พิมพ์หน้านี้ - (เรื่องสั้น) ♦♦ ۞บุปผาอมตะ ۞♦♦ ลงจบแล้วจ้ะ__รบกวนย้ายได้เลยค่ะ__ 08/05/12
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: cancan ที่ 05-05-2012 22:14:23
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ขอฝากเรื่องนี้ด้วย โค้งงามๆฝากเนื้อฝากตัว
เรื่องนี้แต่งขึ้นตามจินตนาการและความรู้ที่มีอยู่น้อยนิด ผสมปนเปแล้วจึงได้ออกมาเป็นเรื่องราวที่จะได้อ่านกันต่อไปนี้ หากอยากได้เนื้อหาเพิ่มเติมขอเชิญผู้อ่านทั้งหลายกลับไปอ่านอีกตอนหนึ่งได้ที่นี่ เจ้าค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=20804.msg1277060#msg1277060
-
ตอนที่1
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดกู่ก้องท่ามกลางป่าทึบ ยอดไม้เสียดสีตามแรงพายุจนเกิดเสียงหวีดหวิวคล้ายกำลังเยาะเย้ยผู้เพลี่ยงพล้ำ ดวงตาสีเพลิงเรืองแสงโชติช่วง สุนัขป่าขนสีเดียวกับนัยน์ตาของมันขู่คำรามด้วยความขุ่นเคือง ถึงแม้จะโดนเล่นงานจนโลหิตหลั่งไหลลงสู่พื้น แต่อาการบาดเจ็บก็มิได้ลดทอนความหาญกล้าของมันเลยสักนิด
แม้เจ็บปวดกายแต่ก็มิอาจเท่ากับความทรมานในจิตใจ
“ไท่หยาง..นี่เจ้ายังมิสำนึกอีกหรือไร?” เสียงคำรามเป็นภาษาสุนัขป่าดังขึ้นจากผู้กำชัยชนะ ดวงตาเรืองแสงแดงก่ำของมันปรากฏแววคุกคามและการต่อสู้ไม่ต่างกับดวงตาของไท่หยาง หากแต่ขนสีนิลดำขลับที่ปกคลุมร่างกายของมันกลับทำให้ดูโหดเหี้ยมและน่าเกรงขามเป็นยิ่งนัก สุนัขป่าสีดำตัวใหญ่กำลังแยกเขี้ยวคมกริบขู่คำราม รอบกายของมันพุ่งแผ่รังสีแห่งการฆ่าฟัน มัจจุราชสีดำแสดงทีท่าว่าครั้งนี้จะมิอ่อนข้อให้อีกแล้ว
“ก็ข้ามิได้ทำผิดอันใด..เหตุไฉนถึงต้องสำนึกด้วยเล่า...พี่ใหญ่” ไท่หยางตะโกนถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พูดได้เพียงไม่กี่คำก็สำลักออกมาเป็นสายโลหิต
“นี่..เจ้า!” อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ให้เกิดโทสะจริต เห็นทีครั้งนี้มันต้องเล่นงานให้สาสม ถึงจะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันก็เถอะ..แต่ก็จำต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ
เพราะเรื่องนี้มันมิอาจปล่อยวางได้..
ความเสน่หาที่ไท่หยางมีให้ชุนหลันคู่ของมันเป็นเหมือนเนื้อร้ายที่รอวันลุกลาม...
หากเมื่อใดที่ความรู้สึกนั้นแข็งแกร่งกว่าจิตอันสำนึกผิดชอบของไท่หยาง เมื่อนั้นน้องร่วมสายโลหิตของมันต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างแน่นอน
เพราะมันนี่ล่ะ...ที่จะเป็นผู้มอบความตายให้แก่ไท่หยางด้วยตัวเอง
ดังนั้นจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม วิธีนี้เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยน้องผู้นี้ได้ ไท่หยางจะต้องรู้ว่าใครคือผู้นำฝูง ครั้งนี้มันจะทำให้ไอ้จอมดื้อดึงเห็นว่าชุนหลันเป็นของมันแต่เพียงผู้เดียว ต่อให้ไท่หยางพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจล้มมันลงได้..
“ข้าจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย..เลิกคิดเช่นนั้นกับชุนหลันเสียที...เจ้านั่นไม่มีทางเห็นใจเจ้าหรอก” พี่ใหญ่กายสีดำขู่คำรามพร้อมกับย่างสามขุมเข้าหาน้องชายที่มีสีนัยน์ตามิต่างกัน
“หึ..พี่รองตามใจท่านเพราะเห็นท่านเป็นผู้นำ อย่าอ้างเรื่องความถูกต้องผิดชอบชั่วดี เพราะทุกวันนี้ข้าก็เห็นอยู่เต็มตา เช่นนั้นแล้วเหตุได้เขาถึงพลีกายให้ข้ามิได้เล่า..พวกเราต่างก็คลานตามกันมา ไฉนเลยต้องเป็นข้าที่เสียสละชุนหลันแก่ท่าน..” ไท่หยางเถียงกลับด้วยความปวดร้าว... มันเฝ้าสู้อุตส่าห์ทะนุถนอมความสัมพันธ์ที่มีต่อชุนหลัน ด้วยยังมิกล้าบอกความในใจแก่พี่รองหนึ่งเดียวในดวงใจของมัน เพราะเกรงว่าฝ่ายนั้นจะเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่น้องในไส้กลับมาคิดกันเกินเลยได้ถึงเพียงนี้
มิคลาด...คนตัดหน้าแย่งชุนหลันไปจากมันกลับเป็นพี่ใหญ่ผู้ที่มันให้ความยำเกรงตลอดมา คืนแล้วคืนเล่าในเหมันตฤดู..มันต้องทนเห็นสิ่งที่พี่ใหญ่กระทำต่อพี่รอง ความรู้สึกบางประการเกาะกุมจิตใจจนมิอาจจะทานทนไหว ไฟแห่งความริษยาและความโกรธเผาไหม้จนมิอาจมอดดับ แม้แต่ความเย็นเยียบของหิมะก็ยังต้องสยบต่อความร้อนที่มีอยู่ในกายของมัน
“สามหาว...เจ้ากล้าพูดจาดูถูกลับหลังพี่รองของเจ้าถึงเพียงนี้เชียวรึ เห็นทีครานี้ข้าคงต้องกำราบเจ้าให้เข็ดหลาบ ไอ้น้องทรยศ”
“หึๆ...ต่อให้พี่ใหญ่ตีข้าจนตาย ในหัวใจของข้าก็มีแต่พี่รอง”
“เช่นนั้นแล้วจงคอยดู..ว่าข้าจะเอาจริงกับเจ้าหรือไม่ อย่ามาโอดครวญขอชีวิตกันภายหลังแล้วกัน!..”
สุนัขป่าตัวใหญ่สองตัวขู่คำรามเตรียมเข้าโรมรันอีกครั้ง และคราวนี้ต่างฝ่ายมิคิดจะออมกำลังอีกแล้ว ไท่หยางใช้พละกำลังทั้งหมดต่อสู้และป้องกันตัวเองจากการจู่โจมของพี่ใหญ่ บาดแผลที่หัวไหล่ซ้ายเริ่มฉีกขาดมากขึ้น มันให้รู้สึกหงุดหงิดนักที่มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์เนื่องจากตอนนี้มิใช่เหมันตฤดู ทำให้พลังวัตรของมันลดลงไปครึ่งหนึ่ง ถ้าได้ส่วนนั้นกลับมามิคาดมันอาจต่อกรกลับพี่ใหญ่ได้อย่างสะดวกดาย
ถึงจะมีโอกาสเพียงน้อยนิดแต่ดวงตาของมันก็คอยจับจ้องหาช่องว่างที่จะเด็ดชีวิตของผู้เป็นพี่ชาย ต่อให้ต้องลงแรงแค่ไหน มันก็จะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาด
“เจ้าขี่ขลาด มิคิดจะสู้แล้วรึ ไท่หยาง..เห็นรึยังว่าเรายังห่างชั้นกันนัก ถ้ายังดื้อดึงมิช้านานเจ้าคงต้องดับสิ้นด้วยน้ำมือของข้า ” สุนัขป่าผู้พี่คำรามกู่ก้อง มันจู่โจมเข้าหาน้องชายรวดเร็วราวกับสายฟ้า เพียงแค่ชั่วกะพริบตาไท่หยางก็ต้องตกตะลึงกับคมเขี้ยวขนาดมหึมา ร่างที่ถาโถมเข้าหาเบื้องหน้าแผ่พุ่งด้วยรังสีอำมหิตอย่างมหาศาลที่กดดันให้มันมิอาจเคลื่อนไหว สมองสั่งการผิดพลาดสับสน ดวงตาสีเพลิงเบิกกว้างเพราะตกตะลึงกับมัจจุราชสีดำขนาดใหญ่ที่กำลังจะปลิดชีวิตของมัน
แต่แล้ว..เงาบางอย่างก็วูบไหวอยู่เบื้องหน้า สุนัขป่าสีเทากระโจนเข้าขวางกั้นกลางระหว่างมันกับพี่ใหญ่ การฆ่าฟันจำต้องหยุดลงในทันที
ดวงตาเย็นชาสีอำพันจับจ้องทั้งสองฝ่าย..
ไท่หยางมองผู้มาเยือนรายใหม่ด้วยอารมณ์วูบไหว เจ้าของร่างเบื้องหน้าคือผู้ที่มันทั้งรักและบูชา
“สื่อเสิน..ท่านพอได้แล้ว..” เสียงราบเรียบเอื้อนเอ่ยขึ้น ร่างสีเทาของผู้มาใหม่ยังคงยืนขวางโดยที่มิได้ขยับเคลื่อนไหว ดวงตาแดงก่ำมองตอบด้วยอารมณ์อันขุ่นมัวเพราะถูกขัดใจ
หมาป่าสีดำร่างใหญ่ เจ้าของนาม “สื่อเสิน” ส่ายหัวกระสับกระส่าย เนื่องด้วยอารมณ์ร้ายกาจของมันถูกขัดขวางมิให้ระเบิดออก ตอนนี้ทั้งร่างรุ่มร้อนด้วยไฟแห่งโทสะ มันหายใจแรงถี่ก่อนพยายามสยบความอำมหิตภายในจิตใจให้มอดลง ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องที่คู่ของมัน..เพราะมิคิดว่าชุนหลันผู้นี้จะทราบเรื่องบาดหมางระหว่างมันกับน้องรอง..มันคาดว่าการปรากฏกายของชุนหลันจะยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากมากขึ้น
“น้องรอง..ความรู้สึกของเจ้า..ข้าทราบดี..” ชุนหลันกล่าวราบเรียบกับไท่หยาง มันมอบดวงตาอ่อนโยนให้แก่น้องชายคนรอง
“พี่รอง..ท่านทราบ?” ไท่หยางถามด้วยเสียงติดขัด ดวงตาเบิกขึ้นเพราะมิคิดว่าพี่รองของมันจะเปิดฉากได้ตรงประเด็นถึงเพียงนี้
ชุนหลันสบดวงตาสีเพลิงคู่นั้นแทนคำตอบ
“มะ..เมื่อไหร่กัน..?” ไท่หยางสีหน้าสลดลง มันมิอาจเพ่งพิศอัญมณีสีอำพันนั้นได้อีกแล้ว ความละอายบางอย่างกำลังเกาะกุมจิตใจ
“นานแล้ว..แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรู้เรื่องของข้ากับสื่อเสิน..”
“...” ไท่หยางมิอาจกล่าวอันใด ยิ่งได้ยินพี่รองเรียกชื่อนั้น ความร้อนรุ่มในดวงจิตก็ยิ่งรุนแรงขึ้น มันทำได้แต่เพียงคำรามออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน บาดแผลบนร่างกายมิอาจทำให้ทุเลาลงได้ภายในเวลาอันสั้น
“ข้ายืนยัน..สื่อเสิน..มิได้บังคับ..”เจ้าของดวงตาสีอำพันตอบเสียงเย็นชา
“....” ดวงตาสีเพลิงจับจ้องมองพื้น คำตอบที่ได้ยินเหมือนคมหนามทิ่มแทงให้เจ็บปวด
“แต่...ถ้าเจ้ายังดื้อดึง...ข้าก็มีวิธี..ช่วยเจ้ากำจัดพี่ใหญ่”
“หือ?” สื่อเสินอ้าปากค้างทำตาโต ดวงตาแดงก่ำมองชุนหลันด้วยความประหลาดใจ เพียงแต่อีกฝ่ายกลับปรายตาตอบโต้คล้ายกับว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่คือความตั้งใจจริง เพียงแค่นั้นพวงหางสีดำขนาดใหญ่ก็ต้องตกวูบ ความครั่นคร้ามบางอย่างเข้าเกาะกุมดวงใจหยิ่งผยองที่ฝ่อแฟบเหลือเท่าเม็ดถั่วเขียว
ชุนหลัน..เจ้ามีแผนการอันใดกัน..?
มันได้แต่ขบคิดด้วยความกังวล..
ผิดกับไท่หยางที่ตอนนี้มันกลับทำดวงตาเป็นประกาย ..
หรือพี่รองจะเห็นใจมันเข้าแล้ว..?
ดวงเนตรพระเพลิงเพ่งมองอัญมณีสีอำพันเยือกเย็นคู่นั้น ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล ชุนหลัน..พี่รองผู้นี้ของมัน แม้จะเกิดเป็นตัวผู้แต่ก็มีความงดงามอย่างประหลาด
ชุนหลัน...โอนอ่อนเหมือนต้นหญ้ายามต้องลม
ชุนหลัน..กิริยานุ่มนวลเหมือนกลีบดอกกล้วยไม้
ชุนหลัน..โดดเด่นเหมือนอัญมณีเลอค่าที่มันมิอาจเอื้อม
โอ่นอ่อน..แต่เย็นชา..องค์ประกอบแตกต่างที่ผสมผสานอย่างลงตัว...
“วิธีอันใดกันเล่า?” ไท่หยางแสร้งตะโกนถามพี่รอง หัวใจที่ถูกบิดเป็นเกลียวเมื่อครู่ก็ค่อยคลายลง บัดนี้สุนัขสีเพลิงยอมก้มหัวเล็กน้อย
ชุนหลันจ้องมองเจ้าน้องจอมดื้อด้วยดวงตาเป็นประกาย น้องผู้นี้ของมันถึงจะเติบใหญ่แค่ไหนแต่ก็มีนิสัยไม่ต่างอะไรกับลูกสุนัขป่า ขอเพียงแค่มีคนยอมอ่อนข้อให้ก็จะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและยอมเชื่อฟัง
“สื่อเสินบำเพ็ญเพียรนานกว่าเจ้า เขามีพลังวัตรแข็งแกร่ง ด้วนเหตุที่ธาตุหยางของเขารุนแรงกว่าปกติจึงทำให้สื่อเสินประสบผลสำเร็จในวิชาชนิดหนึ่ง ฝึกแล้วร่างกายทนทานดุจดังเหล็กกล้า อีกทั้งกำลังวังชาก็มิอาจลดทอนได้โดยง่าย ต่อให้เจ้าสามารถยันเขาได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนติดต่อกันก็มิแน่ว่าจะล้มพี่ใหญ่ได้..” ชุนหลันอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่ถ้ามีผู้ใดสังเกตให้ดีก็จะเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของมัน
“เช่นนี้แล้ว ยังมีหนทางอีกเหรอ?” ไท่หยางไถ่ถามอย่างใคร่รู้
ระหว่างที่เจ้าสีเพลิงกับเจ้าสีเทากำลังสนทนากัน สื่อเสินก็มองน้องทั้งสองด้วยแววตาเหนื่อยหน่ายแกมหมั่นไส้ ทั้งๆที่พี่ใหญ่ของพวกมันยังยืนหัวโด่อยู่นี่ แต่เจ้าพวกนั้นก็มิได้แสดงท่าทางกริ่งเกรงมันเลยสักนิด มิหนำซ้ำยังปรึกษากันเรื่องที่ว่าจะกำจัดพี่ใหญ่คนนี้ของมันได้อย่างไรอีกด้วย
นี่มันดูเหมือนสุนัขป่าขี้เรื้อนที่ไร้น้ำยาหรือไร?
คิดแล้วก็ให้หงุดหงิดจนอยากจะเอาหัวเขกกับตอต้นไม้แถวๆนี้สักร้อยรอบ
สื่อเสินหายใจแรงๆทำเสียงฟึดฟัดก่อนที่จะเดินวนๆรอบตัวเองสามรอบแล้วนั่งหันหลังให้แก่น้องๆ มันโบกหางไปมาทำเหมือนว่ากำลังชื่นชมธรรมชาติ แต่หูใหญ่ๆทั้งสองข้างยังคงกระดุกกระดิกคอยแอบฟังเรื่องราวความเป็นไป
“มิสิ..มีเคล็ดวิชาหนึ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมาคู่กัน มันร้ายกาจจนสามารถหยุดพี่ใหญ่ให้สยบอยู่แทบเท้าของเจ้า เคล็ดวิชานั้นอยู่ในที่พักของข้า หากเจ้าสนใจ พรุ่งนี้ข้าจะนำมันมาให้” ไท่หยางเอื้อนเอ่ยเนิบนาบ
“สนใจสิ..คราวนี้ข้าต้องรบกวนพี่รองแล้ว..” ไท่หยางโบกหางดีใจ มันแลบลิ้นยาวๆตวัดเลียคมเขี้ยวด้วยอาการตื่นเต้นคล้ายกับลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ไปหมดสิ้น
“หึๆ..ดีๆ..ข้าดีใจยิ่งนักที่เห็นเจ้าพยายามเพื่อข้าขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่าเรากำลังใช้กลโกงและมันอาจจะไม่ยุติธรรมต่อพี่ใหญ่ เพราะฉะนั้น..ข้าจึงต้องตั้งเงื่อนไขนิดหน่อย เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่พี่ใหญ่ด้วย เช่นนี้แล้วเจ้าจะได้สู้กันอย่างลูกผู้ชาย เจ้าเห็นด้วยเหรอไม่ ไท่หยาง”
พอชุนหลันกล่าวจบ ไท่หยางก็รีบกระดิกหางก่อนผงกหัวเล็กน้อย
“ย่อมเห็นด้วยแน่นอน ขอเชิญท่านบอกเงื่อนไขแก่ข้า..” สุนัขป่าสีเพลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“เงื่อนไขของข้าก็คือ..เจ้ามีเวลาฝึกมันแค่สิ้นเหมันตฤดูนี้เท่านั้น หากการฝึกของเจ้าไม่ประผลสำเร็จ ก็แสดงว่าเจ้ามิคู่ควรแก่ข้า และพี่ใหญ่เป็นผู้ชนะ ตกลงหรือไม่” ครานี้น้ำเสียงของชุนหลันกลับแฝงความเด็ดขาด
“ฮึ่ม..ตกลง” ไท่หยางคำรามเสียงดัง ดวงใจน้อยๆพองโตเพราะมิคิดว่าพี่รองสุดที่รักจะเมตตามันถึงเพียงนี้ ไท่หยางถือว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่มันจะได้แสดงความเก่งกล้าให้พี่รองได้เห็น มิแน่มันอาจจะได้เลื่อนชั้นเป็นถึงจ่าฝูง
“ดีๆ..น้องรอง..เจ้าช่างน่ารัก พูดกันง่ายๆแบบนี้ สุดท้ายแล้ว..ข้าคงเห็นใจเจ้าเข้าสักวัน..” สุนัขป่าขนสีเทานุ่มนวลย่างกายเข้าใกล้น้องของมันก่อนแลบลิ้นเลียรอยเลือดจากแผงคอให้อย่างรักใคร่
ไท่หยางชื่นชอบต่อการกระทำของพี่รอง มันกระดิกหางดีใจแล้วเดินวนรอบสุนัขป่าผู้พี่ด้วยความกระตือรือร้น ถึงแม้จะรู้ดีว่าความอ่อนโยนที่ได้รับนี้จะยังมิใช่เพราะเสน่หาลึกซึ้งเฉกเช่นเดียวกับที่มันมีให้ แต่เพียงแค่นี้ มันก็รู้สึกอิ่มเอมสุขล้นจนมิอาจปล่อยให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปได้โดยง่าย
“อะแฮ่ม!...” เจ้าตัวที่ถูกลืมแกล้งทำเป็นกระแอมกระไอ มันยังคงนั่งหันหลังให้ผู้น้องทั้งสอง ดวงตาแดงก่ำบัดนี้อ่อนลงแล้ว สภาวะแห่งการฆ่าฟันที่พุ่งแผ่ออกมาจากร่างสีดำเลือนหายไปหมดสิ้น ปลายหางขนาดใหญ่นอนราบบนก้อนหินที่มันใช้พักพิงชั่วคราว ขนนุ่มสลวยสีดำสนิททำให้มันดูโดดเด่นท่ามกลางแมกไม้เขียวชอุ่มของป่าไผ่
ยิ่งใหญ่และทรงพลัง
ลึกลับจนน่าหวาดหวั่น...
ชุนหลันปรายตามองพี่ใหญ่ชั่วครู่ก่อนหันไปสั่งการแก่น้องรองของมัน
“เมื่อตกลงเป็นเช่นนี้ ฉะนั้นทางที่ดีเจ้าก็ควรกลับไปรักษาบาดแผลได้แล้ว น้องเล็กกำลังรอเจ้าอยู่ ให้เขาเลียบาดแผลนั่นซะ เมื่อสมานสนิทแล้วจงรีบพักผ่อน พอย่ำรุ่งข้าจะนำเคล็ดวิชานั้นไปส่งให้เจ้าด้วยตัวเอง”ชุนหลันเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“ตกลงพี่รอง เช่นนั้นข้าขอตัว ..” ไท่หยางค้อมหัวเล็กน้อยให้ชุนหลัน ดวงตาสีเพลิงลอบมองร่างดำทะมึนที่นั่งไม่รู้ทุกข์ร้อนอยู่บนโขดหินเบื้องบน มันมิได้เอ่ยลาพี่ใหญ่ของมัน
เพราะตอนนี้สุนัขป่าตัวนั้นมิใช่พี่ร่วมสายเลือดอีกแล้ว
หากแต่เป็นศัตรูหัวใจอันร้ายกาจ
เป้าหมายสำคัญที่มันหมายจะใช้เป็นที่เหยียบย่ำเพื่อก้าวไปสู่จุดสูงสุด
หลังจากล่ำลาชุนหลันอันเป็นที่รัก สุนัขป่าสีแดงเพลิงก็กระโจนเข้าพุ่มไม้หนา มันหายลับจากไปด้วยความรวดเร็ว..
“เฮ้อ~” หลังจากน้องสองของมันจากไป ร่างสีดำมหึมาก็ต้องถอดถอนลมหายใจ
ชุนหลันเยื้องกายว่องไว มันรวดเร็วและแผ่วเบาปานสายลม เพียงแค่ชั่วกะพริบตาร่างที่ปกคลุมด้วยขนสีเทาอ่อนนุ่มทอประกายเงินยามต้องแสงสุริยันก็ขึ้นไปนั่งเคียงคู่เจ้าดำผู้มีดวงตาแดงก่ำดุจดั่งพญามัจจุราช
“พี่ใหญ่..ท่านถอนใจอันใด มิดีหรอกหรือ ที่ข้าช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลาย..” ชุนหลันเอื้อนเอ่ยก่อนเอาศีรษะถูที่บ่าของพี่ใหญ่หวังออดอ้อน พวงหางสีเทาเกี่ยวพันกับพวงหางสีดำสนิท
“คลี่คลาย?...เฮอะ...เจ้ากำลังทำให้ข้าหนักใจล่ะสิไม่ว่า..” สื่อเสินปรายตามองน้องสาม ตอนนี้ดวงตาแดงก่ำกลับทอประกายบางอย่าง
“หึๆ..” ชุนหลันหัวเราะเบาๆอย่างผ่อนคลาย
“เจ้า..คิดจะเล่นอันใดอีก.. ข้าไม่เข้าใจจริงๆ..เรื่องนี้ข้าจัดการได้ เหตุใดยังเข้ามาจุ้นจ้าน”
“ต่อให้ท่านกับน้องรองสู้กันอีกสิบทิวาราตรีก็มิคาดว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ เพราะต่างฝ่ายหามีใครกล้าลงมือจริงจัง..”
“ใครว่าล่ะ..ถ้าเจ้าไม่มายุ่ง ป่านนี้มันได้เดินทางไปปรโลก (โลกหลังความตาย) เป็นแน่แท้” เจ้าของร่างสีดำเถียงกลับด้วยเสียงเย็นชา แม้ใจจริงจะมิได้คิดเช่นนั้น
“แล้วไยปล่อยให้โอกาสหลุดลอยอยู่หลายครา ถึงไท่หยางจะแกร่งเพียงไหน แต่สำหรับท่านเขาก็เป็นเพียงยุงตัวเล็กๆเท่านั้นมิใช่รึ?” ชุนหลันพูดแดกดันก่อนลงไปนอนกระดิกหางด้วยความสำราญใจ
ผิดกับเจ้าตัวผู้พี่ที่เข้าสู่ภาวะเคร่งขรึม ดวงตาของมันเปล่งประกายบางอย่าง
“วิธีของเจ้า มิเหี้ยมโหดเกินไปรึ..” สื่อเสินกล่าวราบเรียบ
“เหี้ยมโหด? เหตุไฉนต้องปรักปรำกันด้วยเล่า..” ชุนหลันแกล้งถาม ก่อนใช้ดวงตากลมโตมองด้วยความประหลาดใจที่พี่ใหญ่พูดออกมาเช่นนี้
“อย่ามาทำไขสือ..เจ้าคิดว่าข้ามิทันอุบายของเจ้าหรอกรึ เจ้าจงใจทำให้ไท่หยางอยากฝึกเคล็ดวิชาบทนั้น เจ้าก็รู้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติ หากยังดันทุรัง นั่นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต”
“เฮอะ ก็เพราะพวกท่านนั่นล่ะ ข้าเห็นแล้วให้รู้สึกรำคาญ ในเมื่อข้าเป็นต้นเหตุให้พี่น้องต้องมาผิดใจกัน ข้าก็ควรรับผิดชอบมิใช่รึ อันที่จริงท่านก็น่าจะดีใจ ที่ข้าทำทั้งหมดก็เพื่อท่านทั้งนั้น..” ชุนหลันพูดแง่งอนก่อนที่มันจะเอาหางของตัวเองเกี่ยวพันกับพวงหางของผู้พี่อีกครั้ง
“...” สื่อเสินได้แต่มองน้องชายผู้นี้ของมันด้วยความเอือมระอา
ในฐานะพี่ใหญ่ มันคือเสาหลักของฝูง ผู้ใดจะรู้บ้าง ว่ามันต้องแบกภาระขนาดไหนเพื่อให้ครอบครัวเล็กๆนี้ยังคงแข็งแกร่งและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ชุนหลัน ไท่หยาง และกุ้ยหลิน ต่างก็เป็นน้องร่วมสายเลือดของมัน เจ้าพวกนี้มักนำพาความปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้อยู่เสมอ แม้แต่นายใหญ่เช่นตู๋เสอผู้ที่เลี้ยงดูพวกมันทั้งสี่มาตั้งแต่เล็กๆก็มิอาจเข้าใจนิสัยของพวกมันได้อย่างถ่องแท้
ทั้งไท่หยางและกุ้ยหลิน แม้ว่าจะเติบใหญ่จนสามารถเอาตัวรอดได้เอง แต่ก็ยังมีนิสัยเช่นเด็กๆที่น่ารำคาญเป็นยิ่งนัก แต่ถ้าให้รวมไท่หยางกับกุ้ยหลินเข้าด้วยก็ยังมิอาจสร้างความหนักใจให้แก่มันได้เท่ากับชุนหลัน
นิสัยแปลกประหลาดของน้องคนนี้คงมีเพียงแค่มันเท่านั้นที่รู้ซึ้งเป็นอย่างดี
ภายใต้ใบหน้างดงามนุ่มนวลของชุนหลันคือสิ่งที่ใครๆก็มิอาจเข้าถึง
นอกจากมันผู้เดียวเท่านั้น..
จบตอน
-
:L2:
-
:mc4: :mc4: :mc4:
จุดพลุ ตุ้งแช่ ตอนรับเรื่องใหม่ฮะ
ตามมาจากนิยายเรื่องนู้น
:mc3: อย่าลืมมาต่อเน้อ
ปล :pig4: นะค่ะ
-
อยากอ่านตอนเป็นมนุษย์ o13
-
ช้อบชอบบบบบ รอตอนต่อไปนะคะ o13
-
ตอนที่2
หลายสิบวันผ่านไป ทั่วทั้งป่าก็เริ่มขาวโพลนด้วยหิมะ ..
ดวงตาโฉบเฉี่ยวคมกริบมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย ริมฝีปากบางหยักได้รูประบายยิ้มอ่อนๆ
ตงเทียน(ฤดูหนาว)นี้คงไม่น่าเบื่ออีกแล้ว...
...
“ชุนหลัน..”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นที่บานประตูไม้ของห้องนอน มันถูกเปิดออกก่อนที่ใครคนหนึ่งจะก้าวออกมาจากในนั้น
ใบหน้างดงามราวกับรูปสลักของทวยเทพหันตามเสียงเรียก ดวงตาคมกริบผละจากภาพทิวทัศน์ที่ริมหน้าต่างมาหยุดอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่ง ร่างกำยำในชุดผ้าฝ้ายสีดำยืนหาวหวอดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน
“พี่ใหญ่หายเพลียแล้วกระมัง..?” ชุนหลันวางถ้วยน้ำชา ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บุรุษหนุ่มแน่นสองคนยืนประจันหน้า แม้รูปลักษณ์ของทั้งสองต่างสง่าผ่าเผยไม่เป็นรองกัน หากแต่บุคลิกของชุนหลันคือคุณชายมาดนิ่งยิ้มง่ายผู้เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน แตกต่างจากสื่อเสินซึ่งอยู่ในชุดดำ มันคล้ายมัจจุราชในคราบของคุณชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีดำสนิทฉายแววลึกลับชวนหลงใหล
ทั้งสองนั่งลงบนโต๊ะชุดไม้สลักซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง บัดนี้เข้าเหมันตฤดูครอบครัวสุนัขปิศาจซึ่งเป็นสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรมีพลังวัตรแก่กล้าได้คืนสู่ร่างมนุษย์เพื่ออยู่ดูแลเรือนพำนักของตู๋เสอเม่ย ฉายา อสรพิษลี้ลับ ผู้ที่สุนัขป่าทั้งสี่ให้ความยำเกรงเหมือนนายเหนือหัว เนื่องด้วยอสรพิษผู้นั้นได้เลี้ยงดูพวกมันทั้งสี่จนเติบใหญ่และแข็งแกร่งยากที่จะหาปิศาจตนใดต่อกรได้ ทุกๆฤดูหนาวตู๋เสอจะเข้าฟื้นฟูสภาพร่างกาย บุรุษผู้นี้ต้องบำเพ็ญเพียรมิดื่มกินหรือขับถ่ายนอกจากนั่งถ่ายเทลมปราณในบึงมรกตซึ่งกอปด้วยน้ำยาปรุงที่ผสมพิษร้ายหลากหลายชนิด และตอนนี้ตู๋เสอได้ออกเดินทางไปยังถ้ำลับของเขา เช่นนี้แล้วจึงเป็นหน้าที่ของสี่พี่น้องที่จะต้องดูแลเรือนพักของตู๋เสอให้คงความสะอาดและเรียบร้อยอยู่เสมอ อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่พวกมันจะสามารถดำรงชีวิตในร่างแปลงซึ่งจะมีพลังวัตรเต็มสมบูรณ์อีกด้วย
“อืม..” สื่อเสินเปล่งเสียงในลำคอเป็นเชิงเห็นดีกับสิ่งที่น้องสามของตนคาดคะเน เมื่อคืนนี้เขาออกทำงานให้ตู๋เสอในร่างสุนัขป่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกลายเป็นร่างบุรุษหนุ่ม เพราะการเดินทางเป็นร้อยลี้ติดต่อกันมิได้หยุดพัก จึงทำให้เหนื่อยอ่อน เมื่อกลับถึงเรือนพำนักของตู๋เสอจึงล้มลงสิ้นสมประดี
“ดีๆ..” ชุนหลันพยักหน้าช้าๆ เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายฟื้นฟูเต็มที่ก็เบาใจ
“อืม..ไท่หยางกับกุ้ยหลินเล่า ก่อความวุ่นวายอันใดให้เจ้าบ้างหรือไม่ ?” สื่อเสินไถ่ถามถึงน้องทั้งสอง
“หึๆ..วางใจเถอะ..ไท่หยางคงขมักเขม้นฝึกฝนเคล็ดวิชานั้น..ส่วนกุ้ยหลินก็หายเข้ากลีบเมฆ คงออกไปท่องเที่ยวตามประสา เจ้าสองคนนั้นไม่ได้มากวนใจข้าเลยสักนิด..” ชุนหลันพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนๆก่อนที่จะรินน้ำชาร้อนๆให้แก่พี่ใหญ่
“ต่อให้มีพลังวัตรครบบริบูรณ์ แต่ไม่มีคุณสมบัติถูกต้องก็ทำไม่สำเร็จ อีกทั้งยังจะกลายเป็นทำร้ายตัวเอง..”สื่อเสินส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อ
“เจ้าควรจะหาวิธีอื่นหลอกล่อเขา มิใช่ทำร้ายกาจถึงเพียงนี้” สื่อเสินกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“หืม..ไฉนไปๆมาๆกลายเป็นข้าที่โดนด่าเล่า ก็ในเมื่อเขาอยากหาเรื่องใส่ตัวก็ช่างปะไร หึๆ..เอาเป็นว่าท่านอย่าเพิ่งวิตกเกินไป ดีมิดีไท่หยางอาจหาวิธีพลิกแพลงจนฝึกมันสำเร็จ” ชุนหลันพูดด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ
“หืม..?” สื่อเสินขมวดคิ้วมุ่น เขามองแววตาลึกล้ำของน้องชายอย่างจับผิด
“หืม..อันใด? อีกฝ่ายถามกลับด้วยความสงสัย
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากศึกษาเคล็ดวิชานั้นให้ลึกซึ้ง...แต่เจ้าคงมิใช้น้องชายเป็นตัวทดลองกระมัง ?” สื่อเสินหรี่ดวงตาถามอีกฝ่าย
ชุนหลันกลับยักไหล่ด้วยใบหน้าไม่แยแส
“อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีวันฝึกสำเร็จ และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงหมดฤดูหนาว ไท่หยางก็ไร้ข้ออ้างอีกต่อไป..อย่างไรซะ..เขาก็ต้องตัดใจจากข้า ใช่หรือไม่ พี่ใหญ่? ชุนหลันสบตาพี่ใหญ่ของเขาแน่วแน่
“อืม..ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น..” เสียงตอบเบาๆดังขึ้นมาจากฝ่ายตรงข้าม
“อืม..เมื่อพี่ใหญ่ดีขึ้นแล้วข้าคงต้องขอไปนอนพักสักครู่” บุรุษหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายสีขาวค่อยๆลุกขึ้น
มิทันที่ชุนหลันจะก้าวขาออก สื่อเสินก็ปราดเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“สีหน้าของเจ้าไม่สู้ดีนัก..” เสียงทุ้มนุ่มพูดด้วยความกังวล ฝ่ามือของสื่อเสินเกาะกุมอยู่ที่ใบหน้างดงามของชุนหลัน เพียงเท่านั้นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของน้องชายก็ปรากฏขึ้น
“หืม..ทำสีหน้าเช่นนี้..พี่ใหญ่จะช่วยข้าหรือไร..?” ชุนหลันเย้าแหย่พี่ชาย
“หึๆ..ก็มิใช่ข้าหรอกหรือ ที่ช่วยเจ้ามาตลอด” สิ้นคำพูด..ปลายนิ้วของผู้พี่ก็ไล้ลงเบาๆบนริมฝีปากหยักได้รูปของผู้เป็นน้อง
ชุนหลันยิ้มพริ้มพราย เจ้าตัวจูงมือพี่ชายใหญ่เดินกลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง
สื่อเสินทิ้งตัวลงบนพื้นเตียง ร่างกำยำนั่งตัวตรงมองน้องชายที่นั่งอยู่บนพื้นเบื้องหน้า
ชุนหลันเลียริมฝีปากแห้งผากของตนเอง..
บุรุษชุดดำค่อยๆโน้มตัวลง ใบหน้าคมคายเฉียดเข้าใกล้ใบหน้างดงามดุจเทพยาดา
“เอาไป..เท่าที่เจ้าต้องการ..” สื่อเสินกระซิบแหบพร่าข้างริมใบหูของชุนหลัน สิ้นเสียงนั้นฝ่ามือขาวซีดของผู้เป็นน้องก็ค่อยไล้ผ่านสาบเสื้อก่อนคลี่คลายให้แยกออกจากกัน เป้าหมายของชุนหลันคือสิ่งที่อยู่ต่ำกว่านั้น ปมเชือกกางเกงของสื่อเสินถูกแก้ออก ความร้อนราวแท่งเหล็กที่ถูกนาบไฟสัมผัสฝ่ามือของชุนหลัน
ดวงเนตรคมกริบจับจ้องเบื้องหน้า..
สื่อเสินเอนกายเล็กน้อย สองฝ่ามือยันพื้นเตียงก่อนอ้าขาเพื่อความสบาย ดวงตาลึกลับเพ่งพิศผู้ที่อยู่ต่ำกว่า
ชุนหลันหรี่ตาลง พอเห็นเช่นนั้นก็ต้องลอบชื่นชมสรีระบุรุษที่ปรากฏแก่สายตา
งดงามแต่แข็งแกร่ง
ทั้งท้าทายและเชิญชวน
ดวงเนตรคมกริบของชุนหลันช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของพี่ใหญ่
บุรุษผู้นี้ เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว...
...
.........................................................................
..............................................................
“อืม..บาดแผลค่อยดีขึ้นแล้ว..”
“...”
กุ้ยหลินช้อนสายตามองพี่ชายที่ยังคงนั่งนิ่ง ดวงพักตร์ขาวนวลดุจดั่งเนื้อหยกขาวส่ายไปมาช้าๆ ก่อนถอดถอนฝ่ามือเรียวงามออกจากอกแกร่งของผู้ที่กำลังพึ่งการรักษาของตน
“ชอบเขาข้างเดียว..” เสียงใสเอ่ยขึ้นเลื่อนลอยด้วยความหมั่นไส้ ขนาดโดนพี่ใหญ่เล่นงานถึงขั้นนี้ยังยอมเป็นตัวโง่งมปล่อยให้พี่รองปั่นหัวเล่นอีก..
“...” เจ้าของดวงเนตรสีน้ำตาลมิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใด ใบหน้าหล่อร้ายปรากฏรอยกรามขึ้นเป็นสันที่ด้านข้าง
“ข้าว่า..ท่านเสียเวลาเปล่า เคล็ดวิชาอะไรนั่นฝึกได้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้” กุ้ยหลินยังคงเจื้อยแจ้วขณะที่กำลังบรรจงทาสมุนไพรลงบนบาดแผลตรงหัวไหล่ของพี่ชาย
หารู้ไม่ว่าการวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายเกิดโทสะ ฝ่ามือใหญ่รวบข้อมือเล็กอย่างรวดเร็ว กุ้ยหลินร้องเสียงหลงก่อนเสียหลักถลาเข้าไปปะทะอกบึกบึนของอีกฝ่าย ไท่หยางยิ้มร้ายกาจจงใจคุกคามผู้เป็นน้อง
“หึ..อย่าจุ้นเรื่องของข้าจะดีกว่า ว่าแต่เจ้า..เข้าฤดูหนาวแล้วไฉนยังมีเวลามาดูแลบาดแผลให้แก่ข้า มิใช่ต้องไปรอคอยสหายจากแดนไกลหรอกหรือ..” พี่ชายยิ้มเหี้ยม ดวงตาวาวโรจน์ดั่งเปลวเพลิงที่พร้อมเผาไหม้ทุกสิ่งให้ราบคาบ
“หือ!..ท่านพูดอันใด” กุ้ยหลินกล่าวอึกอัก
“หึ..อย่ามาไขสือ ข้ารู้ ว่าเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูด หลินน้อย..เจ้าเองก็มีชนักติดหลังมิใช่หรือไร?”ไท่หยางกระซิบเสียงเจ้าเล่ห์
กุ้ยหลินสะบัดตัวออกห่าง ใบหน้างดงามบูดบึ้งก่อนลุกขึ้นยืนจังก้าท้าวสะเอวเอาเรื่องบุรุษตรงหน้า
“แล้วจะเป็นไรเล่า เรื่องของข้าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใด ส่วนเจ้า...ถ้าอยากจะเอาตัวเองไปแทรกกลางระหว่างพี่รองกับพี่ใหญ่ก็เชิญ พวกโง่เง่า ชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว” กุ้ยหลินพูดได้เพียงเท่านั้น ก็มิอาจทนเห็นใบหน้ากวนโทสะของไท่หยางได้อีก ไม่ใช่เพราะความหวังดีหรือไร ถึงได้ยอมเอาตัวเองเข้าไปแส่หาเรื่อง มิคาดเจ้าพี่ชายผู้ดื้อดึงกลับมิเห็นน้ำใจ ซ้ำยังหาว่าผู้อื่นจุ้นจ้าน เช่นนี้ก็คงได้แต่ปล่อยให้โง่งมอยู่คนเดียวนั่นล่ะดีที่สุด
เด็กหนุ่มเดินลิ่วๆออกมาจากห้องนั้นด้วยความไม่สบอารมณ์ พอนึกถึงไท่หยางก็ให้รู้สึกเสียดายแทน พี่ชายของตนผู้นี้มีดีไม่แพ้ใคร ทั้งรูปร่างหน้าตาก็มิได้อัปลักษณ์น่าเกลียด แถมยังมีพลังวัตรแก่กล้าประกอบด้วยวรยุทธลึกล้ำ สติปัญญาฉลาดหลักแหลมดุจปราชญ์ผู้รอบรู้ แต่ดันมาตกม้าตายเพราะความหน้ามืดตามัวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
กุ้ยหลินขบคิดถึงความสัมพันธ์ของพี่ชายทั้งสามก็ให้เกิดอาการปวดหัว ไม่ทราบว่าพี่รองอย่างชุนหลันมีดีอะไรถึงขนาดทำให้พี่ใหญ่ต้องบาดหมางกับไท่หยาง และถึงแม้จะพอระแคะระคายว่าพี่ใหญ่สนิทสนมแน่นแฟ้นกับชุนหลันถึงขั้นไหน แต่เจ้าของผิวนวลขาวก็อดที่จะเคลือบแคลงสงสัยในท่าทางและความสัมพันธ์ของสองคนนั้นมิได้
กุ้ยหลินนั่งลงตรงระเบียงของเรือนพัก ดวงเนตรสุกใสทอดมองบึงน้ำแข็งที่อยู่ท่ามกลางสวนหินซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะ หลินน้อยนั่งแกว่งเท้าคิดเรื่อยเปื่อยอยู่เป็นนานสองนานก็สังเกตเห็นว่าหิมะเริ่มโปรยปรายอีกแล้ว เพียงเท่านั้นหัวใจดวงเล็กก็ล่องลอยออกไปยังบ้านพักแห่งหนึ่ง ทุกๆเหมันตฤดูมันมีนัดกับบุคคลสำคัญ และตอนนี้ก็ได้เวลาที่จะต้องออกเดินทางไปยังที่แห่งนั้น กุ้ยหลินมิอาจรอช้า ร่างโปร่งดีดตัวขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วแต่ด้วยความเร่งรีบจึงมิทันระวังว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ใกล้ๆ
“ปึก!”
กุ้ยหลินเสียหลักล้มลงเพราะมิอาจทนต่อแรงปะทะ แต่โชคยังดีที่คนผู้นั้นเอื้อมมือยื้อยุดกันไว้ได้ทัน พอกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง ร่างใหญ่ของใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาประชิด
“พี่รอง..” หลินน้อยครางชื่อของพี่ชายแผ่วเบา
“หลินน้อย..จะเร่งรีบไปไหนกัน” เสียงนุ่มนวลของผู้พี่ถามไถ่น้องเล็กสุดท้อง
กุ้ยหลินอยู่ในอ้อมกอดของพี่รองก็ให้เกิดความรู้สึกประหม่า ดวงเนตรคมกริบของคนผู้นี้คล้ายมีอำนาจลึกลับสะกดให้หัวใจของมันเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาคาใจที่ยากแก่การแก้ไขให้กระจ่าง
เพราะตัวกุ้ยหลินเองก็มิอาจเข้าใจว่าเหตุไฉนตนถึงได้รู้สึกยำเกรงพี่รองถึงเพียงนี้
“ว่าอย่างไรเจ้าตัวเล็ก..” ชุนหลันคาดคั้นน้องน้อย หากแต่ยังคงใช้เสียงนุ่มนวลมิได้บังคับขู่เข็ญเอาความเป็นจริงเป็นจัง เมื่อเห็นว่าน้องชายสุดท้องกำลังหัวหดตัวสั่นก็ให้นึกสนุก ประกายวูบไหวปรากฏบนดวงเนตรคมกริบเพียงชั่วครู่ ชุนหลันกระชับอ้อมแขนของตน ออกแรงเพียงเล็กน้อย ร่างผอมแห้งแต่นุ่มนิ่มชวนสัมผัสก็แนบชิดเข้าหา ปลายจมูกโด่งเฉียดเข้าใกล้ผิวเนื้อเนียนนุ่มนั้นอย่างจงใจ
“พี่รอง?” กุ้นหลินตกใจจนทำอันใดมิถูก ดวงตาเหลือกลานและร่างกายก็สั่นเทามากขึ้น
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนคนใกล้จมน้ำ เพราะถูกกระแสพลังบางอย่างกดดันจนมิอาจหายใจได้อย่างสะดวกดาย
“อืม..พอได้กอดเจ้าแบบนี้ทีไร ข้าก็อดนึกถึงดรุณีแรกแย้มมิได้ เหตุไฉนสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งมิยอมให้เจ้าเกิดเป็นหญิง ช่างน่าเสียดายจริง.. ถ้าหากมีเทพองค์ใดเห็นใจข้าบ้าง มิคาดป่านนี้ เจ้าคงเป็นน้องสาวที่งดงามหาหญิงใดเทียบ”
กุ้ยหลินได้ยินพี่ชายพูดเช่นนั้นก็ทำเป็นใจดีสู้เสือแกล้งปั้นปึ่งแง่งอนก่อนบอกกล่าวแก่พี่รอง
“ฮึ..เช่นนั้นก็ควรปล่อยข้าได้แล้ว หากอยากได้ดรุณีแรกแย้มมาเป็นน้องในไส้ ก็ไปหาเอาข้างหน้าเถิด ไฉนมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้เล่า”
“หึๆ..ช่างพูดดีนัก ถ้าเช่นนั้นขอให้พี่รองผู้นี้บอกกล่าวกันสักหน่อยเถิด ถึงเจ้าจะเกิดเป็นชาย แต่ข้าก็รู้สึกหวงแหนเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะผิวเนื้อขาวสะอาดนุ่มนิ่มของเจ้า น้องเล็ก..ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ต้องรักษามันไว้อย่าให้มีแม้แต่รอยขีดข่วน..” ชุณหลันหยุดพูดเล็กน้อย ดวงเนตรคมกริบสังเกตปฏิกิริยาอีกฝ่ายแล้วก้มลงกระซิบใกล้ริมใบหูของผู้น้อง
“ที่สำคัญ..จงอย่าให้ไอ้พวกมนุษย์ชายหรือหญิงคนใดได้เห็นและสัมผัสมันเป็นอันขาด เพราะมันจะนำพาความเดือดร้อนมาให้เจ้าและพวกเรา โดยเฉพาะพี่ใหญ่ เขาคงไม่ชอบแน่ๆ ถ้าความซุกซนของเจ้าสร้างปัญหาแก่พวกเรา”
กุ้ยหลินได้ยินพี่รองพูดเช่นนั้นก็ให้รู้สึกหายใจไม่สะดวก ร่างแข็งทื่อมิอาจเคลื่อนไหว คำเตือนของพี่รองเหมือนกำแพงไม้ไผ่ที่ถูกเหลาให้แหลมคม หากคิดกระโดดข้ามไป ก็ต้องไม่เกิดข้อผิดพลาด มิเช่นนั้นร่างกายคงถูกเสียบติดอยู่บนปลายแหลมได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส
ระหว่างที่หลินน้อยต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอึดอัด ใครคนหนึ่งก็เอ่ยทักขึ้นด้านหลัง เสียงนั้นเหมือนระฆังช่วยชีวิตน้อยๆของกุ้ยหลิน
“หลินน้อย..เจ้าออดอ้อนอันใดกับพี่รอง?”
เสียงทุ้มต่ำเนิบนาบของสื่อเสินทำให้ชุนหลันเผลอคลายอ้อมกอดลงเล็กน้อย กุ้ยหลินฉวยโอกาสนั้นพลิ้วกายออกจากอกอุ่นของพี่ชายคนรองก่อนน้อมกายคารวะพี่ใหญ่ สื่อเสินสังเกตเห็นสภาวะผ่อนคลายของน้องเล็ก ก็ให้ต้องลอบส่งสายตาตำหนิแก่ชุนหลัน
“ไฉนพี่ใหญ่ปรักปรำผู้น้องเช่นนี้เล่า เป็นพี่รองต่างหาก ที่ยื้อข้าไว้มิยอมปล่อย” กุ้ยหลินได้ทีรีบเอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้าปั้นปึ่ง ฝ่ายสื่อเสินได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าช้าๆ ดวงเนตรลึกลับสุดหยั่งคาดทอดมองน้องชายทั้งสอง
ชุนหลันและกุ้ยหลินสวมชุดขาวเช่นเดียวกัน ทั้งสองคล้ายภูติพรายท่ามกลางสายหิมะเบื้องหลัง ยิ่งเพ่งพิศก็ให้รู้สึกราวกับต้องมนต์จนมิอาจละสายตา หากเปรียบกุ้ยหลินเหมือนกวางดาวตัวน้อยอันบริสุทธิ์และงดงาม ใครๆก็คงพากันกล่าวว่าชุนหลันเหมือนหงษ์ขาวที่อ่อนช้อยและสูงส่ง แต่สำหรับสื่อเสินกลับมองชุนหลันต่างออกไป อันที่จริงน้องรองของเขาไม่เหมือนหงส์ขาวเลยสักนิด ในความคิดของสื่อเสิน ชุนหลันคือเสือดาวหิมะทั้งขี้เล่นมากเล่ห์
สวยงามแต่ไม่น่าเข้าใกล้...
พี่ใหญ่ผู้สุขุมยืดตัวตรงเอามือไพร่หลัง พอทอดถอนลมหายใจแล้วจึงเริ่มเอื้อนเอ่ยต่อน้องเล็ก
“อย่าได้ถือสาพี่ชายเจ้า เขาเห็นเจ้าตั้งแต่ยังแบเบาะ เราสองคนช่วยกันดูแลเจ้าและไท่หยางตั้งแต่วัยเยาว์ มันคงทำใจลำบากอยู่เหมือนกันที่ต้องยอมรับว่าบัดนี้น้องๆเติบใหญ่กันหมดแล้ว ด้วยนิสัยขี้เล่นของชุนหลัน เขาคงมิได้ไตร่ตรองว่าการเย้าแหย่อาจสร้างความรำคาญใจแก่น้อง”
“ข้ามิได้ถือสาอันใด” หลินน้อยรีบเอ่ยเสียงอ่อน
ดวงตากลมโตลอบมองพี่คนรอง บัดนี้ร่างสูงสง่างามกำลังชื่นชมทิวทัศน์ขาวสะอาดที่ปกคลุมด้วยหิมะ ใบหน้าผุดผ่องเพราะผิวขาวซีดโดดเด่นไม่ต่างจากเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาจากเบื้องบน เส้นผมสีเงินนุ่มลื่นดุจไหมยาวสยายเต็มทั่วทั้งแผ่นหลังของผู้เป็นพี่
ฝ่ายสื่อเสินเห็นน้องเล็กอ่อนลงก็คิดว่ามิมีเรื่องอันใดค้างคากันอีก
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” สื่อเสินบอกแก่กุ้ยหลิน ก่อนพยักหน้าช้าๆเป็นเชิงพอใจ
ส่วนกุ้ยหลินนั้น..เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่มิได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม และพี่รองก็มิได้สนใจจะต่อความ จึงกล่าวขอตัว
“ในเมื่อพี่รองมีพี่ใหญ่เป็นเพื่อนคุยแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อน” สิ้นเสียงของมัน น้องเล็กสุดท้องจึงน้อมกายคารวะก่อนเคลื่อนคล้อยจากไปราวภูติพราย
สื่อเสินมองการจากไปของน้องเล็กแล้วก็ลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนก้าวเข้าไปยืนชมหิมะเคียงข้างชุนหลัน
หนึ่งดำหนึ่งขาว..ความแตกต่างที่มิอาจบรรจบพบกัน..
“รู้ใช่หรือไม่ ว่ากุ้ยหลินมิได้กลับเข้าห้อง?” ชุนหลันเอ่ยขึ้นก่อนปรายตามองพี่ชาย
“อืม..คงต้องปล่อยไปก่อน” สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ
“แปลกนัก..ดุดันเช่นท่านก็ผ่อนปรนเป็น” อีกคนกลับหัวเราะชอบใจ
ฝ่ายสื่อเสินหันไปมองคู่สนทนาเพียงชั่วครู่ ก่อนขยายความให้ฟังเพิ่มขึ้น
“ต้องจัดการไท่หยางก่อน”
ชุนหลันได้ฟังคำตอบก็พยักหน้าเบาๆเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจงใจเปลี่ยนเรื่องคุย
“อืม..เฮ้ออ~ หิมะเริ่มหนาขึ้นแล้ว อากาศแบบนี้ถ้าได้ขนจิ้งจอกมาทำเสื้อกันหนาวให้ท่านได้ก็คงดี”
สื่อเสินได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่จะอุทานออกมาเสียงดัง พี่ใหญ่ก้มหัวส่ายศีรษะช้าๆด้วยใบหน้าแสดงความเสียดาย
ชุนหลันเห็นเช่นนั้นก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความฉงน ท่าทางของพี่ใหญ่ถึงกับสร้างความขบขันได้ชั่วขณะ
“เป็นอันใดไปแล้วเล่า?” น้องรองกลั้นเสียงหัวเราะเพื่อถามไถ่
“เฮ้ออ~...เพราะเมื่อวานนี้ข้าเหนื่อยล้าจนเกินไป ระหว่างทางที่จะกลับมา จึงได้เผลอทำของวิเศษหล่นหาย”สื่อเสินอธิบาย
“ของวิเศษ?”
“อืม..ข้าคาบมันไว้ในปาก แต่มิคาดมันดิ้นหลุดและหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะเอามันให้เจ้าแท้ๆ แต่กลับทำตกหาย ไปซะได้”
“ของวิเศษอันใด..ถึงขยับได้?” ชุนหลันถามไถ่ด้วยความอยากรู้
“เฮ้ออ~..ในเมื่อหายไปแล้วเจ้าก็อย่าไปใส่ใจอีกเลย ข้าเกรงว่าถ้าบอกแล้วจะยิ่งเสียดาย เพราะเจ้ามันพวกโลภมาก เดี๋ยวก็อดใจไม่ไหวจนถ่อสังขารออกไปหามันที่ข้างนอกนั่น” สื่อเสินเอ่ยด้วยใบหน้าเอือมระอา
“หึๆ..เช่นนั้นเป็นความผิดท่านที่ทำของๆข้าหายไป คราวนี้จะชดเชยกันอย่างไรดี?” สิ้นประโยคนั้นดวงพักตร์งดงามก็เคลื่อนเข้า ใกล้พี่ชาย เนตรสีเทาลึกล้ำจ้องมองผู้พี่อย่างเจ้าเล่ห์
สื่อเสินกระตุกยิ้มเล็กน้อยแล้วย้อนถามกลับ
“ผู้อื่นให้เจ้าไปหมดแล้ว..อยากได้อันใดอีกเล่า?”
“อะไรก็ได้..มัดจำไว้ก่อนดีหรือไม่” ชุนหลันกระซิบถามเสียงนุ่ม มิทันที่จะเอื้อยเอ่ยอันใดต่อจากนั้น ฉับพลันก็ถูกนิ้วแกร่งของพี่ใหญ่เข้าจู่โจมริมฝีปากสีสวยของตน ปลายนิ้วลากไล้แผ่วเบาก่อนเปลี่ยนเป็นปลายลิ้นอ่อนละมุน ชุนหลันครางพึงพอใจกับสิ่งที่พี่ใหญ่มัดจำเอาไว้ เจ้าตัวเผยอปากยอมให้ตนเองถูกรุกราน
ดวงเนตรสองคู่ปรือปรอย.....ลมปราณไหลเวียนถ่ายเท
สองชิวหาเคลื่อนคล้อยสอดประสาน ......ดื่มด่ำด้วยอวิชาพิสดาร
จบตอน
ช่วง :m26:กระซิบกระซาบ
(ดีใจจังที่มีคนเข้ามาอ่านแล้ว :mc4:)
เรื่องนี้รับรองว่าผู้อ่านทั้งหลายไม่ต้องรอนาน เพราะว่า ว่า ว่า cancan ปั่นมันเสร็จแล้ว เนื่องจากว่า อยากใช้ช่วงที่พักจาก บลัดลันลาบาย เขียนอะไรที่มันเป็นอีกรสชาติ พอดีคิดถึงเรื่องนี้แล้วมันก็เป็นตอนสั้นๆ cancan เลยขออนุญาตแย่งเวลาของบลัดฯ กับ ปอนด์&แฮม มาเขียนเรื่องนี้ให้จบ แหะๆ อ่านะ ก็ขอออกนอกลู่นอกทางนิดส์นึง ตอนนี้ก็คงกลับไปทุ่มเทให้บลัดฯต่อไปและปอนด์&แฮมเป็นระยะๆ ส่วนเรื่องนี้จะลงให้เรื่อยๆเลย เดี๋ยวก็จบแล้วล่ะ อิอิ ตอนท้ายๆของเรื่องนี่ถ้าเป็นคนที่ขี้ร้อนในเลือดกำเดาไหลง่ายก็อย่าลืมซื้อกระดาษทิชชู่ไว้บ้างนะ 555555
สุดท้ายต้องขอบคุณที่เข้ามาอุดหนุนกันนะ จุ๊บุๆ +1 ทุกท่าน
-
ตอนที่3
หลังจากกุ้ยหลินปั้นปึ่งจากไป ไท่หยางก็เดินลมปราณสมานบาดแผลอยู่หนึ่งชั่วยาม แล้วจัดการแต่งกายรัดกุมเพื่อเร่งรุดออกไปด้านนอก ก่อนนั้นก็มิลืมหยิบฉวยคัมภีร์ที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาเล่มหนึ่งติดมือไปด้วย ในใจของสุนัขปิศาจในร่างมนุษย์เต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายโชติช่วงด้วยความทะเยอทะยาน ทั้งนี้เพราะกำลังใจอันดีที่ได้จากพี่รองผู้งดงาม คัมภีร์เล่มนี้พี่รองเป็นผู้มอบให้เองกับมือ
ต่อให้ต้องสู้กับพี่ใหญ่จนชีวิตหาไม่มันก็ไม่นึกเสียดาย เพราะอย่างน้อยก็แสดงให้คนที่มันแอบนึกถึงได้เห็นแล้วว่าตนเองเองก็มีดีมิใช่ชั่ว เพราะฉะนั้นขอเพียงแค่ได้ลงมือศึกษาเคล็ดวิชานี้อย่างจริงจัง มิช้านานก็คงได้สั่งสอนพี่ใหญ่กลับไปได้บ้างอย่างแน่นอน
ไท่หยางเสาะหาถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อหลบเข้าไปฝึกวิชาในนั้น เมื่อหาที่เหมาะๆได้ก็จัดแจงนั่งลงขัดสมาธิแล้วเอาเคล็ดวิชากางออกที่ด้านหน้า โชคดีที่ถ้ำแห่งนี้มีร่องหลืบอยู่เบื้องบนเป็นผลให้แสงอาทิตย์เล็ดลอดลงมาได้ถึงด้านล่าง ด้วยสติปัญญาและความจำเป็นเลิศจึงจัดแจงศึกษาและท่องจำสิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นให้ขึ้นใจภายในครั้งเดียว ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากยามเมื่อสิ้นแสงสุริยา
ไท่หยางใช้เวลาศึกษาเคล็ดวิชาอยู่สิบสองชั่วยามก็ให้รู้สึกว่ายังไม่มีอันใดคืบหน้า แม้จะท่องจำทุกสิ่งได้หมดแต่สุดท้ายก็รู้สึกว่ามันช่างไร้ประโยชน์ บุรุษในชุดเทานั่งศึกษาเคล็ดวิชาอยู่เช่นนั้นมิยอมเคลื่อนไหวไปที่ใด จนเวลาล่วงเลยไปสามวันสามคืนก็ยังไม่มีสิ่งใดทำให้ไท่หยางเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้อย่างถ่องแท้ ทั้งๆที่มันก็เพียงแต่ชี้แนะการเดินลมปราณ ไท่หยางทบทวนเนื้อความแล้วก็ให้รู้สึกว่าคล้ายผู้ฝึกต้องมีลมปราณสองแขนงแตกต่าง ใช้ลมปราณหนึ่งนำพาลมปราณหนึ่งไหลเวียนตามจุดต่างๆ ขบคิดอยู่นานก็มิอาจเข้าใจว่ามันจะสร้างประโยชน์อันใด อีกทั้งตอนนี้ก็ยังมิทราบแน่ว่าเคล็ดวิชานี้จะร้ายกาจแค่ไหน ยิ่งคิดก็ให้หงุดหงิดงุ่นง่านจนสมาธิหมดลง
เช้ารุ่งขึ้นของวันที่สี่ ไท่หยางจึงยอมปรากฏกายออกจากถ้ำ เมื่อเท้าเหยียบลงบนหิมะหนานุ่มก็เห็นว่าทั่วทั้งบริเวณของผืนป่ากลายเป็นสีขาวโพลนให้รู้สึกน่ามองไปอีกแบบ ไท่หยางสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดก่อนตัดสินใจออกเดินชมทิวทัศน์เพื่อลบล้างอารมณ์หงุดหงิดจากการฝึกวิชา
หากแต่พอออกเดินมาได้ไม่ไกลนักใบหูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงคำรามก้อง ไท่หยางขมวดคิ้วฉุกใจคิดว่าเหตุใดถึงได้ยินเสียงคล้ายสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น บุรุษในชุดเทาหลับตาลงก่อนเพ่งสมาธิใช้หูทิพย์สดับฟังความเคลื่อนไหว แต่แล้วก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงเนตรสีน้ำตาลเป็นประกายโหมไม้ด้วยไฟแห่งโทสะ หัวใจบีบอัดเพราะตอนนี้ทราบเรื่องราวกระจ่างแล้ว ร่างใหญ่โผทะยานขึ้นด้วยวิชาตัวเบา แม้ล่องลอยดั่งเมฆาหากแต่รวดเร็วราวอินทรี
.........................................
............................
“หนอย~..” กุ้ยหลินคำรามรอดไรฟัน ดวงตาดำขลับจ้องเขม็งที่ร่างใหญ่ดำทะมึน แม้สองมือจะว่างเปล่าไร้อาวุธแต่ก็ตั้งท่าเตรียมจู่โจมเข้าหาอีกครั้ง ฝ่ายหมีป่าดวงตาแดงก่ำยืนขึ้นเต็มความสูงสองเมตร มันจงใจข่มขวัญคู่ต่อสู้ผู้เสียเปรียบ
กุ้ยหลินมองร่างสีขาวขนปุยที่นอนขดตัวสั่นอยู่เบื้องหน้าของหมีตัวใหญ่ก็ให้รู้สึกเจ็บใจ เพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตอนนี้กลับนึกเสียดายที่ลืมหยิบกระบี่ติดมือมาด้วย อีกทั้งวิชาหมัดมวยก็มิได้เอาอ่าว เห็นจะดีอย่างเดียวก็คือวิชาตัวเบา ถ้าหากสามารถฉกเอาเจ้าตัวเล็กนั่นมาได้ทุกอย่างก็คงจบลงไม่ต้องมีผู้ใดเจ็บตัว เพราะกว่าที่หมีป่าตนนั้นจะได้ทำร้ายตน กุ้ยหลินก็คงวิ่งหนีไปไกลลิบแล้ว
แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเจ้าปิศาจตัวเล็กนั่นมีกลิ่นอายพิเศษ ถึงยังมิได้แปลงร่างแต่ก็พอจะรู้ว่ามันมีพลังวัตรมิใช่ชั่ว ไม่เช่นนั้นหมียักษ์คงไม่ยอมทิ้งที่นอนอบอุ่นในช่วงจำศีลออกมาด้านนอกที่เต็มไปด้วยหิมะเย็นเยียบ ตั้งแต่กุ้ยหลินปะทะกับมันมาได้เกือบ1ชั่วยาม นี่ก็เป็นครั้งแรกที่มันยอมวางเจ้าตัวนั้นลงบนพื้น ขนสีขาวปุกปุยแทบกลายเป็นสีเดียวกับหิมะ
กุ้ยหลินกัดฟันเข้าแย่งชิงเจ้าขนปุยตัวนั้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้ตนเองกลับเป็นฝ่ายเสียที หมีป่าแม้จะตัวใหญ่แต่ก็รวดเร็วและ แข็งแรง ร่างโปร่งโดนซัดกลับด้วยพละกำลังมหาศาล ที่เป็นเช่นนี้ เพราะกุ้ยหลินนั้น เมื่อแบ่งสมาธิเพื่อจ้องจะแย่งเจ้าตัวขนปุยออกมาก็ทำให้สภาวะป้องกันลดลง กรงเล็บขนาดใหญ่ตวัดเฉียดต้นแขนผอมแห้ง แม้เพียงแค่นั้นก็ ถึงกับทำให้โลหิตไหลซึมผ่านแขนเสื้อสีขาว
หมีป่าร้องคำรามกึงก้อง ตอนนี้มันเห็นแน่นอนแล้วว่าตนเองเป็นต่อ แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบ นอกจากไม่คิดซ้ำเติมเพื่อเอาให้ถึงชีวิต แต่กลับก้มลงคาบร่างสีขาวที่ยังขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ ขึ้นมา ดวงพักตร์ขาวผ่องดุจหยกขาวจ้องมองหมีตัวใหญ่มิวางตา หมายมั่นว่าจะไม่ยอมปล่อยให้มันเอาสิ่งนั้นไป เมื่อเห็นว่าหลีกเลี่ยงการปะทะเช่นนี้มีแต่เสียเปรียบ ครานี้จึงเตรียมเข้าจู่โจมเต็มกำลัง กุ้ยหลินทะยานกลับเข้าไปอีกครั้ง กำหนดจิตและกายประสานกัน ขับเคลื่นลมปราณเพื่อผลักดันหยิบยืมพลังแฝงนำออกใช้ พลังรุนแรงถูกสั่งสมก่อนปล่อยออกด้วยเพลงเตะ กุ้ยหลินตวัดแข้งอย่างรวดเร็วเข้าที่ศีรษะด้านข้างของหมีป่า ร่างใหญ่ ยักษ์ถึงกับเซถลา และเผลอปล่อยก้อนกลมๆสีขาวหลุดออกจากปาก
ดวงเนตรสีดำขลับจับจ้องที่ก้อนกลมนั้นหมายทะยานเข้าเพื่อใช้โอกาสนี้แย่งชิง มิคาดหมีร้ายกาจกลับพลิกกายได้ทัน ดวงตาแดงก่ำแสดงความโกรธเกรี้ยว กรงเล็บขนาดใหญ่ฟาดลงบนหัวไล่ของกุ้นหลินทันที หลินน้อยเห็นเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าเสียทีจึงฉากหลบด้วยความว่องไวแต่ก็มิอาจหลุดพ้นจากเครื่องจักรสังหาร เล็บคมกริบเฉี่ยวผ่านหัวไหล่สร้างความเจ็บปวดแปลบ เสื้อสีขาวถูกย้อมสีแดงเป็นจุดที่สอง ตอนนี้กุ้ยหลินอยู่ห่างจากหมีใหญ่เพิ่มขึ้นอีกลายวายิ่งทำให้ทุกอย่างยุ่งยากเพราะไม่อาจแย่งเอาสิ่งนั้นมาได้โดยง่าย
หมีป่าก้มลงคาบก้อนกลมสีขาวขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้คมเขี้ยวของมันฝังลึกลงในขนปุย ส่งผลให้สิ่งนั้นขยับเคลื่อนไหว มันส่งเสียงครางอย่างทรมาน สายโลหิตไหลซึมผ่านขนสีขาว หมีใหญ่คาบสิ่งนั้นไว้อย่างมั่นคง มันจ้องมองกุ้ยหลินด้วยดวงตามาดร้าย
ระหว่างที่จับจ้องกันอยู่นั้น กุ้ยหลินก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่เหนื่อศีรษะ ร่างของผู้มาเยือนรายใหม่ปรากฏอยู่ตรงหน้าระหว่างมันและหมีร้าย ดวงตาดำขลับเบิกขึ้นด้วยความยินดีเมื่อพบว่าบุรุษแปลกหน้าคนนั้นคือไท่หยาง
ฝ่ายไท่หยางเมื่อมาถึงก็ยืนหันหลังให้ผู้น้อง แล้วหันหน้าเผชิญกับหมีป่าดุร้าย กุ้ยหลินมองภาพตรงหน้าแล้วก็อดเปรียบเทียบ มิได้ มันรู้สึกว่าหมีป่าตัวนี้ร้ายกาจจริงๆ แม้พี่ชายจะมีร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่แต่เมื่อเทียบกับร่างดำทะมึนตรงหน้ากลับดูเล็กลงถนัดตา
กุ้ยหลินนั้น..เมื่อเห็นว่าตนเองมีพี่ชายมาเสริมทัพก็รู้สึกผ่อนคลายลง ผู้น้องรีบเอื้อนเอ่ยเสียงดัง
“พี่ท่าน เห็นสิ่งที่อยู่ในปากมันหรือไม่..จงอย่าปล่อยให้เจ้าตัวร้ายนั่นเอามันไปได้ ผู้น้องมิมีความสามารถ เช่นนี้ต้องขอความกรุณาจากท่านแล้ว”
ไท่หยางสีหน้าเคร่งขรึม ได้ยินน้องเล็กบอกเช่นนั้นก็เพ่งมองก้อนกลมสีขาวที่อยู่ในปากหมีร้าย พี่ชายปรายตามองน้องคนเล็กก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ธุระอันใดกันเล่า ที่ข้าจะต้องยื้อแย่งสิ่งนั้นมาให้เจ้า”
กุ้ยหลินได้ยินเช่นนั้นก็ต้องอ้าปากค้างมิคิดว่าพี่ชายจะเย็นชาเพียงนี้ ดวงตาดำขลับแสดงความปั้นปึ่ง ดวงพักตร์ขาวสะอาดย่นยู่เพราะความโมโห ริมฝีปากเล็กๆเตรียมด่าทอผู้พี่ แต่ก่อนที่จะได้พูดจาร้ายกาจออกไป ก็ถูกไท่หยางพูดตัดหน้า
“ข้ามานี่มิได้แย่งชิงสิ่งนั้น แต่ตั้งใจจัดการกับมันที่กำลังทำร้ายเจ้า จงนั่งรออยู่ตรงนี้สักครู่เถิด” สิ้นคำไท่หยางก็กระโจนออกไปเบื้องหน้า ฝ่ามือทั้งสองข้างตั้งท่าก่อนผลักดันพลังปราณออกมา พลังนั้นมีสภาวะรุนแรงร้ายกาจแม้ฝ่ามือของไท่หยางยังมิทันกระทบร่างของหมีใหญ่ แต่ร่างดำทะมึนก็ถูกผลักออกไปไกลอีกหลายวา หมีใหญ่ล้มลงไม่เป็นท่า มันส่งเสียงร้องโหยหวน ก้อนกลมสีขาวจึงหลุดออกมาจากป่ากร่วงลงสู่พื้น การจู่โจมเพียงครั้งเดียวถึงกับทำให้อีกฝ่ายหลั่งโลหิต หมีป่าดุร้ายตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันสำนึกว่า คู่ต่อสู้ตรงหน้าร้ายกาจเกินไป ร่างใหญ่ลงยืนสี่ขา ก่อนหันหลังออกวิ่งหายเข้าไปในป่าลึกที่ขาวโพลน
เมื่อเห็นสัตว์ดุร้ายตนนั้นจากไป ไท่หยางก็ออกก้าวเดินก่อนหยุดลงก้มมองก้อนปุกปุยสีขาวที่บัดนี้ปรากฏรอยเลือดสีแดงบางส่วน บุรุษชุดเทาก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นก็พบว่ามันมีรูปร่างคล้ายสุนัขจิ้งจอก ดวงตาสีน้ำตาลมองร่างเล็กจิ๋วที่มีพวงหางขนาดใหญ่อย่างพิจารนา คิดว่าคงเพราะใช้หางพันร่างตนเองเอาไว้เมื่ออยู่ไกลๆจึงมองเห็นเป็นเพียงก้อนกลมๆ และตอนนั้นเอง..เปลือกตาของสิ่งนั้นก็ค่อยๆเปิดขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีชมพูแววาวราวอัญมณี จิ้งจอกตัวเล็กมองไท่หยางด้วยความซาบซึ้ง มันครางหงิงๆก่อนที่จะสลบไปในที่สุด
........................................
............................
เมื่อจัดการไล่เจ้าหมีป่าตนนั้นไปได้ ไท่หยางจึงพากุ้ยหลินกลับมายังถ้ำที่ตนใช้ฝึกวิชา พี่ชายปล่อยให้น้องเล็กโคจรลำปราณ ส่วนตนเองเข้าไปในส่วนที่ลึกกว่าเพื่อนั่งศึกษาเคล็ดวิชาต่อ
กุ้ยหลินหาที่เหมาะนั่งลงขัดสมาธิ ข้างกายของมันมีร่างเล็กฟูฟ่องนอนหลับอยู่ เจ้าตัวเล็กแม้มีบาดแผลจากคมเขี้ยวของหมีป่า แต่หลังจากที่เรื่องราวจบลงจนเมื่อเดินทางมาถึงถ้ำแห่งนี้ กุ้นหลินก็เห็นว่าบาดแผลบนตัวของสิ่งนั้นค่อยๆสมานกันจนเรียบร้อยดีแล้ว มีเพียงร่างกายเล็กจิ๋วที่ยังนอนตัวอ่อนปวกเปียกเนื่องจากความเหนื่อยอ่อน เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงพักตร์สีขาวจึงค่อยคลายกังวล สำหรับบาดแผลบนร่างกายตนเองนั้น ถึงแม้จะมีโลหิตไหลออกมาแต่ก็มิได้รุนแรงอันใด ขอเพียงแค่ได้นั่งโคจรลมปราณเพื่อสมานบาดแผลสักสองชั่วยาม ร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติ
หลินน้อยคิดได้ดังนั้นก็หลับตาลง แล้วกำหนดจิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย เพื่อนำพาลมปราณเคลื่อนคล้อย
หลังจากนั้นสองชั่วยามผ่านไป ดวงเนตรของกุ้ยหลินก็กลับมาสุกใส เจ้าตัวลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ตอนนี้บาดแผลสมานดีแล้ว อาการเจ็บปวดหายไปหมดสิ้น จะมีก็เพียงแต่ไอเย็นที่กระทบถูกผิวเนื้อ ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านเข้าไปถึงกระดูก กุ้ยหลินเอามือทั้งสองข้างถูกันเพื่อให้เกิดความร้อน และตอนนั้นเองก็สังเกตเห็นแสงเรืองรองสว่างไสว ดวงเนตรดับขลับมองกองไฟที่ถูกจุดขึ้นอย่างกระทันหันด้วยความสนเท่ห์ กุ้ยหลินก้าวเดินเข้าหากองไฟ ยิ่งเดินเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกอุ่นสบาย
“พี่ท่านนั่งตรงนี้เถิด พายุกำลังจะมา ข้าได้เตรียมไฟไว้ให้แล้ว”
เสียงใสๆของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างกองไฟ ทันทีที่กุ้ยหลินก้มลงมองก็ต้องเบิกตาอ้าปากด้วยความตกใจ เพราะมิคิดว่าที่แห่งนี้จะมีผู้อื่นอยู่ด้วย
ฝ่ายผู้แปลกหน้าเมื่อเห็นท่าทางของกุ้ยหลินก็ให้รู้สึกขบขันจนเปล่งเสียงหัวเราะชอบใจก่อนเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา
“ตกใจอันใดเล่า..ข้าเอง ที่เป็นจิ้งจอกตัวนั้น...”
ภายในถ้ำมืดมิดแม้มีกองไฟแต่ก็มิอาจเห็นทุกอย่างได้ถี่ถ้วน เมื่อกุ้ยหลินเพ่งพินิจผู้แปลกหน้าแล้วจึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคา ใบหน้านวลของอีกฝ่ายขาวหมดจด สีแก้มเปล่งปลั่งดั่งดรุณีแรกแย้ม แม้ดวงตาก็ยังเปล่งประกายงดงามราวอัญมณี กุ้ยกลินลองใช้จมูกทิพย์สูดดมก็รู้ว่ากลิ่นกายเช่นนี้มิผิดแน่
ปิศาจจิ้งจอกนี่เอง
“เช่นนั้นเป็นเจ้าใช่หรือไม่..ที่ขอความช่วยเหลือจากข้าเมื่อตอนนั้น” กุ้ยหลินเอ่ยถาม
“ถูกต้องแล้ว ข้าต้องขอขมาที่นำพาความยุ่งยากแก่ท่าน” ผู้แปลกหน้าเอ่ยเสียงอ่อน
“อืม..ไม่เป็นหรอก..” กุ้นหลินยิ้มให้อีกฝ่าย เจ้าตัวจัดแจงนั่งลงข้างกองไฟเพื่อรับความอบอุ่น มิคาด สายตาก็พบกับภาพล่อแหลมเบื้องหน้า กุ้ยหลินรีบถอยห่างก่อนหันหลังให้ใครคนนั้นทันที
“เอ่อ..แม่นาง..ท่านคืนร่างเป็นจิ้งจอกน้อยก่อนได้หรือไม่..” หลินน้อยถามเสียงติดขัด
“เรียนพี่ท่าน..ตอนนี้ยังกระทำมิได้ เพราะถ้าอยู่ในร่างจิ้งจอก ข้ามิอาจโคจรลมปราณได้สะดวก ข้าต้องรีบฟื้นฟูกำลังเพื่อมิให้เป็นภาระแก่ท่าน ไม่ทราบว่าพี่ชายมีปัญหาอันใด?” ผู้แปลกหน้าถามเสียงอ่อน
“เอ่อ..ถ้าเช่นนั้น เจ้านำเสื้อคลุมของข้าไปใส่ไว้ก่อนเถิด เจ้าเปลือยเปล่าเช่นนี้ ส่วนข้าก็เป็นชายอีกทั้งพี่ข้าก็ฝึกวรยุทธอยู่ด้านใน ไฉนปล่อยให้ตัวเองเดินเหินทั้งที่เปลือยเปล่าเช่นนี้เล่า” กุ้ยหลินทำเป็นโวยวาย
ฝ่ายนั้นเมื่อได้ฟังก็หัวเราะคิกคัก ก่อนเอื้อมมือหยิบเสื้อคลุมจากมือของกุ้ยหลิน
“ขอบคุณพี่ท่านที่ห่วงใยข้า เพื่อไม่ให้อุจาดตาข้าจะใส่เสื้อคลุมไว้เช่นนี้ แต่ก่อนอื่น ข้าว่าท่านเข้าใจผิดไปบางประการ”
“เข้าใจผิดอันใด?” กุ้ยหลินไถ่ถามทั้งที่ยังยืนหันหลังให้คนผู้นั้น
“ได้โปรดหันมาก่อนเถิด ข้าใส่เสื้อคลุมแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินน้อยจึงยอมหันกลับไปตามเดิม
“ข้าเป็นบุรุษเพศต่างหากเล่า” จิ้งจอกแปลงเอื้อนเอ่ยเอียงอาย
“หือ!..เป็นเช่นนั้นจริง?” กุ้ยหลินถามเสียงหลง
ฝ่ายนั้นเมื่อเห็นใบหน้าฉงนสงสัยก็ให้ความกระจ่าง สองมือขาวบอบบางแหวกชายเสื้อคลุมที่ตนเองใส่ออกมาชั่วครู่ เมื่อเห็นว่ากุ้ยหลินได้ยลโฉมหลักฐานแน่ชัดจึงจัดแจงใส่กลับไปให้เรียบร้อยเหมือนเดิม
“เช่นนี้เชื่อหรือยัง?..” จิ้งจอกน้อยกล่าวเอียงอาย
“ข้าเชื่อแล้ว..” กุ้ยหลินเห็นหลักฐานก็ยอมรับตามความจริง เจ้าของดวงตาดำขลับเอียงคอด้วยความประหลาดใจ มิคิดว่าในโลกหล้าจะมีบุรุษเพศที่งดงามอ่อนช้อยราวสตรีได้ถึงเพียงนี้
“ว่าแต่..ข้ามิคุ้นหน้าเจ้ามาก่อน ไม่ทราบมีชื่อเสียงอันใด?” กุ้ยหลินเริ่มสนทนาจริงจัง
“ตอนนี้ผู้น้องมิอาจตอบได้ จำได้ว่าหมดสติอยู่ตรงโขดหิน พอฟื้นขึ้นมาก็พบกับหมีใหญ่โตร้ายกาจตนหนึ่ง ข้าถูกมันจับตัวไว้ แต่เมื่อเห็นท่านผ่านมาจึงผนึกลมปราณเป็นกระแสเสียงเพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน” จิ้งจอกน้อยเล่าความให้แก่อีกฝ่าย
“เจ้าจะบอกว่าตนเองความจำเสื่อมงั้นรึ?” กุ้ยหลินเอ่ยถาม
“ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น..”
“อืม..เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ควรจะมีชื่อเรียกเสียก่อน เมื่อเวลาสื่อสารหรือสนทนาจะได้ไม่สับสน” กุ้ยหลินออกความเห็น
“แล้วแต่พี่ท่านเถิด..”
กุ้ยหลินใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนหันไปขอความเห็นจากจิ้งจอกน้อย
“ข้าเรียกเจ้า ผิงผิง ดีหรือไม่?”
จิ้งจอกน้อยได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นสบดวงเนตรดำขลับด้วยความตื้นตัน
“ไพเราะยิ่ง..ขอบคุณพี่ท่าน จากนี้ไปข้าชื่อผิงผิงแล้ว”
“อืม..ดีๆ..ไม่อยากเชื่อว่าวันนี้ข้าจะได้มีน้องเล็กกับเขาแล้ว เสียดายที่ข้ามิอาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก เพราะต้องรีบกลับไปหาใครคนหนึ่ง..จะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นด้วยก็คงไม่ค่อยสะดวก เกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นอีก” กุ้ยหลินเอื้อยเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“ท่านไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ปัญหาของข้าทิ้งไว้ที่ตรงนี้เถิด เพียงแค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว ว่าแต่พี่ท่านอย่าเพิ่งออกไปตอนนี้เลย เพราะก่อนหน้านั้นข้าได้สังเกตการณ์ เห็นว่าภายนอกเริ่มมีพายุพัดผ่าน เช่นนี้แล้วคงไม่เป็นการดีหากต้องออกเดินทางในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ” จิ้งจอกน้อยที่บัดนี้ได้ชื่อว่าถิงถิงออกความเห็น
“อืม..เช่นนั้นคงต้องรออีกสักสองวัน ว่าแต่เราจะอยู่กันอย่างไร ในสถานที่แบบนี้คงหาอาหารลำบาก”
“เรื่องนั้นข้าจัดการไว้แล้ว..ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาเห็นว่าท่านกำลังโคจรลมปราณจึงใช้เวลานั้นออกล่ากระตายป่า มิคาดว่าใกล้ๆบริเวณนี้มีหลุมโพรงของมันอยู่สองสามแห่ง ข้าจึงสามารถจับมาได้สามตัว หวังว่าจะสามารถใช้พอประทังชีวิตได้” ถิงถิงชี้แจงแก่กุ้ยหลิน
“อืม..เจ้านี่ช่างรอบคอบดีแท้..เฮ้อ..ว่าแต่พี่ชายข้าจะเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าได้ลองแอบเข้าไปสังเกตการณ์ดูหรือไม่”
เมื่อได้ยินกุ้ยหลินพูดถึงอีกบุรุษหนึ่ง ถิงถิงก็ก้มหน้าลงหลบซ่อนดวงพักตร์แดงซ่านเพื่อมิให้อีกฝ่ายได้เห็น
“ผู้น้องมิกล้าเข้าไปรบกวนเขาหรอก..”
“อืม..ถ้าพวกเราไม่ได้เขาไว้ ป่านนี้คงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ข้านี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” กุ้ยหลินพูดด้วยเสียงเอือมระอา
“เหตุใดต้องว่ากล่าวตัวเองเช่นนั้น หากไม่ได้ท่านยื้อหมีดำตัวนั้นไว้ ท่านผู้นั้นก็คงมิเจอกับพวกเรา” ถิงถิงรีบแก้ต่าง
“อืม..ก็จริงของเจ้า อ้อ..พี่ข้าคนนี้ชื่อ ไท่หยาง เอาไว้เมื่อเขาออกมาแล้วข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกันอีกที”
“แล้วแต่พี่ท่านเถิด” ถิงถิงตอบเสียงเบา
หลังจากนั้นกุ้ยหลินก็รอให้พายุพัดผ่านอีกสองวัน พอวันที่สามหิมะหนาทึบก็ตกทับปิดปากถ้ำจนสนิท กุ้ยหลินและถิงๆช่วยกันขุดคุ้ยกองหิมะจนในที่สุดปากถ้ำก็เปิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้อากาศภายในถ่ายเทได้สะดวก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงชวนกลับเข้ามาในถ้ำ
“อืม..น้องถิงๆ..พี่ว่าจะเข้าไปดูด้านในเสียหน่อย..” กุ้ยหลินบอกแก่ถิงๆก่อยบุ้ยหน้าไปยังทิศทางที่ไท่หยางเข้าไปฝึกยุทธ
“อืม..เอ่อ..ข้าขอถามท่านหนึ่งข้อได้หรือไม่” ถิงถิงกล่าวตะกุกตะกัก
“หืม..ย่อมได้ น้องถิงๆว่ามาเถิด” กุ้ยหลินตอบรับ
“เหตุใดเขาถึงต้องมุ่งมั่นฝึกวรยุทธขนาดนั้น ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านจะประลองฝีมือกับผู้ใด?”
“เฮ้อ~.. พอได้ยินเจ้าถามแบบนี้ข้าก็รู้สึกเสียดายเวลาแทนเขา พี่ข้าคนนี้มีความมุ่นมั่นผิดๆ เขาหลงรักคนของพี่ใหญ่ เพราะความหน้ามืดตามัวเช่นนี้แหละจึงทำให้พี่น้องต้องมาทะเลาะกันเอง” กุ้ยหลินกล่าวอย่างปลงๆ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ถิงถิงเอ่ยเสียงเบาหวิว ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ
“เช่นนั้นเชิญพี่ท่านเถิด ข้าจะรออยู่ตรงนี้แล้วกัน”
“อืม..” กุ้ยหลินรับคำถิงถิงแล้วจึงเดินเข้าไปส่วนลึกของถ้ำ
สองเท้าของกุ้ยหลินก้าวเดินตามโขดหินสูงต่ำ บางจุดมีแสงจากด้านบนส่องถึง จึงทำให้หิมะบางส่วนตกลงมาได้บ้าง แต่เมื่อยิ่งเดินลึกก็เริ่มรู้สึกผิดปกติ ด้วยเพราะมิอาจเข้าใจว่าเหตุใดภายในถ้ำด้านในถึงเย็นเยียบยิ่งกว่าด้านนอกหลายเท่านัก หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ต้องตื่นตระหนกเพราะรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี กุ้ยหลินรีบผนึกลมปราณเร่งฝีเท้าผ่านซอกหลืบของหินน้อยใหญ่ ตัวมันคิดถึงพี่ชายผู้ดื้อดึง ตั้งแต่เข้ามาพักรักษาบาดแผลจากการปะทะกับหมีป่าตนนั้น ตนก็ยังไม่เห็นไท่หยางออกมาจากด้านในเลยสักครั้ง
กุ้ยหลินเร่งฝีเท้าจนพบกับที่กว้างแห่งหนึ่ง พอสัมผัสได้ถึงพลังเย็นยะเยือกบางอย่างก็ต้องตื่นตระหนกแทบสิ้นสติ ดวงตาดำขลับสอดส่ายหาเป้าหมาย และในที่สุดมันก็พบผู้เป็นพี่ชายนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่งของห้องโถง ที่น่าตกใจก็คือ กุ้ยหลินทราบแน่แล้วว่าพลังเย็นยียบแบบนั้นมาจากร่างของไท่หยางนั่นเอง
หลินน้อยเร่งรุดเข้าไปนั่งลงตรงหน้าพี่ชายที่ยังคงขัดสมาธิมิไหวติง เพียงแค่มองอาการก็ทราบว่าโดนธาตุไฟเข้าแทรกเป็นแน่แท้ กุ้ยหลินค่อยๆเข้าประครองพี่ชาย ทันทีที่แตะต้อง ร่างใหญ่นั้นก็ล้มลงไม่อาจทรงกายได้อีก ดวงตาของไท่หยางปิดสนิทมิรับรู้สิ่งใด กุ้ยหลินมองใบหน้าซีดเผือดของผู้พี่ด้วยความหนักใจ จึงจัดแจงให้พี่ชายนอนราบแล้วออกไปเรียกถิงถิงให้มาช่วยกันดูอาการ
ฝ่ายถิงถิงเมื่อทราบว่าไท่หยางฝึกโคจรลมปราณจนธาตุไฟเข้าแทรกก็หน้าถอดสี ร่างโปรงขาวสะอาดภายใต้เสื้อคุมของกุ้ยหลินรีบตามติดกลับเข้ามาด้านในด้วยกัน
“อาการย่ำแย่แค่ไหน” ถิงถิงรีบถามกุ้ยหลินที่กำลังนั่งลงมองพี่ชาย
กุ้ยหลินส่ายหน้าด้วยความยากลำบากใจ
“อาการแบบนี้มีคนเดียวที่จะช่วยได้” กุ้ยหลินเอ่ยขึ้น
“ใครกันพี่ท่าน บอกแก่ข้ามา ถิงถิงผู้นี้รับอาสาจะพาเขามาให้” ถิงถิงรีบกล่าวร้อนรน
“มิได้..คนๆนั้นเป็นนายเหนือหัวของพวกพี่ บัดนี้เขาเดินทางไปบำเพ็ญเพียรในถ้ำแห่งหนึ่งเป็นสถานที่ปิดไม่มีใครสามารถเสาะหาได้” กุ้ยหลินบอกเสียงเครียด
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรกันดีเล่า..”ถิงถิงกล่าวเสียงเครือ
เมื่อเห็นอาการอีกฝ่าย กุ้ยหลินก็ให้รู้สึกสงสัย ถิงถิงผู้นี้เมื่อเห็นไท่หยางล้มป่วยก็ดูเป็นเดือดเป็นร้อนยิ่งกว่าตนซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆเสียอีก แต่แล้วก็ต้องตัดความสงสัยนั้นทิ้งไปเมื่อเห็นว่าบัดนี้ร่างกายของพี่ชายซีดเซียวไร้สีเลือดก็ให้ตกใจ กุ้ยหลินพอจะรู้ว่าไท่หยางเป็นวรยุทธใช้พลังสายร้อนในการโคจรลมปราณ เหตุไฉนตอนนี้กลับถ่ายเทออกมาเป็นพลังเย็นดุจดั่งน้ำแข็ง พอไตร่ตรองแล้วก็คิดได้ว่าที่ไท่หยางต้องเป็นเช่นนี้คงเพราะเคล็ดวิชาที่พี่รองเป็นผู้มอบให้
กุ้ยหลินลุกขึ้นยืนกำหมัดแน่นขยี้เท้ากับพื้นด้วยความเจ็บใจ ไม่คิดว่าพี่รองจะเหี้ยมโหดขนาดนี้ สำหรับกุ้ยหลินแล้ว พี่รองเหมือนปิศาจในคราบเทวดา เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ร้ายจนสุดคาดเดา
พอก้มลงมองร่างพี่ชายที่นอนแน่นิ่งก็ได้แต่เจ็บใจ ไม่คิดว่าตนเองจะไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้
และตอนนั้นเอง ถิงถิงซึ่งยืนมองทั้งไท่หยางและกุ้ยหลินก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
“พี่ท่าน..ข้าช่วยเขาได้..”
กุ้ยหลินได้ฟังเช่นนั้นก็มองถิงถิงด้วยความฉงน
“เจ้า..ช่วยได้?”
“ย่อมแน่นอน..” ถิงถิงยืนยัน
“เจ้าจะทำอย่างไร?” กุ้ยหลินถามไถ่ด้วยความเคลือบแคลง
“...” ถิงถิงมิกล่าวตอบ มันพยักหน้าช้าๆคล้ายบอกว่าให้อีกฝ่ายวางใจ
ถิงถิงเคลื่อนกายลงนั่งบนพื้นก่อนหลับตาลงคล้ายกับต้องการโคจรลมปราณ มิคาดเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจกุ้ยหลินก็มองเห็นหางสีขาวค่อยๆยื่นออกมาจากด้านหลังของถิงๆ พวงหางขนาดใหญ่โผล่พ้นชายเสื้อ สีของมันขาวสะอาดไม่ต่างจากหิมะ
“ตัดหางข้า.. ข้ารู้ว่าเลือดที่ไหลออกจากหางของข้ามีสรรพคุณวิเศษ ที่บาดแผลของข้าหายสนิทได้รวดเร็วโดยมิต้องโคจรลมปราณก็เพราะว่าเลือดที่หล่อเลี้ยงในหางของข้ามีพลังสมาน ข้าแน่ใจว่ามันต้องช่วยพี่ชายของท่านได้”
กุ้ยหลินได้ฟังวิธีของถิงถิงก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
“ถิงถิง..พี่ข้าไปทำอะไรให้เจ้า เจ้าถึงต้องกระทำถึงเพียงนี้..”
ถิงถิงเห็นท่าทางของกุ้ยหลินที่แสดงความตกใจและคาดคั้นก็ให้รู้สึกกระดากอาย ดวงพักตร์ขาวนวลเปล่งสีแดงเรื่อ ก่อนเอื้อนเอ่ยแผวเบา
“เรียนพี่ท่านตามตรง..เพราะเขาที่ช่วยมิให้ข้าต้องจบชีวิตลงอย่างอนาจ..”
“แค่นั้นหรือ..?” กุ้ยหลินก้าวเข้าไปจับหัวไหล่ของถิงถิง
“...” อีกฝ่ายก้มหน้ามิยอมสบตา
“แค่นั้นหรือ..?..มันต้องมีอีก..ข้ารู้ว่าเจ้ายังบอกไม่หมด” กุ้ยหลินคาดคั้นเจ้าจิ้งจอกน้อย
“เพราะ..เอ่อ..เพราะข้ามิอาจทนเห็นเขามีสภาพแบบนี้” ถิงถิงตอบเสียงเบาหวิว
พอได้ฟังเช่นนั้นกุ้ยหลินก็ต้องเบิกตาขึ้นเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงบางประการ
“อย่าบอกนะ..ว่าเจ้า”
ถิงถิงพยักหน้าช้าๆ..
“ใช่แล้ว..น้องถิงถิงผู้นี้แอบชอบพี่ชายของท่าน”
“ไม่..ข้าทำไม่ได้..” กุ้ยหลินผละจากถิงถิง สีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ฝ่ายถิงถิงนั้นเมื่อเห็นว่ากุ้ยหลินมิยินยอมก็รีบคลานเข้าไปกอดขาเพื่อขอความเห็นใจ
“ได้โปรดเถิดพี่ท่าน อนุญาตให้ข้าช่วยเขา หรือพี่ท่านรังเกียจข้าที่เป็นคนนอก” ถิงถิงกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้าสักนิด แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ดี แม้ข้าจะไม่รู้ว่าหางของเจ้าสำคัญขนาดไหน แต่ข้าก็พอจะเดาได้ว่าถ้าตัดหางออกแล้วมันต้องไม่เกิดผลดีแก่เจ้าในภายหน้า ถึงอย่างไรซะ ข้าก็อนุญาตให้เจ้ารักษาไท่หยางแบบนั้นมิได้” กุ้ยหลินพูดเสียงเด็ดขาด
“ถ้าเช่นนั้น..ข้าก็ต้องขออภัย” สิ้งเสียงของถิงถิง ร่างขาวสะอาดก็เข้าจู่โจมกุ้ยหลินจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตาถิงถิงก็ใช้วิชาสกัดจุดมิให้กุ้ยหลินเคลื่อนไหวหรือพูดอันใดได้อีก มีเพียงดวงตาดำขลับเท่านั้นยังคงกลิ้งกลอกไปมาด้วยความกังวลอย่างสุดแสน
-
ฝ่ายถิงถิง..เมื่อสะกดการเคลื่อนไหวของกุ้ยหลินได้สำเร็จก็จัดการหยิบกระบี่ของไท่หยางที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นขึ้นมา เมื่อดึงออกจากฝักก็เห็นถึงอานุภาพร้ายกาจ กระบี่คมกริบสะท้อนแสงแวววาวทั้งยังเอี่ยมสะอาดเพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ถิงถิงกลืนน้ำลายก่อนจับพวงหางของตนเองขึ้น เจ้าตัวสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วตั้งสมาธิ แม้อากาศในบริเวณนั้นจะเย็นเยียบไปด้วยพลังที่แผ่พุ่งจากร่างของไท่หยาง แค่ตอนนี้ทั่วทั้งใบหน้าของถิงถิงกลับปรากฏเม็ดเหงื่อซึมซับแพรวพราว จิ้งจอกน้อยตั้งสมาธิอยู่ชั่วครู่ก็เงื้อกระบี่ขึ้นเหนือปลายหาง สะบัดข้อมือเพียงครั้งเดียวหางพวงใหญ่สีขาวก็ถูกตัดออกไปกว่าครึ่ง ถิงถิงทิ้งกระบี่ลง ร่างโปร่งเซเล็กน้อย เจ้าตัวกัดฟันข่มความเจ็บปวกทุกข์ทรมานแล้วรีบคว้าส่วนของหางที่หล่นลงบนพื้น เมื่อจับขึ้นมาบีบออกก็เห็นรอยเลือดไหลลงมาตามรอยตัด จิ้งจอกน้อยใจเด็ดรีบให้ไท่หยางดื่มกินเลือดส่วนนั้นทันที
ถิงถิงใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะของไท่หยางก่อนเอานิ้วง้างริมฝีปากที่ปิดสนิทให้เปิดอ้า จากนั้นรีบบีบเลือดที่อยู่ในหางให้หยดลงคอของผู้ป่วยด้วยความรวดเร็ว ทุกอย่างนี้เป็นการรักษาที่ทุกลักทุเล แต่ถิงถิงก็ยังทำเพื่อคนที่ตนเองแอบชื่นชอบตั้งแต่แรกพบด้วยความสมัครใจ
ส่วนหางนั้นเมื่อถูกบีบเลือดออกจนหมดก็ฝ่อแฟบแห้งเหี่ยวขนสีขาวหลุดร่วงสุดท้ายจึงเหลือเพียงกระดูก
ถิงถิงโยนมันทิ้งไปยังอีกมุมหนึ่งของห้องโถง สำหรับส่วนหางที่ยังคงเหลือติดตัวบนก้นกบของปิศาจจิ้งจอกแม้ไม่มีเลือดไหลเลอะเทอะ แต่ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนเดิมอีกแล้ว
ถิงถิงนั้นเมื่อคุมคุมพลังไม่ได้ส่วนหางก็หดหายกลับเข้าลำตัวเหลือเพียงร่างแปลงที่คล้ายมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง เนื่องจากหางเป็นจุดเดียวที่เก็บพลังวัตรวิเศษเอาไว้ เมื่อได้รับความเสียหายก็ถึงกับทำให้ถิงถิงมีสภาพร่างกายอ่อนแอ
จิ้งจอกน้อยมองผลงานของตัวเองด้วยรอยยิ้ม สิ่งที่มันคาดคิดเป็นจริง บัดนี้ร่างกายของไท่หยางไม่ได้ถ่ายเทพลังเย็นอีกแล้ว ผิวเนื้อก็เริ่มกลับมามีสีเลือดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นเช่นนั้นมันก็เบาใจลง ครานี้จึงจัดการคลายจุดให้แก่กุ้ยหลิน ฝ่ายกุ้ยหลินนั้นเมื่อได้รับการคลายจุดก็รีบหันกลับมาดูถิงถิง.. เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของเจ้าจิ้งจอกก็รีบมองสำรวจพี่ชายของตนเอง
หลังจากเห็นทุกอย่างชัดเจนก็แน่ใจว่า ถิงถิงได้ทำการตัดหางตัวเองเพื่อรักษาไท่หยางแล้วเรียบร้อย
กุ้ยหลินให้รู้สึกเป็นห่วงถิงถิงยิ่งนัก มิคิดว่าเรื่องราวจะวุ่นวายถึงเพียงนี้ มันปราดเข้าไปประครองร่างอ่อนแรงของถิงถิงแต่ยังมิทันไรก็โดนเจ้าจิ้งจอกชิงพูดตัดหน้า
“พี่ท่าน..ข้ารักษาเขาแล้ว..เชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะลุกขึ้นมาโคจรพลังได้ ตอนนี้ข้าขอเพียงอย่างเดียว ได้โปรดอย่าบอกเรื่องราวที่ข้ารักษาเขาด้วยเลือดในหาง ท่านจะช่วยปิดบังมันไว้ได้หรือไม่” ถิงถิงพูดด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“ย่อมได้..แค่นี้ข้าทำให้ได้” กุ้นหลินรีบพูด
“อืม..เช่นนั้นต่อจากนี้คงต้องฝากท่านแล้ว อันตัวข้าคงมิอาจกระทำการใดได้ชั่วคราวนอกจากนอนพักฟื้นฟูร่างกาย อาจมีพิษไข้บ้าง แต่พี่ท่านอย่ากังวล ขอเพียงข้าได้นอนพักสักสองวันทุกอย่างก็จะดีขึ้น” สิ้นประโยคนั้น ถิงถิงก็ค่อยๆหลับตาลง อันที่จริงแล้วมันสลบลงในอ้อมกอดของกุ้ยหลิน
ส่วนกุ้ยหลินนั้นเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็จำต้องอยู่ในถ้ำต่ออีกหนึ่งวัน มันจัดการทำความสะอาดกระบี่และเฝ้าปรนนิบัติผู้ป่วยทั้งสองอย่างเต็มกำลัง ฝ่ายไท่หยางนั้นเมื่อได้เลือดจากหางของจิ้งจอกน้อยก็มีพละกำลังฟื้นฟูขึ้น สุดท้ายจึงกลับมาเป็นปกติรู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองได้นอนหลับไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องนั่งโคจรลมปราณทะลวงจุดต่างๆเพื่อขับไล่พลังต่างขั้วซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง
เมื่อไท่หยางฟื้นขึ้นกุ้ยหลินจึงเห็นว่าเป็นโอกาสแก่มันที่จะได้ออกเดินทางเสียที จึงเล่าเรื่องราวของถิงถิงให้ไท่หยางฟัง ยกเว้นเรื่องที่ถิงถิงยอมเสียสละหางส่วนหนึ่งเพื่อรักษาไท่หยาง กุ้ยหลินโกหกว่าถิงถิงล้มป่วยเพราะความหนาวเหน็บ ส่วนไท่หยางนั้นได้มันปรนนิบัตรดูแล สุดท้ายร่างกายจึงค่อยๆฟื้นกำลังจนกลับมาเป็นปกติ ก่อนไปกุ้ยหลินจึงได้ฝากให้ไท่หยางช่วยดูแลถิงถิงแทนตนเอง
จบตอนจ้า :call:
-
ตอนที่4
หลังจากสลบลงในอ้อมกอดของกุ้ยหลิน จิ้งจอกน้อยก็คล้ายคนป่วยเพราะพิษไข้ มันนอนกระสับกระส่ายอยู่สามวันก็ค่อยรู้สึกว่าทุเลาลง ถิงถิงค่อยๆเปิดเปลือกตาก่อนยันกายลุกขึ้น ตอนนี้แม้ว่าร่างกายจะดีขึ้นมากแล้ว แต่มันก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างไม่ได้ดีเหมือนเดิม เพียงแค่มองแวบแรก...เจ้าจิ้งจอกก็สำนึกได้ว่าตอนนี้ตนไม่ได้อยู่ในห้องโถงนั้นอีกแล้ว มันคาดว่าที่แห่งนี้คงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ภายในถ้ำ
ถิงถิงก้มลงสำรวจตนเองซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตา อีกทั้งยังมีผ้าห่มผืนใหญ่คลุมทับอีกชั้น มันนอนอยู่บนแท่นหินขนาดพอดีตัวตรงพื้นหินที่ต่ำลงไปยังพบกองไฟซึ่งมอดลงแล้ว ถิงถิงนั่งมองสิ่งรอบตัวได้สักพักก็ให้รู้สึกระคายเคืองในลำคอจนต้องไอออกมาเสียงดัง มิคาด เบื้องหน้ากลับมีจอกน้ำสะอาดที่ถูกส่งมาด้วยมือแข็งแรง
จิ้งจอกน้อยมองเห็นมือข้างนั้นแล้วก็จำได้ทันทีว่าคนที่ยื่นจอกน้ำมาให้คือผู้ใด เจ้าตัวรีบก้มหน้าก่อนรับจอกน้ำมาจิบทีละนิด ตอนนี้หัวใจน้อยๆกลับเต้นตึกตัก ดวงพักตร์ขาวซีดปรากฏสีแดงจางๆ
“กุ้ยหลินมีธุระต้องจากไป เขาจึงฝากเจ้าไว้กับข้า” เสียงทุ้มต่ำของไท่หยางดังขึ้น เมื่อเห็นว่าคนป่วยรับน้ำไปดื่มแล้ว
“...”
“เชื่อว่าเจ้าคงรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร...ส่วนเรื่องของเจ้า..กุ้ยหลินได้เล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว หลินกุ้ยให้ข้าเรียกเจ้าว่าถิงถิง เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าตามที่กุ้ยหลินเรียกเถิด”
“...”
ไท่หยางยืนเอามือไพร่หลัง เจ้าตัวหันข้างให้ถิงถิงซึ่งนั่งอยู่บนแท่นหิน เมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นมิได้เอ่ยอันใดนอกจากเอาแต่พยักหน้าก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจ
“เจ้ามีปากหรือไม่..หรือว่าล้มป่วยครานี้ทำให้เป็นใบ้ด้วย” บุรุษชุดเทาพูดเสียงเรียบ แม้มิได้ตั้งใจดุด่า แต่เพียงแค่นั้นก็ถึงกับทำให้คนฟังต้องร้อนรน ร่างผอมซีดห่อตัวด้วยอาการลนลานก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“พี่ท่าน..แข็งแรงดีแล้ว..?”
ไท่หยางเห็นอาการเกรงกลัวของถิงถิงแล้วก็ต้องถอนหายใจ ก่อนกล่าววาจาต่อด้วยเสียงนุ่มนวลขึ้น
“อืม..อย่าเพิ่งไปนึกถึงผู้อื่น ตัวเจ้าไม่สบายควรพักผ่อนให้เพียงพอ จากนั้นค่อยว่ากันว่าเจ้าจะเอาอย่างไรต่อไป..”ไท่หยางพูดได้เพียงเท่านั้นก็หันมองปิศาจจิ้งจอกเล็กน้อยก่อนเดินจากไปโดยมิได้เอ่ยเพิ่มเติมอีก
ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้สนทนากับบุรุษที่ตนแอบชื่นชอบก็ให้รู้สึกว่าเขาผู้นั้นช่างแสนจะเย็นชา นอกจากน้ำเสียงจะแข็งกระด้างแล้วยังแสดงท่าทางเหินห่างไร้มนุษยสัมพันธ์
แต่ถึงกระนั้น จิ้งจอกน้อยก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตนเองได้..
หลังจากได้นอนพักฟื้นร่างกายอย่างเพียงพอ วันต่อมา ถิงถิงก็สามารถลุกขึ้นมาเดินได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อไม่มีกุ้ยหลินอยู่เป็นเพื่อนก็ให้รู้สึกเคว้งคว้าง นอกจากคอยดูแลความเรียบร้อยสถานที่ก็มิอาจออกไปไหน เนื่องด้วยถิงถิงแอบเห็นว่าไท่หยางยังคงหมุกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชา จึงรู้สึกกังวลเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีก
เย็นวันหนึ่ง ระหว่างที่จิ้งจอกน้อยกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในส่วนของถ้ำซึ่งถูกตกแต่งไว้เป็นที่พัก ไท่หยางก็เดินออกมาจากด้านในซึ่งทอดมาจากห้องโถงใหญ่ที่เอาไว้สำหรับฝึกยุทธโดยจำเพาะ เมื่อสังเกตเห็นว่าถิงถิงยังคงพักอยู่ที่เดิมก็ให้รู้สึกแปลกใจจนต้องเอ่ยถาม
“เจ้า..ยังอยู่อีกรึ?”
ถิงถิงนั้นเมื่อเห็นพี่ชายผู้แข็งกระด้างเอ่ยทักเช่นนั้นก็ให้รู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นอีก ร่างผอมนั่งตัวลีบก้มหน้ามิกล้าสบตาตอบ มีเพียงริมฝีปากเล็กที่เอื้อนเอ่ยออกมา
“ข้า..ไม่มีที่ไป..”
ไท่หยางมองถิงถิงแล้วก็รู้สึกอ่อนใจ ตั้งแต่เกิดมาถึงแม้จะมีพี่มีน้อง แต่ทุกคนต่างเป็นตัวของตนเอง รักอิสระและชอบท่องเที่ยว แม้แต่กุ้ยหลินน้องเล็กที่ดูจะอ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นประเภทที่มีความเชื่อมั่นไม่ยึดติดกับพี่ชาย แต่สำหรับถิงถิงกลับแตกต่างออกไป เมื่อไท่หยางได้เห็นท่าทางและแววตาเช่นนั้นก็ให้แปลกใจตนเอง
ความขัดแย้งบางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจยากแก่การอธิบาย..
ถิงถิงเหมือนพวกที่ไม่รู้จักโต อ่อนแอ และเป็นจุดอ่อน หากให้ติดสอยห้อยตามไปไหนด้วยก็จะเป็นตัวถ่วง แต่ถึงรู้เช่นนั้นแล้ว บางส่วนในจิตใจก็กลับเกิดความรู้สึกบางอย่าง
มันเป็นความรู้สึกที่บอกให้ตนรับผิดชอบกับร่างที่นั่งอยู่เบื้องหน้า...
ไท่หยางคิดว่ามันคือความสงสารและเวทนาที่มีอยู่ลึกๆของก้นบึ้งในหัวใจที่เย็นชาของเขา เพราะตั้งแต่เกิดมา นอกจากตู๋เสอผู้เป็นนายและพี่น้องแล้ว มันก็ยังมิเคยรู้สึกเห็นใจใครมาก่อน...
“เช่นนั้นจะเอาอย่างไร?” ไท่หยางถามกลับเสียงเรียบ
“ข้าขออยู่รับใช้พี่ไท่หยางได้หรือไม่?”
พอได้ยินถิงถิงถามแบบนั้น ไท่หยางก็ต้องหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์หงุดหงิดเนื่องจากตนเองก็คิดไว้แล้วว่าต้องออกมาเป็นแบบนี้ สุดท้าย...ถิงถิงน้อยผู้อ่อนแอก็ต้องหาที่พึ่งพิง แล้วผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เขา
ก็ในเมื่อถ้ำแห่งนี้มีแค่ถิงถิงและเขาเท่านั้น..
พอนึกถึงตรงนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดกุ้ยหลินขึ้นอีกคน ที่เป็นผู้เอาภาระมาทิ้งไว้ให้ ส่วนตัวเองหนีไปมีความสุข ไท่หยางปรายตามองชะตากรรมของตนเองก่อนขบกรามเพื่อระงับความครุกรุ่นที่การฝึกวรยุทธครั้งนี้มีอุปสรรคขวากหนามเข้ามาให้ปวดหัวมิขาดตอน
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ถ้าอยากอยู่ที่นี่ก็เชิญ แต่ระหว่างที่ข้าศึกษาเคล็ดวิชาอย่าได้เข้ามาเกะกะเป็นอันขาด ข้ามันเป็นพวกมิตรสัมพันธ์น้อย ยิ่งเวลาฝึกวิชาจะหมกมุ่นสุดขีด ฉะนั้นเจ้าอยู่ส่วนเจ้า เรากินนอนไม่ยุ่งเกี่ยวกัน หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ” ไท่หยางออกคำสั่งเด็ดขาด
“ข้าเข้าใจ จะไม่ทำตัวเกะกะท่านแน่นอน ขอบคุณพี่ไท่หยาง” ถิงถิงนั้นเมื่อได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อก็ดีใจเป็นยิ่งนัก ดวงพักตร์สว่างสุกใส เป็นครั้งแรกที่มันเงยหน้าขึ้นกล้าเผชิญหน้ากับบุรุษแข็งกระด้าง
ไท่หยางเมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสและแววตาสีชมพูเรืองรองราวอัญมณีของถิงถิงก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ เป็นครั้งแรกที่มันได้มองถิงถิงอย่างเต็มตา มิคิดว่าแม้จิ้งจอกน้อยจะเป็นเพศเดียวกัน แต่ก็ยังงดงามถึงเพียงนี้
แต่ความงดงามนั้นจะมีประโยชน์อันใดต่อมัน
ในเมื่อทั้งหัวใจของไท่หยางมอบให้ชุนหลันผู้สูงส่งไปหมดแล้ว
ต่อให้ถิงถิงงดงามแค่ไหน ก็มิอาจทำให้หัวใจดวงนี้สั่นคลอน
อีกหลายวันต่อมา..
ไท่หยางนั้นเมื่อยอมให้จิ้งจอกน้อยอาศัยอยู่ในถ้ำด้วย สุดท้ายก็ต้องพบว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะมันมิคิดว่าผลของมันจะออกมาเป็นแบบนี้
จู่ๆถิงถิงผู้เหนียมอายและอ่อนน้อมในตอนแรก ก็กลายเป็นพวกชอบจุ้นจ้านไปเสียทุกเรื่อง จิ้งจอกน้อยคอยจ้องรอดูว่าไท่หยางจะหยุดพักจากการศึกษาเคล็ดวิชาเมื่อไหร่ พอก้าวออกไปด้านนอกทีไร ก็จะเจอเจ้าจอมจุ้นเสนอหน้าคอยรับใช้ บางครั้งไท่หยางนั่งพักดื่มน้ำชา ถิงถิงก็จะทำตัวเป็นเสี่ยวเอ้อคอยรินน้ำชาให้
“พี่ท่านปวดหัวไหล่ใช่หรือไม่?” เสียงใสๆของถิงถิงดังขึ้นขณะที่กำลังรินน้ำชา
“อืม” ไท่หยางรับคำอย่างมิได้ใส่ใจ มือหนึ่งถือตำรา ส่วนอีกมือหนึ่งก็บีบหัวไหล่ของตนเองเพื่อให้ผ่อนคลาย มันหารู้ไม่ว่าผู้หนึ่งกับยิ้มกริ่มก่อนจัดแจงวางกาน้ำลงแล้วทำการบีบนวดหัวไหล่ของไท่หยาง
ฝ่ายนั้นเมื่อโดนสัมผัสถูกตัวก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนเอ่ยวาจาเสียงดัง
“เจ้า..ทำอันใด!?”
“พี่ไท่หยางอย่าเพิ่งโกรธเคือง..ข้ามีเจตนาดีอยากนวดให้ เช่นนี้แล้วท่านจะได้ผ่อนคลายปลอดโปร่ง จะอ่านสิ่งใดก็เข้าใจไม่ติดขัด มาเถอะ หันหลังให้แก่ข้า แล้วอ่านเคล็ดวิชาของท่านต่อไป อย่าได้ใส่ใจผู้น้องอีกเลย” ถิงถิงเอ่ยเสียงนุ่มนวล มันจงใจเอาน้ำเย็นเข้าลูบ วาจาอ่อนหวานรวบรัดตัดตอนเพื่อมิให้ไท่หยางหงุดหงิดมากขึ้น
“...” ฝ่ายไท่หยางได้แต่นั่งเงียบ ทีแรกก็สีหน้าปั้นปึ่งมิรู้ว่าจะรับมือกับคนผู้นี้อย่างไร ถิงถิงไม่ใช่พวกชอบโวยวายเหมือนกุ้นหลิน อีกทั้งสติปัญญาก็คล้ายจะมีเล่ห์อุบายหลอกล่อ เมื่อต้องใช้สมาธิศึกษาตำราอย่างเคร่งครัด มันก็มิอาจจะเอาใจใส่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สุดท้ายจึงต้องปล่อยเลยตามเลย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ ถึงแม้จะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือการนวดของถิงถิงเป็นที่น่าประทับใจทีเดียว
และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ระหว่างสุนัขปิศาจทั้งสอง ไท่หยางเริ่มชาชินกับความจุ้นจ้านของถิงถิง อันที่จริงแล้วมันเหนื่อยอ่อนเพราะขี้เกียจจะสู้รบ แม้มันจะดุด่าเสียงดัง แต่จิ้งจอกน้อยก็มิเคยโวยวายต่อว่ากลับ ถิงถิงไม่มีแม้แต่ทีท่ากลัวเกรงหรือเสียใจที่ไท่หยางแสดงความรำคาญและเย็นชาออกไป มิหนำซ้ำเจ้าตัวดียังเอื้อนเอ่ยด้วยวาจาไพเราะอ่อนหวาน ถือหลักเย็นสยบร้อน โดยการใช้เหตุผลหว่านล้อมจนไท่หยางต้องยอมแพ้
ดังนั้นนอกจากเป็นเสี่ยวเอ้อแล้วถิงถิงจึงรับหน้าที่ปรนนิบัติดูแลนวดให้แก่ไท่หยางอีกด้วย
วันหนึ่งขณะที่ไท่หยางกำลังให้จิ้งจอกน้อยนวดหัวไหล่ เจ้าตัวก็เริ่มพูดขึ้น
“ถิงถิง...ข้าว่าเจ้าอยู่ว่างๆ ควรฝึกวรยุทธเพิ่มเติมบ้าง”
“ผู้น้องอาภัพ มิอาจจำสิ่งใดได้ วรยุทธตนเองก็ยังไม่แน่ชัด อีกทั้งสภาพร่างกายอ่อนแอ จะเอาปัญญาที่ไหนไปฝึกได้” จิ้งจอกน้อยเอ่ยเสียงอ่อย
“อืม..ถ้าฝึกเองไม่ได้ก็ต้องมีคนช่วย” ไท่หยางออกความคิด
“ผู้ใดเล่า ท่านหรือ จะยอมสอนข้า” อีกฝ่ายถามทีเล่นทีจริง
“อืม..ระหว่างนี้ข้าศึกษาเคล็ดวิชาของข้า เจ้าคงเห็นแล้วว่ามันทำให้ข้าเกิดธาตุไฟเข้าแทรก เช่นนี้จึงมิควรรีบร้อนลงมือฝึกสุ่มสี่สุ่มห้า นอกเสียว่าจะนำมันมาศึกษาอย่างถ่องแท้ ข้าคิดว่าจึงเป็นโอกาศอันดีที่จะพอมีเวลาบางส่วนช่วยสอนเจ้าได้ ดีหรือไม่?”
“...” ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้ฟังดังนั้นก็ต้องลอบยิ้มด้วยความดีใจอย่างสุดแสน มิคาดคิดว่าไท่หยางผู้เย็นชาจะเมตตามันถึงเพียงนี้ พอรู้สึกว่าภายใต้ฝ่ามือคือร่างกายของคนที่ตนเองรักใคร่ก็ให้เกิดอาการกระดากอายจนมิอาจเอ่ยอันใด
“ถิงถิง..ไฉนจึงเงียบไปเล่า ตกลงว่าเจ้าเห็นด้วยหรือไม่? ไท่หยางขมวดคิ้วหน้านิ่ว ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง
“อืม..แล้วแต่พี่ท่านจะเมตตา” ถิงถิงตอบแก่ไท่หยางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ดีดี..ข้าเต็มใจสอน ขออย่างเดียว อย่าทำตัวเหลาะแหละให้ข้ารำคาญก็พอแล้ว” ไท่หยางพยักหน้าพึงพอใจ
ถิงถิงเมื่อได้ไท่หยางเป็นครูก็รู้สึกฮึกเหิมกำลังใจดี พยายามอดทนฝึกร่ายรำหมัดมวยตามที่อาจารย์สอน หากแต่ฝึกไปหลายวันแล้วแต่ความคืบหน้าก็มีไม่มากนัก เพราะเป็นอุปสรรคเนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย พอออกแรงมากๆก็เริ่มเหนื่อยอ่อนจนต้องขอนั่งพักหลายครั้งติดๆกัน
ไท่หยางมองลูกศิษย์แล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก สุดท้ายจึงสุดจะอดกลั้นเลยพูดจาร้ายกาจออกมา
“เห็นทีพรสวรรค์ของเจ้าคงมีแต่รินน้ำชากับนวดเฟ้นกระมัง...เหลาะแหละเช่นนี้แล้วจะฝึกวิชาได้อย่างไร”
“...” ถิงถิงเม้มปากแน่น นึกเสียใจอยู่ลึกๆที่ได้ยินคำพูดเช่นนั้น แต่ก็ยังกล้ำกลืนพยายามลุกขึ้นตั้งท่าก่อนกำหนดจิตเพื่อควบคุมลมปราณให้ไหลเวียนแล้วออกร่ายรำเพลงมวยอีกครั้ง แต่มิวายต้องหน้ามืดซวนเซ เพราะจู่ๆก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงจนสุดจะทานทน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกให้อับอายยิ่งนัก
“เฮ้ออ~ พอเถอะ จะฝืนให้ดูทุเรศไปไย ข้าขี้เกียจต้องมานั่งดูแลเจ้าเหมือนครั้งที่แล้ว เอาเป็นว่าถ้ามันหนักเกินกำลังของเจ้า เอาไว้เราค่อยๆฝึกกันทีละนิด ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืนอีกเลย” ไท่หยางพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน บอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกเช่นไร ทั้งๆที่ตั้งใจถ่ายทอดสุดกำลังแต่พอเห็นลูกศิษย์ไร้ความสามารถเช่นนี้ก็ทั้งผิดหวังและหงุดหงิดเป็นยิ่งนัก
แต่สิ่งที่ทำให้โมโหจนสุดจะทนก็เห็นจะเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแอของเจ้าจิ้งจอกน้อย
อันร่างกายอ่อนแอนั้นโทษมันมิได้ แต่ต้องโทษเจ้าของที่ไม่ยอมดูแลรักษา ในเมื่อรู้ว่าตนเองไม่พร้อมเหตุใดยังดันทุรังตกลงเรียนวรยุทธ ภาพถิงถิงที่มีเหงื่อโซมกายและใบหน้าซีดเซียวยิ่งทำให้ไท่หยางหงุดหงิดถึงที่สุด
ความเวทนาฉายออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลเพียงชั่วครู่ก่อนกลายเป็นความเย็นชาปั้นปึ่งแทนที่
“เจ้าพักผ่อนเถอะ..”สิ้นเสียงทุ้มต่ำแข็งกร้าว ร่างสูงสง่าก็ก้าวยาวๆจากไป
จิ้งจอกน้อยมิคาดคิดว่าเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของไท่หยาง กลับส่งผลต่อจิตใจมันถึงเพียงนี้ ทันทีที่ดวงพักตร์ขาวซีดหมองหม่นก้มลง หยาดน้ำใสๆก็ตกกระทบบนหลังมือทั้งสองข้าง
ถิงถิงส่ายหน้าช้าๆ ที่ต้องมานั่งเสียใจอย่างนี้ ก็เพราะตนเองหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ ถ้าไม่ได้ชอบไม่ได้รักเขา มีหรือจะต้องมาทนทุกข์อยู่แบบนี้
ยิ่งนับวันก็ยิ่งรัก ยิ่งนับวันก็มีแต่ถลำลึก ถิงถิงกำลังร่วงลงสู่หุบเหว
แต่การตกลงไปครั้งนี้มีแต่มันเพียงผู้เดียว
จิ้งจอกน้อยนั่งหมดแรงอยู่เป็นนานสองนานก็ค่อยรู้สึกว่าฟื้นกำลังขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ไม่รู้ว่าไท่หยางหายไปไหน แต่ก็ยังตั้งใจว่าจะฝึกวรยุทธต่อไปมิท้อถอย แม้ได้มีโอกาสเรียนรู้นิสัยใจคอของไท่หยางไม่นานนัก แต่ด้วยสติปัญญาก็พอจะรู้ว่าคนผู้นี้แข็งนอกอ่อนใน ถึงจะมีนิสัยเย็นชาร้ายกาจ โมโหร้ายอยู่บ้าง แต่เมื่อมีใครสักคนโอนอ่อนผ่อนตาม สุดท้ายแล้วก็จะยอมฟังผู้อื่น ถิงถิงนั้นเป็นพวกมุ่งมั่นอดทนสูง เวลาที่ไท่หยางแสดงอารมณ์หงุดหงิดมันขึ้นมาครั้งใด ตนเองก็จะยอมนอบน้อมมิขึ้นเสียงเถียงกลับ จนเวลาผ่านไปชั่วครู่มันจะเป็นฝ่ายเดินเข้าหาออดอ้อนเอาใจใช้วาจาอ่อนหวานหว่านล้อมจนไท่หยางกลับมาพูดดีด้วยอีกครั้ง นี่จึงเป็นวิธีที่จิ้งจอกน้อยใช้รับมือสุนัขป่าอารมณ์ร้ายซึ่งก็ได้ผลดีมาโดยตลอด
ครั้งนี้ถิงถิงก็ตั้งใจทำเช่นเดิม แต่มันเดินตามหาไท่หยางแล้วก็ไม่ทราบว่าหายไปไหน จึงคิดว่าคงจะนั่งอ่านเคล็ดวิชานั้นอยู่ในส่วนห้องโถงภายในถ้ำ เจ้าตัวจัดการเตรียมน้ำชาถือเข้าไปเพื่อจะออดอ้อนเอาใจเพราะอยากให้เขาหายโกรธตนโดยเร็ว
แต่มิคาดเมื่อเข้าไปถึงด้านในกลับไม่พบไท่หยางอีกเช่นนั้น มีเพียงโต๊ะอ่านหนังสือที่มีตำราอยู่หนึ่งเล่ม กระบี่ประจำกายของไท่หยางและเชิงเทียนตั้งอยู่บนนั้น ส่วนด้านข้างตรงพื้นก็เต็มไปด้วยวิชาตำราวรยุทธที่ไท่หยางหามาศึกษาควบคู่กับเคล็ดวิชานั้น
ถิงถิงน้อยวางชุดน้ำชาลง ดวงเนตรสุกใสเพ่งพินิจตำราเคล็ดวิชาที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสนใจ
“นี่คงเป็นเคล็ดวิชาที่พี่ไท่หยางกำลังศึกษาอยู่กระมัง”
มือขาวซีดถือวิสาสะหยิบเคล็ดวิชาเล่มนั้นขึ้นมาเปิดดู แต่พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็ต้องเบิกดวงเนตรย่นคิ้วด้วยความกระวนกระวาย ยังมิได้อ่านเพิ่มต่อไปก็เกิดเสียงหนึ่งังขึ้นที่ทางเข้า
“ถิงถิง เจ้าทำอันใด?” ใครคนนั้นตวาดขึ้นเสียงดังก้องไปทั่วผนังหิน
ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งตกใจจนตัวโยน เคล็ดวิชาที่ถือคาไว้ก็ร่วงหล่นลงพื้น มิทันที่จะเอื้อนเอยชี้แจงอีกฝ่ายก็ปราดเข้าประชิดก่อนกระชากร่างผอมแห้งขึ้นไปยืนประจันหน้า
“ใครใช้ให้เจ้าจุ้นจ้านถึงเพียงนี้?” ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้บูดเบี้ยวด้วยอารมณืโทสะรุนแรงที่แม้แต่ถิงถิงเองยังนึดหวาดหลัว
“พี่ไท่หยาง..ข้า..” จิ้งจอกน้อยตัวสั่นเอยเสียงอ่อย มิทันไรก็ถูกผลักออกมาจนล้มลงไม่เป็นท่า
“เจ้าถือดีอันใด กล้ายุ่งกับของๆข้า” ไท่หยางตวาดกราดเกรี้ยว เดิมทีก็หงุดหงิดมากแล้วที่เห็นถิงถิงฝึกวิชาไม่เอาอ่าว จึงคิดว่าออกไปเดินสูดอากาศด้านนอกเพื่อระงับอารมณ์ร้าย แต่พอมาถึงมิทันไรก็ต้องเห็นว่าถิงถิงกล้าขัดคำสั่ง พื้นที่ส่วนนี้ตนเองเคยบอกไว้แล้วว่าห้ามแตะต้องเข้าใกล้ ไฉนถึงกล้าลองดียั่วอารมณ์โกรธกันถึงเพียงนี้
“พี่ไท่หยาง โปรดฟังข้าก่อน ข้า..ข้านึกว่าพี่ท่านอยู่ในนี้ จึงตั้งใจนำน้ำชามาให้” จิ้งจอกน้อยเอ่ยเสียงเบาหวิว
“แล้วข้าสั่งเจ้ารึไงกันเล่า!” ฝ่ายไท่หยางได้ฟังก็ปัดชุดน้ำชาตกลงบนพื้นจนแตกละเอียด
“ข้าขอโทษ”
“อย่ามาเสแสร้ง..เจ้าชอบทำตัวเยี่ยงนี้ ยิ่งทำให้ข้าสงสัยนัก”
“ข้า..ข้าทำตัวอันใด!?” ถิงถิงเงยหน้ามองไท่หยางด้วยความตกใจ
“เจ้าทำตัวอ่อนแอเกินปกติ มิหนำซ้ำยังเอาใจข้าเกินความจำเป็น ที่ลงทุนทำเช่นนี้ต้องการอันใดกันแน่” ไท่หยางว่ากล่าวน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่นะ..พี่ท่านเข้าใจผิดใหญ่โตแล้ว..” ถิงถิงเอ่ยเสียงดัง ดวงเนตรเกร็งเขม็ง
“เข้าใจผิดอันใด อย่านึกนะ ว่าข้าไม่เห็น ก่อนหน้านี้เจ้าอ่านสิ่งนี้อยู่มิใช่หรอกหรือ” ไท่หยางหยิบเคล็ดวิชาขึ้นมาโบกให้ถิงถิงน้อยได้เห็น
“แล้วทำไมกันเล่า?”
“ก็มิใช่เจ้าอยากรู้รึไงว่าด้านในมันเขียนอย่างไร” ไท่หยางยิ้มเจ้าเล่ห์ ใบหน้าร้ายกาจมองจิ้งจอกน้อยราวกับว่ามันจับพิรุธของผู้กระทำผิดได้
“ใช่ ข้าอยากรู้ถึงได้อ่านมัน แต่มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ข้ามิได้ตั้งใจจะขโมยสิ่งนั้น”ถิงถิงกล่าวหนักแน่น
ปึง!
ไท่หยางตบโต๊ะระบายความโกรธ
“เห็นกันอยู่ชัดๆเช่นนี้ ยังจะมาเถียงเสียงแข็ง หากเจ้าบริสุทธิ์ใจจริงคงไม่เข้ามาในที่นี้ตั้งแต่แรก เจ้ากล้าขัดคำสั่ง คิดลองดีกับข้ารึไง” ไท่หยางเสียงเหี้ยม
ฝ่ายจิ้งจอกน้อยโดนกล่าวหาเช่นนี้ก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอัด มันตะโกนกลับไปเสียงดัง
“ไฉนต้องต่อว่ากันขนาดนี้ ผู้อื่นสู้อุตส่าห์นึกถึง เป็นห่วงว่ามันคือวิชาร้ายกาจอันใด ถึงทำให้ท่านต้องเกิดธาตุไฟเข้าแทรก ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านยังดันทุรังฝึกมันอีก” ครานี้ถิงถิงเถียงกลับมิอ่อนข้อ
“เคล็ดวิชานี้เป็นเช่นไร” อีกฝ่ายกัดฟันถามขบกรามแน่น
“ท่านก็รู้แล้วเคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งนอกรีต ฝึกแล้วควบคุมไม่ได้ก็ไม่ต่างอะไรจากมารร้าย เช่นนี้แล้วยังไปยุ่งกับมันอีกทำไมเล่า”
“นี่มันเรื่องของข้ามิเกี่ยวอันใดกับเจ้า”
“มิเกี่ยวับข้า แต่ข้าเป็นห่วงท่าน” ถิงถิงเถียงกลับ
“ห่วงข้า หรือห่วงเคล็ดวิชากันแน่ “ ไท่หยางถามด้วยใบหน้าร้ายกาจ
“เคล็ดวิชาบ้านี่ไม่อยู่ในสายตาข้าเลยด้วยซ้ำ หากทำได้ข้าจะเผามันเสียเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ทราบว่าท่านได้มันมาอย่างไร แต่ข้ารู้ว่าคนที่เคยถือครองมันไว้ต้องไม่ใช่คนดี”
ถิงถิงหารู้ไม่ว่าเมื่อพูดเช่นนั้นออกไปแล้วจะทำให้อีกฝ่ายโกรธเคืองจนตวาดออกมาอีกครั้ง
“สามหาว...! เคล็ดวิชานี้พี่ชายข้าให้มา ไม่รู้อันใดอย่าพูดจาส่งเดช เห็นทีเราจะอยู่ร่วมกันมิได้แล้ว เจ้าจิ้งจอกปากร้าย” ไท่หยางกล่าวเย็นชา
ฝ่ายถิงถิงได้ฟังดังนั้นก็ตาเหลือกตกใจ คลานสี่ขาเข้าใกล้บุรุษตรงหน้า
“ท่าน..คงมิไล่ข้าไปใช่หรือไม่?”
“ใช่ ข้าไล่เจ้า ในเมื่ออยู่ร่วมกันดีๆไม่ได้ เจ้าก็ไปเสียเถอะ” ไท่หยางกล่าวเสียงแข็ง
“ไม่พี่ท่าน..ข้าไม่ไป” ถิงถิงก้มลงอ้อนวอนขอร้อง รู้สึกเสียใจเป็นยิ่งนักที่เรื่องราวบานปลายถึงเพียงนี้ ทั้งหมดเพราะความจุ้นจ้านของตนเองแท้ๆ
“จะไปดีๆ หรือให้ข้าโยนเจ้าออกไป”
“ไม่..ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น และข้าก็จะไม่ให้ท่านโยนข้าออกไปด้วย” ถิงถิงเข้ากอดขาของไท่หยาง เจ้าจอมจุ้นใบหน้าบูดบึ้ง เม้มปากแน่น มือน้อยๆเหนียวหนึบยิ่งกว่าปลิงดูเลือด
ไท่หยางเห็นท่าทางดื้อดึงเช่นนั้นก็ทั้งโมโหทั้งอ่อนใจ ร่างกายผอมแห้งของถิงถิงนั้น ถ้ามันออกแรงเตะแค่ครั้งเดียวก็แทบช้ำในตาย แต่ความรู้สึกบางอย่างทำให้มิอาจลงมือทำทารุณเช่นนั้นได้ จึงได้แต่สลัดเบาๆ เพียงแค่นั้นถิงถิงน้อยก็กระเด็นออกพ้นทาง
“เช่นนั้นก็ตามใจ ขอเชิญอยู่ที่นี่ให้สบาย อยากทำอะไรก็เชิญ” ไท่หยางกล่าวเสียงเย็นชา ก่อนหยิบเคล็ดวิชายัดเขาไปในสาบเสื้อ ร่างสูงใหญ่มิรอช้า เคลื่อนกายพริ้วไหวออกไปรวดเร็ว มัน ปล่อยให้จิ้งจอกน้อยนั่งน้ำตาคลอเบ้าอ้าปากพะงาบๆอยู่เพียงลำพัง
จบตอน :call:
-
ตอนที่5
ไท่หยางนั้นจิตใจไม่สงบสุขก็ไม่อาจศึกษาเคล็ดวิชาต่อไปได้ มันมิคิดว่าคำพูดของถิงถิงจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของตนเองขนาดนี้ ด้วยเพราะคำกล่าวหาที่ว่าเคล็ดวิชานั้นเป็นสิ่งนอกรีตของพวกมาร พวกที่จะฝึกได้จึงมีแต่ปิศาจร้ายกับมนุษย์จิตใจชั่วช้า
ไฉนเลยมันจะไม่รู้เล่าว่าสิ่งที่อยู่ในมือนี้ร้ายกาจเพียงไหน แม้อ่านแล้วเนื้อหาจะไม่ได้ลึกซึ้งอันใด แต่ความรู้สึกกลับมิใช่แบบนั้น
คล้ายเส้นผมบังภูเขา ความกระจ่างอยู่แค่ปลายจมูกแต่ก็มิอาจเข้าใจถ่องแท้
เช่นนี้จึงเป็นสิ่งท้าทายที่หลอกล่อให้มันอดใจมิได้ ถึงแม้จะเจ็บป่วยเพราะการฝึกมาแล้วแต่ก็ยังดันทุรังศึกษาเคล็ดวิชานี้ต่อไป และอีกประการที่สำคัญ มันมิคิดว่าพี่รองผู้แสนดีจะมอบสิ่งนี้ให้ทั้งๆที่รู้ว่ามันคือวิชาอันตรายร้ายแรง ถึงอย่างไร ไท่หยางก็ยังเชื่อว่านี่คือความปรารถนาดีที่ชุนหลันต้องการให้ตนพัฒนาก้าวหน้า
จริงๆแล้วมันก็เดาได้ว่า ที่ชุนหลันทำเช่นนี้มิได้อยากให้ตนต้องห้ำหั่นกับพี่ใหญ่ จึงได้คิดนำวิชาพิสดารมาให้เพื่อไท่หยางจะได้หมกมุ่นอยู่กับการฝึกจนลืมเรื่องบาดหมางที่มีต่อพี่ใหญ่ เช่นนี้พี่น้องจะได้มิต้องทะเลาะ
ไท่หยางจึงสำนึกว่าพี่รองของตนนั้นโอบอ้อมอารีต่อมันถึงเพียงนี้ นอกจากไม่ได้ดุด่าที่บังอาจล่วงเกินพี่ใหญ่ แต่ยังหาทางออกให้มันได้มีโอกาสฝึกฝนฝีมือตนเอง
ดังนั้นไท่หยางจึงใช้โอกาสนี้เป็นบททดสอบใช้ชุนหลันเห็นว่ามันเองก็มีดีมิแพ้พี่ใหญ่เช่นกัน
หลังจากเดินย่ำผ่านพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่หนึ่งชั่วยาม จิตใจก็ค่อยสงบลง ตั้งแต่มันออกมาฝึกวรยุทธอยู่ในถ้ำก็ยังมิได้กลับไปเยี่ยมเยียนชุนหลันเลยสักครั้ง
ในเมื่อเดินออกมาไกลขนาดนี้แล้ว ครานี้จึงขอไปให้เห็นหน้าพี่ชายในดวงใจเพื่อเป็นขวัญกำลังใจสักนิดก็คงดี
ไท่หยางใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็เดินทางกลับมาถึงเรือนพักของตู๋เสอ
ที่แห่งนี้เมื่อไม่มีกุ้ยหลินจอมยุ่งวิ่งเล่นอยู่รอบๆก็ให้รู้สึกเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวา ขับเคลื่อนพลังเพียงถีบฝ่าเท้าขึ้นเบื้องบนก็ลอยละล่องผ่านแมกไม้จนไปหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ต้นไม้นี้มีความสำคัญยิ่งนัก เนื่องจากนี่คือสถานที่ลับของมัน ไท่หยางถือคาคบนี้เป็นจุดชมวิว เบื้องหน้าต่ำลงไปคือห้องของชุนหลันผู้พี่ เพราะมีจุดชมวิวเช่นนี้แล ไท่หยางถึงสามารถลักลอบแอบมองการกระทำของพี่ชายได้อย่างสะดวกดาย
ชุนหลันมักใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งศึกษาตำราต่างๆ บางครั้งก็วาดภาพอักษรขีดเขียนคำกลอนอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือติดริมหน้าต่าง ถึงแม้พี่ชายคนนี้ภายนอกจะดูแข็งแรง แต่บ่อยครั้งที่ไท่หยางแอบเห็นว่า ฝ่ายนั้นมักจะปรากฏใบหน้าซีดเผือด บางทีถึงกับกระแอมไอติดกัน จนไม่สามารถเขียนหนังสือต่อได้ เมื่อไท่หยางเห็นดังนั้นก็ให้กังวลใจ เพราะมันมิคิดว่าพี่ชายจะมีร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากเวลาเจอกันชุนหลันจะไม่ปรากฏอาการแบบนั้นให้เห็น จนแล้วจนรอดจึงไม่สามารถสอบถามได้โดยตรง เพราะเกรงว่าพี่ชายจะรู้ว่าถูกแอบมองจากบนคาคบไม่อยู่เป็นประจำ
แม้ว่าการแอบมองแบบนี้จะได้เห็นใบหน้าสง่างามที่แสนคิดถึง แต่มันก็กลับสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ไท่หยางอยู่บ่อยครั้ง และตอนนี้ก็ด้วยเช่นกัน
ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้นด้วยความริษยา
วันนี้ช่างเป็นวันอับโชค ไม่ว่ามันจะทำการได้ก็ให้มีเรื่องต้องขุ่นข้องหมองใจ อุตส่าห์หนีเรื่องชวนปวดหัวจากที่โน่น ก็ต้องมาเจอเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ที่นี่
แต่ครานี้รุนแรงกว่าการที่ต้องทะเลาะกับจิ้งจอกน้อยหลายเท่านัก
ภาพที่แลเห็นแต่ไกลช่างแจ่มชัดราวกับว่าอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่วา ทรมานคล้ายคมหอกทิ่มทะลุผ่านกายา
“นี่ขนาดตะวันยังมิลับขอบฟ้า ท่านก็มิอาจอดกลั้นได้หรือไรกัน พี่ใหญ่” ไท่หยางคำรามรอดไรฟัน
ความปวดร้าวในจิตใจผลักดันให้น้ำนัยน์ตาเอ่อล้น ดวงตาสองข้างแดงก่ำเพราะความอิจฉาและน้อยใจ หรือมันจะเป็นพวกมืดบอดเช่นที่กุ้ยหลินเคยต่อว่า
พี่รองนะพี่รอง ถ้าโดนพี่ใหญ่บังคับไฉนไม่ขัดขืน เหตุใดยังปล่อยให้เขาล่วงเกินถึงเพียงนี้
ไท่หยางมองร่างขาวสะอาดที่บัดนี้ถูกปลดเปลื้องเสื้อตัวบนจนหลุดลุ่ย ชุนหลันหอบหายใจด้วยสีหน้ามิอาจคาดเดา ผมเผ้าที่ถูกผูกไว้ดีแล้วตอนนี้กลับยาวสยายอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ร่างนั้นโดนผลักให้แผ่นหลังติดราบกับพื้นโต๊ะที่ทำจากหินหยก ความเย็นของมันคงจะร้ายกาจจนทำให้ชุนหลันถึงกับสั่นสะท้าน
เพียงชั่วพริบตาไท่หยางก็เห็นใครอีกคนอยู่บนร่างของชุนหลัน คนผู้นั้นมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นพี่ชายร่วมสายเลือด
ความสัมพันธ์ลึกลับนี้มีเพียงไท่หยางเท่านั้นที่ได้เห็น แม้แต่กุ้ยหลินที่ระแคะระคายอยู่บ้างก็ยังมิเคยได้สัมผัสด้วยตาเหมือนไท่หยาง
ดวงเนตรสีน้ำตาลวาวโรจน์ขุ่นเคือง มันมองร่างของพี่ใหญ่ที่กำลังคุกคามพี่รอง
สื่อเสินกำลังฟอนเฟ้นชุนหลันด้วยความลุ่มหลง ยอดอกสีชมพูถูกดูดดุนจนเจ้าของต้องบิดกายสะท้าน
เพียงแค่นั้นไท่หยางก็มิอาจมองต่อได้อีก
เป็นเช่นนี้ตลอด มันไม่เคยใจแข็งดูฉากเร่าร้อนจนจบได้เลยสักครั้ง เพราะหากถึงตอนนั้น มันคงจะทุกข์ทรมานจนกระอักเลือดออกมาก็เป็นได้
เมื่อได้เห็นภาพบาดตาเช่นนี้ ไท่หยางก็คล้ายคนไม่มีที่ไป มันโซซัดโซเซลงจากต้นไม้ใหญ่ ตั้งใจว่าจะกลับเข้าป่าเพื่อไประงับอารมณ์ริษยาบ้าคลั่ง แต่ก่อนที่จะจากเรือนพักมานั้นก็มิวายแอบเข้าไปโรงเก็บสุรา เพื่อหยิบไหสุราติดมือมาด้วยถึงสามไห
ไท่หยางดืมน้ำสุราเดินไม่เป็นท่าอยู่ในป่าเขา จนเมื่อไหเหล้าใบสุดท้ายถูกเขวี้ยงลงพื้น มันก็เดินมาถึงปากถ้ำแล้ว
“พี่ไท่หยาง..!” ฝ่ายคนที่นั่งรออยู่ด้วยความว้าวุ่นใจ เมื่อเห็นไท่หยางกลับมาด้วยสภาพแบบนี้ก็ให้รู้สึกเป็นห่วงอย่างสุดแสน
เจ้าจิ้งจอกมิไถ่ถามอันใด มันถลาเข้าหาทั้งๆที่น้ำตายังเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า ซ้ำายังกระวีกระวาดพยุงร่างไร้สมดุลของใครอีกคนเดินเข้าไปพักในถ้ำยังส่วนที่จัดเอาไว้
เมื่อจัดแจงให้ไท่หยางนอนลงได้อย่างทุกลักทุเล ก็รีบน้ำผ้าชุบน้ำสะอาดมาเช็ดใบหน้าให้ ถิงถิงน้อยนั้นเมื่อเห็นไท่หยางดวงตาแดงก่ำผมเผ้ารุงรังไร้สภาพก็เกิดความสงสารจับใจ ซ้ำยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดไท่หยางผู้นี้ถึงไม่เหมือนคนก่อนหน้านั้นที่พูดจาว่าร้ายตนเสียไม่เหลือชิ้นดี
ไท่หยางผู้นี้นอกจากเมามายไม่เหลือสภาพกลับยังดูคล้ายบอบช้ำราวกับนกปีกหัก
ระหว่างที่กำลังช่วยซับใบหน้านั้น ข้อมือของถิงถิงก็ถูกคว้าไว้ แรงบีบจากมือแข็งแรงทำให้ต้องนิ่วหน้าเจ็บปวด
“เจ้า..ยังเสนอหน้าอยู่อีก?”
สิ้นเสียงแหบพร่าของคนที่นอนหน้าแดงก่ำ ถิงถิงก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพียงแต่ตอนนี้มิอยากถูกขับไล่ จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบงัน
“ไปซะ..ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ข้าอยากอยู่คนเดียว..” ไท่หยางกัดฟันพูด ก่อนสะบัดข้อมือนั้นให้พ้นทาง
“ไม่..พี่ท่านยังมิหายโกรธเคืองข้าอีกหรือ..”
“ใช่..ข้าโกรธเจ้า ข้าโกรธทุกคน ไปซะ ข้าอยากอยู่คนเดียว” ไท่หยางตวาดเสียงดัง
ฝ่ายถิงถิงเมื่อเห็นไท่หยางปัดป่ายมือและออกปากขับไล่อีกครั้งก็ร้องขออ้อนวอน ทั้งยังยื้อยุดมือคนพาลมิให้ปัดข้าวของเสียหาย
“ไม่ พี่ท่านเมามายเช่นนี้จะช่วยตัวเองได้อย่างไร ได้โปรดเถิด ให้ข้าดูแลท่าน” จิ้งจอกน้อยเอื้อนเอ่ยปานจะขาดใจ สองมือก็ยื้อยุดแขนของไท่หยางมิให้เคลื่อนไหวได้สะดวก
ฝ่ายไท่หยางผู้เมามายเมื่อเห็นความดื้อของจิ้งจอกน้อยก็นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนกล่าวเสียงอำมหิตผิดธรรมดา
“หึ..อยากดูแลข้านัก เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้ดูแลสมใจ”
สิ้นเสียงนั้นจิ้งจอกน้อยที่มิได้ตั้งตัวก็กลับเป็นฝ่ายถูกไท่หยางฉุดลงไปนอนแทนที่ เจ้าจิ้งจอกตาเหลือกมิคาดว่าคนมึนเมาจะมีเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้
ความเมามายของไท่หยางทำให้ตนเองขาดสติ พอผลักถิงถิงลงนอนแล้วร่างใหญ่โตก็ขยับเข้าทาบทับไว้ทั้งตัวมิได้สนใจอาการตื่นตระหนกของผู้น้อย ใบหน้าแดงก่ำแม้ยังคงหล่อเหลามีสง่าราศีแต่หาใช่เหมือนคนมีสติไม่ ผู้เหนือกว่ารีบเข้าข่มผู้น้อยด้วยพละกำลังที่เป็นต่อ
ด้วยความตกใจกับท่าทางของไท่หยาง ถิงถิงผู้น่าสงสารก็ร้องโวยวายมิเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอันใด ได้แต่เบี่ยงใบหน้าหลบริมฝีปากร้อนระอุที่ระดมทาบทับด้วยความรุนแรงและสะเปะสะปะไม่เป็นทิศทาง
พอดิ้นไปมาจนมือทั้งสองข้างเป็นอิสระถิงถิงก็จับใบหน้าแดงก่ำนั้นไว้มั่นมิให้เคลื่อนไหวก่อนเอ่ยวาจาเรียกสติใครอีกคน
“พี่ไท่หยาง ท่านทำอันใด ข้าเจ็บปวดไปหมดแล้ว ได้โปรดอย่าลงโทษข้าอีกเลย” ถิงถิงอ้อนวอนขอร้อง
“หึๆ ข้าทำอันใดกัน นี่มิใช่การลงโทษหรอกถิงถิงผู้โง่เขลา ข้ากำลังให้เจ้าได้ดูแลข้าตามที่ร้องขอมาไงเล่า” ไท่หยางเอ่ยยียวน
“ไม่..พี่ไท่หยาง ข้ามิได้หมายความเช่นนี้” ถิงถิงพยายามผลักศีรษะของอีกฝ่ายให้ห่างตัว
“แบบไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น แบบนี้ก็เรียกว่าดูแล เจ้าอย่าเรื่องมากอีกเลย” ไท่อย่างกล่าวอย่างรำคาญก่อนจัดการรวบข้อมือทั้งสองข้างของถิงถิงไว้ด้านบน
ฝ่ายจิ้งจอกน้อยผู้น่าสงสารสู้แรงสุนัขป่าไม่ไหว จะให้ลงมือขัดขืนก็ทำมิได้ เพราะตอนนี้ตั้งใจขยับส่วนไหนก็โดนสกัดกั้นไว้หมดสิ้น ไท่หยางแม้เมามายแต่กลับรอบคอบระวังจุดอ่อนของตนเองไม่ให้ถูกจู่โจมได้โดยง่าย เมื่อรู้แล้วว่าตนเองเหนือกว่าจึงกระทำการตามอำเภอใจมิสนว่าจะสร้างความหวาดกลัวและตื่นตระหนกให้อีกฝ่ายแค่ไหน
ไท่หยางระดมจูบดุเดือดตามผิวเนื้อขาวสะอาด เพียงไม่นานทั่วทุกแห่งก็กลับกลายบอบช้ำ ยิ่งได้สัมผัสร่างของถิงถิงอารมณ์คุไหม้ก็ยิ่งถาโถม ร่างกำยำฟอนเฟ้นทุกหนั่นเนื้อด้วยความหลงละเมอว่าเป็นมันมิใช่พี่ใหญ่ที่อยู่กับชุนหลัน
ความโกรธผลักดันให้กระทำทารุณ คมเขี้ยวปรากฏทั่วทั้งลำคอและแผ่นอกผอมบางที่สะท้อนขึ้นลง
ยอดอกที่แม้จะตั้งชันเพราะถูกปรุกเล้าก็มิได้ช่วยให้จิตใจของใครอีกคงหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
แผ่นอกหนาสะท้อนหายใจแรงถี่ ไท่หยางขบกรามแน่นเพราะตอนนี้เหมือนถูกบีบให้แตกสลาย
ดวงตาแดงก่ำมองร่างบอบช้ำที่นอนรอชะตากรรมอยู่เบื้องใต้
เพียงแค่นั้นไท่หยางก็ต้องทิ้งตัวลงซบหัวไหล่ของอีกฝ่ายหากแต่ยังยั้งน้ำหนักไว้เพราะเกรงว่าใครอีกคนจะช้ำในตายเสียก่อน
ถิงถิงเงียบไปแล้ว ริมฝีปากสั่นเทามิได้เอ่ยอันใดนอกจากเม้มสนิท ดวงตาสีชมพูเลื่อนลอยสุดที่จะคาดเดาว่าจุดหมายอยู่ตรงไหน ใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาเมื่อเห็นแล้วก็สร้างความเวทนาแก่คนมองอย่างสุดแสน
ครานี้ไท่หยางสร่างเมาแล้ว แม้ภายนอกจะยังมีสภาพเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันควบคุมจิตใจได้ดีขึ้น
สองฝ่ามือที่ยันร่างไว้กำแน่นจนได้รับความเจ็บปวดจากปลายเล็บ
นี่มันปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร
ไท่หยางหายใจรุนแรง มันรับรู้ว่าส่วนนั้นของตนเองได้ล่วงล้ำเข้าไปข้างในตัวของถิงถิง กลิ่นคาวเลือดที่ได้รับจากจมูกทิพย์ของสุนัขป่าช่วยยืนยันว่ามันเป็นคนทำร้ายถิงถิงน้อยด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บใจที่ปล่อยให้ความริษยาที่มีต่อพี่ใหญ่ยามเมื่อได้ใกล้ชิดชุนหลันกลายเป็นคมหอกที่ทิ่มแทงผู้อื่น
มิหนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นถิงถิง
จิ้งจอกน้อยจอมจุ้นจ้านที่คอยเสนอหน้าเอาใจมันสารพัด แม้จะโดนมันดุด่าว่ากล่าวแค่ไหนก็ไม่เคยโกรธหรือย้อนกลับด้วยวาจาร้ายกาจเลยสักครั้ง
ใบหน้าของไท่หยางซบลงข้างแก้มนวลของถิงถิง มันกัดกรามคำรามเสียงต่ำราวกับสัตว์ร้ายที่เจ็บปวดทรมาน
มิคาด ระหว่างที่ไท่หยางกำลังโกรธแค้นต่อการกระทำของตนเอง กลับมีฝ่ามือหนึ่งลูบหลังให้อย่างเบามือ
“พี่ไท่หยาง ท่านดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” ถิงถิงน้อยเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิวราวกับสายลม
“...” ฝ่ายไท่หยางเมื่อได้ยินเจ้าจิ้งจอกเอื้อนเอ่ยด้วยวาจานุ่มนวลก็ให้รู้สึกคับแค้นใจอย่างสุดแสน มันมิเอ่ยสิ่งใดนอกจากคำรามด้วยความทรมานหัวใจ ครานี้เป็นมันนี่เองที่กระทำผิดอย่างมิน่าให้อภัย
“หาก..ท่านกำลังทรมาน ก็ขอให้ปลดปล่อยที่ข้าเถิด อย่าได้เก็บความทุกข์นั้นไว้แต่ผู้เดียวเลย”
เมื่อไท่หยางได้ฟังคำพูดของถิงถิง ก็ให้รู้สึกเสียใจจนน้ำตาเอ่อคลอ มิคิดว่าถิงถิงน้อยจะดีกับมันถึงเพียงนี้
“...” ไท่หยางมิอาจว่ากล่าว มันยันกายขึ้นเหนือศีรษะถิงถิง เมื่อได้มองใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายก็ให้รู้สึกสงสารและเสียใจกับการกระทำของตนเอง
“...” ถิงถิงก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีกมีเพียงหยาดน้ำที่ไหลข้างแก้มเพราะคิดว่าไท่หยางเองก็เจ็บปวดใจเช่นกัน
ฝ่ายไท่หยางนั้นพอเห็นน้ำตาของถิงถิงก็นึกว่าถิงถิงเจ็บปวดร่างกายเพราะน้ำมือของตน แต่จะให้หยุดกลางครันก็ทำมิได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างยังค้างคาอีกทั้งระหว่างที่หยุดไปเมื่อครู่ร่างกายตรงส่วนที่ประสานก็เกิดตอบสนองต่อกันอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อถิงถิงลองสบดวงตาของไท่หยางก็เห็นว่าฝ่ายนั้นอ่อนลง มิหนำซ้ำดวงเนตรสีน้ำตาลยังฉายแววต้องการจนมิอาจปิดกั้น ส่วนตนเองนั้นพอได้พักก็รู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น หลังจากอาการตื่นตระหนกสงบลงแล้วจึงสำนึกได้ว่าร่างกายเปลือยเปล่าของตนเองและไท่หยางอยู่ในท่าล่อแหลมมากขนาดไหนก็ให้เกิดอาการเอียงอายและความรู้สึกบางประการที่แปลกประหลาด ถิงถิงน้อยยิ่งขยับเคลื่อนไหวก็ยิ่งรับรู้ความเป็นตัวตนของไท่หยาง
บัดนี้เจ้าจิ้งจอกแปลงได้รู้แล้ว...
การมีสัมพันธ์แนบแน่นเป็นเช่นนี้เอง...
ไท่หยางนั้นเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพื่อให้ทุกอย่างผ่านไปมิค้างคา ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะฤทธิ์ของสุราที่ยังมิหายไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้นครานี้จึงเริ่มดื่มด่ำทุกอณูเนื้อของร่างกายที่อยู่เบื้องร่างแต่มิได้กระทำกิริยาป่าเถื่อนอีกแล้ว
ฝ่ายถิงถิงเมื่อเห็นไท่หยางเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังก็ให้เกิดอารมณ์วูบไหว สัมผัสของร่างใหญ่เบื้องบนเชื้องช้าลงหากแต่หนักแน่น ปลายลิ้นร้อนชวนให้เคลิบเคลิ้มจนลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น สุดท้ายแล้วกรงเล็บน้อยๆสองข้างก็ต้องจิกลงบนแผ่นหลังบึกบึนเพื่อตอบรับจังหวะเร้าร้อนและยอมถูกเผาไหม้ไปด้วยกัน
แม้ครั้งนี้ไท่หยางจะมอบความสุขให้จนล้นปรี่ แต่เพราะร่างกายอ่อนแอจึงทำให้เจ้าจิ้งจอกถึงกับสิ้นสมประดี ไท่หยางเอาแขนหนุนศีรษะก่อนมองถิงถิงในระยะประชิด
ตอนนี้ความรู้สึกของเด็กผู้นี้มันทราบดี
มันเองมิใช่คนไร้สติปัญญา ไฉนเลยจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดถิงถิงถึงยอมอ่อนข้อให้ทุกอย่าง เมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็เกิดความสับสนบางประการ
พี่รองผู้แสนดีของมันจะดีจริงหรือไม่?
เหตุไฉนดวงตาคมกริบที่แสนเย็นชาคู่นั้นกลับฉายแววตาเช่นเดียวกับถิงถิง
ไท่หยางไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆ มันจำแววตาของชุนหลันยามที่ได้แนบชิดกับสื่อเสินได้เป็นอย่างดี
แววตาคู่นั้นแม้เย็นชาเช่นปกติ แต่กลับมีประกายบางอย่างที่มันเองก็มิเคยสังเกตมาก่อน
ประกายที่ปรากฏให้เห็นนั้นเป็นเช่นเดียวกับประกายที่ปรากฏบนดวงตางดงามของถิงถิงยามที่มันมอบความสุขให้
และตอนนี้มันเข้าใจกระจ่างแล้วว่าสิ่งนั้นสื่อถึงอะไร...
ไท่หยางขมวดคิ้วมุ่น จู่ๆก็นึกอยากสัมผัสผิวแก้มนิ่มนวลของเจ้าเด็กน้อยที่นอนขดตัวมิรู้เรื่อง
ปลายนิ้วแกร่งไล้เบาๆลงบนแก้มของถิงถิง
หรือมันจะเป็นอย่างที่กุ้ยหลินว่า
พวกโง่เง่าชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว....
หรือชุนหลันผู้พี่ที่แสนดีของมันจะมิได้หวังดีอย่างที่มันเชื่อมาตลอด...
ไท่หยางขบกรามด้วยความเคยชิน น่าแปลกที่ตอนนี้สภาพจิตใจกลับราบเรียบดั่งผืนน้ำ
มันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมมิได้รู้สึกขุ่นเคืองผู้ใดอีกแล้ว..
อีกทั้งยังรู้สึกอยากปล่อยวางเสียบ้าง..
แต่ถึงกระนั้นก็คิดว่าต้องพูดคุยกับชุนหลันให้รู้เรื่องราว อย่างน้อยๆก็อยากจะทราบเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดถึงนำเคล็ดวิชามารเล่มนี้หยิบยื่นให้แก่มัน
ไท่หยางค่อยๆขยับกายลุกขึ้นก่อนดึงผ้าห่มคลุมร่างของจิ้งจอกน้อยให้อย่างเบามือ จากนั้นจัดการแต่งตัวให้มิดชิดเรียบร้อย ครานี้ตั้งใจว่าจะคุยกับพี่รองคนนี้ให้รู้เรื่องเสียที จึงคิดจะนำกระบี่ไปด้วยเผื่อไว้ว่าจะเจอกับพี่ใหญ่ จะได้เอาไปเป็นเครื่องป้องกันก่อนที่จะถูกเตะตายเสียก่อน
ดวงเนตรสีน้ำตาลมองจิ้งจอกน้อยที่หลับสนิทเป็นครั้งสุดท้าย ความรู้สึกบางประการเกิดขึ้นในจิตใจ
แน่นอนว่าตอนนี้มันย่อมมีมากกว่าแค่ความเวทนาสงสาร
แต่ถ้าหากยังมีพี่รองติดค้างอยู่ในหัวใจมันก็มิอาจเปิดใจให้ใครได้อย่างจริงจัง ตอนนี้มันจึงต้องรู้ความจริงให้ได้ว่าเรื่องราวระหว่างพี่รองและพี่ใหญ่เป็นเช่นไร
ไท่หยางคิดเช่นนี้แล้วก็ให้นึกหวาดหวั่นจนเผลอเอ่ยออกมา
“พี่รอง..ท่านคงไม่ใจร้ายกับข้ากระมัง”
สุดท้ายเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยไท่หยางจึงค่อยๆเดินจากไปอย่างเงียบกริบเพื่อจะได้ไม่รบกวนคนที่พักผ่อน มันเดินเข้าไปหยิบกระบี่ในห้องโถงก่อนย้อนกลับออกไปทางเดิม
ระหว่างที่ไท่หยางออกไปนั้น จิ้งจอกน้อยผู้หลับใหลอยู่ก็ค่อยๆเบิกดวงเนตรขึ้น มันกำมือแน่นด้วยความเจ็บช้ำใจอย่างมิเคยเป็นมาก่อน ตอนนี้มันทราบดีแล้วว่าต่อให้ยื้อไว้สักแค่ไหนก็มิอาจรั้งไท่หยางได้สำเร็จ
“พี่ไท่หยาง..พี่รองของท่านช่างโชคดีนัก”
ถิงถิงเอ่ยเสียงเบาหวิว หยาดน้ำใสร่วงหล่นเป็นสาย
ความทรมานเพราะถูกหมางเมินเป็นเช่นนี้เอง
จบตอนจ้า
:call:
-
มาต่อไวๆนะ
-
งื้อ สงสารถิงถิง :m15: :sad11:
ยอมทุกอย่างเลย ไท่หยางโหดร้ายเกินไปแล้ว :m31: :m16:
-
:m15: :m15: :m15:
-
ตอนที่6
ไท่หยางเร่งรุดกลับมายังเรือนพักของตู๋เสือผู้เป็นนาย ตอนนี้เรือนพักสงบเงียบ มีเพียงสื่อเสินและชุนหลันที่ยังพักอาศัยและดูแลความเรียบร้อย
ร่างสูงในชุดเทามิรอช้า มันรีบเดินเข้าทางลานหน้าบ้านก่อนผ่านระเบียงไม้มุ่งไปทางห้องของชุนหลัน ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างดีแล้ว อีกทั้งหิมะที่จับตัวหนาก็เริ่มละลายอย่างเห็นได้ชัด ไท่หยางจำได้ดีว่าช่วงนี้ชุนหลันมักจะตื่นขึ้นมานั่งจิบชาอ่านบทกลอนหรือท่องปรัชญา ดังนั้นเมื่อเห็นว่าประตูห้องของชุนหลันแง้มอยู่จึงถือวิสาสะเข้าไป
เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาไท่หยางก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า มือข้างที่กำกระบี่อ่อนแรงจนเกือบทำตกลงบนพื้น
ชุนหลันหลับตาซึมซับความอิ่มเอิบ ก่อนปลดปล่อยความสุขหยาดสุดท้ายเข้าไปในร่างกายของใครอีกคน ใบหน้างดงามดุจเทพยดาปรากฏเม็ดเหงื่อแพรวพราว มันหันมามองน้องชายที่ยืนตัวแข็งทื่อด้วยสายตาเย็นชา ก่อนก้มลงช้อนร่างพี่ใหญ่ที่สลบไสลตัวอ่อนขึ้นด้วยลำแขนทั้งสองข้าง ตอนนั้นเองบางสิ่งบางอย่างของชุนหลันก็แยกออกจากร่างของสื่อเสินที่ยังคงนอนหลับตานิ่งด้วยใบหน้าซีดเซียว เส้นผมดำขลับตกสยายปกคลุมรอบโครงหน้าหล่อเหลา
ชุนหลันค่อยวางร่างสื่อเสินที่สิ้นสติลงบนเตียงก่อนห่มผ้าให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็มิวายจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากของสื่อเสินด้วยความรักใคร่
การกระทำของชุนหลันเป็นไปอย่างเนือบนาบมิรีบร้อน มันทำราวกับว่าในห้องนั้นมิได้มีบุคคลที่สามยืนอยู่ด้วย จวบจนเมื่อมันหันมามองไท่หยางด้วยดวงตาเย็นชาก่อนกล่าวเสียงเรียบแก่ผู้น้อง
“หากเจ้าไม่รีบร้อน ขอข้าแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะได้หรือไม่”
ไท่หยางมองร่างเปลือยเปล่าของพี่ชายที่ตอนนี้คล้ายมีเลือดหล่อเลี้ยงจนผิวขาวออกสีอมชมพูเหมือนคนที่สุขภาพดีสมบูรณ์ทุกประการ มันกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก ก่อนก้มหน้าเพื่อเป็นเชิงว่ามันจะออกไปรอที่ด้านนอก
ชุนหลันใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ก็แต่งตัวเรียบร้อย สุดท้ายจึงเปิดประตูออกไปหาน้องชายตัวดี
ฝ่ายไท่หยางเมื่อเห็นชุนหลันออกมาพบก็ให้รู้สึกลำคอตีบตันมิอาจพูดอันใด
ดังนั้นคนที่เปิดฉากอย่างตรงประเด็นจึงเป็นชุนหลัน
“เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว เจ้าคิดเช่นไร?”ชุนหลันเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“ข้า...” อีกฝ่ายกลับวาจาติดขัด
“เข้าใจแล้วสินะ ว่าพี่ใหญ่มิได้บังคับข้า”
“.....”ไท่หยางก้มหน้า ความสับสนบางประการทำให้ต้องขมวดคิ้วขบกรามแน่นขึ้น
“เจ้าชอบข้ามิได้หรอก เพราะเจ้าไม่เคยเข้าใจข้า”
ไท่หยางได้ฟังดังนั้นมันก็เงยหน้าขึ้นมองชุนหลันผู้พี่ด้วยความฉงนสงสัย
“ข้า..ไม่เข้าใจท่าน?”
ชุนหลันยิ้มดวงตาเป็นประกาย ก่อนเอื้อยเอ่ยอย่างสบายอารมณ์
“ใช่...สิ่งที่เจ้าเห็นก็คือตัวตนของข้า หากแต่นั่นมิใช่ทั้งหมด ไท่หยางเอ๋ย..พี่รองเช่นข้าไม่ได้ดีเลิศเหมือนที่เจ้าจินตนาการไว้หรอก”
“ข้าก็รู้ ไม่มีผู้ใดดีเลิศ” ไท่หยางยังคงแย้งเสียงอ่อย
ชุนหลันส่ายหน้าช้าๆก่อนระบายลมหายใจเหนื่อยอ่อน เพราะความดื้อดึงของใครอีกคน
“นั่นล่ะ ที่ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าเจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย เจ้าน่าจะฟังกุ้ยหลินบ้าง ถึงมันจะปากร้ายสักหน่อย แต่ก็ฉลาดใช้ได้”
“หือ.. น้องเล็กก็รู้เรื่องว่าพี่ใหญ่โดนท่าน...” ไท่หยางกล่าวด้วยความแปลกใจ
ชุนหลันส่ายหน้าอีกครั้ง มันหัวเราะเสียงนุ่ม
“ไม่..แต่หลินน้อยมีสัญชาตญาณที่ดี...มันรู้ว่าข้าไม่ใช่คนจริงใจอะไร”
“แล้วเหตุใดท่านปล่อยให้ข้าเข้าใจผิดกันเล่า ทำไมไม่เล่าความจริงแก่ข้า ..หรือเห็นเป็นเรื่องสนุกที่จะปั่นหัวข้าได้”ไท่หยางกำมือแน่น ตอนนี้กลับมีความคับแค้นบางประการ
“หึๆข้ายอมรับ ว่าใบหน้าดื้อรั้นของเจ้าช่างเร้าใจดีนัก” ชุนหลันกล่าวเสียงเรียบ หากแต่ดวงตากลับเป็นประกายอำมหิต
“พี่รอง?!” ไท่หยางครางด้วยความตกตะลึง
“หึ..ข้าบอกความจริงไม่ได้ เพราะสื่นเสินไม่ต้องการเช่นนั้น เจ้าก็รู้พี่ใหญ่นอกจากจะเหี้ยมโหดเข้มงวด เขายังหยิ่งในศักดิ์ศรี หากนำเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ไปป่าวประกาศโพนทะนาข้ามิโดนเขาเตะตายหรอกรึ หรือแม้แต่เจ้า หากรู้ความจริงว่าเป็นเช่นไร เขาคงเล่นงานเจ้ามิยั้งมือแน่แล้ว” ชุนหลันกล่าวเสียงเครียดก่อนเงียบไปสักครู่ พอเห็นว่าไท่หยางไม่ได้เถียงกลับจึงเริ่มพูดต่อ
“ข้าเองก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เจ้าจะใจกล้าพอที่จะยอมรับความจริง หากเจ้าแอบดูจนรู้เรื่องตั้งแต่แรก ป่านนี้ก็มิต้องมีใครยุ่งยากใจ”
“พี่ท่านรู้?”
“หึ..เจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวโง่งมรึไง ผู้อื่นแอบดูความเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกไฉนข้าจะไม่รู้”
“ข้า..” ไท่หยางให้ละอายใจนัก มันมิคิดว่าพี่รองจะรู้มาโดยตลอดว่ามันแอบดูเขาอยู่บนคาคบไม้เป็นประจำ
“ช่างเถอะเอาเป็นว่า เมื่อรู้ทุกอย่างกระจ่างแล้วก็เหยียบเรื่องนี้ไว้ อย่าให้พี่ใหญ่ระแคะระคายเป็นอันขาด ส่วนข้านั้นคงรับเจ้าได้แค่ความเป็นพี่น้อง เพราะคนที่อยู่ในใจข้ามีเพียงสื่อเสินเท่านั้น”ผู้เป็นพี่กล่าวจริงจัง
ไท่หยางถอนหายใจแล้วก็ต้องเอื้อยเอ่ยขึ้นว่า
“เช่นนั้นข้าขอถามท่านอีกหนึ่งข้อ”
“ว่ามาเถิด”
“เหตุใดถึงเอาเคล็ดวิชามารให้แก่ข้า?”
เมื่อชุนหลันได้ฟังคำถามของไท่หยางก็ดวงตาเป็นประกายอีกครั้ง มันยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนเฉลยความจริง
“เพราะมันช่วยหยุดเจ้ามิให้มายุ่งกับข้าและสื่อเสินได้ และอีกประการหนึ่งก็คือ เจ้าไม่มีทางฝึกสำเร็จ เพราะมันเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้พลังสายเย็นควบคุมพลังสายร้อน เจ้าที่ฝึกพลังสายร้อนมาตั้งแต่ต้นมิสามารถบรรลุเคล็ดวิชานี้ได้ หากดันทุรังฝึกฝนก็มีแต่จะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก สุดท้ายไม่กลายเป็นมารก็ต้องพิการเป็นบ้า นี่คือเหตุผลของข้า เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
“........” ไท่หยางสุดจะเอ่ยอันใดออกมา มันขมวดคิ้วมุ่นก้มหน้านิ่ง
“เมื่อเรื่องที่ค้างคาก็พูดกันไปหมดแล้ว เช่นนี้ข้าคงต้องขอตัวเข้าไปดูพี่ใหญ่ก่อน ส่วนเจ้า เมื่อรู้ว่าเคล็ดวิชานั้นไม่มีประโยชน์อันใดก็จงอย่าฝึกต่อ รวมทั้งเลิกสร้างปัญหาแก่ข้าและพี่ใหญ่ เจ้าจะคิดอย่างไรกับข้าก็เชิญ จะโกรธเกลียดกันข้าก็จะไม่ว่า แต่สำหรับสื่อเสิน ข้าว่าเขายังเอ็นดูเจ้าอยู่มากทีเดียว ..” ชุนหลันพูดแก่น้องชาย มันมองไท่หยางอย่างพิจารณาแล้วหันหลังกลับเข้าห้อง”
ฝ่ายไท่หยางนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียด มันยืนนิ่งอยู่พักใหญ่จนสุดท้ายก็ถอนลมหายใจออกมา ร่างสูงในชุดเทาหมุนกายก่อนเดินกลับออกไปด้านนอก ดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนลอย เมื่อเห็นพี่ชายที่แสนดีอย่างชุนหลันเป็นเช่นนี้มันก็ให้รู้สึกเคว้งคว้าง
เป็นเช่นที่กุ้ยหลินว่าไว้ไม่มีผิด
มันคือตัวโง่งมที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
ไท่หยางถอนหายใจเหนื่อยอ่อน ใครๆต่างพากันบอกว่ามันเป็นพวกหัวดื้อจอมรั้นมิฟังเหตุผล แต่กาลนี้กลับเป็นเช่นนั้นไม่ ด้วยเพราะมันก็รู้ดีว่าตนเองมีสติปัญญามิใช่ชั่ว เมื่อทุกอย่างกระจ่างแจ้งเช่นนี้เหตุใดยังจะต้องดื้อดึงจมปรักอยู่กับความคิดของตนเอง
แต่ที่น่าแปลกก็คือ ตอนนี้มันกลับตัดใจจากชุนหลันได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังมิได้โกรธเคืองว้าวุ่นอันใดอีก สองเท้าที่ย่ำผ่านหิมะตรงเข้าป่าลึกเบื้องหน้านั้นกำลังก้าวอย่างมั่นคง
ครานี้มิใช่ร่างกายนำพา
หากแต่หัวใจกำลังนำพา
ตัดสินใจทิ้งเรื่องวุ่นๆไว้เบื้องหลัง
สุดปลายทางข้างหน้าคือใครคนหนึ่งที่มันเริ่มห่วงใย
ไท่หยางเดินเข้าปากถ้ำด้วยความรีบร้อน แม้รู้ว่าจิ้งจอกน้อยจะต้องนั่งรออย่างทุกครั้ง แต่ครานี้มันอยากจะไปให้เห็นเจ้าจอมจุ้นโดยเร็ว ก่อนจากมานั้นเกิดเรื่องราวมากมาย มันอดคิดไม่ได้ว่าถิงถิงอาจขุ่นเคือง
แต่เมื่อเดินเข้าไปถึงในห้องที่จัดไว้ บนแท่นหินกลับพบแต่กองผ้าห่ม ไท่หยางมองสภาพยุ่งเหยิงเบื้องหน้า บนพื้นตรงแท่นหินยังปรากฏเสื้อผ้าของจิ้งจอกน้อยที่ถูกฉีกทึ้งไม่เหลือชิ้นดี
เพียงแค่เห็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอัด
เจ้าจิ้งจอกน้อยไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด หรือครานี้มันจะโกรธจนหนีหน้ากันไปแล้ว
ไท่หยางให้ว้าวุ่นใจ มันเดินเข้าออกถ้ำด้านนอกและด้านในเพื่อตรวจดูให้รู้แน่ว่าถิงถิงยังอยู่ในนี้หรือไม่ ร่างสูงใหญ่เหมือนหนูติดจั่น หลังจากวิ่งหาเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยอยู่หลายรอบก็ไม่พบแม้แต่เงา
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถึงกับทำให้เดินซวนเซก่อนทิ้งกายลงนั่งบนแท่นหินราวกับไร้เรี่ยวแรง
ไท่หยางก้มหน้ากุมขมับ มิคิดว่าเพียงแค่ไม่เห็นหน้าถิงถิงน้อยแล้วจะรู้สึกกังวลใจเช่นนี้
ดวงเนตรสีน้ำตาลเกร็งเขม็งก่อนเหลือบมองกองผ้าห่มที่อยู่ด้านข้าง กลิ่นอายบางอย่างยังคงอบอวลให้วาบหวามและคำนึงถึง มือแกร่งเอื้อมไปสัมผัสผืนผ้าด้วยความคิดคำนึง ก่อนหน้านั้นผ้าผืนนี้มิใช่หรือที่มันเป็นคนหยิบขึ้นคลุมร่างน้อยๆของถิงถิง
แต่แล้วเมื่อฝ่ามือสัมผัสกับผ้าก็ให้รู้สึกผิดสังเกต ไท่หยางขมวดคิ้วความรู้สึกคล้ายว่าภายใต้ผ้าห่มมีบางสิ่งที่เคลื่อนไหว ฉับพลันมันจึงเลิกผ้าห่มขึ้น
ดวงเนตรสีน้ำตาลเบิกขึ้นด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มคือจิ้งจอกน้อยสีขาวปานหิมะกำลังนอนขดตัวมิรู้เรื่องราว
“ถิงถิง เจ้าอยู่นี่เอง” ไท่หยางระบายยิ้มอ่อนๆ มันเอื้อมมือออกไปตั้งใจว่าจะอุ้มเจ้าจิ้งจอกตัวเล็กขึ้นมาแนบอกอุ่น แต่แล้วสิ่งมีชีวิตสีขาวกลับเมินเฉยมันมิเพียงดิ้นรนสุดแรง มิหนำซ้ำยังคลืบคลานหดตัวหนีไปนอนขดอยู่อีกด้าน เจ้าจิ้งจอกน้อยนอนนิ่งดวงตาสีชมพูราวอัญมณีกลับปรือปรอยเย็นชามิได้สนใจไท่หยางเลยสักนิด
ฝ่ายคนที่นั่งอยู่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่ามันคงทำให้เจ้าของร่างปุกปุยเกิดความขุ่นเคืองขึ้นแล้ว เพราะสำนึกว่าตนเองคงสร้างความเจ็บช้ำใจแก่ถิงถิงมิใช่น้อยจึงได้พยายามเปลี่ยนท่าทียอมเอาใจอีกฝ่าย ซึ่งกิริยาเช่นนี้มันก็มิเคยทำต่อผู้ใดมาก่อน
“ถิงถิง...เจ้าเป็นอันใด โกรธข้าใช่หรือไม่ เหตุไฉนมิยอมคืนร่างมาพูดคุยกันให้รู้เรื่อง” ไท่หยางยื่นมือเข้าลูบขนนุ่มนิ่มของถิงถิง จิ้งจอกน้อยนอกจากไม่ตอบสนองแล้วยังหันหน้าหนีราวกับว่ามิอยากเห็นหน้าใครอีกคน มันนอนซมเซาราวกับสิ่งมีชีวิตที่รอวาระสุดท้าย
ไท่หยางถอนหายใจด้วยความกังวล เมื่อถิงถิงไม่ยอมคืนร่างมันก็มิอาจกระทำการใดได้ เพราะหากจะพูดจากันให้รู้เรื่องก็ต้องใช่ร่างแปลงเช่นมนุษย์ถึงจะดีที่สุด ยิ่งถิงถิงปิดกั้นตนเองเช่นนี้ก็เท่ากับว่าไม่เปิดโอกาสให้มันได้ปรับความเข้าใจ
เวลาผ่านไปอีกสองวัน ไท่หยางก็ให้รู้สึกจนปัญญา เพราะเจ้าจิ้งจอกยังคงนอนซมอยู่ที่เก่า นอกจากไม่ลุกไปไหนแล้วมันยังมิยอมกินอาหาร ไท่หยางให้รู้สึกกังวลมากขึ้นหลายเท่า เพราะมันรู้ว่าร่างกายของถิงถิงอ่อนแอผิดปกติ เมื่อไม่ยอมให้อะไรตกถึงท้องเช่นนี้ก็ยิ่งส่งผลร้าย
สุดท้ายแล้ววันที่สามไท่หยางก็บอกกับตนเองว่ามันจะไม่ทนเห็นสภาพถิงถิงเป็นเช่นนี้อีก ไท่หยางค่อยๆอุ้มร่างเจ้าจิ้งจอกที่บัดนี้ดวงตาปิดสนิท นอกจากร่างกายผ่ายผอมแล้ว ขนสีขาวสะอาดก็กำลังหลุดร่วง เมื่อเห็นเช่นนี้ไท่หยางก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นยิ่งนัก มันค่อยๆหย่อนร่างของจิ้งจอกน้อยเข้าไปยังเสื้อชั้นในเพื่อมอบความอบอุ่นจากกายาให้ มีเพียงปลายจมูกแหลมของร่างเล็กเท่านั้น ที่ยืนออกมาเพื่อให้ได้รับอากาศไว้หายใจ ไท่หยางหยิบกระบี่ขึ้น มันกำหนดจิตผนึกกำลังก่อนใช่วิชาตัวเบาพริ้วไหวออกไปจากถ้ำอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างของไท่หยางก็ร่อนลงตรงสถานที่แห่งหนึ่ง รอบด้านเป็นพุ่มไม้หนาที่บัดนี้น้ำแข็งเริ่มละลายลงแล้ว ผ่านแยกพุ่มไม้นั้นไปคือที่พักอาศัย บริเวณนี้อยู่ในหุบเขาเป็นสถานที่ปิด ยากแก่ใครจะพบเห็นได้โดยง่าย
ไท่หยางได้กลิ่นอายของมนุษย์มาจากที่พักแห่งนั้น แต่นั่นมิใช่สิ่งที่มันสนใจ ดวงเนตรสีน้ำตาลฉายแววจริงจังแน่วแน่ มันเอามือป้องปากก่อนส่งเสียงกู่ก้อง เสียงนี้หากใครได้ยินก็รู้ว่าเป็นเสียงเห่าหอนของสุนัขป่าอันน่าขนลุก
ไท่หยางยืนอยู่ตรงนั้นอีกครึ่งชั่วยามมันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคลื่นไหวราวภูติพราย เสียงบางสิ่งเสียดสีกับกิ่งไม้แห้งๆที่แผ่ออกอยู่ทั่วทั้งบริเวณดังขึ้น ก่อนที่จะมีใครคนหนึ่งโผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้น้ำแข็ง ใบหน้าอ่อนหวานที่คุ้นเคยมองมาที่มันด้วยความประหลาดใจ
“พี่ไท่หยาง..ท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลืออันใด?” ผู้มาใหม่นั้นคือกุ้นหลินนั่นเอง
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดระคนว้าวุ่นของพี่ชาย หลินน้อยก็ลืมเลือนความหวาดหวั่นที่ไท่หยางรู้ว่ามันอยู่ที่นี่
ดวงตาสีน้ำตาลของพี่ชายแสดงความเหนื่อยล้าบางประการซึ่งกุ้ยหลินเองก็มิคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน
“เจ้าช่วยพูดกับเขาให้ข้าหน่อยเถิด..” ไท่หยางกระซิบเสียงเบาหวิวก่อนที่จะค่อยๆช้อนร่างสีขาวออกมาจากด้านในของเสื้อ
“เฮ่ย! ไฉนถิงถิงถึงมีสภาพแบบนี้?” หลินน้อยมองเจ้าจิ้งจอกอย่างมิเชื่อสายตา เพียงแค่จากกันไม่นาน ถิงถิงก็มีสภาพทรุดโทรมราวกับสุนัขป่วยใกล้ตาย
“เป็นเพราะข้าไม่ดีเองที่ไปสร้างความขุ่นเคืองใจแก่ถิงถิง สุดท้ายจึงกลายเป็นจิ้งจอกมิยอมกลับคืนอีก ที่แย่กว่านั้นคือตอนนี้ร่างกายกลับทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ข้าเห็นแล้วก็รู้ว่าหากอยู่เฉยถิงถิงก็คงไม่รอด เช่นนี้จึงอยากให้เจ้าช่วยพูดให้เขากลับร่างในตอนที่ยังสามารถทำได้ เพื่อจะหาวิธีรักษา” ไท่หยางกล่าวเสียงเครียด
“เอ่อ..แล้วพี่เล่า ไปทำอะไรให้น้องถิงถิงโกรธถึงเพียงนี้?” กุ้ยหลินเอ่ยถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“ข้า..เอ่อ..”
“อันใดเล่า..ถ้าข้าไม่รู้แล้วจะช่วยท่านได้อย่างไรกัน” กุ้ยหลินรุกเร้า
ไท่หยางถอนหายใจอีกครั้งก่อนยอมบอกตามความจริง
“ข้าขืนใจถิงถิง”
“หา!..” กุ้ยหลินอุทานออกมาเสียงดัง มันอ้าปากค้างดวงตากลมโตเบิกขึ้นเท่าไข่ห่าน ก่อนที่จะเปลี่ยนทีท่าเป็นหงุดหงิดงุ้นง่าน หลินน้อยขยี้เท้ากับพื้นด้วยความแค้นใจ
“ข้าฝากให้ท่านดูแลถิงถิง ไฉนมาย่ำยีน้องข้าถึงเพียงนี้ ท่านมิรู้หรอกว่าทำให้ถิงถิงเจ็บปวดแค่ไหน ไหนบอกว่าหัวใจท่านมีพี่รองหมดแล้ว เหตุใดยังยุ่งเกี่ยวกับถิงถิง”
“เฮ้อ~ เรื่องนี้ช่างซับซ้อนนัก ข้ายอมรับว่าทำผิดมหันต์อย่างมิน่าให้อภัย ข้าใช้ถิงถิงระบายอารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นเพราะพี่รอง แต่ตอนนี้ทุกอย่างในใจข้ากระจ่างชัดแล้ว หัวใจของข้าไม่มีพี่รองอีกแล้ว และตอนนี้คนที่ข้าห่วงใยมากที่สุดคือถิงถิง พอเห็นสภาพของถิงถิงเป็นเช่นนี้ข้าก็ยิ่งปวดใจ ถิงถิงไม่ยอมกลายร่างข้าก็ไม่รู้จะพึ่งใคร มีแต่เจ้านี่ล่ะ ที่สนิทกับเขามากที่สุด ข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมถิงถิง”
“เฮ้อ~เรื่องนี้เป็นเพราะท่านดื้อดึง มีถิงถิงผู้แสนดีอยู่เคียงใกล้แต่ก็มิเคยชายตามอง จนสุดท้ายเกิดเรื่องถึงจะมารู้ใจตนเอง” กุ้ยหลินกล่าวอย่างปลงๆ
“อย่าเพิ่งพูดมากความ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าถิงถิงอ่อนแรงมาก ตั้งแต่เมื่อคืนก็มิได้ขยับเขยื้อนเอาแต่นอนนิ่ง ข้าเลยไม่แน่ใจว่าถิงถิงยังรู้สึกตัวหรือไม่” ไท่หยางกล่าวอย่างกังวล
“ส่งถิงถิงมาให้ข้าเถอะ” กุ้ยหลินเอื้อมมือรับถิงถิงมาโอบอุ้ม พอเห็นน้องเล็กร่างกายปวกเปียกเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ขยับจึงรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกอาการเพียบแล้ว ดวงตาดำขลับเหลือบมองพวงหาที่สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสติปัญญาจึงคิดว่าที่ถิงถิงมีอาการเช่นนี้ต้องมาจากหางที่โดนตัดออก มันตัดสินใจอยู่ชั่วครู่จึงบอกความจริงแก่ไท่หยาง
“พี่ท่านสังเกตเห็นนี่หรือไม่?” หลินน้อยชี้พวงหางของถิงถิงให้ไท่หยางดู
“อืม..มันเป็นอันใด?” ไท่หยางนึกสงสัย ตอนนี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าพวงหางของเจ้าจิ้งจอกสั้นลงมากกว่าเดิม
“อาจเป็นเพราะสิ่งนี้โดนตัดออก จึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของถิงถิง”
“หืม..ใช่โดนตัดนานแล้วหรือไม่?” ไท่หยางถามด้วยความครุ่นคิด
“เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้ ข้าคงต้องบอกตามตรง เพราะถิงถิงมีดวงจิตกล้าแข็ง ข้าคิดว่ามันเป็นประเภทบูชาความรัก เมื่อมอบดวงใจให้ใครแล้วก็ซื่อตรง ถิงถิงเป็นผู้ช่วยชีวิตท่านเอาไว้เมื่อตอนที่ท่านฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก มันรักท่านมากจนถึงกับตัดหางส่วนหนึ่งทิ้ง ถิงถิงบอกแก่ข้าว่าเลือดในหางเป็นเหมือนยาที่มีสรรพคุณวิเศษสามารถช่วยท่านได้ หลังจากที่ถิงถิงลอบสกัดจุดข้ามันก็ตัดหางตนเองออกก่อนให้ท่านดื่มเลือด มิคาดหลังจากนั้นท่านกลับมีอาการดีวันดีคืน ส่วนถิงถิงกลับตรงกันข้าม” กุ้นหลินส่ายหน้าช้าๆก่อนเอามือลูบเส้นขนนุ่มนิ่ม แต่แล้วก็ต้องพบว่าขนส่วนใหญ่ร่วงติดมือมาด้วย
เมื่อไท่หยางได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกคล้ายกับถูกค้อนเหล็กทุบหัว มันแสดงท่าทางตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ร่างสูงใหญ่ซวนเซเล็กน้อย ความรู้สึกหลากหลายปะปนอยู่ในจิตใจให้วุ่นวาย
“เช่นนี้แล้วข้าควรทำอย่างไรดี ข้ามิอาจปล่อยให้จิ้งจอกน้อยทุกข์ทรมานเพราะตัวข้าเป็นต้นเหตุ เจ้าบอกข้าสิน้องเล็ก ว่าข้าควรทำเช่นไร..” ไท่หยางกล่าวเสียงสั่นเครือ ดวงเนตรสีน้ำตาลฉายแววสับสนอย่างมิเคยเป็นมาก่อน
“พี่ไท่หยางสงบอารมณ์ก่อน ข้าพอจะรู้ว่าใครคือคนที่จะช่วยท่านได้ในตอนนี้” กุ้ยหลินกล่าวเสียงเครียด
“ใครกัน?” ไท่หยางถามไถ่อย่างรวดเร็ว
“ข้าก็ไม่แน่ใจ เพียงแต่คิดว่าเขาน่าจะพอมีวิธี แต่ก่อนอื่น ข้าขอถามท่านสักข้อ”
“ว่ามาเถอะ น้องเล็ก”
“ท่าคิดอย่างไรกับถิงถิง?” กุ้ยหลินเอ่ยถามอย่างชัดเจน ดวงตาดำขลับมองอีกฝ่ายเพื่อหาคำตอบ
“ข้า..ก็มิอาจตอบได้ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจอยู่อย่างก็คือ ความรู้สึกที่ข้ามีต่อชุนหลันคือความลุ่มหลง ข้าหลับหูหลับตาชื่นชอบเขาโดยมิได้ตรึกตรองอันใด เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็มิอาจบอกเจ้าได้ว่าข้ารู้สึกอย่างไรต่อถิงถิง เพราะข้าไม่เข้าใจว่าความรักแท้จริงนั้นเป็นเช่นไร ข้ารู้เพียงแต่ว่า เมื่อเห็นถิงถิงเจ็บป่วยเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกเจ็บด้วย สภาพของเขากำลังทำให้จิตใจของข้าอ่อนแอ เช่นนี้แล้วข้าจึงอยากดูแลเขา ข้าอยากให้ถิงถิงฟื้นขึ้นมาเพื่อที่เราได้ปรับความเข้าใจต่อกัน” ไท่หยางกล่าวตามความเป็นจริง
กุ้ยหลินพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะเริ่มเอื้อนเอ่ย
“อืม..ถ้าหากท่านอยากดูแลถิงถิง ข้าว่าสิ่งแรกที่ท่านต้องกระทำคือการลดทิฐิ เพราะคนที่ข้าคิดว่าสามารถช่วยถิงถิงได้ก็คือพี่ใหญ่ พี่ไท่หยาง...ท่านต้องลืมเรื่องบาดหมางที่มีต่อพี่ใหญ่ให้หมดสิ้น แล้วพาถิงถิงไปขอคำปรึกษาเพื่อรับความช่วยเหลือจากเขา ข้าบอกท่านแล้วเช่นนี้ ท่านคิดว่าตนเองทำได้หรือไม่?”
“ได้สิ..ข้าทำได้แน่นอน” ไท่หยางตอบกลับอย่างรวดเร็ว
จบตอน
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลงให้จบเลยนะ ขอบคุณล่วงหน้าที่เข้ามาอุดหนุน
-
สนุกมากเลย เขียนเก่งมากเลยค่ะ
-
ทำไๆมคู่คนพี่มันตรงกันข้ามกันล่ะนิ อยากเห็นพี่ใหญ่ร๊กพี่รองง่ะ -..-;
เปฝกำลังใจให้ค่ะ
-
โอ้ สนุกมากค่ะ
ตอนแรกไม่คอยชอบพี่รอง แต่พอรู้ว่าเฮียเป็นคิง....อึ่งแดก :a5:
แม่ง โคตรคาดไม่ถึงเลยวุ่ย ร้ายกาจมากเฮีย ก๊าก :z3:
สงสารถิงน้อย
รอติดตามอยู่จ้า :z2: :z2: :z2:
จิ้ม :z13:
-
ทำไมคู่พี่ใหญ่กับพี่รองถึง.. . :a5:
ไท่หยาง ถ้าถิงๆเป็นไรไปนะ น่าดู :angry2:
-
ถิงถิงอย่าเป็นอะไรนะ
-
พี่ใหญ่เป็นคนคาบถิงถิงมาใช่รึเปล่า แล้วก็เผลอทำตกหายที่ไหนไม่รู้ในตอนที่สอง
-
ผิดคาดเลยแฮะ แต่ก้อลุ้นดีนะ
-
ตอนสุดท้าย
เมื่อแยกกับกุ้ยหลิน ไท่หยางก็พาถิงถิงไปที่เรือนพักของตู๋เสอ มันรู้สึกโล่งใจเป็นยิ่งนักเมื่อเห็นว่าตนเองมิได้มาขัดจังหวะเวลาสำคัญของสื่อเสินและชุนหลันเช่นครั้งที่แล้ว
ชุนหลันนั้นเมื่อเห็นว่าไท่หยางกลับมาด้วยความรีบร้อนก็มิเอ่ยอันใด ได้แต่คอยจับตาสังเกตว่าพี่ใหญ่จะดำเนินการอย่างไร ฝ่ายสื่อเสินตอนแรกก็ตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจม เพราะรู้ว่าน้องคนนี้ใจร้อนหากมีโทสะเข้าครอบงำรุนแรงก็มักจะใช้กำลังก่อนไถ่ถาม แต่ด้วยความที่เป็นคนสุขุมเยือกเย็นและรู้จักสังเกตจึงเห็นว่าน้องชายมาครั้งนี้คงมิได้คิดจะคุกคาม หากแต่เป็นจุดประสงค์อื่นที่มันยังมิรู้แน่ชัด
“พี่ใหญ่ ข้ามาหาท่าน” ไท่หยางคารวะพี่ใหญ่ก่อนรีบเอ่ยความ
“อืม..เจ้าฝึกวิชาสำเร็จแล้วสิ” สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ ก่อนผลักกระดานหมากล้อมออกไปเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณบอกแก่ชุนหลันว่ามันจะไม่เล่นต่อแล้ว
ฝ่ายไท่หยางกลับถอนลมหายใจเหนื่อยอ่อนมันเริ่มกล่าวแก่สื่อเสินอีกครั้ง
“ข้ามาครั้งนี้มิได้ต้องการสู้กับท่าน...ข้าจะไม่ฝึกวิชานั้นอีกแล้ว”
“หืม..เจ้าตัดใจจากชุนหลันแล้วรึไง?” สื่อเสินเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
“ข้า...” ไท่หยางขมวดคิ้วมุ่น มันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนหลับตาลงและตั้งใจเรียบเรียงคำพูด
“ข้าขอโทษพี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้วที่บังอาจไปล่วงเกินท่าน ข้ามันน้องอกตัญญู หากท่านจะตีข้ามันก็สมควรแล้ว”
“หึๆ..วันนี้เจ้ามาแปลก กินของผิดสำแดงมารึ” สื่อเสินแกล้งพูดแดกดัน
“ไม่..พี่ใหญ่ ที่ข้ามา ข้าต้องการขอโทษท่าน” ไท่หยางพูดเช่นนั้นแล้วก็นั่งลงคุกเข่าขอขมา
ฝ่ายชุนหลันเมื่อเห็นเหตุการณ์ระหว่างพี่ชายและน้องชายก็รู้สึกรำคาญมิอยากให้ยืดเยื้ออีกจึงเอ่ยแก่พี่ใหญ่ของมัน
“พี่ท่าน น้องมันสำนึกผิดแล้ว อย่าได้ถือสาอีกเลย”
สื่อเสินถอนลมหายใจ มันมองใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยล้าของไท่หยางแล้วก็ให้นึกเวทนา
“เจ้าลุกขึ้นเถอะไท่หยาง หากเจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว..”
“ข้าขอบคุณพี่ใหญ่ยิ่งนัก” ไท่หยางเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง
“อืม..เมื่อรู้เรื่องกันแล้วเหตุใดยังไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น” สื่อเสินว่ากล่าวเสียงเรียบ
“ที่มาหาท่านครั้งนี้ นอกจากจะมาขอโทษที่เคยล่วงเกินท่านแล้ว ข้ายังมีเรื่องมารบกวนให้ท่านช่วย” ไท่หยางเอ่ยเสียงอ่อย
สื่อเสินถอนหายใจเอือมระอาอีกครั้ง น้องๆของมันก็เป็นเช่นนี้ ชอบก่อเรื่องราวไม่ว่างเว้น
“มาเถอะ มานั่งข้างๆกันแล้วเล่าความให้ข้าฟังโดยละเอียด” พี่ใหญ่ว่ากล่าวแก่น้องชาย
ไท่หยางค่อยๆลุกขึ้น มันนั่งลงข้างพี่ชายด้วยใบหน้าสำนึกผิด ต่อจากนั้นจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ที่เข้าป่าไปฝึกวิชาจนได้เจอกับเจ้าจิ้งจอกน้อยนามว่าถิงถิง
หลังจากนั่งฟังน้องชายเล่าเรื่องราวแล้วสื่อเสินที่รู้อยู่ตั้งแต่ต้นว่าไท่หยางซุกสิ่งใดไว้ในเสื้อก็เอ่ยสั่งการ
“อืม..ที่แท้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ เอาเถอะ หากข้ามีความสามารถพอ ก็ถือว่าครั้งนี้เจ้าสิ่งนั้นโชคดียิ่งนัก ตอนนี้เจ้าก็เอามันออกมาให้ข้าดูเถอะ”
ฝ่ายไท่หยางจึงทำตามพี่ใหญ่ มันค่อยๆช้อนร่างสีขาวออกมาจากเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะ จิ้งจอกน้อยนอนนิ่งมิไหวติง
ส่วนชุนหลันนั้นเมื่อเห็นลูกจิ้งจอกขนสีขาวราวหิมะนอนสงบอยู่บนโต๊ะก็มองด้วยความสนใจ
สื่อเสินมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย มันยื่นมือออกไปทาบทับ เพียงแค่หนึ่งฝ่ามือของสื่อเสินก็สามารถบดบังร่างสีขาวได้เกือบหมดยกเว้นพวงหางที่ฟูฟ่อง
ชุนหลันนั้นเมื่อสังเกตเห็นท่าทางของสื่อเสินก็ขมวดคิ้วสงสัย ก่อนที่จะเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ ดวงเนตรงดงามเขม็งเกร็งด้วยความริษยาบางประการ
“สื่อเสิน..เจ้า” ชุนหลันตวาดเสียงดัง แต่มันก็มิอาจขัดขวางพี่ใหญ่ได้
ฝ่ายไท่หยางเห็นท่าทางของพี่ชายทั้งสองก็รู้สึกสงสัย มันมองดูด้วยความกังวล เพราะมิรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ระหว่างที่ชุนหลันกำลังโกรธจนใบหน้าเกร็งเขม็งไท่หยางก็สัมผัสได้ว่ารอบกายของพี่ใหญ่ถ่ายเท่พลังความร้อนบางประการ แม้แต่มันที่อยู่ใกล้ๆก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นที่คล้ายรัศมีรอบกายของสื่อเสิน
หลังจากอดทนนั่งรออยู่ครึ่งชั่วยาม ไท่หยางก็เห็นว่าพี่ใหญ่ค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนถอนฝ่ามือออกจากร่างของถิงถิงซึ่งอยู่ในคราบของจิ้งจอกน้อย พี่ใหญ่มีสีหน้ายิ้มพอใจในขณะที่พี่รองอย่างชุนหลันกลับบึ้งตึง
“หึๆ เป็นอย่างที่คิดไว้มิผิดเพี้ยน” สื่อเสินกล่าวเบาๆ
“เป็นอย่างไรบ้างพี่ท่าน” ไท่หยางรีบเอ่ยถาม
“น่าจะทำให้ดีขึ้นได้บ้าง โชคของมันที่ร่างกายมิได้ต่อต้านกัน”
ฝ่ายน้องชายได้ฟังคำพูดวกวนเช่นนั้นก็ให้รู้สึกสับสน แต่ก็อดดีใจมิได้ที่รู้ว่าพี่ใหญ่สามารถช่วยเจ้าจิ้งจอก
“จริงหรือพี่ใหญ่ แต่ไฉนยังมิยอมขยับกาย” ไท่หยางสังเกตร่างสีขาวด้วยความเคลือบแคลง
แต่แล้วมันก็ต้องอ้าปากค้างตกใจกับการกระทำของพี่ใหญ่
สื่อเสินดีดหน้าผากของเจ้าจิ้งจอกน้อยอยู่สองสามที ความเจ็บปวดครั้งนี้ทำเอามันร้องครางหงิงๆ ก่อนยอมขยับกายเป็นครั้งแรก
“เลิกเสแสร้งแล้วรีบคืนร่างซะ ข้าไม่คิดทำอันใดกับเจ้าแล้ว นี่เห็นเป็นเพราะเจ้ามีบุญคุณช่วยชีวิตน้องข้าไว้ ครานี้ข้าก็จะช่วยเจ้า จะได้ไม่ติดค้างกันอีก”สื่อเสินกล่าวกับจิ้งจอกน้อยเสียงเรียบ
เมื่อจิ้งจอกน้อยเปิดตาแล้วเห็นใบหน้าของสื่อเสินก็ต้องร้องหงิงๆตัวสั่นเทา ครั้งนี้มันยอมคลานสี่ขาเข้าไปซุกอยู่ในวงแขนของไท่หยางก่อนทำดวงตาสีชมพูวิบวับเพื่อแอบมองใบหน้าเรียบเฉยของสื่อเสิน
ฝ่ายชุนหลันนั้นเมื่อเห็นอัญมณีสีสวยที่กลิ้งกลอกคอยแอบมองนั้นก็ให้เกิดความสนใจเป็นยิ่งนัก
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า แต่ถ้าหากยังมิยอมคืนร่าง ข้าก็จะจับเจ้าถลกหนังเก็บขนสีขาวนั่นเอาไว้ ส่วนหางครึ่งหนึ่งของเจ้าข้าก็จะเอาไปต้มเป็นยาให้ชุนหลัน”
“พี่ใหญ่” ไท่หยางครางเสียงหลง มันกระชับอ้อมแขนที่มีเจ้าจิ้งจอกซุกอยู่ในนั้น
ชุนหลันฟังพี่ใหญ่อยู่ชั่วครู่ก็หรี่ตาคิดคำนึง เพียงไม่นานก็เอื้อนเอ่ยออกมาเสียงดัง
“พี่ใหญ่ สิ่งนี้ใช่หรือไม่ ที่ท่านบอกว่าเป็นของวิเศษที่ทำหล่นหายเมื่อครั้งนั้น”
“...” สื่อเสินมิกล่าวอันใด นอกจากพยักหน้า
“พวกท่านพูดเรื่องอันใดกัน” ไท่หยางถามผู้พี่ด้วยความงุนงง
“หึๆ น้องรอง สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเจ้า แท้จริงแล้วพี่ใหญ่เป็นคนนำมา เขาตั้งใจจะยกมันให้แก่ข้า” ชุนหลันเอื้อนเอ่ยด้วยดวงตาพราวระยับ
ไท่หยางได้ฟังเช่นนั้นก็ตาเหลือกลนลาน หากเป็นจริง ครานี้ถิงถิงก็แย่แล้ว
“อืม..เจ้านี่ข้าได้มันมาจากพรานป่าผู้หนึ่งตอนที่ออกไปสืบเสาะเรื่องราวให้แก่นายท่าน เพียงแว่บแรกที่ได้สัมผัสกลิ่นอายข้าก็รู้ว่ามันคือปิศาจจิ้งจอกหิมะ ความวิเศษอยู่ที่หางนั่น เลือดและเนื้อในหางของมันหากน้ำมาปรุงเป็นยาก็มิต่างอะไรกับยาอายุวัฒนะ มีสรรพคุณเสริมสร้างกำลังวังชา ที่สำคัญ มันช่วยเจ้าได้ ชุนหลัน”
ชุนหลันนั้นแม้ใบหน้าจะเรียบเฉยหากแต่ดวงตากลับแวววาวคล้ายลูกแก้ว ไท่หยางลอบมองสีหน้าของพี่ชายผู้นี้แล้วก็ให้รู้สึกเสียวสันหลังแทนถิงถิง จึงต้องอุ้มช้อนเจ้าจิ้งจอกไว้อย่างมั่นคง จากนั้นเอ่ยถามเรื่องราวที่ค้างคาใจมานาน
“เอ่อ พี่ใหญ่ มิทราบว่าพี่รองล้มป่วยเป็นอันใด?”
“หึๆ ชุนหลัน ไท่ตี้ตี้(น้องไท่)อยากรู้เรื่องของเจ้า จะอนุญาตให้ข้าพูดหรือไม่?” สื่อเสินถามความเห็นแก่ชุนหลัน
“ตามใจท่านเถอะ” ฝ่ายนั้นเหลือบมองเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากอนุญาต
“พี่เจ้าคนนี้เดิมทีก็แข็งแรง แต่ด้วยความซุกซนและฮึกเหิมเกินกำลัง เมื่อแปดปีก่อนชุนหลันประมือกับแม่ชีผู้หนึ่ง มิคาดว่านางฝีมือแก่กล้า สุดท้ายชุนหลันโดนฝ่ามือของนาง ทำให้ต้องกระอักเลือดออกมาถึงเก้าครั้งติดต่อกัน โชคดีที่นายท่านมีความรู้เรื่องยาจึงช่วยดูแลให้จนมันหลุดพ้นจากเงื้อมมือของเซ็งฮีไต๋ตี๋(ยมบาล) แต่ถึงกระนั้นร่างกายก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ฝ่ามือคู่นั้นของนางชีมีพิษสงร้ายกาจ เมื่อโดนเข้าหนึ่งครั้งก็แผ่พุ่งพลังเย็นคุกคามคล้ายเข็มพิษหนึ่งหมื่นเล่มเสียดแทงเข้ากระแสเลือดไหลเวียนมิจบสิ้น จะขับออกให้ก็กระทำมิได้ มีเพียงยาของนายท่านที่ช่วยรักษาบาดแผลและความบอบช้ำภายใน”
“เช่นนั้นพิษฝ่ามือที่ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างพี่รองใช่หรือไม่?” ไท่หยางถามขึ้น
“ใช่..นายท่านบอกว่าแม้ชีผู้นั้นมีจิตเมตตา นางมิได้ลงมือเต็มกำลัง เพียงมุ่งหวังแค่สั่งสอนและตัดโอกาสมิให้ชุนหลันไปก่อความวุ่นวายกับผู้ใดอีก ฉะนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของเขาจึงคล้ายคนปกติ มีเพียงแค่บางครั้งที่อ่อนแรงทรุดลง แต่ถ้าหากควบคุมสติหมั่นกำหนดจิตบำเพ็ญเพียรแล้วโคจรพลังปราณให้ถูกวิธีก็จะไม่เป็นไร” เมื่อพูดถึงตรงนี้สื่อเสินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“แล้วอาการของถิงถิงเล่า เป็นเช่นไร?” ไท่หยางถามแก่พี่ใหญ่
“เดิมทีจิ้งจอกหิมะก็เป็นปิศาจบำเพ็ญเพียร เพียงแค่ถูกตัดหางก็ไม่อาจทำให้ร่างกายอ่อนแรงถึงเพียงนี้ ข้าจึงคิดว่ามันคงมีเบื้องหลังอันใด จึงทำให้ลมปราณข้างในมีปัญหามิต่างจากชุนหลัน เช่นนี้ข้าจึงต้องบังคับขู่เข็ญให้มันคืนร่างจะได้สอบถามความจริงเพื่อหาวิธีแก้ไข” สื่อเสินอธิบาย
ไท่หยางได้ยินเช่นนั้นก็วางเจ้าจิ้งจอกลงบนโต๊ะ มันกระซิบเสียงนุ่มนวลหว่านล้อม
“ถิงถิงน้อย เจ้าคืนร่างก่อนเถอะ พี่ใหญ่มิได้จะทำร้ายเจ้า หากเขาเอ่ยปากจะช่วยเจ้า นั่นหมายความว่าเขาต้องการทำเช่นนั้นจริงๆ เจ้าเจ็บปวดครั้งนี้ข้าแทบเป็นบ้า อย่าทำให้ข้ากังวลอีกเลย”
ฝ่ายจิ้งจอกน้อยเมื่อเห็นสายตาเศร้าสร้อยของคนรักก็ให้รู้สึกสงสารจับจิต สุดท้ายจึงตัดสินใจคืนร่างกลับเป็นร่างมนุษย์เช่นเดิม
เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจร่างสุนัขจิ้งจอกก็กลายเป็นร่างมนุษย์เปลือยเปล่าผิวขาวดุจดั่งหิมะ ก่อนหน้านั้นได้สื่อเสินช่วยไว้ ตอนนี้จึงมีสีหน้าเปล่งปลั่งงดงามดูดีขึ้นบ้าง
ไท่หยางตาโตตกใจ มันรีบตะครุบร่างผอมของถิงถิงเอาไว้ ก่อนถอดเสื้อคลุมให้ใส่เพื่อปกปิดร่างไร้อาภรณ์ เมื่อลอบสังเกตก็แอบเห็นว่าบุคคลที่อันตรายต่อถิงถิงมากที่สุดในตอนนี้ก็คือชุนหลันนั่นเอง ใบหน้าเย็นชาสูงส่งของพี่คนนี้เปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของถิงถิง ความพึงพอใจปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
แม้เป็นรอยยิ้มพริ้มพรายที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของชุนหลัน แต่ไท่หยางกลับรู้สึกว่านั่นคือรอยยิ้มของมัจจุราช
เมื่อได้เห็นแล้วก็ให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด
หลังจากถิงถิงยอมคืนร่าง ไท่หยางก็กอดเอวมันไว้เคียงข้างก่อนเอ่ยออกมาเป็นคนแรก
“พี่ใหญ่จะถามอันใดได้ กุ้ยหลินบอกว่าถิงถิงความจำเสื่อม มิอาจเล่าเรื่องราวในอดีต”
“หึๆ..เป็นเช่นนั้นจริงรึ?” สื่อเสินยกยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายอำมหิต มันใช้สายตาคาดคั้นจิ้งจอกน้อย ฝ่ายนั้นเมื่อได้รับพลังคุกคามก็ย่นคอหดตัว มือเล็กๆขาวๆรีบกอดลำแขนไท่หยางไว้แน่น ก่อนเอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบา
“เรียนพี่ท่านทั้งหลาย ข้ามิได้ความจำเสื่อม หากแต่จำเป็นต้องโป้ปด เพราะรู้ว่าตนเองมีของดีติดตัว ถ้าเล่าเรื่องราวความจริง ก็ยิ่งเป็นภัยร้าย ข้าเป็นคนต่างถิ่นไฉนจึงกล้าไปบอกผู้อื่นได้เล่าว่าตนเองเป็นจิ้งจอกหิมะ เช่นนั้นแล้วข้าคงต้องมิอาจทำอันใด นอกจากนั่งระวังว่าจะมีผู้ใดมาลอบตัดหาง”
“หึๆ..เช่นนั้นก็เล่าเรื่องราวของเจ้ามา แท้จริงเจ้าชื่ออันใด” สื่อเสินเริ่มสอบสวน
“เดิมทีข้าอยู่บนเทือกเขาสูงห่างไกลจากที่แห่งนี้ ข้ามีพี่น้องสิบคน หากแต่ข้ามันอาภัพ พอเกิดมาแม่ก็ตาย เช่นนี้จึงทำให้ข้าถูกบิดาหมางเมินมิได้สนใจ นอกจากมิได้ตั้งชื่อให้ยังต้องคอยเป็นเด็กรับใช้ของพี่ๆทั้งหลาย โชคดียังมีพี่บางคนที่เมตตายอมสอนวรยุทธให้บ้าง จนสุดท้ายวันหนึ่งข้าแอบได้ยินบิดาพูดคุยกับพี่ใหญ่ จึงได้ทราบว่าระหว่างตั้งท้องมารดาได้ฝึกวิชาชนิดหนึ่งมีความร้ายกาจทรงอนุภาพสามารถทำร้ายล้างศัตรูด้วยพลังเย็น ด้วยเพราะความลุ่มหลงในวรยุทธทำให้มารดาของข้ามิยอมปล่อยวาง แม้ตั้งท้องข้าจนใกล้คลอดก็ยังดันทุรังฝึกฝน จนสุดท้ายตอนฝึกเกิดเจ็บท้องทำให้ลมปราณเดินผิดทิศทางธาตุไฟเข้าแทรก เมื่อคลอดข้าออกมาก็ถึงแก่ความตาย ส่วนข้านั้นก็ได้รับผลกระทบ พลังเย็นที่นางฝึกฝนแทรกซึมเข้าร่างกายข้าตั้งแต่นั้น มันเหมือนเนื้อร้ายรอวันกำเริบ โชคดีที่จิ้งจอกหิมะเช่นข้ามีพลังลมปราณเกิดขึ้นที่หาง หากมีหางไว้ข้าก็ยังมิเป็นอันใด เพียงแต่ฝึกวรยุทธโหกโหมรุนแรงมิได้ หลังจากข้าได้รู้ว่าเป็นต้นเหตุให้แม่ต้องตายก็เกิดความเสียใจจนหนีออกมา มิคาดเจอพรานป่าฝีมือร้ายกาจ มันสามารถจับข้าได้ ตั้งแต่ตอนนั้นข้าก็ถูกชะตาชักพาจนมาเจอพวกท่าน” ถิงถิงเอื้อนเอ่ยเสร็จแล้วก็ก้มหน้าเบียดกายเข้าใกล้ลำแขนของไท่หยางหวังเป็นที่พึ่งพิง
“เป็นเช่นนี้นี่เอง..”สื่อเสินพยักหน้า
“พี่ใหญ่รักษาถิงถิงได้แล้วใช่หรือไม่?” ไท่หยางรีบถามด้วยความกระตือรือร้น
“ยัง...ข้าแค่ชะลอเวลาให้เท่านั้น อาการของจิ้งจอกตนนี้อาจจะหนักกว่าชุนหลัน”
“แล้วข้าควรทำเช่นใด ขอพี่ท่านโปรดชี้แนะ” ไท่หยางมีสีหน้าเคร่งเครียด มันขบกรามแน่นราวกับพบความทุกข์ใหญ่หลวง ถิงถิงน้อยเห็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกซาบซึ้ง มันมิคิดว่าสุดท้ายแล้วไท่หยางเอาใจใส่มันถึงเพียงนี้
สื่อเสินหรี่ตาลงอย่างพิจารณาแล้วจึงเอ่ยถาม
“จิ้งจอกตัวนี่ใช่หรือไม่ ที่ทำให้เจ้าล้มเลิกความตั้งใจทั้งหมด”
“ใช่แล้ว” ไท่หยางกล่าว
“เช่นนั้นกล้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าคิดเช่นไรต่อมัน..”
“ข้า...” ผู้น้องเช่นไท่หยางเมื่อได้ยินพี่ใหญ่ถามตรงประเด็นเช่นนั้นก็ให้รู้สึกกระดากอาย มันก้มหน้าเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้วมุ่นมิเคยหนักใจเช่นนี้มาก่อน สุดท้ายเมื่อถอนหายใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
“ตอนนี้ข้าแน่ใจแล้ว ถิงถิงน้อยคือผู้ที่ข้าอยากอยู่ด้วย ข้า..รักมัน”
ฝ่ายถิงถิงเมื่อได้ยินไท่หยางเอื้อนเอ่ยเช่นนี้ก็รู้สึกหัวใจเต้นอย่างรุนแรงจนเผลอบีบลำแขนของคนข้างเคียง ใบหน้าขาวกระจ่างซับสีเลือดก่อนเบียดซุกร่างใหญ่ด้วยความกระดากอายมิแพ้กัน
“ดี..เมื่อเจ้ากล้าพูดเช่นนี้ คงไม่มีปัญหาใดอีก เจ้าล่ะชุนหลัน ขัดข้องหรือไม่ที่จะช่วยน้องชายคนนี้กับคนรักของมัน” สื่อเสินปรายตามองชุนหลันที่นั่งปั้นปึ่งอยู่เป็นนานสองนาน
เจ้าของดวงพักตร์งดงามอันตรายเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มพริ้มพรายเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
บางทีนี่อาจเป็นเรื่องสนุกอีกประการ
ชุนหลันมองสื่อเสินเป็นเชิงแง่งอนก่อนยอมเอื้อยเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“ได้สิ ข้าย่อมช่วยพวกเขา คนหนึ่งก็เป็นน้องชาย อีกคนหนึ่งก็เป็นน้องสะใภ้ มีหรือจะนิ่งเฉยได้”
ไท่หยางมองดวงเนตรสุดหยั่งคาดของชุนหลันที่กำลังส่องประกายวิบวับแล้วก็ต้องลอบกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เมื่อพี่ใหญ่เห็นเช่นนั้นก็ระบายยิ้มก่อนส่ายหน้าช้าๆ
คราวนี้ไท่หยางคงตาสว่างเสียที..
“วางใจเถอะน้องรัก พี่คนนี้จะไม่ให้มีเรื่องอันใดผิดพลาด หากมีผู้ไม่ประสงค์ดีคิดเห็นว่าการช่วยเจ้าเป็นเรื่องสนุก ข้านี่ล่ะ จะกระทืบมันให้จมดิน” สื่อเสินพูดเสียงแข็งก่อนปรายตามองชุนหลันอย่างผู้เหนือกว่า
“หึ..”ฝ่ายผู้ถูกมองก็ได้แต่ส่งค้อนให้ ชุนหลันมีสีหน้าปั้นปึ่งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าของแววตาดำสนิทลึกลับคู่นั้นมิได้พูดเล่น
“แล้วพี่ใหญ่มีวิธีอันใดช่วยถิงถิง ได้โปรดบอกกล่าวแก่ข้า” ไท่หยางรีบเอ่ยถามเพื่อมิให้เสียเรื่อง
“เมื่อไม่กี่ปีก่อน ข้าพบวิชามารชนิดหนึ่ง คาดว่าที่ได้มานั้นเป็นเพียงครึ่งเดียว แต่ถึงกระนั้นก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะส่วนที่ได้มานั้นกล่าวถึงการดูดพลังของผู้อื่นเพื่อใช้รักษา”
“เป็นเช่นไร แล้วจะอันตรายหรือไม่”
“อันที่จริงวิชานั้นมีไว้ใช้กับพวกที่ฝึกยุทธพลังสายเย็นผิดพลาด หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส หากผู้นั้นเป็นมาร มันจะหาเหยื่อที่มีพลังสายร้อนดึงดูดพลังจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อรักษาสมดุลในร่างกาย จากนั้นก็ฆ่าทิ้งมิให้เป็นภัยในภายหลัง แต่ข้านำสิ่งนี้มาพลิกแพลงไว้ช่วยชุนหลัน ดังนั้นเจ้าทั้งสองต้องมีความชำนาญในการควบคุมพลังปราณ เพราะถ้าหากระหว่างถ่ายเทเกิดปัญหาฝ่ายหนึ่งจะสามารถช่วยอีกฝ่ายหนึ่งได้ เคล็ดวิชาที่ว่านั้นก็คือเคล็ดวิชาที่เจ้าได้จากชุนหลัน”
ไท่หยางได้ฟังเช่นนั้นก็เบิกตาขึ้นด้วยความกระจ่าง ก่อนเอื้อนเอ่ยด้วยความยินดี
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่า ข้าฝึกมันแล้วจึงเกิดธาตุไฟเข้าแทรก เป็นเพราะข้าไม่มีคุณสมบัติ อันที่จริงเคล็ดวิชาที่ว่าต้องให้ถิงถิงเป็นผู้ฝึกใช่หรือไม่”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” สื่อเสินพยักหน้า
“แล้วจะต้องทำอย่างไร พี่ท่านโปรดชี้แนะ”
“เวลาฝึกนั้นต้องฝึกพร้อมกันทั้งเจ้าและถิงถิง เพื่อให้ต่างฝ่ายเรียนรู้ควบคุมลมปราณแปลกแยก ถิงถิงจะต้องรู้จักใช้พลังเย็นให้เป็นประโยชน์ ในเมื่อมันแทรกซึมอยู่ในร่างกายของเราดังนั้นมันก็คือทาสของเรา จงใช้พลังเย็นควบคุมพลังร้อนที่ถ่ายเทเข้าร่างกายนำพาทะลวงตามจุดต่างๆเช่นการโคจรลมปราณทั่วไป แต่จะต้องให้มันไหลเวียนมิให้ขาดตอนหรือสะดุดลงเด็ดขาด ทำเช่นนี้จนรู้สึกว่าร่างกายร้อนจัดแล้วก็จะเข้าใจเอง” สื่อเสินหยุดเล็กน้อยก่อนหันไปสบตากับไท่หยางแล้วเริ่มอธิบายต่อ
“ส่วนเจ้านั้นเมื่อถ่ายเทพลังให้เขา อีกในหนึ่งจะต้องผลักดันพลังเย็นแปลกปลอมออกไปมิให้เข้าสู่ร่างกาย มิเช่นนั้นอาจเป็นอันตราย ถ้าเพลี่ยงพล้ำระหว่างถ่ายเทพลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่หลวง หากถิงถิงเป็นประเภทจิตใจมิกล้าแข็ง เขาก็จะดูดพลังเจ้าจนหมด สุดท้ายคงกลายเป็นมารร้าย ส่วนเจ้าไม่พิการก็เป็นบ้าหรือตายคาอกถิงถิง”
“ตายคาอก?” ไท่หยางทวนคำด้วยใบหน้าฉงน
“ใช่แล้ว..ตายคาอก” สื่อเสินพูเสียงเรียบ
“เหตุไฉนต้องตายคาอก?” ผู้น้องยังคงสงสัย
“เพราะมันคือวิชามาร การถ่ายเทพลังหรือดูดพลังย่อมมิใช่ธรรมดา มารคือสิ่งไม่ดี ความชั่วร้าย อัปมงคล รวมไปถึงตัณหาราคะ เชื่อว่าผู้คิดค้นคงเป็นมารร้ายที่ชอบเสพสม ดังนั้นจะถ่ายเทพลังเช่นนี้ได้ต้องรวมกายเป็นหนึ่งเท่านั้น ประเด็นสำคัญก็คืออยู่ที่จิตใจล้วนๆ จิตจะต้องนำพาร่างกาย มิใช่ร่างกายนำพาจิต ถึงจะใช้วิธีนั้น แต่ก็ต้องควบคุมจิตจดจ่ออยู่กับลมปราณ เช่นนั้นจึงจะรักษาชีวิตไว้ได้ทั้งสองฝ่าย”
สิ่งที่พี่ใหญ่พูดทำเอาไท่หยางเบิกตาด้วยความตกตะลึง มันอ้าปากค้างคล้ายคนบ้าใบ้ ฝ่ายจิ้งจอกน้อยก็มีใบหน้าแดงก่ำ พอนึกภาพว่าตนต้องทำเช่นนั้นก็อายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“เมื่อเจ้ารู้แล้วว่าข้ากับชุนหลันใช้วิธีใดในการรักษา ก็อย่าถามรายละเอียดให้มากความ เพราะข้าจะมิกล่าวอันใดอีก เจ้าจะคิดอย่างไรก็ตามใจเจ้า ส่วนจะใช้วิธีนี้หรือไม่ก็ตรองดูเอาเองแล้วกัน” สื่อเสินปิดท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าของมันตอนนี้ไม่ต่างกับสีหน้าของชุนหลัน
สุดท้ายแล้วเมื่อไม่มีหนทางอื่น ทั้งถิงถิงและไท่หยางจึงต้องพึ่งสื่อเสินและชุนหลันให้ช่วยถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้ ระหว่างนั้นถิงถิงก็ได้สื่อเสินช่วยถ่ายพลังร้อนให้บางส่วน แต่นั่นก็มิอาจช่วยมันได้มากนัก เพราะยังคงอ่อนแรงอยู่บ่อยครั้ง ฝ่ายสื่อเสินผู้มีประสบการณ์นอกจากช่วยยื้อเวลาให้ถิงถิงแล้วก็ยังต้องจัดการตระเตรียมให้ร่างกายและจิตใจของถิงถิงกับไท่หยางพร้อมแก่การฝึกอีกด้วย
ก่อนอื่นทั้งสองฝ่ายต้องเข้าบำเพ็ญเพียรจิตใจให้สงบเยือกเย็น นอกจากนี้ต้องฝึกโคจรลมปราณอยู่เป็นนิจรวมทั้งมิแตะต้องเนื้อสัตว์คล้ายถือศีลอด ทำเช่นนี้เป็นเวลาห้าวัน สื่อเสินจึงเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้แก่ไท่หยางและถิงถิง
เริ่มแรกนั้นสื่อเสินให้ไท่หยางและถิงถิงหันหน้าเข้าหาก่อนนำฝ่ามือประกบกัน โดยมีตนนั่งซ้อนหลังน้องชาย ส่วนชุนหลังนั่งซ้อนหลังถิงถิง เมื่อเริ่มเดินลมปราณโคจรสื่อเสินจึงเป็นฝ่ายชักนำไท่หยาง มันถ่ายทอดกระแสพลังชักนำให้ไท่หยางรู้ว่าจะต้องบังคับจิตตนเองให้เคลื่อนไหวลมปราณเช่นไร จึงจะทำให้กระแสพลังเย็นจากฝั่งของถิงถิงและชุนหลันแทรกมิอาจผ่านเข้ามาได้ ในขณะเดียวกันยังสามารถถ่ายทอดกระแสพลังร้อนให้ฝ่ายนั้นได้ด้วย สิ่งนี้เป็นเพียงการฝึกฝน ทั้งสี่จึงต้องเริ่มควบคุมกระแสพลังภายในทีละน้อยและค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งยังระมัดระวังมิให้เกิดข้อผิดพลาด มิเช่นนั้นจะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
เมื่อฝึกเช่นนั้นอยู่สามวันถิงถิงและไท่หยางจึงรู้แจ้งทุกประการ สื่อเสินจึงแนะนำขั้นตอนสุดท้ายที่ยากเป็นยิ่งยวด
“หา!...เหตุใดจึงต้องมีพวกท่านอยู่ด้วย” ไท่หยางโวยวายเสียงดัง
-
“เพราะเจ้ายังมิเข้าใจว่าการที่ต้องควบคุมจิตใจในภาวะเช่นนั้นมันยากเย็นแค่ไหน หากปล่อยให้ตัณหาชักพาจนลืมวัตถุประสงค์ พวกเจ้าทั้งสองจะต้องพบความลำบาก เช่นนี้ในช่วงแรกๆจึงต้องมีข้าและชุนหลันคอยควบคุม” สื่อเสินอธิบายด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ไท่หยางนั้นเมื่อคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด แต่มันก็อดห่วงความรู้สึกของถิงถิงมิได้จึงหันไปขอความเห็น
“ถิงถิง เจ้าจะยอมหรือไม่” มันถามจิ้งจอกน้อยด้วยเสียงนุ่มนวลที่สุด
ฝ่ายถิงถิงนั้นได้แต่เอียงอายจนมิกล้าสบตาผู้ใด มันได้แต่เม้มปากสนิทแน่น พวงแก้มของมันสุกปลั่งด้วยสีเลือด มันคิดว่าถ้านี่คือหนทางสุดท้ายที่จะยื้อชีวิตตนไว้ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว
เพราะความต้องการที่แท้จริงของถิงถิงผู้นี้ก็คืออยากอยู่เคียงข้างพี่ไท่หยางตลอดไป
“ถิงถิง เจ้าว่าอย่างไร?” ไท่หยางลองถามอีกครั้ง มันมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าจิ้งจอกน้อยเอียงอายอยู่สักพักจึงยอมพยักหน้าตกลง
เมื่อสื่อเสินเห็นทุกอย่างลงตัวดีแล้วจึงคิดว่ามิควรรอช้า มันให้เวลาถิงถิงและไท่หยางได้พักผ่อนอยู่ครึ่งวัน จนเมื่อยามไฮ่ (เริ่มตั้งแต่21.00น.) จึงคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม
สื่อเสินมองไท่หยางแน่วแน่ก่อนออกคำสั่ง
“ก่อนอื่นเจ้าต้องเล้าโลมถิงถิง..”
“ข้า...ต่อหน้าพวกท่าน” ไท่หยางหน้าตาตื่น มันมองพี่ชายทั้งสองด้วยความยุ่งยากใจ
ชุนหลันเห็นน้องชายมิได้ความก็ให้รู้สึกหงุดหงิด มันส่งเสียงรำคาญใจก่อนเคลื่อนไหวรวดเร็วสุดที่ใครจะคาดเดา เพียงเสี้ยววินาทีก็เข้าถึงตัวถิงถิงก่อนยึดแขนเล็กทั้งสองข้างของเจ้าจิ้งจอกไว้ด้านหลัง แล้วจึงแนบชิดกายเข้าใกล้ ฝ่ายถิงถิงเมื่อถูกตรึงร่างไว้กับร่างใหญ่ ยิ่งเห็นว่าผู้พี่ของไท่หยางนามว่าชุนหลันยืนแนบชิดอยู่ด้านหลังก็ยิ่งตื่นตระหนกจนตัวสั่น ไท่หยางเห็นเช่นนั้นก็ร้องเสียงหลง มันตั้งใจจะถาโถมเข้าไปช่วยเจ้าจิ้งจอก แต่มิทันที่จะได้เคลื่อนไหวก็โดนพี่ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กันใช้วิชาสกัดจุดกับตัวมันจึงได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
ไท่หยางขบกรามด้วยความเจ็บใจ โดนสกัดจุดครั้งนี้ฝีมือเช่นมันก็มิอาจแก้ไขได้โดยง่าย
“ในเมื่อเจ้าชักช้าอิดออดข้าคงต้องมอบหน้าที่นั้นให้ชุนหลัน” สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ คำพูดของมันทำให้ไท่หยางแทบกระอักออกมาเป็นโลหิต
“สงบสติอารมณ์แล้วจดจ้องอยู่ที่ถิงถิง อย่างไรซะค่ำคืนนี้เจ้าก็ต้องเป็นคนรักษาถิงถิง อย่าทำให้เสียเรื่อง” สื่อเสินกล่าววาจาอีกครั้ง น้ำเสียงของมันจริงจังมิได้ล้อเล่น ผู้น้องได้ฟังแล้วก็พยายามข่มสติทั้งๆที่เคลื่อนไหวไม่ได้
เวลาผ่านไปเท่าใดไม่มีใครทราบ หากแต่ทุกอย่างยังคงดำเนินการ
หัวใจของไท่หยางเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ดวงเนตรสีน้ำตาลจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าและร่างเปลือยเปล่าขาวสะอาดของถิงถิง
“อา..อา..พี่ไท่หยาง” ดวงเนตรของจิ้งจอกน้อยปรือปรอย หยาดน้ำคลอหน่วย ใบหน้าแดงระเรื่อราวกับเป็นไข้ ถิงถิงนั่งอยู่บนตักของชุนหลัน ร่างกายของมันเกร็งจนสั่นไหว ยิ่งได้เห็นใบหน้าครุกรุ่นด้วยอารมณ์พิศวาสของคนรัก หัวใจของมันก็เต้นระส่ำ ความรู้สึกบางอย่างแทรกซึมผ่านกล้ามเนื้อจนมันกระตุกถี่ ฝ่ามือใหญ่ที่นิ่มนวลของชุนหลันทำให้มันนึกถึงฝ่ามือของไท่หยางผู้เป็นที่รัก
“เจ้าควรใช้โอกาสนี้ฝึกควบคุมอารมณ์ไว้ให้มั่น อย่าให้ความต้องการของสังขารนำพาจิตใจจนกระเจิดกระเจิง เพราะคนผู้เดียวที่ถิงถิงจะต้องพึ่งพาในภายภาคหน้ามีแต่เจ้าเท่านั้น” สื่อเสินเอ่ยกำชับไท่หยาง มันยืนกอดอกมองปฏิกิริยาของน้องชายด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ฝ่ายไท่หยางนั้นหอบหายใจถี่ แม้มันมิอาจขยับได้แต่ก็รู้ดีว่าร่างกายของตนนั้นอาการเพียบแล้ว มันจึงพยายามควบคุมอารมณ์ร้อนแรงภายใน กำหนดจิตเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่างที่สื่อเสินกำลังควบคุมไท่หยาง ร่างกายของถิงถิงก็ถูกเตรียมพร้อมโดยชุนหลัน ดวงตาสีเทาเย็นชาบัดนี้ฉายแววสุดหยั่งคาด ปลายลิ้นเรียวของชุนหลันแหย่ชอนเข้าไปด้านในใบหูของถิงถิง ฝ่ามือทั้งสองข้างก็บดขยี้ยอดอกสีสดให้ตั้งเด่น จิ้งจอกน้อยบิดกายเร่าๆด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด มันถูกจับนั่งในท่าน่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ร่างกายทุกสัดส่วนปรากฏแก่บุรุษผู้เป็นที่รักซึ่งยังคงยืนหอบหายใจอยู่เบื้องหน้า
ถิงถิงเดี๋ยวตัวอ่อนเดี๋ยวเกร็งแข็ง เจ้าของร่างขาวสะอาดหอบหายใจเพราะความยั่วยวนที่ชุนหลันมอบให้ ฝ่ามือใหญ่เลื่อนเข้าใกล้จุดลึกลับ เมื่อถูกล่วงล้ำถึงขั้นนั้นถิงถิงก็มิอาจหนีบขาไว้ได้อีก มันจิกเล็บลงบนลำแขนทั้งสองข้างที่กำลังปรนเปรอให้ด้วยความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้ ครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกที่มันยินยอมต่อไท่หยางนัก
ร่างกายทุกสัดส่วนกำลังถูกกระตุ้นจนมิอาจทนทานไหว ต่อให้กัดฟันเม้มปากจนแน่นแต่สุดท้ายก็ต้องเปล่งเสียงน่าอายออกมา สิ่งเดียวที่ยังพอทำให้สงบลงได้คือเอ่ยชื่อคนรักแทนเสียงร้องน่าเกลียด
“ไท่หยาง..พี่ไท่หยาง..” ถิงถิงร่ำร้องชื่อนั้นมิหยุดหย่อน ร่างกายเดี๋ยวบิดซ้ายเดี๋ยวแอ่นออก ยิ่งตอนที่ถูกสัมผัสนวดเฟ้นใกล้ตรงจุดลับก็ยิ่งรู้สึกทรมานจนต้องเกร็งหน้าท้องแอ่นกาย พอทำเช่นนั้นริมฝีปากของชุนหลันก็เข้าครอบครองยอดเม็ดสีสดของมันแล้วดุนดันด้วยปลายลิ้นราวกับผลไม้รสหวาน
ปลายนิ้วทั้งห้าของชุนหลันนั้นก็ร้ายกาจนัก มันสัมผัสนวดเฟ้นหนักหน่วงแต่มิได้คุกคาม ยามใดที่มีการตอบสนองกลับผ่อนปรนให้รู้สึกสั่นไหว ยามใดที่ผ่อนคลายกลับจงใจนวดเฟ้นให้ล้ำลึก เม็ดเหงื่อแพรวพราวบนร่างของถิงถิงทำให้มันดูยั่วยวนยิ่งนัก หากแต่ดวงเนตรสีน้ำตาลที่กำลังทุกข์ทรมานกลับมิอาจเมินภาพสัดส่วนสำคัญ ตรงจุดนั้นของถิงถิงตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด มิหนำซ้ำยังเคลื่อนไหวมีชีวิตชีวา สายน้ำปริศนาเปียกชุ่มราวหยาดน้ำผึ้งหอมหวาน ไท่หยางกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมันจะหักห้ามใจได้อย่างไร
ฝ่ายสื่อเสินเห็นน้องชายกำลังสั่นคลอนก็รีบหว่านล้อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อมิให้จิตใจของไท่หยางยินยอมต่อร่างกาย มันจงใจใช้ปลายนิ้วจิ้มเข้าที่ด้านหลังของอีกฝ่าย เมื่อไท่หยางโดนเข้าไปเช่นนั้นก็ถึงกับร้องออกมาหนึ่งคำก่อนกัดฟันด้วยความเจ็บปวด มันรับรู้ได้ว่ามีกระแสพลังบางอย่างจี้ผ่านผิวหนังบริเวณกระดูกสะบักเข้ามาถึงเส้นประสาท ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้สามารถเรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง ไท่หยางจึงรวบรวมสมาธิตั้งมั่น ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องเพียงใบหน้าของคนรัก
เมื่อมีสติดีพร้อมก็สัมผัสได้ถึงความพลุ่งพล่านที่หล่อหลอมอยู่ภายใน
จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
สิ่งที่เรียกร้องอยู่เบื้องลึกมิใช่แค่ความต้องการเสพสมกับคนรัก
หากแต่มันคือขุมพลังที่มันต้องควบคุม
สิ่งนี้เองที่จะช่วยให้ถิงถิงมีชีวิตอยู่กับมัน
เคียงคู่กันจนสิ้นชะตาฟ้าลิขิต
ดวงจิตของไท่หยางค่อยๆสงบลง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็กลับมาหายใจได้สะดวกมากขึ้น แม้รู้ว่าร่างกายกำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อภาพเบื้องหน้า หากแต่ตอนนี้ดวงจิตของมันมิได้ลุ่มหลงไปกับแรงกระตุ้น มันมิได้ต้องการตอบสนอง
ตอนนี้มันต้องการเป็นผู้ให้..
เพียงแค่สื่อเสินได้เห็นอาการสงบนิ่งของไท่หยางก็ต้องลอบยิ้มด้วยความพอใจ มันชื่นชมที่น้องคนนี้ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นคนที่ร้อนรุ่มด้วยโทสะบ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีความอดกลั้นน้อย แต่เมื่อถึงตอนนี้ มันได้เห็นแล้วว่าไท่หยางมีดีมิใช่ชั่ว คงเป็นเพราะความจริงใจที่มีต่อจิ้งจอกตนนั้น มันถึงผ่านอุปสรรคได้มากมายเพียงนี้ สื่อเสินมิรอช้ารีบคลายจุดให้แก่ไท่หยาง จากนั้นจึงยืนรอให้ผู้น้องฟื้นตัวก่อนคืบคลานไปหาคนรักของมัน
สื่อเสินตามไท่หยางเข้าไปทาบทับแผ่นหลังจากนั้นก็คลายปมเชือกและปมกางเกงของน้องชายออก เมื่อทุกอย่างถูกปลดเปลื้อง สื่อเสินและชุนหลันก็พยักหน้าแก่กัน ตอนนี้มันรู้แล้วว่าทุกอย่างพร้อมดีแล้ว ชุนหลันจับให้จิ้งจอกน้อยตั้งท่า ก่อนเอาบ่าให้ศีรษะของอีกฝ่ายพักพิง
ถิงถิงหอบหายใจด้วยความตื่นเต้นแปลกประหลาด ยิ่งได้เห็นไท่หยางถูกปลดเปลื้องก็ตัวอ่อนปวกเปียกคล้ายโดนไฟแผดเผา ไม่ว่าจะถูกเชิดให้วางท่าเช่นไรก็ยอมแต่โดยดีมิได้ขัดขืน
“สูดหายใจลึกๆ ทุกอย่างจะราบรื่น”เสียงนุ่มนวลของชุนหลันกระซิบข้างริมใบหูของถิงถิง มันใช้ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งทาบทับแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเจ้าจิ้งจอกน้อย
ฝ่ายสื่อเสินก็เช่นเดียวกัน ฝ่ามือของมันทาบทับบนแผ่นหลังของไท่หยาง ชายเสื้อสีเทาหลุดร่วง เผยให้เห็นผิวเนื้อละเอียดที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ สื่อเสินควบคุมจิตถ่ายทอดพลังเป็นหนึ่งเดียวกับไท่หยาง พลังร้อนสองสายหล่อหลอมไหลผ่าน เมื่อถ่ายเทดีแล้วสื่อเสินก็ดันร่างน้องชายเข้าใกล้คนรักของมัน
ฝ่ายถิงถิงนั้นถูกชุนหลัยจับไว้ ตอนนี้รู้สึกถึงพลังเย็นแผ่ซ่านจากฝ่ามือที่ด้านหลัง มันหอบหายใจถี่ ขาเรียวข้างหนึ่งที่ถูกชันหลันตรึงไว้โดนจับให้แยกออกมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นก็รู้สึกถึงความชุ่มฉ่ำน่าอาย ร่างกายกระตุกสั่นไหวเรียกร้องการเติมเต็ม
“อ๊ะ..อื้อ” ถิงถิงกัดฟันขบกราม มันหลับตาซึมซับความเจ็บปวดที่กำลังแทรกผ่าน ความทรมานเกิดขึ้นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน
“ร้อน..ข้าร้อนเหลือเกิน” ถิงถิงวิงวอนเสียงอู้อิ้ สองมือจิกเล็บลงบนลำแขนของชุนหลันด้วยความทรมาน
“เจ้าต้องอดทน..อีกสักพักก็จะดีขึ้น ความเจ็บปวดนี้จะทำให้เจ้ามีสติ” ชุนหลันกระซิบเสียงนุ่ม มันค่อยๆดันสะโพกของร่างขาวสะอาดเข้าใกล้ไท่หยางมากขึ้น
“อึก..”ฝ่ายไท่หยางนั้นก็ทรมานมิต่างกัน ความรู้สึกของมันตอนนี้เหมือนโดนกระทำทารุณ ส่วนอ่อนไหวที่ตึงแน่นกำลังแทรกผ่านด้วยความยากลำบาก พลังบางอย่างคล้ายผลักดันคล้ายดึงดูด ตอนนี้รู้สึกตนเองร้อนราวกับไฟ หากแต่พื้นที่ที่แทรกเข้าไปกลับเย็นเยียบราวน้ำแข็ง เพียงชั่วครู่เรือนกายของมันก็ถูกครอบครองไว้ด้วยความเยือกเย็นจากถิงถิง
ทั้งทรมานทั้งเสียวสะท้าน
จิตใจที่เตรียมไว้ดีแล้วกลับถูกยุแยงด้วยแรงปรารถนาอีกครั้ง
รับรู้ถึงความเย็นที่อ่อนนุ่ม
รับรู้ถึงแรงบีบรัดและอาการเกร็งกระตุก
เมื่อเห็นสีหน้าทรมานของไท่หยาง สื่อเสินก็รีบเอื้อนเอ่ยแก่น้องชาย
“จงตั้งสติให้มั่น อย่าลืมว่าเจ้ากำลังทำอะไร จิตคือนายของร่างกาย ที่ทรมานอยู่นี่มิใช่เพื่อถิงถิงหรือไร”
เมื่อไท่หยางได้ยินดังนั้นมันก็พยายามเรียกสติตนเองอีกครั้ง ก่อนกำหนดจิตตั้งมั่นน้อมนำพลังร้อนที่สื่อเสินถ่ายเทให้เพื่อเรียนรู้การเคลื่อนไหวลมปราณโดยมีสื่อเสินเป็นผผู้นำทาง เพียงไม่นานก็รู้สึกว่าจิตใจสงบลงอีกครั้ง เมื่อควบคุมพลังความร้อนของตนเองได้แล้วจริงค่อยๆโคจรตามทิศทางที่พี่ชายนำพา
ฝ่ายชุนหลันเห็นเช่นนั้นก็รีบถ่ายเทพลังเย็นบางส่วนถ่ายทอดแก่ถิงถิง เดิมทีพลังนี้เป็นสิ่งไม่ดี เมื่อนำออกใช้ก็ทำให้ร่างกายเสียสมดุล แต่เมื่อมีสื่อเสินคอยกำกับอยู่เช่นนี้ ก็เท่ากับว่ามันได้พลังจากสื่อเสินเข้ามาช่วย เช่นนี้จึงไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง แต่ต้องระวังมิให้เกิดข้อผิดพลาด
ความเจ็บปวดทำให้ถิงถิงได้สติ มันมิได้เคลิบเคลิ้มไปกับรสพิศวาส เพราะมิได้มีการเล้าโลมตั้งแต่ที่ไท่
หยางรุกล้ำเข้ามา ดังนั้นจึงพยายามสงบอารมณ์ละทิ้งความรู้สึกของเนื้อสัมผัสเนื้อที่ด้านล่าง ก่อนเพ่งสมาธิไปที่ดวงจิตเพื่อควบคุมลมปราณ มันถ่ายทอดพลังเย็นด้วยลมปราณตามที่ชุนหลันชักพา เมื่อได้รับเอาพลังร้อนเข้ามาก็ใช้พลังเย็นควบคุมการไหลเวียนของพลังร้อน
ฝ่ายไท่หยางก็ถ่ายเทพลังร้อนสู่ถิงถิง ในขณะเดียวกันมันก็ผลักดันมิให้พลังเย็นแทรกผ่านเข้ากายา ทั้งหมดนี้อยู่ในความควบคุมของสื่อเสินทั้งสิ้น
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็บรรลุผล ถิงถิงรู้สึกว่าตนเองกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชา ตอนนี้พลังร้อนที่ได้รับเหมือนอาหารอันโอชะที่กินเท่าไหร่ก็มิรู้สึกอิ่ม ดวงตาสีชมพูปรือปรอยด้วยความสุขสม ร่างกายของมันตอบสนองต่อพลังแปลกปลอมที่ถูกถ่ายเทมาจากไท่หยาง เช่นนี้แล้วจึงรู้สึกว่าสะโพกเริ่มเคลื่อนไหวเองโดยมิได้ตั้งใจ พอได้ทำเช่นนั้นก็ยิ่งรับรู้ถึงสิ่งที่ไท่หยางถ่ายเทให้อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดมันจึงสัมผัสได้ว่ามีวงแขนทั้งสองข้างมารับร่างมันไว้
วงแขนที่มันคุ้นเคย เจ้าจิ้งจอกน้อยโอบแขนรอบคอของคนรัก
ไท่หยางระบายยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน
ความรู้สึกของมันตอนนี้แปลกประหลาดจนยากจะอธิบาย
คล้ายโดนดูดพลังชีวิตจนเรี่ยวแรงถดถอย
หากแต่ก็มีบางสิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้น
ถิงถิงน้อยเคลื่อนไหวเชื่องช้าอ้อยอิ่ง
ร่างกายสองร่างประสานเป็นหนึ่ง
ดวงพักตร์ทั้งสองเคลื่อนคล้อยเข้าหา ดวงตาสองสีสบประสานลึกซึ้ง
ถิงถิงให้รู้สึกตื้นตันจนน้ำตาเอ่อคลอ
นี่เป็นครั้งแรกที่ไท่หยางยิ้มอ่อนโยนให้แก่มัน
แม้แต่ดวงเนตรสีน้ำตาลก็แสดงออกถึงความรักใคร่
สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดมิใช่ร่างกาย
หากแต่เป็นดวงจิตสองดวงผูกพัน
ความเสียสละ ความห่วงใย คือดวงจิตอันบริสุทธิ์ที่ช่วยให้มันทั้งสองมาถึงจุดนี้
แม้ร่างกายจะสุขสม หากแต่จิตใจกลับอิ่มเอมยิ่งกว่า
เมื่อจิตใจอิ่มเอมด้วยความคิดที่บริสุทธิ์ ร่างกายก็ไหลเวียนถ่ายเทพลังงานได้อย่างสะดวก
เช่นนี้แล้วจิตจึงเป็นนายของสังขาร
เมื่อถิงถิงน้อยรู้สึกว่างร่างกายอิ่มสมบูรณ์ดีแล้ว ด้วยสติของมันจึงสั่งการให้หยุดเคลื่อนไหว จากนั้นจึงยอมเป็นฝ่ายปล่อยไท่หยางออกไป แต่สองแขนขาวสะอาดยังโอบรอบคอคนรักไว้อย่างมั่นคง
ฝ่ายไท่หยางนั้นเมื่อได้รับอิสระจากถิงถิง ความรู้สึกพิสดารก็หดหายไปจนหมดสิ้น อีกทั้งร่างกายยังอ่อนเพลียคล้ายกับฝึกร่ายรำหมัดมวยติดต่อกันหลายวันมิได้หยุดพัก แต่ด้วยเพราะได้รับการฝึกฝนวรยุทธจนแก่กล้า ความอ่อนเปลี้ยเพียงแค่นี้จึงมิได้ทำให้สิ้นสติสมประดี มันยังสามารถทรงกายอยู่ได้ ที่สำคัญคือกำลังใจอันดี
เมื่อได้มองเห็นใบหน้าสุกใสเปล่งปลั่งของเจ้าจิ้งจอกน้อย ไท่หยางก็ต้องระบายยิ้มอ่อนๆ ตอนนี้มันรู้แล้วว่าถิงถิงจะมิเป็นอันใด เพราะตัวมันคือยารักษาชั้นดี
หลังจากทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว ถิงถิงและไท่หยางจึงมารู้ทีหลังว่าพี่ใหญ่และพี่รองไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว จนเมื่อทั้งสองรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ จึงได้ทราบว่าสื่อเสินและชุนหลันออกไปนั่งเล่นหมากล้อมดื่มด่ำธรรมชาติยามค่ำคืน อันที่จริง ทั้งสองออกไปตั้งแต่ที่รู้ว่าถิงถิงสามารถควบคุมพลังของไท่หยางได้ เพราะเมื่อถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องใดให้พวกพี่ๆต้องกังวลใจอีก
ฝ่ายจิ้งจอกน้อยและไท่หยางจึงพากันเข้าห้องหับพักผ่อน อันไท่หยางนั้นแม้สูญเสียพลังให้แก่ถิงถิงแต่มันก็สุขสบายมิต่างจากจักรพรรดิ เพราะไม่ว่าต้องการสิ่งใด คนรักของมันก็กระทำให้มิได้บ่ายเบี่ยง ไม่เว้นแม้แต่ช่วยอาบน้ำถูหลัง หรือปูที่นอนทำความสะอาดห้องหับ
พอวันรุ่งขึ้น สื่อเสินจึงช่วยแนะว่า หากจะให้ถิงถิงมีสุขภาพแข็งแรงสืบเนื่องมิต้องถ่ายเทพลังให้บ่อยๆ จะต้องให้ถิงถิงหัดฝึกยุทธออกกำลังกาย โดยเริ่มจากเล็กน้อย มิใช่หักโหมโดยทันที สำหรับไท่หยางนั้น สื่อเสินรู้ว่าน้องมีพลังร้อนแฝงอยู่ในตัว พลังนั้นมักจะผลักดันให้ไท่หยางเป็นคนโมโหง่ายและอารมณ์ร้อน จึงได้แต่แนะว่าควรฝึกนั่งบำเพ็ญเพียรเพื่อควบคุมจิตใจของตนเองให้สงบนิ่งดุจผืนน้ำ ไท่หยางและถิงถิงได้ฟังดังนั้นก็น้อมรับยอมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
หลังจากเวลาผ่านพ้นจนตะวันเคลื่อนคล้อย ถิงถิงจึงได้พบกับกุ้ยหลินที่กำลังแอบย่องเข้ามาที่เรือนพัก
“พี่ท่านกลับมาแล้ว..” ถิงถิงน้อยร้องออกมาด้วยความดีใจ
“ชู่ว!..อย่าเสียงดังไป เดี๋ยวพี่ใหญ่มาเห็นข้าจะซวยเอา ข้าขี้เกียจปั้นเรื่องราว” กุ้ยหลินรีบเอ่ยต่อถิงถิง แต่แล้วมันก็ทำหน้าตื่นตกใจระคนยินดี ก่อนจับร่างของถิงถิงหมุนไปมาเพื่อสำรวจตรวจตรา
“นี่เจ้าหายดีแล้วใช่หรือไม่” กุ้ยหลินกล่าวอย่างตื่นเต้น
“อาการข้าดีขึ้นแล้ว ต้องขอบคุณเหล่าเกอเกอ(พี่ชาย)ของท่าน”
“แล้วทำเช่นไร ถึงดูดีขึ้นมากขนาดนี้” ความอยากรู้ของหลินน้อยทำให้มันต้องคาดคั้นเจ้าจิ้งจอก
“...”หากแต่อีกฝ่ายมิยอมตอบกลับหลบสายตาอีกทั้งยังอมยิ้มเขินอาย เมื่อเห็นท่าทางถิงถิงเช่นนี้ กุ้ยหลินก็ให้รู้สึกคันหัวใจยิ่งนัก แต่ยังมิเอ่ยอันใดได้ ไท่หยางก็เปิดประตูออกมา มันบิดขี้เกียจคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน ผู้พี่รีบเอ่ยทักน้องชายคนเล็ก
“เจ้ากลับมาได้เสียทีนะกุ้ยหลิน..แล้วนี่มาคาดคั้นอันใดกับคนของข้า” ไท่หยางขมวดคิ้วมุ่น มันมองกุ้ยหลินที่จับมือถือแขนคนรักของตนมิวางตา
“โอว..เดี๋ยวนี้น้องเล็กของข้ากลายเป็นคนของท่านแล้วรึ ท่าทางท่านจะลืมไปแล้วกระมังว่าผู้ใดกันที่ท่านไปขอความเชื่อเหลือแต่แรก” กุ้ยหลินกอดอกว่ากล่าวด้วยสีหน้าปั้นปึ่ง
ฝ่ายไท่หยางเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มมิได้ มันวางมือบนศีรษะของน้องชายก่อนโยกเบาๆด้วยความเอ็นดูมิเสื่อมคลาย
“เป็นเพราะเจ้านั่นล่ะ หากไม่ได้เจ้า ข้ากับถิงถิงคงไม่ได้ยืนอยู่เช่นนี้”
“พี่ท่านพูดเกินไปแล้ว น้องเพียงแต่แหย่เล่นอย่าได้ถือสา” กุ้ยหลินตกใจที่พี่ชายพูดเช่นนั้น ดวงตาดำขลับของมันสลดลงทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเอ่ยวาจารุนแรงเกินไป
“ใช่ เพราะพี่ท่าน ข้าถึงได้มีชีวิตอยู่ต่อ ถิงถิงขอขอบคุณจากใจจริง” เจ้าจิ้งจอกรีบกล่าวเสริม
“โอย..พอแล้วๆ ข้ามันก็แค่พวกดีแต่ปาก ใครมาก็ได้แต่ชี้แนะนำทาง มิได้ลงแรงกระทำอันใด พวกท่านกำลังทำให้ข้าได้หน้าเกินไปแล้ว” กุ้นหลินรีบแก้ต่าง
แต่ชั่วขณะนั้นเอง เสียงทุ้มต่ำลุ่มลึกของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“เจ้ารู้ตัวก็ดีแล้วนะหลินน้อย แล้วนี่หายหน้าหายตาไปหลบอยู่ที่ใด” สื่อเสินกล่าวเสียงเรียบ ร่างสูงใหญ่ในชุดดำค่อยเดินเข้ามาสมทบ เพียงแค่มันปรากฏกายก็ถึงกับทำให้หลินน้อยหน้าเสียก่อนทำตัวลีบไปแอบอยู่ข้างไท่หยาง
“พี่ใหญ่อย่าเอ็ดน้องเล็กได้หรือไม่ ดูสิ มันกลัวจนหัวหดแล้ว” ฝ่ายชุนหลันที่เดินตามมาก็รีบเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มละไม มันอยู่ในชุดขาวสะอาดทำให้ดูสูงส่งคล้ายเทพยดามาจุติ
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ชอบดุข้าอยู่เรื่อย พี่รองท่านต้องช่วยข้า อีกหน่อยต้องกลายร่างเป็นสุนัขป่า ถึงตอนนั้นเขายิ่งน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า ท่านช่วยทำให้พี่ใหญ่เลิกดุข้าทีเถอะ” หลินน้อยรีบทำเสียงออดอ้อน มันกล่าวให้ชุนหลันช่วยเหลือ แต่สองมือกับยื้อลำแขนไท่หยางไว้อย่างมั่นคง
“หึๆ..ข้าไม่ตีเจ้าหรอกหลินน้อย อย่าได้กังวลถึงขั้นนั้น” สื่อเสินเห็นความฉลาดของน้องมันก็ให้รู้สึกเอ็นดู สุดท้ายจึงยอมจบเรื่องราว ก่อนหันมาพูดกับไท่หยาง
“เมื่อนายท่านกลับมาแล้วพวกเราคงต้องกินยาลดทอนพลังวัตร เช่นนี้จะเป็นอุปสรรคต่อเจ้าและถิงถิง ทางที่ดีเมื่อเจ้ากลืนยาเม็ดนั้นแล้ว ภายในสองชั่วยามก่อนที่ยาออกฤทธิ์จงรีบคายออกมาเข้าใจหรือไม่”
ไท่หยางฟังแล้วก็ให้เกิดสงสัยจึงรีบเอื้อนเอ่ย
“เช่นนี้แล้วมิผิดต่อคำสัตย์ที่ให้ไว้ต่อนายท่านหรือพี่ใหญ่”
สื่อเสินได้ฟังดังนั้นก็สบตาไท่หยางด้วยความดุดัน มันกล่าวเสียงกร้าวแก่น้องชาย
“เพื่อจะได้ช่วยชุนหลัน ข้าเองก็คายเม็ดยานั่นออกเช่นกัน และชุนหลันก็ทำเช่นเดียวกับข้า แม้ว่าสิ่งนี้จะถือว่าเราใช้กลโกงต่อนายท่าน แต่ขอถามสักครั้ง ว่าข้าและชุนหลันเคยผิดคำสัตย์หรือไม่”
ไท่หยางมิเอ่ยอันใดนอกจากส่ายหน้าแทนคำตอบ สื่อเสินเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวต่อ
“นับจากนี้ข้าก็ยังคงรับใช้นายท่านและใช้ชีวิตในร่างสุนัขป่า อีกทั้งเวลาที่ต้องใช้กำลังก็จะไม่ใช้ออกเต็มที่ นอกจากเวลาที่ชุนหลันต้องการข้า ข้าจึงกลับกลายเป็นร่างนี้ เมื่อช่วยชุนหลันแล้วข้าก็จะกลับไปใช้ชีวิตเป็นสุนัขป่าเช่นเดิม จนกว่าจะถึงฤดูตงเทียนในปีหน้า ข้าจึงสามารถใช้ร่างนี้ได้นานกว่าปกติ ที่ข้าอธิบายเช่นนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“พี่ใหญ่กำลังจะบอกว่า ที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะความจำเป็นใช่หรือไม่” ไท่หยางกล่าวด้วยความมิแน่ใจ
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง..แต่ประเด็นของข้าก็คือ บางสิ่งบางอย่างนั้นเราก็ควรต้องพลิกแพลงเพื่อให้เกิดความสมดุล แต่ไม่ว่าจะกระทำการได้ สิ่งนั้นต้องตั้งมั่นอยู่บนความซื่อสัตย์และคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี หากเจ้ารับปากนายท่านไว้ว่าจะรับใช้เขาในร่างนั้นจนกว่าจะถึงฤดูตงเทียน เจ้าก็ต้องทำให้ได้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าจะร้ายกาจเพียงไหน แต่เจ้าก็ต้องต่อสู้ให้ได้ด้วยกำลังเพียงครึ่งเดียวที่มีอยู่ เช่นนี้แล้วจึงจะมีทั้งความซื่อสัตย์และคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี อีกทั้งยังสามารถปกป้องครอบครัวของเจ้าไว้ได้”
“ข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่” ไท่หยางนั้นเมื่อได้ฟังดังนี้ก็เกิดความเข้าใจถ่องแท้ มันจึงน้อมรับด้วยความจริงใจ
“อืม..กาลเวลาภายหน้าจะเป็นข้อพิสูจน์ตัวเจ้า หากเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าผิดจากที่ข้าเคยสอนไว้ ข้าผู้เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า จะปลิดชีวิตของเจ้าด้วยกำลังครึ่งหนึ่งที่มี เพราะฉะนั้นจงรักษาชีวิตของเจ้าไว้เพื่ออยู่เคียงข้างคนที่รัก อย่าได้ออกนอกลู่นอกทางเป็นอันขาด รับปากข้าได้หรือไม่” สื่อเสินกล่าวจริงจัง
“ข้ารับปากท่าน หากข้าคิดใฝ่ต่ำมิหยิ่งในศักดิ์ศรี อีกทั้งยังทำให้ชื่อเสียงท่านมัวหมอง ผู้น้องจะยอมมอบชีวิตน้อยๆนี้แก่ท่าน” ไท่หยางรับคำ สื่อเสินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“ท่านพูดเรื่องอะไรกัน..นี่ข้าพลาดสิ่งใดไป” กุ้นหลินที่ฟังอยู่นานแล้วก็โวยวายอยากรู้ขึ้นมาบาง
“หึๆ..หลินน้อย เป็นเพราะเจ้าชอบซุกซนเที่ยวเล่น ถึงไม่พลาดเรื่องสนุกไป ช่างน่าเสียดาย” ชุนหลันเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตางดงามของมันส่งประกายแพรวพราว
“เรื่องสนุกอันใด? ทำไมข้าไม่รู้เรื่อง ถิงถิง เจ้ารีบบอกข้าเถอะ..” กุ้นหลินย้ายไปเกาะแขนถิงถิงแล้วก็อ้อนวอนขอความเห็นใจ ฝ่ายจิ้งจอกน้อยก็ได้แต่ปิดปากหัวเราะกับท่าทางอยากรู้ของอีกฝ่าย
-
“จะรู้ไปทำไม มิใช่กงการของเจ้าสักนิด” ไท่หยางเห็นแล้วก็ให้รู้สึกรำคาญ มันหยิกพวงแก้มของน้องชายด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย!..ไฉนพี่ท่านรุนแรงแก่ข้า ข้าโกรธท่านแล้ว ชิ่วๆ ไปไกลๆเลย ข้าจะคุยกับถิงถิง ถิงถิงจ๋า เจ้ายังมิได้บอกข้าเลยว่าพี่ข้ารักษาเจ้าได้อย่างไรกัน” กุ้ยหลินออดอ้อน
ฝ่ายถิงถิงเมื่อโดนตอกย้ำเช่นนั้นก็ให้รู้สึกอายแทบแทรกแผ่นดินหนี เพราะตรงนี้นอกจากมีไท่หยางแล้วยังมีสื่อเสินกับชุนหลัน มันจึงมิกล้าแม้แต่มองหน้าผู้คน ได้แต่ก้มลงซ่อนใบหน้าแดงก่ำ
สื่อเสินเห็นท่าทางรบเร้าของน้องชายคนเล็กแล้วก็ส่ายหน้ารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาอย่างบอกมิถูก มันจึงปลีกตัวออกไปอย่างเงียบๆ ฝ่ายชุนหลันก็ตามไปด้วย จึงเหลือเพียงไท่หยางที่ต้องรับมือกับหลินน้อยจอมแสบ
“เจ้าจะรบเร้าอันใด ต่อให้เจ้าลงไปนอนดิ้นถิงถิงก็ไม่ยอมปริปากเป็นแน่” ไท่หยางกล่าวอย่างรำคาญ
“โอ๊ย! ข้าโกรธพวกท่านแล้ว ทีเรื่องสนุกทำไมถึงใจร้ายมิยอมเล่าความให้ข้าฟังบ้าง” กุ้ยหลินโวยวายแง่งอน มันหันไปใช้กำปั้นน้อยๆทุบอกพี่ชายด้วยความคลั่งแค้น ฝ่ายไท่หยางเมื่อโดนเช่นนั้นก็จำต้องรวบข้อมือน้องเอาไว้
“หึๆ..มันมิใช่เรื่องสนุกอันใด อีกทั้งเล่าออกไปก็มิได้ เจ้าอย่ารู้เลย เอาเช่นนี้ดีไหม ถิงถิงมีฝีมือทำขนม เดี๋ยวข้าจะให้เขาทำขนมอังกู๊(ขนมเต่า)เป็นการชดเชยดีหรือไม่” ไท่หยางกล่าวด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“ขนมอังกู๊ เจ้าทำมันได้?” กุ้นหลินได้ยินดังนั้นก็เปลี่ยนจากสายตาขุ่นเคืองมาเป็นดวงตากลมโตสุกใส มันผละออกจากไท่หยางทันที ร่างโปร่งพลิ้วไหวไปเกาะแขนถิงถิงอีกครั้ง
“ย่อมได้ ตอนเด็กๆ พี่สะใภ้ของข้าคนหนึ่งเคยสอนทำขนมอังกู๊ ถ้าพี่ท่านอยากลิ้มลองข้าย่อมทำให้ได้” ถิงถิงน้อยเอื้อนเอ่ยเสียงนุ่มนวล มันหยุดเล็กน้อยก่อนสังเกตปฏิกิริยาของกุ้ยหลิน แล้วจึงกล่าวต่อ
“หากท่านสนใจว่าทำเช่นไร ข้าจะสอนให้ดีหรือไม่ เผื่อว่าพี่ท่านอาจจะอยากทำให้ผู้อื่นทานบาง”
กุ้ยหลินได้ฟังดังนั้นก็ให้นึกถึงบุคคลสำคัญของมัน ดวงตาดำขลับปรากฏสายตามุ่งมั่น ก่อนหันไปสบตาจิ้งจอกน้อย
“นั่นย่อมดีเป็นที่สุด เผื่อว่าข้าอยากทำทานเองจะได้ไม่รบกวนเจ้าอย่างไรเล่า เช่นนี้เราไปที่ห้องครัวแล้วเริ่มกันเลยดีไหม”
ถิงถิงยิ้มหวานดวงตาคล้ายอัญมณีกลิ้งกลอกแพรวพราว มันหัวเราะเสียงใสก่อนตอบรับกุ้ยหลิน
“ดีสิพี่ท่าน ข้าเองก็ชักคันไม้คันมือ อยากทำให้ท่านดูแย่แล้ว”
“ดีๆ งั้นเราไปกันเถอะ” กุ้ยหลินว่ากล่าวเสียงดัง สุดท้ายมันจึงจูงมือเจ้าจิ้งจอกออกเดินไปยังห้องครัวโดยมิสนใจไยดีพี่ชายอีก
ฝ่ายไท่หยางนั้นเมื่อเห็นกุ้ยหลินเปลี่ยนไปสนใจสิ่งอื่นมันก็ต้องลอบถอนลมหายใจ ก่อนจะระบายยิ้มอ่อนๆออกมา
หลินน้อยถ้าจะเจอคู่ปรับตัวฉกาจเสียแล้ว..
ถ้าให้เป็นเรื่องชี้ชวนชมหว่านล้อม คงไม่มีใครชำนาญเท่าถิงถิง จิ้งจอกน้อยของมันเป็นแน่แท้...
ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องสองร่างที่เคลื่อนคล้อยหายลับไปอีกด้านหนึ่งของตัวเรือน ก่อนเปลี่ยนทิศทางขึ้นมองท้องนภาขาวกระจ่าง เมื่อเห็นเช่นก็ให้รู้สึกปลอดโปร่งดวงจิตสงบนิ่งอย่างมิเคยเป็นมาก่อน
ร่างสูงใหญ่ในชุดเทาเดินกลับเข้าห้องหับอีกครั้ง ไท่หยางตั้งใจว่าจะนั่งบำเพ็ญสมาธิรอจิ้งจอกน้อยอยู่ที่นี่ มันเดินไปที่เตียงแล้วก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นบางสิ่งตกลงบนพื้น ไท่หยางก้มลงเก็บมันคือมา
ที่แท้คือเคล็ดวิชาที่ชุนหลันได้มอบให้ ตอนนี้ส่วนปกของมันกลับเปรอะเปื้อนด้วยบางสิ่ง ดวงเนตรสีน้ำตาลเห็นแล้วก็ให้เกิดประกายสั่นไว้ เป็นเพราะก่อนหน้านั้นมันใส่เคล็ดวิชาไว้ด้านในของสาบเสื้อด้วยความเคยชิน มิทราบเพราะเหตุใดจึงทำให้ตัวเล่มโผล่พ้นออกมาตอนช่วงเวลาสำคัญ
อันตัวมันเองนั้นเมื่อร่างกายฟื้นสภาพก็รู้สึกอยากแตะต้องปรนเปรอถิงถิงด้วยใจรัก เมื่ออยู่ในช่วงที่กำลังนำพาถิงถิงน้อยสู่สวรรค์ชั้นฟ้าจึงมิได้สนใจเคล็ดวิชาเล่มนี้ว่ามันอยู่อย่างไร สุดท้ายคาดว่าคงรับสายน้ำแห่งความสุขของจิ้งจอกน้อยเข้าไปเต็มๆ จึงได้มีสภาพย่นยู่เกรอะกรังเช่นนี้ ส่วนเจ้าจิ้งจอกนั้นคงมิได้ทันสังเกต เมื่อหยิบฉวยเสื้อผ้าของมันไปซักทำความสะอาดจึงมิรู้ว่าเคล็ดวิชานี้ร่วงหล่นลงบนพื้น
ไท่หยางพลิกมันไปมาด้วยสีหน้ามิอาจคาดเดา
และตอนนั้นเองดวงเนตรสีน้ำตาลก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่ปกของเคล็ดวิชา
แม้ปกกระดาษจะโดนน้ำรักของถิงถิงจนยับเยินแต่ตอนนี้มันกลับปรากฏตัวอักษรขึ้นที่ด้านหน้า
ไท่หยางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ มันจำได้ว่า ที่หน้าปกมิเคยมีอักษรอันใดขีดเขียนไว้
ดวงเนตรสีน้ำตาลจับจ้องที่ตัวอักษร ริมฝีปากได้รูปของไท่หยางออกเสียงตามคำนั้นอย่างแผ่วเบา
“บุปผาอมตะ ส่วนที่สอง”
จบ
จบแล้วล่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ จุ๊บุๆ
(;ノ゚Д゚)ノ ชี้แจง ที่ชื่อบุปผาอมตะ เพราะเป็นชื่อเคล็ดวิชาที่ม่อเจวียนเป็นผู้คิดค้น มี2 ส่วน
1 ดูดเพื่อไว้เป็นขุมพลังในการออกสู้
2 ดูดเพื่อไว้รักษายามที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สรุปแล้วคือเคล็ดวิชานี้เป็นของพรรคมาร ซึ่งก็คือ พรรคบุปผาดำ ของม่อเจวียนนั่นเอง
ชอบไม่ชอบยังไงติดเตียนได้นะ มิต้องเกรงใจ สุดท้ายข้าน้อยก็คงต้องจากกันเท่านี้ ขอบคุณมากๆสำหรับคนที่เม้นให้ เพราะไม่งั้นเรื่องนี้คงจะไร้สีสันเงียบเหงามิใช่น้อย Zzz..(u_u) ขอบคุณสำหรับกำลังใจเจ้าค่ะ(¯▽¯;) :pig4:
-
ว้า จบแย้ว เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า น่าจะมีคู่พี่ใหญ่กับพี่รองบ้างนะ
-
สนุกดีค่ะ อยากจะอ่านทั้งคู่ของที่ใหญ่และคูของน้องเล็กจังเลย ไม่รู้ว่าจะมีให้อ่านหรือเปล่านะ
-
จบแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลยอะ
อยากรู้ว่าจะฝึกวิชาที่สอต่อไหมอะ ^^
-
ว้า จบแย้ว เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่า น่าจะมีคู่พี่ใหญ่กับพี่รองบ้างนะ
เอาไว้ถ้าคันไม้คันมือเมื่อไหร่ เดี๋ยวเขียนเสร็จหมดแล้วจะเอามาลงค่ะ
สนุกดีค่ะ อยากจะอ่านทั้งคู่ของที่ใหญ่และคูของน้องเล็กจังเลย ไม่รู้ว่าจะมีให้อ่านหรือเปล่านะ
กำลังคิดว่าคู่ของพี่ใหญ่อาจจะเป็นตอนสุดท้ายของเรื่องนี้เลยก็ได้ แต่ว่า...ยังไม่ได้เขียนเลยอ่ะ ==" แหะๆ
จบแล้วเหรอคะ กำลังสนุกเลยอะ
อยากรู้ว่าจะฝึกวิชาที่สอต่อไหมอะ ^^
ขอบคุณที่ชอบค่ะ คงไม่ได้ฝึกต่อ เพราะส่วนแรก สื่อเสินและไท่หยางไม่มีค่ะ^^ ถ้าได้อ่านยามเมื่อได้พบพาน..จะรู้ว่า ม่อเจวียนใช้ส่วนแรกตอนที่สูบพลังจากตู๋เสอ
สุดท้าย โค้งงามๆ ขอบคุณคร้าฟฟฟ
-
สนุกมาก o13
แอบช๊อคเมื่อรู้ว่าชุนหลันเป็นเมะ!!!!
สรุปว่า ชอบค่าาาา :L2:
-
เหมือนจะเคยอ่านเรื่องของกุ้ยหลินแล้วก็นายท่านนะ
ขาดก็แต่คู่พี่ใหญ่พี่รอง ท่าทางร้อนแรงที่สุดด้วย
เรื่องนี้ถิงๆน่ารักแล้วก็ออกแนวบูชาความรักสุดๆ ไท่หยางก็ดื้รั้นจนน่าเตะ
อยู่คู่กันเหมือนถิงๆจะเสียเปรียบ แต่ดันกลายเป็นว่าถิงๆดันเอาไท่หยางซะอยู่หมัด
-
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
ชอบมากๆเลยค่ะ ไม่ชินสำนวนจีนอ่านแล้วงง อ่านวนไปวนมาหลายรอบ
แต่ก็สนุกอยู่ ชอบพี่ใหญ่ มาดโหด แต่เป็นรับไปซ๊ะงั้น :laugh:
ขอบคุณมากค่ะ :L2:
-
สนุกมากเลยคะ
ถิงถิงน่ารักมากเลย
แต่คู่พี่ใหญ่กับพี่รองน่าสนใจดี :haun4:
-
ชอบคู่พี่ใหญ่กับพี่รอง ขอตอนพิเศษพี่ใหญ่กับพี่รองด้วยน้า
-
เราเดาถูกว่าพี่ใหญ่เป็นเคะ แหะๆ :z2:
-
ไม่น่าเชื่อว่าพี่ใหญ่จะ... เง้ออออออออออออออ
-
o13
-
อ้าาาาาา ลึกซึ้งมากคู่ของท่านพี่ Σ( ° △ °|||)︴
พี่ใหญ่หน้าไม่ให้แต่ใจรักสินะ
ถิงถิงน้อยเจ้าเล่ห์มาก ฮ่าๆๆๆ จบจิตวิทยาชั้นสูงมาแน่ๆ
-
ชอบ series นี้จริงๆ
-
:m25: สนุกมากกกกกกค่ะ :กอด1:
-
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านครับ
o13
แนะนำสักนิดครับ
ช่วยเว้นบรรทัดให้ห่างกันหน่อยครับ
เวลาอ่านถ้าบรรทัดติดกันมากจะทำให้คนอ่านรู้สึกมึนงง ไม่อยากอ่านต่อ
อยากให้ผ่านช่วงที่ติดพรืดไปไวๆ
ไม่โกรธที่แนะนำนะครับ :3123:
-
ชอบถิงถิงกับกุ้ยหลินที่สุดอ่ะ
หลินน้อยโดนล่อลวงโดยไม่รู้ตัว
จะรอเรื่องของสื่อเสินกับชุนหลันน้า
รีบๆมาลงโดยไวนะคะ
-
:pig4: ขอบคุณค่ะ คงต้องไปหา ตอนอื่นๆ อ่านเก็บรายละเอียดต่อแหะ
รบกวนขอลิงค์ ของเรื่องที่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้ได้ไหมค่ะ เห็นมีหลายคู่อยากอ่านค่ะ
-
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านขอรับ :pig4:
-
สนุกมาก ชอบน่ยายจีนกำลังภายในอารมณ์นี้มาก
จะติดตามทุกเรื่องเลย
-
ว้าววว แต่งได้สนุกมากค่ะ ชอบๆ :กอด1:
-
สนุกมากครับ .... ขอบคุณครับ
-
ขอบคุณค่ะ สนุกมากเลย o13
-
โอ๊ยยกรี๊ดดดเป็นวายแฟนซีที่สนุกกกมากกกกกกกก หมาป่าที่ไท่หยางก็จะรู้ตัวว่าหลงรักผิดคนก็เกือบสายไปแล้ว ปีศาจจิ้งจอกหิมะน้อยถิงถิง น่ารักกมากก ตอนอยู่ในถ้ำร้องไห้ตามเลย ไท่หยางเย็นชาเกิ๊น :hao5: :hao5: กว่าจะรักกษาฝึกวรยุทธกันเป็นก็หนักพอดู แต่ดีที่ช่วยได้ ส่วนคู่พี่รองพี่ใหญ่นี่ก็แซ่บจ้า :oo1: เหบือแต่กุ้ยหลินอะแหละแอบไปเจอใครเอ่ย สนุกกกมากกจริง บรรยายดีภาษาสวย ไม่ค่อยมีคำผิด :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4: