พิมพ์หน้านี้ - [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Mettnoon ที่ 16-08-2014 11:29:23

หัวข้อ: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 16-08-2014 11:29:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน

ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

..................

สวัสดีค่ะ

เพิ่งเคยเขียนนิยายเป็นเรื่องแรก ขอฝากตัวด้วยนะคะ
เรื่องนี้เป็นแฟนฟิค JGV ค่ะ เรามีโมเดลในดวงใจอยู่หลายคน อยากจับมาปู้ยี่ปู้ยำ เอ๊ย มาเป็นพระเอกค่ะ มาเป็นพระเอกของเรามาก ๆ เลยตัดสินใจเขียนเป็นเรื่องออกมา

เรื่องนี้เป็นตอนสั้น ๆ นะคะ จับคู่โมเดลตามใจฉัน และพื้นฐานของเรื่องนี้คือวงการ JGV ซึ่งเรามโนเอาทั้งสิ้นนะคะ ข้อมูลไม่อิงความเป็นจริงใด ๆ เพราะคงไม่มีค่ายหนังจีวีของจริงที่ไหนจะอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรักเท่ากับบริษัทนี้อีกแล้วค่ะ

"The Company - บริษัทสร้างรัก"
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 16-08-2014 11:52:06
สำหรับ SS1 แต่งเอาไว้หกคู่ค่ะ

Atsushi (MC) x Tsubasa (MC)
Kazuki (Coat) x Tsubasa (Coat)
Eiji (KO) x Teppei (ตัวละครสมมติ)
Tsuyoshi (ตัวละครสมมติ) x Hikaru (Coat)
Kikuchi (KO) x Toshi (KO)
Daiji (Coat) x Sora (Coat)

จะทยอยลงนะคะ หวังว่าจะมีคนชอบนะ :hao5:

สร้างรักครั้งแรก: Atsushi x Tsubasa

     ความรู้สึกของสึบาสะในขณะนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายใจ มันช่างต่างจากครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ในตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองตัดสินใจเด็ดขาดและพร้อมแล้วที่จะเดินในเส้นทางสายนี้
     เด็กหนุ่มกำลังต้องการเงินสักก้อนหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการแยกออกมาอยู่คนเดียว เขาต้องการเงินอย่างเร็วที่สุด แต่ไม่สามารถหางานพิเศษที่จะได้เงินขนาดนั้นได้ ตอนนั้นเองที่เขาได้นามบัตรของโนมูระ
     โนมูระซังเป็นพนักงานของค่ายหนังจีวีชื่อดัง สึบาสะพบกับเขาตอนกำลังเดินเล่นอยู่ที่ชิบูยะ โนมูระเข้ามาทักและยื่นนามบัตรให้ บอกว่ารูปร่างหน้าของเด็กหนุ่มตรงกับอิมเมจที่ค่ายต้องการ สึบาสะเป็นผู้ชายตัวเล็ก หน้าหวาน ตาโต แก้มป่อง ผิวขาวเนียนผ่อง ท่าทางสุภาพเรียบร้อย โนมูระใช้คำชมว่าน่ารักกับสึบาสะ
     “สึบาสะคุง คนที่ตัวเล็กหน้าเด็ก แล้วก็น่ารักอย่างเธอน่ะเหมาะสมกับหนังจีวีมากที่สุด”
     โนมูระพูดอย่างนี้ ในขณะที่สึบาสะยังลังเลอยู่มาก
     “ผมไม่ได้เป็นเกย์”
     นอกจากนั้นเขายังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องเพศมากเกินไปกว่าจูบแบบเด็ก ๆ กับเพื่อนผู้หญิง เขายังไม่เคยเจอใครที่ชอบมากพอจะทำเรื่องอย่างว่าด้วยได้เลย
     “นักแสดงก็มีทั้งที่เป็นและไม่เป็น ทุกอย่างมันเป็นการแสดง นักแสดงมีหน้าที่เล่นไปตามบทบาทที่กำหนดไว้เท่านั้น” โนมูระอธิบาย เขาเห็นสึบาสะยังทำหน้าไม่ค่อยดีนักก็ปลอบว่า
     “ไม่ต้องห่วงหรอกนะสึบาสะคุง ค่ายของเราน่ะมีชื่อเสียงที่ดี เราให้ความสำคัญกับนักแสดงของเรา เธอสามารถเลือกได้ว่าต้องการแสดงแนวไหน ไม่มีการบังคับใจ ไม่มีสัญญาทาส ไม่มีการหลอกลวง ฉันถึงเลือกทำงานกับที่นี่ยังไงล่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยเป็นผู้กำกับนะ กำกับหนังเอวี แต่ค่ายที่ฉันอยู่น่ะต่างกับที่นี่เหมือนฟ้ากับเหว ในที่สุดฉันก็ลาออกมา ก็อย่างว่าแหละนะโลกนี้มันมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่เรื่องของฉันน่ะช่างเถอะ มาพูดเรื่องของเราต่อดีกว่า ฉันยังไม่ได้บอกเธอเรื่องค่าตัวใช่ไหม ลองฟังดูแล้วเก็บเอาไปคิดนะ ถ้าสนใจก็โทรมาหาฉัน”
     ค่าตอบแทนที่โนมูระบอกนั้นสูงจนน่าตกใจ แต่โนมูระบอกว่ามันไม่มากหรอกถ้าเทียบกับสิ่งที่นักแสดงจะต้องเจอ ค่าตอบแทนเรตที่สูงที่สุดนั้นให้สำหรับนักแสดงที่เปิดเผยหน้าตาและยอมเล่นบทฝ่ายรับ ถ้าไม่เปิดเผยหน้าตา ไม่ยอมเป็นฝ่ายรับ ไม่ให้มีการสอดใส่ ไม่ให้ใครแตะต้องสัมผัส เรตค่าตัวที่ได้จะลดหลั่นลงอีก เรตต่ำสุดนั้นต่างกับเรตที่สูงที่สุดถึงยี่สิบเท่าทีเดียว
     สึบาสะคิดทบทวนดูแล้ว เขาอยากได้เรตที่สูงที่สุด ถ้าเขายอมทำ แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาก็จะมีเงินพอจะทำในสิ่งที่คิดเอาไว้
เด็กหนุ่มไปที่บริษัทค่ายหนังตามแผนที่ที่โนมูระให้มา บริษัทเป็นอาคารสูงสามชั้น ข้างในตกแต่งอย่างสวยงาม ตามผนังติดรูปของนักแสดงในค่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นสตาร์ของค่าย ค่าตัวสูง เด็กหนุ่มไม่คิดอยากมีรูปติดอยู่ตรงนี้หรอก เขาเพียงแต่ต้องการเงินตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้เท่านั้น
     นอกจากสึบาสะยังมีผู้ชายอีกหลายคนที่มาสมัครเป็นนักแสดง ส่วนใหญ่หน้าตาดีกันทั้งนั้น มีตั้งแต่อายุไล่เลี่ยกับสึบาสะไปจนถึงแก่กว่าหลาย ๆ ปี เด็กหนุ่มเหลือบมองไปรอบ ๆ แล้วก็ไปสบตากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้า น่าจะอายุไล่เลี่ยกัน เด็กหนุ่มคนนั้นย้อมผมสีทองสว่าง ด้านหน้าไว้เป็นหน้าม้า หน้าตาน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิง พอเห็นสึบาสะมองมาก็ยิ้มให้ สึบาสะยิ้มตอบอย่างเงอะงะ ก่อนจะรีบหลบตาลงต่ำ กังวลว่าจะเสียมารยาทที่ไปมองคนอื่นเข้า
     เด็กหนุ่มรออยู่ไม่นานโนมูระก็ออกมาพาเข้าไปในห้องทำงาน บอกให้เขากรอกข้อมูลส่วนตัว ซักถามอะไรอีกเล็กน้อย แล้วก็ส่งสัญญาให้อ่าน สึบาสะเตรียมใจว่าจะต้องทำทุกอย่างแล้ว แต่วันนั้นก็ไม่มีอะไร โนมูระซังบอกว่าจะจัดวันทดสอบหน้ากล้องทีหลัง หากผ่านก็เซ็นสัญญา ทางค่ายจะป้อนงานให้ ซึ่งวันที่นัดก็คือวันนี้
     สึบาสะกำลังรอให้มีใครสักคนมาเรียกเขา จะต้องทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ คิดแค่นี้ตัวของเขาก็สั่นเทา

     อัตสึชิจอดรถสปอร์ตสีเงินของเขาที่ที่จอดรถประจำตัว ในฐานะน้องชายเจ้าของค่ายควบตำแหน่งรองประธาน เขามีที่จอดรถส่วนตัว ไม่ต้องแย่งกับใคร เมื่อลงมาจากรถก็พบชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวสีเข้มคนหนึ่งยืนยิ้มกว้างจนตาหยีอยู่ข้างรถ
     “โอ๊ะ โชจัง” อัตสึชิทักทายพร้อมกับตรงเข้าไปกอดเอาไว้ ทำท่าจะจูบเอาเสียด้วย ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าโชรีบเบือนหน้าหนีพร้อมกับเอาสองมือยันหน้าเขาเอาไว้ พลางบ่นว่า
     “เล่นอะไรบ้า ๆ อีกแล้วอัตสึซัง”
     “ก็โชจังน่ารักก็ต้องอยากจูบเป็นธรรมดา หรือนายกลัวใครมาเห็น”
     กังวานเสียงตอนพูดประโยคหลังมีแววล้อเลียน โชหัวเราะเบา ๆ
     “กลัวเหมือนกันแหละ หรือคุณไม่กลัว”
     คราวนี้อัตสึชิพลอยหัวเราะไปด้วยอีกคน แล้วก็ยอมปล่อยตัวโชแต่โดยดี
     ใครคนนั้นที่กำลังพูดถึงกันอยู่คือ นางิ เป็นนักแสดงระดับสตาร์ของค่ายเช่นเดียวกับโช แต่พูดไปแล้วนางิดังกว่าโชเสียอีก ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาราวเทพบุตร ผิวขาวผ่อง และรอยยิ้มที่งดงาม นางิแสดงได้ทั้งบทอุเคะและเซเมะ แต่ถ้าคู่กับโช นางิจะเป็นฝ่ายรับ เพราะโชรูปร่างสูงใหญ่กว่า ผิวสีเข้ม ใบหน้าหล่อคม เหมาะกับบทเซเมะมากกว่าและเล่นเข้ากับนางิได้เป็นอย่างดี สองคนกลายเป็นคู่ขวัญของค่าย ซึ่งแรก ๆ ทางค่ายก็สร้างภาพคู่รักโปรโมตให้ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็เกิดตกหลุมรักกันเข้าจริง ๆ จนได้
     อัตสึชิเป็นคนเลือกสองคนนี้มาประกบคู่กัน โชเป็นรุ่นน้องของเขา ในช่วงที่ค่ายเริ่มตั้ง เขาชวนโชเข้ามาทำงานเพราะคิดว่าโชจะดังได้ไม่ยากและเป็นตัวโปรโมตค่ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิด หลังจากเล่นไปสองเรื่อง โชก็ดังเป็นพลุแตก อัตสึชิจึงไปดึงตัวนางิมาจากค่ายอื่นเพื่อโชโดยเฉพาะ
     เซเมะสุดหล่อกับอุเคะรูปงาม เป็นส่วนผสมที่ลงตัวและทั้งคู่ก็มีเคมีระหว่างกันเหลือล้น คู่ขวัญนางิ-โชก็เลยเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
     นางิตกหลุมรักโชตั้งแต่ต้น แต่รุ่นน้องของเขาออกจะซื่อบื้ออยู่สักหน่อย นิสัยของโชนั้นขี้เล่น ขี้แกล้ง อารมณ์ดี และซนเป็นลิงเป็นค่าง แต่ไม่ค่อยสังเกตสังกาอะไรนัก ถึงแม้นางิจะแสดงออกให้เห็นชัดเจนขนาดนั้นจนคนลือกระหึ่มกันทั้งค่าย รุ่นน้องของเขามันก็ยังไม่รู้ตัวอยู่ดี
     ตอนแรกอัตสึชิก็ไม่รู้ เขาสนิทสนมกับโชในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องอยู่แล้ว เจอโชเมื่อไหร่ก็จะแกล้งกอดบ้างจูบบ้าง หลัง ๆ เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตและสายตาพิฆาตของนางิที่มักจะวนเวียนอยู่ข้างตัวโชเสมอ นางิแสดงความเป็นเจ้าของโชชัดเจนและจะโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงทุกครั้งถ้าเขาหรือใครคิดจะเคลมโชในแบบที่ไม่ใช่เรื่องงาน
     อัตสึชิเคยลองหนหนึ่ง ผลคือนางิอาละวาดจนกระเจิดกระเจิงกันทั้งบริษัท แต่ผลพวงจากการลองดีครั้งนั้นคือโชรู้สึกตัวและอิทธิฤทธิ์ของนางิก็เป็นเรื่องที่ทุกคนกล่าวขวัญถึงด้วยความหวาดผวามาจนกระทั่งทุกวันนี้
     “ฉันไม่ยักรู้ว่าวันนี้นายมีงานด้วย” อัตสึชิเปรยขณะที่เดินเข้ามาในบริษัทด้วยกัน
     “ไม่ได้ลงในตารางครับ งานทดสอบหน้ากล้องเด็กใหม่ พอดีผมว่าง โนมูระซังก็เลยขอร้องให้ช่วยหน่อย” โชบอก ความจริงเรื่องทดสอบเด็กใหม่นี้ไม่ต้องถึงระดับสตาร์ของค่ายอย่างเขาหรอก นอกจากจะตั้งใจใช้เขาดันเด็กหน้าใหม่ที่มีแววว่าจะดัง ปกติคนที่ทำหน้าที่นี้จะเป็นสตาฟหรือนักแสดงที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยหน้าตา แต่งานนี้โนมูระขอร้องเขาเป็นพิเศษ
     “ไม่ได้ลงในตาราง แล้วบอกนางิจังรึเปล่าเนี่ย”
     “ไม่บอกไม่ได้หรอกครับ” โชทำหน้าสยดสยอง ท่าทางที่บ่งบอกว่ากลัวแฟนสุดชีวิตนั่นทำให้อัตสึชิอดขำไม่ได้
     “ถ้าไม่ยอมบอกแล้วมารู้ทีหลัง ผมตายแน่”
     “มีแฟนขี้หึงก็ลำบากอย่างนี้ล่ะนะ” ชายหนุ่มรุ่นพี่แกล้งแหย่
     ทั้งสองคนเดินผ่านบริเวณที่จัดเป็นห้องให้นักแสดงนั่งรอสมัครหรือทดสอบหน้ากล้อง ข้างในห้องมีคนนั่งรออยู่หลายคน กระจายกันอยู่ตามมุมต่าง ๆ ที่ตั้งโซฟาและเก้าอี้ไว้
     “ผมจะได้เล่นกับใครน้า”
     โชมองไปทางห้องนั้น อัตสึชิมองตาม สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดอยู่ที่ร่างเล็ก ๆ ที่นั่งจ่อมจมอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ใบหน้าน่ารักมีร่องรอยสับสนไม่แน่ใจ ท่าทางดูตื่นกลัวเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง
     “อัตสึซัง ผมจะไปหาโนมูระซังนะครับ จะไปด้วยกันไหม”
     อัตสึชิละสายตาจากเด็กคนนั้นหันมาตอบโชว่า
     “นายไปก่อนเถอะ ฉันต้องเอาหน้าไปให้พี่เห็นก่อน แล้วจะตามไปดูทดสอบหน้ากล้อง เริ่มเมื่อไหร่นะ”
     “อีกครึ่งชั่วโมงครับ”
     โชแยกตัวไปแล้ว อัตสึชิหันไปมองเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนนั้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มยังมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักจนอัตสึชิอดคิดไม่ได้ว่า หน้าตาท่าทางยังดูเด็กเหลือเกิน คิดยังไงถึงมาเล่นหนังแบบนี้กันหนอ แต่เวลาหลายปีที่อยู่ในวงการนี้มา หน้าตากับนิสัยของคนบางทีก็สลับซับซ้อน หน้าใสตาใสท่าทางน่ารักแบบนี้ตัวจริงอาจจะร้ายกาจมากก็ได้
      อย่างเจ้านางินั่นไง
      อัตสึชิละความสนใจจากเด็กหนุ่มคนนั้น เขาก้าวยาว ๆ ตรงไปที่ลิฟท์ซึ่งจะพาเขาไปสู่ห้องทำงานของพี่ชายของเขาซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุด


หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 16-08-2014 11:59:04
สร้างรักครั้งแรก: Atsushi x Tsubasa (ต่อ)

     การทดสอบหน้ากล้องจัดเป็นรอบ รอบละสามคน คนที่มาสมัครเป็นนักแสดงจะถูกจัดเข้าห้องห้องละหนึ่งคน ภายในห้องจะมีตากล้องและสตาฟคอยดูแลอยู่ นักแสดงจะได้โจทย์ตามที่ตัวเองเคยแจ้งข้อมูลเอาไว้ว่าแสดงได้ถึงระดับไหน ถ้าผ่าน คือแสดงไปได้ตลอดรอดฝั่ง แล้วได้เซ็นสัญญา ค่ายจะเอาเทปนี้ไปรวมเป็นโปรเจ็คแล้วจัดจำหน่าย แต่ถ้าไม่ผ่านหรือนักแสดงไม่ขอเล่นอีกแล้ว เทปจะถูกทำลายทันที
     สึบาสะได้รอบที่สอง โนมูระให้เขารอในห้องห้องหนึ่งที่จัดเป็นห้องนอน หน้าตาเหมือนห้องในโรงแรมหรู ๆ มีเตียงและเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นครบครัน โนมูระบอกว่า หลายห้องในบริษัทตกแต่งเอาไว้เพื่อเป็นโลเกชั่นในการถ่ายทำด้วย
     เด็กหนุ่มเดินไปนั่งลงบนเตียง หัวใจเต้นโครมครามด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เขารอให้มีใครสักคนเข้ามา แต่ก็ไม่มีใครเลย
สึบาสะไม่รู้ว่าในอีกห้องหนึ่งมีอะไรเกิดขึ้น

     อัตสึชิอยู่กับโชในห้องมอนิเตอร์ซึ่งสามารถมองเห็นห้องทดสอบทุกห้องผ่านหน้าจอที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะได้ เมื่อโนมูระเดินเข้ามา อัตสึชิก็ถามว่า
     “ทำไมต้องใช้โชกับเด็กคนนี้ครับโนมูระซัง”
     “นี่เป็นครั้งแรกของสึบาสะคุงครับ เด็กไม่เคยมีประสบการณ์แม้แต่กับผู้หญิงมาก่อน เรียกว่าไม่รู้อะไรเลย ผมก็เลยอยากให้ครั้งแรกนี่เป็นอะไรที่ดีสักหน่อยจึงต้องรบกวนโชคุง”
     โนมูระอธิบาย
     “เห จริงเหรอเนี่ย” โชอุทาน “โนมูระซังเอ็นดูสึบาสะคุงมากจริง ๆ เลยนะ ใจดีจัง”
     โนมูระยิ้มเล็กน้อยเมื่อโดนโชแซว
     “ก็ดูเขาสิโชคุง” โนมูระบุ้ยใบ้ให้ดูจอมอนิเตอร์ เด็กหนุ่มที่ชื่อสึบาสะนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง ดวงตาที่กวาดมองไปรอบตัวแสดงความหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
     “อายุเพิ่งจะสิบแปด ยังเด็กอยู่เลย จากที่คุยก็ดูซื่อ ๆ ท่าทางเรียบร้อย ถ้าเราทำอะไรให้ได้บ้างก็น่าจะทำนะ”
คนฟังทั้งคู่ไม่แปลกใจ โนมูระเป็นคนใจดีอย่างนี้เสมอ เขาคิดถึงจิตใจคนรอบตัวและคอยดูแลทุกคนอยู่ตลอด แต่ไม่รู้ทำไม วันนี้อัตสึชิกลับรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์กับความใจดีของโนมูระสักเท่าไหร่ รุ่นน้องตัวดีของเขาก็อีกคน ดูระริกระรี้ที่จะได้เล่นคู่กับเด็กคนนั้นอย่างน่าหมั่นไส้
     มันน่าเอาไปฟ้องนางิจังนัก
     อัตสึชิรู้สึกขวางหูขวางตาขึ้นมาทันที เขาเลยโพล่งออกมาว่า
     “ฉันเล่นแทนโชเอง”
     โชอ้าปากค้าง โนมูระเองก็ตกใจ ไม่เคยมีผู้บริหารคนไหนลงมาเล่นเองแบบนี้ แต่นี่อัตสึชิซังถึงขนาดเป็นคนออกปากด้วยตัวเอง
     “ผมหูฝาดไปรึเปล่าเนี่ย” โชอุทาน
     “ทำไม ไม่ดีรึ นายจะได้รีบกลับไปหานางิจังไง ถ้าฉันจำไม่ผิด บ่ายนี้นางิจังไม่มีคิวนะ คงไปคอยนายอยู่แล้วล่ะ”
     โชเกาหัว หันไปมองโนมูระ ฝ่ายหลังก็ดูงง ๆ ตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกัน
     “ได้ไหม โนมูระซัง” อัตสึชิถามย้ำเสียงเข้ม
     “ได้สิครับ ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” โนมูระรีบตอบ จะมีปัญหาอะไรได้ยังไงในเมื่อน้องชายเจ้าของค่ายพูดซะขนาดนี้ เขาหันไปพยักหน้ากับตากล้องให้ตามอัตสึชิไป

     


     .....
     ไม่เคยโพสต์นิยายหรือเล่นเว็บบอร์ดแบบนี้ หากผิดพลาดยังไง ต้องขอโทษด้วยนะคะ
     ตอนต่อ ๆ ไปก็ Reply ไปเรื่อย ๆ เลยโนะ ^_____^
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 16-08-2014 20:07:58
     เสียงประตูห้องเปิดทำให้สึบาสะสะดุ้งจนตัวลอย เขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับตากล้องหนึ่งคน ผู้ชายคนนี้ใส่เสื้อนอกสีเข้มทับเสื้อยืดคอวีลายทางสีน้ำเงินสลับขาว สวมกางเกงยีนสีเข้ม เป็นผู้ชายที่ไม่หล่อสะดุดตา แต่ดูดีมาก
     เขาแนะนำตัวเองว่าชื่ออัตสึชิ
     สึบาสะตัวเกร็งเมื่ออัตสึชินั่งลงข้าง ๆ สายตาของเด็กหนุ่มตวัดมองตากล้องที่ไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง
     “ไม่ต้องสนใจกล้อง สึบาสะคุง” อัตสึชิพูดเมื่อเห็นสายตาของสึบาสะ “คิดแค่ว่ามีฉันกับเธอสองคนอยู่ในห้องนี้เท่านั้นก็พอ”
     เด็กหนุ่มพยักหน้า เขาหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้าอัตสึชิ หัวใจเต้นโครมคราม รู้ตัวว่าอีกไม่นานแล้วที่จะต้องทำมัน
     “เธอจะต้องเข้าฉากกับฉัน”
     มือของอัตสึชิวางลงบนเข่าของเด็กหนุ่ม สึบาสะขยับจะเขยิบตัวหนีโดยอัตโนมัติ แต่อีกมือหนึ่งของอัตสึชิเลื่อนไปโอบไหล่ไว้ บีบนิด ๆ เป็นเชิงเตือน สึบาสะจึงชะงักนิ่งทันที เขาสบตากับอัตสึชิแวบหนึ่งก่อนจะเสมองไปทางอื่น
     สายตาของอัตสึชิทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ หัวใจก็เต้นแปลก ๆ ด้วย
     “ผมจะต้องทำอะไรบ้างครับ” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มถาม
     “เราจะคุยกันสักนิดหน่อยให้เธอหายเกร็ง แล้วฉันจะบอกเธอว่าต้องทำอะไรบ้าง เธอแค่ทำตามฉันก็พอ”
     สึบาสะพยักหน้า อัตสึชิเชยคางเด็กหนุ่มขึ้นให้มองเขา
     “อายุเท่าไหร่แล้วล่ะสึบาสะคุง”
     เด็กหนุ่มตาพร่าไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มของอัตสึชิจนแทบลืมว่าถูกถามว่าอะไร มือไม้ของเขาก็ดูจะเกะกะเก้งก้างขึ้นมาอย่างกะทันหัน
     “ปี..ปีนี้..สิบแปดครับ” เขาตอบตะกุกตะกัก
     “เรียนจบรึยัง”
     “จบแล้วครับ”
     “แล้วมีแผนจะทำอะไรต่อ จะเข้ามหาวิทยาลัยมั้ย หรือทำงานเลย”
     “อยากเรียนต่อครับ”
     “ด้านไหน เธอสนใจอะไรเป็นพิเศษ”
     “ภาษาอังกฤษครับ”
     “ชอบภาษาเหรอ”
     “ครับ ผมชอบเรียนภาษา อยากแปลหนังสือ”
     “เก่งจัง” อัตสึชิลูบหัวสึบาสะด้วยความเอ็นดู ขณะที่พูดคุยกัน มือของเขาลูบขาสึบาสะเบา ๆ สัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มคลายความเกร็งลงเรื่อย ๆ
     “เธอพอจะรู้ใช่ไหมว่าวันนี้เราต้องทำอะไรกันบ้าง ทำใจให้สบาย ๆ นะสึบาสะคุง ไม่ต้องเกร็ง ถ้าเธอรู้สึกไม่ดีหรือไม่สบายใจ อยากจะหยุด เธอบอกฉันได้ตลอด”
     สึบาสะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังตัวเกร็งเมื่ออัตสึชิเริ่มสัมผัสเขา จากขาเลื่อนมาที่หน้าอก นิ้วของอัตสึชิลูบไล้ไปมา สึบาสะหดตัวหนีโดยอัตโนมัติ แต่อัตสึชิโอบไหล่เขาไว้แน่น เด็กหนุ่มหลับตาเมื่อริมฝีปากของอัตสึชิประกบเข้ากับริมฝีปากของเขา
ลิ้นร้อน ๆ ของอัตสึชิแทรกเข้าไปทันทีเมื่อสึบาสะเผลอเผยอริมฝีปาก เด็กหนุ่มบอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงเมื่อลิ้นของเขาถูกลิ้นของอีกฝ่ายตวัดรัดพันและไล้เลียไปมา แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย
     อาจจะเพราะอ้อมกอดของอัตสึชิอบอุ่นเกินกว่าที่เขาคิด
     เด็กหนุ่มปล่อยให้อัตสึชิกอด เขาแทบไม่รู้สึกตัวว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกจากตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สติกลับคืนมาอีกทีก็ตอนที่ถูกดันให้นอนลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลและอัตสึชิเลื่อนตัวลงไปข้างล่าง
     สึบาสะคราง สองมือจิกผ้าปูที่นอนแน่น ถ้าอัตสึชิทำให้เขามากกว่านี้ เขาต้องหลั่งออกมาแน่ ๆ แต่อัตสึชิก็หยุดก่อน ชายหนุ่มจูบสึบาสะอีกครั้ง
     “ไหวมั้ยสึบาสะคุง”
     อัตสึชิลูบหัวสึบาสะที่ยังคงหลับตาอยู่ เด็กหนุ่มหอบหายใจน้อย ๆ พยักหน้าเบา ๆ ชายหนุ่มจึงยิ้มให้ ก้มลงไปกระซิบข้างหูว่า
     “ไม่ต้องกลัวนะ”
     ร่างกายของสึบาสะถูกเขาสัมผัสจนแทบจะทุกตารางนิ้ว ผิวขาวเนียนของเด็กหนุ่มนุ่มมือมากจนเขาไม่อยากจะหยุด และทุกครั้งที่เขาเล่นด้วย ใบหน้าของสึบาสะจะซับสีเลือดขึ้นมาทันที แก้มป่องสองข้างแดงระเรื่อ น่ารักจนเขาอดใจไม่อยู่
     อัตสึชิจูบแล้วจูบอีก สึบาสะก็สนองตอบมากขึ้นเรื่อย ๆ
     “ฉันจะใช้นิ้วนะ”
     อัตสึชิกระซิบ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมอง สายตาของเขาคงหวาดหวั่นพอดูจึงได้เห็นรอยยิ้มปลอบประโลมของอัตสึชิ ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากของสึบาสะก่อนจะเลื่อนตัวลงไปข้างล่าง แล้วยกสะโพกของสึบาสะขึ้นมา
     เด็กหนุ่มร้องด้วยความเจ็บทันทีเมื่อนิ้วของอัตสึชิสอดเข้าไป เขาอยากจะถอยหนี เขาเจ็บ แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นอ้าปากรับจูบของอัตสึชิ สองมือของเขาเกาะบ่าของอีกฝ่ายแน่น สึบาสะจูบมากขึ้น เมื่ออัตสึชิขยับนิ้วและสอดนิ้วเพิ่มเข้าไป เด็กหนุ่มรู้สึกว่าความเจ็บมันคลายลงได้ ขอเพียงแค่ริมฝีปากของอัตสึชิไม่ถอนออกจากริมฝีปากของเขา
     “อัตสึชิซัง”
     เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มเรียกชื่อเขาและมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนกับจะเรียกร้อง
     อัตสึชิห้ามตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ชายหนุ่มหยุดแค่จะสวมถุงยางอนามัยเท่านั้น เขาแทรกตัวเข้าไปในตัวของสึบาสะทันที เด็กหนุ่มเจ็บจนตาพร่า เขาคิดว่าตัวเองคงกรีดร้องออกมา แต่ไม่มีเสียงเพราะอัตสึชิจูบปิดปากของเขาเอาไว้ก่อน ตัวของเขาก็ถูกกอดจนแน่น
     “ทำใจสบาย ๆ สึบาสะคุง ไม่เป็นไร” อัตสึชิกระซิบปลอบ “อย่าเกร็ง”
     เขาจูบอีก แล้วก็จูบไปเรื่อย ๆ จนอีกฝ่ายผ่อนคลายลง ชายหนุ่มจึงเริ่มขยับ ทันทีที่เขาทำ สึบาสะก็รัดตัวเขาแน่น ไม่ต้องมองก็รู้ว่าน้ำอุ่น ๆ เหนียว ๆ เปรอะอยู่ที่หน้าท้องของเขา
     “ผะ...ผม อัตสึชิซัง” เด็กหนุ่มหน้าเหยเก แค่โดนกระตุ้นนิดเดียว เขาก็เสร็จเสียแล้ว
     “ช่างมัน ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มจูบหน้าผากและลูบหัวเด็กหนุ่ม “ฉันจะทำนะ ถ้าเจ็บก็เกาะฉันไว้”
     อัตสึชิขยับ ไม่ว่าอะไรที่เด็กหนุ่มกอดเขาแน่นและจิกบ่าเขาด้วยความลืมตัว สึบาสะน้ำตาไหล เขาร้องครวญครางด้วยความเจ็บประสานไปกับเสียงปลอบของอัตสึชิที่ดังอยู่ข้างหู
     “เด็กดี สึบาสะ”
     เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่เคยเจ็บมากขนาดนี้มาก่อน ยิ่งอีกฝ่ายขยับเข้าไปลึกขึ้นและกระแทกตัวกระชั้นเป็นจังหวะ เขายิ่งเจ็บ อยากจะให้อัตสึชิหยุด แต่เขากลับกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น
     สึบาสะกลัว แต่เขารู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอยู่ในอ้อมแขนของอัตสึชิ
     เขาไม่เข้าใจเหมือนกัน เขารู้สึกแปลก ๆ อัตสึชิยังขยับอยู่ในตัวของเขา เขาเจ็บ แต่มันก็รู้สึกแปลก ๆ ด้วย
     “สึบาสะ”
     อัตสึชิเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วง ตัวของเขาถูกกระแทกแรงขึ้นทุกที เสียงครางของเขาประสานไปกับเสียงหอบของอัตสึชิ เขาไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วนอกจากขยับตัวรับแรงกระแทกถี่ ๆ จากอัตสึชิ
     “ฉันไม่ไหวแล้ว” ชายหนุ่มเสียงสั่น เขาขยับตัวจนสุดกำลังพร้อมกับปลดปล่อยออกมาจนหมด
     อัตสึชิหอบจนตัวโยนอยู่เหนือร่างของสึบาสะที่กระตุกน้อย ๆ ดวงตากลมโตของสึบาสะจับจ้องอยู่ที่เขาด้วยท่าทีที่บอกว่าไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดี ตัวของเขายังอยู่ในตัวของสึบาสะ เขาไม่ได้ทำอย่างที่นักแสดงจีวีทำคือดึงออกมาและหลั่งใส่คู่ของตัวเอง เขาปล่อยให้มันอยู่อย่างนั้น ถูกตอดรัดแน่นจากข้างในตัวของสึบาสะ
     ชายหนุ่มก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร อัตสึชิรู้สึกดี ดีมากเมื่อได้กอดสึบาสะ แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลง อะไรบางอย่างในตัวเขามันก็เดือดพล่าน ยิ่งเห็นสึบาสะนอนมองเขาตาแป๋ว ท่าทางน่ารักไร้เดียงสา ความรู้สึกของเขายิ่งปั่นป่วนพลุ่งพล่าน เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวและหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร
     ชายหนุ่มดึงตัวออกและลุกขึ้นอย่างรวดเร็วกระแทกกระทั้นจนคนที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกประหลาดใจ สึบาสะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สะโพกของเขาเจ็บหนึบ แต่เขาทนได้ เด็กหนุ่มมองอัตสึชิที่สวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วด้วยสายตาไม่เข้าใจ และยิ่งอึ้งมากขึ้นเมื่ออัตสึชิที่สวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก้มลงไปหยิบเสื้อผ้าของสึบาสะที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วโยนใส่หน้าเขา
     สึบาสะผงะ แต่เขาไม่ทันจะพูดอะไร ประตูห้องก็เปิดออกเสียก่อน โนมูระซังกับผู้ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักเดินเข้ามา
     “เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ยอัตสึชิซัง สึบาสะคุง”
     โนมูระถามทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติในห้อง เขาเหลือบมองอัตสึชิที่ยืนหน้าบึ้ง แล้วมองสึบาสะที่นั่งหน้าเผือดอยู่บนเตียง สองมือกอดเสื้อผ้าเอาไว้แน่น ก่อนจะหันไปหาตากล้องที่เปรียบเสมือนคนกลาง แต่ตากล้องหนุ่มสั่นหน้าปฏิเสธทันที เขาไม่รู้อะไรเหมือนกันและตอนนี้กำลังเกรงรัศมีความโกรธของท่านรองประธานจนตัวสั่นไปหมดแล้ว โนมูระจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้ออกไป ตากล้องหนุ่มก็รีบลนลานออกไปพร้อมกับกล้องในมือทันที
     “มาก็ดีแล้วโนมูระซัง คุณเอาค่าเสียเวลาให้เด็กคนนี้ไปซะ แล้วบอกให้เขากลับไป ผมไม่อนุญาตให้เด็กคนนี้มาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง”
     โนมูระอ้าปากค้าง โชมองรุ่นพี่อย่างไม่เข้าใจ อัตสึชิไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น พูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไป แต่ยังทันเห็นสึบาสะที่นั่งอยู่บนเตียงน้ำตาร่วงผล็อยลงมา อัตสึชิใจหายวูบ แต่เขาข่มใจตัวเองเดินกระแทกเท้าออกไปจากห้องพร้อมกับกระแทกประตูปิดตามหลังดังปัง
     โชคอย่น เขามองสึบาสะที่นั่งน้ำตาไหลอยู่บนเตียงด้วยความเห็นใจ โนมูระเกาหัว เขาไม่เข้าใจสักนิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดูจากจอมอนิเตอร์ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร โชคุงยังแซวอัตสึชิซังอยู่เลยว่าทำท่ามีความสุขเอามาก ๆ แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
     “เอ้อ.. งั้นเดี๋ยวฉันไปจัดการเรื่องเช็คให้ก็แล้วกัน” โนมูระพูด แล้วออกจากห้องไป เหลือแค่โชกับสึบาสะสองคนที่อยู่ในห้องนั้น
     “ใส่เสื้อผ้าซะก่อนเถอะสึบาสะคุง” โชบอกด้วยเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นสึบาสะยังนั่งนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่เดิม สึบาสะมองเขาด้วยสายตางง ๆ โชจึงยิ้มให้
     “ฉันชื่อโช เป็นนักแสดงค่ายนี้ มาเถอะสึบาสะคุง ใส่เสื้อผ้าซะ นายลุกไหวไหม”
     สึบาสะพยักหน้า เขาทำตามที่โชบอกด้วยอาการเหมือนคนใจลอย
     โนมูระเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับเช็คค่าตัว เขาจัดการให้สึบาสะในเรตเดียวกับนักแสดง
     “นี่เช็คค่าตัวของเธอ ฉันขอโทษด้วยนะสึบาสะคุงที่เธอต้องเจอกับอะไรแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แต่อัตสึชิซังตัดสินใจไปแล้ว ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ เราคงจ้างเธอไม่ได้นะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”
     เด็กหนุ่มรับเช็คมาพับใส่กระเป๋ากางเกง เขาเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ
     “โชคุง ฉันฝากเธอเดินไปส่งสึบาสะคุงหน่อยได้ไหม ฉันยังมีงานต้องทำอีกน่ะ รบกวนหน่อยนะ”
     โชรับคำ โนมูระหันมาหาสึบาสะอีกครั้ง เขาตบไหล่เด็กหนุ่มเบา ๆ
     “ดูแลตัวเองด้วยนะ สึบาสะคุง ฉันไปล่ะ”
     “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ” สึบาสะก้มศีรษะและกล่าวลา โนมูระยิ้มให้ แล้วเปิดประตูห้องออกไป
     “งั้นเราก็ไปกันเถอะ ฉันจะไปส่งนายหน้าตึก” โชบอกพร้อมกับจับต้นแขนสึบาสะดึงให้เดินตามมาซึ่งเด็กหนุ่มก็เดินตามไปด้วยท่าทางที่เหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีความรู้สึก สุดแล้วแต่ใครจะบอกให้ทำอะไร
     ระหว่างทาง สึบาสะก็ถามขึ้นมาว่า
     “ผู้ชายคนนั้น อัตสึชิซัง เขาเป็นใครครับ”
     “น้องชายเจ้าของค่าย ตำแหน่งรองประธาน ดูแลฝ่ายการผลิตและการตลาด”
     สึบาสะนิ่งไปครู่ก่อนจะถามว่า
     “ผมทำอะไรผิดเหรอครับ เขาถึงโกรธผมมากขนาดนั้น”
     “เอ้อ...” โชตอบไม่ถูกเพราะเขาก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ “ฉันเองก็ไม่รู้หรอก แต่ปกติอัตสึซังไม่ใช่คนแบบนี้ เขาเป็นคนใจเย็น ใจดี อารมณ์ดี”
     “ถ้าอย่างนั้นผมคงทำอะไรไม่ดีลงไปจริง ๆ จนเขาโกรธ”
     โชอยากปฏิเสธว่ามันไม่จริง แต่เขาเองก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จึงทำได้แค่ปลอบใจเด็กหนุ่มรุ่นน้องไปว่า
     “เอาเถอะ อย่าคิดมากเลย เมื่อกี้ฉันเห็นนายเล่นนะ นายก็ไม่เลวนี่นา ถ้าที่นี่ไม่รับนายก็ลองไปที่อื่นดูไหม หน้าตาน่ารักอย่างนาย ค่ายอื่นเขาต้องสนใจแน่”
     สึบาสะไม่พูดอะไร แต่ในใจของเขาไม่มีที่ไหนอีกแล้ว
     ที่อื่นที่คงไม่มีอ้อมกอดที่อบอุ่นแบบนั้น
     โชเดินมาส่งที่ด้านหน้าตึก เขาตบไหล่สีบาสะเป็นเชิงลา
     “ฉันส่งนายแค่นี้นะ กลับดี ๆ ล่ะ ดูแลตัวเองด้วย”
     “ขอบคุณครับ” สึบาสะก้มศีรษะให้ เขาเหลือบมองไปทางประตูตึกอีกครั้งก่อนจะตัดใจ หันหลังเดินมุ่งหน้าไปที่สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดเพื่อกลับบ้าน

     แต่ถามว่าเขาลืมได้ไหม
     คำตอบคือไม่...
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 16-08-2014 20:14:38
สร้างรักครั้งแรก: Atsushi x Tsubasa (ต่อ)

     สึบาสะน้ำตาไหลทุกครั้งเมื่อคิดถึงวันที่เขาอยู่ในอ้อมกอดของอัตสึชิ
     เป็นครั้งแรกกระมังที่เขารู้สึกว่าตัวเองชอบใครสักคน
     เด็กหนุ่มกำลังจะย้ายออกจากอพาร์ตเม้นท์ที่แชร์อยู่กับเพื่อน เขาทำตัวให้ยุ่ง จะได้ลืม แต่เขาลืมไม่ได้ และทุกครั้งที่กลับมาถึงห้อง เห็นทาโร่เพื่อนของเขาอยู่กับไมโกะจังอย่างมีความสุข เขายิ่งรู้สึกหดหู่ สึบาสะต้องออกไปอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นสวนสาธารณะเล็ก ๆ ใกล้อพาร์ตเม้นท์
     เขานั่งอยู่บนชิงช้า แหงนมองท้องฟ้าที่ขมุกขมัวเหมือนกับใจเขาตอนนี้
     คิดถึงอัตสึชิซัง
     จนบัดนี้เขายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเรื่องมันกลายเป็นอย่างนั้น
     เด็กหนุ่มเช็ดน้ำตาป้อย ๆ
     เขาอยากรู้เหลือเกิน แต่ไม่กล้าถาม
     แล้วจะปล่อยให้ไม่รู้ต่อไปอย่างนี้เหรอ
     เสียงข้างในตัวของเขาถาม
     จะอยู่กับความไม่รู้ไปตลอดแบบนี้จริง ๆ เหรอ
     สึบาสะลุกขึ้น เขาออกวิ่ง
     พอกันทีกับความไม่รู้ เขาต้องถามอัตสึชิซังให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
     เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าบริษัท เขาลืมคิดไปว่าตัวเองถูกห้ามมาที่นี่อีก ถ้าบอกว่ามาพบอัตสึชิซัง เขาก็คงไม่ได้พบแน่ ๆ ถ้างั้นก็ขอพบโนมูระซัง เด็กหนุ่มแจ้งกับพนักงานต้อนรับ แต่โนมูระซังไม่อยู่
     สึบาสะกำลังจะลองเสี่ยงแจ้งว่าขอพบอัตสึชิซังอยู่แล้วถ้าไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของโชเดินออกมาจากด้านในเสียก่อน
     “โชซัง!” สึบาสะร้องเรียก
     โชหยุดเดิน หันมองตามเสียงเรียก เช่นเดียวกับชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาที่เดินอยู่ข้าง ๆ ดวงตาของฝ่ายหลังพุ่งปราดมาที่สึบาสะและจับจ้องอย่างไม่วางตาทันที
     “โฮ่ สึบาสะคุง ไปยังไงมายังไงกัน” โชทัก สึบาสะฉวยโอกาสนี้เดินมาหาทันที ขณะที่นางิเหลือบตามองโชด้วยสายตามีคำถาม โชรีบออกตัวอย่างรวดเร็ว
     “คนนี้แหละสึบาสะคุงที่ฉันเล่าให้นายฟังน่ะ”
     “อ้อ” นางิทำสุ้มเสียงเข้าใจแบบที่โชฟังแล้วรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ยังไงก็ไม่รู้
     “โชซัง สวัสดีครับ” สึบาสะทัก โชยกมือรับ แล้วรีบแนะนำคนข้างตัวทันที
     “นี่นางิ แฟนฉัน”
     “สวัสดีครับ” สึบาสะทักทาย นางิก้มศีรษะรับ เขายิ้มให้สึบาสะด้วยรอยยิ้มที่เหมือนนางฟ้า ถ้าเป็นเวลาปกติสึบาสะคงตาค้างไปนิด ๆ และคิดว่ามีคนที่ยิ้มสวยแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย แต่ตอนนี้จิตใจของเขาจดจ่อแต่เรื่องของอัตสึชิเท่านั้น
     “นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ อัตสึซังสั่งห้ามนายเข้ามาที่นี่นะ” โชถาม
     “ผมอยากพบอัตสึชิซังครับ ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันนั้น ผมอยากรู้เหตุผลครับ”
     โชรู้สึกยุ่งยากใจ เขาหันไปสบตากับนางิ ฝ่ายหลังบอกว่า
     “อัตสึซังอยู่ในห้อง”
     “กรุณาพาผมเข้าไปหาเขาหน่อยได้ไหมครับ ผมขอร้อง” สึบาสะพูดพร้อมกับก้มศีรษะลงต่ำ
     “เฮ้ย เงยหน้าขึ้นก่อน ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ต้องให้เขาอนุญาตก่อน” โชรีบพูด
     “แต่ถ้าบอก เขาอาจจะไม่ให้ผมเข้าไป”
     ยุ่งแล้วไง... โชเกาศีรษะอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางิเอื้อมมือมาจับไหล่ของสึบาสะ บอกว่า
     “อย่างที่โชพูดนั่นแหละ สึบาสะคุง เราพาเธอเข้าไปพบอัตสึซังไม่ได้หรอก เราต้องบอกเขาก่อน แล้วถ้าเขาอนุญาต เธอก็เข้าไปพบได้”
     “แล้วถ้าเขาไม่อนุญาต”
     “เธอก็พบไม่ได้”
     สึบาสะคอตก หน้าสลดจนนางิกับโชรู้สึกสงสาร โชจับไหล่ทั้งสองข้างของสึบาสะไว้เมื่อบอกว่า
     “เอายังงี้ดีกว่า นายกลับไปก่อน แล้วฉันจะลองพูดกับอัตสึซังให้ ได้ผลยังไงจะติดต่อกลับไป ถ้าให้อัตสึซังเห็นนายอยู่ที่นี่คงไม่ดีแน่”
     “สายไปแล้วล่ะ” คนข้างตัวของเขาเปรยขึ้น “เพราะอัตสึซังเดินออกมานั่นแล้ว”
     สึบาสะหันขวับไปมอง อัตสึชิก็ชะงักเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่กับโชและนางิ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
     สึบาสะวิ่งเข้าไปหา แต่เมื่อหยุดยืนอยู่ต่อหน้าคนที่อยากเจอมาตลอด เขาก็เกิดอาการพูดไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ
     “ฉันสั่งห้ามเธอมาที่นี่อีกไม่ใช่รึ” อัตสึชิเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
     “แต่ผมอยากพูดกับคุณ อัตสึชิซัง ผมขอโทษที่ขัดคำสั่งคุณ แต่ผมอยากรู้เหตุผลว่าทำไมคุณถึงปฏิเสธผม ไม่ให้ผมทำงานที่นี่ ผมทำอะไรผิดเหรอครับ”
     “เธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เธอไม่เหมาะสมกับงานที่นี่ เธอไม่ผ่าน”
     “ถ้างั้นผมจะพยายามใหม่ ขอโอกาสให้ผมอีกสักครั้งได้ไหมครับ ผมอยากจะทำงานที่นี่จริง ๆ ผมจะปรับปรุงตัวเอง ได้โปรดเถอะครับ”
     สึบาสะเอื้อมมือไปจับแขนของอัตสึชิโดยไม่รู้ตัว สีหน้าแววตาของเขาอ้อนวอน น้ำตาจวนเจียนจะหยด และเมื่ออัตสึชิปลดมือของเขาออกจากแขน น้ำตาของเขาก็ร่วงลงอาบแก้ม
     “เธอกลับไปเถอะ ฉันไม่มีโอกาสให้เธอ”
     อัตสึชิตัดบทอย่างเฉียบขาด ขยับจะหันหลังกลับ แต่สึบาสะทรุดตัวลงก้มศีรษะจรดพื้นขอร้องเขา
     “ได้โปรดเถอะครับอัตสึชิซัง ให้โอกาสผมด้วย ผมจะทำทุกอย่าง ผมจะปรับปรุงตัวเอง ขอร้องเถอะนะครับ”
     โชกับนางิที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ พอเห็นสึบาสะก้มหัวขอร้องอย่างนั้น ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที โชดึงตัวสึบาสะให้ลุกขึ้น พลางสบถ
     “บ้าเอ๊ย ทำอะไรของนายน่ะ”
     นางิเรียกผู้บริหารหนุ่มเสียงเบา
     “อัตสึซัง”
     อัตสึชิเหมือนคนเพิ่งสร่างตะลึง เขาได้สติเมื่อได้ยินเสียงนางิ เห็นใบหน้าหวานน่ารักของสึบาสะเปื้อนคราบน้ำตา เห็นโชมองมาด้วยสีหน้าลำบากใจ และเห็นสายตาของคนอื่น ๆ มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
     “โธ่เว้ย” ในที่สุดอัตสึชิก็สบถเสียงดัง แล้วคว้าข้อมือของสึบาสะลากให้ตามเขาไปในลักษณะหัวซุน โชอ้าปากค้าง ส่วนนางิเห็นภาพนั้นแล้วก็หัวเราะเอื่อย ๆ พอคนรักหันมามอง เขาก็เปรยว่า
     “เด็กคนนั้นน่ารักนะ”
     “มันใช่เวลาพูดอย่างนี้ไหมเนี่ยนางิจัง นายไม่ห่วงเลยเหรอ อัตสึซังลากสึบาสะคุงไปแล้วนะ จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
     “จะเป็นอะไร้” นางิลากเสียงยาว แววตาเจ้าเล่ห์ชนิดขัดกับหน้าตาที่หล่อเหลาราวเทพบุตรของเจ้าตัวเป็นอย่างมาก
     “สึบาสะคุงไม่เป็นอะไรหรอก คนที่เป็นน่ะอัตสึซังต่างหาก”
     “นายพูดอะไรของนาย”
     “ก็นะ อัตสึซังห้ามไม่ให้สึบาสะคุงมาที่นี่ใช่ไหม ไม่ให้ทำงานที่นี่ด้วย ชัดเจนออกอย่างนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
     เห็นโชยังจับต้นชนปลายไม่ถูก นางิก็หัวเราะอย่างเอ็นดู จับมือคนรักเอาไว้
     “ท่านประธานไม่ชอบให้ผู้บริหารยุ่งกับเด็กในสังกัด มันจะเสียการปกครอง เข้าใจรึยัง ถ้าสึบาสะคุงทำงานที่นี่ อัตสึซังลำบากแน่ ๆ”
     โชร้องอ๋อทันที เขาบีบมือตอบนางิ แล้วหันไปยิ้มกวน ๆ ให้
     “ดีเนอะที่ท่านประธานไม่ห้ามนักแสดงในสังกัดมีความรัก ไม่งั้นฉันก็คงลำบากเหมือนกัน ว่าแต่คืนนี้ใครจะอยู่ข้างบน ฉันรึว่านาย”
     “บ้า” นางิตวัดค้อนน้อย ๆ แต่สายตาแพรวพราว
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 16-08-2014 21:55:25
ติดตามๆ
รออ่านตอนต่อไปจร้า
เป็นกำลังใจให้น๊า
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-08-2014 22:28:20
เป็นบริษัทที่แลดูอบอุ่นนะ
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 16-08-2014 22:34:30
ติดตามๆ สนุกดีค่า
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 17-08-2014 09:37:11
สร้างรักครั้งแรก: Atsushi x Tsubasa (ต่อ)

     อัตสึชิลากตัวสึบาสะมาที่รถของเขาแล้วดันตัวเด็กหนุ่มเข้าไปข้างใน ตลอดทางที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน อัตสึชิไม่พูดอะไรเลย พลอยทำให้สึบาสะนั่งเงียบไปด้วย เขานั่งตัวลีบ ขณะที่อัตสึชิขับรถด้วยท่าทางเคร่งเครียด ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปจอดในแมนชั่นหรูแห่งหนึ่ง
     สึบาสะถูกลากให้ตามเข้าไปในห้องห้องหนึ่งในแมนชั่นนั้น เด็กหนุ่มไม่กล้าถามว่าเป็นห้องของใคร เขามองอัตสึชิถอดเสื้อนอกโยนลงไปบนโซฟา และพอเขาเรียกชื่อ อัตสึชิที่ยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำก็หันมาดึงตัวเขาเข้าไปในห้องนอน
     “เดี๋ยวก่อนครับ อัตสึชิซัง” เด็กหนุ่มพยายามรั้งตัวเองไว้ แต่สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ เขาโดนโยนลงไปบนเตียง พร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ของอัตสึชิทาบทับลงมา สายตาของชายหนุ่มฉายแววอันตรายจนสึบาสะรู้สึกกลัว
     “เธออยากเป็นมากนักรึนักแสดงจีวีน่ะ จะบอกให้นะว่ามันเป็นอาชีพที่ไม่ได้สนุก เธอต้องเจอกับอะไรต่อมิอะไรที่ทำให้เธอเจ็บปวด อับอาย ต้องทำอะไรที่เธอไม่ชอบ อย่างนี้”
     พูดจบอัตสึชิก็ดึงเสื้อนอกที่สึบาสะสวมอยู่ออกแล้วกระชากเสื้อเชิ้ตตัวในจนขาดติดมือ สึบาสะผวาจะหนี แต่ตัวของเขาถูกกดติดกับฟูกที่นอน ริมฝีปากก็ถูกบดขยี้อย่างรุนแรง และอัตสึชิยังตะปบมือลงไปคลึงเคล้นร่างกายของเขาอย่างไม่ปราณี สึบาสะดิ้นหนี แต่ไม่พ้น เด็กหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวด
     อัตสึชิไม่หยุดแค่นั้น เขาบีบปากสึบาสะออก แล้วดันตัวเองเข้าไปข้างใน เด็กหนุ่มสำลัก กระอักกระไอจนน้ำตาร่วง
     “นี่แหละสิ่งที่เธอต้องเจอ” เสียงของอัตสึชิดังอยู่เหนือร่างของเด็กหนุ่ม “ทั้งรุนแรงทั้งหยาบคายแบบนี้ และเธอจะไม่ได้เจอแค่คนเดียวด้วย เธอยังจะต้องฝืนใจทำอะไรมากมายที่เธออาจไม่อยากจะทำ”
     สึบาสะเช็ดน้ำตา แต่มันยังไม่ยอมหยุดไหล เขาเข้าใจสิ่งที่อัตสึชิต้องการจะบอก แต่เขาจะไม่ยอมแพ้ ถ้านั่นเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาได้ทำงานกับอัตสึชิ ได้อยู่ใกล้ ๆ กับอัตสึชิ
     เด็กหนุ่มคลานเข้าไปหาอัตสึชิทั้งที่น้ำตายังนองหน้า มือข้างหนึ่งของเขาจับสะโพกของอีกฝ่ายไว้
     “สึบาสะ...เธอ...” อัตสึชิพูดอะไรไม่ออกเมื่อปากและมือของสึบาสะขยับทำให้เขา
เด็กแท้ ๆ ทำยังไม่ค่อยจะเป็นเลย
     หัวใจของอัตสึชิอ่อนยวบ เขาทนไม่ไหวที่เห็นสึบาสะคนนั้นตั้งหน้าตั้งตาทำอะไรแบบนี้ สุดท้ายเขาก็ครางออกมา
     “โธ่ สึบาสะ”
     ชายหนุ่มดันตัวสึบาสะออก
     “พอแล้วล่ะ ไม่ต้องทำอีกแล้ว พอได้แล้ว”
     เด็กหนุ่มสั่นหน้าแรง ๆ ขยับจะเข้าไปอีก แต่ถูกรวบร่างไปกอดเอาไว้แน่น แน่นมากจนคนถูกกอดรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
     “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอเจ็บหรือร้องไห้อย่างนี้เลย”
     สึบาสะสะอื้นอยู่กับอกของอัตสึชิ
     “ฉันเห็นความตั้งใจของเธอ แต่ฉันไม่มีวันยอมให้เธอทำงานอย่างนี้เด็ดขาด”
     อัตสึชิพูด เขาประคองหน้าของสึบาสะด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วจูบซับน้ำตาให้อย่างทะนุถนอม
     “ทำไมล่ะครับ”
     อัตสึชิไม่ตอบคำถาม เขามองสึบาสะนิ่ง เด็กหนุ่มร้องไห้จนตาบวม ปากกับแก้มก็แดงไปหมด แต่กลับทำให้ดูน่ารักยิ่งกว่าปกติเสียอีก แล้วพอไม่ได้คำตอบ สึบาสะก็เอียงคอเล็กน้อย ดวงตาใสแจ๋วเต็มไปด้วยความสงสัย ชายหนุ่มอดใจไม่ไหว เขาจูบสึบาสะแทนคำตอบ แล้วกอดร่างเล็ก ๆ แนบอก
     “ยังอยากรู้อยู่รึเปล่าว่าทำไม” อัตสึชิกระซิบถามอยู่ข้างหู เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า เขาอยากได้ยินจากปากของอัตสึชิมากกว่าอะไรทั้งหมด
     “เพราะฉันชอบเธอ”
     สึบาสะมองสบตากับอัตสึชิ เด็กหนุ่มมองเห็นความจริงจังอยู่ในสายตานั้น
     “ฉันสนใจเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ความจริงคนที่จะต้องเล่นคู่กับเธอวันนั้นคือโช แต่ฉันก็เล่นซะเอง เพราะฉันไม่อยากให้ผู้ชายคนอื่นแตะต้องเธอ ฉันรู้สึกทนไม่ได้เอาเลยจริง ๆ ถ้าต้องเห็นเธอกอดกับผู้ชายคนอื่น”
     เด็กหนุ่มหลับตา รู้สึกว่าหัวใจพองฟูคับอก
     “ฉันขอโทษนะเรื่องวันนั้น แต่ฉันอยากให้เธอเสียใจจะได้ล้มเลิกที่จะทำงานอย่างนี้ เธอโกรธฉันมากเลยใช่ไหม”
     สึบาสะสั่นหน้าแรง ๆ เขาเงยหน้าขึ้น ยิ้มอาย ๆ ให้ ก่อนจะบอกว่า
     “ผมไม่ได้โกรธหรอก”
     “ค่อยยังชั่ว” คนฟังโล่งใจ แล้วสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อถามสึบาสะว่า
     “แล้วเธอคิดยังไงกับฉัน ชอบฉันบ้างรึเปล่า”
     เด็กหนุ่มหน้าแดง เขาก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบคำถาม แต่พอถูกรุกเร้ามากเข้าก็พยักหน้า...นิดเดียว แต่เท่านั้นก็เกินพอ สึบาสะโดนกดลงกับฟูกที่นอนทันที
     “อัตสึชิซัง เดี๋ยวก่อนครับ”
     เด็กหนุ่มพยายามจะเรียก แต่อีกฝ่ายไม่ยอมหยุด ร่างกายของอัตสึชิแข็งขันขึ้นจนสึบาสะรู้สึกได้เหมือนกัน
     “หยุดไม่ได้แล้วนะ” อัตสึชิกระซิบเสียงแตกพร่า “และฉันไม่รับรองว่าครั้งนี้ฉันจะยั้งตัวเองอยู่เหมือนครั้งที่แล้ว ฉันอาจจะทำให้เธอต้องร้องไห้อีก”
     “ถ้าต้องร้องไห้เพราะคุณ ผมก็ไม่ว่าอะไร”
     “เด็กดี” อัตสึชิให้รางวัลด้วยการจุ๊บเบา ๆ ที่ปากก่อนจะเปลี่ยนเป็นจูบที่ลึกล้ำมากขึ้นซึ่งอีกฝ่ายก็สนองตอบด้วยความเต็มใจ
มือของอัตสึชิเลื่อนมาเกาะกุมมือสองข้างของสึบาสะ แล้วก็พาให้เด็กหนุ่มขยับไปพร้อมกับเขา
     สึบาสะหลับตา ปล่อยให้หัวใจของเขาซึมซับสัมผัสจากอัตสึชิ แล้วเมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ริมหู เขาก็ลืมตาขึ้นมาเพื่อสบตากับชายหนุ่ม แล้วตอบด้วยความรู้สึกทั้งหมดจากหัวใจว่า
     “ผมก็ชอบคุณครับ”
     อัตสึชิยิ้ม เขากอดสึบาสะแน่นขึ้นอีก กอดแน่นจนเหมือนอยากจะให้ร่างทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เสียงโทรศัพท์ของอัตสึชิดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
     เจ้าของโทรศัพท์สบถอย่างหัวเสีย เขากดตัดสายทิ้ง แต่เสียงโทรศัพท์ก็ยังดังไม่ยอมหยุด
     “อาจจะเป็นเรื่องงานก็ได้นะครับ เมื่อตอนบ่ายคุณรีบร้อนออกมา อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นที่บริษัท”
     อัตสึชิหน้ามุ่ย คว้าโทรศัพท์มาดู แต่แล้วก็ต้องกัดฟันกรอด
     “เจ้าตัวแสบนางิ”
     “นางิซังทำไมเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม
     “ไม่มีอะไรหรอก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องงานด้วย เจ้านางิมันอยากจะแกล้งฉันเลยโทรมาแกล้งขัดจังหวะ กะจะก่อกวนกันชัด ๆ”
พูดจบอัตสึชิก็กดปิดโทรศัพท์ทันที
     “นางิซังน่ะเหรอครับแกล้งคุณ” สึบาสะไม่อยากจะเชื่อ นางิซังที่หล่อเหลาและท่าทางใจดีคนนั้นน่ะเหรอ
     “อย่าให้หน้าตามันหลอกเอาทีเดียว ไอ้เจ้านี่มันแสบ แสบกว่าเจ้าโชซะอีก”
     อัตสึชิคำราม เขาดึงตัวสึบาสะเข้ามากอดแนบอกอีกครั้ง
     “เอาล่ะ เลิกพูดถึงคนอื่นสักที มาต่อเรื่องของเรากันดีกว่า ฉันไม่ยอมให้โดนขัดจังหวะอีกแล้วนะคราวนี้”
     สึบาสะหัวเราะคิก แล้วก็ยอมทำตามแต่โดยดี

     อีกด้านหนึ่ง คนที่ถูกปิดโทรศัพท์ใส่ก็ไม่รู้สึกโกรธเคืองอะไร คาดเอาไว้แล้วด้วยซ้ำว่าอัตสึชิต้องทำแบบนี้ นางิยิ้มกริ่มกับโทรศัพท์ในมือจนโชที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ
     “ยิ้มอะไรนางิจัง”
     โชถามอย่างระมัดระวัง
     “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกสนุกนิดหน่อย”
     แน่ล่ะ จุดอ่อนของอัตสึชิเผยออกมาให้เห็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้เขารู้สึกสนุกได้ยังไง
     “นายคิดจะทำอะไร”
     โชไม่เชื่อ ก็รอยยิ้มของนางิจังน่ะน่าหวาดหวั่นน้อยอยู่เมื่อไหร่ ลองยิ้มแบบนี้ทีไร เป็นต้องมีเรื่องอะไรทุกทีสิน่า
     นางิไม่สนใจคำคาดคั้นของคนรัก เขาดื่มกาแฟจนหมดถ้วย แล้วลุกขึ้นยืน
     “ไม่ได้วางแผนอะไรหรอกน่า แค่กำลังคิดว่าฉันเปลี่ยนใจแล้ว คืนนี้ให้โชจังอยู่ข้างล่างดีกว่า”
     “หา” โชอุทาน ก่อนจะโวยวาย “ไม่เอา ครั้งที่แล้วฉันก็อยู่ข้างล่างไปแล้วนะ ครั้งนี้มันต้องเป็นนายสิ”
     “ไม่งั้นก็ไม่ต้องทำ” นางิพูดแล้วเดินลอยหน้าลอยตาจากไปโดยไม่สนใจโชที่ยืนหน้ายุ่ง แล้วเมื่อโชเห็นคนรักเดินฉับ ๆ ไปแบบนั้น เขาก็รีบวิ่งตามโดยส่งเสียงอุทธรณ์ไปตลอดทาง
     “โธ่ นางิจัง นะ เปลี่ยนใจเถอะ”
     “ไม่เอา”
     “เปลี่ยนใจเถอะ นะ นะ”
     “ไม่”
     “นางิจังอะ”
     “...”
     เสียงของนางิกับโชเบาลงไปเรื่อย ๆ จนไม่ได้ยินเมื่อทั้งสองเดินออกไปจากโถงที่จัดไว้เป็นที่สำหรับพักผ่อนและดื่มกาแฟแล้ว ทั้งสองคนไม่รู้ตัวว่ายังมีใครอีกคนหนึ่งได้ยินเสียงสนทนานั้นด้วย และใครคนนั้นก็ยืนนิ่งแอบเหลี่ยมผนังด้านหนึ่งอยู่ สายตาที่มองไปที่นางิกับโชนั้นมีแววเศร้าเร้นลึก
     เสียงกระแอมเบา ๆ ข้างหลังทำให้ใครคนนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อหันไปมองก็เห็นผู้ชายที่ไม่ชอบหน้ายืนยิ้มเผล่อยู่
     “ยืนแอบฟังชาวบ้านเขาพลอดรักกันนี่มันเสียมารยาทนะสึบาสะ”
     “ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับนาย คาสุกิ”
     คนที่ถูกเรียกว่าสึบาสะหน้าบึ้ง เขาสูงเลยไหล่ของคาสุกิมานิดหน่อยเท่านั้น เมื่อมายืนเผชิญหน้ากัน สึบาสะจึงต้องเป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมอง
     “ไม่เกี่ยว แต่เห็นแล้วรำคาญตาที่นายยังอาลัยอาวรณ์เจ้าโชมันอยู่ได้ มันมีแฟนไปแล้ว แฟนมันก็ขี้หึงแถมยังร้ายกาจ นายอยากจะโดนเจ้านางิมันฉีกอกเอารึไง”
     “ฉันบอกแล้วว่ามันไม่เกี่ยวกับนาย” สึบาสะเสียงแข็ง จริง ๆ เขาอยากตะโกนใส่หน้าคาสุกิเลยด้วยซ้ำ แต่เกิดมาไม่เคยตะโกนเสียงดังใส่ใครสักที เวลาโกรธหรือไม่พอใจ แรงสุดที่ทำได้คือพูดด้วยเสียงที่เข้มและแข็งขึ้นนิดหน่อยแบบนี้เท่านั้นเอง
     คาสุกิมองคนหน้าบึ้งเสียงแข็งด้วยสายตาเอ็นดู สึบาสะเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี อาจจะไม่ได้หล่อเหลาปานเทพบุตรอย่างนางิ แต่ก็มีความนุ่มนวล ดวงตาเรียวมักจะทอประกายอ่อนโยน ริมฝีปากบางค่อนข้างกว้างแต่ก็ไม่น่าเกลียด ยิ่งเวลายิ้มน้อย ๆ นั้นยิ่งทำให้ใบหน้าทั้งหน้าดูนุ่มนวล ทั้งที่สึบาสะไม่ใช่ผู้ชายเอวบางร่างน้อย เขาค่อนข้างจะตัวหนาหน่อยเสียด้วยซ้ำ มีกล้ามเนื้อเพราะออกกำลังกายและรักษารูปร่างอย่างดี แต่เวลายิ้มทีไร กลับดูน่าปกป้อง น่าทะนุถนอม และอีกอย่างหนึ่งสำหรับคาสุกิ
     มันน่า...จับกด
     ส่วนเขา ในสายตาคนตรงหน้า เขาคงเป็นหมาป่าตัวร้าย
     คาสุกิเป็นคนที่หน้าตาออกจะร้ายและเจ้าเล่ห์ รอยยิ้ม สายตา รวมทั้งหนวดบาง ๆ ที่คางยิ่งส่งให้ใบหน้าเขาไปในทางนั้น ยิ่งประกอบกับความปากจัด พูดจาทิ่มแทงคนอื่น ยิ่งทำให้แคแร็คเตอร์ร้ายของเขาเด่นชัดขึ้น แต่ผู้ชายอย่างนี้ก็เต็มไปด้วยความร้อนแรงและมีเสน่ห์ คาสุกิไม่เคยขาดคนห้อมล้อม ไม่ว่าจะชายหรือหญิง แต่หัวใจของเขากลับมาซบอยู่แทบเท้าผู้ชายที่ไม่สนใจเขาสักนิดอย่างสึบาสะ
     แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มีวันปล่อยสึบาสะไปเด็ดขาด
     “แต่ฉันอยากเกี่ยว” คาสุกิสืบเท้าเข้ามาใกล้ สึบาสะเขยิบหนีจนหลังชิดกำแพง แต่พอจะก้าวไปทางด้านข้าง มือสองข้างของคาสุกิก็ยกขึ้นยันผนังไว้ทั้งสองข้าง กักตัวสึบาสะเอาไว้ไม่ให้หนีรอดไปจากตรงนี้
     “เจ้าหมีโชมันไม่ชอบกินแกะหรอกนะ จะบอกให้ ลูกแกะเป็นเหยื่ออันโอชะของหมาป่าตัวร้ายอย่างฉันต่างหาก”
      พูดจบก็ก้มลงจูบสึบาสะอย่างรวดเร็ว และยังสอดลิ้นตามเข้ามาเกี่ยวกระหวัดรัดเล่นกับลิ้นของอีกฝ่ายด้วย คนถูกจู่โจมอย่างกะทันหันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดที่ตอนนี้รัดแน่นจนสะบัดไม่หลุด สึบาสะพยายามจะเบือนหน้าหนีจูบ แต่คาสุกิตามติดไม่หยุด จวบจนพอใจนั่นแหละ เขาจึงถอนริมฝีปาก คลายอ้อมแขน ปล่อยตัวสึบาสะให้เป็นอิสระ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตบหน้าทันที พร้อมสำทับ   เสียงแข็งที่สุดเท่าที่พยายามทำได้ในชีวิตแล้วว่า
      “เลวที่สุด”
     แล้วก็เดินหน้าคว่ำแกมวิ่งหนีไป คาสุกิลูบแก้มข้างที่โดนตบ มีแรงแค่นั้นไม่ได้ทำให้เจ็บหรอก แค่พอแสบ ๆ คัน ๆ แต่สึบาสะที่เดินหน้างอออกไปแบบนั้นนี่สิ น่ารักที่สุด
     คาสุกิรีบสาวเท้าตามออกไปอย่างรวดเร็วทั้งที่มือยังกุมแก้มตัวเองอยู่ ปากก็พูดยั่วแหย่สึบาสะไปตลอดทาง จนเจ้าตัวต้องเอามือปิดหูไว้จนไม่ได้ระวังเกือบจะชนคนที่เดินสวนมา
     “อุ๊ย ขอโทษ ชุนคุง เป็นอะไรรึเปล่า” สึบาสะอุทานด้วยความตกใจ แต่คนเกือบโดนชนยิ้มให้จนตาหยีพลางสั่นศีรษะ
     “ไม่เป็นไรครับสึบาสะซัง ผมไม่ได้โดนชน” แล้วเมื่อหนุ่มน้อยเห็นคาสุกิเดินตามมาข้างหลัง เขาก็รีบก้มศีรษะให้พร้อมกับกล่าวทักทาย
     “สวัสดีครับคาสุกิซัง”
     ชุนใช้คำสุภาพเพราะทั้งคาสุกิและสึบาสะเป็นรุ่นพี่ เข้าทำงานมาก่อนและยังอาวุโสกว่าด้วย
     คาสุกิยกมือรับคำทักทาย ก่อนจะใช้มือข้างนั้นโอบไหล่สึบาสะเข้ามาหาตัว
     “ขอโทษทีนะชุน แฟนฉันก็ซุ่มซ่ามอย่างนี้แหละ” เขายั่วแหย่
     “เจ้าบ้า ใครเป็นแฟนนายกัน” สึบาสะรีบสะบัดตัวออก
     ชุนยิ้มด้วยความขบขัน เรื่องคาสุกิตามตื๊อสึบาสะนี่ไม่มีใครในค่ายที่ไม่รู้ และดูเหมือนว่าทุกคนก็เทใจเชียร์คาสุกิอย่างเต็มที่ และเอาใจช่วยให้สึบาสะใจอ่อนเสียที
     “โนมูระซังโทรตามผมเข้ามารับตารางงานใหม่ ของพวกคุณเรียบร้อยแล้วเหรอครับ
     “เรียบร้อยแล้ว ฉันได้เล่นกับนายหลายคิวเลยนา เตรียมตัวไว้ให้ดี” คาสุกิตอบ
     “จริงเหรอครับ ผมยินดีมากเลยที่จะได้ร่วมงานกับคาสุกิซัง” ชุนพูดอย่างร่าเริง
     “เออใช่ ตะกี้ฉันเห็นไคกับจินมันนั่งประจันหน้ากันอยู่ในโรงอาหารแน่ะ ก่อนไปหาโนมูระซังนายแวบไปหาพวกมันหน่อยดีกว่า ฉันกลัวว่าป่านนี้พวกมันอาจจะกัดหัวกันตายไปแล้วก็ได้”
     “อ้าว ตายละ” ชุนอุทาน แล้วขอตัวทันที
     เรื่องที่ไคกับจินแข่งกันจีบชุนก็ไม่มีใครในค่ายที่ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน รวมทั้งเรื่องที่ชุนยังไม่สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะลงเอยกับใคร ไคกับจินจึงเป็นคู่แข่งกันอย่างเปิดเผย หากสบโอกาสก็อาจจะพูดจากระแทกแดกดันประชดประชันใส่กันบ้าง แต่ถึงทั้งสองจะฮึ่มฮั่มใส่กันมากแค่ไหน แต่เมื่อมีชุนอยู่ใกล้ ๆ ทั้งคู่ก็พร้อมสงบศึกกันโดยทันที แล้วพากันมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ชิดชุนชนิดไม่มีใครยอมใคร เหมือนครั้งนี้ เมื่อเห็นชุนเดินเข้ามาในโรงอาหาร ไคกับจินก็รีบแข่งกันวิ่งเข้าไปหา แล้วพาชุนมานั่งที่โต๊ะแบบแทบจะเรียกได้ว่าประคับประคองมาเลยทีเดียว
     “อิจฉาชุนซังจังเลยมีหนุ่มหล่อสองคนมาคอยตามจีบ”
     เสียงล้อเลียนลอยลมมาจากคนที่นั่งโต๊ะข้าง ๆ แล้วคนล้อก็ส่งยิ้มกวน ๆ มาให้
     “มานาโตะ” ชุนทักทาย “มาคนเดียวเหรอ ฮารุมะล่ะ”
     “อยู่โน่นครับ” เขาบุ้ยใบ้ไปที่เด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันที่กำลังสั่งอาหารอยู่ สองคนนี้ก็ตัวติดกัน ถ้านอกเวลางานแล้วล่ะก็ เห็นมานาโตะที่ไหนก็ต้องเห็นฮารุมะที่นั่น และเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกถามถึง ฮารุมะหันมามอง ชุนจึงโบกมือทัก ฮารุมะยกมือรับแล้วหันกลับไปรออาหารต่อ
     ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ค่อนข้างคลุมเครือ ทั้งสองคนไม่เคยบอกว่าคบกัน แต่ก็เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา ความสัมพันธ์เหมือนเพื่อนสนิทมากกว่าคนรัก แต่ก็อาจจะไม่ใช่เพราะมีคนเคยเห็นทั้งสองคนจูบกันนอกเวลางาน แต่ถ้าใครไปถาม คำตอบมักจะเป็นปฏิเสธทุกครั้ง
     ทั้งหมดอยู่ที่โรงอาหารกันได้สักพักก็วงแตกเมื่อโนมูระเดินมาโวยวายด้วยความหัวเสียว่ามาถึงกันแล้วแทนที่จะไปหาเขาจัดการเรื่องตารางงานให้เสร็จก็กลับมานั่งสุมหัวกันอยู่ในโรงอาหาร ปล่อยให้เขาต้องรอเงก
     ผู้จัดการหนุ่มเท้าเอว ส่ายหน้าด้วยความอ่อนระอาใจขณะที่มองพวกนั้นแตกกระเจิดกระเจิงออกไปจากโรงอาหาร แต่ก็มีความเอื้อเอ็นดูอยู่ในสายตานั้น เด็กพวกนี้อาจจะร้ายบ้าง เกเรบ้าง ห่ามบ้างอะไรบ้าง แต่เขาก็ดูแลมาตั้งแต่ต้นทั้งนั้น เปรียบเหมือนกับน้องชายนั่นแหละ ตราบใดที่เจ้าพวกนี้ยังทำงานอยู่ในธุรกิจนี้และสังกัดค่ายนี้ เขาก็จะดูแลพวกมันอย่างดีที่สุด
     นี่เป็นความตั้งใจของโนมูระตอนที่รับปากกับท่านประธานว่าจะมาทำงานให้และก็เป็นสิ่งที่เขายังยึดถือมาตลอดจนถึงตอนนี้ด้วย




     .....จบคู่แรกแล้วค่ะ
     มาเอาใจช่วยคู่สองกันต่อเนอะ :)
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 17-08-2014 11:05:23
มมาเอาใจช่วยคู่ต่อไปจร้า
 :mew3:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 17-08-2014 13:52:14
 :mc4:รอลุ้นคู่ต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" -- มาเริ่มสร้างรักครั้งที่สองกัน
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 17-08-2014 19:20:14
สร้างรักคู่ที่สอง: Kazuki x Tsubasa

     “นี่มันหมายความว่าอะไรครับโนมูระซัง”
     สึบาสะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทที่เป็นค่ายหนังจีวีชื่อดังที่เขาสังกัดอยู่ โนมูระมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นตารางงานใหม่ที่เขาเป็นคนเรียกให้สึบาสะเข้ามารับเอง
     “ทำไมเปลี่ยนตารางงานของผมกะทันหันแบบนี้ครับ แล้วยังต้องเล่นกับ...” สึบาสะตวัดสายตาไปมองชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โซฟาในห้องทำงานของโนมูระด้วยท่าทางที่กวนประสาทที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา
     “คนที่จะต้องเล่นเป็นชุนไม่ใช่เหรอครับ”
     “ตอนแรกก็เป็นแบบนั้นล่ะนะสึบาสะคุง” โนมูระพยายามอธิบาย “แต่พอดีมีโปรเจ็คท์ใหม่ให้ชุนเขาเล่นพอดี เราเลยต้องหาคนมาแทน แล้วอัตสึชิซังก็เสนอชื่อของเธอขึ้นมา บอกว่าแคแร็คเตอร์ของเธอเหมาะกับโปรเจ็คท์นี้ ทุกคนก็เห็นด้วย”
     “ข่มขืนนี่นะครับ” สึบาสะหน้างอ อันที่จริงเขาก็พอรู้ว่าตัวเองเป็นที่นิยมในบทของฝ่ายรับมากกว่า บทถูกข่มขืนหรือถูกมัดก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเล่น เพียงแต่เขาเล่นกับคนอื่น ไม่เหมือนคราวนี้ที่คู่ของเขาคือ..คาสุกิ
     สึบาสะกับคาสุกิเคยจับคู่เล่นด้วยกันอยู่สองสามครั้งเท่านั้น นับว่าน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น อาจจะเพราะยังไม่มีโปรเจ็คท์ที่เหมาะสม และต่างคนต่างก็มีคู่ที่เข้ากันได้มากกว่า แต่ครั้งนี้ต้องเจอกันหลายคิวทีเดียว
     ความจริงสึบาสะไม่มีปัญหากับบท แต่เขาไม่อยากเล่นกับคาสุกิ
     หมอนั่นมันต้องฉวยโอกาสเอาเปรียบเขาแน่นอน
     สึบาสะรู้ดีว่าคาสุกิคิดยังไงกับเขา แต่เขาไม่ได้ชอบคาสุกิ
     “นายกลัวฉันเหรอ” เสียงยั่วแหย่ลอยลมมาให้ได้ยิน สึบาสะหันไปโต้ทันที...ด้วยน้ำเสียงที่พยายามแข็งอย่างเต็มที่แล้ว
     “ใครบอกว่าฉันกลัวนาย”
     “งั้นก็เล่นสิ ในฐานะนักแสดง นายไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะเล่นหรือไม่เล่นกับใครนะ นี่มันเป็นงาน”
     สึบาสะเงียบเพราะเถียงไม่ออก โนมูระรีบไกล่เกลี่ย
     “ฉันขอโทษนะสึบาสะคุงที่ไม่ได้คุยกับเธอก่อน แต่เรื่องมันด่วนจริง ๆ ครั้งนี้ถือว่าช่วยฉันเถอะนะ เรื่องคาสุกิก็ไม่ต้องห่วง ฉันจะปรามมันเองว่าไม่ให้มายุ่มย่ามกับเธอ”
     อย่างกับว่าจะทำได้นี่ สึบาสะมองหน้ายิ้มกริ่มแบบร้ายกาจสุด ๆ ของอีกฝ่ายแล้วไม่มั่นใจเลยว่าโนมูระจะสามารถปรามคาสุกิได้
     หมอนั่นออกจะร้าย แล้วก็รังแกเขามาตั้งหลายครั้งแล้ว
     ไม่ถึงขั้นจับกดหรอก แต่แค่จูบก็แย่แล้ว
     ที่แย่กว่านั้นคือ หัวใจเขาเต้นโครมครามทีเดียวแหละ เลยไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งกับผู้ชายคนนี้นัก
     แต่ในที่สุดสึบาสะก็ต้องยอมอย่างไม่มีทางเลือก ปกติเขาก็ปฏิเสธใครไม่ค่อยจะเป็นอยู่แล้ว เมื่อโนมูระขอร้องให้ช่วย มีหรือที่เขาจะปฏิเสธได้ สึบาสะก็ต้องยอมเล่นกับคาสุกิอยู่ดี
     “เป็นอะไรไปรึเปล่า สึบาสะ หน้าตาไม่สบายนะ”
     สึบาสะสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงทัก
     “โชคุง” สึบาสะก้มหัวทักทายเล็กน้อย โชยิ้มกว้างให้ ก่อนจะนั่งลงตรงข้าม
     “นายไม่สบายรึเปล่าเนี่ย”
     “เปล่าหรอก คิดอะไรเพลินอยู่เฉย ๆ” สึบาสะปฎิเสธ
     “นี่ใบอะไรน่ะ” โชเอื้อมมือมาคว้ากระดาษที่อยู่ตรงหน้าสึบาสะไปดูโดยที่ฝ่ายหลังคว้าไม่ทัน
     “ตารางงานนี่นา โห คิวเยอะจัง ไม่หนักเกินไปเหรอ”
     “ก็ไม่หรอก” สึบาสะยิ้มนิด ๆ หัวใจพองฟูขึ้นมานิด ๆ เมื่อได้ยินคำถามแสดงความเป็นห่วงของโช “เล่นแทนชุนก็เลยดูเยอะนิดนึง”
     “จริงสินะ เจ้านั่นมีโปรเจ็คท์ใหม่ผุดขึ้นมาพอดี ได้ยินนางิจังพูดอยู่เหมือนกัน”
     ชื่อของนางิที่ออกมาจากปากของโชทำให้ใจที่พองฟูแฟบลง
     “รู้ไหม พวกนั้นจะไปถ่ายกันที่ออนเซ็นที่โอซาก้าล่ะ น่าอิจฉาเป็นบ้าเลย” โชพูดต่อโดยไม่ได้สังเกตสังกาอะไร แม้แต่น้ำเสียงเศร้า ๆ ของสึบาสะที่ถามว่า
     “นายคงอยากไปด้วยสินะ”
     “แน่นอน ฉันอยากไปแช่น้ำร้อน ชวนนางิจังตั้งหลายครั้งแล้ว หมอนั่นไม่ว่างสักที แต่นี่ดันมาได้ไปทำงานซะงั้น นี่ถ้าฉันไปขอโนมูระซังเปลี่ยนตัวกับเจ้าไคหรือจิน คิดว่าพวกมันจะยอมมั้ย”
     “คงยาก เพราะชุนเล่นนี่นา ไคกับจินไม่มีทางถอนตัวแน่นอน”
     โชฟังแล้วทำปากยื่นอย่างน่าเอ็นดู เหมือนเด็กโดนขัดใจ สึบาสะคิด สายตาที่มองโชก็อ่อนโยนลงจนคนอีกคนหนึ่งที่แอบดูอยู่ห่าง ๆ รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
     “แต่โชคุงก็จะได้ไปเล่นสกีไม่ใช่เหรอ น่าสนุกดีออก”
     ได้ยินอย่างนั้นโชก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เขาชอบกีฬา ยิ่งเป็นสกีหรือสโนว์บอร์ดยิ่งเข้าทางเลย
     “นั่นสินะ ชักคอยไม่ไหวแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูด “ว่าแล้วเย็นนี้ไปดูรองเท้าใหม่ดีกว่า นี่ฉันคงไม่เห่อไปหน่อยหรอกนะ” ประโยคท้ายหันมาถาม สึบาสะสั่นศีรษะยิ้ม ๆ
     โชยิ้มกว้างตอบอีกครั้ง แล้วยกนาฬิกาขึ้นดู ก่อนอุทานว่า
     “อ๊ะ ได้เวลาแล้วนี่นา เดี๋ยวฉันต้องไปรับนางิจังแล้ว ไปก่อนนะสึบาสะ”
     โชไม่ฟังคำตอบด้วยซ้ำ เขาพูดแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินฉับ ๆ ออกไปจากห้องกาแฟ ทิ้งให้สึบาสะนั่งอึ้งอยู่กับที่ ปากที่จะเตรียมพูดลาตอบอ้าค้าง
     คาสุกิที่ยืนดูอยู่ห่าง ๆ ยกมือขึ้นกอดอก สายตาที่จับจ้องไปที่สึบาสะเข้มจัดจนเข้าขั้นอันตราย
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 17-08-2014 20:24:18
อ๊ายยยยย แอบรักกันเป็นทอดๆ
สะบาสะ น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 17-08-2014 21:06:24
บริษัทนนี้อลเวงหน้าดูเลยนะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 18-08-2014 09:19:22
สร้างรักคู่ที่สอง: Kazuki x Tsubasa (ต่อ)

     สึบาสะมองคาสุกิที่เงียบขรึมผิดปกติด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ปกติคาสุกิไม่เคยเงียบแบบนี้ เขาเป็นคนช่างคุย คล้าย ๆ กับโชเหมือนกัน กองถ่ายที่มีคาสุกิมักไม่ค่อยเงียบเหงา แต่นี่เงียบกริบและมีบรรยากาศมาคุแบบแปลก ๆ สตาฟก็คงรู้สึกถึงรังสีอำมหิตของคาสุกิเช่นกัน เพราะไม่มีใครเข้าไปใกล้เขาเลย ได้แต่เมียงมองและซุบซิบกัน สตาฟคนหนึ่งถึงกับมาขอร้องให้เขาช่วยเอาบทไปให้คาสุกิหน่อยเพราะไม่กล้าเอาเข้าไปให้เอง สึบาสะก็ไม่อยากทำ แต่บอกแล้วว่าเป็นคนที่ปฏิเสธใครไม่เป็น เขาจึงต้องทำเป็นใจดีสู้เสือเข้าไปหาคาสุกิที่นั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ
     “นี่บทของนาย”
     คาสุกิไม่พูดอะไร แต่ดึงกระดาษในมือสึบาสะไปทันที
     “มีใครเอาเบียร์มาให้นายรึยัง” สึบาสะถามต่อ ถึงเขาจะไม่ค่อยอยากเข้าใกล้คาสุกิเท่าไหร่ แต่ด้วยนิสัยช่างเป็นห่วงและชอบดูแลคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะถาม
     หรือบางทีคาสุกิเขาอาจจะไม่ค่อยสบาย
     “ฉันกินแล้ว” คาสุกิตอบห้วน ๆ และอ่านบทในมือง่วนโดยไม่เงยหน้ามองใคร สึบาสะจึงจำเป็นต้องถอยห่างออกมา นั่งอ่านบทของตัวเองและฟังสตาฟบรีฟคิวที่จะต้องถ่าย
     โปรเจ็คท์นี้เป็นซีรีย์ข่มขืนในหลายบทบาทและสถานการณ์ ในโรงเรียน ในที่ทำงานอาชีพต่าง ๆ สึบาสะกับคาสุกิถ่ายสี่เรื่อง เรื่องละสามสิบถึงสี่สิบห้านาที
     เรื่องแรกเป็นสถานการณ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศเดียวกัน ความยาวของเรื่องสามสิบนาทีเท่านั้น แต่ใช้เวลาถ่ายนานเพราะต้องถ่ายหลายเทคให้ได้หลายท่าและเอามาตัดต่อรวมกัน กว่าจะครบสี่เรื่อง ทั้งเขาและคาสุกิต้องมีเซ็กซ์กันหลายครั้ง ถึงตอนนี้สึบาสะเหลือบมองคาสุกิที่เปลี่ยนชุดเป็นสูทเรียบร้อย กำลังยืนให้ช่างเช็คผมครั้งสุดท้าย คาสุกิเป็นคนตัวสูง ใส่สูทแล้วสมาร์ตมากจนอดชมไม่ได้จริง ๆ สึบาสะมองเพลินจนเบนสายตาหลบแทบไม่ทันเมื่อสายตาของคาสุกิตวัดมามอง
     สึบาสะรีบเบือนหน้าหลบ เขาจึงไม่เห็นรอยยิ้มร้ายของคาสุกิ
     “เอาล่ะ เตรียมพร้อมเข้าฉากได้”
     เสียงผู้กำกับให้สัญญาณ สึบาสะนั่งประจำที่อยู่ที่โต๊ะ กำลังนั่งอ่านแฟ้มเอกสาร เมื่อคาสุกิเดินเข้าประตูมา เขาก็พุ่งตรงมาหาสึบาสะและซ้อนกอดจากทางด้านหลัง สึบาสะสะบัดตัวออก แต่ไม่หลุดเพราะอ้อมกอดของคาสุกิรัดแน่น เขาจับหัวสึบาสะให้เอี้ยวหน้ามาหาและบดขยี้ริมฝีปากของสึบาสะอย่างรุนแรง
     “ค..คาสุกิ” สึบาสะพยายามกระซิบเมื่อคาสุกิซุกหน้าเข้ามาไซ้ไปตามซอกคอ เขาอยากบอกคาสุกิให้ลดความรุนแรงลงกว่านี้เพราะคาสุกิไม่แค่เลียอย่างเดียวอย่างที่บทสั่ง แต่ยังกัดด้วย ตอนนี้สึบาสะเริ่มดิ้นจริงแล้ว เมื่อคาสุกิเล่นนอกบทแบบนั้น แต่ก็หยุดคาสุกิไม่ได้
     สึบาสะถูกดันตัวให้นอนคว่ำลงบนโต๊ะ คาสุกิดึงเข็มขัดของตัวเองออกมาแล้วมัดข้อมือสึบาสะไพล่หลังเอาไว้
     “คะ...คาสุกิ ไม่เอา..” ริมฝีปากของสึบาสะถูกปิดด้วยมือของคาสุกิทันที ร่างของคาสุกิยังซ้อนหลังเขาอยู่
     “เสร็จฉันล่ะสึบาสะ” คาสุกิกระซิบไม่ให้กล้องได้ยิน แล้วจับสึบาสะเปลื้องผ้าทั้งที่ยังโดนเขามัดมือไพล่หลังไว้ สึบาสะดิ้นหนี ตาเหลือก คราวนี้เขาพยายามจะร้องให้สตาฟช่วย แต่โดนคาสุกิใช้เสื้อเชิ้ตของตัวเองม้วนและให้เขาคาบไว้ในปากเสียก่อน
     ไม่เอา ไม่เอานะ ช่วยด้วย
     สึบาสะพยายามส่งสายตาบอกคนอื่น แต่แล้วก็คิดได้ว่าเรื่องที่ถ่ายทำอยู่มันคือการข่มขืน สิ่งที่คาสุกิทำแม้จะนอกบทไปบ้างแต่ก็ยังอยู่ในธีมเรื่อง สตาฟจึงไม่สงสัยอะไร แล้วเขาก็ดันบอกสตาฟไม่ได้ด้วยว่าเขากำลังจะถูกข่มขืนจริง ๆ
     น้ำตาของสึบาสะไหลออกมาเมื่อคาสุกิแทรกตัวเข้ามาในตัวของเขา ไม่มีการเล้าโลม ไม่มีความอ่อนโยน ทุกอย่างดิบเถื่อนและรุนแรง เขาถูกกระแทกจนร่างกายกระเด็นกระดอนไปตามแรงของคาสุกิ ความเจ็บวูบขึ้นมาจนตาพร่า ก่อนที่คาสุกิจะถอนตัวออกไป
     กล้องซูมจับมาที่หน้าเปื้อนน้ำตาของเขา แล้วผู้กำกับก็สั่งคัต
     “พักสิบห้านาที เตรียมคิวต่อไป”
     หมดไปท่านึงแล้ว ยังต้องถ่ายอีกสองครั้ง เขาต้องโดนคาสุกิข่มขืนอีกสองครั้ง
     สตาฟเป็นคนมาปลดเข็มขัดให้
     “เหนื่อยหน่อยนะสึบาสะซัง”
     สึบาสะรับผ้าเช็ดตัวชุบน้ำที่สตาฟยื่นมาให้ เขาตรงไปหาคาสุกิที่กำลังจุดบุหรี่สูบ แล้วขว้างผ้าเช็ดตัวในมือใส่คาสุกิทันที
     “นายทำอย่างนี้ทำไม คาสุกิ” ทั้ง ๆ ที่โกรธ แต่เสียงของสึบาสะก็แข็งไม่ได้มากไปกว่านี้
     “ฉันทำอะไร” คาสุกิยิ้มยียวน
     “นายเล่นนอกบท”
     “ฉันปล้ำนาย มันนอกบทตรงไหน นายเองก็ออกจะแสดงได้สมบทบาท” คาสุกิเชยคางสึบาสะขึ้น “คิวหน้าไม่มีผ้าปิดปาก นายครางได้เต็มที่เลย”
     “ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ฉันไม่เล่นกับนายแล้ว” สึบาสะหมุนตัวจะเดินหนี แต่ถูกคาสุกิดึงมือไว้
     “ปล่อยนะ”
     “ไม่ปล่อย” แล้วคาสุกิก็หันไปพูดกับตากล้องและสตาฟที่กำลังมองอยู่ด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นว่า
     “ถ่ายต่อได้เลย สึบาสะเค้าไม่อยากรอแล้ว”
     “หา อะไร” สึบาสะอุทานได้แค่นั้นก็ถูกกระชากแล้วผลักลงบนโต๊ะที่เดิม แต่คราวนี้สตาฟรู้แล้วว่าคาสุกิทำอะไรลงไป ผู้กำกับมัตสึดะจึงต้องเข้ามาห้ามทัพ
     “พักก่อนเถอะ เอาไว้ค่อยถ่ายต่อ สตาฟช่วยดูสึบาสะคุงหน่อย ส่วนคาสุกิ นายมาคุยกับฉันก่อน”
     คาสุกิทำเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดจังหวะ แต่ก็ยอมเดินตามผู้กำกับไป แล้วก็เลยโดนเทศน์ไปยกหนึ่งและถูกปรามไม่ให้เล่นอะไรนอกบทอีก
     ชายหนุ่มเจ้าของสมญาหมาป่าตัวร้ายเหมือนจะเชื่อฟังผู้กำกับ เทคต่อมา เขาทำตัวดีขึ้น แม้จะมิวายแอบกัดสึบาสะเล่นบ้างหรือขยับตัวแรง ๆ แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามบท ทุกคนจึงค่อยคลายใจว่าการถ่ายทำครั้งนี้คงจบลงด้วยดี
     มารู้ทีหลังว่าคิดผิด หมาป่าก็คือหมาป่า เมื่อไหร่ที่ลูกแกะเผลอตัว ก็จะโดนขย้ำทันที
     เทคสุดท้ายเมื่อผู้กำกับสั่งเดินกล้อง คาสุกิยัดของตัวเองเข้าปากของสึบาสะทันทีอย่างไม่ปราณีปราศรัย ไม่สนใจว่าสึบาสะจะรู้สึกคับปากคับคอจนสำลัก เขาจับหัวสึบาสะไว้และขยับเอว สึบาสะน้ำตาร่วงอีกรอบขณะใช้ปากให้คาสุกิ
     “โอ๊ย เจ้าคาสุกิ” ผู้กำกับมัตสึดะมึนหัวตึ้บขึ้นมาทันที เขาสั่งคัต สตาฟรีบวิ่งเข้าไปดูสึบาสะที่ยังไอไม่หยุด
     “นายทำตัวดี ๆ หน่อยได้ไหม” มัตสึดะโวย แล้วหันไปหาสึบาสะ
     “ไหวรึเปล่าสึบาสะคุง พอก่อนไหม”
     ชายหนุ่มหยุดไอแล้ว เขากำลังใช้ผ้าที่สตาฟเอามาให้เช็ดน้ำตา ส่วนตัวต้นเหตุนั้นจุดบุหรี่สูบอย่างสบายใจเฉิบ ไม่มีท่าทีเดือดร้อนสักนิด
     “ไหวครับ รีบถ่ายให้เสร็จดีกว่า”
     สึบาสะตอบ เขาไม่อยากมาถ่ายซ่อม ไม่อยากเข้าฉากกับคาสุกิมากไปกว่านี้อีกแล้ว เอาแค่ของวันนี้ให้มันเสร็จไปสักที เหลืออีกนิดหน่อย เขาคงทนได้ แล้วเขาก็ต้องทนจริง ๆ เพราะถึงจะโดนคาดโทษไว้ คาสุกิก็ไม่ยั้งมือสักนิด เขากระแทกสึบาสะจนหัวสั่นหัวคลอน ไม่เพียงเท่านั้นยังหลั่งให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนตัวของสึบาสะอย่างที่ไม่ควรจะเป็นด้วย
     สึบาสะนอนหอบอยู่บนโต๊ะ ตามเนื้อตัวเลอะเทอะด้วยน้ำจากในตัวของคาสุกิ เขาหมดแรง ลุกขึ้นไม่ไหว จึงได้แต่นอนนิ่งหลับตาอยู่อย่างนั้น
     เท็ปเปซึ่งเป็นตากล้องหลักของโปรเจ็คท์นี้เห็นสภาพนักแสดงแล้วได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ เขาหันไปพูดลอย ๆ กับคาสุกิที่ยังยืนสูบบุหรี่ได้อย่างใจเย็นว่า
     “ยิ่งชอบก็ยิ่งทำรุนแรงเนี่ยมันเป็นตรรกะที่ใช้ไม่ได้นะ คนที่เรารักเราก็ควรต้องทะนุถนอม ไม่ใช่แกล้งให้เจ็บตัว”
     คาสุกิร้องฮึอย่างไม่สบอารมณ์
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 18-08-2014 10:20:20
คาสุกิ นายเอสมาก จัดเต็มเหลือเกิน
ปล. อยากให้อัพชื่อตอนขึ้นหัวกระทู้ด้วยอะค่า จะได้รู้ว่าตอนใหม่มาแล้ว
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 18-08-2014 11:33:53
คาสุกิ นายเอสมาก จัดเต็มเหลือเกิน
ปล. อยากให้อัพชื่อตอนขึ้นหัวกระทู้ด้วยอะค่า จะได้รู้ว่าตอนใหม่มาแล้ว

เราต้องแก้ยังไงอะคะ แก้ที่หัวกระทู้แรกสุดเลยใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: "The Company - บริษัทสร้างรัก" [JGV]18/8/57-P.1
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 18-08-2014 12:09:30
สงสารสึบาสะ มากกกกกกกกกกกกกก


(ปล.ไปแก้ที่ทู้แรกของคุณ  มุมขวาตรงเป็ด มันจะมีคำว่าอ้างถึง  แก้ไข ลบทิ้ง
เราคลิกหัวข้อ "แก้ไข" มันจะเข้าตรงตอบแล้วแก้ตรงเรื่องค่ะ"
จะได้หัวข้อกระทู้แบบเรา
(ถ้าจะกรุณาเขียนบอกว่าเป็นตอนของใคร อัพเมื่อไร หน้าที่เท่าไร )แฟนคลับอย่างเราจะได้รู้ค่า :hao3:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก"
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 18-08-2014 19:23:40
สร้างรักคู่ที่สอง: Kazuki x Tsubasa (ต่อ)

     เมื่อสึบาสะลืมตาขึ้นมาอีกที สตาฟก็หายไปกันหมดแล้ว เหลือแต่คาสุกิคนเดียว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว กำลังสูบบุหรี่และจ้องมองสึบาสะอยู่
     “คนอื่น ๆ เขากลับไปหมดแล้ว ฉันบอกว่าฉันจะดูแลนายเอง” คาสุกิบอกเมื่ออ่านสายตาของสึบาสะได้
     “ฉันดูแลตัวเองได้” สึบาสะปฏิเสธทันที “นายอย่ามายุ่งกับฉัน”
     สึบาสะคว้ากล่องกระดาษทิชชูมาเช็ดคราบตามเนื้อตัวออกก่อน แต่เมื่อขยับลงจากโต๊ะ เขากลับยืนไม่อยู่และคงจะล้มลงไปแล้ว ถ้าคาสุกิไม่เข้ามารับตัวเอาไว้
     “ไม่ไหวแล้วยังจะปากแข็งอีก” คาสุกิเอ็ดเบา ๆ กอดร่างของสึบาสะไว้แนบอก
     “ก็เพราะใครล่ะ บ้า ทำไม่ยั้งมือเลย”
     คาสุกิไม่โกรธที่โดนต่อว่า เขากลับหัวเราะร่าชอบอกชอบใจ สึบาสะอดรู้สึกไม่ได้ว่าคาสุกิกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว
     “ปล่อยได้แล้ว ฉันเดินเองได้” สึบาสะดิ้นหนี แต่คาสุกิกลับอุ้มเขาขึ้น
     “ฉันพานายไปอาบน้ำเอง อ๊ะ อย่าดิ้นนะ เดี๋ยวตกลงไปไม่รู้ด้วย” สึบาสะที่ทำท่าจะดิ้นอีกเลยต้องหยุดด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่ สองมือของเขาเหนี่ยวคอคาสุกิไว้ไม่ให้ตก ทำให้หน้าของเขาอยู่ใกล้กับหน้าของคาสุกิเพียงแค่นิดเดียว
     “วันนี้นายเป็นอะไร”
     สึบาสะอดถามไม่ได้ เขามองใบหน้าหล่อร้ายที่อยู่ห่างจากใบหน้าของเขาอย่างเต็มตา สบตากับคาสุกิที่เหลือบตามองตอบพอดี แต่คาสุกิไม่ตอบ แค่ยิ้มมุมปากนิดเดียวก่อนจะวางร่างในอ้อมแขนลงหน้าห้องน้ำ
     “นายอาบน้ำเองไหวไหม หรืออยากให้ฉันอาบให้”
     “บ้า ฉันอาบเองได้ นายอะไปห่าง ๆ เลย” สึบาสะผลักมือของคาสุกิที่ยุ่มย่ามกับตัวเขาออกไป ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็ออกมา คาสุกิยืนพิงผนัง สูบบุหรี่รออยู่ เมื่อเห็นสึบาสะเดินออกมา ก็บอกว่า
     “เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง”
     “ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้”
     สึบาสะปฏิเสธโดยที่ไม่ต้องคิดเลย เขาไม่เคยให้คาสุกิไปที่บ้าน ไม่เคยคิดจะให้ไปด้วย มันยิ่งโรคจิตอยู่ จะทำอะไรบ้างก็ไม่รู้ จนถึงตอนนี้ถ้าไม่นับฝ่ายบุคคลของบริษัทก็ดูจะมีแค่โชคนเดียวที่รู้จักบ้านของเขา โชรู้นางิก็คงรู้ แต่เรื่องนั้นก็ช่วยไม่ได้
     คาสุกิพยายามจะตื๊อ แต่สึบาสะไม่ใจอ่อน เขาเรียกแท็กซี่กลับเองโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะโวยวายอย่างไร
     หนีได้หนีไปนะสึบาสะ คาสุกิขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นายไม่รอดมือฉันหรอก

     คาสุกิรู้ตัวว่าการถ่ายทำครั้งที่แล้ว เขาทำตัวไม่ค่อยดีนัก ในการถ่ายทำครั้งที่สองเขาจึงพยายามไม่ทำตัวมีปัญหาอะไรอีก ไม่นอกบท ไม่แกล้งสึบาสะ ซึ่งเมื่อไม่มีเรื่องอะไรมากระตุ้นให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างครั้งก่อน ชายหนุ่มก็ทำตัวดีได้เหมือนกัน
     ระหว่างที่ถ่ายทำเรื่องที่สองซึ่งเป็นเรื่องระหว่างเจ้านายและลูกน้องในร้านอาหาร คาสุกิจึงได้เห็นรอยยิ้มของสึบาสะตั้งแต่เริ่มกองจนกระทั่งเลิก และในเมื่อบรรยากาศของกองถ่ายดี การถ่ายทำก็ราบรื่นจนเสร็จเร็วกว่ากำหนด สตาฟจึงจัดแจงจะไปดื่มกันต่อหลังจากนั้น แต่สึบาสะปฏิเสธที่จะไป เขาขอตัวกลับบ้านหลังจากเลิกกอง คาสุกิอยากจะตามสึบาสะกลับบ้านไปด้วย แต่ทีมงานกลับไม่ปล่อยเขา ชายหนุ่มถูกลากไปที่บาร์กับคนอื่น ๆ
     คาสุกิได้นั่งกับสาวผมยาวแต่งตัวเปรี้ยวจัดที่แสดงความชื่นชอบเขาตั้งแต่แรกเห็น
     “เดี๋ยวเราไปต่อที่อื่นกันนะคะคาสุกิซัง”
     ริมฝีปากสีแดงสดกระซิบอยู่ข้างหูของเขา อายูมิเคล้าคลอคาสุกิด้วยความหลงใหล มือลูบไล้แขนแข็งแรงของคาสุกิเล่นไปมา หน้าอกที่มีมากเหลือเฟือเบียดดันอยู่กับท่อนแขน น้ำเสียงเซ็กซี่และเนื้อนุ่ม ๆ ของสาวสวยทำให้เลือดในกายเขาสูบฉีด คาสุกิไม่ปฏิเสธ เขาตามอายูมิเข้าไปในโรงแรมที่เปิดห้องไว้สนุกสนานกันในคืนนี้
     แต่เมื่อเรือนร่างอวบอัดเปล่าเปลือยของอายูมิเข้ามาใกล้ชิดกับเขา คาสุกิกลับคิดถึงรูปร่างแข็งแรงมีกล้ามเนื้อพอประมาณของใครอีกคนหนึ่ง ผิวของคนคนนั้นขาวนวลเนียน สัมผัสนุ่มมือ รอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยน
     สึบาสะ...
     คาสุกิหลับตา แล้วก็ผลักอายูมิที่กำลังจะใช้ปากให้เขาออกเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงไปสวมเสื้อผ้า เขาโยนเงินปึกหนึ่งลงบนเตียงตรงหน้าอายูมิที่มองตามอย่างไม่เข้าใจและไม่พอใจเลย
     “นี่มันอะไรกันคะ คาสุกิซัง”
     “โทษทีนะ แต่ฉันทำกับเธอไม่ได้ซะแล้วล่ะ แฟนฉันขี้งอน ถ้ารู้เข้าคงงอนฉันไม่ยอมเลิกแน่” คาสุกิตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้อายูมิมองตามตาค้าง
     เขาตู่เอาสึบาสะเป็นแฟนอีกแล้ว แต่เมื่อไหร่นะจะยอมเป็นจริง ๆ สักที
     คาสุกิกดโทรศัพท์หาคนที่เขาคิดถึงทันที ป่านนี้จะนอนรึยังก็ไม่รู้ แต่ถ้ายังไม่นอน แล้วจะยอมรับโทรศัพท์ของเขาไหมนะ
     “สวัสดีครับ” เสียงงัวเงียของสึบาสะดังมาตามสาย “สึบาสะพูดครับ”
     คาสุกิยิ้มนิด ๆ กับโทรศัพท์ในมือ คงนอนแล้ว และกดรับโทรศัพท์โดยไม่ได้ดูชื่อสินะ ถ้ารู้ว่าเป็นเขาโทรมาเอาป่านนี้ สึบาสะคงหน้างอ
     “ฉันเอง คาสุกิ”
     “คาสุกิเหรอ นายโทรมาทำไมตอนดึก ๆ เนี่ย คนจะนอน”
     นั่นยังไง เสียงใส ๆ เมื่อกี้บ่นอุบทันที
     “ฉันคิดถึงนาย อยากคุยด้วย”
     “จะบ้าเหรอ เพิ่งเจอกันเมื่อเย็นนี้เอง พรุ่งนี้เดี๋ยวก็เจออีก จะมาคิดถึงอะไรเนี่ย ไม่เอาละ ฉันวางหูดีกว่า จะได้นอน แล้วนายอย่าโทรมากวนฉันอีกล่ะ”
     “เดี๋ยวก่อนสิสึบาสะ อย่าเพิ่งวางสาย” คาสุกิเรียกเอาไว้ “ฉันคิดถึงนายจริง ๆ นะ นายคิดถึงฉันบ้างไหม”
     “บ้า ฉันจะไปนอนแล้ว อย่าโทรมากวนฉันด้วยเรื่องเหลวไหลแบบนี้อีกนะ”
     เสียงอ่อนโยนที่กำลังเอ็ดเขานั้นไม่น่ากลัวเลยสักนิด คาสุกิยิ้มนิด ๆ กับตัวเอง คนปลายสายวางหูไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ก็อย่างที่สึบาสะพูดนั่นแหละ
     พรุ่งนี้ก็ได้เจอ

     สึบาสะอยากเปลี่ยนคำพูดที่เคยบอกว่าคาสุกิทำตัวดีขึ้นนัก ตอนถ่ายเรื่องที่สอง เขาทำตัวน่ารัก ไม่นอกบท ไม่ฉวยโอกาส แต่พอมาวันนี้ มือไม้ของหมอนั่นกลายเป็นปลาหมึกอีกแล้ว คาสุกิเข้ามาก้อร่อก้อติกกับเขาทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามาในกอง
     “คิดถึงจังเลย” คาสุกิเข้ามากอดสึบาสะเอาไว้แน่น
     “กอดทำไมเนี่ย ปล่อยฉันนะ อึดอัด” สึบาสะพยายามผลักตัวคาสุกิออกอย่างทุลักทุเล ในขณะที่คนอื่น ๆ เห็นเข้าก็พากันหัวเราะ เท็ปเปออกปากแหย่ว่า
     “รักกันจริง ๆ เลยน้าสองคนนี้”
     “ไม่ใช่นะ” สึบาสะรีบปฏิเสธ เขาดันตัวคาสุกิออกจนสำเร็จ
     “ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย”
     “ก็คนคิดถึง ก็ต้องกอดสิ ธรรมดาจะตาย”
     คาสุกิยักคิ้วยียวน พยายามจะเข้ามากอดอีก แต่สึบาสะเบี่ยงตัวหลบ หน้างอ
     “ถ้านายอยากจะกอดใครสักคนก็นู่น รอไปกอดสาวสวยคนเมื่อคืนสิ อย่ามายุ่งกับฉัน”
     คาสุกิฟังแล้วสะดุ้งโหยง บ่นพึม
     “เฮ้ย ใครมันปากโป้งวะ”
     สตาฟหัวเราะกันคิกคัก แต่ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนเอาเรื่องมาฟ้องสึบาสะสักคน คาสุกิเกาหัวอย่างไม่รู้จะทำไงดี ส่วนสึบาสะก็สะบัดหน้าเดินไปนั่งรอที่เก้าอี้ ไม่ยอมพูดกับคาสุกิอีกจนถึงเวลาเข้าฉาก

     ผู้กำกับสั่งเดินกล้อง เรื่องนี้สึบาสะต้องเล่นบทถูกมัด เขาโดนคาสุกิจับใส่กุญแจมือแล้วล็อกไว้กับหัวเตียง เขาถูกผูกตาไว้ด้วย ร่างเปลือยเปล่าของสึบาสะนอนแผ่อยู่บนเตียงตรงหน้าคาสุกิ ปกติแล้วในเวลางาน คาสุกิไม่ได้มีอารมณ์เต็มร้อยหรือตื่นเต้นอะไรมากมาย ทุกอย่างเป็นงาน เขาก็เล่นไปตามบทบาท ทำไปตามหน้าที่ แต่เมื่อคู่ของเขาคือสึบาสะ แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้ากล้องและมีคนอยู่ด้วยอีกหลายคน คาสุกิกลับรู้สึกเหมือนจะยั้งตัวเองไม่อยู่ เขามีอารมณ์อยากจะทำให้มันสุด ๆ ไปเลย ยิ่งเมื่อสึบาสะครางฮือ บิดตัวเร่า ๆ แค่โดนเขาเขี่ยยอดอกเล่น มันยิ่งปลุกอารมณ์เขาอย่างบอกไม่ถูก เสียงร้องของสึบาสะเมื่อเขาใช้ปาก ใช้มือก็เช่นกัน มันช่างเซ็กซี่และแทบทำให้เขาสติกระเจิดกระเจิง ชายหนุ่มกระแทกตัวเองเข้าหาสึบาสะแบบไม่มียั้ง ส่งให้สึบาสะนอนหอบแรง ๆ อยู่ใต้ตัวเขา
     ผู้กำกับสั่งให้เล่นต่อเนื่องเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนอารมณ์กำลังได้ คาสุกิปลดกุญแจมือและผ้าผูกตาออก เมื่อจับสึบาสะขึ้นมาอยู่บนตัวเอง มือจับสะโพกของสึบาสะกดลงแรง ๆ ไปพร้อมกับแอ่นตัวรับ สึบาสะหลับตาแน่น แต่ส่งเสียงครางไม่หยุด สุดท้ายร่างของสึบาสะถูกเขากดลงนอนคว่ำกับฟูกที่นอน มือสองข้างของสึบาสะถูกดันติดหัวเตียง แต่คาสุกิพลั้งมือไปหน่อย มือของเขากดมือของสึบาสะผิดท่า เมื่อเขาออกแรงขย่มตัว มือของสึบาสะก็ซ้น
     “โอ๊ย เจ็บ คาสุกิ”
     สึบาสะร้อง แต่คาสุกิไม่สนใจ เขากดสึบาสะติดกับเตียง หน้าของสึบาสะโดนอัดลงกับหมอนจนเขาไม่สามารถเปิดปากร้องได้ ได้แต่อดทนจนคาสุกิเสร็จและถอนตัวออกมา
     “สึบาสะ...”
     คาสุกิตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นสึบาสะกุมมือซ้าย หน้าตาเหยเก พอเขาเอื้อมมือไปหา ก็โดนสึบาสะตวาดใส่อย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน
     “ไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉัน!”
     “ฉันขอโทษ”
     “ฉันบอกว่าเจ็บ นายก็ยังไม่ยอมหยุด!”
     “สึบาสะ ฉันขอโทษ”
     สึบาสะหันหลังให้ เขายื่นมือให้มัตสึดะดู คนอื่น ๆ ก็มารุมสึบาสะ และชายหนุ่มก็ถูกประคองไปที่ห้องพยาบาลทันที
     คาสุกิรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามไปที่ห้องพยาบาล สึบาสะทำแผลเสร็จแล้วและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขากำลังจะกลับบ้าน
     “ฉันไปส่งนะสึบาสะ”
     คาสุกิรีบเสนอตัว แต่สึบาสะทำหน้าบึ้งใส่และหันไปขอร้องให้เท็ปเปไปส่งเขาแทน
     เท็ปเปตบไหล่คาสุกิเบา ๆ
     “ไม่ต้องห่วงนะคาสุกิคุง เดี๋ยวฉันไปส่งสึบาสะคุงเอง นายก็รอให้สึบาสะคุงอารมณ์ดีสักหน่อยก่อนแล้วค่อยคุยเถอะ ตอนนี้คุยไปก็คงไม่ยอมฟังหรอก”
     คาสุกิยอมทำตาม เขามองตามสึบาสะไปด้วยความเป็นห่วง
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 18.8.14 อัพแล้วนะคะ
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 18-08-2014 20:11:19
โธ่ อุตส่าห์เปลี่ยนยุทธวิธีเข้าหา แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ (แอบสมน้ำหน้าเบา ๆ  :hao7:)
สู้ต่อไปนะคาสุกิ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 18.8.14 อัพแล้วนะคะ
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-08-2014 20:52:59
คู่นี้ท่าทางจะไม่ง่ายนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 18.8.14 อัพแล้วนะคะ
เริ่มหัวข้อโดย: mamie ที่ 18-08-2014 23:41:43
สนุกมากค่ะ คุคิ

มาอัพบ่อยๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 18.8.14 อัพแล้วนะคะ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 19-08-2014 07:20:03
สร้างรักคู่ที่สอง: Kazuki x Tsubasa (ต่อ)

     สึบาสะกลับมาถึงห้องเรียบร้อยโดยมีเท็ปเปช่วยหิ้วกระเป๋าและถือของมาส่ง เขาอาสาจะไปซื้อข้าวกล่องมาให้ แต่สึบาสะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
     “อย่าลำบากดีกว่าครับเท็ปเปซัง ผมแค่มือซ้นนิดเดียว ออกไปซื้อเองได้ครับ แค่ต้องรบกวนให้มาส่งก็ขอบคุณมากแล้วครับ”
     เท็ปเปยิ้มนิด ๆ
     “ก็ถ้าแค่นั้น เธอก็อย่าโกรธคาสุกิคุงเขามากนักล่ะ ดูเขาเป็นห่วงเธอมากนะ”
     สึบาสะไม่ยอมตอบ ปากเม้มแน่น
     “ถ้าหมอนั่นโทรมา เธอก็คุยด้วยสักหน่อยแล้วกันนะ สงสารมัน หน้าจ๋อยเลย”
     “ทำไมใคร ๆ เข้าข้างแต่คาสุกิ” สึบาสะอดบ่นไม่ได้ “เขาทำผมเจ็บนะ”
     “หมอนั่นมันไม่ได้ตั้งใจหรอก” เท็ปเปพูดแค่นั้นก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “เอาเถอะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็โทรเรียกได้”
     “ขอบคุณมากครับ”
     หลังจากเท็ปเปออกไปแล้ว สึบาสะก็เอาโทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงไว้ขึ้นมาดู
     สายที่ไม่ได้รับสามสิบกว่าสายจากคาสุกิ
     ฮึ!
     สึบาสะวางโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างไม่สนใจ เขาทิ้งตัวลงนอน
     ถามว่าโกรธไหมเรื่องมือ คำตอบที่ได้คือไม่โกรธ แต่ไม่พอใจเรื่องที่คาสุกิไม่สนความรู้สึกของเขามากกว่า
     เอาแต่ใจตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ
     เรื่องเมื่อคืนก็อีก อยู่กับผู้หญิง แล้วยังมีหน้าโทรมาบอกว่าคิดถึงเขา
     คนร้ายกาจ!
     เสียงโทรศัพท์สั่น เขาหยิบขึ้นมาดู กะว่าถ้าเป็นคาสุกิจะกดตัดสายซะ แต่ชื่อที่ขึ้นหน้าจอกลับเป็นอีกคนหนึ่ง
     “โชคุง” สึบาสะกดรับสายทันที
     “โย่ สึบาสะ เป็นไงมั่ง ได้ข่าวว่ามือเจ็บเหรอ”
     “ซ้นนิดหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอก ขอบคุณนะที่โทรมา”
     “เจ้าคาสุกินี่ก็นะ ไม่ยั้งมือเลยสิท่า เจ้าหมอนี่เป็นยังงี้ทุกที” โชบ่น เขาเคยจับคู่กับคาสุกิเหมือนกัน เจ้าหมอนั่นชอบเล่นแรง เล่นกับมันต้องคอยปรามเอาไว้ดี ๆ ไม่งั้นเจ็บตัวเอาได้ง่าย ๆ
     “แล้วนี่นายกินอะไรรึยัง ทำอะไรสะดวกไหม ยังไงฉันซื้อข้าวเข้าไปให้นายดีมั้ย ฉันมาถ่ายแถว ๆ อพาร์ตเม้นท์นายพอดี เดี๋ยวเข้าไปหา”
     “จะรบกวนรึเปล่าโชคุง”
     “ไม่หรอก นี่ก็ถ่ายใกล้เสร็จแล้ว งั้นเดี๋ยวถ่ายเสร็จ ฉันแวะซุเปอร์แถวนี้ซื้อข้าวกล่องเข้าไปให้นายละกันนะ”   
     โชวางสายไปแล้ว สึบาสะยิ้มกับตัวเองด้วยความดีใจเมื่อคิดว่าโชจะมาหา เขารีบเดินไปเปิดตู้เย็น โชคดีที่ยังพอมีเบียร์เหลืออยู่ กับแกล้มก็พอมี เขาอาจจะทำอะไรง่าย ๆ ให้โชได้บ้าง
     เย็นนี้จะได้กินข้าวกับโช บางทีเจ็บตัวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
     สึบาสะจัดโต๊ะรอโชเอาไว้เรียบร้อย พอได้ยินเสียงกริ่งประตู เขาก็รีบไปเปิดทันที แต่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับถุงข้าวของหลายใบ กลับไม่ใช่โช
     “คาสุกิ นายมาได้ยังไง” รอยยิ้มบนหน้าของสึบาสะเลือนหายไป
     “เสียใจล่ะสิที่เป็นฉัน ไม่ใช่เจ้าโช” คาสุกิแสยะยิ้ม เขาคว้าประตูไว้ทันก่อนที่สึบาสะจะปิดมันใส่หน้าเขา
     “เจ้านั่นน่ะมันโทรหาฉัน บอกว่ามันมาหานายไม่ได้แล้ว มันต้องไปหาเจ้านางิ ให้ฉันมาแทน บอกที่อยู่ของนายให้เสร็จ มันน่ะไม่ได้ให้ความสำคัญกับนายเท่าแฟนมันหรอกนะ แค่เจ้านางิโทรมาเรียก มันก็ทิ้งนายได้ทันที”
     “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ”
     “ทำไม ทนฟังไม่ได้เหรอ”
     สึบาสะไม่อยากได้ยินคำพูดเชือดเฉือนของคาสุกิอีกแล้ว ไม่อยากเห็นรอยยิ้มเยาะ ๆ ของคาสุกิด้วย ชายหนุ่มพยายามจะผลักคาสุกิออกไปให้พ้นประตู แต่ทำไม่ได้ เพราะฝ่ายนั้นดันตัวเองเข้ามาในห้องจนสำเร็จ แล้วปิดประตูทันที คาสุกิถือวิสาสะเข้ามาในห้องของสึบาสะ เอาถุงหลายถุงที่หิ้วมาด้วยวางลงบนโต๊ะ
     คาสุกิยิ้มเยาะหยันอีกเมื่อเห็นตะเกียบสองคู่และแก้วน้ำที่สึบาสะจัดไว้
     “อุตส่าห์จัดรอเจ้าโช เสียใจด้วยนะที่ต้องผิดหวัง”
     “นายกลับไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย”
     คาสุกิยักไหล่ ไม่สนใจคำไล่ของสึบาสะแม้แต่น้อย เขาเอาของสดที่ซื้อมาใส่ตู้เย็น ปากก็พูดว่า
     “ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม ฉันจะทำอะไรให้นายกินละกัน”
     “ไม่เอา ฉันไม่กิน นายกลับไปนะ” สึบาสะดึงแขนคาสุกิ แต่เขาก็นิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นสายตาเจ็บปวดของคาสุกิที่เบือนกลับมามองสบตาด้วย
     คาสุกิมองคนที่เขาชอบด้วยแววตาตัดพ้อจนคนถูกมองทำอะไรไม่ถูก
     มือของสึบาสะปล่อยแขนของคาสุกิทันที แล้วในพริบตานั้นเขาก็ถูกคาสุกิดึงตัวเข้าไปกอดแน่น สัมผัสของคาสุกิไม่ได้เป็นแบบล้อเล่นหรือหมาหยอกไก่อย่างที่เคยทำ แต่อ้อมกอดของเขามั่นคงและสั่นนิด ๆ จนสึบาสะไม่กล้าจะขยับตัว ได้แต่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนนั้น
     “ให้ฉันดูแลนายบ้างได้ไหม” เสียงของคาสุกิอ้อนวอน “ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน นายชอบเจ้าโชมัน แต่ฉันขอร้องล่ะ แค่วันนี้ก็ได้ ให้ฉันเป็นคนดูแลนายนะ อย่าปฏิเสธฉันเลย”
     “คาสุกิ”
     “ฉันขอโทษที่ทำนายเจ็บ ฉันเสียใจ สึบาสะ ฉันเสียใจจริง ๆ นายยกโทษให้ฉันได้ไหม”
     สึบาสะใจอ่อนยวบ เขาไม่ใช่คนใจแข็งอยู่แล้ว ได้ยินคาสุกิพูดถึงขนาดนี้ จะให้เขาโกรธต่อก็ทำไม่ลงจริง ๆ
     “ฉันไม่ได้โกรธนายสักหน่อย” เสียงของสึบาสะอ่อยลง มือที่ตกอยู่ข้างตัวเลื่อนขึ้นมาจับชายเสื้อของคาสุกิไว้
     “ขอโทษนะที่ตะกี้ไล่นาย”
     “ไม่เป็นไร” มือของคาสุกิลูบผมสึบาสะด้วยความเอ็นดู “นายไม่โกรธเรื่องที่ฉันมาที่นี่ด้วยใช่ไหม”
     มือของสึบาสะที่กำชายเสื้อของคาสุกิอยู่คลายออกทันที เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา
     “สึบาสะ” คาสุกิคลายอ้อมแขน ใจหายวูบ   
     “ฉันทำให้นายเสียใจอีกแล้ว” คาสุกิพูด แล้วโอบตัวอีกฝ่ายมากอดเอาไว้อีกครั้ง
     สึบาสะสั่นศีรษะแรง ๆ พลางสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของคาสุกิ
     “ให้ฉันแทนที่โชได้ไหมสึบาสะ ฉันขอเป็นคนดูแลนายเองนะ”
     สึบาสะไม่ตอบ เขาสะอื้นไม่หยุด
     “ฉันชอบนายจริง ๆ นะสึบาสะ”
     คาสุกิจูบหน้าผากของสึบาสะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขัดขืน เขาก็เลื่อนริมฝีปากไปที่ตา แก้ม มือก็เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน สายตาของคาสุกิสบกับสึบาสะ และริมฝีปากของสึบาสะก็เผยอออกนิด ๆ อย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากของคาสุกิขยับไปประกบทันที และเรียกร้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ลิ้นของเขาสอดเข้าไปพันอยู่กับลิ้นของอีกฝ่าย สึบาสะจูบตอบ เขากอดคอคาสุกิ อ้อมแขนของคาสุกิจึงรัดแน่นขึ้นราวกับไม่อยากจะปล่อยร่างของสึบาสะอีกแล้ว ทั้งสองคนจูบกัน ร่างของทั้งคู่เลื่อนลงบนพื้น คาสุกิถอนริมฝีปากออก แล้วอุ้มสึบาสะไปวางลงบนเตียง
     เสื้อผ้าถูกถอดออกจนหมด คาสุกิกระซิบข้างหูสึบาสะอีกครั้ง
     “ฉันชอบนาย”
     สึบาสะหลับตาลง ซึมซับความสุขที่คาสุกิมอบให้ผ่านมือและริมฝีปาก เขาครางไม่หยุด ตัวแอ่นขึ้นลงตามแรงดูดของคาสุกิ และเปิดปากรับริมฝีปากของคาสุกิที่เลื่อนขึ้นมาหา คาสุกิตั้งใจทำให้สึบาสะเต็มที่ เขายกสะโพกของสึบาสะขึ้น นิ้วมือและลิ้นไล้ไปทั่วบริเวณที่ทาเจลไว้จนชุ่ม ก่อนจะดันตัวเองลึกลงไปข้างใน
     สึบาสะสะดุ้ง หน้าตาเหยเก เขาจิกผ้าปูที่นอนแน่น เสียงครางและเสียงสูดริมฝีปากของทั้งคู่ดังประสานกัน คาสุกิโน้มตัวลงมากอดสึบาสะไว้ขณะที่ขยับเอวไม่หยุด แล้วยกพลิกตัวสึบาสะให้หันหลัง ยิ่งคาสุกิเข้ามาลึกเท่าไหร่ สึบาสะยิ่งทนไม่ไหว เขาขยับสะโพกรับและจัดการตัวเองไปด้วย
     “คาสุกิ ฉันไม่ไหวแล้ว”
     “ไปพร้อมกัน สึบาสะ”
     คาสุกิหลับตาเมื่อรู้สึกถึงการตอดแน่นในตัวของสึบาสะ เขายิ่งขยับแรงขึ้นเมื่อสึบาสะร้องเรียกชื่อเขาไม่ขาดปาก
     “คาสุกิ คาสุกิ”
     “สึบาสะ”
     เขาจับหน้าของสึบาสะให้เอี้ยวมารับจูบของเขาซึ่งอีกฝ่ายก็เผยอริมฝีปากรับอย่างเต็มใจ แล้วคาสุกิก็พาสึบาสะขยับไปพร้อม ๆ กับเขาจนหมดแรงไปด้วยกันทั้งคู่
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 18.8.14 อัพแล้วนะคะ
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 19-08-2014 07:28:41
ว้าย เรื่องนี้แปลกดีนะคะ
อ่านแล้วเหมือนได้ดู GV อยู่เลย
 :z1: :pighaun: :m25:
ถ้าจะให้ดี รบกวนช่วยใส่รูปของพระนายบ้างได้มั้ยคะ
เพราะคนที่เราจำหน้าได้มีไม่กี่คนเอง
คนอื่นอาจจะเคยเห็นหน้าแต่จำชื่อไม่ได้อ่ะ อิอิ
ขอบคุณนะคะ
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 Kazuki x Tsubasa (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 19-08-2014 10:01:03
สึบาสะใจอ่อนแล้ว
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 Kazuki x Tsubasa (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 19-08-2014 11:39:02
 :jul1:
เลือดท่วม สึบาสะเริ่มสนใจคาสุกิแล้วใช่มั๊ย
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 Kazuki x Tsubasa (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 19-08-2014 12:44:17
ถามใจตัวเองดีๆนะสึบาสะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 Kazuki x Tsubasa (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 19-08-2014 20:06:27
สร้างรักคู่ที่สอง: Kazuki x Tsubasa (จบ)

     คาสุกิกับสึบาสะนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียง สึบาสะไม่ได้ร้องไห้แล้ว เขานอนซบอกของคาสุกิอยู่ โดยมีฝ่ายหลังลูบผมเขาเล่นช้า ๆ ด้วยความเอ็นดู แล้วคาสุกิก็พูดขึ้นว่า
     “มีความสุขจัง”
     สึบาสะเงียบ แต่แอบอมยิ้ม
     “นายล่ะ รู้สึกยังไง มีความสุขไหม”
     สึบาสะเงียบอีก คาสุกิเลยถือโอกาส
     “ไม่ตอบแสดงว่าชอบสินะ”
     “บ้า คิดไปเองตลอด นายอะ” สึบาสะเงยหน้าขึ้นมาค้านทันควัน แต่หน้าแดงแปร๊ด คาสุกิหัวเราะชอบใจ เขากอดสึบาสะไม่ยอมปล่อย
     “นายยังจะปฏิเสธฉันอีกไหม”
     “ฉันไม่รู้”
     “นี่นายยังไม่คิดจะตัดใจจากเจ้าโชอีกงั้นเหรอ”
     “เรื่องโชคุงน่ะคงต้องพอซะที ฉันไม่ได้มีหวังตั้งแต่ต้นแล้ว นายก็รู้ดีนี่นา”
     “งั้นก็ให้โอกาสฉันสิ ให้ฉันได้พิสูจน์ว่าฉันน่ะดีกว่าเจ้าโชมันไม่รู้กี่เท่า”
     “ไม่เอาอะ ฉันไม่ไว้ใจนาย”
     “ทำไม”
     คาสุกิขมวดคิ้ว แล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ เขาก็เลยบีบปากสึบาสะ พลางคาดคั้น
     “บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”
     “โอ๊ย ทำอะไรของนายน่ะ คาสุกิ ฉันเจ็บนะ” สึบาสะร้อง เขาตีมือคาสุกิที่บีบปากเขาอยู่ อีกฝ่ายยอมปล่อยมือ แต่ยังไม่ละสายตาจากสึบาสะ
     “อย่าเล่นแรง ๆ แบบนี้ ฉันไม่ชอบ”
     “แน่ใจเหรอว่าไม่ชอบ” คาสุกิแหย่ ทำให้อีกฝ่ายหน้าคว่ำทันที
     “นายก็เป็นซะอย่างนี้ ทำตัวเป็นเล่น แล้วฉันจะไว้ใจนายได้ยังไง อีกอย่างนึง วันนี้นายบอกว่าชอบฉัน แต่นายก็ทำฉันเจ็บ นายบอกว่าคิดถึงฉัน แต่นายก็ไปนอนกับผู้หญิง ฉันไม่ให้โอกาสนายหรอก”   
     หางเสียงมีรอยสะบัด คาสุกิรู้ตัวทันที
     “อ๋อ เรื่องนี้เองใช่ไหม ฉันไม่ได้มีอะไรกับแม่สาวคนนั้นนะ”
     คาสุกิแก้ตัว แต่สึบาสะสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนทันที
     “แล้วไปที่โรงแรมกับเขาทำไม”
     “ตอนแรกก็คิดจะทำเหมือนกัน” คาสุกิหยุดเมื่อเห็นหน้างอง้ำของสึบาสะ แล้วก็รีบพูดต่อ “แต่ฉันไม่ได้ทำนะ ฉันทำไม่ได้ ฉันนึกถึงหน้านาย ฉันก็เลยหยุด”
     “หมายความว่ายังไง”
     “ฉันรู้ว่านายต้องทำหน้ายังงี้น่ะสิ” คาสุกิบีบจมูกของสึบาสะที่กำลังงอนเล่น “นายต้องงอนฉันแน่ ๆ ฉันเลยไม่ทำไง”
     “บ้า นายจะทำอะไรมันก็เรื่องของนาย ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉัน”
     คาสุกิดึงตัวสึบาสะเข้ามากอดอีก ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะดิ้นหรือผลัก น้ำเสียงของเขาไม่มีการล้อเล่นอีกแล้ว
     “ฟังนะ ฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ ปากเสีย ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจนาย ทำนายเจ็บตัว ทำนายร้องไห้ แต่ฉันไม่เคยโกหกนาย ฉันบอกว่าไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ และฉันบอกว่าฉันชอบนาย มันก็หมายความตามนั้นจริง ๆ ไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น”
     เขาจ้องลงไปในตาของสึบาสะที่ยังคงมีความไม่แน่ใจ
     “ขอแค่นายให้โอกาสฉัน ฉันจะทำให้นายเห็นเอง”
     สึบาสะมองเห็นความมั่นคงและจริงใจในดวงตาของคาสุกิ แม้ว่าเขาพยายามจะปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม
     คาสุกิไม่โกหกเขาหรอกใช่ไหม
     ตลอดเวลาที่ผ่านมา คาสุกิก็คือคาสุกิ เขาไม่เคยปิดบังความร้ายกาจของตัวเอง เขาแสดงตัวตนของเขาให้เห็นมาตั้งแต่ต้น และเมื่อบอกว่าชอบ เขาก็ทำทุกอย่างให้รู้ว่าชอบเหมือนกัน
     ทำในแบบของตัวเองนี่แหละ
     “ว่าไงล่ะ อย่าเงียบสิ”
     สึบาสะโดนบีบปากอีก
     เนี่ย คาสุกิสไตล์ บอกว่าชอบ แต่ทำคนอื่นเจ็บตัวตลอด
     “โอ๊ย ให้โอกาสก็ได้ แต่นายเลิกบีบปากฉันสักที มันเจ็บนะ”
     สึบาสะหน้างอ ปัดมือคาสุกิออก เขาหมั่นไส้ท่าทางลิงโลดของคาสุกิเมื่อได้ยินคำตอบของเขาจริง ๆ แล้วนั่น มือของคาสุกิเริ่มยุ่มย่ามกับเขาอีกแล้ว สึบาสะต้องหาวิธีปรามให้ได้แล้วล่ะมั้ง ไม่งั้นเขาตายแน่
     “คาสุกิ” สึบาสะเรียกอีกฝ่ายเสียงอ่อน พร้อมกับจับมือที่กำลังลูบไล้เนื้อตัวเขาเล่น รั้งเอาไว้ให้หยุด
     “หือม์?” คาสุกิขานรับ เขาชะงักเมื่อสบสายตาวิงวอนอ่อนหวานของสึบาสะ
     “ครั้งนี้นายช่วยอ่อนโยนกับฉันหน่อยนะ คาสุกิ ฉันอยากให้นายกอดฉันเบา ๆ มากกว่า”
     สึบาสะลูบแขนอีกฝ่าย
     “นะ คาสุกิ ไม่กระแทกด้วยได้ไหม ฉันเจ็บ”
     เจอทั้งน้ำเสียงและสายตาแบบนั้นเข้าไป คาสุกิรู้สึกเหมือนโดนมนตร์สะกดทันที แล้วเมื่อสึบาสะเลื่อนตัวมากอดเขาไว้อย่างอ่อนโยน คาสุกิก็รู้ตัวแล้วว่าเขาไม่มีวันไปไหนได้รอด
     แล้วไม่ว่าสึบาสะต้องการอะไร คาสุกิคนนี้พร้อมจะทำให้ได้ทุกอย่าง!
     
     การถ่ายทำเรื่องสุดท้ายของโปรเจ็คท์ล่าช้ากว่าที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะถึงแม้ว่าสตาฟทุกคนจะพร้อม แต่ก็ยังไม่มีใครคิดจะทำงาน ต่างพากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันให้แซดไปทั้งกอง สายตาชำเลืองมองไปยังนักแสดงสองคนของโปรเจ็คท์นี้ที่กำลังนั่งคุยกันอย่างไม่สะทกสะท้านต่อเสียงกระซิบกระซาบรอบตัว
     ถ้าแค่นั่งคุยกันเฉย ๆ มันคงไม่เป็นประเด็นขนาดนี้ แต่นี่คาสุกินั่งซ้อนหลังสึบาสะอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน มือข้างหนึ่งจับผมสึบาสะม้วนเล่นกับปลายนิ้วขณะฟังอีกฝ่ายคุย ส่วนสึบาสะก็ยอมนั่งนิ่ง ๆ อยู่ในอ้อมแขนของคาสุกิแต่โดยดีโดยไม่พยายามผลักหรือสะบัดตัวออกเหมือนที่เคยทำ
     “นี่มันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย หรือสองคนนั้นตกลงปลงใจกันแล้ว”
     เท็ปเปที่มีกล้องถ่ายวีดิโออยู่ในมือหันไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาก้มศีรษะทักทายอัตสึชิที่เดินมาหยุดอยู่ข้างตัว
     “ก็น่าจะยังงั้นครับอัตสึชิซัง แต่ตกลงกันได้ก็ดีแล้วล่ะ ไม่งั้นกว่าจะถ่ายเสร็จ สึบาสะคุงคงจะเจ็บตัวยิ่งกว่านี้”
     “ก็ดันไปถูกใจเจ้าคาสุกิเข้านี่ละน้า”
     อัตสึชิส่ายหน้า เขารู้จักนิสัยนักแสดงในสังกัดทุกคนนั่นแหละ รู้ว่าใครเป็นยังไง ไม่งั้นก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วอย่างเจ้าคาสุกินี่ก็เป็นพวกบ้าพลัง แต่ถ้ารักใครก็รักจริงเหมือนกัน สึบาสะคงลำบากอยู่สักหน่อย แต่ก็มั่นใจได้ว่าเจ้าคาสุกิมันจะหัวปักหัวปำอยู่ที่สึบาสะคนเดียวแน่นอน
     จากความตั้งใจว่าจะแวะเยี่ยมกองถ่ายและแวะมาดูสึบาสะที่ข้อมือเจ็บ กลายเป็นต้องมาเป็นพยานรักของนักแสดงสังกัดตัวเองอีกคู่ซะอย่างนั้น
     อัตสึชิเรียกเสียงดัง
     “เฮ้ย เจ้าสองคนตรงนั้นน่ะ จะจีบกันอีกนานไหม ถึงเวลาทำงานแล้วนะ”
     สึบาสะกับคาสุกิหยุดคุยกันทันที แต่ยังไม่แยกห่างจากกัน   
     “สวัสดีครับอัตสึชิซัง มาเยี่ยมกองถ่ายเหรอครับ” สึบาสะก้มศีรษะให้พร้อมกับทักทายอย่างสุภาพ
     “ใช่ เห็นว่ามือเจ็บเหรอสึบาสะ หายดีแล้วใช่ไหม”
     “หายดีแล้วครับ ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”
     “งั้นถ้าคราวหลังเจ้าคาสุกิมันเล่นแรงนักก็ยันมันออกมาเลย ไม่ต้องกลัวนะ ฉันเข้าข้างเธอเอง”
     อัตสึชิแนะนำ ทำเอาคาสุกิบ่นอุบ ขณะที่สึบาสะหัวเราะชอบใจ
     ผู้กำกับมัตสึดะหาจังหวะอยู่นานแล้ว พอเห็นอัตสึชินำร่องให้ เขาก็กระมิดกระเมี้ยนเข้ามาขออนุญาตขัดจังหวะ บอกว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว จะเริ่มเดินกล้องในอีกห้านาที คาสุกิกับสึบาสะจึงยอมแยกห่างออกจากกันได้
     เรื่องสุดท้ายนี้เป็นเรื่องราวของเพื่อนนักเรียนสองคน นักแสดงทั้งคู่ใส่กักคุรันและนั่งคุยกันอยู่ในห้องที่เซ็ตเป็นห้องเรียน ก่อนที่คาสุกิซึ่งรับบทเป็นคนที่แอบชอบเพื่อนตัวเองมานานจะรุกเข้าหาสึบาสะและจับกดโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องแสดงท่าทางขัดขืนและไม่ยินยอม
     แต่สิ่งที่ทั้งสองคนถ่ายทอดออกมานี้คงเป็นซีนข่มขืนที่หวานที่สุดกระมัง
     เท็ปเปถ่ายไปส่ายหน้าไปด้วยความอ่อนใจ ผู้กำกับมัตสึดะเกาหัวอย่างไม่รู้จะทำยังไงถูก ส่วนอัตสึชิโคลงศีรษะพลางบ่นพึม
     “เอาเข้าไปไอ้คู่นี้”
     คาสุกิกดสึบาสะลงกับโต๊ะเรียน ฝ่ายหลังดิ้นก็จริง แต่ไม่เหมือนโดนข่มขืน เหมือนเพื่อนสองคนเล่นสนุกกันมากกว่า สึบาสะหน้างอ ต่อว่าต่อขาน พยายามจะทุบถองคาสุกิ ปากบอกไม่นะ ไม่นะ แต่สายตาหวานฉ่ำ ไอ้ฝ่ายคาสุกิก็มองอีกฝ่ายตาพราว แลบลิ้นเลียริมฝีปาก และรุกอีกฝ่ายเต็มที่ เซอร์วิสสุดพลัง ทำให้สึบาสะครางไม่ยอมหยุด ตัวอ่อนปวกเปียก เรียกชื่อคาสุกิไม่ขาดปาก
ทั้งสองคนไม่สนใจแล้วว่ายังมีคนอยู่อีกหลายคนในห้องนี้
     อัตสึชิกลอกตา
     “สาบานว่านี่คือการข่มขืนแล้วใช่ไหม”
     คนรอบตัวพร้อมใจกันหัวเราะเบา ๆ ด้วยความขบขันกันหมดและเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องพูดออกมาเลยว่า
     ยอมให้ก่อนเทคหนึ่งก็แล้วกัน...





     ......
     จบคู่ที่สองแล้วค่ะ ขอบคุณทุก ๆ คอมเม้นท์นะคะ ดีใจอะที่มีคนอ่าน  :hao5:
     พรุ่งนี้จะมาอัพต่อเรื่องของตากล้องของเรานะคะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 จบคู่ Kazuki x Tsubasa
เริ่มหัวข้อโดย: mamie ที่ 19-08-2014 20:54:19

ฟินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 จบคู่ Kazuki x Tsubasa
เริ่มหัวข้อโดย: moredee ที่ 19-08-2014 21:04:22
ตกกระปุกน้ำผึ้งแล้ววววว
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 จบคู่ Kazuki x Tsubasa
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 19-08-2014 21:26:22
คาสุกิเนี่ยน้าบทจะหวานก็หวานเวอร์ :-[
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 19.8.14 จบคู่ Kazuki x Tsubasa
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 20-08-2014 08:26:56
สร้างรักครั้งที่สาม: Teppei x Eiji


     เท็ปเปทำงานเป็นตากล้องให้บริษัทเข้าปีที่ห้าแล้ว นอกจากเป็นตากล้องหลัก เขายังควบตำแหน่งตัดต่ออีกหนึ่งตำแหน่งด้วย และการทำงานแบบนี้ไปนาน ๆ ทำให้บางทีเขารู้สึกว่าตัวเองอาจจะตายด้านเรื่องเซ็กซ์ไปแล้วก็ได้
        เขาอยู่กับเซ็กซ์แทบทุกวันจนชาชิน ชายหนุ่มไม่มีครอบครัว เขาไม่ชอบผู้หญิง ดังนั้นเรื่องแต่งงานจึงไม่เคยมีอยู่ในหัว ส่วนเรื่องเซ็กซ์ก็นาน ๆ จะทำสักครั้งหนึ่ง เขาเป็นตากล้องให้หนังจีวีก็จริง มีโอกาสเจอนักแสดงหน้าตาดีมากมาย แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่เขารู้สึกชอบ
        เขาไม่ได้สานสัมพันธ์กับใครเลย แม้จะเป็นแค่วันไนท์สแตนด์ก็ตาม
        จนกระทั่งถึงตอนนี้
        “เท็ปเปซังสวัสดีครับ”
        เสียงทักที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้เขาที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เกือบสะดุ้ง
        “เอย์จิคุง มาเงียบ ๆ”
        เขาทัก
        เอย์จิเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งผ่านออดิชั่นเข้ามา เขาเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็ก ผิวขาว ตาโต หน้าตาน่ารักเหมือนผู้หญิง โดยเฉพาะเมื่อไว้ผมหน้าม้าและทำสีผมเป็นสีทองสว่าง ด้วยลุคแบบนี้ เอย์จิจึงมักจะรับบทอุเคะเสมอ
        “ไม่เงียบแล้วครับ ผมเรียกเท็ปเปซังตั้งสองครั้งแล้ว แต่คุณไม่ตอบผมเลย คิดอะไรเพลินอยู่หรือครับ คุณใจลอยไปจนถึงฮอกไกโดแล้วมั้งเนี่ย”
        เด็กหนุ่มพูดยาวเป็นขบวนรถไฟ เอย์จิเป็นคนพูดเก่ง เขาพูดได้ไม่หยุดปาก ถ้ามีโอกาส ดังนั้นตอนที่ให้แนะนำตัวหรือพูดคุยกับกล้อง เขาทำได้ฉลุยทุกครั้งโดยไม่ต้องเทคเลย
        ต่างกับเท็ปเปที่ไม่ค่อยพูดมากนัก
        “ผมเอาเค้กมาฝากครับ เค้กส้มแฮนด์เมดของเพื่อนผม เพื่อนผมเค้าทำเอง เค้ากำลังจะเปิดร้าน ผมเลยช่วยเป็นหนูทดลองให้เค้า แต่จะอ้วนคนเดียวก็ไม่ไหว ขอเอามาให้คนอื่นอ้วนด้วยดีกว่า ว่าแต่เท็ปเปซังชอบเค้กไหมครับ กินหวานได้ไหม แต่เค้กนี่ก็ไม่ค่อยหวานนะครับ เพราะเป็นเค้กส้ม รสจะออกเปรี้ยวนิด ๆ”
        เสียงพูดแจ้ว ๆ ของเอย์จิฟังเหมือนเสียงนกที่ร่าเริงไม่มีผิด เขาไม่รู้สึกรำคาญเลย เท็ปเปฟังเพลินจนเกือบลืมว่าเขาโดนตั้งคำถาม พอเอย์จิเรียกชื่อเขาอีกครั้งนั่นแหละเขาถึงนึกได้ รีบตอบว่า
        “กินได้สิ ขอบใจมากนะเอย์จิคุง คราวหลังไม่ต้องลำบากก็ได้”
        เท็ปเปพูดด้วยความเกรงใจเพราะถ้าเจอเอย์จิคุงทีไร เขาเป็นได้ของอะไรบางอย่างทุกที ส่วนใหญ่มักเป็นของกินที่เจ้าตัวทำเองบ้าง เพื่อนทำบ้าง แล้วหอบมาแจกคนที่บริษัท
        “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ผมชอบทำอยู่แล้ว”
        เอย์จิยิ้มหวานให้ ก่อนจะขอตัว
        เท็ปเปหยิบเค้กของเอย์จิออกมาจากกล่อง เค้กสีส้มสวย รสชาติเปรี้ยวนิด ๆ อย่างที่เจ้าตัวพูด ดู ๆ ไปแล้ว เค้กส้มอันนี้ก็คล้าย ๆ เอย์จิอยู่นิด ๆ นะ
        สวยและเปรี้ยว
        เท็ปเปเปิดคอมพิวเตอร์ เลือกไฟล์วีดิโอไฟล์หนึ่งขึ้นมา เรื่องใหม่ที่เขายังตัดต่อไม่เสร็จ มีเอย์จิคุงเล่นอยู่ในโปรเจ็คท์ด้วย เรื่องนี้เอย์จิคุงโดนมอมเหล้าและโดนเพื่อนชายข่มขืน
        เอย์จิเมาเหล้าได้เซ็กซี่มาก เมื่อวานเขาก็ดูไปแล้วล่ะ ดูจนเพลินเลยไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะต้องตัดต่อและแก้ไขสักนิด
   ริมฝีปากสีแดงที่เผยอน้อย ๆ เสียงครางเบา ๆ ที่ชวนให้ช่องท้องปั่นป่วน สายตาหวานฉ่ำที่มองสบตากับกล้องเป็นการเชิญชวน
   เหมือนกับเอย์จิกำลังมองเขา ไม่ใช่กล้อง
        เท็ปเปเหมือนถูกมนตร์สะกด เขารูดซิปกางเกงออก ตายังมองสบกับสายตาของเอย์จิในวีดิโอ มือของเขาจัดการกับของตัวเองที่แข็งขันขึ้นมา
        รู้สึกตัวอีกทีเมื่อถึงจุด เขาหอบหายใจหนัก ๆ นึกฉงนเหมือนกัน เขาไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว ตอนนี้ในวีดิโอ เอย์จิกำลังคุยกับกล้อง เขากำลังเล่าถึงซอฟท์ครีมแสนอร่อยที่กินไปเมื่อกี้ ภาพตัดไปที่เอย์จิกำลังออกเดต เด็กหนุ่มยิ้มหวานกับกล้อง แล้วโบกมือลา ก่อนที่ภาพจะหายไป
        เท็ปเปถอนหายใจ เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว เอย์จิอายุน้อยกว่าเขาหลายปี อยู่ในวัยที่สดใส เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะสนใจผู้ชายวัยขนาดเขาหรอก

        “เอ้อ นี่มันอะไรกัน”
        เท็ปเปมองหน้าเอย์จิสลับกับมองกล่องที่เด็กหนุ่มวางลงบนโต๊ะอย่างงง ๆ เมื่อจู่ ๆ เด็กหนุ่มก็เอากล่องใหญ่ยักษ์มาตั้งตรงหน้าของเขา
        “เบนโตะไงครับ ผมทำมาให้เท็ปเปซัง รับไว้ด้วยนะครับ”
        “ขอบใจนะ ต้องรบกวนเธอจริง ๆ”
        เอย์จิคุงยิ้มหวาน ทำให้เท็ปเปตะลึงไปนิด ๆ
        “ไม่รบกวนเลยครับ เท็ปเปซังนั่นแหละ กินแต่ขนมปัง มันไม่ดีนะครับ ไม่ค่อยจะมีสารอาหารเลย อย่างน้อยก็น่าจะไปกินข้าวที่โรงอาหารก็ยังดีนะครับ”
        “บางทีมันรีบ ๆ น่ะ ขนมปังก็เร็วดี” เท็ปเปอ้อมแอ้มตอบ บางครั้งเขารู้สึกว่าเอย์จิก็ทำตัวเหมือนคุณแม่ คือ ขี้บ่น
   แต่ก็น่ารักดี
        “แต่มันไม่ค่อยมีประโยชน์”
        เอย์จิค้าน เขาแกะผ้าที่ห่อเบนโตะออก แล้วเปิดกล่องออกให้เห็นว่าเขาทำอะไรมา เป็นเบนโตะที่ตกแต่งอย่างน่ารัก เท็ปเปมองไส้กรอกเวียนนาที่ทำเป็นรูปปลาหมึกกับแอ็บเปิ้ลที่หั่นเป็นชิ้นแล้วตัดเปลือกออกให้ดูเป็นหูกระต่ายด้วยสายตาขบขัน
        “เหมือนทำให้เด็กกินเลย”
        เขาอดแซวไม่ได้ เอย์จิย่นจมูกอย่างน่ารัก
        “ก็เท็ปเปซังเหมือนเด็กนี่นา เด็กไม่ค่อยชอบกินข้าว ต้องทำของมาล่อใจแบบนี้แหละ”
        เท็ปเปหัวเราะเบา ๆ เขาใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย เอย์จิมองด้วยความปลาบปลื้มใจ เมื่อเท็ปเปกินจนหมด เขาก็ถามว่า
        “ให้ผมทำเบนโตะให้คุณกินอีกนะครับ”
        “ไม่ดีมั้ง มันจะเป็นภาระให้เธอเปล่า ๆ นะเอย์จิคุง ไม่ต้องหรอก”
        เท็ปเปปฏิเสธ
        “ไม่เป็นภาระหรือลำบากอะไรเลยครับ ผมทำอาหารทุกวันอยู่แล้ว ทำเพิ่มให้เท็ปเปซังอีกคนไม่มีปัญหาอะไรเลย”
        “ฉันออกไปกินที่โรงอาหารก็ได้”
        “เดี๋ยวก็อ้างว่ารีบแล้วก็กินขนมปังอีก ไม่รู้ล่ะ ผมจะทำมาให้ คุณต้องรับเอาไว้ด้วย”
        แล้วเด็กหนุ่มก็ดึงดันทำตามความคิดของตัวเองโดยที่ไม่ฟังคำทัดทานของเท็ปเป คนในค่ายก็เลยได้เห็นเท็ปเปโดนเอย์จิลากออกมานั่งที่โรงอาหารอยู่บ่อย ๆ พร้อมกับกินเบนโตะฝีมือเด็กหนุ่ม
        “ว้าว เบนโตะน่ากินจังเลย เท็ปเปซังโชคดีจังได้กินเบนโตะอร่อย ๆ ทุกวัน”
        เสียงแซวลอยลมมาจากโต๊ะใกล้ ๆ เท็ปเปทำท่ากระอักกระอ่วนใจ พักหลัง ๆ เขาโดนแซวตลอด เรื่องเบนโตะ มองหน้าเอย์จิ ก็เห็นเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนหรือไม่พอใจ เอย์จิยิ้มหวานให้โชที่เป็นคนแซว ตอบว่า
        “ถ้าโชซังอยากทานเบนโตะ ผมทำให้ก็ได้นะ”
        นางิที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับโชกระแอม โชสะดุ้งโหยง หันไปแก้ตัวทันที
        “ฉันล้อเล่นน่า ก็แค่คิดว่าเบนโตะน่ากิน อยากกินเบนโตะฝีมือนางิจังบ้างอะ”
        ประโยคหลังอ้อนนิด ๆ นางิอมยิ้ม
        “ฉันก็ทำให้นายกินอยู่ทุกวันแล้วนี่ไง”
        “โอนิงิริ ไม่ใช่เบนโตะแห่งรักแบบนี้สักหน่อย มันไม่เหมือนกัน” โชโอดครวญ ถ้าเป็นอาหารที่ทำเอง เขาได้กินข้าวปั้นตลอดแหละ เพราะนางิทำอาหารไม่เป็น ทำได้แค่โอนิงิริ และไปซื้อข้าวกล่องที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาให้เขาเท่านั้น
        โชแค่อยากบ่นคนรักของเขานิดหน่อย ไม่ได้จริงจังอะไร แต่คำพูดที่เขาใช้มันกระทบไปถึงคนที่ได้ยินด้วย เท็ปเปทำหน้าไม่ถูก ส่วนเอย์จิหน้าแดงนิด ๆ
        เบนโตะแห่งรัก
     ก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละ
        แล้วก่อนที่จะทำอะไรไม่ถูกมากไปกว่านั้น เอย์จิก็ชิงเปลี่ยนเรื่อง เขาร้องทักคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในโรงอาหารเสียงดัง
        “อัตสึชิซัง สวัสดีครับ”
        น้องชายเจ้าของบริษัทก้มหัวรับคำทักทายนิด ๆ มือของเขาจูงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาด้วย สึบาสะทักทายโชกับนางิ แล้วหันมามองเอย์จิซึ่งฝ่ายหลังก็มองอยู่ก่อนแล้วเหมือนจะสนใจ ก่อนจะนึกออกพร้อม ๆ กันว่าเคยเจอกันมาก่อนที่ไหน
        “นี่เอย์จิคุง นักแสดงค่ายเรา ส่วนนั่นตากล้อง เท็ปเปซัง” อัตสึชิแนะนำ
        “สวัสดีครับ” สึบาสะทักทาย ก่อนบอกว่า “เราเคยเจอกันแล้วครับ วันที่ผมมาสมัครงานที่นี่ ผมเจอเอย์จิซังด้วย จำได้ไหมครับ” ประโยคหลังเขาหันมาพูดกับเอย์จิ เด็กหนุ่มพยักหน้า
        “จำได้ครับ แต่เรียกเอย์จิเฉย ๆ ก็ได้ครับ”
        “ทั้งสองคนน่าจะอายุพอ ๆ กันนะ” อัตสึชิพูด
        “งั้นไม่ต้องใช้คำสุภาพก็ได้นะ เรียกฉันสึบาสะเฉย ๆ”
        แล้วทั้งเอย์จิกับสึบาสะก็ยิ้มให้กันอย่างถูกชะตา
        “ทานข้าวเที่ยงกันแล้วรึยังครับอัตสึชิซัง สึบาสะคุง” เท็ปเปซึ่งเงียบฟังอยู่ตลอดได้โอกาสถาม
        อัตสึชิพยักหน้า เขาบุ้ยใบ้ไปที่คนรักหนุ่มน้อย
        “เรียบร้อยแล้วล่ะ วันนี้ได้เบนโตะของสึบาสะเขาเหมือนกัน”
        “เพิ่งเริ่มหัดทำครับ สู้เบนโตะของเท็ปเปซังไม่ได้เลย” สึบาสะมองด้วยความสนใจ เท็ปเปอ้อมแอ้มบอกว่าเป็นฝีมือเอย์จิ
        “จริงเหรอ เก่งจังเอย์จิคุง สอนฉันบ้างได้ไหม” สึบาสะขอร้อง อัตสึชิเห็นว่าคนรักของเขากำลังคุยอย่างถูกคอกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จัก เขาจึงเลี่ยงไปสั่งเค้กกับน้ำชามาให้ แล้วปล่อยให้คุยกันไปตามสบายโดยฝากไว้กับเท็ปเป ไม่ลืมหันไปชี้หน้านางิเป็นการคาดโทษว่า ถ้าคิดแกล้งสึบาสะ มีเรื่องแน่
        นางิยักคิ้วให้อย่างกวน ๆ เป็นคำตอบ
        สึบาสะกับเอย์จิไม่สนใจคนอื่น ทั้งสองคนคุยกันอย่างถูกคอเกี่ยวกับเรื่องการทำอาหารและนัดแนะกันเสร็จสรรพว่าสึบาสะจะไปหัดทำอาหารที่แมนชั่นของเอย์จิ
        เมนูที่เอย์จิสอนให้สึบาสะนั้นมีทั้งของคาวและหวาน สึบาสะจัดอาหารที่ทำเสร็จแล้วลงกล่อง บอกกับเอย์จิว่าจะให้อัตสึชิลองชิมดู ส่วนของเอย์จิ เขาก็มีคนที่อยากให้ลองชิมดูเหมือนกัน

     เท็ปเปเปิดประตูอพาร์ตเม้นท์รับเอย์จิด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยบอกใครว่าบ้านเขาอยู่ไหน เอย์จิเห็นหน้าเท็ปเปก็เดาได้ เขายิ้มหวานให้ บอกว่า
        “ผมโทรไปถามจากโนมูระซังครับ ขอผมเข้าไปข้างในได้ไหม”
        เท็ปเปมีท่าทีลังเล แต่เอย์จิพูดแล้วไม่รอคำตอบ เดินเข้ามาในอพาร์ตเม้นท์ทันที
        “รกไปหน่อย ขอโทษนะ ฉันอยู่คนเดียว” เขาออกตัวเมื่อเห็นสายตาของเอย์จิมองไปรอบ ๆ
        “ไม่หรอกครับ” เอย์จิพูด เขาเอาถุงที่เขาหิ้วมาวางไว้ในครัว “ผมทำอาหารกับสึบาสะคุงวันนี้ ผมอยากให้คุณลองชิมดู ขอผมยืมครัวหน่อยนะครับ”
        เท็ปเปไม่ทันอนุญาตหรือปฏิเสธ เอย์จิยึดครัวเขาทันทีที่พูดจบ แต่ร่างเล็ก ๆ เมื่อสวมผ้ากันเปื้อนทำให้หัวใจเขาเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานานแล้ว ข้างล่างของเขาก็ลุกชันขึ้นมาจนเขาต้องระงับใจตัวเองเอาไว้ แล้วหันไปจัดการเก็บของที่วางระเกะระกะอยู่เข้าที่ให้เรียบร้อย
        “เท็ปเปซัง เดี๋ยวผมจัดการเอง มานั่งที่โต๊ะเถอะครับ”
        เอย์จิค้าน เมื่อหันมาเห็นเท็ปเปเก็บโต๊ะอยู่
        “เสร็จแล้วล่ะ” เท็ปเปอ้อมแอ้มบอก เอย์จิจึงยิ้มหวานให้ แล้วยกถาดอาหารที่จัดเสร็จแล้วมาวางตรงหน้า อาหารหน้าตาน่ากินทั้งนั้น
        “ทานสิครับเท็ปเปซัง” เอย์จิพูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป
        “เอ้อ ขอบใจนะ” เท็ปเปตอบตะกุกตะกัก เขารู้สึกทำตัวไม่ค่อยจะถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าเอย์จิ
        “ฉันไปชงชาให้เธอดีกว่า”
        “ผมทำเองครับ เท็ปเปซังทานเถอะ”
        เอย์จิลุกขึ้นยืนพร้อมกับที่เท็ปเปลุกพอดี ทั้งสองคนชนกัน แล้วเอย์จิก็ล้มลงไปบนตัวของเท็ปเป
        เท็ปเปนิ่งอึ้งไป เขาไม่กล้าขยับตัวเมื่อเห็นว่ามือของเอย์จิวางอยู่กลางลำตัวเขาพอดี
        เด็กหนุ่มไม่ได้ตกใจ เขาสบตากับเท็ปเปที่เมื่อสบตากับเขาแวบหนึ่งก็เบนสายตาหนีทันที เอย์จิอมยิ้ม เขาเลื่อนตัวลงจากตัวของเท็ปเป ก้มลงไปรูดกางเกงผ้ายืดที่เท็ปเปสวมอยู่ให้เลื่อนลงมา
        เท็ปเปตกใจ ขยับจะถอยหนี แต่เอย์จิจับเอวเขาไว้ แล้วก้มหน้าลงไป
        “เดี๋ยวก่อน เอย์จิคุง... อึก”
        เขาจับหัวของเอย์จิ แต่ไม่มีเรี่ยวแรงจะดันออกเมื่ออีกฝ่ายใช้ลิ้นและปากให้เขาอย่างคล่องแคล่ว มือของเอย์จิรูดของเขา ในขณะที่ลิ้นแลบเลียส่วนหัว เอวของเท็ปเปแอ่นตามแรงของเอย์จิ สุดท้ายเขาก็เด้งตัวใส่ปากเด็กหนุ่ม
        “ไม่ไหวแล้ว เอย์จิคุง” น้ำเสียงของเขาสั่นพร่าไปหมด เขากดหัวเอย์จิแรงขึ้น “จะออกแล้ว”
        เขาทนไม่ไหว เอย์จิไม่ยอมถอนตัวออกมา ปล่อยให้เท็ปเปหลั่งออกมาจนหมด เอย์จิกลืนลงไปแล้วใช้ลิ้นเลียให้อีกครั้ง
        “ฉันขอโทษ”
        เท็ปเปไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก เขาหันหลังให้เอย์จิด้วยความละอายใจที่ตัวเองเป็นผู้ใหญ่ แต่ไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้
        “ขอโทษทำไมครับ ผมเต็มใจทำให้คุณเองนี่นา”
        เอย์จิเข้ามากอดเท็ปเปจากข้างหลัง ซบหน้าลงกับไหล่ของอีกฝ่ายหนึ่ง
        “ผมชอบคุณ เท็ปเปซัง”
        แต่แทนที่เท็ปเปจะดีใจที่ได้ยินว่าเอย์จิใจตรงกับเขา ชายหนุ่มกลับไม่แน่ใจเลย หนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักอย่างเอย์จิน่ะหรือจะสนใจผู้ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบแบบเขา เอย์จิควรจะได้ใครสักคนที่อายุใกล้เคียงกันมากกว่า
        เท็ปเปปลดมือของเอย์จิออกจากตัวเขา
        “เธอกลับไปเถอะเอย์จิคุง แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 20.8.14/P.2 เริ่มคู่ Teppei x Eiji
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 20-08-2014 17:56:00
สร้างรักคู่ที่สาม: Teppei x Eiji (จบ)


     เท็ปเปเลี่ยงที่จะเป็นตากล้องให้เรื่องที่เอย์จิเล่นตั้งแต่วันนั้น แต่ใช่ว่าเขาจะหนีเอย์จิพ้นได้ เพราะเขายังต้องทำงานตัดต่ออยู่ เขารู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นสายตาของเอย์จิ สายตาที่มองกล้องด้วยความเศร้าเสียใจและตัดพ้อ เด็กหนุ่มแทบจะไม่มองคู่ที่ตัวเองต้องเล่นด้วยเลย แต่มองกล้อง
        มองเขา
        “เอย์จิคุงเป็นอะไรก็ไม่รู้หมู่นี้ ไม่ค่อยมีสมาธิเลย” เท็ปเปแทบสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดดังขึ้น โนมูระมายืนอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กำลังมองคลิปวีดีโอในเครื่องของเขา
        “หน้าเศร้า ๆ ด้วยนะ เงียบลง ไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม ใจลอย ได้ยินมัตสึดะบอกว่าต้องเทคตั้งหลายทีกว่าจะถ่ายเสร็จ”
        มัตสึดะคือผู้กำกับคนหนึ่งของค่าย
        โนมูระมองเท็ปเปที่นั่งนิ่งไม่ออกความเห็น แล้วตัดสินใจถามตรง ๆ ว่า
        “นายทะเลาะอะไรกับเอย์จิคุงรึเปล่า”
        “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะครับโนมูระซัง” เท็ปเปหันมาทันที
        “ใคร ๆ เขาก็เห็นว่าเอย์จิคุงคิดยังไง ไม่งั้นเด็กคนนั้นไม่พยายามจะตามติดนาย ทำอาหารทำขนมให้หรอก นายปฏิเสธเอย์จิคุงเหรอ”
        เท็ปเปจำต้องพยักหน้ารับ โนมูระถอนหายใจเบา ๆ
        “ความจริงนายก็ไม่มีใคร” โนมูระเปรย แต่ก็พูดต่อด้วยความเข้าใจว่า “แต่ก็อย่างว่าแหละนะในเมื่อไม่ได้รักไม่ได้ชอบนี่นา เอาเถอะ ให้เวลาสักพักเดี๋ยวเอย์จิคุงคงทำใจได้”
        “ผมไม่เหมาะกับเด็กหนุ่มน่ารักอย่างเอย์จิคุงหรอกครับ”
        “เอาตรงไหนมาวัดว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ อายุเหรอ หรือหน้าตา ฐานะ?”
        โนมูระตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องหนัก ๆ ไปที
        “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจต่างหาก ถ้านายชอบเอย์จิคุง เรื่องอื่นมันก็ไม่สำคัญ”
        เท็ปเปนิ่งอึ้งไป เขามัวคิดทบทวนคำพูดของโนมูระจนไม่ได้สังเกตว่าคนพูดออกจากห้องไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จริง ๆ ก็ไม่ใช่แค่เอย์จิหรอกที่ใจลอย ตัวเขาเองก็แทบไม่ต่างกัน
        เขารู้สึกไม่ต่างไปจากเอย์จิเลย

        เท็ปเปมองแซนด์วิชในมืออย่างเซ็ง ๆ ปกติเขาชอบแซนด์วิชไข่กับแฮมของร้านนี้มาก ขนมปังอุ่น ๆ ไข่กับแฮมปรุงรสกำลังดี แต่ทำไมวันนี้รสชาติมันแย่นัก เหมือนกำลังกินยางลบอยู่ก็ไม่ปาน
        ชายหนุ่มถอนใจ จริง ๆ ก็ไม่แค่ครั้งนี้หรอก เขากินอะไรก็ไม่อร่อยมาหลายวันแล้ว ขนมปัง ข้าวปั้น หรือเบนโตะตามซูเปอร์มาร์เก็ตที่เคยกินได้อย่างไม่เดือดร้อน ตอนนี้ก็ชักไม่ไหวแล้ว มันไม่อร่อยเอาเสียเลย
        ไม่เหมือนกับข้าวของเอย์จิคุงเลยสักนิด
        เบนโตะหน้าตาสวยงาม หรืออาหารร้อน ๆ ที่เด็กหนุ่มเคยทำให้กินตามหลอกหลอนเขามาจนถึงวันนี้
        อยากกินอาหารที่เอย์จิคุงทำอีกสักครั้งจัง
        เท็ปเปได้แต่รำพึงอยู่ในใจ
        เอย์จิคงโกรธเขา ตอนที่บังเอิญเจอกันในบริษัทเมื่อวันก่อน เด็กหนุ่มยังเป็นฝ่ายเดินหนี
        เท็ปเปถอนหายใจอีกครั้ง
        “เป็นอะไรรึเปล่าครับเท็ปเปซัง”
        ชายหนุ่มเงยหน้ามองตามเสียง ทักว่า
        “สึบาสะคุง สวัสดีครับ”
        คนรักของน้องชายท่านประธานนั่นเอง เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่ประตูห้องทำงานของเขาที่เปิดแง้มอยู่ เมื่อเขาส่งเสียงทักทาย เด็กหนุ่มก็เปิดประตูเข้ามา ในมือของเด็กหนุ่มถือถุงใบใหญ่
        “มาหาอัตสึชิซังเหรอครับ”
        “มาหาเท็ปเปซังด้วยครับ”
        สึบาสะยิ้มให้เมื่อวางถุงที่ถือมาลงบนโต๊ะ เท็ปเปมองตามด้วยความไม่เข้าใจ สึบาสะหยิบเบนโตะกล่องหนึ่งออกมาจากถุงยื่นส่งให้
        “โนมูระซังบอกผมว่าช่วงนี้เท็ปเปซังทานอะไรไม่ค่อยลง ผมเลยเอานี่มาให้ มันน่าจะช่วยให้เจริญอาหารได้มากขึ้นนะครับ”
        เท็ปเปมองเบนโตะหน้าตาสวยงามในมืออย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดี ทำไมสึบาสะเอาเบนโตะมาให้เขาได้ล่ะ น่าจะเอาไปให้อัตสึชิซังมากกว่า แต่หรือว่านี่จะเป็นของเหลือจากเบนโตะท่านรองประธาน สึบาสะมีน้ำใจจึงแบ่งมาให้เขาด้วย
   ต้องเป็นอย่างหลังแน่นอน ชายหนุ่มหยิบตะเกียบคีบอาหารขึ้นมาชิม แล้วชะงักนิ่งไป
        “ไม่อร่อยเหรอครับ” สึบาสะถาม เท็ปเปรีบส่ายหน้าทันที
        “ไม่ใช่ครับ มันอร่อยมาก แต่ว่า...”
        เท็ปเปนิ่งอีก รสชาติมันคุ้น ๆ พิกล
        สึบาสะอมยิ้ม เมื่อเห็นท่าทางของเท็ปเป เขาพูดลอย ๆ ขึ้นว่า
        “เมื่อเย็นวาน เอย์จิคุงมาสอนผมทำอาหาร ของที่ผมทำเอามาจัดเบนโตะให้อัตสึชิซังไปแล้ว ส่วนของเอย์จิคุง เขาทิ้งไว้กับผม เขาบอกว่าคนที่เขาอยากให้กินปฏิเสธที่จะกินเบนโตะของเขาเสียแล้ว”
        เด็กหนุ่มเห็นดวงตาของเท็ปเปสลดลง เขาพูดต่อ
        “ผมไม่อยากจะทิ้งของที่เอย์จิคุงทำ ผมอยากให้ใครสักคนกินมันมากกว่า เลยนึกถึงเท็ปเปซัง คุณไม่รังเกียจที่จะทานเบนโตะฝีมือเอย์จิคุงใช่ไหมครับ”
        สีบาสะกลับไปแล้ว เท็ปเปแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับเด็กหนุ่มอีก เขาตั้งหน้าตั้งตากินเบนโตะกล่องนั้นจนหมดชนิดไม่ให้เหลือแม้แต่ข้าวสักเม็ด
        เอย์จิคุง ฉันขอโทษ

        ข้างนอกห้อง สึบาสะเดินออกมาสมทบกับคนอื่น ๆ ที่รออยู่ โนมูระยืนอยู่กับอัตสึชิ กระทั่งโชกับนางิก็ไม่อยากจะพลาดความสนุก โดยเฉพาะเจ้าของแผนการอย่างนางิ เขาเป็นคนที่เล่นคู่กับเอย์จิในหนังเรื่องล่าสุด แล้วก็จับได้ถึงความผิดปกติทันที จะไม่ให้จับได้ได้อย่างไร เจ้าเอย์จิมันเทคไม่รู้ตั้งกี่หน กว่าจะถ่ายเสร็จ เขาก็เหนื่อยแทบแย่ แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะไปต่อกับโชเลย ทำเอาโดนโชบ่นอุบเพราะนัดกันไว้ดิบดี นางิเลยยอมไม่ได้ เขาจับเอย์จิมาซักฟอกจนหมดเปลือก และในฐานะต้นเหตุร่วมที่ทำให้เขาโดนโชงอน เท็ปเปซังต้องรับผิดชอบด้วย
        “ว่ายังไงสึบาสะคุง”
        โนมูระถาม สึบาสะทำมือเป็นเครื่องหมายโอเค
        “เท็ปเปซังทานหมดเกลี้ยงเลยครับ”
        “งั้นต่อไปตาโนมูระซังแล้ว” นางิเตือน โนมูระเข้าไปในห้องเท็ปเปทันที เห็นเจ้าของห้องกำลังนั่งเหม่อก็ลอบยิ้มด้วยความพอใจ ดูท่าแผนของนางิคุงน่าจะได้ผล เท็ปเปก็ชอบเอย์จินั่นแหละแต่ปากแข็งและวิตกเกินเหตุ
        โนมูระแกล้งกระแอม เท็ปเปจึงรู้สึกตัว
        “เย็นนี้มีงาน นายว่างไหม ทำแทนยามาดะหน่อยได้ไหม เจ้านั่นมันเพิ่งโทรมาลาป่วย ฉันหาคนแทนไม่ทัน”
        “ได้สิครับ ที่ไหนล่ะ แล้วใครเล่น”
        “ห้อง 305 นักแสดงคือโทโมยะคุงกับเอย์จิคุง”
        เท็ปเปชะงัก แต่ในที่สุดเขาก็ตอบรับ
        โนมูระโผล่หน้าออกมานอกห้อง แล้วส่งสัญญาณบอกทุกคนว่าทุกอย่างเรียบร้อย

        เอย์จิตกใจเมื่อรู้ว่าเท็ปเปจะมาเป็นตากล้อง ครั้งนี้เขาคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงเท็ปเปได้อีก เด็กหนุ่มหวังว่าเขาจะไม่ร้องไห้ ถ้าต้องสบตากับเท็ปเป
        สายตาของคนที่ปฏิเสธเขา
        เด็กหนุ่มหันหลังให้เท็ปเปอย่างจงใจ เขาคุยกับคู่ของเขาคือคิคุจิ โทโมยะคุงแทบจะตลอดเวลา หวังว่าจะไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านได้ แต่เท็ปเปก็ไม่ได้พยายามเข้าใกล้เอย์จิเหมือนกัน เขาเช็คกล้องและทำงานของตัวเองไปเงียบ ๆ จนเอย์จิเองเป็นฝ่ายทนไม่ได้ เขามองผ่านกล้องไปสบตากับเท็ปเป
        เด็กหนุ่มไม่ทราบว่าสายตาที่เศร้าสร้อยและละห้อยนั้นทำร้ายจิตใจเท็ปเปมากแค่ไหน เขาต้องข่มใจเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้ตัวเองโยนกล้องในมือทิ้งแล้วดึงตัวเด็กหนุ่มมากอดปลอบ
        เท็ปเปรอจนทุกอย่างเสร็จหมด ผู้กำกับสั่งเลิกกอง โทโมยะกับเอย์จิเข้าไปในห้องแต่งตัวด้วยกันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สตาฟคนอื่นเก็บข้าวของในห้องที่ใช้ถ่ายทำ โทโมยะออกมาจากห้องแต่งตัวก่อน เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและกล่าวลาเท็ปเป ชายหนุ่มก้มศีรษะรับคำลา
        เอย์จิยังไม่ยอมออกมา เท็ปเปจุดบุหรี่สูบอย่างใจเย็น
        ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อ เอย์จิตกใจที่ยังเห็นเท็ปเปยืนสูบบุหรี่พิงผนังอยู่ในห้อง เขาอุตส่าห์แต่งตัวช้า ๆ หวังจะถ่วงเวลาให้ทุกคนกลับไปให้หมด ไม่นึกว่าเท็ปเปจะยังอยู่
        แค่เห็นหน้า เอย์จิก็แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว
        “ฉันจะไปส่งเธอเอง”
        เอย์จิไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เท็ปเปพูดกับเขา แล้วยังเอื้อมมือมาจับมือเขาจูงให้เดินตามไปด้วย
        “เอ้อ..เท็ปเปซัง...” เด็กหนุ่มเรียก
        “หืม?” เท็ปเปไม่ได้หันหน้ามามอง เขาจูงมือเอย์จิไม่ยอมปล่อย
        “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เด็กหนุ่มตัดสินใจไม่ถาม แค่เท็ปเปจูงมือเขาแบบนี้เขาก็ดีใจแล้วไม่ใช่หรือไง เด็กหนุ่มเดินตามไปเรื่อย ๆ เขาไม่ถามอะไร แม้ว่าเส้นทางที่เท็ปเปเลือกจะคนละทางกับแมนชั่นของเขาก็ตาม
        เท็ปเปพาเอย์จิมาที่อพาร์ตเม้นท์ของเขา ชายหนุ่มไขกุญแจเปิดประตูให้เด็กหนุ่มเข้าไปข้างใน
        เอย์จินั่งนิ่งมองเท็ปเปที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขา เท็ปเปไม่พูดอะไร เขาก็พลอยไม่กล้าพูดอะไรไปด้วย แต่แล้วทั้งคู่ก็ขยับจะพูดพร้อมกัน
        “เอ้อ.. เท็ปเปซัง”
        “เอย์จิคุง...”
        ทั้งคู่นิ่ง สายตาเหลือบมองกันและกันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
        “เธอพูดก่อนเถอะเอย์จิคุง”
        “เท็ปเปซังนั่นแหละครับ พูดก่อนเถอะ”
        ชั่งใจกันอยู่ครู่ ในที่สุดเท็ปเปก็แพ้ เขาพูดเสียงอ่อย ๆ ว่า
        “ฉันหิว เธอทำอะไรให้ฉันกินหน่อยได้ไหม”
        เอย์จิฟังแล้วตกใจ เขามองนาฬิกา เกือบสี่ทุ่มแล้ว เท็ปเปยังไม่ได้กินข้าวเย็นอีกเหรอ
        “คุณน่าจะบอกผมเร็วกว่านี้”
        เด็กหนุ่มโวย เขารีบกระวีกระวาดไปที่ครัวทันที ดูเหมือนว่าความเสียใจหรือเรื่องที่เคยไม่เข้าใจกันหายไปหมดแล้ว เพียงแค่เท็ปเปบ่นหิว เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญสำหรับเอย์จิอีกต่อไป
        “ในตู้เย็นไม่ค่อยมีอะไรเลย” เอย์จิบ่น เขาเลือกของบางอย่างออกมา “ของในตู้เย็นคุณมีแค่นี้ ผมทำให้คุณได้แค่โอมุไรซ์นะครับ แหม ถ้ารู้ก่อน จะได้แวะคอนบินิ”
        เด็กหนุ่มหันมาทำหน้าย่นใส่อีกฝ่ายหนึ่ง แล้วทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว ตลอดเวลาเท็ปเปนั่งมองเงียบ ๆ แล้วเขาก็ทนไม่ไหว ลุกเดินเข้าไปหา เอย์จิตักข้าวที่ห่อด้วยไข่อย่างสวยงามใส่ลงในจาน ทันทีที่วางกระทะลงในอ่างล้างจาน ตัวเขาก็ถูกกอดจากข้างหลัง
        “เท็ปเปซัง” เอย์จิเรียก
        “ฉันคิดถึงเธอ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่มีความสุขเลย กินอะไรก็ไม่อร่อย เพราะมันไม่ใช่ของที่เธอทำ เธอสปอยล์ฉันแล้วรู้ตัวไหม”
        เอย์จิอมยิ้ม เขาวางมือลงบนท่อนแขนที่รวบเอวเขาอยู่
        “คุณผอมลง”
        “ลดไปสักสองสามกิโลได้มั้ง”
        “งั้นกินข้าวก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยมาคุยกัน”
        หัวของเท็ปเปที่เกยอยู่บนไหล่ของเอย์จิขยับขึ้นลง แล้วเขาก็เดินตามแรงจูงของเอย์จิกลับมานั่งที่เดิม เด็กหนุ่มวางจานข้าวลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา เท็ปเปเริ่มกินอย่างเงียบ ๆ ใช้เวลาเดี๋ยวเดียวก็หมดจาน เขารับน้ำชาที่เอย์จิชงให้มาดื่มล้างคอ
        “อร่อยไหมครับ”
        เด็กหนุ่มถามทั้งที่ไม่จำเป็นเลยเพราะไม่มีข้าวสักเม็ดเหลืออยู่ในจาน
        “อร่อยกว่าทุกอย่างที่ฉันกินในช่วงนี้เลย” เท็ปเปตอบ เขาสบตาของเอย์จิที่มองเขาอยู่แล้ว    “ขอบใจนะเอย์จิคุง”
        รอยยิ้มของเท็ปเปทำให้เอย์จิสะกดกลั้นความรู้สึกตัวเองต่อไปไม่ไหวอีก น้ำตาของเขาร่วง เด็กหนุ่มยิ้มทั้งน้ำตา
        “ผมดีใจ เท็ปเปซังไม่ได้เกลียดผมใช่ไหม”
        เท็ปเปดึงตัวเอย์จิเข้ามากอดเอาไว้แน่น พร้อมกับเอ็ดเบา ๆ ว่า
        “บ้า ใครบอกว่าฉันเกลียดเธอ ฉันไม่มีวันเกลียดเธอหรอก ฉันต่างหากที่ต้องกลัวเธอจะเกลียดเอามากกว่าเพราะฉันทำไม่ดีกับเธอไว้”
        “ไม่นะ คุณไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ผมผิดเอง”
        เอย์จิรีบค้าน แต่เขาไม่ได้พูดมากกว่านั้นเพราะริมฝีปากของเท็ปเปเลื่อนลงมาประกบปิดปากเขาเอาไว้ก่อน เอย์จิอ้าปากตอบรับสัมผัสของเท็ปเปอย่างเต็มใจ ริมฝีปากและลิ้นของเขาถูกอีกฝ่ายตักตวงความหวานชื่นอย่างกระหาย
        “ฉันชอบเธอ”
        หัวใจของเอย์จิพองโต เขายอมให้เท็ปเปอุ้มลงไปวางบนเตียง เด็กหนุ่มอ้าแขนรับร่างของเท็ปเปที่ทาบทับลงมาอย่างอ่อนโยน
        “ผมก็ชอบคุณครับ”
        เอย์จิกระซิบตอบข้างหูของเท็ปเปก่อนที่เสียงของเขาจะกลายเป็นเสียงครางหลังจากนั้น และเมื่อเท็ปเปแทรกตัวเข้าไปในตัวของเขา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยตลอดทั้งคืน
        ทั้งสองคนกำลังมีความสุขโดยที่ไม่รู้เลยว่าด้านนอกห้องนั้นมีหูหลายหูแนบติดกับประตูคอยฟังเสียงที่อาจจะลอดออกไปข้างนอก แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไร โชก็บ่นอย่างหัวเสีย
        “เงียบไปเลย เมื่อกี้ยังมีเสียงคุยอยู่เลย ตกลงจะรู้เรื่องไหมเนี่ย”
        “ฉันว่าน่าจะโอเคนะ อาจจะตกลงกันได้แล้วก็ได้” โนมูระพูด หูเขาแนบประตูอยู่ถัดไปจากโช
        “สงสัยอยู่บนเตียงกันแล้วแหง” นางิเดา เขายืนอยู่ข้างอัตสึชิกับสึบาสะ ไม่ได้เอาหูแนบประตูเหมือนคนรัก
        “ฉันบอกแล้วว่าอย่ามา เสียเวลาเปล่า ดูสิ มายืนหนาว ๆ แอบฟังชาวบ้านเค้าอยู่เป็นชั่วโมง ๆ รู้อะไรมากขึ้นรึก็เปล่า”
        อัตสึชิบ่น เขากุมมือคนรักแน่น มือของสึบาสะอบอุ่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ตของเขา
        “อยากรู้มากกว่านี้ก็กดกริ่งสิ” นางิยุ โชเชื่อฟังแฟนอยู่แล้ว ทำท่าจะกดกริ่งเอาจริง ๆ จนโนมูระห้ามแทบไม่ทัน
        “อย่ารบกวนพวกเขาเลยครับ เรากลับกันเถอะ อดทนรอไว้ไปถามพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
        สึบาสะพูดซึ่งอัตสึชิก็รีบตอบสนองทันทีด้วยการต้อนคนอื่น ๆ โดยเฉพาะเจ้าโชที่ทำท่าอยากกดกริ่งเหลือเกินให้เดินตามเขาออกไป
        นางิเดินรั้งท้าย เขาแอบหยิบโทรศัพท์ของอัตสึชิตอนลงมาจากรถโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ชายหนุ่มกดส่งเม็สเซจเข้าเครื่องของเท็ปเปทันที แป๊บเดียวเท่านั้นก็มีข้อความตอบกลับมา
        “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ เราตกลงกันได้แล้ว”
        ข้างหลังข้อความเป็นอิโมติค่อนรูปหน้ายิ้มแบบเขิน ๆ
        นางิอมยิ้ม
        คนอย่างเขาไม่ยอมรอหรอก และเขามีวิธีที่จะทำให้รู้ได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องเอาหูแนบประตูด้วย นางิลบข้อความทิ้ง
        แต่เขาไม่ให้อัตสึชิรู้หรอก
        ปล่อยให้คาใจไปจนพรุ่งนี้ตามที่ต้องการเถอะครับท่านรองประธาน...





     ...........
     จบคู่ที่สาม ไม่ค่อยมีอะไรเนอะคู่นี้ เบา ๆ
     พรุ่งนี้อัพต่อคู่ที่สี่นะคะ กับโมเดลคนที่เราชอบที่สุด ฮิคารุ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 20.8.14/P.2 จบคู่ Teppei x Eiji ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 20-08-2014 19:06:03
หุหุ กือบไปแล้วคุณตากล้อง
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 20.8.14/P.2 จบคู่ Teppei x Eiji ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 20-08-2014 19:24:28
คู่นี้ละมุนมากค่ะ หวานพอประมาณ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 20.8.14/P.2 จบคู่ Teppei x Eiji ค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 21-08-2014 09:39:52
สร้างรักคู่ที่สี่: Tsuyoshi x Hikaru


     “นายชื่อสึบาสะใช่ไหม”
     คำถามจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่จู่ ๆ ก็นั่งลงข้าง ๆ บนโซฟาตัวเดียวกันทำให้สึบาสะหันไปมองด้วยความแปลกใจ เจ้าของคำถามเป็นชายหนุ่มผิวสีเข้มเหมือนโกโก้ ผิวเข้มกว่าของโชซังเสียอีก แต่งตัวเท่เหมือนหลุดออกมาจากนิตยสาร เมื่อเห็นสึบาสะมองมา ปากเจ่อนิด ๆ ของเขาก็ขยับเป็นรอยยิ้ม ตาที่ตี่อยู่แล้วกลายเป็นยิบหยี แต่เขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดีมาก ยิ่งยิ้มก็ยิ่งดูดีและน่ารักเข้าไปใหญ่       
     แต่เด็กหนุ่มไม่รู้จักผู้ชายคนนี้มาก่อนแน่ ๆ
     “เอ้อ... ใช่ครับ ผมชื่อสึบาสะ” เด็กหนุ่มตอบอย่างระมัดระวัง
     พอได้ยินคำตอบ ชายหนุ่มผิวสีโกโก้ก็ยิ่งยิ้ม สายตาของเขาที่มองสึบาสะตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกำลังพิจารณาสินค้าก่อนซื้อทำให้เด็กหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัด แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมา ชายหนุ่มผิวสีโกโก้ก็พูดขึ้นก่อนว่า
     “ได้ยินชื่อมาตั้งนานแล้ว ตัวจริงน่ารักกว่าที่คิดซะอีกน้า”
     “เอ้อ...คุณรู้จักผมด้วยเหรอครับ”
     “รู้จักสิ ฉันรู้จักนายมานานแล้วล่ะ อยากมาเจอตั้งนานแล้วด้วย ได้เจอแล้วก็ไม่ผิดหวังเลยน้า สึบาสะคุงน่ารักสุด ๆ ไปเลยอะ อย่างที่ฉันชอบเลย”
     สึบาสะไม่ชอบสายตาวิบวับแปลก ๆ ของผู้ชายคนนี้เลย
     “คุณเป็นใครครับ” เด็กหนุ่มถาม
     “อยากรู้จริง ๆ เหรอ ขยับเข้ามาใกล้ ๆ สิ”
     พอเห็นสึบาสะทำหน้าไม่ถูก แถมจะขยับตัวถอยหนีอีก ชายหนุ่มผิวสีโกโก้ก็เลยคว้าตัวสึบาสะมากอดเอาไว้อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มอุทานด้วยความตกใจ
     “อ๊ะ อะไรเนี่ย ปล่อยผมนะ”
     “ตกใจอะไร ไม่มีอะไรน่าตกใจสักหน่อย” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเป่าลมใส่หูอีกฝ่ายเล่นทำให้สึบาสะตัวแข็งทื่อ เท่านั้นยังไม่พอ มือของชายหนุ่มยังขยับไปลูบเล่นที่กลางตัวของอีกฝ่ายด้วย
     “ไม่เอา ปล่อยผม”
     สึบาสะพยายามจะดึงมือชายหนุ่มแปลกหน้าออกจากตัว แต่ไม่สำเร็จ มือของชายหนุ่มยังคงไล้เล่นอยู่ที่จุดเดิม แถมยังคลึงเคล้นจนเด็กหนุ่มขนลุก หน้าตาเหยเก
     ไม่นะ ไม่เอา
     เด็กหนุ่มหลับตาแน่น น้ำตาจวนเจียนจะหยด เขาไม่ชอบแบบนี้ ถ้าไม่ใช่อัตสึชิซังก็ไม่เอานะ ในใจของเขาปฏิเสธ ทั้งที่ร่างกายกำลังถูกปลุกให้ตื่นตัว
     “เวลานายแก้มแดงนี่น่ารักจัง อยากจูบซะแล้วสิ”
     เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีริมฝีปากที่พยายามจะมารุกล้ำใบหน้าและแก้มของเขา แต่ชายหนุ่มผิวสีโกโก้ก็ไม่ยอมหยุด สึบาสะได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังอยู่ข้างหู เหมือนอีกฝ่ายกำลังสนุกสนานอย่างมาก
     สึบาสะน้ำตาร่วงอาบแก้ม ในใจร่ำร้อง
     อัตสึชิซัง!
     “หยุดนะ! ทำอะไรกันน่ะ!”
     เสียงของอัตสึชิดังลั่น สึบาสะลืมตาขึ้นทันที ร้องเรียกคนรักด้วยความดีใจ
     “อัตสึชิซัง!”
     ชายหนุ่มผิวสีโกโก้หยุดรุกรานสึบาสะ แต่ยังไม่ยอมปล่อยร่างเล็กที่กอดอยู่ ท่าทางเขาดูสบาย ๆ ไม่ยี่หระต่อใบหน้าโกรธเกรี้ยวและสายตาลุกเป็นไฟของอัตสึชิสักนิด แถมยักคิ้วให้เสียด้วย
     “ไง อั๊คคุง” ชายหนุ่มทักด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
     “ฮิคารุ” อัตสึชิเรียกเสียงแข็ง
     สึบาสะมองคนรักสลับกับชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าฮิคารุอย่างงง ๆ นี่อัตสึชิซังรู้จักผู้ชายคนนี้ด้วยเหรอเนี่ย
     “นายทำอะไรสึบาสะ!”
     อัตสึชิถามเสียงดัง เขาตรงเข้าไปดึงร่างของคนรักออกมาจากอ้อมแขนของฮิคารุอย่างรวดเร็ว สึบาสะกอดคนรักแน่น ตัวของเขาสั่นนิด ๆ เพราะความกลัวและตกใจ อัตสึชิกอดตอบและจูบหน้าผากสึบาสะเป็นการปลอบประโลม ก่อนจะหันมาว้ากใส่คนที่แกล้งคนรักของเขา
     “ฮิคารุ!”
     ชายหนุ่มผิวสีโกโก้แกล้งทำท่าไขหู เขาตอบด้วยน้ำเสียงยานคางเหมือนจะแกล้งกวนประสาทของอีกฝ่ายเล่นว่า
     “ทำอาราย อั๊คคุง ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แค่ทักทายกันนิดหน่อยแค่นั้นเอง เนอะสึบาสะคุง”
     “ทักทายบ้าอะไร นายแกล้งสึบาสะชัด ๆ”
     อัตสึชิชี้หน้า ฮิคารุแบมือสองข้างออกเป็นเชิงยอมแพ้ แต่สีหน้าและแววตาแพรวพราว เขายิ้มให้สึบาสะที่ยังกอดอัตสึชิไม่ยอมปล่อย พูดว่า
     “ขอโทษละกันนะสึบาสะคุง นายน่ารักเกินไปอะ ฉันอดใจไม่ไหวจริง ๆ”
     แล้วเขาก็ยื่นมือให้ แนะนำตัวว่า
     “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันชื่อฮิคารุ”
     อัตสึชิดึงตัวสึบาสะหลบหลังทันทีด้วยความไม่ไว้ใจ ไม่ยอมให้สึบาสะจับมือด้วย เล่นเอาฮิคารุบ่นอุบ
     “จะหวงแฟนอะไรนักหนาเนี่ยอั๊คคุง ฉันไม่แกล้งแล้วล่ะน่า”
     “แล้วนายมาที่นี่ทำไมเนี่ย งานการไม่มีทำรึไง ไหนว่าคิวแน่นนักหนา หรือนายมาหาพี่ พี่อยู่ในห้อง รีบ ๆ ไปหาได้แล้ว ไป อย่ามาเสียเวลาอยู่แถวนี้”
     อัตสึชิโบกมือไล่ทันที ฮิคารุหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แล้วเปรยลอย ๆ ว่า
     “ไล่จริงนะ”
     สึบาสะฟังสองคนโต้ตอบกันด้วยความสนใจ เขาหายตกใจแล้ว และเมื่อฮิคารุหันมาเห็นเด็กหนุ่มกำลังมองตัวเองตาแป๋ว เขาก็ยิ้มและยื่นมือมาให้อีกครั้ง
     “ยินดีที่ได้รู้จัก”
     คราวนี้สึบาสะยื่นมือไปจับด้วย ท่ามกลางเสียงจิ๊จ๊ะไม่ค่อยพอใจของอัตสึชิ ฮิคารุยิ่งยิ้ม พูดแหย่ว่า
     “เอ้า หวงจริง ๆ ซะด้วยสิ ตอนได้ยินทีแรกนึกว่าล้อเล่นซะอีก”
     “ใครไปเล่าอะไรให้นายฟัง” อัตสึชิหรี่ตา
     “เขาก็พูดกันให้แซด” ฮิคารุตอบเล่นลิ้น ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “สึโยชิซังอยู่ในห้องใช่ไหม งั้นฉันไปหาสึโยชิซังดีกว่า ไปละอั๊คคุง แล้วค่อยเจอกันใหม่นะสึบาสะคุง”
     แล้วก็อาศัยจังหวะที่อัตสึชิเผลอ ขโมยจูบแก้มสึบาสะไปฟอดใหญ่ ก่อนจะเดินเร็ว ๆ จากไปพลางหัวเราะชอบใจ
     สึบาสะเอามือกุมแก้มที่โดนจูบ ตาโตด้วยความตกใจ
     อัตสิชึสบถลั่น
     “ไอ้บ้าฮิคารุ!”
     เขาหันมาหาสึบาสะ ลูบหน้าลูบแขนคนรัก ก่อนจะถามด้วยความห่วงใยว่า
     “ไม่เป็นอะไรนะสึบาสะ เจ้าฮิคารุมันคงไม่ได้ทำอะไรแปลก ๆ กับเธอใช่ไหม”
     สึบาสะนึกถึงตอนที่เขาโดนรุกราน แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดดีกว่า เพราะรู้สึกว่าฮิคารุน่าจะแค่อยากแกล้งมากกว่าจะเอาจริง เด็กหนุ่มจึงส่ายหน้าแรง ๆ
     “ค่อยยังชั่ว” อัตสึชิถอนหายใจดังเฮือกด้วยความโล่งอก
     “ฮิคารุซังเป็นใครเหรอครับ เขาดูสนิทกับอัตสึชิซังจัง”
     เด็กหนุ่มถาม
     “ก็จะว่าสนิทก็สนิท” อัตสึชิทำหน้าปั้นยาก “เจ้าหมอนั่นเคยทำงานที่นี่แป๊บนึง ตอนนี้เป็นนายแบบและก็เป็นแฟนพี่ด้วย”
     เขาหมายถึงพี่ชายของเขา สึโยชิ เจ้าของบริษัทและค่ายหนังจีวีแห่งนี้
     “หมอนั่นมันเป็นลูกชายรุ่นพี่ของพี่ ก็รู้จักกันมานานแล้วล่ะ แต่ฉันสงสัยชะมัด จู่ ๆ มันมาที่นี่ทำไมเนี่ย ปกติมันไม่ค่อยมาที่นี่หรอก แต่บทจะมาก็ดันมาวันที่เธอมาพอดี”
     ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
     “เจ้านางิแน่ ๆ ที่เป็นตัวการ” อัตสึชิกัดฟันกรอด “ไอ้เจ้าตัวแสบนั่นมันคงโมโหเรื่องที่ฉันจับได้ว่ามันแอบใช้โทรศัพท์ฉันส่งข้อความหาเท็ปเปซังคราวก่อน มันเลยถูกฉันแคนเซิลเดตกับเจ้าโชที่ปริ๊นซ์โฮเท็ลเป็นการลงโทษ เจ้านั่นมันก็เลยไปยืมมือเจ้าฮิคารุมาจู่โจมเธอเพื่อหวังจะเล่นงานฉัน เวรเอ๊ย โดนมันเล่นงานจนได้!”
     สึบาสะฟังแล้วทำตาปริบ ๆ ไม่อยากจะเชื่อ
     “ฝีมือนางิซังเหรอครับ”   
     “ไม่ใช่ฝีมือมันแล้วจะเป็นใคร แผนการชั่วร้ายแบบนี้มีเจ้านั่นคนเดียวแหละที่คิดออกมาได้”
     อัตสึชิขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาโอบไหล่คนรักหนุ่มแน่น แล้วจูบกระหม่อมเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
     “เลยทำให้เธอต้องตกใจ ขอโทษนะสึบาสะ”
     เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ เขาแตะมืออัตสึชิที่โอบไหล่เขาอยู่พร้อมกับยิ้มอย่างน่ารักให้
     “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ตกใจอะไร ฮิคารุซังก็แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ”
     อัตสึชิยิ้มตอบ ก่อนจะคำรามลอดไรฟันออกมาว่า
     “แต่เจ้านางินี่ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ละ เคยเตือนแล้วนะว่าอย่าแกล้งเธอ มันก็ยังไม่ฟัง”
     “แกล้งกันไปมาเรื่องก็ไม่จบนะครับ อัตสึชิซัง อย่าไปโกรธนางิซังเลยครับ ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
     เมื่อเห็นคนรักยังทำท่าฮึดฮัดเหมือนไม่ค่อยพอใจ สึบาสะจึงโอบเอวอัตสึชิเอาไว้แล้วเขย่งนิด ๆ เพื่อยืดตัวไปจุ๊บริมฝีปากของชายหนุ่ม
     “นะครับ อัตสึชิซัง อย่าโกรธเลยนะครับ”
     ชายหนุ่มถอนใจเฮือก เขาไม่เคยเอาชนะสึบาสะได้สักที ยิ่งเมื่อเด็กหนุ่มออดอ้อนเขาแบบนี้ด้วยแล้ว ใจของชายหนุ่มก็อ่อนยวบเหมือนโดนไฟลนทุกที สุดท้ายอัตสึชิก็ต้องพยักหน้ารับด้วยความจำใจ

     สึโยชิวางแฟ้มที่อ่านค้างอยู่ลงบนโต๊ะทันทีเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องทำงานของเขาเปิดออก ชายหนุ่มรู้ตั้งแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมองแล้วว่าเป็นใคร
     มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละที่เปิดประตูห้องทำงานของประธานบริษัทและค่ายหนังแห่งนี้ได้โดยไม่ต้องเคาะประตู ไม่ต้องรอคำอนุญาต
     ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ ให้กับคนรัก เมื่อเขาอ้าแขนออก ฮิคารุก็ตรงเข้าสู่อ้อมแขนนั้นทันที ชายหนุ่มนั่งลงบนตักของสึโยชิและจูบทักทายเขา สึโยชิจูบตอบ ก่อนจะซบศีรษะลงกับไหล่ของคนรักหนุ่มเหมือนกับที่ชอบทำ สองมือของเขาโอบเอวฮิคารุเอาไว้หลวม ๆ
     “วันนี้มาถึงนี่เลยนะฮิคารุ มาหาใครกันล่ะ”
     “ก็มาหาสึโยชิซังไง คิดถึงจังเลย” ฮิคารุยิ้มหวาน
     สึโยชิยิ้มตอบนิด ๆ สายตาที่มองคนรักหนุ่มอ่อนโยนและอ่อนหวาน
     “อย่ามาหลอกกันเลย เธอไม่เคยมาที่นี่เพราะแค่คิดถึงฉันสักที ถ้าไม่มาหานางิก็มาทะเลาะกับอัตสึชิ คราวนี้อะไรล่ะ”
     “เกลียดคนรู้ทัน” ชายหนุ่มแกล้งงอน แต่สายตาที่มองอีกฝ่ายก็หวานไม่แพ้กัน และยังมีประกายท้าทายอยู่ในแววตานั้นด้วย สึโยชิกดศีรษะของคนรักให้ก้มลงมาหาทันทีและจูบอีกฝ่ายแรง ๆ ราวกับจะลงโทษ
     “ไม่อยากได้ยินคำว่าเกลียด”
     ฮิคารุหอบนิด ๆ เมื่อสึโยชิถอนริมฝีปากออก ดวงตาของเขาตวัดเหมือนกับจะค้อน 
     “ตกลงมาที่นี่ทำไม” สึโยชิถาม
     “อยากมาเห็นแฟนอั๊คคุง” ฮิคารุตอบ
     สีโยชิเลิกคิ้ว ฮิคารุเลยหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า
     “ตั้งใจมาเจอเลยแหละ สึบาสะคุงน่ารักมาก ๆ เลย อั๊คคุงนี่ตาถึงเหมือนกันนะ”
     “แค่เจออย่างเดียวเหรอ แน่ใจนะว่าไม่ได้ไปแกล้งอะไรเขา”
     สึโยชิดักคอ เขารู้จักฮิคารุดี เห็นสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของคนรักหนุ่มเขาก็เดาออกแล้วว่าก่อนมาหาเขาที่ห้องนี่ ฮิคารุต้องไปทำอะไรบางอย่างมาก่อน และสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือการแกล้งน้องชายของเขาเล่นนี่แหละ
     “นิดนึง ก็สึบาสะคุงอยากน่ารักเกินไปเองอะ ช่วยไม่ได้” ฮิคารุพูดหน้าตาเฉย
     สึโยชิส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแกมเอ็นดู แกล้งบ่นว่า
     “เธอนี่ร้ายจริง ๆ”
     ฮิคารุไม่ค้าน แต่เขากลับย้ำความร้ายของตัวเองด้วยการขยับสะโพกเสียดสีกับหน้าขาของคนรัก สองมือโอบรอบคอ ริมฝีปากของเขาซุกไซ้ไล้เลียเล่นอยู่ที่ข้างแก้มของสึโยชิ ฮิคารุขบติ่งหูของชายหนุ่มเบา ๆ ก่อนกระซิบว่า
     “ยังร้ายกว่านี้ได้อีกนะ”
     สึโยชิหลับตา ตัวของฮิคารุค่อย ๆ เลื่อนลงจากตักของเขา ชายหนุ่มกัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางเมื่อฮิคารุไล้มือและริมฝีปากไปตามตัวของเขา
     ฮิคารุไม่เคยแคร์ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือจะมีใครมาเห็นรึเปล่า ลงว่าเขาต้องการ เขาก็จะทำให้ได้
     ร้ายมาตั้งแต่ต้น แล้วดูท่าว่าจะร้ายต่อไปเรื่อย ๆ เสียด้วยสิ
     แต่สึโยชิก็หลงรักชายหนุ่มผิวสีโกโก้ผู้ร้ายกาจคนนี้ เรียกว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอที่บ้านรุ่นพี่ของเขาเลยก็ว่าได้
     สึโยชินึกถึงวันนั้น วันที่เขาได้เจอเด็กร้ายกาจที่ชื่อฮิคารุ

หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 21.8.14/P.2 เริ่ม Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: mamie ที่ 21-08-2014 09:49:33
แอร้ยยย รอค่ะรอ คู่นี่ท่าทางจะแซ่บบ

 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 21.8.14/P.2 เริ่ม Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 21-08-2014 12:03:30
คู่เอกไหมคะ? :mc4:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 21.8.14/P.2 เริ่ม Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 21-08-2014 12:48:29
คู่เอกไหมคะ? :mc4:

คู่เอกสำหรับเราคือ โชxนางิ นะคะ แบบมีเอี่ยวมันไปแทบทุกเรื่องอะสองคนนี้ แต่เรื่องของคู่นี้เรายังคิดไม่ออก แหะแหะ  :katai5:
ส่วนฮิคารุเป็นโมเดลที่เราชอบที่สุดเฉย ๆ อะค่ะ แล้วเราก็ชอบแพ็คคู่โชxนางิมากเหมือนกัน

หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 21.8.14/P.2 เริ่ม Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 21-08-2014 19:48:15
สร้างรักคู่ที่สี่: Tsuyoshi x Hikaru (ต่อ)


     แทบจะเป็นกิจวัตรไปแล้วที่สึโยชิจะต้องมาที่คฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นหลังนี้เพื่อมาดื่มชาและเป็นเพื่อนเล่นหมากรุกกับเจ้าของบ้านที่เป็นรุ่นพี่และผู้มีพระคุณของเขา
     ในฐานะเจ้าพ่อธุรกิจบันเทิง ฮิโคอิจิเป็นคนสนับสนุนและให้คำแนะนำเมื่อทราบว่าสึโยชิกำลังจะเริ่มจับธุรกิจด้านนี้ เขาเป็นคนแนะนำให้รุ่นน้องเปิดค่ายหนังจีวี แทนที่จะเป็นเอวี เพราะเล็งเห็นตลาดที่กำลังเติบโต และค่ายของสึโยชิที่แม้จะเพิ่งเปิดใหม่ แต่ก็ไปได้ด้วยดี
     “แพ้อีกแล้ว ผมไม่เคยเอาชนะรุ่นพี่ได้สักที” สึโยชิอุทธรณ์ เมื่อขุนบนกระดานถูกรุกจนจนมุม
     ฮิโคอิจิในชุดยูกาตะอยู่กับบ้านสบาย ๆ หัวเราะเสียงดัง
     “แต่นายก็ฝีมือดีขึ้นนะ ตอนที่เดินเรือตะกี้น่ะ คาดไม่ถึงเลย เกือบแก้ไม่ได้แน่ะ นี่ถ้าฉันเผลอแม้แต่นิดเดียวคงแพ้นายแน่ ๆ ตานี้”
     เขายกชาขึ้นจิบ โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธเมื่อคนที่นั่งตรงข้ามจะเติมชาให้อีก
     “ก็ได้ฝึกกับรุ่นพี่อยู่เสมอนี่แหละครับ ขอบคุณที่ช่วยสอนผมหลาย ๆ อย่าง”
     สึโยชิก้มศีรษะต่ำ
     “ไม่ต้องพิธีรีตองน่า นายก็เหมือนน้องชายฉันคนนึง การสนับสนุนน้องชายตัวเองมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วนี่”
     ฮิโคอิจิโบกมือ ก่อนจะถามว่า
     “ได้ยินว่างานไปได้ด้วยดีใช่ไหม อัตสึชิคุงคงช่วยแบ่งเบาภาระไปได้เยอะเลยสินะ”
     “ครับผม เขาช่วยดูด้านการผลิตและการตลาด ทำงานร่วมกับโนมูระซังที่รุ่นพี่แนะนำมาได้ดีทีเดียวครับ”
     “งั้นรึ ดีแล้วล่ะนะ” ฮิโคอิจิพูด เขาดื่มน้ำชาที่เหลือจนหมดถ้วย ก่อนจะบ่นว่า
     “นายนี่โชคดีนะมีน้องชายเอาการเอางาน เจ้าลูกชายฉันสิ ไม่ไหว จนป่านนี้ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย”
     สึโยชิขมวดคิ้ว
     “ฮิคารุคุงน่ะรึครับ กลับจากอเมริกาแล้วเหรอ”
     “กลับมาแล้ว พอถามว่าจะทำอะไร มันก็ว่าไม่รู้อย่างเดียว วัน ๆ ก็ลอยชายไปมา ฉันละปวดหัวกับมันจริง ๆ”
     ฮิโคอิจิบ่น
     สึโยชิอมยิ้ม รุ่นพี่ของเขามีลูกชายคนเดียว อายุน้อยกว่าอัตสึชิน้องชายของเขาสองสามปี เป็นที่รู้กันว่าฮิโคอิจิรักและตามใจลูกชายคนนี้มาก เขาเจอฮิคารุบ่อย ๆ ตอนที่มาช่วยงานฮิโคอิจิที่บ้านหลังนี้ แต่นั่นก็หลายปีมาแล้ว ตอนที่ฮิคารุยังใส่ชุดนักเรียนอยู่ พอจบมัธยมต้น ฮิคารุก็ถูกส่งไปอยู่ที่อเมริกาและเขาก็ไม่เคยได้เจอลูกชายคนนี้ของรุ่นพี่อีกเลย
     “เพิ่งเรียนจบกลับมาไม่ใช่รึครับ คงยังไม่ทราบว่าตัวเองชอบอะไรหรืออยากทำงานด้านไหน คงต้องให้เวลาสักพัก”
     ชายหนุ่มอยู่คุยและดื่มชากับเพื่อนรุ่นพี่อยู่อีกครู่ใหญ่ก็ลากลับ ตอนที่สึโยชิเดินผ่านระเบียงด้านหลังเพื่อจะออกทางประตูหลังบ้านที่ซึ่งรถของเขาจอดอยู่ หางตาของชายหนุ่มก็เหลือบเห็นชายผ้าสีขาวสะบัด เมื่อเขาหันไปมองก็เห็นร่างสูงเพรียวในชุดยูกาตะสีขาวสะอาดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ในสวน
     เสี้ยวหน้าของเด็กหนุ่มในชุดยูกาตะคุ้นตาเขาอย่างประหลาด แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
     เด็กหนุ่มในชุดยูกาตะขยับตัว เขาพยายามจะเขย่งตัวเอื้อมหยิบอะไรสักอย่างที่อยู่บนต้นไม้ แต่ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นจะอยู่สูงเกินไป สึโยชิเดินเข้าไปหาทันทีเหมือนกับละเมอและเสียงฝีเท้าของเขาทำให้เด็กหนุ่มหันขวับมามอง
     สึโยชินิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อสบตากับเด็กหนุ่มในชุดยูกาตะสีขาว สายตาของเด็กคนนั้นคมกริบและจ้องมองเขาไม่วางตา
     ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นมุมปากของเด็กหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ แต่เมื่อสึโยชิกะพริบตา รอยยิ้มที่เขานึกว่าตัวเองเห็นก็หายไปเสียแล้ว แต่กลับได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นแทน
     “คุณช่วยเก็บนั่นให้ผมหน่อยสิ”
     สึโยชิมองตามที่นิ้วของเด็กหนุ่มชี้
     “นั่น” ของเด็กหนุ่มคือดอกไม้สีขาวดอกน้อยที่ร่วงจากกิ่งที่อยู่สูงกว่าลงมาติดอยู่บนกิ่งที่เตี้ยที่สุด แต่ก็ยังสูงเกินกว่าที่เด็กหนุ่มจะเอื้อมถึง ส่วนเขาสูงกว่าเด็กหนุ่ม เขย่งอีกนิดก็เก็บดอกไม้สีขาวดอกนั้นลงมาได้ ชายหนุ่มยื่นดอกไม้ในมือส่งให้
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มแทบทำให้เขาลืมหายใจ
     “ขอบคุณครับ”
     เขารู้จักเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อนแน่ ๆ ใบหน้าที่ดูคุ้นตา รูปร่างสูงเพรียว ผิวสีเข้มเหมือนสีน้ำผึ้ง และรอยยิ้มจับตาแบบนี้
     “ฮิคารุคุง”
     สึโยชิหลุดปากออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว
     เด็กหนุ่มไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่กลับเดินตรงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา และก่อนที่เขาจะได้พูดหรือขยับตัว เขาก็โดนเด็กหนุ่มจู่โจม
     สึโยชิถูกผลักให้ล้มลงโดยมีร่างของฮิคารุคร่อมอยู่ข้างบน แล้วเด็กหนุ่มก็ก้มลงมาจูบเขา
     ลิ้นของฮิคารุแทรกเข้ามาในปากของเขา สึโยชิดันร่างของเด็กหนุ่มออกอย่างแรงด้วยความตกใจ
     “เธอทำอะไรของเธอเนี่ย ฮิคารุคุง”
     “ทำอะไร ก็จูบขอบคุณไง” เด็กหนุ่มทำหน้าใสซื่อ เหมือนกับว่าการที่เขาจูบกับผู้ชายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด
     “เธอไม่ควรทำแบบนี้” สึโยชิดุ เขารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “คราวหลังอย่าทำอะไรแบบนี้อีก มันไม่สมควร ใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี”
     ชายหนุ่มมองลูกชายของรุ่นพี่ที่ยังนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นด้วยสายตาดุ ๆ แต่คนที่โดนดุยังคงมีสีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย
     สึโยชิมองชุดยูกาตะสีขาวที่เปรอะเปื้อนดินของเด็กหนุ่มด้วยความอ่อนใจ เขาพูดว่า
     “ลุกขึ้นเถอะ ฮิคารุคุง ชุดเธอเปื้อนหมดแล้ว”
     ฮิคารุไม่ขยับ ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเขา ชายหนุ่มเรียกอีกครั้ง
     “ฮิคารุคุง ได้ยินรึเปล่า”
     เด็กหนุ่มก้มหน้าลง มือกุมข้อเท้าขวาเอาไว้ แต่ยังไม่ยอมพูดอะไร
     “เธอเป็นอะไร เจ็บขาเหรอ”
     สึโยชิทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้าง ๆ ร่างของเด็กหนุ่ม เมื่อครู่เขาผลักฮิคารุจนล้ม หรือว่าจะเป็นตอนนั้นฮิคารุเลยเจ็บตัว
     “เจ็บมากมั้ย”
     ชายหนุ่มพยายามจะดู แต่ฮิคารุยังกุมข้อเท้าแน่น
     “ฉันจะพยุงเธอเข้าไปในบ้าน”
     เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ
     “ผมเดินไม่ไหว”
     “งั้นรอเดี๋ยว ฉันจะไปตามเด็กในบ้านมาช่วยเธอ”
     “ไม่เอา” เด็กหนุ่มปฏิเสธ “คุณต้องอุ้มผมไปส่งที่ห้อง”
     สึโยชิชะงัก เขามองหน้าเด็กหนุ่ม แต่สายตาที่ฮิคารุมองเขาไม่มีคำว่าล้อเล่น
     “ฉันจะไปตามคนในบ้าน” ชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยินประโยคที่ฮิคารุพูด เขาลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันจะขยับเท้า เสียงใส ๆ ของเด็กหนุ่มก็หยุดเขาไว้ได้ก่อน
     “ถ้าคุณไม่ทำตามที่ผมบอก ผมจะบอกพ่อว่าคุณทำผมเจ็บตัว คุณผลักผมจนล้ม”
     สึโยชิหันขวับมามอง ดวงตาของฮิคารุเต็มไปด้วยความท้าทาย แล้วประโยคถัดมาของเด็กหนุ่มก็แทบทำให้เขาอยากกัดลิ้นตายเดี๋ยวนั้น
     “แล้วคุณยังจูบผมด้วย คุณพยายามจะปล้ำผม”
     “นี่เธอ” ชายหนุ่มพูดไม่ออก
     เด็กอะไรร้ายกาจ!
     ฮิคารุยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะเมื่อสึโยชิจำใจเข้ามาอุ้มเขาขึ้นจากพื้น สองมือของเด็กหนุ่มโอบรอบคอของชายหนุ่มทันที เสียงใส ๆ ฟังเหมือนเยาะดังอยู่ข้างหูของเขา
     “ขอบคุณครับสึโยชิซัง”
     สึโยชิกัดฟัน ไม่โต้ตอบอะไร เขาอุ้มเด็กหนุ่มเข้าไปในบ้าน แล้วก็เหมือนเกิดกลียุคทันทีเมื่อคนในบ้านและฮิโคอิจิเห็นฮิคารุถูกอุ้มมาแบบนั้น
     “อะไรกันนี่ เกิดอะไรขึ้น ฮิคารุ ลูกเป็นอะไร” ฮิโคอิจิตรงเข้ามาจับเนื้อจับตัวลูกชายคนเดียวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเมื่อร่างของฮิคารุถูกวางลงบนโซฟาตัวเตี้ยในห้องพักผ่อนแบบตะวันตกของบ้าน เขามองลูกชาย แล้วหันไปมองเพื่อนรุ่นน้องเป็นเชิงถาม
     “ฮิคารุคุงเจ็บข้อเท้าครับ เดินไม่ไหว” สึโยชิตอบ
     “แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่าลูก ตามหมอดีกว่า” ฮิโคอิจิหันไปจะสั่งเด็กในบ้าน แต่ฮิคารุรีบค้านเสียก่อน
     “ผมไม่เป็นไร เจ็บนิดหน่อย ตอนนี้หายแล้ว”
     พูดจบก็ลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินให้ดูด้วยเท้าที่มั่นคงทั้งสองข้าง เขาหันไปยิ้มให้กับสึโยชิที่ตอนนี้ทำหน้าปั้นยากเต็มทีเพราะรู้ตัวว่าโดนเด็กหลอกเข้าให้แล้ว
     “ขอบคุณสึโยชิซังด้วยนะครับ ต้องลำบากคุณอุ้มผมมาส่งจริง ๆ”
     ชายหนุ่มกัดฟันกรอด อยากจะจับตัวเด็กร้ายกาจมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนนัก!
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 21814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mamie ที่ 22-08-2014 00:02:23
รอค่ะรอ  :o8:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 21814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 22-08-2014 00:31:09
ชอบค่า
แต่ถ้ามีรูปด้วยก็ดีนะ555
เพราะเราไม่เคยจำชื่อใครเลย
จำไดัแต่นางิโตะ  :z10:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 21814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 22-08-2014 07:14:38
สร้างรักคู่ที่สี่: Tsuyoshi x Hikaru (ต่อ)

     สึโยชิไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านของรุ่นพี่ของเขาในวันนั้นจะเป็นเพียงแค่ปฐมบทของความวุ่นวายครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเขาเท่านั้น แต่เขารู้ตัวว่าต่อจากนี้ไปชีวิตของเขาคงไม่ปกติแน่ในทันทีที่เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วเจอร่างเพรียวของฮิคารุนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานของเขา
     “ฮิคารุคุง เธอมาที่นี่ได้ยังไง”
     ชายหนุ่มถาม เขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจนิด ๆ ที่เห็นอีกฝ่ายถือวิสาสะเข้ามาในห้องของเขาและยังนั่งไขว่ห้างทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่บนเก้าอี้ของเขาอีกด้วย
     “ถามโนมูระซังมา” ฮิคารุตอบยิ้ม ๆ โดยไม่สนใจหน้าดุ ๆ ของอีกฝ่าย “ผมมาสมัครงาน”
     “สมัครงาน” สึโยชิทวนคำ จับต้นชนปลายไม่ถูก “งานอะไร”
     “เป็นนักแสดงในสังกัดของคุณไง”
     “หา อะไรนะ”
     สึโยชิอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาสงสัยว่าตัวเองจะโดนล้อเล่นอีกหรือเปล่า
     “อย่ามาล้อเล่นนะ”
     “ไม่ได้ล้อเล่น ผมเขียนใบสมัครแล้ว นี่ไง” เด็กหนุ่มชูกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น สึโยชิเดินไปหยิบมาดู ใบสมัครของบริษัทของเขาจริง ๆ เขียนเสร็จเรียบร้อย
     ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความหนักใจ
     “ฉันรับเธอไม่ได้หรอกนะ พ่อของเธอไม่มีวันยอมให้เธอมาทำงานแบบนี้แน่ ๆ”
     “พ่ออนุญาตแล้ว” เด็กหนุ่มบอกง่าย ๆ แต่เมื่อเห็นสายตาคลางแคลงของสึโยชิ เด็กหนุ่มก็บุ้ยใบ้ไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ
     “ไม่เชื่อก็ลองโทรไปถามก็ได้นะ”
     “ฉันโทรแน่” ชายหนุ่มยกหูโทรศัพท์ตามคำท้าและเมื่อฮิโคอิจิรับสาย ชายหนุ่มก็ต้องรับฟังคำบ่นของรุ่นพี่จนหูชา
     “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้ลูกชายฉันมันคิดอะไรอยู่” ฮิโคอิจิโวยวายมาตามสายโทรศัพท์ “มันขู่ฉันว่าถ้าไม่ยอมให้มันทำ มันจะกลับไปอเมริกาแล้วไม่ยอมกลับมาญี่ปุ่นอีก มันจะไปสมัครกับค่ายที่โน่น ฉันไม่ยอมให้มันไปหรอกนะ ลูกชายคนเดียวของฉัน แค่คิดว่ามันจะต้องเจออะไรบ้างที่โน่น ฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว ดังนั้น ถ้ามันอยากทำ ฉันก็อยากฝากไว้กับคนที่ไว้ใจได้ซึ่งก็คือนาย สึโยชิ ฉันฝากลูกชายฉันด้วยนะ มันอยากทำอะไรก็ยอม ๆ มันหน่อย”
     “แต่ว่ารุ่นพี่ครับ...” สึโยชิน้ำท่วมปาก มองเห็นความยุ่งยากอยู่รำไร
     “มันอยากถ่ายก็ปล่อยมันถ่ายไป แต่อย่าให้ต้องถึงกับวางขายเลย นายไม่ต้องห่วง ฉันจะจ่ายเงินค่าเสียหายทั้งหมดเอง ไฟล์วีดิโอทุกไฟล์ฉันจะรับซื้อเอาไว้เอง นายช่วยฉันหน่อยนะ ฉันจนปัญญากับเจ้าฮิคารุแล้วจริง ๆ เป็นเพราะฉันตามใจมันมากเกินไป สงสารว่ามันไม่มีแม่ มันเลยกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจแบบนี้”
     สึโยชิแทบไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเพราะรุ่นพี่ของเขารวบรัดตัดความหมดแล้ว ชายหนุ่มจำใจรับคำและวางหูโทรศัพท์ลง ก่อนหันไปมองตัวต้นเหตุของปัญหาที่นั่งลอยหน้าลอยตาอยู่บนเก้าอี้ของเขา
     “ตกลงฉันรับเธอเข้าทำงาน” สึโยชิพูด เขาจับต้นแขนของเด็กหนุ่มดึงให้ลุกขึ้นยืน
     “ตอนนี้เธอเป็นพนักงานที่นี่แล้วก็ควรจะต้องทำตัวให้สมกับเป็นพนักงานด้วย ต่อไปห้ามเข้ามาในห้องของฉันโดยที่ฉันไม่ได้อนุญาตอีกเด็ดขาด”
     สึโยชิจ้องตากับฮิคารุ สายตาของเขาแสดงความเอาจริง แต่ดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้กับฮิคารุ เพราะฝ่ายหลังมีรอยยิ้มบาง ๆ ติดอยู่ที่ริมฝีปากตลอดเวลา ทำตัวเหมือนไม่รับรู้สาสน์ที่อีกฝ่ายพยายามสื่อ เด็กหนุ่มไม่ยอมรับปาก แต่กลับเปลี่ยนเรื่องไปว่า
     “มีอะไรอีกครับ”
     “เรื่องตารางงาน การถ่ายทำ อัตสึชิเป็นคนดูแลร่วมกับโนมูระ เธอคงรู้จักทั้งสองคนแล้ว ฉันจะคุยกับสองคนนี้ก่อนสำหรับเรื่องแผนงานที่เกี่ยวกับเธอ แล้วฉันจะติดต่อไปทีหลัง”
     “คงไม่คิดจะดองผมหรอกนะ” เด็กหนุ่มดักคอ ก่อนจะพูดเรียบ ๆ แต่ฟังเหมือนขู่อยู่ในทีว่า
     “อีกสามวันผมจะโทรมาถามความคืบหน้านะครับ ถ้ามีปัญหาอะไร ผมอาจจะมาหาคุณที่นี่อีก”
     ฮิคารุเดินลอยชายออกจากห้องไปแล้ว สึโยชิรู้สึกปวดหัวจนต้องซัดยาแก้ไมเกรน เขาเจอเด็กมีปัญหามาก็มากและก็จัดการได้ทุกที จะมีแค่เด็กคนนี้เท่านั้นแหละที่เขาไม่รู้จะรับมือยังไง ลำพังแค่นิสัยหรือความร้ายกาจของเจ้าตัวเองเขาก็อาจจะพอหาวิธีจัดการได้ แต่ฮิคารุดันมีแรงหนุนคือฮิโคอิจิที่พร้อมจะเข้าข้างลูกชายคนเดียวแบบสุดลิ่มทิ่มประตู มันทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
     ชายหนุ่มคิดถึงภาพของเด็กหนุ่มในชุดยูกาตะสีขาว รอยยิ้มจับตาแต่แฝงความเจ้าเล่ห์และท้าทาย รวมทั้งจูบใต้ต้นไม้ในวันนั้น
     สึโยชิไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วเขาจะตกที่นั่งเดียวกับฮิโคอิจิหรือไม่ คือตามใจฮิคารุอย่างช่วยไม่ได้

     อัตสึชิกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากกุมขมับกับเรื่องของฮิคารุ พี่บอกเขาแล้วว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนี้จะมาทำงานที่นี่โดยมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง แต่พี่ไม่ได้เตือนเขาก่อนว่าตอนนี้เจ้าฮิคารุมันกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจที่แสนจะรับมือยากไปเสียแล้ว เวลา 7 ปีที่ไม่ได้เจอกัน สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือรอยยิ้มสดใสของฮิคารุ พอเจ้านั่นเห็นเขาก็ยิ้มกว้างจนตาหยี เรียกชื่อเล่นที่เขาเคยบอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าอย่าเรียกท่ามกลางสาธารณชน แต่เจ้าฮิคารุก็ไม่เคยทำตามเสียที
     “อั๊คคุง คิดถึงจังเลย”
     อัตสึชิยิ้มปุเลี่ยน ๆ เมื่อตระหนักได้ว่าคนรอบตัวเขาเบือนหน้าไปกลั้นยิ้มกันเป็นแถว
     “เลิกเรียกฉันยังงี้สักทีเถอะ ขอร้อง”
     “ทำไมล่ะก็อั๊คคุงคืออั๊คคุงนี่นา”
     ฮิคารุยิ้มตาใส ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จนอัตสึชิต้องรีบเปลี่ยนเรื่องไปเอง วันนี้เขานัดคนที่เกี่ยวข้องกับแผนงานเกี่ยวกับฮิคารุมาประชุมกัน และจะเป็นวันที่ฮิคารุต้องทดสอบหน้ากล้องด้วย พี่ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องเลเวลต่ำสุดและห้ามเด็กหนุ่มรู้เป็นอันขาดว่าผลงานที่ถ่ายไปยังไงก็ไม่มีวันได้ออกวางขายเด็ดขาด
     “ผลงานแรกของนายจะมีแค่สองเรื่อง เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็คท์สองอันสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ นี่เป็นบรีฟเรื่องที่นายต้องถ่าย”
     ฮิคารุรับเอกสารมาอ่านคร่าว ๆ แล้วถามหน้าตาเฉยว่า
     “ทำไมไม่มีเซ็กซ์ล่ะอั๊คคุง”
     อัตสึชิกลอกตา ก่อนจะตอบว่า
     “นักแสดงหน้าใหม่ยังไม่ต้องมีหรอก แค่มาสเตอร์เบตก็พอแล้ว” แล้วชายหนุ่มก็แนะนำสตาฟและเจ้าหน้าที่ที่ฮิคารุจะต้องทำงานด้วยในวันนี้ให้เด็กหนุ่มรู้จัก
     “โนมูระซัง นายคงรู้จักแล้ว ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ดูแลเรื่องทั่ว ๆ ไปของออฟฟิศด้วย มีอะไรก็ถามโนมูระซังได้”
     ถัดไปชายหนุ่มแนะนำมัตสึดะกับเท็ปเปซึ่งเป็นผู้กำกับและตากล้องที่จะถ่ายให้ในวันนี้ จากนั้นจึงแนะนำคู่ของเด็กหนุ่มซึ่งเป็นสตาฟของบริษัท เวลาแสดงจะไม่เปิดเผยหน้าตา
     ฮิคารุมีปัญหาทันที
     “ผมไม่เล่นกับสตาฟคนนี้”
     ทุกคนอึ้ง อัตสึชิถามว่า
     “ทำไม นายมีปัญหาอะไร”
     “ก็นี่มันผลงานแรกของผม ให้ผมเล่นกับใครก็ไม่รู้ได้ยังไง ผมต้องการเล่นกับเบอร์หนึ่งของค่าย ถ้าไม่ได้ผมก็ไม่เล่น”
     คนฟังพากันอยากจะกุมขมับไปตาม ๆ กัน อัตสึชิทำหน้าปั้นยากอีกรอบ ถ้าเป็นนักแสดงคนอื่นเขาอาจจะพูดว่าไม่เล่นก็ไม่ต้องเล่นได้หรอก แต่เจ้าหมอนี่มันดันไม่ใช่นักแสดงธรรมดา ทั้งพี่ทั้งผู้มีพระคุณของพี่ต่างฝากฝังเอาไว้
     ปวดหัวจริงวุ้ย
     “กะทันหันอย่างนี้จัดการให้ไม่ได้หรอกนะ นักแสดงคนอื่นเค้าก็คิวแน่นกันทั้งนั้น ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามแพลน”
     “คิวผมตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง ถ้าจะจัดการมันก็ทัน” ฮิคารุไม่สนใจ
     “แต่วันนี้เบอร์หนึ่งของค่ายมีคิวตอนบ่ายแล้วครับ”
     โนมูระซึงเป็นคนที่รู้เรื่องตารางงานของทุกคนดีที่สุดบอกด้วยความเกรงใจ ฮิคารุหันขวับไปจ้องคนพูดด้วยสายตาคมกริบ
     “แคนเซิลซะ แล้วให้เขามาเล่นกับผม” ฮิคารุสั่ง
     “เอ้อ...” โนมูระทำตัวไม่ถูก เขาหันไปหาอัตสึชิเป็นเชิงขอความเห็น
     “บ่ายนี้โชเล่นกับใคร” อัตสึชิถาม
     “เอ้อ... โชคุงมีคิวถ่ายกับนางิคุงครับ”
     ฉิบหายแล้ว... ตอนนี้อัตสึชิแทบอยากจะเอาเท้าตะกายหน้าผากเสียให้รู้แล้วรู้รอด
     เจ้าโชมีคิวกับใครไม่มี ดันมามีกับเจ้านางิ แล้วถ้าจู่ ๆ ไปแคนเซิลคิวมันเพราะต้องการให้มาเล่นคู่คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรแล้วล่ะก็ มีหวังระเบิดลง เจ้านางิกลายร่างเป็นก็อตซิลล่าแน่
     เจ้านั่นมันชอบเจ้าโช และมันก็หวงของมันเอามาก ๆ
     เหลือบมองหน้าคนอื่น ๆ ในห้อง ดูเหมือนว่าทุกคนจะคิดถึงเรื่องเดียวกัน
     แต่มันมีทางเลือกอย่างอื่นด้วยเหรอในตอนนี้ อัตสึชิถอนหายใจ
     “เรียกโชมาถ่ายกับฮิคารุ แคนเซิลคิวนางิไปก่อน โนมูระซัง ช่วยจัดการเรื่องเช็คค่าเสียเวลาให้นางิด้วยนะครับ”
     ชายหนุ่มตัดสินใจ
     เมื่อทุกคนออกไปจากห้องแล้ว ชายหนุ่มก็หันมาหาเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งทำหน้าสบายอกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเสียดสีว่า
     “พอใจรึยัง”
     แต่ฮิคารุจะสนใจหรือก็เปล่า เด็กหนุ่มส่งจูบให้อัตสึชิเป็นคำตอบ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 22814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 22-08-2014 10:00:30
วัวอยากเห็นนางิอาละวาด :z2:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 22814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 22-08-2014 11:47:14
สายโหด
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 22814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 22-08-2014 20:22:07
สร้างรักคู่ที่สี่: Tsuyoshi x Hikaru (ต่อ)


     นางิแทบเต้นเมื่อได้รับโทรศัพท์ยกเลิกงานจากโนมูระ
     ถ้าเล่นกับคนอื่น เขาคงไม่มีปฏิกิริยาขนาดนี้ แต่นี่คู่ของเขาคือโช
     เด็กหนุ่มยอมไม่ได้ ยิ่งได้ฟังเหตุผลจากโนมูระที่ (ถูกเขาบังคับให้) บอกอีก เด็กหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าเขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง
เขาไม่สนใจว่าเจ้าเด็กใหม่นั่นมันจะเส้นใหญ่แค่ไหน แต่ในเมื่อมาทำให้คิวงานของเขากับโชต้องปั่นป่วนแบบนี้ก็เห็นทีจะญาติดีกันไม่ได้แล้ว
     โชก็เหมือนกัน ไม่มีท่าทีอะไรสักนิดทั้งที่รู้ว่าไม่ได้ถ่ายกับเขาแล้ว
     เด็กหนุ่มเหลือบมองเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาในรถไฟใต้ดิน
     โชรับโทรศัพท์จากโนมูระแล้วก็รับปากอย่างสงบ ไม่คัดค้านอะไร แม้ต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทางมาที่บริษัทอย่างกะทันหันก็ตาม เขาสนใจเกมที่กำลังเล่นอยู่มากกว่าวันนี้จะต้องเล่นกับใครเสียอีก
     ไม่สนใจกระทั่งเขาด้วย
     เมื่อไหร่จะรู้ตัวสักทีก็ไม่รู้ เขาเปิดเผยความรู้สึกถึงขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ แต่โชจังก็ยังเห็นเขาเป็นเพื่อนสนิทอยู่นั่นเอง
     ดันไปตกหลุมรักผู้ชายซื่อบื้อไม่ค่อยคิดไม่ค่อยสังเกตอะไรนี่มันก็น่ากลุ้มเหมือนกันนะ
     นางิคิดอย่างเซ็ง ๆ 
     แต่เรื่องนี้ช่างมันเถอะ ตอนนี้ขอเขาดูหน้าเจ้าเด็กใหม่เส้นใหญ่ก่อน

     เจ้าเด็กใหม่ชื่อฮิคารุ
     อัตสึชิเป็นคนแนะนำให้นางิกับโชรู้จักเด็กหนุ่มหน้าตาดีผิวสีน้ำผึ้งที่เพียงแค่นางิได้เห็นแวบแรก เขาก็ลงความเห็นได้ทันทีว่า
หมอนี่มันไม่ธรรมดา
     เขาจ้องฮิคารุเขม็งซึ่งเจ้าหมอนั่นก็จ้องตอบอย่างไม่ยอมลงให้เหมือนกัน
     “สวัสดี ฉันชื่อนางิ”
     “ฮิคารุครับ”
     ทั้งสองคนจับมือกัน
     อัตสึชิรู้สึกเหมือนกับว่ามีประจุไฟฟ้าแล่นชนกันดังเปรี๊ยะ
     ดูเหมือนโชจะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รับรู้ถึงปฏิกิริยาความเป็นปรปักษ์อันนี้ พอได้รับการแนะนำและเห็นนางิจับมือกับฮิคารุ เด็กหนุ่มก็กอดไหล่ทั้งสองคนพร้อมกัน ยิ้มร่าเริง
     “ยินดีที่ได้รู้จัก ดูเหมือนเราสามคนจะอายุเท่า ๆ กันเลยนะ นี่ถ้าได้เล่นด้วยกันหมดก็คงดีเนอะ นางิจังว่ายังไง”
ประโยคท้ายเขาหันมาหานางิซึ่งฝ่ายหลังไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มให้นิด ๆ สายตาที่แข็งก็นุ่มนวลลงด้วย
     การกระทำของนางิไม่พ้นสายตาของฮิคารุ เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากนิด ๆ
     โนมูระกับมัตสึดะเข้ามาแยกเด็กหนุ่มทั้งสามคนออกจากกัน ถึงตอนนี้จะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าฮิคารุจะทำอะไรต่อไปและนางิจะแปลงร่างเป็นก็อตซิลล่าขึ้นมาเมื่อไหร่
     “ฮิคารุคุง เตรียมตัวเข้าฉากได้แล้ว ส่วนโชคุง ประเดี๋ยวสตาฟจะเข้ามาบรีฟให้ฟังนะ นายถ่ายเรื่องที่สอง” มัตสึดะบอกโชกับฮิคารุ ส่วนโนมูระหันไปพูดกับนางิว่า
     “ฉันเตรียมเช็คค่าเสียเวลาให้เธอเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวตามฉันไปเอาที่ห้องเลยนะ แล้วเธอก็กลับได้เลย”
     “ไม่เห็นต้องรีบเลยครับโนมูระซัง ไหน ๆ วันนี้ผมก็ไม่มีคิวแล้ว ผมขอรอเอาเช็คพร้อมกับโชจังหลังถ่ายเสร็จก็แล้วกัน วันนี้ผมกับโชจังจะกลับด้วยกันครับ โชจังจะไปค้างที่ห้องผม”
     นางิแสดงความเป็นเจ้าของโชอย่างชัดเจนแบบนี้เสมอ
     โนมูระเสียวสันหลังวาบ เพราะเมื่อนางิพูดจบ เขาก็หันไปพูดกับฮิคารุเหมือนจะท้าตีท้าต่อยว่า
     “จะขออยู่ดูถ่ายทำด้วย นายไม่ขัดข้องใช่ไหม”
     “ตามสบาย” ฮิคารุตอบ
     เด็กหนุ่มสองคนมองหน้ากันเหมือนจะหยั่งเชิงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วต่างคนต่างก็หันหลังให้กันและแยกย้ายกันไปอยู่มุมใครมุมมัน ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของคนทั้งกองที่จับตามองสถานการณ์อยู่
     มัตสึดะรีบประกาศเดินกล้องทันที
     เรื่องแรกนี้ฮิคารุเล่นคนเดียว เด็กหนุ่มได้รับโจทย์ให้หว่านเสน่ห์ใส่กล้องซึ่งสมมติว่าเป็นคู่ของตัวเอง เรื่องนี้ถือเป็นการทดสอบนักแสดงเพราะไม่มีกำหนดตายตัวว่าจะแสดงอย่างไร นักแสดงจะทำอะไรก็ได้ แสดงท่าทางอย่างไรก็ได้ตามแต่จินตนาการของนักแสดงเองเลย ซึ่งฮิคารุก็ตีบทแตกกระจุย
     เด็กหนุ่มใช้กระจกที่อยู่ในฉากเป็นเครื่องมือ เขาเล่นกับกระจก จูบและลูบไล้ตัวของเขาในกระจกเหมือนกับเป็นคู่ของตัวเอง ท่าทางและการแสดงออกของฮิคารุนั้นมีครบทั้งความยั่วยวน เซ็กซี่ และมีเสน่ห์ชนิดที่พาให้คนดูเคลิบเคลิ้มได้เลยทีเดียว
นางิที่มองแบบไม่คลาดสายตามาตั้งแต่ต้นหรี่ตาเล็กน้อย
     เขาพูดไม่ผิดหรอกว่าไอ้เจ้าเด็กใหม่นี่มันไม่ธรรมดา!
     ฮิคารุจบท้ายด้วยการช่วยตัวเอง เมื่อเขาหลั่งออกมา ผู้กำกับก็สั่งคัตและให้เขาไปล้างตัวและพักสักหน่อยก่อนที่จะแสดงในเรื่องต่อไป
     โชรออยู่แล้วเมื่อเขากลับเข้ามาในฉากอีกครั้ง
     เรื่องที่สองนี้ก็ยังเป็นมาสเตอร์เบชั่นเหมือนเดิมเพียงแต่โชจะเป็นคนทำให้ เด็กหนุ่มต้องเล้าโลมเพื่อสร้างอารมณ์ให้ฮิคารุซึ่งโชก็ทำอย่างที่ได้รับบรีฟมา เขาลูบไล้และจูบฮิคารุพลางค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าให้ซึ่งฮิคารุก็แสดงท่าเคลิบเคลิ้มได้สมจริงสมจังมากจนคนที่ดูอยู่นอกฉากกำหมัดแน่น
     ไอ้เจ้าเด็กใหม่มันคิดจะลองดีกับเขาใช่ไหม
     โชไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นนอกฉากบ้างเพราะเขามีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้าอย่างเดียวเท่านั้น เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าของฮิคารุออกจนหมดแล้วใช้ปากให้ สุดท้ายก็ช่วยด้วยมือจนฮิคารุหลั่งออกมาอีกครั้ง เป็นอันจบหน้าที่ของเขาในวันนี้ หลังผู้กำกับสั่งคัต เขาก็เดินเข้าห้องอาบน้ำไปล้างตัว ส่วนฮิคารุยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่ใช้ถ่ายทำ กำลังใช้ทิชชูเช็ดคราบบนหน้าท้องของตัวเอง
     โนมูระกับอัตสึชิเดินเข้าไปหาฮิคารุ
     “โอเคไหมครับฮิคารุคุง” โนมูระถามด้วยความเป็นห่วง
     “ยังอยากจะแสดงต่ออีกไหม” อัตสึชิถาม เขาลุ้นให้คำตอบเป็นไม่ แต่ฮิคารุดับฝันของเขาด้วยรอยยิ้ม
     “เป็นดาราหน้ากล้องก็สนุกดีนะ เตรียมโปรเจ็คท์ต่อไปให้ผมได้เลยอั๊คคุง อ้อ แล้วถ้าเป็นเซ็กซ์ ผมขอเล่นกับโชจังนะ โชจังเก่ง แล้วก็น่ารักด้วย”
     โครม!
     โต๊ะกลมตัวเล็กตรงหน้านางิล้มลงกับพื้น แก้วเครื่องดื่ม กระป๋องเบียร์ ของกระจุกกระจิกที่เคยอยู่บนโต๊ะหล่นกระจายลงบนพื้น
     "ขอโทษ ขามันกระตุก"
     ทั้งโนมูระและอัตสึชิรู้สึกหนาวเยือกไปตามไขสันหลังเมื่อเห็นนางิจ้องเขม็งมา   
     วุ่นแล้วไง
     “เอ้อ... ไว้ฉันดูให้อีกทีละกัน” อัตสึชิไม่รับปาก
     ฮิคารุก็ไม่สนใจ พอพูดจบก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินเข้าห้องอาบน้ำไปล้างตัวบ้าง แต่เขาก็เจอนางิก้าวเข้ามายืนขวางเอาไว้ก่อน
โนมูระกับอัตสึชิใจหายวาบเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองเผชิญหน้ากันอีกแล้ว แต่ค่อยยังชั่วที่ยังไม่ถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ฮิคารุยอมเป็นฝ่ายเดินเลี่ยงหลบไป และระหว่างที่เดินสวนไป เด็กหนุ่มกระซิบอะไรบางอย่างเบา ๆ ใส่หูนางิโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต
     “พวกนายอย่าทำให้ฉันตกใจบ่อยนักได้ไหมเนี่ย” อัตสึชิบ่นเสียงดัง
     นางิร้องฮึในคอ กลับไปนั่งที่ของตัวเอง หยิบโทรศัพท์ออกมากด ส่วนฮิคารุก็เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 22814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 22-08-2014 23:32:22
ร้ายมาก นางิเจอศึกหนัก 555
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 22814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 22-08-2014 23:50:03
ฮิคารุร้ายกาจ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 22814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 23-08-2014 08:22:49
สร้างรักคู่ที่สี่: Tsuyoshi x Hikaru (ต่อ)

     สึโยชิฟังอัตสึชิรายงานเรื่องการถ่ายทำด้วยความรู้สึกลำบากใจ ฮิคารุเอาเรื่องจริง ๆ ตามที่เขากังวลไว้ไม่มีผิด แค่วันแรกที่ทำงานก็แสดงความเอาแต่ใจตัวเองให้สตาฟต้องปวดหัวไปตาม ๆ กัน ซ้ำร้ายยังไปมีปัญหากับนางิเข้าอีก
     “ฮิคารุขอถ่ายโปรเจ็คท์ต่อไปแล้วครับ ประกาศชัดว่าจะแสดงกับโชเท่านั้น ไม่เอาคนอื่น พี่จะว่ายังไงครับ จะชะลอไปก่อนไหม”
     อัตสึชิถาม
     “ทำได้ก็ดีสิ” สึโยชิบ่น “รุ่นพี่โทรมาคุยกับฉันเมื่อเช้า ไม่รู้ฮิคารุไปคุยอีท่าไหน รุ่นพี่ยอมรับให้ฮิคารุทำงานนี้ได้ซะอย่างนั้น แถมถามฉันอย่างละเอียดถึงแผนงานโปรโมตฮิคารุ ฉันคิดว่าแผนเดิมที่จะแทรกฮิคารุในโปรเจ็คท์นักแสดงหน้าใหม่คงใช้ไม่ได้แล้ว เราโปรโมตฮิคารุเดี่ยวไปเลย ให้ถ่ายอีกสองเรื่อง”
     ชายหนุ่มเจ้าของค่ายตัดสินใจ
     “เรื่องแรกให้จับคู่กับโช เรื่องที่สองจับคู่กับโชและนางิ เป็น 3P”
     “สามคนเนี่ยนะครับ จะดีเหรอ” อัตสึชิลังเล มองเห็นเค้าความยุ่งยากราง ๆ
     “นางิคงจะอยากมีส่วนร่วม ถ้าเรากันเขาออกไป ฉันว่ามันจะมีปัญหาซะมากกว่า ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยก็ยังอยู่ในสายตาเรา ตอนถ่ายทำ นายก็ไปอยู่ด้วยละกัน เผื่อเกิดอะไรขึ้น จะได้แก้ไขได้”
     อัตสึชิมองหน้าพี่ชายตัวเองเต็มตา
     “พี่ครับ ผมถามจริง ๆ เถอะ ทำไมพี่ต้องยอมยุ่งยากขนาดนี้ อย่างเรื่องของนางิก็เหมือนกัน ถ้านิสัยขี้หึงขี้หวงของเจ้านั่นจะทำให้เกิดผลกับงาน พี่น่าจะจัดการไปเลย แต่นี่พี่ทำเหมือนเข้าข้างนางิ”
     สึโยชิยิ้มนิด ๆ เขาตอบน้องชายว่า
     “จะอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกัน มันต้องยืดหยุ่นกันบ้าง นางิอาจจะมีนิสัยที่เป็นปัญหา อาจจะเหวี่ยง อาจจะแสดงความไม่พอใจถ้ามีใครคิดจะมาแตะโช แต่นางิก็ยอมรับมติของบริษัททุกอย่าง ถ้าเราจะให้โชถ่ายอะไร กับใคร ถึงแม้นางิจะไม่ชอบ เจ้าหมอนั่นก็ไม่เคยขัดข้องไม่ใช่เหรอ ฉันให้ความสำคัญกับความรู้สึกและจิตใจของพนักงานทุกคน นายก็รู้ ยิ่งทำงานแบบนี้ ต้องเจออะไรมากมาย ต้องทำสิ่งที่อาจจะไม่ชอบใจ ถ้าแค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังถูกกดดันอีก ทีนี้จะเหลืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้ามันไม่ทำให้งานผิดพลาดหรือมีปัญหา เรื่องอะไรที่มองข้ามได้ก็ข้ามไป หรือช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป”
     อัตสึชิถอนหายใจ เขาเข้าใจตัวตนและความคิดของพี่ชายของเขาดี สึโยชิภายนอกเป็นคนเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง แต่ภายในเป็นคนใจดี เขาเป็นพี่ชายที่อบอุ่นและใจดีสำหรับน้อง ๆ เมื่อมาทำธุรกิจก็ยังคงลักษณะนิสัยพี่ชายที่พร้อมจะดูแลทุกคนเอาไว้เหมือนเดิม
     “หนักใจเหรอ” พี่ชายถามยิ้ม ๆ
     “สุด ๆ ครับ ต้องรับมือทั้งเจ้านางิทั้งเจ้าฮิคารุนี่นา วันถ่ายทำอะสนุกแน่”
     “เอาน่า มันไม่ยากเกินไปหรอก” สึโยชิให้กำลังใจ “นายไปเตรียมงานเถอะ แล้วก็แจ้งทุกคนตามนี้ด้วยนะ”

     แม้ว่าจะบอกน้องชายว่ามันไม่ใช่ปัญหา แต่สึโยชิก็ไม่ประมาท เขากำชับให้โนมูระเข้าไปช่วยอัตสึชิอีกคนในวันถ่ายทำและย้ำว่าเขาจะแสตนด์บายอยู่ตลอดทั้งวัน หากมีปัญหาอะไรก็ให้แจ้งโดยด่วน
     การถ่ายทำเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้า ฮิคารุถูกนัดคิวทั้งวันเพื่อถ่ายทำทั้งสองเรื่องให้เสร็จ ตอนที่เด็กหนุ่มมาถึงบริษัท โชมารออยู่แล้วพร้อมกับนางิซึ่งรายหลังนัดคิวตอนบ่าย แต่เจ้าตัวยืนยันจะมาแต่เช้าพร้อมกับโช ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่ในห้องที่จะใช้ถ่ายทำ เมื่อเห็นฮิคารุเดินเข้ามา โชก็ยิ้มร่าทักทาย
     “โย่ ฮิคารุจัง”
     นางิเหลือบมองคนข้างตัวนิดนึงด้วยแววตาที่เหมือนจะค้อน แค่ถ่ายด้วยกันเรื่องเดียวนี่ดูสนิทสนมกันจังเลยนะ
     “สวัสดีโชจัง” ฮิคารุนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้าม เขาหันไปยิ้มให้นางิด้วย
     “สวัสดีนางิจัง ขอเรียกเหมือนโชจังนะ”
     นางิไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำทักทายที่ถือสนิทของฮิคารุ เขาแกล้งมองเมินไปเหมือนไม่ได้ยิน ก้มหน้าเล่นกับโทรศัพท์ในมือ ฮิคารุยักไหล่ เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง
     โนมูระที่จับตามองอยู่เห็นท่าไม่ดี เขารีบเดินเข้ามาหาฮิคารุพร้อมกับส่งบทให้ จากนั้นก็ดึงตัวฮิคารุไปหาอัตสึชิเพื่อรับบรีฟ ส่วนโชรับบรีฟไปแล้วเพราะมาถึงก่อน
     เมื่อทุกอย่างพร้อม กล้องเดิน โชดึงตัวฮิคารุเข้าไปจูบ ทั้งสองคนถอดเสื้อผ้าให้กันและกัน ก่อนที่โชจะอุ้มร่างเปลือยเปล่าของฮิคารุไปวางลงบนเตียง โชหันไปหยิบขวดเจลที่หัวเตียง ฮิคารุพลิกตัวนอนคว่ำ แต่ทันทีที่หน้าของเด็กหนุ่มซุกลงกับหมอน ดวงตาสัมผัสกับปลอกหมอนที่ออกสีเทา ๆ เด็กหนุ่มก็ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นมานั่ง สองมือปิดตาที่มีน้ำตาไหลพราก
     กองถ่ายกลายเป็นดินแดนมิคสัญญีทันที โชอุทานด้วยความตกใจ อัตสึชิกับโนมูระก้าวพรวดเดียวถึงตัวฮิคารุ ส่วนนางิเดินช้า ๆ ตามเข้ามา คิ้วขมวด
     “เป็นอะไร ฮิคารุจัง” โชถาม เขาพยายามจะแกะมือของฮิคารุออก แต่ฮิคารุเอามือปิดตาแน่น
     “เจ็บ ตาฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มร้อง
     “ผมต้องรีบโทรหาท่านประธาน” โนมูระระล่ำระลักหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามือไม้สั่น
     “ขอดูซิ เอามือออก ฮิคารุ” อัตสึชิสั่ง เขาช่วยกับโชดึงมือของฮิคารุออก ตาของเด็กหนุ่มแดงมากและมีน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลา
     “แย่แล้ว รีบเข้าไปล้างตาก่อนเถอะฮิคารุจัง” โชอุทาน อัตสึชิรีบช่วยโชพยุงฮิคารุไปที่ห้องอาบน้ำทันที โนมูระกดวางสายโทรศัพท์ที่โทรรายงานสึโยชิ เขาบ่นอย่างกลัดกลุ้มว่า
     “ฮิคารุคุงเจ็บตัวจนได้ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”
     “คงมีใครหมั่นไส้เจ้าเด็กเส้นละมั้งครับ” นางิเปรยลอย ๆ โนมูระหันมามองทันที นางิพยักเพยิดไปที่ปลอกหมอนที่ฮิคารุนอนหนุนอยู่เมื่อสักครู่ เมื่อโนมูระเข้าไปดูใกล้ ๆ และเอานิ้วแตะดูก็เห็นว่าที่ปลอกหมอนมีผงอะไรสักอย่างโรยไว้บาง ๆ
     “มีคนแกล้งฮิคารุคุง” โนมูระอุทาน
     นางิยักไหล่
     สึโยชิรับรู้เรื่องราวทั้งหมดด้วยความเคร่งเครียด ชายหนุ่มสั่งเลิกกองทันที คนที่ไม่เกี่ยวข้องถูกไล่ออกไปจากห้องจนหมด เหลือแค่ตัวเขาเอง โนมูระ อัตสึชิ และฮิคารุอยู่ในห้อง
     ชายหนุ่มดูปลอกหมอน แล้วเข้าไปดูฮิคารุที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาของเด็กหนุ่มยังแดงอยู่ แต่ไม่น่ากลัวเหมือนตอนแรก ๆ น้ำตาก็หยุดไหลแล้ว
     “ยังเจ็บอยู่ไหมฮิคารุ” สึโยชิถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม
     สองมือของเด็กหนุ่มยึดชายเสื้อแจ็กเก็ตของสึโยชิไว้แน่นเหมือนต้องการจับไว้เป็นหลักยึด ฮิคารุไม่ตอบอะไร เขาก้มหน้า มือที่จับเสื้อของสึโยชิอยู่สั่นนิด ๆ
     สึโยชิกัดกรามแน่น เขาลูบศีรษะเด็กหนุ่มด้วยความสงสาร
     ต้นเหตุของเรื่องคราวนี้มาจากเขาคนเดียว อัตสึชิเตือนเขาแล้วว่ามันอาจจะมีปัญหา แต่เขาก็ดันทุรัง สุดท้ายฮิคารุก็ต้องเจ็บตัวจนได้
     “ขอโทษนะฮิคารุ” ชายหนุ่มพูด ฮิคารุส่ายหน้าเบา ๆ
     “วันนี้เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ เรื่องงานค่อยว่ากันอีกที โนมูระซัง...” สึโยชิจะสั่งให้โนมูระพาเด็กหนุ่มไปส่งที่บ้าน แต่มือสองข้างที่ยึดชายเสื้อแจ็กเกตเขาอยู่กระตุกเบา ๆ ทันที เขาเห็นสายตาอ้อนวอนเงียบ ๆ กับท่าทางที่เสียขวัญของฮิคารุก็ชะงัก เปลี่ยนเป็นพูดว่า
     “ฉันจะไปส่งฮิคารุที่บ้าน เรื่องนี้เราจะคุยกันอีกทีตอนฉันกลับมา”

     ระหว่างที่อยู่บนรถ ฮิคารุไม่ได้พูดอะไร เขานอนหลับตาอย่างเดียว เหมือนต้องการจะพัก แต่เมื่อรถจอดที่หน้าบ้าน ฮิคารุก็หันมาขอร้องเขาว่า
     “อย่าบอกพ่อนะครับสึโยชิซัง”
     “แต่เรื่องนี้พ่อเธอควรจะรู้ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ มีคนจงใจแกล้งเธอ”
     “แล้วคุณไม่กลัวเหรอ ถ้าพ่อรู้ คุณโดนเล่นงานแน่ โทษฐานที่ดูแลผมไม่ดี”
     สึโยชิจ้องตาฮิคารุ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง
     “ฉันสมควรโดนอยู่แล้วเพราะฉันดูแลเธอไม่ดีจริง ๆ ฉันต้องสารภาพผิดกับพ่อเธอนั่นแหละมันถึงจะถูกต้อง เธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นอีก”
     “จะทำได้เหรอ คุณไม่ได้อยู่กับผมตลอดสักหน่อย ลับหลังคุณก็อาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ คุณไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้หรอก ไม่ต้องบอกพ่อด้วย ผมจัดการเองได้”
     เด็กหนุ่มบอกอย่างดื้อดึง เขาเปิดประตูรถ แต่สึโยชิเอื้อมมาดึงประตูปิดตามเดิม เขาจับไหล่ฮิคารุให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
     “ฉันรับปากพ่อเธอไว้แล้วว่าฉันจะดูแลเธอ ฉันผิดคำพูดไม่ได้หรอก”
     “ถ้าคุณดูแลผมเพราะรับปากพ่อไว้ คุณไม่จำเป็นต้องทำ ผมดูแลตัวเองได้”
     เด็กหนุ่มสะบัดตัวหลุดจากมือของสึโยชิ แล้วเปิดประตูรถลงไป สึโยชิรีบเปิดประตูรถตามลงไปดึงมือของฮิคารุไว้ทันก่อนที่เด็กหนุ่มจะเข้าไปในบ้าน
     “ฮิคารุ” สึโยชิเรียกเสียงอ่อน “มีเหตุผลหน่อยได้ไหม”
     เด็กหนุ่มเงียบแต่ท่าทางฮึดฮัด
     “ตอนที่ถ่ายซ่อม ฉันจะไปอยู่กับเธอที่กองด้วย” สึโยชิพูด “คราวนี้ฉันจะเป็นคนดูแลเธอเอง”
     เด็กหนุ่มยังคงไม่พูดอะไรอยู่ดี สึโยชิถอนหายใจด้วยความหนักใจ เขากระตุกมือฮิคารุ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่ง เขาก็กระตุกอีกไม่หยุด
     ฮิคารุพยายามทำหน้าบึ้ง แต่ตอนนี้ทำต่อไปไม่ไหวแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มออกมาในที่สุด
     “สัญญานะว่าจะเป็นคนดูแลผม”
     สึโยชิสบตากับฮิคารุ ก่อนจะพูดอย่างหนักแน่นว่า
     “ฉันสัญญา”
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 23-08-2014 11:34:35
 :pig4:
เรื่องนี้ถูกจริตอย่างแรง อ่านสนุกค่ะ เหมือนเรื่องแปลเลย
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 23-08-2014 16:16:25
ฮิคารุหนูเล่นเองชงเองเรียกร้องความสนใจป่าวจ้ะ
5555555555555 ล้อเล่นน้า
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 23-08-2014 16:47:13
เราก็ว่าฮิคารุทำเองป่าวหว่า   :undecided:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 23-08-2014 17:12:04
สร้างรักคู่ที่สี่: Tsuyoshi x Hikaru (ต่อ)


     การถ่ายซ่อมเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วันหลังจากนั้น หลังจากที่ชายหนุ่มได้รับคำยืนยันจากฮิคารุว่าพร้อมจะถ่ายแล้ว
หลังจากเขาส่งฮิคารุที่บ้านในวันที่เกิดเรื่อง สึโยชิกลับมาที่บริษัท เขาปิดห้องคุยกับอัตสึชิและโนมูระ ทั้งหมดคิดเหมือนกันว่านางิน่าสงสัยมากที่สุด แต่ปัญหาคือไม่มีหลักฐานว่านางิเป็นคนทำ โนมูระยืนยันว่าระหว่างที่อยู่ในกอง นางิไม่ได้เข้าไปใกล้เตียงเลย เขาตัวติดกับโชตลอดเวลา ส่วนนอกกอง หลังจากสอบถามกับพนักงานแล้วก็ไม่มีใครเห็นนางิเฉียดใกล้ห้องถ่ายทำเหมือนกัน
เมื่อไม่มีหลักฐาน นางิก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
     ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือต้องระวังกันมากขึ้น
     นางิกับโชมาถึงกองถ่ายก่อนเวลานัดเล็กน้อย เข้ามาไล่เลี่ยกับฮิคารุ โนมูระเรียกตัวทั้งสามคนไปบรีฟพร้อมกัน อัตสึชิได้จังหวะเดินเข้ามาหาพี่ชายที่มาถึงล่ากว่าฮิคารุนิดหน่อย กระซิบว่าทุกอย่างปกติเรียบร้อยดี สึโยชิพยักหน้ารับ สายตาของเขามองตามฮิคารุไม่วางตา
     สึโยชิจัดให้ถ่ายเรื่องที่ต้องเล่นกันสามคนก่อน เขาคิดว่าถ้าเรื่องนี้ผ่านไปอย่างไม่มีปัญหา เรื่องที่เล่นกับโชก็น่าจะไม่มีปัญหาเช่นกัน
     นักแสดงทั้งสามคนนั่งอยู่ด้วยกันบนเตียง เมื่อผู้กำกับสั่งเดินกล้อง ทั้งสามก็เริ่มคุยกันเรื่อยเปื่อยเป็นการสร้างความคุ้นเคยกัน ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาของการเล้าโลม และเพราะเรื่องนี้ต้องการดันฮิคารุให้เป็นตัวเอก นางิกับโชจึงทำหน้าที่เป็นคนเล้าโลมฮิคารุ
     ฮิคารุหลับตาและส่งเสียงครางเบา ๆ ขณะที่โชช่วยกันกับนางิไล้เลียไปตามร่างกายของเขา เสื้อผ้าของเขาถูกถอดออก ฮิคารุนอนพิงอกโช ในขณะที่นางิใช้ปากให้
     การเล้าโลมผ่านไปอย่างไม่มีปัญหา
     ฮิคารุยังนอนเอนพิงอกโชอยู่ขณะที่นางิหยิบขวดเจลขึ้นมาทาให้ แล้วเด็กหนุ่มก็ถูกจับให้ลุกขึ้น นางิกดเขาลงบนตัวของโชที่นั่งยืดขาอยู่บนเตียง ฮิคารุกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้หลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกไป เขาเหลือบตามองนางิ ฝ่ายหลังพยักหน้านิดเดียว แล้วฮิคารุก็รู้สึกเหมือนกับว่าสติของเขาหลุดไปวูบหนึ่งเมื่อนางิดันตัวเองเข้ามาอีกคน
     เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดประสานกับเสียงตะโกนของสึโยชิและโชที่ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
     “โอ๊ย!”
     “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
     “เฮ้ย!”
     โชดึงตัวเองออกมาแทบไม่ทัน เขาเห็นเลือดไหลออกมาจากตัวฮิคารุ นางิก็ดึงตัวเองออกมาในเวลาเดียวกัน
     สึโยชิเผ่นพรวดเดียวถึงตัวเด็กหนุ่ม เขากัดฟันกรอดเมื่อเห็นรอยฉีกขาดที่เลือดไหลซิบออกมาที่ตัวฮิคารุ โนมูระหน้าซีดเผือด อัตสึชิหันไปโวยใส่นางิทันที
     “นายทำอะไรลงไปรู้ตัวไหมเนี่ย!”
     “ผมทำอะไร”
     “อย่ามาเล่นลิ้น นายก็รู้ว่านี่มันเรื่องแรกของฮิคารุ แล้วนายเล่นสอดใส่เข้าไปพร้อมกันแบบนี้มันก็ฉีกน่ะสิ นายตั้งใจแกล้งฮิคารุใช่ไหม นางิ!”
     คนถูกกล่าวหายังนิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขามองสึโยชิที่กอดร่างฮิคารุแนบอก ดวงตาของเจ้าของค่ายที่มองมาทางเขาแทบจะลุกเป็นไฟ ถ้าไม่ติดที่ฮิคารุกอดเอาไว้แน่น เขาเชื่อว่าท่านประธานคงจะลุกมาต่อยหน้าเขาแล้วเป็นแน่
     “เอ้อ... นางิจังไม่ได้แกล้งหรอกครับ เราทำไปตามบท”
     โชพูดสอดขึ้นมา เขาตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮิคารุเหมือนกัน แต่เมื่อทุกคนกำลังสงสัยนางิ เขาก็คิดว่าตัวเองต้องพูดอะไรบ้าง
     อัตสึชิหันขวับมาหาทันที
     “นายหมายความว่ายังไงโชจัง”
     “ก็บทที่ผมได้น่ะครับ เขียนไว้อย่างนั้น ให้ผมกับนางิจังใส่เข้าไปพร้อมกันเลย บทของนางิจังก็น่าจะเหมือนกันใช่ไหม”
     ประโยคหลังเขาถามนางิซึ่งเด็กหนุ่มก็เดินไปหยิบบทของตัวเองกับโชที่วางอยู่บนโต๊ะมาส่งให้อัตสึชิดูโดยไม่พูดอะไร
     “พอเรามาถึงที่กอง สตาฟก็เอาบทมาให้ แล้วโนมูระซังก็เรียกบรีฟ หลังจากนั้นผมกับนางิก็นั่งดูบทอยู่ด้วยกันจนถึงเวลาถ่ายนี่แหละครับ”
     โชอธิบาย อัตสึชิอ่านเอกสารในมือ เป็นจริงอย่างที่โชว่า แต่บทอันนี้มันไม่ใช่บทที่ตกลงกันเอาไว้แต่แรก
     “มีการสลับบท” อัตสึชิสรุป
     “นายจัดการเรื่องนี้ ฉันจะพาฮิคารุไปหาหมอก่อน” สึโยชิตัดสินใจ เขาอุ้มตัวฮิคารุขึ้นแล้วก้าวยาว ๆ ออกไปจากห้อง
     แผลของฮิคารุไม่ได้ฉีกมากอย่างที่นึกกลัว หลังจากห้ามเลือดและทำแผลเสร็จ คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ สึโยชิตัดสินใจพาฮิคารุมาที่ห้องของเขาก่อน ถ้าพากลับทั้งสภาพแบบนี้ เชื่อเหลือเกินว่าฮิโคอิจิคงจะฆ่าเขาตายทันทีที่รู้เรื่อง
     ชายหนุ่มอุ้มฮิคารุที่หลับพับอยู่กับอกของเขาเข้าไปในห้องนอนแล้ววางร่างของเด็กหนุ่มลงบนเตียงอย่างเบามือ แต่ก็ทำให้ฮิคารุรู้สึกตัวอยู่ดี
     “สึโยชิซัง”
     สึโยชินั่งลงบนเตียงข้างตัวฮิคารุ มือของเขาลูบศีรษะเด็กหนุ่ม
     “ขอโทษนะฮิคารุ ฉันสัญญาแล้วแท้ ๆ ว่าจะดูแลเธอ แต่กลับทำไม่ได้อย่างที่พูด แถมยังทำให้เธอเจ็บตัวมากกว่าเดิมเสียอีก”
     เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ เขาจับมือของสึโยชิไว้
     “ไม่ใช่ความผิดของสึโยชิซังสักหน่อย”
     “แต่ฉันก็ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ดี เธอเข้ามาอยู่ในสังกัดของฉัน พ่อของเธอก็ฝากเธอไว้กับฉัน ฉันก็ต้องดูแลเธอให้ดี แต่แล้วเรื่องมันก็กลายเป็นอย่างนี้ไปซะได้ ฉันเสียใจจริง ๆ”
     ฮิคารุปล่อยมือจากสึโยชิทันที เขาดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง
     “ฮิคารุ” สึโยชิเรียก เขาจะดึงผ้าห่มออก แต่ฮิคารุยึดผ้าห่มไว้แน่น
     “มาคุยกันก่อน”
     “ผมไม่อยากคุย” เด็กหนุ่มพูดเสียงอู้อี้
     “งั้นไม่ต้องคุยก็ได้ ฉันจะไปบริษัทก่อนก็แล้วกัน” สึโยชิพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่แยแส แต่สายตาของเขาจับนิ่งอยู่ที่ร่างบนเตียง และเป็นอย่างที่คิดไม่มีผิด พอเขาพูดจบ เด็กหนุ่มก็ดึงผ้าห่มที่ใช้ปิดหน้าอยู่ออกทันที
     ฮิคารุหน้างอ
     “คุณแกล้งผม” ฮิคารุกล่าวหา
     สึโยชิหัวเราะเบา ๆ
     “เธอไม่ยอมคุยกับฉันเองนี่นา เธอเริ่มก่อนนะฮิคารุ”
     “ก็ผมไม่อยากได้ยินคุณบอกว่าต้องดูแลผมเพราะพ่อ” ฮิคารุพ้อ
     “คุณไม่รู้สึกชอบผมสักนิดเลยเหรอ สึโยชิซัง”
     เด็กหนุ่มสบตากับสึโยชิ แต่ฝ่ายหลังเบือนหน้าหนีและลุกขึ้นยืนพร้อมกับตัดบทว่า
     “เธอพักเถอะ ตอนเย็นฉันจะพาเธอกลับไปส่งที่บ้าน”
     “ไม่เอา อย่าเพิ่งไป โอ๊ย!” พอขยับตัว เด็กหนุ่มก็รู้สึกเจ็บจนหลุดปากร้องออกมา สึโยชิชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องทันที เขานั่งลงบนเตียงข้างตัวฮิคารุ เด็กหนุ่มถือโอกาสรั้งแขนเขาเอาไว้แน่น
     “สึโยชิซัง อยู่กับผมนะ อย่าไป”
     “ไม่ได้หรอกนะฮิคารุ ฉันต้องไปจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เธอเจ็บแบบนี้เราคงปิดพ่อเธอไม่ได้แน่ ฉันต้องหาตัวคนทำให้ได้ก่อนที่จะคุยกับพ่อเธอ หรืออย่างน้อยก็ต้องมีความคืบหน้าอะไรบ้าง”
     “แต่ผมไม่อยากให้คุณหาคนทำได้เลย”
     ฮิคารุครวญ
     “ถ้าคุณรู้ว่าใครทำ คุณก็คงเลิกดูแลผมแบบนี้อีก”
     คนฟังถอนหายใจ
     “ฉันไม่เลิกดูแลเธอหรอกนะ”
     “เพราะพ่อฝากฝังเอาไว้ ผมรู้แล้วล่ะน่า” เด็กหนุ่มชิงพูดประโยคนั้นออกมาก่อน เขามองหน้าสึโยชิ
     “แต่คุณยังไม่ได้ตอบคำถามของผมนะ สึโยชิซัง คุณชอบผมบ้างสักนิดมั้ย”
     “ฉันต้องไปแล้ว” สึโยชิเปลี่ยนเรื่อง เขาหันหลังให้ แต่ยังไม่ทันจะเดินพ้นประตูห้อง เสียงสั่น ๆ ของฮิคารุก็ดังขึ้นก่อนว่า
     “แต่ผมชอบคุณ สึโยชิซัง คุณได้ยินไหม ผมชอบคุณ!”
     สึโยชิตัวชา เสียงของฮิคารุยังดังไม่หยุด
     “ผมชอบคุณ ผมชอบคุณ ผมชอบคุณ!”
     ขนาดสารภาพรัก แต่ฮิคารุก็ยังไม่ทิ้งความร้ายกาจ พอเห็นว่าเสียงไม่ได้ผล เด็กหนุ่มก็คว้าของใกล้มือคือหมอนที่ตัวเองหนุนอยู่ขว้างใส่สึโยชิ
     “เฮ้ย!” สึโยชิอุทาน เขาเอี้ยวตัวหลบหมอนอีกใบที่เด็กหนุ่มขว้างใส่
     พอหมอนไม่มีแล้ว ฮิคารุก็เหลียวหาของอย่างอื่นต่อ แต่เขายังไม่ทันจะคว้าของประดับที่หัวเตียง สึโยชิก็คว้าตัวเขาไปกอดเอาไว้ก่อน
     “พอแล้ว ฮิคารุ” สึโยชิพูด เขากดศีรษะเด็กหนุ่มแนบอก
     ฮิคารุดิ้น สองมือของเขาทั้งจิกทั้งทึ้งทั้งทุบหลังของสึโยชิเหมือนต้องการระบายความอัดอั้น
     “ผมชอบคุณ ผมชอบคุณ ผมชอบคุณ!”
     “ฉันรู้ ฮิคารุ ฉันรู้” สึโยชิกระซิบ ชายหนุ่มกอดร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก สองมือที่ทุบถองหลังของเขาอยู่ค่อย ๆ หยุด เปลี่ยนมาเป็นยึดเสื้อสูทของเขาแทน ชายหนุ่มได้ยินเสียงฮิคารุสะอื้น ฮิคารุคงจะเจ็บ ดีไม่ดีแผลอาจจะเปิดก็ได้ เล่นขยับซะขนาดนั้น
     “สงบลงบ้างรึยัง” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นฮิคารุนิ่งอยู่กับอกของเขาแล้ว
     เด็กหนุ่มพยักหน้าเงียบ ๆ และพอเขาคลายอ้อมแขน ฮิคารุก็ผลักเขาทันที
     “คนใจร้าย”
     “แผลเปิดรึเปล่าเนี่ย ให้ฉันดูหน่อยนะ”
     ฮิคารุปัดแขนของสึโยชิที่ยื่นมา หน้าของเด็กหนุ่มงอง้ำและบนแก้มยังมีคราบน้ำตาติดอยู่
     “ถ้าคุณไม่ได้ชอบผมก็ไม่ต้องมาทำดีด้วยหรอก เย็นนี้ก็ไม่ต้องลำบากไปส่งผมด้วย ผมจะกลับเอง คุณจะไปไหนก็ไปเลย ไปให้พ้น!”
     “ฮิคารุ”
     เด็กหนุ่มหันหลังให้กับเสียงเรียกของสึโยชิ แต่อึดใจต่อมา ตัวของเขาก็ถูกกอดจากข้างหลัง สึโยชิถอนใจยาว เขาซบศีรษะลงกับไหล่ของฮิคารุพลางบ่นว่า
     “เธอนี่มันเป็นเด็กร้ายกาจเอาแต่ใจยังไงก็ยังเป็นเหมือนเดิมเลยนะ จะมีวันไหนไหมที่เธอไม่สร้างความเดือดร้อนลำบากใจให้ฉันเนี่ย ฉันชักเข้าใจความลำบากของรุ่นพี่ซะแล้วสิ เพราะตอนนี้ฉันเองก็ตกที่นั่งเดียวกับพ่อเธอจนได้”
     ฮิคารุเหลียวมาสบตากับสึโยชิที่มองเขานิ่งอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อเขาเผยอริมฝีปาก สึโยชิก็ก้มลงมาจูบเขาทันที
     “ฉันก็ชอบเธอเหมือนกันนะฮิคารุ”

     การจะหาตัวคนผิดไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว สึโยชิรับฟังอัตสึชิกับโนมูระรายงานผลการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยความหนักใจ การเปลี่ยนบททำขึ้นเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ สตาฟที่ดูแลเรื่องบทยืนยันว่าไม่มีใครมายุ่งกับบท ส่วนผู้ต้องสงสัยคนสำคัญคือนางิก็มีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจน เด็กหนุ่มอยู่กับโชตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งถึงวันนี้ โชยืนยันว่านางิไม่มีท่าทีอะไรผิดปกติเลย แต่ลางสังหรณ์ของสึโยชิบอกเขาว่านางิต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน เขาจึงเรียกนักแสดงหนุ่มในสังกัดเข้ามาสอบถามอีกครั้งเป็นการส่วนตัว
     นางิไม่มีทีท่าหวั่นเกรงอะไรเมื่อต้องเดินเข้าไปคุยกับสึโยชิตามลำพัง
     “นั่งสินางิคุง” สึโยชิผายมือไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา เด็กหนุ่มนั่งลง
     “ประธานมีเรื่องอะไรจะถามผมอีกครับ ผมบอกทุกอย่างกับโนมูระซังและอัตสึชิซังไปหมดแล้ว”
     สึโยชิมองนางินิ่ง ๆ ซึ่งฝ่ายหลังก็ไม่หลบสายตา ไม่แสดงท่าทีมีพิรุธหรือหวาดหวั่นใด ๆ ออกมาเลย
     “เธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริง ๆ น่ะเหรอ”
     นางิยักไหล่
     “ผมไม่ได้ทำอะไร”
     “แต่เธอเป็นคนเดียวที่มีปัญหากับฮิคารุ เรื่องโช”
     นางิยิ้มนิด ๆ เขายกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายอารมณ์
     “ประธานคิดจะเอาเรื่องนี้มาปรักปรำผมเหรอครับ”
     “ฉันต้องการรู้ความจริง”
     “ความจริงก็คือผมไม่ได้ทำอะไร” นางิยืนยัน “แต่ถ้าประธานไม่เชื่อ ยังสงสัยผมอยู่ ประธานก็หาหลักฐานมาเอาผิดผมให้ได้ก็แล้วกัน แค่การสันนิษฐานว่าผมมีปัญหากับฮิคารุจังแล้วจะมาเหมาเอาว่าผมเป็นคนทำน่ะมันอ่อนไปนะครับ”
     สึโยชิสะดุดหู
     “ฮิคารุจัง?”
     นางิยิ้มสดใสส่งให้ใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งดูดีมากขึ้น แต่ในสายตาของสึโยชิ เขากลับเห็นความเจ้าเล่ห์นิด ๆ ซ่อนอยู่ข้างในใบหน้านั้น มันดูคล้าย ๆ กับสีหน้าของฮิคารุในบางครั้งไม่มีผิดเพี้ยน
     เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังสนุกสนานว่า
     “ขอพูดอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายนะครับว่าผมไม่ได้มีปัญหากับฮิคารุจัง ไม่ได้เป็นคนแกล้ง และไม่เคยคิดจะทำด้วย”
     สึโยชิมองตามหลังเด็กหนุ่มที่เดินออกไปจากห้องของเขาด้วยแววตาครุ่นคิด
     “เป็นยังไงบ้างครับพี่”
     อัตสึชิเข้ามาในห้องของพี่ชายหลังจากที่เห็นนางิออกไปแล้ว
     “นางิปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนทำ” สึโยชิตอบเรียบ ๆ
     “เจ้านั่นก็ยืนยันกับผมอย่างนั้นเหมือนกัน” อัตสึชิพูด “ตอนนี้ผมไม่แน่ใจซะแล้วสิครับ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นนางิ แต่ไป ๆ มา ๆ มันไม่น่าจะใช่เจ้านั่นซะแล้ว ตกลงใครกันแน่ที่เป็นคนทำ”
     “สองคนนั้นมีปัญหากันจริง ๆ เหรอ ฮิคารุกับนางิน่ะ” สึโยชิถาม
     “ก็เขม่นกันเรื่องโชน่ะครับ ฮิคารุขอถ่ายแต่กับโช นางิมันก็โมโห”
     “ขนาดไหน ลงไม้ลงมือกันเลยมั้ย”
     อัตสึชินิ่งคิด ก่อนจะส่ายหน้า
     “ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ มีจ้อง ๆ กัน พูดยั่วยุใส่กันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับจะร้ายแรงขนาดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโมโหจัดจนเลยเถิดไปถึงการแกล้งกันได้”
     สึโยชิเคาะนิ้วกับโต๊ะ เขากำลังใช้ความคิด
     อัตสึชิมองพี่ชายด้วยความสงสัย
     “นี่พี่กำลังคิดอะไรอยู่ครับ”
     ชายหนุ่มถอนใจ
     “เอาไว้ให้ฮิคารุหาย ฉันจะเรียกมาคุย แล้วจะบอกนายอีกที”
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 23-08-2014 19:51:07
ฮิคารุน่าสงสัยสุด  :ruready
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mamie ที่ 23-08-2014 21:21:58
แหม่ร้ายกาจฝุดๆ 555555


ชอบเรื่องนี้จุง  o13 o13
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mana_ai ที่ 23-08-2014 23:10:39
ฝีมือฮิคารุแน่ๆ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 23814/P2 Tsuyoshi x Hikaru (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 24-08-2014 07:07:50
สร้างรักคู่ที่สี่: Tsuyoshi x Hikaru (จบ)


     แต่สึโยชิไม่ต้องรอจนฮิคารุหายดีอย่างที่บอกน้องชายไว้ หลังจากที่เขาพาฮิคารุไปส่งที่บ้านในตอนเย็นและรอดพ้นจากการถูกฮิโคอิจิซักฟอกไปได้เพราะเพื่อนรุ่นพี่ไม่อยู่บ้านพอดี วันรุ่งขึ้น ฮิคารุก็มาหาเขาที่บริษัท เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะและไม่สนใจจะรอให้สึโยชิอนุญาตด้วย
     “ฮิคารุ เธอมาที่นี่ได้ยังไง แล้วหายแล้วเหรอ” สึโยชิขมวดคิ้ว มองเด็กหนุ่มเดินมานั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเขา
     “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย” ฮิคารุตอบ เขามองหน้าสึโยชิ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มนิด ๆ แล้วถามว่า
     “ดูเหมือนว่าสึโยชิซังอยากคุยกับผมใช่ไหม”
     “อัตสึชิบอกเธอเหรอ”
     “ไม่ใช่อั๊คคุงหรอกครับ คนอื่นน่ะ”
     สึโยชิหรี่ตาเล็กน้อย มีความรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้น่าจะถูกต้องแล้ว
     เจ้าเด็กคนนี้มันร้ายกาจกว่าที่เขาคิดจริง ๆ!
     “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเธอใช่ไหมฮิคารุ”
     ชายหนุ่มถามเสียงเย็น
     “คุณคิดว่ายังไงล่ะ” ฮิคารุเล่นลิ้น ไม่เดือดร้อนกับสายตาและน้ำเสียงเย็น ๆ ของอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว
     “เธอเป็นคนทำ! เธอร่วมมือกับนางิ ให้นางิมาเป็นตัวล่อให้คนอื่นไขว้เขว”
     ฮิคารุยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แสดงทุกอย่างให้กระจ่างชัด
     สึโยชิทุบโต๊ะปัง เขาโกรธ เขาโมโห และที่สำคัญ เขาเสียใจที่เจ้าเด็กคนนี้มันเอาความห่วงใยของเขามาล้อเล่น
     “ทำไม ฮิคารุ”
     เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาประจันหน้ากับสึโยชิ
     “เพราะผมต้องการคุณ ผมทำได้ทุกอย่างนั่นแหละที่จะทำให้คุณหันมาสนใจผม ชอบผม”
     “แล้วเธอคิดว่าทำอย่างนี้แล้วฉันจะยังชอบเธอได้อยู่งั้นเหรอ”
     “ไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงตอนนี้คุณก็ไปจากผมไม่ได้แล้ว”
     “เธอหมายความว่ายังไง”
     คำถามของสึโยชิได้คำตอบในไม่กี่อึดใจนั้น เพราะเมื่อเด็กหนุ่มพูดจบ หลังจากเหลือบมองนาฬิกาแวบหนึ่ง เขาก็กวาดข้าวของบนโต๊ะของสึโยชิตกกระจายลงบนพื้น
     ฮิคารุฉีกเสื้อของตัวเองจนขาดรุ่งริ่ง แล้วดึงตัวสึโยชิที่ยืนตะลึงมองให้ล้มลงไปด้วยกันบนโต๊ะทำงานของสึโยชิ
     “เฮ้ย!” เสียงอุทานนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของสึโยชิ แต่เป็นเสียงร้องประสานกันอย่างน้อยสามเสียง
     อัตสึชิ โนมูระ มัตสึดะ และยังมีพนักงานอีกคนหนึ่ง ทั้งหมดยืนอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง จ้องมายังเขากับฮิคารุที่ล้มทับกันอยู่บนโต๊ะในสภาพที่ใครเห็นก็คิดไม่ต่างไปจากนี้
     ประธานค่ายหนังกำลังปล้ำนักแสดงในสังกัด!
     ยังไม่พอ เจ้าฮิคารุยังตอกย้ำด้วยการบีบน้ำตาให้พยานในเหตุการณ์เห็นอีกด้วย!
     “เอ้อ...ขอโทษครับ พวก...พวกผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
     โนมูระกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ แล้วค่อย ๆ ถอยหลังออกจากห้องไปพร้อมกับทุกคนพร้อมกับปิดประตูอย่างเงียบกริบ แต่ทันทีที่ประตูปิด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังระงมทันที
     สึโยชิหลับตาอย่างรู้ดีถึงชะตากรรมของตัวเอง หูของเขาได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของฮิคารุ
     ชายหนุ่มกัดฟันกรอด เจ้าเด็กร้ายกาจ!

     สึโยชิเตรียมตัวเตรียมใจที่จะต้องเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ของเขาตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องแล้ว แต่เมื่อต้องมานั่งอยู่ตรงหน้าฮิโคอิจิที่กำลังโกรธจัดเข้าจริง ๆ ชายหนุ่มก็เริ่มอยากจะให้ตัวเองหายตัวไปจากตรงนี้ได้เหลือเกิน เขาไม่เคยเห็นรุ่นพี่โกรธมานานแล้ว แต่เขายังจำได้ว่าเวลารุ่นพี่โกรธมันจะเป็นยังไง แม้แต่สึนามิก็ยังแรงได้ไม่เท่า แล้วนี่ยิ่งเป็นเรื่องของลูกชายสุดที่รัก ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดเลย
     “ฉันอุตส่าห์ไว้ใจให้นายดูแลฮิคารุ” ฮิโคอิจิเริ่มต้น “แล้วมันกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง”
     ยิ่งพูดเสียงของเขาก็ยิ่งดัง
     “นายกับฮิคารุ! รุ่นน้องกับลูกชายของฉัน!”
     ดาบไม้ในมือของฮิโคอิจิฟาดเปรี้ยงลงบนพื้นข้างตัวชายหนุ่มจนเขาสะดุ้ง
     “นายมีอะไรจะแก้ตัวไหม สึโยชิ”
     “ผมไม่มีข้อแก้ตัวครับรุ่นพี่ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริงตามที่รุ่นพี่ทราบ” สึโยชิตอบ เขาสบตากับฮิโคอิจิโดยไม่เลี่ยงหลบ
     “ผมชอบฮิคารุคุงครับ และพร้อมจะรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง”
     “แต่ลูกฉันเป็นผู้ชาย! นี่ฉันต้องยกลูกชายฉันให้นายงั้นเรอะ!” ฮิโคอิจิคร่ำครวญ ชนิดถ้าตีอกชกหัวได้คงทำไปแล้ว แล้วฮิโคอิจิก็ฟาดดาบไม้ลงกับพื้นข้างตัวชายหนุ่มรุ่นน้องอีกทีคราวนี้เฉียดตัวเขาไปไม่ถึงหนึ่งเซ็นติเมตร 
     สึโยชิก้มศีรษะจรดพื้น
     “ผมรู้ตัวว่าผมทำผิด ผมขอโทษจริง ๆ ครับ รุ่นพี่จะลงโทษหรือจะให้ผมทำอะไร ผมยอมทุกอย่าง”
     “โว้ย!” ฮิโคอิจิขว้างดาบไม้ในมือลงพื้นด้วยความขัดใจ เขาเดินพล่านเหมือนเสือติดจั่น แล้วก็ตรงเข้ามาดึงคอเสื้อของชายหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเขา
     “นายบอกว่าชอบลูกชายฉันใช่ไหม” ฮิโคอิจิถามเสียงเหี้ยม
     “ครับผม” สึโยชิตอบรับอย่างหนักแน่น
     “นายรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายถ้าทำให้ลูกชายฉันเสียใจ” ฮิโคอิจิแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม
     “ผมทราบ” ชายหนุ่มยอมรับอย่างสงบ
     ฮิโคอิจิจ้องตาสึโยชินิ่ง แล้วเขาก็ปล่อยคอเสื่อของอีกฝ่าย สึโยชิทรุดตัวลงนั่งตามเดิม
     “ฉันรักนายเหมือนน้องชายคนนึง แต่ไม่เคยนึกว่าจะต้องเปลี่ยนสถานะตัวเองจากพี่ชายมาเป็นพ่อตา!”
     สึโยชิพยายามกลั้นยิ้ม นึกโล่งอกขึ้นมาทันที ลงรุ่นพี่พูดติดตลกได้แบบนี้แสดงว่าวิกฤตผ่านพ้นไปแล้ว
     สุดท้าย หลังจากที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้ ฮิโคอิจิก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
     “ลูกชายฉันมันร้าย” เขาเปรยขึ้นลอย ๆ แต่ก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่าเขาเข้าใจอะไร ๆ ดี
     ฮิโคอิจิเป็นพ่อที่เลี้ยงดูฮิคารุมากับมือ ทำไมจะไม่รู้จักลูกชายตัวเอง
     “เอาล่ะ ฉันจะออกไปข้างนอกสักหน่อย ส่วนนาย อยากจะอยู่ต่อหรืออยากจะไปไหนก็ตามใจ”
     ชายหนุ่มรุ่นพี่เดินไปที่ประตูบานเลื่อนกระดาษ แต่ก่อนที่จะออกไปจากห้อง เขาก็หันมาบอกรุ่นน้องที่ยังนั่งคุกเข่าเรียบร้อยอยู่บนเบาะรองนั่งว่า
     “ฮิคารุอยู่ในห้อง”

     สึโยชิเคยเข้ามาในห้องของฮิคารุแล้วตอนที่เขามาส่งเด็กหนุ่มเมื่อวานนี้ แต่วันนี้เจ้าของห้องใส่ชุดยูกาตะสีขาวเหมือนที่เคยใส่ตอนเจอกับเขาครั้งแรก ฮิคารุนอนพังพาบอยู่บนฟูกที่นอน มือข้างหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งพลิกนิตยสารอ่านอย่างสบายอารมณ์ แล้วเมื่อเห็นสึโยชิเปิดประตูห้องเข้ามา เด็กหนุ่มก็โบกมือให้
     “สึโยชิซัง คุยกับพ่อเสร็จแล้วเหรอ”
     “เสร็จแล้ว ฉันโดนพ่อเธอด่าจนหูชาเลย” ชายหนุ่มบอก เขานั่งลงบนฟูกที่นอนที่ฮิคารุนอนอยู่ เด็กหนุ่มหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำบ่น
     “น่าสงสารจัง”
     “สนุกจังนะ” สึโยชิแดกดัน แต่ฮิคารุก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตามเคย แถมยังยักคิ้วล้อเลียนด้วย ทำเอาสึโยชิหมั่นไส้ขึ้นมาทันที ชายหนุ่มจับฮิคารุพลิกตัวอย่างรวดเร็ว แล้วกดตัวเด็กหนุ่มติดกับฟูก ริมฝีปากของเขาบดขยี้ริมฝีปากของเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง แต่เมื่อเขาถอนริมฝีปากออก ก็เห็นรอยยิ้มยั่วเย้าของเด็กหนุ่ม สองมือของฮิคารุถูกสึโยชิกดติดกับฟูก แต่ขาสองข้างของเด็กหนุ่มเป็นอิสระ เขาเกี่ยวขาข้างหนึ่งกับสะโพกของสึโยชิพร้อมกับพูดว่า
     “ติดใจอยากจะปล้ำผมเหรอ จริง ๆ ไม่ต้องปล้ำก็ได้นะสึโยชิซัง แค่คุณบอกผมคำเดียว ผมก็ยอมคุณดี ๆ อยู่แล้วล่ะ”
     สึโยชิถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนยอมแพ้ เขาปล่อยมือฮิคารุ แล้วซบศีรษะลงกับอกของเด็กหนุ่มแทน ซึ่งฮิคารุก็ยกสองมือที่เป็นอิสระขึ้นกอดเขาตอบ
     “ฉันยอมเธอจริง ๆ เลยฮิคารุ เด็กอะไรร้ายกาจที่สุด”
     ฮิคารุหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงสึโยชิบ่น เด็กหนุ่มจูบศีรษะของคนที่อยู่ในอ้อมแขนไปทีหนึ่งแล้วพูดว่า
     “ผมร้ายก็เพราะคุณนั่นแหละ อยากไม่สนใจผมทำไมล่ะ มันก็ต้องกระตุ้นกันยังงี้แหละ”
     “แล้วเธอคิดว่าฉันควรจะจีบเธอเหรอ ทั้งที่เธอเป็นลูกชายของรุ่นพี่ที่มีพระคุณกับฉันเนี่ยนะ แล้วเธอยังมาเป็นนักแสดงในสังกัดฉันอีก ถึงฉันจะชอบเธอยังไง ฉันก็ต้องระวังไหมล่ะ”
     “ก็ผมช่วยคุณตัดสินใจแล้วนี่ไงล่ะ โอเคแล้วเนอะ”
     สึโยชิอดหัวเราะออกมาไม่ได้ในที่สุด เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดึงร่างของฮิคารุเข้ามากอดเอาไว้แน่น

     ฮิคารุในวันนั้นกับวันนี้กอดตอบเขาแน่นเหมือนกัน ชายหนุ่มมองคนรักหนุ่มที่หลับตาพริ้มซบอยู่กับอกของเขา ฮิคารุนั่งอยู่บนตักของเขา สองมือกอดเอวเขาไว้ สีผิวของฮิคารุเข้มขึ้นกว่าเดิมเพราะเจ้าตัวไปอบผิวเพิ่มหลังจากลาออกจากบริษัทและเปลี่ยนไปทำงานเป็นนายแบบ ผลงานที่เคยถ่ายไว้สองเรื่องก็ถูกลบทิ้งไป ฮิคารุบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดาย แต่ทั้งเขาและฮิโคอิจิไม่อ่อนข้อให้เด็ดขาดสำหรับเรื่องนี้และห้ามเด็ดขาดไม่ให้คิดจะทำงานแบบนี้อีก ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ขัดข้องเพราะกำลังสนุกและไปได้ดีกับการเป็นนายแบบ
     ส่วนผลพวงจากเรื่องของฮิคารุ แม้เจ้าตัวจะลาออกไปแล้ว แต่สึโยชิยังโดนพนักงานตัวเองแอบเม้าธ์ลับหลังอยู่อีกเป็นนาน และบริษัทก็มีกฎแปลก ๆ ตามออกมาพร้อมกันสองข้อหลังจากนั้นว่า พนักงานในระดับบริหารห้ามเป็นแฟนกับนักแสดงในสังกัดเป็นอันขาดและห้องทำงานของประธานถือเป็นเขตหวงห้าม ใครที่ต้องการเข้าพบจะต้องเคาะประตูและรอคำอนุญาตจากเขาเสียก่อนถึงจะเปิดเข้าไปได้ หากใครฝ่าฝืน ไล่ออกสถานเดียว
     “ฮิคารุ ตื่นเถอะ” สึโยชิเรียก เขามองชายหนุ่มที่ขยี้ตาด้วยความงัวเงียอย่างเอ็นดู
     “เธอจะอยู่กับฉันจนเลิกงานไหม หรือจะกลับก่อน”
     ฮิคารุนิ่งคิด ก่อนจะยิ้มกริ่ม
     “ผมรอกลับพร้อมคุณก็ได้ แต่ขอไปรอในห้องอั๊คคุงนะ”
     คนฟังส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
     “อย่าแกล้งอัตสึชินักเลยน่า ปล่อยให้เขาอยู่กับสึบาสะคุงไปเถอะ”
     “งั้นผมไปรอในห้องอาหารดีกว่า อยู่ที่นี่เดี๋ยวกวนสึโยชิซังจนไม่ได้ทำงานอีก” เด็กหนุ่มก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ
     “จะรอเจอนางิล่ะสิ เพราะตอนนี้เขาน่าจะถ่ายงานเสร็จแล้ว” สึโยชิดักคอ
     “รู้ทันอีก” ฮิคารุหัวเราะ
     เขาลุกขึ้นจากตักของคนรัก
     “จะกลับเมื่อไหร่โทรหาผมนะ”
     ฮิคารุจูบลาคนรักเร็ว ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาของสึโยชิมองตาม
     เป็นสายตาที่ทั้งอ่อนใจและอ่อนหวานระคนกัน
     นางิกับฮิคารุจับมือกันเมื่อไหร่ ความวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
     สึโยชินึกสงสารคนที่จะตกเป็นเหยื่อของสองคนนี้ขึ้นมาจับใจ...





     ........
     จบคู่ที่สี่ค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ ตอนนี้เหลืออีกสองคู่จะจบ Season 1 ละค่ะ อยากต่อ Season 2 มากเลยแต่ยังคิดไม่ออก  :katai4: สำหรับที่มีคอมเม้นท์ถามเรื่องรูปนะคะ เดี๋ยวลองไปหาดูก่อนนะ อาจจะใส่รูปเพิ่มหลังอัพอีกสองคู่ที่เหลือจบนะคะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 24814/P2 จบคู่ Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 24-08-2014 08:45:05
 :L2:ความรักของผอ.ไม่หวือหวาแต่ คนรักเจ้าเลห์อ้ะ
กินเด็กเป็นอมตะจริงๆ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 24814/P2 จบคู่ Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 24-08-2014 19:52:45
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 24814/P2 จบคู่ Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 24-08-2014 20:14:23
ยินดีกับสึโยชิ    :mew5:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 24814/P2 จบคู่ Tsuyoshi x Hikaru
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 24-08-2014 22:13:32
สร้างรักคู่ที่ห้า: Daichi x Sora


     คอลเล็คชั่นเสื้อผ้าชุดล่าสุดของแบรนด์ Aki ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่กำลังมาแรงน่าจับตามองยิ่งกว่าใครในปีนี้เพราะนอกจากเสื้อผ้าจะแปลกตาและเป็นเอกลักษณ์แล้วยังได้นายแบบชื่อดังสองคนมาประชันกันบนรันเวย์
     ฮิคารุกับไดจิ
     สองนายแบบที่ภาพลักษณ์ต่างกัน แต่มีเสน่ห์เหลือล้นด้วยกันทั้งคู่
     ฮิคารุ นายแบบหนุ่มหน้าสวย ผิวสีเข้ม ผู้มีรอยยิ้มจับตา
     ไดจิ นายแบบหนุ่มหน้าคม ผู้เย็นชาและเคร่งขรึม
     เมื่ออากิ มิสุชิมะ ดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์เปิดตัวนายแบบประจำคอลเล็คชั่นก็ทำให้เกิดเสียงฮือฮาดังกระหึ่มไปทั้งวงการทันที เพราะยังไม่มีใครสามารถจับนายแบบดังสองคนนี้มาทำงานร่วมกันได้สักทีและการเดินแบบเปิดตัวคอลเล็คชั่นในวันนี้ก็จบลงอย่างสวยงาม
     อากิ มิสุชิมะยิ้มกว้างขวางอยู่ตรงกลางระหว่างฮิคารุและไดจิ ขณะให้สื่อมวลชนถ่ายรูปหลังจากการเดินชุดฟินาเล่สิ้นสุดลงและดีไซเนอร์ถูกเชิญขึ้นมาบนเวที ต่อจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของการให้สัมภาษณ์ กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาใกล้วันใหม่เต็มที แต่ยังไม่มีใครเหนื่อยหรือง่วง ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่ในงานปาร์ตี้ที่จัดเพื่อฉลองความสำเร็จ
     “สึโยชิซัง” ฮิคารุผละจากคนอื่น ๆ ในงานมาหาคนรักทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาในงาน สึโยชิไม่ได้มาดูฮิคารุเดินแบบหรือจะมาร่วมปาร์ตี้ แต่เขามารับฮิคารุกลับบ้าน
     “อยากกลับรึยัง หรือถ้าเธอจะอยู่ต่อ ฉันจะไปรอข้างนอก” สึโยชิถามคนรักที่เอาแขนมาคล้องแขนเขาอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง
     “กลับเลยก็ได้ครับ ผมไม่ยอมให้คุณไปรอข้างนอกหรอก เดี๋ยวออกมาแล้วไม่เจอ มีใครไม่รู้มาจิกตัวไปล่ะแย่เลย”
     ฮิคารุแหย่ แล้วเขย่งตัวขึ้นจุ๊บคนรักเร็ว ๆ สึโยชิมองตอบด้วยสายตาอ่อนโยน ทั้งสองคนแทบไม่รู้ตัวว่ามีใครเดินเข้ามาหาจนกระทั่งได้ยินเสียงทักอยู่ข้างตัว
     “คู่นี้หวานอย่างที่เค้าลือกันจริง ๆ ด้วย”
     “อากิซัง” ฮิคารุยิ้มหวานให้สาวใหญ่วัยไล่เลี่ยกับคนรัก สึโยชิก้มศีรษะทักทายเช่นเดียวกัน
     “มิสุชิมะเซนเซย์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”
     ชายหนุ่มรู้จักสาวใหญ่คนนี้เพราะฮิโคอิจิเป็นผู้แนะนำ ตอนนั้นอากิยังทำงานเป็นฝ่ายแฟชั่นในนิตยสารชื่อดัง ยังไม่ได้ลาออกมาทำแบรนด์ของตัวเองอย่างทุกวันนี้
     “สบายดีนะคะสึโยชิซัง”
     หลังจากทักทายกันตามมารยาทแล้วก็สนทนากันต่อด้วยความสนุกสนานซึ่งภาพความสนิทสนมของทั้งสามคนนี้ก็อยู่ในสายตาคนทั้งงาน
     สไตลิสต์ที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่สะกิดถามเพื่อนช่างแต่งหน้าที่นั่งโต๊ะเดียวกันว่า
     “ใครน่ะคนนั้น แฟนฮิคารุคุงใช่ไหม แต่ทำไมดูสนิทสนมกับมิสุชิมะเซนเซย์จังเลย”
     คนถูกถามตอบว่า
     “ใช่ แฟนฮิคารุคุง ชื่อสึโยชิซัง เขาเป็นเจ้าของค่ายหนังจีวีนะเธอ ส่วนที่สนิทกับอาจารย์คงเพราะเคยทำงานกับพ่อของฮิคารุคุงมาก่อน พ่อของฮิคารุคุงรู้จักกับอาจารย์ก็คงทำให้สองคนนั้นรู้จักกันไปด้วยแหละ”
     “พูดแล้วอิจฉาฮิคารุคุงเนอะ เกิดมาทั้งหล่อทั้งรวย มีแฟนก็ยังหน้าตาดีอีกต่างหาก ไม่หมดแค่นั้นนะ ลองสนิทสนมกับอาจารย์ขนาดนี้ล่ะก็เตรียมตัวรับงานต่อทุกซีซั่นได้เลย”
     สไตลิสต์คนนั้นเปรย แต่แล้วก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นแค่เพียงสองคนกับเพื่อน หากยังมีคนอีกหลายคนนั่งอยู่ด้วย รวมทั้งไดจิ ซึ่งนั่งดื่มเบียร์อยู่เงียบ ๆ แต่ก็คงจะได้ยินทุกคำแน่นอนเพราะไม่มีใครในโต๊ะนั้นพูดอะไรเลย
     ไดจิได้ยินจริง ๆ
     ชายหนุ่มเองก็รู้ดีถึงความสนิทสนมระหว่างฮิคารุและมิสุชิมะเซนเซย์ ในวงการนี้เรื่องเส้นสายเป็นเรื่องสำคัญ การจะได้งานดี ๆ บางทีก็ต้องอาศัยคนรู้จัก แต่สำหรับไดจิ เขาเชื่อว่าเรื่องฝีมือสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด และที่เขามาจนถึงจุดนี้ได้ก็เพราะฝีมือของตัวเองทั้งนั้น งานของ Aki ครั้งนี้ก็เช่นกัน มิสุชิมะเซนเซย์ติดต่อมาเพราะเห็นฝีมือของเขา หากเขาจะได้ทำงานนี้ต่อหรือไม่ได้ เขาก็อยากจะให้วัดกันที่ฝีมือ ไม่ใช่เส้นสาย ด้วยเหตุนี้ ไดจิจึงไม่ค่อยชอบใจใครก็ตามที่ใช้แต่เส้นสาย แต่ไม่มีฝีมือ
     ฮิคารุเป็นคนเก่ง แต่ก็ไม่พ้นเรื่องเส้นสาย เขาจึงไม่ค่อยถูกชะตาด้วยนัก แม้ว่าระหว่างที่ทำงานด้วยกัน ฮิคารุจะพยายามมาคุยทำความรู้จักด้วย แต่ชายหนุ่มก็ไม่สนใจและเมินไปอย่างจงใจเสมอ ไดจิไม่สนใจว่าคนถูกเมินจะรู้สึกอย่างไร ชายหนุ่มมีสมญาว่าหมาป่าโดดเดี่ยว เขาไม่ค่อยชอบเข้าสังคม ไม่สนใจใคร ไม่ค่อยคบกับใคร ชีวิตของเขาโดดเดี่ยวสมฉายาที่ได้รับนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะคบใคร แต่เขาอยู่คนเดียวจนชิน การจะเปิดรับใครบางคนเข้ามาในชีวิตก็เลยเป็นเรื่องยาก
     ไดจิไม่อยากจะฟังต่อ เขาลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่เดินออกไปนอกงาน
     “ฝนตก” ชายหนุ่มพึมพำเมื่อก้าวออกมาที่เทอเรซด้านหลัง ฝนฤดูใบไม้ร่วงโปรยปรายลงมาเป็นสาย อากาศที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นมากขึ้น ไดจิยืนพิงผนังจิบเบียร์เงียบ ๆ พลางมองสายฝนสีเงินที่ตกลงมาไม่หยุด
     ท่ามกลางสายฝนและแสงไฟสลัว ๆ ในสวนสาธารณะขนาดเล็กด้านหลังที่มองเห็นจากเทอเรซที่เขายืนอยู่ ชายหนุ่มคิดว่าเขาเห็นใครคนหนึ่ง
     ไดจิขมวดคิ้ว เขาวางแก้วเบียร์ลงบนพื้น แล้วเดินออกไปชะโงกหน้ามอง
     นางไม้
     ไม่ใช่... ร่างนั้นเป็นผู้ชายต่างหาก
     ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางสายฝน ผู้ชายคนนั้นอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเขาหรือไม่ก็น้อยกว่า สวมสเว็ตเตอร์ขนาดบางสีขาวที่เปียกน้ำจนชุ่มโชกเปียกลีบแนบตัว กางเกงสีเข้มกลมกลืนกับความมืดรอบตัว ผิวของชายหนุ่มขาวโพลนทำให้ดูเหมือนตัวของเขามีแสงสว่างเรืองออกมาจากความมืดที่รายล้อมอยู่
     ใบหน้าของผู้ชายที่เหมือนนางไม้คนนั้นเศร้าโศก เสี้ยวหน้าด้านข้างที่เห็นดูเหมือนจะมีน้ำตา แต่ก็ไม่แน่ใจ มันอาจจะเป็นสายฝนก็ได้
     “ร่ม”
     เขาหันมองรอบตัว ก่อนจะหันไปมองร่างที่ยังยืนอยู่กลางสายฝน ชายหนุ่มตัดสินใจวิ่งกลับเข้าไปในงาน เขาเสียเวลารอพนักงานให้เอาร่มมาให้เขา แต่เมื่อเขาไปถึงบริเวณที่คิดว่าชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ เขาก็ไม่เห็นร่างนั้นแล้ว
     “นี่เราทำอะไรลงไปวะ”
     ไดจิอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ ปกติเขาไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยเป็นห่วงใคร แต่เขาไม่สามารถสลัดเสี้ยวหน้าอันโศกเศร้านั้นออกจากสมองได้เลย...




     .........
     เริ่มคู่ที่ห้าแล้วค่ะ ใกล้จบเต็มทีแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 24814/P3 เริ่มคู่ Daichi x Sora
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 24-08-2014 22:38:35
แรกพบ น่าประทับใจมาก
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 24814/P3 เริ่มคู่ Daichi x Sora
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 25-08-2014 05:22:00
 :hao6: :hao6: :pig4:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 24814/P3 เริ่มคู่ Daichi x Sora
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 25-08-2014 10:07:49
สร้างรักคู่ที่ห้า: Daichi x Sora (ต่อ)



     ไดจิยังคงไม่ลืมชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางสายฝน
     เป็นครั้งแรกในชีวิตกระมังที่เขามาทำงานโดยไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เมื่อการถ่ายแฟชั่นชุดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไดจิเปลี่ยนชุดและขอตัวกลับทันที เขาตั้งใจจะกลับไปที่ร้านที่จัดงานอีกครั้ง เผื่อจะมีใครรู้จักผู้ชายคนนั้นบ้าง แต่พนักงานที่ร้านก็ไม่มีใครรู้จักหรือจำได้เลยสักคน
     ไดจิกำลังจะหมดหวังอยู่แล้ว เขาขับรถกลับแมนชั่นของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ แต่ตอนที่ขับผ่านสวนสาธารณะใกล้แมนชั่นนั้น ชายหนุ่มก็ต้องเหยียบเบรกจนตัวโก่ง เมื่อจู่ ๆ ก็เห็นคนเดินตัดผ่านหน้ารถ
     “คุณ เป็นยังไงบ้าง โดนชนรึเปล่า” ไดจิรีบลงมาจากรถ เขาส่งเสียงถามผู้ชายที่นั่งอยู่บนพื้นถนน ห่างจากหน้ารถของเขานิดเดียว
     ผู้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามอง ไดจิตัวชา
     คนที่เหมือนนางไม้คนนั้น!
     “เป็นอะไรรึเปล่า” ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้าง ๆ เขามองหน้าผากขาว ๆ ที่มีเลือดไหลซิบอยู่ด้วยความตกใจ ก่อนจะควักผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง พยายามจะซับเลือดให้
     “โอ๊ย” คนเจ็บร้องออกมาเบา ๆ พร้อมกับเบนศีรษะหนี ไดจิชะงัก ดวงตาของเขาสบกับดวงตาใสแจ๋วเหมือนลูกแก้วของเด็กหนุ่ม เขากะผิดไปหน่อยที่ว่าอายุไล่เลี่ยกัน ดูแล้วผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้อายุน่าจะสักยี่สิบต้น ๆ หรือไม่ก็อาจจะอ่อนกว่านั้น
ใบหน้าอ่อนเยาว์ ผิวขาวมากจนราวกับจะส่องแสงได้
     “ฉันจะพานายไปทำแผล” ไดจิพูด เขาขยับตัวจะช่วยพยุงเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้น แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าหมดสติลงในอ้อมแขนของเขาเสียก่อน

     ไดจิตัดสินใจพาเด็กหนุ่มคนนั้นมาที่ห้องของเขาแทนการพาไปโรงพยาบาล เขาอุ้มร่างของเด็กหนุ่มมาวางลงบนเตียง แล้วทำแผลที่หน้าผากให้ แผลไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ แค่ล้างแผล ใส่ยา และติดพลาสเตอร์ก็เรียบร้อย ไดจิไขน้ำอุ่นจากก๊อกใส่ลงในอ่างแก้ว แล้วยกมาตั้งที่โต๊ะหัวเตียง เขาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าให้เด็กหนุ่มอย่างเบามือ
     ถ้ายังไม่ฟื้น เขาคงจะต้องพาไปโรงพยาบาล ชายหนุ่มคิด
     เขาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามซอกคอและแขนให้เด็กหนุ่ม ครู่ต่อมา เด็กหนุ่มก็รู้สึกตัว
     ดวงตาเหมือนลูกแก้วกะพริบปริบ ๆ เหมือนกำลังงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าตกใจที่ตื่นมาเจอคนแปลกหน้าเลย เขาแค่มองด้วยความสงสัยเท่านั้น ไดจิจึงบอกว่า
     “นายเดินตัดหน้ารถฉัน จำได้ไหม ฉันเกือบชนนายแล้ว แต่เบรกได้ทัน”
     เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแตะแผลที่หน้าผากโดยอัตโนมัติ
     “ตอนที่หลบรถฉัน นายล้ม อาจจะเจ็บตอนนั้น ฉันทำแผลให้แล้ว นายรู้สึกเป็นยังไงบ้าง อยากจะไปตรวจที่โรงพยาบาลรึเปล่า”
     ตลอดเวลาไดจิพูดอยู่คนเดียวซึ่งมันผิดวิสัยของคนเคร่งขรึมอย่างเขามาก แต่พอเห็นหน้าเด็กหนุ่ม เห็นดวงตาใสเหมือนลูกแก้วของอีกฝ่ายแล้ว เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้หน้าตาคุ้น ๆ อย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
     เด็กหนุ่มส่ายหน้า เขามองไปรอบ ๆ
     “ที่นี่ห้องฉันเอง” ไดจิบอก
     ห้องของชายหนุ่มเป็นห้องแบบหนึ่งห้องนอน มีห้องครัวและห้องนั่งเล่น ขนาดของห้องกว้างขวาง แต่ก็โล่งมากเช่นกัน ในห้องของชายหนุ่มไม่มีของมากมาย มีเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น ของประดับตกแต่งอะไรก็แทบไม่มีเลย นอกจากรูปพอร์เทรตขาวดำขนาดเท่าตัวจริงที่เขาวางพิงผนังห้องด้านหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
     “นายชื่ออะไร”
     ไดจิถาม และเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ยินเสียงพูดของเด็กหนุ่มที่เหมือนนางไม้
     “โซระ”

     เด็กหนุ่มที่ชื่อโซระกำลังนั่งกินซุปที่เขาทำอย่างเอร็ดอร่อย
     ไดจิรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อยที่ห้องที่เงียบเหงาของเขามีแขกมาเยือน แล้วก็เป็นแขกที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสต้อนรับ
     เหมือนเด็กหนีออกจากบ้าน ชายหนุ่มคิด
     เขารอจนโซระกินซุปจนหมดถ้วย แล้วก็เริ่มตั้งคำถาม
     “เมื่อคืนฉันเห็นนายที่โรงแรม นายยืนตากฝนอยู่ตั้งนาน ทำไมถึงทำอย่างนั้นล่ะ”
     เด็กหนุ่มไม่ตอบ
     “แล้วคิดยังไงจู่ ๆ มาเดินตัดหน้ารถคนอื่น อยากฆ่าตัวตายรึไง”
     เด็กหนุ่มยังคงเงียบ
     ไดจิถอนหายใจ
     “นายหนีออกจากบ้านใช่ไหมเนี่ย”
     “ผมบรรลุนิติภาวะแล้ว”
     โซระพูดขึ้นมาในที่สุด ในน้ำเสียงมีความดื้อดึงเล็ก ๆ ที่ไดจิรู้สึกได้
     “หนีออกจากบ้านจริง ๆ สินะ”
     “ผมไม่ได้หนี แค่ออกมาค้างข้างนอกสักพัก”
     “แล้วนอนตามสวนสาธารณะด้วยรึเปล่า”
     โซระนิ่งเหมือนคำพูดของอีกฝ่ายจี้ใจดำเข้าพอดี ไดจิจึงถือโอกาสนี้ “อบรม” เด็กหนุ่มตรงหน้าทันที
     “นายยังเป็นเด็ก ไม่ควรทำอะไรหุนหันพลันแล่นแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่านายมีปัญหาอะไรกับที่บ้าน แต่ทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง พ่อแม่นายคงกำลังเป็นห่วงอยู่แน่ ๆ ถ้ารู้ว่าลูกชายออกมาเร่ร่อนอยู่ข้างนอกแบบนี้ แล้วเที่ยวไปนอนตามที่แบบนั้น นายคิดว่ามันปลอดภัยรึไง”
     โซระไม่ตอบโต้อะไร เขานั่งฟังนิ่ง สายตาเท่านั้นที่แสดงความรั้นออกมา
     ดื้อเงียบ ไดจิสรุป
     แล้วเมื่อไดจิพูดจบ เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน
     “ขอบคุณสำหรับซุปนะครับ”
     “เดี๋ยวก่อน นายจะไปไหน มีที่ไปแล้วเหรอ” ไดจิลุกขึ้นมาขวางไว้ โซระก้มหน้า ไม่ตอบอะไร เขาก้าวหลบไปทางด้านข้าง แต่ไดจิคว้ามือเด็กหนุ่มไว้ได้ แล้วพูดสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ยังคาดไม่ถึงว่า
     “ถ้ายังไม่มีที่ไป คืนนี้ค้างที่นี่แหละ”

     ไดจิเอาฟูกออกมาปูที่หน้าเตียง เขาบอกโซระที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วว่า
     “นายใช้เตียงฉันก็แล้วกัน”
     “ผมนอนบนฟูกเองก็ได้ครับ” โซระค้าน
     “ไม่เป็นไร นายเป็นแขก นอนบนเตียงไปแหละ”
     ไดจิยืนยัน แล้วเขาก็ล้มตัวลงนอนบนฟูกที่ปูอยู่บนพื้น หันหลังให้ หูได้ยินเสียงพึมพำของเด็กหนุ่มจากด้านหลัง 
     “ขอบคุณครับไดจิซัง” 
     ไดจินอนไม่หลับ แล้วดูท่าโซระก็คงนอนไม่หลับเหมือนกันเพราะเขาได้ยินเสียงพลิกตัวไปมาอยู่แทบจะทุกนาที ชายหนุ่มยังคงนอนหันหลังให้ แต่สักพักหนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงโซระลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินมานอนลงข้าง ๆ เขาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
     “โซระ” ไดจิหันมาเรียก เด็กหนุ่มนอนหันหลังให้เขา
     “โซระ นายไปนอนที่เตียงสิ”
     ไดจิเขย่าตัว แต่เด็กหนุ่มนอนนิ่ง หายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว หลับไปได้อย่างง่าย ๆ แค่มีคนนอนเป็นเพื่อนเนี่ยนะ ไดจิถามตัวเอง
     เขาเอื้อมมือไปลูบผมโซระ
     เด็กแท้ ๆ เลย
     ผมของโซระนุ่ม ตอนนี้เขานึกออกแล้วว่าเด็กคนนี้เหมือนใคร อ้อ ต้องบอกว่าเหมือนอะไรมากกว่า
     โซระเหมือนกระต่ายขนฟูตัวสีขาวที่เขาเคยเลี้ยงสมัยเด็ก ๆ ไม่มีผิด เขาตั้งชื่อให้ว่า ชิโระ เพราะขนของมันสีขาว เจ้าชิโระมันเป็นกระต่ายหัวดื้อ ถ้ามันอารมณ์ไม่ดีมันจะไม่ให้เขาอุ้ม แต่ถ้ามันอารมณ์ดีมันจะเข้ามาหาเขาเอง ยอมให้อุ้ม ให้กอด และขนของมันก็นุ่ม ไม่ผิดอะไรกับผมของโซระที่เขากำลังลูบเล่นอยู่ตอนนี้เลย
     คงเพราะแบบนี้สินะที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและยอมให้เด็กหนุ่มคนนี้มาค้างที่ห้องด้วย
     รู้สึกเหมือนได้เลี้ยงกระต่ายอีกครั้งหนึ่งเลย
     แล้วไดจิก็ผล็อยหลับไป
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 25-08-2014 10:42:52
ตาของนายแบบเย็นชากับกระต่ายน้อย
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 25-08-2014 12:14:47
สร้างรักคู่ที่ห้า: Daichi x Sora (ต่อ)


     ดวงตาใสแจ๋วเหมือนลูกแก้วเป็นสิ่งแรกที่เขาลืมตาขึ้นมาเจอในเช้าวันนั้น ไดจิตกใจนิดหน่อย เขากระถดตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย โซระคงตื่นนานแล้วเพราะในดวงตาไม่มีร่องรอยงัวเงียเลย เด็กหนุ่มนั่งมองเขาอยู่เงียบ ๆ นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
     “เอ้อ...อรุณสวัสดิ์”
     “สวัสดีครับไดจิซัง” เด็กหนุ่มทักเสียงใส ไดจิไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี เขาเสมองนาฬิกา พอเห็นว่าสายแล้ว เขาก็เลยถามเด็กหนุ่มว่า
     “นายกินอะไรแล้วยัง”
     โซระส่ายหน้า
     “ยังครับ ผมอยากกินซุปที่ไดจิซังทำให้เมื่อคืนอีก แต่ลองทำดูเองแล้วมันไม่เห็นจะเหมือนเลย”
     “ลองทำเองเหรอ” ไดจิทวนคำ สังหรณ์ทำให้เขารีบลุกขึ้นแล้วเดินไปดูในครัวทันที
     คำว่า เละ เป็นคำเดียวที่เขาพอจะใช้อธิบายสภาพห้องครัวของเขาได้ในตอนนี้
     “ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มที่เดินตามมาข้างหลังพูดเสียงอ่อย
     “ช่างเหอะ นายไปนั่งรอที่โต๊ะไป เดี๋ยวฉันเก็บครัวเสร็จจะทำซุปให้” ไดจิบอก
     “ให้ผมช่วยนะ” โซระเสนอตัว เขาตรงไปหยิบผ้าจะมาช่วยเช็ดเคาน์เตอร์ครัวที่เปื้อน แต่มือก็ไปชนแก้วน้ำและจานที่อยู่แถวนั้นหล่นลงมาแตกดังเพล้ง โซระเงยหน้าขึ้นมาสบตาดุ ๆ ของไดจิ
     “ไป-รอ-ที่-โต๊ะ”
     โซระเดินคอตกไปที่โต๊ะตามที่นิ้วของไดจิชี้

     ซุปของเขามันอร่อยขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย ชายหนุ่มอดถามตัวเองไม่ได้ขณะที่มองโซระกินเอา ๆ อย่างเอร็ดอร่อย ตรงหน้าของไดจิมีแค่กาแฟถ้วยเดียว ปกติเช้า ๆ เขาก็ไม่ได้กินอะไรมาก งานนายแบบต้องควบคุมน้ำหนัก ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนกินน้อยไปโดยอัตโนมัติ และจะกินอะไรแต่ละทีก็ต้องแน่ใจว่ามีประโยชน์และไม่มีผลต่อน้ำหนัก แต่อาจจะยกเว้นกาแฟไว้อย่างหนึ่ง ชายหนุ่มติดกาแฟดำรสเข้ม ๆ มันช่วยให้ตื่นตัวและไม่ง่วงงุนเวลาที่อาจจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ
     “ตอนบ่ายฉันมีงาน อาจจะกลับค่ำ ๆ หน่อยนะ” ไดจิบอกเมื่อเห็นโซระกินซุปจนหมดชามแล้ว
     “แล้ววันนี้นายจะทำอะไร”
     โซระส่ายหน้าเบา ๆ
     “ผมยังไม่รู้เลย”
     “เอาเถอะ ค่อย ๆ คิดไปก็แล้วกัน นายจะอยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้ แต่นายต้องสัญญากับฉันว่านายจะติดต่อกลับไปที่บ้าน ไปบอกพ่อแม่นายว่านายปลอดภัยดี”
     “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำ
     ชายหนุ่มวางคีย์การ์ดกับกุญแจดอกหนึ่งลงตรงหน้าโซระ
     “คีย์การ์ดกับกุญแจสำรอง ส่วนนี่เบอร์โทรศัพท์มือถือของฉัน มีอะไรก็โทรมา อ้อ เกือบลืม” เขาเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบธนบัตรสองใบออกมายื่นส่งให้
     “เผื่อนายจะซื้ออะไร ข้าวเย็นก็ไม่ต้องรอฉันนะ กินไปก่อนเลย ฉันไม่รู้ว่างานจะเสร็จเมื่อไหร่”
     โซระไม่ยอมรับเงิน
     “ผมพอมีเงิน” เด็กหนุ่มบอก “เงินจากงานพิเศษ”
     ไดจิขมวดคิ้ว
     “ฉันให้ก็รับไปเถอะน่า เงินที่นายมีก็เก็บเอาไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน”
     ชายหนุ่มยัดเงินใส่มือของโซระทำให้เด็กหนุ่มจำต้องรับเอาไว้ทั้งที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เขาเดินมาส่งไดจิที่หน้าประตู
     “ไปดีมาดีนะครับ”
     ไดจิเห็นสีหน้าของโซระไม่ค่อยดีนัก เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ เอื้อมมือไปจับศีรษะเด็กหนุ่มพร้อมกับบอกว่า
     “ไม่ต้องคิดมากแล้วรู้ไหม”
     โซระพยักหน้า ไดจิจึงยิ้มให้นิดหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องแล้วปิดประตูตามหลัง

     “เหนื่อยหน่อยนะคะ”
     เจ้าหน้าที่ในกองถ่ายส่งแก้วน้ำให้ไดจิหลังจากการถ่ายแบบชุดสุดท้ายเสร็จ ไดจิกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ในห้องแต่งตัว เขารับแก้วน้ำแล้วยิ้มให้นิด ๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้เจ้าหน้าที่สาวน้อยตาโตและเก็บเอาไปคุยกับเพื่อนอย่างตื่นเต้นว่า
     “ไดจิซังยิ้มด้วยล่ะเธอ ปกติไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่เลย”
     “นั่นสิ วันนี้ไดจิซังดูอ่อนโยนขึ้นด้วยนะ ไม่เห็นเคยเป็นมาก่อน”
     ฮิคารุอยู่ในกองถ่ายด้วย เขายิ้มนิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงสนทนานั้นเข้าพอดี อุทานเบา ๆ กับตัวเองว่า 
     “อู้หู”
     สายตาของชายหนุ่มมีร่องรอยของความสนุกสนาน เขารอจนเห็นไดจิเดินออกมาจากห้องแต่งตัวแล้วจึงเดินเข้าไปหา
     “ไดจิคุง เหนื่อยหน่อยนะ”
     ไดจิไม่ตอบอะไร เขาแค่ก้มศีรษะให้เล็กน้อย แล้วก็รู้สึกรำคาญใจที่ฮิคารุยังคงตื๊อเขาไม่ยอมหยุด
     “วันนี้ไปดื่มกันไหม ฉันรู้จักร้านดี ๆ ล่ะ ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ไปด้วยกันนะ”
     “ฉันไม่ว่าง ขอโทษที”
     “เอ หลังจากนี้นายก็ไม่มีงานแล้วนี่นา แล้วนี่ก็เพิ่งหัวค่ำเองนะ ไปด้วยกันเถอะ”
     “ฉันบอกว่าไม่ว่างไงล่ะ” ไดจิเริ่มโมโห ชายหนุ่มใช้มือดันตัวฮิคารุที่ขวางทางเขาอยู่ให้ถอยออกไป แต่ดูเหมือนว่าฮิคารุจะไม่ละความพยายาม ยังคงเดินตามหลังเขามา ชายหนุ่มไม่สนใจ เขาเร่งฝีเท้าจนเกือบชนกับฝ่ายเสื้อผ้าที่ขนกล่องหลายใบเดินสวนมา แต่สตาฟคนนั้นก็ตกใจจนทำกล่องที่ขนมาหล่นจากมือลงบนพื้น ของข้างในกระจายออกมา
     “ขอโทษ” ไดจิพูดพร้อมกับคุกเข่าลงช่วยเก็บของที่ตก ส่วนใหญ่เป็นของที่ใช้ประกอบฉากและจัดเซ็ตสำหรับถ่ายแบบ ไดจิหยิบตุ๊กตากระต่ายถือแครอทตัวหนึ่งขึ้นมาจากพื้น ตุ๊กตาตัวอ้วนกลมทำให้นึกถึงหน้าคนที่รอเขาอยู่ที่บ้าน
     “เอ้อ...ผมขอนี่ได้ไหม”
     สตาฟคนนั้นพยักหน้าอย่างงง ๆ
     ไดจิลุกขึ้นยืน แล้วก็ชะงักเมื่อหันมาเจอกับรอยยิ้มหวานบาดตาของฮิคารุ
     “นายชอบกระต่ายเหรอ”
     “ไม่เกี่ยวกับนาย” ไดจิหน้าบึ้งแล้วรีบเดินหนีไปทันที แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮิคารุดังตามหลังมา

     ไดจิเปิดประตูเข้ามาในบ้าน เขารู้สึกแปลกใจที่ห้องของเขาดูเงียบอย่างผิดปกติ คือปกติมันก็เงียบอยู่แล้ว แต่นั่นคือก่อนที่เขาจะมีคนมาอยู่ด้วย
     หรือโซระออกไปข้างนอก
     “กลับมาแล้ว” เขาส่งเสียงบอก แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ไดจิกดสวิตช์เปิดไฟ เขาไม่เห็นโซระอยู่ในห้องนั่งเล่นจึงเดินต่อไปที่ห้องครัวซึ่งก็ปิดไฟมืดเช่นกัน
     “โซระ?” ไดจิเรียก เมื่อเขาเปิดไฟก็เห็นเด็กหนุ่มนั่งหลับฟุบอยู่ที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะข้างตัวมีถ้วยซุปสองถ้วยตั้งอยู่โดยมีพลาสติกห่อไว้ ข้างถ้วยซุปคือจานใส่ขนมปังธัญพืชที่มีพลาสติกห่อไว้เช่นกัน
     ซุปแบบเดียวกับที่เขาทำเมื่อเช้า
     ชายหนุ่มมองโซระที่ยังคงหลับไม่รู้ตัวด้วยสายตาเอ็นดู
     ดื้อจริง ๆ ด้วยสิ
     “โซระ” ไดจิเขย่าปลุก โซระงัวเงียลืมตาขึ้นมา
     “อ๊ะ ไดจิซัง กลับมาแล้วเหรอครับ”
     “กลับมาแล้ว” ไดจิยิ้มให้ เขานั่งลงตรงข้ามก่อนจะบ่นขึ้นลอย ๆ ว่า “หิวจัง”
     “หิวเหรอครับ ผมทำซุปไว้ให้คุณด้วยนะ ทานเลยไหมครับ”
     โซระถามด้วยความกระตือรือร้น เมื่อไดจิพยักหน้า เด็กหนุ่มก็กุลีกุจอแกะพลาสติกที่ห่อชามซุปอยู่ออกแล้วเอาซุปไปอุ่นในไมโครเวฟ
     “นายก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเหรอ”
     ไดจิถาม
     “ครับ ผมรอกินพร้อมกับคุณ”
     “บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรอ”
     “ก็ผมทำซุปแบบเดียวกับที่ไดจิซังทำได้แล้ว ผมอยากให้คุณชิม”
     ไดจิมองซุปในชามตรงหน้า ดูท่าทางน่ากินและกลิ่นก็หอมดี ชายหนุ่มตักขึ้นมาชิม
     “เป็นยังไงบ้างครับ”
     ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ ให้โซระที่จ้องเขาเขม็งด้วยท่าทางตื่นเต้น
     “ใช้ได้”
     “โล่งอกไปที” โซระร้อง แล้วเขาก็ยิ้มกว้างให้ไดจิ ก่อนจะถามว่า
     “แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างครับ เหนื่อยรึเปล่า”
     “นิดหน่อย” ไดจิตอบ เขาทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก แล้วก็ลุกออกจากครัวไปก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับตุ๊กตาตัวเล็กในมือ เขาวางตุ๊กตากระต่ายลงตรงหน้าโซระแล้วบอกว่า
     “ของฝาก”
     “ของผมเหรอ” โซระถามด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะเอานิ้วจิ้มตุ๊กตานุ่ม ๆ เล่น “น่ารักจังเลย ขอบคุณมากนะครับ”
     “แล้วนายล่ะ วันนี้เป็นไงมั่ง โทรไปหาที่บ้านรึยัง”
     โซระนิ่งไปนิด ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
     “โทรไปแล้วครับเมื่อตอนบ่าย แต่ไม่มีใครรับสาย ผมเลยฝากข้อความไว้”
     ไดจิพยักหน้ารับรู้ เขาพูดต่อว่า
     “ถ้าคุยกันได้เร็ว ๆ ก็ดีสินะ”
     โซระไม่ตอบ เด็กหนุ่มก้มหน้ากินซุปของเขาต่อไปเงียบ ๆ

     ไดจิดูเหมือนจะไม่แปลกใจแล้วที่โซระขนหมอนลงมานอนข้าง ๆ เขาอีกในคืนนี้ เขาเปิดผ้าห่มให้เด็กหนุ่มสอดตัวเข้ามา โซระนอนหันหลังให้เขาและนิ่งจนไดจิคิดว่าเด็กหนุ่มนอนหลับไปแล้ว แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงโซระพูดขึ้นว่า
     “ผมจะกลับไปทำงานพิเศษนะครับ”
     “งานอะไร”
     “พนักงานบริษัทครับ” เด็กหนุ่มตอบ “ที่เดียวกับที่ผมเคยทำ ผมไม่อยากรบกวนไดจิซังนาน ๆ พอมีเงินสักก้อน ผมก็จะไป”
     “ตกลงนายจะไม่กลับบ้านเหรอ”
     “ไม่ครับ ผมอายุสิบแปดแล้ว เรียนจบแล้ว ผมอยากทำงานและอยู่ได้ด้วยตัวเอง ผมจะพูดให้พ่อกับแม่เข้าใจอย่างแน่นอนครับ”
     “งั้นเหรอ” ไดจิทวนคำพูดของเด็กหนุ่ม “เก็บเงินได้แล้วก็จะไปสินะ”
     ชายหนุ่มเงียบไป เช่นเดียวกับโซระ แต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่มีใครหลับตาได้ลงเลยในคืนนี้



     ...........
     ต่อค่ะ วันนี้ว่าง  :ling2:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 25-08-2014 12:41:28
แล้วไงต่อ ต่อมเผือกพลุ่งพล่าน
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 25-08-2014 17:58:53
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 25-08-2014 20:02:52
ละมุนละไมมาก
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 25-08-2014 20:21:13
สร้างรักคู่ที่ห้า: Daichi x Sora (ต่อ)


     ขนมกระต่าย
     ไดจิมองซองขนมที่ถูกวางลงตรงหน้าอย่างงง ๆ แล้วเงยหน้ามองคนให้
     ฮิคารุยืนยิ้มหวานให้เขา
     “ดูเหมือนว่าจะเลี้ยงกระต่ายอยู่สินะนายน่ะ”
     “พูดอะไรของนาย”
     ไดจิไม่สนใจ เขาหันข้างให้ เปิดนิตยสารออกอ่านต่อ ช่วงนี้เขาต้องมาซ้อมเดินแบบเพื่อแฟชั่นโชว์ชุดต่อไปของแบรนด์ Aki และแน่นอนว่าฮิคารุก็เป็นนายแบบคนหนึ่งด้วย เขาเลยเจอหมอนี่บ่อยหน่อย และทุกครั้งเจ้าหมอนี่ก็จะคอยมาป้วนเปี้ยนรบกวนเขาแบบนี้
     “อย่าปิดเลยน่ะ เลิกงานปุ๊บนายก็รีบร้อนกลับบ้านแบบนี้ นายต้องเลี้ยงอะไรสักอย่างไว้แน่ ๆ เลย ฉันเดาว่าเป็นกระต่าย ดูเหมือนนายจะชอบกระต่ายนี่ใช่ไหมล่ะ”
     “พูดมาก”
     ไดจิพูดเสียงห้วน แต่เขาก็ทำแบบที่ฮิคารุพูดจริง ๆ นั่นแหละ ทันทีที่งานเสร็จเขาก็รีบกลับบ้าน เพราะที่บ้านของเขามีคนรออยู่
ไม่ใช่กระต่าย แต่ก็เหมือนกระต่าย
     โซระ
     ดูเหมือนเขาจะชินเสียแล้วกับการที่เปิดประตูห้องแล้วจะไม่ได้เจอแต่ความเงียบและความมืดอีกต่อไป แต่เป็นรอยยิ้มของโซระพร้อมกับเสียงใส ๆ ที่ทักเขาว่า
     “กลับมาแล้วเหรอครับ เหนื่อยไหมครับ ไดจิซัง”
     ไดจิก็จะยิ้มตอบทุกครั้ง แล้วรับน้ำชาที่โซระชงให้มาดื่ม
     “นี่อะไรเหรอครับไดจิซัง”
     โซระหยิบถุงขนมขึ้นมาดู เป็นขนมกระต่ายที่ฮิคารุยัดเยียดให้เขามา
     “เพื่อนนายแบบให้มา มันนึกว่าฉันเลี้ยงกระต่าย” ไดจิตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ แต่โซระยังคงพลิกถุงในมือดูอย่างสนใจ ปากก็ชวนคุย
     “ทำไมล่ะครับ”
     “ไม่รู้สิ แต่เจ้านั่นมันก็ชอบคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไร้สาระ ไม่ต้องไปสนใจหรอก” ไดจิตัดบทเพราะไม่อยากจะอธิบายสาเหตุให้เด็กหนุ่มรู้
     “สนใจเหรอ” ไดจิถามเมื่อเห็นโซระยังมองถุงขนมกระต่ายอยู่
     “ว่าไงนะครับ”
     “กระต่ายน่ะ” ไดจิชี้ไปที่ถุงขนม โซระพยักหน้ารับ
     “ผมชอบกระต่ายตัวอ้วน ๆ ขนฟู ๆ สีขาว น่ารักดี”
     “งั้นไว้จะซื้อมาให้” ไดจิสัญญา

     โซระนอนหลับไปแล้ว นอนขดตัวหันหลังให้เขาอย่างทุกที ไดจิเลื่อนผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้โซระอย่างเบามือ
     เขาคิดยังไงกับโซระกันนะ
     ไดจิถามตัวเอง
     ถ้าเด็กหนุ่มไปจากเขา ถ้าวันหนึ่งเขาเปิดประตูห้องมาแล้วไม่เจอโซระ
     วันนั้นเขาจะรู้สึกยังไงนะ

     “ขอบคุณมากนะทุกคน”
     อากิ มิสุชิมะกล่าวพร้อมกับโค้งให้ทุกคนเมื่อการซ้อมใหญ่สำหรับแฟชั่นโชว์สิ้นสุดลง
     “งานในวันมะรืนก็ขอฝากทุกคนด้วยนะคะ”
     “ขอบคุณมากครับ/ค่ะ”
     สตาฟทุกคนรวมทั้งนายแบบและนางแบบพูดพร้อมกัน แล้วก็แยกย้ายกันไป อากิเดินมาหาไดจิพร้อมกับส่งซองสีฟ้าสดใสให้เขา
     “บัตรเชิญงานวันมะรืนของไดจิคุง ซองเดียวเหมือนเดิมใช่ไหม”
     ไดจิรับมาถือไว้ เขายังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรต่อ ฮิคารุที่ไม่รู้มาจากไหนก็ยื่นหน้าข้ามไหล่เขามาบอกอากิว่า
     “ปีนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วน้าอากิซัง ของไดจิคุงต้องสองซองครับ”
     “อ้าว ไดจิคุงมีคนที่จะเชิญมาแล้วเหรอ” อากิหันมาถาม
     ไดจิพูดไม่ทันฮิคารุตามเคย แค่เขาอ้าปาก ฮิคารุก็ชิงพูดออกมาก่อนว่า
     “ไดจิคุงเลี้ยงกระต่ายเอาไว้ครับ คุณต้องให้บัตรเชิญกระต่ายของไดจิคุงเขาด้วยนะ”
     ไดจิกลอกตา อากิหัวเราะเบา ๆ แล้วก็ส่งซองอีกซองหนึ่งในมือให้ไดจิ
     “งั้นนี่สำหรับกระต่ายของไดจิคุงนะ วันงานก็พามาดูด้วยล่ะ”
     เมื่ออากิไปแล้ว ไดจิก็หันมาถามฮิคารุเสียงห้วนว่า
     “เล่นอะไรของนาย”
     ฮิคารุยักคิ้วให้ด้วยท่าทางกวน ๆ แล้วก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ฟังกวนประสาทอย่างที่สุด
     ไดจิก้มลงมองซองบัตรเชิญในมืออย่างตัดสินใจไม่ถูก

     “เอ๋ งานเดินแบบวันมะรืนนี้ของไดจิซังเหรอครับ”
     โซระอ่านบัตรเชิญที่จู่ ๆ ไดจิก็ยื่นให้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
     “ฉันเชิญแขกไปได้หนึ่งคน นายว่างไหมล่ะ”
     “งานเดินแบบเหรอครับ” โซระทำหน้ายุ่ง
     “ถ้าไม่ว่างไม่ต้องไปก็ได้” ไดจิรีบบอกเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเด็กหนุ่ม แต่ในใจของเขากลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าโซระทำท่าเหมือนไม่อยากไปร่วมงานของเขา
     “วันนั้นผมมีงาน” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มบอก
     “งั้นก็ไปทำงานเถอะ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า” เขาพูดเมื่อเห็นสีหน้าของโซระยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้กระทั่งตอนที่เข้านอนก็ดูเหมือนว่าโซระยังมีอะไรที่ติดอยู่ในใจ
     “โซระ นายยังคิดเรื่องงานวันมะรืนอยู่อีกเหรอ ฉันบอกแล้วไงว่าไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
     “แต่ไดจิซังอุตส่าห์ชวน” โซระพลิกตัวกลับมาหาเขา ทำหน้ายุ่ง
     ไดจิเห็นแล้วอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ เขาใช้นิ้วชี้ลูบที่รอยย่นระหว่างคิ้วของโซระ
     “ฉันพูดอะไรนายก็ไม่เคยเชื่อเหมือนเดิมเลยนะ บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร เลิกทำหน้าอย่างนี้ได้แล้ว”
     โซระคลายคิ้วที่ขมวดยุ่งลงได้ในที่สุด เขานิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังคิดใคร่ครวญ ก่อนจะถามว่า
     “ไดจิซัง ถ้าวันหนึ่งผมทำอะไรที่คุณอาจจะไม่ชอบลงไป คุณจะโกรธผมไหม”
     “ก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรื่องอะไร”
     ไดจิตอบ เขาพยายามสบตากับโซระ แต่เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำตลอดเวลา
     “ถ้าผมโกหกหรือหลอกลวงคุณ”
     “ก็คงจะโกรธมาก” ไดจิตอบ เขาเห็นใบหน้าของโซระสลดลง ชายหนุ่มถอนใจ เขาใช้สองมือจับหน้าของเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมามองสบตากับเขา
     “ถึงนายจะทำเรื่องอะไรร้ายแรงแค่ไหนก็ขอให้บอกฉันมาตรง ๆ เถอะ ฉันอาจจะโกรธ แต่ไม่โกรธเท่ากับที่นายโกหกหรอกนะ จำไว้”
     โซระไม่พูดอะไร แต่เป็นครั้งแรกที่โซระไม่นอนหันหลังให้เขา เด็กหนุ่มเขยิบเข้ามาชิด สองมือจับสาบเสื้อของเขาไว้แน่น แล้วก็หลับตาลง
     “โซระ”
     ไดจิเรียก แต่เด็กหนุ่มไม่ลืมตา ไม่ขยับตัว
     “เฮ้ นอนดี ๆ สิ”
     สองมือที่จับเสื้อเขาเอาไว้ยิ่งกำแน่นขึ้น ไดจิถอนหายใจพลางพึมพำอย่างอ่อนใจ
     “เจ้าเด็กดื้อเอ๊ย”
     ชายหนุ่มขยี้หัวอีกฝ่ายแรง ๆ และเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขากอดโซระเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะนอนหลับไป

     โซระจ้องโทรศัพท์ในมือนิ่ง เขาพิมพ์ข้อความแล้วลบแล้วพิมพ์ใหม่นับไม่ถ้วน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที
     “นายจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ”
     โซระสะดุ้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่พูดด้วย แล้วก้มศีรษะให้
     “นางิซัง”
     นางินั่งลงข้างตัวโซระ เขาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เด็กหนุ่มข้างตัวเขายังคงนั่งอยู่บนเตียงและสวมเสื้อคลุมของโรงแรมอยู่ มือก็ยุ่งกับโทรศัพท์ไม่ได้หยุดเลยตั้งแต่ถ่ายเสร็จ
     “แต่ผมรับปากฮิคารุซังไว้แล้ว” โซระพูดด้วยความลำบากใจ
     “เจ้านั่นมันก็แค่อยากเล่นสนุกป่วนคนเล่นแค่นั้นแหละ ถ้านายไม่อยากทำแล้ว อยากจะเลิก เจ้านั่นก็ไม่ว่าอะไรหรอก แผนการที่ล้อเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกคนแบบนี้น่ะ ฮิคารุมันก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วอาจจะออกมาในรูปนี้” นางิพูด เขานึกถึงตอนที่ฮิคารุมาหาเมื่อวันก่อนพร้อมกับหอบเอาแผนการแกล้งคนมาปรึกษา และตัวเขานี่แหละที่เป็นคนแนะนำโซระให้ฮิคารุ
     “นายชอบเขาแล้วใช่ไหมล่ะ นายแบบคนนั้นน่ะ” นางิถาม
     โซระพยักหน้า
     “แต่ผมกำลังหลอกเขาอยู่ ความลับมันไม่มีในโลกใช่ไหมครับนางิซัง ถึงผมจะเลิกเป็นนักแสดงจีวี แต่สักวันไดจิซังก็ต้องรู้จนได้ ถึงตอนนั้นเขาคงจะโกรธผม”
     “นั่นนายก็ต้องตัดสินใจเอง จะตัดใจ แล้วยอมทำตามแผนของฮิคารุต่อไป หรือจะสารภาพแล้วขอเริ่มต้นใหม่กับหมอนั่น”
     “แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหน ผมก็จะต้องเสียไดจิซังไปทั้งนั้น” โซระพูด น้ำเสียงเหมือนคนปลงตก
     “ผมจะทำตามที่รับปากฮิคารุซังไว้ครับ”
     โซระตัดสินใจ เขาพิมพ์ข้อความใส่โทรศัพท์และกดส่งถึงไดจิ
     ลาก่อนครับ ไดจิซัง
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 25-08-2014 20:50:53
 :a5:ฮะ  แผนของสองแสบ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 25-08-2014 21:21:41
ม่ายยยยยย
ทำไมแกล้งแรงอย่างนี้!!!!!
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 25-08-2014 21:45:05
โอยย สงสารไดจิ อุตส่าห์เปิดใจแล้วนะเนี่ยย
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 25814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 26-08-2014 07:37:32
สร้างรักคู่ที่ห้า: Daichi x Sora (ต่อ)

     งานแฟชั่นโชว์สำเร็จลงด้วยดี คำชมทะลักทลายเข้ามาจนอากิ มิสุชิมะยิ้มแก้มปริ บรรดาสตาฟและนายแบบนางแบบเองก็มีความสุขที่งานออกมาดีเพราะนั่นหมายถึงงานต่อไปก็มีหวังว่าจะได้เข้าร่วมด้วยอีก และหลังจากงานหนักเสร็จสิ้นลงก็เป็นเวลาสำหรับงานเลี้ยงฉลอง
     ไดจิมองนาฬิกาด้วยท่าทางกระสับกระส่าย เขาอยากจะออกจากงาน แต่ก็กลัวว่าจะเสียมารยาทจึงจำต้องอยู่ต่อ อย่างน้อยก็จนถึงเวลาชนแก้วฉลองให้มิสุชิมะเซนเซย์
     “ถ้ามีธุระก็ไปสิ เดี๋ยวฉันบอกอากิซังให้” ฮิคารุโฉบเข้ามาใกล้พร้อมกับดึงแก้วไวน์ไปจากมือของไดจิพร้อมกับแหย่เย้าทิ้งท้าย
     “คิดถึงกระต่ายที่บ้านขนาดนี้เลยเหรอ”
     ไดจิคร้านที่จะโต้ตอบหรือแก้ความเข้าใจผิดเต็มทีเพราะพูดไปคนตรงหน้าก็ไม่สนใจจะฟัง เขาพึมพำขอบใจอย่างเสียมิได้ แล้วก็ออกมาจากงานตามที่ฮิคารุบอก
     ชายหนุ่มนัดรับของอย่างหนึ่งที่สถานีรถไฟใกล้ที่จัดงาน เขากล่าวขอโทษที่ต้องนัดเวลาค่อนข้างดึก แต่คนส่งของที่เป็นสาวน้อยไม่มีทีท่าไม่พอใจแต่อย่างใด ดูจะตื่นเต้นด้วยซ้ำที่ได้เจอไดจิ ชายหนุ่มรับกระเป๋าทรงสีเหลี่ยมบุนวมมาถือไว้อย่างระมัดระวัง อีกมือหนึ่งรับถุงกระดาษใบใหญ่ที่สาวน้อยส่งมาให้พร้อมกันด้วย
     “ขอบคุณที่ช่วยรับไปดูแลนะคะ” สาวน้อยก้มศีรษะให้เป็นการลาและขอบคุณไปพร้อมกัน
     ไดจิก้มศีรษะตอบ เขามองกระเป๋าในมือที่สั่นน้อย ๆ ก่อนจะจุดยิ้มที่มุมปาก
     โซระจะดีใจไหมนะ
     ชายหนุ่มกลับมาถึงที่ห้อง แต่เมื่อเขาไขกุญแจเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบห้องปิดไฟมืด ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ดึกขนาดนี้แล้วโซระยังไม่กลับมาอีกหรือ ไดจิวางของที่ถือมาทั้งหมดลงบนโต๊ะ เขาโทรศัพท์เข้ามือถือของเด็กหนุ่ม แต่โซระปิดโทรศัพท์
     “ไปไหนของเขา” ไดจิพึมพำ
     กระเป๋าสี่เหลี่ยมสั่นอีกเหมือนสิ่งที่อยู่ข้างในอยากจะออกมาเต็มที ไดจิจึงเปิดกระเป๋าออกและอุ้มเอากระต่ายขนฟูสีขาวตัวอ้วนกลมออกมา เจ้ากระต่ายน้อยดิ้นอยู่ในมือของไดจิ เขาจึงวางมันลงที่พื้นห้อง ปล่อยให้มันวิ่งไปมา
     ชายหนุ่มนึกเป็นห่วงโซระ แต่เขาโทรหาโซระไม่ติดเลย แล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองรู้เรื่องของโซระน้อยมาก ไม่รู้ด้วยว่าถ้าโซระหายไปแล้วเขาจะไปตามที่ไหนหรือกับใคร
     ไดจิเริ่มกระวนกระวาย
     เสียงข้อความเข้า
     ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์มาดูทันที
     ข้อความจากโซระ
     แต่เมื่ออ่านจบ ไดจิก็รู้สึกเหมือนกับมีใครมาทำให้ท้องฟ้าที่สดใสที่เขามองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหม่นหมองและมืดมัวลง

     “ไดจิซังครับ
     การเดินแบบเป็นยังไงบ้าง ผมมั่นใจว่าไดจิซังต้องทำได้ยอดเยี่ยมแน่นอน ผมอยากไปดูคุณจริง ๆ แต่ผมคิดว่าถ้าผมไปมันคงไม่ดีกับไดจิซังแน่ ๆ และถ้ามีใครรู้ว่าคุณอยู่กับคนอย่างผม ภาพลักษณ์ของคุณก็จะดูไม่ดีไปด้วย ผมจึงคิดว่ามันควรจะถึงเวลาแล้วที่ผมต้องไปซะที ไดจิซัง ผมขอโทษนะครับที่ไปโดยไม่ได้บอกลาคุณ แต่ผมคิดว่านี่เป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว ขอบคุณมากนะครับสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ผมมีความสุขมากตลอดเวลาที่ได้อยู่กับคุณ
     ลาก่อนครับ
     โซระ”

     ไดจินิ่ง เขาปิดโทรศัพท์และวางมันลงบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า ชายหนุ่มดูเหมือนจะควบคุมตัวเองได้และรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้อย่างสงบ แต่ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะเมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วเห็นของส่วนตัวของโซระหายไปหมด เขาก็ร้องออกมาเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ
     ชายหนุ่มร้องโหยหวนพร้อมกับฉีกทึ้งหมอนและผ้าห่มและของที่เขาจะคว้าได้
     เหมือนกับวันที่เขาสูญเสียพ่อกับแม่ วันที่เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้านหลังใหญ่ก่อนที่เขาจะขายมันทิ้งไปเพราะทนความอ้างว้างและโดดเดี่ยวไม่ไหว
     ไดจิปิดตัวเองเพราะเขาไม่อยากเจ็บปวดอีก เพราะความเจ็บปวดมันมากเกินกว่าที่ตัวเองจะทนไหวแบบนี้นี่ไง
     เจ็บปวดเพราะสูญเสียคนที่รักไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
     เขารักโซระ
     ชายหนุ่มแน่ใจแล้ว

     ไดจิลากตัวเองไปทำงานจนได้ ทั้งที่หัวใจของเขาแหลกสลายไปหมดแล้ว
     สองสามวันที่ผ่านมา เขาเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง จมอยู่กับความเศร้าโศก เป็นสองวันที่ทรมานที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว เขาแทบไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ สภาพของเขาจึงโทรมสุดขีดชนิดที่คนเห็นพากันอ้าปากค้าง
     “ไดจิคุง เธอไม่สบายรึเปล่าเนี่ย” อากิอุทานเมื่อเห็นไดจิเต็มตา
     หลังแฟชั่นโชว์คือการถ่ายแบบลงนิตยสาร นายแบบและนางแบบจะถูกนัดให้มารับคิวและลองชุด ถ้าต้องแก้ไซส์หรือปรับชุดก็จะทำในวันนี้ แต่สภาพของนายแบบเบอร์ต้น ๆ ของวงการวันนี้กลับดูไม่พร้อมทำงานเลย
     ฮิคารุฉีกยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูเจ้าเล่ห์มากเมื่อเห็นสภาพเพื่อนร่วมวงการ
     มันเป็นเอามากจริง ๆ แฮะ
     “อะไรกัน ไดจิคุง ทำไมโทรมยังงี้อะ หรือทะเลาะกับกระต่ายที่บ้านเลยถูกทิ้งซะแล้ว”
     ถ้าเป็นเวลาปกติ ไดจิคงอดทนได้มากกว่านี้ แต่นี่เขาทั้งอดนอนและกำลังเสียใจ ประสาทของเขาตึงเครียดกว่าปกติอยู่แล้ว เมื่อโดนแหย่ชนิดแทงใจดำขนาดนี้ ไดจิก็สติหลุด เขาตรงเข้ามากระชากคอเสื้อฮิคารุทันทีและกำหมัดจะต่อยหน้าของอีกฝ่าย แต่ฮิคารุเร็วกว่า เหมือนเขารอคอยเวลาแบบนี้มานานแล้ว เพราะเมื่อคอเสื้อของเขาโดนกระชาก หมัดของฮิคารุก็ต่อยสวนทันที โดนมุมปากของไดจิเข้าถนัดถนี่จนปากแตก เลือดไหลซิบ และตัวชายหนุ่มก็ล้มลงก้นจ้ำเบ้า ท่ามกลางเสียงวี้ดว้ายเอะอะโวยวายของอากิและสตาฟรวมทั้งนายแบบและนางแบบคนอื่น ๆ
     “นี่แค่สั่งสอนเบา ๆ เท่านั้นนะสำหรับรุ่นน้องที่ยโสโอหังและอวดดีอย่างนาย”
     ฮิคารุพูดเสียงเรียบเย็นชนิดคนฟังขนลุก
     “จำใส่หัวเอาไว้ แล้วถ้านายยังคิดจะปีนเกลียวและมีเรื่องกับรุ่นพี่อย่างฉันอยู่อีกล่ะก็ ชีวิตนายจะไม่มีวันได้สุขสงบอีกแน่นอน ฉันสาบาน”
     ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปพูดกับไดจิใกล้ ๆ ตาสบตา แววตาของฮิคารุคมกริบและจริงจังจนน่าขนลุก
     ฮิคารุในตอนนี้ต่างจากคนขี้เล่นอารมณ์ดีที่พยายามผูกมิตรกับเขาเหมือนเป็นคนละคน แต่พอข่มขู่เขาเสร็จ ฮิคารุก็เปลี่ยนกลับมาเป็นคนเดิมอีก เขายืดตัวตรงและยิ้มหวานแจกจ่ายให้คนทุกคนในห้อง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เหมือนไม่ได้เพิ่งมีเรื่องชกต่อยว่า
     “ใครช่วยพาไดจิคุงไปทำแผลหน่อยได้ไหมครับ ผมต่อยเขาจนปากแตกซะแล้วสิ”
     คนในห้องค่อยคลายตะลึง อากิรีบสั่งสตาฟใกล้ตัวให้พยุงไดจิขึ้นและพาไปห้องพยาบาล เมื่อลับร่างไดจิ อากิก็หันมาหาฮิคารุ กระแอมเบา ๆ ก่อนเปรยว่า
     “ฉันมีความรู้สึกว่าเรื่องสั่งสอนที่เธอพูดถึงมันไม่ใช่แค่เรื่องต่อยยังไงก็ไม่รู้สิฮิคารุคุง”
     ฮิคารุเพียงหัวเราะเสียงสดใสเป็นคำตอบ

     ระหว่างที่ไดจิทำแผลอยู่ สตาฟที่พาชายหนุ่มมาที่ห้องพยาบาลก็อดปากไว้ไม่อยู่ ออกปากเตือนชายหนุ่มว่า
     “ฉันว่าคุณดีกับฮิคารุซังไว้ดีกว่านะคะ”
     พอเขาเหลือบมามองด้วยความสงสัย เจ้าหล่อนก็ยิ้มให้พร้อมกับพูดต่อว่า
     “ฮิคารุซังน่ะปกติใจดีนะคะ อารมณ์ดี ขี้เล่น ให้เกียรติสตาฟอย่างพวกเรามากด้วย แต่เวลาเอาเรื่องขึ้นมานี่ก็ระเบิดดี ๆ นี่เองค่ะ คนที่มีปัญหากับฮิคารุซังน่ะดับมาหลายรายแล้วนะคะ”
     “คุณกำลังบอกให้ผมก้มหัวให้เจ้านั่นเพื่อยืนอยู่ในวงการอย่างนั้นเหรอ” เขาถามเสียงขุ่น
     “ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ” สตาฟสาวสั่นศีรษะ “แค่ผูกมิตรเท่านั้นเอง คนเราน่ะมีมิตรดีกว่ามีศัตรูไม่ใช่เหรอคะ แล้วการที่คุณแข็งใส่คนอย่างฮิคารุซังน่ะมีแต่จะเสียเปรียบ ฉันเตือนด้วยความหวังดีนะคะ ขอให้เก็บเอาไปคิดด้วย”
     ไดจิไม่ค่อยอยากจะยอมรับ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าที่สตาฟพูดมามีส่วนถูก ถ้าเขาเป็นมิตรกับฮิคารุ แทนที่จะหมั่นไส้และตั้งแง่อย่างไม่มีเหตุผล ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย อย่างน้อยเรื่องมันก็คงไม่บานปลายถึงขนาดนี้
     เมื่อเขากลับมาที่ห้องประชุมอีกครั้ง คนอื่น ๆ ก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่อากิกับสตาฟอีกสองสามคนเท่านั้นที่ยังประชุมกันอยู่
     “อย่าโกรธฮิคารุคุงเลยนะ” อากิพูดเมื่อไดจิเดินกลับเข้ามาในห้อง
     “ผมเองครับที่เป็นฝ่ายเสียมารยาท ฮิคารุซังพูดถูกแล้ว เขาเป็นรุ่นพี่ของผม ผมไม่ควรที่จะไปตั้งแง่กับเขาอย่างนั้น” ชายหนุ่มยอมรับผิด
     อากิยิ้มนิด ๆ
     “เด็กคนนั้นก็เป็นแบบนี้แหละ เขาทนไม่ได้หรอกที่ตัวเองจะถูกเมินหรือไม่ได้รับความสนใจ เขาเป็นต้องเรียกร้องความสนใจเสมอล่ะ แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นวิธีที่ออกจะเอาเรื่องอยู่สักหน่อยซะด้วยสิ” สายตาของอากิมองไปที่ซองใสบนโต๊ะตรงหน้า ไดจิมองตาม
     “ขนาดสึโยชิซัง แฟนของเด็กคนนั้นน่ะนะ สมัยก่อนยังโดนเล่นงานซะย่ำแย่เลย”
     “อย่างนั้นหรือครับ”
     “ใช่แล้วล่ะ ฟังเขาเล่าแล้วอดสงสารไม่ได้ แต่เจ้าตัวเขาก็ไม่เดือดร้อนน่ะนะเพราะก็รักนั่นแหละ ไม่ว่าคนที่ตัวเองรักจะร้ายกาจแค่ไหนก็ยอมได้ทั้งนั้นแหละจริงไหม”
     อากิหัวเราะเบา ๆ มือหยิบเอกสารซึ่งเป็นโปสเตอร์แผ่นเล็กขนาดเอห้าสองสามแผ่นจากซองพลาสติกใสออกมาดู ก่อนจะบ่นว่า
     “ฮิคารุเอาบัตรเชิญอีเว้นท์ของค่ายหนังของสึโยชิซังมาให้ด้วยวันนี้ น่าเสียดายที่ฉันไม่ว่างซะแล้ว งานคืนนี้เลยอดไปดูหน้าสตาร์ของค่ายเขาเลย ฉันตั้งใจว่าจะใช้นักแสดงจีวีมาเป็นนายแบบให้เครื่องประดับที่ฉันออกแบบสักหน่อย เครื่องประดับธีมเซ็กซี่ร้อนแรง น่าจะเหมาะกันดี”
     “งั้นให้ฉันไปแทนนะคะอาจารย์ ได้ข่าวว่านักแสดงค่ายนี้หน้าตาดีทั้งนั้น แล้วอีเว้นท์นี้ก็จะเปิดตัวนักแสดงหน้าใหม่ด้วย ฉันอยากไปเจอตัวจริงมากค่ะ” สตาฟคนหนึ่งในห้องรีบยกมือเสนอตัวด้วยความกระตือรือร้น อากิหัวเราะเสียงดัง
     “อยากไปเจอหนุ่มว่างั้น เธอนี่ล่ะน้า”
     “แหม ก็แต่ละคนหน้าตาดีกันเหลือเกินนี่คะ พ่อหนุ่มหน้าใหม่นี่ก็ไม่เลวนะคะ ดูเหมือนจะชื่อ...”
     สตาฟหยุดนิดนึงเมื่ออ่านชื่อใต้รูป
     “โซระ”
     ไดจิที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ สะดุ้งเหมือนถูกเข็มแทง เขายอมเสียมารยาทดึงโปสเตอร์แผ่นนั้นจากมือของสตาฟมาดู
     โซระจริง ๆ ด้วย
     โซระของเขา
     ทุกอย่างกระจ่างแจ้ง
     เรื่องที่กลัวเขาโกรธ เรื่องที่ว่าทำไมต้องหายตัวไปจากเขา เรื่องที่ไม่ยอมมางาน เรื่องที่ไม่ค่อยยอมพูดถึงตัวเอง เรื่องที่มีปัญหากับพ่อแม่ขนาดหนีออกมาจากบ้าน
     เพราะเป็นนักแสดงจีวีนี่เองใช่ไหม
     “ไดจิคุง?”
     ไดจิเงยหน้าขึ้นมามองอากิแล้วถามว่า
     “ฮิคารุซังอยู่ที่ไหนครับ”


     ..........
     ไม่ต้องแปลกใจที่ฮิคารุนิสัยอย่างนี้นะคะ เธอโดนคนเขียนสปอยล์แบบสุดพลังค่ะ :laugh: เพราะเรารักฮิคารุที่สุด  :impress2:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 26-08-2014 08:16:10
ฮิคารุนิสัยไม่ดีเลย ทำไมเอาความรู้สึกคนมาเล่นแบบนี้ เหอๆ
ถ้าไดจิรู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนจะเป็นไงนะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 26-08-2014 11:08:32
ฮิคารุเป็นบุคคลที่ไมีน่าเข้าใกล้มากกว่านะ555
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: วัวพันปี ที่ 26-08-2014 12:31:30
 :mew5:ฮิคารุ ปล่อยให้พ่อกับผัวรัก ก็พอแล้ว
ณ เวลานี้เกลียดเธอมาก เชอะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 26-08-2014 15:52:36
ไม่ว่ายังไงฮิคารุก็ยังคงร้ายกาจ เจ้าแผนการ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 26-08-2014 16:07:42
สุดๆอ่ะอิคารุนางร้ายมาก
สงสารก็แต่คนที่นางเอามาเป็นหมากเล่น
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 Daichi x Sora (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 26-08-2014 17:10:45
สร้างรักคู่ที่ห้า: Daichi x Sora (จบ)


     ไดจิต้องตามมาถึงสถานที่จัดงานเพราะเขาคลาดกับฮิคารุไปเพียงนิดเดียว และเจ้ารุ่นพี่ตัวแสบนั่นก็ดันปิดโทรศัพท์มือถือเสียอีก แต่ความโชคร้ายของเขามันไม่หมดแค่นั้น ยามหน้าอาคารไม่ยอมให้เขาเข้าไปข้างในเพราะเขาไม่มีบัตรเชิญ
     ชายหนุ่มรีบร้อนตามฮิคารุจนเขาลืมคิดที่จะขอบัตรเชิญจากมิสุชิมะเซนเซย์เสียสนิท
     ถ้าอยู่ในสภาพปกติ เขาคงโทรกลับไปหามิสุชิมะเซนเซย์และขอให้ช่วยติดต่อเจ้าของงานให้ แต่ตอนนี้สติของเขาไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มร้อย เขาจึงนึกอะไรไม่ออกนอกจากดึงดันจะเข้าไปในงานให้ได้อย่างเดียวจนมีเรื่องทุ่มเถียงกับยามเสียงดังลั่น
     “มีเรื่องอะไรกัน”
     ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใส่สูทสีเข้มเดินตรงเข้ามาหา เขาขมวดคิ้วมองเจ้าหน้าที่และมองไดจิที่ใส่แจ็กเก็ตยีนยับย่นด้วยความสงสัย
     “คุณคนนี้ครับไม่มีบัตรเชิญแต่ต้องการจะเข้าไปในงานให้ได้ ทำยังไงก็ไม่ยอมครับ”
     ชายหนุ่มในชุดสูทหันมามองไดจิเต็มตา
     “ผมชื่ออัตสึชิ เป็นเจ้าหน้าที่ของงาน อีเว้นท์นี้จัดเป็นการภายใน เฉพาะแขกที่มีบัตรเชิญเท่านั้นครับ กรุณาเข้าใจด้วย และถ้าคุณไม่หยุดก่อปัญหา ทางเราจะต้องแจ้งตำรวจ”
     “แต่ผมต้องเข้าไปข้างใน ผมต้องการพบโซระ”
     ชายหนุ่มร่ำร้องด้วยอาการฮึดฮัด ก่อนจะนึกได้จึงเสริมว่า
     “ผมชื่อไดจิ เป็นรุ่นน้องของฮิคารุซัง”
     “รุ่นน้องของฮิคารุเหรอ?” อัตสึชิทวนคำ มองไดจิด้วยสายตาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่ชายหนุ่มก็ยกมือเป็นเชิงบอกให้รอ แล้วดึงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อสูทขึ้นมากด
     “พี่ครับ ฮิคารุอยู่กับพี่รึเปล่า ครับ ขอผมพูดด้วยหน่อย”
     ชายหนุ่มรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย เขาก็พูดว่า
     “ที่หน้างานมีคนมาอ้างตัวเป็นรุ่นน้องนาย ชื่อไดจิ”

     ไดจิได้เข้ามาในงานจนได้เพราะเมื่อฮิคารุรู้เรื่อง เขาก็เดินออกมารับพร้อมกับส่งเสียงทักทายอย่างร่าเริง
     “ไง ไดจิคุง มาถึงนี่เชียวนะ มีธุระอะไรล่ะ”
     “ฮิคารุซัง” ไดจิก้มศีรษะให้ ท่าทางของเขาอ่อนน้อมลงจนฮิคารุรู้สึกได้
     “ผมอยากพบโซระ กรุณาด้วยเถอะครับ” ไดจิขอร้อง
     ฮิคารุเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากนิด ๆ
     “อยากพบทำไม ตอนนี้โซระกำลังเตรียมตัวอยู่ ไม่ว่างมาพบนายหรอก” ฮิคารุตัดบทไม่เหลือเยื่อใย ตอนนี้เขากำลังสนุกสนานเหลือเกินที่ได้แกล้งเจ้ารุ่นน้องอวดดีคนนี้ ดูเหมือนคนโดนแกล้งก็รู้ตัวดีเช่นกัน แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องยอมกัดฟันง้อเจ้ารุ่นพี่ร้ายกาจคนนี้
     “ผมมีเรื่องส่วนตัวต้องพูดกับโซระครับ ขอร้องเถอะครับฮิคารุซัง ขอผมพบโซระเถอะ”
     “สำคัญไหมล่ะ ถ้าไม่สำคัญก็รอจนงานเลิกละกัน นี่อีกแป๊บนึงงานก็จะเริ่มละ โซระไม่มีเวลามาพบนายหรอก”
     ฮิคารุยืนกราน แต่ก็ยอมอนุญาตว่า
     “นายจะเข้าไปในงานด้วยก็ได้นะ แต่ถ้าจะรออยู่ข้างนอกก็ตามใจ”
     ไดจิยอมทำตามที่ฮิคารุพูดอย่างไม่มีทางเลือก เขาเดินตามหลังฮิคารุเข้าไปในห้องที่ใช้จัดงาน ดูเหมือนว่างานนี้จะเป็นแฟนมีตติ้งที่ทางค่ายจัดขึ้นเพื่อให้โมเดลได้พบปะแฟนคลับและทำกิจกรรมร่วมกัน รวมทั้งยังจะใช้งานนี้เป็นการแนะนำนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งในครั้งนี้คือโซระ
     ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่า เขารู้สึกอย่างไรที่โซระแสดงจีวี โซระที่เขารักกอดจูบและมีเซ็กซ์กับผู้ชายคนอื่น
     คำตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง เขาไม่แคร์ ต่อให้มันยิ่งกว่านี้ เขาก็ไม่แคร์ ถ้านั่นเป็นงานของโซระ เป็นสิ่งที่โซระเลือกแล้วว่าจะทำ เขาก็พร้อมจะยอมรับในสิ่งที่โซระเลือก
     แต่ตอนนี้เขาอยากเจอโซระ
     ไฟในห้องหรี่ลงจนสลัว เหลือแค่บนเวทีเท่านั้นที่มีไฟส่องสว่าง พิธีกรเชิญโมเดลที่เป็นเกสต์ในครั้งนี้ออกมา เขาได้ยินเสียงเรียกชื่อ นางิ โช สึบาสะ คาสุกิ ชุน และไค ต่อจากนั้นก็ได้ยินแฟนคลับในงานกรีดร้องและส่งเสียงเรียกชื่อแต่ละคนดังสนั่น แต่ชายหนุ่มไม่สนใจใครทั้งนั้น เขารอจนได้ยินเสียงเรียกชื่อโซระ และเห็นเด็กหนุ่มเดินออกมาจากเวทีด้านหนึ่ง สวมสูทสีน้ำเงินเข้ม ดูเป็นผู้ใหญ่และเคร่งขรึมผิดกับเด็กดื้อคนที่อยู่กับเขาในช่วงที่ผ่านมา แต่นั่นก็คือโซระแน่นอน ดวงตาของเด็กหนุ่มใสแจ๋วเหมือนลูกแก้ว แต่ติดจะเศร้านิด ๆ
     “โซระ!”
     ไดจิเผลอตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว แล้วก็จำเพาะต้องเป็นจังหวะที่ทุกคนในห้องจัดงานพร้อมใจกันเงียบพอดี เสียงของเขาจึงดังชัดเจน และสายตาของทุกคนในห้องก็เบนมาที่เขาเป็นจุดเดียว รวมทั้งโซระด้วย
     เด็กหนุ่มตะลึงจนตัวแข็ง
     ไดจิตัดสินใจฉับพลัน เขาตรงดิ่งไปที่เวทีทันที
     “ไดจิซัง” เด็กหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไดจิมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วรู้เรื่องเขามาจากไหน ในเมื่อผลงานที่เขาถ่ายไว้ยังไม่ได้วางขายสักหน่อย
     “ฉันมารับนายกลับบ้าน ไปเถอะโซระ เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ”
     ไดจิจับต้นแขนโซระแล้วดึงให้เดินตามมา แต่ชายหนุ่มในชุดสูทคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุดก้าวออกมาขวางไว้เสียก่อน
     “นายจะทำอะไรน่ะ แล้วนายเป็นใคร จะพานักแสดงของเราไปไหน”
     “ไคคุง” เสียงเรียกดังมาจากด้านข้าง ชายหนุ่มในชุดสูทชะงัก เขาหันไปหาคนเรียกซึ่งก็คือนางิ ฝ่ายนั้นสั่นศีรษะเป็นเชิงห้าม  ไคจึงยอมหลีกทางให้
     “ขอบคุณครับ” ไดจิก้มศีรษะให้นางิ เขาดึงแขนโซระอีกครั้ง แต่คราวนี้เด็กหนุ่มขืนตัวไว้หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว
     “ไดจิซังมาที่นี่ทำไมครับ คุณไม่ควรมาที่นี่นะ คนอื่นรู้เข้าจะเป็นยังไง”
     “ช่างมันสิ” ชายหนุ่มไม่สนใจ “ฉันอยากคุยกับนาย”
     “แต่ผมไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณแล้ว กลับไปเถอะครับ คุณกำลังรบกวนการทำงานของพวกเรานะ”
     “ฉันรบกวนเวลานายไม่นานหรอกโซระ ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมนายไม่บอกความจริงกับฉันว่านายเป็นใคร ทำอะไรอยู่ แล้วนายไปจากฉันทำไม”
     โซระอึ้งไปเมื่อได้ยินชายหนุ่มเน้นเสียงที่คำถามหลังสุด
     ภายในห้องจัดงานตอนนี้เงียบกริบ ดูเหมือนว่าทุกคนกำลังรอฟังคำตอบอยู่เหมือนกัน
     “คุณก็น่าจะรู้ดีว่าทำไม ผมทำอาชีพแบบนี้ ส่วนคุณเป็นนายแบบชื่อดัง ถ้าคนอื่นรู้ คุณเองนั่นแหละที่จะแย่ ผมไม่อยากจะทำร้ายคุณ”
     “นายทำร้ายฉันอยู่แล้วตอนนี้ ตั้งแต่ที่นายไปจากฉันนั่นแหละ” ไดจิโต้ “ส่วนเรื่องงานของนาย ฉันไม่แคร์ ได้ยินไหมโซระ ฉันบอกว่าฉันไม่แคร์เลยสักนิด ถ้านั่นเป็นสิ่งที่นายเลือกจะทำ ฉันก็ไม่แคร์”
     “คุณไม่แคร์ได้จริง ๆ เหรอ” โซระถามด้วยความไม่มั่นใจเลย “ผมเป็นนักแสดงจีวีนะ คุณก็รู้ว่ามันเป็นยังไง”
     ไดจิไม่ตอบ แต่เขาดึงโซระเข้ามาจูบ
     เท่านั้นก็เหมือนกับมีคนเปิดสวิตช์เครื่องขยายเสียง แฟน ๆ ที่อยู่ในห้องจัดงานส่งเสียงกรี๊ดกันสนั่นกับฉากง้องอนหวาน ๆ ที่เห็นตรงหน้า นางิปรบมือพลางยิ้มอย่างอบอุ่น ทำให้นักแสดงคนอื่น ๆ ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกพลอยทำตามไปด้วย เสียงปรบมือจึงดังประสานกับเสียงกรี๊ดของแฟน ๆ
     ข้างล่างเวที ฮิคารุปรบมือด้วย แต่เขามีบริการพิเศษคือผิวปากยาว ๆ แถมท้ายด้วยความชอบอกชอบใจ
     อัตสึชิมองฮิคารุด้วยสายตาที่เหมือนรู้ทัน ก่อนจะอดแดกดันไม่ได้ว่า
     “ฝีมือนายอีกล่ะสิ”
     ฮิคารุหันมายักคิ้วข้างหนึ่งให้แทนคำตอบ

     บนเวที ไดจิถอนริมฝีปากออก เขามองโซระด้วยสายตาที่บอกความในใจออกมาทั้งหมด
     เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก
     “รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันไม่แคร์”
     “แต่ว่า...” โซระยังมีปัญหา “แล้วเรื่องงานของไดจิซังล่ะครับ”
     “เป็นนายแบบ ไม่ใช่ไอด้อล ไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์ขนาดนั้นหรอก กะอีแค่มีแฟนเป็นนักแสดงจีวี มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย หรือถ้ามันจะทำให้ฉันต้องเลิกอาชีพนายแบบก็ช่างมัน ฉันไปทำอย่างอื่นก็ได้ อย่างน้อยรุ่นพี่ฮิคารุที่รักก็ต้องรับผิดชอบอะไรบ้างล่ะ”
     ไดจิพูด ปลายเสียงของเขาสะบัดด้วยความหมั่นไส้เล็ก ๆ เมื่อพูดถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้
     โซระตาโตด้วยความตกใจ ไดจิพูดต่อว่า
     “อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ มาถึงขั้นนี้แล้ว”
     “ผมขอโทษ” โซระพูดเสียงอ่อย ๆ ไดจิจึงใช้นิ้วดีดหน้าผากเด็กหนุ่มเหมือนที่ทำสมัยก่อนเวลาลงโทษกระต่ายของเขาตอนที่มันดื้อและทำผิด
     “ถึงเวลาพูดความจริงได้แล้วใช่ไหม โซระ นายสัญญากับฉันได้ไหมว่าต่อไปจะไม่โกหกหรือปิดบังอะไรฉันอีก”
     เด็กหนุ่มพยักหน้า ไดจิจึงประคองหน้าของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับพูดว่า
     “ฉันรักนาย โซระ แล้วนายล่ะ คิดยังไง”
     ถึงตอนนี้ ในดวงตาของเด็กหนุ่มไม่มีรอยเศร้าอีกต่อไป โซระยิ้มหวาน
     “ผมก็รักคุณครับไดจิซัง”
     แล้วทั้งสองคนก็กอดกันท่ามกลางเสียงกรีดร้องของแฟน ๆ ในห้องจัดงานที่ดังยิ่งกว่าฉากจูบเมื่อสักครู่นี้เสียอีก
     ด้านหลังที่เก้าอี้ของนักแสดง คาสุกิผิวปากหวือ บ่นลอย ๆ ว่า
     “โดนเจ้าเด็กใหม่แย่งซีนกระจายเลยแฮะ”
     “อย่าบ่นน่าคาสุกิ เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้วนี่นา น่ายินดีจะตาย” สึบาสะหันไปยิ้มให้คนรักอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอื้อมมือไปบีบมือคาสุกิ ข้างตัวเขา โชโน้มตัวไปกระซิบถามข้างหูนางิว่า
     “คนนี้เองสินะเป้าหมายของฮิคารุจังที่เอามาคุยกับนายวันนั้นน่ะ แล้วออกมาเป็นยังงี้จะดีเหรอ”
     นางิกระซิบตอบ
     “ดีสิ วิน-วินทุกฝ่าย ฮิคารุจังได้แกล้งคนสมใจ แถมมีผลพลอยได้อีกต่างหาก นายไม่เห็นเหรอ อีเว้นท์นี้ดังระเบิดแน่ มีนายแบบชื่อดังโผล่มาเซอร์ไพรส์บอกรักนักแสดงขนาดนี้ ยอดขายของบริษัทก็คงทะลุเป้า ส่วนคนที่ลงแรงมากที่สุดอย่างโซระก็ได้โปรโมต แถมได้แฟนไปอีกคน”
     “ร้ายอะ” โชทำท่าขนลุก นางิหัวเราะชอบใจ
     ด้านล่างเวที อัตสึชิส่ายหน้าด้วยความระอาใจ งานป่วนหมด ทีนี้จะทำไงต่อดีล่ะเนี่ย แล้วเขาก็เห็นฮิคารุเดินไปกระซิบอะไรบางอย่างกับพิธีกร
     พิธีกรสวมสูทสวมแว่นตาดำประกาศขอเสียงปรบมือให้แก่ไดจิและโซระเป็นครั้งสุดท้าย
     “แล้วนี่ก็คือนักแสดงหน้าใหม่ของเรานะครับ โซระคุง หลังจากนี้โซระคุงมีงานต่อ ดังนั้นจึงต้องขอตัวกลับเลยนะครับ แต่ก่อนกลับขอให้โซระคุงพูดอะไรสักเล็กน้อยกับแฟน ๆ ครับ เชิญครับ”
     โซระกล่าวขอบคุณแขกที่มาในงานพร้อมกับยิ้มสดใส แล้วเขาก็ฝากผลงานที่กำลังจะออกวางขายกับแฟน ๆ ซึ่งก็ได้รับเสียงกรี๊ดดังลั่นเป็นการตอบรับ
     “ขอบคุณโซระคุงครับ ต่อไปขอเชิญทุกท่านร่วมสนุกกับการตอบคำถามกับนักแสดงหกท่านบนเวทีนะครับ ขอกระดานไวท์บอร์ดให้นักแสดงด้วยครับ...”
     เสียงพิธีกรพูดอะไรอีกยืดยาว แต่ทั้งไดจิและโซระไม่ได้ยินแล้ว ทั้งสองคนเดินลงจากเวทีและเดินมาทางที่ฮิคารุกวักมือเรียก
เมื่ออยู่กันสามคนข้างหลังเวที ฮิคารุก็บอกโซระว่า
     “นายกลับเลยก็ได้นะ ฉันบอกอั๊คคุงกับสึโยชิซังไว้แล้วล่ะ”
     “ขอบคุณครับฮิคารุซัง เอ้อ...” เด็กหนุ่มชะงัก แล้วเหลือบไปมองไดจิซึ่งถึงแม้จะมีทีท่าฝืนใจอยู่นิด ๆ แต่ก็ไม่ถึงขนาดเป็นปฏิปักษ์อย่างสมัยก่อน
     “ขอบคุณที่ให้ผมเจอโซระ”
     ชายหนุ่มพูด และมิวายเสริมต่อท้ายด้วยว่า
     “แต่ว่านะ ฮิคารุซัง ถ้าคุณอยากจะสั่งสอนผม คราวหลังต่อยกันเลยตั้งแต่แรกดีกว่านะครับ ใช้วิธีนี้มันโหดไป”
     ฮิคารุหัวเราะชอบใจ เขาตบไหล่นายแบบรุ่นน้องหนัก ๆ
     “โหดตรงไหนกัน ฉันหาแฟนให้นายทั้งคนเลยนะ”
     เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปแม้แต่ไดจิก็ไปต่อไม่ถูก ส่วนโซระที่ถูกพาดพิงเช่นกันไม่พูดอะไร เพียงแต่อมยิ้มและหน้าแดงนิด ๆ มือของเขาถูกไดจิกุมเอาไว้แน่น
     ไดจิเดินจูงมือโซระออกมาข้างนอก
     ท้องฟ้าตอนกลางคืนคืนนี้ปลอดโปร่ง ไม่มีเมฆ เหมือนกับใจของเขาตอนนี้ ชายหนุ่มหันมาหาโซระ
     “กลับบ้านกันเถอะ”

     แต่สภาพบ้านต่างออกไปจากเดิมนิดหน่อย โซระตาโตมองสภาพห้องนอนที่เละเทะ แล้วหันมามองไดจิที่ทำหน้ายุ่ง ชายหนุ่มโทษว่า
     “เพราะนายแหละ จู่ ๆ ก็หายไปแบบนั้น ฉันเลยเสียใจมากไปหน่อย”
     “ผมขอโทษ” โซระยอมรับผิดแต่โดยดี หน้าจ๋อยลงทันควัน
     ไดจิทำท่าเหมือนจะงอน เพราะพูดจบก็เดินหนีออกไปจากห้อง โซระเดินตาม พลางร้องเรียก
     “ไดจิซังครับ”
     แต่เมื่อเขาตามออกมานอกห้องนอน เด็กหนุ่มก็เห็นไดจินั่งอยู่บนโซฟา อุ้มอะไรอย่างหนึ่งไว้บนตัก
     “กระต่าย” โซระอุทาน เขานั่งลงชิดไดจิ ชายหนุ่มก็ส่งกระต่ายตัวอ้วนสีขาวให้
     “ซื้อมาวันที่นายหายไป กะจะเซอร์ไพรซ์ซะหน่อย กลายเป็นฉันเองที่โดนเซอร์ไพรซ์เต็ม ๆ”
     “ผมขอโทษนะ” โซระพูดพร้อมกับเอนศีรษะพิงไหล่ไดจิ ชายหนุ่มดึงเอากระต่ายจากมือเด็กหนุ่มใส่กลับเข้าไปในกรง แล้วดึงตัวโซระมากอดเอาไว้ ทั้งสองคนล้มตัวลงไปนอนอยู่ด้วยกันบนโซฟาแคบ ๆ โดยที่ไดจิโอบกอดโซระจากข้างหลังเหมือนที่เขาเคยทำเวลานอนทุกคืน แล้วชายหนุ่มก็พูดว่า
     “สองวันที่ผ่านมาฉันนอนไม่หลับเลย แต่คืนนี้คงเป็นคืนแรกที่ฉันจะหลับได้เต็มตาเสียที แล้วถ้าฉันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ฉันจะเจอนายใช่ไหม นายจะไม่หายตัวไปไหนอีกนะ”
     เด็กหนุ่มสั่นศีรษะแรง ๆ เขาวางมือทาบลงไปบนแขนทั้งสองข้างของไดจิ
     “ผมจะไม่ไปไหนแล้ว ผมจะอยู่กับคุณที่นี่”
     “ดีจัง” ไดจิถอนใจยาว เขาผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็ยังคงกอดโซระเอาไว้แน่น แล้วพอเขาขยับตัว โซระก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
     “อรุณสวัสดิ์ครับ ไดจิซัง”
     เด็กหนุ่มทัก เขาพยายามจะพลิกตัวโดยที่ลืมไปว่ากำลังนอนอยู่บนโซฟาแคบ ๆ โซระดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของไดจิครู่หนึ่ง แต่แล้วก็กลิ้งตกลงมาบนพื้นห้องด้วยกันทั้งคู่
     ไดจิกับโซระหัวเราะขำตัวเอง ก่อนที่ฝ่ายแรกจะบ่นพึมว่า
     “ต้องซื้อโซฟาใหม่ที่ใหญ่กว่านี้ซะแล้ว”

     คอลเล็กชั่นเปิดตัวแบรนด์เครื่องประดับซึ่งเป็นแบรนด์ลูกของ Aki ได้นักแสดงจีวีระดับสตาร์ของค่ายมาเป็นนายแบบให้ตามที่อากิ มิสุชิมะตั้งใจไว้
     นางิ โช คาสุกิ สึบาสะ โซระ ร่วมกับนายแบบรับเชิญคือไดจิและฮิคารุ
     ในวงการฮือฮากันอีกครั้งกับแฟชั่นเซ็ตนี้ รวมทั้งข่าวเรื่องไดจิมีความรักกับหนึ่งในนักแสดงจีวีที่มาเป็นแบบในครั้งนี้ด้วย แต่ข่าวก็ไม่ได้กระทบกับหน้าที่นายแบบของชายหนุ่มมากนักเพราะอย่างน้อยเขาก็ผูกขาดการเป็นนายแบบของแบรนด์ Aki ไปได้อีกหลายซีซั่น
     ไดจิรู้ว่ามันต้องมีการแทรกแซงจากฮิคารุอยู่ด้วยนิดหน่อย
     ข้างตัวของเขา โซระกำลังเลือกเครื่องประดับในกล่องอย่างตั้งอกตั้งใจ เครื่องประดับที่ใช้ถ่ายแบบในครั้งนี้เป็นเครื่องเงินประดับอัญมณี มิสุชิมะเซนเซย์อนุญาตให้นักแสดงเลือกไปได้เป็นของขวัญคนละหนึ่งชิ้น ไดจิเลือกแหวน แต่ไม่ได้ให้ตัวเอง เขาตั้งใจจะให้โซระ
     “ไดจิซัง คุณว่าอันไหนสวยกว่ากันครับ” โซระชูเครื่องประดับสองชิ้นให้เขาดู จี้ไม้กางเขนประดับไพลินสีน้ำเงินเข้มกับป้ายแท็กที่มีประทับลายหน้าต่างกุหลาบสเทนกลาส ชายหนุ่มชี้ที่ไม้กางเขน โซระก็เลือกชิ้นนั้น
     เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน ไดจิรั้งตัวโซระไว้ที่หน้าประตู เขาเอามือปิดตาเด็กหนุ่มไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน
     “โซฟาใหม่”
     โซระอุทานยิ้ม ๆ เมื่อไดจิคลายมือออกและเขามองเห็นโซฟาตัวใหม่ที่กว้างและใหญ่กว่าของเดิม
     “ยังไม่หมดนะ”
     ไดจิดึงมือโซระเข้าไปในห้องนอน สภาพห้องนอนตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว ข้าวของที่พังไปเพราะฝีมือไดจิถูกขนออกไปจนหมด และตรงที่ที่เคยวางเตียงเดี่ยว โซระเห็นเตียงขนาดคิงไซส์วางอยู่แทน
     “คราวนี้ก็ไม่ต้องนอนฟูกบนพื้นแล้วละนะ”
     ไดจิพูด เด็กหนุ่มหัวเราะ เขาคิดถึงวันแรกที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้กับไดจิ เขาหอบหมอนไปนอนบนฟูกที่พื้นข้าง ๆ ไดจิเพราะไม่อยากนอนบนเตียงคนเดียว แล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองคนก็นอนด้วยกันบนฟูกที่ปูบนพื้นมาตลอด
     “ขอบคุณครับ” โซระเขย่งขึ้นจูบไดจิ แล้วเด็กหนุ่มก็อยู่ในอ้อมแขนของไดจิที่กอดเขาแน่นและกอดเขาแบบนั้นทั้งคืนบนเตียงนอนนุ่ม ๆ ที่ซื้อมาใหม่
     โซระถอนหายใจยาวอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของไดจิ
     ที่นิ้วนางข้างขวาของเขาสวมแหวนที่ได้รับมาจากชายหนุ่ม
     เด็กหนุ่มนอนหลับไปพร้อมกับเสียงกระซิบของไดจิที่ข้างหูว่า
     “เอาไว้จะหาแหวนที่ดีกว่านี้มาสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้ายนะ”




     .........................
     จบคู่ที่ห้าแล้วค่ะ พรุ่งนี้จะมาอัพต่อคู่สุดท้ายนะคะ
     ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ อย่าโกรธฮิคารุกันเลยน้า เธอฝากมาบอกว่าเธอแก้ตัวให้แล้วในตอนสุดท้ายนะ  :mew1:

หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 จบคู่ Daichi x Sora
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 26-08-2014 17:42:24
รอตอนต่อปายยยย   :o8:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ6814/P3 จบคู่ Daichi x Sora
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 27-08-2014 09:39:07
สร้างรักครั้งที่หก: Tomoya x Toshi


     โทโมยะแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เขายังเห็นคู่ของเขาที่ถ่ายด้วยวันนี้นั่งนิ่งอยู่ในห้องแต่งตัว ไม่มีท่าทีจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ สีหน้าของเอย์จิดูอึดอัดและไม่สบายใจพิกล
     “เอย์จิคุง นายไม่สบายรึเปล่าน่ะ สีหน้าดูไม่ค่อยดีนะ”
     คนถูกทักสะดุ้งนิด ๆ
     “เอ้อ... ไม่มีอะไรหรอกโทโมยะซัง ผมสบายดี” เอย์จิฝืนยิ้ม “จะกลับแล้วเหรอครับ”
     “ใช่ เดี๋ยวฉันมีธุระต่อ นายล่ะ ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดอีก ใคร ๆ เขาจะกลับกันหมดแล้วนะ”
     โทโมยะอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
     “อีกสักพักครับ ผมยังเหนื่อยอยู่ ขอพักอีกสักหน่อย”
     สีหน้าของโทโมยะเป็นกังวลขึ้นมาทันที เขาคุกเข่าลงข้างเก้าอี้ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ แล้วกวาดสายตามองไปทั่วตัวของเอย์จิ
     “นายโอเคไหม นี่ฉันคงไม่ได้ทำอะไรแรงเกินไปหรอกนะ”
     เด็กหนุ่มยิ้มนิด ๆ เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
     “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับโทโมยะซัง ผมโอเค แต่ยังไม่ค่อยอยากอาบน้ำตอนเหงื่อเหนียว ๆ แบบนี้เท่านั้นเองครับ” เด็กหนุ่มมองใบหน้าที่มีหนวดและเคราบาง ๆ ของโทโมยะที่ตอนนี้มีแววกังวล ก่อนจะเปรยออกมาว่า
     “ผมสังเกตมานานแล้วนะว่าโทโมยะซังมีแคแร็คเตอร์พี่ชายที่แสนดียังไงไม่รู้สิ คุณต้องมีน้องแน่ ๆ เลยใช่ไหมครับ”
     “งั้นเหรอ” โทโมยะมีท่าทีอาย ๆ แต่เขาก็พยักหน้า “มีน้องชายหนึ่งคน อายุเท่า ๆ กับนายนี่แหละ”
     “มิน่าล่ะ คุณถึงใจดีกับผม น้องชายของโทโมยะซังโชคดีจังเลยนะครับที่มีพี่ชายอย่างนี้”
     “ฉันก็ไม่ค่อยได้ดูแลน้องมากนักหรอก”
     โทโมยะถอนใจนิด ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
     “งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนละกันนะ แล้วเจอกัน”
     “สวัสดีครับโทโมยะซัง”
     ชายหนุ่มเปิดประตูห้องแต่งตัวออกมา เขาเห็นเท็ปเปซึ่งเป็นตากล้องหลักยืนพิงผนังสูบบุหรี่อยู่ ชายหนุ่มจึงก้มศีรษะให้
     “เหนื่อยหน่อยนะครับ”
     เท็ปเปที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปากก้มศีรษะรับคำลา
     โทโมยะอดสงสัยท่าทีเหมือนรอใครสักคนของเท็ปเปขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่สนใจ มันไม่ใช่เรื่องของเขา และเขายังมีธุระที่ต้องรีบไปทำอีก
     โทโมยะวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากสถานีรถไฟพลางหลบหลีกคนจำนวนมหาศาลที่เดินกันขวักไขว่เพื่อตรงไปหาเพื่อนของเขาที่รออยู่หน้ารูปปั้นฮะจิโกะ สถานที่นัดพบชื่อดังของชิบูยะ
     “มาสายนะแก”
     โทโมยะแยกเขี้ยวเมื่อได้ยินคำทักทายของเพื่อน
     “รีบที่สุดแล้วโว้ย แล้วของที่สั่งล่ะ ได้รึเปล่า”
     เพื่อนของเขายื่นถุงกระดาษใบหนึ่งให้แทนคำตอบ ชายหนุ่มรับมาเปิดออกดู พอเห็นของข้างใน เขาก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเปิดหยิบเงินให้เพื่อน
     ฝ่ายหลังนับเงินไปก็บ่นไป
     “แกนะแก ให้หาอะไรไม่รู้ยากชะมัด เนี่ยฉันไม่รับประกันนะแกว่าจะได้ครบไหมอะ ของมันเก่ามากแล้ว”
     “เออ อย่าบ่นเลยน่า ช่วยฉันหาหน่อยเหอะ ฉันไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว ก็มีแต่แกที่กว้างขวางสุด ๆ หาอะไรก็ไม่เคยมีคำว่าไม่ได้”
     “อย่ามายอเพื่อหลอกใช้เลย” เพื่อนของเขาดักคอ “ว่าแต่แกจะเอาไปทำไมวะ ฉันไม่เคยเห็นแกชอบของแบบนี้”
     “ไม่ใช่ของฉัน ของคนอื่น” โทโมยะตอบแค่นั้น

     โทโมยะกลับมาถึงอพาร์ตเม้นท์ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าหน้าประตูห้องเขามีใครบางคนนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นและเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใครคนนั้นก็เงยหน้าที่ก้มอยู่ขึ้นมามอง
     “พี่ครับ”
     “โทชิ!”
     เขามองน้องชายด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง มือข้างที่หิ้วถุงกระดาษอยู่ไขว้ไปข้างหลังทันทีโดยอัตโนมัติ
     “จะมาทำไมไม่โทรมาบอกก่อน” ชายหนุ่มพูดแล้วก็ชะงักเมื่อคิดได้ว่าตัวเขาเองไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์กับที่บ้าน จะมีก็แต่ที่อยู่เท่านั้น โทชิก็คงมาตามที่อยู่ที่เขาให้ไว้ ชายหนุ่มเปลี่ยนคำถาม
     “แล้วนี่มาทำไม”
     “ก็พี่ไม่ได้กลับบ้านมาสามปีแล้ว พ่อกับแม่เป็นห่วง ก็เลยฝากให้ผมมาดูพี่”
     เด็กหนุ่มตอบ
     “พ่อเนี่ยนะจะเป็นห่วง” ชายหนุ่มอดแดกดันไม่ได้  “แล้วนายมาทำอะไรที่โตเกียว”
     โทโมยะมองกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ข้างตัวน้องชาย
     “ผมสมัครคอร์สกวดวิชาไว้ครับ”
     “จริงสินะ นายจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนี่นา ถ้านายสอบเข้าได้ ยูมิซังคงจะดีใจมาก ๆ”
     โทชิหน้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย เขาอดเปรยไม่ได้ว่า
     “พี่ยังไม่ยอมเรียกแม่ว่าแม่เลยนะ”
     โทโมยะชะงัก ก่อนจะถอนใจยาว
     ยูมิซังคือแม่ของโทชิที่มาแต่งงานกับพ่อของเขาหลังจากที่หย่ากับแม่ เขาจำได้ว่าตัวเองเกลียดผู้หญิงที่จูงมือเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ เข้ามาในบ้านในวันที่แม่ของเขาหิ้วกระเป๋าออกไปมาก ๆ เขาตั้งแง่และเกลียดชังแม่เลี้ยงและลูกติดแม่เลี้ยงตั้งแต่วันนั้น
ถึงแม้เขาจะรู้ว่ายูมิซังเป็นคนดีและใจดีกับเขาด้วยความจริงใจ แต่เขาก็ไม่สามารถเรียกยูมิซังว่าแม่ได้ ก็มีแค่โทชิที่เขายอมให้เรียกพี่ชายและยอมรับว่าเป็นน้องชายของเขา
     ส่วนพ่อ เขาไม่เคยเข้ากับพ่อได้เลยแม้แต่นิดเดียว และตั้งแต่เขาย้ายออกมาจากบ้านหลังจากอายุครบสิบแปด พ่อกับเขาก็ตัดขาดกันมาตั้งแต่ตอนนั้น เขาไม่เคยติดต่อกลับบ้าน แต่เขาก็ได้รับจดหมายจากที่บ้านอยู่ไม่เคยขาด ทั้งจากยูมิซังและโทชิ
     “แล้วนี่นายพักที่ไหน”
     “ผมยังหาที่พักไม่ได้” เด็กหนุ่มตอบอ้อมแอ้ม เขาไม่สบตากับพี่ชาย
     “อ้าว แล้วนี่นายจะทำยังไง จะพักที่ไหน” โทโมยะโวยวาย “ทำไมไม่จองที่พักให้เรียบร้อย”
     “ผมยืนยันไม่ทันครับ เขาก็เลยแคนเซิลห้องที่ผมจองไว้ ผมจะจองใหม่ก็ไม่ทันแล้ว คอร์สจะเริ่มพรุ่งนี้แล้ว” โทชิตอบเสียงเบา เขายังคงก้มหน้าอยู่ โทโมยะถอนใจอีกครั้ง
     “หาห้องกะทันหันมันลำบาก นายพักกับฉันที่นี่แหละ”
     “ให้ผมพักกับพี่ได้เหรอ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองทันทีด้วยสายตาคาดหวัง
     โทโมยะพยักหน้า
     “ได้สิ ถึงฉันจะไม่ใช่พี่ชายที่ดีนัก แต่ฉันก็ไม่เสือกไสนายไปที่อื่นหรอกน่ะ พักกับฉันจนกว่านายจะเรียนจบก็แล้วกัน แต่ห้องฉันไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่นะ อาจจะอึดอัดหน่อย”
     ชายหนุ่มพูด เขาไขกุญแจเปิดประตูให้เด็กหนุ่มเข้าไป
     ห้องของโทโมยะไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กนัก อยู่คนเดียวก็กำลังดี แต่อยู่สองคนก็ไม่อึดอัด เสียอย่างเดียวตรงที่รกไปหน่อย โทชิมองไปรอบห้องที่มีข้าวของวางเกลื่อนกลาดไม่เป็นระเบียบ
     “ผู้ชายอยู่คนเดียวก็ยังงี้แหละ” โทโมยะแก้ตัว เขาชี้ไปที่โซฟาหน้าทีวี “นายนอนตรงนั้นนะ โซฟาดึงออกมาเป็นเตียงได้ ตามสบายละกัน เออ นี่นายกินอะไรมารึยัง”
     โทชิพยักหน้า
     “งั้นตามสบายนะ” โทโมยะตบไหล่น้องชาย แล้วก็หายเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
     โทชิมองตามหลังพี่ชายไปด้วยสายตาที่แสดงความอาวรณ์ เด็กหนุ่มยืนคว้างอยู่ในห้อง เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายก็นั่งแปะลงบนโซฟา
     เขาเปิดกระเป๋าเดินทาง ข้างบนสุด บนกองเสื้อผ้า คือกล่องดีวีดีกล่องหนึ่ง
     โทชิมองกล่องดีวีดี แล้วหันไปมองห้องนอนของพี่ชายที่ปิดสนิท



     ........
     คู่สุดท้ายแล้วค่ะ สั้น ๆ อารมณ์เดียวกับคู่เท็ปเปเอย์จิ เป็นคู่ที่อยากเขียนเพราะติดใจ Pandora และ Incest Mania มาก
     จบคู่นี้ก็จบ SS1 แล้วค่ะ ส่วน SS2 ยังคิดไม่ออก แต่มีอีกประมาณหกคู่ที่ชอบและอยากจะเขียนถึงมาก ก็คงทิ้งช่วงนิดนึง แต่จะพยายามเขียนให้ได้เลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ7814/P3 เริ่มคู่สุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 27-08-2014 11:21:33
กล่องจีวีหรือเปล่าา   o22
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ7814/P3 เริ่มคู่สุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: greenapple ที่ 27-08-2014 12:46:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ7814/P3 เริ่มคู่สุดท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 27-08-2014 19:41:55
สร้างรักครั้งที่หก: Tomoya x Toshi (ต่อ)



     ประตูห้องนอนเปิดออกอย่างเงียบ ๆ
     โทโมยะจรดฝีเท้าเดินออกมาโดยพยายามทำเสียงดังให้น้อยที่สุด น้องชายของเขาหลับไปแล้วบนโซฟาที่ปรับให้เอนลงมาเป็นเตียงนอนได้ เด็กหนุ่มนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มที่เขาเอาออกมาให้เมื่อตอนหัวค่ำ ใบหน้าของโทชิตอนหลับดูสงบและอ่อนเยาว์
ไม่ได้เจอกันมาสามปี นอกจากตัวโตขึ้น โทชิก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นน้องชายที่ดีที่ชอบตามติดเขาต้อย ๆ แม้ว่าจะโดนเขาดุหรือแกล้งอย่างไรก็ตาม สายตาของโทชิคอยมองตามเขาตลอดเวลา ส่วนเขาก็ยังเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องเหมือนเคย คือไม่เคยสนใจไยดีโทชิแม้แต่น้อย จดหมายสักฉบับหรือการ์ดสักแผ่นก็ไม่เคยเขียนถึงหลังจากออกจากบ้านมา เขาเคยคิดว่าอาจจะไม่ได้เจอหน้าน้องชายคนนี้อีกแล้วก็ได้
     แต่แล้วจู่ ๆ โทชิก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา
     โทโมยะไล้ปลายนิ้วไปตามแก้มของโทชิ
     เขารู้สึกดีใจที่ได้เจอน้องชายคนนี้อีกครั้ง
     แต่คงไม่สามารถพูดออกมาได้

     โทโมยะออกมาจากห้องนอนอีกครั้งในตอนใกล้เที่ยง โทชิออกไปแล้ว โซฟาพับเก็บเรียบร้อย บ้านก็ไม่รกแล้วเหมือนกัน โทชิเก็บบ้านให้เขาอย่างเรียบร้อย และเมื่อเขาเดินเข้าไปในครัวเล็ก ๆ ก็เห็นหม้อซุปตั้งอยู่บนเตา มีโพสต์อิทแปะไว้บนฝาหม้อ
     “ข้าวต้มไข่ครับ พี่อย่าลืมกินนะ โทชิ”
     ข้าวต้มร้อน ๆ รสอ่อน ๆ ที่สมัยก่อนเขากินที่บ้านบ่อย ๆ
     “รสเหมือนที่ยูมิซังทำไม่มีผิด” โทโมยะพึมพำ “เก่งเหมือนกันนะโทชิ”
     แล้วเขาก็กินข้าวต้มจนหมด ก่อนจะออกไปที่บริษัท

     “โทโมยะซัง”
     เมื่อเขาเดินผ่านห้องอาหารก็ได้ยินเสียงของเอย์จิ เขาหยุดเดิน แล้วหันไปมอง เอย์จิโบกมือให้เขา ข้างตัวเด็กหนุ่มคือเท็ปเปที่กำลังกินเบนโตะกล่องใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าของทั้งคู่สดใส ดูท่าว่าวิกฤตคงจะผ่านพ้นไปแล้ว และโทโมยะรู้แล้วว่าเมื่อวานเท็ปเปรอใครอยู่
     “กินอะไรมารึยังครับโทโมยะซัง” เอย์จิถามเมื่อโทโมยะเดินมานั่งด้วยที่โต๊ะ
     “เรียบร้อยแล้วล่ะ” ชายหนุ่มตอบ แล้วเขาก็อดแซวไม่ได้ว่า “แต่แค่ข้าวต้มธรรมดานะ ไม่ได้เป็นเบนโตะใหญ่ยักษ์ยังงี้หรอก”
     เท็ปเปเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
     “ก็หาคนทำให้สักคนสิ”
     “คนที่ทำข้าวต้มให้ไงครับ ผมจำได้นะว่าโทโมยะซังทำอาหารไม่เป็น แล้วใครทำให้อะ” เอย์จิแซวบ้าง โทโมยะโบกมือปฏิเสธ
     “นั่นน้องชาย” เขาตอบ “ช่วงนี้น้องชายมาอยู่ด้วย มาติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย”
     “พลาดละ” เท็ปเปพูดลอย ๆ เอย์จิหันไปถามคนรักว่า
     “ทำไมล่ะครับ”
     “ก็พาสาวมาค้างไม่ได้น่ะสิ นายคงต้องกินข้าวต้มฝีมือน้องชายไปก่อนแล้วล่ะตอนนี้ เสียใจด้วยนะ”
     คนฟังพากันหัวเราะชอบใจ โดยเฉพาะโทโมยะ เขาสังเกตว่า ตั้งแต่มีแฟนเนี่ย เท็ปเปดูร้ายขึ้น เมื่อก่อนไม่ค่อยพูด เดี๋ยวนี้ก็พูดเก่งขึ้นมาทันทีเลย
     ความรักนี่ทำให้คนเปลี่ยนได้จริง ๆ
     หลังจากคุยกับเท็ปเปและเอย์จิอยู่อีกครู่หนึ่งก็ถึงเวลานัด โทโมยะมีคิวถ่ายในตอนบ่ายนี้จนถึงค่ำ เป็นโปรเจ็คท์ใหม่ที่ค่ายจะเน้นสตอรี่ด้วย ไม่ใช่แค่เซ็กซ์ซีนอย่างเดียว เขาได้จับคู่กับนักแสดงใหม่ของค่ายชื่อยูตะ ในเรื่องเขากับยูตะต้องเล่นเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยที่ยูตะแอบชอบเขาอยู่และคอยมองแต่เขามาตลอด เรื่องของเขากับยูตะมีหลายตอน เขากับยูตะจะต้องมีคิวร่วมกันไปอีกพักใหญ่ ๆ ทีเดียว
     เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยขณะที่แสดงกับยูตะ ไม่ใช่เพราะยูตะไม่เก่งหรือมีปัญหา แต่เขามีความรู้สึกว่าสายตาของยูตะตอนที่สวมบทเพื่อนสมัยเด็กของเขานั้นคล้าย ๆ กับสายตาที่โทชิมองเขาอย่างไรไม่รู้ บางครั้งเขาจึงชะงักและถูกคัต
ชายหนุ่มต้องรวบรวมสมาธิเป็นอย่างมาก ไม่ให้เห็นหน้ายูตะไปเป็นคนอื่นจนกระทั่งถ่ายทำเสร็จ
     “เหนื่อยหน่อยนะครับ”
     โทโมยะแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาล่ำลาสตาฟรวมทั้งนักแสดงคู่กับเขาก่อนจะเดินออกจากบริษัทไปขึ้นรถไฟกลับบ้าน ชายหนุ่มแวะซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านเหมือนกับที่เคยทำเพราะหลังหนึ่งทุ่มห้างจะลดราคาของ และเขาก็ฝากท้องไว้กับอาหารกล่องของห้างแทบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกัน เขาซื้อข้าวกล่องแล้วก็หาที่นั่งกินจนหมดอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากหิ้วกลับบ้าน แต่เมื่อเขาไขกุญแจเข้าบ้านและได้กลิ่นหอม ๆ ของมิโสะซุปลอยเข้าจมูก ชายหนุ่มก็อดประหลาดใจไม่ได้
     “พี่ครับ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน หิวไหมครับ ให้ผมจัดโต๊ะเลยไหม”
     โทชิวิ่งออกมารับเขาทั้งที่สวมผ้ากันเปื้อน โทโมยะชะงัก ชายหนุ่มลืมไปเลยว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว และตอนนี้น้องชายของเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้า สวมผ้ากันเปื้อน ซึ่งดูไม่เหมือนกับโทชิในเวลาปกติเลย มันทำให้เขารู้สึกหายใจติดขัด 
     “เอ้อ...ฉันกินมาแล้วล่ะ” โทโมยะอ้อมแอ้มบอก “ข้าวกล่องของห้างน่ะ ฉันไม่คิดว่านายจะกลับเร็วแล้วก็ทำอาหารไว้”
     “ผมขอโทษที่วุ่นวาย” โทชิพูด หน้าสลดลงจนเขาอดรู้สึกผิดไม่ได้
     “ผมจะเอาอาหารเก็บไว้ในตู้เย็น” โทชิพูดโดยไม่มองหน้าพี่ชาย ทำให้เขายิ่งไม่สบายใจ โทโมยะรั้งแขนน้องชายไว้
     “นายโกรธเหรอ ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้จริง ๆ”
     “ผมไม่ได้โกรธ”
     “นายก็อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”
     โทชิเม้มปากแน่น โทโมยะถอนหายใจ
     “เอายังงี้ วันหลังถ้าฉันกลับดึกหรือมีธุระหรือกินข้าวเย็นแล้ว ฉันจะโทรบอกนายก็แล้วกัน นายจะได้ไม่ต้องคอยเหมือนวันนี้อีก ดีไหม”
     โทชิหน้าตาสดชื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้น เขาดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแลกเบอร์โทรศัพท์และอีเมล์กับโทโมยะ
     “ผมไม่เคยมีเบอร์โทรของพี่เลย” เด็กหนุ่มพูดขึ้นลอย ๆ
     “ตอนนี้ก็มีแล้วไง”
     “ผมโทรหาพี่ได้ใช่ไหมครับ” โทชิถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่ค่อยมั่นใจ โทโมยะพยักหน้า เขาลูบศีรษะเด็กหนุ่ม
     “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ อยากโทรเมื่อไหร่ก็โทรได้ ฉันจะไปว่าอะไร”
     โทโมยะชะงักไปอีกครั้งเมื่อเห็นโทชิยิ้มกว้าง หน้าตาของน้องชายของเขาสดใสและมีความสุขเมื่อมองเบอร์โทรศัพท์ของเขาที่อยู่ในเครื่อง เด็กหนุ่มเก็บโทรศัพท์พร้อมกับบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงว่า
     “ผมจะเอาอาหารเก็บใส่ตู้เย็นไว้สำหรับพรุ่งนี้”
     แล้วก็หายเข้าไปในส่วนที่เป็นครัว ทิ้งให้โทโมยะยืนเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ
     เด็กวัยรุ่นนี่เปลี่ยนอารมณ์เร็วเหลือเกินแฮะ

     โทชิกำลังเลือกซื้อของสดอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างมีความสุข
     วันนี้เป็นวันพิเศษที่เขาอยากจะฉลอง พี่ชายของเขาจำวันเกิดของตัวเองไม่เคยได้เลยสักปี เขากับแม่ต้องเป็นคนคอยเตือนและจัดงานวันเกิดให้ เป็นงานฉลองเล็ก ๆ ในครอบครัวและมีเค้กวันเกิดที่แม่ของเขาจะทำเองเป็นพิเศษให้โทโมยะด้วย
ปีนี้เขาก็เลยอยากจะทำให้อีก
     โทชิหยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อเตรียมของและทำอาหาร เขาทำอาหารที่พี่ชอบเตรียมไว้หลายอย่าง จากนั้นก็อบเค้ก โทโมยะชอบเค้กช็อกโกแล็ต เขาตั้งใจแต่งหน้าให้ด้วยช็อกโกแล็ตนมสีขาวเขียนคำว่าสุขสันต์วันเกิดอย่างสวยงาม
     พี่จะชอบไหมนะ
     เด็กหนุ่มตกแต่งโต๊ะอาหารด้วยกุหลาบสีแดงเข้มดอกหนึ่งที่ซื้อมาพร้อมกันวันนี้ แล้วนั่งรออยู่ที่โต๊ะจนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
     ข้อความเข้าจากโทโมยะ
     “คืนนี้กลับดึก ไม่ต้องรอกินข้าว ไปดื่มกับเพื่อน”
     เด็กหนุ่มอ่านข้อความจบก็ร้องไห้

     โทโมยะส่งข้อความเสร็จ เขาก็ปิดโทรศัพท์หันไปคุยกับคนอื่น ๆ ต่อ
     ผู้กำกับมัตสึดะชวนทุกคนมาดื่มสังสรรค์กันหลังเลิกงาน แล้วเมื่อรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา โทโมยะก็ถูกดึงตัวเอาไว้ไม่ยอมให้กลับบ้าน และถูกคนอื่น ๆ ลากมาฉลองวันเกิดที่นี่
     “อะไรวะวันเกิดตัวเองก็ลืม” เท็ปเปยกถ้วยสาเกขึ้นมาชนกับเหล้าในมือของชายหนุ่มเป็นเชิงกระเซ้า ข้างตัวเขาคือเอย์จิ กำลังคุยกับยูตะอย่างสนิทสนม
     “ก็มันไม่สำคัญ ผมไม่ได้ฉลองมาเป็นปี ๆ แล้วล่ะ” โทโมยะพูดพร้อมกับกระดกเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดตามที่ถูกคะยั้นคะยอ
     “งั้นวันนี้ฉลองกันให้เต็มที่เลย ไม่เมาไม่กลับ” ผู้กำกับมัตสึดะประกาศ แล้วชนแก้วกับทุกคน โทโมยะในฐานะเจ้าของวันเกิดดื่มมากกว่าทุกคน แก้วของเขาถูกเติมตลอดโดยไม่ยอมให้ขาดตอน ไม่นานชายหนุ่มก็เมาแประ หัวเราะร่วน
     “ไม่ไหวแล้วมั้งนั่น” เอย์จิบุ้ยใบ้ให้ดูสภาพของโทโมยะที่ตอนนี้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ แก้วเหล้าล้มตะแคง แต่เจ้าตัวก็พยายามเงยหน้าขึ้นมา ตัวโงนเงน
     “ผม..ยัง..หวาย... มาดื่ม..กาน...ต่อ เอิ๊ก” โทโมยะเรอ แล้วเขาก็หัวเราะฮ่า ๆ
     “เดี๋ยวฉันพาโทโมยะซังกลับเอง บ้านเราไปทางเดียวกัน” ยูตะอาสา
     “คนเดียวจะไหวเหรอยูตะ” เอย์จิเป็นห่วง เขาอยากจะช่วยอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อหันไปมองคนของตัวเองที่เมาพอดูเหมือนกันเด็กหนุ่มก็เห็นว่า คงไม่มีทางช่วยได้แน่นอน
     “ไม่เป็นไรเดี๋ยวขึ้นแท็กซี่เอา” ยูตะพูด แต่ถึงกระนั้นการจะเอาคนเมาขึ้นและลงแท็กซี่ก็เป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร เด็กหนุ่มพยุงโทโมยะมาจนถึงที่ห้องด้วยความทุลักทุเล แล้วกดกริ่งประตู
     ประตูห้องเปิดอย่างรวดเร็วเหมือนคนเปิดกำลังรออยู่แล้ว
     “พี่ครับ” โทชิอุทาน ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นพี่ชายอยู่ในสภาพเมาแประและกลับมากับคนที่เขาไม่รู้จัก
     ยูตะยิ้มให้พลางบอกว่า
     “เมามากเลยล่ะ ขอเข้าไปข้างในหน่อยนะ”
     โทชิรีบเข้ามาช่วยพยุงพี่ชายอีกด้านหนึ่ง เมื่อหลังแตะฟูกที่นอน โทโมยะก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที เขาไม่รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน แต่เห็นหน้ายูตะราง ๆ ก็นึกว่ายังอยู่ที่ร้าน ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นมากอดคอยูตะไว้ ปากก็ร้องลั่นว่า
     “ขอเหล้าอีกแก้วนึง มากินเหล้ากันน้า ยูตะ ดื่มกับนายนี่สนุกเป็นบ้า”
     “ผมดื่มไม่ไหวแล้วล่ะโทโมยะซัง” ยูตะพูดกลั้วหัวเราะ แล้วเขาก็หันไปหาเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งในห้องที่ยืนหน้าซีดเผือดทำอะไรไม่ถูก บอกว่า
     “ขอผ้าชุบน้ำหน่อยได้ไหม โทโมยะซังดูท่าจะไม่ไหวแล้วล่ะ”
     โทชิค่อยคลายความตกใจ แต่เขาไม่ชอบใจเลยที่พี่ชายกลับมาในสภาพแบบนี้ แถมยังมาพร้อมกับใครก็ไม่รู้ที่ทำท่าราวกับจะเป็นแฟน
     เด็กหนุ่มไม่ยอมทำตามที่ยูตะบอก แต่กลับเดินเข้าไปดึงแขนพี่ชายออกจากตัวของอีกฝ่าย พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างห้วนว่า
     “เดี๋ยวผมจัดการเอง ขอโทษแทนพี่ด้วยที่ทำให้คุณวุ่นวาย”
     ยูตะยอมถอยห่างแต่โดยดี เขารู้สึกแปลกใจนิด ๆ ที่เห็นน้องชายของโทโมยะซังมีท่าทางพิลึก แต่เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนแล้วเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดอย่างดีซึ่งเมื่อตอนเข้ามา เขาไม่ทันได้สังเกต เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจ เขาหันกลับไปมองห้องนอนของเพื่อนรุ่นพี่ที่ประตูยังปิดอยู่ อดเปรยเบา ๆ กับตัวเองไม่ได้ว่า
     “ยุ่งแล้วสิน้า โทโมยะซัง”
     ในห้อง โทโมยะหลับไปแล้ว แขนและขากางเต็มเตียง กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมด โทชิพยายามจะดันตัวพี่ชายให้นอนดี ๆ บนเตียง แต่ทำไม่ได้เพราะโทโมยะตัวใหญ่กว่าเขามากและไม่ยอมให้ความร่วมมือเลย พอเขาจับตัว พี่ยังสะบัดตัวหนีด้วย สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ทนไม่ไหว ร้องไห้ออกมาอย่างสุดที่จะกลั้น
     “ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ด้วย”


หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ7814/P3 Tomoya x Toshi (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 28-08-2014 09:05:14
สร้างรักครั้งที่หก: Tomoya x Toshi (ต่อ)

     โทโมยะตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัว เขาจำไม่ได้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง รู้แต่ว่าไปดื่มกับคนอื่น ๆ แล้วนี่ก็คงดื่มมากไปอีกแล้วถึงได้ปวดหัวแทบจะระเบิดแบบนี้
     ประตูห้องนอนเปิดออก โทชิเดินเข้ามา เมื่อเห็นเขาตื่นก็บอกเรียบ ๆ ว่า
     “ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำเถอะครับพี่ ผมชงกาแฟกับทำซุปเอาไว้ให้พี่กินแก้แฮงค์”
     “ฉันเมามากใช่ไหมเมื่อคืน แล้วฉันกลับมาได้ไงอะ”
     “ยูตะซังมาส่งครับ” เด็กหนุ่มเม้มปาก
     โทโมยะเอามือกุมขมับพร้อมกับสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความมึนงง
     “เหรอ จำไม่ยักได้เลยแฮะ”
     เขาบ่น แล้วก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินโงนเงนไปที่ห้องอาบน้ำตามที่น้องชายบอก เมื่อเขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้าที่แจ่มใสขึ้น เขาก็เห็นซุปกับกาแฟวางพร้อมอยู่บนโต๊ะแล้ว
     “นายไม่ไปเรียนเหรอวันนี้” ชายหนุ่มถามเพราะปกติเวลานี้เขาจะไม่เจอโทชิแล้ว
     “ก็พี่ไม่สบาย แล้วผมจะไปเรียนได้ยังไง”
     “แค่เมาค้างเอง”
     ชายหนุ่มทำหน้าแหยงเมื่อซดกาแฟดำขมปี๋รวดเดียวหมดแก้ว
     “ก็นั่นแหละครับ ถ้าผมไปเรียน ใครจะดูแลพี่ ใครจะทำอะไรให้กินล่ะ” โทชิหยุดนิดนึงก่อนจะพูดต่อเหมือนกับเป็นคำถามกลาย ๆ ว่า
     “หรือยูตะซังจะมาช่วยทำให้”
     โทโมยะงง
     “เกี่ยวอะไรกับยูตะ หมอนั่นจะมาทำอะไรให้ฉันเหรอ”
     “ก็ไม่รู้สิครับ ดูเขาสนิทสนมกับพี่มากเลยนี่นา” โทชิสะบัดหน้า เสียงก็สะบัด คนฟังยิ่งงงใหญ่ แต่สมองเขากำลังมึนเลยคิดอะไรไม่ค่อยออก นอกจากบอกว่า
     “ก็เพื่อนร่วมงานอะ ทำงานด้วยกัน สนิทกันพอสมควร อูย ปวดหัวจัง ขอกาแฟอีกสักแก้วได้ไหม”
     โทโมยะร้องขอ โทชิมองพี่ชายนิ่ง ดูพี่ก็ไม่มีทีท่าอะไรกับยูตะซังเป็นพิเศษสักหน่อยนี่นา หรือบางทีเขาอาจจะคิดมากไป
     “โทชิ ขอกาแฟอีกแก้วนึง” โทโมยะเร่ง โทชิจึงเลิกคิด แล้วกระวีกระวาดไปหยิบกามารินกาแฟเติมให้
     โทโมยะดื่มกาแฟและกินซุปจนหมด แต่เขาเริ่มรู้สึกหิวนิด ๆ จึงเดินไปเปิดตู้เย็นเองโดยที่ไม่บอกโทชิ แล้วก็อึ้งไปที่เห็นอาหารเต็มตู้ ห่อเอาไว้ด้วยพลาสติก เขาหันมามองน้องชายที่ทำหน้าตื่นเพราะห้ามไม่ทัน
     “นี่อะไรเนี่ย”
     “เมื่อวานวันเกิดพี่” โทชิพูดได้แค่นี้ก็อึ้ง แล้วก็หันหน้าหนี ถ้าพูดมากกว่านี้เขาคงน้ำตาร่วงอีกรอบแน่ ส่วนโทโมยะปวดหัวจี๊ดขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขานี่เป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ
     “ขอโทษ” เขาพูดคำนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้วกับน้องชายคนนี้ เด็กหนุ่มหันขวับมาหาเขา น้ำตากบตา
     “พี่ก็พูดแต่คำนี้ ก่อนจะทำอะไรพี่เคยคิดถึงคนอื่นบ้างรึเปล่า พี่ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเลยว่าจะรู้สึกยังไง จะเสียใจแค่ไหน”
     “แล้วจะให้ฉันทำยังไง ก็มันทำลงไปแล้ว” โทโมยะเริ่มโมโหบ้าง “ขอโทษแล้ว จะให้ทำยังไงอีก”
     “อย่าทำผิดแบบเดิมซ้ำอีกไงล่ะ” โทชิโต้ เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา “คิดถึงความรู้สึกของผมบ้างก่อนที่พี่จะทำอะไร”
     โทโมยะถอนหายใจ เขาเดินตรงเข้ามากอดโทชิเอาไว้พร้อมกับตบหลังเบา ๆ
     “ฉันขอโทษ เอาล่ะ เมื่อวานไม่ได้ฉลองก็ไม่เป็นไร มาฉลองกันวันนี้แทนก็ได้ ไหน ๆ นายก็หยุดแล้ว วันนี้ฉันก็ไม่มีงานด้วย”
     โทชิเช็ดน้ำตาจนแห้ง เขาพยักหน้ารับคำเบา ๆ ชายหนุ่มยิ้มให้ ก่อนจะลูบศีรษะน้องชาย
     “งั้นตอนเย็นออกไปกินข้าวข้างนอกแล้วกัน ฉันเลี้ยงนายเอง ส่วนอาหารพวกนั้นเก็บไว้ก่อน”
     โทชิพยักหน้าอีก สีหน้าสดใสขึ้นทันตา
     โทโมยะพาน้องชายไปที่ร้านประจำของเขาโดยที่ไม่ทันคิดว่าร้านนี้ก็เป็นร้านประจำของคนในบริษัทหลายคนด้วยเหมือนกัน แล้วจำเพาะวันนี้คนพวกนั้นก็พร้อมใจกันมากินข้าวที่นี่อย่างพร้อมเพรียง โทโมยะไม่เคยบอกที่บ้านว่าเขาทำงานอะไรอยู่และไม่อยากจะบอกด้วย ดังนั้นเมื่อเปิดประตูร้านเข้ามาแล้วเจอนางิกับโช คาสุกิกับสึบาสะ มานาโตะกับฮารุมะ รวมทั้งยูตะที่มากับทาคุ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเสียแล้วที่มาทีนี่ แต่จะกลับก็ไม่ทันแล้วเพราะยูตะเห็นเขาแล้ว และโบกมือทัก ทำให้คนอื่น ๆ พลอยหันมามองเขาด้วย
     “พี่รู้จักด้วยรึครับ” โทชิถาม แต่สายตาของเขามองยูตะไม่วางตา
     “เพื่อนที่บริษัท” โทโมยะตอบสั้น ๆ โทชิเหลือบมองพี่ชายที่สีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ก่อนจะแกล้งเปรยลอย ๆ ว่า
     “จริงสินะ ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ทำงานอะไรบริษัทชื่ออะไร”
     “บริษัทธรรมดา จะอยากรู้ไปทำไม” โทโมยะตัดบท เขาเลี่ยงที่จะไม่ให้น้องชายถามคำถามต่อไปด้วยการเดินตรงเข้าไปทักทายนางิกับโชก่อนเพราะทั้งสองคนเป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่บริษัท โดยเฉพาะนางิที่ได้รับฉายาว่าฮิเมะ เป็นเจ้าหญิง หรือจริง ๆ ควรเป็นราชินีจะเหมาะกว่า เขาได้รับคำเตือนตั้งแต่วันแรกที่ทำงานที่นี่แล้วว่าต้องไม่ทำให้ราชินีพิโรธโดยเด็ดขาด ถ้าไม่อยากให้ชีวิตมีปัญหา
     “นี่โทชิครับ น้องชายผม” โทโมยะแนะนำ นางิยิ้มให้ เขามองน้องชายของรุ่นน้องด้วยสายตาพิจารณาก่อนจะชมว่า
     “โทชิคุงนี่หน้าตาดีนะ ถ้าจะให้มาทำงานที่บริษัทก็น่าจะโอเคเลย อัตสึซังกำลังหาคนอยู่ด้วยสิตอนนี้”
     โทโมยะส่ายหน้าหวือทันที
     “คงไม่ได้ครับ น้องชายของผมกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย”
     “อ้อ เหรอ น่าเสียดายจัง” นางิพูด
     “งานอะไรเหรอครับ ทำเป็นงานพิเศษได้ไหม ผมกำลังอยากหางานพิเศษทำเหมือนกันครับ”
     โทชิสนใจ ดวงตาของเขาวาววับ แต่โทโมยะรีบตัดบทเสียงห้วนทันที
     “ไม่ได้ นายกำลังจะสอบ จะทำงานพิเศษได้ยังไง เรียนไปนั่นแหละพอแล้ว”
     พูดจบชายหนุ่มก็นึกได้ว่าเขาคงหลุดปากไปตามอารมณ์มากไปหน่อย เพราะรุ่นพี่ทั้งสองมองมาด้วยสายตาแปลกใจ โทชิเองก็ชะงักไปเหมือนกันที่โดนดุ เขากัดริมฝีปากแน่น
     “ขอโทษครับ” โทโมยะก้มศีรษะ
     นางิโบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา สีหน้าแสดงความเข้าใจอะไร ๆ ขึ้นจึงยิ้มนิด ๆ พลางหันไปพูดกับโทชิด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
     “งั้นก็อย่างที่พี่ชายบอกล่ะนะโทชิคุง ตั้งใจสอบเข้าให้ได้นะ ส่วนเรื่องงานพิเศษก็เอาไว้ก่อนก็แล้วกันเนอะ”
     “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำเบา ๆ
     “พวกผมขอตัวนะครับ”
    โทโมยะถือโอกาสลา เขาดึงมือน้องชายจะไปนั่งที่โต๊ะที่ว่าง ระหว่างทางก็แวะทักคนอื่น ๆ โทชิรู้จักแค่ยูตะคนเดียว เมื่อผ่านโต๊ะของฝ่ายนั้น เขาก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพ ยูตะยิ้มตอบแล้วแกล้งถามว่า
     “นั่งด้วยกันไหมโทโมยะซัง โทชิคุง”
     ทาคุมองหน้ายูตะทันที เช่นเดียวกับโทชิที่ชักสีหน้าอย่างไม่รู้ตัว แต่โทโมยะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรและเห็นว่านั่งกับคนอื่นก็ดีเหมือนกัน เขาเห็นสายตามีคำถามของน้องชายแล้วก็อยากจะเลี่ยงการอยู่กับน้องชายตามลำพังและต้องตอบคำถามเหมือนกัน ก็เลยตกลงทันที และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่ไม่รับรู้ว่ามีบรรยากาศมาคุอยู่ที่โต๊ะมากแค่ไหน ส่วนยูตะรู้ แต่ทำเป็นไม่รู้ เขาได้คำตอบยืนยันสมมติฐานของตัวเองแล้ว
      โทชิไม่สนุกเลยแม้ว่าอาหารที่สั่งมาจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม เขาตั้งใจว่าจะมาฉลองกับพี่ชายแค่สองคน ไม่คิดว่าจะต้องมานั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่น แถมคนนั้นยังเป็นยูตะซังอีกด้วย เด็กหนุ่มได้แต่เขี่ย ๆ อาหารในจาน และไม่ยอมพูดอะไร ยกเว้นถูกถามซึ่งก็ตอบอย่างประหยัดถ้อยคำที่สุด
     “นายเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า วันนี้ไม่ค่อยกินอะไรเลย สีหน้าก็ไม่ค่อยดี”
     โทโมยะถาม เมื่อเดินออกมาจากร้าน ความจริงยูตะชวนเขาไปหาอะไรดื่มกันต่อ แต่ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะเห็นหน้าบอกบุญไม่รับของน้องชายแล้วก็รู้ว่าโทชิไม่อยากไปแน่ ๆ
     โทชิตอนนี้อยู่ในอารมณ์งอน เมื่อพี่ชายถาม เขาก็เลยไม่ตอบ แต่สะบัดหน้าพร้อมกับเร่งฝีเท้าหนี โทโมยะเร่งฝีเท้าตาม
     “โทชิ เฮ้ นายเป็นอะไรไปน่ะ”
     โทชิไม่ยอมตอบ เขาไม่พูดกับพี่ชายไปจนกระทั่งถึงบ้าน และพอเข้าไปในห้องได้ โทชิก็ขึ้นไปนอนคลุมโปงอยู่บนโซฟาที่ปรับเป็นเตียง ไม่ยอมขานรับเสียงเรียกของพี่ชายแม้แต่ครั้งเดียว
     “โทชิ” โทโมยะเรียกอีก “โทชิ นายอย่างอนเป็นเด็ก ๆ ได้ไหม ไม่น่ารักเลย”
     “ก็ไม่ต้องรักสิ” เสียงของโทชิสวนขึ้นมาจากโปง
     “เฮ้ มีอะไรก็ลุกขึ้นมาพูดกันดี ๆ” โทโมยะนั่งลงบนโซฟา เขาเขย่าเรียกน้องชาย เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจดึงผ้าห่มออก
     “อ๊ะ เอาคืนมานะ” โทชิร้องลั่น เขาพยายามจะคว้าผ้าห่มคืน แต่โทโมยะขว้างผ้าห่มทิ้งไปบนพื้นห่างตัวเกินกว่าจะเอื้อมถึงแล้ว
     “ว่ายังไง วันนี้นายเป็นอะไร ไม่พอใจอะไร”
     โทชิเม้มปาก แล้วพอพี่ชายคาดคั้นมาอีก เด็กหนุ่มจึงโพล่งออกมาว่า
     “ถ้าพี่ไม่อยากพาผมไปแต่แรกพี่ก็บอกผมสิ ไม่ใช่ทำแบบนี้”
     “ทำอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
     “ก็ผมคิดว่าเราจะไปกินข้าวกันสองคน แต่พี่ก็กลับไปเจอยูตะซัง พี่ชอบเขาใช่ไหม พี่ชอบยูตะซังใช่ไหม”
     “เฮ้ย นายไปเอามาจากไหน” โทโมยะร้องด้วยความประหลาดใจ
     “ก็พี่สนิทสนมกับยูตะซังยังกับอะไร ผมเห็นนะ ยูตะซังชวนไปไหน พี่ไม่เคยขัดเลย แถมวันนั้นยูตะซังยังมาส่งพี่ที่บ้านด้วย”
     “ไปกันใหญ่แล้ว” โทโมยะเกาศีรษะ “ฉันไม่ได้ชอบยูตะ นายไปเอาความคิดนี้มาจากไหน ฉันจะไปชอบผู้ชายได้ยังไงกัน ก็แค่เพื่อนร่วมงาน”
     “เพื่อนร่วมงานแบบไหนกันครับ ทำไมสนิทกันขนาดนั้น” น้องชายคาดคั้น
     โทโมยะชักลำบากใจ และพอเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร ชายหนุ่มก็เลือกที่จะตัดบท
     “ก็เพื่อน นายอย่าถามมากนักเลยน่ะ”
     “เพื่อนแบบไหนล่ะ” โทชิไม่ยอมแพ้ เขาโมโหจนเผลอเหวี่ยงใส่พี่ชายอย่างที่ไม่เคยทำ
     ความจริงแล้วมันมากกว่าคำว่าโมโหสำหรับความรู้สึกของเขาในตอนนี้
     “พอได้แล้วนะโทชิ” โทโมยะขึ้นเสียง “ถ้านายทำตัวแบบนี้เห็นทีเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วนะ”
     “พี่ยอมรับไม่ได้งั้นเหรอที่ผมจะรู้ว่าพี่ชอบยูตะซัง ผมรู้นะว่าพี่ชอบผู้ชาย และผมก็รู้ว่าพี่ทำงานอะไร พี่จะปิดบังผมไปถึงไหนกัน!”
     โทชิขึ้นเสียงเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
     โทโมยะโกรธที่โดนน้องชายพูดความจริงใส่หน้าจนลืมตัวและตบหน้าโทชิไปฉาดใหญ่
     โทชิเอามือกุมแก้ม น้ำตาคลอตา
     “เอ้อ...ฉัน...” โทโมยะพูดอะไรไม่ออก เขาอาจจะเคยแกล้งน้องชายไว้มากเมื่อสมัยก่อน แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือ ไม่ว่าจะต่อยหรือตบหน้าอย่างคราวนี้ เมื่อเห็นรอยแดงที่แก้มน้องชาย เขาจึงรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
     “โทชิ...”
     เด็กหนุ่มสะบัดตัวออกห่าง น้ำตาคลอเต็มสองตาเมื่อตะโกนใส่หน้าพี่ชายว่า
     “ทำไมพี่ต้องทำงานแบบนี้ด้วย ทำไมพี่ต้องมีคนอื่นที่ไม่ใช่ผม!”
     พูดจบเด็กหนุ่มก็หันหลังวิ่งออกไปจากห้อง
     โทโมยะไม่ได้วิ่งตามออกไปในทันที เขายืนตะลึง และเมื่อทบทวนสิ่งที่น้องชายพูด เขาก็รู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
     โทชิพูดอย่างนั้นหมายความว่ายังไง
     หึงเขางั้นหรือ หึงเขากับยูตะ
     โทชิชอบเขา ชอบพี่ชายตัวเองอย่างนั้นหรือ
     โทโมยะรู้สึกสับสน เขาเอ็นดูโทชิ ตัวเองก็รู้ดีจนต้องออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ และคิดว่าตัวเองอาจจะไม่ได้เจอกับน้องชายคนนี้อีกแล้ว เขาอุตส่าห์ตัดใจได้ไม่ใช่หรือไง
     ทำไมมันกลายเป็นอย่างนี้ไปได้อีก
     ชายหนุ่มรีบวิ่งตามโทชิออกไปทันที
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 Tomoya x Toshi (updated)
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 28-08-2014 15:23:45
สร้างรักครั้งที่หก: Tomoya x Toshi (จบ)


     โทชิวิ่งไปอย่างไม่รู้จุดหมาย เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไปไหนดี รู้แต่ว่าต้องหนีออกมาจากสภาพอันน่ากระอักกระอ่วนใจนั่น เขาต้องหาที่ที่ตัวเองจะสงบจิตใจได้ แต่เป็นที่ไหนดี
     “โทชิคุง” เสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง “โทชิคุงไม่ใช่เหรอนั่น”
     “ยูตะซัง” เด็กหนุ่มตกใจเมื่อหันไปเจอชายหนุ่มที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุด ยูตะเดินมากับคนที่อยู่ด้วยที่ร้านอาหาร รู้สึกว่าจะชื่อทาคุ
     “มาทำอะไรที่นี่ล่ะ ฉันนึกว่านายกลับไปกับโทโมยะซังแล้วซะอีก”
     ยูตะถาม ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายร้องไห้
     “นายเป็นอะไรรึเปล่า หรือทะเลาะกับโทโมยะซัง”
     เจอคำถามจี้ใจดำแบบนี้ โทชิน้ำตาร่วงทันที เขาเดินเข้าไปกอดยูตะแล้วร้องไห้
     “โทชิคุง” ยูตะเรียก เขาหันไปมองคนที่มาด้วยเป็นเชิงขอความเห็น ทาคุจึงเสนอว่า
     “กลับบ้านก่อนเหอะ ยืนพูดกันตรงนี้ไม่ดีหรอกมั้ง อากาศก็หนาว”
     ยูตะโอบไหล่โทชิที่ยังร้องไห้ไม่ยอมหยุดไว้พร้อมกับชวนว่า
     “เอายังงี้ นายไปที่ห้องฉันก่อน สบายใจเมื่อไหร่ค่อยกลับนะ ตกลงไหม”
     เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเบา ๆ
     โทชิตามยูตะกับทาคุไปที่ห้องซึ่งอยู่ละแวกใกล้เคียงกับอพาร์ตเม้นท์ของโทโมยะ เขากล่าวคำขอบคุณเมื่อรับถ้วยกาแฟร้อน ๆ มาจากยูตะที่นั่งลงตรงกันข้าม
     “ทะเลาะกับโทโมยะซังเหรอ”
     ยูตะถาม
     โทชิพยักหน้ารับ เขาใช้สองมือประคองถ้วยกาแฟเพื่อให้ความร้อนช่วยทำให้มืออุ่น แต่ยังไม่ยอมดื่ม
     “เรื่องฉันรึเปล่า”
     โทชิพยักหน้าอีกครั้ง
     ยูตะถอนหายใจ แล้วเขาก็บอกว่า
     “ฉันไม่ได้ชอบโทโมยะซังหรอกนะ พี่ชายนายก็ไม่ได้ชอบฉันเหมือนกัน ฉันมีคนที่ฉันชอบอยู่แล้ว” พูดจบก็หันไปหาคนที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ห่างออกไป เมื่อสบตากัน ทาคุก็ลุกจากเก้าอี้ตรงมาหา และจูบยูตะที่ริมฝีปาก
     โทชิไม่ได้ตกใจ เขาแค่มองอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะถามเสียงแผ่วเบาว่า
     “ยอมได้เหรอครับ”
     ยูตะกับทาคุหันมามองเป็นเชิงถาม เด็กหนุ่มจึงพูดเสียงดังขึ้นอีกนิด
     “พวกคุณยอมให้คนรักไปมีอะไรกับคนอื่นได้หรือครับ พวกคุณยอมได้ยังไง”
     ยูตะกับทาคุสบตากันอีกครั้ง สายตาที่มองกันและกันเต็มไปด้วยความรัก แล้วทาคุก็พยักหน้า ยูตะจึงเป็นฝ่ายตอบว่า
     “เพราะเราเข้าใจกันล่ะมั้ง สิ่งที่พวกเราทำมันเป็นงานน่ะโทชิคุง นายยังเด็ก อาจจะไม่เข้าใจ แต่สำหรับพวกเรา เซ็กซ์คืองาน แล้วมันก็ไม่สำคัญเท่าความรู้สึกกับความเข้าใจ ฉันเข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เข้าใจสิ่งที่ทาคุทำ ทาคุก็เข้าใจเหมือนกัน เรารักกัน เรื่องอื่นมันก็เลยไม่สำคัญ”
     “ผมก็ต้องเข้าใจพี่ด้วยใช่ไหม”
     “มันยาก ฉันเข้าใจ ปกติเรื่องแบบนี้ก็คงเข้าใจกันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก ถ้านายไม่ชอบ นายก็ต้องคุยกับโทโมยะซัง แล้วขอให้เขาเลิกก็ได้นี่ จริง ๆ ฉันคิดว่าโทโมยะซังก็ไม่ได้ชอบสิ่งที่ทำอยู่เท่าไหร่นักหรอก แต่บางครั้งเพื่อการใช้ชีวิตอยู่ให้รอดก็อาจจะต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง นายคงรู้ใช่ไหม”
     โทชิพยักหน้า เขารู้ว่าพี่ลำบากเมื่อต้องแยกออกมาอยู่คนเดียว และเขารู้ว่างานแบบนี้มันได้เงินดีมากแค่ไหน
     “พี่เค้าจะยอมเลิกเหรอครับ”
     “เพื่อโทชิคุง เขาอาจจะยอมก็ได้นะ เรื่องแบบนี้ต้องลองดู”
     เด็กหนุ่มส่ายหน้า
     “ผมไม่ได้สำคัญกับพี่มากขนาดนั้นหรอกครับ พี่ไม่เคยสนใจผมเลยสักนิด”
     ยูตะมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาค้นคว้า โทชิเลิกร้องไห้แล้ว แต่น้ำตายังเต็มหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยใจเมื่อพูดถึงพี่ชายตัวเอง
     “นายชอบโทโมยะซังใช่ไหม นายชอบพี่ชายตัวเอง” ยูตะตัดสินใจถาม
     “ผมกับพี่ไม่มีสายเลือดเดียวกัน พ่อของพี่แต่งงานกับแม่ของผม”
     “ยังงี้นี่เอง”
     ยูตะฟังแล้วโล่งอก ก่อนจะพูดต่อว่า
     “งั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่ นายลองกลับไปปรับความเข้าใจกับโทโมยะซังดู ฉันจะโทรบอกเขาว่านายอยู่ที่นี่ ป่านนี้เป็นห่วงแย่แล้วล่ะ”
     “ไม่เอานะครับ” โทชิรีบค้านทันที เขามีสีหน้ายุ่งยากใจ
     “ผมเพิ่งสารภาพรักกับพี่ ผมไม่กล้ามองหน้าพี่ตอนนี้หรอกครับ ยูตะซัง ให้ผมค้างที่นี่สักคืนได้ไหมครับ นะครับ”
     ยูตะลังเล เขาหันไปหาทาคุซึ่งกลายเป็นคนคลี่คลายสถานการณ์ให้ด้วยการพูดหน้าตาเฉยว่า
     “ไม่ได้หรอก ฉันส่งข้อความบอกโทโมยะซังไปแล้วล่ะว่านายอยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
     โทชิตาค้าง แต่เขายังไม่ทันจะตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือไปที่อื่นดี เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น ทาคุเดินไปเปิดประตูให้โทโมยะเข้ามาข้างใน
     “ขอโทษด้วยนะที่โทชิมารบกวน”
     โทโมยะพูด เขาหันไปทางเด็กหนุ่มที่ก้มหน้างุด
     “โทชิ กลับได้แล้ว”
     เด็กหนุ่มไม่ยอมขยับตัว โทโมยะถอนหายใจ ก่อนจะตรงไปดึงตัวน้องชายให้ลุกขึ้นแล้วแบกร่างของโทชิพาดบ่า เด็กหนุ่มร้องลั่น
     “จะทำอะไรน่ะ ปล่อยผมลงนะ”
     โทโมยะไม่ตอบ เขาหันไปขอโทษทาคุกับยูตะอีกครั้ง ก่อนจะแบกร่างของน้องชายเดินออกมาจากห้อง โทชิไม่กล้าตะโกนแล้วเมื่ออยู่ข้างนอก เพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน แต่เขาดิ้นและเตะจนโดนโทโมยะสำทับเสียงแข็งให้เลิกทำ พอเขาไม่เชื่อและยิ่งดิ้น โทโมยะก็ฟาดก้นเขาดังเผียะ
     โทชิเลิกดิ้นทันที เขายอมให้พี่ชายอุ้มเข้ามาในห้อง และโยนตัวเขาลงไปบนเตียง
     “เด็กบ้า เลิกทำให้ฉันเป็นห่วงสักที” ชายหนุ่มดุ
     โทชิเม้มปากแน่น
     “เมื่อก่อนนายออกจะน่ารัก ว่าง่าย ไม่ดื้อ คอยตามฉันแจ ถึงจะถูกฉันแกล้ง นายก็คอยแต่วิ่งตามฉัน พอโตแล้วนี่เปลี่ยนไปนะ กลายเป็นฉันที่วิ่งตามนายซะแล้ว” โทโมยะรำพึง
     “เราเป็นพี่น้องกันนะโทชิ”
     “ไม่ได้เป็นจริง ๆ สักหน่อย” โทชิพูดอย่างดื้อดึง
     โทโมยะพูดต่อว่า
     “รู้รึเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้ ยูมิซังจะต้องเสียใจ พ่อจะต้องโกรธมาก คนรอบตัวเราจะต่อต้าน นายพร้อมไหมล่ะ”
     ชายหนุ่มเอื้อมไปจับมือน้องชายไว้
     “นายพร้อมจะยอมรับทุกอย่างไหม ถ้าอยากจะคบกับฉัน”
     โทชิตะลึงงัน แต่เมื่อริมฝีปากของโทโมยะสัมผัสกับริมฝีปากของเขา เด็กหนุ่มก็รู้ตัวว่าเขาไม่ได้ฝันไป โทชิโผเข้ากอดพี่ชายทันทีและพูดซ้ำ ๆ ว่า
     “ผมยอมทุกอย่าง พี่ครับ ผมยอมทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้อยู่กับพี่”
     โทโมยะจูบน้องชายอีกครั้ง ก่อนจะดันร่างของโทชิให้นอนลงบนเตียง
     เด็กหนุ่มไม่กล้าสบตากับพี่ชาย หน้าของเขาแดงซ่านตัดกับร่างเปลือยเปล่าขาวโพลนที่นอนอยู่ต่อหน้าโทโมยะ และเมื่อชายหนุ่มพรมจูบไปทั่วทั้งตัว โทชิก็ได้แต่หลับตาแน่น เขายอมให้พี่กอดและปลุกเร้าด้วยมือและริมฝีปาก เด็กหนุ่มครางไม่หยุดเมื่อนิ้วของพี่สอดเข้าไปข้างใน
     “พี่ครับ” โทชิเรียกไม่ขาดปาก เด็กหนุ่มกอดพี่ชายแน่นเมื่อโทโมยะจูงมือเขาเข้าไปในดินแดนที่เด็กหนุ่มเพิ่งได้เคยรู้จัก
     โทชิขยับตัวตามแรงของโทโมยะ เขาเจ็บจนร้องไห้ แต่เสียงกระซิบปลอบประโลมและคำบอกรักของพี่ทำให้เขาอดทนต่อไปจนไปถึงสุดปลายทาง อะไรบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่มแตกพร่า เขานอนหอบอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายที่ยังคงอยู่ในตัวของเขา
     “พี่ครับ” เด็กหนุ่มเรียกอย่างไม่แน่ใจ โทโมยะยิ้มให้ เขากอดร่างน้องชายแน่นแล้วประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากนุ่มของโทชิอีกครั้ง มือของชายหนุ่มสัมผัสตัวของน้องชาย เขาขยับตัวอีกครั้งและพาให้โทชิไปพร้อมกันกับเขาอีกครั้ง ก่อนจะหมดแรง  ผล็อยหลับไปพร้อมกันทั้งคู่

     เช้าวันนั้นเป็นเช้าที่โทชิทำใจได้ยากที่สุดเมื่อตื่นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของพี่ชาย ร่างกายเปลือยเปล่า เมื่อคืนเขาหลั่งออกมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ดูเหมือนว่าแค่สายตา มือ หรือว่าปากของพี่ แค่แตะต้องร่างกายของเขา แค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว
เขาจะมองหน้าพี่ชายได้ยังไง เมื่อคืนเขาครางเสียงดังลั่นอย่างกับผู้หญิง แถมยังเรียกชื่อพี่ไม่ขาดปากอีกต่างหาก
     ระหว่างที่กำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ อ้อมแขนที่โอบเขาไว้หลวม ๆ ก็รัดแน่นขึ้น เขารู้สึกถึงริมฝีปากที่ไล้เลียอยู่ที่หู ระลงมาที่แก้ม คาง และไหล่
     “พี่...พี่ครับ” เด็กหนุ่มอึกอัก
     “คิดอะไรอยู่”
     “ผม..ผม..” เด็กหนุ่มพูดไม่ถูก แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจ เขาจับน้องชายพลิกตัวให้หันมาเผชิญหน้ากัน โทชิค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
     โทโมยะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
     “พี่” เด็กหนุ่มเรียก เขามองพี่ชายเต็มตาในที่สุด คราวนี้ไม่ปิดบังสายตาตัวเองอีกต่อไป
     โทโมยะส่ายหน้า เขาบอกว่า
     “เรียกโทโมยะสิ ฉันไม่ใช่พี่นายอีกต่อไปแล้ว”
     “เอ้อ...แต่ว่า” เด็กหนุ่มลังเล “พี่...”
     ริมฝีปากของโทโมยะประกบกับริมฝีปากของโทชิทันที ลิ้นของเขาแทรกเข้าไปพร้อมกัน
     “ถึงขนาดนี้ ฉันก็เป็นพี่นายไม่ได้อีกแล้ว”
     โทโมยะยิ้มให้โทชิที่ตอนนี้หน้าแดงไปถึงหู
     “โทชิ” ชายหนุ่มเรียก แล้วก็นิ่ง รอ
     ในที่สุด เสียงใส ๆ ก็ลอดออกมาจากริมฝีปากของคนตรงหน้า เรียกชื่อของเขา
     “โทโมยะ”
     ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้เป็นรางวัล
     เขายังไม่ยอมปล่อยตัวโทชิ ชายหนุ่มบอกว่า
     “มะรืนนี้ฉันจะกลับบ้าน ไปบอกพ่อกับยูมิซังเรื่องของเรา โทชิ นายจะมาอยู่ที่นี่กับฉันไหม เราอาจจะลำบากนิดนึงนะ แต่ฉันสัญญาว่าจะดูแลนาย”
     โทชิกอดตอบ น้ำเสียงหนักแน่นเมื่อตอบพี่ชายว่า
     “ผมไม่เป็นไร ต่อให้ลำบากแค่ไหนผมก็ทนได้ ผมจะทำงานด้วย แต่...” เด็กหนุ่มนิ่ง เขากำลังคิดถึงงานของโทโมยะและคำพูดของยูตะ แต่โทโมยะก็ดูจะเดาได้
     “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะเลิกทำงานนั้นแล้วล่ะ ความจริงฉันก็คิดจะเลิกอยู่แล้ว จำที่นางิซังพูดได้ไหมว่าบริษัทกำลังหาคนอยู่ นั่นแหละ เค้ากำลังหาคนที่จะมาแทนฉัน โปรเจ็คท์กับยูตะเป็นโปรเจ็คท์สุดท้ายที่ฉันจะเล่น”
     “จริงเหรอครับ” โทชิเงยหน้าขึ้นสบตากับโทโมยะ
     ชายหนุ่มพยักหน้า
     “ขอโทษนะที่ชอบทำให้ไม่สบายใจ”
     เด็กหนุ่มส่ายหน้าแรง ๆ
     “ไม่เป็นไรเลย แค่โทโมยะอยู่กับผมก็พอแล้ว”
     ชายหนุ่มดึงตัวโทชิเข้ามากอดอีกครั้ง
     “เราอาจจะต้องเจอปัญหาอีกเยอะเลยนะ นายจะสู้ไปกับฉันใช่ไหม”
     “ครับ ผมจะสู้ ผมจะอยู่กับโทโมยะ”
     โทชิให้สัญญา เขามั่นใจว่าทำได้ เมื่อคืนตอนที่ตื่นขึ้นมากลางดึก พี่ให้เขาดูอะไรบางอย่าง
     หนังสือการ์ตูนเก่าที่เขาติดมากสมัยเด็ก ๆ พี่รู้ว่าเขารักการ์ตูนนินจาชุดนี้มากแค่ไหน แต่พี่ก็แกล้งด้วยการฉีกมันทิ้ง เขาร้องไห้เสียใจอยู่หลายวัน แต่เขาก็ไม่โกรธพี่ เพราะในช่วงที่เขาเสียใจและไม่ยอมพูดกับพี่นั้น เขากลับรู้สึกทรมานกว่าการไม่ได้อ่านการ์ตูนหลายเท่า โทชิบอกว่าเขาผิดเอง เขายอมเสียสิ่งที่เขารัก แต่ไม่ยอมเสียโทโมยะไป
     การตัดสินใจของโทชิในตอนนั้นกระทบใจโทโมยะอย่างมากมาย เขาจึงพยายามชดเชยให้ด้วยการพยายามหาการ์ตูนชุดนี้มาคืน ซึ่งกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังหาได้ไม่ครบ แต่แค่นี้โทชิก็ดีใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรถูกแล้ว 
     เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับอกกว้างของพี่ชายที่เขารักมาตลอด ตอนนี้โทโมยะไม่ใช่พี่ชายแล้ว แต่เป็นคนรักของเขา
และเราะจะสู้ไปด้วยกัน



     .................
     จบ SS1 แล้วค่ะ ฟิคเรื่องแรก ถึงจะเป็นตอนสั้น ๆ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขียนอะไรได้จนจบ ดีใจอะ  :mc4:
     ขอบคุณเพื่อน ๆ สำหรับคอมเม้นท์ติชมและให้กำลังใจนะคะ ถ้าเขียน SS2 ได้ จะเอามาให้อ่านกันอีกเนอะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-08-2014 18:40:05
สนุกทุกเรื่องเลยจ๊ะ
แอบหมั่นไส้ฮิคารุเล็กๆ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 28-08-2014 19:09:53
อยากใส่รูป แต่ใส่ไม่เป็นอะค่ะ ใครช่วยสอนเราหน่อยนะคะ Please
กดตรงช่องใส่รูปแล้ว แต่ไม่รู้จะเอารูปจากคอมพ์ใส่เข้าไปยังไง  :sad4:
ถ้าใส่รูปแล้วเราแจ้งย้ายเลยเนอะ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: black sakura ที่ 29-08-2014 09:01:04
อยากเห็นรูปแล้ว....อิอิ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-08-2014 10:11:58
เจอช่องแนบไฟล์แล้ว ลองดูก่อนเนอะว่าได้ไหม
รูปแรก Nagi x Sho x Hikaru


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-08-2014 10:27:59
แนบหลายไฟล์ละมีปัญหา
ค่อย ๆ แนบไปทีละไฟล์แล้วกันเนอะ

คู่แรก Atsushi x Tsubasa
อยากหยิกแก้มน้องเคะมาก คู่นี้เคมีพุ่งมากค่ะ

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-08-2014 10:33:27
คู่ที่สอง Teppei x Eiji
เห็นน้องผ้าพันคอส้มแวบแรก ดิฉันก็ตกหลุมรักทันทีค่ะ
เราชอบเวลาน้องเข้าฉากกับ T san มากก็เลยออกมาเป็นฟิคของคู่นี้แหละค่ะ ไม่รู้จักชื่อจริงของ T san ก็เลยตั้งให้ใหม่

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 29-08-2014 10:35:15
บอกตามตรงเลย รู้จักคู่เดียว โช-นางิ
ที่เหลือไม่รู้จักอ่ะ >.<"
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-08-2014 10:54:15
คู่ที่สาม Kazuki x Tsubasa

เราชอบแกล้งคนที่เราชอบ งานนี้สึบาสะเลยรับบทหนักค่ะเพราะเราชอบสึบาสะมาก
แต่ในบรรดาโมเดล เราอยากเจอสึบาสะคนนี้มากที่สุดนะ เป็นผู้ชายที่เราอยากกอดมาก

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-08-2014 11:23:12
คู่ที่สี่ Daichi x Sora
คู่จิ้นรักสัตว์ เลยจับโซระมาเป็นกระต่ายซะเลย เป็นกระต่ายยักษ์ เพราะเตี้ยกว่าไดจินิดเดียวเองค่ะ

คู่ที่ห้า Tomoya x Toshi
คู่พี่น้องจาก Incest Mania เป็นคู่ที่เคมีพุ่งเหมือนกันค่ะ ออกมาหลายเรื่องมาก ตามดูกันเพลินเลยค่ะ

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" 2ุ8814/P3 จบคู่ Tomoya x Toshi
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-08-2014 11:27:03
สุดท้ายงานลำเอียงค่ะ คนโปรดตลอดกาลของดิฉัน ฮิคารุจัง
โดนคนเขียนแกล้งซะไม่มีดี (ฮา)


ขอบคุณเพื่อน ๆ อีกครั้งนะคะที่เข้ามาอ่านฟิคของเรา
สำหรับตอนนี้ก็ขอจบ Season 1 ไว้แค่นี้ค่ะ

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 29-08-2014 12:39:52
 :m15:
ฮิคารู้ววววววว  คนนี้นี่เองง
ในที่สุดก็รู้ชื่อ555
เพราะตั้งแต่เห็นครั้งแรกเมื่อนานมาแล้วก็จำหน้าได้เลย
ดูมีเล่ห์เหลี่ยม ในคราบคนธรรมดา55
ชอบดูนางกำลังโดนจิ้ม
เหมือนโดนสยบ55
ตรงข้ามคนแต่งที่ชอบให้นางแกล้งใช่มั้ยเนี่ย     :hao7:
เสียดาย ลืมชื่อเรื่องนั้นไปแล้ว แต่มาครบสามคนนะ  :ling1:
สงสัยต้องเปิดกรุ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Mettnoon ที่ 29-08-2014 13:12:40
:m15:
ฮิคารู้ววววววว  คนนี้นี่เองง
ในที่สุดก็รู้ชื่อ555
เพราะตั้งแต่เห็นครั้งแรกเมื่อนานมาแล้วก็จำหน้าได้เลย
ดูมีเล่ห์เหลี่ยม ในคราบคนธรรมดา55
ชอบดูนางกำลังโดนจิ้ม
เหมือนโดนสยบ55
ตรงข้ามคนแต่งที่ชอบให้นางแกล้งใช่มั้ยเนี่ย     :hao7:
เสียดาย ลืมชื่อเรื่องนั้นไปแล้ว แต่มาครบสามคนนะ  :ling1:
สงสัยต้องเปิดกรุ

มาสามคน นางิ โช ฮิคารุ ใช่ไหมคะ งั้นน่าจะเป็น Luxe โปรเจ็คท์สุดโปรดของเราค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Adoreyou ที่ 29-08-2014 14:21:15
เราชอบคู่ คิคุจิกับโทชิมากค่าาา หลังจากได้ดู My Sweet Devil  แล้วก็ติดตามมาตลอด  :sad4:

คิดถึงคู่นี้มากกกกก เคมีพุ่งสุด ๆ ดูแล้วเขินมากกกกก
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: poohanddew ที่ 02-09-2014 01:08:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 20-09-2014 10:46:59
ฮิคารุนิสัยไม่ดีเลย ล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น ถึงจะอยากแค่สั่งสอนก็เถอะนะ

สงสารไดจิ
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 18:48:29
 :mew1:
หัวข้อ: Re: [JGV FanFic] "The Company - บริษัทสร้างรัก" (SS1 end) ย้ายได้เลยค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 20-03-2024 10:20:16
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 42บ./1วัน กด *104*68*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)