พิมพ์หน้านี้ - Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เขมกันต์ ที่ 25-02-2018 17:16:13

หัวข้อ: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 25-02-2018 17:16:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ



-------------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามแล้วค่ะ ขอฝากผลงานเรื่องนี้ด้วยนะคะ


ผลงานเรื่องเก่าๆ ค่ะ

กว่าจะเข้ากันได้ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51505.0)
-- รอตีพิมพ์

เมฆ ฤ จะเหนือภูเขา™ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54963.0)

That's Wine I Love You  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59232.0)
-- กำลังรีไรท์และรอตีพิมพ์


เรื่องสั้นค่ะ

ลูกแก้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55897.0)

ฝากทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คเพื่อพูดคุยหรือติดตาม ได้ที่นี่ค่ะ จิ้มตามไปเลย
Twitter (https://twitter.com/khemmakan)
Facebook (https://www.facebook.com/akanae14)

:mew1: :mew1: :mew1:

ไปอ่านกันเลยค่ะ


*** เรื่องนี้เป็นแนว Slice of life ไม่หวือหวา และ ไม่ดราม่าค่ะ  ***


หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 1 , 25/02/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 25-02-2018 17:21:54

Wish 1

           ผมกำลังเลื่อนดูรูปที่ปรากฎอยู่ในโทรศัพท์มือถือของผม หวนให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่ผมได้เคยใช้ช่วงเวลาร่วมกันกับเขา นี่ก็ผ่านมา สี่ปีแล้วสินะ แต่ผมยังจำทุกช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำ ผมรู้ว่าผมเป็นคนที่มีความจำดี แต่ไม่จำเป็นต้องจำได้ดีขนาดนี้ก็ได้มั้ง บางทีผมเอง...ก็อยากลืมอะไรบ้างเหมือนกัน



            เก้าปีก่อน



            “นักเรียนทุกคนคะ วันนี้เรามีเพื่อนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนกับเราด้วย ช่วยดูแลและแนะนำรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับโรงเรียน วิชาเรียน ให้กับเพื่อนใหม่ด้วยนะคะ เนื่องจากเขาต้องย้ายตามคุณพ่อมาประจำสถานทูตที่เมืองไทย ทำให้ต้องย้ายมาเรียนในชั้นม.ห้า ของเรา เอาล่ะค่ะ อาจารย์จะพาเขาเข้ามา ทำตัวกันดีๆ ด้วยล่ะ” อาจารย์ประจำชั้นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ห้า ขู่เด็กในห้องอย่างไม่จริงจังนัก ด้วยรู้นิสัยของเด็กพวกนี้เป็นอย่างดี ก่อนจะออกไปเพื่อพานักเรียนใหม่เข้ามา



และเมื่อนักเรียนใหม่ปรากฎตัวขึ้นก็เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่ยากเลย ไม่เว้นแม้กระทั่งผม ที่ตาโตแทบจะถลนออกมาจากเบ้าเลยทีเดียว ก็เพราะนักเรียนใหม่คนนี้ดูยังไงก็ไม่ใช่คนไทยชัดๆ ความสูงที่เกินจากรุ่นเดียวกันไปมากโข นี่อยู่รุ่นเดียวกันจริงๆ เหรอเนี่ย ซ้ำยังมีผมสีน้ำตาลเข้ม และดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นอีกล่ะ แถมผิวก็ขาวสว่างจ้าออกมาขนาดนี้ ถามจริงเถอะ กินหลอดไฟเป็นอาหารหรือเปล่า



“นักเรียนคะ แนะนำตัวกับเพื่อนๆ ได้เลยค่ะ” อาจารย์บอกคนที่ยืนหน้าชั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส



“สวัสดีครับ ผมชื่อคริส คริสโตเฟอร์ ยัง หรือจะเรียกว่ากฤษณ์ ก็ได้ครับ” พูดจบ ก็เรียกเสียงฮืออีกระลอกเพราะนักเรียนใหม่หน้าฝรั่งคนนี้กลับพูดภาษาไทยได้ชัด ถึงจะมีแปร่งบ้างเล็กน้อย อืม.. เล็กน้อยจริงๆ แต่ก็ชัดมากถึงมากที่สุดเลยล่ะ



“บอกแค่นี้เพื่อนๆ คงยังไม่รู้จักเธอหรอก ไหนลองเล่าประวัติคร่าวๆ ของตัวเองให้เพื่อนๆ ฟังหน่อยสิคะ ส่วนใหญ่นักเรียนที่นี่จะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ทุกคนเลยรู้จักพื้นเพกันดีอยู่แล้ว” อาจารย์ช่วยพูดเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ยืนเก้กังหรือทำตัวไม่ถูก



“ครับอาจารย์ ผมชื่อคริส หรือกฤษณ์ คุณพ่อผมเป็นนักการทูต ชาวอเมริกัน ส่วนแม่ เป็นคนไทยครับ มีพี่สาว หนึ่งคน พี่ชาย หนึ่งคน เพราะท่านต้องย้ายมาประจำอยู่ที่ประเทศไทย ครอบครัวของเรา..ผมก็เลยย้ายตามมาครับ”



“ค่ะ ถ้านักเรียนคนไหน อยากรู้จักคริสมากกว่านี้ ค่อยซักถามช่วงกลางวันนะ อืม.. แต่ว่าจะนั่งตรงไหนดีนะ” อาจารย์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็ทำท่าเหมือนตัดสินใจได้



“เธอตัวสูง ถ้านั่งข้างหน้า ก็จะต้องสูงบังเพื่อนแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าไปนั่งตรงนั้นละกัน ข้างๆ นายธันวา ที่อยู่หลังสุดน่ะ นายธันวาเป็นที่หนึ่งของห้องนี้หรือของชั้นนี้แล้วล่ะ ถ้ามีปัญหาหรือไม่เข้าใจตรงไหน จะได้ช่วยเหลือกัน”



“ครับ”



“ธันวา อาจารย์ฝากเธอช่วยดูแลเพื่อนใหม่ด้วยนะจ๊ะ”



“ครับ” และหวยก็มาตกอยู่ที่ผมครับ



“สวัสดี คริส ฉันชื่อ ธันวา จะเรียกว่าธันก็ได้ แล้วนายยังไม่มีหนังสือเรียนใช่มั้น ถ้าอย่างนั้นก็อ่านกับฉันไปก่อนละกัน” ผมทักทายคนที่มาใหม่ก่อนที่จะถามเขาเรื่องการเรียน เพราะว่าคริสย้ายมาอย่างกะทันหันทำให้หนังสือที่จะต้องเรียนนั้นยังไม่พร้อมในวันแรก เขาเลยต้องอาศัยอ่านกับผมไปก่อน



“ที่โรงเรียนของเราเน้นทั้งวิชาการและสันธนาการ ใครชอบอะไรก็เลือกได้อย่างอิสระเลย ว่าแต่รู้จักคำนี้หรือเปล่า สันธนาการน่ะ” ผมพูดกับเขาในช่วงพักกลางวันที่เรากำลังทานข้าวกันอยู่ ตอนนี้ผมตกเป็นจุดสนใจ ซึ่งจริงๆ เป้าหมายนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็นคนตัวสูง ผมสีน้ำตาลต่างหาก แต่ทุกสายตาก็พุ่งมาตรงนี้ ที่โต๊ะของผมกับคริส



“ซัน...สันธนาการ ใช่มั้ย” เขาลองออกเสียงครั้งแรก เหมือนมันจะเพี้ยนนิดหนึ่งก่อนที่เขาจะปรับการออกเสียงเสียใหม่



“ใช่”



“คิดว่าพอรู้จักนะ” คริสตอบแบ่งรับแบ่งสู้



“เอาจริงๆ ก็เหมือนเน้นกิจกรรมด้วย อะไรประมาณนี้ ถ้าใครชอบหรือโดดเด่นในด้านไหน ที่นี่ก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่ พอเข้าใจมั้ย”



“อืม เข้าใจ”



“อาหารการกินของที่นี่ค่อนข้างดีเลยล่ะ แต่ถ้านายไม่คุ้นหรือกินไม่ได้ ก็บอกอาจารย์คนเมื่อเช้า เขาเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเราในชั่วโมงโฮมรูม แต่ฉันอยากให้นายปรับตัว ลองกินอาหารไทย มันอร่อยนะ เชื่อฉันเถอะ”



“ไม่มีปัญหาหรอกเรื่องนั้น ฉันกินอะไรก็ได้ ชินแล้วล่ะ ต้องย้ายไปหลายประเทศ เจออาหารเยอะแยะไปหมด อีกอย่างเรื่องอาหารไทย นายไม่ต้องห่วงเลย อย่าลืมสิว่า แม่ของฉันเป็นคนไทย เธอทำอาหารไทยให้ฉันทานบ่อยๆ ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ”



“งั้นเรื่องนี้ นายคงไม่มีปัญหา” ผมยักไหล่ก่อนจะก้มหน้าตักข้าวเข้าปากต่อ และช่วงนั้นก็เหมือนเราทั้งคู่ต่างเงียบต่อกัน





บอกตามตรง จริงๆ แล้วผมไม่ใช่คนที่พูดเก่ง ผมไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่มากนัก ผมหมายถึง เพื่อนสนิทน่ะ ถึงแม้ผมจะเรียนที่นี่มาตั้งแต่มัธยมต้นก็จริง แต่เพราะผมเป็นเด็กทุน ไม่ใช่เด็กที่มีอันจะกินเหมือนกับคนอื่น ทำให้ผมคุยกับพวกเขาค่อนข้างลำบากนิดหน่อย เพราะเรามีงานอดิเรก รสนิยมหรือฐานะทางบ้านที่ไม่เหมือนกัน



ผมก็แค่เข้ามาช่วยเหลือคริสในช่วงนี้เท่านั้น หลังจากนี้เขาน่าจะมีเพื่อนใหม่และเข้ากับกลุ่มใหม่ได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก ผมหวังว่าจะเป็นแบบนั้น



“นายเป็นนักเรียนทุนใช่มั้ย” อยู่ๆ คริสก็ถามผมขึ้นมา



“ใช่ ทำไม”



“เด็กทุนนี่เป็นยากมั้ย ต้องทำอะไรบ้าง”



“จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย มันต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนถึงจะได้ทุนน่ะ”



“เช่นอะไร” คริสดูเหมือนสนใจเรื่องนี้จริงจังพอสมควร



“อย่างที่นายน่าจะพอรู้ การให้ทุนนี่มันแล้วแต่คนให้ทุนจะตั้งกฎขึ้นมาว่าจะให้ทุนเพราะอะไร อย่างที่โรงเรียนแห่งนี้น่ะ การให้ทุนเด็กนักเรียนเนี่ย นักเรียนคนนั้นจะต้องฐานะทางบ้านไม่ดี แต่เรียนเก่ง เพื่อเป็นหน้าตาของโรงเรียนว่ามีการเรียนการสอนที่ดี ที่เหมาะสมพอที่จะให้ผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ ส่งลูกหลานของตนเข้ามาเรียน”



“อย่างนั้นหรอกเหรอ”



“ใช่ และฉันก็ตรงกับวัตถุประสงค์ของการให้ทุน”



“น่าเสียดาย” คริสพึมพำออกมาเบาๆ



“น่าเสียดายอะไร เสียดายทุน หรือว่าอะไร”



“เสียดายที่ว่าฉันก็ไม่มีโอกาสได้ทุนน่ะสิ” ผมมองหน้าคริสด้วยความแปลกใจ นี่เขากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นถึงลูกฑูตที่มีฐานะดีขนาดนี้ ยังจะมานั่งเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ทุนทำไม



“หมายความว่าไง”



“ฉันอยากเป็นเด็กทุนแบบนายบ้าง มันฟังดูเจ๋งดีใช่มั้ยล่ะ เวลาครูแนะนำก็บอกว่านักเรียนคนนี้เป็นเด็กทุน อิจฉาชะมัด”



“ขอบใจนะที่นายมองว่าการเป็นเด็กทุนหรือนักเรียนทุนอะไรเนี่ยมันเจ๋งดี แต่คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกนะ เพราะนักเรียนทุนมันก็คือคนจนนั่นแหละ” ผมพูดตอบกลับไปอย่างปลงๆ ผมเองก็ไม่เข้าใจ การที่เราได้ทุนมันต้องยอดเยี่ยมสิ แต่กับสังคมของผู้ลากมากดี สังคมคนมีเงินเขากลับไม่คิดอย่างนั้น ผมก็แค่เป็นคนละกลุ่มชนชั้นกับพวกเขาเท่านั้นเอง



“นายไม่ดีใจเหรอ ที่เป็นเด็กทุน”



“ดีใจสิ อย่างน้อยฉันก็ได้เรียนที่นี่ต่อจนจบโดยไม่ต้องเสียค่าเทอม เอ้อ นายนี่พูดภาษาไทยคล่องนะ” ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง คริสเองก็พอจะจับในน้ำเสียงของผมได้ เขาเลยไม่ทักท้วงอะไรยอมเปลี่ยนเรื่องไปแต่โดยดี



“แม่ฉันสอนน่ะ ทั้งตัวท่านเองและก็จ้างครูภาษาไทยมาสอนด้วย เพราะกลัวฉันจะลืมภาษาเกิดของท่าน ตอนเด็กๆ มีแค่เรียนกับเรียน”



“ฉันว่าแม่ของนายมองการณ์ไกลดีนะ ลองนึกย้อนดูสิ พอถึงวันนี้นายเข้าใจภาษาไทยได้โดยไม่ลำบากอะไร”



“ก็ถูกของนาย ตอนนี้ฉันรู้สึกดีใจนะที่ได้เรียนภาษาไทย”



“ทำไมอะ”



“เพราะมันทำให้ฉันคุยกับนายง่ายขึ้นไง” ไม่รู้ว่าคริสหมายความว่าอะไร แต่ตอนนี้ใจผมเต้นแรงไปหมด คริสคงพูดโดยไม่ได้คิดอะไร ตามสไตล์คนต่างชาติที่พูดตรงๆ ไม่ได้คิดอะไรแอบแฝง



“เอ่อ...เหรอ ขอบใจนะ แล้วนายต้องนอนที่หอในโรงเรียนด้วยหรือเปล่า”



“เปล่า เพราะฉันย้ายมากลางชั้นปีแบบนี้ ห้องเต็มหมดแล้วล่ะ อีกอย่างคุณพ่อท่านมาขอให้ฉันนอนพักที่บ้านเป็นกรณีพิเศษ เพราะฉันต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง”



“ไม่ได้เรียนอย่างเดียวเหรอ” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย เด็กวัยนี้ต้องทำอะไร ถ้าไม่ขัดสนเรื่องเงินแล้ว ก็ไม่น่าจะติดปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ



คริสส่ายหน้าแทนคำตอบ



“ไม่ใช่เลย ฉันต้องออกงานสังคมกับที่บ้าน และเรียนรู้เรื่องงานของคุณพ่อด้วย”



“นายคงเหนื่อย”



“ก็...เหนื่อยแต่ชินแล้ว ไม่เป็นไรหรอก แล้วนายล่ะ” สีหน้าของคริสดูนิ่งไปแต่สักพักก็แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติตามเดิม



“ฉันเองก็ได้นอนที่บ้านเป็นกรณีพิเศษเหมือนกัน”



“เพราะ?”



“เพราะฉันต้องทำงานพิเศษช่วยที่บ้าน”



“ทำไมต้องทำงานพิเศษ ก็ไหนว่าเป็นนักเรียนทุน”



“ทางโรงเรียนดูแลแค่ค่าเล่าเรียนและอุปกรณ์การเรียน แต่ไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัว” ผมอธิบายให้อีกฝ่ายคลายข้อสงสัย



“อ่อ เข้าใจละ นายคงเหนื่อยเหมือนกัน”



“ขอลอกคำตอบของนายนะ เหนื่อยแต่ก็ชินแล้ว” ผมตอบพร้อมกับยิ้มกว้างไปให้เขา คำตอบของผมเป็นคำพูดที่ผมพูดมาจากใจ ผมดีใจที่ผมจะช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ได้บ้าง

     

       หลังจากนั้นเราก็ต่างคนต่างกินข้าว จนเสียงกริ่งดังเป็นสัญญาณบอกว่าหมดเวลาพักกลางวันนั่นแหละ พวกเราจึงลุกไปเข้าห้องเรียนเพื่อเตรียมเรียนวิชาถัดไป

       

    “คริส.. ตอนเย็น ฉันมีประชุมนิดหน่อย นายเรียนคนเดียวได้นะ” ผมถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเพราะวันนี้ก่อนเลิกเรียนจะมีการพูดคุยเรื่องการเรียน รด. ผมเรียนมาได้หนึ่งปีแล้ว นี่ก็เข้าสู่ปีที่สอง ปีนี้ก่อนจบหลักสูตรเราจะต้องไปเขาชนไก่ด้วย

           

          “ประชุมอะไร ฉันไปด้วยได้หรือเปล่า”



            “ไม่ได้หรอก เรื่องรด. น่ะ รู้จักมั้ย” ผมส่ายหน้าพร้อมบอกกับอีกฝ่ายไปด้วย



            “รด. ...คือ...” ทำหน้าสงสัยหนักขนาดนั้น ชัดเจนเลยว่าไม่เข้าใจ ผมเลยอธิบายให้คริสเข้าใจแบบเนื้อๆ ไม่เอาน้ำ ภายในห้านาที ไม่ขาดไม่เกิน



            “ฉันอยากเรียนรด. ด้วย”



            “นายจะเรียนทำไม คนไทยน่ะ ส่วนใหญ่แล้วเรียนเพื่อไม่ต้องเกณฑ์ทหารกันทั้งนั้นแหละ ไม่ได้อยากจะมาเป็นกองหนุน รักษาประเทศอะไรหรอก อีกอย่างนายไม่ใช่สัญชาติไทย ไม่ต้องเรียนหรอก เหนื่อยเปล่าๆ”



            “ฉันอยากเรียน ขอไปเรียนด้วยนะ”



            “มันมีฝึกตอนเย็นนะ นายจะเรียนได้ไง” ผมพูดด้วยความอ่อนใจ



            “ก็นี่แหละเหตุผลของฉัน เลิกเรียนช้า งานที่บ้านก็อาจจะได้งด แล้วก็ได้อยู่กับนายเพิ่มขึ้นไง” คำตอบแรกไม่เท่าไหร่ แต่คำตอบหลังทำเอาผมใจเต้นแรงอีกแล้ว คริส นี่นายจะพูดอะไรตรงไปแล้ว



            “ถ้านายจะเรียน นายก็ต้องเริ่มตั้งแต่ปีหนึ่งนะ รู้มั้ย คนละชั้นปีกับฉัน ตกลงมั้ย”



            “ตกลง”



            “งั้นเดี๋ยวตอนเย็นไปพร้อมกันก็ได้”



            และนั่นก็ทำให้ผมกับคริสใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น รด. ไม่ได้ฝึกทุกวัน แต่ถ้าวันไหนที่มีฝึกล่ะก็ ผมจะไม่ไปทำงานพิเศษ ส่วนคริสเองก็กลับค่ำเช่นกัน เรากินข้าวด้วยกันเสมอก่อนจะแยกกันกลับบ้านของแต่ละคน



            มันทำให้ผมรู้ว่าคริสไม่ได้สำอางอย่างรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นเลย เขาค่อนข้างจะลุยและติดดินมากกว่าที่ผมคิดอย่างไม่น่าเชื่อ จะพูดยังไงดีล่ะ เขาเป็นลูกคนมีเงิน ใช้เงินอย่างคนมีเงิน แต่ไม่ได้ฟุ่มเฟือย แต่ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเงินเท่ากับผม



            “ธัน... นายจะเรียนต่อที่ไหน” คริสถามผมขึ้นในวันหนึ่ง





=====

ตั้งใจจะให้เรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องสบายๆ ไปเรื่อยๆ
ขอฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ คริสและธัน ด้วยนะคะ

ขอบคุณค่ะ

Twitter (https://twitter.com/khemmakan) และ Facebook (https://www.facebook.com/akanae14)
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 1 , 25/02/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 26-02-2018 17:55:39
Wish 2       

   “ธัน... นายจะเรียนต่อที่ไหน” คริสถามผมขึ้นในวันหนึ่ง



            ตอนนี้เราเป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ใช่ครับ ผมกับคริส เราอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว อีกไม่กี่เดือนเราก็ต้องย้ายสถานที่เรียนเพื่อเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ไปเลือกอนาคตของตัวเองกันต่อ



            “ก็คงจะเป็นมหา’ลัย รัฐฯ สักแห่งมั้ง”



            “ทำไมต้องรัฐ?” คริสเริ่มพูดภาษาไทยเก่งขึ้นมาก คงเพราะได้ใช้ตลอดเวลาทั้งการเรียนและการใช้ในชีวิตประจำวัน



            “ก็ค่าเทอมมันถูก ยังไงก็ถูกกว่าเอกชนอยู่แล้ว”



            “จริงเหรอ”



            “ก็คงงั้นมั้ง ถึงบางที่จะเป็นระบบการจ่ายค่าเทอมแบบเหมาจ่ายก็เถอะ แต่ยังไงก็ถูกกว่าเอกชนอยู่ดี”



            “บางที่ก็พอๆ กับเอกชนเลยนะ” คริสแย้งขึ้นมา ผมถึงกับเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ

           

            “รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”



            “มีเพื่อนที่เหนียวเงินสุดๆ อย่างนาย ก็ต้องรู้ไว้บ้างสิ”



            “ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องอธิบายเพิ่มให้เมื่อยปาก” ผมกวนประสาทอีกฝ่ายกลับไป และเตรียมหดคอลงเพราะถ้าเวลากวนแบบนี้ คริสจะชอบตบหัวผม แต่ครั้งนี้ไม่เจ็บแฮะ กลับรู้สึกถึงความอ่อนโยน ผมชำเลืองมองคริส



            “ไม่ตบหัวนายแล้ว เดี๋ยวโง่ขึ้น จะมาโทษฉันเอาได้ นายต้องใช้ความฉลาดของนายนี่นา”



            “อ้อ.. ขอบใจ” แล้วผมต้องไปขอบใจคริสทำไม ขอบใจที่ไม่ตบหัวผมอย่างนั้นเหรอ ตลกจริง



            “ตกลงนายยังไม่ตอบฉัน ว่าจะเรียนต่อที่ไหน” คริสถามขึ้นอีกครั้ง ผมบอกมหาวิทยาลัยให้คริสได้รู้ เขาพยักหน้าเบาๆ ว่ารับรู้ก่อนจะถามถึงคณะที่ผมอยากเรียน



            “ฉันอยากเรียนจิตวิทยาคลินิก”



            “อะไรนะ พูดใหม่อีกที”



            “จิตวิทยาคลินิก” ผมพูดอีกครั้งแต่คริสก็ทำหน้า งง เหมือนเดิม



            “Clinical Psychology” ผมเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษ



            “อ๋อ..”



            “อ๋อ นี่รู้จักมั้ย”



            “ไม่อะ เดี๋ยวเสิร์ชแป๊ป” คริสหยิบมือถือราคาแพงรุ่นใหม่ออกมากดหาข้อมูลว่าสาขานี้คืออะไร เรียนอะไร ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคริสนี่ใช้เงินเป็น แต่ก็ใช้เงินอย่างลูกคนมีตัง เหตุผลของโทรศัพท์เครื่องนี้คือ หน้าตาและฐานะทางสังคม เป็นสิ่งที่ต้องผสมผสานอะไรหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ถ้าเจ้าตัวออกงานสังคมแล้วพกโทรศัพท์รุ่นคุณปู่คุณย่าไปใช้ล่ะก็ มันต้องมีคนไม่ชอบใจแน่ๆ และคนแรก ก็น่าจะเป็นคุณแม่ของคริส



            หนึ่งปีกว่าๆ ที่เราเรียนด้วยกันมาทำให้ผมพอจะรู้จักทางบ้านของคริสเพิ่มขึ้นว่า ที่บ้านคริสไม่ได้รังเกียจคนที่มีฐานะต่ำกว่าตัวเองหรือพูดง่ายๆ ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร แต่ในทางกลับกันที่บ้านของคริสจะค่อนข้างรักษาหน้าตา จะขายหน้าและหน้าแตกกลางงานไม่ได้ ฟังดูย้อนแย้งหน่อยๆ ใช่มั้ยล่ะครับ แต่มันก็แบบนี้แหละ ไม่มีใครหรอกที่บอกว่าไม่สนใจน่ะ



            “เจอยัง”



            “เจอแล้ว กำลังอ่านอยู่” คริสนั่งอ่านข้อความที่เขาค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ต



ผมมองเขาจากด้านข้างของเจ้าตัว ปีนี้ พวกเราตัวสูงขึ้น คริสยังสูงขึ้นได้อีก เขาสูงขึ้นอีกห้าเซนติเมตรนับตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรก จนตอนนี้เขาสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร เป็นเสาไฟฟ้าเข้าไปแล้ว และไม่รู้จะยังสูงต่อจากนี้อีกหรือเปล่า ผมแทบอยากจะเอาหัวชนกำแพงด้วยความอิจฉา



ในขณะที่ผมขยับจากปีที่แล้วมาแค่สองเซนติเมตร รวมสุทธิได้ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร ถ้วนๆ ไม่ขาดไม่เกิน แตกต่างเกินไป มันเมื่อยนะที่ต้องแหงนคอคุยกับอีกฝ่าย และคริสเหมือนรู้ตัว เขามักจะหาที่นั่งคุยทุกครั้ง ผมเดาว่าเจ้าตัวก็คงเมื่อยคอเพราะต้องก้มมาคุยกับผมเหมือนกัน



ใบหน้าของคริสมีความชัดเจนในแบบผู้ชายมากขึ้น เค้าโครงฝรั่งชัดขึ้น คริสบ่นอยู่ตลอดเวลา เขาอยากมีใบหน้าเหมือนทางแม่มากกว่า อยากมีความเอเชียมากกว่านี้ คนเรามักอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีนั่นแหละครับ มนุษย์



            “อ่านจบแล้ว เก็ทละ แล้วนี่จ้องหน้าฉันทำไม มีอะไรหรือเปล่า”



            “ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร ตกลงเข้าใจแล้วใช่ป่ะ” เพราะมัวแต่มองหน้าอีกฝ่ายนานไปหน่อย ผมเลยหันหน้ากลับมาไม่ทัน



            “อืม น่าสนใจเลย ทำไมถึงอยากเรียน”



            “ฉันอยากช่วยคน อยากเข้าใจคนมากกว่านี้ล่ะมั้ง มันอาจจะฟังดูตลกไปสักหน่อย แต่ฉันก็คิดอย่างนี้จริงๆ”



            “เปล่าสักหน่อย ไม่ตลกเลย ถ้านายอยากช่วยคนจริงๆ แล้วทำไมไม่เรียนพวกหมอ อะไรพวกนี้ไปเลยล่ะ”



            “มันนานไป ฉันรอไม่ไหวหรอก” ผมบอกอีกฝ่ายไป



            “หมายถึง..อะไร.. ยังไง..”



            “เรียนหมอน่ะ ใช้เวลาเรียนนานเกินไป ฉันไม่อยากให้แม่เหนื่อยไปมากกว่านี้แล้ว อีกอย่างค่าใช้จ่ายก็จะสูงตามมาด้วย”



            “ทำอย่างที่นายอยากทำเถอะ ทุกอย่างมันดีเสมอ” คริสปลอบใจผมอีกแล้ว เขารับการตัดสินใจของผมง่ายๆ  เขาไม่เคยห้ามถ้ามันเป็นความต้องการจากผม และไม่ทำร้ายหรือทำผิดต่อใคร



            “ขอบใจที่เข้าใจฉัน แล้วนายล่ะจะเรียนอะไร”



            “ฉันน่ะเหรอ จะไปเรียนอะไรได้นอกจากรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บ้านฉันก็เรียนได้เท่านี้แหละ” คริสพูดอย่างปลงๆ



            “แล้ว ไม่มีคณะที่อยากเรียนเลยเหรอ”



            “มีสิ”



            “คณะอะไร” ผมถามด้วยความอยากรู้



            “คณะที่นายเรียนไง”



            “อ้าวเหรอ เสียใจด้วยนะ ที่นายไม่ได้เรียน แต่ไม่เป็นไรฉันจะเรียนในส่วนนี้แทนนายล่ะกัน” ผมไม่รู้มาก่อนว่าคริสก็อยากเข้าคณะจิตวิทยาเหมือนกัน ผมตบไหล่คริสเป็นการให้กำลังใจทั้งที่หน้าตาของผมแสดงออกไปกันคนละอย่างเลย



            “เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันหมายถึง นายเรียนคณะไหน ฉันก็อยากเรียนคณะนั้น...ต่างหากล่ะ” เดดแอร์กลางอากาศไปเลย ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ชินกับคำพูดตรงๆ ของคริสแบบนี้



            “พูดเล่นอีกแล้ว เอาที่ตัวเองอยากเรียนจริงๆ สิ”



            “ไม่ได้พูดเล่น นายก็รู้ว่าฉันไม่พูดเล่น” เงียบกันจริงๆ ล่ะงานนี้



            “ฉันไปทำงานพิเศษก่อนนะ นายรอที่บ้านมารับใช่มั้ย” ผมถามพลางลุกขึ้นหยิบเป้มาสะพายไว้ที่ไหล่



            “ไม่ วันนี้ฉันว่าง ฉันจะไปกับนายด้วย”



            “คริส ตลกน่า ไปทำไม ฉันไปทำงานพิเศษ นายก็รู้นี่”



            “ก็ใช่ไง นายก็ทำงานไปสิ ฉันอยากกินเบอร์เกอร์อร่อยๆ ที่ร้านที่นายไปทำงานพิเศษไม่ได้หรือไง”



            “เออ... ได้ ถ้าจะไปก็ลุก”



            ผมมาถึงร้านที่ทำงานพิเศษก่อนเวลาเข้างานเล็กน้อย เพื่อมาเตรียมตัวเปลี่ยนชุดของทางร้าน คริสนั่งรออยู่ในร้านด้านหน้า ดูเจ้าตัวอยากจะกินเบอร์เกอร์จริงตามที่ลั่นปากบอกไว้ แต่เขาก็ยังไม่สั่งมัน ทำเพียงยืนดูเมนูอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์



            “รับอะไรดีครับ” ผมที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ออกมายืนประจำตำแหน่งตรงหน้าเคาท์เตอร์เพื่อรับออเดอร์ คริสที่ยืนรออยู่แล้ว ยิ้มให้ผมทันที



            “เอาอันนี้ อันนี้ และก็อันนี้” เขาจิ้มลงไปที่แผ่นเมนู ผมมองตามและทวนรายการที่สั่งของเขาพร้อมกับแจ้งราคาทั้งหมดที่เขาต้องจ่าย คริสก็ไม่ได้มีทีท่าอิดออดอะไร ทำตามกฎกติกาซื้อขายต่อกันได้ดี



            ช่วงหลังเลิกเรียน ลูกค้าจะเยอะเป็นพิเศษ เพราะนักเรียนมักจะมานั่งตามร้านฟาสต์ฟู้ดพวกนี้เพื่อติวหนังสือบ้าง นั่งรอผู้ปกครองบ้าง หรือนั่งคุยกับเพื่อน ผมรับออเดอร์ คิดเงินจนมือระวิง แอบมองคริสเป็นระยะ เขานั่งอยู่ตรงบาร์ที่ติดกระจก หันหน้าออกสู่ถนน เหมือนมองการสัญจรของรถยนต์ไปมา ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขายังคงโดดเด่นเสมอแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย



เริ่มเข้าสู่ช่วงค่ำแล้วผู้คนจึงเริ่มบางตา ผมเลยหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดออกไปเพื่อถูพื้น คริสยังนั่งอยู่ที่เดิมผมไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงยังไม่กลับบ้าน



            “ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่กลับบ้าน” ผมเอ่ยถามเขาตอนที่ถูพื้นบริเวณที่คริสนั่งอยู่พอดี



            “รอกลับพร้อมกับนาย”



            “รอทำไม บ้านเราอยู่กันคนละทาง” ผมแปลกใจที่เขาตอบมาแบบนั้น



            “คริส นี่นายเป็นอะไรหรือเปล่า โอเคมั้ย”



            “ฉันสบายดี สบายดีสิ นายนี่ถามอะไรแปลกๆ”



            “คำพูดนั้นมันควรจะเป็นฉันพูดมากกว่านะ นายดูแปลกไปตั้งแต่หลังเลิกเรียน”



            “ฉันแค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย แต่ตอนนี้ฉันได้คำตอบแล้ว”



            “คิดอะไร...” ผมถามคริส ผมอยากรู้แต่ไม่ได้คาดหวังคำตอบเท่าไหร่นัก เพราะบางทีคริสก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาสำหรับผม



            “เดี๋ยวค่อยบอก ตอนที่ฉันไปส่งนายที่บ้าน”



            “ตกลง” ผมรับปากอีกฝ่ายไป จะว่าไปเราไม่เคยรู้จักบ้านของกันและกัน รู้เพียงว่าอยู่คนละทาง เมื่อออกจากโรงเรียน ผมจะไปทางซ้ายและคริสจะไปทางขวาเสมอ



            ผมพาคริสขึ้นรถเมลสายหนึ่งที่ผ่านบ้านของผม ดูจากท่าทีของคริสแล้วดูเหมือนว่าเขาคงไม่เคยขึ้นรถเมลมาก่อน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรบ้าง และแน่นอนเขายังตกเป็นเป้าสายตาของคนบนรถอีกด้วย นี่ผมพาคุณชายมาลำบากหรือเปล่า



            ผมกดกริ่งในรถเพื่อเป็นสัญญาณให้คนขับรถเมลรู้ว่ามีผู้โดยสารต้องการลงรถที่ป้ายหน้า คนขับไม่ได้จอดนิ่มนวลนักแต่ก็ตรงป้ายอยู่พอสมควร นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง ผมบอกคริสให้รีบก้าวตามลงมา เดี๋ยวจะตกรถแข้งขาหักไปเสียก่อน



            “นี่ทางไปบ้านนายเหรอ” เขาถามขึ้นตอนที่เราเดินอยู่ในกลางซอยที่จะพาเราไปถึงบ้านของผม



            “ใช่”



            “ทำไมมันค่อนข้างมืดแบบนี้ ไม่คิดว่ามันดูน่ากลัวไปหน่อยเหรอ” คริสมองซ้ายมองขวาตอนที่บอกผม



            “ก็...มืดมั้ง แต่ฉันชินแล้วก็เลยไม่รู้สึกอะไร อีกอย่างฉันก็ไม่เคยเจอเรื่องไม่ดีนะ” มันก็จริง ผมเดินเข้าออกซอยนี้มาตั้งแต่เด็ก เลยไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติ



            “นายจะบอกว่าซอยนี้มันปลอดภัย”



            “ใช่”



            “ไม่น่าเชื่อ นายดูรอบๆ สิ ไม่มีตรงไหนที่จะบอกเราได้เลยว่าซอยนี้มันปลอดภัย”



            “ยังไง ฉันก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก”



            “ทั้งข้างหน้า ข้างหลัง มืดมาก เงียบมาก รถก็แทบไม่มีผ่าน ข้างๆ บ้านเรือนแต่ละหลังก็อยู่ห่างกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ตะโกนเรียกใครคงไม่มีคนได้ยิน” คริสบ่นออกมาเสียยืดยาว



            “นายคิดมากเกินไปแล้ว”



            “ฉันไม่ได้คิดมากเกินไป แต่นายนั่นล่ะ คิดน้อยเกินไป”



            “รีบเดิน ใกล้จะถึงบ้านฉันแล้ว” ผมพาคริสมาจนถึงหน้าบ้านของผม บ้านไม้หลังเก่าๆ ที่พ่อของผมทิ้งไว้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพ่อก่อนจะจากไป มองจากภายนอกแล้วมันดูเก่า แต่มันน่าอยู่ที่สุด ผมกับแม่มีความทรงจำร่วมกันมากมาย รวมไปถึงพ่อที่จากไปด้วย ผมรักบ้านหลังนี้มากที่สุด



            “บ้านนาย?”



            “อืม ที่นี่แหละ มีอะไรหรือเปล่า”



            “ไม่มี ฉันตัดสินใจแล้วนะว่าฉันจะเข้าเรียนต่อที่มหา’ลัย เดียวกับนาย”



            “เฮ้ย จริงดิ เพื่ออะไร นายต้องไปเรียนต่อที่อเมริกาไม่ใช่เหรอ”



            “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”



“ทำไม”



            “ก็ไม่มีอะไร เพราะนาย แค่นั้นแหละ” ผมมองอีกฝ่ายโดยไม่กะพริบตา ใจมันเต้นรัวตูมตาม ใจหนึ่งก็ดีใจที่เรายังได้เจอกันต่อไป แต่อีกใจหนึ่ง ผมไม่อยากให้เขาเสียโอกาสดีๆ ไป เพียงเพื่อเหตุผลนั้นคือผม



            “คริส ไม่เอาน่า นายไม่ควรทิ้งโอกาสแบบนี้ไป”



            “ฉันไม่ได้ทิ้งโอกาส ก็แค่คิดมาสักพักแล้ว อีกอย่างเรื่องเรียนมหา’ลัย ที่บ้านฉันก็อุตส่าห์ให้ทางเลือกกับฉันแล้ว ก็ขอใช้โอกาสนี้สักหน่อย”



            “ที่นายมาส่งฉัน เพราะจะบอกเรื่องนี้ใช่มั้ย”



            “อืม ก็ส่วนหนึ่ง จริงๆ ฉันก็แค่อยากจะคิดอะไรนิดหน่อย”



            “แล้วนี่นายจะกลับยังไง ให้ฉันไปส่งมั้ย” ผมถามเขาเพราะคริสดูไม่เหมาะกับที่ทางแถวนี้เลย



            “ไม่เป็นไร ฉันส่งข้อความบอกคนที่บ้านให้มารับแล้ว อีกสักพักก็คงมาถึง”



            “เข้าไปรอในบ้านก่อนมั้ย” ผมเอ่ยชวนตามตำราเจ้าบ้านที่ดี



            “ลำบากนายหรือเปล่า”



            “ที่พูดเนี่ย เกรงใจจริงหรือเล่นละคร” คริสไม่ได้นิสัยดีขนาดนั้นครับ อย่าไปหลงหน้าตาของหมอนี่เลย



            “รู้ทัน” ผมไขกุญแจบ้าน ก่อนจะพาคริสเข้าไปข้างใน



            “นั่งตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันเอาน้ำมาให้” ผมชี้มือให้คริสไปนั่งตรงโซฟาที่มีอายุไม่น้อยแล้วแต่สภาพมันก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ ถึงแม้จะมีการซ่อมบูรณะไปหลายครั้งแล้วก็ตาม



            “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่หิว”



            “ตามใจนาย”



            “บ้านนายน่าอยู่ดีนะ” คริสมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะพูดออกมา




            “ขอบใจ มันก็ธรรมดาเหมือนบ้านทั่วๆ ไปนั่นแหละ”



            “น่าอยู่ในที่นี้หมายถึงมันดูเหมือนบ้านน่ะ ไม่ใช่ห้องตัวอย่าง อะไรแบบนี้”



            “พูดแปลกๆ บ้านนายไม่เหมือนกันหรือไง”



            “ก็ไม่เชิง คือบ้านฉันต้องเนี้ยบพร้อมรับแขกตลอดเวลาไง”



            “เอ่อ..อันนี้ไม่รู้แฮะ” ผมพูดจากใจจริงเพราะไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ว่ามันต้องเป็นลักษณะ พูดคุยกันอยู่อีกสักพักไม่นานก็ได้ยินรถแล่นเข้ามา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารถคันนี้มาบ้านไหน เพราะคนแถวนี้แทบจะไม่มีรถยนต์ส่วนบุคคลใช้กัน ไม่ใช่อะไร แต่เพราะซอยนี้ค่อนข้างแคบ รถเข้าออกไม่ค่อยสะดวก



            “ฉันต้องไปแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ที่โรงเรียน”



            “อืม บาย กลับดีๆ ล่ะ อ้อ ขับตรงไปเลยนะ ซอยนี้มันทะลุกับถนนอีกฝั่งได้ น่าจะสะดวกกว่ากลับรถเพราะซอยมันแคบ”



            “ได้ ขอบใจมาก ฉันไปล่ะ”



            ปีนี้ผมก็มาค่ายเขาชนไก่สำหรับชั้นปีที่สามอีกครั้ง และคริสก็ได้มาที่นี่ครั้งแรกในฐานะชั้นปีที่สอง ในการเข้าฐานนั้นเราต้องเข้าฐานแยกกันตามชั้นปี การเข้าค่ายของผมในครั้งนี้คือทั้งหมด ห้าวันสี่คืน แต่สำหรับคริสนั้น สามวันสองคืน นั่นก็คือคริสจะกลับกรุงเทพก่อนผมนั่นเอง



            สำหรับวันแรกไม่มีอะไรมากครับ ยังไม่ลงฐานที่ต้องหนักหรือหนักจนเกินไป น่าจะเรียกว่าวอร์มอัพหรือเตรียมตัวเพื่ออุ่นเครื่องรอรับของจริงในวันรุ่งขึ้น ตอนที่รอเรียกรวมเวลาเข้าแถวเราจะนั่งแยกตามชั้นปีเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าคริสจะนั่งอยู่ตรงไหนผมก็เห็นเขาเสมอ หน้าตาเขามอมแมมด้วยฝุ่นแต่ก็ยังดูดี ยังน่ามองเหมือนเดิม



            ในคืนแรก ผมกับคริสได้นอนข้างกันครับ และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้อยู่ด้วยกันข้ามคืน วันที่สองผมบอกคริสว่าวันนี้ผมต้องฝึกหนักกว่าวันแรกค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นการปีนกำแพง ต่างระดับ ทั้งสองฟุต หกฟุต และแปดฟุต แบบสุดท้ายนี่ต้องต่อตัวกันเลยทีเดียว และยังมีกระโดดผา วิ่งข้ามคู และอื่นๆ อีกมากมาย คริสฟังก็บอกว่าหนักหน่วงจริงๆ แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าผมจะต้องผ่านมันไปได้แน่



            “เป็นไงบ้าง วันที่สอง” ผมถามคริสเสียงเบาเพราะหลังจากสวดมนต์ทุกคนก็เหมือนหลับลงอย่างรวดเร็วตามความเหนื่อยล้า



            “สบาย” คริสพูดติดตลก ก่อนจะคลีผ้าห่มเตรียมนอน ผมก็นอนลงข้างคริสเช่นกัน



            “อ่อนหรือเปล่า” ผมแซวอีกฝ่าย ได้ผลตอบแทนคือการถูกเขกหัวเบาๆ หนึ่งที



            “อย่างฉันเนี่ยนะ ดูถูกกันเหรอ” คริสไม่ยอมถูกใส่ร้าย



            “ฉันรู้ว่านายไหว ก็แค่แซว”



            “แล้วนายเป็นไงบ้าง”



            “ก็ยังพอไหว แต่พรุ่งนี้หนักหน่อย”



            “ทำไมอะ”



            “พรุ่งนี้ต้องไปนอนนอกกองพัน ต้องพกปืนไปตลอดการเดินทาง นอนเตนท์ ทำอาหารกินเอง ซ้อมเข้าตีในทุ่งหญ้า ไปฝึกที่สนามจริง ฝึกเข้าตี ฝึกตั้งรับ เรียกว่าเห็นของจริงกันเลยแหละงานนี้ กว่าจะกลับก็มะรืนเย็นๆ เลย” เพราะต้องกระซิบเสียงเบา คำพูดของผมเลยต้องแบ่งวรรคเป็นช่วงๆ กว่าจะพูดจบก็รู้สึกได้ว่าเหนื่อยเหมือนกันแฮะ



            “ยังโอเคนะ”



            “ระดับนี้ โอเคอยู่แล้ว”



            “ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยล่ะ” คริสเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ แค่นั้นก็พอที่จะทำให้ใจผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอกแล้ว



            “ขอบใจ นายก็เหมือนกัน พรุ่งนี้กลับบ้านดีๆ ล่ะ”



            “ฉันเป็นห่วงนายมากนะ รู้ใช่มั้ย ธัน” ศรธนูปักอกฉึบเลยครับ ตอนนี้หัวใจผมกำลังจะหยุดเต้น ผมมองคริส และน่าแปลกที่ครั้งนี้คริสก็สบตากับผมไม่หลบตาไปที่ไหน ทั้งที่ปกติแล้วคริสจะพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าผมเลยด้วยซ้ำ



            “รู้แล้วน่า” ผมตั้งใจจะหันหน้าไปที่อื่น แต่มือที่ลูบหัวผมอยู่เมื่อสักครู่นี้กลับตรึงหน้าของผมไม่ให้หันไปที่อื่น



            ผมเบิกตากว้างขึ้น เมื่อภาพตรงหน้าพร่ามัวยามที่คริสก้มหน้าเข้ามาใกล้



            เราจูบกัน



            ใช่ครับ ผมกับคริสจูบกัน



            ไม่ว่าจูบนั้นจะเป็นจูบแรกของคริสหรือไม่



แต่มันเป็นจูบแรกของผม





            และของเรา...


====================================


Twitter (https://twitter.com/khemmakan) และ Facebook (https://www.facebook.com/akanae14)
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 1 , 25/02/2018
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 26-02-2018 18:54:57
น่าสน
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 2, 26/02/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-02-2018 16:39:24
Wish 3


         

แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวเรือไปซื้อข้าวแตน แจวเรือไปซื้อข้าวแตน



คนไม่มีแฟนลุกขึ้นมาแจว!!







            เฮ ... เฮ .... กรี๊ดดด .... กรี๊ดดดดด



            เสียงเพลงเชียร์และกลองดังกึกก้องไปทั่วมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการต้อนรับนักศึกษาปีที่หนึ่ง หรือเฟรชชี่ ที่เราเรียกๆ กัน ผมนั่งดูเพื่อนที่กำลังลุกขึ้นแจวด้วยความสนุกสนาน ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยกำลังเริ่มต้น



            “นี่ นาย ..​ธันใช่มั้ย..” คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าหันมาหาผมเสียงดังเพราะแข่งกับเสียงกลองและดนตรีข้างหน้าก่อนจะอ่านป้ายชื่อและเรียกชื่อผมออกมา



            “ใช่ นาย..ก็ นัท” ผมตะโกนตอบอีกฝ่ายกลับไป



            “ใช่ นัท..ธราดล ไม่ลุกขึ้นเต้นเหรอ หรือนายมีแฟนแล้ว”



            “ไม่เต้นหรอก เขินอะ อีกอย่างเราชอบดูมากกว่า ทุกคนดูสนุกกันมาก”



            “มาขง มาเขินอะไรเนี่ย รับน้องทั้งที ต้องให้สนุกสิ เดี๋ยวก็หมดช่วงสนุกแล้ว”



            “ทำไมล่ะ ก็อันนี้เขาเรียกว่าออเดิร์ฟ สนุกไว้ก่อน เดี๋ยวตอนที่พี่ระเบียบมา ก็ต้องอยู่ในความสงบแล้ว”



            “อ๋อ..จริงด้วย” ผมก็พอรู้มาบ้างว่าการรับน้องนั้นมีหลายแบบ ทั้งเรื่องรับน้องจากพี่ๆ สันธนาการ หรือรับน้องจากพี่ระเบียบหรือที่เราชอบเรียกว่าพี่ว้ากนั่นแหละครับ





แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวเรือไปซื้อแมงลัก แจวเรือไปซื้อแมงลัก



ขอเชิญคนน่ารัก ลุกขึ้นมาแจว!!






เฮ ... เฮ .... กรี๊ดดด .... กรี๊ดดดดด





“ลุกเร็ว” นัทดึงแขนผมให้ลุกขึ้น



“เฮ้ย ไม่อะ เขาให้คนน่ารักเต้น” ผมขืนตัวเอาไว้เพราะอายจริงๆ ถ้าเป็นคริส หมอนั่นคงไม่ลังเลที่จะลุกขึ้นเต้นเลยแม้แต่น้อย แล้วผมก็คงไม่พ้นเงื้อมือของคริสให้ลุกขึ้นเต้นไปด้วยแน่ๆ นึกถึงอีกฝ่ายแล้วก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ ทางนั้นจะเป็นยังไงบ้าง



“อะไรเล่า แบบนี้แหละใช่ที่สุดแล้ว” นัทออกแรงดึงผมอีกครั้ง และครั้งนี้ผมมัวแต่ใจลอยคิดถึงคนทางฝั่งรัฐศาสตร์อยู่เลยสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้



“เฮ้ยยย”



“เอาดิ เต้นเลยไม่ต้องอาย” นัทเต้นก่อน ผมมองไปรอบๆ ไม่มีใครสักคนที่มาสนใจผม ทุกคนกำลังสนุกในเพลงของตัวเอง ผมเลยกล้าที่จะเต้นกับเพื่อนใหม่ที่ชื่อนัท แล้วก็ค้นพบว่ามันสนุกจริงๆ



 “นายไปไหนต่ออะ” นัทถามหลังขึ้นหลังจากที่การรับน้องในวันแรกสิ้นสุดลงแล้ว



“อาจจะไปคณะรัฐศาสตร์ มันไกลจากคณะเรามั้ย นายพอรู้หรือเปล่า” ผมถามนัทด้วยความไม่แน่ใจนัก เพราะอีกฝ่ายก็เพิ่งเข้ามาเรียนพร้อมผมเหมือนกัน



“อืม..ก็ไกลนะ อยู่คนละฝั่งของคณะเราเลยล่ะ แล้วไปทำไมที่นั่นอะ มีเพื่อนเรียนอยู่ที่นั่นเหรอ”



“ใช่”



“เอางี้มั้ย เดี๋ยวฉันขับไปส่งละกัน รถจอดอยู่ตรงนี้เอง หรือว่านายก็มีขับรถมาเหมือนกัน” เอาแล้วไงล่ะ ผมยังหนีไม่พ้นกับลูกคนอันจะมีกิน ผมไม่ได้อคติกับคนมีตังนะครับ แต่แค่กลัวเขาจะรับที่ผมไม่มีตังไม่ได้มากกว่า



“ไม่มีหรอก บ้านฉันไม่มีเงินขนาดนั้น ถ้านายไม่รังเกียจก็ช่วยไปส่งที่นั่นหน่อยได้มั้ย”




“รังก่ง..รังเกียจอะไรล่ะ บ้าจริงๆ นายเนี่ย เพื่อนกันเว้ย มาๆ ขึ้นรถเดี๋ยวไปส่ง”



“ขอบใจที่มาส่ง” ผมบอกนัทตอนที่รถจอดสนิทอยู่หน้าคณะรัฐศาสตร์



“เออ เรื่องเล็ก แล้วนี่จะยังไงให้รอมั้ย”



“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวฉันกลับเอง ขอบใจนะ”



“อืม ไปละ” ผมรอจนนัทขับรถเคลื่อนตัวออกไปจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในคณะนี้ ผมได้ยินเสียงกลองและเสียงเพลงดังอยู่ภายใน คาดว่ากิจกรรมยังคงดำเนินต่อไม่จบ ผมเลยเลือกม้าหินอ่อนใกล้ๆ แล้วเลือกนั่งรออยู่ที่นี่



“รอนานมั้ย” ผมรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงคริสดังขึ้นข้างตัว



“ไม่นาน” ผมยิ้มให้เมื่ออีกฝ่ายลงนั่งฝั่งตรงข้าม



“เป็งไงบ้าง วันแรก”



“ก็ดีนะ สนุกดี นายล่ะ”



“น่าเบื่อ” คริสบ่นเซ็งๆ



“ทำไมล่ะ ฉันได้ยินเสียงเพลง ฟังดูครึกครื้น”



“ไม่รู้จริงๆ เหรอ ที่ไม่สนุกเพราะไม่มีนายไง”



“แล้วจะกลับเลยหรือเปล่า” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย พูดต่อมีแต่จะเข้าตัว



“เปลี่ยนเรื่อง?... นี่เขินหรือไง ไม่เอาน่า” คริสถามพลางยื่นมือมาปัดปอยผมข้างหน้าให้ผม





“เปล่าเว้ย สรุปจะกลับเลยหรือเปล่า” ผมปัดมือคริสออกไม่จริงจังนัก



“เขินจริงๆ ด้วย ไม่แกล้งแล้ว ฉันยังไม่กลับหรอก อยู่กินข้าวกับนายก่อน เดี๋ยวค่อยกลับ หรือนายจะไปค้างที่ห้องฉัน ไปมั้ย” คริสมองผมด้วยดวงตาสุกสกาว เปล่งกระจาย แต่ดูมีเลศนัย ไม่น่าไว้วางใจเลยจริงๆ แล้วเรื่องอะไร ผมจะพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในสถานการณ์แบบนั้น



“ไม่อะ” ผมปฏิเสธออกไป คริสหน้าม่อยลงนิดหน่อยเพราะความผิดหวัง แต่เขาควรจะเข้าใจผมนะ หลังจากที่เราไปรด. ด้วยกันไม่กี่เดือนก่อน ผมกับคริสก็ไม่มีโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันทั้งคืนอีกเลย



“ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ฉันอยากบอกให้นายรู้ไว้ว่าฉันอยากอยู่กับนายนะ ไปกินข้าวกันเถอะเดี๋ยวไปส่งที่หอ” คริสพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปตรงลานจอดรถ



ส่วนผมอะเหรอ ยังนั่งจมอยู่กับสภาวะกลายเป็นหินอยู่อย่างนั้นเองครับ จนได้ยินเสียงคริสเรียกขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงค่อยๆ เก็บสติที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาได้



“ไปแล้วๆ”



เรานั่งรถออกไป กินข้าวแถวๆ หน้ามหาวิทยาลัยนั่นแหละครับ ปีนี้คริสขับรถมาเรียนเองแล้ว ด้วยเหตุผลที่ง่ายๆ คือความสะดวก เพราะมหาวิทยาลัยของเราไม่ได้อยู่ใกล้กับที่บ้านเหมือนก่อน ผมเองยังต้องพักอยู่ที่หอในมหาวิทยาลัยด้วยเลย และแน่นอน เราไม่พักด้วยกันหรอกครับ ผมว่าเราควรมีระยะให้กันบ้าง



“อยากกินอะไร” คริสถามขึ้นเมื่อเราเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ผมท้วงไปตั้งแต่ทีแรก เพราะดูแล้วราคาอาหารในร้านน่าจะมีราคาแพง แต่คริสไม่ยอมและยืนกรานว่าเขาอยากกินร้านนี้ และแน่นอน เจ้าตัวไม่ยอมให้ผมจ่ายเองแน่ๆ สารพัดจะข้ออ้างให้กับผม จนผมอ่อนใจที่จะปฏิเสธ ผมเลยตกลงแล้วบอกอีกฝ่ายว่า ผมจะขอจ่ายในส่วนของผมด้วย ถึงจะไม่มากก็ตาม



“ไม่รู้อะ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ นายเลือกเลย”



“ได้” แล้วคริสก็เริ่มสั่งอาหารทันที แล้วดูเหมือนมันจะมากเกินที่คนสองคนจะกินแล้ว ผมจึงต้องท้วงอีกฝ่ายออกไป คริสหัวเราะและบอกว่าลืมตัวเพราะตอนนี้เขากำลังหิวมาก



“สรุปไม่ไปนอนที่ห้องฉันจริงๆ อะ” จู่ๆ คริสก็ถามขึ้นอีกครั้งตอนที่มาส่งผมถึงประตูหน้าหอพักแล้ว



ผมรู้ว่าคริสกำลังรอให้ผมเปลี่ยนใจ แต่ผมอยากไม่พร้อมสักเท่าไหร่ จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงแม้เราจะไม่เคยพูดถึงเรื่องสถานะระหว่างเรา แต่สำหรับผมแล้วทุกอย่างที่คริสทำนั้นก็ชัดเจนเพียงพอแล้ว ผมเองก็พอรู้มาบ้างว่าผู้ชายสองคนถ้าอยู่ด้วยกันนั้นไฟมันติดกันง่ายแค่ไหน ผมยังไม่พร้อมจะเสี่ยงเรื่องนั้น



ไม่ใช่ว่าอยากจะแกล้งคริสหรอกแต่ผมก็รักและเป็นห่วงตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวันนั้นที่เราไปค่ายเขาชนไก่ด้วยกัน ตอนที่อาบน้ำนั้น สาบานเถอะว่าผมไม่ได้ทะลึ่งคิดไม่ดีกับคริสนะ แต่สายตาของผมมันเหลือบไปเห็นเอง ผมไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ แต่มันก็เห็นไปแล้ว



ตอนที่เราอาบน้ำด้วยกัน ใช่ ก็อาบน้ำด้วยกันพร้อมกับคนอื่นในค่ายนั่นแหละครับ อย่างที่ทุกคนรู้ว่าคริสนั้นได้ความเป็นฝรั่งมาเต็มตัว แต่ผมก็ไม่คิดว่าเขาได้ไซส์ฝรั่งมาจากตะวันตกด้วยน่ะสิ ผมก้มมองไซส์เอเชียชาวไทยของผมแล้ว ก็อยากจะมุดแผ่นดินหนี



นั่นล่ะครับ ผมแค่อยากจะประวิงเวลา หรือถ่วงเวลาเอาไว้ให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ขอผมทำใจหน่อยนะครับ



“ไม่อะ แล้วนี่ก็มาถึงหอแล้ว อีกอย่างฉันอยากเตรียมตัวเรียนสำหรับพรุ่งนี้ด้วย”



“โอเค เข้าใจแล้ว” คริสหน้างอเช่นเดิม โดนขัดใจก็แบบนี้ล่ะครับ



“ไม่เอาน่า อย่าโกรธเลย ตัวก็โต หัวก็ไม่ล้าน แต่ขี้น้อยใจแฮะ” ผมยีหัวคริสเล่นด้วยความเอ็นดูและหน้าตาเง้างอดที่มันช่างไม่เข้ากับหน้าตาของตัวเองเลย



“ถ้าอย่างนั้นขอมัดจำก่อนได้มั้ย”



“มัดจำ...อะไร”





ไม่ทันได้สงสัยนาน คริสก็คว้าคอผมเข้าไปใกล้กับเจ้าตัว ใบหน้าคมโน้มเข้าหาผมเช่นกัน ลมหายใจของคริสที่ผมสัมผัสได้ ผมแทบจะลืมหายใจตอนที่คริสประกบปากลงมา



เราจูบกันอีกครั้ง



แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่การจูบแบบเด็กอนุบาลทั่วไปอีกแล้ว คริสทำมากกว่านั้น คริสเลียริมฝีปากของผม ก่อนที่เขากัดริมฝีปากล่างผมเบาๆ เพื่อให้ผมเปิดปากมากกว่านี้ก่อนที่เจ้าตัวจะสอดลิ้นเข้ามาในปากของผม ตอนนี้ผมไม่รู้จะต้องทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า เพราะผมไม่เป็นเอาซะเลย ผมไม่รู้จะต้องเอาลิ้นไปไว้ตรงไหนในปาก ดูมันเกะกะผิดที่ผิดทางไปหมด



และในช่วงที่ผมกำลังจะขาดอากาศหายใจ คริสก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมหายใจเข้าเต็มปอด และเมื่อผมกำลังจะปรับการหายใจได้เป็นปกติ คริสก็เริ่มจูบผมอีกครั้ง



และอีกครั้ง



“มัดจำแค่นี้ก่อนละกัน ให้ตายเถอะ ฉันอยากทำกับนายมากกว่านี้” คริสสบถออกมาเบาๆ ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะกำลังสูบลมหายใจเข้าปอดอยู่



“แค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว”



“ไม่หรอกธัน ไม่เลยแค่นี้สำหรับนายมันเล็กน้อยมาก นายทำได้มากกว่านี้ ฉันรู้” ผมมองหน้าคริสแบบว่า งง ไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวกำลังจะบอกอะไร



“หมายความว่าไง”



“วันหน้านายก็จะรู้เองนั่นแหละ เอ้า ไม่รีบเข้าหอเหรอ ถ้างั้นไปห้องฉันมั้ย”



“คริส นายนี่มันกวนจริงๆ” ผมกล่าวโทษอีกฝ่าย แล้วรีบเปิดประตูลงจากรถก่อนที่สถานการณ์จะหนักหนาไปมากกว่านี้



“ฝันดีนะ แล้วก็ฝันถึงฉันด้วยล่ะ ธันวา” คริสลดกระจกลงมาตอนที่ผมเดินผ่าน แล้วทิ้งคำพูดไว้ให้ผมหน้าร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก นี่เขากำลังทำอะไรกับผมกันแน่



ผมปรับอารมณ์กับตัวเองอยู่นานกว่าจะตัดสินใจไขกุญแจเข้าห้องพัก ผมเห็นเตียงฝั่งตรงข้ามมีร่องรอยว่าเจ้าของเตียงคงกลับมาแล้ว หอพักที่นี่จะพักสองคนต่อหนึ่งห้องครับ ผมได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ คาดว่าเจ้าตัวคงกำลังอาบน้ำอยู่ เดี๋ยวผมต้องทักทายเพื่อนร่วมห้องเสียหน่อย ถ้าได้รูมเมทดีก็จะมีชัยไปกว่าครึ่ง และผมก็หวังว่าผมจะโชคดี



“สวัสดี ฉันชื่อธัน ... เฮ้ย นัท” ผมทักทายคนที่เพิ่งเปิดประตูห้องน้ำออกมา แต่ก็ต้องประหลาดใจเพราะคนที่ออกมานั้นกลับกลายเป็นเพื่อนใหม่ที่ชวนผมเต้นและขับรถไปส่งผมที่คณะของคริส



“เออ โลกกลมเป็นบ้า ไม่คิดว่าจะเป็นนาย”



“เหมือนกัน”



“แนะนำตัวอีกครั้งแล้วกัน ฉันชื่อ ธราดล หรือ นัท ยินดีที่ได้รู้จัก” นัทยื่นมือออกมา



“ฉันชื่อธันวา หรือ ธัน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” ผมตอบอีกฝ่ายและยื่นมืออกไปจับมือคนตรงหน้า เขย่ามือทักทายตามะรรมเนียม สองสามครั้ง ก่อนที่จะปล่อยมือออก



“ฉันไม่ใช่คนเรื่องมากสักเท่าไหร่ ถ้ามีอะไรที่ฉันทำไม่ถูกใจนาย ก็บอกด้วยแล้วกัน หวังว่าเราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”



“เช่นกัน ถ้าฉันทำอะไรไม่ดี ก็บอกฉันด้วยนะ”



“แน่นอน” นัทพยักหน้ารับคำ





หลังจากนั้นนอกจากคริสแล้ว ผมก็เรียกว่านัทเป็นเพื่อนสนิทของผมอีกคนเหมือนกัน ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับนัทมากกว่ากับคริสเพราะคริสนั้นเรียนคนละคณะ เวลาที่เราจะเจอกันได้ก็มีแค่หลังเลิกเรียน และวันหยุด ซึ่งวันหยุดนั้นทั้งผมและคริสก็มักจะกลับบ้าน ผมเองกลับไปอยู่กับแม่ ส่วนคริสก็เช่นเดียวกัน เขาต้องกลับไปอยู่ครอบครัวและทำงานในส่วนของครอบครัว อย่างที่เคยเป็นมาตั้งแต่แรก ยิ่งทำให้เวลาของผมและคริสเจอกันน้อยลงเข้าไปอีก แต่เรายังโทรหากันหรือส่งข้อความหากันทุกครั้งที่จะมีเวลาว่าง





คริสเจอกับนัทอยู่หลายครั้ง ในคราวแรกคริสดูไม่ค่อยพอใจที่ผมสนิทกับนัทสักเท่าไหร่ เรามีปากเสียงกันบ้าง แต่เจ้าตัวก็ไม่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร แต่พอหลังจากขึ้นปีสอง คริสดูเหมือนจะเข้าใจความสัมพันธ์ของผมกับนัทได้ดีขึ้น เขาไม่ค่อยบ่นหรือโวยวายที่รู้ว่าผมอยู่กับนัทอีกต่อไป นั่นก็สร้างความแปลกใจให้ผมอยู่ไม่น้อย แต่ผมเลือกที่จะไม่ถามเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมในเวลานี้แล้ว





แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวเรือไปซื้อข้าวแตน แจวเรือไปซื้อข้าวแตน



คนไม่มีแฟนลุกขึ้นมาแจว!!




            เฮ ... เฮ .... กรี๊ดดด .... กรี๊ดดดดด



            เสียงเพลงเชียร์และกลองดังกึกก้องไปทั่วมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการต้อนรับนักศึกษาปีที่หนึ่ง เหมือนที่ผมได้สัมผัสเมื่อปีที่แล้ว ขอให้น้องๆ ที่เข้ามาในปีนี้ มีความสุขในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เช่นเดียวกับผมรู้สึกนะ



แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวมาแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึก นึกถึงคนแจว



แจวเรือไปซื้อแมงลัก แจวเรือไปซื้อแมงลัก



ขอเชิญคนน่ารัก ลุกขึ้นมาแจว!!




“เพลงเดิมเป๊ะๆ เหมือนปีเราเลย” นัทตะโกนเสียงดังอยู่ข้างตัวผม



“เออ คิดใหม่ทุกปี มันก็ต้องหมดมุกบ้างและวะ” ผมสนิทกับนัทขึ้นมาก เรียกได้ว่าเพื่อนซี้ได้เต็มปากเลยทีเดียว คำพูดบางทีก็ติดมึงมาพาโวย พ่อขุนรามมาบ้าง แรกๆ ผมก็ไม่ชิน แต่ตอนนี้ก็รู้สึกแปลกดี





ส่วนคริส ผมก็ยังพูดกับเขาเหมือนเดิม แต่ความสนิทของเราไม่ได้ลดลง ผมยังถูกทวงมัดจำอยู่เรื่อยๆ และก็ชินกับพฤติกรรมนี้ของคริสแล้วเช่นกัน และฝีมือก็ย่อมพัฒนาตามกาลเวลาไปด้วย ตอนนี้ผมไม่ขาดอากาศหายใจระหว่างทางแล้วนะครับ



“วันนี้มีนัดกับคริสป่ะ” นัทถามขึ้นตอนที่เราทั้งคู่เดินออกมาจากเสียงอึกกระทึกนั้น



“วันนี้คริสมีนัดเลี้ยงกับสายรหัสที่ร้านแถวๆ หน้ามอ”




“ก็แสดงว่าวันนี้ว่างอะดิ ไปดูหนังกัน”



“ยังพูดไม่จบเลย ไม่มีนัดก็จริง แต่งานนี้ขอผ่านก่อนว่ะ ไปไม่ได้ คริสให้ฉันไปรอรับตอนงานเลิก สายนี้กินเหล้ายังกับอาบ อะไรจะโหดขนาดนั้น” ผมบ่น ก่อนนี้คริสยังเปรียบเสมือนผ้าขาว น้อยครั้งที่แอลกอฮอลจะผ่านลำคอ เวลาไปงาน เจ้าตัวบอกก็จะถือแชมเปญไว้ไม่ให้มือว่างตลอดงาน จิบนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นพิธี แล้วดูตอนนี้สิ ผมได้แต่ส่ายหัวเบาๆ



“ปกติก็กลับเองได้นี่หว่า”



“อืมใช่ แต่ครั้งนี้เหมือนว่ารุ่นพี่เขาจะไปต่อกัน แต่คริสมีงานตอนเช้าเลยจะขอกลับก่อน ก็เลยไม่มีคนมาส่งน่ะ”



“ฟังดูแปลกๆ อยู่นะ” นัททำหน้าตาไม่เชื่อกับสิ่งที่ผมบอก



“อะไรแปลก”



“เหอะ ฉันว่าครั้งนี้มันเป็นแผนการว่ะ เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ”



“อะไรวะ” ผมทวนซ้ำด้วยความไม่เข้าใจ แต่นัทไม่ตอบกลับยิ้มให้ผมและเดินนำไปที่รถของเจ้าตัว



“แล้วนายจะไปรับรายนั้นยังไง หรือแทกซี่ งั้นเอารถฉันไปมั้ย”



“เปล่า คริสให้กุญแจรถไว้กับฉัน” ผมชูกุญแจให้อีกฝ่ายดู





ช่วงปีที่แล้วหลังจากที่คริสได้รถมาใช้ เจ้าตัวก็ขอให้ผมไปเรียนขับรถเตรียมไว้เผื่อสถานการณ์ต่างๆ ตอนแรกผมก็เลือกที่จะไม่เรียน เพราะไม่เห็นมีความจำเป็นต้องขับรถเป็น อีกอย่างผมเองก็ไม่มีรถใช้ด้วย แต่พอบอกเรื่องนี้กับนัทไป นัทกลับเห็นด้วยและบอกว่าผมควรไปเรียนซะ สองเสียงชนะหนึ่งเสียง ผมเลยไปเรียนให้จบๆ ไป



หลังจากได้ใบขับขี่มา ทั้งคริสและนัทพยายามให้ผมขับรถหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุผลว่าจะได้ไม่ตื่นถนนและไม่ลืมวิชาที่เรียนมาก่อน ถึงตอนนี้ผมก็คล่องพอที่จะขับได้แล้ว ว่าไปแล้วก็ต้องนึกขอบคุณสองคนนั้น ที่คอยเจ้ากี้เจ้าการให้ผมทำนั่นทำนี่





เดี๋ยวนะ ผมรู้สึกขอบคุณพวกเขาจริงๆ ถึงจะฟังดูประชดประชัดไปหน่อยก็เถอะ



“เตรียมการณ์มาอย่างดี หึ เอาล่ะ งั้นฉันไปดูหนังก่อนละกัน ขอให้มีความสุขละกัน” นัทโบกมือลาผมแล้วเจ้าตัวก็ขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมยืนงงในดงน้องปีหนึ่งอยู่อย่างนั้นต่อไป



ใกล้เที่ยงคืนผมขับรถไปจอดเยื้องทางเข้าร้าน เมื่อจอดรถเสร็จเรียบร้อย ผมมองเข้าไปในร้านก็เห็นกลุ่มคริสกำลังชนแก้วอยู่กันอย่างเมามัน เพราะคืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ และวันเสาร์ไม่มีเรียน วันนี้ผมเลยโทรบอกแม่ว่าจะกลับเช้าวันเสาร์แทนเพราะต้องอยู่รอรับคริส แม่ไม่ว่าอะไรนอกจากบอกให้ผมขับรถระวังๆ





ผมส่งข้อความไปหาคริส บอกเขาว่าตอนนี้ผมมาถึงร้านแล้ว และนั่งรออยู่ในรถ ถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่ก็ออกมาได้เลย ผมจะได้ขับรถไปส่งเขาที่ห้อง ผมมองเข้าไปข้างในอีกครั้ง เห็นเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาอ่าน ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ของผมบ้าง ข้อความของผมถูกอ่านแล้ว ผมรอสักพักไม่นานคริสก็เดินออกมาจากร้าน





“ขอโทษทีที่ออกมาช้า” คริสพูดขึ้นเป็นคำแรกทันทีที่เข้ามานั่งในรถ



“ไม่เป็นไร รอแปปเดียวเอง ไม่นานเลย” ผมตอบกลับไป ไม่ได้ตอบเอาใจนะครับ แต่มันไม่นานจริงๆ ไม่น่าเกินสิบห้านาทีด้วยซ้ำ



“งั้นไปกันเถอะ จำทางได้มั้ย” ผมไม่เคยเข้าไปในห้องของคริสก็จริง แต่เคยไปที่นี่หลายครั้งเวลาที่คริสแวะเอาของขึ้นไปเก็บ หรือลืมของบนห้อง เพราะฉะนั้นเส้นทางเลยไม่เป็นปัญหา



“จำได้”



“อืม” คริสตอบแค่นั้นก็หลับตาลง



ผมได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังเข้าออกสม่ำเสมอ เข้าใจว่าเขาน่าจะหลับไปแล้ว ผมจึงค่อยๆ ขับรถออกไป พยายามให้กระเทือนน้อยที่สุด



รถนิ่งสนิทอีกครั้งเมื่อถึงที่หมาย ผมหันไปมองคริสที่ยังหลับอยู่ ใจจริงผมอยากจะพาเขาขึ้นไปบนห้องโดยไม่ปลุกการนอนของเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอก คริสตัวสูงใหญ่กว่าผมเกินไป แค่ช่วงที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ผมยังแทบจะสู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนที่ไม่มีสติ แรงโน้มถ่วงของโลกยิ่งทำงานดีเกินกว่าปกติอีกหลายเท่านัก



“คริส..คริส.. ตื่นเถอะ ถึงแล้ว”



“อืม ถึงแล้วเหรอ”



“ใช่ เดินไปที่ห้องเองไหวมั้ย” ผมถามเขา เพราะตอนที่คริสออกมาจากร้านดูเหมือนเขาจะไม่เมามากอย่างที่ผมคิด คริสค่อนข้างเดินตรงทางอยู่พอสมควร แต่พูดก็พูดเถอะ ผมไม่เคยเห็นสภาพคริสเมาเลยสักครั้งว่าเป็นยังไง ได้ยินแต่กิตติศัพท์ถึงคอเหล้าของคณะนี้อย่างเดียว เลยไม่แน่ใจว่าตอนนี้คริสเมาหรือเปล่า



“คิดว่าไหว แค่มึนนิดหน่อย”



“เดินให้ดูหน่อย” คริสลงจากรถแล้วไปเดินให้ผมดู เขามีโอนเอนเล็กน้อย แต่รวมๆ แล้วถือว่าโอเคอยู่ ผมลอครถและคืนกุญแจให้คริส เขายื่นมือออกมารับ



“อะ กุญแจ..เดี๋ยวฉันกลับก่อน”



“จะกลับยังไง ไม่เอาไม่ให้กลับ” คริสคว้าไหล่ผมเข้ามาชิดกับตัวเขา ผมเงยหน้ามองคริสทันทีด้วยความตกใจ คริสกำลังพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า



“ฉันจะค้างกับนายที่นี่ได้ยังไงกันเล่า เสื้อผ้าก็ไม่มี อะไรก็ไม่ได้เตรียมมา ปล่อยได้แล้ว คริส” ผมขืนตัวออกคริส แต่ทำไมวันนี้เขาดูแรงเยอะกว่าทุกที



“เรื่องพวกนั้น มันไม่ใช่ปัญหา ใช้ของฉันก็ได้ ไปที่ห้องกัน”



         ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของคริส



====================================


ทำไมไปอยู่ในห้องคริสได้ล่ะลูก ไหนหนูว่าจะกลับบ้านยังไงเล่า เป็นงงจ้ะ

ติดตาม พูดคุยกันได้ที่นี่เลยค่ะ จิ้มเลย


Twitter (https://twitter.com/khemmakan) และ Facebook (https://www.facebook.com/akanae14)
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 3, 28/02/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 03-03-2018 12:43:56

Wish 4



ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของคริส และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้ามาที่ห้องนี้ ระหว่างทางผมอยากจะตะโกนบอกคริสให้ปล่อยผมเสียที แต่มารยาทก็ค้ำคออยู่ นี่มันเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมไม่อยากให้เกิดเสียงดังในยามวิกาล ผมนั่งอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีคนเดียว คริสหายเข้าไปในห้องน้ำ เดาว่าคงจะอาบน้ำ



“น้ำเปล่า...มั้ย” คริสกลับออกมาอีกครั้งในชุดนอนพร้อมกับขวดน้ำในมือสองขวด เขาดูเหมือนคริสยามปกติที่ผมเห็นจนชินตา




“ไม่ดีกว่า ไหนเสื้อผ้าของฉันล่ะ”



“อยู่นี่ ตามมาสิ” คริสเดินนำผมเข้าห้องห้องหนึ่ง





ก่อนที่หัวสมองของผมจะคิดได้ทัน ผมว่าผมเริ่มเข้าใจที่นัทมันพูดแล้วล่ะ มันน่าจะหมายความถึงเรื่องนี้แน่ๆ เพราะห้องที่ผมเดินตามคริสเข้ามาโดยปราศจากการยั้งคิดมันคือห้องนอนของคริสชัดๆ ผมกำลังจะถอยออกไป แต่มันไม่ทันอีกฝ่ายที่ปิดประตูลงเสียแล้ว



“เสื้อผ้าอยู่นั่นกับผ้าเช็ดตัว ส่วนห้องน้ำอยู่ทางนั้น” คริสชี้มือบอกผมก่อนที่ผมจะรีบปรี่เข้าไปมาหยิบเสื้อผ้าตรงนั้นแล้วรีบเข้าห้องน้ำไปในทันที และไม่ลืมที่จะล็อคประตูด้วย ได้ยินเสียงคริสหัวเราะอยู่ข้างนอก แต่ผมไม่สนใจอีกแล้ว ผมกำลังติดกับดักแผนการณ์ที่คริสวางไว้อย่างที่นัทเดาไว้อย่างถูกต้อง



ผมอาบน้ำไปด้วย ใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ผมไม่รู้ว่าคริสกำลังจะทำอะไร บางทีผมอาจจะกลัวไปเองก็ได้ ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานกว่าปกติ เพราะรวบรวมกำลังใจ รวบรวมความกล้า ทุกๆ อย่างให้มากที่สุด และผมภาวนาขอให้ คริสหลับก่อนที่ผมจะอาบน้ำเสร็จ



“เกือบหลับแน่ะ นายอาบน้ำนานแบบนี้เสมอเหรอ” เสียงทักขึ้นของคริสทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวในความมืด



“อือ นายยังไม่หลับเหรอ”



“ก็เกือบจะหลับแล้ว แต่แสงไฟมันสว่างขึ้นตอนที่นายเปิดประตูออกมา ฉันเลยตื่น”



“ไม่รู้ว่านายเป็นคนนอนไว”



“นอนไว ฉันไม่ได้นอนไว” ผมคิดว่าเรากำลังคุยกันคนละความหมาย



“ไม่ใช่ นอนไวหมายถึง ตื่นง่ายอะไรแบบนี้”



“อ๋อ... อืมใช่”



“แล้วให้ฉันนอนที่ไหนล่ะ”



“นอนที่นี่แหละ อีกห้องฝุ่นเยอะ” ผมมองไปที่เตียงที่คริสนอนอยู่ แสงไฟจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา คริสไม่ได้ปิดผ้าม่านทั้งหมด เขาปิดแค่เพียงผ้าม่านสีขาวบางแค่กันสายตาจากคนภายนอกเท่านั้น ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร เพราะจากมุมนี้ ถ้ามองออกไป ก็ไม่เจอตึกหรือห้องของใครเลยสักคน เห็นแต่ถนนอยู่ด้านล่าง





ผมล้มตัวลงนอนพื้นที่ว่างอีกฝั่งของเตียง คริสนอนหันหลังให้ผม และผมได้ยินเสียงลมหายใจของคริสเข้าออกเป็นจังหวะ เขาน่าจะหลับไปแล้ว ผมลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก คืนนี้ผมคงจะหลับได้อย่างสบายใจ ผมมองแผ่นหลังของคริส แผ่นหลังกว้างที่ผมเคยคิดว่าถ้าได้นอนกอดแผ่นหลังนี้ ผมคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว



ผมทำได้แค่มองเท่านั้น เพราะผมไม่กล้าพอ เราเข้าใจกัน รู้ใจกัน แต่ผมไม่กล้าที่จะตัดสินใจได้ว่าเราเหมาะสมกัน แค่นี้มันก็มากกว่าที่ผมคาดฝันไว้ทั้งชีวิตแล้ว



“นอนไม่หลับหรือไง” คริสถามผมทั้งที่ยังนอนหันหลังให้



“ขอโทษ ฉันทำนายตื่นเหรอ” ผมไม่ตอบ แต่ถามเขากลับ



“ไม่เชิงหรอก เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมไม่ตอบได้แต่มองแผ่นหลังของคริส แต่คราวนี้เขาพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผม



“นอนเถอะ ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก ฉันแค่นึกถึงวันที่เรานอนข้างกันตอนที่ไปค่ายก็เท่านั้น”



“ระ..เหรอ”



“รู้มั้ยว่าฉันคิดถึงวันนั้นเสมอ ฉันรู้สึกได้ใจของนาย ได้เข้าใกล้นายมากที่สุด“



“...........” ผมไม่รู้ว่าจะต้องตอบคริสยังไง



“แล้วนายล่ะ คิดเหมือนฉันมั้ย”



“..........” เขาย้อนกลับมาถามผม แต่ผมก็ยังไม่มีคำตอบให้เขาอยู่ดี



คริสคิดมากกว่าที่ผมคิด เขาเป็นห่วงผม เขาสนใจผม เขาดูแลผม นั่นคือทั้งหมดที่สัมผัสได้ เขาชัดเจนในการกระทำนั้นทั้งหมด กลับกัน ผมเป็นคนที่แสดงออกไม่เก่ง จนไอ้นัทบ่นผมหลายต่อหลายครั้งเรื่องของคริส นัทบอกผมว่า ผมเองก็รู้สึกกับคริสไม่ต่างกัน แต่การกระทำของผมนั้นกลับไม่ชัดเจน



ผมค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้คริส จากแสงไฟด้านนอกทำให้ผมมองเห็นเขาได้ค่อนข้างชัดเจน เขามองผมด้วยสายตาที่ไม่ค่อยไว้ใจในตัวผมนัก เจ้าตัวคงประหลาดใจกับท่าทีของผม



“ฉันพูดเรื่องความรู้สึกไม่เก่ง และแสดงออกมาเป็นการกระทำก็ไม่เก่ง นายรู้ใช่มั้ย แต่นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกกับนายนะ คริส”



ผมเป็นฝ่ายจูบคริสก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจูบเขาก่อน คริสมีทีท่าตกใจเหมือนผมตอนที่คริสจูบผมครั้งแรกเช่นกัน แต่เขาปรับตัวได้เร็ว เพราะเพียงไม่นาน เขาก็กลับเข้ามาควมคุมเกมส์ของเราได้อย่างคล่องแคล่ว โดยไม่เคอะเขิน จูบครั้งนี้เหมือนเป็นการเปิดใจของเราทั้งคู่ ผมปล่อยใจให้ล่องลอยไปตามคริส ผมเลือกที่จะหยุดความคิดในสมองผม เลือกทำตามใจตัวเอง



เสื้อนอนของผมถูกถอดไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกครั้งเพราะร่างกายปะทะเข้ากับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ผมตัวสั่นเบาๆ ในอ้อมแขนของเขา



“หนาวเหรอ”



“อือ นิดหน่อย”



“ทนหนาวแป๊ปเดียว อีกสักพักก็ร้อนเองแหละ”



“ทะลึ่ง” ผมว่าเขาเพื่อแก้ความเขินของตัวเอง



“พูดความจริง ทฤษฎีเขาว่ามาแบบนี้ หนาวเนื้อห่มเนื้อ จึงหายหนาว”





“ไปรู้จักคำพวกนี้มาจากไหน”



“ไม่บอก มีแฟนเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องตั้งใจกับภาษาไทยให้มากขึ้นกว่าเดิมสิ”



“เหรอ” ผมพูดเท่านี้ ถึงคริสไม่ต้องบอก ผมก็พอจะรู้ว่าแฟนที่คริสหมายถึงนั้นน่ะเป็นใคร



“นึกว่าจะถามว่าแฟนคนไหนเสียอีก จะได้เพิ่มวิธีลงโทษให้หนักเลย” ผมถลึงตาใส่อีกฝ่าย แต่เจ้าตัวไม่ทุกข์ร้อนซะอย่างนั้น



“อ๊ะ...” ผมสะดุ้งขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวเพราะคริสเอื้อมมือลงไปข้างล่างเพื่อไปจับส่วนนั้นของผม



“ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกของนายและตัวฉันด้วย  แต่ฉันสัญญาว่าจะทำให้นายเจ็บน้อยที่สุด นายเข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไรใช่มั้ย”



“อือ”





คริสอ่อนโยนกับผมเหมือนที่เขาพูดทุกอย่าง เพราะความเก้ๆ กังๆ ของเราทั้งคู่ ทุกอย่างมันจึงใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น แต่ผลที่ได้รับนั้นกลับคุ้มค่า ผมแทบจะไม่เจ็บเลย จะมีก็เพียงช่วงแรกๆ ที่ผมรู้สึกอึดอัด ก็ขนาดของคริสมันไม่ใช่มาตรฐานชายไทยนี่นา แต่คริสก็เลือกอดทน รอจนผมพร้อมและก้าวไปกับเขา



“ครั้งหน้า จะดีกว่านี้ สัญญาเลย” คริสบอกผมในขณะที่ผมยังนอนคว่ำอยู่บนที่นอน มีเพียงแค่ช่วงหัวที่หนุนอกของคริสต่างหมอนแทน ผมวาดมือกอดเอวของเขาไว้เบาๆ ผมเหนื่อย แต่ผมก็รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก



“ครั้งหน้า..เหรอ”



“ใช่สิ อย่าบอกนะว่านายไม่ต้องการฉันอีกแล้ว หรือว่าได้ฉันแล้ว นายก็จะทิ้งฉัน” คริสเสียงดังขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เล่นบทเป็นหญิงสาวถูกพรากสิ่งสำคัญของตนเองไป



“อย่าเยอะน่าคริส ฟังแล้วฉันจะอ้วก ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่มีครั้งหน้า แต่คิดว่าขอเวลาพักฟื้นนานหน่อยแล้วกัน ตกลงมั้ย”



“รอเป็นปี ฉันยังรอได้เลย รออีกนิดทำไมจะรอไม่ได้”



“ขอบใจที่เลือกฉัน”



“ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจที่นายยอมเลือกฉัน” ผมฟังอย่างไม่เชื่อหูว่าคำพูดนี้จะมาจากปากของคริส หนุ่มที่ดังมากในมหาวิทยาลัย



ผมรู้เรื่องของเขาดีเหมือนกับหลายๆ คนในมหาวิทยาลัยนั้นรู้จักคริสว่าเจ้าตัวนั้นดังแค่ไหน เขาเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างทั้งรูป ทรัพย์ และความคิด ไม่แปลกที่หลายต่อหลายคนต่างพากันจับจ้องเขา คริสให้ความสำคัญกับทุกคนเท่าเทียมกันหมด  เขายิ้มให้ เขาพูดคุย เขาใส่ใจ คนที่เข้ามาหา แต่ในขอบเขตของคนที่รู้จักเท่านั้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น





เขาชัดเจนเสมอในการกระทำ นั่นแหละที่ผมเคยพูดไว้





“นอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งนายที่บ้านก่อน” เขาจูบที่หน้าผากผมแผ่วเบา เหมือนเป็นการอวยพรให้ผมหลับฝันดีในคืนนี้



“กลับมาแล้วครับแม่” ผมพูดเสียงดังเมื่อเข้ามาในบ้านเพื่อบอกให้แม่ของผมได้รับรู้การกลับมาของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างผม



“กลับมาก็เสียงดังเลยนะเราเนี่ย” แม่ผมเช็ดมือให้สะอาดก่อนจะก้าวออกมากจากครัวเล็กๆ ทางหลังบ้าน



“สวัสดีครับแม่”



“จ้ะ ไหว้พระเถอะลูก แล้วนี่มายังไง แม่ได้ยินเสียงรถ คริสมาส่งเหรอ”



“ครับแม่”



“หิวหรือเปล่า แม่ทำของชอบของธันเต็มเลย”



“แม่พูดปุ๊ป ผมก็หิวปั๊ปเลย”



“เรื่องเรียนเป็นไงบ้างธัน เหนื่อยมั้ยลูก” แม่กินข้าวไปแล้ว ตอนนี้เลยนั่งดูผมนั่งกินอยู่ข้างๆ



“ก็นิดหน่อยครับ ปีสองแล้วก็เริ่มเข้าวิชาของสาขามากขึ้น”



“อย่าฝืนจนไม่ไหวล่ะ”



“อย่าห่วงเลยครับ ลูกของแม่เก่งนะ” ผมคุยโวกับแม่ ขอสักน่อยเถอะเพราะผมอยากให้แม่ภูมิใจในตัวผมเยอะๆ ภูมิใจที่มีผม เหมือนที่ผมภูมิใจที่ได้เป็นลูกแม่



“ขี้คุยจริงๆ” แม่ส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับหัวเราะเบาๆ กับการขี้โม้แต่มันเป็นเรื่องจริงนะ



“จริงสิ ธัน”



“ครับ?”



“แม่ว่าจะถามเราหลายทีแล้วก็ลืม กับคริสนี่ ยังไงกัน เพื่อนกันเฉยๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นใช่มั้ย”



“ทำไมอยู่ๆ แม่ถึงถามผมแบบนี้ ผมกับคริสก็ต้องเป็นเพื่อนกันสิครับ” ใครจะกล้าบอกว่า อ้อ จริงๆ แล้วผมกับคริส คบกันอยู่นะครับ ไม่รู้ว่าเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็นอนกับคริสไปแล้ว แบบนี้ แม่ผมจะรับได้ไหม มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเข้าใจได้โดยง่าย



“ธัน มองตาแม่”



“โธ๋ แม่ อย่าเข้าโหมดโหดกับผมสิครับ” แม่กำลังเล่นเกมส์จับผิดกับผมครับ เคยได้ยินใช่มั้ยครับว่าคนเราสามารถแสดงออกได้ทางดวงตาด้วย และดวงตาเนี่ยมันโกหกได้ยากหรือแทบจะไม่โกหกเลย



“แค่นี้แม่ก็ได้คำตอบแล้ว”



“ได้คำตอบว่าอะไรครับ”



“ก็ไม่ใช่แค่เพื่อนกันจริงๆ น่ะสิ”



“เพื่อนกันจริงๆ สิครับ”



“ยังจะโกหกแม่อีกเหรอธัน ถ้ามันจริง ธันจะไม่เฉไฉ แล้วไม่กล้าสบตากับแม่อยู่แบบนี้หรอก”



“ขอโทษครับ” และผมก็จำนนต่อหลักฐานของแม่ อาหารตรงหน้าเริ่มไม่อร่อยอีกต่อไป ผมเลยเลือกวางช้อนส้อมลงดีกว่า



“ธัน ลูกดูไม่ออกเหรอว่าคริส เขาไม่ได้คิดกับลูกแค่เพื่อน”



“ผมรู้ครับ”



“แล้วแม่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าธัน จะมองเขาไม่ออกเชียวหรือ”



“ครับ”



“แม่ไม่ได้กังวลที่คริสมาชอบธัน แต่แม่แค่ห่วงธันเท่านั้นว่าธันน่ะ คิดกับเขายังไง คิดเหมือนกับคริสหรือเปล่า หืม”



“ครับ... เหมือนกัน” ผมตอบแม่เสียงเบา แต่ไม่ได้หลบตา



“แม่โกรธผมหรือเปล่า แม่ผิดหวังในตัวผมหรือเปล่า”



“เด็กโง่ แม่น่ะเลี้ยงธันมา แม่รู้อยู่แล้วว่าธันเป็นคนยังไง มันอาจไม่ใช่เรื่องที่พ่อแม่ทุกคนจะทำใจได้ แต่เรามีกันแค่สองคน ถ้าแม่ยังรับเรื่องแค่นี้ไม่ได้ แม่จะเลี้ยงธันมาจนโตได้ยังไง จริงมั้ย”



“ผมขอโทษครับแม่” น้ำตาที่ผมไม่ค่อยได้ใช้มันสักเท่าไหร่ แต่มันกลับไหลออกมาเองโดยอัตโนมัติ ผมดีใจที่ได้ผมได้เป็นลูกแม่



“ไม่ต้องร้องไห้หรอก อะไรกัน โตแล้วนะ ยังขี้แยเป็นเด็กๆ แม่เองก็ไม่อยากจะถามธันแบบนี้หรอกนะ แต่แม่ก็ได้แต่รอแล้วรอเล่า ธันก็ไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟังสักที แม่เลยต้องใช้วิธีนี้ ไม่โกรธแม่นะ”



“ไม่โกรธหรอกครับ แม่จะโกรธคริสหรือเปล่า”



“ไม่หรอกจ้ะ แต่หลังจากนี้ อนาคตของลูกอาจไม่ได้สวยงาม แม่เองไม่รู้ว่าทางบ้านของคริส เขาจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ และ เขามีหน้ามีตาในสังคมไม่เหมือนกับเราด้วย ถ้าจะคบกันต่อไป ลูกต้องเข้มแข้งและอดทนให้มากๆ นะ เข้าใจที่แม่บอกใช่มั้ย”



“เข้าใจครับ”



“ถ้าอย่างนั้น กินเสร็จแล้วเอาจานชามไปล้างให้แม่ด้วยนะ แม่ไปทำงานก่อนล่ะ แล้วก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว”



“ครับ”





มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ความลับไม่มีในโลก ก็นั่นล่ะครับ





============================

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/

ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 4, 03/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: violetvista ที่ 03-03-2018 13:09:27
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 4, 03/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 08-03-2018 18:59:45
WISH 5


             วันแรกของการสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่ง ในวันนั้นผมได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก ผมกดรับมันโดยไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่าผมกำลังจะเจอกับอะไร



            “ฮัลโหล”



            “ใช่เบอร์ของน้องธัญหรือเปล่าจ๊ะ”



            “ครับ ผมธัน”



            “ฉันเป็นแม่ของตากฤษณ์ เอ่อ คริสน่ะจ้ะ เราเคยเจอกันที่งานโรงเรียนสองสามครั้ง จำฉันได้หรือเปล่า”



            “ครับ จำได้ สวัสดีครับคุณน้า”



            “ตอนนี้พอจะสะดวกคุยหรือเปล่าจ๊ะ”



            “ครับ ได้ครับ” ผมหาที่ว่างแถวนั้น เห็นนัทเดินออกมาจากห้องสอบเหมือนกัน ผมใช้ท่าทางบอกให้เขากลับไปที่ห้องก่อนเลยไม่ต้องรอผม



            “จ้ะ เรื่องที่ฉันจะพูดนี้ดูพูดยากสักหน่อย”



            “คุณน้าพูดมาได้เลยครับ”



            “น้าเข้าเรื่องเลยนะ เรื่องตากฤษณ์กับธัน พวกเธอสองคนเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทใช่มั้ย” น้ำเสียงคุณแม่ของคริสถึงจะไม่ได้ข่มขู่หรือเสียงดังโมโหใส่ผม พูดตามตรงเธอเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบจากผมหรอกครับ ประมาณว่าเธอรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว



            “น้าไม่ได้รังเกียจน้องธัญ นะลูก แต่ธัญรู้ใช่มั้ยว่าครอบครัวของเรานั้นทำอาชีพอะไร น้าไม่อยากให้หน้าที่การงานของคุณพ่อตากฤษณ์นั้นต้องถูกนินทา วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา น้าเลยอยากจะขอ...”



