พิมพ์หน้านี้ - The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2012 16:13:02

หัวข้อ: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2012 16:13:02
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2012 16:18:20
อ่านกระทู้แรกกันด้วย ชะนีเก้งกว้างทั้งหลาย อย่าสักแต่เลื่อนๆ ลงมาอ่านนิยายนะครับ โดยเฉพาะข้อ 5 สำคัญสำหรับเรื่องนี้มาก เพราะ...

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น สถานที่ บุคคล เหตุการณ์ ทุกอย่างจำลองขึ้นหมด ถึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ภาคใต้ แต่ทุกๆ อย่างนอกจากนั้นสมมติขึ้นทั้งสิ้น อยากให้อ่านเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้นนะครับ แต่หากใครจะตีความหรือรู้สึกสะท้อนใจไปกับตัวละครบ้าง ก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าดราม่า นิยาย/เรื่องสั้น เรื่องนี้ ถูกถ่ายทอดด้วยเจตนาและทัศนคติที่ดีของผมที่หวังว่าประเทศไทยจะยอมรับและให้โอกาสทหารที่สูญเสียอวัยวะหรือได้รับบาดเจ็บจากการทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติได้อย่างนี้เท่านั้นเอง

เรื่องนี้จะมีธีมและอารมณ์ที่ต่างไปจากนิยายหรือเรื่องสั้นเรื่องอื่นๆ ของผมอย่างสิ้นเชิงนะครับ อาจจะไม่ถูกใจใครหลายๆ คนก็กดกากบาทออกไปได้นะครับ หาอะไรหวานๆ ที่เคยแต่งอ่านไว้ก็ได้ แต่เรื่องนี้ขอนำเสนออะไรที่ต่างออกไปนิดนึงแล้วกัน

เชิญครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2012 16:24:00
โจ ชายหนุ่มอายุ 30 กว่าร่างกายกำยำ วางกาแฟลงบนโต๊ะทำงานและหยิบเอกสารขึ้นอ่าน เขากวาดสายตาไปบนกระดาษอย่างรวดเร็วเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ เขาอ่านเอกสารนั้นอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างรู้สึกโล่งอกเมื่อพบว่าชายคนนี้เสียขาซ้ายเหนือเข่าขึ้นไปข้างเดียวเท่านั้น ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวเมื่อเทียบกับหลายๆ เคสที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ โจหวังแค่ว่าเขาจะสามารถช่วยฟื้นฟูจิตใจ ร่างกาย และทำให้เด็กหนุ่มคนนี้รู้สึกเหมือนที่เขากำลังคิดอยู่ได้สักครึ่งก็ยังดี แต่ประสบการณ์ของเขาทำให้เขารู้มันคงไม่ใช่งานที่ง่ายนัก ถ้าหากว่าเด็กคนนี้ไม่ให้ความร่วมมือ

โจถอนหายใจยาวๆ เบาๆ อีกครั้ง แล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นจิบต่อพร้อมกับอ่านประวัติของชายคนนี้ เขาเดินไปเดินมาในห้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดยืนอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปข้างหน้า นึกถึงช่วงหนึ่งที่เขาเคยทำงานรับใช้ชาติเช่นเดียวกับเด็กคนนี้ เรื่องราวในอดีตฉายภาพกลับมาในหัวของเขาอย่างแจ่มชัด ช่วยทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของทหารหนุ่มคนนี้ได้ดีมากขึ้น

งานของโจเป็นสิ่งที่เขาทั้งรักและเกลียดพร้อมๆ กัน เขาเกลียดมัน โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ของผู้เข้ารับการบำบัดทุกคน แต่เขาก็รักและมีความสุขทุกครั้งที่ท้ายที่สุดแล้วเขาได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตของคนเหล่านั้นได้เกิดการเปลี่ยนแลงไปในทางที่ดีขึ้น
ถึงจะไม่ทุกคน แต่ก็ส่วนมาก

โจหมุนตัว เดินกลับมาวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ดูนาฬิกาข้อมือ เขาเคาะปึกเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วจึงถือมันเดินออกจากออฟฟิศของตัวเองไปตามทางเดิน พยาบาลหลายๆ คนยิ้มและทักทายเขา ร่างกายและบุคลิกของเขาทำให้คนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมามองด้วยความชื่นชม โจเองก็มีมารยาทพอจะยิ้มตอบหรือพูดคุยทักทายกลับไปให้แก่คนเหล่านั้นบ้าง เขาเป็นคนอัธยาศัยดี อ่อนน้อม แต่ก็ระมัดระวังตัวเรื่องการใกล้ชิดกับคนอื่นๆ มากเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับนางพยาบาลคนหนึ่งที่นี่ ทำให้เขาตกเป็นหัวข้อนินทาไปจนทั่วทั้งตึกอยู่หลายวัน ถึงจะไม่ใช่นินทาในทางเสื่อมเสีย แต่ก็ทำให้เขาระมัดระวังตัวพอที่จะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีก นอกจากนั้นเขายังมีความลับบางอย่างที่ยังไม่พร้อมเปิดเผยให้เพื่อนร่วมงานรู้อีกด้วย... อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ในตอนนี้และไม่ใช่ทุกคนที่นี่

เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้อง 221 เคาะประตูเบาๆ 2-3 ที ก่อนจะผลักประตูเข้าไป ผู้ชายคนที่นั่งอยู่บนเตียงหันมามองโจ เขารู้ได้ทันทีเลยว่าคนๆ นี้เป็นทหาร ไม่ใช่เพราะมันเขียนอยู่ในประวัติที่เขาเพิ่งอ่านหรือเพราะเขาทำงานกับคนเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เป็นเพราะทรงผมที่ไถเกรียน และกล้ามเนื้อที่ดูแข็งแกร่งเป็นเอกลักษณ์ต่างหาก

“น้อง รติบดี รัตนธรรม ใช่มั้ย” โจอ่านชื่อของเขาบนกระดาษในมือ

“ระ-ติ-บอ-ดี ครับ ไม่ใช่ บะ-ดี” เขาแก้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีครับ”

โจรับไหว้ “อ้อ ขอโทษทีครับ แต่ไม่ต้องไหว้ผมก็ได้ ไม่เป็นไร”

“ไม่ดีมั้งครับ”

โจเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม และเมื่อได้มองดูชัดๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่านอกจากเด็กคนนี้จะหน้าตาดีแล้ว ผิวพรรณยังดีผิดกับทหารคนอื่นๆ อีกด้วย ถึงจะไม่ได้ขาวละเอียด เพราะการฝึกกลางแดด แต่ก็แลดูเรียบเนียนและไม่ดำไหม้เหมือนหลายๆ คน ดูน่าจะมีพื้นฐานครอบครัวที่ดีพอสมควร

“ผมชื่อวิวัฒน์นะครับ หรือจะเรียกว่าโจก็ได้” ผมลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เตียงที่เขานอนอยู่ “หลังจากวันนี้ไปผมจะเป็นคนดูแลคุณ รู้แล้วใช่มั้ย”

“พี่เป็นนักกายภาพบำบัดเหรอครับ”

“เปล่า”

เด็กหนุ่มนิ่วหน้า มองโจด้วยสายตาสงสัย “งั้นก็จิตแพทย์”

โจหัวเราะ “สีหน้าดูไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่เลยนะ แต่เปล่าหรอก ผมไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ แต่เป็นเทรนเนอร์ของคุณ... จะว่าอย่างนั้นก็คงได้มั้ง เป็นผู้ดูแล คอยช่วยเหลือ และคอยประเมินพัฒนาการทางร่างกายของคุณเพื่อรายงานให้หมอทราบอีกทีน่ะ”

“ครับ”

“ชื่อเล่นอะไรล่ะ เราน่ะ”

“คิวครับ”

“โอเค คิว พร้อมรึยัง กินข้าวเช้าแล้วใช่มั้ย”

“ครับ”

“อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว”

“ครับ”

“งั้นไปกันเถอะ” โจลุกขึ้นยืน

“ไปไหนครับ”

“ผมบอกแล้วไงว่าจะมาเป็นเทรนเนอร์เพื่อวัดสมรรถภาพทางร่างกายของคุณ เพราะงั้นคิดว่าผมจะพาไปที่ไหนล่ะ”

“ผมต้องใส่เสื้อรึเปล่า”

“ก็แล้วแต่ ถ้าไม่อายก็ไม่ต้องใส่ แต่ถึงยังไงเวลาคุณออกกำลังหน้ากระจก คุณก็ต้องถอดมันออกอยู่ดี เพื่อที่จะได้เห็นกล้ามเนื้อแต่ละส่วนอย่างชัดเจนว่ามันเป็นยังไงบ้าง”

คิวหยิบเสื้อที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา จากนั้นก็มองไปยังรถเข็นสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ตรงมุมห้องด้วยสีหน้าลังเล

“พยาบาลเคยสอนวิธีขึ้นเรถเข็นให้แล้วใช่มั้ย” โจถาม

“ใช่ครับ แต่มันอยู่ตรงนั้น และผมนั่งอยู่บนเตียงนี่”

“แล้วยังไง”

“ถ้าพี่ช่วยเข็นมันมาให้ผมนิดนึง ผมก็คงนั่งเองได้ไม่ยากน่ะครับ” คิวพูดเสียงแข็ง

“แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่พยาบาลหรือพี่เลี้ยงของคุณเนี่ยสิ” โจยืนไพล่หลัง “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่มาเพื่อช่วยฝึกให้คุณใช้ชีวิตอยู่กับมันได้ง่ายขึ้นต่างหาก” เขาพยักเพยิดไปยังขาข้างที่หายไปของคิว “อ้อ อีกอย่าง เปลี่ยนกางเกงขายาวนั่นออกเป็นขาสั้นซะด้วย”

“ขาสั้นเหรอ” คิวเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าตกใจ

“ใช่ ทำไมล่ะ”

คิวขมวดคิ้วและมองหน้าโจอย่างหงุดหงิด “ผมว่าพี่คงไม่เข้าใจเพราะพี่ไม่เคยขาขาดแบบผม แต่ผมยังไม่ค่อยสบายใจที่จะใส่ขาสั้นโชว์คนอื่นว่าผม ‘ไม่-มี-ขา’ อยู่ข้างนึงหรอกนะครับ”

โจยิ้มที่มุมปากให้กับคำพูดประชดประชันของชายหนุ่ม “และเราสองคนก็จะต้องช่วยกันทำให้คุณเปลี่ยนความคิดแบบนั้นให้ได้ด้วยกัน อีกอย่าง ใส่กางเกงขายาวไปมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้คนอื่นดูไม่รู้ว่าขาข้างนั้นของคุณหายไปหรอกนะ ลองคิดดูแล้วจะรู้ว่ามันเป็นความจริง”

คิวพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็รู้ว่าโจพูดถูก

“มีกางเกงขาสั้นสำหรับใส่ออกกำลังหรืออะไรพวกนั้นรึเปล่า”

“มีครับ” คิวพยักหน้า

“งั้นก็เปลี่ยนซะ”

คิวมีสีหน้ายุ่งยากใจนิดหน่อยก่อนจะเขย่งตัวลงจากเตียงเพื่อยืนด้วยขาข้างขวา จากนั้นก็พยายามพยุงตัวและกระโดดขาเดียวไปยังตู้เสื้อผ้า “นี่ถ้าผมไม่เหลือขาเลยสักข้าง พี่คงจะอยากช่วยผมมากกว่านี้ล่ะมั้ง”

“ไม่เลย” โจหัวเราะในลำคอเบาๆ “ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คุณ ที่จริงผมไม่ใช่คนใจร้ายใจดำนะ แต่คุณนั่นแหละที่จะต้องเคยชินกับมันได้แล้ว เพราะเราสองคนจะต้องทำงานด้วยกันอีกพักใหญ่เลยล่ะ”

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” คิวปิดประตูตู้ลง

“ดีมาก  เอ้าเปลี่ยนกางเกงได้แล้วล่ะ จะได้ไปกันสักที”

คิวกระโดดขาเดียวกลับมาที่เตียง จากนั้นก็เหลือบมองโจด้วยแววตาลังเล

“ไม่ต้องอายหรอกน่า ที่ค่ายไม่ได้แก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนบ่อยๆ รึไง และผมเองก็เคยเป็นทหารเหมือนกันด้วย ผมรู้ว่ามันเป็นยังไง เปลี่ยนตรงนี้แหละ ยังไงเดี๋ยวหลังจากนี้ผมก็คงต้องเห็นคุณแก้ผ้าอีกบ่อยๆ อยู่ดี”

“ครับ” คิวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะถอดกางเกงขายาวที่ใส่อยู่ออก

เมื่อโจเห็นร่างกายของคิวที่เปลือยเปล่าและขนาดความเป็นชายของเด็กหนุ่มแล้วเขาก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจ

“เฮ้ย! ไม่เบาเลยนี่หว่า” โจหัวเราะเบาๆ “แบบนี้ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอายตรงไหน ดูท่าสาวๆ คงติดน่าดูสิท่า”

“แต่จะมีประโยชน์อะไรครับ ถ้าผมไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีกน่ะ”

โจก้มหยิบกางเกงขายาวขึ้นจากพื้นในขณะที่คิวกำลังสวมกางเกงขาสั้น “แล้วทำไมถึงจะไม่ได้ใช้อีกล่ะ บอกผมมาซิ”

คิวถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ก็แล้วใครมันจะอยากมามีอะไรกับคนขาเดียวแบบผมล่ะครับ หึ ถ้าผมมีแฟนอยู่แล้วหรือแต่งงานไปแล้วก็คงว่าไปอย่าง... ไม่สิ ต่อให้มีแฟนอยู่แล้วมันก็ยังขอเลิกกับผมได้เลยด้วยซ้ำ ใครมันจะอยากมีแฟนเป็นคนพิการแบบนี้ล่ะครับ” เขาหยิบเสื้อยืดขึ้นจากเตียง กระโดดขาเดียวพาตัวเองไปยังรถเข็นที่มุมห้อง จากนั้นก็นั่งลงและวางเสื้อลงบนหน้าตัก

โจเดินไปวางมือลงบนที่จับของรถเข็น แต่คิวห้ามเอาไว้ก่อน

“ผมจัดการเองได้ครับ”

โจหัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับความดื้อเงียบและถือดีของเด็กคนนี้ “ผมรู้ว่าคุณทำได้ แต่ผมแค่อยากจะช่วย ผมเองก็ไม่ใช่คนใจดำอะไรขนาดนั้นหรอกนะ”

“ผมไม่เห็นว่าพี่เป็นแบบนั้นหรอกครับ ผมเข้าใจ”

“มาเถอะ”

โจเข็นรถเข็นพาคิวเดินไปตามทางเดิน ตรงไปจนสุดทาง ที่นั่นคือห้องออกกำลังสำหรับผู้สูญเสียอวัยวะเพื่อการฟื้นฟูกล้ามเนื้อและอวัยวะที่เหลืออยู่โดยเฉพาะ

“เราไม่ได้จะมาเล่นเครื่องพวกนั้นเหรอครับ” คิวถามพลางชี้ไปทางอุปกรณ์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง

“พวกนั้นเอาไว้ทีหลัง หลังจากที่คุณได้ขาใหม่ก่อน”

“แล้วมันคือเมื่อไหร่ครับ”

“เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะผมไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ แต่เป็นคนที่จะรีพอร์ทกลับไปยังหมอ แล้วหมอประจำไข้ของคุณเค้าจะตัดสินใจอีกที ผมแค่มีหน้าที่เตรียมตัวคุณให้พร้อมสำหรับมันเท่านั้นแหละ” โจหมุนรถเข็นเข้าหาโต๊ะตัวเล็กที่มุมห้องและนั่งเผชิญหน้าเข้าหาคิว “โอเค อันดับแรก ผมขอพูดตรงๆ ก่อนเลยว่า ถ้าหากผมพูดหรือทำอะไรแข็งกระด้างไปบ้าง ผมก็อยากให้คุณเราเข้าใจว่ามันคือหน้าที่ของผมนะ”

“ผมเข้าใจครับ” คิวพยักหน้า

“ดีมาก อย่างที่บอกว่าผมเองก็เคยเป็นทหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมเข้าใจระบบทุกอย่างดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ผมเป็นแค่พลเรือนธรรมดาที่ต้องรับมือและดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บแบบคุณทุกๆ ปี เพราะฉะนั้นผมจะไม่ปฏิบัติกับคุณเหมือนผู้ป่วยธรรมดาทั่วไป แต่เป็นดั่งเช่นนายทหารที่ได้รับการฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี เข้าใจนะ”

“ครับ” คิวตอบเสียงหนักแน่น

“ดี เอาล่ะ คราวนี้ลองบอกผมซิว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร”

“เป้าหมายเหรอครับ” คิวขมวดคิ้วเข้าหากัน

“ใช่ เป้าหมายของการฟื้นฟู คุณมีสิ่งที่หวังหรือต้องการอะไรอยู่บ้าง”

“ผมไม่รู้ว่าเป้าหมายกับสิ่งที่คาดหวังมันเหมือนกันรึเปล่านะครับ แต่... ไม่รู้สิ ผมว่ามันคงเป็นไปไม่ได้มั้ง”

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ที่นี่  เพราะคำๆ นั้นมีแต่จะทำให้คุณย่ำอยู่ที่นี่ด้วยขาข้างเดียวแบบนั้นตลอดไปเท่านั้น เอาล่ะ ลองว่ามาซิ”

คิวรู้สึกเจ็บแปลบนิดๆ เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขาข้างเดียว’ เขากลืนน้ำลายแล้วมองโจด้วยดวงตามุ่งมั่น “ถ้าเป็นไปได้... ความฝันสูงสุดของผมคืออยากกลับไปรับใช้ชาติอีกครั้ง ทำหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จซะก่อนครับ”

“คุณอยากกลับไปที่ภาคใต้อีกครั้งเหรอ”

“ถ้าเป็นไปได้นะครับ”

โจพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ที่จริงเขาก็พอรู้เรื่องระเบียบการใหม่นี่อยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของใครจริงๆ เท่านั้นเอง

“มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย ผมรู้อยู่แล้ว...” คิวพูดอย่างยอมรับ พลางนึกถึงเรื่องราวของอดีตทหารหลายๆ คนที่ต้องสูญเสียทุกอย่างไปหมด ทั้งอาชีพและอนาคต เพราะกลายเป็นคนทุพพลภาพแบบเขาในตอนนี้

“ไม่ๆ ผมว่ามันก็ไม่แน่เสมอไป เรื่องพวกนั้นผมตัดสินใจเองไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ข้างบนต่างหาก แต่บอกตรงๆ จากประสบการณ์และความคิดของผมเองนะ คุณอาจจะไม่ได้ไปรบแนวหน้าเหมือนเดิม แต่อาจถูกส่งไปอยู่หน่วยอื่นแทน อันนี้ก็แล้วแต่อีก ถ้าหากว่าคุณมุ่งมั่นจริง คุณก็ต้องพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าคุณทำได้ โดยการเก็บเป้าหมายนั้นไว้ในใจ แล้วเริ่มสร้างเป้าหมายเล็กๆ ทีละอย่างเพื่อให้คุณค่อยๆ เดินขึ้นไปถึงตรงนั้นให้ได้ เข้าใจรึเปล่า”

“เป้าหมายเล็กๆ อย่างเช่นอะไรครับ”

“เช่นการทำให้คุณกลับไปเป็นคนอย่างที่คุณเคยเป็นไง”

คิวมองหน้าโจงงๆ “ผมไม่เข้าใจ”

“ไม่เห็นเข้าใจยากตรงไหน ผมเปิดอกพูดตรงๆ แบบลูกผู้ชายคุยกันเลยนะ เมื่อกี้ตอนอยู่ในห้อง คุณพูดว่าไม่คิดว่าใครจะมาเอาคนอย่างคุณเป็นแฟน หรือพูดง่ายๆ คือคงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากนอนกับคุณอีก นั่นแหละ คือสิ่งหนึ่งที่คุณต้องเอาชนะมันให้ได้ อาจจะไม่ใช่สิ่งแรก แต่เราสองคนจะต้องช่วยกันทำให้คุณกลับมาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองดังเดิมให้ได้”

“แต่...”

“ทหาร คุณน่ะ ยังหนุ่มยังแน่น เพิ่งจะ 20 ต้นๆ หน้าตาก็ดี หุ่นก็ดี แข็งแรงกำยำ แถมไอ้นั่นก็ใหญ่ใช่ย่อย ยังจะมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะวะ”

คิวนิ่วหน้าแบบไม่ค่อยอยากเชื่อสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินเท่าไหร่นัก

“โอเค ถ้างั้นคุณอยากรู้มั้ยว่าเป้าหมายของผมคืออะไร” โจพูดต่อ

“เป้าหมายเรื่องผมน่ะเหรอครับ”

“ใช่แล้ว ก็แค่เรื่องง่ายๆ เอง ผมเดาว่าก่อนหน้าที่จะมาเป็นทหาร คุณคงมีสาวๆ ติดเยอะเลยสิท่า”

“ก็มีบ้างครับ”

“นั่นแหละ เป้าหมายของผม... ผมจะทำให้คุณกลับไปใส่ขาสั้น เดินข้างนอก และทำให้สาวๆ กลับมาสนใจเหมือนเมื่อก่อนให้ได้”

“ผม... ผมว่าผมไม่...” คิวขมวดคิ้วพลาวส่ายหน้า

“ไม่อะไร”

“ผมคงไม่กลับไปใส่ขาสั้นอีกแล้วครับ หมายถึงในที่สาธารณะหรืออะไรแบบนั้นน่ะครับ คือผม...”

“ทำไม”

คิวถอนหายใจ “ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้สิ แต่ที่อย่างนึงแน่ๆ คือขาของผมมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”

“ใช่น่ะสิ ก็ขาซ้ายหายไปครึ่งนึงแบบนั้นนี่”

“ไม่ใช่แค่นั้นครับ คือ ผมว่าสะโพกซ้ายของผมมันก็เล็กกว่าข้างขวาด้วย แล้วยังจะรอยแผลอีก ถ้าให้ใส่ขาสั้น มันคง...”

“เรื่องแผลอาจจะยาก แต่เรื่องกล้ามเนื้อของคุณน่ะ เราแก้ไขได้” โจพยักหน้าเบาๆ “ตอนทำสควอชอาจจะลำบากหน่อย แต่เราค่อยๆ ทำไปทีละอย่างได้ และผมเชื่อว่าคุณต้องทำได้ดีด้วย”

“สควอชด้วยขาข้างเดียวเนี่ยเหรอครับ” คิวตกใจ

“แน่นอน ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะจะบอกให้ คนสองขาทำสควอชด้วยขาข้างเดียวก็มีเยอะแยะ ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝนทั้งนั้น ผมจะไม่ปฏิบัติกับคุณด้วยความเห็นใจเพราะคุณมีขาแค่ข้างเดียวหรอกนะ ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละว่าคุณคงจะออกกำลังอื่นๆ ได้แบบปกติแทบทุกอย่าง ดังนั้นเราก็จะเริ่มต้นจากเรื่องเบสิคพวกนั้นเพื่อฝึกฝนและพัฒนากล้ามเนื้อขาข้างที่เหลืออยู่ของคุณซะก่อน” โจยิ้มให้กำลังใจ “อย่างเช่นวันนี้ เราจะเริ่มต้นกันที่การยกเวท ผมจะขอดูปฏิกิริยาของคุณ ดูทั้งกล้ามเนื้อแล้วก็ดูการปรับตัวของคุณด้วย แล้วจากนั้นก็จะวนเล่นอย่างอื่นจนครบ พอจบ ผมก็จะเซ็ทตารางสำหรับการออกกำลังของคุณขึ้น และผมก็จะไม่ยอมผ่อนปรนหรือใจอ่อนให้แก่คุณอย่างเด็ดขาดด้วย เข้าใจมั้ย”

“เข้าใจครับ”

“ดีมาก งั้นก็มาเริ่มกันได้เลย”

โจนำชายหนุ่มไปยังอุปกรณ์แรก จากนั้นก็เปลี่ยนไปยังอุปกรณ์ถัดไปเรื่อยๆ โดยที่คอยจดบันทึกอยู่ตลอด คิวหมุนล้อพารถเข็นมาถึงที่อุปกรณ์แรกด้วยตัวเอง แต่หลังจากที่เขาลุกออกจากรถเข็นแล้ว โจก็ดันรถออกไปที่อื่น เขาจึงต้องเขย่งก้าวกระโดดขาเดียวจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเกือบทั่วทั้งห้อง

“ดูเหมือนคุณจะไม่ได้ห่างหายจากการใช้กล้ามเนื้อมากไปจนทำให้มันฝ่อลงไปนะ” โจพูดขึ้นในขณะที่ยืนมองดูคิวยกเวทบริหารกล้ามหน้าอก

พวกเขาเหลือฐานสควอชเป็นอย่างสุดท้าย คิวหันกลับมามองโจด้วยสีหน้าลังเลอีกครั้ง

“พี่จะให้ผมยกบาร์เบลไปด้วยแล้วลุกนั่งไปด้วยด้วยขาข้างเดียวแบบนี้จริงๆ เหรอ”

“ขาครึ่งต่างหาก” โจแก้ “และผมบอกแล้วไงว่าคนมีสองขาเค้าก็เล่นท่านี้ขาเดียวกันเยอะแยะไป หรือคุณจะให้ผมทำให้คุณดูก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ไม่เคยเท่านั้นเอง”

“ลองวอร์มเบาๆ กับบาร์ดูก่อน แล้วค่อยๆ ปรับการทรงตัว” โจแนะนำ

คิวจัดการยกบาร์เบลออกจากที่วาง จากนั้นก็ค่อยๆ ย่อเข่าลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วจึงพยายามยืดตัวยืนขึ้น แต่เข่าของเขาเกิดทรุดลงเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว ด้วยสัญชาติญาณ เขาจึงเผลอพยายามใช้ขาอีกข้างที่ไม่มีอยู่แล้วช่วยยันตัว ทำให้เขาเสียการทรงตัวและล้มลง โจรีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยประคองเขาเอาไว้ทันที

“แม่งเอ๊ย!!” คิวสบถออกมาขณะพยายามกลับมานั่งยองๆ อยู่บนขาข้างเดียวอีกครั้ง “ขอโทษครับ”

“มันเป็นปฏิกิริยาปกติน่ะ สมองของคุณมันยังจำไม่ได้ว่าคุณไม่มีขาข้างนั้นอีกแล้ว”

“ผมขอลองอีกครั้ง” คิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมสมาธิและกำลังไว้ที่ขาข้างที่ดีอยู่ แล้วจึงยืนขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขายืนขึ้นได้จนสุดอย่างไม่มีปัญหา

“เห็นมั้ยล่ะ ถ้าจะทำก็ทำได้ คุณมีกำลังมากพอเหลือเฟืออยู่แล้ว แค่ต้องหาจุดสมดุลและพยายามทรงตัวให้อยู่เท่านั้นเอง”

“ลองเพิ่มน้ำหนักดูก็ได้ครับ”

โจยิ้มและทำตามที่คิวขอโดยการเพิ่มน้ำหนักอีกข้างละ 3 กิโล

“ผมยกได้หนักกว่านั้นนะ”

“เออๆ ผมรู้ว่าคุณทำได้ แต่ผมแค่อยากดูการทรงตัวของคุณมากกว่า ไม่ใช่จะจับคุณเล่นกล้ามหรือทดสอบพละกำลัง”

คิวทำท่าสควอชจำนวน 6 ครั้ง จากนั้นก็หยุดพัก โจจึงเพิ่มน้ำหนักลงไปอีก คิวลองทำแบบเดิมซ้ำอีก 6 ครั้ง โจพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะขีดฆ่ารายการสควอชซึ่งเป็นรายการสุดท้ายที่ต้องทำในวันนี้ทิ้ง จากนั้นก็เดินไปเลื่อนรถเข็นกลับมาให้คิว

“วันนี้เราคุยกันอยู่สองเรื่อง และผมก็อยากจะพูดใหม่อีกครั้งให้มันชัดเจน” โจพูดขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังกลับไปยังห้องของคิว “เรื่องแรก คุณพูดถึงเรื่องไม่อยากใส่ขาสั้น ส่วนอีกเรื่องคือการมีแฟน หรือพูดง่ายๆ คือการมีอะไรกับผู้หญิงอีกครั้งนั่นแหละ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นคุณแสดงคำพูดและทัศนคติในเชิงลบออกมาทั้งนั้น ซึ่งผมไม่ยอมและจะไม่ทำงานร่วมกับคนที่มีความคิดในแง่ลบเด็ดขาด”

“ครับ”

“รู้อะไรมั้ย ความลับง่ายๆ ที่จะทำให้คุณกลับไปใส่ขาสั้นเดินนอกบ้านให้คนอื่นเห็นได้อีกครั้งอย่างมั่นใจและไม่ตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นคืออะไร”

“ครับ”

“อย่าใส่ขาสั้นที่ยาวเลยเข่าไป ก็แค่นั้นแหละ”

คิวมองหน้าโจเหมือนไม่อยากเชื่อ

“ทำไม ไม่เชื่อรึไง คุณอาจจะคิดว่าแบบนั้นมันช่วยปกปิดได้ดีกว่า แต่ที่จริงแล้วมันมีแต่จะยิ่งทำให้คนเห็นว่าขาส่วนที่เลยเข่าขึ้นไปของคุณมันหายไปเท่านั้นแหละ นอกจากนั้นยังมีแต่จะทำให้คนอื่นมองคุณด้วยความสงสาร เห็นใจ หรืออาจจะสมเพชด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ใส่ขาสั้นที่สั้นเลยแผลขึ้นไปอย่างมั่นใจไปเลย โชว์กล้ามเนื้อขาของคุณให้คนอื่นเห็นชัดๆ เวลาคนอื่นเค้ามองมาที่คุณ ก็จะได้เห็นแต่กล้ามขาแน่นๆ ที่ผ่านการออกกำลังมาอย่างดีเท่านั้น และแน่นอนว่าเค้าก็จะมองคุณด้วยความชื่นชมทันที โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบผู้ชายแข็งแรงๆ น่ะ”

“ถ้าสั้นกว่าเข่าขึ้นมานี่มันจะไม่สั้นเกินไปเหรอครับ ผมว่ามันจะโป๊ไปหน่อยมั้ย”

“สำหรับผู้ชาย ไม่โป๊หรอก และที่สำคัญ แบบนี้สิดี คนอื่นจะได้เห็นแล้วสงสัยไงว่า ไอ้ก้อนตุงๆ ตรงหว่างขาของคุณนั่นน่ะ มันของจริงรึเปล่า” โจยักคิ้วพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

คิวหัวเราะชอบใจกับคำตอบที่ได้ยิน “ผมไม่คิดว่าพี่จะพูดอะไรแบบนี้กับผมเลยนะ”

“เฮ้ย ผมไม่ได้พูดเพราะมันเป็นหน้าที่ แต่คิดซะว่าผมให้คำแนะนำในฐานะที่คุณเป็นน้องชายคนนึงก็คงได้มั้ง คุณน่ะมีดีติดตัวอยู่แล้ว พยาบาลที่นี่หลายๆ คนยังเคยแอบซุบซิบว่าคุณหน้าตาดี หรือแม้แต่นักข่าวที่เคยมาทำข่าวของคุณก็ยังพูดกันเลยว่าคุณหล่อขนาดไหน”

“จริงเหรอครับ” คิวหัวเราะ “พยาบาลคนไหนบอกว่าผมหล่อเหรอ บอกผมหน่อยสิ”

โจส่ายหน้า “แล้วผมจะบอกอะไรให้อย่าง อะไรบางอย่างที่นักบำบัด จิตแพทย์ หรือใครก็ตามอาจไม่เคยได้พูดกับคุณในตอนที่คุณเข้ามารับการรักษาเยียวยาร่างกายและจิตใจเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ผมอยากให้คุณคิดนะว่าคุณโชคดีแค่ไหนแล้วที่ขาหายไปแค่ข้างเดียว ไม่ได้เอาไอ้น้องชายตัวโตนั่นหายไปด้วยน่ะ ถ้าระเบิดมันแรงกว่านี้หรือสูงกว่านี้อีกนิดเดียว สาวๆ หลายคนในประเทศนี้คงต้องร้องไห้เสียดายกันหนักแน่ๆ”

“ตกลงพี่จะไม่บอกผมจริงๆ เหรอว่าพยาบาลคนไหนที่ชอบผมน่ะ เอาสวยๆ นะ ป้าๆ แก่ๆ ไม่เอา” คิวยังคงหยอกเล่นอยู่

“ผมเป็นผู้ช่วยคุณนะ ไม่ใช่แมงดา” โจหัวเราะในลำคอเบาๆ รู้สึกดีที่เด็กหนุ่มเริ่มเปิดใจยอมรับเขามากขึ้น “ผมขอถามอะไรหน่อยสิ ทำไมคุณถึงอยากกลับไปเสี่ยงตาย กลับไปรบที่นั่นอีกครั้ง”

สีหน้าของคิวดูจริงจังขึ้นทันที “ไม่มีเหตุผลอะไรหรอกครับ ผมก็แค่อยากทำหน้าที่ของผมให้เสร็จเรียบร้อยแค่นั้นเอง ผมอยากรับใช้ชาติจนถึงที่สุด”

โจรู้สึกว่าคิวยังคงไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด แต่ก็ตัดสินใจไม่เซ้าซี้ต่อ “แบบนั้นก็ดี ผมดีใจนะที่กองทัพมีทหารรุ่นน้องไฟแรงแบบคุณอยู่น่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“อ้อ และมีอีกเรื่องที่ผมต้องบอกคุณ หลังจากนี้ผมจะเป็นเจ้าของไข้และคอยประเมินพัฒนาการของคุณก็จริง แต่ว่าพรุ่งนี้เราจะมีอาสาสมัครคนหนึ่งมาคอยดูแลคุณเป็นหลักแทนผมนะ จะเรียกว่าเป็นคล้ายๆ พยาบาลส่วนตัว หรือผู้ช่วยในการออกกำลังอะไรแบบนั้นก็ได้มั้ง”

“ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”

“ผู้ชาย”

คิวนิ่วหน้า “แต่ผมไม่ต้องการใครมาดูแลผม ยิ่งผู้ช่วยออกกำลังยิ่งไม่จำเป็นเลย ผมนึกว่าพี่จะเป็นเทรนเนอร์ให้ผมซะอีก”

“ผมไม่ได้ว่างมาดูแลคุณคนเดียวทั้งวันนะ แล้วอีกอย่างถ้าไม่มีคนอยู่กับคุณเวลาออกกำลัง ใครจะเป็นคนคอยเปลี่ยนน้ำหนักที่เวท บาร์เบล  คอยดูแลไม่ให้เกิดอันตราย หรืออะไรพวกนั้นให้คุณ” โจอธิบาย “ส่วนเรื่องพยาบาลดูแลอะไรนั่นมันก็แค่หน้าที่รอง อย่าลืมว่าน้องมันเป็นแค่อาสาสมัครเท่านั้น ถ้ามีอะไรให้มันทำ มันก็ทำทุกอย่างนั่นแหละ เพื่อที่ชั่วโมงจะได้ครบ ไม่งั้นมันก็ไม่ผ่านวิชาเรียนที่มหาวิทยาลัย ส่วนผมก็ยังเป็นคนมาคอยดูแล และจัดตารางออกกำลังให้แก่คุณตามปกติเหมือนวันนี้นั่นแหละ”

“ไอ้วิชาที่พี่พูดถึงนั่นมันวิชาอะไรครับ”

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เหมือนวิชานี้นักศึกษาจะต้องเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือสังคมน่ะ และน้องมันก็ลงสมัครมาที่นี่ ซึ่งผมว่าก็ดีแล้วล่ะ นอกจากเรื่องแรงบันดาลใจแล้ว คุณก็ถือซะว่าช่วยน้องมันเรียนไปด้วยในตัว”

“โอเคครับ ถ้าน้องมันจะทำให้ผมได้แรงบันดาลใจอะไรจากมันบ้างก็ลองดู” คิวยักไหล่ รู้สึกไม่ค่อยปลื้มกับความคิดนี้สักเท่าไหร่

“แต่หวังว่าน้องมันจะนิสัยโอเคและไม่วุ่นวายกับผมมากก็พอ”

“เรื่องนิสัย ผมว่าไม่น่ามีปัญหานะ แต่ไอ้เรื่องแรงบันดาลใจเนี่ย ผมว่าคุณนั่นแหละ ที่จะเป็นฝ่ายให้กำลังใจกับมัน”

“หมายความว่ายังไงครับ”

“เดี๋ยวเอาไว้คุณได้เจอน้องมันแล้วคุณก็คงรู้เองนั่นแหละ”
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 29-10-2012 16:26:56
ใครอยากติดตามหรืออยากรู้ลิสต์นิยายเรื่องอื่นๆ ที่เคยเขียนไว้ เข้าไปเช็คได้ที่ https://www.facebook.com/ExecutionerNovel

และถ้าใครที่ไลค์อยู่แล้วสงสัยว่าทำไมไม่ค่อยเห็นอัพเดทจากผม ให้กดแอดเพจเพิ่มเป็น interest list ซะนะครับ เฟซมันปรับระบบ แรนด้อมฟีด ไม่ได้เห็นตลอดและเห็นทุกคนแล้ว ใครสงสัยว่าทำยังไงไปโพสถามในเพจหรือไปหาอ่านเอานะ ขี้เกียจอธิบาย 55555
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 29-10-2012 18:28:48
น่าสนใจมากๆเลยค่ะ ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 29-10-2012 19:36:58
เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากเลยค่ะ ตัวเอกในเรื่องน่าจะเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจให้กับคนอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ฺBieKung ที่ 29-10-2012 23:29:59
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่าาาา พี่ต้นนนนนนนนนนน

เค้าคนนั้นคือใครรร???

มาลงตอนต่อไปเร็วๆนะค๊าบบบบบบบบบ ^^

  :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 30-10-2012 02:25:54
ตามมาอ่านแล้วค่่ะ

ท่าทางจะน่าสนุก สร้างกำลังใจให้ตัวเองด้วย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 30-10-2012 09:22:38
จิ้มไว้ก่อน แล้วค่อยอ่าน
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 30-10-2012 13:58:30
เป็นเรื่ิองที่แปลกไปจากเรื่องอื่น ผมชอบนะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 30-10-2012 14:00:06
 :oni1: ติดตาม
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 30-10-2012 14:25:43
ชอบคุณเทรนเนอร์มาก
รออ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 30-10-2012 14:44:03
มาใหม่ๆ

ติดตามๆ

 :L2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: runma ที่ 30-10-2012 15:16:39
มาลงชื่ออ่านเรื่องใหม่ครับ

ตอนแรกผมลุ้นพี่โจกับคิว ดูว่าโจจะติดใจขนาดของคิวเหลือเกิน 555  :m12:
ชอบการดูแลและวิธีให้กำลังใจที่โจทำให้นะครับ คนพิการที่ไม่ได้เป็นแต่กำเนิด
ต้องใช้กำลังใจอย่างมากกับการที่ต้องยอมรับสภาพของตัวเองที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่ตอนนี้ผมว่าน้องที่มาเป็นอาสาสมัครดูจะน่าสนใจกว่าแล้วครับ
 :a3:

หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: mankey ที่ 30-10-2012 21:47:04
ชอบอ่ะพี่ต้นนน พล็อตแปลกดีอ่าาา อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 31-10-2012 20:54:47
ตอนที่ 1

ผมชื่อพิทักษ์กลไกล ชื่อเล่นชื่อ พลุ เรียนอยู่ปีสามที่มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ช่วงปิดเทอมนี้ ผมต้องมาทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตำแหน่งที่ผมไม่เคยคิดอยากทำเลย นั่นคือการเป็นผู้ช่วยดูแลผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะ เนื่องจากวิชาเลือกที่ผมลงกำหนดไว้ว่านักศึกษาทุกคนจะต้องทำงานเป็นอาสาสมัครตามจำนวนชั่วโมงที่มหาวิทยาลัยกำหนดเพื่อจะได้เกรด และที่ผมบอกว่าผมไม่อยากอาสาสมัครมาในตำแหน่งหน้าที่นี้ ไม่ใช่เพราะผมรังเกียจผู้ป่วยพิการหรืออะไร แต่ความคิดแรกที่ผมนึกถึงเมื่อรู้ว่าผมต้องทำอะไรคืออดีตและบาดแผลของตัวเองต่างหาก รวมทั้งผมยังไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถรับมือกับสภาพจิตใจของผู้ป่วยได้ดีสักเท่าไหร่ด้วย ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะมาทำงานมากนัก ซึ่งผมคิดว่าพี่โจ หัวหน้าของผมก็คงพอดูออกเหมือนกัน

ช่วง 2-3 วันแรกผมก็ได้เรียนรู้งานคร่าวๆ จากพี่โจ ได้พบกับผู้ป่วยบางคน และคอยช่วยพี่เขาเรื่องงานเอกสารต่างๆ ซึ่งก็ค่อนข้างน่าเบื่อพอสมควร แต่เมื่อวานพี่โจเพิ่งบอกผมอย่างกะทันหันว่าวันนี้ผมจะได้พบกับผู้ป่วยที่ผมจะต้องเป็นคนช่วยดูแลอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก ตอนแรกผมก็ตกใจและรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย แต่เมื่อผมได้ยินจากพี่โจว่าคนๆ นี้คือทหารที่ถูกระเบิดจากพวกผู้ก่อการร้ายจังหวัดชายแดนภาคใต้จนเสียขาไป ซึ่งเป็นคนที่เพิ่งเป็นข่าวไปเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ทัศนคติที่ผมมีต่องานนี้ก็เปลี่ยนไปทันที แต่ความตื่นเต้นยังคงมีเท่าเดิม

ผมมาถึงที่โรงพยาบาลเวลาแปดโมงเช้าและเข้ารายงานตัวกับพี่โจตามปกติ เขายื่นเอกสารที่หนีบอยู่บนคลิปบอร์ดให้ผมอ่านและบอกให้ผมไปพบกับคนๆ นี้ตามหมายเลขห้องที่เขียนอยู่ได้เลย เพราะว่าเขาต้องไปประชุมในอีก 15 นาที จึงไม่มีเวลาไปส่งผม

ผมเดินไปตามทางเดินพร้อมกับกวาดสายตาอ่านประวัติของนายทหารหนุ่มคนนี้ไปด้วย เขาอายุมากกว่าผมแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น และเมื่อผมเปิดประตูห้องออกหลังจากเคาะบอกคนข้างใน ผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบกับชายหนุ่มหน้าตาดียิ่งกว่าในรูปอีกไม่รู้กี่เท่านอนเอนหลังอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ผมคิดว่าผมมาผิดห้องจนต้องก้มลงดูหมายเลขห้องบนเอกสารและเงยหน้ากลับขึ้นไปดูกระดาษที่แปะอยู่บนประตูอีกครั้ง

“เอ่ออ... สวัสดีครับ พี่รติบดีใช่มั้ยครับ”

“เรียกว่าคิวก็ได้” เขาตอบพลางวางหนังสือลงข้างตัว

“ผมชื่อพลุครับ” ผมปิดประตูและเดินเข้าไปหาเขาที่เตียง

เขามองผมด้วยสายตาที่แลดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก แต่บางทีผมอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้ล่ะมั้ง

“เราต้องไปกันกี่โมง” เขาถามขึ้น

“เอ่ออ...” ผมพลิกดูตารางที่พี่โจให้ผมมา “สิบโมงครึ่งเราจะไปที่ยิมแล้วก็ออกกำลังตามตารางที่พี่โจให้ผมมา... มั้งครับ”

“มั้งเหรอ” เขานิ่วหน้า

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

“แล้วระหว่างนี้ล่ะ”

ผมยักไหล่ “ไม่รู้สิ พี่อยากไปไหนหรือทำอะไรรึเปล่าล่ะ”

“ไม่ล่ะ” เขาตอบ

“งั้นเรามานั่งคุยกันก็แล้วกันเนอะ ดีมะ จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นอีกหน่อย” ผมลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เตียง พยายามจะทำตัวเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้

“พี่ขออ่านหนังสือดีกว่า” เขาหยิบหนังสือขึ้นมาถือไว้อีกครั้ง

“ก็แล้วแต่ครับ ผมไงก็ได้” ผมหยิบรีโมทที่วีที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมากดเปิดทีวี ก่อนจะหันไปมองหน้าเขาเป็นเชิงขออนุญาต

พี่คิวพยักหน้าให้ผมเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก ผมแอบลอบถอนหายใจเบาๆ และอดคิดไม่ได้ว่าถึงพี่เขาจะหน้าตาดี แต่ดูเหมือนมนุษยสัมพันธ์จะไม่ได้ดีเหมือนหน้าแฮะ

เราสองคนนั่งกันอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่ ซึ่งในระหว่างนั้น ผมที่ดูทีวีอยู่ก็กดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เจอโฆษณา

“นิสัยเสียนะเราเนี่ย เหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด” จู่ๆ พี่คิวก็พูดขึ้น

“หึๆ ติดนิสัยมั้งครับ แต่ก็เป็นเฉพาะเวลาเบื่อๆ เท่านั้นแหละ”

“เบื่อแล้วมาทำอาสาสมัครแบบนี้ทำไม”

“ไม่ทำก็เรียนไม่จบน่ะสิ”

“อ้อ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือต่อ

ผมลอบถอนหายใจเบาๆ อีกครั้งแล้ววางรีโมทลงข้างเตียง ผมนั่งดูข่าวช่วงเช้าอย่างไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก จนกระทั่งนักข่าวเริ่มอ่านข่าวจับมือวางระเบิดที่ภาคใต้ได้อีกคนหนึ่ง ผมก็หันไปมองพี่คิวตามสัญชาติญาณทันที ซึ่งเขาเองก็กำลังสนใจรายละเอียดของข่าวอยู่พอดีด้วยเหมือนกัน แต่แทนที่เขาจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรออกมา ผมกลับเห็นแต่สีหน้าที่เรียบเฉยและดวงตาที่แลดูเกือบจะว่างเปล่า มันดูเย็นชาเสียจนผมยังรู้สึกกลัว

พี่คิวเหลือบหันมามองทางผมและเห็นว่าผมกำลังมองดูเขาอยู่

“มีอะไร” เขาถาม

“เปล่าครับ” ผมส่ายหน้า

“ดีแล้ว” เขาทำท่าจะยกหนังสือขึ้นอ่านต่อ

“พี่โกรธมั้ย” ผมถามออกไป

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “หมายถึงโกรธอะไร”

“ก็โกรธ... หรือเกลียดแค้น ไอ้คนที่ทำแบบนี้กับพี่น่ะ”

“ไม่หรอก แต่โกรธคนที่ทำแบบนี้กับประเทศของเรามากกว่า” เขาหันมามองหน้าผม “พี่โจบอกเราแล้วใช่มั้ยว่าจะต้องช่วยพี่เวลาออกกำลังกายน่ะ”

“ใช่ครับ บอกแล้ว” ผมพยักหน้า

“แล้วพอรู้เรื่องออกกำลังอะไรพวกนี้บ้างรึเปล่า... แต่เท่าที่ดูก็น่าจะรู้มั้ง ใช่มั้ย”

“รู้สิ ผมเองก็เข้าฟิตเนสประจำ และก่อนนี้ก็เคย... เป็นนักกีฬาด้วย”

“ดีแล้ว” เขาพยักหน้าเบาๆ “เราไปกันเลยได้มั้ยวะ ไม่อยากปล่อยเวลาผ่านไปเฉยๆ”

“ครับ ก็คงได้มั้ง ถ้าไม่มีคนใช้ห้องอยู่ก่อนนะ” ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปเลื่อนรถเข็นมาเทียบที่ข้างเตียง

เขานิ่วหน้า “ทำแบบนี้มันจะดีเหรอ”

“เฮอะ อะไรครับ”

“เลื่อนรถเข็นมาให้แบบนี้น่ะ อย่างน้อยพี่โจก็ไม่ทำแน่ๆ เค้าไม่ได้บอกมารึไง”

“เปล่านี่ครับ งั้นผมเดาว่าผมคงไม่ต้องช่วยอุ้มหรือหิ้วปีกพี่ลงมานั่งที่รถด้วยใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่ต้อง” เขาตอบเสียงตึงๆ พลางยกตัวเองลงมานั่งลงบนรถเข็น

เราสองคนเดิน/เคลื่อนรถเข็น ไปตามทางเดินด้วยกัน ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านรายงานของพี่โจถึงเรื่องความกังวลของสายตาคนรอบข้างของพี่คิวมาแล้ว ดังนั้นผมจึงคอยสังเกตปฏิกิริยาที่คนอื่นๆ มีต่อเขา รวมทั้งปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อสายตาของคนเหล่านั้นด้วย แต่เท่าที่ผมเห็น ดูเหมือนว่าทุกคนจะเป็นมิตรกับเราทั้งคู่ดี พวกเขาต่างก็ยิ้มแย้ม ทักทาย และไม่มีใครแม้แต่คิดจะชำเลืองมองดูขาข้างที่หายไปของเขาเลยสักนิดเดียว

“ผมไม่รู้ว่าพี่สังเกตรึเปล่า แต่ผมว่าไม่มีใครเค้าสนใจว่าพี่เป็นแบบนี้สักคนเดียวเลยนะ” ผมพูดขึ้นห้วนๆ นึกขึ้นได้ว่าพี่โจเองก็บอกผมมาแล้วว่าผมไม่ควรปฏิบัติกับคนๆ นี้อย่างอ่อนโยนหรือใจดีจนเกินไป

เขาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยแววตาและสีหน้าบึ้งตึง

“ทุกคนที่ทักทายเรา ไม่มีใครที่แม้แต่จะเหลือบไปมองขาพี่ด้วยซ้ำนะครับ”

เขาไม่ตอบอะไรผม บางทีผมอาจจะพูดเกินไปหน่อย หรืออาจจะใช้คำผิดไป ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลองพยายามดูใหม่อีกครั้งด้วยหัวข้อคุยอื่น

“อ้อ ว่าแต่พี่มีอะไรอยากจะได้รึเปล่า เอาไว้ผมจะซื้อเข้ามาให้...”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “จริงๆ ก็มีอยู่อย่างที่อยากได้นะ”

“อะไรครับ”

“ก็... กางเกงในน่ะ ที่นี่แทบไม่มีเลย มีแต่บ็อกเซอร์ และตัวที่มีอยู่ก็ใส่ไม่ดีแล้ว อยากได้ผ้าที่มันดีๆ หน่อย”

“โอเค แล้วปกติพี่ใส่ไซส์อะไรล่ะ”

“L”

“แน่ใจนะ” ผมเลิกคิ้วขึ้น เพราะเท่าที่ดู ผมว่าเขาไม่น่าจะสูงเกิน 175 เซนติเมตร ด้วยซ้ำ ในขณะที่ผมสูงมากกว่าเขาอย่างน้อยก็ 10 เซนติเมตร แต่ก็ยังใส่กางเกงในไซส์เดียวกับเขาอย่างนั้นเหรอ

เขาทำหน้าบึ้งอีกครั้ง “ถ้าเอาผ้ายืดๆ มามันก็ใส่ได้ทั้งนั้นแหละ เอามาตามที่บอกเหอะน่ะ ขนาดกางเกงในมันวัดที่เอว และถึงเห็นแบบนี้แต่พี่ก็ไม่ได้เอวเล็กขนาดจะใส่ไซส์ M หรอกนะเว้ย”

“ครับๆ ขอโทษที แต่ผมก็ไม่ได้คิดไปถึงอย่างอื่นหรอกน่า”

การออกกำลังกายเป็นไปด้วยดี พี่คิวดูมุ่งมั่นมากกว่าที่ผมคิดเยอะ เพราะตอนแรก เมื่อเดาจากการพูดจาและท่าทางของเขาแล้ว ผมคิดว่าเขาอาจจะยังไม่ค่อยมีกำลังใจเท่าไหร่เสียอีก แต่ปรากฏว่าเขาสามารถออกกำลังตามตารางที่พี่โจให้มาได้อย่างครบถ้วนโดยไม่มีบ่นหรือแสดงสีหน้าท้อแท้เลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อเขาเหงื่อออกจนเสื้อที่ใส่อยู่เปียกชุ่มแล้ว เขาก็ถามผมว่าจะขอถอดเสื้อออกได้รึเปล่า เพราะพี่โจเคยพูดไว้ว่าเขาสามารถถอดเสื้อออกกำลังกายในห้องนี้ได้

“ถ้าพี่โจว่าได้ ก็คงได้แหละครับ” ผมยักไหล่

เขาชูแขนขึ้นและถอดเสื้อยืดออก เมื่อเห็นร่างกายของเขาแล้ว ลมหายใจของผมถึงกับขาดห้วงไปนิดหน่อยทันที ถึงผมจะพอดูรู้ว่าเขาหุ่นดีอยู่แล้ว แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับเมื่อได้เห็นร่างกายของเขาโดยปราศจากเสื้อที่คอยปกปิดอยู่อย่างตอนนี้ เขาดูตัวหนากว่าที่ผมคิดไว้มาก น่าจะเกิดจากการออกกำลังอย่างหนักมาตั้งแต่ก่อนเป็นทหารเสียอีกด้วยซ้ำ กล้ามอกของเขาเป็นลูก และกล้ามท้องก็เป็นลอนสวย ผมว่าเขาแทบจะเป็นนายแบบได้สบายๆ เลยนะเนี่ย

เขาออกกำลังต่ออีกครู่หนึ่งจนกระทั่งเสร็จครบทุกอย่าง จากนั้นก็หันไปมองยังห้องล็อคเกอร์และหันกลับมาหาผม “เฮ้ย พลุ ตรงนั้นมีห้องอาบน้ำอยู่ไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนจะไม่มีคนใช้เลยรึเปล่า ถ้าเกิดเราบอกพี่โจว่าพี่จะขอใช้ที่นี่ด้วยได้มั้ย”

“ไม่รู้ดิพี่ คือก็ถามให้ได้นะ แต่มันยังใช้ได้เหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกัน พี่จะไปรู้ได้ไงล่ะวะ”

“งั้นขอผมไปเช็คดูก่อนแล้วกัน” ผมเดินเข้าไปตรงห้องล็อคเกอร์ ลองเข้าไปในส่วนของห้องอาบน้ำที่มีอยู่แค่สองห้อง และเมื่อทดลองเปิดฝักบัวดู สายน้ำเย็นๆ ก็ไหลออกมา ถึงห้องอาบน้ำจะดูเก่าไปบ้าง แต่ก็แลดูสะอาดดี

“ใช้ได้นะ พี่อยากจะอาบน้ำเลยรึเปล่าล่ะ” ผมเดินกลับมาถามเขา

“ไม่ต้องขออนุญาตพี่โจก่อนรึไง”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวผมคุยให้ทีหลังเอง”

“สบู่ ผ้าเช็ดตัวอะไรก็ไม่มีนะ”

“ผมเห็นสบู่ก้อนอยู่ในห้องน้ำ ส่วนผ้าขนหนูในล็อคเกอร์มีอยู่แล้ว เยอะแยะไป เอามาแค่สองผืน คงไม่มีใครว่าหรอก แต่ผืนอาจจะเล็กหน่อยเท่านั้นเอง”

“สองผืนเหรอ เอามาทำไมสองผืน” เขาขมวดคิ้ว

“ผมปล่อยให้พี่อาบน้ำคนเดียวไม่ได้หรอกนะครับ”

“แต่ที่ห้องพี่ก็อาบคนเดียว”

“แต่ที่นี่ไม่มีปุ่มเรียกพยาบาลฉุกเฉินเหมือนในห้องผู้ป่วยนะ”

“แล้วเราจะไม่ได้แค่ยืนรออยู่ข้างนอกรึไง อยู่ดีๆ จะต้องมาอาบน้ำไปด้วยทำไม”

“ผมไม่ถือหรอก และต่อให้ยืนอยู่ข้างนอก ถ้าพี่เกิดล้มหรือเป็นอะไรไปขึ้นมา ผมก็ช่วยไม่ทันน่ะสิ และคราวนี้แหละจะเป็นเรื่องใหญ่แน่”

“โอเค ถ้างั้นก็ไป” เขาพยักหน้า จากนั้นก็กระโดดขาเดียวตรงไปยังห้องน้ำ ส่วนผมก็เดินตามเขาไปติดๆ

“พี่ถอดเสื้อผ้ารอเลยก็ได้ แต่อย่าเพิ่งเข้าไปในห้องน้ำจนกว่าผมจะบอกล่ะ ขอผมหยิบผ้าขนหนูก่อน” ผมเดินไปยังตะกร้าใส่ผ้าสะอาดและหยิบผ้าขนหนูสีขาวออกมาสามผืน ผืนหนึ่งสำหรับปูให้เขายืนบนพื้นห้องน้ำ ส่วนอีกสองผืนเป็นของเรา

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมแทบจะเผลอผงะไปเมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเขาที่ยืนรอผมอยู่ นอกจากร่างกายที่สมส่วนของเขาแล้ว ไอ้น้องชายของเขาก็ยังใหญ่กว่าของใครๆ ที่ผมเคยเห็นมาทั้งหมดอีกด้วย

“อะไร” เขาพูดขึ้น

“เออะ... เอ่อ ขอโทษทีพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ผมเขินจนแทบพูดไม่ถูก

“ช่างเถอะ ชินแล้ว” เขายักไหล่

“ชิน... ชินกับการที่คนเห็นไอ้นั่นของพี่น่ะเหรอ”

“ก็เป็นทหาร มันก็เห็นกันและกันแก้ผ้าตลอดนั่นแหละ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

ผมไม่กล้าจินตนาการตอนที่มันแข็งตัวเลย เพราะขนาดตอนปกติแบบนี้ เท่าที่วัดด้วยสายตา ผมว่าก็น่าจะราวๆ ห้านิ้วกว่าได้แล้วมั้ง

“ไม่หนักบ้างเหรอพี่ พกปืนใหญ่ติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดแบบนี้” ผมหัวเราะเบาๆ

“นั่นก็ชินแล้วเหมือนกัน”

“โห ไม่รู้พี่ชินกับมันได้ไงว่ะ พูดตรงๆ”

“ก็ต้องชินให้ได้เหมือนกับพยายามเคยชินที่เหลือขาข้างเดียวแบบนี้นี่แหละ”

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย” ผมเกริ่นพร้อมกับเริ่มถอดเสื้อออก

“เรื่องอะไรล่ะ”

“พี่เสียขาข้างนั้นได้ยังไง”

“IED รู้จักรึเปล่า”

ผมพยักหน้าในขณะที่ตัวเองกำลังดึงกางเกงในลง ถึงผมจะค่อนข้างมั่นใจกับขนาดของตัวเองพอสมควร แต่ก็เทียบกับเขาไม่ได้เลยจนผมแอบรู้สึกอายขึ้นมานิดๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมก็เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนผู้ชายมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแท้ๆ

“ก็นั่นแหละ โดนตอนเข้าไปไล่ล่าพวกมันในป่าน่ะ” เขาตอบ “แล้วพอไปใกล้ฐานของพวกมัน มันก็จุดชนวนระเบิด ยังดีที่ไม่ได้โดนตรงๆ ไม่งั้นคงตายกันมากกว่านี้”

“แปลว่ามีทหารที่ตายเพราะระเบิดครั้งนี้ด้วยเหรอครับ”

“ตายสอง แต่บาดเจ็บหลายคน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูห่างไกล

“แล้วจับพวกมันได้บ้างรึเปล่า” ผมเดินเข้าไปตั้งใจจะช่วยพยุงเขาเข้าห้องน้ำ แต่เขาเอี้ยวตัวหนีและกระโดดขาเดียวเข้าไปในห้องน้ำด้วยตัวเอง

“โดนยิงตายไปหลายคนแล้ว และหลังจากนั้นก็โดนระเบิดตัวเองตายไปอีกคนตอนมันกำลังจะฝังระเบิดที่พุ่มไม้”

ผมเปิดฝักบัวก่อนจะหันไปหาเขา “โอเค แต่อยู่ในนี้ ห้ามพี่กระโดดขาเดียวอีกล่ะ มันลื่น ไม่เหมือนกับข้างนอก และผมก็ต้องอยู่ข้างๆ พี่ตลอดด้วย”

เขาพยักหน้า ผมจึงเขยิบตัวออกให้เขาได้เขยิบตัวมายืนอยู่ใต้ฝักบัวโดยมีผมยืนประกบอยู่ข้างๆ ในระยะที่สามารถคว้าตัวของเขาเอาไว้ได้ทุกเวลา แต่ผมไม่ได้สัมผัสร่างกายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมสบโอกาสได้สำรวจร่างกายของเขาอย่างใกล้ชิด ในใจก็พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นจนเกินไปแล้วทำให้เขาจับได้ว่าผมเป็นเกย์ ผมไล่สายตามองเรือนร่างสมส่วนของเขาอย่างระมัดระวัง และเพิ่งสังเกตเห็นรอยแผลเป็นใหม่ๆ อยู่ที่สะโพก รวมทั้งสีข้างด้านขวาของเขาอีกด้วย

เขายืนอยู่ใต้กระแสน้ำอุ่นสักพัก ก่อนจะหมุนตัวเพื่อหันไปหยิบสบู่ก้อน แล้วจู่ๆ ก็เสียการทรงตัว ผมรีบเหยียดแขนออกไปช่วยพยุงเขาเอาไว้อย่างทันท่วงที

“เผลอจะใช้ขาข้างซ้ายอีกแล้ว ขอโทษที” เขาพูดอายๆ

“สมองมันยังไม่ชินมั้งครับ แต่ก็นี่แหละ ผมถึงจะปล่อยให้พี่อาบน้ำอยู่ในนี้คนเดียวไม่ได้” ผมพูดด้วยความตื่นเต้น ผิวหนังของเขาที่แนบชิดอยู่กับร่างกายของผมทำให้ใจของผมเต้นแรง กล้ามเนื้อของเขานั้นแข็งแกร่ง แต่ผิวหนังกลับเนียนนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ

“ปล่อยได้แล้วล่ะ พี่ยืนเองได้แล้ว”

“ค... ครับ ขอโทษที” ผมค่อยๆ ดันตัวเขาให้ยืนบนขาของตัวเอง

“ตอนปกติก็ไม่เคยคิดหรอก แต่พอมีขาเดียวแล้วถึงได้รู้สึกตัวว่าเวลามันต้องทั้งรับน้ำหนักและทำงานทุกอย่างโดยไม่มีขาอีกข้างคอยช่วยเนี่ย แม่งเมื่อยขนาดไหน”

“พี่อยากจะเอนพิงผมหรือให้ผมช่วยพยุงเพื่อผ่อนน้ำหนักบ้างรึเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวรีบๆ อาบให้เสร็จแล้วไปนั่งเช็ดตัวข้างนอกดีกว่า”

“ครั้งหน้าผมเอาเก้าอี้มาให้พี่นั่งในนี้ดีมั้ย”

“ไม่ต้อง ขาข้างนี้มันต้องฝึกและต้องเคยชินกับการทำงานหนักขึ้นอีกเท่าตัวไวๆ อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าจะได้ขาเทียมนั่นแหละ”

เขาพูดพลางฟอกสบู่ไปพลาง ผมต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่มองเวลาที่เขาทำความสะอาดบริเวณส่วนนั้นของเขา

หลังจากที่เขาล้างสบู่เสร็จ ผมก็เดินตามติดเขาแบบห่างแค่ไม่กี่นิ้วออกจากห้องอาบน้ำ ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขา และยืนมองดูเขานั่งเช็ดตัวอยู่บนม้านั่งในขณะที่ผมเองก็กำลังเช็ดร่างกายให้แห้งอยู่เช่นเดียวกัน

เมื่อแต่งตัวเสร็จ เราสองคนก็กลับมาที่ห้องของเขา หลังจากที่เขาขึ้นไปนั่งบนเตียงเรียบร้อยแล้ว เขาก็เอนหลังลงบนหมอนและถอนหายใจออกมาเสียงดัง ดูท่าว่าเขาจะเหนื่อยกับการออกกำลังและการอาบน้ำเมื่อครู่อยู่ไม่น้อย

“คงเป็นเพราะเพิ่งออกกำลังมาเยอะมั้ง ก็เลยเหนื่อยขนาดนี้น่ะ”

เขาทำหน้าย่นและพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างประชดประชัน “คงงั้นมั้ง”

“การรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกนะพี่”

“ใช่ แต่พี่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น”

ผมนั่งลงบนโซฟา “พี่หุ่นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนเป็นทหารใช่รึเปล่า หรือว่าหลังจากฝึก”

“ก่อนหน้านานแล้ว”

“ตั้งแต่มัธยมเหรอ”

“สมัยมัธยมยังผอมอยู่เลย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยแป๊บนึงนั่นแหละถึงเริ่มเล่นกล้าม เริ่มออกกำลังจริงจัง” เขาหันมาหาผม “แล้วเราล่ะ”

“ผมหุ่นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ก็สูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันอะ แต่ส่วนมากจะเล่นบาสฯ ไม่ค่อยได้เข้าฟิตเนสอะไรหรอก นั่นเพิ่งเริ่มเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เอง” ผมหันไปหยิบเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาจดอะไรลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็ยืนขึ้น “เดี๋ยวผมมานะ ไปรายงานพี่โจเรื่องการออกกำลังเมื่อกี้นี้ก่อน”

หลังจากนั้นอีกไม่ถึง 10 นาที ผมก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานของพี่โจ เขาถามถึงความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่คิวเป็นอย่างแรก

“ก็ดีครับ ดื้อแล้วก็... ขวางโลกใช้ได้”

“ดื้อหรือว่ามุ่งมั่น”

“ผมว่ามันก็เหมือนกันมั้งครับ ในกรณีของพี่เค้าน่ะนะ” ผมยักไหล่

“แล้วไอ้คำว่า ‘ขวางโลก’ เนี่ย ไม่มีคำอื่นเลยรึไง”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จะให้ใช้คำว่าอะไรดีล่ะครับ ‘กวนตีน’ ได้รึเปล่า หรือ ‘อวดดี’ ฟังดูดีกว่า”

พี่โจหัวเราะเบาๆ ทันที “ผมว่าคุณสองคนมันก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ”

“ผมว่าผมไม่ได้นิสัยเหมือนเค้านะ แต่ก็ช่างเถอะครับ ก่อนที่ผมจะลืม ผมจะบอกว่าเมื่อกี้ผมให้เค้าอาบน้ำที่ห้องน้ำในยิมนะครับ แล้วเค้าก็ฝากผมขออนุญาตพี่สำหรับครั้งต่อๆ ไปด้วย”

พี่โจเลิกคิ้วขึ้น “เฮ้ย! ไม่ได้นะ ยังอันตรายเกินไป ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“แต่เมื่อกี้ผมเข้าไปอาบกับเค้าด้วยนะ คอยดูอยู่ใกล้ๆ ตลอด”

“อ้อ ถ้างั้นก็แล้วไป แต่คราวหลังให้มาบอกผมก่อนทุกครั้ง เข้าใจรึเปล่า”

“ครับ ผมขอโทษครับ”

พี่โจไม่ได้ต่อว่าอะไรผมเรื่องห้องอาบน้ำ แล้วก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย เราคุยกันถึงสิ่งที่ผมต้องปฏิบัติกับพี่คิวและหน้าที่ของผมที่ต้องทำในแต่ละวัน รวมทั้งเรื่องของตารางการออกกำลังกายของเขาในครั้งต่อๆ ไป

วันถัดมา พี่โจมาช่วยดูแลเขาออกกำลังคู่กับผม รวมทั้งครั้งถัดมาก็ด้วย แต่เขาอยู่กับเราแค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะต้องไปพบกับผู้ป่วยรายอื่น เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จและกลับมาถึงห้องแล้ว พี่คิวก็ถามผมเรื่องกางเกงในว่าผมลืมไปแล้วหรือเปล่า

“ไม่ลืมหรอก เอ้า นี่” ผมหยิบกล่องกางเกงในออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา

“กล่องนี้มันมีแค่ตัวเดียวนี่” เขาพลิกกล่องไปมา “และยี่ห้อนี้มันก็แพงไม่ใช่เหรอวะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ขอให้พี่ชอบเถอะ และที่ผมซื้อมากล่องเดียวก่อนก็เพื่อจะให้พี่ดูว่าชอบเนื้อผ้าไลคราแบบนี้รึเปล่า รวมทั้งสี ทรง ขนาด อะไรพวกนั้นด้วย ถ้าเกิดว่าชอบ ก็จะได้ซื้อมาให้อีก”

“ขอบใจมาก”

“ไม่ต้องขอบใจผมหรอกครับ ลองสวมดูก่อนเหอะว่าพอดีรึเปล่า”

เขาแกะกล่องออกและหยิบมันขึ้นมาดู ท่าทางลังเล

“อะไร อย่าบอกนะว่าเขินผม ไม่กล้าเปลี่ยนให้ผมดูน่ะ ที่ค่ายไม่ได้แก้ผ้าเห็นกันหมดแล้วประจำหรอกรึไง”

เขาหันมามองผมด้วยดวงตาดุๆ “แต่ที่นี่มันโรงพยาบาลนะเว้ย ลองช่วยมองไปรอบๆ ซิว่ามันมีอะไรเหมือนค่ายทหารตรงไหน ห้องน้ำรึก็ไม่ใช่”

“อ้าว แล้วมีผมยืนอยู่คนเดียวมันน่าอายมากกว่ามีผู้ชายอีกนับสิบคนแก้ผ้าอยู่ด้วยกันเหรอ งั้นจะให้ผมไปตามผู้ชายมายืนห้อมล้อมพี่ให้เอามั้ย เผื่อจะทำให้พี่รู้สึกสบายใจขึ้น คุ้นเคยมากขึ้น”

“กวนส้นตีน” เขาพูดเบาๆ แต่เน้นๆ

ผมยักคิ้วกลับให้เขาเพราะตรงกันข้ามกับคำพูดเมื่อครู่ ผมเห็นว่าเขามีรอยยิ้มที่มุมปากนิดๆ ด้วย

เขาเขยิบตัวไปนั่งอยู่ขอบเตียงและถอดกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ออก ผมเลื่อนผ้าม่านมาปิด แต่ก็ยืนอยู่ข้างในนั้นกับเขา เมื่อเขาถอดกางเกงออกไปแล้ว ผมก็เดินไปหยิบมันขึ้นจากพื้น ทำให้หน้าของผมอยู่ห่างจากร่างกายเปลือยเปล่าของเขาแค่ไม่กี่นิ้ว

“ดูใหญ่ดีเหมือนกันนะเนี่ย” ผมพูดขึ้น เขาจึงหรี่ตามองผมด้วยสีหน้าบึ้งตึงทันที “ผมหมายถึงต้นขาพี่น่ะ” ผมหัวเราะ

เขากระโดดลงจากเตียงและใส่กางเกงในที่ผมซื้อมาให้ ไอ้น้องชายของเขาถูกพับหัวลงตุงอยู่เต็มเป้ากางเกง เนื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ถูกยืดออกแนบเข้ากับร่างกายของเขาพอดิบพอดี ทำให้เขาดูเซ็กซี่ยิ่งกว่าตอนไม่ใส่อะไรเลยเสียอีก

“อึดอัดมั้ยเนี่ย เล็กไปรึเปล่า” ผมถาม

“ไม่อะ พอดีเลย ใส่สบายดีด้วย” เขาก้มลงสำรวจตัวเองพร้อมเอี้ยวตัวไปมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับผม “ตอนนี้ขอบใจได้รึยัง”

“ตามสบายเลย” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้น

เขาหัวเราะเบาๆ “ขอบใจมาก ตัวเท่าไหร่วะ เดี๋ยวคืนเงินให้”

“ไม่ต้องหรอก ผมซื้อให้”

“เฮ้ย แต่...”

“จะเอาปะ ถ้าไม่งั้นผมไม่ซื้อมาแล้วนะ”

เขามีสีหน้าลังเล “โอเค งั้นติดไว้ก่อนแล้วกัน วันหลังจะใช้คืนให้”

ผมยักไหล่ และยืนมองดูเขาหยิบกางเกงขาสั้นที่ผมเพิ่งวางลงบนเตียงขึ้นมาสวม ในใจก็นึกอยากบอกให้เขาใส่กางเกงในตัวเดียวแบบนี้ไปตลอดทั้งวัน แต่ผมรู้ดีว่าถ้าหากผมพูดแบบนั้นออกไปล่ะก็ คงต้องโดนเขาด่าและทำหน้ารังเกียจใส่แน่นอน

“ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย ไม่งั้นแม่งก็โตงเตงเกิน รู้สึกหวิวๆ มาหลายวันแล้ว” เขาพูดพลางยิ้มกว้างให้ผม เป็นรอยยิ้มแบบยิ้มจริงๆ เป็นครั้งแรก... และมันก็ทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ ในใจด้วยเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 31-10-2012 22:11:44
จิ้มคุณต้น
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 01-11-2012 07:29:03
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 01-11-2012 09:25:08
ชอบคะ เรื่องนี้ มาเเนวที่ไมเคยอ่านมาก่อน
น้องพลุนี่ คงเคย มีอาการบาดเจ็บที่ขาเเน่เลย
รอตอนต่อไปคะ บวกหนึ่งเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: BaoBao ที่ 01-11-2012 13:59:19
 :oni1: คลื่นลมยังสงบ ทะเลกำลังสวยงาม

เอร๊ยยย....รอตอนต่อไปคร่า

ปล. เห็นด้วยกับพ่อหนุ่มบุรุษก.ภ.บ.บ บางครั้งยิ่งใส่เสื้อผ้า ยิ่งดูเซะกุซี่มากกว่า...ถอดจนเหี้ยน..( :z1: แค่บางอารมณ์ เหอเหอเหอ)
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-11-2012 15:03:12
พี่คิวนี่กำลังใจดีมาก ๆ เลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: White Sherbet ที่ 01-11-2012 17:20:58
แนวนี้เพิ่งเคยอ่านเป็นเรื่องแรกเลยนะคะเนี่ย น่าสนใจๆๆ ^_^

รอตอนต่อไปนะคะ

ป.ล.อ่านตอนนี้แล้วอยากกินห่อหมกง่ะ ว่าแล้วก็วิ่งไปตลาดหน้าปากซอย..... :pigha2:  :haun4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 01-11-2012 17:26:30
ชอบๆค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 01-11-2012 18:01:57
ขอเข้ามาอ่านด้วยครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 02-11-2012 03:22:46
ขอบคุณมากคับที่มีนิยายให้อ่านตลอดชอบทุกเรื่องที่คุณต้นแต่งนะคับ มาต่ออีกนะคับและเป็นกำลังใจให้คนเขียนตลอดไปคับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: runma ที่ 02-11-2012 16:17:38
น้องพลุ มีแต่คนติดใจของ..ของคิวกันเนอะ หึหึหึ และพี่คิวก็เริ่มยิ้มได้แล้ว
พลุน่าจะเคยได้รับบาดเจ็บจนเล่นกีฬาไม่ได้แน่เลย  เดี๋ยวคงได้เป็นกำลังใจ
ให้กันไป ให้กันมา อืมมม  :impress2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 02-11-2012 17:39:25
เขินอ่ะ ได้เห็นของคิว อร๊ายยยยยย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 04-11-2012 02:06:47
พลุนี่เรียนวิศวะใช่ปะครับ ?
เห็นชื่อ พิทักษ์กลไกล 555
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: mankey ที่ 04-11-2012 09:27:47
อ๊ากกกกกกกก อ่านตอนนี้แล้วเขินอ่ะ ><
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-11-2012 20:10:36
ตอนที่ 2

สองสัปดาห์ผ่านไป พี่คิวเริ่มที่จะเปิดใจและสนิทกับผมมากขึ้น เขาดูสบายใจที่จะพูดคุยกับผมมากกว่าในตอนแรกๆ รวมถึงเวลาอาบน้ำก็ด้วยเช่นกัน ที่จริงผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในห้องอาบน้ำกับเขาตลอดเวลาอีกแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ผมจึงยังจำเป็นต้องทำแบบนั้นอยู่ ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็เป็นความต้องการของผมเอง ในใจลึกๆ ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น ได้มีอะไรกับเขา แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง โอกาสนั้นก็มาถึงโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจวางแผนให้เป็นอย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว

เรากำลังอยู่ในห้องอาบน้ำหลังจากที่เขาออกกำลังกล้ามเนื้อขาตามโปรแกรมที่พี่โจออกแบบมาให้ และผมก็รู้ได้เลยว่ามันคงหนักมากสำหรับเขา เพราะผมไม่เคยเห็นพี่คิวดูเหนื่อยขนาดนั้นมาก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จากโปรแกรมการฝึกฝนตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ทำให้ขาของเขาแข็งแรงขึ้น และส่งผลให้เขามั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วย เว้นแต่ความความมั่นใจในพละกำลังนั้นกลับทำให้เขาเคลื่อนไหวตัวมากเกินความจำเป็น จนทำให้เขาลื่นและเสียศูนย์จนเกือบล้มลงกระแทกพื้น โชคดีที่ผมรีบกระโดดเข้าไปคว้าตัวของเขาเอาไว้ได้ทัน ผมดันเขาเข้าไปจนติดกับผนังห้องน้ำ เพื่อให้เขาได้ทรงตัวอีกครั้ง

“ตัวพี่ยังลื่นสบู่อยู่เลย” ผมพูดในขณะที่แอ่นหน้าอกออก แต่แขนทั้งสองข้างยังคงกอดเอวเขาไว้แน่น ไอ้น้องชายของเราต่างก็เบียดเข้าหากันและกัน ในช่วงไม่กี่วินาทีแห่งความเป็นความตายนี้ ทำให้ใจของผมเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าของเราห่างกันแค่ไม่กี่นิ้ว ส่วนไอ้น้องชายของผมก็ค่อยๆ พองตัวขึ้นทีละน้อยๆ แต่เขาก็ยังไม่มีท่าทีจะขัดขืน

“พี่ยืนเองได้แล้ว ปล่อยได้แล้ว” เขาพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าและแลดูประหม่า

ผมยังคงไม่ปล่อยเขาออก ผมยังคงกอดเขาเอาไว้อย่างเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อประคองร่างกายของเขาเอาไว้เหมือนเมื่อตอนแรกอีกแล้ว

“เฮ้ย... จะทำอะไรน่ะ ปล่อยได้แล้ว” เขาพูดย้ำอีกครั้งอย่างหวั่นๆ

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรมันเข้าสิงผมถึงทำให้ผมรู้สึกกล้าขนาดนี้ และผมคิดว่าถ้าหากผมไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้ล่ะก็ ผมคงจะต้องเสียดายไปตลอดชีวิตแน่ๆ

“อยู่เฉยๆ เถอะ ให้ผมช่วยเอง ผมรู้ว่าพี่ก็ต้องการระบายมันออกมาบ้างเหมือนกันนั่นแหละ...” ผมกระซิบเบาๆ จากนั้นก็คุกเข่าลง

“เฮ้ย! จะทำอะไรวะ!”

ผมใช้มือข้างหนึ่งล็อคสะโพกของเขาเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็จับไอ้น้องชายของเขาขึ้นและค่อยๆ รูดมันขึ้นลงเบาๆ

“ปล่อย! ไอ้พลุ! พี่ไม่ทำอะไรแบบนี้นะเว้ย!” เขาวางมือลงบนหัวไหล่ทั้งสองข้างของผมและออกแรงดันออกในขณะที่พยายามพยุงตัวไม่ให้ล้มไปด้วย

ผมที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบกว่าไม่สนคำทัดทานของเขา และจัดแจงใช้ปากครอบลงบนน้องชายของเขาทันที

“อึ๊กกก..ก!! แม่งงง!!” เขาครางออกมาเบาๆ แต่ก็ยังคงพยายามจะดันหัวของผมออกอยู่

ผมใช้มือข้างหนึ่งอ้อมไปจับก้นของเขาเอาไว้ และใช้ลิ้นตวัดไปตามท่อนลำที่ค่อยๆ แข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะยังคงพยายามดิ้นรนให้ตัวเองหลุดเป็นอิสระอยู่ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าไอ้น้องชายของเขาจะไม่ฟังคำสั่งของเขาอีกต่อไปแล้ว

ผมใช้ปากให้เขาอยู่อีกไม่กี่นาที การดิ้นรนของเขาก็ค่อยๆ ลดลง เสียงครางของเขาเริ่มถี่มากขึ้นเรื่อยๆ และไอ้น้องชายของเขาก็แข็งตัวจนสุด จนผมอมมันจนมิดด้ามไม่ได้อีกแล้ว เขายังคงบีบหัวไหล่ของผมแน่นและออกแรงดันผมออกอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดเขาก็คลายมือออกเปลี่ยนเป็นวางไว้บนบ่าผมเฉยๆ เสียงครางและสีหน้าของเขาบอกผมว่าเขาไม่สามารถต้านทานมันได้อีกต่อไป เขาค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออกเป็นจังหวะเบาๆ พร้อมกับส่งเสียงซี้ดปากและสบถด่าผมต่างๆ นานา

ผมรู้ว่าเขาต้องการสิ่งนี้เช่นเดียวกับผม หรืออาจจะมากกว่าผมด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้ช่วยตัวเองหรือมีใครทำแบบนี้ให้มานานขนาดไหนแล้ว และทันใดนั้นเอง ร่างกายเขาก็แข็งเกร็งขึ้นพร้อมกับนิ้วมือที่จิกลงบนหัวไหล่ของผมแน่น เขาหลั่งน้ำเข้าปากของผมปริมาณมหาศาลราวกับคลื่นยักษ์ เขาคำรามและสบถออกมาเสียงดังก่อนที่ร่างกายจะกระตุกแรงๆ อีก 2-3 ครั้ง ด้วยความตกใจและไม่เคยกลืนน้ำของใครมาก่อน ผมจึงรีบถอนปากออกและใช้มือชักให้เขาต่อแทน เขาฉีดน้ำที่เหลือเข้าใส่หน้าผมอีกหลายครั้ง ผมปล่อยให้น้ำรักของเขาที่ผมกลืนลงคอไม่ทันไหลย้อยออกมาจากมุมปาก ผมยังแปลกใจตัวเองเลยเมื่อพบว่าที่จริงรสชาติของมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก

พี่คิวหอบหายใจแรงและขาของเขาก็สั่นไหวราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ผมจึงค่อยๆ ประคองร่างกายของเขาให้นั่งลงบนพื้นห้องน้ำ

“ผมประคองอยู่ พี่นั่งลงได้เลย ไม่ต้องเกร็ง”

เขานั่งชันเข่าขวาขึ้นและก้มหน้าลง ผมจึงหันไปล้างหน้าและบ้วนปากชำระคราบคาวออก จากนั้นก็หันกลับมานั่งยองๆ ลงตรงหน้าเขาอีกครั้ง

“ยืนไหวมั้ย ล้างตัวก่อนมั้ย ผมจะได้เอาฝักบัวมาล้า...”

“ไอ้ทุเรศเอ๊ย!” เขาพูดขัดขึ้นพลางพยายามชันตัวขึ้นยืนอีกครั้ง ผมยืนขึ้นและตั้งใจจะช่วยเขา แต่เขากลับผลักผมออกไปอย่างแรง “กูทำเองได้! มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู!!”

ผมยืนมองเขาอยู่ใกล้ๆ พร้อมที่จะช่วยเขาได้ทุกเมื่อหากเขาล้มลงไปอีก เมื่อเขายืนขึ้นได้เองแล้ว เขาก็กระโดดขาเดียวพยุงตัวเองออกจากห้องน้ำและนั่งลงบนเก้าอี้ยาวเพื่อเช็ดตัว ผมเดินตามเขาไปติดๆ แต่ไม่ได้แตะต้องร่างกายของเขาอีกเลย หลังจากที่ผมทำมันลงไปแล้ว ผมถึงได้เพิ่งรู้สึกตัวว่าผมอาจจะตกอยู่ในปัญหาใหญ่แค่ไหน ถ้าหากเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกกับพี่โจ ผมอาจจะโดนไล่ออกจากที่นี่ และนั่นก็หมายความว่าผมจะตกวิชาเลือกตัวนี้ไปโดยปริยาย ซ้ำร้ายกว่านั้น เขาอาจจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานแก่ทางมหาวิทยาลัยของผมด้วย

“พี่คิว ผมขอโทษ ผมรู้ตัวว่าเมื่อกี้ผมทำเกินไปหน่อย แต่ผมไม่ได้ตั้...”

“อ๋อเหรอวะ!” เขาสวนกลับพลางมองหน้าผมด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ผมไม่ได้ตั้งใจจะฉวยโอกาสจากพี่แบบนั้น” ผมพูดต่อจนจบ “แต่ผมไม่เสียใจที่ทำมันลงไปหรอกนะพี่ พี่เองก็รู้ดีเหอะว่าพี่ต้องการมันมากขนาดไหน และพี่เองก็ชอบด้วย”

เขาอ้าปากจะเถียงบางอย่างกลับมา แต่สุดท้ายก็หุบปากลงและส่งสายตาเกรี้ยวกราดมาให้ผมแทน

“ที่จริงผมก็อยากจะให้เป็นเรื่องที่เราสองคนยินยอมและอยากทำมันด้วยกันมากกว่า”

“มึงจะบ้ารึไง! ไม่มีทางหรอกเว้ย มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน!” เขาคำราม

ผมยักไหล่ “ใช่ ก็คงไม่เกิดขึ้นอีกหรอก ถ้าพี่ไม่ยอม แต่... ผมอยากขอพี่แค่อย่างเดียวคืออย่าเอาเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปบอกใคร อย่าบอกพี่โจ แต่ผมจะเป็นคนถอนตัวออกจากเคสของพี่และไปทำงานอย่างอื่นแทนเอง”

“เฮอะ!” เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูก “กูจะกลับห้อง”

“ครับ”

ผมปล่อยให้เขาแต่งตัว แล้วจากนั้นก็พาเขากลับไปที่ห้อง พาเขากลับขึ้นไปนอนบนเตียง ดูแลให้เขารู้สึกสะดวกสบายที่สุด จากนั้นก็เตรียมตัวกลับบ้าน

“ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะยังได้เจอพี่อยู่รึเปล่า แต่ตอนเช้าผมจะไปหาพี่โจแล้วดูว่าจะเป็นยังไง”

เขาไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองหน้าผมด้วยซ้ำ ผมเดินออกจากห้องของเขาพร้อมกับความคิดที่ว่าผมคงต้องเตรียมตัวเปลี่ยนงานหรือไม่ก็ทำเรื่องกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยขอเปลี่ยนสถานที่ฝึกงานใหม่เสียแล้ว
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-11-2012 20:13:23
ขอโทษที่มาต่อช้าครับ พอดีเจอเรื่องเหี้ยๆ เครียดๆ เลยนอยด์ไปหลายวัน แม่งงง หดหู่มากอะ อยากกลับไทยเลย ตอนนั้น แทบร้องไห้
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 04-11-2012 20:54:42
อ่่านะ วัยรุ่นเลือดร้อน น้องพลุอาจตัดสินใจเร็วหน่อย เเต่เอาเถอะทำไปแล้ว ได้กำไรเห็น ๆ (รึเปล่า)
คิวก้อคงตกใจ แต่ไม่ขนาดรังเกียจหรอกมั้ง

คนเขียน ก้อสู้ๆนะคะ มาช้าไม่เป็นไร ยังไงก้อมาอยู่
บวกหนึ่งนะคะ จะได้อารมณ์ดี ^ ^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 04-11-2012 22:13:30
สู้ๆ พี่ต้นไม่รู้พี่เป็นไร แต่ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีนะคะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 05-11-2012 00:11:50
คุณทำให้ฉันเกิดอารมณ์ แต่คุณก็ช่วยอะไรฉันไม่ได้
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 05-11-2012 00:49:36
สนุกดีนะครับ ...

เหมือนกับ พลุ จะรีบไปหน่อยนะ แต่พี่คิวก็คงไม่เกลียดหรอก ก็แค่โกรธและทำตัวไม่ถูกเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 05-11-2012 07:58:48
เป็นกำลังใจให้ครับ
เรื่องบางอย่าง ปล่อยผ่านไปเถอะครับ
รักษาใจเราไว้ดีกว่า
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 07-11-2012 11:35:43
น้องพลุก็ทำไปตามแรงปราถนาส่วนตัวมากไปหน่อยนะจ๊ะ

คนเขียนสู้ๆนะค่ะ

ปล.ตอนอัพตอนใหม่ช่วยใส่ตอนกับวันที่ทีได้ไหมค่ะ  จะได้รู้ว่าเป็นตอนล่าสุดหรือเปล่าค่ะ  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 08-11-2012 02:22:30
มาต่อเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 08-11-2012 21:02:13
ตอนที่ 3

วันรุ่งขึ้น ผมกำลังจะเข้าพบกับพี่โจเพื่อเอาสมุดรายงานเล่มใหม่และคุยกับเขาเรื่องของพี่คิว ผมเตรียมใจที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว แต่กว่าที่ผมจะกล้าเปิดประตูห้องเข้าไปหาเขาได้ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน

ผมเคาะลงบนประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป “ขออนุญาตนะครับ”

“อ้าว มาแล้วเหรอ พลุ เป็นยังไงบ้าง” พี่โจทักทายผมตามปกติ

“ก็... ก็ดีครับ” ผมตอบ รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ก็โล่งอกขึ้นนิดหน่อย

“ผมเพิ่งอ่านรายงานเมื่อวานของคุณจบพอดี ถ้าประเมินจากแค่ตัวเลขก็ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะโอเคเลยนี่”

“ครับ ก็คงอย่างนั้น ผมว่าพี่เค้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วล่ะครับ ดูเค้ากระตือรือร้นและพร้อมอยากได้ขาเทียมไวๆ จริงๆ”

“เรื่องนั้นผมก็กำลังจะคุยกับหมออยู่เหมือนกัน”

“แล้ว... ที่ผ่านมา พี่เค้าเคยบ่นหรือพูดอะไรถึงผมมั่งรึเปล่าครับ”

“ไม่มีนี่ ทำไม มันควรจะมีรึไง หรือคุณทำอะไรไม่ดีลงไป”

ผมใจหายวาบทันที “เปล่าครับ ก็แค่... ไม่รู้ดิ ผมอาจจะเคยพูดจาตรงๆ แรงๆ กับเค้าไปมั่งมั้งครับ แต่ก็นั่นแหละ พี่ก็รู้ว่าเค้าเป็นคนยังไงใช่มั้ยล่ะ ผมก็เลยกังวลว่าเค้าจะไม่พอใจรึเปล่า”

พี่โจหัวเราะในลำคอเบาๆ “ไม่น่าแปลกใจหรอก ดูจากนิสัยคุณทั้งคู่แล้ว ผมว่าถ้าไม่มีการฟาดปากเกิดขึ้นเลยสิ ถึงจะแปลก แต่ไม่หรอก คิวไม่เคยพูดว่าคุณทำงานไม่ดีหรือประพฤติตัวไม่เหมาะสมอะไรเลย ยังไม่มี”

ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมกังวลมาตลอดทั้งคืนจะไม่เกิดขึ้น และผมคงไม่มีปัญหากับการทำงานที่นี่ต่อจนครบชั่วโมง ดังนั้นผมจึงตัดสินใจลองถามพี่โจถึงสิ่งหนึ่งที่ผมคิดมาหลายวันแล้วออกไป

“พี่ว่ามันพอจะเป็นไปได้มั้ยครับถ้าเกิดว่าผมอยากพาพี่คิวออกจากที่นี่น่ะ”

“ออกไปเหรอ ไปที่ไหน” เขาเลิกคิ้วขึ้นท่าทางแปลกใจ

“ที่ไหนก็ได้ครับ แค่ข้างนอกน่ะ บางทีอาจจะชายหาดใกล้ๆ สักที่มั้ง ผมอยากพาเค้าอกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้างน่ะครับ ที่ๆ คนไม่เยอะมาก อะไรเงี้ย ผมอยากดูปฏิกิริยาของเค้า อยากรู้ว่าเค้าจะทำตัวยังไง”

พี่โจคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ก็ได้ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับผู้ใหญ่ดูด้วย แต่ไม่น่ามีปัญหาหรอก เพราะที่จริงผมก็คิดว่ามันน่าจะได้เวลาที่คิวต้องออกไปข้างนอกดูอยู่แล้วเหมือนกัน นี่พอคุณพูดขึ้นมาก็ดีเลย คุณพาเค้าไปเองก็แล้วกัน แต่ผมว่าไอ้เจ้าหมอนั่นคงไม่ยอมไปง่ายๆ หรอกมั้ง”

“ก็ต้องลองดูมั้งครับ”

ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ที่จริงผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่คิวจะยอมออกไปข้างนอกกับผมหรือเปล่า ยิ่งเกิดเรื่องอย่างเมื่อวานขึ้นด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งไม่มั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าเขาจะยังทำตัวใกล้ชิดกับผมเหมือนเดิมได้อยู่อีกมั้ย แต่ของแบบนี้มันก็คงต้องลองดูสักตั้งล่ะน่า

“เป็นไงมั่งพี่ วันนี้พร้อมรึยัง” ผมทักเขาอย่างร่าเริงหลังจากที่เปิดประตูห้องเข้าไป

เขาวางหนังสือลง ไม่ตอบผม

“ผมบอกพี่แล้วไงว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกถ้าพี่ไม่ต้องการและผมขอโทษ แต่ถึงไงผมก็ต้องขอบคุณพี่นะครับ ที่ไม่เอาเรื่องเมื่อวานไปบอกพี่โจน่ะ”

“กูไม่ได้บอกพี่โจเพราะมันน่าอายสำหรับกูต่างหาก...” เขาพูด และสรรพนามที่เขาใช้กับผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “และอีกอย่าง ถ้าไม่นับเรื่องนั้น มึงก็ถือว่าทำหน้าที่ของมึงได้ดี”

“ขอบคุณครับ จริงๆ พี่เองก็ทำงานด้วยง่ายนะ... ในที่สุด”

เขาหรี่ตามองผม “กวนตีนนะมึง”

ผมยักไหล่ “ผมแค่พูดความจริงต่างหาก”

“กูไม่ใช่คนที่จะไว้ใจใครง่ายๆ”

“แล้วหลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อวาน พี่ยังไว้ใจผมอยู่รึเปล่า”

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “เรื่องนั้นกับเรื่องงานมันไม่เกี่ยวกัน โตแล้วก็ต้องพยายามแยกให้ออก”

ดูเหมือนว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้โกรธเคืองผมอะไรมากมาย แต่ก็ดูจะไม่ยอมให้อภัยผมง่ายๆ เช่นกัน

“แล้วจะไม่เตือนผมว่า ‘ห้ามทำแบบนั้นอีก’ หรืออะไรอย่างนั้นเหรอ”

“เมื่อคืนกูลองคิดถึงเรื่องนี้แล้ว” เขาตอบ สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “มึงพูดถูก กูต้องระบายออกบ้างจริงๆ และถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่กูก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนั้นมัน... มันก็รู้สึกดีจริงๆ นั่นแหละ...” เขาพูดค่อยๆ “แต่กูหวังว่ามึงจะไม่ทำแบบนั้นอีกเด็ดขาด มึงก็รู้ใช่มั้ยว่ากูแข็งแรงพอจะต่อยมึงคว่ำได้ง่ายๆ น่ะ”

“ผมรู้” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ในใจจะยังกังขาอยู่เล็กน้อยก็ตาม เพราะผมเองก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่เขาจะขัดขืนหรือทำร้ายผมได้ง่ายๆ เหมือนกัน แต่เรื่องที่ว่าเขาแข็งแรงกว่าผมนั้นเป็นความจริงอย่างแน่นอน

“มึงเป็นแบบนี้มานานแล้วเหรอ”

ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร “ตั้งแต่จำความได้มั้ง แค่ไม่แสดงออกแค่นั้นเอง”

“เพื่อนๆ หรือครอบครัวรู้รึเปล่า”

“เพื่อนๆ บางคนรู้ แม่รู้ แต่พ่อไม่” ผมลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ เขา

“แล้วทำไมเมื่อวานจู่ๆ ถึงทำแบบนั้น”

“ผมก็ไม่รู้ว่ะ ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ออกน่ะ หน้ามืดมั้ง ก็พี่หน้าตาดีหุ่นดีขนาดนี้ แล้วก็อย่างที่บอก ผมคิดว่าพี่ต้องการมันด้วยแหละ มันต้องระบายออกบ้าง จริงมั้ยล่ะ”

เขาเบือนหน้าหนี ดูท่าทางเหมือนยังคงรับไม่ค่อยได้

“เรื่องพวกนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมมีข่าวดีจะบอกพี่นะเว้ยยย” ผมยักคิ้ว

“อะไร”

“พี่โจอนุญาตให้ผมพาพี่ออกไปข้างนอกได้แล้วนะ”

“ไปไหน ทำอะไร”

“ไปทะเลเป็นไง ไปดูสาวๆ เล่นน้ำกัน”

“ไม่อะ ขอบใจ” เขาส่ายหน้า

“กะแล้วเชียว”

“กะแล้วอะไร”

“พี่โจก็บอกไว้ว่าพี่คงไม่ไปหรอก”

“พี่โจพูดแบบนั้นเหรอ”

“ใช่ครับ เค้าบอกว่าพี่คงยังไม่พร้อมหรอก แล้วก็คงไม่มีวันพร้อมด้วย” ผมโกหก

“งั้นพี่เค้าก็คงพูดถูกแล้วล่ะว่ะ”

เขายอมแพ้ง่ายจนผมยังแปลกใจ ดูท่าทางว่าผมคงต้องลองใช้วิธีพูดใหม่เสียแล้ว “แล้วพี่คิดว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะพร้อม หรือพี่จะรอจนกว่าขามันจะงอกออกมาได้ใหม่เอง ผมว่าหมอเค้าคงเคยบอกพี่มั้งว่าแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้น่ะ หรือพี่คิดว่าตัวเองเป็นจิ้งจกรึไง”

เขาเหลือบมองผมด้วสายตาเย็นชาก่อนจะหันไปทางอื่น ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าผมคงพูดแรงเกินไป

“พี่คิว ผมขอโทษ ผมมันปากไม่ดี เผลอพูดเกินไป แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะ...”

“ช่างมันเหอะ กูได้ยินคำพูดพวกนั้นบ่อยแล้ว พี่โจเองก็พูดแบบนั้นประจำเหมือนกัน แต่กูเคยบอกพี่เค้าไปแล้วว่ายังไงกูก็ยังไม่คิดจะใส่กางเกงขาสั้นอย่างที่เค้าบอกแน่ๆ ให้เค้าขีดฆ่ามันออกไปจากลิสต์ที่กูต้องทำได้เลย เพราะงั้นการไปทะเลยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่”

“โอเค ถ้างั้นแค่ขับรถไปแถวๆ ทะเล เปลี่ยนบรรยากาศล่ะ เป็นไง พี่ไม่ต้องลงจากรถก็ได้ถ้าไม่อยาก แบบนั้นโอเคมั้ย ผมมีบ้านพักริมหาดอยู่หลังนึง จากนี้ไปขับรถไม่เกินสามชั่วโมงก็ถึง สนใจมั้ยล่ะ เปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อยเป็นไง จะได้ไม่อุดอู้อยู่แต่ในนี้”

“มึงมีบ้านอยู่ริมทะเลเหรอ ที่ไหน” เขาถามด้วยความสนใจ

“ก่อนถึงหัวหินหน่อยน่ะ มันเป็นหมู่บ้านส่วนตัว มีชายหาดส่วนตัว พ่อผมเค้าซื้อไว้นานแล้ว และตอนนี้พ่อกับแม่เค้าก็ไปเที่ยวต่างประเทศกัน กว่าจะกลับก็ปลายสัปดาห์หน้านู่น ว่าไง สนใจมั้ยล่ะ”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  “...ถ้าเป็นหาดส่วนตัวและถ้าไม่ต้องลงไปเดินบนทะเลก็คงไม่เป็นไร ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็คงดี”

“โอเค ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้ผมไปคุยรายละเอียดกับพี่โจอีกที เสาร์นี้เลยเป็นไง”

“แล้วแต่มึงเถอะ ถ้าขออนุญาตได้เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

ตอนนั้นเองที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เราสองคนหันไปที่ประตูพร้อมกัน จากนั้นพี่โจก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในมือ

“เป็นยังไงบ้าง ทั้งสองคน” เขาทัก

“นี่ผมเพิ่งคุยกับพี่คิวเรื่องจะพาเค้าออกไปข้างนอกพอดี พี่มาได้จังหวะโคตรๆ”

“เอ้อ ดี เพราะผมก็เพิ่งคุยกับหัวหน้ามาพอดี คุณอยากไปไหนเมื่อไหรก็ให้มารายงานโดยตรงกับผมได้เลย เพราะผมมีอำนาจจะเซ็นอนุมัติให้คุณตลอดอยู่แล้ว ที่จริงพวกเค้าก็เหมือนไม่ค่อยอยากให้แค่เด็กฝึกงานพาคนของเค้าออกไปหรอก แต่ผมช่วยพูดให้แล้วว่าคุณนี่แหละ เหมาะที่สุด เพราะงั้นไม่มีปัญหา”

“ขอบคุณครับพี่”

“เอาล่ะ ถ้างั้นเราจะไปออกกำลังกันได้รึยัง วันนี้ผมมาดูแลเอง เพราะงั้นคุณจะเหลาะแหละไม่ได้นะ คิว”

“ผมว่าผมไม่เคยเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนะ” เขาพูดเสียงตึงๆ พลางเลื่อนตัวลงจากเตียงและกระโดดไปที่รถเข็น

ผมเห็นพี่โจยิ้มมุมปากและหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเดินนำเราสองคนออกจากห้องไป
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 08-11-2012 21:23:41
จะไปทะเลกันแล้ว ขอไปด้วยคนไปแอบมอง 555
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 08-11-2012 21:32:18
กับคนป่วย เราก้อต้องใช้จิตวิทยาเยอะเหมือนกันนะ Y Y
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 08-11-2012 22:45:41
ดีใจกับพลุด้วยที่ไม่ถูกคิวเมิน
อย่างนี้มีลุ้น
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 09-11-2012 19:15:31
หึหึ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 09-11-2012 20:04:58
ยังไม่จุใจ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 09-11-2012 23:41:08
ชอบแนวนี้มากๆ เหมือนชีวิตจริงเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 10-11-2012 00:40:08
ขอบคุณมากคับคุณต้นที่มาต่อนิยาย น่าติดตามมากๆๆคับ อย่าหายไปนานนะคับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ppanudet ที่ 10-11-2012 01:00:47
มาต่อเร็วๆนะครับ :)
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 10-11-2012 02:15:51
สนุกจนอยากอ่านอีกเรื่อยๆเลยล่ะ
เรื่องราวดูสมจริงดีจังค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 8 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-11-2012 02:17:56
ตอนที่ 4

เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาลตอน 9 โมงกว่า พี่คิวก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าเข้มและกางเกงขาสั้นสีขาว ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นเขาใส่กางเกงขาสั้นแบบนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ผมกลับรู้สึกว่าเขาดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับการได้ออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้สักเท่าไหร่

“พี่แต่งตัวแบบนี้แล้วดูดีนะ” ผมเข็นรถเข็นเข้าไปเทียบที่ข้างเตียง “แถมยังหอมอีกต่างหาก ผมว่าแบบนี้สาวๆ ต้องเหลียวมองกันเป็นแถวแน่”

“เออ หันมามองขาข้างที่หายไปเนี่ยสิ” เขาผลักรถเข็นออก “กูไม่อยากนั่งรถเข็นออกไป เอาไม้เท้ามาให้หน่อย”

“เฮ้ย ไม่ได้ดิครับ กฎของโรงพยาบาล ทุกคนต้องนั่งรถเข็นออกไปก่อน แล้วผมจะเอาไม้เท้าไปให้ด้วย หลังจากนั้นถ้าพี่อยากจะใช้ไม้เท้าก็ตามสบาย”

“กฎแล้วไง ใครจะสนใจวะ”

“ผมนี่แหละสน พี่โจก็ด้วย”

เขานิ่วหน้า “น่าเบื่อชิบ ต้องมาทำตัวเหมือนเป็นง่อยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่ทุกวันๆ”

“ไม่มีใครเค้าคิดแบบนั้นหรอกน่า เพราะทุกคนในนี้เค้าก็รู้กันทั้งนั้นว่ามันเป็นกฎ” ผมดันรถเข็นไปที่เตียงอีกครั้ง
เขายังคงชักสีหน้า ส่ายหัวเบาๆ แล้วจึงพาตัวเองมานั่งลงบนรถเข็นแต่โดยดี ผมว่าพอมานึกๆ ดูแล้วเขาก็ทำตัวเหมือนเด็กเหมือนกันนะเนี่ย

หลังจากเซ็นเอกสาร 2-3 แผ่นที่เคาน์เตอร์เสร็จ ผมก็พาเขามายังรถของผม ซึ่งผมไม่จำเป็นต้องช่วยเขาขึ้นรถเลยแม้แต่นิดเดียว

“อาวววล่ะ พร้อมแล้วใช่มั้ยครับ” ผมพูดขึ้นหลังจากนั่งลงข้างหลังพวงมาลัยเรียบร้อยแล้ว “ถ้าพร้อมแล้วงั้นเราออกไปล่าสาวๆ กันดีกว่า”

“ทำไมมึงถึงต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย” จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น

“ก็ผมได้เครดิตวิชาเรียนไง เคยบอกไปแล้วนี่”

“ปกติก็แค่มาอยู่ที่โรงพยาบาลครึ่งวันเองไม่ใช่รึไง แล้วไอ้การออกไปนอกสถานที่ เสียเวลาของตัวเองไปหนึ่งวันเต็มๆ แบบนี้ มันทำให้มึงได้เครดิตพิเศษด้วยรึเปล่าวะ”

“เปล่า”

“งั้นเรื่องเรียนก็ไม่ใช่เหตุผลจริงๆ เพราะฉะนั้นมึงอย่าเอามาอ้าง”

“โอเค งั้นก็คงเพราะผมชอบพี่ล่ะมั้ง” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เขาหัวเราะ “กูก็ว่าแล้วต้องเป็นแบบนั้น”

“ไม่ใช่เลย ผมไม่ได้ชอบพี่แบบนั้น... มั้ง ไม่รู้ดิ แต่ที่แน่ๆ คือผมชอบพี่ที่ตัวตนของพี่ ชื่นชมสิ่งที่พี่ทำและเสียสละ ไอ้การที่พี่เสียขาไปข้างนึงแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้พี่เป็นคนที่สมบูรณ์แบบน้อยลงเลย และที่จริง ผมว่ามันทำให้พี่ดูดีขึ้น มีเสน่ห์ขึ้นด้วยซ้ำ”

“มึงไม่เคยเห็นกูก่อนหน้านี้ มึงจะพูดว่ากูมีเสน่ห์ขึ้นได้ไง”

“แต่ผมเคยเห็นคนหน้าตาดีมีสองขาปกติมาเยอะ”

“เพ้อเจ้อ ไอ้เหี้ย คนขาเดียวมันจะไปมีเสน่ห์หรือดูดีได้ยังไงวะ”

“เชื่อเหอะว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่คิดอย่างนั้นน่ะ” ผมคาดเข็มขัดนิรภัยและขยับกระจกมองหลัง “จะว่าไป พี่ก็ได้เลื่อนยศหรืออะไรด้วยใช่ปะ”

“ใช่ แล้วก็ได้เหรียญกล้าหาญ”

“ไม่ภูมิใจรึไง”

“แค่มึงบาดเจ็บนิดเดียวก็ได้แล้วเหรียญจิ๊บจ๊อยนั่นน่ะ ใช่ว่าจะได้กันยากเย็น”

“งั้นสงสัยเหรียญที่พี่ได้แม่งคงต้องใหญ่น่าดู ผมว่า” ผมพูดพลางพยักเพยิดไปที่ขาของเขา “ถึงจะคุ้มค่ากันน่ะ”

เขาส่งเสียงคำรามในลำคอเบาๆ ก่อนที่สุดท้ายจะหัวเราะออกมา “ถ้าตัดเรื่องอื่นๆ ออกไป บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่กูเริ่มชอบมึงขึ้นมาได้ล่ะมั้ง มึงแม่งเป็นเด็กที่คิดยังไงก็พูดออกมาแบบนั้นจริงๆ อีกนิดก็เรียกว่าปากหมาแล้ว”

ผมยักไหล่ “ผมก็เป็นของผมแบบเนี้ยแหละ ว่าแต่ที่พี่บอกว่าเรื่องอื่นๆ น่ะ มันหมายถึงเรื่องอะไร”

“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะวะ กูไม่เคยคิดหรอกนะว่าจะมีเด็กฝึกงานเป็นเกย์มาทำอะไรแบบนั้นกับกูในห้องน้ำทั้งๆ ที่กูยังรักษาตัวอยู่น่ะ”

“แต่ตอนนั้นพี่ก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรมากมายนี่” ผมออกรถ “ผมว่าถ้าพี่จะผลักผมออกไปจริงๆ กล้ามแขนขนาดพี่ ถ้าจะคิดจะทำก็คงไม่ยากเท่าไหร่หรอกมั้ง”

เขาไม่ตอบ แต่มองออกไปยังถนนเบื้องหน้าราวกับกำลังจะจมลงสู่อารมณ์หงุดหงิดแบบเดิมของเขาอีกแล้ว

“นี่ พี่คิว พี่ต้องเข้าใจนะเว้ย ไอ้การที่ผมทำแบบนั้นให้พี่ มันไม่ได้ทำให้พี่เป็นเกย์หรือเปลี่ยนมาชอบผู้ชายหรอกนะ”
ยังคงเงียบอยู่

“ก่อนหน้านี้พี่ไม่เคยมีผู้ชายมาจีบหรือพยายามทำอะไรแบบนี้กับพี่เลยรึไง ผมว่าไม่น่าจะรอดมั้ง หน้าตาแบบพี่ หุ่นแบบพี่ คงต้องมีผู้ชายมาชอบบ้างแหละ”

“ชอบมั้ยไม่รู้ แต่ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นกับกูมาก่อน จนมาเจอมึงนี่แหละ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ท่าทางจะเริ่มไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงปล่อยให้บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้น

ระหว่างที่ขับรถ เราก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย จนเมื่อผมสังเกตเห็นว่าเขาเงียบไปนานและหันไปมองดูข้างๆ จึงเห็นว่าเขาหลับไปเรียบร้อยแล้ว ผมอดที่จะยิ้มและนึกขำในใจไม่ได้ว่าเขานี่เหมือนเด็กเล็กๆ ไม่มีผิด พอกินอิ่มและขึ้นรถได้ไม่นานก็หลับไปเสียแล้ว

เขาตื่นขึ้นมาเมื่อเราใกล้ถึงจุดหมายพอดี แต่แทนที่จะพาเขาเข้าบ้านเลย ผมวนรถพาเขาเข้าไปยังถนนริมหาดเพื่อดูผู้คนเล็กน้อย

“ถึงคนจะไม่ค่อยพลุกพล่าน แต่สาวๆ เยอะเหมือนกันนะพี่ ปิดเทอมก็เงี้ย”

“ใช่ น่าจะมีกล้องส่องทางไกลเนอะ” เขาประชด

“อยากลงไปเดินเล่นหน่อยมั้ย”

เขาหันมามองผมทันที “ตอนแรกเราคุยกันไว้ว่าจะมา ‘ที่’ ทะเล ไม่ใช่ลงไปเดิน ‘บน’ ชายหาดไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงของเขาแลดูประหวั่นมากกว่าโกรธเคืองจนแทบจะชวนให้รู้สึกสงสาร

“ใช่ครับ”

“อีกอย่าง ตอนก่อนออกมามึงพูดว่า ‘เรา’ จะออกมาล่าสาวๆ กัน กูก็สงสัยอยู่ว่ามึงสนใจผู้หญิงด้วยเหรอวะ”

“ถ้าสนที่จะมีอะไรด้วยน่ะ ไม่ แต่ถ้าแค่มองอะ ได้ ผมชอบมองผู้หญิงสวยๆ นะ และผู้หญิงเองก็ชอบผมไม่ใช่น้อยๆ ผมเองก็หุ่นดีหน้าตาดีนะเว้ย ถึงอาจจะไม่ได้ดีเท่าพี่ก็เหอะ”

“ผู้หญิงสวยๆ ไม่ได้มีไว้แค่มองหรอกนะ”

“ผมขอมองอย่างเดียวแล้วกัน ส่วนที่เหลือก็ยกให้เป็นหน้าที่ของพี่ไป” ผมหักพวงมาลัย พารถเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่จะมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านของผม

“ที่หมู่บ้านมึงคนจะเยอะรึเปล่า” เขาถามขึ้น

“ก็คงประมาณนึงมั้ง พอปิดเทอมแล้วครอบครัวก็มักจะมาพักผ่อนกัน ยิ่งเสาร์อาทิตย์คนก็ยิ่งเยอะเป็นพิเศษ” ผมตอบพลางชำเลืองมองดูปฏิกิริยาของเขา “แต่สาวๆ ก็เยอะนะ จะบอกให้ เพราะติดๆ กันเป็นโรงแรมใหญ่ ฝรั่งก็เยอะ นักท่องเที่ยวก็เยอะด้วย อาหารตาทั้งนั้น”

เขานิ่ง ไม่ตอบ

หลังจากขับรถไปอีกสักพัก เราก็มาถึงที่หมู่บ้านของผม ถึงตอนแรกผมจะตั้งใจพูดให้ฟังดูเยอะเกินจริงไปบ้าง แต่เมื่อผมเห็นจำนวนของผู้คนในหมู่บ้านแล้วก็ยังต้องตกใจที่มันดูครึกครื้นและวุ่นวายกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก

ผมจอดรถที่หน้าบ้านซึ่งเป็นหลังที่อยู่ท้ายสุดและริมสุดของหมู่บ้าน ส่วนด้านหลังก็เป็นริมชายหาดที่มีผู้คนนั่งเล่น เดินไปมา และเล่นน้ำกันอยู่พอสมควร ผมคิดว่าตอนเย็นคนคงจะยิ่งออกมาเล่นน้ำกันเยอะกว่านี้แน่นอน

“ชั้นบนบ้านทางด้านหลังจะเป็นระเบียงหันหน้าออกสู่ทะเลนะ แต่เดินขึ้นจากทางนั้นเลยก็ได้” ผมชี้ไปยังบันไดด้านข้างที่พาขึ้นสู่ชั้นบน

เขามองตามที่ผมชี้อย่างไม่กระตือรือร้นเท่าไหร่นัก “แล้วห้องนอนอยู่ชั้นไหน”

เมื่อเขาถามขึ้นมาแบบนั้น ผมถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ “ชั้นสองเหมือนกัน... เอางี้ ถ้าเกิดพี่ไม่อยากขึ้นบันได ผมเอาผ้านวมมาปูนอนข้างล่างก็ได้”

“ไม่ต้อง กูขึ้นได้ และข้างบนก็น่าจะวิวดีกว่าด้วย”

“ช่ายยย และผมมีกล้องส่องทางไกลด้วยนะเว้ย” ผมยักคิ้วให้เขา

“มึงแม่งโรคจิตว่ะ เอาไว้แอบส่องผู้ชายเหรอวะ”

“อ้าว! พูดแมวๆ แค่มีติดบ้านไว้เฉยๆ เว้ย”

ผมพาเขาเดินเข้าชมในบ้าน บอกเขาว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่ไม่ได้เน้นที่ชั้นล่างมากนัก เพราะคิดว่าเราคงใช้เวลาส่วนมากอยู่ข้างบนกันมากกว่า และเมื่อผมพาเขาไปที่ระเบียงบนชั้นสอง เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้เอนและถอดเสื้อยืดออกทันที

“ถ้ามีเบียร์เย็นๆ สักหน่อยคงเจ๋งว่ะ” เขาเหยียดแขนออกบิดขี้เกียจ

“แล้วใครว่าไม่มี เดี๋ยวจัดให้เลยยย” ผมลุกออกจากเก้าอี้และเดินไปหยิบเบียร์ขึ้นมาหกกระป๋อง

“ขอบใจ”

“ไม่เป็นไรหรอก แต่มีเหลืออีกไม่เยอะนะครับ บอกไว้ก่อน”

“รู้งี้น่าจะซื้อเข้ามา”

“เดี๋ยวผมออกไปซื้อข้าวกลางวันแล้วแวะซื้อเข้ามาให้ก็ได้ หิวรึยังล่ะ”

เขายักไหล่ “นิดหน่อย แต่เอาไว้อีกสักพักก็ได้”

เรานั่งจิบเบียร์และคุยกันอีกสักพักใหญ่ๆ จนเขาเริ่มที่จะผ่อนคลายลงมาก ผมถามเขาเรื่องการเป็นทหาร จนในที่สุดเขาก็เริ่มพูดคุยและเล่าประสบการณ์ทั้งการฝึกและการออกสนามจริงของเขาให้ผมฟังมากขึ้นโดยที่ผมไม่ต้องถามอีกต่อไปด้วยซ้ำ เขายิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเข้าไปใหญ่ เมื่อเขาเริ่มพูดถึงแม้กระทั่งรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเสียขาข้างนั้นไป ถึงจะไม่ละเอียดมากนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมตกใจและนึกสงสัยว่าเขาได้พูดเรื่องพวกนี้กับจิตแพทย์หรือนักบำบัดของเขาบ้างหรือเปล่า

“ไม่พูด” เขาตอบคำถามนั้นของผม

“ทำไมอะ”

“ก็เพราะพวกนั้นถาม”

ผมพยักหน้าเบาๆ เข้าใจ และไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์พวกนั้นอีกเลย ผมคิดว่าการปล่อยให้เขาเปิดใจออกมาและพูดตามที่ตัวเองต้องการคงจะเป็นการดีกว่าจริงๆ

เรานั่งคุยกันอีกสักพักก่อนที่จะต่างคนต่างเงียบลงไป และอีกไม่นานถัดมาเขาก็ผล็อยหลับลง ผมจึงฉวยโอกาสนั้นขับรถออกไปซื้อข้าวกล่องและเบียร์กลับมาเพิ่ม เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน เขาก็กำลังนั่งเอนหลังอยู่ที่เดิม แต่กำลังใช้กล่องส่องทางไกลมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาริมหาดด้านล่างไปด้วย

“ไหนบอกว่าผมโรคจิตไง” ผมหัวเราะเบาๆ

“ก็แค่ส่องดูนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยน่า” เขาวางกล้องลงบนโต๊ะข้างตัว

“ส่องไปเหอะ จากข้างล่างมันมองขึ้นมาไม่เห็นบนนี้หรอก ยกเว้นพี่จะไปยืนตรงริมระเบียงเลยนั่นแหละ” ผมยื่นกล่องผัดไทให้เขา

“ขอบใจ รวมค่าเบียร์ด้วยแล้วเท่าไหร่”

“ไม่ต้องหรอก”

“ไม่ได้” เขาพูดเสียงแข็ง “นี่มันนอกเวลางานแล้วนะเว้ย แฟร์ๆ ดิวะ ถ้ามึงไม่ให้กูจ่าย กูจะโมโหจริงๆ แล้วนะ”
ท่าทางเขาจะไม่ได้แค่พูดเล่นแฮะ และผมก็ไม่อยากรับอารมณ์เขาตอนโมโหเท่าไหร่ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงยอมรับเงินจากเขาแต่โดยดี เขาจึงดูสบายใจและผ่อนคลายลงอีกครั้ง

เวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ได้เวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว ผมเดินเข้าไปในบ้านและโทรไปหาพี่โจเพื่อขออนุญาตให้พี่คิวได้ค้างอยู่ที่นี่สักคืน

“ไม่ได้!” เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว และเท่าที่ฟังจากน้ำเสียง ดูเหมือนเขาจะไม่ปลื้มกับคำขอของผมเท่าไหร่นัก “นี่มันกี่โมงเข้าไปแล้ว คุณควรจะพาเค้ากลับมาได้แล้วนะ พลุ!”

“แต่พี่คิวเค้าดูสบายใจที่ได้ออกมาอยู่ที่นี่มากเลยนะพี่ และที่สำคัญ เค้าเริ่มเปิดใจให้ผมมากขึ้นเยอะเลยด้วย เค้าเล่าให้ผมฟังเรื่องตอนเค้าออกไปรบ แล้วก็ตอนเสียขาไปโดยผมไม่ต้องถามเลยด้วยซ้ำ ผมว่าตอนนี้มันเริ่มเป็นโอกาสดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ ที่จะให้เค้าได้เปิดใจและปลดปล่อยความเครียดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เค้าเก็บไว้มาตลอดออกน่ะ น่านะ พี่โจ ผมไม่พาเค้าไปไหนหรือทำให้เกิดอันตรายอะไรหรอก ผมสัญญา เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็พาเค้ากลับไปแล้ว”

พี่โจเงียบไปแบบน่าอึดใจอยู่ครู่หนึ่ง “ผมว่าคุณพูดตรงๆ กับผมดีกว่า”

“อะไรอะพี่ ผมก็พูดตรงๆ อยู่นี่ไง”

“คุณชอบเค้าใช่มั้ย”

ผมตกใจ “อ... อะไรนะครับ”

เขาถอนหายใจ “หรือคุณจะให้ผมถามว่าคุณอยากมีอะไรกับเค้า... หรือมากกว่านั้นคือคุณทำอะไรเค้าไปแล้ว ตอบมาดีๆ อย่าโยกโย้”

ผมอ้าปากค้าง พยายามจะหาคำพูดมาพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี “ม... ไม่ใช่นะพี่ เดี๋ยวก่อน... คือ พี่หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”

ผมรู้ว่ามันเป็นคำพูดที่ฟังดูโง่และงี่เง่าที่สุด แต่ผมก็พูดมันออกไปแล้ว

“คุณมีอะไรก็พูดกับผมตรงๆ ดีกว่า คุณคิดว่าผมดูไม่ออกรึไง หรือคุณจะต้องให้ผมบอกคุณว่าผมก็เป็นแบบเดียวกับคุณนั่นแหละ คุณถึงจะสบายที่จะพูดความจริงกับผมมากขึ้น” น้ำเสียงของพี่โจเริ่มหมดความอดทน

“พี่... พี่เองก็เป็น...” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะตัดสินใจสารภาพ “โอเคครับ ใช่ ผมชอบเค้า แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะชวนเค้านอนที่นี่เพื่อมีอะไรกับเค้านะ พี่โจ อย่าเข้าใจผมผิด สิ่งที่ผมพูดไปเป็นความจริงทั้งหมดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“เอาเถอะ แต่เจ้าหน้าที่ท่านอื่นกลับบ้านไปหมดแล้ว ผมขออนุญาตจากใครตอนนี้ไม่ได้แล้ว”

“แต่พี่เองก็ให้อนุญาตผมได้นี่”

“แต่ความรับผิดชอบทั้งหมดก็จะตกที่ผมคนเดียว”

“ซึ่งพี่จะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เพราะมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ผมสัญญาว่าผมจะพาพี่คิวกลับไปอย่างปลอดภัยครับ”

เขาส่งเสียงคำรามในลำคอเบาๆ “คุณกำลังจะทำเราสองคนโดนไล่ออกนะ รู้ตัวรึเปล่า”

“ถ้านี่เป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาจิตใจเค้า ทำให้เค้าเปิดใจมากขึ้น วางใจที่จะระบายสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจเค้าออกมามากขึ้น ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะครับ ที่ผ่านๆ มาหมอหรือนักจิตเวชคนไหนก็ยังไม่เคยเข้าถึงเค้าได้เลยสักคนไม่ใช่เหรอ”

“ใช่”

“แต่ผมทำได้นี่ไง เพราะงั้นผมถือว่าผมได้รับอนุญาตแล้วนะ”

“ผมยังไม่ได้บอกอนุญาตคุณสักคำ”

“ผมก็ยังไม่ได้ยินพี่พูดคำว่า ‘ไม่อนุญาต’ เหมือนกัน”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “ผมไม่อนุญาตให้คุณทำแบบนี้ แต่คุณรีบพาเค้ากลับมาที่นี่ก่อนพวกพยาบาลและสต๊าฟกะเช้าจะเข้ามาทำงานก็แล้วกัน ผมจะเคลียร์กับคนที่อยู่กะดึกตอนนี้เอาไว้ให้ก่อนเอง”

ผมยิ้มและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ขอบคุณมากครับ พี่โจ”

“ไม่ต้องมาขอบคุณผม... แม่งงง ทำไมผมต้องมาเจอแต่เด็กปัญหาเยอะอย่างพวกคุณสองคนด้วยวะ” เขาพูดประโยคหลังเบาๆ เหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับผม ผมบอกขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะวางสายไป

ผมเดินกลับไปที่ระเบียง และยืนยิ้มให้พี่คิว

“ยิ้มอะไร” เขามองหน้าผมและยิ้มตลกๆ

“ข่าวดี”

“อะไร”

“พี่อยู่ค้างที่นี่ได้นะ ผมคุยกับพี่โจเรียบร้อยแล้ว”

เขาเลิกคิ้วขึ้น “พูดเป็นเล่น มึงขอพี่โจให้กูนอนค้างที่นี่เหรอ เพื่ออะไรวะ”

“ไม่ได้เพื่ออะไรหรอก ก็แค่เห็นว่าพี่กำลังสบายใจดี ก็ไม่อยากให้ต้องเหนื่อยนั่งรถกลับ พรุ่งนี้เราค่อยออกกันแต่เช้าก็ได้ คืนนี้ก็นอนพักฟังเสียงลมเสียงคลื่นเอาแรงไปก่อน ที่นี่ตอนกลางคืนสวยมากนะ ดาวก็เยอะ ลมก็ดี ไม่มียุงด้วย” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขาเหมือนเดิม

“แต่...”

“ทำไมอะ ไม่อยากอยู่เหรอ ถ้าอยากกลับก็ได้นะ ผมไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “พี่โจบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ เหรอวะ”

“จริง” ผมพยักหน้า

“แต่กูไม่มีเสื้อผ้าอะไรมาเลยนะ”

“พี่ใส่ของผมก็ได้ เยอะแยะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะพอดีตัวพี่รึเปล่านะ”

“ไม่เป็นไร เอากางเกงขาสั้นหรือบ็อเซอร์สักตัวก็พอ ขากลับก็ใส่ชุดเดิม”

“งั้นผมถือว่าพี่ตกลงแล้วนะ”

“ถ้าพี่โจโอเค ก็โอเค ยังไงที่นี่ก็น่านอนกว่าห้องในโรงพยาบาลอยู่แล้ว”

“ก็แหงล่ะ”

เขาเงียบไปพักหนึ่งในขณะที่สายตาเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า “มึงรู้มั้ย นอกจากในป่า กูก็เคยต้องนอนในที่โล่งๆ มีแต่ทราย คล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นคือกูออกไปภารกิจ แม่งตกกลางคืนแทบไม่ได้นอน ต้องระวังตลอดว่าเสียงปืนจะดังขึ้นตอนไหนก็ไม่รู้”

ผมเพิ่งเข้าใจถึงเหตุผลที่เขาลังเลในตอนแรก “แต่ที่นี่หัวหินนะพี่ ไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอยู่แล้ว ผมอยากให้พี่ซึมซับบรรยากาศดีๆ แบบนี้ วิวดีๆ แบบนี้ มากกว่านะเว้ย แต่ถ้าเกิดมันทำให้พี่นึกถึงเรื่องแย่ๆ ที่เคยเจอมา เราจะกลับกันก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ที่นี่มันก็ไม่เหมือนที่นั่นจริงๆ นั่นแหละ และอีกอย่าง ตอนนอนเราก็คงเข้าไปนอนในบ้านกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”

“ก็ใช่” ผมพยักหน้า

“งั้นก็โอเค”

“งั้นเดี๋ยวสักพักผมออกไปซื้อข้าวเย็นแล้วก็แปรงสีฟันมาให้ หรือพี่อยากไปด้วยกัน ไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศหน่อยมั้ย”

เขาส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ขออยู่แบบนี้สักพักดีกว่า ถ้าเบื่อแล้วจะบอกเอง”

“โอเคครับ”

“นี่ ไอ้พลุ”

“ครับ”

“มึงมาที่นี่บ่อยมั้ยวะ”

“ก็เดือนละครั้งมั้ง แล้วแต่ว่าว่างขนาดไหนน่ะ บางทีผมก็ชอบขับรถมาเช้าเย็นกลับ หรือนอนสักคืนก็มี หนีความวุ่นวายในกรุงเทพฯ บ้าง อะไรแบบนั้นน่ะ เพราะที่นี่ปกติคนไม่เยอะหรอก”

เขาพยักหน้า “ครอบครัวมึงท่าทางจะมีเงินนะ”

“พ่อแม่ผมน่ะมี ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมายหรอก แต่ก็อยู่ได้สบายๆ มากกว่า” ผมตอบตามความเป็นจริง “แล้วพี่อะ ก่อนนี้ได้เที่ยวทะเลบ่อยรึเปล่า”

“แต่ก่อนก็ปีละครั้งไม่ก็สองครั้งมั้ง จะมีก็ช่วงก่อนเป็นทหารนั่นแหละที่ไม่ได้เที่ยวทะเลเลยเกือบสามปีได้”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง

“บ้านกูอยู่น่านน่ะ เลยไม่ค่อยได้ลงมาไกลๆ หรอก”

“พี่เป็นคนน่านเหรอ” ผมแปลกใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มพูดถึงครอบครัวของตัวเอง

เขาพยักหน้าตอบเบาๆ และบทสนทนาของราก็จบลงแค่นั้น

ผมออกไปซื้อข้าวเย็นและแปรงสีฟันกลับมาให้เขา เราเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการกินข้าวเย็นในบ้านและนั่งดูทีวีกันอยู่พักหนึ่ง จนเมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำ เขาก็กลับออกมานั่งอยู่ที่หน้าระเบียงบ้านอีกครั้ง

“ชอบเหรอ” ผมถาม

เขาพยักหน้าพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผม “กูชักอยากเปลี่ยนใจแล้วว่ะ”

“พี่จะกลับเหรอ”

“เปล่า กูชักอยากนอนข้างนอกนี้แล้วว่ะ”

ผมหัวเราะ “โฮ้ยย ผมทำประจำ บางทีผมก็นอนแม่งบนเก้าอี้เนี่ยแหละ หรือถ้าอยากสบายหน่อยผมก็เอาฟูกเตียงมาวางแล้วนอนเลย”

“จริงอะ ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอวะ” เขาถามอย่างตื่นเต้น ท่าทางสนใจ

“จะเอางั้นมั้ยล่ะ เดี๋ยวผมจัดการให้ เตียงผมมันเตียงดับเบิ้ล ไม่ใหญ่มาก ยกออกมาสบายๆ อยู่แล้ว”

“งั้นก็เอาดิ”

ผมเดินไปในห้องนอนและจัดการยกฟูกออกจากเตียง แล้วจึงดันมันออกมาที่ระเบียงห้อง ผมเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบหมอนและผ้าห่มออกมา จากนั้นก็จัดผ้าปูเตียงให้เรียบร้อย

“เอ้า เรียบร้อย คืนนี้พี่ก็นอนไปแล้วกัน”

เขามองหน้าผม ขมวดคิ้ว “อะไร แล้วมึงจะไปนอนไหน”

“เดี๋ยวผมไปนอนโซฟาข้างล่างก็ได้ เพราะห้องของพ่อกับแม่ผมมันล็อค”

“ไม่ต้อง” เขาพูดเสียงแข็ง “กูไม่ไล่มึงออกจากที่นอนของมึงเองหรอก มานอนด้วยกันนี่แหละ”
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 14-11-2012 07:24:49
ดีใจที่คิวยอมเปิดใจแล้ว
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 14-11-2012 08:32:30
จะเป็นรักสามเศร้าเปล่านี้ คิดไปไกลเกินมั้ง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 14-11-2012 09:56:39
พี่โจเคี่ยวจัง อิอิ  แต่เราแอบชอบนะตัวละครตัวนี้
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: โจ๊กกุ้ง ที่ 14-11-2012 20:02:03
สองคนนี้จะพัฒนาความสัมพันธ์ได้มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 14-11-2012 23:17:55
อุว่ะ พีโจก้อรู้ละ่
เอาไงล่ะเนี่ย จะสามเศร้าไหม แต่ คิดว่าไม่แน่นอน
คืนนี้ท่ามกลางหมู่ดาวจะเป็นไงหวา
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 15-11-2012 01:31:39
ชอบคู่นี้จัง  :o8:
ตัวละคร 3 ตัว character ชัดดีครับ

ไม่้ิเอาดราม่านะค้าบบบบบบ  o18
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 15-11-2012 03:16:07
ชอบค่ะ ชอบเรื่องนี้

แนวนี้น่าสนใจมากๆเลย เราไม่เคยอ่านนิยายที่ตัวละครเสียขาแล้วยังรูปร่างดี เคยเห็นแต่ผอมๆไรงี้

เคยอ่านนิยายของคนเขียนเรื่องเมฆกับฟ้าครามอ่ะค่ะ(ใช่เปล่าๆ)

ชอบฟ้าครามมากกกกก ถึงขั้นเพ้อชื่อฟ้าครามไปพักนึงเลย
(แล้วคิดขนาดว่าอยากใก้ลูกชื่อนี้//ประเด็นคือจะหาสามีได้มั้ย 555+)

ว่าแต่เรื่องนี้ 3p ? รึเปล่า  :z1:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 15-11-2012 13:47:36
จินตนาการไปไกลละ แต่สงสัยจะหักมุม
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 15-11-2012 22:32:02
อบอุ่นดีนะ เริ่มค่อยๆเปิดใจ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 17-11-2012 11:47:27
โอ๊ะ!!  ตายแล้วมีการมานอนด้วยกันด้วยอ่ะ

เอ๊ะ...พี่โจ้นี่ยังไงๆนะ  หรือว่าจะชอบคิวน๊าาา
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 13 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 17-11-2012 21:06:52
ดัน ฮึบๆๆๆ

อยากอ่านต่อแล้วอ่า
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 19-11-2012 21:27:24
ตอนที่ 5

“กูมารบกวนบ้านของมึงแล้ว ยังจะมาแย่งที่นอนมึงอีกได้ยังไง นอนด้วยกันก็ได้ ไม่เห็นจะเป็นไร” เขาพูด

“แต่... ผมก็แค่... ไม่รู้ดิ นึกว่าหลังจากเกิดเรื่องนั้นแล้ว พี่จะไม่...”

“ช่างมันเหอะ บอกไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรดิวะ” เขาหยิบเสื้อขึ้นจากพื้น “กูอยากอาบน้ำ”

“คนเดียวรึเปล่า”

เขาหันมาเลิกคิ้วให้ผม “ก็แหงสิวะ มึงอย่าทำได้ใจไปนะเว้ย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย แต่เพื่อความปลอดภัยของพี่เองต่างหาก ต่อให้นี่ไม่ใช่เวลางาน แต่ผมก็ยังคงมีหน้าที่ดูแลพี่อยู่เสมอนะ อย่าลืม”

“เออๆ กูอยากอาบคนเดียว”

“งั้นผมต้องยืนเฝ้าพี่อยู่หน้าห้องน้ำ แล้วพี่ก็ห้ามปิดประตูด้วย”

“ถ้าจะเรื่องเยอะขนาดนั้นงั้นมึงก็เข้ามาอาบด้วยกันเลยทีเดียว จบ”

ผมเลิกคิ้วขึ้น “แน่ใจนะ”

“เอ๊ะ มึงนี่มันย้ำคิดย้ำทำจังวะ ถ้ากูไม่โอเคจะเอ่ยปากเองมั้ย มึงอย่าทำแบบครั้งที่แล้วอีกก็พอ”

“ถ้าพี่โอเคผมก็โอเค ผมบอกแล้วว่าผมจะไม่ฉวยโอกาสจากพี่อีกหรอก... ถ้าพี่ไม่ยอม”

“เออ”

หลังจากนั้นผมก็เตรียมกางเกงขาสั้นให้เขาตัวหนึ่ง แล้วเราจึงเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกัน โดยระหว่างที่เขากำลังอาบน้ำอยู่ ผมก็จะยืนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ และเมื่อเขาอาบเสร็จแล้วผมจึงค่อยอาบต่อ จนเมื่อผมเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมรอผมอยู่แล้ว

“ที่นี่อากาศดีนะ”

“ช่ายครับ กลางวันอาจจะร้อนหน่อย แต่กลางคืนเนี่ย อากาศดี” ผมเดินกลับเข้าไปในบ้านและหยิบพัดลมออกมาตัวหนึ่ง “แต่เผื่อไว้หน่อยก็ดี เปิดให้มีลมหน่อย”

เขาลุกออกจากเก้าอี้มานั่งที่ขอบเตียงและเริ่มดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว

“จะนอนแล้วเหรอ” ผมถาม

“ทำไมวะ”

“รอผมแป๊บนึง” ผมเดินกลับไปในบ้านอีกครั้ง ค้นกระเป๋าของตัวเองและหยิบเอากล่องใส่กางเกงในแพ็คสามชิ้นออกมาสองกล่อง รวมทั้งกางเกงว่ายน้ำแบบบิกินี่ที่เพิ่งซื้อมาด้วย แต่ผมยัดมันลงกระเป๋ากางเกงเอาไว้ก่อน

ผมเดินกลับมาที่ระเบียงแล้วนั่งลงบนเตียงพร้อมกับวางกล่องกางเกงในลงใกล้ๆ เขา “เอ้านี่ ผมซื้อมาให้เพิ่ม”

เขาลุกขึ้นนั่งและแกะกางเกงในออกมาดู “ทำไมซื้อมาเยอะจังวะ เท่าไหร่”

“ก็บอกแล้วว่าผมไม่เอาเงิน”

“แต่ยังไงกูก็จะต้องจ่ายคืนให้มึงแน่ๆ นี่มันก็หลายบาทอยู่นะเว้ย”

“ผมไม่ต้องการเงินจากพี่หรอก ผมบอกแล้ว ผมให้ด้วยใจว่ะ”

“งั้นเอาไว้กูค่อยตอบแทนน้ำใจมึงวันหลังแล้วกัน”

“ยังไม่หมดแค่นั้นนะ” ผมยิ้มและล้วงหยิบเอากางเกงว่ายน้ำออกจากกระเป๋ากางเกงมาวางลงบนเตียง

เขามองมันด้วยสีหน้าอึ้งๆ “มึงซื้อกางเกงว่ายน้ำมาให้กูด้วยเหรอ”

“ใช่ ที่นี่ก็มีสระว่ายน้ำด้วยนะ”

“มึงก็รู้ว่ากูไม่ใส่กางเกงว่ายน้ำเด็ดขาด” เขาขมวดคิ้ว

“ถ้ายังไม่ใช่ตอนนี้ล่ะก็ ใช่ ผมรู้ แต่ในอนาคตพี่ต้องใส่มันอีกแน่ ผมมั่นใจ”

“ไม่มีทาง” เขาส่ายหน้า

“เก็บมันไว้ก่อนเถอะ แล้วเรื่องพวกนั้นเราค่อยมาเถียงกันทีหลัง” เขายัดมันกลับลงไปในมือของเขา เขาจึงหยิบทั้งกล่องกางเกงในและกางเกงว่ายน้ำขึ้นจากเตียงและหันไปวางมันลงบนพื้น

“ไงก็ขอบใจแล้วกัน”

“ไม่เป็นไรครับ เต็มใจ” ผมซุกตัวใต้ผ้าห่มและนอนลืมตามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะชวนเขาคุยหรืออะไรดีรึเปล่า

“ไอ้พลุ กูถามไรหน่อยดิ” เขาชิงพูดขึ้นก่อน

“ว่า”

“มึงไม่มีแฟนเหรอวะ”

“ไม่มีอะ เลิกไปได้เกือบปีแล้ว”

“แล้วทำไมไม่มีวะ ไม่มีคนมาชอบมึงเลยรึไง”

“มีดิ เยอะแยะ แต่ผมไม่รู้สึกชอบใครว่ะพี่ ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรอะ สงสัยยังกลัวๆ อยู่มั้ง”

“แล้วมึงเอาบ่อยปะ”

“ฮ่าๆๆ ไม่บ่อย ก็มีบ้าง แต่ไม่เยอะหรอก ผมไม่ได้เอามั่วซั่วขนาดนั้น”

“แล้ว... ปกติมึงเอาหรือถูกเอา”

“ได้ทั้งคู่นั่นแหละ”

เขาส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอเบาๆ ก่อนจะเงียบลงไปอีกครั้ง

“ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องพวกนั้นขึ้นมาวะพี่”

“เปล่า แค่สงสัย กูไม่เคยรู้จักใครที่เป็นแบบนี้... หรืออย่างน้อยก็เปิดเผยและคุยได้แบบมึง ก็เลยถามๆ ดู”

“อ๋อออ เออ ก็ถามได้ ผมไม่ได้ปิดบังอะไรหรอก อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่กับพี่ว่ะ”

“เออ จะว่าไป ในรายงานที่เขียนให้พี่โจน่ะ ปกติแล้วมึงใส่ทุกอย่างลงไปหมดเลยรึเปล่า เช่นเรื่องที่เราคุยกัน หรือเรื่องที่เรานอนค้างด้วยกันแบบนี้น่ะ”

“ไม่ทุกอย่างหรอก แต่ก็ต้องใส่รายละเอียดบางอย่างบ้าง อะไรที่พี่โจเค้าคาดหวังจะได้อ่านในรายงานอะ นึกออกปะ แต่ผมไม่ใส่ถึงขนาดว่าเราคุยอะไรกันไปบ้างหรอก ผมว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป”

“ขอบใจ...” เขาพูดคำๆ นี้กับผมอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ผมแค่ทำตามหน้าที่ว่ะ”

เราสองคนนอนเงียบๆ กันอีกพักหนึ่ง

“กูชอบที่นี่ว่ะ กูเพิ่งเคยนอนบนเตียงที่ได้มองเห็นดาวแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยนะ” เขาพูดขึ้นเบาๆ

“ใช่ปะล่ะ ผมก็ชอบเหมือนกัน ยิ่งหน้าหนาวอากาศยิ่งดี ไม่ต้องเปิดพัดลมเลยด้วยซ้ำ”

“กูว่ามึงคงไม่ได้มาแค่นอนรับบรรยากาศแบบนี้คนเดียวหรอกมั้ง”

“ถ้าพ่อแม่อยู่ก็นอนคนเดียว แต่ถ้าไม่ก็มีพาเพื่อนมาบ้าง”

“เพื่อนเหรอวะ”

“เออ ก็เพื่อนบ้าง แฟนบ้าง กิ๊กบ้าง แล้วแต่นั่นแหละ แต่ส่วนมากผมชอบมาคนเดียวมากกว่านะ”

“แล้วคนที่พามาเนี่ย มีแต่ผู้ชายเหรอวะ”

“ผู้หญิงก็มี แต่น้อย”

“พามานอนเฉยๆ” เขาพูดเป็นเชิงคำถาม

“ก็ไม่เสมอไป แต่ก็อย่างที่บอกอะว่าน้อย ผมชอบผู้ชายมากกว่าว่ะ ผมเป็นเกย์ ไม่ได้เป็นไบ แต่แค่เอาผู้หญิงได้เท่านั้นเอง”

“มึงนี่มันน่าสับสนจริงๆ ว่ะ” เขาหัวเราะเบาๆ

“ไม่น่าสับสนขนาดนั้นหรอกน่า”

เราเงียบกันลงไปอีกครั้ง คราวนี้ยาวกว่าเมื่อครั้งแรกๆ ผมพอจับความรู้สึกได้ว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ และผมว่าเขาอาจจะกำลังชั่งใจว่าจะพูดมันออกมาให้ผมฟังอยู่หรือเปล่าดีก็ได้

“พี่พูดกับผมได้ทุกเรื่องนะ พี่ก็รู้ใช่ปะ ผมไม่เอาไปเขียนลงในรายงานหรือบอกใครหรอก”

เขาไม่ตอบผมในทันที แต่มีการขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องชีวิตทหารและการออกรบภาคสนามจริงๆ ให้ผมฟัง ตอนแรกเขาเริ่มเล่าอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ จากนั้นถึงเริ่มพูดเร็วขึ้น น้ำเสียงของเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเขาแค่กำลังต้องการระบายมันออกจากอกไปบ้างเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อเขาเล่าถึงเหตุการณ์แรกที่ต้องเสียเพื่อนสนิทคนหนึ่งไปจากการซุ่มยิงของพวกผู้ก่อการร้าย น้ำเสียงของเขาก็เริ่มขาดช่วง เสียงของเขาเริ่มแตกพร่า เขายกแขนขึ้นพาดปิดตาเอาไว้ แต่ผมเห็นหน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงเร็วๆ และสุดท้ายเสียงสะอื้นเบาๆ ก็เริ่มดังออกมา

ด้วยสัญชาติญาณ ผมตะแคงตัวกันไปวางมือลงบนหน้าท้องของเขา “ไม่เป็นไรพี่ ไม่ต้องกังวล เรื่องวันนี้ คืนนี้ ทุกอย่างจะเป็นตัวหนังสือแค่ไม่กี่คำเท่านั้น ผมสัญญา”

เขาพยักหน้าและพึมพำคำว่า ‘ขอบใจ’ ออกมาเบาๆ

ผมยังคงวางมืออยู่บนหน้าท้องของเขาแบบนั้นจนกระทั่งเขาเริ่มกลับมาหายใจเป็นปกติ เขาไม่ได้พูดหรือผลักมือผมออก ทำให้ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

“อยากได้เบียร์อีกรึเปล่า” ผมถาม

“ไม่อะ จริงๆ ตอนนี้ก็มึนๆ นิดๆ อยู่แล้ว บางทีเพราะแบบนี้มั้งกูก็เลยพูดมากขึ้นน่ะ”

“ไม่ใช่หรอก ผมว่าพี่อาจจะจำเป็นต้องระบายมันออกมาบ้างมากกว่า”

“ก็คงได้แค่พูดออกไปว่ะ แต่มันก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่หายไปไหน ไอ้ความทรงจำเหล่านั้น... แม่งง...” เสียงของเขาขาดหายไปอีกครั้ง

“ผมคงบอกว่า ‘ผมเข้าใจ’ พี่ไม่ได้ แต่แค่ได้ฟังและคิดตาม มันก็ดูเลวร้ายมากพออยู่แล้ว จริงๆ ว่ะ” ผมวนมือเป็นวงกลมเบาๆ เป็นการปลอบโยนเขา เมื่อเขาไม่ได้มีท่าทีขัดขืน ผมก็วนมือกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเลื่อนลงไปต่ำจนถึงขอบกางเกงบ็อกเซอร์ ผมรู้สึกถึงกล้ามเนื้อกน้าท้องของเขาที่แข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่ห้ามหรือปัดป้องอีกอยู่ดี

ผมเลื่อนมือต่ำลงอีกนิดหน่อย จนกระทั่งไปสัมผัสโดนส่วนหัวของไอ้น้องชายของเขาที่แข็งพาดอยู่ใต้เนื้อผ้าบางๆ ผมทั้งรู้สึกแปลกใจและดีใจที่เขามีปฏิกิริยาแบบนี้

“ไอ้พลุ...” เขาพูดขึ้นในที่สุด “มึงจะทำอะไรวะ”

“ไม่น่าถามว่ะพี่” ผมค่อยๆ เลื่อนมือลงคว้าท่อนลำของเขาและออกแรงบีบเบาๆ มันตอดตุบๆ ตอบรับผม 2-3 ที แต่เขาก็ยังคงนอนนิ่ง ไม่มีท่าทีขัดขืนอยู่ดี “ผมบอกแล้วไงว่าพี่ต้องระบายมันออกมาบ้าง... และผมหมายถึงทุกๆ อย่างนั่นแหละ”

“ก็คงจริงของมึง...” เขาพูดเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

“ให้ผมช่วยนะพี่”

ผมจัดการดึงกางเกงของเขาลงโดยที่เขาช่วยยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นผมก็จับไอ้น้องชายของเขาตั้งตรงขึ้น น้ำเมือกเหนียวๆ ใสๆ หยดลงมาโดนมือของผม ผมจึงใช้นิ้วชี้ละเลงมันให้ทั่วส่วนหัว ทำเอาเขาครางและแอ่นอกขึ้นด้วยความเสียว ผมจึงสบโอกาสครอบริมฝีปากลงบนท่อนลำขนาดเขื่องนี่ทันที

“อือออ...อ ซี้ดด..ด..ส์ แม่งง เสียวเว้ย! กูไม่เคยเจอใครเก่งเท่ามึงเลยจริงๆ!” เขาครางเสียงดังหลังจากผมใช้ปากให้เขาอยู่พักหนึ่ง

ผมแอบยิ้มอยู่ในใจกับปฏิกิริยาของเขา และตัดสินใจว่าจะทำคืนนี้ให้เป็นคืนที่เขาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต ดังนั้นผมจึงพยายามใช้ปากให้เขาอย่างสุดความสามารถ แต่เพราะการที่ผมไม่สามารถอมของเขาจนสุดถึงโคนได้ ผมเลยพยายามใช้ลิ้นเลียตวัดและดูดบริเวณส่วนหัวให้เขาทั้งๆ ที่ยังคงอมให้เขาอยู่ด้วย ทำให้เขาครางออกมายิ่งกว่าเดิมเสียอีก

ผมขยับตัวและถอนปากออก เขาผงกหัวมามองด้วยแววตาสงสัยปนวิงวอนทันที ผมส่ายหน้าเบาๆ และก้มลงไปใช้ลิ้นเลียที่ไข่ทั้งสองข้างของเขาสลับกันเบาๆ เขาแอ่นอกขึ้นและกำผ้าปูที่นอนแน่น เสียงครางของเขาก็เริ่มดังและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมจับขาซ้ายของเขาให้ยกขึ้น มันทั้งใหญ่และหนักอย่างที่ผมไม่คิดมาก่อน

“โห ขาพี่แม่งโคตรแข็งแรงเลย นี่ขนาดมีแค่นี้ยังหนักตั้งขนาดนี้เลยนะ พี่แม่งโคตรฟิตเลยว่ะ” ผมพูด จากนั้นก็ขยับตัวและกระชับวงแขนเพื่อดึงสะโพกของเขาเข้ามาแนบชิดกับลำตัวของผม ก่อนจะจูบลงบนรอยแผลเป็นตรงรอยตัดของเขา

“เฮ้ย! อย่า... อย่าทำแบบนั้น...” เขาสะอึกและพูดออกมาเบาๆ

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมบอกแล้วไงว่ามันดูดีสำหรับผมด้วยซ้ำ” ผมตอบก่อนจะจูบลงที่เดิมอีกครั้ง แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ จุ๊บไล่บริเวณหน้าขาขึ้นไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงตรงง่ามขา “พี่เซ็กซี่มากนะเว้ย บอกตรงๆ เลยเนี่ย”

“ไม่จริงหรอก มึงอย่าพูดเพราะความสงสารหรือให้กำลังใจกูเลย...”

“ผมไม่ได้พูดเพราะสงสาร” ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเขาและพูดเสียงแข็ง “แล้วก็ไม่ได้พูดเพื่อให้กำลังใจพี่ด้วย แต่ผมคิดแบบนั้นจริงๆ” ผมเลื่อนตัวออกและแนบแก้มลงบนแผลของเขา “จริงๆ แล้วพี่ก็น่ารักนะเนี่ย รู้ตัวรึเปล่า”

“ตลกละ มึงไม่ต้องมาชมกูว่า ‘น่ารัก’ เลย กูไม่ดีใจหรอกนะเว้ย”

“ทำไมจะไม่ได้ ผมถือไพ่เหนือกว่านะเว้ย เพราะงั้นผมจะเรียกพี่ยังไงก็ได้เหอะ”

“เหนือกว่ายังไง”

“ผมมีรถ พี่มีไม้เท้ากับรถเข็น พี่อยากให้ผมดูดไอ้นั่นให้ใจจะขาด และที่สำคัญ ผมก็อยากดูดให้พี่ด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นผมชนะว่ะ”

“โอเคๆ งั้นกูยอมแพ้ก็ได้” เขาหัวเราะ

ผมเลียริมฝีปากและประทับจูบลงบนด้านลังของต้นขาของเขา และจึงใช้ลิ้นไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ พี่คิวยกขาข้างขวาขึ้นพาดบ่าของผมด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงสามารถไล่ลิ้นไปได้เรื่อยๆ จนถึงแก้มก้นของเขา เขาทั้งคำรามเบาๆ ในลำคอพร้อมบิดหัวไปมา ท่าทางจะเสียวมาก ผมที่ยิ่งได้ใจจึงก้มต่ำลงและแตะลิ้นลงตรงรอยต่อระหว่างไข่และประตูหลังของเขา พี่คิวสะดุ้งเฮือกและรีบยกมือขึ้นคว้าหัวของผมเอาไว้ทันที

“ทำไมวะพี่”

“ม... มันเสียวเว้ย!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแตกพร่า

“มีเสียวกว่านี้อีก ถ้าไม่เชื่อจับขาไว้” ผมพูดพลางดันขาทั้งสองข้างของเขาขึ้นจนกระทั่งมันแนบลงไปบนอกของเขา
 เขาใช้แขนจับมันเอาไว้แบบนั้น “จะทำอะไร”

“เดี๋ยวก็รู้” ผมซุกหน้าลงที่ก้นของเขาและได้ยินเสียงเขาสูดลมหายใจเข้าดังเฮือก ทันทีที่ลิ้นของผมแตะลงที่ประตูหลัง เขาก็ร้องครางออกมาเสียงดังทันที

“โอ๊ยยย ซี้ดดด ไอ้เหี้ย! แม่งเสียวว่ะ! แฮ่กก แฮ่กก!” เขาทั้งครางทั้งหอบพร้อมๆ กัน “ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้กูมาก่อนเลยนะเว้ย”

ผมไม่พูดอะไร แต่จับไอ้น้องชายของเขาตั้งขึ้นตรงและรูดขึ้นลงเบาๆ ในขณะที่กำลังลงลิ้นที่ประตูหลังให้เขาไปด้วย จากนั้นก็ค่อยๆ ตวัดลิ้นเลื่อนสูงขึ้นๆ จนมาถึงที่ไข่ของเขา ผมดูดและดุนมันอยู่สักพักก็เลื่อนสูงขึ้นโดยใช้ลิ้นเลียไล่ไปตามความยาวจนกระทั่งไปถึงส่วนยอด ผมตวัดลิ้นเอาน้ำหล่อลื่นเข้าปากไปก่อนที่จะก้มลงดูดบริเวณส่วนหัวให้เขา ตลอดเวลาที่ผมทำอย่างนั้น ผมได้ยินแต่เสียงครางของเขาที่แทบจะกลบเสียงสายลมและเกลียวคลื่นไปจนหมด

“ซี้ดดดส์ ถ้ามึงยังทำแบบนี้ต่อ กูแตกแน่!” เขาเตือน

ผมถอนปากออก “ถ้างั้นก็อย่าเพิ่งเลย”

ผมตวัดลิ้นเลียส่วนหัวหยักเบาๆ ก่อนจะก้มลงเลียบริเวณประตูหลังของเขาพร้อมกับรูดไอ้น้องชายของเขาขึ้นลงอย่างช้าๆ

“มึงอย่าแกล้งกู! รีบๆ ชักให้กูสักทีเว้ย กู... กูไม่ไหวแล้ว!” เขาคำรามลอดผ่านฟันที่ขบเขี้ยวอยู่ออกมาเบาๆ

“อยากแตกแบบนี้เลยเหรอ” ผมถาม

“แบบไหนก็ได้ แต่ขอกูแตกเถอะ กู... แฮ่ก... แฮ่กก... จะไม่ไหวแล้วนะเว้ย”

น้ำเสียงและสีหน้าของเขาเซ็กซี่ยิ่งกว่าตอนปกติเป็นทวีคูณ ผมเร่งใช้มือชักให้เขาในขณะที่ใช้ลิ้นเลียไข่ของเขาไปด้วย อีกไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ปล่อยขาทั้งสองข้างลงและแอ่นหน้าอกขึ้นพร้อมกับฉีดพ่นน้ำรักออกมาอย่างมหาศาล น้ำครั้งแรกที่ถูกฉีดออกมาแรกกระเด็นเลยขึ้นมาถึงหน้าของผม ส่วนครั้งถัดๆ มาก็พุ่งลงไปที่หน้าอกและหน้าท้องของเขาเอง ร่างกายของเขากระตุกอย่างไม่เป็นจังหวะอยู่หลายครั้งก่อนจะสงบลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

ผมเดินเข้าไปหยิบม้วนกระดาษทิชชู่จากข้างในบ้านมาเช็ดทำความสะอาดร่างกายให้เขา

“น้ำกูเลอะแก้มมึงอยู่นิดนึงด้วย” เขาบอก

ผมยักคิ้วให้เขาและใช้นิ้วชี้ปาดมันออก จากนั้นก็ดูดเลียนิ้วตัวเองจนสะอาด เขามองผมด้วยสายตาทึ่งๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“มึงนี่มันเหลือเกินจริงๆ ว่ะ”

“สบายตัวขึ้นรึยัง หวังว่าคงพอใจกับบริการพิเศษนะครับ นายทหาร” ผมทำท่าตะเบ๊ะ

“หึๆ เออ”

เราสองคนมองหน้าและยิ้มให้กันน้อยๆ ผมจัดการเช็ดไอ้น้องชายของเขาที่อ่อนตัวลงจนสะอาดและโยนทิชชู่ลงบนพื้น

“ทำไมมึงถึงต้องทำแบบนี้ให้กูด้วย”

ผมไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงเรื่องเมื่อครู่นี้หรือเรื่องทั้งหมดที่ผมทำให้เขา อย่างเช่นการพาเขามาที่นี่ ขอพี่โจให้เขานอนค้างได้ การที่ซื้อกางเกงในและกางเกงว่ายน้ำให้หรืออื่นๆ แต่ก็ตัดสินใจตอบออกไปตามความเป็นจริงที่สุด

“เพราะพี่สมควรได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตบ้างน่ะสิ พี่เสียสละมามากมายขนาดนี้แล้ว” ผมวางมือลงบนหัวเข่าข้างซ้ายของเขา “ผมอยากให้พี่รู้สึกดีๆ อยากให้รู้ว่ามีคนๆ นึงที่เห็นคุณค่าของพี่และสิ่งที่พี่ทำ มันก็แค่นั้นเอง ผมรู้สึกเป็นเกียรตินะเว้ยที่ได้ทำให้พี่มีความสุขน่ะ”

“เป็นเกียรติเลยเหรอวะ กูไม่เข้าใจ”

“พี่ไม่ต้องเข้าใจหรอก นั่นมันส่วนของผม ส่วนของพี่คือ ‘มีความสุข’ เท่านั้นพอ เข้าใจปะ”

“ขึ้นมานี่ซิ” เขาเรียก

ผมคลานขึ้นไปข้างๆ เขา และนอนหนุนลงบนแขนของเขาที่เหยียดออกมาเพื่อผม ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วมันก็ไม่ได้นอนสบายเท่าไหร่หรอก แต่ผมรู้สึกดีที่เขาทำแบบนี้เพื่อผมมากกว่า

“มึงคงไม่เขียนเรื่องเมื่อกี้ลงรายงายให้พี่โจใช่มั้ยวะ”

“ไม่เขียนหรอก แม่งยาว ใครจะเขียนหมดวะ ผมจะเขียนแค่ว่าผมชักว่าวให้พี่พอ”

เขางัดแขนขึ้นและล็อคคอผมอยู่ในท่าเฮ้ดล็อคซึ่งเกือบทำให้ผมคอหักตายอยู่เหมือนกัน ผมรีบตีมือลงบนหน้าท้องของเขาเพื่อบอกว่าผมยอมแพ้แล้ว เขาจึงยอมปล่อยผมออกเป็นอิสระ ถึงผมจะตัวใหญ่กว่าเขา แต่กล้ามเนื้อเขาแข็งแรงกว่าผมพอสมควรนะ
เขาขยี้หัวผมแรงๆ ส่งท้ายก่อนที่จะพลิกตัวเป็นนอนหงายเหมือนเดิม

“ตอนที่มึง... ตอนที่มึงจูบตรงขากูน่ะ มัน...” เขาพูด

“มันทำไมครับ”

“ตรงนั้นมันรอยที่ขากูขาดนะ มึง... มึงไม่รู้สึกแปลกๆ เลยเหรอวะ”

“ไม่เลย” ผมตอบ “แล้วพี่ล่ะ รู้สึกยังไง”

“มันก็... รู้สึกดีนะ มันทำให้กูรู้สึก... ไม่รู้ดิ” เขาเว้นช่วง “มึงว่าการที่ขากูขาแบบนั้น มันไม่แปลกหรือน่าขยะแขยงเหรอวะ”

“พี่คิว ถ้าแค่พี่จะฟังและเชื่อสิ่งที่ผมพูดจริงๆ สักครั้งนะ พี่จะรู้ว่าผมไม่โกหกอยู่แล้ว ผมว่าพี่ต้องอนุญาตตัวเองให้เชื่อสิ่งที่มันเป็นจริงๆ และหยุดจมอยู่กับสิ่งที่มันเคยมีแต่ตอนนี้ไม่มีอยู่ได้แล้ว ผมว่าพี่แม่งเป็นคนเดียวที่ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนพิการอยู่แล้วว่ะ”

“เหรอวะ แล้วมึงคิดว่าคนอื่นเค้ามองเห็นอะไรเวลาที่กูนั่งอยู่บนรถเข็นหรือเดินกะเผลกๆ ด้วยไม้เท้าอยู่ในโรงพยาบาลหรือแม้แต่ที่อื่นน่ะ”

“ใช่ เค้าเห็นว่าพี่มีขาข้างเดียว แต่มันก็แค่นั้นไง เค้าเห็น แต่ไม่มีใครใส่ใจหรอก สิ่งที่คนอื่นจะสนใจเป็นอันดับแรกคือหน้าตาและรูปร่างของพี่มากกว่าด้วยซ้ำ และถ้าคนพวกนั้นได้รู้จักพี่ ได้รู้ว่าพี่ทำอะไรมาเพื่อแผ่นดินที่พวกเค้ายืนอยู่ เค้าก็จะเห็นถึงข้างในจิตใจที่แม่งโคตรเข้มแข็งกว่าคนมีอวัยวะครบหลายๆ คนอีกด้วย”

“แล้วถ้ากูไม่ได้หน้าตาแบบนี้ มึงยังจะทำอย่างที่ทำอยู่นี่ให้กู และยังจะพูดแบบเมื่อกี้อยู่รึเปล่าวะ”

“เอาตรงๆ เลยปะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เพราะผมยอมรับว่าสิ่งแรกที่ทำให้ผมชอบพี่ก็คือหน้าตาและรูปร่างของพี่จริงๆ แต่บอกตรงๆ อีกเหมือนกันว่าแค่หน้าตาอย่างเดียวมันไม่ทำให้ผมชอบพี่ได้หรอก เพราะตอนแรกผมก็รำคาญนิสัยหยิ่งๆ อวดดีของพี่เหมือนกันนั่นแหละ”

เขาหันมาทำตาดุใส่ผม แต่ผมไม่กลัว

“แต่ไปๆ มาๆ ผมกลับชอบพี่ว่ะ ผมชอบพี่ที่พี่เป็นของพี่แบบนี้ ทุกอย่างทั้งหน้าตาและนิสัย เพราะงั้นถ้าพี่ถามว่าหากไม่ได้หน้าตาแบบนี้แล้วผมจะยังชอบพี่มั้ย ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้น แต่ผมว่าก็คงเหมือนกันแหละมั้ง อย่างน้อยๆ ความชื่นชมในความเสียสละที่พี่และเพื่อนๆ ของพี่ทำเพื่อประเทศชาติมันก็เป็นของจริงที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตาเลยสักนิดเดียว ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”

“จริงเหรอวะ”

“จริงครับ จริงโคตรๆ อย่างน้อยๆ สำหรับพี่ ผมก็ชื่นชมที่พี่มีความตั้งใจจะสู้ต่อและกลับไปทำหน้าที่ของพี่ต่ออีกครั้ง ผมไม่คิดว่าคนอื่นๆ จะมีความมุ่งมั่นอย่างพี่หรอกนะ ผมนับถือความแน่วแน่ของพี่จริงๆ”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “...มึงเก่งนะ สำหรับนักศึกษาฝึกงาน สำหรับคนอายุเท่ามึงน่ะ”

“ไม่เก่งเท่าพี่หรอก ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่เคยคิดได้แบบนี้เหมือนกัน...” ผมดันตัวออกและลุกขึ้นนั่ง มือของผมวางลงบนข้อเท้าข้างที่เคยได้รับบาดเจ็บจากการแข่งบาสเก็ตบอลเมื่อสองปีก่อน ผมลูบบาดแผลเก่าที่จางไปมากแล้วเบาๆ “ทุกคนต่างก็ต้องเดินต่อและต้องปล่อยวางสิ่งที่มันไม่ได้มีอยู่แล้วไป ใช่มั้ยล่ะ”

“ไอ้พลุ มึงมีอะไรอยากจะบอกกูรึเปล่าวะ” เขาถาม

ผมเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนฟ้า นึกถึงตอนที่ตัวเองเคยมีทุกอย่างที่ต้องการ ความทรงจำในอดีตฉายภาพขึ้นในหัวอย่างชัดเจนราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ผมเคยเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลดาวรุ่งของโรงเรียน ของจังหวัด และแม้แต่ของประเทศ เคยเป็นตัวแทนแข่งขันกีฬาเยาวชนโลกและแม้แต่ซีเกมส์มาแล้ว ผมมีหน้าตาที่ทำให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายหลงใหล และเพราะรูปลักษณ์ของผม ทำให้ผมเคยลงข่าวหรือนิตยสารก็หลายครั้ง แต่หลังจากที่ผมประสบอุบัติเหตุ ถูกผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้าชนทำให้ข้อเท้าพลิกและเส้นเอ็นขาด จนไม่สามารถเล่นบาสเก็ตบอลได้เหมือนเดิมอีก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยได้รับมาเมื่อตอนนั้นก็พังทลายหายไปแทบทั้งหมด ผมกลายเป็นแค่นักเรียนมหาวิทยาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่ง หน้าตาของผมยังพอเป็นที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้างได้บ้าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจคือแทบไม่มีใครจดจำผมในฐานะนักกีฬาดาวรุ่งได้อีกต่อไป  ทุกคนจำผมได้ในฐานะของ ‘อดีตนักกีฬาที่น่าสงสาร’ เท่านั้น

ผมไม่สามารถเล่นกีฬาที่ผมชอบอีก ผมไม่สามารถกลับไปยืนอยู่บนสนามอย่างโดดเด่นกว่าใครๆ ได้อีกแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดจากบาดแผลเหล่านั้นก็เริ่มจางลงไปจนกลายเป็นความชินชา ผมเรียนรู้ที่จะปรับตัวและใช้ชีวิตต่อไปแบบธรรมดาๆ ไม่มีความทะเยอทะยานที่จะกระโดดให้ได้สูงเหมือนเดิม และไม่มีความปราถนาที่จะลงไปสู่สนามหรือการแข่งขันเหลืออยู่อีกเลย ผมมันก็แค่นักเรียนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง

จนกระทั่งผมได้มาเจอเขา วีรบุรุษตัวจริงที่เสียสละยิ่งกว่าผมมากไม่รู้กี่เท่า เขาทำให้ผมรู้สึกอับอายที่เคยเสียใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นั้นเลยด้วยซ้ำ ผมอยากให้เขายอมรับสิ่งที่เขาเป็นและเชื่อคำพูดของผมที่ผมชมว่าเขาดูดีจริงๆ แม้ว่าเขาจะเหลือขาแค่ข้างเดียวแบบนี้ก็ตามที แต่ลึกๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ ในใจของผมเองกลับไม่เคยมองตัวเองแบบนั้นได้เลย แต่ในคืนนี้ เขาเพิ่งทำให้ผมเข้าใจและเปิดประตูที่ใจของผมปิดตายไปครั้งหนึ่งออกได้อีกครั้ง

ผมว่าผมเริ่มพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกชอบเขานัก​ ที่จริงมันคงไม่ใช่แค่เพราะหน้าตา นิสัย หรือความเสียสละ วีรกรรมที่เขาทำเพื่อประเทศชาติของเราหรอก แต่มันเป็นเพราะอดีตของผมเองต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกชื่นชมและเชิดชูเขามากกว่าที่ผมคิดเยอะ

“พลุ” เขาเรียกชื่อผมอีกครั้ง

ผมเอนหลังกลับนอนหนุนลงบนแขนของเขาเหมือนเดิมและเริ่มเล่าชีวิตนักกีฬาของผมให้เขาฟัง รวมถึงเหตุการณ์ตอนที่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้ามาชาร์จผมในขณะที่ผมเพิ่งกระโดดชู้ตลูกและขากำลังจะแตะพื้น ทำให้ผมได้รับบาดเจ็บอย่างแรงจนไม่สามารถวิ่งและกระโดดได้เหมือนเดิมอีกต่อไป

“งั้นเราสองคนก็คงคล้ายๆ กันสินะ” เขาพูดขึ้น

“ก็คงงั้นมั้งครับ แต่ผมไม่ได้สูญเสียเยอะเท่าพี่หรอกนะ”

“เปล่า กูหมายถึงว่าหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น เราต่างก็ตกเป็นข่าวเหมือนกัน ลงหนังสือพิมพ์บ้าง ออกทีวีบ้าง แต่อีกไม่กี่เดือนถัดมา ทุกคนก็จะลืมเรื่องและแม้แต่ชื่อของพวกเราไปอย่างง่ายดาย ไม่สิ ที่จริงกูว่าคงไม่มีใครจำชื่อของเราได้อยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ทุกคนจะใช้คำว่า ‘น่าสงสาร’ กันจนเฝือไปหมด ซึ่งพอสุดท้ายแล้วก็เหลือแค่เราคนเดียวที่ต้องอยู่กับชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล...”

คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นทันที เพราะผมรู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องของตัวเองมากกว่าผมอยู่ หรือพูดอีกอย่างก็คือเรื่องราวของเขามันเป็นความจริงที่น่าเศร้าและเจ็บปวดยิ่งกว่าผมเยอะ

“ความสงสารที่ไม่จำเป็นแม่งมีแต่ทำร้ายกันเปล่าๆ ว่ะ” เขาพูดต่อและจบประโยคลงแค่นั้น

“พี่คิว...”

“กูอยากให้มึงเขียนเรื่องที่เราคุยกันบางเรื่องลงไปในรายงานด้วยนะ พลุ เขียนอะไรก็ได้ที่แสดงให้พวกหมอๆ แม่งเห็นว่ากูพร้อมจะได้ขาเทียมข้างใหม่และออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว กูอยากให้พวกเค้ารู้ว่ากูอยากไปรับใช้ชาติอีกครั้ง”

ผมพยักหน้า “ได้ แต่เราก็ต้องช่วยกันนะครับ โอเคปะ”

“เออ ขอบใจมากนะ ไอ้พลุ กูสารภาพว่าตอนแรกกูก็ไม่ค่อยชอบมึงเท่าไหร่หรอก กูถึงได้ดูกวนตีนและเหมือนไม่ค่อยให้ความร่วมมือมึงเท่าไหร่นัก แต่สุดท้ายกูก็มารู้ตัวทีหลังว่าที่จริงสิ่งที่กูทำอยู่นั่นแม่งก็มีแต่รั้งตัวเองและทำโทษตัวเอง จนกูไม่เดินไปข้างหน้าสักทีเท่านั้นเอง”

“ถุย ทำไมพี่ไม่พูดมาตรงๆ เลยล่ะวะว่าจริงๆ แล้วพี่ต้านทานเสน่ห์ผมไม่อยู่น่ะ”

“เฮอะ! ตอนนั้นกูเกือบต่อยมึงคว่ำในห้องน้ำไปแล้วนะ จำไม่ได้รึไง”

“แต่ก็ไม่ได้ต่อยนี่”

“เออ ไม่ได้ต่อย”

“เสียใจมั้ย” ผมถาม

“เรื่องอะไร”

“ทั้งหมดที่ผมทำให้พี่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเนี่ย”

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “กูไม่เคยคิดถึงมันจริงๆ จังๆ เลยว่ะ ถ้าถามว่าตอนแรกเสียใจมั้ย กูคงตอบว่า ‘นิดหน่อย’ เพราะตอนนั้นกูโกรธมากกว่า แต่ถ้าถามตอนนี้... กูว่าขอเวลาให้กูได้คิดเรื่องพวกนี้อีกสักพักเถอะ”

“ได้ครับ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น พี่อยากทำแบบไหน”

“เหอ ทำอะไร”

“ก็เอาผมไง จะให้ผมอยู่ข้างบนหรืออยู่ข้างล่าง”

เขาผงกหัวขึ้นและหันมามองหน้าผม “เอามึงเนี่ยนะ เฮ้ย! มึงนี่แม่งโคตร...”

“เกย์เลยว่ะ” ผมจบประโยคให้เขา

เขาหัวเราะเบาๆ “เฮ้ย เอาจริงดิวะ มึงอยากให้กูเอามึงเหรอ”

“ถ้าพี่คิดว่าทำได้ด้วยขาข้างเดียวแบบนั้นน่ะนะ”

“กวนตีนนะมึง” เขาพูดเสียงแข็ง “แต่มึงจะรับกูได้จริงๆ เหรอวะ มึงจะไม่เจ็บเหรอ”

“เอาเป็นว่าพี่กระแทกผมได้จนสุดลำก็แล้วกัน ผมก็ไม่ใช่ตัวเล็กๆ ทำไมจะรับไม่ได้ ครวยแค่ 7-8 นิ้วแค่นี้” ผมแกล้งแหย่เขา “ตกลงจะเอาไง พี่จะทำเองรึให้ผมทำ”

เขาเงียบไปอึดใจหนึ่งจนผมคิดว่าเขาจะด่าอะไรผมออกมาเสียแล้ว

“กูทำเองดีกว่า”
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 19-11-2012 22:27:59
 o18 เท่จัง คุยกันเปิดเผยดี
อยากอ่านอีกจัง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 19-11-2012 23:03:37
โอ้ว เย้  บทสนทยามันช่าง เอิ่มมม!!! ตรงเหลือเกินว่ะ

ตอนต่อไปก็ NC เต็มรูปแบบแล้วสิ ฮิ้ววววว :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 19-11-2012 23:20:26
แอร๊ยยยยยยยย เค้าจะๆๆๆเค้าจะอ๊าวววววววววววววกันแย้วอ่า :pighaun: :haun4:

ทำไมคิวยอม(เอา)พลุง่ายจริงหรือความ***มันบังตา :z13:


โหยยย แล้วงี้พี่โจล่ะ เพ่โจๆเค้าจะๆกันแล้วนะ พี่อยู่ไหนเนี่ย!!?


รอฉากจึ้กๆ ฮี่ๆ :impress2:

(เอ๊ะ แล้วคิวจะยอมโดนพลุจิ้มมั่งเปล่าเนี่ย ติมตามๆ)
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 19-11-2012 23:35:53
กรี๊กดดด เปิดอก เปิด ... กันแล้ว !!!!
พี่คิวทำได้เหรอ แต่เอาเถอะ จะได้มั่นใจตัวเองมากขึ้น อิอิ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 20-11-2012 06:23:52
อ่านแล้วไม่กล้าใช้คำว่าน่าสงสารเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 20-11-2012 10:44:22
ชอบจังครับ
บทสนทนาเหมือนกับเป็นเรื่องธรรมดา   แต่อันที่จริงมันก็แค่เรื่องของคนสองคน
ถ้าไม่ไปคิดเกินการ  มันก็เรื่องธรรมดาจริงๆ
เหมือนกับเรื่องความพิการนั่นไง  ถ้าก้าวผ่านกรอบคิดไปได้
มันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาอีกเรื่อง
ดีใจที่พลุกระตุ้นคิวให้ออกนอกกรอบสำเร็จ
รักเรื่องนี้จริงๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 20-11-2012 11:21:19
กรี๊ดดดดดดดดด

ค้างอย่างแรงอ่ะ :m16:


เฮอะๆ o9 o9
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 20-11-2012 11:37:52
โดนของพี่คิวเข้าไป พลุจะระเบิด...บู้มมมม รึเปล่าเนี่ย

ชอบบทสนทนาของสองคนนี้จริงๆ มันดูเปิดเผยแบบแมนๆดี
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 20-11-2012 15:38:52
ไม่หักมุมแฮะ แถมฟินอีก
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 20-11-2012 19:11:29
ได้แนวคิดดีๆจากเรื่องเยอะมาก ^^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 20-11-2012 23:10:37
จบได้ค้างคาใจมากคับคุณต้น มาต่ออีกไวไวนะคับ รักษาสุขภาพด้วยนะคับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 25-11-2012 08:57:57
ยังไม่มาต่ออีกเหรอครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-11-2012 00:59:46
ตอนที่ 6

ผมไม่ได้เป็นฝ่ายรับใครบ่อยมากนัก แต่สำหรับพี่คิว ผมอยากจะรู้สึกเขาข้างในตัวผม ผมอยากมีอะไรกับเขา อยากให้เขาทำผม อยากให้คืนนี้เป็นคืนพิเศษสำหรับเขาอีกคืนหนึ่ง ถึงจะรู้สึกกังวลเรื่องขนาดของเขาอยู่พอสมควร แต่ผมคิดว่าผมคงพอรับมือไหวล่ะน่า

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนและหยิบเอาถุงยางกับเจลหล่อลื่นออกมายื่นให้เขา เขาจัดแจงสวมถุงยางลงบนไอ้น้องชายที่แข็งรออยู่แล้ว นี่ขนาดเขาเพิ่งจะเสร็จไปรอบหนึ่งหยกๆ นะเนี่ย

“อย่าลืมใส่เจลเยอะๆ ล่ะ” ผมนอนหงายลงบนเตียง

เขาเขยิบตัวเข้ามานั่งอยู่ตรงหว่างขาของผม และเมื่อผมยกขาขึ้น เขาก็ทาเจลลงบนประตูหลังของผม

“มึงเคยโดนเอามาก่อนเพราะงั้นคงชินอยู่แล้วใช่รึเปล่า”

“ชินเหี้ยไรล่ะพี่” ผมตกใจ “เคยน่ะเคย แต่ไม่บ่อยนะเว้ย เพราะงั้นค่อยๆ หน่อยก็ดี ของพี่มันไม่ใช่เล็กๆ นะอย่าลืม ขืนกระแทกเข้ามาพรวดเดียวหมดลำล่ะก็ผมตายแน่”

“โอเคๆ แต่กูไม่เคยเอาผู้ชายมาก่อนนะเว้ย กูไม่รู้ว่าควรเข้าไปช้าเร็วขนาดไหน ถ้ามึงเจ็บก็บอกแล้วกัน” เขาจ่อส่วนหัวของไอ้น้องชายที่ประตูหลังของผมแล้วหยุด เขามองหน้าผมราวกับกำลังรอให้ผมอนุญาต

ไม่มีการเล้าโลม ไม่มีจูบ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

“เอาเข้ามาได้เลย” ผมบอกเขา

เขาดันสะโพกและแทงไอ้น้องชายผ่านปากทางของผมเข้ามา ทำเอาผมเจ็บแสบราวกับร่างจะฉีกจนถึงกับทำให้หายใจขาดห้วง ผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกพร้อมเสียทีเดียว อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ผมไม่ได้เสร็จไปแล้วรอบหนึ่งเหมือนเขา อารมณ์ที่ยังค้างอยู่จึงทำให้ผมต้องการเขามากจนลืมไปว่ามันจะเจ็บมากขนาดไหน

ผมนิ่วหน้า กัดฟัน แต่ไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่นิดเดียว ผมจะไม่ร้องจนกว่าเขาจะเข้าไปได้สุดลำ เพราะผมรู้ว่าหลังจากนั้นแล้วมันจะต้องเปลี่ยนเป็นการร้องครางออกมาด้วยความเสียวและความสุขต่างหาก

เขาดันไอ้น้องชายตัวเขื่องเข้ามาในร่างกายของผมอย่างช้าๆ โดยไม่มีการหยุดพักสักนิด ร่างกายของผมถึงกับสั่นเทิ้มออกมาเบาๆ และเมื่อเขาเข้ามาได้จนสุดแล้ว เขาก็ค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ อย่างต่อเนื่องทันที ความเจ็บปวดที่แทบจะฉีกร่างของผมเป็นสองส่วนในตอนแรกเริ่มหายไป ความเสียวและความรู้สึกเติมเต็มจนแน่นเริ่มมาแทนที่ จนในที่สุด เมื่อทุกๆ การกระแทกเข้ามาของเขาไปโดนจุดๆ นั้นที่อยู่ในร่างกายของผมเข้า ผมก็ต้องร้องครางออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

“โอ๊ยยย... ซี้ดด..ดด... อูยยย...ยย.. เสียวว่ะ พี่ แม่งงง” ผมใช้มือข้างหนึ่งยันหน้าอกของเขาเอาไว้

เขาไม่ถามผมสักคำว่าผมยังเจ็บอยู่หรือเปล่า ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป เขาเริ่มเร่งจังหวะและความแรงในแต่ละครั้งที่กระแทกเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเสียงครางและเสียงหอบของเราสองคนก็สอดประสานกันจนแทบจะเป็นทำนองและจังหวะเดียวกัน

“แม่งงง มึงแม่งฟิตจริงๆ ว่ะ ไอ้พลุ กูไม่ได้เอาใครแบบนี้มานานขนาดไหนแล้ววะเนี่ย”เขาพูดพร้อมลมหายใจหนักหน่วง

“แค่... ดูก็รู้” ผมตอบ “ว่าพี่ไม่ได้... เอาใครมานานขนาดไหนแล้ว แฮ่กก... ฮ่าา..า...”

“นาน... นานมากว่ะ”

“พี่ใกล้รึยัง”

“ยัง แต่คงอีกไม่นานหรอก” เขาหอบเบาๆ

“ถ้าจะแตกแล้วบอกด้วย ผม... ซี้ดด..ด... อยากแตกพร้อมพี่ว่ะ”

เขาซอยเข้าออกอยู่อีกหลายนาที เหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ผุดออกมาจากใบหน้าของเราทั้งสองคนราวกับเราเพิ่งออกกำลังกันมาสักสองชั่วโมงได้ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อ ทำให้มันหยดลงบนริมฝีปากของผม เขาเลื่อนนิ้วลงมาจะเช็ดมันออก แต่ผมห้ามเขาเอาไว้

“ไม่ต้อง” ผมเลียริมฝีปากและใช้นิ้วปาดเหงื่อบนใบหน้าของเขามาดูดอีก

“แม่งงง!!” เขาคำรามเบาๆ “มึงนี่แม่งงง...!!”

เขาเร่งจังหวะขึ้น ผมเองก็ใช้มือช่วยชักน้องชายของตัวเองไปด้วย จนเขาบอกว่าใกล้แล้ว ผมจึงเร่งจังหวะสาวมือให้เร็วขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาซอยสะโพกเข้าออก จนในที่สุดเขาก็คำรามออกมาพร้อมกับดันสะโพกเข้ามาจนสุด ไอ้น้องชายของเขาที่แช่อยู่ในร่างกายของผมกระตุกหลายครั้งพร้อมๆ กับที่ผมพ่นน้ำรักออกมาเลอะหน้าอกและหน้าท้องของตัวเองเต็มไปหมด ผมจำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่ผมหลั่งเยอะขนาดนี้คือเมื่อไหร่

“โห...” เขาอุทานเบาๆ หลังจากที่ลมหายใจเริ่มกลับเป็นปกติ “ไอ้พลุ มึงนี่แม่ง...”

“อะไร ผมทำไม”

“กู... ไม่เคยคิดว่าจะพูดแบบนี้กับผู้ชายคนไหนนะ แต่มึงแม่ง... น่า... ไม่สิ กูว่ามึงเแม่งเอามันดีจริงๆ ว่ะ”

ผมอดที่จะหัวเราะไม่ได้ ผมว่าน้ำเสียงและสีหน้าที่เขาใช้ตอนพูดประโยคเมื่อกี้ออกมามันดูตลกชอบกล และที่สำคัญ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากของเขาเลยแม้แต่นิดเดียวด้วย แต่เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีนะ ที่ผู้ชายแมนโคตรๆ คนนี้จะกล้าแสดงความรู้สึกที่มีต่อผมแบบนั้นออกมาจนได้ในที่สุด ผมดีใจที่รู้สึกเหมือนตัวเองได้ใกล้ชิดเขาเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง

“ขำอะไร” เขาถาม

“เปล่า แต่พี่แค่ไม่กล้าชมว่าผมหล่อล่ะสิ”

“มึงมันหล่อ กูรู้ กูยอมรับ ทำไมกูจะไม่กล้าพูดวะ” เขาดีดหน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยับสะโพกและดึงไอ้น้องชายออกจากผม ผมรู้สึกถึงความว่างเปล่าและความโล่งแบบแปลกๆ ทันที

“ไปล้างตัวกันมั้ย” ผมถามเขา

เมื่อเขาพยักหน้าตอบรับ เราสองคนจึงเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน ผมช่วยเขาล้างตัวจนสะอาดเรียบร้อยแล้วจึงจัดการทำความสะอาดร่างกายของตัวเอง เมื่อเสร็จแล้ว เราก็กลับมานอนลงบนเตียงที่เดิมอีกครั้ง

“มานี่” เขาเหยียดแขนออกเพื่อบอกให้ผมไปนอนหนุนแขนเขาอีกครั้ง

“ไม่เอาอะ” ผมปฏิเสธและนอนหนุนลงบนหมอนของตัวเองแทน “นอนบนแขนพี่แล้วแม่งเมื่อยว่ะ”

เขาดูอึ้งๆ ไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ เออ”

“เมื่อกี้เป็นไงมั่ง” ผมหันไปถามเขา

“สุดยอด!”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“กูก็ไม่อยากยอมรับนะ แต่กูว่ามึง... โอเคสำหรับกูในหลายๆ อย่างว่ะ” เขาพูดพลางส่งยิ้มเขินๆ ที่แลดูบิดเบี้ยวแปลกๆ ให้ผม ซึ่งมันทำให้ผมต้องแปลกใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน

“ฮ่าๆๆ ทำไมพี่พูดงั้นวะ”

“ก็มึงพากูออกจากโรงพยาบาล มาถึงนี่ คุยกับพี่โจให้ แล้วยังเรื่องเมื่อกี้อีก ไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูว่ามึงทำอะไรให้กูเยอะมาก และมันเป็นเรื่องที่กูไม่คิดว่าคนอื่นจะทำให้กู หรือแม้แต่กูจะไปทำแบบนั้นด้วยได้ทั้งนั้น”

“ฮ่าๆ งั้นเลยเหรอ แต่พอคิดแบบนี้แล้วก็ตลกดีนะ หึๆๆ”

“คิดอะไรของมึง”

“ก็แค่คิดว่าผมจะเขียนเรื่องที่พี่พูดในรายงานให้พี่โจยังไงเท่านั้นเองว่ะ”

เขาต่อยลงบนหน้าอกของผม “ก็ลองเขียนดูสิ แล้วครั้งหน้ากูต่อยมึงซี่โครงหักแน่”

“กลัวฉิบหายเลยว่ะครับ โธ่ ผมรู้ว่าพี่ไม่ทำผมหรอก”

“ทำไมกูถึงจะไม่ทำ”

“อ้าว ก็ถ้ากระดูกผมหักแล้วพี่จะไปเอาใครวะ”

เขาหัวเราะชอบใจ “มึงนี่มันปากดีจริงๆ นอนได้แล้วเว้ย!”

ผมแอบคิดในใจว่าอยากให้เขาดึงตัวของผมเข้าไปกอด แต่เขาก็ไม่ได้ทำแบบนั้น เขาแค่ใช้กำปั้นทุบหัวผมเบาๆ แล้วจากนั้นก็หันกลับไปนอนหงายเหมือนเดิมเท่านั้นเอง

หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Nov]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 27-11-2012 01:02:41
ตอนที่ 7

เช้าวันจันทร์ ผมมารายงานตัวกับพี่โจตามปกติ ผมยื่นรายงานให้กับเขา เขาเปิดอ่านมันอย่างละเอียดในระหว่างที่ผมนั่งรอ และเมื่ออ่านจบ เขาก็วางมันลงบนโต๊ะพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองผม

“ดีนะที่คุณไม่ได้เขียนว่าคุณพาเค้าออกไปนอนข้างนอกมาน่ะ” เขาพูด

“ผมแค่เขียนสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นนี่ครับ”

“แต่จากรายงานของคุณ มันจะดูเร่งรัดเกินไปรึเปล่ากับเรื่องพัฒนาการทางจิตใจของเค้ารวมทั้งเรื่องขาเทียมด้วยน่ะ”

“ถ้ามันดูเร่งเกินไปสำหรับพี่ก็ไม่เป็นไรครับ แต่คราวนี้พี่ต้องอนุญาตให้ผมพาเค้าไปนอนค้างอีกครั้งอย่างถูกต้องนะ”

พี่โจนิ่วหน้าทันที “อะไรของคุณ”

“จริงๆ นะพี่ ผมรู้ว่าเป้าหมายของพี่ก็คือการสร้างความมั่นใจให้เค้าในทุกๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง... อย่างว่าก็ด้วยไม่ใช่เหรอครับ พี่เคยเป็นคนบอกให้ผมพูดตรงๆ กับพี่เองนะ” ผมออกตัวไว้ก่อน “เพราะงั้นลองให้ผมพาเค้าออกไปค้างอีกครั้งสิพี่ คราวนี้พี่จะได้รายงานที่ชัดเจนมากกว่านี้แน่ ผมมั่นใจว่าผมจะพาเค้าออกไปเดินชายหาด พาไปเที่ยว และเจอผู้หญิงที่ถูกใจได้แน่นอน”

“แต่จากรายงานของคุณนี่มัน...” เขาหยิบกระดาษรายงานขึ้นมาถือไว้ในมือ นิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะวางมันลงที่เดิมและหรี่ตามองผม “คุณมีอะไรกับเค้าไปแล้วใช่มั้ย”

“ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้นครับ” ผมตกใจนิดหน่อย

“ตอบผมมา พลุ ผมไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครหรอก คุณก็รู้ แต่ตอบคำถามของผมมาตรงๆ ถ้าหากว่าคุณอยากจะร่วมมือกับผมในการช่วยเหลือเขาจริงๆ ล่ะก็”

“ใช่ครับ เรามีอะไรกันคืนนั้น” ผมตอบอย่างไม่ลังเล

แทนที่เขาจะโกรธหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจแม้สักเล็กน้อย เขากลับยิ้มที่มุมปากจางๆ พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเบาๆ “คุณนี่มันช่าง... เด็กสมัยนี้นี่น้าาา...”

“ก็เพราะแบบนั้นไงครับ ผมถึงได้ใส่มันลงไปในรายงานไม่ได้” ผมพูดขึ้น “แต่ผมยืนยันได้ว่าถ้าเรื่องร่างกาย พี่คิวเค้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว... ไม่มีเลยจริงๆ” ผมย้ำคำสุดท้าย

“แต่ปัญหาคือเค้าพร้อมรึยังสำหรับผู้หญิง” พี่โจพูดขึ้นเบาๆ “กับคุณมันก็อีกกรณี มันอาจจะเกิดจากความไว้วางใจบวกกับความต้องการทางเพศ แต่ถ้าหากว่าเป็นเพศตรงข้ามหรือคนที่เค้าสนใจจริงๆ ล่ะ เค้าจะยังมีความมั่นใจแบบนั้นอยู่รึเปล่า”

“เพราะแบบนั้นไงครับผมถึงอยากพาเค้าออกไปอีกครั้ง”

“คุณจะหาผู้หญิงมานอนกับเค้ารึไง”

“เปล่าครับ ผมอยากจะให้เค้าเห็นว่าเค้าก็มีเส่นห์ดึงดูดผู้หญิงได้ด้วยตัวเองมากกว่า ผมรู้ดีว่าเค้าไม่ได้ชอบผู้ชาย และการที่เค้ามีอะไรกับผมมันก็คงเป็นเพราะอย่างที่พี่บอกนั่นแหละ แต่ตอนนี้เค้ายังกลัวและขาดความมั่นใจกับเพศตรงข้ามอยู่ ซึ่งผมอยากจะพิสูจน์ให้เค้ารู้ตัวสักทีว่าเค้าคิดผิด”

“แม้แต่ผมเองยังไม่เคยคิดจะทำถึงขนาดนั้นเลยนะ...” พี่โจพูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด

“ทำอะไรครับ”

“ก็เรื่องผู้หญิงอย่างที่คุณพูดนั่นแหละ”

“คงเพราะผมอายุใกล้ๆ กับเค้ามั้งครับ เลยพอรู้ว่าน่าจะใช้วิธีไหนหรืออะไรแบบเนี้ย” ผมยักไหล่

“คุณเข้าใจผิดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของอายุเลย” เขามองหน้าผม “ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดแบบคุณ แต่ถ้าเกิดว่ามันผิดพลาด คุณคิดบ้างรึเปล่าว่าผลที่ตามมามันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจเค้าขนาดไหน ถ้าหากเค้าต้องผิดหวังขึ้นมาล่ะก็ เรื่องใหญ่เลยนะ นักบำบัดเอย จิตแพทย์เอย คุณรู้รึเปล่าว่าเค้าทำงานกับเรื่องพวกนี้มานานขนาดไหนแล้ว ถึงเค้าจะอายุมาก แต่พวกเค้าก็มีวิธีการฟื้นฟูสภาพจิตใจและความพร้อมของผู้ป่วยที่ได้ผลอยู่ เป็นวีธีที่ถูกต้องและเป็นสากล แต่นี่คุณกลับจะแหกกฏทุกอย่างและทำสิ่งที่ไม่เคยมีหมอคนไหนคิดจะทำกัน และถ้าหากว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่คุณคิด ถ้าเกิดผู้ป่วยของเราสูญเสียความมั่นใจไปเลยอย่างถาวร ผมขอถามว่าคุณจะทำยังไง คุณจะรับผิดชอบไหวมั้ย”

“ผมเชื่อว่าผมคิดไม่ผิดหรอกครับ ผมรู้ว่าเค้าทำได้” ผมตอบอย่างมั่นใจ “และอีกอย่าง ไอ้หลักทางจิตวิทยา วิธีการตามหนังสือแบบค่อยเป็นค่อยไปบ้าบอพวกนั้นน่ะ ผมว่ามันไม่ได้ผลกับคนอย่างพี่คิวหรอก หรือต่อให้ได้ผลก็อาจจะใช้เวลานานเป็นชาติเลยมั้งครับ”

“คุณคิดจะหาผู้หญิงให้เค้าด้วยวิธีไหน”

“ผมไม่ได้จะหาผู้หญิงให้เค้าครับ แต่ที่หมู่บ้านผมหรือชายหาดละแวกนั้นมันก็มีผู้หญิงสาวๆ สวยๆ เยอะอยู่แล้ว บางคนที่เห็นหน้ากันบ่อยๆ ยังเคยทำท่าทีสนใจผมอยู่เลยด้วยซ้ำ มันต้องมีคนอยากเข้ามาคุยกับเราบ้างแหละ หรือถ้าไม่อย่างนั้น ผมอาจจะพาเค้าไปเที่ยวผับหรือร้านเหล้าที่ไหนสักที่ตอนกลางคืนก็ได้ ใครจะไปรู้ ผมขอแค่เค้าได้เริ่มคุยกับฝ่ายตรงข้ามก่อนก็พอแล้ว แต่ถ้ามันจะเลยไปถึงเรื่องอย่างว่าได้ก็ยิ่งดี”

พี่โจลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่าง เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะหมุนตัวกลับมาหาผม “โอเค ก็ได้ ครั้งนี้ผมจะทำเรื่องและคุยกับหมอโดยตรงเลย แต่คุณต้องรับปากกับผมว่าทุกอย่างจะต้องปลอดภัย ต้องป้องกัน และไม่มีการกระทำที่ผิดกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด ไม่มีการซื้อผู้หญิงขายบริการ ไม่มีการว่าจ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นผลเสียต่อทั้งผู้ป่วยและโรงพยาบาล เข้าใจมั้ย ผมต้องนั่งบอกหรือออกจดหมายให้คุณมั้ยว่ามีอะไรบ้างน่ะ”

“ไม่ครับ ผมเข้าใจดี ผมจะไม่ทำอะไรที่ส่งผลเสียไม่ว่ากับใครแน่นอน” ผมรับคำอย่างหนักแน่น

วันถัดมา หลังจากที่ผมเพิ่งเดินมายังห้องของพี่คิวได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็ถูกเรียกตัวให้กลับไปพบพี่โจอีกครั้ง เขาส่งสัญญาณให้ผมนั่งลงและผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่านี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

“วันนี้คุณไม่ต้องทำงาน”

“เฮ้ย หมายความว่ายังไงครับ”

“เดี๋ยวจะมีคนอื่นมาทำหน้าที่แทนคุณ” พี่โจคงเห็นสีหน้าตกใจกลัวของผม เขาจึงรีบพูดต่อ “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ไม่ใช่ถาวร แค่วันนี้ หรืออาจจะแค่ไม่กี่ชั่วโมง เพราะคุณจะต้องไปประชุมกับผม”

“ผมเนี่ยนะ ทำไมครับ มีปัญหาอะไรรึเปล่า” ผมยังคงตกใจอยู่

“ก็บอกว่าไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นไง คุณยังไม่โดนไล่ออกหรอกน่า แต่คุณจะต้องเข้าพบผู้อำนวยการ กับนายแพทย์และจิตแพทย์ของคิว เพื่อบอกพวกเค้าถึงแผนการของคุณ”

“ว่าไงนะครับ!”

“ก็หมายความว่าแบบนั้นแหละ ไม่ต้องตื่นเต้นไป นี่มันประชุมเล็กๆ ไม่ได้เป็นทางการอะไรมากมาย”

พบกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้วก็หมออีกสองคนเนี่ยนะ ไม่ต้องตื่นเต้น เขาจะบ้าหรือเปล่า!

“แล้วผมต้องไปตอนไหนครับ ผมมีเวลาอีกกี่นาที”

พี่โจก้มดูนาฬิกาข้อมือและเงยหน้ากลับขึ้นหาผม “ตอนนี้แหละ ไปได้แล้ว ตามผมมา”

เขาเดินนำผมออกจากห้องไปตามทางเดิน ขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่ผมไม่เคยมา และพาผมตรงไปสู่ห้องประชุมโดยที่ไม่มีเวลาให้ผมเตรียมใจเลย เขาเคาะประตูห้องเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูออก ผมเดินตามเขาเข้าไปข้างในและพบว่ามีผู้ชายที่มีหน้าตาและอายุดูสมกับเป็นนายแพทย์นั่งรอเราอยู่สามคน

“ผมพานักศึกษาฝึกงานคนที่ผมบอกมาพบแล้วครับ” พี่โจพูดขึ้น ก่อนจะกระทุ้งศอกใส่ผมเบาๆ

“อ... เอ่อ สวัสดีครับ ผมชื่อพิทักษ์กลไกลครับ”

“พลุ นี่ท่านผู้อำนวยการ อาจารย์เลิศศักดิ์ นี่แพทย์เจ้าของไข้ของคิว อาจารย์ปฏิภาณ แล้วก็อาจารย์ไพศาล เป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายจิตเวช” พี่โจแนะนำทีละคน

อาจารย์ปฏิภาณบอกให้เราสองคนนั่งลง จากนั้นก็เริ่มอ่านรายงาน เขาพูดถึงงานของผมที่ทำตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาและความก้าวหน้าของพี่คิวที่ค่อนข้างน่าพอใจ แต่ไม่ได้เอ่ยปากชมผมหรือถามถึงรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมเลยแม้แต่นิดเดียว ถัดมาอาจารย์ไพศาลก็เริ่มพูดถึงปัญหาทางจิตเวชที่มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่สูญเสียอวัยวะ รวมถึงลากเข้าสู่ปัญหาของพี่คิวที่เขาได้สัมผัสมา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วผมต่างหากที่เป็นคนเห็นและรับรู้ปัญหาของเขามาโดยตลอด แต่ผมก็นั่งเงียบ ไม่ได้พูดหรือโต้แย้งอะไรออกไป

“คุณวิวัฒน์บอกผมว่าคุณกำลังให้ความสนใจเรื่องความกังวลด้านการมีเพศสัมพันธ์ของผู้ป่วยเป็นพิเศษอย่างนั้นเหรอ” อาจารย์เลิศศักดิ์พูดขึ้นเป็นครั้งแรก และคำพูดที่เขาใช้ก็ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งเบาๆ

“ผมไม่ได้สนใจเรื่องความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์ของเค้าครับ แต่ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่เราควรจะสร้างความมั่นใจในการพูดคุยกับเพศตรงข้ามให้เค้าได้แล้วมากกว่า”

“แค่พูดคุยอย่างนั้นเหรอ”

“ถ้าจะพูดตรงๆ ก็ไม่ใช่หรอกครับ ผมหมายถึงเรื่องอย่างว่าด้วยนั่นแหละ ในเชิงที่ว่าเค้าสามารถมีกิจกรรมทางเพศได้เหมือนคนปกติ เพื่อให้เค้ารู้ว่าตัวเองทำได้ ไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ขาดความมั่นใจ และที่สำคัญ เพื่อที่เค้าจะได้ขาเทียมเร็วๆ ด้วยครับ”

“คุณก็เลยวางแผนจะพาเค้าออกไปเที่ยวทะเล...” อาจารย์ปฏิภาณพูดขึ้นเป็นเชิงคำถาม “อีกครั้ง”

“ใช่ครับ เพราะผมรู้ว่าเค้าชอบ และครั้งที่แล้วที่เราไป เค้าก็เปิดใจให้ผมมากขึ้นเยอะเลยด้วย เพราะฉะนั้นผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นความคิดที่โอเค ถ้าเกิดจะพาเค้าไปในสถานที่ที่เค้าสบายใจน่ะครับ”

“แล้วคุณตั้งใจจะทำยังไงต่อ” เขาถามต่อ

“ผมตั้งใจจะพาเค้าลงไปเดินริมชายหาดในกางเกงขาสั้นให้ได้ก่อนครับ นั่นคือสเต็ปแรก แล้วค่อยพาเค้าไปที่สระว่ายน้ำ เค้าจะได้ใส่กางเกงว่ายน้ำอีกครั้ง เค้าเคยบอกผมว่าเค้าจะไม่มีวันใส่มันอีก แต่ผมไม่คิดแบบนั้นครับ ผมรู้ว่าเค้าทำได้”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

“หลังจากนั้นเหรอครับ” ผมถามกลับ เริ่มรู้สึกงงๆ

“ผมขอพูดตรงๆ เลยก็แล้วกันนะครับ” ผู้อำนวยการของเราพูดขึ้นอีกครั้ง “เนื่องจากเราไม่ได้มีเวลามากนัก เพราะฉะนั้นอย่ามัวเสียเวลาอ้อมค้อมกันอยู่เลย เคสนี้เป็นเคสพิเศษนะ คุณพลุ เค้าไม่ใช่พลเรือนธรรมดา แต่เป็นทหาร สื่อยังคงให้ความสนใจอยู่บ้าง และเค้าเองก็มีความตั้งใจอยากจะกลับไปกองทัพอีกครั้งด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะไม่เกิดปัญหาตามหลัง คุณเข้าใจที่ผมพูดมั้ย”

“ผมเข้าใจครับ” ผมพยักหน้า

“ผมเข้าใจว่าจุดประสงค์ทั้งหมดของคุณคืออยากจะทำให้เค้าได้มีอะไรกับผู้หญิงอีกครั้งใช่มั้ย”

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องพูดเรื่องแบบนี้กับคนอื่นนอกจากพี่โจ แค่กับพี่โจตอนแรกๆ ที่ผมคุยกับเขาก็ว่ายากพอแล้ว แต่นี่มันคนละเรื่องกันเลย

“บอกอาจารย์ไปสิว่าคุณตั้งใจยังไงไว้” พี่โจพูดขึ้น

“ครับ ก็ประมาณนั้นครับ ผมแค่อยากให้เค้าเห็นว่า การที่เค้าหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าเค้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว มันเป็นความคิดที่ผิด ผมอยากให้เค้าเห็นว่าเค้าไม่ได้มีอะไรขาดหายไป เค้ายังสามารถปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ รวมทั้งผู้หญิงที่เค้าสนใจได้ตามปกติครับ แล้วก็... ใช่ครับ ผมคิดว่าผู้หญิงหลายๆ คนก็ยังคงสนใจในตัวของเค้าเหมือนปกตินั่นแหละ ผมจึงอยากให้เค้ามั่นใจอย่างนั้นบ้าง รวมไปถึงเรื่องเซ็กส์ก็ด้วย”

คุณหมอทั้งสามคนจดบางอย่างลงในกระดาษตรงหน้าพลางทำหน้าครุ่นคิด

“ในทางทฤษฎีแล้วมันฟังดูเป็นความคิดที่แย่มากเลยนะ ผมว่า” อาจารย์ไพศาลพูดขึ้น

“แต่ทางปฏิบัติแล้วผมว่ามันก็โอเคนะ” อาจารย์ปฏิภาณแย้ง

“ที่ผมอ่านๆ จากรายงานที่คุณส่งให้คุณวิวัฒน์มาตลอดเนี่ยนะ ผมว่ามันยังดู... ไม่รู้สิ แปลกๆ ล่ะมั้ง ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จู่ๆ มันก็ดูเหมือนมีก้าวกระโดดใหญ่ๆ ขึ้นเสียดื้อๆ แล้วจู่ๆ เราก็มาคุยกันเรื่องจะพาคนไข้ของเราออกไปนอนกับผู้หญิงเนี่ยเหรอ ผมว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าเลย” อาจารย์ไพศาลพูดพลางเคาะนิ้วลงบนรายงานเบาๆ

“ในรายงานนั่น... บางที...” ผมก้มลงมองมือของตัวเอง “บางทีผมก็ไม่ได้เขียนทุกอย่างลงไปทั้งหมดครับ”

“แล้วทำไมคุณถึงไม่เขียน” ท่านผู้อำนวยการพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ทำผมสะดุ้งแทบทุกที “มันเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่รึไง”

ผมเหลือบไปมองพี่โจด้วยหางตา แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเริ่มอธิบาย “ผมเข้าใจครับ แต่เรื่องบางเรื่องผมก็เขียนไม่ได้จริงๆ เพราะมันคือความเชื่อใจที่พี่คิวเค้ามีต่อผม”

“คุณเข้าใจผิดแล้ว พ่อหนุ่ม หน้าที่ของคุณคือเขียนทุกอย่างมาให้ผมที่เป็นจิตแพทย์ และนักจิตเวชท่านอื่นอ่านแล้ววิเคราะห์ คุณไม่มีหน้าที่มาตัดสินเอาเองว่าอะไรควรใส่หรือไม่ใส่ลงไปในรายงาน” อาจารย์ไพศาลพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“อาจารย์ครับ แค่พูดมันอาจจะง่ายนะครับ แต่ผมอยู่กับเค้ามาแทบทุกวัน เกือบจะเดือนนึงแล้ว เราหัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกันก็เคยมาแล้ว ผมรู้ว่าก่อนหน้านี้เค้าไม่ค่อยเปิดใจให้ใคร แต่เค้าเปิดใจให้ผม เหตุผลคือเพราะก่อนหน้านี้เค้าถูกถาม เค้าต้องตอบคำถามเยอะแยะมากมาย เค้ารู้สึกเหมือนถูกต้อนและบังคับ แต่กับผม เค้าเป็นตัวของตัวเอง เค้าระบายให้ผมฟังอย่างสบายใจ เพราะผมไม่ใช่หมอ ไม่ได้ทำหน้าที่รับฟังเค้าแค่เพราะมันเป็นหน้าที่ แต่เราเป็นเหมือนเพื่อนหรือพี่น้องนะครับ ผมว่านี่เป็นสิ่งสำคัญนะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้เราคงต้องนัดประชุมกันและให้คุณรายงานทุกอย่างให้ผมฟังเรื่อยๆ อย่างครบถ้วนซะแล้วมั้ง”

“ไม่ครับ ผมทำแบบนั้นไม่ได้” ผมขัด เริ่มรู้สึกไม่ค่อยชอบหมอคนนี้ขึ้นทุกทีๆ “คุณหมอ... ขอโทษครับ อาจารย์ ผมไม่ได้บอกว่าอาจารย์และวิธีของอาจารย์มันผิดหรือไม่ถูกต้องหรอกนะครับ ผมไม่ใช่หมอแล้วก็ไม่มีความรู้เรื่องทฤษฎีเกี่ยวกับผู้ป่วย ไม่มีความรู้เรื่องจิตเวชหรืออะไรพวกนั้นด้วย แต่ผมรู้เกี่ยวกับพี่คิว และเค้าก็ไว้ใจผม เพราะฉะนั้นผมจะไม่ทำลายความไว้วางใจของเค้าที่มีต่อผมเด็ดขาดครับ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือการที่ผมได้ช่วยเหลือเค้าอย่างเต็มที่เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะในทางไหนก็ตาม”

“ใกล้ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปประชุมอย่างอื่นที่สำคัญกว่านี้ต่อแล้วล่ะ” อาจารย์เลิศศักดิ์พูดขึ้นพร้อมกับปิดแฟ้มตรงหน้าลง “ผมว่าวันนี้เราพอแค่นี้เถอะ”

“ผมเห็นด้วยครับ” อาจารย์ปฏิภาณพยักหน้า

“คุณวิวัฒน์ แล้วก็คุณ... ขอโทษที ผมลืมชื่อคุณซะแล้ว”

“เรียกพลุก็ได้ครับ”

“โอเค คุณพลุ แล้วก็วิวัฒน์ คุณสองคนจัดการตามที่คุณเห็นสมควรได้เลย ผมอนุญาต” อาจารย์เลิศศักดิ์ยิ้มให้เราสองคนน้อยๆ

“แต่อย่าเร่งรัดนักล่ะ คุณอาจต้องใช้เวลามากกว่าแค่วันเพียงวันเดียวหรือสองวันนะ รู้ใช่มั้ย”

“ผมเข้าใจครับ”ผมพยักหน้า

“ดี ถ้างั้นก็แค่นี้แหละ”

ผู้ใหญ่ทั้งสามคนลุกออกจากโต๊ะและทยอยเดินกันตรงไปที่ประตู และในตอนที่กำลังเดินผ่านผม อาจารย์ปฏิภาณก็วางมือลงบนหัวไหล่ของผมและบีบเบาๆ

“พานายทหารของเรากลับไปออกรบอีกครั้งซะนะ ไอ้หนู แต่อย่าเอาไปบอกใครล่ะ”

“ครับ!” ผมรับคำ

หลังที่ออกจากห้องประชุม ผมกับพี่โจก็คุยถึงเรื่องนี้กันอย่างโล่งอก เขาเอ่ยปากชมผมที่กล้าพูดหลายๆ อย่างออกไป แต่ที่จริงผมก็แค่พูดในสิ่งที่ผมคิดเท่านั้นเอง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมก้าวร้าวเกินไปหรือเปล่า และมันจะทำให้ผมมีปัญหาต่อไปในอนาคตมั้ย แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมก็ได้รับอนุญาตที่จะทำให้ผู้ชายของผมคนนี้ได้รับความมั่นใจในตัวเองกลับมาอีกครั้งแล้ว สิ่งที่ขาดเพียงอย่างเดียวก็คือ ‘โชค’ ที่จะทำให้เราบรรลุผลสำเร็จได้เท่านั้นเอง

หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 27-11-2012 04:33:43
ว้าวมาใหม่ที่เดียว สองตอนเลยยยยย

แหม่ความสัมพันธ์ของ พลุ กับ คิว กำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยยยย :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 27-11-2012 05:45:15
สั้นอ่าาาาา มา 2 ตอนก็ยังสั้น ลง 20 ตอนเลยซี่ เอาเยอะๆๆ :laugh:

คิวยอมพลุง่ายเหมือนกันเนอะ ให้เสียบก็เสียบ
เราว่าระบบความคิดพลุแปลกๆนะ เหมือนอยาก...อยู่ใกล้คิว ไม่ค่อยสนใครด้วย
ชีวิตจริงนี่โดนหมกป่าไปแล้วนะ
แต่คิวมีความสุข เราก็สุขด้วย^^

เอ๊ะ!? ทำไมเราลุ้นโจคิวฟร่ะเนี่ยยยยยย  :z3: :z3:
อยากเห็นฉองคนนี้อยู่ด้วยกันเหมือนกันน้า :impress2:

ปูลูปล้ำลิง ขออนุญาตคนเขียนไม่อยู่สัก 2 เดือนนะคะ สัญญาว่ากลับมาจะนั่งเม้นท์ไล่ยาวๆเลย
รักนะคุณต้น ชุบุ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 27-11-2012 07:27:32
พลุสุดยอดไปเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 27-11-2012 10:01:21
ชอบพลุ!!!!!!!
 :L1: :L1: :L1:
เอาใจช่วยให้สำเร็จ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 27-11-2012 13:05:06

ชอบทั้ง 2 คน คุยกันเปิดเผยดี
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 27-11-2012 13:34:42
ไปได้สวยมจนน่ากลัวว่าจะมีอะไรมาทำให้สะดุดล่ะ
ผู้ชายของผม
ใช้คำนี้ได้เต็มที่เลยล่ะ
เราว่า ในสายตาพี่คิว พลุในตอนนั้น คงเซ็กซี่น่าดูทีเดียว
บวกหนึ่งคะ สำหรับสองตอนนี้
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: Ra poo ที่ 28-11-2012 23:41:46
ดันอีกรอบ จึ้กๆ :z2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: runma ที่ 29-11-2012 15:18:54
ผมชอบความคิดของพลุที่คุยกับพี่คิว คิดอยู่แต่แรกแล้วว่าพลุน่าจะเคยบาดเจ็บ
มาก่อน ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไปแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ก็เหมือนขับรถอยู่บนถนนดีๆ
จู่ๆ ก็มีรถพุ่งออกจากซอยมาชนอย่างจังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับสิ่งร้ายๆ ที่เกิดขึ้น
ถ้าไม่ได้รับกำลังใจดีๆ ชีวิตก็คงแย่เหมือนกันนะครับ

แล้วคิวก็ยอมมีอะไรกับพลุจนได้ ผมยังมองไม่ออกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะลงเอย
ในรูปแบบไหน คงต้องตามตอนต่อไป
 :m21:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 29-11-2012 17:47:58
ขอให้เรื่องเป็นไปตามที่พลุต้องการด้วยเถอะ
แอบสังหรณ์ใจว่าจะมีอุปสรรคเกิดขึ้น
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 30-11-2012 17:05:55
มาที่เดียว 2 ตอนเลย

อิอิ

พลุพยายามเข้านะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 26 Nov 2 ตอน]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 04-12-2012 20:29:52
ตอนที่ 8

เมื่อได้รับอนุญาต ผมก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันเสาร์เพื่อที่จะพาพี่คิวออกมาจากโรงพยาบาลและนอนค้างที่บ้านของผมอีกต่อไป ดังนั้นผมจึงพาเขาออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่วันศุกร์ และตั้งใจว่าจะพาเขากลับมาส่งที่โรงพยาบาลในวันอาทิตย์ ผมหวังว่าในช่วงเวลาสามวันสองคืนนี้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าพอใจสำหรับเราทุกคนได้ไม่มากก็น้อย

“พี่พลุ!!” เสียงหวานๆ ร้องเรียกชื่อผมอย่างร่าเริง

ผมหยุดมือที่กำลังขนของลงจากรถและหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้น ผู้หญิงในชุดเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาผมพอดี

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะ พี่”

“นานเหรอ เราเพิ่งจอกันที่มหาลัยเมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อนเองนะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“แหม แค่นั้นก็นานแล้วเหอะ น้องจะคิดถึงพี่บ้างไม่ได้เลยรึไง” อีกฝ่ายตีลงบนต้นแขนของผมเบาๆ อย่างหยอกล้อ

ผู้หญิงคนนี้ชื่อเนย เป็นรุ่นน้องของผมที่มหาวิทยาลัย แต่ว่าเรียนคนละคณะกับผม นานๆ เราก็เดินสวนกันหรือเจอกันบ้าง และที่สำคัญ เนยยังเป็นลูกของเพื่อนพ่อผมที่มาซื้อบ้านที่หัวหินนี่ด้วยกัน แล้วบ้านของพวกเขาก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเราอีกด้วย
ผมพอจะรู้มานานแล้วว่าเนยเป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่มักถูกเรียกว่า ‘รักสนุก’ ของจริง

เนยเป็นคนสวย และเที่ยวเก่ง ผู้ชายหลายคนต่างก็ต่อคิวอยากจะควงเนยไปเที่ยวหรือได้เป็นคนพิเศษ ซึ่งจากที่ผมรู้มา หลายๆ คนก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งโดยที่แทบไม่ต้องพยายามมากมายเลยด้วยซ้ำ ขอแค่คุณมีเงิน มีรถ มีหน้าตาที่คู่ควร เนยก็พร้อมจะออกเดทกับคุณได้ทันที และผมก็รู้ด้วยว่าเนยพยายามเป็นฝ่ายรุกเข้าหาผมมาหลายต่อหลายครั้งแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ผมทำเป็นเหมือนไม่รู้ตัวเพื่อหลบเลี่ยงมาโดยตลอดเท่านั้นเอง

“เนยมาเที่ยวกับพ่อแม่เหรอ” ผมถามพลางขยับตัวหนีไปก้าวหนึ่งเพื่อหยิบกระเป๋าเป้ออกจากรถ

“เปล่าค่ะ เนยมากับเพื่อนๆ อีกสามคน มีแต่สาวๆ ทั้งนั้นเลยน้า พี่พลุไปนั่งเล่นที่บ้านเนยด้วยกันมั้ย”

“เอ่ออ ไม่เป็นไรดีกว่า พอดีพี่พาเพื่อนมาด้วยน่ะ”

“เพื่อนเหรอคะ ผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วอยู่ไหนล่ะ” เนยมองเข้าไปในบ้าน

“เพื่อนผู้ชายครับ จริงๆ จะเรียกว่าเป็นรุ่นพี่ก็ได้มั้ง แต่เค้าอยู่ข้างบนน่ะ”

“อ๋อออ งั้นพี่พลุกับเพื่อนแวะไปเที่ยวบ้านเนยก็ได้นะคะ คืนนี้เนยว่าจะจัดปาร์ตี้เล็กๆ กันนิดหน่อย เผื่อพี่จะสนใจ” เนยส่งยิ้มให้ผมอย่างมีเลศนัย

หรือว่านี่อาจจะเป็นโอกาสของผมแล้วก็ได้ล่ะมั้ง

เมื่อเนยเดินกลับบ้านไป ผมก็สะพายกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปหาพี่คิวที่นอนเอนหลังรออยู่ที่เดิม

“เมื่อกี้มึงคุยกับใครวะ”

“ได้ยินด้วยเหรอ”

“นิดหน่อย ได้ยินแต่ว่าเป็นเสียงผู้หญิง”

“คนรู้จักน่ะ ชื่อเนย เป็นรุ่นน้อง ลูกเพื่อนพ่อด้วย อะไรเงี้ย”

เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจมากนัก ผมจึงเดินเข้าไปในบ้าน วางกระเป๋าลงในห้องนอน จัดเก็บของอีกนิดหน่อยแล้วเดินกลับออกมาที่ระเบียงบ้านอีกครั้ง

เรานั่งคุยกันอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงออดดังขึ้น ผมนึกสงสัยว่าใครจะมาหาผมที่นี่ ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่น่าใช่ ผมเดินไปตรงบันไดและชะโงกหน้าลงไปดูก็เห็นเนยกับผู้หญิงอีกคนกำลังชะโงกหน้ามองขึ้นมามองหาผมอยู่พอดี

“พี่พลุ! ทำอะไรอยู่รึเปล่าคะ เนยพาเพื่อนมาเที่ยวแหละ เอาพายทำเองมาฝากด้วยน้า!”

“อ๋อออ ไม่ได้ทำอะไรครับ นั่งคุยกับเพื่อนอยู่เฉยๆ” ผมตอบ จากนั้นก็เหลือบไปทางพี่คิว เขามองผมตอบด้วยสีหน้าหวั่นๆ

“เนยขอขึ้นไปหน่อยนะค้าาา” เนยพูดพลางเดินตรงเข้ามายังรั้ว

“ไม่ๆๆ อย่านะเว้ย!” พี่คิวพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“ไม่ทันแล้วว่ะพี่” ผมกระซิบตอบเขาไป ก่อนจะชะโงกหน้าลงไปมองดูข้างล่างและเห็นเนยกำลังเปิดประตูรั้วที่กั้นตรงบันไดออก

พี่คิวดูลุกลี้ลุกลนและพยายามมองหาบางอย่างมาปิดขาของตัวเอง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อเนยและเพื่อนเดินขึ้นมาถึงบนบ้าน สายตาของทั้งสองคนก็พุ่งไปยังพี่คิวที่นอนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ทันที

“เอ่ออ เนย นี่พี่คิวนะ พี่คิว นี่เนย” ผมเริ่มแนะนำสั้นๆ

“สวัสดีค่ะ” เด็กผู้หญิงทั้งสองคนยกมือขึ้นไหว้พี่คิวพร้อมๆ กัน

“นี่บีค่ะ เพื่อนเนยเอง” เนยแนะนำเพื่อนของตัวเองที่ก็สวยไม่แพ้กับเนยเลยทีเดียว

“พี่คิวเค้าเป็นทหารน่ะ” ผมพูดขึ้นพลางเดินไปยืนข้างๆ เขา

“มิน่าล่ะ หุ่นดีเชียว” เนยหัวเราะคิกคักเบาๆ ไม่ได้มีท่าทีใส่ใจกับขาของพี่คิวหรือแม้แต่คิดจะแสดงความเสียใจหรือสงสารอย่างไม่จำเป็นออกมาเลย “เอ้า เดี๋ยวลืม นี่ค่ะ พายแอปเปิ้ล พวกเนยเพิ่งทำเสร็จกันเมื่อกี้เลยเดินเอามาแบ่งให้พี่ๆ ได้ลองชิมด้วย”

“งั้นเนยกับบีนั่งลงก่อนนะ เดี๋ยวพี่เอาไปจานมาแบ่งให้ จะได้กินกันทุกคน” ผมรับจานใส่พายมาจากเนยแล้ววางมันลงบนโต๊ะ

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เอามาแค่สองใบก็พอ เดี๋ยวพวกหนูกลับไปกินที่บ้านก็ได้ มีอีกเยอะค่ะ” บีพูดขึ้น

ผมพยักหน้าและเดินเข้าไปในบ้าน พยายามเดินช้าๆ และใช้เวลาอยู่ในห้องครัวให้นานกว่าปกตินิดหน่อย เมื่อผมเดินกลับขึ้นไปบนระเบียงอีกครั้งก็เห็นพวกเขาสามคนกำลังนั่งคุยกันอยู่พอดี

“ทำไมไปนานจังวะ แค่หยิบจานแค่นี้” พี่คิวพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจขึ้นทันที

“ก็ลองดูๆ ด้วยว่าขาดของกินอะไรอยู่น่ะ คิดอยู่ว่าจะออกไปซื้อ”

“ตอนนี้น่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นท่าทางหวั่นๆ

“ก็นั่นน่ะสิ ไปเลยก็ได้มั้ง” ผมยักไหล่ และเห็นเนยกับบีพยักหน้าให้แก่กันเบาๆ

“งั้นบีขอนั่งคุยกับพี่คิวอีกสักพักแล้วกันนะคะ พี่พลุจะว่าอะไรรึเปล่า” บีเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม

“ไม่ว่าหรอกครับ เชิญตามสบายเลย”

“งั้นเนยไปกับพี่พลุด้วยคนนะคะ” เนยลุกขึ้นยืน

“ได้เลยครับ”

“เฮ้ย นี่มึงจะออกไปแล้วเหรอ มึงจะไปซื้ออะไร” พี่คิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เกือบจะอ้อนวอน

ที่จริงผมก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะ แต่ในเมื่อฝ่ายหญิงเองก็ดูท่าทางจะสนใจในตัวเขาขนาดนี้แล้ว ผมคงปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้จริงๆ แถมที่สำคัญ ผมก็ต้องทนอยู่กับเนยสองต่อสองด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถือว่าเราสองคนเจ๊ากันไปก็คงจะได้ล่ะมั้ง และที่สำคัญสิ่งนี้มันก็เพื่อตัวของเขาเอง ผมอยากให้เขาได้ลองคุย ลองอยู่กับผู้หญิงที่สนใจในตัวของเขาตามลำพังดูบ้าง เพื่อที่เขาจะได้เรียกความมั่นใจในตัวเองกลับคืนมา และถ้าหากว่าอะไรๆ เป็นไปได้ดี คืนนี้ผมก็อาจจะพาเขาไปปาร์ตี้ที่บ้านของเนยตามที่ถูกเชิญดู เผื่อว่าเขาจะไปได้ถึงเป้าหมายอีกขั้นตามที่เราตั้งใจไว้ก็ได้

ผมนั่งรถออกไปข้างนอกกับเนยและเสียเวลาซื้อของอยู่ราวชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งเนยเองก็ยังคงแสดงความสนใจในตัวของผมอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือแม้แต่การถูกเนื้อตัวผมมากเกินความจำเป็น

ในระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน เนยก็ได้รับโทรศัพท์จากบีบอกว่าบีเดินกลับมาที่บ้านเองแล้ว ผมนึกกังวลนิดหน่อยว่าเขากับพี่คิวจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่เท่าที่ฟังจากเสียงหัวเราะและเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันแล้ว ผมก็เดาเอาเองว่าท่าทางไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติ

ผมแวะส่งเนยที่บ้านของเขาก่อนแล้วจึงเลยกลับมายังบ้านของตัวเอง เมื่อผมเดินขึ้นไปบนระเบียงก็เห็นพี่คิวกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ที่เดิม

“ไม่คิดจะเปลี่ยนที่มั่งเลยรึไง ไม่เข้าบ้านไปดูทีวีบ้างล่ะ” ผมถาม

“ไม่ล่ะ ตรงนี้แหละดีแล้ว”

“เดี๋ยวก็ดำหรอก”

“ถ้ากูกลัวดำ กูจะมาเป็นทหารมั้ย”

ผมยักไหล่และเดินเอาของเข้าไปเก็บในบ้าน ก่อนจะเดินลงบนไดไปยังห้องครัว ผมต้องเดินผ่านห้องของตัวเองที่ประตูเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย แต่แล้วผมก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างจากเตียงนอนของตัวเอง ผมจึงผลักประตูเข้าไปข้างใน และสิ่งที่เห็นก็ช่วยยืนยันสิ่งที่ผมสงสัยเอาไว้ได้จริงๆ แต่เพื่อความแน่ใจ ผมจึงเดินไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะหัวเตียงดูแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อจำนวนซองถุงยางที่ผมใส่เอาไว้หายไปหนึ่งซอง

ที่นี้ผมก็รู้แล้วว่าเมื่อกี้เนยหัวเราะอะไร ท่าทางป่านนี้สาวๆ พวกนั้นคงจะมีเรื่องให้คุยกันสนุกปากไปแล้วสินะ

ผมลงไปเก็บของในตู้เย็นแล้วก็เดินกลับขึ้นไปที่ระเบียงอีกครั้ง พายแอปเปิ้ลที่ได้มาเมื่อตอนแรกหายไปแล้วเกือบครึ่ง

“ไม่ต้องมาทำเป็นเงียบเลย” ผมพูดขึ้นพลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขา

“อะไร” เขาถามกลับ แต่น้ำเสียงของเขาก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาว่ารู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไรอยู่

“ไม่ต้องมาทำเนียน ผ้าปูเตียงในห้องยังเละเทะอยู่เลยเหอะ รีบๆ เล่าให้ผมฟังเลย ทำไมได้ง่ายจังวะ นี่ขนาดเพิ่งเจอกันแถมผมยังหายไปไม่นานเองนะเว้ย” ผมพูดพลางตักพายเข้าปาก

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “ก็เด็กมันยั่ว ทำไงได้”

“ยั่วยังไงไหนเล่าดิ๊”

“มันก็ถามๆ ว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้” เขาชี้ไปที่ขาข้างซ้าย “แล้วก็ชมว่ากูหุ่นดี หล่อ ถามเรื่องแฟน นั่นนี่”

“ก็เรื่องธรรมดานะ”

“มันไม่ธรรมดาตอนที่มาขอจับกล้ามท้องกูนั่นแหละ”

ผมแทบสำลักพายที่กำลังกินอยู่ “ฮ่าๆๆ จริงอะ!”

“เออ” เขายิ้มกว้าง “แล้วก็นั่นแหละ ที่เหลือมึงคงเดาเองได้มั้ง”

“แหมเว้ย น่าอิจฉาจริงๆ!”

“น่าอิจฉากู หรือน้องมัน”

“นั่นสินะ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ

เขาเหวี่ยงตัวเป็นลุกขึ้นนั่ง หยิบไม้เท้าที่พาดอยู่ตรงผนังมาค้ำ แล้วจึงเดินไปหยุดยืนอยู่ที่ริมระเบียง เขากวาดสายตาไปยังชายหาดสีขาวและท้องทะเลเบื้องหน้าครู่หนึ่ง

“กูว่า... ลองลงไปเดินข้างล่างบ้างก็อาจจะดีมั้ง”

ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันที “จริงดิ งั้นไปกันเลย ไป”

เขาหันมานิ่วหน้าใส่ผม “ไม่ใช่ตอนนี้วันนี้เว้ย แต่หมายถึงเร็วๆ นี้ อาจจะครั้งหน้า หรือไม่ก็...”

“จะตอนนี้หรือตอนไหนมันจะต่างกันยังไง” ผมสวนกลับ “ผมก็เคยบอกพี่แล้ว จะรออีกนานขนาดไหนขาพี่มันก็ไม่งอกออกมาอยู่ดี คนนะเว้ยไม่ใช่จิ้งจก”

เขารู้ว่าผมจะไม่ยอมให้เขาผลัดไปวันหน้าหรือครั้งอื่นแน่ๆ “งั้นเข้าไปหยิบเสื้อมาให้หน่อย”

“จะใส่ทำไม และที่สำคัญ ไม่ใช่เสื้อหรอกที่พี่ต้องใส่น่ะ แต่เป็นกางเกงต่างหาก ผมไม่ให้พี่ใส่กางเกงตัวนี้ลงทะเลเด็ดขาด มันหนักเกิน”

“ใครบอกมึงว่ากูจะลงทะเล” เขาตีหน้าบึ้ง

“แล้วจะลงไปที่ชาดหาดทำมะพร้าวอะไรถ้าไม่ลงทะเลน่ะ มานี่ เข้าบ้าน ผมจะได้หยิบกางเกงและทาครีมกันแดดให้”

เขาเดินตามผมเข้ามาในบ้าน ผมหยิบกางเกงขาสั้นเนื้อผ้าบางๆ ตัวหนึ่งออกมาจากในตู้และยื่นให้เขา

“จะบ้ารึไง กูจะไปใส่ได้ไงวะ ตัวแค่นี้”

“ใส่ได้น่า ลองดูก่อนเหอะ”

เขาถอดกางเกงตัวที่ใส่อยู่ออกและจัดการสวมกางเกงของผมเข้าไป ผมแทบไม่สามารถละสายตาจากร่างกายของเขาได้เลยแม้สักวินาทีเดียว

“เอวมันคับไปหน่อยว่ะ” เขาพูด

“แต่ก็ใส่ได้ใช่มั้ยล่ะ ยางยืด ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก แบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่หลุดง่ายๆ เวลาอยู่ในน้ำ” ผมหยิบขวดครีมกันแดดมาจากหน้ากระจกและเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆ เขา “เอ้า หันมา จะทาครีมให้”

เขาหันหลังให้ผม และปล่อยให้ผมลูบไล้ร่างกายของเขาแทบทุกซอกทุกมุม ผมใช้เวลาอยู่ตรงหน้าอกและกล้ามท้องของเขานานกว่าส่วนอื่นนิดหน่อย ผมรู้สึกถึงร่างกายของเขาที่แข็งเกร็งเล็กน้อยทุกครั้งที่ผมไล่มือผ่านตรงหัวนมของเขา

“พอแล้ว มึงไปเปลี่ยนกางเกงเถอะ” เขาพูดพลางขยับตัว “ตรงขากูทาเองได้”

“ไม่เป็นไร ให้ผมทาให้พี่เถอะ”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้อง มึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ จะได้ไม่เสียเวลา”

ผมทำตามที่เขาบอก และอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา เราสองคนก็กำลังเดินกันอยู่บนริมหาดทรายสีขาว ดูท่าทางการพยุงตัวด้วยไม้เท้าบนพื้นทรายจะยากกว่าที่พี่คิวคิดนิดหน่อย แต่หลังจากเดินอยู่ได้ไม่กี่นาทีเขาก็เริ่มคล่องขึ้น นักท่องเที่ยวบางคนหันมามองเราสองคนด้วยสายตาที่แสดงความสนใจ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาล้วนแต่มองพี่คิวด้วยแววตาชื่นชมมากกว่า

“พร้อมรึยัง” ผมถามขึ้น

เขามองตรงไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า “ก็คงงั้น”

“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ส่งไม้เท้ามาให้ผมแล้วกัน”

พี่คิวพาตัวเองเดินตรงไปยังทะเลเบื้องหน้า เมื่อไม้เท้าของเขาปักลงบนทรายที่เปียกน้ำ เขาก็เสียการทรงตัวนิดหน่อย แต่เขาก็ปรับตัวได้ภายในแค่ 4-5 ก้าวเท่านั้น และเมื่อเราสองคนเดินลงทะเลไปถึงระดับน้ำประมาณหัวเข่าแล้ว เขาก็ส่งไม้เท้าให้กับผม
เขาค่อยๆ เขย่งพาตัวเองลงน้ำลึกไปอีกหน่อย จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และกระโจนลงน้ำไป ผมเดินกลับขึ้นฝั่งและโยนไม้เท้าลงบนพื้นทราย ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปในทะเลเพื่ออยู่ใกล้ๆ เขาอีกครั้ง เขาพุ่งตัวขึ้นจากน้ำพร้อมกับสบถเสียงดัง

“แม่งเอ๊ยยย!! เมื่อกี้กูกะ…!!” ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค เขาก็ถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดจนตัวปลิวและจมหายไปใต้น้ำอีกครั้ง

“เอ้า!”

ผมกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปควานหาเขา แต่เขาก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำได้เองพร้อมกับสบถคำหยาบออกมาอีกชุดใหญ่ ผมมองหน้าเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ตอนแรกเขาก็ด่าผมและถามว่าผมหัวเราะอะไร แต่แล้วสุดท้ายเราสองคนต่างก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

“มันยากนะเว้ย!!” เขาพูดขึ้นหลังจากที่หยุดหัวเราะแล้ว “เหมือนตอนออกกำลังแรกๆ ไม่มีผิด สัญชาติญาณกูมันเอาแต่จะพึ่งขาข้างที่ไม่มีแล้วอยู่ตลอด”

“จริงๆ เราน่าจะไปว่ายน้ำที่สระก่อนมั้ง จะได้ง่ายกว่านี้”

“แล้วให้กูใส่กางเกงว่ายน้ำที่มึงซื้อมาให้นั่นน่ะนะ ไม่มีทางว่ะ”

“ดื้อจริงๆ เว้ย”

“ขอกูลองอีกที” เขาเริ่มออกว่ายในท่าฟรีสไตล์โดยมีผมคอยเดินตามไปข้างๆ

“เฮ้ย พี่ก็ว่ายได้นี่หว่า แถมเร็วอีกต่างหาก” จากที่พยุงตัวเดิน กลายเป็นผมต้องเริ่มออกว่ายน้ำอย่างจริงจังเพื่อตามให้ทันเขา
เขาหยุดและหันมาหาผม “กูว่ามันทรงตัวยากว่ะ ยากกว่าตอนทำสคอวชขาเดียวอีก”

“ผมว่าพี่เก่งแล้วว่ะ พูดจริงๆ นะเนี่ย”

“มึงรู้มั้ยว่ากูคิดอะไรอยู่...” เขายิ้ม “ถ้าสมมติว่าจู่ๆ กูร้องโวยวายและตะเกียกตะกายวิ่งขึ้นจากน้ำพร้อมร้องตะโกนว่า ‘ฉลาม!’ โดยมีขาข้างเดียวแบบนี้เนี่ยมึงว่า คนอื่นที่เล่นน้ำอยู่จะเป็นยังไงวะ”

ผมหัวเราะ “ฮ่าๆๆ คงเหมือนฉากในหนังอะ”

“จะลองมั้ยล่ะ” เขายักคิ้วท้าทาย

“ไม่ต้องเลย ผมยังอยากมาเที่ยวที่นี่อีกบ่อยๆ นะเว้ย”

“ว้า” เขาแกล้งทำหน้าผิดหวัง แต่ผมก็ดีใจนะที่เขาดูมีอารมณ์ขันมากขึ้น

เราดำผุดดำว่ายกันอยู่อีกราวๆ ครึ่งชั่วโมง บางครั้งที่เราหยุดพักและยืนคุยกัน เขามักจะถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดจนปลิวมาชนผมบ้าง จมลงไปในน้ำบ้าง ซึ่งก็ทำให้เขาหงุดหงิดทุกครั้ง แต่ผมดูรู้ว่าลึกๆ แล้วเขากำลังมีความสุขมากแค่ไหน

“ขึ้นกันเหอะว่ะ กูเริ่มเหนื่อยแล้ว” เขาบอกผม “ไม้เท้าอยู่ไหนวะ”

ผมชี้ไปบนฝั่งที่อยู่ห่างจากเราอย่างน้อยก็สัก 100 เมตรได้

“เฮ้ย! นี่เราลอยกันมาไกลขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย!!”

“พี่ขึ้นฝั่งแล้วรอผมอยู่ตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้”

“ไม่เป็นไร ไปด้วยกันนั่นแหละ”

เราเดินขึ้นมาถึงตรงที่น้ำตื้นแค่ประมาณต้นขา แล้วก็ค่อยๆ เดินบ้าง พยุงตัวบ้าง ว่ายน้ำบ้าง ไปยังตำแหน่งที่เราวางไม้เท้าเอาไว้ และเมื่อมาถึง พี่คิวก็ล้มตัวลงนอนบนพื้นทรายอย่างหมดแรงทันที

“ไม่ไหวว่ะ เหนื่อยเหี้ยๆ เลย” เขาหอบ

“อย่าว่าแต่พี่เหอะ ขนาดผมเองยังเหนื่อยเลย” ผมสารภาพพลางมองไปรอบๆ “ตรงนั้นมีเก้าอี้ชาดหาดว่างนะ ไปนั่งมั้ย ของหมู่บ้านผมเอง ไม่เสียเงิน”

เขามองตามที่ผมชี้ “โอเค”

อีกไม่กี่นาทีถัดมา เราก็ล้มตัวลงบนเตียงผ้าใบแทน พี่คิวบิดน้ำออกจากกางเกงและพยายามจัดเนื้อผ้าที่เปียกน้ำไม่ให้แนบกับลำตัวมากนัก

“ผมว่าถ้าพี่ไม่อยากให้คนเห็นไอ้นั่นของพี่นะ พี่คงต้องขุดหลุมบนทรายแล้วนอนคว่ำลงอะว่ะ ถึงจะซ่อนมิด”

“ตลกขนาดนี้ มึงลาออกแล้วไปเล่นตลกดีกว่าไป” เขาประชด

“เค้าเรียกว่าคารมเป็นต่อ รูปหล่ออีกต่างหากเว้ย” ผมหัวเราะ

เขาหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า ก่อนจะหลับตาลง ผมจึงสบโอกาสได้นั่งมองร่างกายอันงดงามของเขาอย่างเต็มตาอีกครั้ง กางเกงขาสั้นที่แนบไปบนร่างกายของเขาทำให้เห็นไอ้น้องชายที่นูนโป่งขึ้นมาอย่างชัดเจน เขาดูเซ็กซี่ยิ่งกว่าเดิมอีกเป็นทวีคูณ
อีกราวๆ สิบนาทีถัดมา เด็กผู้ชายอายุราวๆ สี่หรือห้าขวบคนหนึ่งที่ผมเคยเห็นเขานั่งเล่นทรายอยู่ไม่ไกล ก็เดินเข้ามาหาพวกเรา

“พี่ฮะ ขาพี่เป็นอะไรเหรอฮะ” เขาถามพี่คิวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์

แม่ของเด็กคนนี้รีบลุกออกจากที่และวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเราทันที “น้องโอ! แบบนั้นเสียมารยาทนะคะลูก! พี่ขอโทษนะคะน้อง พี่ขอโทษจริงๆ” เธอพูดด้วยความกังวลพลางพยายามจะดึงตัวลูกชายให้กลับไปที่เดิม

พี่คิวชันตัวขึ้นนั่ง ผมทั้งรู้สึกดีใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวลมากเช่นกัน ผมกลั้นหายใจรอดูท่าทีของเขา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ถือ” เขายิ้มให้ทั้งแม่แล้วก็เด็กคนนี้ “ตัวเล็กอยากรู้เหรอครับว่าทำไมพี่เป็นแบบนี้”

“คับ” เด็กน้อยพยักหน้า

พี่คิววางมือลงบนไหล่เล็กๆ ของเขาอย่างอ่อนโยน “พี่เป็นทหารครับ ไปต่อสู้กับคนไม่ดีที่ภาคใต้มา แล้วพี่ไปเหยียบโดนระเบิดที่คนพวกนั้นฝังเอาไว้เข้าน่ะครับ ตัวเล็กรู้จักระเบิดมั้ยครับ”

“รู้จักคับ น้องโอรู้จัก! ที่มันจะระเบิดดังตู้มม! ใช่มั้ยฮะ!” เด็กน้อยตอบพร้อมกางแขนออก สีหน้าดีใจที่ตอบคำถามได้

“ใช่แล้วครับ”

“แล้วพี่เจ็บมั้ยฮะ”

“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้วล่ะครับ”

“อ๋อออ น้องโอรู้แล้ว! เพราะงั้นพี่ก็เลยต้องมีไอ้แท่งๆ พวกนี้ไว้ช่วยเดินใช่มั้ยฮะ” เขาชี้ไปที่ไม้เท้า

“ใช่ครับ แต่อีกไม่นานพี่ก็จะได้ขาใหม่และพี่ก็จะไม่ต้องใช้ไม้เท้าพวกนี้แล้ว”

“มันจะไม่งอกออกมาใหม่เองเหรอฮะ” โอชี้ไปที่ขาของพี่คิว

“ไม่ครับ” พี่คิวตอบ ผมรู้ว่าเขากำลังพยายามตอบด้วยสีหน้าปกติที่สุด “แต่พวกคุณหมอที่โรงพยาบาลเค้าจะทำขาใหม่ให้พี่ครับ คราวนี้พี่ก็จะเดินและจะวิ่งได้ปกติและได้ดีกว่าเดิมด้วยนะ”

“โหหห ขาใหม่แบบหุ่นยนต์เหรอฮะ”

“ก็คล้ายๆ กันมั้งครับ” พี่คิวหัวเราะในลำคอเบาๆ

“แล้ว แล้วเป็นทหารต้องแข็งแรงมั้ยฮะ”

“ต้องแข็งแรงสิครับ”

โอมองร่างกายของพี่คิวอย่างสำรวจ “แล้วทำยังไงโอถึงจะแข็งแรงแล้วก็ตัวใหญ่แบบพี่มั่งคับ”

พี่คิวยิ้มและจับแขนของโอชูขึ้น “เราเองก็กล้ามใหญ่อยู่แล้วนะ ดูซิเนี่ย แต่ถ้าอยากกล้ามใหญ่เหมือนพี่ แข็งแรงเหมือนพี่ ก็ต้องกินผักเยอะๆ กินนมเยอะๆ กินทุกอย่างที่คุณแม่ให้กิน แล้วก็ต้องเล่นกีฬาด้วย รู้มั้ยครับ”

“โออยากเป็นนักฟุตบอลคับ! แล้วก็ แล้วก็อยากเป็นหมอด้วย!”

“ดีมากครับ ถ้างั้นก็ต้องอย่าลืมตั้งใจเรียนด้วยนะ เข้าใจรึเปล่า!” พี่คิวจับหัวไหล่ของโอแล้วบีบเบาๆ

“คับ!!”

แม่ของน้องโอพยายามจะดันตัวลูกให้กลับไปที่เดิม “กลับได้แล้วลูก รบกวนพี่เค้านานแล้วนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ น้องแกน่ารักนะครับ” พี่คิวพูด

“ค่ะ น้องใจดีมากๆ เลย น่ารักมากจริงๆ ขอบคุณที่ช่วยสอนลูกพี่นะคะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับความเสียสละของน้องด้วย ขอบคุณจริงๆ ค่ะ”

“ยินดีครับ” พี่คิวยิ้มรับ “มันเป็นหน้าที่ของพวกผมอยู่แล้ว”

“พี่ฮะ!” โอที่เพิ่งออกวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวหยุดและหันกลับมาหาเราอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นทำท่าตะเบ๊ะให้พี่คิว พี่คิวยิ้มให้
และทำแบบเดียวกลับ ก่อนที่ไอ้ตัวเล็กของเราจะวิ่งกลับไปยังโต๊ะที่สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ของเขากำลังนั่งอยู่

ผมเห็นน้ำตาหยดเล็กๆ ไหลออกจากดวงตาของพี่คิว เขารีบกะพริบตาและใช้หลังมือปาดมันออก ก่อนจะทำท่าเหยียดแขนนอนกลับลงบนเตียงผ้าใบเหมือนเดิม

“น่ารักดีนะ” เขาพูดทั้งๆ ที่หันหลบผมไปอีกทาง

“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ไม่อยากพูดย้ำอะไรให้เขาต้องรู้สึกอายที่แสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมา
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 04-12-2012 23:17:51
ตอนนี้ซึ้งจัง กำลังมีข่าวเรื่องภาคใต้เลย (ครู)
พี่คิว แอบฮานะ ฉลาม!!!!
รุ้สึกว่า ทุกอย่าง มันราบรื่นจนน่ากลัว
ขอบคุณที่มาต่อให้คะ
บวกหนึ่ง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 04-12-2012 23:26:22
ประทับใจในความคิดและความรู้สึกของพี่คิวมาก
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 05-12-2012 00:04:02
อยากบอกว่าเป็นตอนที่กินใจมากๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณคนแต่งครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 05-12-2012 00:29:49
พี่คิวเริ่มยอมรับตัวเองได้แล้ว สงสารพุตอนนี้ได้แค่แอบมองพี่คิวต้องรอให้แอ้มสาวก่อน ตอนหน้าคงเป็นทีของพลุอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 05-12-2012 00:45:00
อยากตะโกนว่าพี่คิวสู้เค้า

พี่เท่มาก o13
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 05-12-2012 11:02:33
ท่าทางพี่คิวจะได้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมเร็วๆ นี้แล้วสินะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 06-12-2012 13:54:30
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาคลอเลยอ่ะ

สู้ๆนะพี่คิว
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 06-12-2012 15:59:41
สภาพจิตใจดีมากเลยนะพี่คิว สู้ๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 4 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 10-12-2012 19:56:55
ตอนที่ 9

เช้าวันถัดมา เราสองคนลงมานั่งจิบกาแฟริมหาดกันตั้งแต่ยังไม่แปดโมง และพอเก้าโมง ผมก็ชวนเขาขับรถออกไปหาข้าวเช้ากินกันที่อื่น ตอนแรกเขามีท่าทีลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง ผมพาเขามานั่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่เกือบติดริมหาดหัวหินซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านพอประมาณ ผมว่าปกติผมเองก็สามารถดึงดูดสายตาของทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้ประมาณหนึ่ง แต่เมื่ออยู่กับพี่คิว ดูเหมือนว่าเราจะตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนที่เดินผ่านไปมาโดยปริยาย บางคนก็มองขาของเขาและอาจจะมีคำถามอยู่ในใจ แต่หลายๆ คนมองเราด้วยสายตาชื่นชมมากกว่า และผมว่าพี่คิวเองก็คงจะรู้สึกอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อมีผู้หญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมองมาที่เขาและหันไปซุบซิบหัวเราะคิกคักกันด้วยท่าทางเขินๆ

“พี่เคยได้ยินทฤษฎีที่ว่าถ้าผู้หญิงสวยหลายๆ คนอยู่ด้วยกัน ทุกคนจะดูสวยขึ้นกว่าเดิม 50% มั้ย” ผมหันไปพูดกับเขา

“ไม่เคยว่ะ 50% เลยเหรอวะ”

“ไม่รู้ว่ะ ผมก็จำตัวเลขแน่ๆ ไม่ได้หรอก เฮ้ย แต่ก็อะไรประมาณนั้นแหละ พี่ไม่เคยได้ยินจริงๆ เหรอ แบบว่าไม่ต้องผู้หญิงสวยก็ได้ แค่คนหน้าตาดีประมาณมึงอะ หรืออาจจะมีคนหน้าตาธรรมดาๆ สักคนสองคนในกลุ่ม แต่ถ้าจับพวกนี้มาเดินด้วยกัน ทุกคนจะดูสวยขึ้นกว่าความเป็นจริง ไรเงี้ย””

“เหรอวะ ก็คงงั้นมั้ง กูไม่เคยสังเกต ทำไมวะ”

“ผมแค่จะบอกว่ามันก็คล้ายๆ เราตอนนี้ไง ผู้ชายหน้าตาดีสองคนอยู่ด้วยกัน เราเลยยิ่งดูหล่อขึ้นเป็นทวีคูณ”

เขาหัวเราะ “มึงไม่คิดว่าเค้ามองกูคนเดียวเลยรึไงวะ”

“ไม่คิด เพราะผมหล่อ ผมรู้ตัว” ผมยักไหล่

“ฮ่าๆ ก็อาจจะจริง แต่กูว่าคนแม่งมองกูแล้วคงคิดว่าไอ้เหี้ยนี่มันไปทำอะไรมาถึงได้ขาขาดแบบนี้มากกว่า”

ก็อาจจะถูกของเค้าส่วนหนึ่ง แต่ผมว่าไม่ทั้งหมด

“แล้วอึดอัดมั้ยล่ะ กับสายตาของคนพวกนั้น” ผมถาม

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “ไม่ว่ะ... คนมันก็มีสิทธิ์จะคิดหรือสงสัยจริงมั้ยล่ะ ก็อย่างที่มึงย้ำกับกูตลอดนั่นแหละ กูจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหนเลย รอจนกว่าขาจะงอกออกมาก็เป็นไปไม่ได้”

“ดีแล้ว เพราะผมว่าพี่ก็คงเห็นมั้งว่าสายตาของพวกเค้ามันเป็นสายตาของความชื่นชม สายตาลุกวาวเวลาเห็นผู้ชายหน้าตาดี ไม่ใช่สายตาเวทนาอย่างที่พี่เคยกลัวสักนิดเดียว”

“กูไม่ได้กลัว แต่กูแค่...” เขาไม่ได้พูดให้จบประโยค และผมก็ไม่ถามอะไรเขาต่อด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จ เราก็กลับไปที่บ้าน ผมได้รับโทรศัพท์จากเนยชวนเราออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกันข้างนอก เพราะเมื่อคืนเราไม่ได้ไปหาพวกเขาที่บ้าน แต่เนื่องจากเราเพิ่งกลับมาจากข้างนอกได้ไม่นาน ผมจึงปฏิเสธไป

เมื่อตกบ่ายแก่ๆ ผมกับพี่คิวก็ลงไปนั่งเล่นที่เดิมกับที่เราเจอเจ้าตัวเล็กเมื่อวาน แต่วันนี้เราเจอกับผู้หญิงวัยรุ่นสองคนแทน รอบแรกที่เดินผ่านเราไป พวกเธอมองมาที่พี่คิวและซุบซิบบางอย่างกัน และอีกหลายนาทีถัดมา เมื่อพวกเธอเดินวนกลับมาและต้องผ่านเราสองคนอีกครั้ง คนผมสั้นก็ถามคำถามหนึ่งขึ้น

“เมาแล้วขับเหรอคะ”

“ไม่ใช่ครับ ผมเป็นทหาร” พี่คิวตอบ

“เห็นมั้ยแก ฉันเดาถูก!” คนที่ถามหันกลับไปหัวเราะกับเพื่อนผมยาวที่ยืนอยู่ข้างๆ

คิ้วของผมขมวดเข้าหากันทันที ผมแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินเลย!

“พี่ที่เคยออกข่าวเมื่อหลายเดือนก่อนใช่ปะ ที่ว่าโดนระเบิดอะไรสักอย่างอะค่ะ”

“ใช่ครับ”

“ใช่จริงๆ ด้วย แต่หนูก็จำชื่อจำหน้าพี่ไม่ได้หรอก แค่เอะใจเฉยๆ ว่าจะใช่มั้ย เพราะที่ภาคใต้ก็มีข่าวพวกนี้เยอะเหลือเกิน ไม่จบไม่สิ้นเนอะ แกว่ามะ”

“ใช่ๆ แล้วขาขาดไปข้างนึงแบบนี้ พี่ว่ามันคุ้มกันเหรอ ทำไมไม่ไปประจำที่อื่นล่ะคะ” คนผมยาวถามขึ้นบ้าง

ผมพยายามควบคุมความโกรธจนรู้สึกว่าร่างกายกำลังสั่นเทาน้อยๆ แต่ดูเหมือนพี่คิวจะรับมือกับผู้หญิงสองคนนี้ได้ดีกว่าผมมาก

พี่คิวยิ้มและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุ้มครับ มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอยู่แล้ว และอีกอย่าง พอได้ขาใหม่มา ผมก็จะกลับไปประจำการอีกครั้งด้วย”

“ทำได้ด้วยเหรอคะ” คนผมสั้นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“เออว่ะ ปกติเค้ารับคนพิการเข้าเป็นทหารด้วยเหรอแก”

“ฉันก็ไม่รู้ว่ะ”

“ผมจะพยายามทำเรื่องเพื่อจะกลับไปอีกครั้งให้ได้ครับ ปีนี้ผมน่าจะทำได้”

“แล้วพี่จะกลับไปทำไมอีกล่ะ ไม่กลัวว่าครั้งหน้าจะเสียอย่างอื่นที่ยิ่งกว่าขาไปอีกเหรอ”

“พอ! พี่ไม่ต้องตอบเหี้ยอะไรแล้ว!” ผมลุกขึ้นยืนและหันไปพูดกับพี่คิว จากนั้นก็หันไปหาผู้หญิงสองคนนั้น “ส่วนคุณสองคนก็เลิกถามทุเรศๆ แบบนั้นสักที! รู้จักมารยาทบ้างมั้ยเนี่ย มีสมองบ้างรึเปล่า!”

ทั้งคู่มองหน้าผมและชักสีหน้าใส่ผมทันที

“อะไรของแกอะ!” คนผมสั้น “เสียมารยาทที่สุด อุบาทว์!”

“ไปเถอะแก อย่าไปยุ่งกับแม่งเลย” คนผมยาวดึงแขนเพื่อนของตัวเองและทั้งคู่ก็เริ่มเดินออกไป

“เออ! รีบไปไกลๆ เลย แล้วช่วยกลับไปเอาสิ่งที่เรียกว่า ‘สามัญสำนึก’ ยัดใส่ลงหัวตัวเองบ้างนะ ไอ้พวกไร้สมองเอ๊ย!”

“ไอ้เหี้ย!!” ทั้งสองคนหันมาตะโกนด่าผม

“ใครกันแน่!!” ผมชูนิ้วกลางให้ทั้งคู่ก่อนที่พวกนั้นจะหันกลับและรีบเดินจากไป “แม่งงง! อีพวกเหี้ยเอ๊ยย! มารยาทไม่มีแล้วยังไม่มีสมองอีก คำพูดแต่ละคำ แม่งพ่นออกมาได้ไงวะ!” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหงุดหงิด

“มึงจะเดือดร้อนขนาดนี้ทำไม” พี่คิวถามผม

“ผมไม่ได้เดือดร้อนเว้ย แต่ผมทนฟังไม่ได้ต่างหาก แม่งงง!”

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “มึงพยายามปกป้องกูเหรอ กลัวกูทนยัยพวกนั้นไม่ได้รึไง”

“ก็มันน่าปะล่ะ สมองแม่งคงมีแต่ขี้เปียกมั้ง ถึงคิดแต่ละอย่างได้ต่ำขนาดนั้น แถมแม่งไม่เห็นเลยรึไงว่าพี่มีอย่างอื่นให้สนใจมากกว่าเรื่องขาของพี่ตั้งเยอะ”

“เช่นอะไร”

ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วรู้สึกว่าตัวเองเริ่มใจเย็นลงเล็กน้อย “พี่ไม่รู้จริงๆ รึไง”

“เช่นอะไรล่ะ หน้าตากูรึไง หรือว่า...”

“นี่พี่” ผมขัดขึ้น “เมื่อคืนเรายังไม่ได้ทำอะไรกันเลยนะ”

เขาหัวเราะ “อะไรวะ แล้วมึงจะให้กูทำยังไง”

“ขึ้นบ้านกันเหอะ ผมอยากกอดพี่ว่ะ อยากทำให้พี่รู้ว่าพี่มีดีให้ชื่นชมมากขนาดไหน”

“มึงเงี่ยนอะดิ พอโกรธแล้วเงี่ยนเหรอวะ”

ผมพยักหน้า “ใช่ มากด้วย แต่ที่สำคัญคือพี่นั่นแหละ ที่ทำให้ผมเงี่ยน”

เราเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยที่ผมไม่ต้องเสนอความช่วยเหลือเขาในการขึ้นบันไดหรือแม้แต่คอยเดินตามหลังเขาเพื่อคอยระวังเลย และเมื่อเราเข้าไปในห้องนอนของผมแล้ว ผมก็เริ่มด้วยการใช้ปากและลิ้นปลุกอารมณ์ให้เขาก่อน หลังจากนั้นเขาก็เป็นคนจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้าหากว่าผมไม่ลืมตามองดูขาของเขา ผมก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าเขามีขาแค่เพียงข้างเดียว และเมื่อเราต่างถึงจุดสุดยอดด้วยกันทั้งคู่แล้ว เขาก็ล้มตัวนอนหงานแผ่อยู่ข้างๆ ผม

“พี่แน่ใจนะ... ว่าพี่พิการจริงๆ น่ะ...” ผมพูดพลางหอบเบาๆ

เขาหัวเราะ “กูว่าสภาพมึงตอนนี้น่ะ ดูเหมือนคนพิการมากกว่ากูอีก เหมือนขาดปอดไปข้างนึงรึอะไรแบบนั้นน่ะ”

ผมหันไปมองหน้าเขา เขาช่างงดงามจริงๆ คำว่า ‘หล่อ’ ยังไม่เพียงพอเลย ถ้าหากว่าผมไม่ระวังล่ะก็ ผมอาจจะตกหลุมรักเขาไปแล้วก็ได้

“หลังจากนี้จะทำอะไรต่อ” เขาถาม

“ตอนเย็นไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำกันมั้ย” ผมเสนอและคิดว่าเขาคงจะปฏิเสธ แต่แล้วเขาก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเขาตอบตกลง

“โอเค แต่ขอนอนสักงีบก่อนแล้วกัน”

“ได้ และพอว่ายน้ำเสร็จก็ไปหาอะไรกิน กลับมาเอากันอีกรอบ แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ กทม. กันตั้งแต่เช้า โอเคปะ”

เขาหัวเราะชอบใจจากนั้นก็เหยียดแขนออกมาล็อคคอของผมเอาไว้ แล้วเราก็หลับลงไปแทบจะพร้อมๆ กัน

ที่สระว่ายน้ำ ผมเดินไปบอกคนดูแลประจำสระเรื่องของพี่คิวว่าให้เขาคอยจับตาดูอยู่ห่างๆ เอาไว้ แต่ปรากฏว่าพี่คิวกลับสามารถว่ายน้ำได้ดียิ่งกว่าคนปกติบางคนอีกด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเขาได้ลองดำผุดดำว่ายในทะเลมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมรู้สึกภูมิใจในตัวของเขามากที่สุดคือการที่เขากล้าใส่กางเกงว่ายน้ำตัวที่ผมซื้อมาให้ และสายตาชื่นชมของหลายๆ คนที่อยู่ที่นั่นมากกว่า

วันถัดมา ผมขับรถไปส่งเขาที่โรงพยาบาลแล้วก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกหวิวๆ ในใจชอบกล แต่ผมก็พยายามที่จะไม่คิดถึงมัน และเมื่อวันจันทร์มาถึง ผมก็เข้ารายงานตัวตอนเช้ากับพี่โจตามปกติ

“เป็นยังไงบ้าง หือ” เขาถาม

“ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้แล้วมั้งครับ ผมว่า”

“แล้วสรุปว่าได้ผู้หญิงมามั้ย”

“ผมไม่ได้หาผู้หญิงให้เค้านะครับ แต่โชคดีที่เราเจอโอกาสเหมาะๆ เข้ามากกว่า ซึ่งผู้หญิงเองก็สนใจเค้ามากด้วย ผมเลยปล่อยให้เค้าได้มีโอกาสอยู่กันแบบสองต่อสองดู จากนั้นที่เหลือเค้าเป็นคนคุยและจัดการเองหมดเลย ผมเองยังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าเค้าจะได้มีอะไรกับผู้หญิงเร็วขนาดนี้น่ะ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่โจเลิกคิ้วขึ้นท่าทางสนใจ “ผมต้องรู้รายละเอียดเรื่องนี้มั้ย”

“ไม่จำเป็นมั้งครับ เพราะจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ผมบอกพี่ได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือเพื่อนของรุ่นน้องผมเอง เราไปเจอพวกเค้าโดยบังเอิญน่ะ และสุดท้ายคือเราคงสรุปได้แล้วล่ะว่าพี่คิวน่าจะได้ความมั่นใจในการคุยหรือแม้แต่จีบผู้หญิงกลับคืนมาเยอะแล้วล่ะครับ”

“อืมม แบบนั้นก็ดี”

“อ้อ อีกอย่างคือเค้ายอมใส่กางเกงว่ายน้ำแล้วด้วยนะ หนแรกเค้าใส่กางเกงขาสั้นลงว่ายน้ำในทะเล ส่วนอีกหนคือใส่กางเกงว่ายน้ำลงสระว่ายน้ำในหมู่บ้านเลย” ผมพูดอย่างภาคภูมิใจ

“เฮ้ย! จริงรึเปล่า!” พี่โจยิ้มกว้าง “ถ้าพวกหมอๆ ได้ยินเรื่องนี้เข้าคงดีใจแน่!”

“ให้ขาใหม่เค้าเถอะครับ พี่โจ” ผมพูด

“อีกสามชั่วโมงเราจะมีประชุมกับหมอเจ้าของไข้ทั้งสองคนของคิวอีกครั้ง คุณพูดเรื่องนี้กับพวกเค้าเองเลยก็แล้วกัน”

“หมายถึงอาจารย์ปฏิภาณกับอาจารย์ไพศาลนะเหรอครับ”

“ใช่”

“แล้วผมต้องเป็นคนพูดอีกแล้วเหรอ ผมนึกว่าจะไม่ต้องไปเจอหน้าอาจารย์หมอพวกนั้นอีกแล้วนะเนี่ย” ผมกลอกตาเซ็งๆ

“หมอเค้าอยากได้ยินรายงานจากปากของคุณทั้งคู่มากกว่า”

“ทั้งคู่เหรอครับ”

“ใช่ ทั้งคุณแล้วก็คิวเลย”

“เฮ้ย แล้วเจ้าตัวรู้เรื่องนี้รึยังครับเนี่ย”

“ยัง แต่คุณกำลังจะเป็นคนไปบอกเค้าเองอยู่นี่ไง”

“ครับ” ผมพยักหน้า จากนั้นก็ขอตัวออกจากห้อง

“พลุ” พี่โจเรียกผมให้หยุดก่อนที่ผมจะทันได้เปิดประตูห้องออก “คุณทำได้ดีมากนะ ท่านผู้อำนวยการเองก็ฝากผมมาชมคุณด้วย”

“ขอบคุณครับพี่ แต่ผมก็แค่ทำหน้าที่อาสาสมัครให้ดีที่สุดเองครับ ผมแค่อยากให้เค้ากลับไปทำหน้าที่ของเค้าต่อได้อย่างที่ตั้งใจ และก็ทำเพื่อให้ตัวเองผ่านการประเมิน ก็แค่นั้นเอง ที่สำคัญ ผมเหลือเวลาทำงานที่นี่อีกแค่ไม่ถึงอาทิตย์เดียวแล้วด้วย เพราะงั้นก็จะทำหน้าที่ให้เต็มที่จนกว่าจะเดินออกจากที่นี่ไปนั่นแหละครับ” ผมตอบกลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าความจริงที่ผมพูดออกจากปากไปมันจะทำให้ผมรู้สึกจุกและแน่นในอกได้ถึงขนาดนี้

“ไปบอกให้ทหารหนุ่มของเราเตรียมตัวเถอะ” พี่โจพยักหน้าให้ผม ผมจึงเดินออกจากห้องไป

ผมอธิบายเรื่องการประชุมที่กำลังจะเกิดขึ้นให้พี่คิวฟัง ท่าทางเขาจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“ปกติพี่ไม่ได้เจอหมอสองคนนี้บ่อยๆ อยู่แล้วเหรอ” ผมถาม

“ช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยเจอแล้ว ส่วนมากจะเจอพี่โจกับนักจิตเวชคนอื่นมากกว่า และอีกอย่างกูก็ไม่เคยเข้าประชุมอะไรที่เป็นทางการแบบนี้ด้วย”

“ผมว่ามันก็ไม่ได้ทางการอะไรมากหรอก แค่ไปนั่งพูดให้เค้าฟังมากกว่า”

“มึงว่ากูจะได้ขาใหม่เร็วๆ นี้มั้ยวะ”

“ผมก็ไม่เห็นเหตุผลที่เค้าจะประวิงเวลาต่อไปนะ” ผมตอบตามที่คิด “เอ้อ ผมเองก็ไม่ได้บอกพี่อย่าง ผมทำงานที่นี่ถึงแค่วันศุกร์นี้แล้วนะครับ”

“อ้อเหรอ” คือคำพูดสั้นๆ ที่เขาตอบกลับมา

พวกเราไปพบกับอาจารย์หมอทั้งสองคนที่ห้องเดิมที่ผมเคยขึ้นไป พี่คิวอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวและกางเกงขาสั้นเหนือเข่าตามที่ผมบอก เพราะผมต้องการให้พวกเขาเห็นว่าผู้ชายคนนี้แข็งแรงสมบูรณ์มากขนาดไหน หลังจากทักทายกันตามพิธีนิดหน่อย อาจารย์ไพศาลก็บอกให้ผมรายงานผลประเมินที่ผมมีให้เขาฟัง

“ผมว่า... ก็คงไม่มีอะไรให้รายงานมากมั้งครับ คือผมคิดว่าทุกอย่างมันชัดเจนอยู่แล้วอะครับ ผมมั่นใจว่าพี่คิวพร้อมแล้วที่จะได้ขาเทียมและได้กลับออกไปสู่ข้างนอกอีกครั้ง”

“ผมหมายถึงสามวันสองคืนที่ผ่านมานี่ต่างหาก คุณมีอะไรจะรายงานผมบ้าง” อาจารย์ไพศาลขยับแว่นตา

“อ๋อ ครับ มีครับ” ผมกระแอมเบาๆ กลบเกลื่อนความเขิน “ผมว่าพี่คิวเปิดใจออกมากแล้วครับ เค้าได้ความมั่นใจกลับคืนมา เราออกไปกินข้าวนอกบ้าน เจอผู้คน ว่ายน้ำทั้งที่ทะเลและสระว่ายน้ำ... โดยใส่กางเกงว่ายน้ำแบบบิกินี่นะครับ” ผมเน้นย้ำ “แล้วพี่เค้าก็ได้เจอผู้หญิงคนนึงด้วย”

หมอทั้งสองคนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ผมคิดว่าเขาคงเข้าใจความหมายทั้งหมดที่ผมตั้งใจสื่อออกไปเป็นอย่างดี

“ไม่ใช่แค่นั้น แต่มันยังมีทัศนคติหลายๆ อย่างที่พี่เค้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และผมว่าอาจารย์คงเห็นว่าร่างกายของพี่เค้าก็พร้อมแล้วสำหรับการใช้ขาทั้งสองข้าง เค้าอยากจะวิ่งได้อีกครั้ง ซึ่งผมก็คิดว่าเค้าต้องทำได้แน่ๆ ด้วย ผมไม่ใช่หมอ แล้วก็ไม่ใช่นักกายภาพบำบัด เพราะงั้นผมอาจจะพูดอะไรที่เป็นศัพท์ทางการแพทย์ไม่เป็น แต่จากที่ผมได้ทำงานใกล้ชิดกับพี่เค้า ผมมั่นใจว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเค้าพร้อมทุกๆ อย่างแล้วครับ ผมไม่เข้าใจว่าเรายังจะต้องรออะไรอีกหรือรอไปอีกถึงเมื่อไหร่ ผมแค่อยากเห็นเค้าได้กลับไปทำในสิ่งที่เค้าอยากทำไวๆ เท่านั้นเองครับ”

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมรู้สึกกังวลและกดดันขนาดไหนจนกระทั่งผมพูดจบ ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังสั่นอยู่ข้างใน

“สำหรับเรื่องการกลับไปรับใช้ชาติอีกครั้งอย่างที่เจ้าตัวต้องการนั้นผมคงพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ผมต้องตัดสินใจ แต่เป็นทางกองทัพน่ะ” อาจารย์ปฏิภาณพูด

“ใช่ และผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูดนะ คุณพิทักษ์กลไกล แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าในทางการแพทย์ เราไม่สามารถหยิบขาปลอมขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วให้ผู้ป่วยกระโดดเหยงๆ มาหยิบไปคนละขา สวม แล้วหัดเดินเองออกจากห้องไปได้เลย มันใช้เวลาและขั้นตอนที่มากกว่านั้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความต้องการในการกลับไปใช้ชีวิตที่ผิดจากธรรมดาอย่างกรณีของคุณ...” อาจารย์ไพศาลพูดพลางหันไปมองที่พี่คิว “คุณไม่ได้ต้องการจะกลับไปเป็นพลเรือนธรรมดา แต่อยากกลับไปเป็นทหารอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ท้าทายมากทั้งสำหรับคุณ โรงพยาบาล และกองทัพ เพราะฉะนั้นเรื่องทุกอย่างจะต้องผ่านการประเมิน ตรวจสอบ และทำให้แน่ใจซะก่อนว่าคุณพร้อมแล้วจริงๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ” เขาเว้นช่วงเล็กน้อย จากนั้นก็เอื้อมมือลงไปใต้โต๊ะและหยิบขาเทียมสำหรับพี่คิวขึ้นมาวางบนโต๊ะ “แต่ผมว่าผมเห็นด้วยนะว่าคนไข้ของเราคนนี้พร้อมแล้วจริงๆ”

พี่คิวสูดลมหายใจเข้าเสียงดัง เขาหันมาหาผมและพี่โจพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“เราจะให้นักกายภาพบำบัดของเราช่วยเตรียมคุณให้พร้อมกับขาใหม่ของคุณอย่างเร็วที่สุด เพื่อที่คุณจะได้ฝึกใช้งานมันให้เป็นส่วนนึงของอวัยวะจริงๆ ซึ่งที่จริงเราจะเริ่มกันตั้งแต่วันนี้เลยด้วยซ้ำ”

“เดี๋ยวเราจะให้เจ้าหน้าที่ช่วยใส่มันให้นะ แล้วคุณก็เริ่มลงไปวิ่งที่ลู่ได้เลย” อาจารย์ปฏิภาณพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม

“วันนี้เลยเหรอครับ” พี่คิวถามซ้ำ

“อยากจะเลื่อนไปก่อนเหรอ ไม่พร้อมรึไง” พี่โจถามกลับ

“ไม่ครับๆ ผมพร้อม พร้อมมานานแล้วด้วย” พี่คิวพูดพลางยื่นมือออกมาสัมผัสขาเทียมของเขาเบาๆ “ผมจะเดิน วิ่ง หรือออกกำลังได้ด้วยขาข้างนี้รึเปล่าครับ”

“มันทำได้ทุกอย่างที่ขาเก่าคุณเคยทำได้นั่นแหละ” อาจารย์ปฏิภาณตอบ

“มีคำถามอะไรอีกมั้ยครับ” อาจารย์ไพศาลถามขึ้น

“ถ้าเป็นไปได้...” พี่คิวลดมือลงและมองหน้าหมอทั้งสองคนสลับกัน “ผมอยากให้พลุทำงานกับผมต่อครับ ในฐานะนักกายภาพบำบัดหรืออะไรก็ได้”

“เฮ้ยพี่ ผมไม่ใช่นักกายภาพบำบัดนะ ไม่ได้มีความรู้เรื่องพวกนั้นแม้แต่นิดเดียวเลยด้วย” ผมรีบหันไปพูดกับเขาด้วยความตกใจ

เขาไม่สนใจผม “ผมพูดตรงๆ นะครับว่าผมมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะเด็กคนนี้ มัน... ขอโทษครับ พลุอาจจะไม่ใช่นักกายภาพบำบัดหรือนักจิตเวชที่ดีที่สุด แต่เค้าคือคนที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลง และผมก็อยากให้เค้าอยู่ช่วยผมต่อจนกระทั่งผมหัดเดินด้วยขาสองข้างเป็นอีกครั้ง”

อาจารย์หมอทั้งสองคนฟังและพยักหน้าเบาๆ ดูท่าทางเขาจะกำลังคิดเรื่องนี้กันอยู่จริงๆ

“ผมว่าเป็นไปได้นะ” อาจารย์ไพศาลพูดขึ้น “คุณต้องทำงานเป็นอาสาสมัครที่นี่ถึงเมื่อไหร่นะ พิทักษ์กลไกล”

“วันศุกร์นี้ครับ” ผมตอบ

“หัวหน้าแผนกกายภาพบำบัดจะไปหาคุณที่ห้องหลังจากเราประชุมกันเสร็จ แต่ก่อนหน้านั้นผมจะคุยกับเขาให้ก่อนก็แล้วกัน” อาจารย์ไพศาลพูดกับพี่คิว จากนั้นก็หันมาทางผม “ส่วนคุณ พ่อหนุ่ม ถ้าคุณอยากจะทำงานกับทางเราต่อ ผมว่าคุณมีสองตัวเลือกนะ ตัวเลือกที่หนึ่งคือคุณทำเป็นอาสาสมัครต่อไป คุณอาจจะไม่ได้เงิน ไม่ได้เครดิตไปใช้ในวิชาที่คุณเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ผมจะออกจดหมายรับรองพิเศษให้ เพื่อว่ามันอาจจะมีประโยชน์สำหรับคุณในอนาคตหลังจากที่เรียนจบ หรืออีกทางหนึ่ง คุณมาทำงานที่นี่เป็นงานพิเศษ ทำจนกว่ามหาวิทยาลัยจะเปิด แต่แบบนี้ผมจะยังไม่สามารถรับปากเรื่องตำแหน่งหน้าที่หรือเงินตอบแทนที่คุณจะได้รับได้นะ ผมต้องคุยกับท่านผู้อำนวยการอีกที”

“ผมว่าถ้าหากคุณสนใจงานสายนี้จริงๆ คุณอาจจะเข้าร่วมอบรมกับทางโรงพยาบาลและลองทำงานอินเทิร์นชิพที่นี่ดูมั้ยล่ะ ที่จริงโรงพยาบาลของเราก็กำลังจะจัดหลักสูตรอบรมพิเศษสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่อยู่แล้ว ผมว่ามันอาจจะเป็นโอกาสที่ดีของคุณนะ” อาจารย์ปฏิภาณพูดต่อ

ผมได้แต่นั่งฟัง อึ้ง ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะสนใจทำงานในสายอาชีพนี้ ถ้าถามว่าผมอยากจะทำงานแบบนี้ต่อไปมั้ย ผมก็อาจจะตอบว่าใช่ แต่คงเฉพาะกับพี่คิวคนเดียวเท่านั้น ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีจากการได้ทำงานอาสาสมัครที่นี่ จะสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยทุกคนหรือเปล่า

“ขอบคุณมากครับ” ผมยกมือไหว้หมอทั้งสองคน “แต่ผมขอคิดดูก่อนก็แล้วกันนะครับ ผมเองก็ชอบทำงานที่นี่ครับ อยากจะอยู่ช่วยพี่โจ แล้วก็ช่วยพี่คิวต่อจนกว่าเค้าจะเดินได้เหมือนกัน แต่ผมขอเวลากลับไปคิดก่อนให้คำตอบได้มั้ยครับ ต้องปรึกษาที่บ้านด้วย”

“ยังไม่ต้องรีบตัดสินใจหรอก แต่พอคุณได้คำตอบแล้วก็บอกโจแล้วกัน ผมจะได้นำเรื่องเสนอท่านผู้อำนวยการ” อาจารย์ปฏิภาณตอบพร้อมรอยยิ้ม และหลังจากนั้นการประชุมก็จบลง

“พี่คิว ถามไรหน่อยดิ...” ผมถามเขาขณะเรากำลังเดินกลับห้องด้วยกัน “ทำไมพี่ถึงขอให้ผมอยู่กับพี่ต่อล่ะ”

เขาหันมายิ้มกว้างและชะโงกหน้าเข้ามากระซิบที่หูของผม “ก็เผื่อกูต้องการคนช่วยอาบน้ำอีกล่ะ”
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 10-12-2012 20:20:44
เดี๋ยวกลับมาอ่าน
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 10-12-2012 20:30:59
แหม ช่วยอาบน้ำ
หนูไม่เชื่อพี่หรอก !!!!!!!  :o8:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 11-12-2012 09:55:28
พี่คิวเริ่มจะชอบพลุขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะ
ส่วนพลุคงไม่ต้องถามแล้วล่ะ ก็เล่นหึงซะออกนอกหน้าขนาดนั้นถึงขึ้น'แจกของ'ให้สาวๆ เลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 11-12-2012 10:26:48
โอ้ววว ว้าววว ต้องการคนมาช่วยอาบน้ำ ฮ่าๆๆๆ ฟินนนน
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 11-12-2012 10:52:16
อ่านแล้วอิ่ม
รู้สึกได้ถึงความผูกพันของคนทั้งสอง
Sexมันก็คงเป็นประเด็น แต่ก็คงไม่ทั้งหมด
อยากใช้คำว่าคงเป็นมิตรภาพและความรู้สึกดีๆที่มีให้กันมากกว่า
ขอบคุณครับ!!!!!!!
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 11-12-2012 11:32:02
แหมๆ พี่คิว o18

ถ้าอยากหาคนช่วยอาบน้ำหาแถวนั้นก็ได้มั้ง :z1:

บอกไปเลยกล้าๆหน่อย  ว่าอยากให้พลุอยู่ด้วยในวันที่ตัวเองเดิน 2 ขาได้อีกครั้ง :impress2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 11-12-2012 18:59:29
ผมชื่มชมภาษาในนิยายของพี่เสมอมมา แล้วเรื่อวนี้ก็ยังคงประทับใจอยู่ สารภาพตามตรงนะ นิยายของพี่จะแมนๆเนอะ ซึ่งผมก็ไม่แมนเท่าไหร่

แต่ก็ไม่ได้ฝักไฝ่ในนิยายรักหวานจ๋านักหนา แต่ก็อ่านนะ เรื่องของพี่มันน่าประทับใจมากๆ มันมีความเป็นธรรมชาติเหมือนผมดูละครดูหนังอยู่เลย

อ่านแล้วผมตกหลุมรักพี่คิวอ่ะ แต่ผมกลัวทหาร เพราะผมกำลังจะ22ต้องไปผ่อนผันทหารรอบที่สองเร็วๆนี้ เสียวเว๊ยยยย แฮ่ะๆ

ดีใจมากๆที่ได้มาตามผลงานของพี่ต้นอีกครั้งนะครับ

รอตอนต่อไปครับ :L2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 10 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 11-12-2012 19:23:01
อ่านที่ไรประทับใจทุกที
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 14-12-2012 21:22:02
ตอนที่ 10

ตั้งแต่ผมได้ทำงานกับพี่คิว ก็มีเรื่องบางอย่างที่รบกวนจิตใจผมมาตลอด แต่ผมเรียนรู้ที่จะไม่ถามออกไป จนกระทั่งเมื่อเขาได้ขาข้างใหม่และแลดูจะตื่นเต้นกับมันมาก ความกังวลที่ผมเคยเก็บไว้มาตลอดอย่างหนึ่งก็เริ่มกลับมารบกวนจิตใจผมอีกครั้ง

“พี่ ผมถามอะไรหน่อยดิครับ” ผมถามพี่โจขึ้นหลังจากที่รายงานตัวกับเขาเสร็จ

“เรื่องอะไร”

“พี่คิดว่าพี่คิวจะกลับไปเป็นทหารอีกครั้งได้จริงๆ เหรอครับ”

ผมคิดว่าเขาคงรู้สึกได้ถึงความกังวลและเจตนาในคำถามของผม เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ ก่อนจะหันมาสบตาผม “คุณไม่ได้กำลังถามถึงศักยภาพของเจ้าตัวใช่มั้ย”

“ถ้าเรื่องนั้นน่ะ ผมไม่ห่วงหรอกครับ ผมว่าเค้าแข็งแรงกว่าผมอีกด้วยซ้ำ”

“ปกติแล้วทหารที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากสงครามจะถูกปลดประจำการโดยอัตโนมัตินะ”

“ผมก็คิดว่าแบบนั้นแหละครับ” ผมพยักหน้า “ผมเคยเห็นรูปที่คนแชร์ในเฟซบุ๊คหลายครั้ง ที่เป็นเรื่องราวของทหารที่ขาขาดจากการรบ แล้วสุดท้ายก็ไปทำงานอื่นไม่ได้ ไม่มีอาชีพ ไม่มีเงิน ไม่มีคนเหลียวแล...”

“ก็ไม่เสมอไป” พี่โจพูดเสียงเข้ม “แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าส่วนมากมันเป็นแบบนั้นจริงๆ”

“แล้วทำไมพี่ถึงบอกพี่คิวไปว่าเค้ายังมีโอกาสล่ะครับ พี่ก็รู้ว่าเค้าทุ่มเทกับเรื่องนี้มากแค่ไหน”

“ผมแค่พูดตามที่ผมคิด” เขาตอบ “คิวอาจจะโชคดีกว่าหลายๆ คนที่เคยประสบเหตุการณ์แบบเดียวกันมา ตรงที่ปีนี้เป็นปีแรกที่ทางกองทัพกำลังเริ่มจะทบทวนนโยบายการปลดประจำการทหารและเริ่มเอามาตรการแบบของทางอเมริกามาใช้มากขึ้น คุณคิดว่าผมทำงานกับทหารผ่านศึกมากี่คนกี่ปีแล้ว และผมจะบอกให้ว่าความเป็นจริงคือทหารส่วนมาก ไม่มีใครเลือกจะกลับไปเสี่ยงตายในสนามรบอีกครั้งหรอกนะ เพราะฉะนั้นคิวจะเป็นกรณีแรกเลยที่กองทัพไทยจะพิจารณาการกลับเข้าประจำการอีกครั้งหลังจากการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่”

“แปลว่าเค้ามีหวังจริงๆ ใช่มั้ยครับ” ผมถามย้ำ

“หน้าที่ของผมคือการทำความหวังและความฝันของผู้ฟื้นฟูให้เป็นจริง ไม่ใช่สร้างมันขึ้นมาปลอมๆ แล้วทำลายมันนะ”

“ครับ ขอโทษครับพี่ ผมคงพูดเกินไป ผมรู้ว่าพี่ทำหน้าที่ของพี่อย่างดีที่สุดและหวังดีกับทุกคนอยู่แล้ว”

“และผมก็รู้เหมือนกันว่าคุณหวังดีกับเค้ามาก แต่ระวังอย่าให้มันมากจนเกินไปล่ะ”

คำพูดของพี่โจทำให้ผมสะอึกไปนิดหน่อย ผมกล่าวขอบคุณเขาแล้วจากนั้นก็ขอตัวออกจากห้อง

หนึ่งปัญหาคาใจของผมได้ถูกตอบไปแล้ว แต่ถึงแม้ผมจะดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ลึกๆ ภายในใจ ผมกลับรู้สึกกลัวและกังวลกับการที่เขาจะต้องกลับไปเผชิญอันตรายอีกครั้งมากกว่า ซึ่งดูเหมือนว่าพี่คิวเองก็จะดูออกว่าผมกำลังรู้สึกถูกรบกวนอยู่มากขนาดไหน

“เป็นอะไร” เขาถาม

“เปล่า”

เขาหรี่ตา “อย่ามาโกหกกูน่ะ”

ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่มีอะไร ผมแค่กังวลๆ เรื่องที่พี่จะกลับไปเป็นทหารอีกครั้งแค่นั่นแหละ”

“ทำไมวะ มึงไม่ดีใจกับกูรึไง”

“ไอ้ดีใจน่ะดีใจแหงล่ะ เพราะผมเองก็อยู่กับพี่มาตลอดเพื่อทำให้พี่เดินไปถึงเป้าหมายนั่นให้ได้อยู่แล้ว ผมรู้ดีหรอกน่า แต่มันก็อันตรายไม่ใช่รึไง ลึกๆ แล้วผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่หว่า ถึงมันจะไม่ใช่หน้าที่หรือธุระกงการอะไรของผมก็ตามเหอะ”

เขานิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือมาวางลงบนหัวของผม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขางงๆ

“ขอบใจนะเว้ย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เรื่องไร”

“ที่มึงเป็นห่วงกูน่ะ” เขาขยี้หัวผม “กูดีใจที่มึงเป็นห่วงกู คิดถึงกู เพราะงั้นอย่าคิดว่ามันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของมึง กูดีใจที่กูเป็นส่วนนึงในความคิดมึงว่ะ”

ผมเห็นบางอย่างในแววตาของเขาที่ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก มันคือความเปราะบางและอ่อนโยนแบบที่ทำให้ผมรู้สึกใจหายชอบกล

“พี่... ที่จริงผมสงสัยอะไรอย่างนึงมานานแล้วว่ะ”

“อะไร” เขาเลิกคิ้วขึ้น

“แต่ถ้าผมถามไป พี่อาจต้องโกรธผมแหง”

เขาเลื่อนมือออกและหันไปทางทีวีแทน “งั้นก็ไม่ต้องถาม”

“นั่นดิ” ผมยักไหล่

เขาเหลือบมามองผมด้วยหางตาแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“อะไร” ผมถาม

“เปล่า ก็แค่คิดว่ามึงก็เป็นคนตรงๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”

“ก็คงงั้นมั้ง”

“แล้วสรุปตัดสินใจจะทำงานที่นี่ต่อรึยัง” เขาหันมาถามผมด้วยดวงตาเป็นประกาย “กูอยากได้คนช่วยอาบน้ำให้หลังจากออกกำลังมาเหนื่อยๆ นา”

“เรื่องนั้น...” ผมกำลังจะตอบ แต่เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

ผมกับพี่คิวหันไปมองที่ประตูพร้อมๆ กัน ผมคิดว่าคนที่มาน่าจะเป็นพี่โจหรือพนักงานของโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด เมื่อคนที่เปิดประตูออกและเดินเข้ามาคือผู้หญิงและผู้ชายวัยกลางคนคู่หนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็แต่งตัวดีและมีสีหน้าเคร่งขรึม ผมรู้สึกคุ้นๆ หน้าผู้ชายคนนี้ชอบกล แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน จนกระทั่งอีกไม่กี่วินาทีถัดมานั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว

“พ่อ แม่” พี่คิวพูดขึ้นเบาๆ

ผมรีบลุกออกจากเก้าอี้และยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนทันที “สวัสดีครับ”

พวกเขารับไหว้ผมและเดินตรงมาที่เตียง

“สบายดีมั้ยลูก” แม่ของพี่คิวถามขึ้น

“ก็สบายตัวดีแหละครับ ขาหายไปตั้งข้างนึงนี่” พี่คิวตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน คล้ายกับเมื่อตอนที่เขาพูดกับผมแรกๆ ไม่มีผิด

“ทางโรงพยาบาลติดต่อไปว่าแกได้ขาใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ อยู่ไหนล่ะ” ผู้เป็นพ่อถามขึ้นบ้าง จากนั้นก็หันมาทางผม “แล้วเด็กคนนี้คือใคร”

“น้องมันเป็นเด็กฝึกงานที่นี่ เป็นคนช่วยเหลือคิวทุกๆ อย่างนั่นแหละ” พี่คิวตอบ “ว่าแต่พ่อกับแม่มาที่นี่ทำไม... ครับ”

“พ่อกับแม่ก็มาเยี่ยมเรายังไงล่ะลูก ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”

“คิวบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องมา” เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ

“อย่ามาทำกิริยาแบบนั้นใส่พ่อกับแม่นะ คิว” พ่อของเขาเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย

“คิวสบายดีครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อีกสักพักก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลและกลับไปประจำการที่เดิมแล้ว” พี่คิวพูดโดยไม่สนใจพ่อของตัวเอง

ผมรู้สึกถึงบรรยากาศไม่ค่อยสู้ดีนักและตัดสินใจว่าไม่ควรจะอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงค่อยๆ ถอยหลังออกมาทีละก้าว และเมื่อผมกับพี่คิวสบตากัน ผมก็ส่งสัญญาณบอกเขาว่าผมจะออกไปข้างนอก เขาพยักหน้าเบาๆ ให้ผมด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ

“แล้วไอ้พัตล่ะครับ คงยุ่งกับเรื่องงานเหมือนเดิมสิ”

“พี่พัตมันต้องบินไปญี่ปุ่นอีก 2-3 วันนี้แล้วเลยไม่ว่างมาน่ะ” แม่ของเขาตอบ

เมื่อผมเดินออกจากห้องและปิดประตูลง ผมก็ไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันอีกเลย

ดูท่าทางว่าพี่คิวกับพ่อแม่จะไม่ค่อยถูกกันหรืออาจจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่างกันอยู่ เขาถึงได้แสดงท่าทีและปฏิกิริยาแบบที่ผมเห็นเมื่อครู่นี้ออกไป และนี่ก็คงจะเป็นคำตอบของอีกคำถามหนึ่งที่ผมสงสัยมานานแล้วก็เป็นได้ ว่าทำไมผมถึงไม่เคยเห็นใครมาเยี่ยมเขาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคนในครอบครัว เพราะถ้าสำหรับเพื่อนๆ ผมก็เข้าใจว่าคงเพราะเขามาจากต่างจังหวัด และเพื่อนๆ ส่วนมากก็อาจจะไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากนั้นเขาก็เป็นคนเล่าให้ผมฟังอีกด้วยว่าเขาเคยบอกเพื่อนๆ ไม่ให้มาที่นี่ แต่จะเป็นฝ่ายเดินออกไปพบกับทุกคนด้วยตัวเอง ซึ่งเรื่องนั้นผมก็พอเข้าใจ แต่สิ่งที่ผมคาใจมาตลอดคือทำไมคนเป็นพ่อแม่ถึงจะไม่คิดมาหาลูกของตัวเองบ้างทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้แท้ๆ

ผมเตร็ดเตร่ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง ถึงได้เดินกลับไปที่ห้องอีกครั้ง และเมื่อผมเปิดประตูออกก็พบว่าเขากำลังนอนเอกเขนกอยู่คนเดียวบนโซฟา

“พ่อกับแม่พี่กลับไปแล้วเหรอ” ผมถามพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เขา

“เออ” เขาตอบ ท่าทางไม่สบอารมณ์ “กลับไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนได้แล้วมั้ง”

“อ้าว” ผมแปลกใจ เกือบจะถามแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงรีบกลับ แต่ก็ตัดสินใจหุบปากลงได้ทันก่อนที่จะหลุดปากออกไป

พี่คิวสั่งให้ผมส่งรีโมททีวีไปให้ จากนั้นก็กดปุ่มเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เราสองคนต่างก็นั่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาก่อน จนกระทั่งเขาถอนหายใจ ปิดทีวี และวางรีโมทลงข้างตัวอย่างหงุดหงิด

“กูไม่ค่อยถูกกับพ่อแม่มาหลายปีแล้ว” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้น “กูมีพี่ชายคนนึง ชื่อพัตเตอร์ ไอ้เหี้ยนั่นมันหัวดี เรียนเก่ง เป็นความหวังของพ่อแม่ เรียกง่ายๆ คือเป็นลูกที่ดีตามที่พ่อแม่ต้องการทุกอย่างนั่นแหละ ตรงกันข้ามกับกูที่เรียนไม่เก่ง หัวดื้อ แล้วก็ไม่ได้เอาใจพวกเค้าเก่งเหมือนไอ้พัตมัน ไม่เคยทำให้พวกเค้าภูมิใจได้เลยสักอย่าง...”

ผมนั่งฟังเงียบๆ รอจนกว่าเขาพร้อมจะพูดต่อ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้ายุ่งยากใจ “พอกูเรียนจบปริญญาตรีมา กูก็ตัดสินใจสมัครเป็นทหารซะเลย พ่อกับแม่ก็ไม่เห็นด้วยนักหรอก ตอนนั้นเค้าด่ากูจะตายห่า หาว่ากูนอกคอก ยิ่งพอรู้ว่ากูจะไปลงภาคใต้ เค้าก็ยิ่งประสาทแดกเข้าไปใหญ่ กูเลยไม่ค่อยได้ติดต่อพวกเค้าอีกเลย” เขาเว้นช่วงอีกครั้ง แต่คราวนี้มีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก “ตอนแรกๆ ที่กูยังประสาทแดกกับอาการหดหู่หลังจากตัดขาทิ้งไปแล้ว กูก็เคยคิดนะว่าถ้ากูตายๆ ไปซะเค้าคงสบายใจกว่าด้วยซ้ำมั้ง”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ไงวะพี่” ผมพูดขึ้น “แล้วคิดแบบนั้นมันช่วยอะไรขึ้นมารึเปล่า ผมว่าก็ไม่มั้ง ไร้สาระน่ะ”

“เออ กูรู้ เพราะงั้นกูถึงไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วไง ชีวิตนี้มันเป็นของกู กูจะใช้ยังไงก็เรื่องของกู โชคดีที่กูมีเงินเก็บอยู่บ้าง และตากับยายที่เชียงใหม่ก็ให้กูไว้เยอะ กูว่ากูก็อยู่ได้สบายๆ จนกว่าจะปลดประจำการแล้วออกไปหางานทำล่ะมั้ง” เขาก้มลงมองที่ขาของตัวเอง “แต่ก็คงยากแล้วล่ะว่ะ ใครมันจะรับคนขาเดียวเข้าทำงานวะ”

ผมอยากจะเถียงเขากลับไป แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะลึกๆ แล้วผมก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

“ผมถามไรหน่อยดิพี่... แค่เรื่องที่ว่าพี่เรียนไม่ดีอะไรพวกนั้นมันทำให้พี่ต้องทะเลาะกับพ่อแม่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ไม่ใช่หรอก ก็เรื่องแฟนกูด้วยน่ะ...” เขาเหม่อมองออกไปข้างหน้า “ตอนนั้นกูยังเด็ก แล้วกูทำตัวให้เค้าผิดหวังหลายครั้งจริงๆ”

“เช่นอะไร”

เขาหันมามองหน้าผม “กูเคยพาผู้หญิงเข้าบ้านแล้วมันขโมยของในบ้านกูไปครั้งนึง และกูก็เคยทำผู้หญิงท้องด้วย”

“เฮ้ยยย! แล้วพี่ทำไงวะ!”

“ทำแท้ง...” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ก็แฝงไปด้วยความเจ็บปวด “ชีวิตกูทำอะไรผิดพลาดมาเยอะ และนั่นก็เป็นเรื่องที่เหี้ยที่สุดแล้วว่ะ ถึงกูจะไม่อยากให้แฟนกูมันไปทำแท้งก็เหอะ แต่มันก็หนีกูไปทำ และมันก็เป็นความผิดกูด้วยส่วนนึง กูว่าการที่กูต้องมาอยู่ในสภาพนี้ก็เป็นการชดใช้กรรมที่กูสมควรได้รับแล้วมั้ง”

ผมลุกและเดินเข้าไปหาเขา ผมยืนมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนั่งคุกเข่าลงบนพื้นและบีบมือเขาเบาๆ เขาหันมามองหน้าผมด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

“พี่คิว อดีตจะเป็นยังไงก็ช่างมันเหอะว่ะพี่ แต่พี่เสียสละเพื่อผู้คนอีกไม่รู้กี่พันกี่หมื่นคน หรือเผลอๆ ก็ทั้งเจ็ดสิบล้านคน เพื่อให้พวกเค้า... พวกเราทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และนี่พี่ยังอยากจะกลับไปทำหน้าที่นั้นของพี่อีก ผมว่าพี่ทำดีที่สุดแล้วนะเว้ย ไม่มีการเสียสละไหนจะยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว”

เขามองตาผมอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะหันไปทางอื่น “กูว่ากูคงพูดมากไปหน่อยแล้วว่ะ...”

“นานๆ พูดบ้างคงไม่ตายหรอกมั้ง” ผมยืนขึ้น “จริงๆ ผมก็สงสัยเรื่องนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ แต่แค่ไม่อยากถามน่ะ”

“ดีแล้วล่ะ เพราะต่อให้มึงถาม กูก็คงไม่พูดอยู่ดี และกูคงไม่รู้สึกชอบมึงเท่ากับที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้”

“โชคดีนะเนี่ยที่ผมไม่ได้เป็นคนช่างเสือกน่ะ”

“กูต้องขอบใจมึงเรื่องนั้นแหละ”

“ที่ไม่ชอบเสือกน่ะนะ”

“ไม่ใช่ กูหมายถึงที่มึงเป็นคนไม่วุ่นวายเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมากกว่า กูขอบใจมึงที่ไม่ถามเรื่องครอบครัวกูให้กูเสียอารมณ์” เขาตอบ “แต่มึงอย่าเข้าใจผิดล่ะ กูอาจจะไม่ค่อยถูกกับพ่อแม่เท่าไหร่ แต่คนที่มีปัญหากับกูมากกว่าคือพ่อ ไม่ใช่แม่ กับแม่กูก็ยังโอเค เค้าก็ยังโทรหากูบ้าง แต่กูบอกเค้าเองว่าไม่ให้มาเยี่ยม กูคิดว่ามันน่าจะทำให้เค้ารู้สึกผิดหรืออะไรแบบนั้นมากขึ้นมั้ง” เขายักไหล่ “ก็แค่ความคิดโง่ๆ ว่ะ”

“แล้วผู้หญิงคนนั้น... พี่ยังคบกันอยู่รึเปล่า”

“เปล่า เลิกกันไปหลายปีแล้ว แต่แฟนคนล่าสุดกูเพิ่งบอกเลิกไปตอนที่กูอยู่โรงพยาบาล และบอกตรงๆ ถึงกูไม่บอก มันก็คงบอกเลิกกูอยู่ดีว่ะ กูรู้ ใครมันจะอยากได้คนพิการเป็นผัววะ”

“แล้วถ้าผมบอกว่าผมคนนึงล่ะ ที่อยากได้น่ะ”

เขาหันมามองผมทันที “มึงอยากมีผัวพิการขาขาดรึไง”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่แค่ใครก็ได้” ผมหยุดตัวเอง สะบัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว “ช่างมันเหอะ ผมแค่จะบอกว่าผมเองก็เคยเป็นเมียพี่มาแล้ว จำไม่ได้รึไงวะ แต่อย่าใช้คำพูดพวกนั้นหลายครั้งเลย แม่งตลกว่ะ ไม่ชอบ”

“คำว่าอะไร”

“เมีย”

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “มึงพูดขึ้นก่อนเองชัดๆ”

“เออนี่พี่ ผมตัดสินใจอะไรอย่างว่ะ ผมว่าผมควรบอกพี่ก่อน”

“เรื่องอะไร”

“ที่พี่ถามผมค้างไว้ก่อนหน้านี้น่ะ”

เขานิ่ง รอฟังผมพูดต่อ

“ผมว่าผมจะไม่ทำงานที่นี่ต่อนะ ผมคงได้เจอพี่วันศุกร์นี้วันสุดท้ายแล้ว”
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 14-12-2012 21:56:23
เห้ยยยย ทำไมอ่ะ
เอาเถอะ จะได้รุ้ว่า สองคนนี้คิดถึงกันแค่ไหนเนอะ คนเคยอยู่ด้วยกันมาตลอด
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 14-12-2012 23:20:58
ง่ะ พลุพูดอะไรออกไปน่ะ จะไม่อยู่ดูแลพี่คิวต่อจริงๆ เหรอ
ทั้งที่ 'รัก' เค้าไปขนาดนั้นแล้วอะนะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 14-12-2012 23:45:58
พลุจะไม่อยู่ดูแลพี่คิวแล้วหรอ แล้วใครจะคอยเติมส่วนที่ขาดหายล่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 15-12-2012 00:01:23
ผมว่าเรื่องนี้มันอบอุ่น หวานๆในทุกๆตอนที่อ่านเลยนะ

มันไม่ได้หวานเยิ้มๆเลี่ยนๆ แต่มัน ...อธบายไม่ถูกอ่ะ

แต่ผมมีความสุขที่ได้อ่านมากๆครับ

+1 (ผมว่าพี่เป็นนักเขียนที่ผมกดบวกบ่อยที่สุดแล้วหล่ะ :laugh:)


รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: IRIS ที่ 15-12-2012 00:10:02
แล้วจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่เนี่ย..

แต่ห่างกันก็ดีนะ จะได้แน่ใจกับความรู้สึกของตัวเอง..
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 15-12-2012 00:59:35
เชื่อว่าพลุมีเหตุผลคับ  o13
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 15-12-2012 03:31:55
อ่านคอมเมนท์แล้วชื่นใจ แต่ลืมบอกว่าตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วนะครับ :)
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 15-12-2012 09:42:23
เย้ย !!!!!~

อะไรอ่ะ!!!!
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 15-12-2012 10:19:09
ตอนสุดท้ายแล้วจริงอะ ยังรู้สึกไม่ค่อยจุใจเลยนะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 17-12-2012 08:11:32
สุดท้ายไม่เป็นไร ขอให้ happy ending ก็พอค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 17-12-2012 08:31:13
โอ๊ว จะจบแล้วหรอครับ ยังไม่อยากให้จบเลย   :o11:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 14 Dec]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 17-12-2012 09:20:30
อ้าวจะจบแล้วหรอ ยังอยากอ่านอีกเยอะๆเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 19-12-2012 20:36:05
ตอนที่ 11

พี่คิวนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาจับจ้องมองมาที่ผม แววตาของเขาแลดูผิดหวัง แต่ผมอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้

“งั้นเหรอ” เขาพูดขึ้นในที่สุด

“ใช่”

“แปลว่ามึงจะไม่อยู่ช่วยกู ไม่ได้อยู่ดูตอนที่กูเดินได้วิ่งได้เหมือนเดิมน่ะสิ”

ผมก้มหน้าแล้วเกาหัวเซ็งๆ “ผมคุยกับพ่อแม่แล้ว และเค้าก็ไม่ค่อยอยากให้ผมทำต่อเท่าไหร่ด้วย”

“แล้วมึงล่ะ อยากทำรึเปล่า”

“อยากดิ” ผมตอบได้ทันที “ความจริงคือผมอยากใช้เวลาอยู่กับพี่มาก มากกว่าให้ผมไปทำงานกับคนอื่นซะด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจไม่ทำต่อเลยดีกว่า”

“สรุปแล้วมึงตัดสินใจเองหรือว่าเพราะพ่อกับแม่บังคับกันแน่”

“ทั้งสองอย่าง”

เขายักไหล่ “งั้นก็แล้วแต่มึง”

“เอาไว้ผมจะมาเยี่ยมพี่บ่อยๆ ก็แล้วกัน”

“ก็เรื่องของมึงอีกนั่นแหละ”

“พี่อยากให้ผมมามั้ยล่ะ”

เขานิ่งไปพักหนึ่ง “...ถ้ามึงไม่อยู่ กูคงเหงาว่ะ”

“แล้วใครบอกว่าผมจะไม่อยู่เล่า ผมว่าผมคงมาหาพี่ได้แทบทุกวันนั่นแหละ แต่คราวนี้ผมแค่ไม่ต้องมาทำงานแค่นั้นเอง”

เขาไม่พูดอะไร และหัวข้อคุยเรื่องนี้ก็จบลงแต่เพียงเท่านั้น

เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ถึงวันสุดท้ายที่ผมจะได้ทำงานที่นี่แล้ว น่าแปลกที่การจากลาครั้งนี้ไม่น่าใจหายเท่าไหร่นัก เพราะผมรู้ดีว่าผมจะยังคงมาหาเขาอยู่เรื่อยๆ จนกว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาลนั่นแหละ และดูเหมือนเขาเองก็จะรู้สึกแบบเดียวกันด้วย

“พรุ่งนี้มึงจะมารึเปล่า” เขาถามก่อนที่ผมจะทันเดินออกจากห้องไป

“อยากให้มามั้ยล่ะ” ผมยักคิ้ว

“เรื่องของมึงเหอะ” เขายังคงพูดเหมือนเดิม

ผมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกลาเขา ผมเดินไปบอกลาพี่ๆ พยาบาลและพนักงานทุกคนที่ผมรู้จักแต่ก็บอกพวกเขาว่าผมจะยังมาหาอยู่เรื่อยๆ และผมก็ทำอย่างที่พูดจริงๆ เช้าวันถัดมา แค่การได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากของเขาหลังจากที่เขาเห็นว่าคนที่เปิดประตูห้องเข้ามาคือผม ก็ทำให้ผมมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าได้แล้ว

เย็นวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนั่งดูข่าวอยู่ที่บ้านกับพ่อและแม่ ผู้ประกาศข่าวก็พูดถึงเรื่องราวของทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากระเบิดที่ภาคใต้และตัดภาพไปที่พี่คิว แต่เป็นภาพข่าวเก่า เพราะพี่คิวที่นอนอยู่บนเตียงนั้นยังดูมีร่องรอยบาดแผลหลงเหลืออยู่มากมาย แถมยังดูโทรมและอิดโรยราวกับเป็นคนละคน

“นี่มันคนที่พลุไปทำงานอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ ใช่รึเปล่า” แม่ผมถามขึ้น

“ใช่ครับ ทำไมแม่รู้อะ” ผมถามกลับเพราะปกติผมไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องของพี่คิวกับพ่อแม่เท่าไหร่นัก

“แหม แกว่าทหารที่ขาขาดจะมีสักกี่คน และแม่ก็พอจำหน้าเค้าได้หรอก”

“แล้วตอนนี้เค้าเป็นไงบ้างแล้วล่ะ” พ่อถามขึ้นบ้าง “แกยังไปเยี่ยมเค้าอยู่เรื่อยๆ นี่ ใช่มั้ย”

“ใช่ครับ ผมว่าพี่เค้าก็สบายดีแหละ แข็งแรงดี กำลังใจก็ดี ตอนนี้ก็กำลังฝึกใช้ขาเทียมอยู่ ซึ่งก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เพราะงั้นที่เหลือก็มีแค่ว่าทางกองทัพจะรับเค้ากลับไปเป็นทหารอีกครั้งรึเปล่าแค่นั้นเอง”

“นี่ไงๆ นักข่าวกำลังพูดเรื่องนี้อยู่พอดี” แม่กดปุ่มรีโมทเพิ่มเสียงขึ้นอีกหน่อย แต่ผมไม่ได้สนใจฟัง เพราะส่วนมากผมก็รู้จากพี่โจและพี่คิวมาหมดแล้ว

หลังจากนั้นอีกแค่ไม่กี่วัน เมื่อผมไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล เขาก็ต้อนรับผมด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจและรอยยิ้มกว้าง เขาบอกผมว่าทางกองทัพอนุมัติให้เขากลับไปประจำการอีกครั้งแล้ว แต่เขาจะต้องกลับไปรับการฝึกฝนอีกครั้งเพื่อประเมินว่าพร้อมจะไปประจำแนวรบชายแดนอีกครั้งหรือเปล่า แต่ถึงจะไม่ได้ ผมก็รู้ดีว่ามันไม่ได้การันตีความปลอดภัยในชีวิตของเขาได้มากขึ้นเท่าไหร่เลย

ผมแสดงความยินดีกับเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นความผิดหวังที่ผมซ่อนมันไว้ไม่ดีนัก

“มึงไม่ดีใจกับกูเหรอวะ”

“เฮ้ย ไม่ดิ ผมดีใจกับพี่จริงๆ เพราะมันก็เป็นเป้าหมายที่ทั้งผม พี่ แล้วก็พี่โจพยายามไปให้ถึงด้วยกันตั้งแต่แรกแล้วนี่หว่า ผมเคยพูดไปแล้ว จำไม่ได้รึไง” ผมยิ้มกว้าง พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกใจหายและผิดหวังไว้ข้างใน แต่ก็คงทำได้ไม่ดีนัก

“ไม่จริงอะ มึงแม่งโกหกไม่เก่งหรอกนะ กูว่ากูผิดเองว่ะ ขอโทษที” เขาพูด

“เฮ้ย จะบ้ารึไง พี่จะผิดอะไรได้ไงวะ” ผมรีบเดินไปจับไหล่เขา “พี่เป็นทหารนะเว้ย ผมรู้แล้วว่ามันคือทุกๆ อย่างของพี่ พี่ต้องดีใจที่ได้กลับไปทำหน้าที่ของพี่อีกครั้ง กลับไปยังสถานที่ของพี่เหมือนเดิม พี่ต้องดีใจนั่นแหละ ถูกแล้ว”

“แล้วทำไมมึงถึงได้ไม่ดีใจจริงๆ”

“ผม... ผมแค่...” ผมหลบสายตาของเขา

“กูต้องคิดถึงมึงแน่ๆ เลยว่ะ”

ผมส่ายหน้า รู้สึกใจหายยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “ไม่เท่าที่ผมจะคิดถึงพี่หรอก”

“กูรู้เรื่องนี้จากพี่โจเมื่อคืน แล้วมึงรู้มั้ยว่ามันทำกูนอนไม่หลับเลยนะเว้ย พรุ่งนี้นักข่าวจะมาสัมภาษณ์กูด้วย”

“อะไรวะ ตื่นเต้นที่จะมีนักข่าวมาสัมภาษณ์เนี่ยนะ” ผมหัวเราะ

“ไม่ใช่ กูนอนไม่หลับเพราะความดีใจและคิดว่าจะตอบแทนมึงยังไงดีต่างหาก ถ้าไม่มีมึง กูก็คงไม่ยืนอยู่ได้อย่างในตอนนี้” เขาชี้ลงที่ขาเทียมของเขา

“ไม่ต้องตอบแทนอะไรผมหรอก ผมบอกแล้วไงว่ามันเป็นหน้าที่ของผม และผมทำด้วยความเต็มใจ”

“และกูก็อยากจะตอบแทนมึงด้วยความเต็มใจเหมือนกัน ไม่ได้รึไง”

“เอ่ออ... เออๆ ถ้าพูดขนาดนั้นก็ได้วะ แล้วพี่คิดได้รึยังล่ะว่าจะตอบแทนผมยังไง”

“คิดไว้แล้ว แต่กูก็ติดค้างอะไรมึงหลายอย่างจริงๆ ว่ะ หยุดเลย!” เขารีบพูดขัดขึ้นก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากเถียง “ไม่ต้องปฏิเสธเลย เอาเป็นว่ากูคิดไว้แล้วล่ะว่ากูอยากจะตอบแทนอะไรมึงบ้าง อยากจะทำอะไรพิเศษๆ ให้มึง อะไรที่แสดงถึงความกล้าหาญพร้อมกับความจริงใจที่กูมีให้กับมึง อะไรที่มาจากใจจริงๆ”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะพี่” ผมหัวเราะเบาๆ “มันจะเว่อร์ไปรึเปล่า”

“ไม่เว่อร์สำหรับกู” เขาตอบ “ก็กูเป็นทหาร กูอยากจะมอบสิ่งพิเศษในแบบของกูให้แก่มึงบ้าง อะไรที่กล้าหาญและเป็นฮีโร่สมกับที่มึงเคยบอกว่ากูเป็นอย่างนั้นไง”

ผมนึกสงสัยว่าเขาจะทำหรือมอบอะไรให้แก่ผม ถึงจะเป็นการแสดงความหาญกล้าแบบชายชาติทหารอย่างที่เขาบอกผมได้ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะรู้ว่าถึงอย่างไรเขาก็คงไม่บอกผมอยู่ดี

“แต่ตอนนี้กูอยากรู้ว่ามึงมีอะไรบางอย่างที่อยากได้จากกูเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า อะไรก็ได้ ลองบอกมาซิ”

ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่า ‘ไม่มี’ แต่แล้วก็คิดถึงสิ่งๆ หนึ่งขึ้นมาได้ สิ่งที่ผมไม่เคยได้รับจากเขา ถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะมอบอะไรให้ผมมาหลายต่อหลายอย่างแล้วก็ตาม

“อะไร ว่ามา” เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยิ้มน้อยๆ “ทำหน้าแบบนี้แปลว่ามีใช่มั้ย”

“จะว่ามีก็ได้มั้ง” ผมตอบ

“อะไรล่ะ”

“ถ้าผมบอกไป พี่จะต่อยผมมั้ยวะ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“ผมอยากกอดพี่ว่ะ ไม่ดิ ผมอยากให้พี่กอดผมอะ แค่อีกสักครั้ง...”

เขาไม่พูดอะไร แต่ดึงตัวของผมเข้าไปกอดทันที ผมแทบจะละลายเป็นเนื้อเดียวกับร่างกายของเขา กล้ามเนื้อของเขากอดรัดผมอย่างแนบแน่น แต่กลับอ่อนโยนและอบอุ่น

“แค่นี้เองเหรอ ที่มึงต้องการน่ะ” เขาพูดลงที่หูของผม “แค่นี้กูจะไปต่อยมึงทำไมวะ”

“เปล่า ผมยังพูดไม่จบ... ผมอยากให้พี่จูบผมด้วยว่ะ”

เขาดันตัวผมออกช้าๆ และมองหน้าผม ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะหัวเราะและถามว่าผมล้อเล่นหรือเปล่า หรือไม่ก็ทำสีหน้ารังเกียจผม แต่ปรากฏว่าเขาแค่ยิ้มที่มุมปากน้อยๆ พร้อมกับใช้หลังมือเขกลงบนหน้าผากของผมเบาๆ จากนั้นก็ผละตัวออก

ผมยืนมองดูเขาเดินกลับไปที่เตียง จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องการตัดสินใจของกองทัพและเงื่อนไขอื่นๆ ให้ผมฟังเหมือนเขาไม่ได้ยินคำขอเมื่อครู่นี้ของผมเลย ผมเองก็ตัดสินใจที่จะปล่อยเลยตามเลยและทำเป็นเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน

อีกไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ถัดมา พี่คิวก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ เขาโทรมาหาผมในคืนสุดท้ายของเขาที่โรงพยาบาลและบอกให้ผมขับรถไปรับเขาที่นั่นเช้าวันถัดมา เขาบอกว่าเขาจองโรงแรมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านของผมเอาไว้ ผมจึงถามกลับว่าแล้วทำไมเราไม่ไปนอนกันที่บ้านของผมเหมือนครั้งก่อนๆ เขาตอบว่าเขาไม่อยากรบกวนผมเพราะพ่อกับแม่ผมกลับมาแล้ว และที่สำคัญเขายังบอกอีกด้วยว่าเขาอยากให้มันเป็นอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้ใช้เวลาอยู่กับเขาแล้ว

ผมขับรถไปรับเขาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตามที่เขาบอก หลังจากที่เราขนของใส่รถหมดแล้ว ผมก็เดินไปบอกลาพี่โจและพี่ๆ คนอื่นๆ ที่รู้จัก เพราะผมคงไม่ได้เข้ามาหาพวกเขาอีกแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ไม่บ่อยเท่าเดิม

เมื่อเดินกลับมาที่รถ พี่คิวก็ยื่นมือขอกุญเจรถไปขับ ตอนแรกผมก็ลังเลนิดหน่อย แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วผมก็นึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่จะให้เขาขับไม่ได้

เมื่อไปถึงโรงแรม เขาก็เดินนำผมไปเช็คอินและพาขึ้นไปยังห้องพัก ผมอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่าพนักงานของโรงแรมและแขกบางคนหันมามองเรา... ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกคือมอง ‘เขา’ อย่างสนใจ แต่เป็นการแสดงความสนใจในทางที่ดี แววตาของพวกเขาแลดูชื่นชมมากกว่าสงสาร และผมก็ดีใจที่เขาใส่ขาสั้นอย่างที่พี่โจเคยบอกด้วย

เมื่อขึ้นไปถึงบนห้องและเห็นเตียงขนาดคิงไซส์ที่ตั้งอยู่กลางห้องแล้วผมก็หันไปมองหน้าเขาทันที ซึ่งเขาเองก็กำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่แล้ว

“ทำไม มีปัญหารึไง” เขาถาม

“เปล่า จะไปมีอะไร” ผมยักไหล่

“หิวข้าวรึยัง ออกไปหาอะไรกินกันเหอะ”

“แล้วแต่พี่อะ”

“ถูกต้อง วันนี้กูเป็นคนดูแลมึงเอง มึงมีหน้าที่ทำตามกูก็พอ” เขายักคิ้ว

เราสองคนออกไปกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากโรงแรม เขาเล่าให้ผมฟังว่าเขาหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมและร้านอาหารแห่งนี้จากในอินเทอร์เน็ตและเพื่อนๆ หลายคน ผมรู้สึกอึ้งนิดๆ ที่เขาดูจริงจังกับมันมาก และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษขึ้นนิดๆ อย่างช่วยไม่ได้

หลังจากกลับมาถึงโรงแรม เราก็นั่งจิบเบียร์และคุยกันบนระเบียงห้องที่มองออกไปเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรมและชายหาดที่อยู่เลยออกไปอีก เขาเริ่มเล่าถึงเรื่องราวของครอบครัวให้ผมฟังมากขึ้น รวมทั้งเรื่องของแฟนเก่าและเรื่องเพื่อนๆ ที่เขายอมรับว่ามีอยู่ไม่มากนักด้วยเช่นกัน

“เพื่อนๆ ในค่ายต่างหาก ที่คือเพื่อนแท้จริงๆ ของกู เรากินด้วยกัน นอนด้วยกัน และแม้แต่ตายแทนกัน มันเห็นกันชัดๆ เลยว่าเนื้อแท้ของแต่ละคนเป็นยังไง” เขาพูดและเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า

ผมรู้สึกว่าเขากำลังกลับไปคิดถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งนั้นอีกครั้ง และผมก็ไม่อยากให้เขาต้องจมอยู่กับอดีตที่หลอกหลอนอีก แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดหรือทำตัวอย่างไรดี เพราะว่าแม้แต่ตัวผมเองในตอนนี้ก็ยังกลัวที่จะต้องเสียเขาไปด้วยเหมือนกัน

“ไปกินข้าวกันดีกว่า” เขาพูดขึ้น

ผมดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามันเป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มและอากาศเริ่มเย็นลงมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

เราลงไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารของโรงแรมโดยที่เขาเป็นคนสั่งอาหารให้ผมหมดทุกอย่าง เรานั่งคุยและดื่มเบียร์กันต่ออีกคนละสองขวดพอทำให้ผมเริ่มรู้สึกมึนๆ มากขึ้น ผมจึงชวนเขากลับขึ้นห้อง เพราะเขาเองก็เริ่มหน้าแดงมากแล้วเหมือนกัน

เมื่อเรากลับขึ้นมาถึงที่ห้อง เขาก็ดึงตัวของผมเข้าไปจูบทันที ผมยืนตัวแข็งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความตกใจ ก่อนที่จะค่อยๆ เผยอริมฝีปากออกและลิ้มรสจูบของเขาอย่างเต็มที่ ลิ้นของเราตวัดเข้าหากันอย่างโหยหา ลมหายใจของผมหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และมือไม้ก็เริ่มป่ายไปบนตัวของเขา

เขาใช้มือทั้งสองข้างวางลงบนแก้มของผมแล้วจึงค่อยๆ ถอนปากออกอย่างช้าๆ “แบบนี้โอเคมั้ยวะ”

ผมยืนนิ่ง ยังคงรู้สึกไม่อยากเชื่อว่าเรื่องเมื่อครู่เพิ่งเกิดขึ้นจริง

“เฮ้ย เป็นไร ตอบดิเว้ย” เขาหัวเราะเบาๆ

“ทำไมจู่ๆ ถึงได้จูบผมได้วะพี่” ผมถามกลับ

“ก็มึงต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะ”

“ก็... ก็ใช่ แต่...”

“แต่ที่โรงพยาบาลมันก็ไม่ดีใช่มั้ยล่ะ และอีกอย่าง กูก็ตั้งใจจะทำแบบนี้กับมึงอยู่แล้ว และไม่ใช่แค่นี้ด้วย...” เขายักคิ้วมีเลศนัย จากนั้นก็ดังตัวผมเข้าไปกอดและจูบอีกครั้ง

เขาเบียดร่างกายเข้าแนบชิดกับผมจนผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าไอ้น้องชายของเขาแข็งเป็นลำอยู่ใต้กางเกง แล้วจู่ๆ เขาก็ทำให้ผมประหลาดใจอีกครั้งด้วยการยกตัวผมขึ้นจากพื้นครู่สั้นๆ ก่อนจะปล่อยผมลง

“เฮ้ยย! พี่แข็งแรงไปปะวะเนี่ย!” ผมหัวเราะเบาๆ “นี่ผมสูงกว่าพี่ตั้งเท่าไหร่ และตัวผมก็ไม่ใช่เล็กๆ นะเว้ย”

“ต้องขอบคุณมึงนั่นแหละ ที่ทำให้กูแข็งแรงขึ้นขนาดนี้ และยังช่วยให้กูได้ขาอีกข้างมาช่วยพยุงน้ำหนักด้วยไง”

“บางครั้งผมก็คิดนะว่าผมไม่น่าทำหน้าที่ดีขนาดนั้นเลย ถ้าสุดท้ายแล้วมันจะทำให้ผมต้องเสียพี่ไปแบบนี้น่ะ”

“มึงยังไม่ได้เสียกูไปสักหน่อย... อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่คืนนี้” เขาจูงมือผมไปที่เตียง

ผมช่วยเขาถอดขาเทียมออกและวางมันลงบนพื้น จากนั้นก็ซุกหน้าลงที่เป้ากางเกงของเขาพลางใช้ลิ้นดุนไปด้วย เขาลูบหัวผมเบาๆ พลางส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ อย่างพึงพอใจ

“ขอถอดกางเกงได้ปะ ไม่ไหวแล้วว่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นถามเขา

“ฮ่าๆๆ คืนนี้เป็นคืนของมึงนะ อยากทำอะไรก็ทำเหอะ และถ้ากูไม่อยากให้มึงทำแบบนั้น กูคงไม่พามึงมาที่นี่หรอกมั้ง”

“ผมก็ว่างั้นแหละ” ผมจับขอบกางเกงของเขา เขายกสะโพกขึ้นเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ผมถอดมันออกได้ง่ายขึ้น

“อีกอย่าง วันนี้กูอยากให้มึงเอากูด้วย”

หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 19-12-2012 20:36:33
มือของผมที่กำลังดึงกางเกงของเขาลงไปกองที่ตาตุ่มหยุดลงทันที ผมเงยหน้ากลับขึ้นไปมองดวงตาของเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“พี่ว่าไงนะ”

“กูบอกว่ากูอยากให้มึงเอากู ไม่ได้ยินรึไง”

“พี่พูดจริงอะ”

“จริง”

“ไม่”

เขาชักสีหน้าทันที “มึงจะปฏิเสธกูรึไง”

“ก็ใช่อะดิ ผมจะไม่ยอมให้พี่ทำแบบนั้นเพราะแค่พี่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำหรอกนะเว้ย”

“มึงเอาอะไรมาพูดวะ ไม่ได้ฟังที่กูเพิ่งบอกไปรึไง กูบอกว่ากูอยากให้มึงเอากู มึงเข้าใจภาษาคนรึเปล่าวะเนี่ย”

“ผมเข้าใจภาษาคนทุกอย่างนั่นแหละ และพี่ก็เคยบอกผมด้วยว่าพี่รู้สึกติดค้างผมอยู่ พี่อยากจะตอบแทนผม ซึ่งผมไม่เคยคิดและไม่เคยต้องการแบบนั้น พี่ต่างหากที่ไม่เข้าใจภาษาคนรึไง”

เขาชันตัวขึ้นนั่ง “นี่มันเหี้ยอะไรวะเนี่ย! เฮ้ย! นี่กูกำลังบอกให้ผู้ชายอีกคนเอาตูดกูเป็นครั้งแรก แต่มึงกลับปฏิเสธเนี่ยนะ! มึงไม่คิดบ้างรึไงว่ากูต้องใช้ความกล้าขนาดไหนถึงจะพูดแบบนั้นออกไปได้น่ะ กูคิดว่ามึงอยากจะเอากูมาตั้งนานแล้วซะอีก!”

“ไอ้อยากน่ะมันก็อยากอยู่หรอก แต่ผมแค่อยากให้พี่แน่ใจจริงๆ ว่าพี่ต้องการแบบนั้น ไม่ใช่แค่พูดเพราะอยากชดเชยอะไรให้ผม หรือรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำเพื่อให้ผมรู้สึกดีอะไรแบบนั้น”

“ไม่ใช่มึง แต่เป็นกูต่างหากที่อยากรู้สึกดี มึงไม่เข้าใจรึไงวะ เวลามึงโดนกูเอา กูเห็นมึงก็เสียว มีความสุขตลอด แล้วถ้ากูอยากจะลองรู้สึกแบบนั้นบ้างไม่ได้รึไงวะ และที่สำคัญ จำไว้ด้วยว่ากูไม่คิดอยากจะไปลองกับใครคนอื่นนอกจากกับมึง!”

ผมนั่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาไม่ได้ต้องการจะตอบแทนอะไรผมมากไปกว่าอยากจะลองรู้สึกถึงความสุขแบบที่ผมเคยรู้สึกเวลาเขาทำผมบ้างเท่านั้นเอง และสิ่งที่ทำให้ผมพูดไม่ออกมากที่สุดคือการที่เขาบอกว่าเขาอยากให้ผมเป็นคนแรก และเป็นคนๆ เดียวที่จะมอบความสุขนั้นให้แก่เขาด้วย

“ช่างแม่ง! กูไปหาเอาจากคนอื่นก็ได้วะ!” เขาคำรามเบาๆ พลางทำท่าจะลุกออกจากเตียง

“ตลกแล้ว” ผมรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ “ผมขอโทษ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละ”

“กูไม่ต้องการคำขอโทษ แต่กูต้องการอย่างอื่น ไม่เข้าใจรึไง”

“ผมบอกแล้วไงว่าผมขอโทษ เมื่อกี้ผมแค่คิดว่าพี่อาจจะแค่อยากทำแบบนั้นเพียงเพราะอยากจะชดใช้ให้ผมสำหรับ...”

“แล้วไง มันจะผิดอะไรนักหนากับการอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อคนที่ทำสิ่งดีๆ ให้แก่กูมาแล้วเยอะแยะวะ” เขาขัดขึ้น “มึงเองก็ทำแบบนั้นเพื่อกูมาตลอดไม่ใช่รึไง”

“เรื่องนั้นมันก็จริง...”

“พรุ่งนี้กูก็ไม่อยู่แล้วนะ พลุ ถึงกูจะไม่ได้พูดออกไป แต่กูก็รู้ดีว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก หรือครั้งหน้ากูอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาแบบมีลมหายใจก็ได้” เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ไอ้พลุ กูอยากทำแบบนี้กับมึง แค่มึงคนเดียว กูอยากทำเพื่อเราสองคน กูอยากให้มีอะไรบางอย่างพิเศษติดไปกับกูด้วย และก็อยากทิ้งบางอย่างที่พิเศษไว้กับมึงเหมือนกัน... เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่แค่การตอบแทนตื้นๆ พรรค์นั้นหรอกนะ เข้าใจรึเปล่า”

“ผมเข้าใจแล้ว และผมก็ดันโง่เองที่ทำลายความรู้สึกของพี่ ผมขอโทษ...” ผมพูดเสียงแผ่วเบาจนแทบเป็นการกระซิบ ผมแทบจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อแล้วด้วยซ้ำ แต่แล้วผมก็รู้สึกมือของเขาที่วางลงบนไหล่ของผม

“อยากเริ่มใหม่มั้ยล่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ปกติกูไม่ค่อยให้โอกาสผู้ชายเอาตูดกูเป็นครั้งที่สองหรอกนะ แต่กับมึงกูยกเว้นให้” รอยยิ้มและคำพูดติดตลกของเขาทำให้ความตึงเครียดจางลง

ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจึงโน้มตัวเข้าหาเขา “เป็นเกียรติมากครับ คุณรติบดี”

เขาหัวเราะและกอดรัดตัวผมลงไปกลิ้งบนเตียง จากนั้นก็คว้ามือเข้าจับและขยำไอ้น้องชายของผม เมื่อมันเริ่มแข็งตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ดึงกางเกงของผมลง ผมเตะมันออกไปจากตัวและจัดการทำแบบเดียวกันกับเขา ผมเลื่อนตัวลงใช้ปากให้กับเขาจนกระทั่งไอ้น้องชายของเขาแข็งตัวจนสุด

“ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว เอากูเลยเถอะ” เขาพูดเสียงกระเส่า

ผมยังคงใช้ลิ้นเลียท่อนลำของเขาพลางใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยที่ประตูหลังของเขาเบาๆ อยู่ตลอด เขาส่งเสียงครางอย่างไม่ขาดสาย จนในที่สุดความอดทนของเขาก็หมดลง

“พอได้แล้ว! เดี๋ยวกูก็แตกก่อนหรอก รีบๆ เอากูสักทีสิวะ!” เขาพูดพร้อมยกตัวขึ้นจับข้อมือผมไว้แน่น

ผมยิ้มให้เขาก่อนจะลุกออกจากเตียงเพื่อไปหยิบเจลล่อหลื่นกับถุงยางออกจากกระเป๋าของเขา จากนั้นก็เริ่มทาเจลหล่อลื่นลงบนประตูหลังของเขาพร้อมกับใช้นิ้วชี้สอดใส่เข้าไปอย่างช้าๆ เขาแอ่นหน้าอกขึ้นพร้อมกับส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ ผมพอบอกได้จากสีหน้าว่าเขาคงจะรู้สึกเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมส่งเสียงโอดโอยหรือบอกให้ผมหยุดแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งเมื่อผมเริ่มสอดนิ้วที่สามเข้าไปแล้ว เขาก็ยังคงกัดฟันและคอยช่วยตัวเองไปด้วยอยู่ตลอดเวลา จนผมชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสีหน้าเหยเกของเขานั้น เขากำลังเจ็บหรือเสียวอยู่กันแน่

“พร้อมรึยัง” ผมถาม

“ใส่เข้ามาได้เลย พร้อมนานแล้ว” เขาตอบด้วยเสียงที่แหบพร่า

“โอเค” ผมตอบรับพร้อมกับจับส่วนหัวน้องชายจ่อเข้าที่ประตูหลังของเขา

“ไม่ต้องกลัวกูเจ็บ” เขาพูดย้ำ

ผมรู้ว่าเขาคงไม่ยอมให้ผมปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นคนบอบบางคนหนึ่งอยู่แล้ว และผมก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงสอดใส่ท่อนลำเข้าไปในประตูหลังของเขารวดเดียวจนมิดด้าม เราสองคนต่างก็ร้องครางออกมาเสียงดังเป็นจังหวะเดียวกัน

“ซี้ดดด..ด..ดส์!! รูพี่แม่งโคตรฟิตเลยว่ะ!”

“อึ๊กกก.กก..!! อาาา...า..ห์!” เขาหอบ

ผมรู้ว่าเขาคงรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย จึงแช่ค้างเอาไว้อย่างนั้นครู่หนึ่ง เขาเอื้อมมือมาจับสะโพกผมเอาไว้ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมองหน้าผม แววตาของเขาแลดูเว้าวอน และเมื่อเขาเริ่มหายใจเป็นปกติแล้ว เขาก็พยักหน้าให้ผมเบาๆ

ผมค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออก เริ่มจากช้า เป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ การเคลื่อนตัวของผมทำให้เราทั้งคู่ต้องส่งเสียงครางออกมาเป็นจังหวะเดียวกัน และในที่สุดไอ้น้องชายของเขาที่เคยหดลงเล็กน้อยก็กลับมาแข็งตัวจนสุดและพาดเป็นลำขนาดเขื่องอยู่บนหน้าท้องอันแข็งเกร็งของเขา

ผมร่วมรักกับเขาด้วยทุกท่วงท่าและลีลาที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีและทำได้เพื่อให้เขาประทับใจกับประสบการณ์ครั้งนี้แบบไม่มีวันลืม ผมรู้สึกถึงความพิเศษบางอย่างเวลาที่เราสบตากัน ดวงตาของเขาเป็นประกายและอ่อนโยนอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งๆ นั้นทำให้กิจกรรมของเราที่เริ่มต้นด้วยความร้อนแรงแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนและนุ่มนวลในตอนท้าย ผมยกขาข้างซ้ายของเขาขึ้นและระดมจูบลงบนปลายขาส่วนที่ถูกตัดออกเหมือนเมื่อครั้งนั้น

พี่คิวยื่นมือมาลูบหน้าอกของผมและกระซิบออกมาเบาๆ “ไอ้พลุ... มึง... มึงทำแบบนี้อีกแล้ว...”

“ก็ผมชอบนี่ ผมบอกไปแล้วว่าผมชอบร่างกายของพี่ ทุกส่วน ไม่ว่าจะขาข้างนี้หรืออีกข้าง กล้ามเนื้อทุกส่วนของพี่ ผมชอบพี่...” ผมจูบลงบนโคนขาของเขาอีกครั้ง “อาา..าา.. พี่คิว ผมรักพี่ว่ะ ผมรักพี่จริงๆ”

“กูรู้อยู่แล้ว พลุ กูรู้... เพราะงั้นกูถึงได้ทำแบบนี้กับมึงไง...”เขาพูดเสียงกระเส่า “อาาา...าา.. กูจะแตกแล้วว่ะ พลุ มึงใกล้รึยัง”

ผมพยักหน้า และจากนั้นก็เริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น พี่คิวจึงใช้มือสาวไอ้น้องชายของตัวเองไปด้วย และอีกไม่กี่นาทีถัดมา เราสองคนก็หลั่งออกมาพร้อมๆ กัน ผมล้มตัวทับลงบนร่างกายของเขาอย่างหมดแรงและนอนอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะมีกำลังพอที่จะถอนไอ้น้องชายออกจากประตูหลังของเขาได้

“แม่งงง...” เขาสบถเบาๆ “ดูซิมึงทำอะไรกับกูเนี่ย...”

“ผมทำอะไร” ผมถอดและโยนถุงยางลงบนพื้นก่อนละล้มตัวลงนอนข้างๆ เขา

“มึงทำให้กูรู้สึกเหมือนเป็นคนละคนเลยว่ะ”

“พี่ก็เป็นพี่คนเดิมนั่นแหละ”

“ไม่จริงหรอก...” เขาหันมามองหน้าผม “มึงเปลี่ยนกูไปแล้วจริงๆ”

“พี่ไม่ได้เป็นเกย์หรอก ผมรู้ และพี่ก็รู้ พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น”

“แต่กูไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องพวกนั้นนี่หว่า” เขาแย้ง “เมื่อกี้มึงพูดว่ามึงรักกูเหรอวะ”

“ใช่... ครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่ผมคิดเสียอีก “ผมว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และผมว่าหลังจากนี้ไม่ใช่แค่พี่หรอกที่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไป เพราะผมเองก็คงเปลี่ยนไปเหมือนกัน” ความคิดที่ว่าเขาจะจากผมไปไกลเริ่มทำให้ใจผมหวั่นไหวอีกครั้ง

“แต่กูไม่รู้ว่ากูจะรักมึงได้แบบเดียวกับที่มึงรักกูรึเปล่านะ พลุ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนรู้สึกผิด และก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรออกไป เขาก็รีบชิงพูดต่อเสียก่อน “แต่กูเองก็รักมึงเหมือนกัน จะรักแบบไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่กูรู้ว่ากูรักมึง”

ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “พี่คิว พี่ไม่ต้องคิดมากหรอก พี่จะคิดยังไงกับผมก็ได้ ผมเข้าใจ ผมไม่เรียกร้องให้พี่ต้องรู้สึกแบบเดียวกับผมอยู่แล้ว ถ้าผมอยากได้พี่เป็นของตัวเองคนเดียวจริง ตอนนั้นผมคงไม่ยอมให้พี่ไปมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นหรอก”

“ถ้างั้นมึงอยากได้อะไรจากกู”

“ไม่อยากได้อะไรเลย”

“จริงเหรอวะ” เขาพูดอย่างไม่อยากเชื่อ

“จริง แต่ก็...”

“แต่อะไร”

“แต่ผมขอแค่ให้พี่เอาความรักที่ผมมีต่อพี่เนี่ย ติดตัวไปกับพี่ด้วยก็พอ ผมอยากให้พี่ลองเก็บรักษามันเอาไว้ ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นอาจจะเป็นแค่เพียงเมล็ดพันธุ์ ผมอยากให้พี่ให้เวลากับมันและดูว่ามันจะงอกเงยขึ้นได้รึเปล่า ถ้าวันนึงพี่รู้สึกพิเศษกับผมและรักผมแบบเดียวกัน มันก็คงจะดี แต่ถ้าไม่ ผมก็ขอแค่พี่ไม่ลืมว่ายังมีคนๆ นี้ที่รักและเป็นห่วงพี่มากๆ อีกคนก็พอ”

คราวนี้เป็นคราวของเขาที่เงียบไปบ้าง “...กูไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครจริงๆ ไม่ว่าจะกับผู้หญิงคนไหน กูก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้ กูไม่เคยให้ใครได้เข้ามาใกล้ชิดกับกูเท่านี้มาก่อนเลย”เขาพูดเบาๆ “กูรู้สึกเหมือนมึงเป็นเพื่อนสนิท เป็นน้องชายที่กูไม่เคยมี และเป็นคนพิเศษ... พิเศษจริงๆ ว่ะ โดยเฉพาะหลังจากคืนนี้ กูว่ากูคงไม่มีวันลืมมึงและเรื่องราวของเราแน่นอน”

“ผมรักพี่ว่ะ พี่คิว ผมว่าผม...” ผมหลับตาลง พยายามฝืนกลั้นน้ำตา ไม่ให้มันไหลออกมา

“นานแล้วนะ ที่กูไม่ได้รู้สึกพิเศษแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกเป็นคนพิเศษของใครเลย กูรู้สึก... ไม่รู้ดิ สมบูรณ์อะ มันเติมเต็มอย่างบอกไม่ถูก กูต้องขอบใจมึงจริงๆ พลุ ที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตกูแบบนี้ มึงชักทำให้กูรู้สึกว่ากูไม่อยากจากไปแล้วนะ”

“แต่พี่ก็ต้องไป”

“ใช่...”

“ดูแลตัวเองดีๆ นะเว้ยพี่ ผมรู้ว่าไม่ว่าพี่จะกลับไปที่นั่นในฐานะอะไร ไปปฏิบัติงานแบบไหน มันก็ยังอันตรายอยู่ดี จะเป็นตายร้ายดียังไงพี่ก็ต้องกลับมา แล้วก็ต้องพาไอ้น้องชายนี่กลับมาด้วยนะเว้ย” ผมกำไปที่ไอ้น้องชายของเขาแล้วบีบเบาๆ

เขาหัวเราะ “สรุปคือมึงติดใจแค่ไอ้นั่นของกูใช่มั้ยเนี่ย”

“ผมติดใจพี่ตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้าไปในห้องแล้วต่างหาก”

เขาชันตัวขึ้นและถอดสร้อยคอทหารออก เขาแกะป้ายชื่อโลหะแผ่นเล็กๆ อันหนึ่งออกและยื่นให้กับผม

“เก็บเอาไว้นะ จนกว่ากูจะกลับมาอีก และจำไว้ว่าถ้าหากว่าวันหนึ่งกูจะตกลุมรักผู้ชายสักคนจริงๆ คนที่กูอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย คนๆ นั้นคือมึงแค่เพียงคนเดียว”

“ขอบคุณครับ” น้ำตาของผมไหลออกจากดวงตาและหยดลงบนป้ายชื่อในมือ “แค่นี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับพี่ ดีใจจริงๆ...”


.................... จบ ....................

จบละครับ อีกแนวที่ผมไม่เคยแต่งมาก่อน ยากเหมือนกัน แต่ยังไงก็ขอบคุณมากๆๆๆ ที่ทนอ่านจนจบนะครับ เรื่องใหม่จะมาเร็วๆ นี้ ติดตาม ทักทาย ติชม พูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/ExecutionerNovel เหมือนเดิมนะครับ ยังคงน้อมรับทุกคำติเช่นเคยนะครับ ถ้าตรงไหนปรับปรุงได้ จะนำไปใช้กับนิยายเรื่องต่อๆ ไปครับ ^^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Motion_Lover ที่ 19-12-2012 21:24:07
ซึ้งมากค่ะคุณต้น ประทับใจ..
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 19-12-2012 21:52:57
อ่านแล้วแบบคือชั่วขณะที่เป็นนิรันดร์

เป็นเรื่องที่จะเก็บไว้ในใจไปตลอดชีวิตเลย ซึ้งมาก ;____;
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 19-12-2012 21:55:29
นิยายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนแบบที่ผู้ชายเค้ามีให้กันมันไม่มีอะไรขาดแล้วครับ

หรือถ้ามีมันก็คงเปรียบได้กับความแตกต่างของมนุษย์แต่ละคน ซึ่งมันคงไม่มีใครสมบูรณ์แบบ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอบอุ่นในหัวใจมากๆครับ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆและอบอุ่นเรื่องนี้นะครับ  :pig4: +1 อีกครั้งครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 19-12-2012 22:18:44
ประทับใจอ่ะ
เป็น ความพิเศษ จริงๆนะ
ขอตอนพิเศษ ให้ได้เจอกันด้วยนะคะ

บวกหนึ่งคะ น้ำตาคลอเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 19-12-2012 22:19:58
ประทับใจที่สุด จบได้ดีมากค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 19-12-2012 22:46:23
ตอนจบร้องไห้เลยอ่ะ มันอบอุ่นเเต่มันก็ :monkeysad: :monkeysad:

กดเป็ดก๊าบๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: KaorPaor ที่ 19-12-2012 23:19:43
ขอบคุณมากค่่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 19-12-2012 23:28:20
จบแล้วอย่างน่าประทับใจ หลังจากนี้ ถ้ามีตอนพิเศษมาลงให้อ่านบ้างก็น่าจะดีนะค้าบ รออ่านตอนพิเศษ(ถ้ามี) อย่าลืมกันนะค้าบคนเขียน
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 19-12-2012 23:51:47
เป็นนักเขียนที่ไม่ทำให้คนอ่านผิดหวังจริงๆ
ถึงรักครั้งนี้จะไม่ใช่รักแรกของทั้งคู่ แต่เชื่อเหลือเกินว่าจะเป็นรักที่ประทับใจที่สุดของทั้งพลุและคิว
อยากให้รักแบบนี้มาเกิดกับตัวเองบ้างจัง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: vivalasvegus ที่ 20-12-2012 00:11:11
แล้วเขาทั้ง 2 จะกลับมาเจอกันอีกไม๊นี่ คาดเดากันไป

 
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 20-12-2012 01:37:53
ว้าว อ่านรวดเดียวจบ
ขอบคูณกับเรื่องดีๆอีกเรื่องนะคะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 20-12-2012 02:04:08
ขอบคุณมากคับคุณต้นสำหรับนิยายเรื่องนี้คับ เต็มไปด้วยคุณภาพ ความรักอีกรูปแบบหนึ่งคับ อิ่มเอม อบอุ่นคับ จะติดตามผลงานของคุณต้นต่อไปนะคับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 20-12-2012 09:50:16
ประทับใจมากเลย

ปกติแล้วเวลาเจอนิยายที่จบคล้ายๆแบบนี้จะรู้สึกค้างๆคาๆ 

แต่นี่เป็นตอนจบแบบไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกค้างคาเลยอ่ะ

มันรู้สึิกเต็มตื้นในอก  และก็ประทับใจมากเลย

ขอบคุณที่นำเรื่องราวดีมาลงให้อ่านนะค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 20-12-2012 15:38:52
น่าติดตาม เป็นเรื่องที่ดีมากเลยยยย

ประทับใจสุดๆๆๆ มีผลงานมาอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย [New 19 Dec จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 20-12-2012 16:35:10
อ่านแล้วเต็มจิต อิ่มใจ!!!!!
ขอบคุณแก่สิ่งดีๆที่มอบให้กันครับ
อย่างที่บอก เซ็กส์มันเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น
แต่ความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มต่างหากที่รับรู้ได้จากเรื่องนี้
ยังรอคอยผลงานเรื่องอื่นๆอยู่นะครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 22-12-2012 20:09:23
ส่งท้าย

เสียงของลูกบาสกระทบกับพื้นอย่างเป็นจังหวะดังก้องไปทั่วทั้งโรงยิม เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งยืนย่อตัวพร้อมกับเลี้ยงลูกบาสอยู่ด้วยมือขวา เขาจับจ้องผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง ถึงจะรู้ดีว่าเขามีข้อได้เปรียบอีกฝ่ายอย่างมาก แต่เขาก็รู้ถึงความสามารถของคนๆ นี้อย่างดีด้วยเหมือนกัน ถึงจะเป็นแค่การซ้อม แต่เขาก็ไม่อยากแพ้

ชายหนุ่มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ เขาเหลือบมองไปทางซ้ายมือของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการหลอกล่อ แต่แล้วกลับรีบพุ่งตัวไปทิศตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาคิดว่าเขาคงจะหลบรุ่นพี่ที่เขาเคารพคนนี้พ้น แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายมีร่างกายที่สูงและช่วงแขนที่ยาวกว่า บวกกับประสบการณ์และความรวดเร็วที่เขายังเทียบชั้นไม่ติด ทำให้ลูกบอลที่เขาครองเอาไว้ถูกปัดออก ฝ่ายตรงข้ามที่จัดการปัดลูกหลุดออกจากมือของชายหนุ่มได้แล้วรีบพุ่งตัวเข้าไปคว้าลูกด้วยก้าวยาวๆ แค่ไม่กี่ก้าว พลิกตัวหันกลับไปยังแป้นบาสพร้อมกับกระโดดลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นแค่เพียงเล็กน้อย เขาปล่อยลูกบาสออกจากมือ และอีกไม่ถึงอึดใจถัดมา ลูกบาสก็ลอยผ่านอากาศและพุ่งลงห่วงไปโดยไม่กระทบกับขอบแป้นเลยแม้แต่นิดเดียว

“เฮ้ยยย อะไรว้าาา!!” ชายหนุ่มชูแขนทั้งสองขึ้นพร้อมกับโวยออกมาเบาๆ “พี่พลุแม่งชนะอีกแล้วอะ! แม่งงง!”

“มึงแม่งโคตรอ่อนอะ ไอ้ยิ่ว! ฮ่าๆๆ” เสียงแซวจากข้างสนามดังขึ้น

“หุบปากเลย ไอ้เชี่ยป๊อป มึงเองก็ยังไม่เคยเอาชนะพี่เค้าได้สักทีเหอะ!”

“สรุป พี่ชนะ 3-2 ลูก เพราะงั้นมึงต้องเลี้ยงไอติมพี่ตามสัญญานะ ไอ้ยิ่ว” พลุเดินเข้ามาตบบ่ารุ่นน้องของเขาเบาๆ

“ได้พี่ สัญญาเป็นสัญญาอยู่แล้ว” ยิ่วหันมายิ้มให้พลุก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนของตัวเอง “เฮ้ย ไปเหอะว่ะ กูต้องไปรับเจ๊กูอีก เดี๋ยวจะไม่ทัน”

“ไปดิ” ป๊อปลุกออกจากม้านั่งพร้อมกับกระเป๋าสะพายของตัวเองและเพื่อน

“งั้นพวกผมไปก่อนนะพี่ ขอบคุณมากนะครับพี่ที่มาซ้อมกับพวกผมอะ” ยิ่วยกมือไหว้พลุ

“เฮ้ย ไม่เป็นไร นานๆ ได้เล่นแบบนี้ทีก็ดีเหมือนกัน”

“นี่ขนาดพี่กระโดดไม่ค่อยได้นะ พวกผมสองคนยังไม่เคยเอาชนะพี่ได้สักที” ป๊อปเดินเข้ามาสมทบ

“พี่ก็เล่นได้แค่นี้อะว่ะ ให้เล่นทั้งสนามหรือกลับไปวิ่งแบบเมื่อก่อนก็ไม่ไหวเหมือนกัน” พลุยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ

เด็กหนุ่มทั้งสองคนรู้ดีเกินกว่าที่จะพูดมากไปกว่านั้น พวกเขาจึงขอตัวรุ่นพี่กลับก่อน ทิ้งให้พลุยืนอยู่คนเดียวในโรงยิม เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อและนั่งลงบนม้านั่ง จากนั้นก็ก้มลงมองข้อเท้าของตัวเอง ที่จริงเขาก็เริ่มรู้สึกเจ็บที่แผลเก่าขึ้นมานิดๆ อยู่แล้วเหมือนกัน เกมเมื่อกี้ถ้าหากเขาไม่รู้ทันเจตนาของรุ่นน้องและปฏิกิริยาตอบสนองของเขาไม่ว่องไวพอ เขาก็คงจะแพ้ไปแล้ว ประสบการณ์จากการแข่งขันและการฝึกซ้อมมาหลายปีก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถึงกับเลือนหายไปเสียทีเดียว

พลุเริ่มกลับมาจับลูกบาสและวิ่งในสนามอีกครั้งหลังจากที่คิวกลับไปประจำการที่เดิม เขาค้นพบว่าสิ่งที่เขาขาดหายไปคืออะไร รวมทั้งยังพบอีกด้วยว่า ในขณะเดียวกันเขาก็มีบางสิ่งอยู่ในตัวเองแต่เขากลับพยายามไม่ใส่ใจมันมาตลอด การได้รู้จักกับคิว ทำให้เขาได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ทั้งความสำคัญของความฝัน ความสำคัญของชีวิต การเข้าใจและรู้จักตัวเอง และยังรวมไปถึงความรัก...

สี่เดือนแล้วนับตั้งแต่เขากับคิวแยกจากกัน แรกๆ เขาก็ยังได้ติดต่อกันอยู่บ้าง ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นการเขียนจดหมายจากเขาไปหาคิวเพียงฝ่ายเดียวเสียมากกว่า พลุชอบการเขียนจดหมายมากกว่าการเขียนอีเมลหรือติดต่อผ่านทางเฟซบุ๊คเยอะ เขารู้สึกว่ามันคือความทรงจำและความละเอียดอ่อนที่แสดงออกถึงความคิดคำนึงอย่างแท้จริง และที่สำคัญ คิวเองก็ไม่ค่อยจะอัพเดทอะไรในเฟซบุ๊คของตัวเองอยู่แล้ว

มีบางครั้งที่คิวจะโทรมาหาเขาบ้างเพื่อบอกเล่าชีวิตและเรื่องราวต่างๆ ให้เขาได้ฟังตามประสาของคนที่พูดบรรยายความรู้สึกอะไรไม่ค่อยเก่ง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา เพียงพอแล้วเพื่อให้เขารู้ว่าคนที่เขารักยังคงสบายดี คิวได้กลับไปประจำที่กรมเดิม แต่ว่าทำงานอยู่ในฐานทัพ ไม่จำเป็นต้องออกไปรบกับพวกผู้ก่อการร้ายเหมือนแต่ก่อน ความเสี่ยงลดลงไปกว่าครึ่ง แต่พลุก็ยังคงสวดมนต์ภาวนาให้เขาปลอดภัยอยู่แทบทุกคืน เพราะบางครั้งคิวก็ยอมรับให้เขาฟังว่าเขายังคงต้องคอยหลบกระสุนของพวกโจรใต้เหล่านั้นอยู่ดี

ถึงแม้เขาสองคนจะไม่เคยคุยเรื่องคืนนั้นกันอีก และไม่เคยเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ออกมาให้อีกฝ่ายได้ยินเลยสักครั้ง เพราะต่างคนก็ต่างไม่อยากผูกมัดอีกฝ่ายเอาไว้ แต่เขาก็ยังคงรักและยึดมั่นในความรักที่มีต่อคิว รวมทั้งยังรอคอยการกลับมาของเขาอยู่ตลอด แม้ว่ามันจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม

เมื่อข้อเท้าเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว พลุก็ลุกขึ้นยืน เก็บของ และเดินออกจากโรงยิม เขามองดูเวลาในนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าตัวเองเริ่มสายมากแล้ว เขามีนัดกับโจที่โรงพยาบาลเวลาหกโมงเย็น ซึ่งเขาตั้งใจไว้ว่าจะออกจากโรงยิมตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงรีบขับรถตรงไปยังโรงพยาบาลทันที และในขณะที่รถติดไฟแดงอยู่เขาก็โทรไปบอกโจว่าเขาอาจจะไปช้านิดหน่อย ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่าเขาติดประชุมอยู่และอาจจะเลิกช้าหน่อยเหมือนกัน ให้พลุเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของเขาก่อนได้เลย

ก่อนหน้านี้โจโทรบอกเขาว่ามีธุระอยากคุยด้วย ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของทางโรงพยาบาล และผู้อำนวยการอยากจะเชิญพลุไปร่วมเป็นหนึ่งในผู้บรรยาย เพราะเห็นว่าเขาเป็นอาสาสมัครคนแรกและคนเดียว ที่ได้ร่วมงานกับทหารคนแรกของประเทศไทยที่สูญเสียอวัยวะจากสนามรบ แต่ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจเป็นอย่างดีจนสามารกลับไปประจำการได้อีกครั้ง

คิวนึกขำในใจทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะคนอื่นนอกจากพี่โจแล้วคงไม่รู้เลยว่าเขากับคิวได้ทำอะไรด้วยกันมาบ้าง และเขาก็ไม่คิดว่าวิธีการบำบัดผู้ป่วยของเขาที่เคยใช้กับคิวจะสามารถนำไปพูดบรรยายหรือสอนให้คนอื่นทำแบบเดียวกันได้เช่นกัน

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เขาก็เดินตรงไปที่ออฟฟิศของโจด้วยความคุ้นเคยทันที ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำงานที่นี่มาหลายเดือนแล้ว แต่เขาก็เคยกลับมาเยี่ยมเยียนโจอยู่บ้าง 2-3 ครั้ง พนักงานและพยาบาลหลายคนที่จำเขาได้ก็หยุดทักทายเขาอย่างเป็นมิตร เมื่อไปถึงหน้าห้องของโจ เขาก็เปิดประตูออกและเดินเข้าไปข้างในตามที่ถูกบอกไว้เลยทันที แต่เมื่อเขาเห็นว่ามีชายคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนเก้าอี้ทำงานของโจ เขาก็ชะงักและรีบเอ่ยขอโทษออกมาทันที

“อ้าว ขอโทษทีครับพี่โจ ผมนึกว่าพี่ยังไม่ออกจากประชุม เลยเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตูก่อน” พลุปิดประตูลงและหยุดยืนอยู่กับที่ เขาสังเกตเห็นปลายแขนเสื้อของโจแล้วก็นึกเอะใจ

เก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ค่อยๆ หันมาทางเขา เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วคนที่นั่งอยู่นั้นไม่ใช่อดีตหัวหน้าของเขา แต่เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างกำยำในชุดลายพรางอันเป็นเอกลักษณ์ต่างหาก

“พี่คิว!!” พลุร้องเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาพร้อมกับอ้าปากค้าง

“อะไร ดูทำหน้าเข้า กูเป็นคนนะเว้ย ไม่ใช่ผี ยังไม่ตาย ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้” คิวหัวเราะเบาๆ พร้อมกับยืนขึ้น

พลุคิดว่าเขาดูกำยำขึ้นกว่าเมื่อตอนที่อยู่ในโรงพยาบาลเสียอีก แต่ผิวของเขากลับดูขาวขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งใบหน้ายังดูคมเข้มขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกด้วยซ้ำ หรือบางทีมันอาจจะเป็นแค่การจิตนาการไปเองของตัวเขาเองก็ได้ เวลาเพียงแค่สี่เดือนจะทำให้ใครสักคนเปลี่ยนไปขนาดนั้นได้อย่างไรกัน... ใช่ ‘แค่’ สี่เดือนเท่านั้นเอง

“พี่มาทำอะไรที่นี่ และ...และพี่มาได้ยังไงวะเฮ้ย” เขาพูดติดอ่าง

“กูคิดถึงมึง อยากกลับมาหามึง กูมาไม่ได้รึไง” คิวนิ่วหน้า “เราไม่ได้เจอกัน ‘ตั้ง’ สี่เดือนนะเว้ย”

ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องย้ำคำๆ นั้นเป็นพิเศษหรอก เพราะสำหรับพลุแล้ว เวลาสี่เดือนมันยาวนานยิ่งกว่าสี่ปีเสียอีก

“แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนว่าพี่จะมา!”

“บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์อะดิวะ”

พลุยังคงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกดีใจมันท่วมท้นจนเขาแทบอยากจะกระโดดกอดผู้ชายตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด

“มึงจำได้มั้ยว่าตอนกูไป มึงให้กูเอาอะไรติดตัวไปด้วย...” คิวพูดพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหาพลุด้วยท่าทางสุขุม

พลุพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่ามือกำลังสั่นน้อยๆ

“วันนี้กูกลับมาพร้อมกับคำตอบแล้วนะ” คิวยื่นมือออกมาหยิบแผ่นป้ายชื่อสีเงินที่ห้อยอยู่ที่คอของพลุขึ้นดู

“ค... คำตอบอะไร” พลุถามกลับด้วยหัวใจที่เต้นรัว

“มึงยังรักกูอยู่รึเปล่า”

“ห... เหออ”

ทหารหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยสีหน้าผิดหวังพร้อมกับปล่อยมือออกจากสร้อย “เออ... กูไม่น่าถามมึงแบบนั้นเลย กูขอโทษว่ะ ลืมๆ มันไปซะเหอะ”

“เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ เมื่อกี้พี่ถามอะไรนะ”

“ช่างมันเหอะ กูผิดเองแหละที่ไม่ได้คุยกับมึงให้มากกว่านั้น กูเป็นคนที่ไม่ชัดเจนเอง จู่ๆ ก็มาพูดเรื่องนี้ มึงคงตกใจอะ”

“พี่คิว”

“มึงคงมีคนอื่นคุยด้วยแล้วใช่มั้ยล่ะ หน้าตาแบบมึงจะมีแฟนสักกี่คนก็คงไม่แปลก”

“เฮ้ย!! นี่พี่พล่ามอะไรของพี่วะเนี่ย!” พลุโพล่งขึ้นอย่างหมดความอดทนพร้อมกับคว้าไปที่ข้อมือของชายตรงหน้า “ผมรักพี่นะเว้ย! ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย!! ตั้งสี่เดือนนะที่ผมรอพี่คนเดียวมาตลอด! แล้วจู่ๆ พี่มาเพ้อเจ้ออะไรของพี่เนี่ย! ผมรักพี่ ได้ยินรึเปล่า!”

คิวผงะไปเล็กน้อยด้วยความตกใจ จากนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับดึงตัวของอีกฝ่ายเขามากอดอย่างแนบแน่นราวกับพยายามจะหลอมรวมร่างกายของทั้งคู่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

“กูคิดถึงมึงจริงๆ ว่ะ” คิวพูดในลำคอเบาๆ “กูขอโทษที่อาจดูเฉยชาไปบ้าง แต่กูติดภารกิจหลายอย่าง และกูก็ต้องการเวลาเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองด้วย แต่ตอนนี้กูรู้แล้ว กูรู้แล้ว...”

“รู้ว่าอะไร” พลุถามพลางดันตัวออก เขามองลึกไปยังดวงตาของคิวอย่างคาดหวัง

“กูรักมึง” คิวตอบอย่างไม่ลังเล “กูรักมึง และอยากให้มึงเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวของกูที่กูจะเรียกว่าคนรักว่ะ” เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “กูมาหนนี้ กูมีของอย่างหนึ่งอยากจะให้มึงด้วย กูอยากให้มึงใส่มันนะ ไอ้พลุ...”

พลุยืนมองการเคลื่อนไหวของคิวแล้วตาโต เขาไม่เคยคิดเลยว่าคิวจะซื้อแหวนมาให้เขาด้วย เขาทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกผิดไปด้วยพร้อมๆ กัน เพราะเขายังไม่เคยคิดที่จะซื้อแหวนให้กับคิวมาก่อนเลย ก่อนหน้านี้เขายังเคยคิดว่าตัวเองจะต้องตัดใจแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่จู่ๆ คิวก็กลับมา และกลับกำลังจะเป็นฝ่ายมอบแหวนให้แก่เขาก่อนเสียด้วยซ้ำ

“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่านี่พี่ซื้อแหวนมาให้ผมด้วยน่ะ!”

“แหวนเหรอ แหวนอะไรวะ” คิวนิ่วหน้า จากนั้นก็หยิบของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาใส่มือของพลุ

พลุก้มลงมองดูซองพลาสติกในมือด้วยสีหน้างุนงง

“นี่มัน... ถุงยางไม่ใช่เหรอวะพี่”

“ก็ใช่ดิ หรือมึงจะไม่เอากู หรืออยากเอาสดก็คุยกันได้นะเว้ย แต่ที่แน่ๆ คือมึงต้องเอากูแน่นอนล่ะ” ทหารหนุ่มพูดพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

พลุหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความชอบใจจากนั้นก็ดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามากอดและจูบปากอย่างดูดดื่ม

“กวนส้นตีน!!” พลุพูดพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ หลังจากที่ทั้งคู่ถอนปากออกจากกันแล้ว

“กวนตีนแล้วอยากได้เป็นแฟนรึเปล่าล่ะ เฮอะ”

“อยากสิคร้าบบบ”

“ถ้าอยาก คืนนี้ก็ใส่ไอ้ที่อยู่ในมือนั่นซะก่อน ส่วนอะไรที่มันต้องใส่ในนิ้วนางข้างซ้ายเอาไว้ค่อยไปซื้อด้วยกันทีหลัง โอเคมั้ย”

“โอเคครับพ้ม!!”

คิวยกตัวพลุขึ้นจากพื้นแล้วทั้งสองคนก็จูบปากกันอีกครั้ง

...............................................
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 22-12-2012 20:19:57
ถุงยางอนามัยพระเจ้า ก๊าก ซึ้งดีๆ ตัดอารมณ์ทันที่ค่ะ

อิอิ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 22-12-2012 20:24:34
เคะถึกกกก :oo1: :oo1: :oo1:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 22-12-2012 20:52:25
อ่านจบแล้วหุบยิ้มไม่ลง น่ารักอ่ะ พี่คิว พลุ :กอด1:

+1 ขอบคุณพี่ต้นครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 22-12-2012 21:13:28
ดีใจอ่ะ ที่ ออกมาเป็นแบบนี้ ยิ้มมมมมมมม เยิ้มมมมมม
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: namtarn11 ที่ 22-12-2012 21:17:34
ท่าทางคิวจะติดใจรับนะ ><
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: vevi ที่ 22-12-2012 22:40:22
บรรยายไม่ถูก แต่อ่านจบแล้วจะยิ้มกันได้แน่นอน
เป็นคู่รักที่เป็นกำลังใจให้กันและกัน  :L2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: hello_lovestory ที่ 22-12-2012 23:00:10
เย้ๆ มีตอนพิเศษด้วย คนเขียนน่ารักที่สุดเลย ในที่สุดพี่คิวก็ยอมตกเป็นของน้องพลุ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ZomZaa^^ ที่ 22-12-2012 23:21:00
ขอบคุณนะค๊าบพี่ต้นสำหรับเรื่องดีๆ สนุกๆอีก 1 เรื่อง

อบอุ่น ปนๆกับความเข้มแข็ง เป็นมุมมองใหม่ๆที่ไม่เคยอ่านมาก่อน

เป็นกำลังใจให้พี่ต่อไปนะค๊าบ^^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: kasarus ที่ 22-12-2012 23:36:10
มียิ่วกะป๊อบโผล่มาทักทายด้วย คิดถึงเด็กๆ พวกนี้จัง
คราวก่อนก็มีโจ-นนท์โผล่ไปฟีชเจอริ่งในเรื่องอะไรซักเรื่องแล้ว
ผลงานถัดไปจะมีใครมาแจมนะ

แหมะ...พี่คิวโดนไปทีเดียว'เปลี่ยน'ไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ
แล้วนี่สรุปว่าพี่คิวจะกลับมาอยู่กับพลุเลยหรือต้องลงไปใต้อีกเนี่ย
แต่ยังไงก็ดีใจกับพลุด้วยนะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 22-12-2012 23:55:37
ฟินสุดประมาณการณ์ได้


โฮวววววววววววว ดีใจที่ได้อ่านมากค่ะ ขอบคุณคนแต่งร้อยครั้ง
ถวายเป็ดเป็นการสักการะ  :m2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Little_Devil ที่ 23-12-2012 10:16:48

จากที่ตอนจบทำเอาซึ้งน้ำตาคลอ มาเจอตอนพิเศษตัดฟีลซะเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน

ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายดีๆ แบบนี้ให้อ่าน ให้อารมณ์ความรู้สึกแบบที่ผู้ชายเขารักกันดี
ไม่หน่อมแน้ม หรือคิกขุเกินไป แบบที่เป็นเรียลจริงๆ

ขอบคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: miracle22936 ที่ 23-12-2012 11:35:33
อ้าวววว นึกว่าพี่คิวจะ รุก ซะอีก กลายเป็น รับ ซะนี้

เปลี่ยนบทบาทกับพลุไปโดยสิ้นเชิง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 23-12-2012 12:52:13
เริ่มต้นได้ซึ้งมาก แต่ลงท้าย...... กะฉูดดดดดด
5555555+
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tassanee ที่ 23-12-2012 13:08:36
โคตรจะซาบซึ้งมากๆ  กินใจสุด ๆ ไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-12-2012 15:46:24
เฮ้อ......

ลุ้นมากกว่าจะจบ

ไม่เคยอ่านแนวนี้เลยขอรับ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆขอรับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 23-12-2012 19:18:58
อิ่ม แต่สั้นไปอ่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 23-12-2012 21:13:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 24-12-2012 09:58:15
อิอิ  >///<  เขินอ่ะ

แต่สั้นไปนะจ๊ะ  คิกคิก
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: IIMisssoMII ที่ 01-01-2013 19:29:13
โรแมนติกว่ะ ให้ถุงยาง
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 01-01-2013 21:23:23
 :L2:  ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีเรื่องนี้

รักเรื่องนี้จังเลย  อยากให้มีตอนพิเศษเยอะะ  ไม่รู้สิอ่านแล้วประทับใจมากเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: chatori ที่ 02-01-2013 18:03:21
ซึ้งมาก ตอนท้ายหักมุมซะนี่ ฮี่ๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ListeL ที่ 02-01-2013 18:12:07
โหยสุดยอดคะ >0<

เปนเรื่องที่แมนมาก เป็น nc ที่คำพูดฮาร์ทคอร์สุดๆ555 

เราอ่านแล้วเรารักชาติมากกว่าเดิมอ่ะแบบมันรู้สึกยังไงล่ะโอ๊ยอธิบายไม่ถูก คนเขียนเขียนได้ถึงอารมณ์สุดเราอินมากคะบอกตรงๆ

นับถือพี่ทหารคิวมาก จึบๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Inthefathername ที่ 03-01-2013 00:54:45
โครตชอบอ่ะ บทจะซึ้งก็ซึ้งกินใจ
ซีนความอึดอัดของตัวละครสื่อออกมาให้รู้สึกตามชัดเจนมาก
ส่วนบท nc ก็สุดยอด.. มันให้ความรู้สึกที่แบบ real ดี

ขอบคุณคนแต่งค่ะ แต่งได้เยี่ยมจริงๆ  o13
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 03-01-2013 05:51:51
ไม่ได้เข้าเล้ามานานมากๆ เลยหาเรื่องที่จบแล้วที่สั้นๆอ่าน เห็นชื่อคนแต่งแล้วก็เลือกจิ้มเป็นเรื่องแรกเลย แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆครับ

 :oo1:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 03-01-2013 14:29:46
 :o8:
ซึ้งมากๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 05-01-2013 10:01:08
ซึ้งอ่า  :m15: ชอบๆๆๆๆๆๆ คนเขียนเก่งจัง >////< ตอนจบอ่ะอย่างลุ้น แล้วสุดท้ายพี่เค้าก็ต้องไป แต่พอได้อ่านตอนพิเศษ กรี๊สสสสสสสสสสสสสส..ฟินคร๊าาาาาาาา 555555

ปล. ตอนที่พี่เค้าจะควักของขวัญแล้วคิดว่าเป็นแหวนอ่ะ ทำเค้าร้องไห้เลย  :sad4: แต่พอเป็นถุงยางปุ๊บ >>>>  :m20:

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 06-01-2013 09:17:02
ไม่ค่อยได้อ่านแนวนี้เลย
สนุกมากมายเลยฮ๊าฟฟฟฟ
เคะล่ำได้อีกกกกก อิอิ
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: TimelessOne ที่ 08-01-2013 01:07:37
 :n1: ตอนพิเศษ >_<
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Mocha01 ที่ 08-01-2013 21:55:08
 :pig4: :pig4:

พึ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้ ความรู้สึกมันใช่เลย ชอบมากๆ กับคิวละพุล มันเป็นความรักที่สวยงามจริงๆ
ขอตอนพิเศษอีกสักตอนเหอะนะ พรีสส 5555


และขอบคุณคนแต่งด้วยนะครับที่เขียนนิยายแนวแมนๆที่หาอ่านยากๆมาให้ดู ซึ่งมันถูกใจมากมายคงจะต้องฝากตัวเป็นแฟนคลับแล้วตามเก็บทุกเรื่องแล้วละ
ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: fongbeer37 ที่ 11-01-2013 16:17:58
นิยายเรื่องนี้สนุกมากกอ่านแล้วแบบ เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ขอบคุนที่เขียนนิยายดีดีมาให้อ่านน่ะคับ ^^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: SuMoDevil ที่ 11-01-2013 23:15:59
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้นะคุณต้น  พออ่านจบ บอกได้คำเดียวว่าแม่งสุดยอดมาก
ถามจริงๆคุณต้นเคยเป็นอาสาสมัครหรือเคยทำงานกับ อผศ ป่ะ มันใช่เลย ใช่มาก 555

ทหารผู้ผ่านศึกทุกนาย ไม่ว่าศึกเล็กศึกใหญ่ ศึกในหรือศึกนอก ล้วนไม่ต้องการคำว่าสงสารหรือเห็นใจ
เพราะพวกเขา "ได้เลือกแล้ว ตั้งแต่ตบเท้าเข้ารับราชการทหาร" 
สิ่งที่ต้องการ คือกำลังใจและโอกาสในอนาคต
นี่คือคำพูดจากใจทหารทุกนายครับ อย่างที่ทุกคนได้อ่านในเรื่องนี้

บางช่วงบางตอน อ่านแล้วแอบก็น้ำตาซึม เพราะผมก็เสียเพื่อนที่ดีจากเหตุการณ์แบบนี้ที่ปัตตานีเหมือนกัน
ประโยคที่ผมอ่านแล้วสะท้อนใจที่สุด แต่ก็ชอบมันที่สุดคืออันนี้

อ้างถึง
“เปล่า กูหมายถึงว่าหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น เราต่างก็ตกเป็นข่าวเหมือนกัน ลงหนังสือพิมพ์บ้าง ออกทีวีบ้าง แต่อีกไม่กี่เดือนถัดมา ทุกคนก็จะลืมเรื่องและแม้แต่ชื่อของพวกเราไปอย่างง่ายดาย ไม่สิ ที่จริงกูว่าคงไม่มีใครจำชื่อของเราได้อยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ทุกคนจะใช้คำว่า ‘น่าสงสาร’ กันจนเฝือไปหมด ซึ่งพอสุดท้ายแล้วก็เหลือแค่เราคนเดียวที่ต้องอยู่กับชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล...”
อย่างน้อย ไม่ว่าจะเพราะการลืมง่ายของคนไทย สังคมไทย หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ และเป็นมาตลอด

ขอบคุณคุณต้นนะ ที่เขียนเรื่องราวดีมากๆแบบนี้ให้ทุกคนได้อ่านกัน  มันเข้าถึงง่ายและอิ่มเอมจริงๆในความรู้สึกผม
คุณคิวและคุณพลุ คือเดอะมิซซิ่งพีซ ของกันและกันอย่างแท้จริง 

เอาเป็นว่า ผมจะต้องยิ้มได้ทุกครั้งแน่ๆที่นึกถึงเรื่องราวนี้ และคงจะรู้สึกดีๆไปอีกนานแสนนาน
o13 :pig4: :L2:


หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 11-01-2013 23:58:08
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้นะคุณต้น  พออ่านจบ บอกได้คำเดียวว่าแม่งสุดยอดมาก
ถามจริงๆคุณต้นเคยเป็นอาสาสมัครหรือเคยทำงานกับ อผศ ป่ะ มันใช่เลย ใช่มาก 555

ทหารผู้ผ่านศึกทุกนาย ไม่ว่าศึกเล็กศึกใหญ่ ศึกในหรือศึกนอก ล้วนไม่ต้องการคำว่าสงสารหรือเห็นใจ
เพราะพวกเขา "ได้เลือกแล้ว ตั้งแต่ตบเท้าเข้ารับราชการทหาร" 
สิ่งที่ต้องการ คือกำลังใจและโอกาสในอนาคต
นี่คือคำพูดจากใจทหารทุกนายครับ อย่างที่ทุกคนได้อ่านในเรื่องนี้

บางช่วงบางตอน อ่านแล้วแอบก็น้ำตาซึม เพราะผมก็เสียเพื่อนที่ดีจากเหตุการณ์แบบนี้ที่ปัตตานีเหมือนกัน
ประโยคที่ผมอ่านแล้วสะท้อนใจที่สุด แต่ก็ชอบมันที่สุดคืออันนี้
อย่างน้อย ไม่ว่าจะเพราะการลืมง่ายของคนไทย สังคมไทย หรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ และเป็นมาตลอด

ขอบคุณคุณต้นนะ ที่เขียนเรื่องราวดีมากๆแบบนี้ให้ทุกคนได้อ่านกัน  มันเข้าถึงง่ายและอิ่มเอมจริงๆในความรู้สึกผม
คุณคิวและคุณพลุ คือเดอะมิซซิ่งพีซ ของกันและกันอย่างแท้จริง 

เอาเป็นว่า ผมจะต้องยิ้มได้ทุกครั้งแน่ๆที่นึกถึงเรื่องราวนี้ และคงจะรู้สึกดีๆไปอีกนานแสนนาน
o13 :pig4: :L2:




ขอบคุณมากครับ ปลื้มใจที่ได้อะไรนอกจากความรักของสองคนนี้ไปด้วย ขอบคุณจริงๆ ครับ และเปล่าครับ ไม่เคยเป็นอาสาสมัครหรืออะไรหรอก เรื่องนี้เขียนมาเพราะรู้สึกแบบนั้นล้วนๆ เป็นอะไรที่สนองนี้ดตัวเองล้วนๆ ครับ

ขอบคุณทุกๆ คอมเมนท์ด้วยนะครับ แอบอ่านอยู่ทุกอันแหละ แล้วไว้เจอกันเรื่องใหม่นะครับ ^^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 12-01-2013 15:40:47
เถื่อนได้ใจมากกกกก
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 18-01-2013 21:52:05
ชอบเรื่องนี้นะคะ

นำเสนออีกแง่มุมนึง น่าสนใจมากค่ะ

พลุทำให้พี่คิวเปิดใจ เปิดตัวเอง สร้างความมั่นใจให้พี่คิว

ตอนแรกคิดว่าจะจบแบบต่างคนต่างไปซะอีก (แอบใจหาย >.<)

ขอบคุณนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 20-01-2013 19:08:31
ซาบซึ้งมากๆ รู้สึกถึงความพยายามในความสิ้นหวังเหล่านั้น :กอด1: ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆให้อ่าน :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 21-01-2013 23:22:06
เขียนได้น่าประทับใจมากค่ะ มากกว่าความรักจริงๆคู่นี้
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 23-01-2013 14:50:20
ประทับใจมากครับ อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ ขอบคุณครับผม
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 25-01-2013 00:03:28
บอกตรงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีมากๆอ่ะ
มันสะท้อนถึงความคิดของมนุษญ์จริงๆ บอกถึงอีกด้านของความรู้สึก
ชอบอ่ะ ตอนแรกกะไว้ว่าไม่น่าจะสนุก จะปิดไม่อ่าน
แต่สุดท้ายก็อ่าน แล้วรู้สึกว่าไม่ผิดหวังเลยที่ได้อ่านเรื่องที่ดีๆแบบนี้

สนุกค่ะ ชอบมากๆ
ฮามากของฝากคือถุงยาง  o22
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 13-02-2013 23:36:17
สนุกมากกกกครับ มีทั้งสาระและข้อคิด หลายอย่างเลย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพจริงๆครับสำหรับนิยายเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: AB^Ton^ ที่ 17-02-2013 11:39:28
โหยยยย อิจฉา สุด ๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: infinitez123 ที่ 28-02-2013 17:40:25
ซาบซึ้งมากเลยเรื่องราว ประทับใจกับมุมมองความคิดของเรื่องมาก
ผู้แต่งถ่ายทอดมันออกมาได้ดีเลย  มันเป็นความรู้สึกที่จับต้องได้
ขอบคุณมากๆเลยจ้า แต่งมาอีกนะ 555
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 01-03-2013 21:00:19
...สิ่งที่ขาดหาย สุดท้ายก็มาเจอสิ่งที่เติมเต็ม
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: GimNgek ที่ 02-03-2013 08:20:06
ชอบอ่ะ ปลื้ม
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Rainbow roses ที่ 02-03-2013 15:43:08
อ่านแล้วประทับใจมาก
อยากให้มีตอนพิเศษจังเลย
 
:L1: :L1: :L1: :L1:


:pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 28-05-2013 21:04:08
สนุกมาก จบได้กระทับใจและฮาลงตัวจริงๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 07-12-2013 18:52:36
 :mew1: ขอบคุณค่ะประทับใจมากค่ะ  :m20: ขำตอนจบ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 07-12-2013 21:50:06
ซึ้งแบบ ไม่เคยอ่านนิยายเรื่องไหนแล้วรู้สึกแบบนี้มาก่อน T_T
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: witchhound ที่ 07-04-2015 00:25:55
สนุกมากเลยค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกได้อะไรหลายอย่างเลย
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 01-05-2015 00:03:56
อิ่มและฟินมากๆค่ะ ชอบความอบอุ่นของพี่คิวน้องพลุมาก
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 01-05-2015 20:46:14
อ่านไปร้องไห้ไป
เราเป็นคนที่ชอบเรื่องทำนองนี้มากค่ะ
เราก็มีความคิดที่อยากจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติบ้าง
คิดนะว่าอยากเป็นทหาร แต่ที่บ้านก็คงไม่ยอม
ทุกวันนี้เราก็คิดอยู่ตลอดว่าเราจะสามารถทำอะไรเพื่อประเทศชาติ
เพื่อมนุษย์ร่วมโลกได้บ้างมั้ย
เราพยายามหาคุณค่าของตัวเองอยู่ หวังว่าตัวเราจะมีประโยชน์อะไรบ้างนะ

ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆที่มอบให้กันนะคะ
ขอบคุณจริงๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: gwaiplay ที่ 01-05-2015 20:54:25
หนูคิว คุณหลอกดาว  :hao5:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 04-06-2015 19:07:50
น่ารักจัง ขอบคุณคุณต้นมากครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: mayuree ที่ 07-06-2015 23:08:36
เป็นเรื่องที่ดีมากๆ  ขอบคุณคนแต่งด้วยค่ะ  ประทับใจสุดยอด 
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: loverken ที่ 12-06-2015 11:29:26
แมนๆครัช
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 13-06-2015 13:21:31
เพิ่งได้มีโอกาสมาอ่านค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกภูมิใจจังเลยค่ะที่ประเทศชาติของเรามีนายทหารที่รักประเทศขนาดนี้
ปลื้มจริงๆค่ะ  :กอด1:
จากสายที่เราเรียนมาก็สอนเสมอนะคะว่าผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มเป้าหมายใด
เราก็ควรมองให้เขาเป็นคนปกติแบบเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้พิการเนี่ยเขาไม่ชอบใจจริงๆนะ
ถ้ามีคนมาเห็นใจหรือสงสารเขา อย่าไปร้องไห้ต่อหน้าเขาเชียวเพราะเหมือนทำให้เขารู้สึกแปลกแยกและไม่ปกติ
(เคยเจอเพื่อนที่ไปด้วยกันน้ำตาคลอ อยากจะเขกหัวมันจริง 55555)
ดีนะคะที่คนรอบข้างพี่คิวปฏิบัติต่อพี่คิวอย่างถูกต้องเลยทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี

เราชอบสองคนนี้นะ #แมนๆคุยกันครับ #ผิด
สื่อสารกันได้แบบตรงไปตรงมาดี อีกนิดคือปากหมาแล้วล่ะ 55555
แม้กระทั่งตอนจะมี sex ก็เปิดอกน่าดู อ่านไปก็คิดขึ้นมาว่าเหนียมบ้างเหอะพี่

ตอนจบเราร้องไห้เลยอ่ะ มันซึ้งมันกินใจ ชอบรูปแบบความรักของทั้งคู่ที่มีต่อกัน ฉากลาเศร้ามากๆ
คิดแล้วนะว่าจะกลายเป็นแค่อดีตที่สวยงามอะไรแบบนี้รึเปล่า แต่ก็ดีใจค่ะที่มีบทส่งท้ายพิเศษมาอีก
แล้วน้องพลุของเราก็สมหวัง :mc4: นี่ลุ้นตามพลุเลยนะ แหวนแน่ๆ อ้าว คอนดอมนี่หว่า
กระทั่งตอนพิเศษก็ยังแมนๆกันอีกหรอ 555555

“ก็ใช่ดิ หรือมึงจะไม่เอากู หรืออยากเอาสดก็คุยกันได้นะเว้ย แต่ที่แน่ๆ คือมึงต้องเอากูแน่นอนล่ะ”

เราปรับโหมดเกือบไม่ทันอ่ะพอเจอประโยคนี้ ตลกมาก ทำไมพี่คิวใจขนาดนี้ล่ะ พึ่งหัดเป็นเกย์ไม่ใช่หรอ?

ป.ล.ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ExecutioneR ที่ 17-06-2015 18:54:57
ขอบคุณ​ทุกคอมเมนท์​มากนะครับ​ ผมอ่านทุกอันเลยนะ​ อ่านหลายหนด้วย​ มันดีใจปลื้มปริ่มจริงๆ​ แต่เม้นบนนี่ปลื้มเป็นพิเศษ​ อุตส่าห์​พิมพ์มาเยอะ​​เลย​ขอบคุณ​จริงๆ​ ครับ​ ปลื้มมมม
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: reverofjs ที่ 14-08-2015 06:06:52
เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 14-08-2015 10:57:06
เป็นพล็อตที่โดดเด่นน่าสนใจมาก อ่านแล้วทึ่ง เพิ่งรู้นะคะเนี่ยว่าขาเทียมไม่ได้ได้กันมาง่ายๆ(ถ้าเป็นข้อมูลจริง)
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: painture ที่ 16-08-2015 13:04:57
เป็นแนวใหม่ที่ไม่เคยอ่านเลยค่ะ

ชอบบบบ

ซึ้งกับความรักชาติของคิวมากเลยงือออ
ตอนแรกแอบคิดว่าโจคิวนะเนี่ย5555 พลุเป็นคนตรงๆดีค่ะ นางไม่โดนหักซี่โครงตอนห้องอาบน้ำก็บุญแค่ไหนละ 55555
แอบน้ำตาไหลตามหลายตอน ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆนะคะ
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: analogue ที่ 13-09-2015 23:31:45
เป็นอีกเรื่องที่ดีมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 08-06-2016 23:17:12
เป็นนิยายที่ดีมากๆเลยค่ะ ซึ้งมาก น้ำตาซึมกับตอนจบ คิดว่าเศร้าซะแล้ว ดีที่มีบทส่งท้าย ขอบคุณคนเขียนมากๆค่ะ o13
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-06-2016 02:54:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueWizard ที่ 29-06-2016 01:48:07
ดีงาม เป็นเรื่องนึงของคุณต้นที่เนื้อหา/พลอตแปลกดี แต่ดีนะครับ สนุกดี ซึ้งด้วย ชอบๆ :)

รอเรื่องใหม่อยู่นะครัช.  #แมนๆคุยกัน. #ชอบนิยายแมนๆของคุณต้น
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-07-2016 21:27:36
สนุกมาก อยากอ่านตอนต่อไปอีก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
 :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: b02290 ที่ 26-11-2016 00:18:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 21-12-2016 10:57:25
รักเรื่องนี้  :pighaun:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 23-12-2016 22:23:43
ชอบบบบบ นานๆจะเจอพล็อตเรื่องแบบนี้
การใช้ภาษาดีงามมาก ซึ่งหาอ่านยากในนิยายปัจจุบัน  ชอบการใช้ภาษามากๆเลย มันไม่จำเป็นต้องมีคำหยาบๆ แต่มันสื่อถึงอารมณ์ได้ดี

อยากให้มีต่อจังเลย อยากจะรู้ว่าที่พี่คิวให้ ใครจะได้ใช้ก่อนกัน อิอิ


 ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ ^^
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 25-12-2016 09:57:44
 :กอด1:
ประทับใจมากค่าาาาา
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 03-04-2017 10:31:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 18-11-2017 12:24:40
 :haun4: :z1:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 18-11-2017 12:29:23
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: lnwgreankak ที่ 07-07-2018 15:50:10
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะเก็บไว้อ่านเวลาหมดกำลังใจ
ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 27-07-2018 21:48:41
สนุกดีค่ะ​ เนื้อเรืืองแบบแมนๆ​ 5555
ตกลงพี่คิวโดนพลุไปครั้งเดียวนี้เปลี่ยนเป็นรับเลย??  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ramnoii ที่ 03-02-2019 00:51:12
เป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยค่ะ

พลุทำให้คิวมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

ส่วนคิวก็เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้พลุ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 20-02-2019 10:16:44
ขอบคุณการกดพลาดทำให้ฉันได้อ่านเรื่องนี้

ขอบคุณเนื้อเรื่องดีๆที่คุณคนเขียนได้แต่งออกมา

ที่สำคัญขอบคุณท่าน ทหารกล้าทุกๆนาย ขอบคุณ นายแพทย์ทุกๆท่าน

ขอบคุณอาสาทุกๆหน่วยงาน โลกนี้ ประเทศนี้ ต้องการคนแบบพวกคุณทุกๆคน

ปาดน้ำตาดีใจที่ได้อ่านจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: boyza_Casanova ที่ 29-03-2020 02:14:28
อ่านแล้ว อมยิ้ม มีความสุขมากคับ ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆๆ
หัวข้อ: Re: The Missing Piece:: สิ่งที่ขาดหาย จบแล้ว [New 22 Dec พิเศษ]
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 11-03-2024 14:03:51
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)