พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 2 [จบ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: Thearz ที่ 29-12-2016 23:34:56

หัวข้อ: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 2 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 29-12-2016 23:34:56
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



******************************************************************************************************************

อันดับแรกผู้เขียน ขอแจ้งไว้ ณ ที่นี้ว่า นิยายเรื่องนี้ เป็นนิยาย ฉบับรีเมค จากนิยายเรื่อง "I Hate You : รักน้องชาย เสือกได้กับพี่" ที่ผู้เขียน เคยแต่ง และลงเอาไว้เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว (ที่เวปนี้แหละ) แต่เนื่องด้วยในเวลานั้น ไม่สะดวกที่จะกลับมาแต่งต่อจนจบ

เหตุผลที่ไม่ได้มาแต่งต่อจนจบ คือ

1) ตามที่ผู้เขียนเคยแจ้งไว้ ว่าผู้เขียนมีแรงบันดาลใจในการแต่งนิยายเรื่องนี้ จากแฟนเก่า
ในช่วงที่ผู้เขียนกำลังแต่งและเผยแพร่นิยาย ผู้เขียนอยู่ในสถานะโสด จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้เขียนละทิ้งสถานะนั้น และมีคนครองใจ และได้ปรึกษากับเพื่อนคนนึง ว่าควรจะหยุดแต่ง เพื่อไม่ให้เกิดการระหองระแหงกับแฟนคนปัจจุบันในตอนนั้น (นั่นหมายถึงว่าตอนนี้ผู้เขียนไม่มีพันธะใด ๆ กับใคร) เพราะอย่างที่บอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากแฟนเก่า กลัวต้องมาทะเลาะกัน

2) ผู้เขียนตั้งใจจะตัดจบ โดยการแต่งตอนจบไว้แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ลง เพราะ โน๊ตบุคเกิดอาการงอแง ขึ้นจอฟ้า!! (หลายคนอาจสงสัยว่าเกี่ยวกันหรอ? เกี่ยวครับ เพราะ...) ผู้เขียน ลืม แอคเคาท์ และรหัส ! เพราะปกติก็ใช้ฟังค์ชั่น เข้าระบบตลอดกาล จึงทำให้ลืมไปในที่สุด
จึงขออภัยด้วยใจจริง

หลังจากเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ผู้เขียนรู้สึกคิดถึงนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา แต่พบว่าได้ถูกลบออกไปแล้ว (ตามกฏของเล้า)
จึงได้ทำการเขียนขึ้นมาใหม่ โดยพล็อตเรื่องจะยังคงเดิม แต่จะมีการเสริมไอเดียใหม่ ๆ ของผู้เขียนเข้าไปบ้าง (จำของเก่าได้ประมาณหนึ่ง) จึงใคร่ขอให้ทุกท่านฝากติดตามผลงานของข้าพเจ้าด้วยครับ และขอปฏิญาณด้วยสัตย์จริงว่า จะแต่งต่อจนจบแน่นอนครับ



ตอนที่ 0 ทบทวน


ณ ร้านนมแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย

“อิ่มแล้วหรอ? ทำไมวันนี้กินน้อยจัง?” ผมกล่าวถาม หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ไม่ค่อยหิวอ่ะครับ” ภูตอบพร้อมสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่ากำลังกังวลใจอยู่ ซึ่งผมเองก็พอจะเดาได้ว่าภูกำลังกังวลเรื่องอะไร
“อืม มีอะไรรึเปล่า?”
“ช่วงนี้พี่ผมมันจับตาดูผมตลอด แถมยังขู่อีกว่าจะเอาเรื่องของเราไปบอกพ่อ” ภูกล่าว

ผมถอนหายใจแล้วพยายามชวนน้องภูคุยเรื่องอื่น ทั้งที่ในหัวผมก็ยังกังวลเรื่องที่ภูพูดไม่น้อยเหมือนกัน

ผมกับภู เราคบกันมาเกือบ 1 ปีแล้ว เราเจอกันด้วยความบังเอิญ และเริ่มคุย เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น แต่ตลอดระยะเวลาที่คบกันมา ความสัมพันธ์ระหว่างเราค่อนข้างสั่นคลอน เพราะทางครอบครัวของภู ไม่ยอมรับในเรื่องของเพศที่สาม ทำให้เราต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แอบคนกันตลอดมา

ผมชื่อ “โซ่” ปัจจุบันอายุ 21ปี เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ปีสองแล้ว ตอนนี้ผมคบอยู่กับเด็กคนนึง ชื่อ “ภู” เป็นเด็กหนุ่ม หน้าตาดี ผอม ตัวขาว สูงโปร่ง เรียกได้ว่าเป็นพิมพ์นิยมของเด็กมัธยมสมัยนี้เลยก็ว่าได้ ปัจจุบันภูอายุ 17 ปี กำลังจะจบชั้นมัธยมปีที่หกแล้ว อุปนิสัยของภู เป็นคนที่มีนิสัยดี มักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ เป็นคนที่จริงจัง และทุ่มเทให้กับเรื่องเรียน แต่ในเรื่องของความรัก ภูกลับเป็นคนที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

และอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในความรักครั้งนี้ “ไอ้ภพ!” ไอ้ภพเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของภู อายุเท่ากันกับผม เรื่องหน้าตาก็ไม่ค่อยห่างกันเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงนิสัยก็คงบอกให้มองภาพได้อย่างชัดเจนว่า ภูเป็นส่วนที่สว่างของพระจันทร์ และไอ้ภพเป็นอีกด้านนึงที่แทบจะไม่เคยเจอแสงไปตกกระทบเลย

“พี่โซ่ครับ ใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว ผมต้องกลับแล้วครับ”
“อืม ต้องรีบกลับก่อนไอ้ภพสินะ”
“ครับ” ภูตอบแล้วพยักหน้าหงึก
“ถ้างั้น ดูแลตัวเองด้วยนะ นั่งรถเมล์ก็อย่าหลับล่ะ เดี๋ยวเลยป้ายอีก” ผมแซว
“ฮ่า ๆๆ อย่าแซวดิ แล้วพี่จะกลับเลยไหมครับ?”
“ยังหรอก ต้องรอไอ้ยักษ์ซ้อมบาส แต่อีกเดี๋ยวก็คงเลิกแล้วแหละ”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ” ภูกล่าวแล้วเดินออกจากร้านไป

ผมนั่งมองภูเดินออกไปจนลับตา พร้อมกับความกังวลใจในหัว ที่คิดอยู่เสมอว่า ครั้งนี้อาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้มาคุยกันแบบนิ้อีกก็ได้ ไม่ใช่เพราะเราจะตายจากกันหรอก แต่เพราะพี่ชายตัวดีของภูต่างหาก ที่มักจะขัดขวาง และกีดกันความรักระหว่างเรา ซ้ำยังเคยขู่เอาไว้ว่าถ้าผมยังไม่เลิกยุ่งกับภู มันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อมัน ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะดูเหมือนพ่อของมันที่เป็นอดีตทหารก็คงจะแอนตี้เรื่องเพศที่สามอยู่เหมือนกัน

แต่ไม่ว่าความรักครั้งนี้จะลงเอยยังไง ผมก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าผมจะเต็มที่กับความรู้สึกที่มีต่อภูให้มากที่สุด จะทำทุกวันที่เรายังมีกันให้คุ้มค่ามากที่สุด ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบลงด้วยความเจ็บก็ไม่เป็นไร

“เห้ย! เหม่ออะไรอยู่?” ไอ้ยักษ์กล่าว พร้อมกับเกาลูกบาสกระแทกมาที่หัวผมเบา ๆ
“หืม? เปล่านี่”
“เปล่าอะไร กูมานั่งตั้งนานแล้วเนี่ย ถามอะไรก็ไม่ตอบ”
“อ้าว หรอ? โทษที”
“แล้วตกลงกินอะไรยัง? กูหิวแล้วไปหาข้าวกินกัน”
“เออ ไปดิ”
“สะพายกระเป๋าให้หน่อย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วยื่นกระเป๋าที่เต็มไปด้วยหนังสือของมันมาให้ผม ซึ่งผมก็จำใจรับมา
“ไอ้ภาระ!”
“อย่าบ่น ๆ”


<----O<<::::::======[ ฝากติดตามด้วยนะครับ ]======::::::>>O---->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 29-12-2016 23:42:09
ตอนที่ 1 เข้าค่าย เดินทาง

“พี่โซ่ครับ ใกล้ห้าโมงเย็นแล้ว ผมต้องกลับแล้วครับ”
“อืม ต้องรีบกลับก่อนไอ้ภพสินะ”
“ครับ” ภูตอบแล้วพยักหน้าหงึก
“ถ้างั้น ดูแลตัวเองด้วยนะ นั่งรถเมล์ก็อย่าหลับล่ะ เดี๋ยวเลยป้ายอีก” ผมแซว
“5555 อย่าแซวดิ แล้วพี่จะกลับเลยไหมครับ?”
“ยังหรอก ต้องรอไอ้ยักษ์ซ้อมบาส แต่อีกเดี๋ยวก็คงเลิกแล้วแหละ”
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ” ภูกล่าวแล้วเดินออกจากร้านไป

สิ่งที่อยู่ในหัวของผมตอนนี้มีเพียงความกังวลใจ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะเป็นยังไงต่อไป ถึงแม้ว่าผมจะคอยตอกย้ำตัวเองอยู่เสมอว่าไม่ว่าความรักของเรามันจะจบอย่างไร เราก็จะพยายามทำให้แต่ละวันที่ยังมีกันและกันอยู่ให้ดีที่สุด เพราะอย่างน้อย ถ้ามันจะจบ ก็ไม่ได้จบเพราะเรารักกันน้อยลง หรือเลิกรักกัน

ปัจจุบัน

“เหม่ออีกแล้ว ช่วงนี้ใจลอยบ่อยเกินไปแล้วนะ” ไอ้ยักษ์บ่น เพราผมไม่ทันได้ฟังสิ่งที่มันกำลังพูด เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องน้องภู
“หืม? หรอ?”
“เออ ก็กูถามว่าพรุ่งนี้ต้องไปค่ายอาสาแล้ว ของที่ต้องใช้ซื้อมาครบหมดรึยัง มึงก็เอาแต่นั่งเหม่อ”
“เออ ขอโทษที”
“ยังคิดเรื่องไอ้เด็กนั่นอยู่อีกหรอวะ?” ไอ้ยักษ์ถาม ผมแอบค้อนมันนิด ๆ ที่ใช้คำว่า ไอ้เด็กนั่น แทนที่จะเรียกชื่อ
“เปล่าหรอก”
“ผ่านมา 3 เดือนแล้วนะเว้ย เลิกคิดมากแล้วเดินหน้าต่อได้แล้ว”

ไอ้ยักษ์ เป็นเพื่อสนิทที่สุดคนเดียวของผมในตอนนี้ และเป็นรูมเมทของผมด้วย เรารู้จักกันตอนเข้าปีหนึ่ง ตอนนั้นมันดูเป็นเด็กโข่งมากกว่าคนที่เพิ่งจบมัธยมมาซะอีก ด้วยความที่ตัวมันใหญ่สมกับชื่อของมัน แต่ถึงกระนั้น ไอ้ยักษ์เป็นคนที่ชอบเล่นกีฬามาก จึงทำให้ระยะเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา มันกลายเป็นนักกีฬาที่เก่งระดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัยไปเลย และถึงแม้ว่าจะมีสาว ๆ เข้ามาจีบมันอยู่หลายคน แต่มันก็ไม่เคยสนใจใครซะที อ้างว่า มันชอบเล่นกีฬามากกว่า ขี้เกียจคอยดูแลเอาใจใส่ใครให้วุ่นวาย

“3 เดือนแล้วยังไง มันไม่ได้ลืมกันได้ง่าย ๆ นะเว้ย” ผมบอก
“เออ รู้แล้วน่า แต่มึงควรจะยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อได้แล้ว กูไม่ชอบที่เห็นมึงเป็นแบบนี้เลย”
ผมถอนหายใจ
“โอเค กูก็แค่กำลังกังวล ว่าภูมันจะเป็นอะไรรึเปล่า เพราะได้ยินว่าพ่อมันรู้เรื่องที่มันคบกับกูแล้ว”
“คงไม่มีอะไรหรอก”
“อืม กูก็หวังอย่างนั้น แล้วเมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ”
“ไอ้ทึ่มเอ้ย!” ไอ้ยักษ์ด่า
“ไอ้โข่ง” ผมสวนกลับทันควัน  แล้วต่างฝ่ายต่างหัวเราะออกมา อย่างน้อยก็มีไอ้ยักษ์นี่แหละที่ไม่เคยทิ้งผมไปไหน และพยายามกวนผม ทำให้ผมหัวเราะได้เสมอ

หลังจากนั้นผมกับไอ้ยักษ์ก็ออกไปซื้อของใช้จำเป็นที่จะเอาไปค่ายอาสาวันพรุ่งนี้

วันต่อมา

“เอาละค่ะ อย่างที่พี่บอกไปนะคะว่าค่ายอาสาครั้งนี้เราจะไปช่วยพัฒนาโรงเรียนที่อยู่ในเขตชนบทกันนะคะ และโรงเรียนที่เรากำลังจะไปกันนี้ประสบภัยจากพายุ จนตัวอาคารเสียหายหลายแห่ง ซึ่งกิจกรรมหลัก ๆ ที่เราจะไปทำกันคือ...” เสียงพี่ปีสามประกาศกำหนดการและกิจกรรมด้วยโทรโข่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจฟังมากนักเพราะมัวแต่เถียงอยู่กับไอ้ยักษ์เรื่องที่มันลืมเอาผ้าเช็ดตัวมา
“กูบอกให้มึงหยิบมาแล้วนะ”
“อ้าว ผ้ามันก็ตั้งอยู่ข้างกระเป๋ามึง แต่มึงลืมหยิบมา แล้วจะมาโทษกูได้ไงวะ?”
“ไม่รู้แหละ มึงต้องเอาผ้าเช็ดตัวมึงมาให้กูใช้ด้วย”
“ไอ้สองคนนี้ ทะเลาะอะไรกันอีกวะ?” ไอ้นุถาม (ไอ้นุเป็นเพื่อนร่วมห้อง อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ไม่สนิทเท่าไอ้ยักษ์)
“ก็ไอ้ยักษ์มันลืมหยิบผ้าเช็ดตัวมาแล้วโทษกู” ผมบอก
“เวร เรื่องแค่นี้ ปกติมึงก็ใช้ด้วยกันไม่ใช่หรอวะ” ไอ้นุบอกแล้วหัวเราะที่เรามานั่งเถียงกันเพราะเรื่องแค่นี้

สำหรับพวกเพื่อนในกลุ่มผมแล้ว การที่ผมกับไอ้ยักษ์มักจะตีกันด้วยเรื่องแปลก ๆ มันดูเป็นเรื่องปกติไปแล้ว คงเพราะเราสนิทกันมากจนถ้าเป็นเรื่องที่จริงจังเมื่อไหร่เราจะคุยกันให้เข้าใจมากกว่า

หลังจากที่เราเริ่มออกเดินทาง ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ เสียงเพลงดังขึ้น บางคนอดใจไม่ไหวก็ลุกไปเต้น นั่นรวมถึงไอ้ยักษ์ด้วย ส่วนผม แม้ว่าเพลงที่กำลังเปิดจังหวะมันจะมันส์แค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกรื่นเริงขึ้นมาเลย เพราะในสมองของผมคิดแต่เรื่องน้องภู

“พี่โซ่ ว่างอยู่รึเปล่า?”
“อื้ม ทำไมหรอ?”
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย” ทันทีที่ได้ฟังประโยคนั้น ใจของผมก็สั่นไหว เพราะผมพอจะเดาออกว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เสียงของภูสั่นเครือจนทำให้ผมแน่ใจว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นกำลังจะเกิดขึ้นจริง ๆ
“อื้ม ไม่เป็นไรนะ” ผมพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติให้มากที่สุด
“ผมขอโทษ... ขอโทษที่ผมรักตัวเองมากเกินกว่าที่จะสู้เรื่องนี้ไปด้วยกันได้”
“อย่าคิด...”

ไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคสายก็ถูกตัดไป พร้อมกับเสียงหนึ่งที่ลอดผ่านเข้ามา พูดว่า “พอ!” ในตอนนี้ใจของผมเหมือนกับถูกกระชากออกไป ผมเคยคิดว่าผมทำใจเอาไว้แล้ว และผมจะยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายเลย แม้แต่คำพูดสุดท้ายที่ผมอยากจะบอกกับภู ก็ยังพูดไม่ได้เลย สุดท้ายก็คงต้องให้คำนั้นคอยบอกย้ำกับตัวเอง

“อย่าคิดมากนะ”

“เฮ้ย ถึงแล้ว ตื่นได้แล้ว” ไอ้ยักษ์ปลุกผมเมื่อเรามาถึงที่หมาย

หลังจากที่เรามาถึง รุ่นพี่ก็เรียกรวมตัวเพื่อเช็คความเรียบร้อยและบอกกำหนดการณ์อีกครั้ง

“เอาละค่ะ น้อง ๆ คะ พี่ลืมบอกไปว่าการมาทำกิจกรรมค่ายอาสาครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่พวกเราเท่านั้น ยังมีเพื่อนจากมหาลัยอื่นมาร่วมด้วยเช่นกัน ซึ่งนอกจากกิจกรรมพัฒนาโรงเรียนแล้ว เราเรายังมุ่งเน้นในเรื่องของความสามัคคีของพวกเราทุกคนด้วยนะคะ”

หลังจากนั้นพวกเราก็ต้องเข้าไปรวมตัวกับเพื่อนต่างมหาลัยที่มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อรับทราบกำหนดการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ อีกครั้ง โดยมีวิทยากรที่ทางโรงเรียนเตรียมเอาไว้เป็นผู้ที่คอยควบคุมดูแลการมาออกค่ายในครั้งนี้

“สวัสดีครับ พี่ชื่อพี่ต้อมนะครับ ได้รับหน้าที่ให้มาดูแลน้อง ๆ” วิทยากรคนหนึ่งแนะนำตัว
“อยากเข้าห้องน้ำว่ะ” ไอ้ยักษ์กระซิบข้างหูผม
“มึงก็ไปสิ”
“มึงก็ไปกับกูสิ”
“ไม่เอาอ่ะ อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้” ผมแกล้งมัน เพื่อเอาคืนที่มันว่าผมตอนอยู่บนรถ
“กูไม่ไหวแล้ว เร็ว ๆ”
“น้องตรงนั้น มีอะไรสงสัยไหมครับ?” เสียงวิทยากรตะโกนถาม ทำให้ทุกคนหันมาทางผมกับไอ้ยักษ์
“เอ่อ เพื่อนผมมันอยากเข้าห้องน้ำอ่ะครับ”
“อ่อ ห้องน้ำอยู่ตรงขวามือด้านข้างอาคารครับ”
“งั้นพวกผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ” ไอ้ยักษ์บอกพร้อมยกมือขออนุญาต
“ตามสบายครับ”
“เร็ว ๆ ไปกับกู”

สุดท้ายผมก็ถูกมันลากตัวมาด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากมาหรอก แค่อยากแกล้งมันเท่านั้นเอง

“กูรอข้างนอกนะ” ผมบอกแล้วยืนรอไอ้ยักษ์อยู่ตรงด้านหน้าห้องน้ำ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายสองคนที่เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่น กำลังเดินตรงมา หนึ่งคนในนั้นมองหน้าผมแล้วแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก วินาทีนั้นผมทั้งรู้สึกตกใจ และโกรธในเวลาเดียวกัน เพราะคน ๆ นั้นคือ ”ไอ้ภพ” พี่ชายของน้องภู มันคือคนที่ทำให้ผมกับภูต้องเลิกกัน
“เสร็จแล้ว”

ไอ้ยักษ์ออกมาจากห้องน้ำพอดี

“เฮ้ย ไอ้ยักษ์!” คนที่มากับไอ้ภพร้องทักไอ้ยักษ์
“อ้าว ไอ้กร มาด้วยหรอกวะเนี่ย?”
“เออ มึงอ่ะ หน้าอย่างนี้ไม่น่ามาค่ายอาสาได้นะ 555” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะเฮฮากันไปตามประสาคนรู้จักกัน ปล่อยให้ผมกับไอ้ภพยืนเงียบกันทั้งคู่

ผมรู้ว่ามันรู้จักผม แต่ไม่แน่ใจว่ามันรู้ ว่าผมรู้จักมันไหม

“เออ นี่เพื่อนกู ชื่อภพ ไอ้ภพนี่ไอ้ยักษ์เพื่อนกูตอนม.ปลาย” ไอ้กรแนะนำ หลังจากนั้นไอ้ยักษ์ก็แนะนำผมให้เพื่อนมันรู้จัก
“ไม่ได้เจอตั้งนานมึงเตี้ยลงรึเปล่าเนี่ย 555” ไอ้ยักษ์แซวเพื่อน
“มึงนั่นแหละสูงเกินไปแล้ว เออ กูเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันนะเพื่อน”

ผมกับไอ้ยักษ์จึงเดินแยกออกมา ในหัวของผมตอนนี้มันสับสนไปหมด ผมบอกไม่ถูกว่าผมกำลังรู้สึกอะไร แต่แน่ใจว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี

“เป็นอะไรไปวะ?” ไอ้ยักษ์ถาม
“เปล่า”
“เห็นเงียบ ๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“สองคนนั้นอ่ะ มึงรู้จักด้วยหรอ?”
“เอ้า ไอ้นี่ กูก็บอกอยู่ว่าเป็นเพื่อนกูตอนม.ปลาย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วตบหัวผมเบา ๆ
“แล้วอีกคนนึงอ่ะ?”
“ไอ้ภพหรอ ไม่รู้อ่ะ เพิ่งรู้จักพร้อมมึงนี่แหละ ทำไมอ่ะ มึงรู้จักหรอ?”
“เปล่า” ผมบอก แล้วเราก็กลับมานั่งที่จุดรวมตัวที่เดิม
“พี่มีอีกเรื่องนึงที่จะแจ้งให้น้อง ๆ ทราบ อย่างที่น้อง ๆ คงจะได้เห็นไปแล้วว่าทางโรงเรียนมีความเสียหายอยู่หลายแห่ง นั่นรวมถึงอาคารที่จะให้เป็นโรงนอนสำหรับน้อง ๆ ด้วย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเราได้รับการสนับสนุนจากเทศบาล และองค์กรอื่น ๆ ที่ให้เราหยิบยืมเต็นท์นอนมาจำนวนหนึ่ง โดยพี่จะจัดให้น้อง ๆ อยู่ด้วยกันแค่เต็นท์ละ 3 คนเท่านั้น”
“ไอ้นุ มึงนอนเต็นท์เดียวกับพวกกูเปล่า?” ไอ้ยักษ์หันไปถามไอ้นุ เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่กำลังตกลงกันว่าใครจะนอนกับใคร
“ใจเย็น ๆ กันก่อนครับ ฟังพี่ก่อน เนื่องจากการทำกิจกรรมค่ายอาสาครั้งนี้เรามุ่งเน้นเรื่องของความสามัคคีในหมู่เพื่อนต่างมหาวิทยาลัยด้วย นั่นแปลว่า แต่ละเต็นท์ จะต้องมีนักศึกษาจากทั้ง 3 สถาบันอยู่ด้วยกัน ห้ามเพื่อนที่เรียนที่เดียวกันอยู่ด้วยกันเด็ดขาด”
“เวร ได้ไงวะ” ไอ้ยักษ์อุทานออกมา และก็เหมือนกับคนอื่น ๆ อีกเช่นกันที่เริ่มโวยวายเพราะไม่ค่อยพอใจ นั่นรวมถึงผมด้วย

เพราะผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ยาก ผมหมายถึง ถ้ากับคนที่ไม่สนิทด้วยแล้ว ผมก็แทบจะเป็นใบ้กับคนนั้นไปเลยก็ว่าได้ และการที่ต้องไปนอนอยู่ในเต็นท์เดียวกับคนที่เราไม่รู้จักเนี่ย มันคงเป็นอะไรที่น่าอึดอัดที่สุดเลย

“มึงโอเคเปล่าวะ?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม เพราะรู้นิสัยผมดี
“ถ้าไม่โอเค แล้วทำอะไรได้วะ?”
“เอาไว้เดี๋ยวค่อยสลับกับคนอื่นแล้วกัน กูไม่อยากให้มึงไปนอนกับคนอื่น”
“ไอ้นี่หวงเมีย 555” ไอ้นุหันมาแซวไอ้ยักษ์ แล้วพวกเพื่อน ๆ ผมก็หัวเราะร่ากันใหญ่
“ส้นตีนสิ มึงก็รู้ว่าไอ้นี่มันเอ๋อจะตายเวลาอยู่กับคนอื่น กูก็แค่เป็นห่วงมัน”
“น้อง ๆ ไม่ต้องกังวลนะครับ พี่เข้าใจว่าในช่วงแรกน้อง ๆ อาจจะยังเกร็ง ๆ กันอยู่ เพราะเรายังไม่รู้จักกัน แต่เดี๋ยวอยู่ด้วยกันไปแล้ว สนิทกันมากขึ้นแล้วก็จะโอเคเอง” พี่ต้อมวิทยากรบอก พลางให้วิทยากรท่านอื่นเดินเอากระป๋องที่ใส่หมายเลขเอาไว้มาให้พวกเราจับฉลาก
“ในกระป๋อง จะมีเลข 1-10 น้อง ๆ ทั้ง 3 สถาบันรวมกันก็ 30 คนพอดี หลังจากที่จับฉลากไปแล้ว ให้เก็บเอาไว้ให้ดีด้วยนะครับ”
“กูได้ 7 มึงอ่ะ?”

ผมคลี่ฉลากที่จับได้แล้วหันให้ไอ้ยักษ์ดู ผมจับได้เลข 9

“เต็นท์น่าจะเรียงตามเลข ก็ยังดีที่ไม่ห่างกันมาก”
“โอเค ทุกคนได้เลขกันหมดแล้วนะครับ จากนี้ไปก็แยกย้ายเอาของไปเก็บที่เต็นท์ได้เลย แล้วอีก 40 นาทีเรามารวมกันตรงนี้อีกทีนะครับ”

หลังจากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามเต็นท์ ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับการถูกจับแยกจากเพื่อน ๆ แบบนี้ ผมกับไอ้ยักษ์เดินมาจนถึงจุดกางเต็นท์ ซึ่งในตอนนี้ทุกคนกำลังวิ่งวุ่นหาเต็นท์ตัวเอง และเพื่อนที่จะต้องนอนด้วยตลอดระยะเวลา 7 คืนต่อจากนี้

“ไอ้ยักษ์ ได้เต็นท์ไหนวะ?” เสียงไอ้กร เพื่อนไอ้ยักษ์ร้องถาม
“6 ว่ะ มึงอ่ะ?”
“เฮ้ย จริงดิ กูก็ 6 โคตรโชคดีเลย” ไอ้กรยิ้มด้วยความดีใจ ที่ได้นอนเต็นท์เดียวกับเพื่อนเก่าอย่างไอ้ยักษ์
“แต่กูว่าจะไปนอนกับเพื่อนกู” ไอ้ยักษ์บอกด้วยความเสียดาย
“เฮ้ย ไม่เป็นไร มึงอยู่นี่แหละ กูอยู่ได้น่า” ผมรีบบอก
“มึงแน่ใจหรอ?”
“เออ มึงอยู่กับเพื่อนมึงนี่แหละ นาน ๆ จะได้เจอกันที เดี๋ยวกูไปนอนเต็นท์ 9 เองได้ ห่างกันแค่นี้เอง”
“เอางั้นหรอ?” ไอ้ยักษ์ถามย้ำ
“เอออออ...”  ผมบอกแล้วเดินไปที่เต็นท์ของตัวเอง
“เพื่อนหรือแฟนวะ 555” เสียงไอ้กรแซวไอ้ยักษ์เบา ๆ
“เพื่อนโว้ย กูก็แค่เป็นห่วงมัน ไอ้เนี่ย มันเป็นคนประเภทที่ไม่ค่อยคุ้นกับคนแปลกหน้า ให้ไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่รู้จักมันคงอึดอัดแย่”
“คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง อยู่ถัดไปแค่ 2 เต็นท์เอง”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในเต็นท์ จริง ๆ แล้วการที่ต้องนอนร่วมเต็นท์กับคนอื่นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่อย่างที่ผมบอก ผมไม่ใช่คนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และมันจะมีความอึดอัดเกิดขึ้น ทั้งกับผมเองและกับคนที่ต้องมานอนเต็นท์เดียวกับผม

หลังจากเก็บของเสร็จ ขณะที่ผมกำลังจะลุกออกไปข้างนอก ก็มีกระเป๋าใบหนึ่งเหวี่ยงเข้ามาที่ท้องผมจัง ๆ

“โอ้ย!”
“เฮ้ย! ขอโทษ ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน” ไอ้คนที่โยนกระเป๋าเข้ามารีบเข้ามาในเต็นท์และขอโทษผมอย่างไว
ทันทีที่ต่างฝ่ายต่างเห็นหน้ากัน ก็มีคำพูดนึงออกมาจากปากของเราทั้งสองคนพร้อมกันว่า
“เชี้ย! / เชี้ย! ”


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 30-12-2016 00:04:54
ตอนที่ 2

“เชี้ย! / เชี้ย! ”

ผมกับไอ้ภพอุทานออกมาพร้อมกันทันที่เราเจอหน้ากัน จากนั้นเราทั้งคู่ก็นิ่งกันไปซักพัก

“เอ่อ ขอโทษครับ ผมคงเข้าผิดเต็นท์” ผมบอกแล้วรีบหยิบกระเป๋าตัวเองออกมา แล้ววิ่งกลับไปที่เต็นท์ของไอ้ยักษ์
“อ้าว ไอ้โซ่ มีอะไรวะ?”
“กูไม่อยู่เต็นท์นั้น!”
“เฮ้ย เดี๋ยว ใจเย็น ๆ มีอะไร?”
“กูจะไม่อยู่เต็นท์นั้น มึงช่วยแลกกับกูหน่อย” ผมย้ำ ไอ้ยักษ์กับไอ้กรทำหน้างง
“อ้าว ไอ้นี่ กูถามว่ามีอะไร”
“อ้าว ไอ้ภพ มึงอยู่เต็นท์ไหนวะ?” ไอ้กรหันไปถามไอ้ภพที่เดินตามผมมา
“9!” ไอ้ภพตอบด้วยเสียงที่ราบเรียบ
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอวะ? รู้จักกันแล้วนี่” ไอ้ยักษ์บอก
 “ถ้ามึงไม่แลก เดี๋ยวกูไปขอแลกกับพวกไอ้นุก็ได้”
“เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวกูไปนอนกับไอ้ภพเองก็ได้” ไอ้กรบอก
“ก็ดี กูว่าน่าจะปลอดภัยกว่าถ้าได้นอนเต็นท์เดียวกับมึง ไม่ใช่...” ไอ้ภพหยุดพูดไปแล้วหันมามองหน้าผมนั่นทำให้ผมพอจะมั่นใจได้แล้วว่ามันรู้ว่าผมเป็นใคร เพราะสายตาที่มันมองมาแสดงออกถึงความรังเกียจได้อย่างชัดเจน

แล้วไอ้ภพกับไอ้กรก็ย้ายกลับไปที่เต็นท์ที่เก้า ไอ้ยักษ์ยังงงว่าผมเป็นอะไร

“ตกลงมึงเป็นอะไรวะ? ทำไมถึงไม่อยากนอนกับไอ้ภพ?”
“ไม่มีอะไร” ผมปฏิเสธ
“มึงเลิกโกหกกูได้แล้ว กูดูมึงออกหรอกน่า บอกกูมาว่ามึงมีปัญหาอะไรกับมัน”
“เออ ก็ได้”

ผมจึงเล่าให้ไอ้ยักษ์ฟัง ถึงสาเหตุที่ผมไม่สามารถนอนร่วมเต็นท์กับไอ้ภพได้ มันเองก็เข้าใจแล้วบอกให้ผมพยายามอย่าให้มันรู้ว่าผมเป็นใคร แต่เหมือนจะไม่ทันแล้ว

“มึงไม่น่าลากกูมาด้วยเลย” ผมบ่น
“อ้าว แล้วกูจะรู้ไหมล่ะว่าใครจะมาบ้าง”
“เออ ๆ ไม่สนุกแล้วแบบเนี้ย”
“เอาน่า มันคงไม่อะไรหรอก”

และวันนี้ของผม ผ่านไปด้วยความยากลำบาก ยากลำบากในการพยายามหลบหน้าไม่ให้เจอไอ้ภพ แต่ก็ไม่วายต้องมานั่งข้างกันในกิจกรรมตอนกลางคืน เพราะในกิจกรรมต้องรวมทีม 3 คน โดยแบ่งตามเลขที่จับฉลากได้ และไม่รู้ว่าผมทำบาปอะไรไว้ นักศึกษาจากอีกมหาวิทยาลัยนึงไม่ได้มา ทำให้คนที่จับได้เลข 9 มีแค่ผมกับไอ้ภพเท่านั้น

“โคตรซวย” ไอ้ภพพูดเบา ๆ แต่ก็ดังพอจะให้ผมได้ยิน

ผมมองหาไอ้ยักษ์ที่กำลังมองมาที่ผมด้วยความเป็นห่วงพลางทำมือถามว่าผมโอเคไหม
ผมส่ายหน้า

“เอาละครับน้อง ๆ คืนนี้กิจกรรมแรกที่เราจะเล่นกัน เพื่อให้น้อง ๆ ในแต่ละทีมรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น เราจะเริ่มด้วยเกมง่าย  ๆ ก่อนนะครับ นั่นก็คือเกมยืนบนหนังสือพิมพ์” พี่ต้อมวิทยากรเริ่มอธิบายเกม ในขณะที่วิทยากรคนอื่น ๆ ก็เดินแจกกระดาษหนังสือพิมพ์ให้กับทุกทีม

แต่ละทีมจะได้กระดาษหนังสือพิมพ์ 1 หน้า ซึ่งสำหรับ 3 คนแล้วถือว่าเหลือแหล่ นั่นไม่ต้องพูดถึงทีมผมกับไอ้ภพที่มีแค่ 2 คน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากเล่นอยู่ดี

“อ้าว ทำไมทีมนี้มีแค่ 2 คนเองล่ะ?” วิทยากรท่านหนึ่งเดินมาถาม
“อีกคนนึงไม่ได้มา” ไอ้ภพตอบ
“แค่สองคน งั้นเอาไปแค่นี้พอ” วิทยากรท่านนั้นบอกแล้วฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ของผมกับไอ้ภพให้เหลือเพียงครึ่งหน้า ผมกับไอ้ภพได้แต่ยืนหน้าเอ๋อทำอะไรไม่ถูก แล้วรับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก
“ในแต่ละรอบ พี่จะจับเวลา 20 วินาที แล้วหลังจากหมดรอบ น้อง ๆ จะต้องฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ออกทีละครึ่งแผ่นนะครับ”

เสียงหัวเราะเฮฮาเกิดขึ้น ดังอื้ออึง เมื่อเกมเริ่มขึ้น

ผมกับไอ้ภพลังเลที่จะเล่น ด้วยความบาดหมางในใจของเราทั้งคู่ ทำให้เราไม่อยากที่จะต้องแตะเนื้อต้องตัวกัน

“พี่จะเริ่มจับเวลาแล้ว ถ้าทีมไหนแพ้จะต้องโดนทำโทษนะครับ” พี่ต้อมบอก
“กูยอมโดนทำโทษดีกว่า” ไอ้ภพบอกแล้วก้าวขาออกจากกระดาษ
“กูก็ไม่อยากเล่นเหมือนกัน แค่อยู่ตรงนี้กูยังไม่อยากเลย”
“ก็ไปไกล ๆ สิวะ”
“อ้าว สองคนนี้ แพ้ตั้งแต่รอบแรกเลยหรอ? นี่ขนาดมีแค่สองคนเองนะเนี่ย” พี่สาววิทยากรบอกแล้วจับตัวผมกับไอ้ภพแยกออกไปในโซนผู้แพ้

เกมดำเนินต่อไป เสียงหัวเราะเฮฮาของคนอื่น ๆ ดังไปทั่วหอประชุม แต่ผมกับไอ้ภพนั่งหน้าเซ็ง คิดเพียงว่าเมื่อไหร่จะจบ เมื่อไหร่จะผ่านคืนนี้ไปซะที ผมไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว

“ผมขอไปเข้าห้องน้ำได้มั้ยครับ?” ผมหันไปขออนุญาตกับลุงวิทยากรท่านหนึ่ง แกเป็นคนที่เดินมาฉีกกระดาษของผมกับไอ้ภพให้เหลือครึ่งนึง
“ได้ แต่พาเพื่อนไปด้วย มืดแล้วอันตราย” ลุงแกบอก
“เดี๋ยวผมชวนเพื่อนทีม 7 ไป”
“ไม่ต้องหรอก เอ็งมีกันอยู่สอง คนก็ไปด้วยกันสิ”
“แต่ผม...”
“ไปกันสองคนนั่นแหละ แล้วก็เร็ว ๆ ด้วย”
“งั้นผมไม่ไปก็ได้ครับ” ผมบอกแล้วกลับไปนั่งที่เดิม
“งั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำนะ” ไอ้ภพหันไปบอกบ้าง
“เอ้า ไอ้สองคนนี้ เดี๋ยวไป เดี๋ยวไม่ไป ตกลงจะเอายังไงวะ!” ลุงวิทยากรถามเสียงแข็ง แล้วบอกต่อว่า
“ถ้าจะไปก็ไปกันสองคน ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป!”

ไอ้ภพหันมามองผม แล้วส่งสายตาประมาณว่า “มึงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย!”

ผมถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินตามมันไปห้องน้ำ ไม่ใช่เพราะผมกลัวมันหรอก แต่เพราะผมเองก็ปวดฉี่อยู่เหมือนกัน

ห้องน้ำนั้นอยู่ห่างจากหอประชุมออกไปนิดหน่อย ซึ่งระหว่างทางนั้นก็ค่อนข้างมืด และด้วยความที่อยู่กลางป่าเขา จึงจะได้ยินเสียงนก เสียงสัตว์กลางคืนร้องกันระงม ให้บรรยากาศที่ค่อนข้างน่ากลัว
ผมรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย จึงรีบเดินเพื่อให้ใกล้ไอ้ภพมากขึ้น จากที่ตอนแรกผมรักษาระยะห่างจากมันประมาณ 5 เมตร กลายเป็นเหลือไม่เกิน 2 เมตร

ไอ้ภพหยุดเดินกะทันหัน จนผมเกือบจะชนมัน แล้วหันหน้ากลับมามองผม

“อะไรวะ?” ผมถาม เพราะมันจ้องผมเขม็งจนผมรู้สึกถึงความไม่ปกติ
“...”
“มี... มีอะไรวะ!?” ผมถามย้ำ แต่ไอ้ภพยืนนิ่งแล้วยื่นมือมาแตะที่ไหล่ของผม

จากนั้นมันจับไหล่ผมแล้วดึงเข้าหาตัวมัน ในขณะที่มันก็เบี่ยงตัวเองหลบจนผมถลาไปข้างหน้าจนล้มลง ส่วนไอ้ภพก็รีบวิ่งหนีผมกลับไปที่หอประชุม ทิ้งให้ผมนั่งช็อกอยู่ตรงนั้น ทั้งมึน และโมโห

“ไอ้เชี้ยภพ!!” ผมตะโกนลั่นแล้วพยายามลุกตามมันไปแต่รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า คงเพราะข้อเท้าแพลงจากการหกล้ม

ผมยายามพยุงตัวเองแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่งแถว ๆ นั้น ท่ามกลางความมืด กลัวก็กลัว แต่เดินก็ไม่ไหว น้ำตาผมไหลออกมาด้วยความโกรธ

ผมนั่งอยู่ตรงนั้นประมาณ 5 นาที ไอ้ภพก็เดินกลับมาแล้วมาหยุดอยู่ตรงที่ผมนั่ง

“ทำไมไม่ตามไปวะ?” ไอ้ภพถาม

ผมไม่ตอบ เพราะไม่อยากจะสนทนาอะไรกับมันอีกแล้ว

“กูไม่ได้อยากจะมาตามหรอกนะ แต่กลับไปนั่งคนเดียวแล้วก็โดนสั่งให้มาตามมึงอีกนี่แหละ”

ผมยังคงเงียบต่อไป และผมคงไม่บอกมันหรอกว่าเท้าผมแพลงเดินไม่ไหว

“ตามใจมึงแล้วกัน อยากนั่งให้ผีหลอกตรงนี้ก็แล้วแต่ กูไปละ”
“เท้ากูแพลง!” ผมบอก เพราะไปสะดุดกับคำว่า ผี ที่ไอ้ภพเอามาขู่
“อะไรนะ?” ไอ้ภพถามย้ำ
“กู...เท้าแพลง เดินไม่ไหว”
“อย่าสำออย ล้มแค่นี้เอง”
“แล้วใครใช้ให้มึงทำแบบนั้นล่ะวะ”
“เร็ว ๆ รีบลุกขึ้นแล้วกลับที่หอประชุม ตรงนี้ยุงเยอะ”
“.......”
“ถอดรองเท้าดิ!” ไอ้ภพบอกพลางหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแล้วเปิดแฟลชส่องมาที่เท้าผม

ผมถอดรองเท้าออก เผยให้เห็นรอยช้ำเป็นแนวยาวเกือบ 3 นิ้ว บริเวณใต้ตาตุ่ม ไอ้ภพเห็นแบบนั้นก็ตกใจเล็กน้อย

“มึงเดินไหวมั้ย?”
“ถ้าไหวกูคงเดินไปเองนานแล้วแหละ”
“งั้น...” ไอ้ภพลังเลที่จะพูด
“มึงไม่ต้องมาทำเป็นช่วยกูหรอก ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมึงไม่ใช่หรอ?”
“กูก็ไม่ได้อยากจะช่วยมึงหรอก แต่ถ้ากูกลับไปคนเดียวก็โดนไล่ให้มาตามมึงอีก เพราะงั้น หุบปาก แล้วรีบ ๆ ลุกขึ้น” ไอ้ภพบอกแล้วดึงผมให้ยืนขึ้น โดยที่มันสอดแขนมาพยุงตัวผมไว้

เพียงแวบเดียวที่เราได้ใกล้กัน เพียงไม่กี่วินาทีที่ผมมองเข้าไปในดวงตาของมันในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ ทำให้ผมสังเกตได้ว่าดวงตาของมันกับน้องภูนั้นคล้ายกันมาก และในมุมด้านข้างของใบหน้าไอ้ภพก็มีความคล้ายกับน้องภูเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นมันยังใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันอีกด้วย

“ไอ้โซ่!”
ไอ้ภพปล่อยผมลงทันทีที่มันเห็นไอ้ยักษ์เดินตรงเข้ามา
“มึงเป็นอะไรวะ?”
“พอดีเลย มึงช่วยมาหามเพื่อนมึงไปที” ไอ้ภพบอกแล้วรีบเดินหลบออกไปทันที
“มึงเป็นอะไร?” ไอ้ยักษ์ถามอีกที
“กู...ล้ม แล้วพอดีขาแพลงนิดหน่อย ไม่เป็นไรมาก”
“ไหนขอกูดูหน่อย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วดึงไฟฉายอันเล็ก ๆ ออกมาส่องที่เท้าของผม
“โอ้ย!” ผมร้องออกมา เพราะไอ้ยักษ์กดที่ข้อเท้าผม ถึงจะเบามือก็เถอะ
“ส่งสัยข้อเท้ามึงพลิก”

เออ กูก็เพิ่งบอกไป! ผมคิดในใจ

“แล้วเดินยังไงให้ล้มได้วะ มึงนี่ซุ่มซ่ามจริง ๆ”
“ก็ทางมันมืดนี่หว่า” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมถึงไม่บอกกับไอ้ยักษ์ไปว่าไอ้ภพเป็นคนผลักผมให้ล้มจนข้อเท้าแพลงแบบนี้
“กูเห็นมึงมาห้องน้ำกับไอ้ภพ แล้วมันกลับไปแค่คนเดียว ก็เลยเป็นห่วง  นึกว่าจะโดนฆ่าไปแล้วซะอีก 555”
“อืม” ผมตอบ ไอ้ยักษ์มองหน้าผมอย่างแปลกใจ แล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง


ไอ้ยักษ์พยุงผมมาจนถึงหอประชุม พวกพี่ ๆ วิทยากรเห็นผมเป็นแบบนั้นจึงช่วยกันมาปฐมพยาบาลทันที และให้ผมกลับไปนั่งในทีมเหมือนเดิม

“ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” พี่ต้อมวิทยากรเดินมาถามผม
“ครับ แค่นี้เอง”
“โอเค ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ”
“ครับ”

แล้วกิจกรรมนันทนาการก็ดำเนินต่อไป ผมก็ยังต้องจับคู่กับไอ้ภพเพื่อเล่นเกมต่าง ๆ จนจบกิจกรรมของคืนนี้ เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเต็นท์ของตัวเองเพื่อพักผ่อน

ผมกลับมาที่เต็นท์ โดยมีไอ้ยักษ์คอยพยุงมาตลอดทาง พวกเพื่อน ๆ ของผมมันก็เลยแซวผมกับไอ้ยักษ์เหมือนที่ชอบแซวเป็นประจำ

“พวกมึงดูไว้ เนี่ยผัวดีเด่น 555” ไอ้นุบอก
“เดี๋ยวกูเตะให้ 555” ไอ้ยักษ์บอกแล้วหัวเราะชอบใจ

จริง ๆ แล้วระหว่างผมกับไอ้ยักษ์ เรามีอะไรที่ค่อนข้างจะพอดีต่อกัน จนหลาย ๆ ครั้งก็ถูกเพื่อน ๆ แซวว่าเราเป็นแฟนกัน แต่ผมกับมันชัดเจนว่าเราเป็นเพื่อนกัน และเราไม่เคยคิดอะไรไปมากกว่านี้เลย

“พวกกูกลับละ มึงก็อย่าหักโหมนะไอ้โซ่ 555”
“พวกมึงรีบ ๆ ไปเลยไป” ผมไล่พลางเอาเท้าอีกข้างยันไปทางพวกมัน
“เป็นไงบ้างวะ?” เสียงไอ้กรเอ่ยถามขณะที่มุดเต็นท์เข้ามาดูผม
“แค่เท้าแพลง ถ้าอยู่เฉย ๆ 2-3 วันก็หายแล้ว” ไอ้ยักษ์บอก
“ทำไมทุกคนทำเหมือนกูป่วยหนักเลยวะ กูแค่เท้าแพลงเฉย ๆ เองนะ”

ไอ้กรหัวเราะ

“มึงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นกูไปละ”

หลังจากไอ้กรออกไป ผมก็นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ส่วนไอ้ยักษ์ก็เล่นโทรศัพท์ไปตามประสาของมัน

“มึงกับไอ้กรเนี่ย สนิทกันมากไหมวะ?” ผมถาม
“ก็สนิทนะ อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทที่สุด”
“แล้วนิสัยมันเป็นยังไง?”
“ถามทำไมวะ?”
“กูแค่สงสัย ทำไมไปคบกับไอ้ภพได้”
“ฮ่า ๆๆ มันเรียนด้วยกัน ก็ต้องสนิทกันสิวะ เหมือนมึงกับกูไง”
“คนแบบนั้น...”
ในขณะนั้นก็มีเงาของใครซักคนกำลังจะมุดเข้ามาในเต็นท์
“เออใช่ กูลืมบอกไป นี่ไอ้ม่อน ที่จับได้เลข 7 อีกคน”
“โซ่ใช่ป่ะ? พอดีมีคนฝากอันนี้มาให้” ไอ้ม่อนบอกแล้วยื่นถุงกระดาษมามาให้ผม ข้างในนั้นมีแผ่นเจลประคบเย็นอยู่สามแผ่น
“ใครวะ?”
“เขาบอกวิทยากรฝากให้เอามาให้” ไอ้ม่อนบอกแล้วนั่งลง

ไอ้ม่อนเป็นคนที่หน้าตาจัดว่าดี ประมาณหนึ่ง แต่จะออกแนวกวนตีนมากกว่า มันสูง และมีผิวสีแทน รวม ๆ แล้วถือว่าโอเคเลย

“กูนอนก่อนนะ ปกติอยู่บ้านไม่ได้นอนดึกแบบนี้” ไอ้ม่อนบอกแล้วล้มตัวลงนอนทางด้านซ้ายของผม
“เด็กอนามัย” ผมแซวไอ้ม่อนแล้วหันไปหัวเราะกับไอ้ยักษ์ ไอ้ม่อนเองก็หันมามองผมแล้วหัวเราะแก้เขิน


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

นิยาย จะลง สัปดาห์ละ 2 ตอนนะครับ
โดยจะลง วันจันทร์ กับ วันพฤหัสบดี
(เพื่อให้ผู้เขียนจำลำดับได้ง่าย สัปดาห์นี้จึงลงให้ 2 ตอนรวดครับ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 30-12-2016 00:19:48
รออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-12-2016 14:32:58
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: we.jinkyu ที่ 30-12-2016 18:09:53
 :hao7: ชอบจ้า ติดตาม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-12-2016 19:31:15
ภพ โซ่ เหรอ
จะชอบกันได้ยังไง  :katai1: :katai1: :katai1:
ยักษ์ ม่อน กร น่าสนใจ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 30-12-2016 20:35:45
นอกจากพี่ชายแฟนเก่าแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อรึเปล่า???   :hao7:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: ZhouZhou ที่ 30-12-2016 21:45:20
จะรักกันยังไงนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 02-01-2017 13:03:46
ตอนที่ 3

“ไอ้ยักษ์ หลับยังวะ?” ผมเรียกไอ้ยักษ์เบา ๆ เพราะกลัวไอ้ม่อนจะตื่น
“ยัง มีอะไรวะ?”
“กูนอนไม่หลับ”

ไอ้ยักษ์พลิกตัวหันมาทางผมแล้วเอามือมานวดหัวผม เหมือนที่ผมชอบใช้ให้มันทำเป็นประจำตอนที่ผมรู้สึกปวดหัว

“กูโคตรอยากเล่นบาสเลย”
“กูเห็นที่นี่ก็มีสนามกีฬานะ อาจจะมีสนามบาสก็ได้”
“อยากว่ายน้ำด้วย” ไอ้ยักษ์บอกต่อ
“เยอะ”
“กูถามอะไรมึงหน่อยสิ”
“อะไรวะ?”
“ที่จริงมึงไม่ได้ล้มเองใช่มั้ย”
“ทำไมคิดแบบนั้นวะ?” ผมถาม เพราะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่มันรู้
“ไอ้ภพทำหรอ?”
“เปล่า ทำไมคิดแบบนั้นอ่ะ?”
“กูเห็นมึงออกไปกับมันสองคน แล้วมันก็กลับมาคนเดียว ก็เลยคิดว่ามันคงทำอะไรมึง”
“คิดเยอะไปแล้ว ถึงกูกับมันจะเกลียดกัน แต่ไม่มีเหตุผลอะไรให้มันทำแบบนั้นหรอก” ผมบอกแล้วคิดทบทวนอีกทีว่าจริง ๆ แล้วไอ้ภพมีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนั้นกับผม
“เออ นอนเหอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นตีห้านะ” ไอ้ยักษ์บอก

จากนั้นผมปล่อยให้ความคิดต่าง ๆ ในหัวของผมไหลไปเรื่อย ๆ จนตัวเองผล็อยหลับไป


เสียงนกหวีดดังลั่น ปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้น รวมทั้งผมกับไอ้ยักษ์ด้วย

“ไอ้ม่อนล่ะวะ?” ไอ้ยักษ์ถามผม เพราะตอนนี้ในเต็นท์มีเพียงผมกับมันสองคน
“ไม่รู้สิ คงตื่นไปแล้วมั้ง”
“อ้าว ตื่นแล้วหรอ? พวกมึงรีบไปอาบน้ำสิ ตอนนี้ห้องอาบน้ำกำลังว่าง” ไอ้ม่อนโผล่พลวดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นสบู่อ่อน ๆ ที่โชยมาจากตัวของมัน
“มึงอาบน้ำแล้วหรอ?” ไอ้ยักษ์ถาม
“เออสิ ทำไมวะ?”
“โห มึงตื่นตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย?”
“ตีสี่ครึ่ง” ไอ้ม่อนบอก
“ตีนมึงเป็นไงบ้าง? ยังเจ็บอยู่มั้ย?” ไอ้ยักษ์ถามแล้วบีบที่ข้อเท้าผมเบา ๆ
“ไม่ค่อยเจ็บแล้ว”
“มึงสองคนนี่เป็นแฟนกันหรอวะ?” ไอ้ม่อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“เปล่า”
“ฮ่า ๆๆ ขอโทษที่ถามนะเว้ย ดูมึงเป็นห่วงกันเหลือเกิน”
“กูชินแล้วแหละ” ไอ้ยักษ์บอก

หลังจากนั้น ผมกับไอ้ยักษ์ก็รีบไปอาบน้ำตามที่ไอ้ม่อนบอก เพราะตอนนี้ทุกคนเพิ่งตื่น ห้องอาบน้ำก็เลยยังว่างอยู่ แต่การอาบน้ำครั้งนี้เป็นการอาบน้ำที่โคตรทรมาน เพราะน้ำเย็นมาก ที่สำคัญผมต้องใช้ผ้าเช็ดตัวสลับกับไอ้ยักษ์ด้วย

“ไอ้ยักษ์เร็ว ๆ กูหนาว!”
“อ้าว ไอ้โซ่ ขาเป็นไงบ้างวะ?” ไอ้กรเอ่ยถามผม ไอ้ภพมองมาที่ผมแล้วทำเป็นเดินผ่านผมเข้าห้องอาบน้ำไป
“ดีขึ้นแล้ว ขอบใจว่ะ”
“รอใครวะ? ไอ้ยักษ์หรอ?”
“อืม”
“ห้องนี้หรอ?” ไอ้กรชี้ไปที่ห้องอาบน้ำที่ไอ้ยักษ์อาบอยู่แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย

ผมพยักหน้า แล้วมันก็เข้าไปที่ห้องข้าง ๆ เพื่อตักน้ำแล้วสาดข้ามห้องไปที่ห้องไอ้ยักษ์ ไอ้ยักษ์ร้องเสียงหลง แล้วด่าผมเป็นชุด ส่วนไอ้กรกลั้นหัวเราะไม่ไหว รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องอาบน้ำอีกฝั่งนึง

“ไอ้เชี้ยโซ่ เดี๋ยวกูออกไปมึงโดนแน่”
“กูไม่ได้ทำนะ ฮ่า ๆๆ” ผมบอกแล้วหัวเราะ

ซึ่งขณะนั้นในหัวผมก็คิดเรื่องชั่วร้ายขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าไอ้ภพพาดผ้าเช็ดตัวเอาไว้ตรงประตูห้องอาบน้ำ ผมจึงลุกขึ้นไปแล้วพยายามดึงผ้าเช็ดตัวอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ไอ้ภพสังเกตได้ จนผ้าทั้งผืนตกมาอยู่ในมือผมแล้ว

“เร็ว ๆ !” ผมเร่งไอ้ยักษ์ทันทีที่มันเดินออกมาจากห้องน้ำและกำลังจะอ้าปากด่าผม มันเลยวิ่งตามมาอย่างงง ๆ
“ผ้าใครวะ?”
“ไอ้ภพ” ผมบอกแล้วโยนผ้าเช็ดตัวผืนนั้นเข้าไปในเต็นท์ แล้วยิ้มด้วยความสะใจ
“แล้วมึงจะไปแกล้งมันทำไมอ่ะ? เดี๋ยวก็ตีกันอีก”

ผมไม่สนใจ เพราะตอนนี้กำลังสะใจที่ได้แกล้งไอ้ภพ ผมรีบแต่งตัวแล้วออกมารอดูผลงาน แล้วก็เป็นไปตามคาด ไอ้ภพเดินตัวเกร็งออกมาจากห้องน้ำจนถึงเต็นท์ ผมพยายามกลั้นหัวเราะ เพราะถ้าเกิดหัวเราะออกไปมันคงรู้แน่นอนว่าเป็นผม

“ไอ้เชี้ยกร มึงเอาผ้าเช็ดตัวกูมาด้วยหรอ?” เสียงไอ้ภพโวย

แล้วผมก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ จึงหัวเราะออกมา จนไอ้ภพโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์แล้วมองมาทางผมด้วยสายตาอาฆาต! ผมก็เลยทำเป็นหันไปทางอื่น เหมือนกับว่าผมหัวเราะเรื่องอื่นที่ไม่ใช่มัน

วันที่สอง กิจกรรมในวันนี้เริ่มต้นด้วยการให้พวกเรามาออกกำลังกายกันในตอนเช้า หลังจากนั้นก็กินข้าวเช้า และมีเวลาพักผ่อน จนถึง แปดโมงเช้า ซึ่งในระหว่างนั้นผมก็พยายามเลี่ยงไม่ให้เจอไอ้ภพเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ต้องกลับไปรวมกลุ่มกับมันอยู่ดี

ขณะที่ผมนั่งดูไอ้ยักษ์กับเพื่อน ๆ กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่นั้น ไอ้ภพมายืนอยู่ตรงหน้าผม มันไม่พูดอะไร แต่เตะเข้ามาที่ขาข้างที่ผมกำลังเจ็บอยู่อย่างจัง

“โอ้ย!” ความเจ็บปวดแล่นจากข้อเท้าผ่านขึ้นมาเรื่อย ๆ จนผมน้ำตาไหลออกมา ทุกคนในสนามหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น
“อย่ากวนตีนกับกู” ไอ้ภพบอก

ไอ้ยักษ์เห็นแบบนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาแล้วผลักไอ้ภพกระเด็นออกไป

“มึงทำเชี้ยอะไรวะ?”
“เฮ้ย มึงใจเย็น ๆ” ไอ้กรรีบเข้ามาห้ามไอ้ยักษ์ทันที
“ใจเย็นเชี้ยอะไร มึงดูเพื่อนมึงทำสิ!”
“มึงเสือกอะไรด้วยวะ!” ไอ้ภพลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาจะต่อยไอ้ยักษ์ แต่ไอ้กรกันเอาไว้ก่อน ไอ้ยักษ์คิดว่าได้โอกาสจึงพุ่งตัวเข้าไปเพื่อต่อยไอ้ภพ ผมจึงดึงตัวมันเอาไว้
“พอแล้ว” ผมบอก
“ทีกับเมียนี่เชื่องเป็นหมาเลย” ไอ้ภพแขวะ
“มึงก็หยุดพูดได้แล้วไอ้ภพ แบบนี้มันเกินไปแล้วนะเว้ย” ไอ้กรพูดปราม
“พวกมึงไม่ต้องยุ่ง!”
“แค่เรื่องแค่นี้มึงอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ได้เปล่าวะ?” ไอ้กรพยายามดึงตัวไอ้ภพเอาไว้
“แค่กูเอาผ้าเช็ดตัวมึงไปซ่อน มันเทียบได้กับที่มึงทำกูเอาไว้หรอวะ?” ผมบอก
“แล้วมึงจะทำไม”

ผมทนไม่ไหว จึงต่อยเข้าไปที่ปากของไอ้ภพอย่างจัง จนทั้งมันและผมล้มลงไปทั้งคู่ เพราะผมเองก็ยืนแทบไม่ไหวเพราะเจ็บที่เท้าอย่างมาก

เราผลัดกันสวนกันอีกคนละหมัด แล้วก็ถูกแยกตัวโดยวิทยากรท่านหนึ่งที่เข้ามาช่วยห้าม จากนั้นเราทั้งคู่ก็โดนเรียกตัวไปพบกับคนที่เป็นหัวหน้าที่คอยควบคุมดูแลกิจกรรมค่ายอาสาครั้งนี้ นั่นคือตาลุงวิทยากรหน้าดุที่เคยฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ของผมนั่นเอง

“ผมว่าผมพูดตั้งแต่วันแรกแล้วนะ ว่าค่ายอาสาครั้งนี้เราเน้นเรื่องของความสามัคคี แต่คุณสองคนกลับมามีเรื่องชกต่อยกันแบบนี้ ผมคงปล่อยผ่านไม่ได้”
“ขอโทษครับ” ผมบอก
“พวกคุณมีปัญหาอะไรกัน? ทั้งที่อยู่ทีมเดียวกันแท้ ๆ ยังมาทะเลาะกันอีก”
“มัน...” ไอ้ภพกำลังจะพูดแต่ถูกขัดจังหวะเอาไว้ก่อน
“ไม่ว่าใครจะเริ่มก่อน พวกคุณก็ผิดทั้งสองคน และถ้าอยู่ด้วยกันดี ๆ ไม่ได้ก็...” ตาลุงพูดพลางลุกไปหยิบอะไรบางอย่างจากในลิ้นชัก แล้วสั่งให้เรายื่นมือออกไปคนละข้าง

แกล๊ก ! ทั้งผมกับไอ้ภพหน้าเหวอ เพราะเราถูกใส่กุญแจมือติดกัน

“พ่อ! ไม่เอาแบบนี้!” ไอ้ภพร้องลั่น ทำให้ผมตกใจอีกครั้ง ที่ตาลุงคนนี้เป็นพ่อของมัน... เป็นพ่อของน้องภู
“ไม่มีข้อยกเว้น เอ็งเป็นลูกเตี่ย แต่กลับมาทำเรื่องแบบนี้ ทำไมไม่คิดถึงหน้าเตี่ยบ้าง?”
“ให้ผมทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ไม่เอาแบบนี้” ไอ้ภพอ้อนวอน
พ่อมันส่ายหน้า
“หวังว่าทั้งสองคนจะเรียนรู้การอยู่ร่วมกันได้นะ ไปได้แล้ว”
“พ่อ...” ไอ้ภพอ้อนวอนครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่พอใจ แต่มันคงลืมไปว่ามีผมติดอยู่ด้วย และด้วยความที่ผมเจ็บข้อเท้าอยู่ ทำให้ผมเซถลาไปจนชนกับโต๊ะที่อยู่ในห้อง
“โอ้ย!”
พ่อไอ้ภพกุมขมับ แล้วบ่นเบา ๆ ว่า
“แค่นี้มันยังรู้สึกตัวเลย แบบนี้จะรอดไหมเนี่ย”
“มึงระวังบ้างสิวะ!” ผมบ่น
“เกะกะ!” ไอ้ภพบอกแล้วกระชากให้ผมเดินตามมันไปทั้งที่เจ็บเท้าอยู่แบบนั้น
ผมกัดฟันเดินตามมันไป พอเจอไอ้ยักษ์กับไอ้กรที่รออยู่ มันก็พยายามรีบเดินผ่านไปแต่ผมดึงเอาไว้
“มึงไหวมั้ย?” ไอ้ยักษ์ถามแล้วรีบมาพยุงตัวผม
“มึงใจเย็น ๆ ก่อนไอ้ภพ” ไอ้กรบอก
“มึงดูพ่อกูทำสิ แม่ง!” ไอ้ภพบ่น ไอ้ยักษ์ตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินว่าตาลุงนั่นคือพ่อของไอ้ภพ
“นั่งก่อน ไอ้โซ่มันเดินไม่ไหวแล้ว”
“ไอ้เวรนี่ก็เป็นภาระอีก”
“อ้าว แล้วไม่ใช่เพราะมึงหรอวะที่มันเป็นแบบนี้!” ไอ้ยักษ์โวย
“พอแล้วมึง เดี๋ยวก็โดนทำโทษกันอีก แค่นี้กูก็แย่แล้ว” ผมบอก
“ทำไมมึงต้องยอมมันด้วยวะ?”
“กูไม่ได้ยอม แต่กูอยากให้มันจบ จะได้ไม่ต้องติดกับมันแบบนี้ทั้งวัน”

เฮ้อ...  ผมถอนหายใจ แล้วนั่งลงตรงม้านั่งโดยมีไอ้ภพติดอยู่ด้วย ผมถอดรองเท้าออก ปรากฏว่า เท้าผมกลับมาบวมอีกครั้ง แหละเหมือนจะหนักกว่าเดิม ไอ้ยักษ์จึงเอาแผ่นประคบมาแปะไว้ที่เท้าของผมแล้วเอาผ้ายืดพันเคล็ดมาพันให้

“โอเคยัง?”
“อืม” ผมบอก
ไอ้ภพมองตาปริบ ๆ แล้วทำทีว่าหันไปทางอื่น
“เท้าเป็นไงบ้าง?” พี่ต้อมวิทยากร เดินมาจากไหนไม่รู้แล้วถามผม
“ไม่เท่าไหร่ครับ”
“แต่ผมว่าค่อนข้างหนักนะครับ” ไอ้ยักษ์แย้ง
“งั้นวันนี้น้องสองคนพักไปก่อนแล้วกัน พี่ว่ายังไม่ควรขยับมาก เดี๋ยวจะอักเสบไปมากกว่านี้ ส่วนน้องทีม 7 กลับไปรวมกับเพื่อนที่หอประชุมนะ”
“จะให้ผมปล่อยเพื่อนไว้กับมันหรอ?”
“พี่รู้ว่าสองคนนี้มีเรื่องกัน เพราะงั้นถึงได้โดนทำโทษไง ที่ล็อกให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็เพราะจะได้รู้จักกัน เห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น น้องไม่ต้องกังวลหรอก เค้าคงไม่ตีกันแล้วแหละ”
ไอ้ยักษ์ลังเลที่จะปล่อยผมไว้กับไอ้ภพสองคน แต่มันก็ต้องยอม
“มึงโอเคนะ” ไอ้ยักษ์ถามย้ำ
“เออ มึงไปเหอะ”
“มึงก็ด้วย คิดบ้างก่อนจะทำอะไร กูไม่รู้นะว่ามึงสองคนเคยมีปัญหาอะไรกัน แต่แบบนี้มันดีแล้วหรอวะ?” ไอ้กรบอกกับไอ้ภพ

หลังจากที่พวกนั้นกลับไปที่หอประชุมแล้ว ผมกับไอ้ภพก็นั่งกันอยู่ตรงนั้น เกือบครึ่งชั่วโมง โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรซักคำ

“มึง...เป็นไงบ้าง?” ผมตัดสินใจเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา ถึงแม้ว่าจะยังโกรธมันอยู่ก็ตาม แต่เห็นรอยช้ำที่ปากมันแล้วก็รู้สึกผิด
ไอ้ภพทำเป็นไม่ได้ยินที่ผมถาม
“มึงโกรธแค่เรื่องที่กูเอาผ้าเช็ดตัวมึงไปซ่อนหรอวะ?”
ไอ้ภพยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม
“กูไปทำอะไรให้มึงวะ? ทั้งที่เราก็เพิ่งเจอกันเมื่อวานแท้ ๆ”
“มึงเลิกพูดซะทีเหอะ” ไอ้ภพเริ่มรำคาญ
“แล้วกูไปทำอะไรให้มึงเกลียด? เรื่องไอ้ภูหรอ?”
มันกลับมาเงียบเหมือนเดิม
“มึงจะเอาอะไรอีกวะ มึงอยากให้กูกับมันเลิกกัน กูก็เลิกกันแล้วนี่ไง” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“เออ”
“เออ!” แล้วเราก็กลับมาเงียบกันอีกครั้ง จนครั้งนี้ไอ้ภพเป็นฝ่ายพูดก่อนบ้าง
“กูอยากเข้าห้องน้ำ”
“ห๊ะ!”
“มึงเดินไหวมั้ย? กูจะไปเข้าห้องน้ำ”
“เอ่อ... คิดว่าไม่ แต่มึงจะ...”
“กูปวดเยี่ยว!” ไอ้ภพขึ้นเสียงแล้วดึงให้ผมลุกขึ้น แต่ผมยังเจ็บที่ข้อเท้าอยู่ก็เลยต้องเดินกะเผลกตามมันไป

ทุกก้าวที่ต้องทิ้งน้ำหนักลงไปมันแสนเจ็บปวด จนที่สุดแล้วไอ้ภพก็ยอมสอดแขนมาช่วยพยุงผมเอาไว้ แต่ก็คงเพราะมันปวดฉี่จนทนไม่ไหว ก็เลยต้องฝืนใจช่วยผมแบบนี้

“ถ้าแอบดูมึงโดนกระทืบแน่” ไอ้ภพบอกขณะที่กำลังจะปลดทุกข์
“โถ...” ผมแอบหัวเราะเบา ๆ
“โคตรซวยเลยที่ตัดสินใจมาค่ายที่นี่”
“ชีวิตกูก็คงดีกว่านี้เยอะ ถ้าไม่มีมึง” ผมบอก ไอ้ภพจึงเอาศอกเข้าที่หลังของผมจนผมแทบล้ม


หลังจากที่ไอ้ภพทำธุระเสร็จแล้ว เราก็ตกลงกันว่าจะจะกลับไปช่วยงานคนอื่น ๆ ที่ตอนนี้กำลังช่วยกันปรับปรุงตามพื้นที่ต่าง ๆ ของโรงเรียน บางกลุ่มก็ช่วยชาวบ้านซ่อมหลังคา บางกลุ่มก็ซ่อมโต๊ะ เก้าอีกต่าง ๆ ส่วนผมกับไอ้ภพ อยู่ในส่วนของการทาสี เพราะผมจะได้ไม่ต้องเดิน  แต่ก็ทุลักทุเลไม่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคดีที่ผมถนัดมือซ้าย เพราะมือขวาของผมถูกล็อกติดอยู่กับไอ้ภพ

“มึงช่วยทาดี ๆ หน่อยได้มั้ย สีมันกระเด็นหมดแล้วเนี่ย!” ไอ้ภพบ่นที่ผมทำสีกระเด็นใส่มัน
“ขอโทษ กูตั้งใจ”
พรืด !! ไอ้ภพตวัดแปรงทาสีเข้ามาที่แขนขวาผมตั้งแต่ข้อมือจนถึงศอก กลายเป็นสีขาว
“กูตั้งใจ”

เมื่อเป็นแบบนั้นผมจึงเอาแขนที่เปื้อนสีไปเช็ดที่แขนมันเหมือนกัน ถึงมันอยากจะหลบแต่ก็หลบไม่ได้

ผมหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอรู้ตัวว่าไอ้ภพมันมองอยู่ก็ต้องรีบหยุดหัวเราะแล้วหันไปทาสีต่อ ขณะที่ในใจของผมกำลังรู้สึกแปลก ๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ยังโกรธมันอยู่รึเปล่า หรือไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงที่โดนจับให้ใส่กุญแจมือล็อกติดกับมันอยู่แบบนี้ แล้วก็เดาไม่ได้เหมือนกันว่ามันรู้สึกยังไง เพราะบางทีมันก็อารมณ์ร้ายจนน่ากลัว แต่บางทีก็เหมือนมันพยายามทำตัวร้ายใส่ผมมากกว่า แต่ผมก็หวังว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ เพราะถ้าตัดเรื่องที่มันทำให้ผมกับน้องภูต้องเลิกกันออกไปแล้ว ผมก็ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรมันซักนิด

แต่มีอย่างนึงที่ผมค่อยข้างจะมั่นใจ ไอ้ภพต้องเป็นไบโพล่าแน่ ๆ เลย 555
พรืดดดด !



<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

สวัสดีปัใหม่ครับผม ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง และพบเจอแต่สิ่งดี ๆ ตลอดปีนี้นะครับ   :3123:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-01-2017 13:17:33
❤️ HAPPY NEW YEAR 2017 ❤️
สวัสดีปีไหม่ ๒๕๖๐
ขอให้ไรท์ มีความสุข มากกกกกกก
。◕‿◕。

ภพ โซ่  :mew1: :mew1: :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-01-2017 13:29:55
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 02-01-2017 13:32:41
เริ่มมีพิรุธ...รออ่านตอนต่อไป
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังฮะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-01-2017 13:59:23
ตีกันบ่อยไปสุดท้ายก็ได้กันสินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: Aeflizm ที่ 03-01-2017 17:51:30
ชอบบบบ รอออ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 05-01-2017 08:37:22
ตอนที่ 4

“ไปทำอะไรมาวะ ทำไมเลอะเทอะแบบนี้?” ไอ้ยักษ์เอ่ยถามเพราะสงสัยที่ตัวผมเปรอะไปด้วยสี รวมทั้งใบหน้าด้านขวา ที่มีสีขาวเปรอะไปทั้งแก้ม เพราะไอ้ภพหมันไส้ที่ผมหัวเราะมัน มันจึงป้ายแปรงทาสีเข้าที่หน้าผมเต็ม ๆ
“ไปทาสีตรงโน้นมา”

ไอ้ยักษ์มองไปที่ไอ้ภพ แล้วทั้งคู่ก็จ้องกันเขม็ง จนผมต้องรีบหาเรื่องคุย ก่อนที่มันจะตีกันอีก

“กูหิวน้ำอ่ะ มึงไปซื้อน้ำให้หน่อยดิ”
“เออ แล้วเอาอย่างอื่นด้วยเปล่า?”
“มึงเอาอะไรมั้ย?” ผมหันไปถามไอ้ภพ
“แค่ของมึง!” ไอ้ยักษ์รีบบอก
ไอ้ภพส่ายหน้าแทนคำตอบ
“งั้นเดี๋ยวกูรออยู่แถวนี้นะ”

แล้วไอ้ยักษ์ก็เดินไปซื้อน้ำมาให้ผม

“เชื่องดีเนอะ” ไอ้ภพพูดเมื่อเห็นว่าไอ้ยักษ์เดินลับไปแล้ว
“มึงเลิกพูดแบบนี้ซะทีเถอะ”
“ก็มันจริง”
“ปากแบบมึงนี่เคยมีแฟนรึเปล่าวะ?”
“เรื่องของกู ถึงยังไงกูก็ไม่ใช่พวกผิดเพศแบบมึงก็แล้วกัน” ไอ้ภพกลับมาเข้าโหมดร้ายอีกครั้ง
“นี่ถามจริงเหอะ มึงมีปมอะไรรึเปล่า ทำไมถึงเกลียดเกย์ขนาดนี้วะ?”
“อาจจะเกลียดแค่มึงก็ได้”
“แล้วกูไปทำอะไรให้มึงเกลียด?”
“พูดมาก น่ารำคาญ แล้วก็กวนตีน”
“ถ้าอันนั้นมึงก็ไม่ต่างกันหรอก” ผมบอกแล้วถอนหายใจ

ไอ้ภพเมินผมแล้วหันไปสนใจกับอย่างอื่นแทน

“ถ้าจะมีใครซักคนที่ต้องเกลียดกัน คนนั้นควรจะเป็นกูนะ เพราะกูเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอด... มึงบังคับให้กูต้องเลิกกับไอ้ภู ทั้งที่กูกับน้องมึงก็แค่รักกัน” ผมบอก
“...”
“แล้วก็นี่...” ผมขยับเท้าเพื่อให้มันรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
“พูดมาก”
“ที่จริงกูก็โกรธมึงนะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเกลียดเลย”
“หุบปากได้แล้ว กูรำคาญ!” ไอ้ภพขึ้นเสียง
“อยู่นี่เอง พี่เดินตามหาตั้งนาน ยื่นมือมา” พี่ต้อมวิทยากรเดินยิ้มร่ามาจากไหนไม่รู้ แกพยายามกลั้นหัวเราะที่เห็นสภาพผมเป็นแบบนี้ แล้วไขกุญแจมือให้ผมกับไอ้ภพ

ในที่สุดเราก็เป็นอิสระแล้ว

“พี่ให้เวลาทั้งสองคนอาบน้ำแล้วจัดการธุระส่วนตัวคนละ 20 นาที เสร็จแล้วพี่ต้องใส่กุญแจมือให้เหมือนเดิม พี่จะไปรอแถว ๆ เต็นท์แล้วกันนะ”
“ไม่ใส่ไม่ได้หรอพี่” ไอ้ภพถามด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
“ไม่ได้หรอก คำสั่งพ่อน้อง” พี่ต้อมบอกแล้วเดินจากไป ไม่รู้ทำไมผมถึงแอบดีใจเล็ก ๆ

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ!” ไอ้ภพรีบเดินกลับเต็นท์ไปทันทีโดยไม่หันมามองผมเลยซักนิด ทิ้งให้ผมนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว

“กูเดินไม่ไหว...” ผมพูดกับตัวเองเบา ๆ และแอบตลกตัวเองที่เผลอคิดไปว่ามันจะห่วงผมบ้าง
“อ้าว ไอ้ภพล่ะ?” ไอ้ยักษ์กลับมาพอดี พร้อมกับถุงขนมที่มันซื้อมา
“พอดีเค้าไขกุญแจให้อาบน้ำ เสร็จแล้วก็ต้องกลับไปใส่เหมือนดิม”
“แล้วมันก็ทิ้งให้มึงอยู่คนเดียวเนี่ยนะ?”
“ก็กูบอกจะรอมึงตรงนี้”
“ทึ่มเอ๊ย! เอ้านี่” ไอ้ยักษ์ยื่นถุงขนมให้ผมแล้วนั่งลงถอดรองเท้าผมเพื่อพันผ้าที่ข้อเท้าให้ผมใหม่

ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลาย ๆ คนชอบคิดว่าผมกับไอ้ยักษ์เป็นแฟนกัน เพราะมันคอยเทคแคร์ดูแลผมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไร ซึ่งผมก็รู้สึกดีนะ ที่มีมันอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ แต่อย่างที่เคยบอก เราไม่เคยคิดกันมากเกินไปกว่าเพื่อนเลย

“แล้วจะไม่ให้คนอื่นคิดว่ามึงสองคนเป็นแฟนกันได้ยังไงวะ?”
“อ้าว ไอ้ม่อน” ผมทักไอ้ม่อนที่เดินมานั่งข้าง ๆ ผม
“กูก็แค่ดูแลเพื่อนกู มันแปลกตรงไหนวะ?”
“แปลกตรงที่ผู้ชายสองคนเค้าไม่ดูแลกันขนาดนี้เว้ย” ไอ้ม่อนบอกแล้วแกะขนมกินโดยไม่ได้เอ่ยปากขอผมซักคำ
“ไอ้ยักษ์มันเป็นคนแบบนี้แหละ ชอบดูแลคนอื่น”
“ก็มึงไม่ค่อยดูแลตัวเอง ชอบทำให้ห่วงอยู่เรื่อย”
“ถ้ามึงไม่ได้เป็นแฟนไอ้ยักษ์ แล้วตอนนี้มีแฟนรึยัง?” ไอ้ม่อนหันมาถามผม

ผมส่ายหน้า

“ทำไม? มึงจะจีบเพื่อนกูหรอ?” ไอ้ยักษ์แซว
“เปล่าเว้ย! กูยังชอบผู้หญิงอยู่” ไอ้ม่อนรีบแก้ตัว

หลังจากนั้นไอ้ยักษ์และไอ้ม่อนก็ช่วยพยุงผมกลับไปที่เต็นท์ เพื่อพักผ่อน และทำธุระส่วนตัว พวกเรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น
ไอ้ม่อน เป็นคนเชียงใหม่ หน้าตามันดูกวน ๆ ซึ่งก็เข้ากับบุคลิกของมันแล้ว ด้วยนิสัยเข้ากับคนง่ายของมัน ทำให้ผมรู้สึกเหมือนรู้จักและสนิทสนมกันมานาน ซึ่งทลายกำแพงที่ผมมักจะตั้งไว้สำหรับคนแปลกหน้า หรือคนนอกที่ไม่สนิทลงไปหมดเลย ระหว่างนั้น ไอ้กรเองก็เข้ามาร่วมวงคุยด้วย ทำให้ผมกับไอ้กรก็รู้จักกันมากขึ้นอีกนิดหนึ่งซึ่งในระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นไอ้ภพที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เดินกลับมาที่เต็นท์พอดี

“เชี้ย! กูต้องไปอาบน้ำแล้ว” ผมลืมไปซะสนิทว่าพี่ต้อมให้เวลาผมแค่ 20 นาทีเท่านั้น

หลังจากอาบน้ำและทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ ผมกับไอ้ภพก็ต้องกลับมาสวมกุญแจมือติดกันเหมือนเดิม ส่วนพวกไอ้ยักษ์ก็ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมในหอประชุม
ไอ้ภพทำท่าเซ็งอย่างบอกไม่ถูก ส่วนผมแอบหัวเราะที่มันเป็นแบบนั้น

“มึงหัวเราะอะไร?”
“เปล่า”
“หรือมึงชอบที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กูแบบนี้”
“ส้นตีนสิ!”
“แล้วขาเป็นไงบ้าง?” ไอ้ภพถามแล้วมองไปที่ข้อเท้าของผมที่ไอ้ยักษ์พันผ้ามาให้เป็นอย่างดี
“เจ็บตีน ไม่ได้เจ็บขา”
“อีกข้างอ่ะ อยากเอาไว้มั้ย?” ไอ้ภพถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“กูขอโทษ ฮ่า ๆๆ”
ไอ้ภพถอนหายใจแล้วยื่นซองแผ่นเจลประคบมาให้ผม เป็นแบบเดียวกับที่ไอ้ม่อนเคยเอามาให้ก่อนหน้านี้
“หืม?”
“กูเอามาให้”
“ก่อนหน้านี้ก็ของมึงหรอ?”
“ไม่ใช่ของกู พ่อกูฝากมาให้” ไอ้ภพบอก

ผมนั่งลงเพื่อจัดการแปะแผ่นเจลที่ข้อเท้าโดยมีไอ้ภพนั่งดูอยู่ข้าง ๆ

“น้องคะ พี่ต้อมให้พี่มาบอกว่าเด็ก ๆ รออยู่แล้ว” พี่สาววิทยากรคนหนึ่งวิ่งมาตามผมกับไอ้ภพ
“เด็ก ๆ อะไรหรอครับ?”
“เค้าจะให้มึงกับกูไปช่วยสอนหนังสือเด็ก ก็เพราะมึงดันพิการ กูถึงไม่ได้ไปเล่นกิจกรรมเหมือนคนอื่น ๆ ในหอประชุม” ไอ้ภพบอก
“เดี๋ยว ๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะมึงหรอวะ? ที่กูเป็นแบบนี้ก็เพราะมึงเป็นคนทำไม่ใช่รึไง?” ผมโมโห เพราะมันมัวแต่พูดว่าเพราะผม ๆ
“อย่าเพิ่งทะเลาะกัน รีบไปเถอะค่ะ”
“แต่ก็ดีแล้ว ถ้าให้กูเข้าไปหอประชุมทั้งที่ติดอยู่กับมึงแบบนี้กูก็คงอายคนอื่นแย่” ไอ้ภพยังไม่สำนึก
“ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอกที่ต้องอาย” ผมบอกแล้วเดินลากขาตามพี่สาววิทยากรไปจนถึงห้องเรียนเล็ก ๆ ห้องหนึ่ง

ภายในห้องเรียนมีเด็กอายุราว ๆ 13 – 15 ขวบ อยู่สิบกว่าคน ทันทีที่เด็ก ๆ เห็นผมกับไอ้ภพที่ถูกใส่กุญแจมือติดกัน ก็พากันหัวเราะออกมา แล้วส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ถามผมกับไอ้ภพว่าทำไมถึงถูกล็อกติดกันแบบนี้

“ปวดหัวแน่กู” ไอ้ภพรำพึงเบา ๆ
“ไม่ชอบเด็กหรอ?” ผมกระซิบถามมันเบา ๆ
“โคตรเกลียด”
“แล้วเกลียดมากกว่า หรือน้อยกว่ากูอ่ะ?”
ไอ้ภพกลอกตาไปมาแล้วถอนหายใจ ผมแอบหัวเราะ
“วันนี้พี่สองคนนี้จะมาช่วยสอนหนังสือให้กับน้อง ๆ นะคะ เด็ก ๆ อย่าดื้อกับพวกพี่เค้านะ” พี่สาววิทยากรแนะนำพวกผมให้กับเด็ก ๆ
“พี่เค้าทำอะไรผิดหรอกครับ ถึงโดนตำรวจจับ?” เด็กคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น แล้วเด็กคนอื่น ๆ ก็พากันหัวเราะชอบใจ
“ฮ่า ๆๆ” ผมหัวเราะออกมา แต่ไอ้ภพยังทำหน้าซังกะตายอยู่เหมือนเดิม
“เอาเป็นว่าพี่ฝากเด็ก ๆ ด้วยนะ”
“นานมั้ยครับ?” ไอ้ภพถาม
“ไม่น่าจะเกิน 2 ชั่วโมงค่ะ” ไอ้ภพได้ยินแบบนั้นก็เซ็งหนักกว่าเดิม แต่สำหรับผมแค่นี้สบาย ๆ อยู่แล้ว เพราะผมเคยรับสอนพิเศษเด็ก ๆ ในช่วงปิดเทอม
“โอเคครับ ไม่ต้องห่วงครับ” ผมบอก แล้วพี่สาววิทยากรก็เดินออกไป
“เอ่อ... เริ่มยังไงดี”

จากนั้นเราก็เริ่มแนะนำตัวกับเด็ก ๆ และให้เด็กแต่ละคนแนะนำตัวเอง เสร็จแล้วเราก็คุยกันกับพวกเด็ก ๆ และยังคงถูกถามซ้ำ ๆ ว่าทำไมถึงโดนล็อกติดกัน นอกนั้นก็ถูกถามว่าเท้าผมไปโดนอะไรมา หน้าเราทั้งคู่ไปโดนอะไรมา ตามประสาเด็กที่ช่างซักช่างสงสัย

“แล้วพี่จะสอนวิชาอะไรคะ?” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูจะเป็นเด็กเรียนเอ่ยถามขึ้น
“มึงจะสอนวิชาอะไร?” ไอ้ภพหันมาถามผม พลางหยิบดูหนังสือเรียนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในห้องเรียน
“อะไรก็ได้”
“งั้นเอาคณิตศาสตร์ไป”
“ไม่เอา กูตกคณิต”
“แล้วบอกอะไรก็ได้”
ผมกลอกตาล้อเลียน มันก็เลยเอาหนังสือเรียนฟาดเข้าที่หัวผมดังป้าบ เด็ก ๆ หัวเราะกันยกใหญ่
“เชี้ย!”
“พูดไม่เพราะ!” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้นแล้วชี้มาที่ผม
“พูดไม่เพราะ ต้องโดนอีกทีเนอะ” ไอ้ภพทำเป็นเออออตามเด็ก แล้วตีหัวผมอีกที เด็ก ๆ ก็พากันหัวเราะอีก ผมในตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกโกรธไอ้ภพเลยแม้แต่น้อย กลับหัวเราะไปกับเด็กพวกนั้นด้วยซ้ำ แต่ก็โดนเบรกด้วยสายตาอันดุดันที่ไอ้ภพมองมา ผมจึงแกล้งกลอกตาอีกครั้ง
“เลิกกวนตีนซะที!”
“พี่คนนี้ก็พูดไม่เพราะ!” เด็กคนเดิมบอก แล้วชี้ไปที่ไอ้ภพ

ผมได้ที แย่งหนังสือมาจากมือมันแล้วทำท่าจะฟาด

“ลองดิ!” ไอ้ภพพูดด้วยเสียงที่เรียบ แต่สีหน้าดูจริงจัง
“กู...แค่จะเอาหนังสือมาสอนเด็กหรอก” ผมบอกแล้วหัวเราะ โคตรไม่แฟร์เลย
“เล่มนั้นคณิตนะ”

ผมรีบเปลี่ยนหนังสือคืนกับไอ้ภพ แล้วเริ่มสอนวิชาภาษาอังกฤษ โดยเน้นเนื้อหาที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก ๆ เช่น คำทักทาย บทสนทนาง่าย ๆ แล้วให้เด็ก ๆ จับคู่เพื่อสนทนากัน

ในระหว่างนั้นไอ้ภพที่นั่งดูอยู่ คงจะสังเกตได้ว่าผมเริ่มเจ็บเท้า เพราะตรงโต๊ะของอาจารย์ที่หน้าห้องเรียนนั้นมีเก้าอีกแค่ตัวเดียว แล้วมันก็ไม่ให้ผมนั่งในตอนแรก ก็ลุกขึ้นแล้วให้ผมนั่งแทน หลังจากนั้นมันก็เปลี่ยนมาสอนวิชาคณิตศาสตร์ต่อ จนกระทั้งพี่สาววิทยากรเดินมาบอกกับเราว่าถึงพักแล้ว

“นักเรียนทำความเคารพ” เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ดูจะโตสุด และคงเป็นหัวหน้าห้องเอ่ยขึ้น แล้วเด็กคนอื่นก็ตอบรับตามอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ขอบคุณครับคุณครู!”

หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็แยกย้ายกันออกไปจากห้องเรียน แต่ผมสังเกตเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุราว ๆ 13 ขวบ ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองบริเวณหลังห้อง

“อ้าว น้อง ทำไมไม่ออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ ล่ะครับ?” ผมร้องถามเด็กคนนั้น

เด็กคนนั้นไม่ตอบ แต่หันไปมองเพื่อนที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน

“ไปเหอะ กูหิวข้าวแล้ว”
“รอแปบนึง” ผมบอกแล้วพาไอ้ภพเดินไปจนถึงโต๊ะที่เด็กคนนั้นนั่งอยู่

จึงได้คำตอบว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงไม่ยอมออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน

“ชื่อน้องรันใช่มั้ย?”
เด็กน้อยหันมามองผมแล้วพยักหน้าด้วยท่าทางประหม่า
“ผมใส่อันนี้ไม่เป็น” น้องรันบอก แล้วชี้ไปที่ขาเทียมที่ตั้งพิงไว้ข้างพนัง
“ขอพี่ดูหน่อยได้มั้ย?” ผมบอกแล้วนั่งลงเพื่อตรวจดูขาของน้อง
ขาข้างซ้ายของน้องรัน ด้วนจนถึงบริเวณใต้เข่าลงมาประมาณ 3 นิ้ว ซึ่งถูกพันผ้าไว้อย่างดี
“ยังเจ็บอยู่มั้ย?”
“ไม่ครับ” น้องรันตอบ
“แล้วปกติใครเป็นคนใส่ให้หรอ?”
“ลุงใส่ให้ครับ แต่พอดีผมทำมันเลอะ ก็เลยต้องถอดไปล้าง”

ระหว่างที่คุยกันเพื่อให้น้องรันหายเกร็ง ผมก็ทำการใส่ขาเทียมให้น้องไปด้วย ไอ้ภพยืนดูผมทำอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไร

“เสร็จแล้ว ลองเดินดูก่อนว่าถนัดไหม”
น้องรันจึงขยับตัวลุกขึ้น แล้วพยายามเดิน โดยมีผมคอยพยุงแขนเอาไว้ ทั้งที่ตอนนั้นผมเองก็เจ็บข้อเท้าอยู่เหมือนกัน

ในขณะนั้นพี่สาววิทยากรก็เดินมาตามผมกับไอ้ภพพอดี

“ขอบคุณครับ” น้องรันบอกแล้วรีบเดินกึ่งวิ่งออกไปหาเพื่อน ๆ ทันที โดยที่ผมต้องรีบตะโกนห้าม
“เฮ้ย อย่าวิ่ง! ใจเย็น ๆ”

พอเห็นเด็กคนนั้นร่าเริงขึ้นมาได้ ผมก็อดยิ้มไม่ได้จริง ๆ รวมทั้งไอ้ภพที่มองไปที่เด็กคนนั้นแล้วยิ้มออกมาเช่นกัน


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

 :pig4: ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และให้กำลังใจกันด้วยนะครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-01-2017 10:32:33
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-01-2017 16:12:26
ภพ เหมือนเด็กผู้ชาย ที่แกล้งคนที่ตัวเองชอบ
โดยที่ตัวเองก็ทำไปแบบไม่รู้ตัว
ยักษ์ ชอบเพื่อนแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-01-2017 16:44:06
 :hao7:  ภพกวนว่ะ ไม่ชอบเลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: zilmp ที่ 05-01-2017 18:11:53
 :z13:ชอบๆๆ.รอติดตามค่า
ภพแอบชอบเขาป่าวเนี่ยยย :mew3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 09-01-2017 02:40:35
ตอนที่ 5

คืนที่ 2 ของการเข้าค่าย (เพิ่งผ่านมา 2 วันก็เหนี่ยขนาดนี้แล้ว!)

คืนนี้ไม่มีกิจกรรมนันทนาการอะไร เพราะกิจกรรมบางส่วนเสร็จไปตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว รวมทั้งงานอาสาที่ทุก ๆ คนช่วยกันทำก็ลุล่วงไปแล้วประมาณหนึ่ง ทางคนที่คุมกิจกรรมค่ายอาสาในครั้งนี้ (หรือก็คือตาลุงวิทยากรหน้าโหดพ่อไอ้ภพนั่นแหละ) จึงให้พวกเราได้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย

ระหว่างมื้อค่ำ ผมที่โดนล็อกติดอยู่กับไอ้ภพก็ต้องนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน รวมถึงไอ้ยักษ์ และคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งมันมีอารมณ์บางอย่างระหว่างไอ้ยักษ์กับไอ้ภพ ที่ทำให้บรรยากาศในการกินข้าวครั้งนี้ค่อนข้างอึดอัด แต่ก็คงจะมีแต่ไอ้ม่อน ที่ก้มหน้าก้มตากิน พร้อมกับเล่าเรื่องตลก มุขฝืด ๆ ของมันแล้วหัวเราะอยู่คนเดียว
“อิ่มยัง?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม ผมส่ายหน้าแทนคำพูด
“เอาขนมหวานมั้ย? เดี๋ยวกูไปตักมาให้”
“เออดีเลย ตักเผื่อกูด้วยถ้วยนึง” ไอ้ม่อนบอก
“ไอ้ห่า! กูไม่ได้ถามมึง”
“แล้วมึงอ่ะ เอาป่ะ?” ผมหันไปถามไอ้ภพเบา ๆ กลัวไอ้ยักษ์ได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว
“กูถามมึง!” ไอ้ยักษ์ตวาด
“ไม่เป็นไร กูไปตักเองได้ กูไม่ได้พิการ!” ไอ้ภพบอก แล้วลุกขึ้น พร้อมกับกระชากแขนผมให้ลุกตามมันไป
“โอ้ย เบา ๆ สิวะ!”
“เออ! เดี๋ยวกูไปตักมาให้” ไอ้ยักษ์ต้องยอม เพราะมันรู้ดีว่าถ้าไอ้ภพไปตักเอง นั่นหมายถึงผมต้องไปกับมันด้วย นาทีนั้นผมแอบสงสารไอ้ยักษ์ที่โดนไอ้ภพแกล้งไปด้วย
“งั้นตักเผื่อกูด้วยเลยนะ” ไอ้ม่อนอ้อนวอน
“มึงอ่ะ ต้องไปกับกู กูถือไม่หมด”

แล้วไอ้ยักษ์ก็ลากไอ้ม่อนไปกับมันด้วย ไอ้กรหัวเราะกับท่าทีของไอ้ม่อนที่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นคนที่ต้องไปตักให้คนอื่นแทน

 “ทำไมมึงทำแบบนั้นวะ?” ผมหันไปต่อว่าไอ้ภพ
“ทำอะไร?”
“กูรู้มึงจงใจแกล้งไอ้ยักษ์”
“กูจะไปแกล้งมันทำไม? มันไม่อยากไปเอาขนมมาให้กู กูก็แค่จะลุกไปเอาเอง”
“เพราะมึงรู้ไงว่าถ้ามึงไปเอง กูก็ต้องไปด้วย แล้วมึงก็รู้ว่าไอ้ยักษ์มันคงไม่ยอม”
“รู้ใจผัวดีจังนะ”
“เฮ้ย! มึงสองคน...” ไอ้กรอุทานออกมาแล้วชี้มาที่เราสองคนอย่างกวน ๆ
“อะไรวะ?” ผมถาม เพราะยังงงกับท่าทางของมัน
“ส้นตีนสิ! ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด กูหมายถึงไอ้เชี้ยนี่กับไอ้ยักษ์!” ไอ้ภพรีบแก้ตัว แล้วปาชิ้นแตงกวาในจานข้าวใส่ไอ้กร
“ฮ่า ๆๆ กูก็แค่ล้อเล่น”

ในตอนนั้นผมยังคงงงอยู่ พอมาคิดทบทวนที่ไอ้ภพพูดถึงกับอ๋อ แล้วหัวเราะออกมาจนสำลักข้าว จนต้องดื่มน้ำตาม แต่ทว่าน้ำในแก้วของผมมันหมดไปซะแล้ว

“กูขอน้ำหน่อย”
“ส้นตีนสิ! กูไม่ให้” ไอ้ภพบอกแล้วรีบยกแก้วน้ำของมันหนี
“ถ้าไม่ให้ มึงก็ต้องลุกไปกดกับกู”
“อ้าว ทีนี้จะกดกันอีก” ไอ้กรบอกแล้วหัวเราะออกมาเหมือนเคย
“เดี๋ยวกูถีบให้!” ไอ้ภพหันไปด่าไอ้กร
“จะไปหรือไม่ไป?”
“เออ เอ้า!” เสร็จแล้วไอ้ภพก็เทน้ำในแก้วมันมาใส่ในแก้วของผม

ผมแอบยิ้มในใจ ที่ไอ้ภพมันมีอาการไม่ปกติ ถึงขนาดที่แค่เทน้ำยังเทหก และด้วยสาเหตุที่มันเป็นคนที่ผิวขาว แต่ตอนนี้หูมันมีสีแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่ากำลังเขิน หรือกำลังโกรธอยู่กันแน่ แต่ถ้าให้ผมเดาคงเป็นอย่างหลังมากกว่า

ไอ้ยักษ์กับไอ้ม่อนกลับมาพร้อมกับขนมหวานและผลไม้ที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้
“มีส้มที่มึงชอบด้วย” พูดเสร็จไอ้ยักษ์ก็ยื่นให้ผม
“จริงดิ? ทำไมไม่เอามาเยอะ ๆ อ่ะ”
“อย่าโลภดิ หมดแล้วก็ค่อยไปเอาใหม่ก็ได้” ไอ้ยักษ์บ่น
“ชอบอะไรโคตรธรรมดาเลย” ไอ้ม่อนแซวผม
“อะไรที่ชอบเนี่ย จำเป็นต้องพิเศษพิศดารด้วยหรอวะ?”
“รีบ ๆ กิน จะได้รีบ ๆ ไป” อยู่ ๆ ไอ้ภพก็พูดโพล่งขึ้นมา

ไอ้ยักษ์ทำท่าโมโห แต่ผมปรามไว้ก่อน

“กูหมายถึง จะรีบไปให้พ่อกูไขกุญแจออก” ไอ้ยักษ์กับไอ้ม่อนตกใจเล็กน้อย ที่ไอ้ภพพูดถึงพ่อ แต่เหมือนไอ้กรจะรู้อยู่แล้ว
“ใครเป็นพ่อมึงวะ?” ไอ้ม่อนถาม
“ลุงวิทยากรที่หน้าดุ ๆ อ่ะ พ่อมัน” ไอ้กรบอก
“เชี้ย จริงดิ ทำไมหน้าไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่เลยวะ”
“มันคงเป็นลูกเมียน้อย” ผมแซว

ไอ้ภพทุบโต๊ะอย่างแรง จนถ้วยขนมของมันนั้นหก ช้อนกระเด็นตกลงไปที่พื้นส่งเสียงดังจนคนรอบ ๆ หันมามอง ผมหน้าเสียเพราะไม่รู้ว่าดันเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปรึเปล่า

“อิ่มยัง? กูเอียนที่ต้องได้ยินเสียงมึงจนแทบจะอ้วกแล้ว ถ้าหุบปากเองไม่เป็น เดี๋ยวกูช่วยให้!” สิ้นคำพูดไอ้ภพ ทุกคนเงียบกันหมด
“ไปเลยก็ได้” ผมบอกด้วยเสียงเรียบ ๆ
“เดี๋ยวกูไปด้วย” ไอ้ยักษ์รีบบอก
“ไม่เป็นไร กูเดินไหวอยู่”
“กูจะไป!”
“มึงไปรอที่เต็นท์นั่นแหละ กูไปเองได้” ไอ้ยักษ์ทำหน้าจ๋อยที่ถูกผมขึ้นเสียงใส่ ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้ แต่ก็ต้องทำ เพราะผมแค่อยากจะขอโทษไอ้ภพ ถ้าไอ้ยักษ์ไปด้วยผมคงไม่ได้พูด
“จะไปได้ยัง?” ไอ้ภพเร่ง

ระหว่างที่ผมกับไอ้ภพกำลังเดินไปที่ห้องของพ่อมันอยู่นั้น ทุกอย่างดูนิ่ง และเงียบไปหมด ผมทั้งกลัว ทั้งรู้สึกผิด อยากจะขอโทษมัน แต่ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยออกไป หลังจากที่มันพูดแบบนั้นใส่ผม แต่ถึงอย่างไรผมก็ต้องขอโทษมัน

พอเดินมาถึงห้องของพ่อไอ้ภพ ก็ต้องมีเรื่องเซอร์ไพรส์อีกครั้ง เพราะห้องที่พ่อมันควรจะอยู่นั้นปิดสนิท พี่ต้อมที่เป็นวิทยากรเดินผ่านมาพอดี ก็ได้เรื่องว่าพ่อมันกลับไปที่บ้าน พรุ่งนี้ตอนเที่ยงถึงจะกลับมา และที่เซอร์ไพรส์หนักกว่านั้นคือ พ่อมันไม่ได้ทิ้งลูกกุญแจไว้ให้ด้วย

ไอ้ภพหัวเสีย รีบโทรศัพท์หาพ่อมันหลายสาย พ่อมันก็ไม่ยอมรับ จนสุดท้ายก็ต้องทำใจว่ายังไงคืนนี้ผมกับมันต้องติดกันอยู่แบบนี้ทั้งคืน ระหว่างที่ผมกับมันกำลังเดินกลับไปที่เต็นท์ ผมก็ตัดสินใจที่จะขอโทษมัน

“ไอ้ภพ กูขอ...แอ่ก!” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ ไอ้ภพกระชากคอเสื้อผมแล้วผลักผมจนติดกำแพง
“ถ้ามึงไม่หยุดพูด มึงได้เสียใจแน่!”
“กูแค่จะขอโทษ” ผมบอกด้วยเสียงที่สั่นเครือ น้ำตาผมไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด เพราะจังหวะที่มันเหวี่ยงตัวผมเข้ากับกำแพงนั้น ข้อเท้าที่พลิกอยู่ของผมก็ดังกร็อบ และแผ่ซ่านความเจ็บปวดนั้นขึ้นมาจนผมยืนไม่ไหว แล้วทรุดลงไปกับพื้น

ไอ้ภพเห็นแบบนั้นก็ตกใจ และคลายความโกรธลงนิดนึง แต่มันก็ยังคงเย็นชาพอที่จะยืนอยู่เฉย ๆ เพื่อดูผมที่กำลังเจ็บข้อเท้าอย่างทรมาน

ผมพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา แต่น้ำตามันไหลออกมาเองโดยอัตโนมัติ ด้วยความรู้สึกเจ็บจนเหมือนกระดูกแหลกไปแล้ว

“มึงเป็นไงบ้าง?” ในที่สุดไอ้ภพก็นั่งลงแล้วเอ่ยปากถามผม

ผมเจ็บเกินกว่าที่จะเอ่ยปากตอบมันได้

“ลุกไหวมั้ย?”
“...”

ไอ้ภพตัดสินใจยกแขนของผมคล้องคอมันไว้แล้วดึงตัวให้ผมขี่หลังมันอย่างทุลักทุเล โดยไม่พูดอะไร ตอนนี้ผมเรียนรู้ที่จะอยู่เงียบ ๆ บนแผ่นหลังอุ่น ๆ ของมัน ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะโกรธมัน แต่ตอนนี้ความโกรธกลับมลายหายไปจนหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความเสียใจเอาไว้ ผมเองก็อธิบายไม่ถูกว่าผมกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่

ไอ้ภพพาผมเดินมาจนถึงเต็นท์ พอไอ้ยักษ์เห็นสภาพนั้นก็ตรงปี่เข้ามาถามผมทันทีว่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่อยากตอบ แต่ถึงผมไม่พูดอะไร ไอ้ยักษ์ก็คงรู้ มันจึงกระชากคอไอ้ภพไปแล้วตะคอกเสียงดัง

“มึงทำอะไร!?”

ไอ้ภพยืนนิ่งให้ไอ้ยักษ์ทำแบบนั้น จนสุดท้ายไอ้ยักษ์ต่อยเข้าที่ใบหน้าไอ้ภพทีนึง จนมันเซถลาไป มันก็ยังไม่ตอบโต้ใด ๆ

“พอแล้ว! กูหกล้มเอง” ผมบอก
“มึงไม่ต้องมาโกหก กูดูหน้ามึงก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไร!” ไอ้ยักษ์บอกแล้วดึงตัวไอ้ภพมาอีก พลางง้างหมัดเพื่อจะต่อยไอ้ภพอีกครั้ง
“กูบอกให้พอได้แล้ว!” ผมตวาดไอ้ยักษ์เป็นครั้งที่สองของวันนี้
“ทำไมมึงต้องปกป้องมันด้วยวะ?” ไอ้ยักษ์ปล่อยมือจากไอ้ภพ แล้วเดินกลับเข้าเต็นท์ไป

ผมรู้ว่ามันคงน้อยใจผม แต่ผมแค่ไม่อยากให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก เอาไว้ค่อยขอโทษมันทีหลังแล้วกัน

“เกิดอะไรขึ้นวะ? แล้วทำไมถึงไม่ได้ไขกุญแจมือออก?” ไอ้กรถาม ไอ้ภพไม่ตอบแต่พยุงผมไปที่เต็นท์ 9

คืนนี้คงต้องยอมรับชะตากรรม นอนที่เต็นท์เดียวกับมัน

“เจลล์ประคบอยู่ที่ไหน?” ไอ้ภพถามผมหลังจากที่พาผมมานั่งพักข้างในเต็นท์
“ในกระเป๋า”
“ไอ้กร มึงไปเอากระเป๋ามันมาให้หน่อยได้มั้ย? คืนนี้มันคงต้องนอนที่นี่”
“เออ”
“เอ้อ กูฝากซื้อน้ำเปล่ามาให้ด้วย” ไอ้กรพยักหน้ารับแล้วออกไปเอากระเป๋าของผมที่เต็นท์ 7 ไม่ถึงนาทีมันก็กลับมา แล้วขอตัวไปอาบน้ำ

ไอ้ภพถอดรองเท้าของผมออกอย่างเบามือ ตามด้วยผ้ายืดพี่พันเอาไว้

“กูทำเอง” ผมรีบลุกขึ้น เพราะรู้สึกแปลก ๆ ที่มันมาทำให้แบบนี้
“นอนลงไป เดี๋ยวกูทำเอง” ไอ้ภพผลักผมให้นอนลงไปเหมือนเดิม

เสร็จแล้วมันก็หันไปหยิบเสื้อในกระเป๋าของมันมาชุบน้ำ แล้วเช็ดที่เท้าผม ซึ่งในนาทีนั้น ใจของผมเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกมาให้ได้

“ตอนกลางคืน แปะแค่แผ่นเจลไว้ก็พอ”

ไอ้ภพมองหน้าผม เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าสายตาที่มันมองผมเปลี่ยนไป ความคิดที่ว่าเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ กลับเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าผมคิดแค่นั้นรึเปล่า บางทีผมอาจจะเผลอคิดมากไปกว่านั้นแล้วก็ได้

“เช็ดหน้าซะ สภาพดูไม่ได้เลย” ไอ้ภพบอกแล้วโยนเสื้อที่ชุบน้ำมาใส่ผม

ผมเอาเสื้อนั้นมาเช็ดที่หน้าตามที่มันบอก ไอ้ภพจึงหัวเราะออกมา

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มึงเพิ่งเช็ดตีน...”
“ไม่เห็นเป็นอะไร ตีนมึงเองนะ” ไอ้ภพบอกแล้วขำต่อ

“คืนนี้กูจะนอนที่นี่ด้วย กูไม่ปล่อยให้มึงอยู่กันสองคนหรอก” ไอ้ยักษ์โผล่พรวดเข้ามา แล้วโยนกระเป๋าของมันเข้ามาด้วย
ผมกับไอ้ภพมองตาปริบ ๆ ก็คงห้ามมันไม่ได้อยู่แล้ว

ไอ้กรจึงไปนอนกับไอ้ม่อนแทน

หลังจากไอ้ยักษ์เข้ามา ก็ไม่มีการสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นอีก คงเพราะน้ำท่วมปากกันหมดไม่มีใครพูดอะไร จนทั้งสองคนหลับกันหมด เหลือแต่ผมที่ยังต้องข่มตา เพราะนอนไม่หลับ ผมเอื้อมมือไปจับที่แขนไอ้ยักษ์ที่นอนหันหลังให้ผมอยู่

“นอนไม่หลับหรอ?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม
“อ้าว นึกว่าหลับแล้ว”
“กูก็นอนไม่หลับเหมือนกัน” ไอ้ยักษ์บอกแล้วพลิกตัวหันมาหาผม

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจขอโทษมัน

“วันนี้กูขอโทษนะ”
“อืม”
“ที่มึงทำ กูก็เข้าใจนะเว้ย แต่กูแค่ไม่อยากให้มึงมีปัญหาไปด้วยอีกคน”
“แต่กูไม่ค่อยเข้าใจมึง ว่าทำไมมึงต้องปกป้องมันด้วย ทั้งที่มันทำกับมึงขนาดนี้”
“ไม่ได้ปกป้องซะหน่อย”
“แล้วทำไมต้องโกหก กูดูหน้ามึงก็รู้แล้วว่าไปมีเรื่องกันมา แบบนี้ไม่เรียกว่าปกป้องหรอวะ?”
“กูก็แค่ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องขึ้นมาอีก”
“มึงชอบมันหรอ?” ไอ้ยักษ์ถาม
“เปล่า...”

มันมองผมแบบจับพิรุธ

“กูอาจจะกำลังนึกถึงไอ้ภูอยู่ก็ได้”
“กูไม่อยากยุ่งหรอกนะ ถ้ามึงจะคบใคร แต่กูไม่อยากเห็นมึงเสียใจบ่อย ๆ ตอนที่คบกับน้องมันกว่ามึงจะผ่านมาได้ก็แทบแย่ไม่ใช่หรอวะ”
“ขอบใจเว้ย มีมึงอยู่เป็นเพื่อนแบบนี้ จะเสียใจอีกกี่ครั้งกูก็โอเค”
“แต่กูไม่โอเคไง”
“ฮ่า ๆๆ”

<---o--->

ผมหลับไปซักพักนึงก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะเสียงโทรศัพท์ของไอ้ภพที่ดังขึ้น

“มีอะไรล่ะ เตี่ยลืมทิ้งกุญแจไว้ให้ผมไง/ แล้วทำไมป่านนี้เพิ่งจะโทรกลับมา/ แล้วไอ้ภูมันว่าไง?/ พ่อก็ไม่ต้องยอมสิ อย่าปล่อยให้มันไปเด็ดขาดเลย!/ ครับ/ กลับมาเร็ว ๆ ด้วย” พูดจบไอ้ภพก็วางสาย แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

มันลุกขึ้นนั่ง แล้วส่องไฟจากโทรศัพท์ของมันไปที่เท้าผม แล้วแปะแผ่นเจลที่หลุดออกมาเข้าไปใหม่ ผมแกล้งทำเป็นงัวเงียตื่นขึ้นมา มันตกใจเล็กน้อยแล้วล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม

“ขอบใจ” ผมบอก
“อืม” ไอ้ภพบอกแล้วถอนหายใจอีกครั้ง
“ทำไมมึงชอบถอนหายใจจังวะ?”

ไอ้ภพถอนหายใจอีกครั้ง แล้วพลิกตัวหันมาหาผม

“มึงไม่ต้องยุ่งซักเรื่องได้มั้ย?”
“อืม”
“...”
“...”
“กูถามอะไรมึงหน่อยดิ”
“อะไร?”
“มึงยังรักไอ้ภูอยู่รึเปล่า?”

ผมงงนิดหน่อยที่มันเอ่ยปากพูดเรื่องไอ้ภูกับผม

“ตอนนี้สำคัญด้วยหรอวะ?”
“กูไม่เข้าใจ ทำไมมึงต้องรักมันด้วยวะ?”
“อ้าว ไอ้นี่ รักมันก็คือรักรึเปล่าวะ? ไม่เห็นต้องมีเหตุผลเลย”
“แล้วกูไม่เข้าใจอีกอย่างนึง คือทำไมน้องกูถึงไปชอบมึง ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่มีวี่แววเลยว่าจะชอบผู้ชาย”

ผมเงียบ เพราไม่รู้จะตอบว่าอะไร

“มึงรู้มั้ย ว่ามึงกำลังทำให้มันเดือดร้อน”
“เดือดร้อนยังไงวะ? กูกับมันแค่คบกัน”
“ก็เพราะผู้ชายกับผู้ชายมันไม่ควรคบกันไง” ไอ้ภพขึ้นเสียง
“ถ้ามึงเพียงแค่มองข้าม คำว่าควรไม่ควร มองข้ามคำว่าเพศ ทั้งหมดที่เหลืออยู่ มันก็คือความรัก” ผมบอกแบบถอดใจ เพราะไม่รู้จะเอาไหนมาอธิบายให้มันฟังอีกแล้ว
“อืม” ไอ้ภพบอกแล้วเงียบไปอีกครั้ง
“กูขอโทษนะ เรื่องที่พูดตอนที่อยู่ในโรงอาหาร กูไม่รู้ว่ามึงมีปัญหาอะไร”
“ช่างมันเถอะ”
“แต่มึงดูโกรธขนาดนั้น”
“กูบอกว่าช่างมันไง” ไอ้ภพเริ่มคอนโทรลเสียงให้เบาไม่ได้
“เออ...”
“เฮ้อ...”

ไอ้ภพถอนหายใจเป็นครั้งที่หนึ่งร้อย

“กูขอโทษ...” ครั้งแรกที่คำนี้ออกมาจากปากของไอ้ภพ ผมอึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไร
“อืม...”
“ขอโทษเรื่องเท้ามึงด้วย”
“ช่างมันเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้ว” ผมบอกแล้วหัวเราะเบา ๆ ไอ้ภพเห็นผมหัวเราะก็หัวเราะออกมาบ้าง
“กูขอถามมึงอีกเรื่องสิ”
“อะไรวะ?”
“มึงกับน้องกู มีอะไรกันยัง?”
“เอ่อ...” ผมถึงกับเหวอ ที่ไอ้ภพถามผมตรง ๆ แบบนี้
“ไม่ต้องตอบแล้ว แค่นี้กูก็รู้แล้ว”
“อยู่ ๆ ถามแบบนี้ใครไม่อึ้งบ้างวะ?”
“มึงนี่มันเลวจริง ๆ” ไอ้ภพด่าผม
“อ้าว ไหงงั้นอ่ะ?”
“ได้กับน้องกูไปแล้วยังจะมาอ่อยกูอีก”
“เดี๋ยว กูไปอ่อยมึงตอนไหน?”
“มึงอ่อยกู!”
“กูเปล่า”
“มึงอ่อย!” ไอ้ภพเถียงกลับ
“กูไม่เสียเวลาอ่อยคนแบบมึงหรอก ไม่เห็นจะมีอะไรน่าหลงไหลตรงไหนเลย” ผมบอกแล้วพลิกตัวหันหนีมัน แต่ไอ้ภพดึงแขนผมกลับแล้วขยับหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ผม
“มึงแน่ใจหรอ?”

โชคดีที่ในเต็นท์มืดพอที่จะบดบังความรู้สึกของผมที่มันแสดงออกมาทางสีหน้า

“แน่ใจหรอว่ากูไม่มีอะไรให้มึงชอบ?” ไอ้ภพถามย้ำ
“เออ”

สิ้นเสียง ริมฝีปากอุ่น ๆ ของไอ้ภพก็สัมผัสกับริมฝีปากของผม ทำให้ผมแทบจะขยับตัวไม่ได้คล้ายถูกตรึงเอาไว้ เลือดสูบฉีดจนใบหน้าของผมนั้นร้อนผ่าว ความเงียบรอบตัวทำให้ผมแทบจะได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองที่เต้นเร็วราวกับกลองศึก

“เชี้ยเอ๊ย!” ไอ้ภพอุทานออกมาเบา ๆ แล้วพลิกตัวกลับไปนอนเหมือนเดิม ปล่อยให้ผมนอนช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่

สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความคิดต่าง ๆ นานา ไหลเข้ามาในหัว แล้วผล็อยหลับไปกับความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบาย...

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

วันจันทร์อีกแล้ววว วันนี้ขอลงให้เร็วหน่อยนะครับ  o22
เพราะพรุ่งนี้น้องชายของผู้แต่งหยุดเรียน (เกี่ยวอะไรด้วย?)
เพราะมันจะยึดคอมทั้งวัน ผมกลัวไม่มีเวลามาลงให้ ก็เลยรีบลงตอนนี้เลย  o13

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกการตอบรับนะครับ มีตรงไหนที่อยากแนะนำ หรือติติงเชิญได้เลยครับผม
เรื่องคำผิด ผู้แต่งพยายามสกรีนหลายรอบมาก แต่ด้วยบางทีพิมพ์นิยายดึกมาก ๆ อาจทำให้ตาเบลอไปบ้าง
ซึ่งอาจจะทำให้มีบางคำพิมพ์ผิดไปบ้าง ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-01-2017 20:38:23
หวั่นไหวกันแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 10-01-2017 11:10:28
ป่านนี้ขาไม่พิการไปแล้วเหรอ.   โดนซ้ำๆ. หลายทีแล้วนะ.  ภพก็นะอะไรนักหนา.   ไม่มีส่วนไหนน่าชอบเลยสักนิด.   เชียร์ยักษ์มากกว่าอีก.    :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2017 12:38:38
ป่าน ดูใจอ่อนกับภพนะ  :mew1: :mew1: :mew1:
ถึงจะอ้างว่าไม่อยากให้มีเรื่องเพิ่มขึ้นอีก
ภพก็ไม่น่ารักเลย ป่านยอมมากไปแล้ว
จูบป่านทำไมภพ แค่พิสูจน์เหรอ  :ling1: :ling1: :ling1:
แต่ดูท่าผลมันจะไม่ใช่นะ
ห่างๆไปเลยถ้าไม่คิดไรกันทั้งสองคนแหละ
โถ....ยักษ์อุตส่าห์มานอนด้วย เขายังจูบกันข้างๆเลย
ชักสงสัยภพและ ที่ห้ามภูไม่ให้มารักมาชอบป่าน
เพราะภพแอบชอบป่านใช่มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ภู]
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 12-01-2017 06:58:33
ภู...

“Excuse me. Could you tell me how to get to the bus station, please?” (ขอโทษค่ะ ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าจะไปสถานีขนส่งได้อย่างไร)
เสียงของนักท่องเที่ยวต่างชาติสาวสองคน งก ๆ เงิ่น ๆ เดินถามทางเพื่อที่จะไปที่สถานีขนส่ง จากที่ผมสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีใครช่วยพวกเธอเลย ผมจึงเดินเข้าไปบอกทางกับเธอ ตามประสาเจ้าบ้านที่ดี และด้วยทักษะทางภาษาที่ไม่ได้มากมายอะไร แต่แค่บอกทางที่ไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไหร่ ผมยังพอจะเจรจาได้อยู่
หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวทั้งสองสาวก็เดินจากไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดขอบคุณเป็นภาษาไทย และนั่นคือสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ที่ได้เห็นรอยยิ้มของชาวต่างชาติที่มาเที่ยวประเทศไทยแล้วรู้สึกดีกับประเทศของเรา

“พี่ครับ ๆ”

ผมหันไปตามเสียงที่กำลังเรียกผมอยู่ เจ้าของเสียงเป็นเด็กม.ปลาย หน้าตาน่ารัก ยืนยิ้มแฉ่งให้ผม

“มีอะไรครับ?”
“พี่ช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ?” เด็กคนนั้นบอก
“หืม? จะดีหรอ?”
“ดีสิพี่ เมื่อกี้ผมเห็นพี่คุยกับฝรั่งแล้ว พี่น่าจะสอนผมได้”
“แค่บทสนทนาง่าย ๆ ก็พอไหวอยู่ แต่จะให้สอนคนอื่นเนี่ยนะ?”
“นะครับ ผมมีค่าสอนให้ด้วยนะ”

ผมลังเล ก่อนที่จะตอบตกลงไป จากนั้นเราก็แลกเบอร์โทร แลกไลน์กัน เพื่อเอาไว้ใช้ติดต่อ

“น้องชื่ออะไรนะ?”
“ภูครับ พี่ล่ะ?”
“โซ่”
“โอเคครับ ผมเริ่มเรียนวันเสาร์นี้เลยนะ เรื่องสถานที่พี่พอจะสะดวกที่ไหนบ้างรึเปล่า?”
“พอมีอยู่นะ เอาไว้เดี๋ยวบอกในไลน์แล้วกัน”
“ครับผม” ไอ้น้องภูบอก แล้วยิ้มด้วยความดีใจ ผมเองก็เผลอยิ้มไปกับมันด้วย

<---o--->

บทสนทนาจากไลน์

ภู : นอนยังครับ พี่โซ่?
ผม : ยัง ๆ
ภู : พรุ่งนี้ผมไปตั้งแต่ 9 โมงเช้าเลยนะ
ผม : เร็วไปไหม 555
ภู : จะไปหาอะไรกินก่อนด้วยไง
ผม : อ่อ โอเค
ภู : โอเคครับ พี่ก็นอนได้แล้ว
ผม : ยังไม่ง่วงเลย
ภู : ถ้าไปสายผมจะไปปลุกยันห้องเลยนะ
ผม : 555 รู้หรอว่าห้องพี่อยู่ไหน
ภู : ไม่รู้ครับ พี่บอกดิ จะได้รู้
ผม : (สติ๊กเกอร์ตกใจ)
ภู : นอน ๆ ฝันดีนะครับ
ผม : ฝันดี ๆ



“เป็นอะไรวะ?” ไอ้ยักษ์หันมาถามผม เพราะเห็นผมนั่งยิ้มกับหน้าจอโทรศัพท์
“เปล่า”
“แล้วตกลงพรุ่งนี้จะไปดูหนังกับพวกกูมั้ย?”
“คงไม่ไปแล้ว เพราะกูเพิ่งรับสอนพิเศษเด็กคนนึงมา”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”
“เพิ่งตกลงเมื่อวาน”
“แน่ใจนะว่าไม่ไป”
“เออ มึงไปกับพวกไอ้นุเถอะ”


<---o--->


“มาก่อนผมอีกหรอเนี่ย? ผมว่าผมรีบมาแล้วนะ” ไอ้น้องภูบอกแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผม
“กินอะไรมายัง?”
“ยังเลยครับ”
“งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า แถวนี้มีร้านอาหารตามสั่งร้านนึง อย่างเด็ด”

วันนี้น้องภูดูต่างจากวันที่เราเจอกันครั้งแรกมาก มันดูหล่อเป็นพิเศษ ทั้งที่ใส่แค่เสื้อยืดธรรมดา ๆ กับกางเกงยีนส์รัดรูปสีดำ แต่ออร่าจับจนตั้งแต่ที่มันเดินก้าวเข้ามาในร้านนมที่ผมนั่งรอมันอยู่ ไม่มีใครที่ไม่หันมามองมันเลย

“คนในร้านแมงกันแปลก ๆ” ไอ้น้องภูบ่นกับผมหลังจากที่เดินออกมาจากร้านนมแล้ว

ผมหัวเราะในความไร้เดียงสาของมัน

หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จแล้ว ผมก็พาน้องภูไปที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่อทำการสอน น้องภูเป็นเด็กที่ค่อนข้างหัวไว เวลาที่ผมบอกหรือสอนอะไรไปแล้ว มันก็จะจำได้ทันที โดยไม่ต้องคอยย้ำหลาย ๆ รอบ ผมทั้งสอน ทั้งคุย แล้วก็เล่น กันไปเรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง น้องภูก็บ่นหิวอีกครั้ง

“ที่จริงก็เก่งอยู่แล้วนี่ จะมาให้พี่สอนอีกทำไม?”
“ไม่หรอก พี่สอนเก่งมากกว่า ผมเลยเข้าใจได้ง่าย” น้องภูถ่อมตัว

<---o--->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 12-01-2017 07:26:25
ตอนที่ 6

“ไอ้โซ่ ๆ” ไอ้ยักษ์ปลุกผมด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรน
“หืม? มีอะไร?” ผมงัวเงียตอบมากแล้วขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้น แต่รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อเท้าอย่างแรง
“เท้ามึงบวมมากเลย มึงเป็นไงบ้าง”

ผมผงกหัวดู ถึงจะเห็นว่ามันบวก แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเลวร้ายแค่ไหน แต่ที่รู้คือมันเจ็บมากจนผมแทบจะไม่อยากขยับตัวเลย ไอ้ภพที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ดูร้อนรนเช่นกัน

ผมมองหน้าไอ้ภพแล้วต้องรีบหลบสายตา เพราะรู้สึกกะอักกะอ่วน ทันทีที่นึกถึงเรื่องเมื่อคืน

“กูให้ไอ้กรไปตามพี่ต้อมแล้ว ให้เค้ามาดูหน่อย เพราะอาจจะต้องไปหาหมอ” ไอ้ยักษ์บอก
“ไหน เป็นไงบ้าง?” พี่ต้อมวิทยากรมาพอดี ทันทีที่เห็นว่าเท้าผมบวมขนาดนี้ก็รีบโทรให้เพื่อนของเขาเอารถออกเพื่อพาผมไปโรงพยาบาลที่อยู่ในตัวเมืองทันที
“อ้าว พี่ไปเอากุญแจมาจากไหน?” ไอ้ภพถามพี่ต้อม เมื่อพี่ต้อมไขกุญแจมือให้กับเราสองคน
“พ่อน้องโทรมาบอกว่ามีกุญแจสำรองเก็บไว้”

ผมกับไอ้ภพถูกถอดกุญแจมือออกจากกัน ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรู้สึกหน่วง ๆ ที่เป็นแบบนั้น

“เดี๋ยวพี่ไปตามรถก่อนนะ”
“เดี๋ยวกูไปกับมึงด้วย” ไอ้ภพบอก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปเอง” ไอ้ยักษ์รีบแย้ง

ไอ้ภพถอนหายใจแล้วยอมเอ่ยปากขอโทษไอ้ยักษ์

“ที่ผ่านมากูขอโทษมึงนะ ขอโทษที่ทำให้เพื่อนมึงเจ็บ... แต่นี่เป็นความรับผิดชอบของกู”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกู กูดูแลเองได้”

ถึงผมจะรู้สึกดีใจ ที่ไอ้ภพมันคิดแบบนี้ และอยากจะให้มันไปกับผมด้วยก็ตาม แต่ครั้งนี้ผมคงต้องเลือกเข้าข้างไอ้ยักษ์ เพราะไม่อยากทำให้มันรู้สึกไม่ดีอีก อย่างน้อยไปกับไอ้ยักษ์ก็น่าจะสบายใจกว่า

“กูไม่ได้ขออนุญาตมึง”

อ้าว... เป็นงั้นไป

ไอ้ยักษ์มองหน้าผมในเชิงสงสัย ผมก็ได้แต่ยักไหล่ เพราะไม่รู้จะบอกกับมันยังไง

“ลุกขึ้นยืนไหวมั้ย?” ไอ้ภพหันมาถามผมหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ... อืม”

ผมกระเถิบตัวออกมาจากเต็นท์ แล้วพยายามยืนขึ้น โดยมีไอ้ยักษ์พยุงอยู่

“โอ้ย...”
“ใจเย็น ๆ สิมึง ขี่หลังกูมั้ย?” ไอ้ยักษ์ถาม
“ไม่... ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่”
“เป็นยังไงบ้าง?” ลุงวิทยากรหน้าโหดเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย
“อ้าว พ่อ ไหนบอกกลับเที่ยง”
“พอดีต้อมโทรบอกก็เลยรีบมา แล้วก็มารับเอ็งด้วย”
“รับไปไหน?” ไอ้ภพถาม
“ปู่อาการไม่ดี ตอนนี้อยู่ ICU ก็เลยจะพาไปเยี่ยม”

ไอ้ภพครุ่นคิด แล้วหันมามองผม

“รถมาพอดี ต้อมฝากน้องด้วยนะ เดี๋ยวตอนเย็นลุงกลับมา”
“ครับ” พี่ต้อมรับคำ แล้วมาช่วยไอ้ยักษ์พยุงผมไปที่รถ
“ส่วนเอ็ง เก็บกระเป๋าแล้วตามมาเร็ว ๆ น้องรออยู่ที่รถแล้ว”

น้อง...
น้อง... รออยู่ที่รถ
พ่อมันหมายถึงไอ้ภูใช่ไหม?

ไอ้ภพหันมามองหน้าผมอีกครั้ง เราไม่มีคำพูดอะไรให้กันอีกเลย จนผมก้าวขึ้นรถไป ใจนึงของผมตอนนี้ก็อยากจะไปเจอไอ้น้องภูอีกซักครั้ง แต่อีกใจนึงกลับรู้สึกหน่วงกับแววตาที่ไอ้ภพมองมา

ผมไม่รู้จะนิยามความรู้สึกในตอนนี้ว่าอะไร เพราะเรื่องราวต่าง ๆ ของผมกับมัน เกิดขึ้นเร็วมาก เมื่อวานเรายังเป็นคนที่เกลียดกัน เมื่อวานมันยังเป็นคนที่ทำผมเจ็บตัว แต่วันนี้ ผมกลับรู้สึกกับมันอีกแบบ ผมไม่หลงเหลือความโกรธใด ๆ เลย หรือผมชอบมันเข้าแล้ว? แล้วความรู้สึกดีใจที่ได้ยินว่าไอ้น้องภูอยู่ใกล้ ๆ นี้ล่ะ? ผมยังรักน้องภูอยู่ไม่ใช่หรอ?

รวมทั้งเรื่องเมื่อคืน... ผมก็รู้สึกมีความสุขไม่ใช่หรอ?

หลังจากที่นั่งรถมากว่า 40 นาที ก็ถึงโรงพยาบาลเล็ก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ก็ดูจะเพียบพร้อมอยู่ไม่น้อย ผมนั่งรอคิดตรวจอยู่ไม่ถึง 5 นาที ก็ได้พบกับหมอ และได้ทำการเอ็กซ์เรย์ขาผมด้วย ปรากฏว่า นอกจากที่เท้าพลิกแล้ว กระดูกบริเวณข้อเท้าก็ร้าวด้วย และเกิดการบวมอักเสบขึ้นมา อาจจะต้องใส่เฝือก 2-3 สัปดาห์

<---o--->

และก็เป็นไปตามคาด ผมถูกส่งตัวกลับ เพราะผมต้องพักรักษาตัว ส่วนไอ้ยักษ์ก็กลับมาด้วยด้วย เพราะมันบอกว่าต้องคอยดูแลผม

“ฮ้า! โคตรคิดถึงเตียงเลย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
“แหม มึงกับกูเพิ่งไปที่ค่ายนั่นแค่สองวันเองนะ กูยังไม่ทันรู้สึกสนุกเลย”
“พูดตรง ๆ ก็เสียดายเนอะ อยากอยู่ต่ออีกซักพักนึง”
“ขอโทษด้วยแล้วกัน ที่ทำให้ต้องลำบากไปด้วย”
“เออ เป็นเพราะมึงเลย”
“ฟวยเถอะ! ที่กลับมาเนี่ยมึงก็ขอมาเองไม่ใช่หรอ?”
“แล้วมึงคิดว่ากูจะปล่อยให้มึงพิการแล้วมาอยู่ห้องคนเดียวหรอ? สำนึกบุญคุณหน่อย อย่าหือกับพี่นะน้อง” ไอ้ยักษ์บอกแล้วทำหน้าตากวนบาทา

<---o--->

1 เดือนผ่านไป

หลังจากที่ผมกลับมาจากค่ายอาสาเพื่อรักษาตัว 2 สัปดาห์ให้หลัง เท้าผมก็หายเป็นปกติ ชีวิตผมเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิมอีกครั้ง เพราะช่วงที่ใส่เฝือกอยู่ก็ต้องหยุดเรียนไปด้วย ซึ่งก็จะได้พวกไอ้ยักษ์ ไอ้นุ ที่คอยเลคเชอร์เนื้อหาวิชาเรียนต่าง ๆ มาให้ และมาตั้งวงช่วยกันติวให้ผมอยู่เป็นประจำ

สัปดาห์แห่งการสอบผ่านไป เข้าสู่ช่วงของกีฬาภายในมหาวิทยาลัย ก่อนปิดเทอม

ไอ้ยักษ์ ลงแข่งกีฬาบาสเก็ตบอลตามที่มันถนัด และนอกจากนั้นก็มี ตะกร้อ และว่ายน้ำอีกด้วย ซึ่งระหว่างที่มันต้องซ้อมในแต่ละเย็นนั้น ผมก็ต้องคอยมารับใช้มัน เพื่อเป็นการตอบแทนที่มันคอยช่วยเหลือผมตลอดช่วงที่ยังเข้าเฝือกอยู่

“ไหนน้ำกูอ่ะ?” ไอ้ยักษ์ในชุดนักบาสเอ่ยถามผมที่นั่งเป็นบ่าวมันอยู่ข้างสนาม
“น้ำอะไร?”
“กูบอกให้มึงไปซื้อน้ำมาให้กูไง!”
“อ้าว หรอ?”

ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันสั่งผมไว้ตอนไหน เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกตัวเองไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ใจผมมักจะลอยไปที่อื่นอยู่บ่อย ๆ

“ไปซื้อมาเลย” ไอ้ยักษ์สั่ง
“เออ ๆ”
“เออ แล้วฝากหยิบโทรศัพท์ในล็อกเกอร์ให้กูด้วยนะ พอดีลืมหยิบมา”
“ห้องล็อกเกอร์ กับร้านน้ำนี่มันคนละทางกันเลยนะเว้ย” ผมบ่น
“อย่าบน ๆ ฮ่า ๆๆ”

หลังจากที่ผมเดินไปซื้อน้ำ (แดงมะนาวโซดา) ให้ไอ้ยักษ์แล้ว จึงเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์เพื่อที่จะไปเอาโทรศัพท์มาให้มัน
ลักษณะของห้องล็อกเกอร์เป็นห้องกว้าง ซึ่งรอบ ๆ จะเป็นล็อกเกอร์ของนักกีฬาของมหาลัย โดยจะมีห้องอาบน้ำอยู่ถัดออกไป
ผมกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะเดินเข้าไป เพราะมันมีเสียงล่ำลือกันในหมู่นักกีฬาว่าที่ห้องนี้มีผี ซึ่งจะมีจริงรึเปล่าไม่รู้ แต่ผมก็กลัวไปแล้ว ยังโชคดีที่ได้ยินเสียงคนอาบน้ำ และคุยกันอยู่บ้าง เป็นการบ่งบอกว่าในนั้นยังมีคนอยู่ ทำให้ผมสบายใจขึ้นมานิดนึง  แต่ก็ไม่วายความคิดหนอความคิด ดันตั้งแง่กับตัวเองว่า แล้วถ้าเสียงที่ได้ยินอยู่ไม่ใช่เสียงคนล่ะ? ถ้าจริงๆ แล้วในห้องอาบน้ำไม่มีใครอยู่เลยล่ะ? พอคิดแบบนั้นผมรีบวิ่งไปไขกุญแจเพื่อหยิบโทรศัพท์ให้ไอ้ยักษ์ แล้วรีบวิ่งกลับออกมา

ตึก!

“โอ้ย! / เฮ้ย!”

ด้วยความรีบร้อนทำให้ผมวิ่งไปชนคน ๆ นึงเข้า จนน้ำที่ผมถืออยู่ในมือนั้น หกใส่นักกีฬาร่างใหญ่คนนั้นจนเสื้อสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำแดงเป็นวงกว้าง

“เฮ้ย ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ” ผมรีบขอโทษทันที แต่ผู้ชายตัวใหญ่คนนั้นกระชากคอเสื้อผมแล้วตวาดกลับมา
“ตามองเชี้ยอะไรอยู่วะ? ทำไมไม่มองทาง!”
“เอ่อ... ขอ.. ขอโทษครับ”

ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นนักศึกษาจากมหาลัยอื่นที่มาอาศัยซ้อมกีฬาที่สนาม สังเกตได้จากเสื้อที่ผมทำเลอะ มันมีตราของมหาลัยอื่นอยู่

“ขอโทษแล้วเสื้อมันหายเปื้อนมั้ย?” ชายคนนั้นบอก
“แล้วจะให้ทำยังไง ก็ไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า”

ไอ้หมอนั่นผลักผมจนติดกำแพงแล้วง้างหมัดทำท่าจะต่อย

“เฮ้ย! เขาขอโทษแล้วก็พอแล้วรึเปล่าวะ?” เสียงหนึ่งดังขึ้น
“แต่ไอ้เชี้ยนี่มันทำเสื้อกูเลอะนะ!”
“มึงก็รีบเอาไปซักสิ มัวมาทำอะไรแบบนี้อยู่เดี๋ยวมีแดงมันก็ซึม ซักไม่ออกอย่าหาว่ากูไม่เตือนนะ”
“มึงดูมันไว้นะ เดี๋ยวกูมาคิดบัญชี”
“ไม่ว่ะ นี่เพื่อนกู กูไม่ช่วยมึงทำอะไรมันหรอก กูไม่ให้ทำด้วย!”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ใจผมสั่นกว่าครั้งไหน ๆ ที่ผ่านมาเลย ผมรับรู้ได้ถึงเลือดที่สูบฉีดอยู่บนใบหน้าของผม เพราะมันร้อนผ่าวราวกับทะเลทรายในกรุงแบกแดด

“มึงรู้จักหรอ?”
“เออ เพื่อนกู” คน ๆ นั้นย้ำ
“มึงโชคดีไปนะ” ไอ้ตัวใหญ่บอกแล้วรีบเดินไปที่ห้องอาบน้ำเพื่อซักเสื้อ

.....

ไอ้ภพมองหน้าผมด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกแปลกไปจากเดิม

“ไง” ไอ้ภพเอ่ยปากทักผม
“ไง...”
“มึง... เรียนที่นี่หรอ?”
“อืม...”
“อืม...”
“แล้วทำไมมึงถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” ผมถาม
“กูมาซ้อมบอล”

ผมเหมือนน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดอะไรออกไป เพราะในขณะนี้ มีความคิดหลายอย่างพุ่งพล่านอยู่ในหัวผมเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมต้องยอมรับว่าผมโคตรดีใจที่ได้เจอมันอีกครั้ง

“เป็นอะไรมั้ย?”
“ปะ...เปล่า...”
“แล้วขาเป็นไงบ้าง?”
“ไม่เป็นอะไรแล้ว”
“ดีแล้ว”

เหมือนเราสองคนตกอยู่ในอาการเดียวกัน ที่ไม่รู้จะคุยอะไรกันดี จนก่อนที่ความเงียบของเราทั้งคู่จะพาไปในจุดที่น่าอึดอัด ผมจึงรีบหนีออกมาก่อน

“งั้นกูไปก่อนนะ พอดีไอ้ยักษ์มันรอโทรศัพท์อยู่” ผมบอกแล้วรีบเดินออกมาจากห้องล็อกเกอร์ โดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย ในใจของผมตอนนี้ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ โกรธตัวเองที่เดินหนีออกมาแบบนี้ แต่ก็คิดว่าแบบนี้แหละดีแล้ว

<---o--->

“กว่าจะมา แล้วไหนน้ำกูอ่ะ?” ไอ้ยักษ์ถามอีกครั้งนึง เพราะไม่เห็นผมถือน้ำมาให้มัน ทั้งที่บอกว่าจะไปซื้อมาให้
“โทษที กูลืม” ผมบอกแล้วยื่นโทรศัพท์ให้มัน
“อะไรของมึงวะ? มึงเป็นอะไรเนี่ย ทำไมขี้ลืมจัง”
“มึงจะบ่นทำไมอ่ะ เดี๋ยวซ้อมเสร็จแล้วค่อยไปกินก็ได้”
“ก็กูหิวตอนนี้”
“อย่างอแง รีบไปอาบน้ำ จะได้รีบไป”
“เชี้ยเอ๊ย! งั้นก็รีบ ๆ ไป” ไอ้ยักษ์บ่นแล้วผลักหัวผมเบา ๆ
“เดี๋ยวกูไปรอที่ร้านนมเลยนะ”
“อ้าว ทำไมวะ? ก็ไปรอที่ห้องล็อกเกอร์สิ”
“ไม่เอา เดี๋ยวกูรีบไปสั่งให้มึงก่อนไง พอมึงไปถึงจะได้ไม่ต้องรอ” ผมแก้ตัว

ไอ้ยักษ์มองผมแบบพินิจพิเคราะห์

“ตามใจมึงแล้วกัน”

ผมแยกกับไอ้ยักษ์แล้วไปรอมันที่ร้านนมตามที่บอกไว้ โดยที่ในหัวก็ยังมีแต่เรื่องไอ้ภพวนเวียน ๆ ไม่ได้หยุด ประมาณ 15 นาทีไอ้ยักษ์ก็มาถึง

“กูรู้แล้วทำไมมึงถึงไม่อยากไปที่ห้องล็อกเกอร์”
“อะไรหรอ?” ผมแกล้งถาม
“มึงเจอไอ้ภพใช่มั้ย?”
“อ้าวหรอ? มันอยู่นี่หรอ?”
“มึงไม่ต้องทำมาเป็นเอ๋อ กูรู้ว่ามึงเจอมันแล้ว!”
“เอ่อ... อืม”
“มึงโอเคมั้ย?”
“โอเคดิ ทำไมถึงไม่โอเควะ?”
“เออ ดีแล้ว”
“แล้วมึงได้คุยกับมันเปล่า?” ผมถามกลับ
“คุยนิดหน่อย”
“มึงยังโกรธมันอยู่ป่ะ?”
“ถามทำไมอ่ะ?”
“ก็เปล่า...”
“กูแค่บอกมันไปว่าให้อยู่ห่าง ๆ มึง เดี๋ยวมันจะทำมึงพิการอีก”
“ถามจริง? ทำไมไปพูดแบบนั้นอ่ะ?”
“นี่มึงห่วงมันหรือห่วงกูกันแน่เนี่ย?”

“กูไม่ได้ห่วงมัน แต่ไม่เห็นจะต้องไปตีกันเลย”
“มึงชอบมัน!” ไอ้ยักษ์ฟันธง
“เปล่า!”
“มึงชอบมัน กูดูออก! กูดูออกตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่ค่ายแล้ว”
“กูก็บอกไปแล้วว่ามันคลายกับไอ้ภู กูก็เลยอาจจะเผลอชอบ แต่จริง ๆ คงไม่หรอก”
“ตามใจมึงแล้วกัน จะชอบใครก็เรื่องของมึง แค่อย่าพาตัวเองไปในจุดที่อ่อนแอแบบตอนนั้นอีก กูไม่ชอบเห็นมึงแบบนั้น” ไอ้ยักษ์บอกแล้วยกแก้วน้ำของมันดื่มอย่างกระหาย

<---o--->

หลังจากที่ได้เจอไอ้ภพเมื่อสามวันก่อน ผมกลับยิ่งนึกถึงแต่เรื่องของผมกับมันระหว่างที่อยู่ค่าย ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพียงระยะเวลาแค่สองวันที่เราได้เจอกัน และต้องติดอยู่ด้วยกัน ถึงเราจะไม่ได้รู้จักกันซักเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างมันกลายเป็นความทรงจำดี ๆ ของผมไปแล้ว

วันนี้ผมก็ต้องมานั่งรอไอ้ยักษ์เหมือนเดิม ซึ่งหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้ย่างก้าวเข้าไปที่ห้องล็อกเกอร์อีกเลย ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากเจอไอ้ภพนะ แต่ผมไม่รู้ว่าถ้าเจอมันแล้วผมต้องคุยอะไร หรือต้องทำยังไงให้ตัวเองปกติที่สุด

“อ่ะ! กูให้!”

ไอ้ภพในชุดนักฟุตบอลยื่นส้มในมือมาให้ผม

“มึงชอบกินส้มใช่ป่ะ?”
“มึง... มาได้ไง?”
“ไอ้นุบอกว่ามึงอยู่นี่” ผมลืมไปซะสนิท ว่าไอ้นุเป็นนักฟุตบอล มันน่าจะซ้อมอยู่ด้วยกัน
“อืม...”
“มันบอกมึงเฝ้าผัวอยู่ที่นี่” ไอ้ภพแซว
“ส้นตีนสิ! กูก็บอกไปแล้วว่ากูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“กูแค่ล้อเล่นเฉย ๆ แต่ไอ้นุมันพูดแบบนี้จริง ๆ นะ”
“พวกมึงก็พอกันนั่นแหละ”
“มึงมาทำไม?” ไอ้ยักษ์ตะโกนถามไอ้ภพลั่นสนาม
“มาไม่ได้หรอ?”
“กูบอกแล้วไงว่าให้อยู่ห่าง ๆ เพื่อนกู เดี๋ยวมึงก็ทำมันพิการอีก”
“กูไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นซะหน่อย” ไอ้ภพบอก

ตอนแรกผมนึกว่ามันสองคนจะตีกันอีก แต่กลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไประหว่างไอ้ภพกับไอ้ยักษ์

“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะไม่ทำให้เพื่อนกูเจ็บอีก ก็ตามสบาย” ไอ้ยักษ์บอก แล้วกลับไปเล่นบาสต่อ
“อ้าว... ?”

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

สวัสดีวันพฤหัสบดีครับ ในตอนนี้ แอบมีเรื่องราวของน้องภูมานิดหน่อย
ก็แหม ใจความสำคัญก็เกิดจากโซ่ กับภู คบกันนี่นา~ ก็เลยคิดว่าเล่าเรื่องภูบ้างดีกว่า
กลัวท่านผู้อ่านจะเบื่อไบโพล่าแมนอย่างไอ้ภพซะก่อน

ตอบความเห็นนิดหน่อย
นอกจากพี่ชายแฟนเก่าแล้ว ยังมีเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อรึเปล่า???   :hao7:

ยังไม่มีแพลนเรื่องนั้นครับ ยักษ์กับโซ่ อาจดูสนิทกันเกินเพื่อน แต่จริง ๆ เป็นแค่เพื่อนกัน และไอ้ยักษ์มันมีจุดประสงค์อื่นครับ หึหึ  :hao3:
<---o--->
ภพ เหมือนเด็กผู้ชาย ที่แกล้งคนที่ตัวเองชอบ
โดยที่ตัวเองก็ทำไปแบบไม่รู้ตัว
ยักษ์ ชอบเพื่อนแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
จากที่ดูแกล้งเพราะเกลียดมากกว่านะครับ ฮ่่า ๆๆ  :oo1:
<---o--->

ขอบคุณทุกความเห็น ทุกกำลังใจครับผม  :pig4:
เอาไว้ถ้าเสาร์-อาทิตย์นี้ว่าง อาจจะมาเพิ่มตอนสั้น ๆ ในส่วนของน้องภูให้นะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ [ฉบับรีเมค] ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-01-2017 08:01:21
 :กอด1:  เอาล่ะสิ ภพจะเอายังไง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 15-01-2017 19:04:27
โอ้ รอให้ปิ๊งกันจ้า...แต่เร็วหน่อยก็ดีนะ อยากอ่านคู่ยักษ์เหมือนกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-01-2017 22:02:10
ถ้าภพเกลียด แล้วมาจูบโซ่ ทำหยัง
แอะ......คนเกลียดกันเขาจะจูบกันหรอ
เจอกันใหม่ ยังมองโซ่ด้วยแววตาแปลกๆ
เอาส้มมาให้อีก
ยักษ์อนุญาตแล้วให้ภพเจอโซ่ได้
“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะไม่ทำให้เพื่อนกูเจ็บอีก ก็ตามสบาย”
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 16-01-2017 12:34:34
ตอนที่ 7

“ถ้ามึงแน่ใจว่าจะไม่ทำให้เพื่อนกูเจ็บอีก ก็ตามสบาย” ไอ้ยักษ์บอก แล้วกลับไปเล่นบาสต่อ
“อ้าว... ?”

ผมทำหน้างงที่อยู่ ๆ ไอ้ยักษ์ก็กลับลำง่ายขนาดนี้

“พากูไปหาอะไรกินหน่อยดิ”
“หืม? ทำไมมึงไม่ไปเองอ่ะ”
“กูไม่รู้นี่ว่าร้านไหนอร่อย” ไอ้ภพทำหน้าอ้อนวอน
“มาตั้งหลายวันแล้วนะ”
“ปกติโค้ชเค้าจะซื้อเป็นข้าวกล่องมาให้”
“แล้วทำไมไม่ไปชวนเพื่อนมึงไปอ่ะ?”
“กูจะชวนมึงอ่ะ จะไปหรือไม่ไป!”

เสี้ยววินาทีนึง ผมรู้สึกว่าไอ้ภพคนเดิมกลับมาแล้ว

“เออ ๆ” ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมต้องยอมมันเหมือนเคย

ผมพามันไปที่ร้านข้าวเจ้าประจำ ที่ผมเคยมานั่งกินกับน้องภู

“วันนี้กินอะไรดีครับ?” เด็กเสิร์ฟของร้านมารอรับออเดอร์
“ไก่กระเทียมสองจานครับ” ผมสั่ง เพราะเห็นไอ้ภพมัวแต่ลังเลว่าจะกินอะไร
“หืม? มึงกินสองจานเลยหรอ?”
“ก็กูเห็นมึงตัดสินใจไม่ได้ กูก็เลยสั่งให้”
“แล้วรับน้ำอะไรดีครับ” เด็กเสิร์ฟคนนั้นถามต่อ
“เอาน้ำอัดลม แล้วก็น้ำแข็งสองแก้วครับ”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูจะกินอะไร?” ไอ้ภพถาม
“กูเคยมากินที่ร้านนี้กับน้องมึง แล้วมันบอกว่า เวลาไปร้านอาหารตามสั่งกับมึง มึงชอบสั่งไก่กระเทียมตลอด แถมบังคับให้มันกินเหมือนมึงด้วย เพราะแม่ค้าจะได้ทำพร้อมกัน จะได้ไม่ต้องรอนาน”

ไอ้ภพเปลี่ยนสีหน้ากลับไปทำหน้านิ่ง ๆ

หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ข้าวไก่กระเทียมของเราก็มาเสิร์ฟ ไอ้ภพตักข้าวใส่ปากแล้วบ่น

“รสชาติโคตรเลว!” มันพูดออกมาโดยที่มันไม่ได้สังเกตว่าป้าแม่ค้าอยู่ตรงนั้นด้วย ทำเอาผมแทบจะมุดโต๊ะหนี
“ถามจริง?” ป้าแม่ค้าร้องถาม ไอ้ภพหน้าแหย ต้องรีบขอโทษ
“เอ่อ ผมล้อเล่นครับ ที่จริงอร่อยครับ แต่เพื่อนผมมันปากไม่ดี ผมก็เลยพูดไปแบบนั้น” ไอ้ภพรีบแก้ตัว
“เมื่อก่อนก็เห็นมากินกันออกบ่อย จะมาบอกว่าไม่อร่อยอะไรตอนนี้”
“เอ่อ..” ไอ้ภพเอ๋อ
“ไม่ใช่ป้า คนละคนกัน” ผมรีบอธิบาย
“อ้าว ก็หน้าอย่างนี้ไม่ใช่หรอ?”

ขนาดป้าแม่ค้ายังเข้าใจผิดว่าไอ้ภพคือไอ้น้องภูเลย

“บ่อยเลยหรอ?” ไอ้ภพหันมาถามผม
“หืม?”
“มึงมาที่นี่กับน้องกูบ่อยเลยหรอ?”
“แล้วจะทำไมอ่ะ?”
“กูถามก็ตอบ ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง”
“เออ!”
“มึงนี่แรดจริง ๆ”

ผมวางช้อนข้าวลงด้วยความโมโห แล้วลุกไปจ่ายเงินทันที ป้าร้านข้าวรับเงินแล้วมองแบบงง ๆ

“เฮ้ย! เดี๋ยวดิ จะไปไหน?”

ไอ้ภพรีบวิ่งตามมาและดึงแขนผมไว้

“มึงจะรีบไปไหน?”
“มึงต้องการอะไรวะ?” ผมตวาด
“มึงหมายความว่าไง?”
“ก็ที่มึงทำอยู่เนี่ย มึงต้องการอะไร มึงชวนกูมากินข้าว ชวนกูคุยเรื่องไอ้ภู แล้วก็มาด่ากูแบบนั้น มึงคิดอะไรอยู่กันแน่!?”
“กูขอโทษ กูแค่พูดไปอย่างงั้นเอง”
“พูดไปอย่างงั้น? เหอะ!” ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะมันรู้สึกจุกไปหมด
“กูขอโทษ”
“ปล่อยกู! กูจะกลับแล้ว”
“ไม่!”
“ปล่อย!” ผมบอกแล้วสะบัดแขนแต่ไอ้ภพยังจับเอาไว้แน่น
“กูก็ขอโทษแล้วไง”
“ถ้างั้นก็ปล่อยกูซะทีสิ”
“ไม่ปล่อย กูยังไม่ได้กินข้าวเลย”
“พี่ครับ ๆ !” น้องเด็กเสิร์ฟวิ่งหน้าตั้งมาแล้วยื่นถุงข้าวมาให้ผมกับไอ้ภพ
“อะไรหรอครับ?” ไอ้ภพหันไปถาม
“ป้าเค้าเห็นว่าพี่ยังไม่ได้กินก็เลยให้ผมใส่กล่องมาให้”

ไอ้ภพรับมาแบบงง ๆ ระหว่างนั้นผมจึงสะบัดมือมันออกแล้วเดินหลบออกมา

“มึงจะไปไหนอ่ะ?”
“เรื่องของกู ไม่ต้องตามมาแล้ว”
“ไม่เอา ไปกินข้าวกับกูก่อน” ไอ้ภพบอกแล้วรีบดึงแขนผมไว้
“ไปให้มึงนั่งด่ากูแบบนั้นอีกหรอ?”
“กูก็ขอโทษไปแล้วไง”
“ที่ผ่านมามึงก็ทำเป็นอยู่แค่นี้ มึงอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากจะทำอะไรก็ทำ แล้วมาขอโทษทีหลัง มึงไม่เคยนึกถึงใครเลย”

ไอ้ภพดึงผมเข้าไปกอด ยิ่งผมพยายามดิ้นมันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น จนคนแถว ๆ นั้นเริ่มมองมา

“ปล่อย!”
“ถ้ามึงไม่หยุดพูดก็กูไม่ปล่อย”
“กูบอกให้ปล่อย! คนอื่นเค้ามองกันใหญ่แล้ว”
“สัญญาก่อนว่าจะไม่เดินหนีกูอีก”
“เออ!”
“บอกก่อนว่าไม่โกรธกูแล้ว”
“เออ! ปล่อยได้แล้ว!”

ไอ้ภพยอมคลายกอด ปล่อยผม แต่ยังจับแขนผมเอาไว้

“เลิกจับได้แล้ว”
“ไปที่สนามบอลกัน”

มันพาผมมานั่งที่อัฒจันทร์ตรงสนามฟุตบอล แล้วแกะข้าวกินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทีเมื่อก่อน กูทำมึงเจ็บตัวไม่เห็นโกรธกูแบบนี้เลย” ไอ้ภพบอก ผมจึงศอกเข้าไปตรงข้างตัวมันทีนึง จนมันสำลักข้าวออกมา
“ถ้ามึงทำใครเจ็บตัวอ่ะ แป๊บเดียวก็หาย แต่ถ้ามึงทำให้ใครเสียความรู้สึก มันไม่ได้หายง่ายขนาดนั้น”

ผมแอบแปลกใจนิดนึงเพราะปกติแล้วมันก็คงสวนผมมาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้กลับทำหน้าทะเล้นใส่ผม

"ด่าคนอื่นว่าแรดเนี่ยนะ ใครจะไม่โกรธวะ"
“ขอโทษ ฮ่า ๆๆ”
“มึงก็แปลก ทีตอนนั้นทำกูแทบพิการ ไม่เห็นจะขอโทษซักคำ”

ไอ้ภพนิ่ง ทำท่าครุ่นคิด

“ขอโทษไปแล้วนะ”
“ขอโทษตอนไหน?”
“ก็คืนนั้นไง ตอนที่มึง...” ไอ้ภพไม่พูดต่อ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ ถึงเรื่องเมื่อคืนนั้น ที่มันจูบผม ผมคงโฟกัสเรื่องนี้มากไปจนลืมว่ามันขอโทษผมไปแล้ว

เราทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปประมาณ 10 นาที ไม่มีใครพูดอะไร ผมเดาเอาว่ามันเองก็คงจะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ที่นึกถึงเรื่องนั้น

“เอาส้มอีกป่ะ? เดี๋ยวกูไปเอามาให้”
“ไม่เอาแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อนนะ ห้ามไปไหนด้วย” ไอ้ภพสั่ง
“อืม”

ระหว่างนั้น ในหัวผมสับสนไปหมด ผมรู้สึกดีที่ไอ้ภพทำตัวแบบนี้กับผม แต่ก็ยังข้องใจว่าอะไรทำให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เพียงแค่เราจูบกันเพียงครั้งเดียวในตอนนั้นจะเปลี่ยนมันได้ขนาดนี้เลยหรอ

ไอ้ภพกลับมาพร้อมกับน้ำและไอศกรีมที่ซื้อมา

“กูซื้อมาให้ ไถ่โทษ” มันบอกแล้วยื่นไอศกรีมให้ผม
“มึงเห็นกูห่วงกินหรอ เอาของกินมาล่อ”
“กูเห็นตอนไอ้ยักษ์ซื้อขนมให้มึงทีไรมึงก็ไม่เคยปฏิเสธนี่”
“งั้นกูไม่กินละ”
“มึงนี่งอนบ่อยไปแล้วนะ”
“กูไม่ได้งอนโว้ย!”
“ฮ่า ๆๆ”

ผมรับไอศกรีมจากมันมา ในใจก็คิดว่ามันแปลกไปจริง ๆ จนผมอดรนทนไม่ไหวถามมันออกไป

“มึงเป็นอะไรป่ะเนี่ย? ทำไมถึงมาทำดีกับกูแบบนี้?”
“เปล่านี่ ปกติกูก็เป็นแบบนี้”
“เหอะ! ไม่เห็นเหมือนกับตอนที่อยู่ค่ายเลย”
“ก็ตอนนั้นมึงชอบกวนตีนกู”
“ตอนนั้นมึงยังบอกว่าเกลียดกูไม่ใช่หรอ?”
“ส่วนมึงก็ยังพูดมากเหมือนเดิม” ไอ้ภพเปลี่ยนเรื่อง
“เออ นี่แหละกู ถ้ารำคาญก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูสิ” ผมบอกแล้วลุกหนีมัน
“งอนอีกแล้ว มึงนี่ขี้งอนเนอะ”
“ไม่ได้งอน แต่มึงก็กินข้าวเสร็จแล้วนี่ กูจะกลับแล้ว”
“กูไม่ให้กลับ!” ไอ้ภพดึงมือผมเอาไว้

ผมนั่งลงตรงที่เดิมเหมือนโดนมนต์ให้ทำแบบนั้นอย่างขัดขืนไม่ได้

“กูขอโทษเรื่องเมื่อตอนนั้นนะ” ไอ้ภพบอก
“อืม”
“จริง ๆ ก็ใจหายนิด ๆ ตอนที่กลับมาที่ค่ายแล้วไม่เจอมึง”
“ทำไมอ่ะ”
“ไม่รู้สิ” ไอ้ภพบอกแล้วยักไหล่
“กูก็ไม่คิดว่าตอนนั้นมันจะเป็นหนักขนาดที่ต้องใส่เฝือก”
“กูขอโทษที่ทำให้มึงเจ็บตัวนะ”
“เลิกขอโทษได้แล้ว ที่จริงกูก็ผิดที่ปากไม่ดี”
“ใช่!”

ผมถอนหายใจ

“บอกได้มั้ยว่าทำไมตอนนั้นมึงถึงโกรธกูขนาดนั้นอ่ะ?”

ไอ้ภพนิ่งครู่นึง

“มันเป็นเรื่องในครอบครัวกู”
“งั้นไม่อยากรู้ก็ได้”
“ไม่เป็น มันผ่านมาหลายปีแล้ว”

ไอ้ภพเล่าว่า เมื่อประมาณ สิบกว่าปีก่อน พ่อมันเจ้าชู้มาก จนแม่มันทนไม่ไหว การที่ผมไปแซวมันว่า “ลูกเมียน้อย” อาจไปสะกิดปมที่ทำให้แม่มันตรอมใจจนป่วย และเสียชีวิตไป มันจึงโกรธผมจนทำอะไรแบบนั้นไปโดยไม่รู้ตัว

“เหตุผลแค่นั้นหรอวะ?”
"หมายความว่าไง?"
"กูหมายถึง แค่กูแซวมึงว่าลูกเมียน้อย มึงถึงกับโกรธกูขนาดนั้นเลยหรอ?"
"ก็ตอนนั้นกูหงุดหงิดอยู่นี่"
"แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่โกรธกูแล้วล่ะ?"

ไอ้ภพเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พลางสายตาก็มองลงไปที่สนามฟุตบอลเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“ที่กูทำกับมึง มันเหมือนที่พ่อเคยทำไว้กับแม่กู”
“??”
“ที่กูทำร้ายมึง มันทำให้กูนึกถึงพ่อกูในตอนนั้น แล้วกูก็ไม่ชอบ”
"อืม"
"แต่คำที่มึงพูดตอนนั้นกูโคตรเกลียดเลย"

ผมหน้าชาด้วยความรู้สึกผิด และเสียใจกับเรื่องที่ไอ้ภพเล่าให้ฟัง การที่มันได้เห็นสิ่งที่พ่อมันทำกับแม่มันแบบนั้น คงเป็นความทรงจำที่เลวร้ายมากแน่นอน และผมก็ดันปากไม่ดีไปตอกย้ำปมความรู้สึกของมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็สมควรแล้วที่มันจะโกรธขนาดนั้น

“มึงโอเคมั้ย?” ผมถามเพราะเสียงมันสั่นเครือ
“เฮ้ย โอเค มันผ่านมานานแล้ว กูกับพ่อก็เคลียร์กันรู้เรื่องแล้ว”
“อืม”
“ที่จริงมีอีกเรื่องนึง แต่ยังไม่บอกดีกว่า เอาไว้เล่าวันหลัง”
“อ้าว ทำไมอ่ะ?”
“มึงจะได้ยอมมาคุยกับกูอีก” ไอ้ภพยิ้มแล้วยักคิ้วกวน ๆ
“งั้นกูไม่อยากรู้แล้วก็ได้”
“จริงหรอ? เรื่องนี้เกี่ยวกับไอ้ภูนะ”

พอได้ยินแบบนั้นผมก็หูผึ่งทันที

"ทีอย่างงี้สนใจขึ้นมาทันทีเลยนะ" ไอ้ภพบอก
"แล้วตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง?"
"มันก็เหมือนเดิม ปกติ ช่วงนี้ใกล้เข้ามหาลัยแล้วก็เลยติวหนักหน่อย"
"แล้ว..."
"ถึงยังไงกูก็ไม่ให้มึงกลับไปคุยกับมันหรอกนะ!"

ผมถอนหายใจ ไอ้ภพเหมือนจะมองผมออกไปซะทุกเรื่อง

"กูแค่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงเฉย ๆ"
"ที่จริงกูก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามมึงหรอกนะ ถ้ามึงอยากจะคุย..."

ไอ้ภพหยิบโทรศัพท์ของมันออกมาแล้วกดเบอร์น้องภู ยื่นมาให้ผม

ผมไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจไหม ทั้งที่ผมควรจะหยิบโทรศัพท์มันมาแล้วเมมเบอร์โทรน้องภูเอาไว้ แต่ผมกลับเลือกที่จะไม่ทำ

"ไหน ๆ ก็เลิกกันไปแล้ว กูควรจะตัดใจแล้วอยู่ห่าง ๆ มันตามที่มึงต้องการนั่นแหละดีแล้ว"
"กูให้โอกาสครั้งสุดท้ายนะ"
"มึงเคยบอกกูทำให้มันเดือดร้อน งั้นกูขออยู่ห่าง ๆ แบบนี้ดีกว่า แล้วก็..."

"แล้วก็...?" ไอ้ภพบอกพลางเก็บโทรศัพท์ของมันกลับคืนไป
"กูไม่อยากให้มึงเกลียดกูเหมือนเมื่อก่อน"

ไอ้ภพนิ่ง แล้วหัวเราะเบา ๆ

"มึงชอบกูแล้วละสิ"
"เปล่า!"
"แน่ใจหรอ?"
"ก็เออนะสิ! ขนาดน้องมึงเป็นเกย์ มึงยังแอนตี้ซะขนาดนั้น กูไม่ชอบมึงให้เสียเวลาหรอก!" ผมรีบปฏิเสธ และมันเหมือนเป็นการตอกย้ำกับตัวเอง ว่าสิ่งที่ผมเผลอคิดไปมันไม่มีทางเป็นไปได้
"ก็จริง เพราะกูไม่ได้ชอบผู้ชาย"

คำยืนยันจากปากไอ้ภพเหมือนตอกตะปูปิดฝาโลงให้กับความรู้สึกของผม

"กูต้องไปแล้ว ป่านนี้ไอ้ยักษ์คงรอแล้ว"
"พรุ่งนี้จะมาอีกมั้ย?"
"อาจจะไม่! ไม่รู้สิ ไม่ได้ดูตารางซ้อมของไอ้ยักษ์"
"ทำไมวะ ถ้าไม่มีไอ้ยักษ์มึงมาไม่ได้หรอ?"
"ถ้าไอ้ยักษ์ไม่ได้ซ้อม กูก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องมาไง"
"มาหากูไง"

นาทีนี้ผมอยากจะกลายร่างเป็นเดอะฮัล์ค แล้วเหวี่ยงไอ้ภพให้กระเด็น เพราะผมเริ่มหงุดหงิดที่มันปั่นหัวผมอยู่แบบนี้

<---o--->


ในคืนนั้น

"เป็นอะไรวะ? ดูแปลก ๆ" ไอ้ยักษ์ถามผมที่กำลังนั่งเปิดหนังสือไปมาด้วยท่าทีเหม่อลอย
"เปล่า แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย"
"ไปคุยกับไอ้ภพเป็นไงบ้างอ่ะ?"
"ก็ไม่ยังไง"
"ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว กูละหวั่นใจว่ามันจะทำมึงเจ็บตัวอีก"
"แล้วพรุ่งนี้ไปซ้อมกี่โมง?" ผมหันไปถามมันบ้าง
"พรุ่งนี้ไม่มีซ้อม"
"ห๊ะ?"
"กูบอกว่าพรุ่งนี้ไม่มีซ้อม" ไอ้ยักษ์บอกแล้วมองผมเหมือนตำรวจกำลังจับผิดคนร้าย

ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเป็นคนที่ดูออกง่ายมากขนาดนั้นเลยหรือ เพราะเวลาที่อยู่ต่อหน้ามัน ผมไม่สามารถโกหกมันได้เลย หรือด้วยความที่เราสนิทกันมากจนรู้ไส้รู้พุงกันไปหมดทุกอย่างก็ไม่รู้

"แต่ที่จริงพรุ่งนี้กูจะไปซ้อมว่ายน้ำ มึงจะไปด้วยก็ได้นะ"
"อืม"
"แล้วไอ้ภพมันมาซ้อมกีฬาอะไรหรอ" ไอ้ยักษ์ถามแบบไม่ได้ใส่ใจคำตอบสักเท่าไหร่
"ฟุตบอล"

ระหว่างนั้น เสียงเตือน วิดีโอคอล ของโปรแกรม "สไกป์" ในโน๊ตบุคผมก็ดังขึ้น
ไอ้แซค...

"ไอ้โซ่วววว!"
"ว่ายังไง"
"ปิดเทอมยัง?"
"อีกสองอาทิตย์ แล้วมึงอ่ะ?"
"ของกูปิดมาอาทิตย์นึงแล้ว"
"ดีจัง กูเพิ่งสอบเสร็จ ต้องรอกีฬามหาลัยจบถึงจะได้หยุด"
"งั้นช่วงปีใหม่มึงก็ว่างใช่มั้ย?"
"เออ"
"เดี๋ยวกูกลับไปหา"
"ห๊ะ? จริงดิ!"
"กูซื้อตั๋วเรียบร้อบแล้ว" ไอ้แซคบอกแล้วโชว์ตั๋วเครื่องบินให้ผมดู

ก่อนหน้านี้ ผมยังไม่เคยพูดถึงครอบครัวของผมมาก่อน เพราะคิดว่ามันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดถึงสักเท่าไหร่
“ไอ้แซค” เป็นพี่ชายฝาแฝดของผม เราถูกจับแยกกัน เพราะพ่อกับแม่ของเราแยกทางกันตอนผมอยู่ม.3 ผมอาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชายอีกหนึ่งคน (พี่ชายคนโต ชื่อพี่แวน) ส่วนไอ้แซคต้องย้ายไปอยู่กับแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น สมัยที่ยังเด็ก ๆ เราสนิทกันมาก และเรียกได้ว่าเป็นตัวแสบประจำบ้านกันทั้งคู่
ผมยังจำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ไอ้แซคทำความผิด และจะโดนพ่อตีด้วยไม้เรียว ผมกับมันก็จะถอดเสื้อ แล้ววิ่งวน สลับกันไปมา ตอนนั้นหน้าตาเราเหมือนกันจนบางทีพ่อกับแม่ก็ยังสับสน ผลคือ โดนตีกันทั้งคู่
เราได้เจอกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อปีก่อนตอนงานศพของพ่อ แต่เราก็ติดต่อกันมาตลอด บางทีมันว่าง ๆ ก็มานั่งคุยกันผ่านโปรแกรมสไกป์แบบนี้ประจำ

"พี่แซค หวัดดี" ไอ้ยักษ์โผล่หน้าเข้ามาทักทายไอ้แซค
"เออ ไอ้ยักษ์มึงดูแลน้องกูดีเปล่า?"
"โคตรดีเลยพี่"
"ไม่จริงอ่ะ กูเกือบพิการ" ผมหลุดปากพูดออกไป ไอ้ยักษ์มองหน้าผมแบบเหวอ ๆ
"อะไรนะ?"
"กูล้อเล่นน่ะ ฮ่า ๆๆ"

ผมลืมนึกไปว่าไม่อยากให้ไอ้แซครู้เรื่องที่ผมบาดเจ็บ ผมไม่อยากให้มันเป็นห่วง แล้วก็ไม่อยากให้มันว่าไอ้ยักษ์ไม่ดูแลผมด้วย...

"ดูแลน้องกูดี ๆ นะ เดี๋ยวมีของดีให้" ไอ้แซคบอกแล้วยักคิ้วเป็นการรู้กันกับไอ้ยักษ์
"อะไรวะ?"
"ไม่บอก กูรู้กันแค่สองคน" ไอ้ยักษ์รีบบอก

ไอ้ยักษ์รู้จักกับพี่ผมมาตั้งแต่เราสนิทกัน แรก ๆ มันก็ตกใจที่รู้ว่าผมมีฝาแฝดอีกหนึ่งคน ไอ้แซคเองก็ดูจะไว้วางใจในตัวไอ้ยักษ์ไม่น้อย ถึงฝากฝังมันให้คอยช่วยเหลือผมอยู่เป็นประจำ
เราคุยกันต่อจนเกือบชั่วโมง ไอ้แซคก็วางสายไป พร้อมกับกำหนดวันเวลาว่าอีก 1 อาทิตย์มันจะมาหาผม
ซึ่งเป็นช่วงนั้นไอ้ยักษ์ก็ต้องกลับบ้านที่ภูเก็ตพอดี ส่วนผม หลังจากพ่อเสียไป ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลย เพราะกลับไปก็อยู่คนเดียวอยู่ดี

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

สวัสดีวันจันทร์ พร้อมแปะรูปดอกไม้ 555  :L2:
ไหน ใครหงุดหงิดไอ้ภพ มากองรวมกันตรงนี้  o13
รอก่อนเถ๊อะ จะฟ้องไอ้แซคแม่ม! โดนแน่ 555   :angry2: :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-01-2017 13:00:51
อือ ภพนี่ กวนตีนโซ่ซะจริง เล่นกับความรู้สึกโซ่ซะจริง
บอกยักษ์ แซค มาสามัคคีรุมตีนกันดีมะ  :z6: :z6: :z6:
ปากบอกไม่ชอบผู้ชาย แล้วทะลึ่งมาจูบโซ่ เป็นบ้าไร  :z3: :z3: :z3:
ของฝากที่แซคจะให้ยักษ์ คงลับมากๆ จนบอกโซ่ไม่ได้ กร๊ากกกก  :ling1: :ling1: :ling1:
รอตอนใหม่ ไรท์มาไวๆ นะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 16-01-2017 13:50:18
ภพจะเอาไงกับโซ่เนี่ยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 16-01-2017 21:15:05
ภพมันคงเป็นไบโพล่าร์  ผีเข้าผีออก  หาใหม่เถอะโซ่  อย่าไปสนใจมัน   :z6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 19-01-2017 07:43:56
ตอนที่ 8

ช่วงเวลาของงานกีฬาภายในของมหาวิทยาลัยเริ่มต้นขึ้น ผมที่ไม่ได้มีหน้าที่แข่งอะไรก็แค่เดินไปเดินมา คอยตามเชียร์ไอ้ยักษ์ ตามเชียร์เพื่อนคนอื่น ๆ ที่ลงแข่งกีฬากันสารพัด ยกเว้นฟุตบอล ที่ผมไม่นึกอยากไปดูเลย ทั้งที่เพื่อนในกลุ่มอย่างไอ้นุและไอ้เอกก็ลงแข่ง (ไอ้เอกก็เพื่อนในกลุ่มนี่แหละ) เหตุผลก็เพราะผมรู้ว่าถ้าไปก็คงต้องเจอไอ้ภพ ผมทำหน้าไม่ถูกถ้าต้องเจอมัน

"ไอ้โซ่! ไปดูพวกไอ้นุแข่งบอลกัน"

เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจ ไอ้ยักษ์เอ่ยปากชวนผม

"ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจไป"
"อ้าว ทำไมวะ?"
"ก็บอกว่าขี้เกียจ ถ้ามึงไม่มีแข่งอะไรแล้ว กูว่ากลับห้องดีกว่า"
"แต่กูอยากดูฟุตบอลก่อน"
"งั้นกูกลับก่อนนะ จะไปหาอะไรกินด้วย"
"ไม่ไปด้วยกันจริง ๆ หรอวะ?" ไอ้ยักษ์ถามย้ำ ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ และเดินแยกออกมา

จริง ๆ แล้วในใจก็ยังอยากเจอไอ้ภพนะ แต่เพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวเอง ผมควรจะอยู่ห่าง ๆ มันไว้
ผมมานั่งกินข้าวที่ร้านประจำ ตลกดีที่เผลอสั่งข้าวไก่กระเทียมทันทีที่ป้าแม่ค้าถาม

"ป้าครับ เอาข้าวไก่กระเทียมอีกจานนึงครับ!"

เสียงไอ้ภพบอก แล้วนั่งลงที่โต๊ะเดียวกับผม

"มึง..."
"ไอ้ยักษ์บอกว่ามึงอยู่ที่นี่" มันชิงพูดก่อนแล้วยิ้มกวน ๆ ใส่ผม

ผมถอนหายใจ

"ทำไมกูไปหาที่สนามบาสก็ไม่เจอเลย?"
"พอดีกูไม่ค่อยว่าง" ผมตอบโดยไม่ได้มองหน้ามัน
"อืม"

ถึงผมจะไม่ได้มองหน้ามัน แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันกำลังนั่งจ้องหน้าผมอยู่ จนเด็กเสิร์ฟเอาข้าวมาเสิร์ฟ

"กินที่นี่ให้อิ่มเลยนะพี่ วันนี้ผมไม่วิ่งไปตามแล้วนะ" เด็กเสิร์ฟของร้านบอกแล้วแอบหัวเราะ
"ฮ่า ๆๆ" ไอ้ภพหัวเราะออกมา

ส่วนผมกินไม่ลงแล้ว
...
"ทำไมไม่กินวะ?" ไอ้ภพถาม
"ไม่มีอะไร..."
"มึงโกรธอะไรกูป่ะเนี่ย?"
"เปล่า..."
"งั้นกินเสร็จแล้วไปดูกูแข่งบอลนะ"
"ไม่ว่าง"
"นะ..." ไอ้ภพอ้อนวอน

นาทีนั้น ความรู้สึกทั้งหมดมันจุกอยู่ที่อก จนผมเหมือนจะร้องไห้ออกมาแต่ร้องไม่ออก ผมไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี ในเมื่อแทบจะไม่มีหนทางเป็นไปได้ที่จะสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ภพในแบบนั้น เพราะมันก็ประกาศชัดไปแล้วว่ามันไม่ได้ชอบผู้ชาย และผมก็ไม่อยากให้ความรู้สึกนี้ทำลายความเป็นเพื่อนที่เพิ่งมีระหว่างเรา

"กูกลับก่อนนะ" ผมบอกแล้วลุกขึ้นเพื่อไปจ่ายเงิน แต่ไอ้ภพดึงมือผมเอาไว้
"เฮ้ย อย่าเพิ่งไปดิ!"

ไอ้ภพจับมือผมไว้แน่นแล้วพยายามดึงให้ผมนั่งลง

"อยู่กับกูก่อนนะ"
"อืม..." ผมบอกแล้วนั่งลงตามที่มันขอ
"กินข้าวให้หมดด้วย!" ไอ้ภพสั่ง และผมทำตามมันอย่างว่าง่ายโดยที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมต้องยอมมันขนาดนี้

หลังจากออกมาจากร้านข้าว ไอ้ภพพาผมเดินมาเรื่อย ๆ ก่อนที่จะไปนั่งพักกันตรงม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากสนามฟุตบอลมากนัก เสียงกลอง เสียงของการเชียร์กีฬาดังอื้ออึงไปทั่ว แต่ในมุมนี้กลับดูแล้วรู้สึกสงบกว่าที่มันควรเป็น

"เดี๋ยวอีก 30 นาทีกูก็ต้องไปแข่งแล้ว" ไอ้ภพบอกแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผม
"แล้ว?"
“มึงต้องไปกับกูไง”
“ก็บอกไปแล้วว่าไม่ว่าง”
“กูไม่เชื่อ ไอ้ยักษ์บอกว่าวันนี้มึงว่างทั้งวัน”
“ไอ้ยักษ์บอกอีกแล้วหรอ?”

ไอ้ภพพยักหน้า

“นี่ดีกันแล้วหรอ?”
“ตกลงไปดูกูแข่งนะ”

ผมถอนหายใจอีกรอบ

“ทำไมกูต้องไปด้วยอ่ะ?”
“ก็กูอยากให้มึงไป”
“แต่กูไม่อยากไปไง”
“งั้นกูบังคับ!”
“ทำไมถึงคิดว่าบังคับกูได้อ่ะ?”
“ไม่รู้สิ แต่ก็อยากให้มึงไป”

พูดเสร็จ ไอ้ภพก็ล้มตัวลงนอนที่ตักผม ผมนั่งตัวแข็งทื่อเพราะทำอะไรไม่ถูก

“ทำไมมึงต้องทำแบบนี้ด้วยวะ?”
“ทำอะไร?”
“ที่ทำอยู่ตอนนี้ไง”
“มึงหวั่นไหวหรอ?” ไอ้ภพบอกแล้วยักคิ้วให้ผมแบบกวน ๆ
“มึงกลับไปเกลียดกูเหมือนเดิมไม่ได้หรอ?” ผมบอก เพราะยิ่งมันทำกับผมแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกกับมันมากขึ้นเรื่อย ๆ และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ผมยอมให้มันเกลียดผมแล้วห่าง ๆ กันไปเลย ยังทำใจง่ายกว่า
“ทำไมอ่ะ?”

ผมเลี่ยงที่จะไม่ตอบ ซึ่งมันเองก็ดูออกว่าผมมีท่าทีที่แปลกไปนับตั้งแต่วันนั้น

“กูเคยเกลียดมึง เพราะกูโทษว่ามึงทำให้ครอบครัวกูปั่นป่วน แต่ความจริงกูแค่เอามึงมาเป็นข้ออ้าง เพื่อหลอกตัวเอง ให้มองข้ามต้นเหตุที่แท้จริง”
“...”
“ตอนนี้กูไม่เกลียดมึงแล้ว”
“แต่กู...”
”ทำไมถึงอยากให้กูเลียดมึงอ่ะ?” ไอ้ภพมองหน้าผมรอคำตอบ
“กูแค่...”
“มึงเกลียดกูหรอ?”
“เปล่า แต่กูไม่ชอบที่มึงทำแบบนี้”
“ทำอะไร?”
“ที่มึงมาทำดีกับกูแบบนี้ มันทำให้กู...อึดอัด” ผมเลือกที่จะโกหกมันออกไป
“กูขอโทษนะ ถ้าทำให้มึงรู้สึกแบบนั้น” ไอ้ภพบอกแล้วเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
“มึงไม่ผิดหรอก กูผิดเองที่คิดมากไป”
“ไอ้โซ่...”
“กูกลับก่อนนะ!”

ผมตัดสินใจที่จะเดินออกไปจากตรงนี้ ก่อนที่อะไร ๆ มันจะแย่ไปกว่านี้
“มึงรู้มั้ยตอนนี้กูอยากได้อะไรมากที่สุด” ไอ้ภพบอกแล้วลุกขึ้นมาดึงแขนผมเอาไว้
“อะไร?”
“กุญแจมือ”
“...”
“มึงจะได้ไม่ต้องหนีไปไหน จะได้อยู่ข้าง ๆ กูตลอด” ผมเกือบเผลอยิ้มให้กับคำพูดของมันไปแล้ว แต่อีกด้านนึงในหัวก็ยังคอยย้ำกับตัวเองเสมอว่ามันไม่ได้ชอบผู้ชาย มันไม่ได้ชอบผม
“กูขอโทษ ที่ทำแบบนั้นไม่ได้”
“อืม...” ไอ้ภพบอกแล้วปล่อยมือผมอย่างว่าง่าย
“ขอโทษที่เป็นผู้หญิง แล้วยืนอยู่ข้าง ๆ มึงไม่ได้” ผมบอก

ก่อนที่ผมจะย่างเท้าก้าวเดินไป ไอ้ภพก็จับแขนผมอีกครั้ง

“เดี๋ยวนะ! กูรู้แล้ว ที่มึงแปลก ๆ ไปเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย?”
“อะไรหรอ?” ผมเบือนหน้าหนี เพราะรับรู้ได้ว่าน้ำตาของตัวเองไหลซึมออกมาแล้ว
“มึงนอยด์ เพราะเรื่องที่กูพูดไปตอนนั้นใช่มั้ย?”
“เปล่า...” ผมแก้ตัว
“ไอ้ทึ่มเอ๊ย!” นี่อาจจะเป็นคำด่าที่เบาที่สุด ที่ออกมาจากปากไอ้ภพก็ได้

สิ้นเสียงคำด่านั้น ไอ้ภพก็ดึงผมเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น โชคดีที่ตอนนี้ในบริเวณนั้นไม่มีใครนอกจากผมกับมันสองคน และผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะกำลังช็อกกับสิ่งที่มันทำ น้ำตาของผมไหลซึมออกมาและหยุดลงบนเสื้อของไอ้ภพ น้ำตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“กูชอบมึงนะไอ้โซ่...”

ผมรู้สึกราวเหมือนกับคนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจ และในวินาทีก่อนสิ้นใจก็มีคนสวมหน้ากากออกซิเจนให้ ผมเหมือนกำลังจะตายและเกิดขึ้นมาใหม่ในเวลาเดียวกัน
สิ้นคำพูดของไอ้ภพ ผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ราวกับว่าหูของผมมันดับสนิทไปแล้ว ได้ยินเพียงเสียงของหัวใจที่กำลังเต้นราวกับเสียงกลองในเพลงร็อคเมทัล ความอบอุ่นจากอ้อมกอดมันที่แผ่ซ่านมา  คล้ายกับดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว ที่สาดแสงลงมาดับความหนาวเย็นในหัวใจ

สายฝนโปรยลงมาอย่างไม่มีเค้า ทั้งที่ก่อนหน้านี้แดดแรงจ้า จนตัวเราทั้งคู่เปียกปอน แต่ไอ้ภพก็ยังไม่คลายกอดออกจากผม

“มึงทำให้กูรู้สึกหงุดหงิดแทบคลั่งตาย เวลาที่ต้องอยู่ใกล้ ๆ มึง เวลาที่เห็นหน้ามึง หรือได้ยินเสียงมึง... และกูก็รู้สึกแบบเดียวกัน เวลาที่ไม่ได้เจอมึง”

น้ำตาผมไหลออกมาด้วยความดีใจ จนอาบแก้ม แต่ก็ถูกพลางเอาไว้ด้วยน้ำฝนที่ซัดสาดลงมาอย่างไม่ขาดสาย

“กู...”
“ให้กูพูดก่อน! เพราะกูไม่รู้ว่ากูจะกล้าพูดแบบนี้ได้อีกรึเปล่า” ไอ้ภพบอก
“อืม”
“กูไม่รู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะกูไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน มึงคนแรกเลยที่ทำให้กูเป็นแบบนี้ และกูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมน้องกูถึงชอบมึง”
“เดี๋ยวนะ แบบนี้กูจะดูเลวมั้ยเนี่ย? ที่ได้ทั้งพี่ทั้งน้อง” ผมบอกแล้วหัวเราะออกมา
“กูสิดูเลว บังคับให้น้องกูเลิกกับมึง แต่กูกลับมาชอบเอง”

ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย ว่าต่อจากนี้ไป ถ้าผมตกลงปลงใจกับไอ้ภพ ผมจะมองหน้าน้องภูได้ยังไง และต่อให้เลิกกันไปแล้ว ลึก ๆ ผมก็ยังรักและเป็นห่วงความรู้สึกของน้องภูอยู่เหมือนกัน

“เออ นั่นสิ” ผมบอกแล้วผลักไอ้ภพออกเบา ๆ
“มึงไม่ต้องคิดมากเรื่องมันหรอก มันมีคนอื่นตั้งแต่เลิกกับมึงได้ 3 อาทิตย์แล้ว!”
“ถามจริง? ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
“มันบอกว่าผู้หญิง”
“ทีอย่างนี้ทำไมไม่ห้ามล่ะ?”
“กูเพิ่งคิดได้ว่ากูไม่ควรไม่ก้าวก่ายชีวิตมันมากเกินไป”
“เออ! แล้วเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้เนี่ยนะ!!” ผมโวย
“แล้วมึงจะมาโกรธกูทำไมอีกเนี่ย มึงยังรักมันอยู่หรอ?” ไอ้ภพถามเสียงเข้ม
“เออ! กูรักน้องมึง!”
“กูให้พูดอีกที!” ไอ้ภพบอกแล้วกอดผมแน่นจนผมแทบหายใจไม่ออก
“โอ้ย! พอแล้ว ๆ ฮ่า ๆๆ”
“มึงจะพูดมั้ย?”
“พอแล้วเดี๋ยวมีคนเห็น”
“พูดมา! ว่ามึงรักใคร!”
“มึงบังคับความรู้สึกกูไม่ได้หรอก กูไม่ได้เลิกกับน้องมึงเพราะทะเลาะกันหรือเกลียดกันซะหน่อย”

ไอ้ภพคลายกอดจากผมแล้วทำหน้าขึม

“ที่ผ่านมา หลังจากเลิกกัน สำหรับกูอะไร ๆ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไป กูยังคิดถึง ยังห่วงมันเหมือนเดิม แม้กระทั่งตอนนี้กูก็ห่วงความรู้สึกมัน ถ้ามันรู้เรื่องนี้จะเป็นยังไง”
“อืม”
“กูยังรู้สึกดี ๆ กับน้องมึงนะ แต่ตั้งแต่กูทำใจได้ ทั้งหมดที่รู้สึกมันก็คือพี่ที่รู้สึกต่อน้องคนนึง ความเป็นห่วงที่มีก็คงเหมือนกับที่มึงเป็นห่วงมันนั่นแหละ”
“แล้ว...?”
“แล้วตอนนี้กูก็มีคนที่กูชอบแล้ว... มันเป็นคนที่ชอบทำให้กูเจ็บตัว ขี้หงุดหงิด อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ จนตามไม่ทัน แต่ถ้ามองไปลึก ๆ แล้ว คน ๆ นั้นทำให้กูรู้สึกอยากอยู่ใกล้ ๆ ถึงแม้จะต้องเจ็บตัว แต่แค่รอยยิ้มเพียงแค่มุมปาก ที่คน ๆ นั้นแสดงออกมา มันทำให้กูรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น”

ไอ้ภพมองหน้าผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะดึงมือผมไปจับไว้

“ถ้าตอนนี้น้องมึงมันมีคนอื่นไปแล้วจริง ๆ ก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากหรอก ที่เหลือก็แค่มึงจะอธิบายกับพ่อมึงยังไง”
“เวรกรรมตามทัน เหมือนตอนที่กูทำกับน้องกูไว้เลย”
“สมน้ำหน้า! มึงจะได้รู้ว่าตอนนั้นน้องมึงรู้สึกแย่แค่ไหน ที่ต้องคอยปิดบังไม่ให้มึงกับพ่อรู้”
“แล้วมึงจะอยู่ข้าง ๆ กู เหมือนที่เคยอยู่ข้าง ๆ น้องกูมั้ย?”
“ขอคิดดูก่อน”
“อย่าเล่นตัว! กูไม่ได้ว่างทั้งวันนะ” ไอ้ภพทำเสียงเข้ม
“ช่วยทำตัวน่ารักแบบเมื่อกี้ซัก 10 นาทีไม่ได้หรอวะ?”
“มึงก็เลิกกวนตีนซะทีสิ!”
“ฮ่า ๆๆ”
“ตกลงคบกับกูนะ” ไอ้ภพกลับมาทำหน้าจริงจังอีกครั้ง
“อืม” คำตอบที่มีอยู่ในใจของผมมันชัดเจนตั้งแต่ที่เราจูบกันตอนนั้นแล้ว และเมื่อไอ้ภพเองก็ชัดเจนขนาดนี้ ผมไม่อยากโกหกตัวเองอีกต่อไป
“จริง ๆ นะ?” ไอ้ภพถามย้ำ
“เอออออ...”

จากนั้นมันก็ดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง ด้วยความดีใจ และความสุขที่มีภายในใจตอนนี้ ทำให้ผมลืมสังเกตไปเลยว่าฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมเพียงแค่อยากจะจดจำวินาทีนี้เอาไว้ให้ชัดเจน และนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ ที่จะตามมา เช่น การยอมรับของพ่อของมัน

“ไปเปลี่ยนเสื้อก่อนเหอะ เปียกหมดแล้ว”
“กูไม่มีเสื้อเปลี่ยน”
“กูมีเสื้ออยู่ที่ห้องล็อกเกอร์ ไปเอาที่นั่นก็ได้”
“หืม? เอ๋อ... เอ่อ... ฮ่า ๆๆ” ผมหัวเราะออกมา ไอ้ภพทำหน้างง
“ไอ้หื่น! กูไม่ได้หมายถึงแบบนั้นโว้ย!” ไอ้ภพตบหัวผมเบา ๆ แล้วหัวเราะออกมา
“กูก็ไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย”
“คนอย่างมึง กูรู้ว่าคิดแน่นอน”
“กูไม่ใช่มึงนะ”

ไอ้ภพโน้มตัวมากระซิบข้างหูผม

“กูต้องแข่งบอล ถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวกูไม่มีแรง เอาไว้ทำทีหลังแล้วกัน”

<---o--->

การแข่งขันฟุตบอลจบลง โดยทีมจากมหาวิทยาลัยของผมชนะ ทีมของมหาวิทยาลัยที่ไอ้ภพเรียน 2-1 หลังจากแข่งฟุตบอลเสร็จ ผมกับไอ้ภพก็แยกตัวออกมานั่งพักกันใกล้ ๆ กับสนามบอล

“อ้าว ยังไง? มึงสองคนเนี่ย” ไอ้นุ ร้องถามทันทีที่เห็นผมกับไอ้ภพ  ไอ้ยักษ์ก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“จะไปกินปิ้งย่างกับพวกกูเปล่า?”
“ไหนมึงบอกกลับห้องแล้วไง?” ไอ้ยักษ์ถามผม
“มึงไม่ต้องพูดเลย!” ผมบ่นไอ้ยักษ์ ที่มันชอบไปบอกไอ้ภพว่าผมทำอะไรอยู่ที่ไหน
“กูไม่ได้ชนะซักหน่อย ไปด้วยจะดีหรอวะ?” ไอ้ภพถาม
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปกินกันหลาย ๆ คนสนุกดี กูชวนไอ้กรแล้วด้วย มันบอกเดี๋ยวตามไป”
“มึงไปมั้ย?” ไอ้ภพหันมาถามผม

ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็โดนแซวอีก

“มีปรึกษากันด้วย แล้วนี่ใส่เสื้อเหมือนกันอีก ตกลงยังเนี่ย?” ไอ้นุแซวที่ผมใส่เสื้อบอลที่มีชื่อและเบอร์ของไอ้ภพอยู่กลางหลัง
“ก็ฝนมันตก กูก็เลยเปียก แล้วมันก็เลยให้กูยืมใส่เฉย ๆ”
“เออ เอาเหอะ กูหิวแล้ว”


ในระหว่างที่กำลังกินกันอยู่ พวกไอ้นุก็คอยจับสังเกตระหว่างผมกับไอ้ภพ ที่ดูแปลก ๆ ไป ผมเองก็รู้สึกเขิน ๆ ที่พวกมันเอาแต่แซวแบบนี้ ทั้งที่ปกติก็โดนพวกมันแซวจนเป็นเรื่องปกติ ไอ้ภพเองก็ดูจะมีอาการแปลก ๆ เหมือนกัน ผมแอบเป็นห่วงมันนิดหน่อย กลัวว่ามันอาจจะกำลังรู้สึกอึดอัดอยู่ เพราะมันคงไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่ากำลังคบกับผมอยู่
เรานั่งตรงข้ามกัน แต่บางครั้งมันก็คอยตักเนื้อ ตักผักมาให้ผม จนโดนแซวไปตามระเบียบ

“พวกมึงเลิกแซวได้แล้ว ดูดิมือสั่นไปหมดแล้วเนี่ย” ไอ้ภพบอกแล้วหัวเราะออกมาแก้เขิน
“แล้วตกลงยังไงวะ? จะบอกพวกกูมั้ย?” ไอ้ยักษ์ถาม
“ก็... เออออ อย่างที่พวกมึงคิดนั่นแหละ!” พวกเพื่อนผมก็ฮือฮากันใหญ่ ยิงคำถามใส่ผมกับไอ้ภพรัว ๆ จนผมต้องรีบปรามพวกมันเอาไว้
“พอ ๆ จะกินมั้ยเนี่ย? เนื้อไหม้หมดแล้ว”
"กูว่าปิ้งย่างมื้อนี้ไม่ได้ฉลองที่ทีมเราชนะบอลแล้วว่ะ ฮ่า ๆๆ" ไอ้นุบอก

ผมแอบแปลกใจที่ไอ้ภพกล้าบอกออกมาว่ากำลังคบกับผม แต่ไอ้กรเองก็ดูไม่ได้ตกใจอะไรมากมาย ซ้ำยังดูยินดีด้วยซ้ำ

<---o--->

“มึงกลับเลยป่ะ?” ไอ้ภพถามผม
“เดี๋ยวไปเดินซื้อของกับไอ้ยักษ์ก่อน”
“งั้นกูกลับก่อนนะ”
“อืม”
“ถึงห้องแล้วโทรมาด้วยนะ”

ผมพยักหน้า แล้วเดินแยกออกมากับไอ้ยักษ์สองคน

“มึงแน่ใจใช่มั้ย?”
“เรื่อง?”
“มึงกับไอ้ภพ”
“ทำไมอ่ะ? มึงน่าจะเห็นด้วยนี่ คอยรายงานมันตลอดว่ากูอยู่ไหน”
“กูไม่ได้รายงานซะหน่อย”
“มึงนี่แหละแปลกสุด ทั้งที่ตอนแรกดูมึงไม่ชอบไอ้ภพแท้ ๆ แต่วันนี้กลับเป็นใจให้มันมาคุยกับกู”
“กูเห็นมึงเครียด ๆ เรื่องมัน ก็แค่อยากให้มึงสองคนเคลียร์กัน ไม่คิดว่ามึงกับมันจะตกลงคบกันนี่”
“แค่นั้นจริงหรอ?”
“เออ”

ผมไม่ค่อยปักใจเชื่อเหตุผลของไอ้ยักษ์สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากจะถามอะไรมันมากไปกว่านี้ เพราะเชื่อว่า ไม่ว่ามันจะมีเหตุผลอะไร ท้ายที่สุดแล้วมันก็แค่หวังดีกับผม

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->


หุ๊วว~ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองพิมพ์แต่ละตอนย๊าววยาว
แต่เนื้อเรื่องกลับไปไม่ถึงไหนเลย ซะงั้น ฮ่า ๆๆๆ
ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะจบแค่ 10-13 ตอนก็พอ
ยังเหลือในส่วนของภู กับแซคอีกนะเนี่ย
 :ling1:
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ
คอมเม้นติชม ให้กำลังใจกันได้นะครับ ผู้เขียนชอบอ่าน 555
จะได้รู้ ฟีดแบค ด้วย 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-01-2017 14:51:05
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: ดีจัง ภพ โซ่  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ภพแหละ พูดไม่ชัดเจน ทำให้โซ่คิดมาก
พูดว่า "เออ กูไม่ชอบผู้ชาย"
ใครก็ต้องคิดว่าภพไม่อยากมีคนรักเป็นผู้ชาย 
อย่างนี้โซ่ ก็ต้องเข้าใจสิว่าภพไม่ชอบโซ่แบบคนรัก
ดีนะเข้าใจกันได้  :mew1: :mew1: :mew1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-01-2017 20:52:45
 เพิ่งมาอ่านคับ สนุกดี อ่านรวดเดียวเลย
  โซ่สมควรคู่กับภพล่ะ บุคคลิกโซ่ก็ดูอ่อนๆ อีกคนก็ขี้แกล้ง 555
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 20-01-2017 00:04:08
ยังไงก็ไม่ชอบภพอยู่ดี  โซ่ชอบเข้าไปได้ไง  คนนิสัยเสีย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอน ภู
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 22-01-2017 10:27:59
ภู

กริ๊งงง งงง ง ! เสียงนาฬิกาปลุกตรงหัวเตียงดังขึ้น
ผมงัวเงียลุกขึ้นแล้วหยิบน้ำเปล่าจากกระบอกที่ตั้งอยู่ข้างนาฬิกาขึ้นมาดื่มเหมือนกับทุก ๆ เช้า

“เตี่ยหวัดดี!”
“วันนี้วันเสาร์นะ จะรีบไปไหนแต่เช้าเนี่ย?”
“ไปเรียนพิเศษไง เมื่อวานผมก็บอกไปแล้วนี่นา”
“แล้วจะไปยังไง? ให้เตี่ยไปส่งมั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับ” ผมบอกแล้วหยิบแซนวิชใส้ทูน่าที่เตี่ยเตรียมเอาไว้ให้ใส่ปาก
“อ้าว ไอ้ภู ไปไหนวะ?” ไอ้ภพเอ่ยถาม
“ไปเรียนพิเศษ”
“เรียนที่ไหนวะ? ”
“แถว ๆ นี้แหละ เตี่ยผมไปแล้วนะ”
“เออ ดูแลตัวเองด้วย”

ไอ้ภพเป็นพี่ชายของผม แต่เราไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ เพราะมันชอบบังคับ ชอบแกล้งผมอยู่เป็นประจำ บางครั้งเราก็มีเรื่องทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ จนเตี่ยต้องหนักใจอยู่เสมอ แต่ทำไงได้ ไม่รู้ว่าผมหรือมันที่อคติต่อกันมากเกินไป จนความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่ช่างเถอะ ถึงอย่างไรมันก็เป็นพี่ผมอยู่ดี ถึงแม้ว่า...
ผมชื่อ “ภู” ปัจจุบันอายุ 16 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สถานภาพตอนนี้เพิ่งโสด เพราะเพิ่งเลิกกับแฟนเก่ามาหมาด ๆ ด้วยเหตุผลงี่เง่า... เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ควรจะปล่อยให้มันผ่านไป และผมก็ไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่
ใครกันนะที่บอกว่าชีวิตช่วงมัธยมเป็นช่วงวัยที่สนุกและมีความสุขที่สุดแล้ว? ใช่สิครับ เพราะสมัยที่คนเหล่านั้นเป็นเด็ก ไม่ต้องมานั่งสอบ Gat Pat ไม่ต้องสอบ O-Net ให้ปวดหัว นอกจากนั้นยังมีสอบยิบย่อยต่าง ๆ นานา จนทำให้ช่วงวัยมัธยมของเด็กรุ่นผมเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะเหนื่อยหน่าย เมื่อเกรดกลายเป็นใบเบิกทางสำคัญที่จำเป็นต้องใช้เมื่อเราต้องเข้ามหาวิทยาลัย

“มาก่อนผมอีกหรอเนี่ย? ผมว่าผมรีบมาแล้วนะ” ผมเอ่ยทักพี่โซ่ ติวเตอร์ภาษาอังกฤษของผมที่นั่งรออยู่ในร้านที่เรานัดกันเอาไว้
“อื้ม กินอะไรมายัง?”
“ยังเลยครับ”

หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จแล้ว และพี่โซ่ก็เริ่มสอนจนผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง ระหว่างนั้นเราก็ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น จนเกือบเที่ยง ผมก็ออกไปกินข้าวด้วยกันอีกครั้ง

“ทำไมกินแต่ข้าวไก่กระเทียมอ่ะ? เมื่อเช้าก็กินไม่ใช่หรอ?” พี่โซ่ถาม ผมหัวเราะแก้เขิน เพราะรู้ว่าเหตุผลมันค่อนข้างปัญญาอ่อน
“ปกติ เวลาผมไปกินข้าวนอกบ้านกับพี่ผม มันชอบบังคับให้ผมกินเหมือนมัน”
“ไก่กระเทียมเนี่ยนะ?”
“ครับ”
“ทำไมอ่ะ?”
“พี่ผมมันบอกว่าเค้าจะได้ทำครั้งเดียว จะได้ไม่ต้องรอนาน”
“งั้นเอ็งก็ต้องกินแต่ข้าวไก่กระเทียมตลอดเลยหรอ?”
“ครับ ผมกินจนติดไปแล้ว เวลาไปร้านอาหารตามสั่งก็สั่งแต่เมนูนี้แหละ”
“อืม ตลกดี” ถึงพี่โซ่จะไม่ได้หัวเราะออกมา แต่ผมมองออกว่าในใจพี่เขาคงขำความประหลาดของผมอยู่แน่นอน
“แล้วพี่ชอบกินอะไรอ่ะ?”
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”
“มันต้องมีอะไรที่ชอบกินเป็นพิเศษบ้างสิ”
“อืมม~ ไอติม” พี่โซ่ทำท่าครุ่นคิด
“ไอติมรสอะไร?”
“ช็อกมิ้นท์”
“โหย กินไปได้ไง รสชาติอย่างกับยาสีฟัน” ผมบอก พี่โซ่หัวเราะออกมา

ไม่รู้ทำไม ผมชอบรอยยิ้มนั้นจัง...


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 24-01-2017 06:17:44
ตอนที่ 9
ปิดเทอม....
เดทแรก

“มึงอยู่คนเดียวได้แน่นะ?” ไอ้ยักษ์ถามผมขณะหิ้วกระเป๋าขึ้นสะพาย

วันนี้ปิดเทอมวันแรก และไอ้ยักษ์ต้องรีบกลับบ้านของมันที่ภูเก็ต

“เออ กูไม่ใช่เด็กป.2 นะ”
“แต่ระดับสมองมึงอ่ะใช่”
“อยากเอาแผลไปฝากแม่มึงมั้ย?”
“เออ ๆ กูไปซักสองอาทิตย์นะ จะรีบกลับมาให้ทันพี่มึง”
“รีบกลับมาเอาจิ๋*กระป๋องที่ให้ไอ้แซคซื้อให้ละสิ!”
“ส้นตีน!” ไอ้ยักษ์หัวเราะกร๊าก
“กูรู้หรอก คนหื่นกามอย่างมึง ยิ่งกับไอ้แซคด้วยแล้วคงไม่พ้นเรื่องแบบนี้”
“ส่วนของมึงก็ดิลโด้ใช่มั้ย?” ไอ้ยักษ์สวนกลับ
“ส้นตีนสิ! กูไม่ได้ต้องการขนาดนั้น”
“อย่างว่า ตอนนี้มีแฟนแล้วนี่”
“เออ ๆ มึงรีบไปเหอะ เดี๋ยวตกรถจะโทษกูไม่ได้นะ”
“เออ”
“ดูแลตัวเองด้วย ขึ้นรถแล้วก็ไลน์มาบอกกูด้วย”
“เออ มึงก็ด้วย ดูแลตัวเองด้วย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วเดินออกจากห้องไป

ในใจผมรู้สึกหน่วง ๆ ไม่ใช่เพราะไอ้ยักษ์ไม่อยู่ แต่เพราะอิจฉา ที่มันมีครอบครัวให้กลับไปหา เทียบกับผมแล้ว ตอนนี้ก็เหมือนตัวคนเดียว เพราะแต่ละคนแยกย่ายกันไปหมด

“ทำอะไรอยู่?” การแจ้งเตือนในไลน์เด้งขึ้นมา ทำให้ผมเลิกคิดถึงเรื่องต่าง ๆ แล้วหันมาสนใจคนในนั้นแทน

ผม : เพิ่งตื่น
ไอ้ภพ : แล้ววันนี้จะไปไหนมั้ย?
ผม : ไม่นะ ทำไมอ่ะ?
ไอ้ภพ : งั้นเดี๋ยวกูไปหานะ ;)
ผม : มาถูกหรอ?
ไอ้ภพ : คิดว่าถูก

ปัง ๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น

ผม : แปปนะ สงสัยไอ้ยักษ์ลืมของ

ผมลุกไปเปิดประตูให้ไอ้ยักษ์ แต่ปรากฏว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่ไอ้ยักษ์แต่เป็นไอ้ภพ

“เชี้ย!”
“นี่คือคำทักทายใช่มั้ยเนี่ย?” ไอ้ภพหัวเราะที่เห็นผมตกใจ
“มาได้ไงวะ?”
“ก็อยากเซอร์ไพร์ส”
“แล้วมาถูกได้ไงอ่ะ?”
“ไอ้ยักษ์บอก” ไอ้ภพบอกแล้วนั่งลงบนเตียงของผม พลางสายตาก็มองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง

ผมแอบเขิน เพราะห้องดูรกไปนิด

“ถามจริง มึงไปคุยอะไรกับมันวะ ทำไมมันดูสนับสนุนมึงจัง”
“มันก็แค่เป็นห่วงมึง ไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียวละมั้ง”
“หรอ?”
“มันห่วงมึงจนกูนึกว่ามึงเป็นเมียมันแล้วเนี่ย เดี๋ยวนะ! เตียงก็เอามาติดกัน ตกลงมึงเป็นเมียมันจริง ๆ ใช่มั้ยเนี่ย?” ไอ้ภพถาม
“จะคิดแบบนั้นก็ตามใจ”
“โอ๋ ๆ แซวเล่นเฉย ๆ เอง อย่างอนดิ” ผมก็ยังไม่ชินกับมุมนี้ของไอ้ภพซะที

“แล้วมาทำไมแต่เช้าเลยเนี่ย”
“คิดถึง”
“อ้อร้อ!”*
“ก็ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน มึงไม่คิดถึงกูบ้างหรอ?” ไอ้ภพบอกแล้วล้มตัวนอนที่ตักผม
“ไม่อ่ะ”
“แน่ใจ?”
“เออ!” ผมบอกแล้วผลักหัวมันออกจนมันหล่นเตียงไป

ไอ้ภพรีบกระโจนใส่ผม แล้วจับแขนผมกดไว้กับเตียง

“ไม่คิดถึงเลยหรอ?”

มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมจนจมูกของเราแทบจะชนกัน กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่มันใส่มาก็ยังคงคล้ายกับกลิ่นที่น้องภูเคยใช้

“นิดนึงก็ได้”
ฟอดดด !

ไอ้ภพหอมลงที่แก้มของผมฟอดใหญ่ จนผมต้องรีบดิ้นแล้วผลักมันออกไป เพราะยังรู้สึกเขินอยู่

“ยังไม่หายคิดถึงเลย” ไอ้ภพบอกแล้วก้มลงมาหอมผมอีกครั้ง
“พอแล้ว~” ผมบอกเสียงอ่อย ๆ
“มึงหิวยัง?”
“อืม”
“งั้นลงไปหาอะไรกินกันนะ”
“งั้นเดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน”
“ยังไม่ได้อาบน้ำอีกหรอ?”
“ทำไมอ่ะ เห็นหรอ?”
“ไหนขอลองดมอีกทีสิว่าเหม็นมั้ย” ไอ้ภพบอกแล้วยื่นหน้ามาหาผม แต่ผมเอามือดันหน้ามันเอาไว้
“มึงเป็นหมาหรอ?”

<---o--->

“กลับเลยมั้ยอ่ะ?” ผมบ่นที่ไอ้ภพพาผมมาถึงเซ็นทรัล เพราะผมอยากนอนพักผ่อนอยู่ที่ห้องมากกว่า
“โหย กินเสร็จก็จะกลับเลยหรอ?”
“ใครใช้ให้พามากินที่นี่อ่ะ กูก็นึกว่าจะไปกินที่ร้านอาหารตามสั่งล่างหอ แล้วมึงดูกูแต่งตัว” ไอ้ภพมองผมที่ใส่รองเท้าแตะเก่า ๆ เสื้อยืดที่ปกติเอาไว้ใส่นอน กับกางเกงขาสั้น ที่ดูรวม ๆ แล้วเหมาะกับการเป็นเด็กเข็นผักในตลาดสดมากกว่า


“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ไอ้ภพบอกแล้วหัวเราะแบบเกรง ๆ
“แล้วหัวเราะทำไม?”
“แบบนี้แหละ จะได้ไม่มีใครมองมึง แต่งตัวหล่อเกินไป กูหวง!”
“แต่งแบบนี้คนยิ่งมองมากกว่าอีก” ผมบ่นหน้ามุ่ย
“โอ๋ ๆ งั้นเดี๋ยวไปซื้อเสื้อกัน กูซื้อให้”
“ไม่เอาอ่ะ อยากกลับห้องมากกว่า”
“แต่กูอยากดูหนังก่อน ไปดูหนังกันก่อนนะ” ไอ้ภพบอกแล้วเอื้อมแขนมากอดคอผม
“ม่ายยยย”

<---o--->

“จะกินป๊อปคอร์นป่ะ?” ไอ้ภพถาม

สุดท้ายผมก็ต้องยอมมาดูหนังกับมันในสภาพนี้

“ไม่เอาอ่ะ เพิ่งกินข้าวมาเอง”
“เป็นอะไรอ่ะ?” ไอ้ภพถามที่เห็นผมยืนกอดอกตัวเองตัวสั่นอยู่
“หนาว” ผมบอกด้วยเสียงที่สั่นเครือด้วยความหนาว เพราะเสื้อที่ใส่อยู่มันบางมากจริง ๆ
“งั้นไปซื้อเสื้อกัน”
“ไม่เอาอ่ะ แค่นี้เอง”
“อย่าดื้อ!” ไอ้ภพบอกแล้วจับหัวผมเขย่าเหมือนกำลังบ่นเด็กเล็ก ๆ

ใจผมเต้นแรง และรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดอยู่บนใบหน้าจนต้องหลบสายตามัน

“รีบไปกันดีกว่า อีกยี่สิบนาทีหนังก็เข้าแล้ว” ไอ้ภพบอกแล้วกอดคอผมเดินไปเหมือนเดิม
“อืม”

ไอ้ภพพาผมมาที่ร้านของเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งเพื่อเลือกเสื้อแจ็คเก็ต แต่ผมปฏิเสธ เพราะเท่าที่ดูราคามันค่อนข้างสูงมาก และเกินความจำเป็นสำหรับผมเกินไป

“ทำไมอ่ะ มันก็สวยดีนะ” ไอ้ภพถามแล้วโชว์เสื้อตัวหนึ่งให้ผมดูอีกครั้งเพื่อตัดสินใจ
“มึงไม่คิดว่ามันแพงเกินไปหน่อยหรอวะ?”
“มันก็แพงนะ แต่จริง ๆ คุณภาพมันก็สมราคาที่เราจะจ่ายไม่ใช่หรอ?”
“แต่กูก็ยังคิดว่ามันเกินความจำเป็นอยู่ดี เสื้อห่าอะไรตัวละตั้งสามพันสี่พัน”
“เอาเหอะ กูอยากซื้อให้”
“ไม่เอา” ผมย้ำ
“พี่ครับ เอาตัวนี้ครับ!” ไอ้ภพไม่สนใจคำพูดผมแล้วรีบเดินไปจ่ายเงิน

ผมจึงเดินออกมาจากร้าน ด้วยความรู้สึกขุ่นมัว

“เอ้า ลองใส่ดู”
“กูบอกว่าไม่เอาไง”
“มึงอย่าดื้อสิ กูซื้อมาแล้ว จะให้เอาไปคืนเขาหรอ?”
“งั้นมึงก็เก็บเอาไว้เอง”
“งั้นเอางี้ กูไม่ให้มึงก็ได้ แต่เสื้อตัวนี้เป็นของเรา โอเคป่ะ?” ไอ้ภพยิ้มแล้วยื่นเสื้อให้ผม
“??”
“มึงก็แค่เก็บไว้ อยากใส่ก็ใส่ แล้วเมื่อไหร่ที่กูจะใส่ กูจะไปเอาที่ห้องมึงเอง เหมือนเราเป็นเจ้าของร่วมกัน”
“...”
“เออน่า ใส่ไปก่อน ดูดิ สั่นไปหมดแล้วเนี่ย” ไอ้ภพบอกแล้วเอาเสื้อมาสวมให้ผม

ถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังเล่นตัวอยู่ก็ใช่เหตุ พาลจะดูเป็นคนน่ารำคาญซะมากกว่า ผมจึงยอมสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินฝังเพชรตัวนั้นเอาไว้

“มึงใส่สีน้ำเงินแล้วดูขึ้นดีนะ น่ารักดี” ไอ้ภพบอก ผมแกล้งกลอกตาใส่มัน
“ลดความกวนตีนลงหน่อยจะน่ารักกว่านี้เยอะเลย”
“กูก็เป็นของกูแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว ถ้าไม่ชอบแล้วจะมาคบกับกูทำไมอ่ะ”
“กูไม่ได้บอกว่ากูไม่ชอบ แต่ทุกครั้งที่มึงชอบทำตัวกวนตีน มันทำให้กูอยากขย้ำมึงอ่ะ” ไอ้ภพเน้นเสียงตรงคำว่าขย้ำ มันทำให้ผมหัวเราะออกมา

“ไอ้ภพ!” เสียงหนึ่งตะโกนเรียกไอ้ภพจากด้านหลัง

เสียงที่ผมกับไอ้ภพคุ้นชินกันเป็นอย่างดี

“ไอ้ภู!”
ไอ้ภพตกใจที่หันไปเจอน้องชายตัวเองยืนอยู่ข้างหลังกับเพื่อนอีกสองคน

“หมายความว่าไงวะ?” น้องภูถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความโกรธ
“ภู...”
“อะไรวะ?” ไอ้ภพทำเป็นไขสือ
“มึงกับพี่โซ่คบกันหรอวะ?”
“ใจเย็น” ผมพยายามปราม เพราะตอนนี้คนแถวนั้นหันมามองเราทั้งสามคนกันหมด
“ตอบมาดิ!”
“ไปคุยตรงอื่นมั้ย” นาทีนี้เหมือนไร้ตัวตนจากสายตาของทั้งสองคนไปแล้ว
“เออ!” ไอ้ภพอ้อมแอ้ม
“ทำไมมึงทำแบบนี้กับกูวะ? มึงบังคับให้กูกับพี่เค้าเลิกกัน แล้วมึงมาคบเองลับหลังแบบนี้อ่ะนะ!” น้องภูเสียงสั่น กำหมัดแน่น เพื่อนของมันดุจะตกใจนิดนึงที่ได้ยินว่าไอ้น้องภูเคยคบผู้ชาย
“มึงฟังก่อน กูไม่ได้บังคับให้มึงเลิกกันเพราะกูจะคบเอง”
“มึงแม่งเหี้ยว่ะ!” น้องภูตะคอกใส่ไอ้ภพ แล้วพุ่งตัวไปต่อยไอ้ภพเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง ไอ้ภพยืนนิ่งไม่โต้ตอบอะไร

ในตอนนี้ผมรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะผมทั้งห่วงไอ้ภพ และห่วงความรู้สึกของน้องภูไปในเวลาเดียวกัน

“ภูใจเย็นก่อน”
“ผมรักพี่นะเว้ย! เป็นคนแรกเลยที่ผมรักมากขนาดนี้ แต่ผมต้องจบความรักของเราเพราะมัน ทำไมพี่ถึงยังยอมมาคบกับมันอ่ะ?” น้องภูร้องไห้โฮออกมา ทำให้ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว
“เฮ้ยมึง ใจเย็น ๆ” เพื่อนของน้องภูคนนึงรีบเข้ามาปลอบ
“เต้ พี่ฝากพาไอ้ภูมันกลับบ้านด้วยนะ” ไอ้ภพบอกกับน้องคนนึงที่เป็นเพื่อนน้องภู
“กูจะบอกเตี่ยเรื่องนี้ มึงจะได้รู้ว่ากูรู้สึกยังไงเวลาที่โดนมึงบังคับให้เลิกกัน” น้องภูชี้หน้าพูดกับไอ้ภพ แล้วเดินจากไปกับเพื่อน โดยหันมามองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมรู้สึกปวดใจมากกว่าเดิม

ไอ้ภพมองหน้าผมแล้วถอนหายใจ ก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดโดยไม่สนว่าคนรอบข้างกำลังมองเราอยู่

“กูขอโทษนะ” ไอ้ภพบอก

ผมรับรู้ได้ว่ามันกำลังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่ให้ร้องไห้ออกมาต่อหน้าผม

“มึงยังอยากอยู่ข้าง ๆ กูมั้ย?”
“กูทำใจไว้แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง แต่กูบอกตรง ๆ ว่ามันโคตรยากเลยที่กูจะไม่รู้สึกอะไรกับน้องมึงเหมือนที่กูเคยพูดไว้”
ไอ้ภพตัวสั่นด้วยแรงสะอื้น กอดผมแน่นยิ่งขึ้นคล้ายกำลังกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจไปหาน้องภู เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันในมุมอ่อนแอแบบนี้ ทำให้ผมต้องปาดน้ำตาแล้วกลายเป็นฝ่ายปลอบมันแทน

“ยังอยากอยู่ข้าง ๆ กูมั้ย?”
“เออ กูสัญญาแล้วไงว่าจะอยู่ข้าง ๆ มึง”

ไอ้ภพยังคงกอดผมไม่ยอมปล่อย

“ปล่อยได้แล้ว คนอื่นมองกันใหญ่แล้ว”
“กูขอโทษนะ ที่ทำให้มึงต้องมาเจออะไรแบบนี้”
“แล้วมึงอ่ะ เป็นอะไรมั้ยเนี่ย?” ผมบอกแล้วเอานิ้วเช็ดเลือดที่ไหลอยู่ตรงมุมปากของไอ้ภพอย่างเบามือ
“มึงโกรธกูมั้ย?”
“นี่~” ผมจับหน้าไอ้ภพให้มองมาที่ตาของผม เพื่อให้มันได้มั่นใจในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้
“กู รัก มึง!”

ไอ้ภพยิ้มออกมาแล้วยกมือมาปาดรอยน้ำตาที่แก้มของผม

"แต่วันนี้ไม่ดูหนังแล้วนะ คงดูไม่สนุกแล้ว"

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

อันดับแรก ขอโทษคร้าบบบบบ ที่ตอนนี้ลงเลทมาตั้ง 1 วัน !!
ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ครับ ยอมรับความผิดแต่โดยดี แฮ่ ๆ  :-[
ตอนนี้พิมพ์ไป จิตตกไป อินจัด ไม่รู้จะสงสารใครดี
ภูก็น่าสงสาร ไอ้ภพก็น่าสงสาร ไอ้โซ่เองก็น่าสงสาร
แต่ละคน ตกอยู่ในที่นั่งลำบากที่ไม่ว่าใครก็เจ็บเหมือนกันหมดเลย
แต่งานนี้คนที่น่าสงสารสุดน่าจะเป็นน้องภูเนอะ ต้องมารู้ว่าแฟนเก่าตัวเอง คบกับพี่ชาย
แถมเค้าทั้ง 2 คน ไม่ได้เลิกกันเพราะไม่ได้รักกันแล้วอีกด้วย
เฮ้ออ ปวดหัว ๆๆ
เพื่อน ๆ ล่ะครับ สงสารใครบ้าง ?  :katai1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: dena ที่ 24-01-2017 18:55:19
3p เลยพี่จบเรื่อง 55555555+ (เราสงสารน้องภู T^T อ่านตอนผมรักพี่มากนะเว้ยนี่น้ำตาไหลเลย T^T)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-01-2017 19:10:51
มันก็น่าให้ภู โกรธ ภพบังคับน้องให้เลิก
ทั้งที่คู่รัก ภู โซ่ ไม่อยากเลิก
แล้วต่อมาภพ มารักกับโซ่ ซะเอง
เรื่องจะวุ่น ถึงขั้นเลิกกันอีกมั้ยเนี่ย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 10.1
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 29-01-2017 03:28:54
ตอนที่ 10.1

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ผมกับไอ้ภพก็กลับมาที่หอทันที โดยไม่ได้ไปดูหนังด้วยกัน เพราะต่างคนต่างไม่มีอารมณ์ที่จะดูแล้ว พอถึงห้อง ไอ้ภพก็เอาแต่นิ่งเงียบ ผมก็พอจะเข้าใจที่มันเป็นแบบนั้น เพราะผมเองก็รู้สึกแย่กับเรื่องนั้นเหมือนกัน
“ผมรักพี่นะ เป็นคนแรกเลยที่ทำให้รักมากขนาดนี้”
เสียงของน้องภูยังดังก้องอยู่ในหัวผมซ้ำไปซ้ำมา ทำให้ผมแอบลังเลขึ้นมานิดนึงว่าการที่ผมตัดสินใจคบกับไอ้ภพอาจจะเป็นสิ่งผิดก็ได้
“แต่เรารักมันหลังจากเลิกกับน้องภูมาแล้วนะ...” ผมบอกกับตัวเองในใจ
ผมไม่ได้ผิดที่รักไอ้ภพ แต่ผิดที่ยังคงรู้สึกกับทั้งสองคนอย่างชัดเจนทั้งคู่

ไอ้ภพนั่งอยู่บนโซฟายาวหน้าทีวี ผมจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ มันแล้วเอนตัวลงนอนที่ตักมันบ้าง

“ยังคิดเรื่องนั้นอยู่หรอ?”
“อืม” ไอ้ภพบอกแล้ววางมือของมันลงบนอกผม
“แล้วมึงจะเอายังไงต่อไป?”
“คืนนี้กูขอนอนที่นี่นะ”
“ไม่กลับไปคุยให้รู้เรื่องก่อนจะดีหรอ?”
“อืม ช่างมันก่อน”
“ถ้าพ่อมึงรู้ว่าเราคบกัน เราต้องเลิกกันมั้ย?”

ไอ้ภพมองหน้าผมก่อนจะยิ้มแล้วบอกว่า

“ไม่หรอก กูโตพอที่จะเลือกเองได้แล้ว”
“อืมม”
“โซ่... กูเลวมากเลยใช่มั้ยวะ? ที่ทำให้เรื่องของเรามาถึงขนาดนี้”
“ทำไมถึงถามแบบนั้นอ่ะ?”
“กูรู้สึกผิดกับน้องกู”
“ไอ้ภพ...”

ผมเรียกชื่อมันแล้วดึงมือมันมาจับไว้

“ครั้งแรกที่เราเจอกัน มึงเกลียดกูแทบเป็นแทบตาย มึงไม่ได้บังคับให้น้องมึงเลิกกับกูเพราะมึงชอบกูซะหน่อย”
“แต่กูก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี”
“ใช่! มึงควรจะรู้สึกผิด ที่ทำให้กูกับน้องมึงเลิกกัน แต่ไม่ใช่รู้สึกผิดเพราะมาคบกับกู”
“....”
“เออใช่ มึงเคยบอกนี่ว่าการที่กูคบกับน้องมึง ทำให้มันเดือดร้อน ยังไงวะ?”
“ลืมไปเลย”
“มึงเคยบอกว่ามีเรื่องไอ้ภูที่จะเล่าให้กูฟัง”
“ทีอย่างนี้มึงจำแม่นเลยนะ” ไอ้ภพบ่น
“กูจำทุกอย่างที่มึงพูดได้หมดนั่นแหละ แม้กระทั่งที่มึงเคยบอกว่า กูเอียนที่ต้องได้ยินเสียงมึงจนแทบจะอ้วกแล้ว!” ผมแกล้งพูดล้อเลียน ไอ้ภพหัวเราะแล้วเขกหัวผมเบา ๆ
“กวนตีนรักษาไม่หายจริง ๆ”
“จะบอกได้ยังว่าเรื่องอะไร?”
“จริง ๆ แล้วกูกับไอ้ภู เราเป็นพี่น้องคนละแม่กัน!”
“ห๊ะ?”
“แม่มันหย่ากับพ่อกูแล้วไปมีแฟนใหม่เป็นฝรั่ง และย้ายไปอยู่ด้วยกันที่นอร์เวย์ ทิ้งไอ้ภูไว้ให้พ่อกูเลี้ยง”
“...”
“พอเค้ารู้ว่ามันคบกับผู้ชาย เค้าก็บินกลับมาด่าพ่อกูถึงที่ไทย แล้วบอกว่าจะพามันย้ายไปอยู่ด้วย”
“แล้วภูมันรู้เรื่องนั้นมั้ย?”
“มันยังไม่รู้ว่าแม่มันจะพามันไปอยู่ด้วย”
“แล้ว...”
“พ่อกู เลี้ยงกูเลี้ยงน้องมาด้วยตัวคนเดียวจนขนาดนี้ อยู่ ๆ เค้าจะมาเอาไอ้ภูไปอยู่ด้วย มึงว่ามันแฟร์มั้ยวะ?”
“อืม...” ผมถอนหายใจ
“จนตอนนี้น้องกูอายุ 17 แล้ว เค้าเคยมาหามันแค่ 2 ครั้ง ทีอย่างนี้จะมาเอามันไป”
“...” ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะถ้าคิดย้อนไป ก็เป็นเพราะผมจริง ๆ นั่นแหละ ที่ทำให้ครอบครัวมันวุ่นวายแบบนี้
“จริง ๆ ก็ควรจะให้มันตัดสินใจด้วยตัวของมันเอง แต่หลังจากสิ่งที่เกิดวันนี้มึงว่ามันจะเลือกยังไง?”
“แล้วพ่อมึงว่ายังไงบ้าง?”
“กูเป็นห่วงพ่อกูนี่แหละ เค้ารักไอ้ภูมาก”
“ไอ้ภูมันไม่ใช่คนอกตัญญู มันไม่ทิ้งพ่อมึงไปหรอกน่า”
“อืม”

ไอ้ภพถอนหายใจบ้าง

“งั้นเอางี้ พรุ่งนี้เราไปคุยกับน้องมึงกัน เดี๋ยวกูคุยเอง”

<---o--->

ในคืนนั้น
ระหว่างที่ไอ้ภพกำลังอาบน้ำอยู่ไอ้ยักษ์ก็โทรมาพอดี ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ไอ้ยักษ์ฟัง

“แล้วมึงยังรักไอ้ภูอยู่รึเปล่าล่ะ?” ไอ้ยักษ์ถาม
“กูก็ไม่รู้ว่ะ? แต่วันนี้ที่เห็นมันเป็นแบบนั้น กูก็เจ็บจนทนไม่ได้เหมือนกัน”
“มึงควรจะชัดเจนกับตัวเอง”
“แต่กูก็รักไอ้ภพนะ กูมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ ๆ มัน แต่พอคิดไปถึงเรื่องนั้นแล้ว หรือกูควรจะตัดทั้งสองคนแล้วถอยออกมาเลย มันจะได้ไม่ทะเลาะกัน”
“มึงอย่าคิดโง่ ๆ ตอนนี้มันทะเลาะกันไปแล้ว และมึงก็รักกันไปแล้ว จะมาทำร้ายกันไปเพื่ออะไร”

ผมจุกกับคำพูดของไอ้ยักษ์ เพราะรู้สึกว่าตัวเองคิดน้อยเกินไปจริง ๆ

“เอางี้ดิ มึงก็*ทรีซั่มกันไปเลย” ไอ้ยักษ์บอกแล้วหัวเราะออกมา
“ส้นตีนสิ! มันใช่เวลาตลกมั้ยเนี่ย?”
“กูล้อเล่น ฮ่า ๆๆ มึงก็แค่ไปคุยกับไอ้ภูให้รู้เรื่อง แค่นั้นแหละ”
“เออ กูก็ตั้งใจไว้แบบนั้น... แล้วนี่ แม่มึงเป็นไงบ้าง?”
“ก็ปกติดี เนี่ย กูเพิ่งมาถึง เค้าก็เตรียมผลไม้กับขนมเอาไว้ บอกว่าให้เอาไปฝากมึงซะแล้ว”
“ฮ่า ๆๆ ฝากขอบคุณแม่มึงด้วย”
“เค้าบอกว่าน่าจะชวนมึงมาด้วย แต่กูบอกมึงอยู่กับผัว”
“ไอ้เชี้ยนี่!”
“กูไปก่อนนะ แม่มาตามไปกินข้าวแล้ว”
“เออ”
“มึงก็ดูแลตัวเองด้วย”

“ไอ้โซ่ ขอผ้าเช็ดตัวหน่อย!” ไอ้ภพตะโกนเรียกผมจากในห้องน้ำ
ผมจึงวางสายจากไอ้ยักษ์แล้วลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้มัน
“แล้วทำไมไม่หยิบมาแต่แรกวะ” ผมเคาะประตูเรียกมัน

ไอ้ภพเปิดประตูห้องน้ำออกแล้วดึงผมเข้าไปในห้องน้ำกับมัน
“สระผมให้หน่อย”
“อะไร? มึงก็สระเองดิ เดี๋ยวกูเปียกไปด้วย”
“ไม่เอาสระให้หน่อย”
“ม่ายยย~” ผมปฏิเสธ

ไอ้ภพจึงฉีดน้ำใส่ตัวผม

“เฮ้ย! เล่นอะไรเนี่ย เปียกหมดแล้ว!”
“ไหน ๆ ก็เปียกแล้ว มาอาบด้วยกันเลยดิ” ไอ้ภพยิ้มเยาะเย้ยที่แกล้งผมสำเร็จ
“ไม่!” ผมบอกแล้วหันกลับไปเพื่อที่จะเปิดประตูห้องน้ำ
“สระผมให้หน่อยนะครับ” ไอ้ภพดึงผมไปกอดแล้วอ้อนเสียงหวาน แต่นั่นทำอะไรผมไม่ได้หรอก
......
....
..

“โตเป็นควายแล้ว ยังจะให้สระผมให้อีก” ผมบ่น ในขณะที่มือก็ขยุ้ม ๆ อยู่บนหัวมัน
“ก็อยากให้มึงสระให้อ่ะ”
“หลับตา” ผมบอกแล้วเปิดฝักบัวฉีดน้ำเพื่อล้างแชมพูจากหัวมัน
“หันหลังมา เดี๋ยวกูสระให้มึงบ้าง”
“ไม่เอาอ่ะ กูสระเองได้”
“หันหลัง!”

ผมถอนหายใจ แล้วหันหลังให้มันอย่างว่าง่าย

“ทำไมกูต้องยอมมึงตลอดเลยวะ?” ผมบ่นออกมา
“เพราะมึงชอบกูไง กูสั่งอะไรมึงก็ต้องทำตาม”
“กูไม่ใช่ทาสมึงนะ”
“แต่กูก็ไม่เคยสั่งอะไรที่มึงไม่อยากทำเลยนี่”
“มึงรู้ได้ยังไง?”
“งั้นมึงลองบอกมาสิ มีเรื่องไหนบ้างที่กูสั่งแล้วมึงไม่อยากทำ”

ผมนึกย้อนกลับไป ตั้งแต่ที่ค่าย ผมก็ยอมมันมาตลอด

“กูรักมึงนะ” ไอ้ภพบอกแล้วสวมกอดผมจากด้านหลัง
“อยู่ ๆ มาบอกอะไรตอนนี้วะ?”
“เพราะกูยังไม่เคยบอกมึงเลยไง”

ไอ้ภพจับผมหันไปหามัน ในตอนนี้ เราทั้งสองคนอยู่ในสภาพตัวเปียก และมีเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ติดตัวกันคนละตัว นอกเหนือจากนั้น ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ไอ้ภพดึงผมไปจูบอย่างนุ่มนวลพลางมือก็ลูบไล้ไปตามตัวของผมจนกระทั่ง
“โอ้ยยยยย! แชมพูเข้าตา!” ผมตะโกนลั่น เพราะแชมพูที่ยังคาอยู่ที่หัวนั้นไหลย้อยลงมาจนเข้าตาผมทั้งสองข้าง ไอ้ภพก็เอาแต่หัวเราะ ก่อนจะฉีดน้ำมาช่วยล้างแชมพูออกจากตาผม

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-01-2017 05:50:22
ค้างๆๆๆ....... :ling1: :ling1: :ling1:
หรือค้างตอนนี้ ตอนหน้าไม่ค้าง  :hao6:
คนอ่าน ก็คิดอย่างยักษ์นะ 3p ไปเล้ย
ที่จริงโซ่ ตอนอยู่กับน้องภูก็ตามใจน้องนะ
อยู่กับภพ ก็ตามใจภพ
แสดงว่าจิตใจของโซ่ เป็นคนสบายๆ
ชอบตามใจคนอยู่แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: dena ที่ 29-01-2017 09:11:22
ได้โปรด 3p เหอะ 55555555555+ เราเลือกไม่ถูก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 10.2
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 29-01-2017 09:14:22
ตอนที่ 10.2
ตัดสินใจ...


แสงของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องปลุกให้ผมตื่นขึ้น แต่เช้านี้แตกต่างจากทุก ๆ เช้าที่ผ่านมา
ไอ้ภพกระชับกอดเมื่อรู้สึกว่าผมกำลังจะลุกขึ้น

“ตื่นแล้วหรอ?”
“อืม ปล่อยก่อน จะไปเข้าห้องน้ำ”
“ไม่เอา อยากกอดแบบนี้นาน ๆ” ไอ้ภพอ้อน
“กูปวดเยี่ยว!” ผมบอกแล้วดิ้นจนหลุดจากอ้อมกอดของมัน

ไอ้ภพหัวเราะที่แกล้งผมได้อีกแล้ว

ผมยืนมองตัวเองในกระจก แล้วเผลอนึกย้อนไปตอนที่ผมกับไอ้ภพเจอกันที่ค่าย ภาพความทรงจำไล่เรียงเป็นฉาก ๆ จนกระทั่งตอนนี้ ที่ผมกับมันเป็นแฟนกันแล้ว และในขณะเดียวกัน ผมกลับนึกย้อนไปยังตอนที่ได้เจอกับน้องภูครั้งแรก เดทแรก หรือแม้แต่ตอนที่น้องภูบอกรักผม พลันเสียงน้องภูในหัวที่พูดประโยคนั้นก็แว่วเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง

หลังจากปลดทุกข์เสร็จผมก็กลับมานอนที่เตียงต่อ ไอ้ภพดึงผมเข้าไปกอดอย่างเบามือ

“กูมีความสุขจัง”
“เราจะไปบ้านมึงกันตอนไหนดีอ่ะ?”
“ขออยู่แบบนี้ก่อนไม่ได้หรอ? ตอนนี้กูไม่อยากคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น” ไอ้ภพบอกแล้วกอดผมแน่นขึ้น
“ก็ไปคุยให้มันเคลียร์ ๆ ไปเลย”
“มึงอยากไปขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ทำไมวะ?”
“ดูมึงเป็นห่วงน้องกูจังเลยนะ ยังรักมันอยู่ละสิ!” ไอ้ภพบอกแล้วคลายอ้อมแขนออกจากผม
“จะพูดแบบนี้ให้ได้อะไรขึ้นมาวะ?”
“แปลว่าจริงใช่มั้ย?”
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจแล้วลุกออกจากเตียง
“ตอบมาดิ!” ไอ้ภพตะคอก
“มึงต้องให้กูพูดอีกกี่ครั้งวะ มึงถึงจะพอใจ แล้วไอ้การที่กูบอกรักมึง หรือสิ่งที่เราทำด้วยกัน มันไม่ได้ให้คำตอบมึงเลยรึไงวะ?”
“แล้วทำไมมึงไม่ตอบมาอ่ะ?”
“มึงอยากได้คำตอบใช่ป่ะ? ใช่! กูรักน้องมึง แล้วกูก็เป็นห่วงมัน เป็นห่วงความรู้สึกมันที่ต้องรู้ว่าพี่ชายตัวเองมาคบกับแฟนเก่าที่ตัวเองเคยคบ กูกับมันไม่ได้เลิกกันเพราะไม่ได้รักกัน มันไม่ได้ทำใจให้ไม่รู้สึกอะไรได้ง่ายขนาดนั้นนะเว้ย!”
“แล้วมึงมาคบกับกูทำไมวะ?” ไอ้ภพน้ำตาคลอ
“เพราะกูรักมึงไง กูรักมึง แล้วก็รักน้องมึงด้วย แต่มันไม่เหมือนกัน สำหรับน้องมึงมันเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่กูมีให้ด้วยความเป็นห่วง เหมือนที่มึงควรจะห่วง”
“ไอโซ่!”

ไอ้ภพทำหน้าตกใจแล้วรีบลุกจากเตียงตรงมาที่ผม

“ทิชชู่อยู่ไหน?” ไอ้ภพถามอย่างร้อนรน
“ทำไม? มีอะไรวะ?”
“เลือดกำเดามึงไหล เงยหน้าไว้ ๆ” มันผลักหัวผมให้เงยหน้าเบา ๆ แล้วพาผมมานั่งที่เตียงก่อจะเดินไปหยิบทิชชู่มาซับเลือด
“เยอะหรอ?”
“ไม่เอาแล้ว ไม่คุยเรื่องเครียด ๆ แล้ว กูขอโทษที่ตะคอกใส่มึงนะ”
“ไม่เกี่ยวกันหรอก มันอาจจะแค่ไหลมาเฉย ๆ มั้ง”

ผมเพิ่งเคยเห็นไอ้ภพดูเป็นห่วงผมขนาดนี้ แอบตลกในใจตัวเองเหมือนกัน ว่านี่คือคนเดียวกันที่ทำผมเกือบพิการ

“มึงเข้าใจที่กูพูดใช่มั้ยภพ กูกับน้องมึงอาจจะมีความรู้สึกแปลก ๆ ต่อกันอยู่ แต่กับมึง มันชัดเจนว่าตอนนี้กูรักมึงแล้ว เพราะงั้นเลิกถามอะไรแบบนั้นซะที”
“บอกว่าไม่ต้องพูดเรื่องนั้นแล้วไง ช่างมันเหอะ”
“กูไม่อยากช่างมัน แล้วปล่อยให้มึงจมอยู่กับความคิดที่มึงคิดเอาเอง”
“อืม เข้าใจแล้วครับ” ไอ้ภพบอกแล้วแกล้งทำท่าตะเบ๊ะ


<---o--->

“เตรียมใจแล้วใช่ป่ะ?” ไอ้ภพถาม

ในตอนนี้เรายืนอยู่หน้าบ้านมันแล้ว ลักษณะเป็นบ้านสองชั้น ไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่ชั้นล่างเป็นประตูกระจกบานใหญ่ ที่มีม่านสีฟ้าติดเอาไว้ มองเข้าไปข้างใน ผมเห็นพ่อไอ้ภพนั่งง่วนอยู่ตรงโต๊ะทำงาน
ผมเหลือบขึ้นไปมองที่ชั้นบน ก็เห้นหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ และมีผ้าขนหนูลายตัวการ์ตูนพาดอยู่ ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าห้องนั้นต้องเป็นห้องของน้องภู
“สติทช์?”
“ห๊ะ?” ไอ้ภพหันมาถามที่เห็นผมงึมงำ
“หืม?”
“กูถามว่ามึงเตรียมใจดีแล้วใช่มั้ย?”
“อันที่จริงก็กลัว ๆ นิดหน่อย กลัวที่ต้องเจอพ่อมึง โดยที่เค้ารู้ว่ากูเป็นคนทำให้เรื่องวุ่นวายแบบนี้”
“กูจะอยู่ข้าง ๆ มึงเอง” ไอ้ภพบอกแล้วจับมือผมเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนประตูรั้วแล้วพาผมเดินเข้าไป

ทันทีที่ไอ้ภพก้าวเท้าเข้าบ้านไป พ่อมันก็หันมาถามทันที ด้วยเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความดุดัน

“กลับมาแล้วหรอ?”
“ครับ พ่อนี่ไอ้โซ่...ที่เคยไปเจอกันที่ค่าย” ไอ้ภพแนะนำผมกับพ่อมัน
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้แบบล่ก ๆ
“คนเนี้ยหรอ?”
“ครับ?”
“คนนี้หรอที่ให้เอ็งกับน้องต้องทะเลาะกัน?”

ผมหน้าชา ความกล้าที่มีก่อนหน้านี้หายวูบไปหมดเลย

“ไม่ใช่เพราะเค้าหรอก เพราะผมเอง” ไอ้ภพบอก
“ไปตามน้องลงมาสิ จะได้คุยกันให้รู้เรื่องไปเลย”

ไอ้ภพพยักหน้าตามคำสั่ง

“คุณอยู่นี่แหละ!” ผมที่กำลังจะก้าวเท้าเดินตามไอ้ภพไป ถึงกับต้องชะงัก

ไอ้ภพหันมามองหน้าผมด้วยความเป็นห่วง แล้วรีบวิ่งขึ้นไปตามน้องภู

“นั่งลงก่อนสิ ชื่อโซ่ใช่มั้ย?”
“ครับ”
“คุณรู้ใช่มั้ย? ผมมีลูกชายอยู่แค่สองคน มันน่าโมโหนะ ที่คุณมาทำให้ลูกผมทั้งสองคนกลายเป็นเกย์” พ่อไอ้ภพเริ่มเปิดตรงประเด็นจนผมเหงื่อตก
“ครับ...”
“ทำไมล่ะ? ทั้งที่ตอนที่อยู่ที่ค่าย ดูคุณสองคนจะไม่ชอบขี้หน้ากันไม่ใช่หรอ? แถมยังมีเรื่องต่อยตีกันอีก หรือเพราะผมจับคุณสองคนอยู่ด้วยกัน ก็เลยเกิดรักกันขึ้นมา?”

ผมอยากจะบอกเหลือเกิน ว่าถูกต้องครับ! เพราะลุงนั่นแหละ ที่ใส่กุญแจมือให้ผมกับไอ้ภพต้องอยู่ด้วยกัน จนได้กันนี่แหละ

“...” ผมเลือกที่จะไม่ตอบ
“แล้วกับภูล่ะ? ไปคบกันได้ยังไง?”
“เอ่อ...”
“พ่อ มันไม่ยอมเปิดประตูเลย!” ไอ้ภพโผล่มาช่วยผมไว้ได้ทันเวลาพอดี

พ่อไอ้ภพถอนหายใจแล้วเดินไปหยิบลูกกุญแจในลิ้นชักของโต๊ะทำงาน แล้วยื่นมาให้ไอ้ภพ

“กูขอไปคุยเองนะ” ผมรีบอาสา เพราะถ้าต้องอยู่กับพ่อไอ้ภพสองต่อสองให้เขาไตร่สวนอีก ผมคงฉี่ราดแน่ เพราอย่างที่ทุกคนเคยทราบ ว่าพ่อมันนั้นมีบุคลิกที่ค่อนข้างดุและน่ากลัวอยู่แล้ว
“จะดีหรอ?” ไอ้ภพถามด้วยความลังเล
“อืม”

ผมรับลูกกุญแจจากไอ้ภพมาแล้วเดินขึ้นมาที่ชั้นสองและหยุดตรงหน้าห้องของน้องภู
ผมไขกุญแจและเปิดประตูเข้าไปด้วยใจมี่สั่นรัว ภายในห้องทาด้วยสีฟ้าสว่าง ทุกอย่างถูกจัดเป็นระเบียบร้อย และถูกตกแต่งด้วยของเล่น และโมเดลที่ส่วนใหญ่จะเป็นโมเดลของ “สติทช์” ตัวการ์ตูนเอเลี่ยนตัวสีฟ้า ของค่าย ดีสนีย์ “สติทช์ไม่ใข่เอเลี่ยนนะพี่ มันเป็นสัตว์ทดลอง” คำพูดของน้องภูแว่วเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง แต่ก่อนที่ผมจะชื่นชมอะไรมากไปกว่านี้ ผมจึงกวาดสายตามองหาน้องภู

“สติทช์!”

น้องภูรีบกระดกหัวขึ้นจากเตียงแล้วหันมาทางผม

“พี่โซ่!”

ผมนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ น้องภูที่กำลังลุกขึ้นมาด้วยความตกใจที่เห็นผมอยู่ในห้องมัน

“พี่มาได้ยังไง?”
“จะเที่ยงแล้ว ยังนอนอยู่อีกหรอ? ปกติไม่ใช่เป็นคนตื่นสายนี่นา”
“ผม...”
“เอ็งนี่ชอบสติทช์จริง ๆ เนอะ ทั้งผ้าขนหนู ทั้งผ้าปูที่นอน แถมโมเดลเต้มห้องเลย”
“พี่มาทำไม?” น้องภูถามเสียงแข็ง

ผมเริ่มทำตัวไม่ถูกที่ถูกน้องภูถามแบบนั้น

“พี่ไม่ได้จะมาแก้ตัวนะ แต่เราต้องคุยกัน ทั้งเรื่องของเรา เรื่องของเอ็ง แล้วก็เรื่องของไอ้ภพ”
“ทำไมพี่ทำกับผมแบบนี้?” น้องภูน้ำตาคลอ

ผมจึงเล่าทุกอย่างให้มันฟังทั้งหมด ทั้งเรื่องของผมกับไอ้ภพ และเรื่องที่แม่มันจะมาพามันไปอยู่ด้วย แต่เหมือนน้องภูจะไม่ยินดียินร้ายอะไรนะ

“ถ้าพี่เป็นผม พี่คิดว่าผมจะเลือกยังไง?”
“พี่ก็คง หนีไปไกล ๆ ถึงมันจะเจ็บ...”
“งั้นถ้าผมจะตัดสินใจไปอยู่กับแม่ผม ผมก็ไม่ผิดใช่มั้ย?”
“แล้วเอ็งไม่ห่วงพ่อเอ็งหรอ?”
“พ่อก็มีไอ้ภพแล้วไง จะสนใจผมอีกทำไม?”
“ภู อย่าประชดด้วยวิธีนี้เลย เพราะเอ็งก็รู้ว่าพ่อเอ็งรักเอ็งมาก”
“พี่จะมาเข้าใจอะไรผม?”
“พี่เข้าใจสิ พี่ถึงมาวันนี้ไง... พี่อยากขอให้เอ็งอยู่ที่นี่ กับพ่อเอ็ง กับไอ้ภพ ถึงมันอาจจะทำใจยากหน่อยในช่วงแรก แต่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเอง”
“ให้ผมอยู่โดยที่พี่ก็มีความสุขกับไอ้ภพให้ผมเห็นอ่ะนะ?”
“ไม่หรอก... พี่จะถอยออกไปแล้วไม่มาให้เอ็งกับไอ้ภพเห็นอีกเลย... เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดพี่เหมือนกัน”
“พี่จะทำแบบนั้นพี่ไม่รักมันหรอ?” น้องภูถาม น้ำตามันไหลหยดลงบนที่นอนจนเกิดรอยเปียกเป็นดวง ๆ
“รักสิ แล้วพี่ก็รักเอ็งด้วย ก็เลยไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อทำร้ายใจเอ็งหรอก”
“ทำแบบนั้นแล้วพี่คิดว่าผมจะมีความสุขหรอ?”

“ไม่หรอก ไม่มีใครมีความสุขหรอกภู แต่ถ้าให้เลือก ให้เอ็งทุกข์ ในขณะที่พี่มีความสุข พี่ก็ไม่เอา”

ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่ไม่สามารถทำได้จริง ๆ ยิ่งเห็นน้องภูที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตายิ่งแล้วใหญ่ ผมรู้ว่าทุกอย่างที่ผมพูดไปนั้น เข้าหูไอ้ภพหมด เพราะผมเห็นเงาของมันที่แอบยืนฟังอยู่หน้าห้องสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

“พี่ยังรักผมอยู่จริง ๆ หรอ?” น้องภูถามผมเสียงสั่น
“อื้ม แต่เป็นความรักแบบพี่ที่มีต่อน้องนะ พี่รู้ว่าระหว่างเราอาจมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น เพราะเราเคยคบกัน แต่...”
“แล้วระหว่างผมกับไอ้ภพพี่รักใครมากกว่า?”
“พี่รักไอ้ภพมากกว่า แล้วก็รู้ว่า ไอ้ภพมันรักเอ็ง มากกว่าที่มันรักพี่ด้วยซ้ำ เพราะงั้นพี่จะไม่เข้ามาทำลายความรู้สึกนั้นระหว่างเอ็งกับมัน”

ผมปาดน้ำตา แล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจที่จะเดินออกจากห้องนั้นไป

“อยู่ที่นี่เถอะ ทุกคนที่นี่ต้องการเอ็ง”

ผมออกจากห้องมา ไอ้ภพไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ผมรู้ว่ามันต้องเสียใจแน่นอนที่ได้ยินสิ่งที่ผมพูดกับน้องภู แต่ผมตัดสินใจแล้ว นี่เป็นวิธีเดียวที่มันทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันต่อไปได้ และหวังว่าไอ้ภพเองก็คงจะเข้าใจการตัดสินใจของผม เพราะมันเองก็คงไม่มีความสุขอยู่แล้ว ถ้าคบกับผมไปโดยที่ต้องคอยกังวลว่าน้องชายตัวเองจะทุกข์ใจ

“ผมกลับก่อนนะครับ” ผมบอกกับพ่อของไอ้ภพที่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้าน

น้องภูเดินตามลงมาแล้วไปยืนข้าง ๆ พ่อมัน

“ทำไมเตี่ยไม่บอกผมว่าแม่จะมาพาผมไปอยู่ด้วย?”
“จะให้บอกยังไงล่ะ? ก็เตี่ยกลัวเอ็งจะไปจากเตี่ย”
“ผมจะไปได้ไง เตี่ยเป็นคนเลี้ยงผมมานะ ผมจะอยู่กับเตี่ยนี่แหละ แต่...”
“แต่อะไร?”
“ผมขอโทษนะ ที่ทำให้ครอบครัวคุณลุงวุ่นวาย... ฝากขอโทษไอ้ภพด้วยครับ”ผมบอกแล้วเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา โดยไม่มีวี่แววของไอ้ภพ

ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไงต่อไป แต่คิดว่าสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไปในวันนี้ เป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เพราะถึงแม้มันจะเจ็บ แต่มันคงดีกว่าปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปโดยที่ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นความรู้สึกของน้องภูไม่ได้...

<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->


 สวัสดีวันอาทิตย์ครับ และต้องขอโทษจริงจัง ที่สัปดาห์นี้ลงนิยายรวนไปหมดเลย 555
เหตุเพราะตอนนี้ผมอยู่ในช่วงเปลี่ยนงาน
จากที่เมื่อก่อนที่ค่อนข้างมีเวลาว่างเยอะหน่อย ตื่นตอนไหนก็ได้ ก็จะพิมพ์นิยายตอนตี1 ตี2
แต่ตอนนี้เพิ่งได้งานประจำ ทำให้เวลาส่วนนั้นต้องเอาไปใช้ในการนอน ! 555

และตอนนี้ขอแบ่งลงให้ 2 พาร์ท
ในส่วนของสัปดาห์หน้านั้น ขออนุญาติไม่รับปากว่าจะลงวันไหนแล้วกันนะครับ
แต่สัญญาว่า ลงให้สัปดาห์ละ 2 ตอนเหมือนเดิมแน่นอน

ขอให้สนุกกับการเสพดราม่านะคร้าบ  :laugh: 555
ปล.1 ประเด็น 3p เนี่ย แอบคิดเหมือนกันนะ เอาเป็น ภพ โซ่ ยักษ์ แทนดีมั้ย? 555
ปล.2 อ้อ! ตอนนี้ก็จบค้างด้วยแหละ ฮ่า ๆๆๆ  :hao6: :laugh: #ผู้แต่งโรคจิต

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 10.2
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-01-2017 12:52:18
มาม่าชามโต เฮ้อ..อออออออ   :ruready
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ ภู
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 30-01-2017 06:54:43
ภู

“พี่โซ่ครับ... ผมชอบพี่” ผมตัดสินใจบอกชอบพี่โซ่ ตรงหน้าป้ายรถเมล์ เพราะกลัวว่าถ้าผมไม่บอกตอนนี้ อาจไม่มีโอกาสได้บอกอีก
“อะไรนะ?”
“คบกับผมได้มั้ย?”
“ภู...”
“นะครับ” ผมถามย้ำแล้วดึงมือพี่โซ่มาจับไว้
“ภู!”
...
“ภู! ตื่นได้แล้ว!” เสียงพี่โซ่เรียกผมแล้วเอาปากกาเคาะหัวผมเบา ๆ
“โอ้ย! ตื่นแล้ว! ๆ”
“พี่ไปเข้าห้องน้ำแปปเดียว ถึงกับหลับเลยหรอ”
“บ่าย ๆ แบบนี้มันง่วงอ่ะพี่”
“ก็เอาแต่เล่นเกมไม่ยอมหลับยอมนอน” พี่โซ่บ่นเหมือนรู้ทันไปหมด
“ไม่ได้เล่นเกมซะหน่อย อ่านหนังสือหรอก”
“หรอออ?” พี่โซ่ลากเสียงยาวเป็นการบอกว่าไม่เชื่อที่ผมพูด
“คร้าบ! ฮ่า ๆๆ”

“เครปเค้กได้แล้วครับ”

วันนี้ผมพาพี่โซ่มานั่งติวกันที่ร้านขนมที่ผมชอบมากินกับเพื่อน ๆ บ้าง เพราะก่อนหน้านี้พี่โซ่มักจะพาผมไปตามร้านที่พี่ชอบไปมาแล้ว
ภายในร้านตกแต่งด้วยของเล่น และโมเดลต่าง ๆ เต็มไปหมด เห็นแล้วอยากแอบจิ๊กกลับบ้านไปซักตัวสองตัว ฮ่า ๆๆ

“กินอีกแล้วหรอ?” พี่โซ่ถามทันทีที่เห็นพนักงานเอาเครปเค้กของโปรดผมมาเสิร์ฟ
“ก็มันอยากกินนี่ครับ ฮ่า ๆๆ”
“ชิ้นที่สองแล้วนะ กินขนาดนี้ทำไมถึงไม่อ้วนเนี่ย?”
“ผมก็ออกกำลังกายไง ปกติก็เล่นฟุตบอลเป็นประจำอยู่แล้ว”
“รีบกิน จะได้รีบเรียนต่อ”
“พี่มีธุระหรอ?”
“ก็เปล่าหรอก แต่แค่ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ๆ เกรงใจเจ้าของร้านเค้า” พี่โซ่บอก
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเป็นที่นี่นะ นั่งได้ทั้งวัน พี่เจ้าของร้านเค้าใจดี”
“แต่ก็นะ พอวันนี้ให้เลือกร้านเอง ก็รีบบอกให้มาร้านนี้เลย ดูท่าคงจะมาบ่อยละสิ”
“ช่ายยย ที่นี่เป็นร้านในฝันเลยแหละ ฮ่า ๆๆ”
“เด็กน้อย”
“คนแก่ไม่เข้าใจหรอกน่า” ผมแกล้งเยาะเย้ยพี่โซ่ เพราะพี่โซ่ชอบบ่นว่าผมเป็นเด็กอยู่เป็นประจำ
“แหม พี่ก็โตกว่าเอ็งแค่สี่ปีเองนะ อายุเราก็ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่หรอกน่า”
“งั้นผมก็เป็นแฟนพี่ได้ใช่ป่ะ?”
“อะไรนะ?”
“ฮ่า ๆๆ ไม่มีอะไรครับ” ผมแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน ถึงจะพอดูออกว่าพี่โซ่ก็รู้ว่าผมพูดอะไร และดูออกว่าพี่เค้ารู้สึกยังไง แต่ผมอยากจะให้มั่นใจกว่านี้ก่อน ค่อยบอกความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่เขาออกไป
“ถ้าคบกับเอ็งสงสัยพี่คงจะเหนื่อยน่าดูเลยอ่ะ” พี่โซ่พูดออกมา
“ทำไมคิดงั้นอ่ะ”
“ดูแล้วก็คงจะมีสาว ๆ มาจีบไม่น้อย พี่คงเหนื่อยที่ต้องคอยตามละมั้ง”
“แต่ถึงจะมีคนมาจีบ ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไปชอบเค้าซะหน่อย ถ้าผมคบกับพี่ผมก็รักพี่คนเดียวไง”
“หืม?”

ผมเผลอหลุดปากพูดออกไปจนได้ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว...

“ผมชอบพี่จริง ๆ นั่นแหละ”
“อะไรนะ?” พี่โซ่ตกใจ แต่หน้าแดง
“อยากลองคบกันดูมั้ยครับ?”
“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมอ่ะ? พี่นึกว่าเอ็งชอบผู้หญิงซะอีก”
“ผมก็ชอบผู้หญิง แต่เวลาที่ได้อยู่กับพี่ ได้เห็นรอยยิ้มพี่ ผมโคตรมีความสุขเลย”
“ภู....” พี่โซ่ดูตะลึงไปเล็กน้อย
“คบกับผมนะครับ”
“เอาจริงหรอ?”
“ครับ ผมคิดมาซักพักแล้วว่าจะบอกพี่ แต่กลัวพี่คิดว่าผมเด็กเกินไป”
“ไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ”

พี่โซ่เงียบไปพักนึง ทำให้ผมรู้สึกใจแป้วขึ้นมา กลัวว่าถ้าพี่โซ้ปฏิเสธ จากนี้ไปเราอาจจะมองหน้ากันไม่ติด และผมอาจจะไม่ได้มานั่งกวนพี่เขาแบบนี้อีก แต่

“จริง ๆ พี่ก็ชอบเอ็งเหมือนกันนะ”
“คบกับผมนะครับ” ผมถามย้ำ
“อื้ม!”

วินาทีนั้นผมอยากจะตะโกนให้ลั่นร้าน แต่เกรงใจลูกค้าคนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่เอื้อมไปจับมือพี่โซ่เอาไว้ แล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจ


<---o--->

หลังจากวันนั้นที่ผมได้คุยกับพี่โซ่และรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ความโกรธที่ผมมีต่อพี่โซ่ก็หายไป จะเหลือก็แต่กับไอ้ภพ พี่ชายสารเลวของผม ที่ถึงแม้มันจะไม่ได้บังคับให้ผมเลิกกับพี่โซ่เพราะมันอยากคบเองอย่างที่ผมเคยคิด แต่มันก็ทำให้ผมกับพี่โซ่เลิกกันอยู่ดี

ผมอยากจะให้มันเสียใจแบบที่ผมเคยเสียใจบ้าง แล้วก็ได้ผล หลายสัปดาห์มานี้ไอ้ภพเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหน มันไม่กล้าสู้หน้าผม ทั้งที่เมื่อก่อนมันมักจะทำตัวร้าย ๆ ใส่ผมเป็นประจำ ทั้งชอบบังคับให้ผมทำโน่นนี่ แต่ตอนนี้กลายเป็นผมที่ดูจะอยู่เหนือกว่ามันไปแล้ว ไอ้ภพต้องได้เรียนรู้ความเสียใจที่มันเคยทำเอาไว้กับผม

แต่ผมก็เฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอ ว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องการจริง ๆ เหรอ? แล้วผมก็ได้คำตอบ ว่าผมไม่ได้ต้องการให้เรื่องราวมันลงเอยยแบบนี้ ถึงผมกับพี่โซ่จะไม่ได้คบกัน ถึงแม้ว่าเราจะรักกันแบบเดิมไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ยังอยากให้พี่เขาอยู่ในชีวิตของผมต่อไป และผมก็อยากได้พี่ชายตัวแสบของผมคืนด้วยเช่นเดียวกัน เพราะในความเป็นจริง เรื่องราวต่าง ๆ จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าผมไม่บังเอิญไปรักพี่โซ่เข้า การตัดสินใจในตอนนั้นของผมมันเหมือนการโดดลงไปในเหวลึก โดยที่ยังมีเชือกผูกโยงกับตัวและพาให้คนอื่นต้องตกลงไปด้วย ทั้งเตี่ย ทั้งไอ้ภพ และพี่โซ่ ตกลงมาพร้อมกันกับผม ทุกคนตกที่นั่งลำบากเหมือนกันหมด
แต่ถึงข้างล่างนี้จะเป็นเหว และถึงแม้ว่าผมมีโอกาสครั้งที่สองให้เลือกใหม่อีกครั้ง ผมก็ยังเลือกที่จะบอกรักพี่โซ่ และปล่อยให้เรื่องราวต่าง ๆ ดำเนินไปดังเดิม เพราะผมตัดสินใจแล้ว ว่าในเมื่อผมเลือกเองตั้งแต่แรก ผมก็จะขอเลือกให้ข้างล่างของก้นเหวนี้ เป็นบ่อน้ำที่เขียวขจี และอบอุ่นไปด้วยความรักก็แล้วกัน

ผมรักพี่โซ่ และรักพี่ชายของผม และอย่างที่ผมบอก ว่าถึงแม้ผมกับพี่โซ่จะกลับมาคบกันไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ยังอยากให้พี่เขาวนเวียนอยู่ในชีวิตผมต่อไป และนั่นแหละคือความสุขของผม ผมอยากเห็นพี่ชายทั้งสองคนของผมมีความสุข


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 10.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-01-2017 13:27:24
ดูแล้วภู จะชักจูงให้โซ่ ภพ กลับมาคบกันใหม่  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 10.2
เริ่มหัวข้อโดย: dena ที่ 30-01-2017 18:22:38
รักน้องภูที่สุดในเรื่องนี้55555555555+ 3pภพโซ่ยักษ์ก็ดีนะ อิอิ :hao6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 06-02-2017 01:14:05
ตอนที่ 11 พี่ชาย 1

หกโมงเช้า...
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ ที่โทรมาแต่เช้า

“อืม....”
“พี่จะถึงแล้วนะ ตื่นรึยังเนี่ย?”
“ตื่นแล้ว พี่ถึงแล้วก็โทรมาแล้วกัน ผมจะได้ลงไป”
“ลงมาเลย อีกห้านาทีพี่ก็ถึงหอเอ็งแล้ว”
“โอเค”

อย่างที่ผมเคยบอกไปก่อนหน้านี้ พี่แวน เป็นพี่ชายคนโตของผม และเป็นคนที่ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของผม เหมือนกับเป็นผู้ปกครองอีกคนนึงเลย หลังจากที่พ่อผมเสียไป
สาเหตุที่ผมต้องตื่นแต่เช้าแบบนี้ ก็เพราะวันนี้ไอ้แซคจะกลับมา และเครื่องลงประมาณแปดโมงเช้า ผมกับพี่แวนจึงต้องรีบไปรอรับมันที่สนามบิน

1 สัปดาห์ผ่านไป หลังจากที่ผมไปบ้านไอ้ภพวันนั้น ทุกอย่างเหมือนกลับมาเป็นเหมือนเก่า เหมือนตอนที่ผมกับมันยังไม่เคยเจอกัน ยกเว้นแต่ใจของผม ที่ยังคงคิดถึงมันอยู่เสมอ และทั้งที่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นของผมมันช่างสิ้นคิดซะเหลือเกิน แต่เมื่อมันลงเอยยแบบนี้ไปแล้ว ผมก็ต้องทำใจยอมรับมัน

“เป็นอะไรรึเปล่า?” พี่แวนถาม
“หืม?”
“ปกติพูดไม่ได้หยุด ทำไมวันนี้ดูเงียบแปลก ๆ”
“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” ผมแก้ตัว
“แล้วสอบเป็นไงบ้าง? โอเคมั้ย?”
“โอเคดิ ระดับนี้แล้ว”
“ให้มันจริงเถอะ”

หลังจากนั้นเราก็คุยกัน ตามประสาพี่น้องที่ไม่ค่อยได้เจอกัน เมื่อถึงสนามบิน ผมกับพี่แวนก็รอไอ้แซคกันเกือบครึ่งชั่วโมง
ไอ้แซคดูไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก ที่ต่างกันคือตอนนี้มันตัดผมสั้นทรงสกินเฮดที่ทำให้ดูมีความกวนตีนขึ้นไปอีกหลายระดับ

“พี่แวน หวัดดี” ไอ้แซคทักพี่แวนก่อน
“เออ เป็นไงบ้าง กินอะไรมายัง?”
“กินบนเครื่องมานิดหน่อยแล้ว” ไอ้แซคบอก แล้วยื่นกระเป๋าสัมภาระมันมาให้ผม
“อะไรวะ?”
“ถือ!”
“มาถึงก็ใช้กูเลย” ผมบ่น
“กูอุตส่าห์มาหา หิ้วของฝากมาตั้งเยอะ อย่าบ่นสิวะ” ไอ้แซคบอกแล้วเข้ามากอดคอผม

ผมกับไอ้แซคไม่ค่อยแสดงออกในเรื่องของความรักต่อกันมากนัก อาจเพราะเราต้องห่างกันนาน ๆ การมาเจอกันมันจึงทำให้เราทั้งคู่รู้สึกประหม่านิดหน่อย

“โคตรคิดถึงมึงเลย” ไอ้แซคบอก
“มึงสูงขึ้นป่ะเนี่ย?”
“ใครจะเตี้ยม่อต้อแบบมึงล่ะ?”
“โถ~ สูงขึ้น ไม่ได้แปลว่าสูงแล้ว มึงก็ไม่ต่างกับกูเท่าไหร่หรอก”
“ฮ่า ๆๆ ไอ้สองคนนี้ มาถึงก็กัดกันเลย” พี่แวนขำ



<---o--->


“อยู่กันสองคนได้ใช่มั้ย?”
“อืม พี่ก็ขับรถกลับดี ๆ นะ” ผมบอกพี่แวนที่มาส่งผมกับไอ้แซคที่หอ
“ขอโทษทีที่ไม่ได้อยู่ด้วย ช่วงนี้งานเยอะจริง ๆ เอาไว้ครั้งหน้าพี่บินไปหาแล้วกันเนอะ”
“ไม่เป็นไรพี่ ผมอยู่กันได้” ไอ้แซคบอก

จริง ๆ แล้วเราตั้งใจกันไว้ว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านกัน แต่พี่แวนติดงานสำคัญเสียก่อน ไอ้แซคจึงตัดสินใจมาอยู่ที่หอผมแทน

“ห้องดูกว้างกว่าที่เห็นตอนสไกป์กันอีกนะเนี่ย”
“โคตรหนักเลย มึงพกบ้านมาด้วยหรอวะเนี่ย!” ผมบ่นแล้ววางกระเป๋าสัมภาระมันลงตรงโต๊ะคอม
“อย่าบ่น ๆ”
“มึงจะอาบน้ำก่อนมั้ย?”
“ไม่อ่ะ ตัวกูก็ไม่ได้เหม็นซะหน่อย ตอนนี้หิวมากกว่า” ไอ้แซคบอกแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น หาขนมกิน
“แล้วมึงจะอยู่กี่วันวะ?”
“สองอาทิตย์ มึงอ่ะ เปิดเทอมเมื่อไหร่?”
“ไม่รู้ดิ แต่คงอีกนานแหละ”
“มึงเรียนยังไงของมึงวะ เปิดเทอมเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” ไอ้แซคบ่นขณะที่เคี้ยวขนมอยู่ในปาก
“กูขี้เกียจมานั่งจำนี่หว่า ถึงเวลาเปิดเรียนก็ไป”
“งั้นก็กลับไปญี่ปุ่นกับกูดิ”

ผมหันควับไปหาไอ้แซคที่กำลังง่วนอยู่กับการกินไอศกรีมที่ผมแช่ติดตู้เย็นเอาไว้

“มึงว่าอะไรนะ?”
“อ้าว? กูยังไม่ได้บอกมึงหรอ?”
“บอกอะไร?”
“แม่ฝากเงินมาให้ซื้อตั๋วพามึงกลับไปด้วย”
“เดี๋ยว ๆ กูยังอยากอยู่ที่นี่”
“แค่ไปเที่ยวเฉย ๆ ไม่ได้จะให้มึงไปอยู่เลย เค้าอยากให้มึงไปเยี่ยมบ้าง ถือโอกาสเที่ยวด้วยเลยไง”
“กูไม่ไปได้มั้ยอ่ะ?”
“มึงยังโกรธแม่อยู่หรอ?” ไอ้แซคหันมาถามผม
“...”
“อะไรที่มันไม่ดีมึงก็ลืม ๆ ไปบ้างก็ได้ พ่อกับแม่มีเหตุผลที่ต้องเลิกกันกัน ถึงตอนนั้นเรายังเด็ก ยังไม่เข้าใจอะไร แต่ตอนนี้เราโตพอที่จะเข้าใจได้แล้วนะเว้ย”
“ตอนพ่อเสีย แม่ก็ไม่มา”

ไอ้แซคลุกมานั่งข้าง ๆ ผมแล้วเอื้อมแขนมากอดคอผม

“เลิกอคติได้แล้ว!”
“ก็มึงเป็นคนที่แม่พาไปอยู่ด้วยนี่ ไม่ใช่กู”
“ตอนนั้นมึงเลือกที่จะอยู่กับพ่อเองไม่ใช่หรอ?”
“มันก็ใช่ มึงจะให้กูทิ้งพ่อไปหรอ? แม่ยังมีครอบครัวใหม่ แต่พ่อไม่ได้มีใครนอกจากเรานะ” ผมบอกเสียงสั่น

ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ทีไร ผมก็รู้สึกจุกน้ำตาขึ้นมาทุกที

“มึงก็เหมือนกัน ทิ้งกูกับพ่อไป!”
“กูไม่ได้ทิ้ง กูก็กลับมานี่ไง มึงนี่งอแงไม่เปลี่ยนเลย” ไอ้แซคแกล้งดึงหูผมเบา ๆ
“กูไม่ได้งอแงซะหน่อย”
“กูต่างหากที่ต้องอิจฉามึง ไปอยู่ที่โน่นก็ไม่ได้อยู่ง่าย ๆ นะ กูต้องปรับตัวทุกอย่างเลย ตั้งแต่เรื่องภาษา ยันเรื่องอาหารการกิน”
“สมน้ำหน้า”
“เพราะฉะนั้น อันดับแรกวันนี้มึงต้องพากูไปกินอาหารไทยให้เต็มที่เลยนะ ฮ่า ๆๆ”
“เต็มที่แน่ ถ้ามึงเป็นคนจ่าย!”
“เอออ แม่ให้เงินกูมาแล้ว เออใช่! ของฝาก”

ไอ้แซคลุกไปหยิบกระเป๋าของมันมาใบนึง แล้วหยิบถุงกระดาษออกมา

“กูไม่รู้จะซื้ออะไรให้ ก็เลยซื้อรองเท้ามาให้แทน จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ มึงชอบเอารองเท้ากูไปใส่ แล้วขี้ตู่ว่าเป็นของตัวเอง”

ในถุงนั้นมีรองเท้าผ้าใบสีดำคาดขาวอยู่คู่หนึ่ง

“ไม่เคยทำแบบนั้นซะหน่อย”
“มึงเคยทำ ฮ่า ๆๆ”
“แล้วไหนของไอ้ยักษ์อ่ะ?”
“ไม่ได้ ต้องรอให้มันมาก่อนดิ”
“อย่าบอกนะว่ามึงซื้อจิ๋มกระป๋องมาให้มันจริง ๆ ?”
“ฮ่า ๆๆ บ้าดิ ของแบบนั้นกูไม่กล้าหิ้วขึ้นเครื่องหรอก ตอนตรวจสัมภาระกูคงอายตาย”
“ก็กูเห็นมึงสองคนชอบทำลับ ๆ ล่อ ๆ กัน กูก็นึกว่ามันสั่งให้มึงซื้ออะไรแบบนั้นมาให้”
“เปล่าเว้ย!”

ผมกับไอ้แซคพากันหัวเราะกับความคิดของผม

“ใส่ได้ป่ะ?”
“เหมือนจะหลวมไปหน่อย แต่ถ้าใส่ถุงเท้าด้วยก็คงจะพอดี”
“กูไม่รู้ว่ามึงใส่ไซส์อะไร ก็เลยเดาเอาว่าคงใส่เท่ากู มึงชอบมั้ย?”
“อืม สวยดี”
“จริงใจหน่อยสิวะ!”
“ฮ่า ๆๆ เออ กูชอบ ขอบใจมึงมากครับพี่!”
“งั้นตอบแทนกูโดยการพากูไปกินข้าวเดี๋ยวนี้ กูหิวแล้ว!”


<---o--->


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...

“ไอ้โซ่ กูอยากกินอันนี้!” ไอ้แซคชี้ไปที่เมนูของร้านอาหารร้านหนึ่งแล้วตาลุกวาวเหมือนเด็กเห็นของเล่น
“ลาบทอดเนี่ยนะ?”
“เออ เนี่ยแหละ กูนึกชื่อไม่ออก”
“แต่เมื่อกี้มึงเพิ่งกินส้มตำ ก๋วยเตี๋ยว แล้วก็ผัดหมี่ไปเองนะ”
“เออ เร็ว ๆ คนเต็มร้านเลย เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง”

หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมพาไอ้แซคตะเวนกินไปทั่ว และจะมีเมนูที่ผมต้องกินกับมันทุกวันเลย ก็คือ ส้มตำ ผมก็ต้องตามใจมัน เพราะเห็นว่าอยู่ที่โน่นมันคงไม่ได้กินอะไรแบบนี้

“กินขนาดนี้ทำไมมึงไม่อ้วนวะ?” ผมบ่น
“กูก็ออกกำลังกายไง ปกติอยู่ที่ญี่ปุ่นกูก็เล่นเทควันโด้นะ”

ผมเผลอนึกถึงตอนที่บ่นน้องภูกินเครปเค้ก ตอนนั้นมันก้ตอบคล้าย ๆ แบบนี้เมือนกัน

“ถามจริง?”
“สายดำครับผม!” ไอ้แซคบอกแล้วทำท่ายืดอกอวดผม
“แล้วมึงมีแฟนรึยังเนี่ย?”
“ไม่มีอ่ะ สเปคกูไม่ใช่สาวญี่ปุ่น กูชอบคนไทยมากกว่า”
“เห็นชอบดูหนัง AV กูก็นึกว่าชอบแบบญี่ปุ่นซะอีก” ผมแซว
“ส้นตีนสิ! มึงเหอะ มีแฟนรึยัง?” ไอ้แซคถามกลับบ้าง
“กู...” ผมอ้ำอึ้ง เพราะไอ้แซคยังไม่รู้ว่าผมชอบผู้ชาย
“ยังไง ๆ ?”
“ไม่มีอ่ะ”
“กูไม่เชื่อ”
“กูไม่ค่อยอยากมีแฟนตอนนี้”
“นี่กูแอบสงสัยเหมือนกันนะเนี่ย ว่ามึงกับไอ้ยักษ์เป็นแฟนกันรึเปล่า เห็นดูสนิทสนมกันจัง”
“โวะ! พวกมึงนี่ก็เนอะ”
“ใครจะไปรู้ เห็นบอกว่ายังไม่มีแฟน กูนึกว่ามึงจะเบี่ยงเบนไปแล้วซะอีก”
“เอ่อ...”

ไอ้แซคก้มหน้าก้มตากินต่อไป แล้วหยุดชะงัก เงยหน้ามามองผมด้วยสายตาพิฆาต

“หรือมึง....?”
“อะไร?”
“มึงเป็นเกย์หรอ?” ไอ้แซคยิงตรง
“เฮ้ย! ป่าววว!”
“อย่าโกหกกู! บอกมา!”

เอาไงดีวะ?... ผมคิดในใจ

“อย่าเงียบ! ตอบกูมา!” ไอ้แซคขึ้นเสียง
“เออ!” ผมเหงื่อตก แล้วคิดในใจ ทำไมพี่กูมันดุจังวะ?
“ถามจริง?”
“ก็... เออ~ กูไม่ได้ชอบผู้หญิง”
“ไอ้เชี้ยยักษ์นี่มันดูแลน้องกูยังไงวะ? ทำไมมันปล่อยให้มึงเป็นอย่างนี้”
“ไม่เกี่ยวกับมันหรอก กูก็เป็นของกูแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
“ทำไมกูไม่รู้?”
“กูไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกชัดเจนว่ากูไม่ได้ชอบผู้หญิงก็ตอนอยู่ม.ปลายแล้ว”
“แม่ง...”
“ทำไมวะ? มึงผิดหวังมากเลยหรอ?” ผมถามด้วยความน้อยใจ
“แล้วมีแฟนไปกี่คนแล้ว? ที่เป็นผู้ชายอ่ะ”
“มึงจะถามทำไมเนี่ย”
“กูถามก็ตอบมา!”
“สามคน!”

ไอ้แซคทำหน้าตกใจเล็กน้อย

“แล้วมึง...”
“พอ ๆ กูรู้ว่ามึงจะถามอะไร เรื่องพวกนั้นมึงไม่ต้องห่วง ถึงกูมีกูก็ป้องกันดีอยู่หรอกน่า”
“กูยังไม่ได้ถามเลย มึงนี่แม่ง... เฮ้อ!” ไอ้แซคถอนหายใจ
“ทำไมวะ? ที่กูเป็นแบบนี้มันผิดมากเลยหรอวะ?”
“เปล่า แต่กูไม่ได้รังเกียจนะ เพราะตอนอยู่ที่โน่นมันก็มีเรื่องพวกนี้จนกูรู้สึกว่ามันปกติไปแล้ว แต่แค่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวขนาดนี้ไง”
“มึงไม่ต้องแก้ตัวหรอก”
“กูไม่ได้แก้ตัว กูแค่เป็นห่วงมึง แล้วก็ตกใจนิดหน่อย”
“...”
“ไอ้โซ่ อย่าเงียบดิ!”
“...”
“มึงเป็นน้องกู กูจะเกลียดมึงได้ยังไงวะ? อย่างอนดิ”
“กูไม่ได้งอน แค่รู้สึกเฟลนิดหน่อย กูก็เข้าใจนะว่ามึงคงผิดหวัง แต่กูก็เป็นไปแล้วไง มันเปลี่ยนไม่ได้แล้ว”
“กูก็บอกว่ากูไม่ได้ผิดหวัง แค่ตกใจ”

ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยที่กล้าบอกความจริงกับไอ้แซคไป

“ไอ้ยักษ์นี่ก็ทำงานไม่ได้เรื่องเลย กูอุตส่าห์ย้ำแล้วย้ำอีก ว่ามีอะไรต้องบอกกู” ไอ้แซคบ่น
“กูสั่งมันเองแหละ ว่าไม่ให้บอกมึง กูอยากให้มึงรู้จักปากกูเองมากกว่า”
“แล้วพี่แวนรู้มั้ย?”
“รู้แล้ว ตอนแรกก็โกรธกูเหมือนกัน แต่เค้าก็พยายามทำความเข้าใจจนยอมรับได้”
“แล้วตอนนี้มึงคบกับใครอยู่รึเปล่า?”
“ก็... ไม่มีแล้ว”
“มีอะไรจะบอกกูอีกมั้ย?”
“มี แต่มึงเพิ่งจะช็อกไปเมื่อกี้ กูคิดว่ามึงควรจะเข้าใจอะไรไปทีละอย่างก่อนดีกว่า”
“แล้วแต่ งั้นกูขอถามกลับคำนึง... มึงเป็น เซเมะ หรือ อุเคะ?”
“อะไรคือ เซ... เคะ??”
“เอ่อ... ฝ่ายบุก หรือ ฝ่ายตั้งรับ” ไอ้แซคอธิบาย
“มึงถามว่ากูเป็นรุกหรือเป็นรับ? หรืออีกนัยนึงคือมึงกำลังถามกูว่า กูไปเอาเค้าหรือกูโดนเอาหรอ?”
“กูไม่ได้คิดขนาดนั้น! แต่เป็นเกย์มันก็ต้องมี...ประเภท ถูกป่ะ?”
“กูไม่บอก!”
“เออ! มึงไม่บอกกูก็เดาได้แล้วว่ามึงต้องเป็นฝ่ายรับ ไม่งั้นมึงคงไม่อายกูจนไม่กล้าพูดหรอก”
“มึงจะให้กูบอกว่ากูโดนเอา เวลามีคนถามว่ากูเป็นแบบไหนหรอ?”
“จริง ๆ ซะด้วย ฮ่า ๆๆ”
“ไอ้เชี้ยแซค!”
“มึงพูดออกมาเองนะ”
“พอ ๆ จะกินต่อมั้ยเนี่ย?”
“อิ่มแล้ว อิ่มพอดีเลย”
“งั้นก็ไปจ่ายตัง กูอยากกลับห้องแล้ว”
“ไม่เอา ไปดูหนังก่อน”
“ดูหนังอะไร? กูง่วงแล้ว”
“กูเบื่ออยู่ห้องเฉย ๆ นี่ กูบินมาจากญี่ปุ่นเพื่อมานอนอยู่ที่หอมึงหรอ?”
“เออออ ไปก็ได้ ไม่เห็นต้องพูดแบบนั้นเลย”
“น่ารักมากน้องชาย ฮ่า ๆๆ”

ทำไมนะ... ทำไมผมต้องยอมตลอดเลย ไม่ว่ากับใคร


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

ต้องขอโทษอีกแล้วววว  o1
ที่อาทิตย์ที่แล้วไม่ได้มาลงให้เลย
ต้องยอมรับตรง ๆ เลยครับว่า ตอนนี้เป็นตอนที่พิมพ์ไว้ล่าสุดแล้ว
ไม่มีสต็อกไว้เลย เพราะอย่างที่เคยบอกไว้ในตอนก่อนหน้านี้แล้ว
ว่าตอนนี้ ผู้เขียนอยู่ในช่วงเปลี่ยนงาน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาพิมพ์นิยายเท่าไหร่
พอถึงวันหยุดปุ๊บ ก็พยายามเค้นสมอง และกรั่นกรองออกมา... ตั้งแต่ 5 ทุ่ม จนถึงตอนนี้... ตี 1
เพิ่งได้ตอนเดียวนี่แหละ

พยายามสุด ๆ แล้วครับ เพราะผมไม่อยากเขียนส่ง ๆ ไป เพื่อให้ลงทันเวลา
พยายามกรองแล้วกรองอีก ถ้าตรงไหนพิมพ์ผิดหรือตกหล่นยังไง ขออภัยด้วยนะครับ  :call:

พักเรื่องดราม่าไว้ก่อน แล้วอมยิ้มกับไอ้แฝดกันดีกว่าเนอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-02-2017 09:23:02
พี่แซคเป็นตัวแปรอะไรรึป่าว ?? ตกลงโซ่เลิกกะภพจริงๆอ่ะ  รอ..ออออออ   :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 08-02-2017 00:51:10
ตอนที่ 12  พี่ชาย 2


“มึงรอตรงนี้แปปนะ เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำก่อน”

ผมบอกให้ไอ้แซคนั่งรอผมอยู่ที่หน้าโรงหนัง ก่อนจะเดินไปทำธุระที่ห้องน้ำ จนเสร็จกิจ กลับมาก็เห็นว่าไอ้แซคกำลังนั่งคุยกับใครอยู่ คนที่ผมค่อนข้างคุ้นตา

“ไอ้ม่อน!?” ผมร้องทักไอ้ม่อนด้วยความแปลกใจ ที่เห็นมันนั่งอยู่กับพี่ผม

ไอ้ม่อนยิ้มแหย ๆ มันคงตกใจที่รู้ว่าผมมีฝาแฝด รึไม่ก็คงทักผิดไปแล้ว

“มากับใครวะ? แล้วนี่รู้จักกันด้วยหรอ?”
“กูจะไปรู้จักได้ยังไง กูนึกว่าเป็นมึง”
“ฮ่า ๆๆ เออ ๆ นี่พี่กู ชื่อไอ้แซค”
“เออ ตอนนี้กูรู้แล้ว” ไอ้ม่อนบอก
“ใครคือไอ้ภพ?”

ผมตกใจนิดหน่อยที่ไอ้แซคถามถึงไอ้ภพขึ้นมา

“ทำไมวะ?”
“ทำไมมึงไม่บอกกูว่ามึงเกือบขาหักจนต้องเข้าเฝือก?”
“เอ่อ...” ผมอ้ำอึ้ง
“เพื่อนมึงเล่าให้กูฟังหมดแล้ว”
“กูขอโทษ กูนึกว่าเป็นมึง กูก็เลยถามไปว่ามึงเป็นไง” ไอ้ม่อนรีบแก้ตัว
“ก็...กูไม่อยากให้มึงเป็นห่วงนี่ แล้วก็แค่เท้าพลิก ไม่ได้ขาหักซะหน่อย”
“แต่มึงก็ควรจะบอกกู ไหนบอกว่ามีอะไรจะไม่ปิดบังกันไงวะ?”
“เออ กูขอโทษ ตอนนี้กูก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่ไง”
“แล้วใครคือไอ้ภพ?”
“เอ่อ...”

ไอ้แซคทำหน้าดุ มันตลกดีที่ผมกลับรู้สึกเกรง ๆ ทั้งที่ใบหน้านั้นก็ไม่ได้ต่างจากผมเท่าไหร่

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่อุบัตติเหตุนิดหน่อยเอง”
“มึงตอบไม่ตรงคำถาม”

เมื่อโดนไอ้แซครุกหนัก ผมจึงต้องยอมเล่าทุกอย่างให้ไอ้ภพฟัง แต่ก็เล่าถึงแค่ตอนที่อยู่ที่ค่ายเท่านั้น ผมไม่ได้บอกมันว่าผมกับไอ้ภพเคยคบกัน เพราะไอ้แซคดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“เรื่องแบบนี้ยังจะปิดบังกันอีก”
“ก็กูไม่ได้เป็นอะไรมาก แถมหายดีแล้วด้วย ก็เลยไม่คิดว่าจำเป็นต้องบอกนี่หว่า”
“มึงนี่มัน...”
“ไอ้โซ่ กูไปก่อนนะ พอดีหนังจะเริ่มแล้ว” ไอ้ม่อนพูดแทรกขึ้นมา
“อ้าว มึงก็มาดูหนังหรอ?”
“เออ มึงก้มาดูหรอ?”
“ใช่ นั่งแถว C มึงอ่ะ?”
“กูนั่ง F โคตรไกลกันเลย” ไอ่ม่อนบอกพลางเอาตั๋วหนังขึ้นมาโชว์
“เออ โชคดีเว้ย เอาไว้ค่อยเจอกัน” ผมบอกลาไอ้ม่อน
“พี่...แซค ผมไปก่อนนะ”
“มึง! ไอ้แซคเกิดก่อนกู 2 นาที มึงไม่ต้องสุภาพกับมันก็ได้” ผมบอกแล้วหัวเราะกับท่าทางของไอ้ม่อนที่ดูเกรงใจไอ้แซค
“กูดูน่าเคารพมากกว่ามึงไง”
“ตรงไหนวะ?”


<---o--->


“เฮ้อออ” ไอ้แซคทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากที่ตะลอนกันมาทั้งวัน
“ไม่คิดจะไปอาบน้ำหน่อยหรอ?”
“เออ พรุ่งนี้ต้องรีบไปทำพาสปอร์ตแล้วนะ กว่าจะได้ เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“กูยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะไป”
“ต้องไป กูสั่ง!”
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจ

หลังจากนั้นไอ้แซคก็ลุกไปอาบน้ำ ส่วนผมนั่งจัดของกับเสื้อผ้าของไอ้แซคที่มันเพิ่งซื้อมา

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!  เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมจึงเงี่ยหูฟังให้แน่ใจว่ามีคนเคาะห้องผมจริง ๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!  เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงลุกไปเปิดประตู ในใจก็ยังสงสัยว่าใครมาเคาะเอาป่านนี้ แถมผมก็ไม่ได้นัดใครเอาไว้

“ภู...”

ผมเปิดประตูออกไป ก็พบว่าคนที่ยืนอยู่นั้นคือน้องภู

“ผมขอเข้าไปได้มั้ย?” น้องภูบอกด้วยเสียงเรียบ ๆ
“เอ่อ... อืม... เข้ามาดิ”

ผมพาน้องภูเข้ามาในห้อง พลางชะเง้อมองที่ประตูห้องน้ำ ว่าไอ้แซคยังอาบน้ำอยู่ใช่ไหม

“พี่ยักษ์อยู่ด้วยหรอ?”
“เอ่อ... เอาไว้ค่อยอธิบายทีเดียว แล้วมานี่มีอะไรรึเปล่า?”

น้องภูมองหน้าผมนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดว่า

“ผมคิดถึงพี่”

ผมได้แต่นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก

“ผมอยากมาคุยกับพี่ให้รู้เรื่อง”
“พี่ว่าทุกอย่างก็เคลียร์แล้วนะ”
“มันไม่มีอะไรเคลียร์หรอก พี่คิดว่าการที่พี่หนีทุกอย่างออกมาแบบนี้แล้วมันจะจบหรอ?”
“...”
“ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไง แต่ผมไม่มีความสุขเลยซักวัน ตั้งแต่วันนั้น”
“พี่ว่ามันเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว”
“พี่หลอกตัวเอง...” ผมรู้สึกจุกกับคำพูดของน้องภูจนอยากจะร้องไห้ออกมา

ใช่ ผมหลอกตัวเองอยู่... ถ้าไอ้แซคไม่ได้กลับมา... ถ้าผมอยู่คนเดียว ผมก็คงเหมือนเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว

“ทางที่พี่เลือก มันไม่ได้มีผลดีกับใครเลย ทั้งผม ทั้งไอ้ภพ แล้วก็ตัวพี่เอง” น้องภูบอก
“แล้วจะให้พี่ทำยังไง? พี่ยอมจบทุกอย่างเพื่อให้เอ็งกับไอ้ภพกลับมาคืนดีกัน”
“ไม่จำเป็นเลยพี่ ผมไม่ได้ต้องการให้พี่ทำอะไรแบบนั้นเพื่อผม”
“...”
“เฮ้อ...” น้องภูถอนหายใจ

เสียงไอ้แซคอาบน้ำเงียบไปแล้ว ผมคิดว่าน้องภูคงต้องตกใจแน่ถ้าเจอไอ้แซค

“ผมผิดเอง ทั้งที่รู้ว่าเราคบกันไม่ได้ แต่ตอนนั้นผมก็ยังไปขอพี่เป็นแฟน”
“ไม่หรอก”
“ผมรู้ว่า ไม่ว่ายังไงเตี่ยจะไม่โอเคกับเรื่องนี้ รู้ว่าไม่ว่ายังไงคบกันไปต้องเลิกกันแน่ แต่ผมก็ยังไม่ห้ามใจ”
“มันไม่ใช่ความผิดใครหรอก ตอนนั้นเราแค่รักกัน”
“ตอนนี้ผมก็รักพี่...”

น้องภูบอกด้วยสีหน้าจริงจัง

“แต่ไม่ได้รักแบบนั้นแล้ว”
“หืม?”
“ผมอยากให้พี่กลับไปคบกับไอ้ภพ!” น้องภูบอกแล้วเอื้อมมือมาจับมือผมไว้
“เฮ้ย!” ไอ้แซคตะโกนลั่น

น้องภูตกใจ หันไปตามเสียง กลับตกใจยิ่งกว่า ที่เห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นมีใบหน้าเดียวกันกับผม

“ไอ้เชี้ยนี่! เรียกดี ๆ ก็ได้มั้ง ตกใจหมด” ผมบ่น
“มานั่งจับมือกัน ไม่ได้เกรงใจกูเลยนะ แล้วไหนมึงบอกว่าไม่มีแฟนไง? ไอ้เด็กนี่ใคร?” ไอ้แซคยิงคำถามรัว ๆ
“เอ่อ...” น้องภูอ้าปากค้าง
“นี่น้องภู เป็นน้องของ...ไอ้....ภพ!”
“น้องไอ้คนที่ทำให้มึงเกือบพิการใช่ป่ะ?”
“แค่เท้าพลิกโว้ย!”
“แล้วมึงมาทำไม?” ไอ้แซคหันไปถามน้องภูที่ยังเหวออยู่
“เอ่อ...”
“โทษที พี่ไม่เคยบอกว่าพี่มีแฝด ก็ไม่ได้คิดว่าอยากจะแนะนำให้รู้จักซักเท่าไหร่” ผมแกล้งพูดเสียงดังในประโยคหลัง
“มึงมาทำไม?”
“มึงพูดกับน้องมันดี ๆ หน่อยก็ได้มั้ง ดุเป็นหมาเลย!”
“มาคุยกับพี่โซ่ครับ” น้องภูตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง
“ทำไมมึงไม่พาพี่มึงมาด้วยล่ะ? กูอยากเจอพอดีเลย” ไอ้แซคทำเสียงดุ
“ไปแต่งตัวไป!” ผมไล่ไอ้แซค

ไอ้แซคหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินหลบไปแต่งตัว ผมหันมายิ้มให้น้องภูที่ดูหวาด ๆ

“ไม่ต้องไปกลัวมันหรอก ไอ้แซคมันก็เป็นแบบนี้”
“พี่ไม่เคยบอกว่ามีฝาแฝด”
“พี่มีโอกาสให้บอกมากกว่า ปกติเราก็คุยกันแค่เรื่องของเรานี่ แต่พี่ก็เคยบอกนะว่าพี่มีพี่ชายอีกสองคน” ผมบอกเตือนความจำให้น้องภู
“ดุกว่าไอ้ภพอีก!”
“หรอ? อืม...”
“แล้วพี่ว่ายังไง? ที่ผมขอพี่”
“อะไรหรอ?” ผมถามย้ำ เพราะตอนนั้นไม่ทันได้ฟัง
“กลับไปหาไอ้ภพได้มั้ย?”
“ทำไมอ่ะ? เอ็งโอเคหรอ?”
“ผมโอเคแล้ว เพราะหน้าตาหล่ออย่างผมหาแฟนใหม่ได้ง่ายอยู่แล้ว”
“แหม มั่นใจเหลือเกิน”
“ฮ่า ๆๆ จริง ๆ ก็อาจจะไม่โอเคหรอก แต่ผมจะรู้สึกแย่มากกว่า ที่ทำให้พี่สองคนเลิกกันเพราะผม”
“แล้วไอ้ภพมันเป็นยังไงบ้าง?”
“หนักกว่าผมตอนเลิกกับพี่อีก มันเอาแต่อยู่ในห้อง เปิดเพลงทั้งวัน ไม่ออกไปไหนกับใครเลย”
“เปิดเพลง เต้นอยู่ในห้องคนเดียวด้วยความดีใจละมั้ง”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกน่า”
“กลับไปเถอะนะครับ” น้องภูอ้อนวอน
“ภู พี่ไม่ใช่คนตัดสินเรื่องนี้หรอก พี่ทิ้งมันมานะ มันอาจจะเกลียดพี่ไปแล้วก็ได้ เพราะตั้งแต่ตอนนั้นมันก็ไม่เคยโทร หรือไลน์มาเลย”
“เป็นใครได้ยินแบบนั้นก็ต้องเสียใจ ผมผิดที่ตอนนั้นปล่อยให้พี่เลือกแบบนี้ เพราะผมยังโกรธอยู่ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว กลับไปคืนดีกับพี่ผมเถอะนะ”

ผมไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความรู้สึก ณ ตอนนี้อย่างไรดี มันเป็นความรู้สึกหน่วง ๆ ที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก แต่ผมรู้ว่าผมกำลังดีใจและมีความสุขอยู่ ที่คิดว่าจะได้กลับไปคบกับไอ้ภพอีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะยอมยกโทษให้ผมหรือไม่ แต่ไม่เป็นไร ถึงมันยังโกรธผม ผมก็จะต้องทำให้มันหายโกรธผมให้ได้

“อืม...”


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->

อื้อหืออออ~ ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะนั่งพิมพ์จนถึงเที่ยงคืนแล้วจะไปนอน
หันมาดูนาฬิกาอีกที อ้าว จะตีหนึ่งแล้ว! พรุ่งทำงานต้องง่วงนอนแน่เลย ฮ่า ๆๆ :really2:
แต่ไหน ๆ พิมพ์เสร็จแล้ว ก็ลงให้เลยแล้วกัน
บอกไว้ก่อนว่า ก่อนลง สแกนไปแค่ครั้งเดียว ตรงไหนพิมพ์ผิด พิมพ์พลาด บอกกันได้นะครับ
เพื่ออรรถรสในการอ่าน
ปล. ใกล้จบแล้วละ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และแจกเป็ดให้กันนะครับ
กระผมขอสัญญาว่า จะพยายามพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นไปกว่านี้ เพื่อจะได้เขียนเรื่องสนุก ๆ ออกมาให้ทุกท่านได้อ่านกันนะครับ  :call: :L2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-02-2017 14:32:01
ไรท์ อดหลับอดนอนเขียนเรื่อง  :mew1: :mew1: :mew1:
ซาบซึ้งมาก  :pig4: :pig4: :pig4:
เอาใจช่วยกับงานใหม่ของไรท์ นะ
。••★•◕✿◕‿◕✿◕••★••。
ก็นึกเหมือนกันว่าโซ่ตัดสินใจอย่างนี้มันไม่ดีกับทุกคน
แต่โซ่เป็นคนรอมชอม ประนีประนอม
ใจอ่อน ตามใจคน ไม่อยากให้ภูเจ็บ พี่น้องทะเลาะกัน
เลยเลิกกับภู โธ่.....ภู ต้องมาเจ็บช้ำ
เพราะความใจอ่อนของโซ่
รอดูโซ่ ง้อภู  ภูง้อ ยากหรือเปล่านะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-02-2017 19:38:04
เชียร์พี่แซคกะน้องภู    :call:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 16-02-2017 07:08:21
ตอนที่ 13.1

หลังจากที่วันนี้ผมไปทำพาสปอร์ตกับไอ้แซคเสร็จแล้ว ผมก็พามันไปตะลอนหาของกินเหมือนเดิม เพราะอีกไม่กี่วันมันก็ต้องกลับญี่ปุ่นแล้ว

“กินเสร็จแล้วมึงจะกลับไปก่อนก็ได้นะ” ผมบอกกับไอ้แซค
“ทำไมวะ? มึงจะไปไหน?”
“กูจะไปหาไอ้ภพ”
“กูไปด้วย!”
“เฮ้อ...”
“ไม่อยากให้กูไปด้วยหรอ?”
“ก็รู้อยู่ว่าถ้ามึงไปจะเกิดอะไรขึ้น”
“ทำไมวะ? กูก็แค่อยากจะไปดูหน้าคนที่น้องกูจะคบด้วย ผิดหรอ?”
“ตามใจมึงแล้วกัน แต่ถ้ามึงกวนตีนอีกกูจะไม่ไปญี่ปุ่นกับมึงนะ”

ไอ้แซคยักไหล่แบบกวนประสาท

ผมจำใจให้ไอ้แซคตามไปด้วยทั้งที่ไม่ค่อยไว้ใจมันสักเท่าไหร่นัก

<---o--->

“พี่ถึงแล้วนะ” ผมส่งไลน์ไปบอกน้องภู
“รอแปปนะ เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้”

ไม่ถึง 2 นาที น้องภูก็ออกมาเปิดประตูให้ผมกับไอ้แซค

“พี่แซค หวัดดีครับ”
“อืม” ไอ้แซคพยักหน้ารับไหว้
“ไอ้ภพไปเตะบอล อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วแหละ”
“พ่ออยู่รึเปล่า?”
“อยู่ครับ”

ที่ผมกลัวมากกว่าการเจอหน้าไอ้ภพ ก็คือการที่ต้องมาเจอพ่อมันนี่แหละ ทำลูกชายเขาเบี่ยงเบนไม่พอ ยังจะไปหักอกทำให้มันเสียใจกันทั้งสองคนอีก

“เอ่อ... สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พ่อไอ้ภพที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอม พ่อมันมองลอดแว่นมาที่ผมแล้วหันไปมองไอ้แซคต่อด้วยความแปลกใจ
“นี่กูทำงานมากไปจนตาลายเลยหรอวะ?”
“สวัสดีครับ ผมเป็นพี่ไอ้โซ่ ชื่อแซคครับ”
“เป็นฝาแฝดกันหรอ?”
“ครับ” ผมตอบแทน
“มาหาภพหรอ?”
“ครับ”
“นั่งรอก่อนแล้วกัน อีกเดี๋ยวมันก็คงกลับ”
“ไปรอบนห้องผมมั้ย?” น้องภูหันมาถาม
“มึงรอนี่แหละ กูอยากคุยกับไอ้ภูหน่อย” ไอ้แซคบอก
“มึงจะทำอะไร?”

ผมถามด้วยความตกใจ เพราะไม่รู้ว่าไอ้แซคมันต้องการจะทำอะไร มันยิ่งเป็นคนที่คาดเดาได้อยากอยู่ด้วย

“แค่คุย” มันบอกแล้วเกาะแกมผลักไหล่น้องภูให้เดินนำไป

น้องภูหันมามองผมแบบเกร็ง ๆ

ผมนั่งรอไอ้ภพตรงโซฟาในห้องนั่งเล่น โดยมีพ่อของมันนั่งทำงานอยู่ด้วย พลางหันมาถามไถ่เรื่องราวต่าง ๆ ผมเป็นระยะ

“ทำไมถึงยังกล้ามาที่นี่อีกล่ะ?” พ่อไอ้ภพถามผมขณะที่สายตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอคอม
“ผม...ไม่คิดว่าผมควรมาหรอก หลังจากที่ทำเรื่องไว้ขนาดนั้น”
“รู้มั้ยว่าหลังจากวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
“ภูเล่าให้ฟังบ้างแล้วครับ”
“อืม... แสดงว่าที่กลับมาเนี่ย เพราะไอ้ตี๋มันไปตามมาใช่มั้ย?”
“ครับ”
“หมายความว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้อยากจะกลับมาหรอ?”
“ไม่ใช่หรอกครับ”

พ่อไอ้ภพจ้องหน้าผมเอาคำตอบ

“ผมรู้ว่าสร้างปัญหาให้ครอบครัวลุง แต่ถึงอย่างนั้น...”
“ทำไมหรอ?”
“ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังรักไอ้ภพอยู่ดี แต่ที่ไม่กลับมากเพราะผมห่วงความรู้สึกของภู”
“ก็สมควรอยู่หรอก” พ่อไอ้ภพบอก ผมรู้สึกหน้าชา
“ผมรู้... ลุงมีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบผม ผมขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”

พ่อไอ้ภพถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“จริง ๆ แล้วมันก็ทำใจยากนิดนึงนะ ที่อยู่ ๆ ต้องรับรู้ว่าลูกชายตัวเองกลายเป็นเกย์”
“...”
“แต่ลุงเองก็ผ่านอะไรมาเยอะ จนรู้ว่าความรักมันเป็นยังไง ถ้านี่เป็นความรักของลูกชายลุง และถ้าทั้งสองคนอยู่ในขอบเขตที่ไม่...ไม่เลวร้ายกันจนเกินไป ลุงก็ควรจะปล่อยให้มันทั้งสองคนได้เลือกเอง”

ผมรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของพ่อไอ้ภพเล็กน้อย

“ถ้าอยากจะคบกัน ก็ต้องพากันไปในทางที่ดีเข้าใจมั้ย?”
“ลุงหมายถึง....?”
“ตั้งแต่ที่เอ็งไปครั้งก่อน ลุงไม่เคยมีความสุขเลย เพราะต้องเห็นลูกชายตัวเองเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร จนตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่า ถ้าไอ้ภพมันรักเอ็งจริง ๆ ลุงก็ไม่ควรที่จะไปกีดกันความรักของเอ็งทั้งสองคน”
“ขอบคุณครับ” ผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ส่วนไอ้ตี๋ ลุงว่ามันก็คงยังรู้สึกอะไรอยู่บ้างแหละ แต่ไอ้นี่มันรักพี่มัน ถึงภายนอกจะดูไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ลึก ๆ แล้วมันทั้งสองคนรักกันมาก จนยอมเจ็บแทนกันทั้งคู่ แต่ถ้าตอนนี้คุยกันรู้เรื่องแล้วก็คงโอเค”
“ผมก็ไม่คิดว่าน้องจะทำใจได้ง่ายขนาดนั้นหรอก ยังไงผมก็จะระวังก็แล้วกันครับ”


<---o--->


“พวกพี่ไปรอบนห้องผมมั้ย?” ผมหันไปถามพี่โซ่กับพี่แซค เพราะคิดว่าทั้งสองคนคงอึดอัด ถ้าต้องอยู่กับเตี่ยผม
“มึงรอนี่แหละ กูจะคุยกับไอ้ภูหน่อย” พี่แซคบอกแล้วผลักไหล่ผมให้เดินนำไป ผมหันไปมองพี่โซ่ เพราะในใจผมก็รู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ พี่แซคอยู่เหมือนกัน
“มึงจะทำอะไร?”
“แค่คุย”

ผมพาพี่แซคขึ้นมาที่ห้องของผม พอถึงพี่แซคก็สั่งให้ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ทั้งหมดเลย ตั้งแต่ที่ผมเริ่มคบกับพี่โซ่ จนถูกไอ้ภพบังคับไอ้เลิกกัน และที่พี่โซ่ไปเข้าค่ายแล้วเจอกับไอ้แซค จนกระทั่งทั้งสองคนคบกัน และเลิกกันไปในวันนั้น พี่แซคดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี

“พี่นี่หน้าเหมือนพี่โซ่เลยเนอะ เหมือนจนผมแยกแทบไม่ออกเลย แต่พี่จะดูดุกว่านิดหน่อย”
“ไอ้นี่ กูไม่ได้ให้มาสังเกตหน้ากู แล้วสรุปตอนนี้มึงรู้สึกยังไงกับไอ้โซ่กันแน่?”
“ถ้าให้พูดตรง ๆ ผมก็ยังรักพี่โซ่อยู่นะ แต่...”
“แต่อะไร?”
“แต่พอรู้ว่าพี่โซ่มีแฝด ผมก็คิดว่าจะเบนเข็มมาหาพี่แทนไง ฮ่า ๆๆ”
“ส้นตีนสิ! อยากโดนกูเตะใช่มั้ย?” พี่แซคทำท่าจะตบผม แต่ก็หัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆๆ ล้อเล่นครับ จริง ๆ แล้วผมไม่อยากให้ไอ้ภพมันมานั่งเศร้าอยู่แบบนี้ พอมันเศร้า เตี่ยก็เครียดตามไปด้วย มันทำให้ที่บ้านผมช่วงนี้ไม่มีใครมีความสุขเลย”
“ขนาดนั้นเลยหรอ?”
“มันอาจจะฟังดูเว่อร์ แต่พี่โซ่เหมือนเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ทุกคนในบ้านผมมีความสุข พอคิดแบบนั้นแล้ว ผมก็อยากให้พี่ชายผมกับพี่โซ่กลับมาคบกัน ส่วนผมอีกเดี๋ยวถ้ามีแฟนใหม่ก็คงจะเลิกคิดเรื่องพี่โซ่ไปเอง”
“กูละอิจฉาพี่มึงจริง ๆ ที่มีน้องแบบนี้”
“ทำไมอ่ะ? มีน้องแบบพี่โซ่ไม่ดีตรงไหน?”
“ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แค่กำลังจะบอกว่ามึงนี่เป็นน้องที่โคตรดีเลย”
“แหน่ะ ๆ ชอบผมละสิ”
“ไอ้ภู ถ้ามึงเล่นอย่างนี้อีก กูจะตบให้หัวทิ่มจริง ๆ นะ” พี่แซคบอกแล้วตบหัวผมเบา ๆ ไปทีนึง
“ขอโทษครับ ฮ่า ๆๆ”

<---o--->


“มึงมาทำไม!?” ไอ้ภพยืนอยู่หน้าประตูถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
“ไอ้ภพ...”
“มึงจะมาที่นี่ทำไมอีก? มึงต้องการอะไรอีก?” ไอ้ภพดึงตัวผมออกมาหน้าบ้าน ถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกได้ถึงความโกรธ

ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องโกรธผม และในตอนนี้อาจจะถึงขั้นเกลียดไปแล้วก็ได้

“กูแค่อยากจะมาคุยกับมึง”
“มึงจะคุยอะไรอีก ทุกอย่างที่มึงพูดวันนั้นมันชัดเจนหมดแล้ว”
“ถ้างั้นกูก็แค่อยากจะขอโทษ ที่ทิ้งมึงไปแบบนั้น”
“มึงจำได้มั้ย? วันนั้นกูบอกว่าจะอยู่ข้าง ๆ มึง แต่มึงกลับเป็นคนที่ทิ้งกูไป”
“กูรู้ว่ากูผิด แต่กูอยากให้มึงเข้าใจที่กูตัดสินใจวันนั้น”
“กูต้องเข้าใจอะไรอีกวะ?” ไอ้ภพตะคอก

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาอาบแก้ม

“ตอนนั้น ที่น้องมึงถามกู ว่ากูรักใครมากกว่ากัน ระหว่างมึงกับมัน กูไม่รู้ว่ามึงอยู่ฟังคำตอบนั้นมั้ย? ถ้าไม่กูจะบอกให้มึงฟังอีกครั้งก็ได้ว่ากูรักม!!”

ไอ้ภพไม่รอให้ผมพูดจนจบ มันผลักผมจนผมล้มลง แขนฟาดเข้ากับประตูรั้ว

“กูไม่อยากรู้คำตอบของมึงหรอก!”

สิ้นเสียงไอ้ภพพูด ไอ้แซคที่เห็นเหตุการณ์อยู่พอดีก็พุ่งตัวเข้ามาแล้วต่อยเข้าที่หน้าไอ้ภพอย่างแรงจนมันลมลงไปเหมือนกัน
และเมื่อมันได้เห็นว่าคนที่ต่อยมันนั้นมีใบหน้าเดียวกันกับผม มันถึงกับช็อคจนอาจจะลืมความเจ็บไปเลยก็ได้
“ที่ผ่านมามึงยังทำน้องกูเจ็บไม่พออีกหรอ?” ไอ้แซคถามขณะที่มาช่วยพยุงตัวผม
“มึง...เป็นใคร?” ไอ้ภพถามเสียงสั่น
“มันไม่สำคัญหรอกว่ากูเป็นใคร เพราะนับจากวันนี้ไป มึงจะไม่ได้เห็นหน้ากูหรือน้องกูอีก!”
“ไอ้แซค...” ผมน้ำท่วมปาก ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“มึงเป็นอะไรมั้ย?” ไอ้แซคถาม ผมปาดน้ำตาแล้วส่ายหน้า
“พี่แซค ใจเย็น ๆ ก่อน” น้องภูบอกกด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
“น้องมึงเล่าทุกอย่างให้กูฟังหมดแล้ว ทำไมไม่รู้ กูกลับคิดว่ามึงควรจะเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ดีที่สุด แต่มึงกลับไม่เข้าใจอะไรเลย น้องกูมันรักมึง และน้องมึงก็รักมึงเหมือนกัน จนยอมเป็นฝ่ายเจ็บ ไปขอร้องให้ไอ้โซ่กลับมาคืนดีกับมึง... แต่มึงกลับรักแค่ตัวเอง มองเห็นแต่ตัวเอง ห่วงแต่ความรู้สึกของตัวเอง”
“พอแล้ว...” ผมห้าม
“ตอนแรกกูคิดนะ ว่าถ้าน้องกูมันรักมึงจริง ๆ กูก็จะไม่ยุ่งกับความรักของมัน แต่เห็นมึงแล้วกูบอกตรง ๆ ว่ากูไม่ยุ่งไม่ได้”

ไอ้ภพมองผมแล้วน้ำตาไหลออกมา ผมรู้ว่าทุกอย่างที่มันทำลงไปนั้น ทำไปด้วยอารมณ์ล้วน ๆ ผมก็ยังเชื่ออยู่ว่าลึก ๆ แล้วมันก็ยังคงรักผมอยู่เหมือนที่ผมรักมัน แต่ตอนนี้สถานการณ์อาจเปลี่ยนไปแล้ว ไอ้แซคอาจโมโหจนสั่งห้ามไม่ให้ผมกับไอ้ภพคบกันก็ได้ ถึงแม้ว่าผมจะสามารถขัดขืนไม่ทำตามก็ได้

“บอกลากันซะให้จบตรงนี้ เพราะอีก 3 วันกูจะพาน้องกูกลับไปญี่ปุ่น!” ไอ้แซคประกาศกร้าว
“ไอ้แซค...” ผมตกใจที่มันพูดออกมาแบบนั้น
“พี่แซค ผมขอร้องอย่าทำแบบนั้นเลย ผมรู้ว่าพี่ผมมันโง่ แล้วก็ชอบใช้กำลังมากกว่าสมอง แต่... อย่างที่ผมบอกกับพี่ ว่าพี่โซ่เป็นความสุขของทุกคนในบ้านผม ถ้าพี่ทำแบบนั้นทุกอย่างมันจะแย่ไปกว่านี้นะ”
“หาคนใหม่เถอะ กูไม่ให้น้องกูต้องมาทนมือทนตีนพี่มึงหรอก แล้วโดนแค่นี้มันยังน้อยไป ถ้าเทียบกับสิ่งที่พี่มึงทำไว้กับน้องกู”
“ไอ้โซ่...กูขอโทษ” ไอ้ภพลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาที่ผม แต่ไอ้แซคขวางเอาไว้
“ถ้าเข้าใกล้มากกว่านี้ มึงได้ลงไปกองที่พื้นแน่”
“พอแล้ว...”
“กูขอคุยกับไอ้โซ่สองคนได้มั้ย?”
“เสียดายจัง หมดเวลาแล้ว พอดีเดี๋ยวต้องไปหาอะไรกินกันต่อ” ไอ้แซคบอกด้วยน้ำเสียงกวน ๆ

ไอ้ภพก้มหน้า เอามือปาดน้ำตาแล้วสะอื้นออกมา ผมเองก็ร้องไห้ออกมาเช่นกันเพราะทนเห็นมันในสภาพนั้นไม่ไหว

“ไอ้แซค... กลับเถอะ” ผมบอกเพราะไม่อยากให้ไอ้แซคมันทำอะไรไปมากกว่านี้
“มึงได้ยินมั้ย? นั่นแหละ คำพูดสุดท้ายของมันที่มึงจะได้ยิน” ไอ้แซคบอกแล้วยิ้มอย่างผู้ชนะ

ผมเดินออกจากบ้านไอ้ภพมาด้วยใจที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะคิดว่าการมาของผมครั้งนี้มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยกลับทำให้แย่ลงไปกว่าเดิมอีก ในใจก็นึกโกรธไอ้แซคที่มันทำลงไปแบบนั้น

ไอ้แซคเดินมากอดคอผมแล้วยิ้มออกมา

“ยิ้มหาพ่อมึงหรอ?”
“พ่อมึงกับพ่อกูเนี่ยคนเดียวกันมั้ย?” ไอ้แซคย้อน
“-วย!” ผมด่ามัน ไอ้แซคหัวเราะออกมาแล้วบอกกับผมว่า
“มึงไม่ต้องกลัวหรอก ถ้ามันยังรักมึงจริง ๆ ภายใน 3 วันนี้เดี๋ยวมันก็ไปหามึงเอง”

"มึงมันเลว!"


<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 16-02-2017 08:59:56
พี่เเซคนี่แสบ แอบเห็นแวว พี่แซคกะน้องภูแล้ว ลุ้นๆๆๆๆๆ   :impress2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 16-02-2017 23:49:27
สมน้ำหน้าภพแล้ว
คราวหลังก็มีสติเยอะๆนะ
 :laugh:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 20-02-2017 01:43:58
ตอนที่ 13.2

“เลิกงอนกูได้แล้ว!”
“เงียบไปเลย!” ผมบ่นไอ้แซคเสียงดังขณะที่เดินอยู่ในหอกำลังจะกลับห้อง
“กูก็บอกไปแล้วไง ว่ากูแค่อยากลองใจมันเท่านั้น”
“ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย แล้วไปต่อยมันทำไม?”
“ก็มันทำมึงก่อนนี่”

ผมเงียบ พอคิดย้อนไปก็เข้าใจว่าทำไมไอ้แซคถึงโกรธขนาดนั้น

“รองเท้าใครวะ?” ไอ้แซคถามเมื่อเห็นว่าหน้าห้องของผมมีรองเท้าวางอยู่คู่นึง
“ไอ้ยักษ์คงกลับมาแล้ว”

ในตอนนั้นเองไอ้ยักษ์ก็เปิดประตูออกมาพอดี

“กูกำลังจะโทรหาพอดีเลย แต่ได้ยินเสียงมึงซะก่อน” ไอ้ยักษ์บอกแล้วหันไปไหว้ไอ้แซค
“หลบดิ!” ผมบอกแล้วรีบเดินเข้าไปในห้อง
“เป็นอะไรวะ?”
“มันงอนกู”
“งอนเรื่องอะไรกันอ่ะ?”
“ไว้ก่อน ขอเคลียร์กับมึงก่อนเรื่องมันก่อน ที่ตกลงกันไว้คือมีอะไรมึงต้องบอกกู แต่มึงปิดบังกูหลายเรื่องมาก”
“โหย พี่ จะให้ผมทำยังไงอ่ะ? ก็ไอ้โซ่มันไม่ให้บอก” ไอ้ยักษ์รีบแก้ตัว
“มึงเชื่อมัน แต่มึงไม่เชื่อกูหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นพี่ แต่ถ้าผมบอกมันก็โกรธผมนะสิ”
“มึงไม่ต้องไปโทษมันหรอก ทำให้มันลำบากใจซะเปล่า ๆ” ผมบอก
“แล้วตกลงมีเรื่องอะไรกัน?”

หลังจากนั้นไอ้แซคก็เล่าทุกอย่างให้ไอ้ยักษ์ฟัง

“แต่ก็สงสารไอ้ภพมันนะ”
“แต่มันผลักไอ้โซ่จนแขนไปกระแทกกับประตูรั้วเลยนะ มึงคิดว่ากูควรจะอยู่เฉย ๆ หรอวะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็สมควรแล้วแหละ ผมเคยบอกมันแล้ว ว่าอย่าทำให้ไอ้โซ่เจ็บตัวอีก”
“มันก็สมควรแล้วกับสิ่งที่กูทำ” ผมแย้ง
“เออ อันนั้นก็จริง ทั้งที่กูก็เคยบอกมึงไปแล้วเหมือนกัน ว่าอย่าตัดสินใจโง่ ๆ”
“มันใช่เวลาจะมาซ้ำเติมกูมั้ย?”
“ไอ้ยักษ์ ไหน ๆ มึงก็เป็นคนนึงที่อยู่ในเหตุการณ์มาตลอด เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้กูฟังอีกทีสิ เอาตั้งแต่มันเจอกันครั้งแรกเลย กูฟังมาจากไอ้ภูบ้างแล้ว อยากฟังจากมึงบ้าง เอาไว้ประกอบการตัดสินใจว่ากูควรจะทำยังไงต่อไป”
“มึงจะทำเชี้ยอะไรอีก? ตอนนี้ยังแย่ไม่พอหรอวะ?” ผมบ่น
“มึงเงียบไปเลย ขอกูคุยกับไอ้ยักษ์ก่อน”
“ตามใจมึงสองคนก็แล้วกัน อยากจะทำเชี้ยอะไรกับชีวิตกูก็ตามสบายเลย” ผมบอกแล้วลุกไปนอนบนเตียง

ไอ้ยักษ์กับไอ้แซคออกไปคุยกันที่นอกระเบียง ผมไม่รู้ว่ามันคุยอะไร หรือตกลงอะไรกัน แต่ผมเหนื่อยเต็มทนแล้ว เพราะวันนี้เจอแต่เรื่องที่หนักหัว

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มีการแจ้งเตือนจากไลน์เข้ามากว่า 30 ข้อความ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นของไอ้ภพคนเดียว

“ไอ้โซ่... กูขอโทษ”
“อย่าไปไหนจากกูนะ อย่าทิ้งกูไปอีก”
“กูขอโทษ มึงยกโทษให้กูนะ”
“กูขอโทษ”

มีแต่ข้อความแบบเดียวกันนี้ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งทันทีที่ผมเปิดอ่าน ไอ้ภพก็รู้ได้ทันทีว่าผมได้อ่านข้อความของมันแล้ว

ไอ้ภพ : “มึงอยู่ห้องใช่มั้ย? กูไปหานะ”
ผม  : “ยังไม่ต้องมาหรอก มาตอนนี้ก็โดนไอ้แซคแกล้งอีก”
ไอ้ภพ : “โซ่ กูขอโทษนะ ทุกเรื่องเลย”
ผม : “เลิกขอโทษได้แล้ว กูเข้าใจที่มึงโกรธกู”
ไอ้ภพ : “ขอโทษที่ทำมึงเจ็บตัวอีกแล้ว”
ผม : “กูไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก มึงอ่ะ? เป็นไงบ้าง? เจ็บมั้ย?”
ไอ้ภพ : “นิดหน่อย ;)”
ผม : “ขอโทษแทนไอ้แซคด้วยนะ”
ไอ้ภพ : “ทำไมมึงไม่เคยบอกเลยว่ามีแฝด”
ผม : “ก็มันยังไม่มีโอกาสได้คุยกันเรื่องนี้นี่ ช่างมันเถอะ”
ไอ้ภพ : “อืมมม... มึงยกโทษให้กูได้มั้ย?”
ผม : “ที่กูไปหามึงวันนี้ ก็เพราะจะไปขอโทษมึงนะ”
ไอ้ภพ : “กูไม่โกรธมึงแล้ว กูรู้แล้วว่ากูมันโง่เอง”
ผม : “อืม”
ไอ้ภพ : “โซ่... มึงจะไปญี่ปุ่นจริง ๆ หรอ?”

ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบมันกลับไป

ผม : “ใช่!”
ไอ้ภพ : “อย่าทิ้งกูไปแบบนี้ดิ :'( ”
ผม : “แค่นี้ก่อนนะ ไอ้แซคมาแล้ว กูไม่อยากให้มันรู้ว่าเราคุยกัน”
ไอ้ภพ : “ไม่เอา ถ้างั้นกูไปหานะ”

ไอ้ภพยังดื้อดึง

ผม : “งั้นไปเจอกันที่ร้านข้าวข้างม.นะ เดี๋ยวกูไปรอที่นั่น”

ตอนนี้ไอ้แซคกับไอ้ยักษ์กำลังคุยกันอยู่ที่ระเบียง ผมจึงอาศัยจังหวะนี้ หลบออกจากห้องไปรอไอ้ภพที่ร้านอาหารตามสั่งข้างมหาลัยที่ผมเคยไปกินกับไอ้ภพ

ผมนั่งรอไอ้ภพที่ร้านเกือบ 40 นาที มันจึงโทรมาหาผม

“มึงอยู่ไหน?” เสียงไอ้ภพถาม
“กูก็อยู่ที่ร้านข้าวไง ก็บอกว่าจะรอที่นี่ มึงอ่ะ? ทำไมยังไม่ถึงอีก?”
“กูอยู่ในม. มึง มึงเข้ามาหากูในนี้ได้มั้ย?”
“ไปทำอะไรในม. วะ?”
“มาเอาของที่ห้องล็อคเกอร์ มึงรีบเข้ามาเร็ว ๆ เลย” ไอ้ภพบอก
“ทีอย่างนี้สั่งใหญ่เลยนะ กูกลับไปโกรธเหมือนเดิมดีมั้ยเนี่ย? มึงจะได้ทำตัวดี ๆ หน่อย”
“โอ๋ ๆ ขอโทษครับ รีบมาหาเค้านะตัวเอง” ไอ้ภพแกล้งพูดประชด

ผมหัวเราะ พอวางสายจากไอ้ภพผมก็รีบออกจากร้านแล้วเดินตรงไปหามันที่ห้องล็อกเกอร์ทันที
ไอ้ภพนั่งรอผมอยู่ในห้องล็อคเกอร์ มันยังคงใส่ชุดบอลตัวเดิมเหมือนตอนที่อยู่ที่บ้าน เพราะหลังจากที่คุยกันในไลน์ มันก็คงรีบออกมาเลย

“ไอ้ภพ!” ผมเรียก

ไอ้ภพเดินตรงเข้ามาหาแล้วดึงผมเข้าไปกอดทันที โดยไม่มีคำพูดใด ๆ ออกจากปากของเราทั้งสองคน โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในช่วงปิดเทอม จึงไม่มีนักศึกษามาใช้ห้องล็อกเกอร์มากนัก จะมีก็แต่นักกีฬาว่ายน้ำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ผมสวมกอดมันกลับตามที่ใจต้องการจะทำมาตลอด กลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ กับกลิ่นหอมที่คล้ายกับกลิ่นของช็อกโกแลต และยังมีกลิ่นหอมเย็นที่รวมกันอยู่อย่างลงตัว ทำให้ผมรู้สึกอยากอยู่ในอ้อมกอดของมันแบบนี้นาน ๆ

“มาเอาของหรอ?” ผมแกล้งถามมัน
“ก็อยู่ที่ร้านข้าวมันกอดไม่ได้อ่ะ” ไอ้ภพบอกแล้วหอมแก้มผมฟอดนึง
“พอแล้ว เดี๋ยวมีใครเข้ามา”
“ไม่มีหรอก กูเช็คหมดแล้ว”
“หึหึ กูไม่น่าหลวมตัวมาเลย”
“ทำไมอ่ะ? มึงไม่อยากเจอกูหรอ?”
“ถ้าไม่อยากก็คงไม่มาหรอก” ผมบอก

ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายกอดมันก่อนบ้าง ซึ่งไอ้ภพก็กอดตอบ และระดมจูบผมจนผมต้องผลักมันออกเบา ๆ เพราะก็ยังกังวลว่าอาจจะมีใครเข้ามา

“แล้วนี่ มึงต้องไปญี่ปุ่นจริง ๆ หรอ?”
“อืม...”

ไอ้ภพน้ำตาคลอ

“ไม่ไปไม่ได้หรอ?”
“ไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องไป”
“แต่กูไม่อยากให้มึงไป ถ้ามึงไปอยู่ที่โน่นแล้วกูจะทำยังไง?”
“กูไปแค่สองอาทิตย์เอง ไปอยู่โน่นเราก็ยังคุยกันได้”
“สองอาทิคย์?” ไอ้ภพถามย้ำ
“เออ”
“แต่พี่มึงบอก...”
“มันแค่แกล้งมึง แล้วก็อยากลองใจมึงดู ว่ามึงจะทำยังไง”
“มึงสองคนนี่กวนตีนไม่แพ้กันเลยเนอะ” ไอ้ภพบอกแล้วปาดน้ำตา ที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาเพราะดีใจหรือเสียใจ
“แต่ตอนแรกมันก็คิดจริงจังนะ ที่ว่าจะให้กูไปอยู่ญี่ปุ่น”
“ทำไมวะ?”
“เพราะ... เรื่องนี้ละมั้ง” ผมโชว์แขนข้างที่มีรอยถลอก ซึ่งเกิดจากตอนที่มันผลักผมจนแขนไปฟาดกับประตูรั้ว
“กูขอโทษ...”
“มันรู้ทุกเรื่องระหว่างเรา และมันก็คงประเมินจากอะไรหลาย ๆ อย่าง จนคิดว่ามันไม่โอเคที่มึงคบกับกู”
“กูจะทำอะไรได้บ้างวะ?”
“ภพ... พ่อมึงบอกกับกูคำนึง มึงอยากรู้มั้ยว่าเค้าพูดว่าอะไร?”

ไอ้ภพพยักหน้า พลางเอามือมานวดที่แขนผม

พ่อมึงบอกว่า ถ้ามึงกับกูจะคบกัน ก็ต้องพากันไปในทางที่ดี มึงพอจะเข้าใจมั้ย? กูรู้ว่าจริง ๆ แล้วไอ้แซคมันก็แค่เป็นห่วงกู เหมือนที่พ่อมึงเป็นห่วงมึง ทุกอย่างที่มันแสดงออกมา มันแค่อยากแน่ใจว่าคนที่กูจะคบด้วย ต้องไม่ทำให้กูเจ็บ ไม่ว่าในทางไหน”
“อืม”
“แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ถ้ามึงยังเป็นแบบนี้... ยังใช้แต่อารมณ์ ใช้แต่กำลัง ไม่มีเหตุผลแบบนี้ ก็ไม่ต้องรอให้ไอ้แซคมาบอกให้เราเลิกกันหรอก เพราะกูคิดว่ากูก็คงจะไม่ทนเหมือนกัน”
“กูขอโทษ กูสัญญานะว่าจากนี้ไปจะไม่ทำให้มึงเจ็บอีก”
“มึงไม่ต้องสัญญาหรอก เพราะวันนึงเราอาจทำตัวไม่น่ารักใส่กัน วันนึงเราอาจจะเคยชินกับการมีกันจนลืมความสุขเหมือนในตอนนี้ วันนั้นมึงอาจจะทำตัวร้ายกาจใส่กูก็ได้ ก็ขอแค่ให้มึงจำสิ่งที่มึงพูด จำความรู้สึกที่มึงอยากจะมีกูอยู่ข้าง ๆ แบบนี้เอาไว้เท่านั้นเอง”
“แต่มึงก็ต้องกวนตีนให้น้อยลงหน่อยด้วยนะ เข้าใจมั้ย?”
“ไม่ได้หรอก ฮ่า ๆๆ”

ไอ้ภพหัวเราะแล้วดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง

“พอแล้ว เดี๋ยวมีคนเข้ามา”
“งั้นตามมานี่!” ไอ้ภพบอกแล้วดึงมือให้ผมเดินตามมันไปที่ห้องอาบน้ำ

ภายในห้องอาบน้ำจะเป็นห้องอาบน้ำรวม และมีห้องเดี่ยวอยู่ทั้งสองฝั่ง ไอ้ภพผลักผมเข้าไปแล้วถอดเสื้อตัวเองออกโชว์ผิวขาว ๆ ของมัน

“มึงจะทำอะไร?!”

มันไม่ตอบ แต่ดันผมจนตัวชิดกับฝนังห้องอาบน้ำและจูบอย่างหื่นกระหาย จนทำให้ผมรู้สึกอ่อนระทวยไปหมด

“ไม่เอา เดี๋ยวมีคนเข้ามา!”
“ไม่มีใครเข้ามาหรอก” ไอ้ภพบอกแล้วบรรเลงเพลงจูบกับผมต่อ

.....

จนกระทั่งทุกอย่างจบลงด้วยเสียงซ่า ๆ ของน้ำที่ไหลจากฝักบัว...


<---o--->

“ยิ้มอะไร?!” ผมบ่นไอ้ภพที่เอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม ตั้งแต่ออกมาจากห้องล็อกเกอร์แล้ว
“เปล่า! แค่มีความสุขเฉย ๆ ไม่คิดว่ามึงจะ...”
“หยุดพูดไปเลย! เพราะมึงนั่นแหละ เริ่มก่อน”
“แต่มึงก็เต็มที่ไม่ใช่หรอ?” ไอ้ภพบอกแล้วแกล้งยื่นหน้ามาใกล้ ๆ ผม
“กูบอกให้หยุดพูดไง!”
“โอ๋ ๆ ไม่พูดแล้ว ๆ”
“แล้วนี่ จะไปไหนต่อมั้ย?”
“ไปห้องมึงได้ปะ?”
“มึงกล้าไปหรอ? ตอนนี้อยู่ทั้งไอ้แซค ทั้งไอ้ยักษ์เลยนะ”
“ถ้ามึงอยู่ข้างกู ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
“แต่วันนี้มึงกลับไปก่อนดีกว่า กูไม่อยากให้ไปทะเลาะกันอีก”
“งั้นขออยู่กับมึงต่ออีกแปปนึงได้มั้ย? ยังไม่หายคิดถึงเลย” ไอ้ภพทำท่าอ้อน
“งั้นไปหาอะไรกินกัน”

<---o--->

เดินทาง...

“ไอ้ภพไม่มาส่งหรอ?” ไอ้แซคหันมาถามผมระหว่างรอขึ้นเครื่อง ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“อ้าว ไอ้นี่มีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่?” พี่แวนถาม
“อย่าให้เล่าเลยพี่ โคตรปวดหัวกับมัน”

ตอนนี้ไอ้แซคยอมรับให้ไอ้ภพคบกับผมแล้ว มันบอกว่า มันไม่มีสิทธิ์ห้าม เพราะนี่คือความรักของผม แต่มันจะคอยดูอยู่ห่าง ๆ ถ้าเกิดวันไหน ไอ้ภพทำผมเสียใจ มันจะกลับมาเล่นงานไอ้ภพทันที

“มันขนาดนั้นเลยหรอวะ? แบบนี้แปลว่ามึงก็รู้แล้วสิว่าไอ้โซ่มันชอบผู้ชาย”
“อืม รู้แล้ว”
“แล้วทำไมถึงไม่ให้แฟนมาส่งด้วยล่ะ?” พี่แวนถามผม
“แค่ไปเที่ยวนะพี่ ไม่อยากให้มันมาส่งแล้วรู้สึกว่าจะต้องห่างกัน ไม่อยากให้รู้สึกเศร้าอ่ะ”
“อย่างนี้แหละ เขาเรียกข้าวใหม่ปลามันใช่ป่ะไอ้ยักษ์
“ใช่เลยพี่ ฮ่า ๆๆ” ไอ้ยักษ์ที่มาส่งผมก็เออออไปกับไอ้แซคด้วย
“ว่าแต่น้อง แล้วมึงล่ะ? มีแฟนรึยังเนี่ย?” พี่แวนหันไปถามไอ้แซคบ้าง
“กวนตีนแบบนี้ใครจะไปเอามัน”
“เรื่องกวนตีนมึงก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากูเลยนะ มึงยังมีแฟนได้เลย ทำไมกูจะมีบ้างไม่ได้ กูแค่ชอบชีวิตโสดมากกว่าหรอก” ไอ้แซคแย้ง
“ไม่มีใครเอามากกว่า”

พอผมพูดจบ ไอ้แซคก็ตบหัวผมดังเพี๊ยะ จนคนข้าง  ๆ หันมามอง

“ปากดีนัก”
“เฮ้ย ๆ อย่าตีกัน ๆ” พี่แวนทำเป็นห้าม แต่ก็หัวเราะออกมา
“จริง ๆ ทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ กันก็ดีนะพี่ อยู่ด้วยกันแล้วผมว่าคงปวดหัวน่าดู” ไอ้ยักษ์หันไปคุยกับพี่แวน
“นี่ไง! / นี่แน่ะ!” ผมกับไอ้แซคใจตรงกัน หันไปตบกะโหลกไอ้ยักษ์คนละทีพร้อมกัน

“โปรดทราบ เครื่องบินของสายการบิน...... เที่ยวบินที่ TG 220 พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ขอเชิญผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้ที่ประตูทางออกหมายเลข 17 โปรดขึ้นเครื่องได้ที่ประตูทางออกหมายเลข 17 ขอบคุณค่ะ”

เสียงประกาศขึ้นเครื่องของสนามบินดังขึ้น ผมกับไอ้แซคจึงลาพี่แวนกับไอ้ยักษ์ที่มาส่ง

“พี่แวน ขับรถกลับดี ๆ นะ”
“บอกแม่นะ ว่าเดี๋ยวอีกสามวัน พี่บินตามไป” พี่แวนบอก
“มึงอยู่คนเดียวได้นะ” ผมถามไอ้ยักษ์
“กูไม่ใช่พวกขี้เหงาอย่างมึงนะ ทำไมกูจะอยู่คนเดียวไม่ได้ล่ะ”
“เออครับ มึงมันเก่ง”
“แน่นนอนอยู่แล้ว พี่แซค เอาไว้เจอกันนะครับ ดูแลเพื่อนผมดี ๆ ด้วย”
“มึงไม่ต้องมาสั่งกูหรอก”

หลังจากที่ล่ำลากันจนเสร็จแล้ว ผมก็ลากกระเป๋าเดินตามไอ้แซคไป

ผม : “กูขึ้นเครื่องแล้วนะ”
ไอ้ภพ : “ถึงแล้วบอกกูด้วยนะ”
ผม : “อื้ม”
ไอ้ภพ : “กูรักมึงนะ”

“คุยกับไอ้ภพหรอ?” ไอ้แซคหันมาถามผม
“เออ”
“แล้วมึงจะบอกแม่เรื่องนี้มั้ย?”
“ไม่รู้สิ มึงคิดว่าไงอ่ะ?”
“บอก ๆ ไปเหอะ”
“กูก็คิดงั้น แม่ก็คงจะไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวกูอยู่แล้ว”
“มึงเลิกนอยด์เรื่องนี้ได้แล้ว ถ้าแม่ไม่คิดถึงมึงเค้าไม่ให้กูมาพามึงไปหาหรอก”
“แม่สั่งให้มึงมาหรอ?”
“กูอยากมาเอง แต่แม่สั่งให้พามึงกลับไปด้วย”
“อืม...”

ผมคิดในใจว่าแม่อาจจะคิดถึงผมจริง ๆ ก็ได้ แต่มันก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัวอีก ว่าทำไมเพิ่งมาคิดถึงเอาตอนนี้

“เออ ใช่! กูลืมบอกมึงไป ตอนนี้มึงไม่ได้เป็นน้องคนเล็กแล้วนะ”
“หมายความว่าไงวะ?”
“ก็ตอนนี้มึงมีน้องอีกคนนึงแล้วไง ชื่อ ‘โชตะ’ ตอนนี้เพิ่งจะขวบกว่า”
“ขวบกว่า? แล้วทำไมมึงเพิ่งมาบอกกู?”
“แม่ไม่ให้กูบอก เพราะกลัวมึงจะไม่โอเคที่แม่มีลูกอีกคนนึง”
“กูดูร้ายขนาดนั้นเลยหรอวะ? ทำไมแม่จะต้องกลัวว่ากูรู้สึกอะไร?”
“เค้าแคร์ความรู้สึกมึงต่างหาก”
“มันก็สายไปอยู่ดี”
“มึงนี่ไม่รู้จักโตเลยเนอะ ยังงอแงเหมือนเด็กที่งอนพ่อแม่เวลาที่พ่อแม่ไม่ซื้อของเล่นให้”
“มึงอยู่กับแม่งมึงก็พูดได้สิ” ผมโกรธที่โดนไอ้แซคว่าแบบนี้
“ก็เพราะกูอยู่กับแม่ไง กูถึงเข้าใจเหตุผลทุกอย่างที่แม่ทำลงไป”
“...”
“มึงโกรธแม่ที่แม่ไม่พามึงไปอยู่ด้วย แต่มึงไม่รู้หรอก แม่เค้าอยากพามึงไปอยู่ด้วยจะตาย แต่เค้าเห็นว่าตอนนั้นชีวิตยังลำบากอยู่ ไม่อยากให้มึงมาลำบากด้วย”
“ขอกูไปฟังทุกอย่างจากปากแม่เองแล้วกัน”
“เออ! เดี๋ยวมึงเจอหน้าน้องแล้วมึงจะไม่อยากกลับไทย”
“ขนาดนั้นเลยหรอ?”

ผมมัวแต่เถียงกับไอ้แซคอยู่จนลืมคุยกับไอ้ภพไปเลย จนมันแอบงอนผมที่ไม่ตอบกลับมัน

ไอ้ภพ : “ไม่บอกกลับหน่อยหรอ?”
ไอ้ภพ : “ไอ้โซ่.......”
ผม : “เฮ้ยย! ขอโทษ ไอ้แซคมันกวน”

“กูรักมึงเหมือนกัน สองอาทิตย์กูก็กลับแล้ว รอกูด้วย แล้วก็อย่าไปแรดที่ไหนล่ะ? อย่าให้รู้นะว่าตอนกูไม่อยู่มึงแอบไปไหนกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นกูจะกลับมาพาน้องมึงไปอยู่ญี่ปุ่นกับกูด้วยเลย !!” ผมกดอัดเสียงแล้วส่งไปให้ไอ้ภพ มันฟังแล้วส่งข้อความกลับมา

ไอ้ภพ : “ไม่แรดแน่นอนคร้าบ ที่รัก”

<---o--->


2 วันก่อนหน้านั้น

ในช่วงนี้ร้านอาหาร หรือสถานที่หลาย ๆ แห่งต่างพากันตกแต่งร้าน และประดับไฟในดูสวยงามตามเทศกาลปีใหม่ ที่กำลังจะมาถึง เสียงเพลง พรปีใหม่ ดังระงมไปทั่ว พาให้รู้สึกถึงความสุขของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะด้วยความร่าเริงของเด็ก ๆ

“โซ่...แบบนี้กูก็ไม่ได้เคาท์ดาวน์กับมึงอะดิ!”
“ก็คงงั้น เอาไว้เราเคาท์ดาวน์ตอนวีดีโอคอลกันก็ได้”
“เวลามันไม่ตรงกันนะ”
“เออเนอะ”
“มึงไม่ไปไม่ได้หรอ?” ไอ้ภพถาม ผมถอนหายใจ
“จริง ๆ กูก็ไม่ได้อยากไปหรอก แต่แม่กูเค้าอยากให้กูไปเยี่ยมบ้าง”
“แม่มึง? อยู่ญี่ปุ่นหรอ?”
“อืม”
“จะว่าไป มึงไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวมึงให้กูฟังเลย แม้กระทั่งมีแฝดก็ไม่เคยบอก ตอนกูเห็นมันตอนแรกกูนึกว่ากูหลอนจนมองเห็นมึงสองคน”
“หลอนดิ เจอต่อยเข้าไปขนาดนั้น”
“ที่กูไม่สู้ เพราะกูทำไม่ลงหรอก ก็หน้าเหมือนมึงขนาดนั้น”
“หรอ? แต่ไม่รู้ทำไมเนอะ อยู่กับมึงทีไรกูมีเรื่องให้เจ็บตัวตลอดเลย”
“ขอโทษ” ไอ้ภพทำหน้าเศร้า

ผมเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวผมทั้งหมดให้ไอ้ภพฟัง มันฟังอย่างตั้งใจ และพอจะรู้สึกได้ว่าครอบครัวผมกับครอบครัวของมันมีอะไรคล้าย ๆ กัน เราเติบโตมาโดยขาดความรักจากคนเป็นแม่เหมือนกัน นั่นทำให้ผมเป็นคนที่ชอบการถูกดูแลเอาใจใส่ เหมือนที่ไอ้ยักษ์ชอบทำให้ผม หรือแม้แต่การเทคแคร์ของไอ้ภพก็ทำให้ผมรู้สึกวางใจที่ได้อยู่ใกล้ ๆ มันเช่นกัน

“ชีวิตเรานี่คล้าย ๆ กันเลยเนอะ” ไอ้ภพบอก
“ก็คงงั้น ต่างกันตรงที่มึงยังมีพ่อ แต่กูไม่เหลือใครเลย นอกจากพี่ชายสองคน”
“มึงยังเหลือแม่มึงอีกคนนึงไง”
“ไม่หรอก ถ้าเค้าเห็นกูอยู่ในสายตา เค้าคงไม่ทิ้งให้กูอยู่แบบนี้หรอก”
“กูว่าผู้ใหญ่ก็คงมีเหตุผลนั่นแหละ ทุกอย่างมันมีเหตุผลเสมอ”
“มึงคิดแบบนั้นหรอ?”
“อย่างน้อย ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันทำให้เราได้เจอกันนะ”
“ฮ่ะ ๆๆ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย” ผมหัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรวะ? เกี่ยวสิ ถ้ามึงไปอยู่ญี่ปุ่นด้วยกูกับมึงก็คงไม่ได้เจอกัน”
“ไม่คิดว่ามึงจะมีมุมน้ำเน่าแบบนี้ด้วย”
“เขาเรียกโรแมนติกเว้ย!” ไอ้ภพแก้ตัวหน้าแดง
“ก็คงงั้นแหละ”

เราหัวเราะกันทั้งคู่ จากนั้นไอ้ภพก็ดึงมือผมไปกุมเอาไว้

“ถ้าวันนั้น ตอนที่อยู่ที่ค่าย กูแค่ปล่อยให้มึงเป็นแค่อากาศธาตุ ไม่สนใจมึง เราก็คงไม่ได้มารักกันเหมือนตอนนี้หรอก จริง ๆ แล้วบางทีเราอาจจะเป็นคู่กันตั้งแต่แรกก็ได้”
“ทำไมคิดงั้นอ่ะ?” ผมถาม
“ก็ตอนนั้น เราจับฉลากได้นอนเต้นท์เดียวกัน มึงไม่คิดว่ามันจะบังเอิญเกินไปหรอ? ที่คนที่เกลียดกันสองคน จะมาจับฉลากได้เลขเดียวกัน และต้องมานอนเต็นท์เดียวกัน”
“เราไม่ได้เกลียดกัน... มึงคนเดียวที่เกลียดกู”
“โซ่... กูเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่มึงถึงไม่พามึงไปอยู่ด้วย เพราะแม่งกวนประสาทแบบนี้ไง แม่มึงคงคิดว่าถ้ามึงกับไอ้แซคอยู่ด้วยกัน คงปวดหัวตาย”
“เออ!”
“แต่กวนตีนแค่ไหนกูก็ยังรักมึงนะ”
“ตบหัวแล้วลูบหลัง”
“แต่กูก็ชอบนะ ชอบที่มึงเป็นมึงแบบนี้”
“หรอ? แล้วนอกจากนั้นมีอะไรอีกมั้ย?”
“ไม่มีหรอก แค่อะไร ๆ ที่มันรวมมาเป็นมึง กูก็รักหมดนั่นแหละ”
“ไปหัดพูดจาแบบนี้มาจากไหนเนี่ย?” ผมถามเพราะปกติไอ้ภพเป็นคนที่ไม่โรแมนติกขนาดนี้
“ตั้งแต่ตอนที่คิดว่าต้องเสียมึงไปนั่นแหละ ถึงรู้ว่าตอนที่ยังมีเวลา กูต้องทำดีกับมึงไว้เยอะ ๆ”
“กูก็จะพยายามเป็น... แฟน... ที่ดีของมึงแล้วกัน”

ในนาทีนั้นที่เราอยู่ด้วยกัน... ช่วงที่ในสายตาของผมมองไปข้างหน้าแล้วเห็นไอ้ภพอยู่ตรงนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่า ปีนี้ซาตาคลอสได้ให้ของขวัญกับผมแล้ว และผมสัญญาว่าผมจะรักษาของขวัญชิ้นนี้ของผมอย่างดี



มาถึงตอนนี้... นิยายเรื่องนี้อาจจบลง แต่ความรักของผมกับไอ้ภพยังคงดำเนินต่อไป
ในขณะที่คุณกำลังอ่านเรื่องราวของผม ถ้าเป็นตอนเช้า ผมก็คงกำลังงัวเงียขี้ตา ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของไอ้ภพ  ถ้าคุณอ่านตอนกลางวัน  ผมกับไอ้ภพก็คงกำลังกินข้าวที่ร้านใดร้านหนึ่ง และไอ้ภพอาจกำลังสั่งข้าวไก่กระเทียมเมนูเดิมมากินอีกเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยก็ได้ หรือถ้าคุณอ่านตอนกลางคืน ตอนนี้ผมกับไอ้ภพก็คงกำลังนอนดูทีวี หรือไม่ก็ดูหนังกันอยู่ หรืออาจจะกำลังทะเลาะกันอยู่ก็ได้
ผมเพียงแค่อยากจะบอกว่า ในทุกลมหายใจเข้าออกของคุณในทุก ๆ วันต่อจากนี้ ผมกับไอ้ภพจะยังมีความรักให้กันอยู่เสมอ และกำลังมีความสุขอยู่ด้วยกันในมุมใดมุมหนึ่งของโลกใบนี้



<----O<<::::::======[ จบบริบูรณ์ ]======::::::>>O---->


ในที่สุดก็จบแล้วละ  :mc4:
หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขไม่มากก็น้อยนะครับ
ก่อนอื่นต้องขออภัยอีกครั้งนึง ถ้าตรงไหนผู้เขียนพิมพ์ผิดไป พิมพ์ดึก ๆ บางทีมันก็มีเบลอ ๆ บ้างอ่ะครับ แฮ่ ๆๆ  :really2:
และต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันจนมาถึงตอนจบนะครับ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณทุกกำลังใจครับ
ความเห็นของคุณจะช่วยให้ผู้เขียนพัฒนางานชิ้นต่อ ๆ ไปให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :3123: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-02-2017 06:27:20
มาถึงตอนนี้... นิยายเรื่องนี้อาจจบลง แต่ความรักของผมกับไอ้แซคยังคงดำเนินต่อไป
ชื่อแซค ต้องเป็นภพ หรือเปล่า
พ่อภพ แซค คนอ่าน คิดตรงกัน
ภพ ชอบใช้อารมณ์ กำลัง รุนแรงกับโซ่ตลอด
เจอกัน จนรักกัน มีแต่ทำให้โซ่เจ็บตัว
พ่อภพพูดดีมากเลย
ถ้าสองคนจะคบกัน ก็ต้องพากันไปในทางที่ดี
มีแววนะ ว่าแซคกับภู จะสานสัมพันธ์กัน
แล้วยักษ์ล่ะ จะมีคู่กับเขาปะ
       :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 20-02-2017 10:47:56
 o13  สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 20-02-2017 15:16:40
โอ้ ดีที่จบแฮปปี้นะ ลุ้นตั้งแต่ตอนที่โซ่บอกจะไปจากภพแล้วววว
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 20-02-2017 16:28:54
ชื่น..นนนนนใจ แอบลุ้นแทบแย่ สุดท้ายก้อแฮปปี้เอนดิ้ง   o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 20-02-2017 23:45:49
มาถึงตอนนี้... นิยายเรื่องนี้อาจจบลง แต่ความรักของผมกับไอ้แซคยังคงดำเนินต่อไป
ชื่อแซค ต้องเป็นภพ หรือเปล่า
พ่อภพ แซค คนอ่าน คิดตรงกัน
ภพ ชอบใช้อารมณ์ กำลัง รุนแรงกับโซ่ตลอด
เจอกัน จนรักกัน มีแต่ทำให้โซ่เจ็บตัว
พ่อภพพูดดีมากเลย
ถ้าสองคนจะคบกัน ก็ต้องพากันไปในทางที่ดี
มีแววนะ ว่าแซคกับภู จะสานสัมพันธ์กัน
แล้วยักษ์ล่ะ จะมีคู่กับเขาปะ
       :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

เห็นมั้ย ? นั่งพิมพ์ดึก ๆ ดื่น ๆ เบลอหมดแล้ว 5555
ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยสังเกตให้ เปลี่ยนให้แล้วเด้อ  :pig4: o13



o13  สนุกมากครับ

ขอบคุณมากครับ   :pig4: :pig4:


โอ้ ดีที่จบแฮปปี้นะ ลุ้นตั้งแต่ตอนที่โซ่บอกจะไปจากภพแล้วววว

ที่จบแบบแฮปปี้เพราะผมอยากให้คนอ่าน อ่านแล้วชอบ อ่านแล้วสนุก อ่านแล้วมีความสุขครับ   :pig4:



ชื่น..นนนนนใจ แอบลุ้นแทบแย่ สุดท้ายก้อแฮปปี้เอนดิ้ง   o13

ชื่นนนนนใจด้วยคน ขอบคุณที่ติดตามจนจบนะครับ  :pig4: o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 27-02-2017 22:15:09
อู้หูยยยยยย กว่าจะลงตัว เสียน้ำตาไปเป็นปี๊บ รอคู่น้องภู ว่าจะเป็นใคร และ รอดูว่าพี่ยักษ์เล็งใครไว้ เอ๊ะ หรือ สองคนจะลงเอยกันเอง...เอวัง...
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนที่ 13 [ตอนจบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 21-03-2017 20:37:45
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ Japan1
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 21-04-2017 23:41:31
ตอนพิเศษ Japan! "กลับมาแล้วครับ!"


อาริงาโตะ โกไซมัส!/ขอบคุณครับ! ” ไอ้แซคตะโกนประโยคนี้ออกมาหลังจากก้าวลงจากรถแท็กซี่ที่พาเรามาส่งจนถึงหน้าบ้าน
ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ประตูรั้วมีตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นติดเอาไว้ซึ่งแน่นอนผมอ่านไม่ออกหรอก แต่ไอ้แซคบอกว่าบ้านหลังนี้แหละที่มันอยู่

“เข้าไปดิ หนาวจะตายแล้ว!” ไอ้แซคบอกผมแล้วผลักให้ผมเดินเข้าไปในบ้าน เพราะอากาศตอนนี้หนาวก้าวขาแทบไม่ออก

ผมรู้สึกประหม่า ไม่กล้าเดินเข้าไป แล้วก็ยังไม่รู้ควรจะทำตัวยังไงเมื่อต้องเจอหน้าแม่

ทะดะอิมะ!/กลับมาแล้ว!”
ส้นเสียงไอ้แซค ก็มีเสียงคล้ายผีเท้าที่กำลังวิ่ง ตรงมาทางประตู และเมื่อประตูนั้นเปิดออก ก็มีเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งวิ่งเข้ามากอดไอ้แซค

โอไกรินาไซ!/ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” เสียงที่ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ยินมานาน แต่ก็ยังคงจำได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร

แม่เดินออกมาเปิดประตู มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่เห็นผม...ผมเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ในความคิดของผมตอนนั้น มองแม่ต่างไปจากเดิม

“สะ... สวัสดีครับ” ผมกล่าวพลางหลบสายตา.... แม่ผอมจัง...

ถึงผมจะไม่ได้มองไปที่แม่ตรง ๆ แต่ก็รู้ได้ว่าแม่กำลังเดินตรงมาหาผม มือของแม่สัมผัสที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบา แล้วดึงผมเข้าไปกอด

“แม่นึกว่าหนูจะไม่ยอมมาซะแล้ว”

ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ผมไม่รู้ว่าผมกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ ระหว่างโกรธ กับคิดถึง ทั้งที่อยากกอดแม่กลับแน่น ๆ แต่ผมกลับทำได้เพียงยืนเฉย ๆ

โชตะคุงที่ไอ้แซกกำลังอุ้มอยู่มองมาที่ผมอย่างประหลาดใจ แล้วหันไปถามไอ้แซคเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าผมคือใคร ไอ้แซคยิ้มพยายามจะอธิบายให้น้องฟัง แต่ดูเหมือนโชตะก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“หิวไหมลูก? เข้าบ้านก่อน ๆ”
“โคตรหิวเลยแม่” ไอ้แซคบอก
“แม่ถามน้อง”
“โห่! ไอ้โซ่มึงกลับไปเลย ดูดิ มึงมาไม่ถึงห้านาทีกูเป็นหมาหัวเน่าแล้ว”

ผมหัวเราะ

“โชตะ รักพี่มั้ย?”
“ยั๊ก!” โชตะตอบเสียงดัง
“พูดไทยได้ด้วยหรอ?” ผมหันไปถาม
“ปกติอยู่บ้านส่วนใหญ่ก็พูดไทยกันนะ”
“พาน้องเข้าบ้านก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นหวัดกันซะก่อน แม่ทำกับข้าวไว้เยอะเลย”

<---o--->

ระหว่างกินข้าว...

“โซ่ เรียนเป็นไงบ้าง พอไหวไหม? แล้วอยู่ปีอะไรแล้ว?”
“ปีสอง กำลังจะขึ้นปีสามครับ” ผมตอบ
“แล้วพี่แวนล่ะ? สบายดีไหม?”
“ก็ดีครับ”
“พี่แวนบอกว่า เดี๋ยวบินตามมา ขอเคลียร์งานก่อน” ไอ้แซคเสริม
“ทำไมหน้าเหมือนอะนิซัง?” โชตะนั่งจ้องหน้าผมแล้วหันไปถามแม่ด้วยสำเนียงแบบเด็ก

*อะนิซัง / พี่ชาย

“คนนี้เป็นพี่ของโชจังอีกคนนึงนะ เป็นลูกของแม่ อยู่ประเทศไทย” แม่พยายามอธิบาย
“แล้วทำไมหน้าเหมือนอะนิซัง?”
“กี่ขวบแล้วเนี่ย ทำไมพูดเก่งจัง?”
“เดือนหน้าก็ 2 ขวบแล้ว” แม่ตอบ
“แล้วทำไมหน้าเหมือนอะนิซังอ่ะ?” โชตะยังถามซ้ำ  ผมกับไอ้แซกหัวเราะในความไร้เดียงสาของน้อง
“แล้ววันนี้พ่อจะกลับตอนไหนหรอแม่?”

ผมหันไปมองหน้าไอ้แซค เพราะรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ที่มันเรียกสามีใหม่แม่ว่าพ่อ

“คิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแหละ แม่โทรไปบอกแล้วว่าลูกกลับมาแล้ว”
“เขาจะโอเคหรอครับ? ที่ผมมา” ผมถาม
“ทุกคนโอเคที่ลูกมา”
“ครับ...”
“แล้วนี่มีแฟนรึยังเนี่ย?” ผมกับไอ้แซกสำลักออกมาพร้อมกัน ทันทีที่แม่ยิงคำถามนี้ใส่ผม
“เอ่อ... มีแล้วครับ”
“หรอ? เป็นคนนิสัยดีไหม?”
“ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กวนประสาท ชอบแกล้ง ชอบหาเรื่องให้ผมเจ็บตัวอยู่เรื่อย”
“ทำไมแบบนั้นล่ะ? แบบนี้ลูกไม่เหนื่อยแย่เลยหรอ?”
“บางทีก็เหนื่อยนะครับ ”
“แสดงว่าสาวคนนั้นต้องสวยแน่เลย ลูกถึงยังยอมขนาดนี้”
“แฟนผมเป็นผู้ชายครับ!” ผมตอบ

ไอ้แซคสำลักรอบสอง มันคงไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้ แม่เองก็ดูจะตกใจไม่น้อย

แม่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มโดยไม่พูดอะไรต่อ
บรรยากาศเริ่มอึดอัด เมื่อไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรเลย จนกระทั่งผมทนไม่ไหว

“แม่จะโกรธผมก็ได้นะ ที่ผมเป็นเกย์ แต่นั่นก็เพราะชีวิตผมดันจำภาพผู้หญิงคนนึงที่ทิ้งลูก ทิ้งสามีตัวเอง จนทำให้ผมไม่อยากคบผู้หญิง”

ไอ้แซคต่อยที่ต้นแขนผมเป็นการเตือนที่ผมดันพูดจาแบบนั้นออกไป

“โอ้ย!”

ผมถอนหายใจในความปากไม่ดีของตัวเอง

“เอ่อ... ผมขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก มันเป็นความผิดแม่จริง ๆ ที่ไม่ได้พาหนูมาอยู่ด้วย”
“เรื่องนั้นมันไม่ใช่ประเด็นหรอก ผมไม่ได้โกรธที่แม่ไม่ได้พาผมมาอยู่ด้วย แต่ผมโกรธที่แม้แต่งานศพพ่อ แม่ก็ไม่ยอมไป”
“ไอ้โซ่ ไหนตกลงกันว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ไง?”
“ไม่พูดก็ไม่เคลียร์” ผมบอก

ไอ้แซคแสดงสีหน้าโกรธผมอย่างชัดเจน

“แม่ขอโทษ ตอนนั้นโชตะยังเล็ก แม่ต้องคอยดูแลน้อง”

ผมหันไปมองโชจังที่ทำหน้าไร้เดียงสาตามประสาเด็ก ถ้าเด็กคนนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่ไปงานศพพ่อ ผมก็คงโกรธไม่ลง

“ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากไป ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เสียใจนะ” แม่น้ำตาไหลบอกกับผม
“ทีนี้เคลียร์ยัง? กินข้าวเถอะ” ไอ้แซคทำหน้าดุหันมาถามผม
“ขอโทษ...ที่ปากไม่ดีครับ” ผมบอก

บรรยากาศการกินข้าวมื้อนั้นผ่านไปไม่ค่อยดีนัก หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องของไอ้แซคที่ชั้นสอง

“แซค พาน้องไปเที่ยวสิ มาทั้งทีอยู่แต่บ้านคงน่าเบื่อแย่”
“ไว้พรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้เดินทางมาเหนื่อย ๆ อยากพักผ่อนก่อนครับ” ผมบอก
“มึงอยากไปเที่ยวที่ไหน?” ไอ้แซคหันมาถามผม
“กูจะไปรู้ได้ไงวะ? ว่าควรจะไปที่ไหน กูไม่เคยมานะ ไม่รู้จัก”
“เออ เอาไว้เดี๋ยวค่อยคิดแล้วกัน เอ้า! นี่!” ไอ้แซคโยนบางอย่างมาให้ผม มีลักษณะเป็นซองกระดาษแช็ง ๆ
“อะไรวะ?”
“ซิมโทรศัพท์ ช่วงนี้ก็เปลี่ยนใช้เบอร์นี้ไปก่อน เผื่ออยากโทรหาใคร แต่ที่บ้านก็มี wifi นะเดี๋ยวกูไปเอารหัสมาให้”

ผมลืมนึกถึงไอ้ภพไปเลย ทั้งที่มันบอกเอาไว้ว่าถ้ามาถึงญี่ปุ่นแล้วให้ไลน์ไปบอกมันทันที

“เออ ไอ้แซค กูขอถามอะไรหน่อยดิ”

ไอ้แซคนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ ผม

“มีอะไร?”
“แฟนใหม่แม่นี่ เขาเป็นคนยังไงวะ? แล้วดีกับมึงรึเปล่า?”
“ก็ดีนะ เป็นคนดี ขยัน แล้วก็รักแม่ดี”
“กูเห็นมึงเรียกเขาว่าพ่อ”
“กูว่าแล้ว ว่ามึงต้องนอยด์เรื่องนี้”
“ก็นิดหน่อย”
“โซ่... กูรู้ว่ามึงรักพ่อมาก แต่ก็เหมือนที่กูเคยบอกมึง พ่อกับแม่มีเหตุผลที่ต้องเลิกกัน แล้วเมื่อกี้กูก็ไม่โอเคที่มึงพูดกับแม่แบบนั้น”
“กูผิดหรอวะ? ถ้ากูยังไม่โอเคกับเรื่องนั้น”
“แต่มึงก็ไม่ควรพูดแบบนั้น”
“อืม...”

ไอ้แซคมองหน้าผมเหมือนลังเลที่จะพูดอะไรออกมา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถ้ากูบอกอะไรมึง มึงจะเชื่อกูมั้ย?”
“อะไร?”
“ถ้ากูบอกไปแล้ว มึงต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่บอกแม่ ว่ากูบอกมึง” ไอ้แซคย้ำจนผมเริ่มรู้สึกรำคาญ
“เออ มีอะไรก็พูดมา”
“จริง ๆ แล้ว แม่ไม่ได้ทิ้งพ่อ แต่พ่อนั่นแหละที่มีเมียน้อย จนแม่ทนไม่ไหว”

ผมอึ้งไปชั่วขณะที่ได้ยินแบบนั้น เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะเชื่อสิ่งที่ไอ้แซคพูดได้ไหม เพราะเท่าที่ผมจำได้ ตอนเด็ก ๆ ผมก็ไม่เคยเห็นพ่อไปมีใครเลย

“แล้วที่แย่กว่านั้นคือ พ่อมีลูกกับคนนั้นก่อนที่จะมีมึงกับกูอีก!
“มึงรู้ได้ยังไง?” ผมถาม
“แม่เล่าให้กูฟังทุกอย่าง และกูก็เคยไปเจอกับลูกอีกคนของพ่อด้วย”
“...” ผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“แล้วแบบนี้มึงยังคิดว่าแม่เลวที่ทิ้งพ่ออีกมั้ย?”
“พี่แวนรู้มั้ย?”
“รู้สิ แต่ที่ไม่มีใครบอกมึง เพราะทุกคนรู้ว่ามึงรักพ่อมาก ไม่มีใครอยากให้มึงรู้สึกไม่ดีกับพ่อ”
“กูไม่เชื่อ” น้ำตาผมไหลออกมา ณ ตอนนี้ความรู้สึกต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาเต็มไปหมด ทั้งเสียใจเรื่องพ่อ และรู้สึกผิดกับแม่ เสียใจที่ผมกลายเป็นคนที่มักจะถูกกันออกจากเรื่องราวปัญหาต่าง ๆ อยู่เรื่อยจนแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวตัวเองเลย

ไอ้แซคเห็นผมร้องไห้จึงดึงผมเข้าไปกอดเพื่อปลอบ

“กูไม่ได้บอกกเรื่องนี้เพื่อให้มึงเกลียดพ่อนะ แต่บอกเพื่อให้มึงเข้าใจแม่ แล้วตอนนี้มึงก็โตพอที่ควรจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว”
“มึงน่าจะบอกกูให้เร็วกว่านี้ ปล่อยให้กูรู้สึกไม่ดีกับแม่มาตลอด”
“เพราะแม่ห่วงความรู้สึกของมึงมาก เขาถึงไม่ยอมให้กูบอก”

ได้ยินแบบนั้นผมกลับร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม เพราะรู้สึกผิดกับแม่ เพราะที่ผ่านมาผมรู้สึกไม่ดีกับแม่มาตลอด แต่แม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เพื่อปกป้องความรู้สึกของผม



<----O<<::::::======[ จบตอน ]======::::::>>O---->
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 1
เริ่มหัวข้อโดย: benji ที่ 22-04-2017 08:59:10
ห๊ะ!!! จบตอน คือ??? แล้วตกลงยังไง คือ แม่ไม่ได้ทิ้งพ่อกับแซค แต่พ่อ มีคนอื่นก่อนงี้เหรอ โอ่ยยยย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 2 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Thearz ที่ 22-04-2017 10:53:08
ตอนพิเศษ Japan! เพื่อนใหม่

“หน้าเหมือนแซคเลยเนอะ ชื่อโซ่ใช่มั้ย?” ชายชาวญี่ปุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่เอ่ยขึ้น
“ครับ...” ผมได้แต่นั่งนิ่งฟัง และรู้สึกแปลกใจที่ชายคนนั้นพูดภาษาไทยได้คล่องปร๋อ

“อ้อ ลุงชื่อยูกินะ เรียกยูเฉย ๆ ก็ได้” ชายคนนั้นบอก

ยูกิซัง อายุประมาณ 40 ปี เป็นสามีใหม่ของแม่ ปัจจุบันคบกันมาแล้วเกือบ 3 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่นานพอจะทำให้ผมรู้สึกวางใจชายคนนี้

“ครับ”
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ อยู่ที่นี่ทำตัวตามสบายนะ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง”
“เอ่อ... ขอบคุณครับ”
“แซค ทำไมไม่พาน้องไปเที่ยวล่ะ แถว ๆ นี้ก็มีที่ให้เที่ยวเยอะนะ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยพาไป วันนี้เพิ่งกลับมาเหนื่อย ๆ ให้มันพักก่อน” ไอ้แซคบอก
“แล้วจะมาอยู่กี่วันล่ะ? จริง ๆ ที่บ้านเราก็มีห้องว่างอยู่นะ อยากมาอยู่ถาวรเลยรึเปล่าล่ะ? เดี๋ยวพ่อ... เอ่อ... ลุงจะได้ช่วยทำเรื่องให้”
“เอ่อ... ไม่หรอกครับ ผมยังอยากอยู่ที่ไทยมากกว่า ขอบคุณมากครับ”
“มาอยู่ที่นี่ด้วยกันก็ดีนะ แต่มึงคงไม่มาหรอก ติดผ... โอ้ย!” ผมเตะเท้าไอ้แซคอย่างแรงจนมันหยุดพูด  รีบก้มลงไปเอามือกุมเท้าตัวเอง
“ผมยังเรียนไม่จบเลย อีกอย่าง ผมเป็นห่วงบ้านด้วย ถ้ามาอยู่นี่เดี๋ยวไม่มีใครดูแล”
“จริง ๆ ประกาศขายไปก็ได้นะ เพราะถึงยังไงมึงก็อยู่แต่หอพักมึงอยู่ดี” ไอ้แซคบอก
“พ่อมึงสิ! แล้วตอนกูเรียนจบอ่ะ จะให้กูไปอยู่ไหน?” ผมด่า

แม่กับลุงยูกิหันมามองผมด้วยความตกใจ เพราะปกติคงไม่มีใครพูดหยาบในบ้านแบบผม

“ขอโทษครับ”
“มาอยู่ที่นี่ไง” แม่เสริม
“ไม่เอาอ่ะ... ยังไงผมก็อยากอยู่ไทยมากกว่า”
"ติดแฟน" ไอ้แซคเหน็บ
"ไม่เกี่ยวเปล่าวะ? ต่อให้ไม่ได้คบกับไอ้ภพ กูก็ยังอยากอยู่ที่ไทยอยู่ดี"
“เอาไว้ถึงเวลานั้นค่อยคิดกันอีกทีแล้วกันเนอะ” ลุงยูบอก

หลังจากนั้นเราก็คุยอะไรกันอีกมากมาย จนผมเริ่มรู้สึกว่าแฟนใหม่ของแม่คนนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรจริง ๆ อย่างที่ไอ้แซคคุยไว้ ทุกคนดูสนิทสนม และรักกันดี ผมรู้สึกได้ถึงคำว่าครอบครัวอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มานาน

“ผมขอไปเดินเล่นแถว ๆ นี้ได้มั้ย?” ผมถาม
“พาแซคไปด้วยสิ จะได้ไม่หลง”
“มันไม่หลงหรอกแม่ แถวบ้านเราไม่ใช่เขาวงกตนะ เดินไม่กี่นาทีก็รอบหมู่บ้านแล้ว” ไอ้แซคบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปไม่ไกลหรอก”
“ใส่เสื้อหนา ๆ หน่อยนะ ข้างนอกกาศค่อนข้างหนาว” ลุงยูบอกพร้อมชี้ให้แม่ลุกไปหยิบเสื้อโค้ทตัวหนาเตอะมาให้ผม


ขณะที่ผมเดินออกมาที่หน้าบ้านนั้น จู่ ๆ ก็มีลูกบอลลอยตรงมาทางผม และชนเข้าที่หัวผมอย่างจัง จนผมล้มลงไป


“โอ้ย!” ผมเอามือกุมหัวตัวเองด้วยความเจ็บ พลางมองหาต้นตอของลูกบอลนั้นว่ามาจากที่ไหน

ผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม วิ่งมา แล้วหัวเราะใส่ผม พร้อมกับพูดภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ ว่าไอ้หมอนั่นมันกำลังพูดว่าอะไร

“ขำเชี้ยไรวะ?!” ผมพึมพำเบา ๆ
“เป็นอะไรรึเปล่า? บอกให้รับทำไมไม่รับวะ?” หนุ่มยุ่นคนนั้นถามผมด้วยภาษาไทยด้วยสำเนียงที่ค่อนข้างชัดเจน
“อ้าว พูดไทยได้หรอ?”
“โดนบอลอัดแรงไปจนสมองเสื่อมเลยหรอวะ?” ชายคนนั้นบอก แล้วยื่นมือมาช่วยดึงผมลุกขึ้น
“ไอ้ชู!!” ผมกับไอ้หนุ่มยุ่น หันไปตามเสียงของไอ้แซคที่คงออกมาดูว่าใครเอะอะอะไรอยู่หน้าบ้าน

“เชี้ย!”
“มึงทำอะไรน้องกูเนี่ย?”
“น้อง...? น้องมึง?” หนุ่มยุ่นที่น่าจะชื่อชู ถาม
“เออ นี่น้องกูเอง”
“เชี้ย! กูนึกว่ามึง”

ชูคุงหันมามองผมด้วยความตกใจ แล้วรีบขอโทษผมยกใหญ่

“กูนึกว่ามึง ก็เลยส่งบอลให้ แต่...”
“แต่เข้าหัวกูเต็ม ๆ” ผมบอก
“ขอโทษครับ!” ไอ้ชูรีบขอโทษอีกครั้ง (ไม่ทันไรเรียกไอ้ชูซะแล้ว)
“นี่ชูอิจิ เพื่อนในห้องกู พูดไทยได้นิดหน่อย แม่มันก็เป็นคนไทยเหมือนกัน” ไอ้ภพแนะนำเพื่อนมันให้ผมรู้จัก
“ถึงขนาดด่าเป็นนี่ไม่นิดหน่อยแล้วมั้ง!”
“ไอ้ชู นี่น้องกู ชื่อไอ้โซ่ เพิ่งมาจากไทย”
“หน้าเหมือนกันจนกูแทบแยกไม่ออก” ไอ้ชูบอก
“กูหล่อกว่า!”
“เหอะ ๆ” ผมหัวเราะแกน ๆ
“เออ มึงว่างป่ะ? พาน้องกูไปเดินดูรอบ ๆ นี้หน่อยสิ”
“ได้ ๆ ว่าแต่จะไปที่ไหนล่ะ?” ชูหันมาถามผม
“ไม่เป็นไร แค่เดินดูรอบ ๆ นี้เฉย ๆ เราไปคนเดียวได้”
“ไม่เป็นไร ถือว่าไถ่โทษที่เตะบอลใส่เมื่อกี้”

<---o--->

“มีอะไรรึเปล่า? เห็นเอาแต่มองตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ผมหันไปถามไอ้ชู เพราะรู้สึกอึดอัดที่มันเองแต่มองหน้าผมตั้งแต่เดินออกมาจากบ้านด้วยกันแล้ว
“เอ่อ ขอโทษ แค่แปลกใจที่หน้าเหมือนไอ้แซคมาก ๆ เลย”
“ก็เป็นแฝดกัน หน้าก็ต้องเหมือนกันสิ”
“ไอ้แซคเคยบอกว่ามีน้องชายอีกคน ไม่คิดว่าเป็นแฝดกันนะเนี่ย”
“ช่างเถอะ แล้วนี่บ้าอะไรเนี่ย? ออกมาเล่นบอลตอนอากาศหนาวขนาดนี้เนี่ยนะ?”
“ทำไมอ่ะ? สนุกดี ไม่ร้อน ไม่มีเหงื่อ” ไอ้ชูบอก
“อืม ก็คงชินแล้วสินะ”
“ไม่ชอบเล่นฟุตบอลหรอ?”
“ทำไมรู้อ่ะ?”
“ก็เตะไปให้ ไม่เห็นรับได้เลย”
“เตะมาตอนไม่ได้ตั้งตัวแบบนั้น ใครจะไปรับได้วะ?” ผมเอามือกุมหัวอย่างไม่รู้ตัว
“ฮ่ะ ๆๆ”
"แต่ก็ชอบดูนะ แฟนเราก็เป็นนักฟุตบอลเหมือนกัน"
"มีแฟนแล้วหรอ?"
"อืม"
"ที่ประเทศไทยนี่ ผู้หญิงก็ชอบเล่นฟุตบอลหรอ?" ไอ้ชูถาม
"เอ่อ... ไม่หรอก"
"งั้นก็?"
"แฟนเราเป็นผู้ชาย" ผมบอก ไอ้ชูดูตกใจนิดหน่อย แต่ก็ยังมีมารยาทพอที่จะยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร
"ก็โอเคนะ สบายใจแบบไหนก็เป็นแบบนั้น เราเองก็ไม่ได้แอนตี้เรื่องแบบนี้เหมือนกัน"

จากนั้นต่างคนต่างเงียบ เพราะผมเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับมันเหมือนกัน

“พูดไทยชัดจังเลยเนอะ” ผมเริ่มชวนคุย ก่อนที่บรรยากาศจะเริ่มอึดอัดด้วยความเงียบ
“ก็เคยอยู่ไทยตอนเด็ก ๆ ประมาณป.6 ได้มั้ง แล้วก็ย้ายตามแม่มา”
“แม่เป็นคนไทยหรอ?”
“แม่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น พ่อเราเป็นคนญี่ปุ่น”
“อืม ก็ดีนะ เจ๋งดี”
“เจ๋งยังไงอ่ะ?”
“ก็ถ้าหน้าตาอย่างนี้ ถ้าอยู่ที่ไทย สาว ๆ ก็คงชอบอ่ะ”
“อย่างงี้สงสัยต้องหาโอกาสไปเที่ยวประเทศไทยบ้างแล้ว ฮ่า ๆๆ” ไอ้ชูบอกแล้วหัวเราะออกมา

ปกติแล้วผมเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ค่อนข้างแย่ กับคนที่เพิ่งรู้จัก หรือไม่สนิทด้วย ผมมักจะมึนใส่เสมอ แต่กับไอ้ชู ผมกลับรู้สึกโอเคที่จะคุยด้วยซะงั้น อาจเพราะผมคิดว่า นอกจากไอ้แซคกับคนที่บ้านแล้ว ก็มีไอ้ชูนี่แหละ ที่ผมจะคุยกับมันได้ เพราะมันพูดไทยได้

“จะมาอยู่นานไหม?”
“ประมาณ 2 อาทิตย์”
“น่าเสียดาย น่าจะอยู่นาน ๆ จะได้พาเที่ยว”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็คงได้มาบ่อย ๆ อยู่แล้ว อย่าลืมที่พูดแล้วกัน” ผมบอกพลางเอื้อมมือไปหยิบลูกฟุตบอลที่ไอ้ชูถือเอาไว้มาเตะเล่น

ซึ่งในขณะนั้น ก็มีผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมเข้ามาทักไอ้ชู แล้วหันมาพูดกับผมด้วยภาษาญี่ปุ่น ซึ่งถ้าให้เดา ฝ่ายนั้นก็คงคิดว่าผมเป็นไอ้แซคแน่นอน ไอ้ชูจึงรีบอธิบาย ไอ้หมอนั่นก็ทำท่าทางตกใจ ก่อนจะหันมามองผมแบบพินิจพิจารณาอีกที จนผมรู้สึกเกร็งที่โดนมองขนาดนี้

“นี่เคนตะ เพื่อนเรา”
“Hi I’m Kenta, nice to meet you!” เคนตะแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษกับผม
“เอ่อ... Nice to meet you too.”

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็หันไปคุยกันต่อจนเคนตะแยกตัวออกไป

“เคนตะมันตกใจมากเลย ที่รู้ว่านายเป็นแฝดกับไอ้แซค”
“แหง~”
“??” ไอ้ชูหันมาทำหน้ามึนใส่ผม
“เอ่อ หมายถึง แน่นอน! แหง แปลว่า แน่นอน อะไรประมาณนั้น”
“อ่อ โอเค จะจำไว้นะ”

ตือดึ่ง! เสียงการแจ้งเตือนของไลน์ดังขึ้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วอุทานเบา

“เชี้ย!” ผมลืมไอ้ภพไปซะสนิทเลย


(https://www.mx7.com/i/b88/RXCPIU.jpg)

(https://www.mx7.com/i/1a6/Gyeyfq.jpg)

(https://www.mx7.com/i/bf2/xH2VCL.jpg)

(https://www.mx7.com/i/132/Z6WgTa.jpg)


“เริ่มหนาวแล้ว เรากลับกันก่อนมั้ย?” ผมบอกกับไอ้ชู
“จากตรงนี้ไปกลับเองถูกมั้ย?” ไอ้ชูหันมาถามผม
“เอ่อ...”
“ฮ่า ๆๆ ล้อเล่น! เดี๋ยวเดินไปส่ง”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร คิดว่าน่าจะกลับถูก”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปส่ง ขืนปล่อยให้กลับคนเดียว ถ้าหลงขึ้นมาไอ้แซคฆ่าเราแน่”
“เว่อร์ ฮ่า ๆๆ”


<---o--->


“กูกำลังจะออกไปตามพอดีเลย แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว”
“ขอบใจนะ ที่มาส่ง”
“อืม ไม่เป็นไร”
“เออนี่ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”

ไอ้ชูทำท่าทางลังเล แล้วหันไปมองไอ้แซค

“ได้ใช่มั้ย?” ผมหันไปถามไอ้แซค
“เออ มาเหอะ”
“งั้นรบกวนด้วยแล้วกันนะ” ไอ้ชูบอกแล้ววางลูกฟุตบอลไว้ตรงหน้าประตูบ้านก่อนจะเดินตามผมเข้ามาในบ้าน


<---o--->


“โซ่ชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก?” แม่เอ่ยถามผมขณะที่เรากำลังกินข้าวกันอยู่
“ก็หลายอย่างนะครับ ถ้าให้บอกตอนนี้คงนึกไม่ออก”
“ไก่กระเทียมละมั้ง!” ไอ้แซคแซว
“ทำเป็นรู้ดี”
“เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนกันเลยนะ ทั้งสองคนเนี่ย! ตีกันตลอดเลย” แม่บ่นพลางหัวเราะ ผมหันไปมองไอ้ชูก็แอบหัวเราะเช่นกัน
“ก็มันกวนตีน...เอ่อ... ขอโทษครับ” ผมเผลอหลุดคำด่าไปอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวแม่กับลุงก็คงชินเอง” ลุงยูกินบอก
“แต่ก็ต้องระวัง เดี๋ยวโชจังพูดตาม” แม่บอกแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวโชตะคุงที่นั่งอยู่ช้าง ๆ ผม
“เดี๋ยวชูจังก็จะพูดตาม” ไอ้แซคบอกแล้วหันไปลูบหัวไอ้ชูบ้าง

ทุกคนพากันหัวเราะอีกครั้ง

“จริง ๆ อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะ...” ผมคิดในใจ


<----O<<::::::======[ จบตอนพิเศษ ]======::::::>>O---->

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน  :3123:
อันเนื่องมาจากผู้เขียนพอจะมีเวลาว่างนิดหน่อย บวกกับ มีความคิดถึงไอ้ภพกับไอ้โซ่ และทุก ๆ คน
ก็เลยเขียนตอนพิเศษขึ้นมาให้หายคิดถึงซะหน่อย  :man1:
ตอนนี้ได้ลองอะไรใหม่ ๆ ด้วย นั่นก็คือการแคปหน้าจอไลน์มาลง 555
2 ตอนนี้ อาจเป็นตอนสั้น ๆ  พอให้หายคิดถึง
จริง ๆ มีแพลนจะแต่งภาค 2 ต่อ แต่คงต้องดูเวลาก่อน ไม่อยากแต่งแล้วดองนาน ๆ แต่ไม่ว่ายังไงมาแน่!
และบอกไว้ก่อนว่า ใครที่รอคู่ แซคภู อาจได้ลุ้น  :z1:
รอก่อนน๊าาาา 
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 2 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-04-2017 13:19:42
ชอบตอนเค้าไลน์หากัน ตะมุตะมิ น่าย๊าก.....กกกกกกกกกกก    :hao3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] I love your brother : รักน้องชายเสือกได้กับพี่ ตอนพิเศษ 2 [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: lostinthelight ที่ 31-12-2018 02:05:45
สนุกมากกกกก :mew2: