พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องสั้น] วารวันฉันและเธอ
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: Aki_Kaze ที่ 01-08-2007 20:10:15
สวัสดีค่า คราวนี้เป็นเรื่องสั้นนะคะ ที่คิดว่าไม่กี่หน้าก็คงจะจบได้ เป็นเรื่องที่ได้แรงบรรดาลใจมาจากเพลง A time for us แต่เนื้อเรื่องมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเพลงนี้เลยแฮะ -*- เพียงแต่ไปเจอคำแปลชื่อเพลง ‘วารวันแด่ฉัน-เธอ’ มันดูเพราะดีเลยมาดัดแปลงเล็กน้อยและกลายมาเป็นเรื่องนี้ค่ะ ดูท่าออยล์จะติดใจตัวละครชื่อไทยเสียแล้วสินะคะเนี่ย -*- ขอฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ ^^ _______________________________วารวันฉันและเธอ อาคารสีขาวสูงสิบกว่าชั้น เหนือตึกมีเครื่องหมายบวกสีเขียวอันเป็นตราสัญลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ โรงพยาบาลของรัฐตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้ามากมาย หน้าต่างบานเล็กของชั้นที่สิบกับผ้าม่านสีอ่อนที่ปลิวไสวไปตามลม เด็กชายคนหนึ่งกำลังจ้องมองออกไปด้านนอก เฝ้าดูเหล่านกพิราบสีขาวนวลบินเป็นฝูงอย่างสุขสันต์ท่ามกลางท้องฟ้าสีฟ้าครามสว่างสดใส ช่างน่าอิจฉานัก เหล่าสกุณาตัวน้อยๆที่สามารถโบยบินไปได้อย่างอิสระ ในขณะที่ตัวผู้เฝ้ามองได้แต่อยู่ในห้องสีขาวที่ดูไร้ชีวิตชีวา ธนวิทย์ เด็กชายวัยสิบสี่ปี เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งสมองและทนกับความเจ็บปวดมานานจนเข้าสู่ปีที่ 2 แรกเริ่มเดิมทีแพทย์ให้การรักษาเขาด้วยการให้ยาแก้ปวดแต่มันช่วยให้อาการทุเลาไปได้ไม่เท่าไร อาการของเขาก็กำเริบหนักขึ้น และยาแก้ปวดก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้อีก แต่การตัดสินใจที่จะผ่าตัดหรือฉายรังสีรักษาก็เกิดขึ้นช้าไปจนก้อนเนื้องอกได้ลุกลามไปถึงส่วนที่อันตรายมากที่สุดอย่างมะเร็งที่ก้านสมอง แพทย์แนะนำให้เขาเข้ารับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษา 3 มิติ ประเภท Stereotactic Radiotherapy (SRT) ซึ่งเหมาะสำหรับการรักษาเนื้องอกสมองชนิดที่มีการเจริญเติบโตไว แต่ค่ารักษาจำนวนหลักแสนนั้น เด็กที่เพิ่งจะกำพร้าพ่อและแม่อย่างเขาไม่มีปัญญาที่จะจ่ายได้ สิ่งที่เขาทำได้คือการต่อสู้กับมันและรอคอยวาระสุดท้ายของเขาในโรงพยาบาลแห่งนี้ การรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลก็ไม่ได้แย่จนเกินไป แม้สิ่งที่ทำได้คือการลุกขึ้นเดินไปมาในชั้นที่ตัวเองรักษาอยู่ แต่มันก็ไม่ได้แย่นัก ยิ่งในช่วงนี้ ช่วงที่มีนักเรียนมัธยมเข้ามาทำงานเป็นพยาบาลฝึกหัดทำให้เขาได้เพื่อนคุยและไม่รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย “อาหารกลางวันมาแล้วจ้าวิทย์” อัญพร เด็กสาวในชุดนักเรียนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหาร “พี่อัน ที่จริงผมไปหยิบเองก็ได้นะครับ” เขาพูดขึ้น “แหม พี่มาช่วยงานที่นี่นี่นา ถ้าไม่ทำอะไรสักหน่อยเดี๋ยวพี่พยาบาลเขาจะดุพี่เอา” เธอพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ “แล้วเดี๋ยวพี่จะมาเก็บถาดให้น้า” หลังจากที่อัญพรเดินออกจากห้องไปแล้ว วิทย์ก็ก้มลงมองอาหารในถาดตัวเอง ข้าวแข็งๆ แกงจืดเต้าหูไข่จืดๆ น่องไก่ทอดอีก 2 ชิ้น และส้มอีก 1 ผล ถ้าไม่นับเรื่องอาหารในโรงพยาบาลแล้วการอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้แย่นักโดยเฉพาะที่นี่มีเขาอยู่.......... “หมอเข้าไปได้ไหม” เสียงของชายหนุ่มดังลอดเข้ามาในห้อง ผู้เป็นเจ้าของห้องหันไปมองก่อนพยักหน้ารับ ภานุพงษ์ คุณหมอหนุ่มในชุดกาวน์สีขาว กางเกงสแล็กสีดำรองเท้าหนัง ทรงผมที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหมอได้เลย เพราะมันน่าจะเหมาะกับพวกศิลปินมากกว่า แต่นั่นก็เพราะคุณหมอหนุ่มท่านนี้มีอายุเพียง 27 ปี เท่านั้น เขาเป็นหมอเฉพาะทางด้านสมองและเป็นแพทย์ประจำตัวของธนวิทย์ “วันนี้อาการเป็นไงบ้างครับ” คุณหมอหนุ่มพูดพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง “ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมล่ะครับ” ธนวิทย์ตอบก่อนจะนั่งเขี่ยข้าวในจานเล่น “คราวหลังหมอพงษ์ซื้อข้าวจากข้างนอกมาฝากผมหน่อยสิครับ” “ก็อยากอยู่หรอกนะ แต่ทำแบบนั้นแล้วแม่ครัวที่นี่จะเสียใจเอาน่ะสิ” ภานุพงษ์พูดติดตลกอ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เสียงร้องดังขึ้นมาจากห้องฝั่งตรงข้าม ภานุพงษ์รีบลุกขึ้นและออกไปดูโดยทันที เสียงร้องอันน่าหวาดกลัวนั้นมาจากเด็กห้องฝั่งตรงข้าม ธนวิทย์มองตามร่างของคุณหมอหนุ่มไป เนื่องจากข้างห้องเป็นกระจกบานเกล็ดทำให้มองเห็นด้านนอกได้ชัดเจน เหล่านางพยาบาลและบุรุษพยาบาลหลายคนกำลังพยายามรวบตัวเด็กที่กำลังคุ้มคลั่งให้สงบลง พวกเขามัดเด็กคนนั้นลงกับเตียงและหมอภานุพงษ์ก็ทำหน้าที่ฉีดยาให้ ธนวิทย์เฝ้ามองแผ่นหลังของหมอประจำตัวไม่ละสายตา เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าอะไร เด็กอายุ 14ปีอย่างเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจหรือรู้จักคำว่ารัก แต่สิ่งที่เขารู้สึกต่อคุณหมอหนุ่มคนนี้มันมากกว่าคนอื่นๆในโรงพยาบาล หรือใครหลายๆคนที่เขาพบเจอ อาจเป็นเพราะการที่เขาสูญเสียบุพการีทั้งสองไปทำให้อาการของเขากำเริบหนักขึ้น และช่วงเวลาที่เขาทรมานอยู่กับอาการปวดอย่างรุนแรงนั้น ก็มีหมอภานุพงษ์ที่อยู่ใกล้ๆคอยให้การรักษาและให้กำลังใจเสมอมา สำหรับเขาแล้วหมอภานุพงษ์คือบุคคลที่เขารักและเคารพมากที่สุด และเพราะบุคคลท่านนี้ที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เสียงร้องสงบลง เหล่าเด็กๆและผู้ใหญ่ที่มุงดูหน้าห้องก็สลายตัวไป หมอภานุพงษ์เดินกลับมายังห้องคนไข้ประจำของเขา “ตกใจน่าดูเลยเนอะ” เขาอมยิ้มก่อนกลับมานั่งที่เดิม “เสียงที่ปลุกผมให้ตื่นเมื่อคืนคือเสียงของเด็กคนนั้นสินะครับ” เด็กชายตอบก่อนจะเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากต่อ “พยาบาลกะกลางคืนเขาเล่ามาว่าตอนมาถึงอาละวาดใหญ่ มีคนโดนกัดไปด้วย วิทย์ต้องล็อคประตูห้องรู้ไหม” “หมอพูดแบบนี้ผมเริ่มกลัวแล้วนะครับ” เด็กชายพูดจบก็หันมาปอกเปลือกส้มอย่างระมัดระวัง แต่แล้วมือของเขาก็สั่นขึ้นมาเอง “วิทย์ เป็นอะไรไหม” หมอภานุพงษ์ถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะหยิบส้มจากมือคนไข้มาปอกเปลือกให้แทน ชายหนุ่มรู้ดีว่าอีกไม่นานส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเด็กคนนี้จะต้องเป็นอัมพาตไป “เอ้า อ้าม อ้าปากดีๆเร็ว” “หมอ ผมไม่ใช่เด็กเจ็ดแปดขวบนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งงอนก่อนจะอ้าปากรับกลีบส้มเข้าไปเคี้ยวตุ้ยๆ หลังจากทานผลไม้เสร็จแล้ว ภานุพงษ์ก็ย้ายถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง “หมอพงษ์ครับ” ธนวิทย์เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ทุกครั้งที่เขาจะพูดเรื่องนี้เขาก็มักจะกลัวอยู่เสมอ “ผม อาจจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน เพราะฉะนั้นหากหมอให้ผมไป.....” “เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้วนะวิทย์ หมอให้เราออกไปข้างนอกโรงพยาบาลไม่ได้” คุณหมอหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “แต่ว่าไปใกล้ๆก็ได้นี่ครับ ทะเลใกล้ๆใช้เวลาเดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง” เด็กชายเอ่ยต่ออย่างไม่ลดละ “จะเป็นบางขุนเทียนหรือแม้แต่สวนสยามหมอก็ไม่อนุญาต” “แต่....” ก่อนที่ธนวิทย์จะได้แย้งอะไรออกไปอีก หมอหนุ่มก็ส่งสายตาห้ามปรามออกมาทำให้เขาปิดปากเงียบและหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างไม่พอใจ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ วิทย์ หมอไม่อยากให้เราเป็นอะไรไปนะ” ชายหนุ่มลูบศีรษะเด็กชายอย่างรักใคร่เอ็นดู “หมอกลับไปทำงานต่อก่อนนะ แล้วจะมาหาอีก” ธนวิทย์ได้ยินเสียงฝีเท้าไกลตัวเขาออกไป เด็กชายมองตามแผ่นหลังของหมอหนุ่มก่อนจะถอนหายใจและเหม่อมองท้องฟ้ายามบ่ายอีกครั้ง “สกุณาตัวน้อย พวกเจ้าช่างน่าอิจฉานักที่ไปไหนมาไหนอย่างอิสระ” เขาเท้าแขนลงบนขอบหน้าต่างพร้อมถอนหายใจอีกรอบ “ทั้งๆที่เวลาเหลืออยู่เพียงไม่มากนัก เหตุใดถึงไม่ยอมให้เราทำในสิ่งที่เราต้องการกันนะ” _____________________
หุหุ คนแรก :m3: :m3: :m3:
:m17: :m17: เง้อมิทันเป็นกำลังใจให้นะคับ สู้ ๆ "^_^v :impress: :impress:
:undecided: :undecided: :undecided: :undecided: เริ่มเรื่องก็บีบหัวใจซะแล้ว
เศร้าตั้งแต่ต้นเรื่องเลย o7 รออ่านต่อจ้า :a10: :a10:
ทามไมถึงต้องมีแต่เรื่องเศร้าขนาดนี้นะ ชีวิตเรายังเศร้ามะพออีกเหรอนี่
:impress: มาเข้าคิวอ่านคับป๋ม เป็นกะลังใจให้น๊า.... o15
..........ตามอ่านด้วยคน......... :m13: :m13:
มาต่อแล้วค่ะ เกือบสามชั่วโมงกว่าจะเขียนถึงตรงนี้ นานจิงๆ-*- แต่ว่าตอนนี้เจ้าออยล์สอบเสร็จแล้ว เย้ๆๆๆ ดีใจ แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องส่งงานแล้ว TT^TT เรื่องของเด็กห้องตรงข้ามนี่เอามาจากเหตุการณืที่เจอจริงๆค่ะตอนไปฝึกงานที่ศิริราช ตอนนั้นกลัวมากเลย แค่เดินผ่านห้องเด็กคนนั้นก็กลัวแล้ว ถ้าจำไม่ผิดเด็กคนนั้นเขาเครียดแล้วก้มีอาการทางประสาทหน่อยๆมั้งค่ะ นานแล้วจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน -*- แต่ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่ง ________________________ เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ธนวิทย์ก็ลุกจากเตียงเพื่อเดินเล่น แม้จะทำได้แค่เดินไปมาในชั้นสิบ แต่มันก็ดีกว่าการอยู่เฉยๆในห้อง เขาเดินผ่านห้องของเด็กฝั่งตรงข้ามก็ปรายตามองเข้าไป ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะสงบสติตัวเองลงบ้างหลังจากที่เมื่อคืนจู่ๆก็ตื่นขึ้นมาอาละวาดและพยายามจะปีนออกนอกหน้าต่างเพื่อหนีออกจากที่นี้ โชคดีที่บุรุษพยาบาลกะกลางคืนเห็นเข้าพอดีจึงช่วยไว้ได้ทัน และได้นำตู้เย็นมาวางปิดหน้าต่างบานนั้นทันที “อ๊ะหวัดดีจ้าวิทย์ เดินเล่นเหรอจ๊ะ” อัญพรทักขึ้นขณะเดินเก็บถาดอาหารของเด็กคนอื่นๆอยู่ “ครับพี่อัน” เขาตอบกลับ “งั้นเดี๋ยวพี่ทำตรงนี้เสร็จแล้วจะไปหาที่ห้องนะ” เธอยิ้มให้ก่อนจะหันกลับไปทำงานของตนต่อ การที่ธนวิทย์เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากหมอภานุพงษ์ว่างก็จะมาสอนหนังสือให้ในช่วงเย็นๆ ดังนั้นช่วงสายๆอัญพรก็จะมาสอนหนังสือให้เขา เด็กชายเดินผ่านห้องผู้ป่วยในไปตามทางเรื่อยๆ ทักทายพวกเด็กๆที่ส่วนใหญ่จะอายุน้อยกว่าเขา แวะคุยกับพวกพี่ๆพยาบาลที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องตัวเองอีกครั้ง เวลาว่างของเขามักใช้ไปกับการมองไปข้างนอกห้องและการอ่านหนังสือซึ่งหนังสือส่วนใหญ่ก็เป็นของหมอภานุพงษ์นั่นเอง “วิทย์อยู่ที่นี่มานานแล้วเหรอจ๊ะ” อัญพรถามขึ้น ตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงมองดูเด็กชายที่เปิดหนังสือเรียนของเธออย่างสนอกสนใจ “ครับตั้งแต่กลางปีที่แล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้ผมยังไม่ต้องมานอนที่นี่หรอกครับ แต่หลังจากที่คุณพ่อกับคุณแม่เสียไป อาการผมก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว หมอพงษ์ก็เลยให้ผมพักที่นี่เลยน่ะครับ” เขาละสายตาจากหนังสือและนั่งสนทนากับอีกฝ่าย “แล้ววิทย์มีโอกาสหายไหมอ่ะ” เธอถามเสียงค่อย “ยาที่ผมทานมันช่วยให้อาการปวดไม่แสดงออกมาหรือบรรเทาลงเท่านั้นแหล่ะครับ อาการของผมมีแต่คงตัวจะทรุดหนัก” เด็กชายตอบตามตรง เพราะสำหรับคงไม่มีคำว่าดีขึ้นอีกแล้ว “แต่วิทย์ก็เก่งนะ เข้มแข็งมากเลยล่ะ ถ้าเป็นพี่คงถอดใจไปตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นแล้วล่ะมั้ง” เด็กสาวถอนหายใจพลางส่งยิ้มแห้ง “ไม่หรอกครับ ผมน่ะ รู้ว่าตัวเองทนต่อไปได้อีกไม่นาน เพราะฉะนั้นผมเลยอยากใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มันคุ้มที่สุด จะได้ไม่เสียใจยังไงล่ะครับ” “แล้ววิทย์อยากทำอะไรมากที่สุดล่ะ” อัญพรถามด้วยความกระตือรือร้น เด็กชายเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยปากตอบ “อยากไปทะเลครับ อยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่น” เด็กสาวสังเกตเห็นว่าคู่สนทนามีสีหน้าหมองลง “ก่อนหน้านี้ผมเคยมานอนโรงพยาบาลแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณแม่บอกว่า ถ้าออกจากที่นี้แล้วจะพาไปทะเล แต่ว่าแม้ผมจะออกจากโรงพยาบาลแล้วก็จริงแต่ท่านทั้งสองก็ทำงานหนักมากจนไม่ค่อยมีเวลาให้ผมเท่าไร จนกระทั้งวันหนึ่ง คุณแม่ก็บอกว่าวันรุ่งขึ้นจะพาไปทะเล “ผมดีใจมาก ดีใจจนนอนไม่หลับเลยล่ะ แต่ว่า...... ขณะที่ท่านทั้งสองกำลังขับรถกลับจากที่ทำงาน พวกท่านก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต แล้วอาการผมก็ทรุดหนักลงตั้งแต่นั่นมา...... ทะเล เป็นสถานที่ที่ผมอยากไปมากที่สุด ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้ไปกับผมแล้วก็ตามที......” อัญพรนั่งฟังแล้วก็คิดตาม เด็กคนนี้อายุน้อยกว่าเธอแต่ทำไมถึงต้องพบแต่เรื่อยร้ายๆ ถึงอย่างนั้นเด็กคนนี้ก็ยังคงยิ้มสู้กับโรคร้ายต่อไป การเฝ้าดูเด็กคนนี้มันทำให้เธอมีกำลังใจ “วิทย์ไม่ขอคุณหมอไปทะเลเหรอ” “ผมขอหลายครั้งแล้วครับ แต่หมอพงษ์ก็ปฏิเสธตลอด คุณหมอไม่อนุญาตให้ผมออกจาโรงพยาบาลไปไหนครับ” เขาตอบเสียงค่อย “เอ๋ อะไรกัน คุณหมอก็หน้าตาออกจะดีทำไมใจร้ายจัง” เธอทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “แต่นั่นเพราะคุณหมอเขาคงเป็นห่วงนั่นแหล่ะนะ” “แต่ถ้าต้องอยู่ที่นี่อย่างเดียวต่อไป ผมก็คงตายไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำน่ะสิครับ” ธนวิทย์ทำเสียงประชดประชัน ในขณะนั้นเองนางพยาบาลท่านหนึ่งก็เรียกอัญพรให้ไปช่วยดูแลคนไข้อีกคน เธอจึงให้เขาได้ยืมหนังสือเรียนเพื่อนั่งอ่านไปพลางๆก่อน วันนี้หมอภานุพงษ์แวะเข้ามาตรวจอาการเขาในช่วงตอนเย็น จากสีหน้าแล้วท่าทางคุณหมอคงเครียดจากการทำงานธนวิทย์เลยเป็นเด็กดีไม่ทำตัวให้อีกฝ่ายรู้สึกเหนื่อยใจไปมากกว่านี้ “ช่วงนี้ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหมวิทย์” หมอภานุพงษ์ถามขึ้น “ครับปกติดีครับ” “ไม่มีอาการปวดศีรษะจนอยากอาเจียนหรือมึนงงเลยใช่ไหม” เขายังถามย้ำต่อ “ครับ ไม่มีครับ” เด็กชายตอบไปเช่นนั้น แม้ว่าบางครั้งเขาจะปวดศีรษะมากก็ตาม “แล้วสายตาล่ะ เคยมีเบลอๆหรือมองภาพไม่ชัดใหม่” “ครับ ไม่มีปัญหาครับ” ธนวิทย์ยังคงตอบเช่นเดิมและโกหกเช่นกัน เพราะช่วงบ่ายๆของวันนี้เขาเพิ่งเกือบจะเดินชนประตูมา แต่นั่นคงเป็นเพราะเขาเดินมองทางไม่ดีมากกว่า “เข้าใจละ ถ้าอย่างนั้นหมอจะมาใหม่พรุ่งนี้ตอนบ่ายๆนะครับ” หมอหนุ่มพูดก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูธนวิทย์ “เดี๋ยวหมอจะซื้อข้าวกลางวันกับขนมมาให้นะ” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักทันที “งั้นอย่าบอกใครนะ เดี๋ยวเด็กคนอื่นรู้แล้วจะหาว่าหมอลำเอียง” ภานุพงษ์ยกยิ้มก่อนลูบศีรษะคนไข้ของเขาและเดินออกจากห้องไป ธนวิทย์มองตามร่างของอีกฝ่ายเช่นทุกครั้ง ฝ่ามือใหญ่ๆของหมอภานุพงษ์มักให้ความรู้สึกอบอุ่นกับเขาเสมอๆ เมื่อไฟทางเดินด้านนอกดับลงก็เป็นเหมือนสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลานอนแล้ว ธนวิทย์ปิดประตูห้องและเขาไม่ลืมที่จะล็อคห้องเพราะตราบใดที่ยังมีเด็กห้องฝั่งตรงข้ามอยู่เขาก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเกิดอาละวาดและคุ้มคลั่งขึ้นมาอีกก็เป็นได้ หลังจากปิดไฟแล้วเขาก็เดินกลับมาที่เตียงนอนและเปิดไฟบนหัวเตียงค้างไว้ก่อนปีนขึ้นที่นอน เด็กชายปิดหน้าต่างลงกลอน วิวด้านนอกเต็มไปด้วยแสงไฟจากตึกสูงระฟ้ามากมาย เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ท้องฟ้าในเมื่อกรุงไม่สามารถมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าได้แม้แต่น้อย ผู้คนหลงไหลไปกลับแสงไฟปลอมๆในยามราตรีกันเสียหมด ธนวิทย์ดึงผ้าม่านมาชิดกันก่อนจะเอนตัวลงนอนและเคลิ้มหลับไป . . .ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง ปึ้ง !!!!!!!!!!!!!!!! เสียงทุบประตูดังสนั่นปลุกเด็กชายผู้เป็นเจ้าของห้องให้ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ เสียงทุบประตูตามมาด้วยเสียงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าที่กำลังบ้าคลั่ง ธนวิทย์เอนตัวชิดกำแพงสายตาจ้องไปยังประตูห้องที่ยังคงสั่นไม่หยุดตามแรงทุบของบุคคลภายนอก ม่านตาของเขาเบิกกว้างด้วยความกลัว “เปิดเซ่! เปิด เปิด!!! ” เขาจำเสียงนี้ได้ เป็นเสียงของเด็กห้องฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนตอนนี้เด็กคนนั้นจะเห็นภาพหลอนจนคุ้มคลั่งอีกแล้ว ธนวิทย์ตกใจกลัวจนสุดขีด ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม แสงไฟจากทางเดินสว่างขึ้น นางพยาบาลและบุรุษพยาบาลหลายคนรีบมารวบตัวเด็กคนนั้นกลับเข้าห้องไป นางพยาบาลท่านหนึ่งมองผ่านหน้าต่างบานเกล็ดเพื่อดูความเรียบร้อยในห้องของธนวิทย์ก่อนที่เธอจะเบิกตากว้าง “คุณผกา เอากุญแจห้องน้องวิทย์มาเร็ว คนไข้กำลังชัก!”หมอ....หมอพงษ์ ช่วยผมด้วย.....ช่วยผมด้วย....... ในคืนนั้นเหล่าพยาบาลและบุรุษพยาบาลต่างก็วุ่นวายไปกับการดูแลคนไข้ทั้งสองห้องไปพร้อมๆกัน โชคดีที่พวกเขาทำงานกันไวทำให้ธนวิทย์ปลอดภัยและหลับไปด้วยฤทธิ์ยา ธนวิทย์รู้สึกตัวตื่นขึ้นแต่ยังไม่ได้ลืมตา เขาประมวลเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่เคยคิดไว้ว่าตัวเองไม่กลัวหากจะต้องตายไป แต่เรื่องที่เกิดขึ้น มันทำให้เขากลัว กลัวว่าหากวันหนึ่งเขาหลับไปโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก เพราะอย่างนั้นเขาถึงอยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำก่อนที่เวลานั่นจะมาถึงจริงๆยังไงล่ะ เด็กชายกำมือโดยอัตโนมัติและนั่นทำให้เขารู้ว่าสึกว่ามีใครบางคนจับมือเขาไว้อยู่ “ตื่นแล้วเหรอวิทย์” เสียงอันคุ้นหูดังขึ้นข้างๆ เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพตรงหน้ามัวเกินไปทำให้เขาต้องกระพริบตาอยู่หลายทีก่อนจะสามารถปรับโฟกัสได้ และเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของหมอภานุพงษ์ “คุณ...หมอ” ธนวิทย์เรียกด้วยเสียงเนื่อยเพราะยังรู้สึกเพลียอยู่พลางยันตัวลุกขึ้นนั่ง แสงแดดอ่อนส่องทะลุผ่านผ้าม่านมาทำให้เขาต้องหันหน้าหลบมัน “วิทย์เป็นไงบ้าง หมอตกใจหมดเลยตอนที่พยาบาลโทรฯเข้ามือถือหมอ” เสียงของภานุพงษ์ดูเป็นกังวลอย่างมาก “หมอพงงงงงษ์” การได้เห็นหน้าของหมอภานุพงษ์มันทำให้ธนวิทย์อดเข้าไปสวมกอดไม่ได้ เด็กชายร้องไห้ปล่อยโฮลั่น “คุณหมอ ผมกลัวว..... ผมม..ยังไม่อยากตาย.....ผมยังไม่อยากตายย......” ______________ น่าจะอีกสองโพสต์ก็จบนะคะเรื่องนี้ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ Aki_Kaze
............จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำไหมหนอ........... o7 o7
เศร้าอ่ะ อินมากไปหน่อย น้ำตาซึมเลย :m17: :m17: :o12: :o12:
:impress: :เฮ้อ: ชีวิตคนเราเนอะ จะอยู่ได้นายแค่ไหน o15 เรื่องนี้สั้นจิง ๆ ด้วยแฮะ
เรื่องสั้น แต่เศร้า :m13: :m13:
เศร้ามากมาย... น่าสงสารธนวิทย์จัง :เฮ้อ: :เฮ้อ: อย่างน้อยขอแค่ให้สิ่งที่อยากทำเป็นจริงด้วยเถอะนะ :amen: :amen: :amen: :amen:
เหอๆๆ อี 2 โพส จบเหรอ? โฮกกกกกกกกกกกกกกกกก............................เศร้าง่ะ :o12:
ขออภัยที่หายไปนานค่ะ ___________________ คุณหมอหนุ่มลูบหลังปลอบเด็กน้อยในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นนะครับวิทย์ วิทย์แค่ตกใจมากไปเท่านั้นเอง ตอนนี้คนไข้ห้องฝั่งตรงข้ามย้ายไปบำบัดที่ตึกอื่นแล้ว วิทย์ไม่เป็นไรแล้วนะ” ธนวิทย์ยังคงร้องไห้ในอ้อมกอดของหมอภานุพงษ์ เขารับรู้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนแข็งแรงนั่น และไม่อยากจะจากอ้อมแขนนี้ไปเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก่อนหมดลมหายใจไปคือการไปทะเล..... แต่เขาก็อยากอยู่ใกล้หมอภานุพงษ์จนถึงวาระสุดท้ายของเขา...... ตอนนี้เขาเลือกไม่ถูกแล้วว่าจะนอนรอความตายที่โรงพยาบาลนี้ หรือเสี่ยงออกไปข้างนอกเพื่อทะเลที่เขาต้องการดี สิ่งที่เขาคิดได้ คือการไปทะเลพร้อมกับหมอภานุพงษ์....... และนั่นทำให้คำขอก่อนตายของเขายากขึ้นไปอีก คุณหมอยังหนุ่มจับร่างคนไข้น้อยของเขาให้เอนตัวลงนอน “วิทย์ต้องพักผ่อนนะครับ เดี๋ยวหมอจะมาหาใหม่ตอนกลางวันนะครับ” “หมอพงษ์ ถ้าผมตื่นมา หมอจะอยู่ข้างๆผมหรือเปล่าครับ” เด็กชายรู้ดีว่าตัวเองกำลังพูดจาเห็นแก่ตัวไปและนั่นทำให้หมอของเขาหนักใจ “หมอรับปากไม่ได้ แต่หมอจะจับมือเราจนกว่าเราจะหลับไปดีไหมครับ” ภานุพงษ์นั่งลงข้างเตียงและจับมือเด็กชายเอาไว้พลางลูบไปมาเหมือนกำลังปลอบขวัญ ธนวิทย์ยิ้มบางก่อนจะค่อยๆหลับตาลง แม้ตอนเที่ยงธนวิทย์จะตื่นมาไม่เจอหมอภานุพงษ์ก็ตาม แต่เขาก็เห็นคุณหมอหนุ่มรีบมาหาเขาพร้อมกับกล่องข้าว 2กล่อง ปกติแล้วประตูห้องของธนวิทย์จะเปิดเอาไว้ตลอดยกเว้นช่วงกลางคืนเท่านั้น แต่วันนี้หมอภานุพงษ์ก็ปิดประตูห้องเพื่อไม่ให้ใครมารบกวนเวลาทานอาหารของเขากับคนไข้ได้ “ว้าว ข้าวผัดคะน้าหมูกรอบ แบบนี้สิถึงเรียกว่าข้าวกลางวัน” เด็กชายร้องร่าพร้อมกับตักอาหารเข้าปากอย่างมีความสุข “วิทย์ พรุ่งนี้หมอจะให้เราเอ็กซเรย์สมองนะ” คุณหมอหนุ่มพูดขึ้น คนฟังตักข้าวค้างไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้ารับคำ “ผม...กำลังจะเป็นอัมพาตใช่ไหมครับ” ธนวิทย์กลั้นใจถาม แต่หมอไม่ได้ตอบอะไรและคะยั้นคะยอให้เขาทานข้าวต่อไป การไม่ตอบก็คงเป็นเหมือนการยอมรับทางอ้อม โอกาสที่เขาจะกลายเป็นอัมพาตคงมีมากและนั่นหมายความว่าเขาจะขยับตัวไม่ไหนมาไหนไม่ได้อีกต่อไป หากต้องทรมานแบบนั้น สู้ตายไปเลยจะง่ายกว่าไหม...... นาฬิกาทรายกำลังเดินหน้าต่อไป เม็ดทรายค่อยๆไหลลงเรื่อยๆโดยทวีความเร็วขึ้นทุกครั้ง....... ภานุพงษ์จัดการเก็บข้าวกล่องเปล่าๆทิ้งลงถังขยะก่อนส่งน้ำผลไม้รวมให้ธนวิทย์ดื่ม “น้ำผักผลไม้รวม ยี้” เด็กชายทำจมูกย่นทันที แต่ถึงอย่างนั้นก็โดนคุณหมอเจ้าของไข้ยัดเยียดให้ดื่มจนได้ ธนวิทย์ได้แต่ทำปากขมุบขมิบบ่นไปเรื่อยเปื่อย “วิทย์ทานยาด้วยนะครับ เดี๋ยวหมอต้องไปทำงานต่อแล้ว” คุณหมอหนุ่มจัดยาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงพร้อมกับ น้ำเปล่าหนึ่งแก้ว “หมอครับ” ธนวิทย์พูดขึ้น “ในเมื่อผมอาจจะเหลือเวลาอีกไม่มาก ถ้าหากว่าหมอจะ...” “วิทย์ หมอจะไม่พูดซ้ำแล้วนะ” เขาตัดบททันทีเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อถึงอะไร “หมอพงษ์จะให้ผมเป็นอัมพาตจนเดินไม่ได้ก่อนเหรอไงครับ ผมถึงจะได้ทำในสิ่งที่อยากทำน่ะ แค่พาผมออกไปที่ทะเล มันยากมากเหรอไงครับ ผมต้องการแค่นี้ มันยากไปเหรอครับ” เด็กชายระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาเต็มที่ ทำไมคำขอร้องแค่นี้มันถึงได้ยากเย็นนัก “หมอจะให้เราออกไปเมื่อไรหมอก็ทำให้ได้” ภานุพงษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ถ้าวิทย์ได้สิ่งที่ต้องการมากที่สุดไปแล้ว วิทย์ก็จะถอดใจกับการมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้น หมอยอมไม่ได้หรอก หมออยากให้เรามีชีวิตอยู่ หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ ช่วยชีวิตคนไข้....” “แต่ถึงอย่างนั้นหมอก็ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ผมอยู่หรือตายได้หรอกครับ เวลาของผมเริ่มนับถอยหลังแล้ว ผมก็แค่อยากตายอย่างมีความสุขเท่านั้น” ธนวิทย์พูดขัดขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาไม่มีความหวาดกลัวอยู่เลยแม้แต่น้อย สายตาของเขา เป็นสายตาของคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ภานุพงษ์ไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากกำชับให้คนไข้ของเขาทานยาก่อนที่จะออกจากห้องไป ผลการแสกนสมองออกมาว่าเนื้อร้ายกำลังลุกลามไปยังบริเวณไขสันหลังรวมไปถึงเซลสมองบางส่วนเริ่มถูกทำลายแล้ว และนั่นอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตหรือเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับความจำแล้วก็เป็นได้ ธนวิทย์ทำใจไว้แล้วส่วนหนึ่งก็จริง แต่เขาก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้ หากวันดีคืนดีร่างกายของเขาจะไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป เพราะผลเอ็กซเรย์ที่ออกมาทำให้ธนวิทย์ได้แต่นอนอยู่ในห้องทำวันโดยที่ไม่สามารถลุกไปไหนมาไหนได้สะดวกอีกต่อไป และยังคงต้องทานยาแก้อาการปวด เหล่าพยาบาลดูแลเขาราวกับว่าเขาเป็นคนสูงอายุไม่ว่าเขาจะลุกขึ้นไปหยิบจับอะไรก็จะมีพยาบาลรีบเข้ามาช่วยหยิบของให้แทนและพาเขาไปนั่งหรือนอนที่เตียง ทำให้ธนวิทย์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หมอภานุพงษ์หยุดงานไปหลายวันและให้แพทย์ท่านอื่นมาตรวจธนวิทย์แทน เด็กชายเก็บความสงสัยเรื่องการลางานของหมอของเขามาถามพยาบาลที่เขาสนิทด้วยแทน “คุณแม่ของคุณหมอเสียชีวิตน่ะค่ะ หมอพงษ์เลยต้องไปจัดการเรื่องงานศพ” นางพยาบาลผกาตอบขณะกำลังจัดแจกันดอกไม้ในห้องธนวิทย์ “คุณแม่ของหมอพงษ์....” เด็กชายตกใจกับข่าวสารที่ได้ยิน “ค่ะ ท่านเป็นมะเร็งน่ะค่ะ เป็นคนไข้ในความดูแลของหมอพงษ์ด้วย คุณหมอคงจะเสียใจมากๆเลยล่ะค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า สองสัปดาห์ต่อมาหมอพงษ์ก็กลับมาทำงานตามปกติ ธนวิทย์ได้แต่พูดแสดงความเสียใจโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น แต่หมอก็ยิ้มตอบกลับมา ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงเหลือเกิน บ่ายวันรุ่งขึ้นหมอภานุพงษ์ก็มาหาที่ห้องของธนวิทย์ตามปกติแต่คราวนี้กลับไม่เหมือนอย่างทุกครั้งเพราะนอกจากหมอเจ้าของไข้แล้วยังมีเหล่าพยาบาลและบุรุษพยาบาลต่างก็เข้ามาในห้องของเด็กชายกันหมด “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู....” เสียงร้องเพลงดังขึ้นทำให้เด็กชายต้องหันไปมอง ที่มือของหมอภานุพงษ์มีเค้กก้อนใหญ่อยู่ เสียงปรบมือและเสียงร้องเพลงดังเป็นจังหวะ ธนวิทย์อดยิ้มไม่ได้ เขาลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเขาเอง “อธิษฐานสิวิทย์” หมอพงษ์วางเค้กลงบนโต๊ะตรงหน้าธนวิทย์ เด็กชายมองเปลวเทียนที่สว่างไสวอยู่ตรงหน้า เค้กช็อกโกแลตที่มีลวดลายเขียนไว้ว่า “Happy Birthday Vith” เขาจ้องมองมันก่อนจะเงยหน้ามองหมอของเขาและเป่าเทียนบนเค้กให้ดับลง เค้ก 3ปอนด์ ถูกตัดแบ่งให้กับคนในชั้นนั้น ธนวิทย์ทานเค้กอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีภานุพงษ์นั่งอยู่ด้วย “ข...ขอบคุณ มากนะครับ” เด็กชายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขัด ระยะหลังเขาพูดได้ช้าลงกว่าปกติมาก “อะไรกันเรื่องเล็กน้อย วันเกิดคนไข้คนสำคัญหมอก็ต้องจำได้อยู่แล้ว” ภานุพงษ์พูดพร้อมยิ้ม “แล้ววิทย์อธิษฐานอะไรไปอย่างนั้นเหรอ” “ผม... ตอนแรกผม คิดจะขอพรให้ตัวเอง แต่ผมก็เปลี่ยนใจ” เด็กชายมองใบหน้าของหมอที่เขารักมากที่สุด “ผมคิดถึงหมอขึ้นมา ผมอยากให้หมอพงษ์มีความสุข เพราะหมอพงษ์เป็นคนที่ผมรักมากที่สุด ผมรักหมอนะครับ” “คือ...” “อ๊ะ ไม่ หมอไม่ต้องพูดอะไรนะครับ ผมรู้คำตอบของหมออยู่แล้ว แต่ว่า ผมแค่อยากให้หมอพงษ์รู้เท่านั้นเอง” เด็กชายรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ขอบคุณนะวิทย์” หมอหนุ่มวางมือลงบนศีรษะเด็กชายและลูบไล้ไปมาอย่างอ่อนโยน “แล้วถ้าวิทย์ขอพรจากหมอได้ล่ะ วิทย์อยากได้อะไร” ธนวิทย์เงยหน้ามองคนพูดทันที หากขอได้ทุกอย่างนั่นหมายความว่า...... “ไป...ทะเล” . . . . ภายนอกหน้าต่างมืดสนิทเช่นเดียวกับในห้อง หากแต่เด็กชายเจ้าของห้องกลับยังไม่นอน เขารอเวลาที่หมอของเขาจะมาพาเขาออกไปข้างนอก หมอภานุพงษ์ที่บอกกับเขาอย่างดิบดีว่าคืนนี้จะพาไปทะเลเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกัน แต่เวลาในตอนนี้ก็เกือบตี 1 แล้ว แต่ยังไม่เห็นร่างของหมอภานุพงษ์เลยแม้แต่น้อย ธนวิทย์นอนพลิกตัวไปมาและเริ่มรู้สึกว่าบางทีหมออาจจะโกหกให้เขาดีใจเล่นก็ได้ และสุดท้ายเขาก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับความผิดหวัง _____________________ โพสหน้าก็จบแล้วล่ะค่ะ และคงต้องเป็นอีกไม่กี่วันนี้แล้วด้วย เพราะเพื่อนกำลังเร่งให้รีบแต่งให้จบ มานจาเอาไปใช้เป็นรายงาน -*- ส่วนอีกเรื่องนั้น หลังจากจบเรื่องนี้ก็จะอัพต่อให้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ Aki_Kaze
มีแววจบเศร้าเคล้าน้ำตาอีกแล้ว :sad2: :sad2:
ตอนหน้าเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ :m15: :m15:
กลัวทำใจไม่ได้อ่าาา :m17: :m17: :m17:
:impress: สู้ ๆ ครับ วิทย์ รอออ่านตอนสุดท้ายนะครับ o15
ตอนจบมาแล้วค่ะ ___________________ ธนวิทย์สลึมสลือลืมตาเพราะแรงสั่นสะเทือน เขาพบว่าทัศนียภาพรอบตัวเปลี่ยนไป ที่นี่ไม่ใช่ห้องพักของเขา และที่สำคัญเขากำลังเคลื่อนที่อยู่ เด็กชายหันมองรอบตัวและค้นพบว่าตัวเองกำลังอยู่ตรงเบาะหน้าของรถยนต์ส่วนบุคคล และผู้ที่เป็นคนขับคือคุณหมอของเขา เด็กชายรีบขยี้ตาตัวเองด้วยความไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น คุณหมอหนุ่มที่กำลังขับรถอยู่หันมาพอดีก็พบว่าคนไข้ของเขาตื่นขึ้นมาแล้ว “หมอเห็นวิทย์นอนหลับอยู่เลยไม่ได้ปลุกน่ะ” เขาพูดขึ้น “พวกเรากำลังจะไปไหนกันเหรอครับ” เด็กชายถามด้วยความสงสัย พร้อมกับมองออกไปสองข้างทางที่เต้มไปด้วยไฟส่องตามทางเท่านั้น “ไประยองไง อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลใช่ไหมล่ะ” ภานุพงษ์ตอบพร้อมกับยิ้ม “พอดีมีงานด่วนเข้ามาหมอเลยไปหาเราช้าน่ะ ขอโทษด้วยนะที่ให้รอตั้งนาน” ธนวิทย์มองใบหน้าด้านข้างของหมอหนุ่มก่อนจะยิ้มออกมา “ขอบคุณมากนะครับ” ไม่นานนักรถยนต์ก็จอดที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในระยอง เด็กชายรีบลงจากรถด้วยความตื่นเต้นและตรงไปยังชายทะเลทันที ตรงขอบฟ้าเริ่มเห็นแสงสีส้มรำไร เขาจ้องมองมันด้วยความปิติยินดีก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับหมอพงษ์” “ด้วยความยินดีอยู่แล้ว ไปนั่งตรงนั้นไหม” ภานุพงษ์ตอบก่อนจะเอ่ยชวน ทั้งคู่นั่งลงกับพื้นทราย น้ำทะเลเย็นๆซัดเข้ามาโดนปลายเท้าธนวิทย์ทำให้รู้สึกเย็นวาบ สาบตาของเขายังคงจับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้าสีส้มๆแดงๆ “สวยจัง” เด็กชายอุทานขึ้น “แต่ว่าแปลก ที่จู่ๆหมอพาผมมาที่นี่ สงสัยเพราะผมคงอยู่ได้อีกไม่กี่วันใช่ไหมครับเนี่ย” “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เป็นเพราะ.... เรื่องที่แม่พี่เสียน่ะ” น้ำเสียงของหมอหนุ่มดูเศร้าลงทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ “แม่พี่ท่านอยากไปสถานที่หนึ่งมาก แต่เพราะท่านเป็นอัมพาตครึ่งซีก พี่ก็เลยห้ามเด็ดขาดและไม่ให้ท่านออกไปไหนจนกว่าจะรักษาท่านได้ แต่พี่ก็รู้ดีว่าไม่มีทาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะหวัง.... “แต่สุดท้ายแม่พี่ก็จากไปตลอดกาล และคำพูดสุดท้ายของท่านก็คือ ‘แม่อยากนอนตายอย่างมีความสุขเท่านั้นเอง’ มันเลยทำพี่นึกถึงคำพูดของเราขึ้นมา หากนี้เป็นความปรารถนาของเรา พี่ก็อยากมอบให้ถือเป็นของขวัญสำหรับเราด้วยแหล่ะ” “ขอบคุณมากครับ ผมดีใจมากๆ แต่...” เด็กชายนึกถึงบางอย่างขึ้นมา “หมอต้องโดนลงโทษด้วยไหมครับเนี่ย เรื่องที่พาคนไข้ออกมาข้างนอกแบบนี้” “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดล่ะนะ” ชายหนุ่มหัวเราะแห้ง “วิทย์ไม่ต้องห่วงหรอก” ทั้งคู่นั่งมองพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา เช้าวันใหม่ เปรียบเสมือนชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น สิ่งใหม่ๆกำลังก้าวเข้ามา ชีวิตของคนก็กำลังก้าวเดินกันต่อไป แต่สำหรับธนวิทย์ สำหรับเด็กชายที่ป่วยอย่างเขา ก็เหมือนกับกำลังนับถอยหลังรอวันสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น “พี่รักเรานะ แม้มันจะคนละความหมายกันกับความรู้สึกของวิทย์ก็ตาม แต่วิทย์เป็นน้องคนสำคัญของพี่นะ” หมอหนุ่มโอบแขนรอบไหล่เด็กชายเอาไว้ ธนวิทย์สัมผัสถึงความอบอุ่นจากอีกฝ่าย สำหรับเขาเท่านี้ก็พอแล้ว เพียงแค่นี้เขาก็สามารถหลับตาลงโดยไร้ซึ่งความกลัวอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัวอีกแล้ว เขาได้ทำในสิ่งที่ต้องการมากที่สุดแล้ว...... . . . . . สัปดาห์ต่อมาธนวิทย์ก็จากไปอย่างสงบท่ามกลางความเศร้าโศกของหมอ เหล่าพยาบาลและเพื่อนๆร่วมชั้น 10 ทุกคน หากแต่ใบหน้าของเด็กชายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เสียใจที่ตัวเองต้องอายุสั้นขนาดนี้ เพราะเขาก็สามารถใช้ชีวิตที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและมีความสุขในรูปแบบของเขา และสำหรับมนุษย์แล้วการได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่านับเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด การที่ใช้ชีวิตกับเวลาที่มีอยู่ให้มีความสุข เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเกิดมา คนบางคนมีชีวิตยืนยาวแต่ไม่ได้แสวงหาความสุขให้กับตัวเองและไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการกลายเป็นชีวิตที่ดูน่าเสียดายไป ดังนั้นแล้วการจะมีชีวิตอยู่สั้นหรือยาวมันคงไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเราใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่าหรือไม่เท่านั้นเอง -จบบริบูรณ์- _______________________ รู้สึกจะจบไม่ดี (เขียนเองยังว่าจบไม่ดีเลย) แต่เพราะเดี๋ยวไม่มีเวลาเขียนแล้ว เพื่อนจะเอาไปส่งแล้ว เหอๆๆ แต่ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะคะ ตอนนี้รู้สึกตัวเองจะเริ่มเนือยๆกับการเขียนนิยายไปเหมือนกัน แต่ก็คงพูดได้คำเดียวว่าจะพยายามต่อไป ขอบคุณมากค่ะ Aki_Kaze
อย่างน้อยที่สุดวิทย์ก็ได้ไปทะเล เค้าก็ได้สมหวังแล้ว :m15:
:m17: :m17: :m17:
อ่า.............อย่างน้อยๆ........หมอเขาก็รักษาสัญญา........... :o12: :o12: จบเศร้าไปหน่อย....แต่ว่าคำพูดที่ปิดท้าย....สุดยอด o13 o13 o13 o13 o13 o13
ในที่สุดน้องวิทย์ก็สมหวัง....ได้ไปทะเลสมใจ :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
สงสารคุณหมอจัง :m15:
สงสารน้องวิทย์อะ ไม่อยากให้เด็กๆ ต้องเป็นโรคอะไรแบบนี้เลย ขอบคุณคนแต่งนะคะ
เป็นไรไม่รู้ หยิบแต่เรื่องเศร้า ๆ มาอ่าน แต่อีกมุมนึง เรื่องแบบนี้ก็เป็นกำลังใจได้เหมือนกัน ขอบคุณมากครับ คุณAki_Kaze ป่านนี้จะไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้
:mc4:เรื่องราวดีๆ :L1:เป็นกำลังใจนะ