...ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เรื่องราวของเราอยู่ในความทรงจำของกันและกันตลอดไป...
บทนำ
ผมทอดตามองแผ่นหลังกว้างของบุรุษพยาบาลร่างใหญ่ที่กำลังเดินห่างออกไป รู้สึกขอบคุณเขาอยู่ไม่น้อยที่มักจะเข็นรถเข็นพาผมออกจากห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ มาเปลี่ยนอิริยาบถในสวนสุขภาพด้านหลังโรงพยาบาล อากาศเช้านี้แจ่มใสกว่าทุกวันเพราะฝนที่ตกเมื่อคืนได้ชะล้างความแห้งแล้งออกไป ในใจนึกอยากจะลองเดินโดยไม่ต้องมีไม้ค้ำยันดูบ้าง ผมจึงพยายามยันตัวลูกขึ้นจากรถเข็นสัมผัสปลายเท้าลงบนยอดหญ้าขจีที่พราวด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ แต่ยิ่งทิ้งน้ำหนักลงเท่าไรความปวดแปลบที่ยังคงหลงเหลือก็แล่นเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ทุกครั้งไป
พยายามกัดฟันยืนแต่ไม่สำเร็จ...
ผมทิ้งตัวลงนั่งตามเดิมพร้อมกับถอนใจเฮือก มองขึ้นไปตามลำต้นไม้ใหญ่เห็นเจ้ากระรอกขนฟูกำลังกระโจนตามกันจากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งอย่างไม่กลัวว่าจะตกลงมา พวกมันคงมีความสุขไม่น้อยที่ได้วิ่งไปตามใจคิด เพียงพริบตาเดียวคู่หูจอมซนก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนเสียแล้ว ผมจึงละสายตาจากภาพนั้นมองไปยังท้องฟ้าสีครามที่ประดับประดาด้วยริ้วเมฆสูดกลิ่นไอเค็มของทะเลจากนั้นก็ปิดเปลือกตาลงฟังเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปล่อยให้สายลมเย็นโบกโชยกระทบผิวหน้า สำหรับผมช่วงนี้คงเป็นช่วงที่ร่างกายได้หยุดพักอย่างเต็มที่หลังจากต้องเหน็ดเหนื่อยกับหลายสิ่งมาเนิ่นนานเหลือเกิน
“รัน”
เสียงทุ้มต่ำที่ดังไม่ห่างหูทำให้ต้องลืมตาขึ้นมองหาต้นเสียง ไม่นานร่างสูงก็เดินอ้อมรถเข็นมาหยุดยืนต่อหน้า ผู้ชายคนนั้นย่อตัวลงนั่งก่อนจะรั้งมือของผมไปกุมเอาไว้พร้อมกับถามคำถามเดิม ๆ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เราได้พบกัน
“คุณจำผมได้หรือยังครับ”
ผมสบตาเจ้าของคำถามแล้วเปลี่ยนเป็นไล่มองไปตามคิ้วหนาเรียงเส้นรับกับสันจมูกที่เชื่อมลงมาสู่ริมฝีปากที่ไม่เคยเปลี่ยนรูป ซ้ำยังดูคล้ายเส้นตรงแสนราบเรียบพอ ๆ กับสีหน้าของเขาเข้าไปทุกที ผมพยายามพิจารณาทุกรายละเอียด พยายามนึก แต่สุดท้ายก็ต้องส่ายหัวเป็นคำตอบ เพียงเท่านั้นดวงตาทอที่เคยทอประกายแห่งความหวังของเขาก็วูบดับไม่ต่างกับเปลวไฟปลายไม้ขีด
“ม...ไม่เป็นไร” คนพูดยิ้มเจื่อนกระนั้นมืออุ่นก็ยังไม่ละจากไปไหนทั้งยังบีบเบา ๆ เพื่อยืนยันในถ้อยคำที่เขาพูด “คุณยังจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่คุณหายดีผมก็สบายใจแล้ว”
ถึงปากจากพูดเช่นนั้นแต่สีหน้ากลับแสดงออกซึ่งความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาลุกขึ้นก่อนจะหันไปพยักหน้ากับหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวที่ยืนห่างไปไม่ไกลนัก จากนั้นจึงขยับถอยเพื่อให้เธอเข้ามายืนแทนที่
“เข้าไปข้างในกันดีกว่านะคะคุณสิรันธร เดี๋ยวอีกสักครู่คุณแม่ของคุณก็คงจะมาถึงแล้วละค่ะ” พยาบาลสาวส่งยิ้มสวยให้ก่อนจะโน้มตัวลงปลดล็อคล้อ จากนั้นจึงเข็นรถเข็นพาผมย้อนกลับไปยังทางเดิม ระหว่างนั้นเธอยังคงชวนคุยเหมือนเคยกระนั้นผมก็อดใจหายไม่ได้เลยเมื่อคิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ได้ยินเสียงของเธออีก
“จะได้กลับบ้านแล้วนะคะ ดีใจไหมคะ” เธอถาม ส่วนผมไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่หันไปยิ้มน้อย ๆ กับเจ้าของคำถาม เผลอสบตาอีกคนที่เดินตามมาไม่ห่าง เขาไม่พูดอะไรอีกเลยจนผมแทบจะลืมไปว่า ณ ที่ตรงนี้ยังมีเขาอยู่อีกคน
คุณพยาบาลพาผมกลับมาถึงห้องพักเพื่อเปลี่ยนชุด ผมพยุงตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนจะถอดเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนที่สวมอยู่ออกจากนั้นจึงหยิบเสื้อเชิ้ตที่วางเตรียมไว้มาสวมแทน หกเดือนของการใช้ชีวิตในโรงพยาบาลกำลังจะจบลง บาดแผลจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในชีวิตยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้หวนนึก ความรู้สึกเจ็บปวดยามเคลื่อนไหวร่างกายก็คงมีอยู่ เป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นถึงผลของความประมาทที่พร้อมจะเปิดทางให้พญามัจจุราชเข้ามาคว้าเอาชีวิตไปได้ทุกขณะ
“สวมกางเกงเรียบร้อยหรือยังคะ ดิฉันจะได้เปิดม่าน” เสียงหวานดังขึ้นหลังผ้าม่านผืนใหญ่ที่ถูกดึงปิดล้อมรอบเตียงในขณะที่ผมกำลังติดกระดุมกางเกง
“ครับ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงขานรับจากผม เจ้าของเงาบางที่พาดทับลงบนผ้าผืนใหญ่ก็ใช้มือเกี่ยวลากม่านให้เปิดออก ผมหยุดสำรวจตัวเองจากเงาสะท้อนบนกระจกบานใหญ่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวเองในชุดอื่นที่ไม่ใช่ชุดของผู้ป่วย ภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวเนื้อนุ่มยังคงปรากฏรอยนูนแดงจากการผ่าตัดเปิดช่องท้องเพื่อรักษาอวัยวะภายในรวมถึงร่องรอยจากการถูกกระจกบาดตามลำตัวและท่อนแขน ผมติดกระดุมเสื้อจนเสร็จเรียบร้อย เอื้อมมือแตะลงเหนือหางคิ้วด้านขวาที่เห็นรอยบาง ๆ คงเป็นแผลที่เกิดจากการเย็บเพราะศีรษะกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่างเมื่อตอนที่รถพลิกคว่ำไถลลงไปตามความลาดชันของแนวผา ทั้งร่างก็คงจะมีเพียงบาดแผลในตำแหน่งนี้กระมังที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาบดบังได้
“ไม่ต้องห่วงนะคะ แผลนี่เล็กนิดเดียวอีกไม่นานก็จางไปเอง ดิฉันรับรองว่าคุณสิรันธรต้องกลับมาหล่อเหมือนเดิมแน่ค่ะ” คำพูดติดตลกของเธอทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เรายิ้มให้กันผ่านเงาสะท้อนบนระนาบกระจก เพิ่งสังเกตว่าผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว ยังไม่ทันจะได้ถามจากคุณพยาบาล คนที่เปิดประตูเดินเข้ามาก็ทำให้ความตั้งใจของผมหยุดลงเพียงเท่านั้น
“ยินดีด้วยนะหลานชาย ได้กลับบ้านสักที”
ผมละสายตาจากยิ้มหวานของสาววยยกมือไหว้ชายวัยกลางคนเจ้าของผมสีดอกเลาหวีปัดเรียบแปล้ที่กำลังพาร่างท้วมมาหยุดยืนตรงหน้า เขาคือนายแพทย์อภิชาติที่นอกจากจะเป็นเพื่อนรักของพ่อแล้ว เขายังเป็นแพทย์เจ้าของไข้ที่ให้การดูแลผมมาตลอดหกเดือน ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไรที่ผมกล่าวขอบคุณในความช่วยเหลือที่ได้รับจากเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเบื่อฟังมันบ้างไหม แต่ผมก็ยังอยากจะพูดอยู่ดี
“ขอบคุณคุณลุงอีกครั้งนะครับ”
เขายิ้ม พร้อมกันนั้นมือที่เคยช่วยชีวิตก็ตบเบา ๆ ลงบนบ่าของผม “ต่อจากนี้หลานต้องดูแลตัวเองดี ๆ อย่าทำให้แม่เขาต้องเป็นห่วง แล้วก็อย่าประมาทอีก”
“ครับคุณลุง”
“เราคงต้องเจอกันไปอีกนานเลยละ จนกว่าหลานชายจะหายเป็นปกติ”
นึกสงสัยเสียจริง คำว่า “หายเป็นปกติ” ของคุณลุงหมอมันหมายความว่าอย่างไรกันนะ แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บข้อข้องใจนั้นเอาไว้แล้วตอบรับเพียงสั้น ๆ
“หลานต้องทานยา ทานอาหารที่มีประโยชน์เยอะ ๆ รวมถึงหมั่นออกกำลังกายและมาทำกายภาพบำบัดจะได้หายไว ๆ” ผู้อาวุโสกำชับ
“จำขึ้นใจเลยครับคุณลุงหมอ คุณลุงหมอย้ำผมเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ที่บอกว่าจะให้ผมกลับไปพักฟื้นที่บ้าน”
คำพูดของผมเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่ายได้ไม่น้อย คุณลุงอภิชาติยังคงเป็นคุณลุงที่ใจดีเสมอมา คุณลุงเป็นคนเดียวที่ให้การช่วยเหลือครอบครัวของเราอย่างแข็งขันนับตั้งแต่วันที่พ่อจากไป การสนทนาของเรายังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งแม่ของผมมาถึง แม่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับผู้ชายคนนั้น คนที่ผมพบที่สวนด้านหลังโรงพยาบาล ใบหน้าของเขาซีดเซียวและเรียบเฉย ต่างจากแม่ที่ดูจะดีใจอยู่มากทีเดียวกับการได้ออกจากโรงพยาบาลของผมในครั้งนี้
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่ช่วยดูแลเจ้ารัน” แม่ละล่ำละลักพร้อมกับมองมาที่ผม
“ไม่เป็นไรหรอกคุณสิรินทรา มันเป็นหน้าที่ของคนเป็นหมออยู่แล้ว อีกอย่างเจ้ารันมันก็หลานผมเหมือนกัน” คุณลุงหมอนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องอาการทางสมอง...” ยังไม่ทันจะกล่าวจบผู้ชายคนนั้นก็แทรกขึ้นจนดวงตาทุกคู่ในห้องต่างก็จับจ้องไปที่เขา
“เขาจะมีโอกาสกลับมาจำได้เหมือนเดิมไหมครับคุณลุงหมอ”
“อืม...คิดว่าคงต้องให้เวลาเขาหน่อยน่ะ”
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของคุณลุงหมออภิชาติกำลังแสดงออกถึงความเป็นกังวล ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นได้แต่เพียงพยักหน้ารับก่อนจะเบนสายตามองมาที่ผม สีหน้าของเขาก็ดูเป็นกังวลไม่ต่างกัน นั่นคงเพราะเรื่องที่ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำที่หยุดลงเพียงแค่สองปีให้หลังนับจากจบการศึกษากระมัง เหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้ก็คือผมกลับมาที่บ้านเพื่อบอกแม่ว่ากำลังจะย้ายที่ทำงาน ส่วนหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
รถแล่นออกจากโรงพยาบาลก่อนจะมุ่งหน้าไปตามถนนเลียบชายหาด ที่นี่เงียบสงบไม่ต่างจากตอนที่ผมยังเด็ก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นนกนางนวลกำลังบินถลาหยอกล้อกับเกลียวคลื่น หูได้ยินเสียงของแม่พูดถึงเหตุการณ์ยากจะลืมเลือนไม่หยุด ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าไรจึงจะสามารถลบมันออกจากความทรงจำได้ นาน ๆ ผมถึงจะได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเจ้าของรถที่อาสามาส่งสักที เขาขานรับเพื่อให้แม่ไม่รู้สึกว่ากำลังพูดอยู่คนเดียว และทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขาพูดผมก็จะลอบมองไปยังกระจก เห็นได้ชัดว่าดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่ได้แสดงว่ามีความสุขเลยสักนิด หัวคิ้วที่แทบจะชนกันก็พาเอาคิ้วของผมขมวดมุ่นตามไปด้วย เมื่อเราบังเอิญสบตากันในเงาสะท้อนก็เป็นผมที่ต้องรีบเบนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
ทิวทัศน์สองข้างทางทำให้ผมลืมคนตรงหน้าไปชั่วขณะ และเมื่อรถค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงจนกระทั่งมาหยุดนิ่งนอกรั้วสีขาวที่กั้นล้อมรอบอาณาเขตของบ้านไม้สองชั้นซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางไม้ใหญ่ใบหนา นั่นทำให้ผมรู้ว่าผมได้มาถึงบ้านของผมแล้ว และเมื่อมองไปรอบ ๆ คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว
ผมไม่ได้กลับมาที่นี่นานแค่ไหนแล้วนะ หกเดือน? ไม่สิ! แม่บอกว่ามันมากกว่านั้น แม่เล่าว่าผมจากที่นี่ไปเมื่อสามปีที่ก่อน ตั้งแต่วันที่ผมถูกย้ายให้ไปช่วยงานทางด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่สำนักงานในต่างประเทศผมก็ไม่ได้หวนคืนมาที่นี่อีกเลย จนกระทั่งผมตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อกลับมาเปิดร้านขนมตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่แล้วแผนการทั้งหมดก็เป็นอันต้องพังทลายลงเพียงเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้น
รถเคลื่อนผ่านซุ้มประตูเข้ามาตามทางที่โรยด้วยกรดหินกระทั่งจอดสนิทที่หน้าบ้าน ผมเปิดประตูลงจากรถอย่างไม่รั้งรอใช้ไม้เท้าค้ำยันพยุงกายไม่ให้น้ำหนักลงที่ขาซึ่งคุณหมอเพิ่งจะถอดเฝือกออกไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แม้คนมาส่งจะอาสาเข้าช่วยแต่ผมก็มั่นใจว่าผมดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องรบกวนใคร ผมกล่าวขอบคุณในความปรารถนาดีของเขาก่อนจะพาร่างของตัวเองเข้าไปในบ้านที่เป็นเหมือนกล่องใส่ความทรงจำในวัยเด็กของผม เป็นความทรงจำเมื่อครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นแม่จึงรักบ้านหลังนี้มากจนไม่คิดจะขายและไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ด้วยกัน แม้ผมจะพยายามรบเร้าหรือหาเหตุผลหว่านล้อมเท่าไรก็ตาม ข้าวของทุกอย่างแทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากช่วงเวลาที่ผมยังสามารถจำมันได้ อันที่จริง...หากจะพูดว่าไม่มีอะไรต่างไปจากตอนที่พ่อยังอยู่ก็คงไม่ผิด เปียโนหลังใหญ่ยังคงตั้งอยู่ในห้องหนังสือ จำได้ไม่เคยลืมว่าหลังอาหารเย็นแม่มักจะนั่งเล่นเพลงโปรดของพวกเรา ในขณะที่ผมเองก็เพลิดเพลินไปกับหนังสือนิทานเล่มใหญ่ที่พ่อหยิบมาอ่านให้ฟัง
แม่ช่วยประคองพาผมขึ้นไปบนห้องนอน หน้าต่างบานเลื่อนถูกเปิดอ้าไว้ให้ลมพัดเข้ามาไล่ไอร้อน ผ้าม่านสีขาวพริ้วไหวไปตามแรงลม ได้ยินเสียงโมบายแขวนหน้าต่างดังแว่วสลับกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง เมื่อแม่เดินไปรวบผ้าม่านเก็บไว้ที่ด้านหนึ่ง ผมจึงสามารถเห็นชายหาดสีขาวสะอาดตาได้จากตรงนี้ ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มมองหญิงวัยกลางคนร่างเล็กที่กำลังเดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะใช้นิ้วเขี่ยปอยผมที่ตกลงมาเคลียหน้าผากของผม พลันยิ้มจาง ๆ ก็จุดขึ้นบนใบหน้าที่เริ่มปรากฏริ้วรอยนั้น
ยิ้มของแม่คือสิ่งที่ผมปรารถนาจะได้เห็นอยู่ทุกเวลา เชื่อเหลือเกินว่าใบหน้าของผมเองก็เป็นสิ่งที่แม่หวังว่าจะได้พบอีกหนเช่นกัน นึกไม่ออกเลยว่าหากอุบัติเหตุคราวนั้นปลิดชีวิตของผม วันนี้แม่จะอยู่อย่างไร คิดได้เช่นนั้นมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าการมีลมหายใจอยู่ถือว่าเป็นโชคดีแม้จะต้องประสบกับความทุกข์ยากแสนสาหัสก็ตาม
“แม่ดีใจที่ลูกกลับมาอยู่บ้านเราเสียที” เสียงของแม่สั่นเครือแต่ก็ยังอ่อนโยนและน่าฟังไม่เปลี่ยน ผมยิ้มก่อนจะเอนศีรษะลงบนหนุนตักอุ่นอย่างที่เคยทำพร้อมกับคว้ามือของแม่มาแนบแก้ม ในเวลานี้ไม่มีอะไรจะให้ความรู้สึกสบายและปลอดภัยอย่างที่สุดเท่ากับตักของแม่อีกแล้ว
“ต้องขอบคุณคุณหมออภิชาติจริง ๆ” จู่ ๆ แม่ก็พูดถึงคุณลุงหมอเจ้าของไข้ของผม
คุณลุงหมออภิชาติ...
ภาพของเขาที่ปรากฏตรงหน้าผมนั้นเลือนรางเหลือเกิน นั่นเพราะผมไม่อาจบังคับเปลือกตาให้เปิดขึ้นได้ แต่กระนั้นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดก็ยังเอ่อล้นยากที่จะหักห้าม อาการปวดร้าวที่ศีรษะและช่องท้องบวกกับเสียงที่ฟังดูวุ่นวายของทั้งหมอและพยาบาลประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทำให้ผมนึกสภาพตัวเองไม่ออกเลยจริง ๆ
“อาจารย์คะ คนไข้อาการหนักมากค่ะ หนูทำทุกวิธีแล้วแต่ความดันก็ยังไม่ขึ้น ท้องก็เริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ อาจารย์มีความเห็นว่ายังไงคะ”
เสียงหวานติดจะเป็นกังวลของใครคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด มันค่อนข้างเร็วรัวจนเกือบจะฟังไม่ทันแต่ก็ยังน้อยกว่าคำตอบที่เธอได้รับ
“อาการแบบนี้คิดว่าน่าจะมีเลือดออกในช่องท้อง คุณโทรประสานห้องผ่าตัดด่วนเลย ผมจะผ่าเอง”
และนั่นก็คือคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ผมจะไม่รู้สึกตัวอีกเลย
“คิดอะไรอยู่จ๊ะลูก” เสียงของแม่ดึงความคิดของผมกลับมาพร้อมกับสัมผัสจากมืออุ่นที่วางลงมาบนศีรษะ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้น พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้กับหัวเตียง ผมจ้องมองไม่วางตาจนแม่ต้องเอี้ยวตัวหยิบกรอบรูปนั้นมาถือไว้
เมื่อได้เห็นใกล้ ๆ ก็พบว่ามันคือภาพถ่ายชายหนุ่มสองคนในชุดลำลอง มีฉากหลังเป็นทะเลในวันที่ท้องฟ้าประดับประดาด้วยปุยเมฆ หนึ่งในนั้นคือตัวผม ส่วนอีกคนที่ยืนกอดคออมยิ้มอยู่ข้างกันก็คือ ‘เขา’
“รูปของลูกกับนับพล” แม่กล่าวพลางส่งกรอบรูปให้
“นับพล” ผมทวนคำก่อนจะรับกรอบรูปนั้นมาพิจารณา ใช่จริง ๆ เขาคือผู้ชายคนนั้น คนที่พบกันที่โรงพยาบาลและคนที่อาสามาส่งผมกับแม่ที่บ้าน คนที่เฝ้าถามซ้ำไปซ้ำมาว่าผมจำเขาได้หรือไม่
นับพล...เขาเคยอยู่ในความทรงจำของผมจริง ๆ ด้วย แล้วผมไปทำความทรงจำในช่วงนั้นตกหล่นไว้ตรงไหนกัน?
...ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ...