วันนี้คุณเจ้าของร้านกาแฟเลื่อนเวลาปิดร้านให้ช้าลงหน่อยเมื่อเห็นว่าลูกค้าคนสุดท้ายของร้านยังไม่มา เขาสลับสายตามองที่หนังสือเล่มใหม่ กล่องข้าว และประตูบานนั้นอยู่หลายครั้ง
“รับอะไรดีครับ”
เขาเอ่ยทักทายวิศวกรกลุ่มใหญ่ที่มีชุดและหมวกลักษณะคุ้นตา แต่กลับไม่เจอใครบางคน หลังจากที่ปล่อยให้คุณลูกค้ากลุ่มใหญ่สั่งเมนูของร้านเสร็จเรียบร้อย เขาถึงได้กล้าถามออกไป
“วินไปไหนครับ”
เขาถือวิสาสะเรียกชื่อเล่นของอีกคน หลายคนในนั้นมองหน้ากันไปมาอย่างสับสน
“วินที่ผมยาวๆครับ”
เขาพูดถึงผมยาวประบ่าของธนาวินที่มักจะรวบเผยให้เห็นใบหน้าสีขาวที่แดงเพราะแดดอยู่ประจำ
“วันนี้วินมันเข้าออฟฟิศครับ”
หนึ่งในนั้นตอบกลับมาในที่สุด วายุบอกขอบคุณและเดินกลับไปทำงานดังเดิม เห็นทีวันนี้เขาคงจะต้องปิดร้านเสียแล้ว
*********
นานๆครั้งที่ร้านของวายุถึงจะมีออเดอร์ทีละมากๆ และนานเกือบเดือนแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้พบกับธนาวิน แต่เขาก็ยังปิดร้านช้าเพื่อรอคนๆนั้นทุกวัน คุณเจ้าของร้านถือถุงกาแฟที่บรรจุแก้วกาแฟเกือบสิบแก้วเต็มสองไม้สองมือเดินข้ามถนนอย่างระมัดระวัง ปกติแล้วเขาจะให้เด็กที่ร้านไปส่งของข้างนอก แต่วันนี้เมื่อเห็นว่าออเดอร์ถูกสั่งมาจากในไซต์ก่อสร้างคอนโด เขาจึงอาสาแบกถุงขนาดใหญ่มาเอง วายุเอาของไปให้ลูกค้าที่สั่งเป็นอันดับแรก ก่อนจะยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงลานกว้าง เพียงครู่เดียวเขาก็เห็นใครบางคนยืนทำงานอยู่ไกลเกือบร้อยเมตร แม้จะมองเห็นไม่ชัดนักแต่วายุก็จำคนๆนั้นได้ดี
“อ้าว มาไง”
วายุยิ้มให้อีกคนที่สาวเท้าเข้ามาหา เวลาธนาวินทำงานดูต่างไปจากปกติอยู่มากโข คุณเจ้าของร้านตัวใหญ่อยากจะพูดอะไรหลายอย่าง แต่เพราะสูดฝุ่นเข้าไปในปริมาณมากกว่าปกติที่เป็นจึงจามออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และดูท่าทางจะหยุดไม่ได้หากยังยืนอยู่ในบริเวณนี้
“มึงเป็นภูมิแพ้มากกว่า ไม่ได้กลัวแดดหรอก”
“ถ้าผมบอกอย่างนั้นมันก็ไม่เท่สิ”
พอเขาตอบไปแบบนั้นด้วยท่าทางยิ้มแย้มอีกคนก็ถอนหายใจเฮือก ก่อนจะดึงมือของเขาแล้วเดินนำไปที่ตู้คอนเทนเนอร์อันใหญ่ ข้างในนั้นติดตั้งเครื่องปรับอากาศไว้อย่างดี วายุมองข้อมือของตัวเองที่ถูกกุมไว้ตัวมือที่เล็กกว่าไปพร้อมๆกับใช้มืออีกข้างปิดจมูกตัวเองเอาไว้
“จมูกแดงหมดเลย”
อีกคนว่าพลางยื่นทิชชู่ให้ เขารับมันมาเช็ดน้ำมูกที่จู่ๆก็ไหล และน่าเสียดายที่มือข้างนั้นปล่อยไปเสียแล้ว...
“ข้าวเหรอวะ”
อีกคนถามเมื่อเขายื่นกล่องพลาสติกสีส้มอันใหญ่ให้ไป วายุพยักหน้าแทนคำตอบ
“ขอบใจ”
เขาได้คำขอบคุณมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง นั่นเป็นรอยยิ้มที่ดูดีจนเขาแอบยิ้มตามไม่ได้
“คือ...”
คุณเจ้าของร้านมีหลายอย่างที่อยากจะถามออกไป และดูเหมือนอีกคนจะรู้ทัน
“ไปช่วยงานห้างที่พัทยามา ดำปี๋เลย”
วายุส่ายหน้าแทนคำตอบ เมื่อเห็นว่าสีผิวเกือบแทนของอีกคนออกจะดูดีเสียด้วยซ้ำ
“ดีแล้ว”
เขาโพล่งออกไป อีกคนที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมามองหน้าคุณเจ้าของร้านอย่างไม่เข้าใจ
“ผิวแบบนี้สวยแล้ว”
วายุย้ำอีกครั้ง ธนาวินที่ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกับคำชมยิ้มตามรุ่นน้องตัวใหญ่ที่ยิ้มจนตาปิด ก่อนจะขอตัวเมื่อมีคนโทรเรียกให้กลับไปทำงานต่อ เขาทิ้งท้ายไว้เมื่อเห็นอีกคนทำหน้าหงอยไม่เขากับหน้าตาที่คมคายเสียท่าไหร่
“เดี๋ยวพรุ่งนี้แวะไปหา”
********
“รับอะไรดีครับ”
คุณเจ้าของร้านกาแฟเอ่ยทักธนาวินที่เดินเข้าร้านมาในชุดลำลองดูแปลกตา แถมดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะมาเร็วกว่าเดิมไปหลายชั่วโมงเพราะตอนนี้ร้านพึ่งเปิด ทั้งๆที่ปกติจะมาก็ต่อเมื่อร้านใกล้ปิดแท้ๆ คุณวิศวกรหนุ่มนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมก่อนจะตอบ
“เหมือนเดิม”
อีกคนเดินออกมาหาด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดิมแล้วยื่นหนังสือหลายเล่มที่เก็บไว้ให้ตอนไม่อยู่ วายุคงสามารถตอบได้แล้วว่าทำไมคุณวิศวกรคนนี้แม้จะสวมอะไรก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะก็คงดูดีหรืออาจจะเรียกว่าน่ารักในสายตาเขาอยู่ดี น่าแปลกไม่น้อยที่เขาพึ่งจะนึกได้
“วันนี้หยุดเหรอครับ”
“อือ”
ใครอีกคนตอบอย่างเนือยๆเป็นปกตินิสัยและเอาแต่มองการ์ตูนที่ส่งให้
“แล้วพี่มาทำไม”
วายุถามก่อนจะนั่งลงข้างๆอีกคน วันนี้เขาละมือจากการจัดร้านในตอนเช้า โดยปล่อยให้เด็กๆในร้านจัดการ ส่วนตัวเองมานั่งเป็นเพื่อนคุณลูกค้าคนแรกของวันแทน
“ก็มาหามึงไง”
เขายิ้มให้กับคำตอบของอีกคน ธนาวินที่กำลังจดจ่อกับตัวหนังสือตรงหน้าเงยมามองอยู่หน่อยก่อนจะพูดต่อ
“ไม่มาเดี๋ยวก็หงอย”
วายุหัวเราะเสียงดังก่อนจะปฏิเสธออกไป
“ใครหงอย ไม่มี”
ดูเหมือนคนที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือจะไม่ฟังเสียแล้ว วายุยิ้มให้ทั้งๆแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นไปทำงานเมื่อเห็นลูกค้าทยอยเข้าร้านมาในยามเช้า เขาแอบชำเลืองมองอีกคนอยู่เรื่อยๆ แต่หลังจากยุ่งอยู่พักใหญ่พอหันไปหาอีกที ใครคนนั้นก็หลับไปเสียแล้ว...ธนาวินฟุบหลับอยู่ตรงเคาเตอร์อย่างกับเป็นพวกจองที่ไว้ติวหนังสือในร้านกาแฟ และอย่างกับว่ากาแฟที่เขาทำให้เมื่อเช้าจะไม่ส่งผลอะไรเลย วายุชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะเดินไปปลุกอีกคน
“หือ...”
คนที่พึ่งจะตื่นดูจะงัวเงียอยู่ไม่น้อย วายุยิ้มให้อย่างเคยก่อนจะนั่งลงข้างๆและเอ่ยปากชวนอย่างไร้เหตุผล
“ไปเที่ยวกัน”
ธนาวินมองหน้าคุณเจ้าของร้านอยู่ครู่เดียว ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาบ่ายโมงพอดี
“เที่ยวยังไง”
ธนาวินงงอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะตอนนี้ในร้านลูกค้าค่อนข้างจะเยอะพอสมควร แล้วปกติร้านนี้จะปิดก็เกือบทุ่ม เขามองเจ้าของร้านที่ไม่ได้ตอบอะไรออกมาแต่กลับถามเพิ่มอีกครั้ง
“ไปไหนดีครับ”
วินมองหน้าเจ้าของร้านที่นั่งตัวโตยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้าแล้วก็เผลอยิ้มตาม...บางทีเขาก็คิดว่าการที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองนี่ดีจริงๆหรือบางที่เพราะเป็นวายุมันถึงดีก็ได้...
“อะไรของมึงวะ”
ธนาวินพูดกลั้วหัวเราะให้กับท่าทางตั้งอกตั้งใจของคุณเจ้าของร้านในการแอบหนีร้านตัวเองเที่ยว ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจพร้อมกับตอบคำถามของคนที่เด็กกว่า
“อยากไปทะเล”
ธนาวินไม่รู้ว่าสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ในยามที่อยากจะท่องเที่ยวหรือพักผ่อนทำไมถึงต้องเป็นทะเล แต่จะว่าให้ว่าอะไรก็คงไม่ได้เพราะธนาวินก็เป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่นั่น คุณลูกค้าของร้านนั่งเคาะนิ้วกับขาตัวเองเป็นทำนองเพลงสากลที่อีกคนเปิดในรถ ส่วนคุณเจ้าของร้านที่เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นสารถี ตั้งใจขับรถมาเกือบชั่วโมงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่นั่นก็ไม่ทำให้อึดอัดอะไรแม้แต่น้อย ธนาวินคิดอะไรสะระตะอยู่พักใหญ่ก่อนจะถามออกไป
“คิดยังไงถึงชวนมา”
ดูเหมือนว่าอีกคนจะคิดอยู่หน่อย แต่ก็ตอบออกมาเหมือนคนที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
“ไม่รู้ครับ”
ธนาวินหัวเราะน้อยๆให้กับท่าทางมึนๆของคนเด็กกว่า สักพักใครคนนั้นก็ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันออกมา
“ถ้าทำงานนี้เสร็จแล้วต้องไปที่ไหนต่อ”
คนที่นั่งฮัมเพลงไปด้วยคิดอยู่หน่อยแต่ก็ตอบเหมือนไม่ได้คิดเช่นกัน
“ไม่รู้ครับ”
วายุหัวเราะให้กับการเอาคืนที่ไม่ต่างกัน พวกเขาใช้เวลาไม่นานมากจากใจกลางเมืองหลวงก็มาถึงชายทะเลใกล้กับกรุงเทพในยามบ่ายคล้อย ชายหาดที่นี่ไม่ได้สวยนัก หาดทรายไม่ได้ขาว ทะเลไม่ได้เป็นสีเขียวและนักท่องเที่ยวก็เยอะมากจนรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อใดที่ยืนอยู่ด้านหน้าทะเล... ก็ยังรู้สึกผ่อนคลายอยู่ดี
“จะได้เจอกันอีกไหม”
วายุถามคำถามที่เคยอยากถามมานานเมื่อตัวเขาเองนั่งลงที่ทรายตรงหน้าหาด อีกสักพักน้ำก็คงจะขึ้นมาถึงบริเวณนี้...
“อีกตั้งนาน”
อีกคนตอบพร้อมกับนั่งลงข้างๆกัน
“คิดถึงกู?”
ใครคนนั้นถามออกมาเบาๆ วายุหัวเราะก่อนจะบอกออกไป
“ไม่รู้หรอก”
คนที่ตัวใหญ่กว่าหน่อยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพทะเลเบื้องหน้า เขาเซฟและกะว่าจะโพสลงโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างที่เกือบทุกคนในยุคนี้จะต้องทำ แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นคุณเจ้าของร้านกาแฟก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้อีกคน
“แท็กชื่อให้หน่อย”
ธนาวินนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา เขาหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องเล็กมาไว้ในมือก่อนจะพิมชื่อตัวเองลงไปและกดเพิ่มเป็นเพื่อน น่าแปลกไม่น้อยที่พวกเขามีเพื่อนร่วมกันอยู่เกือบสามสิบคน แต่พวกเขากลับไม่เคยรู้จักกันกันมาก่อนหน้านี้
“เนียนนะเรา”
วินว่าก่อนจะส่งมันกลับให้เจ้าของ ซึ่งคุณเจ้าของเอาแต่หัวเราะและไม่ได้พูดอะไรออกมา
‘Please, stay with me’
นั่นเป็นแคปชั่นใต้ภาพทะเลที่ทอดยาวจนสุดสายตาพร้อมกับดวงอาทิตย์สีส้มแดงที่กำลังจะลับหายไป...และภาพนั้นคือภาพที่แท็กชื่อของธนาวินติดไว้ด้วย...
*********
วายุเห็นอีกคนวิ่งเข้ามาในร้านในเวลาเย็นที่ปราศจาคคนเช่นเดิม เพียงแต่วันนี้ฟ้ามืดครึ้มและฝนกำลังตกหนัก เขายิ้มกว้างให้อย่างเคยแต่กลับเริ่มต้นบทสนทนาต่างไปจากเดิม
“เปียกหมดเลย”
คุณเจ้าของร้านเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ วันนี้เขาเลือกที่จะหยิบผ้าขนหนูของตัวเองที่พาดไว้ตรงบ่าส่งให้อีกคน ธนาวินยืนสูดหายใจนิ่งๆด้วยท่าทางเหนื่อยหอบเพราะหายใจไม่ทัน และนิ่งไปกว่าเดิมเมื่อใครอีกคนวางมือใหญ่พร้อมกับผ้าสีขาวสะอาดบนหัวของเขาก่อนจะเริ่มเช็ดผมที่เปียกลู่ วินค่อยๆปรับลมหายใจให้ดีขึ้น พร้อมๆกับถูกวายุถามออกมาด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“กินข้าวไหม”
ธนาวินมองหน้าอีกคนอยู่หน่อยก่อนจะตอบ
“อืม”
และนั่นก็เป็นคำตอบที่เสียงเบามากเช่นกัน วายุค่อยๆดึงหนังยางที่รวบผมที่ยาวเกินไปอยู่หน่อยของอีกคนออกเบาๆแล้วถึงเริ่มเช็ดผมด้านหลังที่ยังเปียกอยู่ให้ ดวงตาสีเข้มช้อนมองเขาอยู่อย่างนั้นโดยไมได้พูดอะไร
“เอากาแฟไหม”
คุณเจ้าของร้านว่าแล้วดึงอีกคนเข้ามาใกล้กว่าเดิมเมื่อเริ่มเช็ดตรงไรผมด้านหลังไม่ถนัด เสียงฝนที่ดังอยู่ข้างนอกไม่ได้ทำให้เสียงหัวใจที่เต้นอยู่ตอนนี้เบาลงแม้แต่น้อย
“อืม”
ธนาวินตอบด้วยเสียงดังกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนที่วายุจะเปลี่ยนจากการเช็ดผมให้อีกคนมาเป็นการวางมือสองข้างโอบไว้บนบ่าของเขาแทน ธนาวินที่ยืนเงียบตั้งแต่ต้นหัวเราะออกมาด้วยท่าทางเช่นเคยและมองใบหน้าคมนั่นอย่างต้องการคำตอบ แต่ไม่ทันไรก็ได้คำถามใหม่มาอีกรอบ
“แล้วจะรับเจ้าของร้านทานเพิ่มไหมครับ”
ในที่สุดธนาวินก็หัวเราะจนทำลายบรรยากาศที่เคยมีจนป่นปี้ ก็ในเมื่อคำถามกำกวมข้างต้นมันตลกน้อยเสียเมื่อไหร่ แต่หลังจากหัวเราะออกไปแบบนั้น คุณเจ้าของร้านกาแฟก็เสไปมองทางอื่นพร้อมๆกับใบหูที่แดงแจ๋ แสดงว่าคำถามนั่นคงใช้ความกล้ามากพอสมควร
“ฟรีไหมครับ”
วินถามกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกคนยังไม่มีท่าทีว่าจะหันกลับมา และฝ่ามือที่โอบตรงคอเขาไว้ก็ชื้นเหงื่อเสียจนเปียก
“ฟรีครับ”
วายุตอบอย่างหนักแน่น พร้อมๆกับใบหูที่แดงขึ้นไปอีก
“งั้นเอาก็ได้”
ธนาวินตอบส่งๆก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมาอีกครั้ง วายุที่หันไปมองทางอื่นอยู่นานหันมายิ้มกว้างให้จนดวงตาเรียวหยีลงเกือบจะปิด วินมองใบหน้าตื่นเต้นเป็นเด็กๆของคุณเจ้าของร้านกาแฟแล้วถามออกไป
“นี่มึงชอบกูเหรอวะ”
วายุแทบทรุดเมื่อได้ยินคำถามพร้อมๆกับใบหน้างงๆของอีกคน แต่ในที่สุดก็หลุดขำออกมา
“ผมนึกว่ารู้แล้วนะ”
คุณเจ้าของร้านตอบคุณลูกค้าที่ตั้งใจรอฟังคำตอบไปด้วยกลั้นขำไปด้วย ในที่สุดใครคนนั้นก็บอกออกมา
“ใครจะไปรู้วะ”
ธนาวินยิ้มให้อีกคน ก่อนที่วายุจะได้พูดอะไรต่ออีกคนที่ตัวเล็กกว่าหน่อยอย่างคุณลูกค้าก็เขย่งตัวขึ้นมาจูบเบาๆที่สันกรามของอีกคน ริมฝีปากร้อนแตะเพียงชั่วครู่ก่อนจะผละออกไป
“ไม่พอครับคุณลูกค้า”
วายุว่าด้วยท่าทางจริงจัง...คุณลูกค้าที่ยืนอยู่นิ่งๆคิดว่าตัวเขาเองคงต้องเสียตังค์ดื่มกาแฟร้านนี้ไปอีกนานทีเดียว...
-------- THE END ----------
แม้จะเล็กน้อยและสั้นมาก แต่ก็ขอบคุณที่มีความสุขกับมันค่ะ
:pig4: :pig4: