เพิ่งจะเคยลงเรื่องสั้นที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไงขอฝากตัวด้วยนะคะ >_<
เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความบ้าดาราจีนของเรานั่นเอง หากมีอะไรติดๆ ขัดๆ ไปบ้างต้องขอคำชี้แนะด้วยนะคะ ขอบคุณค่า
............................................................................
You caught me
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการลาพักร้อน แสงแดดตอนบ่ายจัดจ้าเสียจนคนชอบอยู่กลางแจ้งอย่างจางฉียังรู้สึกรำคาญเหงื่อที่ไหลย้อยเป็นสายลงมาตามขมับ ถึงอย่างนั้นเขายังคงยกกล้องในมือ กดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ เมื่อพบอะไรน่าสนใจ ชายหาดตอนบ่ายของวันหยุดเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ชนิดที่ถ่ายภาพไปก็ต้องคอยระวังไปไม่ให้เหยียบใครสักคนเข้าตามทาง กระนั้นเขายังเผลอชนคนนั้นคนนี้เข้าบ้างจนได้
ปกติแล้วจางฉีชอบถ่ายภาพทิวทัศน์ที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต หรือหากมีบ้างก็มักจะเป็นสัตว์ใหญ่สัตว์น้อยซึ่งมีวิถีเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมนั้นๆ แต่ผู้คนล้นหลามบนชายหาดเวลานี้ก็ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกัน คือเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอย่างแยกไม่ออก ทำเอาเขาอดหยิบกล้องที่พกติดตัวเป็นประจำขึ้นมาบันทึกภาพไม่ได้
ทรายเปียกถูกอัดเข้าไปในแบบพิมพ์และเคาะออกมาเป็นรูปทรงกำแพงเมือง เรียงต่อกันรายล้อมปราสาททรายกองย่อม มือเล็กๆ ของเด็กชายง่วนอยู่กับการโกยทรายเข้าไปในแบบพลาสติกครั้งแล้วครั้งเล่า โดยมีมืออีกคู่ของคนที่น่าจะเป็นพ่อคอยจัดเรียงส่วนต่างๆ ประกอบกันขึ้นเป็นทรงปราสาทสวยงาม
ทีแรกเขาไม่ทันได้สนใจกิจกรรมของพ่อลูกคู่นั้น แต่หลังจากถ่ายรูปผู้คนไปเรื่อยๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นสายตาหลายคู่ที่มองไปยังจุดเดียวกัน ด้วยความสงสัย จางฉีเลื่อนโฟกัสไปยังปลายสายตาเหล่านั้น จนพบกับเด็กชายในชุดกางเกงว่ายน้ำขาสั้น นั่งก่อปราสาททรายร่วมกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง
เด็กชายนั่งอยู่ในตำแหน่งหันหลัง ขณะที่ชายอีกคนนั่งหันข้างให้กล้องของเขา มันเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปตามชายหาด แต่นอกจากปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่ทำให้เขาสนใจแล้ว ลายเส้นโค้งมนบนรูปหน้าด้านข้างของฝ่ายพ่อยังดึงดูดสายตา จนเผลอรัวชัตเตอร์กล้องในมือไม่รู้ตัว
หมวกสีขาวปกคลุมส่วนศีรษะทั้งหมด ในขณะที่แว่นตากรอบใหญ่ทำให้มองเห็นดวงตาจากด้านข้างไม่ถนัด ทว่าเค้าโครงน่าประทับใจของใบหน้า ผิวเนียนสีน้ำตาลไม่ขาวจัดเหมือนคนจีนทั่วไปกระตุ้นความสนใจ ทำให้จางฉีอยากเห็นใบหน้าเจ้าตัวชัดๆ ประกอบกับท่าทีของคนที่ผ่านไปมาและวิธีการแต่งกายเหมือนไม่อยากให้ใครสนใจแต่กลับกลายเป็นจุดเด่นเมื่ออยู่ในสถานที่เช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นเข้าไปอีก ไม่แน่ว่าฝ่ายนั้นอาจเป็นคนดังมาจากไหนก็ได้ เพียงแต่ปกติเขามักจะถ่ายรูปอยู่ตามป่าตามดง เลยตามข่าวสังคมกับใครเขาไม่ค่อยจะทัน
ดวงหน้าสีน้ำตาลหันมาพูดคุยกับเด็กชายเป็นระยะ จางฉีอาศัยช่วงเวลานั้นเก็บภาพในหน้าที่ตนใคร่อยากเห็นนักหนาเอาไว้ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากสีเข้มตามสีผิวคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม แนวขอบปากเด่นชัด ทั้งรอยหยักของริมฝีปากบน และมุมปากหยักยกน้อยๆ ทำให้ดูเหมือนคนอมยิ้มตลอดเวลา ทว่าสิ่งโดดเด่นที่สุดบนดวงหน้าใบนั้นคือดวงตาสีน้ำตาลเข้ม แฝงความลุ่มลึกและแววโศกซึ้ง แน่ละ เวลานี้ชายหนุ่มดูมีความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย มีก็เพียงดวงตาคู่สวยเท่านั้นที่ฉายร่องรอยความเศร้าสร้อยออกมา ไม่รู้ว่าคนคนนี้เคยผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้าง หรืออาจเป็นเพียงธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา แต่มันก็ทำให้เขาอยากค้นหา และรู้จักเจ้าของนัยน์ตาคู่นี้อย่างบอกไม่ถูก
อยากมองให้ใกล้กว่านี้ อยากเห็นให้ชัดกว่านี้ อยากเก็บภาพไว้ด้วยสายตาตัวเองโดยไม่ผ่านตัวกรองใดๆ
ความคิดเมื่อผุดขึ้นมาจางฉีก็สาวเท้าใกล้คนทั้งคู่เข้าไปเรื่อยๆ ปลายนิ้วยังคงกดชัตเตอร์ไม่หยุด จนเข้าใกล้ในระยะที่อีกฝ่ายรู้ตัว เขาก็ได้สบกับนัยน์ตาคู่ที่ดึงดูดให้ตนเข้าหาโดยตรง ชายหนุ่มลดกล้องลงอย่างตกใจ ประสานสายตาเข้าให้อย่างจัง ฝ่ายนั้นไม่หลบเลี่ยง เขาเองก็ละสายตาไปไม่ได้ ยังดีที่เจ้าของดวงตาคู่นั้นไม่ได้แสดงอาการขุ่นเคืองไม่พอใจอย่างไร เพียงแต่มองเขานิ่งๆ ไม่บ่งบอกความรู้สึก แต่นั่นกลับยิ่งทำให้จางฉีถูกตรึงติดกับดวงตาคู่สวย กล้องในมือลดระดับลงมาห้อยอยู่ข้างตัว ยืนนิ่งซึมซับภาพจำของชายคนนั้นด้วยสายตา
ทั้งคู่จ้องมองกันอยู่สักพัก จนกระทั่งอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เขาถึงรู้ตัวว่าตนเองเสียกิริยาไปมากแล้ว ตากล้องหนุ่มผงกศีรษะเป็นเชิงขอโทษ ก้าวถอยหลังไปอย่างประหม่า แล้วก็พลาดเหยียบเครื่องมือตักทรายของเด็กเล่นด้านหลังเข้าให้ เท้าลื่นพรืด ร่างสูงใหญ่ทรงตัวไม่อยู่ หงายหลังผลึ่ง ล้มก้นกระแทกพื้นทราย เฉียดร่างหนูน้อยแถวนั้นไปเพียงนิดเดียว
เสียงด่าทอของคนเป็นแม่ประสานกับเสียงเด็กร้องไห้ตกใจดังขึ้นด้านข้าง
ก่อนจะเบนสายตามายังคู่กรณี จางฉีทันได้เห็นรอยยิ้มบนมุมปากของชายคนนั้นขณะมองมายังเขาด้วยแววตาขบขัน แล้วเจ้าตัวก็หันกลับไปหาลูกชายโดยไม่สนใจเขาอีก ส่วนตัวเขาก็ต้องรีบหันกลับมาขอโทษขอโพยสองแม่ลูกโทษฐานเดินไม่ระวัง ทำให้ตกใจและยังอาจทำให้หนูน้อยเป็นอันตรายด้วย
หลังจากโดนด่าจนหูชา ในที่สุดจางฉีก็หลุดจากตรงนั้นมาได้ เขาหันกลับไปมองสองพ่อลูกตามที่ใจคิด ทั้งคู่ยังนั่งอยู่ที่เดิม สายตาสนใจใคร่รู้ของคนรอบข้างก็ยังมองมาเป็นระยะเช่นเดิม แต่หนึ่งพ่อหนึ่งลูกเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว ทำกิจกรรมของตนไปโดยไม่สนใจใคร จนกระทั่งชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้ามาแจ้งอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มคนนั้นพยักหน้า เก็บของเล่นทั้งหลายรวบใส่ถุง ลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือลูกชายจากไปโดยมีชายหญิงทั้งสองเดินขนาบไปด้วยกันข้างละคน
จางฉีมองส่งตามร่างคนทั้งสี่ไปจนลับตา เส้นสายในชุดสีขาวดูเล็กบาง สมส่วนอย่างที่คำนวณไว้แต่แรก แม้กระทั่งแผ่นหลังของชายคนนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยความเหงาและเศร้าสร้อย เขาเป็นใครกันนะ จากวันนี้ไปจะมีโอกาสได้เห็นดวงตาโศกๆ คู่นั้นอีกหรือเปล่า
..............................
โชคชะตานำพาความสมหวังมาส่งเร็วกว่าที่คิด
เที่ยงวันจันทร์ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สะพายกระเป๋ากล้องใบโต เดินดุ่มๆ ผลักประตูออฟฟิศสำนักพิมพ์นิตยสารชื่อดังเข้าไปโดยแรง ขายาวสาวพรวดๆ ผ่านโต๊ะพนักงานหลายคนที่หันมาทักทายอย่างคุ้นเคย ตรงดิ่งไปยังห้องหัวหน้ากองบรรณาธิการโดยไม่เสียเวลาทักตอบ
“เจ้านาย ผมเป็นตากล้องนิตยสารท่องเที่ยวนะครับ ไม่ใช่ตากล้องข่าวซุบซิบดารา!”
เขาโวยวายทันทีหลังเคาะประตูตามมารยาทสองสามทีแล้วเปิดพรวดเข้าไป กระแทกมือข้างหนึ่งลงกับโต๊ะ และเกือบจะกระแทกกระเป๋าบุนวมที่สะพายมาลงไปแล้วด้วย ถ้าไม่ทันนึกออกเสียก่อนว่ามันคือกระเป๋าเครื่องมือทำมาหากินที่กว่าจะเก็บหอมรอมริบซื้อมาได้ก็เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็น
“เอาน่า เอาน่า ฉันแค่ให้นายไปถ่ายรูปเฉยๆ เอง ก็มันไม่มีใครแล้วนี่นา ส่วนเรื่องข่าวน่ะปล่อยให้สาวๆ เขาทำไป”
เจ้านายของเขาเงยหน้าขึ้นจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคบนโต๊ะ โบกไม้โบกมือเหมือนไม่รับฟังคำโต้แย้ง แถมทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่โทรฯ ไปจิกเขามาจากการทำงาน ก่อนเดินไปชะโงกหน้าผ่านประตูห้อง ตะโกนเรียกหญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงคนหนึ่งเข้ามา
“ฉันจะให้อิ๋งอิ๋งไปกับนายด้วย จะได้คอยบอกนายว่าใครเป็นใคร ถือว่าช่วยสำนักพิมพ์เราให้มีข่าวหน่อยก็แล้วกัน ตากล้องที่ฉันจะส่งไปดันปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ไม่รู้ดันไปกินอะไรผิดสำแดงเข้า ตากล้องคนอื่นๆ ก็ออกไปทำข่าวกันหมดแล้ว เหลือแต่นายนี่แหละที่ไว้ใจได้ที่สุด งานนี้เป็นงานประกาศรางวัลใหญ่ประจำปีเลยนะ ฉันไม่อยากใช้พวกหน้าใหม่หรือพวกเด็กฝึกงาน ถ้าเป็นนายล่ะก็ ฉันมั่นใจว่าต้องได้ภาพสวยๆ ช่วยเพิ่มยอดขายให้นิตยสารของเราได้แน่ๆ”
ตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ ถึงอย่างนั้นจางฉีก็ทำได้แค่อ้าปากค้าง ถ้อยคำที่คิดจะคัดค้านตกไปตั้งแต่คำว่า ‘ฉันไว้ใจนายที่สุด’ แล้ว บก.เติ้งเป็นคนที่ให้โอกาสตากล้องหน้าใหม่อย่างเขาได้เข้ามาทำงานในสายการท่องเที่ยว ทั้งยังผลักดันให้เขาก้าวหน้า สามารถเบียดเสียดขึ้นมาพอมีชื่อเสียงบ้างในทำเนียบนักถ่ายภาพด้านวิวทิวทัศน์อย่างเช่นทุกวันนี้
เสียงถอนหายใจดังเฮ้ออย่างปลงๆ แทนคำตอบตกลงอย่างจำยอม ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เขาเป็นคนประเภทมีบุญคุณต้องทดแทน อย่าว่าแต่เรื่องถ่ายรูปมันก็เป็นอาชีพของเขาอยู่แล้ว งานนี้ลำบากแค่เพียงยกมือ เพียงแต่เขาไม่ค่อยชอบสถานที่ที่มีคนมากมายไปแออัดกันอยู่เท่าไร โดยเฉพาะคนเหล่านั้นดันเป็นพวกเรื่องมากน่ารำคาญอย่างบรรดาเซเลป ไฮโซทั้งหลายด้วยนี่สิ
หลังจากตกลงรับงาน อิ๋งอิ๋งลากจางฉีมานั่งลงตรงโต๊ะว่างตัวหนึ่ง แบกกองนิตยสารตั้งใหญ่มาวางตึงลงบนโต๊ะพลางพลิกไปทีละหน้าพร้อมไล่เรียงรายชื่อไปทีละคน
“คนนี้กำลังมาแรงเลยล่ะพี่ฉี แต่มีข่าวลือไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนตัวฉันว่าเธอดูแอ๊บแบ๊วไปหน่อย”
นักข่าวสาวประจำแผนกบันเทิงบรรยายชื่อ สรรพคุณและความเห็นส่วนตัวที่มีต่อดาราแต่ละคนคร่าวๆ ขณะที่คนฟังได้แต่นั่งเท้าคางมองผ่านอย่างไม่สนใจนัก เขามีหน้าที่ถ่ายรูปอย่างเดียว แค่เห็นใครหน้าตาดีพอมีราศีเป็นดาราหรือไฮโซก็ถ่ายๆ รูปไปเท่านั้นพอ คงไม่ต้องมานั่งจำหน้าว่าใครเป็นใครหรอก
แต่แล้วความคิดพลันประหวัดไปถึงคู่พ่อลูกที่ชายหาด ว่าไปแล้วคนคนนั้นก็หน้าตาดีพอจะเป็นดารากับเขาได้เหมือนกัน แม้ไม่ใช่หน้าตาพิมพ์นิยมอย่างที่ชอบกันทุกวันนี้ แต่ก็จัดว่ามีรูปลักษณ์โดดเด่นไม่น้อย หรืออย่างน้อยที่สุดน่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคมบ้าง เห็นได้จากการเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้าง ว่าแต่เขาจะมางานอย่างนี้ไหมนะ
อาการกระตือรือร้นสนใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จางฉีนั่งตัวตรง ดูรูปภาพในนิตยสารที่ถูกพลิกไปทีละใบๆ จนกระทั่ง
ปั่บ!
มือข้างหนึ่งตะปบลงบนภาพขาวดำในหน้านิตยสารที่อิ๋งอิ๋งเพิ่งเปิดผ่าน มันเป็นภาพสีขาวดำเต็มใบ ตรงกลางเป็นร่างของชายในชุดสีขาวคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้ เอียงหน้าด้านข้างให้กล้อง สายตาทอดมองไกลออกไป แนวโค้งมนของหน้าผากและสันจมูกบ่งบอกว่าเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มบนหาดทรายคนนั้นไม่ผิดแน่ ทั้งยังแผ่นหลังที่ดูเปลี่ยวเหงา เปราะบาง แต่ยังคงความแข็งแกร่งแบบชายหนุ่มเต็มวัยที่มากด้วยประสบการณ์ชีวิต ยิ่งยืนยันความทรงจำของเขา
“คนนี้ใครน่ะ”
“อะไรของพี่เนี่ย รูปสาวๆ สวยๆ มีตั้งเยอะไม่สนใจ ดันมาสนใจผู้ชายเนี่ยนะ” คนถูกถามบ่นอย่างงงๆ ก่อนตอบ “คนนี้ชื่อเฉินจิ้งหลิน ปีนี้ได้เข้าชิงบทสมทบด้วย ว่าแต่เค้าดังมาตั้งนานแล้วนะ พี่ไม่เคยดูหนังของเขาสักเรื่องเลยเหรอ”
“ไม่รู้สิ ถึงดูก็คงจำไม่ได้หรอก” ชายหนุ่มหัวเราะแหะๆ อย่าว่าแต่จำได้เลย ทีวีเขาแทบไม่ได้เปิดดู โรงหนังก็ไม่ได้เข้ามาเนิ่นนานจนลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายดูเรื่องอะไร แล้วจะเอาอะไรที่ไหนไปจดจำว่าใครเป็นใครบ้าง แต่ใบหน้าแบบนี้เชื่อว่าถ้าได้เห็นสักครั้งเขาคงจำไม่ลืมแน่
“มิน่า บก.เติ้งถึงสั่งให้เอานิตยสารดาราพวกนี้มาให้พี่ดู คนไม่สนใจโลกแบบนี้ก็มีด้วย”
จางฉียิ้มเฝื่อนให้กับประโยคค่อนขอด ก่อนคว้านิตยสารทั้งตั้งนั้นมาพลางลุกขึ้นยืน “ฉันขอยืมไปก่อนนะ ช่วยส่งเมสเสจบอกสถานที่กับเวลามาให้ด้วย แล้วไปเจอกันที่งานเลย”
“อ้าว เฮ้ย พี่ไม่ไปด้วยกันเหรอ” หญิงสาวตะโกนถามตามร่างสูงที่เดินลิ่วๆ ไปพร้อมกับหอบหนังสือปึกใหญ่
“ฉันยังมีงานค้างอยู่นิดหน่อย โทษที ไว้เจอกันที่งานเลยแล้วกัน”
ประโยคสุดท้ายกล่าวโดยไม่เหลียวหลัง ก่อนลับร่างออกประตูไป
............................