ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0A
*******************************************************
[/color]
มีเรื่องสั้นมาฝากค่ะ เรื่องนี้แต่งไว้นานแล้วเคยลงเป็นแฟนฟิค แต่นำมาปรับเป็นนิยายเรื่องสั้น ฝากด้วยนะคะ ความสนุก ความซึ้ง และความคาดไม่ถึง มาพิสูจน์กันว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้จะทำให้ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นบ้างในหัวใจของคุณ
“ไพน์...กลับเถอะเย็นแล้ว...”
“อืม...”
เสียงร้องเรียกของเซนเพื่อนสนิทของผมดึงให้ผมละสายตาจากสิ่งที่ผมยืนมองมานับร่วมชั่วโมงหันกลับไปมองก่อนจะพยักหน้ารับคำเบาๆ
ท้องฟ้าสีทองยามเย็นที่ทอดยาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาบ่งบอกว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ท้องฟ้าสีทองก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำมืดสนิทไร้ซึ่งแสงใดๆนอกจากแสงไฟจากดวงนีออนที่ส่องสว่างยามค่ำคืน
“พรุ่งนี้ฉันมาคนเดียวก็ได้...ไม่อยากกวนนาย” ผมหันไปบอกเซนที่เดินเคียงกันมาตามทางเดิน เซนหันหน้ามามองผมน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้จะมาอีกเหรอ...”
“อืม...”
“นายมาที่นี่ทุกวันร่วมหนึ่งปีแล้วนะ...” เซนจ้องมองหน้าผมอย่างห่วงใย
“ก็ฉันกลัวพี่เขาเหงานี่นา...”
รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของผม ผมเอี้ยวตัวหันหลังกลับไปมองสิ่งที่ผมเพิ่งละจากมันมา กองดินที่นูนขึ้นด้านหน้ามีป้ายปูนที่สลักชื่อและภาพของใครคนหนึ่ง...ใครคนหนึ่งที่นอนหลับสนิทอยู่ภายใต้เศษก้อนดินที่เย็นเยียบ...
“ไพน์...” น้ำเสียงเอ่ยเรียกที่เบาแผ่วพร้อมกับมือนุ่มของเซนที่บีบมือผมเบาๆอย่างให้กำลังใจ ผมหันตัวกลับมาพลางส่งยิ้มบางให้เซนเหมือนกับบอกอีกฝ่ายว่า...ผมไม่เป็นไร
ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆนะ ^^
“กลับเถอะ...จะมืดแล้ว...” ผมว่าขึ้นพลางแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เซนพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มบางๆตอบกลับมาให้กับผมก่อนที่เราจะค่อยๆมุ่งหน้าเดินออกจากสถานที่ที่มีร่างไร้วิญญาณนับร้อยนับพันนอนหลับพริ้มอย่างหมดกรรมโดยมีก้อนดินนับร้อยก้อนถมทับร่างของพวกเขาอยู่และหนึ่งในนั้นก็มีคนสำคัญของผมอยู่ด้วย...
พี่ชายต่างสายเลือดของผม...
พี่หิน ภูผา อินทรพงษ์
หนึ่งปีที่แล้ว…
“เราเลิกกันเถอะ...”
“ทำไม...”
“เพราะไพน์ไม่ได้รักกันน่ะสิ…”
“ไม่...ไพน์รักกันนะ” อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่หรอก...มันไม่ใช่ความรัก ไพน์คบกับกันก็เพื่อลบความรู้สึกบางอย่างของไพน์ออกไป...แต่สุดท้ายนายก็ทำไม่ได้”
“กัน...”
“ชีวิตคนเรามันสั้นนะ...ทำตามที่ใจไพน์เรียกร้องเถอะจะทำอะไรก็รีบๆทำก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป...”
“ฮึก..”
“ไม่มีถูกผิดสำหรับความรักหรอกนะ...”
“ฮึก...ไพน์ขอโทษ”
“กันรักไพน์นะ...ลาก่อน”
“ฉันก็รักนาย...กัน...”
ผมมองตามแผ่นหลังกว้างของคนรักของผมที่เพิ่งยุติความสัมพันธ์ลงเพียงเพราะเขารู้มาตลอดว่าที่ผมตกลงรับรักเขาเพราะอะไร แต่เขาก็เลือกที่จะเคียงข้างดูแลผมเพื่อที่สักวันหนึ่งผมอาจจะรักเขา ใช่...ผมยอมรับว่าผมรัก ‘กัน’ และสามารถพูดคำว่ารักได้เต็มปากแต่...
มันเป็นรักในแบบของเพื่อนที่มีความหวังดีมอบให้แก่กัน ไม่ใช่รักในแบบของคนรัก...
ผมรู้ว่ากันรักผมและรอคอยผมมานานแค่ไหน...ผมตกลงคบกับกันเพื่อที่หวังว่าผมอาจจะรักกันได้สักวันหนึ่ง
แต่สุดท้ายหัวใจของผมก็เพรียกหาเพียงคนๆเดียว...
พี่หิน...พี่ชายต่างสายเลือดของผม...
“อ้าวไพน์...กลับมาแล้วเหรอ ^_^” ผมไม่รู้ว่าเดินกลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมรู้แต่ว่าตั้งแต่กันหันหลังเดินจากผมไป ผมก็เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตลอดทางจนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของตนเองและเสียงเสียงเรียกของร่างสูงที่อยู่ในห้วงความคิดของผมแทบจะตลอดเวลา
พี่หิน...
“ครับ” ผมตอบรับคำพลางเดินเลี่ยงขึ้นไปบนห้องนอนที่อยู่ชั้นสองของบ้านแต่ข้อมือผมก็ถูกคว้าเอาไว้ก่อนด้วยมือแกร่งของอีกคน
“เมื่อกี้กันมาหาพี่ที่บ้าน” น้ำเสียงราบเรียบที่เอ่ยขึ้นมาเหมือนปกติแต่ประโยคนั่นทำเอาหัวใจผมกระตุกวูบดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็วดวงตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้ของผมเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
กันมาอย่างนั้นเหรอ...มาหาพี่หิน...หระ หรือว่ากันจะบอกอะไรกับพี่หิน...
ไม่นะ...ถ้าพี่หินรู้เรื่องนั้นต้องเกลียดผมแน่ๆเลย...ผม...ผมไม่ต้องการแบบนั้น...
“หระ เหรอฮะ...ละ แล้วเขามาทำไม...”
“กันฝากนี่มาให้ไพน์น่ะ...”
พี่หินยื่นซองจดหมายแผ่นหนึ่งที่คาดว่าด้านในคงมีแผ่นกระดาษที่เขียนข้อความบางอย่างเอาไว้ ผมรับมันมาด้วยมืออันสั่นเทา ก้อนสะอึกจุกอยู่ที่คอผม รู้สึกว่าอากาศที่ใช้หายใจเริ่มติดขัด
“ขอตัวนะ...ครับ” ผมบอกโดยที่ไม่แม้แต่จะกล้ามองร่างสูงที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายสักนิด ผมยอมรับว่าผมกลัว...กลัวที่จะมองใบหน้าคมคายนั่น ถึงผมจะบอกกับตัวเองว่าไม่รู้สาเหตุที่จะต้องกลัวแต่ลึกๆแล้วผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผมเองที่ไม่กล้าพอที่จะยอมรับมัน...
ผมมันเป็นคนขี้ขลาด...ผมรู้...
ปัง!!
เสียงปิดประตูห้องด้วยฝีมือของผมเองดังขึ้น ร่างของผมพิงกับบานประตูพลางแข้งขาที่อ่อนล้าบวกกับจิตใจที่อ่อนแอค่อยๆทำให้ร่างของผมทรุดลงกับพื้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของผมจ้องไปยังวัตถุสีขาวแผ่นบางในมือก่อนจะค่อยๆแกะมันออกด้วยมือที่สั่นเทา...
ผมไม่รู้ว่าข้อความที่อยู่ข้างในคืออะไรแต่ที่ผมรู้คือเจ้าของจดหมายนี้กำลังเจ็บ...เจ็บปวดกับความเห็นแก่ตัวของผมเอง...
ผมมันเลวที่ทำร้ายคนๆหนึ่งที่รักผมอย่างจริงใจ...
ผมค่อยๆคลี่แผ่นกระดาษออกช้าๆ ลายมือบรรจงที่ผมจำได้ขึ้นใจเรียกน้ำเหลวใสให้รื้นขึ้นในนัยน์ตาผมอย่างห้ามไม่อยู่ ผมค่อยๆอ่านข้อความที่อยู่ในแผ่นกระดาษที่ขาวที่ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของผมแม้ดวงตาผมจะพร่าเลือนแต่ผมก็ยังพยายามเพ่งอ่านต่อไป
To… Pine
หวัดดีอีกครั้งนะไพน์...ไพน์คงจะสงสัยว่ากันจะเขียนจดหมายหาอีกทำไมในเมื่อเราสองคนเพิ่งจะคุยกันไป แต่กันก็แค่อยากจะบอกไพน์ว่า...เรื่องนั้นกันบอกพี่หินไปหมดแล้วนะ...กันรู้ว่าไพน์อาจจะโกรธแต่จะให้ทำไงได้กันอยากเห็นไพน์มีความสุขกับคนที่รักนี่นา...การที่กันเดินจากมานั่นหมายความว่ากันต้องการให้ไพน์ได้อยู่เคียงข้างกับคนที่ไพน์รักจริงๆ ฮะ ฮะ เจ็บเหมือนกันแฮะ ช่างเถอะ...เอาเป็นว่ากันทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ ไปเคลียร์เองแล้วกัน กันโคตรจะเท่ห์เลยใช่ม้า ^O^
อีกอย่างที่กันอยากจะบอก...รักไพน์นะ...ตลอดสองปีที่ผ่านมาหัวใจกันบอกเสมอว่ารักไพน์ ถึงกันจะไม่มีสิทธิ์พูดประโยคนี้แล้วแต่กันก็อยากจะพูดว่ารักนายๆๆๆ ฮ้า...อยากร้องไห้อีกแล้วสิ ที่ร้องไห้น่ะเพราะดีใจนะที่จะไม่ต้องมาปวดหัวกับตัวแสบอย่างนายอีก มีเวลาไปส่องสาวอื่นแล้วด้วย ฮิฮิ ฉันคงเพ้อมากไปละแค่นี้แล้วกัน...
ถ้าเราได้เจอกันอีกวันนั้นไพน์ต้องมีความสุขยิ้มกว้างๆให้กันเห็นนะ
From…gun
คนอกหักที่จะรักนายตลอดไป...
[/i]
ผมค่อยพับกระดาษแผ่นนั้นพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูที่ออกมาจากดวงตามากมาย รอยยิ้มพร้อมเสียงสะอื้นเผยขึ้นช้าๆ ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายที่ชื่อกันคนนี้ก็ยังหวังดีกับผมเสมอมา ตลอดสองปีที่ผมมีเขาอยู่เคียงข้าง คอยดูแลผม ให้ความรักกับผม อ้อมกอดอุ่นๆพร้อมกับคำปลอบโยนต่างๆนาๆมันทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจเสมอ ผมได้แต่หวังว่าสักวันเขาจะเจอคนดีๆที่รักเขารักและรักเขาเช่นกัน ผมภาวนาอย่างนั้น...นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมจะตอบแทนเขาได้ในเวลานี้...
ผมรักกัน...ถึงมันจะไม่ใช่ความรักแบบคนรักแต่หัวใจผมก็บอกเสมอว่าผมรักเขา...
แม้ผมจะไม่สามารถมอบความรักในแบบที่กันต้องการได้เพราะผมได้มอบให้ใครอีกคนไปจนหมดแล้ว...
แต่ผมก็อยากให้เขาได้รับรู้ว่าผมก็รักเขาเช่นกัน...
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของผมที่ค่อยๆก้าวลงขั้นบันไดลงมาช้าๆ เหมือนแต่ละก้าวมันช่างบีบรัดหัวใจของผมเหลือเกิน สายตาของผมสอดส่องมองหาร่างของใครบางคน...
ใครบางคนที่กุมหัวใจผมไว้ทั้งดวง...
แสงสีนวลของทีวีที่ส่องแสงขึ้นภายในความมืดของบ้านทำให้ผมรู้ว่าคนที่ผมตามหาอยู่ที่ไหน สองขาของผมก้าวไปที่หมายนั่นช้าๆมือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างงรู้สึกเกร็งสะท้านไปทั้งตัว ผมไม่รู้ว่าผมจะขอบคุณกันดีหรือเปล่าที่ช่วยเผยในสิ่งที่ผมไม่แม้แต่จะกล้าปริปากออกมา...ก็อย่างที่บอกเพราะผมกลัว...กลัวความผิดหวังและความรู้สึกเกลียดชังที่อาจจะได้รับ...
และถ้าสิ่งนั้นเป็นจริง ผมคงไม่มีแม้แรงที่จะ...หายใจ...
“พะพี่...หินครับ” ผมรวบรวมความกล้าครั้งใหญ่ในชีวิตเอ่ยเรียกคนที่นั่งดูทีวีออกไป เสียงที่แผ่วเบาที่กลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ยินแต่สุดท้ายแล้วใบหน้าคมที่คุ้นเคยก็หันมาตามเสียงเรียกของผม...
ผมรู้สึกว่าอัตราหัวใจของผมเต้นรัวเร็วขึ้น...
“นั่งสิ...” พี่หินเอ่ยบอกผมพลางเขยิบเว้นช่องว่างข้างตัวให้ ผมเดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาข้างกายพี่หินอย่างเคยชินแต่ในความรู้สึกผมมันช่างแตกต่างจากวันก่อนๆโดยสิ้นเชิง ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทุกบริเวณความอึดอัดครอบงำเข้าสู่ภายในร่างกายจนราวกับว่าแทบจะขาดอากาศหายใจ
พี่หินรับรู้ความรู้สึกของผมแล้ว...
แล้วเขาจะรังเกียจความรักของผมมั้ย...
“พะพี่...”
ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยเอื้อนถ้อยคำใดออกไปริมฝีปากร้อนก็พุ่งเข้ามาฉกฉวยเข้ากับเรียวปากบางซีดของผมอย่างแผ่วเบา ผมนิ่งอึ้งกับการกระทำของอีกฝ่ายแต่สุดท้ายผมก็ตอบรับสัมผัสนี้ไว้อย่างเต็มใจ...ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าผมโหยหาสัมผัสนี้มานานแสนนาน...
สัมผัสบางเบาราวกับขนนก...แต่กลับหอมนุ่มละมุนลิ้น...
“ไม่ต้องพูดอะไร...พี่รู้ทุกอย่างแล้ว...” ถ้อยคำอบอุ่นที่เอ่ยเอื้อนทันทีที่ถอนเรียวปากออกจากกัน เหมือนยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอดใกล้จะเป็นจริง...
ขอบคุณพระเจ้าที่รับฟังคำอธิษฐานของผม...
“พี่ก็รักไพน์...” ผมนิ่งค้างกับประโยคบอกรักที่ดังขึ้นจากพี่หินที่มาพร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่นอย่างไม่ทันตั้งตัว สมองผมตีกันให้วุ่นอีกใจหนึ่งก็รู้สึกยินดีกับประโยคนี้แต่อีกใจหนึ่งก็ขบคิดกับคำบอกรัก
รัก...แบบไหน...
แบบพี่น้อง...
หรือแบบที่ผมรู้สึกกับพี่หิน...แบบคนรัก...
“ผมก็รักพี่ฮะ...พี่ชายของผม...” ผมเอ่ยแผ่วเบาผมยังไม่กล้าฟันธงลงไปว่าคำว่ารักของพี่หินสื่อถึงอะไรกันแน่ ผมก็เลยต้องใช้คำว่า ‘พี่ชาย’ เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกของผมเอาไว้ ถึงมันจะเจ็บปวดที่ต้องเอ่ยแต่ก็ยังดีกว่าต้องเสียพี่หินไปเพราะคำพูดที่ทำร้ายตัวเอง...
“พี่รักนายที่เป็นไพน์...เด็กผู้ชายคนหนึ่ง...”
“…”
“ไม่ใช่ไพน์...ในฐานะน้องชาย...” น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับสัมผัสบางเบาที่ขมับของผมเรียกน้ำตาของผมให้พรั่งพรูออกมา มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจเหมือนที่ผ่านมาแต่มันเป็นหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ...
ช่วยบอกผมทีว่ามันไม่ใช่ความฝัน
“ไหนลองบอกพี่อีกทีซิ...คำว่ารักของนายน่ะ” พี่หินถอนอ้อมกอดออกพลางจ้องเข้าไปในนัยน์ตาผมเหมือนกับค้นหาบางอย่างที่ถูกซ่อนไว้...คำว่ารักที่พี่หมายถึงคงเป็น...
“ผมรักพี่ครับ...รักมานาน...ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ…”
“^_^”
“รักพี่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง...ไม่ใช่พี่ชาย...” จบประโยคสุดท้ายผมก้มหน้าลงไม่กล้าสบตาคมแสนมีเสน่ห์ ผมพูดออกไปแล้ว...ความรู้สึกที่ผมเก็บซ่อนลึกไว้ห้าปีในที่สุดมันก็ถูกเผยออกแล้ว มันถูกพูดออกมาพร้อมกับหัวใจผมที่เต้นระรัวเมื่อมันสัมผัสได้ว่าเจ้าของผู้กอบกุมหัวใจดวงนี้ก็เปิดรับผมเข้าไปอยู่ในหัวใจอีกดวงเช่นกัน...
“ไพน์...” ผมสัมผัสได้ถึงมืออุ่นร้อนที่แตะลงที่ปลายคางผมพร้อมเชยคางผมขึ้นให้สบกับดวงตาคมเฉียบที่ฉายความนัยบางอย่าง สายตาสองคู่สบกันนิ่งเหมือนกับว่าตกอยู่ในห้วงวังวนของความนัยที่สื่อออกทางแววตา แม้ไม่มีคำเอ่ยเอื้อนใดๆแต่เราทั้งคู่ก็รับรู้กันได้...ด้วยดวงตา...และหัวใจ...
ขอบคุณครับพระเจ้าที่รับฟังคำอธิษฐานของผม...
และอีกคนที่ผมไม่อาจจะลืมได้...
ขอบใจมากๆนะ ฉันไม่รู้จะต้องตอบแทนนายยังไง...แต่นายจะอยู่ในห้วงหัวใจของฉันตลอดไป...
กัน...กันยพัฒน์
หนึ่งเดือนผ่านไป
“พี่หินนนนนนนน แฮกๆ”
“วิ่งทำไมเดี๋ยวก็ล้มหรอก ดูดิ๊!! เหงื่อเต็มเลย”
“ก็ผมกลัวพี่รอนานนี่ ”
“นานแค่ไหนพี่ก็รอได้เสมอ” เสียงทุ้มอ่อนโยนพร้อมกับสายตาที่สื่อความหมายทอดมองเข้ามาในนัยน์ตาผม
งืออออออ เขิน :-[ :-[
“ไปกินไอติมกันเถอะครับ ” ผมจับมือหนาของเฮียพลางส่งยิ้มที่คิดว่าน่ารักที่สุดออกไป เฮียกระชับมือของเราสองคนให้แน่นมากขึ้น ก่อนจะพากันเดินออกจากรั้วโรงเรียน จุดหมายของเราก็คือร้านไอติม
“พี่หิน”
“ครับ”
“ขอบคุณนะครับที่รักผม”
“พี่ต่างหากที่ต้องขอบคุณนาย ที่ให้พี่รัก ^_^” สายตาของเราทั้งคู่จ้องมองกันเพื่อสื่อถึงความรู้สึกที่มีให้แก่กัน ความอบอุ่นจากมือที่จับกันแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูหัวใจ การที่เราได้รับความรักจากคนที่รักมันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง
“เข้าไปในร้านกันเถอะ” มือหนาขยี้หัวผมเบาๆ ผมเลยทำแก้มพองลมใส่เขาซะเลยโทษฐานทำให้ผมหมดหล่อ เอ๊ะ!! ไม่ใช่สิ น่ารักต่างหาก
พี่หินพาผมเข้ามาในร้านไอติมที่ตกแต่งด้วยโทนสีส้มน่ารักๆแห่งหนึ่ง เราสองคนเลือกมุมที่อยู่ด้านในสุดของร้านเพราะพี่หินไม่ชอบที่ที่มีคนพลุกพล่านเท่าไหร่ โอย...ผมรู้สึกหน้ามืดชอบกลสงสัยไปเดินตากแดดเมื่อกี้แน่ๆ
“ไพน์...เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่หินถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง มือหนาวางทาบลงบนหน้าผากนูนของผมเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับแค่หน้ามืดนิดหน่อย แฮ่ๆ”
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดีต้องบอกพี่นะ” พี่หินลุกจากเก้าอี้ตรงข้ามมานั่งข้างๆผมพร้อมกับจับตัวผมนู่นนี่จนวุ่นวายไปหมด
แต่ผมแอบรู้สึกดีนะ
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ ฮ้า ไอติมมาแล้ว ^O^” ผมทำเสียงดี๊ด๊ามากมายเมื่อไอติมรสสตอเบอร์รี่ที่โปรดปรานของผมกับรสช็อกโกแลตของพี่มาเสิร์ฟ ผมแอบเห็นพี่หินส่ายหัวไปมากับความดื้อของผมแต่ผมไม่เป็นไรจริงๆนี่นา
“มากินไอติมกันเถอะครับ ” ผมหยิบช้อนยื่นให้พี่หินแล้วก็เริ่มสวาปามไอติมแสนอร่อย ฮ้า ได้กินอะไรเย็นๆนี่มันชื่นใจจริงเลย หุๆของพี่หินก็แอบน่ากินเหมือนกันนะเนี่ย
“อ้าวไพน์ มากินของพี่ได้ไง ของตัวเองก็มี”
“เชอะ! งก!” ถึงผมจะว่าอย่างนั้นแต่ก็ยังตักไอติมของอีกฝ่ายเข้าปากไม่หยุด เหมือนกับคนข้างๆที่ปากบ่นผมว่าไปแย่งไอติมแต่ก็ไม่ห้ามผมซ้ำยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกต่างหาก
ผมรู้ว่าผมมันน่ารักแต่มองกันขนาดนี้ผมก็เขินนะ
“เลอะน่ะ...” จบน้ำเสียงทุ้มผมก็เข้าใจทันทีว่าพี่หินหมายถึงอะไร ลิ้นร้อนเลียเข้าที่มุมปากผมอย่างอ่อนละมุนขจัดคราบไอติมที่เปรอะเปื้อนให้
“พี่หินบ้า! เช็ดเองได้น่า” ผมตีเข้าที่อกหนาแก้เขิน คนบ้า! ทำอะไรก็ไม่รู้คนเยอะแยะ ถ้าอยู่ที่บ้านจะไม่ว่าสักคำ (ซะงั้นไป =_=)
เคร้ง!
“อ๊ะ! เดี๋ยวไพน์เก็บเอง ” เพราะความที่เขินมากไปหน่อย มือไม้ที่ปัดป่ายของผมเลยไปโดนช้อนหล่นตกลงไปใต้โต๊ะ พี่หินทำท่าจะลงไปเก็บแต่ผมก็ห้ามเอาไว้ซะก่อน ก็ผมตัวเล็กกว่ามุดง่ายกว่าพี่เขานี่ ให้พี่หินมุดลงไปมีหวังคราวนี้ได้พังทั้งโต๊ะแน่ๆ
วูบบบบ!!!
ขณะที่ผมกำลังเอื้อมไปหยิบช้อนไอติมผมก็รู้สึกหน้ามืดพร้อมอาการปวดหัวอย่างหนัก เหมือนกับดวงตามืดดับไปชั่วขณะ ผมเพ่งมองผ่านความมืดใต้โต๊ะ
ระหว่างที่ผมกำลังพยายามสลัดอาการปวดหัวออกไป มือผมกุมที่ขมับตัวเองพร้อมบีบมันอย่างแรงเผื่อมันจะหายปวด หลับตาลงและภาวนาว่าเมื่อลืมตาโลกที่มืดดับจะกลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
และคำภาวนาก็เป็นผล แต่ศีรษะนี่สิมันไม่ทุเลาลงเลย ปวดมาก เหมือนหัวจะระเบิด มันรู้สึก...
“ไพน์ หาเจอยัง ทำไมนานจัง” เสียงพี่หินดังมาจากด้านบนเก้าอี้ ผมเลยรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ถ้าพี่หินรู้จะต้องตกใจเป็นห่วงกันให้เรื่องใหญ่โตแน่ๆ เผลอๆผมอาจโดนบังคับให้ไปโรงพยาบาลสิ่งที่ผมกลัวที่สุดรองจากผี
“ครับๆเสร็จแล้ว”
“เป็นอะไรหรือเปล่าสีหน้าไม่ค่อยดี” ผมว่าแล้วว่าพี่เขาต้องถาม
“เอ่อ...พอดีเมื่อกี้ซุ่มซ่ามหัวโขกขาโต๊ะ ซี๊ดดดด เจ็บอ่ะ ” ผมว่าพลางแกล้งเอามือคลำศีรษะตัวเองป้อยๆ เหมือนเจ็บจริงๆทั้งที่ความจริงอยากจะร่ำร้องอย่างทรมานแต่ก็ต้องทำเป็นร่าเริงอย่างกลัวว่าพี่หินจะจับพิรุธได้
“ไอ้เด็กติ๊งต๊องเอ๊ย!!”
ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะหน้ามืดบ่อยๆ ตามืดดับเหมือนสัญญาณโทรศัพท์ที่ขาดๆหายๆบางครั้งรู้สึกลูกตาลามไปถึงปวดหัวมากจนแทบระเบิด อยากจะควักมันออกมาทิ้ง นี่ผมเป็นอะไรกันแน่...ผมไม่กล้าไปหาหมอเพราะกลัวคำตอบ กลัวว่าจะต้องรับรู้สิ่งน่ากลัว ถึงแม้ตอนนี้การมันจะแย่มากแล้วก็ตาม
ผมรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“ไพน์ เป็นอะไรหรือเปล่า เข้าห้องน้ำนานแล้วนะ” น้ำเสียงกังวลของพี่หินดังแทรกผ่านบานประตูเข้ามา ผมพยายามประคองตัวเองที่หน้ามืดล้มพับลงไปกับพื้นห้องน้ำ มือกำอ่างหน้าไว้แน่น วันนี้ก็เอาอีกแล้ว มันเป็นอีกแล้ว
ใช่ครับ! พี่หินยังไม่รู้เรื่องนี้ ผมไม่อยากบอกเขา ไม่อยากให้เขามาเป็นกังวลเรื่องของผมสิ่งที่พี่เขาทำให้ผมอยู่ตอนนี้มันก็มากเกินพอแล้ว
แอด ~
“พี่ก็..ผมกำลังถ่ายหนักอยู่พี่เข้ามาทักอย่างนี้มันก็หดเข้าไปหมดสิ =3=” ผมเปิดประตูออกมาแสร้งทำหน้ายู่ใส่พี่หิน พยายามเพ่งมองใบหน้าที่เลือนลางจากการมองเห็น
“อ้าว...พี่ขอโทษ ก็ไม่รู้นิเห็นหายเข้าไปนานนึกว่าเป็นอะไร พักนี้ยิ่งดูซีดๆอยู่”
“ซีดที่ไหนกัน ไพน์ขาวขึ้นต่างหาก พี่หินมั่วอีกละ” ผมเอานิ้วจิ้มจึกๆไปที่อกแกร่ง
“ครับๆมั่วก็มั่ว ไปนอนได้แล้วดึกแล้วนะ” ว่าจบพี่หินก็จูงมือผมไปนอนผมเลยถือโอกาสที่พี่เผลอหลับตาลง ตอนนี้ผมมีเขาคอยประคอง คอยนำทาง ผมขอพักร่างกายแล้วเดินไปตามทางที่มือใหญ่นำพา
ขอโทษนะครับพี่ที่ผมต้องปิดบังแต่ผมไม่อยากทำให้พี่ไม่สบายใจ
“พี่ครับผมขอนอนกอดพี่นะ” ไม่ต้องรอคำอนุญาตผมก็ซุกลงเข้าที่อกแกร่งทันที มือผมกอดรัดร่างอบอุ่นเอาไว้แน่น มีบางอย่างทำให้ผมรู้สึกกลัวจับใจ ถึงตอนนี้ผมจะไม่รู้แน่ว่าตัวเองเป็นอะไรแต่ลางสังหรณ์บอกผมว่ามันไม่ดีเอาซะเลย
อ้อมแขนแกร่งเอื้อมมาโอบรัดร่างผมตอบ มือหนาสางที่ผมนุ่มของผมเบาๆความอบอุ่นแผ่ซ่านจนผมอดไม่ได้ที่จะซุกตัวเข้าหาร่างใหญ่มากขึ้น คางสากเกยเข้าที่หัวทุยๆของผม ถ้าวันหนึ่งผมไม่ได้นอนกอดพี่หินอย่างนี้อีกจะเป็นยังไงนะ แค่คิดผมก็ทนไม่ได้แล้ว
“พี่ครับ...ให้ผมเป็นของพี่ได้มั้ยครับ” ผมเอ่ยเสียงแผ่วในอ้อมอกแกร่ง
“ไพน์...พูดอะไรออกมาน่ะ” เจ้าของอ้อมแขนอบอุ่นคลายออก พี่หินดูจะตกใจไม่น้อยกับประโยคเอ่ยขอของผม แต่ผมพูดจริงๆนะ ผมอยากเป็นของพี่หินก่อนที่ผม..อาจจะไม่มีโอกาสได้เป็น
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกไว้อย่างนั้น
“ผมพูดจริงๆนะฮะ”
จบประโยคผมก็เคลื่อนตัวเข้าไปประทับริมฝีปากเบาๆก่อนจะกดแนบสนิทขึ้นวินาทีต่อมาที่อีกฝ่ายตอบรับผมและเริ่มเป็นฝ่ายชักนำแทนมันทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมา
“แน่ใจนะ?” ถอนเรียวปากขึ้น มองตาผมอย่างไม่แน่ใจ
“ครับ”
เพียงแค่นั้นร่างสูงก็จู่โจมเข้ามา ริมฝีปากหนาบดเบียดรุกล้ำจนผมรู้สึกเสียววาบไปหมด ถึงผมจะเป็นคนเสนอเองแต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน กายแกร่งที่เริ่มขึ้นคร่อมทับพร้อมกับจูบอันเร่งเร่าร้อน ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กอย่างลึกล้ำ พร้อมกับมือที่เริ่มเล้าโลมร่างเล็กของผมไม่หยุด มือของผมเริ่มปัดสะเปะสะปะไปที่อกแกร่ง เสื้อผ้าที่ติดตัวเราทั้งสองคนค่อยๆหลุดออก
ริมฝีปากหนาร้อนผ่าวละมากดจูบขบเม้มที่ซอกคอของผมไล้ลงไปเรื่อยตามไหปลาร้าไหล่ลาดเนียนจนถึงหน้าอกที่มีเม็ดทับทิมสีหวานที่เริ่มแข็งขืนชูชันตามแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นจนปากร้อนอดใจไม่ได้ที่จะเข้าครอบครองมัน มืออีกข้างก็จัดการบดขยี้ตุ่มแต้มสีชมพูอีกข้างไม่ขาดมือจนเสียงครางหวานกระเส่าเล็กลอดหลุดออกมา
“อื้อ พี่หิน อ่า...” เสียงหวานร้องแทบขาดใจเมื่ออีกฝ่ายบดขยี้ลงไปแรงๆซ้ำมืออีกข้างยังลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนละเอือดอย่างโหยหา มือหนาบีบเน้นไปตามร่างกายบางอย่างหลงใหล ความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นตามลำดับ ร่างเล็กกระตุกไหววูบเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสร้อนผ่าวที่ลูบวนผ่านกางเกงชั้นในขาวเนื้อบางกดบีบเน้นย้ำจนมันเริ่มสู้มือ ร่างสูงที่อารมณ์แทบระเบิดออกมาเสียให้ได้ดึงรูดทีเดียวชั้นในบางที่ขัดขวางเขาก็เลื่อนหลุดออกจากกายเล็กทันที
ใบหน้าหวานที่แดงก่ำช่วยพัดโหมกายดิบเขาให้พุ่งทะยานขึ้นทันที ปากร้อนประกบจูบดูดดื่มกับร่างเล็กข้างใต้ดุเดือด ร่างใหญ่กดทับตัวลงไปถูไถแก่นกายใหญ่ของตนผ่านกางเกงนอนตัวบางเข้ากับแก่นกายเล็กที่เปลือยเปล่าเรียกความรู้สึกเสียวซ่านแปลกใหม่ให้กับร่างบางจนส่งเสียงครางไม่เป็นภาษา
“นะนาย อื้ม กะ กำลังทำให้พี่...คลั่ง” ปากร้อนกระเส่าพรมจูบลงบนหน้าท้องแบนราบหนักขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงมือเล็กที่ช่วยปลดกางเกงให้กับเขาพร้อมลูบวนสัมผัสแก่นกายเขาอย่างที่เขาเคยทำ
“พะ พี่ ก็ทำให้ผม อ๊า แทบบ้าเหมือนกัน” ว่าเสียงกระเส่าเมื่อแท่งรักสีหวานถูกปาหนาครอบครอง มือบางขยุ้มกลุ่มผมหนาของคนด้านบนระบายอารมณ์ที่ลุกโชนขึ้น
ร่างเล็กกระตุกสองสามทีมือบางกำผ้าปูที่นอนแน่นเมื่อร่างสูงค่อยๆลากปลายลิ้นไปตามแท่งสีหวานลงไปตามแนวกั้นระหว่างส่วนอ่อนไหวด้านหน้าไปถึงช่องทางด้านหลัง ขาเรียวทั้งสองข้างถูกจับแยกออกกัน เกร็งปลายลิ้นร้อนก่อนจะแทรกสัมผัสเข้าทางช่องทางรักไล้วนแลบเลียราวกับขนมหวานก็มิปาน นัยน์ตาหวานเยิ้มก้มลงมองท่วงท่าน่าอายด้วยใบหน้าแดงซ่าน
“พร้อมมั้ยครับ” เคลื่อนตัวขึ้นมาถาม ประกบจูบปากบางดูดดื่มพลางจับมือบางให้ไปสัมผัสแก่นกายใหญ่ที่ชูชันของตนเพื่อบอกถึงความต้องการที่มากล้นจนทะลักออกมา มือบางจับเจ้าสิ่งนั้นสั่นระริก ทำใจกล้าจับสิ่งที่อยู่ในมือจ่อเข้ากับช่องทางสีหวานของตน
“เข้ามาเถอะครับ...” ราวกับเป็นเสียงอนุญาตร่างสูงรีบสอดใส่แก่นกายใหญ่เข้าไปทีเดียวจนมิด ใบหน้าหยาดเยิ้มเบ้หน้าด้วยความเจ็บแต่ก็กัดฟันทนเพราะรู้ว่าตัวเองยั่วจนอีกฝ่ายไม่ไหวจะทน ความรู้สึกเจ็บแปลบมากขึ้นเมื่อร่างใหญ่ด้านบนเริ่มขยับตัว มือบางเกาะไหล่หนาไว้แน่น ปากหนาประกบจูบร้อนหวังให้ความเจ็บของร่างเล็กเบาบางลง เมื่อร่างเล็กเริ่มคุ้นชินก็เริ่มเพิ่มแรงกระแทกเข้าไปมากขึ้น
“อ่ะ อ่ะ...อ้า....”
“อ๊า...พี่ฮะ...”
ร่างเล็กครางร้องไม่เป็นภาษา น้ำเสียงกรีดกรายที่ดังลั่นห้องอย่างทรมานทำให้ร่างใหญ่ด้านบนรู้ว่าอีกคนกำลังใกล้สุดทางเลยเร่งระรัวสอดใส่ เพียงไม่กี่นาทีต่อจากนั้นน้ำเหลวข้นของร่างบางก็พุ่งทะยานฉีดเข้าที่หน้าท้องแกร่ง เสียงหอบแฮกดังก้องไปทั่วห้องคละเคล้าไปกับเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ยังดังไม่หยุดเนื่องจากร่างที่กำลังกระแทกตัวเข้ามายังไม่ถึงจุดหมาย
“อ้า รักนะครับ...อื้มมม”
ร่างสูงทิ้งกายใหญ่ลงข้างร่างบางพร้อมทั้งรั้งเอวบางเข้ามากอด มือหนาเช็ดคราบเหงื่อที่ซึมตามหน้าผากและไรผมออกก่อนจะกดจูบที่ขมับบางเบาๆอย่างสุดรัก ยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานอ่อนเพลีย
ต่อข้างล่างนะคะ
กลับมาที่ปัจจุบัน
น้ำตาผมไหลรินหยดลงบนกรอบรูปที่บรรจุภาพผมกับพี่หินกำลังส่งยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุข ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา หลังจากเหตุการณ์ที่เราเป็นของกันและกันโดยสมบูรณ์ผ่านมาอีกไม่กี่วันที่เรามีความสุขกันผมก็ถูกหามส่งโรงพยาบาลผลการตรวจที่ออกมาทำเอาหัวใจผมแทบสลาย
ผมกำลังจะตาบอด
ชีวิตผมมันดูน้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก แต่ผมกำลังจะมองไม่เห็น ผมช็อกมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับพี่หินที่เงียบไปเลยตั้งแต่วันนั้น หมอบอกว่าดวงตาผมมีสารเคมีบางอย่างเข้าไปตกค้างทั้งยังเศษกระจกที่ฝังเข้าไปในเนื้อตาชั้นในเนื่องจากอุบัติเหตุรถคว่ำครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ทำให้ผมและพี่ชายสูญเสียพ่อแม่ไป และผมกำลังจะสูญเสียดวงตา...
...ดวงตาที่ใครๆต่างพูดกันว่ามีประกายสุกใส
...แต่อีกไม่นานมันกำลังจะมีแต่ความมืดสนิท
พี่หินร้อนรนถามหมอว่ามีทางจะรักษาไหม
หมอบอกว่าทางเดียวก็คือ....
ต้องผ่าตัดเปลี่ยนดวงตา
แต่ปัญหาคือต้องรอคนมาบริจาคหรือไม่ก็รอให้คนที่บริจาคไว้เสียชีวิตลง
ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
แล้วอาการผมก็รอถึงตอนนั้นไม่ได้
สารเคมีจะแพร่ไปทำลายเซลล์อื่นด้วย
พี่หินพร่ำบอกให้กำลังใจผมตลอดว่า ไม่เป็นไร...ผมจะไม่เป็นไร...
พี่จะรู้ไหมนะสิ่งที่ผมกลัวที่สุดไม่ใช่โลกที่มืดมิด...
แต่ใบหน้าและรอยยิ้มของพี่ต่างหากที่ผมกลัว...กลัวจับใจว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีก
แต่น่าแปลกใจคืออีกสองวันต่อมาทางโรงพยาบาลแจ้งข่าวผมว่าผมได้รับการเข้าผ่าตัดได้แล้วเนื่องจากได้ดวงตาแล้วและมันก็เข้ากับผมได้ ถึงผมจะรู้สึกกังวลกับการต้องเข้าผ่าตัดแต่ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ ถึงโอกาสรอดจะมีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นผมก็จะลองเสี่ยงดู เพื่อที่ผมจะได้มีชีวิตที่จะอยู่กับคนที่ผมรักต่อไป...พี่หิน...
วันรุ่งขึ้นผมต้องเข้ารับการผ่าตัดแล้วแต่ผมยังไม่เห็นพี่หินเลย สายตาที่รางเลือนจนแทบมองอะไรไม่เห็นยังคอยสอดส่องมองหาพี่เขาอยู่ตลอด ทำไมเขาไม่มาเยี่ยมผมเลยล่ะ เขาหายหน้าไปสามวันแล้วนะ ผมจะบอกพี่ว่าผมมีโอกาสรอดแล้ว...หรือว่าพี่จะทิ้งผมไปแล้ว...พี่ไม่รักผมแล้วเหรอ...
จนกระทั่งผมเข้ารับการผ่าตัดเรียบร้อย จนผมเปิดดวงตาได้ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ล่วงเลยไปถึงวันที่ผมกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ผมก็ยังไม่เห็นหน้าพี่หินเลยสักครั้ง มีเพียงเซนเพื่อนสนิทของผมที่คอยดูแลผมอยู่ตลอดเวลา มันเอาแต่พร่ำบอกผมว่าให้ผมรักษาตัวเองให้ดีเดี๋ยวพี่หินก็กลับมา
ถึงผมจะรู้ว่าเป็นแค่เพียงถ้อยคำปลอบใจแต่ผมก็ยอมทำตาม
หวังอยู่ลึกๆว่าพี่เขาอาจจะกลับมาหาผมจริงๆ
ผ่านไปอีกหกเดือนผมถึงได้รู้ความจริงว่าทำไมพี่หินเขาถึงไม่กลับมาหาผม เหตุผลที่เขาทิ้งผมไป ไม่ใช่...เขาไม่เคยทิ้งผมไปเลยสักวินาทีเดียว เขาอยู่กับผมตลอดเวลา...เขาอยู่...อยู่เป็นดวงตาให้กับผม...
ถูกต้อง...ดวงตาที่อยู่ในร่างกายผมเป็นของพี่หิน
เขาคือเจ้าของดวงตาที่บริจาคให้กับผม...
ครั้งแรกที่ผมรู้เรื่องผมร้องไห้แทบเสียสติ เหมือนโลกทั้งใบทลายลงตรงหน้า แค่คิดว่าต่อไปจะไม่มีพี่อ้อมกอดอบอุ่น ไม่มีคำพูดนุ่มทุ้มน่าฟัง ไม่มีเจ้าของมือที่คอยกอบกุมกันไว้ ผมก็ไม่อยากที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกอันโหดร้ายใบนี้อีกแล้ว
ผมคิดที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้ง...แต่ก็มีคนมาช่วยไว้ทุกครั้ง
ครั้งสุดท้ายเซนที่เข้ามาเห็นผมกำลังจะปาดข้อมือตัวเองมันรีบเข้ามาขวางไว้ก่อนจะตบหน้าผมฉาดใหญ่ด้วยน้ำตาที่ไหลรินไปพร้อมๆกับผม
‘แกจะบ้าหรือไง! จะทำร้ายตัวเองไปถึงเมื่อไหร่! แกคิดว่าทำอย่างนี้ดีแล้วเหรอ แกคิดว่าตายไปปัญหาทุกอย่างมันจะจบหรือไง พี่หินเขายอมสละชีวิตเพื่อที่จะให้แกมีชีวิตต่อไป แล้วถ้าแกทำโง่ๆอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร! จะให้พี่เขาตายฟรีใช่มั้ย!!!’
น้ำเสียงตวาดกร้าวกับน้ำตาที่ไหลรินทำเอามือไม้ผมอ่อนแรงทิ้งมีดลงบนพื้น ผมมองหน้าไอ้เซนที่มองผมด้วยสายตาผิดหวังน้ำตาอาบแก้มก่อนจะพุ่งเข้าหาอ้อมกอดมัน ผมรู้แล้ว...รู้ทุกอย่างแล้ว ผมต้องมีชีวิตต่อไป อยู่...เพื่อใช้ดวงตาคู่นี้มองสิ่งสวยงาม มองโลกที่สดใส มองความเป็นไปในแต่ละฤดูกาล พี่ครับ...มองดูมันไปพร้อมๆกับผมนะครับ
แล้วเรื่องราวเหล่านั้นก็ผ่านมาได้ปีกว่าๆแล้วตอนนี้ผมกำลังปั่นจักยานยิ้มให้กับเพื่อนบ้านที่ตะโกนทักทาย จุดหมายผมคือสุสานที่ประจำที่ผมจะไปทุกเย็นพร้อมกับดอกทานตะวันสีเหลืองสว่างตรงตะกร้าหน้ารถ แต่เอ๊ะ! ใครมาเยี่ยมพี่หินสุดหล่อของผมตัดหน้าผมอ่ะ ผมไม่ยอมนะ!
แต่เอ...หรือเขาจะมาประจำหว่า ก็วันนี้ผมมาก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมง
“คุณครับ มาเยี่ยมพี่ชายผมเหรอ?” ผมหยิบดอกทานตะวันไว้ในมือก่อนจะเดินเข้าไปทัก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าร่างสูงที่ยืนหันหลังให้ผมดูเกร็งยังไงชอบกล
แต่จะว่าไปแผ่นหลังเขาคุ้นจัง...
“อ๊ะ! เดี๋ยวสิครับ!” ผมรีบไปดักหน้าชายร่างสูงไว้ แปลกจัง...ทำไมต้องเดินหนีผมด้วยล่ะ แล้วก้มหน้ายังกับไม่อยากให้ผมเห็นหน้างั้นแหละ มีพิรุธๆ
เอาอีกแล้ว ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ลอดหมวกใบหนาออกมาคุ้นตาผมอีกแล้ว...
“กรุณาหลีกทางให้ผมด้วยครับ ผมรีบ” เบี่ยงตัวหนีไปอีกด้านแต่ผมก็เข้าไปขวางไว้อีก
อีกแล้ว...น้ำเสียงนี้ก็คุ้นอีกแล้ว
“คุณมาทำอะไรหน้าหลุมศพพี่ชายผม คุณรู้จักเขาเหรอ?” ผมถามแต่อีกฝ่ายปิดปากเงียบซ้ำยังหาทางที่จะเดินหนีผมให้ได้
ฟึ่บ!
ผมดึงหมวกที่ปิดบังหน้าเขาออก
“…!!!!!”
ทันทีที่ใบหน้าภายใต้หมวกเด่นชัดขึ้นตัวผมก็นิ่งแข็งค้างทันที ดอกไม้ล่วงลงสู่พื้นดินด้วยเรี่ยวแรงที่หดหาย ใบหน้านี้ ดวงตานี้ ริมฝีปากนี้...
“พะ พี่ ฮึก หะ หิน...” เสียงผมขาดห้วง ริมฝีปากเริ่มแห้งผากตรงข้ามกับดวงตาที่มีน้ำเหลวใสไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย ผมมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผี ไม่ใช่ภาพหลอน ผมสัมผัสเขาได้ เจ้าของใบหน้าคมเข้มดูเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกแต่เมื่อเขาเห็นน้ำตาของผมก็ชะงักไป นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาที่แก้มใสผมออกเบาๆ มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ผมโผเข้ากอดร่างสูงอย่างถวิลหา ความคิดถึงมากมายที่พรั่งพรูล้นทะลักออกมาไม่อาจหยุดความเสียงสะอื้นของผมได้เลย แขนแกร่งโอบร่างผมเอาไว้แน่นและยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเสียงสะอื้นของผมมากขึ้น
ถ้ามันเป็นแค่ความฝันก็อย่าให้ผมได้ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงอีกเลย....
“โอ้ย!” เสียงทุ้มร้องลั่นเมื่อผมหยิกเข้าไปที่เนื้อแขนแกร่งเต็มแรง ก็ผมอยากรู้นี่นาว่าเรื่องจริงหรือฝันไป
“ไม่ได้ฝันจริงๆด้วย”
“ก็มันเป็นความจริง” ว่าพร้อมกับลูบต้นแขนตัวเองป้อยๆ
“แล้ว...” ผมมองไปที่หลุมศพที่คิดว่าร่างพี่หินนอนอยู่ในนั้นมาตลอดสลับกับใบหน้าคมที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“คนที่นอนอยู่ในนั้นไม่ใช่พี่หรอก” งั้นที่ผ่านมาผมก็คิดเองเออเองมาตลอดสิ แล้ว...
“งั้นดวงตาคู่นี้....”
“ไม่ใช่ของพี่”
ไม่ใช่...แล้วที่ผ่านมา
“พี่หลอกผมเหรอ! ไอ้พี่บ้า พี่รู้มั้ยว่าผมเสียใจจนแทบเป็นบ้า ผมร้องไห้ไปกี่โอ่งนี่แน่ะๆๆๆ ฮือๆๆ” ผมรัวฝ่ามือไปที่ร่างสูงที่ไม่ปัดป้องสักนิด น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลอาบแก้มลงมาอีก ตอนนี้ความรู้สึกโกรธ ดีใจ โล่งใจ คิดถึงมันประดังประเดเข้ามาหมด
“พอหรือยัง พี่เจ็บแล้วนะ” สองมือหนารวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ในมือเดียว อีกข้างก็รวบตัวผมเข้าไปกอด
“ก็พี่หลอกผม ...ผมเสียใจแค่ไหนรู้บ้างไหม”
“พี่ขอโทษ พี่ก็ปวดใจไม่แพ้ไพน์หรอก แต่พี่มีเหตุผลที่ต้องทำ”
“เหตุผลอะไรครับ...มันสำคัญกว่าความรู้สึกของผมหรือไง”
“เหตุผลก็คือคนที่นอนอยู่ตรงนั้นไง” พี่หินบอกพร้อมกับมองไปที่หลุมศพที่ผมเข้าใจผิดมาตลอด
ใช่สิ!! แล้วคนนั้นเป็นใคร!!
“เขาคือคนที่มอบดวงตาให้กับไพน์ เป็นคนที่ทำให้คนโง่ที่คิดจะจัดฉากอุบัติเหตุขึ้นมาเพื่อมอบดวงตาให้กับคนที่พี่รักมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นคนที่เดินเข้ามาบอกพี่ว่า พี่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อดูแล ปกป้องคนที่เป็นยิ่งกว่าหัวใจของเขา”
“เขาคือ...”
“กัน”
น้ำตาของผมล่วงเผาะลงทันที กัน...นายอีกแล้วเหรอ...เป็นนายอีกแล้ว นายยอมสละชีวิตเพื่อคนอย่างฉันที่ทำร้ายจิตใจนายมาตลอดงั้นเหรอ นายมันคนโง่ ฮึก ฮือ
“เขารักไพน์มากนะ” พี่หินจูงมือผมมาหยุดยืนที่หน้าหลุมศพที่คุ้นเคยแต่มันต่างจากทุกครั้ง ผมทรุดลงบนพื้นลูบไล้หินอ่อนที่สลักชื่อว่าภูผาด้วยมือที่สั่นเทาก้มลงกดจูบบนหลุมศพอย่างแผ่วเบา ไม่ใช่...ไม่ใช่ภูผา แต่เป็น...กันยพัฒน์
“ขอบคุณ...ฮึก ทะ ที่...ทำเพื่อฉันขนาดนี้ ฉะฉันรักนายนะ...”
วูบบบ
ลมพัดวูบพัดพาผ่านร่างผมไป
เขารับรู้...และกำลังเช็ดน้ำตาให้กับผม...
อือ ฉันรู้แล้ว...ฉันจะไม่ร้องไห้…
“พี่ครับแล้วพี่หายไปไหนตั้งปีหนึ่ง ทำไมไม่มาหาผมล่ะครับ ” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามคนที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ เสียงยังคงสั่นเครือ พี่หินทรุดร่างลงข้างๆผม
“กันเขาขอไว้เป็นครั้งสุดท้ายน่ะ เขาบอกว่าเขาขอได้ความรักจากไพน์แค่ปีเดียวระหว่างนี้พี่เลยมาหาไพน์ไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมต้องเป็นหนึ่งปี” มือหนาลูบศีรษะผมเบาๆอย่างอ่อนโยน
“ฮึก T^T ผมรู้ครับ ผมรู้...”
“…”
“เขาเคยบอกผม...”
‘ตามตำนานเขาเชื่อกันว่า...คนที่ตายไปแล้ววิญญาณจะวนเวียนอยู่ที่หลุมศพที่ฝังร่างเขาไว้เป็นเวลาหนึ่งปีไม่สามารถไปไหนได้ แต่หลังจากนั้นวิญญาณของคนนั้นถึงจะสามารถล่องลอยไปที่ใจปรารถนาได้’
'ชิ นิทานหลอกเด็กน่ะสิ'
วันนั้นผมเถียงเขาไปแบบนั้น
“นับจากนี้ นายก็ไม่ต้องถูกขังไว้ทีนี่แล้วนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาแล้ว เพราะนายจะไปอยู่ข้างฉันได้แล้ว...”
“ขอบคุณนะที่ทำให้ฉันได้อยู่กับคนที่ฉันรักอีกครั้ง” พี่หินมองไปที่หลุมศพก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ มือหนาอบอุ่นจับมือผมเอาไว้แน่น
“ขอบคุณนะที่ทำเพื่อฉันมาตลอด...ฮึก ฉันรักนายนะ T^T” ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา สายลมที่พัดผ่านมาอีกครั้งทำให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังโอบกอดผมเอาไว้ ผมรักเขา ถึงไม่ใช่ความรักในแบบของคนรักแต่ใจผมบอกเสมอว่าผมรักเขา...
พี่หินหันมาโอบกอดผมเอาไว้เราสองคนยิ้มให้กันอย่างสุขใจ หนึ่งปีแล้วสินะที่ใจผมไม่ได้เต้นรัวด้วยความอบอุ่นอย่างนี้
ขอบคุณนะ ขอบคุณสักร้อยพันครั้งสำหรับความรักและความหวังดีของนาย ฉันสัญญานะกัน...ถ้าของขวัญที่นายอยากได้คือความสุขและรอยยิ้มของฉัน ฉันก็จะให้นาย...
หลับให้สบายนะองครักษ์ของฉัน...
THE END
เรียกว่าจบแบบแฮปปี้ได้มั้ยอ่ะ ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนะคะ :pig4: :pig4: :pig4:
กลับมาที่ปัจจุบัน
น้ำตาผมไหลรินหยดลงบนกรอบรูปที่บรรจุภาพผมกับพี่หินกำลังส่งยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุข ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา หลังจากเหตุการณ์ที่เราเป็นของกันและกันโดยสมบูรณ์ผ่านมาอีกไม่กี่วันที่เรามีความสุขกันผมก็ถูกหามส่งโรงพยาบาลผลการตรวจที่ออกมาทำเอาหัวใจผมแทบสลาย
ผมกำลังจะตาบอด
ชีวิตผมมันดูน้ำเน่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวเสียอีก แต่ผมกำลังจะมองไม่เห็น ผมช็อกมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับพี่หินที่เงียบไปเลยตั้งแต่วันนั้น หมอบอกว่าดวงตาผมมีสารเคมีบางอย่างเข้าไปตกค้างทั้งยังเศษกระจกที่ฝังเข้าไปในเนื้อตาชั้นในเนื่องจากอุบัติเหตุรถคว่ำครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ทำให้ผมและพี่ชายสูญเสียพ่อแม่ไป และผมกำลังจะสูญเสียดวงตา...
...ดวงตาที่ใครๆต่างพูดกันว่ามีประกายสุกใส
...แต่อีกไม่นานมันกำลังจะมีแต่ความมืดสนิท
พี่หินร้อนรนถามหมอว่ามีทางจะรักษาไหม
หมอบอกว่าทางเดียวก็คือ....
ต้องผ่าตัดเปลี่ยนดวงตา
แต่ปัญหาคือต้องรอคนมาบริจาคหรือไม่ก็รอให้คนที่บริจาคไว้เสียชีวิตลง
ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
แล้วอาการผมก็รอถึงตอนนั้นไม่ได้
สารเคมีจะแพร่ไปทำลายเซลล์อื่นด้วย
พี่หินพร่ำบอกให้กำลังใจผมตลอดว่า ไม่เป็นไร...ผมจะไม่เป็นไร...
พี่จะรู้ไหมนะสิ่งที่ผมกลัวที่สุดไม่ใช่โลกที่มืดมิด...
แต่ใบหน้าและรอยยิ้มของพี่ต่างหากที่ผมกลัว...กลัวจับใจว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นมันอีก
แต่น่าแปลกใจคืออีกสองวันต่อมาทางโรงพยาบาลแจ้งข่าวผมว่าผมได้รับการเข้าผ่าตัดได้แล้วเนื่องจากได้ดวงตาแล้วและมันก็เข้ากับผมได้ ถึงผมจะรู้สึกกังวลกับการต้องเข้าผ่าตัดแต่ก็อดที่จะดีใจไม่ได้ ถึงโอกาสรอดจะมีแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นผมก็จะลองเสี่ยงดู เพื่อที่ผมจะได้มีชีวิตที่จะอยู่กับคนที่ผมรักต่อไป...พี่หิน...
วันรุ่งขึ้นผมต้องเข้ารับการผ่าตัดแล้วแต่ผมยังไม่เห็นพี่หินเลย สายตาที่รางเลือนจนแทบมองอะไรไม่เห็นยังคอยสอดส่องมองหาพี่เขาอยู่ตลอด ทำไมเขาไม่มาเยี่ยมผมเลยล่ะ เขาหายหน้าไปสามวันแล้วนะ ผมจะบอกพี่ว่าผมมีโอกาสรอดแล้ว...หรือว่าพี่จะทิ้งผมไปแล้ว...พี่ไม่รักผมแล้วเหรอ...
จนกระทั่งผมเข้ารับการผ่าตัดเรียบร้อย จนผมเปิดดวงตาได้ ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ล่วงเลยไปถึงวันที่ผมกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ ผมก็ยังไม่เห็นหน้าพี่หินเลยสักครั้ง มีเพียงเซนเพื่อนสนิทของผมที่คอยดูแลผมอยู่ตลอดเวลา มันเอาแต่พร่ำบอกผมว่าให้ผมรักษาตัวเองให้ดีเดี๋ยวพี่หินก็กลับมา
ถึงผมจะรู้ว่าเป็นแค่เพียงถ้อยคำปลอบใจแต่ผมก็ยอมทำตาม
หวังอยู่ลึกๆว่าพี่เขาอาจจะกลับมาหาผมจริงๆ
ผ่านไปอีกหกเดือนผมถึงได้รู้ความจริงว่าทำไมพี่หินเขาถึงไม่กลับมาหาผม เหตุผลที่เขาทิ้งผมไป ไม่ใช่...เขาไม่เคยทิ้งผมไปเลยสักวินาทีเดียว เขาอยู่กับผมตลอดเวลา...เขาอยู่...อยู่เป็นดวงตาให้กับผม...
ถูกต้อง...ดวงตาที่อยู่ในร่างกายผมเป็นของพี่หิน
เขาคือเจ้าของดวงตาที่บริจาคให้กับผม...
ครั้งแรกที่ผมรู้เรื่องผมร้องไห้แทบเสียสติ เหมือนโลกทั้งใบทลายลงตรงหน้า แค่คิดว่าต่อไปจะไม่มีพี่อ้อมกอดอบอุ่น ไม่มีคำพูดนุ่มทุ้มน่าฟัง ไม่มีเจ้าของมือที่คอยกอบกุมกันไว้ ผมก็ไม่อยากที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกอันโหดร้ายใบนี้อีกแล้ว
ผมคิดที่จะฆ่าตัวตายหลายครั้ง...แต่ก็มีคนมาช่วยไว้ทุกครั้ง
ครั้งสุดท้ายเซนที่เข้ามาเห็นผมกำลังจะปาดข้อมือตัวเองมันรีบเข้ามาขวางไว้ก่อนจะตบหน้าผมฉาดใหญ่ด้วยน้ำตาที่ไหลรินไปพร้อมๆกับผม
‘แกจะบ้าหรือไง! จะทำร้ายตัวเองไปถึงเมื่อไหร่! แกคิดว่าทำอย่างนี้ดีแล้วเหรอ แกคิดว่าตายไปปัญหาทุกอย่างมันจะจบหรือไง พี่หินเขายอมสละชีวิตเพื่อที่จะให้แกมีชีวิตต่อไป แล้วถ้าแกทำโง่ๆอย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร! จะให้พี่เขาตายฟรีใช่มั้ย!!!’
น้ำเสียงตวาดกร้าวกับน้ำตาที่ไหลรินทำเอามือไม้ผมอ่อนแรงทิ้งมีดลงบนพื้น ผมมองหน้าไอ้เซนที่มองผมด้วยสายตาผิดหวังน้ำตาอาบแก้มก่อนจะพุ่งเข้าหาอ้อมกอดมัน ผมรู้แล้ว...รู้ทุกอย่างแล้ว ผมต้องมีชีวิตต่อไป อยู่...เพื่อใช้ดวงตาคู่นี้มองสิ่งสวยงาม มองโลกที่สดใส มองความเป็นไปในแต่ละฤดูกาล พี่ครับ...มองดูมันไปพร้อมๆกับผมนะครับ
แล้วเรื่องราวเหล่านั้นก็ผ่านมาได้ปีกว่าๆแล้วตอนนี้ผมกำลังปั่นจักยานยิ้มให้กับเพื่อนบ้านที่ตะโกนทักทาย จุดหมายผมคือสุสานที่ประจำที่ผมจะไปทุกเย็นพร้อมกับดอกทานตะวันสีเหลืองสว่างตรงตะกร้าหน้ารถ แต่เอ๊ะ! ใครมาเยี่ยมพี่หินสุดหล่อของผมตัดหน้าผมอ่ะ ผมไม่ยอมนะ!
แต่เอ...หรือเขาจะมาประจำหว่า ก็วันนี้ผมมาก่อนเวลาตั้งสองชั่วโมง
“คุณครับ มาเยี่ยมพี่ชายผมเหรอ?” ผมหยิบดอกทานตะวันไว้ในมือก่อนจะเดินเข้าไปทัก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าร่างสูงที่ยืนหันหลังให้ผมดูเกร็งยังไงชอบกล
แต่จะว่าไปแผ่นหลังเขาคุ้นจัง...
“อ๊ะ! เดี๋ยวสิครับ!” ผมรีบไปดักหน้าชายร่างสูงไว้ แปลกจัง...ทำไมต้องเดินหนีผมด้วยล่ะ แล้วก้มหน้ายังกับไม่อยากให้ผมเห็นหน้างั้นแหละ มีพิรุธๆ
เอาอีกแล้ว ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ลอดหมวกใบหนาออกมาคุ้นตาผมอีกแล้ว...
“กรุณาหลีกทางให้ผมด้วยครับ ผมรีบ” เบี่ยงตัวหนีไปอีกด้านแต่ผมก็เข้าไปขวางไว้อีก
อีกแล้ว...น้ำเสียงนี้ก็คุ้นอีกแล้ว
“คุณมาทำอะไรหน้าหลุมศพพี่ชายผม คุณรู้จักเขาเหรอ?” ผมถามแต่อีกฝ่ายปิดปากเงียบซ้ำยังหาทางที่จะเดินหนีผมให้ได้
ฟึ่บ!
ผมดึงหมวกที่ปิดบังหน้าเขาออก
“…!!!!!”
ทันทีที่ใบหน้าภายใต้หมวกเด่นชัดขึ้นตัวผมก็นิ่งแข็งค้างทันที ดอกไม้ล่วงลงสู่พื้นดินด้วยเรี่ยวแรงที่หดหาย ใบหน้านี้ ดวงตานี้ ริมฝีปากนี้...
“พะ พี่ ฮึก หะ หิน...” เสียงผมขาดห้วง ริมฝีปากเริ่มแห้งผากตรงข้ามกับดวงตาที่มีน้ำเหลวใสไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย ผมมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผี ไม่ใช่ภาพหลอน ผมสัมผัสเขาได้ เจ้าของใบหน้าคมเข้มดูเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกแต่เมื่อเขาเห็นน้ำตาของผมก็ชะงักไป นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาที่แก้มใสผมออกเบาๆ มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ผมโผเข้ากอดร่างสูงอย่างถวิลหา ความคิดถึงมากมายที่พรั่งพรูล้นทะลักออกมาไม่อาจหยุดความเสียงสะอื้นของผมได้เลย แขนแกร่งโอบร่างผมเอาไว้แน่นและยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเสียงสะอื้นของผมมากขึ้น
ถ้ามันเป็นแค่ความฝันก็อย่าให้ผมได้ตื่นขึ้นมาพบกับความจริงอีกเลย....
“โอ้ย!” เสียงทุ้มร้องลั่นเมื่อผมหยิกเข้าไปที่เนื้อแขนแกร่งเต็มแรง ก็ผมอยากรู้นี่นาว่าเรื่องจริงหรือฝันไป
“ไม่ได้ฝันจริงๆด้วย”
“ก็มันเป็นความจริง” ว่าพร้อมกับลูบต้นแขนตัวเองป้อยๆ
“แล้ว...” ผมมองไปที่หลุมศพที่คิดว่าร่างพี่หินนอนอยู่ในนั้นมาตลอดสลับกับใบหน้าคมที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“คนที่นอนอยู่ในนั้นไม่ใช่พี่หรอก” งั้นที่ผ่านมาผมก็คิดเองเออเองมาตลอดสิ แล้ว...
“งั้นดวงตาคู่นี้....”
“ไม่ใช่ของพี่”
ไม่ใช่...แล้วที่ผ่านมา
“พี่หลอกผมเหรอ! ไอ้พี่บ้า พี่รู้มั้ยว่าผมเสียใจจนแทบเป็นบ้า ผมร้องไห้ไปกี่โอ่งนี่แน่ะๆๆๆ ฮือๆๆ” ผมรัวฝ่ามือไปที่ร่างสูงที่ไม่ปัดป้องสักนิด น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลอาบแก้มลงมาอีก ตอนนี้ความรู้สึกโกรธ ดีใจ โล่งใจ คิดถึงมันประดังประเดเข้ามาหมด
“พอหรือยัง พี่เจ็บแล้วนะ” สองมือหนารวบมือทั้งสองข้างของผมไว้ในมือเดียว อีกข้างก็รวบตัวผมเข้าไปกอด
“ก็พี่หลอกผม ...ผมเสียใจแค่ไหนรู้บ้างไหม”
“พี่ขอโทษ พี่ก็ปวดใจไม่แพ้ไพน์หรอก แต่พี่มีเหตุผลที่ต้องทำ”
“เหตุผลอะไรครับ...มันสำคัญกว่าความรู้สึกของผมหรือไง”
“เหตุผลก็คือคนที่นอนอยู่ตรงนั้นไง” พี่หินบอกพร้อมกับมองไปที่หลุมศพที่ผมเข้าใจผิดมาตลอด
ใช่สิ!! แล้วคนนั้นเป็นใคร!!
“เขาคือคนที่มอบดวงตาให้กับไพน์ เป็นคนที่ทำให้คนโง่ที่คิดจะจัดฉากอุบัติเหตุขึ้นมาเพื่อมอบดวงตาให้กับคนที่พี่รักมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ เขาเป็นคนที่เดินเข้ามาบอกพี่ว่า พี่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อดูแล ปกป้องคนที่เป็นยิ่งกว่าหัวใจของเขา”
“เขาคือ...”
“กัน”
น้ำตาของผมล่วงเผาะลงทันที กัน...นายอีกแล้วเหรอ...เป็นนายอีกแล้ว นายยอมสละชีวิตเพื่อคนอย่างฉันที่ทำร้ายจิตใจนายมาตลอดงั้นเหรอ นายมันคนโง่ ฮึก ฮือ
“เขารักไพน์มากนะ” พี่หินจูงมือผมมาหยุดยืนที่หน้าหลุมศพที่คุ้นเคยแต่มันต่างจากทุกครั้ง ผมทรุดลงบนพื้นลูบไล้หินอ่อนที่สลักชื่อว่าภูผาด้วยมือที่สั่นเทาก้มลงกดจูบบนหลุมศพอย่างแผ่วเบา ไม่ใช่...ไม่ใช่ภูผา แต่เป็น...กันยพัฒน์
“ขอบคุณ...ฮึก ทะ ที่...ทำเพื่อฉันขนาดนี้ ฉะฉันรักนายนะ...”
วูบบบ
ลมพัดวูบพัดพาผ่านร่างผมไป
เขารับรู้...และกำลังเช็ดน้ำตาให้กับผม...
อือ ฉันรู้แล้ว...ฉันจะไม่ร้องไห้…
“พี่ครับแล้วพี่หายไปไหนตั้งปีหนึ่ง ทำไมไม่มาหาผมล่ะครับ ” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามคนที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่ เสียงยังคงสั่นเครือ พี่หินทรุดร่างลงข้างๆผม
“กันเขาขอไว้เป็นครั้งสุดท้ายน่ะ เขาบอกว่าเขาขอได้ความรักจากไพน์แค่ปีเดียวระหว่างนี้พี่เลยมาหาไพน์ไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมต้องเป็นหนึ่งปี” มือหนาลูบศีรษะผมเบาๆอย่างอ่อนโยน
“ฮึก T^T ผมรู้ครับ ผมรู้...”
“…”
“เขาเคยบอกผม...”
‘ตามตำนานเขาเชื่อกันว่า...คนที่ตายไปแล้ววิญญาณจะวนเวียนอยู่ที่หลุมศพที่ฝังร่างเขาไว้เป็นเวลาหนึ่งปีไม่สามารถไปไหนได้ แต่หลังจากนั้นวิญญาณของคนนั้นถึงจะสามารถล่องลอยไปที่ใจปรารถนาได้’
'ชิ นิทานหลอกเด็กน่ะสิ'
วันนั้นผมเถียงเขาไปแบบนั้น
“นับจากนี้ นายก็ไม่ต้องถูกขังไว้ทีนี่แล้วนะ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาแล้ว เพราะนายจะไปอยู่ข้างฉันได้แล้ว...”
“ขอบคุณนะที่ทำให้ฉันได้อยู่กับคนที่ฉันรักอีกครั้ง” พี่หินมองไปที่หลุมศพก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ มือหนาอบอุ่นจับมือผมเอาไว้แน่น
“ขอบคุณนะที่ทำเพื่อฉันมาตลอด...ฮึก ฉันรักนายนะ T^T” ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา สายลมที่พัดผ่านมาอีกครั้งทำให้ผมรู้สึกว่าเขากำลังโอบกอดผมเอาไว้ ผมรักเขา ถึงไม่ใช่ความรักในแบบของคนรักแต่ใจผมบอกเสมอว่าผมรักเขา...
พี่หินหันมาโอบกอดผมเอาไว้เราสองคนยิ้มให้กันอย่างสุขใจ หนึ่งปีแล้วสินะที่ใจผมไม่ได้เต้นรัวด้วยความอบอุ่นอย่างนี้
ขอบคุณนะ ขอบคุณสักร้อยพันครั้งสำหรับความรักและความหวังดีของนาย ฉันสัญญานะกัน...ถ้าของขวัญที่นายอยากได้คือความสุขและรอยยิ้มของฉัน ฉันก็จะให้นาย...
หลับให้สบายนะองครักษ์ของฉัน...
THE END
เรียกว่าจบแบบแฮปปี้ได้มั้ยอ่ะ ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนะคะ :pig4: :pig4: :pig4: