พิมพ์หน้านี้ - (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:45:58

หัวข้อ: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:45:58
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองของผมในการกลับมาเขียนนิยาย.. โดยจะมีบรรยากาศและตัวละครบางส่วนจากThe Water's Pure Heart ติดมาด้วย แต่บอกไว้ก่อนว่านิยายเรื่องนี้อาจแปลกนิดหน่อย เพราะมันเป็นนิยายที่ตัวเอกเป็นเกย์ แต่เล่นฟุตบอล  แล้วก็ไม่ได้เหมือนเรื่องอื่นๆที่บอกว่าเล่นฟุตบอลแต่ก็ไม่มีฉากเล่นฉากซ้อม 

แต่เรื่องนี้พระเอกคือนายโป้งของผมจะเป็นนักฟุตบอลจริงๆ  โดยผมพยายามใส่รายละเอียดในกีฬาฟุตบอลเข้าไป ดังนั้นบอกตามตรงว่าเนื้อเรื่องจะเป็นแบบที่คนที่ไม่เคยสนใจฟุตบอลอาจงงได้  เพราะผมจะมีการบรรยายฉากการแข่งขันจริงๆ โดยผู้อ่านจะต้องวิ่งตามนายโป้งไปในสนาม ได้เห็นตอนที่นายโป้งปั่นไซด์โค้ง ได้เห็นลูกบอลวิ่งผ่านอากาศและเข้าประตูไป..

ผมก็พยายามจะใช้ศัพท์ทางฟุตบอลให้น้อยลงแล้วแต่บางทีมันก็ไม่ได้ เพราะมันคือศัพท์ที่จำเป็น... ตอนผมแต่งเรื่องนี้ก็คิดว่าคงหาคนอ่านยาก  เพราะมันแนวแมนๆเตะบอล แต่ผมก็พยายามแทรกบทรักหวานๆลงไปในระหว่างตัวพระเอกสองตัวคือโป้งและโกล..
เรื่องนี้อาจยาวมากกว่าดวงใจของสายน้ำ เพราะยังเขียนไม่จบ ถ้าคุณสนใจฟุตบอล ผมก็จะพาคุณไปสู่โลกของนักกีฬาฟุตบอล และตามไปดูนายโป้งกับนายโกลเติบโตไปในวงการฟุตบอลจนไปถึงระดับโลกกัน..

Mr. Valentin
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:47:49
ตอนที่ 1 โป้ง มาจากไซด์โป้ง

เด็กหนุ่มตื่นขึ้นบนเตียงที่ไม่คุ้นเคย  เขาพึ่งมาอยู่หอพักนี้ได้เพียงสามวัน  ดังนั้นอะไรๆก็ไม่คุ้นเคยสำหรับเขาไปเสียหมด

เขาลุกขึ้นเดินงัวเงียนึกจะไปห้องน้ำ  แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลายเป็นประตูห้อง ก็นึกได้ว่าเดินผิดทางส่ายหัวดุกดิกหันกลับไปหาประตูห้องน้ำ

“แปรงฟันให้สะอาดนะ” ถ้าเป็นที่บ้านแม่คงบอกอย่างนั้น  แต่เป็นที่นี่กลายเป็นป้ายปิดบนฝาข้างกระจกในระดับสายตาแทน

“อาบน้ำให้สะอาด  ไม่ต้องรีบ” ประโยคนี้เคลือบแผ่นใสไว้อีกต่างหาก ปิดไว้ตรงข้างฝักบัว

“ครับแม่” เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง  แต่เจตนาสื่อสารกับแม่ที่อยู่ห่างไกลไปหลายร้อยกิโลเมตร     

ที่จริงมีอยู่แทบทุกจุดในห้อง แม่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงติดแผ่นป้ายอย่างนี้ไว้เตือนโป้ง เพราะโป้งออกจะเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อยตามนิสัยเด็กผู้ชาย

ทั้งที่เพื่อนๆต่างก็บอกว่าเขาเป็นคนสะอาดสะอ้านดี  แต่นั้นก็เพราะเขาเคยชินกับเสียงสั่งกำกับของแม่ตลอดและทำตามไปโดยไม่ขัด เพราะกลัวโดนบ่นยาว

 

จากหอพักไม่ต้องขึ้นรถเมล์  เขาก็เดินมาถึงโรงเรียนมัธยมชายล้วนขนาดใหญ่ที่มีเกียรติประวัติยาวนาน เรื่องกีฬา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟุตบอลกับแบตนินตัน  แต่เห็นว่าเดี่ยวนี้เริ่มเป็นที่จับตามองจากดนตรีอีกอย่างหนึ่งด้วย

เขายกมือไหว้อาจารย์ที่ทำหน้าที่เวรประจำวัน เป็นอาจารย์วัยหนุ่มที่มีดวงหน้าใจดี  แล้วเขาก็เดินก้มผ่านไป

“เดี่ยวๆ” อาจารย์เรียก

เด็กหนุ่มเดินถอยหลังกลับ แล้วมายืนตรง

“ครับอาจารย์”

อาจารย์หนุ่มเดินเข้ามาใกล้

“เธอไม่ได้รูดซิบกางเกง”

ใจหายวาบ ก้มลงไปดู... ยังดีวันนี้ใส่กางเกงในสีดำ...

“ขอบคุณครับ” เขาหน้าแดง แม้ผิวที่กร้านแดดออกจะคล้ำก็ยังดูรู้ว่ามันแดงระเรื่อ

“เวลาแต่งตัวไม่ต้องรีบนะ” อาจารย์ยิ้มแล้วตบบ่าเขาเบาๆ

ประโยคนี้ช่างคล้ายกับป้ายคำเตือนของแม่เสียเหลือเกิน

 

จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่การมาโรงเรียนนี้เป็นครั้งแรก  เพราะเขาต้องเข้าปฐมนิเทศเมื่อสามวันก่อนเปิดเรียน  แต่นี่เป็นวันแรกที่เข้าเรียนจริงๆ

ตอนแรกเขาก็ไม่รู้จะไปนั่งตรงไหนเลยเลือกไปนั่งอยู่ตรงที่ขอบที่ปลูกต้นไม้ตาม แนวข้างสนามฟุตบอล  ซึ่งทำขอบเป็นที่นั่งแบบม้านั่งยาว เพื่อรอเวลาเข้าแถว

พอสักพักก็ได้ยินเสียงเพลงมาร์ชของโรงเรียน ซึ่งเป็นสัญญาณเรียกเข้าแถว  เขาก็เลยเดินไปที่สนามกลางของโรงเรียนที่ใช้เป็นที่ประชุมนักเรียนในตอนเช้า

แต่ก็ไม่รู้อีกว่าแถวของห้องที่เขาสังกัดอยู่ตรงไหน

เคราะห์ ดี เขาจำเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยคุยกันตอนปฐมนิเทศได้ ก็เลยเดินตามเขามา แล้วนายคนนั้นก็ดูจะเป็นมิตรดี พอเห็นเด็กหนุ่มก็เดินถอยกลับมาคุยด้วย

“นี่นายเด็กใหม่นี่  ชื่ออะไรนะ...พร”

“เทพพรครับ” เด็กหนุ่มตอบ แล้วกำลังจะแนะนำตัวเองอีก

“เอ้อ..ใช่เรา..”

“วสันต์” เทพพรกล่าวออกมาเพราะอ่านจากชื่อที่ปักบนหน้าอกเสื้อ

“เออ.. ใช่” วสันต์ยิ้ม

“เรียกว่าสันต์ดีกว่านะ”

 

วสันต์พาเทพพรมาเข้าแถวที่ห้องของตัวเอง  และเพราะเทพพรตัวไล่กับวสันต์ก็เลยยืนต่อกันพอดีเพราะเรียงตามลำดับไหล่

คุยกันสักครู่โดนอาจารย์ประจำชั้นเดินมาเอ็ด ก็เลยเงียบแล้วต่างคนต่างยืน

แล้วเสียงที่ดังมาก็ทำให้เทพพรต้องแปลกใจ  เป็นการเริ่มต้นเพลงชาติ โดยการเล่นสดๆด้วยแซกโซโฟน  ต้นเสียงแรกดังกังวานและช่างไพเราะเสียจริง

เขาฟังเพลงจนลืมร้องเพลงชาติไปเลย

พอจบเพลง วสันต์สังเกตเห็นว่าเขาดื่มด่ำกับเสียงแซกโซโฟน ก็เลยกระซิบบอก

“คน เป่าเป็นนักดนตรีตัวหลักของโรงเรียนสองคน  เล่นแซกทั้งคู่ พี่ไตรกับไอ้จุ๊ย  โดยเฉพาะไอ้จุ๊ยมันเก่งมาเลยนะ ฉันอยู่ห้องเดียวกับมันตอนม.ต้น เอาไว้จะแนะนำให้รู้จัก  ไอ้นี่มันนิสัยดี  แล้วก็ฮามาก”

การเรียนครึ่งเช้าผ่านไป เด็กหนุ่มก็เดินนำเทพพรลงมาที่โรงอาหาร  ระหว่างนั้นมีเด็กนักเรียนที่อยู่ห้องเดียวกัน  รูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาแบบมีเค้าผสมตะวันตกเขามาทัก

“นี่นายเด็กใหม่” เขากล่าว

“น่ารักดีเหมือนกันนะ ปากแดงเชียว”

“เฮ้ยเดฟละเว้นบ้าง  เดี่ยวเทพพรก็กลัว” วสันต์ปราม

“เทพพร..” เดฟทำหน้าพิจารณา

“ไม่มีชื่อเล่นเหรอ  จะได้เรียกง่ายๆ”

“โป้งครับ” เทพพรตอบ

“โป้ง... แบบโกรธกันนะเหรอ  นิ้วโป้งอะไรอย่างนี้ใช่ไหม” เดฟถามต่อ

โป้งยิ้มก่อนจะตอบ

“อ๋อ คล้ายกัน แต่เป็นนิ้วโป้งเท้า  โป้งมาจากไซด์โป้งน่ะครับ”

เดฟพยักหน้า แล้วก็กำลังจะแซวชื่อของโป้ง

แต่เขาก็หันไปเห็นใครคนหนึ่งเข้าเสียก่อน

“จุ๊ย” เขาเรียกชื่อแล้วเดินมุ่งไปกอดเด็กหนุ่มใบหน้าจีน แถมหอมแก้มอีกต่างหาก

“วันนี้ใส่แป้งอะไร”

“ผงโยคี พอดีทาไข่แล้วมันเหลือในมือเลยเอามาทาหน้า”  เด็กหนุ่มหน้าจีนตอบหลังจากผลักไสเดฟออกไป

“โอ้ว” เดฟทำหน้าประมาณว่าสุดยอด

“มิน่าไข่จุ๊ยหอมมาก..” แล้วก็คว้าหมับไปที่เป้า  แล้วก็วิ่งหนีไป

“ไอ้สัตว์เดฟ” เด็กหนุ่มหน้าจีนชี้หน้า ก่อนจะวิ่งตามไป

“อย่าหนีนะมึง”

วสันต์หัวเราะแต่โป้งทำหน้างง

“ไอ้เดฟมันเป็นเกย์  เปิดเผยเลยล่ะ แต่แมนนะ  มันชอบไอ้จุ๊ยมาก  คนเมื่อกี้ล่ะจุ๊ย  เจ้าของเสียงแซกโซโฟนตอนเช้านั่นล่ะ”

 

โป้งนั่งอยู่กับวสันต์ที่ชวนมานั่งร่วมกับเพื่อนร่วมห้องหลังจากกินเช้าเสร็จ แต่เขากลับไม่ฟังการสนทนาของเพื่อนที่กำลังคุยกันเรื่องการ์ตูนแนวโจรสลัดตอนใหม่  แต่มองไปที่สนามฟุตบอล

“อยากเล่นบอลเหรอ” วสันต์ถาม

“ก็อยากนะ แต่ในสนามมันคนเยอะขนาดนั้น  แบ่งกันเล่นได้ยังไง” โป้งถาม

“ก็ แบ่งตามคิว  ก่อนจะเที่ยงจะมีตัวแทนเอาสลากมาให้จับ ถ้าจับได้ก็ได้ใช้สนามตอนเที่ยง  แต่วันนี้ห้องเราจับไม่ได้” คนอธิบายคืออำนวย หรือนวยที่พึ่งได้รับตำแหน่งหัวหน้าห้องในวันนี้

พอดีมีลูกบอลใบหนึ่งลอยออกมาจากสนามอย่างแรง แต่ทว่าพอกระเด้งก็ค่อยๆหมดฤทธิ์กลิ้งมาแทบเท้าโป้ง

“วู้เตะมาให้หน่อย” โบกมือไวๆ  คือเด็กหนุ่มผิวขาว  ถอดเสื้อให้เห็นผิวเนียนใต้ร่มผ้า

จากตรงนี้ไกลมาก  เพราะมีถนนกั่น  แล้วจุดที่พวกนั้นเล่นยังคู่แข่งขันชุดอื่นขวางอยู่อีก

แต่โป้งลุกขึ้นแล้วใช้เท้าขวาเขี่ยให้ลูกบอลให้กลิ้งหลุนๆออกไปข้างหน้า ขยับตามไปก้าวหนึ่ง แล้วหยั่งเท้าขาวเป็นหลัก  เท้าซ้ายเตะส่งด้วยเท้าด้านในฝั่งนิ้วโป้ง  ใช้น้ำหนักไม่แรงนัก ทว่าลูกบอลกลับลอยไปเป็นแนวโค้ง  ข้ามทีมที่ขวางอยู่ไป แล้วก็ฮุกลงตรงตัวเด็กหนุ่มที่ร้องขอพอดี

อีกฝ่ายก็ใช้อกรับให้บอลตกพื้น เหยียบลูกฟุตบอลไว้  แล้วก็ยกนิ้วว่าเยี่ยมก่อนจะหันไปเตะส่งบอลกับเพื่อนที่รออยู่

พอโป้งหันมาก็พบกว่ากลุ่มเพื่อนร่วมห้องอยู่ในอาการตะลึง

โป้งก็งง เขานั่งลงที่เดิมข้างวสันต์

“นี่นายเป็นนักบอลเหรอโป้ง” วสันต์ถามออกมาแทนเพื่อน

“นั่นมันแม่นมากเลยนะ  แม่นอย่างกับจับวางเลย” นวยบอกด้วยอาการตื่นเต้น

“ก็บอกแล้วไงว่าโป้งมาจากไซด์โป้ง..” โป้งตอบแล้วมองลงไปในสนาม

“ฉันได้ทุนของที่นี่ก็เพราะอย่างนี้ล่ะ”

เพื่อนหันไปมองหน้ากัน

“คนเมื่อกี้ใครน่ะ เขาจับบอลได้ดีนี่ แล้วก็รู้สึกคุ้นหน้า เป็นนักบอลแน่นอน” โป้งถามจากวสันต์

“นั้นนายปอ  เป็นศูนย์หน้าเลยล่ะ  เดี่ยวนายก็ต้องเจอมันแน่นอน” วสันต์ตอบ

 

ไม่ห่างออกไปมีเด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกอดอกมองเด็กหนุ่มที่พึ่งส่งลูกฟุตบอลไปในระยะไกลอย่างแม่นยำ...

“เคยเห็นที่ไหนมาก่อนไหมเนี่ย” เขาถามตัวเอง


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:49:11
ตอนที่ 2 บัดดี้ที่ยังไม่ได้คุยกันสักคำ

สามวันแล้วที่โป้งมาเรียนที่โรงเรียนใหม่  แต่เขาก็ยังไม่ได้ถูกเรียกตัวไปพบกับทีมฟุตบอลที่เขาถูกเลือกให้มาสังกัดแต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากอาจารย์ป้อมเพชร หรือโค้ชป้อม ที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลทีม อยู่ระหว่างลากลับไปร่วมงานศพญาติที่ต่างจังหวัด

แต่พออาทิตย์ต่อมาในวันจันทร์  เขาก็ถูกเรียกตัวไปตอนเลิกเรียน

ป้อมเพชรอยู่ในห้องพักของเขา ซึ่งอยู่ติดกับโรงยิมและโรงเก็บอุปกรณ์กีฬา  และไม่ได้อยู่ลำพัง  เพราะมีนักเรียนชั้นม.สี่เหมือนกับโป้งสองคนอยู่ด้วย  คนหนึ่งผิวเข้มร่างกายกำยำ สูงกว่าเขาเกือบครึ่งหัว  อีกคนผิวขาวใบหน้ายิ้มแย้ม  ซึ่งโป้งทราบแล้วว่าคือปอ ศูนย์หน้าของทีม

“ยินดีต้อนรับนะ เทพพร  ขอเรียกว่าโป้งแล้วกัน” ป้อมเพชรกล่าว  เขากับป้อมเพชรยังไม่เคยคุยกันจริงจัง  เพราะแม้โรงเรียนนี้จะติดต่อให้ทุนเขา  แต่ก็เป็นการติดต่อผ่านกับอาจารย์ท่านอื่นที่สนิทสนมกับโรงเรียนเก่าที่เขา เรียน

“จริงเราเคยเจอกันแล้วจำได้ไหม”

โป้งจำได้ดี  เขาเคยร่วมกับเพื่อนโรงเรียนเก่า เชียงรายสมบูรณ์อุปถัมภ์ ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศของรายการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนระดับม.ต้น  แล้วมาตกรอบเพราะทีมของป้อมเพชร

“นี่นายตั้ม ทรงยศ  เป็นแบ็กขวา ที่เคยตามประกบคุณตอนนั้น จำได้ไหม” ป้อมเพชรชี้หนุ่มร่างสูงกำยำ

จริงๆ ต้องบอกว่าโป้งจำไม่ได้หรอก  เพราะเขาไม่ค่อยจำหน้าผู้เล่นฝั่งตรงข้าม เพราะเวลาเล่น เขาต้องเล่นเกมรุก  ดังนั้นจึงจดจ่อกับการพาลูกบอลไปข้างหน้าให้ได้มากกว่าจะมาสนใจคู่แข่ง

แต่แน่นอนในทางตรงข้าม คนที่ต้องตามประกบเขา ก็ต้องจำเขาได้แม่นยำ  และหน้าที่แสดงออกของตั้มก็บอกอย่างนั้น

“นายเป็นปีกที่เร็วที่สุดเท่าที่ฉันต้องตามประกบเลย  เผลอนิดเดียวนายก็เปิดดัดหลังหนีฉันไปได้เฉยเลย... จำแม่น” ตั้มกล่าว

โป้งยิ้ม  แต่ถ้านายคนนี้คือแบ็กขวาคนนั้นแล้วหละก็  ความทรงจำของเขาก็เป็นคนละเรื่อง

ตั้มต่างหากคือกองหลังที่รับมือยากที่สุด เพราะแม้จะร่างกายใหญ่กว่าเขา แต่กลับสามารถกลับตัวอย่างรวดเร็ว และวิ่งได้รวดเร็ว  สร้างความลำบากให้โป้งตลอดการเล่นในแมตช์นั้น

กว่าเขาจะสามารถหลอกตั้มจนเสียงจังหวะ  ก็เล่นเอาแทบแย่ และก็เป็นช่วงท้ายที่ใกล้หมดเวลาแล้วด้วย

ตอนนั้นตั้มคงล้าแล้ว เพราะเป็นธรรมดาของคนที่ต้องตามไล่จับ  ซึ่งทั้งเครียดและเหนื่อย   

เขาก็เลยหลอกทำเหมือนจะดึงบอลกลับหลัง  ทำให้โป้งเข้าสกัดพรวดพราด  เป็นโอกาสให้เขายกลูกบอลข้ามตัวเขาแล้วกระโดดตามไป

จากนั้นก็เตะเปิดตัดหลังกองหลังทั้งแผงที่กำลังดันกันเพื่อเช็คไลน์ล้ำหน้า

ลูกบอลพุ่งเป็นแนวโค้งแล้วเพื่อนของเขาคนหนึ่งก็วิ่งสวนแนวเข้ามาโหม่งสวน ผุ้รักษาประตูที่พยายามจะออกมาปิดมุมเข้าประตูไป

ซึ่งนั้นคือลูกตีตื้น 3-2

“แต่ผมประทับใจลูกฟรีคิกของคุณมากเลยนะ” อาจารย์กล่าวต่อไป

“ใช่ไหมปอ”

ปอพยักหน้า

“นี่ปอ ปรเมศวร์  ศูนย์หน้า” อาจารย์กล่าว

ปอยิ้มและผงกหัว

“นายยิงได้ยังไงลูกนั้น  ตอนแรกนึกว่าจะหลอกเสียอีก”

ปอจำได้ดี

ตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในกำแพงป้องกันลูกฟรีคิก ที่ทีมเสียเพราะตั้มวิ่งตามโป้งที่ได้บอลโต้กลับมาไม่ทัน และกำลังวิ่งไปหาประตู ด้วยความเร็วสูง

ตอนนั้นกองหลังตัวกลางวิ่งมาชนโป้งเอาดื้อๆเพื่อตัดเกม  ก็เลยเสียลูกตั้งเตะในระยะยี่สิบห้าหลานอกกรอบเขตโทษ แต่เยื้องไปทางซ้ายพอสมควร

เขากับเพื่อนที่เป็นกำแพงเห็นโป้งสื่อสารกับเพื่อนก็คิดว่าจะโยน หรือไม่จ่ายลูกเรียดหลอกไปให้ตัวผู้เล่นที่ทำท่าจะเติมเข้ามารับบอลไปเล่นต่อ

พอกรรมการเป่าให้สัญญาณ  เด็กหนุ่มร่างเล็กแต่เร็วจัด  ก็วิ่งเข้าหาบอลแต่ไม่เร็วนัก  ไม่เหมือนจะยิงสักนิด..

แต่กว่าปอจะรู้ตัวก็เห็นลูกบอลวิ่งโค้งข้ามกำแพงไปอย่างรวดเร็ว  หันกลับไปมอง ก็ได้เห็นแค่มันพุ่งผ่านมือผู้รักษาประตูทีพุ่งกายไปหมายจะปัด 

ลูกบอลเสียบมุมบนของประตูเข้าไปอย่างสวยงาม

“เอา.. มึงกูนึกว่าดูวิดีโอเก่าๆของพี่เบคปั่นไซด์ข้ามกำแพงบาเซโรน่า  แม่งโคตรสวย” จุ๊ยเพื่อนรักบอกกับเขาหลังจากนั้น

ที่จริงต่างกันนิดหน่อย  เพราะโป้งไม่ได้ใช้ไซด์โป้งอย่างเดวิด เบคแฮม และไม่ได้สมชื่อโป้ง แต่เป็นไซด์ก้อยที่พุ่งโค้งอย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนลูกยิงของโรแบร์โต้ คารอสที่ยิงประตูทีมชาติฝรั่งเศสมากกว่า เพียงแต่ระยะสั้นกว่า

“นายรู้เปล่าว่านายหักหน้าทีมเรามากเลย  เพราะตอนนั้นเรายังไม่เสียสักประตู  เจอกับนาย โดนเจาะไข่แดง “ ปอกล่าวบนรอยยิ้ม

โป้งยิ้มเขินๆตอบ

“เอาล่ะ ทักทายกันจบแล้วนะ  ที่นี้จะขอบอกให้ฟังอย่างนี้นะ  คือทีมเราน่ะ ปกติจะใช้ระบบบัดดี้ในการซ้อม  โดยคุณจะต้องจับคู่กับผู้เล่นคนหนึ่งเพื่อจับคู่ซ้อมและต้องซ้อมด้วยกัน ตลอด  อย่างตั้มกับปอ เขาเป็นคู่ขากัน” อาจารย์ป้อมกล่าว

“คู่หูครับอาจารย์” ปอขัดคอ

“ฟังเป็นแนวอีโรติกยังไงไม่รู้ คู่ขา”

“เออนั่นล่ะ  คู่หู...” อาจารย์ป้อมตอบ  แล้วก็กลับมาสนใจกับโป้ง

“แต่วันนี้คู่หูคุณเกเรซะแล้ว ฉันเรียกก็ไม่มา  ไม่รู้ไปไหนของมัน  แต่เขาก็อยู่ห้องเดียวกับคุณ นี่รู้จักไหม  นายโกล  กรกฏ”

“อาจารย์” ปอรีบท้วง

“แต่ไอ้โกลมัน..”

ปอเงียบไปเมื่ออาจารย์มองหน้า

“พวกคุณก็อย่าไปอคติกับเขา  เรื่องนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่เห็นเกี่ยวกับการซ้อมตรงไหน” โค้ชสรุป

“ก็ตามนี้  เอาเป็นว่ายังไงคุณก็ทำความรู้จักกันไว้นะ  อยู่ห้องเดียวกันอย่างนี้ดีที่สุดแล้วล่ะ ที่จะเป็นบัดดี้กัน”

 

โกล กรกฏ  โป้งพอนึกได้  เขาคือนักเรียนที่ชอบนั่งหลังห้อง  แล้วก็ทำหน้าไม่สนใจอาจารย์ผู้สอนเท่าไหร่  แต่เวลาถูกถามกลับตอบได้ อย่างน่าประหลาดใจ

“คือ ไอ้โกลมันอินดี้น่ะ  มันไม่ชอบคุย ไม่ชอบเล่น ไม่สนใคร  ก็ตั้งแต่คู่หูมันเจ็บหนักกลายเป็นเจ้าชายนิทราไป มันก็ไม่เคยมีคู่หูใหม่อีก  แล้วพอดีทีมของเราปกติรวมสำรองทั้งชุดใหญ่ชุดเล็กแล้วก็มีแค่สามสิบสามคน มันก็เลยเลยมีเศษอยู่แล้ว” ปออธิบาย

“ไอ้นี่มันอยู่แปลกๆ ประมาณว่าไม่สนใครในโลก  พี่มาคนเดียว  อะไรพรรณนั้น” ตั้มกล่าวออกด้วยสำเนียงและสำนวนคนจากภาคใต้

“เราก็กลัวนายจะรับไม่ได้  เพราะบอกตามตรงบางทีพวกเราก็รับมันไม่ค่อยได้หรอก  เพราะนั่งๆคุยกันอยู่  มันนึกจะลุกมันก็ไป  ไม่พูดไม่จา ไม่ใส่ใจใครสักคน” ปอกล่าวเสริม

“เขาคงมีโลกส่วนตัวน่ะ  ผมว่าผมพอรับได้นะ” โป้งตอบ

“ไม่ต้องผม.. เอาอย่างนี้ กูมึงเลยดีไหม  ได้เปล่า” ตั้มกล่าวแล้วบีบที่ต้นคอของโป้ง

ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังเดินมาตามทางจากโรงยิมเพื่อกลับบ้าน

“ครับ.. เอ้ย โอเคได้  กูก็กระดากปากจะผมกับพวกมึงแล้ว” โป้งตอบเพราะตรงใจคิด

ปอพยักหน้า

“มึงโลกสวยไป  ไอ้นิสัยแบบนี้เหมือนไอ้จุ๊ยไม่ผิด” ปอตอบ

พอพูดถึงจุ๊ย จุ๊ยก็วิ่งมาโดยแบกกลองใหญ่มาด้วย

“อ้าวไอ้จุ๊ย  อะไรนั้น  แบกกลองเล่นหลาว” ตั้มแซว

“หลาวพ่อมึง.. เล่นเหี้ยอะไรกูโดนทำโทษ” จุ๊ยตอบแบบไม่สบอารมณ์  เอากลองโบกซ้ายโบกขวาเพื่อเปิดทาง

“แม่งอย่าให้กูรู้นะว่าใครเอาเมาท์พีชกูไป  พ่อจะฟาดด้วยกลอง” เขาบ่นขณะจะผ่านทาง

ตั้มกับปอมองหน้ากันตาโต

พอจุ๊ยจะพ้นระยะไป  ปอก็เอาเมาท์พิชออกมาจากกระเป๋าเป้ตราโรงเรียนที่สะพาย

“ตายห่ากูลืมคืนมัน”

ตั้มทำหน้าเหวอ..

“ตายมึงตาย... ไอ้จุ๊ยเอามึงตายแน่”

โป้งมองเมาท์พีช  ที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร  แต่เดาว่าเป็นเครื่องดนตรี

แล้วเขาก็หยิบเมาท์พีชจากมือปอ

“เฮ้ยไอ้โป้ง...” ปอร้อง

แต่โป้งวิ่งไปหาจุ๊ยที่ยังไปไม่ไกล

“ผมเจอไอ้นี่ ที่ทางเดินระหว่างตึก ใช่ของจุ๊ยหรือเปล่า”

“เฮ้ยใช่” จุ๊ยดีใจเอาวางกลอง  แล้วเดินกลับมารับของคืน

“นายเป็นคนดีมากๆ  เด็กใหม่ใช่ไหม หล่อนะเราน่ะ”

โป้งหัวเราะน้อยๆ ส่งดวงหน้าให้สว่าง

“เออๆ ขอบใจ  นายมีน้ำใจมาก  ใช้การได้... ไม่เหมือนไอ้พวกเหี้ยนั่น  ระวังให้ดีอย่าไปสนิทกับมันมาก  พวกมันชอบพาไปหลีหญิงพานิชย์  หวิดจะโดนผัวเขาไล่กระทืบหลายครั้งแล้ว” จุ๊ยตอบแล้วแว้งกัดเพื่อนสนิทสองคนที่เรียนห้องเดียวกัน

ตั้มกับปอไม่กล้าตอบโต้เพราะยังมีกรณีความผิด แล้วถ้าหากตอบมากกว่านี้ อาจโดนปากของจุ๊ยที่ลือชาพอๆกับเสียงแซกโซโฟนเล่นงานเอา

“จุ๊ย  ทำอะไรอยู่ให้วิ่งไม่ได้ให้คุย” เสียงตะโกนลงมาจากตึก

มองไปเห็นหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงผิวสองสีหน้าคมเข้ม ตะโกนมาจากบนตึกที่เป็นอาคารของชมรมต่างๆ

“พี่ไตรผม เจอแล้ว ไม่ต้องโดนทำโทษแล้วเนอะ” จุ๊ยแสดงเมาท์พีชให้ดู

“เออ เร็วๆ จะได้ซ้อม เอากลองขึ้นมาด้วย” ไตรตอบแล้วหายกลับเข้าไป

จุ๊ยหันมาตบบ่าโป้งแล้วหันไปยกกลองเดินขึ้นตึกไป

ปอกับตั้มถอนหายใจโล่งอก  ยิ้มต้อนรับโป้งกลับมา

“ดีนะมึงมีไหวพริบ  ไม่งั้นกูตาย.. ไอ้จุ๊ยมันเอาตาย ทำให้มันได้วิ่งแบกกลอง” ปอโอบบ่าโป้งอย่างสนิท

“ไปกลับกัน”

แต่ระหว่างทางเดิน ที่ใกล้จะถึงประตูโรงเรียน

“คือกูว่านะ ได้ยินมาทีมจะได้สมาชิกอีกคน  รอให้เขามาแล้วกูจะคุยกับโค้ชให้มึงเป็นบัดดี้ของเขาแทนไอ้โกล ดีไหม” ปอกล่าว

“แต่แบบนั้นโกลก็ไม่มีคู่เหมือนเดิมสิ  แบบนั้นจะดีเหรอ”

“โอ้ย  โลกสวยจริง มึงนี่” ตั้มกล่าวอย่างเหลืออด

“ไอ้โกลมันเป็นเหมือนไอ้เดฟน่ะ เดฟ รู้จักใช่ไหม อยู่ห้องเดียวกันนี่”

“ไอ้ตั้ม” ปอเอ็ด

“เดี่ยวโค้ชก็ด่ามึงหรอก”

โป้งงง

“เหมือนยังไง” โป้งถาม

“ก็...” ปอนึกคำพูดแก้

“เงียบๆไง เงียบเหมือนกัน ไม่คบใคร”

โป้งทำหน้าประหลาดใจ

“เดฟเนี่ยนะเงียบ.. กูเห็นเขาออกจะร่าเริง  เห็นเขาไล่ปล้ำจุ๊ยอยู่ทุกวัน”

ปอส่งเสียงเออออ ยาวๆหันมองหน้าตั้ม  ตั้มก็ไม่รู้จะตอบว่ายัง

“รวยไง รวยเหมือนกัน  ไอ้โกลมันรวยมากเลยนะ  มันเป็นพ่อมันขายเครื่องกีฬา  รวยมากเหมือนไอ้เดฟเลย”

“เหรอ... ก็ไม่เห็นเกี่ยวนี่” โป้งทำหน้าคิดอีก

“เฮ้ยยย”ตั้มส่งเสียหงุดหงิด

“สูงไง...เห็นไหมสูงพอกัน” ปอคิดได้อีกข้อ

“อ๋อ...” โป้งลากเสียง เหมือนเข้าใจ ปอกับตั้มใจชื่นขึ้น  แต่กลายเป็นว่า..

“กูก็นึกว่าเป็นเกย์เหมือนกัน”

“เฮ้ย” ทั้งปอและตั้มหยุดเท้าพร้อมๆกันร้องออกมาแถมทำตาโต

โป้งที่เดินเลยไปแล้ว ก็หยุดเท้า แล้วหันกลับ

“ว่าแล้ว” โป้งโคลงหัวช้าๆ

“ก็แค่เนี่ยพูดอ้อมไปอ้อมมาตั้งนาน”

“ก็กูกลัวมึงจะรู้สึกไม่ดี” ปอกล่าวแล้วเข้าทากอดคอเดินไปด้วยกัน

โป้งส่งเสียงหึ ก่อนจะตอบ

“มัน ก็ไม่เกี่ยวกับบอลนี่  กูกับโกลก็แค่ซ้อมบอลด้วยกัน  เขาคงไม่ปล้ำกูกลางสนามบอลหรอกมั๊ง  แค่นี้ผมรับได้  ที่โรงเรียนเก่ากูก็มีเพื่อนเป็นเกย์หลายคน ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

“เออ.. กูก็แค่กลัวมึงรู้ทีหลัง จะหาว่าเพื่อนไม่บอกมึง  ถ้ามึงโอเคก็ตามนั้น” ตั้มกล่าวแล้วเดินเรียงสามออกจากโรงเรียน


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:49:59
ตอนที่ 3 คู่หูผู้เงียบขรึม

ส่งตั้มกับปอขึ้นรถเมล์แล้ว  โป้งก็ข้ามถนนเพื่อจะไปยังหอพักที่อยู่ใกล้ๆกับโรงเรียน

รู้สึกหิวก็เลยแวะร้านอาหารตามสั่งที่จริงก็เป็นแค่รถเข็นริมทาง  สั่งข้าวไข่เจียวหมูสับมากิน

ระหว่างนั่งรอก็เอาหนังสือพิมพ์ที่วางไว้มาอ่านไปด้วย

แต่แล้วก็มีเสียงเหมือนรถมอเตอร์ไซด์ขนาดใหญ่ดังใกล้เข้ามา แล้วก็ชะลอจอดลงใกล้ๆ

โป้งมองไปเห็นรถบิ๊กไบค์คันใหญ่ ที่ผู้ขับขี่พึ่งจะตั้งขาหยั่ง

โคตรเท่ห์อะ... แม่งขับบิ๊กไบค์ด้วย  แถมใส่เสื้อหนังสีดำสนิท  หมวกกันน๊อกก็สีดำด้วยต่างหาก

แต่นายคนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าโป้ง

โป้ง งง เพราะเหมือนเขาจะก้มมามองหน้า  แล้วเขาก็รูดซิบเสื้อหนัง  โป้งจินตนาการไปว่าจะชักปืนออกมายิง... แต่ก็เปล่ากลับได้เห็นว่าภายใต้เสื้อหนัง เป็นเสื้อนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเขา  แล้วก็ถอดหมวกออก

“นายชื่อโป้งใช่ไหม”

โป้งมองหน้าตาปริบๆ ไม่ใช่จำไม่ได้  แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันตอนนี้

 

เขาสั่งข้าวผัดปู  ตอนที่คนขายเอาข้าวไข่เจียวมาเสริพ

นายคนขับบิ๊กไบค์มองโป้งเอาซอสพริกราดจนชุ่ม

“แล้วมันจะได้รสเหรอ.. ราดลงไปซะขนาดนั้น”

“ได้สิ... อร่อยด้วย ผมชอบกินแบบนี้” โป้งตอบ

“นี่บ้านโกล อยู่แถวนี้เหรอ”

โกลทำหน้าเฉยๆแต่ก็ตอบ

“เปล่าหรอก แค่แวะมาหานาย  โค้ชโทรเข้ามาแล้วบอกว่าฉันเป็นบัดดี้ของนาย  ก็เลยมาทักทาย”

โป้งมองหน้าที่เฉยเมยของโกล

โกล เป็นคนหล่อคนหนึ่ง  โครงหน้าดูมีเหลี่ยมนิดแบบชายชาตรี  คิ้วเข้มและริมผีปากที่สวยได้รูป กิริยาท่าทางดูยังไงก็ไม่เหมือนที่รักชอบเพศเดียวกัน

“ใช่  ผมก็ว่าจะไปเจอคุณตอนเช้า.. โค้ชบอกว่าเราควรทำความรู้จักกันไว้” โป้งว่า

“รู้เรื่องของฉันแล้วใช่ไหม... “ โกลกล่าวแล้วหันไปทางอื่น

“หมายถึงเรื่องไหน” โป้งถามกลับ

โกลหันมามองหน้า แสดงสีหน้าให้รู้ว่าไม่ชอบถูกขัดใจ

“ก็ปอกับตั้มบอกตั้งหลายอย่าง”

“เรื่องที่ฉันชอบผู้ชายด้วยกัน” โกลกล่าวออกมาโดยไม่ละสายตาจากโป้งเลยสักนิด

เขาเลยรู้สึกอึดอัดจนต้องเอาตักข้าวมากินแก้อาการ เคี้ยวช้าๆ

ระหว่างนั้นโกลก็ยังคงมองหน้าโป้งต่อไป

“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” โป้งตอบ

“เราเป็นบัดดี้กันเรื่องบอล  ซ้อมบอลด้วยกัน  เป็นอะไรก็ไม่เห็นสำคัญ”

ข้าวพัดปูมาเสริพ ก็เลยเป็นการขัดจังหวะสนทนา

โกลไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่ม ตักกิน แต่ตายังมองหน้าโป้งอยู่

นั่นทำให้โป้งรู้สึกว่าข้าวไข่เจียวฝืดคอเลยที่เดียว

“แน่ใจเหรอที่พูดออกมา  บัดดี้อาจต้องนอนห้องเดียวกันด้วยนะเวลาไปต่างจังหวัด”

โป้งเคี้ยวข้าวช้าๆ

“ก็..ไม่เป็นไรนี่  ถ้านายไม่ได้คิดอะไรกับฉัน  เราก็นอนด้วยกันได้  ฉันมีเพื่อนเป็นเกย์หลายคน เคยไปเข้าค่ายนอนกับเขานะ ไม่เห็นเป็นไรนี่”

โกลหัวเราะหึๆ แล้วหันไป  นั่นทำให้โป้งคล้ายความอึดอัดบ้าง  แต่พอหันกลับมา

“แล้วถ้าฉันเกิดคิดขึ้นมา นายจะทำยังไง”

นั้นทำให้โป้งอ้าปากค้าง  ทั้งที่ข้าวไข่เจียวยังอยู่ในปาก

 

หลังจากนั้นโกลก็กินข้าวผัดของเขาเงียบๆ  โป้งที่กินหมดก่อนก็ไม่กล้าลุก เลยนั่งอยู่ รอจนโกลกินเสร็จ

“เก็บเงินด้วยครับป้า” โกลเรียก

คนขายก็เดินมา

“แยกหรือรวม”

โป้งกำลังจะบอกว่าแยก แต่โกลพูดก่อน

“รวมครับ” แล้วเขาก็เอาแบงค์ร้อยส่งให้แม่ค้า

 

แม้โป้งจะบอกว่าไม่ต้อง  แต่โกลก็ยืนยัน  เขาก็เลยต้องให้โกลขับเข้ามาส่งถึงหน้าอพาร์ทเม้นท์

“เห็นไหมบอกแล้วว่าไม่ต้อง” โป้งว่าตอนปีนลงจากรถ

“แค่นี้เองเห็นไหม”

“นาย พักที่นี่เหรอ.. มันโทรมจะตาย” โกลมองอาคารที่ค่อนข้างเก่า โดยไม่เกรงใจคนที่กำลังเดินเข้ามา  ทำหน้าเฉยเมยต่อการมองหน้าของคนอื่น

“ก็มันถูกดี แล้วก็ใกล้ด้วย” โป้งตอบ

“มันไม่ได้โทรมนะ  ข้างนอกอาจดูโทรม แต่ลิฟต์อะไรก็ใช้ได้ดี”

โกลมองไปรอบๆ

“แล้วไม่อับเหรอ  ตึกบังทุกด้าน”

“ก็ไม่นะ  จริงๆข้างหลังมันติดคลอง เลยมีลมมาจากทางนั้น” โป้งตอบอีก

“นายนี่ท่าจะกินง่ายอยู่ง่าย” โกลเผยรอยยิ้มแรกให้เห็น  จะว่าไปเวลาโกลยิ้มแล้วดูน่ารักดีเหมือนกัน

“ขอบใจนะที่เลี้ยงข้าว” โป้งกล่าว เป็นการบอกเป็นนัยๆว่าจะลาแล้ว

โกลพยักหน้า

“เจอกันพรุ่งนี้” โป้งว่าแล้วก็หันหลังจะเดินขึ้นตึก

“เมื่อกี้...ฉันพูดเล่นนะ” โกลกล่าวออกมา

โป้งหันกลับ

“ฉันแค่พูดเล่น  นายอย่าคิดมาก  ฉันไม่ปล้ำนายหรอก  แต่ถ้านายยอมก็ไม่แน่” โกลกล่าว  ดวงตามีแววแจ่มใสแม้จะแค่นิดหน่อยก็ตามที

“ก็ว่างั้น” โป้งกล่าว แล้วเขาก็เงียบไป  ก่อนจะยิ้มออกมา  รอยยิ้มนั้นช่างราวกับจะจุดให้บรรยากาศรอบกายสว่างขึ้น

“ฉันกับนายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ  เราเป็นนักฟุตบอล.. ถ้าหากการเป็นบัดดี้กันคือส่วนหนึ่งของฟุตบอล ฉันจะรังเกียจนายทำไมเล่า”

“เจอกันพรุ่งนี้”เขาย้ำอีกรอบแล้วเดินขึ้นตึกไป

โกลมองตามร่างนั้นไป ก่อนเขาจะปิดหน้ากากหมวกกันน็อกแล้วเข็นรถถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะบิดคันเร่งตีวง แล้วขับบึ่งออกไป

 

ที่นี่คือบ้านตระกูลวรรณพิธิ บ้านหลังใหญ่ที่สุดในซอยที่เต็มไปด้วยบ้านของผู้ดีมีตระกูล  ยามรักษาการจดจำรถของโกลได้ดี  จึงรีบเปิดประตูให้นายน้อยขับรถผ่านเข้าไป

โกลถอดหมวกแล้วเอามากอดไปด้วยแขนข้างเดียว แล้วเดินไป

คนขับรถก็เข้ามารับกุญแจรถเพื่อจะเอารถไปจอดเข้าที่

บ้านนี้ใหญ่โตมโหฬารแต่ มีผู้อาศัยจริงแค่สามคน คือเขา พ่อ และแม่  ซึ่งก็ไม่ค่อยได้อยู่อีกต่างหาก  เขาเลยเคยชินกันความเงียบ  ทว่าว่ากลับไม่ได้มีความเงียบที่คุ้นเคยรอคอยอยู่ บ้านอึกทึกไปด้วยผู้คน

มิน่าเล่าเขาเห็นรถหลายคนจอดอยู่ตรงลานจอดที่แยกออกไป ซึ่งเป็นลานจอดรถของแขกที่มาเยือน

ทีมงานถ่ายทำรายการกำลังง่วนกับการสัมภาษณ์แม่ของเขาซึ่งเป็นอดีตนางแบบชื่อดัง ปัจจุบันก็ยังโด่งดังในการวงการแฟชั่นในฐานะแฟชั่นนิสต้าคนดัง  และเจ้าของห้องเสื้อราคาแพงทั้งที่เธอไม่รู้เรื่องการออกแบบเลยด้วยซ้ำ

โกลเดินเลี่ยงแล้วกำลังจะเลี้ยวขึ้นบันได

“โกล” แม่หันมาเรียก

“นี่ไงค่ะลูกชาย”

โกลหันมามองหน้ามารดา

“มานี่เร็ว รายการเขาจะสัมภาษณ์”

โกลมองไปรอบด้วยสายตาเย็นๆ

“ผมง่วงนอน  จะนอน  แล้วก็รบกวนทำงานกันเงียบๆด้วย  ที่นี่ไม่ใช่ตลาดสด” แล้วเขาก็เดินขึ้นบันไดไป

มารดาหน้าเจื่อน

“คงจะเหนื่อยนะค่ะ” เธอแก้ตัวกับพิธีกรสาวใหญ่ ร่างจ้ำม่ำ

“เป็นนักฟุตบอล ก็เลยซ้อมหนัก”

 

โกลเปิดประตูเข้ามาภายในห้องนอน เอาหมวกกันน็อกวางบนโต๊ะใกล้ประตู แล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็นในห้อง  หยิบเบียร์ออกมาเปิด แล้วก็เดินไปเปิดประตูระเบียง

แล้วก็เดินไปออกไปนั่งดื่มเบียร์จากปากขวด

เขาถอนหายใจแล้วมองออกไป

หึ.. เปรมิกา วรรณพิธิ เซเลปิตี้ เจ้าของห้องเสื้อชื่อดัง  กับนายพรรณพงศ์  วรรณพิธิ เจ้าของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาผู้ใจบุญ วัยสี่สิบกว่าๆแล้วก็ ยังดูหนุ่มฟ้อและเป็นที่หมายปองของสาวๆ  คู่ที่เหมาะสม...

ใคร จะรู้ไหมว่า เปรมิกามีเด็กหนุ่มเลี้ยงในฐานะเด็กในการอุปการะอยู่มากกว่าห้าคนในคราวเดียว  และจะรู้ไหมว่าสาวๆกำลังหมายปองผู้ชายที่ยินดีทอดกายให้ผู้ชายด้วยกัน..

น่าอิจฉา... ตรงไปเหรอ... ลองมาเติบโตในครอบครัวของเขาดูแล้วจะรู้..

เขาเกลียดทุกอย่างในชีวิตเกลียดพ่อ เกลียดแม่ เกลียดการสร้างภาพของครอบครัว เกลียดแม้แต่ตัวเอง...

เขากระดกขวดเบียร์อีกครั้งแล้วก็ทอดสายตาไปอย่างไม่มีจุดหมาย

“ฉันกับนายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เราเป็นนักฟุตบอล.. ถ้าหากการเป็นบัดดี้กันคือส่วนหนึ่งของฟุตบอล ฉันจะรังเกียจนายทำไม”

ทำไมนะ  เขาถึงได้นึกถึงคำพูดและรอยยิ้มนั้นขึ้นมา...

นายโป้ง...


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:50:44
ตอนที่ 4 ฟุตบอลเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน

โป้งนั่งกระดิกเท้าอ่านหนังสือพิมพ์กีฬาอยู่ตอนที่วสันต์มาถึง

“เฮ้ยมาแต่เช้า  นอนไม่หลับหรือไง” วสันต์ถามแล้วนั่งลง

“เปล่า กูมาวิ่งตั้งแต่ตีห้า  ไม่ได้วิ่งหลายวันเดี่ยวสนิมกิน” โป้งกล่าวกับวสันต์ ซึ่งตอนนี้สนิทกันแล้ว

“โหฟิตๆ” วสันต์ตอบแล้วนั่งไขว้ขามองไปในสนามฟุตบอล

“เออ.. มึงสองกูเตะโค้งๆแบบมึงหน่อยสิ”

“ลูกโค้ง..” โป้งลดหนังสือพิมพ์ลงมองหน้า

“เอาไว้สอนให้ พวกมึงไปจับฉลากให้ได้เล่นก่อนเหอะ  เอาไว้กูสอน”

วสันต์ยกดูหน้าปกของหนังสือพิมพ์กีฬา

“มึงว่าใครจะเป็นแชมป์ปีนี้วะ พรีเมียร์น่ะ”

“กูจะรู้เรอะ  มันยังไม่เปิดฤดูกาล” โป้งตอบ

“อ้าว..ก็มึงเป็นนักบอล  ก็น่าจะรู้สิวะ” วสันต์เซ้าซี้

“มึงว่าใครจะชนะ”

“โอ้ย ไอ้บ้า... กูเป็นนักบอลไม่ได้เป็นหมอดูพลังจิต  กูจะไปรู้ได้ไงว่าใครจะชนะ ใครจะแพ้”

“อ้าวก็เห็นเขาวิเคราะห์กันว่าทีมนั้นทีมนี้จะชนะ” นวยมาที่หลัง แต่ก็ได้ยินที่โป้งกับวสันต์คุยกัน

“พวกนักวิเคราะห์น่ะ เขาพูดอย่างกับรู้เลย”

“ฟุตบอลนะ มึงมันกลมรึเปล่าวะ” โป้งลดหนังสือพิมพ์ลง

“พอมันกลมมันก็กลิ้งได้ พอมันกลิ้งได้ มันก็เดายากไง  เกมฟุตบอลมันก็เหมือนกัน  โลกฟุตบอลมันจะแพ้ชนะกันที่แผนการเล่น ความสามารถผู้เล่น บวกกับจังหวะกับโอกาส หรือก็โชคนั่นล่ะ  บางทีเราว่าเราเก่ง เราพร้อม แต่ไปเจอแผนการเล่นดีๆ ของคู่ต่อสู้ บวกกับโชค เราก็แพ้ได้เหมือนกัน  นั้นล่ะฟุตบอล”

“ไอ้สัสสส... แม่พูดซะเป็นปรัชญา” วสันต์ดันไหล่โป้ง

“เฮ้ยเห็นมีใครบอกว่ามึงเป็นบัดดี้ไอ้โกลเหรอวะ” นวยถามต่อในเรื่องที่รู้มา

โป้งยักคิ้วแทนคำตอบ แล้วอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ

“แล้วมึงรู้รีเปล่าว่ามันเกย์” นวยกล่าวต่อไป

“ก็รู้ไง” โป้งตอบ

“อ้าว... แล้วมึงไม่.. แบบว่า รู้สึกแปลกๆเหรอวะ” วสันต์ถามบ้าง

“แล้วไงวะ” โป้งลดหนังสือพิมพ์ลงอีกแล้วมองหน้า

“กูซ้อมบอลกัน  สนามบอลมีคนเป็นสิบๆคน มันคงไม่ปล้ำกูกลางสนามหรอกมั๊ง”

“มึงแน่ใจ” วสันต์ถาม

แล้วก็พยักเผยิบไปทางหน้าหนึ่ง

หันไปก็เห็น เดฟที่พึ่งจะหอมแก้มจุ๊ยแล้วกำลังวิ่งหนี  จุ๊ยก็ตะโกนด่าไล่หลังยาวเหยียด

“รายนั้นยกเว้น” โป้งส่ายหัวอ่อนใจ

 

เพลงมาร์ชจบไปแล้วแต่โกลพึ่งจะเดินมาถึงแถว  เขาไม่ใส่ใจเสียงบ่นของอาจารย์ที่ปรึกษา ยืนที่หัวแถวเพราะเป็นคนที่สูงที่สุดในชั้นเรียน

โป้งชะโงกหน้าออกไปมอง  เขาก็มองมาเหมือนจะรู้ หันมาแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม แล้วก็หันไปมองหน้าตรง  อีกสักเดียวจุ๊ยก็เป่าแซกเป็นต้นเสียงก่อนไตรจะเป่าตามมาประสานสร้างเสียงไพเราะของเพลงชาติเหมือนอย่างทุกวัน

 

โป้งหันไปมองโกลที่นั่งเงียบคนเดียวอยู่หลังสุดเหมือนเคย  และก็ทำหน้าเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังเหมือนเคยเช่นกัน

“ทำไมเขาชอบนั่งหลังห้อง” โป้งถามกับวสันต์

“ก็มันตัวสูง  เห็นมันว่านะ  มันเลยนั่งหลังจะได้ไม่บังใคร” วสันต์ตอบ

“ไม่ต้องห่วงมันหรอกมันเรียนเก่ง  เห็นอย่างนี้มันได้คะแนนดีตลอดเลยนะ”

โป้งชำเลืองมอง  จะว่าไปนายคนนี้ก็มีมิติที่น่าสนใจหลายๆอย่าง อย่างน้อยที่สุดก็คือ..ไอ้ท่าทางไม่ตั้งใจฟังนั้น  แต่กลับเรียนดีอย่างที่วสันต์ว่า

แต่จู่ๆโกลก็หันมามองหน้าเขา

โป้งสะดุ้งรีบหันกลับ

 

พอจบคาบเรียนช่วงเช้าก็กินข้าวเที่ยง  โป้งถือจานข้าวไข่เจียวหมูสับเดินมาผ่านเห็นโกลมากำลังยืนต่อคิวซื้อข้าวราดแกง

“นั่งไปนั่งด้วยกันสิ” เขาออกปาก

โกลหันมามองหน้า

“ไม่ล่ะ พวกนั้นเสียงดังโวยวายฉันรำคาญ” โกลตอบ

“โป้งเร็วๆ จะได้ไปเล่นบอลกัน” วสันต์ผ่านมาบอก

โป้งรับคำด้วยการพยักหน้า

“เล่นด้วยกันไหม”

โกลหันมามองหน้านิดเดียว

“นายไม่เบื่อบ้างหรือไง  เดี่ยวก็ต้องเล่นไปตลอดปีแล้ว  ได้พักก็พักบ้างเหอะ”

แล้วโกลก็เดินเข้าไปสั่งอาหาร

โป้งได้แค่ยักไหล่แล้วเดินไป

แสงแดดสะท้อนผิวโป้งที่มีเหงื่อซึมเป็นมันเลื่อม เขาไม่ผอมแต่ก็ไม่ใช่คนรูปร่างบึกบึน  มีกล้ามเนื้อจากการฝึกฝนมาตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ร่างกายสมส่วน

จังหวะเท้าของเขาสัมพันธ์กับความเร็วของลูกบอล  แม้จะเป็นการใช้ความสามารถเพียงครึ่ง วสันต์ที่เล่นฝั่งตรงข้ามก็ยังตามการเคลื่อนที่ของโป้งไม่ทัน แถมลูกบอลยังเป็นลูกเล็กทำให้การแย่งจากเท้ายิ่งยากไปอีก

โป้งล๊อกบอลไว้จังหวะหนึ่ง แล้วก็กระชากดึงบอลหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เท่านี้ก็หลุดจากการประกบ

เขาพาบอลไปล่อเป้ากับผู้รักษาประตู  ชิพเบาๆ บอลลอยนิดหน่อย  แต่ติดโค้งเล็กๆ  นวยก็หมดปัญญาจะใช้ขาสกัด

“เก่งไปแล้วมั้งไอ้โป้ง” วสันต์กล่าวตอนที่โป้งหันตีมือกับย้งเพื่อนร่วมห้องที่เล่นทีมเดียวกัน

“พวกมึงอ่อนเอง” โป้งตอบแล้ววิ่งกลับไป

วสันต์ถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับเพื่อน

“มึงทำไมไม่เสียบเลยวะ” เพื่อนคนหนึ่งบอก

“จะเสียบยังไง  ตามมันยังไม่ทันเลย” วสันต์ตอบ

พอเขี่ยบอลแล้ว  ทีมของวสันต์ก็จ่ายบอลไปมา  เพื่อพยายามเข้ามากระชับพื้นที่เข้ามา แต่แค่เผลอจังหวะเดียว ก็โดนโป้งตัดไปได้อีก  แล้วก็พาบอลหนี

ทว่ามีร่างดำๆโผล่มาเบียด

โป้งหันไปมองหน้า คนที่เข้ามาเบียดคือตั้ม พยายามจะแย่งบอล  แต่โป้งกระชากหนีไป

แล้วก็กลายเป็นการวิ่งไล่จับของกองหลังทีมโรงเรียนกับปีกตัวใหม่  เพื่อนๆหยุดมอง โป้งพลิกบอลไปมา โดยมีตั้มประกบตามไปตลอด

วสันต์งง

“มาจากไหนวะ”

แต่เพราะเป็นบอลลูกเล็ก โป้งเลยได้เปรียบเรื่องความคล่องตัว เขาสามารถพลิกบอลหลบการสกัดของตั้ม  แล้วเอี่ยวตัวนิดหน่อย ดีดลูกไปด้วยปลายเกือกส่งลูกบอลผ่านการสกัดของนวยเข้าประตูเล็กไปอีก

“เจ๋งนะมึง” ตั้มตบบ่า แต่พอหันไปเห็นเพื่อนของโป้งมารุมยืนมองหน้าเขาอย่างข้องใจ

“ไอ้ตั้มนี่มึงเหี้ยอะไร  พวกเราอยู่ตรงนี้” ปอตะโกนเรียก

“โทษที เห็นมันเลี้ยงแล้วหมั่นไส้” ตั้มบอกบนรอยยิ้มแห้งๆแล้ววิ่งไป

สูง ไปสามชั้น แต่โกลเห็นการเคลื่อนไหวนั้นโดยตลอด  เขาเองก็รู้สึกอย่างเดียวกับตั้มคืออยากจะลงไปวิ่งไล่โป้งดูสักครั้ง  การเคลื่อนไหวนั่นมันพลิ้วจนเหมือนเต้นรำ  เป็นระบำที่เชิญชวนให้ดู และเชิญชวนให้ลงไปร่วมเล่นเสียจริงๆ

“ไม่ต้องใจร้อนเดี่ยวก็ได้เล่นด้วยกันแล้ว” โกลกล่าวแล้วก็นั่งลงอ่านนิตยสารกีฬาที่เอาติดมาจากบ้าน

 

วันนี้เป็นวันแรกที่โป้งต้องเอาชุดมาเปลี่ยนเพราะเป็นวันแรกที่โค้ชเรียกทำการซ้อม

เขาเอาเสื้อนักเรียนแขวนเก็บในตู้  แล้วหันไปเปิดกระเป๋าเอาเสื้อยืดมาสวม  แล้วก็ถอดกางเกงจังหวะนั้นเองที่โกลเข้ามา

จะดึงขึ้นก็ไม่ทัน เพราะกางเกงมันหลุดไปกองตรงข้อเท้าเสียแล้ว  แต่โกลก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจ  เขาเปิดประตูล๊อกเกอร์ข้างๆ  แล้วก็โยนกระเป๋าเข้าไป

ถอดเสื้อออก แล้วหันไปมองโป้งที่สวมกางเกงบอลเสร็จแล้ว

เขาก็เลยหันกลับมาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อเอาเสื้อยืด

โป้งสังเกตว่าร่างกายชองโกลนั้นแม้จะสูงก็แน่นด้วยมัดกล้ามเนื้อ

คงเพราะเขามีการเล่นเวทเทร์นนิ่งด้วยแน่นอนที่สุด

“มองอะไร” โกลถามเหมือนมีตาหลัง

“เปล่า” โป้งตอบ แล้วรีบหันไปเปิดกระเป๋าเอารองเท้าสตั๊ตกับถุงเท้า

“แล้วหน้าแดงทำไม” โกลถามแต่ไม่มองหน้า ถอดกางเกงออก เหลือแต่กางเกงในตัวเดียว

โป้งทำหน้าเหรอ

“อ้อเปล่า แดงที่ไหน” ตอนนี้ล่ะที่หน้าคงแดงจริงๆ  เพราะโป้งรู้สึกว่าหูร้อนฉ่า

โกลเอากางเกงขาบอลมาสวม

“แดงใหญ่แล้ว หน้าเราน่ะ” เขาว่ามือก็ค้นหาถุงเท้า

โป้งไม่ตอบสวมถุงเท้ารองเท้า  แล้วลุกขึ้นปิดประตูล๊อกเกอร์แล้ว บิดกุญแจล็อกแล้วเอากุญแจมาแขวนคอ

“ไปรอข้างนอกนะ”

แล้วเขาก็ออกไป

โกลแย้มรอยยิ้มออกมาก่อนจะเอารองเท้ามาสวม

“ขี้อายนะนายคนนี้”

 

โป้งยืนอยู่กับนักเรียนใหม่สามคน โดยมีอาจารย์ป้อมเป็นคนบอกกล่าวแก่เพื่อนร่วมทีมที่นั่งชันเขาบ้างขัดสมาธิ บ้างกันบนพื้นข้างสนามฟุตบอล

“เพราะมีเพื่อนเราสามคนย้ายโรงเรียนไป ผมก็เลยต้องหาคนที่จะมาแทน  เอ้าแนะนำตัวกับเพื่อนซะ”

คนแรกอยู่ใกล้สุดเป็นหนุ่มร่างสูง

“ผมโยธินครับ เคยเล่นตำแหน่งกองกลาง”

คนต่อมารูปร่างแบบมะขามข้อเดียว

“ผมแสนพล เป็นกองกลางตัวรับครับ”

อีกคนเป็นหนุ่มร่างสันทัด ดวงหน้าคมหล่อ

“อัคร ครับ  เป็นศูนย์หน้า”

แล้วก็มาถึงโป้ง

“เทพพรครับ  เป็นปีก”

“โอเค คนอื่นๆพวกคุณคงจะยังไม่ได้เห็นฝีเท้า  แต่สำหรับเทพพรนี่ คุณคงพอจำกันได้  คนที่ทะลวงดากนายโกลเป็นผลสำเร็จในฟุตบอลม.ต้น”

หลายคนหันมามองหน้าโกลว่า อยากรู้ว่าโกลจะทำหน้าอย่างไร

แต่โกลไม่ว่าอะไร ไม่แสดงอาการเลยด้วยซ้ำ

“ฟรีคิก แล้วความความเร็วจะเป็นประโยชน์กับทีม  แต่ยังไง เธอก็ต้องเหมือนเพื่อนอีกสามคนต้องผ่านการทดสอบอีกทีนะ เพื่อหาตำแหน่งที่เหมาะสม”ป้อมเพชรว่า

“แล้วพวกตัวเก่าๆ  ก็อย่างชะล่าใจ  ขยันฝึกซ้อมด้วย  เดี่ยวเป็นสำรองแล้วจะมาโวยวายไม่ได้นะ”

“ใคร จะไปชะล่าใจ  กูได้สำรองแหง่ๆ  ไอ้เทพพรนี่แม่งอย่างจี๊ด” คนที่พูดเป็นปีกซ้ายตัวจริงในปีที่แล้ว  บ่นออกมากับคู่หูที่เป็นหนุ่มหน้าตาซื่อๆ

 

โป้งกับโกลวิ่งคู่กันไปตามแนวสนามฟุตบอลด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ  ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกัน  แต่ก็ดูจะสนิทสนมกันพอใช้

“หวังว่าคงไม่ต้องกลายเป็นคี่อีกนะ” คนพูดคือสุรีวัล  อาจารย์สอนศิลปะบุคลิกทอมบอยที่ชอบกีฬาฟุตบอลเลยมาช่วยป้อมฐานผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง

“ก็คงจะไม่มั้ง เพราะเห็นปอบอกว่านายโป้งนี่มองโลกแง่บวกมากๆ ก็อาจเข้ากันได้กับโกล”

“แต่นายโกลนี่มัน..สุดของความอินดี้  บุคลิกอย่างกับเด็กเรียนศิลปะมากกว่านักกีฬาฟุตบอล”สุรีวัลกล่าว

แล้วก็นึกเรื่องหนึ่งออกได้

“ครอบครัวของนายป้อง เขาตัดสินใจจะถอดเครื่องช่วยหายใจ แล้วนะ เพราะวันก่อนเห็นว่ามีการติดเชื้อ ก็เลยทรุดลงไปอีก  ตอนนี้จะถ้าหยุดให้ออกซิเจนก็ไปแน่นอน”

อาจารย์ป้อมหันมามองหน้าสุรีวัล

“แล้วเราจะบอกกับโกลไหม” สุรีวัลหันมาถาม

อาจารย์ป้อมถอนหายใจยาวเหยียด  แล้วก็หันไปมองโกลที่วิ่งไปคู่กับโป้ง

“ก็คงต้องบอก  อย่างน้อยสองคนก็สนิทกันมาก”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:51:31
ตอนที่ 5 คู่หูเก่า

วันนี้เป็นการซ้อมเรื่องเกี่ยวกับความฟิต จากวิ่งระยะไกล  แล้วก็เป็นการยืดเส้นยืดสาย แล้วก็เริ่มต้นฝึกความแข็งแกร่งด้วยการดันพื้นสิบเซต แล้วก็ต่อด้วยท่าCrunch

พักนิดหนึ่งก็เริ่มต้นวอร์มวิ่งเล็กน้อยแล้วเริ่มวิ่งยกเข่าต่ำ เข่าสูง สไลด์ข้าง วิ่งดีดส้นเท้า แล้วก็วิ่งถอยหลัง  จากนั้นค่อยมาเริ่มวิ่งสปีดยกเข่าสูง ในระยะสามสิบเมตร เพื่อเรียกความเร็ว  แล้วก็เริ่มต้นวิ่งหลบหลัก

อาจารย์ป้อมมองโป้งวิ่งหลบหลักได้อย่างพลิ้วและเร็วกว่าคนอื่น  ก็แน่ใจว่าเขาต้องฝึกฝนร่างกายมาอย่างดี

“เด็กคนนี้ เร็วมากจริงๆ  คล่องมาก” อาจารย์สุรีวัลกล่าว

“ก็สมแล้วที่ปราบนายตั้มได้ราบคาบ”

 

โป้ง เปลี่ยนชุดเรียบร้อย  ก็ยังไม่เห็นคู่หูของเขา  พอออกมาจึงได้เห็นว่าโกลกำลังคุยอยู่กับอาจารย์ป้อมเพชรโดยมีอาจารย์สุรีวัล ยืนอยู่ด้วยกัน

ใบหน้าของโกลตอนนี้ดูนิ่งสนิท  นิ่งเกินไป

“ทำอะไรอยู่” ปอเดินมาจากข้างหลังแล้วกอดคอ

“ไป.. ไปหาอะไรกินกัน”

 

วันนี้เป็นอาทิตย์ โป้งก็เลยตื่นสายได้นิดหน่อย  แต่พอตื่นมาแล้วเขาก็ยังไปโรงเรียนเพื่อวิ่งออกกำลังกาย

แต่พอกลับมาถึงที่พัก เขาก็เห็นโกลนั่งค่อมอยู่บนมอเตอร์ไซด์รอเขาอยู่

“นายไปไหนรึเปล่าวันนี้” โกลถาม

“เปล่า”โป้งตอบแล้วเอาผ้าขนหนูเช็ดหน้า

“ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนหน่อยสิ” โกลบอก

 

ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้นผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด  นี่ก็กว่าครึ่งปีแล้วที่โกลไม่ได้มาพบหน้าอดีตคู่หูของเขา

“ขอบใจที่มานะ” หญิงวัยกลางคนนี้ โกลบอกกับโป้งว่าเป็นมารดาของคนเจ็บ

“แม่ตัดสินใจจะเอาเครื่องช่วยหายใจออกแล้วล่ะ  ตอนนี้เขายังหายใจอยู่เพราะเครื่องช่วยหายใจ”

สายตาที่ปวดร้าวนั้น โป้งเห็นได้และอดสงสารไม่ได้  แม้จะไม่ทราบอะไรเลย

“แม่อยากจะให้เราสองคนล่ำลากันซะ  ยังไงก็เราสองคนก็ผูกพันกัน”

 

โป้งออกมารออยู่หน้าห้อง

“แม่ไม่เคยเห็นหน้าเรามาก่อนเลยนะ” มารดาของคนเจ็บที่โป้งรู้เพียงว่าชื่อป้องกล่าว

“ผมพึ่งย้ายมาใหม่ครับ  พอดีผมกับโกลเป็นบัดดี้กันในทีมฟุตบอลเขาเลยชวนมาด้วย”

“บัดดี้... ก็เหมือนป้องสินะ” แล้วมารดาของคนเจ็บก็ถอนหายใจ

“นั่นสินะ  คนเราก็ต้องก้าวข้ามความเจ็บปวดให้ได้อยู่ดี”

 

โกลออกจากห้องมากก็คุยกับมารดาของป้อง ซึ่งโป้งฟังอยู่จับใจความได้ว่า ครอบครัวของป้องจะให้หมอตัดเครื่องช่วยหายใจในอาทิตย์หน้า เพราะพี่ชายของป้องที่เรียนต่างประเทศต้องการจะกลับมาดูน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย

แล้วโกลก็พาเขาออกจากโรงพยาบาลเป็นเวลาใกล้เที่ยง

ในร้านอาหารที่ตั้งภายในคอมมูนิตี้มอลล์ของอาคารที่พักอาศัยแห่งหนึ่ง  โกลนั่งเขี่ยสปาร์เก็ตตี้มากกว่าจะกิน

โป้งก็กินพลางสังเกตอาการของโกลไปพลาง

“ไปเล่นบอลกันไหม” โป้งถามออกไป

โกลเงยหน้ามองเขา

“ไปกันเหอะฉันอยากเล่นบอล  เราไปหาสนามที่มีคนเล่นแล้วไปขอเขาเล่น น่าจะมีบ้างล่ะ”

 

โกลมองโป้งเขาคุยกับวัยรุ่นวัยใกล้เคียงกับพวกเขาเพื่อขอร่วมเล่น  เขามีท่าทางดีใจแล้วก็เดินกลับมาแจ้งข่าว

“เขาให้เราเล่น”

โกลเลิกคิ้วสูงแทนคำตอบ

“ที่จริงนายไม่ต้องซื้อก็ได้  เราก็แค่กลับไปเอาที่หอ กับที่บ้านของนาย” โป้งสวมรองเท้าใหม่เอี่ยมราคาแพงที่พึ่งซึ้อมาจากร้านในคอมมูนิตี้มอลล์

“มึงเหอะ” โกลสวนคำพูดที่ทำให้โป้งออกจะงง

เขาต้องคิดอยู่ครู่ถึงเข้าใจ

“เออ ดี” โป้งว่า

“มึงก็ขี้เกียจเกิน  ขับรถกลับไปบ้านนิดเดียวก็ได้แล้ว ซื้อใหม่ทำไมเปลืองเงิน”

“เงินก็เงินพ่อของกู รองเท้านี่ก็รับมาจากบริษัทของพ่อกู  อัฐยายซื้อขนมยาย  เขาไม่จนลงหรอก  เงินหมดไปขอใหม่  เขาก็ไม่ว่าสักคำ” โกลตอบ

โป้งทำหน้าบอกไม่ถูก  แล้วก็ลุกขึ้นกระโดดสองทีทดสอบความแน่นหนา

พอวอร์มเสร็จ  ก็พอดีกันกับพวกกลุ่มวัยรุ่นวอร์มกันเสร็จเหมือนกัน

เท่าที่ทราบมากลุ่มนี้เรียนในระดับสูงกว่าโป้งกับโกลสองปี คือ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมชั้นปีสามของโรงเรียนอาชีวะชื่อดังสังกัดกรมอาชีวศึกษา

พอมีโป้งกับโกลเลยกลายเป็นว่าจะแบ่งเป็นทีมฝั่งละเจ็ดคนพอดี  แล้วเมื่อทำการจับสลากสุ่มเลือกทีมกัน โกลกับโป้งก็บังเอิญได้อยู่ทีมเดียวกันด้วย

โกลพึ่งรับบอลมาจากเพื่อนใหม่ที่ร่วมทีม ก็สอดส่ายสายตา  เขาเลี้ยงบอลไปด้วยหลังเท้าด้านใน หาจังหวะเปิด  หันไปเห็นโป้งชี้นิ้ว เขาเปิดเรียดไปตามนิ้วที่ชี้

โป้งไม่จับบอลแต่วิ่งเลี้ยงต่อไปเลย ล๊อกบอลหลบคนที่เข้าสกัด แล้วพลิ้วกายพาลูกหนีการปะทะของอีกคนก่อนจะดีดไปข้างเบาๆ ให้เพื่อนร่วมทีมที่วิ่งสอดเข้ามา

แต่นายคนนั้นก็พาลูกไปเสียหน้ากรอบประตู  โป้งก็เลยต้องถอยกลับทั้งที่วิ่งไปหาตำแหน่งว่างที่ริมเส้นด้านซ้ายแล้ว

คู่ต่อสู้พาบอลกลับมาเจอโกลที่วิ่งเข้าเบียด  ก่อนใช้ความคล่องตัวดีดบอลหลุดจากการครอบครอง  แถมพลิกตัวกลับไปเอาบอล  แล้วเปิดโด้งต่ำด้วยการแป เพราะเห็นโป้งว่างอยู่คนเดียว

โป้งที่ยังถอยไม่ไกลเห็นโกลโยนลูกต่ำมา ก็ใช้เท้าดูดบอลลงพื้นแล้ววิ่งทะยานไปตามแนวเส้นหนีคู่ต่อสู้ที่พุ่งเข้ามา หมายจะสกัด  แล้วก็เลี้ยงตัดเข้าด้านใน

ระหว่างนั้นมีเพื่อนร่วมทีมวิ่งแทรกขึ้นมาโป้งก็คิดจะเปิด แต่พอเห็นว่ากองหลังฝ่ายตรงข้ามอ่านเกมได้ แล้วกำลังพากันไปกันทางที่เขาจะเปิด

โป้งเปลี่ยนใจ เพราะการพากันไปปิดทางทำให้เกิดช่องให้โป้ง  โป้งยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น

แล้วเขาก็วางเท้าขวาเป็นหลัก  ใช้เท้าซ้ายอาวุธสำคัญเตะปั่นลูกโค้งหนีมือผู้รักษาประตูไปเบียดเสาไกลเข้าประตู

“เอาด” คนที่อยู่ใกล้ตัวโกลร้องออกมา

“ซ้ายพิฆาตเหรอวะนั่น”

โกลมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่ที่แม้อยู่ฝ่ายเดียวกันก็ยังร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

ตั้งแต่นั้นตลอดเกมฝ่ายตรงข้ามก็เข้ามาเบียดกระแซะโป้งตลอดเวลาที่เขาได้บอล

แต่ส่วนใหญ่โป้งก็พาลูกหนีไปได้ ด้วยการล็อกหลบบ้าง กระชากเปลี่ยนทางบ้าง  ยกบอลหนีหน้าตาเฉยบ้าง  แม้แต่จิ้มบอลลอดขาแล้ววิ่งไปก็ยังลอง

ทำให้ฝั่งตรงข้ามเหมือนไล่จับกับอะไรบางอย่างที่หลบหลีกไปมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

แต่พอโดนรุมเขาก็ไม่ฝืนเปิดบอลกลับให้เพื่อนคนอื่น

โกลต้องมองตามบอลตลอดอยู่แล้ว  แต่วันนี้เขาเพลิดเพลินไปกับการเล่นที่เหมือนเต้นรำชองโป้ง จนเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้

แล้วจังหวะนั้นเอง ที่ผู้เส่นกรูกันเข้าหาโป้งสี่คน  โป้งก็งัดบอลลอยข้ามหัวพวกเขามาทางที่โกลกำลังวิ่งไป

โกลพักลูกด้วยอก แล้วก็เลี้ยงบอลด้วยหลังเท้า ล๊อกหลบผุ้รักษาประตูทิ่พุ่งเข้ามาก่อนแปง่ายๆเข้าประตูไป

โป้งวิ่งมาทั้งยกมือค้างมา โกลก็จับมือนั้น แล้วก็คว้าตัวโป้งมากอดคอขยี้หัว

“พิษสงรอบตัวเลยนะ” เขาว่า

ตอนนี้โกลยิ้มกว้างอย่างที่โป้งไม่เคยเห็น  เป็นรอยยิ้มที่สะท้อนออกมาจากความสุข  ใบหน้าที่มีเหงื่อโทรมจึงสุกสว่างขึ้นอย่างงดงาม

“มึงนี่ยิ้มสวยนะ” โป้งกล่าว ทั้งวิ่งเหยาะๆกลับมาแดนตัวเองเคียงข้างโกล

“ยิ้มบ่อยๆหน่อยสิ  กูชอบเวลามึงยิ้ม”

โกลมองหน้าโป้ง  แล้วเขาก็วิ่งต่อไปในขณะที่โป้งหยุดเพราะถึงตำแหน่งตัวเอง

“มึงก็ทำให้กูยิ้มบ่อยๆสิ” โกลกล่าวออกไป

 

“พวกมึงโกงนี่หว่า” คนพูดเป็นผู้เล่นฝั่งตรงข้าม

“เป็นตัวโรงเรียน หรือตัวทีมชาติรีเปล่าเนี่ยมึงสองคน”

โกลดื่มน้ำอยู่เหลือบมอง

โป้งยิ้มแห้งๆ

“ไม่ใช่ทีมชาติ  แต่เป็นทีมโรงเรียน” เขาตอบ

“ก็นั้นหล่ะ  ไม่บอกก่อน ไม่งั้นกูจะจับอยู่คนละฝั่ง” คนพูดก็คือคนที่บอกตกลงให้โป้งกับโกลเข้าร่วมเล่น

“ดูสิ...พรุนเลยพวกกู”

“เฮ้ยๆ  สู้ไม่ได้ทำเป็นบ่นนั่นบ่นนี่” คนแย้งเป็นผู้เล่นฝั่งเดียวกับโป้งเมื่อครู่

“กูชื่อแดน นะเว้ยอยากเล่นก็มาที่นี่ พวกเราเล่นกันเกือบทุกอาทิตย์อยู่แล้ว"

แดนกล่าว เขาเป็นหนุ่มร่างสันทัดผิวเข้ม ดวงหน้าดูเรียบๆแต่มีรอยยิ้มที่ดูดี

“โอเค... “ โป้งตอบ แล้วหันมองนาฬิกาใหญ่ที่อยู่บนหอนาฬิกาเล็กๆของสวนใต้สะพานทางด่วนแห่งนี้

“ไปแล้วนะ  บ่ายแล้ว”

“โอเค..” แดนตอบแล้วยกมือเชิงลา

โป้งหันไปยกมือลาและขอบคุณเพื่อนใหม่ทุกคนก่อนจะเดินคู่กันกับโกลออกไปจากสวน

“ไอ้ โป้งนี่มันโคตรจี๊ดอะ... รุมกันตั้งหลายคนมันก็หนีได้  พอจนมุมแม่งก็เปิด ไม่รู้จะจับมันยังไงจริงๆ ส่วนไอ้โกลตัวสูงนั่นก็เก่ง เร็ว แล้วก็ตาดีด้วย.. มันสองคนนี่ติดทีมชาติได้แน่นอนเลย” แดนบอกกับเพื่อน

“เล่นอย่างนี้ก็เล่นอาชีพได้แน่ๆ”

“เอาไว้มันแข่งกูจะไปดูหน่อยสิ  แม่งโคตรเจ๋ง” เพื่อนอีกคนกล่าวตอนเห็นโกลสตาร์ทรถบิ๊กไบค์ของเขา แล้วโป้งก็ขึ้นซ้อน ก่อนโกลจะเร่งเครื่องออกไปทิ้งเสียงครางต่ำของเครื่องยนต์ไว้ข้างหลัง

 


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:52:17
ตอนที่ 6 อุบัติเหตุ

โกลนุ่งผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ  เป็นโป้งกำลังรีดเสื้อนักเรียนอยู่

“ทำเองเลยเหรฮ” โกลถาม

“เออสิ  กูไม่ได้ร่ำรวยนี่หว่า  ไม่มีปัญญาไปจ้างซักรีดหรอก” โป้งตอบ

“ห้องมึงนี่อย่างกับ บอร์ดประชาสัมพันธ์ มีป้ายแม่งทุกมุม” โกลกล่าวแล้วเอากางเกงมาสวม

“แม่กู” โป้งว่า

“เป็นพยาบาล ระเบียบแป๊ะ ปกติเวลากูจะทำอะไรก็คอยกำกับ  พอไม่อยู่ด้วยกันก็เลยเอาป้ายมากำกับแทน”

ตอนที่โป้งพูดถึงแม่แม้จะดูเหมือนอ่อนใจ แต่กลับยิ้มอย่างมีความสุข

โกลดึงผ้าเช็ดตัวออกแล้ว ติดกระดุมกางเกง

“เค้ารักมึงมากเลยใช่ไหมล่ะ” โกลกล่าว

“มีลูกน่ารักอย่างมึงก็ควรจะรักหรอก”

โป้งหัวเราะเบาๆ ตอบไปไม่ได้คิด

“แม่ก็รักลูกทุกคนนั้นล่ะ”

โกลเงียบ  จนโป้งต้องหันมา

โกลกำลังกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวใหม่

“ไม่ทุกคนหรอก บางคนเขาก็ไม่ได้รัก.. แค่ต้องมีเฉยๆ” แววตาโกลเหมือนจะลอย  เขาเหมือนอยู่ในห้วงคำนึง

โป้งวางเตารีดส่งเสียงดังเคร้งเพราะกระทบกับเหล็กของแท่นที่รองรีด

โกลจึงตื่นตัว แล้วหันมา

“กูเอาเสื้อผ้าชุดนี้ทิ้งไว้นี้เลยได้ไหม”

เขาหมายถึงขุดที่ใส่เตะฟุตบอลเมื่อสักครู่

“เออ... เดี่ยวกูเอาลงไปซักเครื่องหยอดเหรียญให้  ยังไงพรุ่งนี้ต้องซักอยู่แล้ว”โป้งตอบ

“เสร็จยังอะ หิวแล้วเนี่ย..” โกลถามแล้วนั่งลงใกล้ๆ

“อีกตัวเดียว” โป้งว่ามือก็สอดไม้แขวนเข้าไปในเสื้อนักเรียนที่รีดเสร็จแล้ว

โกลก็เอาไปแขวนให้ที่ราวซึ่งมีชุดอื่นของโป้งแขวนอยู่แล้ว

 

ร้านที่ไปกินเป็นแผงที่ใช้พื้นที่หน้าบ้านตัวเองเป็นร้านริมทาง  ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียน

มองข้ามฝั่งไปเห็นโป้งก็เห็นมีเด็กนักเรียนหลายคนในชุดไปรเวทเดินออกมา บางคนถือกระเป๋าอะไรมาด้วย

“พวกนั้นมาทำอะไร”

“วงโย..” โกลตอบ

“เห็นว่าจะไปแข่งที่บุรีรัมย์ ก็เลยมาซ้อมพิเศษวันอาทิตย์มั้ง”

โป้งพยักหน้า แล้วเขาก็เห็นคนคุ้นหน้าเดินออกมารวมกับกลุ่มเป็นห้าคน

“นั่นจุ๊ยกับพี่ไตร” เขาว่า

พอดีกับเด็กหนุ่มหน้าจีนหันมาเห็น เขาเลยโบกมือให้

โป้งก็โบกตอบ

“รู้จักไอ้จุ๊ยด้วยเหรอ” โกลถาม

“อืมเคยคุยกัน” โป้งตอบ

โกลพยักหน้า

 

กินข้าวเสร็จทั้งคู่ก็ซื้อขนมมานั่งกินกันที่ท่าน้ำริมคลองหลังอพาร์ทเม้นท์ซึ่งเป็นคลองใหญ่พอใช้ น้ำก็เลยสะอาดพอสมควร

“อยากรู้เรื่องป้องไหม” โกลกล่าวขึ้น

โป้งเงยขึ้นจากการตักขนมปากริมไข่เต่าจากถ้วยโฟม

“ป้องเขาเป็นบัดดี้เก่าของกู  จริงๆเราเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็กเลยล่ะ  เพราะพ่อของป้องเป็นเพื่อนกับพ่อของกู” โกล

กล่าวแล้วกินปากริมไข่เต่าไปหนึ่งคำ

“เรา สนิทกันมาก ก็เรียนด้วยกันเล่นด้วยกัน  เมื่อก่อนกูเป็นกองกลาง  มันก็เล่นเป็นเซ็นเตอร์  เราสองคนสนิทกันมาก  รู้กันทุกเรื่อง  ทุกอย่าง” โกลมองลงไปสายน้ำ

“เพราะเราเป็นคู่หูแล้วก็คู่ขากันด้วย”

โป้งอ้าปากค้าง เพราะไม่คิดว่าโกลจะพูดออกมาเอง

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขากลายเป็นแบบนั้น”โป้งถามต่อ เมื่อตั้งสติได้

ป้องเป็นเด็กหนุ่มตัวสูงพอๆกับโกล  เขามักจะมียิ้มจนตาหยีเสมอ  ใบหน้าของป้องในความทรงจำของโกลคือตอนยิ้ม

“พูดไปก็คือความผิดของกูเอง” โกลถอนหายใจ

 

ภายในห้องนอนของโกล

“มึงทำแบบนี้มึงเห็นกูเป็นอะไรโกล” ป้องถามน้ำตารื้น

“อะไรของมึง กูก็บอกว่าไม่มีอะไร” โกลตอบ  เขาชักหงุดหงิด

“กูกับไอ้เดฟก็แค่อารมณ์พาไป”

“มึงทำอย่างกับแม่งเป็นเรื่องเล่นๆ” ป้องเมินไป

“ตกลงเราเป็นอะไรกัน”

โกลถอนหายใจยาว

“ไอ้ป้อง กูก็บอกแล้วว่าแค่สนุกๆ มึงก็ยอมรับไม่ใช่เหรอ  แล้วมึงหวังอะไร  มึงจะให้กูพาผู้ใหญ่ไปสู่ขอมึงงั้นเหรอ”

ป้องเงียบไป  เอามือจับแขนโกล

“กูจริงจังกับมึงนะโกล”

โกลหันมามองหน้า ป้องมองตาเขาอย่างล้ำลึก

เขาหันหนีไป

“มึงจะบ้ารีเปล่าวะ  นี่เราอายุเท่าไหร่กัน.. เราอายุแค่สิบสี่.. มึงคิดอะไร.. มึงไม่คิดว่าตัวมึงอาจไปชอบผู้หญิง แล้วก็กลับมาเป็นปกติ หรือไม่มึงก็ไปเจอเกย์คนอื่น  ถึงตอนนั้นมึงก็ลืมกูแล้วไอ้ป้อง”

ป้องลุกขึ้น

“ถ้ามึงคิดแบบนี้  กูกับมึงก็เลิกกัน”

“เอ้ยอะไรวะ” โกลเรียกรั้ง  แต่ป้องวิ่งออกไปจากห้อง

“ไอ้ห่าเอ้ย”

 

โกลนั่งทำอารมณ์อยู่นานพอสมควร ก่อนจะขี่จักรยานออกไป

เขาไล่ไปทันป้องที่ริมถนน ป้องกำลังจะข้ามถนนเพื่อกลับบ้านที่อยู่ในซอยอีกฝากถนน

“เฮ้ยป้อง อย่าโกรธสิวะ กูพูดถึงอนาคตเฉยๆ  มึงจะอะไรนักหนา” โกลเอาลงจากจักรยาน

“มึงจะบ้าเปล่าวะ มึงกับกูคบกันมานาน มึงยังไม่รู้นิสัยกูเหรอวะไอ้ป้อง”

ป้องไม่ตอบ

โกลก็ตั้งขาตั้งจักรยาน

“เฮ้ยป้อง” โกลตามมาจับแขนป้อง

“มึงเหี้ยอะไรของมึง”

“ปล่อยกูไอ้โกล” ป้องสะบัดแขน แล้วทำท่าจะข้ามถนน

แต่โกลเห็นรถพุ่งเข้ามาก่อนจึงดึงเขาไว้

“เหี้ยเกือบไป” โกลบอก

ป้องอยู่ในอ้อมกอดของโกล

“มึง..” ป้องกำลังจะกล่าว

ฉับพลันก็มีเสียงเหมือนรถเบรกอย่างแรง  พอทังคู่หันไป ก็เห็นรถกระบะพุ่งข้ามเลนมา

ป้องตัดสินใจฉับพลัน  เขาผลักโกลออกไปอย่างแรง

โกลเห็นทุกอย่างเป็นภาพช้า  เขาล้มลงนั่งไปแล้วตอนที่รถกระบะคันนั้นพุ่งเขาปะทะร่างของป้อง

ร่างนั้นลอยไปกระเด็นไปกระแทกกับกำแพง  แล้วตัวรถเองก็ปัดออกไปพุ่งไปปะทะกับกำแพงเดียวกันแล้วนิ่งสนิท

โกลลุกไม่ขึ้นเขามือเท้าอ่อนไปหมด

 

“พูด ง่ายๆ ตอนนั้นถ้ามันไม่ทะเลาะกับกู มันก็ไม่ออกไปตอนนั้น  ถ้าไม่ใช่กูดึงมันไว้  มันก็ไม่ต้องเป็นแบบนี้” โกลมองสายน้ำที่ไหลอย่างเอื่อยๆ

โป้งมองหน้าที่จมดิ่งในอดีต  เขาถอนหายใจ โอบไหล่โกล

“มึงโทษตัวเองเกินไปรึเปล่าวะ  นี่มันอุบัติเหตุ  พูดง่ายๆคือมันเป็นดวง.. คือตอนนั้นยังไงก็ต้องเกิดอุบัติเหตุ ทำไมมึงไม่คิดอีกแง่...”

โป้งวรรคไปชั่วครู่ นั้นทำให้โกลหันมามองหน้าเขา ตอนนี้หน้าของทั้งคู่ห่างกันนิดเดียว

โป้งมองลงไปในสายน้ำ

“มึง ไม่คิดบ้างเพราะป้องเขารักมึงไง  เขาก็เลยผลักมึงออกมา.. ถ้าเป็นกูถ้ากูแก้ไขอะไรไม่ได้  กูจะใช้ชีวิตที่คนที่รักกูช่วยเอาไว้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด  เพื่อให้สมกับที่คนที่รักกูช่วยชีวิตกูไว้.. กูจะทำให้เต็มที  กูจะถามตัวเองว่าอะไรที่เพื่อนกูอยากให้กูทำ แล้วกูก็จะทำมันให้ได้...”

แล้วทั้งคู่ก็นั่งกันอยู่ตรงนั้นนานจนกระทั้งอาทิตย์จะลับขอบฟ้า

“มึง... ชีวิตคนมันก็เหมือนพระอาทิตย์ มีขึ้นก็ต้องมีลง  เพียงแต่ว่าวันเวลาของป้องเขามันสั้นกว่าคนอื่น.. แต่มึงต่างหากที่ยังเป็นดวงอาทิตย์บนฟ้า... มึงจะเลือกหลบอยู่หลังเมฆไปตลอด  แล้วปล่อยให้ความพยายามของป้องสูญเปล่า มึงก็ผิดแล้วโกล”

แสงสีแดงยามนั้นฉาบใบหน้าอ่อนโยนของโป้ง ขับดวงหน้านั้นจนน่ามอง


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:53:02
ตอนที่ 7 ทดสอบทีม/การจากไปของป้อง

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์นิดๆ  จนโค้ชแน่ใจแล้วว่านักกีฬามีความฟิตเพียงพอ  ก็จัดให้มีการแข่งขันเพื่อดูฟอร์มนักกีฬา  โดยด้วยการแบ่งทีมโดยการจับฉลาก

ปรากฏว่าโป้งกับปออยู่ทีมเดียวกัน  โดยต้องเจอทีมรับตัวจริงที่มีตั้มและโกล

“นี่จงใจรึเปล่านี่” อาจารย์สุรีวัลกอดอกมองไปในสนาม ที่เด็กๆกำลังยืดเส้นยืดสายกัน

“ตั้งใจเอาทีมรับมาชนกับทีมรุก”

อาจารย์ป้อมยิ้ม

“บังเอิญ  แต่ก็ดีเหมือนกัน”

 

ปอได้ลูกจากกองกลางตัวหลักของทีมคือ วู๊ดที่เป็นกองกลางตัวรับและกัปตันทีม

เขาก็พาบอลถึงหน้ากรอบเขตโทษเผชิญหน้ากับจอมเซ็นเตอร์ตัวหลักของทีม

จอมเป็นคนนิสัยซุ่มซ่ามในชีวิตจริง แต่ในสนามฟุตบอล เขายืนตำแหน่งได้แน่นหนา และพอตั้มเข้ามาช่วย ก็ยิ่งยากลำบาก

แต่กระนั้นปอก็ยังมองเห็นเพื่อนที่วิ่งทำไปทางซ้าย  เขาเลยจ่ายย้อนกลับให้วู๊ดที่ยินว่างอยู่

วู๊ดก็เห็นเหมือนกับปอ  เขาก็เลยจ่ายต่อเร็วไปในทางนั้น

โป้งดักบอลไว้ได้แล้วกระชากมุ่งเข้าหากรอบเขตโทษ  แต่ตั้มที่กลับตัววิ่งมาขวางทางไว้ เป็นปิดมุมทำให้เขาทำอะไรไม่ถัด  โป้งจึงคลึงบอลไปช้าๆในลักษณะคืบเข้าไป

ตั้มเองก็ไม่กล้าเข้าสกัดพรวดพราด  เพราะรู้จักฝีเท้าของโป้งดี

ขืนเข้าไปไม่ดูจังหวะ  มีหวังโดนกระชากหรือไม่ก็โยกบอลหนีไป

แถมถ้าทำฟลาว ก็ยิ่งอันตราย เพราะตรงนี้เป็นระยะใกล้มากเกินกว่าจะปล่อยให้ตีนช่างทองของโป้งได้เปิดลูกนิ่ง

จู่ๆก็กลายเป็นโป้งที่พาบอลพุ่งเข้าหาเขาเอง ตั้มตกใจ แต่ก่อนจะถึงตัวเขา โป้งกลับดีดบอลเรียดไปข้างๆ

ปอพุ่งเข้าใส่ลูกบอลอย่างกับจรวด  ง้างเท้าแล้วเตะเต็มหลังเท้าส่งลูกบอลพุ่งทะยานไปอย่างกับลูกปืนใหญ่  จอมกระโดดหมุนตัวบล็อกด้วยหลัง  มันกระแทกหลังเต็มแรงแล้วเปลี่ยนทิศ

กระนั้นลูกยิงก็ยังตรงกรอบ แถมพุ่งเข้ามุมบนของกรอบประตู

ในวินาทีที่คิดว่าเข้าประตูแน่นอน  มือของโกลก็ชกบอลจากใต้ลูก  ส่งให้ลูกลอยข้ามคานออกไป

ปอชกลมพร้อมหนุนตัวอย่างเสียดาย  แต่โป้งวิ่งตามไปเก็บบอลมาตั้ง

อาจารย์นนท์ที่เป็นอาจารย์พละอีกท่าน ซึ่งมาช่วยทำหน้าที่กรรมการ รอจนเห็นว่านักเตะอยู่ในตำแหน่งพร้อมจะเล่น  เขาก็ให้สัญญาณ

โป้งมองเหมือนเล็งที่ปอที่อยู่กลางประตู  แต่พอถอยหลังแล้ววิ่งเข้าเตะลูก  กลายเป็นว่าบอลลอยคล้อยมาด้านหลัง  ซึ่งมีอัครถอยออกมายืนรอ

ที่อัครถอยออกมา เพราะโป้งมองตาเขาระหว่างรอนกหวีดเริ่มเกม โป้งส่งอานัติสายตาบอกให้เขารู้

อัครกระโดดสปริงค์ตัวแล้วโขกตูมด้วยหน้าผาก

แต่โกลก็บล็อกออกมาได้อีก บอลกลิ้งหลุนๆไปเข้าทางปืนของโยธินที่รออยู่ เขาเตะอัดซ้ำเข้าไป แต่ก็ไปติดตัวของแสนพล ทำให้มันกระดอนไกลมานอกกรอบด้านซ้าย 

โป้ง ดักลูกบอลไว้ แล้วพาบอลตัดไปกลางประตูบริเวณหน้ากรอบ  แล้วเขาก็ใช้ไม้ตายไซด์โป้ง  ส่งลูกโค้งมุ่งเข้าไปหามุมบนของกรอบประตูแบบน่าจะเป็นประตู

แต่โกลก็ยังพุ่งทุบออกมาได้อีก

โป้งจึงวิ่งไปหาลูกบอล  แล้วทำท่าจะยิ่งซ้ำ แต่กลายเป็นว่าเขาแปเรียดสวนทางทีมรับที่กรูกันมา

ปอ ที่อยู่ในเส้นทางบอลก็กลับตัวซัดเต็มข้อตรงใกล้จุดโทษ   แต่โกลก็ยังบล๊อกลูกไว้ได้ แต่มันกระเด้งออกมาไกลเพราะความแรง ซึ่งตรงนั้นมีวู๊ดยืนอยู่

วู๊ดตัดสินใจยิงอัดเข้าไป ทว่าติดบล็อกของตั้มแล้วออกหลังไป

ตอนนั้นมีนักฟุตบอลรุ่นเล็กชมเกมอยู่  พวกเขาถึงกับครางฮือออกมาโดยพร้อมเพรียง

“มันโคตร...” สุรีวัลเผลอพูดออกไป  นักฟุตบอลรุ่นเด็กก็หันมามองหน้า

“สนุกจังเลย” สุรีวัลแก้คำพูดอย่างเก้อๆ

ป้อมเพชรมองการรุกที่ฉกาจ และเกมรับที่เหนียวแน่น  เขาเริ่มมองเห็นอนาคตของทีมนี้สดใสมากกว่าเดิม..

 

โป้งกำลังยืนให้น้ำรดหัวอยู่

“เฮ้ยโป้ง..” โกลเรียก

ลืมตามาก็เห็นโกลหันหลังให้

“ดูตรงหลังนี่สิว่ามีผื่นไหม”

“ไม่มีนี่” โป้งตอบ เพราะมองไม่เห็นอะไรผิดปกติ

“ทำไมมันคันๆ”

“มึงคิดไปเองรึเปล่า”  ปอที่ยืนฟังอยู่บอก พลางขยี้หัวจนฟองแชมพูฟูเต็มหัว

“มั้ง” โกลตอบ

 

ระหว่างที่ทุกคนกำลังแต่งตัวอาจารย์ป้อมก็เดินเข้ามา

ส่วนใหญ่แต่ตัวเกือบเสร็จแล้วก็เลยหยุด เว้นแต่จอมที่ยังใส่กางเกงไม่เสร็จ  ทุกคนเลยหันมามอง

“อะไรว้า... มองกันอย่างนี้กูอาย”

แล้วหนุ่มร่างสูงก็นั่งลงเมื่อสวมกางเกงเสร็จ

“เอา เป็นว่าพวกคุณเล่นได้ดีกันมาก  บังเอิญทีมรุกกับทีมรับ อยู่กันคนละทีมพอดี  ก็เลยกลายเป็นทำประตูกันไม่ได้  แต่ผมกลับพอใจนะ  เพราะแสดงว่าเรามีความสมดุลกันดีมาก” อาจารย์ป้อมเอาใบที่จดมากาง

“ผมจะประกาศคนที่จะเป็นตัวหลักก่อนนะ  คนอื่นๆ ก็จะใช้Rotationกันไปตามระเบียบเพราะผมจะไม่คัดใครออก”

นั้นทำให้ทีมใจชื้น

“กองหน้า ก็คงต้องมอบให้อัครกับปอเป็นตัวหลัก  เพราะปอเด่นเรื่องการครองบอลกับทำประตู ส่วนอัครก็เด่นเรื่องการหาตำแหน่งกับลูกกลางอากาศ  เพราะเขากระโดดได้สูงมาก”

ปอกับอัครนั่งกันคนละด้านของห้อง แต่ก็หันมาสบตากัน

“ส่วนกองกลางก็คงพึ่งพาวู๊ดเป็นหลักเหมือนเดิม เพราะยังไงก็เหนียวแน่นมาก  ส่วนแสนพลคุณดูตันๆแต่เบียดบอลได้ดี น่าจะเหมาะกับการตัดเกม  แล้วก็โยธินคุณก็ทำเกมได้ดีด้านขวา ก็คงพึ่งพาการเติมเกมของคุณในด้านนั้น”

มองมาที่จอม

“เกมรับก็คงต้องพึ่งพาชุดเดิม  แล้วก็ประตูก็ไม่เปลี่ยนแปลง” แล้วอาจารย์ก็หันมาหาโป้ง

“ส่วนโป้ง ทักษะของคุณเหมาะจะคุมเกมรุกมากที่สุด  ผมจะให้คุณยืนรองจากกองหน้าคอยทำเกมแล้วก็เปลี่ยนเกม  เพราะความเร็วกับความคล่องของคุณจะทำให้กองหลังปั่นป่วนแน่นอน”

แล้วอาจารย์ก็มองทุกคน

“พวก คุณเป็นทีมเดียวกัน ไม่ว่าสำรองหรือตัวจริง  เราต่างต้องสนับสนุนกันและกัน  นับจากวันนี้ผมก็จะเริ่มการฝึกซ้อมทักษะ และเทคนิคกันอย่างจริงจัง  พวกคุณคงต้องงานหนัก เพราะการแข่งขันกรมพละใกล้จะมาถึงแล้ว  หวังว่าเราจะรักษาแชมป์ได้อีกครั้ง”

ทุกคนปรบมือพร้อมเพรียงกัน

 

โป้งเดินสนทนามากับอาจารย์ป้อม เพราะอาจารย์ป้อมถามเกี่ยวกับบิดาของโป้ง

“ผมก็ไม่เจอพ่อเลยครับ  ยังรู้ด้วยซ้ำว่าท่านอยู่ไหน” โป้งบอก

“เฮ้อ...” ป้อมเพชรถอนหายใจ

“พ่อของเธอน่ะเก่งมากๆ คนหนึ่ง  แต่หลังจากบาดเจ็บเลิกเล่นก็เปลี่ยนไปคนละคน  กลายเป็นแบบนี้ไปซะได้”

“พ่อ ก็ยังรักฟุตบอลนะครับ แต่ท่านรักผิดทางไปหน่อย  หันไปรักฟุตบอลในโพยพนันแทน” โป้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจมากกว่าจะน้อยใจหรือเสียใจ เหมือนเขาจะทำใจกับเรื่องพ่อได้แล้ว

“แล้วท่านก็เป็นคนสอนผมให้เล่นฟุตบอลด้วย  วิธีการฝึกฝนตัวเองที่ผมทำก็มาจากพ่อนั้นล่ะครับ”

อาจารย์ป้อมยิ้มแล้วตบบ่าเบาๆ

“ก็อย่างนี้ล่ะ เขาถึงว่าสุรา นารี พาชี  กีฬาบัตร จะกีฬาบัตรแข็งหรือบัตรอ่อน เป็นโพยๆ ก็พาฉิบหายทั้งนั้น”

โป้งก็ถอนหายใจแล้วยิ้มจางๆ

ปอกับตั้มมองหน้ากันเพราะได้ยินคร่าวๆว่าพ่อของโป้งคืออดีตทีมชาติ เทพฤทธิ์ อดีตกองกลางจอมปั่นฟรีคิก ที่มีอาวุธสำคัญคือไซด์โป้งอันลือลั่น  เคยยิงประตูแม้กระทั้งทีมชาติญี่ปุ่นมาแล้ว

“มิน่าไอ้โป้งมันถึงได้เก่งมีพ่อเป็นคนสอนนี่เอง” ปอบอก

โกลที่เดินตามหลังมารู้สึกว่าโทรศัพท์ตัวเองสั่น ก็เลยเปิดกระเป๋าออกมารับ

พอรับก็เงียบนิ่งไป  ปอที่หันมามองก็แปลกใจกับอากัปกิริยานั้น

“ครับผม” โกลตอบคำสุดท้ายแล้ววางหู

เขายืนนิ่งอยู่สักพัก  ก็เดินเร่งเท้ามาหาอาจารย์ป้อม

“ป้องเสียแล้วครับโค้ช”

 

งานศพของป้องเป็นไปอย่างเรียบง่าย และเผาเลยในวันรุ่งขึ้น  ทั้งนี้เพราะครอบครัวบอกว่าต้องทุกข์ใจมาอย่างยาวนานพอแล้วจนทำใจได้

ในงานเผาศพ ทีมฟุตบอลได้รับอนุญาตให้ไปร่วมกันครบทีมแม้จะเป็นเวลาบ่ายสองโมง

โป้งเองก็ไปร่วมพิธีด้วย  เรื่องเชิงลึกของโกลกับป้อง ก็คงมีแต่โป้งที่รู้รายละเอียด  เขาจึงรู้สึกเห็นใจโกลมากตอนที่เขายืนเงียบอยู่นานหน้าเมรุตอนวางดอกไม้จัน  เขาจึงวางตบบ่าโกลเพื่อปลอบโยน แล้วโกลก็วางดอกไม้จันลงไปก่อนจะเดินลงจากเมรุ

 

โป้งอยากจะรู้จริงๆว่าตอนที่โกลมองพวยควัน เมื่อควันลอยขึ้นจากปล่องนั้นเขาคิดอะไรอยู่

เพราะเขามองมันนิ่งๆ ไม่มีอาการหรือสัญญาณใดบอกให้รู้ว่าเขาคิดอะไร

 

โป้งถอดหมวกกันน็อกแล้วส่งคืนให้โกล  โกลเปิดหน้ากากมามองหน้าโป้ง

“มึงโอเคไหม” โป้งถาม

โกลถอนหายใจ มองขึ้นไปบนอาคารอพาร์ทเม้นท์

“กูนอนที่นี่ได้ไหมล่ะ”

ทั้งสองมองหน้ากันอยู่นานพอสมควร

“ก็มาสิ..” โป้งกล่าว

“แต่มึงห้ามปล้ำกูนะ”

โกลอดยิ้มออกมาได้

“เออ ไม่ปล้ำหรอก นี่กูเศร้าอยู่นะมึง”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:53:47
ตอนที่ 8 วู๊ดกัปตันกตัญญู: ความประทับใจต่อเดฟ

วู๊ดออกจากงานศพก็ขึ้นรถเมล์มากับเพื่อนหลายคน  แต่เพราะบ้านเขาอยู่ไกลที่สุด เขาก็เลยเหลือเป็นคนสุดท้าย

พอรถเมล์จอดป้าย แล้วก็มีคนขึ้นมา  แต่เป็นบุคคลที่ทำให้วู๊ดแปลกใจอยู่ไม่น้อย

ชายหนุ่มร่างสูง มองหาที่นั่งบนรถที่มีผู้โดยสารนั่งอยู่เกือบเต็ม  เขาเห็นที่ว่างที่หนึ่งก็เลยเดินมานั่ง

ตอนแรกก็แค่รู้ว่าเป็นเด็กนักเรียนด้วยกัน แต่เขาก็ยังไม่ทันได้มองหน้า  แต่พอนายคนนั้นเรียก

“เดฟ”

เดฟจึงหันไป

“อ้าววู๊ด.. ทำไมมานี่ได้”

“บ้านผมอยู่แถวนี้” วู๊ดตอบ

“แล้วทำไมเดฟมานั่งรถเมล์ ปกติเดฟมีมอไซด์นี่ เห็นฝากจอดเอาไว้แถวโรงเรียน

“มันเสีย... เป็นไรไม่รู้ติดไฟแดงอยู่ดีๆดับเฉยเลย” เดฟตอบหน้าตาเริ่มบึ้งเมื่อต้องพูดถึง

รถเมล์วิ่งไปอีกประมาณสองป้าย  เดฟก็หันมาบอก

“ลงแล้วนะ”

“อ้าว.. นี่เราอยู่ใกล้กันหรอกเหรอ” วู๊ดแปลกใจ

“อ้าวเหรอ.. บ้านนายก็อยู่แถวนี้เหมือนกันเหรอ” เดฟหัวเราะเบาๆ

 

เพราะต้องเดินผ่านแผงขายอาหารมากมาย  จนเดฟรู้สึกหิว

“กินอะไรก่อนไหม เราเลี้ยง” เดฟเสนอ

“ไม่ได้หรอก” วู๊ดตอบ

“เรากินข้าวนอกบ้านไม่ได้  เพราะที่บ้านอาม่าเราท่านชอบเรียกให้กินข้าว  ถ้าไม่กินก็โกรธ”

“เอา เหอะ กินเป็นเพื่อนหน่อย  ฉันก็ไม่เคยกินร้านอาหารแถวนี้เสียด้วย เขินน่ะ” เดฟว่า แล้วก็ดึงแขนวู๊ดเดินเข้าหาร้านที่ขายอาหารหลากหลาย

 

“เด็กใหม่ที่ชื่อ โป้ง เก่งมาเลยนี่” เดฟกล่าว  แม้เขาจะเป็นเกย์ แต่เขาก็มีความสนใจแบบเด็กผู้ชาย คือกีฬา และเครื่องยนต์กลไก

“เมื่อวันที่พวกนายซ้อมแข่งกัน  ฝีเท้าพวกนายฉันเคยเห็นแล้ว แต่นายโป้งนี่พึ่งเคยเห็นครั้งแรก  ทั้งคล่องทั้งเร็ว  ขนาดตั้มว่าแข็งๆ ยังเอาไม่อยู่  ฉลาดเล่น ฉลาดทำเกม”

“สนใจหรือ” วู๊ดหยอก

“ก็น่าสนนะ  ฉันเป็นพวกแพ้ความเก่งเสียด้วย เห็นคนเก่งๆแล้วก็อดไม่ได้  แถมฉันยังอยู่ห้องเดียวกันก็เลยรู้นิสัย เหมือนเป็นจุ๊ยเวอร์ชั่นไม่กวนตีน” เดฟอมยิ้ม  ไม่รู้อมยิ้มให้กับโป้งหรือจุ๊ยกันแน่

“นายชอบจุ๊ยจริงๆเลยใช่ไหม” วู๊ดถาม เขามองหน้าคมๆของเดฟ

“เออ.. ไม่ชอบจะไปยุ่งกับมันเหรอ” เดฟตอบ

“มันน่ารักจะตาย  ตัวขาวๆ แล้วก็กวนตีนดี”

แล้วเดฟก็อยู่ในห้วงคำนึงเล็กน้อย

“พูดไปนายอาจไม่เข้าใจก็ได้”

วู๊ดเงียบไปนิดหนึ่ง  กินข้าวไปคำหนึ่งแล้วก็พูดออกมา

“อาจจะเข้าใจก็ได้นะ”

เดฟมองหน้าเขา แต่ตอนนี้วู๊ดก้มหน้าก้มตากิน

ผ่านจากหน้าปากซอยมา ก็มีตึกแถวทรุดโทรมอยู่ชุดหนึ่ง  สำหรับเดฟ เขาเห็นมันเป็นแค่ฉากคุ้นตาเวลาขับมอเตอร์ไซด์หรือนั่งรถผ่านไป

พอวู๊ดหยุดที่หน้าประตูเหล็กที่พังไปหลายจุด ตอนนี้เดฟตระหนักว่า  มีหลายคนเรียกมันว่าบ้าน

“เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”  วุ๊ดกล่าว

“ขอบใจที่เลี้ยงด้วย”

เดฟยิ้มด้วยมุมปากด้านซ้าย

“วันหลังเรากลับด้วยกันก็ได้นะ  เพราะเวลาฉันซ้อมดรัม ก็กลับเวลาใกล้ๆกัน เผื่อรถล้มโดนสิบล้อทับ  จะได้มีคนตายเป็นเพื่อน”

วู๊ดทำหน้าสยอง

“จะกลับด้วยดีไหมเนี่ย”

“ล้อเล่นน่า” เดฟหัวเราะ

“ไปก่อนนะ”

วู๊ดมองร่างสูงๆเดินไป

เขาหยิบกุญแจออกมาไขประตูที่จวนจะพัง แล้วก็เข้าบ้าน

“อาม่า  ผมกลับมาแล้ว”

 

“อาไช้ เรือกินอะไรมาหรือยัง” อาม๊าที่ปัจจุบันเป็นอัมพฤตถาม ตอนที่วู๊ดย่อตัวลงจับมือท่าน

“ไปกินเร็ว  ไปกิน”

“ครับอาม่า” วู๊ดรับคำ  เพราะตอนนี้อาม่าหลงเสียแล้ว ขืนตอบว่ายังกินแล้วต้องโดนเอ็ดแน่นอน

สักครู่หญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาจากหลังบ้าน

“วู๊ด เดี่ยวถูชั้นสองอย่างเดียวนะ โกวถูข้างล่างแล้ว เมื่อกี้อาม่าทำเลอะ”

“ครับโกว” วู๊ดกล่าว แล้วก็เดินไปหลังครัว

อาม่าเป็นคนเลี้ยงเขามาแต่เล็กๆ เพราะพ่อของวู๊ดเสียชีวิตไปตั้งแต่เขาเกิดได้ไม่กี่วัน ส่วนแม่ของเขาก็ตรอมใจจนป่วยจนเสียชีวิตตามไปหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี  ดังนั้นเขาจึงรักอาม่ามาก  แต่ก่อนเขาอยู่กับอาม่าไปเพียงลำพัง จนกระทั้งอาม่าล้มในห้องน้ำแล้วกลายเป็นอัมพฤตครึ่งตัว  ทำให้ซาโกวหรืออาคนทีสามต้องมาดูแล แม้ตัวเองจะแต่งงานออกไปแล้ว  แต่เพราะไม่มีลูก ก็เลยว่าง

“โกวกลับแล้วนะ” โกวเดินเข้ามา

“ครับ”

“แล้วทำไมกลับเร็วหล่ะ  ปกติเราต้องซ้อมจนถึงค่ำๆเลยนี่” โกวถามต่อ

“พอดีไปงานศพเพื่อนที่เคยอยู่ทีมเดียวกัน  โค้ชก็เลยให้เราไปงานกันทุกคน” วู๊ดตอบแล้วตักข้าวมาแค่นิดเดียว

“แล้วเราจะแข่งเมื่อไหร่” โกวถามอีก

“อีกสองเดือนได้ครับ” วู๊ดตอบ แล้วตักกับข้าวนิดหน่อยจากจานแล้วยกมันเข้าตู้เย็นเพื่อเก็บไว้กินมื้อถัดไป

“ทำไมกินน้อยจัง” โกวดูปริมาณอาหารแล้วตกใจ

“พอดีเจอเพื่อนเขาเลยเลี้ยงข้าว  แต่ถ้าไม่กินอาม่าก็โกรธอีก” เขาหันมาตอบบนรอยยิ้มจางๆ

โกวมองหลานชายที่เป็นลูกของพี่สาวของเธอ  วู๊ดเป็นเด็กดี แถมเรียนดี  เธอจึงเอ็นดูอยู่ไม่น้อย

“อืมๆ” โกวตอบ

“ดูอาม่าดีๆนะ”

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้เดฟที่กำลังนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนอนต้องหันมารับ

“ครับแม่” เขาตอบสาย เป็นภาษาอังกฤษ

ทั้งนี้เพราะแม่ของเดฟเป็นชาวอเมริกัน และหมายเลขที่โทรมาก็เป็นหมายเลขของอเมริกาด้วย

แม้จะเป็นการถามสารทุกข์สุกดิบ  แต่เดฟก็ตอบแบบแกรนๆ จนกระทั้งจบสาย

“ถ้าห่วงนักก็กลับมาดูลูกบ้างนะ” เดฟพูดตอนที่วางสายไปแล้ว  แล้วเขาก็โยนโทรศัพท์ไปข้างตัว

พอมีเสียงเคาะประตู  เขาก็เดาได้ว่าเป็นใคร

“เข้ามาสิป้า ผมใส่เสื้อผ้าครบ”

ป้าศรีเดินเข้ามาพร้อมสำรับอาหาร

“คุณไม่กินข้าวหรือค่ะ” ป้าศรีแม่บ้านถาม

“ป้าเลยเอามาให้”

เดฟลุกขึ้นนั่ง

“แย่ล่ะ  ผมลืมบอกเลย  ผมกินมาแล้ว”

“อ้าว” ป้าศรีร้องออกมา

“ขอบคุณครับป้า” เดฟกล่าวแล้วยิ้ม

ป้าศรีก็ยกสำรับออกไป

เดฟหันไปหันมาก็จะหันไปหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูโซเชียลมิเดีย

 

วู๊ดอาบน้ำเสร็จแล้วกำลังเช็ดตัว

แต่เขาได้ยินเสียงเหมือนของล้มที่ด้านนอก

เขาจึงรีบใส่เสื้อผ้าอย่างเร็วแล้ววิ่งออกมา

“อาม่า” เขาร้อง เพราะตอนนี้รถเข็นที่อาม่านั่งล้มอยู่ อาม่านอนอยู่บนพื้นโดยมีเลือดอาบที่หัว

“อาม่า”

 

เดฟออกจะหงุดหงิดที่อยู่ก็มี SMS ส่งมาว่าเขาไม่ได้ชำระเงิน  เขาก็เลยต้องขี่มอเตอร์ไซด์อีกคันของเขาออกมาเพื่อชำระเงินที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย

ขากลับเขาผ่านตึกแถว ก็เลยคิดว่าอยากจะรู้ว่าเพื่อนวู๊ดทำอะไรอยู่ ก็เลยชะลอรถเมื่อถึงหน้าบ้านของวู๊ด

“อาม่า อาม่า” เสียงของวู๊ดดังจนได้ยินชัด

เดฟเลยหยุดรถ  แล้วตั้งขาหยั่ง เขารีบไปมองผ่านช่องว่าที่เกิดจากความพุพังของประตู

เห็นวู๊ดกำลังเอาผ้ากดที่บาดแผลบนศรีษะของหญิงชรา

 

วู๊ดกระวนกระวายอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน  จนเดฟต้องเดินลุกมาดึงตัวให้มานั่ง

“ใจเย็นๆไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก” เดฟโอบบ่าวู๊ดเอาไว้เพื่อให้เขาสงบลง

วู๊ดยังคงมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน  พอมันเปิดออก  เขาก็ลุกพรวดไปหาหมอพร้อมกับเดฟ

 

อาการของอาม่าไม่สู้ดีเนื่องจากล้มหัวฟาดและอายุมากแล้ว  ทำให้หมอต้องตัดสินใจให้อยู่ดูอาการ  วู๊ดเป็นกังวลมาก เพราะต่อให้อาม่ามีลูกหลายคน  แต่ก็ไม่มีใครที่ร่ำรวย  แถมโรงพยาบาลนี้ก็เป็นโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงอีกต่างหาก

เขานั่งเฝ้าอาม่าที่ยังนอนสลบอยู่  จนกระทั้งซาโกวกับสามีที่อยู่ใกล้ที่สุดในบรรดาลูกก็มาถึง

วู๊ดก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

“ผมขอโทษครับ ผมดูแลอาม่าไม่ดี”

ซาโกวเอาหลานชายเขามากอด

เดฟที่บอกว่าจะไปห้องน้ำ  กลับมาเขาก็ยกมือไหว้ญาติของวู๊ด

แล้วเขาเรียกวู๊ดออกมาข้างนอก

“เอ้านี่ ฉันจ่ายให้หมดแล้ว” เดฟยื่นส่งใบเสร็จให้

“ฉันเอาบัตรเครดิตที่พ่อให้เป็นการันตีไว้แล้ว  ถ้ามีรายจ่ายเพิ่มเติมเขาก็จะตัดจากบัตร  เห็นโรงพยาบาลบอกว่าน่าต้องนอนหลายวัน  แต่เดี่ยวฉันจะให้ลูกน้องของพ่อหาโรงพยาบาลรัฐบาลให้  ถ้าได้ ก็จะได้ย้ายไป”

วู๊ดมองหน้าเดฟ เขาซาบซึ้งจนพูดไม่ออก

“เดฟนายไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้  นี่มันเยอะเกินไปแล้ว”

“เออ ไม่หรอก.. เล็กน้อย” เดฟตบบ่า

“อย่าคิดมาก  พ่อฉันเขารวย  บริจาคเงินเอาหน้าได้เป็นล้านๆ  แค่นิดหน่อยเขาไม่เดือดร้อนหรอก หรือถ้านายไม่สบายใจ  อีกหน่อยมีก็เอามาคืนก็ได้ไม่ว่ากัน ฉันไม่คิดดอกหรอก”

เดฟกล่าวจบก็เดินหันหลัง

“กลับละ ง่วงนอน  นายก็พักผ่อนซะนะ  พรุ่งนี้ต้องซ้อมบอลไม่ใช่เหรอ”

ร่างสูงๆของเดฟเดินไปตามทางเดิน  เขารู้สึกราวกับเห็นเทวดาที่ปรากฏตัวมาเพื่อช่วยกู้เขาในยามวิกฤติ


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:54:36
ตอนที่ 9 รอยยิ้มยามรุ่งเช้า

โป้งตื่นขึ้นมาตอนตีห้าเหมือนทุกวัน เขาสะดุ้งเพราะอยู่ก็สัมผัสถูกสิ่งที่เหมือนเป็นคนนอนอยู่ข้างๆตัว

แต่พอนึกได้ว่า ก็คือโกล  เขาก็เลยถอนหายใจ

โกลยังคงหลับอยู่  โป้งเลยสำรวจร่างกายตัวเองเพื่อหาร่องรอยการล่วงละเมิดแต่ก็ไม่พบ

“เออ.. มันก็รักษาสัจจะดีนะ” เขาบอกกับตัวเอง

“ก็บอกแล้วไงต้องรอให้มึงเต็มใจก่อน  กูถึงจะทำ” โกลกล่าวขึ้น

“อ้าวนึกว่าหลับ” โป้งหันมามองหน้า

“ก็มึงเอาแขนมาฟาดกู กูก็ตื่นสิวะ”

โป้งทำหน้าเก้อๆ

“อ๋อ เหรอ..โทษที”

“ทำไม ตื่นเช้าจังวะ” โกลพลิกกายหันมามองหน้า

“ก็จะได้ออกไปวิ่งไง  วิ่งเยอะๆจะได้ฟิตๆ”

“เหรอ... แล้วกูต้องไปด้วยไหม” โกลถาม

“อ้าวก็แล้วแต่คิด  แต่มึงเป็นบัดดี้กูก็ควรไปด้วยกันสิวะ” โป้งตอบ

“แม่ง..” โกลลุกขึ้นมานั่ง

“นี่กูคิดผิดรึเปล่าวะ  มานอนกับมึงเนี่ย”

“เฮ้ยลุกๆ  ไปเร็วๆ  ไหนๆก็ตื่นแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้า  ไปวิ่งกัน” โป้งว่า  แล้วก็จับแขนโกลทั้งสองข้างลากให้ลุกขึ้น

 

สองหนุ่นวิ่งเหยาะไปตามถนนที่พึ่งจะสว่าง

“มึงวิ่งอย่างนี้ทุกวันเลยเหรอ” โกลถาม

“อืม.. มาหยุดช่วงย้ายมาใหม่ๆ เพราะไม่คุ้น  แต่ตอนนี้คุ้นแล้ว” โป้งตอบ  เสียงหายใจแรงผสมมาในคำพูด

“มิน่ามึงวิ่งได้ตลอดเกมไม่มีหมด” โกลพยักหน้า

“มึงก็ฟิตนี่” โป้งตั้งข้อสังเกต

“บ้านกูมียิม  กูก็ออกกำลังบ่อยๆ”

“พ่อ กูเขาอยากให้ กูเป็นนักบอลเหมือนท่าน  ก็เลยฝึกกูมาตั้งแต่เด็ก  ชีวิตกูน่ะ ไม่มีหรอกตื่นสายโด่ง  กูตื่นตั้งแต่ตีห้าทุกวัน  ออกไปวิ่ง แล้วก็ฝึกนั่นฝึกนี่ไปเรื่อย พอไปเรียนก็ต้องไปซ้อม ชีวิตกูมันเป็นแบบนี้ล่ะ” โป้งกล่าว

“ฟังดูน่าเบื่อ” โกลกล่าว

“ไม่ นะ  กูว่ามันก็สนุกดีออก  กูชอบเล่นบอล  มันสนุกมาก  กูว่ามันได้ปลดปล่อยดี  เวลาหงุดหงิดก็เตะบอลไปอัดอะไรสักอย่าง สักสี่ห้าที่ก็หายแล้ว  โกรธใครก็จิตนาการว่าบอลเป็นหน้ามัน แล้วอัดตูม...”

“โหดเหมือนกันนะมึง  กูนึกว่ามึงไม่เคยโกรธใครเสียอีก” โกลกล่าว

“บ้า กูก็โกรธเป็นนั่นล่ะ   แต่แม่กูบอกว่าโกรธก็โง่ โมโหก็บ้า  ท่านก็เลยสอนให้กูมองโลกในแง่ดี”  โป้งกล่าวแล้วเขาก็มองไปตรง

“แต่ ตลกนะ  ที่สุดท่านเองก็ ทำไม่ได้เอง  เพราะท่านกลับมองแต่ด้านเสียของพ่อ  ที่สุดก็ต้องเลิกกัน  ท่านแต่งงานใหม่กับน้าหมอ แล้วก็เอากูไปอยู่ด้วย”

โกลฟังเงียบๆ

“แต่น้าหมอก็ดีกับกูนะ  ท่านรู้ว่ากูชอบฟุตบอล ก็มาอุตส่าห์ไปดูวีดีโอ ไปเรียนเพิ่มเพื่อมาฝึกฝนกับกูได้  เรียกว่าทุ่มเทมากเลยล่ะ”

โป้งกล่าวแล้วเขาก็มีหน้าสลดลงนิดหนึ่ง

“แต่ ยังไงเขาก็ไม่ใช่พ่อกูจริงๆ  กูก็ยังอยากเจอพ่ออยู่ดี  แต่กูก็ไม่เจอเขามาหลายปีแล้ว  รู้แต่ว่าย้ายไปเรื่อยๆ  ทำงานนั่นนี่ไปเรื่อย  ที่ต้องย้ายบ่อยๆ เพราะเป็นหนี้โต๊ะบอลไปทั่ว  แต่ไม่มีใครอยากทำอะไรหรอก เพราะอย่างน้อยท่านก็เคยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ ก็เลยหนีไปได้เรื่อย บางที่ก็เพื่อนหรือไม่ก็ผู้หลักผู้ใหญ่ในสมาคมฟุตบอลนั่นล่ะช่วยเคลียร์”

“มึงอยากเจอพ่อใช่ไหม” โกลถาม

“อืม... สักครั้งก็ยังดี  กูอยากจะอวดท่านว่า ตอนนี้กูเล่นบอลได้ดีกว่าเก่าแค่ไหน.. กูอยากให้ท่านภูมิใจ และให้ท่านรู้ว่ากูยังรักฟุตบอลเท่าเดิม” โป้งกล่าวแล้วก็ยิ้มออกมา

โกลชอบรอยยิ้มนั้น  มันงดงามในแสงอรุณ  ทำให้ยามรุ่งเช้านี้งดงามขึ้นอย่างมาก มากจริงๆ

 

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พากันออกจากห้องเพื่อไปโรงเรียน

“ไม่เอารถไปด้วยแน่เหรอ” โป้งถามตอนรอลิฟต์

“เดี่ยวค่อยย้อนมาเอาก็ได้” โกลบอก

“เผื่อจะค้างอีกคืนไง พรุ่งนี้วันหยุดจะได้ไปเที่ยวกันด้วยไง”

“หา...นี่จะค้างอีกเหรอ” โป้งหันมาทำตาโต

“ห้องกูก็แคบขนาดนั้น เตียงก็แค่ห้าฟุต นอนเบียดกับมึงมันอึดอัดนะเว้ย”

โกลทำลอยหน้าลอยตา

“ไม่เห็นอึดอัด  อบอุ่นจะตาย”

โป้งส่ายหัว พอดีลิฟต์มาพอดี เขาก็เลยเดินเข้าไป แล้วร้องเพลงออกมา

“ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี.. ตรองดูสิทุกคนก็มีหัวใจ  เกิดเป็นคนถ้าหากไม่เกรงใจใคร  คนนั้นไซร้ไร้คุณธรรมประจำตน”

“ไม่... ไม่... ไม่..” โกลเอามืออุดหูแล้วส่ายหัวไปด้วย

 

ระหว่างสองคนเดินใกล้จะถึงโรงเรียน  โกลก็สังเกตเห็นจอมกำลังยืนละล้าละลังอยู่หน้าร้านขายเครื่องเขียน มีของขวัญกับดอกไม้ในมือ

“เอาอีกแล้ว” โกลกล่าวแล้วส่ายหัวดุกดิก

“อะไรเหรอ” โป้งถาม

โกลก็พยักเผยิบให้ดู

“นั่นจอมนี่” โป้งทำท่าจะเดินเข้าไป  แต่โกลดึงเขาเอาไว้

 พอดีกตอนนั้นมีเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านเครื่องเขียน

“นั้นลูกสาวร้านเครื่องเขียน” โกลว่า

 

“น้องเหมียว” จอมปรี่เข้าไปยิ้มหวาน ส่งยื่นดอกไม้และของขวัญ

เหมียวหันมาเห็นจอมก็แปลกใจ

“อะไรน่ะจอม”

“สุขสันต์วันเกิดครับ”

เหมียวทำหน้างง

“วันเกิด?” เธอทำหน้าแปลกใจกว่าเดิม

“ใช่ผมแอบให้สปายของจอมไปสืบ ถึงได้รู้ว่าวันเกิดเหมียววันนี้”

เหมียวเอียงคอ นึกอยู่นิดหนึ่งก่อนจะหัวเราะ

“อ๋อ... วันนี้วันที่สิบสองใช่ไหม” เหมียวถาม

“ใช่ๆ” จอมตอบ มือก็ยื่นส่งของขวัญมาให้ รอยยิ้มก็แย้มอย่างเต็มที่

“คือ เหมียวว่า” เหมียวกล่าว ลากเสียง  สีหน้าบอกได้ว่าเกรงใจจะพูดออกไป

“พี่เก็บไปเหอะ  เหมียวเกิดเดือนหน้า”

จอมหุบยิ้ม เอากล่องของขวัญมาหนีบไว้ แล้วเปิดดูในกระเป๋าสตางค์ตัวเอง

“ผมจำเดือนผิด” จอมยิ้มแห้งๆ

เหมียวถอนหายใจ

“งั้นเหมียวไปเรียนแล้วนะ”

แล้วเด็กสาวก็ทำท่าจะเดินไป

“เดี่ยวๆ” จอมมาดักหน้า

“งั้นผมเอามาให้เดือนหน้านะ”

เหมียวทำหน้าอ่อนใจ

“อย่าเลยจอม.. จริงแล้วจอมน่าจะรู้  คือเหมียวไม่ได้ชอบจอม” หญิงสาวตัดสินใจพูดตามตรง

“จอมเลิกตามตื้อเหมียวเถอะ”

จอมยืนตัวแข็งตอนที่หญิงสาวเดินผ่านเขาไป

โป้งจะเดินเข้าไป

แต่โกลดึงไว้ก่อน

“อย่าเลย” โกลบอก

“ดูโน่น” เขาส่งสัญญาณไปฝั่งตรงข้าม ปอกับตั้มมองมา คุยกันแต่ก็ไม่ได้ข้ามมาปลอบใจจอม

“อย่า ไปยุ่งกับมันตอนนี้  ไอ้จอมมันอกหักจนชินแล้วล่ะ  ไม่ต้องห่วงมัน คอยดูไม่เกินสามวัน เดี่ยวกันก็มีเป้าหมายใหม่ เด็กรอบๆโรงเรียนนี่มีกี่คนไม่เคยโดนไอ้จอมจีบ  ก็คงมีแต่ผู้ชายนั่นหล่ะ”

“ใจร้ายกันจังพวกมึงเนี่ย” โป้งส่ายหัว

แต่จอมก็เอาของขวัญส่งให้น้องม.ต้นที่เดินผ่านมา แล้วก็เดินไปแบบไม่ได้เจ็บปวดอะไรมาก

“มันคงเริ่มชินชา” โกลบอก

 

วสันต์แปลกใจไม่น้อยทีโป้งกับโกลเดินมาด้วยกัน

“เฮ้ยๆมีอะไรรีเปล่าเนี่ย” วสันต์มองหน้าโป้งแบบจับผิด

“ทำไมมึงสองคนมาด้วยกัน  หรือว่ามึงสองคน...”

“ก็เมื่อคืนนอนด้วยกัน ก็ไต้ต้องมาด้วยกันสิวะ”โป้งตอบแล้ววางกระเป๋าสะพายลง

วสันต์หันควับไปมาหน้าอำนวย

“นอนด้วยกัน”

“ใช่” โป้งตอบหน้าตาเฉย

“ตูดระบมหมดเลยเนี่ย... ไอ้โกลมึงอะ ทำแรง”

พูดแล้วทำท่ากุมก้น  แล้วหันไปดันไหล่โกล

โกลทำหน้าหน่ายๆ แล้วเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่ง

“ก้นระบม...” อำนวยกับวสันต์ประสานเสียกัน

“นี่มึง สองคน...” วสันต์ ทำหน้าตื่นตะลึง

“เป็นผัวเมียกันแล้วเหรอ” นวยต่อแทนให้

โป้งหัวเราะ

“พ่อมึง  กูไม่ได้ยอมง่ายๆขนาดนั้น  นอนด้วยกันเฉยๆ  ก้นกูยังเวอร์จิ้นมึงไม่ได้ต้องกลัว” แล้วก็นั่งลงกอดคอวสันต์

“จริงอะ” วสันต์ทำหน้าไม่ไว้วางใจ

“อ้าวมึงจะลองไหมละ  นี่” แล้วก็ตบก้นสองที

“ยังฟิตปั๋ง  ไม่มีหลวม ไม่ได้เสียดินแดนเว้ย”

อำนวยคลอนหัว

“มึงนี่กวนตีนใช้ได้นะ เห็นเงียบๆ”

“เพื่อนโป้งคร๊าบ” เสียงเดฟใสมาแต่ไกล

แล้วก็เข้ามานั่งลงข้าง เอามือวสันต์ออกไปแล้วกอดแทน

“เพื่อนโป้ง เดฟมีเรื่องจะมาแจ้ง”

วสันต์ทำหน้าหยีๆหลอก

“ข่าวอะไร” โป้งมองหน้าเดฟ

“ก็กัปต้นทีมของโป้งน่ะ อาจจะมาซ้อมไม้ได้ เพราะคุณย่าเข้าโรงบาล”

“หือ” โป้งทำหน้าแปลกใจ

แต่โกลลุกเดินมา

“จริงเหรอ” โกลถาม

“อืม... ผมเป็นคนช่วยกันกับเขาเอาไปส่งโรงบาลเมื่อคืน  หกล้มหัวแตกเย็บตั้งหลายเข็ม” เดฟตอบ


 


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:55:22
ตอนที่ 10 แผ่นหลังที่อบอุ่น

แต่กลับไม่ใช่อย่างที่เดฟว่า  เพราะตอนเย็นวู๊ดก็ยังมาซ้อม แม้จะลาโรงเรียนไปครึ่งวัน

โป้งกับโกลเดินเข้ามาเห็นเขายืนเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องล๊อกเกอร์

“ก็อย่างที่เดฟบอกนั่นล่ะ ล้มลงไปฟาดกับขอบอะไรสักอย่างหัวแตก” วู๊ดเล่าตอนกำลังสวมร้องเท้า

“แต่ตอนนี้มีคนอื่นไปเฝ้าแทนแล้ว กูเลยมาซ้อม เพราะยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว  อีกอย่างเราก็มีเวลาน้อยกันด้วย”

นี่คือคุณสมบัติของกัปตันทีม  โป้งได้ประจักษ์ก็วันนี้เอง

“โป้ง มึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วๆอย่าช้า  แล้วออกไปวอร์ม  วันนี้โค้ชจะให้มึงลองโยนลูกหลายๆแบบให้ดู  จะได้วางแผนรุกใหม่ให้เข้ากับมึง” วู๊ดกล่าวเสียงเข้มแต่ตบบ่าโป้งก่อนออกไป

โกลหันไปบอกกับโป้ง

“ถ้ามันสั่งก็อย่าช้านะมึง ไม่งั้นได้วิ่งแบกลูกบอลยี่สิบลูกรอบสนาม”

 

ในขณะที่คนอื่นก็ซ้อมรับส่งบอล

โป้งกำลังใช้พื้นที่ครึ่งสนามเพื่อเปิดลูกจากตำแหน่งต่างๆให้โค้ชดู

เขา ลากพาบอลไปด้านซ้ายปกติ พอได้จุดที่โค้ชบอกเขาก็เตะลูกโค้งไซด์โป้ง เข้าไปหน้าประตู  ซึ่งทำให้โกลกระโดดไปปัดได้สุดปลายมือเนื่องจากมันพุ่งเข้าหาประตูตรงมุมบน เสาไกล

โค้ชมองวิถีลูกโค้งแล้วก็จด

“แล้วถ้าเป็นOut side (ไซด์ก้อย)”

โกลขว้างบอลออกมาไกล  โป้งก็วิ่งย้อนกลับไป แล้ว เลี้ยงบอลมาทางเดิม จุดเดิมแล้วโยนเป็นไซด์โค้งด้วยช้างเท้าด้านนอก  ทำให้ลูกบอล โค้งย้อนมาทางด้านซ้ายแล้วกำลังมุดลงใต้คาน  แต่โกลก็ยังตามไปปัดออกมาได้อีก

“อืมม” โค้ชทำเสียงในลำคอแล้วก็จดอีก

“ต่อไปเอาแบบไม่เล็งประตู  ขอเป็นโยนไปลงตรงจุดโทษ จากกลางสนามก่อน แล้วค่อยๆไปทางซ้ายจนถึงมุมธง”

“ครับ” โป้งตอบรับ แล้วเหยียบลูกบอลที่โกลเตะกลับมาไว้

ปอกับตั้มที่กลับซ้อมรับส่งรูป หยุดชั่วครู่ เราเพราะปอเหยียบบอลไว้

“มึงว่า  ไอ้โกลมันดูเป็นมิตรขึ้นไหม”

ตั้ม มองไปที่สนาม  ตอนนี้โกล วิ่งเข้ารับลูกที่โป้ง เตะโค้งมาลงในกรอบเขตโทษ กระดอนพื้นแล้วเปลี่ยนทาง แต่เขาก็ยังคาดหมายทิศทางได้ถูกต้องเข้าไปรับเข้าซอง  แล้วขว้างคืนไปให้โป้ง

“อืม กูก็ว่า  มันดูสนิทกับไอ้โป้งมากเลยนะ”

สองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อยุ่รูเท่าทันกัน

“หรือมันจะ... กินกันเรียบร้อยแล้ว...” ปอเดินเข้าไปหาตั้มที่เดินมาเหมือนกัน  กอดคอกันซุบซิบ

“กูว่าแน่นอน เลยนิ..  กินตับกันไปแล้วแน่นอนเลย”

“มึงว่าใครรุก”

“ไอ้โกลสิ..สูงยาว  ไอ้โป้งต้องรับ..โอ่ว..ลิงอุ้มแตง.. อ่าๆอ่า”

แล้วก็หัวเราะกันคิกคัก

“ไอ้สองตัว ใครให้มึงหยุด” เสียงวู๊ดเอ็ด

“วิดพื้นคนละสิบ” วู๊ดเหยียบบอลไว้แล้วชี้

สองซี้หันมายิ้มแห้งๆ

แล้วก็ล้มหน้าลงดันพื้นคนละสิบทีตามคำสั่งกัปตัน

วู๊ด ส่ายหัว แล้วเขาก็เห็นหนุ่มร่างสูงเดินควงคฑามาในระยะไกล  เขากำลังสนทนากับเด็กหนุ่มร่างสันทัดดวงหน้าจีน เหมือนกำลังปรึกษาอะไรกัน

ในตอนนั้นเอง ที่วู๊ดหัวใจรู้สึกแปลบเจ็บอย่างประหลาด

“วู๊ด” โค้ชป้อมเรียก

“ครับ” วู๊ดหันมาขาน

“ให้เพื่อนแบ่งกลุ่มหกคนเล่นลิงชิงบอล”

โป้ง เลี้ยงลูกไต่ริมเส้น แล้วเปิดหักข้อโยนบอลมาหน้าประตู  อัครที่รออยู่ก็กระโดดเทคตัวสูงเกือบเมตรครึ่งโขกลูกด้วยหน้าผากสะบัด เปลี่ยนทิศไปทางมุมล่างประตูกะให้เบียดเสาเข้าไป  แต่โกลก็ยังล้มตัวไปปัดออกไป

โค้ชป้อมที่ยืนอยู่ในวงกลมกลางสนาม ก็โยนลูกบอลอีกลูกจากกองไปให้โป้งที่ถอยมายืมริมเส้นบริเวณกลางสนาม

โป้งพยักหน้ากับสัญญาณว่าให้เป็นลูกต่ำ

เขาเตะบอลไปข้างหน้าแล้วเลี้ยงไปทิศทางเดิมประมาณหนึ่งก็โยนลูกโค้งแต่ค่อนข้างต่ำไปหน้าประตู

ปอที่ตามมองตามลูกวิ่งมาแล้วหมุนตัววอลเล่ย์ เต็มแรงลูกพุ่งไปเหมือนติดเครื่องเจ็ต แต่ก็ไปติดบล็อกของโกลอยุ่ดี

“เหนียวไปไหนนี่” ปอบ่น แล้วส่ายหัวดุกดิก

“อ่อน” โกลยิ้มเย้ย

ปอก็เลยแลบลิ้นหลอก  แล้ววิ่งไป

สุรีวัลเก็บลูกมาจากด้านหลังประตู กอดมาสองลูก เตะเลี้ยงมาอีกลูกหนึ่ง  เข้ามาในวงกลมกลางสนาม

ทักษะฟุตบอลของสุรีวัลนี้มาจากการที่เคยเป็นนักฟุตบอลหญิงทีมชาติ  แต่เลิกเล่นไปเพราะบาดเจ็บที่ข้อเท้าหนักจนต้องใส่เหล็กเอาไว้

เธอมองโป้งเตะเรียดต่ำไปหน้าประตู  แล้วตั้มก็วิ่งเข้าไปยิง แต่ตรงตัวของโกลที่รับเข้าซองพอดี

“ทีมนี้ดูดีมีอนาคต”

“ก็มีอาวุธใหม่มาสองชิ้น  นี่ผมก็กำลังวางแผนใหม่อยู่.. จะใช้ประโยชน์จากความแม่นของโป้ง” โค้ชป้อมโยนบอลไปให้โป้ง

 "โค้ชได้เจอพี่เทพบ้างไหม” สุรีวัลถาม

เธอหมายถึงเทพฤทธิ์ พ่อของโป้ง

“ไม่เจอมาปีกว่าๆ  ครั้งล่าสุดมายืมเงิน แต่ผมไม่มีให้  ให้ไปแค่สองพันป่านนี้ก็ยังไม่คืน”

“แย่เลยนะ” สุรีวัลถอนหายใจ

“นี่แกก็น่าจะมาเยียมลูกบ้าง  ไม่รู้ว่าแกรู้ไหม ลูกแกเก่งมากๆ”

“รู้สิ” โค้ชบอกมองตามลูกชายของรุ่นพี่

“แต่ แกไม่กล้ามาเจอ  แกไม่อยากให้โป้งเห็นสภาพแกตอนนี้ แต่แกก็ภูมิใจนะ  แกบอกว่าจากที่แอบไปดูเล่นครั้งสุดท้าย  แกว่าลูกเก่งกว่าแกตอนอายุเท่ากันแล้ว”

 

ปอแซวโป้งตลอดทางเดินออกมาจากโรงเรียน

แต่โป้งก็แค่ตอบโต้ไปประปราย

“แหม่กูนอนกันแค่คืนเดียว  พวกมึงก็มโนกันแล้ว  ทีมึงกับไอ้ตั้ม  ไปไหนมาไหนกันตลอด..”

“ไม่เหมือนกันเว้ย กูไม่ได้คิดอะไร กูแมน.. จริงไหมวะตั้ม” ปอหันไปหาเสียงสนับสนุน

ตั้มแกล้วทำตาเยิ้ม

“ไม่อะกูคิด... ตูดมึงขาวน่ากัดอยู่”

ปอมองหน้า แต่ก็รับมุก  ทำเป็นตีแขน

“บ้าแล้วก็ไม่บอก กูเต็มใจให้กัดเลยนะนั่น”

โกลส่ายหัวดุกดิกอย่างอ่อนใจ  แต่ก็ยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไรเล่า” โป้งเหวี่ยงกระเป๋ากระแทกก้นโกล

“แทนที่จะช่วยกูเถียงมัน”

“ไม่ล่ะ” โกลลอยหน้า

“ก็กูคิดกับมึงจริงๆ แต่กูรอให้มึงยอมเอง กูแค่ไม่ปล้ำมึงแค่อย่างเดียว ไม่ได้บอกว่าไม่คิด”

ปอกับตั้มมองหน้ากัน ทำตาโต

“เหี้ย..โคตรเปิดเผย”

“ไม่อ้อมค้อมเอาตรงๆเลยเว้ยเฮ้ย”

วู๊ดเดินเงียบๆมาตามหลังมา 

คู่หูของเขาคืออัคร ก็เลยทัก

“มีอะไรรีเปล่า  หน้าตาไม่ค่อยสบายเลยมึง”

วู๊ดมองหน้าคู่หู

“ย่ากูเข้าโรงพยาบาล” วู๊ดตอบตามตรง

“อ้าวเหรอ เป็นอะไร”

“ล้ม” วู๊ดตอบสั้น ก่อนจะอธิบาย

“หัวแตกเย็บ  ท่านแก่มากแล้ว เลยแย่หน่อย”

อัครพยักหน้าช้าๆ

“โรงพยาบาลอะไร”

พอวู๊ดบอกชื่อโรงพยาบาล อัครร้อง

“มันแพงบรรลัยเลยไม่ใช่เหรอวะ”

วู๊ดทำหน้าเซ็งพลางพยักหน้า

“เดฟมันออกไปก่อน  นี่กูยังไม่รู้จะเอาที่ไหนไปคืน  มันจ่ายล่วงหน้าไปสามวัน ปาไปเกือบแสน  บ้านกูก็จนด้วยสิ”

โป้งเดินไม่ไกลนักก็เลยได้ยิน ชะลอเท้าเพื่อให้ลงมาทันกับกัปตันทีม

“เดี่ยวกูโทรคุยกับน้าหมอให้  น้าหมอน่าจะมีคนรู้จักอยู่โรงพยาบาลรัฐ ย้ายซะจะได้ถูกหน่อย”

วู๊ดมองหน้าโป้ง แล้วก็เอามือเกาะไหล่

“ขอบใจว่ะ”

ตอนนี้ทั้งหมดออกจากโรงเรียนมาแล้ว  มอเตอร์ไซด์คันหนึ่งเทียบมาจอด

“ไปวู๊ด เดี่ยวกูพาไปหาโรงพยาบาลแล้วไปส่งบ้าน”

วู๊ดหยุดเท้ามองหมวกกันน๊อกที่ยื่นส่งมา

“ไปสิ จะได้ไปเยี่ยมอาม่ามึง”

วู๊ดมองหน้าเพื่อนก่อนจะรับหมวกนั้น แล้วก็สวมก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย

“เดฟนี่เขามีน้ำใจดีนะ” โป้งกล่าวออกมา

ปอก็เอามือเกาะไหล่

“โคตรเลยล่ะ  ทั้งหล่อทั้งมีน้ำใจ  เสียอย่างเดียวแม่งจะแดรกไอ้จุ๊ยให้ได้ ไอ้เหี้ยจุ๊ยก็ใจโคตรแข็ง  เป็นกูก็ยอมไปแล้ว”

“มึงก็ไปบอกมันสิว่ามึงยอม” เสียงดังมาจากข้างหลัง

ทั้งห้าหันไป  ชายหนุ่มตัวสูงเป็นรุ่นพี่  นั้นคือไตรสะพายกล่องแซกโซโฟนมาคู่กับจุ๊ย

ปอหน้าจืดเพราะหน้าตาไตรบอกเลยว่าไม่สบอารมณ์

จุ๊ยมองหน้าพี่ไตรของเขา ก่อนจะแก้สถานการณ์

“เหี้ย จริงอะ..  งั้นมึงก็เตรียมตูดบานเลย  ไอ้เดฟนี่มัน... เท่า’นี่’ เลยนะเว้ย” ว่าแล้วก็ยกแขนกำหมัดประกอบ

“แหกแน่มึง”

โป้งหัวเราะ

“จุ๊ยรู้ได้ไง” โป้งถาม

“ก็มันเอามาดุนทุกวัน... แม่เอ้ย เท่านี่... จริงๆ” จุ๊ยย้ำแล้วทำท่าเดิม

 

เดฟมองเหลือบกลับมาเห็นวู๊ดนั่งโดยเอามือจับเบะขอบเบาะเอาไว้

“เกาะเอวก็ได้  ไอ้คันนี้มันไม่มีราวจับ” เขากล่าว แล้วหันไปมองสัญญาณไฟของอีกด้านของสี่แยกซึ่งกำลังได้สัญญาณไฟเขียว

พอเห็นรถที่วิ่งเข้ามาเริ่มชะลอ เขาก็ออกรถ

วู๊ดมองเดฟจากด้านหลัง  เขาค่อยๆเอามือข้างหนึ่งจับที่เอวเดฟ

“เกาะแน่นๆนะเว้ย” เดฟตะโกนแข่งกับสายลมแล้วบิดเร่งเครื่องขึ้นอีกนิด

“เอ้ย” วู๊ดร้องเพราะเขาไม่ค่อยได้นั่งรถจักรยานยนต์

“มึงอย่าเร็วนักสิวะ”

แล้วเขาก็กอดเอวเดฟไว้ทั้งสองแขน

ในตอนนี้ความอบอุ่นจากแผ่นหลังของเดฟทำให้วู๊ดแม้กำลังทุกข์ใจก็อบอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาดจนเขาเผลอยิ้มออกมา แถมหน้ายังแดงเรื่อๆ

เดฟมองหน้าวู๊ดจากกระจกมองหลัง  แล้วเขาก็ยิ้มที่มุมปาก

 


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:56:07
ตอนที่ 11 อรรถ อาจารย์ฝึกสอน

โกล ไม่ยอมกลับบ้านจริงๆนั้นล่ะ  โป้งก็ไม่รู้จะไล่ยังไง  แถมเขาก็ไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อน  ก็เลยรู้สึกดีเหมือนกันที่มีโกลเป็นเพื่อน

ทั้งสองชวนกันออกมาเดินเที่ยว แถวสะพานพุทธ ที่มีของขายหลากหลาย

โป้งติดใจเสื้อยืดทำมือ เขาดูแล้วดูอีก แต่กลับวางลงโดยพับให้เหมือนเดิม

“อยากได้ใช่ไหมเล่า” โกลถาม  แล้วหยิบตัวที่โป้งดูมือสักจับโป้งหันหลังแล้วทาบ

“พอดีด้วยนะ ตัวนี้”

“เท่าไหร่ครับ” โกลถาม

“เฮ้ยโกล” โป้งจะท้วง แต่โกลส่งเสื้อให้คนขายแล้วล้วงเงินออกมาจ่าย

โป้งมองหน้าตอนโกลส่งถุงมาให้

“เฮ้ยกูไม่โอเคนะมึง  แบบนี้มึงเหมือนเอาเงินฟาดหัวกู”

โกลหน้าเสีย

“เฮ้ย กูก็แค่อยากให้ ทำไมมึงคิดอย่างนั้น”

โป้งถอนหายใจ รับถุงมา

“โกล.. มึงต้องหัดเข้าใจมิตรภาพเสียบ้างนะมึง  ไม่ใช่ว่าทุกคนเขาคบมึงเพราะเงิน  กูไม่ใช่คนหนึ่งล่ะ  มึงจะรวยก็เรื่องของมึง กูก็ไม่ใช่อดอยาก  กูคบมึงก็เพราะมิตรภาพ เพราะเราเป็นคู่หูกัน  ไม่ใช่เพราะมึงรวยนะโกล”

โกลมองหน้าโป้ง

“อันนี้กูยืมก่อน  เดี่ยวเบี้ยเลี้ยงซ้อมออกกูจะคืนให้”

โกลมองหน้าโป้ง

“โป้งมึงโกรธเหรอวะ” โกลถาม

โป้งถอนหายใจอีกรอบ

“ก็โกรธสิ” แล้วเขาก็เกาะไหล่โกล พาเดินไปด้วยกัน

“มิตรภาพ มันไม่ซื้อด้วยเงินนะเว้ยโกล..  หัวใจเป็นสิ่งที่ซื้อกันไม่ได้  มึงจะซื้อทุกอย่างด้วยเงินไม่ได้นะโกล  เพราะกูไม่ได้หวังจะได้เงินมึงด้วย  ถ้ามึงซื้อใครด้วยเงิน  มึงได้ตัวเขาไป  แต่หัวใจมึงไม่มีทางจะได้  วันไหนมึงหมดเงิน  เขาก็จะทิ้งมึงไป  แต่ถ้ามึงใช้ใจซื้อ  มึงจะได้ใจของคนคนนั้นไปด้วยนะโกล”

โกลหันมามองหน้าโป้ง  เขารู้สึกว่าอยากจะกอดเสียให้แน่น  แต่ทำได้แค่เอาแขนโอบไหล่อย่างฉันมิตรเท่านั้น

 

โป้งคุยโทรศัพท์กับแม่โดยใช้โทรศัพท์ ที่ได้รับมาจากเธอตอนที่มาส่ง

โป้งกำลังนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่บนพื้นกลางห้อง ก็หันไปมองเป็นระยะ

บทสนทนาของโป้งช่างเรียบง่ายจนเขาอมยิ้มไม่ได้เพราะขำ

“ครับแม่... ผมทราบแล้ว”

“ครับ  ผมทำทุกวัน”

“ครับ  ก็เห็นแล้ว”

“ครับ ครับ ผมรู้แล้วครับแม่

“ครับ ครับ ครับ”

พอรู้ว่าโกลมองมา  เขาก็หันมากรอกตาให้

ทำนองว่านี่ล่ะ แม่กู

กว่าโป้งจะได้บอกเรื่องราวที่ทำให้เขาโทรมาได้ก็เปืบสามสิบนาทีผ่านไป

“ครับ แม่ขอบคุณครับ  กินแล้วครับ นี่มันสี่ทุ่มแล้วนี่ครับ    ครับกำลังจะนอนแล้วครับ ไม่ดึกหรอกครับ ไม่สายด้วยเพราะโรงเรียอยู่ใกล้  วิ่งทุกวันครับแม่ ครับ ครับ  สวัสดีครับแม่”

แล้วโป้งก็ถอนหายใจ  กดตัดสัญญาณโทรศัพท์

“ไม่แปลกใจเรื่องป้ายเตือนที่เต็มห้องนี่เลย...โดนยิงคำถามมาเป็นชุดเลยสินะ”

โป้งเอาโทรศัพท์เก็บในลิ้นชัก

“ก็ท่านห่วงฉันมาก  บางทีก็มากเกิน “โป้งยิ้ม

“ตกลงแม่บอกว่าจะคุยกับน้าหมอให้ เดี่ยวพรุ่งนี้คงได้คำตอบ แล้วค่อยไปบอกกับวู๊ด”

“ดูอะไรอยู่” โป้งถาม

“ทีวี” โกลตอบหน้าตาเฉย

โป้งท้าวสะเอว

แล้วเตะป๊าบไปที่ก้น แต่ไม่ได้แรงนัก

“กวนตีน”

โกลหัวเราะแล้วกลิ้งตัวไปข้าง ๆ

“ก็กูดูทีวิอยู่  มึงเห็นเป็นเครื่องซักผ้าเหรอ”

โป้งคลอนหัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

เข้าห้องน้ำไปแล้ว โป้งก็ยืนยิ้มให้กับรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของโกล

นี่กระมั้งโกลที่ป้องเคยเห็น

นายคนนี้เมื่อหัวเราะแล้วก็เป็นคนน่ารักใช่ได้

 

สุรีวัลยืนอยู่ชั้นสองของอาคารใกล้สนามฟุตบอล จ้องลงไปในสนามเพื่อมองหาจุดผิดพลาดในการฝึกซ้อมแผนการรุก

หนุ่มโป้งยืนอยู่ตรงกลางสนามฝั่งซ้ายมองมาทางโค้ชป้อม พอได้สัญญาณเขาก็เลี้ยงบอลไปข้างหน้าด้วยความเร็ว

เผชิญหน้ากับตั้มในแนวรับ

เขาสับขาหลอกหนึ่งจังหวะ ก่อนจะจิ้มบอลหนีก่อนจะเปิดหักข้อเฃ้าไปในเขตโทษ 

อัครที่ยืนอยู่เสาไกลก็โหม่งเช็ดหนึ่งจังหวะ

แม้ต้องเบียดกับจอม แต่ลูกก็ยังไปถึงปอที่วิ่งหนีตัวประกบมาแล้วซัดตูมตรงบริเวณกรอบด้านในเขตโทษ

ลูก บอลพุ่งไปอย่างแรง แต่ตรงตัวของโกลที่อ่านจังหวะเกมแล้วเข้ามารับ ทว่าทะลักออกไปข้างๆด้วยความรุนแรงนั้น แต่เขาก็ตามไปคว้าไปแล้วล้มตัวลงกอดลูกไว้

“ถ้าประตูไม่เก่งก็เข้าแล้ว” คนที่กล่าวเป็นหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ  สุรีวัลหันไปมอง

“ทีมนี้ดูดีมากเลยนะครับ” หนุ่มน้อยหันมา

“น้องที่เป็นคนเปิดบอลนี่ชื่ออะไรครับ คล่องมากเลย”

หนุ่ม คนนี้เป็นอาจารย์ฝึกสอน  รูปร่างสันทัดมาตรฐานชายไทยแต่มีร่างกายดูเหมือนนักกีฬา  เขาชื่ออรรถ เป็นอาจารย์ฝึกสอนจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียง  เธอได้ยินมาว่าเขาเป็นักฟุตบอลของมหาวิทยาลัยด้วย

“โป้ง เทพพร เด็กคนนี้คล่องมาก  แถมแม่นมาก  ทั้งลูกนิ่งและลูกวิ่ง” อาจารย์สุรีวัลตอบ แล้วมองลงไป

โป้ง กำลังฟังป้อมเพชรบอกเรื่องทิศทางลูก เพราะเมื่อสักครู่ ลูกเปิดของเขาเกือบโดนเซนเตอร์อีกตัวหนึ่งที่เล่นคู่กับจอมโหม่งได้  แถมเมื่อสักครู่ อัครก็ต้องขยับเข้ามาโหม่ง

พอได้คำแนะนำ  โป้งก็เอาลูกไปตั้งจุดเดิม  แล้วพอได้สัญญาณเข้าก็เลี้ยงจี้เข้าหาตั้มอีกรอบ

ทำท่าเหมือนจะขยับ  แต่ใช้การจิ้มบอลลอดขาตั้มที่ขยับจะไปขวางทาง แล้ววิ่งผ่านตั้มที่กำลังเสียหลักไปหาบอลแล้วโยนไปโดยไม่จับ

ลูกได้ทิศทางและน้ำหนัก ลอยไปตรงเสาไกล

คราว นี้อัครที่เบียดอยู่กับปีกซ้ายโหม่งได้ถนัด  ลูกจึงมุ่งมาปอที่รออยู่สับยิงเต็มข้อ  ลูกพุ่งไปทางซ้าย แม้โกลจะตามมาบล็อกลูกได้ แต่มันก็ทะลักเข้าประตูไป

ตอน นั้นโป้งเข้าไปตบมือกับเพื่อนๆ ในแนวลุก แล้วก็ไม่วายหันไปแหกตาแลบลิ้นหลอกโกล   โกลก็คงหมั่นไส้เอาลูกบอลที่เดินเข้าไปหยิบด้านในประตูออกมาปาใส่ แล้วชี้หน้าแต่บนรอยยิ้ม

อรรถมองตามร่างเด็กหนุ่ม แล้วก็ยิ้มออกมา

“โป้ง.. โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”

 

โป้ง ดื่มน้ำจากแก้วที่ปอส่งมาให้ แล้วก็กระโดดๆก่อนจะยืนหมุนไปหมุนมาเพื่อให้ร่างกายยังคงอบอุ่น เพราะพักประเดี่ยวก็ต้องลงไปในสนามอีก

“โป้ง” เสียงเรียกทำให้เขาหัน

เด็กหนุ่มหันมอง  เห็นเป็นหนุ่มร่างสันทัดผิวสองสีดวงหน้าคมคายเข้าขั้นหล่อ  เขาเดินล้วงกระเป๋าเข้ามา

เขาเขม้นมอง

“โตขึ้นเยอะเลยนะ  พี่จำไม่ได้เลย” หนุ่มในชุดนักศึกษาแบบเต็มยศมีเนคไทติดเข้มมหาวิทยาลัยด้วย

พอเข้ามาใกล้ๆ  โป้งค่อยระลึกได้

“พี่อรรถ” โป้งยกมือไหว้ แล้วเรียก

อรรถเข้ามาบีบต้นแขนของโป้ง

“เป็นหนุ่มแล้วหล่อเหมือนกันนะเนี่ย”

“โป้ง” อาจารย์ป้อมเพชรเรียก

โป้งหันไปก่อนจะ หันมาบอกกับอรรถ

“ผมไปซ้อมก่อนนะ” แล้วก็วิ่งลงสนามไป

อรรถจึงเดินไปหานั้งที่ม้ายาวใกล้ มองลงไปในสนาม

เขา พบโป้งครั้งสุดท้ายตอนเขาอยู่มหาวิทยาลับปีสอง ไปค่ายอาสาที่จังหวัดเชียงราย  โป้งที่มาช่วยพวกเขาปรับปรุงห้องสมุดของโรงเรียนประถมที่อยู่ใกล้ๆกันกับ โรงเรียนของโป้งตามคำร้องขอของผู้ใหญ่บ้าน   นั่นเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบหลายปีนับตั้งแต่แยกกันไปตอนโป้งติดตามแม่ของ เขาไปอยู่เชียงราย

อรรถ เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของเทพฤทธิ์ จึงสนิทสนมกับโป้งมาแต่เด็กๆ สำหรับอรรถ โป้งเป็นเด็กพิเศษที่เก่งกาจ  ฉายแววความสามารถมาตั้งแต่เล็ก แล้วยังขยันฝึกซ้อมทุกวัน ด้วยใจรักในกีฬานี้..

เขาติดใจรอยยิ้มที่เหมือนโยกย้ายความวิตกกังวลไปจากใครก็ได้ของโป้ง  มันสดใสและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา..

ตอน นี้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู  คิ้วเข้มปากบาง มีแก้มเล็กน้อย  อรรถรู้สึกบางอย่างที่ต่างออกไปกับความเอ็นดูต่อเด็กชาย..

ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังยืนที่มุมธงด้านขวา  ได้รับสัญญาณก็ถอยหลัง แล้ววิ่งไม่ได้เร็วนัก  เตะลูกปั่นโค้งจนเห็นมันเลี้ยวเข้าหาประตู

กองหน้าเบียดกับกองหลัง แล้วฉวยจังหวะกระโดดขึ้นเทคตัวโหม่งไปติดการเซฟของผุ้รักษาประตู

ลูกกระดอนออกมาถึงโป้ง เขาเหยียบบอลเอาไว้ แล้วหยุดเพราะได้ยินโค้ชเรียกเขา

โค้ชเดินเข้ามาพูดกับโป้ง เขาก็พยักหน้าตามคำพูดของโค้ช  แล้วก็เลี้ยงบอลด้วยหลังเท้ากลับไปที่มุมธง

เด็กหนุ่มหันมาเจออรรถพอดี  ก็เลยยิ้มให้ ก่อนจะหันกลับไปเพื่อโยนลูกอีกครั้ง

อรรถยังคงยิ้มค้างมองเด็กหนุ่มโยนลูกเตะมุมเข้าไปด้วยระยะความโค้งที่ได้รับการแก้ไขแล้ว

“เด็กใหม่นี่เท่ห์มากเลยนะแก” เสียงดัดเป็นเสียงผู้หญิงของเด็กหนุ่มกล่าวแก่กัน

“น่ารักมาเลย  หน้าตาเหมือนญี่ปุ่น เกาหลี  โอยสเปกอะ”  อีกคนว่า

“อยากได้อยากได้..”

“ชื่ออะไรนะ โป้งใช่ไหม.. “

อรรถหันไปมองในสนาม  พบว่าลูกเข้าประตูไปแล้ว โป้งก็เดินไปตีมือกับคนทำประตูที่วิ่งออกมา  ซึ่งเป็นหนุ่มหน้าตาคมคายอีกคน

“ทุกครั้งที่เจอ นายจะเก่งขึ้นทุกทีเลยนะโป้ง”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:57:20
ตอนที่ 11 ฟรีคิกจาลูกชาย ถึงเทพฤทธิ์ผู้หลงทาง

หลังเลิกซ้อม  วู๊ดกลับได้เจอเดฟเดินมาลำพังคนเดียว

“อ้าว ทำไมพึ่งกลับ” วู๊ดเดินแยกไปจากกลุ่มเพื่อนไป

“ก็พึ่งซ้อมควงคฑาเสร็จ  พอดีคิดท่าใหม่ได้ เลยซ้อมกันคนเดียว ลืมเวลาเลย” เดฟตอบแล้วขยับแขนแสดงให้เห็นว่าล้า

“แล้วจุ๊ยล่ะ” วู๊ดถาม เพราะปกติเดฟจะกลับบ้านเวลาใกล้ๆกับจุ๊ย

“มันไปเล่นประกวดดนตรีรอบรองชนะเลิศ  สงสัยกลับบ้านไปเลย”เดฟตอบก่อนจะถาม

“กลับพร้อมกันไหม ฉันอยากกินข้าวหมูแดงหน้าปากซอย  วันก่อนให้แม่บ้านไปซื้ออร่อยดี”

วู๊ด ยิ้มอย่างเต็มใจแล้วก็เดินคู่กับเดฟ เล่าเรื่องการย้ายโรงพยาบาลของย่า  เดฟก็ซักนั่นซักนี่เหมือนไม่ค่อยไว้ใจมาตรฐานของโรงพยาบาลรัฐ เพราะโรงพยาบาลที่ย้ายไปเป็นโรงพยาบาลไม่ใช่โรงพยาบาลรัฐดังๆที่เดฟรู้จัก

 

โกลบอกโป้งว่าจะกลับบ้านแล้ว  โป้งทำหน้าแปลกใจ แถมไม่เชื่อ

“อยู่ดีๆก็จะกลับ  อยู่มาเป็นอาทิตย์ จริงหรือเปล่านี่”

ว่าแล้วก็ตักข้าวไข่เจียวใส่ปาก

“จริงๆ  แต่เดี่ยวขอไปเก็บของก่อน”

“เออๆ ตามใจ อยากกลับก็กลับ ดีกูจะได้นอนเตียงกว้างๆ”

โกลยิ้มแล้วก็ตักข้าวราดกุ้งกระเทียมเคี้ยวกิน

 

โกลเริ่มต้นกวาดเสื้อผ้าของเขาที่ให้คนเอามาให้ที่โรงเรียน  ใส่กระเป๋าย่าม  จากนั้นเขาก็หันไปหันมา

“พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเนอะ  ไม่ต้องเอาชุดนักเรียนไป” โกลกล่าว

“เออ.. แต่มึงก็ขนกลับไปให้หมดเลยสิ เดี่ยวก็ไม่มีใส่”

“ฉันมีเป็นสิบๆชุด  ชุดนักเรียนนี่ ทิ้งไว้ห้องนายสักสองสามชุดก็ไม่เป็นไร แต่ของนายสิ... เอาไปด้วยดีกว่า จะได้ไว้ใส่วันจันทร์”

“หือ” โป้งที่กำลังนอนอ่านหนังสือพิมพ์กีฬาหันขวับมา

“เอ้ยๆ ทำอะไรวะ” เขาร้อง

เพราะตอนนี้ โกลเอาเสื้อนักเรียนของโป้งใส่กระเป๋าไปสองตัว

โกลหันไปหยิบของอย่างอื่นด้วย กวาดกางเกงนักเรียนสองตัว กางเกงในสามตัว เสื้อซ้อมฟุตบอล

“อะไรของมึง มึงเอาของกูไปทำไม” โป้งลุกขึ้นมาจะแย่งกระเป๋า แต่โกลลุกเขากระเป๋าซุกหลัง

“มึงต้องไปนอนบ้านกูบ้าง”

“เอ้ย... บ้าแล้ว” โป้งร้อง

“ไม่รู้หละ  ถ้าไม่ไปกูก็ไม่คืน” โกลทำท่าส่ายก้นประกอบเหมือนเด็ก

“ไอ้ห่าเอ้ย” โป้งด่าแล้วทำท่าจะแย่งต่อ

“ไม่ให้ ไม่ให้” โกลทำเสียงเล็กเสียงน้อย

โป้งถอนหายใจเฮือกใหญ่  เพราะไม่มีปัญญาจะแย่ง เนื่องจากโกลตัวใหญ่และมีกล้ามเนื้อแข็งแรงกว่า

 แต่พอมองหน้ามองหน้าโกล  ตอนนี้โกลไม่หลงเหลือมาดของผู้เงียบขรึมแล้ว กำลังยิ้มทะเล้นให้เขาอย่างกับเป็นคนละคน

โป้งหันหน้าซ่อนรอยยิ้ม

“ก็ได้ๆ ก็ได้ แต่พรุ่งนี้มึงต้องพากูไปเที่ยวด้วยนะเว้ย กูอยากไปเที่ยวพารากอน” แล้วโป้งก็เดินเข้าห้องน้ำ

“ไปขี้เหรอ” โกลถามแซว

“เอาแปรงสีฟัน  จะให้กูใช้ของมึงหรือไง” โป้งตอบ

 

“ไอ้เหี้ยนี่มันบ้านคนหรืออะไรวะเนี่ย” โป้งร้องออกมาแล้วถอดหมวกกันน๊อก

ตอนนี้บ้านของโกลที่เป็นคฤหาสน์ใหญ่ ออกแบบเลียนแบบสถาปัตยกรรมยุควิคตอเรียไว้อย่างสวยงาม  และสว่างวอบแวมด้วยแสงไฟจากมุมต่างๆ

“เฮ้ยนี่มึงอยู่กันกี่คนวะ  ทั้งตระกูลเลยไหมเนี่ย”

โกลถอดหมวก แล้วหันไปส่งกุญแจให้คนขับรถที่วิ่งมารับอย่างรู้งาน

“สามคน” โกลตอบ

“กู แม่ แล้วก็พ่อ แต่ก็ไม่ค่อยอยู่หรอก กูอยู่คนเดียวซะมาก”

แล้วโกลก็เดินนำเข้าบ้าน  โป้งหันไปรอบๆพลางเดินไปด้วยความตื่นตา

 

โป้งนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงของโกลที่ใหญ่กว่าเตียงเขามาก  เพราะเป็นเตียงพิเศษขนาดแปดฟุต

“โอย  สบายจัง” โป้งว่าแล้วนอนหงายมองดวงไฟที่ทำเป็นดาวเพดาน สวยงาม

“มึงจะทนนอนอุดอู้อยู่ห้องกูทำไมวะ บ้านมึงสบายออก  ดูสิแม่ง.. เตียงก็โคตรนิ่มอย่างเตียงโรงแรมห้าดาว”

“เคยนอนด้วยเหรอโรงแรมห้าดาว” โกลถามขณะถอดนาฬิกาออก วางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วก็นั่งลงบนเตียง

“เคยสิ” โป้งพลิกตัวมา

“กูเคยตามน้าหมอไปสัมมนา เขาให้พาครอบครัวไปได้  เตียงโรงแรมแม่งโคตรนิ่มเหมือนของมึงนี่ล่ะ  นอนสบาย”

โกลส่งเสียงหึๆ ในรอยยิ้มเหมือนกำลังเยาะหยันตัวเอง

“เตียง ใหญ่น่านอน แต่ไม่อยากนอน  ห้องนอนกว้างขวางแต่นอนไม่หลับ  บ้านใหญ่โตแต่ไม่อยากอยู่  ความสุขกายแต่ไม่สุขใจ.. นี่ล่ะชีวิตกูโป้ง”

แล้วเขาก็หันมามองหน้าโป้ง

“โป้ง.. กูบอกตามตรงตอนที่กูนอนเบียดกับมึงบนเตียงแคบๆนั่น มันทำให้กูหลับสนิทกว่า  กูอยู่ในห้องแคบๆของมึงกูยังสบายใจกว่า  กูอยู่กับมึงสองคน  กูยังรู้สึกดีกว่าอยู่บ้านที่มีแต่คนรับใช้อย่างบ้านตัวเอง”

แล้วเขาก็ลุกขึ้น  เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเอาน้ำผลไม้กับน้ำอัดลมแสดงให้ดูออกมา

“กินอะไรก็หยิบเอานะ ขนมก็มี กูขออาบน้ำก่อน”

โป้งมองตามร่างสูงๆไป  เขานึกถึงคำพูดของแม่ตอนที่แม่เล่าถึงบ้านของเพื่อนคนหนึ่งที่พ่อแม่แยกทาง กัน ว่าเป็นบ้านหลังใหญ่แต่เพื่อนกลับไม่ชอบอยู่มาอยู่หอพักพยาบาลแทน

“บางที ความสุขอาจไม่ใช่ความสบายของสถานที่ แต่เป็นความสบายของจิตใจมากกว่า”

 

วันนี้โป้งตื่นสายไปเกือบจะเจ็ดโมง เพราะวันนี้โค้ชสั่งงดซ้อมเนื่องจากจะมีการใช้พื้นที่โรงเรียนจัดการสอบของหน่วยราชการ

เมื่อคืนโกลพาเขาไปดูยิมหรือก็คือห้องออกกำลังกาย  วันนี้เขาก็เลยลุกจากเตียงมาเงียบๆ กะจะไปลองใช้อุปกรณ์ดูสักหน่อย

แต่พอเข้าไป กลับเจอหนุ่มกล้ามใหญ่คนหนึ่งกำลังยกดัมเบลด้วยแขนใหญ่โต

ทั้งสองมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ

ชายหนุ่มยังหนุ่มเกินไปจะเป็นบิดาของโกล  ส่วนโป้งก็ตัวเล็กเกินกว่าจะเป็นโกลลูกชายของมหาเศรษฐีเจ้าของบ้าน

โป้งก็ไม่รู้ทำยังไงก็เลยยกมือไหว้

“ผมชื่อโป้งครับเป็นเพื่อนของโกล”

“อ้อ... นี่เหรอโป้ง” เสียงตอบรับมาจากมุมที่มองไม่เห็น  เป็นชายหนุ่มวัยราวๆสี่สิบ  แต่เรือนร่างแกร่งไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เดินถือถ้วยเครื่องดื่มมา

“เห็นแม่บ้านบอกเหมือนกันว่า นายโกลไปอยู่กับเพื่อนที่ชื่อโป้ง”

โป้งเลยยกมือไหว้อีกที เดาว่านี่คือบิดาของโป้ง  คุณพรรณพงศ์ วรรณพิธิ

“หน้าตาน่ารักนี่ มิน่า ไอ้โกลมันถึงได้ชอบ ตกลงเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม”

โป้งสะดุ้ง

“ผม กับโป้งเป็นคู่หูในทีมฟุตบอล เราไม่ได้เป็นคู่ขากัน  เราสองคนรู้จักยับยั้งชั่งใจครับว่าอะไรสมควรไม่สมควร” โกลกล่าวประโยคโต้ออกมา  เขาเดินเข้ามาในห้องยืนเผชิญหน้ากับบิดา

บิดามองหน้าลูกชาย  แล้วก็พยักหน้า

“โอเคเข้าใจ  ฉันขอโทษ  เข้าใจผิดไป”

โป้งยิ้มแห้งๆ บวกกับพยักหน้าตอนที่พรรณพงศ์หันมามองหน้าเขา

 

หลังจากออกกำลังกันได้เหงื่อแล้ว  โป้งกับโกลชวนกันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  แล้วจึงลงมาทานอาหารเช้า

ระหว่างกินอาหารเงียบๆ

โป้งก็เลยถาม

“ผู้ชายคนที่อยู่กับพ่อนายเป็นใคร” โป้งถามเสียงเบา ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าทั้งคู่นั่งจิบกาแฟอยู่ในสวนด้านนอก

“ผัวเขามั้ง” โกลตอบหน้าตาเฉย

“ก็คงจะไปได้มาจากไหน อาจเป็นพวกพนักงานบริษัท หรือไม่ก็เด็กจากบาร์ไหนที่เขาไปเที่ยว  สักสองสามเดือนก็คงเปลี่ยนอีก”

โป้งตะลึงตาค้าง

“ไม่ต้องงง  พอกูเขาเป็นเกย์  แต่แอ๊บแมน”

โป้งมองซ้ายมองขวาก่อนจะถามต่อ

“แล้วแม่นายล่ะ”

“ก็อยู่กับผัวๆของเขามั้ง  ปกติเขาก็อยู่ที่หัวหินบ้าง เขาใหญ่บ้าง ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก” โกลตอบแบบเฉยเมย

โป้งไม่แน่ใจว่าความเฉยเมยมาจากอะไร

จากความเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุดแล้วกลายเป็นด้านชาหรือไม่

“อิ่มยัง ไปเถอะอยากไปเดินพารากอนไม่ใช่เหรอ อย่าอยู่เป็นก้างของเขาเลย  เกิดเขานึกอยากจะเล่นหนังสดเอาท์ดอร์ในสวนจะได้สะดวกๆ” แล้วโกลก็ลุกขึ้น

โป้งจึงตักออมเลตคำสุดท้ายใส่ปาก ตามด้วยโกโก้  แล้วเดินตามโกลไป

 

โป้ง เดินตัวลีบอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอันหรูหราของศูนย์การค้าใหญ่กลางเมืองแห่ง นี้ แต่ละคนที่เดินสวนทางไป ดูเป็นคนละระดับกับเขาทั้งสิ้น แม้จะเป็นนักท่องเที่ยว

“ไม่เคยมาจริงๆเหรอ” โกลถาม

โป้งส่ายหัว

“ไม่เคย มันหรูเกินไป  พ่อกับแม่ฉันก็เลยไม่เคยพามาเดิน  เดินแต่ห้างแถวบ้าน”

“แต่มันหรูจริงๆนะเนี่ย... นี่เดินแบบเกร็งเลยนะ  กลัวไปทำอะไรเชยๆเข้า” โป้งมองรอบกายอย่างหวาด

โกลหัวเราะน้อยๆ  เอามือกอดคอ

“อย่าเกร็งสิ  ยิ่งเกร็งยิงดูบ้านนอก  เดินเฉยๆใครเขาจะรู้ว่ามึงไม่เคยมา”

 

โกลกำลังทดสอบเครื่องโทรศัพท์ราคาแพงอยู่ในขณะที่โป้งเดินไปดูรอบๆร้าน  ลองเล่นเครื่องนั้นเครื่องนี้

สักครู่เขาก็กลับมาพร้อมกับถุงพลาสติก

“เดี่ยวกูให้เอาเครื่องเก่าให้มึง  โทรศัพท์มึงสองจี  ใช้อะไรก็ไม่ได้” โกลกล่าว

“ไม่เอาหรอก  กูไม่มีปัญญาเสียค่าโทรศัพท์” โป้งท้วง

“ไม่ต้องเสีย กูให้มึงทั้งเครื่องพร้อมเบอร์เลย  หมายเลขเครื่องนั้นจ่ายเป็นชุดพร้อมกับหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้าน  แค่กูบอกอากานต์เลขาพ่อกู เอาเบอร์ใหม่ไปให้ อากานต์เขาก็ทำจ่ายให้ทุกเดือน” โกลตอบ

โป้งมองหน้าตาขวาง

“เอาอีกละ เอาเงินฟาดหัวกู  เมือไหร่มึงจะเลิกใช้เงินซื้อเพื่อนสักที”

“มึงก็เลิกคิดมากได้แล้ว  กูแค่อยากให้มึง มึงจะได้ไว้ใช้คุยกับกู  มึงอยากจะให้กูไปย้ายไปอยู่กับมึงเลยใช่ไหม  ถ้ามีโทรศัพท์ กูจะได้ไม่ต้องไปค้างกับมึงไง” โกลตอบโต้ แล้วยกข้อแม้

“โอ้ย... แม่ง ตามใจมึง” โป้งรำคาญเพราะรู้ดีว่าโกลเป็นคนเอาแต่ใจแค่ไหน

“น้องครับ" พนักงานขายเดินตามออกมา

ด้านล่างตรงลานด้านหน้า  มีกิจกรรมของค่ายมือถือ  อันนี้เป็นคูปองเล่นเกมฟรีนะครับ”

“กิจกรรมอะไรครับ” โป้งเป็นคนถาม  แต่โกลเป็นคนรับคูปอง

“มีคุณสมการ ผู้รักษาประตูทีมชาติ คุณวรกิจ กองกลาง แล้วก็คุณการันต์ โค้ชทีมชาติมาร่วมงาน  แล้วก็มีกิจกรรมยิงลูกฟรีคิกชิงรางวัลด้วย  แล้วก็มีเกมอื่่นนอกเกี่ยวกับฟุตบอล”

โป้งหูผึ่ง

 

แต่เพราะมีเด็กๆตัวเล็กมุงกันเยอะมา  โป้งที่อยากจะได้ลายเซ็นของนักเตะทีมชาติก็คงได้แต่มองสามบุคคลที่เป็น กำลังสำคัญของทีมชาติชุดนี้ซึ่งกำลังทำผลงานได้ดี

“อาการันต์คงจำกูไม่ได้แน่ๆเลย” โป้งว่า

“รู้จักเรอะ” โกลถาม

“ก็เคยเจอกันหลายครั้งตอนเด็กๆ เขาเป็นรุ่นน้องของพ่อกูรุ่นเดียวกับโค้ชป้อมนั้นล่ะ  แต่กูไม่เคยเจอโค้ชป้อม  แต่เคยเจออาการันต์เพราะท่านสนิทกับพ่อกูมากกว่า”

“เอาไว้กูให้อากานต์ขอให้เอาไหม  บริษัทพ่อกูเป็นสปอร์นเซอร์ใหญ่ของทีมชาติอยู่แล้ว”โกลเสนอ

“ไม่เอาหรอก  กูแค่อยากได้คุยกับพี่เขาแค่นั้นเอง” โป้งตอบ แล้วก็หันไปทางซุ้มที่มีเกม

“ไปเล่นดีกว่า เผื่อได้รางวัล”

 

เกมที่โป้งเลือกคือเกม เตะฟรีคิก  ซึ่งจะมีแผงอุปสรรค์เป็นทำเหมือนรูปคนสามคนขวางทางอยู่  โดยมีแผ่นไม้ที่เขียนเป็นรูปประตูฟุตบอลที่มีขนาดเท่่าของจริง และมีรูปขนาดใหญ่กว่าลูกบอลประมาณสองเท่าอยู่ในตำแหน่งต่างๆ

“ถ้ายิงเข้ารูตรงมุมล่างด้านซ้ายหรือขวาอันนี้รับของที่ระลึกพิเศษ  ถ้ายิงเขามุมบนด้านซ้ายขวา รับของที่ระลึกเป็นกีฟต์แซต  แต่ถ้ายิงเข้าด้านหลังสองรูนี้” พิธีกรวรรคตอนอธิบายกติกาให้คนที่เข้ามามุงฟัง

“เอาไปเลย โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดมูลค่าสองหมื่นบาท แต่ถ้าเข้ามากกว่าหนึ่งลูกในจุดใกล้เคียงกันแต่อีกข้าง เอาไปเลยครับซิมพร้อมเพคเกจอินเตอร์เนตหนึ่งปีฟรีๆ”

ตำแหน่งที่ว่าเป็นตำแหน่งที่จากจุดตั้งลูกจะมองเห็นแค่นิดเดียว  ต้องปั่นไซด์เข้าไปแถมรูมีขนาดใหญ่กว่าลูกบอลแค่ไม่เท่าไหร่

“คูปองหนึ่งใบจะได้สิทธิสามลูกครับ”

ส่วนใหญ่ก็จะยิงกันไม่ค่อยได้  จึงได้เฉพาะของที่ระลึกเล็กน้อยเป็นเครื่องปลอบใจ มีบางคนก็ได้รางวัลไป  แต่ยังไม่มีสักคนที่ได้รางวัลใหญ่ นอกจากรางวัลที่ได้จากการยิงเข้ามุมบนสองข้าง

การันต์ขอตัวไปห้องน้ำ พอเดินกลับมาก็มายืนกอดอกมองหนุ่มบ้างเด็กบ้างเตะฟรีคิก

เขายิ้มแล้วก็คิดจะเดินไปรวมกับเหล่านักเตะที่กำลังตอบคำถามของเด็กๆ

“โอ้โห..นิดเดียวนิดเดียวจริงๆครับ” พิธีกรหนุ่มที่เป็นนักพากย์ฟตุบอลร้องออกมา  เขาเดินไปชี้ตรงจะที่ลูกกระแทกเมื่อสักครู่

การันต์มองจากจุดที่ชี้... ต้องเป็นการปั่นไซด์โค้งแน่นอนที่สุดถึงจะโดนตำแหน่งนั้นได้  แถมเป็นการชี้ที่ตำแหน่งที่บอกว่าเป็นการปั่นโค้งมาเกินไปต่างหาก

การันต์เลยเดินเข้ามาไปด้านดูใกล้ๆ

เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่หลังบอลประมาณสองเก้ากำลังทำสมาธิ

“ใจเย็นครับน้อง ยังเหลืออีกสองสิทธิ”

เด็กหนุ่มร่างเพรียวแต่ดูแข็งแรง  สูดลมหายใจแล้วถอนออก  เขาวิ่งไม่เร็วนักเข้าหาลูกบอลที่ตั้งตรงจุด

เท้าขวาเป็นหลักวางลงตรงตำแหน่ง  เท้าซ้ายง้างไปแล้วสวิงไปเตะบอลตรงจุดที่ทำให้ลูกลอยหนุนไปเป็นแนวโค้ง

จากด้านข้างนี้ การันต์เห็นมันลูกลอยไปแบบไม่แรงนัก  โค้งอ้อมข้ามกำแพงไปเข้ารูนั้นอย่างแม่นยำ

“เยส” เด็กหนุ่มร้อง  แล้วหันไปกระโดดกอดเด็กหนุ่มร่างสูง

“เจ๋งอะ  แม่งโคตรแม่น...” หนุ่มคนข้างตัวการันต์กล่าวออกมา

“เข้าไปแล้วครับ ได้แน่นอนแล้วโทรศัพท์” พิธีกรเข้ามาใกล้

“น้องชื่ออะไรครับ”

โป้งมองไมโครโฟน แล้วมองหน้า

“เทพพรครับ”

“น้องเทพพร” พิธีกรทวนชื่อ

การันต์นิ่งไปเมื่อยินชื่อ  ท่ายิงเมื่อสักครู่  ช่างละม้าย  เพียงต่างกันแค่เป็นเท้าซ้ายไม่ใช่ขวา

เท้าซ้าย... ชื่อเทพพร.. หรือนี่จะคือลูกชายของพี่ฤทธิ์ ที่ชื่อโป้ง ไซด์โป้ง...

“เอาล่ะครับ เข้าอีกลูก รับไปเลยแพคเกจโทรศัพท์หนึ่งปีทันที”

โป้งเจ้าหน้าทีเอาลูกมาตั้ง

โป้งก็ไปตรวจดูลูกก่อนจะวางใหม่ที่จุดเดิม

เขาถอยไปสองก้าวแล้วก็ยืนนิ่ง เขามองเป้าหมายที่ด้านซ้าย

“เอ้ามองด้านซ้าย จะปั่นไซด์ก้อยเหรอครับ” พิธีกรอ่านจากสายตาของโป้ง

การันต์เผลอสูดลมหายใจลึกๆ

เอาแน่เหรอ.. เขาถามออกไปในใจ

แล้วโป้งก็วิ่งเข้าไป  ใช้ข้างเท้าด้านนอกเตะลงไปมุมขวาด้านล่างของลูก ด้วยน้ำหนักที่กะให้เท่ากับเมื่อสักครู่นี้

โกลถึงกับเผลอกัดริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น

ลูกบอลเดินทางไปเป็นแนวโค้งซ้าย ข้ามกำแพง แล้วก็ผลุบลง มันกระแทกกับขอบรู  แต่ก็ยังเข้าไป

เสียงเฮจากคนรอบข้าง บอกโป้งที่พอเตะก็หลับตาปี๋ให้รู้ว่าเขาทำเสร็จ

โกลวิ่งเข้ากอดคอเขาแล้วเขย่า

“แม่นโคตร” คนข้างตัวการันต์กล่าวออกมาอีก

“โคตรเก่งว่ะ  แม่งเจ๋งจริงๆ”

“โค้ชครับ  เชิญด้วยครับ” เจ้าหน้าทีเดินมาตาม

“อ้อ ขอโทษครับ  พอดีดูเพลินไปหน่อย” เขากล่าว

“ตรงที่ฟรีคิกนั่นมีเทปใช่ไหม่ครับ ผมขอเทปที่เด็กคนที่เตะเมื่อกี้ ที่ได้รางวัลใหญ่ ได้ไหมครับ”

 

เพราะได้รางวัลใหญ่  โป้งก็เลยต้องรอให้มีการสัมภาษณ์นักเตะโดยสื่อมวลชนเรียบร้อย เพราะคนที่จะแจกรางวัลเป็นโค้ชการันต์

ตอนที่โป้งเดินขึ้นไปบนพื้นยกหลังพิธีกรประกาศชื่อ  มองเห็นสองนักเตะทีมชาติปรบมือให้เขาก็นึกเขินอาย  ยิ่งตอนรับรางวัล

“เก่งจริงๆนะเรา  อาดูเราเตะแล้วเห็นเลยว่าหาตัวจับยาก” การันต์กล่าวหลังจากมองรางวัลให้แล้วจับมือ

“ขอบคุณครับผม” โป้งยิ้มอายๆ

“แบบนี้พ่อของเราต้องภูมิใจแน่ๆ” ประโยคหลังทำให้โป้งนิ่ง

“อาจำผมได้เหรอครับ”เขาถาม

“โป้ง.. ลูกพี่ฤทธิใช่ไหมล่ะ” การันต์กว่าแล้วตบบ่าเด็กหนุ่ม

“เอาไว้เราเจอกันแน่ๆ  แล้วเจอกันใหม่นะ”

โป้งเดินลงจากเวทีไปแล้วการันต์ก็ยังมองตามไป  เขาอยากจะรู้ว่าพี่ฤทธิ์ได้เห็นฟรีคิกของโป้งแล้วจะทำหน้าอย่างไร

 

หน้าคอนโดมิเนียมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ชายหนุ่มวัยสี่สิบเศษปาดเหงื่อหลังจากออกไปโบกกั่นรถให้ผู้พักอาศัยได้เลี้ยวออกไป

เขาถอนหายใจแล้วเดินกลับมานั่งอยู่ข้างป้อมยาม  หยิบเอาแผ่นกระดาษที่มีตารางกับรายชื่อทีมฟุตบอลออกมา ขมวดคิ้วแล้วก็คิด

แต่ฉับพลัน  มือหนึ่งก็คว้าไป

“เอ้ย” เขาร้อง  แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็ทำหน้าเจื่อน

“ไหนพี่ว่าเลิกแล้ว  ผมไม่มีปัญญาเคลียร์ให้พี่หรอกนะถ้าเล่นคราวนี้อีก” การันต์ทวงคำมั่น

“เล่นนิดหน่อยเอง” ชายหนุ่มท้วง

“พอมีเงินจ่ายแน่ๆ”

“พี่ทำไมเป็นแบบนี้.. “การันต์ถอนหายใจ

“พี่อยากเห็นลูกพี่ไหม  ผมเจอเขาตอนไปงานอีเว้นท์ มีคลิปด้วย เขาเตะฟรีคิก”

 

ภาพเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มหาที่ติไม่ได้  ลูกโค้งที่สวยงามนั้น  ไม่พ้นมาจากการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงแน่นอนที่สุด

การันต์เห็นน้ำตาซึมจากขอบตาของผู้เป็นบิดา  เขาจะเอามือลูบก็กลัวว่าภาพจะหยุดเพราะดูจากโทรศัพท์มือถือของการันต์

“นายไม่ได้บอกไอ้โป้งใช่ไหมว่าพี่อยุ่ไหน”

“ครับ” การันต์ตอบ  แล้วมองนาฬิกา

“ผมต้องไปแล้ว เดี่ยวผมจะให้เด็กทำใส่เฟรชไดร์ฟ พี่จะได้ดูได้”

เทพฤทธิ์ถอนหายใจแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้

“ถ้าเจอมันอีก บอกมันด้วย  ว่าพี่คิดถึง”

การันต์พยักหน้า

“พี่ เลิกพนัน เลิกกินเหล้าได้เมื่อไหร่ พี่ก็กลับไปเจอโป้งได้  พี่ก็ตั้งใจแล้วกัน  มันไม่ได้ยากจนทำไม่ได้หรอก  ถ้าพี่อยากเจอลูกจริงๆ”

เทพฤทธิ์ถอนหายใจอีกรอบ

แล้วพยักหน้า

“อย่า พึ่งบอกมันตอนนี้นะว่าพี่อยู่ที่ไหน  พี่ไม่อยากเจอมันในสภาพนี้... สำหรับโป้งพี่คือคนเทพฤทธิ์ ปีกขวาทีมชาติ ไม่ใช่ไอ้ขี้เหล้าคนนี้”

การันต์พยักหน้ารับคำแล้วเดินออกมา เทพฤทธิ์ก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่ป้อมยามเพื่อทำหน้าต่อไป

“โป้งเอ้ย.. พ่อคิดถึงเอ็งมากเลย... แต่เราอย่าพึ่งเจอกันเลยนะ..” เขารำพึงออกจากความรู้สึกอันลึกซึ้ง
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:58:29
ตอนที่ 13 ความลับของโกล  ชาติกำเนิดที่แตกต่างจากใคร

อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับฟุตบอลจะเรียกความสนใจจากโป้งได้แทบจะทันที

และโป้งก็จะมีภูมิต้านทานต่ำกับความสนุกสนานที่ได้เห็น

แม้ ว่าต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อคูปองครั้งละยี่สิบ  เขาก็ยินดีจะจ่าย  แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่าเอาน่าทำบุญ เพราะผู้จัดงานแจ้งว่าจะเอาสมทบทุนช่วยเหลือจัดซื้อและจัดสร้างสนามฟุตบอล ให้กับโรงเรียนในถิ่นทุระกันดาน

 

“ถ้ามึงจะทำบุญก็ช่วยออมมือหน่อยนะ” โกลกล่าวตอนที่ช่วยโกลขนของที่ระลึกและรางวัลที่ได้จากเกมขึ้นมาห้องนอน

“ยังดีนะ กูให้คนขับรถไปส่ง  ไม่งั่นจะเอากลับมายังไงหละ ถ้าเป็นมอเตอร์ไซด์"

โป้งทำตาโต

“ออมได้ไง  ต้องเต็มที่สิ ไม่เต็มที่ก็ไม่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ โค้ชป้อมไม่เคยสอนมึงอย่างนั้นเหรอ”

โกลถอนหายใจ

“แต่นี่ไม่ใช่แข่งบอล  อันนี้เขาเล่นเกม”

แล้วโป้งก็เอาของมาเรียงรายกันบนเตียง  มีทั้งตุ๊กตา เสื้อ กระเป๋า ผ้าขนหนู และอีกสารพัดสารเพ

“เขายังแถมให้กูเลยเห็นไหม เขาให้เสื้อบอลมาให้กูอีกตั้งสองตัว”

โป้งอวดเสื้อของชุดแข่งขันทีมในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกที่บริษัทค่ายผู้ให้บริการมือถือเป็นสปอนร์เซอร์

“คือว่านะ” โกลท้าวเอวมองหน้าโป้ง

“เขาคงให้ประชด ประมาณว่าเอาไปเลยนะมึง  แล้วก็ช่วยกลับบ้านไปสักที”

“โห.. แรงว่ะ” โป้งอุทธรณ์

“กูกะจะให้มึงตัวนึง ไม่ให้ดีกว่า”

แล้วก็ทำท่าเหมือนเด็กหวงของเอาเสื้อทั้งสองตัวซุกหลัง

“โถไอ้โป้ง” โกลเดินมาขยี้หัว  แล้วแย่งมาเสื้อตัวนึง

“มึง ดูสิดู  บนเสื้อน่ะมีตราบริษัทพ่อกูอยู่  เห็นไหม... เสื้อแข่งอย่างนี้ถ้ากูจะเอาก็มีทุกทีมแล้ว  แต่กูไม่เอา เพราะกูเบื่อพ่อกู” แล้วก็เอาเสื้อปาใส่โป้ง

โป้งมองตราที่ว่า แล้วก็ยิ้มแห้งๆ

“เออ.. จริงด้วย”

แต่พอพูดถึงพ่อของโกล เขาก็นึกได้ว่าไม่เห็นรถของเขาตอนที่เข้ามา

“พ่อนายไปไหนแล้ว  ออกไปกับเพื่อน..”

“ผัว” โกลสวนขณะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็หยิบกางเกงขาสั้นออกมา

“เฮ้ยเพื่อนก็พอ  พูดแบบนั้นมันน่าเกลียด  นั้นพ่อมึงนะเว้ย” โป้งแย้ง

โกลทำเสียงหึ ถอดกางเกงยีนต์แล้วเอาไปพาดบนราว แล้วก็สวมกางเกงขาสั้น

“ก็คงพากันไปที่อื่น  เขาก็เกรงใจกูอยู่บ้าง  เมื่อวานคงไม่คิดว่ากูจะกลับ เลยพากันมาระเริงรักกันที่นี่”

เขาว่าแล้วถอดเสื้อออก แล้วโยนไปใส่ตระกล้า ก่อนจะหยิบเสื้อยืดมาสวม

“มึงนี่ก็แรงจริงๆ  อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อมึงนะ” โป้งตำหนิ

โกลถอนหายใจแล้วปิดตู้เสื้อผ้า   เดินไปเปิดโทรทัศน์LED ขนาดมหึมา

“แล้วแม่มึงรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่ แล้วเขาไม่เสียใจเหรอวะ” โป้งถามต่อมองหน้าโกลจากด้านข้าง เพราะโกลนั่งลงบนเตียง

“รู้ ก่อนแต่ง  แต่จะเสียใจทำไม  เขาสมัครใจจะแต่งกับพ่อกูเอง  เขาต้องการเป็นคุณนายนายห้าง  เขาก็ยอมแต่งทั้งที่รู้ว่าพ่อเป็นอะไร  เขาตกลงกันเรียบร้อยก่อนแต่ง  ทุกวันนี้เขาก็แทบไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน  อย่าว่าแต่นอนด้วยกันเลย”โกลตอบดวงตาเขามองนิ่งที่โทรทัศน์

“เฮ้ย อย่างน้อยเขาก็มีมึงไม่ใช่เหรอ.. อย่างน้อยมันต้องมีความผูกพันบ้างหละ  หรือว่ามึงจะบอกว่ามึงไม่ใช่ลูกเขา” โป้งแย้ง

“ใช่กูเป็นลูกเขา โดยเทคนิค” โกลหันมาจ้องหน้าโป้ง

“กูเป็นเด็กหลอดแก้ว”

โป้งอึ้ง

“กูเกิดจากการปฏิสนธิในห้องทดลองไม่ใช่เพศสัมพันธ์  พวกเขาแค่เอาไข่กับอสุจิให้หมอทำให้กูเป็นตัว  แม่กูไม่ยอมแม้แต่จะอุ้มท้อง เพราะเขากลัวหุ่นเสีย  เขาเอากูไปฝากกับแม่อุ้มบุญแล้วพอกูคลอดก็เอากูไปให้แม่กูอุ้มกูกลับมาจากอังกฤษ ที่เขาแกล้งให้ข่าวว่าไปพักผ่อนระหว่างรอคลอด”

แล้วโกลก็ลุกไปเอารีโมท แต่เขาไม่กลับมานั่งที่เดิมแต่เปลี่ยนช่องไปเรื่อยอย่างไรจุดหมาย

“พ่อแม่กูเขามีกูเพื่อบอกโลกว่าเขาแต่งงานกันแล้วนะ เราคือครอบครัวนะ  เราสมบูรณ์แบบนะ  แต่มึงดูสิโป้งว่ามีอะไรสมบูรณ์บ้าง... กูไม่เห็นสักอย่าง  แม่กูนอนกับผู้ชายไม่รู้กี่คนต่อเดือน  พ่อกูก็มีผัวทีเดียวหลายๆคน.. กูอยู่บ้านใหญ่เท่าวัง แต่อยู่คนเดียว.... มึงว่ามีอะไรสมบูรณ์บ้างในบ้านนี้” น้ำเสียงโกลเต็มไปด้วยความรวดร้าว  เขาหลับตาลงทั้งมือยังกดรีโมท

“กูไม่เห็นโป้ง  กูไม่เห็นสักอย่าง ที่เรียกได้ว่าครอบครัว”

โป้งลุกขึ้นไป  แล้วก็เดินขั่นระหว่างโกลกับจอมหึมา

เขากอดโกลไว้

“ขอโทษนะ.. กูไม่รู้เลยว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้... กูไม่น่าถามมากเลย”

โกลกอดโป้งตอบ

“ช่างเหอะ.. ก็ดีเหมือนกันกูได้ระบายบ้าง... เรื่องนี้มึงอย่าไปบอกใครนะ  กูยังไม่เคยบอกแม้แต่ใครแม้แต่กับป้อง  มึงสัญญาณนะว่าจะไม่บอกใคร”

โป้งพยักหน้า

แล้วทั้งคู่ก็กอดกันอยู่อย่างนั้น

“ปล่อยเหอะโป้ง” โกลกล่าวขึ้น

“ถ้านานกว่านี้กูปล้ำมึงแน่ๆ กูไม่ไหวแล้วจริงๆ”

โป้งผละออก

“เฮ้ยไหนมึงว่ามึงไม่คิด..”

“ไม่กูคิด.. กูไม่ได้พูดเล่นโป้ง  แต่กูต้องการรอ..” โกลมองตาโป้งอย่างลึกซึ้ง

“กูอยากให้มึงรักกู กูอยากได้หัวใจของมึง ไม่ได้อยากได้แค่ร่างกาย”

แล้วเขาก็เดินไปยืนหน้าประตูห้องน้ำ

โป้งมองตามไป

โกลหันมองตาโป้งแล้วกล่าว

“กูไปว่าวแป๊บนึงนะ  ไม่ไหววะ มึงเล่นกอดกูซะของขึ้นเลย”

“ไอ้สัตว์” โป้งคว้าได้ตุ๊กตาอุลต้าแมนตัวใหญ่ขว้างใส่  แต่โกลตะปบไว้ได้ แล้วโยนไปข้าง

“เออ แป๊บเดียวไม่นานหรอก” ว่าแล้วก็ยกมือสาวขึ้นลงประกอบด้วย

“ไอ้ห่า ไปเลยนะมึง” คราวนี้โป้งหันไปคว้าตัวใหญ่กว่าเดิมที่อยู่ใกล้ๆกัน

โกลจึงเผ่นเข้าห้องน้ำพร้อมเสียงหัวเราะ

โป้งยืนส่ายหัวก่อนจะถอนหายใจ

เอาตุ๊กตาอุลตร้าแมนมากอด

“กูอยากได้หัวใจของมึง ไม่ได้อยากได้แค่ร่างกาย”

โป้งไม่อาจห้ามตัวเองได้  ในตอนนี้เขาทั้งอมยิ้มและหน้าแดงเรื่อๆ

“ไอ้สัตว์ หน้าไม่อายพูดออกมาได้ หน้าด้านชิบหาย”เขาด่าออกไป

แต่โป้งเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหมายถึงประโยคไหนกันแน่ของโกล...


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 19:59:20
ตอนที่ 14 ลูกยิงใบไม้ร่วง

แม้จะเป็นการแข่งกระชับมิตร แต่โค้ชก็ถือเป็นบททดสอบสำคัญเพราะเขาต้องการทดลองว่าโป้งจะเล่นได้เข้าขากับทีมมากสักแค่ไหน

แต่นี่ก็ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที  ทีมเหมือนยังไม่สามารถจูนเข้ากับจังหวะการโยนบอลของโป้งได้  ข้อผิดพลาดทำให้พวกเขายังไม่สามารถทำประตูได้  แถมเกือบเสีย  เคราะห์ดีที่โกลสามารถป้องกันไว้ได้ด้วยความเร็วของเขา

โกลปัดบอลออกหลังไป  ก่อนที่มันพุ่งเสียบคานบน

ดังนั้นทีมจึงถอยกลับไปตั้งรับ  แต่โป้งไม่ได้เข้าไป เขามายืนในตำแหน่งเกือบครึ่งสนาม

ลูกเตะมุมที่โยนเข้ามา โดนโกลชกด้วยสองมือ  บอลจังลอยออกมาตกบริเวณริมกรอบเขตโทษ  มีตัวผู้เล่นฝั่งตรงข้ามพุ่งเข้าซัดเต็มข้อแต่  กระนั้นโกลก็บล๊อกไว้ได้ แล้วล้มตัวลงตะปบบอล  แล้วเขาก็ไม่รอให้ช้า โกลลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเขาขว้าง บอลออกไปไกลโดยหวังให้โป้งใช้ความเร็ววิ่งไล่

แล้วโป้งสลัดหนีตัวประกบ  แล้ววิ่งไปลูกบอลด้วยความเร็วของเขา  โป้งทันลูกบอลที่บริเวณเลยหัววงกลมกลางสนามไปเล็กน้อย

เขาพาลูกมุ่งหากรอบเขตโทษ  ตอนนี้โป้งคนเดียวที่อยู่ในแดนคู่แข่ง เพราะแม้ตัวประกบของเขาก็ยังตามมาไม่ทัน

ผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้าม ทั้งท่ารอ เพราะในลักษณะการวิ่งโป้งต้องยิงอย่างแน่นอนที่สุด  ระยะระหว่างเขากับผุ้รักษาประตูห่างกันราวยี่สิบหลาและน้อยลงเรื่อยๆ

แต่ก่อนจะถึงหน้ากรอบเขตโทษโป้งกลับล็อกบอลไว้แล้วเปิดไปด้านขวาเลียดต่ำ ลอดขากองหลังที่วิ่งตามลงมาทัน แล้วพยายามสกัด

ลูกบอลเรียดต่ำแต่แรงได้น้ำหนัก ปอที่วิ่งตามโป้งมาแต่แรกก็ซัดตูมเข้าเต็มข้อ

ลูก บอลพุ่งแสกหน้าผู้รักษาประตูที่แม้พยายามพุ่งเข้ามาขวาง เขาได้แต่ผงะหงายตอนลูกบอลพุ่งผ่านไปดึงตาข่ายตุงไปข้างหลังด้วยความรุนแรง ของมัน

เสียง เฮดังจากรอบตัวจนกลบเสียงนกหวีดยาวของกรรมการ  ปอเดินมาปรบมือกับโป้งแล้วกอดคอ แล้วบรรดาเพื่อนร่วมทีมก็กรูกันเข้ามาแสดงความดีใจกับทั้งคู่

พอได้ประตูนำ  ความมั่นใจก็มา  โป้งก็เริ่มเผลงฤทธิ์

เขาล๊อกลูกบอลหลบแบ็กขวาที่ไม่เร็วเท่ากับตั้มอย่างง่ายดาย จากนั้นเลี้ยงบอลไปเกือบถึงริมเส้น  แล้วโยนหักเข้ามา

อัครที่วิ่งมารอที่เสาสองก็กระโดดขึ้นโขกเต็มหัวเข้าผ่านมือผู้รักษาประตูไปอย่างงดงาม

 

แผงตัวมาเป็นผู้ปกครอง  ชายหนุ่มสองคนใช้กล้องมือถือถ่ายการแข่งขันเอาไว้

“นี่เหรอ คนที่พี่รันต์บอก... ก็เจ๋งจริงนั้นหละ  ทั้งหลอกทั้งผ่าน  ถ้าอายุเท่าๆกัน ผมว่าผมก็ไม่มีปัญญาจัดการกับเด็กคนนี้แน่ๆ เห็นว่าเป็นลูกชายพี่ฤทธิ์นะ  ชื่อโป้ง”

หญิงสาวในชุดขาวต่างจากครูคนอื่นๆถูกดึงดูดด้วยชื่อของนักเรียนและนักฟุตบอลคนใหม่ของโรงเรียน  เธอจึงแอบบันทึกภาพของทั้งสองไว้ แล้วก็รีบเดินไป

 

ครึ่งแรกของการแข่งขันใกล้จะหมดลง  โรงเรียนของโป้งยังนำผู้มาเยือนอยู่สองประตูต่อศูนย์  กองเชียร์บนอัฒจันทร์ส่งเสียงกันคึกคักแล้วพากันเฮทุกครั้งที่นักเตะคนใหม่ จับบอลแล้วสำแดงความคล่องตัวออกมา

จังหวะนี้โป้งได้บอลจากวู๊ดที่โหม่งแย่งมาจากการเตะเปิดของโกล  เขาพาบอลไปเลี้ยงไต่เส้นโดยมีผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามสองคนตามมา

คนหนึ่งตัดสินใจเตะกวาด  แต่โป้งยกบอลกระโดดหลบไปได้

แถมพอลงพื้นก็ยังพาลูกหมุนตัวหนีอีกคนที่ขว้างหน้า แล้วก็ห้อตะบึ่งไปตามเส้น

เข้าไประยะราวยี่สิบหลาที่เป็นระยะที่ซ้อมตามแผน เขาเห็นปอวิ่งมาตรงตำแหน่ง อัครก็เช่นกัน  เขาก็เลยโยนหยอดไปหาปอที่รออยู่   ปอที่อยู่บนเส้นเขตโทษพอดีก็เสยลูกให้เปลี่ยนทางไปหาจุดนัดพบ

บอลย้อยไปหน้าประตูตรงที่อัครยืนรออยู่

อัครก็โหม่งกดลงพื้น  ส่งลูกกระดอนเปลี่ยนทางหนีมือผู้รักษาประตู  กำลังจะเข้าอยู่แล้ว

แต่กองหลังคนหนึ่งเข้าดักลูกไว้ด้วยเท้าแล้วเตะตูมออกมาเพื่อเคลียร์ให้พ้นปากประตู

แต่ลูกนั้นลอยไปตรงตัวโป้ง  กระดอนหนึ่งจังหวะ

ใครๆก็คิดว่าโป้งจะต้องจับแล้วก็โยนกลับ

แต่เขาไม่รอให้ลูกตกพื้น  เขาเตะงัดบอลไปในจังหวะที่ลูกยังลอยอยู่ในอากาศ

มันลอยโด่งแล้วโค้งลงหนีมือผู้รักษาประตูที่พยายามจะปัด ก่อนจะมุดใต้คานเข้าประตูไป

“ใบไม้ร่วงเลยเหรอ” ป้อมเพชรครางออกมา

สุรีวัลก็ทำตาโตค้างกับภาพที่เห็น

“ถ่ายทันไหม” ชายคนที่ยืนข้างหันมาถามคนบันทึกภาพ

“ทันๆ  เด็ดมาก... แม่งเอ้ย เด็กนี่  แผลงฤทธิ์เกินคาด..  นี่มันเด็กอะไรวะเนี่ย...”

“รับรองโค้ชต้องอึ้ง  แม่งเล่นยิงด้วยไม้ตายพี่รันต์เลยนี่หว่า  ใบไม้ร่วงโคตรสวย” คนแรกกล่าวแล้วจับตามองเด็กหนุ่มที่วิ่งกลับไปที่แดนตัวเองโดยมีเพื่อนเข้า มารุมแสดงความดีใจ

อรรถที่อยู่บนอัฒจันทร์ด้วย เขาปรบมือค้างมานานแล้ว.. ตั้งแต่ลูกผ่านเข้าประตูไป

นี่โป้งจะก้าวเกินหน้าพี่ไปไกลกว่าเดิมอีกแล้วสินะ...  เขาบอกตัวเองในใจ

 

การแข่งขันกระชับมิตรจบลงด้วยแต้มบนกระดานแสดงคะแนน 4:0 เพราะครึ่งหลังแม้จะเปลี่ยนตัวเอาสำรองลงยกทีมไม่เว้นแม้แต่ประตูอย่างโกล  แต่ทีมโรงเรียนก็ยังเอาทำประตูคู่แข่งได้หนึ่งลูก

แต่กระนั้นโค้ชก็มีรายการช้อผิดพลาดมาไล่เรียง  โดยปอกับอัครแม้จะทำประตูได้ก็ยังโดนเรื่องสมาธิ  เพราะพลาดลูกที่โป้งเปิดสวยๆเข้ามาหลายครั้งตอนต้นเกม

กองหลังโดนเรื่องที่ปล่อยให้คู่แข่งยิงไกลได้หลายครั้ง แล้วก็เกือบจะเสีย

กองกลางทั้งหลายก็โดนเรื่องการเชื่อมเกมที่ขาดช่วงยังการขาดหายไปของการรุกของฝั่งขวา

ส่วนโป้งก็ยังโดนเรื่องการติดสินใจเปิดในจังหวะนั้นหลุดครั้งแรกเพราะอาจทำให้ กองหลังตัดไปได้  เกือบทำให้เสียโอกาส  โดยโป้งต้องเข้าการฝึกพิเศษเรื่องความมั่นใจในการเล่นหนึ่งต่อหนึ่งของเขา กับผู้รักษาประตู

 

เหล่านักเตะเดินออกมาจากห้องแต่งตัว  ทำให้หนุ่มในชุดนักศึกษาตื่นตัว

“โป้ง” เขาเรียก

โป้งที่กำลังหัวเราะกับเพื่อนหันมา

“อ้าวพี่อรรถ”

โป้งเดินมาหา

อรรถมองหน้ารุ่นน้อง วางมือบนไหล่

“เก่งมากนะเรา.. พี่ตามเราไม่ทันแล้ว”

โป้งมาหน้าอรรถ  ตอนนี้แววตาของอรรถมีความหมายมากกว่าที่พูด

“โอ้ย พี่  พี่ไม่ซ้อมรึเปล่า  มัวแต่สวีตกับพี่แพรวจนอ่อนซ้อมไปมั้ง เลยคิดว่าตัวเองไม่พัฒนา”

อรรถมีใบหน้าที่คมเข้มหล่อเหลา  พอยิ้มก็ยิ่งดูดี

“ไม่หรอก  บางทีเราก็ต้องรู้ตัวว่ะโป้ง “ เขากล่าวแล้วถอนหายใจ

“ไปกินข้าวกัน  เดี่ยวพี่เลี้ยง”

“โอเค” โป้งตอบ

“ข้าวไข่เจียวราดซอสพริกเยอะๆ” อรรถว่า แล้วเดินกอดคอจะพาโป้งไป

“เดี่ยวพี่” โป้งหยุด  หันไปหาเด็กหนุ่มร่างสูง

“โกล ไปด้วยกันไหม”

โกลส่ายหน้า

โป้งก็เลยล้วงกระเป๋าสะพายหยิบเอากุญแจห้องโยนให้

โกลรับแล้วก็ยักคิ้วอย่างรู้กัน

โป้งกับอรรถเดินกอดคอกันไป  ตอนที่โกลยืนมองตามไปด้วยความรู้สึกหนึ่ง

เขาเห็นแววตาของอรรถที่มองโป้ง... มันไม่ใช่แววตาของพี่กับน้องอย่างแน่นอนที่สุด

“เหยๆ แฟนมึงโดนครูผึกสอนโฉบไปหรือวะ” ปอเข้ามาล้อเลียน

โกลหันมามองหน้า แล้วเอากระเป๋าสะพายฟาดไปทีหนึ่ง

“เดี่ยวกูก็หันมาเอามึงแทนเสียเลย”

ปอทำท่าดีดดิ้น

“อย่านะ  กูยอมนะมึง”

โกลหัวเราะหึๆ จับหมับไปที่ก้นแล้วแล้วส่ายหน้า

“ตัวมึงใหญ่กว่าโป้ง  แต่ไม่ไหวตูดแฟบไป  ไม่เอาดีกว่า”

“เฮ้ยกูตูดปอดยอดขุนพล”

“ขุนพ่อมึงสิ... ตูดแฟบไม่มีเนื้อกระแทกไม่สะใจเว้ย กูไม่ชอบ”

“เฮ้ย กูเรียกไม่แพงหรอก  รถคัน บ้านหลังก็พอแล้ว”

“โอ้ย  มึงไปยืนขายแถวสีลมยังง่ายกว่ามาเสนอกับกูไอ้ปอ”

ตั้มที่เดินมาเคียงข้าง  มองรอยยิ้มของโกล

โกลเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่โป้งเข้ามา  เขาดูราวเป็นคนละคน

 

โกลหงุดหงิดจนไม่สามารถทนอยู่ในห้องได้  เขาจึงลงจากตึกมายืนอยู่ที่ท่าน้ำหลังอพาร์ทเมนท์

โป้งไปนานแล้ว  ทำไมยังไม่กลับ..

ในนึงก็คิดว่าไม่เป็นไรเขาคิดมากไปเอง  อีกใจเขาก็ตระหนักถึงสายตาของอรรถ

อรรถจะต้องคิดกับโป้งเกินเลยไปอย่างแน่นอนที่สุด  แม้จะมีแฟนแล้วก็เถอะ..  เขาอาจเป็นพวกชอบได้ทั้งชายและหญิง

ยิ่งคิดอรรถก็ยิ่งกลุ้มจนต้องเอาหินมาปาลงน้ำระบายความคับข้อง  เขาสูดลมหายใจลึกๆ

“ไม่หึง  เราต้องไม่หึง” เขาบอกตัวเองแล้วสูดลมหายใจระงับอารมณ์

“หึง... หึงอะไร” เสียงใสๆดังจากข้างหลัง

หันมาโป้งยืนเอียงคอมองหน้าเขาอยู่

โกลอึ้งไปนิดหนึ่ง  นึกหาคำแก้ตัว

“อ้อ... กูบ่นคนเดียว”

โป้งขมวดคิ้วมองหน้า

“อย่าบอกนะว่ามึงหึงกูกับพี่อรรถ”

โกลอึ้งนิ่งไป  ก่อนจะหัวเราะ

“บ้ากูจะหึงทำไม  มึงก็บอกแล้วนี่ว่าเป็นรุ่นพี่ที่สนิทกัน” แล้วเขาก็กอดคอโป้ง

“กลับห้อง  แล้วนี่ซื้ออะไรมา”

“ก็ข้าวพัดของมึงไง ก็ไลน์ไปสั่งกูเอง”

“เออ... ลืมไป”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 20:00:14
ตอนที่ 15 โจอดีตปีกซ้าย  ลาออก

โค้ชป้อมดูภาพที่แฟนสาวและคู่หมันของเขาเอาให้ดู

“สองคนนี้มาถ่ายวีดีโอแล้วพูดถึงโป้ง ไม่รู้ว่าเจตนาอะไร”

ป้อมเพชรดูภาพมองแล้วมองอีก

“เขาพูดถึงชื่อ กัน หรือรันนี่หละ  บอกว่าให้มาดู”

ป้อมเพชรหันมองหน้าคู่หมัน  ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืน

“ไม่มีอะไรหรอก  แมวมองน่ะ  พวกนี้เขามักจะมาดูนักเตะซ้อมแล้วก็อัดวีดีโอ”

แล้วป้อมเพชรก็เข้าเกียร์

“สากินข้าวหรือยัง ผมหิวเดี่ยวเราแวะกินอะไรกันแถวหน้าคอนโดของสาดีกว่าไหม”

สาวิตรีพยักหน้า แล้วตอบว่า

“ก็ได้ค่ะ”

แล้วเธอก็มองโทรศัพท์อีกรอบ

“แมวมอง จากไหนค่ะ”

“คือ ถ้าเขาพูดชื่อรัน  ก็น่าจะการันต์ โค้ชทีมชาติตอนนี้  ส่วนสองคนนี้ผมจำได้ว่าเป็นนักเตะรุ่นน้องนะ  แต่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่  สาเลยไม่รู้จัก  รู้สึกจะเป็นสตาฟของทีมใหญ่ของไทยพรีเมียร์ลีก.. ทีมแถวๆนนทบุรีนั่นหละ”ป้อมเพชรเข้าเกียร์เหยียบครัชก่อนจะออกตัวรถเมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียว

“ความสามารถของโป้งน่ะ สักวันก็ต้องมีคนเห็นอยู่ดี  สำหรับผมผมมองเห็นเขาไปไกลมา  ด้วยสิ่งที่มีอยู่ ไม่ว่าจะฝีเท้าและความรักในกีฬาประเภทนี้  ไม่แน่นะ  เขาอาจนักเตะไทยที่ได้เล่นในลีกอาชีพของยุโรปอย่างเต็มตัวก็ได้  สำหรับผม ก็แค่บันไดอีกก้าวให้เขา  ผมก็หวังว่าตัวเองจะเป็นขั้นที่ดีและแข็งแรงพาเขาไปสู่จุดสูงสุดได้ก็เท่า นั้น”

สาวิตรีพยักหน้า

“จริงๆ แล้วสำหรับผมยังมีคนอื่นอีกนะ  อย่างเช่นนายปอ  นายคนนี้มีลูกยิงที่เหมือนกาเบียล บาตีสตูต้า นักเตะในดวงใจของผมเลยนะ  แถมฝีเท้าก็ดี  อาจไม่จี๊ดจ้าดอย่างโป้ง แต่ผมก็มองว่าเขาต้องไปได้ไกลแน่นอน  ตั้มก็เก่ง  ขนาดโป้งยังเคยบอกว่าตั้มเป็นกองหลังรับมือยาก  แล้วก็ยังมีนายโกล...”

“ถ้า พูดถึงเฉพาะฝีเท้า  ผมเคยคิดเสียดายเขาที่เขาไม่ยอมเล่นตำแหน่งอื่นๆ  แต่พอเขามาเป็นผู้รักษาประตู  ก็กลายเป็นว่าเข้าทางของเขา  ตอนนี้ผมก็ไม่เสียดายแล้วล่ะ  เพราะเขาเดินมาถูกทางจริงๆ”

รอยยิ้มของป้อมเพชรแลดูมีความสุขมาก

“ผมก็รอวันให้ใครสักคนพาพวกเขาไปจากผม  ถึงตอนนั้นผมคงดีใจไม่น้อยที่ได้เห็นพวกเขาเดินบนเส้นทางฟุตบอล  ผมขอแค่เก็บความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางของเขา  ผมก็พอใจแล้วล่ะสา”

 

วู๊ดเช็คชื่อทีมเหมือนทุกวันเพื่อตรวจสอบ  แต่พบว่ามีขาดไปคนหนึ่ง  เขาก็เลยถามจากคู่หู

“เฮ้ยจอม.. ไอ้โจหายไปไหน มันไม่มาซ้อมสองวันแล้ว  เมื่อเช้ากูยังเห็นมันอยู่เลย”

จอมหันไปหันมาก่อนจะดึงวู๊ดออกจากห้องแต่งตัว

“ไอ้โจมันบอกว่าจะลาออก  มันบอกว่าซ้อมไปก็เท่านั้น  มันเล่นสู้ไอ้โป้งไม่ได้” จอมว่า

“แล้วทำไมมึงไม่พยายามอธิบายให้มันฟัง  จำไม่ได้เหรอโค้ชบอกเสมอว่าเราเป็นทีม  จะตัวจริงตัวสำรองก็สำคัญทั้งนั้น ” วู๊ดถามแล้วร่ายยาว

“กูพูดแล้ว... แต่มันไม่ฟัง  มันรับไม่ได้  มันบอกว่ายิ่งไอ้โป้งเก่งมันยิ่งรู้สึกแย่  เล่นตำแหน่งเดียวกันแท้ๆ แต่สู้ไม่ได้” จอมตอบ

“กู เข้าใจมันนิดๆนะวู๊ด  เพราะมันเคยเป็นตัวหลักมาโดยตลอด  อยู่ดีๆเจอนักเตะระดับไอ้โป้งเข้า  มันจะโกรธก็ไม่ได้  เพราะสู้ไม่ได้  แต่จะให้มันเฉยๆ มันก็ไม่ไหวอยู่ดี...  กูว่านะ  ถ้ามันคิดแบบนี้... ก็คงต้องปล่อยมันไปนั้นล่ะ”

โดยสองคนนั้นไม่รู้โป้งที่พึ่งจะไปคุยกับโค้ชเรื่องมีจดหมายเรียกตัวเขาไปคัดตัวทีมชาติรุ่นต่ำว่า 19ปี และกำลังจะเดินมาห้องแต่งตัวจึงได้ยินเรื่องทั้งหมด

 

โกลสังเกตเห็นว่าโป้งทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ตั้งแต่เลิกซ้อม

ตอนที่ทั้งคู่ไปถึงบ้านของโกล  โกลก็เลยถามตอนที่เดินขึ้นบันไดไปที่ห้องนอน

“มีอะไรรึเปล่า หน้าตามึงเหมือนคิดอะไรอยู่”

โป้งเดินเรื่อยๆขึ้นบันไดหันมามองหน้าโกลที่เดินตามหลังมา

“มึงรู้ไหมว่าบ้านโจอยู่ไหน”

โกลรับฟังเรื่องทั้งหมดจากโป้ง  เขาก็ถอนหายใจ

“กูก็ไม่ค่อยสนิทกับมัน  แต่จำได้ว่ามันเคยปัญหาเรื่องนี้มาก่อนแล้วตอนม.สอง  แต่ก่อนมันเป็นกองหน้า  แต่ตอนหลังไอ้ปอมันมันพัฒนาฝีเท้าจนโค้ชเห็นว่ามันควรจะเป็นศูนย์หน้า เลยจับมันโยกไปเป็นปีก มันก็ไม่พอใจ  แต่ตอนนั้นไอ้วู๊ดมันเป็นคนไปเคลียร์มันก็เลยยอมยืนปีก”

โกลส่งเครื่องน้ำผลไม้ให้โป้ง

“ที่จริงมึงไม่ควรไปยุ่ง  เดี่ยวให้วู๊ดหรือไม่โค้ชจัดการดีกว่า  เพราะมึงกับมันเป็นโจทย์กันโดยตรง”

โป้งดื่มน้ำผลไม้ก่อนจะตอบ

“แต่กูอยากจะลองคุยกับมันสักครั้ง”

โกลนั่งลงข้างๆโป้ง

“มึง.. กูว่ามึงใจเย็นๆก่อน ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปตามการจัดการของโค้ชก่อนดีกว่ามึงเชื่อกู”

โป้งถอนหายใจ  แล้วก็พยักหน้า พยายามทำใจ

แต่เขาเขานึกอะไรได้

“โกลกูต้องไปคัดเลือกตัวU19” โป้งเล่า

แต่โกลไม่ได้แปลกใจ

“เออ.. ก็เดี่ยววันคัดตัว มึงก็ไปกับกู  เพราะสนามอยู่ไกลมาก  นั่งรถเมล์ไม่ไหวหรอก”

“เฮ้ยไม่เป็นไร กูไปเองได้” โป้งกล่าวไปตามความเคยชิน  แต่พอนึกได้ก็มองหน้าโกล

“หรือว่ามึงจะไปเชียร์ ถ้าอย่างนั้นก็โอเคเลย”

“เรื่องอะไรกูต้องไปเชียร์มึง  กูเชียร์ตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ” โกลตอบพูดเหมือนประชด  แต่ก็ไม่ใช่

“หือ..” โป้งรู้สึกแปลกต่อน้ำเสียงของโกล

“มึงก็โดนเรียกเหมือนกันเหรอ”โป้งทำหน้าตื่นเต้น

โกลยักคิ้ว

โป้งดีใจจนเผลอกอดโกล

“ดีจังเลยมีมึงไปด้วย..”

แต่กอดไว้เดี่ยวเดียวก็ปล่อย

โกลมองหน้าโป้ง

“อ้าวทำไม  ไม่ดีใจแล้วเหรอ”

โป้งทำหน้าแหยงๆ

“ไม่เอาอะกอดนาน  เดี่ยวมึงก็เงี่ยนอีก”

 

ก่อนการซ้อมตอนเช้า  โค้ชก็ประกาศเรื่องการลาออกของโจ

“เขา มายื่นลาออก  ถึงเขาจะเป็นตัวสำคัญคนหนึ่ง แต่เราก็ต้องก้าวต่อไป  ดังนั้น  ตอนนี้ด้านซ้ายก็เท่ากับว่าจะเหลือแค่โป้งคนเดียว  ดังนั้นผมก็เลยจะดันคนที่พอจะเล่นตรงนี้ขึ้นมาเล่นแทนโจ “ แล้วอาจารย์ก็มองมาที่กลุ่มผู้เล่นกองหลัง

“ฉัตร  คุณถนัดซ้าย  ดังนั้นจึงเหมาะ  นับจากวันนี้ผมจะให้คุณเพิ่มการซ้อมความเร็ว  การเปิดบอล  ส่วนเรื่องความแข็งแกร่งคุณมีอยู่แล้ว  ผมจะเพิ่มแผนการรุกใหม่ไปด้วย  ต่อไปคุณกับโป้งก็ต้องซ้อมร่วมกัน  โป้งเขาจะเป็นสอนเทคนิคการเปิดบอลให้คุณ  แล้วก็การเอาตัวรอดจากคู่แข่งด้วย”

ฉัตรหนุ่มผิวสองสี ดวยหน้าออกแนวไทยแท้หันมายิ้มให้โป้ง  โป้งก็ยกมือทัก

แม้จะยิ้ม แต่ใจของโป้งรู้สึกไม่ดีกับข่าวการลาออกนั้น

 

ด้วยความรู้สึกโป้งจึงเข้าไปหาโค้ชตอนเลิกซ้อม

“จะมาคุยเรื่องโยหละสินะ”

“ครับ”โป้งรับตามตรง

“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นต้นเหตุ”

โค้ชถอนหายใจแล้วก็ลุกขึ้น

“คุณไม่ต้องคิดมาก  คุณก็น่าจะเข้าใจ  การเล่นฟุตบอล เราเล่นเป็นทีม  ผมเป็นโค้ช  ผมก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ทีม  ดังนั้นถ้าใครสักคนควรจะเป็นคนผิด  จึงไม่ใช่คุณโป้ง  เพราะคุณคือคนที่ผมเลือก  ไม่ใช่คุณเลือกตัวคุณเองให้มาเล่นแทนโจ”

โป้งมองหน้าโค้ช

“คุณควรไปคุยกับโจในเรื่องนี้  โป้ง  คุณอาจรู้ว่าทำไมโจถึงลาออก  อีกอย่างคุณอย่าไปเที่ยวพูดมาเรื่องโจลาออก  ผมบอกกับวู๊ดไปแล้วให้บอกทุกคนว่าไม่ต้องพูดถึงกรณีลาออกของโจให้ครอบครัวฟัง  โจจะยังมีชื่ออยู่ในทีม  แต่เพียงว่าเขาจะไม่เข้าซ้อมกับเราเท่านั้นเอง”

โป้งงงกับสิ่งที่โค้ชแจ้งมา


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 20:01:02
ตอนที่ 16 แรงบันดาลใจจากนายจุ๊ย

ฝนโปรยตัวลงมาในยามบ่าย โป้งกับโกลต้องวิ่งมาหลบอยู่ใต้ชายคาของตึกแถวแห่งหนึ่งในย่านการค้ากลางเมืองใกล้ถนนเยาวราช

“ว้า  ฝนไม่น่าตกเลยนะ”

โกลหันมองหน้า

“นี่มันหน้าฝน ฝนก็ต้องตกสิวะ”

“แหม่  แต่กูอยากจะไปกินลอดช่อง  แล้วจะไปยังไง  แถมที่จอดรถของมึงก็อยู่ไกลจากตรงนี้  จะเดินกลับไปยังไง” โป้งกล่าว

“ต้องรอให้ฝนหยุดก่อนไง”โกลตอบแล้วหันไปหาตู้กระจก  ภายในมีเครื่องดนตรีเรียงรายอยู่

โป้งก็หันมาบ้าง  แต่โป้งเป็นคนช่างสังเกต เขามองผ่านชั้นวางเครื่องดนตรีเข้าไปภายใน

“โยนี่” โป้งกล่าวขึ้น

โกลเลยหันไปตาม

 

“ชอบไหมอันนี้” หนุ่มหน้าจีนถาม เมื่อหนุ่มผิวขาวแต่กร้านแดด เป่าไล่ตัวโน๊ต  แล้วกำลังพิจาณาสภาพของฟรุ๊ตที่ตัวเองถือ

“อันนี้เป็นตัวที่สมบูรณ์มาก” เจ้าของร้านกล่าว

“เท่าไหร่ครับ” โจถาม

“ก็คิดกันเองไปเก้าพันแล้วกัน แพงหน่อย สภาพดี  เป็นของYamahaด้วย” เจ้าของร้านที่เป็นหนุ่มวัยเพียงยี่สิบต้นๆกล่าว

“ก็ลองเป่าดูสักเพลงสิ” เสียงนี้เป็นเจ้าของร้านรุ่นบิดา  เขาเดินลงมาจากชั้นบน พร้อมกับแซกโซโฟนราคาแพงตัวหนึ่ง

“เอาสิโย  ฉันก็อยากฟังนายเป่าอยู่  อยากรู้สอนไปแล้วนายทำได้แค่ไหน ถือเป็นการสอบเข้าวงโยก็แล้วกัน” จุ๊ยสนับสนุน

โยหันมายิ้มแหย่ๆ

“อย่าขำก็แล้วกันนะจุ๊ย”

แล้วโจก็จรดปากกับเม้าพิช  เริ่มต้นเป่าเพลง Can you Feel the Love Tonight

เสียงฟรุ๊ตแว่วหวาน และพลิ้วไหวจนจุ๊ยพยักหน้า  แม้คนที่มีหูดีอย่างจุ๊ย จะจับข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยได้  เขาก็สัมผัสได้ถึงความสามารถของผู้บรรเลง  แปลว่าโจ นักฟุตบอลโรงเรียนที่มักจะมาขอให้จุ๊ยสอนเล่นดนตรีตั้งแต่ม.หนึ่ง  มีการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องอย่างแน่นอนที่สุด

ตอนนั้นมีเสียงเปิดประตู  ทำให้เจ้าร้านรุ่นหนุ่มหันไป

ทั้งสองที่เข้ามาก็ยังต้องยืนเงียบกับบทเพลงอันไพเราะนั้น

“ดีมาก” เจ้าของร้านรุ่นอาวุโส ตอบบ่า

“มีแววนะเนี่ย  สมแล้วเป็นลูกศิษย์ไอ้จุ๊ย”

จุ๊ยปรบมือเบาๆ

“นี่อาจารย์ของจุ๊ย  อาจารย์ถนอม  ท่านเป็นสอนจุ๊ยเล่นดนตรี”

โจหันไปยกมือไหว้  แล้วเขาก็ทำท่าจะเก็บฟรุ๊ต  แต่จังหวะนั้นเองต้องหันไปนอกร้าน

เขาชะงักนิ่งค้าง

“อ้าวโป้งกับโกล  มาได้ไงเนี่ย” จุ๊ยทักทาย

 

ฝนหยุดไปแล้ว สี่หนุ่มก็ชวนกันไปกินข้าวมันไก่เจ้าอร่อยที่จุ๊ยเป็นคนแนะนำ

จุ๊ยมองหน้าโป้งกับโจ ที่มองหน้ากันเงียบๆ

“นี่ๆ” จุ๊ยเอามือมาคั่นตรงกลาง

“เดี่ยวก็ท้องหรอก จ้องตากันซะขนาดนี้  พวกมึงจะกินกันเองหรือไง  จ้องตากันซะหวานเยิ้ม”

โป้งยิ้มออกมาแล้วก็เอาน้ำจิ้มราดลงข้าว

“ตกลงที่มึงลาออกเพราะอยากจะเล่นดนตรีเหรอ”

โจถอนหายใจแล้วพยักหน้า

โป้งถอนหายใจบ้าง

“ตกลงนี่มึงคิดดีแล้วเหรอโจ มึงจะทิ้งฟุตบอลไปจริงๆเหรอ ถ้ามึงคิดมากเรื่องตัวจริง  กูก็ยินดีจะให้โค้ชย้ายตำแหน่งกูนะโจ”

โจส่ายหัว

“มึง ก็อย่าพูดอย่างนี้  แผนของโค้ชที่ใช้มึงวิ่งซ้ายน่ะ ถูกต้องที่สุดแล้ว  พูดไปเมื่อก่อน กูก็ฝืนๆนะ  เพราะจริงๆกูเท้าขวา  แต่ตอนนี้ขวามีไอ้โยธิน.. ที่ก็เก่งกว่ากูอีกต่างหาก”

โป้งทำหน้าเข้ม

“มึงต่างหากอย่าพูดอย่างนี้  มึงจะทิ้งกีฬาที่ตัวเองรักเพราะสู้เขาไม่ได้เหรอ  ถ้ารู้สึกว่าเรายังด้อย  เราก็ต้องฝึกสิวะโจ  หัวใจสักสู้ของมึงไปไหนหมดโจ  มึงมาเล่นเนี่ย มึงรักฟุตบอลไม่ใช่เหรอโจ”

ทั้งจุ๊ยทั้งโกลเงียบ มองหน้ากัน

สองคนเผชิญสายตากัน

“กูไม่ได้อยากเป็นนักบอลโป้ง  ไม่เคยอยาก  พ่อกูต่างหากที่อยาก  เขาอยากเพราะรู้ว่าเงินเดือนนักบอลอาชีพมันดี  พ่อกูเขาจับกูเล่นบอลเพราะอย่างนี้  เขาเคยเป็นนักบอลโรงเรียนเหมือนพวกเรา แต่เขาขาหัก  เลยเล่นต่อไม่ได้  เขาก็เลยเอาความฝันทุกอย่างมากองตรงหน้ากู“ โยตอบออกมาเหมือนทุกสิ่งที่เก็บกดไว้แน่นจนจวนระเบิด  แล้วการรุกของโป้งก็ทำให้มันปริแตกปลดปล่อยออกมา

“เรา มีความฝันของตัวเองใช่ไหมโป้ง  มึงอยากเป็นนักบอล เพราะมึงรัก  กูก็มีความฝันเหมือนกันโป้ง  กูก็อยากเดินตามเส้นทางฝันของกู  แล้วมึงว่ากูทำผิดหรือถูกโป้ง”

 

“กูอยากเป็นนักดนตรีมาแต่ตั้งแต่เด็ก เพราะเพื่อนกูสมัยเด็กเขาก็เล่นดนตรี  กูก็แอบตามไปเรียนกับเขาประจำ  แต่ไปทีไรพ่อกูก็จะเอ็ด  เขาบอกว่าเป็นนักดนตรีแล้วจะได้อะไร  ขี้ยา ขี้โรค อ่อนแอ” โจพูดกระแทกเสียงเล็กน้อย

จนจุ๊ยที่เดินคู่กันมา มองหน้า

“ขอโทษ กูแค่เล่าให้ฟัง” โจหันไปกล่าว

“แต่แม่กูเขาก็เห็นใจกูนะ  เขาแอบสนับสนุนกูตลอด  คอยปิดบังพ่อให้ เวลากูแอบไปซ้อมดนตรี  นี่เขาก็ออกเงินให้กูซื้อ” โจยกฟรุ๊ตประกอบ

โป้งถอนหายใจ กอดคอโจ

“กูขอโทษโจ  กูไม่รู้ กูมันก็อย่างนี้หละ โจ  บ้าบอลเกินเหตุ... กูก็แค่ไม่อยากเห็นคนที่เคยเล่นมาด้วยกันเลิกเล่นเพราะท้อใจเท่านั้นเอง”

โจหลับตาลงนิดหนึ่ง ก่อนจะลืมตาแล้วกอดคอโป้งตอบ

“มึงก็คิดมากไป  กูเข้าใจ  เพราะมึงไม่รู้ไง”

 

ในวันฝึกฝนทักษะเฉพาะตัว โป้งแนะนำวิธีการจับจังหวะบอลเพื่อเปิดให้ฉัตรฟัง

“คือมันต้องมีจุดในใจมึงนะ  อาจกำหนดจุดจากที่โค้ชบอก หรือจะจุดในใจมึงเองก็ได้  แต่สำคัญคือมึงต้องรู้ก่อนว่าน้ำหนักการเปิดของมึงเป็นยังไง  อันนี้มึงต้องค้นหาเอง ด้วยการฝึกบ่อยๆ  ส่วนจังหวะ  มันก็เหมือนการเต้นรำนั้นหละ มอง วางเท้า เตะ  อันนี้บางคนบอกไม่สำคัญ  แต่กูมีนะ  มองก่อน เป็นหนึ่ง วางเท้าถูกต้องเป็นสอง  เตะตรงจุดและน้ำหนักเป็นสาม..”โป้งว่าแล้วก็ทำให้ดู

เขาเตะบอลไปข้างหน้า แล้ววิ่งตาม  มองจุด ลงเท้าขวาเป็นหลัก แล้วก็เตะออกไป  ลูกโค้งเข้าไปหน้าประตู  กระดอนพื้นแล้วก็เบียดเสาเข้าไป

"แต่ที่สำคัญ ไม่ว่าทิศทางและน้ำหนักต้องได้ตามแผนของโค้ช  หรือไม่ก็ต้องพอให้เพื่อนตามไปเล่นได้"

“ลองจากลูกนิ่งก่อน แล้วค่อยเป็นลูกวิ่ง” โป้งหันไปชี้ที่ตาข่ายที่มีลูกบอลอยู่เต็ม

ฉัตรก็พยักหน้า

แล้วฉัตรก็ทำโป้งบอกเอาบอลไปตั้งที่จุด แล้วถอยมามอง  ก่อนจะโยนเข้าไป

“บอลต่ำไปนะ  แบบนั้นเดี่ยวจะโดนสกัด” โป้งแนะนำ

แล้วโป้งก็วิ่งมาพร้อมบอลอีกลูก จากนั้นก็โยนเข้าไปเหมือนลูกแรกแทบจะทุกอย่าง

“จังหวะเตะของมึงดีแล้ว แต่ขอน้ำหนักกับทิศทางอีกหน่อย”

โป้งหันมากล่าว

“วันนี้ฝึกลูกนิ่งไปก่อน  พรุ่งนี้ค่อยลองลูกวิ่งเนอะ  สลับกันกูเปิดลูกนึงมึงเปิดลูกนึง”

โค้ชให้นักเตะรุ่นเด็กคนหนึ่งไปรอเก็บบอลให้โป้งกับฉัตร  เขาพอใจกับความตั้งใจในการถ่ายทอดของโป้ง

เด็กคนนี้มีทักษะที่ฝึกฝนมายาวนานและต่อเนื่อง...

บนตึกที่เป็นตึกชมรมต่างๆ  โจยืนมองโป้งกันฉัตรอยู่ เขาเอาฟรุ๊ตมาควงแล้วก็ยิ้ม

“ตั้งใจนะโป้ง  กูก็จะตั้งใจฝึกของกูเหมือนกัน”

 

อีกไม่นานจะมีการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนราการใหญ่  ซึ่งก็อีกแค่ไม่ถึงเดือนดี

ทีมฟุตบอลต้องซ้อมหนักมากขึ้น และมีโปรแกรมเข้าเก็บตัว  ดังนั้นวันนี้โป้งกับโกลก็เลยต้องเอาเสื้อผ้าเพื่อนอนค้างที่โรงเรียน  และเพราะมัวแต่จัดกระเป๋าก็เลยมาถึงโรงเรียนตอนเพลงมาร์ชขึ้นแล้ว  ทั้งคู่รีบวิ่งมาเข้าแถว

ผู้อำนวยการขึ้นมาบนเวทีหลังเคารพธงชาติ สวดมนต์และท่องสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการบังคับให้ท่องทุกเข้าเสร็จแล้ว

“เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี้  นักเรียนของเราคนหนึ่ง ได้สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนอีกครั้ง” ผู้อำนายการกล่าว

“ก็คนเดิมคนคุ้นหน้าของพวกเธอนั้นหล่ะ  นายนทีธาร  เขาได้สร้างผลงานยอดเยี่ยมในการประกวดดนตรีชิงถ้วยเกียรติยศระดับนักเรียน  โดยได้ตำแหน่งชนะเลิศในประเภทเครื่องเป่า  ดังนั้นผมอยากจะให้เขามากล่าวแบ่งบันประสบการณ์ให้พวกคุณฟัง”

จุ๊ยส่งแซกโซโฟนให้ไตรแล้วก็เดินขึ้นเวทีไป

เขายกมือไหว้ผู้อำนวยการก่อนจะรับไมโครโฟน

แต่เพราะเป็นแบบมีสาย แล้วสายก็เกะกะพันกัน เขาก็เลยต้องสะบัดๆ  แต่สะบัดไปสะบัดมา  สายไมโครโฟนก็หลุดออก

แต่จุ๊ยไม่รู้ว่าแกล้งหรือไม่รู้จริงๆ เอาไมค์จ่อปากพูดแต่ไม่มีเสียง  พวกนักเรียนก็เลยหัวเราะกัน

รุ่นพี่ที่ดูแลเครื่องเสียงจึงวิ่งมา เอาสายไมโครโฟนมาส่งให้

รุ่นพี่ทำท่าจะพูดอะไร พอจุ๊ยเสียบสายไมโครโฟนเสร็จก็ยื่นให้

“มุกรึเปล่าเนี่ย”

นักเรียนก็หัวเราะกันอีก

โป้งหันมองหน้าวสันต์

“ไอ้เหี้ยนี่มันแสบ  มันจงในเชื่อสิ”

“เปล่าพี่” จุ๊ยแก้ตัว  แล้วก็หันไปยืนตัวตรง

“กราบ เรียนท่านผู้อำนวยการ คณาจารย์ และเพื่อนๆทุกคน  ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้ไปร่วมการประกวดดนตรีชิงถ้วยเกียรติยศประเทศไทย  แล้วผมก็ได้รับรางวัลชนะเลิศกลับมา  ซึ่งผมมีความภาคภูมิใจมาก  และจะขอมอบรางวัลนี้ให้กับโรงเรียนเพื่อให้เป็นเกียรติประวัติของสถาบัน  และเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เพื่อนๆและพี่น้องให้ทำความฝันของทุกท่านให้ประสบ ความสำเร็จ”

แล้วเขาก็กวาดตาไปรอบ

“สำหรับ ผม  การแข่งขันนั้นคือการพิสูจน์ตัวเอง  เป็นการทดสอบว่าระดับความสามารถของเราไปถึงระดับไหน  ผมอยากให้ทุกคนได้รับโอกาสที่จะทดสอบตนเองในสิ่งที่ตัวเองรัก”

แล้วเขาก็มองไปที่โกลที่ตัวสูงสุดในหมู่นักบอล

“ผม เป็นนักดนตรี  ผมไม่ต้องลงสนามไปแย่งลูกบอลกับใคร.. เพราะผมไม่โรคจิต  บอลลูกเดียวแย่งกันอยู่ได้ตั้งยี่สิบสองคน  ทำไมกรรมการเขาไม่เอาบอลแจกไปคนละใบเนอะ จะได้ไม่ต้องแย่งกัน”

โป้งทำหน้าเร่อหรา หันมองหน้าโกล แต่เพื่อนๆหัวเราะกันครื้นเครง

“แต่ ก็ไม่ใช่ว่านักดนตรีจะไม่ต้องแข่งกับอะไร  เราแข่งกับโน้ต เราแข่งกับทำนอง เราแข่งกับตัวเอง เพื่อที่บรรเลงเพลงที่ดีที่สุดออกมา  และถ่ายทอดอารมณ์เพลงที่ผู้ประพันธ์เพลงโรคจิต  อย่างโชแปง วิวาลดี้ โมสารท ที่ก็โรคจิตแต่งมาแต่ละเพลง  ไม่รู้จะยากไปไหน  ตอนแต่ไม่รู้คิดรึเปล่านะว่า คนเล่นจะปวดหัว.. โน้ตบ้าอะไรสองสามชั้น” จุ๊ยกล่าวต่อไป แต่ก็ไม่วายหยอดมุกแถมเล่นน้ำเสียง

นั้นเรียกเสียงหัวเราะได้แม้แต่ผู้อำนวยการ

“แต่ผมก็รักเสียงดนตรี.. ผมรักการเล่นดนตรี  ดังนั้นในการแข่งขัน ผมจึงไม่ได้มองไปที่ชัยชนะหรือรางวัล  แต่ผมไปที่บทเรียนที่ผมจะได้รับจากการแข่งขัน  ผมแสวงหาการพัฒนาตนเองจากการแข่งขัน  ผมจึงวางเป้าหมายที่การชนะเลิศ  แต่ผมก็ไม่ได้คิดแต่ว่าจะต้องชนะ  ผมคิดว่าผมไปแข่งเพื่อทดสอบตัวเอง  และผมก็คิดว่าตัวเองไปเล่นในสิ่งที่ตัวเองรัก... และผมก็เพลิดเพลินกับมันแทนจะทำให้ตัวเองกดดัน”

แล้วเขาก็วรรค มองไปทั่ว ก่อนจะกล่าวออกไป

“สำหรับผม ชัยชนะคือเป้าหมาย  แต่ความสนุกสนานที่ได้รับจากการทำสิ่งที่รักคือรางวัล”

โป้งรู้สึกเห็นด้วยอย่างรุนแรงจนปรบมือออกไปเอง และเหมือนคนอื่นๆก็เช่นกัน  เสียงปรบมือกึกก้องให้กับคำพุดนั้น

โจมองจุ๊ยบนเวที  เขารู้สึกมีใจฮึกเหิมที่เดินบนเส้นทางที่ตัวเองรัก  เขาอยากเป็นนักดนตรีมาตั้งแต่เด็ก  เขาชอบดนตรี และแม้เวลาวิ่งออกกำลังกายเขาก็ยังเสียบหูฟังเพื่อผ่อนคลายจากความตึงเครียด ทั้งหลาย

บัด นี้เขาจะมุ่งไป  เขาพร้อมจะเผชิญหน้ากับพ่อ  ถ้าหากว่าพ่อทราบเรื่องนี้ แล้วจะขัดขวางเขา  เขาก็พร้อมจะตอบท่านด้วยหัวใจรักดนตรีของเขา


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 20:02:15
ตอนที่ 17 ประโยคเดียว พลิกเกม

รายการ แข่งขันที่กำลังรอพวกเขาอยู่นี้แม้จะเป็นรายการที่จัดโดยเอกชน  เป็นรายการใหม่พึ่งจัดปีแรก แต่ก็ถือว่าเป็นรายการใหญ่เพราะเดิมพันเป็นเงินรางวัลก้อนใหญ่มากพอที่ดึง ดูดทีมใหญ่ๆ อย่างโรงเรียนที่เป็นได้ชื่อว่ามหาอำนาจลูกหนังทั้งหลาย และสโมสรที่สนับสนุนโดยทีมอาชีพ

ดังนั้นพอจบการฝึกซ้อมแต่ละวันโรงยิมที่ใช้เป็นที่พักให้กับทีมก็มักจะจบลงด้วยความเงียบสงัดเพราะเล่านักบอลเหนื่อยจนแทบขาดใจ

นี่คือชีวิตจริงของนักฟุตบอล...

ซ้อมกันให้ตายไปข้างเพื่อเตรียมรับทัวร์นาเม้นท์ที่กำลังจะมาถึง

 

ทีมของโป้งทำผลงานได้ดีในรอบแบ่งกลุ่มแล้วก็ผ่านต่อไปในสิบหกทีม แล้วก็เอาชนะผ่านมาได้จนรอบรองชนะเลิศ

และกลายเป็นว่าเขาต้องไปพบกับทีมโรงเรียนที่เป็นคู่แข่งเก่าของพวกเขา ทีมที่เจอกันปีที่แล้ว  รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลนักเรียนถ้วย ก.

โป้งกระโดดๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นระหว่างรอออกไปสู่สนาม

“นี่ใครวะไม่เคยเห็นหน้า” คนที่อยู่ด้านหลังไปนิดหนึ่งของอีกทีมกล่าว

โป้งเลยหันไปมองหน้า

“แล้วมึงจะต้องเคยเห็นหน้าหมดเลยหรือไง” คนตอบคือวู๊ด

“ทีมมึง กูก็ไม่เคยเห็นหน้าหลายคนเหมือนกัน ไอ้ก้าน”

โป้งคุ้นชื่อนี้อยู่ ก้าน.. ก้านเพชร  หนึ่งในนักเตะฝีเท้าดีคนหนึ่ง

“หน้าตาน่าเอ็นดูนี่หว่า... ตัวบางๆอย่างนี้จะเล่นบอลไหวเหรอวะ”

โป้งยิ้มจางๆแต่ไม่ได้ตอบ

ก้านเพชรกอดอกมองหน้าโป้งที่หันไปแล้ว เขาชิดริมฝีปากขึ้นด้านหนึ่งก่อนจะหันไปทางอื่น

 

บนอัฒจันทร์ สุขี แมวมองนักเตะและตัวแทนของนักฟุตบอลอาชีพชื่อดังหลายคน  บันทึกภาพนักเตะที่ยืนเรียงรายอยู่เก็บเอาไว้ด้วยกล้องแฮนดี้แคม

แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีคนนั่งลงข้างๆ

“อ้าวพี่โชติ  นึกว่าพี่จะไม่มาแล้ว รายการเล็กอย่างนี้”

โชติหันมามองหน้ารุ่นน้อง

“ไม่มาได้ไง  นี่มันรายการเล็กซะที่ไหน  ดูคู่รอบรองแล้วก็รู้เลยว่าไม่ธรรมดา  นี่มันรีเมตถ้วยก.อายุไม่เกิน 16 ปีเลยนี่หว่า”

“ใช่พี่” สุขีตอบ

“ทีมของไอ้ป้อมนี่ เขาว่าเด็ด” โชติว่า

“กูมานี่ก็เพราะได้ยินมาว่ามีลูกชายเทพฤทธิ์อยู่ด้วย  เขาลือกันว่าเด็กนี่เก่งไม่แพ้พ่อเลยนี่น่า”

สุขีมองหน้า

“ทำไมกลัวกูแย่งมึงเหรอ” โชติอ่านสายตา

“พี่.. ไม่ใช่แค่ผมหรอก  พี่ลองดูดีๆ รอบตัว” สุขีชี้ไปรอบสนาม

โชติก็มองไปตาม

“เฮ้ย.. นี่มันมากันหมดวงการเลยรึเปล่าวะ  โอ้โห พลาดละกู  มากันเยอะขนาดนี้” เขาร้องออกมา

 

สองทีมเคยเจอกันมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว  จึงรู้ทางกันดีพอสมควร  ผ่านสามสิบนาทีแรกไปได้อย่างไม่มีอะไรลุ้นมากมายแค่พาบอลเฉียวไปเฉียวมาแล้ว ก็ยิงไกลบ้างประปราย

โป้งเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน  นอกจากปิดเข้าไปแล้วโดนกองหลังโขกสกัดออกมา แล้วก็เป็นตั้มที่เติมมายิงจากแถวสอง แล้วก็เปิดเข้าไปให้อัครได้โหม่งแต่ข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

แต่จังหวะนี้ ก้านเพชรได้บอลจากความผิดพลาดของแสนพล  เขาพาบอลวิ่งไปตามแนวกราบขวาก่อนจะตัดเข้ากลางมาแล้วยิงโค้งเขาหาประตู

โกลทะยานไปปัด  แต่ลูกมันเบี่ยงหนีมือ  กระแทกเสาเข้าประตูไป

เสียงเฮมาจากกองเชียร์ของฝั่งตรงข้าม ทำให้เพื่อนร่วมทีมของโป้งหลายคนส่ายหน้า

“สู้ๆเว้ย เอาประตูคืนให้ได้” วู๊ดตบลงไปบนบ่าแสนพลที่เดินซึมกระทือ

ก้านเพชรที่แสดงอาการดีใจกับเพื่อนๆพอสมควร แล้วก็กลับไปแดนตัวเอง  แล้วผ่านมาได้ยินวู๊ดพูดกับแสนพล

“กูจะรอดู... ทีมกูไม่ใช่ทีมเดิมทีแพ้มึงปีที่แล้วนะเว้ย”

วู๊ดทำหน้าไม่ยี่หระ

“พวกกูก็เหมือนกัน”

ก้านเพชรทำเสียงหึในลำคอ แล้ววิ่งต่อไป

โป้งที่กำลังวิ่งกลับตำแหน่งจึงได้เจอก้านเพชร เพราะก้านเพชรเป็นปีกขวา

“เด็กใหม่.. อย่าทำหน้าหน้าเศร้าสิวะ “

แต่โป้งยิ้มออกมา

“เศร้าทำไมครับ บอลเขาเล่นกันเก้าสิบนาที”

ก้านเพชรมองรอยยิ้มนั้น เขาเดาไม่ออกว่านายคนนี้กำลังตอบโต้เขา หรือว่าพูดออกมาจากความคิดแง่บวกเฉยๆ

แต่หันไปเห็นกรรมการเอาลูกมาที่กลางสนาม ก็เลยรีบวิ่งกลับไปตำแหน่งตัวเอง

“ยังไม่แผลงฤทธิ์อีกเหรอ... ดูเหมือนจะเล่นอืดไปนิดนึงนะ “ โชติกล่าว แล้วก็ถอนหายใจ เอาโทรศัพท์มากดดูข้อความไลน์

สุขีก็หันมองหน้ารุ่นพี่

แต่แล้วในสนามก็ฮือฮากัน

พอทั้งสองมองลงมาก็เห็น เด็กหนุ่มที่ดูตัวเล็กคนนั้นกำลังลากบอลจี้เข้าหากรอบเขตโทษอย่างรวดเร็ว

ที่พลาดไปสำหรับสองแมวมอง คือจังหวะที่โป้งใช้ความสามารถทะลุทะลวงเข้าไป

ตอนนั้นโป้งเห็นช่องระหว่างก้านเพชรกับกองหลังที่ตามเข้าประกบ  เขาจิ้มบอลผ่านสองคนเอาดื้อๆ แล้วก็วิ่งผ่าตามลูกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พาบอลเลี้ยงตัดเข้าไปในหน้ากรอบเขตโทษ

ก่อนกองหลังตัวกลางเข้ามาขวาง  โป้งหลอกจ่ายไปทางขวาให้โยธินที่เติมเกมขึ้นมาทางขวา

โยธินจึงพาลูกไปสุดเส้น แล้วทำท่าจะโยน แต่เขาก็เคาะย้อนมาให้ตั้ม

ตั้มมองเห็นโป้งยังอยู่หน้ากรอบ  เขาจึงจ่ายเรียดไปให้

โดยไม่จับ  โป้งรอบอลมาถึง เขาหยั่งเท้าขวา  มองเป้าที่มุมบนด้านขวา แล้วก็เตะลูกออกไปด้วยน้ำหนักและความแรงที่ซ้อมมาอย่างดี

ลูกบอลเดินทางอย่างรวดเร็วในวิถีโค้งข้ามกองหลังที่พยายามจะบล็อก  ส่วนผู้รักษาประตูได้แค่ป้องกันด้วยสายตา ตอนที่ลูกผ่านพุ่งเสียบสามเหลี่ยมบนเข้าไป

บนอัฒจันทร์กองเชียร์ส่งเสียงเสียงเฮลั่น

“อืม.. คมมาก..ลูกนี้.. สมแล้วที่เป็นลูกของเทพฤทธิ์ไซด์โป้งพิฆาต” โชติพยักหน้า ตามองไปที่เด็กหนุ่มที่รับการแสดงความยินดีของเพื่อนด้วยกิริยาดีใจแต่ไม่ ได้มากจนเกินไป

“พี่รู้เปล่าว่าเขาชื่อ โป้ง  ไซด์โป้งไงพี่” สุขีกล่าวบ้าง

หันมองหน้ารุ่นพี่

สุขีตั้งใจอย่างแรงกล้าว่า  ถ้าต้องเปิดศึกกับโชติเพื่อแย่งตัวเขาก็ยินดีจะสู้

 

ตอนเสียงนกหวีดหมดครึ่งแรก

โป้งก็เดินกลับไปเพื่อจะพักในช่วงพักครึ่ง

“นายๆ” ก้านเพชรวิ่งมาเคียงข้าง

“นายชื่ออะไร”

โป้งหันมองหน้า

“โป้ง..” เขาตอบและยิ้ม

“นายน่ารักดีนะ” ก้านเพชรกล่าว

“เราชอบนายหวะ”

แล้วเขาก็วิ่งไป โป้งมองตามไปด้วยความงุนงง

อะไรของมันวะ

ในห้องแต่ตัว แม้แสนพลจะกล่าวคำขอโทษ แต่โค้ชก็โบกมือแล้วบอกว่าไม่เป็นไร

“เรื่องผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้  แต่เธอต้องเข้าใจว่าไม่ควรเกิด  แล้วก็ระวังตัวให้มากๆ  ก้านเพชรคล่องตัวไม่แพ้โป้งหรอก  แม้จะวิ่งเร็วไม่เท่า  การประกบเขาจึงต้องระวัง  อย่าเสียบอลง่ายๆ  เพราะคุณอยู่หน้าแผงหลัง” แล้วโค้ชก็หันมามองโป้ง

“บอล ของโป้งเกมนี้ ไม่ค่อยแม่นนะ  ปรับปรุงด้วย  เรื่องตัวประกบ ก็นับว่าพวกเขาการบ้านมาดี  พอสมควร  แต่ครึ่งหลังเธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรที่เธอเหนือกว่าคู่แข่ง  งัดออกมาใช้เป็นประโยชน์ซะ แต่อย่าเก็บบอลนานเกินไป เดี่ยวจะโดนสกัดหนักๆ”

แล้วก็หันไปมองหน้าวู๊ด

“เธอดันไปช่วยโป้งให้มากหน่อย ให้แสนพลยืนต่ำลงมานิดๆ แต่ระวังเรื่องช่องว่างตรงกลาง”

“ปอ เธอลงมาล้วงบอลให้มากอีกนิดนะ  แล้วให้อัครเป็นคนดันกองหลังไว้  เธอลงมาป่วนบ่อยๆให้กองหลังระแวงเข้าใจไหม” โค้ชหันมากล่าวแก่ปอ ก่อนจะหันมามองหน้าอัคร

“อัคร... วิ่งมากอีกนิดนะ วันนี้ตำแหน่งยืนเธอไม่ค่อยดี  ใจลอยรึเปล่า รักษาตำแหน่งให้ดี  ใช้ความได้เปรียบเรื่องการกระโดดเบียดกองหลังให้ได้  เข้าใจนะ”

“วัง เธอไม่ต้องตามก้านเพชรมากขนาดนั้น ระวังเรื่องตำแหน่งด้วย  ไล่ไปจนสุดเขตของเธอก็พอ  แล้วให้คนอื่นไล่ต่อ  ก้านเพชรคล่องก็จริง  แต่ไม่ได้คล่องขนาดต้องไล่จับ  ไล่จนสุดพื้นที่ของแต่ละคน  ไม่ต้องประกบตัว” ประโยคนี้มอบให้แก่กองหลัง

 

โป้งกลับลงมาในสนามก้านเพชรก็มองตามเขา  โกลเห็นสายตานั้นจึงหันมากล่าวกับโป้ง

“ระวังนะ ไอ้นี่มันแปลกๆ มันมองมึงแปลกๆยังไงไม่รู้”

“หึงอีกละ” โป้งกล่าวบนรอยยิ้มกระหยิ่ม

“เฮ้ยหึงอะไร.. ไม่ได้หึงเฟ้ย” แล้วโกลปฏิเสธ  แต่ก็ดึงแขนโป้งเข้ามาใกล้

“แค่หวง..มาก... เข้าใจไหม”

โป้งมองตามโกลที่วิ่งกลับไปที่หน้าประตู

เขาส่ายหัวน้อยๆ  แต่ก็ยิ้มออกมาตอนที่วิ่งกลับไปประจำจุดของตัวเองตามแผนการยืนของโค้ช

 

พอ เริ่มเกมโป้งได้บอลปรากฏว่าก้านเพชรก็ตามมาทันทีพร้อม  โป้งก็คลึงลูกหลอก ก่อนจะกระชากไปตามเส้นให้ก้านเพชรวิ่งไล่  แต่แล้วเขาก็กระชากกลับ จนก้านเพชรหยุดไม่ทัน ถลันตัวไปเขารีบกลับตัวกลับมา  ทว่าโป้งก็โยนเปลี่ยนทางไปหาโยธินแล้ว

“เร็วนี่เราน่ะ” ก้านเพชรชมแล้วรีบหันไปหาเกมการแข่งขัน

 

สองทีมมีจังหวะยิงประตูกันหลายครั้งไม่ว่าจะจังหวะโยนของหรือแทงทะลุช่อง  จนเวลาล่วงไปเกือบจะนาทีที่เก้าสิบ

“เสมอซะละมั้ง” จุ๊ยที่ตามมาเชียร์กล่าวออกมา หันไปมองหน้าสหายสนิทผิวขาวริมฝีปากแดงน่าจูบ

“มึงลงไปตีกลองแทนหน่อยสิวะฮ้อย  เอาแบบมันๆเลยนะ”

ฮ้อยพยักหน้า แล้วก็เดินไปที่หาคนที่อยู่กับกลอง

พอฮ้อยตีจังหวะกลองก็รัวขึ้น  กองเชียร์เริ่มส่งเสียงดังขึ้นอย่างฮึกเหิมตามเสียงกลองของฮ้อย

“สู้ๆเว้ย” จุ๊ยเดินลงมาถึงริบขอบกั่นของอัฒจันทร์ ตะโกนลงไป

“เจ๊เหมียวบอกว่าถ้าไม่ชนะจะไล่จูบพวกมึงเรียงตัวเลย”

เจ๊เหมียวคือเกย์สาวที่ร่วมกันมากับเดอะแกงค์ของเธอ  แม้จะมีร่างท้วมแต่ผิวขาวดูจ้ำม้ำน่ารัก  หันมาค้อนจุ๊ย

“อีจุ๊ย แกนี่หละที่ฉันจะจูบแกก่อน”

จุ๊ยหันมาทำหน้าลอยท้าทาย  แต่เจ๊เหมืยวก็ไม่กล้า เพราะเดฟที่เดินตามลงมาหันมาแผ่รังสีอำมหิตใส่

 

โป้งปาดเหงื่อออกจากหน้าด้วยฝ่ามือ  แล้วเขาก็วิ่งไป  กระโดดดักลูกบอลที่ปอส่งมาด้วยเท้าการชิพ

เขาครองบอลไว้หนึ่งจังหวะเพื่อรอให้กองหลังเข้ามา  ตอนนี้สายตากองหลังดูออกว่าล้าไปมากแล้ว

ยังมึงยังต้องไล่กูต่อ  โป้งบอกกับตัวเองแล้วเริ่มต้นเปลี่ยนจังหวะบอลเป็นเร็ว พาให้ปีกขวาที่กำลังล้าเต็มที่วิ่งตาม  แล้วเขาเปลี่ยนจังหวะขึ้นลง อยู่สองสามครั้ง จนที่สุดผู้ตามอ่อนล้าก็ขาอ่อนไปนิดหนึ่ง

ก้านเพชรเห็นดังนั้นจึงเข้ามาช่วย ด้วยการเบียดเข้ามา  โป้งก็บังบอลแล้วพลิกกลับหลัง แล้วดีดบอลให้ฉัตรที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทนแบ็คซ้ายตัวหลัก  เขาพาบอลไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนถึงเส้นหลัง แล้วโยนไปแบบโล่งๆคนเดียว เพราะด้านขวาทั้งหมดของคู่ต่อสู้มัวแต่ไปสนใจโป้งจนพื้นที่ของเขาโล่ง

ก้านเพชรจะตามบอลไป แต่อยู่ดีๆโป้งก็พูดขึ้น

“นายก็น่ารักนะ”

เขาหันขวับมามอง  ทว่ากลายเป็นว่าโป้งพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็ว

ก้านเพชรเห็นว่าตัวเองเสียท่าแล้ว  จึงรีบตามไป

จังหวะเปิดของฉัตรทำให้ผู้รักษาประตูต้องปัด  ปอที่ยืนรออยู่ดักบอล แล้วไหลไปโป้งที่วิ่งโฉบเข้ากลางมา

โป้งไม่จับ สับเท้าเตะออกไปด้วยหน้าเท้าด้านนอก ลูกบอลโค้งไปด้านซ้ายข้ามกองหลัง  ตรงนั้นมีอัครวิ่งสวนกองหลังไป  เขาโขก สวนทางผู้รักษาประตูที่วิ่งตามบอลมาเข้าประตูไป

อัครวิ่งชี้นิ้วออกมาหาโป้งแล้วกระโดดกอดจนล้มลงไปทั้งคู่  ผู้เล่นคนอื่นก็กรูกันเข้ามาแสดงอาการดีใจ

ก้านเพชรมองอาการดีใจของคู่แข่ง  เขารู้สึกว่าตัวเองโดนโป้งใช้ไหวพริบเล่นงาน  แต่เขากลับยังรู้สึกแปลกๆต่อคำพูดหลอกล่อนั้น  มันทำให้รู้สึกดีอย่างประหลาดแม้จะรู้ว่าเจตนาของโป้งคือดึงสมาธิของเขา

“นี่กูแพ้เพราะไอ้คำพุดประโยคเดียวนี่เหรอวะ”

กลับมาตั้งบอลแล้วเล่นไปได้นิดเดียว  เสียงนกหวีดยาวก็เป็นสัญญาณของการสิ้นสุดเกมการแข่งขัน

โชติไม่ได้พูดอะไร เดินออกไปจากสนามอย่างรวดเร็ว

สุขีก็รีบเช่นกัน  เขามีการบ้านชิ้นใหญ่ต้องรีบทำ  ต้องดึงตัวเด็กคนนั้นมาให้ได้


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 20:03:12
ตอนที่ 18 เผชิญหน้าทีมเก่า ดวงใจที่ผูกพันกัน

พอเข้ามาในห้องแต่งตัวเพื่อนก็ฉลองกันใหญ่ด้วยน้ำอัดลม โป้งยิ้มกับความยินดีของเพื่อนๆอย่างมีความสุข

แล้วโค้ชก็เข้ามาพร้อมกับสุรีวัล  ทั้งหมดเลยเงียบแล้วมานั่งที่

“เอาหละ  ผลของอีกคู่หนึ่ง.. จบแล้วเหมือนกัน  เชียงรายสมบูรณ์อุปถัมภ์..” ประโยคนี้ของสุรีวัลหันมาโป้ง

“ชนะคู่แข่งด้วยการยิงจุดโทษ ห้าต่อสามประตู”

โป้งรู้สึกยินดี  แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกใจหายที่ต้องเจอกับทีมเก่าที่เขาร่วมเล่นมาตั้งแต่ม.หนึ่ง

โกลหันมองหน้าโป้ง

“เราต้องเตรียมตัวสำหรับรับมือแม้เราจะเคยชนะแล้ว  แต่ก็ประมาทไม่ได้  เพราะพวกเขามีเกมรับสวนกลับที่น่ากลัว” โค้ชป้อมกล่าว

“ใช่ไหมโป้ง”

“ครับ” โป้งพยักหน้า

 

โป้งยืนตรงระเบียงห้องมองไปอย่างไรจุดหมาย  โกลที่มองเขาอยู่จึงมายืนข้างๆ

“ลำบากใจใช่ไหมหละเจอทีมเก่า”

โป้งสูดลมหายใจ

“มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักบอลไม่ใช่เหรอ” โป้งกล่าว

ดวงหน้าของโป้งมีรอยยิ้มที่เกิดจากความคำนึงถึงอดีต

“เราเคยเล่นด้วยกันก็จริง  มีความทรงจำที่ดีด้วยกันหลายอย่าง  แต่ที่สุดเราก็ต้องก้าวต่อไปไม่ใช่เหรอ  ถ้ากูไม่พร้อม กูคงไม่เดินออกมาจากที่นั้น.. “

“คนเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงกับการต้องเผชิญหน้ากับคนที่เราเคยห่วงใยหรือเคยรักได้หรอก  ถ้าเราเลือกเดินทางเส้นทางของการแข่งขัน”

แล้วโป้งก็หันมองตาโกล  เขาเอามือวางที่อกซ้ายของโกล

“กูกับมึงก็เหมือนกัน วันหนึ่งเราอาจต้องยืนคนละฝั่งกันอีกรอบ.. นั้นก็แค่การแข่งขันในเกม... แต่ความรู้สึกของเราสองคน.. จะต้องคงเดิมใช่ไหม โกล...”

โกลจับมือข้างนั้นของโป้ง  แล้วเขาก็เอามืออีกข้างจับที่แก้มของจอมปั่นไซด์โค้ง

กูใจของกูจะอยู่ที่เดิมเสมอโป้ง  แม้เราต้องสู้กันในเกม.. แต่กูจะยังคงเป็นคนเดิมเสมอโป้ง สำหรับมึง”

เหมือนมีแรงดึงดูดระหว่างกัน  โป้งรู้สึกเหมือนโกลเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  หรือว่าเขากันแน่ที่เข้าไปหาโกล..

แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศทุกอย่างจนหมด

โป้งผละออกแล้ว รีบเดินกลับไปเข้าห้องไปรับสาย

“ครับแม่ ชนะอยู่แล้วครับ ผมเก่งจะตาย”

ถอนหายใจแรงๆ แล้วก็โกลก็เดินตามเข้าไป

 

ตอนที่อยู่ในอุโมงค์ของสนามกีฬากองทัพบก  ตอนแรกโป้งก็ไม่แน่ใจว่าควรจะทำหน้าอย่างไรกับเพื่อนร่วมทีม  เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าใคร

แต่ที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจหันไป

“คิดถึงพวกมึงจัง” โป้งกล่าวออกไป

ทั้งหมดเงียบ แม้แต่ทีมของโป้งเอง

แต่แล้วเพื่อนเก่ามองหน้ากัน  แล้วเด็กหนุ่มร่างสูงผิวเข้มก็เป็นคนเข้ามากอดคอโป้ง

“พวกกูก็เหมือนกัน  นี่พวกกูอยากเจอกับมึงมากขนาดทุ่มเต็มร้อยให้เข้ารอบมาเจอมึงเลยนะเนี่ย”

แล้วเพื่อนคนอื่นๆ ก็พากันเข้ามาตบหัวโป้งเบาๆ

“นี่ขอสักที  จะได้หายคิดถึง”

โป้งมองหน้าเพื่อนที่ล้อมกันเข้ามา ทุกคนมีรอยยิ้ม

แต่หนุ่มตัวสูงชื่อไม้เมือง กัปตันทีม หันมองหน้าเพื่อนๆ เป็นสัญญาณให้กลับเข้าแถว

“กูก็อยากรู้ว่าพวกกูจะยันตีนจรวดกับลูกไซด์โค้งของมึงอยู่ไหม เอาให้เต็มที่ ถือว่าโชว์ให้กูดูความเหนือของมึง  พวกกูอยากเห็น” ไม้เมืองบีบไหล่โป้งก่อนจะเดินไปเข้าแถวเหมือนเดิม

 

โป้งเดินมาเข้าตำแหน่งของเขาในสนาม  ตอนนี้สนามกีฬาก้องไปด้วยเสียงเชียร์สนั่นหวั่นไหว  โรงเรียนของเขายกมากันแทบหมด  แล้วยังจะเชียงรายสมบูรณ์อุปถัมภ์ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชน  จึงสามารถพาเอากองเชียร์หลายร้อยมาเข้าร่วม  แล้วยังมีสาวๆที่แสดงป้ายไฟเป็นชื่ออัครอีกด้วย  ก็น่าอยู่หรอกเพราะจะว่าไปอัครก็หล่อที่สุดในทีม  จะพอสูสีก็คงจะเป็นโกล  ซึ่งก็ยังมีป้ายกับเขาเหมือนกันแต่เป็นเกย์สาวทั้งโรงเรียนเดียวกันและต่างโรงเรียน

โป้งหันไปมองหน้าโกลตอนที่กลุ่มกองเชียร์เรียกชื่อเขาดังสนั่น เขายักไหล่ตอบโป้งด้วยสีหน้าคล้ายจะบอกว่า

ช่วยไม่ได้คนมันหล่อ

สุขีที่มองอยู่ไกลๆก็นึกขำ แต่มองในอีกแง่หนึ่งคือ

“เอาไว้เปิดตลาดกองเชียร์เกย์ก็ดีเหมือนกันเว้ย”

 

พอกรรมการส่งสัญญาณเริ่มเกม  อัครก็เขี่ยบอลไปให้ปอที่ยืนอยู่ใกล้  แต่แค่นั้นก็กรี๊ดกันลั่นสนามแล้ว

“ฮอตกันจัง ไม่มีป้ายชื่อกูบ้างว้า” ปอบ่นก่อนจะเลี้ยงบอลขึ้นไปเจอกับเกมรับแดนกลางของฝั่งตรงข้าม เขาหันไปหาโป้ง ก็โดนตัวผู้เล่นอื่นประกบอยู่

ดูท่าจะหนียาก เพราะพวกนี้รู้จังหวะของโป้งดี

มองไปก็เห็นตั้มยกมือเรียกบอลทางขวา ก็เลยจ่ายเรียดไป

ตั้มพาบอลเข้าไปแต่ก็ทำได้แค่ถึงด้านข้างสนาม  แล้วก็ต้องจ่ายคืนหลัง

“แม่งโคตรแน่น” วู๊ดรับบอลแล้วบ่น  แล้วจ่ายต่อกับไปให้โยธิน

 

“นี่มาเล่นรับจริงๆเลยนะเนี่ย” คนที่กล่าวคือสุรีวัลที่นั่งคู่กับสาวิตรีบนอัฒจันทร์

“แล้วเราทำยังไงได้” สาวิตรีถาม

สุรีวัลหันมามองใบหน้างดงามแล้วก็มองกลับไปในสนาม

“ก็ต้องครองบอลไว้ก่อนจนกว่าจะมีโอกาสเปิดนะ”

แต่โอกาสเปิดของสุรีวัลก็ไม่มาเสียทีจนจวนจะจบครึ่งแรก

โป้งได้บอลแล้วก็เจอกองกลางกับกองหลังของฝั่งตรงข้ามมาบล็อกเกือบสี่ตัว  แล้วไม้เมืองก็เบียดเข้ามาอาศัยความใหญ่ทำให้โป้งเสียบอลแต่เขาก็ยังแหย่เท้าสะกัดออกข้างไปได้

ไม้เมืองเป็นคนวิ่งไปทุ่ม โดยทุ่มไปให้ตำแหน่งผู้เล่นตำแหน่งปีกขวา

ปีกขวาก็เปิดเรียดต่อเร็วให้กองหน้าวิ่งหลุดกับดักล้ำหน้าของพวกจอมเข้าไป

กองหน้าหน้าละอ่อนที่เคยยิงประตูของโกลมาแล้ว  เขาสับเต็มแรงจะให้ผ่านมือของโกลที่ย่อตัวลงเพื่อเตรียมพร้อม  แต่โกลคว้าบอลไว้ได้ติดมือ
เขาขว้างบอลยาวออกไปให้แสนพล

แสนพลเห็นอยุ่แล้วว่าโป้งเหลือตัวประกบแค่ตัวเดียว จึงจ่ายเร็วเรียดพื้นไปให้

โป้งให้ความสามารถแตะจับลูกบอลไว้ แล้วก็ใช้ตัวบังลูกไม่ให้กองหลังที่ประกบเขาแย่งได้  แล้วก็ใช้ความคล่องพลิกตัวก่อนจะสปีดหนีไปอย่างรวดเร็ว

ไอ้โป้งไม่เก่งจังหวะเดี่ยวๆกับผู้รักษาประตู

ผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้ามแน่ใจอย่างนั้น เขาเพียงต้องระวังลูกโค้งของโป้ง ดังนั้นเขาจึงปักหลักอยู่หน้าประตู

แต่กลายเป็นว่าโป้งเลี้ยงพุ่งเข้ามาโดยไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนทิศทาง

“เฮ้ย” เขาร้องออกมา แล้วตัดสินใจพุ่งออกมา  เพราะตอนนี้โป้งมาถึงกรอบเขตโทษแล้ว ถ้ายิงระยะนี้เขาก็ป้องกันไม่ได้แน่นอน

แต่ก่อนที่ผู้รักษาประตูจะมาขวางบอล  โป้งทำสิ่งหนึ่งที่เรียกเสียงฮือฮาไปทั้งสนาม

เขากระชากบอลอย่างรวดเร็วไปทางขวา แหย่บอลลอดใต้แขนของผู้รักษาประตู  แล้วเอี่ยวตัวหลบเพื่อตามบอลไป

จากนั้นโป้งไม่ต้องทำอะไรมาก เขาแค่เตะเบาๆ ก็ส่งลูกให้กลิ้งเข้าประตูที่ไร้การป้องกันไปอย่างง่ายดาย

ไม้เมืองวิ่งตามกลับมา  เขากำลังสับสนระหว่างจะดีใจกับโป้งหรือเสียใจที่เสียประตูดี...

แต่แน่นอน ที่เขารู้สึก...

โป้งพัฒนาไปจนเขาวิ่งตามไม่ทันเสียแล้ว...


“แม่งเอ้ยจะสุดยอดอะไรจะขนาดนี้” สุรีวัลร้องออกมาอย่างสะใจ แล้วลุกขึ้นออกเอ็กชั่น

“แจ๋วจริงเว้ยไอ้เด็กนี่  เอาไปเลยคะแนนวิชาศิลปะกูให้เต็ม”

แต่พอหายสะใจหันกลับมาปรากฏว่าต้องเผชิญหน้ากับสายตานับร้อยของลูกศิษย์นับร้อย และสาวิตรี

“เก่งจริงๆเลย เด็กคนนี้  ครูให้คะแนนเต็ม... เต็มไปเลย” เธอแก้คำพูดแล้วนั่งลงยิ้มแหย่ๆกับสาวิตรี

สาวิตรีหัวเราะเบาๆด้วยความขบขัน

 

เพราะเสียประตูไปแล้ว ในครึ่งหลัง ทีมเชียงรายก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบุกเพื่อเอาประตูคืน

แต่โค้ชป้อมก็ปรับหมากเป็นอย่างดีด้วยการขยับตัวผู้เล่นเกมรับอย่างแสนพลมายืนใกล้กับกองหลังมากขึ้น  โยธินก็หุบลงมาช่วยเกมรับมากขึ้น ส่วนโป้งยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมเพื่อปั่นป่วนเกมรับของคู่แข่งจากจังหวะโต้กลับ

ทีมรุกของเชียงรายเมื่อเจาะกลางไม่ได้เพราะกองหลังนำโดยจอมเล่นกันอย่างเหนียวแน่น  ปีกสองข้างก็โดนตั้มกับวังปิดทางไว้ได้หมด

ที่สุดก็ตัดสินใจยิงไกลเข้าไป  แถมมาเป็นระรอกอย่างน่ากลัว

กระนั้นส่วนใหญ่จะหลุดกรอบประตูไป  แต่ถึงตรงกรอบก็โดนโกลรับไว้ได้บ้าง ชกออกข้างไป ปัดออกหลังไปบ้าง ซึ่งกรณีออกหลังได้โยนลูกเตะมุม ก็ยังแพ้ความเหนี่ยวแน่นของสองเซนเตอร์ฮาฟอย่างจอมกับกรรณหนุ่มร่างสูงอีกคนแห่งทีมโรงเรียน

แต่จังหวะนี้ ไม้เมืองได้โอกาสจากความผิดพลาดของโยธินที่บังทางไม่ดีพอ  ไม้เมืองที่เป็นผู้เล่นประเภทเท้าหนัก  ก็เตะอัดไปเต็มแรง

ลูกบอลพุ่งส่ายเพราะเป็นลูกไม่หมุน  ทิศทางนั้นเข้าหาประตูอย่างไม่ต้องสงสัย  โกลก็รู้ว่าไม่ควรรับเขาก็เลยบล็อกสองมือ  แต่นั้นทำให้ลูกกระดอนกลับแนวโด่ง  ไปตกตรงหน้ากองหน้าของทีมเชียงราย

เขาไม่รอช้าที่จะซ้ำดาบสอง

แต่โกลไม่พลาด  เขาตะครุบไว้ด้วยสองมือ

แล้วโกลก็ตัดสินใจรวดเร็วขว้างไปหาโป้งที่รออยู่

โป้งใช้ความเร็ววิ่งฉีกไปรับบอลโดยมีเพื่อนเก่าวิ่งตามไล่มา  แล้วเขาก็เหลือบเห็นวู๊ด

วู๊ดมองเห็นโป้งให้สัญญาณมือ  ดังนั้นเมื่อโป้งส่งบอลมา  เขาก็เปิดต่อเร็วย้อนให้โป้ง ในลักษณะให้นำหน้าไป

โป้งก็วิ่งสปีดไปทันลูกบอลในตำแหน่งที่ซักซ้อมกันพอดี

ลูกสูตรของโค้ชป้อม..

โป้งโยนด้วยหน้าเท้าด้านในส่งลูกให้โค้งย้อนไปทางขวา ซึ่งอัครวิ่งมาแล้วกระโดดโหม่งกลับหลังมา

ลูกบอลลอยตกมาตรงเลยจุดโทษออกมานิดหน่อย  ตรงนั้นปอรออยู่แล้ว  เขาก็อัดตูมด้วยหลังเท้าเข้ากลางลูก

ลูกบอลลอยส่ายไปมาแต่รุนแรงกว่าลูกของไม้เมืองเมื่อครึ่งแรก ดังนั้นผู้รักษาประตูจึงได้แต่พยายามปัด แต่ปัดได้แค่ลม  แล้วลูกก็ผ่านพุ่งผ่านเขาอย่างรุนแรงไปตุงตาข่าย


ตอนนี้ยิงไปแล้วกี่ประตูกันหนอ  เด็กๆพวกนี้

สุขีเปิดโทรศัพท์ออกมาเช็คข้อมูล..

อืม.. นายปรเมศวร์ เจ็ดประตู  อัคร หกประตู  นายเทพพรสี่ประตู

 

เวลาใกล้จะหมด เช่นกันกำลังหนุ่มเหนือ เริ่มถอยไปมาก

เกมรุกเริ่มขาดไปดื้อๆ เกมรับก็เช่นกัน

โป้งก็เลยครองบอลได้ง่ายและหนีไปเปิดลูกสวยๆได้หลายครั้ง  จนผู้รักษาประตูเริ่มโมโหเพราะเกือบจะเป็นประตู แล้วออกมาเอ็ดตะโรกองหลัง

ทุกคนในทีมเริ่มใจร้อน  ไม้เมืองเองก็พลอยหงุดหงิด

ดังนั้นในจังหวะที่เขาได้ลูกจากการสกัดจากแนวกองหลัง เขาจึงเสียมันไปอย่างง่ายดายให้แก่วู๊ดเพราะไม่มีสมาธิ

ไม้เมืองจึงหงุดหงิดถึงที่สุด  ดังนั้นเขาจึงตามลูกบอลอย่างกับคนบ้า  วู๊ดเปิดบอลไป ไม้เมืองก็พุ่งเข้าเสียบสกัดอย่างรุนแรงกับผู้เล่นที่ได้บอลไป

“โป้ง” ไม้เมืองใจหายวาบ เมื่อเห็นว่าเขาสกัดโดนใคร

เคราะห์ดีที่โป้งเห็นอาการเข้าหาลูกของไม้เมืองแล้วก็อ่านออกว่าเพื่อนต้องสกัดรุนแรงอย่างแน่นอนที่สุด  เขาก็เลยกระโดดทันในจังหวะนั้นแต่ก็ยังโดนตัวของไม้เมืองที่สูงใหญ่กระแทกจน ล้มกลิ้ง

“เป็นไงบ้างโป้ง”  เขารีบเข้าไปดูอาการโป้ง

โป้งไม่รีบลุกขึ้น เพราะกลัวว่าตัวเองจะเจ็บที่ข้อเท้าหรือเข่า เขาก็เลยนั่งแล้วยืดขาออก แล้วตรวจสอบด้วยการขยับดู

“เฮ้ยมึง  อะไรวะมึงเล่นคนนี่หว่า” แสนพลจะวิ่งเข้ามา

แต่วู๊ดรั้งเอาไว้

ไม้เมืองหันไปมอง แล้วหันกลับมาหาโป้ง  พบว่าโป้งยื่นมือออกมาให้เขา

เขาเลยจับมือโป้งแล้วดึงขึ้น

โป้งพอลุกได้ก็กอดแล้วตบหลังที่หลังเบาๆ

“อย่าใจร้อนสิวะ  ถึงไม่มีกูอยู่มึงก็ต้องไม่กลับไปเป็นคนเดิมสิวะไม้  อย่าให้คนเก่ามันกลับมายึดความเป็นไม้เมืองกลับคืนไปได้นะเพื่อน”

แล้วโป้งก็คลายอ้อมกอด เขายิ้มให้บนใบหน้าทีเปียกไปด้วยเหงื่อ  และแสงแดดยามบ่ายที่ทอดลงมาสร้างแสงเงา

ไม้เมืองรู้สึกราวกับย้อนไปในวันเก่าๆ  รอยยิ้มนั้นเป็นมิตรกับเขาเสมอ

“ขอโทษโป้ง  กูขอโทษ”

กรรมการวิ่งมาถึงแล้วชูใบแดงให้กับจังหวะเข้าบอลนั้น  แล้วก็ชี้ไปข้างสนาม

ไม้เมืองก็หันหลังเดินออกมา

เขายอมรับการตัดสิน  และก็ดีใจที่ตัวเองไม่ได้ทำให้โป้งบาดเจ็บ

เขาหันหลังกลับไป โป้งก็ยิ้มให้เขาอีก

รอยยิ้มนั้นช่างงดงาม

“ฟุตบอลมันไม่ต้องใช้ความรุนแรงนี่ไม้.. เราแย่งบอลกันแต่เราไม่ได้ทะเลาะกันไม่ใช่เหรอ..  แล้วถ้ามึงระงับอารมณ์ไม่ได้ มึงจะยังสนุกเหรอไม้  แล้วถ้ามึงทำร้ายคู่แข่งจนบาดเจ็บ  แล้วเขากลับมาเล่นไม่ได้อีก  มึงจะรู้สึกดีอย่างนั้นเหรอไม้” นั่นคือคำพูดของโป้งเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งอยู่ในใจของไม้เมืองเสมอมา

ตอนนั้นโค้ชป้อมกับโค้ชของทีมเชียงรายออกมายืนคู่กันเพื่อดูเหตุการณ์

“โป้ง เขาปราบไม้เมืองที่เคยเป็นเด็กเกเรด้วยความอดทน  ไม้เมืองเกือบจะหลงทางไปตอนที่ขึ้นม.หนึ่ง  แต่ตอนนั้นโป้งก็ไปดึงเขากลับมา  เขาจับทางได้ว่า ไม้เมืองรักกีฬานี้ เขาตื้อจนไม้เมืองยอมกลับมาเล่น  แล้วปรับปรุงตัวเองจนกลายเป็นกัปตันทีมอย่างทุกวันนี้... สำหรับไม้เมือง  โป้งไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมทีม  แต่เป็นแรงบันดาลใจ” โค้ชทีมเชียงรายกล่าว

“ที่จริงสำหรับพวกเขาทุกคนนั้นหละ โป้งเป็นคนทำให้ฟุตบอลของพวกเขาดีขึ้น เขายินดีจะถ่ายทอดวิชาที่เขาเรียนรู้มาจากพ่อให้ทุกคน ไม่หวง ไม่กั๊กเทคนิค เขาบอกว่ายิ่งทุกคนเก่งขึ้น  เขาก็ยิ่งจะได้สนุกกับการเล่นมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงยินดีสอนทุกคน เพื่อนๆทุกคนจึงรักโป้ง”

ตอนนั้นโป้งเอาบอลไปตั้งตรงจุด  เขาถอยหลัง

แล้วก็วิ่งเตะออกไป  ลูกบอลวิ่งไปในวิถีโค้งข้ามกำแพง  เสียบมุมประตูเข้าไปอย่างสวยงาม

“ไซด์โป้ง... โป้ง หัวใจของเธอนี่มันมหัศจรรย์จริงๆ หัวใจรักฟุตบอลของเขาน่ะ มันงดงามจริงๆเลยนะ”

โค้ชป้อมมองหน้าอดีตโค้ชของโป้ง  เขาเข้าใจความรู้สึกนั้น  เพราะแม้จะใช้เวลากับโป้งมาไม่นานนัก เขาก็ยังรู้ได้  จากการที่เขาเปิดใจของโกล และจากการที่เขาสอนฉัตรจากกองหลังให้กลายเป็นปีกซ้ายอีกคนหนึ่งได้

ไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนร่วมทีมเก่าของเขาจะหลงรักเด็กคนนี้

“แต่คุณช่วยบอกมันหน่อยเถอะ”โค้ชทีมเชียงรายหันมาส่ายหัว แล้วเอามือคลึงขมับข้างหนึ่ง

“พอได้แล้วมั้ง  ผมก็รู้นะว่าตัวเองสอนให้เขาไม่ออมมือหรือประมาทคู่แข่ง  แต่นี่มันอีกห้านาทีเองนะ”

“เห็นแก่หน้าผมบ้างเหอะ พอได้แล้วมั้ง”

โค้ชส่ายหัวแล้วเดินกลับไปนั่ง

“ตายๆเลยกูโดนถล่มเละในรอบชิง”

ที่โค้ชพูดอย่างนั้นเพราะจังหวะที่พูดโป้งก็เปิดบอลให้อัครโหม่งเข้าไปอีกลูกนึ่ง

แต่ป้อมเพชรก็รู้ว่าโค้ชทีมเชียงรายไม่ได้ต้องการอย่างนั้นจริงๆ  เขาจึงยืนชมเกมต่อไป

รอกระทั้งกรรมการเป่านกหวีดยาวบอกสัญญาณการสิ้นสุดของนัดชิงชนะเลิศ

โป้งเดินไปจับมือกับเพื่อนเก่าทุกคน  ไม่มีเลยสักคนที่จะไม่กอดเขา และแสดงความยินดีให้เขา..

จากนั้นเขาก็เดินกลับมาเพื่อนร่วมทีมก็กรูกันเข้าไปจับโป้งยกแล้วแห่ไปรอบสนาม ท่ามกลางเสียงปรบมือของกองเชียร์ทั้งสองทีม  แล้วถ้าสังเกตดีๆ  มีไม้เมืองนำทีมเพื่อนๆอีกหลายคนวิ่งลงไปร่วมแห่กับเขาด้วย...

สุขีก็ปรบมือ  ก็สมควรนั้นหละ  จ่ายสองยิงสองในนัดชิง  แล้วถ้ารวมทั้งทัวร์นาเมนท์เด็กคนนี้สมควรคู่กับกับเสียงปรบมือจริงๆ

 

“อย่าเสียใจนะ พวกนายยังมีโอกาสอีกเยอะแยะ” โค้ชตบไหล่ผู้เล่นคนหนึ่งที่เดินกลับเข้ามา  เป็นแบ็คขวาที่คอยประกบโป้ง และวิ่งตามตลอดเกมจนหมดแรง

"ไม่ ค่อยเสียใจนะโค้ช.. ก็เราแพ้ให้ไอ้โป้งนี่โค้ช  มันกับเพื่อนๆก็เหมาะแล้วที่ชนะ เล่นดีออก" เด็กหนุ่มตอบออกไปมองเพื่อนๆของเขาร่วมแห่โป้ง

"มันนี่สุดยอดเลยนะโค้ช"

 

บนอัฒจันทน์มีก้านเพชรนั่งอยู่ด้วย  เขายิ่งรู้สึกสนใจโป้งมากเข้าไปอีก

“นายนี่มันเซ็กซี่จริงๆว่ะ ชอบจริงๆนะเนี่ย”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 22-12-2015 20:05:06
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:16:31
บอกกล่าวก่อนนะครับ เนื่องจากตัวละครในเรื่องนี้จะมีบางตัวที่ผมยกมาจากเรื่องดวงใจของสายน้ำ  เช่นจุ๊ย พระเอกของเรื่อง  เดฟ ตัวละครที่ชอบจุ๊ย แต่ไม่สมหวังเนื่องจากจุ๊ยชอบอาราอินายเอกของเรื่อง

ตอนต่อไปผมจะเล่าถึงสิ่งที่เคยอยู่ในดวงใจของสายน้ำเกี่ยวกับความประทับใจของเดฟต่อจุ๊ยอย่างละเอียดนิดหนึ่ง ซึ่งถ้าคนเคยอ่านดวงใจของสายน้ำน่าจะจำได้ว่าผมเคยเล่าเอาไว้แล้วว่าทำไมเดฟถึงชอบจุ๊ย  แต่เล่าไว้คร่าวๆเท่านั้น  ตอนนี้ผมจะเอามขยายความให้ทราบ

อีกเรื่องคือโรงเรียนของทั้งสองเรื่องที่เป็นฉากหลัก

จริงๆแล้วผมคิดว่าจะไม่มีการใส่ชื่อโรงเรียนลงไปในเนื้อเรื่อง เพราะโรงเรียนที่ใช้เป็นฉากบรรยายมีอยู่จริงๆ แต่เพิ่มรายละเอียดบางอย่างลงไป

แต่ปัญหาคือการบรรยายฉากแข่งฟุตบอลมันจะค่อยข้างสับสนถ้าไม่มีชื่อโรงเรียน  ดังนั้นผมจึงต้องใส่ชื่อลงไปเพื่อง่ายต่อการเรียกขานชื่อ

ในเมื่อฮอร์โมนยังมี นาดาว เลิฟซิกมี ฟรายเดย์  ทำไมโป้งจะมีโรงเรียนของตัวเองไม่ได้จริงไหม

เอาเป็นว่าจะอธิบายดังนี้

โรงเรียน นวสาครวิทยาลัย

สถานะ โรงเรียนมัธยมชายล้วนสังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

ที่ตั้ง    สักแห่งนี่หละที่มีใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา(แต่ไม่ติดนะ) อยู่ฝั่งธน มีคลองไหลผ่านหลังโรงเรียน(คลองสายเดียวกันกับที่ผ่านหลังอพาร์ทเม้นท์ของ โป้ง)ไม่บอกชื่อคลองเดี่ยวนึกออก

เอกลักษณ์ของโรงเรียน  เรียนดี กีฬาเด่น เป็นเลิศเรื่องดนตรี มีวินัย

กิจกรรมที่สร้างชื่อเสียง  แบดมินตัน  ฟุตบอล  วงโยธวาทิต

สภาพโรงเรียน มีสนามกลางที่เป็นสนามฟุตบอลเก่าไว้ให้นักเรียนเข้าแถวและเล่นกีฬา สนามฟุตบอล สนามวอลเลย์ สนามบาสเก็ตบอล โรงยิม แต่ไม่มีสระว่ายน้ำนะครับ และอาคารเรีบนหกหลังไม่รวมโรงยิม
(อันนี้เกือบสมจริง เพียงแต่ไม่มีสนามฟุตบอลอีกสนาม)

 


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:17:08
กัปตันวู๊ดเป็นตัวแทนกล่าวรายงานความสำเร็จจากการแข่งขัน  ด้านหลังของเขาโค้ชป้อม โป้งในฐานเจ้าของตำแหน่ง MVP ผู้เล่นทรงคุณค่า และปอกับอัครที่ได้ตำแหน่งดาวยิงสูงสุดร่วมกันยืนเรียงกัน

“นอกจากความสำเร็จของทีมแล้ว  ผมขอให้ทุกคนปรบมือให้กับ นายปรเมศวร์ และนายอัครที่เป็นดาวยิงสูงสุดของรายการ ด้วยผลงานยิงประตูกันคนละ 7ประตู” กัปต้นวู๊ดผ่ายมือไป

เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ปอกับอัครก็ก้าวออกมาโค้งให้เสียงปรบมือ

“ที่ สำคัญ ผมขอเสียงปรบมือให้กับนายเทพพร ผู้เล่นทรงคุณค่าของการแข่งขัน ด้วยผลงานยิงหกประตูและจ่ายสิบประตู โดยในเกือบทุกประตูของเรา เขาจะมีส่วนร่วมเสมอ “

เสียงปรบมือดังเสียก่อนวู๊ดจะกล่าวจบเสียอีก

โป้งก้าวออกมาแล้วโค้ง ก็เกิดเสียงเชียร์ดังก้องว่า”ไซด์โป้ง ไซด์โป้ง ไซด์โป้ง”ต่อเนื่องยาวนานจากต้นเสียงคือนายจุ๊ย

โป้งไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยชูมือขึ้นตอบรับเสียงเชียร์นั้น

 

ในห้องเรียนโป้งต่างกับในสนามโดยสิ้นเชิง  เขาทำหน้ายุ่งกับสิ่งที่อาจารย์กำลังสอน  ที่หน้ายุ่งเพราะเขาฟังไม่รู้เรื่องเลย

หัน ไปข้างๆตัว แม้จะนั่งคนละแถว โกลก็ยังทำหน้าเหมือนไม่สนใจอาจารย์เหมือนเคย  แต่โป้งก็รู้ว่าฟังจากการที่เห็นเขาจดเอาปากกาเขียน วงๆแล้วก็ขีดเส้นใต้คำต่างๆเอาไว้

ถ้าเขาหัวดีสักครึ่งหนึ่งของฝีเท้าตอนเตะบอลคงดีไม่น้อย  โป้งถอนหายใจ

“ขออภัยอาจารย์ผู้สอน  นายฤทธา นักเรียนชั้นม.สี่ห้องหนึ่ง  ติดต่อที่ห้องประชาสัมพันธ์ตอนนี้ด้วยครับ” แล้วก็ประกาศซ้ำ

โป้งหันไปมองหน้าโกล  เพราะนั่นคือวู๊ดนั้นเอง

แล้วเขาก็เห็นวู๊ดเดินผ่านหน้าห้องไปอย่างรวดเร็ว

อาจารย์สอนไปได้สักครู่ เดฟก็ลุกขึ้น  ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ

 

เด ฟเดินฉับๆมาตามทางเดิน  แต่เขายังไม่ทันไปถึงห้องประชาสัมพันธ์ เขาก็เห็นวู๊ดเดินมา  ในกิริยาเร่งรีบ  พอเข้ามาใกล้จึงได้เห็นว่ากัปตันผู้เข้มแข็งของทีมฟุตบอลมีน้ำตาจับเกล็ดที่ หางตา

เดฟจึงดึงเขาไว้  แล้วโอบกอด

“อาม่าเสียแล้วเดฟ” ในอ้อมกอดของเดฟ  วู๊ดก็ปล่อยโฮออกมาจนเดฟต้องกอดให้แน่นแล้วลูบหัวปลอบโยน     

 

วัดที่ตั้งสวดอภิธรรมอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียน ดังนั้นนอกจากวันที่โรงเรียนเป็นเจ้าภาพแล้ว

โป้งกับโกลก็จะไปช่วยงาน ด้วยการเสริพน้ำและเตรียมของต่างๆ จนเหล่าญาติของวู๊ดชมเชย

ที่โป้งทำเพราะเห็นใจวู๊ดที่เหมือนจะยังทำใจไม่ได้ ส่วนโกลก็ตามจุ๊ยมาด้วยความรู้สึกเดียวกัน

อีกคนที่มาทุกวันคือเดฟ  แม้เขามักจะตามมาที่หลังเพราะซ้อมดรัมเมเยอร์จนค่ำมืด  แต่ก็ยังมาแม้จะดูเหนื่อยๆก็ตาม

“ทำไมมึงดีกับกัปตันกูจังวะเดฟ” โป้งถาม

“ก็ฉันเป็นคนประเภทช่วยใครก็ต้องช่วยให้สุด” เดฟกล่าวแล้วหันไปมองวู๊ดที่กำลังจุดธูปดอกใหญ่สำหรับเวลากลางคืน

“ฉัน ผ่านบ้านของวู๊ดทุกวันเลยนะ  แต่ไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ตึกแถวโทรมๆนั้นจะเป็นที่อยู่อาศัย  จนกระทั้งพบว่าวู๊ดอยู่ที่นั้น  มันถึงได้นึกออกว่า เออนะคนเรา  มันก็ไม่ได้เป็นเหมือนเราทุกคน  ฉันเริ่มรู้สึกคุณค่าของความเป็นคนมากขึ้น  แล้วที่มาช่วยวู๊ด  ฉันรู้สึกว่าเป็นการใช้เงินที่เป็นประโยชน์ครั้งแรก  แม้จะไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก”

“แต่ ก็นั่นหละ เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็เอาไปซื้ออะไรสุรุ่ยสุร่าย  ไปเรื่อย.. จัดปาร์ตี้ เชิญวงดนตรีมาเล่นที่บ้าน  แต่พวกเพื่อนพวกนั้นมันก็ไม่เห็นจริงใจกับฉัน  บางคนมาก็เพื่อนอนกับฉันอย่างเดียว  แต่การช่วยวู๊ด  อย่างน้อยมันก็ได้บุญใช่ไหมหละ”

แววตาของเดฟมีแววเอื้ออาทรอยู่

“ไม่หรอกมึงช่วยได้มากเลยหละเดฟ” โกลกล่าวแล้วตบไหล่เดฟเบาๆ

 

งาน ศพอาม่าของวู๊ดผ่านไปแล้วสองสามวัน  แต่วันนี้เดฟพึ่งจะว่างจากการซ้อมดรัมเมเยอร์เพราะครูอติเห็นว่าเขาซ้อมหนัก มากแล้ว ควรได้พักสักสองวันก่อนจะเดินทางไปแข่งจริงๆ

ดังนั้นเมื่อกลับมาเร็ว  เดฟก็เลยตัดสินใจแวะหาวู๊ดเสียหน่อย

แต่บ้านปิดเงียบ มองเข้าไปผ่านรูปที่ประตูที่ผุก็เห็นแต่ความว่างเปล่า

สงสัยจะย้ายบ้านไปแล้ว..

ก็เห็นวู๊ดบอกไว้ เนื่องจากเขาอยู่คนเดียวและอาคนที่สามก็เห็นว่าจะลำบากก็เลยให้วู๊ดไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน

เดฟถอนหายใจแล้วเดินกลับมาที่มอเตอร์ไซด์  แต่ปรากฏว่าเห็นวู๊ดยืนอยู่ข้างหลัง

“อ้าว นึกว่าไปแล้ว” เดฟกล่าว

“ก็เก็บของเสร็จแล้วหละ  แต่จะย้ายไปวันอาทิตย์ เพราะห้องที่อาของฉันเตรียมให้มันทาสีใหม่พอดี กลิ่นสียังหึ่งเลย” วู๊ดตอบ

เดฟพยักหน้า แล้วกล่าว

“ไปนอนบ้านฉันก็ได้นะ  บ้านฉันมีหลายห้อง  มีห้องแขกด้วย บ้านนี้ไม่มีอะไรเลยอย่างนี้วังเวงออก น่ากลัว”

ตอนพูดช่วงสุดท้าย เดฟหันไปมองในบ้านแล้วทำหน้าหวาดๆ

“บ้า...ฉันอยู่มาตั้งแต่เด็กไม่มีอะไรหรอก” วู๊ดหัวเราะ เป็นการหัวเราะแรกที่เดฟได้เห็นในรอบหลายวัน

“ไปเหอะ  วันนี้กลับบ้านเร็วไม่รู้จะทำอะไร  ไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนกันหน่อย” เดฟคะยั้นคะยอ

วู๊ดมองหน้าเดฟก่อนจะพยักหน้า

“ไปเอาเสื้อผ้าก่อนนะ แล้วขอโทรบอกอาก่อนด้วย”

 

บ้านเดฟใหญ่จนน่าตกใจ  สมแล้วที่เป็นบ้านของเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ของประเทศ

ห้องนอนของเดฟก็ใหญ่เสียจนน่าจะเอาทีมฟุตบอลนอนได้ทั้งทีม  แถมมีทุกอย่างเหมือนกับห้องในโรงแรมชั้นนำ

“ของกินอยู่ในตู้เย็นนะ  รู้สึกจะมีช๊อกโกแล็ตเบลเยี่ยมด้วย  พ่อเขาพึ่งไปประชุมมาก็เลยหิ้วมาฝาก แต่ฉันไม่ค่อยชอบกินหรอก ช่วยกินหน่อยแล้วกัน” เดฟตอบแล้วก็หันไปหยิบผ้าเช็ดตัว

“อาบน้ำก่อนนะ”

วู๊ดนั่งเห็นรีโมทมียี่ห้อเดียวกับจอแอลอีดีขนาดยักษ์จอโค้งทันสมัย

“เปิดทีวีนะ” วู๊ดร้องบอก

“เอ่อ” เดฟตอบออกมา

พอเปิดก็เป็นรายการภาษาต่างประเทศ  วู๊ดฟังไม่รู้เรื่องก็เลยเปลี่ยนไปเจอรายการไทยก็เลยนั่งดู

สักครู่โทรศัพท์ของเดฟก็ส่งเสียง

“เดฟโทรศัพท์” วู๊ดร้องบอก

“รับให้หน่อย แล้วถามว่าใคร บอกว่าฉันจะโทรกลับ” เดฟตอบออกมา

แต่พอวู๊ดเอามารับสาย  ปรากฏว่าเขาต้องร้องออกไปอีก

“เดฟ เขาพูดภาษาอังกฤษฉันฟังไม่ออก” วู๊ดร้องขอความช่วยเหลือ

“โอเครู้ละ เสร็จแล้ว” เดฟตอบออกมา

แล้ว เขาก็เดินออกมาทั้งคาดผ้าเช็ดตัวมาผืนเดียว ร่างกายของเดฟเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่เกิดจากการออกกำลังกาย จะว่าไปเดฟก็เคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลของโรงเรียน แต่เขาเลิกเล่นไปแล้วเนื่องจากปัญหาภายในทีมจนยุบทีมไปเมือปีที่แล้ว

ปัจจุบันโรงเรียนนวสาครวิทยาลัยก็เลยยังไม่มีทีมบาสเก็ตบอล แต่มีเค้ารางว่าจะตั้งใหม่ภาคการศึกษาหน้า

“Hello Mom” เดฟทักทาย

“Oh he is my friend”

ประโยคนี้มองหน้าวู๊ด  ทำให้รู้ว่าคนในสายถามถึงเขา

เดฟสนทนาแล้วสักครู่ ก่อนจะเอามือบังไมโครโฟนโทรศัพท์ก่อนจะพูด

“ไปอาบน้ำสิ  เดี่ยวจะได้ลงไปกินข้าวกัน”

 

แม้ เดฟจะออกปากว่าวันนี้เขาไม่ได้บอกที่บ้านว่าเขาจะกลับมากิน ก็เลยมีอาหารน้อยกว่าปกติ  แต่ก็มากอยู่ดีในสายตาวู๊ดที่เคยกินกับข้าวแค่มื้อละอย่าง มากสุดก็สามอย่าง แต่นี่มากกว่าหกอย่าง

“เมื่อกี้ แม่นายเหรอ” วู๊ดถามตอนกำลังตักยำปลาดุกฟู

“ใช่..” เดฟตอบ แล้วก็ตักข้าวกิน

“แม่นายเป็นฝรั่งเหรอ” วู๊ดตามไปอย่างไม่ทันคิด

เดฟถึงกับวางช้อน  แล้วเสยผมให้เห็นหน้าเต็มๆ

“ดูหน้าฉันนี่วู๊ด  แม่คงเป็นเป็นคนจีนหรอกมั๊ง.. หรือไม่ก็เกาหลี”

วู๊ดหัวเราะ

“เออ... ลืมไปเนอะ”

 

“แม่ กับพ่อฉันแยกทางกันตอนฉันอยู่ม.สอง  ที่จริงก็ควรแยกกันนานแล้วหละ เพราะก็ทะเลาะกันตลอด  คือพ่อของฉันเขาเจ้าชู้น่ะ เลขงเลขาก็ฟาดเรียบ  ไม่รู้มีอีหนูอยู่กี่คนข้างนอกนั่น” เดฟเล่าตอนที่กดจอยเล่นเกมฟุตบอลแข่งกับวู๊ด

“แม่ก็เลยกลับไปอยู่อเมริกา  เขาเป็นสถาปนิกสาว มั่นใจในตัวเองสูงเลยไม่ค่อยแคร์พ่อฉันหรอก”

วู๊ดรับฟังแต่ก็กดจอยไปด้วย

“ก็น่าเห็นใจท่านนะ  ดูสิ  ไปอยู่ต่างประเทศยังโทรมาหา  แสดงว่าท่านรักนายมาก”

“ก็รัก...” เดฟตอบแล้วก็ถอนหายใจ

“ยิง” เขาร้องแล้วกดจอย

“ไม่เข้าเว้ย” อู๊ดร้องบ้างในจังหวะต่อมา

“โกงนี่หว่า... ลูกนี้มันต้องเข้าสิวะ  ลูกสูตร” เดฟทำหน้าผิดหวัง

“นี่นายแอบตามไอ้โกลมาเล่นออนไลน์รึเปล่าประตูถึงได้เหนียวนัก”

“ที่จริงท่านก็น่าสงสารนะ  อยู่คนละประเทศกับลูก” วู๊ดกล่าวออกมาต่อจากที่คุยค้างไว้

เดฟนิ่งไปแล้วก็ถอนหายใจออกมา

“ฉันเป็นคนไล่เขาไปเองหละ” เดฟกล่าวออกมา

 

“เรื่อง มันเกิดตอนม.สอง  ฉันน่ะรู้อยู่แล้วว่าพ่อมีอีหนู เพราะได้ยินสองคนทะเลาะกันบ่อยๆเรื่องนี้จนชิน  แต่แม่ฉันก็ทนแสนทนนะ  ทนจนฉันแปลกใจ  แต่วันหนึ่งที่โรงเรียนไฟไหม้ที่ตึกเก่าจำได้ไหม  เราเลยได้กลับบ้านเร็ว” เดฟเล่า

ตอนนี้ทั้งคู่เลิกเล่นเกม แล้วเอาน้ำผลไม้ที่มีแอลกอฮอลออกมาดื่ม

“ตอนนั้นฉันก็เลยเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน  ตอนแลกฉันกะจะเซอร์ไพรส์แม่ด้วยการแอบไปแกล้งให้ตกใจ  แต่ก็หาไม่เจอ  ก็เลยแอบย่องไปที่ห้องนอนของเขา แต่กลับกลายเป็นว่าฉันเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง  เพราะตอนนั้น..”

สำหรับเดฟนั่นคือภาพติดตา

เขายังจำได้แม้แต่รอยยิ้มตอนที่แอบย่องอย่างเงียบขึ้นไปถึงห้องนอนของมารดาบนชั้นสอง  เขาอดหยุดหัวเราะไม่ได้ตอนตอนที่จะเปิดประตู

“Surprise M…” คำพูดของหนุ่มน้อยขาดไปแค่นั้น

ต่อ หน้าต่อตาเขา  มีชายคนหนึ่งร่างกายกำยำ กำลังคร่อมร่างของแม่เขาอยู่  ไม่ว่ากำลังทำอะไรก่อนหน้า  เขาก็ตกใจจนผวาลุก  โดยลืมไปว่าร่างกายตนเองเปลือยเปล่า  หญิงสาวอีกคนที่อยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในภาพเปลือยเปล่าก็รีบวิ่งไปแอบหลังผู้ชาย

คนสวนกับเมียนั่นเอง

“David” มารดาของเขาลุกขึ้นรีบคว้าเอาผ้าห่มมาคลุมกาย

เดฟน้อยถอยหลัง เขาไม่รู้ว่าน้ำตาอาบมาเมื่อไหร่ แต่มันก็ทำให้ภาพของแม่พร่ามัวไป

ทว่าภาพของมารดาผู้แสนดีในใจของเดฟย่อยยับยิ่งกว่า... มันแหลกสลายลงในทันที

“David I can explain this, I..”

“Shut up!” เดฟตะโกนส่วนออกไป

“I hate you”

แล้วเขาก็วิ่งออกมาจากห้องนั้นอย่างไม่รู้จะไปไหน

เด็กชายวิ่งออกมาจนถึงปากซอยแล้วกระโดดขึ้นรถเมล์คันแรกที่เขาเห็น  จากนั้นก็นั่งไปเรื่อยๆ  จนกระทั้งรถเมล์สุดสาย เขาก็นั่งสายใหม่จนสุดสายอีก

กระทั้งท้องฟ้าคลี่ม่านราตรีคลุมท้องฟ้า  เดฟเดินมาเรื่อยๆจนกระทั้งได้ยินเสียงเครื่องเรือหางยาว  เขาเดินไปเกาะที่ขอบราวสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

พ่อจะมีชีวิตนอกบ้านยังไง  เขาไม่เคยสนใจ  แต่นี่แม่ก็เป็นไปกับเขาด้วยอย่างนั้นหรือ... แล้วจะมีอะไรในชีวิตที่เดฟจะหวังใจได้อีก.. แล้วใครกันแน่ที่รักเขา...

มองไปสายน้ำที่ไหลเอื้อยๆ  แล้ววูบที่สมองสับสน เขาก็ปีนขึ้นไปบนราวสะพาน

เพียงแค่ข้ามไปแล้วทิ้งกายลงไปในสายน้ำ ทุกอย่างคงจะจบสิ้นไป

“มึงจะทำอะไร” เสียงพร้อมกับตัวที่พุ่งเข้ามาคว้าร่างเขาจนล้มไปด้วยกัน  พอลุกขึ้นมาได้

“มึงนะบ้าเหรอ.. นั่นมันแม่น้ำ ลงไปตายอย่างเดียวนะเฟ้ย” ดวงหน้าจีนที่รู้จักดีเอ็ด  แต่แววตานั้นเต็มด้วยความห่วงใย

แต่เขาก็หยุดเพราะเห็นน้ำตาของเดฟ

“ร้องไห้ทำไมเกิดอะไรขึ้น  มีอะไรเดฟ” แล้วก็เอื้อมมาปาดน้ำตาให้

เดฟมองหน้าที่มีเพียงดวงตาแจ่มใสเท่านั้นที่เป็นจุดเด่น ดวงหน้านี้เคยมีแต่รอยยิ้มและความสนุกสนาน  ทว่าตอนนี้ดวงตางดงามบอกเดฟว่าเขาห่วงใยเดฟ  เดฟจึงกอดร่างนั้นแน่น..

“จุ๊ย”เขาเรียกชื่อนั้นออกมา  แล้วเริ่มต้นร้องไห้

“ผมไม่อยากอยู่แล้ว  ทำไมพ่อแม่ของผมไม่รักผมเลย  ทำไมหละจุ๊ย ทำไมทุกคนหนีผมไปมีคนอื่น  ทำไม...”

จุ๊ยกอดตอบ แล้วก็ลูบหัวเพื่อนร่วมห้องเบาๆ

“เกิดอะไรขึ้นเล่าให้กูฟังสิ กูยินดีรับฟังทุกอย่าง”

 

“ถ้าวันนั้นไม่ได้จุ๊ย  เราคงไม่ได้มานั่งคุยกันตรงนี้หรอก” เดฟกล่าวแล้วอมยิ้ม เมื่อคิดถึงดวงหน้าที่สดใสและรอยยิ้มของจุ๊ย

“เราคุยกันจนเผลอหลับไป  จนกระทั้งมีคนผ่านมาแล้วปลุก เราสองคนก็เลยกลับบ้าน ตอนนั้นจุ๊ยใช้โทรศัพท์ของฉันโทรไปบอกที่บ้าน แล้วเขาก็ตามฉันกลับบ้านด้วย  แต่กลับมาก็เจอกับพายุอีกรอบ พ่อกับแม่ทะเลาะกันเรื่องที่แม่ปล่อยให้ฉันได้เห็นพฤติกรรมของเขา..”

แล้วเดฟก็ถอนหายใจ

“ตอนนั้นฉันก็เลยบอกให้จุ๊ยกับไปก่อน  แต่จุ๊ยก็ไม่ยอมกลับ บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อน  จนฉันต้องบอกว่าถ้านายอยู่เรื่องมันไม่จบแน่ เพราะฉันจะคุยกับพวกเขาอย่างเด็ดขาด และคงต้องคุยกันแค่สามคน จุ๊ยถึงได้ยอมกลับ”

 

“แต่มึงต้องจำอะไรไว้อย่างนะ  ถึงยังไงมึงก็ยังมีกูอยู่เสมอ  กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย อย่าคิดอะไรโง่ๆ  ใครจะไม่รักมึงก็ช่างหัวประไร  ช่างมัน  แต่กูรักมึง เพราะมึงเป็นเพื่อนกู” จุ๊ยกล่าวแล้วก็เอามือวางบนไหล่ของเดฟ

“สัญญาสิว่ามึงจะเข้มแข็ง ไม่ทำอะไรโง่ๆอีก”

“ผมสัญญา” เดฟตอบออกไป แล้วก็มองส่งจนจุ๊ยเดินออกจากตัวบ้านไป

แล้วเขาก็หันไปเผชิญหน้ากับความจริง เดินเข้าไปท่ามกลางการโต้เถียง

“Cut that,  both of you”เดฟตะโกนก้อง

 

“หลังจากนั้นฉันก็ตัดสินออกมาว่า ถ้าสองคนไม่อยากอยู่ด้วยกันก็ไม่ต้องฝืน  เลิกกันไปเลยดีกว่า  ส่วนฉันไล่แม่กลับอเมริกาไป เพราะฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก  อย่างน้อยที่สุดก็ตอนนั้น” เดฟกล่าวแล้วยกเครื่องดื่ม ดื่มจากปากขวด

“ฉันไล่เขาไปเองนั่นหละ  แต่พอผ่านไปได้สักระยะ  พอเขาง้อ ฉันก็รำคาญที่สุดก็ยอมคุยด้วย  แล้วเขาก็เลยโทรมาบ่อยๆอย่างที่เห็น”

วู๊ดมองหน้าเดฟ  ตอนนี้ดวงตาเดฟเหม่อลอย

เขาก็เลยคิดจะหาเรื่องคุยเปลี่ยนอารมณ์

“มิน่านายถึงได้รักจุ๊ย”

เดฟหันมายิ้มจางๆ แล้วพยักหน้า

“ใช่.. เพราะมันประทับใจ ถึงเขาจะบอกว่ารักแบบเพื่อน  แต่เขาก็รักใช่ไหมล่ะ” เดฟถอนหายใจ

“ฉันเป็นคนปักใจเสียด้วย”

เดฟเงียบไปครู่ใหญ่

“แต่มันก็แทบไม่มีความหวังเลยนะ  ถึงฉันจะทำยังไง จุ๊ยก็ไม่รักฉันอยู่ดี  เพราะเขารักคนอื่น” เขากล่าวออกมาแล้วดื่มเครื่องดื่มนั้นหมดขวด

“ฉันไม่สามารถแทนที่คนคนนั้นหรอก  ไม่มีทางเลย”

วู๊ดอยากจะถามว่าใคร  แต่เขาก็ไม่มีโอกาส เพราะเดฟหันมามองหน้า

“นายว่าฉันมันโง่ไหม ที่รักเขาโดยที่รู้ว่าเขาไม่มีวันรักเรา”

ทั้งคู่จ้องตากัน  แล้ววู๊ดก็ขยับเข้ามาใกล้  เอามือวางบนมือของเดฟ

“ไม่หรอก.. สำหรับฉันขอแค่ทำให้คนที่รักมีความสุขก็พอ  ฉันขอแค่นั้น  แค่นั้นจริงๆ” วู๊ดกล่าว

“ฉันรักนายเดฟ  ไม่ว่านายจะรักใคร ฉันก็รักนาย”

เสียงโทรทัศน์ทีเปิดค้างไว้คล้ายจะเงียบไป

ตอนนี้ทั้งคู่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของกันและกัน

แล้วแรงดึงดูดก็เกิดขึ้น  กว่าจะรู้ตัวเดฟกับวู๊ดก็ประกบจุมพิตอย่างดูดดื่มเสียแล้ว

เดฟค่อยๆดันให้ร่างของวู๊ดเอนลงนอน

บนพื้นห้องที่ปูด้วยพรมนุ่มนิ่ม  กายที่เบียดเสียดตอบสนองต่อกันด้วยความปรารถนาที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน...
ไม่ว่านายจะรักใคร ฉันก็รักนาย.. วู๊ดย้ำอยู่ในใจ
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:17:40
อรรถยืนเข้าแถวซื้ออาหารที่ร้านขายข้าวแกงเหมือนๆกันเด็กนักเรียน  เขายืนอยู่ท้ายสุดของแถวที่ไม่ยาวนัก  สักครู่ก็มีคนมายืนข้างหลัง

“พี่อรรถเลี้ยงหน่อยสิ”

หันมาก็เห็นรอยยิ้มของโป้ง

“ว่าไงMVP” อรรถทักแล้วบีบที่หัวไหล่ ที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ

โป้งมีร่างกายของคนที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง  เขาไม่ได้มีกล้ามเนื้อใหญ่โตทำให้ดูแล้วเหมือนตัวบางๆ  ทว่ามันแน่นและแข็งแบบกล้ามเนื้อที่ใช้งาน  โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา  แม้มันจะดูเพรียวกว่านักฟุตบอลคนอื่นเล็กน้อย  แต่มันกลับแข็งแรงและส่งพลังมหาศาลออกมายามที่โป้งวิ่งและเตะลูกบอล

“กินอะไรหละเดี่ยวพี่เลี้ยง” อรรถถาม

“ผมเสียเงินที่ไหนเล่าพี่  ผมเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนเขาเลี้ยงสามมื้อ” โป้งตอบ

“เออ เนอะ..” อรรถตอบ คนก่อนหน้าเขาออกมาไปแล้วหลังจากสั่งอาหารเสร็จ

เขาหันไปสั่ง แล้วก็หันกลับมา

“ไปนั่งด้วยกันสิ”

 

อรรถมองโป้งกินข้าวไข่เจียวราดซอสจนชุ่มอย่างอร่อย

“นี่นายจะไม่คิดจะกินอะไรที่แตกต่างไปบ้างเลยเรอะ เดี่ยวก็ขาดสารอาหารตายพอดี”

โป้งปากก็เคี้ยวแต่ก็ทำตาโต เคี้ยวหมดคำแล้วก็ตอบ

“กินนะพี่ แต่พี่ไม่เห็นเอง  ผักผลไม้ผมกินทุกวันเลย”

“เออ ก็ดี นึกว่ากินเป็นแต่ไข่เจียว  อีกหน่อยคงมีคนตั้งสมยาให้นายว่า ลูกเตะไข่เจียวแหง่ๆ” อรรถหัวเราะน้อยๆ

โป้งก็หัวเราะแล้วกินต่อ

อรรถกินไปสองคำก็ถาม

“แล้วเพื่อน คู่หูนายน่ะ ไปไหน  คนที่เป็นประตู วันนี้ไม่มาเหรอ”

“มา แต่โดนอาจารย์ใช้ไปซื้อของข้างนอก  เลยออกไปตั้งแต่ก่อนหมดคาบ” เด็กหนุ่มตอบ

อรรถยักหน้าช้าๆ

“เขาดูเงียบๆนะ” อรรถคิดแบบนั้นเพราะเคยเข้าไปสอนแทนอาจารย์ที่ป่วยที่ชั้นเรียนของโป้ง

“ดูไม่ค่อยสนใจเรียน”

“มันก็เป็นแบบนี้หละ  แต่มันเก่งนะพี่ มิดเทอมท็อปตั้งหลายวิชา” โป้งกล่าว

“มันน่ะ  นิสัยแบบนั้นหละ  แต่ถ้าลองได้รู้จักจะรู้ว่ามันก็มีมุมน่ารักๆของมัน”

ตอนที่โป้งกล่าวถึง  ดวงตาของโป้งมีแววคะนึงหา  รอยยิ้มที่ปรากฏเหมือนมีความสุขกับสิ่งที่พูด

อรรถรู้สึกไม่พอใจ  แต่ไม่กล้าแสดงออก  เขาจึงก้มหน้ากินข้าวต่อไป

แต่ระหว่างกินๆกันเงียบๆนั้น อาจารย์ปกครองก็เดินเข้า  โป้งจึงยกมือไหว้

อาจารย์รับไหว้  แล้วก็ตบบ่าโป้งอย่างเอ็นดู

ก่อนจะหันไปหาอรรถ

“เธอเป็นคนปากช่องใช่ไหม” อาจารย์ถาม

“ครับ” อรรถพยักหน้า

“ดี เลย  งั้นไปด้วยกันหน่อยสิ  รถขนเครื่องดนตรีของโรงเรียนชนประสานงากับรถบรรทุกที่ปากช่อง  มีนักเรียนม.หกบาดเจ็บสาหัสด้วย นี่ครูอติโทรมาแจ้ง  ผู้อำนายการบอกให้ผมไป  แต่ผมไม่แน่ใจว่าโรงพยาบาลอยู่ช่วงไหน  คุณไปนำทางให้หน่อยสิ”

โป้งตกใจ

“ครับ” อรรถตอบแล้วก็รีบกินข้าวคำสุดท้ายแล้วลุกขึ้น

“โป้งพี่ฝากเก็บจานด้วยนะ”

“ครับ” โป้งพยักหน้า

“เด็กที่บาดเจ็บเป็นใครครับ” อรรถถามตอนจะเดินออกไป

“ไตร คนที่เป่าแซกโซโฟนคู่กับนายจุ๊ยไง  สาหัสเลยหละ เห็นว่านะ  ตอนนี้ครูอติกับนายจุ๊ยย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลแล้ว  เห็นว่านายไตรรู้สึกตัวเป็นพักๆ ร้องเรียกหานายจุ๊ย  นายจุ๊ยก็เลยต้องกลับไปด้วย  นี่ผมก็พยายามติดต่อผู้ปกครองของนายไตรแล้วนะ  ไม่อยู่ทั้งคู่ ผมเลยฝากข้อความให้ไว้ในเครื่องตอบรับอัตโนมัติ”

 

ข่าวเศร้ามาถึงในตอนเช้า  ไตรหนุ่มผิวสองสีหน้าตาคมคายคนนั้นเสียชีวิตแล้ว  โป้งรู้สึกใจหายกับสิ่งที่ได้ยิน

ทำไมชีวิตคนมันถึงได้เปราะบางนัก

วัน ก่อนที่วงโยธวาทิตจะเดินทาง  โป้งกับโกลวิ่งมาถึงโรงเรียนในตอนเช้า  ยังได้มีโอกาสได้ช่วยฮ้อยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกวงโยธวาทิตขนกลองขึ้นไปวางใน รถขนเครื่องดนตรี  แล้วยังได้เห็นไตร หนุ่มร่างสูงในฐานะหัวหน้าวง ยืนบัญชาการน้องๆอยู่ข้างรถ

“น่าสงสารจังเนอะ” วสันต์กล่าวตอนเดินขึ้นตึกเรียนหลังเลิกแถว

“ใช่..” โป้งกล่าวตอบ

“คนตายก็ตายไป แต่คนอยู่สิทุกข์ทรมาน” โกลกล่าวออกมา

โป้งหันมามองหน้า

“ก็.. ไอ้จุ๊ยไง... มันสนิทกับพี่ไตรมากเลยไม่ใช่เหรอ” โกลว่าแล้วเอามือวางบนไหล่โป้ง

“เดี่ยวเย็นนี้เราไปงานดีไหม.. กูว่าไอ้เดฟมันต้องอยู่ที่นั้นแน่นอน เพราะมันต้องอยู่ปลอบไอ้จุ๊ย  เพราะวันนี้เห็นว่าจุ๊ยก็ไม่ได้มาโรงเรียนมันก็ไม่ได้มาเหมือนกัน”

คนที่ตามหลังมาคือวู๊ด เขามองหน้าโกล

เจ็บแปลบ ในหัวใจ แต่เขาก็ทน...

 

งานศพของพี่ไตรมีแขกไม่มากนักในตอนที่โป้งไปถึง  อาจเพราะเป็นวันธรรมดา

โป้งเดินเข้าไปในศาลา  ก็เห็นเดฟนั่งอยู่ข้างจุ๊ยบนพื้นหน้าที่ตั้งโลงสีขาว

พอนั่งลงทั้งเดฟและจุ๊ยก็หันมา

นี่เป็นครั้งแรกที่โป้งเห็นจุ๊ยในอารมณ์นี้  แม้ไม่มีหยดน้ำตา  แต่ก็มีแวดตาหมองลงอย่างมาก  ผิดไปจากแววตาที่สดใสของเขาในยามปกติ  แค่เท่านี้ก็บ่งบอกอารมณ์ภายใจของจุ๊ยได้เป็นอย่างดี

สักครู่โกลก็เดินเข้ามา

“ไปไหว้ศพก่อนสิ” เดฟกล่าว

เพราะอะไรบางอย่าง  โป้งจับไปที่แขนของจุ๊ย

“เสียใจด้วยนะ”

จุ๊ยขืนยิ้มแล้วก็พยักหน้าช้าๆ

 

“ถ้าใครไปงานอาม่าของวู๊ดแล้วมางานของพี่ไตรต่อ คงนึกเนอะว่าเราเป็นพนักงานของวัดหรือไม่ก็รับจ๊อบเสริพน้ำตามงานศพ” โกลกล่าวขึ้นตอนล้างแก้ว แล้วเรียงใส่ถาด

โป้งรินน้ำในรอยยิ้ม

“เอาน่า  ได้บุญ  แม่บอกว่าบริการคนอื่นน่ะดี  ช่วยงานศพก็ดี เพราะเราได้บุญ”

โกลหัวเราะหึ

“ก็ดีกูไม่ค่อยได้ทำบุญ”

“คิดไว้แล้วว่าอาจได้เจอนายที่นี่” เสียงเข้าพร้อมตัว

ก้านเพชร

เขายิ้ม..

“ฉันอยากเจอนายมากเลยโป้ง”

โกลเช็ดมือ  แล้วก็เดินออกมาคั่นระหว่างโป้งกับก้านเพชร

ความสูงของโกลทำให้ก้านเพชรที่สูงราวร้อยเจ็ดสิบหกต้องเงยขึ้นนิดนึง

“มีอะไรหรือว่ามึงข้องใจที่แพ้”

ก้านเพชรมองหน้าโกลอย่างประเมิน แล้วมองอ้อมไปหาโป้ง

“ได้ยินว่ามึงสองคนเป็นคู่หูกัน” เขาตอบไปอีกทางหนึ่ง

“ใช่ ทำไมข้องใจอะไร”

ก้านเพชรยิ้มอีกด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น

“ก็ไม่มีอะไร  จะคู่หูเฉยๆ หรือคู่ขา.. กูก็แค่อยากจะบอกว่า  กูจะเป็นคู่แข่งของมึง  เพราะกู..” แล้วก็หันมาหาโป้งที่ยกถาดเตรียมจะไปเสริพ

“กูชอบนายโป้งของมึง  และพร้อมจะเปิดเกมรุกใส่เพื่อพิชิตใจด้วย”

โป้งอึ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ

“บ้าบอ” เขาพูดออกไป แล้วเดินถือถาดไปเสริพน้ำ

“กูไม่ใช่ลูกบอลจะได้มาแย่งกัน.. ประสาท”

ก้านเพชรมองตามไป

“น่ารักเป็นบ้าเลยว่าไหม” เขาหันมาหาโกล

โกลไม่ได้ตอบแต่ถามกลับ

“มึงมาที่นี่ทำไม  ใครเชิญมึงมา”

ก้านเพชรส่ายหัว

“ไม่ต้องเชิญกูนี่  เพราะกูเป็นญาติพี่ไตร” แล้วเขาก็เดินไป

โกลรู้สึกอยากจะถีบไอ้นี่จริงๆ

“หน้าตาแม่งกวนตีน” โกลกล่าว

“กูก็ไม่ยอมให้มึงเอาไปง่ายๆหรอกเว้ย  กูจองแล้ว”

 

พอกลับมาถึงห้อง ตอนที่  โกลกำลังเทขนมที่ซื้อมาใส่ถ้วย

โป้งก็เอาโทรศัพท์มาเปิดดูโซเชียลมีเดีย

เขาแปลกใจ

“ใครวะ Diamond Stem” โป้งกล่าวขึ้น

“อยู่ดีๆก็Add Friend มา”

โกลหันมองหน้า ก่อนจะทำท่าเมินไป

“ก็ไอ้ก้านเพชรไง  ก็รับAdd มันเสียสิ”

โป้งรู้สึกเหมือนโดนท้าทาย

“โอเค” ว่าแล้วเขาก็กดรับทันที

“เฮ้ย” โกลร้อง

“นี่มึงสนใจมันเหมือนกันเหรอ ถึงได้รับมันเป็นเพื่อน”

“ก็มึงบอกว่าให้กูรับ” โป้งตอบ แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ไอ้โป้ง  ลบมันออกเดี่ยวนี้เลยนะ” แล้วโกลก็จะเข้ามาแย่งโทรศัพท์

“เฮ้ยอะไรวะ” สองคนแย่งกันไปยื้อกันมา

ที่สุดโกลก็คล่อมอยู่เหนือร่างโป้งที่ล้มตัวลงนอนบนเตียง

ทั้งคู่หยุด  สบตากันนิ่ง

ตอนนี้หน้าของทั้งสองห่างกันแค่คืบ

หายใจรดกัน  ใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน

“ไม่ลบก็ตามใจมึง”โกลกล่าวแต่ไม่ถอยออกไป

“ยังไง กูก็พร้อมจะสู้อยู่แล้ว  มึงเป็นเพื่อนมันอย่างนี้ ก็ดีจะได้สู้กันเปิดเผยไปเลย”

“มึงสองคนจะบ้ารึเปล่า  นี่มึงจะแย่งกูกันไปทำไม ..” โป้งถาม  เขาต้องควบคุมลมหายใจให้ดี  เพราะมันเริ่มทวีจังหวะมากขึ้น

“ก็มันคุ้มนี่.. “ โกลตอบ

แล้วเขาก็จูบหน้าผากของโป้ง

“ขอแค่นี่ก่อน  กูจะรอให้มึงจูบกูก่อน  ไม่ใช่กูต้องปล้ำจูบมึง” แล้วโกลก็ถอนตัวออกไป

โป้งลุกขึ้นมานั่ง  หัวใจของเขาเต้นแรงจนเหมือนจะกระโดดออกมา

โกลตักขนมกินทั้งดูโทรทัศน์

“เฮ้ย กินไม่แบ่ง” โป้งลงไปแย่งขนม

“ไม่ให้  มึงก็แชทกับไอ้ก้านเพชรไปสิ  เดี่ยวก็อิ่ม” โกลหันเอาตัวบัง

“เอามาแบ่งกันบ้าสิ  กินคนได้เดียวได้ไงวะโกล”

“ไม่ให้ ก็กูถามแล้วตอนซื้อว่าจะกินไหม มึงส่ายหน้า”

“ไอ้งก กูจะกินบ้าง  มึงถามตอนกูไม่หิว แต่ตอนนี้กูหิวแล้ว”

“ไม่ให้”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:18:08
โป้งเดาะบอลไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้นับหรอกว่าตัวเองเดาะไปได้เท่าไหร่แล้ว  แต่ก็รู้เหมือนกันว่าคนที่เริ่มต้นเดาะพร้อมกันเขาเลิกกันไปหมดแล้ว

“โป้ง พอแล้วมั้ง” เสียงนี้เป็นของโกล

“น่าจะเกินแล้วนะ เกินเยอะด้วย”

โป้งก็เลยพักลูกด้วยอกปล่อยตกพื้น

“ไม่ได้นับใช่ไหม” คนที่ถามคือทีมงานคนหนึ่ง

โป้งยิ้มแห้งๆ  ความจริงก็คือโป้งนับเลขไม่ค่อยเก่ง นับที่ไรเดี่ยวก็ขาดเดี่ยวเกิน  เลยไม่นับมันซะเลย

“นายเดาะเลยไปนานแล้ว... “ แล้วเอาใบแสดงผลคะแนนส่งให้

“ทักษะเดาะบอลผ่าน”

โป้งกับโกลก็ผ่านไปทุกทักษะ  แล้วก็อยู่ระหว่างรอลงเล่นเป็นทีม

โป้งยืนอบอุ่นร่างกายตลอดเวลา แต่ตามองลงไปในสนามที่มีนักฟุตบอลสองทีมกำลังขับเคี่ยวกันอยู่  โป้งมองเห็นคนหน้าคุ้นๆคนหนึ่ง

“นั้น..” โป้งจำได้

“ก้านเพชร”

โกลมองอยู่นานแล้วแต่ไม่ได้บอกโป้ง

ก้าน เพชรมีความคล่องตัวในระดับสูง  เขาสามารถหลอกล่อคู่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว  แล้วก็วิ่งไปเปิดเข้าไปอย่างสวยงามหลายครั้ง เสียแต่คนที่อยู่ข้างหน้าจับจังหวะไม่ได้เลยพลาดไป

“เทพพร กรกฎ เตรียมตัว”

เจ้าหน้าที่ตะโกนบอก

พอลงไปถึง โป้งก็วิ่งหาตำแหน่งอยู่สักครู่  แล้วก็มีคนส่งบอลมาให้

โป้งได้บอลก็มองไปทั่ว  เพื่อมองหาคนที่เข่าจะเปิดบอลให้คือคนที่สวมเสื้อสีแดงเหมือนกับเขา  แต่เขาไม่ได้มองอย่างเดียวพาบอลวิ่งไปด้วย

ก็เห็นคนเรียกบอลเป็นคนหน้าคุ้นๆ เหมือนจะจำได้ว่าเป็นศูนย์หน้าของทีมโรงเรียนเดียวกับก้านเพชร

จังหวะนั้นมีคนเข้ามาประกบจะแย่ง  โป้งก็ดีงจังหวะหลอกล่อแล้วก็กระชากพาบอลหนีไปได้ไม่ยาก เจออีกด่านที่มากันสองคน  แต่โป้งมีแผนในใจเรียบร้อย  เขาแกล้งจะทำจะเลี้ยงหลบ  แต่ฉับไวก็เตะโยนโค้งไปหาคนเรียกบอลเมื่อสักครู่

ลูกเข้าเท้าอย่างเหมาะเหม็ง  นายคนนั้นสับไกยิงทันที สุดมือผู้รักษาประตู

นายคนนั้นวิ่งมาหาโป้ง

“เก่งมาก  สมแล้วที่ไอ้ก้านเล็งเอาไว้...” แล้วเขาก็วิ่งกลับไป

โป้งงง แต่ก็วิ่งถอยกลับเพราะฝ่ายตรงข้ามเริ่มเกมรุกใส่

โกลมองตามบอลไปตลอด  เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามพาลูกเข้ามาใกล้แล้วเปิดไปด้านซ้าย

เขาเตรียมพร้อมก่อนหน้าแล้วแต่ไม่พลีพลาม

พอฝ่ายตรงข้ามจ่ายตัดกลับเข้ากลาง  กองหน้าก็สับไกยิงโดยไม่จับ

โกลก็พุ่งตัวไปรับบอลได้ติดมือ  เขามองหาโป้ง แต่พอไม่เห็นก็ตัดในโยนไปให้กองกลาง

“นี่ใช่ไหมประตูที่ว่าเก่งๆ” หัวหน้าโค้ชกล่าวกับผู้ช่วย

“ชื่อกรกฎ เป็นลูกของเจ้าของบริษัทที่เป็นสปอร์นเซอร์ ตอนแรกผมก็คิดว่าเส้น... แต่จังหวะดีไม่ทำธรรมดาเลยนะครับ  ตัวสูงๆแต่กลับตัวไวมาก" ผู้ช่วยตอบ

“แล้วนั้นล่ะ" หัวหน้าโค้ชพยักเพยิบไปทางเด็กหนุ่มร่างเพรียว ที่กำลังหลอกล่อตัวที่พยายามแย่งลูกไปจากเขาจนหัวหมุน ก่อนจะพาลูกวิ่งไต่เส้น แล้วโยนโค้งไปหน้าประตู

“เทพพร.. ลูกชายเทพฤทธิ์ครับ  เห็นว่าเก่งมาก ก็คงจะจริงนั้นหละ  ไม่มีข้อสงสัย สมเป็นลูกชายเทพฤทฺธิ์” ผู้ช่วยโค้ชกล่าว

ตอนนั้นลูกที่โป้งโยนเข้าไป โดนโหม่งสกัดออกมาถึงโป้งอีกครั้ง

เขาพักลูกอย่างนิ่มนวลแล้วก็พาวิ่งตัดเข้ามาตรงกลางโดยต้องหลอกล่อกับตัวผู้เล่นสามคน แต่ก็ผ่านมาได้ทั้งหมด

แล้วเขาพาเข้ามาในกรอบเขตโทษ  ผู้รักษาประตูถลันออกมาแต่โดนโป้งยิงเล่นทางไปทางขวาเสียบมุมประตูเบียดเสาเข้าไป                                                                   

โค้ชพยักหน้ายอมรับในฝีเท้า

“ตกลงผมเอานายเทพพร แล้วก็นายกรกฎ”

โค้ชทำหน้าจะออกจากสนามไป

“แล้วที่เหลือหละครับ” ผู้ช่วยถาม

“เราเลือกได้ที่ไหน  ไอ้ที่ฝากๆมาก็แทบจะไม่ที่ให้ยืนแล้ว  ก็เลือกเอาที่พอมีฝีเท้าจากพวกเด็กฝาก  ก็แล้วกัน เอาให้มันครบทีมไป” โค้ชตอบแล้วก็เหมือนจะยิ้มเยาะระบบเส้นสายของประเทศนี้

ถ้วยก็อยากได้ แต่เด็กกูก็จะฝากๆ  เบื่อเว้ย อันนี้โค้ชบ่นในใจ

 

ก้านเพชรยืนกอดอกรออยู่ตรงทางออกจากสนามที่ใช้คัดเลือกตัว  พอเห็นโป้งเดินมาก็รีบปรี่เข้าไป

“โป้ง  ฉันไปส่งเอาไหม  นายพักอยู่หอใกล้ๆโรงเรียนใช่ไหม”

โป้งหันมองหน้า

ดูใกล้ๆ ก้านเพชรเป็นคนดูดีคนหนึ่ง

“ไม่หรอกฉันกลับกับโกล มาด้วยกันก็กลับด้วยกัน” โป้งตอบ

ก้านเพชรพยักหน้าช้าๆ แล้วล้วงไปใสสะพายหยิบ ผ้าพันคอลายตราสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูเนี้ยนให้

“เฮ้ย” โป้งรับมา  เขาดูทีเดียวก็รู้ว่าของแท้

“ฉันให้พ่อซื้อมาจากอังกฤษ  จากสนามนิวแฮมฟอร์ตเลยนะ มีลายเซ็นด้วย”

โป้งพลิกดูก็เห็นว่ามีอยู่จริงๆ  เป็นลายเซ็นของนักเตะคนโปรดของโป้งเสียด้วย

“นายรู้ได้ไง ว่าฉันชอบทีมอะไร ชอบใคร” โป้งถาม

“ฉันมีพลังจิต  อ่านใจโป้งได้” ก้านเพชรเล่นมุก

แต่โป้งได้แต่ยิ้มขืนๆ  เพราะมันฝืดสนิท

สักครู่โกลก็เดินออกมา  มาถึงก็กอดคอโป้งเอาไว้

“ผ้าพันคอเหรอ.. นี่มึงคิดบ้าอะไร  เมืองไทยร้อนจะตายห่าเสือกให้ผ้าพันคอ”

ก้านเพชรมองหน้าโกล

“กูมีน้ำใจ..  ถ้าเป็นมึง จะให้ถุงเท้ายังเสียดายเลย”

แต่พอหันมาโป้ง ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้ม

“ฉันไปก่อนนะโป้ง  มีนัดกับแม่” แล้วเขาก็ทิ้งรอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดเอาไว้ให้

“ขอบใจมากนะ  แต่วันหลังอย่าซื้ออีกเลยมันแพง..” โป้งกล่าว จะคืนไปเขาก็บอกตัวเองว่าเดี่ยวเสียน้ำใจคนให้แต่  จริงแล้วๆคืออยากได้มากจนคืนไม่ลง

“ไม่เป็นไร  สำหรับโป้งนะ ฉันเต็มที่”

แล้วเขาก็เดินไป

โกลนึกหมั่นไส้  อยากจะแย่งผ้าพันคอจากมือโป้งมาเหยียบกระทืบๆแทนหน้าไอ้ก้านเพชร ก็ไม่กล้า เพราะจุ๊ยกำลังพลิกไปมาอย่างชอบอกชอบใจ

 

โป้งเอาผ้าพันคอเก็บอย่างดีในกล่องแล้วก็วางไว้ในสุดของตู้เสื้อผ้า  หลังจากชมดูจนพอใจแล้ว

“ไม่เอาไปใส่กรอบติดฝาไว้เลยหละ” โกลกล่าวอย่างหมั่นไส้

“ไม่ค่อยงกเลยเนอะ  เขาให้ก็เอาของเขา”

โป้งหันมายิ้มเย้ย

“ก็คนเขามีน้ำใจนี่หว่า  ให้มากูก็เอาสิวะ  เป็นความสุขเล็กๆน้อยของคนให้ และเป็นความสุขใจของผู้รับ”  แล้วโป้งก็หันไป หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูโซเชียลมิเดีย โดยยังมีรอยยิ้มอารมณ์ดีอยู่

เห็นเพื่อนร่วมทีมมาโพสถามเรื่องการคัดตัวหลายต่อหลายคน

“กูต้องให้อะไรมึงบ้างวะ  มึงถึงจะยิ้มอย่างนี้บ้าง  เสื้อ กางเกง มึงอยากจะได้อะไรกูจะให้น้ากานต์หามาให้หมดเลย” โกลกล่าว แล้วก็หันไปทางอื่น  ตอนนี้เขารู้สึกน้อยใจจนไม่อยากให้โป้งเห็นสีหน้าตอนนี้

โป้งเงยหน้ามองโกลที่หันไปทางอื่น

“ก็มึงทำให้กูยิ้มได้อยู่ทุกวันแล้วนี่โกล... มึงยังจะต้องให้อะไรกูอีก”

โกลหันมา แต่โป้งก็ก้มหน้าลงมองโทรศัพท์แล้ว และกำลังพิมพ์ข้อความ

ทำไมหนอแค่คำพูดง่ายๆของโป้ง ทำให้เขาอยากจะเข้าไปกอดร่างนั้นแน่นๆเสียจริง

 

เดฟตื่นขึ้นก็มองรอบตัว ไม่เห็นคนที่ร่วมเตียงกับเขา

มองออกไปตรงประตูที่เปิดไปสู่ระเบียง  วู๊ดที่อยู่ในสภาพสวมแค่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวยืนกอดอกมองออกไปนอกบ้าน

เพราะการเคลื่อนไหวของเดฟ  วู๊ดจึงรู้ตัว  เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเครื่องดื่มให้

“บำรุง... “ เดฟกล่าวเชิงคำถาม

“ไม่เป็นไรหรอกน่า  อีกรอบยังไหว”

วู๊ดหัวเราะหึๆ แล้วนั่งลงข้างๆ

“วันนี้อยู่กับฉันทั้งวัน  ไม่ต้องไปหาจุ๊ยหรือไง”

เดฟลุกขึ้นแล้วกอดวู๊ดจากด้านหลัง

“พูดเหมือนหึงเลยนะ”

วู๊ดถอนหายใจ

“ฉันไม่ได้หึง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่รู้สึกหรอกนะ  มันก็ต้องมีบ้างหละ”

ทั้งคู่เงียบกันไปนิดหนึ่ง

“ที่จริงนี่เป็นโอกาสทองของนาย  ถ้านายแทรกเข้าไปตอนนี้จุ๊ยอาจใจอ่อน เพราะเขากำลังอ่อนแอ”

“ไม่มีทาง ฉันรู้จักจุ๊ยดี  เวลาเขาเศร้าขึ้นมา การปลอบใจไม่มีประโยชน์เลย  ต้องรอให้เขาหายเอง  แถมจะแทรกอะไรตอนนี้  เขาไม่ใช่คนใจอ่อนขนาดนั้น  มันยากมากที่จะแทรกเข้าไป  จุ๊ยเหมือนไม่มีอะไร  แต่พื้นฐานจิตใจนี่แน่นมาก  อีกอย่าง...” เดฟปล่อยตัววู๊ดแล้วล้มลงนอนหงาย

“ฉัน.. อยากให้เขารักฉันจริงๆ  ไม่ใช่ว่าแทรกเข้าไปแล้วกลายเป็นได้ตัว  แต่ไม่ได้ใจ  พอเขาเข้มแข็งเขาอาจจะปฎิเสธฉันที่หลังก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

วู๊ดนิ่งเงียบ  เขากำลังสู้กับความรู้สึกของจิตใจ  แต่เขาก็ถอนหายใจออกมา

แล้วหันไปคร่อมตัวเดฟเอาไว้

เดฟมองหน้าของวู๊ด

“ฉันน่ะไม่ได้เลือกมากอย่างนายหรอก  ฉันขอแค่ได้ครอบครองไม่ว่าจะได้หัวใจหรือไม่  ฉันขอแค่นายอยู่ตรงนี้  ฉันก็พอใจ..”

วู๊ดกล่าวและจ้องลึกในดวงตาของเดฟ

“ขอโทษนะ ฉันได้โรแมนติกเหมือนนาย.. สำหรับฉัน  คนอย่างฉัน  ขอแค่ได้ครอบครองเท่าที่ทำได้ฉันก็พอใจแล้ว”

เดฟหลับตาลงเมื่อวู๊ดเคลื่อนลงจูบริมฝีปากก่อนเคลื่อนไปที่หูกระซิบ

“แค่นี้  ฉันต้องการแค่นี้เท่านั้น”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:18:59
โป้งเดาะบอลไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้นับหรอกว่าตัวเองเดาะไปได้เท่าไหร่แล้ว  แต่ก็รู้เหมือนกันว่าคนที่เริ่มต้นเดาะพร้อมกันเขาเลิกกันไปหมดแล้ว

“โป้ง พอแล้วมั้ง” เสียงนี้เป็นของโกล

“น่าจะเกินแล้วนะ เกินเยอะด้วย”

โป้งก็เลยพักลูกด้วยอกปล่อยตกพื้น

“ไม่ได้นับใช่ไหม” คนที่ถามคือทีมงานคนหนึ่ง

โป้งยิ้มแห้งๆ  ความจริงก็คือโป้งนับเลขไม่ค่อยเก่ง นับที่ไรเดี่ยวก็ขาดเดี่ยวเกิน  เลยไม่นับมันซะเลย

“นายเดาะเลยไปนานแล้ว... “ แล้วเอาใบแสดงผลคะแนนส่งให้

“ทักษะเดาะบอลผ่าน”

โป้งกับโกลก็ผ่านไปทุกทักษะ  แล้วก็อยู่ระหว่างรอลงเล่นเป็นทีม

โป้งยืนอบอุ่นร่างกายตลอดเวลา แต่ตามองลงไปในสนามที่มีนักฟุตบอลสองทีมกำลังขับเคี่ยวกันอยู่  โป้งมองเห็นคนหน้าคุ้นๆคนหนึ่ง

“นั้น..” โป้งจำได้

“ก้านเพชร”

โกลมองอยู่นานแล้วแต่ไม่ได้บอกโป้ง

ก้าน เพชรมีความคล่องตัวในระดับสูง  เขาสามารถหลอกล่อคู่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่ว  แล้วก็วิ่งไปเปิดเข้าไปอย่างสวยงามหลายครั้ง เสียแต่คนที่อยู่ข้างหน้าจับจังหวะไม่ได้เลยพลาดไป

“เทพพร กรกฎ เตรียมตัว”

เจ้าหน้าที่ตะโกนบอก

พอลงไปถึง โป้งก็วิ่งหาตำแหน่งอยู่สักครู่  แล้วก็มีคนส่งบอลมาให้

โป้งได้บอลก็มองไปทั่ว  เพื่อมองหาคนที่เข่าจะเปิดบอลให้คือคนที่สวมเสื้อสีแดงเหมือนกับเขา  แต่เขาไม่ได้มองอย่างเดียวพาบอลวิ่งไปด้วย

ก็เห็นคนเรียกบอลเป็นคนหน้าคุ้นๆ เหมือนจะจำได้ว่าเป็นศูนย์หน้าของทีมโรงเรียนเดียวกับก้านเพชร

จังหวะนั้นมีคนเข้ามาประกบจะแย่ง  โป้งก็ดีงจังหวะหลอกล่อแล้วก็กระชากพาบอลหนีไปได้ไม่ยาก เจออีกด่านที่มากันสองคน  แต่โป้งมีแผนในใจเรียบร้อย  เขาแกล้งจะทำจะเลี้ยงหลบ  แต่ฉับไวก็เตะโยนโค้งไปหาคนเรียกบอลเมื่อสักครู่

ลูกเข้าเท้าอย่างเหมาะเหม็ง  นายคนนั้นสับไกยิงทันที สุดมือผู้รักษาประตู

นายคนนั้นวิ่งมาหาโป้ง

“เก่งมาก  สมแล้วที่ไอ้ก้านเล็งเอาไว้...” แล้วเขาก็วิ่งกลับไป

โป้งงง แต่ก็วิ่งถอยกลับเพราะฝ่ายตรงข้ามเริ่มเกมรุกใส่

โกลมองตามบอลไปตลอด  เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามพาลูกเข้ามาใกล้แล้วเปิดไปด้านซ้าย

เขาเตรียมพร้อมก่อนหน้าแล้วแต่ไม่พลีพลาม

พอฝ่ายตรงข้ามจ่ายตัดกลับเข้ากลาง  กองหน้าก็สับไกยิงโดยไม่จับ

โกลก็พุ่งตัวไปรับบอลได้ติดมือ  เขามองหาโป้ง แต่พอไม่เห็นก็ตัดในโยนไปให้กองกลาง

“นี่ใช่ไหมประตูที่ว่าเก่งๆ” หัวหน้าโค้ชกล่าวกับผู้ช่วย

“ชื่อกรกฎ เป็นลูกของเจ้าของบริษัทที่เป็นสปอร์นเซอร์ ตอนแรกผมก็คิดว่าเส้น... แต่จังหวะดีไม่ทำธรรมดาเลยนะครับ  ตัวสูงๆแต่กลับตัวไวมาก" ผู้ช่วยตอบ

“แล้วนั้นล่ะ" หัวหน้าโค้ชพยักเพยิบไปทางเด็กหนุ่มร่างเพรียว ที่กำลังหลอกล่อตัวที่พยายามแย่งลูกไปจากเขาจนหัวหมุน ก่อนจะพาลูกวิ่งไต่เส้น แล้วโยนโค้งไปหน้าประตู

“เทพพร.. ลูกชายเทพฤทธิ์ครับ  เห็นว่าเก่งมาก ก็คงจะจริงนั้นหละ  ไม่มีข้อสงสัย สมเป็นลูกชายเทพฤทฺธิ์” ผู้ช่วยโค้ชกล่าว

ตอนนั้นลูกที่โป้งโยนเข้าไป โดนโหม่งสกัดออกมาถึงโป้งอีกครั้ง

เขาพักลูกอย่างนิ่มนวลแล้วก็พาวิ่งตัดเข้ามาตรงกลางโดยต้องหลอกล่อกับตัวผู้เล่นสามคน แต่ก็ผ่านมาได้ทั้งหมด

แล้วเขาพาเข้ามาในกรอบเขตโทษ  ผู้รักษาประตูถลันออกมาแต่โดนโป้งยิงเล่นทางไปทางขวาเสียบมุมประตูเบียดเสาเข้าไป                                                                   

โค้ชพยักหน้ายอมรับในฝีเท้า

“ตกลงผมเอานายเทพพร แล้วก็นายกรกฎ”

โค้ชทำหน้าจะออกจากสนามไป

“แล้วที่เหลือหละครับ” ผู้ช่วยถาม

“เราเลือกได้ที่ไหน  ไอ้ที่ฝากๆมาก็แทบจะไม่ที่ให้ยืนแล้ว  ก็เลือกเอาที่พอมีฝีเท้าจากพวกเด็กฝาก  ก็แล้วกัน เอาให้มันครบทีมไป” โค้ชตอบแล้วก็เหมือนจะยิ้มเยาะระบบเส้นสายของประเทศนี้

ถ้วยก็อยากได้ แต่เด็กกูก็จะฝากๆ  เบื่อเว้ย อันนี้โค้ชบ่นในใจ

 

ก้านเพชรยืนกอดอกรออยู่ตรงทางออกจากสนามที่ใช้คัดเลือกตัว  พอเห็นโป้งเดินมาก็รีบปรี่เข้าไป

“โป้ง  ฉันไปส่งเอาไหม  นายพักอยู่หอใกล้ๆโรงเรียนใช่ไหม”

โป้งหันมองหน้า

ดูใกล้ๆ ก้านเพชรเป็นคนดูดีคนหนึ่ง

“ไม่หรอกฉันกลับกับโกล มาด้วยกันก็กลับด้วยกัน” โป้งตอบ

ก้านเพชรพยักหน้าช้าๆ แล้วล้วงไปใสสะพายหยิบ ผ้าพันคอลายตราสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูเนี้ยนให้

“เฮ้ย” โป้งรับมา  เขาดูทีเดียวก็รู้ว่าของแท้

“ฉันให้พ่อซื้อมาจากอังกฤษ  จากสนามนิวแฮมฟอร์ตเลยนะ มีลายเซ็นด้วย”

โป้งพลิกดูก็เห็นว่ามีอยู่จริงๆ  เป็นลายเซ็นของนักเตะคนโปรดของโป้งเสียด้วย

“นายรู้ได้ไง ว่าฉันชอบทีมอะไร ชอบใคร” โป้งถาม

“ฉันมีพลังจิต  อ่านใจโป้งได้” ก้านเพชรเล่นมุก

แต่โป้งได้แต่ยิ้มขืนๆ  เพราะมันฝืดสนิท

สักครู่โกลก็เดินออกมา  มาถึงก็กอดคอโป้งเอาไว้

“ผ้าพันคอเหรอ.. นี่มึงคิดบ้าอะไร  เมืองไทยร้อนจะตายห่าเสือกให้ผ้าพันคอ”

ก้านเพชรมองหน้าโกล

“กูมีน้ำใจ..  ถ้าเป็นมึง จะให้ถุงเท้ายังเสียดายเลย”

แต่พอหันมาโป้ง ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้ม

“ฉันไปก่อนนะโป้ง  มีนัดกับแม่” แล้วเขาก็ทิ้งรอยยิ้มที่คิดว่าดูดีที่สุดเอาไว้ให้

“ขอบใจมากนะ  แต่วันหลังอย่าซื้ออีกเลยมันแพง..” โป้งกล่าว จะคืนไปเขาก็บอกตัวเองว่าเดี่ยวเสียน้ำใจคนให้แต่  จริงแล้วๆคืออยากได้มากจนคืนไม่ลง

“ไม่เป็นไร  สำหรับโป้งนะ ฉันเต็มที่”

แล้วเขาก็เดินไป

โกลนึกหมั่นไส้  อยากจะแย่งผ้าพันคอจากมือโป้งมาเหยียบกระทืบๆแทนหน้าไอ้ก้านเพชร ก็ไม่กล้า เพราะจุ๊ยกำลังพลิกไปมาอย่างชอบอกชอบใจ

 

โป้งเอาผ้าพันคอเก็บอย่างดีในกล่องแล้วก็วางไว้ในสุดของตู้เสื้อผ้า  หลังจากชมดูจนพอใจแล้ว

“ไม่เอาไปใส่กรอบติดฝาไว้เลยหละ” โกลกล่าวอย่างหมั่นไส้

“ไม่ค่อยงกเลยเนอะ  เขาให้ก็เอาของเขา”

โป้งหันมายิ้มเย้ย

“ก็คนเขามีน้ำใจนี่หว่า  ให้มากูก็เอาสิวะ  เป็นความสุขเล็กๆน้อยของคนให้ และเป็นความสุขใจของผู้รับ”  แล้วโป้งก็หันไป หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูโซเชียลมิเดีย โดยยังมีรอยยิ้มอารมณ์ดีอยู่

เห็นเพื่อนร่วมทีมมาโพสถามเรื่องการคัดตัวหลายต่อหลายคน

“กูต้องให้อะไรมึงบ้างวะ  มึงถึงจะยิ้มอย่างนี้บ้าง  เสื้อ กางเกง มึงอยากจะได้อะไรกูจะให้น้ากานต์หามาให้หมดเลย” โกลกล่าว แล้วก็หันไปทางอื่น  ตอนนี้เขารู้สึกน้อยใจจนไม่อยากให้โป้งเห็นสีหน้าตอนนี้

โป้งเงยหน้ามองโกลที่หันไปทางอื่น

“ก็มึงทำให้กูยิ้มได้อยู่ทุกวันแล้วนี่โกล... มึงยังจะต้องให้อะไรกูอีก”

โกลหันมา แต่โป้งก็ก้มหน้าลงมองโทรศัพท์แล้ว และกำลังพิมพ์ข้อความ

ทำไมหนอแค่คำพูดง่ายๆของโป้ง ทำให้เขาอยากจะเข้าไปกอดร่างนั้นแน่นๆเสียจริง

 

เดฟตื่นขึ้นก็มองรอบตัว ไม่เห็นคนที่ร่วมเตียงกับเขา

มองออกไปตรงประตูที่เปิดไปสู่ระเบียง  วู๊ดที่อยู่ในสภาพสวมแค่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวยืนกอดอกมองออกไปนอกบ้าน

เพราะการเคลื่อนไหวของเดฟ  วู๊ดจึงรู้ตัว  เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเครื่องดื่มให้

“บำรุง... “ เดฟกล่าวเชิงคำถาม

“ไม่เป็นไรหรอกน่า  อีกรอบยังไหว”

วู๊ดหัวเราะหึๆ แล้วนั่งลงข้างๆ

“วันนี้อยู่กับฉันทั้งวัน  ไม่ต้องไปหาจุ๊ยหรือไง”

เดฟลุกขึ้นแล้วกอดวู๊ดจากด้านหลัง

“พูดเหมือนหึงเลยนะ”

วู๊ดถอนหายใจ

“ฉันไม่ได้หึง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่รู้สึกหรอกนะ  มันก็ต้องมีบ้างหละ”

ทั้งคู่เงียบกันไปนิดหนึ่ง

“ที่จริงนี่เป็นโอกาสทองของนาย  ถ้านายแทรกเข้าไปตอนนี้จุ๊ยอาจใจอ่อน เพราะเขากำลังอ่อนแอ”

“ไม่มีทาง ฉันรู้จักจุ๊ยดี  เวลาเขาเศร้าขึ้นมา การปลอบใจไม่มีประโยชน์เลย  ต้องรอให้เขาหายเอง  แถมจะแทรกอะไรตอนนี้  เขาไม่ใช่คนใจอ่อนขนาดนั้น  มันยากมากที่จะแทรกเข้าไป  จุ๊ยเหมือนไม่มีอะไร  แต่พื้นฐานจิตใจนี่แน่นมาก  อีกอย่าง...” เดฟปล่อยตัววู๊ดแล้วล้มลงนอนหงาย

“ฉัน.. อยากให้เขารักฉันจริงๆ  ไม่ใช่ว่าแทรกเข้าไปแล้วกลายเป็นได้ตัว  แต่ไม่ได้ใจ  พอเขาเข้มแข็งเขาอาจจะปฎิเสธฉันที่หลังก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

วู๊ดนิ่งเงียบ  เขากำลังสู้กับความรู้สึกของจิตใจ  แต่เขาก็ถอนหายใจออกมา

แล้วหันไปคร่อมตัวเดฟเอาไว้

เดฟมองหน้าของวู๊ด

“ฉันน่ะไม่ได้เลือกมากอย่างนายหรอก  ฉันขอแค่ได้ครอบครองไม่ว่าจะได้หัวใจหรือไม่  ฉันขอแค่นายอยู่ตรงนี้  ฉันก็พอใจ..”

วู๊ดกล่าวและจ้องลึกในดวงตาของเดฟ

“ขอโทษนะ ฉันได้โรแมนติกเหมือนนาย.. สำหรับฉัน  คนอย่างฉัน  ขอแค่ได้ครอบครองเท่าที่ทำได้ฉันก็พอใจแล้ว”

เดฟหลับตาลงเมื่อวู๊ดเคลื่อนลงจูบริมฝีปากก่อนเคลื่อนไปที่หูกระซิบ

“แค่นี้  ฉันต้องการแค่นี้เท่านั้น”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:19:36
เนื่อง จากตามพล๊อต โป้งจะต้องก้าวไปจนถึงระดับโลก และต้องมีการพูดถึงทีมฟุตบอลในลีกต่างประเทศหลายครั้งด้วย  ดังนั้นผมก็เลยขออนุญาตแปลงชื่อทีมสำคัญๆที่จะเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเอาไว้ ดังนี้


ประเทศไทย

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็น ปราสาทหิน ยูไนเต็ต สมญา ปราสาทหินสายฟ้า

บีอีซี เทโรศาสน เป็น MEC สปอร์ตคลับ

เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ต เป็น HCD เมืองนนท์ ยูไนเต็ด

ชลบุรี ฟุตบอลคลับ  เป็น ฉลามขาว ฟุตบอลคลับ

สี่ทีมนี้จะเป็นทีมที่โป้งและเพื่อนจะไปเกี่ยวข้องด้วย


อังกฤษ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  เป็น แมนเชสเตอร์ ยูเนี่ยน  สนามจาก โอลแทรปฟอร์ด เป็น นิวแฮมฟอร์ด

ลิเวอร์พูล เป็น ลิเวอร์ปาร์ค สนามจาก แอนด์ฟิล เป็น แอนด์แลนด์

เชลซี เป็น เชลเวส สนามจาก แสตมฟอร์ดบริช เป็น แสตมเปอร์ครอส

อาร์เซนนอล เป็น แคนนอนเนอร์ สนามจาก เอมิเรต สเตเดี่ยม เป็น อีมาเร็ต สเตเดียม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็น แมนเชสเตอร์ แคปปิตอล  สนามจาก อิทิฮัต สเตเดียม เป็น อีจิบัต สเตเดี้ยม


ส่วนทีมอื่น จะไม่มีพูดถึงอย่างเดียวว่าแข่งด้วย แต่ไม่ได้เปลี่ยนชื่อ จะเปลี่ยนเฉพาะทีมที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องตรงๆเท่านั้น






หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:20:11
อรรถเดินมาในบริเวณที่นักฟุตบอลกำลังยืดเส้นยืดสายกันอยู่

โป้งกำลังยืดเส้นด้วยการเหยียดขาซ้ายออกไป แล้วนั่งลงบนส้นเท้าขวาค้างไว้

“เป็นไงบ้านคัดตัว” อรรถถาม

โป้งเปลี่ยนท่าก่อนจะตอบ

“ก็ไม่รู้สิพี่  ต้องรอประกาศรายชื่อ”

อรรถล้วงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบตั๋วฟุตบอลออกมา

“พี่มีบัตรคู่เมืองนนท์กับปราสาทหิน  เราไปดูด้วยกันนะ”

โป้งถึงกับหยุด..  หันมาเอาตั๋วมาดู

“โหที่ผมกำลังคิดจะไปดูเลย  แต่หาตั่วไม่ได้”

“งั้นวันอาทิตย์ พี่จะพาไปนะ “ อรรถยิ้มแล้วเอามือจับบ่าจุ๊ย

“ตั๋วเอาไว้กับพี่ก่อนนะ”

โกลที่โดนสั่งไปเอาลูกบอล  เขาวางตาข่ายที่มีลูกบอลเต็มดังตึง

เขามองตามหลังอรรถไป

แม้จะไม่ได้ยิน  แต่ดูโป้งจะดีใจมาก

 

โกลพุ่งรับลูกยิงของปอได้ติดมือแม้ฝ่ายโน้นจะยิงมาเต็มแรง  แล้วเขาก็รีบลุกขึ้นเพราะกองหน้าคนต่อไปวิ่งเข้าเตะลูก  เขาก็กระโดดปัดลูกออกหลังไป

ตอนนั้นมีใครคนหนึ่งเดินมา เขาอยู่ในชุดนักเรียนแต่ต่างสถาบัน  กางเกงสีน้ำเงินทำให้โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางคนที่ใส่กางเกงดำ

“ใครอะ.. หล่ออะ” กลุ่มเกย์สาวกล่าวแก่กัน

“เด็กกางเกงน้ำเงิน ฟินเวอร์...”

แล้วคนหนึ่งนึ่งก็ตั้งข้อสังเกต

“นั้นมันนักฟุตบอลใช่ไหม.. ที่แข่งกับเราตอนรอบรอง... ใช่หละฉันจำได้  เขาเป็นคนยิงประตู”

 

ก้านเพชรพินิจการเคลื่อนไหวของโกล แล้วก็รู้สึกทึ่ง

“เก่งจังนะมึง.. “ เขากล่าว จากนั้นกวาดสายตาไป

โป้งอยู่ที่ประตูอีกด้าน  กำลังซ้อมยิงฟรีคิก

โป้ง มองเป้าหมายก่อนจะถอยออกมา  จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าเตะ  ลูกบอลโค้งกันเห็นๆแม้จากระยะนี้  มันอ้อมกำแพงที่พยายามกระโดดป้องกัน  แล้วก็ผ่านผู้รักษาประตูเข้าเข้าไป

ผู้รักษาประตูเข้าไปเอาลูกโยนให้  เขาก็เตะด้วยหลังเท้า แล้วเหยียบลูกให้นิ่ง  ก่อนจะถอย  แล้วเตะออกไปใหม่  คราวนี้เป็นข้างเท้าด้านนอก ลูกจึงโค้งไปทางซ้าย  ข้ามกำแพง และเข้าประตูไปโดยผู้รักษาประตูยืนขาตายอยู่

“ไม่ได้นะ” เสียงอาจารย์ผู้หญิงตะโกน  แล้วเธอกับอาจารย์ชายอีกท่าน ก็เดินไปลงไป

“ก็รู้อยู่แล้วว่าโป้งมันปั่นได้ทั้งสองทาง  ก็ยังไม่รู้จักระวัง...”

 

ก้านเพชรอยากจะหัวเราะ จะป้องกันยังไงได้  ก็เดาไม่ได้ว่านายคนนี้จะยิงจากยังไง..

แถมแต่ละลูกก็ยังแน่นอนทั้งนำหนักและทิศทาง

แม้แต่โค้ชของเขาเองยังเคยพูดถึงโป้งเอาไว้ว่า

"จริง อยู่อาจมีพรสวรรค์  แต่การจะเตะอย่างนั้นได้ทุกครั้ง  แสดงว่าเขาคนนี้ต้องฝึกฝนมาอย่างหนัก.. อาจหนักกว่าคนอื่นหลายเท่า"  แล้วโค้ชก็ชี้ให้ดูกล้ามเนื้อของโป้ง

“กล้าม เนื้อของเขากระชับ  และเคลื่อนไหวอย่างได้จังหวะ  มันเกิดจากการฝึกหนัก  ผมชอบเด็กคนนี้  เขาเป็นเด็กที่มีทั้งพรสวรรค์ และพรแสวง คุณควรจะเอาอย่างเขานะ”

จังหวะนั้นโป้งก็ยิงไปอีกลูกคราวนี้เป็นการโยนตรงๆแต่ย้อยลงเสียบใต้คาน

“สมาธิ  สมาธิไปไหนหมด” อาจารย์หญิงแต่ห้าวเหมือนผู้ชายตะโกน

พอดูดีๆ อ้อ... อดีตทีมชาติฟุตบอลหญิงนั้นเอง

“มิน่านวสาครถึงได้ขึ้นมาเบียดพวกเราได้.. มีทั้งอดีตทีมชาติชาย ทีมชาติหญิง”

“โหยอาจารย์ ก็ให้ไอ้โป้งมันบอกบ้างสิว่ามันจะยิงยังไง” คนท้วงคือเซนเตอร์ฮาฟตัวหลักร่างสูง

“มันเล่นยิงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ใครจะดักได้”

สุรีวัลหันมองหน้าโป้งที่เอาลูกมาตั้งเตรียมจะเตะอีก

“แล้วในสนามมีใครบอกเธอไหม” สุรีวัลหันมาเอ็ดจอม แต่ก็ทำเสียงเล็กเสียงน้อย  เดินเข้าไปทำท่ากระตุ้งกระติงยั่วยวน แถมตีแขนอีกต่างหาก

“นี่ๆ จอมเราจะปั่นไซด์โป้งนะ  เอาแบบโค้งๆเลยนะ  ตัวเองก็เตรียมไปบล็อกได้เลยนะ”

บรรดากองหลังหัวเราะกัน

“มีไหม... แบบนี้น่ะมีไหม” สุรีวัลโวยใส่อีก

“มาเลยมาตั้งกำแพง... ลูกหน้า  ถ้าบล๊อกไปไม่ได้ วิดพื้นคนละสิบที”

โป้งอยู่หลังลูกยิ้มจางๆ

ก่อนจะวิ่งเข้าเตะ

“วิดพื้นเดี่ยวนี้ ปฏิบัติ” อาจารย์สาวห้าวตะโกนสั่ง  หลังจากลูกตรงของโป้งลอดช่องกำแพงที่แตกไปคนละทางเข้าประตูไปอีก

 

พอได้เวลาพัก โป้งกิวิ่งเยาะๆมาเพื่อดื่มน้ำ  หันไปโกลกำลังทำอะไรสักอย่างกับตาข่าย  มันคงจะขาดหรือไม่ก็มีอะไรติดอยู่

“เฮ้ยโป้ง” ปอที่ยืนข้างๆ  ชี้ไปด้วยมือข้างที่ถือแก้วน้ำ

“ไอ้ก้านใช่ไหมวะ”

โป้งหันไป  ก้านเพชรเดินมาจริงๆ   เขาเดินเข้ามาหาโป้งท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมทีมของโป้งนับสิบๆคู่

“ฉันได้บัตรคู่เมืองนนท์กับปราสาทหินมา.. ไปดูด้วยกันนะโป้ง” แล้วเขาก็ชูบัตรประกอบ

โป้งนิ่งค้าง

“เอ่อ...”โป้งกำลังจะหาคำตอบ

“ตกลงเรามารับนายนะ  วันอาทิตย์ตอนสามโมง”

“คือ” โป้งจะกล่าว  แต่โกลเดินมาถึงพอดี เดินมาขั้นระหว่างโป้งกับก้านเพชร

“อะไรอีก  นี่มาแอบดูเราฝึกเลยเหรอ  แล้วทีมมึงไม่ต้องซ้อมรึ”

“ใช่มาแอบดู  แต่กูมาแอบดูโป้งคนเดียว” ก้านเพชรตอบ

“โป้ง.. ฉันมารับวันอาทิตย์นะ” เขาเอี่ยวมาให้เห็นหน้าโป้ง

“ไปแล้วนะ  อย่าหักโหมหละ ฉันเป็นห่วง”

แล้วก้านเพชรก็เดินไป

“เป็นห่วง” ปอทวนคำ

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยนี่มันแปลกๆไหม มาชวนไอ้โป้งไปดูบอล  แล้วยังมาเป็นห่วงอีก”

“หรือวันมันชอบมึง” เจ้าของประโยคนี้คือจอม

“แน่นอน  ใช่อย่างแรง... แม่งต้องอยากจะซัลโวประตูหลังไอ้โป้งแน่เลยนิ” ตั้มฟันธง

แต่พอเจอสายตาอำมหิตของโกลก็ทำหน้าเจื่อนๆ หันไปกินน้ำกลบเกลื่อน

“ดูบอลอะไรโป้ง” โกลหันมาถาม

 

“มึงก็เลยจะไปกับมัน” โกลถามเสียงแข็งแต่มือกำลังราดพริกน้ำปลาลงในข้าวพัด

ตอนนี้ทั้งคู่มากินข้าวกันที่ร้านประจำริมถนน

“ก็..กูยังไงก็ต้องไป” โป้งตอบมือก็ตักข้าวไข่เจียวมา

“มึง นี่นะ.. ถ้าเป็นเรื่องบอลมึงนี่เสร็จทุกที... กูว่าถ้าแม่งเอาเสื้อที่ใช้แข่งจริงชองนักบอลยูเนี้ยนมาให้มึง  แลกกับนอนกับมึง มึงก็ยอมเลยใช่ไหมเนี่ย” โกลประชด

“ก็... ถ้าเป็นเสื้อพี่กิ๊ก กูคงยอม  แต่เสื้อคนอื่นคิดดูก่อน” โป้งหรี่ตาตอบ

โกลวางช้อนดังเคล้ง ถอนหายใจดังเฮือก

“กูล้อเล่น.. “ โป้งทำหน้าทะเล้น

“ล้อเล่ออะไร  ไอ้บ้าบอลอย่างมึง กูว่ามึงยอมแหง่ๆ” โกลหันมาจ้องหน้าโป้งเขม็ง

ตอนนี้โกลดูไม่พอใจเอามากๆ

“เห้ยไม่หรอก.. กูรักนวลสงวนตัว  ถึงจะไม่ค่อยซิงแต่ก็ยังสดนะเว้ย” โป้งอวดด้วยสีหน้าทะลึ่งตึงตัง

โกลเลยอดยิ้มไม่ได้

เขาเมินไปก่อนจะ หันกลับมา

“ไม่รู้หละวันอาทิตย์นี้กูไปด้วย”

“เฮ้ย” โป้งร้อง

 

แต่จนแล้วจนรอด โกลก็หาบัตรไม่ได้  แม้จะหงุดหงิดเขาก็ต้องทำใจ

โกลนั่งกดรีโมทแรงๆอยู่หลายครั้งแล้วเพราะโทรศัพท์เจ้ากรรมดังไม่หยุด

“ไอ้โป้ง...โทรศัพท์” เขาบอกไปเป็นครั้งที่สิบแล้ว

“นี่มึงจะอาบน้ำอะไรนานขนาดนั้น  นี่มันกี่โมงแล้วเดี่ยวก็ไปดูบอลไม่ทัน”

เสียงคลายกลอนประตู

แล้วโป้งก็เดินสะโหล่สะเหล่ออกมา

“เป็นอะไร” โกลเห็นหน้าโป้งซีด

เขาล้มตัวลงนอนแล้วกุมท้อง

“กูปวดท้องวะโกล”

 

อรรถรอสายจนกระทั้งมีคนรับ  ตอนนี้เขาอยู่ที่สนามของเมืองนนท์ ยูไนเต็ตแล้ว ทั้งนี้เพราะโป้งบอกว่าให้มารอที่สนามเลย

แล้วก็มีคนรับสาย

“โป้งอยู่ไหนแล้ว” อรรถถามเสียงหงุดหงิด

แต่สักครู่เขาก็ต้องคลายสีหน้า

“โอเคพักผ่อนนะ” อรรถตอบสาย แต่ลอบถอนหายใจ

“ที่หลังก็อย่ากินอะไรมั่วๆอีกล่ะ ไม่เป็นไรพี่ดูคนเดียวได้”

อรรถวางสาย  เขาถอนหายใจเฮือกแล้วเดินหงอยๆตามผู้ชมคนอื่นเข้าสู่สนาม

 

ด้านก้านเพชรดีใจที่โป้งโทรกลับมาเอง  เพราะเขาโทรไม่ติดเลย  แต่พอฟังเสียงโป้งเขาก็ต้องถอนหายใจ

“โอเค  ไม่เป็นไร..” ก้านเพชรตอบ

“โป้งดูแลตัวเองเหอะ  ต้องให้ฉันไปดูแลไหม  ฉันไม่ดูก็ได้นะบอล”

โป้งตอบมาอีก

“โอเค.. ไว้โอกาสหน้าเนอะ..” ก้านเพชรกล่าว  แล้วก็วางสาย

เขาถอนหายใจแล้วหันไปหันมาก่อนจะตัดใจไม่เข้าไปชมเกมการแข่งขัน

“จะเข้าไปทำ  ก็กูอยากดูกับโป้ง ไม่ได้อยากดูคนเดียว”

 

 

โป้งวางสายแล้วก็นอนหงายมองเพดาน

โกลกลับขึ้นมาถึงห้องพร้อมกับเกลือแร่ เขาละลายน้ำแล้วก็ถือแก้วมาข้างเตียง

“กินเกลือแร่นะ ชดเชยที่มึงถ่ายไป”

โป้งหันมาทำหน้าเพลียมาก

“มา กูป้อน” แล้วเขาก็ไปหยิบหลอดที่ไปขอจากร้านขายของข้างลงมาเผื่อด้วย  เขาเอามันจุ่มลงแก้ว แล้วกดปลายด้านหนึ่งเอาไว้ก่อนจะเอาจ่อที่ปากโป้ง

“กินช้าๆนะเดียวสำลัก” โกลกล่าว

โป้งพงกหัวขึ้น โกลเลยเอามือข้างหนึ่งรองไว้  แล้วก็ค่อยๆบรรจงเอาหลอดจ่อปากโป้ง

“ค่อยๆ”

โป้งมองหน้าโกลที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกมาอย่างเต็มที่ เขาดื่มน้ำเกลือแร่จากหลอด

ตอนที่โกลหันไปทำอย่างเดิมอีก โป้งกิยิ้มออกมา

“เอาอีกนะ” โกลกล่าว

“ไม่เอาแล้วหละมึง”

โป้งส่ายหัว

“เฮ้ยต้องกินสิวะ  จะได้มีแรง เดี่ยวร่างกายขาดน้ำตายพอดี” โกลแย้ง

โป้งมองตาโกล

“มึงนี่ห่วงกูมากเลยใช่ไหม”

โกลนิ่งเงียบไป

ถอนหายใจ

“ก็ใช่น่ะสิ.. ก็มึงป่วยนี่ กูเป็นคู่หูมึงก็ต้องห่วงมึงสิ

“เอ้าเอาอีกคำ”

แต่โป้งเม้มปากแน่น

เขาดีดตัวลุกขึ้น

“มีแรงละ เกลือแร่มึงนี่วิเศษจริงๆ  ทำให้กูหายแล้ว”

โกลงง

“อะไรวะ  เป็นไปได้ไง”

โป้งลุกจากเตียงมาทำท่าเบ่งกล้าม

“ไม่เป็นไรแล้ว เห็นไหมแข็งแรงๆ”

โกลเริ่มเข้าใจ ชี้หน้า

“นี่มึงแกล้งเหรอไอ้โป้ง  นี่มึงหลอกกูใช่ไหม”

โป้งทำหน้าทะเล้น

“ก็จะหลอกพี่อรรถกับไอ้ก้าน กูก็ต้องหลอกมึงก่อน”

โกลถอนหายใจ

“แสบจริงๆเลยมึงเนี่ย”

“ก็กูไม่รู้จะทำไงดีนี่หว่า จะปฎิเสธพี่อรรถก็ไม่ได้ เพราะชวนก่อน จะปฏิเสธไอ้ก้านแม่ก็ใช่ที่ มันอุตส่าห์หาบัตรมาได้” โป้งให้เหตุพล

จากนั้นเขาก็มาดึงโกลให้ลุกขึ้น

“ไปเหอะ ตอนนี้กูโล่งละ  ไปหาอะไรกินแถวเยาวราชกัน  กูอยากกินบะหมี่เกี้ยวหมูแดง ไอ้ปอมันบอกว่าเคยไปกินอร่อยมากเลย”

 

ร้านบะหมี่เจ้าดังของเยาวราชแน่นขนัดเหมือนทุกวัน  โต๊ะก็ไม่พอจนลูกค้าต้องนั่งร่วมกันแม้จะไม่ได้มาด้วยกัน

โป้งก็กำลังกินอย่างอร่อย

แต่พอมองโกล เห็นเขามองหน้าโป้งแต่ไม่กิน

“ทำไมไม่ชอบบะหมีเหรอ”

“เปล่า” โกลตอบแล้วเริ่มต้นกิน

“กูแค่มีความสุข”

“ความสุขอะไร”โป้งถามทั้งที่ยังเคี้ยวอยู่

โกลเคี้ยวหมดก่อนจะตอบ

“ก็อย่างน้อยมึงก็เลือกอยู่กับกูแทนจะไปดูคู่บิ๊กแม๊ตนั่น”

“ใครบอก..” โป้งทำจมูกเชิด

“กูกลัวลำบากใจแล้วเชียร์บอลไม่สนุกต่างหากเล่า  อย่าหลงตัวเอง”

“ไม่รู้” โกลทำเมิน

“กูมโนเอาอย่างนั้นดีกว่า... อย่างน้อยก็มีความสุขวะ”

แล้วทั้งสองก็กินบะหมี่กันไปอย่างเอร็ดอร่อย  มันยิ่งอร่อยขึ้นเมื่อทั้งสองสบตากัน...

แม้รอบข้างจะอึกทึกแค่ไหน  โต๊ะที่พวกเขานั่งก็มีคนอื่นมานั่งเบียดด้วย

แต่ทั้งโกลกับโป้งคล้ายรู้สึกว่าพวกเขาอยู่กันตามลำพัง...

 

เยาวราชยามค่ำคืนดารดาษไปด้วยแสงสี  บางคนมากับครอบครัว เดินคุยกันเฮอา หนุ่มสาวคู่รักชี้ชวนดูร้านอาหารหลากหลาย

แต่เด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งตัวสูง อีกคนร่างสันทัด  เดินเคียงกันไปตามถนนสายที่สวยงามด้วยป้ายไฟที่เป็นอักษรจีน..

คงไม่มีใครดูออกว่า  ระหว่างที่เดินไปโดยไม่ได้สัมผัสแตะต้องกันนั้น  หัวใจของคนทั้งคู่กำลังเต้นในจังหวะเดียวกัน

หัวใจสองดวงสัมผัสกันผ่านเส้นใยที่มองไม่เห็น.. เส้นใยนี้.. อาจเรียกว่า ความรักก็ได้...


 
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:23:00
ตอนที่ 26 รอบคัดเลือก... เกมหนักกับญี่ปุ่น.. ติดสินด้วยลูกยิงใบไม้ร่วง...


โป้งทราบข่าวเรื่องที่ตัวเองมีรายชื่อผ่านการคัดตัวรอบแรกจากโค้ชป้อม ดังนั้นเขาและโกลจึงต้องมารายงานตัวเข้าเก็บตัวเพื่อการคัดตัวครั้งที่สอง

การเก็บตัวนี้มีการฝึกฝนร่างกายด้วยอุปกรณ์ทันสมัยกว่าที่โป้งเคยใช้ที่โรงเรียน แล้วยังจะคำแนะนำจากทีมงานของโค้ชชาญในเรื่องเทคนิคต่างๆ

โป้งรู้สึกสนุกสนานมากกับการฝึกนี้  และยิ่งยินดีไปกันใหญ่กับการได้ฝึกร่วมกับนักฟุตบอลที่เก่งๆ  ดังนั้นแม้ว่าพลาดไม่ได้เข้าไปในรอบสุดท้ายโป้งก็ไม่เสียใจ..

มันสนุกมาก สำหรับคนบ้าฟุตบอลอย่างโป้ง

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเก็บตัว  โค้ชชาญจึงให้แบ่งทีมเพื่อเล่นซ้อม

โค้ชชาญมองไล่ตามลูกบอล ไม่ใช่แค่ตามเกมเท่านั้น  แต่ยังเป็นการดูทักษะและพัฒนาการของนักเตะแต่ละคน

ก้านเพชรได้บอลในจังหวะนี้ เขาพามันวิ่งไปตามเส้นฝั่งขวา  แล้วโยนจากบริเวณใกล้มุมธง ลูกลอยไปได้จังหวะและทิศทางพอดี

เด็กคนนี้เก่ง  เขาไม่ใช่คนมีความเร็วเป็นจุดเด่น แต่มีการวิ่งที่ดี คล่องตัว  แถมการเปิดบอลก็แม่นยำ และจังหวะยิงไกลก็ดีมาก

ลูกบอลจากก้านเพชรลอยเข้ามาหน้าประตู  ศูนย์หน้าที่เป็นตัวจริงในทีมชุดก่อน เตรียมกระโดดขึ้นโหม่ง

แต่อย่างฉับไว

ร่างสูงพุ่งเข้ามาตัดหน้า  เขาคว้าลูกบอลไปต่อหน้าต่อตาของศูนย์หน้าตัวหลักของทีมปีที่แล้ว

กรกฎ นายคนนี้เร็วมาก หากเทียบกับความสูงของร่างกาย แล้วยังคล่องตัวกว่าคนตัวสูงทั่วๆไป 

และจากที่เห็นในการฝึกฝนทักษะเฉพาะตัว  เขาพบว่าโกลก็มีทักษะการใช้เท้าได้ดีไม่แพ้ใคร  แถมสายตาก็ดีมาก อ่านเกมได้เร็ว

โกลเห็นตัวผู้เล่นฝั่งเดียวกันอยู่ยืนโล่งๆคนเดียว  เขาเลยขว้างลูกออกไป

นายคนนั้นเป็นศูนย์หน้า ชื่อเล่นท็อปตัวหลักอีกตัวของทีมชาติ  วิ่งไปรอตรงจุดลูกตก แล้วก็ครองลูกไว้จังหวะหนึ่ง  หันไปเป็นหนุ่มร่างเพรียววิ่งไปตามแนวเส้นทางซ้าย

ไม่ต้องเรียกบอล  ท๊อปก็เตะแปเปิดเรียดพื้นไปในตำแหน่งนำไปข้างหน้า

ความเร็วชองนายร่างเพรียวนั้น ชนะปีกขวาที่วิ่งตามอย่างขาดลอย

จับลูกไว้ได้อย่างนิ่มนวลแล้วพาลูกบอลวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

เทพพร... เด็กคนนี้... เรื่องที่โค้ชชาญได้ยินมาเกี่ยวกับเด็กคนนี้มีหลากหลายที่  และจากที่เห็นทั้งความเร็ว ความคล่องตัว ความตั้งใจ..  สิ่งที่ล่ำลือกันไม่ผิดจากความจริงเลย..

เขาตั้งใจรับฟังคำแนะนำของทีมผู้ฝึกสอน  แล้วยังมุ่งมั่นจะแก้ไขและปรับปรุงตามอย่างมาก จนบรรดาทีมผู้ฝึกสอนชมเชยมา

เด็กคนนี้ฉายแววมืออาชีพออกมา... มืออาชีพที่พร้อมจะปรับปรุงตัวเองและพัฒนาไปให้ถึงจุดสุดยอดอย่างมุ่งมั่น

 

โป้งวิ่งมาจนถึงข้างกรอบเขตโทษ  แล้วก็เตะเปิดบอลต่ำเข้ามา ในแนวขนานเส้นหลังกะให้ผ่านหน้าประตู

ลูกพุ่งมาสูงแค่ประมาณเอว  ท๊อปที่วิ่งตามมาจึงพุ่งตอปิโดบก โหม่งสวนตัวผู้รักษาประตูที่พยายามออกมาป้องกันเข้าประตูไป

ท็อปลุกขึ้นมา  เขาวิ่งหนีเพื่อนร่วมทีมที่จะเข้ามาแสดงอาการดีใจเพื่อไปหาโป้งที่เป็นคน เปิดลูก กอดคอแล้วขยี้หัว เพราะโป้งตัวเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย

“ถ้าเราให้โกล โป้ง กับก้านเพชรติดทีมไป จะมีปัญหาไหม เพราะสามคนนี้ยังเด็กเกินไปนะ  คนที่มากสุดคือโกล เพราะอายุสิบเจ็ดปี  รู้สึกว่าเขาจะเรียนช้ากว่าเกนฑ์นิดหน่อย ส่วนโป้งกับก้านเพชร  ไล่เลี่ยกันที่ 16 ปี” ผู้ช่วย นายวีระอดีตทีมชาติชุดแชมป์ซีเกมส์กล่าวในห้องประชุม

“มันก็เหมือนเสียโควตาไปสามตำแหน่งไหม เทียบกับการที่เราเอาคนที่พร้อมกว่าในด้านประสบการณ์”

“แล้วพวกเขาไม่พร้อมตรงไหน” โค้ชชาญถาม

“สามคนนี้ไม่มีปัญหาเวลาซ้อมเลยใช่ไหม..  แถมเรากำลังสร้างทีมเพื่ออนาคตไม่ใช่เหรอ  ผมถึงได้เรียกสามคนนี้มาคัดตัว  แทนจะเรียกเด็กจากสโมสรหรืออเคเดมี่อย่างเดียว”

ทีมโค้ชมองหน้ากัน

“ถ้าหากเทียบกับตัวที่เราต้องเอาติดทีมไปเพราะจำเป็นแล้ว  ผมว่าก็คุ้มนะ  ผมอยากจะลองดูเหมือนกันว่าเราจะทำลายสถิติส่งนักเตะอายุน้อยที่สุดลงได้ ไหม.. ผมนี่หละยินดีจะเสี่ยงเอาเด็กอายุสิบหกลงเล่น”

“ผมก็คิดอย่างนั้น” ผู้ช่วยที่เป็นอดีตกองกลางทีมชาติไทย คมเดชกล่าว

“ผมว่าถ้าเด็กมีความสามารถ เราจะตัดโอกาสเหรอครับ แถมนี่มันไม่ใช่แค่ตัดโอกาสเด็ก แต่ยังตัดโอกาสตัวเองด้วย  อย่างน้อยเราก็จะมีอ๊อปชั่นเพิ่มขึ้น”

คมเดชมองไปรอบๆ

“ผมอยากเห็นโป้ง.. เด็กคนนั้น... ผมอยากจะได้เห็นเวลาเขาเล่นอยู่ในสนามจริงๆ ในทัวร์นาเม้นท์ระดับใหญ่ๆ  ผมอยากเห็นจนทนรอไม่ไหวแล้ว”

 

โค้ชป้อมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์  เขากำลังจะเปิดอีเมลล์ฉบับใหม่ล่าสุด จากชาญเพื่อนรักที่เคยเล่นด้วยกันในทีมชาติ

“จะได้ไหมหนอนายโป้ง นายโกล”

เขาอ่านไล่บรรทัด.. ไม่ข้ามเลย

แล้วก็ยิ้มออกมา

“ดีมากๆ  ดีจริงๆ ไอ้ชาญ มึงคิดถูกแล้วหละ” ป้อมเพชรกล่าวราวจะฝากข้อความไปกับอีเมล

 

หลังจากเก็บตัวฝึกซ้อมในประเทศแล้ว  ก็ได้เวลาเดินทางไปประเทศที่จะเป็นเจ้าภาพรอบคัดเลือกชิงแชมป์เอเชีย  ซึ่งปีนี้ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพ

พอถึงมะนิลา  โค้ชชาญก็หัวเสียนิดหน่อยเมื่อทราบว่าถูกเปลี่ยนโรงแรม

และกว่ารถจะเดินทางไปถึงก็เกือบค่ำ

โป้ง โกลและก้านเพชรถูกจัดให้นอนห้องเดียวกัน

เพราะสามคนดูจะคุ้นเคยกันดี  ใครจะรู้ว่าจริงๆแล้วโกลกับก้านเพชรนี่เขม่นกันตลอด  ทั้งนี้เพราะโป้งเป็นต้นเหตุ

“โป้ง” ก้านเพชรเรียกแล้วหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าเป็นขนมขบเคี้ยวจากต่างประเทศ

“กินไหม.. อันนี้แม่ฉันซื้อมาจากญี่ปุ่น  อร่อยนะ”

โป้งเลยลุกมาดู

“เอาชิมดู” ก้านเพชรแกะห่อขนมหน้าตาสวยส่งให้

“อร่อยไหม” ก้านเพชรถาม

“อืม” โป้งพย้กหน้า

“ฉันให้นายหมดเลย” ก้านเพชรยิ้ม

เวลาก้านเพชรยิ้มเขาดูน่ารักในแบบของเขา ผิดจากหน้าตาหล่อเหลาแต่ดูเหมือนหยิ่งผยองในเวลาปกติ

ก้านเพชรเป็นลูกชายนายทหารระดับสูง  แถมยังร่ำรวย  ดังนั้นไม่แปลกที่ใครต่อใครก็เกรงใจ

โป้งหันไปจะเรียกโกลมากิน

“ไม่ได้... ฉันเตรียมมาให้โป้งคนเดียว” ก้านเพชรรีบบอก

โกลที่กำลังเอาชุดเสื้อผ้าของตัวเองมาแขวน หันมาเชิดริมฝีปากส่งเสียงหึ

“โถ.. อย่างกับกูอยากกินตายแล้ว”

“ก็อย่ากินสิวะ  กูก็ไม่ได้อยากให้มึงกิน” ก้านเพชรตอบโต้

“ของถูกๆ” แล้วโกลก็หันไปแขวนเสื้อใส่ตู้ต่อ

“ระวังท้องเสียอีกนะโป้ง... คราวนี้ของจริง ไม่ต้องเสแสร้ง”

โป้งทำตาโต รีบกลบเกลื่อนด้วยการร้องขึ้น

“ดูทีวี..ดูสิว่าคนฟิลิปปินส์เขาดูอะไรกัน” เขารีบไปคว้ารีโมทมาเปิดทีวี

 

การแข่งขันนัดแรก  เป็นการแข่งขันกับเจ้าภาพฟิลิปปินส์  โป้งเองก็พึ่งจะเคยเป็นบรรยากาศของสนามที่มีคนดูมากสนามขนาดนี้แม้จะไม่เต็ม สนาม

เสียงเชียร์เป็นภาษาตากาล๊อกดังสนั่น  ชวนให้ขนลุกไม่น้อย

นัดนี้โป้งยังแค่นั่งอยู่ในที่นั่งของทีมสำรองเพราะเขายังไม่ได้ติดอยู่ในราย ชื่อสำรองห้าตัว  แต่โกลลงไปอยู่ในหนึ่งหกตัวสำรองที่่แล้วเพราะผู้รักษาประตูสำรองเกิดเจ็บ ระหว่างฝึกซ้อม

(เผื่อจะไม่ทราบกัน จริงๆแล้วในหนึ่งนัด จะมีผู้เล่นที่สามารถลงเล่นกับทีมได้แค่สิบเจ็ดคนเท่านั้น  คือสิบเอ็ดผู้เล่นตัวจริง กับสำรองอีกหกคนซึ่งเรียกว่า Sustitue เพราะต้องมีการส่งรายชื่อตัวสำรองและตัวจริงก่อนการแข่งขันนัดหนึ่งๆ

ส่วนทีมสำรองคือผู้เล่นที่เหลือในรายชื่อที่ส่งให้คณะกรรมการแข่งขันในแต่ละรายการ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนลงมาเล่นในนัดนั้นได้

รายชื่อผู้เล่นสิบเจ็ดตัวจะจ้ดกันนัดต่อนัด เพื่อเอาตัวผู้เล่นที่เจ็บหรืออาจไม่เข้ากับแผนการเล่นของโค้ชในนัดนั้นออก แล้วส่งรายชื่อก่อนการแข่งขันในแต่ละนัด)

นัดนี้แม้จะโดนฟิลิปปินส์ยิงนำไปก่อน  แต่ท๊อปก็ตีเสมอให้ได้ใครครึ่งหลัง

“พี่ท๊อปนี่เก่งเนอะ” โป้งกล่าวออกมา

คนที่นั่งข้างคือก้านเพชรหันมาบอก

“ก็แน่นอน พี่ท๊อปน่ะเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมปีที่แล้วนี่น่า”

คนที่นั่งอีกข้างเป็นรุ่นพี่เป็นกองหลังหันมามองหน้าโป้ง

“เรานี่ดูตื่นเต้นกับเกมดีเนอะ เห็นลุ้นทุกจังหวะ” เขาชื่อสุพจน์  เป็นหนุ่มหน้าตาธรรมดาแต่ร่างสูงใหญ่  และพูดติดทองแดงนิดๆเหมือนตั้ม

“ก็มันน่าตื่นเด้นนี่พี่..” โป้งตอบแล้วยิ้ม

สุพจน์เห็นรอยยิ้มจริงใจของโป้งแล้วนึกชอบ

เขาเห็นฝีเท้าโป้งมาหลายครั้งแล้ว.. แถมเขาเองนั้นหล่ะ ที่วิ่งตามโป้งไม่ทันตอนที่แข่งซ้อมคัดตัวรอบที่สอง

นายคนนี้เวลาอยู่ในสนามกับนอกสนามต่างกันมาก  เวลาอยู่นอกสนามก็เหมือนเด็กธรรมดาๆ ออกจะเป็นคนโลกสวยแล้วกิยิ้มง่ายมากๆ

แต่เขายังจำแววตาตอนที่เขามองลูกได้ดี.. มันวาวโรจน์เหมือนเหยี่ยว.. พุ่งโฉบเข้าหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว..

นกหวีดยาวจบการแข่งขันดังขึ้น

โป้งเสียดายที่ชนะไม่ได้แต่ก็ยังรู้สึกดี

อย่างน้อยก็เสมอวะ เจอเจ้าภาพอย่างนี้...

 

ตอนเช้าโป้งเห็นท๊อปนั่งอยู่คนเดียวในส่วนพักผ่อนของโรงแรม  ก็เลยเข้าไปหา

พอมาใกล้ๆ  ก็เห็นว่าท๊อปทำหน้าเหมือนทีเรื่องในใจ

เขาก็เลยสองจิตสองใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่

“โป้ง.. มีอะไรเหรอ  มานั่งก่อนสิ”

โป้งจึงเดินมานั่งข้าง

“เห็นพี่นั่งคนเดียว  ก็เลยมาจะเดินมาคุยน่ะครับ”

ท๊อปมองหน้าโป้ง

“แล้วเพื่อนเราสองคนไปไหนหละ”

“โค้ชเรียกไปคุยน่ะครับ  เห็นว่าจะให้ลงเป็นตัวจริงนัดหน้า” โป้งตอบ มีแววเศร้านิดหน่อย

“อืม..” ท๊อปพยักหน้า

“นัด หน้าพี่ก็ไม่ได้เป็นตัวจริงนะ  เพราะทีมที่เราเจออ่อนที่สุดในสาย แถมแพ้มาสองนัดแล้ว แต่เราก็ยังประมาทไม่ได้อยู่ดี  ก็เลยต้องให้พวกพี่สำรอง ไม่อย่างนั้นโค้ชอาจให้เราลงตัวสำรองก็ได้”

โป้งก็คิดอย่างนั้น แต่มันก็น่าเสียดายอยู่ดี  เขาแค่คิดว่าขอได้ลงไปเล่นสักนิดเดียว ขอสัมผัสกับเกมใหญ่ๆกับเขาบ้างเท่านั้นเอง

แล้วท๊อปก็โอบบ่าโป้งเขย่า

“ไม่เอาน่า... เดี่ยวเราก็ได้เล่น  ถ้าเราชนะนัดนี้ โอกาสเข้ารอบก็มีสูงแล้ว  ไม่รอบนี้ก็รอบหน้านั้นหละ”

 

“ทำไมไม่เอาไอ้โป้งลงบ้างวะ” ปอกล่าวตอนที่เอาหนังสือพิมพ์กีฬาที่จอมซื้อมา อ่านดูผลการแข่งขันเมื่อวานนี้

“ดูสิไอ้ก้านมันยังยิงได้เลย โป้งต้องยิงได้แหง่ๆอยู่แล้ว”

ตั้มพยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่ๆ  ดูสิมันหน้าบานเลยยิงไปสองลูก” จอมรู้สึกชังน้ำหน้าก้านเพชรนิดๆ

“แล้วอย่างนี้เมื่อไหรจะได้ลงวะ  นัดหน้าเจอญี่ปุ่น  แล้วมันจะได้ลงเหรอ” วู๊ดถอนหายใจดังเฮือก

“สงสัยไอ้โป้งกู อดดีบิวต์แล้วมั้ง”

 

ก้านเพชรยิ้มหน้าบ้านตอนคุยกับเพื่อนร่วมทีมในโต๊ะอาหารเช้า

โป้งถอนหายใจตอนมองไป..

“ยิงได้สองประตูคุยใหญ่เลย” โกลกล่าวอย่างหมั่นไส้

“เฮ้ยทำไมพูอแบบนั้น” โป้งเอ๊ด

“เราทีมเดียวกันเฟ้ย โกล  ทีมเดียวกันก็ต้องสามัคคีกันไว้”

โกลถอนหายใจบ้าง

“เออๆกูผิด” แล้วก็จิ้มไส้กรอกกินทั้งชิ้น

“โป้ง โกล” เสียงเรียกจากด้านหลัง  วีระนั้นเอง

“ครับ” โป้งลุกขึ้น โกลก็ลุกตาม

“โค้ชเรียก” วีระบอก

 

“นัดนี้นับเป็นนัดสำคัญ  เราต้องชนะให้ได้ เพราะถ้าหากนับลูกได้เสียแล้วเรายังเป็นรองเจ้าภาพอยู่ ตอนนี้เจ้าภาพมีเจ็ดแต้มเท่ากับเรา อยู่อันดับสอง ส่วนเราอยู่อันดับ3 เพราะลูกได้เสียของเป็นรองอยู่สองลูก” ผู้บรรยายกล่าว

ตอนนี้ทีมฟุตบอลทั้งทีมอยู่ในโรงยิม  เพราะโค้ชป้อมอนุญาตให้พักการซ้อม เพี่อมาดูฟุตบอลนัดสำคัญนี้ที่มีการถ่ายทอดสด

“เอาหละครับรายชื่อผู้เล่นมาแล้วครับ”

แล้วกราฟฟิคก็แสดงรายชื่อสิบเอ็ดตัวจริง  ซึ่งมีโกลอยู่ด้วย

“ไอ้โกลตัวจริงเลยนะเว้ย” ตั้มตื่นเต้น..

“ก็ประตูเจ็บสองตัว  ก็ต้องเอาลงแล้วหละ” สุรีวัลกล่าว

แล้วรายชื่อสำรองก็แสดงต่อมา

“โอ๊ะ... เมื่อวันก่อนเราได้เห็นนายก้านเพชรลงตัวจริงเป็นผุ้เล่นอายุน้อยที่สุด.. แต่เหมือนวันนี้ สถิติจะโดนทำลายได้นะครับ  ถ้าหากวันนี้โค้ชชาญเปลี่ยนเอา เทพพรลง.. เทพพรอายุน้อยกว่าก้านเพชรอยู่เดือนเศษๆ  ถ้าเขาได้ลงก็จะเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดทันทีที่เล่นในระดับ U19” ผู้บรรยายกล่าว

ตอนนั้นกล้องแพนไปที่ซุ้มมานั่งสำรอง

“คุณๆ  โป้งออกทีวี” ชายหนุ่มร่างสันทัดร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

หญิงสาวใบหน้าอ่อนโยนวิ่งมาจากในครัว

“โป้งจริงๆด้วยลูกแม่”

 

ในป้อมยามมีทีวีเครื่องเล็กๆ  เทพฤทธิ์หันไปมองตั้งแต่ตอนที่ผู้บรรยายกล่าวถึงโป้งแล้ว

แต่ตอนนั้นเขาติดต้องออกไปโบกรถ  กลับเข้ามาใหม่ ก็เห็นหน้าลูกชาย

“เหมือนทางทีวีที่ฟิลิปปินส์จะทราบนะครับ ว่าเทพพรอายุน้อยทีสุดในรายการครั้งนี้ ถึงได้จับภาพเทพพรนานขนาดนี้” ผู้บรรยายกล่าว

“โป้ง” เทพฤทธิ์ยิ้มออกมา เขาอดใจไม่ได้ที่จะเอามือสัมผัสกับจอโทรทัศน์

“ลูกพ่อ  สู้เขานะลูก”

แล้วเขาก็ต้องปาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เทพฤทธิ์นึกย้อนไปถึงตอนที่เห็นโป้งเอาขาเตะลูกบอลครั้งแรก แล้วก็ล้มแพละ แต่เด็กน้อยไม่ท้อลุกขึ้นเตะจนมันกลิ้งไปแล้วก็หัวเราะ

ต่อมาพอวิ่งได้ โป้งก็มีเพื่อนเป็นลูกฟุตบอล  เด็กคนนี้เหมือนจะไปไหนมาไหนกับลูกฟุตบอลจนเป็นภาพเจนตาของคนทั่วไป..

เด็กตัวเล็กคนนั้น ตอนนี้กำลังสวมเสื้อทีมชาติไทย  นั่งอยู่ในม้านั่งสำรองในฐานะตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ

 

ลูกเตะมุมลอยโด่งมา โกลจับจังหวะออกไปชกเสียก่อนผู้เล่นญี่ปุ่นทีสูงใหญ่จะเข้าถึง  ลูกบอลกระเด็นไปไม่ไกลตกในกรอบเขตโทษ  เซ็นเตอร์ฮาฟของทีมก็รีบเตะออกไป

แต่การเตะนั้นกระดอนตัวผุ้เล่นของญี่ปุ่นที่เข้ามาหาลูกเช่นกัน

ลูกกระเด้งย้อนมาตรงเส้นของผุ้รักษาประตูหน้าปากประตู  โกลจะถลันเข้ารับ  แต่ก็โดนตัวผู้เล่นญี่ปุ่นเตะสวนทาง โกลจึงยกมือขึ้นบล๊อกตามสัญชาตฌาณ

แต่ลูกบอลกลายแฉลบเข้าประตูไปเพราะความรุนแรงของลูกเตะของศูนย์หน้าญี่ปุ่น

สองศูนย์ โกลทุบดินอย่างเจ็บใจ

เพราะก่อนหน้าเขาก็เกือบจะเซฟจุดโทษได้  แต่เขาก็ทำได้ปัดไปชนเสาเข้าประตู

แล้วนกหวีดยาวจบครึ่งแรกก็ดังขึ้น

 

“กองหลังเสียสมาธิง่ายไปนะ” โค้ชชาญกล่าวแล้วชี้ไปที่ตัวผู้เล่นที่สกัดพลาดจนเสียจุดโทษ

“นายต้องระวังการเข้าบอล  อย่าเห็นว่าเป็นญี่ปุ่นแล้วเขาจะไม่พุ่งล้ม...  แต่ก็โอเคหละ  เพราะถ้าปล่อยเข้าไปก็ตัวๆกับประตูแล้ว แต่คราวนหน้าถ้าทำได้  ให้เบียดไปก่อนนะ หรือไม่ก็บังทางบอล เพราะถ้าไม่ยิงจ่อๆ นายโกลอาจจะปัดได้”

“กองกลางเกมขาดไปดื้อๆเลยนะ  ตัวรับก็ปล่อยให้กองกลางของเขาทำเกมมาได้ตลอด  ตัวริมเส้นก็ไม่ทำยังขึ้นบอลไม่ดี คุณต้องเน้นตรงนี้” แล้วโค้ชชาญก็ชี้ลงไปที่กระดาษซึ่งวาดไว้เป็นผังแสดงตัวผู้เล่น” ต้องไปให้ถึงตำแหน่งให้ได้  โยนเข้าไปให้ตรงจุด ไม่อย่างนั้น ท็อปก็ไม่มีโอกาสยิง” แล้วโค้ชชาญก็ถอนหายใจ

“ครึ่งหลังเราคงต้องเปิดเกมรุก.. แบ็กซ้ายขวา ดันขึ้นมาด้วย... แต่กลางตัวรับต้องถอยลงนิดหนึ่งระวังเกมโต้กลับ ตัวกลางสองตัวต้องประสานงานให้ดี  ระวังเรื่องยิงไกลของกองกลางญี่ปุ่นด้วย”

“เรายังมีโอกาส หากเราตามตีเสมอได้ เราก็จะมีความหวังได้เข้ารอบ  เข้าใจไหม  ออกไปแล้วทำให้เต็มที่”

โป้งหันไปเห็นโกลทำหน้าเหมือนไม่สบายใจ

เขาก็เลยหันไปบีบมือโกลเอาไว้

“กูเชื่อใจมึงนะเว้ย  เสียแล้วก็เสียไป  แต่มึงต้องทำให้เต็มที่  ตราบที่เราไม่เสียเพิ่ม  เราก็มีโอกาส”

โกลหันมามองตาโป้ง  ทั้งคู่สบตากันนิ่ง

“โป้ง” โค้ชเรียก

“ไปวอร์ม”

 

เกมเริ่มต้นไปได้ราวๆสิบนาทีแล้ว  แม้จะเดินเกมรุกได้ดีขึ้น  แต่เกมรับญี่ปุ่นก็ยังป้องกันได้อย่างเหนียวแน่น  แถมโต้กลับมาอย่างรวดเร็วแต่โกลสมาธิยังดีอยู่ สามารถป้องกันไว้ได้

โป้งยังคงกระโดดสไลด์ตัวอยู่ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

“โป้งมานี่” วีระเรียก

 

 

“เอาละครับเหมือนจะมีการเปลี่ยนตัว” ผู้บรรยายกล่าว

ทีมฟุตบอลนวสาครเริ่มส่งเสียงกัน  ตอนนี้ในโรงยิมไม่ได้มีเฉพาะนักฟุตบอลแต่มีนักเรียนจำนวนมากเข้ามาดูด้วย

“หมายเลขแปดออกครับ เทพพรหมายเลขสิบห้าลงแทนครับ”

เสียงเฮกันลั่นโรงยิม  จุ๊ยที่ถือสะพายแซกโซโฟนมาด้วยเผลอกระโดดกอดเดฟที่ยืนข้างๆ

เดฟยิ้มหน้าบาน  แต่วู๊ดที่หันมาเห็นพอดีต้องเบือนหนี

 

เทพฤทธิ์ได้ยินจากโทรทัศน์ที่หัวหน้ายามเป็นคนมาเร่งเสียงด้วยตัวเอง แต่เขากำลังแลกบัตรให้รถจากภายนอก

“สู้เขานะลูก” เทพฤทธิ์กล่าวออกไปอย่างแผ่วเบา

 

โป้งจับมือกับแตะมือกับผู้เล่นที่โดนเปลี่ยนออก  เขาเดินไปหากัปตันเพื่อแจ้งแผนที่โค้ชฝากเขาลงบอก

อนุพงษ์พยักหน้ารับฟังโป้งบอกจนเข้าใจ  แล้วก็ตบบ่า

“โอเค.. เต็มที่นะไอ้น้อง”

โป้งยิ้มอย่างสดใสแล้วก็วิ่งไปประจำตำแหน่ง

 

ก้านเพชรเป็นสถิติเมื่อวาน แต่วันนี้โป้งล้มสถิติเขาเสียแล้ว  แต่เขากลับยิ้มกับภาพโป้งที่ยืนสะบัดขาไปมาระหว่างรอนกหวีดจากผู้ตัดสิน

“นายเหมาะกับสนามหญ้ามาก นายรู้ไหม.. ฉันอยากเห็นนายตอนนี้ที่สุดเลย”

 

ผ่านไปอีกห้านาที  โป้งพึ่งจะได้สัมผัสบอลเป็นครั้งแรก  เขาแตะดูดบอลลงพื้นอย่างชำนาญแม้ลูกที่เตะมาแรงเพราะเป็นการจ่ายอย่างจวนตัวของกัปตัน หลังโดนกองกลางญี่ปุ่นบีบเข้ามา

โป้งพาลูกไปตามเส้น  ตอนนั้นมีผู้เล่นทีมญี่ปุ่นเข้ามาประกบ

เชาเร่งจังหวะแล้วลดลงฉับพลัน  จากนั้นแตะบอลหนีออกด้านขวา พลิกตัวตามไป แล้วก็วิ่งมุ่งไปหากรอบเขตโทษ

แต่มีผู้เล่นเกมรับของญี่ปุ่นเข้าประกบเร็ว ขวางทางเอาไว้

เขาก็เลยคลึงบอลแล้วพยายามขยับซ้ายขวาหลอก  จนที่สุดก็ได้จังหวะจากการที่ตัวผู้เล่นฝั่งตรงข้ามหลงคิดว่าโป้งจะขยับไป ซ้ายจึงถลันเข้าขวาง

โป้งอาศัยจังหวะนิดเดียวนั้นจึงแตะพาลูกหนีผ่านไปในกรอบเขตโทษได้

ตัวกองหลังร่างสูงจึงรีบผวามาขวางทาง

จังหวะนั้นโป้งเหลือบไปด้วยหางตาเห็นท๊อปขยับ

เขาจึงแกล้งหลอกจะพาบอลไปข้างหน้า แต่กลับไม่ได้แตะบอล ก้าวข้ามลูกไป แล้วสลับเท้าตอกลูกบอลด้วยส้นเท้า

ตอนนั้นเกมรับญี่ปุ่นมัวแต่สนใจการเคลื่อนไหวของโป้ง  แต่ไม่คาดว่าโป้งจะตอกลูกส้นย้อนมาให้ท๊อปที่ขยับถอยลงมานิดหนึ่ง

ท็อปจึงว่างโล่งคนเดียว

เขาสับเท้ายิงตูมเดียว...ลูกบอลตุงตาข่าย...

 

เสียงเฮลั่นโรงยิมผสมกับเสียงผู้บรรยายที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน

“เข้าไปแล้วครับ  ทรงคุณ นายท๊อปเจ้าเก่า  ยอดเยี่ยมมาก  และก็ต้องชมการความฉลาดของเทพพรด้วย ตอกลูกส้นมาให้ยิงแบบโล่งๆ เหน่งๆ ตูมเดียวเข้าประตู สุดยอดครับ สุดยอดมาก”

“โค้ชๆ” ปอที่ยังดีใจอยู่หันมาหาป้อมเพชร

“เราซ้อมลูกนี้กันบ้างนะ  รับรองเด็ด เด็ดแน่ๆ”

ป้อมเพชรยิ้ม  แล้วหันไปหาสาวิตรีที่กำลังดีใจอยู่กับสุรีวัล  อมยิ้มในอาการดีใจของแฟนสาว  จริงๆสาวิตรีไม่ได้ชอบฟุตบอลเลย  แต่เดี่ยวนี้เริ่มจะเข้าใจมากขึ้น... นั่นเป็นประโยชน์กับงานของเขาไม่น้อย

 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงของครึ่งหลัง  แม้จะตามหลังอยู่หนึ่งลูก  และเหลือเวลาเพียงไม่มากนัก  แต่ทีมชาติไทยก็ยังเปิดเกมรุกเข้าใส่ญี่ปุ่นอย่างได้ลุ้น เพราะตอนนี้พวกเขาเริ่มพะวงกับการขึ้นบอลของโป้งแล้ว ก็เลยต้องหาตัวประกบโป้งเพิ่ม แต่กลายเป็นเปิดพื้นที่ให้ตัวอื่นๆ

แล้วจังหวะหนึ่งที่โกลขว้างบอลมาหาอนุพงศ์  เขาก็พาลูกขึ้นไปเองจนถึงหน้ากรอบเขตโทษ แล้วแปจ่ายลูกต่อให้ สัจจะศูนย์หน้าคู่หูของท๊อป

กองหลังของญี่ปุ่นเข้าบอลผิดจังหวะเลยกลายเป็นกระแทกสัจจะล้มไปตรงจุดใกล้หน้ากรอบเขตโทษแต่เยื้องมาด้านขวาเล็กน้อย

จารุพงศ์ ปีกขวาจอมสังหารจุดโทษก็เขาลูกมาตั้ง  เขาหันไปสบตากับอนุพงศ์แวบหนึ่ง  อนุพงศ์ก็เรียกส่งสัญญาณเรียกโป้งมายืนใกล้ๆ

ที่จริงมุมนี้ถ้าเป็นเท้าขวาก็ถนัดทะนี่ เพราะเลือกยิงได้เต็มที่

หากจารุพงศ์แค่ทำท่าเหมือนจะเตะ  แต่วิ่งผ่านไปเลย

โป้งจึงวิ่งเข้าหาลูกแล้ววางเท้าขวามั่น  กวาดเท้าซ้ายเตะเฉือนไปตรงมุมขวาล่างของลูกบอล

ลูกบอลพุ่งออกไปทั้งแรงและหมุนติ้ว  มันแหวกอากาศเป็นวีถีโค้งซ้ายข้ามกำแพง และผ่านมือผู้รักษาประตูทีมญี่ปุ่นที่พยายามจะผวามาปัด แต่มือไปไม่ถึงลูกที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว

ลูกบอลจึงมุดผ่านใต้คานตรงบริเวณใกล้มุมบนและกระแทกตาข่ายด้านในอย่างแรง

โป้งมัวแต่ยืนนิ่งมองผลงานตอนที่เพื่อนร่วมทีมกรูกันเข้ามากอดเขาอย่างดีอกดีใจ

โกลที่อยู่ห่างออกไปอยากจะเข้าไปเหมือนกัน  แต่เขาได้แค่กำหมัดชกลมอย่างสะใจในพื้นที่ของตัวเอง

โค้ชชาญเงยขึ้นมองสกอร์บอร์ดที่เปลี่ยนไปเป็นสองต่อสอง...

 

“ตอนนี้เวลาก็ใกล้จะหมดแล้ว แต่จริงๆแล้วเราก็ต้องชนะ  เพราะอีกคู่ที่แข่งก่อนเล็กน้อย  และจบไปแล้วด้วยผลเสมอ  ดังนั้นพวกเขาจึงมีแปดแต้ม เท่ากับเรา แต่ประตูได้เสียดีกว่า...” ผู้บรรยายกล่าว  แต่ก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

“แหม่จังหวะนี้..โอ้ย เกือบไปครับ  แต่กรกฎคว้าได้ติดมือ”

เทพฤทธิ์กัดริมฝีปากแน่น  หันไปเห็นหัวหน้าของเขาซึ่งถึงกับลูบอกแสดงอาการใจหาย

 

นี่มันทดเวลาแล้วโกลบอกตัวเอง..

เขาต้องเร็ว  เพราะนี่อาจจะเป็นจังหวะสุดท้ายของเกม

เขาเห็นโป้งวิ่งนำไปก่อนแล้ว

“โป้ง... ทำให้ได้” โกลกล่าว แล้วก็โยนบอลไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะเตะออกไป

โป้งวิ่งไปข้างหน้า  แม้ตอนนี้ตามองลูกบอล  แต่ก็รู้ว่าข้างหน้าเขายังมีเซนเตอร์อีกสองคนที่ไม่ได้ขึ้นไปทำเกมรุกด้วย เพราะยังกลัวจังหวะสวนกลับ

ลูกบอลจากโกลมาถึงเขา ตรงบริเวณกึ่งกลางระหว่างวงกลมกลางสนามกับครึ่งวงกลมหน้ากรอบเขตโทษ

โป้งพักลูกบอลด้วยอก

แต่โป้งไม่ปล่อยให้ลูกตกถึงพื้น  เตะกระดกมันให้ลอยข้ามหัวตัวเองด้วยเท้าขวา

จากนั้นก็หมุนตัวกลับหลัง แล้วเตะไปใต้ลูกด้วยเท้าซ้ายในทิศทางและน้ำหนักที่ซักซ้อมมาอย่างดี..

ลูกบอลลอยโด่งข้ามหัวกองหลัง แล้วมุ่งหน้าไปหาประตู  มันม้วนกลับลงมาหนีมือผู้รักษาประตูที่พยายามปัด แล้วก็มุดใต้คานเข้ากระทบพื้นหลังเส้นประตู...

กรรมการเป่านกหวีดยาวสัญญาณการได้ประตูของทีมชาติไทย...

วราพรที่นั่งอยู่ข้างสามียังคง งงงวย

“โป้งยิงได้ เราชนะแล้วพร.. เราชนะแล้ว” สามีที่ปกติเป็นนายแพทย์ผู้เงียบขรึมกลับกายเป็นลิงโลดอย่างกับเด็ก

วราพรยิ้มออกมาทั้งน้ำตาเมื่อมองภาพโป้งลูกชายคนเดียวของเธอถูกเพื่อนๆรุมโถมเข้ากอดอย่างยินดี

ฤทธิ์ค่ะ.. คุณเห็นรีเปล่า  ลูกเรา..เก่งมากเลยใช่ไหมค่ะ... เธอบอกออกไปแต่เพียงในใจ..

 

“เก่งมากลูกเก่งมาก” เทพฤทธิ์ได้แต่พูดซ้ำๆแล้วรีบปาดน้ำตาก่อนใครจะเห็น

เขาหันไปรอบตัว แม้แต่ผู้อาศัยที่บังเอิญผ่านมาตรงป้อมยามก็ยังตะโกนออกมาด้วยความยินดี..

หัวหน้ายามถึงกับลุกขึ้นปรบมือรัวๆ

“เก่งจริง เด็กคนนี้มันเก่งจริงๆ”

เทพฤทธิ์ได้แต่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ  ทั้งที่ในใจอยากตะโกนไปว่า  ลูกของผม.. ลูกของนายเทพฤทธิ์...

 

“ลูกใบไม้ร่วงงดงามมากครับ  ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นฝีเท้าของเด็กอายุสิบหกปีเท่านั้น.. เทพพร สมแล้วครับที่เป็นทายาทของเทพฤทธิ์  ต้องบอกว่าสุดยอด สุดยอดมาก” ผู้บรรยายกล่าว

แต่ไม่มีใครสนใจเสียงผู้บรรยายอีกแล้ว  ตอนนี้ทีมฟุตบอลและบรรดานักเรียนโรงเรียนนวสาครกำลังแสดงความยินดีราวกับพวกเขาได้ชัยชนะเสียเอง...

“สะใจเว้ยสะใจ... เยี่ยมมากไอ้โป้งลูกรัก กลับมาจะหอมๆสักสิบทีเลยมึง..” สุรีวัลออกอาการอย่างเต็มที่

แต่โค้ชป้อมเพียงยิ้มออกมา แล้วพยักหน้าช้าๆซ้ำๆ

ตอนนี้นกหวีดยาวจากกรรมการเป่าไปแล้ว  กล้องจับภาพไปที่โป้งที่เดินเข้าไปจับมือกับผุ้เล่นทีมญี่ปุ่นอย่างมีมารยาท  นักฟุตบอลเลือดบูชิโดหลายคนตบบ่าโป้งแล้วยกนิ้วโป้งให้แสดงความนับถือในฝีมือ  แต่โป้งก็แค่ยิ้มรับอย่างเก้อเขินเท่านั้น

โค้ชชาญจับมือกับโค้ชทีมญี่ปุ่น ก่อนจะเดินกลับหลังเข้าไปทางห้องแต่งตัว

เรายังมีงานต้องทำอีกสินะ  รอบหน้า.. ยังรออยู่..


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:24:00
ตอนที่ 27 ระหว่างโป้งกับอรรถ คือความหลัง

โป้งตื่นขึ้นมา  เขายังรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นความฝัน  เขาทำประตูได้ในชุดทีมชาติ.. เขายิงประตูเยาวชนU19 ของญี่ปุ่น  หนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย  พวกเราชนะทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในสาย และอันดับสูงๆในทัวร์นาเม้นท์..

ตอนเครื่องบินบินกลับมาประเทศไทย  มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ

นักข่าวเป็นร้อยๆ กับแฟนบอลเป็นพันๆมาต้อนรับจนแน่นขนัด..  แถมเมื่อคืนยังปอยังส่งแชร์และแทคภาพของเขาที่หนังสือพิมพ์หัวเล็กหัวใหญ่ ขึ้นเป็นหน้าหนึ่ง และหัวข้อข่าวสำคัญ..

ที่บอกว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน  เพราะสำหรับโป้งมันแค่ฟุตบอลหนึ่งรายการเท่านั้น  และที่เขาทำก็แค่หนึ่งนัดที่สำคัญ  แต่ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่ท๊อปพูดให้กับเขาในตอนกลางคืนที่พวกเราฉลองกันเอง ภายในโรงแรม หลังจากกลับมาที่พัก

“พอกลับ ไปนายจะรู้สึกเป็นฮีโร่  สื่อจะรุมนาย... แต่ถ้านายคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด  พี่จะบอกว่าไม่เลย.. ตอนเราตกรอบกลับมา ก็มีแค่แฟนบอลพันธุ์แท้เท่านั้นหละที่เหลียวแล... ดังนั้นใครจะยกย่องยังไงไม่ต้องสน  คนจะด่ายังไงก็ไม่ต้องใส่ใจ.. เราแค่รู้ว่าเราทำตามหน้าที่  หน้าที่ของเราคือนักฟุตบอล  งานของฉันคือยิงประตู  งานของนายคือจ่ายบอลกับช่วยยิงประตู... งานของเรายังอีกไกลนะโป้ง”

นั้นคล้ายกับที่พ่อเคยพูดเอาไว้  แม้จะไม่ได้พูดกับโป้ง แต่เป็นอากานต์ ที่มาคุยด้วยความท้อใจเรืองฟอร์มการเล่น

“พอเราเล่นดียิงได้ เขาก็ยกย่องเรา  พอเราฟอร์มไม่ดี หรือทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเขาก็ด่าเรา... มันอาจกวนสมาธิเราได้.. แต่อย่าให้มันทำร้ายเราได้  เพราะเป็นนักฟุตบอล  ผลการแข่งขันจะพิสูจน์ทุกอย่าง  แต่ถ้ามันไม่ดี  ก็แปลว่าเราต้องเอาใหม่.. สู้ต่อไป จนกว่าเราจะไม่มีแรงเตะ หรือเตะไม่ได้นั่นหล่ะกานต์  สนใจอะไรพวกสื่อ  ก็ปล่อยให้มันพูดไป..เล่นบอลด้วยเท้ากับปากมันต่างกันตรงนี้หละ”

(การแข่งขันเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน19 ปี หรือ AFC U19 เป็น รายการที่จัดกันเป็นสองช่วง ช่วงแรกเรียกว่ารอบคัดเลือก จะเป็นการแบ่งสายแข่งขันกัน โดยมีประเทศหนึ่งประเทศใดในแต่ละสายเป็นเจ้าภาพ  ในกรณีนี้สมมุติให้เป็นฟิลิปปินส์  ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพของสายที่มีไทย ญี่ปุ่นและประเทศxxx กับประเทศyyy ร่วมสายไปแข่งที่ฟิลิปปินส์  สายอื่นก็คล้ายกันดังนั้นในรอบคัดเลือก จะมีเจ้าภาพรอบคัดเลือกตามจำนวนสาย

จาก นั้นทีมที่เข้ารอบจะได้สิทธิไปแข่งรอบสุดท้ายที่ประเทศที่เป็นเจ้าภาพหลัก เพิ่อชิงถ้วยชนะเลิศในประเทศที่เป็นเจ้าภาพหลักของรายการในปีถัดไป)

 

แล้วเมื่อตื่นจากความฝันมาแล้ว เป็นธรรมดาที่ต้องเจอกับความจริง และความจริงที่รออยู่คือการสอบ..

โป้งและโกลได้เลื่อนสอบออกไป เพื่อให้ได้อ่านหนังสือ เตรียมการสอบ

โกลพยายามติวให้โป้งด้วยการอธิบายฉอดๆเป็นรอบที่สาม  แต่โป้งกลับท่องให้เขาฟังได้เพียงครึ่งของสิ่งที่โกลพยายามพูดให้ฟังเมื่อสักครู่

“โอ้ยยยย...โป้ง  แล้วนี่นายจะเอาอะไรไปสอบว๊า...” โกลขยี้หัวโป้งจนยุ่งเหยิงด้วยความหมั่นไส้

แต่โป้งก็แค่หัวเราะแหะๆ ตอบกลับมา

 

ถ้าเขาเรียนได้อย่างเล่นฟุตบอลก็คงดี  ตอนนี้ในห้องสอบมีแค่โป้งคนเดียว เพราะโกลออกไปแล้ว

อรรถมองนาฬิกาแล้วก็เดินมาข้างๆ

“หมดเวลาแล้วนายเทพพร” อาจารย์ผู้คุมสอบซึ่งมานั่งอยู่ด้วยตามหน้าที่กล่าว

“โอ้ยอาจารย์อีกนิดเดียวเองครับ” โป้งท้วง

อรรถมองลายมือสวยๆของโป้ง  จริงแล้วโป้งเป็นคนลายมือสวยมาก  เพราะโดนน้าพรมารดาของโป้งจับดัดมาแต่เล็กๆ ตอนที่หัดให้โป้งเขียนหนังสือมือขวา เพราะเมื่อก่อนย่าของโป้งยังอยู่ ท่านไม่ชอบที่โป้งเขียนหนังสือมือซ้าย

“เอาเหอะ.. แค่นี้หละ... เขียนไปก็ไม่ใช่ว่าจะได้คะแนน  เขียนสวยแต่อ่านไม่เข้าใจก็ไม่มีประโยชน์นะโป้ง” อรรถว่าแล้วดึงข้อสอบจากมือโป้ง

โป้งทำหน้าหน้าบูดใส่ แล้วก็แลบลิ้นหลอก แถมยกนิ้วโป้งใส่แสดงอาการว่า โป้งแล้วด้วย

อรรถหัวเราะ  แล้วก็ขยี้หัวโป้งอย่างเอ็นดู  แต่โป้งกำลังหงุดหงิดเลยเอี่ยวหนีทำให้ขยี้ไม่ถนัด

“เอาเหอะน่า... อาจารย์ประจำวิชาเขาไม่ให้เธอตกหรอก  ผลงานทีมชาติมันพอจะช่วยได้อยู่” อาจารย์ผู้คุมสอบหัวเราะแล้วกล่าวออกไป

โป้งยกมือไหว้ทั้งอรรถและอาจารย์คุมสอบ แล้วก็เดินออกไปจากห้อง

“ถ้าไม่เล่นบอลแล้วจะทำอะไรกิน  ไอ้โป้งเอ้ย” อรรถส่ายหัวอ่อนใจ

 

เพราะโค้ชชาญสั่งเอาไว้ว่าหากมีใครติดต่อมาขอสัมภาษณ์ให้บอกว่าต้องติดต่อกับ ประชาสัมพันธ์ของทีมชาติก่อน โป้งก็ยึดคำนั้นอย่างมั่นคง  แต่กระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีคนมาแอบถ่ายภาพเขาตอนวิ่งออกกำลังกายกับโกลในตอน เช้า

“ท่าจะบ้านะ”โกลบ่นตอนที่รู้ตัวว่ามีรถคันหนึ่งแล่นช้าๆแล้วยืนกล้องออกมาถ่ายรูปทั้งคู่

“จะอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้เนอะ” โป้งเห็นด้วย

“แต่โค้ชบอกว่า เดี่ยวอาทิตย์หน้าทีมชาติชุดใหญ่แข่งก็ซาไปเอง” โป้งก็ยังชี้ในแง่บวก

“นี่ยังดีนะคนแถวนี้เขาเห็นเราทุกวันก็เลยชิน ไม่อย่างกูว่าคงมีมาดักรอขอลายเซ็นกันบ้างหล่ะ” โกลโคลงหัว

 

หลังได้พักอาทิตย์หนึ่ง โป้งกับโกลก็กลับเข้าโปรแกรมซ้อม เพราะรายการใหญ่ของชีวิตเด็กมัธยมรอคอยอยู่  คือบอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ถ้วย ก.

เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของโป้งแล้ว ปอก็อดสงสัยไม่ได้

“นี่มึง” ปอถามตอนอาบน้ำ

“มึงก็เคยลงทีมชาติ เล่น AFC ไปแล้ว ทำไมมึงยังตั้งใจกับบอลนักเรียนจังวะ”

โป้งหันมา

“ก็กูยังไม่เคยได้แชมป์  ก็โดนพวกมึงเขี่ยตกรอบของรุ่นสิบหกปี  กูก็เลยอยากจะได้บ้างไง ในรุ่นสิบแปดปี” โป้งตอบ

“มันเป็นความฝันของเรานักบอลไม่ใช่เหรอวะ  ว่าอย่างน้อยสักครั้งก็ได้ถ้วยนี้”

ปอหันมามองหน้าโป้ง

“อีกอย่าง กูก็อยากจะได้ร่วมชูถ้วยกับพวกมึงบ้าง.. ถึงกูจะพึ่งเข้ามา  พวกมึงก็เป็นเพื่อนร่วมทีมของกูไม่ใช่เหรอวะ  พวกมึงไม่อยากให้กูเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของพวกมึงเหรอวะ”

ตอนนี้ทั้งห้องเงียบไป  มีเพียงเสียงน้ำเท่านั้นที่ดังอยู่

โป้งหันมา  พบว่าเพื่อนทุกคนหันมามองเขากันหมด  จะมีก็แต่โกลที่ยังสระผมอยู่

“เฮ้ยโป้ง” วู๊ดที่อาบน้ำเสร็จไปก่อนหน้าแล้ว แต่พอดีเข้ามาหยิบของที่ลืมไว้เลยได้ยิน

เขาวางมือบนไหล่

“พวกกูดีใจต่างหากที่ได้เป็นเพื่อนร่วมทีมกับมึง... มึงเป็นแรงบันดาลใจของพวกกูเลยนะเว้ย”

โป้งมองหน้าที่ละคน  ตอนนั้นโกลที่กำลังล้างแซมพูก็หันมามองด้วย

“เราจะสู้ด้วยกัน... ต้องเอาแชมป์มาให้ได้” ปอเดินเข้ามาแล้วกอดคอโป้ง

แล้วจู่ๆจอมก็ร้องขึ้น

“โอยพวกมึงอย่าซึ้งอย่างนี้สิวะ  กูร้องไห้เลย”

ตั้มที่อยู่ใกล้เลยจับมันล็อกคอ

“โอ้ยไอ้จอมเอ้ย  ทีอกหักทุกเดือนมึงไม่ร้อง  แต่นี้มึงเสือกร้อง”

“ก็อันนั้นกูชิน  แต่อันนี้กูไม่ชิน” จอมปาดน้ำตาป้อยๆ

เพื่อนหัวเราะกันครื้นเคล้ง

นอกห้องน้ำ โค้ชป้อมเพชรที่เดินมาได้ยินที่บรรดานักฟุตบอลสนทนาพอดี

ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น  ปีหน้าทั้งสองคนอาจไม่ได้เล่นร่วมทีมกับเพื่อนๆของเขาแล้วก็ได้.. ทั้งสองคนเป็นนกที่มีปีกแข็งแรงพอจะบินออกไปสู่โลกแห่งฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว..

 

แม้โรงเรียนจะอยู่ในช่วงปิดภาคเรียนแต่อรรถก็ยังต้องมาโรงเรียน เพราะเขาต้องทำรายงานและส่งแผนการสอนในภาคเรียนถัดไป

เขาขี่จักรยานยนต์ออกมาจากโรงเรียน เห็นโป้งนั่งคนเดียวอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งข้างทางฝั่งตรงข้าม

เขาจึงตัดสินใจไปกลับรถ

“อ้าวมนุษย์ไข่เจียว  วันนี้ไม่กินไข่เหรอ” อรรถทักเพราะโป้งกำลังนั่งกินข้าวผัด

โป้งเงยหน้าขึ้นมา

“อ้าวพี่อรรถ  โรงเรียนยังไม่เปิดสักหน่อย” โป้งกล่าว

“มาทำไมหละพี่”

“มาทำรายงานสิ  แล้วทำไมวันนี้ซ้อมเสร็จเร็วจัง”

“วันนี้เขาจะใช้สถานที่จัดงานแต่งงาน  เลยให้เราเลิกซ้อมกันเร็ว”

“แล้วทำไมวันนี้กินข้าวผัด” อรรถถามแล้วมองในจาน

“อ้าวก็พี่บอกเองว่าให้ผมกินอย่างอื่นบ้าง  ผมก็กินอย่างอื่นไง.. ไม่ดีเหรอ” โป้งตอบ

“อีกอย่างไอ้โกลมันก็สั่งกินบ่อยๆ เลยลองกินดูบ้าง”

อรรถพยักหน้า ก่อนจะถามต่อ

“แล้วเขาไปไหน ปกติเห็นติดกันเป็นปาท่องโก๋”

“โดนพ่อบังคับไปงานแต่งงานญาติ  นี่ก็ไปตั้งแต่บ่ายๆแล้ว” โป้งตอบ

 

“นี่มันอะไร..” อรรถถามแล้วยืนพินิจแผ่นป้ายที่ติดอยู่บนประตู

“อย่าลืมปิดไฟ ปิดน้ำ ถอดปลั๊กเครื่องไฟฟ้าด้วย” เขาอ่าน

“แม่ไงพี่” โป้งตอบ ขณะรินน้ำเอามาให้อรรถ

“กลัวผมลืม  ก็เลยมีป้ายอยู่ทุกที่”

อรรถรับแก้วแล้วเดินมานั่งบนเตียง

“นี่ไม่ได้อยู่คนเดียวเหรอ” อรรถรู้จากที่ราวมีเสื้อนักเรียนอยู่สองขนาดแขวนอยู่

“ไอ้โกลมันจะนอนที่นี่บ่อยๆน่ะพี่  มันขึ้เกียจกลับบ้าน” โป้งตอบ แล้วเปิดทีวี

“นี่เราสองคนเป็นอะไรกันรึเปล่า.. เหมือนโกลจะสนิทกับโป้งมากเลยนะ” อรรถถามตรงๆ

“โถพี่” โป้งหัวเราะ

“เราเป็นคู่หูกันเฉยๆพี่ คิดมากไปได้”

เขาเดินเอารีโมทมาส่งให้

“ผมอาบน้ำก่อนนะ” แล้วโป้งก็ทำท่าจะเดินไป

แต่อรรถดึงไว้  เป็นการดึงที่แรงพอจะทำให้โป้งที่ไม่ทันตั้งตัวล้มลงในอ้อมกอดของอรรถ

“พี่คิดถึงโป้งมากเลย”  อรรถกอดรอบเอวโป้งแล้วหอมที่ต้นคอ

“เราไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้นานมากและนะโป้ง”

อรรถเลื่อนมือต่ำลงจนถึงเป้ากางเกง

“พี่อรรถครับ... พอเถอะครับ” โป้งกล่าวด้วยเสียงที่พยายามจะให้ราบเรียบ

แล้วเขาก็ปลดมือของอรรถ ก่อนจะลุกขึ้น

“พี่ก็บอกเองว่านั้นนานมาก  ตอนนั้นผมอยู่แค่ม.สอง  พี่อยู่มหาวิทยาลัยปีสอง  แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว”

“อะไรที่ไม่เหมือนเดิมโป้ง  พี่ยังคิดถึงโป้งเหมือนเดิม... โป้งอย่าบอกนะว่าโป้งเปลี่ยนไปแล้ว” อรรถมองโป้งที่ยืนหันหลังให้

“ครับ.. แต่ไม่ใช่ทั้งหมด..” โป้งตอบแต่ไม่ได้หันไปมองหน้า

“ผมเปลี่ยนไป ตรงที่ผมโตขึ้น  ผมเป็นนักเรียนม.สี่แล้ว  รู้แล้วว่าอะไรควรไม่ควร  ตรงนั้นคือที่เปลี่ยนแน่นอน  แต่นอกนั้นยังเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง”

“แต่พี่อรรถสิครับ พี่มีแฟนแล้ว  พี่ควรจะระลึกถึงความรู้สึกเธอ ที่พี่ทำอยู่ผมนับว่ามันเป็นการนอกใจ  พี่โตกว่าผม ควรจะเข้าใจดีกว่าผมใช่ไหมครับ”

“มัน ไม่เหมือนกันโป้ง  ความรู้สึกของพี่ต่อโป้งกับความรู้สึกของพี่ต่อเธอมันแยกกันนะโป้ง.. สำหรับพี่  โป้งเป็นคนสำคัญเสมอ” อรรถพยายามอธิบาย

“ไม่เหมือนกันตรงไหนครับ..” โป้งถามกลับ  เขาหันกลับมามองหน้า

ตอนนี้แววตาโป้งอ่านไม่ได้ และเดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่

“การ ที่คนเราจะมีเซ็กซ์กันได้  มันมีกันอยู่กี่เหตุผลครับ  แล้วถ้าพี่เรียกสิ่งที่พี่มีต่อแฟนของพี่ว่าความรัก  แล้วที่พี่ทำกับผมเรียกว่าอะไรดีครับ.. คนเราจะรักคนได้มากกว่าหนึ่งได้ก็จริง  แต่สำหรับผม  ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากให้ผมเป็นต้นเหตุให้ใครต้องเจ็บปวดนะครับพี่”

โป้งกำลังจะหันกลับ

“แล้วสิ่งที่โป้งมีให้พี่หละ เรียกว่าความรักได้ไหม” อรรถถามออกไป

โป้งที่หันไปแล้วครึ่งตัว เหลือบตามอง

“พี่เป็นพี่ชายของผมครับพี่อรรถ.. ผมขอรักพี่แบบพี่ชายต่อไปนั้นดีที่สุดแล้ว  ส่วนเรื่องที่ผ่านมา...  ผมจะไม่จำไว้อีก  เพราะผมอยากเป็นน้องชายของพี่ต่อไปมากกว่าครับ” แล้วเขาก็หันไปคว้าเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว

“พี่จะกลับก็อย่าลืมปิดทีวีให้ผมด้วย  เดี่ยวนี้ผมอาบน้ำนานนะครับ พี่ไม่ต้องรอ”

อรรถมองตามหลังโป้งที่ลับไปหลังประตูห้องน้ำที่ปิดลง

เขานั่งนิ่งอยู่นานพอสมควรก่อนจะกล่าว

“แต่พี่จะไม่เคยเปลี่ยนโป้ง..ไม่มีใครเปลี่ยนความรู้สึกของพี่ต่อโป้งได้  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม” อรรถกล่าวแล้วก็ปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ

โป้งที่กำลังใช้ฝักบัวรดหัวอยู่ได้ยินเสียงปิดประตูห้อง  เขาถอนหายใจแล้วก็เงยหน้าให้น้ำชำระใบหน้า

 

ที่จริงโกลก็ว่าจะกลับบ้าน แต่คิดไปคิดมาถ้ามานอนกับโป้งจะไปซ้อมในวันรุ่งขึ้นได้ง่ายกว่า

เขาก็เลยมาถึงอพาร์ทเม้นท์ของโป้งตอนเกือบสี่ทุ่ม

“กูมีของมาฝาก” โกลกล่าวแล้วเอาของที่ถือมาด้วยซ่อนไว้ข้างหลัง

“โป้งกำลังดูทีวีไม่ได้มองมา เพราะมีรายการที่เอาเทปการแข่งขันของทีมชาติชุดใหญ่มาฉาย

“อะไร ของชำร่วยเหรอ... ไม่เอาหรอกนะ ถึงจะเป็นงานแต่งงานเศรษฐีก็เถอะ”

แต่โกลเอาของชิ้นนั้นมายื่นให้ตรงหน้า  เป็นถุงใบใหญ่

“ร้องเท้าแข่งรุ่นใหม่  อันนี้เหมาะกับมึงมากเลย.. ยังไม่มีขายในเมืองไทย  อันนี้เป็นตัวที่พ่อกูจะสั่งมาขายเดือนหน้า”

โป้งเริ่มตื่นเต้น

ในถุงมีสองกล่อง พอหยิบออกดูถึงได้รู้ว่าต่างไซด์กัน

“แพงไหมเนี่ย ถ้าแพงกูไม่เอานะ”

“ฟรี” โกลตอบ

"พ่อกูเขาได้เป็นสมนาคุณมา  เพราะเซลล์รู้ว่ากูเล่นบอล  เขาเลยชอบเอามาให้  แต่พ่อกูขอไปสอง เขาก็อิดออดนิดหน่อย  แต่พอบอกว่าที่จะเอาให้คือมึง  เท่านั้นหละรีบเอามาไม่ทัน  แถมฝากถามมาด้วยว่าสนใจเป็นพรีเซนเตอร์ให้เขาไหม” โกลอธิบาย

“แน่นะ.. โน่นคู่ก่อนกูยังไม่มีปัญญาคืนเงินมึงเลย  นี่ก็อีกคู่แล้ว” โป้งเปิดกล่องเอามาลูบๆคลำๆ

“แน่สิวะ... จะโกหกทำไม หรือพอไม่มีลายเซ็นก็เลยไม่อยากได้” โกลทำเสียงเหมือนน้อยใจในตอนท้าย

“เปล่าซะหน่อย” โป้งปฏิเสธ

“กูแค่ไม่อยากให้มึงเสียเงิน"

“ลองใส่ดูว่าพอดีไหม ถ้าไม่พอดีเดี่ยวจะได้เอาไปเปลี่ยนให้”

 

โป้งสวมรองเท้าแล้ว ปรากฏว่ามันพอดีแป๊ะ  เขาก็เลยยิ้มกว้าง

“เบามากเลยโกล” แล้วเขาก็ลองวิ่งยกเท้าสูงอยู่กับที่

“วิ่งดีด้วย” โป้งหัวเราะ

“ก็รุ่นใหม่นี่” โกลตอบแล้วยิ้มอย่างมีความสุขกับท่าทางดีใจของโป้ง

“ว่างๆกูต้องไปขอบคุณพ่อของมึงหน่อยแล้ว” โป้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม  ตอนนั่งลงถอดรองเท้า

โกลมองโป้ง

“นี่กูไม่อยู่ตั้งนาน มึงแอบคุยกับไอ้ก้านกระหนุงกระหนิงหรือเปล่า  หรือว่าแอบไปเที่ยวกับมันมา”

โป้งหันมามองหน้าโกล

“ไอ้ห่าเอ้ย” โป้งใสหัวโกลออกไป เพราะสายตาโกลแสดงอาการพินิจพิเคราะห์ด้วยความหวาดระแวง

“มึงไปกี่ชั่วโมงกันโกล... ถ้าเอากันก็คงยังไม่เสร็จหรอกนะ”

“โอ้โหนี่มึงอึดขนาดนั้นเลยเหรอโป้ง... กูไปตั้งแต่บ่ายโมง  นี่มันสามทุ่ม  มึงไม่เสร็จเหรอไอ้โป้ง... คนทั่วไปเสร็จไปหลายรอบแล้วนะ” โกลร้องเสียงดัง

โป้งอุดปากโกล

“มึงนี่จะแหกปากทำไม...ไม่กลัวข้างห้องมาด่าพ่อเหรอวะนี่”

โกลหัวเราะ แกะมือโป้งออก

“ด่าพ่อกูเรอะ ตามสบาย  จะด่ายังไงก็อยากด่าไป  อย่าด่ากูเป็นเรื่อง” โกลกล่าวติดตลก

แล้วทั้งคู่ก็มองตากัน

“ว่าไง แล้วตกลงได้ทำไหม ถ้าทำก็สารภาพมาดีๆ  กูลดโทษให้กึ่งหนึ่ง”  โกลถามอีกพร้อมข้อเสนอ

โป้งส่ายหน้า

“ไอ้เหี้ยนี่มึงมองกูเป็นอะไรวะโกล... กูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอ” โป้งตอบ แล้วเอารองเท้าเก็บลงกล่อง

แล้วโป้งก็เอากล่องไปวางข้างชั้นวางรองเท้า

โกลมองตามโป้ง                                                 

“กูไว้ใจมึง แต่กูไม่ไว้ใจคนอื่นต่างหาก... มึงน่ะเข้มแข็งเวลาเดียวนั้นหละ เวลาลงสนาม  แต่ปกติมึงใจอ่อนจะตาย.. กูก็กลัวมึงจะทนลูกตื้อของคนอื่นไม่ไหว”

โป้งเดินกลับมายืนตรงหน้าโกล

“มึงก็อย่าทิ้งกูบ่อยๆสิวะ  ถ้ามึงไม่อยู่กูก็จะสับสน  ถ้ามีมึงอยู่  กูก็สนใจแต่มึงไง” โป้งกล่าว

สองคนสบตากันนิ่ง  แล้วก็นานอยู่อย่างนั้น จนกระทั้ง...

“เข้าไปแล้วครับ.. ทีมชาติไทยเรานำแล้วหนึ่งต่อศูนย์”

โป้งจึงหันมาหาทีวี

“สุดยอด...  ดูมึงดูลูกนี้  พี่เขายิงคมมากเลย”

โกลถอนหายใจดังเฮือก.. ก่อนจะลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ

“เออ... คมสุดๆ” โกลกล่าว..


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:24:56
ตอนที่ 28 ที่สุดชีวิตนักฟุตบอลโรงเรียน.. รายการแห่งศักดิ์ศรี บอลถ้วยก.


โป้งแปลกใจกับการมาเยือนของกานต์  เขายกมือไหว้กานต์เมื่อเข้าไปในห้องของของโค้ชป้อมที่อยู่ข้างห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา

โกลเองก็แปลกใจเช่นกันที่ถูกตามมาด้วยอีกคน

“พักนี้ว่างพอดี ก็เลยอยากจะเยี่ยมหน่อย” กานต์กล่าว  แล้วก็หันไปสบตากับโค้ชป้อม

“ตอนที่เธอลงไปยิงสองลูกนั่น  ถือว่าเป็นผลงานเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมมากเลย”

โป้งก็แค่ยิ้มเขินตามนิสัย

“ส่วนนายกกรกฏ นายก็ทำได้ดีมาก  ถึงจะเสียไปสองลูกแต่ถ้าเทียบกับจำนวนที่นายเซพได้นี่ต้องบอกว่าหาตัวจับยากเลยหละ”

โกลกล่าวขอบคุณในคำชมของกานต์ หัวหน้าโค้ชทีมชาติชุดใหญ่

“พอ ว่างก็เลยอยากจะมาช่วยเพื่อนซี้อย่างโค้ชของพวกเธอซะหน่อย  คือว่าป้อมน่ะเขาเป็นจอมแท็คติกก็จริง  แต่เรื่องการแนะนำด้านเทคนิคอาจไม่ชำนาญ เพราะป้อมเขาเป็นกองหลัง” กานต์กล่าว

ป้อมเพชรก็ยักหน้ายอมรับ

“นายสองคนมีความสามารถ  ถ้าระดับโค้ชทีมชาติมาแนะนำ รับรองต้องได้อะไรไปเยอะแยะแน่นอน”

“แต่...” กานต์กล่าวขึ้นบ้าง

“นั้นหมายถึงว่า พวกเขาต้องไปฝึกกับฉันสักเดือนนะ  แต่จะปล่อยกลับมาลงซ้อมทีมแน่ๆ ไม่ต้องห่วง กำหนดมาเลยว่าจะซ้อมทีมวันไหน ฉันจะให้มาซ้อม  ส่วนแข่งจริงก็ลงปกติ คงน่าจะสักประมาณนัดสองนัดแรก แล้วพอแข่งนัดนั้นเสร็จก็ต้องไปซ้อมกับฉันเหมือนเดิมนะจนกว่าจะครบเดือนนึง ฉันก็จะปล่อยให้เขากลับมาซ้อมกับนายตามปกติ”

ป้อมเพชรสูดลมหายใจลึกๆ มองตารางการแข่งขัน  สองนัดแรกไม่ใช่เกมหนักมาก..

“โอเคได้... ก็ลองดู เพราะฉันเองก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรเจ้าโป้งกับโกลแล้วเพราะมันเกินทักษะของฉันไปแล้ว”

โป้งกับโกลมองหน้ากัน

กานต์ยิ้มแล้วหันมามองสองหนุ่ม

เขามีแผนสำหรับการฝึกซ้อมเรียบร้อย  นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมทีมเพื่ออนาคต..

และสำหรับโป้งนี่คือการช่วยเหลือรุ่นพี่ที่เขานับถือมากอย่างเทพฤทธิ์

 

แล้วการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนถ้วย ก.ก็เริ่มต้นขึ้น..

นวสาครที่ไม่มีโป้งและโกลเป็นตัวจริง ก็ยังทำผลงานได้ดีในสองนัดแรก  สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทั้งสองนัด

ที่ทั้งสองคนป้อมเพชรไม่ได้ให้ลงแม้จะกลับมาร่วมทีมตามคำพูดของกานต์

ก็เพราะดูทั้งสองคนจะเหมือนซ้อมหนักกว่าที่เขาฝึกลูกทีม... แล้วก็ออกจะดูอ่อนล้ามากกว่า ทำให้ป้อมเพชรไม่อยากเสี่ยงให้ลงไปเล่น

อยากรู้จริงๆว่าที่ฝึก คืออะไร.. ทำไมทั้งสองถึงได้ดูเหนื่อยมาก

แต่พอป้อมเพชรพยายามถามกับโป้งที่น่าจะคุยง่ายกว่าโกล เขากลับตอบว่า

“โค้ชกานต์บอกว่าเป็นความลับครับ” โป้งตอบบนรอยยิ้มเหมือนเคย

 

แม้โป้งรู้สึกสนุกกับการฝึกฝนแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันโหด...

เดือนที่ผ่านมานี่ เขากับโกลพอกลับถึงห้องก็นอนสลบไม่ได้สติ ตื่นอีกทีก็เช้า แล้วก็ต้องแต่งตัวไปโรงเรียน  แล้วพอตกเย็นก็ต้องเดินทางไปสนามซ้อม

เหนื่อยจนโป้งเข้าใจถึงคำโบราณว่า เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด

แต่วันนี้คือการฝึกวันสุดท้ายตามกำหนดของโค้ชกานต์

ลูกบอลที่โป้งเตะพุ่งโค้งอ้อมกำแพงแล้วก็เข้าประตูไป

กานต์พยักหน้าแล้วเดินมาใกล้
“โอเค ดีมาก” กานต์กล่าวแล้วเดินลงมาตบบ่าโป้ง

“เราต้องไปฝึกเพิ่มเองนะ  แล้วก็ทำให้คุ้น  ถึงอาวุธใหม่มันจะไม่ได้แน่นอนเหมือนอาวุธเก่าของเธอ  แต่มันก็จะช่วยเธอในยามจวนตัว”

“ครับ” โป้งรับคำ

“โอเค.. พี่ก็ให้เราได้แค่นี้หละ.. ยังไงก็การฝึกฝนด้วยตัวเองมันก็สำคัญกว่า  เราต้องขยันฝึกเข้าใจไหม”

“ครับ”

 

กานต์และผู้ฝึกสอนอีกคน  ยืนกอดอกมองโป้งกับโกลเดินคู่กันออกไปจากสนามฝึกซ้อม

สองหนุ่มไม่ได้คุยกัน คงเพราะความเหนื่อย จึงเดินเงียบๆออกไป

“โกลเป็นยังบ้าง”

“ต้องบอกว่า เหลือกินครับ.. ทั้งความความสามารถและความตั้งใจ  ไม่แพ้นายโป้งเลยหละครับ  ผมว่าเผลอๆเราอาจได้มีผู้รักษาประตูระดับโลกกับเขาก็คราวนี้หละครับ” สมานอดีตผู้รักษาประตูทีมชาติกล่าว

“ที่จริงผมอยากได้ก้านเพชรมาอีกคน  แต่เสียดายดันเจ็บไปตอนซ้อมที่โรงเรียน.. เห็นว่าต้องพักสองสามเดือนเลย  นี่คงไม่ได้ลงแข่งรายการนี้แน่นอนแล้ว” กานต์กล่าวแล้วถอนหายใจ

 

แต่การแข่งนัดที่สามของนวสาคร

จะว่าเพราะขาดโป้งกับโกล หรืออะไรก็ตาม

ปรากฏว่าทีมนวสาครพลาดท่าพ่ายไปอย่างหวุดหวิดให้กับโรงเรียนกีฬาจากต่างจังหวัดที่เป็นหนึ่งในตัวเก็ง

แต่โค้ชป้อมก็ยังใจเย็น ไม่ส่งโป้งลงในนัดนี้  แต่เขาก็เปลี่ยนโกลลงไปในช่วงท้ายเกม ซึ่งทำได้แค่ป้องกันประตูไม่ให้เสียเพิ่มเท่านั้น

แต่เมื่อแพ้แล้ว ทีมก็ไม่ได้เสียกำลังใจเท่าไหร่ เพราะยังดีที่ทีมที่เป็นตัวเก็งอื่นๆก็พลาดท่าแพ้เหมือนกันๆ ทำให้ทีมนวสาครยังเกาะอยู่ที่หนึ่งของสาย

 

นวสาคารยังคงมุ่งมั่นกับการฝึกซ้อม แล้วเย็นวันนี้เป็นการฝึกซ้อมทีม

โค้ชเห็นว่าโป้งกับโกลดูจะหายจากอาการล้าแล้วจึงให้ร่วมทีมฝึกซ้อมตามปกติ

แต่โป้งกับโกลก็ต้องยืนคนละฝั่ง เพื่อความสมดุลของทีมตามการจัดสรรของโค้ชป้อม เพื่อให้การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างสมดุล

โค้ชมองโป้งที่ได้บอลอยู่กลางสนาม และพยายามพาลูกไต่เส้นขึ้นไปโดยมีตั้มตามไปประกบตลอด

แต่ถึงวันนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่กานต์เอาโป้งไปฝึกนั้นคืออะไร

ส่วนโกลนั้นชัดเจนมาก  เพราะโกลมีจังหวะออกมาตัดบอลที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และลูกยิงของปอที่ได้ชื่อว่ารุนแรงมากที่สุดคนหนึ่ง โกลก็ยังสามารถจัดการได้อย่างดียิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

อย่างน้อยเขาป้องกันมันได้อย่างดีเยื่ยม  แม้จะรับไม่ได้ในบางจังหวะก็ตาม

 

ตั้มตามโป้งจนไปถึงเส้นหลัง  ซึ่งตลอดมาเขาตามประกบโป้งแบบนี้อยู่แล้ว

ดังนั้นการจัดการโป้งเป็นสิ่งที่เขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร

ระวังมันหลอก  พาบอลหนี  และระวังการเปิดจากเท้าซ้ายมหัศจรรย์ของมัน

โป้งทำท่ายึกยักอยู่สักครู่ แต่ตั้มไม่หลงทาง

แล้วโป้งก็ทำท่าจะโยนด้วยเท้าซ้ายถัด.. ซึ่งตั้มระวังจังหวะของเท้าข้างนั้นไว้แต่แรกแล้ว จึงเตรียมจะป้องกัน..

แต่ทว่า...

ตั้มประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น...

"อะไรวะ.." เขาเผลออุทานออกมา

 

โค้ชป้อมถึงกับอมยิ้มกับสิ่งที่ได้เห็น..

ที่จริงก็ไม่แปลกอะไรหรอก...

นักเตะเก่งๆก็ทำได้ทั้งนั้น  แต่ต้องชมกานต์ที่มีความสามารถในการฝึกฝน  เพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น  เขาก็สามารถทำให้โป้งกลายเป็นคนที่ยากจะรับมือไปเสียแล้ว

แล้วป้อมเพชรเกิดความคิดขึ้นในหัว  แผ่นการโจมตีใหม่...

 

พอโป้งกลับมาเป็นตัวจริงนัดแรก  แม้จะเจอกับโรงเรียนที่ค่อนข้างแข็ง  แต่ก็สามารถเอาชนะไปได้อย่างขาดลอย สองประตูต่อศูนย์  และยังชนะอีกนัดสองประตูต่อหนึ่งเมื่อเจอกับอีกหนึ่งทีมที่เป็นโรงเรียนมี ชื่อดังด้านฟุตบอล

นัดต่อมา โป้งจึงได้เล่นแค่ครึ่งเดียวก็ถูกเปลี่ยนออก แล้วโค้ชก็ส่งฉัตรก็ลงไปแทน

โป้งมองฉัตรเล่น  ฉัตรเป็นผู้เล่นเท้าซ้าย  จึงมีจังหวะที่คล้ายเขามาก  แต่ฉัตรมีทักษะน้อยกว่าและยังต้องอาศัยการเรียนรู้ในจังหวะการเปิดบอลอีก มาก

โป้งตั้งใจว่าเขาจะต้องถ่ายทอดวิชาให้ฉัตรให้มากที่สุด เพื่อให้ฉัตรสามารถทดแทนตำแหน่งกับเขาได้

และเมื่อจบเกมนวสาครก็ชนะไปแบบไม่ยากนัก สามประตูต่อศูนย์

แล้วนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มก็ยิ่งไม่ต้องเน้นอะไร  เพราะยังไงทีมของโป้งก็เข้ารอบ แน่นอนแล้วเพียงแต่ต้องทำประตูให้ได้มากๆเพื่อเข้าเป็นที่หนึ่งของสายโดยไม่ ต้องลุ้น

และก็จบลงด้วยสกอร์ ห้าต่อศูนย์

โดยปอทำแฮตทริกได้ตั้งแต่ครึ่งแรกด้วยการการสนับสนุนและประเคนลูกบอลใส่พานให้จากโป้ง

 

แต่พอมาก็มาถึงรอบรองชนะเลิศ  ซึ่งโรงเรียนนวสาคร ต้องเจอกับหนึ่งสี่จตุรเทพแห่งวงการฟุตบอลนักเรียน

เป็น การแข่งขันที่ค่อยข้างอึดอัด เพราะเป็นอีกฝ่ายตั้งเกมรับแล้วรอจังหวะสวนกลับ   กระนั้นนวสาครก็ได้ประตูชัยจากวู๊ดที่เข้าซ้ำจังหวะยิงประตูของปอแต่ผู้ รักษาประตูปัดออกมา เข้าเท้าเขาพอดี

ทำให้นวสาครเฉือนเอาชนะหนึ่งประตูต่อศูนย์

 

และแล้ววันที่สำคัญที่สุดของโป้วก็มาถึง

โป้งยืนอยู่กลางสนาม เขามองไปรอบๆ

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สนามศุภชลาสัยจึงถึงกับสั่นสะเทือนด้วยเสียงเชียร์ของกองเชียร์ทั้งนักเรียน และประชาชนที่แห่แหนกันเข้ามาดูเกมจนแน่นสนาม

เสียงคนดูดังกระหึ่มไปทั่วจนโป้งรู้สึกราวกับมีพลังคลื่นบางอย่างปะทะใบหน้าเวลาคนดูร้องเพลง

ด้านหนึ่งของอัฒจันทร์ วงโยธวาทิตของนวสาครที่พึ่งได้ตำแหน่งชนะเลิศก็ขนเครื่องดนตรีร่วมเชียร์แม้ จะเป็นขนาดย่อมแค่แตรวงงานวัด  แต่ก็ยังสร้างความหึกเหิมให้กองเชียร์ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้ที่กองเชียร์ที่ยกกระบวนกันมาแทบหมดโรงเรียนร้องเพลงมาร์ชของโรงเรียนกระหึ่มข่มขวัญกองเชียร์ฝั่งตรงข้าม

หันไปหันมา โป้งมองเห็นป้ายไฟของเหล่าแฟนคลับของโกล ของอัศวะกองหน้ารูปหล่อและของใครสักคนที่คงเป็นนักฟุตบอลของทีมคู่แข่ง

แต่มีจำนวนหนึ่ง ทำเขาก็อดนึกขำไม่ได้ เพราะมันเป็นชื่อเขาเอง..

“มีแฟนคลับด้วยนะมึง” ปอแซว

“กูเป็นนักบอลไม่ใช่ดารา...” โป้งตอบ  แต่เขาก็กล่าวต่อด้วยแนวคิดแง่บวก

“แต่ก็เอาเหอะ ถ้านั่นจะทำให้คนสนใจฟุตบอลมากขึ้น”

 

“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่านี่บอลนักเรียน” กานต์กล่าว ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่แทรกอยู่ในหมู่กองเชียร์ของทีมนวสาคร

“ก็นั่นนะสิ... ทำให้นึกถึงบรรยากาศทีมชาติเลยนะ” ชาญสนับสนุนความคิด

“คงเพราะกระแสนายโป้งกับนายโกล บวกกันหนุ่มคนนั้น วีรภัณฑ์  เพราะเขาเป็นนายแบบด้วย” คนที่กล่าวคือวีระ  เขาชี้ไปที่หนุ่มร่างสมส่วนที่ยืนบิดกายอยู่ตรงหน้ากรอบเขตโทษ แล้วกระโดดสปริงค์ตัว

“ฝีเท้าเป็นยังไง” กานต์ถาม

“ก็ดีนะ  คือเขาเป็นนักเรียนนอกพึ่งย้ายมากลับมาเมืองไทย  จากนั้นโรงเรียนนี้ก็ไปเอาตัวมาเลย  หล่อเทห์บาดใจสาวๆ  เป็นกองหลังเลยตัวสูงใหญ่ เหมาะกับการเล่นลูกกลางอากาศมาก” วีระตอบ

 

แม้นวสาครจะเป็นแชมป์ในรุ่นสิบหกปีในปีที่แล้ว  แต่ทีมคู่แข่งคือโรงเรียนเอกชนชื่อดังนี้เป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพลูกหนังนักเรียน ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และยังเป็นแชมป์รายการในรุ่น18ปีในปีที่แล้ว  เท่ากับนี่คือการป้องกันแชมป์

“นวสาคร  ทีมนี้ประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” วิรภัณฑ์ หรือที่เพื่อนเรียกขานตามชื่อเล่นแพท นึกถึงสิ่งโค้ชบอกกำชับก่อนลงสนาม เขามองไปที่ปอ โป้งและอัศวะที่ยืนคุยกันอยู่ ระหว่างรอผู้ตัดสิน

“แพทนายต้องระวังคู่ศูนย์หน้าให้ดี  ปรเมศวร์  นายคนนี้ยิงหนักยิงแรง  ส่วนอัครก็ทำประตูด้วยลูกกลางอากาศได้ดีมาก  ระวังเรื่องการประสานงานของเขาสองคนด้วย”

“ส่วนกองกลางตัวรับ  กับปีกขวา คอยประกบนายเทพพรให้ดี  นายคนนี้ทั้งเร็ว คล่อง แล้วก็ยิงประตูได้  แถมต้องระวังเรื่องทำฟาล์ว  เพราะฟรีคิกของเท้าซ้ายของนายคนนี้น่ากลัวมาก ทางที่ดีอย่าทำฟาลว์ในระยะสามสิบหลา  เพราะพวกนายก็เห็นอิทธิฤทธิ์ของเขากันแล้วไม่ใช่เหรอในตอนที่เล่นให้ U19 แล้วก็ต้องประกบให้ดีอย่างให้มีช่องโหว่ ไม่อย่างนั้นเขากระชากหนีไปยิงประตูได้แน่นอน”

แต่ที่แพทเห็นตอนนี้ เห็นโป้งไม่ได้ขยับไปประจำการด้านซ้าย  เขายืนอยู่หลังกองหน้า ตอนแรกนึกว่ามายืนคุยแล้วจะกลับไปประจำตำแหน่ง  แต่ไม่ยักใช่ เพราะตอนนี้กรรมการเอาลูกมาตั้งที่กลางสนามแล้ว

“สาม สี่ สามเหรอ” จุ๊ยกล่าวออกมาตอนมองไปในสนาม...
เขาหมายถึงแผนการเล่นที่ใช้กองหน้าสามตัว กองกลางสี่ตัว และกองหลังสามตัว

แต่เขาก็พูดได้แค่นั้น เพราะจังหวะกลองของฮ้อยเริ่มต้น  โป้งจึงเป่าแทรมแปตออกไปด้วยเสียงกังวานสดใส

เด ฟที่อยู่บนอัฒจันทน์กำลังมองวู๊ด  ตอนนี้วู๊ดกำลังหันกลับไปมองตรวจสอบตำแหน่งของเพื่อน เมื่อเห็นว่าตรงตามแผนการเล่นแล้ว เขาก็หันกลับมามองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังจะเขี่ยบอลเริ่มเล่น เพียงรอนกหวีดจากกรรมการเท่านั้น

สู้ๆนะ วู๊ด.. อย่าลืมสัญญาที่จะเอาเหรียญชนะเลิศมาฝาก เดฟฝากคำพูดนั้นไปในสายลม

 

กรรมการกดปรับนาฬิกา  แล้วก็ยกมือขึ้น  แล้วเป่านกหวีดสัญญาณเริ่มการแข่งขัน

นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยที่ถือเป็นความใฝ่ฝันของนักฟุตบอลโรงเรียนแทบทุกคนเริ่มต้นขึ้น...

“สู้” โป้งเรียกกำลังใจตัวเองแล้ววิ่งออกไป

 

ผู้ชมบนอัฒจันทน์ทุกด้านร้องออกมาแทบจะทุกๆห้านาที เพราะการเปิดเกมรุกเข้าใส่กันอย่างไม่ปรานีปราศรัยของทีมอดีตแชม์ทั้งสองทีม

โค้ชของทีมโรงเรียนเอกชนถึงกับต้องขมวดคิ้วเพราะแผนที่เขาวางไว้ผิดพลาดไปนิดหน่อย

นายเทพพรเล่นตรงกลาง  เป็นตัวสนับสนุนและบงการเกมรุกของทีมแทนที่จะเป็นด้านซ้าย  ดังนั้นการยืนตำแหน่งของโป้งทำให้การประกบตัวผู้เล่นที่เขาวางไว้เป็นได้ อย่างยากลำบาก

เขาถึงขนาดต้องเรียกกัปตันทีมมากบอกแผนสำรองเพื่อปรับกระบวนทัพรับมือ

พอสั่งเสร็จเขาหันไปมองหน้าโค้ชป้อม

สมแล้วหละที่เป็นนายป้อมเพชร ... เปลี่ยนแผนในนัดชิง...

 

เกมการแข่งขันดำเนินต่ออย่างสนุกสนาน  แม้จะยังไม่มีประตู  ทำให้เวลาผ่านไปรวดเร็วเหมือนติดปีกบิน

ป้อมเพชรยืนกอดอกอยู่ข้างสนามหันไปมองสกอร์บอร์ด แสดงเวลาว่าผ่านไปแล้วสี่สิบนาทีในครึ่งแรก..

หันกลับมา  ตอนนี้โรงเรียนของเขากำลังตั้งรับลูกเตะมุม

โกลสั่งให้เพื่อนยืนตำแหน่งให้ถูกต้อง แล้วเขาก็กลับมาสนใจลูกบอลที่ยังอยู่ในจุดเตะมุม

กรรมการเป่านกหวีดให้เริ่มเตะได้  ตัวหลักในการเตะลูกนิ่งของทีมโรงเรียนเอกชนก็โยนลูกเข้าไป

ลูกสูตร..

โกลอ่านทางได้  เพราะลูกที่ลอยมามันเบาและสั้นเกินไป เกินกว่าจะเป็นการเตะมุมปกติ

แล้วก็จริงๆ มีตัวผู้เล่นฝั่งตรงเข้าข้ามโหม่งเสยให้ลูกลอยขึ้น และเปลี่ยนทิศทาง

แต่ตาของโกลมองอยู่ที่บอลตลอด ดังนั้นเมื่อลูกบอลลอยมาถึงหน้าประตู  เขาจึงกระโดดขึ้นรับลูกบอลได้ติดมือ

แต่ฉับพลันก็ร่างของโกลก็ถูกกระแทก  เขาร่วงลงมาแบบเสียหลัก  แต่ไม่ยอมจะให้ลูกหลุดมือไป

แม้จะล้มลง โกลกระแทกพื้นแต่เขาก็ยังตามไปคว้าลูกบอลที่หลุดออกจากมือไปแล้วกลับมากอดไว้แน่น

นกหวีดเป็นสัญญาณว่ามีการทำฟาล์วในเขตผู้รักษาประตู

ร่างกายของโกลแข็งแกร่งมาก  การกระแทกกับเขาจึงทำให้ผู้ที่โถมเข้ากระแทกตกลงมาอย่างแรงไม่แพ้กัน

“ตายแล้วพี่แพท” แฟนคลับรายหนึ่งร้องออกมา

“ไม่ตายสักหน่อย” อีกคนว่า

“อย่าแช่งพี่แพทสิ”

แพทรู้สึกจุกมากกว่าจะเจ็บจริงๆ  เขาค่อยๆยันกายขึ้น

แล้วก็เห็นมือหนึ่งยืนมาให้จับ  มือนั้นสวมถุงมือด้วย..

พอเงยหน้าขึ้นไป  จึงได้เห็นใบหน้าที่มีความคมคายและหล่อเหล่าอยู่ในที กำลังมองลงมาด้วยแววตาที่เป็นมิตร

“เป็นอะไรรึเปล่า”เจ้าของมือถาม

แพทถึงกับเงียบงัน  จนกระทั้งได้ยินเสียงเพื่อนร่วมทีมเดินมาถาม

“เป็นอะไรไหมแพท”

แพทจึงรู้สึกตัวแล้วก็จับมือที่ยืนลงมาของผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้าม

“ขอบใจ” เขากล่าว

โกลพยักหน้า แล้วเขาก็หันหลังเอาลูกไปตั้งเพื่อจะเตะออกจากเขตประตู

แพทวิ่งออกมาเพื่อจะถอยไปตั้งรับ

แต่ไม่วายจะหันกลับไปมอง..

“What a nice looking guy” เขากล่าวออกมาบนรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 23-12-2015 08:26:21
ตอนที่ 29 ตัดสิน.. โป้งพลิกเกมด้วย...?


หมดครึ่งแรกไปด้วยการเสมอกันศูนย์ต่อศูนย์  นักเตะก็เดินกลับเข้าอุโมงค์ไป

 
ในห้องแต่งต้วทั้งสองทีมคงมีการประชุมแผนกันเครียดมาก

แต่บนอัฒจันทร์เป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง เพราะอึกทึกไปด้วยเสียงเชียร์ของทั้งสองทีมและเหล่าแฟนคลับของนักฟุตบอล

แต่อยู่ๆก็เริ่มเบาลง เพื่อเหล่าผู้ชมได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากกองเชียร์ฝั่งนวสาคร

จุ๊ยนึกสนุกเอาแซกโซโฟนเทนเนอร์ของเขามาประกอบ  แล้วเล่นเพื่อกล่อมกองเชียร์ของตัวเอง  มีหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งมาเป่าแทมเปต ฮ้อยก็เล่นกลองทอมกำกับจังหวะให้ โดยมีอ๊อดอีกหนึ่งเพื่อนสนิทของจุ๊ยมาเคาะแทมโปลิน

 

กานต์ที่อยู่ใกล้ๆได้ยินเสียงแซกโซโฟนที่เป่าเป็นเพลงบรรเลงสนุกสนานอย่างชัดเจน

“เออดี  เชียร์บอลดี มีดนตรีเยี่ยมให้ฟังด้วย”

“เอ... เด็กคนนี้ที่ชนะเลิศแข่งขันดนตรีนักเรียน  ชื่ออะไรน๊า...” ชาญที่มีงานอดิเรกเป็นดนตรีนึกได้

“นทีธาร .. ใช่แล้ว นทีธาร”

“ฝีเท้าเป็นไง” กานต์หันมาถามวีระ  เพราะตลอดการแข่งขัน  วีระคอยให้ข้อมูลเด็กแต่ละคนไม่ขาด

วีระทำหน้าแหย่ๆ

“เขาเป็นนักดนตรีนะพี่ ไม่ใช่นักบอล”

กานต์หัวเราะ  แต่เดี่ยวก็กลับไปตั้งใจฟังนายนทีธารเล่นแซกโซโฟนต่อ

 

ครึ่งหลังเริ่มขึ้นโดยสองทีมไม่มีการปรับตำแหน่งตัวผู้เล่น  ทั้งสองทีมจึงยังเล่นกันในจังหวะเดิมคือโจมตีเข้าใส่กันอย่างแลกหมัด

จนเวลาผ่านไปราวยี่สิบนาทีของครึ่งหลัง

แล้วก็กลายเป็นจังหวะของนวสาคร

วู๊ดเห็นโยธินวิ่งทำทางไปที่ปีกขวา  เขาก็เลยจ่ายเรียดไปให้

โยธินพาลูกหนีตัวประกบตัวแรก  แต่ไปติดตัวประกบตัวที่สอง  ที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เขาก็เลยเตะลูกบอลจ่ายย้อนหลังกลับไปให้วู๊ด

วู๊ดมองไปมองมาก็เตะตรงๆไปให้โป้งที่ยืนอยู่

“เอาสิวะโป้ง  แสดงอาวุธหน่อย” กานต์กล่าว แล้วก็จ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม

เมื่อโป้งได้ลูกบอลมาแล้ว ก็จะเลี้ยงลูกจี้เข้าหากรอบเขตประตู

แพทเป็นคนมาประกบโป้งด้วยตัวเอง เพราะตอนนี้ศูนย์หน้าที่เขาประกบตัวอยู่ วิ่งฉีกออกไปด้านข้างในลักษณะหลอกให้เขาตาม

แต่แพทอ่านเกมว่าที่นวสาครทำเพื่อให้โป้งได้มีโอกาสยิงไกล... เขาเลยตัดสินใจป้องกันโป้งด้วยตัวเอง

จังหวะขาของโป้งนั้นรวดเร็วมาก แพทไม่เคยเจอใครคล่องแคล่วเท่านี้

ขืนเขารีบร้อนสกัด  มีหวังโดนล๊อกหลบ พาลูกหนีไป

เขาจึงใช้การบังทางวิ่งของโป้ง ด้วยรูปร่างที่ใหญ่โตกว่า

เท้าซ้ายนั่น.. ต้องระวัง แพทเตือนตัวเอง

ในจังหวะนั้น เหมือนโป้งจะขยับจะเตะบอลด้วยเท้าซ้ายจริงๆ  เขาวางเท้าขวาแล้วเงื้อเท้าซ้าย ต้องเป็นการยิงไกลแน่นอนที่สุด

จังหวะนี้หละ  สกัดได้แน่...

แพทขยับทันทีด้วยความเร็ว  เขาคาดหมายทิศทางของลูกที่จะออกไป เพื่อจะพุ่งตัวไปบล็อกการยิงประตูของโป้ง

รูปแบบนี้หากเป็นเท้าซ้าย  ต้องยิงไปด้านขวาแน่นอน

แต่โป้งไม่ได้เตะลูก  เขากลับยั้งเท้าไว้ แล้วเหยียบเท้าซ้ายลงเป็นหลัก... จากนั้นใช้เท้าขวาเตะบอลกระแทกไปใต้ลูกให้มันลอยขึ้น

แพทเห็นการเคลื่อนไหวนั้น.. แต่เขาไม่สามาถทำอะไรได้อีกแล้ว  ได้แต่ขืนตัวไว้ แล้วมองลูกลอยผ่านไปทางซ้าย...

ลูกบอลลอยมาในเขตโทษ ปอวิ่งมาในตำแหน่งที่ลูกจะมาถึง

ทั้งหมดคือการซ้อมกันมาอย่างหนัก..

เขากระโดดขึ้นไปในอากาศแล้วสะบัดหัวโขกลูกบอลเต็มหน้าผาก ก่อนที่ผู้รักษาประตูจะเข้ามาถึงลูก

ลูกบอลเดินทางในอากาศอย่างไร้สิ่งกีดขวางมันสัมผัสกับตาข่ายข้างในประตูแล้วรูดตกลงมา...

ผู้เล่นกองหลังตามเข้าไป  เขาพยายามเตะลูกออกมา

แต่ทว่าผู้ตัดสินก็เป่าให้เป็นประตูไปแล้ว...

 

เสียงกองเชียร์ของนวสาครโห่ร้องออกมาอย่างยินดี..  ป้ายไฟชื่อโป้ง ชื่อโกล ถูกโยนทิ้งไปอย่างลืมตัวหลายต่อหลายป้ายด้วยความดีใจ

ปอวิ่งกลับมาโป้งแล้วกระโดดกอดจนล้มลุกคลานกันไปทั้งคู่ แล้วเพื่อนก็กรูกันเข้ามาแสดงความยินดีให้สมกับการรอคอย

 

เท้าขวา... แพทมองโป้งที่กำลังวิ่งไปกับเพื่อนร่วมทีมกลับไปที่แดนของตัวเอง

“ไอ้หมอนี่... มันสุดจะบรรยายจริงๆ”

 

ก้านเพชรแม้จะสวมเผือกอ่อนก็ยังอุตส่าห์มาเชียร์ด้วย  เขาเผลอโห่ร้องไปด้วยตอนที่นวสาครได้ประตูจนกองเชียร์ที่นั่งรอบตัวซึ่งเป็น กองเชียร์ของโรงเรียนเอกชนพากันหันมามองหน้า

ตอนนี้เขาก็เลยต้องนั่งเงียบๆ  แต่ตามองโป้งที่กำลังวิ่งเยาะๆกลับไปสู่ตำแหน่งยืนของตนด้วยรอยยิ้ม

“นายมันสุดๆ โป้ง... นายชนะขีดจำกัดของตัวเองจนได้นะโป้ง”

 

เวลาครึ่งหลังใกล้จะหมดแล้ว เหลืออีกแค่ถึงไม่หนึ่งนาทีในช่วงทดเวลา แต่ทีมแชมป์เก่าก็ยังไม่ลดละความพยายาม

ส่วนนวสาครก็เริ่มเน้นการครองบอล

ตอนนั้นอัครที่ได้บอลอยู่หน้ากรอบเขตจึงพยายามดึงจังหวะ  มองเห็นโป้งยืนว่างอยู่  ก็เลยคิดว่าถ้าส่งให้โป้ง โป้งจะต้องเก็บลูกไว้ได้ดีกว่าเขาอย่างแน่นนอน

อัครก็เลยแปบอลด้วยข้างเท้าเรียดพื้นไปหา

ทว่าเขาก็ต้องใจหาย

ผู้เล่นกองหลังตัวกลางของฝ่ายตรงข้าม  อาศัยช่วงที่ขายาวมาดักลูกไว้ได้ก่อนจะถึงโป้ง

แพทหยุดลูกไว้ได้ ก็เตะโยนขึ้นหน้าไปให้เพื่อนที่อยู่แดนหน้า

ฝ่ายโกลเห็นดังนั้น เขาจึงเตรียมพร้อม

เมื่อศูนย์หน้าฝั่งตรงข้ามเข้ามาในระยะอันตราย ตั้มที่มายืนเป็นหนึ่งในกองหลังสามตัวก็วิ่งออกไป

เขาพยายามจะสไลด์ตัวสกัดกั่นการเลี้ยงของกองหน้าของคู่ต่อสู้  แต่กองหน้าของคู่ต่อสู้จ่ายบอลหนีไปเสียก่อน

โชคยังดีที่ตั้มไม่โถมเข้าทั้งตัวเขาจึงยั้งตัวได้ทันแล้วรีบพลิกตัววิ่งกลับไป

ปีกซ้ายของโรงเรียนเอกชนชื่อดัง เป็นอดีตตัวผู้เล่น U19ของทีมชาติ  แต่ปีนี้หลุดจากทีมไปเพราะการเข้ามาของโป้ง

เขารับได้ลูกอย่างนิ่มนวล แล้ววิ่งเร็วจี่เข้าไปในตำแหน่งที่ตั้มละทิ้งไป

ได้ระยะ มีแค่ผู้รักษาประตูเท้าที่นั้นที่ขวางทาง  เขาสับจึงเท้ายิง..

แต่ตั้มตามกลับมาทัน เขายื่นขาออกไปหวังจะให้โดนลูกเพื่อสกัดกั่น

แล้วก็โดนจริงๆ

แต่นั่นไม่ดีสำหรับโกล  เพราะเขาถลันตัวไปเพื่อจะป้องกันลูกที่พุ่งมาเสียแล้ว

การสกัดของตั้ม ทำให้ลูกยิงนั้นแฉลบขาของตั้มเปลี่ยนทาง...

โกลไปผิดทาง..

ลูกบอลมุ่งไปหาประตู  ตกกระดอนพื้นหนึ่งจังหวะ แต่ก็ยังมุ่งไปทางประตูที่ไม่มีการป้องกัน

แต่ก่อนที่มันข้ามเส้นไป..

ฝ่ามือใหญ่ขวางทางแล้วผลักลูกบอลออกไปจากปากประตู.. โกลพลิกตัวกลับมาป้องกันได้ทัน แต่ก็ต้องล้มตัวไปสุดแขน

ในจังหวะโกลล้มอยู่  แต่ตัวผู้เส่นฝ่ายตรงข้ามไม่ปล่อยให้ลูกบอลที่กลิ้งออกมาเสียเปล่า

แล้วศูนย์หน้าของฝ่ายตรงข้ามก็ถึงบอล ด้วยการเหยียดขาไป  แต่เพราะไม่มีจังหวะจึงกลายเป็นการเตะอย่างแผ่วเบา

กระนั้นลูกบอลที่โดนสัมผัสนั้นก็กลิ้งไปหาปากประตูอีกครั้ง... และกำลังจะข้ามเส้นประตูเข้าไป

ทันใดนั้น..

จอมพุ่งเข้ากวาดเท้าขวางทางลูกเอาไว้ แล้วพยายามดันให้ลูกออกมา

โกลที่ลุกขึ้นได้ก็ตามมาตะปบบอลเสียก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามเข้าถึงลูกอีกครั้ง

“เข้าแล้วอาจารย์ มันเข้าไปแล้ว” ศูนย์หน้าลูกขึ้นวิ่งไปหากรรมการ

แล้วผู้เล่นคนอื่นๆก็ตามเข้าไปประท้วงด้วย

แต่วู๊ดยกมือห้ามลูกทีมของตนไว้เพราะกลัวจะเป็นการไปปะทะกัน  แต่ตัวเองก็เดินเข้าไปเพื่อรอฟังผลการตัดสิน

โกลที่กอดลูกอยู่ก็ลุกขึ้นแต่ไม่เดินไปไหน  ยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม

กรรมการเดินไปโดยไม่ใส่ใจเสียงประท้วง  แถมเขายังทำท่าล้วงกระเป๋าด้วยเพื่อปรามว่าใครเข้ามาใกล้อีกจะให้ใบเหลือง

ผู้เล่นที่ตามมาประท้วงจึงต้องหยุด  ปล่อยให้กรรมการเดินไปหาผู้กำกับเส้น

สำหรับแพทนี่คือเวลาตัดสิน... เพราะถ้าได้ลูกนี้จริงๆคือการต่อชีวิต เพราะช่วงทดเวลาบาดเจ็บนั้นคงหมดไปแล้ว

โป้งมองผู้กำกับเส้นกับผู้ตัดสินสนทนากัน  เขาใจระทึก  ตอนนี้เขาเดินมาถึงหน้าประตูเพื่อมาหาโกล

พอโกลได้เห็นหน้าโป้ง เขาก็เอามือข้างหนึ่งจับมือโป้งไว้  โป้งสบตาแล้วก็กุมมือข้างนั้นไว้...

ทั้งสองกำมือกันและกัน  แล้วหันไปมองผู้ตัดสินกับผู้กำกับเส้นคุยกัน

เมื่อเห็นว่าผู้ตัดสินได้ขอสรุป และหันกลับมา

ทั้งสองจึงยิ่งกำมือกันแน่นเพื่อให้กำลังใจกันและกัน

แล้วผู้ตัดสินก็เป่านกหวีดแล้วให้สัญญาณว่าไม่เป็นประตู...

แล้วก็ส่งสัญญาณให้โกลเล่นต่อไป

ผู้เล่นทีมโรงเรียนเอกชนแม้จะผิดหวัง  แต่ด้วยหัวใจของนักกีฬาก็เลยจำยอมรับการตัดสิน  แล้ววิ่งกลับไปในแดนตัวเอง

เช่นกันกับทีมนวสาครที่รีบวิ่งกลับไปประจำตำแหน่ง

โป้งปล่อยมือโกล  แล้วกิวิ่งตามเพื่อนๆไป

โกลมองซ้ายมองขวา  แล้วเตะโยนลูกไปข้างหน้า เตะโด่งออกไปในทิศที่โป้งยืนอยู่

โป้งมองลูกลอยโด่งมาในอากาศ เขาคิดจะกระโดดพักอก

แต่นกหวีดยาวก็ดังขึ้น... หมดเวลาการแข่งขัน..

ลูกบอลตกถึงพื้นก็กระดอนไป  เพราะตอนนี้โป้งได้ทอดทิ้งมันไปเสียแล้ว

เขาวิ่งย้อนกลับไปเพื่อไปหาจอมนายกองหลังตัวกลาง ผู้ช่วยโกลสกัดลูกออกมาในจังหวะสุดท้าย...

จอมเห็นโป้งวิ่งเข้ามา แถมชี้นิ้วมาที่เขาด้วยใบหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าดีใจ  เขาก็เลยกางมือออกเพื่อรับการกระโดดกอดของโป้ง

แล้วทั้งคู่ก็กอดคอกันยืนชูมือหันไปหาอัฒจันทน์ฝั่งที่กองเชียร์นวสาคร  กองเชียร์ก็พร้อมใจกันโห่ร้อง...สดุดี..

ให้แก่ผู้ป้องกันจังหวะสุดท้ายที่นำมาซึ่งชัยชนะ...

วันนี้ไอ้จอมขอเป็นฮีโร่...

 

กานต์ที่อยู่บนอัฒจันทร์มองลงไปอย่างรู้สึกภาคภูมิใจ

“พี่ฤทธิ์ พี่ดูอยู่ไหม... ไอ้โป้งของพี่มันเก่งขึ้นอีกแล้วนะ...”

 

ในห้องเข้าที่เล็กเท่ารูหนู  ฤทธิ์กอดโทรศัพท์ราคาถูกแต่มีระบบดูโทรทัศน์ได้ไว้แน่น  นอนแผ่หงายบนที่นอนที่เก่าและเหลือง..

“โป้งลูกพ่อ... พ่อคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-12-2015 15:45:04
สนุกดีเราจะรอว่าเมื่อไหร่ที่โกลจะได้ทั้งตัวทั้งหัวใจโป้ง :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 24-12-2015 01:03:24
สนุกมากเลยค่ะ! ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบอ่านนิยายที่เกี่ยวกับกีฬาได้มากขนาดนี้ มาต่อไวๆนะคะ > <
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:21:35
ตอนที่ 30 ไปเที่ยวหัวหินกันเถอะ...

ถ้วยรางวัลเกียรติยศ ถูกตั้งอย่างสูงส่งบนเวทีให้สมกับเกียรติของถ้วยอันศักดิ์สิทธินี้ โดยฝ่ายอำนวยการของโรงเรียนจัดวางถ้วยเอาไว้ที่ห้องอำนวยการด้านหน้าปาก ประตูโรงเรียน  และติดป้ายประกาศเกียรติคุณให้แก่นักฟุตบอลด้านหน้าโรงเรียนอีกด้วย

พอหลังจากรายการนี้ โค้ชก็ให้นักฟุตบอลทั้งหมดได้พักผ่อนกันและกลับเข้าห้องเรียนเรียหนังสือเหมือนคนอื่นๆ

โป้งกับโกลจึงได้กลับมาใช้ชีวิตแบบเด็กมัธยมปกติช่วงหนึ่ง

แต่ไม่นานนักหรอก..

โค้ชป้อมเพชรเป็นคนรับหน้าทั้งเอเจนท์ แมวมองของทีมสโมสรทั้งหลายเอาไว้หมด  เพราะเขาอยากให้โป้งกับโกลได้พัก แต่ที่สุดก็ต้องแจ้งให้ทราบ

“ตอนนี้ที่กรองให้แล้วก็มี  เอเจนท์ นายสุขี กับนายโชติ สองคนนี้คนของบริษัทตัวแทนที่มีชื่อทั้งคู่ และก็ได้รับใบอนุญาตถูกต้องเอเจนซี่จะช่วยพวกนายสองคนในการเจรจากับสโมสร ต่างๆได้  ดีกว่าเธอไปเจรจากันเอง  เพราะพวกเขาเป็นมืออาชีพ  แต่ก็ต้องมีค่านายหน้าอยู่แล้ว  แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก ถ้าหากเทียบกับผลประโยชน์ที่นายจะได้รับ  แล้วก็การดูแลจากพวกเขา  การมีตัวแทนเนี่ยในต่างประเทศก็เป็นเรื่องปกติ” อาจารย์ป้อมเพชรอธิบาย

“ส่วนถ้าจะไปเข้าสโมสรโดยตรง  อันนี้ฉันไม่ค่อยสนับสนุนนะ เพราะส่วนใหญ่จะเสียเปรียบเรื่องสัญญา  อย่างที่หลายคนเป็นอยู่ตอนนี้  นี่เป็นรายละเอียดของสองบริษัท ลองเอาไปปรึกษากันดู”

โป้งกับโกลมองหน้ากัน

“คือโค้ชครับ เราก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ แล้วโค้ชว่าสองคนนี้ใครดีกว่ากัน” โกลเป็นคนกล่าวตอบ

ป้อมเพชรถอนหายใจ

“จริงๆฉันก็รู้จักทั้งสองคนนั้นหละ  แต่ส่วนตัวฉันว่านายสองคนควรจะได้คุยกับสุขี  ฉันว่าเขาโอเคกว่าคนอื่น”

 

สุขีเป็นเคยเป็นนักฟุตบอลแต่เพราะอาการบาดเจ็บทำให้ที่สุดก็เลิกเล่นไป

วันนี้สุขีถือเป็นวันที่เขาสุขีสมชื่อเพราะ โทรศัพท์จากพี่ป้อมที่เขานับถือมาถึงในตอนสายๆ

“ครับพี่  ขอบคุณครับ”

สุขีถึงกับลิงโลดแล้วก็รีบโทรไปแจ้งข่าวดีแก่บริษัท

 

“ก็ตามนี้ พี่จะดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับผลประโยชน์ให้  ซึ่งน้องสองคนไม่ต้องห่วงหรอกนะ” สุขีเล่ารายละเอียดให้ฟัง  โดยมีโค้ชป้อมนั่ง

“อันนี้พี่ป้อมไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำให้เด็กของพี่เสียหายแน่นอน  ผมเอาหัวเป็นประกัน” สุขีหันมากล่าวกับป้อมเพชร

ตอนนี้โป้งกับโกลกำลังอ่านหนังสือสัญญากัน ส่วนใหญ่จะเป็นภาษากฎหมายที่ทั้งคู่ไม่เข้าใจ

“ผมขอเอาไปให้ทนายของพ่อดูก่อนได้ไหม.. แล้วเราค่อยเซนต์” โกลกล่าว

โป้งก็มองหน้าเขาเหมือนจะถามลักษณะเดียวกัน

“ได้  ตามสบาย  นี่พี่ก็เตรียมมาให้อ่านเหมือนกัน ไม่ใช่เซนต์เลย  แต่ก็เก็บกันดีๆอย่างให้ยับนะ  เพราะเราจะเซ็นกันด้วยสัญญาฉบับนี้เลย  จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย”

 

ภาพข่าวของโป้งกับโกลปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์กีฬาหนึ่งวันหลังจากที่มีการเซ็นสัญญา  นั่นทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างใหญ่หลวงในวงการฟุตบอลอาชีพ  ตอนนี้เด็กหนุ่มคงไม่รู้ตัวกันว่า เบื้องหลังสโมสรทั้งหลายนั้นวิ่งกันแข่งกันประมูลราคาอุตลุด เพื่อจะให้ได้ตัวโป้งกับโกลไปร่วมทีมในปีหน้า

แต่ สำหรับเด็กหนุ่มทั้งสอง ชีวิตทุกอย่างยังดูเป็นปกติ  พวกเขายังคงวิ่งออกกำลังในตอนเช้า  เรียนหนังสือ ไปซ้อมเบาๆกับเพื่อนร่วมทีมตามโปรแกรมของโค้ชป้อม

พวกเขายังคงเป็นเด็กนักเรียนธรรมดาเท่านั้น..

 

โป้งเอากระเป๋าสะพายขึ้นหลัง แล้วก็รอให้โกลสวมหมวกกันน๊อกให้ จากนั้นก็ขึ้นซ้อนท้าย

“ตกลงไปหัวหินแน่นะ” โป้งเปิดหน้ากากถาม

“เออ.. ก็มึงอยากไปไม่ใช่เหรอ”

“แต่มึงอยากไปกาญจน์นี่  ไปกาญจน์ก็ได้นะ”

โกลเอนตัวเอี่ยวหัว เอาด้านหลังของหมวกกันน๊อกโขกกับหมวกของโป้ง

“กูไปไหนก็ได้ที่มีมึงโป้ง.. ไม่ว่าที่ไหน.. ไม่ต้องเรื่องมาก กูตัดสินใจไปแล้ว”

แล้วโกลเร่งเครื่องพารถออกไป

โป้งปิดหน้ากาก แล้วเขามองแผ่นหลังของโกล  แผ่นหลังที่แข็งแกร่ง...

นึกไปถึงวันแรกที่เจอกัน  เขาก็ซ้อนท้ายอย่างนี้  ตอนนั้นเขานั่งเกร็งเลยทีเดียว

ตอนนั้นโกลเป็นคนที่เงียบขรึม ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

แต่ผ่านเวลาไปแล้ว  โกลกลายเป็นคนละคน  เขาเป็นคนร่าเริงและยิ้มง่ายมากขึ้น จนแม้เพื่อนร่วมทีมคนอื่นก็บอกว่าโกลเปลี่ยนไป...

 เพราะอะไรหนอ..

แต่ความรู้สึกของโป้งก็เช่นกัน ...

ความรู้สึกเมื่อตอนซ้อนท้ายครั้งแรกมันหายไปแล้ว...

ตอนนี้สำหรับโป้งแล้ว

ตอนนี้เขาอยากจะทำสิ่งหนึ่ง...

โกลมองตรงไปข้างหน้าอย่างมีสมาธิ

แล้วเขาก็สัมผัสถึงมือจับมาที่เอว และร่างที่กระชับเข้ามา

ใต้หมวกกันน๊อกสีดำสนิท โกลยิ้มออกอย่างชื่นอกชื่นใจ...

นับจากวันแรกที่เจอกัน... โลกของโกลก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง..  เมื่อก่อนโกลรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกแยก  ทั้งเรื่องที่เขาเป็นเด็กที่เกิดมาด้วยวิธีการที่แตกต่าง  การที่มีครอบครัวที่พิสดาร และความรู้สึกที่มีต่อเพศเดียวกัน

แต่เมื่ออยู่กับโป้ง นายโลกสวยแต่บ้าบอลคนนี้  โป้งจะคอยชี้แง่มุมดีๆเสมอ แม้เรื่องราวจะเลวร้ายแค่ไหน..

มุมมองต่อโลกของโกลเปลี่ยนไป.. 

โลกของเขาที่ผ่านมาสิบเจ็ดปี หรูหรา และแสนแพงระยับ.. แต่มันไม่เคยงดงามเท่านี้

ตอนนี้แม้แต่ถนนที่โกลมองตรงไปก็ยังดูสดใส แสงแดดในยามเช้าก็แสนอบอุ่น สายลมที่ปะทะที่ปะทะก็พาใจแช่มชื่น..

ทุกอย่างดูงดงามขึ้นอย่างมาก... มากเหลือเกิน

เขาก็ไม่รู้หรอกว่าโป้งกับเขาจะอยู่ด้วยกันแบบนี้นานแค่ไหน.. เขาแค่ขอเก็บเกี่ยวความรู้สึกดีๆที่ได้รับจากนายไซด์โป้งคนนี้ให้มาก และนานที่สุดเท่านั้นเอง...

 

โรงแรมขนาดเล็กแต่สวยงามริมหาดเขาตะเกียบนี้เป็นของพรรณพงศ์ พ่อของโกล  ดังนั้นบรรดาพนักงานโรงแรมต่างมีอาการตื่นเต้นที่อยู่ดีๆ โกลเดินเข้ามาในล๊อบบี้

“คุณโกลจะพักใช่ไหมครับ” หัวหน้าพนักงานต้อนรับเดินเข้ามาถาม

“ใช่สองคืนนะครับ” โกลกล่าวอย่างสุภาพ

“ห้องตรงหน้าหาดมีไหมครับ”

“มีครับ.. แต่” หัวหน้าพนักงานต้อนรับมีท่าทีลังเล

แต่เขาก็ตัดใจตอบ

“ได้ครับ  ผมจัดการให้”

แล้วเขาก็หันมองหน้าโป้งที่ทำหน้าเหมือนตื่นๆสถานที่

 

สองหนุ่มเดินไปแล้ว

พนักงานสาวที่ยืนเคาร์เตอร์ก็กระซิบกับพนักงานเกย์สาว

“นั้นใช่คนที่ยิงประตูทีมญี่ปุ่นไหม” เธอถาม

เกย์สาวพยักหน้ามั่นใจ แม้เธอจะมีบุคลิกในแบบที่ไม่น่าจะเป็นแฟนฟุตบอลได้  แต่เธอก็ชอบกีฬานี้เป็นการส่วนตัว

เพศสภาพไม่ได้มีผลต่อความสนใจส่วนบุคคลแต่อย่างไร

“ใช่แน่นอน  ก็เขาอยู่โรงเรียนเดียวกับคุณโกล อยู่ทีมเดียวกัน  นี่ก็พึ่งได้แชมป์ถ้วย ก.”

“หล่อเหมือนกันเนอะ.. หน้าน่ารักดี  ดูใสๆเด็กๆ” พนักงานสาวกล่าวด้วยนัยน์ตาชวนฝัน

“แต่ เห็นอย่างนี้ เท้าซ้ายแน่นอนมาก  ปั่นโค้งได้อย่างกับหนังการ์ตูนเลยนะแก...  วิ่งก็อย่างกับติดจรวด.. “ เกย์สาวกล่าวด้วยแววตาเดียวกัน

 

โรงแรมใหญ่ริมหาดที่เดฟกับวู๊ดเข้าพักนั้นมองเห็นได้ไกลสุดสายตา และยังมองเห็นเขาตะเกียบได้ด้วย

“นั่นโรงแรมของพ่อไอ้โกล” เดฟชี้ลงไป

วู๊ดหันมามองหน้าเดฟ  แววตากังวล

“ทำไม กลัวเขาจะมาเจอเราเหรอ  ไม่หรอก... ฉันเช็คไปแล้ว  เขาบอกว่าโกลไม่ได้บอกว่าจะมา” เดฟกล่าว

วู๊ดจึงมีท่าทีสบายใจขึ้น

“ไม่ต้องห่วง  ฉันก็กลัวว่าความสัมพันธ์ของเราจะกระทบกับบทบาทของนายในทีม.. เป็นกัปตันทีมนี่ก็ต้องเป็นที่นับถือใช่ไหมหละ  ฉันคอยระวังตลอดนั้นหละ”

วู๊ดถอนหายใจ... ทำไมหนอ... ชีวิตของเขาถึงได้ยากเย็นกว่าคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง..

เดฟเหมือนจะอ่านใจได้  เขาเอามือมาโอบเอววู๊ดไว้

“ถ้าไม่พร้อมจะบอกใคร  บางทีนี่หละ คือทางเลือกของเรา... แต่นายไม่ต้องกลัว  ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้นายเสมอ ในทุกเรื่อง”

วู๊ดหันมาสบตาเดฟ

“ไปเหอะ  ไปหาอะไรกินกัน.. ฉันเรียกรถโรงแรมไว้แล้ว” แล้วเดฟก็จับมือวู๊ดแล้วจูงออกมา

 

โป้งเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดหลวมๆ  ยืนกระสับกระส่ายรอโกลอยู่ในห้อง

“เร็วสิมึง.. กูอยากเล่นน้ำจะแย่แล้ว..”

“ไอ้หอกมาถึงก็อยากเล่นน้ำเลยนะ.. นี่มันบ่าย ลงไปก็ตัวดำพอดี” โกลตอบเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมา

“อย่างกับตอนนี้ขาวตายห่าละ เรามันก็ดำกันอยู่แล้วนี่  ไม่ดำไปกว่านี้หรอกน่า” โป้งตอบ แล้วเขาก็เริ่มต้นเต้นกระโดด

“เร็วๆเด่ เร็วๆ เร็วๆ”

 

โป้งนั่งหันหลังให้โกลที่กำลังชโลมครีมกันแดดให้

“เร็วๆดิ.. กูอยากลงน้ำ”

“มึงเป็นปลาหรือไงวะ  เห็นน้ำก็อยากจะลง  เอ้าเสร็จแล้ว”

โป้งทำท่าจะลุก

“เดี่ยวทาให้กูด้วยสิ..มึงนี่เอาเปรียบหรือไง”

โป้งทำหน้าบู้ตู้ แต่ก็นั่งลงรับขวดมา

เขาเทครีมลงในสองมือแล้วฟาดป๊าบลงไปบนหลังของโกล

“ไอ้สัตว์ เบาๆหลังคนไม่ใช่กระดาน ฟาดมาได้เจ็บเว้ย” โกลร้องเสียงหลงแถมด่าด้วย

โป้งก็เลยยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วแกล้งลูบไล้อย่างแผ่วเบา แต่เน้นอารมณ์

“แบบนั้นก็ไม่เอามันเสียว... เดี่ยวกูก็ปล้ำแม่งซะหน้าหาดนี่หรอก”

“อะไรว้า แรงก็ด่า เบาก็บ่น”

“มึงก็ทาดีๆ  ทาแบบทาครีมให้ตัวเองเอง ไม่ต้องตี ไม่ต้องลูบไล้ เป็นไหมไอ้โป้ง”

ผู้จัดการโรงแรมมายืนกอดอกมองสองหนุ่มหยอกกันอย่างสนุก แต่เขาก็ถอนหายใจออกมา

“คุณผู้หญิงเธอบอกว่าไม่เป็นไรครับ.. ยังไงเธอก็จะมา  เพราะเธอไม่ได้เจอคุณโกลนานแล้วเหมือนกัน” หัวหน้าพนักงานต้อนรับมารายงาน

ชายหนุ่มถอนหายใจ

มันเลี่ยงไม่ได้นี่นะ  แต่ถ้าเลี่ยงได้เขาก็ไม่อยากให้สองแม่ลูกมาเผชิญหน้ากัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าแขกของคุณโกล..

แต่อย่างหนึ่งที่ไม่อยากมากสุดคือ.. หวังว่าคุณพรรณพงศ์จะไม่มาด้วยอีกคนหรอกนะ

 

โป้งเล่นน้ำทะเลจนพอใจแล้วก็มานั่งพักอยู่ใต้ร่มชายหาด  เขาหยิบน้ำผลไม้ที่โกลสั่งดื่มรวดเดียว

“มึงนี่นอกจากเล่นบอลเก่ง แล้วยังว่ายน้ำเก่งอีกนะ” โกลกล่าว แต่ตามองทะเล

“ก็ เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกของพ่อกู เขาบอกว่าว่ายน้ำดีต่อกำลังขากำลังปอด” โป้งตอบ  แต่ตอนนี้สายตาของเขาหันไปเห็น หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินมาที่หาดจากทางโรงแรมขนาดใหญ่  พวกนั้นมีลูกฟุตบอลมาด้วย

แล้วหนุ่มๆกลุ่มนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กมหาวิทยาลัย ก็เริ่มต้นแบ่งทีมกันด้วยการโอน้อยออก

แล้วก็เริ่มเล่นกันโดยมีถึงใส่ทรายสองถังเป็นสมมุติเป็นเสาประตูทั้งสองฝั่ง

โป้งมองอย่างสนใจ

“พี่ๆพวกนี้ต้องเป็นนักบอลแน่เลยว่าไหม.. แต่ละคนดูมีทักษะฟุตบอล”

โป้งกล่าว

“น่าจะเป็นนักศึกษาพละหละมั้ง” โกลตอบ

“อยากเล่นหละสิ” โกลเดาใจโป้งได้

“เขาจะให้เล่นเหรอ..” โป้งกล่าว ทั้งตาละห้อย

จังหวะนั้นมีคนหนึ่งเตะบอลไปผิดจังหวะทำให้ลูกโด่งลอยมาในอากาศ

โกลยิ้มแล้วเขาก็พุ่งพรวดออกไป

โกลกระโดดนิดเดียวก็ตะปบลูกไว้ได้ติดมือ แล้วเขาก็เดินเข้าไปหากลุ่มรุ่นพี่ สนทนาด้วย

 

“ไอ้น้องเอาไป” ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างตันแน่นกล่าว แล้วโยนลูกลอยต่ำให้

โป้งแตะรับด้วยเท้า  พอตกพื้นก็ใช้เท้างัดใต้ลูกขึ้นให้ลอยกลับไปในทิศทางที่คนที่ส่งลูกกำลังมาวิ่งไป

หนุ่มร่างตัน ก็โหม่งกลับให้ในลักษณะนำไปข้างหน้า

โป้งกระโดดเกี่ยวลูกไว้ด้วยเท้า เหยียบดึงจังหวะไว้ เพราะเห็นฝ่ายตรงข้ามวิ่งมาหา 

เขา จับจังหวะที่ฝ่ายรับพึ่งเข้ามา  ช้อนลูกด้วยเท้าขวา งัดกระดกลูกบอลลอยข้ามหัวคนสกัดไป แล้วใช้ความเร็วและคล่องตัววิ่งอ้อมหลบมาหาลูกบอลที่พึ่งจะตกพื้น

 

“เหี้ย..” คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันแต่เป็นผู้รักษาประตูร้อง..

“เทพชัดๆ”

โกลเห็นโป้งเข้ามาใกล้ก็เตรียมพร้อม

ส่วนโป้งหันไปเห็นตัวผู้เล่นฝั่งเดียวกันว่างอยู่อีกด้าน เขาจึงเตะส่งลูกโด่งโค้งไปให้อย่างแม่นยำ

อีกฝ่ายได้ลูกไปก็พยายามยิง  แต่โกลสกัดไว้ด้วยเท้า ลูกลอยโด่งมาทางโป้ง

เขาก็ตั้งท่า แล้วกระโดดเตะหวดเตะวอลเลย์เต็มข้อ บอลพุ่งไปอย่างแรง  แต่โกลก็ยังป้องกันไว้ได้ด้วยเข่า

ลูกบอลกระทบเข่าของโกลก็กระเด้งสูงขึ้น  แต่ย้อนมาหาโป้ง

โป้งยืนมั่น แล้วโหม่งสวนไปตรงช่องว่างระหว่างเท้าของโกลกับถังทรายที่สมมุติเป็นกรอบประตู

โป้งหันไปแลบลิ้นหลอกโกล ก่อนจะวิ่งไปดีใจกับรุ่นพี่ทีมเดียวกัน

“ไอ้หอก.. ห้ามใช้มือหรอกเว้ยไม่งั้นไม่มีทางเข้า” โกลบ่นกับตัวเอง ตอนเดินไปเอาลูกกลับมาเล่น

แต่เขาก็ต้องยิ้มเมื่อมองไปที่โป้ง

โป้ง ที่ถอดเสื้อแสดงให้เห็นร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างดี  กล้ามไม่ได้ใหญ่โตแต่แน่นเปรี๊ยะ เห็นแนวกล้ามเนื้อเด่นชัด  โดยเฉพาะหน้าท้องเป็นรอนสวยงาม

เขา เริงร่าอยู่ใต้แสงอาทิตย์..  วิ่งเข้าหาลูกบอลอย่างรวดเร็วแม้บนพื้นทราย... ไม่ว่าจะที่ไหน.. โป้งกับลูกบอลก็เป็นภาพที่งดงามเสมอสำหรับโกล

“นี่มัน... ทีมชาติใช่ไหมเนี่ย.. เทพพรกับกรกฏใช่ไหม” คนหนึ่งที่นั่งดูอยู่นึกออก  หลังจากใช้ความคิดอยู่นาน

“ใช่แหง่.. เทคนิคขนาดนั้น เทพพรแน่ๆ”


โกลมองโป้งตักไข่เจียวปูมาคำใหญ่

“สงสัยกูต้องให้กรมอนามัยเขาตรวจดูแล้วไข่เจียวมันเป็นสารเสพติดรึเปล่า กูเห็นมึงกินได้ทุกวัน”

“ไม่เสพติด  แต่มันอร่อย” โป้งกล่าวแล้วเอาใส่ปากเคี้ยว..

“อร่อยจะตาย” เขากล่าวโดยยังเคี้ยวไม่หมดคำ

โกลส่ายหัว  แล้วก็หันไปหยิบกุ้งตัวโตมาแกะ

 

พอกินเสร็จสองคนก็เดินเล่นในตลาดโต้รุ่ง  แล้วก็ได้โรตีมากินกันอีกคนละอัน..  แต่ระหว่างเดินๆไป โป้งก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง

“กัปตันใช่ไหมวะ” โป้งหันไปดึงโกลให้หยุด

“ไอ้วู๊ดน่ะเหรอ” โกลถาม แล้วก็หันไปทางที่โป้งหันกลับมาชี้ให้ดู

แต่ไม่เห็นใครที่ใกล้เคียงจะเป็นวู๊ด ก็แค่นักท่องเที่ยวคนอื่่นเดินปะปนกันไป

“ไหนหละ”

โป้งงง  แต่เขามั่นใจว่าเขาเห็นแน่นอน  เขาเห็นวู๊ดเดินคู่กับชายร่างสูง ดวงหน้าผสมตะวันตก.. เดฟ...

“ไม่รู้สิ.. กูตาฝาดมั๊ง”

 
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:22:41
ตอนที่ 31 ความรักคือสิ่งที่แปลกประหลาดนะ ว่าไหม...

แม้จะเป็นเท้าเปล่าแต่โป้งก็สามารถวิ่งสับเท้าขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วจนไปถึงชั้นบนสุดที่นำไปสู่พระเจดีย์บนเขาตะเกียบ

เขาหอบนิดหน่อย หันไปโกลพึ่งจะวิ่งมาถึง

จึงทำท่าเอามือไขว้หลัง เดินไปตบบ่าโกล

“ความฟิตน้อยไปนิดนะ โกล นายต้องฝึกความฟิตให้มากกว่านี้”

โกลถอนหายใจ  แต่ก็ขำ เพราตอนนี้โป้งกำลังเลียนแบบท่าของโค้ชป้อมอยู่

“กูเป็นประตู... แค่นี้ก็ฟิตแล้ว  แต่มึงน่ะเขาเรียกฟิตเกิน”

 

โป้งกราบลงตรงหน้าแท่นบูชาพระเจดีย์ หันไปโกลยังอธิษฐานอยู่

เลยนั่งมอง

“อธิษฐานอะไรนานจัง” โป้งถามตอนโกลเงยหน้าจากอาการกราบ

โกลมองหน้าโป้ง

“ก็อธิษฐานให้เราได้อยู่ด้วยกันไปนานๆไง”

โป้งอึ้ง... ตอนนี้หน้าเขาร้อนฉ่า  หน้าแดงแน่นอน

เขาจึงกลบเกลื่อนด้วยการรีบลุก

“ไปเหอะ หิวข้าวแล้ว  ออกมาวิ่งบนทราย แถมขึ้นเขา เหนื่อยจังเลย... เดี่ยวจะกินให้เต็มที่เลย”

โกลมองตามโป้งไปด้วยรอยยิ้ม

เขาอธิษฐานเช่นนั้นจริงๆ

 

โป้งกับโกลวิ่งแข่งกันกลับมาที่โรงแรม ซึ่งแน่นอนโป้งที่ฝีเท้าจัดกว่าก็ต้องถึงก่อนแน่นอนอยู่แล้ว  แต่พอโกลวิ่งมาถึง ก็เห็นโป้งยืนนิ่งมองไปทางโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกัน

“กูว่าที่กูเห็นเมื่อคืนจะตาไม่ฝาดว่ะ โกล” โป้งกล่าว  แล้วชี้มือไป

ที่โกลเห็นคือเดฟกับกัปตันวู๊ดยืนเอาหลังพิงกันถ่ายรูปเซลฟี่อยู่ริมชายหาด

 

“เฮ้ย” เดฟนึกอะไรได้อย่างหนึ่ง แล้วก็สำรวจกระเป๋าของกางเกงยีนต์ขาสามส่วนที่ใส่

“ฉันลืมเอากระเป๋าเงินลงมา”

“เออไปเอาเร็วๆ เดี่ยวรถที่จองไว้ก็จะมาแล้วนี่” วู๊ดว่า

เดฟจึงรีบเดินกลับไปที่ตัวโรงแรม

วู๊ดถอนหายใจแล้วหันไปทางหนึ่งกะจะชมบรรยากาศตอนเช้า

แต่เขากลับต้องยืนนิ่งงัน

ห่างไปไม่กี่ก้าว... ในชุดลำลอง ไม่ใช่ชุดนักเรียนหรือชุดนักฟุตบอล..

โป้งกับโกลยืนคู่กันห่างไปไม่เกินสี่ก้าว..

 

“คงไม่ต้องอธิบายอะไรมั้ง” วู๊ดกล่าวตอนนี้เขานั่งชันเข่าบนเตียงชายหาดมองออกไปในทะเล

โป้งมองหน้ากันกับโกล

“ที่จริงเราก็ไม่ได้คิดไปไหนไกลหรอกนะ”โป้งกล่าว

“ก็แค่แปลกใจที่กัปตันมากับนายเดฟเท่านั้นเอง”

วู๊ดส่งเสียงหึในลำคอ

“มึงโลกสวยจริงๆไอ้โป้ง”

แล้วเขาก็เงียบไป

“มึงสองคน ไปถึงขั่นไหนแล้วหละ”

โป้งกับโกลถึงกับมองหน้ากัน

“คือ.. เราก็ยังเป็นแค่คู่หูกันเหมือนเดิม... “ โกลเป็นคนพูดออกมาเอง

โป้งหันมองหน้าเขา ก่อนจะหันมาหากัปตันทีม

“แต่กูกับเดฟไม่ใช่” วู๊ดกล่าวออกมาเอง

โป้งทำตาโต เขามองหน้าโกลอีกครั้งก่อนจะถามออกไปอย่างเกรงใจ

“แต่เดฟเขา..ชอบจุ๊ย...ไม่ใช่เหรอกัปตัน”

วู๊ดเงียบไปนาน

“กูเป็นกัปตันทีมใช่ไหม  ส่วนใหญ่ถ้ากูไม่เจ็บกูก็ต้องลงสนาม.. คือกูเป็นตัวจริงตลอดในสนาม”

แล้วเขาก็ทอดสายตาไปในทะเล

“แต่ ในชีวิตจริงกูเป็นตัวสำรองตลอด เป็นแค่ตัวสำรองอดทน.. สำรองที่ได้แค่ทำหน้าที่แทนตัวจริง โดยไม่อาจหวังได้เลยว่าขึ้นมาเป็นตัวจริง..” วู๊ดกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จับได้ว่าเจ็บปวด

“กู..เป็นได้แค่นั้นจริงๆสำหรับเรื่องนี้  แต่กูก็ยินดีจะเป็นนะ เพราะต่อให้เป็นสำรอง กูก็ได้อยู่กับคนที่กูรัก..”

โป้งกับโกลมองหน้ากัน..

“เฮ้ย..” เดฟร้อง

ทั้งสามนักฟุตบอลหันมามอง

“มาได้ไงวะเนี่ย...”

 

โป้งกับโกลปฏิเสธคำชวนของเดฟแม้เขาจะบอกว่ารถที่เรียกมารับจะมีที่นั่งพอ  แต่โป้งกับโกลมีแผนอยู่ในใจอยู่แล้วทั้งคู่ก็เลยตัดสินใจไม่ไปด้วย

ตลาดน้ำสามพันนาม แหล่งท่องเที่ยวใหญ่ยอดนิยม อยู่ไม่ห่างออกไปจากโรงแรมเป็นสถานที่แรกที่สองหนุ่มเลือกมา

โป้งหัวเราะเอิ๊กๆ ตอนที่กำล้งป้อนนมแพะที่คงยังไม่ได้กินอะไรเนื่องจากยังเช้าอยู่

โกลกอดอกมองโป้งที่ทำหน้าเหมือนเด็กน้อยกำลังเล่นสนุก แถมมีการคุยกับแพะอีกต่างหาก

“ไม่ต้องแย่งกัน.. เอ้า บอกว่าไม่ต้องแย่ง.. เฮ้ยไอ้ตัวใหญ่  พอแล้ว แบ่งตัวเล็กบ้าง  บอกว่าพอแล้ว”

แน่ะ มีการทะเลาะกับลูกแพะอีกต่างหาก โกลหัวเราะกับภาพโป้งกำลังพยายามยื้อขวดนมกับลูกแพะที่ตัวโตที่สุดในกลุ่ม

“มึงอะ อ้วนแล้ว แบ่งตัวเล็กบ้างสิว้า เอาไม่ปล่อยอีก บอกว่าพอแล้ว”

 

จากแพะโป้งก็ไปทะเลาะกับปลาคร๊าฟต่อ  เขาโวยวายตอนที่ปลาตัวใหญ่แย่งอาหารที่โป้งตั้งใจโยนไปให้ตัวเล็กกว่า

“ไอ้นี่... มึงอ้วนจนจะว่ายน้ำไมได้อยู่แล้ว... เว้ย.. อีนี่อีกตัว.. อ้วนจนครีบสั้นแล้วยังจะแย่งคนอื่นอีก”

โกลเองก็โปรยอาหารหันมาหัวเราะ

“มึงก็ลงไปป้อนให้ถึงปากเลยสิ”

“ไม่เอาอะ...” โป้งสั่นหัว

“เดี่ยวมันตอดไข่กู ดูดิแม่งมีเป็นพัน.. ลงไปก็หมด หมดกันเลย”

โกลหัวเราะอีก

โป้งมองหน้าของโกลที่ดูจะมีประกายส่องเวลาหัวเราะ

“กูชอบเวลามึงหัวเราะมากเลยโกล” โป้งกล่าว

โกลหยุดหัวเราะแต่ยังคงรอยยิ้มไว้

“มึงก็ทำให้กูหัวเราะบ่อยๆสิ” โกลตอบ

“ทำไม่เป็นอะ.. กูไม่ใช่คนตลก” โป้งตอบแล้วหันไปมองปลาต่อ

“เฮ้ยเอาอีกแล้ว.. ไอ้ปลาตะกละเอ้ย... เดี่ยวเหอะ..” แล้วโป้งก็เอาอาหารกำใหญ่ซัดลงไป

“นี่อยากกินนักก็เอาไปเลย... ตะกละกันฉิบหาย  นี่พวกมึงฝูงเดียวกันรึเปล่าวะ ไม่มีน้ำใจเลย.. ตัวเล็กมันยังไม่ได้กินเลยเห็นไหม”

โกลขำแล้วส่ายหัวช้าๆอย่างอ่อนใจ

 

“พูดไปก็น่าเห็นใจวู๊ดนะ” โป้งกล่าวขึ้นตอนที่ทั้งคู่ลงไปถีบเรือหงส์เล่นกัน

“เขาดูจะรักเดฟมากเลย”

โกลถอนหายใจ

“ความรักนี่บางทีก็โหดร้ายนะ ว่าไหม”

โป้งไม่ได้หันมามองแต่มองไปตรงๆ

“นั้นสิ.. ก็เห็นๆอยู่เดฟมันชอบจุ๊ย ขนาดนั้น  แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้สินะ.. เฮ้อ.. ความรักนี่มัน.. แปลกจริงๆเลย”

โกลหันมองหน้าโป้ง แล้วเขาก็มองตรงๆไปเช่นกัน

“โป้ง.. ถ้ากูรักมึงเหมือนที่วู๊ดรักไอ้เดฟ  มึงจะรักกูไหม”

โป้งเงียบไป ไม่ได้ตอบ

จนโกลต้องอธิบายว่า

“กูหมายถึง เป็นมึงจะรักไอ้วู๊ดไหม”

โป้งก็ยังเงียบอยู่สักครู่

“ถ้ากูเป็นเดฟ กูคงรักวู๊ดนั้นหละ  แต่กูก็ไม่ใช่เดฟนี่หว่า.. ปัญหาคือเดฟมันรักจุ๊ยอยู่ใช่ไหมหละ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา  ถ้าคนเราลองปักใจมันก็ยากเหมือนกันนะเว้ยที่จะตัดใจ.. แม่กูบอกว่าบางทีความรักมันก็ตลก.. เรารักคนที่รักเราไม่ได้ หรือกลับกันก็ทำให้คนเรารักมารักเราก็ไม่ได้.. “

โกลตีความหมายไปไกลกว่านั้น  เขาลอบถอนหายใจเบาๆ

“แต่” โป้งกล่าวต่อ

โกลหันมา..

“แต่ถ้ากูไม่ใช่เดฟ  มึงไม่ใช่วู๊ด... “

ตอนนี้แสงสะท้อนจากพื้นน้ำกระทบใบหน้าของโป้ง  รอยยิ้มจางๆปริ่มๆของโป้งดูงดงามมาก

“ถ้าเป็นเรื่องมึงเอง.. กูเอง..  “

โป้งวรรคไปนานจนโกลรู้สึกใจจะกระโดดออกมานอกอก

“เราเป็นเพื่อนรักกันไปก่อนเนอะ.. เพราะเรายังเด็กทั้งคู่...” โป้งกล่าวออกมา

โกลสลดลง หันไปอีกทาง

แต่ประโยคที่ตามมาทำให้เขาเบิกตากว้างหันกลับมา

“แต่กูก็ใจตรงกับมึงนะ  ถ้ามึงคิดอย่างนั้นจริงๆ ถ้ามึงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  กูก็เหมือนกัน..”

ตอนนี้โป้งอมยิ้มเอียงคอนิด ตามองไปข้างหน้า แต่แก้มมีสีแดงแทรกจางๆ

หงส์สีขาวแล่นเอื่อยๆ ไปบนผิวน้ำ  ส่งพรายฟองไปด้านหลังเป็นแนวสีขาว

ตอนนี้มือของผู้ร่วมใจกันถีบปั่นส่งแรงขับเคลื่อน กำลังกุมกันอย่างอย่างอ่อนโยน..


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:23:39
ตอนที่ 32 แค่ใจสัมผัสกัน.. สื่อหัวใจด้วยบทเพลง...

“มึงหละ ที่กรี๊ดก่อน.. แหม่แต๊วแตกเลย..” โป้งกล่าวปนเสียงหัวเราะ

“มึงก็กอดกูแน่นเลย อย่าพูด ไม่ได้ร้องแต่เสือกกอดกูแน่น” โกลตอบโต้  พวกเขาหมายถึงไปเรื่องสนุกสนานจากเครื่องเล่นที่ไปเล่นร่วมกันที่สวนน้ำชื่อ ดัง

ทั้งสองเดินผ่านหน้าล๊อบบี้ แต่เสียงหัวเราะจากโกลก็ขาดไป

โป้งหันกลับมา จึงได้เห็นว่าโกลกำลังยืนในลักษณะเผชิญหน้า

หญิงสาวใบหน้างดงาม เรือนร่างระหงสมส่วน

มารดาของโกล... จิตดารา วรรณพิธิ

 

ในห้องอาหารที่ยังไม่มีแขก  จิตดาราจิบชาร้อนช้าๆมองหน้าลูกชายและเพื่อน

“ได้ข่าวว่าเราสองคนสนิทกันมาก  แม่ก็เลยอยากจะมาให้เห็นกับตา” จิตดารากล่าว

“ก็ คงจะจริง  ก็น้องโป้ง ก็น่าตาน่ารักดีนี่ คงจะชอบมากสินะ ที่ผ่านๆมาหลังนายป้องอะไรนั้น แกก็เคยมีอยู่สองสามคน  แต่ไม่เคยมีใครที่แกจะไปค้างอ้างแรมด้วยเหมือนคนนี้”

โป้งไม่ตอบอะไรเขามองลงต่ำ ในแก้วเครื่องดื่มที่เขาเป็นคนเลือกสั่งเองแต่ไม่ยักจะอยากดื่ม

“โกล.. อย่าหาว่าแม่ยุ่งเลยนะ  เธอเป็นลูกของพรรณพงศ์  ภาพพจน์ของพ่อจะเสียหายถ้าหากใครเขารู้เรื่องนี้  อีกอย่างเราก็เป็นนักฟุตบอลทั้งคู่  แม่ไม่คิดหรอกนะว่าวงการฟุตบอลเขาจะต้อนรับเกย์” เธอกล่าว

โกลที่หันไปมองทางอื่นหันกลับมามองหน้าคนที่เขาควรจะเรียกว่าแม่

“อ๋อใช่ครับ 'ยุ่ง' อย่างมาก” โกลกล่าวอย่างเยือกเย็น

“คุณ’แม่’ ไม่ต้องมาห่วงเรื่องของผมหรอกครับ  ผมจัดการเองได้.. อีกอย่างเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน เรายังเป็นแค่คู่หูและเพื่อนสนิทเท่านั้น”

จิตดารารู้ว่าโกลตั้งใจว่าเธอว่าสอด  แล้วไอ้การเรียกว่าแม่นั้นก็เหมือนกระแทกเสียงพิกลเหมือนเดิม

“ตอบเหมือนพวกดาราเลยนะ  ไม่ได้เป็นอะไรกัน..” จิตดาราแสล้งหัวเราะ

“นี่ ยังดีเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็เลยไม่ท้อง ก็เอาเถอะฉันจะไม่ยุ่ง  แต่เตือนในฐานะแม่  อย่าให้มันเกินเลยเสื่อมเสีย  ไม่คิดถึงหน้าฉันก็นึกถึงหน้าพ่อ หน้าตัวเองไว้บ้างก็แล้วกัน”

“ไอ้เรื่องวิปริตแบบนี้ สังคมปกติเขายังรับกันไม่ได้  เธอก็ต้องรู้จักเก็บความวิปริตไว้บ้าง เหมือนพ่อแกไง.. แอ๊บจนคนเชื่อกันหมดบ้านหมดเมืองว่าเป็นชายแท้  แมน.. มีครอบครัวมีลูก”

น้ำเสียงของจิตดาราเยาะหยัน..

“ขอบคุณครับ” โกลตอบอย่างสงบนิ่ง

“ก็ขอบคุณครับ ที่ผู้บริจาคไข่อย่างคุณยังมองเห็นผมเป็นลูก.. แต่ผมว่าไม่ต้อง  เราต่างกันคนต่างอยู่ดีกว่านะครับ คุณ’แม่’ ผมจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของคุณ  คุณก็อย่ามามายุ่งเรื่องของผม... ไม่อย่างนั้น... ผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าผมจะเป็นคนเก็บรายชื่อของสามีคุณ’แม่’ ได้อย่างดีไหม... สักวันอาจหลุดหูรอดตาไปหาสื่อมวลชนก็ได้นะครับ”

โป้งอ้าปากค้างกับคำตอบของโกล

“ไปโป้ง เราไปหาอะไรกินกัน  กูหิวแล้ว  อยู่ตรงนี้กินไม่ค่อยลง  กูมันคนวิปริตอยู่ร่วมสถานที่กับคนปกติไม่ค่อยได้  มันคัน”

แล้วโกลเดินออกไป

โป้งหันมองตามไป

เขาจึงลุกขึ้นยกมือไหว้จิตดารา

จิตดารากำลังโมโห  แต่พอเห็นท่าทางนอบน้อมของโป้งแล้ว เธอก็อดเอ็นดูภาษาผู้ใหญ่ไม่ได้

รับไหว้โป้ง

“บอกเขาให้ขับรถดีๆด้วยหละ” เธอกล่าว

ลูกชายออกไปแล้ว เพื่อนลูกชายที่ตามไปติดๆก็เหมือนกัน

จิตดาราถอนหายใจยาวเหยียด เธอนึกอยากจะปัดถ้วยชาตรงหน้าให้ตกโต๊ะเสียจริง

ที่จริง.. ตอนแรกเธอแค่คิดจะมาคุยกันดีๆ  ก็แค่อยากเตือนให้สองหนุ่มระวังตัว  เพราะโลกมันโหดร้ายมาก.. ไม่ใช่แค่เฉพาะกับ LGBT แต่ทุกเพศนั้นหละ  แต่มันยากเย็นหน่อยในหมู่คนที่เป็นเพศที่แตกต่างไป

แต่กลายเป็นว่าเธอหรือไม่ก็โกลนั้นหละที่ทำมันพังจนได้  เมื่อไหร่เธอจะคุยกับเด็กคนนี้ดีๆได้สักที...

เธอถึงเธอจะมีผู้ชายหลายคน  แต่เธอมีลูกแค่คนเดียว.. ถึงเธอจะไม่เคยอุ้มท้อง  แต่เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเหมือนกัน..

 

โป้งรับหมวกกันน๊อกมาจากโกล  เขาสวมแล้วก็ซ้อนท้ายบิ๊กไบค์ของโกลออกมาโดยไม่ได้ถามอะไรสักคำ

โกลขับค่อนข้างเร็วออกไปตามทางสู่ถนนใหญ่  แต่จู่ๆ ร่างของโกลก็เหมือนจะสั่น  แล้วเขาก็จอดเรียบข้างทาง

โป้งลงจากรถแล้วเดินไปยืนช้างตัวโกลที่ยังยืนคร่อมรถอยู่

เขาจับตัวโกลก็รู้ว่ามันยังสั่น

โป้งจึงเข้าใกล้ว่าเดิมแล้วจับมือของโกลไว้

โกลก็หันมาตอนนี้ใต้หน้ากากสีชาโป้งได้เห็นใบหน้าของโกลอาบไปด้วยน้ำตา..

ภาพของโป้งพร่ามัวด้วยทั้งม่านน้ำตาและหน้ากากสีชาของหมวกกันน๊อก

แต่สัมผัสของโป้งนั้นชัดเจนยิ่ง.. เหมือนกับมาสัมผัสที่หัวใจของเขาโดยตรง

โกลยันขาตั้ง  เขาลุกขึ้นมายืนต่อหน้าโป้ง

แล้วเขาก็กอดร่างโป้งไว้แน่นร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะทนได้...

โป้งก็กอดตอบแล้วหลับตาลง..

ร่างที่สั่นเทิ่มค่อยๆ สงบลง  แล้วที่สุดน้ำตาของโกลก็หยุดไหล..

หัวใจเหน็บหนาวของเขาคงหยุดร้องไห้แล้ว..

แสงสว่างจากโป้งส่องไปหามัน.. และประโลมมันด้วยความอ่อนโยน..

 

เดฟยืนอยู่ที่ระเบียง  ทอดสายตาออกไปที่เรือแสงของเรือที่ลอยลำในทะเล

“แต่กูก็ยินดีจะเป็นนะ เพราะต่อให้เป็นสำรอง กูก็ได้อยู่กับคนที่กูรัก..”

เดฟถอนหายใจก่อนจะหยิบแก้วน้ำผลไม้ที่มีแอลกอร์ฮอล์อ่อนๆมาจิบ

“ทำอะไรอยู่เดฟ” วู๊ดเข้ามากอดร่างของเดฟจากด้านหลัง

กินสบู่หอมสัมผัสจมูกเดฟ  เขาเหลียวมามองหน้าวู๊ด

“เปล่าคิดอะไรเพลินๆ”

วู๊ดแม้จะสูงถึงร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ แต่ถ้าเทียบกับความสูงของเดฟแล้ว เขาก็ได้แค่หอมที่ต้นคอของเดฟเท่านั้น

“นายจะทำยังไงเรื่องของเรา.. ตอนนี้ไอ้โป้งกับไอ้โกลก็รู้แล้ว” เดฟถาม

“มันสองคนไม่บอกใครหรอก  โกลมันไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ส่วนโป้งก็ไม่ใช่คนปากสว่าง” วู๊ดตอบ

“เข้าไปข้างในเหอะ” วู๊ดบอก แล้วเดินเข้าไปก่อน

เดฟถอนหายใจแล้วเดินตามเข้าไป

“นายจะ..” เดฟกล่าวทันทีที่เข้ามาด้านในห้องแล้ว

แต่เขากล่าวได้ไม่จบ  เพราะวู๊ดหันมาโน้มคอเขาลงมาประกบปากเขาไว้

วู๊ดค่อยๆเคลื่อนตัวพาเดฟที่ยังคงหลงอยู่ในรสการจูบมาที่เตียง  ไม่ต้องออกแรงก็ดันให้ล้มลงนั่งได้

พอวู๊ดถอนจากการจูบ

เดฟก็ประท้วงทันที

“คุยกันให้รู้เรื..”

วู๊ดประกบจูบอีก  คราวนี้ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม

“ช่างหัวมันเถอะ... สนใจอะไรเรื่องอนาคต... “ วู๊ดเลื่อนมากระซิบที่ข้างหู  แล้วจุมพิตต่ำลงมาบนลำคอ

“นายมัน.. ไม่..” เดฟจะกล่าวก็ยากลำบาก

แล้วเขาก็เลิกล้มความตั้งใจจะพูดต่อไป..

เพราะเสียงที่ลอดออกมาจากปากก็ได้แค่เสียงครางเบาๆเท่านั้น...

 

เสียงเพลงที่ไพเราะทำให้โกลดูจะอารมณ์ดียิ่งขึ้น  เขามีรอยยิ้มจางๆ และฮัมเพลงที่วงดนตรีประจำ ตลาดจักจั่นบรรเลงอย่างไพเราะ

โป้งก็พลอยรู้สึกดีด้วยเช่นกัน

แต่จะว่าไป

เขาไม่เคยเห็นโกลร้องไห้มาก่อน  และไม่คิดว่าคนอย่างโกลจะร้องไห้ได้ด้วยซ้ำ โกลดูเป็นคนเข้มแข็ง.. และดูเหมือนเก็บอารมณ์ได้เก่งมาก

แต่กลายเป็นว่าโกลปล่อยโฮออกมา.. หรือว่าทุกครั้งที่เขาต้องเผชิญสถานการณ์นี้  เขาจะร้องไห้ทุกครั้ง

แล้วที่ผ่านมาใครกันที่ปลอบโยนโกล... ถ้าไม่มีเลย... น้ำตาแห้งด้วยตนเอง

นั้นก็นับว่าเจ็บปวดมาก

โป้งทราบความรู้สึกที่ต้องร้องไห้กับตัวเองดี  ตอนที่พ่อกับแม่หย่าขาดกัน  ตอนนั้นเขาก็ร้องไห้อยู่คนเดียวหลายวัน  ตอนนั้นเขาอายุแค่สิบขวบเท่านั้น

จะร้องไห้ต่อหน้าแม่ก็ไม่ได้  เล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้อีก...

ที่สุดก็ต้องปลอบใจตนเอง... มันเป็นความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานมาก

ในตอนนั้นเพลงจบลงโกลก็ปรบมือ  ดวงหน้าของเขาดูมีประกายสว่างในแสงรำไรของสถานที่นั้น

แล้วเพลงต่อไปก็บรรเลง

I Just Called To Say I Love You ของ Stevie Wonder

แล้วจู่ๆโกลก็เอาโทรศัพท์มากด

โป้งจึงหันไปมองนักร้องบนเวที เพื่อฟังเพลงไพเราะจากอดีต

แล้วโทรศัพท์ของเขาก็สั่น

โป้งเอาโทรศัพท์มาดูหมายเลข  เขาหันไปมองหน้าโกล

โกลก็ทำมือบอกว่ารับสิ..

โป้งรับในจังหวะที่เพลงกำลังเข้าท่อนสร้อย...

I just call to say I love..

I just call to say how much I care

แม้จะมีเสียงจากเวที  แต่เสียงของโกลนั้นก้องเข้าไปถึงภายในใจ แยกจากสรรพเสียงรอบกายโดยสิ้นเชิง..

เพราะมันไม่ใช่แค่เสียง  แต่ดวงตาที่สื่อความหมาย ที่จ้องลึกไปสัมผัสหัวใจของโป้ง

แล้วโป้งก็ไม่อาจทนสบตาคู่นั้นได้อีก เขาหันไปมองเวที  แต่ไม่อาจซ่อนรอยยิ้มและสีหน้าที่กำลังเปี่ยมไปด้วยความสุขได้

โกลยังร้องเพลงอยู่  แต่ก็เผลอมีรอยยิ้มให้กับอาการเขินของโป้ง...

เขาอาจไม่เข้าใจวู๊ดที่ยอมเจ็บปวดเพื่อความรัก และทุ่มเททั้งกายและใจให้...

เพราะสำหรับโกลแล้ว  ไม่ต้องครอบครองด้วยแค่ความสัมพันธ์ทางกายที่แสนตื้นเขินและเปราะบาง..

แต่เขาต้องการความสัมพันธ์ทางใจ.. แม้เขาจะกับโป้งจะเพียงสัมผัสกันไม่มากนัก  แต่หัวใจของเขาสัมผัสหัวใจโป้งได้อย่างชัดเจน..

แค่มือจับ แค่อ้อมกอด..

เท่านั้นก็ทำให้โลกของโกลสวยงาม  สวยงามเหลือเกิน...


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:24:41
ตอนที่ 33 บ้านน้อยแสนอบอุ่นที่เชียงราย.. การเผชิญหน้าระหว่างโกลกับอรรถ

การสอบมาถึงแล้วแล้ว โป้งมีโกลเป็นติวเตอร์ส่วนตัวก็จริง  แต่เขาก็ยังทำหน้าเหมือนแบกโลกไว้ในสายตาของอรรถ

จะว่าไปโป้งไม่เห็นต้องกังวลเรื่องการเรียนเลย เพราะยังไงเขาก็ได้รับคะแนนพิเศษในฐานนักเรียนที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ โรงเรียนอยู่แล้ว

แต่ทุกวิชาที่สอบ โป้งไม่เคยส่งกระดาษเปล่า  เขาจะทำทุกข้อ แถมเขียนมากกว่าคนอื่น เขียนเสียจนหมดเวลาสอบทุกวิชาไป

วันนี้ก็เป็นสอบวันสุดท้ายแล้ว และเป็นวิชาสุดท้าย  อาจารย์คุมสอบก็เลยปล่อยให้โป้งเขียนไปอีกห้านาที ส่วนตัวเองไปเข้าห้องน้ำ

อรรถเลยมานั่งข้างๆโป้งมองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังอ่านบทความของตัวเอง

“โป้งกลับบ้านไหม” เขาถามขึ้นตอนที่โป้งเริ่มต้นเก็บข้อสอบ

“ก็ว่าจะกลับครับพี่  ก็แต่คงจะอยู่แค่สักสองอาทิตย์เพราะเดือนหน้าจะมีรายการเก็บตัวของทีมชาติ เป็นนัดอุ่นเครื่อง” โป้งตอบแล้วก็ยิ้ม

เขาเอาข้อสอบกับกระดาษคำตอบยื่นให้อรรถ

“พีอยากไปด้วยจัง พี่ไม่ได้เห็นเจอน้าพรนานแล้ว”

“ดีเลยครับ  แม่คงดีใจมากที่ได้เห็นพี่อรรถตอนนี้  แม่ชอบบ่นว่าพี่อรรถหายไปเลย  ไม่รู้ว่าโตเป็นหนุ่มจะหล่อไหม  ไปให้ท่านดูหน้าหน่อยรับรองท่านดีใจแน่ๆ” โป้งกล่าวด้วยอาการยินดีจริงๆ

นี่คือโป้ง คนที่เสแสร้งไม่เก่ง.. ไม่ว่าในสนามฟุตบอลเขาจะหลอกล่อคู่ต่อสู้เก่งแค่ไหน  แต่ในชีวิตจริงๆ เขาเป็นแบบนี้หละ

“แล้วโป้งกลับเมื่อไหร่”

“อาทิตย์ หน้าครับ เพราะวันเสาร์มีไปคัดตัวกับเมืองนนท์ แล้วก็มีบริษัทหนึ่งที่เขากำลังจะซื้อกิจการของทีมฟุตบอลหนึ่งในไทยพรีเมีย ร์ลีค เขาก็อยากเห็นโกลกับโป้งเล่นกับทีมใหม่ของเขา ก็เลยนัดทดสอบกันอีกสองวันหลังจากเมืองนนท์”โป้งลำดับความให้ฟัง

“แล้วจะกลับยังไง  จะให้พี่จองตั๋วรถทัวร์ให้เลยไหม... แต่พี่ไปได้แค่ไม่กี่วันนะ”

พอพูดถึงตรงนี้โป้งก็เงียบไปนิดหนึ่ง

“คือ..โป้งไปเครื่องบินนะครับ ไอ้โกลมันจะไปด้วย  ก็เลยจองตั๋วเครื่องบินเอาไว้แล้ว” ก่อนจะกล่าวอย่างเกรงๆนิดๆ

อรรถเป็นฝ่ายทำหน้าเหมือนอะไรจุกคอหอย

“ไม่เป็นไร  ไปวันไหน  เดี่ยวพี่ไปด้วย” อรรถกลืนความรู้สึกแล้วกล่าวออกมาโดยพยายามให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุด

 

“คือ ที่ทดสอบไปเมื่อวันก่อนน่ะ” สุขีกล่าวกับโกลและโป้งในรถตู้ของบริษัท ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปสนามฝึกซ้อมที่ลูกค้าเช่าเอาไว้ แล้วนัดแนะให้ไปพบ

“พี่ก็ไปตามที่บริษัทบอก  เพราะเมืองนนท์เขามีแบ๊กอัพดีน่ะเส้นใหญ่  เราก็เลยต้องไปตามที่เขาขอมา... แต่ยังไงการตัดสินใจอยู่ที่โป้งกับโกลอยู่ดี.. ถ้าหากไปเล่นให้เขาก็ไม่เป็นไรนะ”

โป้งกับโกลมองหน้ากัน

“ผมเฉยๆครับ.. แต่ทีมใหญ่มันก็ดีตรงเราได้พัฒนา  แต่ทีมเล็กกว่า ก็มีโอกาสเป็นเล่นได้เยอะกว่าจริงไหมครับ”โป้งเป็นคนกล่าว

“ใช่” สุขีผงกหัว

“พี่น่ะอยากให้เราทดสอบกับทีมนี้มากกว่า  คือผู้บริหารน่ะท่านสนใจฝีเท้าโป้งมากเลย  อีกอย่างโป้งเองก็รู้จักท่านด้วยนะ”

โป้งแปลกใจ

“ผมรู้จักเหรอครับ”

 

โป้งกับโกลกำลังยืดเส้นยืดสายอยู่กลางสนามที่เป็นสนามซ้อมขนาดเล็ก  โดยมีสุขียืนมองจากข้างสนาม

“โตขึ้นเยอะจนจะจำแทบไม่ได้แล้วนี่” เสียงทุ้มๆมีทำนองแปร่งๆทองแดงนิดๆทำให้สุขีหัน

อำนาจ สินธุพรอุดม ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลามองไปที่นายร่างเพียวที่กำลังทำท่ายืดเข่า

“คิดถึงมันจริงๆ ตอนเห็นมันครั้งสุดท้ายยังตัวนิดเดียว  สงสารมันจะแย่โดนไอ้ฤทธิเคี่ยวเข๊ญให้ฝึกจนค่ำทุกวัน.. แต่ดูมันก็ขอบดีนะ แต่นี่เผลอนิดเดียว แล้วดูสิ..มันเป็นหนุ่มเสียแล้ว.. ผมจะไม่แก่ได้หรือ”

สุขียกมือไหว้

อำนาจเป็นอดีตโค้ชทีมชาติไทย  แต่เขาผันตัวไปทำธุรกิจและร่ำรวยขึ้นมาอย่างมหาศาล จนทุกวันนี้เป็นเจ้าของโรงแรมถึงสี่โรงแรมในภาคใต้ และบริษัทรับส่งสินค้าขนาดใหญ่

 

คนที่เข้ามาคุยกับโป้งและโกล  แนะนำตัวว่าเป็นหัวหน้าทีมผู้ฝึกสอนของทีม เป็นชายหนุ่มร่างสูงที่โป้งคลับคล้ายคลับคราว่าเคยเห็น แต่ยังนึกไม่ออก

“ทวี วังซิ่นทอง ผู้รักษาประตูทีมชาติรุ่นเดียวกับพ่อนายนายไง” โกลบอกตอนที่เดินไปสู่จุดที่จะใช้ในการทดสอบร่วมกัน

“คือฉันจะไม่ให้พวกเธอเล่นให้ดูหรอก เพราะก็เห็นแล้วว่าเล่นดีแค่ไหน  ฉันให้คนไปซุ่มดูพวกเธอแทบทุกนัดที่แข่งถ้วยก.”

ทวีกล่าวแล้วเอาเท้าดีดลูกบอลมาถือ..

“ตัดสินกันที่ยิงฟรีคิกดีกว่าไหม.. ฉันก็อยากจะเห็นลูกฟรีคิกของนายเต็มๆเหมือนนะโป้ง”  ทวีมองหน้าโป้งก่อน

“ส่วนนายโกล... ฉันก็อยากจะรู้ว่านายจะเหนียวพอไหม”

โกลพยักหน้า

หุ่นคนที่ใช้เป็นอุปสรรค์ถูกจัดวางไว้สี่ตำแหน่ง นอกกรอบประตู ในระยะและทิศทางต่างๆกัน  โป้งได้รับคำอธิบายว่าต้องเตะทั้ง4ตำแหน่งด้วยลูกยิงที่แตกต่างกันสี่ท่า  และมีโอกาสยิงทั้งหมดสองรอบ

โปงจึงวางลูกไว้หน้ากำแพงหุ่น ตรงที่มีวงกลมที่เกิดจากการโรยด้วยปูนขาว

เขาถอยมายืน

โกลก็เต้นกระโดดอยู่บนเส้นปากประตู

แล้วโป้งก็วิ่งเข้าไป.. สับเท้าซ้ายพิฆาตไป

ลูกลอยข้ามกำแพงแล้วหักมุดลงอย่างรวดเร็วทั้งมีวิถีโค้งไปทางซ้าย เป็นการยิงที่รับได้ยากยิ่ง

ทวีตระหนักดี.. เป็นลูกยิงไซด์ก้อยที่น่ากลัวมาก.. หาน้อยคนทิ่ยิงได้ดีเท่านี้แม้ในระดับอาชีพ

แต่ร่างสูงของโกลขยับไปอย่างรวดเร็ว  เขาอ่านทางได้ตั้งแต่ลูกออกจากเท้าจึงบล็อกลูกไว้ได้สำเร็จ

เร็วจริงๆ เห็นสูงๆน่าจะเก้งก้าง แต่กลับเร็วมาก.. ทวีบอกตัวเองในใจ

โป้งตั้งอีกลูก ในตำแหน่งเกือบกลางประตูแต่ยังอยูด้านซ้ายของกรอบเขตโทษ ทว่าไกลออกมามากกว่าตำแหน่งแรก

โป้งตัดสินใจฉับพลัน.. เขาเตะลูกโค้งซ้ายเหมือนเดิม แต่ลูกนี้เน้นให้โค้ง จนเห็นเป็นวิถีลูกเดินทางในอากาศในรูปแบบเกือบจะเป็นตัวยู

กระนั้นโกลก็ยังพุ่งไปปัดออกไปได้อีก

 

อำนาจที่ยืนอยู่บนข้างกับสุขี พยักหน้าช้าๆ

“ผมเอาทั้งสองคนเลย.. แต่เขาจะมีปัญหารึเปล่าต้องย้ายไปอยู่ใต้นะ”

“นายโป้งนี่อาจต้องคุยกับ..”

“แม่พรน่ะเหรอ.. ฉันคุยเรียบร้อยแล้ว ฉันโทรไปคุยกับแม่ของนายโป้งตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว  เธอบอกว่าไม่มีปัญหา”

“ติดก็แต่นายตัวสูงนั่นหละ  ลูกชายพรรณพงศ์ไม่ใช่เหรอ.. พ่อเขาจะยอมให้ฉันเอาลูกไปรึเปล่า”

 

อำนาจหัวเราะชอบใจเมื่อได้จับตัวโป้ง

“เออวะ... แต่ก่อนมันตัวนิดเดียว... ดูสิ... โตเป็นหนุ่มหล่อแล้ว.. สาวๆติดตรึมหละซินะ”

โป้งเหลือบมองหน้าโกลที่นั้งอยู่อีกข้างของโต๊ะคู่กับสุขี

“ไป อยู่กับลุงที่ภูเก็ตดีกว่านะ  ลูกจะเลี้ยงให้เอ็งให้ดีเลย.. ตอบแทนที่แม่เอ็งเมื่อก่อนคอยเจียวไข่ ผัดหมูให้ลุงกินบ่อยๆ รับรองไปอยู่กับลุงไม่มีอด” อำนาจกล่าวต่อไป

โป้งยิ้มแต่ไม่เต็มปากนัก

“ลุงอ่ำคุยกับแม่แล้วแน่นะครับ” โป้งถามย้ำ

“ก็บอกว่าคุยแล้ว...หรือเอ็งจะคุยอีกรอบ” แล้วอำนาจก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาทำท่าจะกดเลขหมาย

“ไม่ๆครับ ผมเชื่อ” โป้งรีบร้อง

อำนาจตบตักดังฉาด

“แล้วเราหละต้องไปบอกพ่อก่อนไหม หรือจะยังไง  แต่อย่าให้นานนะนายทวีมันใจร้อน นี่คงอยากจะเอานายไปฝึกเต็มแก่แล้ว” อำนาจหันมาหาโกล

ตอนนั้นพอดีมีอาหารมาเสริพ โดยเข้ามาทางปลายโต๊ะตรงหน้าสุขี  เขาจึงยกไปวางกลางโต๊ะ

โป้งมองหน้าโกลอยู่  เขาต้องการคำตอบนี้เช่นกัน

“ผมไม่ต้องขออนุญาตหรอกครับ  เพียงแต่แจ้งให้ท่านทราบก็พอ”

“แล้วเรื่องเรียนหละครับ” สุขีกล่าวขึ้น

“คุณอำนาจจะกรุณาหาโรงเรียนให้เด็กสองคนได้ไหมครับ”

“เรื่องนี้เราคิดกันไว้แล้ว” ทวีเป็นคนกล่าว

“นายโป้งก็เหมือนหลานคนหนึ่ง  ไอ้เราก็ไม่ได้คิดแต่จะให้มันเล่นฟุตบอลหุ้นส่วนของเราคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนในภูเก็ต เราจะให้ทั้งสองคนไปเข้าเรียนที่นั้น

 

บ้านของโป้งที่เชียงรายเป็นบ้านที่น้าหมอของโป้งซื้อไว้ด้วยตัวเอง  แม้จะหลังไม่ใหญ่โตแต่ก็ดูน่าอยู่และเป็นระเบียบอย่างยิ่ง

วราพรดีใจที่ทราบว่าอรรถก็มาด้วย

“โอ้โห อรรถ นี่ถ้าเจอกันข้างนอกน้าจำอรรถไม่ได้แล้วนะเนี่ย” วราพรยืนมองร่างกายสูงใหญ่ของอรรถ

“โป้งทำไมไม่ตัวโตเหมือน พี่เขาบ้างและ กินให้มันเยอะหน่อย โปรตีน แคลเซียม วิตามินน่ะ  เรายังโตได้อีก”

“ครับแม่”โป้งขานตอบ  แต่ตอนนี้กำลังช่วยโกลเอาของออกจากระเป๋าเป้

วราพรเดิมมาหาโกลบ้าง

“ไม่ต้องสูงอย่างเพื่อนเราก็ได้  เอาแค่พี่อรรถก็พอ  เพื่อนเราสูงดี แต่โป้งคงสูงไม่ทัน”

โกลหันมายิ้ม  พอดีเขาหยิบเอาชุดเครื่องสำอางที่ซื้อมาฝากวราพรออกมา ก็เลยมอบให้

“เห็นโป้งบอกว่าคุณน้าใช้ยี่ห้อนี้ ผมก็เลยซื้อมาเป็นชุด”

วราพรร้องเสียงหลง

“ตายแล้ว ซื้อมาทำไม  มาเที่ยวก็พอ... “ วราพรรับของมา แต่ก็อดสอนด้วยความเคยชินไม่ได้

“นี่ มันแพงมาเลยไม่ใช่เหรอ  เราไปเอาเงินมาจากไหนไปซื้อ เงินพ่อให้มาก็เก็บไว้นะโกล  อย่าเที่ยวใช้ให้สิ้นเปลือง เดี่ยวจะเป็นนิสัย... มือเติบไม่ดีนะโกล”

โกลยิ้มแหย่ๆ รู้สึกเหมือนโดนดุ

“เห็นไหมฉันบอกนายแล้วโกล” โป้งพูดให้สุภาพขึ้นต่อหน้าแม่  ไม่มีคำหยาบที่บ้านนี่คือกฎเหล็ก

“ครับน้า” โกลตอบด้วยคำเดียวกับโป้ง

“แต่ก็ขอบใจนะ  เอ่อหิวกันไหม.. น้าต้มแกงบวชไว้  เดี่ยวเอาออกมาให้นะ”

วราพรถือชุดเครื่องสำอางไปวางไว้ที่ชั้น

“ของโปรดเลยหละ... เวลาน้าหมอไปประชุม ซื้อมาทีไรยิ้มไม่หุบไปทั้งวัน” โป้งกระซิบกับโกลหัวแทบชนกันเพราะกลัวแม่ได้ยิน

“แม่นายนี่น่ารักดีนะ  ใจดี”โกลกล่าว จากความรู้สึก

“แต่ขี้บ่นมาก... ฉันฟังมาตั้งแต่เด็กเลยชิน  นายอย่าเบื่อไปก่อนแล้วกัน” โป้งตอบ

แล้วสองหนุ่มกับหัวเราะกันเบาๆ

อรรถมองความสนิทสนมนั้นอย่างเจ็บปวด..

 

“ต้องไปอยู่ภูเก็ตใช่ไหม...งั้นต้องเตรียมข้าวของให้เยอะขึ้นสินะ” วราพรกล่าวในโต๊ะอาหารที่มีนายแพทย์สิทธิชัยกลับมาร่วมทานด้วย

โป้งกำลังตักไข่เจียวของโปรดก็ชะงัก

“ไม่ต้องหรอกมั้งครับ  ที่ขนไปคราวก่อนก็มากพอแล้ว”

“อะไร ไปตั้งไกล.. ภูเก็ตเป็นเกาะนะลูก จะหาจะซื้ออะไรก็ลำบาก” วราพรแย้ง

“คุณ... เกาะภูเก็ตไม่ใช่เกาะตะลูเตา จะได้ลำบาก  นั้นเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้เลยนะคุณ ไม่ใช่เกาะเล็ก  แถมแค่ข้ามสะพานก็แผ่นดินแล้ว” นายแพทย์สิทธิชัยแย้งวราพร

“ก็นั้นล่ะค่ะ  ยังไงก็ต้องเตรียม  เดี่ยวแม่จะไปหาซื้อพวกของใช้อะไรไว้โป้ง.. จะได้ไม่ต้องไปซื้อไปหา” วราพรยังยืนยันความคิด

โป้งกับสิทธิชัยมองหน้ากันอยู่รู้กันดี

ทำไมหนอ  บ้านของโป้งช่างอบอุ่นนัก  ทั้งที่โป้งและน้าหมอก็ไม่ใช่พ่อลูกกัน  แต่เหมือนกับมีสายใยของครอบครัวเชื่อมโยงและสร้างความอบอุ่นในโต๊ะอาหาร

โกลอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้  ทำไมครอบครัวของเขาไม่เหมือนอย่างครอบครัวนี้

ไม่ต้องรวยเป็นหมื่นล้านเหมือนพ่อของโกล  ไม่ต้องสวยจนเหมือนนางฟ้าเหมือนแม่ของโกล  แต่ครอบครับเล็กๆนี่ช่างอบอุ่นนัก

มิน่าเล่าโป้งถึงได้เป็นคนน่ารัก เพราะเขาเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่เต็มล้นไปด้วยความรักนี่เอง

“เอ้าอรรถ ทานเยอะๆนะ  โกลด้วย” วราพรหันมากล่าว

“โดยเฉพาะนายโกล  ต้องสูงกว่านี้อีกจะได้รับลูกกลางอากาศได้ง่ายๆ”

โกลยิ้มตอนที่วราพรตักเอาปลาตัวเล็กทอดมาใส่จานให้

“แคลเซี่ยมทั้งนั้นกินเยอะๆ” หมอสิทธิชัยสนับสนุน

โกลยิ้มออกมา เพราะมันคือการสัมผัสถึงความอบอุ่นของครอบครัว

 

“แล้ว... จะนอนกันยังไง” โป้งเป็นคนตั้งคำถาม

มองในห้อง ห้องนอนของโป้งมีเตียงแค่เตียงเดียว เป็นเตียงสามฟุตครึ่งเพราะโป้งนอนคนเดียวมาโดยตลอด

โกลกับอรรถมองหน้ากัน

“เอาอย่างนี้นะ” แม่ของโป้งที่ตามเข้ามาออกไอเดีย

“เรามีที่นอนปิกนิคอยู่สองชุด  สองคนก็นอนที่นอนปิกนิคกัน  ส่วนอีกคนก็นอนบนเตียง โอน้อยออกแล้วก็เป่ายิงฉุบตัดสินแล้วกันว่าใครจะได้นอน”

การโอน้อยออกผลคือโป้งออกไปก่อนดังนั้น

การเป่ายิงฉุบตัดสินจึงเป็นโกลกับอรรถ

ทั้งสองจ้องหน้ากัน  อรรถไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองจ้องตาโกลเขม็ง  ส่วนโกลก็มีอาการสงบแต่ขบกราม

“อันนี้ไม่รู้เขาจะอยากชนะหรือแพ้นะ” แม่กระซิบกับโป้ง

โป้งหันมองหน้ามารดา

แต่เธอก็เริ่มให้สัญญาณ

“ยันยิงเยาปักเป้า ยิ้ง.... ฉุบ”

อรรถกับโกลจ้องตากัน  ชวนให้นึกถึงนักฟุตบอลสองคนที่กำลังพุ่งเข้าหาลูกบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศ  แต่นี่ไม่ใช่ลูกบอล  แต่เป็นโป้ง...

 

อรรถเปลี่ยนปลอกหมอนที่ได้รับมาจากวราพร แล้วหันไปเห็นโป้งกับโกลเอาที่นอนมาลองปูนอน

“ไม่เอาตรงนี้แอร์มันลง” โป้งแย้ง

“แอร์ลงสิดี  จะได้เย็นๆ” โกลตอบ

“ไม่นะ แอร์เครื่องนี้มันไม่ค่อยตัด... เดี่ยวก็หนาวตายพอดี” โป้งว่า

อรรถต้องถอนหายใจออกมา

แต่แล้วโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

“ครับแพรว...” อรรถตอบสาย หันไปเห็นโป้งมองหน้าเขา

เขาจึงรีบลุก

“เดียวนะแพรวตรงนี้เสียงดังมากเลย..”

แล้วเขาก็เดินออกไป

“มึงอะเสียงดัง” โป้งหันผลักอกโกล

โกลผลักกลับ

“มึงต่างหาก..หายใจดัง”

“มึงต่างหากหัวใจเต้นดัง”

“มึงหละตับทำงานดัง”

“ลำไส้มึงต่างหากไอ้โป้ง”

“ม้ามมึงด้วยไอ้โกล”


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:25:51
ตอนที่ 34 เคลียร์ใจ อรรถ.. ต้องการความชัดเจน..

โกลกับโป้งนอนหลับไปกันทั้งคู่แล้ว  แต่อรรถยังข่มตาลงไม่ได้

ทำไมเขาจึงได้ชอบโป้งมาได้มากขนาดนี้  แม้ตัวอรรถเองก็ไม่เข้าใจ

ความรักมันเริ่มจากตรงไหน.. ทั้งที่แรกเริ่มเขากับโป้งซ้อมก็แค่ฟุตบอลด้วยกันไม่ใช่เหรอ..

หรือจะมาจากแค่คำพูดปลอบใจจากโป้งตอนที่เขาพลาดหวังในการคัดเลือกเข้าเรียนตอนนั้น..

หรือจะเป็นเพราะคืนวันนั้น.. วันที่เขาได้กลับมาเจอโป้งอีกครั้งหลังจากห่างกันไปนานเกือบสี่ปี...

ค่ำคืนในช่วงออกค่ายอาสาสมัยเรียนปีสอง

 

เพื่อนๆ คงหลับไปกันหมดด้วยความอ่อนล้า แต่โป้งซึ่งที่เป็นหนึ่งในนักเรียนของอำเภอที่ถูกเกณฑ์มาช่วยงาน กับอรรถ ต่างก็เป็นนักกีฬา ทั้งคู่จึงไม่ได้เหนื่อยจนเพลีย

ใต้แสงดวงดาวโป้งถามอรรถถึงชื่อกลุ่มดาวนั้นนี้

อรรถที่มีความรู้ดาราศาสตร์บ้างก็ตอบไปตามที่ตัวเองรู้

แต่แล้วโป้งก็เงียบไปนานพอสมควร

“พี่อรรถ  พี่ว่าคนเรามันตลกไหม” โป้งกล่าวขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

อรรถหันมองหน้าหนุ่มน้อย

ตอนนี้โป้งต่างไปจากที่แยกจากกันมาก  เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว ร่างกายดูปราดเปรียวและมีมัดกล้ามน้อยๆให้เห็นทั้งแขนและขา

“ตลกยังไง”

“คือพี่.. พี่อย่าหัวเราะนะ แล้วก็ห้ามรังเกียจผมด้วยนะ” โป้งกล่าว เหมือนขอคำสัญญา

“ผมชอบเพื่อนในทีม”

อรรถอึ้งไปนิดหนึ่ง เพราะคิดไม่ถึง

“หมาย ถึงทีมฟุตบอลนะเหรอ.. เฮ้ยพูดเป็นเล่น” อรรถทำหน้าเหมือนกำลังจะหัวเราะ แต่พอเห็นโป้งจ้องตาเขาก็นึกได้ว่าไม่ควร ก็เลยเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่

“ทำไมคิดว่าเราชอบเขาล่ะ”

“ก็ไม่รู้สิพี่... มันเป็นไปเอง... แบบมันก็แปลกๆนะพี่นะ  อยู่ดีๆมันก็คิดขึ้นมาเฉยเลย” โป้งถอนหายใจ

“มันก็เริ่มจากแค่ไปนอนค้างบ้านมัน มันมากอด  แล้วผมก็เกิดอารมณ์  แล้วต่างคนก็ต่างเลยเถิดไปเลยน่ะพี่ แต่เราก็ตกลงกันว่าเราจะเก็บเอาไว้เป็นความลับ  แต่กลายเป็นว่าเวลาเจอกันที่ไร  ก็อดจะรู้สึกไม่ได้  แบบอยากเข้าไปกอดไปหอมอะไรอย่างนี้”

“ผมก็ไม่รู้นะว่าพี่ว่าทำไม  แต่ตั้งแต่เด็ก ผมก็รู้ตัวนะว่าตัวเองแปลกๆ  บางทีผมก็ชอบมองเพื่อนผู้ชายด้วยกัน  บางทีก็เห็นมันหล่อขึ้นมาเฉยๆ ตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ  บางที่เห็นผู้ชายรุ่นพี่รุ่นน้าหล่อๆก็รู้สึกสนใจขึ้นมา  แต่ผมก็ไม่กล้าบอกใครนะพี่”

“นี่เรากำลังจะบอกว่าเราเป็นเกย์” อรรถถามเพื่อความแน่ใจ

“แล้ว พี่ว่ามันใช่ไหมหล่ะ  ผมเคยเจอในอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าผุ้ชายบางคนก็ยอมมีอะไรกับผู้ชายได้เพื่อเงิน  แต่ที่สุดก็ไปรักผู้หญิง  เขาบอกว่าเวลามีอะไรกับผู้ชายก็คิดไปซะว่าทำงาน ไม่ได้รักไม่ได้ชอบอะไร  แต่ผมไม่เหมือนกันน่ะพี่ ผมชอบเพื่อนคนนั้นจริงๆ  เขาก็เหมือนกัน ผมแน่ใจนะ” โป้งถอนหายใจ  เด็กน้อยมีแววตาสับสน

“ตอนนี้เขาตามแม่ไปเรียนที่ต่างประเทศแล้วหละ เพราะแม่ของเขาได้สามีใหม่เป็นฝรั่ง  แต่ตอนวันก่อนเขาเดินทาง เขายังมาลาผม แบบว่ามันเศร้าๆจริงนะพี่  ผมร้องไห้เลยหละ”

อรรถมองหน้าโป้ง ตอนนี้โป้งมองขึ้นฟ้า..

“นี่มันเรียกว่าความรักใช่ไหมพี่  การที่เราอยากอยู่ใกล้ๆใครสักคน  แล้วว่าเวลาเขาจากไปเราก็เสียใจมาก..คิดถึงมากๆ” แล้วโป้งก็ถอนหายใจ

“แบบนี้มันผิดใช่ไหมพี่  โป้งไม่ควรชอบผู้ชายด้วยกันใช่ไหมพี่”

ความเงียบครอบครองอยู่นาน  จนกระทั้งอรรถกล่าวขึ้น

“โป้ง  โลกนี้มันแปลกประหลาดอยู่เรื่องหนึ่งนะ  จริงๆ โลกก็สร้างให้มนุษย์เราเป็นชายกับหญิง  เพื่อสามารถสืบเผ่าพันธุ์และดำรงเผ่าพันธุ์  แต่ก็น่าแปลกที่คนเราจำนวนมากกลับมีความรู้สึกต่อเพศเดียวกัน  ถ้าโป้งสับสนเพราะไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด  พี่ก็คงต้องตอบแบบแยกประเด็น  ผิดในแง่ของความเป็นธรรมชาติ  ” อรรถกล่าวแล้วมองออกไปในความมืดเบื้องหน้า

“แต่ก็ไม่ผิด ในแง่ของความเป็นคน.. คนเรามันมีหลากหลายนะโป้ง..  ดังนั้น..ทำไม โป้งไม่เลือกเป็นในสิ่งที่ตัวเองเป็น  ทำไมโป้งไม่ลองเปิดใจให้มัน.. แล้วเลิกคิดว่ามันผิดหรือถูก  แต่เลือกจะเดินตามทางของเราที่เราคิดว่าเราต้องการ”

อรรถหันมา โป้งกำลังมองหน้าเขาอยู่ ทั้งคู่สบตากันอย่างด้วยความลึกซึ้ง

ตอนนี้ทั้งคู่นั่งบนอัฒจันทน์เล็กของสนามฟุตบอลในโรงเรียนประถมที่สงบเงียบในยามค่ำคืน

“แต่ พี่ครับ  ผมอยากเป็นนักฟุตบอล  ใครๆก็บอกว่าฟุตบอลเป็นกีฬาของผู้ชาย... แต่ถ้าผมชอบผู้ชายด้วยกัน.. ผมจะยังเป็นผู้ชายอีกเหรอครับ”

อรรถถอนหายใจ

“โป้ง ยังเป็นผู้ชาย... แต่เป็นผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน.. โป้งไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงใช่ไหมหละ แต่โป้งแค่ชอบผู้ชายด้วยกัน  ถึงใครจะเรียกว่าเราว่ายัง  จะเกย์ จะตุ๊ด จะแต๋ว.. จะเก้ง จะกวาง  แต่เราก็รู้ว่าตัวเราเป็นอะไรใช่ไหม.. เราคือผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน.. โป้งจะนิยามตัวเองยังไงก็ได้” อรรถเอามือจับที่บ่าของโป้ง

“สำคัญคือตัวเราต้องรู้ว่าตัวเราเป็นอะไร  และไม่พยายามปฏิเสธจนไม่เป็นตัวของตัวเองเข้าใจไหมโป้ง”

ทั้งสองมองตากันนิ่งเงียบ  นาน...

แล้วมือของอรรถก็เลื่อนมาโอบคอ  มืออีกข้างจับที่แก้มของโป้ง

“พี่ชอบโป้งรู้ไหม”  อรรถขยับหน้าเข้ามากระซิบอย่างแผ่วเบา  แล้วก็หอมที่ซอกคอ แล้วค่อยเลื่อนมาประกบปาก  จากนั้นก็ค่อยๆโน้มโป้งให้นอนลงกับพื้นไม้ของอัฒจันทร์

ริมผีปากที่เริ่มจากบดกัน ก็กลายเป็นเผยอรับกัน  และสูดลมหายใจของกันและกัน..

 

“หรือโป้งลืมมันไปหมดแล้ว  หรือว่านั้นไม่ได้มีความหมายกับโป้งเลย” อรรถรำพึงกับตัวเองเบาๆ

แม้อรรถจะมีชีวิตโลดโพนทางเพศพอสมควรตามโอกาสที่เข้ามาจากรูปร่างหน้าตา  แต่ไอสัมผัสและรสจูบของโป้งยังคงตราตรึงอยู่  แม้เขาจะมีแพรว.. แต่อรรถก็ลืมโป้งไม่ลงเสียที..

แต่ก็อย่างที่เห็น การแสดงออกของโป้งต่อโกล.. ชัดเจนมากชัดเจนเหลือเกิน

หรืออรรถควรจะยอมแพ้ให้แก่โกล แล้วปล่อยให้ทุกอย่างกลายเป็นอดีตอย่างที่โป้งเคยว่าเอาไว้...

 

แม้จะเป็นช่วงเมษายน อากาศบนดอยตุงกลับไม่ได้ร้อนอย่างบนพื้นราบ  แต่เย็นสบายอย่างไม่น่าเชื่อ

สามหนุ่มกราบนมัสการพระธาตุคู่แห่งดอยตุง แล้วจึงเดินทางต่อไปพระตำหนักดอยตุง

อรรถคุยโทรศัพท์กับแพรวตลอด เพราะแพรวมีปัญหาติดขัดเรื่องผลการประเมินผ่านการฝึกสอน  ก็เลยกลายเป็นโป้งกับโกลที่ผลัดกันถ่ายรูป หรือไม่ถ่ายเซลฟี่คู่กันท่ามกลางบรรยากาศอันงดงาม

อรรถวางสายจากแพรว มองไปก็เห็นโกลยืนอยู่เพียงลำพัง  เขาก็เลยเดินเข้าไป

“โป้งไปไหน” อรรถถาม

โกลตอบบนรอยยิ้ม

“ปวดท้อง สงสัยลาบจะเป็นพิษ”

อรรถพยักหน้าแล้วเขาก็เอาเอวพิงกับเสาที่อยู่ใกล้ๆ

“นายกับโป้งคบกันใช่ไหม”

โกลนิ่ง  เอาโทรศัพท์ทื่ถือไว้เก็บใส่กระเป๋ากางเกง

“เรายังเป็นคู่หูกันเหมือนเดิมครับ  เรายังไม่ได้เกินเลยไปจากที่เก่า”

อรรถมองหน้าโกล  ตอนนี้โกลไม่ได้มองมา แต่มองไปที่แปลงดอกไม้ข้างนอกอาคาร

“ฉันดูออก.. ทั้งนายและโป้งไม่ได้คิดกันแค่เพื่อน  แววตามันฟ้อง”อรรถคาดคั้น

โกลจึงหันมา

“พี่ จะคิดยังไงสุดแต่พี่ แต่ผมกับโป้งเรายังไม่ได้มีความสัมพันธ์ในแง่อื่นด้านร่างกาย.. แต่ส่วนหัวใจผมยอมรับว่าชอบโป้งจริงๆ  ส่วนโป้งผมไม่ทราบ พี่ต้องถามเขาเอง”

แววตาของโกลดูแข็งกร้าว  อรรถรู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่สมควรจะมีเรื่องด้วยมากที่สุดคนหนึ่ง  เพราะเขาเอาจริง..

“ก็ช่างเถอะมันเป็นเรื่องของนายสองคน... แต่ที่ฉันอยากจะบอกคือให้นายรับทราบไว้..” อรรถกอดอกบ้างและยืนตัวตรงเผชิญหน้ากับโกล

“ฉัน กับโป้งเราไม่ได้แค่พี่น้องกัน... เรามีความสัมพันธ์ลึกมากกว่าที่นายคิด  ถ้านายยังไม่มีทางกาย.. ฉันก็จะแจ้งให้ทราบว่าฉันมีแล้ว”

อรรถคาดหวังอะไรจากโกล... อะไรกันที่อรรถอยากจะเห็นโกลตอบ หรือแสดงออก

แต่สิ่งที่โกลตอบออกมานั้น  ทำให้อรรถเองเป็นฝ่ายประหลาดใจ

“ผมทราบแล้วครับ.. โป้งเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”

แววตาของโกลตอนนี้ช่างนิ่งสงบเหลือเกิน..

“แต่ถ้าพี่จะถามว่าผมคิดอะไรไหม  ผมคงตอบว่าไม่เลยครับ.. เพราะผมเองก็ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องอะไร  โป้งก็รู้เรื่องของผมดีเหมือนกัน” น้ำเสียงของโกลอ่านได้ยากว่าเขาคิดอะไร

“สำหรับผม.. ความรู้สึกต่อโป้งมันมากไปกว่าความต้องการแล้วครับ  ตอนนี้ผมรักโป้ง.. สำหรับผมถ้าแค่ครอบครองร่างกายว่างเปล่า.. ผมยอมไม่ครอบครองเลยดีกว่า.. เพราะสำหรับผม ที่ผมรักคือหัวใจ  ผมต้องการหัวใจของโป้งครับ พี่อรรถ”

อรรถเหมือนโดนต่อยหน้า.. เขาถึงกับต้องหันหนีสายตาของโกล

“ไปๆ” โป้งเดินมา ทำท่าลูบท้องมาด้วย

“โอยไม่ไหว ถ่ายเสียหมดไส้เลย”

โกลจังหันไปหาโป้ง

“เป็นไงหละ ลาบรสเด็ดสุดในเชียงราย.. ขี้แตก..”

“โหย..” โป้งอุทธรณ์

“กินทุกทีก็ไม่เป็นนนี่หว่า.. มึงหละชอบพากูไปกินอาหารดีๆ  เห็นไหมลำไส้ของกูเสียลำไส้ไปเลย”

“อะไรของมึง เสียลำไส้” โกลแปลกหู

“อ้าว ก็เหมือนคนเสียไง  ลำไส้กูชินกับของดีๆ  อาหารธรรมดาเลยชักรับไม่ค่อยได้ มันเลยเรียกว่าไอ้ลำไส้เสียลำไส้ อันนี้ความผิดมึง มึงต้องรับผิดชอบด้วยนะเว้ยโกล” โป้งเอาหมัดชกที่แขนโกล

“เออๆ รับผิดชอบ” โกลหัวเราะ แล้วกอดคอโป้ง

“เดี่ยวให้พ่อกูมาขอมึงพรุ่งนี้เลย  จะดูแลทั้งชีวิตเลย”

“เฮ้ย.. สินสอดกูแพงนะ” โป้งหันมองหน้า

“อย่างน้อยต้องทองสิบโล เงินสิบล้าน บ้านสองหลัง รถหนึ่งคัน”

“ห่า.. กะตั้งตัวเลยนะมึง..” โกลส่ายหัวแล้วทั้งคู่ก็เริ่มเดินไป

“พี่อรรถ ไปเถอะครับ เดี่ยวคนขับรถตู้จะรอ” โป้งหันมาเรียก

อรรถพยักหน้าแล้วเดินตามไป เขาพยายามทำให้ภายนอกดูสงบ แต่ภายใจกำลังอลหม่านเต็มที่

รู้หมดแล้ว  โป้งบอกเรื่องนี้แล้ว..  ทำไมหละ ทำไมโป้งถึงบอกเรื่องนี้กับโกล

หรือว่า.. โป้งคิดกับโกลไปไกลจนถึงขนาดจริงใจ.. หรือโป้งจะรักโกลเข้าแล้ว..

เมื่อรักก็อยากจะเคลียร์ใจให้หมดทุกเรื่อง..

อรรถยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ  ที่สุดเขาก็ต้องถอนหายใจออกมายาวๆ

หรือว่าเขาควรยอมแพ้แล้วจริงๆ..

 

โป้งอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาก็กำลังรื้อของที่อยู่ในตู้ออกมา เพราะเมื่อสักครู่วราพรพึ่งสั่งให้เขาไปรื้อเสื้อผ้าเก่าออกมาเพื่อเอาไป บริจาคให้เด็กยากจน

อรรถนั่งอยู่บนเตียงมองโป้งรื้อของอยู่สักครู่

“โป้ง.. โป้งเล่าให้โกลฟังเรื่องของเราหรือ”

โป้งหยุดมือ ก่อนจะลงมือแยกเสื้อต่อไป

“พี่ไม่ได้บอกผมนี่ครับว่ามันต้องเป็นความลับ” โป้งสวนย้อนแบบเบาๆ

อรรถนิ่งไป เขาหันไปมองรูปถ่ายของโป้งตอนที่รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่า ของบอลถ้วยก. รุ่นอายุ 16ปี ทั้งที่ทีมโรงเรียนเชียงรายสมบูรณ์อุปถัมภ์ของเขาผ่านไปได้แค่รอบรองชนะเลิศ

“โป้งชอบโกลมาเลยใช่ไหม” อรรถถามตามตรง

โป้งหยุดมืออีก  คราวนี้นานเลยกว่าเขาจะตอบออกมา

“ถ้าผมตอบไป  คำตอบของผมจะมีผลอะไรรึเปล่า... มันจะทำให้ผมกับพี่ต้องเลิกเป็นพี่น้องกันรึเปล่าครับ  หรือถ้าพี่รู้พี่ก็ยังนับผมเป็นน้องของพี่เหมือนเดิม”

อรรถอึ้งนิ่ง..

เขามองเพดานก่อนจะตอบ

“โป้งเป็นน้องพี่.. ต่อให้พี่จะไม่ได้รู้สึกกับโป้งอย่างที่พี่เป็นอยู่ โป้งก็คือน้องของพี่”

โป้งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมา

“พี่อรรถครับ.. คำตอบของผมคือใช่ครับ”

อรรถรู้สึกราวคำพูดนั้นเป็นคมมีด  มันกำลังบาดหัวใจอรรถจนมันเจ็บแสบไปหมด

“จริงอยู่ที่เรายังไม่ได้มีอะไรกัน..  แต่ผมก็รักเขา.. มันมากกว่าความเป็นเพื่อนหรือคู่หู  เวลามีโกลอยู่ด้วยผมจะรู้สึกว่าโลกมันน่าอยู่กว่าเดิม.. ผมมีความสุขเวลาได้อยู่ใกล้ๆกับเขา  ผมหัวใจเต้นแรงทั้งที่เราไม่ได้กอดหรือจูบกัน.. ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆเขา  เพราะเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ๆผมจะมีความสุข” โป้งบอกออกมาจากความรู้สึก

แววตาของโป้งตอนนี้เหมือนลอยละล่องไปหาโกลเสียแล้ว

อรรถถึงกับต้องหลับตาลง  ข่มความเจ็บปวด ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อมองโป้ง

“แล้วพี่หละ โป้ง.. ความสัมพันธ์คืนนั้นของเรา มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ” อรรถถามออกไปทั้งที่หวาดกลัวคำตอบ

แต่ยิ่งเจ็บก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอสำหรับตอนนี้

โป้งพับเสื้อตัวหนึ่งกลับคืนใส่ตู้ไป

“พี่อรรคครับ คืนนั้นมันเป็นเซ็กซ์ที่ดีครับ... ยอมรับ  ผมมีความสุขกับมัน.. แต่..” โป้งหันกลับมา

“ผมก็ยังไม่สามารถมองพี่เป็นอย่างอื่นได้อยู่ดี  พี่ยังเป็นพี่ชายของผมเหมือนเดิม.. ผมอาจนอนกับพี่ได้อีก กี่ครั้งกี่หน  แต่พี่ก็ยังเป็นแค่พี่ชายผมอยู่ดี..”

“จำที่ผมบอกได้ไหม เรื่องบทสัมภาษณ์ผู้ชายขายตัวคนนั้น.. มีประโยคหนึ่งที่ผมอ่านตอนแรกก็ไม่เข้าใจ  แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว.. การมีเซ๊กซ์อาจไม่ได้หมายถึงการมีรัก.. เพราะรักคือความรู้สึกจากใจ  แต่เซ๊กซ์เป็นแค่ความต้องการทางกาย “

อรรถมองตาโป้ง
“แล้วพี่นั้นหละครับที่ทำให้ผมเข้าใจ  พอหลังจากเราแยกกัน  ผมถึงได้นั่งทบทวนว่าทำไมผมถึงได้มีเซ็กซ์กับพี่ได้  ทั้งที่ผมก็คิดกับพี่แค่พี่น้อง.. แล้วผมก็มาถามตัวเองว่าหลังจากนี้หละ  ผมรักพี่เป็นแบบอื่นไหม.. คำตอบของผมคือไม่เลย.. ผมยังมองเห็นพี่เป็นแค่พี่ชายที่ห่วงใยอาทรผม.. ยิ่งเรากลับมาเจอกันอีก  ผมก็ยิ่งแน่ใจ.. “

“ผม ไม่สามารถรักพี่เป็นอย่างอื่นได้  นอกจากพี่ชายครับ” โป้งกล่าวออกมา  คำพูดนั้นเหมือนกับเป็นการตอกย้ำ เพราะมันหนักแน่นและเข้มแข็งอย่างมาก

อรรถหลับตาลงแน่น เพื่อข่มใจ  แล้วเขาก็กลืนความเจ็บปวดทั้งสิ้นลงไปก่อนจะตอบ

“ขอบใจ.. พี่เข้าใจแล้ว.. พี่เข้าใจ”

 

นอกบานประตูที่เปิดแง้มไว้อย่างจงใจในตอนที่โกลออกไปจากห้องเพื่ออาบน้ำ  โกลได้ยินคำพูดของโป้งอย่างแจ่มแจ้ง

เขามีสองความรู้สึกในตอนนี้  ใจหนึ่งก็คือปลาบปลื้ม  แต่อีกใจก็อดสงสารอรรถไม่ได้..

อรรถคงจะฝังใจกับโป้งมาก.. และเขาคงเสียใจมากที่โป้งตอบกับเขาอย่างนี้

แต่.. ยังไงก็ได้แค่สงสาร... เพราะถ้าพูดขนาดนี้อรรถยังจะดื้อดึง  เขาคงไม่ยอมแล้ว..

เขาจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งโป้งไป.. เพราะโป้งคือดวงใจของเขา...

 


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:26:42
ตอนที่ 35 วราพร โกลรักโป้งใช่ไหม

โกลจอดรถจักรยานยนต์ของวราพรลงตรงตำแหน่งที่โป้งชี้

โรงเรียน ของโป้งเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง  แต่วันนี้เป็นวันปิดเทอมจึงมีแต่นักกีฬาประเภทต่างๆและนักเรียนที่ทำกิจกรรม อื่นๆเท่านั้นมาโรงเรียน

“ปกติที่นี่ใส่กางเกงสีอะไร” โกลถามตอนเดินไปตามทางเดิน

“น้ำเงิน” โป้งตอบ

โกลมองพินิจโป้งแล้วยิ้มกระหยิ่ม

“อะไร..” โป้งสงสัยมองสำรวจตัวเองบ้าง

โกลยิ้มจางๆ

“ก็แค่กำลังจินตนาการว่าโป้งเวลาใส่กางเกงน้ำเงินจะเป็นยังไง.. มันคงน่ารักดี.. เซ็กซี่น่าดู”

โป้งเอาตัวกระแทกโกลจนเซ

“คิดลามกอีกหละสิ.. รู้หรอก.. ไอ้ก้านก็กางเกงน้ำเงิน  มึงไม่รู้สึกว่ามันเซ็กซี่รึไง”

โกลส่ายหน้า

“ไม่ไหวอะ มันกวนตีนจะตาย..  แถมมันยังเป็นมารหัวใจอีก.. แต่..” โกลลากเสียง

“ถ้ามันไม่คิดจะจีบโป้ง... กูก็อาจจีบมันดู.. ขาวๆอย่างนี้.. ท่าจะเด็ด.. “

โป้งทำหน้าเหม็นเบื่อความหื่นของโกล

 

“ไอ้โป้งมา” เสียงดังมาก่อนที่โป้งจะเดินเข้ามาในสนามด้วยซ้ำ

เพื่อนๆของโป้งถึงกับทิ้งการวอร์ม วิ่งมาโป้งกันหมด  เหลือแต่พวกหน้าใหม่ที่ไม่เคยรู้จักโป้งที่ยังวอร์มอยู่

“เฮ้ยเบาๆ กูสวัสดีโค้ชก่อนเบา” เพราะบรรดาเพื่อนต่างเข้ามามะรุมมะตุ้มกันอย่างล้นหลาม

ที่จริงโกลก็เคยเห็นแล้วว่าเพื่อนร่วมทีมเก่าของโป้งรักโป้งกันแค่ไหน แต่ก็ยังอดตื่นใจไม่ได้

 

โค้ชทิม ผู้ฝึกสอนรับไหว้โป้ง

“นี่จะไปเล่นให้พี่อำนาจใช่ไหม” โค้ชถาม

“ครับ” โป้งตอบ

“อืมดีแล้วหละ  เพราะพี่อ่ำนะ แกยังไงก็เป็นคนฟุตบอล  แกต้องทุ่มเทมากให้สโมสรอยู่แล้ว”

แล้วโค้ชทิมก็หันมาโกล

“นายด้วยเหมือนกันนี่.. แหม่อย่างนี้ทีมนี้ก็น่าติดตาม  มีทั้งไอ้โป้ง มีทั้งนาย รุกก็คม รับก็เหนียว.. “

โกลได้แค่ยิ้มเพราะไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น

“แล้วไม้หละครับ” โป้งถาม

“ไปทดสอบฝีเท้ากับเชียงรายยูไนเต็ด  ไปสามวันแล้วหละ  สงสัยน่าจะได้นะ” โค้ชทิมบอก  แล้วมองไปในสนาม

“ที่เหลือ เด็กพวกนี้ พอจะเล่นดิวิชั่นหนึ่ง สอง สามได้  แต่พรีเมียร์ก็คงมีแค่ไม้คนเดียวนั้นหละ”

โป้งก็มองเพื่อนแต่ละคนกำลังยืดเส้นยือดสายกันอยู่

“เออ.. ไหนๆก็มาแล้ว  มาโชว์ให้เด็กรุ่นใหม่มันดูหน่อยสิว่า ตอนนั้นนายทำยังไงถึงได้พาเราไปถึงรอบรองได้  มีชุดไหม  ถ้าไม่มี ก็จะได้ให้ใครไปเอาชุดแข่งมาให้”

โป้งกับโกลมองหน้ากัน

“มีแล้วครับ” โป้งตอบแล้วชูกระเป๋าที่สะพายมาด้วย

“ผมกะมาขอโค้ชให้ช่วยฝึกให้อยู่แล้วครับ  ไม่ได้ซ้อมนานเดียวสนิมกิน”

 

โป้งได้ลูกจากเพื่อนก็ค่อยๆเลี้ยงรอเพื่อนๆให้ขึ้นมาเติมเกมรุกอย่างไม่รีบร้อน  ดังนั้นจึงโดนฝ่ายตรงข้ามเข้ามาประกบ  นายคนนี้ไม่เคยเห็นหน้า..

โป้งคลึงบอลไปช้าๆแต่กินแดนเข้าไปในลักษณะเดินหน้าจากริมเส้นด้านซ้ายมุ่งขวา เข้าหาหน้าประตู คนเข้ามาประกบก็ไม่กล้าจะพรวดเข้าสกัด เพราะรู้ดีว่าโป้งรวดเร็วมาก

แต่กระนั้นโป้งก็เปลี่ยนจังหวะบอลฉับพลันเตะออกไปช้างๆในลักษณะเดินหน้า ไปแล้ววิ่งไปตามไป

คนประกบรู้ตัวว่าเสียท่า แต่ก็วิ่งตาม

แต่โป้งดึงบอลหยุดกะทันหัน  แล้วพลิกวิ่งไปทางขวา

เล่นเอาผู้เล่นที่ตามมาเบรกหัวทิ่ม  ได้แต่มองโป้งพาลูกบอลหนีไปอย่างง่ายดาย

พอหลุดได้หนึ่งก็มีมาอีกหนึ่ง  คราวนี้เป็นคนคุ้นหน้า เป็นกองกลางที่เป็นตัวสำรองของไม้เมืองเพื่อนเก่า

โป้งแย้มรอยยิ้ม  แล้วเขาก็เริ่มลีลา  สับขาหลอกสองที  แล้วทำท่าเหมือนจะเตะบอลด้วยขวา สหายเก่าก็ผงะจะออกไปบังทาง  แต่เขาก็จ่ายลูกรอดขาที่ถ่างออกของคนประกบ  แล้ววิ่งอ้อมไปหาลูก

จากตรงนี้ก็เกือบสามสิบหลา  โป้งเห็นกองหลังสองตัวขยับจะออกมา  นั่นทำให้มีช่องว่าง โป้งไม่รอช้า..

เตะด้วยเท้าซ้าย ปั่นลูกโค้งขวา ลูกไซด์โป้ง... ผ่านมือผู้รักษาประตูที่มัวแต่ลังเลไปตุงตาข่าย

“ก็บอกแล้วให้ระวัง ระวัง” โค้ชทิมบ่น

“ระวังยังไงหละ อาจารย์” นักฟุตบอลที่ไม่ได้ลงสนามหันมาท้วง

“ตอนนี้ไอ้โป้งเล่นได้สองเท้า  จะดักซ้ายมันก็ใช้ขวา จะดักขวามันเตะซ้าย..  กันไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆอาจารย์”

โค้ชทิมได้แต่ถอนหายใจ โป้งยิ่งเก่งขึ้นทุกวัน  เขามีพร้อมทั้งพรสวรรค์ โอกาส และพรแสวง  เด็กคนนี้ข้ามขั้น ข้ามวัยไปแล้ว..

ถ้าถามทิม  คนที่อยู่ในแววดวงฟุตบอลมายาวนาน  จะมีใครสักคนยืนในระดับโลกได้  เด็กคนนี้หละ ที่จะไปยืนผงาดตรงจุดนั้นได้แน่นอนที่สุด

มองกลับลงไปในสนาม ก็เห็นฝ่ายที่พึ่งเสียประตูทำเกมบุกขึ้นมา  แล้วก็ทำได้ดี จนได้จังหวะยิงจ่อๆในกรอบเขตโทษ  แต่โกลรับได้สบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ทั้งที่ลูกยิงนั้นทั้งเร็วและแรง..

นี่ก็อีกคน.. นายประตูร่างสูงคนนี้  ไม่แน่นะ เขาอาจกลายเป็นปีเตอร์ ชไมเคิลเมืองไทยไปก็ได้

โกลทำท่าโบกมือไล่ทีมให้เดินหน้าขึ้นไป  แล้วเขาเตะโด่งเปิดเกมออกไปกลางสนาม..

“อาจารย์คิดผิดแล้วที่ให้มันสองคนทีมเดียวกัน... แบบนี้ใครจะไปสู้ได้  สองคนนี้ทีมชาติทั้งคู่นะอาจารย์” เด็กคนเดิมกล่าวอีกแล้วส่ายหัว

 

โกลตกใจกับขนาดกระเป๋าที่วราพรจัดเตรียมให้โป้ง เพราะมันกระเป๋าลากสี่ล้อขนาดใหญ่มากหนึ่งใบ  จนต้องแอบกระซิบกับโป้ง

“นี่แม่ของมึงคิดว่า ภูเก็ตมันกันดารขนาดนั้นเลยเหรอวะ” โกลกล่าวเสียงเบา

“มันเจริญมากเลยนะเว้ย”

โป้งได้แค่ผงกหัวเงิ่ดๆ

“ครั้งที่แล้วกูก็โดนแบบนี้หละ  แต่พอแม่ตามไปจัดของแล้วมันหาที่เก็บไม่ได้ ก็ขนกลับเอง”

“โป้ง..” วราพรเดินออกมาจากครัว

“เดี่ยวโป้งไปซื้อถ่านไฟฉายให้แม่สักสองสามแพ็คสิ”

โป้งสะดุ้ง

“แม่จะให้โป้งเอาไปด้วยเหรอครับ”

วราพรท้าวสะเอว

“ไม่ใช่ยะ  ฉันจะเอาไว้ใช้ที่บ้าน”

โป้งลูบอกอย่างโล่งใจ

“ขนาดอะไรครับแม่”

“AA” วราพรบอก

“เดี่ยวโกล”

วราพรรั้งไว้ก่อน เพราะรู้ดีว่าโป้งจะต้องชวนโกลไปด้วย เนื่องจากโกลมีใบขับขี่จักรยานยนต์ แต่โป้งไม่มีแม้จะขี่เป็น

“โกลมาช่วยน้าติดสติ๊กเกอร์บังแดดหน่อยสิ น้าซื้อมาแล้วหละ  แต่ติดไม่ถึง”

“อ้าวแล้วผมจะไปยังไง” โป้งท้วง

“ก็จักรยานสิค่ะ  คุณชายโป้ง... หรือจะวิ่งไปก็ได้ วิ่งเก่งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอเราน่ะ” วราพรตอบบนรอยยิ้มเชือดเฉือน

 

โกลจัดการติดแผ่นสติ๊กเกอร์บนกระจกอย่างเรียบร้อย แถมเรียบเนียน

“แหม่เราก็ทำงานละเอียดเก่งเหมือนกันนะ  ถ้าเป็นตาโป้งมีหวังเป็นปูด เป็นปมไปหมด  เราติดดูเรียบร้อยดีนะโกล” วราพรกล่าว

โกลจึงลงจากเก้าอี้ แล้วทำท่าจะเอาเก้าอี้ไปเก็บ

“โกลชอบโป้งใช่ไหม”

คำพูดของวราพรทำให้โกลชะงักค้าง

เขาหันมาหามารดาของโป้ง

“บอกน้ามาตามตรงเถอะ.. น้าเป็นผู้ใหญ่กว่าเรา  แม่อ่านสายตาเราออก  โกลคิดกับโป้งมากกว่าเพื่อนใช่ไหม” วราพรมองตาเด็กหนุ่ม

โกลถึงกับต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ... เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี  จะโกหกก็คงไม่สนิทใจ  จะพูดความจริงก็..

“น้ารู้เรื่องโป้งเป็นเกย์นานแล้วหละ โกล.. โป้งบอกกับน้าเอง” วราพรกล่าวแล้วก็หันมองไปที่ตู้โชว์ที่มีรูปโป้งในชุดนักฟุตบอลเรียงไล่ตาม วัย

“วันหนึ่ง โป้งเขามาสารภาพกับน้าว่าเขาชอบผู้ชายด้วยกัน.. ตอนนั้นจะให้พูดตามตรง  น้าตกใจมาก และทำอะไรไม่ถูกเลย แต่น้าไม่กล้าแสดงออกให้โป้งรู้  ถึงโป้งจะสัญญาว่าเขาจะยังคงเป็นลูกชายของน้าต่อไป  ไม่ได้จะเป็นลูกสาว  แต่ก็นะ.. น้าก็คาดหวังว่าเขาจะเป็นผู้ชายเต็มตัว มีครอบครัวที่อบอุ่นต่อไป..”

โกลเห็นแววตาวราพรแล้วก็สลดลง

“น้าต้องทำใจนานมาก จนกระทั้งน้าหมอต้องออกปากเอง ทั้งที่ปกติเรื่องที่เป็นส่วนตัวของโป้งกับน้า เขาจะไม่เคยยุ่ง  น้าหมอบอกกับน้าว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก  ถ้าหากน้าไม่ยอมรับ แล้วโป้งเกิดเตลิดไปเลยเพราะการต่อต้าน น้าก็ต้องเจ็บปวด  หรือถ้าโป้งปิดบังเอาไว้ แล้วทำตัวเป็นผู้ชายปกติ  มีแฟน แต่งงาน มีลูก  แต่ไปแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายด้วยกัน.. แฟนของโป้งในอนาคตก็ต้องเจ็บปวด  น้าเองก็ต้องเจ็บปวดอีก” วราพรเอามือประสานที่อก

“ที่สุดน้าก็ทำใจได้  แต่น้าขอโป้งไว้ว่า  ถ้าจะคบหาใคร  ก็ต้องคบหาด้วยความรัก ไม่ใช่คบหาด้วยความใคร่ แล้วก็เอาชีวิตไปเสี่ยงกับโรคเอดส์  แล้วน้าก็ขอให้เขาเล่นฟุตบอลต่อไป  ซึ่งข้อหลังโป้งเขาก็ยินดีทำตามอยู่แล้ว  น้าก็เลยคลายใจ”

“โป้งบอก กับน้ามาตั้งแต่ม.สอง ตอนนี้ก็สองปีแล้ว  น้าทำใจได้แล้วจริงๆ  เพราะโป้งก็ยังเป็นนายโป้งคนเดิมไม่เปลี่ยนไป..  แต่ที่น้าถาม น้าแค่อยากจะรู้ว่าเรากับโป้งเป็นอย่างที่น้าคิดหรือเปล่า  บอกแม่มาตามตรงเถอะ” วราพรกล่าวเชิงขอร้อง

โกลหลับตาลงก่อนจะตอบออกไป

“ผมรักโป้งครับ”

แล้วโกลก็มาสู้สายตากับวราพร

“ผมจริงใจกับโป้ง  ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากโป้ง ขอแค่โป้งรักผมก็พอ.. ถ้าคุณน้าจะรังเกียจผม ผมก็จะยังรักโป้งต่อไป”

แววตาของเด็กหนุ่มฉายอย่างมาดมั่น  ดวงตานั้นจริงจังและไม่อะไรเคลือบแฝง

วราพรจึงยิ้มออกมา  แล้วเธอก็เดินมาจับที่ท่อนแขนของโกล

“งั้นน้าฝากโป้งด้วยนะ  โป้งเหมือนจะเข้มแข็งแต่เขาอ่อนโยนเกินไป  และห่วงใยคนอื่นมาเกินไป  น้าอยากให้โกลดูแลเขาให้ดี  ถึงน้าจะรู้จักโกลได้แค่สองอาทิตย์  แต่น้าก็เห็นได้ว่าโกลเป็นเข้มแข็งกว่าโป้งมาก”

“จำไว้นะโกล.. ความรักบางทีมันก็ไม่พอหรอก  โกลต้องเติมด้วยความเข้าใจ  โกลต้องเข้าใจโป้งให้มาก  รู้จักโป้งให้มากและต้องรู้จักอดทน..   ตรงนี้น้าเคยสอนโป้งบ่อยๆ ก็เลยอยากจะบอกโกลด้วย”

“เจ้าโป้งน่ะ ในสนามเก่งกาจ สามารถ  แต่ชีวิตจริงขี้ลืม ขี้ใจอ่อน  ขี้สงสาร  แล้วก็เข้าใจอะไรได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องวิชาการ  บางทีก็แอบมีอารมณ์ศิลปิน  บางทีก็โลเล  นายคนนี้มีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง  แต่เราต้องปรับกันไป  โป้งส่วนหนึ่ง โกลส่วนหนึ่ง  อย่างนี้เราสองคนถึงจะเข้ากันได้  เข้าใจไหม”

โกลรู้สึกเหมือนน้ำตาจะเอ่อออกมา  แต่เขายั้งมันได้ทัน  ก่อนจะให้คำมั่น

“ครับ.. โป้งเคยพยายามเข้าใจผมมามากแล้ว  ตอนนี้ผมก็ทำพยายามเหมือนกัน ผมจะพยายามเข้าใจโป้งให้มากขึ้นครับ”

วราพรยิ้ม  ทำไมหนอ  เธอกลับมองเห็นโป้งกับโกลเดินจับมือกันไปบนหนทางที่แสนยาวไกล..

ทำไมหนอ.. เธอจึงสามารถจินตนาการถึงเวลาแสนอบอุ่นของเขาทั้งคู่

และทำไมหนอ เธอถึงได้เชื่อคำพูดนั้นของโกล

ส่วนโกลแม้จะรู้จักวราพรได้แค่ไม่กี่วัน  แต่เขารู้สึกประทับใจเธออย่างยิ่ง  และรู้สึกราวกับเธอเป็นแม่ของเขาเอง..

บ้านของโป้งไม่ใหญ่โตเหมือน คฤหาสน์ทรงยุโรปของพ่อ  และไม่ได้เพียบพร้อม..

แต่บ้านนี้กะทัดรัดและแน่นด้วยความอบอุ่นจริงใจ  เป็นสถานที่ซึ่งโกลใฝ่หามาตลอด.. ตลอดชีวิตของเขา...


ตอนนี้แม้เตียงจะไม่มีคนนอนแล้วเพราะอรรถกลับไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แต่โป้งกับโกลก็ยังเลือกจะนอนพื้น

พอปูที่นอนเสร็จโป้งก็หันไปมองโกลปิดไฟ  แล้วเดินมานั่งจัดที่นอนตัวเองอยู่ข้างๆ

“วันนี้ แม่พูดอะไรกับมึงใช่ไหม” โป้งตามตามตรง เพราะอ่านออกว่าที่แม่ของเขาให้เขาไปซื้อถ่านไม่ใช่เพราะอยากได้  แต่เพราะต้องการให้โกลอยู่ลำพังกับเธอนั่นเอง

โกลยิ้ม  รอยยิ้มนั้นเห็นได้แม้จะมีแค่แสงสลัวลอดเข้ามาทางหน้าต่าง

“เขาบอกให้กูพาพ่อมาสู่ขอตามประเพณี  เขาบอกว่าเอาทองแค่บาทเดียวพอ เดี่ยวเขาจะแถมข้าวสารให้ห้ากระสอบเพราะมึงกินจุ”

“ไม่ใช่ละ” โป้งดันไหล่โกล  ก่อนจะตั้งท่าจริงจัง

“เอาดีๆสิ  กูอยากรู้”

โกลมองตาโป้ง  แม้จะในความมืดก็ยังเห็นแววตาของโป้งได้

“เขาถามกูว่ากูชอบมึงเหรอ”

โป้งเงียบไป

“แล้วมึงตอบว่าไง”

โกลมองตาโป้งนิ่ง  แล้วเขาก็ขยับเข้ามาใกล้

“กูก็บอกไปว่ากูรักมึงไง”

ทั้งสองมองตากันนิ่งในระยะหายใจรดกันและได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน.. แต่ก็เป็นโกลที่จูบหน้าผากโป้งอย่างแผ่วเบา

“เขาบอกให้กูดูแลมึงให้ดี  กูก็สัญญากับเขาว่ากูจะทำให้ดีที่สุด”

แล้วโกลก็ถอยกลับไปนอน

“นอนเหอะพรุ่งนี้ไฟลท์เช้าไม่ใช่เหรอ”

โป้งมองโกลที่นอนลงจริงๆแล้วหลับตา

โป้งรู้ดีว่าแม่ของเขาคงเสียใจไม่ได้น้อยกับเรื่องของเขา  แต่แม่ก็ยังเลือกจะยอมรับมากกว่าปฏิเสธ.. และเปิดใจกระทั้งยอมรับโกลด้วยอีกคน

ขอบคุณครับแม่ โป้งบอกในใจ

แล้วเขาก็นอนลง โดยจงใจนอนเบียดโกล

“จะเบียดทำไมที่ตั้งกว้าง” โกลร้อง

“ก็กูบอกว่าแอร์มันตกตรงนี้  มันหนาว มึงเลือกจะนอนตรงนี้กูก็ต้องเบียดมึงให้อุ่นไง”  แล้วโป้งก็กอดร่างโกลไว้

“ตัวมึงอุ่นจังหวะ”

โกลยิ้มชอบใจ  แล้วก็ซบหัวลงบนหัวเกรียนๆของโป้ง กอดตอบร่างนั้น แล้วจูบบนหน้าผากของโป้ง  ก่อนจะหลับตาลงอย่างมีความสุข


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:27:47
ตอนที่ 36 สู่ภูเก็ต อำลาทีม อำลารัก เดฟกับวู๊ดเดินมาถึงทางแยก

นัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาติไทย U19 กับประเทศหมู่เกาะหนึ่งในมหาสมุทรอินเดีย จบลงด้วยสกอร์ถล่มทลายของทีมชาติไทย  แปดประตูต่อศูนย์

โป้งได้ลงเป็นตัวจริงในครึ่งแรก และเล่นต่ออีกสิบนาทีในครึ่งหลัง ยิงไปได้แค่ประตูเดียว  แต่กลับได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากสื่อมวลชนเพราะสี่ประตูในครึ่งแรกมาจากการเตะเปิดบอลไปอย่างแม่นยำของเขาทั้งสิ้น  แล้วยังยิงประตูได้อีกในครึ่งหลังจากฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษที่ได้มาจากการที่ท๊อป ศูนย์หน้าตัวเก่งโดนกระแทกล้มลง

แต่โป้งก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร  เพราะเขามีเรื่องอื่นต้องสนใจอีก

โป้งและโกลมาซ้อมร่วมทีมนวสาครเป็นวันสุดท้าย  ทั้งที่จริงแล้วสถานภาพนักเรียนของพวกเขาสิ้นสุดลงไปแล้วจากการยื่นลาออก

พอจบการซ้อม  โป้งกับโกลก็ออกมายืนตรงหน้าเหล่าเพื่อนและรุ่นน้องที่จะขึ้นมาเสริมทีมในการศึกษาหน้า

“เราประสบความสำเร็จได้สองถ้วยก.ต่อเนื่องกันสองปี  ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเท่าที่โรงเรียนของเราทำได้นับจากการสถาปนาโรงเรียน  คนที่มีส่วนมากคนหนึ่ง นอกจากผู้เล่นตัวหลักอื่นๆ  แล้วก็คงต้องบอกว่าคือนายโกล กรกฏผู้รักษาประตูของเรา  เพราะในตอนที่เราได้แชมป์รุ่นสิบหกปี เขาเสียประตูไปแค่สองประตูเท่านั้น”

เพื่อนพร้อมใจกันปรบมือให้โกล

“ส่วนปีนี้  โกลก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้ดี ทำให้ผมสั่งพวกคุณเดินเกมรุกได้อย่างสะดวกใจมากขึ้น  เพราะมีเขาป้องกันประตู “

โค้ชป้อมมองไปรอบๆ

“มาปีนี้ พวกเราได้อาวุธใหม่  อาวุธชนิดนี้เป็นอาวุธนำวิถีที่แม่นยำ และยังรวดเร็ว  แถมเขายังเป็นแบบอย่างของคนที่มุ่งมั่นกับการฝึกฝนและพัฒนาตนเอง  ตรงนี้คงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า  การที่เราได้ได้สองแชมป์ใหญ่ในปีนี้ก็เพราะเขามีส่วนอย่างมาก” ป้อมเพชรเอามือบีบไหล่โป้ง

“นายโป้งของเราจึงเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่สุดของเราในปีที่ผ่านมา”

ทั้งทีมปรบมืออีกครั้ง

“ตอนนี้ทั้งสองคนก้าวไปสู่อีกระดับของชีวิตนักฟุตบอลแล้ว  ซึ่งพวกเขาได้ลาออกจากโรงเรียน และกำลังจะเดินทางไปภูเก็ต เพื่อร่วมทีมกับทีมกับ ภูเก็ตยูเนี่ยน ซึ่งเป็นทีมที่ซื้อสิทธิการแข่งขันมาจากทีมอื่น ทำให้พวกเขาจะได้เล่นในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้”

สมาชิกทีมก็ปรบมือกันอีก

“เอาหละ ตอนนี้ก็อยากให้ทั้งสองคนกล่าวกับเพื่อนๆ เป็นการอำลาเสียหน่อย เริ่มจากโป้งก่อน”

โป้งมองหน้าอาจารย์ป้อมเพชร แล้วก็ก้าวออกมา

“จริงๆแล้ว  การมาร่วมทีมกับทุกคนต่างหากที่เป็นความภูมิใจของผม  ทีมของเรามีคนที่มีฝีเท้าดีอีกหลายคน  อย่าปอ นี่ก็ถือเป็นศูนย์หน้าที่เก่งที่สุดของผมเลยนะ  ตั้มก็เป็นกองหลังที่ผมเล่นด้วยแล้วลำบากใจ วู๊ดก็เป็นกัปตันทีมยอดเยี่ยม  จอมก็เป็นกองหลังที่เล่นได้ดีมาก  แล้วก็อีกหลายคน”

“ผมสนุกมากที่ได้เล่นกับพวกนายทุกคน  และผมขอขอบคุณมิตรภาพของพวกนายทุกคนด้วย” โป้งกล่าว

“แล้วผมก็อยากให้ทุกคนลองไปทดสอบฝีเท้ากันดู  ไม่แน่นะครับ วันหนึ่ง  ผมอาจได้เล่นในสนามเดียวกับพวกคุณอีก  ถึงแม้จะเป็นคู่แข่งกัน  ผมก็อยากนะ  เพราะผมเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถ  อย่าขาดความมั่นใจ  แล้วก็อย่าท้อถอยในการการฝึกฝน”

“ผมล่วงหน้าไปก่อน  แต่ผมจะคอยมองกลับมาและรอคอยพวกคุณอยู่ตรงนั้น”

“โอ้ยซึ้งว่ะ”จอมร้องออกมาอีกครั้งแล้วถอดแว่นออกเช็ดน้ำตา เพื่อนหัวเราะคิกคักกับอาการของจอม

ป้อมเพชรยกมือให้หยุด  แล้วหันมาหาโกล

โกลก้าวออกมา

“สำหรับผม  ผมก็คือคนที่อยู่กับพวกคุณมาหลายปี  พวกเราฝึกฝนฟุตบอลมาด้วยกันตลอดสี่ปี” เขากวาดตาไปหาเพื่อนที่คุ้นเคย  เขายังจำได้ถึงหน้าแสนเยาว์ของพวกเขาตอนเข้ามาม.หนึ่ง

“ถึงแม้ผมจะมีความแตกต่างยังไง  ผมอาจเป็นคนแปลกๆในสายตาคนอื่น  ผมอาจมีรสนิยมต่างจากคนอื่น  แต่เพื่อนๆก็ไม่เคยรังเกียจผมเลย  ผมยังได้รับมิตรภาพของทุกคนอยู่เสมอในทุกสถานการณ์”

“ทีมฟุตบอล  เป็นเหมือนสถานที่ซึ่งผมได้รับความอบอุ่น  ผมรักทุกคนมาก แต่ที่ผ่านมาผมไม่ได้แสดงออก  เพราะผมมันเป็นคนแบบนี้เองหละ  ถ้าผมจะอินดี้เกินไป  หรือเคยทำอะไรให้พวกคุณขุ่นใจ ผมก็ต้องขอโทษ” โกลมองตาเพื่อนแต่ละคน ตอนนี้เองที่เขานึกถึงป้อง..

“แต่สำหรับผม  เพื่อนๆทุกคนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม  และผมก็ภูมิใจที่มีส่วนในทีมที่ดีอย่างทีมของนวสาคร  ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ  ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ  และขอบคุณทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันมา”

“ผมจะไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีทุกคน  เพราะผมคงไม่สามารถฝึกฝนตัวเองได้ตามลำพัง  ผมไม่สามารถรับลูกได้ดี  ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องรับมือกับลูกยิงที่ทั้งแรงและส่ายของปอทุกวัน” เขามองหน้าปอ ปอก็ยกกำปั้นให้

“ผมคงจะไม่มีสถิติป้องกันประตูที่ดีถ้าไม่มีจอมคอยกันและป้องกันประตู” พอมองหน้าจอม  เขาก็มัวแต่ปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอีก

 “ผมคงจะลาออกจากทีมไปแล้ว  ตอนที่ผมยอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ ถ้าไม่มีวู๊ดมาคุยและเปลี่ยนใจผม” โกลสบตาวู๊ดที่แม้มปากและพยักหน้า

“และที่สำคัญ ผมจะไม่มีวันนี้เลย ถ้าโค้ชป้อมไม่ให้โอกาสผมและยังสนับสนุนผมให้เดินในทางของผู้รักษาประตู”

ตอนนี้เพื่อนเงียบกริบมองหน้าโกล                                                               

“ทุกคนเป็นครอบครัวของผม  เป็นความอบอุ่นของผม  เป็นที่ทำให้ผมยังอยากอยู่ในโลกใบนี้ต่อไป  ผมรักทุกคน และหวังว่าทุกคนจะเดินตามทางที่ผมกับโป้งล่วงหน้าไป  ผมจะดีใจมากถ้ายังมีโอกาสได้รับลูกยิงของปอ  หรือต้องป้องกันจังหวะโหม่งของจอมเวลาเติมมาเล่นลูกเตะมุม  ผมจะยินดีมากถ้ายังจะได้เห็นกัปตันวู๊ดวิ่งไปทั่วสนามเพื่อเชื่อมเกม”

“ผมอยากให้ทุกคนที่เป็นเหมือนครอบครัวของผมเติบโตเหมือนกับผม  สำหรับผม.. ทีมนวสาครจะเป็นทีมของผมตลอดไป  ไม่ว่าผมจะไปเล่นกับทีมไหน ทีมอะไร  และผมจะไม่ลืมว่า นวสาครคือบ้านเกิดของผมในกีฬาฟุตบอล”

ทุกคนเงียบกริบไป  จนกระทั้งตั้มลุกขึ้นแล้วปรบมือ  แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นด้วย

ปรบมือให้กับโกล นายประตูที่เหนียวแน่นและไว้วางใจได้เสมอของพวกเขา

วู๊ดเดินออกมาแล้วกอดโกลไว้

“ไอ้โกลมึงก็เหมือนครอบครัวของกู  และก็ขอบใจที่มึงพาพวกเราให้ประสบความสำเร็จ”

เพื่อนก็พากันเข้ามาล้อมรอบโป้งกับโกล ผลัดกันเข้ามากอดทั้งคู่

ป้อมเพชรอมยิ้มเมื่อเห็นจอมร้องไห้ตอนที่กอดโกล

“โกลมึงรู้รึเปล่า  ว่าทำไมกูเล่นดี” จอมกล่าวปนสะอื้น..

“เพราะกูรู้ไง ว่าถ้ากูพลาดก็ยังมีมึง.. กูถึงได้มั่นใจจะเล่น  ขอบใจนะเว้ยเพื่อน”

ส่วนตั้มคนที่มีบุคลิกกระด้างๆ แต่กำลังกอดคอโป้งแน่น

"ไอ้โป้ง  มึงน่ะทำให้กูเก่งขึ้น มึงนี่เหมือนลิง วิ่งไปวิ่งมากูจับไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวกูก็เก่งขึ้นกว่าเดิม.. กูคงจะคิดถึงมึงมาก เวลากูกลับบ้านที่ใต้กูจะไปหามึง ไปดูมึงแข่งด้วย"

ป้อมเพชรพยักหน้าช้าๆ  แล้วเขาก็ไม่อาจทนมองภาพนั้นได้ต่อไป

เขาหันไปมองยอดเสาธงที่อยู่ไกล

เพราะน้ำตาความปลาบปลื้มมันพาลจะไหลออกมาเสียให้ได้... จึงต้องมองสูงๆไว้ไม่ให้มันร่วงลงมา

เขานึกถึงคำหนึ่งที่อาจารย์อำนาจ หัวหน้าผู้ฝีกสอนทีมชาติกล่าวไว้ตอนที่เขายังเป็นแค่นักเตะในชุดยู23 

“บางที การสร้างทีมที่สุดยอดก็ไม่ใช่ทีมที่เก่งที่สุด  แต่เป็นการสร้างทีมที่เป็นทีมทั้งในและนอกสนามต่างหาก”

 

“แล้วนี่จะไปกันเมื่อไหร่” วู๊ดถามตอนที่เดินร่วมกับโป้ง โกล ตั้ม และปอออกจากโรงเรียน

“พรุ่งนี้แล้วหละ  โค้ชทีมใหม่เขาอยากให้เราไปเข้าฝึกก่อน  แล้วยังจะมีเรื่องโรงเรียนอีก” โป้งตอบ

วู๊ดพยักหน้า

“วู๊ดเดี่ยว มานี่หน่อยสิ” อาจารย์ป้อมเดินกึ่งวิ่งมา

วู๊ดจึงเดินกลับไปหา

แต่ไม่ได้ไปไกลเพราะป้อมเพชรมาถึงเสียก่อน  เขายื่นแผ่นกระดาษที่มีชื่อกับหมายเลขโทรศัพท์มาให้

“ภูเก็ตเอฟซี  เขาติดต่อมานะ  เขาอยากให้นายไปทดสอบฝีเท้า  ปีนี้เขาได้เลื่อนกับมาดีวิชั่นหนึ่ง  ก็เลยอยากได้นักเตะเพิ่ม.. คนโทรมาบอกว่าเขาชอบที่นายเชื่อมเกมได้ดี  อยากให้นายไปลองทดสอบดู  ไปได้ไหม”

โป้งกับโกลมองหน้ากัน  แต่ปอกับตั้มร้อง

“เย้... กัปตันกูขายออกแล้วเฟ้ย”

** ภูเก็ต เอฟซี(ปัจจุบันสมยาโรนิน แดนใต้) เป็นสโมสรที่อยู่ภูเก็ตจริงๆ ปัจจุบัน(2558) ตกชั้นไปเล่นดีวิชั่นสอง  แต่ภูเก็ตยูเนี่ยน เป็นทีมในจินตนาการของของผู้เขียน  เป็นทีมตั้งใหม่ จะมีสนามใหม่ อยู่แถวบ้านกู้กู(คนภูเก็ตน่าจะรู้จักเนอะ) เพราะภูเก็ตเอฟซีใช้สนามสุระกุลสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเกาะภูเก็ตเป็นสนามเย้าของตัวเองอยู่ ดังนั้นเมื่อผู้เขียนสร้างทีมใหม่จึงต้องมีสนามใหม่ด้วยเช่นกัน **

 

สถานที่ซึ่งโป้งกับโกลได้รับการจัดสรรให้เข้าพัก เป็นเซอร์วิชอพาร์ทเม้นท์ค่อนข้างหรูที่อยู่ในเมืองภูเก็ต ซึ่งบริษัทของอำนาจมีหุ้นส่วนอยู่ด้วย โดยในอาคารเดียวกันยังมีนักฟุตบอลร่วมทีมกับเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นรุ่นพี่พักอยู่ด้วยหลายคน

“นี่มึงนอนได้ไหมเนี่ย” โป้งถามตอนที่เจ้าหน้าที่ของทีมซึ่งไปรับทั้งสองคนมาจากสนามบินกลับไปแล้ว

“ทำไม.. ห้องของมึงเล็กกว่านี้อีกไอ้โป้ง  แค่ครึ่งห้องนี้ได้มั้ง  กูยังอยู่ได้เลย” โกลตอบ  แล้วลองนั่งลงบนเตียง

“เตียงก็ดีกว่าเยอะด้วย”

โป้งมองรอบๆห้อง

“ก็จริงนะ” โป้งตอบ

“ถ้าเราดันเตียงมาชนกันตรงนี้  ก็จะมีที่กว้างขึ้นนะ” โกลออกความเห็น

โป้งหันมาทำหน้าเร่อๆ

“ทำไมต้องดัน.. ก็อยู่อย่างนี้ดีแล้ว”

โกลทำตาหรี่มองหน้าโป้ง

“ตามใจกูจะได้นอนคนเดียวสบายๆ ไม่ต้องเบียดกับมึง” แล้วเขาก็เมินไปทางอื่น

โป้งทำเป็นหันไปหันมา

“เออใช่.. ตรงนี้เดี่ยวแอร์มันลง เดี่ยวก็หนาว  เอ้าๆ ดันๆ ไปติดกันตรงนั้นก็ได้ มาๆช่วยกัน”

โกลแอบยิ้ม

“เออๆ  เดี่ยวมึงหนาวก็มานอนเบียดกูอีก” โกลแกล้งพูดเออออไปด้วย

 

ทีมผู้ฝึกสอนของภูเก็ตเอฟซี ดูจะพึงพอใจกับนักฟุตบอลที่มาร่วมคัดตัวในวันนี้ด้วย  ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเพราะกระแสของทีมใหม่อย่างภูเก็ตยูเนี่ยน ช่วยให้มีเด็กย่านพังงา ภูเก็ต หันมาหาทีมในภูเก็ตมากขึ้น

“เด็กนั่น เบอร์สิบสองนี่ ใช่ ฤทธา กัปตันทีมนวสาครแชมป์ถ้วย ก.ใช่ไหม” หัวหน้าโค้ชกล่าว

“ครับ..”ผู้ช่วยตอบ

“อืมเข้าท่ามาก.. ก็สมแล้วหละที่เป็นลูกศิษย์ของอดีตทีมชาติอย่างป้อมเพชร.. ผมเอานะ” หัวหน้าโค้ชกล่าว

ผู้ช่วยก็จดลงไปสมุด

หัวหน้าโค้ชหันไปบนอัฒจันทร์ เห็นในหมู่คนที่มาให้กำลังใจมีหนุ่มสองคนที่คุ้นหน้าซึ่งนั่งติดกับหนุ่มร่างสูงอีกคนที่หน้าตาออกลูกครึ่ง

“สองคนนั้น เด็กของยูเนี่ยนใช่ไหม.. เทพพร กับ กรกฏ”

ผู้ช่วยโค้ชหันไปดู

“ใช่ครับ.. สองคนนั้นเล่นทีมเดียวกับนายฤทธา คงมาให้กำลังใจ”

“พูดถึง.. ป้อมเขาก็เก่งมากๆเลยนะ  นี่จะไม่มีใครลองไปทาบทามมาเป็นโค้ชช่วยเราหน่อยเหรอ.. เพราะอีกสามเดือนนายอิทธิก็จะหมดสัญญาแล้ว  ถ้าได้โค้ชป้อมมาช่วย.. ต้องทำเกมรับทีมของเราให้ดีขึ้นได้แน่นอน” หัวหน้าโค้ชกล่าวออกมา

“ดูสิเด็กของเขาแต่ละคนเก่งๆทั้งนั้น”

 

วู๊ดสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากสนาม  โป้งเป็นคนแรกที่เข้าไป

“เป็นไง เป็นไงมีหวังไหมกัปตัน” โป้งถาม

“ยังเรียกกูกัปตันอยู่อีก  มึงไม่ได้ได้เป็นลูกทีมกูแล้ว..มึงเป็นนักบอลอาชีพไปแล้วไอ้โป้ง” วู๊ดว่าแต่ก็ยิ้ม

“ก็ไม่รู้สิ  เขาบอกว่าจะแจ้งผลที่หลัง  กูก็ต้องรอนั่นหล่ะ”

โกลเดินตามมาที่หลังโดยมีเดฟเดินมาสุดท้าย

วู๊ดกับเดฟมองตากันอยู่ครู่

“ถ้า..” เดฟกำลังจะกล่าว

“ฤทธา..” ผู้ช่วยโค้ชชื่อสุริยะ วิ่งมา

“เราจะกลับกรุงเทพวันไหน”

“พรุ่งนี้เย็นๆครับ เพราะอีกอาทิตย์หนึ่งก็เปิดเรียนแล้ว” วู๊ดตอบ

สุริยะต้องยกมือรับไหว้โป้งกับโกลและเดฟที่ต้องพลอยยกมือไหว้สุริยะไปด้วย ก่อนจะตอบ

“เอ่อเหรอ... เธอต้องปรึกษาใครก่อนไหม ถ้าเรารับเธอเข้าทีม  พรุ่งนี้มาเอาสัญญาไปอ่านดูก่อนนะแล้วค่อยเซ็นต์  ส่วนเรื่องเรียนไม่ต้องห่วง  เพราะเดี่ยวทีมจะพยายามหาที่เรียนให้เธอเอง  แต่อาจต้องรอนิดหนึ่ง”

ตอนแรกวู๊ดยังงง

แต่โป้งกับโกลยิ้มแป้นมองหน้ากัน

“หัวหน้าโค้ชตกลงรับเธอแล้วนะ  เขาให้ผมมาบอกก่อนเพราะกลัวเธอกลับกรุงเทพไปเสียก่อน” สุริยะกล่าวอธิบาย  วู๊ดจึงได้เข้าใจทั้งหมด

“จริงเหรอครับ” วู๊ดร้องออกมา  หน้าตาตื่นเต้นสุดขีด

สุริยะพยักหน้า  แล้วยื่นมือมาให้จับ

“ยินดีด้วยนะ”

วู๊ดยกมือไหว้ก่อนจับเขย่า

“ครับขอบคุณครับผม”

สุริยาตบบ่าเด็กหนุ่มแล้วก็เดินไป

สามนักฟุตบอลหันมาหากันแล้วแสดงอาการดีใจเหมือนทำประตูได้  แต่เดฟกลับถอนหายใจออกมา  หากเขาก็ต้องฝืนยิ้มเมื่อวู๊ดหันมาหาเขาแล้วกอดแน่นด้วยความยินดี

 

ห้องพักหรูแห่งนี้ของครอบครัวของเดฟ  อยู่ภายในอาคารชุดที่หันหน้าออกไปอ่าวกะรน

วู๊ดยังตื่นเต้นไม่หายแม้แต่ตอนอาบน้ำเขาก็ยังฮัมเพลง  พอออกมาเห็นเดฟกำลังนั่งดูรายการภาษาต่างประเทศอยู่  ก็เลยนั่งลงข้างๆกอดเอวเดฟ

“ไม่คิดเลยนะว่าฉันจะได้เป็นนักเตะอาชีพกับเขาแล้ว”

เดฟไม่ได้ตอบมองโทรทัศน์ต่อไป เพียงแต่ยิ้ม

“เดี่ยวฉันจะกลับไปออกอา แล้วก็เพื่อนๆ ทุกคนต้องดีใจแน่ๆเลยใช่ไหม”

“นายจะย้ายมาเลยใช่ไหม.. งั้นนายก็ต้องไปลาออกจากโรงเรียนด้วย  อย่าลืมขอหนังสือรับรองมายื่นโรงเรียนใหม่ด้วยนะ” เดฟกล่าวโดยไม่ได้หันมา

ตรงนี้เองที่วู๊ดตระหนัก..

เขาปล่อยจากอ้อมกอดของเดฟ

“ฉันมัวแต่ดีใจ.. ลืมไปเลยนะว่าฉันต้องย้ายมาอยู่ที่นี่”

เดฟรู้สึกตัวเพราะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป เขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงตัวเองให้สดใส

“เฮ้ยอะไร ภูเก็ตกรุงเทพ เครื่องบินชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว  นายเป็นนักบอลอาชีพก็มีเงินแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นนี่”

แต่วู๊ดมองตาเขานิ่ง

“อย่างนั้นก็เถอะ  แปลว่าเราคงไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ”

เดฟอึ้งไป... เขาหันไปมองโทรทัศน์

“เราสองคนควรจะจบกันได้แล้วไม่ใช่เหรอ.. บอกตามตรงถึงวันนี้ฉันก็ยังตัดใจจากจุ๊ยไม่ได้นะ  ทุกครั้งที่เจอเขาฉันก็จะยังรู้สึกเหมือนเดิม  ซึ่งมันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับนาย..”

วู๊ดไม่ตอบอะไรมองหน้าเดฟนิ่งๆ

“ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วหละ  ถึงแม้มันจะทำให้ฉันรู้สึกนะ.. เพราะฉันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้คิดอะไรกับนาย  แต่มัน.. ไม่รู้สิ..  มันอาจต้องเป็นไปแบบนี้... “ แล้วเดฟก็มองเพดานอยู่ครู่ก่อนจะกล่าวออกมา

“เราเลิกกันเถอะวู๊ด”

วู๊ดยังนั่งนิ่งอยู่จนกระทั้งเดฟตัองหันมา

แต่พอเดฟหันมาวู๊ดก็จูบเดฟ  ตอนแรกเดฟก็ขืนไว้  แต่ไม่นานเขาก็พ่ายแพ้  ที่สุดก็จูบตอบอย่างดูดดื่ม แถมเป็นฝ่ายดันวู๊ดให้นอนลง

“เดฟ” วู๊ดบอก ตอนที่ทั้งคู่สบตากัน

“นายไม่ต้องบอกเลิกฉันก็ได้  เพราะแต่แรกฉันก็ไม่เคยคาดหวังจะเป็นตัวจริงอยู่แล้ว..”

เดฟมองลึกในนัยน์ตาของวู๊ด ก่อนเขาจะกล่าวตอบ

“สิ่งที่เรามีให้กันคือความรักรึเปล่าฉันก็ไม่แน่ใจ  แต่สำหรับฉัน.. นายคือคนที่สำคัญ และจะสำคัญตลอดไป”

แล้วก็จูบลงบนซอกคอของวู๊ด

“ฉันก็เหมือนกันเดฟ” วู๊ดตอบแล้วก็ปล่อยให้ร่างกายตอบสนองต่อสัมผัสของเดฟ

ร่างกายสองกายเบียดเสียดกันในบทเพลงอำลาแห่งสัมผัสที่ไม่แน่ชัด

แต่ที่ชัดเจนตอนนี้คือหัวใจของทั้งคู่กำลังเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน  แม้เสียงครางต่ำๆนั้นก็ยังสอดคล้องกันด้วยอารมณ์และความรู้สึก

หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:29:33
บอกกล่าว: ทีมใหม่ในเรื่อง

ชื่อทีมภาษาไทย       สโมสรฟุตบอลภูเก็ตยูเนี่ยน

ชื่อทีมภาษาอังกฤษ   Phuket Union Football Club

เจ้าของทีม              บริษัท Phuket Union Football co., ltd

ประธานสโมสร         นายอำนาจ สินธุพรอุดม

สนามเหย้า              ยูเนี่ยนออฟภูเก็ต (The Union Of Phuket Stadium) ความจุ 21000 ที่นั้ง

ที่ต้้งสโมสร             บ้านกู้กู ตำบลวิชิต อำเภอเมือง ภูเก็ต

ลีกปัจจุบัน               ไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก

สมญานาม               หมาป่าอันดามัน


เป็นทีมที่ผมสร้างขึ้นใหม่จากจินตนาการ เนื่องจากปัจจุบันภูเก็ตมีทีมฟุตบอลทีมเดียว คือภูเก็ต เอฟซี ผมก็เลยสร้างทีมนี้ขึ้นมาใหม่เพื่อให้โป้งกับโกลไปอยู่ที่ภูเก็ตอีกจังหวัด ที่ผมผูกพันมากๆ
ดังนั้นเนื้อเรื่องจากต่อนี้จะเกิดขึ้นที่ภูเก็ต และอาจเป็นสถานที่ซึ่งกัปตันวู๊ดของเราอาจได้พบกับใครสักคนที่ทำให้เขาแยก จากเดฟคนที่รักคนอื่นมากกว่าเขาได้โดยสมบูรณ์ก็ได้นะ.. ลองติดตามดูครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:30:28
ตอนที่36 โรงเรียนใหม่

วันนี้เป็นวันเปิดเทอมใหม่  โป้งยืนมองตัวเองในชุดนักเรียนของโรงเรียนใหม่อย่างรู้สึกแปลกหูแปลกตา กางเกงขาสั้นสีกรมท่าเข้ม.. แต่ต้องสวมเนคไทด้วย

พอโกลออกมาจากห้องน้ำก็ส่วมใส่ชุดเดียวกัน  เขาคว้าแจ๊คเก็ตหนังสวมทับเสื้อนักเรียน

“ไปเหอะ” โกลหยิบหมวกกันน๊อกให้

 

โรงเรียนที่โป้งและโกลเข้าเรียนเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ที่เก่าแก่พอสมควรสำหรับจังหวัดภูเก็ต  โป้งกับโกลจอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่ลานจอดของเอกชนที่ด้านนอกจึงต้องเดินมา ระหว่างทางพวกเขาถูกเด็กนักเรียนชายหลายคนหันมามองหน้าแบบพินิจ

“นี่ใช่นักบอลทีมชาติไหม.. เทพพรกับกรกฏใช่ม๊าย”

และนักเรียนสาวๆหลายคนก็สนใจกัน

“เขาว่าเป็นทีมชาตินะ เป็นนักบอลอาชีพด้วย  เห็นว่าจะมาเล่นให้ภูเก็ต ยูเนี่ยน”

โป้งชักเขินหันมองหน้าโกล โกลก็ทำหน้าเฉยตามแบบของเขาแบบไม่รู้สึกรู้สา

 

พอเข้าเรียนโป้งกับโกลก็ถูกจัดให้นั่งเรียนคู่กัน  ในคาบแรกอาจารย์ประจำชั้นก็เรียกให้เขาออกไปแนะนำตัว

“เทพพรครับ ชื่อเล่นชื่อโป้ง” โป้งกล่าว

“งานอดิเรก..เอ้อ ก็คงเป็นฟุตบอลครับ  ชอบเรียนวิชาพละครับ เพราะผมเรียนเข้าใจอยู่วิชาเดียว วิชาอื่น ไม่รู้เรื่อง...”

เพื่อนหัวเราะกันคิกคัก

“ผมกรกฏครับ เรียกว่าโกลแล้วกันนะครับ” โกลกล่าวต่อ

“งานอดิเรกก็คงเหมือนโป้ง  ชอบวิชาภาษาอังกฤษครับ”

สาวมองหน้าโป้งกับโกลแล้วสนทนากันทำนองว่า

“อยู่หล่อ ทั้งคู่เลย..”

“เอาหละโป้งกับโกล  ไปนั่งที่ได้” อาจารย์ประจำชั้นบอก

“โป้งกับโกลเขาอาจไม่ค่อยได้เข้าเรียนนะ เพราะเขาเป็นนักกีฬาทีมชาติ แล้วก็เป็นนักฟุตบอลของภูเก็ตยูเนี่ยนด้วย  ดังนั้นผมจึงให้คฑากับทรงวุฒิเป็นพี่เลี้ยง  คอยดูแลช่วยเหลือเขาสองคน”

คฑากับทรงวุฒินั้งอยุ่โต๊ะในแนวเดียวกับโป้งและโกลแต่คนละแถวหันมายิ้มให้

โป้งก็ยิ้มตอบ คฑาเป็นหนุ่มรูปร่างสูงผมดูไปคล้ายๆจอม ส่วนวรวุฒิมองไปมีส่วนคล้ายตั้มมากจนน่าแปลกใจ จนต้องเรียกว่าเหมือนเลยจะดีกว่า.. เพียงแต่ทรงวุฒิดูไม่บึกบึนเท่าตั้ม และเหมือนจะเตี้ยกว่าเล็กน้อย

“เอาหละ วิชาต่อไปก็จะเป็นวิชาของอาจารย์เอง  เดี่ยวอาจารย์จะอธิบายจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อน”

“นายๆ” ทรงวุฒินั่งใกล้โป้งจึงเรียก

“นายรู้จักกับทรงยศใช่ไหม”

 โป้งทำหน้าเร่อหรา

“ไอ้ตั้มไง” โกลบอก

โป้งร้องอ้อ แบบไม่มีเสียง

“เราเป็นแฝดของตั้มนะ  แต่พ่อแม่เราแยกกันเรามาอยู่กับแม่ ส่วนตั้มอยู่กับพ่อ  เราเป็นคนน้อง” ทรงวุฒิบอก

โป้งพยักหน้าช้าๆ

แต่พอดีอาจารย์หันมาเขาก็เลยหันไปมองกระดานสีขาวที่มีตัวอักษรเป็นพืด

 

เพราะสัญญาของโป้งกับโกลยังไม่มีผลเป็นทางการ โป้งกับโกลก็เลยซ้อมและฝึกทักษะกันไปพลางๆ  และยังได้เข้าไปชมเกมในสนามของทีมยูเนี่ยนที่ตั้งอยู่นอกเมืองไปตามถนนเทพกระษัตรีด้วย

สนามของภูเก็ต ยูเนี่ยนเป็นสนามสร้างใหม่ชื่อว่า ยูเนี่ยน ออฟ ภูเก็ต ซึ่งมีความจุสองหมื่นหนึ่งพันที่นั่ง  และเกมนี้ก็เป็นเกมใหญ่เนื่องจากยูเนี่ยนต้องลงสนามเจอกับปราสาทหิน ทีมแชมป์ปีที่แล้ว  คนดูก็เลยแห่แหนกันมาจากสารทิศจนสนามแน่นขนัด

โป้งกับโกลได้ที่นั่งพิเศษในบริเวณของทีมสำรอง  พวกเขาตื่นเต้นไม่น้อยที่ต้องเจอกับนักเตะรุ่นพี่ ที่แม้จะเป็นตัวสำรองก็ยังมีฝีเท้าดีหลายๆคน

แล้วยิ่งมาตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ตอนที่กล้องในสนามจับภาพพวกเขาไปขึ้นจอใหญ่บนอัฒจันทร์ แถมโฆษกสนามก็ยังประกาศให้ปรบมือให้กับสองนักเตะรุ่นใหม่ของทีมอีกด้วย

การแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกันไปหนึ่งประตูต่อหนึ่ง

โป้งกับโกลเดินออกมาจากสนามเหมือนกับผู้ชมคนอื่นๆ มีเด็กวัยรุ่นหลายคนเข้ามาขอถ่ายรูปก็ยอมให้ถ่ายแล้ว ก็เลยกว่าจะออกมาได้จากสนามได้ ลานจอดรถมอร์เตอร์ไซด์ก็โล่งพอดี พวกเขาจึงออกมาจากสถานที่นั้นมาโดยสะดวก

โกลจอดรถลงที่ข้างถนน  แล้วสองคนก็เดินไปหาที่นั่งร้านขายบัวลอยข้างทาง

“ใช่เจ้านี้ไหม”โป้งมองไปมองมาให้แน่ใจ

“ก็โน่น บขส.เก่า..” โกลชี้ป้าย

“ก็พี่เขาบอกว่า ร้านอยู่ใกล้บขส.เก่า”

เพราะสองคนคุยกัน หนุ่มน้อยที่นั่งอยู่คนเดียวก็เลยหันมามอง พอเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใครเลยรีบเรียกอย่างดีใจ

“โป้ง โกล”

“อ้าวกัปตัน” โป้งขานแล้วเดินมาหา

“นั่งๆ นั่งด้วยกัน” วู๊ดกล่าวด้วยความยินดี

 

บัวลอยของวู๊ดมาก่อนหน้าของโกลกับโป้งไม่นาน  ทั้งสามก็เลยกินเสร็จในเวลาไล่เลี่ยกัน

“กัปตันพักที่ไหน” โป้งถาม

“ใกล้ๆนี่หละ เป็นหอพักเล็กๆน่ะ  สโมสรของฉันไม่ได้มีเงินเหมือนยูเนี่ยนหรอก”

“แล้วเรียนที่ไหน” โกลถาม

กัปตันตอบเป็นชื่อโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนรัฐชื่อดังของจังหวัด

โกลก็พยักหน้า ก่อนเขาหันไปมองหน้าโป้งก่อนจะถาม

“แล้ว.. เรื่องของมึงกับเดฟหละ ตกลงเลิกกันแล้วหรือยังไง”

วู๊ดเงียบไปนิดหนึ่งหันไปมองรถที่วิ่งไปมา

“ก็เขาบอกเลิกกูกัน.. แต่ก็ไม่ได้ก็เหมือนไม่ได้เลิกกัน  ก็แค่กูอยู่ที่นี่เขาก็อยู่ที่นั้นกับคนที่เขารัก..”

โป้งกับโกลมองหน้ากัน นึกอยากจะปลอบใจแต่ก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี

วู๊ดพยายามสตาร์ทมอร์เตอร์ไซด์คันเก่ากึกแต่มันก็ไม่มีทีท่าจะติด

“ต้องเดินเสียแล้วมั้ง” วู๊ดยังเค้นหัวเราะ

แต่โป้งกับโกลไม่ขำด้วย มองหน้ากัน

“มันเป็นรถที่รุ่นพี่ในทีมเขาให้ยืมน่ะ  เดี่ยวไว้มีเงินเดือนแล้วค่อยซื้อใหม่  ตอนนี้ยังได้แค่เบี้ยเลี้ยงวันสองร้อย เพราะยังไม่ได้เป็นนักเตะอย่างเป็นทางการ” วู๊ดอธิบาย

แล้วโกลส่งสัญญาณเมื่อให้วู๊ดลุกขึ้น

แล้วเขาก็คร่อมรถแทน จากนั้นก็พยายามสตาร์ทอยู่สองครั้งแล้วเว้น สองครั้งแล้วเว้น จากนั้นก็เขย่ารถไปมา ก่อนจะลองสตาร์ทอีกครั้งจนติด

“ขอบใจว่ะ มึงนี่เก่งจัง” วู๊ดตบบ่าโกล

โกลมองหน้าวู๊ด

“หอมึงอยู่ไหน เดี่ยวกูตามไปด้วยเผื่อรถมึงดับอีก”

“ไม่ต้องไม่ต้อง อยู่แค่นี่ ไม่เกินสิบนาทีก็ถึงแล้ว” วู๊ดโบกมือ

“ไม่นะกัปตัน”โป้งแย้ง

“ให้พวกเราไปส่งดีกว่านะ  เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน”

วู๊ดมองหน้าโป้งกับโกล ก่อนจะถอนหายใจ

 

ดังนั้นโกลก็เลยขับรถตามรถของวู๊ดจนไปถึงหอพักที่มีสภาพไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่

“เห็นไหมบอกแล้วไม่ดับหรอก” วู๊ดจอดรถเข้าที่ แล้วเดินออกมาหาโกลกับโป้งที่ไม่ได้ลงจากรถมอเตอร์ไซด์

โกลมองไปรอบตัว แล้วเอี้ยวหันมองหน้าโป้งนิดหนึ่งเหมือนขอความเห็น แล้วก็หันกลับมาหาวู๊ด
“พรุ่งนี้บ่ายมีซ้อมไหม” โกลถาม

“อืม.. ไม่มี” วู๊ดตอบ

เพราะวันนี้ภูเก็ต เอฟซีก็มีรายการแข่งที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน ดังนั้นทีมจึงหยุดซ้อมในวันพรุ่งนี้เพื่อให้นักกีฬาได้พัก

“งั้น.. ไปซื้อมอเตอร์ไซด์ใหม่กัน.. เดี่ยวกูออกให้มึงก่อนวู๊ด  แล้วมึงค่อยๆผ่อนกูเดือนละห้าร้อยพันนึงก็ตามใจ กูไม่คิดดอก”

วู๊ดกำลังจะปฏิเสธ  แต่โป้งก็แย้งก่อนอีก

“ไม่ต้องปฏิเสธเลยกัปตัน  เอาเงินไอ้โกลไปก่อนดีแล้ว เดี่ยวกรกฏา เราก็ได้สัญญาเป็นทางการแล้วค่อยมาใช้คืนก็ได้” 

 

โกลเลี้ยวรถออกไปแล้วโดย โป้งยกมือให้เชิงว่าแล้วเจอกัน

เขาถอนหายใจออกมา

จะว่าไปสองคนนี้เหมือนกันมากอยู่อย่างหนึ่งคือจิตใจดี..

โกลอาจดูผิวเผินไม่ค่อยสนใจใคร  ไม่เหมือนโป้งที่ดูสนใจทุกสิ่งรอบตัว  แต่ที่สองคนอยู่ด้วยกันได้แถมดูเหมาะสมกันก็เพราะจิตใจของทั้งคู่เหมือนกัน

โกลสมัยก่อนที่ยังทำตัวอินดี้ ไม่สนใจโลก  เขาก็มักจะสั่งพิซซ่า หรืออาหารอื่นๆมาเลี้ยงเพื่อนๆเสมอๆเวลาซ้อมในช่วงปิดเทอม  แล้วถ้าใครขัดสนอะไรก็บอกโกล  โกลก็ยินดีจะช่วยเสมอ อย่างเพื่อนในทีมที่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี  ก็มักจะได้โกลนี่หละ ให้ยืมเงินแล้วค่อยมาจ่ายที่หลังเวลาเบี้ยเลี้ยงออก

“อย่างน้อย ถึงกูจะเกิดมาอาภัพ  ก็ยังเจอแต่คนดีๆช่วยเหลือตลอด...” เขามองในแง่มุมบวกของชีวิต แล้วก็หันหลังเดินเข้าไปในอาคารที่พัก

 

โกลกับโป้งนัดเจอกันวู๊ด โดยมีเลขานุการของพรรณพงศ์ ซึ่งบังเอิญมาสำรวจที่พักของโกลว่าอยู่ดีมีสุขหรือไม่มาด้วยอีกคน

วู๊ดเลือกเอารถจักรยานยนต์รุ่นที่ออกแบบให้ย้อนยุคของซูซูกิ  ซึ่งโกลเองก็มองมันด้วยความสนใจ เพราะเขาก็ชอบอยู่เหมือนกัน

“สวยไหมโป้ง.. ดูขับง่ายคล่องตัวดีเนอะ” โกลกล่าวแล้วลูบๆคลำๆ

โป้งมองหน้า

“นี่..พอเลยมึง..  แล้วจะเอาไอ้คันใหญ่ไปไว้ไหน”

“ก็ให้มึงขับไง” โกลว่า

“ตีนแน่ะ..” โป้งย้อนทันที

“คันขนาดนั้น.. ตายพอดี  กูขับไม่ไหวหรอก”

“ไม่ต้องซื้อหรอกครับคุณ  เดี่ยวคุณพ่อจะเอารถยนต์ลงมาให้ใช้  วันเสาร์หน้าคุณโกลมีซ้อมรึเปล่า  ผมจะพาไปทำใบขับขี่รถยนต์  คุณพ่อบอกว่าเห็นคุณโกลขับมอเตอร์ไซด์แล้วหวั่นใจ  กลัวจะไปประสบอุบัติเหตุ” การันต์บอกกล่าว หลังเซ็นชื่อในสลิปบัตรเครดิตเรียบร้อย

“อันนี้รับรถได้เมื่อไหร่ครับ” การันต์หันมาถามคนขาย

“ก็พรุ่งนี้เลยครับ”

“ผมไม่ได้มา ให้น้องเขามาเองได้ไหม เดี่ยวผมเซ็นหนังสือมอบอำนาจมาให้”

“ได้ครับ”

โกลหันไปหาวู๊ด

“แล้วก็หาที่จอดดีๆนะ ระวังเขาขโมยไปซะหละ รถใหม่”

“กูคุยกับเจ้าของตึก เขาบอกรถใหม่เขาให้จอดด้านในได้ เขามีประตูล๊อกให้แน่นหนา”วู๊ดตอบ แล้วบีบแขนของโกล

“ขอบใจมากหวะ โกล  แล้วกูจะทยอยจ่ายคืนให้นะ”

 

ในร้านอาหารทั้งสี่ภายในห้างเซนทรัลเฟสติวัลภูเก็ต

“เออมึงรู้ไหม ไอ้ก้านมันจะมาเดือนหน้า”วู๊ดกล่าวขึ้นเมื่อนึกได้

“จริงเหรอ..” โป้งตื่นเต้น  เพราะเขารู้สึกดีจะได้มีคนรู้จักมาอยู่เพิ่มอีกคน

“เห็นว่ามันจะเล่นให้เอฟซี  กำลังตกลงเรื่องสัญญากัน” วู๊ดว่า

“ดี..” โป้งพูดได้แค่นั้น เพราะโกลวางช้อนดังเคล้งให้รู้ว่าไม่สบอารมณ์

“มันจงใจตามมา” โกลทำหน้าเหม็นเบื่อ

“อะไรวะ” วู๊ดงง

“ทำไมหรอ.. ไอ้ก้านมันตามอะไรตามใคร”

“ก็ตามไอ้โป้งนี่ไง” โกล กระแทกเสียงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

การันต์รู้ดีว่านายน้อยคิดอะไรจึงได้แต่อมยิ้ม

“มึงก็คิดมาก.. ก็เขาก็อยากมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพบ้างนี่” โป้งชี้แง่บวก

แต่โกลเค่นเสียงหึ

“โรงเรียนมันมีสัญญากับทีมในกรุงเทพ  อีกอย่างด้วยฝีเท้ามันกับบารมีพ่อมัน มันเล่นทีมไหนก็ได้  พ่อมันสนิทกับสมาคมฟุตบอล แถมสนิทกับทีมในกรุงเทพตั้งหลายทีม จะมาอยู่ทำไมถึงภูเก็ต”

วู๊ดนิ่งเพื่อประเมิน มองพินิจหน้าทั้งสหายทั้งคู่

“นี่มึงหึงไอ้ก้านสินะไอ้โกล”

เจอประโยคนี้โกลถึงกับต้องหลบหน้า

“เปล่า.. เปล่านี่.. กูก็แค่พูดตามความจริง”

โป้งก็ทำหน้าหน่ายๆแล้ว กินข้าวต่อไป

“น่ารักนะเนี่ย คู่นี้” วู๊ดกล่าวกลั้วหัวเราะ

"มีหึงกันด้วย..."



หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:31:32
ตอนที่ 37 เกมนัดสำคัญ เท้าซ้ายเป็นตัวตัดสิน..

การซ้อมร่วมกับทีมใหญ่เริ่มต้นเมื่อถึงกลางเดือนมิถุนายน  โป้งกับโกลเข้าเรียนเพียงครึ่งเช้าเท่านั้นแล้วก็ถูกจัดเป็นวิชากิจกรรม จากนั้นก็เดินทางไปไปสนามซ้อมที่อยู่กันคนละที่กับสนามหลัก

การซ้อมนั้นมีมาตรฐานทัดเทียมกับของทีมชาติ  อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องออกกำลังกายและอุปกรณ์ใช้ในสนามซ้อมก็ล้วนแต่เป็นอุปกรณ์ที่ทีมระดับโลกเขาใช้กัน

นับว่าอำนาจจริงจังกับทีมมากที่เดียว  แถมโป้งก็พึ่งทราบว่า หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของฉัตรอัครก็มีหุ้นในสโมสร ดังนั้นสนามซ้อมจึงชื่อว่า ฉัครอัครคอมเพล็กซ์ ในที่ดินของตระกูลมหาเศรษฐีที่ติดอันดับหนึ่งในยี่สิบของโลกและ และหนึ่งในห้าของเอเชีย

การซ้อมของโป้งกับโกลต่างไปจากเดิมที่ซ้อมอยู่กับทีมเยาวชนที่อำนาจตั้งขึ้นมาด้วยทุนตัวเอง ซึ่งเป็นคล้ายๆการซ้อมของทีมโรงเรียน

แต่การซ้อมของทีมชุดใหญ่ เน้นไปที่พัฒนาทักษะอย่างเข้มข้น  สลับกับการซ้อมเล่นทีมในบางวัน

โป้งถูกฝึกทักษะอย่างหนัก เพราะเขาได้รับมอบหมายให้เล่นตำแหน่งที่หลากหลายยิ่งขึ้น

ส่วนโกลก็ยิ่งเน้นในจุดที่เป็นจุดบอดของเขา

ดังนั้นเวลาหกชั่วโมงของโป้งกับโกลจึงเหมือนหนักหนากว่าผู้เล่นทีมใหญ่คนอื่นๆ

“สองคนนี้มันอึดมากเลยนะครับโก(เป็นคำเรียกแปลว่าพี่)” ผู้เล่นในทีมชุดหลักคนหนึ่งยืนมองโป้ง ซ้อมยิงประตู โดยมีโกลเป็นผู้รักษาประตู

อำนาจหันมามองหน้า  นายคนนี้เป็นศูนย์หน้าตัวหลักของทีมชื่อบรรณ  เป็นดาวยิงสูงสุดของทีมในตอนนี้

“เป็นผมไม่ไหวแน่ๆ  เล่นซ้อมกันหนักขนาดนี้  สมัยก่อนผมยังไม่ได้ฝึกขนาดนี้เลยโก” บรรณว่า

“เด็กสองคนนี้เป็นความหวังของฉัน บรรณ  เขามีแววอย่างที่ไม่เคยเห็นมานานมาก  ฉันอยากจะทุมเทฝึกฝนพวกเขาให้ถูกต้องตามมาตราฐานสากลให้มากที่สุด  ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะไปไกลกว่าพวกรุ่นพี่ไหม” อำนาจกล่าว

“แต่การเติบโต  ก็อาจแปลว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับเราสิโก.. การลงทุนมันศูนย์เปล่าสิสำหรับทีมเรา” บรรณชี้ประเด็น

อำนาจมองไปในสนาม  มองเด็กหนุ่มสองคนกำลังซ้อมอย่างหนักด้วยการดวลกันด้วยทักษะที่เป็นเอกของทั้งคู่ การยิงและการป้องกันประตู

“ใช่มันจะสูญเปล่า... แต่ฉันกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆตกลงใจกันแล้วว่า  เราจะทำ  นี่คือภารกิจของเรา.. เพราะสิ่งที่ฉันอยากเห็น  คือสิ่งที่ฉันทำไม่ได้  นั้นคือการพาธงชาติไทยไปสะบัดในสนามฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายให้ได้..   ถึงแม้จะต้องเสียอะไร เท่าไหร่  ฉันก็จะยอม”

แล้วอำนาจก็มองไปที่โป้ง

เจ้าโป้งนี่คือเจตจำนงของพ่อของเอ็งนะ  เอ็งต้องเข้มแข็ง..

เพราะถ้าเป็นอย่างแม่ของเอ็งบอกจริงๆ  มีสิ่งเดี่ยวที่ช่วยเอ็งได้คือการไปสู่จุดสูงสุด  สูงจนลอยเหนือข้อตำหนิ และคำครหา

เอ็งต้องสู้.. อย่าให้อะไรมาบดบังความสามารถของเอ็งได้ไอ้โป้ง

 

โป้งมองนายประตูที่อยู่ตรงหน้า  แววตาของเขาตอนนี้ดังนกเหยี่ยวที่จ้องเหยื่อ

โกลกางมืออกให้กว้างเตรียมพร้อม

โค้ชสุเมธ ผู้ฝึกสอนที่ชำนาญคนหนึ่งของประเทศ  เขาเตะส่งลูกบอลออกไป

โป้งมองลูกบอลที่กลิ้งเข้ามา แล้วเขาก็วิ่งเข้าหา  เขารวมกำลังไว้ที่เท้าซ้าย  แล้วเตะเข้าไปเต็มหลังเท้า

ลูกบอลพุ่งมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง  ไม่เท่าของปอ  แต่ก็แรงมาก..

โกลพุ่งตัวไป

มือถึงแต่แค่โดนบอล เพราะความรุนแรงมันจึงคงรักษาเส้นทาง  แล้วมันก็เข้าประตูไป

อำนาจยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาหันมาตบบ่าบรรณ

“ระวังคลื่นลูกใหม่มันกระแทกกระเด็นเอานะบรรณ”

บรรณยังอ้าปากค้างมองไปที่เด็กหนุ่มสองคน

ลูกยิงนั่นไม่ใช่การยิงตรงๆไปธรรมดา เป็นการยิงหนักแบบมีทิศทางและลูกก็น่าจะส่ายด้วย.. ผ่านมือผู้รักษาประตูอย่างโกลที่เขาเองก็ยังถูกโกลปัดป้องได้บ่อยในการซ้อมก่อนหน้า  เป็นการยิงที่ดีอย่างไม่มีข้อสงสัย

แต่อีกด้านโกลเองก็ยังพุ่งไปถูกทิศทางแสดงถึงทักษะทีดีเยี่ยม.. ถึงแม้จะปัดป้องไม่ได้แต่ก็เกือบ

“นี่มันเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดจริงๆหรือเปล่าวะเนี่ย”

(การยิงลูกส่ายคือการที่ยิงลูกไปอย่างแรง แต่ลูกไม่หมุน  เมื่อลูกไม่หมุนจะเกิดปรากฏการเรียกว่าลูกส่าย คือลูกจะเคลื่นซ้ายขวาเองระหว่างพุ่งไป ทำให้รับได้ยาก  เทคนิคนี้ใช้ในวงการวอลเล่ย์บอลด้วย)


โป้งยืนอยู่หน้ากระจกของตู้เสื้อผ้าโดยยังไม่ได้สวมเสื้อ มองพิจารณาตัวเอง

“นี่กูล่ำขึ้นจริงๆใข่ไหม” โป้งถามกับโกล

โกลเดินมาแล้วดึงโป้งให้หันมา

“ก็ดูตัวโตกว่าแต่ก่อนนิดนึงหละ  แต่มันคงได้แค่นี่เพราะหุ่นมึงเป็นแบบนี้น่ะโป้ง”

ต้องยอมรับว่าโป้งกล้ามเนื้อของโป้งมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าก่อนเล็กน้อย  พอจับดูก็สัมผัสได้ว่ามันแข็งและแน่นกว่าเก่า

“ทำไมตัวกูไม่เห็นล่ำแบบมึงเลยอะ” โป้งชกไปที่ท้องของโกล

“ก็ร่างกายคนมันไม่เหมือนกันโป้ง  มึงเป็นแนวผอมบาง  กูมันแน่นหนา.. มึงได้แค่นี้ก็ดีแล้ว”

แล้วโกลก็หยิบเสื้อของโป้งที่แขวนอยู่บนหูจับเปิดตู้ เอามาสวมให้โป้ง

โป้งมองโกลจัดเสื้อของเขาอย่างประณีต

แววตาของโกลช่างมีความสุข

“โกล..” โป้งกล่าวออกมา แล้วขยับมาใกล้ๆ

“ขอกูจูบมึงทีนึงได้ไหม”

โกลมองตาโป้ง

ทั้งคู่สบตากัน..

แล้วโป้งก็ลดระยะความสูงที่ห่างกันราวสิบห้าเซนติเมตรด้วยการการเขย่งและกอดรอบคอ  โกลก็ก้มหน้าลงมานิดหนึ่งเอามือโอบที่เอวของโป้ง

ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันอย่างแผ่วเบาก่อนจะบดกันแรงขึ้น  แล้วก็แลกเปลี่ยนลมหายใจและความรู้สึกของกันและกัน

นานอยู่เท่าไหร่ไม่รู้ได้ เพราะมันเป็นไปอย่างดูดดื่มและตื่นเต้น

ก่อนทั้งคู่จะผละหน้าจากกัน

โกลพินิจนัยน์ตาของโป้งที่มองมา

ก่อนเขาจะจูบเบาๆที่หน้าผาก

“จูบเก่งนี่เรา.. “ เขากล่าวแล้วมองตาโป้ง

“ก็พอตัว” โป้งยิ้มกระหยิบ

โกลขยี้หัว  แล้วผละออกไปหยิบหมวกกันน๊อกมาส่งให้

“ไปเหอะ ป่านนี้ผู้ใหญ่คงไปถึงหมดแล้ว เขาจะแถลงข่าวกันแล้วมั้งป่านนี้”                     

 

โป้งกับโกลเป็นข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์กีฬาอีกครั้ง  บรรดาเพื่อนร่วมทีมเก่าของเขาอย่างปอและตั้ม กำลังมุงกันรับทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับเดียว โดยล้อมตัวจุ๊ยทีเป็นคนอ่านออกเสียง

“นายอำนาจ สินธุพรอุดมกล่าวว่า นักฟุตบอลทั้งคู่เป็นอนาคตของทีมชาติไทย  และเขาก็จะพยายามสร้างให้นักเตะทั้งคู่มีทักษะมากขึ้น ไม่ใช่แค่สำหรับสโมสร  แต่เป็นระดับโลกต่อไป..”

“ระดับโลกเลยเหรอ” จุ๊ยทวนที่ตัวเองอ่าน

“เฮ้ยได้นะเว้ย.. กูว่า..” ตั้มตอบ

“ไอ้โป้งน่ะ แม่งสุดๆ นับวันแม่งยิ่งเก่ง  ไอ้โกลก็เหมือนกัน.. กูว่ามันสองคนต้องไประดับโลกได้แน่”

จุ๊ยหันมองหน้าปอ ก็เห็นเขาสนับสนุนด้วยการพยักหน้าอย่างมั่นใจ

“แล้วมึงสองคนไม่คิดจะไปเป็นระดับอาชีพบ้างเหรอ” จุ๊ยถาม

“พ่อกูบอกให้เรียนจบก่อน” ปอตอบแบบเซ็งๆ

“เกิดไม่ได้เป็นขึ้นมา  จะได้มีความรู้ติดตัว...”

“แล้วกัปตันมึงหละ เป็นไงบ้าง” จุ๊ยถามถึงอีกคนคุ้นเคย

“ก็ดีนะ  เห็นว่าเปิดเซ็นสัญญาไปแล้วด้วย  เดี่ยวคงจะเริ่มได้ลงตัวจริง” ตั้มตอบ

 

โป้งกับโกลได้ลงสนามไปในฐานะตัวจริงไปแล้วในฟุตบอลถ้วย FA CUP ที่เจอกับทีมจากดิวิชั่นสาม แถมโป้งก็เป็นคนยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกมเสียด้วย.. จบเกมด้วยประตู 1:0

แต่วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขามีชื่ออยู่ในทีมสำรองในการแข่งขันไทยแลนด์พรีเมียร์ลีกแถมยังเป็นเกมใหญ่เจอกับทีมใหญ่ระดับบิ๊กโฟว์ของประเทศไทย

แต่โป้งกลับไม่ค่อยยินดีนัก เพราะคู่แข่งคือทีมใหญ่อย่างเมืองนนท์ ยูไนเต็ด

แถมที่ได้ลงมาเพราะบรรณศูนย์หน้าตัวจริงเจ็บไปเสียอีก แล้วยังจะมีนักเตะตัวหลักคนอื่นที่เจ็บสามคน

แม้จะเป็นการเล่นสนามของยูเนี่ยนเองก็ตาม ก็ต้องถือว่าโดยสภาพทีมแล้วเป็นรองอยู่มาก

ทว่าหมดครึ่งแรกก็ยังเสมอศูนย์ต่อศูนย์ ซึ่งก็ถือว่าพอใจอยู่พอสมควร

พอลงมาครึ่งหลัง  หัวหน้าโค้ชที่เป็นชาวเยอรมัน มีสเตอร์ฮาร์เซ่ ก็สั่งให้เดินเกมเพิ่มการเล่นเกมรุก เพื่อจะได้ลุ้นประตู  เขาเปลี่ยนกองกลางตัวรุกและกองหน้าลงไปเพิ่ม

แต่กลายเป็นเมืองนนท์ ที่ขึ้นนำเพราะกองหลังผิดพลาด ทำให้ศูนย์หน้าที่เป็นตัวผู้เล่นต่างชาติของเมืองนนท์หลุดกับดักล้ำหน้า เข้าไปยิงจ่อๆ

ฮาร์เซ่ ดีทมานท์ อดีตบุนเดสเทรนเนอร์ที่เคยเป็นผู้ฝึกสอนของทีมในระดับบุนเดสลีก้าของเยอรมัน

เขามองไปที่ม้านั่งสำรอง  เขามีตัวเลือกอีกแค่อีกหนึ่งคน เพราะเขาเปลี่ยนตัวไปแล้วสองคน เพื่อเติมเกมรุกเมื่อต้นครึ่งหลัง...

ตอนนี้มีผู้เล่นเกมรุกอีกแค่คนเดียวคือ โป้ง.. เด็กคนนี้ในเกม FA C๊UP เล่นได้อย่างดี  แต่เขาก็ยังเด็กเกินไป.. แต่ใครจะรู้หละ.. เด็กคนนี้อาจเป็นเบบี้โกลอย่างไมเคิ่ล โอเว่น หรือไรอัน กิ๊กก็ได้

ฮาร์เซ่ สูดลมหายใจลึกๆ  แล้วเดินมาตบบ่าโป้ง

“Make yourself ready, We need you now”

 

วู๊ดมองลงไปในที่ข้างสนาม เห็นโป้งออกมาวิ่งวอร์ม.. ไม่เหนือความคาดหมายหรอก  แต่เป็นการเปลี่ยนตัวที่เสี่ยงมาก  เพราะนี่เป็นเกมใหญ่..

ไม่เกิดก็ดับละวะคราวนี้...

“สู้ๆนะไอ้โป้ง”

โป้งมายืนรอเปลี่ยนตัวอยู่ในพื้นที่  ตอนนี้ทั้งสนามกำลังเรียกชื่อเขาออกมาดังสนั่น

แล้วผู้ตัดสินที่สี่ก็ชูป้ายไฟขึ้นเพื่อให้สัญญาณขอเปลี่ยนตัว

 

“ไอ้โป้งได้ลงแล้ว” ตั้มตื่นเต้น  ตอนนี้ทีมฟุตบอลเกือบทั้งทีมยกโขยงมานั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านของจอมที่รับเป็นเจ้าภาพในสัปดาห์นี้  พวกเขาใส่เสื้อของภูเก็ตยูเนี่ยนกันทุกคน แถมเป็นหมายเลข15ของโป้ง กับหมายเลข 19 ของโกล

“เอามันเลยโป้ง.. อย่าไปยอมแพ้มัน”

 

โป้งวิ่งลงไปในสนามท่ามกลางเสียงปรบมือดังสนั่น  เขาตีมือกับกองหลังที่ถูกเปลี่ยนตัวออกแล้ววิ่งไปบอกแผนกับกัปตันทีมพี่โสดา

โสดาพยักหน้าแล้วตีไหล่โป้ง

“อย่ากลัวมัน”

โป้งพยักหน้าแล้ววิ่งไปยืนในตำแหน่งตัวเอง

 

การแข่งขันเป็นไปอย่างเข้มข้นมาก  เพราะตอนนี้ภูเก็ต ยูเนียนเปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างเต็มสูบด้วยแผนกองหลังสาม กองกลางสี่ และกองหน้าสามตัว  โดยมีโป้งเป็นกองหน้าด้านซ้าย

แล้วโป้งก็ได้บอลครั้งแรกจากการที่กองหลังตัวหลักของยูเนี่ยนคือ พี่อดุลย์ตัวผู้เล่นสูงวัยแต่มากประสบการณ์เบียดแย่งลูกมาได้ แล้วเตะโด่งออกมาจนถึงโป้งที่อยู่แนวหน้า

โป้งพลิกตัวหลบพาลูกบอลหนีกองกลางของเมืองนนท์ที่พยายามเข้าสกัด  แล้วพาลูกวิ่งไต่ไปตามเส้นข้าง

พอเห็นตัวผู้เล่นตำแหน่งปีกขวาวิ่งมาเขาก็เปลี่ยนทางวิ่งกะทันหัน

เลี้ยงลูกบอลตรงเข้าตรงกลาง  แล้วปล่อยลูกให้สำราญศูนย์หน้าคู่หูของบรรณรับไปต่อ แล้วตัวเองก็วิ่งไปด้านขวา
สำราญเห็นเพื่อนกองหน้าด้านขวาวิ่งไปทางซ้ายแทนโป้งเขาจึงจ่ายลูกไปให้

อาวุธศูนย์หน้าสำรองครองบอลรอ พอเห็นโป้งขยับวิ่ง เขาเลยจ่ายลูกผ่านระหว่างคู่กองหลังเข้าไปในเขตโทษ

โป้งใช้ความเร็ววิ่งไปถึงลูก

แต่จังหวะจับลูก.. เขาก็โดนปีกขวาเข้ามาเบียดจากด้านข้าง

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงล้ม.. และที่จริงก็ควรล้มเพื่อเอาจุดโทษ  แต่เพราะเมืองนนท์มักจะได้เปรียบเสมอในจังหวะแบบนี้  จนมีเสียบ่นในหมู่แฟนบอลกันว่ากรรมการมักเข้าข้างทีมใหญ่

ต้องไม่ล้ม โป้งบอกตัวเอง  แล้วเขาก็ใช้กำลังดันกลับ..

ผู้รักษาประตูวิ่งเข้ามาในจังหวะที่โป้งชะลอลงไป...

โป้งจึงตัดสินใจใช้เท้าซ้ายกระแทกลูกบอลด้วยสันเท้าด้านข้างให้มันพุ่งไปทางซ้ายมุ่งหน้าหาประตูที่ว่างโล่ง

กองหลังของเมืองนนท์วิ่งมา คิดจะเตะลูกที่กลิ้งอยู่ให้ออกไป  ทว่า..

สำราญที่วิ่งมาที่หลังแต่ถึงก่อน  เขาสไลด์และยืดขาออกไปจนสุด...

ทั้งตัวสำราญและลูกบอลจึงเข้าประตูไปพร้อมกัน

เสียงเฮดังสนั่นจากทุกทิศทาง... สนามยูเนี่ยน ออฟ ภูเก็ตสว่างไสวขึ้นทันทีด้วยความยินดี

 

“ตีเสมอแล้วครับ.. แต่เหมือนเทพพรจะเจ็บนะครับ” ผู้บรรยายกล่าวออกมา

“เมื่อสักครู่ตอนที่ผู้รักษาประตูพุ่งเข้ามาปะทะเข้าอย่างจังเลยครับ ไม่รู้จะเจ็บไหม”

เทพฤทธิ์กำหมัดแน่นมองภาพโป้งนั่งให้แพทย์สนามมาดูอาการ

“ลุกขึ้นไอ้โป้ง... อย่ายอมแพ้สิวะ” เทพฤทธิ์คำราม

"มึงต้องสู้ไอ้โป้ง"

 

โกลที่ลุกขึ้นไปยืนข้างสนามมองโป้งอย่างเป็นห่วง  แต่แล้วเขาก็ยิ้มออกเมื่อโป้งลูกขึ้นได้ด้วยการช่วยเหลือจากแพทย์สนาม

แถมเขาก็ยังเคลื่อนไหวได้ปกติตอนเดินออกไปรอข้างสนาม

พอกรรมการให้สัญญาณกลับเข้าไปได้  บรรดากองเชียร์ก็เริ่มปรบมือกันเกรียวกราว

หนึ่งในบรรดากองเชียร์มีทรงวุฒิกับคฑาและเพื่อนร่วมชั้นของโป้ง พวกเขาตะโกนออกไปโดยพร้อมเพรียง

“โป้ง โป้ง โป้งๆๆ” แถมทำท่าเหยียดแขนชูนิ้วโป้งไปข้างหน้าทั้งสองข้าง

อำนาจหันมองไปแล้วก็พยักหน้าช้าๆ

แล้วไม่นานนัก ทั้งสนามทำท่าเดียวกัน คือตะโกนเรียกโป้งและเหยียดแขนสุด มือชูนิ้วโป้งออกไปข้างหน้า

"โป้ง โป้ง โป้ง โป้ง..." ดังกึกก้องและยาวนาน

“ได้ใจคนดูแล้วนะ ไอ้โป้ง” อำนาจหันกลับไปยังเด็กหนุ่มที่วิ่งไปในสนามอย่างกับนกที่เหินลมในท้องฟ้า

 

ป้อมเพชรจ้องหน้าจอนิ่งอย่างตื่นเต้น  เพราะการแข่งขันกำลังงวดเข้มเข้าไปทุกที เวลาก็เดินหน้ามาถึงนาทีที่แปดสิบกว่าๆแล้ว

“ป้อมค่ะ  ถ้าเราไม่ไปตอนนี้ เดี่ยวก็อดดูหนังพอดี” สาวิตรีอุทธรณ์

“รอบดึกก็มีนี่ สา ผมขอดูให้จบก่อน  นี่จะหมดเวลาแล้ว” ป้อมเพชรกล่าว

สาวิตรีถอนหายใจเฮือก แต่รู้ดีว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์

“เฮ้ย..เอาเลย ลุยไปเลย” ป้อมเพชรตะโกนเมื่อเห็นภูเก็ตยูเนี่ยนแย่งลูกบอลกลับมาได้อีกครั้ง

 

อัคนีผู้เล่นปีกขวา พาลูกมาจนเกือบสุดเส้นแล้ว  แต่มองไปในเขตโทษเห็นแต่หัวกองหลังทีมเมืองนนท์  กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจโยนเข้าไป

สำราญมีความสามารถในการเล่นลูกกลางอากาศอยู่แล้ว เขาเลยโหม่งลูกที่ลอยมาในอากาศได้ก่อนกองหลัง

ลูกพุ่งอย่างแรงและทำท่าจะเสียบใต้คาน ทว่าผู้รักษาประตูพุ่งไปปัดออกไปได้

ฮันเซ่ประสานมือเรียกหาพระเจ้า แล้วมองนาฬิกาบนสกอร์บอร์ด เวลากำลังจะหมด.. ทีมของเขากำลังได้เปรียบ


โป้งมายืนอยุ่ที่มุมธงด้านซ้าย  มองไปในกรอบเขตโทษ

ตอนนี้ผู้เล่นเมืองนนท์ก็พากันลงมาป้องกันประตูแน่นหนา ส่วนยูเนี่ยนก็พากันขึ้นมาแม้กระทั้งกองหลัง  ทำให้ในกรอบเขตโทษเต็มไปด้วยตัวผู้เล่นของเมืองนนท์และภูเก็ตยูเนี่ยน

โป้งถอยหลังทำท่าจะเตะโยนลูกบอลเข้าไปกลางวงผู้เล่นในกรอบเขตโทษ

แต่พอเตะ.. ลูกกลับไม่ได้เข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่ลอยเลี้ยวโค้งขวาออกไปนอกกรอบ.. แต่ตรงทิศที่กัปตันทีมของภูเก็ตยูเนี่ยนถอยออกมายืนรออยู่นอกกรอบเขตโทษ แต่ตรงกลางประตู

เขากระโดดขึ้นพักลูกบอลที่ลอยมาด้วยอก.. พอลูกตก เขาก็ง้างเท้า.. การยิงไกลคืออาวุธสำคัญของกัปตันโสดา

ผู้เล่นของเมืองนนท์รู้ตัวว่าเสียท่า วิ่งออกมาหมายจะป้องกันการยิงไกล

แต่ทั้งสิ้นเป็นแผนการ...

“โป้งจัดการ” โสดาตะโกน

แล้วแปจ่ายลูกไปทางซ้าย

โป้งวิ่งมาจากมุมธงถึงลูกบอลตรงจุดนัดพบแบบพอดิบพอดี

วางเท้าขวามั่นคง  เท้าซ้ายง้างออกแล้วเตะลงไปโดนหลังเท้าตรงตำแหน่งพอดี

อาวุธอยู่ในกรอบเขตโทษ เขาเด้งตัวเพื่อหลบให้ลูกบอลของโป้งผ่านไป

ลูกบอลเดินทางไปในอากาศโดยไม่หมุน... นั้นทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าลูกส่าย.. มันจะส่ายไปส่ายมาในอากาศ ได้ราวกับเล่นกล

ผู้รักษาประตูที่โดนทั้งอาวุธและกองหลังตัวเองบัง  กว่าจะเห็นลูกมันก็เข้ามาอย่างจวนตัวแล้ว  กระนั้นเขาก็ยังพยายามเอื้อมมือไป...

 

สนามเงียบกริบ...

ผู้เล่นก็หยุดไป...

โกลที่ลุกขึ้นมายืนลุ้น กำหมัดแน่น...

โค้ชฮันเซ่ขมวดคิ้วเครียด..

ผู้ตัดสินจรดนกหวีด...

แล้วก็เป่านกหวีดยาวแล้ววิ่งชี้ไปที่กลางสนาม..

เป็นสัญญาณว่าการยิงของโป้งเป็นประตู

เพราะมันไร้ข้อครหา... ลูกกระแทกตาข่ายด้านในแล้วกลิ้งไปตกที่ก้นประตู

กองเชียร์โห่ร้องขึ้นอย่างกึกก้อง.. และยังปรบมืออีกยาวนานเมื่อภาพLCD ในสนามแสดงภาพโป้งวิ่งกลับไปแดนตัวเองโดยมีเพื่อนรุ่นพี่ทั้งหลายแสดงความยินดี

 

ห่างไปอีกสนาม แม้จะอยู่ในจังหวัดเดียวกัน แต่วันนี้ที่นี่ไม่มีการแข่งขัน ทำให้สนามแห่งนี้เงียบเหงา มีแค่ไม่กี่คนที่มาออกกำลังกายกัน

ก้านเพชรที่กำลังวิ่งอยู่คนเดียวในสนามสุระกุล เขาปลดหูฟังที่เสียบหูอยู่แล้วยิ้ม

การถ่ายทอดทางวิทยุจบลงแล้ว ชัยชนะเป็นของทีมภูเก็ต ยูเนี่ยน  และอีกครั้งที่โป้งเป็นฮีโร่นำชัยชนะมาให้ทีมของตัวเอง

มีคนถามเขาว่าทำไมเขาถึงยอมทิ้งโอกาสร่วมทีมกับปราสาทหินอดีตแชมป์หลายสมัย ทั้งที่ฝ่ายปราสาทหินยื่นข้อเสนอมาให้ แต่เขาเลือกกลับเดินทางในทิศตรงกันข้ามสู่ภูเก็ตเพื่อร่วมทีมกับทีมที่อยู่ดีวิชั่นหนึ่ง

คำตอบอยู่ที่เจ้าของเท้าซ้ายที่ยิงประตูชัยนี่หละ...

“ยิ่งนายเก่ง ฉันก็ยิ่งชอบนายโป้ง...ถ้าฉันต้องห่างจากนายเป็นพันกิโล.. ฉันคงอกแตกตายแน่ๆ” เขารำพึงกับตัวเองแล้ววิ่งไปในสนามที่เงียบสงบ...


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:32:40
ตอนที่ 38 ศึกชิงนาย@ภูเก็ต..

ฮาร์เซ่ ดิทมาร์ท ยืนกอดอกมาลงไปในสนามซ้อมที่มีโป้งกับโกลวิ่งซิกแซกหลบสิ่งกีดขวากันอยู่

บอกตามตรง เขาไม่ได้มีโอกาสได้เจอโป้งมาก่อนหน้าเลย  เพราะเขาพึ่งมาอยู่เมืองไทยได้แค่ปีกับสองเดือนนิดๆ  เรื่องของโป้งที่เป็นนักเตะในระดับทีมชาติก็พึ่งจะได้ยินจากปากของอำนาจ ตอนพาโป้งกับโกลมาหาเขาในวันแรก

แรกเจอแม้เขาจะชอบรูปร่างของโกลที่สูงใหญ่ และลักษณะการเคลื่อนที่ที่คล่องแคล่วของโป้ง  แต่ก็ยังคิดไปว่าที่เขาเข้ามาได้ก็เพราะเป็นเด็กฝาก

แต่ตอนนี้.. ความคิดนั้นมันหายไปหมด.. ยิ่งได้รู้จักกับเด็กสองคนเขายิ่งเห็นความมุ่งมั่นของทั้งคู่  เด็กสองคนนี้มีความตั้งใจสูงมาก

สำหรับการเป็นนักฟุตบอล จริงอยู่พรสวรรค์จำเป็น  แต่ที่ทำให้นักฟุตบอลระดับโลกแจ้งเกิดได้นั่นคือความขยันและมุ่งมั่นฝึกฝนตัวเอง

เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่วิกฤตของทีม.. เขามีผู้เล่นเจ็บพร้อมกันถึงห้าคน...  แต่พอถึงกันยายน.. พวกเขายังอยู่อันดับที่สองได้อย่างน่าอัศจรรย์..

หลังจากนัดกับเมืองนนท์ ยูไนเต็ด  พวกเขาก็ชนะติดกันอีกสองนัดที่นอกบ้าน แต่พลาดโดนเกมรับของทีมอันดับสุดท้ายของตารางที่ตั้งใจมาตั้งรับ 0:0  แล้วก็บุกไปชนะฉลามขาว ฟุตบอลคลับได้ถึงถิ่นชลบุรี

ชนะสี่เสมอหนึ่ง แถมเสียประตูไปแค่ลูกเดียวจากห้านัด.. นี่มันคือสถิติที่ดีมากสำหรับทีมที่ตัวผู้เล่นหลักบาดเจ็บและต้องใช้สำรองลงไปทดแทนมากกว่า ห้าตำแหน่ง

และจะชมใครหละ นอกจากการเล่นที่ยอดเยี่ยมของโป้ง  และการรักษาประตูที่เหนียวแน่นของโกลที่ลงไปแทนผู้รักษาประตูสำรองที่เจ็บไประหว่างซ้อมหลังนัดเจอกับเมืองนนท์

โป้งยิงไปสามลูกจากสี่เกมที่เขาลง ทั้งที่เป็นตัวสำรอง

ส่วนโกลก็ไม่เสียประตูเลยในสี่เกมที่ลงเป็นตัวจริง

“ฮาร์เซย์” อำนาจเรียก  แล้วเดินมายืนข้าง

“ทางผลการตรวจของบรรณกับผู้เล่นตัวหลักอีกสองคนออกมาแล้วนะ ทุกคนมีอาการดีขึ้น”

ฮาร์เซย์หันมาพยักหน้า

“ผมทราบแล้ว”

“แต่ดูคุณไม่ค่อยสบายใจ” อำนาจกล่าวแต่มองลงไปในสนาม

ฮาร์เซย์ถอนหายใจ

“ผมแค่ลำบากใจ.. เด็กสองคนฟอร์มกำลังดีมาก.. แถมโป้งยังเป็นที่รักของแฟนบอล”

อำนาจพยักหน้า

“ยอดคนดูเพิ่มกว่าแต่ก่อนเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์  ผมสังเกตแฟนบอลสาวๆก็มาเชียร์เพิ่มขึ้นอีก”

“เพราะอย่างนี้ ผมถึงลังเลจะดร๊อปพวกเขา” ฮาร์เซย์กล่าวตามตรง

อำนาจหันมามองหน้าชายชาวเยอรมัน

“ผมให้สิทธิคุณเต็มที่  ตอนนี้นายโป้งกับนายโกลยังเด็กทั้งคู่  เกมหนักๆพวกเขายังมีประสบการณ์น้อย.. เราต้องให้เวลาเขา  ถ้าคนจะถอดเขาออกจากตัวลำรองแล้วใส่ผู้เล่นตัวหลักกลับลงไปแทน ผมก็ไม่ว่านะ ผมเข้าใจเพราะผมก็เป็นโค้ชคนหนึ่งเหมือนกัน”

ฮาร์เซย์พยักหน้า  เขากับอำนาจรู้จักกันนานหลายปีแล้ว และการที่เขารับงานนี้ทั้งที่ภูเก็ต ยูเนี่ยนเป็นทีมใหม่  ก็เพราะเขาวางใจในตัวอำนาจและเชื่อมั่นในความทุ่มเทของอำนาจ

“คุณมีทีมเยาวชนไม่ใช่เหรอ.. ผมให้คุณยืมตัวไปก่อนก็ได้นะ   แต่พวกเขาต้องซ้อมกับผมที่นี่ เพราะผมยังมีรายการบอลถ้วยที่เราเจอกับทีมดิวิชั่นหนึ่งอีก” ฮาร์เซย์กล่าวแล้วมองไปที่โกลซึ่งกำลังซ้อมล้มตัวรับลูกอยู่กับทวี

“ผมมีอะไรจะสอนพวกเขาอีกเยอะ  ผมเชื่อมั่นว่าฤดูกาลหน้า ผมจะทำให้พวกเขาจะก้าวมาเป็นตัวจริงของเราได้อย่างแน่นอน”

 

วันหลังจากวันที่มีการแข่งขัน คือ วันหยุดของนักฟุตบอล  ถ้าเป็นวันจันทร์โป้งกับโกลก็จะไปเรียนตามปกติ  และก็เรียนแค่ครึ่งวันเหมือนเดิม  ไม่ได้เรียนเต็มวัน

ดังนั้นพอเลิกเรียนทั้งคู่ก็พักผ่อนหรือไม่ก็ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆในภูเก็ต

แต่โดยมากจะกลับห้องพักแล้วพักผ่อนเงียบๆมากกว่าเพราะเหนื่อยจากการซ้อมมาทุกวัน

เพราะพวกเขาซ้อมหนักกว่ารุ่นพี่เสียอีก ยิ่งนัดไหนไม่มีรายชื่อในตัวสำรอง สัปดาห์นั้นก็ยิ่งซ้อมหนัก คงเพราะโค้ชเห็นว่าพวกเขาไม่ต้องเล่นก็เลยจับซ้อมเต็มที่กันอยู่สองคน

เรียกว่าหนักกว่าตอนเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนหลายเท่าจนเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว

แต่วันนี้ เพราะโป้งอยากจะได้กางเกงยีนต์ตัวใหม่มาทดแทนตัวเก่าสามตัวที่แม่ซื้อให้

โกลก็เลยขับรถยนต์พาโป้งมาที่ห้างเซ็นทรัล


แม้จะชอบ โป้งก็ต้องสะอึกกับราคาของกางเกงยืนต์ที่ตัวเองกำลังถืออยู่

“ทำไมแพงจังอะ... นี่ซื้อกางเกงที่แม่กูซื้อให้ได้สามตัวเลยนะ” โป้งกระซิบ เพราะกลัวพนักงานขายได้ยิน

“มึงชอบไหมหละ  ถ้าชอบก็ซื้อ  เดี่ยวนี้เงินเดือนก็มีแล้ว  ทำไมจะซื้อไม่ได้” โกลตอบ  เขากำลังเลือกให้ตัวเองอยู่เหมือนกัน

“แม่มาเห็นราคาด่ากูเปิงแน่  วันก่อนโทรมายังบอกว่าให้เอาเงินเก็บธนาคารให้หมด  เหลือไว้ใช้แค่พอกินก็พอ” โป้งตอบ

“ก็โบนัสที่ยิงประตูได้วันก่อนไง.. ไม่ใช่เงินเดือน  มึงก็เอาตรงนั้นมาจ่ายสิวะ หรือว่ามึงรายงานแม่มึงหมดทุกบาททุกสตางค์” โกลชี้แนะ

“แต่มันแพง.. กูเสียดายเงิน  กูไม่ใช่เศรษฐีอย่างมึง  แม่บอกว่าเก็บไว้ใช้ตอนเลิกเล่นแล้ว  จะได้มีเงินเก็บ”

“งั้นกูซื้อให้”โกลกล่าวอย่างรำคาญ

“ไม่ๆ” โป้งปฏิเสธ

“ก็บอกแล้วไง กูไม่ชอบเลยแบบนี้  ถ้าอย่างนั้นกูซื้อเองก็ได้”

“ก็แค่เนี้ย”โกลยักไหล่แล้วก็หันไปเลือกของตัวเอง

แต่พอหันกลับไป ก็ยังเห็นโป้งมองราคาแล้วส่ายหัวดุกดิกบ่นว่าแพงชิบหาย

ตอนนี้เงินเดือนของโป้งได้มากกว่าโกลด้วยซ้ำจากตำแหน่งเล่นของเขา  ก็ราวๆเกือบห้าหมื่นบาท  ถ้าเป็นพนักงานกินเงินเดือนก็ต้องเรียกว่าเงินเดือนดีพอใช้

แต่ไอ้นิสัยขี้เหนียวนี่ท่าทางจะถ่ายทอดมาทางกรรมพันธุ์  เพราะมันก็ยังบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่อยเวลาเจออะไรแพงๆ

 

พอออกจากร้านเสื้อผ้าก็ไปร้านอุปกรณ์สื่อสาร  เพราะโป้งทำโทรศัพท์ตกเมื่อวันก่อน จนมันออกอาการรวนๆ ก็เลยคิดจะซื้อใหม่

แต่กระนั้นเขาก็ยังเลือกรุ่นที่ราคาย่อมเยาอยู่

“น้องโป้งติดยี่ห้อไหมละครับ” คนขายกล่าว แล้วหยิบเครื่องโทรศัพท์ยี่ห้อจากจีนมาให้ดู

“้ถ้าไม่ติดยี่อห้อ ก็เอาอย่างนี้ น้องเอายี่ห้อนี้  เป็นของจีนแต่คุณภาพดี แล้วก็มีศูนย์บริการในภูเก็ตด้วย  ราคาถูกกว่ายี่ห้อเกาหลีที่สเปคเดียวกัน แถมใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันด้วย”

โป้งหันมองหน้าโกล  โกลก็ทำท่าไม่สนใจเพราะขี้เกียจจะออกความเห็น  เพราะยังไงโป้งก็เชื่อคนขายอยู่ดี  แถมเขาก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องโทรศัพท์ด้วย


โกลยืนคุยโทรศัพท์อยู่กับพ่อเรื่องที่จะส่งรถคันใหม่ เพราะรถคันที่ส่งมาให้ใช้ก่อนหน้ามีออกอาการแปลกๆเร่งไม่ค่อยขึ้น

ส่วนโป้งก็ยืนพลิกดูเมนูของร้านอาหารญี่ปุ่นดูไปเรื่อย

ระหว่างนั้นเอง

“โป้งอยากกินเหรอครับ..  ฉันเลี้ยงเอาไหม” ร่างสูงกว่าเขา ผิวขาวกับดวงหน้าที่คุ้นเคย

“ก้าน.. ไม่เจอกันนานเลยนะ” โป้งยิ้มอย่างยินดีตามอัธยาศัย

ชื่อนั้นทำให้โกลหันมามอง...


“อันนี้อร่อยโป้งลองชิมสิ” ก้านเพชรคีบชิ้นปลาดิบราคาจากชุดปลาดิบพิเศษมาส่งให้

“ฮงมาโกโร่ โอโทโร่.."

โป้งก็คีบปลาดิบด้วยตะเกียบ แล้วลองกินดู

“เออ มันๆอร่อยดี”

“ถ้าโป้งชอบ เดี่ยวฉันสั่งเพิ่ม”

“ดีเลย.. มึงเลี้ยงนี่” โกลกล่าวขึ้นหลังจากนั่งมองด้วยความหมั่นไส้มานาน

“พี่ครับ”

พนักงานเสริพเดินมาพอดีเลยหยุด

“ขอโอโทร่าอีกห้าสิบจานครับ”

“เฮ้ย...” โป้งร้อง

ขณะพนักงานทำตาโต

“อ้าวก็ไอ้ก้านมันเลี้ยง กูก็ชอบกินนะมึง... เอามาเลยห้าสิบจาน  แค่นี้ขนหน้าแข้งไอ้ก้านไม่ร่วงหรอก  แค่ราวๆไม่กี่หมื่นเอง” โกลแสร้งยิ้มให้ก้านเพชร

ก้านเพชรทำหน้านิ่ง ก่อนจะตอบ

“กูเลี้ยงโป้ง ไม่ได้เลี้ยงมึง... สั่งไปขนาดนั้นใครจะแดกหมด”

“เฮ้ยได้ไงก้าน” โกลทำหน้าอ้อน

“เรารู้จักกันก่อนโป้งอีกนะ  มึงจะไม่เห็นแก่มิตรภาพยาวนานของเราเลยเหรอวะ  มึงเลี้ยงแต่ไอ้โป้งได้ไง..”

ก้านเพชรทำหน้าเลี่ยน

“กูจำไม่ยักได้ว่าเคยมีมิตรภาพกับมึงไอ้โกล.. เจอกันทีไรเตะกันไฟแลบ ตอนไหนเรียกว่ามิตรภาพวะ”

“พอๆ” โป้งตัดบท

“พี่ครับเอาแค่สองจานครับ”

พนักงานพยักหน้าเจื่อนๆ

“ดิฉันก็กำลังจะบอกว่าเรามีสินค้าไม่พอทำห้าสิบจานหรอกค่ะ” เธอเอากระดาษโน้ตมาจด

“ตกลงรับแค่สองจานนะคะ”

โป้งกล่าวคำขอบคุณด้วยรอยยิ้ม

หันมาโกลกับก้านเพชรก็ยังจ้องตากันอยู่  แม้จะมีรอยยิ้มทั้งคู่แต่เป็นรอยยิ้มที่เชือดเฉือนกันอย่างรุนแรง

เขาส่ายหน้าละอาใจ

 

โกลหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด  ตอนที่ขับรถออกมาจากห้างแล้วมาติดไฟแดง

ตอนแรกโป้งก็ไม่อยากจะพูดถึง แต่โกลเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“ทำไมโป้งต้องทำท่าเหมือนดีใจมากที่ได้เจอมันด้วยวะ” โกลกล่าว

โป้งมองหน้าโกล

“ก็มันดีใจนี่  ได้เจอคนรู้จักบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอโกล เราเป็นคนต่างถิ่นที่นี่  เจอคนที่คุ้นเคยก็ต้องดีใจบ้างเป็นธรรมดา” เขาตอบ

“แต่ก็ไม่เห็นต้องทำหน้าบานขนาดนั้นก็ได้นี่.. “ โกลแย้งอีก

โป้งโคลงหัวช้าๆ

หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:33:41
ตอนที่ 39 วู๊ดติดธงชาติไทย..

โกลหงุดหงิดจนเห็นได้ชัด  ตอนที่ขับรถออกมาจากห้าง

ตอนแรกโป้งก็ไม่อยากจะพูดถึง แต่พอรถติดไฟแดง โกลก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

“ทำไมโป้งต้องทำท่าเหมือนดีใจมากที่ได้เจอมันด้วยวะ” โกลกล่าว

โป้งมองหน้าโกล

“ก็มันดีใจนี่  ได้เจอคนรู้จักบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอโกล เราเป็นคนต่างถิ่นที่นี่  เจอคนที่คุ้นเคยก็ต้องดีใจบ้างเป็นธรรมดา” เขาตอบ

“แต่ก็ไม่เห็นต้องทำหน้าบานขนาดนั้นก็ได้นี่.. “ โกลแย้งอีก

โป้งโคลงหัวช้าๆ เขาขี้เกียจจะทะเลาะดัวย จึงหันออกไปนอกร


โกลยังหงุดหงิดไม่หาย  ตอนแรกโป้งก็รำคาญก็เลยไปอาบน้ำ  ระหว่างอาบน้ำก็คิดไปด้วยว่าทำไมโกลถึงได้ขึ้หึงนัก...

แล้วก็นึกถึงคำพูดหนึ่งที่พ่อเคยพูดเอาไว้นานมาแล้วตอนที่แม่หึงพ่อที่ไปสนิทสนมกับหญิงสาวคนหนึ่ง

“การที่เขาหึงแปลว่าเขารักเรามาใช่ไหมโป้ง.. ถึงจะน่ารำคาญ  แต่มันก็น่าดีใจไม่ใช่เหรอ”


เมื่อโป้งออกมาจากห้องน้ำ  เห็นโกลนั่งเล่นเกมจากคอมพิวเตอร์อยู่  กระทั้งเขาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็ยังเล่นอยู่

โป้งก็เลยลากเก้าอี้ไปนั่งใกล้ๆ

แต่โป้งเป็นคนไม่เล่นเกมก็เลยไม่เข้าใจว่าโกลกำลังทำอะไร

“นี่อะไรน่ะโกล” โป้งชี้ที่หน้าจอ

“ก็ตัวของเราไง..” โกลตอบแต่เสียงแข็งๆ

“เราเป็นทหารเหรอ” โป้งถาม

“ใช่” โกลตอบแค่สั้นๆ

โป้งขยับเบียดเข้าไป

“มึงสอนกูเล่นบ้างสิ”

โกลเหลือบมามองหน้า

“ให้ไอ้ก้านสอนสิ  มันก็เล่นนะเกมนี้  กูเห็นมันออนไลน์อยู่”

โป้งทำหน้ายู่ก่อนจะดึงแขนโกลออก

“เฮ้ยทำอะไร” โกลร้อง

แต่ก็เงียบไปเมื่อโป้งนั่งลงบนตักแถมบังจอ

“มันตายแล้วโกล” โป้งกล่าว

“โดนยิงตายเลย”

โกลไม่ตอบในตอนแรก  เขามองโป้งจากด้านหลังแล้วเขาก็กอดร่างของโป้งไว้

“ช่างมันเถอะ.. กูไม่อยากเล่นแล้ว”

“อ้าวทำไมอะ.. ไม่เล่นแล้วจะสอนกูยังไง” โป้งท้วง

“กูไม่ให้มึงเล่นหรอก  เดี่ยวมึงไปเล่นกับไอ้ก้าน” แล้วเขาก็ซบบนหลังของโป้ง

โป้งลูกขึ้นแล้วเปลี่ยนท่า  ยังนั่งตักอยู่แต่หันหน้าเข้าหากัน

“มึงจะกลัวอะไร.. ในเมื่อยังไงกูก็อยู่กับมึงนี่ไง.."

ทั้งสองสบตากันนิ่งเงียบอยู่นานจนกระทั้งได้ยินเสียงหัวใจกันและกัน

แล้วกว่าทั้งคู่จะรู้ตัว  ริมผีปากก็แตะกัน  แล้วก็บดแน่น...

การจูบที่ลึกซึ้งดึงดูดทั้งคู่จนไม่อาจถอนตัวไปจากกันจนกระทั้งเนิ่นนาน..

โป้งเป็นฝ่ายหยุดก่อน  แล้วก็ยิ้มจางๆ

“กูเล่นเกมไม่เป็นหรอกโกล.. กูเล่นเป็นแต่บอล  กูกับไอ้ก้านใกล้กันก็แค่ตอนแย่งบอลกัน  มึงจะกลัวอะไรโกล.. ในเมื่อทั้งตัวและหัวใจกูอยู่ที่นี่...กับมึง”

โกลมองหน้าโป้ง มองรอยยิ้มที่แสนงดงามนั่น..

เขาดึงหน้าผากของโป้งมาชนกับของเขาแล้วหลับตาลง

“กูขอโทษ.. แต่กูอดหวงมึงไม่ได้จริงๆ  ก็กูรักมึงนี่หว่า”

ตอนนี้หน้าโป้งอยู่สูงกว่า เขาจึงจูบที่หน้าผากโกลเบาๆเหมือนที่โกลชอบทำกับเขา

“กูเข้าใจมึง.. เพราะกูก็รักมึงนี่”

 

แล้วทีมชาติชุดยู 19 ก็เรียกตัว  โป้งกับโกลและก้านเพชรไปรายงานตัวตามการเรียกของหัวหน้าโค้ชชุดเยาวชน

การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างเข้มข้น  สลับกับการบริหารร่างกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อในบางวัน

“เด็กสามคนดูเก่งขึ้นนะ  โดยเฉพาะนายโป้ง  ดูจะยิงประตูดีขึ้นแถมร่างกายก็ทนแรงปะทะได้มากกว่าเดิมด้วย” วีระบอกกับชาญระหว่างยืนมองเด็กๆแบ่งทีมเล่นซ้อม

“ก้านเพชรดูวิ่งเร็วขึ้น และก็จ่ายบอลมากขึ้น แล้วก็แม่นขึ้น  ส่วนนายโกลใช้ขาป้องกันประตูได้ดีมาก”

“ลีกอาชีพมันดีอย่างนี้นี่เองนะ” ชาญกล่าว

ตอนนี้ในสนามโป้งกำลังหลอกล่อตัวประกบแล้วก็เลี้ยงหนีไปอย่างง่าย  จากนั้นก็สับเท้ายิงไกลเป็นลูกโค้งขวา  แต่โกลที่ยืนรออยู่แล้วพุ่งไปรับติดมือ  ตั้งหลักแล้วขว้างยาวไปให้ก้านเพชร  ก้านเพชรก็หันไปทำชิ่งหนึ่งสองกับเพื่อนร่วมทีม  เพื่อเปิดทางให้เขาวิ่งไปตามเส้นข้างจนสุดแล้วเอี่ยวตัวเตะเปิดบอลไปหน้าประตูให้ท๊อปโขกไปเต็มหัวเข้าประตูไป

“ด้วยทีมนี้  ผมว่าเราเป็นแชมป์ได้นะครับ” วีระกล่าว

ชาญแค่พยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบ

สักครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่แพทย์ของทีมก็เข้ามา

“พี่ชาญ  เด็กที่บอกว่าปวดท้องเป็นไส้ติ่งอักเสบ  เราคงต้องตัดออกจากทีมแล้วหละครับ”

ชาญคาดไว้แล้ว  เขาถอนหายใจหันไปมองหน้าวีระ

“เด็กคนนั้นเป็นกองกลางตัวรับ.. ถ้าจะเรียกก็มีหลายตัวนะครับ..  แต่ผมสนใจเด็กของภูเก็ต เอฟซีมากกว่า  กัปตันทีมเก่าของนายโป้งกับโกล ฤทธา  ผมว่าเด็กคนนี้ใจเย็น นิ่ง แล้วอ่านเกมดีมาก  ผมว่าเราน่าจะลองเรียกตัวมาดูนะครับ” วีระเสนอ

“เราแก้รายชื่อทันอยู่แล้วนี่... เอาเลยไปเรียกมา  ก็ดีจะได้ลงทีมกับพวกโป้งได้ดี” ชาญพยักหน้าแล้วเดินไป  เขาตบบ่าวีระ

“ฝากด้วยนะวีระ”

 

พอโป้งเห็นหน้าวู๊ดก็ดีใจวิ่งมากอด

“กัปตัน ดีจังเลยได้เล่นด้วยกันอีกแล้ว”

วู๊ดส่ายหัว

“ตัวมึงเหม็นเหงื่อมากเลยนะเนี่ย”

โป้งถอยมายืนยิ้มแฮ่ๆ

โกลเดินตามมา ยื่นมือมา

วู๊ดจับมือนั้นมั่นคง

“เรียกว่ากัปตันไม่ได้แล้วนะโป้ง.. เดี่ยวกัปตันตัวจริงเขาจะเขม่นเอา” โกลหันไปกล่าวกับโป้ง

“เฮ้ยๆ ฉันไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น” อนุพงษ์เดินตามได้ยินก็กล่าว

“ถ้าติดปากก็เรียกไปเถอะ  ไม่ว่าอะไรหรอก”

อนุพงศ์เคยเผชิญหน้ากับวู๊ดมาก่อนแล้วในเกมที่ภูเก็ตเอฟซี แข่งกับทีมของเขา เพราะอนุพงษ์เป็นตัวผู้เล่นหลักของทีมหนึ่งในดิวีชั้นหนึ่งเหมือนกัน

ยืนมือไปให้วู๊ดจับ

“ยินดีต้อนรับ” อนุพงศ์กล่าว

“ครับพี่” วู๊ดจับมือด้วย

 

“เมื่อวานนี้มีรายการอุ่นเครื่องของ ทีมชาติไทยชุดยู19 กับทีมหมู่เกาะฟิจิ.. เกมนี้มีการโค้ชชาญหัวหน้าผู้ฝีกสอนทีม U19 ถือโอกาสทดสอบตัวผู้เล่นรุ่นเด็กอย่าง เทพพร ก้านเพชร กรกฏ และตัวล่าสุดที่เรียกเข้าไปอย่าง ฤทธากองกลางดาวรุ่งของภูเก็ต เอฟซีที่มาแทนตัวผู้เล่นเดิมที่มีถอนตัวไปเพราะอาการลำไส้อักเสบ”

เดฟเงยหน้าขึ้นมองโทรทัศน์ตอนนี้เขาอยู่ที่บริษัทโมเดลลิ่ง ที่เรียกเขามาถ่ายแบบเพื่อเก็บเป็นโปรไฟล์

“เกมเริ่มไปได้แค่สิบนาที ทีมไทยก็ได้ประตูจาก เทพพรที่เลี้ยงหลุดเดี่ยวเขาไปยิงในกรอบเขตโทษ”  ผู้ประกาศบรรยาย

โป้งมันเก่งอยู่แล้ว  วิ่งหลุดเดี่ยวจะไปเหลืออะไร

“ก่อนหมดครึ่งแรกเพียงสองนาที  ฤทธาได้จังหวะยิงจากการจ่ายมาของก้านเพชร ยิงไกลลูกนี้เข้าไปให้ทีมชาติไทยนำห่างสองต่อศูนย์”

ภาพวู๊ดเตะลูกจากระยะยี่สิบห้าหลาพุ่งผ่านผู้รักษาประตูเข้าไป.. เดฟกลับทนมองไม่ได้ภาพนั้น จนจบ เขาหันไปมองทางอื่น

ผู้ประกาศยังคงบรรยายเกมต่อไป  แต่เดฟมองผ่านกระจกออกไปนอกสถานที่ ปล่อยใจให้ล่องลอยไป

“ทีมชุดสิบเก้าปีของเราจะโปรแกรมลงสนามกับทีมพม่าในรอบแรกวันที่ 11 ตุลาคมนี้ ก็ติดตามเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหนูทีมชาติไทยชุด 19ปีกันนะครับ”

“เห็นว่ามีความหวังมาเลยไม่ใช่เหรอ” ผู้ประกาศอีกคนกล่าว

“ครับ ก็ปีนี้มีตัวดีๆอย่าง นายโป้ง  แล้วถึงจะมีผู้เล่นถอนตัวไปแต่ก็ยังได้ฤทธาเข้ามาเสริม.. ก็คงจะทดแทนกันได้ เพราะเจ้าวู๊ด ฤทธาก็กำลังฟอร์มดีได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้ภูเก็ต เอฟซีอย่างต่อเนื่อง” ผู้ประกาศคนเดิมกล่าว

“ก็นั้นหละครับ ท่านผู้ชม ก็มาช่วยกันลุ้นว่าปีนี้ทีมชาติไทยเราให้ประสบความสำเร็จกัน ข่าวต่อไป..” ผู้ประกาศหลักว่า

“ในที่สุดนายก็ทำความฝันให้สำเร็จจนได้นะวู๊ด.. ยินดีด้วย” เดฟยิ้มออกมา..

รอยยิ้มนั้นเจือด้วยความรู้สึกสองอย่าง ยินดีดังปากว่า และอาลัยจากหัวใจ...



หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:34:53
ตอนที่ 40 บันไดสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย โป้งสัญญาเพื่อคว้าฝัน..

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่วู๊ดได้เดินทางไปต่างประเทศ  พอเขาเห็นความอลังการสนามบินสุวรรณภูมิก็ถึงกับงงออกอาการเดินไม่ถูกเพราะมัวแต่มอง

ก้านเพชรที่เดินตามหลังมาอมยิ้ม แล้วก็เดินไปดังแขนวู๊ดที่มัวแต่ถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือ

“เดินๆ อีกหน่อยนายก็ได้มาบ่อยๆ เองนั้นหละ ถ้าทำผลงานดีๆ ในทีมชาติ”

วู๊ดหันมายิ้มอายๆ

ก้านเพชรกับวู๊ดเริ่มสนิทกัน เพราะอยู่ทีมเดียวกัน

วู๊ดได้รู้จักตัวตนของก้านเพชร ก็พบว่าเขาไมได้เป็นคนเย่อหยิ่งอย่างบุคลิก  แต่เขาเป็นคนนิสัยดีใช้ได้  และออกจะมีน้ำใจกับเพื่อนฝูงไม่แพ้โกล

 

โรงแรมที่ทั้งหมดเข้าพักเป็นโรงแรมใหญ่กลางกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ที่เป็นเจ้าภาพในเวลานี้

โป้งยืนมองเมืองหลวงกรุงปักกิ่งผ่านหน้าต่างโรงแรมอย่างตื่นตา จากตรงนี้มองเห็นสนามที่เหมือนรังนกที่จะใช้เป็นสังเวียนนัดชิงชนะเลิศด้วย

“เราต้องไปเข้าไปเล่นนัดชิงให้ได้นะโกล.. กูอยากถ่ายรูปสนามแบบใกล้ๆ” โป้งหันมายิ้ม รอยยิ้มนั้นแจ่มใสเหมือนรอยยิ้มของเด็กน้อย

ท๊อปมองโกลเดินไปยืนข้างโป้ง  โกลเอามือวางบนหัวโป้ง

“เออ.. มึงก็จ่ายบอลให้พี่ท๊อปยิงเยอะๆสิวะ  เดี่ยวก็ได้เล่นในนั้นเอง  กูจะพยายามป้องกันประตูไว้ให้”

ท๊อปไม่รู้ว่าอะไรทำให้ตัวเองอมยิ้ม.. ทำไมหนอ เขาเห็นสองคนนี้อยู่ใกล้ๆกันแล้วก็อดรู้สึกสดใสอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ท๊อป ผมจะเปิดให้พี่นัดละยี่ลิบลูกเลย  พี่ต้องยิงให้ได้นะ” โป้งหันมากล่าวด้วยรอยยิ้มมีความหวัง

ท๊อปรู้สึกเอ็นดูรุ่นน้องคนนี้.. โป้งเวลาไม่ได้เล่นบอลดูเหมือนเด็กเล็กๆมากกว่านักฟุตบอลอาชีพ

นึกถึงตอนที่ทีมของท๊อปต้องเผชิญหน้ากับภูเก็ต ยูเนี่ยน นัดนั้นเขาไม่ได้ลงแต่นั่งดูอยู่ข้างสนาม  ตอนโป้งที่โดนทำฟลาวด้วยการผลักกระเด็นออกไปนอกสนาม แล้วเขาก็ลุกขึ้น  ดวงตาของโป้งเป็นคนละแววกับตอนนี้เลย..

ในสนามโป้งมุ่งมันกับเกมอย่างมาก แต่ในชีวิตจริงโลกสำหรับโป้งงดงามไปเสียทุกอย่าง

“ตกลงพี่สัญญา  พี่จะยิงให้ได้ทุกลูกที่โป้งเปิดมาเลย” เขาตอบออกไป

 

ทีมชาติไทยทำผลงานได้ดีในรอบแรก ได้เป็นแชมป์ของกลุ่ม  และยังดีต่อเนื่องในรอบสิบหกทีมสุดท้าย

ตอนนี้ดาวยิงสูงสุดเป็น  ท๊อปเขายิงไปแล้วหกประตูจนถึงนัดนี้  โดยสี่ในหกลูกมาจากการเตะเปิดเข้าไปของโป้ง

ส่วนตัวโป้งเองก็ทำสถิติผ่านบอลให้ยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขันอยู่ เพราะเปิดให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูแล้วแปดลูก และยิงได้เองสองลูกจากการลงสนามสามนัด

“ทีมชาติไทยปีนี้ทำผลงานได้ดีมาก เราชนะรวดมาโดยตลอด และเสียไปเพียงลูกเดียว.. ถ้าพูดถึงผลงาน ก็ต้องชมเชยที่ เจ้าท๊อปกองหน้าตัวเก่งยังทำผลงานได้ดีต่อเนื่อง  แล้วก็ต้องชมเทพพร นายโป้ง  เป็นตัวเปิดเกมรุกได้อย่างน่ากลัว และมีลุ้นตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าของทัวร์นาเมนท์ด้วย"ผู้ประกาศด้านกีฬารายกการเล่าข่าวตอนเช้ากล่าว

"และก็คงต้องชมนายทวารร่างสูง กรกฏที่ป้องกันประตูสำคัญๆได้หลายครั้ง”

วราพรอมยิ้มที่เขาพูดถึงลูกชายตัวเอง

“เก่งจังเลยนะลูกชายหัวหน้าเนี่ย” พยาบาลที่เป็นลูกน้องกล่าว

วราพรยิ้ม

“แต่วันนี้ ทีมชาติไทยเราจะเจอศึกหนัก กับอดีตแชมป์หลายสมัยอย่างเกาหลีใต้” ผู้ประกาศ

“เอิม.. หนักจริง” ผู้ประกาศอีกคนทำหน้าหนักใจ

“แต่วันนี้เราจะเกือบฟูลทีม  แดนหน้าจะมีทรงคุณ กับสัจจะ  แล้วกองกลางฤทธาที่เกมที่แล้วลงมาเป็นสำรองแต่ทำผลงานได้ดีจะยืนคู่กับอนุพงศ์ โดยมีนายโป้งกับก้านเพชรยืนเป็นปีกซ้ายขวา"ผู้ประกาศผิวเข้มอ่านจากโพยของตัวเอง

"กองหลังก็จะเป็นชุดเก่า  และกรกฏก็ยังคงเป็นตัวจริงเหมือนเดิม  ซึ่งคู่ไทยกับเกาหลีจะลงสนามเวลา 16:00 หรือประมาณ หกโมงเย็นบ้านเรา  ช่องของเราถ่ายทอดสดด้วยนะครับ”

“นั่นหละครับ.. ยังไงก็ต้องติดตาม ให้กำลังใจกันนะครับ” ผู้บรรยายใส่แว่นกล่าวต่อ

“มาถึงข่าวต่อไป เห็นว่าอะไร หงส์แดงเกือบตายอีกแล้วใช่ไหม”

 

ผู้ประกาศผิวเข้มว่าไว้ไม่ผิดจริงๆ เพราะตลอดเกมทั้งโป้งและก้านเพชร โดนประกบติดโดยทำให้โอกาสเปิดบอลไปถึงท๊อปนั้นแทบนับครั้งได้ในครึ่งแรก  และยังน้อยมากในครึ่งหลัง

แต่ในด้านตรงข้าม  การตัดบอลของวู๊ดของอนุพงศ์ก็ทำได้อย่างดี ทำให้เกาหลีเองก็ทำได้ไม่ต่างจากไทย

มันเป็นเกมอึดอัดอย่างมาก

สุรีวัลเครียดขนาดต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาบิดแก้เครียด  ส่วนบรรดานักฟุตบอลก็นั่งมองจอกันนิ่ง ส่วนบรรดานักดนตรีที่มาซ้อมในตอนปิดเทอมก็พากันมากันเกือบหมดวงโยธวาทิตก็เงียบ  นายจุ๊ยที่นั่งกับตรงกลางระหว่างปอกับตั้มก็พลอยฮากันไม่ออก นึกมุกไม่เป็นไปเหมือนกัน ทั้งทีปกติเขาเป็นคนพูดเก่งมาก

“เอาหละครับตอนนี้ทีมไทยได้จังหวะสวนกลับเร็ว  ฤทธาจ่ายบอลไปทางขวาให้ทรงคุณ..  นายท๊อปวิ่งฉีกไปด้านขวาของสนามมองไปข้ามไปทางซ้าย” ผู้บรรยายกล่าวอย่างตื่นเต้น

“เอาเลย” ป้อมเพชรกอดอกแน่นอยู่แล้วตอนนี้เผลอปีบต้นแขนตัวเองอีกต่างหาก

“แต่ยังไม่มีจังหวะจะจ่าย  ทรงคุณพาบอลวิ่งต่อขึ้นไป.. จังหวะนี้” ผุ้บรรยายเผลอตะโกนในตอนท้าย

“กองกลางเกาหลีเข้ามาตัดเกมหนัก กรรมการวิ่งมาชูใบเหลืองทันที... แต่ดูเหมือน.. ทรงคุณจะเจ็บหนักนะครับ”


โค้ชชาญมองแพทย์สนามดูอาการของ ศูนย์หน้าตัวเก่ง.. จากประสบการณ์ ชาญจึงหันไปกระซิบบอกวีระ

แล้วท๊อปก็ไม่ไหวจริงๆ  เขาส่ายหน้าตอนที่เจ้าหน้าที่ถามเป็นภาษาอังกฤษ  เพราะตอนนี้เขาปวดที่ข้อเท้าอย่างรุนแรง

แพทย์สนามจึงหันไปส่งสัญญาเรียกเปลมา

โป้งเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าไป  พอท๊อปเห็นโป้งก็เอื้อมมือมา  โป้งจึงย่อตัวลง

“โป้ง” เสียงท๊อปกลั้วอาการเจ็บปวดอย่างมาก

“พี่ขอโทษนะแต่พี่ไม่ไหวแล้ว”

“ไม่เป็นไรพี่  ผมจัดการที่เหลือเอง  ยังมีพี่สัจจะอีกทั้งคน” โป้งกล่าวแง่ดี

ท๊อปจึงจับบ่าโป้ง แล้วกระซิบ

คำพูดนั้นทำให้โป้งพยักหน้าแล้วลุกขึ้นแล้ววิ่งไป

 

“กรรมการอนุญาตให้เปลี่ยนตัวครับ  แต่โค้ชชาญเปลี่ยนเอาสรรเสริญ ผู้เล่นตำแหน่งปีกลงไปแทน  หรือว่าเขาจะใช้โป้งไปยืนเป็นศูนย์หน้าคู่กับสัจจะ” ผู้บรรยายกล่าว

เทพฤทธิ์ฟังการถ่ายทอดผ่านวิทยุได้ยินก็ขมวดคิ้ว...

แต่เขามั่นใจในตัวชาญ นายคนนี้เป็นจอมวางแผนคนหนึ่ง

 

ตอนนี้เป็นนาทีที่แปดสิบสอง

ก้านเพชรมองจากสกอร์บอร์ด  นี่อาจเป็นโอกาสดีที่สุดของพวกเขาครั้งสุดท้าย

อนุพงศ์ส่งสัญญาณให้ก้านเพชรรู้ว่าต้องเปิดเข้าไปหน้าประตู  ตรงนั้นมีตรงนั้นกองหน้าทั้งสองตัวอยู่... สัจจะเป็นคนเล่นลูกกลางอากาศดีกว่าใคร

แต่ในแผนที่ซ้อมมาเป้าหมายไม่ใช่สัจจะ..

ก้านเพชรถอยหลังเขามองตำแหน่งแล้วมองลูก  จากนั้นก็วิ่งเข้าไป...

ฉันเชื่อใจนาย  นายมันมหัศจรรย์..

แล้วก้านเพชรก็เตะลูกออกไป...

โป้งมองลูกที่ลอยมาในอากาศ

“โป้ง..พาพวกเราไปเล่นบอลโลกให้ได้นะ  ทำให้ได้” นั่นคือที่ท๊อปบอกเอาไว้

“ต้องทำให้ได้...” โป้งคำรามออกมา  ดวงตาของเขาจ้องนิ่ง

“พี่ท๊อปฝากกูไว้แล้ว...”

ลูกบอลลอยมาในทิศทางและตำแหน่งที่ดี

“กูจะไปบอลโลก...” โป้งตะโกนออกมาแล้วกระโดดขึ้นสุดตัว

การวางตำแหน่งร่างกายในอากาศเป็นไปอย่างสมบูรณ์ เด็กหนุ่มทำในสิ่งที่โค้ชฮาร์เซย์สอนเขา...

ทีมชาติเยอรมันเป็นแชมป์ได้ด้วยลูกโหม่ง..

ร่างกายประดุจค้นศร ง้างแล้วสะบัดหัวโขกลูกที่อยู่ในอากาศเต็มแรง

ลูกบอลพุ่งไปอย่างกับกระสุนปืน  แม้ผู้รักษาประตูเกาหลีจะผวาตามไป  แต่เขาก็คว้าได้เพียงอากาศ

กองเชียร์ทีมชาติไทยที่มีอยู่เพียงหลักพัน เปล่งเสียงออกมาจนก้องสนาม... แต่ห่างไปอีกหลายพันกิโลเมตร มีเสียงเฮจากทุกบ้านเรือนที่กำลังชมการถ่ายทอดสด

“เข้าไปแล้วครับ หนึ่งประตูต่อศุนย์ทีมชาติไทยเราขึ้นนำจากเทพพร.. นักเตะที่มีส่วนสูงน้อยที่สุดในสนาม  แต่เขาทำประตูจากลูกโหม่ง... เป็นการกระโดดที่สูงมาก  แล้วการโหม่งก็สมบูรณ์แบบ... ลูกนี้ผู้รักษาประตูหมดสิทธิ หมดสิทธิจริงๆ... หนึ่งศูนย์ครับทีมไทยเราขึ้นนำในช่วงเวลาที่สำคัญ โอกาสที่จะไปฟุตบอลโลกอายุต่ำกว่ายี่สิบปี เปิดกว้างแล้วจริงๆ.. สุดยอดครับเทพพรโป้ง...”

 

(ในการแข่งขัน  AFC U19 ทีมที่เข้ารอบรองชนะเลิศทั้งสี่ทีมจะได้สิทธิไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในรุ่นอายุต่ำกว่ายี่สิบปี (FIFA WORLD CUP U20)โดยอัตโนมัติ)


“โป้ง โป้ง โป้ง โป้งๆ” ปอ ตั้ม จอม และจุ๊ย ตะโกนสุดเสียงและแสดงท่าที่กองเชียร์ของภูเก็ตยูเนี่ยนทำเวลาที่โป้งทำประตูได้ เหยียดแขนไปสุด แล้วชูนิ้วโป้งทั้งสองข้าง

ป้อมเพชรหันไปรอบตัวมีแต่การแสดงความดีใจ  แฟนสาวของเขาถึงกับลืมตัวกระโดดจับมือกับสุรีวัลและหมุนไปรอบๆ

ทั้งนักบอลและนักดนตรีฉลองร่วมกันอย่างเต็มที่  เพราะตอนนี้เกมจบลงแล้ว...

ทีมชาติไทยชนะหนึ่งประตูต่อศูนย์

 

ในบาร์เบียร์ริมหาดป่าตอง  ความดีใจยังตามมาฉาบบนใบหน้าเด็กเสริพและแม้แต่สาวนั่งดริงก์ ความปิติฉาบอยู่ในรูปของรอยยิ้มที่แสดงออกอย่างไม่ต้องเสแสร้ง.. เกิดขึ้นได้เพราะสายเลือดไทยที่เล่นอยู่ในกายเธอและเขาเหล่านั้น

“คุณสอนเขาใช่ไหม ฮาร์เซย์” ชายหนุ่มชาวเยอรมันกล่าว

เขาคือ เซบาสเตียน บัลเดอร์ อดีตศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมันเจ้าของประตูที่ทำให้ทีมชาติเยอรมันเป็นแชมป์โลกมาแล้วในอดีต

เขากับฮาร์เซย์เป็นเหมือนศิษย์อาจารย์กัน เพราะเซบาสเตียน บัลเดอร์เป็นลูกทีมของฮาร์เซย์ก่อนตอนเล่นในระดับสโมสร  ดังนั้นพอมีโอกาสมาเมืองไทยเลยอยากมาเยี่ยมฮาร์เซย์

“ฉันก็จำเอาจากท่าของนายนั้นหล่ะ  นายมันสุดยอดเรื่องลูกโหม่ง  ฉันก็เลยเอาท่าโหม่งของนายไปสอนเขา” ฮาร์เซย์มองภาพจากโทรทํศน์ที่ถ่ายภาพโป้งกำลังแลกเสื้อกับผู้เล่นเกาหลี

“ต้องขอบคุณท่าโหม่งของคุณนะ ประตูนี้”

เซบาสเตียน บัลเดอร์หัวเราะ

“คุณพูดอะไร ฮาร์เซย์.. คุณต้องบอกว่าเด็กคนนี้เก่งต่างหาก.. ดูสิตัวแค่นั้น แต่กลับกระโดดไปโหม่งได้เหมือนผมสมัยก่อนเปี๊ยบ...” เซบาสเตียนกล่าว

“แต่เด็กจะเก่งได้ ก็ต้องได้โค้ชที่ดีใช่ไหม.. ปีหน้าผมจะกลับมาใหม่...  ผมมีสัญญาจะไปเป็นผู้จัดการทีมให้ทีมในอังกฤษฤดูกาลหน้า... ผมหวังว่าคุณจะกรุณาช่วยสร้างนักเตะให้ลูกศิษย์คนนี้สักคนนะครับ”

ฮาร์เซย์ยิ้ม

“ผมให้สองเลยเอาไหม.. ไม่อยากได้ผู้รักษาประตูดีๆบ้างเหรอ”

 

หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:38:30
ตอนที่ 41 รอบชิง.. โกลปราการด่านสุดท้าย..

การผ่านเกาหลีมาได้ ทำให้ทีมเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นในเรื่องกำลังใจ  ดังนั้นการกลับไปเจอกับญี่ปุ่นอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาจึงชนะไปได้อีกสองประตูต่อศูนย์  โดยสิระโหม่งลูกเตะมุมของโป้งและก้านเพชรเข้าไปทั้งสองลูก

วันนี้เป็นศึกใหญ่ที่สุด เพราะคู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศของพวกเขาคือจีน เจ้าภาพนั้นเอง

“ถึงจีนจะไม่ได้เป็นแชมป์ถ้วยนี้ได้มากเท่าเกาหลี และไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนญี่ปุ่น  แต่พวกเขาก็คือทีมที่เก่งมากในบ้าน  ที่นี่คือปักกิ่งเมืองหลวงของพวกเขา  ดังนั้นพวกเขาจะต้องทุ่มเทเต็มร้อยเพื่อสู้กับพวกเรา” โค้ชชาญยืนต่อหน้าลูกทีมในสนามซ้อมที่พวกเขามาออกกำลังกายกันตอนเช้า

“พวกเราในทัวร์นาเม้นท์นี้ เป็นม้านอกสายตา  แต่พวกเราก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเราเป็นม้ามืด.. ผมไม่ขออะไรมาก  ผมขอแค่พวกคุณลงสนามไปด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน  แชมป์ใครๆก็อยากได้  และนั้นคือเป้าหมายของเราด้วย  แต่..สิ่งที่สำคัญกว่าถ้วยชนะเลิศคือประสบการณ์  ผมอยากให้คุณเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสนุกกับมันให้เต็มที่... “

โป้งหันมองหน้าโกลที่นั่งข้างๆ วู๊ดที่นั่งถัดไปก็หันมามองเหมือนกัน

ชัยชนะคือเป้าหมาย แต่ความสนุกกับการทำสิ่งที่เรารักคือรางวัล...

“พวกคุณชนะแล้วในสายตาผม  แต่ผมก็ยังอยากเห็นพวกคุณทำได้มากกว่านั้น  เราจะต้องสู้เต็มที่  เพื่อเราจะได้กลับบ้านไปเล่าให้คนที่เรารักฟังได้ว่า  เราได้สู้อย่างไรในสมรภูมิแห่งนี้  และสู้อย่างเข้มแข็งในสีเสื้อของธงชาติไทย”

 

อำนาจเปิดสนามยูเนี่ยน ออฟ ภูเก็ตเพื่อให้แฟนบอลทั้งหมดเข้าไปชมการแข่งขันนัดนี้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย  โดยติดตั้งจอLED ขนาดมหึมาที่กลางสนามเพื่อให้ผู้ชมได้ชมการแข่งขันอย่างเต็มที่ โดยได้รับการสนับสนุนออกทุนจัดหาโดยฉัตรอ้ครกรุ๊ป

คุณนามมินทร์ ฉัตรอัครประธานกลุ่มบริษัทฉัตรอัครเอง ซึ่งบังเอิญมาภูเก็ตเพื่อตรวจงานของบริษัทในเครือก็เข้ามาชมการแข่งขันด้วยในสนาม

ตอนนี้การแข่งขันยังไม่เริ่มต้น  จึงมีนักร้องที่ชนะรางวัลชนะเลิศของรายการประกวดร้องเพลงที่เป็นชาวภูเก็ตร้องเพลงขับกล่อมแฟนฟุตบอลที่แห่แหนกันเข้าจนแน่นขนัด

“ถ้าเป็นเกมใหญ่ๆ เราก็จะมีคนดูประมาณนี้หละครับคุณเนม” อำนาจกล่าว

“เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเลยสินะ” นามมินทร์ พยักหน้า

“เด็กชื่อโป้งกับโกล นี่ปีหน้าสงสัยจะได้เล่นตัวจริงใช่ไหม.. เขาเก่งมากเลยนะครับ”

“แต่เขายังเด็กครับคุณเนม” อำนาจแย้งแล้วหันไปมองหน้าทวีที่นั้งอยู่ใกล้ๆ

“เราต้องการให้เขามีประสบการณ์กับเกมมากกว่านี้.. เพราะเขาต้องแข่งกับนักเตะที่อายุมากกว่า ไม่ใช่รุ่นเดียวกันเหมือนในU19 แต่เราก็พยายามจะให้เขาลง  ทางโค้ชฮาร์เซย์ก็รับปาก ว่าอย่างน้อยจะให้ลงตัวสำรองในทุกนัด”

นามมินทร์พยักหน้า เขาหันไปบอกเลขานุการส่วนตัว

“นัท นายช่วยจำด้วยนะ ว่าฉันอนุมัติเงินสนับสนุนเพิ่มอีกสิบล้าน..”

แล้วก็หันมาหาอำนาจ

“เด็กสองคนนี้ผมไม่ได้คาดหวังจะให้เขาอยู่กับเราไปตลอดหรอก  ฝีเท้าของเขาจะพาเขาไประดับที่สูงกว่าวันใดวันหนึ่ง  แต่ผมอยากให้คุณอำนาจเอาเงินที่ได้เพิ่มมาไปสนับสนุนทีมเยาวชน  ผมหวังว่าอีกสองสองหรือสามปีเราจะมีนักเตะที่อย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับนายโป้งอีกสักคนหรือสองคน”

อำนาจกับทวีหันมองหน้ากัน

“ขอบคุณคุณเนมมากครับ”

 

สนามรังนกคือสนามกีฬาแห่งชาติปักกิ่ง  วันนี้อึกทึกไปด้วยเสียงกองเชียร์ของจีนที่เข้ามาจนเต็มความจุของสนามกว่าแปดหมื่นที่นั้ง

โป้งมองไปรอบๆ  นี่มันยิ่งใหญ่กว่าตอนแข่งนัดกับฟิลิปปินส์เสียอีกนะ..

แต่โป้งก็หันไปเห็นคนไทยกลุ่มหนึ่งมีจำนวนราวสองหรือสามพันคน  แต่กำลังส่งเสียงสู้กับชาวจีนและโบกธงชาติไทย

เขามองไปแล้วยิ้ม

“แม่ครับ พ่อครับ  ผมจะทำให้ได้...” โป้งกล่าวออกไป

ก้านเพชรหันมาโป้งแล้วก็มองไปยังธงชาติไทย..

โกลกระโดดอยู่ที่ปากประตูแล้วก็บิดกายซ้ายขวา  แต่นัยน์ตาของเด็กหนุ่มนิ่งสนิทด้วยสมาธิ

วู๊ดหันไปมองหน้าอนุพงศ์  แล้วก็มองไปที่กรรมการ

อนุพงศ์หันมาหาวู๊ด..

วู๊ดอาจเป็นคนหนึ่งที่จะมายืนประคองทีมแทนเขาได้ในปีหน้า  เด็กคนนี้มีคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ  ความนิ่งและการควบคุมอารมณ์ที่ดีเยี่ยมของฉายออกมาในการเล่นที่รัดกุมของเขา สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกของป้อมเพชร กองหลังผู้เยือกเย็นแห่งทีมชาติในอดีต

กรรมการเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน

 

“ฤทธิ์” หัวหน้ายามเรียก

เทพฤทธิ์หันมา เขากำลังเอาแผงกันรถยนต์ลงหลังจากยกให้รถผ่านออกไป

“มาดูเร็ว  เริ่มเกมแล้ว” หัวหน้ายามบอก

เทพฤทธิ์ลังเล

แต่เดี่ยวหนึ่งก็มียามหน้าใหม่รายหนึ่งเดินเข้ามา

“มาเร็ว ให้น้องเขาทำแทน  เรามาดูฟุตบอลกันดีกว่า” หัวหน้ายามย้ำ

เทพฤทธิ์หันไปพงกหัวให้ยามหน้าใหม่แล้วเดินมา

หัวหน้ายามมองหน้าเทพฤทธิ์

“ผมก็พึ่งรู้นะ บริษัทพึ่งจะบอกมา  แต่ผมไม่ได้บอกใครหรอก.. นายคงอยากดูลูกชายนายแข่งสินะ  ผมก็เลยเรียกตัวน้องเขายืนแทน เพราะน้องเขาไม่ค่อยสนใจฟุตบอล”

เทพฤทธิ์จึงยกมือไหว้

แล้วนั่งลงข้างๆ

กล้องจับมาที่ภาพโป้งพอดี  ลูกชายของเขากำลังวิ่งไล่กวดผู้เล่นของจีนเพื่อกันทางวิ่งของผู้เล่นทีมชาติจีนอย่างเต็มความสามารถ

ไม่ชนะก็ไม่เป็นไรโป้ง  แต่เอาให้เต็มที่..

 

วราพรอยู่ในห้องผ่าตัดกับสุทธิชัยที่กำลังผ่าเอาเหล็กออกจากร่างกายของเด็กหนุ่มที่ซุกซนตกลงจากชั้นสามของตึกเรียนแล้วโดนเหล็กแหลมแทงเข้าที่ท้อง

เธอหยิบเครื่องมือส่งให้นายแพทย์ใหญ่อย่างตั้งใจ

ที่ปักกิ่งลูกชายเธอกำลังทำหน้าที่  และเธอเองก็เช่นเดียวกัน..

สู้นะโป้ง.. แม่จะฟังข่าวดีจากเรา...

 

โกลพุ่งไปรับลูกไซด์โค้งของผู้เล่นจีนที่ยิงมาอย่างชำนาญ

ไม่ได้กินกูง่ายหรอก.. ลูกยิงของมึงเทียบกับไอ้โป้ง.. ยังไม่ผ่านกูง่ายๆหรอกเฟ้ย.. แล้วเขาก็ขว้างบอลออกไป

การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือดในครึ่งแรก  ทีมชาติไทยมาตั้งเกมรับอย่างเต็มที่ เพราะทีมชาติจีนกำลังบุกเป็นพายุด้วยกำลังใจจากกองเชียร์เกือบแปดหมื่น

แม้แต่โป้งก็ยังต้องมาวิ่งไล่ในเกมรับทั้งที่วันนี้ยืนเป็นกองหน้าตัวที่สองต่ำลงจากสิระ ในรูปแบบ กองหลังสี่ กองกลางสี่ และกองหนึ่งตัวต่ำหนึ่ง โดยมีสิระยืนเป็นตัวหน้าสุดเป็นตัวเป้า

ไม่นานโกลก็ต้องออกแรงพุ่งปัดลูกไปอีกครั้ง  แม้จะเป็นลูกยิงแฉลบขาของกองหลังเปลี่ยนทาง

ลูกยังไม่พ้นเขตอันตราย กระเด้งไปทางกองหน้าจีน

สุพจน์จึงตามเข้าไปสกัด แต่ยังไม่ทันโดนตัว ผู้เล่นจีนก็ล้มลง

สุพจน์ยกมือทั้งสองข้างแล้วถอยออกมา

แต่กรรมการเป่าเป็นจุดโทษ

ผู้เล่นไทยกรูกันจะไปประท้วง  แต่วู๊ดกับอนุพงศ์ช่วยกันเข้าไปห้ามจึงคลี่คลาย  แต่ระหว่างนั้นโป้งเดินไปหาโกลยืนมองหน้ากัน

“กูเชื่อใจมึงนะโกล” โป้งกล่าว

โกลสบตา...

“มึงสัญญาว่าจะพากูมาที่นี่ กูก็ได้มาจริงๆ  ตอนนี้กูขอแทนคนไทยทั้งประเทศ  มึงต้องเซฟให้ได้นะเว้ย” โป้งเอามือจับที่ต้นแขน

โกลสูดลมหายใจลึกๆ  เป็นการสูดพลังที่โป้งส่งผ่านมา..  เขาพยักหน้า

“กูจะทำให้ได้”

 

โกลยืนอยู่บนเส้นประตู เอามือตบหากัน แล้วกางแขนออกสำแดงให้เห็นว่าไม่ใช่ง่ายๆที่จะผ่านเขา..

กองหน้าของจีนมองเขม็งที่ลูก  แล้วถอยหลัง

เขาวิ่งเข้าทำท่าจะเตะแต่หลอก หยุดหนึ่งจังหวะก่อนจะเตะออกไป

โกลไม่ได้หลงทาง  แต่ลูกเรียดพุ่งแรงเขาจึงต้องพุ่งตัวไป..

กำปั้นใหญ่ของโกลกระแทกลูกบอลมันกระเด็นย้อนกลับไป

กองหน้าของจีนเห็นดังนั้นจึงวิ่งเขาซ้ำในระยะแค่ห้าหลา

ลูกลอยเข้าหาประตู  แต่พลัน.. มือที่สวมถุงมือกลับคว้ามันไว้ได้

ทั้งสนามครางฮือ  ไม่ใช่แค่เสียดาย แต่ทึ่งที่โกลกลับตัวลุกได้อย่างรวดเร็ว

กองเชียร์ทีมชาติไทยโห่ร้องกันอย่างยินดี...

“เจ๋งสัตว์” ก้านเพชร... กล่าวออกมา แล้ววิ่งกลับไปประจำตำแหน่งตัวเอง

“ดูสิว่ามึงจะป้องกันโป้งได้อย่างป้องกันประตูไหม”

 

เสียงเรียกชื่อโกลดังสนั่นสนามยูเนี่ยน ออฟ ภูเก็ต

ฮาร์เซย์อมยิ้มอย่างพึงพอใจ...

ทวีผงกหัวช้าๆ

หลายคนอาจจับตาที่โป้ง.. แต่โกลคือผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยม... เขามีความเร็วและความนิ่งเป็นอาวุธ นอกเหนือจากความสูง.. ทวียอมรับว่าตอนนี้ตัวเขาเองในอดีตอาจไม่ใช่คนที่จะเทียบเคียงกับโกลแล้วก็ได้..

โกลพัฒนาไปไกลไม่แพ้โป้งเช่นกัน..

ทวีเกิดความหวัง..

สักวันธงชาติไทยชุดใหญ่จะไปสะบัดในสนามฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้จริงๆเพราะการป้องกันประตู



หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:39:28
ตอนที่ 42 ตัดสิน.. ลูกกระโดดฟาดหน้าเน็ต..

พอหมดครึ่งแรก นักกีฬาทั้งสองทีมเดินเข้าอุโมงค์เพื่อไปยังห้องแต่งตัว

แต่บรรยากาศในห้องแต่งตัวทีมชาติไทย ครุกกรุ่นด้วยเสียงบ่นต่อว่ากรรมการ

“อะไรวะ  ทีไอ้ระโดนเบียดในกรอบ ล้มเห็นๆ ไม่ได้  ไอ้สัตว์กูยังไม่โดนตัวแม่ง ล้ม.. พุ่งชัดๆ กรรมการแม่งให้จุดโทษ” สุพจน์บ่นอย่างมีอารมณ์

“แม่งน่าเตะรวบให้ขาหัก”

วู๊ดหันมามองหน้าสุพจน์

“พี่พจน์แบบนั้นมันก็ใบแดงสิ.. ดีแล้วที่พี่ไม่ได้ทำ  ไม่งั้นเราเสียเปรียบเลยนะ” วู๊ดชี้อีกแง่

สุพจน์เลยนึกได้ แต่ก็ยังมีอารมณ์

“กรรมการแม่งโคตรเข้าข้าง”

“ผมว่าเราต้องใจเย็นเนอะพี่พงศ์  ถ้าเราไปแรงตามเกม ยิ่งเสียเปรียบ  เพราะเดี่ยวจีนมันต้องลงมายั่วเราบ่อยๆแน่เลยว่าไหม” วู๊ดกล่าว

“ใช่” อนุพงศ์พยักหน้า

“พวกมึงต้องใจเย็นๆนะเว้ย.. ยิ่งบุ่มบ่ามเรายิ่งเสียเปรียบ  กูว่าพวกแม่งต้องการให้เราโมโหนั้นหล่ะจะได้เล่นงานง่าย ยิ่งกรรมการเข้าข้างกันอย่างนี้ด้วยนะ”

สรรเสริญถอนหายใจ

“ถ้าต่อยได้  กูจะประเคนแม่ไม้มวยไทยให้แม่งสักชุด” เขาพูดแล้วชูกำปั้นแกว่ง

“จริงสินะ  เราคนไทยก็ต้องแม่ไม้มวยไทย” เสียงชาญดังขึ้น  แล้วเขาก็เข้ามาพร้อมกับวีระ

“คนไทยก็ต้องแม่ไม้มวยไทยถึงจะถูกใช่ไหม.. แต่พวกคุณก้มมองตัวเอง... คุณไม่ได้ใส่กางเกงมวยไม่ใช่เหรอ  คุณสวมเสื้อของนักฟุตบอล  นักฟุตบอลก็ต้องเล่นในกติกาของฟุตบอล  เราตัดสินแพ้ชนะกันด้วยการยิงประตูได้  ไม่ใช่คะแนน หรือการน๊อกคู่ต่อสู้.. เราต้องเชื่อการตัดสินของกรรมการ.. แม้บางที่อาจจะขัดใจไปบ้าง  แต่คุณต้องระลึกว่าเราคือนักฟุตบอล..” ชาญกวาดตามองรอบๆไม่ได้จำเพราะที่สรรเสริญ

“โดยเฉพาะที่อกซ้ายของคุณนั่น... ธงชาติไทยเห็นไหม.. คุณกำลังแบกความหวังคนไทยทั้งประเทศ  พวกเขาหวังอะไร  หวังให้คุณต่อยคู่ต่อสู้ให้น๊อก หรือก้านคอคู่ต่อสู้จนสลบ.. เหรอ... เปล่า...”

“พวกเขาปรารถนาจะเห็นคุณเอาถ้วยกลับบ้าน... ชนะอย่างใสสะอาด.. ใครจะทำอะไรยังไงเราไม่สน  เราต้องเป็นนักฟุตบอลที่ดีอยู่ในกติกา.. ส่วนถ้าคุณอยากจะเตะก้านคอใครสักคน  ก็รอให้พี่บัวขาวเขามาชกที่นี่ แล้วก็ฝากพี่บัวขาวเขาจัดชุดใหญ่แทน... แต่เราคือนักฟุตบอล เราคือทีมฟุตบอล  เราสิ่งเดียวที่เราเตะคือลูกฟุตบอลไม่ใช่คู่ต่อสู้  เข้าใจไหม”

 

ออกจากห้องแต่งตัว  สิระหันมาคุยกับโป้ง

“นอกจากมวย เราก็มีตะกร้อไม่ใช่เหรอวะ ที่เก่งๆ” สิระกล่าว

“เคยเล่นตะกร้อไหมโป้ง”

“เคยครับ  จริงๆตอนผมฝึกกับพ่อ  พ่อเขาก็จะให้ผมหัดหลายๆอย่าง  ผมก็เลยเคยเล่นตะกร้อเหมือนกัน” โป้งตอบ

“เออดีเนอะ..” สิระหัวเราะเบาๆ

ตอนนี้ทั้งคู่พ้นอุโมงค์ออกมาแล้วสู่สนามที่กึกก้องไปด้วยเสียงเชียร์

วู๊ดออกมาที่หลัง  แต่ยังมีคนหลังกว่า

เพราะอนุพงศ์สนทนากับชาญ  เห็นชาญทำหน้าหนักใจ  แต่ที่สุดก็พยักหน้า  แล้วตบบ่าอนุพงศ์

 

เกมยังเป็นของจีนอย่างเห็นได้ชัด  แม้ตอนนี้ทีมไทยจะปรับตำแหน่งตัวผู้เล่นแล้วก็ตาม  โดยชาญถอดกองหลังออกหนึ่งตัว เหลือสาม  แล้วส่งกองกลางตำแหน่งปีกขวาลงไปอีกหนึ่งตัวกลายเป็นห้าตัว

“โหย...” คฑาขบฟันจะกราบนูน กล่าวออกมาติดสำเนียงใต้

“แม่เฮ้ย.. แม่งบุกจริง... สวนกลับบ้างนิ.. อย่าให้มันบุกถ่ายเดียว..”

ทรงวุฒิหันมามองหน้าเพื่อนแล้วหันไปมองจอต่อไป

 

มันก็ต้องเป็นแบบนี้หละ

เทพฤทธิ์รู้ดี  เพราะนี่เป็นบ้านเขา  เขาต้องเปิดเกมถล่มเราอยู่แล้ว  แถมยังมีกรรมการเข้าข้างนิดๆหน่อยๆ คอยทำลายเกมโต้กลับของเราอีก...  นี่เป็นธรรมดากับการเล่นกับทีมในเอเชีย  จะมีก็แต่ญี่ปุ่นกับอีกสองสามชาติที่เล่นอย่างค่อนข้างสะอาด.. แต่กระนั้นก็ยังมีบ้างเล็กๆน้อยๆ

"อย่าเสียสมาธิกันนะเด็กๆ  ตั้งสติกันดีๆ รอจังหวะ  แล้วเล่นงานให้เร็ว"

ไม่ทันขาดคำของเทพฤทธิ์ จังหวะที่ว่าก็มาถึง


โกลรับลูกที่ลอยเข้ามาในกรอบเขตโทษ จากการเปิดบอลจากด้านข้างของทีมจีนได้ติดมือ  มองไปเห็นวู๊ดยืนว่างอยู่เขาจึงขว้างบอลไปให้

วู๊ดได้บอลก็มองไปเห็นก้านเพชรวิ่งตามออกมาด้านข้าง เขาทำท่าจะจ่ายแต่ก็เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย  ทำให้ตัวของทีมขาติจีนที่กำลังจะวิ่งไปหาก้านเพชรหยุดเท้าเสียหลัก

วู๊ดเตะเรียดไปข้างหน้า ลูกบอลวิ่งไปถึงวงกลมกลางสนาม  โป้งวิ่งตามบอลมาทันแล้วก็เลี้ยงไปข้างหน้าอย่างกับติดจรวดที่เท้า

หลุดเดี่ยว..

โป้งวิ่งไปถึงหน้ากรอบเขตโทษ เห็นผู้รักษาประตูทีมจีนไม่ได้ออกมา ยืนปักหลักอยู่กับที่  เขาจึงง้างเท้าทำท่าจะยิงไปทางขวา

ผู้รักษาประตูจึงขยับไปตามทิศที่คิดว่าโป้งจะยิง  แต่..

โป้งเปลี่ยนจังหวะเท้าขวาทันที  เขาเตะแปเรียดไปท้างช้าย

สิระวิ่งตามมาทางนั้นพอดีก็สับเท้ายิง

ลูกของสิระแรงมากมุ่งเข้าหาประตู  แต่กลับกระแทกกับคานแล้วกระเต้งโด่งกลับออกมา

เราคนไทยก็ต้องแม่ไม้มวยไทย..

นอกจากมวยเราก็มีตะกล้อไม่ใช่เหรอวะ..

โป้งมองลูกลอยอยู่ในอากาศ..

“ก็ตะกร้อสิวะ” เขาคำรามแล้วขยับ

“ไทยเป็นแชมป์โลกตะกร้อนะเฟ้ย..”

เขาสปริงค์ตัวขึ้นในอากาศ แล้วบิดกายวาดวงเตะด้วยเท้าซ้าย  ท่าหวดฟาดลูกกลางอากาศของเซปักตะกร้อ..

แม่นยำ  เท้าของโป้งหวดลงบนลูกฟุตบอลที่ลอยมาเต็มแรง..

ผู้รักษาประตูของจีนวิ่งออกมา  แต่ต้องผงะ เพราะลูกของโป้งพุ่งผ่านตัวเขาไปอย่างรวดเร็ว

ลูกบอลกระแทกพื้นหลังเส้นประตู  แล้วกระดอนไปกระแทกก้นตาข่าย..

กรรมการมองผู้กำกับเส้นก่อนทีหนึ่งเพื่อดูว่าเป็นการล้ำหน้าหรือไม่

เขาจรดนกหวีด...

แล้วก็เป่ายาวโดยชี้ไปที่กลางสนาม...

เสียงเฮกึกก้องสนามจากกองเชียร์ที่มีขนาดย่อมกว่า.. ธงชาติไทยโบกสะบัดเพื่อฉลองประตูที่เกิดจากเด็กไทย และท่ากระโดดฟาดหน้าเน็ตของกีฬาอีกชนิดที่ไทยเป็นเอก

เซปักตะกร้อ...

 

สนามยูเนี่ยน ออฟ ภูเก็ตสั่นสะเทือนอีกวาระ  ก่อนจะสงบลงชั่วคราว  กองเชียร์ต่างลูกขึ้นยืนเหยียดแขนไปข้างหน้า ชูนิ้วโป้ง...

“โป้ง โป้ง โป้ง โป้ง โป้งๆๆ”

นามมินทร์เคยเห็นท่านี้มาจากในการถ่ายทอดสด  เขาถึงกับตะลึงในบรรยากาศที่เกิดขึ้น

มองไปที่จอเห็นโป้งกำลังวิ่งชูมือต่อหน้าอัฒจันทร์ที่มีกองเชียร์ไทยอยู่  โดยมีเพื่อนร่วมทีมวิ่งมาแสดงความดีใจ

แล้วนามมินทร์ก็ลุกขึ้น  เขาเหยียดแขนไปข้างหน้าทั้งสองข้าง ชูนิ้วโป้งและส่งเสียงออกไปเหมือนกับที่แฟนบอลทุกคนทำ

 

ร่างกายที่ฝึกมาอย่างดีของโป้งเริ่มสัมผัสความล้าเป็นครั้งแรก  เขาเงยหน้ามองไปที่สกอร์บอร์ดเห็นเวลาเดินไปถึงนาทีที่เจ็ดสิบห้าแล้ว

อีกสิบห้านาทีเท่านั้น  โป้งบอกตอนเอง

แล้วผู้เล่นของจีนที่ยืนถือลูกอยู่ข้างสนามก็ทุ่มบอลกลับเข้ามา

โป้งจึงออกวิ่งไป

ผู้เล่นของจีนโดนทั้งอนุพงศ์และ วู๊ดเข้าประกบ ทำให้หาจังหวะจ่ายบอลไม่ได้  แต่จู่ๆเขาตัดสินใจ  เลี้ยงลูกเข้าหาอนุพงศ์..

กะจะเรียกเอาฟาล์วอย่างชัดเจน

อนุพงศ์จะหลบก็กลายเป็นปล่อยให้เลี้ยงผ่านไป  เขาจึงตัดสินใจพยายามสกัดที่ลูกบอล

ปรี๊ด...

อนุพงศ์ใจหายวาบ เพราะตอนนี้ผู้ตัดสินวิ่งเข้ามาพร้อมชูใบเหลือง..

ใบเหลืองที่สอง.. อนุพงศ์โดนใบเหลืองไปแล้วหนึ่งใบตั้งแต่ปลายครึ่งแรก

กรรมการล้วงกระเป๋าอีกครั้งแล้วควักใบแดงออกมาชู

กองเชียร์ของจีนบางส่วนเฮกัน.. แต่ไม่ทั้งหมด  หลายคนมองหน้ากันแล้วเริ่มสนทนากัน  แต่กองเชียร์ทีมไทยโห่เสียงสนั่น

กรรมการชี้ให้อนุพงศ์ออกไปจากสนาม

บรรดาผู้เล่นทีมไทยวิ่งเข้ามาจะประท้วง  แต่วู๊ดรีบเข้าห้าม

“ใจเย็นๆครับ ใจเย็นๆ” วู๊ดเอาตัวเองกั่นระหว่างกรรมการกับผู้เล่นฝั่งเดียวกัน

“เฮ้ยพอ” อนุพงศ์เอ็ดเสียงดัง

ลูกทีมถึงได้หยุด

แล้วเขาก็เดินมาหาวู๊ด  ถอยปลอกแขนสีเหลืองของกัปตันทีมส่งให้

วู๊ดงงยืนนิ่ง  จนอนุพงศ์ต้องเอามือเขาขึ้นมาแล้วยัดใส่

“นายเป็นกัปตันแล้ว  ถึงเรามีสิบคน  แต่นายต้องป้องกันให้ได้เข้าใจไหม”

อนุพงศ์ตบบ่าวู๊ด  แล้วก็หันไปหาเพื่อนๆ

“พวกมึง ตอนนี้ไอ้วู๊ดคือกัปตัน  ใครไม่ฟังที่มันสั่ง  อย่ามาเรียกกูว่าพี่ ว่าเพื่อนอีกเข้าใจไหม”

แล้วอนุพงศ์ก็วิ่งออกไปจากสนาม เขาผ่านโป้งก็เอามือตบบ่า  แล้วก็หันไปยกนิ้วโป้งให้โกลที่มองมาจากระยะไกล

ชาญตบบ่าอนุพงศ์ที่วิ่งเข้ามาแล้วก็หันไปบอกวีระให้เตรียมตัวเปลี่ยนตัวอีกครั้ง

 

การป้องกันฟรีคิกภายใต้การบัญชาการของวู๊ดเป็นไปอย่างแน่นหนา  โกลจึงสามารถกระโดดรับลูกที่ผู้เล่นผ่ายตรงข้ามพยายามยิงไกลเข้ามาไว้ได้อย่างง่ายดาย

“โกล” วู๊ดตะโกนมาแล้วชี้ที่ข้างสนาม

พอโกลหันไปก็เห็นว่ามีเพื่อนร่วมทีมตำแหน่งกองหลังยืนอยู่กับผู้ตัดสินที่สี่

เขาเลยโยนลูกไปข้างหน้านิดหนึ่งแล้วเตะโด่งออกไปจนมันออกหลังประตูของฝั่งจีน

ศรแบ๊คขวาสำรองวิ่งมาบอกกับวู๊ดเรื่องแผนการใหม่  เขาพยักหน้ารับรู้  แล้วเขาก็หันไปหาเพื่อนๆเพื่อส่งสัญญาณบอกรหัสแผนการ  ทุกคนพยักหน้ารับรู้แล้วเริ่มวิ่งปรับตำแหน่ง  แต่วู๊ดวิ่งไปหาโป้งกระซิบบางอย่าง  แล้วก็ถอยกลับไป

ตอนนี้จากตำแหน่งยืนแล้วโป้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าโดยมีสิระลงไปอยู่ต่ำจากเขาแทน  กองกลางมีสามตัวเพราะปีกช้ายถูกถอดออกไป แต่กองหลังกลับไปเป็นสี่ตัว

 

“รับเต็มรูปแบบเลยนี่” ป้อมเพชรที่เดินไปเอาเบียร์กลับมานั่งแล้วตั้งข้อสังเกต

“ก็ต้องอย่างนั้นหละ” สุรีวัลที่วันนี้มาอาศัยดูการถ่ายทอดสดที่บ้านของป้อมเพชรเพราะที่การไฟฟ้าซ่อมสายส่งทำให้ไม่มีไฟฟ้าใช้

สาวิตรีหันมองหน้าสุรีวัล

“อีกสิบห้านาที.. มันต้องรับ  แล้วที่ถอยเอาสิระมาเพราะสิระตัวโตกว่าโป้ง  จะได้เอามาโหม่งในเกมรับ  ส่วนโป้งก็ห้อยเอาไว้ป่วนเกมรับของฝั่งโน่น...” สุรีวัลอธิบาย

ป้อมเพชรเห็นด้วย

 

เสียงเชียร์เริ่มแผ่วไปอย่างเห็นได้ชัด.. เพราะอะไรโกลก็ไม่แน่ใจ  แต่สังเกตว่ามันเริ่มเบาไปตั้งแต่อนุพงศ์รับใบเหลืองที่สองไปอย่างค้านสายตา

เขารีบกลับมาสนใจเกม เพราะเห็นกองกลางของจีนดันกันขึ้นมาทั้งแผง

พวกเขาจ่ายบอลกันไปมา โดยหวังจะแตกเกมรับของทีมไทย  สุพจน์หันไปยกมือกำหมัดแสดงสัญญาญให้แผงกองหลังทั้งหมดรู้  แล้วจังหวะหนึ่งทีเขาคาดเดาไว้แล้ว กองกลางจีนทำท่าจ่ายบอลมาตรงกลางระหว่างสุพจน์ กับกองหลังตัวกลางอีกตัว

เขาวาดมือลงเป็นสัญญาณ

ทั้งแผงกองหลังทีมไทยจึงวิ่งสวนทางขึ้นไป.. ตอนนั้นผู้เล่นกองหน้าของทีมจีนยืนอยู่ตัวเดียว.. แล้วกองกลางจีนจึงจ่ายบอล

สุพจน์ยกมือว่าล้ำหน้า

วู๊ดไม่เห็นธงจากผู้ช่วยผู้ตัดสินยกขึ้น จึงรีบวิ่งตามลูกบอลไป

กองหน้าจีนได้บอลก็วิ่งไปหาโกล

โกลจ้องเขม็งอยู่แล้ว

กะแล้วเชียว...ล้ำหน้าชัดเจนขนาดนั้น.. เข้าข้างกันดีนักนะ

แล้วกองหน้าจีนก็สับเท้ายิงอย่างแรง

โกลพุ่งไปตบลูกจนกระดอนออกไปแต่ยังอยู่ในกรอบเขตโทษ  ผู้เล่นตัวอื่นของจีนก็วิ่งเข้ามาหมายจะซ้ำ

แต่วู๊ดที่ตามลูกมาอยู่แล้วเตะลูกออกไปได้ก่อน  ก้านเพชรที่วิ่งตามวู๊ดลงมากลับตัววิ่งไปหาลูกบอลแล้วดักมันไว้ก่อนมันจะออกเขตสนามด้านข้าง  เขามองไปเห็นโป้งยืนอยู่ในแนวเดียวกับกองหลังจีน  จึงเตะโด่งออกไป

โป้งแม้จะล้าแล้วแต่ก็ยังมีกำลังเหลือมากพอจะวิ่ง  แต่ที่ล้าจริงๆคือกองหลังจีนที่พยายามวิ่งตาม  ดังนั้นโป้งวิ่งไปถึงบอลก่อนโดยมีกองหลังจีนวิ่งตามมาห่างๆ

เมื่อโป้งวิ่งเข้าไปในระยะอันตราย  ผู้รักษาประตูจีนก็วิ่งออกมาหมายตัดดักลูกไว้ให้ได้

นี่คือจังหวะที่โป้งรอคอย..

ฝังซะ..

โป้งเตะกระแทกใต้ลูกให้มันลอยโด่งด้วยน้ำหนักพอดี..

ผู้รักษาประตูชะงักเท้าพยายามจะยกมือขว้าลูกบอลแต่ไม่ถึง

ลูกบอลค่อยอ่อนแรงลงเพราะโป้งไม่ได้ใช้กำลังมากอะไร  ถึงจุดสูงสุดก็ค่อยๆลดระดับลงเป็นแนวโค้ง.. ตกพื้น.. แล้วกระเด้งหนึ่งจังหวะก่อนกลิ้งเข้าประตูไป...

โป้งกำหนัดชกลมอย่างสะใจ.. ทั้งที่ปกติเขาไม่ค่อยแสดงอาการดีใจ  แต่เพราะอารมณ์ที่หลากหลายมันถาโถมมาตลอดเกมทำให้เขาเหมือนวิ่งอยู่กับบรรยากาศที่อัดอั้น

การยิงประตูลูกนั้นทำให้เขาปลดปล่อย

กรรมการเป่านกหวีดเป็นสัญญาณการได้ประตู

กองเชียร์ไทยเปล่งเสียงออกมาดังลั่นอย่างยินดี  แล้วยืนปรบมือให้กับโป้งที่วิ่งผ่านมา

โป้งชูมือยกนิ้วโป้ง  เห็นดังนั้นกองเชียร์จึงหยุดปรบมือแล้วยืนตรงเหยียดแขนออกไปสองข้าง ยกนิ้วโป้งแล้วส่งเสียงกระหึ่มตอบ

“โป้ง โป้ง โป้งโป้ง.ๆ”

ตอนนั้นมีกองเชียร์จีนหลายคนลุกขึ้นแล้วปรบมือ  แล้วก็มีอีกหลายคนทำตาม  เสียงปรบมือจึงดังก้องไปทั้งสนาม

ท๊อปที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์โดยมีเผือกอ่อนหุ้มข้อเท้าก็เลยได้แค่ปรบมือ

“ขอบใจโป้ง  นายทำมากกว่าสัญญาที่ไว้กับพี่อีก”                                         

 

 

 

นกหวีดยาวจากกรรมการเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดการต่อสู้

เทพฤทธิ์น้ำตาร่วงลงมาอีกอย่างห้ามไม่ได้ ตอนที่เห็นเพื่อนแห่โป้งไปรอบสนามท่ามกลางเสียงปรบมือของคนดูทั้งไทยและจีน

“เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมจริงๆครับสำหรับเจ้าหนูมหัศจรรย์วัยแค่สิบเจ็ดปีคนนี้  เขายิงไปหกประตูในการแข่งขันครั้งนี้  และสามในหกคือประตูตัดสินที่สำคัญ.. ทางผู้บรรยายภาษาอังกฤษแจ้งมาว่าเขาได้รับตำแหน่งMVP หรือผู้เล่นทรงคุณค่าไปด้วยอย่างแน่นอนที่สุดจากผลงานอันโดดเด่น..” ผู้บรรยายกล่าว

“วันนี้ไทยเราสู้กันขาดใจจริงๆ นอกจากโป้งแล้วก็ต้องชม กรกฏที่ป้องกันลูกโทษเอาไว้ แล้วก็เซฟจังหวะสำคัญๆเอาไว้ได้อย่างเด็ดขาด” ผู้บรรยายร่วมอีกคนกล่าว

“แล้วยังจะมีนายฤทธาที่คอยบัญชาการทีมในฐานกัปตันทีมได้อย่างดีเยี่ยม.. วันนี้ผู้เล่นทุกตำแหน่งรวมทั้งอนุพงศ์ที่โดนใบเหลืองแดง ต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเยี่ยม.. แม้ผู้ตัดสินในนัดนี้อาจไม่ทันเกมไปบ้าง  แต่พวกเขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างอดทน และแสดงออกถึงความทุ่มเทในจนนาทีสุดท้าย เหมาะสมแล้วครับกับตำแหน่งชนะเลิศ”

 

วราพรออกมาแจ้งกับแม่ของเด็กที่ยืนกระวนกระวายว่าลูกขายของเธอปลอดภัยแล้ว  แม่ของเด็กก็กอดวราพร ส่วนพ่อเด็กกล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณคุณหมอดีกว่าค่ะ” เธอกล่าวตอบ

พ่อของเด็กจึงตอบ

“ไม่ใช่แค่เรื่องลูกชายของผม  แต่ผมขอบคุณลูกชายของคุณพยาบาลด้วย.. เขายิงประตูให้เราชนะจีนนะคุณพยาบาล”ดวงหน้าของชายผู้เป็นพ่อของเด็กที่บาดเจ็บมีรอยยิ้มอย่างชื่นอกชื่นใจ..

มันเป็นรอยยิ้มที่มาจากความดีใจที่ลูกชายปลอดภัย และรอยยิ้มจากความยินดีที่ทีมชาติไทยชุดเด็กประสบความสำเร็จ

วราพรได้ฟังก็หันไปหาโทรทัศน์ที่เปิดไว้โดยไม่มีเสียง

ตอนนั้นเป็นภาพของโป้งที่กำลังเดินขึ้นไปรับเหรียญ กล้องจับภาพโป้งอย่างเนิ่นนานเพราะโป้งคือ MVP ผู้เล่นทรงคุณค่าของทัวร์นาเม้นท์

“โป้งลูกแม่” วราพรยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

 

เมื่อวู๊ดและสิระชูถ้วยขึ้นเหนือหัว ไม่เพียงในสนามที่ปักกิ่งเท่านั้นที่ฉลอง  แต่พลุไฟหลากสีก็ยิงขึ้นจากด้านหลังอัฒจันทร์ทั้งสี่ด้านของสนามยูเนี่ยน ออฟ ภูเก็ต  กระดาษสีแดงขาวและน้ำเงินโปรยปรายลงมา

อำนาจยืนมองบรรยากาศอย่างรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง..

“ไปอีกขั้นแล้วนะไอ้โป้ง... ยัง ยังหรอก.. ลุงอ่ำเชื่อว่าเอ็งจะไปได้ไกลกว่านี้..” เขากล่าวกับภาพของโป้งที่กอดคอกับโกลและเพื่อนร่วมทีมฉลองชัยชนะบนจอLED ขนาดยักษ์..

“การต่อสู้ของพวกนายยังอีกยาวไกลนัก พวกนายทั้งสองคนเลย..  ตั้งใจฝึกฝนแล้วก็พาตัวเองไปให้ถึงจุดที่สูงที่สุดให้ได้นะ”



หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:41:03
ตอนที่ 43 ฤา ดอกรักดอกใหม่จะบานในใจก้านเพชร...

โค้ชชาญยังคงยึดนโยบายเดิม ไม่พานักฟุตบอลไปออกงานอะไร  นอกเสียจากรายการของสปอร์นเซอร์เรียกร้องให้ไป  ซึ่งก็มีอยู่แค่สองรายการเท่านั้น

ดังนั้นหลังจากเข้าพบนายกรัฐมนตรี และไปออกรายการโทรทัศน์สองรายการแล้ว  โค้ชชาญก็ปล่อยนักฟุตบอลกลับไปร่วมทีมสโมสร

โป้งกับโกลได้วันหยุดพิเศษหนึ่งสัปดาห์จากสโมสร  พวกเขาเลยเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนกับที่กระบี่ แต่ไปได้แค่สามวันก็ต้องกลับ เพราะโรงเรียนเปิดเทอม

โป้งกับโกลพบว่าตัวเองเป็นหัวข้อการสนทนาของนักเรียนชาย  และนักเรียนหญิงบางคนมองเขาด้วยสายตาเขินอายบ้าง ทิ้งสายตาทอดมาบ้าง  บางคนก็แค่อยากคุยด้วยเฉยๆก็เดินมาคุยด้วยตรงๆ

“ถ้ากูฝึกฟุตบอลตอนนี้ จะทันไหมโป้ง” ทรงวุฒิหรือที่โป้งเรียกว่าตั้นถาม ตอนกำลังมองไปที่สนามซึ่งมีการคัดตัวนักฟุตบอลโรงเรียนอยู่

“แล้วไม่เคยฝึกมาเลยเหรอ” โป้งถามกลับ

ตั้นถอนหายใจ

"แม่กูไม่ให้ฝึกหรอก เขาให้เรียนอย่างเดียว  เขาบอกว่าอย่างไปเอาอย่างพ่อที่ปล่อยให้นายตั้มฝึกจนเรียนไม่เอาถ่าน”

โป้งรู้สึกเหมือนโดนด่า หันมองหน้าโกล

“เฮ้ยกูไม่ได้ว่ามึงนะเว้ยโป้ง” ตั้นรู้ตัวตอนโป้งเงียบไป

“มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นทุกคน.. ไอ้โกลก็เรียนเก่งออก... แต่กูมันหัวทึบ เรียนไปก็ไม่รู้เรื่องเอง” โป้งตอบ

“ก็มึงมันเอาสมองไปพัฒนาทักษะฟุตบอลเสียหมด  เลยเหลือสมองเรียนได้น้อยมั้งโป้ง” โกลว่าแล้วก็จับหัวโป้งโยกไปโยกมา  โป้งร้องโอ้ยแล้วแกะมือมันออกไป

“แต่ถ้าถามว่าเริ่มตอนนี้ช้าไหม.. ก็ต้องบอกว่าช้าไปนั่นหละ” โกลเป็นคนตอบแทนโป้ง

“ทักษะบางอย่างต้องหัดกันมาแต่เล็กๆ  ยากมากจะมาพัฒนาตอนโตแล้ว ถึงหัดก็ไม่ได้ดีไปกว่าตอนเป็นเด็ก”

ตั้นถอนหายใจ

“ที่จริงมึงก็ไม่เห็นต้องเล่นฟุตบอลนี่หว่า  มึงยังทำอย่างอื่นได้อีกเยอะ  แล้วถ้ามึงอยากเล่นแค่สนุกๆ ก็ได้นี่  เดี่ยวกูสอนเบสิคบางอย่างให้” โป้งว่า

คฑาเดินกลับมาจากซื้อขนมกับน้ำดื่มได้ยินพอดี

“เอาดิ... ไปเช่าชั่วโมงสนามฟุตซอลแล้วเล่นกัน”

แล้วคฑากับเพื่อนอีกสองคนคือนัน กับบอย  ก็ช่วยกันเรียงขนมที่ซื้อมา

“ซื้อมาทำไมเยอะแยะ” โป้งถามแล้วมองหน้าคฑา

“ก็เลี้ยงขอบคุณมึงสองคนไง.. อุตส่าห์ชนะได้ถ้วยกลับมาพวกกูก็ต้องเลี้ยงกันหน่อยสิวะ”

โป้งมองหน้าโกล  แต่โกลไม่สนใจหยิบห่อขนมมาฉีกหยิบกินคนเดียวหน้าตาเฉย

 

วู๊ดแปลกใจที่อยู่ๆก้านเพชรก็ชวนเขามาเดินเล่นที่เซ็นทรัล

ก้านเพชรเห็นวู๊ดมองหน้าเขาบ่อยๆก็เลยถาม

“สงสัยสินะว่ากูชวนมึงมาทำไม” ก้านเพชรพูดตรงๆ  แต่ไม่ได้มองหน้าวู๊ด

วู๊ดไม่ได้แปลกใจ  เพราะที่เขามองหน้าก้านเพชรบ่อยๆก็เพื่อให้เขารู้ตัวว่าเขาคิดอย่างไร

“ก็ใช่.. “

“มึงกับโป้งรู้จักกัน  กูจะซื้อของขวัญให้เขา ก็เลยพามึงมาเลือก เผื่อจะรู้ว่ามันอยากได้อะไร” ก้านเพชรเฉลย

“กูว่าแล้ว” วู๊ดส่ายหัวดุกดิก

“มึงก็เห็นว่ามันกับโกลไปไหนด้วยกัน อยู่ด้วยกันตลอด  ถึงมันจะยังไม่ได้บอกออกมากันว่าเป็นแฟนกัน แต่มึงก็น่าจะรู้แก่ใจ”

ก้านเพชรเอามือล้วงกระเป๋าเชิดหน้า

“กูไม่สน.. มันก็เหมือนลูกบอล  ใครๆก็อยากได้  มันก็ต้องแย่งชิงเอามา...”

“งั้นก็ตามใจ.. ก็เอาเหอะ.. อยากสู้กับไอ้โกล  ก็ตามใจ  แต่ก็เหมือนอยู่ในสนามนั้นหละ ไอ้โกลมันได้เปรียบตรงที่มันใช้มือได้ในเขตของมัน  ตอนนี้มันอยู่กับโป้งแล้วโป้งก็ไว้ใจมัน แถมกูว่าไอ้โป้งก็รักมันด้วย  มันก็เหมือนมันมีสิทธิพิเศษเหนือมึง  ดังนั้นกูว่ามึงตัดใจเหอะ”

ก้านเพชรมีแววเศร้านิดหน่อยแต่ก็แค่เดี๋ยวเดียว

“ไม่ลองก็ไม่รู้  ต้องมีสักวันสิวะที่โป้งจะหลุดออกมานอกกรอบที่ไอ้โกลมีสิทธิพิเศษ.. ถึงตอนนั้นกูก็มีโอกาสใช่ไหมหละ”

วู๊ดถอนหายใจ

“แต่อย่างหนึ่งนะก้าน” วู๊ดกล่าว
“โป้งมันไม่ใช่ลูกบอล.. ลูกบอลมันกลิ้งตามแรงเตะ  โป้ง มันมีหัวใจมีชีวิต มันมีขาวิ่งได้ เดินได้ พูดได้  ต่อให้มันหลุดออกมาจากกรอบ  จะเพราะว่าอะไรก็ตาม  แต่ถ้าหัวใจมันอยู่กับไอ้โกลที่สุดมันก็ต้องกลับไปอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”

ก้านเพชรพยายามตีสีหน้าให้เป็นปกติ ทั้งที่ใจเริ่มฟ่อ

“อ้อกูลืมบอกมึงไป.. สมัยก่อนไอ้โกลมันไม่ได้เป็นประตู  มันเป็นปีกขวาเหมือนมึงนี่หละ.. ดังนั้นมึงแน่ใจเหรอว่าพอไอ้โป้งมันหลุดออกมาจากเขตผู้รักษาประตู  มันจะไม่มีปัญญาแย่งบอลกับมึง  กูจะบอกว่าทักษะของไอ้โกลมันเข้าขั้นดีเลยหละนะตอนที่มันยังเล่นปีกอยู่”

ก้านเพชรหันมามองหน้าวู๊ด

“ไอ้โกลเนี่ยนะเป็นปีก”

“เออ.. ไอ้โกลมันก็เหมือนไอ้โป้ง ฝึกฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆ  มันเรียนโรงเรียนประจำ กินนอนแล้วมันก็เล่นฟุตบอลด้วย แถมโรงเรียนเก่ามันเคยเป็นแชมป์รุ่นประถมเพราะฝีเท้ามันนี่หละ” วู๊ดเล่าตามสิ่งที่รู้มา

 

สนามฟุตซอลที่พวกเพื่อนของโป้งและโกลพากันมาอยุ่

โกลเลี้ยงบอลมาตามแนวริมเส้น  เขาแม้ต้องเจอกับโป้ง  แต่โป้งก็ไม่ใช่คนที่เก่งในเกมรับเขาก็เลยยังพอจะเอาตัวรอดมาได้  แล้วก็เตะโยนไปโดยเล็งที่หัวของคฑาที่รูปร่างสูงใหญ่

คฑาโหม่งเต็มหัวลูกบอลก็ผ่านการป้องกันของนันเข้าประตูไป

“เฮ้ยไอ้โกลมันเก่งเหมือนกันนี่หว่า” บอยหันมาคุยกับโป้ง

“ก็มันเป็นปีกมาก่อน  มันก็ต้องเปิดบอลดีอยู่แล้ว  ไม่เห็นเหรอเวลามันเตะเปิดเกม  มันเตะดีจะตาย  เพราะมันเคยเป็นปีกนี่หละ ถึงได้เปิดแม่น” โป้งตอบ

แตุ่พูดได้แค่นั้น เพราะนันโยนลูกออกมาจากประตูให้โป้ง โป้งจึงเลี้ยงพาลูกบอลไปหาโกลแล้วแก้แค้นด้วยการล๊อกหลบแบบกะให้เสียหน้า แล้ววิ่งไปยิงเรียดผ่านตั้นผู้รักษาประตูฝั่งของโกลเข้าไป

“ดีนะที่เราจับมันเล่นคนละฝั่งแล้วเปลี่ยนตำแหน่งไอ้โกล.. เลยมีแต้ม ไม่อย่างนั้น ไอ้โป้งยิงไอ้โกลรับ  พอดีกัน  เล่นกันยันพรุ่งนี้ก็ไม่มีประตู” คฑาเดินมาคุยกับบอย

 

ก้านเพชรก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะนึกไม่ออก  เพราะวู๊ดเองก็ไม่รู้จะแนะนำอะไร เพราะเขากับโป้งก็ไม่ได้สนิทสนมกันจนรู้ว่าโป้งชอบอะไร

ก้านเพชรจึงต้องซ้อนมอเตอร์ไซด์ของวู๊ดออกจากห้างมามือเปล่า

“กินข้าวต้มกันไหม  เขาว่าข้าวต้มร้านนี้อร่อย” ก้านเพชรบอกข้างหู้เพราะกลัววู๊ดไม่ได้ยิน

 

ก้านเพชรสั่งแต่ของแพงๆ  ทำให้วู๊ดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ

“ทำไมมึงสั่งเยอะจัง  แล้วของแพงทั้งนั้นเลย”

“อ้าวก็มันหิวนี่หน่า  แล้วนี่ก็ของชอบทั้งนั้นเลย” ก้านเพชรว่า แล้วก็คีบปลาจีนอบเต้าซี่ส่งให้วู๊ด

“ชิมดูแล้วจะติดใจ” ก้านเพชรว่า

วู๊ดก็ลองกินดูแล้วพยักหน้า

 

สองหนุ่มกินข้าวต้มกันไปเงียบๆ  จนกระทั้งมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้อง

มองไปอีกฝากถนน มีหญิงสาวกำลังพยายามยื้อกระเป๋ากับชายร่างผอมสูงอีกคน   แล้วฝ่ายหญิงก็ล้มลง  ชายร่างผอมล้มเสียหลักเหมือนกัน

“วิ่งราวนี่หว่า” แล้วก้านเพชรก็รีบลุกไป

“ก้าน” วู๊ดรีบตาม

คนร้ายเห็นก้านเพชรวิ่งมาก็รีบออกวิ่ง  แม้ก้านเพชรจะไม่ฝีเท้าจัดเท่าโป้งแต่ก็วิ่งเร็วพอใช้  วิ่งไปทันคนร้ายก่อนที่จะแม้สามารถขึ้นซ้อนรถจักรยานยนต์ของเพื่อนที่จอดติดเครื่องรอได้  เขายังทันคว้าคอชายร่างสูงจนหงายล้ม เขากลับตัวหันมาหมายจะแย่งกระเป๋า

“ก้านระวัง” วู๊ดร้อง ดึงก้านเพชร จังหวะนั้นชายคนที่คร่อมรถอยู่คว้ามีดดาบยาวจะฟันใส่ก้านเพชร  คมมีดจึงถากไหล่ก้านเพชรไป  วู๊ดเห็นคนถือดาบจะฟันลงอีกที เขาก็เลยตัดสินใจถีบโครมจนล้มไปทั้งคนละรถ

แม้จะล้มไปคนร้ายที่แย่งกระเป๋าผันกายลุกชักมีดออกมาจากเหน็บเอว เขาพุ่งเข้าหาวู๊ด

แต่ก่อนถึงตัววู๊ด  รถบิ๊กไบค์ก็พุ่งมากระแทกร่างนั้นจนล้มกลิ้งไป

แม้จะอยู่ในชุดเสื้อหนังมิดชิด และใส่หมวกกันน๊อกสีดำ วู๊ดก็จำได้

“โกล.. โป้ง” วู๊ดร้องเรียก

โป้งกระโดดลงจากรถ แล้วเอาหมวกกันน๊อกต่างอาวุธฟาดหัวคนร้ายที่ลุกจากมอเตอร์ไซด์และกำลังจะไปหยิบดาบที่กระเด็นไป เขาฟาดอย่างแรงจนล้มฟุบ

วู๊ดจึงกลับไปหาก้านเพชรเห็นเลือดไหลโกรกจากไหล่  เขาก็เลยถอดเสื้อที่สวมแล้วกดไปที่บาดแผลเพื่อห้ามเลือด

“รถพยาบาล เรียกรถพยาบาลด้วยครับ” วู๊ดตะโกน

ก้านเพชรต่อสู้กับความเจ็บปวดอยู่ก็จริง  แต่เขามองใบหน้าของวู๊ดที่มีสติอย่างเหลือเชือ และแววตาก็ดูห่วงใยเขามาก

“ใจเย็นหายใจช้าๆ เลือดจะได้ไหลช้า” วู๊ดบอกมือก็กดที่บาดแผล

โกลตามไปจับคนร้ายที่โดนบิ๊กไบค์พุ่งชน แต่ก็ยังจะพยายามหนี

ส่วนโป้งพอคนงานพม่าของร้านอาหารใกล้ๆตามช่วยก็หันกลับไปหาก้านเพชร

“เฮ้ยก้านเป็นไงบ้าง..โอ้โหเลือดบานเลย..” โป้งว่าแล้วหยิบโทรศัพท์มากดหมายเลขฉุกเฉิน1669 เพื่อเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

"ครับผม  มีคนได้รับบาดเจ็บครับ ถูกฟันที่แขน ตรงถนนแม่หลวนครับ แยกเขารัง"

 

พอเย็บแผลเสร็จแล้ว หมอก็ให้ก้านเพชรกลับบ้านได้  วู๊ดจึงขับรถมาส่งที่อพาร์ทเม้นท์ของก้านเพชร

“ไหวไหม.. เนี่ยแขนขวาด้วย  ยกหยิบอะไรลำบากน่าดู” วู๊ดว่าตอนที่ตามมาส่งก้านเพชรถึงห้อง

ก้านเพชรมองแขนตัวเอง

“ไอ้แผลน่ะไม่เท่าไหร่  แต่ไอ้หิวนี่สิ” ก้านเพชรกล่าว  เพราะเมื่อกี้ยังกินได้ไม่ทันจะเท่าไหร่ ก็วิ่งไปจับโจร

พอพูดวู๊ดก็พึ่งรู้สึก..

“เออ..หวะ.. หิวเหมือนกัน  มัวแต่ตื่นเต้นลืมไปเลย”

 

วู๊ดก็เลยไปซื้อโอวต้าว หอยตัวเล็กทอดคล้ายๆหอดทอดแต่ใส่เผือกด้วยมาเพราะก้านเพชรบอกว่าใกล้ๆนี้มีเจ้าอร่อยอยู่เจ้าหนึ่ง

เขาก็กินไปสังเกตอาการเก้งก้างจากความพยายามกินด้วยมือซ้ายของก้านเพชรไป  ที่สุดอดรนทนไม่ได้  เขาเลื่อนเก้าอี้เช้าข้ามไปฝั่งก้านเพชรที่อยู่อีกด้านของโต๊ะกินข้าวตัวเล็กภายในห้อง

“มากูป้อน” วู๊ดก็เอาช้อนมาจากก้านเพชรแล้วตักโอวต้าวเป็นชิ้นพอดีคำ

“เอ้ากิน”

ก้านเพชรมองหน้าวู๊ด ก่อนจะกิน

“อร่อยดีเนอะ” วู๊ดว่า  แล้วตักอีกคำ

“เอ้า”

“มึงไม่กินบ้างหรอ” ก้านเพชรถามก่อนจะกิน

“ก็ป้อนมึงให้หมดก่อนค่อยกินก็ได้” วู๊ดว่า

ก้านเพชรหันไปมองจานของวู๊ด  แล้วก็ใช้มือซ้ายหยิบมาเทรวมกับของเขา เอาช้อนของวู๊ดมาวางรวมด้วย

“มึงก็ป้อนกูคำนึงมึงคำนึง.. จะได้อิ่มพร้อมๆกัน”

แล้วก้านเพชรก็ยิ้ม..  ตอนนี้รอยยิ้มของก้านเพชรทำให้เขาดูต่างไปต่างคุณหนูผู้เย่อหยิ่งโดยสิ้นเชิง

วู๊ดก็ยิ้มตอบแล้วก็ตักให้ตัวเองด้วยช้อนของเขา ใส่ปากเคี้ยว  แล้วตักให้ก้านเพชรด้วยช้อนของก้านเพชร

ทั้งคู่สบตากันแล้วก็ยิ้มออกมาทั้งคู่... แม้ปากจะเคี้ยวตุ้ยๆก็ตาม

“กินแบบนี้ก็อร่อยดีเนอะ” วู๊ดว่าแล้วก็หยิบกระดาษเข็ดปากมาซับคราบซอสให้ก้านเพชรเหมือนที่มักทำเสมอตอนป้อนอาม่าที่โรงพยาบาล

ตอนนั้นก้านเพชรรู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก..

กัปตันวู๊ดช่างอ่อนโยนเหลือเกิน...

 

แผลของก้านเพชรเริ่มดีขึ้นตามลำดับ  จนที่สุดแพทย์ประจำทีมก็อนุญาตให้ลงซ้อมได้

พอวู๊ดเห็นก้านเพชรเดินลงมาในสนามซ้อมในชุดที่เตรียมเพื่อการออกกำลังเพื่อเรียกความฟิต  เขาก็เดินเข้าไป

“ซ้อมได้แล้วเหรอ” วู๊ดถาม

“ก็เจ็บที่แขนไม่ใช่ที่ขา” ก้านเพชรตอบแบบกวนๆนิดหน่อย

วู๊ดหมั่นไส้ ยกกำปั้น

“ประเดี่ยวก็ชกแผลแตกอีกรอบ”

ก้านเพชรยกมือขึ้นป้อง

“อย่านะ.. เดี่ยวเกิดแขนขวากูพิการไป  มึงต้องคอยป้อนข้าวกูทั้งชีวิตชดใช้นะเฟ้ย”

วู๊ดหัวเราะ  ดวงหน้าขาวแบบคนจีน แต่ดวงตาโตและสดใส  การยิ้มที่ร่าเริง ทั้งหมดงดงามเหลือเกินในแสงแดดยามบ่าย

“ถ้าอย่างนั้นมึงต้องพ่อมาขอกูแล้วหละ  กูเรียกสินสอดไม่แพงหรอก” วู๊ดว่า

ก้านเพชรเงียบไป ก่อนจะตอบโต้ออกมา

“เรื่องอะไร.. ถ้ามึงต่อยกู มึงก็เป็นคนทำ  มึงก็ต้องรับผิดชอบชีวิตกูสิวะ  กูพิการไป มึงต้องเล่นบอลหาเลี้ยง”

วู๊ดเอามือมาวางบนไหล่ก้านเพชร หัวเราะอีก

“อ้าวไหนว่า เจ็บที่แขน  แขนพิการก็ยังมีขานี่... ไม่ใช่ขาพิการสักหน่อย”

ก้านเพชรรู้สึกใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไป.. วิ่งกัน.. จะฟิตเร็วๆ  อาทิตย์หน้าเราเจอทีมอันดับหนึ่งด้วย.. ใกล้จบฤดูกาลแล้วต้องเอาหนึ่งในสามให้ได้” วู๊ดกล่าวแล้วออกวิ่งนำ

ก้านเพชรยิ้มแล้วมองตามร่างสัดทัดวิ่งไปกลางแสงแดดยามบ่าย

“ก็กูอยากให้มึงดูแลกูนี่หว่า” แล้วก้านเพชรก็วิ่งตามวู๊ดไป

หรือดอกรักดอกใหม่จะบานในใจก้านเพชรเสียแล้ว...


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 26-12-2015 10:42:18
บอกกล่าว

ตอนนี้เนื่้อเรื่องทันกันทุกเวปแล้วนะครับ  ดังนั้นต่อจากนี้ผมจะพยายามอัปทุกวันหรือสองวัน หวังว่าคงจะยังติดตามต่อไปนะครับ
 
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-12-2015 14:40:12
ก้านจะปลูกต้นรักต้นใหม่กับวู๊ดนี่ ช่วยดูแลดีๆนะ วู๊ดน่าสงสาร
ถ้าปลูกสำเร็จค่าผ่อนรถที่ต้องจ่ายคืนโกลก้านคงจ่ายให้แทน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 27-12-2015 07:29:19
ตอนที่ 44 โป้ง.. ผมไม่ได้อยากให้พ่อเป็นฮีโร่ แต่ผมอยากให้พ่อกลับมา

วันนี้เป็นรายการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีกนัดแรกของโป้งกับโกลนับตั้งแต่กลับมาจากทีมชาติ  และเป็นรายการที่ต้องเดินทางมากรุงเทพเสียด้วย

โดยวันนี้โกลยังได้เป็นตัวจริง เพราะผู้รักษาประตูตัวจริงเกิดท้องร่วงเลยไมได้ร่วมทีมมาด้วย

ส่วนโป้งนั่งเป็นตัวสำรองข้างสนาม

ทีมที่แข่งด้วยเป็นสโมสรที่ในกรุงเทพที่ผลงานไม่ค่อยดีนัก  ดังนั้นจึงมีคนดูมานั่งดูให้กำลังใจทีมรักของตัวเองค่อนข้างมาก  การเจอกับภูเก็ต ยูเนี่ยนกลายเป็นงานหนักมากสำหรับทีมที่กำลังหนีตายทำอันดับให้สูงกว่าอันดับสิบเจ็ดเพื่อจะได้สิทธิแข่งขันในลีกสูงสุดต่อไป

ครึ่งแรกที่ยังเสมอกันศูนย์ต่อศูนย์ เพราะทีมเจ้าบ้านตั้งเกมรับกันเต็มที่

ที่สุดโค้ชฮาร์เซย์ก็ตัดใจส่งโป้งลงไปเพื่อพลิกสถานการณ์

โป้งมีความเร็วและความคล่องตัวสูงเล่นเอาผู้เล่นเกมรับของทีมเจ้าบ้านถึงกับต้องสละตัวไปตามวิ่งไล่โป้งคนเดียวถึงสองคน

หนึ่งในผู้เล่นสองคน คือ สุขสม ..

สุขสมชักหงุดหงิดกับการที่โป้งหลบหนีเขาไปได้หลายครั้งแล้ว  แต่ยังดีที่จังหวะเปิดบอลเข้าไปของโป้งยังเหมือนไม่คงที่เพราะพึ่งจะกลับมาเล่นนัดแรก

เขากับโป้งเคยรู้จักกันมาก่อน เพราะโป้งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกับเขา  สุขสมเห็นทักษะของโป้งก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  ทั้งที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบสี่ปี  ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อยทั้งที่เมื่อก่อน เขาต่างหากที่โป้งยอมรับในฝีเท้า...

แต่ตอนนี้โป้งกลายเป็นนักเตะที่ผู้คนชมชอบและยอมรับในระดับประเทศเสียแล้ว  แต่เขายังเป็นแค่นักเตะของทีมที่กำลังหนีตายในก้นตารางอันดับ  และเป็นอย่างนี้ทุกปี..

 

บนอัฒจันทน์ มีแฟนฟุตบอลวัยราวยี่สิบ สองคนกำลังคุยกัน

“ไอ้เด็กโป้งนี่ เมื่อก่อนมันก็วิ่งเล่นอยุ่ในซอยบ้านเราแท้ๆ แต่ดูมันเล่นสิ... แทนที่มันจะออมฝีเท้าบ้าง เพราะยังไงก็เป็นบ้านเกิดมัน... แต่นี่อะไร แม่งเล่นซะเต็มที่” คนพูดเป็นหนุ่มร่างผอมบาง

คนร่างท้วมก็หันไปมาพยักหน้า

“เฮ้ยไอ้โป้งเว้ย.. ถ้าพวกกูแพ้ กูตกชั้นเลยนะเว้ยไอ้เด็กอกตัญญูเอ้ย” ชายร่างผอมตะโกนไป

“ไอ้ห่า  พ่อมันเคยยืมเงิน พ่อกูด้วย  แม่งผีพนัน เสียบอลจนเงินที่สะสมมาหมด  โดนโต๊ะบอลซ้อมจนหน้าปูดหน้าบวมทุกอาทิตย์  เพราะไม่มีเงินจ่ายเขา”

 

ในสนามโป้งเลี้ยงลูกบอลช้าๆ เพื่อหลอกล่อ  แล้วก็อาศัยจังหวะดึงลูกไปทางขวาแล้วเปลี่ยนความเร็ววิ่งหนีสุขสมไปได้อีก

สุขสมได้แต่หวังว่าเพื่อนที่อยุ่ข้างหน้าจะช่วยกันหยุดโป้งไว้ได้

แต่พอโป้งไปถึงหน้ากรอบเขตโทษ  เขากลับไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเลี้ยงลูกบอลหลบหลีกการสไลด์ตัวสกัดของกองหลัง  แล้วตัดสินใจสับเท้าซ้ายยิงลูกเก่งออกไป

ลูกไซด์โป้ง...

ผู้รักษาประตูเจ้าบ้านได้แค่พยายามพุ่งตัว  แต่ลูกมันทั้งโค้งและเร็วผ่านเขาเข้าไปตุงตาข่าย

 

“ไอ้สัตว์เอ้ย... ไอ้ลูกผีพนัน..” ชายร่างผอมตะโกนเสียงดังออกไป

“เออใช่ไอ้ลูกผีพนัน.. ไปตายซะ” คราวนี้ชายร่างท้วมก็ตะโกนขึ้นมาบ้าง

คนที่อยู่ใกล้ๆได้ยิน เกิดอารมณ์ร่วมตะโกนตามๆกันไป

“ไอ้ลูกผีพนัน ไอ้ลูกผีพนัน  ไอ้ลูกผีพนัน”

โป้งชะงักเท้าเพราะกองเชียร์ที่ตะโกนออกมาอยู่ฝั่งที่เขาเดินอยู่พอดี  แต่กัปตันทีมเดินเข้ามาตบบ่าบอกว่าไม่ต้องสนใจ

โป้งจึงเดินไปกลับไปประจำตำแหน่ง

แล้วสักครู่ก็เขาก็ได้ลูกบอลมาครองอีก  จากจังหวะที่สุขสมที่เป็นปีกขวาพยายามจะพาลูกมาเอง แต่โดนตัวผู้เล่นเกมรับของภูเก็ตยูเนียมสไลด์ตัวดักลูกไว้ได้  แล้วใช้เท้าเขี่ยให้โป้ง

โป้งพอได้ลูกก็พาบอลไปตามเส้นข้าง

“ไอ้ลูกผีพนัน ไอ้ลูกผีพนัน “ เสียงตะโกนเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาจับลูกได้  แต่โป้งก็พยายามไม่ใส่ใจ  เลี้ยงบอลต่อ  แต่ทันใด

“โป้งระวัง” เสียงกัปตันตะโกนเตือน

สุขสมเข้ามาพุ่งเข้าสกัดจากด้านหลัง  ด้วยความโมโห..

โป้งที่ได้ยินดังนั้นจึงกระโดดหลบแต่ก็ยังโดนร่างกายของสุขสมกระแทกจนล้มไป

กรรมการให้ใบเหลืองแก่สุขสมแล้ววิ่งไป

โป้งเอาลูกมาตั้งเพื่อเตรียมเตะลูกฟรีคิก

“ไอ้ลูกผีพนัน ไอ้ลูกผีพนัน ไอ้ลูกผีพนัน” โป้งแม้จะใจเย็นพอสมควร  แต่พอโดนคนคุ้นเคยสกัดแบบรุนแรงแบบจงใจทำร้าย  แล้วยังจะโดนล้อเลียนก็ถึงกับต้องหันไปมองอัฒจันทร์

พอหันกลับมา  เจอสุขสมเดินมายืนตรงหน้า

“จะเดือดร้อนทำไมโป้ง ก็มันเรื่องจริง พ่อมึงเป็นผีพนัน” สุขสมที่เก็บกดมานานอดไม่ได้จะถากถางออกไปด้วยความแค้น

โป้งมองตาสุขสม... แววตาของโป้งตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ทำไม ไอ้ลูกผีพนัน” สุขสมทิ้งประโยคสุดท้ายเพื่อความสะใจ แล้วหันหลังกลับ

แต่ฉับพลัน  เขาก็รู้สึกดังโดนค้อนเหล็กฟาดกลางหลังจนล้มลงหน้าคว่ำ

แรงเตะที่เกิดขึ้นด้วยระยะที่ใกล้ และโป้งจงใจเตะสุดแรงโดยจงใจให้ลูกพุ่งอัดสุขสม

กรรมการที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็เป่านกหวีดดังแล้ววิ่งไป

แต่ยังช้ากว่าผู้เล่นเจ้าบ้านที่อยู่ใกล้กรูกันเขามาจะเอาเรื่องโป้ง  และโป้งก็อยู่ในอาการพร้อมจะมีเรื่อง

แต่โสดาเข้ามาดึงตัวโป้งหลบไป แล้วบรรณกับคนอื่นก็เข้ามาขวางพยายามห้ามผู้เล่นฝั่งตรงข้าม

“มึงเล่นแรงไปแล้วนะเว้ย  เหี้ยอะไรมาเตะบอลใส่คนอื่น”

“มันด่าพ่อกู” โป้งเถียงและไม่ย้อมถอยแม้นโสดาจะดันตัว

“พวกมึงสกปรก เอาพ่อคนอื่นมาด่า พ่อกูจะเป็นอะไรมันหนักหัวแม่ใคร ไอ้...”

โป้งพูดได้แค่นั้น  เพราะพลันเขาก็สัมผัสถึงอ้อมแขนที่คุ้นเคยกอดเขาไว้จากด้านหลัง

“พอแล้วโป้ง พอแล้ว”

โป้งจึงค่อยๆสงบลง  แล้วโกลหมุนตัวโป้งเพื่อให้แผ่นหลังของตนเองเผชิญหน้ากับผู้เล่นฝั่งตรงข้าม ปกป้องโป้ง

“ใจเย็นๆ โป้งอย่าใจร้อนสิวะ” โกลกระซิบ

โป้งหลับตาลง

เหตุการณ์ค่อยสงบลงเมื่อทั้งฮาร์เซย์ และโค้ชทีมเจ้าบ้านลงมาห้ามลูกทีมตัวเอง

พอกรรมการเห็นนักเตะสองฝั่งถอยออกไปแล้วจึงเรียกให้โป้งกับสุขสมมาหา

“ขอโทษพี่เขาซะ” กรรมการว่า

โป้งสงบลงแล้วตั้งแต่เมื่อครู่ด้วยอ้อมกอดของโกล  เขายอมจึงยกมือไหว้

“ผมขอโทษครับพี่สม”

สุขสมเองแม้จะยังเจ็บ  แต่ด้วยความที่โป้งกล่าวออกมาด้วยสีหน้าสำนึก  ก็พยักหน้าตอบรับ

กรรมการจึงชูใบแดงให้โป้งแล้วก็ชึ้ไปนอกสนาม

โป้งวิ่งไปเงียบๆเข้าอุโมงค์ไปห้องแต่งตัว

 

บนอัฒจันทร์ด้วยการสวมหมวกปิดบังและแว่นตาดำ  เทพฤทธิ์ถอนหายใจออกมา

“เพราะพ่อแท้ๆโป้ง... พ่อขอโทษ”  แล้วเขาก็เดินออกไปจากสนามเงียบๆ

ในรถบัสของทีมที่มุ่งหน้ากลับบ้าน

โป้งนั่งเงียบอยู่คนเดียวด้วยการเสียบหูฟังเพลงตลอดแถมเปิดดังจนโกลที่นั่งข้างๆได้ยิน... เขาคงต้องการจะอยู่อยู่คนเดียวไม่อยากรับฟังใครทั้งสิ้น

เพื่อนร่วมทีมก็เข้าใจ  เพราะเรื่องที่โป้งโดนถือว่าเป็นการล้อเลียนที่รุนแรงพอสมควร  และก็น่าจะโมโหอยู่นั้นหละ ขนาดนักเตะระดับโลกยังฟิวส์ขาด  ภาษาอะไรกับโป้งที่อายุแค่นี้  ก็เลยไม่มีใครเข้าไปกวนโป้ง

แต่กลางดึก ที่รถบัสหรูสำหรับนักกีฬาปิดไฟไปแล้ว  โกลก็หลับไปแล้ว  เขาตื่นขึ้นเพราะความรู้สึกจากที่โป้งเอาหัวมาซบ

“กูขอโทษนะโกล.. กูไม่น่าใจร้อนเลย” โป้งกล่าวเมื่อโกลเอาหัวมาชบหัวเขาบ้าง

“กูเข้าใจ  พวกนั้นแม่งก็เกินไป.. เล่นสกปรก” โกลพูดเสียงเบาๆให้ได้ยินแค่สองคน

“แต่กูผิดนี่... กูรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอโห่เจอยั่ว... แต่นี่มันแรงเกินไปหวะโกล.. กูรับไม่ได้จริงๆ” โป้งตอบด้วยเสียงระดับเดียวกัน

“ไอ้สุขสม สุขสราญอะไรนั้นก็โดนนะ  เพราะผู้กำกับเส้นเขาฟ้องกรรมการว่ามันด่ามึง กรรมการก็เลยให้ใบเหลืองที่สองไล่มันออกไปเลย  เราก็เลยเล่นไม่ยากเท่าไหร่ พี่บรรณเลยยิงแทนมึงไปสองลูก แล้วจงใจเดินไปดีใจตรงหน้าแสตนด์ ฝั่งที่ด่ามึงทั้งสองลูก” โกลเล่า

“ว่าแต่..” โกลยิ้ม

“เวลามึงโมโหนี่น่ากลัวมาก.. เห็นตัวเท่าลูกหมาอย่างนี้จะเดินไปใส่เขาด้วย... กูเลยต้องวิ่งไปด้วย เพราะกลัวพี่ดาเอาไม่อยู่... ไม่ไหว ไม่ไหว กูกลัวใจจริงๆ อย่าโกรธกูแบบนั้นนะ กูกลัว”

มองหน้าโกล  แล้วก็ซบลงอย่างเดิม

“ไม่รับปากนะ  กูก็โมโหเป็น  หึงก็เป็นด้วยนะเว้ย.. ถ้ามึงนอกลู่นอกทางกูเอาตาย...”

“จ้า...”โกลลากเสียงตอบ

“กล้วแล้วจ้า...”

 

เทพฤทธิ์อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการที่โป้งโดนไล่ออกเพราะโดนล้อเลียน  ซึ่งคอลัมภ์นิสส่วนใหญ่ก็พูดไปในทิศทางเดียวกันว่าเป็นเรื่องน่าเห็นใจมาก  และต่อมาก็มีคำตัดสินจากสมาคมเรื่องใบแดงของโป้งว่าจะไม่มีการเพิ่มโทษ  แต่ได้สั่งปรับเงินทีมคู่แข่งในข้อหาปล่อยให้แฟนบอลมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

และต่อมาก็มีแถลงการณ์ขอโทษจากทีมคู่แข่งซึ่งเนื้อหาก็เป็นการขอขมาต่อเขาและโป้งที่ปล่อยให้แฟนบอลมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและล่วงเกินเทพฤทธิ์

แต่ไม่ได้ทำให้เทพฤทธิ์รู้สึกดีขึ้นได้เลย  เพราะที่เทพฤทธิ์รู้สึกแย่มาจากการที่เขาเองเป็นคนไม่เอาถ่าน  ไม่สามารถทำตัวเป็นพ่อที่น่าภาคภูมิใจให้โป้งได้  และยังกลายเป็นสิ่งที่ทำให้โป้งได้รับผลกระทบในการแข่งขัน..

ตอนแรกเขาก็อยากจะไปเจอโป้งสักครั้ง ถึงได้ไปที่สนาม แต่พอเกิดเรื่องขึ้น  ความกล้าที่รวบรวมมามันก็หายไปหมด

เขาไม่สามารถสู้หน้าลูกชายได้อีกแล้ว..

 

เทพฤทธิ์ขี่จักรยานเก่าๆของเขาเพื่อไปทำงาน ระหว่างทางผ่านตู้ไปรษณีย์ เขาจึงหยุดจอด..

ชายหนุ่มมองล้วงจดหมายออกมา  เขาเอาจดหมายฉบับแรกหย่อนลงไป  และอีกฉบับถือเอาไว้.. ความลังเลมันท่วมอก.. เขาไม่สามารถจะหย่อนมันลงไปได้โดยง่าย

แต่ที่สุดเขาก็หย่อนมันลงไป..

ชายหนุ่มมองตู้ไปรษณีย์แล้วก็ขี่จักรยานมุ่งหน้าไปทำงานต่อไป

 

เทพฤทธิ์มาถึงที่ทำงาน  ก็ตอกบัตรที่หน้าตู้ยามแล้วก็เดินเข้าไปในตึก เพราะเขามีเวรต้องไปเดินตามชั้นต่างๆในวันนี้

ที่จริงก็เป็นหน้าที่ประจำวันคือขึ้นลิฟต์ไปตรวจสอบความสงบตามชั้นต่างๆ เพื่อสอดส่องดูแลว่ามีหัวขโมยเล็ดลอดเข้ามาได้หรือไม่ แล้วก็ยังตรวจสอบอุปกรณ์ดับเพลิงแต่ละชั้นไปด้วยว่าอยู่ในสภาพใช้งานได้หรือไม่

แต่ระหว่างเดินจากบันไดหนีไฟไปที่ตู้ดับเพลิง

ประตูห้องก็เปิดพรวดออกมา หญิงสาวคนหนึ่งวิ่งออกมา

“ยามช่วยด้วยค่ะ มันบ้าไปแล้วมันจะฆ่าฉัน” หญิงสาวผวาไปหลบหลังเทพฤทธิ์

“อีแพศยา.. มึงจะหนีไปไหม” ชายหนุ่มวัยรุ่นที่นุ่งเพียงกางเกงในตัวเดียววิ่งออกมา  ในมือมีมีดเล่มยาวมาด้วย

“เฮ้ยใจเย็นๆคุณ อย่าทำอะไรบ้าๆ  คุยกันดีๆก็ได้”  เทพฤทธิ์ควักกระบองยามออกมาเพื่อป้องกันตัว

“มันเมายาค่ะพี่  มันเมายา” หญิงสาวกล่าวด้วยความหวาดกลัว

“เสือก..กูจะฆ่ามัน.. มันเป็นชู้กับพ่อกู.. กูจะฆ่ามัน” หนุ่มวัยราวๆสิบเก้ายี่สิบตวาดเสียงลั่น

ดวงตาของเขาแดงก่ำ และจ้องเขม็งเหมือนหมาบ้า

“หนีไป ผมจะขวางเขาไว้เอง” เทพฤทธิ์บอกกับหญิงสาว

เธอพยักหน้าแล้ววิ่งไปที่บันไดหนีไฟ

“อีแพศยา ไปไหน” ชายหนุ่มจะวิ่งตาม

เทพฤทธิ์จึงเข้าขัดขวาง  แต่จังหวะขยับตัวเร็วเกินไป... เท้าข้อเท้าข้างที่บาดเจ็บเรื้อร้งหลายปีก็ออกฤทธิ์  เขาจึงเสียหลัก

แต่นั้นคือจังหวะเดียวกับที่ชายถือมีดจ้วงมีดมาพอดี..

คมมีดชำแรกผ่านเนื้อไปในทันใด..

เพราะความคลุ้มคลั่งนั้นชายหนุ่มจึงไม่อาจยัง แทงไปแล้วเห็นเลือดก็ชักมีดออกแล้วแทงกระหน่ำไม่นับทั้งหัวเราะ

“ตาย มึงตาย นางแพศยา มึงตาย”

เทพฤทธิ์รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกและคมมีด... ร่างกายของเขาสุดกำลังต้านทาน  เลือดทะลักออกจากปาก  แล้วมือชายคนนั้นหยุด  ร่างของเขาก็ล้มฟุบลง..

“โป้ง... “ นั้นคือคำสุดท้ายที่หลุดออกมา

ในหัวของเทพฤทธิ์เกิดภาพทีเหมือนหนังฉายซ้ำ เป็นภาพที่ผุดจากความทรงจำ

เด็กน้อยพยายามเตะลูกบอลแล้วล้มลง  ลุกขึ้นใหม่พยายามใหม่จนกระทั้งเตะมันจนกลิ้งไปได้... เด็กน้อยหัวเราะ..

เด็กชายที่วิ่งเลี้ยงลูกบอลไปตามเส้นข้างสนามแล้วเตะออกไปอย่างแม่นยำ

จนกระทั้งถึงภาพของเด็กหนุ่มที่ชูนิ้วโป้งต่อหน้าอัฒจันทน์ที่มีธงชาติไทยปลิวสะบัด  ท่ามกลางเสียงเรียกชื่อของเขากระหึ่ม

“โป้ง โป้ง โป้ง โป้ง...”

โป้ง ลูกพ่อ...

 

 

โป้งนั่งต่อหน้าอำนาจในห้องทำงานของเขา

“โป้ง” อำนาจกล่าวมาในที่สุดหลังจากมองหน้าเด็กหนุ่ม

“เรารู้ตัวใช่ไหมว่าก็ผิดเหมือนกัน  ถึงฝ่ายโน้นจะผิดก็อยู่เหมือนกัน  แต่เราเป็นนักฟุตบอล แถมเป็นมืออาชีพ ไม่ควรทำอะไรอย่างนี้...”

“ครับลุงอ่ำ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว” โป้งตอบแล้วพลุบตาลงต่ำ

“เอาหละก็ต้องตามกฎนะ  ลุงต้องปรับเอ็งตามกฎเพราะเอ็งโดนใบแดง  เอาหละไปซ้อมได้” อำนาจสรุปแล้วออกปาก

แต่โป้งไม่ลุก

เขายังคงก้มหน้าอยู่

“ลุงอ่ำครับ.. ลุงรู้ใช่ไหมครับว่าพ่ออยู่ที่ไหน”

อำนาจมองหน้าเด็กหนุ่ม  ตอนนี้เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสอบตา ดวงตาเว้าวอน

“ลุงพาผมไปหาพอได้ไหม.. แค่พาผมไปแอบดูก็ได้  ผมอยากรู้ว่าพ่อสบายดีไหม ผมอยากเห็นพ่อ”

อำนาจไม่อาจทนสบตาได้

“เอาไว้วันหนึ่งพ่อของเอ็งเขาก็จะมาหาเอ็งเอง.. ตอนนี้เขายังไม่พร้อมจะเจอเอ็ง โป้ง..”

โป้งถอนหายใจแล้วก็ตอบว่าครับ  แล้วเขาก็ออกไป

นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพูดกับโป้งแบบนี้.. เพราะโค้ชเกือบทุกคนของโป้งรู้จักกับเทพฤทธิ์

อำนาจนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่  ก็คิดจะลุกไปตรวจเดินตรวจสิ่งอำนวยความสะดวกของสนามเพราะพรุ่งนี้จะเป็นอีกเกมที่สำคัญ เนื่องจากทีมของเขาจะใช้สนามนี้รับการมาเยือนทีมใหญ่จากกรุงเทพอีกทีมหนึ่ง  แถมเป็นทีมที่กำลังขับเคี่ยวคะแนนกันเพื่ออันดับที่จะได้ไปเล่น เอเชีย แชมเปี้ยน ลีกในฤดูการต่อไป

แต่ตั้งหยุดเมื่อโทรศัพท์มือถือก็ดังขัดขึ้นก่อน

เป็นหมายเลขของกานต์

“ว่าไงกานต์” กานต์เป็นอีกหนึ่งคนที่เหมือนลูกศิษย์ของเขา

แต่สิ่งกานต์แจ้งมานั้นทำให้อำนาจยืนตัวแข็ง...

 

โป้งกำลังวิ่งเพื่ออบอุ่นรางกายก่อนการฝึก  แต่สักครู่ก็ถูกเรียกตัวโดยทวี  เขาจึงชะลอเท้าลง

“โป้งมานี่หน่อยสิ  ผู้จัดการจะคุยด้วย”

แล้วทวีก็เดินไปหาฮาร์เซย์กระซิบอะไรบางอย่าง  ทีทำให้ฮาเซย์ ร้องออกเป็นภาษาเยอรมันอย่างลืมตัว  แล้วก็พยักหน้าตบบ่าทวี

ทวีหันไปหาโกลที่กำลังยืดเส้นอยู่ใกล้ๆ

“นายก็ไปด้วยกันนะโกล”

โกลงง หันไปมองหน้าโป้งที่งงยิ่งกว่า

 

โกลกับโป้งเข้าไปภายในห้องทำงานของอำนาจเห็นเขานั่งอยู่ที่โซฟารับแขก

แล้วทั้งสองก็ไปยืนตรงหน้าอำนาจ

อำนาจไม่พูดอะไร  แต่มองหน้าโป้ง..

โป้งมีส่วนคล้ายทั้งเทพฤทธิ์และวราพร  โดยแววตาของโป้งนั้นคือส่วนที่ได้มาจากเทพฤทธิ์

พออำนาจมองตาคู่นั้นก็อดไม่ได้จะน้ำตาไหล

โป้งกับโกลหันมองหน้ากัน  แต่เป็นโป้งที่ใจคอไม่ดีโดยไม่มีสาเหตุ

“โป้งเอ้ย..” อำนาจเอาผ้าเช็ดหน้าเข็ดน้ำตาออก

“เอ็งไปกรุงเทพนะ.. ไปกับโกลนี่หละ  โกลจะได้ปลอบใจเอ็งได้”

โป้งยิ่งงง

“ไปทำไมหละครับ” โป้งถาม

“เกิดอะไรขึ้นครับลุงอ่ำ..”

อำนาจมองหน้าทวี  ทวีก็ถอนหายใจแล้วเบือนหนี

“พ่อเอ็งเสียแล้วโป้ง.. เขาโดนแทงเสียชีวิต  อากานต์พึ่งจะโทรมาบอกลุงเมื่อกี้นี้เอง”

โกลตกใจ หันขวับมาหาโป้งเพื่อดูอาการ

แต่โป้งยืนนิ่งเงียบ..

เงียบและไม่ไหวติง  แม้แต่ดวงตาก็ค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น

โกลจึงเขามาจับที่ไหล่  ร่างของโป้งสั่นเหมือนมีสิ่งที่จะลั่นจากภายใน

แล้วเขาก็ทรุดกายลง

“พ่อ...”

โกลจึงย่อตัวลง แล้วโป้งก็ผวากอดโกลไว้แน่น แล้วเริ่มต้นคร่ำครวญเรียกพ่อออกมาปนเสียงสะอื้น...

เดี๋ยวเดียวน้ำตาก็ซึมจนเปียกไหลของโกล..

โกลทำได้แค่เพียงกอดโป้งไว้แน่นๆ แล้วลูบหัวเพื่อปลอบโยน  แต่ไม่มีคำพูดใดๆที่เขานึกออกเพื่อปลอบใจ..

อำนาจต้องเบือนเสียให้พ้นจากภาพนั้น  น้ำตาของเขาไหลเป็นทางเช่นกัน...

 

“ครับมาถึงข่าวเศร้า เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในย่านสุขุมวิท ว่ามีเหตุทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีดจนเสียชีวิต  เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงก็พบศพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอาคารนอนเสียชีวิตอยุ่ในที่เกิดเหตุ สอบสวนต่อมาจึงทราบเจ้าหน้าที่รปภ.คนที่เสียชีวิตอยู่ระหว่างเดินตรวจสอบอาคาร และได้ประสบเหตุคนร้ายที่คลุ้มคลั่งไล่ทำร้ายหญิงสาวรายหนึ่งที่เป็นแฟนสาวของคนร้าย  แต่เจ้าหน้าที่รปภ.เขาขัดขวางจนเกิดการต่อสู้กันและคนร้ายได้แทงเจ้าหน้าที่รปภ.หลายครั้งจนเสียชีวิต”

“ทราบต่อมาเจ้าหน้าที่รปภ.ที่เสียชีวิต คือนายเทพฤทธิ์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย  ซึ่งเป็นบิดาของนายเทพพร หรือโป้งผู้เล่นตัวรุกคนสำคัญของทีมชาติไทยชุดอายุต่ำกว่าสิบเก้าปี  ซึ่งศพของนายเทพฤทธิ์จะตั้งบำเพ็ญกุศลเป็นเวลาสามวัน ก่อนทำการณาปนกิจต่อไป”

แล้วผู้ประกาศสวมแว่นก็หันไปสนทนากับผุ้ประกาศสาว

“คือเมื่อเร็วๆนี้เหตุการณ์ที่ว่าเทพพรเขาไปแข่งฟุตบอลกับทีมหนึ่ง ผมไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน ปรากฏว่ามีแฟนของทีมเจ้าบ้านตะโกนล้อเลียนเทพพร เพราะช่วงหลังมีข่าวว่าคุณเทพฤทธิ์ หรือพี่ฤทธิ์เขาติดการพนันจนเป็นหนี้เป็นสิน.. ซึ่งตรงนี้.. ผมก็คงไม่กล้าออกความเห็นว่าเป็นอย่างไร  เพราะสมาคมก็มีการลงโทษสโมสรไปแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงพยายามให้ราบเรียบแต่อดไม่ได้

“แต่สำหรับผม  คุณเทพฤทธิ์เป็นวีรบุรุษในสนามฟุตบอลที่ยิงประตูสำคัญๆให้ทีมชาติไทยมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั้งบาดเจ็บและเลิกเล่นไป  มาถึงตอนนี้เขาก็ยังเสียชีวิตเพราะปกป้องชีวิตคนอื่น.. ผมจึงขออนุญาตบอกว่า  สำหรับผม.. พี่ฤทธิ์คือฮีโร่ของผมตลอดไป.. และก็คงเป็นฮีโร่ในใจของใครหลายๆคนต่อไปเช่นกัน”

 

โป้งที่นั่งอยู่หน้าจอแอลอีดีขนาดยักษ์ของห้องนอนหรูหราในบ้านของโกล  น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วกลับมาเอ่ออีก

“แต่ผมไม่อยากให้พ่อเป็นฮีโร่.. ผมแค่อยากให้พ่อเป็นพ่อของผม กลับมาอยู่กับผมเหมือนเดิม”

โกลที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำ  เขาได้ยินประโยคนั้น  จึงเดินเข้ามานั่งลงบนเตียงข้างๆโป้ง

เขาโอบโป้งเอาไว้ โป้งก็ซบลงกับอกอุ่นของโกล..

แล้วก็เริ่มต้นร้องไห้ออกมาอีก  จนโกลต้องกอดเขาเอาไว้ทั้งสองมือแล้วซบหน้าลงผมเรือนผมของโป้ง..

“เข้มแข็งไว้โป้ง  เข้มแข็งไว้..”

 

งานฌาปนกิจของเทพฤทธิ์ทำเอาวัดเล็กๆแห่งนี้แน่นขนัดอย่างไม่เคยมีมาก่อน  ทั้งบรรดาคนในวงการฟุตบอล และแฟนบอลรุ่นเก๋าที่เดินทางมาไว้อาลัยอดีตตำนานคนนี้อย่างล้นหลาม

วราพรมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง  ตอนที่สามีคนแรกของเธอเริ่มหันเหไปสู่การพนัน  แล้วไปสู่ความตกต่ำจะว่าไปก็ได้ผู้หลักผู้ใหญ่ในสมาคมนี่หละช่วยกันประคับประคอง  แต่ที่สุดก็ต้องถอยไปเองเพราะเทพฤทธิ์ตอนนั้นเหมือนผีบ้า  จะเหลือแต่ก็พวกที่สนิทสนมกันจริงๆอย่าง อำนาจ กานต์ ทวี แล้วก็อีกไม่กี่คน

ต่อมาก็ได้คนเล่านี้หละสนับสนุนโป้ง...

เธอเคยถามกานต์ว่าทำไมถึงได้ช่วยเหลือสามีเก่าและลูกชายของเธอมากขนาดนี้  คำตอบนั้นเรียบง่าย

“เพราะพี่ฤทธิ์เป็นคนดี  เมื่อก่อนพวกเราก็ได้พี่เขาช่วยมาก่อนเหมือนกัน  ส่วนไอ้โป้งนอกจากมันเป็นเด็กดีแล้ว  มันยังมีพรสวรรค์ ผมก็เลยอยากเห็นเขาเติบโตในวงการฟุตบอล”

สำหรับวราพร  สิ่งที่เหลือให้เทพฤทธิ์คือความทรงจำดีๆ  และความรู้สึกดีๆ  เพราะตอนนี้เธอรักสุทธิชัยอย่างเต็มหัวใจไปแล้ว  แม้จะเศร้าและเสียใจ แค่ไหน.. ความเสียใจของเธอก็ไม่มีทางเท่ากับโป้งแน่นอนที่สุด

หันมองไปเห็นโป้งทำหน้าที่แจกดอกไม้จันให้แขกอยู่หน้าบันไดเมรุ เพราะแขกคนสำคัญขึ้นไปวางดอกไม้จันจนหมดแล้ว  โดยมีเพื่อนจากนวสาครมาช่วยกันอย่างแข็งขัน  นายโกลก็คือหนึ่งในนั้น..

โป้งเสียใจมากที่สุดแน่นอน  เพราะแม้จะไม่ได้พบพ่อมาหลายปีแล้ว  แต่เขาก็ยังคงเฝ้าคิดถึงและพูดถึงเสมอๆ

แม้แต่การพบกันครั้งสุดท้ายก็ยังไม่มีโอกาส  สิ่งที่โป้งได้พบมีแค่ร่างไร้วิญญาณที่นอนไม่ไหวติง.. ตอนนั้โป้งกอดศพพ่อร้องไห้อย่างน่าเวทนา  ทำให้เธออดร้องไห้ออกมาไม่ได้..

โป้งดูเข้มแข็งขึ้นแล้วนิดหน่อย.. อย่างน้อยก็ไม่ได้น้ำตาซึมตลอดเหมือนวันแรก

ตอนนี้โป้งกำลังหันไปสนทนากับโกล  แล้วก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆให้เห็น

แล้วโป้งก็ต้องออกปากขอโทษขอโพยแขกที่ดอกไม้จันที่เตรียมมาไม่พอ  แขกจึงได้แค่เดินขึ้นไปไหว้ศพแล้วเดินลงมา แต่ไม่มีใครบ่นว่าสักคำ  มีแต่กล่าวปลอยโยนโป้ง

โกลยืนเคียงข้างโป้งตลอดดังคำสัญญาที่มอบไว้ไห้วราพรวันนั้น..

 

โป้งและโกลกลับมาถึงห้องพักที่ภูเก็ตในตอนเกือบย่ำเย็น  แต่ตอนเปิดประตูโกลก็พบสิ่งหนึ่งสอดไว้ใต้ประตู

เป็นจดหมายที่จ่าหน้าซองด้วยลายมือ

“โป้ง จดหมาย”โกลหยิบจดหมายขึ้นมา เพราะโป้งเดินข้ามมันเขาไปเนื่องจากไม่ได้ทันได้มอง

พอโป้งรับไปก็ยืนนิ่ง..

“จดหมายของพ่อ” เขาบอกโกล



หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 27-12-2015 09:42:46
ตอนที่ 45 จดหมายของพ่อ

โทษแบนสามนัดของโป้งไม่รวมในฟุตบอลถ้วย FA เขาจึงได้ลงเป็นตัวจริงในนัดนี้

ที่จริงฮาร์เซย์อยากจะให้โป้งได้พัก  แต่เขากลับยืนยันจะลงสนามให้ได้

ฮาร์เซย์มองตามร่างเพรียววิ่งไปอย่างรวดเร็วผ่านหน้าเขาไป

โป้งดูจะตั้งใจเป็นพิเศษ..

 

“ถึงลูกชายของพ่อ

ที่พ่อตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้ก็เพื่อบอกกับโป้งอยู่สองอย่าง  อย่างแรกคือพ่อขอโทษ ที่พ่อเป็นพ่อที่ไม่ดี  พ่อยอมรับว่าที่ผ่านมาพ่อ ติดทั้งเหล้า ติดทั้งการพนัน  เพราะนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อหายคิดถึงช่วงเวลาดีๆในสนามฟุตบอล  โป้งก็รู้ว่าพ่อขอบฟุตบอลมาก  ดังนั้นการต้องเลิกเล่นมีผลกับพ่อมาก  แต่นั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีเลยใช่ไหม

โป้งจำเอาไว้นะลูก  พระท่านว่า สุรา นารี ภาชี กีฬาบัตร.. เป็นต้องห้าม  โป้งต้องระมัดระวังอย่าให้มันมาเกี่ยวข้องกับเรา และพยายามเอาตัวให้ห่างจากมัน  เพราะมันจะทำลายตัวเรา  และที่สุดของคนที่บ้าการพนัน  ก็ต้องมาลงเอยอย่างพ่อ.. พ่อต้องเสียแม่ที่พ่อรักมาก  เสียโป้งที่เป็นดวงใจไปก็เพราะเรื่องนี้  และพ่อก็ไม่อยากให้โป้งเดินตามรอยเดียวกัน...”

 

โป้งมีตัวเข้ามาประกบโป้งเพิ่มอีกตัวหนึ่ง  แต่นายคนนี้รูปร่างสูงและหนา  ความคล่องตัวน้อยกว่าเขาก็เลยเตะบอลลอดขาไปเสียก่อนเขาจะตั้งหลักขวางทางโป้งได้   ซึ่งบรรณที่วิ่งตามก็ได้ลูกไปแล้วพาบอลไปหากรอบเขตโทษ

“เมื่อวันที่โป้งเจอเหตุการณ์แย่ๆ  ที่จริงพ่อก็อยู่ในสนาม  พ่อรวบรวมความกล้าหลายวันเพื่อจะไป  แต่ที่สุดเพราะความห่วยแตกของพ่อ พ่อก็เลยกลายเป็นเรื่องให้เขาโจมตีโป้งได้..  พ่อมันไม่ได้เรื่อง  พ่อก็เลยไม่กล้าออกไปเจอลูก พ่อขอโทษ  พ่อมันแย่.. พ่อขอโทษ"

โป้งวิ่งไปยืนตำแหน่งที่ด้านซ้าย  ตามองลูกบอลที่ถูกบรรณกับสำราญเตะถ่ายไปมาหน้ากรอบเขตโทษ เพราะผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามลงไปดักทางในกรอบเขตโทษ

อีกเรื่องที่พ่ออยากจะบอกโป้งคือ พ่อภูมิใจมากที่โป้งเก่งขึ้นในทุกวัน  ตอนนี้โป้งเก่งกว่าพ่อ เก่งกว่าอากานต์  เก่งกว่าใครหลายๆคนที่พ่อรู้จักไปแล้ว

แต่พ่ออยากจะบอกลูกว่า หนทางของฟุตบอลยังอีกยาวไกลนัก  พ่ออยากให้โป้งฝึกฝนต่อไป แม้โป้งจะเก่งแค่ไหน  ให้จำไว้ว่ายังมีคนที่เก่งกว่าเรามาก และมากขึ้นในทุกระดับที่โป้งก้าวหน้าไป  พ่ออยากให้โป้งทำเหมือนตอนที่ซ้อมกับพ่อ

อยากรู้ อยากเก่ง อยากทำได้ตลอด  เวลาโค้ชสอน โค้ชพูดอะไรก็ห้ามโกรธ  เพราะสิ่งที่โค้ชสอนคือสิ่งที่จะพัฒนาตัวเรา”

ที่สุดบรรณก็จ่ายลูกคืนหลังให้โสดา  โสดาก็มองไปทางซ้ายและขวา

“ณ.ตอนนี้ พ่อยังไม่กล้าเจอโป้ง  และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกล้า หรืออาจไม่ได้เจอกันเลย..  แต่พ่ออยากให้โป้งจำไว้  ไม่ว่าพ่อจะทำอะไรอยู่ที่ไหน  พ่อจะคอยติดตามผลงานของโป้งโดยตลอด...

ที่จริง.. ถ้าโป้งอยากจะหาพ่อ อยากกอดพ่อ.. ก็แค่กอดตัวโป้งเอง...  เพราะสำหรับพ่อ  โป้งคือความภูมิใจ  และส่วนหนึ่งของโป้งก็มาจากพ่อ.. การที่โป้งกอดตัวเอง พ่ออยากให้โป้งคิดว่านี่หละคือการกอดพ่อเอาไว้.."

โสดาตัดสินใจจ่ายลูกไปทางขวาก่อน  ทำให้ผู้เล่นของฝ่ายตั้งรับหันเหไปตามลูก แต่ปีกขวา อติเทพ มองไปเห็นว่าโป้งว่างแล้ว จึงเลี้ยงไปสุดเส้นแล้วโยนโด่งข้ามสนามไป


“โป้งทำให้พ่อภูมิใจมาตั้งแต่เด็กจนโต  แต่พ่อกลับทำให้โป้งผิดหวังตลอด  เป็นพ่อที่ไม่ได้ความ..  แต่ยังไงก็พ่อก็อยากจะขอให้โป้งจำไว้ว่า  พ่อรักโป้งมาก  รักมากที่สุด...”

โป้งกระโดดเอาอกพักลูกบอล

“และถ้าหากวันไหนโป้งลงสนาม... พ่อขอแค่.. เวลาโป้งยิงประตูได้...”

โป้งพาลูกวิ่งตัดเข้ามาตรงกลาง  ตอนนั้นมีผู้เล่นวิ่งมาหาโป้งเพื่อจะสกัด..

“พ่อขอให้โป้งระลึกถึงพ่อสักนิด.. แค่นั้นพ่อก็พอใจแล้ว...

รัก.. จากพ่อที่ไม่เอาถ่านของโป้ง

พ่อ”


โป้งวางเท้าขวาเป็นหลัก  แล้วก็ง้างเท้าซ้าย..

นี่คือลูกแรกที่พ่อสอนให้โป้งยิง... พอคอยดูนะครับ...

ไซด์โป้ง...

ลูกบอลวิ่งออกไปเป็นวิถีโค้งอ้อมตัวผู้เล่นที่เข้าสกัด  มันเดินทางเป็นรูปตัวยูในอากาศ เป็นลูกไซด์โป้งจากเท้าซ้ายที่อัศจรรย์

ผู้รักษาประตูได้แค่ป้องกันมันด้วยสายตา เพราะเขาไม่คิดว่าลูกจะหักเหได้ขนาดนั้น..

มันกระแทกกับตาข่ายด้านข้างแล้วกลิ้งไปตกที่ก้นตาข่าย..

ในสนามเงียบไปด้วยความตื่นตะลึงกับการเดินทางของลูกไซด์โค้งนั้น...

โป้งยกแขนเหยียดขึ้นฟ้า  ชูนิ้วโป้งไป..

“ประตูนี้เพื่อพ่อครับ” เขากล่าวแล้วยิ้มให้กับฟากฟ้า...

จากตรงไหนบนนั้น  พ่อจะต้องกำลังปรบมือให้เขาด้วยความยินดี

“พ่อไม่ได้แย่.. เพราะสิ่งที่อยู่ในตัวผมคือ ผลงานชิ้นยอดเยี่ยมของพ่อไม่ใช่เหรอครับ... ผมรักพ่อครับ”

แล้วแฟนบอลทั้งสนามก็พร้อมใจกันลุกขึ้น  เหยียดแขนออกไป  แม้แต่แฟนของฝั่งตรงข้ามก็ด้วย..

ทั้งหมดชูนิ้วโป้ง แล้วเปล่งเสียงกระหึ่ม

“โป้ง โป้ง โป้ง โป้ง...”

วันนี้โกลไม่ได้ลงสนาม  เขากับเพื่อนในม้านั้งสำรองลุกขึ้นทำในสิ่งเดียวกับแฟนบอล..
นี่หละโป้ง... นายไซด์โป้ง.. ที่โกลรักหมดหัวใจ...
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-12-2015 11:40:54
นึกว่าโป้งกับพ่อจะได้เจอหน้ากันแบบที่มีลมหายใจเสียอีก :monkeysad: :monkeysad:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 31-12-2015 20:23:42
ร้านข้าวต้ม... มึงตกกระป๋องแล้วโป้ง..



ยิ่งใกล้จบฤดุกาล  ก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยว่าทีมของโป้งน่าจะจบที่อันดับสองแน่นอน  เพราะตอนนี้ยังตามทีมอันดับหนึ่งอยู่สี่แต้ม  แต่ก็เหลือนัดให้แข่งอีกแค่สองนัดเท่านั้น  ส่วนอันดับต่ำลงไปก็ตามพวกเขาอยู่ห้าแต้มจะไล่ขึ้นมาเป็นที่สองแทนคงยาก

ดังนั้นบรรยากาศการซ้อมจึงดูผ่อนคลายลง  และเป็นการซ้อมเพื่อเตรียมทีมสำหรับฤดุกาลหน้าเสียมาก  แต่โป้งกับโกลก็ยังซ้อมหนักทุกวัน  แม้จะไม่หนักเท่าช่วงแรกๆ

ดังนั้นสองหนุ่มจึงยังพอมีแก่ใจแวะกินอาหารอร่อยๆตอนกลับจากสนามซ้อม

วันนี้โป้งเลือกร้านข้าวต้มอีกร้านที่มีชื่อในเขตตัวเมืองเพราะเมื่อวานเขาตามใจโกลไปแล้ว

พอโป้งกับโกลเข้าไป ก็มีกลุ่มสาวมหาวิทยาลัยที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแซว

“น้องโป้ง.. น้องโกล.. มาทานข้าวต้มหรือคะ” คนหนึ่งถามเสียงหวาน

“ครับ”โป้งตอบ

โกลไม่ค่อยสนใจใครอยู่แล้วจึงนั่งลงเฉยๆ

“พี่เลี้ยงไหมจ๊ะ”

“อย่าเลยครับ  ผมกินจุ” โป้งตอบแล้วก็นั่งลงคนละฝั่งกับโกล

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาต้อนรับ

“ขอปลาเต้าซี่  ผัดหน่ำเลี้ยบ ซี่โครงหมูตุ่น คะน้าหมูกรอบ  ไก่ผัดขิง  แล้วก็ไข่เจียว” โป้งสั่งเป็นชุดแบบรัว

โกลส่ายหน้า  ก่อนจะถาม

“ฟังทันไหม”

เด็กหนุ่มที่เป็นแรงงานต่างด้าวยิ้ม พยักหน้า

“แน่นะ ..”  โกลถามย้ำ

เขาก็พยักหน้าอีก

“อย่างอื่นขาดได้  แต่ไอ้ไข่เจียวอย่าขาดเชียว  ไอ้โป้งเอานายตายเลยนะ เอาช้าวต้มหกถ้วยพอนะ  ไอ้โป้งมันกินแต่กับ”

สาวๆมองหน้ากัน

“นี่เขากินกันสองคนหรือนี่”

“ก็เขาบอกแล้วว่ากินจุ”

“เสนอตัวเลี้ยงไม่ใช่เหรอ.. เอาสิ.. หมดนั้นไม่ปาไปห้าหกร้อยเหรอ”

“ไม่ไหวอะตัวเอง  เล่นกินขนาดนี้  ให้เขาเลี้ยงตัวเองเหอะ  นักบอลอาชีพน่ะรวยกว่าเราอีก”

โป้งมองหน้าโกล แล้วพูดเบาๆ

“แต่ก็เหนื่อยจะตายเหมือนกัน.. ถึงต้องมากินแบบนี้ไง”

 

พออาหารมาเสริพ  พอดีโป้งหันไปเห็นก้านเพชรลงจากมอเตอร์ไซด์ แล้วรอให้วู๊ดจอดรถให้เรียบร้อย  พอทั้งสองเดินเข้ามาโป้งก็ร้องเรียก

“ก้าน วู๊ด มาๆ นั่งด้วยกัน”

โกลที่นั่งหันหลังเห็นก้านเพชรก็หันกลับแบบเมินหน้า  ก้านเพชรยิ้มกระหยิ่มแล้วเดินไปนั่งข้างๆโป้ง

“โอ้โห โป้งรู้ใช่ไหมว่าก้านจะมา สั่งมาเต็มโต๊ะเลย  ของชอบทั้งนั้น”

โกลกำลังดื่มน้ำก็เลยวางก้าวกระแทกโต๊ะเบาๆ

“เปล่าหรอก ปกติก็กินกันอย่างนี้อยู่แล้ว” โป้งต้องภาษาซื่อ

“ถ้านายอยากกินก็ต้องสั่งเพิ่มเอานะ เพราะที่สั่งมากินพอแค่สองคน”

วู๊ดนั่งลงข้างโกลหัวเราะเบาๆ

“เหมือนโป้งมันบอกเป็นนัยๆว่ามึงเป็นส่วนเกินว่ะ  ก้าน”

ก้านเพชรหันมาเขม่นหน้าใส่

“เออกูรู้”

“เปล่านะ” โป้งทำหน้าตื่น

“กูแค่บอกว่ากับข้าวมันไม่พอกูกิน  ถ้าอยากกินก็ต้องสั่งใหม่.. กัปตันอย่าแปลงสารสิวะ”

โกลหัวเราะหึๆ

“น้องครับ” ก้านเพชรยกมือเรียก

พนักงานหนุ่มรุ่นคนเดิมเดินมา

“เอาหมูทอด ยำปลากระป๋อง  ไก่ตุ่นมะนาวดอง  หอยลายผัดขี้เมา แล้วก็..” ก้านเพชรสั่งแต่ไม่จบ

“พอแล้ว” วู๊ดขัดขึ้น

“จะแดกอะไรนักหนามึง.. นั่งกันสี่คน  แต่สั่งซะ นี่ถ้ากูเป็นเจ้าของร้าน พอไอ้โต๊ะนี้เช็คบิล  กูก็เก็บร้านเลย  ได้กำไรละวันนี้”

“ก็กูกลัวไม่อิ่ม” ก้านเพชรอุทธรณ์

“มึงนี่สั่งอาหารทีไรเลี้ยงคนได้เป็นกองทัพ  แล้วก็ไม่เห็นมึงแดกหมดสักที” วู๊ดส่ายหน้า

“ทำเป็นพูด  กูเห็นมึงกินเก็บเรียบทุกที กระดูกแม่งยังดูดซะขาว” ก้านเพชรโต้

“ก็มันเสียดาย  ก็ต้องกินให้หมดสิวะ” วู๊ดตอบ

“เออ.. ดีงั้นวันหลังสั่งมื้อละอย่าง  ข้าวจานเดียวแบ่งกันกินสองคนดีไหม” ก้านเพชรโต้อีก แบบประชด

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร  มึงสั่งกูก็แย่งกินให้หมด  มึงก็ต้องสั่งใหม่เอง” วู๊ดยักไหล่ไม่ยี่หละ

โป้งกับโกลมองหน้ากัน

“นี่มึงสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆเหรอ”

ทั้งคู่เงียบไป

“เปล่า”

“เออ”

สองคำตอบออกมาพร้อมกันๆ

โป้งหันมองหน้าวู๊ด แต่โกลจ้องหน้าก้านเพชร

“เออๆ  ไปด้วยกัน.. ก็กูขับมอไซด์ไม่เป็น” ก้านเพชรยอมรับตามตรง ทั้งที่เมื่อกี้บอกว่าเปล่า

โกลยิ้มเยือกเย็น

“ไอ้ก้าน มึงอย่ามาเนียน.. ไอ้ดูคาติ มอนสเตอร์นี่มันเรียกอะไร... ที่มึงโพสเมื่อปีที่แล้ว... แหม่ขับไปถึงพัทยา.. ขับไม่เป็นเลยเนอะ”

“อ้าว..” วู๊ดทิ้งตัวกับพนักเก้าอี้

“ก็..” ก้านเพชรยิ้มเขินๆ

“นี่มึงหลอกให้กูขับพาไปนั่นมานี่อยู่ทุกวัน  มันหมายความว่าไงวะไอ้ก้าน” วู๊ดขมวดคิ้วเค้นเสียงถาม

“ก็กู.. ขี้เกียจขับ” ก้านเพชรหัวเราะแหะๆ

“กูอยากนั่งซ้อนไง.. มันขี้เกียจ”

พอดีเด็กเสริพเอาอาหารมา  วู๊ดจึงรอจนวางเรียงเรียบร้อย

“งั้นเดี่ยวมึงขับเลยนะ  ตากูขี้เกียจบ้าง.. “

“เออๆ  เดี่ยวขับเองก็ได้..” ก้านเพชรตอบแบบตอบจำนน

โป้งยิ้มกับโกลอย่างรู้กัน

 

ตอนออกจากร้าน  วู๊ดนึกได้วิ่งไปกดเอทีเอ็มที่ตูใกล้ๆ

“เอานี่หมื่นหนึ่ง   ต่อไปกูจ่ายมึงเดือนละห้าพัน  เพราะตอนนี้กูได้เบี้ยเลี้ยงเพิ่มเป็นสองหมื่นห้าละ”

โกลสบตาวู๊ด

“เฮ้ยไม่ต้องรีบก็ได้  กูไม่ได้ร้อนเงิน อีกอย่างที่รูดไปก็บัตรพ่อกู  กูก็บอกเขาไปแล้วด้วยว่ากูซื้อใช้เอง”

“ไม่ได้เด็ดขาด” วู๊ดยืนยันหนักแน่น  เอามือโกลมาแล้วยัดใส่

“ตอนนี้กูมีเงินแล้ว  กูก็ต้องใช้คืนมึงตามสัญญา  ส่วนมึงจะเก็บไว้เองหรือจะให้พ่อก็เรื่องของมึง  แต่กูต้องคืนเงินมึง”

ทั้งสองหนุ่มเงียบไป  โป้งก็ไม่กล้าออกความเห็น  เพราะยังไงโกลก็คือคนที่รู้จักวู๊ดมานานกว่า ทางกลับกันวู๊ดก็เช่นกัน  ดังนั้นทั้งคู่ย่อมต้องรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีกว่าโป้ง

ก้านเพชรมองหน้าวู๊ด.. เขาอดไม่ได้จะชื่นชม

วู๊ดเป็นคนซื่อตรงจริงๆ

“อันนี้กูสั่งให้มึงรับ  ในฐานกัปตันทีม”วู๊ดกล่าวเสียงเข้ม

โกลทำหน้าสะดุ้ง แล้วโต้

“โอ้โห กัปตัน  นี่มันริมถนนไม่ใช่ในสนามบอล  มึงจะมากัปตันอะไรกับกู แถมที่นี่ตอนนี้กูอยู่ยูเนี่ยน มึงอยู่เอฟซี กัปตันกูชื่อโสดา  ถ้าเป็นทีมชาติก็ว่าไปอย่าง.. แต่โค้ชก็ยังไม่ได้ตั้งมึงเป็นทางการอยู่ดี”

“ก็นั้นหล่ะ.. เอาไป.. กูไม่ชอบเป็นหนี้ใคร ขี้เกียจตามใช้ชาติหน้า” วู๊ดตอบ

“ไปก้านกูง่วงแล้ว”

ก้านเพชรพยักหน้ารับกุณแจที่วู๊ดส่งให้ แล้วส่งหมวกกันน๊อกที่ถือไว้ให้วู๊ดหนึ่งใบ

“เดี่ยวกูพาไปวัดพื้นถนนอย่าว่ากันนะเว้ย” ก้านเพชรว่าแล้วสวมหมวกก่อนเดินไปที่รถ

ปลดล๊อกคอ คร่อมรถ แล้วยกขาตั้ง ก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์

วู๊ดซ้อนท้าย

“ไปแล้วนะโป้ง โกล ขอบคุณที่เลี้ยงนะโป้ง”

“ไปแล้วนะจ๊ะที่รัก” ก้านเพชรหันตะเบ๊ะ แต่ยิ้มแบบโปรยเสน่ห์ให้โป้ง

แล้วก็ขับรถออกไป

“กอดเอวนะ” วู๊ดว่า

“เออ.. อยากให้.. เอ้ยไม่ใช่ ก็กอดสิไม่ได้ว่า” ก้านเพชรตอบ

“อย่าขับเร็วนะมึง เดี๋ยวตายคู่”

“ไม่ตายหรอก.. กูดวงแข็ง”

โป้งหันมองหน้าโกลที่มีรอยยิ้ม  เขาแปลกใจที่โกลไม่มีปฏิกิริยากับท่าโปรยยิ้มของก้านเพชร

“ไม่หึงแล้วเหรอ” โป้งถาม

โกลเอามือล้วงกระเป๋า แล้วกอดคอโป้งเดินไปเพื่อไปจุดที่ทั้งคู่จอดรถยนต์

“ไม่แล้วหละ.. ไอ้ก้านไม่ได้เล็งมึงแล้วโป้ง  มึงตกกระป๋องเรียบร้อย.. “

“รู้ได้ไง” โป้งยู่หน้าถามกลับ

“โอ้ย.. ชัดซะขนาดนั้น  มึงก็เป็นเกย์มองไม่ออกเหรอว่าไอ้ก้านมันชอบใครตอนนี้” โกลกล่าวแล้วขยี้หัวโป้ง

“มึงอะคิดมาก..”

“มึงต่างหากที่คิดน้อยไอ้โป้ง”


ที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต

เดฟเดินออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้า เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย

ใจแล้วเขาอยากจะโทรศัพท์หาวู๊ดเสียตอนนี้เลย  แต่ว่า..

“ไม่เอาดีกว่าไปเซอร์ไพรส์ข้างสนาม  พรุ่งภูเก็ตเอฟซีมีโปรแกรมแข่งในบ้าน..” เขายิ้มออกมาเมื่อถึงหน้าของวู๊ดตอนแปลกใจที่ได้เห็นเขา



หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 31-12-2015 20:24:46
ก้านเพชร: Status เพ้อรำพัน..


การไปเยือนถิ่นปราสาทหินครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างดุเดือดอย่างที่คิด  โป้งลงในนาทีเกือบเจ็ดสิบแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก นอกจากจังหวะยิงไกลที่ชนคานไปลูกหนึ่ง โยนเข้าไปให้บรรณขึ้นโหม่งเฉียวเสาไปอีกที  แล้วก็หลุดเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษแต่หลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

จบกันแบบมิตรภาพ ศูนย์ต่อศูนย์                                                                                                                                                     

“โป้งๆ” เสียงเรียกที่คุ้นหูทำให้โป้งเงยไปตอนกำล้งจะเข้าอุโมงค์

“พี่ท๊อป” เขาขานแล้วรีบเดินไปหาท๊อปที่ยืนอยู่ขอบอัฒจันทร์กับหญิงสาวน่ารักรายหนึ่ง

“นี่แฟนพี่  แพน  เขาอยากได้ลายเซ็นโป้งไปให้เพื่อน” ท๊อปกล่าวแล้วส่งเสื้อทีมชาติไทยที่เป็นหมายเลขสิบห้าของโป้งลงมา

โป้งยิ้มให้แพน  เพราะไม่รู้ว่าแพนอายุเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้ไหว้  แล้วรับซื้อมาเซ็นชื่อก่อนส่งคืนให้  แต่แพนเป็นคนรับเอง

“เพื่อนแพนเป็นชอบโป้งมากเลย.. พรุ่งนี้วันเกิดเขาด้วย”

โป้งพยักหน้า

“งั้นฝากแฮปปี้เบริ์ดเดย์ด้วยแล้วกันนะครับ” โป้งกล่าวแล้วยิ้มอีก

“ค่ะ” เธอตอบ

“เออ.. เขาถามว่าโป้งมีแฟนหรือยังด้วยค่ะ”

โป้งสะอึก  ตอนนั้นพอดีโกลเดินมาในระยะไม่ห่างไปพอดี

“คือ..” โป้งอึกอักจะตอบ.. เพราะเขาโกหกก็ไม่เก่ง เสียด้วย

“เขาอยากรู้ว่าโป้งมีสาวในดวงใจหรือยัง  อย่างโป้งต้องมีสาวๆภูเก็ตมาชอบเยอะแยะแน่เลยใช่ไหม มีแฟนหรือยัง” แพนพูดนำออกมาเอง

โป้งจึงตอบได้เต็มปากว่า

“ไม่มีครับ  ตอนนี้ มีแต่มาทักมาคุย  แต่โป้งไม่ได้สนใจสาวไหนเลยครับ เพราะมัวแต่ซ้อมหนัก”

แล้วเขาก็หันไปมองหน้าโกล  โกลทำหน้าเฉยๆ

“อ้าวโกลมาพอดี  ให้โกลเซ็นด้วยสิ” ท๊อปว่า

แพนจึงยิ้มแล้วยื่นเสื้อกับปากกาลงไปให้อีก

โกลมองหน้าโป้งก่อนจะ  จะเซ็นชื่อตัวเองลงไปใต้ชื่อโป้งโดยเว้นช่องเอาไว้  แล้วก็เขียนลงไปตรงที่ว่างว่า รัก...

แล้วส่งคืนไปให้

“พี่ท๊อปหายดียังครับ” โกลถาม

“ก็คงอีกสักเดือนสองเดือน  ตอนนี้กำลังทำกายภาพอยู่”

 

ท๊อปมองสองหนุ่มเดินเข้าอุโมงค์ไปหลังจากคุยกันอีกนิดหน่อย  เขาหันไปหาแฟนสาวแล้วขอดูเสื้อ

พอกางดูตรงลายเซ็น

มันอ่านตามแนวตั้งได้ว่า

เทพพร  รัก  กรกฏ

ท๊อปหัวเราก๊ากออกมา

“ไอ้นี่มันร้ายเว้ย” ท๊อปกล่าวแล้วส่ายหัว

“อะไรเหรอ.. ลายเซ็นโป้งออกจะสวย  ลายเซ็นโกลก็น่ารัก  มีเขียนว่ารักด้วย  ยายอุ๊กรี๊ดสลบแน่นอน” แพนกล่าวแล้วเอาเสื้อคืนมา

“ไม่มีอะไร.. ไม่มีอะไร” ท๊อปกอดคอแพน

“ไปเหอะ ไปหาอะไรกินกันดีกว่าท๊อปหิวแล้ว”

 

เพราะหนึ่งในผู้สนับสนุนของภูเก็ต เอฟซีคือบริษัทของพ่อ  ดังนั้นเดฟจึงได้สิทธิพิเศษเข้าไปยืนรอ ในพื้นที่ซึ่งกันไว้เป็นส่วนของนักกีฬาที่จะออกมาจากสนาม  แล้วเขาก็เห็นวู๊ดเดินออกมาพร้อมกระเป๋าสะพาย.. กระเป๋าใบนี้เป็นใบที่เดฟซื้อให้

“วู๊ด” เดฟเรียก

วู๊ดหยุดเท้า  เขานิ่งชะงักเมื่อเห็นร่างสูงและดวงหน้าคมคายแบบลูกครึ่ง

“เดฟ” เขาพึมพำแล้วเดินเข้าไป

 

ก้านเพชรออกมาจากห้องแต่งตัวช้าเพราะโค้ชเรียกคุยเรื่องสัญญาใหม่ที่จะต่อให้  พอออกมาก็เห็น ชายร่างสูงยืนคุยอยู่กับวู๊ดอย่างสนิทสนม

“ก้านนี่เดฟนะ” วู๊ดแนะนำ

“ก้านเพชร..” เดฟกล่าวออกมาเอง

“ไม่เจอกันนานเลย”

ก้านเพชรแย้มรอยยิ้ม

“ใช่ไม่เจอกันนานเลย”

 

ก้านเพชรรู้สึกหงุดหงิดมาก  เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเดฟกับวู๊ดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว  แต่เขาคิดว่ามันน่าจะจบไปแล้ว

แต่นี่อะไร.. ไอ้เดฟมันมาตอแยอะไรวู๊ดอีก...

พอหงุดหงิดก็นั่งไม่ติด  ต้องลุกเดินไปเดินมา  แต่นั้นยังไม่ทำให้หายหงุดหงิดก็เลยหันไปเครื่องโทรศัพท์

 

หลังจากมืออาหารแล้วเดฟก็ชวนเดินเล่นตามถนนเรียบหาดป่าตอง เขาสองคนเดินไปเรื่อยๆสายลมโชยอ่อนผสมกลิ่นทะเลและกลิ่นฝนที่พึ่งลาตัวไปเมื่อก่อนมื้ออาหารไม่ได้นาน

“ที่นี่สนุกดีนะ  อิจฉานายจังได้มาอยู่” เดฟกล่าวตอนเดินไปตามถนนมองร้านรวงต่างๆที่หลากสีสันด้วยแสงไฟและกิจกรรม

“แต่ฉันไม่ค่อยได้มาหรอก  แค่เรียนกับซ้อม แล้วก็แข่งก็หมดเวลาแล้ว” วู๊ดตอบแล้วยิ้ม

ดวงหน้าเดฟในแสงนีออนดูหล่อเหล่า.. เดฟหล่อพอจะเป็นดาราได้สบาย

“แล้วนี่มาทำไมหละ อย่าบอกนะว่ามาเพราะคิดถึงฉัน” วู๊ดถามตรงๆ

เดฟหันมายิ้ม

“ทำไมหละ.. ถ้ามาเพราะคิดถึงไม่ได้เหรอ”

วู๊ดนิ่ง... เขาต้องหลบสายตาเดฟไปทางอื่น

“ทะเลาะกับจุ๊ยมาใช่ไหมหละ”

 

โป้งอยู่ที่สนามบินเพื่อต่อเครื่องกลับภูเก็ต  ระหว่างรอเขาก็เปิดโซเชียลมิเดียดู

โป้งเลื่อนลงไปเรื่อยๆจนสะดุดตากับสเตตัสหนึ่ง

“กูรู้ว่าเขารักใคร.. แต่เขาจะรู้ไหมว่ากูชอบเขา” โป้งอ่านออกเสียง โกลที่นั่งอ่านนิตยสารกีฬาหันมามองหน้า

“ไอ้ก้าน..” โป้งกล่าว

“มันดราม่าอะไรของมัน”

 

“ที่จริงก็ไม่ใช่เหตุผลหลักหรอก.. ฉันได้งานถ่ายแบบ เขายกกองมาถ่ายที่นี่  ก็เลยต้องมา  ถ่ายแบบคู่กับนายแบบใหม่ลูกครึ่งญี่ปุ่นด้วยนะ  โยชิฮิสะ อาราอิ” เดฟเล่าตอนนี้ทั้งคู่นั่งลงบนหาดทราย

เดฟทอดสายตาไปในทะเล

“จริงๆก็ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก... ก็แค่จุ๊ยมันวางคอนเซ็ปของวงสำหรับปีหน้า... มันต้องการใช้ดนตรีเป็นแกนหลัก  ตัดการแสดงทุกอย่างออก.. แม้แต่ดรัมเมเยอร์ก็ไม่มี” เดฟเล่า

“ที่จริงมันก็มาขอโทษฉันนะ  ทำตาซึ้งเชียวหละ  แต่ฉัน.. ไม่รู้สิ.. มันรู้สึกเหมือน  ทำไมเขามองเราเป็นส่วนเกินเหรอ.. แล้วที่ฉันทุ่มเทไปมันคืออะไรหละ  ฉันทั้งฝึกหนัก ทั้งพยายาม  ไม่ได้แพ้กับพวกนักดนตรีสักนิด.. แต่ทำไมหละจุ๊ยถึงตัดฉันออกจากการแสดงปีหน้า”

วู๊ดมองสายตาของเดฟแล้วก็ต้องลอบถอนหายใจ  เอามือวางบนไหล่

“แล้วเขาบอกเหตุผลไหม”

“ก็เพราะบอกไง  ฉันก็เลยยิ่งต้องหลบมาทำใจ.. เพราะเหตุของมันก็น่าฟังเสียด้วย.. ฉัน..ไม่รู้สิมัน.. เจ็บจี๊ดๆน่ะ  แบบมันไม่รู้จะโต้ยังไง.. นายก็รู้เวลาไอ้จุ๊ยมันไม่ได้เล่น มันไม่ฮา ไม่ตลก  มันพูดอะไรจริงจัง  มันจะดูมีหลักการมาก  แล้วใครก็เถียงมันไม่ได้ด้วย” เดฟถอนหายใจยาว

“มันบอกว่า  ทุกวันนี้วงโยธวาทิต ให้ความสำคัญกับการแสดงมากกว่าดนตรี  ดังนั้นทุกคนจึงหันไปหาการแสดง การแต่งกาย มากกว่าจะให้ความสำคัญกับพลังของเสียงดนตรี  ทั้งที่วงโย คือวงดนตรี  ดังนั้นมันก็เลยอยากจะแหวกแนว  อยากจะเอาพลังของเสียงดนตรีมาสู้  ก็เลยตัดสินใจตัดการแสดงออกหมด  เหลือแต่นักดนตรีเพียวๆ”

วู๊ดก็ไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องดนตรี  แถมนี่เป็นความคิดของนักดนตรีที่ใครต่อใครก็บอกว่ายอดเยี่ยมอย่างนายจุ๊ย นทีธาร ก็ยิ่งไม่รู้จะออกความเห็นยังไง

แต่ที่รู้แน่นอน คือเดฟ คือคนที่ทุ่มเทให้กับวงโยธวาทิตมากที่สุดคนหนึ่ง.. และหนึ่งในสารพัดเหตุผลคือ จุ๊ย...

“มันทั้งขอโทษ ทั้งง้อ.. เรียกว่าทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมามันเป็นฝ่ายเข้ามาหาฉันก่อนทุกครั้ง  ผิดกับทุกทีเลย.. ที่สุดฉันก็ใจอ่อนยอมคุยกับมัน  แต่จะให้เหมือนเดิม.. คงสักพัก” เดฟมองเหม่อไปในทะเลแสนกว้าง

วู๊ดมองหน้าเดฟ  ก่อนขยับเข้าใกล้แล้วก็โอบไหล่

“อย่าคิดมาสิ...  ไม่เป็นไรหรอก.. จุ๊ยก็ง้อแล้วนี่  ไม่มากก็น้อยเขาก็แคร์นายไม่ใช่เหรอ”

 

เดฟกำลังเลือกซื้อของในร้านสะดวกซื้อระหว่างทางกลับไปโรงแรมที่พัก  ส่วนวู๊ดไม่ได้คิดจะซื้ออะไรเลยเอาโทรศัพท์มาเปิดดูโซเชียลมิเดีย..

แล้วเขาก็สะดุดกับสิ่งหนึ่ง.. เป็นการไลก์ของโป้ง.. และคอมเม้นท์

“เอาอะไรไหม” เดฟถาม

วู๊ดเหมือนกำลังงงงวย  เดฟก็เลยถามซ้ำ

“เฮ้ย.. จะเอาอะไรไหม”

วู๊ดเหมือนสะดุ้งเงยมาส่ายหน้า


เดฟลงจากรถมอเตอร์ไซด์ที่หน้าโรงแรมหรูริมหาด

“ขอบใจ” เขากล่าวตอนส่งหมวกคืนให้วู๊ด

“สบายใจแล้วล่ะ”

ทั้งคู่มองหน้ากันเงียบๆ

“นายอยากนอนค้างที่นี่ไหม..” เดฟถามออกไป

วู๊ดมองหน้าที่คมคาย  ในแสงของป้ายไฟของโรงแรม  ดวงหน้านั้นช่างงดงามนัก...

 

ก้านเพชรมองหน้าตัวเองในกระจก

จริงอยู่ว่ามีหลายคนบอกว่าเขาหล่อ... ก็อาจจริง.. เขามีดวงหน้ารูปไข่ กับจมูกโด่ง  รับกับรูปปากพอดี ถึงตาจะไม่โตเหมือนโป้งแต่ดูรวมๆก็ดูดีพอใช้ได้

แต่ถ้าเทียบกับเดฟ.. เขามีอะไรที่สู้นายนั่นได้.. ฐานะรึ.. พ่อของเขาอาจจะเป็นนายพล เป็นคนมีตระกูล  มีฐานะ  แต่ถ้าเทียบกับพ่อของเดฟที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ก็เทียบไม่ได้  รูปร่างหน้าตายิ่งเทียบไม่ได้..

ก้านเพชรต้องถอนหายใจออกมา มองนาฬิกาแขวนผนังที่เห็นเป็นภาพกลับซ้าวไปขวา แต่ก็ยังอ่านได้ว่า

ห้าทุ่มแล้ว..

ตอนนี้วู๊ดย้ายมาจากหอพักเล็กๆนั้นมาอาศัยอยู่กับเขาที่นี่ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมหรูที่แม่ของก้านเพชรซื้อเอาไว้ในราคาแพงลิบเพื่อให้ก้านเพชรได้พัก  มันพึ่งตกแต่งเสร็จไม่นาน  และเขาเห็นว่ามันมีสองห้องนอนก็เลยชวนวู๊ดมาพักด้วยกัน  ปรากฏว่าวู๊ดก็เห็นดีด้วยเพราะมันสะดวกกว่าหอเก่าๆที่สโมสรเช่าให้

แต่วันนี้.. วู๊ดคงได้นอนในโรงแรมห้าดาว... สถานที่หรูหรากว่าห้องในคอนโดเนียมนี้หลายสิบเท่า..

ยิ่งคิดก็ยิ่งต้องถอนหายใจยาวๆ ไล่ความรู้สึก  เขาหันหยิบโทรศัพท์มากะจะระบายอารมณ์

แต่แล้วเขาก็พบว่าสเตตัสเก่าของเขามีโป้งมาตอบ

มึงรู้ได้ไงว่าเขาไม่รู้  เขาก็อาจรู้ก็ได้..

แต่ข้อความต่อมา เป็นข้อความของคนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับเขา.. เพราะเขายังไม่กล้าขอเป็นเพื่อนกันในโซเชียลมิเดีย เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาตื่นตัว และรู้ความรู้สึกของก้านเพชร.. และเขาอาจปฏิเสธ..

ก็มึงไม่เคยบอก.. แล้วคิดว่าเขารู้ได้ไหม..

แล้วพลันก็มีการแจ้งเตือนขอเป็นเพื่อนมา

พอกดดู  ก็เห็นเป็นเจ้าของคอมเม้นท์

เขารู้สึกใจเต้นอย่างแรง..

กดAdd

จากนั้นอีกไม่กี่วินาที  ก็มีข้อความเข้ามา

“ทำอะไรอยู่”

ก้านเพชรยิ้มออกมาแล้วตอบไป

“กำลังจะนอน  แล้วนายหละ ห้องในโรงแรมนอนสบายไหม”

ฝ่ายโน่นเงียบไป

“ง่วงแล้วหละ..” ตอบกลับมา

ก้านเพชรถอนหายใจ

“ก็นอนสิ.. อย่ามัวแต่ทำอย่างอื่น”

เงียบไปอีก

“ก็เปิดประตูสิ.. กูอยากจะเข้าห้อง”

ก้านเพชรตื่นตัว...

“เหนื่อยจะแย่  ยังต้องไปปลอบใจคนขี้น้อยใจ  มึงก็เปิดประตูเร็วๆสิ..”

เขายิ้มแล้วเดินไปที่หน้าประตู

“เหนื่อยอะไร.. ปลอบใจกันแบบไหน.. ถึงเหนื่อย”

“ก็แค่นั่งคุยกัน.. จะให้ทำอะไร.. แล้วที่กลับมาก็เพราะมีอีกคนที่ขี้น้อยใจรอให้ปลอบใจอยู่ที่นี่”

ก้านเพชรเปิดประตูห้อง

ที่หน้าประตูวู๊ดชูถุงอาหารให้

“โอวต๊าวไหม.. เดี่ยวกูป้อน”

ก้านเพชรกอดอก

“ทำไม อาหารร้านหรูมันไม่อร่อยรึวะ”

วู๊ดลดถุงลงแล้วยักคิ้ว

“อร่อย.. แต่มันไม่อิ่ม.. อยากกินจานเดียวแล้วป้อนมึงคำกูคำมากกว่า”

“ตอนนี้กูหายดีแล้ว” ก้านเพชรทำท่าขยับแขน

วู๊ดเดินเข้ามาใกล้จนชิด

“มึงก็ป้อนกูบ้างสิ.. “

สองคนสบตากัน..


เดฟยืนมองทะเลจากระเบียงห้องพักไปในทะเล

แม้จะเศร้า... แต่นี่หละคือสิ่งที่เหมาะสมแล้ว..

จริงๆแล้วเขาทราบเรื่องของก้านเพชรกับวู๊ดตั้งแต่ก่อนมา.. แต่ที่เขาตัดสินใจมาเจอวู๊ดครั้งก็เพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นจริง

สิ่งที่วู๊ดทำมันยืนยัน..

"นายเป็นคนดีวู๊ด ขอให้คนดีอย่างนายได้เจอคนดีเหมือนกัน ฉันก็พอใจแล้วหละ"




หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 31-12-2015 20:25:51
ตอนพิเศษคืนCountdown: ความรักที่โอบกอดหัวใจสองดวง..



โป้งเป็นตัวหลักมาโดยตลอดสำหรับรายการ FA cup แต่พอนัดชิงชนะเลิศกับทีมเมืองนนท์  โป้งกลับไม่ได้ลงสนามเพราะอุบัติเหตุจากการซ้อมทำให้โป้งข้อเท้าแพลงก่อนลงสนามหนึ่งวัน

ก็เลยต้องนั่งเชียร์อยู่ข้างสนาม และก็จบลงด้วยชัยชนะของเมืองนนท์ไปหนึ่งประตูต่อศูนย์ด้วยลูกโทษในนาทีเกือบจะสุดท้ายของการแข่งขัน

โป้งผิดหวังอย่างแรง  แต่ก็เขาก็ยังมีแก่ใจลุกขึ้นปรบมือให้ทีมชนะเลิศ และทีมของเขาเองที่สู้ได้อย่างยอดเยี่ยมในสนามศุภชลาสัยแห่งนี้

บรรยากาศในรถกลับภูเก็ตเป็นไปอย่างเงียบเหงา  โกลที่ปกติไม่ค่อยจะสนใจกับเรื่องในสนามที่ผ่านมาแล้ว  ก็ยังเงียบไปด้วย

แต่พอบรรณลุกขึ้นจับไมโครโฟนร้องเพลงทุกอย่างก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

“ขอโทษนะ” โป้งกล่าว

โกลหันมามองหน้า

“ถ้ากูลงสนาม.. กูคงช่วยอะไรได้บ้าง ไม่ใช่ช่วยเชียร์ได้อย่างเดียว”

โกลนิ่งก่อนจะขยับทำสิ่งหนึ่ง

“โอ้ย..”โป้งร้อง เพราะโกลเอาเท้ามาเตะขาขวาที่แพลงของโป้ง

“มันเจ็บนะเว้ยไอ้เหี้ยโกล”

“อ้าว... ก็เจ็บจริงนี่.. ไม่ใช่แกล้งเจ็บ” โกลกล่าว

แล้วเอามือจับหัวโป้ง..

“มึงเจ็บใช่ไหมหละ  มึงก็ไม่ได้เป็นเทวดาเสียหน่อย  ก็ต้องเจ็บบ้างหละ  อีกอย่างไม่ได้แชมป์ปีนี้  ปีหน้าก็ยังมีใช่ไหมหละ  เอาไว้ปีหน้าเราสองคนมาช่วยกันใหม่.. อย่าว่าแต่แชมป์ถ้าย  เอาแชมป์ลีกด้วยเลยดีไหม”

โป้งมองหน้าโกล  ตอนนี้โกลมีความคิดแง่บวกกับโลกมากขึ้น ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน..

แต่เขาก็ชอบที่โกลเป็นแบบนี้

 

เมื่อปิดฤดูกาล โป้งกับโกลก็ว่างอยู่ได้แค่เดือนเดียวเพราะเดือนหน้าก็ต้องไปเก็บตัวฝึกซ้อมอีกแล้ว  ช่วงเวลานี้จึงเป็นที่ทั้งคู่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนที่โรงเรียนมากขึ้น  และพอใกล้ปีใหม่ พวกตั้นก็ออกปากชวนโป้งกับโกลไปร่วมงานเคาร์ดาวน์ที่บ้านของคฑาที่พอดีพ่อแม่ไปต่างประเทศ

โป้งทราบวันเกิดของโกลจากการันต์ ว่าตรงกับวันปีใหม่พอดี  ดังนั้นเขาจึงแอบวางแผนจะเซอร์ไพรส์วันเกิดโกล  สั่งเค้กร้านดังของภูเก็ตขนาดสิบปอนด์มา แล้วก็ของขวัญชุดเป็นถุงมือผู้รักษาประตูใหม่ยี่ห้อดัง

 

"อ้าว.." โป้งงงตอนเห็นโกลเอากระเป๋าเป้ออกมา "นายจะไปไหน"

"ไปธุระ เดียวพรุ่งนี้ก็กลับ" โกลตอบเสียงเรียบ พลางเอาเสื้อกับกางเกงใส่กระเป๋า

"ไหนว่าจะไปงานปีใหม่บ้านไอ้ตั้น" โป้งแย้ง

"กูไม่ได้บอก มึงเออออไปคนเดียว" โกลตอบเสียงเรียบ

โป้งหน้าเสีย..

โกลสะพายกระเป๋า

แล้วหันมามองหน้าโป้ง

โป้งมองตา

"มึงไม่ไปไม่ได้เหรอ"

โกลถอนหายใจ

"กลับมากูจะพามึงไปเที่ยว"

แล้วโกลก็หันหลัง

"กูเตรียมเซอร์ไพรส์วันเกิดให้มึงนะโกล.. มึงจะไปอย่างนี้จริงๆเหรอ.."

"วันเกิดอะไร.. "เสียงที่ตอบกลับมาเรียบและเย็น

"มันก็แค่วันที่กูออกจากท้องแม่อุ้มบุญ.. ไร้สาระน่าโป้ง"

แล้วเขาก็เดินออกไป

โป้งหันไปมองรอบห้องที่ว่างเปล่า.. นั่งลงบนเตียง ก่อนจะล้มนอนหงายแล้วหลับตาลง

 

โกลมาถึงลำปางเวลาบ่ายเพราะต้องไปต่อเครื่องที่กรุงเทพ

เขามาที่นี่ทุกปีเพื่อมาเยี่ยมครอบครัวหนึ่ง..

โกลกดกริ่งประตูแล้วก็ยืนรอ.. ข้าวของที่ซื้อมาจากสนามบินมีมากจนพะรุงพะรัง

“แม่.. พี่โกลมา” เด็กชายที่พึ่งเขาวัยรุ่นตะโกนเมื่อชะโงกมาเห็นโกล

แล้วแล้วเขาก็วิ่งออกมารับ

“พี่โกลสวัสดีครับ” เด็กชายเปิดประตูแล้วยกมือไหว้

“เอ้าอันนี้พี่ให้หินทั้งถุงเลย” เขากล่าวปนรอยยิ้ม

หินยกมือไหว้แล้วก็รับถุงไปด้วยความยินดี

หญิงสาววัยราวสี่สิบกว่าๆเปิดประตูออกมา

“โกล..” เธอยิ้มอย่างยินดี

 

ข้าวของที่โกลซื้อมามากจนวางไว้แล้วเต็มโต๊ะไปหมด..

“แค่โกลมาก็พอ  แม่แกก็ดีใจแล้วไม่ต้องซื้อมาหรอก” ชายวัยไล่เลี่ยกับหญิงสาวกล่าวแล้วหันไปมองหน้าภรรยาที่นั่งยิ้มไม่หุบ

“แค่นี้ไม่มากหรอกครับ นานๆผมจะมาที” โกลกล่าว

ถ้าจะถามว่าครอบครัวนี้คือใคร.. คำตอบนั้นอยู่ที่ภูมิหลังการกำเนิดของโกล..

หญิงสาวคนนี้ชื่อสีดา  เป็นแม่อุ้มบุญที่อุ้มท้องเขาจนลืมตาดูโลก

ตั้งแต่เขาคาดคั้นเขาจากพ่อจนเขายอมบอกเรื่องแม่อุ้มบุญ  ทุกปีโกลจะมาเยื่ยมครอบครัวนี้และใช้เวลาช่วงปีใหม่ที่นี่  และครอบครัวนี้ก็ต้อนรับเขาอย่างดีเหมือนกับเป็นลูกอีกคน..

เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่โกลเฝ้ารอมาโดยตลอดทั้งปี.. ไม่ว่าอะไรก็ห้ามเขาไม่ให้มาใช้เวลากับแม่สีดาที่เมตตาต่อเขามากกว่าเจ้าของไข่ที่ก่อชีวิตของเขา..พ่อที่ไม่ใช่พ่อเขา  แต่หัวเราะพูดคุยกับเขามากกว่าพ่อเจ้าของสเปริ์ม และหินน้องชายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาทางสายเลือด.. แต่กลับเห็นเขาเป็นพี่ชายของเขาอีกคนหนึ่ง..

“พี่โกล.. ผมได้เป็นศูนย์หน้าของทีมโรงเรียนด้วยนะพี่.. “ หินกล่าวอวดตอนวิ่งลงมาจากชั้นสองพร้อมลูกฟุตบอล

“ไปพี่  ผมจะทดสอบความเหนียวของพี่.. ไปเร็ว”

หินมาพึงแขนโกล

“ไอ้หิน เดี่ยวเหอะ พี่เขามาเหนื่อยๆ ให้พี่พักก่อนสิ” สุดาเอ็ด

“ไม่เป็นไรครับ” โกลตอบแล้วก็ลุกขึ้นเอามือจับหัวหิน

“โตขึ้นเยอะนะเรา.. ไหนมาดูสิว่าเราจะยิงผ่านมือพี่ได้ไหม  ขี้คุยว่าเป็นศูนย์หน้า ถ้ายิงไม่เข้าสักกะลูก ก็ไปลาออกไปเล่นกองหลังซะนะ”

“โหพี่.. พี่โกลเป็นทีมชาติ.. ต้องระดับพี่ท๊อป พี่โป้งหละมั๊งจะยิงประตูพี่ได้” หินท้วง

พอพูดถึงโป้ง โกลก็รู้สึกสะท้อนใจ..แต่เขายิ้มอยู่

“เอ้าไม่ลองไม่รู้.. มาลองดูกันสิว่าหินเก่งขึ้นจริงรึเปล่า”

 

แม้โป้งจะพยายามแล้วที่จะทำหน้าให้ร่าเริง แต่วู๊ดกลับจับความรู้สึกของโป้งได้

เขาตบบ่าโป้งเพื่อปลอบใจตอนที่โป้งบอกว่าโกลไม่มาด้วย

“กูก็ไม่รู้มันไปไหน.. แต่เมื่อก่อนปีใหม่มันก็ไม่เคยมาฉลองกับทีมเหมือนกัน” วู๊ดกล่าว

 

ก้านเพชรมองโป้งที่กำลังโดนเพื่อนรุมแกล้งด้วยการจับแต่งเป็นผู้หญิงเพราะมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งทักโป้งว่าหน้าหวาน

โป้งขัดขืนดิ้นรนแต่โดนเพื่อนผู้ชายหลายคนจับล็อกเอาไว้ แล้วให้สาวๆช่วยกันแต่งหน้าทาปาก

"โป้งนี่น่ารักนะ ดูสิ.." ก้านเพชรหัวเราะ ตอนนี้สาวๆรุมเขียนหน้าโป้งกันเต็มฝีมือ

"แล้วรักไหมหละ" วู๊ดตอบกลับมา

ก้านเพชรหันมามอง เขาอมยิ้มแล้วหันมองโป้ง

"ก็อาจรัก.. ถ้าไม่เจอใครบางคนก่อน ไอ้บ้านั้นมันหน้าตาก็ไม่น่ารัก.. แต่กูเสือกรักได้ไงไม่รู้"

วู๊ดส่งเสียงหึๆ

"แต่ก็เร้าใจไม่ใช่เหรอ.."

ก้านเพชรเมินไปทางอื่น  แต่เพื่อซ่อนรอยยิ้ม

"ทำเป็นคุย.."

วู๊ดหันมามองแล้วก็ขยับเข้ามา เอี้ยวตัวมาชิด ลดเสียงให้ได้ยินแค่สองคน

"เดี่ยวกลับไปก็ทดสอบอีกสักรอบไหมหละ จะเล่นให้ลืมเป็นฝ่ายรุกไปตลอดชาติเลย"

“ไม่มีทาง.. กูไม่ยอมขาดดุลหรอกเว้ย.. เด็ดแค่ไหนก็ต้องผลัดกัน..” ก้านเพชรตอบแล้วก็ยักไหล่

 

"โอ้ย.. กูจะฟ้องแม่" โป้งร้องเมื่อเห็นหน้าตัวเองในกระจก

ปกติโป้งเป็นคนหน้าหวาน พอเขียนคิ้วทาปาก ทาอายชาโด้แล้วก็ดูเหมือนผู้หญิง  แต่ตอนนี้เขาทำท่าแบะปาก  ก็เลยเหมือนเด็กสาวกำลังร้องไห้

เพื่อนหัวเราะกันครื้นเครง ยิ่งโป้งทำท่าร้องไห้ เพื่อนก็ยิ่งหัวเราะกันใหญ่ รุมกันเข้ามาถ่ายเซลฟี่กันสนุกสนาน

"ไอ้โกลไม่อยู่โดนรุมขนาดนี้เลย ไอ้โกลเอ้ย มึงพลาดละ" วู๊ดพลอยขำไปด้วย

“หมั่นเขี้ยวจริง..”  ว่าแล้วก้านเพชรก็เข้าไปร่วมวงแกล้งโป้งด้วยอีกคน

 

งานปาร์ตี้ดำเนินไปอย่างสนุกตามภาษาวัยรุ่นล้วนๆ

ตอนนี้โป้งลบหน้าเรียกร้อยก็มานั่งฟังเพื่อนร้องคาราโอเกะกันสนุกสนาน  หนุ่มบางคนถือโอกาสใช้เพลงจีบสาวให้เพื่อนแซวกันสนุกสนาน

แต่พอเห็นคนอื่นร้องเพลง  โป้งก็นึกถึงค่ำคืนที่หัวหิน.. ตอนที่โกลกดโทรศัพท์โทรมาร้องเพลงให้ฟังทั้งที่นั่งอยู่ห่างกันแค่เอื้อมมือ

แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา.. เวลาอย่างนี้มีโกลอยู่ด้วยคงจะดีไม่น้อย..

แต่พูดแล้วก็โมโห.. ธุระอะไรนักหนาวันปีใหม่...

 

“โป้ง.. เอารถมาปะ” ตั้นเดินมาสะกิดถาม

“อือ..”โป้งพยักหน้า

“ไปเอาของกับกูหน่อยสิ..กูนัดเขาเอาของตอนนี้แถวท่าเรือฉลอง” ตั้นตอบ

โป้งก็เลยขับรถบิ๊กไบท์ของโกลมายังท่าเรือฉลองดังที่ว่า

พอมาถึงพบว่าท่าเรือเงียบกริบ  ตั้นบอกให้โป้งเอารถไปจอดไว้ เขาพาโป้งเข้ามาที่ท่าเรือ แล้วก็บอกว่าตัวเองจะไปติดต่อร้านค้าใกล้ๆ  แล้วก็เดินไป

โป้งมองออกไปที่สะพานที่เทียบเรือ  วันนี้ท่าเรือมีเรืออยู่แค่ไม่กี่ลำทั้งที่ปกติโป้งจะเห็นมันจอดอยู่เต็ม

แถมมืดเกือบมองอะไรไม่เห็นทั้งที่ปกติจะสว่างไสว

ป่านนี้โกลทำอะไรอยู่..

โป้งมองไปในทะเลที่มืดมิด..

เขากำลังทำอะไรกับใคร..หรืออะไรที่ทำให้โกลขนาดปฏิเสธความปรารถนาดีของโป้ง..

หรือว่าเขายังไม่เข้าถึงใจโกล.. โกลยังมีมุมที่ซ่อนเร้นที่เขาเข้าถึงไม่ได้..

แล้วโป้งก็ถอนหายใจ

นานเท่าไหร่ไม่รู้ เพราะโป้งใจลอย  รู้ตัวอีกก็แปลกใจที่ตั้นหายไปนาน

กำลังจะโทรหา..

แต่พลุสว่างไสวจากโรงแรมริมหาดและสถานที่ใกล้เคียงก็พุ่งสู่ท้องฟ้าแล้วระเบิดส่งแสงสีออกจนดารดาษท้องฟ้าราตรี..

ปีใหม่มาถึงแล้ว...

โป้งยืนมองด้วยความตื่นเต้น.. แต่ในก็ห่อเหี่ยวลงไปเมื่อคิดไปว่าโกลน่าจะอยู่ด้วย

ชุดแล้วชุดเล่า  จนกระทั้งแสงงดงามที่ยิงขึ้นลาแสงไปจนหมด

ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบ

โป้งถอนหายใจ  แล้วก็หยิบโทรศัพท์มาจะโทรหาตั้น..แต่มีหมายเลขหนึ่งโทรเข้าเสียก่อน

โกล..

“ว่าไง” โป้งถามแบบไม่สบอารมณ์  แต่จริงๆแล้วใจยินดี.. ขอแค่ได้ยินเสียงก็พอแล้ว..

“มองไปที่ทะเล” โกลบอกแค่นั้นแล้วก็ตัดสาย

พอโป้งหันไป..

เรือยอร์ชลำหนึ่งก็ปรากฏกายในความมืด ด้วยการเปิดแสงไฟสว่างไปทั้งลำเรือ

แล้วพุลไฟจำนวนมากก็ยิงขึ้นจากด้านหลังของเรือลำนั้น แล้วระเบิดเป็นสีสันสวยงาม ส่งฟ้าราตรีให้งดงามยิ่งนัก

โป้งต้องแหนมองจนคอตั้งบ่า  มันงดงามยิ่งกว่าพลุใดๆที่โป้งเคยเห็นมา

ครั้งทุกอย่างเงียบลง

สะพานท่าเรือก็สว่างขึ้นอย่างช้าๆทั้งที่เมื่อสักครู่มืดมิด

ไม่ไกลออกไปบนสะพานท่าเรือ โกลยืนอยู่ในชุดผู้รักษาประตู

มีเด็กคนหนึ่งเอาลูกบอลมาตั้งตรงหน้าโป้ง ยิ้มแล้วก็วิ่งไป

โป้งยิ้มมุมปาก  ถอยหลังแล้ววิ่งเขาเตะลูกบอลด้วยเท้าซ้าย

ลูกบอลเดินทางเป็นวิถีโค้งซ้าย ด้วยการเตะไซด์โป้ง

แต่มันไม่ได้พุ่งไปหมายจะหนีมือเหมือนทุกครั้ง แต่กลับมุ่งตรงเข้าหาโกล

เขารับด้วยสองมืออย่างง่ายดาย

โป้งเดินเข้ามาถึง โกลก็ปล่อยลูกบอลลงพื้น

“ไหนว่าจะกลับพรุ่งนี้"  โป้งกอดอกมองหน้า

“ก็นี่เลยเที่ยงคืนแล้วไง.. พรุ่งนี้ของเมื่อวาน“ โกลตอบเล่นลิ้น แล้วตอบแล้วหันไปมองเรือ

“ไปเหอะ.. ไปเที่ยวกัน..”

 

“กูต้องไปทุกปี.. ที่นั้นเป็นที่ที่กูเหมือนได้อยู่กับครอบครัวจริงๆมากกว่า.. แม่สีดารักกูเหมือนลูกของแกเอง พ่อก็เมตตากู  หินลูกชายของทั้งคู่ก็เหมือนพี่น้องกูจริงๆ  มันทำให้กูมีกำลังใจจะสู้ต่อไปในแต่ละปี..”  โกลกล่าวแล้วท้าวแขนลงกับราวของดาดฟ้าเรือยอร์ชหรู

“พอไปพวกเขาก็ต้อนรับกูอย่างดี วันสิ้นปีเขาก็มีปาร์ตี้เล็กๆภายในกัน  ฉลองกันแค่สี่คนแต่อบอุ่น  จุดพุลลูกเล็กๆ  แล้วก็ร้องสวัสดีปีใหม่กันสี่คน”

โกลยิ้มอย่างเป็นสุข

โป้งมองแล้วก็วางมือบนไหล่

โกลหันมามองตาโป้ง

“ขอโทษนะ.. กูไม่ได้ตั้งใจทำให้มีงเสียใจ.. แต่กูอยากจะไปเจอเขาก่อน.. แล้วจะได้กลับมาฉลองกับมึงสองคน”

โกลหันมาแล้วเอามือโป้งมากุมไว้

“โป้ง.. ตั้งแต่กูเจอมึงโลกของกูก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง.. ในทุกๆวันที่กูอยู่กับมึง กูมีความสุขมาก  ถึงบางทีเราจะต้องอยู่ไกลกันเกือบหนึ่งสนามฟุตบอล.. กูก็ยังอบอุ่นใจที่มีมึงอยู่ด้วย..  สำหรับกูแล้ว.. ถึงต้องให้ไม่ได้ฉลองกับครอบครัวแม่สีดาก็ไม่เป็นไร.. ขอแค่มีมึงอยู่ใกล้ๆ กูก็พอใจแล้ว กูมีความสุขมากโป้ง”

ดวงตาของโกลบอกความหมายดังคำพูด

โป้งยิ้มจางๆ

“วันหลังมึงก็พากูไปด้วยสิ.. จะได้ฉลองกันห้าคนไง”

โกลมองขึ้นข้างบนเหมือนใช้ความคิด

“ไม่ล่ะ.. กูไม่รู้ว่าจะแนะนำมึง ว่าเป็นว่าลูกเขย หรือลูกสะใภ้ดี”

“ไอ้เหี้ย..”โป้งกำลังจะออกปากด่าแบบยาว

แต่โป้งก็พูดได้แค่นั้น..

โกลประกบริมฝีปากมาทำลายทุกคำพูดของโป้ง

แล้วเขาก็รวบร่างของโป้งเอาไว้

ริมผีปากของทั้งคู่ไม่อาจถอนตัวจากกัน  ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งแนบแน่นและบดกัน

โกลค่อยดันร่างโป้งไปที่เบาะยาว

พอขาด้านหลังชนขอบเบาะ โป้งก็ค่อยๆทิ้งกายลงอย่างช้าๆ

ริมผีปากยังประสานกันอยู่นานกระทั้ง โกลค่อยๆถอนออกมา  แต่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงสบกันเพื่อสื่อประสานหัวใจสองดวงเข้าหากัน

“กูรักมึงนะโป้ง.. “

“กูรู้แล้ว..” โป้งเอามือข้างหนึ่งจับที่ข้างหูของโกล

“มึงบอกกูตั้งหลายที”

แล้วโกลยิ้มจางๆแล้วก้มลงจูบที่ซอกคอ

โป้งหลับตาลงปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไป  สัมผัสของโกลเป็นไปด้วยความนิ่มนวล  จนที่สุดโป้งก็พึมพำออกมา

“กูก็รักมึง..โกล”

เสียงของความรักกลืนหายไปในเสียงลม คลื่นทะเล  และเครื่องยนต์ของเรือยอร์ชหรูที่ทะยานฉิวไปสู่ท้องทะเลอันกว้างขวาง

ม่านราตรีประดับด้วยดวงดาวที่ทอประกายอย่างงดงาม..

คลื่นแห่งอันดามันตีเกลียวหยอกล้อเรือที่พาหัวใจสองดวงที่กำลังเต้นแรงระรัว แต่อยู่ในจังหวะที่สอดประสานกัน...

ป่านนี้บนฝั่งจะเป็นอย่างไร.. งานปาร์ตี้เป็นยังไงบ้าง..

ใครจะสน.. เพราะความรักกำลังโอบอุ้มทั้งคู่ในราตรีที่แสนงดงามของปีใหม่..

แต่ต่อให้อรุณรุ่งแล้ว.. วันใหม่มาถึง...  สองหนุ่มก็พร้อมจะจับมือกันเดินร่วมกันไป ไม่ว่าปีใหม่หรือฤดูกาลแข่งขันใหม่จะมีอุปสรรค์อะไรรออยู่...

ทีมที่แข็งแกร่ง  นักฟุตบอลที่เก่งกาจ  หรือกองเชียร์ที่พร้อมจะโห่ฮา..

โป้งจะเดินหน้าบุกไป  เพราะเขามั่นใจว่าโกลจะคอยระวังหลังและปกป้องประตูเอาไว้ด้วยแขนอันแข็งแรงของเขา...



หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-12-2015 21:02:33
Happy New Year  :L2: :L2: :L2:

ใจหายหมดตอนโป้งเซอร์ไพรส์วันเกิดโกล นึกว่าจะมีงอนกันเกิดขึ้นซะแล้ว

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: cinnsin ที่ 31-12-2015 23:24:13
กัดปากกรีดร้องรัวๆเลยค่ะ แอร๊ยยยยยย > <
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 08-01-2016 08:44:00
ตอน คัมป์นู บาร์เซโลน่า: เผชิญหน้าโปรตุเกส

เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วนั้นคือสิ่งที่น่าใจหาย

เผลอนิดเดียวจากปีใหม่สากลและก็ข้ามผ่านปีใหม่ไทย

แล้วอีกไม่นานโรงเรียนก็เปิดปีการศึกษาใหม่ไปเรียบร้อย

ในขณะที่นักเรียนชั้นม.หกต่างมุ่มมั่นทบทวนวิชาการ เพื่อเตรียมตัวสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในฝัน

แต่โป้งกับโกลมองหน้ากันแล้วก็ยังไม่มีคำตอบว่าเขาควรจะทำอะไรกับอนาคตการศึกษาของตนเองดี


“เราควรจะเข้ามหาวิทยาลัยดีไหมโป้ง” โกลถามขึ้นตอนออกวิ่งตอนเช้าอย่างที่ทำทุกวัน

“อืม.. ไม่รู้สิกูยังไม่รู้เลยว่าเรียนอะไรดี” โป้งตอบ

“อีกอย่างกูไม่ได้เรียนเก่งเหมือนมึง อย่างมึงก็คงน่าเรียนอยู่หรอก  แต่กูสิ..รอดมาได้แต่ละปีก็เพราะคะแนนสงสารของอาจารย์ทั้งนั้นเลย”

“ก็เข้าคณะเกี่ยวกับกีฬาสิ.. พลศึกษา วิทยาศาสตร์การกีฬา อะไรอย่างนี้ไง” โกลแนะนำ

“แล้วมึงอยากเรียนอะไรหละโกล” โป้งถามกลับ

โกลมองไปข้างหน้า

“ตอนเด็กๆกูเคยอยากเป็นตำรวจนะ  แต่ต่อมาก็ไม่อยากแล้ว อยากเป็นหมอ แต่พอนานๆไป ตอนนี้.. ไม่รุ้สิ.. กูเรียนอะไรก็ได้หละมั้ง”

โป้งดันริมฝีปากขึ้นข้างบน

“เป็นนักบอลมันไม่ยืนยาว อย่างมากก็เล่นได้ถึงสามสิบแปด..” โป้งกล่าว พอดีมีรถนักเรียนวิ่งผ่านมา  มีนักเรียนตัวเล็กๆนั่งอยู่จนเต็มส่วนกะบะหลังที่ต่อโครงหลังคาและเบาะยาว       

“กูอยากเปิดโรงเรียนเล็กๆนะ อยากเป็นครูพละ กูอยากมีทีมฟุตบอลเด็กๆเป็นของตัวเอง กูอยากสร้างเด็กไทยให้เติบโตเป็นนักฟุตบอล  คนไหนที่ไม่มีโอกาสกูก็จะพยายามหาทุนให้เขา เผื่อว่ารุ่นเราพาประเทศไทยไปบอลโลกไม่ได้ เด็กเล่านั้นก็จะไปแทน”

โกลมองหน้าโป้ง ตอนนี้ใบหน้าเรียวมองไปข้างหน้าและมีรอยยิ้มอย่างมีความหวัง

“ถ้ามึงเปิด..กูจะเป็นคนสนับสนุนมึงเอง.. เราสองคนจะช่วยกันสอน  ชวนไอ้วู๊ดมาด้วย ไอ้จอม ก็พอดีได้ครบทุกตำแหน่งเลย”

“อืม..” โป้งหันมายิ้มกว้าง

โกลมองรอยยิ้มนั้น  นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ริมถนน  เขาก็คงจะดึงโป้งเข้ากอดและจูบเสียทีหนึ่ง

แต่ตอนนี้ที่ทำได้คือวิ่งไปคู่กัน ตามถนนที่ทอดยาวไปข้างหน้า.. ภายใต้แสงอรุณที่อบอุ่นซึ่งทาบทาทำให้บรรยากาศยามเช้างดงามดังภาพฝัน

 

แล้วโค้ชชาญก็มีหนังสือเรียกโป้งกับโกลเข้าฝึกซ้อมเก็บตัวล่วงหน้าก่อนฟุตบอลโลกรุ่นอายุต่ำกว่ายี่สิบปีจะเริ่มต้นหนึ่งเดือน

ทีมชาติมาการปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะมีตัวผู้เล่นบาดเจ็บ แต่นั้นทำให้โป้งดีใจมากเพราะคนที่เข้ามาเสริมในแดนหน้าคือปอ ส่วนกองหลังนั้นคือตั้มกับจอม..

พอทั้งหมดได้เจอกันก็กระโดดกอดกัน

ชาญมองภาพหกนักฟุตบอลของนวสาครกอดกันกลมด้วยอาการที่อดจะอมยิ้มไม่ได้

“จะว่าไปพี่ป้อมนี่ก็เก่งนะครับ” วีระกล่าว

“ทำไปทำมาโรงเรียนที่ไม่ได้เป็นจตุรเทพกลับมีนักฟุตบอลเข้ามาทีมชาติได้ตั้งหกคน”

ชาญหันมองหน้าวีระ แล้วก็หันกลับไปมองเด็กพากันเดินเข้าไปที่พัก

“แต่น่าเสียดาย ที่ป้อมเขาไม่ยอมมาช่วยเรา เพราะเขาผูกพันกับนวสาครมาก นี่ได้ข่าวว่าเขากำลังสร้างทีมชุดใหม่อยู่  ก็ต้องคอยดูว่าเขาสร้างเด็กอย่างวู๊ด อย่างโกล ได้อีกสักกี่คน”

 

ก้านเพชรแลกที่นั่งกับเพื่อนร่วมทีมเพื่อให้นั่งคู่กับวู๊ดตอนเดินทางจากประเทศไทยไปยังสเปนประเทศเจ้าภาพการแข่งขันในปีนี้

ปอเห็นเข้าก็ชะโงกหน้ามาหาโป้งที่นั่งติดกับโกล

“โป้งสองคนนี้มันสนิทกันมากเลยเหรอวะ”

โป้งงง

“ใคร”

“ก็ไอ้วู๊ดก้บก้านไง” ปอตอบเสียงเบา

“อ้อ..” โป้งตอบเสียงค่อนข้างดัง เพราะเสียบหูฟังอยู่ข้างหนึ่ง จนแม้โกลที่เสียบหูฟังสองข้างยังหันมา

“เฮ้ยเบาๆ” ปอทำท่าจุ๊ปาก

“ก็มันสองคนอยู่ทีมเดียวกัน” โป้งตอบโดยลดเสียงลง

“มันสนิทกันก็ไม่แปลก”

แต่ปอมองสองคนหัวร่อต่อกระซิกกัน แล้วก็รู้สึกแปลกใจ..

“ทำไมกูรู้สึกว่ามันแปลกๆวะ” ปอยักไหล่  แต่ก็ต้องเลิกสนใจเพราะแอร์โฮสเตสสาวสวยเดินมาถึงเขา

“รับอะไรดีค่ะ”

ปอยิ้มหวานตอบ

“แล้วแต่พี่สาวจะกรุณาครับ”

ตั้มที่แม้นั่งคนละแถวก็ยังอุตส่าห์ส่งเสียงไอเหมือนสำลักมาแซว

 

สนามบินนานาชาติ เอล เพลต บาร์เซโลน่าเป็นสถานที่ซึ่งเครื่องบินลำใหญ่ที่บรรทุกทีมช้างศึกมาเหยียบแผ่นดินสเปน หนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังโลก

พวกเขาเข้าพักที่โรงแรมระดับ สี่ดาวที่ในย่านชานเมืองบาร์เซโลน่าและมีโอกาสได้ทดสอบฝีเท้ากับทีมเยาวชนของทีมเอสปันยอลหนึ่งในทีมแกร่งของเมืองบาร์เซโลน่า

ซึ่งโค้ชชาญพอใจมากกับการเล่นของทีม และยังพอใจการเล่นของปอสามผู้เล่นใหม่ที่เขาเรียกมาติดทีมสำรองด้วยเช่นเดียวกัน เพราะทั้งสามต่างเล่นด้วยความทุ่มเทแม้จะเป็นการอุ่นเครื่องเท่านั้น

“ในเกมกับทีมจากโอเชียเนีย ผมว่าจะลองให้พวกเขาลงสนามดู” โค้ชชาญกล่าวกับวีระ

 

แต่เกมแรกที่ทีมชาติไทยต้องลงสนามเป็นการพบกับทีมชาติโปรตุเกส ที่สนามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครบาร์เซโลน่า คัมป์นู สนามเหย้าของทีมชื่อก้องโลกอย่าง เอฟ ซี บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลสโมสร

เสียงเชียร์ในสนามนั้นกึกก้องสนั่นหวั่นไหวไม่น้อย แม้สนามจะไม่เต็มความจุแต่ก็ตามที

แต่ผู้ชมน้อยกว่าการเล่นที่ปักกิ่งไม่เท่าไหร่ถ้าโป้งประเมินด้วยสายตา

โป้งนั่งกอดอกมองทีมแข่งกับทีมแกร่งอย่างโปรตุเกสอย่างเข้มข้น

และเหมือนจะเกร็งกันทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีโอกาสทำอะไรมากนัก


เมื่อใกล้หมดครึ่งแรก

จังหวะนี้ ทีมโปรตุเกสได้ฟรีคิกที่มุมกรอบเขตโทษด้านขวา

ปีกขวาของโปรตุเกสที่ดูเหมือนจะเป็นทายาททางฟุตบอลของคริสเตียนโน่ โรนัลโด้ เขามองกำแพงของทีมชาติไทยแล้วก็หันไปมองเพื่อน ก่อนจะเดินถอยหลัง

วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วพอสมควร เตะปั่นลูกไซด์โค้งข้ามกำแพงไป

ลูกพุ่งแรงเข้าหาประตู

โกลมองเห็นลูกนั้นเมื่อพ้นกำแพงเขาจึงพุ่งตัวไป..

กำปั้นของโกลกระแทกลูกอย่างแรง มันลอยย้อนกลับไป

แม้โกลจะล้มลงก็รีบลุกขึ้น

แต่ทว่าลูกที่กระดอนออกไป กลับไปเข้าทางปืนของกองหน้าของโปรตุเกสที่ยืนอยู่หน้าเขตโทษ

ด้วยสัญชาตฌาน เขาเตะสวนตูม

อนุพงศ์ที่อยู่ใกล้ๆพยายามจะขวางทาง แต่ลูกกระทบขาเขาแล้วก็ไม่เปลี่ยนวิถีมากนัก

โกลพุ่งตัวออกไปเต็มกำลัง แต่ก็คว้าได้แค่ลม..

เสียงนกหวีดของกรรมการแทบจะไม่ได้ยิน เพราะเสียงกองเชียร์โปรตุเกสส่งเสียงสนั่นสนามไปหมด

โกลเดินไปเอาลูกบอล ถอนหายใจแล้วหันไปมองข้างสนาม

จากระยะไกล เขาเห็นโป้งชูกำปั้นมาบอกให้เขาสู้

โกลจึงกำหมัดตอบแล้วโยนลูกไปออกไปให้กรรมการเอาไปตั้งเริ่มเกมอีกครั้ง


“ถึงไม่ทันก็ต้องเรียกว่าเร็วมาก” ชายร่างสูงกล่าวกับเซบาสเตียน บัลเดอร์ เขาคือผุ้รักษาประตูอดีตทีมชาติเยอรมัน ผู้เป็นตำนานแห่งวงการฟุตบอล

“นึกไม่ถึงว่าเด็กจากเอเชียอย่างเขาจะทำได้ อนาคตไกลจริงๆเด็กคนนี้”

"แล้ว.." ชายอีกคนแม้จะเป็นคนละชาติกับทั้งสองแต่ก็มาด้วยกัน ถามออกมา

“แล้วไหนหละที่คุณอยากให้ผมเห็น” เขาถามเป็นภาษาเยอรมันเพราะปัจจุบันเขาเล่นในเยอรมันนี้ในตำแหน่งปีกซ้ายของทีมอันดับหนึ่งแห่งเยอรมัน

เซบาสเตียนยิ้ม

“ของดีต้องรอนะ”


ครึ่งหลัง..

โป้งวิ่งไปข้างหน้าเพื่อรักษาระดับและตำแหน่งในการรุก แม้ตอนนี้ลูกบอลอยู่กับผู้เล่นทางด้านขวา

ก้านเพชรพาลูกเข้าไปได้ถึงเกือบจะเส้นหลัง  เขาดึงจังหวะแล้วเตะโยนลูกโด่งเข้าไปให้สิระ  แต่กองหลังของโปรตุเกสโหม่งออกไปได้ก่อน

ลูกลอยมาถึงโป้งเขาถอยหลังก้าวหนึ่งแล้วก็ใช้เท้าขวาดึงลูกฟุตบอลลงพื้นแล้วก็กระแทกมันข้างเท้าซ้ายไปข้างหน้า แล้วก็วิ่งตามไป

ตัวผู้เล่นของโปรตุเกสรีบเข้ามา แต่โป้งเห็นก่อนแล้วจึงสามารถดึงลูกไว้ด้วยเท้าซ้ายแล้วก็สะกิดมันไปด้วยเท้าขวา แล้วพลิ้วกายตามลูกไป อีกฝ่ายชะงักแล้วจะผงะตาม  แต่โป้งกลับใช้เท้าซ้ายเตะเบาๆให้ลูกบอลย้อนไปทางขวา แล้ววิ่งตามลูกไปอย่างรวดเร็ว


เซบาสเตียนหันไปมองหน้าปีกซ้ายทีมชาติฮอลแลนด์  เขากอดอกมองโป้งอย่างสนใจ

“เด็กคนนี้ไม่ใช่คนเลี้ยงบอลสวยงามนะ แต่คล่องและเร็วมาก.. เลี้ยงธรรมดาๆแต่เอาตัวรอดไปได้เก่งมาก” เขากล่าวออกมา


โป้งพาลูกบอลเข้ามาตรงกลาง แล้วก็มองไปทางขวา ก้านเพชรถอยลงมาแล้วยืนรออยู่ แต่จังหวะนั้นมีผู้เล่นเกมรับของโปรตุเกสวิ่งเข้ามาหาเขา

โป้งพลิกตัวพร้อมเอาเท้าขวาดึงลูกบอลให้หมุนตามไปด้วยจากนั้นก็ใช้เท้าซ้ายกระแทกลูกบอลด้วยส้นเท้า เสียก่อนที่กองกลางจะกระแทกเขาล้มลงไป

ก้านเพชรที่วิ่งมาก็รับลูกไป เขาวิ่งออกไปทางขวาด้านที่ถนัด..

แต่เหลียวกลับไปเห็นโป้งลุกขึ้นมาได้

โป้งส่งสัญญาณมือ

ก้านเพชรจึงเอี้ยวตัวโยนลูกไปทางขวาหาโป้งอย่างฉับพลัน

โป้งใช้อกพักลูกหนึ่งจังหวะ แล้วก็ง้างเท้าซ้ายเตะลูกก่อนที่มันจะตกพื้น

ลูกบอลวิ่งไปใสอากาศด้วยน้ำหนักที่พอดี  มันผ่านมือผู้รักษาประตูทีมชาติโปรตุเกสที่แม้นจะตามมาทันแต่ก็จับจังหวะลูกยิงนั้นไม่ได้

กองเชียร์ชาวไทยจำนวนแค่จิ๊บจ้อยถ้าเทียบกับหลักหมื่นที่อยู่ในสนามเปล่งเสียงโห่ร้องออกมา

ธงไตรรงค์ผงาดกระพืออย่างองอาจในสนามอันยิ่งใหญ่ คัมป์นู บาร์เซโลน่า...

 

“Uitstekend” ปีกซ้ายจอมบุกกล่าวออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด

“ผมว่าพวกเขาได้สองนักเตะระดับโลกอย่างเป็นทางการแล้วใช่ไหม” เซบาสเตียนกล่าวถามความเห็น


สองนักเตะระดับโลกพยักหน้า..


 
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 08-01-2016 08:45:08
ตอน ปะทะบราซิล.. สู้จนขาดใจ..

ผลเสมอในเกมหนักอย่างนี้ถือเป็นผลงานที่ดี และส่งผลให้อีกสองนัดที่เหลือ เมื่อทีมไทยชนะได้ทั้งหมด ก็ทำให้ผ่านเข้าไปสู่รอบสิบหกทีมในฐานะแชมป์ของกลุ่มด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่าโปรตุเกส ซึ่งแม้จะยิงได้เท่ากันที่สี่ลูก แต่โกลป้องกันประตูได้ดีกว่าทำให้ทีมเสียประตูไปแค่ลูกเดียวคือในนัดแรก

ผ่านมารอบสิบหกทีม ต้องเจอกับทีมจากแอฟริกา ไนจีเรีย ซึ่งแม้ไทยจะเสียเปรียบเรื่องรูปร่าง แต่จังหวะสวนกลับที่ได้จากการที่โป้งเตะโด่งยาวมาหาท๊อปที่อยู่คนเดียวในแดนหน้าวิ่งไปแปเรียดผ่านผุ้รักษาประตูไนจีเรียไปได้อย่างงดงาม กับจังหวะที่โป้งเตะมุมมาตรงกลางประตูแล้วสิระโหม่งย้อนไปหาปอที่ยืนอยู่นอกกรอบเขตโทษ เขาสับเท้ายิงด้วยหลังเท้าเต็มๆเป็นประตูแรกในเสื้อทีมชาติไทยสำหรับเขา

ทีมชาติไทยจึงเอาชนะไปสองประตูต่อศูนย์ ผ่านเข้าสู่รอบแปดทีมสุดท้าย

 

“ทีมชาติไทยยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในรอบแปดทีมสุดท้าย หลังนัดที่แล้วเราชนะผ่านอินทรีมรกตไนจีเรียมาได้สองต่อศูนย์ และในรอบแปดทีมสุดท้ายที่แข่งไปเมื่อคืน” ผู้ประกาศผิวหนึกกล่าว

“ทีมชาติไทยพบกับมีชาติเดนมาร์ก เกมในคู่นี้เหมือนจะเสมอกันในเวลาศูนย์ต่อศูนย์ แต่ในจังหวะที่เดนมาร์กได้โอกาศบุกขึ้นมา กองกลางของเดนมาร์กสับไกยิงจากนอกกรอบเขตโทษ”

แล้วภาพก็ตัดจากหน้าผู้ประกาศ เป็นภาพจากการเทปบันทึกของนัดการแข่งขันเมื่อวาน

โกลพุ่งตัวไปรับลูกยิงไกลไว้ได้ติดมือ

เขามองหาโป้ง แล้วก็เห็นโป้งวิ่งสวนทางผู้เล่นเดนมาร์กไป

ผู้รักษาประตูทีมชาติไทยจึงเตะโยนไปข้างหน้า

โป้งมองลูกแล้ววิ่งต่อไปอย่างเร็ว  เขากระโดดดักลูกไว้ได้ด้วยเท้าขวาแล้วดึงมันลงพื้น


“เทพพรได้ลูกจังหวะนี้พาบอลไปทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็ว แล้วรอจังหวะโยนครอสเข้ามาหน้าประตู” ผู้ประกาศอ่านด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า


ท๊อปกระโดดได้ก่อนกองหลัง เขาทุ่มกำลังโหม่ง ทว่าลูกของเขาไปกระแทกเสาเด้งกลับเข้ามาในสนาม..

สิระอยู่ใกล้ที่สุดจะเงื้อเท้ายิง แต่กองหลังเดนมาร์กยื่นขายันบอลออกไปได้


“แล้วก็เป็นปรเมศวร์ที่ลงมาในช่วงก่อนหน้าสิบนาที”


ลูกบอลที่โดนเตะออกมากลิ้งไป ปอวิ่งเข้าหาลูกด้วยความเร็ว เขาสับเท้าขวาข้างถนัดยิง...

ลูกบอลพุ่งไปราวกับกระสุนปืนใหญ่ ผู้รักษาประตูของเดนมาร์กถึงกับผงะหงายหน้าเพราะลูกนั้นพุ่งผ่านไปอย่างรุนแรง มันกระแทกตาข่ายจนตุงตึงไปทั้งผืน


“ยิงเต็มข้อแสกหน้าผู้รักษาประตู เข้าไป..” ผู้ประกาศเน้นเสียงตื่นเต้น เขาคงดูจากมอนิเตอร์ในห้องส่ง เลยรู้ว่าว่ามีการฉายภาพซ้ำก็เลยชื่นชมการยิงของปอ

“แหม่ลูกนี้ยิงหนักมาก หมดสิทธิจริงๆครับสำหรับผู้รักษาประตู ทีมชาติไทยจึงชนะไปหวุดหวิด หนึ่งประตูต่อศูนย์ผ่านไปเจอกับ..”

ภาพตัดมาที่ผู้ประกาศ เขายกกระดาษขึ้นอ่าน ทำตาโตๆ

“บราซิล..”

“อืม...” ผู้ประกาศข่าวสาวพยักหน้า

“หนักจริงๆ”

“แต่ผมว่าสูสีนะ..” คนแย้งเป็นดาวตลกร่างอ้วนเตี้ย

“ทีมชาติไทยที่มีน้องโป้ง น้องท๊อป น้องอนุพงศ์ น้องโกล แล้วยังมีสำรองดีๆอย่างวู๊ด ผมว่าเราสู้ได้ครับ สู้ได้”

“แต่นั้นเขาบราซิลแชมป์ห้าสมัยนะ” ผู้ประกาศใส่แว่นแย้ง

“บราซิลก็บราซิลเถอะครับ ถึงหนูจะชอบบราซิลแต่ยังไงนัดนี้ผมเชียร์ไทยแลนด์ขาดใจ เดี่ยวจะบินไปดูเกมนี้ที่สนาม อะไรนะ..” ดาวตลกหันไปถาม

“นัดนี้แข่งที่ซานดิเอโก เบอร์นาบิว ที่มาดริด..” ผู้ประกาศผิวหมึกตอบ

“นั่นไง.. ขอไปดูอีกรอบวะ” ดาวตลกตบมือฉาด

“ก็นั้นหละครับท่านผู้ชม.. ยังไงก็ต้องติดตามเชียร์เจ้าหนู U20 ของเราสร้างประวัติศาสตร์ต่อไปนะครับ  สำหรับข่าวต่อไป ได้ข่าวว่าผีเซ็นสัญญากับกองหน้าตัวใหม่ทีเดียวสองคนใช่ไหม” ผู้ประกาศสวมแว่นกล่าวแล้วเปลี่ยนเรื่อง

 

ป้อมเพชรรู้สึกหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก  จริงอยู่ในด้านทักษะของปอจะเทียบไม่ได้กับโป้ง  แต่ลูกยิงของเขานั้นก็ไม่เป็นรองใคร..

“ก็หวังว่าหลังจากนี้ พวกนายจะก้าวไปไกลกว่านี้นะปอ ตั้ม จอมด้วย..” ป้อมเพชรกล่าวแล้วเอนหลังกับพนักเก้าอี้ยิ้มอย่างมีความสุข

เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับแม่นกที่มองลูกๆตัวบินไปในท้องฟ้าอย่างเสรี..

 

ซานดิเอโก้ เบอร์นาบิว คือสนามเหย้าของทีมที่ได้ชื่อว่าราชันชุดขาว รีล มาดริด ทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการแข่งขันสโมสรยุโรป

สนามแห่งนี้จุคนได้ราวแปดหมื่นกว่าคน อาจเล็กกว่าคัมป์นูของบาร์เซโลน่าแต่ก็ต้องถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในสเปนเพราะเป็นเหมือนกับสนามกีฬาแห่งชาติของสเปนเลยก็ว่าได้

บราซิลเป็นทีมที่มีกองเชียร์ไปทั่วโลกดังนั้นแม้จะเป็นการแข่งขันของทีมยุวชน ก็ยังมีผู้ชมหลั่งไหลมาเต็มสนามเบอร์นาบิวจนเกือบเต็มความจุของสนาม ธงชาติบราซิลปลิวไสวอยู่เหนืออัฒจันทร์ด้านหนึ่ง

แต่วู๊ดที่ได้ลงเป็นตัวจริงหันไปหามุมหนึ่งที่กองเชียร์ทีมชาติไทยอยู่ ตรงนั้นมีธงไตรรงค์ปลิวต้านแรงลม กองเชียร์ส่งเสียงออกมา มีแฟนบอลเจ้าประจำแต่งชุดไทยวิ่งโลดแล่นเรียกร้องให้กองเชียร์ขนาดย่อมๆเปล่งเสียงดังขึ้นสู้กับกองเชียร์จำนวนมหาศาล

สู้ขาดใจ.. วู๊ดปฏิญาณกับตัวเอง

 

แต่ไหนแต่ไรทีมชาติบราซิลนั้นมีเอกลักษณ์ที่การเดินเกมรุกที่งดงาม ดังนั้นชาญจึงต้องวางหมากมาต้านทานเกมรุกที่ทรงประสิทธิภาพเอาไว้ให้ได้

เขาวางกองหลังไว้ห้าตัวโดยเอาจอมไปไปยืนเป็นกองหลังตรงกลางร่วมกับอีกสองตัวจริง ให้ตั้มยืนเป็นแบ็กขวาแทนตัวหลักที่เจ็บไปในนัดกับเดนมาร์ก

ส่วนกองกลางใช้ตัวรับทั้งสองคือวู๊ดกับอนุพงศ์ ตัวรุกหนึ่งนั่นคือก้านเพชร

กองหน้าก็ใช้สิระยืนเป็นตัวเป้า โดยท๊อปกับโป้งถอยลงมายืนด้านหลังสิระในแนวเดียวกัน

แล้วก็เป็นผล เกมครึ่งแรกจึงจบไปแบบศูนย์ประตูต่อศูนย์แม้บราซิลครองเกมบุกเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ทีมไทยได้สวนเป็นระยะ หากโป้งกับท๊อปสลับกันยิงออกไปคนละที


พอเข้าสู่ครึ่งเวลาหลังได้ก็ยังเป็นรูปแบบเดิม.. แต่ทีมไทยก็กล้าจะเดินเกมบุกมาขึ้นและก็ทำได้ดีแบบมีลุ้นหลายครั้งจากโป้งกับสิระ แต่แค่เฉียวเสาไป

 

“ยากนะนี่” อำนาจกล่าว เขาปาดเหงื่อด้วยอาการลุ้นหนักไม่ใช่ร้อน เพราะนั่งอยู่ในห้องแอร์เย็นเฉียบ

“ก็ต้องเป็นแบบนี้หละครับ” ฮัลเซย์กล่าวแล้วยกเบียร์จิบ

“ถ้าเทียบกันตัวต่อตัว เราสู้เขาไม่ได้ จะมีก็แค่โป้งที่ทักษะเฉพาะตัวดีพอ  ดังนั้นเราก็ต้องใช้ทีมเวริคเข้าว่า”

"สำคัญคือห้ามเสียประตูก่อน.. ไม่อย่างนั้นเอาคืนยาก เวลาก็ใกล้หมดแล้วด้วย” อำนาจกล่าวเสริมออกมา

 

การแข่งขันก็ทำท่าจะเสมอกันอยู่แล้ว

ทว่า..

อนุพงศ์ได้ลูกจากการส่งต่อมาจากวู๊ด ที่วิ่งไปตัดหน้าแย่งมาจากกองหน้าบราซิลได้และจ่ายมา

แต่ตอนนี้เหมือนเกือบทั้งทีมถอยลงไปหมด ทำให้มีแค่สิระเท่านั้นที่อยู่ข้างหน้า..

แต่ระหว่างนั้นนั่นเอง..

อนุพงศ์มัวแต่คิด ก็เลยไม่ทันได้ระวัง กองกลางของบราซิลวิ่งมาเบียด

อนุพงศ์พยายามดันสู้แต่เขาก็ต้องเสียการครอบครองลูกบอลไป  แล้วตัวผู้เล่นอีกตัวของบราซิลที่รอจังหวะอยู่แล้วก็วิ่งมาเอาลูกไปได้

โป้งอยู่ใกล้ก็พยายามจะเข้าสกัด แต่เขาเองก็ไม่ใช่คนถนัดเกมรับ สกัดได้แค่ลมเพราะกองกลางของบราซิลตัวนี้คล่องแคล่วมาก

ผู้เล่นบราซิลความสามารถสูงทุกคน เดี่ยวเดียวก็วิ่งมาถึงหน้ากรอบเขตโทษ สุพจน์ตัดสินใจวิ่งเข้าเข้าหา แต่จังหวะนั้นเองที่ผู้เล่นมากทักษะก็จ่ายบอลไปข้างๆ

ตัวผู้เล่นที่ตามมาวิ่งมาสับเท้ายิงไกล

จอมกระโจนเข้าขวางทางลูก ทำให้ลูกกระแทกกับหลังของเขาเต็มที่แล้วกระดอนไป

กองหน้าบราซิลอยู่ในทิศที่ลูกลอยไปพอดี ไม่ได้จับลูกบอล หมุนกลับตัวเตะวอลเล่ย์เต็มแรง

ลูกบอลพุ่งมาอย่างจรวด แม้โกลจะปัดได้ก็แค่ปลายมือทำให้ลูกเปลี่ยนทางนิดหน่อย

มันพุ่งกระแทกเสา แล้วเข้าประตูไป

โป้งถอนหายใจยาวหันไปมองสกอร์บอร์ดที่เปลี่ยนเป็นหนึ่งประตูต่อศูนย์ เวลาการแข่งขันเหลืออีกแค่สิบนาทีเท่านั้น

 

เด็กยังขาดประสบการณ์ ชาญถอนหายใจ แต่เขาก็ยังเดินออกไปกระตุ้นลูกทีม

“สู้.. อย่าท้อสู้เข้าไป”

แล้วเด็กๆก็เหมือนมีแรงฮึดขึ้นมาอีก เปิดเกมเข้าใส่ทีมชาติบราซิลจนต้องถอยหลังไปตั้งรับ

โป้งวิ่งไปทั่วสนามทั้งจ่าย ทั้งโยน ทั้งยิงไกลทำทุกอย่างที่เขาจะทำได้

หนึ่งในกองเชียร์ไทยที่อยู่ใกล้กับขอบอัฒจันทร์ จึงมองเห็นแววตาของโป้งตอนที่เดินมาเตะมุมได้ถนัด

แววตานั้นแสนจะมุ่งมั่น

เขาจึงลูกขึ้นตะโกน..

“ไทยแลนด์ สู้ๆ”

แล้วกองเชียร์ก็ส่งเสียงออกมาดังสนั่นจนโป้งหันไปมอง

เขายิ้มออกมาแล้วยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะหันกลับไปมองในสนาม ถอยหลังแล้วเตะออกไป

แม้ลูกจะโค้งไปลงที่ท๊อปพอดี แต่จังหวะยิงของเขาไปติดผู้รักษาประตู

“ถอย” อนุพงศ์สั่งเสียงดัง

ผู้รักษาประตูทีมบราซิลโยนลูกให้ผู้เล่นกองกลาง กองกลางก็เตะต่อเร็วไปให้กองหน้า

กองหน้าบราซิลตัวนี้ถูกจับตามองอย่างมาก โรมาริโอ กอซาเลซ พอเขาได้บอลก็วิ่งเลี้ยงลูกวิ่งเร็วจี๋ กองหลังทีมชาติไทยที่ดันขึ้นไปลุ้นลูกเตะมุมแม้จะวิ่งกลับมาสุดชีวิตก็ยังไม่ทัน

โกลคือปราการสุดท้าย

เขาตัดสินใจ..

โกลวิ่งออกไป.. วิ่งออกจากกรอบเขตโทษ

กองหน้าบราซิลเห็นเหมือนกำแพงยักษ์ที่เคลื่อนเข้าหาอย่างรวดเร็ว แล้วกว่าเขาจะรู้ตัวโกลก็ล้มตัวลงสกัดที่ลูกด้วยขา

ลูกบอลติดเท้าโกลมา เขาจึงรีบลุก แล้วเลี้ยงไปข้างหน้าเล็กน้อย

มองไปโป้งวิ่งกลับลงมาถึงบริเวณเลยวงกลางสนามมานิดหน่อย และว่างอยู่คนเดียว

เขาจึงเตะโยนไปด้วยทักษะของอดีตปีกขวา


โป้งมองลูกที่ลอยมา

ต้องทำให้ได้..

เขาเอาอกเตะบอลโดยบิดกายให้ลูกบอลเด้งไปทางฝั่งคู่แข่ง เขารีบวิ่งตามไปแล้วเลี้ยงลูกบอลไปอย่างรวดเร็ว

ฝ่ายตรงข้ามจึงกรูเข้ามาสกัด คนแรกก็โดนโป้งแตะบอลหลบไปทางซ้ายแล้ววิ่งต่อ คนที่สองสไลด์ตัวขวางแต่โป้งก็ยกลูกกระโดดข้ามไป คนทีสามวิ่งเข้ามากะจะชนเอาดื้อๆ โป้งก็ดึงจังหวะหลบ แล้วพาลูกบอลหนีการปะทะไปได้อีก

ตอนนี้ทั้งสนามเงียบกริบแล้ว ไม่มีกองเชียร์คนไหนส่งเสียง ทั้งหมดมองโป้งพาลูกมุ่งไปหากองหลังตัวสุดท้าย

โป้งหยุดบอลก่อนจะถึงตัวกองหลังร่างใหญ่ แล้วเขาก็หนุนตัวบังลูกบอลเอาไว้ นายจึงนั้นพยายามจะเข้าปะทะแย่ง

แต่จังหวะนั้นเองโป้งก็ใช้เท้าช้ายคลึงลูกไปข้างหน้านิดหนึ่งก่อนกระชากกลับทำให้ลูกบอลลอยขึ้นในแนวดิ่ง เขาใช้เท้าขวาตามงัดลูกให้ลอยไปในอากาศ มันโด่งข้ามหัวของกองหลังบราซิล แล้วเขาก็หมุนตัวหลบร่างสูงมาได้อย่างฉิวเฉียด

ลูกบอลตกพื้นตรงตำแหน่งที่โป้งพลิกตัวหนีมาพอดี

แต่จังหวะเดียวกันนั้น ผู้รักษาประตูบราซิลก็วิ่งออกมา

โป้งจึงตัดสินใจเตะสวนเต็มหลังเท้า

ผู้รักษาประตูบราซิลปฏิกิริยาว่องไว แม้นจะโดนยิงในจังหวะเรียกว่ายิงแสกหน้า เขาก็ยังยกสองมือพยายามบล๊อกไว้

ลูกบอลกระแทกกับมือแล้วก็กระดอนสูง.. แต่ก็โค้งกลับลงมา..

ทั้งสนานจ้องลูกที่ค่อยๆโค้งลงเป็นตาเดียว..

แต่มันทำได้แค่กระแทกกับคานบนแล้วกระดอนออกหลังไป..

โป้งทรุดกายลงหมดแรง.. เขาใช้ไปหมดแล้วทั้งกำลังและความสามารถ ทิ้งกายนอนหงายเหยียดยาวกับพื้นสนาม

ขอโทษนะทุกคน..

แต่แล้วจากกองเชียร์ที่เงียบไป ก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง

ท๊อปมายืนตรงหัวแล้วยิ้ม

“พวกเขาปรบมือให้นายโป้ง..”

โป้งจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบตัวมีแต่คนยืนขึ้นปรบมือ

เขาลุกขึ้นโดยการช่วยเหลือของท๊อป

“ปรบมือตอบเขาสิ”

โป้งจึงยกมือขึ้นเหนือหัวแล้วปรบมือพร้อมวิ่งกลับไปประจำตำแหน่งโดยมีเสียงปรบมือกึกก้องเป็นฉากหลัง

 

“ตอนนี้ผู้ชมลุกขึ้นปรบมือให้เทพพรกันหมดเลยครับ.. ทั้งที่ยิงไม่ได้แต่เขาก็ได้พยายามแล้ว เลี้ยงเดี่ยวขึ้นมา ล๊อกหลบสี่ด่าน แต่จังหวะสุดท้ายยิงไม่ผ่านการป้องกัน.. แต่นั้นก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากครับ” ผู้บรรยายกล่าวออกมา

วราพรยิ้มกับภาพลูกชายวิ่งไปในสนามท่ามกลางความชื่นชมอย่างยินดี

ฤทธิ์..คุณดูสิคะ ลูกเราเก่งมากใช่ไหมคะ..



“เด็กคนนี้.. ชื่ออะไร” หนึ่งในผู้ชมในถามกับคนที่อยู่ข้างๅเขา มือยังปรบอยู่

“เทปปอน.. เทปปอน..” พยายามอ่านก็ได้แค่นั้น

คนตอบเป็นผู้ช่วย เขากำลังบอกข้อมูลแก่ผู้จัดการทีมชาวสเปนที่เป็นเจ้านายของเขา

ผู้จัดการทีมฟุตบอลหนุ่ม แต่มีผลงานดีเยี่ยม เขาพยักหน้าช้าๆ

“เทปปอน..” เขาทวนคำนั้นด้วยสำเนียงใกล้เคียงกัน

กองเชียร์ทีมชาติไทยที่อยู่ใกล้ๆก็ลุกขึ้นแล้วเหยียดแขนออกไปสุด แล้วชูนิ้วโป้งขึ้นทั้งสองมือ

“โป้ง โป้ง โป้ง โป้ง...”

“โป้ง..” ผู้จัดการทีมหนุ่มลองออกเสียงตาม

 

ไม่นานนักนกหวีดยาวจบการแข่งขันก็ดังขึ้น


ในหมู่ผู้ชมยังมีชายหนุ่มอีกคน เขากำลังจับตามองที่เด็กหนุ่มร่างเพรียวที่กำลังตอบรับการจับมือของผู้เล่นทีมชาติบราซิล

“A new star is raising” เขากล่าวเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งเล็กน้อยตามแบบคนที่มาจากเวลส์

นักเตะที่มีเท้าซ้ายเป็นตำนานและตัวเด็กหนุ่มที่ถูกพูดถึงเองก็ชื่นชม เพราะเขาคือผู้เล่นเท้าซ้ายที่โป้งถือเป็นแบบอย่าง และยกให้เป็นไอดอลอันดับหนึ่ง

“ฉันหวังว่า จะได้เห็นเธอในอังกฤษเร็วๆนี้นะ”

 

กสินธุ์เป็นหนุ่มไทยที่ใช้ชีวิตในกรุงมาดริดเพราะแม่ของเขาแต่งงานกับคนสเปนและพาเขามาที่นี่ ตอนนี้เขาชวนพวกนักเรียนไทยในสเปนและกองเชียร์พวกอื่นมายืนรอตรงทางออกของรถบัสนักกีฬา

ตอนแรกเขาก็นึกว่าจะมีแค่เขากับไม่กี่คน แต่ที่ไหนได้พอพวกกองเชียร์กลุ่มอื่นได้ยินก็ตามกันมา

แพ้หรือชนะ.. แต่เท่านี้พวกเขาได้ทำหน้าเป็นตัวแทนที่ดีให้ประเทศ ตอนนี้หัวใจของกสินธุ์เต็มไปด้วยความภาคภูมิ

พวกนายทำดีที่สุดแล้วจริงๆ.. นั่นคือที่ชายหนุ่มอยากจะบอก..

แล้วรถบัสที่มีป้ายเขียนเป็นภาษาสเปนว่าทีมชาติไทยก็วิ่งออกจากประตูมา

“ไทยแลนด์” กสินธุ์เป็นต้นเสียงร้องขึ้น

“ไทยแลนด์ ไทยแลนด์ ไทยแลนด์”

มีแฟนบอลชาวสเปนคนอื่นที่พึ่งเดินออกจากสนามผ่านมาพอดี พวกเขาจึงหยุดปรบมือให้กับหัวใจสู้ของนักกีฬาจากแดนไกลที่สู้กับทีมอันดับต้นๆของโลกได้อย่างดีเยี่ยม..

โป้งมองไปที่แฟนบอลทีมชาติไทย ในใบหน้าหลากหลายนั้น โป้งคล้ายจะเห็นใบหน้าหนึ่ง.. แต่รถก็แล่นออกมาก่อนที่เขาจะได้พิจารณา

กสินธุ์แค่ได้เห็นโป้งอีกครั้งเขาก็ชื่นใจแล้ว

“ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้นายเสมอโป้ง.. นายไม่ต้องคิดถึงฉัน แค่อย่าลืมเรื่องของเราก็พอ..”

แล้วเขาก็ตะโกนร่วมกับคนอื่นต่อไป

“ไทยแลนด์ ไทยแลนด์ ไทยแลนด์”

ธงชาติไทยปลิวไสวในแสงยามค่ำของสนามซานดิเอโก เบอร์นาบิว และถนนหลวงของมหานครมาดริด..

ใครจะรู้ ในอีกไม่กี่ปี่ข้างหน้า.. มันจะไปโบกสะบัดอีกครั้งในแผ่นดินอื่นที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอีกครั้งก็ได้..


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง
เริ่มหัวข้อโดย: Andylover ที่ 08-01-2016 08:46:40
ตอนจบภาค มาดริด : รักแรกคือม่อน.. แต่รักปัจจุบันคือโกล



นัดชิงที่สามกับนั้นต่างฝ่ายต่างก็ใช้เป็นสนามเพื่อทดสอบทีม ดังนั้นโป้งจึงถูกพักเป็นสำรอง และถูกเปลี่ยนลงไปในนาทีเจ็ดสิบกว่าตอนที่สกอร์เสมอกันที่ศูนย์ต่อศูนย์

แต่พอลงไปโป้งก็แผลงฤทธิ์ทันที จังหวะนี้เป็นจังหวะแรกที่สัมผัสบอลซึ่งเป็นการที่เขาได้บอลอยู่ในระยะสามสิบหลาจากประตูฝั่งตรงข้าม แต่เขาเห็นว่าผู้รักษาประตูออกมาห่างประตูเกินไป..

โป้งหรี่ตา..

เอาวะลองดู พี่เบ็คยังยิงได้เลย

แล้วเขาก็วางเท้าขวา ง้างเท้าช้ายยิงไปเต็มแรง..

ลูกบอลพุ่งไปแล้วโค้งลงนิดหนึ่งแต่นั้นก็สุดกำลังที่ผู้รักษาประตูจะปัดป้องไว้ได้

มันพุ่งเสียบใต้คานไปกระแทกตาข่ายด้านหลัง ท่ามกล่างเสียเฮของกองเชียร์ไทยประสมเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของกองเชียร์ฝั่งตรงข้าม คือกองเชียร์ทีมชาติฝรั่งเศสนั้นเอง

 

“ผู้บรรยายต่างประเทศบอกว่าลูกนี้มีผลกับโป้งมาก.. เพราะตอนนี้โป้งอาจได้รับเสียงโหวตมากขึ้นจากผู้สื่อข่าวเพราะว่าเขากำลังเบียดกับ โรมาริโอ กอนซาเลส ของบราซิลในรางวัลโกลเด้นบอลหรือก็คือ MVP ของทัวร์นาเม้นท์” ผู้บรรยายรายงานตามที่ได้ยินจากเสียงภาษาอังกฤษ

“เรามาลุ้นกันครับ ว่านายโป้งทำสำเร็จหรือไม่..”

 

ทีมชาติฝรั่งเศสพอเสียประตูก็ไม่ยอมเสียหน้า ดาหน้ากันบุกเข้ามา แล้วก็มีจังหวะหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะกองหน้าฝรั่งเศสเลี้ยงบอลหนีจอมที่เสียหลักลื่นล้มไปได้ แล้วมุ่งเข้ามาในเขตโทษ

โกลยืนจังก้าอยู่กลางประตู กองหน้าฝรั่งเศสก็หลอกหน้าเท้าทำเหมือนจะยิงแรงแต่กลายเป็นแปไปทางซ้าย

แต่สายตาของโกลไม่ได้มองที่เท้า  เขามองที่ลูกบอล พอลูกบอลพุ่งมาเขาก็ล้มตัวลงตะครุบไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

 

“ตอนนี้โกลน่าจะเป็นเจ้าของรางวัลถุงมือทองคำเกือบจะแน่นอนแล้ว เพราะตอนนี้ทีมที่เสียประตูน้อยสุดของรายการรองจากไทยคือทีมฝรั่งเศสนี่เอง โดยพวกเขาเสียไปแค่สามลูก แต่ถ้ารวมที่เสียวันนี้ด้วยก็สี่ลูก แต่ทีมไทยเราเสียแค่สองลูกเท่านั้น” ผู้บรรยายบอก

ตั้นหันมองเวลาที่มุมขวาด้านบนของจอภาพ แล้วหันไปมองหน้าคฑา

“ห้านาทีจะโดนยิงสองลูกไหมวะ” เขาถาม

“จะให้ชัวร์ไอ้โป้งต้องยิงอีกลูก หรือไม่ใครก็ได้ยิงไปอีกลูก” คฑาตอบ

แล้วตั้นหันกลับไปมองจอ ตอนนี้ผู้เล่นที่หน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะกำลังพาลูกขึ้นไปทางกราบขวา

“เอาเว้ยพี่ตั้ม.. “ เขากำหมัดลุ้นอย่างเต็มที่ทั้งเอาใจช่วยคู่แฝดและทีมชาติไทย

 

ตั้มพาลูกวิ่งมาจนเกือบครึ่งสนาม เขาสบตากับวู๊ดที่ยืนตำแหน่งอยู่ก่อนจะเตะส่งลูกให้

วู๊ดก็เตะกลับไปทางขวาในทิศที่นำหน้าไป ตั้มวิ่งสปีดหนีตัวประกบมารับบอลได้แล้ววิ่งต่อไป ก้านเพชรเห็นดังนั้นก็เลยวิ่งหุบเข้าตรงกลาง เพื่อดึงตัวผู้เล่นที่ประกบเขาให้วิ่งตาม เป็นโอกาสให้ตั้มเตะโยนเข้าไปหน้าประตู

ปอกระโดดขึ้นโหม่งในจังหวะเดียวกับกองหลังและผู้รักษาประตูฝรั่งเศส

แต่หมัดของผู้รักษาประตูชกโดนลูกก่อน หากโดนแค่เฉี่ยวๆ ลูกก็เลยไปไหนไม่ได้ไกล ตกลงตรงกลางเขตโทษพอดี

โป้งยืนอยู่ตรงนั้น.. เป็นจังหวะขาขวา..

แต่เขาก็ไม่ลังเลยิงเล่นทางไปด้านซ้ายที่ว่างโล่ง เข้าประตูไป...

กองเชียร์ไทยเฮสนั่นสนามแล้วก็สะบัดโบกธงชาติไทยให้ปลิวไสวอีกครั้งหนึ่ง ในสนามซานดิเอโก้ เบอร์นาบิว.. แต่ครั้งนี้เป็นการโบกเพื่อฉลองชัยให้แก่ทีมชาติไทยเหนือทีมชั้นนำแห่งยุโรป..
"ไทยแลนด์ ไทยแลนด์ ไทยแลนด์" กองเชียร์ร่างอ้วนเตี้ย กางแขนออกทั้งสองข้าง เขาเพนท์หน้าเป็นสีธงไตรรงค์และเชิดหน้าประกาศออกไปสุดเสียง

"ไทยแลนด์..."


เสียงเฮลั่นโรงพยาบาลทำวราพรตกใจ เปิดประตูออกมา

“อย่าเสียงดังนะคะที่นี่โรงพยาบาล” เธอว่า

ญาติผู้ป่วยที่ยืนดูทีวีอยู่ก็เลยเงียบกริบกัน แต่ทุกคนมีรอยยิ้ม เด็กคนหนึ่งชี้ไปที่โทรทัศน์ให้วราพรดู

โป้งวิ่งเหยาะๆกลับแดนตัวโดยมีปอวิ่งกอดคอแสดงความดีใจ

จากนั้นก็ตัดไปที่ภาพรีเพลย์จังหวะโป้งเตะลูกเปลี่ยนทางเข้าประตู

“พี่โป้งเก่งจัง” เด็กชายเดินมาบอก

“ถ้าพี่โป้งกลับบ้าน น้าให้พี่โป้งสอนผมด้วยนะ”

วราพรยิ้มแล้วเอามือลูบหัวเกรียน

“ได้จ๊ะพี่โป้งเขาชอบสอนคนอื่นอยู่แล้ว”

พอพูดจบก็มีเสียงเฮอีก

วราพรเลยหันไปเขม้นตาดุอีก

“โรงพยาบาลงดใช้เสียงค่ะ”

ที่เฮอีกรอบเพราะกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันแล้วนั้นเอง

 

แม้ทีมจะได้แค่เหรียญทองแดง แต่ก็ได้รับรางวัลปลอบใจคือรางวัลFair Play เพราะการเล่นที่ใสสะอาดและทำฟาลว์น้อยกว่าทีมอื่น

ส่วนโป้งกับโกลก็ได้ถ้วยส่วนตัวมาคนละใบ

โดยโป้งได้ลูกบอลทองคำ(Golden Ball) ซึ่งเป็นการเฉือนผู้เล่นบราซิลไปด้วยประตูสองประตูสุดท้ายของเขา ส่วนโกลได้ถุงมือทองคำ(Golden Glove) จากการที่เสียประตูเพียงสองลูกตลอดทัวร์นาเม้นท์

 

เพราะกำหนดการกลับเป็นวันพรุ่งนี้ โค้ชก็เลยอนุญาตให้เหล่านักฟุตบอลไปเที่ยวกันเองในกรุงมาดริดได้ แต่เงื่อนไขคือจะต้องไปกลุ่มๆ โดยมีโค้ชคนหนึ่งติดตามไปด้วยในทุกกลุ่ม

กลุ่มเด็กเก่าจากนวสาครก็เลยจับกลุ่มกันได้ก่อนใครและคนที่ไปด้วยคือวีระ

“มีใครเคยมาบ้างไหม” วีระถามตอนอยู่ในสถานีรถใต้ดิน

“ผมครับ” ก้านเพชรตอบแล้วยกมือ

“เราจะไปไหนกันดีหละ” วีระถาม

“ก็คงต้องไปปาราซิโอ เรอัล ที่เป็นพระราชวัง จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ Mercado De San Miguel แล้วไปก็ไป Puerta del Sol จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยช๊อปปิ้งแถว Gran Via” ก้านเพชรตอบอย่างชำนาญ

วีระพยักหน้าแล้วมองหน้าลูกทีมทีละคน

“ว่าไง”

ไม่ใครออกความเห็นก็เป็นอันตกลง

 

กสินธุ์เงยหน้าจากแผ่นสเกตภาพที่เขากำลังพยายามจะวาดภาพแนวอิมเพรสชั่นนิสของย่าน Gran Via

“กัสติน..” เสียงเรียกจากข้างตัว

“หือ..” เขาขาน

“หิวจัง ฉันไปซื้ออะไรกินดีว่า นายจะเอาอะไรหล่ะ” ไม่ได้พูดเปล่าแต่เอาแขนมาคล้องที่คอแล้วเอาหน้ามาแนบแก้ม

“อะไรก็ได้ แต่ขอเป็นเครื่องดื่มแล้วกัน ฉันยังไม่หิวเท่าไหร่” กสินธุ์กล่าวเอียงคอเล็กน้อย ที่ต้นคอสัมผัสถอกไรหนวดของหนุ่มสเปน

“ได้เลยที่รัก”

กสินธุ์มองตามร่างสันทัดของเฟอร์นันโด้ไป แล้วหันมามองมองภาพของ Gran Via อีกครั้ง

 

โป้งเดินมาตามถนนมองร้านรวงแล้วก็ไม่คิดอยากจะเข้าร้านไหน แต่พอโกลหยุดเขาเลยต้องหยุดบ้าง

โกลยืนมองนาฬิกาสวิสต์ยี่ห้อดังอย่างสนใจ

“แพงไม่ใช่เหรอโกล” โป้งถาม

“เออ.. แต่ก็ไม่ได้มากจนซื้อไม่ได้ไม่ใช่เหรอ..” โกลตอบ

“เดี่ยวเอาเงินอัดฉีดจ่ายก็ได้นี่ กูพกบัตรเครดิตมาด้วย”

แล้วเขาก็จับมือโป้งเดินจูงเข้าร้านไป

พอเข้ามาในร้านโกลก็สนทนากับพนักงานด้วยภาษาอังกฤษเพื่อขอดูนาฬิกาแบบเดียวกันกับที่โชว์อยู่หน้าร้าน

โป้งมองไปรอบๆ ก็เห็นนาฬิกาอีกหลายแบบที่สวยงาม เขาเดินไปดูนาฬิกาผู้หญิงเรือนน่ารัก คิดจะซื้อให้มารดาแต่..

“ซื้อไปมีหวังโดนแม่ด่าแน่ๆ”

พนักขายที่เป็นหนุ่มวัยราวๆยี่สิบต้นๆยิ้มให้ตอนโป้งเงยหน้าขึ้นมา

“Oh I just look” เขาตอบเป็นภาษาอังกฤษ

พนักงานหนุ่มมุนคิ้ว

“คุณคือนักฟุตบอลทีมชาติไทยใช่ไหม” เขาถาม ที่ถามเพราะเมื่อเช้าหนุ่มพนักงานพึ่งอ่านหนังสือพิมพ์กีฬาแล้วแปลกใจไม่น้อยกับข่าวของนักฟุตบอลจากแดนไกลที่ได้ลูกบอลทองคำแม้จะเป็นแค่ระดับเยาวชนก็ตามที

“ใช่ครับ”โป้งตอบเป็นภาษาอังกฤษ

แล้วเขาก็ยกนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว ก่อนจะเดินไปด้านหลังแล้วกลับออกมา พร้อมกระดาษกับปากกา

“ขอลายเซ็นคุณหน่อยได้ไหมครับ”

โกลที่ดูนาฬิกาอยู่หันมามอง

โป้งมองหน้าชายหนุ่มก่อนจะเซ็นชื่อ

 

โกลยังดูนาฬิกาอีกหลายเรือน เขาขอดูอย่างพินิจพิเคราะห์ จะว่าไปโกลเป็นคนละเอียดลออมาก เวลาซื้อหาอะไรแม้โดยฐานะจะจ่ายได้ง่ายๆ แต่โกลก็ยังเลือกแล้วเลือกอีกเหมือนกัน

โป้งจึงออกไปยืนมองที่กระจกเพื่อดูคนเดินผ่านไปผ่านมา  แล้วเขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกับที่กำลังวาดรูป พอดีจังหวะนั้น เด็กหนุ่มชะโงกพ้นกรอบภาพออกมา

“ม่อน..” โป้งพึมพำ

 

กสินธุ์แปลกใจที่เฟอร์นันโด้ไปนานจึงเริ่มมองหา แต่พอเขาหันกลับมา มีร่างเพรียวสันทัดยืนอยู่

ดวงหน้าอ่อนหวาน ดวงตาที่มองมานั้นส่งแววที่แปลกใจปนยินดี

“ม่อน” เขาเรียก

กสินธุ์ลุกขึ้นยืน..

โลกเหมือนจะหยุดหมุนในห้วงเวลาของคนทั้งคู่ ที่ยืนมองตากัน

ภาพสุดท้ายของความทรงจำ คือการอำลาด้วยน้ำตาที่สนามบินเชียงราย.. ตอนนั้นในความทรงจำของกสินธุ์ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าสวมใส่เสื้อฟุตบอลทีมโปรดสีแดง กับกางเกงยีนต์ตัวเชยๆ  แต่ตอนนี้เขาสูงกว่าเดิมรูปร่างแข็งแรงขึ้น และสวมเสื้อผ้าเข้าชุดกันตามสมัยนิยม แต่ดวงตาและรอยยิ้มดุจเดิม

“โป้ง..” กสินธุ์ขานชื่อนั้นออกมา

“ดีใจจังที่เจอนาย” โป้งกล่าวแล้วเดินเข้ามาใกล้อีกนิด

“ยังคิดอยู่ว่าจะไปหานาย แต่เวลามันกระชั้นมาก แถมฉันก็ไม่รู้ว่านายอยู่ไหน”

กสินธุ์ยิ้มตอบ

“ฉันก็ไปเชียร์นายทุกนัดเลยหละ นายนี่สุดยอดชะมัด เก่งกว่าเดิมอีก เมื่อก่อนก็เก่งมากแล้วนะ ฉันนี่เชียร์จนเสียงแหบเลยรู้ไหม”

โป้งยิ้มตอบ แล้วมองมาทางภาพวาดของกสินธุ์หรือโป้งเรียกติดปากว่าม่อน

“เรียนวาดภาพจนได้สินะ..”

“อืม..” ม่อนพยักหน้า ก่อนเขาจะเงียบไป

“แต่ฉันไม่ได้เล่นฟุตบอลแล้วหละ”

แล้วก็ถลกขาให้ดู ที่ขามีร่องรอยการผ่าตัด

“ตอนนี้มีเหล็กในขา หมอก็ห้ามเล่นกีฬารุนแรง ก็เลยเลิกเล่น”

โป้งพยักหน้า ถอนหายใจ

“น่าเสียดายนะ.. แต่นายก็ได้ทำอีกอย่างที่รักแล้วนี่”

“กัสติน” เสียงเรียกทำให้ม่อนหัน

หนุ่มสเปนวัยไล่เลี่ยกันเดินมาพร้อมถุงขนม

เขามองหน้าโป้งด้วยความแปลกใจ

“นี่เฟอร์นันโดนะ เขาพูดอังกฤษไม่ค่อยเก่ง” ม่อนแนะนำโดยเลือกใช้ภาษาที่ทั้งคู่พอเข้าใจกันได้คือภาษาอังกฤษ ก่อนจะหันไปอธิบายให้เฟอร์นันโด้ฟังเป็นภาษาสเปน

“โอเค.. คุณก็คือคนรักคนแรกของกัสติน..” เฟอร์นันโดกล่าวออกมาตรงๆตามแบบคนที่ไม่ชำนาญภาษาและตรงไปตรงมา

โป้งทำหน้าเร๋อ..

แต่พอเฟอร์นันโดยื่นมือมาเขาก็จับด้วย

“โป้ง..” เสียงเรียกบ้างแต่เป็นกลุ่มเพื่อนร่วมทีม โบกมือไหวๆให้โป้งตามไป

โป้งหันไปแล้วหันกลับมา

“ฉันต้องไปแล้วนะ” โป้งกล่าวเป็นภาษาไทย

กสินธุ์ยิ้มแล้วพยักหน้า

โป้งยกมือโบกอำลาให้เฟอร์นันโดแล้วเดินข้ามถนนกลับไป กลุ่มเพื่อนเดินไปกันแล้ว แต่โป้งเดินเข้าไปในร้านนาฬิกาสักพักก็กลับออกมา

กสินธุ์กำลังกัดขนมปังที่เฟอร์นันโดซื้อมาฝาก เงยไปเห็นพอดี

โป้งชี้มือมา โดยมีเด็กหนุ่มร่างสูงที่กสินธุ์จำได้ทันที่เห็นหน้า นายกรกฏ โกล ผู้รักษาประตู เขายกมือขึ้นทักทาย

กสินธุ์เลยยกมือตอบ

แล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงกันไปตามถนนโดยพูดคุยกัน นายร่างสูงหยิบกล่องนาฬิกาออกจากถุง โป้งมองแล้วก็พูดอะไรบางอย่างด้วยสีไม่ชอบใจนัก

แต่กสินธุ์พอเดาได้ว่าพูดอะไร..

ก็คงเพราะนายร่างสูงซื้อนาฬิกาแพงให้ โป้งก็เลยบ่นว่าสิ้นเปลือง

 

งวดนี้คนที่นอนกับโป้งกับโกลคือปอ แต่ตอนนี้ปอออกไปหาคู่ซี้คือตั้มเพื่อเอานาฬิกาใหม่ของโกลไปให้ดู เนื่องจากนาฬิกาเรือนนั้นราคาเกือบสามแสนบาทไทย

“มึงเห็นเขาแล้วใช่ไหม” โป้งถามขึ้นมา ตอนนี้โป้งยืนอยู่ที่หน้าต่างมองลงไปที่ภาพของถนนหลวงที่มีรถราวิ่งขวักไขว่

“เขาชื่อม่อน เป็นรักแรกของกู”

โกลที่กำลังนั่งพับเสื้อใส่กระเป๋าเดินทางอยู่บนเตียง หยุดมือ หันไปมาโป้ง

“ก็เหมือนที่เคยเล่าให้ฟัง.. เขาก็คือเพื่อนร่วมทีมที่กูบอกว่ามีอะไรกับเขา” โป้งหันมา

ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่

โกลหันไปหยิบกางเกงมาพับต่อ

“ขอบใจที่บอกตรงๆ..” โกลกล่าวเมื่อวางกางเกงใส่กระเป๋าของเขาแล้ว

“อย่างน้อยกูก็ได้รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างนี้นะ.. ก็น่ารักดีนี่ เป็นจิตรกรด้วย”

โป้งมองหน้าโกลแล้วเดินมาใกล้

“เขาไม่ได้เล่นบอลแล้วนะ..” โป้งมองตาโกล

“ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ผู้ชายคนที่อยู่กับเขาขื่อเฟอร์นันโด เป็นแฟนของเขาหละมั้ง”

แล้วโป้งก็เอามือสองข้างจับที่แก้มทั้งสองของโกล

“โกล.. ม่อนคือรักแรกของกู พี่อรรถคือรักที่ประทับใจ แต่มึงคือรักปัจจุบัน.. แต่กูไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคต กูจะมีใครอีกไหม หรือจะเปลี่ยนไปแค่ไหน.. แต่สำหรับวันนี้ ตอนนี้.. มึงคือรักปัจจุบัน และกูก็รักมึงที่สุดโกล.. กูไม่สัญญาว่าจะรักมึงมากแค่ไหน นานแค่ไหน.. หรือจะรักมึงเป็นคนสุดท้าย.. กูแค่จะพยายามรักษาความรักของกูตอนนี้ให้มึงไปเรื่อยๆ.. เรื่อยๆ.. นานที่สุดเท่าที่จะนานได้..ก็เท่านั้นเอง”

แล้วโป้งก็ค่อยจุมพิตลงบนริมผีปากของโกลอย่างนิ่มนวล..

โกลหลับตาลงตอบรับสัมผัสและการถ่ายทอดหัวใจผ่านการจูบที่แสนหวานของโป้ง..


หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 09-01-2016 15:42:02
สนุกมากค่ะ ตามอ่านวันเดียวจบเลย มีภาคต่อใช่ไหมคะ รออ่านต่อนะคะ
ทำไมลงในหมวดเรื่องสั้นละคะ ถ้าลงในหมวดนิยายน่าจะมีคนอ่านมากกว่านี้
เราก็บังเอิญมาเจอนะคะเนี่ย เกือบพลาดแน่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายดีๆ
รอภาคต่อไปอยู่นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 09-01-2016 23:19:46
เป็นเรื่องที่ดีมาก เป็นเรื่องสั้นที่ยาวมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ^ ^
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: Amaryllifolius ที่ 13-01-2016 23:45:38
สนุกค่ะ อยากเข้าไปอยู่ในบรรยากาศกองเชียร์โป้งบ้างจัง ท่าจะมันดี
นี่อ่านเพลินมากเลย ขนาดไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับบอลนะ แหะๆ  :hao3:

จะรอติดตามต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-02-2016 14:42:58
สนุกมากครับ อ่านรวดเดียวจบสะใจมาก
เหมือนได้อ่านการ์ตูนกีฬาดีๆ อิ่มใจไปหมด
มีหลายฉากที่แอบทำให้น้ำตาซึมเลยครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-11-2016 16:05:20
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: awfsp ที่ 26-05-2017 11:43:41
สนุกมาก หามานานเลยเรื่องที่เล่นกีฬาแล้วอธิบายให้เห็นภาพแบบนี้ อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: GRID ที่ 24-08-2017 05:02:32
กลับมาอ่านอีกครั้งเพราะเซ็งฟอร์มบอลไทยซีเกมส์ปีนี้ 2017
ยังประทับใจเหมือนเดิม และได้กำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะ
ขอบคุณผู้ประพันธ์ที่ทำงานหนักเพื่อผลงานชั้นเยี่ยมเรื่องนี้ครับ

ลิงค์ตอนต่อภาคสอง
The Save โกล...เซฟสุดใจเพื่อนายไซด์โป้ง
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51257.0
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 02-02-2018 18:13:25
สนุกมากกกกก อ่านแล้วลุ้นมาค่ะ ,เหมือนเชียร์กีฬาจริงๆเลย อ่านเพลินมาก
เด็กๆน่ารักมาก ชอบตอนเค้าจีบกันนะคะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 13-10-2019 10:43:00
 :pig4:สนุกมากกกกก ชอบๆ ขอบคุณ​สำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องยาวมาก) The Curve: โป้ง... หัวใจปั่นไซด์โค้ง(จบภาค)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:17:08
 :pig4: