเค้กไปให้วุฒิที่ห้องของติ ผมดีใจที่ได้ยิน จนหุบยิ้มไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้ติดต่อวุฒิเลย จะขอเบอร์โทรจากติก็กลัวมีพิรุธ


    ผมไม่รู้ว่าวุฒิชอบกินเค้กรสอะไร แต่ผมเลือกเค้กรสชาติที่ผมชอบ ระหว่างขับรถไปหาวุฒิ วางเค้กบนที่นั่งข้างคนขับ จัดตำแหน่งให้เหมาะสม และผมขับรถช้าอย่างระมัดระวัง เพราะผมกลัวว่าหน้าเค้กจะคว่ำก่อนไปถึงมือผู้รับ


     ถึงที่หมาย ผมใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ตอนอยู่หน้าห้องน้องชาย พอส่งข้อความบอกติว่าถึงแล้ว ไม่นาน ติมาเปิดประตู ผมเดินเข้าไปและจินตนาการว่าวุฒิต้องดีใจและชอบเค้กก้อนนี้


     แต่เปล่าเลย...


   สิ่งที่ผมเห็นคือ วุฒิตกใจที่รู้ว่าเป็นผม


    เสียใจเหมือนกันที่น้องแสดงออกแบบนั้น


    ไม่รู้สิ ผมไม่ชอบให้วุฒิทำท่าเหมือนไม่ชอบกัน


    อาจเป็นเพราะที่ผ่านมา ผมชอบใคร ทุกคนชอบผมกลับ ผมไม่เคยโดนปฏิเสธ พอวุฒิทำสายตาแบบนั้น ผมหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก  ยิ่งตอนที่วุฒิเมินเฉยใส่และบอกกับติว่าจะไปหาชิน ผมเจ็บปวด


    พอผมจะตามวุฒิไป กลับเจอน้องชายงี่เง่าใส่ ผมทนไม่ไหว จึงบอกความจริงบางส่วนออกไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับวุฒิ


    ไม่แปลกหรอก หากติจะโกรธและไม่ยอมพูดกับผมอีกเลย


     ก็รู้ว่า เป็นการกระทำที่แย่ แต่จะทำอย่างไรได้ ผมไม่ได้ตั้งใจและมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว


    น้อยใจ /เสียใจ /ผิดหวัง



    ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในใจผม จากตอนแรกผมเลือกจะไม่มีเซ็กซ์กับใคร แต่วันที่วุฒิชาเฉยใส่ผม มันก็ลงเอยด้วยการที่ผมเรียกเนมมา


    ผมหนีความเครียด ด้วยการหาทางออกเพื่อระบาย นั่นก็คือ เซ็กซ์


    แต่คราวนี้ มันแปลกจนผมไม่เข้าใจตัวเอง ขณะที่เนมกำลังออรัล เซ็กซ์ให้ ผมไม่มีความรู้สึกที่อยากจะสำเร็จความใคร่ ผมบอกให้เนมหยุดแล้วปล่อยให้เนมหลับอยู่ในห้อง ส่วนผมออกมานั่งที่โซฟาครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จนตั้งสัจจะได้แล้วว่า ผมจะหยุดทำตัวแบบนี้ แล้วหาทางเจอวุฒิให้ได้



    ตั้งแต่วันนั้น ก็นับวันมาตลอด จนผ่านไปสิบวัน นับตั้งแต่วันเกิดวุฒิ เราไม่เคยได้เจอกันอีกเลย


    ผมนั่งเหม่อเวลางาน บางวันออกไปพบลูกค้า จากที่เคยนำเสนองานได้ดีจนลูกค้าประทับใจ ระยะหลังๆ กลับพูดตะกุกตะกัก นึกคำสวยหรูไม่ออก พูดจาวกวนไปมา บ้างก็ติดขัดจนลูกค้าไล่กลับให้ผมไปตั้งหลักแล้วค่อยมาคุยใหม่


    ผมเป็นบ้าไปแล้ว

    ใช่ ผมเป็นบ้า!

    บ้าที่คิดถึงแต่วุฒิมากเกินไป




    ไม่แน่ใจว่า ผมโชคดีหรือเปล่า? เพราะตั้งแต่เด็กจนโต ผมสมหวังในความรักและชนะมาโดยตลอด อยากคบใครก็ได้คบ ไม่เคยมีใครปฏิเสธในตัวผม


    ...แต่กับวุฒิ..

   ผมแพ้ราบคาบ

   ทั้งๆที่ผมยังไม่เคยมีเซ็กซ์กับน้องเลยสักครั้ง ผมยังเป็นหนักขนาดนี้


   เมื่อผมหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วว่า ผมทนไม่ไหว ถ้าหลังจากนี้จะไม่ได้เจอหน้าวุฒิ ผมจึงมาหาน้องชายที่ห้องเพื่อขอความช่วยเหลือ



   ในเวลาสี่ทุ่ม ที่ติเดินมาเปิดประตูและมองผมอย่างอึ้งๆ เมื่อเห็นผมอยู่ตรงหน้าประตู

  ผมถือโอกาสนี้ ปรับความเข้าใจกับน้องชายด้วย


"ติ กูขอโทษ เลิกโกรธกูเถอะ...ยกโทษให้กูนะติ ขอร้องล่ะ"



    ผมมองน้องชายทำหน้าครุ่นคิด จึงพูดต่ออย่างคนหมดแรง


"กูแพ้แล้วติ กูแพ้แล้ว ให้กูได้เจอวุฒิเถอะนะ..." 



"อะ...อะไรของพี่วะ พี่ตั้น"


     ติเดินถอยหลังไปหลายก้าว คงกลัวว่าวันนี้ผมจะมาไม้ไหน?


     แต่ผมมาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง มันเนือย ซึมอย่างไม่มีเหตุผล และผมก็ไม่คิดหรอกว่า คราวนี้จะเป็นผมที่ต้องตามงอนง้ออีกฝ่ายอย่างไม่เหลือมาดดูดีสักนิด


"กูขอล่ะ ขอให้กูได้เจอวุฒิเถอะนะ"


"พี่ตั้น สงสารวุฒิเถอะ อย่าทำร้ายใจมันอีกเลย"

"แล้วกูล่ะ มึงไม่สงสารกูบ้างหรอ กูพี่มึงนะติ ช่วยกูเถอะ กูอยากเจอวุฒิจริงๆ ให้กูทำอะไรก็ได้"

 

   ผมโผกอดน้องชายตัวเองจนติประหลาดใจที่ผมสิ้นฤทธิ์ขนาดนี้ น้องผมใจอ่อนถึงลากผมไปนั่งที่เตียงเพื่อฟังปัญหา

   ผมบอกจนหมดว่า ที่ผมเป็นแบบนี้ เพราะอะไร และใช่ว่าผมจะรู้สึกดี มันกลายเป็นผมจะทำอะไรก็เหมือนมีบางอย่างติดค้างคาใจตลอดเวลา


"พี่สัญญากับผมได้ไหม? ว่าถ้าผมให้โอกาส พี่จะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม"


   ผมพยักหน้ารัว

"ที่ถามเพราะไม่ใช่อะไรหรอก วุฒิอกหักจากพี่ชินแล้ว พี่ชินเขาชอบผม"


"กูดีใจด้วยนะ"



      ผมไร้เรี่ยวแรงในการแสดงออก แต่ผมดีใจมากจริงๆที่น้องชายผมสมหวัง อย่างน้อย ผมก็โล่งใจ หมดปัญหาไปอีกหนึ่งเรื่อง

 
"ส่วนเรื่องที่พี่อยากเจอวุฒิ...เสาร์นี้ วุฒิชวนผมไปดูคอนโดที่มันถูกใจ มันอยากให้ผมช่วยดูห้องใหม่ ว่าชอบไหม?"

"ได้ กูไปด้วย"


      ผมรีบรับคำทันที จากนั้น ผมกอดน้องรักอีกครั้ง แต่พอผละ ผมเพิ่งเห็นรอยช้ำมุมปาก


"มึงไปมีเรื่องกับใครมา"

"แฟนเก่าพี่ชินอะดิ"

"ทำไมไปเจอได้? อยากให้ช่วยจัดการอะไรไหม?"


"ไม่ต้องหรอกพี่ตั้น ลืมๆไปเถอะ เรื่องมันจบไปแล้ว พี่นั่นแหละจัดการตัวเองเถอะ ถ้าจริงจังกับวุฒิอย่างที่เคยบอกจริงๆ ผมจะช่วยพี่"


"ขอบคุณนะที่ช่วย ส่วนเรื่องวันนั้น กูพูดจริงนะติ กูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความรู้สึกเพื่อนมึงนะ กูขอโทษ"
ผมพูดหนักแน่นเพื่อให้น้องเข้าใจ

"โอเคๆ ผมรู้แล้วครับ เริ่มใหม่แล้วกันพี่และถ้าพี่ตั้นทำให้วุฒิชอบพี่ได้ พี่ต้องพาวุฒิไปหาแม่ด้วยนะ"


    ผมรู้ว่าติจะสื่อถึงอะไร เราไม่ใช่ครอบครัวใหญ่ เรามีกันแค่สามคน ผม ติแล้วก็แม่ ถ้าการที่จะพาใครไปเจอแม่ เราต่างรู้ดีว่า คนๆนั้นสำคัญแค่ไหน?...

"มึงไม่บอกกูก็ทำ"


"โอเคพี่ตั้น"

"ขอบใจจริงๆนะติ"

"ก็ถึงแม้พี่จะเหี้ย แต่พี่ตั้นก็เป็นพี่ชายผมนี่นา ฮ่าๆ...ที่ผมช่วย เพราะรอบนี้ ผมเห็นแววตาพี่ดูจริงจังกับเรื่องวุฒิหรอก ผมดีใจว่ะ พี่ตั้นเปลี่ยนเป็นคนดีได้จริงๆ"



     ผมมองน้องชายที่ยิ้มกว้างดีใจเกินไป จนบางที ผมก็คิดนะ ว่าในสายตาน้องชาย ผมเลวมากขนาดนั้นเลยหรือ?


"เปลี่ยน?"


     ผมพูดลอยๆขึ้นมาจากคำตอบของน้องชายทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า ใช่!...ผมเปลี่ยนไป จากคนที่ต้องการแต่เซ็กซ์ เซ็กซ์และเซ็กซ์ วันนี้ ผมกลับเบื่อ


    ผมเชื่อว่า เป็นเพราะวุฒิ แต่พอประโยคต่อมา ที่น้องชายผมพูด ผมถึงกับนั่งอึ้ง


"ใช่...ความรักไงที่ทำให้พี่เปลี่ยน...อย่าลืมขอบคุณสิ่งนี้ล่ะพี่...คืนนี้ก็นอนห้องผมเลยแล้วกันเนอะ..."   



   ผมหันไปหาติที่ยิ้มไม่หุบ น้องชายผมคงรู้ว่า ผมยังไม่ได้อาบน้ำ ถึงโยนผ้าเช็ดตัวมาให้ผมที่ปลายเตียง ก่อนจะปีนขึ้นเตียงไปนอน มิวายบอกผมฝันดี ทิ้งให้ผมนั่งใจเต้นแรงอยู่คนเดียว...




........................................


จากนี้ ก็มีแต่ฟินนนนนนนนนนนนนนนนนน

มาดูกันว่าพี่ตั้นจะได้วุฒิอีกไหม? เอ้ย! ง้อ วุฒิสำเร็จไหม?


ส่วนน้องติที่น่ารัก ถ้าร่างกายหายดีเมื่อไหร่ เขาเตรียมเดินหน้ารุกพี่ชินจริงจังแล้วจ้า

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่า :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 10.2|| 17-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-05-2018 21:15:40
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอดูปฏิกิริยาของวุฒิ  ว่าจะทำอย่างไรวันดูคอนโด
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 11|| 21-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 21-05-2018 20:51:13
 
ตอนที่ 11 เป็นแฟนกันนะ


 
     หลังจากวันที่ผมได้รับข่าวดีว่าพี่ชินชอบผม ผมรอให้ร่างกายหายดีจากการมีเรื่องคราวก่อน เมื่อดีขึ้น ก่อนการนัดหมาย ผมกวนอชิให้ช่วยพาพี่ชินมาร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมระบุสถานที่ไว้

    ตอนแรกอชิงงและเกิดคำถามว่าทำไมผมต้องนัดพี่ชินด้วย ผมตัดสินใจบอกความจริงอย่างไม่มีปิดบังว่าผมจีบพี่ชินอยู่ อชิดีใจใหญ่โต ยิงคำถามมาเป็นชุด จนผมต้องรีบตัดบทแล้วบอกว่าจะอธิบายภายหลัง เธอถึงยอมเข้าใจและทำตามแผน

    และวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมนัดพี่ชินเพื่อเซอร์ไพรส์ ใกล้เวลานัดหมาย ผมนั่งรอร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามร้านอาหารญี่ปุ่น
 
     ผมเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งเป็นเมนูโปรดของพี่ชิน  แต่ผมอยากให้มันพิเศษกว่าปกติ จึงสำรวจดูว่า อาหารญี่ปุ่นที่พิเศษไปอีกขั้นคืออะไร ผมค้นข้อมูลจนได้รู้ว่า โอมากาเสะ คือ อาหารญี่ปุ่นอีกประเภทที่ควรลิ้มลอง ความน่าสนใจอยู่ตรงที่เป็นเมนูตามใจเชฟ คนกินจะไม่รู้ว่าเชฟจะเสิร์ฟเมนูอะไรให้ ซึ่งเชฟจะรังสรรค์ซูชิโดยขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่มีในช่วงระยะเวลานั้นๆ ผนวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจของเชฟที่บรรจง พิถีพิถันในการปั้นแต่งซูชิและใส่ความรักลงไปในแต่ละคำเพื่อต้องการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า
 
    ผมจึงคิดว่าสิ่งนี้ น่าจะเป็นตัวแทนของผมที่สื่อให้พี่ชินได้รู้ว่าเขาเป็นคนพิเศษสำหรับผมมากแค่ไหน
 
     ผมยอมรับว่า อยากให้เขาประทับใจและได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ด้วยความที่โอมากาเสะหลายร้านราคาเหยียบหมื่น ลำพังตัวผมมีเงินเก็บไม่มาก จึงจำเป็นต้องเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่ราคาถูกลงมาหน่อยและพอจ่ายไหว จนเจอร้านที่ตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้า ที่นอกจากราคาจะรับได้แล้วการเดินทางก็สะดวกด้วย   
 
ตะดึ่งดึ้ง
 
     เหลือบมองข้อความไลน์ ที่อชิส่งข้อความมาว่าแยกกับพี่ชินแล้ว ผมตั้งตารอพี่ชินเดินผ่านและเข้าไปประชิดตัวทันที
 
     ไม่นาน ผมเห็นพี่ชินเดินดุ่มๆมาแต่ไกล
 
หมับ!
 
      ผมจับแขนเขาก่อนเดินเข้าร้านได้ทัน คนอายุมากกว่าสะดุ้งจนผมขำ
 

"ติ ทำพี่ตกใจหมดเลย แล้วนี่มาได้ไง?"


"ให้เฮลิคอปเตอร์ลงจอดหน้าลานกิจกรรมมั้งครับ"


"เดี๋ยวเถอะนะ พี่ถามดีๆ อชิชวนติด้วยเหรอ?"



    ผมชอบจริงๆเวลาได้กวนประสาทพี่ชินเนี่ย!


"ใช่ครับ อชิชวนมาด้วย" ผมตอบเนียนๆ


     จนบัดนี้ ผมทำตัวใสซื่อ และทำเป็นไม่รู้ว่าพี่ชินชอบผม ซึ่งพี่ชินก็ยังไม่รู้ว่าผมชอบ


"ไม่เห็นอชิบอกเลยว่าติจะมา"

"ทำไมครับ? ผมมาด้วยไม่ได้หรอ?"

"มาได้ แต่ติไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ? ช่างมันเถอะ เข้าไปข้างในกัน"
 


   ผมชะงักไปนิดที่พี่ชินใส่ใจผม  ทันใดนั้น...
 

   ผมเลื่อนมือลงไปกุมมือพี่ชินเดินเข้าร้านอย่างไม่แคร์สายตาใคร
 

"ตะ...ติ จับมือพี่ทำไมปล่อยนะ" พี่ชินกระตุกมือผมพลางพูดเสียงลอดไรฟัน


"กลัวพี่หลง"

"จะบ้าหรือไง? ก็เราเข้ามาในร้านกันแล้ว"

"เถอะน่า..."


 
   ผมอดยิ้มไม่ได้ที่เห็นพี่ชินประหม่า ก้มหน้างุดเหมือนเขิน ผมบอกพนักงาน ก่อนจะพาพี่ชินไปส่วนซูชิ บาร์


   เราทั้งสองนั่งข้างกันหันหน้าไปทางเชฟญี่ปุ่นที่กำลังยืนตระเตรียมวัตถุดิบ

   ขณะนั่งรอเชฟบรรจงทำซูชิให้คำแรก ผมดูดชาเขียวเย็นรอ
 

"ไม่รออชิเหรอ?"


     ผมยิ้มลอยหน้า ลอยตาไม่ตอบ


"อ้อ! นี่เป็นแผนของติ อชิไม่มาแล้วใช่ไหม?"

"พี่ชินฉลาดจัง"

"แล้วทำไมต้องเตี้ยมกับอชิ บอกพี่ดีๆก็ได้ อีกอย่างที่นี่มันแพงนะติ มีอะไรปิดบังหรือเปล่า? บอกพี่มาให้หมดนะ"

"พี่ชินคร้าบบบ... ผมพาพี่มาก็เพื่อต้องการให้พี่ได้กินสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมพอทำได้ อย่าเพิ่งถามมากได้ไหม เชฟอุตส่าห์ตั้งใจทำซูชิให้เราได้กินนะ"
 
   

    พี่ชินเงียบทันที ผมยิ้มกว้างที่เห็นอีกฝ่ายเชื่อฟัง ผมน่ะเฉยๆกับอาหารญี่ปุ่น แต่ผมอยากให้พี่ชินได้ลิ้มรสความอร่อยกับของโปรดที่พวกเรามีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
 
    สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ผมอยากให้เขาจดจำวันนี้ให้ขึ้นใจด้วย

     ผมลอบมองพี่ชินเป็นระยะๆ เวลาที่เขารับซูชิเข้าปากไปแต่ละคำ พี่ชินดูเสพสุนทรีย์อย่างเอร็ดอร่อยและมีความสุขมาก

     ผมดีใจนะที่เห็นพี่ชินรู้สึกดีกับซูชิสิบคำนี้

    หลังจากที่พวกเรากินเสร็จ ผมจ่ายเงินเรียบร้อย และพาพี่ชินมากินไอศกรีมกันต่อ


"เดี๋ยวมื้อนี้พี่เลี้ยงเองนะ"

"ไม่ต้องครับพี่ชิน วันนี้เป็นวันของผม"

"อะไรกันเนี่ยติ พี่ถามว่าเลี้ยงทำไมก็ไม่ยอมตอบ รวยมากหรือไง?"

"ไม่รวยมากหรอก แต่แฟนคนเดียวผมจ่ายไหว"

"ติพูดว่าอะไรนะ"

"ห้ะ!...ผมลืมไปแล้วว่าพูดอะไร กินๆๆ"


    พี่ชินมองหน้าผมด้วยความประหลาดใจก่อนจะตักไอศกรีมเข้าปาก กินไปเรื่อยๆจนกระทั่งหมดถ้วย ก็เตรียมกลับบ้าน
 

   ใช้เวลาได้คุ้มค่า จนตอนนี้ก็ปาไปสองทุ่ม พี่ชินจึงอาสาไปส่ง แต่พอขึ้นรถมา ก่อนพี่ชินจะสตาร์ทเครื่องยนต์ ผมดึงไหล่พี่ชินให้หันมาหากัน บีบกระชับเบาๆ มองตาเขาให้รู้ว่าผมจริงจัง
 

"พี่ชินครับ...."
 
"หืม...มีอะไรติ"

"เป็นแฟนกันนะ"
 

    เห็นพี่ชินหน้าเหวอ และอึ้งไปพักใหญ่ จากนั้น ใบหน้าพี่ชินเริ่มแดงก่ำ ก่อนจะหลบตาผม


"อ...อะไรติ อยู่ดีๆมาขอพี่เป็นแฟน ก่อนหน้านี้ ยังไม่เห็นมีทีท่าว่าจะจีบเลย"
 


"ก็ก่อนหน้านี้ วุฒิชอบพี่ ผมจะจีบได้ไงครับ แล้วอีกอย่างตอนนี้ เราก็ใจตรงกันแล้วไม่ใช่หรอ? จะจีบทำไมให้เสียเวลา"

   ผมมองคนชะงักงัน จากนั้น พี่ชินเขินจนหน้าแดง หูแดงหมดแล้ว เขาพูดอ้อมแอ้ม


"วุฒิบอกหรอ?"

"ครับ พี่อย่าโกรธวุฒินะ ผมดีใจนะตอนที่รู้ว่าพี่ชินชอบผมเหมือนกัน ผมตื่นเต้นมากเลย และวันนี้ ที่ผมนัดเจอและเลี้ยงพี่ทุกอย่าง เพราะผมตั้งใจจะให้วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดในการขอพี่เป็นแฟน "
 
"ติชอบพี่มานานรึยัง?"

"ก็นานแล้วครับ นานจน....อื้อ..."


   ผมตกใจมากที่จู่ๆพี่ชินก็โน้มตัวมาประกบจูบผม

   เราจูบแบบเฟรนส์คิส แต่ไม่นานมากนักพี่ชินก็ผละออกก่อน ซึ่งน่าเสียดายเพราะผมยังไม่หายอยากเลย...
 

"ขอบคุณนะที่อธิบายให้พี่ได้เข้าใจ ถ้างั้นไม่ต้องจีบหรอก เป็นแฟนกันเลยก็ได้"
 


   ต่างคนต่างโสดและมีใจให้กัน

   มันก็ไม่แปลก หากเปลี่ยนสถานะจากคนรู้จัก มาเพิ่มความสัมพันธ์ด้วยคำว่า แฟนนำหน้า

 
"เย้!...พี่ชินน่ารักจังครับ"

"เพิ่งรู้หรือไง?"
พี่ชินว่าพลางกัดปากยิ้มๆ แล้วเบือนหน้าหนีเหมือนเขิน


"โอ้ยยยยยย! อย่าทำตัวน่ารักสิพี่ เดี๋ยวผมจะไม่ไหวเอานะ"


"คิดอะไรอยู่!...ถ้างั้น วันนี้ติ นอนบ้านพี่นะ"
ผมชะงัก เมื่อพี่ชินชวน
 

     เพียงคำเชิญชวนว่า 'นอนบ้านพี่'  ทำให้ผมสามารถจินตนาการไปได้ไกล ถึงกับขั้นว่าตัวเองนั่งคร่อมบนร่างพี่ชินเรียบร้อยแล้ว
 

"พี่ชินโอเคใช่ไหม? มันไม่เร็วไปหรอกเนอะ ที่เราจะ...มี...อะ..."

"โอเคอะไร? ติคิดทะลึ่งอยู่เหรอ? พี่ชวนนอนเฉยๆนะ"
 

    ผมชะงัก เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน
 

"อ้าว!..ก็เราตกลงเป็นแฟนกัน ชวนนอนเฉยๆมันได้ด้วยหรอครับ? ผมก็นึกว่าจะได้มากกว่านั้น โอ้ย! พี่ชินอะ"
 


   พี่ชินตบปากผม ผมผิดอะไร? พอคบกัน พี่ชินชวนนอนบ้านอย่างนี้ ผมก็คิดสิว่าเขาอยากชวนให้ผมมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ใครจะไปรู้ล่ะว่า พี่ชินชวนนอนค้างที่บ้านเฉยๆ

"พี่...แค่อยากให้ตินอนกอดพี่ก็เท่านั้น"

    ฮือออออ!

    ประโยคต่อมาทำให้ผมรู้สึกละอายใจที่คิดทะลึ่งไปเลย มิหนำซ้ำ ผมยังใจอ่อนปวกเปียก เมื่อพี่ชินช้อนตามองผม

    เป็นแฟนกันไม่ทันข้ามวัน ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เอง ว่าพี่ชินเป็นคนขี้อ้อน
 

"แฟนพูดแบบนี้ พี่คิดว่าผมจะกลับห้องตัวเองเหรอ? ก็ต้องนอนสิครับ รออะไรล่ะ"
 


   ผมเห็นพี่ชินหลุดขำ ไม่ตอบ ก่อนจะเคลื่อนรถออกจากลานจอดห้างสรรพสินค้าไปยังบ้านของพี่ชิน

   ถึงบ้านคนอายุมากกว่าแล้ว เราสองคนถอดรองเท้ากันตรงที่วางรองเท้า เดินเข้ามาส่วนตัวบ้าน ยังไม่พ้นโซฟา ผมโอบรัดเอวพี่ชิน ดึงให้นั่งลงที่โซฟา และหอมแก้มไปหลายฟอด

 
"ผมยังดีใจอยู่เลย เชื่อไหม?" พูดขณะที่มือยังกอดเอวพี่ชินที่นั่งเกยตักอยู่

"พี่เชื่อ แต่ให้พี่อาบน้ำก่อนนะ เหม็นตัวจะแย่"

"ไม่เห็นเหม็นเลย ไม่เชื่อผมหอมให้ดูอีกก็ได้"
 

    ฟอด ฟอด  ฟอด
 

"อื้อ...ติ พอก่อนได้ไหม?" พี่ชินพยายามแกะมือผมออกจากเอว แต่ผมไม่ปล่อยหรอก อยากทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว


"พี่ชินอย่าดุสิครับ โถ่..ก็ผมมีความสุขนี่นา ที่พี่ชินชอบผม"

"ติชอบพี่จริงๆ แล้วทำไมวันที่พี่ทักไป ติไม่ตอบพี่ล่ะ?"

   ผมงงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ
 

"ทัก? อะไรครับ? ไม่เข้าใจ?"


"ก็ติเล่นแอพหาคู่ด้วยไม่ใช่หรอ? พี่กดถูกใจติก่อน พอติถูกใจพี่ เราแมทซ์กัน พี่ทักติไปก็ไม่ตอบเลย พี่ก็นึกว่าติไม่ชอบพี่ก็เลยทำใจ พอไม่กี่เดือนผ่านไป เห็นติที่ออฟฟิส พี่ก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ในตอนแรก พี่ถึงพยายามไม่สนใจติไง แต่ก็ทำไม่ได้ พอเจอกันจริงๆแล้วมัน..."



 จุ๊บ!

 
     ผมโน้มตัวไปจูบปิดปากพี่ชิน

    ผมจำได้ว่าเคยลงทะเบียนสมัครแอพหาคู่ไว้เมื่อสามเดือนก่อนเข้าทำงานที่นี่ แต่ผมเล่นได้ไม่ถึงเดือน ก็ลบแอพทิ้งไป เพราะรำคาญที่พี่ตั้นมาวุ่นวายกับโทรศัพท์ของผม ซึ่งผมแทบไม่รู้เลยว่าพี่ชินก็เล่นด้วย
 
 
"ผมไม่รู้จริงๆ สงสัยคงเป็นจังหวะที่ผมลบแอพทิ้งพอดี พี่ชินอย่าคิดมากนะ นี่ไง ตอนนี้โชคชะตาพาให้เรามาเจอกันตัวเป็นๆแล้วไงครับ"

"ครับ ติ"
 


"ผมดีใจที่ได้เป็นแฟนพี่ชินนะ"
 
"พี่รู้แล้วครับ...ว่าแต่....ติว่าบ้านที่พี่อยู่นี้เป็นยังไงเหรอ? พี่อยากรู้มุมมองของติน่ะ"



"ก็สวยดีครับ แต่ผมว่าบ้านพี่มันใหญ่ไปหน่อยนะสำหรับการที่จะอยู่คนเดียว มันดูโล่ง เปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง ยังไงไม่รู้"


"เหรอ? ถ้างั้น ติคงรู้แล้วว่าพี่รู้สึกยังไง จะเป็นไปได้ไหม? ถ้าติจะช่วยทำให้บ้านหลังใหญ่ดูเล็กลงและอบอุ่นขึ้น?"


 
    โอ้โห! พี่ชินหลอกถามผมได้คมคายเหลือเกิน ผมมองคนตรงหน้าส่งสายตาเว้าวอนแล้วอดใจอ่อนไม่ได้


"หืมม...พี่ชินอย่าอ้อนสิครับ" ผมบอกพลางลูบแก้มเนียนเล่นไปมา

   พี่ชินเอ่ยเสียงเบาหวิว


"พี่ขอมากไปเหรอ? พี่ขอโทษนะ ก็นึกว่าติจะอยากอยู่...ด้วย..กั...น...อื้อ...ติอย่า...อ้ะ.."
 


    จะน่ารักเกินไปหน่อยแล้ว ผมไม่ไหวหรอกนะ ที่พี่ชินจะพูดและทำหน้าทำตาออดอ้อนทุกสิบนาทีแบบนี้ ผมซุกไซ้ซอกคอ พรมจูบจนทั่ว ก่อนจะขบเม้มดึงดูดสร้างรอยรักจนขึ้นสีกุหลาบ
 

   ผมหื่นไหมไม่รู้ แต่ถ้าเจอคนที่ผมรักพูดจาแบบนี้จะทนใจแข็งได้อย่างไร  ผมสอดมือเข้าใต้เสื้อยืดลูบไล้วนหน้าท้องก่อนจะเคลื่อนมือไปบีบขยี้ตุ่มไตสีสวยอย่างมันมือ
 

"อ้ะ...ติ...อย่า พี่ยังไม่พร้อม"
 

   พี่ติผลักอกจนผมชะงัก
 

"ผมขอโทษครับ ถ้าทำให้พี่ชินไม่สบายใจ"


   พี่ชินรีบส่ายหน้า

"เปล่านะติ พี่รู้สึกดีมาก เพียงแต่ตอนนี้ พี่อยากมีโมเมนต์แบบนอนกอดกันเฉยๆ"

"ได้ครับ ผมขอโทษที่รุกพี่เร็วไปหน่อย"

"ไม่ต้องขอโทษ พี่ไม่ได้โกรธ แต่ไม่รู้สิ พี่แค่..."


"ไม่เป็นไรครับพี่ชิน เรายังเป็นแฟนกันอีกนาน ค่อยๆเริ่มกันก็ได้ครับ" ผมบอก


"ขอบคุณนะที่เข้าใจพี่"

"ครับ"

 

   ผมดีใจที่พี่ชินพยายามอธิบายให้ผมเข้าใจ ผมไม่ได้หื่นจนหน้ามืดตามัว เพียงแค่ตอนแรก ผมทนไม่ไหวเลยเผยความรู้สึกตัวเองมากไปหน่อยก็เท่านั้นเอง


   เมื่อเราสองคน ต่างอาบน้ำ อาบท่ากันเสร็จเรียบร้อย ผมกระโดดขึ้นเตียงไปหาคนที่นอนรออยู่ก่อนแล้ว ผมดึงตัวพี่ชินเข้ามากอด จูบปลายจมูกพลันจ้องมองใบหน้าพี่ชินที่อยู่ห่างกันแค่คืบ
 

"ทำไมถึงอยากให้ผมกอด"

"พี่นอนคนเดียวมาก็นาน พอวันนึงที่พี่มีแฟนอีกครั้ง พี่ก็อยากให้เขากอดพี่..แค่นั้น"

 

    ผมสบตาคนพูดก็นึกสงสาร ผมรู้แล้วว่า หากจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง  พี่ชินให้ผมได้อยู่แล้ว  เพียงแต่ตอนนี้ พี่ชินก็แค่ต้องการความรู้สึกแบบคนรักกันจริงๆ การได้สัมผัส การแตะเนื้อต้องตัวกันแบบพอดิบ พอดีที่ให้ความละมุนละไมในอีกแบบ


    เมื่อผมเข้าใจความต้องการของพี่ชิน ผมจึงกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิม


"พี่ชินอยากให้ผมนอนกอดทั้งคืนไหม?"

"ติทำให้ได้ไหม?"

"ได้สิครับ งั้นผมกอดพี่ชินไม่ปล่อยเลยนะ"


  พี่ชินยิ้มกว้างพยักหน้ารัว แล้วโน้มมาหอมแก้มผมทั้งสองข้าง ก่อนจะไถลตัว ซบหน้าซุกลงบนแผ่นอกผม
 

"ขอบคุณนะติ อุ่นดีจัง"

"ฮ่าๆ...ทำไมพี่ชินขี้อ้อนจังครับ"

"ไม่ต้องมาขำ พี่ง่วงแล้ว ขอนอนก่อน ฝันดีนะติ"

"คร้าบบบบ ฝันดีเหมือนกันนะพี่ชิน"
 


   พี่ชินหลับตาลงแล้ว ผมลูบหลังเขาไปเรื่อยๆก่อนกดจูบบนกลุ่มผมนุ่ม และโอบกอดให้ความอบอุ่นตามที่พี่ชินร้องขอ



****1.1****


 กับคนบางคน อาจชอบฟีลลิ่งแค่สัมผัส แบบแค่กอดก็อุ่นใจแล้ว

หนูติก็อย่ารีบรุกพี่เค้าสิคะ อดอยาก ปากแห้งมาจากไหน ความละมุน ละไม หนูอะรู้จักไหม? 5555


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่า
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 11|| 21-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-05-2018 23:27:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...แฟนกันรักกันแบบใส ๆ ไร้สิบแปดอัพ

หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 11|| 21-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-05-2018 00:10:54
  :mc4:

:L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 11.2|| 25-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 25-05-2018 23:05:37
ตอนที่ 11 เป็นแฟนกันนะ(2)



-ตั้น-

   

"โธ่เว้ย!"


   ผมสบถขึ้นมาอย่างหงุดหงิดที่วันนี้ เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ทำให้การจรารจรติดขัด รถจอดนิ่งสนิทราวกับลานจอดมาได้ชั่วโมงเศษแล้ว
 
    ผมได้แต่นั่งสงบอารมณ์บนรถเพราะไปหาวุฒิที่คอนโดไม่ทัน จึงบอกและรบกวนน้องชายให้พาวุฒิไปกินข้าวที่ห้างสรรพสินค้าละแวกนั้นก่อนแล้วผมต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปที่นั่นแทน

    สองชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่ผมหลุดจากจราจรสาหัสดั่งนรถได้ ผมถึงห้างสรรพสินค้าและเดินตามหาร้านที่น้องชายระบุไว้

    ตอนนี้ ติกับวุฒิกินข้าวเสร็จเรียบร้อย น้องชายผมพาวุฒิมานั่งรอที่ร้านกาแฟ โดยติแวบไปหาชินแล้ว เมื่อรู้ว่าผมใกล้ถึง

   ผมขอบคุณติที่ช่วยอย่างเต็มที่และผมจะตอบแทนน้องชายภายหลัง ส่วนผมก็ต้องรีบรับช่วงต่อไปรับวุฒิที่ร้านกาแฟต่อ

   กวาดตามองวุฒิทั่วร้าน จนสายตาหยุดชะงักตรงโต๊ะกลมริมกระจก วันนี้ วุฒิแต่งตัวดีจนผมไม่อาจละสายตาได้เลย คงไม่ใช่แค่การแต่งตัวดีเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนว่าน้องจะทำสีผมใหม่เป็นสีโทนน้ำตาลช็อคโกแลตซึ่งสว่างกว่าสีผมสีเก่า

   น้องดูดีขึ้นและสดใสกว่าเดิม
   
   ผมเดินดุ่มๆไปหาวุฒิที่นั่งก้มหน้า ก้มตาเล่นโทรศัพท์

   หางตาของน้องคงเห็นว่ามีคนนั่งฝั่งตรงข้ามถึงชำเลืองมอง แต่วุฒิดูตกใจที่รู้ว่าเป็นผม



"พ...พี่ตั้น มาได้ไง"

"มารับวุฒิไงครับ"

"ไอ้ติบอกพี่หรอ?"

"ครับ"


"ไอ้เพื่อนเลว"


    ผมไม่อยากให้วุฒิโทษติ เพราะความจริง น้องชายผมเองก็คงลำบากใจไม่น้อย

"อย่าว่าติเลย...ปะ...เรากลับกันเถอะ...พี่อยากคุยกับวุฒิด้วย"

"ใครจะกลับกับพี่"

   ผมยังไม่มีโอกาสได้แก้ตัว วุฒิลุกหนีผมเดินออกจากร้าน ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไล่ตามวุฒิให้ทัน

"วุฒิฟังพี่ก่อน"

"ผมไม่ฟัง เรื่องของเราจบไปตั้งนานแล้ว พี่อย่าพยายามจะรื้อมันขึ้นมาใหม่เลย"

"พี่ขอโทษ วันนั้นพี่ไม่ได้ตั้งใจ"

"เฮอะ! ถ้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ พี่ควรจะหยุดตั้งแต่ผมร้องขอคำแรกไหม?"



   ผมอึ้งไปนิด เมื่อตอนที่วุฒิพูด เขาหันมาบอกด้วยแววตาเศร้าปนผิดหวัง
 
   ผมไม่รู้ตัวเลยว่า ได้ทำร้ายความรู้สึกน้องจนเกิดเป็นบาดแผลขึ้นในใจได้ถึงเพียงนี้

"พี่ขอโทษนะวุฒิ"

"ผมให้อภัยพี่แล้ว แต่ขอร้องอย่าเจอกันอีกเลยครับพี่"

   จังหวะที่วุฒิหมุนตัวกลับไปอย่างไร้เยื่อใย ผมคว้าแขนวุฒิไว้แน่น

"วุฒิ อย่าเดินหนี"

"ปล่อยผม"

    เพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน แรงเหวี่ยง ยื้อยุด ฉุดกระชากของทั้งคู่จึงดูเหมือนเป็นเรื่องทะเลาะใหญ่โต ผู้คนที่ผ่านไป ผ่านมาจึงเริ่มมองกันเป็นจำนวนมาก

"พี่จะปล่อยวุฒิไปได้ยังไง พี่ชอบวุฒิ พี่จะไม่ให้วุฒิหนีพี่อีกแล้ว"

   ผมเผลอพูดเสียงดังอย่าทนไม่ไหว ถึงทำให้คนที่แค่เมียงมองกลับหยุดชะงัก


"พะ...พี่ตั้นเป็นบ้าอะไร" วุฒิหน้าแดงก่ำ จังหวะที่น้องเผลอเพลี่ยงพล้ำ ผมกุมมือน้องให้เดินตามแรงของผมไปที่รถ

"พี่ตั้นปล่อยผม"

"ยิ่งดิ้น คนยิ่งมอง วุฒิไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดินตามพี่ก็พอ"

    ถึงรถผมแล้ว วุฒิยังไม่วายทำท่าจะหนีผมอีก


"ถ้าวุฒิหนีพี่อีก แล้วพี่จับได้ทีหลัง คราวนี้ พี่ไม่ปราณีแล้วนะ ขึ้นรถ!"

      ผมเสียงแข็ง ซึ่งความจริงผมไม่อยากทำแบบนี้ แต่ที่ต้องเล่นบทโหดก็เพื่อให้วุฒิหยุดดื้อสักที 

     คราวนี้วุฒิชะงัก

"ทำไมพี่ถึงเลวได้ขนาดนี้"

     ผมไม่ตอบ แต่ขับรถออกจากลานจอดรถให้ไวที่สุด

     แม้ว่า เราสองคนจะถึงคอนโดแล้ว แต่จนบัดนี้ น้องยังไม่ยอมพูดอะไรกับผมเลยตั้งแต่ขึ้นรถมา ผมถามอะไรน้องก็ไม่ยอมตอบ ผมเลยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรให้น้องเข้าใจในมุมมองของผมบ้าง

    เดินลงจากรถ อ้อมไปทางฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เปิดประตู ดึงแขนวุฒิให้ลงมาจากรถ

"วุฒิครับ ขึ้นห้อง"

"ไม่..."

"ขึ้นห้องไปคุยกันดีๆ เรื่องสำคัญแบบนี้ วุฒิอยากให้คนอื่นได้ยินหรอ?"

"พี่ก็ดีแต่บังคับคนอื่น"



   ผมอมยิ้มไม่พูดอะไร มองคนบ่นแต่ก็ใจอ่อนเดินตามขึ้นห้อง เมื่อถึงที่หมาย ประตูห้องผมปิดลงไม่ทันไร ก้าวยาวๆไปสวมกอดวุฒิจากด้านหลัง


"คิดถึง"

    ผมสัมผัสได้ว่าน้องเกร็ง ตัวแข็งอย่างเห็นได้ชัด


"พี่ทำแบบนี้ทำไม"

"พี่บอกแล้วไงว่า พี่ชอบวุฒิ"

    วุฒิชะงัก ก่อนตอบ


"โอเคครับ ผมรู้ความต้องการของพี่ตั้นแล้ว ถ้าพี่ต้องการแค่เซ็กซ์ ผมยอมให้ก็ได้ แต่หลังจากนี้ พี่ต้องเลิกตอแยผมอีก"


    ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องต้องการสื่อความหมาย ผมชอบวุฒิ แต่ทำไม วุฒิถึงคิดว่าผมต้องการแต่เรื่องอย่างว่า ผมตอบหนักแน่น


"กับวุฒิ พี่ไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์ พี่ต้องการทุกอย่าง"


   วุฒิแกะมือที่ผมสวมกอดออก น้องก้าวถอยห่างจากผมไปหลายก้าว


"พูดเรื่องของพี่มาเลยดีกว่าครับ"


"วันนี้ไปจองห้องมา จ่ายค่ามัดจำไปเท่าไหร่?"

"ถามทำไม?"

"พี่ถามก็ตอบสิครับ"

"แปดพัน"



      ผมควักเงินในกระเป๋าสตางค์ให้วุฒิ


"พี่จ่ายค่ามัดจำแทนให้ แล้วจากนี้เป็นต้นไป วุฒิมาอยู่กับพี่"


"มะ ไม่มีทาง..."

"ทำไม? วุฒิไม่อยากอยู่กับติ ก็มาอยู่กับพี่ไง ไม่เห็นจะยากเลยแถมไม่เปลืองเงินด้วย"

"พี่ตั้นคิดจะเอาเงินฟาดผมเหรอครับ?"


"แล้วแต่วุฒิจะคิด สำหรับพี่ พี่ก็แค่ต้องการซื้อเวลาที่วุฒิจะต้องไปอยู่ที่อื่น ให้วุฒิมาอยู่กับพี่แค่นั้นเอง"

    ผมว่าวุฒิดูจะชะงักงันกับคำพูดผมอยู่หลายรอบ


"ผมจะอยู่ห้องผม ผมมีเงินจ่ายและผมขอเงินจากพี่ชายแล้ว"

"อย่าเอาแต่ปฏิเสธสิ ให้โอกาสพี่ได้พิสูจน์อีกครั้ง ส่วนเรื่องเงินที่พี่ให้ไปน่ะ วุฒิเอาเงินไปคืนพี่ชายก็ได้นะ"

"แต่...."

"พี่ชายวุฒิจะได้รู้สึกดีที่รู้ว่าวุฒิยืนได้ด้วยขาของตัวเอง วุฒิมาอยู่กับพี่แล้วพี่จะรับผิดชอบทุกอย่าง ชดเชยกับความผิดที่ผ่านมา"



    ผมมองคนที่ตอนแรกยืนกรานเสียงหนักแน่น ตอนนี้สีหน้าเริ่มลังเลและใจอ่อน วุฒิไม่สบตาผม กลับก้มหน้ามองพื้นแล้วตอบอ้อมแอ้ม


"ผมจะรู้ได้ไงว่าพี่จะไม่พาใครมานอนอีก"


"พี่ไม่ได้มีเซ็กซ์กับใครแล้ว และรับรองว่าจากนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก"

"พี่คิดว่าพูดแบบนี้ แล้วผมจะเชื่อเหรอ?"


"พี่ไม่ได้ต้องการให้วุฒิเชื่อคำพูดของพี่ แต่พี่ต้องการพิสูจน์ด้วยการกระทำ วุฒิให้โอกาสพี่สิ...นะครับ..."



   ผมเขยิบเข้าไปใกล้เพื่อมองตาเพื่อนน้องชายและดึงมือน้องมาวางทาบลงบนใบหน้าผม


   ผมยิ้มหว่านเสน่ห์ เพราะคิดว่าวุฒิต้องสงสารและใจอ่อนบ้าง


"นะครับ วุฒิ"

"ก...ก็ได้...ครับ"

"ขอบคุณนะ"

   

    ผมโผกอดวุฒิด้วยความดีใจ ที่สุดท้าย วุฒิยอมเปิดใจให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง





.............


-วุฒิ-



   ผมไม่รู้ว่า ตัดสินใจถูกหรือเปล่า? แต่ผมก็เอ่ยปากบอกไปแล้ว ผมอยากเป็นคนเข้มแข็งกว่านี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางพี่ตั้นอ้อนวอน ขอร้อง โดยเฉพาะคำที่บอกชอบ ทำให้ผมใจอ่อนดั่งขี้ผึ้งลนไฟ


   ผมยอมรับว่าคำๆนี้ ทำผมใจสั่น อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่เคยปลื้มพี่ตั้น เมื่อนานมาแล้ว มันได้ถูกสะกิดขึ้นโดยพี่ตั้น


    ผมไม่ถึงกับหลงรักขนาดนั้นหรอก ก็แค่คนเคยรู้สึกดี เพราะช่วงที่ผมเรียนมหาฯลัยปีสอง มีวันหนึ่ง พี่ตั้นมาหาติที่มหาวิทยาลัย ตอนนั้น พี่ตั้นดูหล่อและมีเสน่ห์ แถมเฟรนด์ลี่อีกต่าง แต่วันนั้น ผมจำได้ว่าเป็นจังหวะที่ติไปหาอาจารย์ ผมจึงต้องคุยเพื่อฆ่าเวลาก่อน ระหว่างที่สนทนา พี่ตั้นเป็นคนคุยเก่ง แถมยังใจดีเลี้ยงข้าวผมชุดใหญ่ ซึ่งเอาเข้าจริง ตอนนั้น ผมเจอเขาครั้งแรกยังไม่สนิทสนมก็เลยประหลาดใจนิดหน่อยถึงความเป็นมิตร ผมเลยรู้สึกดีและปลาบปลื้ม

    แหละนับตั้งแต่วันนั้น ผมไม่ได้เจอพี่ตั้นอีกเลย แม้จะไปบ้านติก็ไม่เคยเจอ ผมจึงหยุดความรู้สึกนั้นไว้ไม่คิดจะสานต่อ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมมักได้ยินติพูดถึงพี่ตั้นกรอกหูเสมอว่าไม่เคยจริงจังกับใคร ผมก็ยิ่งขยาด แต่ผมก็ไม่คาดคิดไง ว่าคนที่ผมเคยปลื้มในสมัยเรียนมหาฯลัย กลับมาบอกชอบผมในวันนี้


     โดยเฉพาะตอนที่พี่ตั้นโผกอดผม เมื่อรู้ว่า ผมให้โอกาส ผมใจสั่น หวั่นไหวพอสมควร แต่ผมก็ต้องทำใจแข็ง และยื่นข้อเสนอว่าถ้าจะให้ผมนอนค้างด้วย พี่ตั้นห้ามทำอะไรเกินเลยกับผมอีกเด็ดขาด


    ผ่านพ้นไปด้วยดีกับหนึ่งคืน...


    พี่ตั้นไม่ละเมิดกฏผม เขาไม่ทำอะไร นอกจากขอนอนกอดผมเท่านั้น ผมดีใจที่เขาเชื่อฟังคำขอ


    ยามสายของวัน ผมตื่นแล้วแต่ยังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงเพียงลำพัง เพราะผมคิดถึงถ้อยคำที่พี่ตั้นตื่นมากระซิบข้างหูผม เขาคงไม่รู้ว่าตอนนั้น ผมตื่นแล้ว


"พี่จะดูแลวุฒิสุดความสามารถ ให้โอกาสพี่หน่อยนะ"


    พี่ตั้นบอกและจูบซับหลังคอ ก่อนจะลุกจากเตียงไป

    แล้วผมเป็นบ้าอะไรไม่รู้ที่ดันใจสั่นกับประโยคที่เขากล่าวเช่นนั้น

    ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ผมยิ้มมุมปาก ก่อนจะคว้าผ้าขนหนู รีบไปอาบน้ำ เปิดประตูก็เจอะพี่ตั้นอยู่ที่ครัว

   ภายนอกเขาเหมือนผู้ชายเจ้าชู้ ร้ายกาจ แต่พออยู่โซนครัว กำลังจัดวางอาหารใส่จาน ผมว่ามันดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก


   พอพี่ตั้นเห็นผมเดินออกมาเขายิ้มเบาบางและเอ่ย


"วุฒิครับ พี่ทำขนมปังปิ้งกับไข่ดาวและแฮม กินได้ไหม?"

    ผมหลุบตาลงต่ำแต่ก็ตอบ


"กินได้ครับ ขอบคุณนะครับ"


    ผมรีบปรี่เข้าห้องน้ำ เม้มปากกลั้นยิ้มไม่ให้พี่ตั้นรู้ว่าผมดีใจที่อีกฝ่ายใส่ใจที่จะตื่นมาทำอาหารเผื่อผม...


    ยืนคิดอยู่ในห้องน้ำตั้งนานกว่าจะเปิดฝักบัว ถ้าคราวนี้ ผมเปิดใจให้พี่ตั้นอีกสักหน ผมคงไม่เจ็บเหมือนตอนพี่ชินใช่ไหม?


    จนกระทั่ง อาบน้ำเสร็จ ผมไม่เห็นพี่ตั้นอยู่ที่ครัว เดินเข้ามาในห้องนอนก็ไม่เจอ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ปลายเตียง คือ เสื้อผ้าและกางเกงขาสั้นของพี่ตั้นที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ผมสวมใส่


   ผมกัดปากอย่างยิ้มๆ ที่เห็นพี่ตั้นดูแลผมจริงอย่างที่ปากพูด


   ผมสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย นั่งเป่าผมที่เปียกด้วยไดร์เป่าผม พอผมแห้ง ผมเดินออกมาจากห้องนอนพี่ตั้น ตัดสินใจว่าจะลดอคติ และจะพูดดีๆกับเขา


   แต่เดินไปได้แค่สองก้าวก็ชะงัก ก้าวขาต่อไม่ออก  เมื่อภาพตรงหน้า คือ พี่ผู้ชายผมสีบลอนด์ยืนนัวเนียพี่ตั้นอยู่ แม้พี่ตั้นจะยืนอยู่เฉยๆก็เถอะ แต่การที่ผมเห็นแบบนี้บอกเลยว่าเหี้ยมาก
   
    นี่น่ะเหรอ? คนที่ว่า ขอโอกาส

    ก็ยังมักมากไม่เปลี่ยน


    ผมไม่อยากเห็นภาพอุจาดตา จากที่ว่าจะกินขนมปังปิ้ง ไข่ดาวที่พี่ตั้นทำให้ ผมพับโครงการ ไม่งอแง ไม่โวยวาย ไร้สาระ เดินกลับเข้าห้องนอนคว้ากระเป๋าสตางค์ แล้วเดินออกมาหวังจะกลับบ้านทันที
 
 
    เดินดุ่มๆ กระแทกไหล่ใครอีกคนไปยังประตูห้อง พี่ตั้นมือไวจับแขนผมไว้ได้ทัน


"วุฒิจะไปไหน?"

 "มันไม่ใช่เรื่องของ...อื้อ.."



    ผมไม่คิดว่ามือหนาจะกระชากแขนผมอย่างแรงจนปะทะกับอกแกร่ง และล็อคคอผมเพื่อประกบจูบ ผมเหวอเพราะไม่คิดว่าพี่ตั้นจะใช้วิธีนี้

 
   ผมทุบอกให้พอ แต่พี่ตั้นไม่ยอมหยุด กลับจับริมฝีปากล่างให้ผมเผยอและสอดปลายลิ้นเข้ารุกล้ำสู่ภานมนโพรงปาก เขาทำมากกว่าแค่ปากแตะปากไปแล้ว


    เรายังคงจูบกัน ผมใจสั่น ตัวร้อนผ่าว และเขินจัด เนื่องจากมีคนอื่นอยู่ด้วย ผมไม่อยากให้พี่ตั้นรู้ว่าผมใจเต้นแรงที่เขาจูบ จึงหยิกแขนเขาสุดแรงให้หยุด พี่ตั้นถึงผละแต่มิวายใช้ปลายนิ้วโป้งเช็ดน้ำใสที่เลอะขอบปากของผมและส่งยิ้มหวานละมุนมาให้


    พี่ตั้นละสายตาจากผม หันไปหาผู้ชายอีกคน แต่ขณะเดียวกันมือของพี่ตั้นเลื่อนมาโอบเอวผมไว้เหมือนกลัวหนี


"เนมครับ นี่วุฒิ แฟนตั้นเอง"


    ผมหันขวับกับคำขี้ตู่ทันที ผมยังไม่เคยบอกพี่ตั้นเลยสักคำ ว่าผมเป็นแฟนกับเขา


"หืม! เอากันอย่างนี้เลยเหรอ? หักหน้ากันแบบนี้เลย?"


   ผมเห็นผู้ชายผมสีบลอนด์เทาหน้าดำ หน้าแดง และคงโกรธจัดที่โดนฉีกหน้ากันเห็นๆ


"ขอโทษ ตั้นไม่ได้ตั้งใจจะหักหน้าเนม เพียงแต่ตั้นไม่อยากเสียน้องเค้าไป คนนี้ ตั้นจริงจัง"


 
   ผมห้ามใจตัวเองไม่ให้สั่น หวั่นไหว และย้ำตัวเองตลอดว่าอย่าเชื่อกับคำตลบแตลงของคนมักมาก แต่เอาเข้าจริง ผมกลับดีใจจนเนื้อเต้น


"พี่ตั้น หยุดเถอะครับ ผมไม่อยาก..."

จุ๊บ!

  ผมตกใจเมื่ออีกฝ่ายปิดปากด้วยจูบ จนผมไม่กล้าพูดอะไรอีก


"วุฒิหยุดพูด เรื่องนี้ พี่จัดการเอง" พี่ตั้นหันมาดุ ก่อนจะวกสายตากลับไปหาคนที่ว่าชื่อเนม


"ขอโทษนะเนม เราจบกันแค่ตรงนี้เถอะ!"

"หมายความว่าไงวะ ตั้น"

"เราต่างก็รู้ดีมาตั้งแต่แรกว่าที่ทำอยู่มันก็แค่เรื่องสนุก"


เพี้ยะ!


"เลวจริงๆ ที่เนมมีเซ็กซ์ด้วย ก็หวังนะว่าตั้นจะสนใจเนมจริงๆ"

"ตั้นขอโทษนะ แต่ตั้นไม่ได้..."

"คนชั่ว อย่าหวังว่าจะเจอกันอีกเลย"

 

    ผมเห็นผู้ชายผมสีบลอนด์เทา ตบหน้าพี่ตั้นอีกครั้ง ก่อนจะปรายตามองผมเหยียดๆ และฮึดฮัดเดินออกจากห้อง ผมสะบัดแขนพี่ตั้นทิ้ง และไม่คิดถามหรือสงสารที่เขาโดนตบหน้าด้วย

    มันเป็นสิ่งที่สมควรมากๆ


"ไหนพี่ตั้นบอกว่าเคลียร์หมดแล้วไงครับ ทำไมวันนี้ ยังมีคนมายุ่งย่ามล่ะ ขอร้องนะครับพี่ อย่าเอาผมเป็นของเล่น เห็นอย่างนี้แล้วผมไม่มีทางเป็นแฟนกับพี่แน่ๆ"

   พี่ตั้นยกมือลูบแก้มตัวเองก่อนจะสบถไม่เป็นภาษา จากนั้น เขาปรับท่าทาง และพูดกับผมด้วยโทนเสียงนุ่ม


"พี่บอกสักคำรึยังว่าวุฒิเป็นของเล่น อย่าคิดแทน พี่จริงจังกับวุฒิ ถึงกล้าบอกคนอื่นไงว่าวุฒิเป็นอะไรกับพี่ อดีตพี่เลว พี่รู้ ...แต่สนใจแค่ปัจจุบันที่มีแค่พี่กับวุฒิได้ไหม?"


"คนมักมาก ติดเซ็กซ์อย่างพี่ มั่นใจเหรอว่าจะหยุดที่คนเดียวได้ ไปบำบัดโรคติดเซ็กซ์กับหมอก่อนไหมพี่? ผมไหว้ล่ะ"

    ผมตั้งใจว่าแรงๆให้เขาได้รู้สึก แต่ผมไม่คิดนะว่า พี่ตั้นนอกจากจะไม่สะทกสะท้าน แล้ว แกยังยิ้มและดึงเอวผมไปกอด ซุกหน้าลงซอกคอผมแล้วกระซิบ


"ทำไมต้องไปให้หมอบำบัด ก็วุฒิไงบำบัดให้พี่ได้ไหม โรคติดเซ็กซ์ที่ว่าน่ะ!."

"อ...ไอ้...พี่ตั้น"



"หืมม...อะไรหรอครับ? จากนี้ วุฒิเป็นแฟนพี่แล้วนะ"

"โรคจิต ชอบบังคับคนอื่น จีบก็ยังไม่ได้จีบ จะข้ามขั้นเป็นแฟนแล้ว อะไรวะ"



     ผมใจเต้นแรงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้พี่ตั้น เขาจูบซอกคอสองที ก่อนกลับมายืนตัวตรงและมองหน้าผม


"โอเคครับ พี่ไม่บังคับก็ได้ ให้วุฒิเลือกเลยตอนนี้ ว่าอยากเป็นแฟนพี่ไหม? ถ้าอยาก ให้พยักหน้า ถ้าไม่อยากก็ให้พยักหน้า"


    เหมือนโดนสะกดจิต หรือเป็นผมเองที่รก ลนลาน เพียงได้ยินคำสุดท้ายว่าถ้าไม่อยากก็พยักหน้า ผมจึงพยักหน้ารัว แต่ทำไมผมถึงเห็นพี่ตั้นยิ้มเจ้าเล่ห์

"ขอบคุณนะที่ตกลงเป็นแฟนกับพี่"

"ห้ะ!...เดี๋ยวนะ...อะไร พี่ตั้น"

"เอาน่า เป็นแฟนกับพี่สนุกนะจะบอกให้"

"เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน ผมตอบผิดหรอ?"



    พี่ตั้นไม่ตอบ แต่ดึงร่างผมเข้าไปกอด ทั้งๆที่ผมยังงุนงงไม่หาย แต่สติและเรี่ยวแรงกำลังจะหาย เมื่อพี่ตั้นใช้ปลายลิ้นร้อนเลียไล้ไล่ตามซอกคอของผมจนเกิดความเสียวซ่านทั่วร่าง


"พี่ตั้น เรายังคุยกันไม่จบ อ้ะ อย่านะ...เ..ว้..ย อ้ะ.."


   พี่ตั้นหยุดโลมเลียและตอบ


"พรุ่งนี้ค่อยคุยนะครับ เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะ"

    ผมยอมรับว่าดันเสียวกระสันไปกับการกระทำของพี่ตั้นตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมจะไม่ยอมให้พี่ตั้นเกินเลยเด็ดขาด รวมถึง ผมยังมีเรื่องต้องเคลียร์เกี่ยวกับการเป็นแฟนกันให้ชัดเจนกว่านี้

 

...............................


 คู่นี้มันก็จะมึนๆหน่อยๆ อย่างว่าเริ่มก็มึนๆ จบก็ต้องมึนๆ 55555
อ้อ! ตอนหน้าก็จบแล้วจ้า



แท่น แท้น แทนนนนนนน....!!!

เรามีนิยายเรื่องใหม่แล้วนะคะ 5555
 

*...-+-...-+-เพื่อนพ่อ-+-...-+-...*
 https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67267.0   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67267.0)



ขอบคุณน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 11.2|| 25-5-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-05-2018 20:08:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ่...วุฒิผู้ปากไม่ตรงกับใจ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 2|| 6-6-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 06-06-2018 19:59:58
 

ตอนที่ 12 อมยิ้มสื่อรัก (ตอนจบ)






-ชิน-





     นับจากวันที่ผมและติตกลงเป็นแฟนกันกลับไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกัน เนื่องจาก ผมเองก็ยุ่งเรื่องงานจนปวดหัว ไหนจะมาเจอะเรื่องที่ชวนเสียความรู้สึกอย่างพอล คนที่ผมยกให้เป็นเพื่อนสนิท แต่กลับหักหลัง เอาไอเดียต่างๆที่ทีมช่วยกันระดมความคิดเห็นไปบอกบริษัทคู่แข่งที่แฟนของพอลทำอยู่ ไม่เพียงแต่ไอเดีย แต่ยังมีการฮั้วกันกับซัพพลายเออร์ที่ทางบริษัทผมติดต่อไว้ พอลก็เอาไปให้บริษัทของแฟนตัวเองทั้งหมด เพียงเพราะคำเดียว คือ ผลประโยชน์ ที่ได้จากการแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์กัน มันทำรายได้ให้พอลเป็นกอบเป็นกำ



     ผมเครียดเพราะผมเป็นเจ้าของบริษัท เพียงแต่ผมใช้ชื่อแม่ของผมในการจดทะเบียนบริษัทรวมถึง ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ผมก็จ้างคนอื่นมาดำรงตำแหน่งนี้ ผมไม่ได้บอกใครในบริษัท แม้แต่ติเอง มีเพียงอชิและแท็คเท่านั้นที่รู้


      ใช่เพียงแต่เรื่องงานที่พอลทำผมเจ็บแสบ เรื่องที่ไมค์รู้ที่อยู่บ้านของผมก็ได้มาจากพอลเช่นเดียวกัน ซึ่งคนที่จับได้คือ แท็ค ได้ยินพอลคุยโทรศัพท์กับแฟนตัวเองในห้องน้ำ ผมไม่ถามเหตุผลต่อว่าเพราะอะไร ผมรู้ว่า การทำแบบนี้ พอลคงไม่ชอบขี้หน้าผมแน่ๆ ผมไม่ได้เอาความอะไรและจะให้อภัย เพียงแต่ผมจะไม่เลิกจ้างพอลเพื่อต้องเสียค่าชดเชยตามกฏหมายแรงงานให้กับคนแบบนี้ ผมตกลงกับพอลให้เขายินยอมลาออกจากบริษัทนี้เอง พอลจำใจตกลงและเหลือไม่ถึงอาทิตย์ พอลก็จะพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของบริษัทนี้โดยสมบูรณ์



      ส่วนเรื่องโทรศัพท์มือถือของไมค์ที่ติได้มาคราวที่มีเรื่องมันยังนอนแอ้งแม้งอยู่ในลิ้นชัก โดยที่ผมไม่เคยหยิบมาดูหรือคิดรื้อค้นข้อมูล ผมแค่มีไว้ให้อุ่นใจว่าไมค์จะไม่เอามันมาขู่ผมให้นึกกลัวอีก


       อีกอย่าง ติ ทำให้ผมเลิกสนใจอดีต กล้าเผชิญหน้ากับปัจจุบันมากขึ้น และมันจะมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องสนใจคลิปเหล่านั้น และอาจเป็นเพราะผมรักติมากขึ้น


     ผมโชคดีที่มีติเคียงข้าง ถึงแม้เราจะยังไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน แค่ได้เห็นข้อความสั้นๆที่น้องส่งมาว่า...เป็นห่วง...แค่นั้น มันก็ชุบชีวิตให้ผมมีชีวาได้จริงๆ


     อันที่จริง ตอนที่ผมโสดก็รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะผมได้คุยและปรับความเข้าใจภายในจิตใจกับตัวเอง ได้รักตัวเองมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าพอได้มีแฟนอีกครั้ง มันกลับเติมเต็มชีวิตผมได้อย่างสมบูรณ์แบบ


     ผมเคลียร์งานให้วุ่นน้อยที่สุด เพื่อจะได้ใช้เวลากับคนที่ผมรัก จนเวลาล่วงเลยมาราวสัปดาห์กว่าๆ ผมก็จัดการพาตัวเองมาอยู่กับติได้ตามปรารถนา


      วันเกิดติ


      ผมรู้มาจากปากติเองที่บอกแบบไม่มีปิดบังว่าวันเกิดนั้น ติอยากมีเวลาอยู่กับผมสองต่อสอง ตอนนี้ ผมถึงพาติมาดูหนังพักผ่อน


       แม้ว่าติอาจดูธรรมดาในสายตาคนอื่น แต่ผมชอบความเป็นคนธรรมดาและความเป็นธรรมชาติของเขา เพราะติทำให้ผมได้เป็นตัวเอง และไม่รู้สึกต้องแสร้งเป็นใครให้เหนื่อยใจ อีกประการ ติใส่ใจในความรู้สึกของผมมาก ผมจึงอยากทำอะไรตอบแทนเขาบ้างก็เท่านั้น...


"พี่ชินคนน้อยดีเนอะ"


      ผมมองติที่อมยิ้มแปลกๆ เมื่อจบเพลงสรรเสริญพระบารมี ผมและน้องหย่อนกายลงนั่งที่นั่งแถว E



"ไม่ดูหนังเหรอ ถามมากจัง?"




ฟึ่บ!


      ผมคว้าผ้าห่มออกมาจากกระเป๋าเป้ เพื่อคลุมตัวระหว่างดูหนัง ผมเป็นคนขี้หนาว เลยพกติดตัวอยู่บ่อยๆ แต่ผมไม่คิดหรอกว่าการที่ผมนำผ้าห่มมาคลุมตัว จะเป็นการจุดประกายให้ใครบางคน คิดทะลึ่ง เมื่อมือของรุ่นน้องคืบคลานเข้าใต้เนื้อผ้าห่มผืนบาง

   

"ติจะทำอะไร"

"ผมหนาว ขอซุกมือหน่อย"


     แม้มันจะมืด แต่แสงสว่างจากหน้าจอภาพยนตร์ก็ทำให้ผมเห็นคนยิ้มเจ้าเล่ห์ได้ชัด จะลองดูซิว่าติจะมาไม้ไหน ผมนั่งนิ่งเมื่อมือหนาเริ่มอยู่ไม่สุก ลากมือลงต่ำมาลูบไล้ตามแนวยาวของอวัยวะเพศ ผมตีมือให้น้องหยุด



"พี่จะดูหนัง อย่าหื่นสิ อื้อ..."


      ผมตกใจมากที่ติพุ่งตัวมาชิดผม ใช้มือที่ว่างรั้งคอผมไปประกบปาก  ผมรีบผละเพราะนี่ คือ โรงหนัง

      ผมรู้ว่าช่วงนี้ เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันแต่ผมไม่คิดว่าน้องจะกล้าจูบผมในพื้นที่สาธารณะเช่นนี้

      ถึงแม้แถวที่เรานั่งชมภาพยนตร์จะไม่มีใครก็ตาม แต่เพราะโรงหนังอันกว้างใหญ่รวมถึงมีกล้องวงจรปิด ก็ทำให้ผมตื่นเต้น และรู้สึกกลัวเพราะไม่เป็นส่วนตัว


"ติ พี่จะดูหนัง"


    รีบผละจากจูบ หยิกเข้าที่แขนแรงๆ ให้น้องมีสติและรู้ตัวว่าเราไม่ได้อยู่กันที่บ้าน


"วันเกิดผมแท้ๆ แต่ผมกลับต้องมาโดนแฟนดุหรอ?"

"พี่ขอโทษครับ แค่มันผิดเวลานะ"

"ผมคิดถึงพี่จะแย่อยู่แล้ว ผมแค่ทนไม่ไหวที่จะ....เฮ้อ...โอเคครับ"



      ผมมองน้องที่ตัดบทเองอย่างน้อยใจ ผมรู้สึกผิดในทันที ผมไม่ได้ต้องการให้ติรู้สึกแย่ แต่วันนี้ วันเกิดติ ผมอยากให้เขามีความสุขในแบบที่ผมอยากให้เป็น ไม่ใช่ให้น้องมาทำให้เกิดการผิดแผน

    มองคนหน้างอในความมืด จึงต้องดึงมือติมากุมมือไว้ใต้ผ้าห่ม อ้อน เอาใจด้วยการจุ๊บซอกคอติเบาๆ ก่อนจะเอนศรีษะพิงบ่าคนข้างกายเพื่อดูหนังไปด้วยกัน


จุ๊บ

     ติหันมากดจูบบนกลุ่มผมสีเข้ม และบอก


"เพราะพี่เป็นอย่างนี้ไงครับ ? ผมถึงโกรธพี่ไม่ลง"


       


        ผมยิ้มมุมปาก จากนั้น เราดูหนังกันอย่างตั้งใจ จนผ่านไปสองชั่วโมงเศษ เราทั้งคู่ก็พาตัวเองเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์และกินข้าว กินปลาก่อนกลับบ้าน


      สำหรับผมหลังจากฟมดงานยุ่ง มันไม่ต้องมีกิจกรรมทำอะไรมาก แค่การได้อยู่กับน้อง ผมว่ามันก็ผ่อนคลายเหมือนกัน พอผมนั่งนึกถึงเดือนหน้าก็รู้สึกตื่นเต้น ที่ติตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้านผมตามที่เคยขอไว้


      ผมดีใจที่ผมไม่ต้องนอนคนเดียวเปล่าเปลี่ยว และผมจะมีคนให้นอนกอดทุกๆคืนแล้ว



      หลังจากที่เราจัดการอาหารเสร็จขึ้นรถ  ก่อนที่ผมจะขับรถออกจากห้างสรรพสินค้า ผมยื่นอมยิ้มหนึ่งช่อแบบที่ติชอบให้ผมตอนเป็นบัดดี้


       เพราะ อมยิ้ม เป็นจุดเริ่มต้นที่ติอยากให้ผมยิ้ม และอมยิ้มนี่เองที่ทำให้ผมนึกถึงติทุกครั้ง

      "อมยิ้ม" เป็นสัญลักษณ์ที่เรารู้กันสองคน




"สุขสันต์วันเกิดครับ"     


"ผมได้แค่นี้เองหรอ?"


"พี่ก็พาไปเลี้ยงหนังแล้วไง ยังไม่พอใจเหรอ?"
 


      ผมถามคนหน้าจ๋อย แต่ไม่นานใบหน้านั้นก็เปื้อนยิ้ม เมื่อเพิ่งเห็นกระดาษแผ่นเท่านามบัตรที่มีข้อความที่ผมเขียนแปะอยู่ข้างช่ออมยิ้ม


'สุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้มีความสุขนะและไม่ว่าติจะเจอปัญหามากแค่ไหน พี่จะอยู่ข้างๆเพื่อให้ติยิ้มได้ในทุกๆวันเหมือนที่ติชอบบอกพี่นะครับ'

   
     ลอบมองคนอ่านข้อความพลางยิ้มเขินจนต้องยิ้มตาม ครู่หนึ่งผมเห็นติเบือนหน้าหนีไปนอกหน้าต่างรถและบอก


"ขอบคุณนะครับ ผมไม่คิดว่าพี่ชินจะมีมุมหวานอย่างคนอื่นเขา"

"แล้วชอบไหม?"

"ชอบครับ ขอบคุณนะพี่ชิน"

"ครับ"




    ผมยิ้มและละสายตาจากคนที่ยังยิ้มแฉ่งหันไปมองท้องถนนดังเดิม

    ติเป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้ชายจริงๆ ไม่หล่อขาว ตี๋ ฉบับเกาหลี แต่เขาดูดี มีผิวสีแทน หน้าคมเข้มคล้ายชายไทยสมัยก่อน สำหรับผม ผมว่ายิ่งมอง ติยิ่งมีเสน่ห์อย่างน่าดึงดูดอย่างไม่มีเหตุผล


     ไม่น่าเชื่อเลย พอกลับมามีความรัก หลังๆมานี้ ผมก็เพ้อและมีแต่เรื่องของติเต็มหัวสมอง


    หลังจาก รถเคลื่อนตัวออกมาจากห้างได้ไกล ตอนนี้ ผมจอดติดตรงสี่แยกไฟแดง



   
"พี่ชินครับ"


"ครับ?"
ผมหันไปมองหน้าแฟนที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์


"ช่วยผมกินหน่อย"   
   
     
     ผมชะงักหน้าแดง เมื่อติดูดอมยิ้มเสร็จ ยื่นมาให้ผม เหมือนกับตอนที่ผมยั่วยวนติครั้งที่ไปทะเลหนก่อน


"เอาคืนพี่เหรอ?"

"เปล่าสักหน่อย ก็แค่อยากให้พี่กินอมยิ้มแท่งเดียวกับผมเท่านั้นเอง"



    ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม


"ถ้างั้นก็ป้อนพี่หน่อยสิ"


    ติยิ้มมุมปากและยื่นอมยิ้มมาให้ พอผมอ้าปากจะรับอมยิ้มในมือของเด็กหนุ่ม มันกลับเป็นปลายลิ้นที่ติสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมแทน


"อิ...อื้อ..."


     ผมใจเต้นตึกตักรัวและเร็ว เมื่อติกดจูบหนักๆที่ปาก ราวกับชดเชยช่วงเวลาที่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสัมผัสกัน


      ภายในห้องโดยสารรถยนต์ กำลังอบอวลด้วยความรัก ความโหยหาและปรารถนาอย่างแรงกล้า เราจูบกันดูดดื่มอย่างไม่มีใครยอมใคร และกำลังเตลิดไปไกล เมื่อติใช้มือขยำ เค้น คลึง น้องชายของผมจนตื่นตัวและขยายขนาดเติบโตเต็มที่...


     จังหวะนั้น...


ปรี้นนนนนนนน!


    เสียงแตรรถยนต์บีบลากยาวช่วยเรียกสติ ผมสะดุ้งและนึกอายที่มัวแต่ฝักใฝ่ในกามจนไม่รู้ตัวเลยว่าสัญญาณจราจรไฟเขียวแล้ว


"หวานดีนะครับ พี่ชินว่าไหม?"



    เหลือบมองคนไม่สะทกสะท้านในความผิดที่ริเริ่มจูบไม่รู้เวล่ำ เวลา จนรถยนต์ที่ตามหลังมาป่านนี้คงด่าไปถึงต้นตระกูลของผมแล้วแน่ๆ


   ตัวผมเองก็นึกละอายใจที่ไม่ยอมหยุดทำ เพราะยอมรับว่ามันก็ตื่นเต้นไม่น้อย และมืออุ่นๆของน้องที่ลากผ่าน คลำคลึงน้องชายผมก็เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ยากจะหยุดยั้งเช่นกัน


     ถ้าไม่ติดว่าอยู่บนท้องถนน เผลอๆ อาจเป็นผมก็ได้ที่เป็นฝ่ายกระชากคอน้องมาจูบ และเอ่ยปากบอกว่า อย่าเสียเวลาเลยเรามาทำกันต่อเถอะ...


     ไม่คิดว่าความห่างเหินจะทำให้ผมต้องการตัวติขนาดนี้


     แหละตั้งแต่ที่เราจูบกันจนมีรถคันหลังบีบแตรไล่ จากนั้น เราสองคนก็เงียบและไม่คุยอะไรกันอีก จนมาถึงบ้านของผม


     เปิดประตูกระจกใสก้าวเท้ายาวๆเดินเข้าตัวบ้าน ยังไม่ทันจะเดินไปถึงแผงไฟตรงผนัง ติรั้งเอวผมไปกอดแน่นและเหวี่ยงผมลงโซฟา ก่อนที่น้องจะขึ้นมานอนทาบบนตัวผมแล้วเอ่ย


"พี่ชินครับ วันนี้วันเกิดผม"

"ค...ครับรู้แล้ว ติจะอ้อนเอาอะไรเหรอ? ลุกจากตัวพี่ก่อนนะ"
ผมบอกน้องเสียงเบาและสั่น

"ผมอยากผูกพันกับพี่มากขึ้น"


    ผมกำลังจะบอกน้องอีกครั้งว่าให้ลุกจากตัวผมก่อนที่จะ....



Happy birthday to you...
Happy birthday to you
Happy birthday Happy birthday......
Happy birthday to youuuuuuuuu....



     เพียงแสงไฟในบ้านสว่างวาบขึ้น ติตกใจทำหน้าเหรอหรา เมื่อเห็นวุฒิ และพี่ตั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น ติกระโดดลุกออกจากตัวของผมและยืนตัวตรง เมื่อเห็นแม่ถือเค้กมาให้


"แม่...."


    ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จัดเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยและอายจนรู้ว่าหน้าร้อนผ่าว เพราะ
ผมรู้มาตลอดว่ามีคนรออยู่ในบ้าน เนื่องจากผมเองที่เป็นคนวางแผนเซอร์ไพร์สน้อง ผมถึงเกร็งพอสมควรตอนที่ติขึ้นมานอนบนตัวผม ตอนนี้ผมก้มหน้า ชำเลืองมองคนรักที่หลับตาอธิษฐาน


     เมื่อติเป่าเทียนวันเกิดจนดับ ตั้นรับเค้กไปถือ ติโผกอดแม่ทันที


"มีแฟนไม่บอกแม่รึไง แล้วที่แม่ได้ยินคืออะไร? ...อยากผูกพันกับพี่มากขึ้น?..ไหนอธิบายแม่มาซิ"


"คือ...หนู...หมายถึง..."


    ติผละจากการกอดแม่ และก้มหน้ากระอึกกระอัก


   อย่าว่าแต่ติเลยที่อายจนตอบไม่ได้ ตอนนี้ ผมเองก็อายไม่แพ้กัน เพราะนึกไม่ถึงว่าจะผิดแผนตรงที่น้องมานอนบนตัวผม แทนที่จะเป็นการเดินเข้าบ้านปกติ และทุกคนถือเค้กมาอวยพร พอเจอแบบนี้ ผมได้แต่ยืนตัวลีบ ก้มหน้างุด



"ก็บอกแม่ไปเลยสิว่าอยากได้ชินอะ"

"ไอ้พี่ตั้น เงียบเลยว่ะ พี่เองก็เหมือนกันนั่นแหละ อยากได้ไอ้วุฒิจะแย่ ใช่ไหมล่ะ"



      พอคำว่าวุฒิโผล่มาจากบทสนทนา ผมเหลือบมองวุฒิเกาคอแก้เก้อ ผมดีใจที่วุฒิมีความรักครั้งใหม่ และได้คบกับตั้น ผมเชื่อว่าเขาดูแลวุฒิได้ดี และดีใจที่วุฒิไม่โกรธเกลียดผมที่ไม่รับรักในคราวที่ผ่านมา



"นี่จะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา แม่ยืนทนโท่อยู่ตรงนี้นะ อายคุณชินบ้างสิ"

"เอ่อ...ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหรอครับ คือ..."


    ผมพยายามบอกความต้องการของตัวเอง แต่ไม่คิดว่า จู่ๆ ติจะตั้งสติรวบรวมความกล้า คว้ามือผมไปจับมือสอดประสานปลายนิ้วเข้าหากันแนบแน่น


"โอเคครับ ที่ผ่านมาหนูขอโทษที่ไม่ยอมบอกว่า หนูคบพี่ชิน หนูแค่รอจังหวะที่เหมาะเจาะกว่านี้ ส่วนเรื่องที่แม่ได้ยิน ก็ตามนั้นแหละแม่ ผมรักพี่ชิน ถึงจุดหนึ่ง ผมเลยอยากให้บางอย่างของผมเชื่อมโยงหาพี่ชิน เพื่อผูกพันกันมากขึ้น"


     แม้ถ้อยคำที่ติบอกแม่จะไม่หยาบโลน แต่ทำไมพอได้ยิน ผมหน้าร้อนผ่าวยังไงไม่รู้


      ผมจะไม่เขินเลย ถ้าตั้นจะไม่ส่งสายตาล้อเลียนมา ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดไว้ไหน ขากนั้น ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอจากแม่ของติ


     อันที่จริง แม่ของติรู้แล้วว่าผมกับน้องเราคบกัน ผมอาจจะผิดที่ชิงตัดหน้าติในการบอกเรื่องสำคัญ แต่เนื่องจากผมต้องการให้แม่แฟนร่วมมือเซอร์ไพร์สลูกชายในวันเกิดจึงจำเป็นต้องบอก


   ผมประหลาดใจเล็กน้อยตอนที่แม่ของติรู้เรื่องแล้วแต่ไม่โกรธหรือรับไม่ได้ที่ผู้ชายสองคนชอบกัน กลับบอกว่าดีใจ เพราะเธอถูกชะตาผมตั้งแต่ตอนที่เธอเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการขอโทษผมนั่นแหละ


     เธอมั่นใจและสัมผัสได้ว่าผมจะดูแลติได้ดีเหมือนเธอจะสบายใจถ้าฝากติไว้กับผม

   

"โอเค แม่เข้าใจแล้ว ถ้างั้นติก็ขึ้นห้องไปพักผ่อนเถอะ ส่วนตั้นมาคุยกับแม่เดี๋ยวนี้" ผมมองแม่ของติที่ตีแขนลูกชายคนโตพลางลากไปนั่งที่โซฟา คงไม่พ้นเรื่องราวระหว่างวุฒิกับตั้นแน่นอน ผมไม่สนใจเรื่องของคนอื่นเท่ากับแฟนผมคนนี้


    ติตัดเค้กแบ่งเป็นชิ้นเรียบร้อย ก็บอกว่าจะลงมากินเค้กภายหลัง เขาขอเดินขึ้นไปเก็บของก่อน พอมาถึงห้องนอน ผมยังไม่ทันปิดประตูให้สนิท ติดึงแขนผมไปที่เตียง กระโดนนั่งคร่อมบนตัวผม


"อ้ะ...ติอะไรกัน อย่านะ มีคนอยู่"

"วางแผนแนบเนียนแถมไม่ยอมบอกผมเลยนะ"


   ผมยิ้มทะเล้นให้แฟน แล้วตอบ


"ถ้าพี่บอกจะเรียกว่าเซอร์ไพร์สไหมล่ะ?"

"หึๆ...ได้..."


"ขะ...ขำอะไรติ"

"วันนี้ คือวันของผม ผมจะทำอะไรก็ได้ ถ้างั้น คืนนี้ ผมขอ...นะ"


"ดะ...เดี๋ยว พี่อยากกินเค้กวันเกิดอะ ลงไปกินเค้กก่อนนะ...นะ ติ นะ" 


    ผมอ้อนว้อนคนอายุน้อยกว่า ความจริง ผมรู้ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องมีกิจกรรมสร้างความผูกพันกันอยู่ดี แต่พอถึงเวลาจริงๆ ที่ตอนนี้ มีทั้งแม่แฟนและพี่ชายแฟนอยู่ในบ้าน ผมก็เกิดอาการกลัว เกร็งและไม่กล้าจะปฏิบัติขึ้นมา






***1.1***


บอกมาค่ะ พี่ชินกลัวอะไร? กลัวเสียงจะดังทะลุออกไปนอกห้องใช่ไหมคะ? แหะๆ

อีกพาร์ทก็จบบริบูรณ์ค่ะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านค่ะ :z1: :z1: :z1: :o8: :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12 || 6-6-18 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-06-2018 21:53:23
 :pig4: :pig4: :pig4:

อะไรคือตอนจบ แต่ยังมีอีกพาร์ทก็จะจบบริบูรณ์?

อ่อ  ตอนจบ  ส่วนอีกอันที่จะตามมาคือ  ตอนจบบริบูรณ์ สินะ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: rinyriny ที่ 27-06-2018 19:13:18
ตอนที่ 12 อมยิ้มสื่อรัก (2)(ตอนจบ)




-ติ-



   

       


      มองคนทำหน้าอ้อน ก็ใจอ่อน ผมยิ้มเออออก่อนจะลงไปเอาเค้กให้และตั้งใจจะไปคุยกับแม่และพี่ชายด้วย


     เดินลงมาเห็นวุฒินั่งตัวเกร็งก็นึกขำ ไม่เคยคิดเลยว่า จู่ๆเพื่อนรักของผมจะกลายเป็นพี่สะใภ้ของบ้านผมซะอย่างนั้น


     สาวเท้ายาวๆไปนั่งพิงหลังแม่ที่หันหน้าไปคุยกับพี่ตั้นและวุฒิด้วยท่าทางสบายๆ


"ทำอะไรติ" ผมนั่งเบียดแม่ จนอีกฝ่ายต้องหยุดบทสนทนาแล้วหันมาถามผม


"แม่ไม่ต้องบ่นพี่ตั้นหรอกครับ มากินเค้กกันดีกว่า"


"แม่ไม่ได้บ่นสักหน่อย แม่แค่ถาม เรื่องที่ตั้นคบวุฒิไม่บอกแม่สักคำต่างหาก"


"ฮ่าๆ แล้วแม่ดีใจไหมล่ะครับ ที่ได้เพื่อนผมเป็นพี่สะใภ้"
ชะโงกหน้าไปแหย่วุฒิที่ชะงักก่อนจะทำหน้าถมึงทึงเหมือนอยากด่า แต่ด่าไม่ได้


    ผมยกมือปิดปากกลั้นขำ ตอนนี้ เป็นการพูดคุยที่ไม่ได้จริงจังอะไร พี่ตั้นจึงตัดบทสนทนาและลุกจากโซฟาไปตรงโต๊ะที่วางเค้ก ทุกคนจึงลุกตามไป


      ดูเหมือนแม่ผมจะถูกใจพี่ชินเข้าให้จริงๆ เพราะแม่ผมมิวายถามถึงพี่ชินตลอด ผมโกหกว่า พี่ชินปวดหัวลงมาไม่ไหว ซึ่งแม่ดูจะตกใจไม่น้อย รีบกำชับผมหาน้ำ หายาให้พี่ชินด้วยท่าทีเป็นห่วง ผมกลัวหลุดความจริง จึงรีบพยักหน้าเออออกลับไป


      เวลานี้ทุกคนดูผ่อนคลาย ผม วุฒิ พี่ตั้น และแม่นั่งกินเค้กด้วยกันอย่างมีความสุข


      นับว่าเป็นช่วงเวลาของการกินเค้กที่แสนเรียบง่ายและธรรมดา แต่ผมมีความสุขมาก เพราะคนที่รายล้อมรอบตัวผมตอนนี้ คือ คนที่ผมรักทั้งสิ้น


     จัดการของหวานแสนอร่อยกันเสร็จ แม่ผมนึกอยากกลับบ้าน จึงบอกพี่ตั้นให้ไปส่ง เนื่องจากแกกังวลและห่วงบ้านไม่อยากนอนค้างอ้างแรมที่อื่นเท่าไหร่ แม้ผมจะรบเร้าให้นอนที่นี่แทบตาย แต่แม่ก็ยังดื้อดึงดันจะกลับให้ได้ ผมเลยไม่อยากเถียงให้เกิดปัญหา


     เดินออกมานอนตัวบ้าน ขณะที่พี่ตั้นเดินนำหน้าไปกับแม่ ผมรั้งแขนวุฒิให้เดินช้าลงกว่าเดิมและถาม



"สบายใจขึ้นบ้างรึยัง?"

"เรื่องอะไร?"

"พี่ชายกู"




     มองวุฒิตัวแข็งทื่อและดูจะเขินอายก็ส่งสายตาล้อเลียน ผมไม่รู้หรอกว่าตอนที่แม่ถามเรื่องราวความรักของสองคนนี้ พี่ตั้นพูดความในใจอะไรออกไปบ้าง แต่ดูท่าทางวุฒิแปลกไปไม่น้อย


"สะ...บายใจ"


"มึงควรดีใจ พี่ตั้นไม่เคยพาใครมาหาแม่"


"อะอื้มม..."


"ถ้ามึงคบกับพี่ตั้นแล้วมีปัญหาหรืออึดอัดใจอะไร ปรึกษากูได้นะ"


      วุฒิยิ้มมุมปากพลางหน้าแดง


"ขอบใจนะ อ่อสุขสันต์วันเกิดอีกรอบนะมึง คำอวยพรคงไม่ต้องแล้วมั้ง ก็ชีวิตมึงสมหวังแล้วนี่"


"ฮ่าๆ เออ...ขอบใจที่มึงก็เข้าใจเรื่องกูกับพี่ชินนะ"

"อื้ม...ก็มึงเป็นเพื่อนกูนี่"



     ผมและวุฒิส่งยิ้มให้กันก่อนจะแยกย้ายกันไปใช้เวลาส่วนตัว


    แม้ก่อนหน้านี้ จะมีบ้างที่ผมกระดากกระเดื่องในความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่พอเคลียร์เรื่องรักลงตัว ผมสบายใจและรักวุฒิมากกว่าเดิม...


     ขณะที่ยืนส่งทุกคนกลับบ้าน จนกระทั่ง รถยนต์พี่ตั้นพ้นลานสายตา ผมรีบวิ่งขึ้นห้องไปหาพี่ชินพร้อมเค้กชิ้นโตอย่างกลัวว่าพี่ชินจะน้อยใจที่ผมหายไปนาน


    เปิดประตูห้องนอน เห็นพี่ชินนอนรอผมอยู่บนเตียง



"สรุปไม่มีใครนอนที่นี่นะครับพี่ชิน ผมเลยยืนคุยก่อนพวกเขาจะกลับบ้าน อ้าว!...พี่ชินอาบน้ำแล้ว อย่างงี้พี่ชินก็ไม่กินเค้กแล้วสิ?"


"กินครับ เดี๋ยวพี่ค่อยแปรงฟันอีกรอบ"



      ผมพยักหน้า ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆคนที่ขยับตัวมานั่งชิดริมเตียง


      ผมยื่นจานเค้กให้พี่ชิน นั่งมองพี่ชินตักเค้กเข้าปาก ค่อยๆละเลียดก็แอบอมยิ้ม
 

      ผมคิดว่าตัวเองโชคดีที่สมหวังกับความรัก ในขณะที่ยังมีคนอีกมากมายผิดหวังกับความรักไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม


     ผมเห็นคุณค่าของการได้มาซึ่งโอกาสนี้จึงตั้งปนิธานกับตัวเองว่าจะดูแลพี่ชินให้ดีที่สุด ผมจะเอาใจใส่พี่ชินเหมือนที่พี่ชินเอาใจใส่ผม วันไหนที่เราอยู่ด้วยกัน ผมจะกอดเขา โอบเขา กุมมือเขาให้รู้ว่าผมจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน?



    ผมรู้นะว่า มีพบก็ต้องมีจาก แต่ผมจะไม่กังวลกับอนาคตมาก  ดังนั้น ผมจะสนใจแต่ปัจจุบัน เก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้ ดูแลและรักพี่ชินให้มากเท่าที่จะทำได้



"ยิ้มอะไร?"


 
      มัวแต่คิดเรื่องที่ว่าจะดูแลพี่ชินอย่างไรเลยไม่รู้ว่าตัวเองหลุดยิ้มตั้งแต่ตอนไหน?


"ผมดีใจที่มีพี่"


      พี่ชินชะงัก แล้วอยู่ดีๆแกหันไปวางจานเค้กลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาหาผม ยกมือประคองใบหน้า โน้มตัวมาประกบจูบ ปีนป่ายขึ้นมานั่งคร่อมบนตักผม


      ผมช็อค ที่จู่ๆพี่ชินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง บรรเลงบทรักโดยไม่บอกผมก่อน แม้พี่ชินจะเป็นฝ่ายเริ่ม แต่ใช่ว่าผมจะยอมให้พี่ชินทำอยู่ฝ่ายเดียว ผมจึงโต้กลับด้วยการส่งปลายลิ้นไปเกี่ยวกระหวัดกันอย่างหยอกเย้า เราจูบดูดดื่มลิ้มรสความหวานกันอยู่สักพัก พี่ชินถอนริมฝีปากออก ไล่ลงมาพรมจูบ ขบเม้มตรงลำคอของผม จากนั้น ค่อยใช้ลิ้นเลียวนจนผมตัวสั่น หัวใจวาบหวามกับการกระทำที่พี่ชินบรรจงทำให้


     พี่ชินเลิกชายเสื้อผมขึ้น ถอดมันออก จากนั้น ก็เลื่อนริมฝีปากมาขบเม้ม ดึงดูดยอดอกของผมสลับข้างไปมาจนผมเผลอซี้ดปาก

   
     ในขณะเดียวกัน พี่ชินปลดกระดุมเสื้อของตัวเองและถอดชุดนอนที่ใส่ออก ดันตัวผมให้นอนราบไปกับเตียง ปลดกระดุมกางเกงยีนส์ของผมดึงลงออกจากขาโยนทิ้งออกไปให้พ้นตา



     ตอนนี้ เราสองคนร่างกายเปลือยเปล่า จากตอนแรกที่ผมเป็นฝ่ายนอนราบโดยที่พี่ชินคร่อมบนตัวผม ผมจับไหล่พี่ชิน พลิกตัวลงไปนอน ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนมาอยู่ข้างบนบ้าง


     แม้จะสลับตำแหน่งกัน แต่เรายังคงจูบต่อเนื่อง และเหมือนใจตรงกัน เพราะตอนที่ผมเอื้อมมือไปจับแก่นกายของพี่ชินนั้น เป็นจังหวะที่อีกฝ่ายก็เอื้อมมือมาจับน้องชายของผมพอดี


     เราต่างรูดรั้งแก่นกายให้กันและกันอย่างรู้งาน วินาทีนั้น ผมดึงมือพี่ชินออกและกำทั้งแท่งร้อนของผมและพี่ชินกอบกุมไว้ด้วยมือเดียว


    พี่ชินหลุดร้องเสียงครางกระเส่า จนความเสียวซาบซ่านของผมเกิดขึ้น ผมกำแก่นกายของเราสองรูดรั้งอย่างเนิบช้าก่อนจะค่อยๆเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นจนมันถูไถ เสียดสีกัน


    แต่หลังจากนั้น ผมสะดุ้งลืมตามมามอง เมื่อพี่ชินจับข้อมือของผมลงไปถูตรงช่องทางรักข้างหลัง ตกใจยิ่งกว่าที่ผมไม่รู้ว่าทำไมช่องทางของพี่ชินถึงเปียกชุ่ม ฉ่ำแฉะได้ขนาดนี้



     มองหลักฐานข้างกายเป็นหลอดเจลหล่อลื่นก็ได้แต่นึกประหลาดใจว่าพี่ชินไปแอบเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่


    ผมยิ้มพอใจที่อีกฝ่ายรู้งานเป็นอย่างดี ผมจึงค่อยๆสอดนิ้วเข้าช่องทางรักพี่ชินช้าๆ ก่อนจะเพิ่มนิ้วจับขาพี่ชินขึ้นมาพาดบ่า เมื่อได้ที่ ผมกำแท่งร้อน นำส่วนหัวจ่อตรงช่องทางหลัง สอดเข้าไปทีละนิดๆจนตอนนี้เข้ามาค่อนลำ จากนั้น ผมดันแก่นกายให้เข้าไปลึกที่สุด ก่อนจะเริ่มขยับเข้าออกช้าๆ


      ระดับความสุขของผมพุ่งพรวด เมื่อมองใบหน้าคนรักจ้องมองมาด้วยแววตาหวานเชื่อม เผยอปากบน กัดริมฝีปากล่าง  ยั่วยวนกันแบบนี้ ผมรีบเร่งจังหวะเร็วขึ้น กระแทกรัวแรงอย่างลืมตัว


"อ้ะ ติ....อ่าห์..."


"อ่าห์....ของพี่....ซี้ด....ฟิตจังครับ"


     
ร่างกายของพี่ชินตอบสนองผมเป็นอย่างดี ทุกท่วงท่า จังหวะจะโคนที่เราร่วมรักกันจึงมีความหมายมากกว่าเซ็กซ์ทั่วๆไป


     ...เซ็กซ์ที่มีรัก...


      ผมเปลี่ยนท่าพลิกตัวพี่ชินให้นอนคว่ำหน้าราบไปกับเตียง มีเพียงสะโพกเนียนขาวที่ลอยเด่น ผมจับบั้นท้ายกลมกลึงบีบเค้น ขยำอย่างแรงจนขึ้นเป็นรอยแดง ก่อนจะโน้มตัวแนบไปกับแผ่นหลังอีกฝ่าย พรมจูบทั่วแผ่นหลัง ขบกัดบ้างบางคราว ในขณะที่ช่วงล่างของเรายังคงเชื่อมต่อกัน มืออีกข้างที่ว่างของผมเอื้อมไปจับแก่นกายของพี่ชินหวังจะช่วยเหลืออีกฝ่าย ผมรูดรั้งช้าๆสลับกับเร่งจังหวะ ไม่นานนัก ที่พี่ชินก็ถึงฝั่งฝันก่อนผม


"อ่าาาาาห์"


      หยาดเหงื่อแห่งความสุข เสียงครางกระเส่าจากความเสียวกระสัน รวมถึงเสียงเตียงดังเอี๊ยดอ๊าด ยิ่งปลุกเร้าอารมณ์ของผมให้ลุกโชน


       ผมซอยสะโพกถี่รัว กระแทกกระทั้นเข้าหาพี่ชินด้วยจังหวะที่รวดเร็วกว่าเดิม หนักหน่วงกว่าเดิมจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังตั่บๆๆกึกก้อง
 

        จังหวะที่ผมรู้ตัวว่าใกล้ถึงฝั่งฝัน ผมรีบถอนแก่นกายออก ใช้มือรูดรั้งรัวเร็วก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมา ของเหลวแห่งความสุขจะถูกปลดปล่อยพวยพุ่งออกมาเลอะเต็มสะโพกของคนรัก



      สวมกอดพี่ชินจากด้านหลัง พร้อมกับกระซิบข้างหู


"ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ"


      พี่ชินทิ้งตัวลงนอนอย่างคนหมดแรง ผมจุมพิตหลังใบหูและสวมกอดเขาแน่น


      เหมือนแค่พักยก เพราะผมนอนกอดพี่ชินไม่นาน ก็ปลุกอารมณ์พี่ชินด้วยการเล้าโลมอีกครั้ง ผมไซ้หลังหู โลมเลียมายังซอกคอเนียน ก่อนที่เราจะเริ่มมีเซ็กซ์กันเป็นครั้งที่สองและสามที่จะตามมาในไม่ช้า....








....................




       เช้าของอีกวัน ผมตื่นขึ้นมาก่อน แอบมองคนรักนอนนิ่งสนิท ภายใต้ห้องนอนที่ยังคงอบอวลด้วยรักไม่จางหาย อมยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เราร่วมรักกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

 

       ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมผมถึงไม่รู้จักพอ จนบัดนี้ ผมยังอยากมีเซ็กซ์กับพี่ชินอีกเรื่อยๆ

 

       ปลายนิ้วผมเกลี่ยริมฝีปากล่างอย่างหยอกเย้า จูบเขาเบาๆ ก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำ



      หลังจากผมจัดการธุระตัวเองเสร็จเรียบร้อย ผมคว้าโทรศัพท์มือถือมากดสั่งอาหารออนไลน์ที่มีบริการส่งแบบเดลิเวอร์รี ในขณะที่รออาหารมา ผมปีนขึ้นเตียง หวังจะกอดพี่ชิน แต่ผมสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายพุ่งสูงขึ้น





"พี่ชินครับ พี่ชิน"


     ปลุกคนที่หลับใหลไม่รู้เรื่อง จนพี่ชินปรือตาขึ้นมามอง



"มีอะไร?" เสียงแหบแห้งแผ่วเบาถาม



"ไปหาหมอเถอะ พี่ไม่สบาย"



"แค่กๆ บ้าจริง ป่วยได้ไง"

 

"นั่นสิครับ หรืออาจจะเป็นเพราะพี่แก่แล้วเลยป่วยง่าย..โอ้ย! พี่ชิน"



     ดูสิดู...คนป่วยยังมีแรงมาหยิกท้องผมได้

 

"พูดมาก พี่แค่ปวดตัว ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่อยากไปหาหมอ ขอเช็ดตัวเฉยๆได้ไหม?"



"ถ้างั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้ แต่ถ้าไม่หายต้องไปหาหมอนะครับ"



"ครับ ขอบคุณนะติ"



"พี่ชินเป็นไงบ้าง มีแฟนเด็กเด็ดไหมครับ?"

 

"ทะลึ่งนะ ติ แค่กๆ..."

 

    ผมหัวเราะ มองหน้าคนป่วยก็นึกสงสาร แต่เพราะใบหน้าแดงๆมันทำให้ผมอดใจไม่ไหว ก้มลงไปฟัดแก้มทั้งสองข้างแล้วจูบปากอีกรอบ

 

"อย่าติ เดี๋ยวติดไข้"

 

"ผมไม่กลัว"

 

"ติไม่เอาน่า อย่าดื้อ....อื้อ...." 
คราวนี้ ผมจับปลายคางพี่ชินให้เผยอปาก ก่อนจะสอดเรียวลิ้นเข้าไปข้างใน กวาดต้อนน้ำหวาน รุกไล่เล่นลิ้นของพี่ชินอย่างคนเอาแต่ใจ จนพี่ชินยันสองมือดันแผ่นอกผมไว้คล้ายห้าม



"อย่าเล่นเป็นเด็กสิ ต้องมีใครคนหนึ่งแข็งแรง เผื่อมีเรื่องอะไรจะได้ออกไปไหนได้"



"คร้าบบบพี่ชิน ไม่เล่นก็ได้ ถ้างั้นผมลงไปข้างล่างก่อนนะครับ พอดีผมสั่งอาหารไว้"

 

      พี่ชินพยักหน้า แต่พอผมลุกขึ้นจะไปจริงๆ พี่ชินร้องเรียก



"ขึ้นมาเร็วๆนะ"

 

 

     โอ้ย! พี่ชินจะน่ารักไปไหน? ผมยิ้มกว้าง กุมมือพี่ชินยกขึ้นมาจุมพิตหลังมือก่อนจะพยักหน้าและย้ำคำสัญญาว่าจะเช็ดตัวให้ด้วย





     ในระหว่างที่ผมรอให้พนักงานมาส่งอาหาร ก็นึกขึ้นได้ว่า ผมลืมช่อดอกไม้ที่พี่ชินให้ไว้ในรถของเจ้าตัว เดินไปหยิบกุญแจรถที่แขวนไว้ตรงผนัง ตรงดิ่งไปยังรถยนต์ เปิดประตู สอดตัวเข้าไปเอาช่ออมยิ้มออกมา ก็เป็นจังหวะที่พนักงานมาส่งอาหารพอดี ผมจ่ายเงินเดินกลับเข้ามาในบ้านพร้อมอาหารและช่ออมยิ้ม





     ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้และวางของทุกอย่างลงบนโต๊ะ มองช่ออมยิ้มนั้นอยู่นาน จนผมนึกไงไม่รู้ตัดสินใจแกะอมยิ้มออกมาจากช่อทีละอันๆ แต่จังหวะที่ผมดึงอมยิ้มออกมาเป็นอันที่เก้า ผมขมวดคิ้วมุ่น เมื่ออมยิ้มอันนี้ดูยวบยาบแปลกๆ



    แกะเปลือกอมยิ้มแท่งนั้นออกมาดู ก่อนจะเบิกตาโพลงอย่างตกใจ เมื่อมันไม่ใช่อมยิ้ม แต่กลับเป็นแหวนเกลี้ยงที่ทำมาจากทองคำขาวสองวงวางอยู่บนกระดาษที่ถูกขยำให้เป็นก้อนกลมๆ



    รู้ได้ในทันทีว่ามันสื่อถึงอะไร ผมยิ้มดีใจ ไม่คิดว่าพี่ชินจะเซอร์ไพร์สให้ผมด้วยการใส่แหวนไว้ในช่ออมยิ้ม



    ตื้นตันใจ น้ำตาจะไหล ยอมรับว่าอาจอ่อนไหวไปบ้าง แต่ที่เป็นแบบนี้ เพราะไม่เคยมีใครทำให้จึงรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ ผมกำแหวนแน่นแล้วรีบขึ้นไปหาพี่ชิน



     ขึ้นมาบนห้อง พี่ชินก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง จนผมโพล่งขึ้นขัดความเงียบ



"พี่ชินขอบคุณนะครับ สำหรับแหวน"


     แม้จะพูดขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ แต่คนที่ทำเซอร์ไพร์สย่อมรู้ดี ใบหน้าคนป่วยจึงแต้มยิ้มออกมา



"เจอไวดีนะ"


"แหมไม่บอกกันเลย ถ้าเกิดผมทิ้งอมยิ้มขึ้นมาล่ะ"



"พี่มั่นใจว่าติไม่ทิ้ง"



   ผมยิ้มพยักหน้า มันก็จริงอย่างที่พี่ชินว่า ใครจะกล้าทิ้งของที่แฟนให้กันล่ะ ผมหยิบแหวนวงหนึ่งไปสวมใส่นิ้วนางให้พี่ชิน เสร็จแล้วผมยื่นแหวนอีกวงให้พี่ชินสวมกลับให้ผมบ้าง



    แม้แหวนของผมที่ใส่จะหลวมนิดหน่อย แต่ผมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของพี่ชิน จึงไม่สนเรื่องของขนาด เพราะผมค่อยหาทางทำให้มันใส่ได้พอดีกว่านี้ในภายหลัง



    แหละตอนนี้เราสองคนต่างมีแหวนแทนใจกันและกัน ซึ่งมันไม่ใช่แค่การหมายถึงว่าต่างฝ่าย ต่างมีเจ้าของแล้วเท่านั้น แต่มันยังหมายรวมถึงว่าเมื่อไหร่ที่ผมมองแหวนวงนี้ ผมรู้สึกได้ว่ามีอีกคนที่รักผมอยู่เคียงข้างผมเสมอ



    โน้มตัวไปกอดพี่ชิน ผมมีความสุขจนอดจะขอบคุณทุกๆสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ได้



   ขอบคุณที่ได้ทำงานที่เดียวกับพี่ชินจนเราได้มาเจอกัน ขอบคุณที่ตัวผมเองยังไม่ถอดใจเลิกรักพี่ชินไปเสียก่อน ขอบคุณที่พี่ชินยอมบอกความในใจกับวุฒิว่ารู้สึกยังไงกับผม เพราะถ้าพี่ชินไม่บอกก่อน ผมก็คงไม่กล้าพอที่จะสู้ และเก็บงำความรู้สึกนี้เอาไว้จนต่อมาผมคงผิดหวังก็เป็นได้



    และสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากขอบคุณมากที่สุด คือ ขอบคุณที่มีวันนี้ วันที่พี่ชินเลือกผมจนเราได้รักกัน


    ผละจากอ้อมกอด มองพี่ชินที่ยังคงยิ้มด้วยใบหน้าแดงๆ ผมลูบริมฝีปากคนรักก่อนเอ่ย



"รอยยิ้มของพี่มีความหมายสำหรับผมจริงๆนะ"



     พอผมตอบแบบนั้น อีกฝ่ายพยายามยกยิ้มกว้างกว่าเก่า


     ตอนนี้ ผมและเขาสบตากันโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้รอยยิ้มสื่อความหมายในใจของเราสองคน แค่นั้นก็พอ...





..................จบบริบูรณ์...................

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ
:mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-06-2018 21:38:46
 :pig4: :pig4: :pig4:

จบบริบูรณ์
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 05-07-2018 18:45:00
ขอบคุณครับ เป็นกำลังให้นะ
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 08-07-2018 00:58:21
โอ้ยยยย ลุ้นมาก มาแค่ 3 หน้าเอง 55555  :serius2: :serius2:
ลุ้นว่าจะได้รักกันตอนไหน กว่าจะได้บอก จะได้รู้กัน แอบดร่าม่านะเอ่ยยยย อยากให้มีเรื่องของพี่ตั้นก็วุฒิเพิ่มจังเยยยยย  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-07-2018 15:17:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 15-07-2018 01:47:08
ชื่อเรื่องหวาน ๆ ใส ๆ นึกว่าแนวเด็กน้อย

  พอกลางเรื่องนี่มาม่าจนเกือบขม  :o12: สงสัยอมยิ้มรสช็อคโกแล็ต 
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-08-2018 20:14:52
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 22-09-2018 17:24:58
 :3123:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:49:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 20-05-2021 22:16:47
น่ารักมากครับ เรื่องนี้
จะปวดหัวความรักของเพื่อนไปบ้าง
เลยวุ่นวายไปครึ่งเรื่องเลยยย
หัวข้อ: Re: ▪▪▪อมยิ้มสื่อรัก▪▪▪||ตอนที่ 12.2 || 27-6-18 P.3 {จบแล้ว}
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 14-06-2021 10:47:59
น่ารักดีค่ะ
แม้จะแอบดูน้ำเน่าไปหน่อยตอนที่ติยอมเพื่อนเรื่องพี่ชิน