            “คุณน้าไม่ต้องพูดต่อแล้วครับ ผมคิดว่าผมเข้าใจที่คุณน้ากำลังจะบอกผมแล้วครับ ผมจะเลิกกับคริส แต่ผมขอบอกเขาหลังจากสอบเสร็จได้มั้ยครับ เพราะตอนนี้พวกเรากำลังสอบกันอยู่”



            “น้าขอบใจน้องธัญมากจริงๆ และก็ต้องขอโทษด้วยนะ น้าเสียใจจริงๆ” น้ำเสียงของเธอดูดีใจจนผมสัมผัสได้ผ่านทางโทรศัพท์





            พูดคุยกันอีกสองสามคำผมก็ขอวางสายก่อน เพราะตอนนี้ในใจผมมันแน่น หูอื้อไปหมดแล้ว นึกถึงคำพูดของแม่ในวันนั้นเลย ตอนนี้ผมอยากกลับหอ ทำไมหอพักไม่อยู่ตรงหน้าเลยนะ ผมส่งข้อความไปบอกคริสว่าพรุ่งนี้มีวิชาสอบที่ค่อนข้างยาก ดังนั้นวันนี้ผมจะอ่านหนังสือติวกับนัทอยู่ที่ห้อง ไม่ไปกินข้าวกับคริส ให้เขาตรงกลับคอนโดได้เลย





            ผมเดินคอตกไหล่งองุ้มผ่านเข้าประตูหอไป นัท สังเกตเห็นอาการนั้นของผมได้อย่างรวดเร็ว เขารีบวางหนังสือลงข้างตัวทันที แล้วรีบเดินเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่กลางห้อง



            “เป็นอะไรวะ ไอ้ธัน” นัทถามผมด้วยความเป็นห่วง



            “เปล่า” เด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่าผมโกหก



            “ก็เห็นอยู่คาตา จะบอกว่าเปล่าได้ยังไง”





            “ไม่มีอะไร”



            “บอกมา ใครทำอะไรนาย หรือว่าทำข้อสอบไม่ได้”



            “ถ้าทำข้อสอบไม่ได้จริงๆ คงจะดีกว่านี้”



            “นายเป็นอะไรกันแน่”



            “ไว้หลังสอบเสร็จฉันจะบอกนายทุกอย่างเลย ตกลงมั้ย” นัทมองหน้าผมอย่างไว้พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรผมอีก ปล่อยให้ผมจมอยู่กับกองหนังสือที่ต้องสอบในวันต่อๆ ไป



            “สอบเสร็จแล้วโว้ยยย ดีใจเป็นบ้า วันนี้จะนอนให้หนำใจ ไม่ข้ามวันไม่ตื่น” นัทตะโกนเสียงดัง เมื่อเดินออกมาจากห้องสอบวิชาสุดท้าย



            “นอน ไม่ใช่ตาย อะไรจะนอนขนาดนั้น” ผมอดไม่ได้ที่จะแซวมัน



            “มึงมันเข้าใจหรอก ไอ้คนขยัน ไอ้คนตื่นเช้า”



            “ขอบใจ เย็นนี้ว่างป่ะ”



            “ว่าง ทำไม”



            “ช่วยอะไรหน่อยดิ”



            “ช่วยอะไรวะ ยากเปล่า ถ้ายากไม่เอา ไม่ทำ” นัทหันมาบอกผมด้วยความไม่ไว้ใจ



            “เออๆ ไม่ยาก งานง่ายๆ แค่ยืนเป็นเพื่อนฉัน และฉันพูดอะไรนายห้ามเถียง ให้เออ ออ ตามที่ฉันพูด ง่ายๆ แค่นี้ ทำได้มั้ย”



            “ไอ้ได้มันก็ได้ แต่มันอะไรวะ บอกให้มันชัดเจนกว่านี้ได้หรือเปล่า”



            “หลังจากนี้นายจะเข้าใจ”



            “กำกวม ปริศนา ปิดบัง โอ้ย ทุกอย่าง ถ้าไม่อยากรู้เนี่ย ไม่ช่วยนะเนี่ย”



            “ถ้าอยากรู้ก็จงช่วยฉันซะ”



            “เออ”







            ผมเดินนำนัทไปที่ตึกคณะรัฐศาสตร์ ได้ยินเสียงไอ้นัทบ่นกระปอดกระแปดตามหลังว่าทำไมไม่นั่งรถมา จะเดินมาทำไม ไกลก็ไกล ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ผมไม่สนใจเสียงนกเสียงกาของมันหรอก เพราะผมกำลังถ่วงเวลาให้นานที่สุด ผมยังไม่พร้อมเลย ให้ตายเถอะ



            “ไง รอนานมั้ย” คริสยืนอยู่ที่รถของเขาอยู่แล้วตอนที่ผมถามเขา



            “ไม่ เพิ่งมาเหมือนกัน ทำไมไม่ให้ฉันไปรับ หืม” คริสเอื้อมมือมาหมายจะลูบหัวผม แต่ผมกลับถอยหลัง ทำให้สัมผัสของคริสนั้นพลาดไป คริสชะงักไปนิดหนึ่ง แต่เขาไมได้พูดอะไร



            “ไปกินข้าวกันเถอะ” คริสเปลี่ยนเรื่อง



            “คือฉันจะมาบอกนายว่าฉันจะไม่ไปที่ไหนกับนายอีกแล้ว”



            “หมายความว่ายังไง ติดงาน.. หรือต้องกลับบ้าน ขยายความหน่อย” คริสไม่เข้าใจ



            “เปล่า ฉันอยากเลิกกับนาย” ผมกำลังขยี้หัวใจตัวเอง



            “พูดว่าไงนะ” คริสเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย



            “ฉันขอเลิกกับนาย” ผมพูดซ้ำ ขยี้หัวใจตัวเองอีกครั้ง



            “เพราะอะไร ทำไม เกิดอะไรขึ้น แม่ของฉันหรือเปล่า หรือใคร” คริสถามรัวเร็วเป็นชุด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขากำลังบอกผมว่าเขากำลังเศร้าและไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผมพูด



            “ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นความต้องการของฉันเองที่อยากเลิกกับนาย แล้วอีกอย่างตอนนี้ฉันก็กำลังคบกับนัทอยู่” ผมได้ยินเสียงนัทอุทานมาเสียงดัง แต่ผมไม่สนใจ ดวงตาของผมยังจับจ้องอยู่ที่คริส ตอนนี้เขามองข้ามหัวผมไปมองนัทที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาหรี่ตาลงเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะหันกลับมาที่ผม



            “ไม่มีทาง นายกับนัท ตั้งแต่เมื่อไหร่”



            “คริส ฉันขอโทษ ฉันกับนัทเป็นรูมเมทกัน สนิทกัน เหมือนที่ฉันสนิทกับนายไง” ผมรีบรัวคำโกหกออกไป มันจะเทียบได้ยังไง ในเมื่อความรู้สึกของผมที่มีต่อคริสและนัท นั้นมันต่างกันโดยสิ้นเชิง



            คริสเงียบไปนาน นานจนผมคิดว่าเขาจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น







            “ธันวา... เรามาพูดความจริงกันมั้ย”





            ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง



            “ความจริงก็คือ ฉันมองไม่เห็นทางของเราเลย หยุดมันไว้ตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า”



            “นายคิดอย่างนั้น...”



            “ใช่”



            “ตกลง ฉันตามใจนายเสมอ ถ้านายอยากเลิก ฉันก็ยินดีที่จะเลิก”



            “อือ ขอบใจนะ และขอโทษด้วย ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นะ คริส”



            “อืม เช่นกัน โชคดี” คริสตอบพร้อมกับเดินผ่านผมไป เขาหยุดยืนตรงหน้าของนัท ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน เห็นแค่นัทพยักหน้าตอบรับอะไรสักอย่างกับคริสที่ตบไหล่ของนัท ก่อนจะผละกลับมาแล้วขึ้นรถไป โดยที่ไม่มองผมอีกเลย





            ผมกำลังจะขาดใจกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไป





            ผมหันหลังกลับไปหานัท เพื่อนที่ผมยืมชื่อมาอ้าง นัทไม่ต่อว่า ไม่ดุผมสักคำนอกจากบอกว่า





            “อย่าเพิ่งร้อง ถึงห้องเมื่อไหร่ค่อยร้องไห้” คำปลอบใจสั้น เกือบทำให้ผมน้ำตาแตก แต่ผมต้องกลั้นมันเอาไว้ นัทเดินโอบไหล่ผมตลอดทาง เขาบีบเบาๆ ที่ไหล่ผม มันคือการปลอบผมในแบบของเขา







            จบสิ้นลงแล้วกับความรักครั้งแรกของผม







            นัทไม่บ่น ไม่ว่าอะไรผมเลยที่ผมดึงเขาเข้ามาในเหตุการณ์ครั้งนี้ เขาไม่แม้แต่จะถามอะไรผมด้วยซ้ำ เขาเป็นเพื่อนที่เยี่ยมเลยใช่มั้ยล่ะ นัทมีตัวจริงของเขาอยู่แล้วครับ เป็นหญิงสาวที่สวยเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ใช้เหตุผมมากกว่าอารมณ์  ผมเคยเจอไม่กี่ครั้งเพราะเธอค่อนข้างยุ่งจากธุรกิจของเธอ ใช่ครับ นัทมีแฟนที่อายุมากกว่าเขา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ความรักมันไม่จำกัดเรื่องอายุ เพศ หรือแม้กระทั่งการศึกษา



            จะว่าไปแล้ว การที่เลิกกับคริสนั้นก็มีข้อดีเหมือนกัน แต่เป็นข้อดีที่ผมไม่ค่อยอยากได้สักเท่าไหร่ อย่างที่คุณรู้ คริสเป็นที่ชื่นชอบของคนในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก และคริสไม่เคยปิดบังว่าคริสรู้ยังไงกับผม ถ้าบอกว่าไม่มีกลุ่มแอนตี้ผมเลย มันคงตลกไปสักหน่อย หลายต่อหลายเรื่องที่ผมโดนกระทำจากแฟนคลับกลุ่มนั้น แต่ผมไม่เคยบอกให้คริสรู้ นัทเองก็ด่าผมอยู่บ่อยๆ แต่ผมไม่อยากเอาเรื่องพวกนั้นมาเป็นปัญหา



            ผมอดทนมาตั้งแต่ที่โรงเรียนเก่า เรื่องแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ พอข่าวที่ผมกับคริสเลิกกันถูกแพร่ออกไป แฟนคลับกลุ่มนั้นก็ห่างหายไปจากผมด้วยเช่นกัน ชีวิตของผมเลยเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง สงบจนเงียบสนิทเพราะขาดสีสันคนสำคัญอย่างคริสไป





            ผมเหมือนใช้ชีวิตไปวันๆ เมื่อไม่มีเขา





            นี่ผมกำลังโหยหาเขามากขนาดนี้เชียวหรือ





            ผมอดทนเก่ง ผมอดทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี แต่ผมกำลังอดทนไม่ไหวแล้ว เมื่อไม่มีคริสอีกต่อไป ผมยังพอมีโชคเหลืออยู่บ้างที่มีแม่ที่เข้าใจและเพื่อนที่อยู่ข้างผมเสมอ





            ผมข้ามผ่านมันไปช้าๆ ในตอนนี้ผมกลายเป็นพี่ใหญ่ของชั้นอุดมศึกษาแล้ว เสียงเพลงรับน้องดังกึกก้องทั่วมหาวทิยาลัยเหมือนเดิม ผมได้ยินข่าวของคริสเสมอ และบ่อยเสียด้วย ถ้าไม่ได้ยินจากเสียงคนที่เอามาเล่าต่อๆ กัน ผมก็มักจะพาตัวเองเข้าไปในสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อหาข่าวของคริส



            ใช่ ผมยังเสพย์ติดเขาเหมือนเดิม



            “ไอ้ธัน มานั่งทำอะไรตรงนี้ ลุกเร็วดิมึง ไปกันเถอะ” ไอ้นัทเดินเข้ามาดึงผมให้ลุกขึ้น



            “ไปไหนวะ” ผมดึงแขนออกจากมัน



            “ถามโง่ๆ แบบนี้ได้ไง คณะรัฐศาสตร์ไง จะไปมั้ย”



            “เออ จริงด้วย แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเนี่ย ไปดิ ไป” ผมบ่นนัทกลับทันที ป่านนี้เพิ่งจะเตือนผม ไม่ใช่เขาเลิกรับน้องวันแรกกันไปหมดแล้วหรือ



            “อะไรวะ กูผิดซะงั้น” นัทบ่นเซ็งๆ แต่มันก็พาผมไปที่รถของมันอย่างรวดเร็ว



            “กูยืนดูอยู่ตรงนี้นะ” ผมบอกไอ้นัท ตอนที่เราเข้ามาในเขตคณะของคริส



            “ปีสุดท้ายแล้วนะเว้ย กล้าๆ หน่อยดิวะ ปีหน้าก็อาจจะไม่เห็นมันแล้วก็ได้” นัทพูดเตือนสติผม



            “เออน่ะ เรื่องของกู แค่นี้ก็พอใจแล้ว” ผมบอกมัน ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ที่จบไปแล้วเหรอ ผมถึงต้องมาทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้



            “ตามใจ งั้นกูเข้าไปตรงนั้นละกัน เผื่อจะมีน้องหน้าตาน่ารักเข้าตา”



            “กูจะฟ้องพี่เขา” ผมหมายถึงแฟนของนัทมัน



            “จ้างให้กูก็ไม่กลัว” มันท้าทาย แถมทำหน้าลิงหลอกเจ้าใส่ผมแล้วมันก็กลืนหายไปกับกลุ่มคนที่ยืนห้อมล้อมน้องปีหนึ่งเป็นวงกลม





            ผมยืนมองจากภายนอก ถึงคนจะเยอะแค่ไหน แต่คริสโดดเด่นเสมอ ผมไม่กลัวเลยว่าจะหาเขาไม่เจอ เขาตัวสูง ผมสีน้ำตาลเข้มนั้น มันทำให้ผมรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงไหน





นั่นไง ผมเห็นเขาแล้ว





คริสกอดอกยืนพิงเสาของใต้ถุนคณะอยู่ในตอนนี้ เขากำลังหัวเราะให้กับการแสดงของรุ่นน้องปีสองและปีสาม รอยยิ้มของเขายังคงสดใสเสมอ ผมยิ้มตามรอยยิ้มนั้น กำลังใจของผม ผมมองคริสอีกสักพักก็ส่งข้อความไปบอกนัทว่าผมจะกลับไปที่หอก่อน



ช่วงเวลาที่ผ่านมา คริสมีแฟนใหม่ ใช่ครับ เขามีแฟนใหม่เป็นผู้หญิง เรื่องนี้มันสร้างความเจ็บปวดให้ผมเป็นอย่างมาก ผมร้องไห้จนหมอนเปียกน้ำตาไปหลายคืนเหมือนกัน แต่ผมก็คิดได้ว่ามันดีแล้วไม่ใช่เหรอ การที่เขามาชอบพอกับผู้หญิงมันจะได้ไม่เป็นปัญหาของครอบครัวคริส



ผมไม่ได้เสียใจนานก็กลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง เมื่อรู้ว่าคริสเลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ผมเหมือนคนบ้าและเห็นแก่ตัวที่ดีใจเพราะเขาไปกันไม่รอด คุณคงเข้าใจอาการหึงหวงคนที่เรารักใช่มั้ยครับ ผมก็เช่นกัน ถึงแม้ว่า เอ่อ... เราจะเลิกกันแล้วก็เถอะ



สักพักคริสก็มีแฟนคนใหม่อยู่ดี ทุกอย่างเหมือนวนลูปกลับมาอีกครั้ง เหตุการณ์คล้ายๆ เดิม ผมร้องไห้น้ำตาเปียกหมอนหลายคืน ทบทวนความคิดใหม่ว่านี่เป็นเรื่องที่ดี และคริสก็เลิกกับแฟน แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปสักเล็กน้อย เพราะคริสกำลังคบกับผู้หญิงคนหนึ่งในคณะเดียวกับเจ้าตัว จากข่าวในเฟซบุ๊คบอกว่าคบกันมาหลายเดือนแล้ว ซึ่งแปลว่า นานกว่าคนก่อนๆ ที่คริสเคยคบ และข่าวยังบอกอีกว่า คิดว่าคนนี้คือตัวจริงสำหรับคริสแน่ๆ





แล้วผมจะทำอะไรได้ นอกจากเปลี่ยนปลอกหมอนไปหลายผืนแล้วในช่วงไม่กี่คืน





วันถัดมาผมมาส่งงานที่ห้องอาจารย์ภาค จริงๆ มันไม่ใช่งานของผมเลย แต่ไอ้นัทมันติดธุระกะทันหัน เพราะวันนี้แฟนของมันดันว่างอย่างปัจจุบันทันด่วน นัทรู้แบบนั้นมันเลยอยากไปเจอ ผมเข้าใจเลยครับ คนไม่ค่อยได้เจอกันมีโอกาสก็อยากเจอ อยากเห็นหน้ากันบ้าง ผมเลยอาสามาส่งงานแทนมัน นัทขอบคุณผมเสียแทบตัวลอย ซ้ำยังบอกว่าจะเลี้ยงข้าวผมด้วย ผมมีแต่ได้กับได้นะเนี่ย



“ส่งงานเหรอ นักศึกษา” อาจารย์ในห้องพักเอ่ยถามผม



“ครับ อาจารย์”



“อาจารย์ชื่ออะไรล่ะ” ผมบอกชื่ออาจารย์ออกไป



“เข้าไปวางสิ ตรงนั้น” อาจารย์ชี้มือไปที่โต๊ะของอาจารย์คนที่ผมเพิ่งบอกชื่อ



“ขอบคุณครับ อาจารย์” ผมยกมือไหว้อาจารย์ แล้วกำลังจะออกจากห้องพัก



“เดี๋ยวก่อน นักศึกษา”



“ครับ?”



“อาจารย์วานเธอหน่อย ช่วยเอาเอกสารไปให้อาจารย์คนนี้ให้ที  รู้จักมั้ย” อาจารย์ชี้นิ้วตรงชื่ออาจารย์ที่ติดอยู่บนซองเอกสาร



“ไม่เลยครับ”



“ไม่รู้จักเหรอ แต่ไม่เป็นไร เธอไปที่คณะรัฐศาสตร์นะ แล้วก็ถามนักศึกษาที่นั่นดูก็แล้วกัน น่าจะรู้จักกันหมด เพราะอาจารย์ท่านสอนตั้งแต่ปีหนึ่ง”



“รัฐศาสตร์เหรอครับ”



“ใช่จ้ะ ติดอะไรหรือเปล่า”



“ปะ...เปล่าครับ เดี๋ยวผมไปส่งให้”



“จ้ะ ฝากด้วยนะ ขอบใจมาก”



“ครับ” ผมรับซองเอกสารนั้นมา แต่ในใจกำลังเต้นตึกตักเพราะต้องไปคณะของคริส





ผมขอให้เขาไม่มีเรียน ปีสี่แล้ว เรียนน้อยลงทุกที แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็อยากเห็นเขาบ้าง





ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่ใต้ถุนคณะรัฐศาสตร์ ตอนนี้เป็นเวลาใกล้พักกลางวัน แต่นักศึกษาค่อนข้างหนาตาอยู่ในบริเวณนี้ ผมกำลังคิดว่าจะถามใครได้บ้าง แต่ไม่มีใครสบตากับผมเลย





โต๊ะนั้น เอาล่ะ ผมเลือกหญิงสาวตรงกลุ่มนั้นเป็นเป้าหมายก็แล้วกัน ผมเดินตรงไปหากลุ่มของพวกเธอ แต่ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเรียกชื่อผมเสียก่อน





“ธันวา...ธัน..” ผมหันไปตามเสียงเรียก และสายตาก็ปะทะเข้ากับคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลจากโต๊ะที่ผมเลือกไว้





“คะ...คริส” ผมพึมพำออกมา ไม่เชื่อตาของตัวเอง คริสเรียกชื่อผม





ตั้งแต่เลิกกันตอนนั้น คริสไม่แม้แต่จะทักผมเลยสักครั้ง เขาเมินเฉยผมทุกครั้งที่เราบังเอิญเดินสวนกันหรือถ้าเราปะทะหน้ากันอย่างจังอีกฝ่ายก็ทำแค่เพียงยิ้มให้ผมเท่านั้น





============================

ติดตาม พูดคุย กันได้ที่นี่เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 5, 08/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 16-03-2018 20:02:04
Wish 6


            เขาลุกขึ้นเดินมาหาผม และไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็มักจะตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนเสมอ เสียงอึกทึกเซ็งแซ่เมื่อสักครู่ บัดนี้กลับเงียบกริบลง ได้ยินเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาที่จับคำไม่ได้สักคำ



            “มาทำอะไรที่นี่” เสียงคริสยังคงเดิม



            “คืออาจารย์ให้ฉันเอาเอกสารมาให้อาจารย์คนนี้น่ะ นายพอจะรู้จักมั้ย” ผมยื่นซองเอกสารไปให้เขาได้อ่าน



            “รู้จักสิ เด็กคณะนี้ต้องเรียนกับอาจารย์คนนี้ทุกคน”



            “เหรอ อาจารย์อยู่ที่ไหน บอกหน่อยได้มั้ย หรือฉันฝากเอกสารนี้ให้นายแทนได้มั้ย” ผมเสนอทางเลือกแต่คริสเลือกที่จะปฏิเสธ



            “นายเอาไปให้เองดีกว่า ฉันหมายถึงให้กับมืออาจารย์เองนายน่าจะสบายใจเพราะให้เองกับมือ”



            “อืม..ได้สิ ห้องไหนล่ะ”



            “นายไม่เคยมา ถึงบอกไปนายก็ไม่รู้จักอยู่ดี เดี๋ยวฉันพาไปก็แล้วกัน” คริสอาสานำทางให้ผม



            “ไม่เป็นไร แค่บอกทางมาก็พอ” ผมเลือกปฏิเสธเขาบ้าง แค่ที่ยืนอยู่ใกล้กันตอนนี้มันก็ทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว ถ้ายังอยู่ด้วยกันต่อไปอีก ผมกลัวจะเข้มแข็งไม่พอ กลัวจะห้ามใจตัวเองไม่ไหว



            “ไม่ต้องเกรงใจหรอก มาสิ ตามฉันมา” และเพราะเวลานี้เป็นเวลาเลิกเรียนของแต่ละวิชาแล้ว ทำให้มีนักศึกษาใช้บริการลิฟท์เป็นจำนวนมาก คริสคงไม่อยากรอเลยบอกว่าขึ้นบันไดไปก็แล้วกัน





            จริงๆ นะ ผมรอได้ ผมไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพังเลย





            ผมเดินตามอีกฝ่ายขึ้นบันไดไปเงียบๆ ทำตัวเงียบให้มากที่สุด เหมือนว่ากลัวดอกพิกุลจะร่วงยังไงยังงั้น บรรยากาศระหว่างเราดูอึดอัดไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้แย่จนเกินไป ยังพอที่จะผมจะควบคุมตัวเองไหว



            “เป็นไงบ้าง เรียนหนักมั้ย” คริสเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน



            “เรียนไม่หนักหรอก งานเยอะมากกว่า นายล่ะ” มารยาทครับ มารยาท ถามมาถามกลับ ไม่โกง



            “เหมือนกัน นายคง...สบายดีนะ” คริสหันมามองผมก่อนจะถาม



            “อืม สบายดี ฉันคงไม่ต้องถามนะ ดูท่าทางแล้วนายก็ดูสบายดี”



            “ก็ดี.. ดีเลยแหละ”



            “ก็ดี” ผมไม่รู้จะตอบว่าอะไร ก็เลยเลียนคำตอบเขาเสียเลย แล้วเราก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แต่โชคดีที่มา   ถึงชั้นที่เป็นเป้าหมายของผม



            “ชั้นนี้แหละ เดี๋ยวนายออกจากประตูหนีไฟนี้ไปก็เลี้ยวซ้าย ห้องแรกขวามือที่ใหญ่ๆ หน่อย นายคงพอดูออก ห้องพักอาจารย์น่ะ มีป้ายชื่อติดอยู่ที่โต๊ะ”



            “ขอบใจนะ” ผมมองหน้าคริส ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะบอกขอบคุณ แต่จังหวะที่ผมกำลังจะเปิดประตูหนีไฟนั้น ผมรู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง แรงเหวี่ยงนั้นไม่เบามือ ผมนิ่วหน้าด้วยความเจ็บเพราะหลังผมถูกดันให้แนบติดอยู่กับกำแพงสีขาว และไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากก็ถูกประกบลงมา





            คริสจูบผม





            ผมตกใจแต่ไม่นานผมก็ปรับตัวได้เหมือนอะไรนะที่เขาเรียก วัวเคยขาม้าเคยขี่ ใช่ คำนั้นแหละ ผมโหยหาสัมผัสนี้มานาน ผมอยากได้สัมผัสนี้และผมก็ได้มันมาแล้ว



            เราจูบกันเหมือนคนอดอยาก ผมไม่หลีกเลี่ยง ไม่หลบหนี เมื่อคริสดุนดันลิ้นเข้ามาผมก็สนองกลับ ผมไม่มีอะไรจะเสีย จูบของเรายาวนานจนผมและคริสแทบจะหายใจไม่ทันแล้ว เราทั้งคู่จึงผละออกจากกัน ถึงแม้จะเสียดายอยู่บ้าง แต่นี่ก็เกินกว่าที่ผมคาดคิด



            “นายไปส่งเอกสารนี้ ฉันจะรอตรงนี้แล้วไปห้องฉันนะ” เขาเอ่ยชวน





ผมอยากไป ผมอยากไป





แต่ผมทำไม่ได้





            “เผื่อว่านายจะลืม ฉันจะเตือนความจำให้ นายและฉันต่างก็มีแฟนแล้ว อีกอย่างหนึ่งเรื่องเมื่อกี้ฉันถือว่าเป็นการแสดงความขอบคุณให้กับนายก็แล้วกัน ฉันไปล่ะ อ้อ ขอบคุณอีกครั้งที่พาฉันมานะ” ผมชูซองเอกสารขึ้นเล็กน้อยแล้วรีบเปิดประตูบันไดหนีไฟออกไปทันที





            ผมไม่ได้เจอคริสอีก แต่ผมยังทำคงตัวเป็นสตอกเกอร์อยู่เรื่อยๆ เวลาที่เขามีแข่งกีฬา มีกิจกรรม ผมมักจะเสนอหน้าไปป้วนเปี้ยนแถวคณะรัฐศาสตร์ทุกครั้ง แต่ก็แค่เป็นเงาอยู่ภายนอก ไม่กล้าเข้าไปให้อีกฝ่ายได้เห็นหรอกครับ มันอันตรายต่อหัวใจตัวเองเกินไป



            หลังจากเรียนจบผมก็ทำงานที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง นัทก็เช่นกัน เราทำงานกันคนละโรงพยาบาล แต่ก็ยังติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ตอนนี้ผมให้แม่ลาออกจากงานที่แม่เคยทำ มาเป็นแม่บ้านฟูลไทม์เพื่อลูกชาย ผมดีใจที่แม่จะได้พักเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แม่บ่นบ้างเล็กน้อย เธอรู้สึกเบื่อ ก็อย่างว่าล่ะครับ คนเคยทำงานพอไม่ได้ทำอะไรก็รู้สึกว่าตัวเองมือว่าง ไร้ประโยชน์ ผมก็เลยแนะนำให้แม่หาอะไรทำอยู่กับบ้านซะ เป็นวิธีแก้เครียดอย่างหนึ่ง ได้ผลดีเลยล่ะ





            “วันนี้ทานอะไรดีคะ คุณธัน” คุณป้าที่ประจำร้านอาหารในโรงอาหารทักทายผมด้วยความสนิทสนม ผมยิ้มให้ป้าก่อนจะบอกไปว่าเหมือนเดิม ป้าดูท่าจะเข้าใจว่าผมหมายถึงเมนูอะไร ผมเลือกทานร้านอาหารของป้าแกตั้งแต่เข้ามาทำงานใหม่ๆ





            จนผ่านมาสามปี





            และนี่คือช่วงเวลาปัจจุบันของผมแล้วครับ ตอนนี้ผมอายุยี่สิบห้าแล้ว เบญจเพส เป็นหนุ่มเต็มตัวเสียที ผมไม่รู้ว่าเป็นหนุ่มเต็มตัวจริงมั้ย แต่แม่ผมบอกมาแบบนั้น ก็ว่าไปตามนั้นแล้วกัน



            “วันนี้งานยุ่งมั้ยคะ” ผมรับอาหารมาจากป้าคนเดิมที่ทักผม



            “ไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ครับ แต่ถูกทักแบบนี้ สงสัยช่วงบ่ายงานเข้าแน่ๆ เลย” ผมพูดติดตลกก่อนจะขอตัวเพื่อไปนั่งทานมื้อเที่ยง



            “มากินข้าว ไม่ชวนกันเลยนะครับ ธัน” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว



            “ทักแบบนี้อีกแล้วคุณหมอ บอกว่าอย่าเล่นแบบนี้ ผมตกใจนะรู้มั้ย” ผมบ่นอุบพลางยกมือขยี้ใบหู

            “ก็คุณมันน่าแกล้งนี่ ไม่ต้องทำหน้ายักษ์ใส่ผม เดี๋ยวพยาบาลจะหาว่าผมทำให้คุณโมโหอีกแล้ว”



            “แล้วไม่จริงหรือไงครับ”



            “เอาล่ะๆ จะพยายามไม่ลืมแล้วกัน” หมอหนุ่มหัวเราะใส่ก่อนจะลุกขึ้นไปสั่งอาหารมาทานบ้าง



            “ทำไมวันนี้ถึงมาทานที่นี่ล่ะครับ ปกติได้รับสิทธิพิเศษทานในห้องตรวจไม่ใช่เหรอ” ผมเอ่ยแซวคนตรงหน้า เพราะไม่มีหมอคนไหนอยากติดอยู่ในห้องตรวจทั้งวันหรอกครับ การที่ได้ทานในห้องตรวจนั้นย่อมแปลว่าคนไข้เยอะจนปลีกตัวออกมาไม่ได้เลยต่างหาก





            “ช่างพูด... คุณควรจะดีใจที่มีคนมานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนนะครับ”



            “ถ้าพูดแบบไม่รักษาน้ำใจ คงต้องพูดว่า แค่ทานข้าวคนเดียวก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร” ผมยิ้มแทบจะตาปิดให้อีกฝ่าย ให้คุณหมอหมั่นไส้



             “ยิ้มแบบนี้ ให้ความหวังกันชัดๆ เมื่อไหร่จะเปิดใจสักที” ถึงคราวที่คุณหมอบ่นผมกลับบ้าน ผมไม่ตอบอะไรอีกก็เพื่อให้เราสองคนได้ทานข้าวมื้อนี้ให้หมดเสียที





            คุณหมอมาวิน ดาวิส จิตแพทย์หนุ่มวัยยี่สิบเก้าปี เรื่องอายุเนี่ย คุณพยาบาลมาเมาท์ให้ผมฟังนะครับ แบบว่าได้ยินเอง ช่วยไม่ได้ เราอยู่ทีมสหวิชาชีพหรือทีมสหสาขาเดียวกัน พูดให้ฟังคร่าวๆ แบบง่ายๆ ก็คือ ทำงานด้วยกัน ทีมเดียวกันประมาณนี้ครับ





โดยปกติแล้วอาชีพของผมคือการทำบททดสอบเพื่อตรวจวินิจฉัยทางจิตวิทยาคลินิก บำบัดทางจิตวิทยาโดยไม่อาศัยยานะครับ นอกนั้นก็พวกค้นคว้าวิจัย สอนฝึกอบรมอะไรประมาณนี้ แต่หลักๆ แล้วผมจะรับเคสจากจิตแพทย์ที่ส่งคนไข้มาให้ทดสอบสภาวะทางจิตใจครับแล้วแจ้งผลกลับไป





นักจิตวิทยาคลินิก ไม่ใช่จิตแพทย์นะครับ ถ้าจิตแพทย์ก็คือคุณหมอมาวินนั่นแหละ ต้องเป็นหมอนะครับ จ่ายยาได้ เบิกยาได้ ผิดกับผมที่ทำไม่ได้นะครับ อย่าสับสนกันนะ



เล่ามายืดยาวที่จะพูดก็คือ



หมอวินกำลังจีบผมอยู่



ใช่ครับ กำลังจีบอยู่ สงสัยผมจะมีดวงสมพงษ์กับลูกครึ่งต่างชาติ โดยเฉพาะลูกครึ่งอเมริกัน-ไทย ล่ะมั้ง เพราะหมอวินก็ลูกครึ่ง พันธุ์เดียวกันเลย



ถ้าพูดกันตามตรงในโรงพยาบาลแห่งนี้ผมคงสนิทกับหมอวินมากที่สุดล่ะครับ ส่วนหนึ่งเพราะหมอพยายามเข้าหาผมและผมคงแพ้ผู้ชายต่างชาติ ผมสีน้ำตาลจะต่างกันนิดหน่อยที่หมอวินมีผมสีน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีฟ้า ฝรั่งนัยน์ตาน้ำข้าว นัยน์ตาชวนฝัน



หน้าตาและรูปร่างสูงใหญ่แบบนี้ คือหนุ่มในฝันของสาวๆ หลายคน เขาว่ากันว่าแพทย์ย่อมคู่กับพยาบาลใช่มั้ยครับ แต่อะไรก็มักจะเกิดขึ้นได้เสมอ นักจิตวิทยาก็อยู่ในโรงพยาบาลด้วยนะเออ ทำเป็นเล่นไป



พูดกันจนเกือบจะเคลิ้ม ผมอยากจะตอบตกลงปลงใจไปกับหมอวินไปซะให้รู้แล้วรู้รอด ติดอยู่เรื่องเดียวก็คือ





ผมยังลืมคริสไม่ลง ผมยังลืมเขาไม่ได้เลย มีใครอยากแนะนำทริคดีๆ ให้ผมบ้างมั้ยครับ





“ผมเดินไปส่งที่ห้องนะ”



“ไม่หลงหรอกน่า อยู่ที่นี่มาสามปีแล้วนะครับ ไม่ใช่แค่สองวัน”



“อย่าโยกโย้กับจิตแพทย์ คุณก็รู้ว่าผมอยากไปส่งเพราะอะไร”



“ตามใจครับ แวะซื้อกาแฟก่อนมั้ยครับ หรือวันนี้อยากดื่มอยากอื่น” หมอวินติดกาแฟพอสมควรครับ อาชีพแพทย์ก็อย่างนี้แหละ อยู่เวร บางทีต้องมีแนะนำหรือไปสอนให้นักศึกษาแพทย์ด้วย ไม่นับโครงการอื่นๆ ที่ต้องอาศัยวิชาชีพของแพทย์ เช่น การรณรงค์เรื่องโรคซึมเศร้า การแนะแนวแนวทางต่างๆ ข้อควรปฏิบัติ ที่ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยเหลือเพื่อเยียวยาด้านจิตใจ



“อยากกินเหมือนคุณ” น้ำเสียงและสายตาที่อีกฝ่ายส่งมา ถ้าผมไม่มีคริสอยู่แล้ว ร้อยทั้งร้อยยังไงก็ต้องหลงไปกับหมอวิน



“น้ำเปล่าเหรอครับ” ผมยิ้มให้อีกฝ่าย เพราะผมแทบจะไม่ดื่มน้ำอะไรเลยนอกจากน้ำเปล่า



“ได้สิ ได้หมดแล้ว ถ้ากินเหมือนธัน แล้วธันจะเลือกผม”



“น่าเสียดายนะครับ ถ้าการเรียนเกี่ยวกับจิตวิทยามีหลักสูตรสอนเรื่องรัก ป่านนี้หมอวินคงผ่านฉลุย”



“โอย เจ็บ” หมอวินแกล้งทำสีหน้าโอดครวญพร้อมกับยกมือกุมที่หน้าอกด้านซ้าย แสดงออกมาประหนึ่งว่าเจ็บปวดรวดร้าว



“หมอวิน ทำตัวดีๆ ครับ คนไข้เห็นก็พานจะไม่เชื่อถืออาชีพนี้เอาได้” ผมเตือนอีกฝ่ายเบาๆ ถึงแม้จะน่าเอ็นดูอยู่หรอก แต่เรายังอยู่ในโรงพยาบาล



“รับทราบครับ คุณธัน” หมอวินรีบยืนตัวตรง อีกนิดคงยืนตะเบ๊ะแบบอาชีพในเครื่องแบบแล้ว



“ถึงห้องผมแล้วครับ”



“ไวจังแฮะ ตอนเย็นเราไปกินข้าวกันนะ”



“ผมว่างไปเป็นเพื่อนหมอนะครับ แต่หมอจะว่างหรือเปล่า”



“จริง เป็นหมอก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย จะจีบใครสักคนก็ทุ่มได้ไม่เต็มที่เลย คะแนนหดหายหมด”



“เอาเป็นว่าใกล้ๆ เลิกงานคุณหมอบอกผมอีกทีแล้วกันนะ ว่าไปได้หรือเปล่า” ผมหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจะตัดบทสนทนาเพราะหมดเวลาพักแล้ว



“ได้เลยครับ”





ช่วงบ่ายผมไล่ดูเคสเก่าๆ ในจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าไปพร้อมกับการวิเคราะห์สำหรับการนัดหมายในครั้งหน้า ผมอยากช่วยให้คนไข้ทุกคนนั้นมีสภาวะจิตใจที่ดีขึ้น เข็มแข็งขึ้น เผชิญกับทุกอย่างได้อย่างมีสติและสัมปชัญญะที่ครบถ้วน อยากลดภาวะการฆ่าตัวตายให้มากที่สุด



            “น้องธัน มีเคสคนไข้จากคุณหมอวินมานะคะ” พยาบาลที่อยู่แผนกเดียวกับผมเคาะประตูก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามารายงาน



            “ครับ คนไข้ใหม่เหรอครับ”



            “ใช่ค่ะ คุณหมอวินน่าจะส่งเคสมาแล้ว น้องธันลองดูในคอมฯ นะคะ”



            “ได้ครับ แล้วคนไข้จะเข้ามาเมื่อไหร่ครับ”



            “จวนแล้วค่ะ น่าจะกำลังเดินมา” พี่เก๋ถอยหน้าออกไป แล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใหม่ “มาพอดีเลยค่ะ ให้พี่พาเข้ามาเลยหรือว่ายังไงดีคะ”



            “ครับ ผมขอห้านาทีแล้วพี่พาคนไข้มาได้เลย”



            ผมเปิดรายงานที่หมอวินได้ส่งเคสต่อมาให้ผม คนไข้มีสภาวะเครียด นอนไม่หลับ มาสองสามเดือนแล้ว น้ำหนักลดมากกว่า สองกิโลกรัม ผมอ่านจนหมดก่อนจะวนมาอ่านประวัติส่วนตัว





            Mr. Christopher Krit Young ผมอ่านอีกครั้งลองแปลเป็นไทยชื่อนายคริสโตเฟอร์ กฤษณ์ ยัง อายุยี่สิบหกปี อ้าว เพิ่งรู้ คริสแก่กว่าผมปีหนึ่งงั้นเหรอ





อะไรต่อนะ อ่อ..สัญชาติอเมริกัน-ไทย ส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ทำไมไม่สูงขึ้นเลยเนี่ย จากตอนนั้นก็น่าจะสูงมากกว่านี้นะ





ต่อมาล่ะ น้ำหนัก ปัจจุบันเจ็ดสิบห้ากิโลกรัม คริสผอมลงกว่าปกติที่ควรจะเป็นไปหรือเปล่า ปกติเขาจะหนักประมาณเจ็ดสิบเจ็ดถึงเจ็ดสิบเก้ากิโลกรัม ตามประสาคนออกกำลังกาย เกือบลืมเขามาหาหมอเพราะบอกว่ามีอาการเครียดนี่นา น้ำหนักน่าจะลด





            เดี๋ยวนะ!! เดี๋ยวก่อน!!





คริส!!





            นั่นเขานี่ เขาจริงๆ ด้วย ผมลองอ่านชื่อคนไข้ใหม่หลายๆ รอบ แต่ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม เป็นเขา มาได้ยังไง แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเครียด ใครทำอะไรคริสหรือมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น



            ผมกำลังแพนิค ตกใจเกินไปโดยใช่เหตุ ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ เรียกสติคืนมา เป็นถึงนักจิตวิทยาแต่กลับสติแตกเสียเอง ใช้ได้ที่ไหน



            หลังจากตั้งสติกลับมาได้อีกครั้ง ผมลองอ่านรายละเอียดทั้งหมดใหม่ อืม คริส คริส คริส มีแต่ชื่อเขาเต็มหัวไปหมด โอ้ย แย่แล้ว ผมสลัดความฟุ้งซ่านนั้นออกไป เรียกสติกลับมาอีกครั้ง และเริ่มอ่านรายละเอียดใหม่อีกครั้ง และก็ประสบความสำเร็จ



            “น้องธัน ให้คนไข้เข้ามาเลยมั้ยคะ” พี่เก๋ เคาะประตูแล้วเข้ามาถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง



            “เชิญเลยครับ”





            เอาล่ะ ผมพร้อมแล้ว








============================

ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/

 Tag #WishingYou ค่า
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 6, 16/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 23-03-2018 12:48:26
Wish 7



            “เชิญคนไข้ได้เลยค่ะ” พี่เก๋เปิดประตูพาคนไข้เข้ามา ก่อนจะถอยออกไปและปิดประตูลงอย่างเงียบๆ



            “สวัสดีครับ เชิญนั่งเลยครับ” ผมทำเป็นอ่านรายงานในคอมฯ โดยที่ยังไม่ละสายตามามองผู้มาใหม่



            “สวัสดี ธัน ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี้”



            “อ้าว คริสเหรอ” ผมแสร้งทำเป็นว่าเซอร์ไพรส์สุดๆ ไม่เคยรู้มาก่อนเล้ย ว่าคนไข้คือใคร



            “ทำเหมือนกับยังไม่ได้อ่านประวัติฉัน”



            “เอาล่ะ ฉันขอสอบถามประวัติหน่อยนะ ไม่ต้องเกร็งนะ ก็เหมือนที่คุยกับหมอวินนั่นแหละ หมอจิตแพทย์ที่นายคุยเมื่อสักครู่ เขาน่าจะบอกนายแล้วว่าให้มาหาฉันที่นี่ ฉันที่เป็นนักจิตวิทยา เพื่อมาทำเทสต์” ผมบอกหน้าคริส เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร นอกจากพยักหน้าทำท่าว่าเข้าใจ



            “ปัจจุบันนายทำงานอะไร” ผมเริ่มคำถามแรก



            “เมื่อกี้หมอคนนั้น ไม่ได้ถามฉันแบบนี้”



            “คริส...คือมันอาจจะไม่เหมือนกันเป๊ะๆ แต่ก็จะคล้ายๆ กัน”



            “ไม่ใช่ ฉันหมายถึง เรา..ฉันกับหมอน่ะ คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ นายสนใจที่จะถามฉันด้วยภาษานี้ด้วยมั้ย” กวนตีนครับ แถวบ้านเรียกแบบนี้



            “ไม่ล่ะ ขอผ่าน คิดซะว่าฉันถามในเวอร์ชั่นภาษาไทยละกัน” ผมปรายตามองอีกฝ่าย



“ปัจจุบันคุณทำงานอะไรครับ” ผมเริ่มยิงคำถามใหม่ เวอร์ชั่นภาษาไทยในแบบสุภาพ



“ผมทำธุรกิจส่วนตัวของที่บ้าน” น่าแปลก ไม่ได้เกี่ยวการทูตเหรอ เกิดอะไรขึ้น แล้วที่เรียนมาล่ะ นั่นคืออะไร



“บอกผมได้หรือเปล่าครับว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร” ไม่ใช่ว่าถามเพราะอยากรู้เป็นการส่วนตัวนะ แต่ก็คือ..ไม่เชิงอะ ผมต้องถามเพื่อมาประกอบกับการวิเคราะห์ อาชีพก็มีผลกับสภาวะทางด้านจิตใจนะครับ



“ธุรกิจนำเข้าอาหารแช่แข็งครับ” ผมจดตามที่อีกฝ่ายบอกลงในกระดาษ



“คุณสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอลหรือเปล่า”



“ข้อนี้ คุณน่าจะรู้นะครับ” เขายอกย้อน



“เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ใจก็เปลี่ยนได้ครับ ผมหมายถึงคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ”



“ก็คงเหมือนคุณใช่มั้ยครับ ที่ใจเปลี่ยน...... ผมไม่สูบบุหรี่ ส่วนแอลกอฮอล ก็มีบ้างเวลาไปสังสรรค์ นั่นคือคำตอบของผม” ผมกำลังโดนอีกฝ่ายประชดเรื่องเมื่อนานมาแล้ว แต่ช่างมันก่อนเถอะครับ งานต้องมาก่อน แต่ไม่น่าเชื่อว่าคริสจะสามารถพัฒนาทักษะการค่อนขอดได้ดีขึ้นมาแล้ว



“อาการนอนไม่หลับเป็นมานานหรือยังครับ”



“สักสองสามเดือนที่ผ่านมาครับ”



“ระหว่างที่นอนไม่หลับ ส่วนใหญ่คิดถึงเรื่องอะไรครับ”



“ก็หลายอย่าง เรื่องงาน เรื่องครอบครัว รวมถึงเรื่อง....ส่วนตัว”



“คุณมีแฟนหรือยังครับ” คำถามนี้...เอ่อ ก็ไม่เชิง ผมก็อยากรู้ด้วย อย่าเพิ่งคิดในทางที่ไม่ดีสิครับ คือปัจจัยรอบด้านมีผลต่อด้านจิตใจทั้งหมดเลยนะครับ ผมต้องถามตามหน้าที่จริงๆ นะ





เชื่อผมสิ





“อยู่ในขั้นตอนการรักษาด้วยเหรอครับ” เขาหรี่ตาลงมองผมด้วยความไม่ไว้ใจ



“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ไม่อธิบายเพิ่มเพื่อไม่ให้เข้าตัว



“มี...” คำตอบของเขาทำใจผมห่อเหี่ยวอย่างไม่มีสาเหตุ



“แต่เลิกแล้ว...เพิ่งเลิกกันไปเมื่อเดือนก่อน” แล้วมันก็ฟูฟ่องขึ้นมาได้ในทันที ช่างอัศจรรย์เหลือเกิน



“ดา?” ผมหลุดปากถามออกไป



“ดา... ใช่...รู้เรื่องของฉันด้วยเหรอ” คริสกลับมาใช้สรรพนามเรียกตัวเองเหมือนเดิม



“ก็..นายดังจะตายไป ใครๆ ในมหา’ลัยก็ต้องรู้ทั้งนั้นแหละ” อันนี้ผมยอมรับว่าอยากรู้เองเพราะมันไม่ได้อยู่ในหัวข้อการรักษาเลยแม้แต่น้อย



“งั้นเหรอ ไม่คิดว่านายจะสนใจฉันอีกแล้ว นอกจากนัท”



“ถึงไม่สนใจ คนก็พูดกันทั่วนั่นแหละ ยังไงก็ต้องเข้าหูอยู่ดี”



“คงจะจริงอย่างที่นายพูด”



“เข้าเรื่องต่อนะ หลังจากที่เลิกกันอาการนอนไม่หลับ เกิดขึ้นบ่อยกว่าเดิมมั้ย”



“ไม่ครับ ไม่ต่าง” เขาหรี่ตามองผมอีกรอบ แต่ก็ไม่ทักท้วงอะไร ยอมตอบแต่โดยดี





ผมเอื้อมมือไปหยิบเอกสารสำหรับในกล่องลิ้นชักที่อยู่ติดกับกำแพงออกมาสองสามแผ่นแล้วยื่นไปให้คนตรงหน้า เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงอ่าน



“เอกสารพวกนี้เป็นแบบประเมินนะครับ ใบนี้” ผมชี้ไปทางใบซ้ายสุดของคริส



“เป็นแบบประเมินความเครียด มีทั้งหมด ห้าข้อครับ ส่วนใบกลางนี้คือแบบประเมินดัชนีชี้ความสุข หลายข้อหน่อยน่ะครับ อาจจะเบื่อนิดหน่อย แต่ขอความร่วมมือด้วยนะครับ ส่วนใบสุดท้ายตอนนี้คนไทยเป็นโรคนี้กันอย่างมาก ยังไงผมคงต้องขอประเมินด้วยนะครับ”



“โรคอะไรครับ”



“ภาวะโรคซึมเศร้าครับ ผมจะให้เวลาคุณประมาณ หนึ่งชั่วโมงนะครับ ไม่ต้องรีบ ถ้าครบหนึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่เสร็จก็ไม่เป็นไรครับ หลังจากนั้นผมขอดูผลประเมินแล้วเราจะพูดกันต่อว่าตอนนี้คุณเป็นอย่างไรนะครับ”



“นั่งทำที่นี่ใช่มั้ย” เขาถามผม



“ไม่ต้องที่นี่ก็ได้ แล้วแต่คุณเลย แต่ขอเป็นภายในโรงพยาบาลนะ จะได้ไม่ต้องตามหาตัวกันลำบาก”



“แล้วคุณล่ะ”



“ผมก็จะนั่งทำงานต่ออยู่ตรงนี้แหละครับ เพราะยังไม่มีเคสคนไข้คนอื่นนอกจากคุณ”



“ถ้างั้นผมนั่งทำตรงนี้ละกัน”



“ตามสบายครับ” ผมบอกคริสแล้วก็ละสายตาไปทางหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกรายละเอียดของชายหนุ่มลงไป ถึงกระนั้นก็ไม่วายที่จะเหล่มองผู้ชายที่ผมไม่ได้เจอมาหลายปีตั้งแต่เรียนจบ



เขาหน้าตอบมากกว่าเดิม คงเพราะน้ำหนักตัวที่ลดลงไป



เขามีโครงหน้าที่เข้มขึ้น ดูบึกบึนขึ้น คงเพราะวัยที่เติบโตตามกาลเวลา



เขายังน้ำเสียงที่ทุ้มน่าฟัง เพิ่มเติมคือความสุขุมในน้ำเสียง คงเพราะประสบการณ์ในการทำงาน



และเขายังมีดวงตาและผมสีเดิมที่ทำให้ผมหลงใหล คริสมีเส้นผมที่เล็กและตรงสวย ซ้ำยังนุ่มลื่นเวลาที่ผมใช้มือสางเข้าไปในเส้นผมของเขา เวลาที่เขาปล่อยมันไม่สบายๆ โดยไม่เซท มันทำให้เขาดูหน้าเด็กกว่าเดิมไปมากโข เหมือนในวันนี้



ฉันคิดเธออีกแล้ว และยิ่งมากขึ้นทุกที แม้กระทั่งที่เขานั่งอยู่ต่อหน้าผมแล้วก็ตาม



“หน้าฉันมีอะไรแปลกเหรอ ถึงได้จ้องหน้าฉัน” คริสพูดทั้งที่ยังก้มหน้าทำแบบทดสอบอยู่ ผมตกใจลนลานจนเผลอทำปากกาในมือหล่น และคริสเป็นฝ่ายเก็บปากกาด้ามนั้นมาคืนให้





เขากำลังสบตาผม





ตึก..ตึก.. ตึก..ตึก..



หัวใจผมเต้นถี่เร็วราวกับจะหลุดออกมา ผมบังคับมือไม่ให้สั่นไหวตอนที่ยื่นมือออกไปรับปากกานั้นคืน



“ขอบใจ”



“ไม่เป็นไร ทำงานที่นี่นานแล้วเหรอ” คริสไม่ทวงคำถามเก่า เขาเลือกก้มหน้าทำแบบประเมินต่อแต่ก็ถามเรื่องของผมไปด้วย เขาน่าจะชวนคุย เพื่อไม่ให้ห้องเงียบเกินไป



“ตั้งแต่เรียนจบ แล้วนายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”



“ปีที่แล้ว หลังเรียนจบโท” เขาเงยหน้ามามองผมแว๊บหนึ่ง ก่อนจะลงมือทำมันต่อ



“อืม ทำไมถึงเลิกกับดา” ผมกำลังอยากรู้มากกว่าหน้าที่ของตัวเอง



“แล้วทำไมนายถึงเลิกกับนัท” คริสไม่ตอบแต่ดันถามผมกลับ



“นัท...”



“นายไม่เคยคบกับนัทแล้วจะเลิกกับนัทได้ยังไง จริงมั้ย” คริสรู้ เขารู้ได้ยังไง แสดงว่าเขาต้องรู้ว่าผมโกหกถึงสาเหตุที่บอกเลิกเขา



“นายเอานัทมาอ้างเพื่อโกหกฉันทำไม ถ้าอยากเลิกกันก็แค่บอกมาตรงๆ” เขามองหน้าผม แต่ผมไม่กล้ามองเขาเลย สายตาของผมกำลังเห็นคริสกำปากกาแน่น กลัวว่าจะหักคามือเหลือเกินตอนที่เขาพูดกับผม



“ฉันขอโทษ” ผมไม่รู้จะใช้คำพูดไหนในเวลานี้ นอกจากคำนี้



“ฉันเองก็ต้องขอโทษ เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันไม่ควรจะขุดเรื่องเก่าๆ มาพูดอีก”



“ไม่เป็นไร”



“มันก็แค่คาใจ...”





คริสเงียบจนกระทั่งเขาเลื่อนกระดาษคืนมาตรงหน้าผมอีกครั้ง ผมหยิบแบบประเมินนั้นคือมาตรวจดูผล ซึ่งมันค่อนข้างจะใช้เวลาสักพัก



“จากผลทดสอบนี้ คริส…. นายยังไม่มีภาวะโรคซึมเศร้า” ผมยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ เพราะถ้าเขาเป็นโรคนี้ขึ้นมาผมคงจะแย่ตามไปด้วย และต้องกังวลหนักมากแน่ๆ เพราะผลกระทบมันรุนแรงยิ่งนัก



“แล้ว?”



“นายแค่มีภาวะเครียดเท่านั้น จากหลายๆ ข้อที่นายตอบมา นายไม่ใช่จะทุกข์ในทุกเรื่อง มีทั้งสุขด้วย ทุกๆ อย่างดูสลับๆ กัน ซึ่งไม่ใช่ภาวะผิดปกติอะไร คราวนี้ฉันจะถามถึงทางเลือกว่านายอยากจะรักษาแบบไหน”



“ว่ามาสิ”



“ใช้ยากับไม่ใช้ยารักษา ในฐานะนักจิตวิทยาฉันอยากจะแนะนำให้รักษาโดยไม่ใช้ยาก่อน อยากให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นฟูด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องพึ่งยา ส่วนการใช้ยาก็เป็นทางลัดที่ช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น สำหรับการรักษาแบบใช้ยาเนี่ย จะต้องเป็นจิตแพทย์เท่านั้นที่สั่งจ่ายยา ซึ่งฉันทำไม่ได้”



“อืม..”



“นายอาจจะลำบากใจหน่อยนะเพราะถ้าเลือกแบบไม่ใช้ยารักษา นายจะต้องมาเจอกับฉัน พูดคุยบำบัดเรื่องความเครียดของนาย โดยไม่ได้เจอกับจิตแพทย์ ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ ถ้านายจะไม่อยากเจอฉัน ในกรณีนี้นายที่เป็นคนไข้มีสิทธิ์เลือกแนวทางการรักษาได้อยู่แล้ว” คริสกำลังใช้ความคิด สิ่งที่ผมแนะนำเขาไปนั่นคือสิ่งที่พึงกระทำในอาชีพของผม



ก๊อก..ก๊อก..



“เชิญครับ” ผมร้องตอบคนที่เคาะประตูอยู่



“คุณธัน เสร็จหรือยัง อ้าว คุณคริส” หมอมาวินเดินเข้ามาทักผมก่อนที่จะเห็นว่าตรงหน้าผมยังมีคนไข้ที่เขาส่งเคสมาให้



“ครับ ใกล้จะเสร็จแล้วครับ”



“ถ้างั้นผมขอไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพักก่อน  แล้วเจอกันที่หน้าตึกละกันนะครับ”



“ครับ”



“แฟนเหรอ” คริสถามหลังจากที่หมอมาวินเดินออกไปแล้ว



“ไม่เชิง”



“หมายความว่ายังไง”



“ก็ยังไม่ได้เป็นแฟน”



“กำลังจีบ?”



“งั้นมั้ง ก็แค่ไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆ” บ้าจริง แล้วผมจะอธิบายไปทำไมกัน ทำไมต้องกลัวคริสจะเข้าใจผิดด้วยล่ะ ในเมื่อเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนี่



“ก็ดี...งั้นฉันเลือกการรักษาแบบไม่ใช้ยาก่อนละกัน” ก็ดีอะไร ผมไม่เข้าใจคำพูดของคริส แต่ไม่ได้เก็บเอามาคิดนานเพราะผมต้องออกใบนัดเขามารับการรักษา



“เดี๋ยวฉันจะนัดวันเวลาให้นายเข้ามารับการรักษานะ ถ้าไม่สะดวกหรือติดอะไรก็โทรบอกล่วงหน้าหนึ่งวัน เบอร์โทรศัพท์อยู่ในใบนัด แจ้งกับพยาบาลได้เลย แล้วก็ฉันอยากให้นายมารักษาแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่มาๆ หายๆ ได้หรือเปล่า” ประโยคหลังนี่ ผมแทบอยากจะขอร้องเขา เพราะกลัวเขาจะขาดการรักษาเหลือเกิน เพราะถ้าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขวันหนึ่งมันจะอาจจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม



“ได้ ฉันจะพยายาม”



“ครั้งหน้าฉันจะอธิบายถึงวิธีการรักษาให้นายฟัง ระหว่างนี้ขอให้งดเครื่องดื่มแอลกอฮอลทุกชนิด ย้ำว่าทุกชนิดนะครับ รวมถึงบุหรี่หรือสารเสพติดทุกชนิด”



“ฉันไม่สูบบุหรี่” คริสขัดขึ้น



“รู้แล้ว แค่พูดเผื่อไว้เฉยๆ”



“สังเกตพฤติกรรมของตัวเองเวลาที่รู้สึกเครียด ออกกำลังกายด้วยนะครับ อย่าลืม ถ้ามีอะไรที่เคยทำแล้วรู้สึกชอบหรือสบายใจ ก็ใช้เวลากับเรื่องนั้นให้มากหน่อยนะครับ”



“อืม เข้าใจแล้ว”



“ที่พูดทั้งหมดเนี่ย ฉันพูดในฐานะคนที่จะคอยช่วยเหลือนาย และ เพื่อนของนาย...”



“อืม ขอบใจ”



“และข้อสุดท้าย ถ้ามีอาการทรุดลงกว่าเดิม หมายถึง เครียดวิตกมากกว่าเดิม ก็มาหาได้เลยไม่ต้องรอตามใบนัด ตกลงมั้ย”



“ครับ คุณธัน” คริสลงเสียงหนักตอนเรียกชื่อผม



“วันนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ เดี๋ยวออกไปนั่งรอหน้าห้องสักครู่ จะมีพยาบาลเรียกนะครับ”



“ครับ” คริสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาไม่กล่าวลาอะไรผม ซึ่งผมไม่ควรจะคาดหวังมัน และ  ตอนที่คริสกำลังจะเดินออกจากประตูไป ผมก็เรียกชื่อเขา



“คริส”



“หืม” คริสหันกลับมา เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม



“ขับรถดีๆ ล่ะ”



“ขอบใจ” คริสยิ้มให้ผมนิดหนึ่ง นิดเดียวจริงๆ แต่แค่นั้นผมก็มีความสุขมากเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้แล้ว หัวใจมันพองโตไปหมดเลย ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกสักพักใหญ่ แม้ว่าคริสจะไม่อยู่ในห้องแล้วก็ตาม ผมนี่ท่าจะเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ



“รอนานหรือเปล่า” ผมมายืนรอที่หน้าตึกหลังจากคริสกลับออกไปแล้วไม่นาน ก็เห็นรถยนต์คันหรูเข้ามาจอดเทียบท่า ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ คนประเทศนี้เขาชอบรถทรงนี้กันหรือไง มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ ที่รถของหมอวินกับคริสนั้น ทั้งยี่ห้อและสไตล์ของรถนั้นเหมือนกัน ผมพยายามคิดในแง่ดี



“ไม่นานครับ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อสักครู่นี้เอง”



“ผมรีบแทบแย่เลย กลัวคุณจะรอนาน”



“หมอวินก็พูดเกินไป แล้วนี่เราจะไปกินข้าวที่ไหนกันเหรอครับ”



“เพื่อนผมแนะนำร้านอาหารร้านหนึ่งบอกว่าอร่อย ผมเลยจะพาคุณไปลองทานร้านนี้ดู”



“ครับ”



“เคสคุณคริสเป็นยังไงบ้าง อันที่จริงผมไม่อยากคุยเรื่องงานหรอกนะครับ แต่มันอดไม่ได้”



“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ดีเสียอีกที่คุณหมอห่วงคนไข้”



“ผมกลัวคุณเบื่อ”



“ไม่เบื่อครับ เคสของคุณคริส จากผลประเมินแล้วแค่สภาวะเครียด ไม่ได้หนักหนาอะไร ถ้าปรับตัวให้กินอิ่มนอนหลับได้ เดี๋ยวก็หาย”



“คุณธัน พูดเหมือนง่ายอีกละ”



“ก็จริงนี่ครับ ตามทฤษฎีมันมีแค่นี้เอง ติดที่เราทำตามมันไม่ได้ต่างหาก”



“ถ้าจิตใจของคนเรามันเชื่อฟังกันง่ายๆ ผมก็คงสมหวังในความรักไปแล้ว” คุณหมอหันมาฉีกยิ้มกว้างให้ผม ถึงแม้เจ้าตัวจะทำเป็นติดตลก แต่ผมก็รู้ในความหมายแฝงว่าเขาก็รอให้ผมตอบตกลงเสียที



“ขอโทษที่ทำให้หมอผิดหวัง แต่มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ครับ”



“ผมก็อยากจะเข้าใจนะ แต่มันก็ไม่เข้าใจ”



“หมอวินควรจะมองคนอื่นบ้างนะครับ คนอย่างหมอวินทำให้คนรักได้ไม่ยากหรอกครับ”



“ผมอยากให้คนนั้นคือคุณนะ คุณธัน” หมอวินละมือซ้ายจากพวงมาลัย หมอใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ที่แก้มของผม



“ผมก็อยากจะรักหมอนะครับ หมอเป็นคนดี หมอดูแลผมดี เรามีงานที่คล้ายกัน เราเจอกันแทบตลอดเวลา แต่ผมมีคนที่อยู่ในใจแล้ว ผมยังลืมเขาไมได้ แล้วมันคงไม่แฟร์ถ้าผมจะตกลงเลือกหมอทั้งที่ผมยังรักคนอื่นอยู่ จริงมั้ยครับ” ผมดึงมือหมอวินออกแล้วส่งคืนให้กับเจ้าพวงมาลัยแทน



“อกหักอีกแล้ว เจ็บจัง”



“หมอก็ทำพูดเล่น” ผมบ่นเขาอย่างไม่จริงจัง



“ที่บอกว่าอกหักเนี่ยอกหักจริงๆ นะ ไม่รู้เหมือนกันว่ารอบที่เท่าไหร่”



“รักคนที่เขารักเราเถอะหมอ เชื่อผม”



“ถ้าอย่างนั้น ทำไมคุณธันไม่รับรักผมล่ะ” หมอวินพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนมาทำให้ผมใจอ่อนเหมือนเคย แต่ผมก็ไม่ตกหลุมอีกฝ่าย





“วกเข้าหาผมจนได้ ก็เพราะผมรู้ไงครับว่ามันไม่มีความสุขเอาเสียเลย ผมก็เลยต้องแนะนำสิ่งดีๆ ให้จิตแพทย์ไงครับ”



“ผมอยู่กับคุณธันแล้วสบายใจจัง”



“เหมือนกันครับ นอกจากไอ้นัทแล้ว ก็มีหมอเนี่ยแหละที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ” ถ้าไม่นับเรื่องความสัมพันธ์ชู้สาวแล้ว หมอวินก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่นิสัยดีคนหนึ่งเลยทีเดียว



“ช่วงนี้คุณนัท เขายุ่งๆ เหรอครับ ไม่ค่อยเห็นมาที่โรงพยาบาล”



“ครับ งานเยอะ โรงพยาบาลนั้นโหดกว่าโรงพยาบาลของเราเยอะเลย อีกอย่างผมไม่แน่ใจหรอกนะครับเพราะนัทเคยพูดสักพักหนึ่งแล้ว เรื่องเรียนต่อ ไม่รู้วุ่นเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า เงียบหายไปเลย”



“โทรไปชวนคุณนัทมากินข้าวกับเราดีมั้ยครับ” ผมชอบนิสัยของหมอวินก็ตรงนี้ เขานึกถึงคนอื่นเสมอ จิตใจของเขาดีสมกับเป็นหมอจริงๆ บางทีนิสัยของเขาทำให้ผมรู้สึกผิด ผมควรจะเลือกหมอวินแล้วลืมใครคนนั้นให้ได้เสียที





เพราะจิตใจมันบังคับกันไม่ได้





“อย่าเลยครับ กะทันหันแบบนี้ ไม่มาหรอก แถมยังจะบ่นยาวเหยียดจนหูชาอีก” ใช่ครับ นัทไม่ชอบการนัดกระชั้นชิด มันบอกว่าเป็นการกระทำของคนที่ไม่ได้รับการวางแผน แต่เรื่องนี้ ยกเว้นกับแฟนคนสวยของมันนะครับ ถ้าเป็นแฟนสาวของมันล่ะก็ เวลาไหนก็ได้ ขอแค่ให้ว่างเถอะ





กฎระเบียบย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ





“ครับ” หมอวินกลับมายิ้มสดใสเหมือนเดิมแล้วก่อนจะตั้งใจขับรถให้ถึงที่หมาย



“บรรยากาศดีนะครับ ร้านก็ตกแต่งสวยเชียว” ผมเอ่ยชม ร้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นวิวสะพานที่มีเริ่มเปิดไฟประดับ



“นั่นสิ เซอร์ไพรส์ผมสุดๆ เลย เพื่อนมันบอกแค่อาหารอร่อย แต่ไม่ยักบอกว่าร้านก็สวย วิวก็ดี”



“ขอบคุณนะครับ ที่พาผมมา”



“ด้วยความเต็มใจครับผม”





ผมกำลังนับวันรอถอยหลังอยากใจจดใจจ่อ ภาวนาให้คริสไม่ติดงานและมาตามวันนัดได้ ผมอยากเห็นหน้าเขาใจจะขาดแล้ว





============================

เข้าสู่ช่วงปัจจุบันแล้ว เค้าป๊ะกันแล้วววววว

ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/

#WishingYou
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 7, 23/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 30-03-2018 10:55:50
Wish 8





ก๊อก..ก๊อก..





“เชิญครับ” ผมพยายามห้ามหัวใจไม่ให้เต้นแรง แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน



“น้องธันคะ คนไข้ คุณคริสโตเฟอร์ มาแล้วค่ะ ให้พี่พาเข้ามาเลยมั้ยคะ”



“ครับ ได้เลย” ผมยิ้มให้พี่เก๋ พยาบาลแผนกจิตเวชของที่นี่ เธอเป็นสาวใหญ่วัยสี่สิบห้าปี มีลูกสาวหนึ่งคนกับคุณหมอแผนกสูตินารีเวช ด้วยประสบการณ์ทำงานของเธอ บางอย่างเธอคล่องกว่าผมอีกครับ แบบว่าเห็นปุ๊ปบอกได้เลยว่าคนนี้อาการถึงขั้นไหนแล้ว แต่นั่นก็เป็นแค่การสันนิษฐานและการคาดเดาเท่านั้น ทุกเคสของคนไข้นั้นเราต้องทำการทดสอบเพื่อยืนยันผลครับ



มีเสียงเคาะประตูอีกครั้งและประตูก็ถูกเปิดออก ผมได้ยินเสียงพี่เก๋แว่วๆ ว่าให้คริสเข้ามาได้เลย ผมยืดตัวนั่งหลังตรงโดยอัตโนมัติ เขาเรียกว่าอะไรนะ ประหม่า ตื่นเต้น ประมาณนั้นแหละครับ อยากเจอจะแย่แล้ว



“สวัสดีครับ เชิญนั่ง” ผมเป็นฝ่ายทักเขาก่อนตามมารยาท



“สวัสดีครับ” คริสตอบ วันนี้เขาแต่งตัวมาแบบสบายๆ เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีนส์สีเข้ม ผมปรกหน้าไม่ได้เซทอะไร ยิ่งทำให้เขาเหมือนเด็กไฮสคูลวัยรุ่นคนหนึ่ง หน้าเด็กไปเป็นกอง



“สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง” ผมเริ่มถามคริส



“หมายถึง?”



“ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับ เล่าอะไรก็ได้ว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาคุณทำอะไรบ้าง เครียดมั้ย นอนหลับหรือเปล่า เบื่ออาหารด้วยมั้ย”



“สัปดาห์ที่แล้วมีประชุมที่บริษัททั้งห้าวัน ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ ถ้าไม่มีประชุมก็จะต้องเข้าไปดูโกดังเก็บสินค้า ตรวจงาน และถ้าไม่มีนัดลูกค้าต่อก็กลับบ้านหรือไปออกกำลังกาย”



“แค่นี้?” ผมถามคริส เพราะมันดูรวบสั้นเกินไป



“อืม แค่นี้แหละ”



“นอนหลับหรือเปล่าครับ หรือนอนไม่หลับเหมือนเดิม” ในเมื่อเขาไม่เล่ารายละเอียดมากนัก ผมคงต้องถามเอง



“ถ้าวันไหนออกกำลังกายก็จะหลับง่ายขึ้น”



“ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีครับ แล้วเรื่องอาหารล่ะ เบื่ออาหารเหมือนเดิมหรือเปล่า ผมดูจากใบที่พยาบาลเอามาให้ น้ำหนักคุณยังเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง”



“ก็ไม่เชิง ผมไม่ค่อยหิว”



“ไม่หิวก็ต้องทาน รู้มั้ยครับ คุณไม่ต้องการแต่ร่างกายต้องการ แต่ก็ดีที่คุณไม่เบื่ออาหาร ลองเปลี่ยนบรรยากาศดูนะครับ ลองหาร้านอาหารที่มีสภาพแวดล้อมที่ต่างจากปัจจุบันที่คุณอยู่ อย่างเช่น เราเป็นมนุษย์สังคมเมือง ก็ลองไปหาร้านที่ออกแนวธรรมชาติดู เอาที่ใกล้ๆ กรุงเทพก่อนก็ได้ครับ อัมพวาก็ไม่แย่จนเกินไป”



“คุณธัน จะช่วยดูแลคนไข้ด้วยการพาผมไปหน่อยได้มั้ยล่ะครับ” เขาตั้งใจเปิดเรื่องเพื่อแกล้งผม



“ผมไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ครับ”



“ไม่ได้เหรอไง” โธ่ คริส นายอย่าทำหน้ากับเสียงแบบนี้ได้มั้ย กับหมอวินที่ใช้ท่าทางแบบนี้เหมือนกัน แต่ผมกลับไม่หวั่นไหว แต่พอเป็นคริสแล้ว ผมแทบจะหักห้ามใจไม่ได้

         

          “ผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะ”



            “ไม่เหมาะอะไรกัน ก็ถือว่าในฐานะเพื่อนก็ได้ นายเคยพูดเองนี่ว่ายังไงก็เพื่อนกัน จำไม่ได้หรือไง” ใช่ นั่นเป็นคำพูดผมตอนที่ผมบอกเลิกคริสในวันนั้น



            “ก็ได้ๆ ถือว่าช่วยในฐานะเพื่อนก็ได้ ฉันหวังว่านายจะหายเครียดไวๆ ละกัน”



            “เสาร์นี้ เก้าโมง” คริสนัดหมายเสร็จสรรพ



            “อือ”



            “ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า”



            “ใช่”



            “ชีวิตก็น่าจะดีกว่าเดิมแล้ว ทำไมยังอยู่ที่เดิมอีก ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าซอยนั้นมันดูอันตราย” คริสบ่นเหมือนครั้งที่เขาเดินไปส่งผมที่บ้านไม่มีผิด



            “บ้านนั้นมันสำคัญต่อฉันกับแม่มาก คงไม่ย้ายไปที่ไหน”



            “เดี๋ยวฉันเข้าไปรับนายที่บ้าน”



            “ไม่ต้องหรอก ลำบากนายเปล่าๆ”



            “ไม่เป็นไร นายอุตส่าห์ไปเป็นเพื่อนฉันทั้งที แล้วอีกอย่างฉันอยากจะเข้าไปไหว้แม่นายด้วย ได้หรือเปล่า” คริสเน้นคำนั้นเป็นพิเศษ เอาเถอะ อยากพูดอะไรก็พูด



            “อ๋อ เอาสิ”



            “ตามนี้นะ”



“อืม ต่อนะ...ช่วงที่ผ่านมาคุณหงุดหงิดง่ายขึ้นหรือเปล่า”



“ไม่แน่ใจ เพราะปกติแล้วผมก็หงุดหงิดบ่อยอยู่พอสมควร ทั้งเรื่องงานและเรื่องที่บ้าน”



“อยากเล่าให้ผมฟังมั้ย”



“ไม่”



“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องลำบากใจอะไร ถ้าพร้อมและอยากเล่าให้ผมฟังเมื่อไหร่ก็ได้เสมอ การระบายออกมาก็เป็นการขจัดความเครียดอย่างหนึ่ง”



“อืม”



“เดี๋ยวเอาแบบทดสอบนี่ไปทำอีกสักชุดนะครับ อ๊ะ! อย่าเพิ่งทำหน้าเซ็งนะครับ ขอความร่วมมือด้วย” ผมเอื้อมมือไปหยิบแบบประเมินออกมาอีกหนึ่งชุดก่อนจะยื่นให้คริส จังหวะที่คริสยื่นมือออกมารับนั้น ผมทันได้สังเกตเห็นรอยสักรูปนกอะไรสักอย่างประมาณสี่ถึงห้าตัว ผมไม่แน่ใจเพราะเห็นมันเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น



“ไปสักมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามขึ้น ไม่คาดหวังว่าเขาจะตอบ



“อยากรู้?”



“อือ แต่จะไม่บอกก็ได้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ฉันต้องรักษานาย”



“ตั้งแต่ปีสาม” คริสตอบโดยไม่เงยหน้าจากแบบประเมิน



“ห๊ะ!?”



“ก็ที่นายถาม ฉันสักตั้งแต่ปีสาม”



“อ้อ.. แล้วมันเป็นรูปนกใช่หรือเปล่า นกอะไรอะ”



“นกพิราบ เอ้านี่ เสร็จแล้ว” คริสเลื่อนแบบประเมินคืนมาให้ผม เรื่องที่ผมกำลังซักเขาเลยต้องหยุดลง และคริสก็จงใจเบี่ยงประเด็น นั่นคือสิ่งที่ผมรู้



ผมรับมาโดยไม่พูดอะไร ผมดูกระดาษแผ่นนั้นเพื่อวิเคราะห์สภาวะเครียดของคริส เคสของเขาไม่ใช่เคสที่แปลกใหม่อะไร แต่ที่ผมต้องตั้งใจมากขนาดนี้ เพราะมันเกี่ยวกับคริส ผมย่อมใส่ใจมากกว่าปกติ แต่ไม่ได้หมายความว่าเคสคนไข้คนอื่นผมจะไม่ใส่ใจนะครับ อย่าเพิ่งใส่ร้ายผม ก็แค่คนนี้เป็นคนพิเศษ เข้าใจหรือเปล่า



“อืม คะแนนดีขึ้น แต่ยังดีขึ้นไม่มากพอ เอาล่ะ เดี๋ยวผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมถามคุณไปตั้งแต่แรกนะครับ”



“ครับ” คริสรับฟังด้วยท่าทีสบายๆ น่ามองเป็นบ้า



“อย่างที่ผมบอกว่าคุณมีภาวะเครียดเกิดขึ้น มีอาการนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร ไม่หิวนั่นแหละครับ เครียด คิดมาก หลังจากที่ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือคุณสามารถหลับได้ดีขึ้นหลังจากออกกำลังกายใช่มั้ยครับ”



“ครับ”



“เวลาที่มนุษย์เราออกกำลังกายร่างกายจะผลิตสารตัวหนึ่งให้หลั่งออกมา สารนี้ชื่อว่าสารแห่งความสุขหรือเอนดอร์ฟิน (Endorphin) หลายคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว สารนี้มันออกมายังไง ก็คือเวลาที่เราเหงื่อออกและหัวใจของเราเต้นเร็วขึ้น สารนี้จะถูกหลั่งออกมา ทำให้เรารู้สึกสดชื่นสบายตัว อารมณ์ดีขึ้นและหลับง่ายขึ้นด้วย” ผมเริ่มอธิบายคร่าวๆ



“....”



“สารนี้มาได้จากหลายทาง เช่น การนั่งสมาธิ การที่เรามีความสุขต่อสิ่งที่ชอบหรือได้ทำในสิ่งที่ชอบ การออกกำลังกายที่คุณได้ทำ และ เพศสัมพันธ์ครับ”



“น่าสนใจดีนะครับ”



“ครับ?”



“ถ้าสารนี้หลั่งได้เวลามีเพศสัมพันธ์ คงน่าเสียดายเพราะตอนนี้ผมคงไม่ได้ใช้มัน ยกเว้นว่าคุณนักจิตวิทยาจะช่วยเหลือผม” เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ผมเกือบถอยออกมาแทบไม่ทัน



“เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ในฐานะเพื่อนหรือนักจิตวิทยา คงช่วยเหลือคุณไม่ได้ รบกวนคุณต้องหาวิธีทางแก้ไขด้วยตัวเองนะครับ อ้อ เพศสัมพันธ์มันแค่ส่วนหนึ่ง คุณสามารถนั่งสมาธิแทนก็ได้ครับ ทดแทนได้เหมือนกัน ทำสมาธิเพียงวันละ ห้าถึงสิบนาทีก็เพียงพอแล้ว และที่สำคัญ คุณจะได้ไม่ต้องเหนื่อยให้มันยุ่งยากด้วยจริงมั้ยครับ” ผมตอบเขาด้วยใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม ที่ถ้าคริสยังรู้จักตัวผมดี เขาต้องรับรู้ได้แน่ว่าคำพูดของผมตั้งใจตอกเขากลับไปแบบเบาๆ บวกกับท่านั่งของผมที่นั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ นั่นอีกล่ะ เขาคงหมั่นไส้ผมไม่น้อย



“บางทีการเสียเหงื่อเพื่อแลกกับอะไรมา มันก็คุ้มค่าดีเหมือนกันนะครับ ผมยินดีช่วยนะครับ ถ้าคุณสนใจ” เขายิ้มตอบผมด้วยรอยยิ้มกับที่ผมทำเมื่อสักครู่นี้ ผมกำลังโดนเอาคืน



“ไม่ล่ะ ขอบคุณครับ เอาล่ะ ผมอยากให้คุณจริงจังเรื่องพวกนี้หน่อยนะครับ” ผมทำเสียงเข้มขึ้นนิดหนึ่ง เพื่อดึงให้เราทั้งคู่กลับเข้ามาอยู่ในการรักษา



“ครับ กินข้าวเที่ยงด้วยกันนะ” แล้วคิดว่าคริสจะสนใจมั้ย เปล่าเลยล่ะ



“จริงจังกับการรักษาหน่อยสิครับ อย่าทำเป็นเล่น”



“ผมไม่ทำอะไรเล่น แต่ก็ได้ พูดต่อสิ”





ผมขยับตัวเลื่อนเก้าอี้ออกมาจากโต๊ะทำงาน คริสมองการกระทำของผมด้วยท่าทีเรียบเฉย ส่วนตัวคริสยังอยู่ที่เดิม ผมเลยบอกให้เขาขยับออกมาด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เราสองคนจึงนั่งบนเก้าอี้และเผชิญหน้ากันโดยไร้โต๊ะทำงานของผมกั้น



“ผมจะสอนให้คุณฝึกเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ เดี๋ยวคุณลองทำตามผมนะครับ นั่งสบายๆ นะครับยังไม่ต้องเกร็ง”



ผมขยับตัวให้อยู่ท่านั่งสบายๆ อย่างที่บอกอีกฝ่าย



“จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อที่ละจุดนะครับ เริ่มจากกำมือก่อน เกร็งแขนเอาไว้ด้วยนะครับ ทำค้างทิ้งไว้สักสิบวินาทีแล้วค่อยปล่อย จากนั้นสลับไปทำอีกข้าง หายใจเข้าออกด้วยนะครับ อย่ากลั้นหายใจ ทำประมาณสิบครั้งนะครับ”



ผมทำให้คริสดู ส่วนเขาก็ทำตัวเป็นคนไข้ที่ดี ทำตามผมด้วยความตั้งใจ



“ไม่ใช่แค่มือหรือแขนนะครับ เราทำได้ทุกส่วนของร่างกายเลย หน้าผากก็ทำได้ ทำแบบนี้นะครับ” ผมเลิกคิ้วให้สูงแล้วคลายลง



“สำหรับตาก็หลับตาปี๋ หรือจมูกก็ให้ย่นจมูกนะครับ ค้างไว้แล้วคลายออกเหมือนกัน” ผมลองทำให้เขาดู คริสยิ้มนิดๆ แต่เขาไม่ได้ทำตาม



ผมลุกขึ้นเพื่อไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วนำมายื่นให้คริส



“อะไร” เขาถามก่อนจะยื่นมือออกมารับ เขาใช้มือซ้ายออกมารับกระดาษผมเลยได้สังเกตรอยสักนั้นเพิ่ม มันเป็นรูปนกพิราบจริงๆ ตัว หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า โอ๊ะ มีห้าตัว



“นี่เป็นเอกสารคู่มือสำหรับวิธีการเกร็งและคลายกล้ามเนื้อ นอกจากที่ผมได้สอนคุณไป มันยังมีส่วนอื่นด้วย คุณลองอ่านและทำตามดู ทำเองได้ไม่ยาก การฝึกเรื่องนี้ถ้าทำบ่อยๆ เวลาที่คุณเกร็งกล้ามเนื้อหรือเครียดโดยไม่รู้ตัว มันจะทำให้คุณรับรู้และผ่อนคลายได้โดยเร็ว”



 

** แหล่งอ้างอิง http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/47/ความเครียด-วิธีแก้ความเครียด/





 

“ขอบใจ”



“วันนี้คงมีเท่านี้ ผมจะนัดคุณมาอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า พยายามทำตามที่ผมแนะนำ”



“ได้”



“เดี๋ยวคุณออกไปรอพยาบาลด้านนอกเหมือนเดิมนะครับ สวัสดีครับ” ผมพูดเสร็จก็เลื่อนเก้าอี้กลับไปที่โต๊ะทำงานเหมือนเดิม แล้วเริ่มลงมือพิมพ์อะไรก๊อกแก๊กลงไปในประวัติผู้ป่วย แต่คริสยังไม่ขยับไปไหน



“มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามเขา



“เรื่องมื้อเที่ยง สรุปเอาไง”



“เที่ยงนี้ ฉัน...” ผมอ้าปากกำลังจะบอก แต่ได้ยินเสียงเคาะประตูก่อน ผมร้องบอกอนุญาต ก็เห็นคุณหมอหนุ่มโผล่หน้าเข้ามา



“กินข้าวกันเถอะ คุณธัน ผมหิวแล้ว วันนี้คนไข้น้อย ดีจังเลย โชคดีเป็นบ้า” หมอมาวินพูดรัวเร็วจนลืมสังเกตไปว่ายังมีใครอีกคนหนึ่งอยู่ภายในห้อง



“คุณหมอวิน เอ่อ... คุณคริส คนไข้...” ผมบอกคุณหมอให้รู้ว่าตอนนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง



“อ้าว คุณคริสโตเฟอร์ ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทันมอง เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”



“ครับ ก็ดี”



“ดีแล้วครับ ได้นักจิตวิทยาเก่งๆ อย่างคุณธัน เดี๋ยวคุณก็หายครับ”



“ขอบคุณครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อน”



“เอ่อ คริส.. ขอโทษนะ” ผมบอกเขาทันก่อนที่เจ้าตัวจะออกจากห้องไป



“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ แล้วเจอกันวันเสาร์” เขาหันมาบอกผมในจังหวะที่กำลังจะแทรกตัวผ่านหมอมาวินไป เพราะมัวแต่มองคริส ผมเลยไม่แน่ใจว่าช่วงจังหวะหนึ่งแววตาของหมอวินเปลี่ยนไปหรือเปล่า



“คุณรู้จักกับคุณคริสโตเฟอร์มาก่อนหรือ” หมอถามขึ้นตอนที่ผมกำลังจะกินข้าวตรงหน้า



“ก็...ตั้งแต่มัธยมปลาย คริสย้ายมาช่วงม.ห้า ทำไมหรือครับ”



“ไม่เห็นเคยพูดถึงเลย ผมคิดว่าคุณนัทเป็นเพื่อนคุณมาตั้งแต่เด็กเสียอีก”



“ไม่ใช่หรอกครับ ผมเพิ่งรู้จักนัทตอนเข้าเรียนมหา’ลัย”



“แต่คุณสนิทกับคุณนัทมาก”



“ใช่ครับ เราบังเอิญได้เป็นรูมเมทที่หอด้วยกัน และมันแทบจะเป็นคนเดียวที่เวลาผมมีอะไรก็จะเล่าให้มันฟัง มันเก็บความลับเก่งครับ​” ผมยิ้มให้คุณหมอแล้วเริ่มตักข้าวเข้าปากเป็นคำแรก



“เล่าให้ผมฟังบ้างก็ได้นะครับ ผมก็อยากรู้เรื่องความลับของคุณเหมือนกัน”





“ความลับเนี่ย ถ้าบอกหลายคนก็ไม่ใช่ความลับ ทานข้าวเถอะครับ”









============================


ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ


ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan


เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/


HashTag #WishingYou ค่ะ     

หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 8, 30/03/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 06-04-2018 10:42:02

Wish 9


           เช้าวันเสาร์ ผมตื่นแต่เช้าเพราะปกติแล้วผมก็จะตื่นเช้าอยู่เป็นประจำ ไม่เชื่อหรือครับ ก็ได้ สารภาพว่าเมื่อคืนผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ครับ ขนาดตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ก็กลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงปลุก กระวนกระวายไปหมด ตอนนี้เลยเพลียนิดหน่อย แต่ผมทนได้



            “ทำไมวันนี้ถึงตื่นเช้ามาตักบาตรกับแม่ได้ล่ะ” แม่ผมถามขึ้นตอนที่เรากำลังเก็บข้าวของที่เพิ่งตักบาตรเสร็จเข้ามาเก็บล้าง



            “ผมอยากทำบุญกับแม่บ้าง ชาติหน้าเราจะได้เป็นแม่ลูกกันอีกไงครับ”



            “ปากหวานจริง พ่อหนุ่มคนนี้” แม่ผมหันมายิ้มให้ผม แล้วเธอก็ส่ายหน้าเบาๆ



            “มีอะไรหรือครับแม่”



            “ธันหลอกแม่ไม่ได้หรอกลูก ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ”



            “แม่อะ ทำไมดูผมออกทะลุปรุโปร่งทุกเรื่องเลย” ผมบ่นอุบ ไม่เคยปิดบังอะไรแม่ได้เลยสักอย่าง



            “ก็พฤติกรรมของธันแปลกไป แม่อยู่กับธันตลอด ก็ต้องดูออกอยู่แล้ว ถ้าแม่ยังดูธันไม่ออกแล้วใครจะดูออก เสียเชิงคนที่ชื่อว่าเป็นแม่หมด”



            “เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ เช้านี้ก็เลยตื่นเร็ว”



            “นอนไม่หลับ? เป็นอะไร”



            “ไม่ได้เป็นอะไรครับ ก็แค่ตื่นเต้นนิดหน่อย ผมยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าวันนี้ผมมีนัดจะออกไปข้างนอก”



            “กับใครล่ะ นัทเหรอ เอ แม่ว่าไม่น่าใช่ ถ้าเป็นนัท รายนั้นต้องมานั่งรอเราทุกทีเลย หรือว่าหมอวิน ก็ดูไม่ใช่อีก ธันแทบไม่ตื่นเต้นเลยเวลามีนัดกับหมอวิน หรือว่า....”



            “....” ผมไม่ตอบแต่มองหน้าแม่เฉยๆ



            “คริส? คริสใช่หรือเปล่า”



            “ใช่ครับ”



            “เป็นไปได้ไง ผ่านมาหลายปีแล้วนะลูก”



            “คือมันบังเอิญครับแม่ คริสป่วย คือเขาเครียดน่ะครับ แล้วมารักษาที่โรงพยาบาล หมอวิน เขาก็ส่งเคสของคริสมาให้ผม มันก็เท่านั้นเองครับแม่”



            “ถ้าเท่านั้นเองแล้วทำไมถึงนัดกันออกไปข้างนอกล่ะ หลอกคนแก่อย่างแม่น่ะเป็นบาปนะธัญ ถึงแม่จะไม่ได้ร่ำได้เรียนมาสูงเท่าธัญ แต่การรักษาเนี่ย มันต้องรักษาในโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ” แม่จ้องมาที่ผม สายตาของแม่ออกดุเล็กน้อย คงไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ที่ผมยังสารภาพออกมาไม่หมด



            “มันก็อยู่ในการรักษานะแม่ แต่คริสชวนผมไปเป็นเพื่อน เท่านี้จริงๆ ครับ ไม่มีอะไรเลย แม่เป็นห่วงเหรอ”



            “อืม ใช่ แม่เป็นห่วง รู้ใช่มั้ยว่าตอนนั้นที่ต้องเลิกกันเพราะอะไร”



            “รู้ครับ”



            “อยากกลับไปเจ็บแบบนั้นอีกเหรอ จำได้หรือเปล่าว่าร้องไห้เป็นเด็กขี้แยกี่ปี”



            “ก็..ไม่อยาก”



            “แม่รู้ว่าธัญยังตัดใจจากคริสไม่ได้เลย แต่สองสามปีหลังที่ผ่านมา แม่นึกว่าธัญจะตกลงใจเลือกหมอวินเขาเสียอีก ถึงไม่ได้รัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ผลักไสหมอวินไม่ใช่หรือไง”



            “ผมไม่ได้คิดจะคบกับหมอวินเลยครับ ผมบอกหมอวินไปหลายครั้งแล้วว่าเป็นไปไมได้”



            “อย่างนั้นเหรอ คริสคนเดียวสินะ”



            “ผมรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ครับแม่ ผมก็ไม่ได้คิดจะกลับไปคบกับคริส อีกอย่างมันก็แค่ในฐานะเพื่อนจริงๆ ผมอาจจะยังรักคริสอยู่ แต่ใช่ว่าคริสจะคิดเหมือนผมนี่ครับ เขาเองหลังจากเลิกกับผม ก็มีแฟนอีกตั้งหลายคนและล่าสุดก็เพิ่งเลิกกับแฟนคนที่คบกันมาตั้งแต่ปีสี่”



            “แม่ไม่คิดอย่างนั้นนะธัญ เอาล่ะๆ แม่กลัวจะน้ำหูน้ำตาไหลตอนนี้เสียจริงๆ นัดกันกี่โมง”



            “เก้าโมงครับ”



            “อืม ยังมีเวลาอีกสองชั่วโมง ธันไปนอนต่ออีกหน่อย อีกสักชั่วโมงแม่จะไปปลุก แล้วต้องนอนให้หลับด้วย ไม่งั้นแม่จะยกเลิกของธัน”



            “แม่...” ผมโอดครวญแต่ก็เจอสายตาดุๆ เลยไม่กล้าต่อรอง





            ผมเดินคอตกกลับเข้าห้องนอนและพยายามให้หลับ เพราะมัวแต่กลัวแม่จะโกรธผมก็เลยเลิกฟุ้งซ่านเรื่องคริสและหลับไปง่ายกว่าที่คิด รู้ตัวอีกทีตอนแม่เดินเข้ามาปลุกนั่นล่ะ



            “ธัน ตื่นได้แล้วลูก ไปอาบน้ำเถอะ คริสมาแล้ว”



            “อ้าว แม่ ไหนบอกว่าจะปลุกผมไง ทำไมเขาถึงมารอแล้วล่ะ”



            “คริสมาก่อนเวลา ดูแล้วคนที่ตื่นเต้นคงไม่ใช่มีแค่ธันคนเดียวแล้วล่ะ เอ้า ยังไม่รีบลุกไปอาบน้ำอีก”



            “ครับๆ” ผมรีบอาบน้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่รู้ว่าการปล่อยแม่กับคริสอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาสองคนจะคุยอะไรกันบ้าง ผมไม่อยากพลาด



            “อะไร อาบเร็วจริง”



            “ตอนเช้าผมก็อาบไปแล้วรอบหนึ่งนี่ครับ” ผมเถียงกลับ ตอนเช้าก่อนใส่บาตรผมลุกมาอาบน้ำไปแล้วจริงๆ นะครับ



            “กินอะไรรองท้องเสียหน่อยนะ แล้วค่อยไปกัน” แม่ผมบอก



            “ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวจะสาย”



            “โตจนป่านนี้ ต้องให้แม่พูดซ้ำอีกเหรอว่าอาหารเช้ามันมีประโยชน์” แม่บ่นครับ ต่อหน้าคริสอีก



            “ก็ได้ครับแม่” ผมตอบรับคำสั่งของแม่เสียงอ่อย



            “คริสด้วยนะลูก แม่ทำอาหารไว้เยอะเลย”



            “ครับ” คริสเป็นงาน เขาจึงเลือกไม่ปฏิเสธแม่ของผม



            “เดี๋ยวฉันแวะเติมน้ำมันแป๊ปหนึ่ง แล้วจะลงไปซื้อน้ำเปล่า นายอยากกินอะไรอีกเปล่า จะได้ไปซื้อทีเดียวเลย ไม่เสียเวลาแวะปั๊มหลายรอบ” คริสพูดขึ้นหลังจากออกรถมาไม่นาน



            “เอาแค่น้ำ เหมือนนายก็พอ”



            “ได้” คริสบอก





ผมสังเกตใบหน้าเขาจากด้านข้าง เขาเหมือนคนไม่ค่อยได้นอน วันนี้ดูแย่กว่าครั้งล่าสุดที่เราเจอกันเสียอีก



            วันนี้คริสใส่เสื้อแขนสั้นสีดำและกางเกงขาสั้นยาวประมาณเข่าสีครีม อืม ให้บรรยากาศฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยไม่หยอกเลย และจากมุมนี้ผมเลยเห็นนกห้าตัวที่แขนซ้ายของเขา ท่าทางมันเหมือนกำลังบินไปเพื่อหาอะไรสักอย่าง



            เมื่อถึงปั๊มน้ำมัน เราทั้งคู่ก็ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ผมเลยลงจากรถแล้วเปลี่ยนมาฝั่งคนขับแทน ไม่ใช่ว่าอยากลองของอะไรหรอกครับ แต่คริสควรได้พัก เหมือนที่แม่บอกผมว่าควรนอน เมื่อเขาเดินมาถึงรถ ผมก็ลดกระจกเพื่อบอกเขาให้ไปนั่งแทนที่ของผม เขาไม่ถามแต่ทำตามโดยดี



            “อยากขับเหรอ”



            “เปล่า นายก็รู้ดีพอๆ กับฉันว่าฉันไม่ค่อยชอบขับมันสักเท่าไหร่”



            “แล้วทำไม…” คริสปล่อยให้คำพูดนั้นหายไปเฉยๆ



            “นายควรนอนพัก เพราะหน้าตาของนายมันแสดงออกมาเห็นได้ชัดเจนเลยว่านายนอนน้อยเกินไป ฉันเข้าใจถูกมั้ย”



            “ช่วงนี้งานเยอะ”



            “นั่นไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการรักษา เพราะฉะนั้นระหว่างที่เราเดินทาง นายก็ควรนอน แค่ชั่วโมงหรือสองชั่วโมง มันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้น”



            “ฉันนอนไม่หลับ”



            “เปิดเพลงมั้ย นายจะได้ผ่อนคลายมากขึ้น” ผมเอื้อมมือไปกดปุ่มเครื่องเล่นภายในตัวรถ ไม่ได้รู้ทิศทางหรอกครับว่ามันอยู่ตรงไหน แต่ลองกดมั่วๆ เดาๆ ดู คริสไม่ได้ใช้รถคันเดิมแต่มันก็ไม่ต่างจากคันเก่ามากนักหรอก ทั้งภายนอกและภายใน





            เพลงดังขึ้นทำลายความเงียบในรถ มันไม่ใช่เพลงร็อคอย่างที่เจ้าตัวชอบ แต่กลับเป็นป๊อป อะคูสติกใสๆ อย่างที่ผม น่าแปลกคริสเปลี่ยนรสนิยมการฟังตั้งแต่เมื่อไหร่



            “ดีขึ้นมั้ย” ผมถามเขา



            “ก็พอได้” เขาปรับเบาะให้เอนราบมากขึ้นเพื่อเตรียมนอน



            “ฉันออกรถละนะ จอดนานเกินไปแล้ว”



            “อืม” คริสตอบทั้งที่หลับตา





            ผมฮัมเพลงสากลไประหว่างที่ขับรถ วันนี้รถค่อนข้างติด รถเคลื่อนตัวสลับหยุดนิ่ง เพราะถนนเส้นนี้ก็ติดเป็นประจำอยู่แล้ว ใครๆ ก็ใช้บริการเส้นทางนี้ทั้งนั้น ก็มันเป็นเส้นทางยอดฮิตไปได้ทั้งชะอำหรือหัวหิน แต่ผมกลับอารมณ์ดีที่ได้นั่งอยู่กับเขา แม้ว่าเราจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยก็ตาม



            “ธัน” อยู่ๆ คริสก็เรียกชื่อผม



            “มีอะไร นี่นายยังไม่หลับเหรอ”



            “ฉันนอนไม่หลับ”



            “ขอโทษที รำคาญเสียงฉันหรือเปล่า ฉันไม่ร้องแล้ว”



            “เปล่า ฉันอยากฟังเสียงนาย ร้องต่อเถอะ”



            “ลองฝึกสมาธิดูนะ จดจ่อกับอะไรก็ได้ หายใจเข้าและออกเป็นจังหวะ มันจะช่วยให้นายหลับง่ายขึ้น”



            “จะว่าอะไรมั้ย ถ้าอยากจะขอมือนาย” คริสไม่สนใจคำพูดของผม เขาพูดเรื่องอื่นแทน



            “มือ? เอาไปทำอะไร”



            “เอามาเถอะน่า” เขาลืมตามอง โชคดีที่รถยังอยู่กับที่ ใจผมแทบกระตุกไปกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ผมยื่นมือไปให้เขาเหมือนละเมอ



            “ขอบใจ” เขารับมือของผมไปแล้วจับแน่น ก่อนจะประสานมันลงข้างๆ ที่ว่างข้างตัว





            ผมอยากจะถามเขาว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้า จนรถเคลื่อนตัวได้อีกครั้ง ผมขับรถด้วยมือข้างที่เหลือ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม แล้วเมื่อผมหันมามองเขาอีกที ผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจของเขานั้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอแล้ว





            หลังจากแน่ใจว่าคริสหลับไปแล้ว ผมถึงค่อยดึงมือออกมาเบาๆ เพราะถึงแม้ว่าการขับรถมือเดียวจะไม่ใช่อุปสรรคสำหรับผม แต่เราไม่ควรประมาทนะครับ สองมือยังไงก็ช่วยเหลือกันได้ดีกว่ามือเดียว ผมแทบกลั้นหายใจจังหวะที่ดึงมือออกมา เพราะกลัวจะทำให้คริสตื่น เขาแค่ขยับตัวแต่ยังหลับต่อ นั่นทำให้ผมโล่งใจ



            “คริส ตื่นเถอะ ถึงแล้ว” ผมปลุกอีกฝ่ายเบาๆ หลังจากหาที่จอดรถได้



            “อือ อัมพวา?” เขามองไปรอบๆ ก่อนจะถามผมออกมา



            “ใช่ อัมพวา”



“กี่โมงแล้ว”



“เกือบเที่ยงแล้วล่ะ หิวป่ะ เดี๋ยวเข้าไปหาอะไรกินกัน เอ้านี่...ล้างหน้าหน่อยมั้ย” ผมยื่นขวดน้ำไปให้เขาเพื่อล้างหน้า



“อืม ขอบใจ” คริสรับมันไว้ก่อนจะเปิดประตูแล้วเทน้ำมาล้างหน้าล้างตา



“พร้อม?” ผมถามเมื่อเห็นว่าหน้าตาของเขาดูสดใสขึ้นมาแล้ว



“พร้อม”



“งั้นไปกันเถอะ” ผมกับคริสก้าวลงจากรถ ไม่ลืมที่จะล็อครถคันสวยนี้ก่อนจะเดินเข้าไปในตลาด



“เดี๋ยว เอากุญแจรถมาหน่อย”



“อะไรอะ” ผมไม่รู้ว่าคริสต้องการอะไร แต่ก็ยื่นกุญแจรถไปให้เขา ได้ยินเสียงรถถูกเปิดออกก่อนจะเห็นคริสไปค้นอะไรกุกกักอยู่ด้านหลังรถ แล้วสักพักเขาก็เดินตามมา



“อะ ใส่ซะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” มีอะไรบางอย่างตกลงมาที่หัวผม



“หมวก?”



“ใช่ อย่าบอกว่าไม่รู้จักหมวก” เขายิ้มหน้าตา



“ไม่ใช่เว้ย แค่เอามาให้ทำไม ไม่ต้องหรอก”



“ก็เพิ่งพูดไปตะกี้ว่าใส่ไป เดี๋ยวไม่สบาย”



“มีของฉัน แล้วของนายล่ะ” ผมมองที่หัวของคริส ไม่เห็นมีหมวกเหมือนผม



“ฉันชอบแดด และค่อนข้างจะป่วยยาก นายเองก็รู้นี่” เขาหลิ่วตามองผม





จริงอย่างที่คริสพูดครับ เขาก็เป็นฝรั่งอีกหนึ่งคนที่หลงใหลในแสงแดดประเทศไทยที่ก่อมะเร็งผิวหนัง คริสอยากมีผิวที่คล้ำกว่านี้ อยากมีกระ สไตล์ฝรั่งเป๊ะเลย แต่ผิวของเขาน่ะ ถ้าแดดเผา อีกสองสามวันมันก็ลอกแล้วก็คืนกลับมาเป็นสีเดิมอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้เจ้าตัวขัดใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะอาบแดดไปมันก็ไม่เห็นผลน่ะสิ



“เข้าไปในตลาดกันเถอะ” ผมไม่ตอบโต้อะไร เดินดุ่มเข้าไปในตลาดโดยไม่รอเขา ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก เพราะรายนั้นน่ะขายาว เดี๋ยวก็ก้าวมาทันผมเองล่ะครับ



“ของเยอะเหมือนกันนะเนี่ย คนก็เยอะ” เสียงคริสดังขึ้นข้างตัว



“ใช่ วันนี้วันเสาร์ คนเลยออกมาเที่ยว ถือเป็นวันค้าขายของแม่ค้าแถวนี้เลยล่ะ” ผมบอกเขา เพราะคริสไม่ค่อยชอบคนเยอะสักเท่าไหร่ มันต้องเบียดเสียดกับผู้คนตลอด ถูกสัมผัส ถูกเนื้อต้องตัวโดยที่ไม่รู้จักกัน



“อืม กินอะไร”



“หิวแล้วเหรอ” ผมเงยหน้าถามเขา แต่ไม่นึกว่าคิดจะก้มหน้ามองผมอยู่พอดี ใจผมเต้นดังตอนที่เราสบตากัน ถ้าผมอยู่กับเขาไปตลอด ผมคงจะหัวใจวายสักวันแน่ๆ



“นิดหน่อย” เขาตอบเสียงเบาก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้า



“ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่นายเริ่มหิวบ้างแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการให้” ปกติแล้วผมเป็นนักกินตัวยงพอสมควร เห็นอะไรก็กินดะไปหมด ติดเสียแต่ว่าก่อนนี้ไม่ค่อยมีเงิน พอเริ่มมีบ้างแล้ว อะไรที่ผมอยากกินผมจัดไม่เหลือครับ อยากรู้อยากลองอะไรก็ลองให้ครบ ให้สมกับที่มีโอกาสเกิดมากิน





คิดเหมือนกันกับผมหรือเปล่า





ผมแวะซื้อของคาวตามทางก่อน ขากลับค่อยจัดของหวาน ให้ครบสูตรครับ ตามที่เขาว่า กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่ ผมลองนั่นลองนี่สองสามคำก็ส่งต่อให้คริส





ลืมตัวเหมือนเมื่อก่อนที่เวลาไปไหนกับเขา ถึงผมจะสายกิน แต่ไม่ใช่คนกินเก่งอะไรมากมาย เพราะงั้นการส่งต่อหรือปันน้ำใจให้ผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่เราควรทำ คริสก็เลยต้องรับหน้าที่เป็นฝ่ายกำจัดทุกอย่างให้หมดแทนผม และด้วยความที่เขาตัวสูงใหญ่ กินอะไรไปเท่าไหร่ ก็ดูไม่ค่อยจะอิ่ม เจ้าตัวก็เลยกินได้เยอะ



“อร่อยมั้ย” ผมถามตอนที่ส่งทอดมันปลากรายไปให้เขา



“ก็อร่อยดี แต่น้ำมันเยอะไปหน่อย” คริสตอบหลังจากกลืนทอดมันลงคอ



“อย่าบ่นน่า นิดๆ หน่อยๆ กินๆ ไปเถอะ”



“เวลากินมันก็ต้องเลือกกินด้วย ไม่ใช่เอะอะกินทุกอย่างตรงหน้า”



“กินไปเถอะน่า อย่าบ่น” ผมพูดประโยคแค่สลับคำเท่านั้น นิสัยเขาล่ะครับ ชอบบ่นเหมือนแม่ผมเลย



ทิ้งขยะลงถึงเรียบร้อย ก็หาซื้อน้ำมาล้างปากล้างมือ ถึงสะพานไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของอัมพวาพอดีครับ คนยืนถ่ายรูปเต็มไปหมด แทบจะไม่เหลือช่องว่างให้ยืน แต่ผมก็พาตัวเองไปยืนตรงกลางสะพานไม้จนได้ มองไปยังสายน้ำข้างล่างที่มีเรือขายของอยู่เต็มไปหมด



“ธัน” ผมหันกลับมาตามเสียงเรียกของคริส แต่ไม่เห็นใบหน้าของเขานอกจากโทรศัพท์ที่หันมาทางผม



เขากำลังถ่ายรูป? ผม? .... หรือ วิว? ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย



============================

ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 9, 06/04/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 13-04-2018 13:51:22

Wish 10




เขากำลังถ่ายรูป? ผม? .... หรือ วิว? ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย



“ทำอะไร”



“ก็ถ่ายรูปไง”



“รูป? รูปอะไร”



“ไม่บอก”



“นี่...ไม่บอกได้ไง บอกหน่อยดิ” ผมพยายามตื๊อเพราะความอยากรู้ว่าใช่รูปผมหรือเปล่า จนผมสะดุดเท้าตัวเองในจังหวะที่ก้าวลงบันไดลงไปข้างล่างของอีกฝั่งสะพาน



“ เดินดีๆ สิ ขาสั้นแล้วยังซุ่มซ่ามอีก”



“ก็เพราะว่ารีบเดินตามนายนั่นแหละ รู้ว่าขายาวแล้วยังไม่รออีก”



“ขอโทษ ฉันเดินเร็วเพราะไม่ได้เดินรอใครนานแล้ว” ผมแค่พูดออกไป ไม่ได้จะโทษเขาจริงจังอะไรเลย แต่คริส กลับขอโทษผมด้วยใบหน้าที่จริงจังแทนซะอย่างนั้น คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกเป็นฝ่ายผิดเลย



“เอ่อ.. ฉันไม่ได้หมายความจริงอย่างที่พูด คือฉันแค่พูดเล่น นายไม่ต้องขอโทษฉันหรอก”



“ไปทางไหนต่อ” คริสไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดผม เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแทน



“ไหนๆ ก็เดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งแล้ว งั้นเราเดินฝั่งนี้ก่อน เดี๋ยวเราค่อยข้ามกลับไป ตกลงมั้ย”



“ยังไงก็ได้”



“หาอะไรกินฝั่งนี้ ค่อยแล้วไปกินฝั่งนั้นด้วยดีมั้ย” ผมเสนอ



“ตะกละ” และนั่นคือคำชมของคริส



“ขอบใจ” ผมยิ้มรับและก็มุ่งตรงไปเป้าหมายแรก



“คริส” เดินไปมาสักพัก ผมกระตุกแขนเสื้อของเขา



“หือ”



“กินผัดไทนะ”



“ได้หมด แล้วแต่นายเลย” คริสไม่เคยปฏิเสธผมอยู่แล้ว เขาเป็นแบบนี้เสมอ





เราพากันเข้าไปนั่งในร้านผัดไท น่าจะเป็นร้านที่คนค่อนข้างนิยมอยู่เหมือนกัน เพราะว่าเมื่อเทียบกับร้านอื่นแล้ว ร้านนี้มีคนเยอะมากที่สุด ผมเลยตัดสินใจเลือกร้านนี้แหละ



“ผัดไทกุ้งสดสอง น้ำเปล่าหนึ่งและก็น้ำแข็งสองครับ” ผมสั่งโดยไม่ถามความสมัครใจของคริส แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ท้วงอะไร พนักงานทวนรายการอีกครั้งก่อนจะหายไปสั่งเมนูนี้กับแม่ครัว



น้ำเปล่าและน้ำแข็งถูกนำมาเสิร์ฟก่อนอย่างรวดเร็ว ผมเปิดขวดน้ำและเทให้เราทั้งสองแก้ว คริสยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนเขาจะวางแก้วเปล่าลงที่โต๊ะ เจ้าตัวคงจะคอแห้งไม่น้อย เพราะวันนี้อากาศค่อนข้างร้อนมากถึงมากที่สุด



ถึงจะมีลูกค้าในร้านไม่น้อย แต่รอไม่นานความหอมเตะจมูกของผัดไทพร้อมกับกุ้งตัวโตๆ ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ผมลงมือปรุงผัดไทจานนี้ของผมก่อนจะเริ่มลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย และฝรั่งตาสีน้ำตาลคนตรงข้ามนั้น แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปรุงอะไรเลย คริสทานเผ็ดไม่เก่ง เขามักจะทานรสกลางๆ ค่อนไปทางอ่อนด้วยซ้ำ ก็เอาเถอะรสนิยมใคร รสนิยมมันละกัน เรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่งครับ



“อิ่มปะ” ผมมองจานเปล่าของคริส



“ไม่อะ” เขาตอบพร้อมกับส่ายหน้า ผมดีใจนะที่คริสเริ่มหิวเริ่มกินอาหารได้ มันแปรว่าอาการของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น



“ดี กินเยอะๆ เดี๋ยวพาไปกินไอติมกะทิใส่ถั่วซีก กินมะ” ผมเรียกพนักงานมาเก็บตัง แต่คนที่ชวนผมมาบอกมื้อนี้เขาเลี้ยงเองเพราะเขาเป็นคนชวนผมมา อีกอย่าง ผมซื้อของกินไปหลายอย่างแล้ว ผมก็ปล่อยเลยตามเลย ความงกเงินยังอยู่ในสายเลือดครับ



“ถั่วอะไรนะ”



“ถั่วซีก”



“คือถั่วอะไร หน้าตาแปลกหรือเปล่า กินได้จริงเหรอ”



“กินได้สิ ถ้านายได้กิน รับรองติดใจ จริงๆ มันคือถั่วเขียวที่ผ่านการกะเทาะเปลือกออกมาแล้ว ลักษณะมันเลยเหมือนถั่วสีเหลือง คนมักจะเข้าใจผิดว่ามันคือถั่วเหลือง”



“อ่า...เหรอ”



“เอ้า...ทำหน้างง ไปดูของจริงเลย จะได้เลิกงง”



“อือ”





ผมลุกขึ้นและพาคนหน้างงออกไปจากร้านผัดไท มาจนถึงร้านไอติมที่ผมบอกเขาไว้ตั้งแต่ทีแรก เราสั่งคนละถ้วย แต่ถ้วยนี้จริงๆ มันคือกะลามะพร้าวที่ถูกขูดเนื้ออกมา แต่ก็ยังมีร่องรอยซากอารยธรรมหลงเหลืออยู่บ้างว่าก่อนนี้มีเนื้อมะพร้าวด้วยนะ



“เป็นไง” ผมถามหลังจากเริ่มกินไปได้สักครึ่งถ้วย



“ก็อร่อยดี หวานๆ เค็มๆ เพราะถั่ว”



“อร่อยใช่มั้ยล่ะ ฉันบอกนายแล้ว ไอ้ถั่วเหลืองๆ นี่แหละมันคือถั่วซีก รู้จักกันไว้นะ เพราะฝรั่งและถั่วไทย”



“ฉันก็เป็นคนไทยเหมือนกัน”



“รู้แล้วว่าลูกครึ่งไทย แต่ถ้าภายนอกไม่มีตรงไหนแสดงออกว่าเป็นไทยเลย ก็อย่าพูดเลย หรืออยากเป็นฝรั่งไทย”



“ไม่รู้ดิ”



“เอ้า...งอน... งอน... อะไรเนี่ย หัวก็ไม่ล้าน ทำไมขี้้น้อยใจ” คริสไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นหรอกครับ แต่เรื่องสัญชาติอะไรพวกนี้ เป็นสิ่งอ่อนไหวสำหรับคริสอยู่เหมือนกัน เพราะเขาอยู่ท่ามกลางคนไทยคงไม่อยากรู้สึกแปลกแยก แล้วครั้งนี้ผมก็เป็นฝ่ายผิดที่เล่นจุดที่เจ้าตัวอ่อนไหวเกินพอดี



“....”



“เอ่อ.. ฉันขอโทษ ฉันลืมไปว่านายไม่ชอบเรื่องพวกนี้”



“ไม่เป็นไร”



“ไม่เอาดิ ฉันรู้ว่านายไม่พอใจ เอางี้ๆ ให้ฉันทำอะไรไถ่โทษได้บ้าง บอกมาเลย”



“ทุกอย่าง?”



“อื้อ ทุกอย่าง” ผมรู้ว่าผมกำลังจะติดกับของคริส แต่ผมเต็มใจที่จะติดกับนั้น เต็มใจที่รับบ่วงนั้นมาไว้กับตัวเอง



“ขอแค่นายไม่ผลักไสฉันเหมือนเดิมก็พอ”



“....” จุกไปเลยครับ ผมมองหน้าเขา คิดว่าคริสจะให้ผมทำอะไรมากกว่านี้เสียอีก อุตส่าห์เตรียมใจและกาย เอ๊ย...ไม่ใช่แล้ว



“ว่าไง”



“ฉันก็เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ”



“ขอบใจ ซื้อขนมไปฝากคุณน้ามั้ย” คริสหมายถึงแม่ของผม

       

    “เดี๋ยวตอนที่เดินออกไปขึ้นรถค่อยแวะ แม่ชอบขนมไทย คงได้ซื้อถุงใหญ่เลยล่ะ”



            เราเดินต่อบริเวณนั้นอีกพักใหญ่จนบ่ายคล้อย ผมกับคริสลงความเห็นว่าเราควรกลับกันได้แล้ว เดี๋ยวจะถึงบ้านมืดค่ำไปเสียก่อน ผมได้ขนมติดมือมาอีกหลายถุง บางถุงก็ซื้อยัดใส่มือคริสไปให้เขากินด้วย พร้อมกับข้ออ้างว่าเขาควรกินเยอะๆ



            ตอนจะกลับคริสเลือกขึ้นประจำตำแหน่งคนขับ ผมไม่ได้ทักท้วงอะไร อย่างที่บอกผมไม่ใช่คนที่ชอบขับรถ จะขับเท่าที่จำเป็น





ยกเว้นกรณีของคริสที่ผมคงจะเป็นให้เขาแทบทุกอย่าง ถ้าทำได้อะนะ





“หลังจากเรียนจบ นายทำอะไร” คริสเป็นฝ่ายถามผมหลังจากที่รถกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพ



“ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษนะ เรียนจบฉันก็มาสมัครงานที่รพ. นี้แหละ โชคดีเขายินดีรับฉันเพราะตอนฝึกงานฉันมาฝีกที่นี่”



“แล้วนัท?”



“นัทก็เหมือนกัน มันก็ได้รพ. ที่มันฝึกงานนั่นแหละ ทำไมเหรอ” ผมถามคริสเพราะไม่คิดว่าเขาจะถามถึงนัท ปกติคริสไม่ค่อยวุ่นวายเรื่องคนอื่น



“เปล่า ฉันก็แค่ถามดูเฉยๆ”



“นายล่ะคริส ทำอะไร ได้ข่าวว่าไปเรียนโทต่อเหรอ”



“ใช่ ก็ตามที่ตกลงกับแม่ไว้ ถ้าไม่ไปตอนเรียนมหา’ลัย ก็ต้องไปต่อตอนเรียนป.โท” คริสอธิบาย



“เรียนอะไรมา รัฐศาสตร์เหมือนเดิมป่ะ”



“เปล่า ฉันเรียนบริหารเพิ่มมา”



“ทำไมล่ะ นายอยากเรียนบริหารเหรอ ฉันไม่เห็นรู้มาก่อน” ผมสงสัย เพราะเขาไม่เคยพูดว่าอยากเรียนบริหารเลยตั้งแต่ตอนนั้น



“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้อยากเรียนบริหาร แต่ฉันต้องกลับมาดูแลกิจการของที่บ้าน จำได้หรือเปล่า ที่นายถามฉันคราวก่อนที่รพ.”



“อ้อ จริงด้วยสิ แล้วเรื่องการทูตล่ะ” ผมพยักหน้าเออออ ตามคำพูดเขา



“ก็ทิ้งไป ฉันดูแลที่บริษัทเป็นหลัก”



“ถ้างั้นที่เรียนมาก็สูญเปล่าน่ะสิ”



“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า เรียนอะไรก็มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ อย่าคิดแทนฉันสิ” เขาหันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่งแล้วจึงเบนสายตากลับไปที่ถนนตรงหน้าเหมือนเดิม





เพราะเขารู้ว่าผมคงเสียดายเวลาแทนเขาแน่ๆ จะมีสักครั้งมั้ยที่ผู้ชายข้างๆ ผม จะเดาใจผมไม่ได้ บางครั้งผมยังคิดว่าเขารู้จักผมดีกว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำล่ะมั้ง



“อือ”



รถมาจอดที่หน้าบ้าน คริสดับเครื่องแต่เขาเลือกไม่ลงจากรถ ตอนที่ผมชวนเขาเข้าบ้าน คริสให้คำตอบว่าเดี๋ยวต้องไปทำธุระต่อนิดหน่อย



“ขอบใจที่มาส่ง” ผมพูดพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก



“ฉันต่างหากที่ควรจะขอบใจนายที่ไปเป็นเพื่อนฉัน”



“ดีขึ้นมั้ย ฉันหมายถึง พอได้เปลี่ยนบรรยากาศแล้วรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย”



“ไม่รู้สิ ต้องรอดูพรุ่งนี้ละมั้ง”



“ทำไม”



“วันนี้มีนายอยู่ด้วย...ฉันเลยไม่ได้คิดเรื่องอื่น” คริสไม่หลบเลี่ยงคำพูดอะไรเลย เขาเลือกบอกผมตรงๆ



“อ่า...เหรอ” ไปต่อไม่ค่อยถูกเลย



“อย่าลืมฝึกทำตามที่ฉันเคยสอนนายไปล่ะ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้น ฉันไปละนะ แล้วเจอกันที่รพ.” ผมกล่าวลา มือควานหาที่เปิดประตูเพื่อจะลงจากรถ



“เดี๋ยว...ธัน”



“หืม?” คริสดึงแขนของผมกลับไป ช่วงจังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัว เขาโน้มใบหน้าลงมาอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของเราแตะกันแผ่วเบา แล้วเขาก็ถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน



“ขอบใจสำหรับวันนี้”



“อือ” ผมตกใจกับความรู้สึกนั้น เริ่มทำอะไรไม่ถูก รีบเปิดประตูแล้วก้าวพรวดพราดลงจากรถไป ผมเดินดุ่มรีบไขกุญแจรั้วบ้านแล้วตรงเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองคริสอีกเลย



แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าสายตาของเขาคงยังจับจ้องอยู่ที่ผม เพราะคล้อยหลังผมเข้าบ้านไปแล้ว รถคันสวยถึงแล่นออกไปเงียบๆ




============================

ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 10, 13/04/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 27-04-2018 14:10:47

Wish 11


            “แม่..” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นแม่ยังนั่งอยู่หน้าทีวี แต่เธอไม่ได้มองทีวีเลย ตอนนี้แม่มองหน้าผม

            “แม่ได้ยินเสียงรถ ก็คิดอยู่ว่าธันน่าจะกลับมาแล้ว อ้าว แล้วนี่คริสไม่เข้ามาด้วยเหรอ” ผมโล่งอก แม่ไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ผมนี่ทำเป็นพวกวัวสันหลังหวะไปได้

            “ครับ คริสขอตัวก่อนเห็นว่ามีธุระต่อ”


            “งั้นหรือ แล้วกินอะไรมาหรือยัง หิวข้าวหรือเปล่า”

            “กินมาตั้งแต่อยู่ในตลาดครับ นี่ครับ ผมซื้อขนมมาฝาก ผมวางไว้ที่โต๊ะกินข้าวนะแม่” ผมเดินเอาถุงไปวางที่โต๊ะตามที่บอก

            “แหม ขอบใจจ้ะ ขนมไทยทั้งนั้นเลย” แม่ลุกขึ้นไปดูก็ยิ้มดีใจที่ได้ขนมถูกใจตัวเอง


            คืนนั้นผมเข้านอน ทั้งที่สมองยังคิดแต่เรื่องที่คริสจูบผมในรถ ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับรสสัมผัสของเขาเลยแม้แต่น้อย


            ไม่เลย ไม่ตื่นเต้นเลย


            เอาล่ะๆ ผมยอมรับก็ได้ ผมโกหก ผมตื่นเต้นสิ ตื่นเต้นอยู่แล้ว แต่ที่ผมยังเอาแต่คิดก็คงเป็นเพราะผมยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมคริสถึงจูบผมมากกว่า


            สัปดาห์ใหม่ของการทำงาน ผมเริ่มต้นมันอย่างอารมณ์ดี คริสไม่ได้ติดต่อผมเลยช่วงที่ผ่านมา เขาหายไปครึ่งเดือนจนกระทั่งโผล่มาในเย็นวันศุกร์ใกล้เวลาเลิกงาน ผมที่กำลังเก็บของแล้วต้องหยุดมือลงเมื่อคุณพยาบาลเดินเข้ามาบอกว่า มีคนไข้มาขอพบผม


            “เชิญครับ” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมจึงบอกเป็นการอนุญาต

            “ธัน” คริสเอ่ยเรียกผม ทันทีที่เข้ามา


            ผมแปลกใจ จะว่ายังไงดีล่ะ ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน เขาดูเหมือนคนไม่ได้นอนก็จริง แต่พอได้นอน ใบหน้าก็สดใสขึ้นมา แต่ครั้งนี้ มันดูหนักขึ้นไปอีก ทำไมอาการเขาถึงดูทรุดลงเรื่อยๆ ทำไมถึงไม่ดีขึ้นเลย

            “คริส อาการนายดูแย่มาก”

            “อืม ฉันนอนไม่ได้เลย และงานก็เร่งไปหมด จะหยุดก็ไม่ได้” คริสอธิบายบอกผม

            “ฉันว่า นายไปรักษากับคุณหมอวินเถอะ กินยาเถอะก่อนที่อาการจะหนักไปกว่านี้” ผมแนะนำด้วยความเป็นห่วง เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ เขาอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าก็ได้

            “ไม่..ฉันไม่อยากกินยา”

            “แต่มันไม่มีกับตัวนายเอง การไม่กินยานั่นแสดงว่าร่างกายมันต้องไปในทิศทางที่ดีขึ้นไม่ใช่แย่ลงแบบนี้” ผมกำลังว้าวุ่นอยู่ภายในใจ ทุกอย่างมันดูไม่เป็นไปอย่างที่คิด

            “ธัน...” คริสเรียกผมด้วยใบหน้าเศร้า

            “ว่าไง”

            “ยังห่วงฉันบ้างหรือเปล่า”

            “ถามอะไรแบบนั้น ในฐานะของคนที่รับผิดชอบเคสนาย ก็ย่อมเป็นห่วงอยู่แล้ว” ผมตอบ คริสถามอะไรแปลกๆ

            “ไม่ใช่ ฉันหมายถึง ห่วงที่ฉันเป็นคริส ไม่ใช่คนไข้ของนาย”

            “ฉัน...ถามทำไม” ผมไม่ตอบแต่ย้อนถามกลับ

            “ฉันอยากรู้ ว่านายคิดยังไง”

            “ฉันเป็นห่วงนายเสมอแหละ ก็นายเป็นเพื่อนฉันนี่” ผมตอบ ถ้าบอกไม่ห่วงเลยมันก็จะดูโหดร้ายไปหน่อย เลือกตอบแบบนี้ก็น่าจะเป็นกลางที่สุด แบบว่า ห่วงในฐานะเพื่อนอะไรอย่างนี้

            “เพื่อนเหรอ...” ทำไมน้ำเสียงของเขาฟังดูแห้งแล้งแบบนั้น


ใจผมจะขาดเสียเดี๋ยวนี้


ได้โปรด อย่าทำสีหน้าแววตาและน้ำเสียงแบบนั้นเลย เพราะผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วเผลอเข้าไปกอดเขา


“ถ้านายว่าเป็นห่วงเพื่อน งั้นช่วยดูแลเพื่อนคนนี้ให้หายหน่อยได้มั้ย” คริสถามเสียงสั่น ฝรั่งตัวโตกับท่าทีที่เหมือนจะล้มลงได้ทุกเวลามันทำให้ผมใจอ่อน

“ได้สิ ฉันจะช่วยนายทุกเรื่องเลย ถ้ามันทำให้นายดีขึ้น” ไม่ว่าอะไรผมก็ยินดีทำให้เขาทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้

“นอนกับฉันนะ”

“ห๊ะ!!??” ถ้าไม่ติดว่าคนพูดเป็นคริส งานนี้ผมอาจจะมีพุ่งไปชกเข้าที่หน้าให้ได้

“นอนเป็นเพื่อนฉันหน่อย ได้มั้ย” คริสขยายความเพิ่ม

“....”

“ไหนบอกว่าจะช่วยฉันทุกเรื่อง ฉันสัญญา ถ้ามีนายอยู่ข้างๆ แล้วฉันนอนไม่หลับ ฉันจะเปลี่ยนไปกินยาแทน” คริสยื่นข้อเสนอ

“ทำไมถึงอยากให้ฉันไปนอนด้วย”

“วันนั้นที่ไปอัมพวา ฉันหลับโดยที่มีนายอยู่ข้างๆ” และนั่นเป็นข้อสันนิษฐานง่ายๆ จากคริส

“เอ่อ...ฉัน” นี่มันมากจากที่ผมคิดไปเยอะอยู่เหมือนกัน

“ถ้านายกังวลเรื่องคุณน้า เดี๋ยวฉันไปคุยให้เอง”

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวฉันพูดกับแม่เอง” ผมปฏิเสธ เพราะแม่รู้เรื่องราวของผมกับคริส ได้ดีกว่าคริสรู้เรื่องตัวเองเสียอีก

“นายตกลงแล้วใช่มั้ย”

“แค่ช่วงเดียวนะ ถ้านายไม่ดีขึ้น ต้องทำตามอย่างที่รับปากฉันไว้นะ” ผมย้ำคำสัญญาของเขา

“แน่นอน”


คริสมีสีหน้าที่ขึ้นเล็กน้อยกว่าทีแรก ผมไล่ให้เขากลับบ้านไปพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้ให้เขามารับผมที่บ้าน จริงๆ จะไปเองก็ได้ แต่เรื่องอะไร ผมต้องใช้งานเขาบ้างสิครับ นี่ผมช่วยเขา เงินก็ไม่ได้ ค่าโอทีก็ไม่ได้เลยนะ


ผมบ่นไปอย่างนั้นเอง ลึกๆ ก็รู้แหละว่า เต็มใจเสียยิ่งกว่าอะไร

“แม่ครับ ธันมีเรื่องจะคุยด้วย” คืนนั้นเองผมก็บอกแม่เรื่องที่จะไปค้างที่บ้านคริสสักระยะหนึ่ง

“ว่าไงจ๊ะ” แม่กำลังติดละครหลังข่าวอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ท่านก็ยอมทิ้งมันมาเพื่อคุยกับผม

“เรื่องคริส...”

“จ้ะ คริสเป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นมั้ย” แม่ถามคงเพราะเห็นคริสเงียบหายไป และผมก็ไม่ได้อัพเดทอาการของคริสให้แม่ฟัง

“ไม่เลยครับ หนักกว่าเดิม ดูเหมือนคริสจะนอนไม่หลับเสียเลย และตอนนี้ยังไม่ได้รับการรักษาแบบกินยา”

“ธันไม่อยากให้คริสกินยาเหรอลูก”

“เปล่าหรอกครับ ผมแนะนำให้คริสเปลี่ยนวิธีรักษาไปแบบกินยาแล้ว แต่เขาไม่ต้องการต่างหาก”

“เรื่องแบบนี้ บังคับกันไม่ได้ใช่มั้ย”

“ครับ ต้องแล้วแต่ความประสงค์ของคนไข้”

“แล้วที่ธันอยากจะพูดกับแม่ก็คือ?” แม่ถามเพราะผมยังไม่ได้พูดเรื่องที่จะคุยกับแม่เลย
         
   “ช่วงนี้ผมขอไปนอนบ้านคริสได้มั้ยครับ” ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกกว่าจะกล้าขอแม่

            แม่เงียบไปนานมากจนผมคิดว่าแม่คงไม่อนุญาต


            “ธัน...” ในที่สุดแม่ก็พูดขึ้นมา

            “ครับ”

            “แม่รู้ว่าธันห่วงคริสมาก แน่ใจแล้วหรือว่าอยากให้เป็นแบบนี้ แม่ไม่อยากให้ธันต้องเจ็บ ต้องเสียใจ แม่เอ็นดูคริส ไม่เคยโกรธคริสเพราะเขาไม่ผิด แต่แม่รักธันมากกว่านะ”

            “ผมตกลงกับคริสแล้วครับว่าถ้าช่วงที่ผมไปนอนค้างกับคริสแล้วเขาอาการไม่ดีขึ้น เขาต้องเปลี่ยนไปกินยารักษาอาการ ซึ่งคริสก็ตกลง”

            “อย่างนั้นเลย ธันตัดสินใจแล้วนะ”

            “ครับ”

            “เอาล่ะๆ ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ไม่ห้ามหรอก โตๆ กันแล้ว ไม่ใช่ว่าธันจะไม่เคยไปค้างกับคริสนี่นา” ผมมองแม่ด้วยความตกใจ แม่รู้ได้ยังไงว่าผมเคยไปค้างห้องคริส เพราะตอนนั้นผมก็อยู่หอไม่ได้พักอยู่ที่บ้าน

            “นี่แม่นะจ๊ะ แม่เอง” แม่ดูภูมิใจในตัวเองเหลือเกินที่รู้เรื่องที่ผมไม่เคยบอก

            “แม่...” ผมเรียกแม่เสียงอ่อยที่ถูกจับได้

            “จะไปวันไหนล่ะ”

            “พรุ่งนี้ครับ คริสมารับ”

            “กลับมาบ้านบ่อยๆ นะ แม่คิดถึง”

            “ครับ ผมจะกลับมาบ่อยๆ”

            “แล้วก็เรื่องสำคัญ...” แม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากครับ

            “ครับ?”

            “ป้องกันทุกครั้งนะจ๊ะ ไม่ได้กลัวท้อง แต่กลัวโรคจ้ะ” แม่พูดยิ้มๆ แล้วก็ปิดทีวีเพราะละครจบพอดี

            “แม่...ไม่ใช่สักหน่อย” ผมเขินที่แม่พูดตรงๆ แบบนี้

            “แม่ไปนอนล่ะ เฮ้อ สงสารคนแก่คนนี้จังเลย พอลูกโตขึ้น เขาก็อยากไปอยู่กับผู้ชายอื่น เสียใจจริง” แม่บ่นหงุงหงิงให้ผมได้ยินจนกระทั่งแม่หายเข้าไปในห้อง ผมอมยิ้มกับอารมณ์ของแม่


            ผมรู้สึกโล่งใจที่แม่ไม่ซ้ำเติมหรือต่อว่าอะไรผมเรื่องคริส แม่พร้อมจะอยู่ข้างผมและให้กำลังใจเสมอ


            เช้าวันต่อมา คริสขับรถมารับผมแต่เช้า แต่ก็ไม่เจอแม่ของผมแล้วเพราะแม่ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าตรู่ อ้างว่ากลัวรถจะติด รถติดในวันเสาร์เนี่ยนะ ผมไม่อยากจะเชื่อ แม่น่าจะหาข้ออ้างมากกว่า คงไม่อยากให้คริสกระอักกระอ่วนใจที่มาชวนผมไปค้างอยู่บ้านเขานั่นล่ะ

            “ไปกันเลยมั้ย” ผมถามตอนที่หิ้วกระเป๋าใบย่อมออกมา

            “ของมีเท่านี้ใช่มั้ย”

            “ใช่ ยังไงถ้าขาดเหลืออะไรก็แวะมาเอาของที่บ้านได้อยู่แล้ว”

            “ก็จริง ไปกันเถอะ” คริสไม่ได้ขับรถตรงกลับบ้านหรือคอนโดหรือที่พักของเขาแต่อย่างใด แต่เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งแทน

            “มาทำอะไรที่ห้าง” ผมถามเมื่อคริสดับเครื่องยนต์

            “กินข้าวไง กินเสร็จค่อยกลับห้อง”

            “อืม”

            “อยากกินอะไร” เขาถาม

            “อะไรก็ได้” ผมกินได้ทุกอย่างไง บอกแล้วว่าผมสายกิน

            “งั้นก็ไล่กินทีละร้านเลยละกัน” คริสตอบ เขาจงใจกวนผมครับ


            “ถ้านายจ่าย ฉันจะกินทุกร้านเลย” ผมเลยท้าเขากลับ

            “สบาย ฉันรวย แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วง” ฉิบหาย ตายแล้วผมลืมไปได้ยังไง ว่าฐานะของเขามันต่างจากผม


            ซวยละ


            “ฉันล้อเล่น กินอะไรก็ได้ เลือกมาสักร้านเถอะ ร้านนี้ก็ได้” ผมชี้ส่งๆ ไปสักร้านหนึ่งที่มือจะชี้ไปเจอ

            “อาหารญี่ปุ่นนะ” ร้านที่ผมชี้ไปก็แม่นเชียวเป็นอาหารญี่ปุ่น ที่ผมนึกอยากกินเมื่อสองวันก่อน

            “อือ”

            “งั้นเข้าไปกัน”

            คริสสั่งอาหารมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะปลาดิบ ของทอด อาหารประเภทผัด หรือแม้แต่อาหารประเภทย่าง ผมมองจานตรงหน้า ที่วางอัดแน่นจนจะล้นโต๊ะขนาดสี่คน

            “เยอะไปเปล่าเนี่ย” ผมท้วง เอาจริงๆ ผมควรจะท้วงก่อนสั่งนะเนี่ย ไม่ใช่มาท้วงตอนที่อาหารพร้อมเตรียมกินแล้ว

            “กินไปเถอะน่า ฉันกินหมด”

            “จริงด้วย นายมันกระเพาะยักษ์ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม”

            “กินเถอะ” เราเริ่มลงมือกินกัน คริสทานเข้าไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นก็ทำให้ผมพอใจอยู่มากโข ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเอง แต่ถ้าการที่มีผมอยู่ข้างๆ แล้วจะทำให้เขามีปฏิกิริยาที่ดีขึ้น ผมก็อยากอยู่ข้างเขาตลอดไป


            ตลอดไป


            คริสชวนผมคุยสมัยเรียนมหา’ลัย ผมก็ตอบได้อย่างสบายๆ ไม่มีปัญหาอะไรให้ลำบากใจ มีหลายเรื่องที่ผมกับเขาต่างแชร์กันไม่ว่าจะเป็นงานเผาเพื่อนของตนเอง ผมก็ยกไอ้นัทออกมาเผาจนตัวเกรียมเลยทีเดียว เรื่องแย่ๆ เรื่องตลกๆ ต้องเอามาประจานครับ


            คุยกันจนเพลิน เผลอแป๊ปเดียว อาหารที่เต็มโต๊ะนั้นก็กลายเป็นจานเปล่า จนลืมไปแล้วว่ามันถูกปรุงมาเป็นเมนูอะไร ไม่ใช่เพียงแค่คริสคนเดียวที่เจริญอาหาร ผมเองก็ไม่ต่างกัน


            เราเดินย่อยอยู่ในห้างจนถึงช่วงบ่าย คริสพาผมเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัวของผม ทั้งที่ผมบอกว่าเตรียมมาแล้ว แต่เขาก็ให้ซื้อเผื่อไว้อีก รวมถึงของใช้ อาหารสด อาหารแช่แข็งต่างๆ ไปตุนไว้ที่บ้าน หรือห้อง หรือที่ไหนสักแห่งของคริส


            ที่ผมไม่สามารถระบุที่พักของคริสได้ เพราะผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนต่างหากล่ะครับ เขาอาจจะอยู่ที่บ้าน คอนโด หรือที่ไหนก็ตาม แต่ผมคิดว่า คริสไม่น่าจะพาผมไปพักที่บ้านของเขาหรอก สมาชิกในบ้านหลายคน คนงานในบ้านก็พร้อมสรรพ คริสไม่จำเป็นต้องซื้อของพวกนี้เข้าบ้านด้วยตัวเอง


            ผมสังเกตเอาน่ะครับ


            แต่ผิดคาด เมื่อรถยนต์จอดนิ่งสนิทอีกครั้ง ผมค้นพบว่ามันคือคอนโดแห่งเดิมที่คริสเคยพักอยู่ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย นี่ก็หลายปีแล้ว ผมคิดว่าเขาจะขายไปแล้วซะอีก

            “ยังอยู่ที่เดิมเหรอ” ผมถาม

            “อืม ทำไม”

            “นึกว่าขายไปแล้ว คอนโดก็หลายปี” ผมพูด


            “ไม่หรอก ไม่มีวันขาย”

            “ทำไม” คราวนี้เป็นผมที่ถามคำนี้กลับบ้าง

            “ความทรงจำดีๆ มันมีเยอะ จนฉันตัดใจขายไม่ลง”


            ผมไม่รู้ว่าคริสตั้งใจจะสื่อถึงเรื่องอะไร แต่มันก็ทำให้ผมแน่นิ่งสตันท์ไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าเขาจะจู่โจมมาตรงๆ มันเลยตั้งตัวไม่ทัน

            “อย่างนั้นเหรอ” ผมตอบไปพร้อมกับการพยายามกลืนน้ำลายเหนียวๆ นั้นลงคอ

            “ถ้าเป็นนายล่ะ นายจะขายมันทิ้งมั้ย” เขาย้อนถามผมกลับ

            “ขึ้นห้องกันเถอะ กระเป๋าหนักอะ” ผมจงใจเลือกไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่องพูดแทน คริสถามทั้งที่รู้ใจผม เพราะถ้าเป็นผม ผมก็ไม่มีวันที่จะขายมันเหมือนกัน

            “มาสิ ตามฉันมา” คริสไม่เซ้าซี้อะไรผมอีก เขาเดินนำผมไปที่ลิฟท์ของคอนโด


            จะว่าไงดีล่ะ ย่างก้าวแรกที่ผ่านประตูห้องของคริสเข้าไป ผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของคริสที่อบอวลอยู่ภายในห้อง และปกคลุมไปด้วยความทรงจำในนั้น ดูเวอร์ไปใช่หรือเปล่าครับ

            ไม่เวอร์หรอก ผมพูดจริงๆ ห้องของคริสยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะมุมไหน ตรงไหน ก็ยังถูกตกแต่งไว้เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ผมได้มาที่ห้องนี้


            แม้กระทั่งรูปคู่ของเรา ก็ยังวางไว้ตำแหน่งเดิมไม่ผิดเพี้ยน


            ผมรีบเบือนหน้าหนีความทรงจำนั้น ไม่อยากหวนคิดย้อนไปอีก น้ำตามันพานจะไหลรินเสียให้ได้ นี่ผมตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่ที่ยอมกลับเข้ามาในความทรงจำของคริส ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาเพียงช่วงหนึ่งก็เถอะ




=====================

********* ไม่เศร้านะคะ ลูก



ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/


หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 11, 27/04/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 30-04-2018 23:29:46
หวังว่าจะกลับมาคุยกันแบบสนิทใจได้ในเร็ววัน TT
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 11, 27/04/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 04-05-2018 11:07:10

Wishing You 12


            “ธัน หันหน้ามาหน่อยสิครับ” คริสพูดข้างหูของผม ในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่ผมยอมตกลงปลงใจนอนกับเขา

            “หือ อะไร” ผมที่นอนหนุนแขนของคริสอยู่ คาดว่าคงตั้งแต่เมื่อคืนนี้ หันหน้ามาทางคริสช้าๆ

            แชะ...แชะ....

            เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นสองครั้ง ผมตกใจว่าคริสถ่ายรูปผม เอ๊ย เรา ทำไม

            “ถ่ายทำไมอะ” ผมถาม

            “ก็อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก”

            “ไหนเอามาดูดิ๊” ผมดึงโทรศัพท์คริสมาเพื่อดูรูป

            “อะไรเนี่ย หน้าตลกแบบนี้ ไม่เอาอะ ลบๆ” ผมโวยวาย หน้าตาของผมที่ยังไม่ทันได้ปั้นหน้าถ่ายรูปเลย มันตลกเกินกว่าจะบรรยายได้

            “ไม่ลบ จะเก็บไว้ดูเอง น่ารักดี”คริสแย่งโทรศัพท์กลับไป ผมพยายามจะยื้อแย่งกลับมา แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ซ้ำยังต้องทนฟังเสียงหัวเราะของคริสด้วยที่รู้ว่าผมไม่สามารถลบรูปได้

            “เออ ไม่ลบ ก็ไม่ต้องลบ”ผมฉุนที่ทุกอย่างไม่ได้ดั่งใจ

            “งอนเหรอ ไม่งอนน่า เมียพี่ไม่งอนนะครับ” คริสแหย่ หวังจะให้ผมหายโกรธ

            “เมียไรเนี่ย เดี๋ยวชกเลย” ผมรู้ว่าคริสพูดเล่น แต่ได้ยินแล้วมันแปลกๆ อะ

            “ไม่โกรธน่า นะ” คริสกระซิบอยู่ตรงริมฝีปากผมว่าไม่ให้โกรธ แล้วผมจะแย้งได้ยังไง เพราะพออ้าปากเตรียมพูด ลิ้นอุ่นๆ นั้นก็สอดเข้ามาแล้ว

            “อื้อ” ผมพูดไม่ถนัดเลยได้แต่ส่งเสียงครางขัดใจออกไป

            “ไม่โกรธแล้วจริงๆ ด้วย” คริสก็ทึกทักเอาเองแล้วว่าผมไม่ได้โกรธเขาอีกต่อไป เขาหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่ ผมเลยแต่ได้ทำหน้าบูดไป


            ผมมารู้ในภายหลังว่า หลังจากที่ผมเลิกงอนคริส แล้วหลับไปอีกรอบ ผมก็ถูกเขาถ่ายรูปอีก  และรูปนั้นมันก็ตั้งอยู่ที่หัวเตียงของคริส
 

   ตอนนี้ มันก็ยังอยู่ที่เดิม
           

            ผมรีบเบือนหน้าจากภาพนั้นแล้วรื้อเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเพื่อไปแขวนในตู้เสื้อผ้าห้องนอนของคริส ไม่ต้องรอเจ้าของห้องบอก ผมก็รู้ดีว่าต้องนอนห้องไหน คริสคงไม่มีทางให้ผมมานอนเป็นเพื่อนแล้วปล่อยให้ไปนอนอีกห้องหรอก


            ขนาดแม่ของผม ยังพอดูออกเลย ถึงได้เตือนผมให้ป้องกัน


            ก็รู้ว่าเพศสัมพันธ์มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่บางทีมันก็เขินๆ เหมือนกันนี่นา

            “ทำไมทุกอย่างมันอยู่เหมือนเดิมเลย” ผมออกมาจากห้องนอน เห็นเขานั่งอยู่ที่โซฟากำลังเปิดแท็ปเล็ตดูอะไรบางอย่าง

            “ฉันไม่ค่อยอยู่ที่นี่หรอก” คริสอธิบายโดยไม่เงยหน้าจากหน้าจอ

            “ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเหรอ” ผมลองเดาพร้อมกับลดตัวนั่งลงข้างๆ เขา

            “อืม” คริสตอบ มือก็ปัดในจอขึ้นไปเรื่อยๆ

            “ก็ดีแล้ว คุณน้าคงดีใจ เพราะท่านก็ไม่อยากให้คริสอยู่ที่คอนโดคนเดียวอยู่แล้ว” ผมเดาอีกครั้ง แต่ผมคงเดาไม่ถูกแล้วล่ะมั้ง คริสหยุดมือแล้ววางเจ้ากระดานอิเล็กทรอนิกส์นั้นลง 

            “คงอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้ว เพราะฉันอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวต่างหาก” เขาตอบด้วยสายตาที่กำลังมองผมแน่นิ่ง



            ผมนิ่งอึ้งเพราะเข้าใจความหมายนั้นดี การไม่ตอบปล่อยให้ทุกอย่างเงียบลง มันคงจะดีที่สุด


            มื้อเย็นผมลงมือทำอาหารสำหรับสองคนง่ายๆ ไข่เจียว ต้มจืด หุงข้าวอีกสักหม้อ ก็อิ่มจนพุงกาง และความเงียบตลอดช่วงบ่ายมันก็ปกคลุมยาวนานมาจนบัดนี้



            ผมกำลังอึดอัด



            ผมกำลังรู้สึกผิดที่ไม่ควรพูดอะไรออกไปแบบนั้น ผมที่เป็นคนสร้างแผลนั้นทิ้งไว้ให้คริส



            ผม..และก็เป็น..ผม เท่านั้นที่ทำทุกอย่างให้มันเกิดขึ้น ถ้าผมจะมีความกล้ามากกว่านี้ ผมอาจจะบอกแม่ของคริสว่าผมไม่อยากทำ



            อดีต ก็คืออดีต ผมย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว



            “คริส....” ในที่สุด ผมก็อดทนไม่ไหวก่อน


            “หืม?” หลังจากกินข้าวเสร็จคริสก็กลับมาที่โซฟาตัวเดิมและหยิบเจ้าแท็ปเล็ตขึ้นมาดูเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าในนั้นมันมีอะไรดี


            “ขอโทษ” ผมกระซิบบอกเขาเสียงเบา

            “ขอโทษ? เรื่องอะไร” เขาเงยหน้ามามองผมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา

            “เรื่องเมื่อตอนบ่าย ที่พูดออกไปแบบนั้น คือฉันไม่รู้จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจ”

            “ฉันไม่ได้โกรธอะไรนายสักหน่อย ไม่ต้องขอโทษหรอก ทำไมถึงคิดว่าฉันจะโกรธ” เขาเลิกคิ้วถามผม สีหน้าเริ่มมีความทะเล้นของคริสกลับคืนมาบ้างแล้ว มันทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

            “ก็นายเอาแต่เงียบ ไม่พูดไม่จา ฉันเลยคิดว่านายคงจะโกรธ”

            “ขอโทษที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี พอดีมีเมลด่วนเข้ามา ฉันเลยต้องใช้ความคิดนิดหน่อย”

            “ไม่เป็นไร ถ้านายไม่โกรธเพราะคำพูดนั้น ก็ดีแล้วล่ะ ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมบอกเตรียมผละไปจากบริเวณนั้น แต่กลับถูกมือของคริสดึงเอาไว้ก่อน

            “หือ?” ผมถามเขากลับเผื่อว่ามีคริสจะยังมีอะไร

            “ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกเลย ก็คงไม่ใช่ ฉันรู้สึกถึงพูดออกไป”

            “เอ่อ....ขอโทษ” ผมเริ่มงง สรุปว่ายังไง จริงๆ แล้วคริสก็ไม่ค่อยพอใจคำพูดผมสักเท่าไหร่หรอก ถูกมั้ย

            “ขอโทษง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก รู้หรือเปล่า”

            “อยากให้ทำอะไร” ผมกลืนน้ำลายลงคอได้ลำบากยากเย็นเหลือเกิน

            “เช่น แบบนี้ก็น่าจะดี” แรงฉุดรั้งอย่างแรงจากคริสทำให้ผมเสียหลักล้มลงไปหาเขา

            “เฮ้ย..” ผมร้องเสียดังด้วยความตกใจ คริสกอดหลังผมแน่นพร้อมกับตัวเขาที่นอนลงไปบนโซฟาแล้วมีร่างของผมตามทาบทับลงไป เขามองหน้าผมด้วยใบหน้ายิ้มออกจะกรุ้มกริ่มด้วยซ้ำ

            “จะทำอะไร” ผมถามเขา อย่างน้อยผมก็ควรได้รู้ล่วงหน้าบ้าง

            “ก็ให้นายทำอะไรเพื่อเป็นการไถ่โทษไง”

            “ทำอะไร”

            “เช่น..จูบฉัน..หอมแก้มฉัน...หรือจะนอนบนตัวฉัน..อะไรก็ได้ แล้วแต่นายเลย” คริสบอกผมอย่างไม่มีความอายอะไรเลย ช่างบ้า เสียจริง

            “ตอนนี้ ฉันก็นอนบนตัวนายแล้ว พอใจหรือยัง”

            “ไม่พอ คนที่ทำผิดไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง”

            “นายจะเอายังไง” ผมเริ่มไม่สนุกกับการแกล้งของเขา


            “Kiss me….” คริสกระซิบอยู่ใกล้ริมฝีปากของผม อีกนิดเดียว ปากของเราทั้งคู่ก็เกือบจะจูบกัน แต่คริสก็ทิ้งศีรษะลงไปนอนอย่างเดิม

            “....” ตั้งแต่คบกัน จนเลิกกัน ผมแทบจำไม่ได้เลยว่า จะมีครั้งใดที่ผมจะเป็นฝ่ายเริ่มจูบ     คริสก่อน ยิ่งความสัมพันธ์ที่ห่างหายไปนานมากขนาดนี้ มีหรือที่ผมจะกล้า

            “Please” คริสพูดต่อ เขากำลังขอร้องผม เสียงทุ้มของเขามันทำให้ผมใจสั่น คริสไม่รู้หรอกว่าเสียงของเขามันกระตุกใจผมแค่ไหน ผมกำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้

            “ฉัน...” ผมยังอ้ำอึ้ง ในใจกำลังเริ่มตีกัน ผมควรจะจูบเขาหรือลุกไปเสียเดี๋ยวนี้

            “I wanna kiss you, Babe…” เหมือนเสียงแก้วแตกดังลั่นอยู่ภายในหูของผม คริสกำลังเรียกชื่อผมด้วยชื่อที่เขาเคยเรียกผม


เขากำลังเรียกผมว่าที่รัก...อยู่ใช่มั้ย


ถ้าผมยังใจแข็ง ทำไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดของเขา ผมก็คงกลายเป็นคนใจดำ ใจหินอย่างแน่นอน ผมละทิ้งความรู้สึกและเหตุผลทุกอย่างเอาไว้ด้านหลังก่อนจะก้มหน้าเข้าไปใกล้เขาพร้อมกับหลับตาลง


วินาทีที่เราสองคนจูบกัน หัวใจของผมมันพองโต เหมือนคราวที่คริสจูบผมในรถวันนั้น ใจของผมมันกำลังฟูฟ่อง ล่องลอยอยู่ในม่านเมฆหมอกสีขาว เหมือนตัวผมกำลังถูกห่อหุ้มด้วยความอ่อนโยนที่แสนจะอบอุ่น ผมรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนของคริสที่กำลังโอบหลังผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไป



ราวกับกลัวว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความฝัน



ผมประคองใบหน้าเขาแผ่วเบา เกลี่ยที่แก้มสากนั้นอย่างหวงแหน เหมือนผมได้เขากลับคืนมาอยู่กับตัว ผมอยากเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะผมจะลงมือทำทุกอย่างถ้ามันจะทำให้โลกนี้มีเพียงแค่เราสองคน แค่สองคนเท่านั้น



รสสัมผัสจากจุมพิตยังดำเนินต่อเนื่องโดยไม่รู้อิ่ม ไม่รู้น้ำลายที่ไหลหยดย้อยลงมาจากปากนั้นเป็นของใคร ของผมหรือของคริส แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เมื่อเริ่มแล้วผมก็ไม่อยากหยุด คริสคงใจตรงกับผมเหมือนกันล่ะมั้งเพราะเขาก็ยังจับไหล่ผมแน่น



ในช่วงจังหวะหนึ่งที่เราผละตัวจากกันมาเพื่อหอบอากาศเข้าไปในปอด ลมหายใจของเราทั้งคู่ต่างหอบถี่ คริสก็กดใบหน้าของผมลงไปแนบอกเขา ผมได้ยินเสียงจังหวะของหัวใจเขา มันเต้นเร็วเหลือเกิน เร็วเสียจนน่ากลัวว่ามันจะระเบิดออกมาจากอก ผมเองก็คงไม่ต่างกัน



 คริสพลิกร่างผมให้เป็นฝ่ายนอนที่โซฟาแทนเขา ผมสบตากับเขาจากด้านล่าง ก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปเสยผมที่ปรกหน้าผากของเขาเพื่อให้คริสได้คลายความรำคาญจากเส้นผมลงไปบ้าง แต่เพราะผมของเขาไม่ได้เซทให้อยู่ตัว พอปัดขึ้นไป สักพักไม่นานมันก็ตกลงมาอีก ผมทำแบบนี้อยู่สองสามครั้ง จนผมถอดใจด้วยความหงุดหงิด จนกระทั่งได้ยินเสียง คริสหัวเราะนั่นแหละ ผมจึงรู้สึกตัวอีกครั้งว่ากำลังโมโหอะไรเป็นเด็กๆ

“เหมือนเดิม” เขาหยุดหัวเราะก่อนจะเอ่ยวลีลอยๆ ออกมา

“อะไรเหมือนเดิม”

            “คงมีไม่กี่คนหรอกมั้งที่จะรู้ว่านายเป็นคนโมโหอะไรง่ายกับเรื่องเล็ก แต่ดันจัดการกับปัญหาใหญ่ๆ ได้ดี”

            “ชม?” ผมหรี่ตามองเขาด้วยความไม่ไว้ใจ

            “คิดว่าชมมั้ยล่ะ” นั่นไงว่าแล้ว ไม่มีทางที่คริสจะชมผมจริงๆ หรอก

            “ลุกได้แล้ว หนัก” ผมเปลี่ยนเรื่อง นอนแบบนี้ก็ดูสุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ขาของเราก่ายเกยกันแบบนี้ ไม่น่าไว้ใจ

            “จะหนักได้ไง ฉันยันแขนตัวเองไว้แบบนี้”

            “บอกว่าหนักก็หนักสิ อยากอาบน้ำแล้วด้วย”

            “อยากจูบอีก”

            “อะไรของนายอีกเนี่ย” ไม่ใช่ว่าผมโมโหนะครับ แต่อันนี้น่าจะเรียกว่าเขินมากกว่า ถูกขอจูบตรงหน้าแบบนี้ ทิศทางก็เริ่มเซเหมือนกัน

            “I wanna kiss you more…”

            “ติดสัมผัสหรือไง เร็วๆ นะ อยากอาบน้ำแล้ว” บ่นไปเรื่อยแต่สุดท้ายผมก็ใจอ่อนอยู่ดี กับคริสไม่ว่าเรื่องอะไร ผมคงไม่วันชนะเขาได้


            “Good boy”


เขายิ้มและนั่นคือคำชมที่เป็นรางวัลของผม



            จูบครั้งนี้ ยาวนานกว่าเมื่อครู่นี้ คงเพราะเราเริ่มจับจังหวะของกันและกันได้มากขึ้น ความคุ้นเคยในวันเก่าๆ นั้นกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะองศาไหนเราดูจะรู้มุมกันไปเสียหมด ผมชอบเวลาคริสเลียที่ริมฝีปากผม ไม่ต้องสื่ออะไรออกไป ผมก็ได้สิ่งนั้น


            “อืม...” เสียงครึมครางจากความพอใจของผมดังออกมาจากในลำคอ มันคงทำให้คริสพอใจในผลงานตัวเองอยู่เหมือนกัน เพราะในจังหวะหนึ่งผมก็เห็นเขายิ้มมุมปาก เขาจะรู้มั้ยว่ารอยยิ้มของเขามันทำให้ผมใจสั่น



            ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมก็ยังตกหลุมรักเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า



            “พะ..พอแล้ว” ผมเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเพื่อบอกห้ามเขา ก่อนที่เปลวไฟที่มันอยู่ในร่างกายจะโหมแรงจนดับไม่ไหว

            “ก็ได้” เขาดูไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็ยอมละริมฝีปากออกไป ผมเบี่ยงตัวให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของเขาแล้วรีบลุกเข้าห้องน้ำไป ถึงแม้จังหวะแรกจะเซไปหน่อยแต่ก็ไม่ล้มลงต่อหน้าคริส ก็นับว่าเก่งมากแล้วล่ะ


            “ที่ทำงานเป็นไงบ้าง” ผมถามเขา


            ตอนนี้เราสองคนพาร่างกายที่หอมสดชื่นจากการอาบน้ำมาอยู่ในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ผมยึดที่ว่างของเตียงฝั่งหนึ่ง ฝั่งด้านซ้าย ฝั่งประจำตัวในทุกครั้งเวลาที่ผมมาค้างที่นี่ ตรงข้างเตียงยังมีโคมไฟเล็กๆ เหมือนเดิม โคมไฟที่เอาไว้ให้ผมนอนอ่านหนังสือก่อนนอน



            คืนนี้ก็เช่นกัน



            ผมลดหนังสือในมือลงและถามคริส เมื่อเขาเดินเข้ามาด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวพร้อมกับกลิ่นกายที่หอมจากครีมอาบน้ำที่เขาและผมเองต่างก็ใช้มัน



            ไม่เดินตัวเปล่าเข้ามาก็ถือว่าเกรงใจผมมากแล้ว



            “ช่วงนี้ยุ่งมากกว่าปกติ ใกล้ปิดไตรมาสแล้วเลยวุ่นวายไปหมด” เขาตอบตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้า และเลือกชุดนอนออกมาชุดหนึ่งก่อนจะสวมมันต่อหน้าผม

            “เหนื่อยมั้ย”

            “ก็...ชินแล้วล่ะมั้ง”

            “ชิน?”

            “ทำมาตั้งหลายปี ต้องชินบ้างสิ” เขาตอบพลางเลิกผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเองเข้าไปในนั้น


            “จริงด้วย ถามอะไรแปลกๆ” ผมบ่นตัวเอง

            “แล้วนายล่ะ?”

            “ฉันเหรอ...ก็เรื่อยๆ งานไม่เยอะเท่ากับจิตแพทย์หรอก แต่ก็ไม่ได้บอกว่าว่างขนาดนั้นหรอกนะ” ผมรีบอธิบายพร้อมชี้แจงรายละเอียดให้ฟัง กลัวว่าเขาจะหาว่าผมนั่งอู้กินเงินเดือนไปวันๆ

            “จิตแพทย์.. หมอมาวิน?” จู่ๆ คริสก็พูดถึงชื่อคุณหมอวินขึ้นมา

            “อืม อย่างเช่นหมอวินก็ใช่ งานเยอะมากเหมือนกัน”

            “คิดอะไรกับหมอมาวินหรือเปล่า”

            “ถามทำไม”

            “ห้ามคบกับหมอคนนั้น”

            “คริส...นายไม่มีสิทธิ์ห้ามฉันคบกับใคร” ถึงผมจะไม่ได้คิดจะคบกับคุณหมอแต่ผมก็ไม่ชอบให้คริสมาสั่งผมแบบนั้นแบบนี้ ผมคิด ผมตัดสินใจเรื่องตัวเองได้

            “ห้ามคบกับใคร” เขาทำท่าเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด

            “นายห้ามฉันไม่ได้ ฉันมีสิทธิ์เลือกคบใครก็ได้” และผมก็ยังยืนยันคำตอบเดิม

            “ยกเว้นฉัน...”

            “....” เดดแอร์ไปเลยผม เมื่อกี้คริสพูดว่าอะไรนะ

            “หมายความว่าไง”

            “ฉันห้ามนายคบกับใคร เว้นเสียแต่ฉันคนเดียว เข้าใจมั้ย หรือต้องให้พูดเป็นภาษาอังกฤษ”

            “เรื่องนี้ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะคบกับใคร”

            “นอกจากฉัน นายอย่าคบใคร”

            “....” ผมว่าคริสดูไม่ปกติแล้วล่ะ เขาไม่ใช่คนพูดจาย้ำคิดย้ำทำ หรือพูดจาวนไปวนมาแบบนี้ ผมเลยเลือกไม่ตอบอะไรเขากลับไป ขอสังเกตอาการอีกนิด

            “ได้มั้ย”

            “....” ผมควรจะตอบว่าอะไรดี

            “ฉันขอร้อง”

            “นายไม่สบาย ฉันว่าวันนี้นายนอนพักก่อนดีกว่า” ผมตัดบทเพราะแน่ใจแล้วว่าที่เขาพูดจาเลื่อนเปื้อนแบบนี้เพราะอาการป่วยของเขา

            “ฉันไม่ง่วง ยังไม่อยากนอน”

            “มาฝึกสมาธิกันนะ” ผมลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับชักชวนเขาให้หลุดออกมาจากความคิดที่จมอยู่กับเรื่องเดิม

            “ไม่...” เขามีท่าทีต่อต้าน คงรู้ว่าผมตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่อง ดึงความคิดเขาให้หลุดออกมา

            “ไม่ได้ นายต้องฝึก” ผมไม่ยอมตามใจเขา

            “วันพรุ่งนี้ได้มั้ย” เสียงของเขาฟังดูแห้งเหี่ยว โธ่ คริส... ผมรู้สึกสงสารเขาเหลือเกิน ใน
เวลานี้ทำไมเขาถึงดูอ่อนแอได้มากขนาดนี้

            “ไม่ได้ ถ้านายไม่ฝึกตามที่ฉันบอก พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้าน แล้วโยนเคสนายกลับไปที่คุณหมอวิน” ผมมองหน้าเขาอย่างไม่หวั่นเกรงและขู่เขาด้วยเสียงที่บ่งบอกว่า ยังไงผมก็ไม่ยอมใจอ่อนแน่ๆ

            “ตกลง แล้วแต่นาย”

            “ไม่ต้องลุกขึ้นมา นอนอยู่แบบนั้นแหละ ฉันจะอยู่ข้างๆ นาย จนกว่านายจะหลับ ตกลงมั้ย”

            “นอนทำสมาธิก็ได้เหรอ” คริสมองผม แล้วยื่นมืออกมา ผมวางมือลงไปบนมือของเขาทันที
เขาออกแรงดึงไม่มากนัก ผมก็เลื่อนตัวลงไปนอนอยู่ข้างๆ เขาแล้ว

            “ได้สิ ถ้าจิตของเรานิ่ง อิริยาบถไหนก็ได้ทั้งนั้น จะเดิน นอน นั่ง ได้หมดแหละ”

            “อืม”

            “เริ่มล่ะนะ ก่อนอื่นก็ หลับตา” ผมบอกเขาเสียงเบากว่าปกติเพราะเราอยู่ใกล้กันแค่นี้

            “....” คริสไม่ตอบผม แต่เขาก็หลับตาลงแล้ว

            “หายใจเข้า-ออก ให้เป็นจังหวะ อย่าบังคับใจ ตั้งสติให้รู้ว่ากำลังหายใจเข้าและออกก็พอ เข้าใจมั้ย”

            “อืม” เขาตอบทั้งที่ยังหลับตาและผมกับเขายังจับมือกันอยู่

            “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องเร่ง ค่อยๆ หายใจเข้าออกไปตามปกติ ไม่มีอะไรให้ต้องรีบทำ” ผมพูดไปเรื่อยๆ หูก็คอยเงี่ยฟังจังหวะการหายใจของเข้าไปด้วย แผงหน้าอกก็หายใจดูเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอดี

            “ถ้าลมหายใจสะดุด ก็ช่างมัน เริ่มหายใจใหม่ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องใส่ใจ เราเริ่มใหม่ได้”

            “....”

            “ฉันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงข้างนาย ไม่ต้องกังวลอะไร ปล่อยลมหายใจไปสบายๆ” ผมบอกย้ำให้เขารู้ ความสบายใจไม่เครียดนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถหลับง่ายขึ้น

            “....”

            “ดี อย่างนั้นแหละ ค่อยๆ หายใจ รับรู้ว่าตอนนี้เราหายใจเข้า ตอนนี้เราหายใจออก”

            “อืม...กอดฉันหน่อย” คนไม่สบายใจแล้วยังเอาแต่ใจนี่นะ อยากจะบ่นเสียจริง แต่ผมไม่อยากขัดใจเขาเพราะทุกอย่างกำลังไปได้ดี


            ผมขยับตัวเข้าหาเขามากขึ้นกว่าเดิมแล้ววาดมือไปโอบเอวของเขาไว้ ไม่แน่นไม่น้อยจนเกินไป ระวังไม่ให้เขาอึดอัดเพราะการทำสมาธิควรอยู่ในท่าที่สบายด้วย


            “ตอนนี้ฉันกอดนายอยู่ ลองหายใจใหม่อีกครั้งนะ คราวนี้ฉันจะทำไปพร้อมๆ กับนาย แล้วเราจะได้หลับไปพร้อมกัน” ผมบอกเขาแล้ว ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าเขาเหมือนสงบมากขึ้น




            ผมหวังว่าคืนนี้มันจะฝันดีของเขาและเป็นคืนที่ดีของเรา



            ‘Sweet dream, my babe…’




=============================



ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/

#WishingYou #คริสธัน

หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 12, 04/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 11-05-2018 15:52:44


WISH 13

คนเราจะรักใครคนหนึ่งได้ยาวนานเท่าไหร่กัน



            ความคิดแรกที่แว่บเข้ามาในหัวของผม ตอนที่ตื่นขึ้นในเช้านี้ นั่นสิ เราจะรักใครคนหนึ่งได้นานแค่ไหน คงไม่มีใครตอบเรื่องนี้ได้ แม้กระทั่งตัวผมเอง ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางสมหวัง แฮปปี้แบบในนิยาย แต่ผมก็ยังรักเขาเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
 


            คงไม่ใช่การกระทำที่โง่เกินไปหรอกใช่มั้ย?



            ผมไม่ได้มั่นคงภักดีอะไรกับความรักที่มีต่อคริสมากขนาดนั้นหรอก แต่...ไม่รู้สิ ที่ผ่านมาก็มีคนเข้ามาแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกรักใครเลย แม้กระทั่งหมอวินที่คอยเทียวไล้เทียวขื่อขายขนมจีบให้ผมอยู่เนืองๆ ผมก็ยังยอมรับไมตรีนั้นได้เพียงเพื่อน...


  เพื่อนร่วมงานเท่านั้น


            ผมขยับตัวให้คลายความเมื่อจากการนอนตะแคง จำได้ว่าเมื่อคืนผมนอนหันเข้าหาคริสแต่เช้านี้ผมกลับนอนหันหลังให้เขา ผมรู้สึกน้ำหนักที่กดกระชับแน่นบริเวณเอวของผมไว้และเหมือนว่าร่างของผมกำลังถูกใครสักคนที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องเป็นคริสนั้นดึงเข้าไปใกล้ตัวเขา

            “ตื่นนานแล้วเหรอ” ผมพูดขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้หันกลับไปดูเขา

            “สักพักแล้ว”

            “ทำไมไม่ลุก”

            “อยากนอนกอดนายก่อน” แค่นี้ผมก็จะปีนขึ้นจากหลุมที่เขาขุดเอาไว้ไม่ได้แล้ว ถ้ายังจะขุดหลุมให้ลึกไปกว่านี้ ผมคงเลิกรักเขาไม่ได้แน่ๆ

            “เกินไป”

            “ไม่เกินไปหรอก ไม่ได้นอนกอดนายแบบนี้ กี่ปีแล้ว” คำพูดของเขาไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะเราทั้งสองคนก็ต่างรู้ดี


            คริสพูดอู้อี้อยู่กับซอกคอของผม เขาชอบคลอเคลียที่คอผมเหลือเกิน บางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเคลิ้มบ้าง บางครั้งมันก็ทำให้ผมต้องหดคอด้วยความจั๊กจี้

            “เลิกเล่นได้แล้วน่า ไม่หิวหรือไง” ผมปรามเขาก่อนที่อารมณ์ผมจะเตลิดไปไกล คุณรู้ใช่มั้ยครับ ช่วงเวลาเช้าๆ ของผู้ชายมันถูกกระตุ้นอารมณ์ได้ง่ายมาก

            “หิว” เขาตอบแต่ก็ยังไม่ละออกจากซอกคอผม ดูแล้วเหมือนกำลังจะเลยขึ้นไปที่หลังหูด้วย

            “ถ้าหิวก็ปล่อยสิ จะได้กินข้าวไวๆ”

            “ไม่ได้หิวข้าว...”

            “อะไร”

            “แต่หิวนายต่างหาก ขอกินได้มั้ย”


            “ไอ้บ้า” ผมรีบลุกขึ้นพรวดโดยไม่สนใจพร้อมกับปาหมอนใส่หน้าเจ้าตัว ฉวยผ้าเช็ดตัวได้แล้วก็รีบเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงหัวเราะของคริสดังไล่หลังมา



            ‘มาขอกันโต้งๆ แบบนี้ได้ไง อายนะโว้ย’



            มื้อเช้าไม่ได้จบด้วยฝีมือทำอาหารของผมแต่เป็นคริสที่ลากผมออกไปทานอาหารนอกบ้านแทน จริงๆ แล้วไม่จำเป็นเลย แต่ในเมื่อเจ้าตัวอยากออก ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรอยู่แล้ว จะเอาไงก็เอา


            ใช้เวลาอยู่ในห้างจนถึงเที่ยง เดินเคียงข้างกันไปเงียบๆ ภายนอกของคริสเหมือนเดิม จะต่างไปก็คือที่เขาดูตัวหนาขึ้น คงล้อไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้สมัยเรียนก็ยังดูเก้งก้างอยู่บ้าง แต่ตอนนี้คงเรียกได้เต็มปากว่า หนุ่มแน่น แขนน่ากัด อะไรรประมาณนั้น



            นิสัยของคริสล่ะมั้งที่ผมรู้สึกว่า เขาต่างจากเดิมไปค่อนข้างมาก คริสที่ผมรู้จัก เขาไม่ใช่คนที่เก็บกดอารมณ์ของตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเขาพร้อมจะอาละวาดออกมาตลอดเวลานะครับ ผมกำลังพูดถึง เขามักจะพูดกับทุกคนอย่างตรงไปตรงมา ไม่ปิดบัง แต่เวลานี้ผมคิดว่าผมดูเขาไม่ออก เขาปิดกลั้นอารมณ์ของตัวเองไว้ลึกเสียจนผมคาดเดาไม่ได้ แววตาที่เขามองผม นิ่ง สุขุม ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ



            รับมือได้ยากเพราะผมไม่รู้เลยว่าคริสกับคิดอะไรอยู่



            “เล่าเรื่องงานให้ฉันฟังหน่อย” ผมพูดขึ้นตอนที่เรากำลังเลือกเสื้อเชิ้ตของคริสอยู่ในร้านใดสักร้านหนึ่งที่ผมจำชื่อแบรนด์มันไม่ได้

            “นายถามฉันไปแล้วเมื่อวาน” เขาเตือนผม

            “ใช่ ฉันกำลังหมายถึง รายละเอียดที่มากกว่านี้”

            “อยากรู้ไปทำไมกัน ไม่มีอะไรน่าสนุก” เขาสบตากับผมตอนที่ถาม

            “เผื่อว่ามันจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายไม่สบาย” ผมอธิบายเขา เอาเข้าจริงดูเหมือนผมจะถามเขาเยอะมาก แต่คุณรู้มั้ย ผมไม่เคยได้รับคำตอบจริงจังสักที มันต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างมากันเราออกไปเสียก่อน

            “ฉันสบายดี สีนี้ดูทึมไปมั้ย” คริสตอบพร้อมกับหยิบเสื้อสีกรมเทาออกมาตัวหนึ่งแล้วถามความคิดเห็นผม

            “นายรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวนายเองสบายดีหรือเปล่า อืม มืดไปนิด ไม่เหมาะกับนายหรอก”

            “แล้วตัวนี้ล่ะ” เขาแขวนตัวเดิมคืนที่ของมันและหยิบตัวเสื้อเชิ้ตตัวใหม่ขึ้นมา

            “สีแจ่มไปหน่อย หวานแหววเลยล่ะ เปลี่ยนรสนิยมหรือไง” ผมหัวเราะเขาเบาๆ สีชมพูออกไปทางแดงมันทำให้ดูเป็นชมพูแจ๋นๆ ยังไงก็ไม่รู้

            “เปล่า คิดว่านายอาจจะชอบถ้าฉันใส่ตัวนี้”

            “ไม่มีทาง มันไม่เข้ากับนาย ตัวนี้เถอะ น้ำตาลเข้ม” ผมชอบสีน้ำตาลเป็นพิเศษ เพราะมันเข้ากับสีผมและนัยน์ตาของเขา

            “ขอบใจ เอาตัวนี้ละกัน” เขาหันไปบอกไซส์และสีกับพนักงาน รอจ่ายเงินไม่นาน เราก็เดินหิ้วถุงอีกหนึ่งใบออกจากนั้นมา

            “ฉันยังไม่ลืม เรื่องงานของนาย” เห็นมั้ยครับ ผมบอกแล้วว่าผมไม่เคยได้รับคำตอบ

            “วุ่นวาย น่าเบื่อ จุกจิกและเรื่องมาก” คริสตอบออกมาเสียกว้าง

            “ไปกินกาแฟที่ร้านตรงนั้นกัน ฉันอยากรู้แล้วล่ะว่า วุ่นวาย น่าเบื่อ จุกจิกและเรื่องมาก เนี่ยมันเป็นยังไง” ผมเน้นคำว่ามากเป็นพิเศษและเดินนำเขาไปร้านกาแฟ โดยไม่ถามความสมัครใจ

            “นายจะดื่มอะไร” ผมถามเขาเมื่อเราได้โต๊ะเล็กๆ สำหรับสองคนตรงริมกระจกทางเดิน มองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา

            “ห้ามสั่งกาแฟ ทุกชนิด” ผมรีบบอกเขาก่อนที่เขาจะพูดกาแฟ ชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นมา

            “ชวนเข้าร้านกาแฟ แต่ไม่ให้สั่งกาแฟ?” เขาหรี่ตามองผมเหมือนจะหาเรื่อง แต่ผมรู้ว่าท่าทางแบบนี้ไม่ได้ต้องการหาเรื่องผม แต่แค่ไม่พอใจเล็กๆ ต่างหากล่ะ

            “เดี๋ยวนอนไม่หลับ นายต้องงดกาแฟทุกชนิดจากนี้ไป อ้อ ชาด้วย เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้นอนไม่หลับ เข้าใจมั้ย”

            “....”

            “เข้าใจมั้ยครับ คุณกฤษณ์” นานๆ ที ผมถึงจะเรียกชื่อไทยของเขา

            “ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟแล้วมันคิดงานไม่ออก” เขาพยายามต่อรอง

            “นายแค่เสพย์ติดมันเพราะความเคยเชินเฉยๆ ลองปรับดู ถ้าหยุดไม่ได้ก็เริ่มจากลดปริมาณจำนวนแก้วก่อนเป็นไง ถึงฉันจะไม่เคยไปดูนายทำงาน แต่เชื่อเถอะว่านายดื่มเกินหนึ่งแก้วต่อวันแน่ๆ”

            “รู้ดีจริง” คริสไม่ได้รับปาก แต่นั่นก็แสดงว่าเขาไม่ปฏิเสธ

            “ขอบคุณที่ชม สรุปว่าจะดื่มอะไร นายดูสิ มีอะไรให้เลือกแทนกาแฟตั้งหลายอย่าง” ผมยื่นเมนูให้เขา เมนูน้ำมีหลากหลายอย่างที่ผมบอกเขา ไม่ว่าจะน้ำผลไม้ สมูทตี้ ต่างๆ หรือน้ำผสมนั่นนี่หลากหลายสีสันก็มีให้เลือก


            คริสหยิบเมนูไปอ่านอยู่นานก่อนจะตอบว่า “เอาเหมือนนาย”


            “แล้วจะดูเมนูทำไมเนี่ย” ผมบ่นแล้วลุกไปสั่งช็อกโกแลตเย็นปั่น สองแก้ว พ่วงด้วยการลดความหวาน มันดีต่อสุขภาพนะครับ อย่าติดหวานกันล่ะ

            “อะไรที่วุ่นวายล่ะ” ผมเริ่มคำถามชุดแรก

            “ก็คน ลูกค้า รอบข้าง โต๊ะ เก้าอี้ ประชุม ทุกอย่างอะ วุ่นวาย”

            “ตอบแบบนี้ไม่เอา คริส...นี่นายไม่อยากให้ฉันช่วยเหลือเหรอไง ไม่อยากหายเหรอไง” ผมถอนใจกับการตอบส่งๆ ของเขา

            “ก็มันทุกอย่าง...”

            “โอเค ฉันพอจะเก็ทละ ว่าคนทำงานมันต้องวุ่นวาย ถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิด ปัญหาที่เกิดกับลูกค้า อะไรแบบนี้ใช่มั้ย”

            “ประมาณนั้น”

            “น่าเบื่อล่ะ?”

            “ไม่อยากทำ เบื่อ งานมันก็เหมือนเดิม นายเคยเจอปะ ที่แบบ เจอปัญหาเดิมๆ เรื่องเดิมๆ ที่มันวุ่นวายมากเรื่อง มันวนลูปอยู่แบบนี้ จนมันเบื่อ ไม่อยากทำ” คริสบ่นยืดยาว



            ผมว่าคริสมีภาษาไทยที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเลยนะครับ เขาสามารถเริ่มต้นประโยคด้วยคำพูดเดิมและจบลงด้วยคำพูดเดิมได้ ถือว่าพัฒนาการดีเยี่ยม


            “แต่นายก็หลีกเลี่ยงไม่ได้”

            “ใช่ ฉันก็ต้องทำ ให้ใครทำแทนก็ไม่ได้ เพราะเรื่องที่บริษัทฉันเป็นคนขอแด๊ดมาทำเอง ฉันก็ต้องทำมันต่อไป”



    ปกติแล้วคริสจะเรียกพ่อของเขาด้วยคำว่าคุณพ่อเสมอนะครับ ถ้าคุณพอจะจำได้ พ่อของคริสเป็นฑูตและคุณแม่ของคริสก็ค่อนข้างรักษาหน้าตาและเกียรติของอาชีพนี้อย่างดีเยี่ยม การที่เขาเรียกแด๊ดออกมาโดยไม่สนใจอะไร แสดงว่าเจ้าตัวน่าจะเบื่อจริงๆ จนฝืนใจทำ
           
            “มันมีทางออกอยู่แค่ไม่กี่วิธี และฉันจะเลือกวิธีที่คิดว่า มันดีกับนายที่สุดให้”

            “อะไร”

            “จงยอมรับและรักมันซะ”

            “ยอมรับและรัก?” เขามองผมด้วยความไม่เข้าใจ

            “ใช่ ยอมรับและรักมันน่ะดีที่สุด นายต้องทำงานนี้ต่อไปถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าหากนายยังไม่
ยอมรับหรือรักงานนี้ มันจะค่อยๆ กัดกินใจนายและสุดท้ายนายจะเกลียดมันจนทำงานต่อไม่ได้”

            “....”

            “ทุกคนเบื่องานหมดแหละ ต่อให้เป็นงานที่รักก็ตาม เพราะอะไรที่เราทำซ้ำๆ ซากๆ ทำมันทุกวัน มันก็ต้องเบื่อเป็นธรรมดา แต่ถ้าเรายอมรับมันได้ว่าทำไมเราต้องทำ มันจะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น และไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำ”

            “อืม”

            “ส่วนเรื่องความเรื่องมาก จุกจิกนั่นมันจะเป็นผลพลอยได้ หลังจากที่นายยอมรับงานของตัวเองได้ แก้เรื่องนี้เรื่องเดียวพอ แล้วสุขภาพจิตของนายมันจะดีขึ้นด้วย เอ้า ช็อกโกแลตมาพอดี ดื่มซะ มันจะได้ลดความหงุดหงิดให้น้อยลง”

            “ช่วยยังไง”

            “นี่ตอบแบบไม่อิงวิทยาศาสตร์นะ ขนาดนายยังคิดว่ากาแฟมันช่วยให้นายคิดงานได้ ช็อกโกแลตของฉันมันก็ช่วยให้นายเลิกหงุดหงิดได้เหมือนกัน”


            เอาสิ ของแบบนี้แล้วแต่คนจะคิด


            “ดูดเลย อร่อยนะ เคี้ยวน้ำแข็งที่ปั่นล่ะเอียดไปด้วย มันจะทำให้ใจนายเย็นลง”

            “จริง?”

            “ลองดู เชื่อฉันสิ ฉันเก่งเรื่องรักษาจิตใจคนนะ” ผมอวดอาชีพที่ผมทำให้เขาฟัง

            “รักษาจิตใจเรื่องความรักได้หรือเปล่า” คริสย้อนถามผม

            “ได้ ถ้าเจ้าตัวยอมรักษาอะนะ” ผมแสร้งตอบเป็นจริงเป็นจัง หลีกเลี่ยงความหมายที่คริสจะสื่อ ผมหลุบสายตาลงไม่มองเขา แกล้งคนช็อกโกแลตปั่นในแก้วราวกับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต



            รักษาใจคน ทำไมจะรักษาไม่ได้ล่ะ ไม่ได้ผิดจากที่ผมบอกคริสหรอกครับ ถ้าคนไข้พร้อมจะรักษา ทุกอย่างมันเยียวยาได้ทั้งนั้น ยกเว้นเสียแต่ว่า เขาไม่อยากรักษานั่นแหละ ให้ทานยา ให้หาหมอเก่งแค่ไหน ก็ดึงเขากลับมาไม่ได้หรอกครับ



เพราะใจมันไม่อยู่กับตัวเอง



เพราะเขาไม่อยากหาย



เพราะทุกวันนี้ผมยังรักษาจิตใจตัวเองไม่ได้เลย...



เล่าให้ใครฟัง คนก็คงขำ หัวเราะใส่หน้า รักษาคนอื่นได้ แต่ยกเว้นตัวเอง



มันน่าอายมั้ย!?



“มีเรื่องอื่นที่อยากเล่าบ้างมั้ย ครอบครัว เพื่อน แฟน คนรัก?” ผมถามเขา เพราะอาการทางใจ บางทีก็ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องเดียว
         
            “ไม่มี”

            “ถ้ามีก็ขอให้บอกฉันให้รู้เถอะ เพราะฉันหวังดีกับนายจริงๆ” ผมบอกเขาจากใจจริง ถ้า     คริสกลับมามีจิตใจเบิกบานมีความสุขเหมือนเดิม ผมเองก็คงจะมีความสุขไม่น้อยไปกว่าเขา

            “ขอบใจ ถ้าฉันอยากเล่าเมื่อไหร่จะเล่าให้นายฟังเอง”

            “ไม่เล่าตอนนี้ไม่เป็นไร แต่อีกไม่นานหรอก ฉันจะทำให้นายเต็มใจอยากเล่าให้ฉันฟัง” ผมบอกเขา ผมไม่มีวันรอจนกว่าเขาจะพร้อมหรอกครับ ยิ่งปล่อยไว้นาน รังแต่จะทำให้ใจของเขาบอบช้ำมากไปกว่านี้

            “นายล่ะ ไม่มีอะไรเล่าให้ฉันฟังบ้างเหรอ”

            “เรื่องอะไรล่ะ ชีวิตของฉันไม่มีอะไรให้น่าตื่นเต้นหรอก” ผมบอกเขา ผมคริสว่าคริสน่าจะรู้หมดแล้วด้วยซ้ำ ว่าผมเป็นยังไง

            “ทำไมถึงไม่รักหมอมาวิน” ผมแทบจะพ่นน้ำใส่หน้าเขา ที่จู่ๆ เขาก็ถามอะไรแบบนี้ขึ้นมา

            “ความรักมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาบังคับกันได้นี่นา ไม่รักก็คือไม่รัก”

            “ทำไมล่ะ”

            “มันไม่มีเหตุผลหรอก นายอย่าหาเหตุผลสำหรับความรักเลย”

            “เหมือนตอนที่นายบอกเลิกฉันแบบไม่มีเหตุผล เลยต้องหาเหตุผลว่าคบกับนัทมาโกหกฉันอะนะ” ผมสบตากับคริส อยากรู้เหมือนกันว่าที่เขาพูดแบบนี้ต้องการอะไร



            เขาไม่ได้พูดด้วยความรู้สึกที่โกรธผมเหมือนกำลังพูดอะไรไปเรื่อย น้ำเสียงที่พูดไปเนิบๆ เหมือนกำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศมากกว่าจะเป็นเหตุผลคนรักที่เลิกรากันไป

            “กินให้หมด เขี่ยเล่นทำไม” ผมไม่ตอบแต่หาเรื่องอื่นมาพูดแทน

            “อีกไม่นานหรอกฉันจะให้นายบอกเหตุผลให้ฉันฟังเหมือนกันว่าว่าตอนนั้นทำไมนายถึงทำแบบนั้น” ผมเสียวหลังวาบขึ้นมาทันที คริสดูจะไม่ปล่อยมือง่ายๆ กับเรื่องนี้


            “ถ้าวันนั้นนายยังอยากฟัง ฉันก็จะเล่าให้ฟัง”



=============================



ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/

หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 13, 11/05/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 17-08-2018 11:17:35


Wish 14

           
            จากวันที่ผมรบเร้าให้คริสเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ทุกอย่างดูนิ่งสงบ จากภายนอกคริสดูเหมือนเดิม แม้กระทั่งจิตใจ ดูเหมือนว่าการที่ผมย้ายมาอยู่กับเขานั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร


            ทว่าความจริงแล้ว ไม่ใช่เลย คริสดีขึ้นจนผมพอใจ


            ช่วงที่เรากลับจากทำงานแล้วมาเจอกัน เขาเครียดน้อยลง ไม่ค่อยขมวดคิ้วหรือทำหน้ายุ่งและดูผ่อนคลายมากขึ้น ช่วงนี้เขาไปทำงานและกลับมาออกกำลังกายแบบนี้เท่าที่จะสามารถทำได้ และไม่ค่อยดื่มกาแฟแล้ว


            สัญญาณที่ดีก็คือ เขานอนหลับง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก


            มันดีจริงๆ นะครับเพราะนั่นทำให้เขาก่อกวนผมน้อยลงไปด้วย


            “วันนี้ทำงานเป็นไงบ้าง” ผมถามเขาแบบนี้ทุกวันก่อนที่เราสองคนจะเข้านอน


            มันเป็นการแสดงความสนใจ ความห่วงใย หรือเปิดโอกาสให้เขาได้ระบาย เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง

            “ก็เหมือนเดิม”

            “เหมือนเดิมอีกแล้ว” ผมพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย “นายจะตอบแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะ”

            “ก็เหมือนเดิมจริงๆ”

            “คน งาน สิ่งต่างๆ รอบตัว ก็เหมือนเดิมเหรอ”

            “อืม น่าเบื่อเหมือนเดิม” เขายอมเปิดปากสารภาพมาในที่สุด

            “เบื่ออีกแล้ว” ผมหัวเราะพร้อมกับดึงมือเขาให้ลงมานั่งข้างๆ ที่โซฟา

            ผมประคองใบหน้าและสบตากับคริสตรงๆ

            “รู้ใช่ไหม ว่าแบบนี้ไม่โอเค”

            “อืม”

            “ไม่เป็นไร อย่างน้อยตอนนี้นายก็ดีขึ้นมากแล้ว ห่างไกลคำว่ากินยาไปได้อีกนิดแล้วล่ะ” ผมบอกเขา

            “เหรอ”

            “แต่ก็ยังวางใจไม่ได้” ผมละมือออกจากใบหน้าของเขาแล้วหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง “ฉันเองก็มาอยู่คอนโดนายเป็นเดือนแล้ว”

            “อืม”

            “ถ้ายังไง...ฉันว่า” ผมคิดว่าผมควรกลับบ้านดีหรือเปล่า อย่างน้อยเขาก็ดีขึ้นแล้วนี่นา

            “อยู่ที่นี่ต่อ” คริสพูดแทรกผม “หรือนายห่วงแม่?”

            “ใช่”

            “ไปรับแม่นายมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นก็ย้ายกลับไปบ้านนาย”

            “เรื่องมันจะเอิกเกริกเกินไป” ผมท้วง

            “อยู่ที่นี่ต่อ” และนั่นคือข้อสรุปของคริส


            ผมห่วงแม่ก็จริง แต่พอเขาบอกแบบนั้น ผมกลับโล่งใจและยอมทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย


            ผมนิสัยไม่ดีเลยใช่ไหมครับ


            “วันศุกร์นี้ ว่างหรือเปล่า” คริสถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เรานั่งเงียบๆ อยู่ด้วยกันครู่ใหญ่

            “หืม? ก็ไม่มีอะไรพิเศษนะ”

            “ก็ดี ถ้าอย่างนั้น ไปกับฉันหน่อย”

            “ไปไหน”

            “งานเลี้ยงน่ะ”

            “งานเลี้ยง?” ผมแปลกใจเลยล่ะ “งานเลี้ยงอะไร”

            “งานเลี้ยงบริษัท”

            “จะให้ฉันไปด้วยทำไม ฉันไม่ใช่พนักงานบริษัทนายเสียหน่อย” ผมปฏิเสธเขา เพราะผมคิดว่ามันไม่เหมาะสมที่เขาจะพาคนนอกไป ถึงแม้เจ้าของจะเป็นคนพาเข้าไปก็เถอะ

            “ก็ไปเป็นเพื่อนหน่อยไม่ได้หรือไง”

            “เดี๋ยวนะคริส นั่นงานบริษัทนาย ไม่ใช่นายไปเดินห้างดูหนังคนเดียว” ผมคิดว่าคริสกำลังสับสนอะไรบางอย่าง

            “ไปกับฉันเถอะ”

            “ไม่” ผมยืนยันปฏิเสธ

            “Please Babe.”


            สายตาแบบนี้อีกแล้ว ตั้งใจจะให้ผมแย่ไปกว่านี้ใช่ไหม อย่าทำให้ใจผมต้องสั่นไปมากกว่านี้


            “Please” เขายังพูดซ้ำคำเดิม


            แล้วผมล่ะ?


            พยักหน้าเบาๆ กลับไป


            รางวัลของผมคือการที่คริสดึงร่างของผมเข้าไปในอ้อมกอดแล้วจูบลงที่ขมับของผม หัวใจของผมมันพองโตแค่ไหน


            เขารู้หรือเปล่า


            ถึงวันนัด คริสก็มารับผมที่โรงพยาบาลตามคำพูด เขาพาผมกลับมาที่คอนโดก่อนเพื่ออาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุด ให้ดูดีกว่าเดิมนิดหน่อย ซึ่งผมคิดว่าไม่จำเป็นเพราะชุดทำงานของผมก็เรียบร้อยและสุภาพดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาบอกว่าผมควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมก็ไม่ได้ดื้อดึงอะไร


            ชุดใหม่วางพาดอยู่ปลายเตียง ผมไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่ถ้าให้เดาก็ไม่ยากเลย จะเป็นใครไม่ได้นอกจากเจ้าของห้องห้องนี้


            เสื้อผ้าตัดเย็บอย่างดีพร้อมสูทที่เข้าชุดกัน สูทที่วางอยู่ลักษณะค่อนข้างจะลำลองพอควร ไม่เป็นพิธีการขนาดผูกไท ทำให้ผมสบายใจขึ้น

            “พอดีไหม” เขาเอ่ยถามตอนที่ผมเดินออกจากห้องนอน

            “อืม พอดีเลย ขอบใจนะ” ผมตอบเขา โดยเลี่ยงที่จะไม่ถามคำถามประเภทที่ว่า

‘นายรู้ขนาดของฉันได้ยังไง’หรือ ‘มาแอบวัดขนาดของฉันไปตอนไหน’ผมตัดมันทิ้งไปเสีย เพราะผมคิดว่าถ้าได้ยินคำตอบ ผมคงจะต้องหน้าม้านหรือออกอาการมากกว่านี้แน่ๆ

            “ไม่เป็นไร เล็กน้อย”

            “แล้วนายล่ะ เรียบร้อยแล้ว?”

            “ใช่ ไปกันเถอะ เดี๋ยวรถจะติด”

            “อืม”


            วันนี้คริสแต่งตัวไม่ต่างจากผม เราสวมเชิ้ต กางเกง รองเท้าหนัง ตบท้ายด้วยสูทลำลองเหมือนกัน ผมคิดขำๆ เหมือนว่าเราเป็นฝาแฝดคนละไซซ์ ทั้งที่ในงานนี้ ทุกคนก็แต่งตัวประมาณนี้แทบทั้งนั้น


            บ้าจริง ที่ผมคิดอะไรแบบนี้อยู่คนเดียว


            เราเดินเข้างานไปด้วยกัน และแน่นอน สายตาทุกคู่ย่อมหันมาจับจ้องอยู่ที่คริสและเลยมาถึงผมในที่สุด เดาได้เลยว่าคนในงานคงพากันสงสัย ว่าผมเป็นใคร และมาที่นี่ได้ยังไง ช่างเถอะผมทำอะไรไม่ได้ ปล่อยเขาคิดไป

            คริสพาผมไปนั่งที่โต๊ะของผู้บริหาร ที่โต๊ะนั้นผมไม่รู้จักใครสักคน แน่ล่ะ ผมเป็นคนนอกนี่นา คริสแนะนำให้ผมรู้จักกับคนบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว จนผมรู้สึกว่าเขากลัวผมจำชื่อคนเหล่านั้นได้หรือยังไง ถึงรีบขนาดนี้ แล้วเขาก็ผละไปเพื่อไปกล่าวเปิดงานบนเวที

            เขาน่ามอง เหมือนเคย

            เมื่อก่อนไม่ว่าคริสจะไปอยู่ที่ไหนก็จะต้องตกเป็นเป้าสายตา เป็นจุดเด่นกว่าใคร แม้กระทั่งตอนนี้คริสก็ยังเป็นที่น่าสนใจดังเดิม

            ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ให้ตายสิ ผมก็ยังละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย

            เขากลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง “กินอะไรหรือยัง” นั่นคือคำพูดแรกเมื่อเขานั่งลงข้างผม

            “ยัง รอนายอยู่ มีอะไรอร่อยบ้าง” ผมถาม

            คริสหันไปบอกคนในโต๊ะ สองสามประโยค สักพักไม่นาน อาหารก็ถูกยกมาวางตรงหน้า

            “นายเบื่อใช่ไหม เลยชวนฉันมาเป็นเพื่อน” ในที่สุดผมก็เข้าใจว่าเขาให้ผมมาทำไม

            “ถูกต้อง”

            “คนอื่นจะไม่ว่าอะไรเหรอ”

            “ช่างเขาสิ ฉันเป็นคนพานายมาเอง หน้าไหนจะกล้าพูด”

            “โหด”

            “เพิ่งรู้หรือไง” เขาย้อนกลับ

            “เพิ่งรู้สิ ไม่คิดว่านายจะโหดขนาดนี้” อันนี้ผมพูดจริงนะ เพราะคริสไม่ค่อยใจร้ายกับผม เลยไม่คิดว่าเขาก็มีมุมนี้ด้วยเหมือนกัน

            คริสเลือกที่จะยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ

            “นายจะอยู่ที่นี่จนงานเลิกเลยหรือเปล่า” ผมถามเขา

            “เบื่อหรือ”

            “เปล่าหรอก แค่ถามดู”

            “ไม่หรอก รอนายกินอิ่ม อีกสักพักก็ไปแล้ว”

            “ทำไมล่ะ” ผมไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่

            “ถ้าฉันยังอยู่ ยังนั่งอยู่ตรงนี้ พนักงานก็จะยังเกร็ง ไม่กล้าทำอะไรตามใจตัวเอง”

            “อ่อ..” แล้วผมก็ถึงบางอ้อ “คริส..นายก็กินด้วยสิ อย่าปล่อยให้ท้องว่าง มันไม่ดี”

            “ตักให้หน่อยสิ” ผมปรายตามองเขา นี่อารมณ์ถึงมาบอกให้ผมตักให้ เขาไม่ได้กำลังยุ่งเสียหน่อย

            “...”

            “ตักให้หน่อยไม่ได้หรือไง” เขาพูดซ้ำ และผมไม่รู้ว่าคริสมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่ก็ตักอาหารให้

            “ป้อนด้วยไหม” ผมประชด

            “ได้ก็ดี” เขาบอกอย่างไม่ยี่หระอะไร ใบหน้ากลับยิ้มกริ่มด้วยซ้ำ นั่นแทบจะทำให้ผมกลอกตากลับ

            “ประชดน่ะ ประชด” ผมเฉลย

            “ก็รู้” คำตอบของคริสทำให้ผมอยากจะเทอาหารเขาทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ แกล้งผมแบบนี้ได้ยังไง

            “รู้ว่า นายไม่มีวันทำให้หรอก” ผมชะงักความคิดที่จะเทอาหารเขาทิ้ง ทำไมเสียงเขาต้องเศร้าแบบนั้นด้วย


            เดี๋ยวก่อน อารมณ์นายจะเหวี่ยงแบบนี้ไม่ได้ นายดีขึ้นมาบ้างแล้วนี่นา คริสกำลังทำให้ผมเครียดตามเขา


            “ผู้ชายที่ไหน เขาจะป้อนข้าวกัน” ผมบ่นเบาๆ

            “เมื่อก่อนยังทำให้เลย” คำพูดของเขาทำผมสตันท์ไปอีกรอบ จะมายิงรัวปืนกลแบบนี้ ผมจะไม่ไหวเอาได้

            “นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่เลย” ผมอุบอิบบอก ถึงเพลงจะเปิดดังลั่น แต่ไม่รู้ว่าท่านอื่นๆ บนโต๊ะจะได้ยินไหม

            “เด็กอะไร สิบเจ็ดสิบแปด ไม่เด็กแล้ว”

            “พอ” ผมบอกเขาก่อนที่ผมจะหนีเขาจนต้องมุดใต้โต๊ะแทน


            คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงช่วงปีหนึ่งที่เราเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แน่นอนว่ายามรัก น้ำต้มผักก็ยังว่าหวาน อะไรๆ ก็อยากทำให้ไปเสียหมด ทุกอย่างที่ได้ทำให้คนที่เรารัก มันจะรู้สึกดีมาก หัวใจพองโตแทบจะหลุดออกมาจากอก ขอเพียงแค่เห็นเขามีความสุข


            คิดถึงเพียงแค่นั้น ผมก็รู้สึกหน้าร้อนเห่อขึ้นมา ผมว่าคิดจงใจจะสื่อความหมายของคำว่า‘ป้อน’คำนั้นแน่ๆ มันไม่ใช่ป้อนจากช้อน แต่มันเป็นการ ป้อนจากปากต่างหาก



            .

            .
            “กินอะไร ดูน่าอร่อย” คริสกำลังนั่งทำรายงานหรือการบ้านหรืออะไรสักอย่างอยู่ตรงโต๊ะหน้าทีวี ผมเลยลงมานั่งอยู่ข้างๆ เขา พร้อมกับเด็ดผลไม้ใส่ปากไปด้วย ดูทีวีไปด้วย

            “เนี่ยเหรอ” ผมหยิบมันขึ้นมา “องุ่นน่ะ หวานดี เอาหน่อยไหม”

            “เอาสิ ป้อนหน่อย” ผมยื่นองุ่นให้เขาเม็ดหนึ่ง เขารับมันไปแต่ไม่ใส่ปากตัวเอง กลับเอาองุ่นนั้นใส่ปากผมแทน ผมเคี้ยวมันอย่างอัตโนมัติและวูบเดียว ใบหน้าของคริสก็โน้มเข้ามา


            เขาจูบผม


            เรียวลิ้นของคริสเกี่ยวกระหวัดในปากของผมอย่างรู้งาน เขาควานลิ้นไปทั่วจนกระทั่งเขาตวัดเอาองุ่นในปากของผมเข้าไปในปากของตัวเองต่อ จวบจนเขากลืนมันลงท้องไปแล้ว จึงพูดขึ้นว่า


            “หวานดี เหมือนที่นายพูดเลย” เขายิ้มให้ แต่ผมน่ะ นั่งนิ่งตัวแข็งไปแล้ว


            เขาปิดสมุดบนโต๊ะนั้นลง พลางหันมาบอกผมนิ่ง “ไม่ทำต่อแล้วเหรอ” ผมหมายถึงการบ้านนั่นน่ะ


            “นี่ไง กำลังจะทำต่อ” เขายืดตัวแล้วโน้มตัวลงมาทาบทับผมไว้


            ผมที่ไม่ได้ตั้งตัวตั้งหลักอะไรว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ ถามเขากลับไป “ทำการบ้าน”


            “ใช่ ทำการบ้านไง เราควรทำการบ้าน” เขาพูดเหมือนคนละเมออยู่ใกล้ริมฝีปากของผม


            ผมกับคริส เราน่าจะเข้าใจความหมายกันคนละอย่างแล้วล่ะ


            “นี่มันหน้าทีวี” ผมท้วงคริส

            “ไม่เป็นไรนี่ หรือว่านายเจ็บหลัง แต่พรมนี้ก็นุ่มนะ” เขาบอกเหมือนทุกอย่างถูกจัดเตรียมมาอย่างดีแล้ว

            “ฉันว่า..”

            “อย่าคิดมากเลย...นะ” เขาพูดเท่านั้นก็จูบผมอีกครั้ง คงตั้งใจให้ผมเตลิดแล้วลืมคิดถึงสถานที่ไปเลยล่ะมั้ง


            ได้ผลเสียด้วย!





            .
            .
            “คิดอะไร ทำหน้าแปลกๆ” เขาเรียกผมให้หลุดจากความคิดในช่วงเวลานั้น

            “เปล่า”

            “หน้าตามีพิรุธ คิดอะไรทะลึ่งแน่ๆ” เขาหรี่ตามองลงอย่างไม่เชื่อ

            “เปล่าจริงๆ” ผมยืนยันซ้ำ ใครจะกล้ายอมรับล่ะ

            “โกหกไม่เก่งเหมือนเคย”


            “...”

            “ให้ฉันเดาไหม ว่านายคิดอะไรอยู่เมื่อครู่นี้”

            “ไม่ต้องเดาหรอก เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ผมดุเขาตั้งใจจะห้ามปราม

            “คืนนี้กลับห้อง อยากให้ฉันป้อนนายบ้างไหม”

            ผมเบือนหน้าหนีเขา


            “ไอ้คริส..ไอ้บ้า..”

=============================

กลับมาต่อแล้วค่าาาา ไม่รู้ว่ายังจำเรื่องในตอนก่อนๆ ได้หรือเปล่า

Tag #WishingYou ค่า


ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan


เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/


หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 14, 17/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-08-2018 15:20:46
 :L2: :pig4:

ไหนว่าไม่เศร้าาาาาาา
คุณหลอกดาว  :ling1:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 14, 17/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-08-2018 07:28:23
ตอนเลิกกัน ทำไมคริสปล่อยง่ายจัง  :ling3:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 14, 17/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 21-08-2018 10:33:19


Wish 15



เราออกจากงานหลังจากนั้นอีกสักพัก คริสไม่ได้ตรงดิ่งกลับคอนโด แต่เขาเลือกแวะบาร์แห่งหนึ่ง ผมแปลกใจแต่ไม่ได้ทักท้วงอะไร เดินลงจากรถตามเขาไปเงียบๆ


บรรยากาศภายใน ดูสงบจนน่าหวั่นใจว่าจะเข้ามาผิดสถานที่หรือเปล่า


นี่..มัน..บาร์เหล้า ไม่ใช่หรือไง


ลูกค้าที่มาใช้บริการในบาร์แห่งนี้ แต่งตัวคล้ายผมทั้งนั้น เหมือนมาประชุมธุรกิจแทนที่จะมาผ่อนคลาย สังสรรค์ให้หายเครียด อีกทั้งเสียงเพลงที่คอยขับกล่อมกลับเป็นเมโลดี้ที่ฟังแล้วรื่นหู ราวกับได้ปลดปล่อยจิตใจให้ล่องลอยหลุดไปอีกโลกหนึ่ง


เขาพาผมไปนั่งตรงมุมหนึ่งของร้าน โต๊ะตรงนี้ดูจะเป็นที่ประจำของเขา เพียงแค่นั่งลงพนักงานก็เข้ามาทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว คริสสั่งน้ำเมาออกไปตามความเคยชินและไม่ลืมที่จะสั่งมาเผื่อผมด้วย


แอลกอฮอล์ที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่


“จำได้ว่า ฉันขอร้องให้นายหยุดดื่มของพวกนี้” ผมเตือนเขา
 

“ขอวันหนึ่งน่า” แล้วมีหรือที่คนอย่างเขาจะฟัง


“ดื่มเหล้าแล้วจะขับรถกลับได้ยังไง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง แน่นอนว่าผมขับรถเป็นแต่ผมก็ตกเป็นผู้ร่วมดื่มไปกับเขานี่นา

“ข้างบนเป็นห้องพัก”

“หืม?” ผมแปลกใจ “ดูไม่ออกเลย”

“อืม ห้องพักที่นี่ดี ฉันรับรอง นายไม่ต้องกังวล” คริสบอกผมให้หายห่วง

“มาพักบ่อยหรือไง”


“ก็ประมาณนั้น”

“รู้จักที่นี่ได้ไง”

“หลายปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียน มาเจอเข้าโดยบังเอิญ” คำตอบของคริส ทำให้ผมวิเคราะห์ต่อว่า จากร้านนี้กับมหาวิทยาลัยที่เราเรียนนั้นไม่ไกลจากกันมาก

“นายคงชอบที่นี่”

“ใช่ เวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ ฉันจะมาที่นี่ มันสงบดี”

“อยากสงบควรไปวัดหรือนั่งสมาธิ” ผมหมั่นไส้เลยบอกเขาไปแบบนั้น

“นายคิดว่าวัยรุ่น จะเข้าวัดนั่งสมาธิเหรอไง” เขาย้อนกลับ ซึ่งมันก็จริง

“จริงของนาย”

“หลังจากนั้นฉันก็มาที่นี่เรื่อยๆ”

“ถึงว่าพนักงานดูคุ้นกับนาย” ผมพยักหน้าเออออไปกับคำตอบ

“ใช่ มาบ่อยเสียจนพวกเขาจำได้แล้วล่ะ” คริสหัวเราะเบาๆ ดูเขาไม่ได้เครียดอะไร

“แล้วนายพาฉันมาที่นี่ทำไม ไม่สบายใจหรือไง”

“เปล่า วันนี้สบายใจ”

“อ้าว”

“แค่อยากพานายมาเฉยๆ ไม่ได้หรือ”

“ได้สิ ได้อยู่แล้ว” เราไม่ได้คุยอะไรต่อเพราะพนักงานมาเสิร์ฟเครื่องดื่มพอดี



คงจะสบายใจมากไปเสียแล้วล่ะมั้ง ผมถึงต้องแบกเขาขึ้นมาบนห้องนี้ หลังและไหล่ของผมแทบจะร้าวไปด้วยน้ำหนักตัวของเขาที่พิงลงมาอย่างไม่เห็นใจผมที่หุ่นเอเชียสไตล์เลยด้วยซ้ำ โชคของผมยังคงดีล่ะมั้ง ที่เขาพอมีสติยืนพอได้บ้าง ถึงจะไม่มั่นคงก็เถอะ


อยากจะปล่อยให้ฟุบหลับคาอยู่ที่ตรงโต๊ะนัก

“เดินดีๆ หน่อยได้มั้ย” ผมดุ หวังจะให้เขามีสติขึ้นมาบ้าง เล็กน้อยก็ยังดี

“อืม อีก..อึก..แก้ว”

“แทบจะคลานเป็นหมา ยังจะขออีกแก้ว” ผมบ่น อยากจะทิ้งร่างนี้เสียจริง

“คาย..คาย..หมา”

“นายน่ะสิ ไอ้ฝรั่งขี้นก” ผมบอกเขาอีกครั้งก่อนจะแตะคีย์การ์ดเข้ากับประตูอย่างทุลักทุเล

“เข้าไปเลยดีๆ” ผมบอกพลางพาร่างของเขาเข้ามาด้วย



ไหล่คริสชนกับขอบประตูเสียงดังกึก แต่ผมไม่สนใจ เจ็บตัวบ้างเสียก็ดี กระนั้นผมก็ยังเบี่ยงตัวให้เขาเข้าห้องได้ง่ายขึ้น ผมเห็นเตียงนอนรำไรอยู่ด้านหน้า ผมคลี่ยิ้มออกมา รู้สึกว่าตัวเองใกล้รอดตายแล้ว


ไม่รอช้า ผมเหวี่ยงร่างของคริสไปบนเตียง ถึงจะเรียกว่าเหวี่ยงแต่จริงๆ คือปล่อยให้       คริสลงไปนอนบนเตียงนั่นล่ะครับ ใครจะเหวี่ยงยักษ์นี้ได้ล่ะ แค่นี้ไหล่ของผมก็จะแหลกไปหมดแล้ว


ผมทิ้งตัวเองตามคริสไปด้วย เกือบจะตายแล้วมั้ยล่ะ


“เฮ้อ ตัวหนักชะมัด” ผมดูจะกลายเป็นคนขี้บ่นไปแล้ว แค่ไม่กี่สิบนาที ผมบ่นนั่นนี่ไปหมด



ผมบิดเนื้อบิดตัวอีกนิดให้ไหล่และหลังได้ผ่อนคลาย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วลากคริสขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างเต็มตัว ขั้นตอนต่อไปนี่ล่ะ ที่ผมไม่อยากทำจริงๆ ให้ตายเถอะ การถอดเสื้อผ้าชายร่างยักษ์แบบนี้ ไม่สนุกเลย


ไม่สนุกจริงๆ ซ้ำยังเหนื่อยมากด้วย


กว่าจะถอดเสื้อสูท ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้ผ่อนคลาย รองเท้า ถุงเท้า เข็มขัด เพื่อให้เจ้าตัวนอนสลายตัวแล้ว ผมเกือบจะสิ้นลม คนเมานี่มันนอกจากเมาแล้วไม่ช่วยเหลืออะไรเลย


ภาระที่สุด


ผมหยิกแก้มเขาทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้และถือว่าเป็นการระบายความคุกรุ่นของผมไปก็แล้วกัน คริสสะบัดหน้าหนีเล็กน้อย คงเพราะความเจ็บ


ทีอย่างนี้ล่ะรู้สึก


ผมได้ผ้าขนหนูผืนเล็กมาผืนหนึ่ง ชุบน้ำให้เย็นแล้วมาเช็ดหน้า เช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขา หมดแล้วใช่มั้ย ผมจะได้นอนเสียที


ผมเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกายของตัวเองบ้าง พอออกมาจากห้องน้ำแล้วนึกขึ้นได้ว่า เราไม่ได้มีเสื้อผ้าสำรองติดตัวมาเลย คืนนี้คงต้องอาศัยเสื้อคลุมของที่พักใช้นอนไปก่อน ส่วนคริส นายก็นอนถอดเสื้อไปก็แล้วกัน คืนเดียวไม่เป็นไรหรอกมั้ง


พรุ่งนี้ตอนที่ใส่มันอีกครั้ง เสื้อจะได้ไม่ยับจนส่ายหน้าไปเสียก่อน


ผมมั่นใจว่าห่มผ้าให้คริสอย่างดี เขาน่าจะอบอุ่นเพียงพอแล้ว ผมถึงบอกลาคืนนี้ไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า


“คราวหน้าจะเสียใจหรือสบายใจ ก็ไม่ต้องชวนฉันมาอีก” ผมใช้นิ้วจิ้มหน้าผากบอกคริสอย่างคาดโทษเอาไว้ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ไม่ไหวแล้ว


ผมรู้สึกว่าหลับไปได้ไม่เท่าไหร่ก็รู้สึกตัวตื่น พยายามจะลืมตาแต่ดูยากเย็นเต็มทน ดวงตาดูอ่อนล้าไม่พร้อมจะตื่นมารับวันใหม่เอาเสียเลย


“กี่โมงแล้ว” ผมถามคริสออกไปตามความเคยชิน

“ตีสาม”

“ตีสาม?” ผมคิดว่าฟังผิดเพี้ยนนะ

“ใช่”

“ยังไม่เช้าเลย” ไม่แปลกใจที่ผมจะยังไม่อยากตื่น ผมเพิ่งได้นอนไปชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้นเอง “นอนต่อสิ ตื่นมาทำไม”

“ไม่รู้สิ หายเมาแล้วมั้ง”



ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความลำบากก่อนจะหรี่ตามองคนข้างๆ ที่บัดนี้กำลังนอนคว่ำมองหน้าผมอย่างตั้งใจ มันทำให้ผมตกใจเล็กน้อยจนขยับออกห่าง แต่ก็ถูกมือของเขารั้งเอาไว้ไม่ให้ตกเตียงไปได้

“บ้าเหรอไง นอน!ง่วงจะตายอยู่แล้ว” ผมบอกเขา อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“นอนไม่หลับ”

“ไม่หลับได้ไง ดีดเกินไป? นายเมาไม่ใช่หรือไง” ผมถามเขาอีก อาจจะเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์งั้นหรือ แต่เขาก็เมามาย น่าจะหลับไปถึงเช้า

“ใช่ เมา ตอนนี้ก็ยังมึนๆ อยู่” ผมลืมไปได้ยังไงกันว่าเขาเป็นพวกเมายาก และสร่างเมาอย่างง่ายดายขอเพียงแค่หลับไปเพียงตื่นเดียว


หรือว่าสาเหตุนี้จะทำให้เขานอนไม่หลับจนตื่นขึ้นมา “ปวดหัวหรือ”


“นิดหน่อย”

“ปล่อยก่อน เดี๋ยวฉันลงไปขอยาแก้ปวดจากข้างล่างให้ก็แล้วกัน” ผมบอกเตรียมจะขยับตัวลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้า แต่แรงที่ถูกเขากดล็อคตัวแน่นไว้ยังไม่ผ่อนคลาย


ผมมองมือของอีกฝ่าย “คริส ปล่อยก่อน”


“ไม่เอา”

“อย่าดื้อได้มั้ยเล่า” ผมดุเขา ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของคืนนี้


“ไม่ต้องกินหรอก ไม่อยากกินยา”

ผมถอนหายใจออกมา ก็รู้ล่ะนะ ว่าไม่ชอบกินยา แต่จะทนแบบนี้มันก็ไม่ดีหรือไง

“แล้วจะให้ฉันทำไง”

“คุยกับฉัน อยู่เป็นเพื่อนฉัน อะไรก็ได้”

“ฉันง่วง” ผมก็อยากคุยกับเขานะ แต่ผมง่วงและเหนื่อยมากจริงๆ


ก็พอรู้ว่าคริสค่อนข้างจะอ้อนเก่ง ยิ่งมีเหล้าเข้าปาก ยิ่งพูดคล่อง แต่ชั่วโมงนี้ผมคิดว่าผมไม่ไหวจะมาดูแลเขา ขอโทษทีนะ


แล้วนั่นอะไรอีก ทำตาแบบนั้นอีก เหมือนเดิม เหมือนเดิมทุกครั้ง


ผมถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “ฉันไม่อยากคุย แต่อยากให้นายคุยกับฉันมากกว่า ได้มั้ย” ผมต่อรอง

“ไม่มีอะไรให้คุย ฉันอยากรู้เรื่องของนาย เรื่องที่ทำงาน เรื่องแม่ เรื่องมหา’ลัย เรื่องอะไรก็ได้”

“เรื่องของฉัน นายก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่เรื่องของนายต่างหากที่ฉันไม่รู้เลยนะคริส เล่าเรื่องมหา’ลัย ของนายให้ฉันฟังหน่อย ช่วงที่ไปเรียนต่อก็ได้” ผมยื่นข้อเสนอ

“ไม่มีอะไร ฉันไปเรียน กลับบ้าน ทำงานส่ง ฝึกงาน จบ กลับไทย”

“คริส” ผมเรียกเขาอย่างอ่อนใจ “ระหว่างนั้นไม่ได้ชอบใครเลยเหรอ”

“ไม่มี” คริสตอบ

“เพื่อนสนิทล่ะ”

“ไม่มี”

“เพื่อนเวลาไปแฮงค์เอาท์ล่ะ” ผมถามเขาอีก

“ไม่มี”

“คริส..ตอบดีๆ”

“ก็ไม่มีจริงๆ”

“เป็นไปไม่ได้ นายจะอยู่โดยที่ไม่มีสังคมไม่ได้หรอก” ผมบอกเขา

“ฉันเคยมีอยู่คนหนึ่ง” คริสเปิดปากพูดออกมา นั่นทำให้ผมดีใจแต่ผมก็สะดุดหูกับคำว่า ‘เคย’

“อย่างนั้นเหรอ แล้วเขาไปไหนแล้วล่ะ”

“ไม่รู้สิ เขาไม่ได้บอกฉันว่าเขาไปไหน”

“อ้าว ทำไม” ผมฟังแล้วงุนงง สมองยังจำแนกแยกแยะในหัวได้ไม่ดี อาการสะลึมสะลือยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง

“ทำไมน่ะเหรอ ตอนนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม เขาไม่เคยพูด ไม่เคยบอก นอกจาก..” คริสเงียบลงและปลุกให้ความอยากรู้ของผมทำงาน

“นอกจากอะไร”

“นอกจาก...เราเลิกกันเถอะ” ถ้าผมยังมึน ยังไม่เข้าใจ หรือเบลออะไรก็ตามแต่ ตอนนี้ตาสว่างเลยครับ คนๆ นั้นที่คริสพูดถึง จะเป็นใครไม่ได้เลย นอกจากผม


ผม คนเดียว


ผมไม่กล้ามองหน้าเขาเลย


“ฉันหมายถึง เพื่อนคนอื่น เช่นเพื่อนทำรายงานด้วยกัน เพื่อนไปปาร์ตี้ด้วยกัน” ผมพูดเบี่ยงเป้าหมายออกจากตัวเอง


“จำไม่ได้แล้ว ฉันจำได้แค่คนเดียว..ก็คือนาย”


คำพูดท่ามกลางความมืดมันกระทบใจผมเกินไป อนุมานได้เลยถ้าตอนนี้ยืนอยู่ ขาผมคงหมดแรงกะทันหันแน่นอน ดวงตาของผมพร่ามัว เมื่อคริสก้มหน้าเข้ามาใกล้จนริมฝีปากของเราสัมผัสกัน


กลิ่นหอมของแอลกอฮอล์ที่มาจากเรียวลิ้นของเขา ทำให้ผมเคลิบเคลิ้ม หลอกตัวเองว่าคงกำลังจะเมามายจากพิษสุราชั้นดี หลงใหลในรสชาติ พาให้จิตใจของตัวเองลอยล่อง

“คริส” ผมกระซิบเสียงเบาเรียกชื่อเขา มือทั้งสองข้างก็จับบ่าของเขาเอาไว้

“ฉันอยากรู้ว่าเราเลิกกันทำไม” เขาถามผมที่ข้างหู ก่อนจะใช้ลิ้นดูดกลืนเนื้ออ่อนที่ปลายหูนั้นไว้ มันทำให้ผมหดคอเล็กน้อย ขนลุกไปทั่วร่าง จุดที่ไวต่อการสัมผัสของตัวเอง ที่ผมคงไม่มีวันรู้ถ้าไม่ใช่คริสเป็นคนเฉลย


เขาคิดจะทำอะไร มันไม่เหมือนทุกทีที่เราจูบกัน หรือแม้กระทั่งในช่วงหลังๆ เขาก็แค่แกล้งจะเข้ามาใกล้หูของผม แต่ไม่เคยสัมผัสแบบนี้ เขาตั้งใจทำให้ผมเตลิดจนควบคุมตัวเองไม่ได้

“นายบอกเลิกฉันทำไม” เขาถามซ้ำอีกครั้ง โดยไม่ละจากหูของผมเลยแม้แต่น้อย ผมได้ยินอย่างชัดเจน แต่ใจแทบจะทานทนไม่ไหว

“เรื่อง..มันเป็น..อดีตไปแล้ว” ผมตอบเขาอย่างกระท่อนกระแท่นเล็กน้อย

“ธัน..” เขาเรียกผมเสียงเรียบ ก่อนที่นิ้วมือด้านซ้ายจะสะกิดเข้ากับบนยอดหน้าอกผมอย่างจัง ผมแทบจะดิ้นออกมาเมื่อถูกอีกฝ่ายลงโทษอย่างไม่ตั้งตัว

“ฉันรู้ว่านายยังจำได้”

“พอได้แล้ว” ผมเลื่อนมือมายันหน้าอกเขาไว้ “หยุดแกล้งฉัน”

“Absolutely Not!!” เขาประกาศออกมาชัดเจน

“Please Don’t” ผมบอกเขากลับเช่นกัน ผมไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษกับเขา เพราะเขินปากตัวเองที่จะพูดและไม่รู้ทำไมมันเหมือนปลุกอารมณ์ตัวเองได้ดีทีเดียวล่ะ


ไม่มีใครที่จะยอมทำตามที่อีกฝ่ายขอ ในขณะที่ผมบอกให้เขาหยุดแต่เขากลับเดินหน้ามอบความสุขให้ผมแทบสำลัก ผมไม่อยากยอมรับว่ามันมีดีแค่ไหน ที่ได้กอดเขา จูบเขาแบบนี้


เขาจับส่วนกลางของผมขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ตรงนั้นของผมคงมีน้ำไหลออกมาล่ะมั้งเพราะตอนที่เขาปาดมันออกมาผมก็สัมผัสได้ว่ามันเปียกชื้นพอควร เขาขยับรูดขึ้นให้อย่างเบามือ ไม่เร่งรีบแต่ไม่เชื่องช้า ร่างของผมกำลังเหยียบย่ำอยู่บนปุยเมฆ เกินกว่าคำว่าดีไปมากโข


“อืม” ผมครางในลำคอตามความรู้สึก รออีกไม่นานผมก็จะได้ปลดปล่อยออกมา แค่นึกถึงตอนนั้นผมก็แทบจะรอไม่ไหว

“เพราะแม่ของฉันใช่หรือเปล่า” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น พร้อมกับก้มลงมาจูบปิดปากผม ทำให้ผมได้แต่ส่งเสียงปฏิเสธอยู่ในลำคอตอบไป

“ใช่หรือเปล่า แค่รับออกมาง่ายๆ ได้มั้ย” เขากำลังต้อนผมให้จนมุม มือที่เคยขยับกลับช้าลงจนขัดใจ เพราะปลายทางอยู่อีกไม่ไกล อารมณ์ผมกำลังสะดุดและต้องการความรู้สึกเมื่อสักครู่นี้ให้กลับคืนมา

“คริส”​ผมเรียกเขาอย่างอ้อนวอน “ได้โปรด” ไม่รู้ว่าคำนี้หมายถึงอะไร ขอให้ทำต่อ หรือขอให้เขาหยุดถามเรื่องนี้จะได้มั้ย

“บอกฉันหน่อยไม่ได้หรือ คนเก่ง”


ผมเม้มปากปิดแน่นสนิท พาลโกรธไปถึงเสื้อคลุมอาบน้ำที่ผมหยิบมาใส่นอน มันทำให้ดูเอื้อต่อการรุกรานของคริส เขาละจากความสุขของผมช่วงกลางตัวแล้วเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งนิ้วมือหายเข้าไปในหว่างขา ผมคิดว่าผมพอจะรู้ตัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น



ผมเขยิบตัวถอยเพื่อหนีการรุกล้ำนั้น แต่อนิจจา ธันวาน่ารักสงสาร ตัวของผมถูกคริสล็อคแน่นเอาไว้ ผมไม่เข้าใจเลย ผู้ชายเหมือนกันแต่ทำไมผมถึงสู้แรงของเขาไม่ได้



สู้ไม่ได้จากร่างกาย หรือ จิตใจ?



=============================

ตอนนี้ สั้นหน่อยน้าา แล้ว ตอนหน้ามาง้างปากคนปากแข็งกันค่ะ

Tag #WishingYou ค่า

ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/


ปล ตอบคำถามค่ะ

ไม่เศร้าจริงๆ น้า >< แค่คันยุบยิบในหัวใจนิดหน่อยค่ะ
ส่วนที่ว่าทำไมคริสยอมเลิกง่ายจัง เขาย่อมมีเหตุผลแน่นอนค่ะ

หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 15, 21/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-08-2018 11:55:43
 :hao7:

จะถูกกินแล้วววววววววว
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 15, 21/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-08-2018 12:49:11
โตกันแล้ว ตัดสินใจความรักด้วยตัวเองได้แล้ว กลับมารักกันเหมือนเดิมเถอะนะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 15, 21/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 24-08-2018 10:11:48


Wish 16


          ผมกลั้นใจเตรียมรับความรู้สึกเจ็บจากปลายนิ้ว แต่ผมกลับไม่เจ็บเลย รับรู้แค่ความชื้นแฉะเท่านั้น


          จากไหน?


         ผมลืมตาขึ้นมามองเห็นศีรษะของคริสอยู่บริเวณหว่างขาของผม


            “ไม่เอา อย่าทำ”

            “ไม่เป็นไร ฉันไม่อยากให้นายเจ็บ”


            ผมยกมือปิดหน้า ไม่ใช่ว่าคริสจะไม่เคยทำแบบนี้ แต่แค่ไม่คิดว่าเขาจะทำอีกต่างหาก เขาขยับตัวขึ้นมาจากตรงนั้น ก้มมาจูบที่ซอกคอของผม และความรู้สึกเจ็บแปลบชำระแรกก็ถูกดึงดันเข้ามาด้วยปลายนิ้วของเจ้าตัว


            ผมอ้าปากเพื่อขออากาศหายใจ มันตั้งตัวไม่ทัน ยังไม่คุ้นชิน หลายปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยนอนกับใคร ไม่เคยอยู่กับใครในห้องตามลำพังสองต่อสองแบบนี้ นอกจากเขา



            คนเดียว




            “เพราะแม่ฉันใช่มั้ย” เขายังเฝ้าวนเวียนถามคำเดิม ผมยังปิดหน้าตัวเองเอาไว้ ผมไม่อยากสบตากับเขาแล้วหลุดปากมันออกไป


            เรื่องนี้ผมเก็บมันไว้มาได้ตั้งนาน มันควรจะเป็นความลับต่อไป


            คริสสอดนิ้วเข้ามาเพิ่มอีกนิ้ว ผมสะดุ้งเฮือกอีกระลอก เหมือนเขากำลังลงโทษผมที่ไม่ยอมบอกง่ายๆ ผมกัดริมฝีปากแน่น เขาใช้มืออีกข้างดึงมือออกจากใบหน้าผม พร้อมส่งนิ้วเข้ามาในปาก ถ้าผมจะกัดปาก คงต้องกัดนิ้วของเขาก่อน เขารู้ว่าผมไม่กล้าทำ


            “ใช่มั้ย” นิ้วที่สามถูกส่งเข้ามาอีก ผมอึดอัดจนอยากจะลุกหนีจากเตียง หากร่างของคริสที่ทับผมไว้ ทำให้ผมไม่สามารถไปจากตรงนี้ ผมกำลังรอรับบทลงโทษจากเขาโดยไร้ความเห็นใจ

            “อย่า” ผมร้องห้ามเขาเสียงเบา แทบจะหมดแรงกับความทรมาน

            “ถ้ายอมบอก ฉันจะหยุด” คริสยื่นขอเสนอ

            “หยุดเหรอ?”

            “ใช่”

            “...” ผมกำลังใช้ความคิดที่มันคิดไม่ค่อยได้เลย เพราะความรู้สึกจากด้านล่างมันทำให้ผมปั่นป่วนในช่องท้อง คริสเหมือนเห็นใจผม แต่เขากลับไม่หยุดมือเลย

            “ว่าไง” เขาพูดจบก็ยื่นหน้ามาจูบผมอีกครั้ง ลิ้นของเรากอดเกี่ยวพัวพันไม่รู้เบื่อ



            ผมแทบจะต้านความรู้สึกไม่ไหว แต่ผมควรจะหยุดใช่มั้ย


            “แม่ของนายหวังดีกับนายนะคริส” ผมบอกเขาเพียงเท่านั้น ทิ้งปริศนากำกวมให้คริสคิดต่อเองว่าแท้จริงแล้วเป็นแม่ของเขาหรือเปล่า

            “ขอบใจ” ถึงเขาจะพูดแบบนั้นทว่ามือก็ยังไม่ยอมถอนมือออกไป จนผมต้องขยับตัวหนีแต่ก็ไม่สำเร็จ

            “ปล่อยได้หรือยัง”

            “ฉันปล่อยนายแน่นอน”

            “งั้นก็ปล่อยสิ” ผมทวงสัญญา

            “แต่หลังจากที่ฉันรักนายเสร็จก็แล้วกัน”

            “คริส!!” ผมตวาดเขาเสียงดัง นี่เขากล้าหลอกผมหรือ

            “I wanna make love with you” คริสบอกซ้ำอีกครั้ง ไม่เห็นจำเป็นต้องซ้ำคำพูดกับก่อนหน้านี้เลย


            Make love ?


            ให้ตายเถอะ ผมอยากสบถออกมาให้ดังลั่นห้อง เขาไม่ได้แค่อยากนอนกับผม แต่เขาอยากรักผม ผมอยากจะบ้า ไม่คิดจะปล่อยให้ใจผมเป็นอิสระบ้างเลยหรือไง


            จะผูกบ่วงในใจผมให้แน่นไปกว่านี้ทำไม



            “นะ” เขาอ้อนผม ใช่ ผมรู้ดี น้ำเสียงแบบ คำพูดแบบนี้ กำลังขอร้องกันอยู่ชัดๆ


            ปฏิเสธไปก็จะดูเป็นคนใจดำทันที


            “อือ” เขายิ้มมอบจูบเป็นรางวัลให้ผม พร้อมกับความรู้สึกด้านล่างที่เบาโหวงเมื่อเขาเอามือออกไป ผมรู้สึกโล่งใจหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีอะไรบางอย่างเข้ามาเติมเต็มแทนที่อีกครั้ง

            “ผ่อนคลายหน่อย อย่าเกร็ง” เขากระซิบบอกที่ข้างหู พลางลิ้มเลียแผ่วเบา คริสพยายามทำให้ผมลืมความอึดอัดด้านล่างและหลงระเริงไปกับความรู้สึกจากด้านบนแทน


            ผมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับตัว “ถุงยาง” ผมนึกขึ้นได้ จึงรีบถามเขา ให้ตายสิ ผมน่ะปลอดภัย แต่เขาล่ะ?

            “ฉันใส่แล้ว ตกใจเหรอ”

            “อืม”

            “กลัวฉันไม่สะอาดหรือไง” คริสพูดเสียงเรียบ ผมคิดว่าเขาไม่พอใจหรือเปล่า แต่พอมองหน้าเขาก็ไม่เห็นวี่แววของความขุ่นเคือง ผมเลยโล่งใจ

            “ก็...นายเพิ่งเลิกกับแฟนมาไม่ใช่หรือไง” ผมอึกอักถาม

            “แล้วนาย?” เขาไม่ตอบแต่เลือกย้อนถามกลับ

            “ปลอดภัย ฉันไม่เคยนอนกับใคร” ผมรีบละล่ำละลักตอบเพราะกลัวคริสไม่สบายใจ

            ผมได้ยินเสียงคริสหัวเราะในลำคอ แล้วตามมาด้วยคำพูดที่ว่า “ขอบใจ” เขาหมายความว่าอะไร

            “เผื่อว่านายอยากฟัง” คริสพูดขึ้นมาแผ่วเบา ผมเลยสบตากับเขารอฟังอย่างตั้งใจ “ฉันไม่เคยนอนกับใคร นอกจากนาย”

            “นาย..” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แล้วผู้หญิงคนก่อนๆ นั่นล่ะ หรือ ดา ที่เขาเพิ่งเลิกกันไป ยังไงกันแน่

            “เป็นอะไร ตกใจหรือ”

            “นายคบผู้หญิงตั้งหลายคน แต่มาบอกว่าไม่เคยนอนด้วยกันนี่นะ” ผมสับสน “คนอื่นช่างมันไป แต่ดาล่ะ เขาคบกับนายตั้งหลายปีไม่ใช่หรือ”

            “ใช่ คบกันหลายปี แต่ไม่เคยนอนด้วยกัน”

            “เป็นไปไม่ได้”

            “พูดได้แบบนี้ แสดงว่าคงพร้อมแล้วล่ะ”


            แล้วคริสก็เริ่มขยับ ผมเริ่มจะจำอะไรไม่ได้เลยต่อจากนั้น จำไม่ได้ว่าผมจะพูดอะไร จะถามอะไร สมองผมพร่าเลือนไปหมด ด้วยรสชาติที่คริสปรนเปรอมอบให้ ความร้างราจากเพศรสที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน พอได้ลองลิ้มอีกครั้งมันกลับทำให้ตัวผมเตลิดเพลิดเพลิน


            ร่างของผมถูกคริสจับพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่หลายครั้ง พวกเราทั้งคู่คงห่างจากเรื่องพวกนี้นมนาน พอได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ทุกอย่างเลยติดไฟง่าย


            เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ


            ผมขยุ้มผ้าปูที่นอนจนมันแทบจะหลุดติดมือออกมา ร่างกายบิดเร้าจากแรงกระตุ้น ความรู้สึกที่ยากจะต้านทานยามที่คริสหยัดตัวเข้ามาจนสุด ผมก็เกือบจะร้องเสียงหลงออกมา


            “ไม่ไหวแล้ว”

            “อีกนิด อีกนิดเดียว” เขาบอกผมเสียงสั่นตามแรงขยับ

            “เร็วเถอะ” ผมเร่งเขาอีก ผมกำลังจะขาดใจ

            “ได้”



            มานึกได้ทีหลัง ก็ตลกดี ผมจำได้ว่าครั้งแรกของเราก็มาจากวันที่คริสเมาแล้วตื่นขึ้นมา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมจำไม่ได้หรอกว่ามันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเรา แต่หลังจากที่เราเลิกกันไป นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของเราได้ใช่มั้ย



            จบสิ้นภารกิจบนเตียงผมก็แทบจะลุกไม่ไหว คริสแบกผมไปอาบน้ำด้วยกัน ตอนเข้าไปนั้นแสนง่าย แต่กว่าจะได้กลับออกมานั้นเกือบตาย ผมถูกรีดน้ำออกไปจนขาที่สั่นอยู่แล้วสั่นเพิ่มกว่าเดิมไปอีก ได้มานอนอีกครั้งจึงรู้สึกสบายตัวที่สุด


            “ตกลงว่านายก็ไม่เคยนอนกับดาหรือผู้หญิงคนอื่น” ผมถามเขาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในใจกลับลิงโลดแทบจะพุ่งผ่านร่างกายออกมา

            “กับใครก็ไม่เคยทั้งนั้น ต้องโทษนายคนเดียว”

            “หืม เกี่ยวอะไรกับฉัน?”

            “เพราะนาย ฉันถึงมองใครไม่ได้อีก”


            สตันท์รุนแรง เล่นพูดกันแบบนี้ ฆ่ากันเลยดีกว่า


            “แล้วคบกับคนอื่นทำไม” รีบเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่เข้าใจเขาเลย ถ้าไม่ชอบก็ทำแบบผมสิ อยู่เฉยๆ ใช้ชีวิตต่อไปอย่างเรียบง่าย

            “ประชดไง” เขาบอกง่ายๆ

            “หา!?”

            “ใช่ ทีแรกก็ประชดนาย แต่หลังจากนั้นคือประชดแม่”

            “ประชดแม่นายเนี่ยนะ?เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้” ผมดุเขา มึนงงไปหมด คนมีเหตุผลอย่างคริสไม่น่าจะทำอะไรสิ้นคิดนี้ได้

            “ถ้านายกลายเป็นฉันที่ถูกบอกเลิกอย่างไม่ทันตั้งตัวก็อาจจะทำแบบนี้ก็ได้”

            “ขอโทษ” ผมบอกเขาเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด

            “ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่านายจิตใจดีและหวังดีกับฉัน นายเองก็คงเจ็บปวดไม่แพ้กัน”

            “รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามเขาแบบกว้างๆ ไม่ได้ระบุอะไรให้ชัดเจนหวังจะให้คริสอธิบายออกมาให้หมด เขารู้อะไรอีก

            “หลังจากที่นายบอกเลิกไม่นาน ฉันก็คิดว่าฉันรู้เหตุผลแล้วว่าทำไม”

            “รู้ได้ไง”

            “ช่วงปิดเทอม แม่พาฉันไปงานสังคมถี่มากขึ้น พยายามแนะนำหรือจะเรียกว่ายัดเยียดก็ได้ แม่แนะนำฉันกับผู้หญิงบ้านนั้นบ้านนี้” คริสเฉลยออกมา “ฉันรู้สึกว่ามันแปลกๆ ก่อนหน้านี้แม่ก็เคยพูดอะไรทำนองนี้แต่ไม่เคยจริงจังถึงขั้นนี้”

            “นายก็เลยเอะใจ?”

            “ใช่ ฉันเลยถามแม่ตรงๆ”

            “แม่นายยอมบอกเหรอ”

            “ใช่ ตลกมั้ย คงถือเป็นข้อดีของที่บ้านล่ะมั้งที่คนในบ้านจะไม่โกหกกัน” คริสพูดเสียงขื่น ผมเลยลูบหลังมือเขาเบาๆ เป็นการปลอบใจย้อนหลัง

            “เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น”

            “ทะเลาะกันบ้านแตก”

            “จริงดิ!?” ผมตกใจนะ เพราะคริสไม่ใช่คนขี้โมโหเลย เขาใจเย็นมาก

            “อืม พออาละวาดแม่เสร็จ ฉันก็โกรธที่นายไม่คิดแม้แต่จะบอกอะไรกับฉันเลย ทำไมเราไม่ช่วยกันแก้ไข ฉันรู้ว่าเรายังเด็ก แต่เด็กอย่างฉันมันใช้ไม่ได้เลยเหรอไง”

            “ฉันคิดว่าทำแบบนี้มันจะดีกับครอบครัวนาย” ผมถอนหายใจแล้วบอกกับเขา

            “แต่ไม่ดีต่อฉันเลย ฉันเลยคบกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ เพื่อประชดแม่และนาย”

            “ตอนที่รู้ว่านายมีคนใหม่ รู้มั้ยฉันนอนร้องไห้ตั้งหลายคืนแน่ะ” ผมพยายามเล่าติดตลก แต่คริสไม่ตลกด้วย ซ้ำยังดึงผมเข้าไปกอดจนเกือบจะหายใจไม่ออก

            “แล้วทำไมถึงมาคบกับดาคนเดียวล่ะ” ผมถามด้วยความสงสัย

            “พี่สาวฉัน เป็นคนเตือนสติว่าทำแบบนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ สู้ไปต่อรองกับพ่อและแม่ดีกว่า”

            “ต่อรองเหรอ”

            “ใช่ นั่นคือสิ่งที่นายคงสงสัยว่าทำไมฉันถึงมาทำงานที่บริษัทแทน”

            “ฉันแปลกใจมาก”

            “อืม ฉันไปเรียนต่อโท พอกลับมาก็มาทำงานบริษัท ไม่ยอมแตะงานทูตของพ่อ”

            “พ่อของนาย ไม่เสียใจแย่เหรอ” เท่าที่ผมรู้เขาค่อนข้างเป็นความหวังของที่บ้านในอาชีพของบิดา

            “พ่อไม่เป็นไรหรอก พ่อตามใจลูกเสมอ คนที่เสียใจคงเป็นแม่นั่นแหละ” คริสเงียบไปก่อนจะพูดต่อ “คนเราก็ต้องมีผิดหวังกันบ้างใช่มั้ย”

            “นิสัยไม่ดี ยังไงคุณน้าก็เป็นแม่ของนาย” ผมเตือนสติเขา ไม่อยากให้เขาผิดใจกับแม่เลย ไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้เรื้อรังมานานแค่ไหน หรือตั้งแต่แรกที่เกิดเรื่อง

            “เราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์” เขาถอนหายใจบ้าง

            “เรื่องพวกนี้ทำให้นายเครียดใช่หรือเปล่า”

            “อืม จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่หนักเท่านี้ แต่ช่วงนี้งานเยอะขึ้นมาก”

            “เครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว” ผมเดา

            “คงงั้นมั้ง”

            “แล้ววันนี้ที่พาฉันไปงานเลี้ยงที่บริษัทก็คือแผนให้แม่นายรู้”

            “ฉันอยากให้นายไปด้วยจริงๆ เรื่องแผนอะไรนั่นคือผลพลอยได้”

            “ขอบใจ” ผมพูด อย่างน้อยเขาก็ต้องการให้ผมอยู่ข้างๆ “แล้วเรื่องคุณน้า จะทำไงต่อ”

            “วันอาทิตย์ฉันจะไปส่งนายกลับไปอยู่ที่บ้านก่อน”

            “แล้วนาย?”

            “ฉันจะกลับไปจัดการปัญหานี้เสียที เพราะฉันจะไม่ยอมเสียนายไปอีก” เขามองผมนิ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ขรึมลง “ยิ่งมีหมอมาติดพันด้วย ยิ่งไม่น่าไว้ใจ”

            “อย่าคิดมากน่า ถ้าจะคบ ป่านนี้ก็คบไปแล้ว” ผมพูดให้เขาสบายใจ

            “ไม่คิดได้ไง หมอนั่น มีอะไรต่างจากฉัน ไม่เลย แทบจะถอดพิมพ์ออกมา”

            “คุณหมอชื่อหมอมาวิน เรียกดีๆ” ผมดุเขา ไม่น่ารักเลย

            “นายนี่มันมีเสน่ห์กับคนชาตินี้เสียจริง”

            “นั่นสิ ตลกไปกว่านั้น รถที่คุณหมอขับก็ยี่ห้อ รุ่นเดียวกับนายเลยคริส”

            “อยากจะให้หึงไปมากกว่านี้ใช่มั้ย” เขาพูดว่าอะไร หึงเหรอ?ผมต้องยิ้มแก้มแตกเลยหรือเปล่า

            “ไม่เอาน่า ไม่มีอะไรจริงๆ”

            “ลาออกเลยดีมั้ย” เขายังไม่ยอมสงบ

            “คริส โตแล้ว ไม่พาลแบบนี้” ผมสบตาเขานิ่ง อยากให้เขาเห็นถึงความรู้สึกของผม “นายต้องรีบหายจากความเครียด ส่วนเรื่องหมอวิน นายไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะบอกเขาอีกครั้ง สบายใจเถอะ” ผมวางมือลงใบหน้าของเขาหวังว่าเขาจะเห็นความจริงใจของผม

            “ฉันรู้ ฉันจะรีบหาย”




            .
            .
            คริสมาส่งผมวันอาทิตย์อย่างที่พูดไว้จริงๆ แม่แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผมหิ้วกระเป๋าเดินเข้าบ้าน

            “คริสหายแล้วหรือลูก”

            “สวัสดีครับแม่” ผมยกมือไหว้แม่ก่อนจะตอบคำถาม “เปล่าครับ ยังไม่หาย แต่ดีขึ้นมาก”

            “จ้ะ แล้วธันกลับมาทำไม” ดูแม่ผมถามสิครับ

            “ไม่อยากให้ผมกลับมาเหรอครับ” ผมทำท่าจะงอนแม่ แต่เธอกลับยิ้มแล้วเดินหายเข้าไปในครัว พร้อมกับถือแก้วน้ำออกมาให้ผม

            “ขอบคุณครับ”

            “แม่คริสว่า ธันจะไม่ยอมกลับถ้าคริสยังไม่หายเสียอีก” แม่พูดซ้ำเรื่องเดิม

            “คริสให้ผมกลับมาเองครับ เขามีธุระต้องกลับไปจัดการปัญหาที่บ้าน เลยให้ผมกลับมาอยู่กับแม่” ผมวางแก้วน้ำก่อนจะโผเข้าไปกอดเอวแม่ “แม่ไม่ดีใจเหรอ”

            “ดีใจสิ มาอ้อนแม่แบบนี้ มีอะไรล่ะสิ”

            “ครับ”

            “แม่ไม่อยากเดาเลย เพราะแม่คิดว่าแม่จะเดาถูก เรื่องลูกกับคริสใช่หรือเปล่า”

            “โกรธหรือเปล่าครับ”

            “ขอฟังเหตุผลของลูกหน่อย” ผมเลยเล่าสิ่งที่ผมได้รับรู้จากคริสมาถ่ายทอดให้แม่ฟัง แม่รับฟังอย่างสงบและนิ่งเสียจนไม่รู้ว่าตอนนี้แม่คิดอะไรอยู่

            “คิดว่าไงครับ” ผมถามทันทีที่เล่าจบ

            “แม่ยังเหมือนเดิมที่ไม่เคยห้ามธันเลยสักครั้ง นอกจากเป็นห่วงว่าธันจะกลับไปเสียใจอีก”

            “ขอบคุณครับแม่”

            “คริสน่าสงสารเหมือนกันนะลูก ในขณะที่ธันยังมีแม่ แต่เขาดูเหมือนจะไม่มีใครเลย”

            “ใช่ครับ”

            “ดีกับคริสให้มากๆ ด้วย”

            “อ้าวแม่ ไม่กลัวคริสทำผมร้องไห้เหรอครับ”

            “โตแล้ว ถ้าเจ็บปวดก็ต้องทนให้ได้” แม่ไม่สนใจผมแล้วล่ะครับ เห็นใจแต่คริสคนเดียว

            “แม่คิดว่าคริสจะโกหกผมหรือเปล่า”

            “แล้วธันล่ะ คิดว่าคริสโกหกมั้ย” ผมถามแม่ แต่พอแม่ถามกลับ ผมเลือกส่ายหน้าเป็นคำตอบ

            “แค่ลูกเชื่อก็พอแล้ว”




=============================

เจ้าธัน เด็กเวิ่นเว้อ  :mew1:

Tag #WishingYou ค่า


ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/

หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 16, 24/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-08-2018 12:36:21
หวังว่าจะเคลียร์กันได้  :hao5:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 16, 24/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-08-2018 13:26:02
 :L2: :L1: :pig4:

ดีขึ้นจริงๆลุ้นให้คลี่คลาย
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 16, 24/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-08-2018 00:43:02
ธันมีแม่ที่เข้าใจเสมอ โคตรอบอุ่นเลย  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 16, 24/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-08-2018 22:33:08
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 16, 24/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 28-08-2018 12:37:13


Wish 17

 
            คริสหายไปเกือบเดือนแล้ว หายไปนานจนผมร้อนใจ เราไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกเลยนับตั้งแต่วันที่เขามาส่งที่บ้าน เขาเงียบสนิท ไม่รู้อาการป่วยเป็นยังไงบ้าง แม้กระทั่งการรักษาก็ไม่มา ผมให้พี่เก๋ พยาบาลโทรถามคริส เขาตอบกลับมาว่ายังไม่สะดวก ขอเลื่อนนัดไปก่อน และจะติดต่อทางโรงพยาบาลใหม่อีกครั้ง


            มาถึงขั้นนี้แล้วทำไมผมถึงไม่ติดต่อไปเองใช่มั้ยครับ?


            เพราะผมไม่กล้าไง


            ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางบ้านเขาเป็นยังไง หนาหนาแค่ไหน ถ้าหากผมดื้อดึงติดต่อเขาไปแล้วยิ่งทำให้เรื่องมันยุ่งไปกว่าเดิมล่ะ ผมขี้ขลาดจะตาย


            ตอนนี้ผมเลยทำได้แค่รออย่างเดียว ผมไม่รู้ว่าเขาโกหกผมหรือเปล่า แต่ผมก็เชื่อเขาอย่างที่แม่ถามในวันนั้น ผมทำได้แค่นั้น หากเขาโกหกผม ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมจะวนลูปกลับเข้าสู่วงเวียนแห่งความเสียใจ แม่บอกผมโตแล้วต้องอดทนต่อความเจ็บปวดให้ได้ ผมยินดีรับผลของการกระทำนั้นเอง


            เรื่องหมอวิน..ผมได้คุยกับคุณหมออย่างจริงจังอีกครั้งในต้นสัปดาห์ที่ผมมาทำงาน ผมไม่ชอบให้อะไรคาราคาซัง ผมไม่ชอบให้คริสไม่สบายใจ อะไรที่เป็นความสุขของเขาผมมักจะทำโดยไม่ลังเล เดี๋ยวก่อน ผมไม่ได้บอกว่าจะเลิกคุยกับหมอวินนะครับ ผมแค่คุยกับหมอวินให้เรามีเป้าหมายเดียวกันเท่านั้น


            เป้าหมายของคำว่าเพื่อน

            “คุณหมอวิน ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ” ผมเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องหมอวิน หลังจากเคาะประตูบอกเป็นพิธี

            “เพื่อธัน ผมว่างเสมอ” เขาหยอด ผมอยากจะหลงรักเขาให้รู้แล้วรู้รอดเสียจริง

            ผมเห็นคนไข้ นั่งหันหลังให้ผม “ถ้ายังติดเคสอยู่ เดี๋ยวคุยทีหลังก็ได้ครับ” ผมบอกเขาอย่างเกรงใจ

            “อีกสักครึ่งชั่วโมง ผมไปหาที่ห้องนะครับ” นั่นไง เขาไม่ว่างหรอก

            “ว่าไงครับ” เสียงเคาะประตูและน้ำเสียงที่ดังขึ้นทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เป็นหมอวิน หมอที่แสนจะตรงเวลาอย่างที่ได้บอกไว้

            “นั่งก่อนสิครับ” ผมเชื้อเชิญเขาตามมารยาท

            “ดูเป็นเรื่องซีเรียสจัง” เขาจับสังเกตได้ถึงท่าทีอาการของผม


            “ครับ”

            “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ”

            “เรื่องของหมอวินกับผมนั่นแหละครับ”

            “ครับ?”

            “ขอโทษที่ผมต้องพูดตรงๆ กับหมออีกครั้ง ตอนนี้ผมคิดว่าอาจจะกลับไปคบกับแฟนเก่า” ผมสบตาเขานิ่งก่อนจะพูดต่อ “ผมเลยไม่อยากให้หมอต้องมาเสียเวลา”

            “อาจจะ? งั้นเหรอครับ” เขาคงสะดุดหูกับคำนี้

            “ครับ คือผมก็ไม่แน่ใจ ไม่สิ ผมไม่รู้หรอกครับว่าจะกลับไปคบหรือไม่”

            “มันก็ไม่ต่างอะไรจากที่ผ่านมาไม่ใช่หรือครับ” เขาถามด้วยความสงสัย

            “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือ..อ่า..ผมกับเขา เราคุยกันแล้วครับ”

            “ยังตกลงกันไม่ได้เหรอ”

            “ครับ ยังมีปัญหาทางบ้านเขานิดหน่อย” ผมตัดสินใจบอกเขาตรงๆ “เรื่องที่บ้านเขาเป็นสาเหตุให้ผมกับเขาเลิกกัน”

            “ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ” สีหน้าคุณหมอดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจเขาเลยจริงๆ

            “ครับ”

            “ใช่คุณคริสโตเฟอร์หรือเปล่า” ผมไม่คิดว่าหมอจะเดาถูก ทีแรกถึงกับคิดว่าตัวเองคงหูฝาด

            “เอ่อ..ใช่ครับ”

            “ผมไม่น่าส่งเคสคุณคริสมาให้คุณเลย” เขาพูดเหมือนเสียใจกับตัวเอง

            “...” ผมพูดอะไรไม่ออก

            “ล้อเล่นน่ะครับ” คุณหมอยิ้มออกมา “เราแค่ทำตามหน้าที่ แต่โชคชะตาดันเล่นตลกกับเราเท่านั้นเอง”

            “เชื่ออะไรแบบนี้ด้วยหรือครับ” ผมถาม

            “ครับ?”

            “พรหมลิขิต โชคชะตา อะไรเทือกๆ นั้น” ผมอธิบายเพิ่ม

            “ไม่เชิงหรอกครับ” เขาเบือนหน้าหนีนิดหนึ่ง ดูแล้วคงจะเขิน

            “ผมอยากให้เราเป็นเพื่อนกันนะครับ คุณหมอวิน อย่างน้อยก็เพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกัน” ผมยิ้มให้อย่างที่คิดว่าหวานมากที่สุด พูดด้วยน้ำเสียงอย่างที่คิดว่าจะนุ่มนวลมากที่สุด

            “พูดแบบนี้ ทำหน้าแบบนี้ ผมปฏิเสธได้หรือครับ คุณธัน”

            “นะครับ หมอวินเป็นเพื่อนที่ดีมากจริงๆ”

            “ผมบอกคุณเสมอว่าไม่ได้อยากเป็นเพื่อนเลย แต่เอาเถอะครับ ผมคงเป็นได้แค่นี้ล่ะ” เขาถอนหายใจออกมา ผมเสียใจที่เหมือนเล่นกับความรู้สึกหมอวิน

            แต่ผมเห็นแก่ตัวที่เอาความรู้สึกของคริสและตัวเองมาก่อนเสมอ

            “ขอโทษครับ อย่าโกรธเกลียดผมเลยนะ”

            “ไม่เป็นไร เรื่องความรัก เราที่ทำงานด้านจิตใจและสมองย่อมรู้ดีว่ามันฝืนบังคับกันไม่ได้ ผมไม่มีวันเกลียดคุณได้หรอก วางใจเถอะ” เขาเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ พลางตบที่หลังมือสองสามทีเป็นการปลอบใจ

            ควรเป็นผมที่ปลอบใจเขามากกว่า

            “ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมบอกเขาอีกครั้งก่อนที่หมอวินจะลุกขึ้นแล้วออกไป

            ผมรู้สึกโล่งนิดๆ เหมือนกันนะครับ เหมือนได้ปลดแอกหมอวินให้เขาได้มองหาคนที่ดีต่อไป


ขอให้เจอเขาคนนั้นเร็วๆ นะครับ ผมเอาใจช่วย


            เข้ากลางเดือน ไอ้นัทก็โผล่เข้ามาในห้องผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

            “ไง ไอ้ธัน หายหัวเงียบเลยนะมึง” นั่นคือคำแรกที่มันทักผมครับ

            “มึงหรือเปล่าไอ้นัท นึกว่าตายไปแล้ว”

            “ชัดช่า..ปากคอเราะร้ายนะมึง กลับไปนัวกับผัวเก่าได้ไม่เท่าไหร่ ปากคมขึ้นเยอะ” ไอ้นัทแซว ผมไม่ได้ติดใจที่มันใช้คำพูดแทนคริส ว่าผัว เพราะรู้ว่ามันแค่พูดเล่น แต่ที่ผมติดใจก็คือมันรู้ได้ไงว่าผมกลับไปคุยกับคริส

            “รู้ได้ไง” ผมหรี่ตามองถามมันอย่างเอาเรื่อง

            “โอ๊ะ ฉิบหาย หลุดปาก” ไอ้นัทตาโต มันรีบตะครุบปากไว้แน่น ไม่ทันแล้วล่ะ

            “บอกมา” ผมลุกขึ้นเข้าไปใกล้มัน พร้อมยังส่งเสียงขู่

            “กูรู้ก็แล้วกันน่า”

            “ไอ้นัท..” ผมกดเสียงลงต่ำเรียกชื่อมัน

            “บอกไว้ก่อน กูไม่ได้กลัวมึงเลยนะไอ้ธัน” มันชี้หน้าผม “แต่ที่กูยอมบอกเพราะรำคาญที่มึงเอาแต่แฮ่ๆ ใส่กู” นัทบอกพลางยักไหล่ ผมเห็นมันยอมจำนนแล้วจึงถอยกลับไปนั่งที่เดิม

             “พูดมาสักที” ผมยังทำเสียงขรึมดังเดิม

            “กูกับคริสติดต่อกันอยู่ตลอดนั้นแหละ”

            “หมายความว่าไง” ผมคิ้วกระตุก

            “กูส่งข่าวเรื่องของมึงให้มันไง”

            “ขายเพื่อน?”

            “เปล่าสักหน่อย กูแค่หวังดีกับมึง”

            “ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถาม

            “อะไรคือเมื่อไหร่”

            “มึงคุยกับคริสตั้งแต่เมื่อไหร่”

            “ปีสี่ ตอนที่มันคบกับดา” นัทเฉลย

            “ทำไมวะ” ผมถามด้วยความไม่เข้าใจ นัทนึกยังไงถึงไปคุยกับคริส

            “มันเป็นห่วงมึงเสมอ” นัทถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา “ทีแรกที่มันติดต่อกูมา ก็ไม่ได้อยากจะบอกเรื่องของมึงให้มันรู้หรอก แต่พอมันพูดว่ามันรู้แล้วทำไมมึงถึงบอกเลิกมัน กูก็เข้าใจ”

            “เหรอ”

            “มันบอกให้กูดูแลมึง ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม” ถึงว่า ผมถึงอยู่ได้อย่างปลอดภัย เงียบเชียบ ไร้ซึ่งความวุ่นวาย ไม่มีใครจะกล้าเข้ามายุ่งกับผม โดยเฉพาะผู้ชาย ยิ่งไม่มีเลย จนกระทั่งผมมาทำงานที่นี่แหละจึงได้เจอหมอวิน

            “หมอวิน?” ผมพูดขึ้น

            “เออ นั่นคือความจงใจเว้ย กูบอกมันว่ามึงมีคนมาจีบ ไทป์เดียวกับมันเป๊ะ มันแทบจะมาหามึงตั้งแต่แรกๆ ที่รู้เรื่อง” นัทยิ้มเหมือนมันสะใจที่ได้พูดออกมา

            “คริสมาที่นี่ในฐานะคนไข้” ไม่มีทางคริสไม่น่าจะลงทุนทำให้ตัวเองป่วยแบบนี้

            “ความบังเอิญ” ไอ้นัทรีบพูด “มันไม่ได้อยากป่วย มึงคงไม่คิดว่ามันอยากจะป่วยเพราะจะกลับมาหามึงหรอกนะ” นัทพูดเหมือนรู้ทัน

            “กูก็คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้”

            “งานมันยุ่งแล้วเยอะจริงๆ ระหว่างนั้นมันยังต้องรบกับครอบครัวมันอีก”

            “ทำไมคริสต้องทำถึงขนาดนั้น” ผมพึมพำพูดกับตัวเอง แต่ไอ้นัทดันหูดีก็เลยได้ยิน

            “เพื่อมึงไง” คำตอบสั้นๆ

            “...”

            “มึงคิดว่าที่กูยอมติดต่อกับมันเพราะไอ้แค่เรื่องที่มันบอกว่ารู้ความจริงแล้วงั้นเหรอ ไม่ว่ะเพื่อน มันไม่สำคัญขนาดที่กูจะทำอะไรลับหลังมึง”

            “แล้วอะไร”

            “มันบอกกับกูว่ามันอยากได้มึงกลับคืนมาไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม มันถึงทำทุกอย่างไง”

            “คริส..” ในขณะที่ผมเอาแต่ร้องไห้เพราะไม่รู้เรื่องอะไร เขากลับวิ่งเต้นทำทุกทาง

            “ตอนนี้มันรีบจัดการปัญหาของมึงกับมันอยู่ ให้เวลามันหน่อย อย่าเพิ่งรีบมีผัวใหม่”

            “ไอ้นัท ไอ้เพื่อนเวร” ผมเลยอวยพรมันไป “ขอบใจมึงนะ”

            “เออ กูอยากให้มึงมีความสุขสักที”

            “วันนี้มึงมาหากูที่นี่ มีอะไรหรือเปล่า” ผมถาม มันไม่น่าจะมาพูดเรื่องคริสเฉยๆ เป็นแน่

            “เกือบลืม กูตั้งใจจะมาบอกมึงว่า กูจะไปเรียนต่อ”

            “เมื่อไหร่”

            “เดือนหน้า”

            “ทำไมเร็วอย่างนั้นวะ” ผมรู้สึกถึงความกระชั้นกระชิด

            “กูดูลู่ทางทำเรื่องมานานแล้ว มึงเองก็รู้นี่”

            “พี่เขาไปมั้ย” ผมหมายถึงแฟนสาวของมัน

            “ไปสิวะ เพราะเขาไปไง กูเลยรีบลงเรียน เดี๋ยวไม่ทันเขา”

            “ติดเมีย” ผมแซว

            “หรือจะให้กูติดผัวมึงก็ได้นะ” และมันก็ย้อนกลับ

            “กูเอาตายแน่” ผมขู่มัน

            “กลัวแล้ว กลัวแล้วค้าบ น่ากลัวเหลือเกิน” ไอ้นัทรีบร้องโหยหวน คำพูดและสีหน้าท่าทางของมันช่างตรงกันข้ามอย่างชัดเจน

            “ไอ้บ้า” ผมหัวเราะกับท่าทีของมัน

            “มึงคุยกับหมอวินยัง”

            “คุยแล้วๆ”

            “เขาว่าไง โกรธมึงหรือเปล่า” นัทถามอย่างเป็นห่วง

            “ไม่ว่ะ”

            “ก็ดี แล้วทำไมกูถามแล้วมึงต้องทำเศร้าแบบนั้นด้วยวะ เสียดายเหรอ”

            “เปล่า เพราะเขาไม่โกรธ กูเลยรู้สึกผิดมากๆ” ผมสารภาพ

            “มึงนี่คิดมาก ของแบบนี้มันบังคับกันได้ที่ไหน”

            “ก็รู้”

            “อย่าคิดมากมึง ไม่ใช่ทุกคนจะสมหวังในเรื่องความรัก” นัทปลอบ

            “วันบิน กูจะไปส่ง”

            “ไม่เป็นไร”

            “ไม่ๆ กูจะไป” ผมดื้อบอกมัน

            “ตามใจ เดี๋ยวกูส่งวันที่ให้”

            “โอเค”

            “เที่ยงนี้ไปกินข้าวกับกูด้วย”

            “ถ้ามึงไม่ชวน กูก็กำลังจะชวนอยู่พอดี” ผมบอกมันจากความรู้สึก มันมาหาผมถึงที่ มีหรือที่ผมจะปล่อยให้มันกลับไปง่ายๆ นานๆ เจอกันทีนี่นา


            และนั่นเป็นสองเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ต้นเดือนและกลางเดือน ผมเลยคาดหวังว่าผมอาจจะได้รับข่าวอะไรบ้างเมื่อถึงสิ้นเดือน



            ข่าวจากเขาคนเดียวที่ผมเฝ้ารอ



=============================


Tag #WishingYou ค่า


ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 17 , 28/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-08-2018 13:16:17
 :เฮ้อ:

การรอเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 17 , 28/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-08-2018 15:41:35
รีบมาเจอกันได้แล้ววว  :hao5:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 17 , 28/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 28-08-2018 22:44:16
รออีกแล้วเหรอ รอเป็นเดือนโดยที่ไม่ติดต่อกันเลยเหรอ...
ถึงนัทจะมาบอกข่าวก็เถอะ
มันก็อดรู้สึกว่าควรติดต่อมาบ้างดีกว่านะคริส
เฮ้อ !!!  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 17 , 28/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-08-2018 17:07:56
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 17 , 28/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: เขมกันต์ ที่ 30-08-2018 21:02:50


Wish 18 END


ผมกลับบ้านโดยมีหมอมาวินเป็นคนมาส่ง เดี๋ยวก่อนครับ ไม่ใช่ว่าเรากลับบ้านด้วยกันเป็นประจำอะไรแบบนั้น แต่วันนี้มีฉลองกินเลี้ยงกันนิดหน่อยในโรงพยาบาล ไม่ได้เป็นเลี้ยงอะไรพิเศษแต่เป็นกินเพราะอยากกินนั่นแหละครับ คนอยากกินอะไรก็ห้ามไม่ได้


แน่นอนว่าไม่มีเครื่องดื่มมึนเมาในงานกันแน่นอน คุณหมอมาวินเห็นว่าดึกแล้วเลยอาสามาส่งผมที่บ้าน ซึ่งผมก็ไม่มีเหตุจะปฏิเสธอะไรนี่นา


ทว่าพอมาถึงหน้าบ้านก็เกิดความโกลาหลเล็กๆ เพราะหน้าบ้านผมมีรถยนต์จอดอยู่คันหนึ่ง รูปทรงคล้ายๆ กับของมาวินเลยแฮะ ใจของผมกระตุกแทบจะพุ่งลงไป


คริส เป็นเขาใช่มั้ย


ประกายนัยน์ตาของผมคงปิดไว้ไม่มิด หมอมาวินเหมือนจะเข้าใจ เขาไม่พูดอะไรสักคำนอกจากบอกให้ผมกลับเข้าบ้านดีๆ แล้วเขาก็ขับรถออกไปเงียบๆ แบบนั้น


รู้สึกผิดยังไงไม่รู้


ผมเดินเข้าบ้านด้วยใจที่ห่อเหี่ยวเล็กน้อย เหมือนทำร้ายหมอมาวินโดยไม่ตั้งใจ ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นเลย ผมเห็นไฟกลางบ้านยังสว่าง

“กลับมาแล้วเหรอธัน”

“ครับ”

“แล้วนี่กลับมายังไง แม่เหมือนได้ยินเสียงรถ”

แม่ตั้งใจจะให้ผมลำบากใจใช่มั้ยเนี่ย “เอ่อ..หมอวินอะครับ”

“ไม่เชิญหมอวินเข้าบ้านมาด้วยล่ะ”

“ดึกแล้ว เกรงใจเขาแม่”

แม่ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ แม่เปลี่ยนเรื่อง “คริสมารอลูกตั้งแต่เย็นแน่ะ” ผมมองเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่ ใบหน้าของเขาดูอ่อนเพลีย เป็นอะไรหรือเปล่า
         
“ครับ”

“คริสมีเรื่องจะคุยกับธัน แม่เลยบอกให้ไปคุยกันที่คอนโดคริสแล้วกัน” ผมฟังคำพูดแบบแล้วอยากจะร้องออกมา วอท!?ทำไมถึงส่งผมเข้าปากคริสง่ายๆ แบบนั้น


นี่ลูกทั้งคนนะครับ


“เอางั้นเลยเหรอครับ”

“จ้ะ ตอนที่รอธันกลับ แม่เลยเก็บของให้ลูกเสร็จแล้ว” ผมต้องทำยังไง กระโดดโลดเต้นที่แม่เต็มใจยกผมให้คริสใช่มั้ยเนี่ย

“เหมือนแม่ไล่ผมเลยอะ” ผมโอดครวญ

“เปล่าเลย ไม่มีเลยนะ” แม่พูดจบก็ยิ้มแล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอนผม ตอนที่กลับออกมาก็มีกระเป๋าติดมือออกมาด้วย มันเป็นเวลาแค่ไม่นาน ผมกับคริสเลยยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน

นอกจากมองกันไป มองกันมา

“ห้องไม่มีกลิ่นอับเลยแฮะ” ผมเดินตามคริสเข้ามาในห้องพักของเขาที่คอนโด แปลกใจที่ไม่มีคนอยู่ แต่ทำไมดูสะอาดจัง

“ฉันให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเมื่อวันก่อน”

“อ่อ”

“เอาของไปเก็บก่อน แล้วนายอยากคุยหรืออยากนอน?” คริสไม่เร่งรัด เหมือนเขาไม่ค่อยทุกข์ร้อนอะไร

ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ เขากำลังถ่วงเวลาอะไรหรือเปล่า

“หน้านายดูเหนื่อยๆ พักก่อนก็ดี” ผมเข้าไปใกล้เขา พลางยกมือจับใบหน้าเขา คริสหลับตาลงนิ่ง ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ถอยหนี

“ยังนอนไม่หลับอยู่มั้ย” ผมถาม เขาไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้า

ผมเลยก้าวเข้าไปใกล้และกอดเขาไว้ทั้งตัว ไม่รู้ช่วงที่เขาหายไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“กินอะไรมาหรือยัง”

“แม่นายทำให้กินแล้ว” แม่ผมนี่ช่างเอาใจคริสเสียจริง

“งั้นนายไปอาบน้ำก่อน” ผมไล่เขาไป เจ้าของห้องก็ไม่ขัดขืนหายเข้าไปในห้องนอนแต่โดยดี

ว่าง่ายเกินไป?

ผมตามเขาเข้าไปในห้องนอนทีหลัง ระหว่างที่กำลังแขวนเสื้อผ้าและของใช้ออกมาวาง คริสก็ออกมาพอดี

“ห้องน้ำว่างแล้ว” เขาบอกอย่างไม่จำเป็น ผมยิ้มให้แล้วจะเปลี่ยนเข้าไปในนั้นบ้าง แต่ผมยังรู้สึกถึงความผิดปกติอยู่ดี

“คริส”

“ว่าไง” เขาตอบเดินไปหยิบเสื้อมาสวมตรงตู้เสื้อผ้า

“ที่หมอวินมาส่งวันนี้”

“...”

“ไม่มีอะไรจริงๆ นะ พอดีมีเลี้ยงที่โรงบาล ดึกแล้ว หมอเลยมาส่งแค่นั้น”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”

“นายอย่างอนสิ เรื่องหมอวินอะ ฉันคุยกับเขา เคลียร์กันแล้ว ไม่มีอะไรจริงๆ”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ฉันรู้ว่านายไม่ทำอะไรลับหลังฉันหรอก แต่ก็อดหึงไม่ได้”

“เลิกหึงได้แล้ว”

“อืม”

กลับออกมาอีกครั้ง ผมก็เห็นเขาหลับสนิท เข้าเฝ้าพระอินทร์ไปแล้ว

ไหนว่านอนไม่ค่อยหลับไง?

เช้าวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาแปลกใจกับห้องที่ไม่คุ้นเคย ดึงสติกลับมาสักพักจึงนึกออกว่าเมื่อคืนนี้ผมมาค้างที่ห้องคริส โดยมีผู้สนับสนุนอย่างแม่ผมในการยกผมใส่ถุงหิ้วแล้วให้คริสหิ้วขึ้นรถมาอย่างง่ายๆ ไม่ต้องออกแรง

เมื่อคืนนี้คริสหลับไปอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่มีโอกาสได้คุยอะไรกัน

ผมหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ก็ต้องแปลกใจเพราะเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว “ตื่นนานแล้วเหรอ” ผมเลยถามเขา จะปล่อยให้บรรยากาศมันเงียบๆ ก็ดูอึดอัด

“สักพัก”

“เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี ได้กลับบ้านเสียที”

“นายไม่ได้กลับบ้านเหรอ?” ผมไม่เข้าใจ ก็ไหนว่าเขากลับบ้านไง

“ฉันหมายถึงบ้านที่มีนาย”

“เพี้ยนอะไรแต่เช้า”

“ขอกอดหน่อย” จู่ๆ คริสก็พูดขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง

“ฉันว่าเช้านี้นายเพี้ยนจริงๆ”

“เร็ว ขอกอดหน่อย” คงไม่ทันใจเขา ผมรู้สึกถึงแรงดึงรั้งจากเขามากผิดปกติ

“หายใจไม่ออก ปล่อยก่อน” จมูกของผมจมกับหน้าอกเขา เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่อยากตาย

“ไม่ปล่อย”

“รู้มั้ยว่าคิดถึง”

“ถ้าคิดถึงแล้วหายหัวไปไหนมาเป็นเดือน” ผมไม่อยากจะด่าหรอกนะ แต่ดันพูดออกไปแล้ว

“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ ทำให้ผมยิ่งหมั่นไส้

“คิดถึงฉันบ้างมั้ย” คริสมาถามอะไรแบบนี้

“อะไรของนาย” ผมเลี่ยงไม่ตอบ

“ตอบหน่อยเร็ว” เขาเร่งอีก

“เออ คิดถึงดิ นายเล่นเงียบไป ไม่ติดต่อมาเลย ฉันเองก็ไม่กล้าติดต่อไปกลัวจะมีปัญหา”

“ฉันไปอเมริกามา”

“หืม? ไปทำไม”

“อืม แม่ลากไปหาปู่กับย่า”

“เพื่ออะไร” ผมสงสัย หรือว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่

“ดูนี่สิ” เขาปล่อยแขนแล้วไปค้นอะไรกุกกักตรงกระเป๋าสตางค์แล้วส่งการ์ดสี่เหลี่ยมมาให้

“อะไร” เป็นความเคยชินอะครับ ถึงจะรับมันมาแล้วก็อดถามไม่ได้อยู่

พอเอามาดูจึงเห็นว่าไอ้การ์ดสี่เหลี่ยมนั่นน่ะ มันเป็นใบขับขี่ของคริส “เอามาให้ดูทำไมล่ะ” ผมยังไม่เข้าใจ

“ดูนามสกุลสิ”

“เฮ้ย” ผมตาโตกับนามสกุลของเขา มันไม่ใช่นามสกุลพ่ออีกต่อไป แต่เป็นนามสกุลใครนั้นผมก็ไม่อาจทราบได้

“นามสกุลแม่ฉันเอง” คริสเฉลย

“ต้องขนาดนี้เลยเหรอ”

“อืม ฉันถูกไล่ออกจากตระกูลแล้วนะ นายต้องเลี้ยงดูฉันด้วย” คริสว่าพลางหยิบบัตรออกจากมือผมและเอามันไปวางที่เดิม

“เวอร์ไป ถ้าถูกไล่ออกจากตระกูล แม่นายไม่น่าจะยอมให้ใช้นามสกุลเก่าตัวเองหรอก”

“งั้นเหรอ” เขายังหัวเราะอยู่นั่นเอง ผมคิดว่านี่มันค่อนข้างเป็นเรื่องซีเรียสเลยนะ

“นายหายไปทำอะไรมาบ้าง”

“ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อมา ฉันไม่อยากให้นายมาคอยกังวลในแต่ละเสต็ปที่ฉันจะทำ เลย
อยากให้รู้เรื่องทีเดียว”

“อืม ฉันรอเก่งน่า”

“ฉันรู้” เขาจูบผมทีหนึ่ง เกือบทำให้สติของผมกระเจิง ผมต้องผลักเขาออกก่อน ไม่งั้นเรื่องที่จะคุยคงไม่จบ คุยกับ คริสทีไรไม่ค่อยได้เรื่องทุกที

“หลังจากที่ฉันไปส่งนายที่บ้านก็กลับบ้านเช่นกัน ฉันบอกพ่อกับแม่ตรงๆ เรื่องนาย และคิดว่ามันถึงเวลาที่ฉันจะทำอะไรตามใจตัวเองเสียที”

“คุณน้าไม่ตกใจแย่เหรอ”

“นิดหน่อย แต่ฉันมีแบ็คดี พี่ๆ น่ะ เขาสองคนช่วยฉันพูดจนแม่เริ่มใจอ่อน แต่ท่านก็ยังห่วงหน้าตาอยู่ดี เลยให้ฉันไปเปลี่ยนนามสกุล ไม่อยากให้ทางบ้านพ่อมีประวัติอะไรแบบนี้”

“มันเกี่ยวเหรอ” ผมว่าคนนอกก็รู้อยู่ดีว่ามีลูกอย่างคริสอยู่ดี

“ฉันบอกท่านแล้ว แต่แม่เขาอยากสบายใจก็ช่างเถอะ ให้เขาทำไป”

“อืม”

“จริงๆ แม่ก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้วล่ะ เขารอว่าฉันจะเข้าไปพูดเมื่อไหร่”

“รู้ได้ไง”

“ตั้งแต่ที่ฉันไม่ยอมเป็นทูตเหมือนพ่อ ทะเลาะกันบ้านแตกคราวนั้น แม่ก็พอจะเดาเรื่องออกได้แล้ว”

“ลำบากนายแย่เลย” ผมบอกเขาด้วยความเป็นห่วง เพราะผมมีแม่ที่เข้าใจผมตลอดเวลา

“ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามันจะทำให้นายกลับมาได้ ฉันก็พร้อมลุย”

“ทำตัวเป็นเด็ก” ผมดุเขา แต่ไม่ค่อยจริงจังอะไรหรอก เพราะรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น

“ตกลงว่าแม่ของนาย ยอมรับเรื่องของเราหรือยัง” ผมกลั้นใจถาม เพราะนี่คือใจความหลักของผมและคริสแล้ว
คริสยิ้มบาง เขาส่ายหน้า คำตอบนั้นทำให้ผมใจแป้ว

“แม่ไม่ยอมรับ แต่ไม่ได้ห้ามแล้ว”

“อ่า”

“นายจะโอเคหรือเปล่า”

“ยังไง” ผมถามความหมายจากเขาให้เพิ่มมากขึ้น

“แปลว่านายจะไม่มีตัวตนในบ้านของฉันไง” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจยากใช่มั้ย ฉันไม่โทษนายเลยถ้านายจะไม่อยู่กับฉัน” เขาพูดต่อเสียงเศร้า

“ฉันกลับบ้านก่อนได้มั้ย” ผมบอกเขา และลุกขึ้นนั่ง เหวี่ยงขาลงจากเตียง ทำให้ตอนนี้ผมนั่งหันหลังให้เขา


ผมได้ยินเสียงสะบัดผ้าห่มและแรงกอดจากด้านหลังที่ตามมา “ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันทำเต็มที่แล้ว แต่ทำได้แค่นี้ ฉันมันดีแต่ปาก” คริสกล่าวโทษตัวเอง เขาเองก็เจ็บปวดที่ทำตามอย่างที่พูดไม่ได้

“นายได้ฉันแล้วนะคริส พูดแบบนี้ตั้งใจจะให้ฉันโกรธจนทิ้งนายไปใช่มั้ย”

ผมคิดว่าเขาน่าจะงงกับคำพูดผมแหละ “ฉันพูดความจริง แล้วฉันก็ไม่ได้อยากทิ้งนายด้วย”


ผมพยายามกลั้นหัวเราะ จนไหล่ไหว เขาเลยจับผมให้หันกลับไปหาเขา “หัวเราะ?”

“อืม ใช่”

“นายแกล้งเหรอ?”

“อืม” ผมยังหัวเราะไม่หยุด ก่อนพยายามข่มความรู้สึกนั้นไว้ “เรื่องที่นายบอกฉัน เอาจริงๆ
นะมันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากอะ”

“ฉันเข้าใจ”

“แต่ฉันรอนายมากี่ปีแล้ว สุดท้ายก็ยังต้องเลิกกันอยู่ดี ถ้าแบบนั้นเราจะกลับมาคุยกันทำไม จริงมั้ย เพราะถ้าฉันต้องเลิกกับนายอีกครั้ง ฉันไม่รู้ตัวเองจะทนไหวหรือเปล่า” ผมบอกเขาจากใจ

“หมายความว่า”

“ต่อให้แม่นายไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ฉันโอเค ขอแค่เขาไม่ห้ามเราคบกันหรือทำร้ายจิตใจนายก็พอ”

“ธัน...”

“อย่างน้อยฉันก็มีแม่ที่เข้าใจฉันทุกอย่าง ฉันพอใจแล้วล่ะ”

“ฉันดีใจ ดีใจมาก” เขากอดผมแน่นมาก ด้วยความดีใจของเขานั่นแหละ

“เจ็บๆ เบาหน่อย” ผมบอก ให้เขาคลายแรงลงบ้าง

“ขอบคุณนะ ขอบคุณนายมาก”

“ฉันก็ขอบคุณนายที่ทำอะไรเพื่อฉันเช่นกัน”


และเราจูบกันเหมือนเป็นคำสัญญาว่าเราจะจับมือกัน เดินเคียงข้างกันแบบนี้ตลอดไป และเพราะห่างกันเป็นเดือน มันก็ต้องมีเลยเถิดบ้าง ผมจะไม่เล่าให้คุณฟังหรอกว่า เลยเถิดไปถึงขั้นไหน แค่จะลุกนั่งให้ได้ ในตอนนี้ผมยังไม่มีแรงเลย


“คริส เมื่อวานนายบอกว่ายังนอนไม่ค่อยหลับใช่มั้ย” ผมถามทั้งที่ผมยังนอนคว่ำด้วยความเหนื่อยล้า แต่เพราะนึกขึ้นได้มากะทันหันจึงต้องรีบถามก่อนจะลืมไปเสียก่อน

“ใช่”

“แต่เมื่อวานฉันออกมาจากในห้องน้ำ นายก็หลับแล้ว”

“นั่นสิ อาจจะเพราะนายอยู่ตรงนี้แล้วมั้ง”

“ฉันก็ดีใจที่มีนายอยู่ตรงนี้เหมือนกัน”



           
จบ

=============================

จบแล้วค่ะ
จบแล้วจริงๆ อยากให้จบในโมเมนท์แบบนี้
อาจจะดูห้วนไป
แต่ความรักทั้งคู่ถึงปลายทาง ณ ห้องนี้แล้วค่ะ
เขาสองคนแค่ขอกลับมารักกัน
เรื่องหลักเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องรอง

เขมขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก
จุดเริ่มต้น คือตอนนั้นอารมณ์หม่นหมองเลยอยากเขียนอะไรแบบนี้ขึ้นมา

ขอบคุณค่ะ
ติดตามเรื่องใหม่ของเขมได้
ภาคต่อของความรัก

Tag #WishingYou ค่า


ติดตาม พูดคุย กันได้เลยค่ะ

ทวิตเตอร์ https://twitter.com/khemmakan

เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akanae14/
[/size]
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 30-08-2018 22:02:24
เขียนได้แปลกดีนะคะ
ต่างจากวายเรื่องอื่น ๆ ตรงอาชีพธันนี่แหละ
ได้ความรู้ดี ...

แม้จะไม่ละมุนมากมาย แต่ก็อ่านเพลินค่ะ
เหมือนอ่านบันทึกเพื่อน ... แบบย่อความยาว ๆ
ชอบค่ะ (จะชอบกว่านี้ถ้าสะกดคำได้ถูกกว่านี้)
จะติดตามเรื่องต่อไปนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 30-08-2018 23:10:58
 o18 กลับมารักกันละอยู่ด้วยกันซะที

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ จะตามอ่านเรื่องต่อๆไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-08-2018 02:51:42
แบบนี้ก็ดีที่สุดแล้วจริงๆ
ผ่านอะไรกันมาตั้งเยอะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-08-2018 10:45:49
 :L2: :L1: :pig4:

เราอินกับการจบแบบนี้นะ
จากบริบทของเรื่อง จะเขียนให้พ่อแม่ยอมรับ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของบ้านไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
แค่ไม่ขัดขวางคงดีที่สุดที่เป็นไปได้แล้ว

ติตตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะ
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 31-08-2018 11:52:36
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: evil_kun ที่ 10-09-2018 20:19:35
อ่านเพลินมากเลยค่ะ น่ารักๆจริงๆ ทั้ง 2 คนเลย
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 13-09-2018 17:05:20
หน่วง ๆ ดี  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 14-09-2018 23:52:05
เรื่องอ่านเพลินๆสนุกดีค่ะ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 26-09-2018 06:22:32
 :L1:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 16-10-2018 05:13:09
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 26-12-2018 12:06:11
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 05-07-2019 19:50:23
ยังไม่อยากให้จบเลย ในความรู้สึกมันค้างคายังไงไม่รู้

ขอบคุณคนมากๆน้า สนุกมากๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: may27 ที่ 23-07-2019 07:51:06
 :mew6:  อ่านรอบ2ค่ะ
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 14-10-2019 01:11:57
ชอบตอนจบแบบนี้ มันคือความจริงที่พ่อแม่บางคนยอมรับไม่ได้แม้ว่าจะลูกจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
แต่ดีใจนะที่คริสไม่ได้มีอาการหนักมาก ดีใจที่เค้ากลับมาคบกัน ดีใจที่คริสกับธันแฮปปี้สักที :hao5:

ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ เรื่องสนุกมาก อ่านเพลินสุดๆ เรื่องเดินเร็ว ชัดเจน เข้าใจง่าย ชอบมากๆเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 16-10-2019 11:29:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:20:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 15-01-2022 21:36:39
ลุ้นจนเครียดแทนเลยครับ 555
รักกันนานๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: Wishing You - Wish 18 END 30/08/2018
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 17-01-2022 19:06:45
 :pig4: :pig4: :pig4: