ซีรีย์สั้นกุด [บังเอิญ]...ณ โรงพยาบาล
รถแท๊กซี่ผ่อนความเร็วลง และหักเลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ผู้โดยสารที่นั่งหน้าจ่ายค่ารถกับโชเฟอร์ ส่วนผู้โดยสารอีกคนเดินลงรถไปพร้อมแม่ของเขา
ทางที่จอดเป็นเนินเล็กน้อย ทำให้ประตูหน้าของฝั่งที่เขานั่งอยู่เปิดอ้าไม่ได้ เขาเอาขาข้างหนึ่งหย่อนลงไปนอกรถ เอามือข้างเดียวกับขาที่เหยียบลงบนพื้น กันประตูให้เปิดอ้าไว้
"เดี๋ยวนะครับพี่ รู้สึกตังค์ในกระเป๋าจะไม่พอทอน" โชเฟอร์บอกกับเขา ก่อนจะยื่นมือมาเปิดลิ้นชักหน้ารถที่อยู่ตรงหน้าเขา
มือเขาที่สัมผัสประตู อยู่ดีๆ ก็ไม่รู้สึกถึงสัมผัสนั้น....เขาหันหน้าไปนอกรถ เห็นอีกคนที่มากับเขาจับประตูทางฝั่งเขาให้เปิดอ้าไว้ให้
"ทอนหนึ่งร้อยเท่าไหร่น๊า-----" โชเฟอร์พึมพำกับตัวเอง
"-หนึ่ง-สี่-เจ็ด- ครับ" เขาบอกกับโชเฟอร์
".....47.....อะ เท่านี้ละกัน ไม่มีเหรียญบาทเลย ...." โชเฟอร์ยื่นแบงค์ห้าสิบมาให้เขา พร้อมรอยยิ้ม
"....อา ขอบคุณครับ" เขารับเงินมาแล้วเดินออกไปจากรถ
"ขอบคุณครับ" โชเฟอร์กล่าวตามหลังเขามา
อีกคนปิดประตูรถให้เขา เขาเดินตรงไปหาแม่ของตัวเองที่ยืนรออยู่ภายในอาคารไม่ไกลจากที่พวกเขาอยู่
.....
....
...
..
.
"แม่ง่วงมั้ย?" เขาถามแม่ของตัวเอง
"ไม่หรอก ทำไมช้าจังล่ะ?" แม่ถาม ไม่ได้หัวเสียอะไร แม่แค่ผิดสังเกต
"อ๋อ ทอนตังค์น่ะครับ ไม่มีอะไร" เขาบอกแม่พลางจับแขนของแม่ไว้ ประคองแม่เดินเข้าไปในอาคาร
ขณะที่เขากำลังค่อยๆ เดินไป ไหล่ของเขาก็มีคนมาสะกิด
"ไปทางนี้" คนที่นั่งรถมาด้วยกันกับเขา สะกิดที่หัวไหล่เขา แล้วชี้บอกให้เขาเดินเข้าไปในแผนกฉุกเฉิน
"ไปทำไมทางนั้น เราต้องไปตึกหน้านะ" เขาแย้ง
"ทางมันเชื่อมกัน ไปทางนี้เร็วกว่า ใกล้ดี" อีกคนบอกเขา
"ยังไม่หกโมงเลย ประตูยังไม่เปิดหรอกมั๊ง"
...เวลานี้คือ ตี 4 ครึ่ง เขามาโรงพยาบาลเพื่อมารับบัตรคิว ปกติเวลานี้บัตรคิวจะอยู่กับโต๊ะยามหน้าตึกใหญ่....ประตูและตึกต่างๆ ของโรงพยาบาลเปิดในช่วง 6 โมงเช้า...ดูเวลามาจากในเน็ต
ถึงแผนกฉุกเฉินจะเชื่อมทางกับตึกเก่าที่ลัดไปถึงตึกใหญ่ได้ แต่ประตูมันไม่น่าจะเปิด....นะ?
"เปิดแล้วน่า มานี่เหอะ" อีกฝ่ายพูดแล้วก็เดินนำเขากับแม่ไปลิ่วๆ....ไม่รอกันเลย
"ตามพี่เค้าไปเถอะหนู หนูไปเอาคิวก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ค่อยๆ เดินไปได้" แม่บอกกับเขา
"ผมไปกับแม่แหละ พี่เค้าเดินไปโน่นแล้ว คงไปเอาบัตรคิวให้แล้วล่ะครับ" เขาบอกกับแม่
"รบกวนพี่เค้าจริงๆ ยังไม่ได้เลย ต้องพาแม่มาแต่เช้าขนาดนี้" แม่พูดพลางค่อยๆ ก้าวไปตามทางที่อีกคนบอกไว้
"ไม่เป็นไรหรอกแม่ เราคุยกันแล้วไง ของมันจำเป็นต้องมา อย่าคิดมากนะครับ" เขาปลอบใจแม่ของตัวเองให้หายกังวล
.....
....
...
..
.
เขาพาแม่เดินมาถึงทางลาด ผู้คนเริ่มมีให้เห็นเยอะขึ้น แม่เขาแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะมีคนมารอคิวก่อนแม่กับพวกเขาจะมา..... “โอ้โห หนู...ทำไมคนเยอะแบบนี้ล่ะ?”
“โรงบาลรัฐน่ะแม่ สมคำร่ำลือเนอะแม่เนอะ” ถึงพูดแบบนั้น ใจของเขาจริงๆ แล้วก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
เขาเดินพูดจุ๊กจิ๊กกับแม่ไปอีกระยะ ก็เดินมาถึงบันไดใหญ่ด้านหน้าตึก
ตนป่วยที่นอนบ้างนั่งบ้าง ออกันอยู่ริมทางด้านหน้าตึก บันไดที่แผ่กว้างหลายขั้นของตึกใหญ่ เวลานี้มีผู้คนจับจองไปทุกตารางนิ้ว คนที่ยืนรอก็มี คนที่กระจายไปอยู่บริเวณใกล้ๆ ก็ไม่ใช่น้อย แม่ของเขาเงียบไป....ไม่พูดต่อ เขาเองก็เช่นกัน
สักอึดใจ หลังจากที่เขาหายจากอาการตะลึง เขาก็เริ่มมองหาแผ่นหลังของแฟนตัวเอง เขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในกลุ่มคนมุงหน้าทางเข้าตึก....และก็จริงดังคาด เพราะไม่นานแฟนของเขาก็เดินคิ้วขมวดออกมาจากฝูงชน
.....
....
...
..
.
“หน้ามุ่ย เป็นไรอ่ะครับ?” เขาถามแฟนของตัวเอง
“ร้อยแปดสิบเก้า ถ้าจะเอาเลขสองตัวเราต้องมามันตีสามเลยมั้ย?” อีกฝ่ายพูดเอาฮา
“หึหึหึ เท่านี้ก็ดีแล้วลูก นี่ถ้าพวกเราตามใจแม่มาแปดโมง ไม่รู้จะได้คิวที่เท่าไหร่” แม่บอกอย่างอารมณ์ดี
“พี่ถามยามแล้วนะ เดี๋ยวเราต้องไปตรวจเอกสารตอนเปิดตึก เค้าเปิดประตู 6 โมงเช้า แต่พยาบาลกับส่วนอื่นๆ เริ่มทำงานตอน 7 โมงครึ่ง ตอนนี้ไปหาที่รอกันก่อน ยืนไปก็เท่านั้น เค้าว่าทุกอย่างตามคิว” อีกฝ่ายบอก
“นั่งไหนดีล่ะพี่ หลายชั่วโมงเลยนะ พี่นอนได้เลยนะเนี่ย” เขาถามเชิงปรึกษาพร้อมบอกกับแฟนตัวเอง
“อืม.....ที่เราเดินผ่านมาเมื่อกี้ก็ได้มั๊ง เงียบดี ไม่ไกลจากตึกใหญ่ด้วย” อีกฝ่ายบอกเขา
“ป๊ะ ป๊ะ เดินไปลูก พี่เค้าจะได้นอนสักงีบ” แม่เร่งให้เขาเดินไปยังที่ที่อีกฝ่ายบอกเขา
.....
....
...
..
.
แฟนของเขา....ฐานะนี้เรารู้กันแค่สองคน แม่ของเขาไม่รู้ว่าพี่เค้ากับเขาเป็นอะไรกัน มีฐานะต่อกันอย่างไร แม่รู้แค่----
------พี่เค้าเป็นคนข้างบ้าน
------พี่เค้าเป็นรุ่นพี่ที่มหาลัย
------พี่เค้าเป็นรุ่นพี่อยู่คณะเดียวกัน
------พี่เค้าอยู่คนละเอกกัน
------พี่เค้าอายุห่างกัน 2 ปี
------พี่เค้าใจดี
------พี่เค้ามีน้ำใจ
-------------------เราเป็นเช่นนั้น....อย่างที่แม่รู้มาโดยตลอด แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง
ทว่า เรามีฐานะอื่นเพิ่มขึ้นเมื่อปีก่อนนี้เอง....มันจับผลัดจับพลู
....มันเมา
....มันลืมยับยั้งชั่งใจ
....แล้วมันก็ปล่อยอารมณ์ให้เป็นไปตามธรรมชาติ
....พอตื่นมา พี่เค้าให้คบกัน เป็นแฟนกัน
....พี่เค้าขอรับผิดชอบ
....เขาก็ดันใจง่าย ให้พี่เค้ารับผิดชอบ
....เลยได้เป็นแฟนกัน
.....
....
...
..
.
“พี่แมวนอนตักแม่มั้ย? พี่แมวตัวยาว เดี๋ยวเก้าอี้ไม่พอ” แม่บอกพี่แมวที่เริ่มเอาหัวซบกับพยักเก้าอี้ของที่นั่งข้างหน้าตัวเอง พอดีช่วงนั้น คนข้างหน้าเว้นที่ไว้วางของ
“ไม่เป็นไรครับแม่ เดี๋ยวแม่ปวดขาแย่เลย ผมตัวหนักนะครับ” พี่แมวบอกแม่ด้วยรอยยิ้ม แต่ตาน่ะปรือมากแล้ว
“นอนแบบนั้นปวดหลังเปล่าๆ ตาสนมานั่งนี่มา ให้แม่นั่งริม ให้พี่เค้าหนุนขาหน่อย จะได้นอนสบายๆ เร็วๆ ลูก เสียเวลาพี่เค้านอน” แม่พูดพลางจัดแจงลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่งกับลูกชายของตัวเอง
ตึกเก่านี้มีเก้าอี้ทรงยาวหลายตัววางเรียงกัน ถึงคนไม่มาก แต่ส่วนใหญ่มาตรงนี้เพื่อนอน และก็นอนราบไปตามเก้าอี้ด้วย ดังนั้นเก้าอี้ที่เหลือให้นั่ง จึงเหลือแค่ไม่กี่ตัว และหากพวกเขาจะใช้กันสองตัว โดยให้พี่แมวนอนราบไปเลยคนเดียวอีกตัว แม่ก็บอกว่าเกรงใจคนอื่นที่เขามาเหนื่อยๆ แม่บอกว่าต้องมีหลายคนที่จีรถมาไกล กว่าจะมาถึงที่นี่ เราจึงควรแบ่งๆ ที่นั่ง และเหลือที่ไว้ให้คนมาทีหลังบ้าง
“เอ้า นอนมาพี่แมว เอ๊ะ เดี๋ยวนะ หมอนมันแข็งไป เอาเสื้อมารองให้พี่เค้าหนุนหน่อยสิ สน” แม่ที่นั่งตรงริมเก้าอี้แล้ว บอกเขาที่กำลังหย่อยก้นลงนั่งให้ถอดเสื้อแจ๊คเกตของตัวเองออกมา
เขาก็ทำตามที่แม่สั่ง เพราะคิดอยู่ในใจด้วยเหมือนกัน
“ไม่ต้องๆ สน พี่นอนได้ ใส่ไว้เหอะ อากาศมันเย็นๆ” พี่แมวรีบบอก
“ไม่หนาวพี่ กำลังพอดี” เขาพูดพลางถอดเสื้อของตัวเองออกมา พับมันให้เอาด้านที่มีกระเป๋า มีซิป ไว้ทางหนึ่ง หงายด้านที่มีแต่ผ้านุ่มๆ ขึ้น...แล้ววางลงบนตักตัวเอง
พี่แมวทำหน้าลำบากใจนิดหน่อย แต่พอแม่ของเขาเร่งให้นอนซะ พี่แมวก็รับคำยานคาง ก่อนจะเอนหลังลงมา
เขายื่นแขนข้างที่ติดตัวอีกฝ่ายไปวางพาดยาวกับพนักเก้าอี้ ไม่มีที่วางเหมาะๆ อื่นอีก....เพราะไอ้ที่มันวางแล้วสบาย ท่ามันอาจหมิ่นเหม่ต่อความรู้สึกใครหลายคน....ได้
เขาคุยกับแม่เบาๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่นานเท่าไหร่เขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะคุ้นหู....พี่แมวหลับไปแล้ว
.....
....
...
..
.
เป็นแฟนกัน ฐานะนี้...เหมือนเป็นแค่ลมปาก เพราะทุกๆ อย่างระหว่างสนกับพี่แมว.....ยังเหมือนเดิม
หลังจากปีนั้น....ที่เกิดเหตุ เขามีอะไรกับพี่แมวอีกแค่ไม่เท่าไหร่ แต่พี่แมวเริ่มเข้ามาในวงจรชีวิตเขามากขึ้น
เราจูบกันบ่อยมากกว่ามีอะไรกัน แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรกุ๊กกิ๊กกันมากนัก ----- ที่กล่าวมาคือเวลาที่เราอยู่ด้วยกันเป็นการส่วนตัว
เมื่อหลุดออกมาจาก “โลกของเรา”.....เราเป็นเหมือนเดิม รุ่นพี่-รุ่นน้อง
สน...สนทำตัวไม่ถูกต่อหน้าคนอื่น เขาค่อนข้างเกรงใจสายตาของผู้คน เขากลัวนิดๆ กับความสัมพันธ์แบบนี้ เพราะ....เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมามีความรักกับผู้ชายด้วยกันได้
พี่แมว...เป็นเกย์ หรือเป็นผู้ชาย สนไม่รู้.....
สนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่แมวคิดอะไร แต่เท่าที่สังเกต พี่แมวค่อนข้างไม่แสดงออกว่าเป็นแฟนเมื่ออยู่ภายนอก “โลกของเรา” พี่แมวมีระยะเหลือไว้แค่พี่ชายน้องชายที่สนิทกันมากๆ
สำหรับสน เขาคิดว่า “ก็ดีนะ”.....เราเป็นแบบนี้มันก็ดี
.....
....
...
..
.