มือของผมที่กำลังดึงกางเกงของเขาลงไปกองที่ตาตุ่มหยุดลงทันที ผมเงยหน้ากลับขึ้นไปมองดวงตาของเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“พี่ว่าไงนะ”
“กูบอกว่ากูอยากให้มึงเอากู ไม่ได้ยินรึไง”
“พี่พูดจริงอะ”
“จริง”
“ไม่”
เขาชักสีหน้าทันที “มึงจะปฏิเสธกูรึไง”
“ก็ใช่อะดิ ผมจะไม่ยอมให้พี่ทำแบบนั้นเพราะแค่พี่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำหรอกนะเว้ย”
“มึงเอาอะไรมาพูดวะ ไม่ได้ฟังที่กูเพิ่งบอกไปรึไง กูบอกว่ากูอยากให้มึงเอากู มึงเข้าใจภาษาคนรึเปล่าวะเนี่ย”
“ผมเข้าใจภาษาคนทุกอย่างนั่นแหละ และพี่ก็เคยบอกผมด้วยว่าพี่รู้สึกติดค้างผมอยู่ พี่อยากจะตอบแทนผม ซึ่งผมไม่เคยคิดและไม่เคยต้องการแบบนั้น พี่ต่างหากที่ไม่เข้าใจภาษาคนรึไง”
เขาชันตัวขึ้นนั่ง “นี่มันเหี้ยอะไรวะเนี่ย! เฮ้ย! นี่กูกำลังบอกให้ผู้ชายอีกคนเอาตูดกูเป็นครั้งแรก แต่มึงกลับปฏิเสธเนี่ยนะ! มึงไม่คิดบ้างรึไงว่ากูต้องใช้ความกล้าขนาดไหนถึงจะพูดแบบนั้นออกไปได้น่ะ กูคิดว่ามึงอยากจะเอากูมาตั้งนานแล้วซะอีก!”
“ไอ้อยากน่ะมันก็อยากอยู่หรอก แต่ผมแค่อยากให้พี่แน่ใจจริงๆ ว่าพี่ต้องการแบบนั้น ไม่ใช่แค่พูดเพราะอยากชดเชยอะไรให้ผม หรือรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำเพื่อให้ผมรู้สึกดีอะไรแบบนั้น”
“ไม่ใช่มึง แต่เป็นกูต่างหากที่อยากรู้สึกดี มึงไม่เข้าใจรึไงวะ เวลามึงโดนกูเอา กูเห็นมึงก็เสียว มีความสุขตลอด แล้วถ้ากูอยากจะลองรู้สึกแบบนั้นบ้างไม่ได้รึไงวะ และที่สำคัญ จำไว้ด้วยว่ากูไม่คิดอยากจะไปลองกับใครคนอื่นนอกจากกับมึง!”
ผมนั่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการจะตอบแทนอะไรผมมากไปกว่าอยากจะลองรู้สึกถึงความสุขแบบที่ผมเคยรู้สึกเวลาเขาทำผมบ้างเท่านั้นเอง และสิ่งที่ทำให้ผมพูดไม่ออกมากที่สุดคือการที่เขาบอกว่าเขาอยากให้ผมเป็นคนแรก และเป็นคนๆ เดียวที่จะมอบความสุขนั้นให้แก่เขาด้วย
“ช่างแม่ง! กูไปหาเอาจากคนอื่นก็ได้วะ!” เขาคำรามเบาๆ พลางทำท่าจะลุกออกจากเตียง
“ตลกแล้ว” ผมรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ “ผมขอโทษ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ”
“กูไม่ต้องการคำขอโทษ แต่กูต้องการอย่างอื่น ไม่เข้าใจรึไง”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมขอโทษ เมื่อกี้ผมแค่คิดว่าพี่อาจจะแค่อยากทำแบบนั้นเพียงเพราะอยากจะชดใช้ให้ผมสำหรับ...”
“แล้วไง มันจะผิดอะไรนักหนากับการอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อคนที่ทำสิ่งดีๆ ให้แก่กูมาแล้วเยอะแยะวะ” เขาขัดขึ้น “มึงเองก็ทำแบบนั้นเพื่อกูมาตลอดไม่ใช่รึไง”
“เรื่องนั้นมันก็จริง...”
“พรุ่งนี้กูก็ไม่อยู่แล้วนะ พลุ ถึงกูจะไม่ได้พูดออกไป แต่กูก็รู้ดีว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก หรือครั้งหน้ากูอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาแบบมีลมหายใจก็ได้” เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ไอ้พลุ กูอยากทำแบบนี้กับมึง แค่มึงคนเดียว กูอยากทำเพื่อเราสองคน กูอยากให้มีอะไรบางอย่างพิเศษติดไปกับกูด้วย และก็อยากทิ้งบางอย่างที่พิเศษไว้กับมึงเหมือนกัน... เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่แค่การตอบแทนตื้นๆ พรรค์นั้นหรอกนะ เข้าใจรึเปล่า”
“ผมเข้าใจแล้ว และผมก็ดันโง่เองที่ทำลายความรู้สึกของพี่ ผมขอโทษ...” ผมพูดเสียงแผ่วเบาจนแทบเป็นการกระซิบ ผมแทบจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อแล้วด้วยซ้ำ แต่แล้วผมก็รู้สึกมือของเขาที่วางลงบนไหล่ของผม
“อยากเริ่มใหม่มั้ยล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ปกติกูไม่ค่อยให้โอกาสผู้ชายเอาตูดกูเป็นครั้งที่สองหรอกนะ แต่กับมึงกูยกเว้นให้” รอยยิ้มและคำพูดติดตลกของเขาทำให้ความตึงเครียดจางลง
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจึงโน้มตัวเข้าหาเขา “เป็นเกียรติมากครับ คุณรติบดี”
เขาหัวเราะและกอดรัดตัวผมลงไปกลิ้งบนเตียง จากนั้นก็คว้ามือเข้าจับและขยำไอ้น้องชายของผม เมื่อมันเริ่มแข็งตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ดึงกางเกงของผมลง ผมเตะมันออกไปจากตัวและจัดการทำแบบเดียวกันกับเขา ผมเลื่อนตัวลงใช้ปากให้กับเขาจนกระทั่งไอ้น้องชายของเขาแข็งตัวจนสุด
“ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว เอากูเลยเถอะ” เขาพูดเสียงกระเส่า
ผมยังคงใช้ลิ้นเลียท่อนลำของเขาพลางใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยที่ประตูหลังของเขาเบาๆ อยู่ตลอด เขาส่งเสียงครางอย่างไม่ขาดสาย จนในที่สุดความอดทนของเขาก็หมดลง
“พอได้แล้ว! เดี๋ยวกูก็แตกก่อนหรอก รีบๆ เอากูสักทีสิวะ!” เขาพูดพร้อมยกตัวขึ้นจับข้อมือผมไว้แน่น
ผมยิ้มให้เขาก่อนจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปหยิบเจลล่อหลื่นกับถุงยางออกจากกระเป๋าของเขา จากนั้นก็เริ่มทาเจลหล่อลื่นลงบนประตูหลังของเขาพร้อมกับใช้นิ้วชี้สอดใส่เข้าไปอย่างช้าๆ เขาแอ่นหน้าอกขึ้นพร้อมกับส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ ผมพอบอกได้จากสีหน้าว่าเขาคงจะรู้สึกเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมส่งเสียงโอดโอยหรือบอกให้ผมหยุดแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งเมื่อผมเริ่มสอดนิ้วที่สามเข้าไปแล้ว เขาก็ยังคงกัดฟันและคอยช่วยตัวเองไปด้วยอยู่ตลอดเวลา จนผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสีหน้าเหยเกของเขานั้น เขากำลังเจ็บหรือเสียวอยู่กันแน่
“พร้อมรึยัง” ผมถาม
“ใส่เข้ามาได้เลย พร้อมนานแล้ว” เขาตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า
“โอเค” ผมตอบรับพร้อมกับจับส่วนหัวน้องชายจ่อเข้าที่ประตูหลังของเขา
“ไม่ต้องกลัวกูเจ็บ” เขาพูดย้ำ
ผมรู้ว่าเขาคงไม่ยอมให้ผมปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นคนบอบบางคนหนึ่งอยู่แล้ว และผมก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงสอดใส่ท่อนลำเข้าไปในประตูหลังของเขารวดเดียวจนมิดด้าม เราสองคนต่างก็ร้องครางออกมาเสียงดังเป็นจังหวะเดียวกัน
“ซี้ดดด..ด..ดส์!! รูพี่แม่งโคตรฟิตเลยว่ะ!”
“อึ๊กกก.กก..!! อาาา...า..ห์!” เขาหอบ
ผมรู้ว่าเขาคงรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย จึงแช่ค้างเอาไว้อย่างนั้นครู่หนึ่ง เขาเอื้อมมือมาจับสะโพกผมเอาไว้ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมองหน้าผม แววตาของเขาแลดูเว้าวอน และเมื่อเขาเริ่มหายใจเป็นปกติแล้ว เขาก็พยักหน้าให้ผมเบาๆ
ผมค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออก เริ่มจากช้า เป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ การเคลื่อนตัวของผมทำให้เราทั้งคู่ต้องส่งเสียงครางออกมาเป็นจังหวะเดียวกัน และในที่สุดไอ้น้องชายของเขาที่เคยหดลงเล็กน้อยก็กลับมาแข็งตัวจนสุดและพาดเป็นลำขนาดเขื่องอยู่บนหน้าท้องอันแข็งเกร็งของเขา
ผมร่วมรักกับเขาด้วยทุกท่วงท่าและลีลาที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีและทำได้เพื่อให้เขาประทับใจกับประสบการณ์ครั้งนี้แบบไม่มีวันลืม ผมรู้สึกถึงความพิเศษบางอย่างเวลาที่เราสบตากัน ดวงตาของเขาเป็นประกายและอ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งๆ นั้นทำให้กิจกรรมของเราที่เริ่มต้นด้วยความร้อนแรงแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนและนุ่มนวลในตอนท้าย ผมยกขาข้างซ้ายของเขาขึ้นและระดมจูบลงบนปลายขาส่วนที่ถูกตัดออกเหมือนเมื่อครั้งนั้น
พี่คิวยื่นมือมาลูบหน้าอกของผมและกระซิบออกมาเบาๆ “ไอ้พลุ... มึง... มึงทำแบบนี้อีกแล้ว...”
“ก็ผมชอบนี่ ผมบอกไปแล้วว่าผมชอบร่างกายของพี่ ทุกส่วน ไม่ว่าจะขาข้างนี้หรืออีกข้าง กล้ามเนื้อทุกส่วนของพี่ ผมชอบพี่...” ผมจูบลงบนโคนขาของเขาอีกครั้ง “อาา..าา.. พี่คิว ผมรักพี่ว่ะ ผมรักพี่จริงๆ”
“กูรู้อยู่แล้ว พลุ กูรู้... เพราะงั้นกูถึงได้ทำแบบนี้กับมึงไง...”เขาพูดเสียงกระเส่า “อาาา...าา.. กูจะแตกแล้วว่ะ พลุ มึงใกล้รึยัง”
ผมพยักหน้า และจากนั้นก็เริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น พี่คิวจึงใช้มือสาวไอ้น้องชายของตัวเองไปด้วย และอีกไม่กี่นาทีถัดมา เราสองคนก็หลั่งออกมาพร้อมๆ กัน ผมล้มตัวทับลงบนร่างกายของเขาอย่างหมดแรงและนอนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะมีกำลังพอที่จะถอนไอ้น้องชายออกจากประตูหลังของเขาได้
“แม่งงง...” เขาสบถเบาๆ “ดูซิมึงทำอะไรกับกูเนี่ย...”
“ผมทำอะไร” ผมถอดและโยนถุงยางลงบนพื้นก่อนละล้มตัวลงนอนข้างๆ เขา
“มึงทำให้กูรู้สึกเหมือนเป็นคนละคนเลยว่ะ”
“พี่ก็เป็นพี่คนเดิมนั่นแหละ”
“ไม่จริงหรอก...” เขาหันมามองหน้าผม “มึงเปลี่ยนกูไปแล้วจริงๆ”
“พี่ไม่ได้เป็นเกย์หรอก ผมรู้ และพี่ก็รู้ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น”
“แต่กูไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องพวกนั้นนี่หว่า” เขาแย้ง “เมื่อกี้มึงพูดว่ามึงรักกูเหรอวะ”
“ใช่... ครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่ผมคิดเสียอีก “ผมว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และผมว่าหลังจากนี้ไม่ใช่แค่พี่หรอกที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไป เพราะผมเองก็คงเปลี่ยนไปเหมือนกัน” ความคิดที่ว่าเขาจะจากผมไปไกลเริ่มทำให้ใจผมหวั่นไหวอีกครั้ง
“แต่กูไม่รู้ว่ากูจะรักมึงได้แบบเดียวกับที่มึงรักกูรึเปล่านะ พลุ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนรู้สึกผิด และก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกไป เขาก็รีบชิงพูดต่อเสียก่อน “แต่กูเองก็รักมึงเหมือนกัน จะรักแบบไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่กูรู้ว่ากูรักมึง”
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “พี่คิว พี่ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่จะคิดยังไงกับผมก็ได้ ผมเข้าใจ ผมไม่เรียกร้องให้พี่ต้องรู้สึกแบบเดียวกับผมอยู่แล้ว ถ้าผมอยากได้พี่เป็นของตัวเองคนเดียวจริง ตอนนั้นผมคงไม่ยอมให้พี่ไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นหรอก”
“ถ้างั้นมึงอยากได้อะไรจากกู”
“ไม่อยากได้อะไรเลย”
“จริงเหรอวะ” เขาพูดอย่างไม่อยากเชื่อ
“จริง แต่ก็...”
“แต่อะไร”
“แต่ผมขอแค่ให้พี่เอาความรักที่ผมมีต่อพี่เนี่ย ติดตัวไปกับพี่ด้วยก็พอ ผมอยากให้พี่ลองเก็บรักษามันเอาไว้ ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นอาจจะเป็นแค่เพียงเมล็ดพันธุ์ ผมอยากให้พี่ให้เวลากับมันและดูว่ามันจะงอกเงยขึ้นได้รึเปล่า ถ้าวันนึงพี่รู้สึกพิเศษกับผมและรักผมแบบเดียวกัน มันก็คงจะดี แต่ถ้าไม่ ผมก็ขอแค่พี่ไม่ลืมว่ายังมีคนๆ นี้ที่รักและเป็นห่วงพี่มากๆ อีกคนก็พอ”
คราวนี้เป็นคราวของเขาที่เงียบไปบ้าง “...กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครจริงๆ ไม่ว่าจะกับผู้หญิงคนไหน กูก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ กูไม่เคยให้ใครได้เข้ามาใกล้ชิดกับกูเท่านี้มาก่อนเลย”เขาพูดเบาๆ “กูรู้สึกเหมือนมึงเป็นเพื่อนสนิท เป็นน้องชายที่กูไม่เคยมี และเป็นคนพิเศษ... พิเศษจริงๆ ว่ะ โดยเฉพาะหลังจากคืนนี้ กูว่ากูคงไม่มีวันลืมมึงและเรื่องราวของเราแน่นอน”
“ผมรักพี่ว่ะ พี่คิว ผมว่าผม...” ผมหลับตาลง พยายามฝืนกลั้นน้ำตา ไม่ให้มันไหลออกมา
“นานแล้วนะ ที่กูไม่ได้รู้สึกพิเศษแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกเป็นคนพิเศษของใครเลย กูรู้สึก... ไม่รู้ดิ สมบูรณ์อะ มันเติมเต็มอย่างบอกไม่ถูก กูต้องขอบใจมึงจริงๆ พลุ ที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตกูแบบนี้ มึงชักทำให้กูรู้สึกว่ากูไม่อยากจากไปแล้วนะ”
“แต่พี่ก็ต้องไป”
“ใช่...”
“ดูแลตัวเองดีๆ นะเว้ยพี่ ผมรู้ว่าไม่ว่าพี่จะกลับไปที่นั่นในฐานะอะไร ไปปฏิบัติงานแบบไหน มันก็ยังอันตรายอยู่ดี จะเป็นตายร้ายดียังไงพี่ก็ต้องกลับมา แล้วก็ต้องพาไอ้น้องชายนี่กลับมาด้วยนะเว้ย” ผมกำไปที่ไอ้น้องชายของเขาแล้วบีบเบาๆ
เขาหัวเราะ “สรุปคือมึงติดใจแค่ไอ้นั่นของกูใช่มั้ยเนี่ย”
“ผมติดใจพี่ตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้าไปในห้องแล้วต่างหาก”
เขาชันตัวขึ้นและถอดสร้อยคอทหารออก เขาแกะป้ายชื่อโลหะแผ่นเล็กๆ อันหนึ่งออกและยื่นให้กับผม
“เก็บเอาไว้นะ จนกว่ากูจะกลับมาอีก และจำไว้ว่าถ้าหากว่าวันหนึ่งกูจะตกลุมรักผู้ชายสักคนจริงๆ คนที่กูอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย คนๆ นั้นคือมึงแค่เพียงคนเดียว”
“ขอบคุณครับ” น้ำตาของผมไหลออกจากดวงตาและหยดลงบนป้ายชื่อในมือ “แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับพี่ ดีใจจริงๆ...”
.................... จบ ....................
จบละครับ อีกแนวที่ผมไม่เคยแต่งมาก่อน ยากเหมือนกัน แต่ยังไงก็ขอบคุณมากๆๆๆ ที่ทนอ่านจนจบนะครับ เรื่องใหม่จะมาเร็วๆ นี้ ติดตาม ทักทาย ติชม พูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/ExecutionerNovel เหมือนเดิมนะครับ ยังคงน้อมรับทุกคำติเช่นเคยนะครับ ถ้าตรงไหนปรับปรุงได้ จะนำไปใช้กับนิยายเรื่องต่อๆ ไปครับ ^^
ส่งท้าย
เสียงของลูกบาสกระทบกับพื้นอย่างเป็นจังหวะดังก้องไปทั่วทั้งโรงยิม เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนย่อตัวพร้อมกับเลี้ยงลูกบาสอยู่ด้วยมือขวา เขาจับจ้องผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง ถึงจะรู้ดีว่าเขามีข้อได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างมาก แต่เขาก็รู้ถึงความสามารถของคนๆ นี้อย่างดีด้วยเหมือนกัน ถึงจะเป็นแค่การซ้อม แต่เขาก็ไม่อยากแพ้
ชายหนุ่มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เขาเหลือบมองไปทางซ้ายมือของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการหลอกล่อ แต่แล้วกลับรีบพุ่งตัวไปทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาคิดว่าเขาคงจะหลบรุ่นพี่ที่เขาเคารพคนนี้พ้น แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายมีร่างกายที่สูงและช่วงแขนที่ยาวกว่า บวกกับประสบการณ์และความรวดเร็วที่เขายังเทียบชั้นไม่ติด ทำให้ลูกบอลที่เขาครองเอาไว้ถูกปัดออก ฝ่ายตรงข้ามที่จัดการปัดลูกหลุดออกจากมือของชายหนุ่มได้แล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าลูกด้วยก้าวยาวๆ แค่ไม่กี่ก้าว พลิกตัวหันกลับไปยังแป้นบาสพร้อมกับกระโดดลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นแค่เพียงเล็กน้อย เขาปล่อยลูกบาสออกจากมือ และอีกไม่ถึงอึดใจถัดมา ลูกบาสก็ลอยผ่านอากาศและพุ่งลงห่วงไปโดยไม่กระทบกับขอบแป้นเลยแม้แต่นิดเดียว
“เฮ้ยยย อะไรว้าาา!!” ชายหนุ่มชูแขนทั้งสองขึ้นพร้อมกับโวยออกมาเบาๆ “พี่พลุแม่งชนะอีกแล้วอะ! แม่งงง!”
“มึงแม่งโคตรอ่อนอะ ไอ้ยิ่ว! ฮ่าๆๆ” เสียงแซวจากข้างสนามดังขึ้น
“หุบปากเลย ไอ้เชี่ยป๊อป มึงเองก็ยังไม่เคยเอาชนะพี่เค้าได้สักทีเหอะ!”
“สรุป พี่ชนะ 3-2 ลูก เพราะงั้นมึงต้องเลี้ยงไอติมพี่ตามสัญญานะ ไอ้ยิ่ว” พลุเดินเข้ามาตบบ่ารุ่นน้องของเขาเบาๆ
“ได้พี่ สัญญาเป็นสัญญาอยู่แล้ว” ยิ่วหันมายิ้มให้พลุก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนของตัวเอง “เฮ้ย ไปเหอะว่ะ กูต้องไปรับเจ๊กูอีก เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ไปดิ” ป๊อปลุกออกจากม้านั่งพร้อมกับกระเป๋าสะพายของตัวเองและเพื่อน
“งั้นพวกผมไปก่อนนะพี่ ขอบคุณมากนะครับพี่ที่มาซ้อมกับพวกผมอะ” ยิ่วยกมือไหว้พลุ
“เฮ้ย ไม่เป็นไร นานๆ ได้เล่นแบบนี้ทีก็ดีเหมือนกัน”
“นี่ขนาดพี่กระโดดไม่ค่อยได้นะ พวกผมสองคนยังไม่เคยเอาชนะพี่ได้สักที” ป๊อปเดินเข้ามาสมทบ
“พี่ก็เล่นได้แค่นี้อะว่ะ ให้เล่นทั้งสนามหรือกลับไปวิ่งแบบเมื่อก่อนก็ไม่ไหวเหมือนกัน” พลุยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
เด็กหนุ่มทั้งสองคนรู้ดีเกินกว่าที่จะพูดมากไปกว่านั้น พวกเขาจึงขอตัวรุ่นพี่กลับก่อน ทิ้งให้พลุยืนอยู่คนเดียวในโรงยิม เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อและนั่งลงบนม้านั่ง จากนั้นก็ก้มลงมองข้อเท้าของตัวเอง ที่จริงเขาก็เริ่มรู้สึกเจ็บที่แผลเก่าขึ้นมานิดๆ อยู่แล้วเหมือนกัน เกมเมื่อกี้ถ้าหากเขาไม่รู้ทันเจตนาของรุ่นน้องและปฏิกิริยาตอบสนองของเขาไม่ว่องไวพอ เขาก็คงจะแพ้ไปแล้ว ประสบการณ์จากการแข่งขันและการฝึกซ้อมมาหลายปีก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถึงกับเลือนหายไปเสียทีเดียว
พลุเริ่มกลับมาจับลูกบาสและวิ่งในสนามอีกครั้งหลังจากที่คิวกลับไปประจำการที่เดิม เขาค้นพบว่าสิ่งที่เขาขาดหายไปคืออะไร รวมทั้งยังพบอีกด้วยว่า ในขณะเดียวกันเขาก็มีบางสิ่งอยู่ในตัวเองแต่เขากลับพยายามไม่ใส่ใจมันมาตลอด การได้รู้จักกับคิว ทำให้เขาได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ทั้งความสำคัญของความฝัน ความสำคัญของชีวิต การเข้าใจและรู้จักตัวเอง และยังรวมไปถึงความรัก...
สี่เดือนแล้วนับตั้งแต่เขากับคิวแยกจากกัน แรกๆ เขาก็ยังได้ติดต่อกันอยู่บ้าง ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นการเขียนจดหมายจากเขาไปหาคิวเพียงฝ่ายเดียวเสียมากกว่า พลุชอบการเขียนจดหมายมากกว่าการเขียนอีเมลหรือติดต่อผ่านทางเฟซบุ๊คเยอะ เขารู้สึกว่ามันคือความทรงจำและความละเอียดอ่อนที่แสดงออกถึงความคิดคำนึงอย่างแท้จริง และที่สำคัญ คิวเองก็ไม่ค่อยจะอัพเดทอะไรในเฟซบุ๊คของตัวเองอยู่แล้ว
มีบางครั้งที่คิวจะโทรมาหาเขาบ้างเพื่อบอกเล่าชีวิตและเรื่องราวต่างๆ ให้เขาได้ฟังตามประสาของคนที่พูดบรรยายความรู้สึกอะไรไม่ค่อยเก่ง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา เพียงพอแล้วเพื่อให้เขารู้ว่าคนที่เขารักยังคงสบายดี คิวได้กลับไปประจำที่กรมเดิม แต่ว่าทำงานอยู่ในฐานทัพ ไม่จำเป็นต้องออกไปรบกับพวกผู้ก่อการร้ายเหมือนแต่ก่อน ความเสี่ยงลดลงไปกว่าครึ่ง แต่พลุก็ยังคงสวดมนต์ภาวนาให้เขาปลอดภัยอยู่แทบทุกคืน เพราะบางครั้งคิวก็ยอมรับให้เขาฟังว่าเขายังคงต้องคอยหลบกระสุนของพวกโจรใต้เหล่านั้นอยู่ดี
ถึงแม้เขาสองคนจะไม่เคยคุยเรื่องคืนนั้นกันอีก และไม่เคยเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ออกมาให้อีกฝ่ายได้ยินเลยสักครั้ง เพราะต่างคนก็ต่างไม่อยากผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้ แต่เขาก็ยังคงรักและยึดมั่นในความรักที่มีต่อคิว รวมทั้งยังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ตลอด แม้ว่ามันจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม
เมื่อข้อเท้าเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว พลุก็ลุกขึ้นยืน เก็บของ และเดินออกจากโรงยิม เขามองดูเวลาในนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าตัวเองเริ่มสายมากแล้ว เขามีนัดกับโจที่โรงพยาบาลเวลาหกโมงเย็น ซึ่งเขาตั้งใจไว้ว่าจะออกจากโรงยิมตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงรีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลทันที และในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่เขาก็โทรไปบอกโจว่าเขาอาจจะไปช้านิดหน่อย ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าเขาติดประชุมอยู่และอาจจะเลิกช้าหน่อยเหมือนกัน ให้พลุเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของเขาก่อนได้เลย
ก่อนหน้านี้โจโทรบอกเขาว่ามีธุระอยากคุยด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของทางโรงพยาบาล และผู้อำนวยการอยากจะเชิญพลุไปร่วมเป็นหนึ่งในผู้บรรยาย เพราะเห็นว่าเขาเป็นอาสาสมัครคนแรกและคนเดียว ที่ได้ร่วมงานกับทหารคนแรกของประเทศไทยที่สูญเสียอวัยวะจากสนามรบ แต่ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างดีจนสามารกลับไปประจำการได้อีกครั้ง
คิวนึกขำในใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะคนอื่นนอกจากพี่โจแล้วคงไม่รู้เลยว่าเขากับคิวได้ทำอะไรด้วยกันมาบ้าง และเขาก็ไม่คิดว่าวิธีการบำบัดผู้ป่วยของเขาที่เคยใช้กับคิวจะสามารถนำไปพูดบรรยายหรือสอนให้คนอื่นทำแบบเดียวกันได้เช่นกัน
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เขาก็เดินตรงไปที่ออฟฟิศของโจด้วยความคุ้นเคยทันที ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำงานที่นี่มาหลายเดือนแล้ว แต่เขาก็เคยกลับมาเยี่ยมเยียนโจอยู่บ้าง 2-3 ครั้ง พนักงานและพยาบาลหลายคนที่จำเขาได้ก็หยุดทักทายเขาอย่างเป็นมิตร เมื่อไปถึงหน้าห้องของโจ เขาก็เปิดประตูออกและเดินเข้าไปข้างในตามที่ถูกบอกไว้เลยทันที แต่เมื่อเขาเห็นว่ามีชายคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าอี้ทำงานของโจ เขาก็ชะงักและรีบเอ่ยขอโทษออกมาทันที
“อ้าว ขอโทษทีครับพี่โจ ผมนึกว่าพี่ยังไม่ออกจากประชุม เลยเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตูก่อน” พลุปิดประตูลงและหยุดยืนอยู่กับที่ เขาสังเกตเห็นปลายแขนเสื้อของโจแล้วก็นึกเอะใจ
เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ค่อยๆ หันมาทางเขา เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคนที่นั่งอยู่นั้นไม่ใช่อดีตหัวหน้าของเขา แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างกำยำในชุดลายพรางอันเป็นเอกลักษณ์ต่างหาก
“พี่คิว!!” พลุร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาพร้อมกับอ้าปากค้าง
“อะไร ดูทำหน้าเข้า กูเป็นคนนะเว้ย ไม่ใช่ผี ยังไม่ตาย ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้” คิวหัวเราะเบาๆ พร้อมกับยืนขึ้น
พลุคิดว่าเขาดูกำยำขึ้นกว่าเมื่อตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลเสียอีก แต่ผิวของเขากลับดูขาวขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งใบหน้ายังดูคมเข้มขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วยซ้ำ หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่การจิตนาการไปเองของตัวเขาเองก็ได้ เวลาเพียงแค่สี่เดือนจะทำให้ใครสักคนเปลี่ยนไปขนาดนั้นได้อย่างไรกัน... ใช่ ‘แค่’ สี่เดือนเท่านั้นเอง
“พี่มาทำอะไรที่นี่ และ...และพี่มาได้ยังไงวะเฮ้ย” เขาพูดติดอ่าง
“กูคิดถึงมึง อยากกลับมาหามึง กูมาไม่ได้รึไง” คิวนิ่วหน้า “เราไม่ได้เจอกัน ‘ตั้ง’ สี่เดือนนะเว้ย”
ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องย้ำคำๆ นั้นเป็นพิเศษหรอก เพราะสำหรับพลุแล้ว เวลาสี่เดือนมันยาวนานยิ่งกว่าสี่ปีเสียอีก
“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนว่าพี่จะมา!”
“บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์อะดิวะ”
พลุยังคงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกดีใจมันท่วมท้นจนเขาแทบอยากจะกระโดดกอดผู้ชายตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด
“มึงจำได้มั้ยว่าตอนกูไป มึงให้กูเอาอะไรติดตัวไปด้วย...” คิวพูดพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาพลุด้วยท่าทางสุขุม
พลุพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่ามือกำลังสั่นน้อยๆ
“วันนี้กูกลับมาพร้อมกับคำตอบแล้วนะ” คิวยื่นมือออกมาหยิบแผ่นป้ายชื่อสีเงินที่ห้อยอยู่ที่คอของพลุขึ้นดู
“ค... คำตอบอะไร” พลุถามกลับด้วยหัวใจที่เต้นรัว
“มึงยังรักกูอยู่รึเปล่า”
“ห... เหออ”
ทหารหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยสีหน้าผิดหวังพร้อมกับปล่อยมือออกจากสร้อย “เออ... กูไม่น่าถามมึงแบบนั้นเลย กูขอโทษว่ะ ลืมๆ มันไปซะเหอะ”
“เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ เมื่อกี้พี่ถามอะไรนะ”
“ช่างมันเหอะ กูผิดเองแหละที่ไม่ได้คุยกับมึงให้มากกว่านั้น กูเป็นคนที่ไม่ชัดเจนเอง จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องนี้ มึงคงตกใจอะ”
“พี่คิว”
“มึงคงมีคนอื่นคุยด้วยแล้วใช่มั้ยล่ะ หน้าตาแบบมึงจะมีแฟนสักกี่คนก็คงไม่แปลก”
“เฮ้ย!! นี่พี่พล่ามอะไรของพี่วะเนี่ย!” พลุโพล่งขึ้นอย่างหมดความอดทนพร้อมกับคว้าไปที่ข้อมือของชายตรงหน้า “ผมรักพี่นะเว้ย! ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย!! ตั้งสี่เดือนนะที่ผมรอพี่คนเดียวมาตลอด! แล้วจู่ๆ พี่มาเพ้อเจ้ออะไรของพี่เนี่ย! ผมรักพี่ ได้ยินรึเปล่า!”
คิวผงะไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ จากนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับดึงตัวของอีกฝ่ายเขามากอดอย่างแนบแน่นราวกับพยายามจะหลอมรวมร่างกายของทั้งคู่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
“กูคิดถึงมึงจริงๆ ว่ะ” คิวพูดในลำคอเบาๆ “กูขอโทษที่อาจดูเฉยชาไปบ้าง แต่กูติดภารกิจหลายอย่าง และกูก็ต้องการเวลาเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองด้วย แต่ตอนนี้กูรู้แล้ว กูรู้แล้ว...”
“รู้ว่าอะไร” พลุถามพลางดันตัวออก เขามองลึกไปยังดวงตาของคิวอย่างคาดหวัง
“กูรักมึง” คิวตอบอย่างไม่ลังเล “กูรักมึง และอยากให้มึงเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวของกูที่กูจะเรียกว่าคนรักว่ะ” เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “กูมาหนนี้ กูมีของอย่างหนึ่งอยากจะให้มึงด้วย กูอยากให้มึงใส่มันนะ ไอ้พลุ...”
พลุยืนมองการเคลื่อนไหวของคิวแล้วตาโต เขาไม่เคยคิดเลยว่าคิวจะซื้อแหวนมาให้เขาด้วย เขาทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกผิดไปด้วยพร้อมๆ กัน เพราะเขายังไม่เคยคิดที่จะซื้อแหวนให้กับคิวมาก่อนเลย ก่อนหน้านี้เขายังเคยคิดว่าตัวเองจะต้องตัดใจแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่จู่ๆ คิวก็กลับมา และกลับกำลังจะเป็นฝ่ายมอบแหวนให้แก่เขาก่อนเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่านี่พี่ซื้อแหวนมาให้ผมด้วยน่ะ!”
“แหวนเหรอ แหวนอะไรวะ” คิวนิ่วหน้า จากนั้นก็หยิบของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาใส่มือของพลุ
พลุก้มลงมองดูซองพลาสติกในมือด้วยสีหน้างุนงง
“นี่มัน... ถุงยางไม่ใช่เหรอวะพี่”
“ก็ใช่ดิ หรือมึงจะไม่เอากู หรืออยากเอาสดก็คุยกันได้นะเว้ย แต่ที่แน่ๆ คือมึงต้องเอากูแน่นอนล่ะ” ทหารหนุ่มพูดพร้อมฉีกยิ้มกว้าง
พลุหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความชอบใจจากนั้นก็ดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามากอดและจูบปากอย่างดูดดื่ม
“กวนส้นตีน!!” พลุพูดพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ หลังจากที่ทั้งคู่ถอนปากออกจากกันแล้ว
“กวนตีนแล้วอยากได้เป็นแฟนรึเปล่าล่ะ เฮอะ”
“อยากสิคร้าบบบ”
“ถ้าอยาก คืนนี้ก็ใส่ไอ้ที่อยู่ในมือนั่นซะก่อน ส่วนอะไรที่มันต้องใส่ในนิ้วนางข้างซ้ายเอาไว้ค่อยไปซื้อด้วยกันทีหลัง โอเคมั้ย”
“โอเคครับพ้ม!!”
คิวยกตัวพลุขึ้นจากพื้นแล้วทั้งสองคนก็จูบปากกันอีกครั้ง
...............................................