พิมพ์หน้านี้ - SHORT: Venom & Feathers นาโครคินทระ - กาศยป (๒) 26/09/2568
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: KADUMPA ที่ 14-09-2025 15:08:57
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
-
โอมยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าของโรงเรียนกวดวิชาที่ดีที่สุดในประเทศ นอกจากจะดีที่สุดแล้ว บรรยากาศโดยรอบ ยังสร้างความรู้สึกราวกับว่า ตัวโอมเองโดนมันข่มอย่างมาก โดยเฉพาะบรรดานักเรียนที่มาเรียนพิเศษกับที่นี่ ที่การแต่งเนื้อแต่งตัว เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่ติดตัวมา ไหนจะบรรดาแกตเจ็ตอิเล็กทรอนิกส์ราคาแพงระยับ ที่ถือกันอยู่ในมือ อวดฐานะกันได้อย่างไม่อายพวกนั้นอีก
อาการทำตัวลีบของโอมยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อนักเรียนที่มากวดวิชา เพิ่งพากันเลิกคลาสเรียน แล้วพากันเดินออกมาจากอาคารที่ดูไปแล้ว เหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟฝรั่งสักเรื่อง โอมต้องหลบไปยืนอยู่ตรงมุมด้านข้าง ที่ทำเป็นเหมือนสวนหย่อมขนาดย่อม ๆ ที่น่าจะตั้งใจเพื่อเอาไว้เป็นพื้นที่ สำหรับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือมีธุระอะไรด้านในอย่างโอม ยืนรอรับคนที่อยู่ด้านใน
ไม่นานนัก โอมก็เห็นคนที่เขามารอรับ เดินผ่านประตูกระจกบานเลื่อนอัตโนมัตินั้นออกมา เจ้าตัวยิ้มกว้างให้กับโอม ที่เขาค้อมศีรษะให้กับเด็กหนุ่มอย่างสุภาพ และเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเดินมาถึงตรงที่เขายืนอยู่ โอมก็ยื่นมือออกไปรับกระเป๋าเป้และบรรดาชีทเอกสารการเรียน เอามาถือเอาไว้ให้
“เรียนเหนื่อยมั้ยครับคุณหนู” โอมถามออกไป เมื่อเดินนำอีกฝ่ายไปที่รถที่จอดรออยู่ไม่ไกล และมันเป็นลานจอดที่ทำเอาไว้สำหรับนักเรียนที่มาเรียนกวดวิชาที่นี่ ที่ติดบัตรวีวีไอพี ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้นที่มีสิทธิ์จอดที่ตรงนี้ เพื่อความสะดวกสบาย ไม่ต้องขับขึ้นไปจอดที่อาคารจอดรถรวม และไม่ต้องคาดเดาอะไรยากเย็น ว่าเหตุผลอะไรโอมถึงได้นำรถมาจอดที่จุดตรงนี้ได้
“บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องมารอล่วงหน้านาน ๆ” แทนการตอบคำถาม โอมได้ยินเสียงพูดดุนั้น แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก “ก็ให้ผมได้ออกมาเปิดหูเปิดตามั่งสิครับ” คำตอบของโอมที่พูดกลั้วหัวเราะกลับไป ทำให้ได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ แบบเข้าใจ
“งั้นคราวหลังก็มาส่งแล้วก็นั่งรอรับกลับด้วยเลย จะได้เปิดหูเปิดตาจนเบื่อไปเลย” อาการประชดประชันนี้ โอมเห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะว่าถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจทุกอย่างก็ไม่เชิง เพราะก็ใช่ว่าโอมจะเห็นอีกฝ่ายเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะ หรือไม่มีมารยาทแต่อย่างใด เพียงแค่คุ้นชินกับการไม่เคยถูกขัดใจมากกว่า
“แล้วนี่ถ้าป๊าไม่ใช้ให้มารับ จะมามั้ย” โอมที่เปิดประตูรถที่นั่งด้านหลังให้ ถึงกับต้องหยุดชะงัก “แบบมาเอง ตั้งใจจะมารับ ไม่ต้องมีใครบอก” โอมมองเห็นอีกฝ่ายจ้องตากับเขา แบบรอคำตอบ และต้องการให้เขาได้ตอบมันออกมาให้ได้ฟังจริง ๆ
“เริ่มเย็นแล้ว เรารีบกลับบ้านกันเถอะครับ เดี๋ยวคุณท่านจะเป็นห่วง” โอมไม่ได้ตอบคำถามนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนนิ่ง ไม่ยอมขยับตัวเข้าไปนั่งในรถ เพราะกำลังรอฟังคำตอบของคำถามของตัวเองอยู่แบบนั้น “คุณหนูครับ” โอมพูดออกไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะเปิดประตูรถให้เปิดกว้างออก “เลิกทำตัวเป็นร่างทรงของป๊าเสียที” โอมมองสบตากับคุณหนูของเขา
“พูดอะไรแบบที่ต้องการ อย่างที่ตัวเองรู้สึก เป็นมั้ย” โอมมองอีกฝ่ายเข้าไปนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ ก่อนที่โอมจะปิดประตูให้เบา ๆ โอมเข้าประจำที่นั่งคนขับ ก่อนจะค่อย ๆ ออกรถมาจากลานจอด “ปิดเพลง” เสียงสั่งดังมาจากเบาะด้านหลัง โอมทำตามคำสั่งนั้น ก่อนจะมองเห็นผ่านทางกระจกมองหลัง คุณหนูหยิบเอาหูฟังมาสวม หันหน้าออกไปด้านนอกกระจกรถ ตลอดทางจนกลับถึงบ้าน
เชนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จ้องไปที่กล่องพลาสติกใสที่ด้านในบรรจุขนมคัพเค้กสีสวยงาม ดูน่ากินมาก อยู่หนึ่งชิ้น อาการยิ้มชื่นชมและความรู้สึกชื่นใจ ยังไม่หายไปง่าย ๆ ตั้งแต่วินาทีที่เชนได้รับขนมชิ้นนี้มา ท่าทางของเชน ไหนจะนั่งมองคัพเค้กด้วยสายตาทะนุถนอม รอยยิ้มที่มีก็เป็นยิ้มที่ทั้งเขิน ทั้งดีใจ ไหนจะการที่เชนถ่ายรูปเก็บเอาไว้เสียทุกมุม มันทำให้เพื่อน ๆ ที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นพากันส่ายหัวแบบไม่เข้าใจ
“มึงจะนั่งดูอีกนานมั้ย ไอ้ขนมก้อนนี้เนี่ย” เสียงเพื่อนถามมา ดึงให้เชนเหมือนต้องจำใจออกมาจากความอภิรมย์ในจิตใจ ที่คัพเค้กชิ้นตรงหน้ามอบให้กับเขา “อะไรของพวกมึงวะ” เชนหันมาทำหน้าบูดใส่บรรดาเพื่อนร่วมก๊วน ที่ส่งสายตาแบบ ยังไงก็ไม่เข้าใจมาให้เชน
“แล้วเรียกให้มันดี ๆ หน่อย เนี่ยคือคัพเค้ก อีกอย่างนะ เขาเรียกว่าเป็นชิ้น ไม่ใช่ก้อน” เสียงของเชนดูเซ็งอยู่ไม่น้อย เมื่อพวกเพื่อน ๆ ของเขาเหล่านี้ “พวกมึงนี่ กูสอนตั้งหลายรอบแล้ว ไม่ยอมจำ” อะไรก็ตาม เชนยอมได้เชนจะยอม แต่ถ้าอะไรที่เกี่ยวกับคัพเค้กหรือขนมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนทำคนนี้นั้น
“ของดี ๆ พวกมึงมันเข้าไม่ถึงเอง อย่ามาทำท่าทางเอือมกู” เพื่อน ๆ ของเชนต่างพากันหัวเราะร่วน เมื่อถูกเชนด่าเข้าให้ และเชนก็ด่าพวกเขาแบบนี้มาซ้ำ ๆ ไม่รู้จะกี่รอบแล้ว “ไอ้เชน ถ้ามึงจะเอาแต่นั่งมองแบบนี้ มึงไม่กิน งั้นพวกกู” ยังไม่ทันที่บรรดาพวกเพื่อน ๆ ของเขาจะได้คว้าคัพเค้กมาแบ่งกันกิน เชนที่ไวกว่า ก็คว้ากล่องขนมไปถือเอาไว้ในมือได้ทันเสียก่อน
“หวงจังนะมึง ขนมที่รักของมึงเนี่ย” เชนไม่สนกับเสียงแซวของเพื่อน คัพเค้กชิ้นนี้สำหรับเขา มันมีคุณค่าทางจิตใจมาก และเขาไม่กลัวว่าใครคนไหนจะไม่เข้าใจ “จนป่านนี้เขารู้หรือยัง ว่าไอ้รีวิวออนไลน์ทั้งหลาย อร่อยมากครับ นุ่มมากครับ หอมอร่อยกว่าร้านไหน ๆ น่ะ มันเป็นมึงที่เขียนให้ทั้งนั้น” เชนได้ยินเพื่อนว่ามาแบบนั้น รอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้าที่มุมปาก ก็เจื่อนหายไป
“ชอบก็ไปบอกกับเขาสิวะ ไอ้เชน ไอ้ห่า เขาน่ะดอกฟ้าแน่ ๆ ล่ะ แต่มึงเนี่ย” บรรดาเพื่อน ๆ ของเชน พร้อมใจกันส่งเสียงหอนดังโบร๋ว ก่อนจะหัวเราะกันดังลั่นยกใหญ่ โดยมีเชนยกมือกำหมัดชูขึ้นในอากาศ ด้วยอาการไม่สบอารมณ์ “พวกมึงพูด ยังกับว่า มันทำได้ง่ายมากเลยอย่างนั้นแหละ ไอ้พวกเวร” มาถึงตอนนี้ เชนก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้านี้
“ขอบคุณมากนะครับ ที่ช่วยมาส่งของให้ และก็ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่สั่งของไปแบบกะทันหันขนาดนี้ ใจจริงอยากออกไปซื้อของเอง แบบไม่ต้องรบกวนคุณเชน แต่วันนี้น้องที่เคยอยู่ช่วย เขาโทรมาลาเมื่อเช้า ว่าต้องพาแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลพอดี มินก็เลย” เจ้าของร้านขนมทำสีหน้าเกรงใจอย่างที่สุด เมื่อพูดมาถึงตรงนี้
“มินไม่รู้จะโทรหาใครจริง ๆ ก็เลย” มินสองจิตสองใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจกดเบอร์โทรหาเชน จากรายชื่อในโทรศัพท์มือถือที่กดบันทึกเอาไว้ “คุณเชนเลยรู้เลย ว่ามินแอบเมมเบอร์เอาไว้ด้วย” เชนอดไม่ไหว ต้องยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะโบกไม้โบกมือรีบพูดออกไปว่า
“ไม่เป็นอะไรเลยครับ คุณมินไม่ต้องคิดมาก ไม่ถือว่าเป็นการรบกวนอะไรเลย” เชนรีบพูดกับอีกฝ่าย ว่าไม่ต้องกังวลใจไป “ผมดีใจเสียอีก ที่คุณมินนึกถึงผมเป็นคนแรกแบบนี้ เพราะถึงยังไง ผมก็มาส่งของที่ร้านของคุณมินบ่อย ๆ อยู่แล้ว เวลาคุณมินสั่งของผ่านแอพ” เชนรีบขับรถไปหาซื้อของให้กับคุณมินตามรายการที่ส่งมา แล้วรีบบึ่งรถมาหาในทันที
“ถือว่าเป็นการขอบคุณ ที่คุณเชนช่วยมินเอาไว้ มินลองทำคัพเค้ก แต่ยังไม่ได้วางขายที่ร้าน มินอยากให้คุณเชนลองทานดู แล้วช่วยติชมด้วย ว่าต้องปรับปรุงตรงไหนอีกบ้าง” เชนยื่นมือออกไปรับกล่องขนมนั้นมา กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวของคุณมิน เมื่อขยับตัว ทำให้เชนใจเต้นแรง
“ชิ้นนี้มินลองใส่ครีมกับทำท็อปปิ้งให้ไม่เหมือนกับชิ้นอื่น มีชิ้นเดียวในโลก” เชนมองตามมือของคุณมินที่ชี้ไปตรงถาดคัพเค้ก ที่ชิ้นอื่น ๆ ดูเหมือนกัน มีเพียงเฉพาะชิ้นนี้เท่านั้น ที่เป็นชิ้นพิเศษ “คุณเชนติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” รอยยิ้มของคุณมินที่เชนเห็น ทำให้ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ พลุ่งพล่านจนแทบจะเก็บเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
“ป้าสุนีย์ใช่มั้ยจ๊ะ” คนที่เพิ่งเดินมาจนถึงด้านหน้าตึกที่ทั้งใหญ่โต ทั้งสูงตระหง่าน กรอกเสียงถามลงไปในโทรศัพท์มือถือที่ตกรุ่นไปนานเกินกว่าห้าปีแล้ว ทันทีที่ได้ยินคนที่ปลายสายกดรับ “ถึงช้าจังเลย ไปไหนมา ถึงได้มาถึงเอาจนเวลาป่านนี้” ที่ปลายสายส่งเสียงตำหนิกลับมาในทันที เพื่อทำให้รู้ว่า เรื่องนี้มันทำให้รู้สึกน่าหงุดหงิดใจ
“หนูขอโทษด้วยจ้ะป้า” น้ำเสียงกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกผิดและเกรงใจ ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน “หนูเพิ่งเคยเข้ามาในกรุงเทพฯเพียงลำพังครั้งแรก หนูเดินหลงไปอีกทาง เลยทำให้” ยังไม่ทันที่จะได้พูดจาอธิบายความให้เข้าใจกัน ว่าทำไมถึงปล่อยให้อีกฝ่ายต้องรออยู่เป็นนานสองนาน
“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องพูดมาก นี่อยู่ที่หน้าตึกแล้วใช่มั้ย รออยู่ตรงนั้น ห้ามเดินไปไหนมาไหนอีก แล้วอย่าสร้างความวุ่นวายให้ฉัน” ฟังป้าสุนีย์ว่ามาได้แค่นั้น ป้าแกก็วางสายไป ปล่อยให้คนที่โทรไป ได้แต่ทำหน้าเสีย เพราะไม่คิดว่าพอเดินทางมาถึงปุ๊บ ก็จะกลายเป็นเรื่องปั๊บ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เพียงแต่สถานการณ์มันดันไม่เอื้ออำนวย
ยืนรออยู่ตรงนั้นแค่ไม่นาน ป้าสุนีย์ก็เดินมาถึงที่ด้านหน้าตึก สีหน้าและแววตาบอกได้เลยว่า ไม่ได้มีความยินดีสักนิดที่ได้พบกัน มีคนงานกำลังทำงานอยู่ที่ด้านหน้าตึก ป้าสุนีย์ตะโกนเสียงดังใส่คนที่เพิ่งมาใหม่ ว่าอย่าไปยืนขวางทำตัวเกะกะคนอื่น ก่อนจะบอกให้รีบเดินตามป้าสุนีย์เข้าไปในตึก โดยที่คนงานด้านนอกนั้น ปล่อยไวนิลแผ่นยักษ์ที่มีรูปของป๊อปสตาร์คนใหม่ ที่กำลังโด่งดังจนสุดขีด ถูกคลี่ลงมาแสดงที่ด้านหน้าอาคาร
“หนมต้มเป็นเจ้าของที่นี่หรือ” คนถูกถามยิ้มกว้างออกมาให้เห็น ก่อนจะหัวเราะเสียงดังฟังดูสดใส “เป็นได้ก็ดีสิ” หนมต้มตอบกลับไป “โน่น” ก่อนจะบุ้ยปากไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่ด้านหน้าที่พัก “เจ้าของตัวจริงนั่งอยู่นั่น ส่วนผม” หนมต้มจิ้มนิ้วชี้มาที่หน้าอกของตัวเอง “เป็นได้แค่นี้” คนถามเองก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นหนมต้มทำท่าจริงจังกับการล้างจานที่อยู่ตรงหน้า
“เขาจ้างล้างจานก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่หนมต้มก็ดูจะแข็งขันล้างจานเหล่านั้น “ว่าแต่คุณเถอะ กินอะไรได้บ้าง กินเผ็ดได้หรือเปล่า” หนมต้มถามอีกฝ่าย ที่มาแวะพักที่โฮมสเตย์แห่งนี้ เพราะก่อนหน้า หนมต้มสัญญากับอีกฝ่ายเอาไว้ว่า เดี๋ยวล้างจานจากกลุ่มลูกค้าก่อนหน้าที่เข้ามาสั่งอาหารกินเสร็จ ก็จะทำอาหารอะไรง่าย ๆ ให้อีกฝ่ายได้กินเป็นมื้อเย็น
“ขอโทษทีนะ ที่ต้องมาขอให้ทำอะไรหลังจากที่เสร็จงานแล้วแบบนี้” หนมต้มได้ยินแบบนั้น พอคว่ำจานที่ล้างเสร็จทั้งหมด ก็กลับมาตอบกลับไปว่า “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ก็คุณหิว คุณมาพักกับเราที่นี่ จะปล่อยให้ท้องว่างอยู่ได้ยังไงทั้งคืน” หนมต้มพูดแบบนั้น ก่อนจะเพิ่มเติมไปอีกว่า ขนาดลูกค้ากลุ่มก่อนหน้า ไม่ได้พักที่นี่ ยังสามารถทำอาหารให้รับประทานกันจนอิ่มหมีพีมันได้เลย
“เพียงแต่ว่า ของสดมันหมดไปกับลูกค้ากลุ่มที่แล้ว” หนมต้มเดินไปเปิดประตูตู้เย็นดู “คุณกินเผ็ดได้มั้ย ถ้าได้ มันมีไข่ไก่อยู่ และก็มีพวกสมุนไพรพวกนี้เหลืออยู่” คนถูกถามพยักหน้าแทนคำตอบ หนมต้มยิ้มก่อนจะพยักหน้าตกลงเช่นกัน “คุณรอแป๊บ ไม่นานได้กินของอร่อย” หนมต้มเริ่มทำกับข้าวด้วยความคล่องแคล่ว มองดูก็รู้ว่าเป็นเพราะการไม่เกี่ยงงาน ได้มีโอกาสทำบ่อย ๆ จนมีความชำนิชำนาญ
“ขั้นแรกก็ทอดไข่เจียวใส่หอมแดงซอยให้เหลืองกรอบก่อน” กลิ่นไข่เจียวกับหัวหอมแดงที่ส่งเสียงฉี่ฉ่าในน้ำมันร้อน ๆ ลอยหอมขึ้นเตะจมูก แค่นี้ก็ทำให้ท้องที่หิวนั้น ครวญครางส่งเสียงร้องออกมาอย่างหนักแล้ว “หั่นเป็นชิ้น ๆ พอคำ รอเอาไว้” มือที่ขยับมีด หั่นไข่เจียวเป็นชิ้น ๆ นั้น ทำให้ชายหนุ่มมองด้วยความเพลิดเพลิน “ทีนี้ก็มาลงมือทำน้ำต้มยำกัน” กลิ่นหอมของข้า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมฟุ้งไปจนทั่วครัว น้ำต้มยำเดือดปุด ๆ อยู่บนเตาไฟ
“ใส่ไข่เจียวที่ทอดเตรียมเอาไว้ลงไป” ชิ้นไข่เจียวหมุนวนในหม้อน้ำต้มยำเสริมกลิ่นหอมกันและกัน จนชายหนุ่มต้องเดินไปคดข้าวสวยใส่จาน ตามที่หนมต้มบอกเอาไว้ แล้วกลับมานั่งรอที่โต๊ะ โดยถือช้อนส้อมเตรียมเอาไว้ในมือ “พริกขี้หนูสวนบุบ โยนใส่ไป ก็เป็นอันกินได้” ไม่ต้องให้หนมต้มเชื้อเชิญอะไรมาก ชายหนุ่มตักน้ำต้มยำพร้อมกับไข่เจียว ราดลงบนข้าวสวยร้อน ๆ แล้วตักเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ ในทันทีด้วยความหิว
“อ๊า เผ็ด” ชายหนุ่มร้องออกมา เมื่อรู้ตัวว่าเคี้ยวพริกขี้หนูไปพร้อมกับไข่เจียวนั้นด้วยแล้ว “แต่อร่อยมาก” ชายหนุ่มตักข้าวพร้อมต้มยำถ้วยนั้นเข้าปากกินอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกดีใจที่หนมต้มไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเจ้าตัวนั้นไม่ได้ติดตามวงการบันเทิงอะไรเลย โทรศัพท์มือถือเครื่องที่ตกรุ่นไปแล้วกว่าห้าปีนั้น ก็มีหน้าที่รับสายเข้า และก็โทรออกบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น ชายหนุ่มชอบที่หนมต้มปฏิบัติกับเขาเป็นแค่แขกที่มาพักโฮมสเตย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง และหนมต้มก็ทำให้เขาอยากอยู่ที่นี่ ไม่ต้องการอยากกลับไปในที่ที่เขาหนีมา
*******************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
เป็นไรมั้ย - ต้าห์อู๋ พิทยา
https://www.youtube.com/watch?v=p3N_11qA104
ที่ฉันรู้สึก ที่ฉันเป็นอยู่
The feeling that I have, the way that I am now
ใครจะรู้ฉันต้องกลั้นใจเท่าไร
No one knows how hard I have to hold myself back
ก็ฉันไม่มี ไม่มีสักสิ่งไหน
‘Cause I don’t have, nothing I have even one thing
ดีพอให้ฉันนั้นได้อยู่ใกล้ใกล้เธอ
Is good enough for me to be right next to you
ที่ไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รัก
I’m not saying anything doesn’t mean I don’t know what love is
ที่แอบรักไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไร
My secret crush, it doesn’t say that I am lacking of expression
ถ้าเธอลองมองดวงตา แปลภาษาของดวงใจ
If you look into my eyes, interpret how my heart converses
เธอคงเข้าใจกันสักวัน
You’ll understand me someday
เป็นไรไหม ถ้ามีใครสักคนรักเธอหมดหัวใจ
Will it be okay? When someone loves you wholeheartedly
ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เธอเคยฝันไว้
Though he’s not the guy you’ve been dreaming of
ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ใช่ใครคนที่คู่ควรรักเธอ
Not that good per se, cannot say that he deserves you
เป็นไรไหม หากเขาเผลอไป
Is it okay with you? When he may slip
เผลอทำอะไรให้เธอรู้
Unknowingly does something and let you know
เป็นไรไหม ถ้าเขาซ่อนไว้ไม่ไหว
Is it really okay if he cannot hide it any longer?
อย่าถือสาได้ไหม
Please bear with him
ถ้าสายตามันบอกว่ารักเธอ
If his eyes are read that he loves you
(เฉวียนซินเฉวียนยีอ้ายหนี่)
รักเธอเต็มหัวใจ
Love you with all my heart
(เฉวียนซินเฉวียนยีอ้ายหนี่)
รักเธอเต็มหัวใจ
Love you with all my heart
ที่ไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รัก
I’m not saying anything doesn’t mean I don’t know what love is
ที่แอบรักไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไร
My secret crush, it doesn’t say that I am lacking in expressions
ถ้าเธอลองมองดวงตา แปลภาษาของดวงใจ
If you look into my eyes, interpret how my heart converses
เธอคงเข้าใจกันสักวัน
You’ll understand me someday
เป็นไรไหม ถ้ามีใครสักคนรักเธอหมดหัวใจ
Will it be okay? When someone loves you wholeheartedly
ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เธอเคยฝันไว้
Though he’s not the guy you’ve been dreaming of
ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ใช่ใครคนที่คู่ควรรักเธอ
Not that good per se, cannot say that he deserves you
เป็นไรไหม หากเขาเผลอไป
Is it okay with you? When he may slip
เผลอทำอะไรให้เธอรู้
Unknowingly does something and let you know
เป็นไรไหม ถ้าเขาซ่อนไว้ไม่ไหว
Is it really okay if he cannot hide it any longer?
อย่าถือสาได้ไหม
Please bear with him
ถ้าสายตามันบอกว่ารักเธอ
If his eyes are read that he loves you
ถ้าวันหนึ่งเธอได้รู้ ถ้าฉันห้ามไม่ไหว
If one day you know this and I can no longer lie
ถ้าวันนั้นฉันเผลอไป ลืมเก็บรักไว้ข้างใน
If one day I lower my guard down, forget how to keep secrets inside
เธออย่าโกรธกันเลยได้ไหม
You would please not get mad at me, wouldn’t you?
เป็นไรไหม ถ้ามีใครสักคนรักเธอหมดหัวใจ
Will it be okay? When someone loves you wholeheartedly
ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เธอเคยฝันไว้
Though he’s not the guy you’ve been dreaming of
ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ใช่ใครคนที่คู่ควรรักเธอ
Not that good per se, cannot say that he deserves you
เป็นไรไหม หากเขาเผลอไป
Is it okay with you? When he may slip
เผลอทำอะไรให้เธอรู้
Unknowingly does something and let you know
เป็นไรไหม ถ้าเขาซ่อนไว้ไม่ไหว
Is it really okay if he cannot hide it any longer?
อย่าถือสาได้ไหม
Please bear with him
ถ้าสายตามันบอกว่ารักเธอ
If his eyes are read that he loves you
-
โอมเดินออกจากห้องน้ำ ด้วยกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียว เพื่อเตรียมตัวที่จะเข้านอน เขาพาดผ้าเช็ดตัวผืนนั้น ที่ทั้งบางและเก่าลงบนราวไม้ที่มันจำสีดั้งเดิมของมันไม่ได้แล้ว ก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะที่มุมห้อง ที่จัดเอาไว้ให้ลับตาจากภายนอกห้องให้ได้มากที่สุด ด้วยความที่ห้องพักของโอมนั้น มีหน้าต่างบานเกล็ดอยู่ที่ข้างประตู เพื่อระบายอากาศ จนโอนต้องหาผ้าม่านหนาทึบมาปิดเอาไว้
โอมขยับเมาส์คอมพิวเตอร์ในมือ หน้าจอคอมพิวเตอร์รุ่นโบราณคร่ำคร่า ก็สว่างติดขึ้นมาอีกครั้ง บนหน้าจอ เป็นรูปของคุณหนูของเขา ที่โอมตั้งเอาไว้เป็นวอลเปเปอร์ ภาพนี้ของคุณหนูที่โอมแอบเอากล้องมือถือของเขา ที่ปรับให้ชัดที่สุดเท่าที่ราคาหลักพันบาทของมันจะพอจะพาไปถึง กับตอนที่โอมมีโอกาสได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวคุณหนู เพื่อฉลองวันเกิดปีที่สิบแปดของคุณหนูด้วย รูปของคุณหนูในเสื้อกล้ามสีขาว เปียกน้ำ นั่งอยู่บนทรายที่ชายหาด
โอมเอื้อมมือเข้าไปใต้ผ้าของกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียวที่เขาใส่อยู่ในตอนนี้ สายตามองไปที่รูปของคุณหนู ที่โอมคิดว่ามันคือรูปที่เซ็กซี่มากที่สุด เท่าที่เขาเคยเห็นมา และโอมที่รู้สึกผิดในใจมาเสมอ แต่ก็ยังไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้ทำแบบนี้ได้ ตั้งแต่ได้รูปนี้มา มือของโอมขยับขึ้นลงภายใต้เนื้อผ้าไม่หนาเท่าไรนักของกางเกง กล้ามเนื้อท้องเป็นลอนเกร็งชัดขึ้น เมื่อความรู้สึกของเขากำลังเริ่มเตลิด
“โอม เปิดประตู” เสียงเรียกพร้อมกับเสียงเคาะประตูดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาโอมถึงกับต้องสะดุ้งจนสุดตัว ด้วยเสียงเรียกที่โอมจำได้อย่างแน่นอนว่าเป็นใคร “โอม เราบอกให้เปิดประตูยังไงล่ะ จะมาทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้นะ” เสียงนั้นวางอำนาจเพราะรู้ดีว่า เจ้าของชื่อและเจ้าของห้องนอนห้องนี้ ยังไงก็ต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวครับคุณหนู” โอมท่าทางเลิ่กลั่ก ก้มลงมองกางเกงบ็อกเซอร์ของตัวเองที่ทำมุมชี้ตั้งด้วยความแข็งขันอย่างเต็มที่ “ทำอะไรอยู่ ทำไมช้าจัง เรียกแล้วก็ต้องเปิดประตูทันทีสิ” น้ำเสียงของคุณหนูไม่พอใจ ที่ตอนนี้นายโอมคนที่ตามใจคุณหนูมากกว่าใครทั้งบ้าน กำลังขัดใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โอมพยายามข่มใจ ข่มความรู้สึกตื่นเต้นให้ลดน้อยลง พอคิดว่าพอไหวพอได้แล้ว ก็เดินไปปลดกลอนประตู แล้วเปิดออกไป
“นายเอาปากกาเรามา ไหน เอามาคืนเราเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่า คุณหนูของนายโอมถือวิสาสะ เดินพรวดพราดเข้าไปในห้องของโอมทันที โอมโล่งใจไปหนึ่งเปลาะที่คุณหนูของเขา ไม่ทันสังเกตเห็นความแข็งเขื่องภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์ แต่ก็ต้องถึงกับหน้าเหวอเมื่อมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ที่รูปของคุณหนูนั้นเปิดหราอยู่ ดีที่ปากกาที่โอมคิดว่า จะเอาไปคืนพรุ่งนี้ตอนเช้า ที่มันติดมากับหนังสือเรียนพิเศษ ที่โอมต้องอ่านเพื่อทำการติวให้กับคุณหนูตามคำสั่ง มันวางอยู่ที่บนหัวเตียง
“เป็นอะไรน่ะ” คุณหนูเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นโอมรีบเข้ามายืนบังหน้าจอคอมพิวเตอร์เอาไว้ ก่อนจะทำตัวผิดปกติ เมื่อดึงสายไฟทั้งหมดออกจากเต้าเสียบที่ผนัง ทั้งจอมอนิเตอร์และคอมพิวเตอร์ดับวูบลง “กำลังทำอะไรไม่ดีหรือไง” คุณหนูเดินเข้าหาโอม ก่อนจะพยายามชะโงกมองไปที่ด้านหลังโอม โดยที่โอมได้แต่ส่งเสียงห้ามคุณหนูของเขาเอาไว้
“คุณหนูครับ ช่วยถอยออกไปห่าง ๆ ผมก่อน” โอมต้องกลั้นใจ ใช้มือทั้งสองข้างดันแขนของคุณหนูให้ขยับเดินถอยหลังไป ก่อนจะรีบปล่อยมือจากแขนเล็ก ๆ ของคุณหนูนั้น โอมต้องทำแบบนี้ เพราะรู้สึกได้ตอนที่คุณหนูแนบตัวเข้ามาใกล้ แขนของคุณหนูนั้น สัมผัสเข้ากับท่อนกลางลำตัวของโอม ที่มันกำลังกวัดแกว่งไปมา ตอนที่โอมนั้นกำลังขยับตัวห้ามคุณหนู และมันกำลังทำให้ภายในใจของโอมนั้นต้องว้าวุ่น เมื่อคนที่สัมผัสโดนมัน คือคุณหนูคนนี้ของโอม
“ทำไมทำตัวแปลก ๆ” คุณหนูจ้องหน้าโอม ที่ทำได้แค่เลี่ยงการสบตานั้น “เมื่อก่อนทำได้ ทำไมตอนนี้ต้องมาห้ามกันด้วย” คำถามของคุณหนูต้องการให้โอมตอบออกมาเดี๋ยวนี้ “ก็นั่นมันเมื่อก่อน นี่ครับ” โอมพูดออกไป รู้ดีว่า เมื่อตอนที่ทั้งเขาและคุณหนูยังเด็ก ก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาโดยตลอด คุณหนูลูกนายท่านกับโอมเด็กในบ้าน ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงไปในตัว พากับเล่นซน พากันก่อเรื่อง จนโดนดุอยู่หลายครั้ง แต่ก็เป็นโอมเสียทุกครั้งไป ที่ออกหน้ารับผิดแทนคุณหนูของเขา
มินกล้า ๆ กลัว ๆ ชะโงกมองแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก เมื่อเขาเดินเข้ามาในซอยลึกพอสมควร จนถึงด้านหน้าลานกว้าง ที่มีรถจักรยานยนต์หลายคันจอดอยู่ ที่ด้านหลังของรถ มีกล่องใส่อาหารและของใช้หลากสีวางอยู่ ที่มินสอบถามร้านค้าที่อยู่ตรงปากซอย ก่อนจะเดินมาตามเส้นทางที่บอก ว่าตรงนี้ เป็นสถานที่ที่เหล่าบรรดาไรเดอร์ขับรถส่งของส่งข้าว มานั่งรวมกลุ่มกันตรงนี้
“ขอโทษนะครับ” มินส่งเสียงพูดออกไปในที่สุด หลังจากยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ตรงนั้นอยู่อึดใจใหญ่ บรรดาไรเดอร์ที่นั่งพักผ่อนกันอยู่ตรงนั้น หันมามองตามเสียงพูดของมิน มีบางคนใช้ศอกดันกัน เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มายืนอยู่ตรงนั้น “คือ ขอถามหน่อยนะครับพี่ ๆ คือ คุณเชนอยู่มั้ยครับ” มินถามคำถามออกไป ในมือกระชับถุงขนมที่ถือเอาไว้จนแน่น เหงื่อเปียกชื้นมือไปหมด
“คุณมินใช่มั้ยครับ” ใครคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนกับเชน ถามออกไปแบบนั้นเอง เพราะต่างก็รู้และจำได้กันหมดทั้งกลุ่มแล้ว ว่าคุณมินของไอ้เชน รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เหตุเพราะเชนนั้น เอารูปถ่ายของคุณมิน คนน่ารักของมันมาแปะเอาไว้นั่งดูยืนมอง เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกวัน กับการวิ่งรถ ยิ่งบางวัน ไม่มีเหตุให้ได้ขับรถผ่านไปที่หน้าร้านของมิน ไม่แม้แต่จะได้เฉียดไปให้ได้เห็นหลังคาร้าน ได้มองรูปถ่ายของคุณมิน ก็ทำให้เชนชื่นใจแล้ว
“ใช่ครับ” มินตอบกลับออกไป ไม่คิดเหมือนกันว่า นอกจากเชนแล้ว พี่ไรเดอร์คนอื่น ๆ ก็รู้จักชื่อของเขาด้วย “ขนมร้านของคุณมิน อร่อยมากเลยนะครับ” เพื่อนอีกคนของเชนพูดขึ้น กล่าวชมรสชาติขนมที่มินทำ “แถมอร่อยมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า สำหรับไอ้เชนมัน” หลาย ๆ คนที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะจำท่าทางของเชนเพื่อนรักได้ดี เวลาที่เชนมันได้ขนมจากคุณมิน มานั่งมอง ไม่ใช่มานั่งกิน
“ขอบคุณมากนะครับ” มินบอกขอบคุณพี่ ๆ ไรเดอร์ไป “แล้วคือนี่” มินกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไป “เอาขนมมาให้ไอ้เชนมันหรือครับคุณมิน” มินพยักหน้าแทนคำตอบว่าใช่ เมื่อมีอีกคนชี้นิ้วมาที่ถุงขนมที่มินถืออยู่ในมือ “แล้วคุณเชนอยู่มั้ยครับ” มินถามก่อนจะยิ้มแบบเกรงใจที่ดั้นด้นมารบกวนทุกคนถึงที่นี่
“ไอ้เชนหรือครับ” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเชนพูดขึ้นเสียงดังกว่าปกติ ก่อนจะทำเอียงคอมองไปทางแผ่นไม้อัดแผ่นใหญ่ ที่มันใหญ่มากพอที่จะให้ใครสักคนยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังนั่นได้ “มันบอกว่า ถ้ามีใครมาถามหามัน ให้บอกกับเขาไปว่า มันไม่อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ก็ตาม” เชนที่ยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังแผ่นไม้แผ่นนั้น หลับตาลงแน่น ๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ เมื่อโดนเพื่อนสนิท หักแผนการที่วานเพื่อช่วย โยนทิ้งกันต่อหน้าต่อตา
“ครับคุณมิน” เชนเมื่อได้เห็นหน้ามินยืนอยู่ต่อหน้า ก็ลดอาการโกรธและอาการน้อยใจที่มีอยู่ก่อนหน้าลงไปได้บ้าง “มีอะไรครับ” เชนพยายามทำเสียงแข็ง เหมือนกับว่าไม่ยินดียินร้ายในการมาหาของมินแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขาตอนนี้ หัวใจมันเต้นดังโครมครามไปหมดแล้ว “คือ มิน” เจ้าของร้านเบเกอรี่เอง พอเห็นท่าทางแบบนั้นของเชน ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงดีเหมือนกัน
“คือเมื่อวาน มินไม่ทันได้ขอบคุณ คุณเชน” มินยื่นถุงขนมส่งให้กับเชน ที่เชนยื่นมือออกไปรับ เมื่อมินทำท่าคะยั้นคะยอ “มินเห็นแค่ถุงของที่สั่งวางเอาไว้ แต่ไม่เห็นคุณเชน ลองโทรกลับมา คุณเชนไม่รับสาย ก็คิดว่าคุณเชนคงจะยุ่ง ๆ เลยถือวิสาสะเอาขนมมาขอบคุณวันนี้แทน” มินพอเห็นว่า เชนไม่ได้พูดอะไรกลับ “โอเคครับ งั้นเดี๋ยวมินขอตัวกลับก่อน ทานขนมให้อร่อยนะครับ” สิ่งที่ทำได้ก็คือพูดลาเชนในทันที โดยที่เชนเองก็ปล่อยให้มินเดินออกไปจากตรงนั้น ทั้งที่ใจอยากจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ปากก็หนักเกินกว่าที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจมันเรียกร้อง
“ทำใจเถอะวะไอ้เชน” เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเชนถือถุงขนมที่ได้รับจากมิน เดินมานั่งจุ้มปุ๊ก อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก “คนเรา เขาก็ต้องการคนที่ดูแลซัพพอร์ตเขาได้” เพื่อนรุ่นพี่บอกให้เชนรู้ถึงสัจธรรมที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า ในโลกใบนี้ “แถมคนแบบพวกเรานี่แหละ ที่เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยบ่อย จนแม่งโคตรของโคตรไม่แฟร์เลย” ทุกคนลงความเห็นพ้องกันในเรื่องนี้
“คนบนตึกกลับกันหมดแล้ว ปกติก็เริ่มตั้งแต่สี่ทุ่ม” ป้าสุนีย์บอกกับหนมต้ม เกี่ยวกับงานที่หนมต้มต้องช่วยป้าสุนีย์ เริ่มตั้งแต่ค่ำนี้เลย “พื้นชั้นนี้ทั้งหมด ต้องเช็ดถูให้สะอาดเอี่ยม แต่ต้องไม่ให้มีคราบน้ำหลงเหลือหลังจากพื้นแห้งด้วยนะ ถ้ามีคราบน้ำต้องทำใหม่ทั้งหมด” หนมต้มพยักหน้ารับคำป้าสุนีย์ ก่อนจะมองไปที่ไม้ถูพื้น ที่ป้าสุนีย์สั่งกำชับ ห้ามไม่ให้ใช้เครื่องถูพื้น ให้หนมต้มใช้เป็นไม้ม็อบได้เท่านั้น
“ทำทั้งหมดนี่แค่คนเดียว เหนื่อยแย่” เสียงคุ้น ๆ นั้น ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้หนมต้มหันขวับไปมอง “อ้าวคุณ” หนมต้มทักทายอีกฝ่ายออกไป ยิ้มกว้าง เมื่ออยู่ ๆ ก็เจอเซอร์ไพรซ์เรื่องใหญ่สำหรับการมาเยือนเมืองหลวงในครั้งนี้ “มาทำอะไรที่นี่เนี่ย” หนมต้มทักแบบคนที่พอจะคุ้นเคยกันอยู่ ส่วนชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึง ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกให้ป้าสุนีย์อย่าทำตัวกระโตกกระตาก เมื่อแกทำท่าตกใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวมอ ๆ กางเกงขาก๊วยโผล่มาในเวลานี้
“ผมมาฝึกงานที่นี่น่ะ” เคนตะตอบหนมต้มกลับไป ใบหน้ายิ้มกว้างแบบคนที่รู้สึกดีใจที่สุดในชีวิต แบบที่ป้าสุนีย์เองที่เคยเห็นเคนตะมานาน ก็เพิ่งจะเคยเห็นชายหนุ่มยิ้มด้วยดวงตาแบบนี้เป็นครั้งแรก “อย่ามัวถามแต่ผมเลย หนมต้มเถอะ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้” เคนตะเบี่ยงคำถามให้กลับไปเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากกว่า เพื่อเบนความสนใจไปที่หนมต้ม แทนที่จะเป็นตัวเขา
“ผมมาช่วยป้าสุนีย์น่ะครับ ป้ามีบุญคุณกับผม เห็นว่าคนขาด แล้วทางตึกเขามีงบจ้างคนนอกมาช่วยชั่วคราว นี่เป็นการเข้าเมืองกรุงของผมด้วยตัวคนเดียวครั้งแรกเลยนะ” หนมต้มเล่ารายละเอียดให้กับชายหนุ่มได้รับรู้ “มากรุงเทพฯคนเดียวเลยหรือ เก่งนะเนี่ย แต่ก็ขี้โม้ด้วยเหมือนกัน” หนมต้มกำหมัดทั้งสองข้าชูขึ้น เมื่อถูกชายหนุ่มแซว ทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ว่าแต่ป้าสุนีย์ครับ” เคนตะหันไปพูดกับป้าแม่บ้านประจำตึก “เดี๋ยวผมช่วยหนมต้มถูกพื้นเลยนะครับ ไหน ๆ ผมก็มาฝึกงานที่นี่แล้ว” ป้าสุนีย์ยิ้มแหย ๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดขัดเคนตะ ได้แต่พยักหน้ารับ ๆ ส่ง ๆ ไป “แต่ก่อนจะเริ่มงาน ผมสั่งอาหารเอาไว้ให้มาส่ง เรากินข้าวกันก่อนดีกว่า เพื่อเพิ่มแรงไง หนมต้ม” ป้าสุนีย์ก็สุดจะทัดทาน ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้ซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของตึก ทำอะไรตามใจไปแบบนั้น
“ทำไมมันมาเร็วจัง” หนมต้มถึงกับต้องเอ่ยปากถาม เมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนเอาอาหารหลายถุงเข้ามาให้ อย่างกับจัดคิวกันเอาไว้เนียนเป๊ะ “เมืองใหญ่ก็แบบนี้แหละ” เคนตะให้เหตุผล ก่อนจะส่งสายตาบอกให้ผู้ช่วยส่วนตัวของเขา ที่ร่วมแผนนี้ด้วย รีบเดินออกไปได้แล้ว “แล้วซื้ออะไรมาเยอะแยะ แบบนี้แพงแน่ ๆ เลย งั้นผมไม่กินแล้วกัน คุณกินเถอะ” หนมต้มพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายจริง ๆ
“โอ๊ย แพงเพิงอะไรกัน ของลดราคา ใช้โค้ดลดทีเดียวสามสี่อัน ไม่ต้องงั้นงี้เลย หนมต้มต้องกินข้าวด้วยกันกับผม จำไม่ได้แล้วหรือไง ว่าผมเคยบอกกับหนมต้มว่ายังไง ตอนที่หนมต้มทำต้มยำไข่เจียวให้ผมกินที่โฮมสเตย์ ว่าผมจะขอเลี้ยงข้าวหนมต้มบ้าง ถ้าหนมต้มมากรุงเทพฯ” เคนตะมือหนึ่งก็ถือถุงอาหารเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับมือหนมต้ม พาเดินจูงมือมาที่ห้องพักของพนักงาน ที่มุมด้านหลังฟลอร์
“อาหารญี่ปุ่น” เคนตะบอกกับหนมต้ม “อร่อยนะ” ชายหนุ่มทำท่าภูมิใจเสนอ “อันนี้คืออะไร” หนมต้มถามอีกฝ่าย หยิบเอาซองตะเกียบมาแกะออก “อันนี้เป็นเห็ดผัดเนยกับซอสโชยุ ลองชิมดู” เคนตะยิ้ม มองดูหนมต้มที่บอกว่า ไม่เคยกินอาหารญี่ปุ่นมาก่อน เพราะปกติเคยแต่ทำอาหารกินเองที่โฮมสเตย์ หนมต้มใช้ตะเกียบคีบเห็ดชุ่มซอสนั้นเข้าปาก
“อืม หอมเนยมาก อร่อยอยู่นะ” หนมต้มเอ่ยชมออกไป เพราะรู้สึกว่ามันอร่อยดี เคนตะยิ้มดีใจที่หนมต้มชอบ “แล้วที่เหลือล่ะ” หนมต้มถามถึงอาหารในถุงกระดาษใบใหญ่นั้น “อันนี้เป็นราเมน ก๋วยเตี๋ยวแบบญี่ปุ่นน่ะ” เคนตะยกถ้วยราเมนที่กำลังร้อน ๆ อยู่ วางตรงหน้าหนมต้ม “ไม่มีเครื่องปรุงเลยหรือ” หนมต้มมองหาพริกน้ำส้มอะไรเทือกนั้น “ไม่มี แต่อร่อยนะ อร่อยแบบไม่ต้องปรุง” เคนตะใจแป้วนิดหน่อยที่ดูท่าทางหนมต้มจะไม่ค่อยชอบราเมนสักเท่าไหร่
“ก็ไม่แย่ แต่ถ้ามีพริกขี้หนูด้วยน่าจะถูกปากมากยิ่งขึ้น” เคนตะหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจ เมื่อได้ยินหนมต้มพูดแบบนั้น “แล้ว” เคนตะเหมือนพยายามรวบรวมความกล้าที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา “แล้วถ้าจะกินอะไรแบบนี้บ่อย ๆ หนมต้มคิดว่าพอจะกินได้มั้ย” หนมต้มทำท่านึก ตอนที่คีบเส้นราเมนเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวจนหมดคำ แล้วตอบว่า “บ่อย ๆ นี่ มันบ่อยขนาดไหน กี่มื้อล่ะ” หนมต้มไม่แน่ใจเลยถามกลับไป
“ก็บ่อยนะ” เคนตะที่คาดหวังคำตอบจากหนมต้ม เป็นคำตอบที่ถูกใจ “บ่อยแบบตลอดไป ตลอดชีวิตเลยแบบเนี้ย” เคนตะพูดจบก็เห็นหนมต้มทำตาโต “โห ถ้าเป็นแบบนั้น สงสัยต้องเหยาะพริกป่น เติมเกลือเพิ่มแล้วล่ะ มันจืดน่ะ” เคนตะยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าไปกับคำตอบของหนมต้ม ถึงมันจะไม่ได้เป็นแบบที่เขาคาดหวังทั้งหมด แต่ก็คิดว่า อย่างน้อยมันก็พบกันครึ่งทางก็ยังดี
*********************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
หยุดรักยังไง - Zeal
https://www.youtube.com/watch?v=YqokHbyRQKg
เบื่อที่ต้องแสดงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
Tired of acting I need to pull off not interested in you
ทำเป็นไม่รักเธอในทุกครั้งที่เจอกัน
Pretending that I don’t love you every time we meet
เหนื่อยที่ต้องแสดงแกล้งทำว่าใจของฉัน
Tired of acting that this very heart of mine
ไม่ได้รู้สึกกับเธอ สักนิดเลย
It doesn’t have any feelings for you, not a bit
ทั้งที่ในใจฉัน มันมีแต่ความหวั่นไหว
Though in my heart, it’s shaking with fear
และทั้งที่ในหัวใจ มันมีแต่เธอคนเดียว
And in this heart of mine, there’s only you in there
หยุดรักครั้งนี้ต้องทำยังไง
How can I ever stop this love?
ยิ่งคิดยังเหมือนว่าในหัวใจ
Thinking and thinking and my heart feels
มีเธอเข้ามาอยู่กลางหัวใจฉัน
That you stay in there right there in the center
เจ็บที่ฉันยิ่งคิดยิ่งลืมเธอไป
And it hurts me so trying to forget you
ยิ่งทรมานที่เจอทุกครั้ง
It suffers me every time we see each other
ฉันไม่เหลือทางที่จะไป
I have no way to go
อยากจะหมุนเวลาย้อนไปให้เป็นเหมือนก่อน
I wish I could turn back time to yesterday
ตอนที่สองเรายังไม่ได้เจอกัน
Where we haven’t got a chance to meet
เผื่อวันนี้จะทำให้ใจข้างในของฉัน
That may spare the feelings inside my heart
ไม่ต้องรู้สึกกับเธอสักนิดเลย
That they won’t get involved with you at all
เพราะว่าในตอนนี้มันมีแต่ความหวั่นไหว
Because now all I have is my vulnerability
และทั้งที่ในหัวใจ มันมีแต่เธอคนเดียว
‘Cause the whole heart of mine, it’s always you and only you
หยุดรักครั้งนี้ต้องทำยังไง
How can I ever stop this love?
ยิ่งคิดยังเหมือนว่าในหัวใจ
Thinking and thinking and my heart feels
มีเธอเข้ามาอยู่กลางหัวใจฉัน
That you stay in there right there in the center
เจ็บที่ฉันยิ่งคิดยิ่งลืมเธอไป
And it hurts me so trying to forget you
ยิ่งทรมานที่เจอทุกครั้ง
It suffers me every time we see each other
ฉันไม่เหลือทางที่จะไป
I have no way to go
สุดท้ายฉันนั้นต้องทำยังไง
In the end, what shall I do?
ยิ่งลืมเธอไป ยิ่งจำทุกครั้ง
The more I try to forget, the more I remember you
หรือต้องรักเธอตลอดไป
Or I have to love you like this forever
-
“แกคิดว่ายังไง เจ้าโอม” เสียงของคุณท่านถามโอม ก่อนที่โอมจะขับรถไปรับคุณหนูของเขาที่โรงเรียนสอนพิเศษ คำพูดของคุณท่านก่อนหน้านั้น ทำให้โอมรู้สึกชาไปทั้งตัว “ฉันรู้ดีว่าลูกชายของฉัน” คุณท่านเอามือมาแตะที่ไหล่ของโอม “คุณหนูของแก ชอบอะไรแบบไหน” โอมได้แต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ความวุ่นวายในใจไหลวนปะทะปนกันอย่างหนักหน่วง “ฉันไม่ห้ามลูกของฉันหรอก เรื่องชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ฉันก็อยากจะให้คุณหนูของแก ได้กับคนที่ดี เหมาะสมกับเขา แกว่ายังไง ในฐานะพี่ชาย” โอมรู้สึกแบบนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่น้ำตาของเขาไหลย้อนกลับเข้าไปล้นในหัวใจ
“ตกลงมันยังไง นี่ป๊ามาพูดอะไรกับนายหรือเปล่า” คำถามของคุณหนูทำให้โอมคิดถึงสิ่งที่คุณท่านถามเขาเมื่อวันก่อน ที่ว่าท่านจะเลือกใครมาเป็นคู่ให้กับคุณหนู ลูกชายคนเดียวของท่านดี ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของท่านรัฐมนตรี อีกคนก็ลูกชายท่านทูตกระทรวงการต่างประเทศ และอีกคนก็ลูกชายเจ้าสัวใหญ่ที่กำลังจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คุณสมบัติทั้งหมดที่คนอย่างเขา ไม่มีทางเทียบติดได้เลย
“คุณหนูควรจะกลับขึ้นเรือนใหญ่ได้แล้วนะครับ ดึกแล้ว” โอมไม่ตอบ แต่บอกให้อีกฝ่ายกลับออกจากห้องเขาไปจะดีกว่า “เดี๋ยวนี้นายจะเป็นคนสั่งกับเราอย่างนั้นหรือ อยากจะทำตัวเป็นพี่เลี้ยงขึ้นมาซะงั้น” เสียงของคุณหนูแสดงความไม่พอใจออกมา “คุณหนูครับ กลับขึ้นเรือนใหญ่เถอะครับ” โอมพยายามจะดันตัวให้คุณหนูเดินออกจากห้อง แต่กลับต้องรู้สึกว่า ของที่โตงเตงอยู่ในกางเกงบ็อกเซอร์ ถูกคุณหนูคว้าหมับเอาไว้ในมือ
“คุณหนู ทำอะไรครับ อย่าทำแบบนี้” โอมดึงมือของคุณหนูออก เพราะไม่อย่างนั้น ของที่มันอ่อนตัว มันจะตั้งแข็งขันขึ้นมาอย่างแน่นอน “ผมอยู่ในฐานะพี่ชายของคุณหนูนะครับ” คำพูดของคุณท่านที่เตือนถึงสถานะของเขาดังก้องอยู่ในหัว “พูดความจริงสิ พูดความจริงสักครั้งในชีวิต มันจะตายมั้ย” คุณหนูตะโกนใส่หน้าโอม ที่โอมเองทำได้แต่สะกดใจข่มความต้องการของเขาให้เก็บเอาไว้
“ความจริงก็คือ ผมไม่มีอะไรจะพูดครับคุณหนู” โอมพูดได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ แม้ว่าจะมีคำพูดมาอัดแน่นอยู่ภายในใจของเขามากมายก็ตาม “ป๊ามาพูดอะไรกับนายใช่มั้ย” คุณหนูถามย้ำอีกครั้ง เพราะจากที่เคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก ความจริงก็ตั้งแต่คุณหนูเองจำความได้ จนมาระยะนี้ที่ความห่างเหินเข้ามาแทนที่ความใกล้ชิดนั้น
“คุณหนูควรจะกลับขึ้นเรือนใหญ่ไปได้แล้วครับ ดึกแล้ว” โอมต้องฝืนใจแสดงท่าทีไล่อีกฝ่ายออกไปให้ได้เห็น “นายมันขี้ขลาด” เสียงของคุณหนูสั่นเครือ “นายมันไม่เอาไหน นายมันขี้ขลาด ทำไมกันนะ ป๊าว่ายังไง นายต้องทำตามทุกอย่างเลยใช่มั้ย ทำไมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองบ้าง ความกล้าสักนิดก็ไม่มี นายเป็นพี่ชายที่ห่วยมาก ที่ไม่เคยรู้จักน้องของตัวเองเลยสักนิดเดียว” โอมขบกรามจนแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่กำลังท่วมท้นหัวใจของเขาอยู่
“ได้” คุณหนูของโอมพูดด้วยเสียงขึ้นจมูก เมื่อน้ำตามันไหลล้นลงมาจากขอบตา “ป๊าส่งลิสต์รายชื่อผู้ชายมาให้เลือกตั้งหลายคน สามคนแรกโปรไฟล์ดีทั้งนั้น” น้ำเสียงของคุณหนูนั้นเจือไปด้วยความน้อยใจอย่างถึงที่สุด และไม่ยากเลยที่โอมจะรู้สึกถึงมัน “ในเมื่อป๊าเลือกมาแล้ว ของดี ๆ อย่างนี้ เราจะไปทดสอบทดลองให้ครบทั้งสามคน” โอมเอื้อมมือไปคว้าแขนของคุณหนูเอาไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป
“นี่คุณหนูคิดจะทำอะไร” เสียงถามของโอมทั้งดุทั้งจริงจัง กับทุกครั้ง น้อยครั้งมากที่โอมจะยอมใช้น้ำเสียงโทนนี้กับคุณหนูของเขา “นายจะสนทำไมว่าเราจะทำอะไร” น้ำที่คลอหน่วยของคุณหนูในตอนนี้ ทำให้โอมรู้สึกไม่โอเค “เราจะไปทำเรื่องอย่างว่า ที่นายได้แต่คิด แต่ไม่ยอมทำกับเรา เพราะนายมันคือคนขี้ขลาด นายมันไม่มีน้ำยา นายมันก็แค่” คุณหนูของโอมพูดได้เพียงแค่นั้น
“อยากฟังนักใช่มั้ย อยากให้ผมพูดนักใช่มั้ย ว่าผมรู้สึกยังไง ผมอยากทำอะไร” เหมือนกับว่า โอมเองก็ความอดทนมันเกิดสิ้นสุด และสติขาดผึงไป ณ วินาทีนั้น เมื่อได้ยินคุณหนูของเขา พูดว่าจะไปทำอะไร ๆ อย่างว่ากับผู้ชายคนอื่น โอมดึงเอามือของคุณหนูมาล้วงเข้าไปใต้บ็อกเซอร์ตัวเดียวที่เขาใส่อยู่ แล้วสั่งให้คุณหนูของเขาใช้มือรูดท่อนเนื้อนั้นขึ้นลง
“ใช่ นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำกับคุณหนู” โอมออกคำสั่งเสียงเข้ม “เดี๋ยวพอมันแข็งดีแล้ว ผมจะให้คุณหนูก้มลงไปใช้ปากกับมัน” โอมที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป พูดจาลามกกับคุณหนูของตัวเองแบบนั้น “ต่อจากนั้น คุณหนูจะถูกไอ้ท่อนดำทะมึนนี่ เด้งสวนกลับขึ้นลง เพราะคุณหนูจะต้องนั่งทับโยกมันให้ผม” โอมไม่เก็บสิ่งที่เขาได้แค่คิด แต่ไม่กล้าที่จะทำจริงออกมาทั้งหมด
“ทำไมน่ะหรือ เพราะอะไรใช่มั้ย” โอมกำลังจะพูดบอกกับคุณหนูของเขา ให้รับรู้เป็นครั้งแรก “ก็เพราะว่าผมแอบรักคุณหนูไง แอบรักมาตั้งนานแล้ว ทั้งหวง ทั้งห่วง ผมอยากจะครอบครองคุณหนูเอาไว้แค่เพียงคนเดียว อยากจะทำเรื่องลามกสัปดนกับคุณหนู แต่ก็ทำให้ได้แค่ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าไอ้โอมคนนี้ มันเป็นแค่เด็กรับใช้ในบ้านที่คุณท่านเก็บมันมาชุบเลี้ยง ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่ซุกหัวนอน แต่มันคิดอยากจะกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา ทำอะไรที่มันเกินวาสนาของมันไงครับ เข้าใจหรือยัง” สิ้นเสียงพูดของโอม ทั้งเขาและคุณหนู ก็หันไปเห็นคุณท่านยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง
“ซัพพอร์ตอะไรวะ” เพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มที่เพิ่งจอดมอเตอร์ไซค์ ถามขึ้น เมื่อเห็นทั้งกลุ่มนั่งหน้าหงอยกันอยู่แบบนั้น“ก็คุณมินของไอ้เชนแม่งอ้ะดิ หมั้นแล้ว กับเสี่ยกระเป๋าหนัก” อีกคนตอบคำถามนั้นแทน “คุณมินเนี่ยนะ” คนที่เพิ่งมาใหม่ถามด้วยความแปลกใจ “มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ” เพื่อนคนนี้ที่กำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับสาวผู้ช่วยในร้านของมิน ที่รับรู้เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับมินมาโดยตลอด “แค่กูเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายนั้น กูก็ต้องยกธงยอมแพ้แล้วว่ะ” เชนพูดด้วยความน้อยใจขั้นสุด ที่รู้ตัวว่า ตัวเขาเองนั้นสู้ไปยังไงก็แพ้
“โธ่ไอ้เชน ไอ้โง่ ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย มึงนี่แม่งโคตรงั่งฉิบหาย” เพื่อนที่เพิ่งมาด่าเชนไป หัวเราะเยาะในความรู้น้อยของเพื่อนไป “มึงรู้เอาไว้เลยนะไอ้เชน ว่าตั้งแต่คุณมินประสบอุบัติเหตุพร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไป และต้องฝึกพูดใหม่อย่างหนัก เพราะการได้ยินเสียงมีปัญหา ก็เพื่อจะได้กลับมายืนอีกครั้งได้ ด้วยลำแข้งของตัวเอง ส่วนไอ้เสี่ยอะไรนั่น มันก็เรื่องจริง แต่” เพื่อนสนิทของเชน เบรกเขาเอาไว้ที่ตรงนั้น
“กูถามมึงจริง ๆ เถอะวะไอ้เชน” เพื่อนสนิทอยากจะเอาที่เปิดปลากระป๋อง มาแงะดูสิ่งที่อยู่ในกะโหลกศีรษะของเพื่อนตัวเองเสียจริง ๆ ว่าอะไรกันแน่ที่อัดแน่นอยู่ในนั้น แทนที่จะเป็นสมอง “มึงนี่คิดว่าคนอย่างคุณมิน เขาเป็นคนยังไงวะ เขาเป็นคนอย่างที่มึงเก็บเอามานอย เอามาหงุดหงิดคิดน้อยใจ โกรธเองแต่ไม่หายเอง อย่างนี้เนี่ยนะ” เพื่อนสนิทของเชนได้แต่ส่ายหน้า ที่ไม่คิดว่าจะมาเห็นเชนเพื่อนรัก ในสภาพแบบนี้
“เรื่องหมั้นอะไรนั่น กูก็ไม่รู้หรอกว่าคุณมินเขาตอบตกลงไปหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเรื่องแหวน เด็กที่ร้านของคุณมินยืนยันกับกูได้ ว่านั่นเป็นแหวนแต่งงานของแม่คุณมิน ที่พ่อของคุณมินมอบเอาไว้ให้ มึงรู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามึงจะทำได้แค่นั่งมองถุงขนมนั่น ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเขา เป็นคนเอามาให้เองแล้วล่ะก็” เพื่อนสนิทหวังใจว่า “มึงก็นั่งอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ แล้วก็ทำตัวเป็นไอ้ขี้แพ้ ไอ้หมาวัด เห่าเครื่องบินต่อไป อย่าไปรบกวนชีวิตของคุณมินเขาเลย” เมื่อพูดขนาดนี้แล้ว เชนคงจะตัดสินใจทำอะไรดี ๆ เพื่อให้เรื่องราวมันจบลงด้วยดีสักครั้ง
“พี่มินปิดร้านคนเดียวได้จริง ๆ นะคะ” ปากถามมาแบบนั้น แต่ท่าทางที่ลุกลี้ลุกลน คอยลอบมองนาฬิกาบ่อยขนาดนั้น คงไม่ต้องให้มินทำความเข้าใจอะไรให้มากมาย “ไปเถอะ พี่อยู่ได้ วันเกิดทั้งที โน่นแฟนมารับแล้ว” ที่หน้าร้าน มินเห็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเชนในกลุ่มพี่น้องไรเดอร์ มาจอดคร่อมมอเตอร์ไซค์รอแล้ว “อ้ะนี่” มินยัดเงินหนึ่งพันบาทใส่มือพนักงานช่วยงานในร้าน
“สุขสันต์วันเกิดนะ เอาไปหาอะไรกินอร่อย ๆ” พนักงานสาวยกมือไหว้ขอบคุณ รู้ดีว่า วันนี้ มินเพิ่งปฏิเสธข้อเสนอของเสี่ยใหญ่คนนั้นไปอย่างจริงจังแล้ว โดยที่เสี่ยคนนั้นโมโหเป็นอย่างมาก ด่ากราดมินว่า เป็นเกย์ที่โง่มากที่กล้าบอกปัดความหวังดีของเสี่ย พนักงานสาวเองได้ฟังแบบนั้น ทั้งคำด่าหยาบคาย ทั้งท่าทางเหยียดหยาม เธอเองก็ถึงกับทนไม่ได้ ลุกขึ้นยืนเท้าเอวไล่ไอ้เสี่ยบ้าคนนั้น ให้ไปพ้น ๆ หู พ้น ๆ ตา
“รีบไปเถอะ ฝนตั้งเค้ามาแล้ว” มินรีบดันตัวให้น้องพนักงานรีบออกไปจากร้าน ถือเป็นคำขอบคุณที่มินรับรู้ได้ ที่น้องพนักงานคนนี้ ลุกขึ้นมาปกป้องเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ เพราะเรื่องนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของตัวเขาเอง เมื่อปฏิเสธข้อเสนอของเสี่ย ที่ให้เขาเอาตัวเข้าแลก เพื่อเสื่อจะปลดหนี้สินที่มีทั้งหมดของทางร้าน มินก็ต้องดิ้นรนหาทางใหม่เอาเอง และมันคงเหลือตัวเลือกให้มินไม่มากนัก
มินก้มลงมองที่แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง แหวนแต่งงานของแม่ ที่พ่อซื้อให้ ที่มินสัญญากับตัวเองว่า จะไม่มีวันขายสมบัติที่เหลืออยู่ของพ่อและแม่ชิ้นสุดท้ายนี้กินเป็นอันขาด แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง และรู้สึกผิดกับพ่อและแม่ ที่ตัวเองจะไม่สามารถรักษาแหวนวงนี้เอาไว้ได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้ มีร้านเพชรประเมินราคาให้แล้ว แม้ว่าจะถูกกดราคาลงมามาก เพราะเห็นว่ามินกำลังร้อนเงิน แต่เงินจำนวนที่ทางร้านว่ามา ก็มากพอที่จะปลดหนี้สินของร้านลงได้ เพื่อที่จะเคลียร์ทุกอย่าง ก่อนจะปิดร้านนี้ลง
“ว่ายังไง ลืมของหรือเปล่า” เสียงเตือนหน้าร้านดังขึ้น เมื่อประตูกระจกของร้านถูกดันออก มินหันไปทักถาม เมื่อนึกว่า น้องพนักงานกลับมาเพื่อเอาของที่ลืมเอาไว้ แต่คนที่มินเห็นว่า ยืนอยู่ที่อีกด้านของประตู ที่เพียงดันประตูเข้ามาเพื่อให้เกิดเสียง แต่กลับไม่ได้เดินเข้ามาในร้านนั้น คือเชน เสียงฟ้าร้องที่ก่อนหน้าดังมาจากที่ไกล ๆ เริ่มดังถี่และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฟ้าด้านนอกครึ้ม และลมเริ่มพัดแรง
“คุณมินครับ” เชนพูดผ่านกระจก เขาไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจกับมินโดยตรง เชนมองเห็นมินเดินเข้ามาหยุดยืนที่อีกด้านหนึ่งของประตูร้าน “ผมมันทั้งโง่ ทั้งขี้ขลาด” เชนสบตากับมิน ที่มินนั้นยืนมองกลับมาที่เชนตรง ๆ “ผมไม่รู้ว่า ถ้าผมพูดบอกคุณมินกับความรู้สึกที่ผมมีนี้แล้ว ผลมันจะออกมาเป็นยังไง เพราะผมไม่ใช่คนที่ดีพร้อมอะไร แต่ผมรักคุณมินนะครับ และก็อยากให้คุณมินรับรักตอบกลับผม” มันเหมือนกับว่า เชนได้ยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก ที่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกไป
เสียงฟ้าร้องดังครืน ก่อนที่สายฝนเย็นเฉียบจะกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เชนที่ยืนอยู่ที่ด้านนอกร้าน สายฝนที่ซัดลงบนตัวของเขา ทำให้ตอนนี้เชนนั้นยืนตัวเปียกโชกอยู่ที่หน้าร้านของมิน โดยที่เชนไม่คิดจะขยับเดินหนีไปไหน อยากจะฟังคำตอบจากมิน อยากให้มินรับรู้ถึงสิ่งที่เชนเก็บอยู่ในใจมาโดยตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้ากัน ได้ทำความรู้จักกัน
“เป็นผมได้มั้ยครับ” มินมองริมฝีปากของเชน ที่มินนั้นมีความคุ้นเคยมานานกับการอ่านปากของคนอื่น ตั้งแต่แรก ๆ ที่รู้ตัวว่า มินนั้นมีปัญหาเรื่องการได้ยินที่เกิดจากอุบัติเหตุ “เป็นผมได้มั้ย ที่จะขอดูแลคุณมิน ที่จะขอรักและซื่อสัตย์กับคุณมิน ผมพร้อมที่จะเดินไปกับคุณมิน ถ้าคุณมินจะให้โอกาส ถ้าคุณมินจะคิดเหมือนกันกับผม” เชนมองมินที่ยื่นมือไปแตะอยู่ที่ตัวล็อกประตู เชนเองก็เอื้อมมือไปแตะที่อีกฝั่งของตัวล็อก รอคอยว่า มินจะหมุนล็อกไปทางไหน เปิดประตูให้เชนเข้าไป หรือปิดประตูตายให้แทนคำตอบนี้
“มันเป็นไปไม่ได้ เคนตะ เธอเองก็น่าจะรู้ดีนะ” ผู้จัดการพูดออกมาด้วยอาการไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้รับรู้จากเคนตะ “พี่ขอให้เธอหยุดติดต่อกับเด็กคนนี้ในทันที” ผู้จัดการออกคำสั่งห้ามเคนตะ และส่ายหน้าไม่เห็นอย่างเดียว เมื่อเคนตะพยายามจะพูดอธิบายออกไป “นี่เธอไม่เข้าใจจริง ๆ เลยใช่มั้ย มันจะเป็นไปได้ยังไง นั่นมันเด็กคนงานชั่วคราว ที่เข้ามาช่วยป้าตัวเองถูพื้นตึกนะ ฝ่ายแม่บ้าน ฝ่ายทำความสะอาดสถานที่” ผู้จัดการทำเสียงอย่างอ่อนอกอ่อนใจไปกับศิลปินภายใต้การดูแลของเธอ
“เป็นคนถูพื้นแล้วมันผิดตรงไหนครับ” เคนตะถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมสิ่งที่หนมต้มทำ ที่มันเป็นงานสุจริต ถึงถูกมองว่าเป็นความไม่ถูกต้องไปได้ “ในเมื่อคนในตึกนี้ มีตึกที่สะอาดได้ก็เพราะสิ่งที่หนมต้มทำ” เคนตะทำหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่พี่ผู้จัดการบอกกับเขามา “พี่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เด็กคนนี้ทำมันผิด พี่ไม่ใช่คนที่เที่ยวไปเหยียดคนอื่น ดูถูกใครต่อใครอะไรแบบนั้น” ผู้จัดการของเคนตะรีบพูดออกตัวทันที
“แต่มันคือความไม่เหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง” ผู้จัดการพยายามพูดถึงเหตุผลจริง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ กับสายตาของเคนตะที่เห็นได้ชัดว่า เคนตะนั้น ทั้งไม่เข้าใจและไม่ถูกใจ “เธอเป็นใคร แล้วเด็กนั่นเป็นใคร เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมองไม่เห็น” พี่ผู้จัดการมีท่าทางการพูดที่จริงจังขึ้น “เคนตะ เธอเป็นศิลปิน เป็นป๊อปสตาร์ที่กำลังดังที่สุดของตึก เธอกำลังไปได้ดีในเส้นทางบันเทิง เพลง ซีรี่ส์ หนัง เดินแบบ ถ่ายแบบ งานอีเวนต์” ผู้จัดการรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ตอนนี้ ก็รับงานมาแทบจะไม่หวาดไม่ไหว จัดคิวที่แน่นเอี้ยดไม่ทันกันอยู่แล้ว
“นี่ยังไม่รวมงานโฆษณา การรับเป็นพรีเซนเตอร์ ที่ต่อคิวจ่อป้อนงานให้เธออีก ไม่ต่ำกว่าสิบตัว” สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่คนเป็นผู้จัดการศิลปินอย่างเธอจะทำ ก็คือการปล่อยโอกาสดี ๆ เหล่านี้ให้หลุดลอยไป โดยเฉพาะกับเคนตะ ที่เธอรู้ดีว่า ชายหนุ่มคนนี้ทำมันได้อย่างแน่นอน และทำมันได้ดีเสียด้วย “แต่เด็กคนนั้น ถูพื้นตึก พีเรียด เอ็น ออฟ สตอรี่” ผู้จัดการไม่คิดว่า เธอต้องพูดอะไรเยอะไปกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องสาธยายอะไรให้มากความ
“ชีวิตตอนนี้ของเธอนะเคนตะ มันคือการมีสัญญาอยู่รายล้อมตัว ไม่ว่าจะหันไปทางไหน คิดจะทำอะไร มันก็เสี่ยงที่จะผิดสัญญา ถูกบอกยกเลิกสัญญา และถูกฟ้องร้องตามมาได้ทุกเมื่อ จากสัญญที่เธอเซ็นไปแล้ว” เคนตะรู้สึกว่า เขากำลังถูกมัดมือชก ไม่ว่าจะทำอะไร มันไม่มีช่องว่างให้ได้หายใจ ให้เคนตะได้เป็นตัวของเขาเองได้เลย “คราวที่แล้ว ที่อยู่ ๆ เธอก็หนีหน้าหายไป ทางผู้ใหญ่เขายอมปล่อยผ่านไป ก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว” เคนตะนั้น รู้สึกว่าเขาไม่สามารถที่จะรับมือกับความกดดันที่ถาโถมเข้ามาได้ และนั่นทำให้เคนตะได้มีโอกาสได้เจอกับหนมต้ม
“หวังว่าเรื่องนี้ มันจะไม่ลอยไปเข้าหูพวกผู้ใหญ่ที่ชั้นสามสิบกว่าอีกรอบนะ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น ทั้งงาน ทั้งเงิน ทั้งโอกาสดี ๆ ในชีวิตของเธอ มันไม่ได้มีมาให้ได้คว้าไว้บ่อย ๆ เพราะพี่ก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นแมวเก้าชีวิตอะไรขนาดนั้น มันมีเด็กที่หนุ่มกว่า สดกว่า เก่งกว่า และไม่เรื่องมาก รอที่จะผลักเธอให้กระเด็นออกไปจากวงการนี้ทุกเมื่อ” ผู้จัดการของเคนตะเอง ก็เหนื่อยใจและเหนื่อยกาย กับการที่จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ กับเด็กใหม่ ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าจะพาให้เคนตะมาอยู่ในจุดที่รับงานแต่ละครั้ง รายได้นั้นเกินเจ็ดหลักแบบนี้
เคนตะรู้สึกเซ็งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ยิ่งการที่เขาต้องหลบหน้าหลบตาหนมต้ม ตั้งแต่ถูกผู้จัดการจับได้ และสัญญาที่ได้ให้กับหนมต้มไปเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะชวนหนมต้มไปกินข้าวด้วยกันแค่สองคน แต่พอหนมต้มโทรมาหา กับเบอร์มือถือลับที่เคนตะแอบไปเปิดเอาไว้ เขากลับไม่รับสายหนมต้ม และนั่นเป็นเพียงสายโทรเข้ามาเพียงครั้งเดียวของหนมต้ม หลังจากนั้น เคนตะก็ไม่เห็นเบอร์ของหนมต้มโทรหาหรือส่งข้อความใด ๆ มา
“เธอไปเตรียมตัวดีกว่า เดี๋ยวเธอจะต้องขึ้นร้องเพลงกับงานดนตรีแฟนมีตติ้งแล้ว อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้มาทำลายสิ่งที่ได้สร้างมาด้วยความยากลำบาก ต้องสูญเปล่า” ผู้จัดการพูดจบ ก็ขอตัวไปคุยกับเบอร์ที่โทรเข้ามาติดต่อเรื่องงานคอนเสิร์ตรวมศิลปินของทางค่าย ที่จะจัดเป็นงานใหญ่ ขายบัตรขั้นต่ำก็เลยครึ่งหมื่นขึ้นไป และเคนตะก็สร้างกระแสให้กับคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี ผู้จัดการหมายมั่นปั้นมือว่า งานนี้มันจะทำเงินให้เธออย่างเป็นกอบเป็นกำ จากส่วนแบ่งรายได้ที่เคนตะจะได้รับมา
หนมต้มพยายามจะไม่คิดอะไรอีก คนเรานั้นสามารถเปลี่ยนใจ เปลี่ยนแปลงความต้องการกันได้ ต่อให้สัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะยังไงก็ตาม แถมมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรสลักสำคัญขนาดนั้น ก็แค่การไปกินข้าวเย็น หนมต้มบอกกับตัวเอง เขาก็คงจะมีคนไปกินข้าวด้วยแล้ว หรือไม่ก็แค่ไม่ต้องการไปกับหนมต้ม ก็แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บเอามาใส่ใจอะไรให้มันหนักสมอง หรือให้มันรบกวนจิตใจอย่างที่เป็นอยู่นี้
“วันนี้คนมาที่ตึกเยอะจัง” หนมต้มที่ได้รับคำสั่งให้เอาของไปส่งที่ห้องสตูดิโอ พึมพำกับตัวเอง เมื่อวันนี้บรรดาแฟนคลับพากันมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น โดยที่หนมต้มที่ไม่ได้ติดตามอะไรในโซเชียล มีเดีย ไม่รู้การเคลื่อนไหวใด ๆ ของศิลปินดารา ไม่รู้จักนักร้องหรือไอดอล อินฟลูเอนเซอร์ที่กำลังเป็นกระแสแต่อย่างใด จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือยินดียินร้ายไปด้วย ทำได้แค่เดินหลบหลีกฝูงชนเพื่อไปส่งของที่ห้องดังกล่าวเท่านั้น
หนมต้มไม่แน่ใจนัก ว่าตัวเองมาผิดห้องหรือเปล่า แต่เมื่อแทรกตัวผ่านประตูสตูดิโอเข้าไป ก็ได้ยินแต่เสียงกรี๊ดของบรรดาแฟนคลับที่กำลังชื่นชอบกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า หนมต้มมองเห็นเคนตะกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที ก็ยืนมองด้วยความตกตะลึง ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่กับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะรู้ตัวอีกที เคนตะก็กระโดดลงมาจากเวทีเตี้ย ๆ ที่ยกขึ้นจากพื้นนั้น แล้วเดินตรงมาหาหนมต้ม
“เป็นแฟนกันนะ หนมต้ม” เสียงพูดออกไมค์ดังไปทั่วทั้งสตูดิโอ พลันคนในนั้นกลับเงียบเสียงลงในทันที “นะครับ” หนมต้มได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก เมื่อตัวของเขาถูกเคนตะรวบเข้าไปกอด แล้วริมฝีปากของหนมต้มก็ถูกประกบ ด้วยริมฝีปากของเคนตะ โดยที่มีแสงแฟลชจากกล้องโทรศัพท์มือถือวูบวาบไปทั่วบริเวณ จนทำให้ตาพร่าไปหมด รวมทั้งจากรอยจูบนั้นด้วย
*********************************************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
แน่ใจไหม - นนท์ ธนนท์
https://www.youtube.com/watch?v=Ux35pBro240
(แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง)
Are you sure you wanna hear this?
(แน่ใจไหมว่า... แน่ใจไหมว่า แน่ใจ แน่ใจ...)
Are you really sure, for sure, for sure, so sure?
ดูเหมือนมีอะไรที่มันแปลกไปหรือเธอ
Is there something different to you that you feel?
คนที่เธอเคยเจอ ไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคยใช่ไหม
This person you’ve met, not the one you’ve been familiar with
คนที่เคยสนิท ที่เขาไม่เคยห่างไป
Someone you are close, that never leaves your side
แต่ในวันนี้ ทำไมกลับหาย ไปจากเธอ
But today, not around, missing out, not with you
เธอสงสัย มากใช่ไหม เกิดอะไรที่เธอไม่รู้รึเปล่า
You’re now wondering why, what’s really happening you don’t know
ที่เธอถาม คนคนนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ถ้าเธออยากรู้
You then ask why this guy now that he’s changed, you wanna know
แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น
Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?
จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby
Will you be able to handle it if you listen to it, baby?
เรื่องจริงที่ฉันพูดไป
The truth that I am spilling it out
ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา
From tomorrow, what’s going on between us
อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
It may not be the same forever
จะรับได้หรือไม่
Will you be able to accept it?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you’ll take it if I say it?
แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง
Are you sure that you wanna hear me say?
แน่ใจนะว่าเธออยากฟัง
Are you sure that you wanna listen to what I have in mind?
แน่ใจนะว่าพร้อมจะรับฟังคำว่ารักที่เก็บเอาไว้
Are you sure that you’re ready to hear me out, my secret love for you?
ขอโทษเธอจริงจริง ถ้าทำให้เธอหนักใจ
I do truly apologize if I am now seriously troubling you
แค่คนที่เก็บอาการไม่ไหว
I am just a guy that he cannot hold it back no more
ที่มันคงเผลอทำเธอรู้
And might give you some hints without knowing
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้จะดีจะร้ายฉันพร้อมเข้าใจ
From tomorrow whether it will be food or bad, I’ll understand
อยู่ที่เธอจะทำอย่างไร
It depends on what you’ll decide to do
กับคนคนนี้ที่รักเธออยู่
With me, the guy who’s in love with you here
เธอสงสัย มากใช่ไหม เกิดอะไรที่เธอไม่รู้รึเปล่า
You’re now wondering why, what’s really happening you don’t know
ที่เธอถาม คนคนนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ถ้าเธออยากรู้
You then ask why this guy now that he’s changed, you wanna know
แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น
Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?
จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby
Will you be able to handle it if you listen to it, baby?
เรื่องจริงที่ฉันพูดไป
The truth that I am spilling it out
ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา
From tomorrow, what’s going on between us
อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
It may not be the same forever
จะรับได้หรือไม่
Will you be able to accept it?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you’ll take it if I say it?
แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น
Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?
จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby
Will you be able to handle it if you listen to it, baby
เรื่องจริงที่ฉันพูดไป
The truth that I am spilling it out
ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา
From tomorrow, what’s going on between us
อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
It may not be the same forever
จะรับได้หรือไม่
Will you be able to accept it?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you'll take it if I say it?
(แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง
Are you sure you want to listen to what I have to say
แน่ใจนะว่าเธออยากฟัง
Are you certainly willing to hear what my heart says?
แน่ใจนะว่าพร้อมจะรับฟัง คำว่ารักที่เก็บเอาไว้)
Are you so sure you’ll listen the love that’s coming out of my heart?
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก
Are you sure that you’ll receive it if I say that I love you?
-
“นาโครคินทระ” ป้ายบอกชื่อกำกับที่ด้านข้างของภาพวาด วาตะเลื่อนสายตามองลงมาที่ศิลปินผู้วาด แต่ตรงช่องนั้น ระบุเอาไว้ว่าไม่ปรากฏรายชื่อแต่อย่างใด “ภาพนี้ มีชื่อภาพว่า นา โค ระ คิน ทะ ระ” เจ้าตัวดึงเอาเฮดโฟนออกมาคล้องไว้ที่ต้นคอ ก่อนจะหันไปทางต้นเสียง เจ้าหน้าที่ของทางนิทรรศการให้รายละเอียดของภาพวาดนั้นกับเจ้าตัว “แปลว่าพญานาค” วาตะทำหน้ารับรู้ ก่อนจะค้อมศีรษะลง แทนคำขอบคุณ
“สืบค้นกลับไป แต่ไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นผู้ใดกันแน่ที่วาดภาพนี้เอาไว้” วาตะหันกลับไปมองทางภาพวาดนั้นอีกครั้ง “เจอแต่เพียงหลักฐานระบุไว้เพียงแค่ว่า ชื่อนี้เป็นชื่อที่ผู้วาดตั้งเอาไว้เรียกภาพของพญานาคนี้ ที่แม้จะดูว่า กำลังแสดงพลังที่ทรงอำนาจ แต่แววตาคู่นั้น กลับดูเศร้าสร้อย เดียวดาย และเงียบเหงาในจิตใจ” วาตะมองไปที่ดวงตาคู่นั้นบนภาพ ที่กำลังเหมือนกับว่า ได้จ้องกลับเข้ามาในตาของเขา
“มีเรื่องเล่าจากปากสู่ปาก เหมือนเป็นตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ตำนานคือเมื่อถึงวันและเวลาอันพร้อมแล้ว วิหคศกุนต์ชาติจะกลับมา และทำให้ดวงตาแห่งพญานาคนี้ เปลี่ยนจากแววตาเศร้าโศกที่มี ให้กลับมาฉายเพียงแต่ความสุขที่อิ่มเอมอีกครั้ง” เจ้าหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ก็เดินจากไป ปล่อยให้วาตะได้กลับไปดื่มด่ำกับศิลปะอีกครั้ง และแน่นอนว่า ภาพวาดภาพนี้ ติดเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของเขาเป็นที่เรียบร้อย
“วาตะ ลูกอยู่ที่ไหน” ทันทีที่วาตะเดินออกมาจากสถานที่จัดนิทรรศการภาพวาด เขาก็กดรับสายผู้เป็นแม่ ที่โทรมาหา “ลูกเพิ่งออกมาจากนิทรรศการภาพวาดครับแม่ ทีแรกลูกว่าจะกลับบ้านเลย แต่ว่าเพื่อนลูก แจนกับเขมชวนไปกินข้าวเย็นด้วย ลูกขอไปเจอเพื่อนนะครับแม่ ลูกสัญญาว่าลูกจะกลับไม่ดึก” วาตะส่งเสียงตอบกลับไปที่ปลายสาย ที่ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เตือนว่า ให้ดูแลตัวเองดี ๆ ให้ปลอดภัย วาตะเองแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่า ทำไมแม่ถึงได้เตือนเขาแบบนี้ตั้งแต่เล็ก มาจนโตป่านนี้ แต่ก็ไม่เคยได้ถามออกไปอย่างจริงจังสักครั้ง
“ขมิ้น ทางนี้” ทันทีที่วาตะเดินเข้าไปในร้าน ก่อนที่พนักงานจะถามว่าได้จองโต๊ะมาก่อนหรือเปล่า แจนก็ส่งเสียงเรียกชื่อเขาที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย วาตะกล่าวขอบคุณพนักงานร้านไปเบา ๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปว่า มีเพื่อนมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเดินมาถึงโต๊ะ แจนก็จัดแจงให้วาตะนั่งลงที่ข้าง ๆ เธอ ก่อนที่เขม เพื่อนชายในกลุ่มอีกคนจะได้ทันเอ่ยชวนให้คนที่เพิ่งมาใหม่ นั่งลงที่เก้าอี้ตัวติดกันกับเขา
“กว่าจะเจอกันได้นะแก ขมิ้น ตั้งแต่เรียนจบ ฉันได้แต่โทรคุยกับแกเท่านั้น” แจนต่อว่าต่อขานเพื่อนสนิทในทันที เพราะคิดถึงมาก แต่ไม่มีเวลามาเจอกันสักที “แกก็ยุ่ง ฉันก็ไม่ว่างไง แจน” วาตะตอบกลับเพื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่าง เดี๋ยวแกก็อยู่นิวยอร์ค เดี๋ยวก็มิลาน เดี๋ยวแกก็เห็นเช็คอินที่อาบูดาบี แกเองก็บินตลอดไม่ใช่หรือไง” แจนทำหน้าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ ที่งานสายการบินของเธอ ทำให้เธอต้องเดินทางแทบจะตลอดเวลา
“แต่นี่ฉันได้พักยาว ๆ หนึ่งสัปดาห์เต็ม ฉันก็เลือกกลับมากรุงเทพฯ ในทันที แกเสร็จฉันแน่ขมิ้น ฉันจะชวนแกออกจากบ้านทุกวันเลยคอยดู แต่ยังไง แกพาฉันไปไหว้พ่อแม่แกก่อนนะ ฉันจะได้ไม่โดนดุ ว่าชวนลูกชายเขาตะลอน ๆ ไปทั่ว” แจนเองก็ไม่ได้เจอพ่อกับแม่ของวาตะมานานพอสมควรแล้ว นี่เธอก็หอบเอาของฝากมาจากเมืองนอก มาฝากพ่อและแม่ของวาตะเช่นกัน
“แล้วนี่สั่งอะไรกินกันหรือยัง ไหนเราของดูเมนูหน่อย” เป็นที่เขมรัฐที่ยื่นเมนูเล่มนั้นให้กับวาตะ โดยที่แจนได้แต่ส่ายหน้า ที่คุณเขมรัฐนั้นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนด้วยกัน ชักช้า อึกอัก ไม่ทันการณ์ จนกระทั่งทั้งสามคนต่างเรียนจบ และต้องแยกย้ายกันไปทำงานทำหน้าที่ของตัวเอง “ทีแรกเราว่าจะสั่งของโปรดเอาไว้ให้ขมิ้นเลย” เขมรัฐพูด ก่อนจะได้ยินเสียงวาตะสั่งอาหารกับทางพนักงาน
“ดีแล้วที่แกไม่สั่ง” แจนกระซิบกับเขมรัฐเบา ๆ เมื่อวาตะสั่งอย่างอื่นแทนที่จะเป็นจานที่เขมรัฐเลือก ฝ่ายเขมรัฐเองก็รู้สึกเฟลไปไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าเขารู้จักวาตะดีมากกว่าใครแล้วแท้ ๆ “เขมสบายดีนะ” วาตะถามเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แม้จะคนละคณะกันกับเขาและแจนก็ตาม แต่ก็มีเขมนี่แหละ ที่คอยดูแลช่วยเหลือกันมาตลอดทั้งสี่ปี ของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย
เคนทร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำ ชายหนุ่มสลัดศีรษะแบบไล่อาการมึนงงนั้นให้หายไป ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปที่ตู้เย็นที่มุมห้อง หยิบขวดน้ำเย็นขึ้นมากระดกดื่มน้ำจนเกือบหมดไปครึ่งขวด ภายในความคิด กำลังเรียบเรียงภาพความฝันที่เขาเพิ่งเห็น ก่อนจะสะดุ้งตื่นมานี้ ว่าทำไม เขาถึงได้ฝันอะไรประหลาดแบบนี้ และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันแบบนี้ ที่มันเหมือนเดิมเป๊ะ ๆ ทุกอย่าง และครั้งนี้ มันชัดเจนมากกว่าฝันในครั้งก่อน ๆ
“ผมฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว” เคนทร์พูดส่งเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือไป ที่ปลายสายคือพ่อปู่ที่เลี้ยงดูชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถอยู่กับเคนทร์ และดูแลเขาได้ โดยไม่เกิดเหตุการณ์ประหลาด หรืออาการป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ พอพ่อปู่ตัดสินใจรับเคนทร์มาเลี้ยง คนรอบ ๆ ตัวของเขาก็เหมือนได้รับชีวิตแบบปกติกลับไป ทุกคนดูจะได้รับความสงบสุขกลับคืนไป “พรุ่งนี้ผมเข้าไปครับ พ่อปู่” เคนทร์รับคำอีกฝ่าย ว่าจะไปหาโดยเร็วที่สุด
“แกโอเคมั้ย ขมิ้น” แจนถาม เมื่ออยู่ ๆ ก็เห็นเพื่อนสนิท ทำท่าเหมือนสะดุ้งตกใจกับอะไรบางอย่าง วาตะยกมือแนบไปที่ตรงลิ้นปี่ เพราะไม่ทันจะได้ตั้งตัว วาตะก็รู้สึกถึงความเย็นวาบจากคอลงมาถึงที่ท้อง ความรู้สึกมันเหมือนกับตอนที่เขาหิวน้ำมาก ๆ ในวันที่อากาศร้อนจัด แล้วเขาดื่มน้ำเย็นนั้นด้วยความรวดเร็ว แต่มันจะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าในความจริง เขากำลังดื่มน้ำอยู่ แต่นี่ไม่ใช่
เคนทร์กดปุ่มปิดเตาไฟฟ้า ก่อนจะเทสิ่งที่ต้มอยู่ในหม้อนั้นลงใส่ถ้วย ชายหนุ่มคว้าตะเกียบมาจากช่องใส่พวกช้อนส้อม ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาหน้าจอทีวี เคนทร์ใช้ตะเกียบคนเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในชาม วนเป็นวงกลมเร็ว ๆ เพื่อไล่ความร้อน ก่อนจะคีบมันขึั้นมา ควันความร้อนลอยตามเส้นบะหมี่ฉุย เคนทร์เป่าปากช่วยระบายความร้อนออกเส้นนั้นสองสามครั้ง ก่อนจะคีบมันเข้าปาก
“รสชาติเป็นยังไงบ้างขมิ้น อร่อยมั้ย” เขมรัฐเอ่ยถามวาตะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ตักอาหารเข้าปาก แล้วทำคิ้วขมวด แบบงงกับอะไรบางอย่าง “ทำไมเหมือนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” วาตะอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป เมื่อรสชาติของอาหารมันไม่ใช่อย่างที่เห็น แต่รสชาติที่ได้รับมันคือบะหมี่ซองรสต้มยำ แถมวาตะยังรู้สึกเบิร์นที่ปลายลิ้น เหมือนกับตอนที่ตัวเองเคยรีบตักเส้นบะหมี่เข้าปากทั้ง ๆ ที่ยังร้อนอยู่ โดยไม่เป่าให้ดีเสียก่อน
พ่อกับแม่ของวาตะนั่งรอลูกชายกลับมาถึงบ้าน มองนาฬิกาเข็มชี้เลยเวลาสี่ทุ่มไปแล้ว แม้ว่าผู้เป็นพ่อจะกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็เอ่ยปากปลอบใจผู้เป็นแม่ ให้ทำใจเย็น ๆ เพราะวาตะเอง ก็เพิ่งโทรมาหา บอกว่าใกล้จะกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ด้วยความที่แม่เองนั้น มีเรื่องราวที่เก็บอยู่ในใจมานาน จากเด็กจนโต จนต้องปล่อยให้วาตะไปอยู่หอเพียงลำพัง ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มาจนถึงตอนนี้
“คืนนี้แรมสิบห้าค่ำ” พ่อของวาตะรู้ดีว่า ภรรยาของตนหมายถึงอะไร “แล้วลูกก็ใกล้จะเบญจเพสในอีกไม่กี่วัน” สิ่งที่ทั้งสองคนกลัวมาตลอด ตั้งแต่รับรู้เรื่องราวนี้ กำลังใกล้จะเกิดขึ้นเต็มที “ลูกเกิดมาโดยมีพิษนาคโดนตัวมาตั้งแต่กำเนิด” พ่อจับมือแม่ดึงเอาไปบีบเพื่อให้กำลังใจ “แม่ไม่อยากให้เกิดอะไรร้าย ๆ กับลูก เรามีลูกอยู่คนเดียวนะพ่อ” แม่มีน้ำตาคลอหน่วย เมื่อคิดกลัวไปว่า สิ่งร้าย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกชายของพวกเขา
เคนทร์ยืนอยู่ที่ใต้ฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำไหลลงจากศีรษะลู่ลงเส้นผมจนเปียกชุ่ม ความเย็นของน้ำไหลเซาะจนร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาเปียกไปทั่วตัว ภาพในความฝันยังคงกระตุ้นความรุ้สึกของเขาอยู่ในตอนนี้ และทันใดนั้น ที่เคนทร์รู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่วาบลงบนไหล่ข้างซ้ายของเขา ลากยาวลงไปตามแนวสะบัก เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของใครบางคน ลอยมาจากที่ไกล ๆ ในห้วงแห่งความทรงจำ
ความรู้สึกมันเริ่มตอนที่วาตะกำลังใส่รหัสชำระเงิน ตอนที่สแกนเงินให้กับคนขับรถแท็กซี่ มันลากผ่านจากไหล่ด้านซ้ายของเขา ไล่ลงไปตามความยาวของสะบัก วาตะฝืนเปิดประตูลงจากรถมาได้ ในมือรีบความหากุญแจประตูรั้ว โดยที่ต้องกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งไหล่ข้างซ้าย มือของวาตะสั่นเทิ้ม เมื่อกำลังไขแม่กุญแจนั้นให้ได้ วาตะไขกุญแจเสร็จ ก็พยายามเลื่อนประตูรั้วให้เปิดออก ก่อนจะต้องปล่อยทั้งกุญแจและแม่กุญแจให้หลุดลงไปบนพื้น เสียงพ่อและแม่ของวาตะร้องตะโกนเรียกชื่อเขา ตอนที่เห็นวาตะล้มหมดสติลงบนพื้น คือสิ่งสุดท้ายก่อนที่วาตะจะหมดสติไป
“กำลังจะกลับบ้านกันแล้วค่ะ” คุณแม่ลูกอ่อน ที่เพิ่งคลอดลูกชายได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์ บอกกับคุณแม่อีกคน ที่พาลูกชายมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล “ดูสินั่น หน้าตาน่าเกลียดน่าชังจริงเชียว แก้มยุ้ยมาก” สายตาทุกคู่ที่อยู่ตรงนั้นมองไปที่เด็กทารกตัวน้อยเป็นตาเดียวกัน “เคนทร์ไม่แกล้งน้องนะลูก” เสียงปรามนั้น ราวกับว่าเคยต้องพูดอะไรแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อเด็กชายวัยห้าขวบ เดินปรี่ตรงเข้าไปหาเด็กทารกในอ้อมแขนของคุณแม่แบบนั้น
“ลูกชายค่ะ ห้าขวบแล้ว เกิดตอนวันออกพรรษาปีนั้นพอดี” ได้ยินเสียงแม่ของเด็กชายที่โตกว่าห้าปีนั้นว่ามา “น้องน่ารักมั้ย” แม่ของเด็กน้อยทารกถาม แต่เสียงที่สั่น กับใจที่เต้นแรง ไม่เข้าใจว่าความประหวั่นนั้นมาจากไหนกัน เป็นไปได้หรือ ว่าความกลัวเกรงนี้จะมาจากเด็กชายวันห้าขวบคนนี้ เด็กชายไม่ตอบ แต่กลับยืนจ้องหน้าของเด็กน้อยทารกนั้นนิ่ง ๆ หลังจากที่สบตากับแม่ของเด็กน้อยแวบหนึ่ง ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเด็กชายวัยห้าขวบ ก้มหน้าลงเข้าหาเด็กทารกตัวน้อยช้า ๆ แล้วบรรจงกดปลายจมูกลงบนแก้มยุ้ยนั้นเบา ๆ ประหนึ่งว่าจดจำกันได้ดี
***************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
รักเอ๋ย - ธงไชย แมคอินไตย์
https://www.youtube.com/watch?v=u7yCirQaWTs
แม้เวลาจะลบเลือนทุกสิ่งให้มันจางหาย
Though time may erase all and everything
แต่ฉันใช้ทั้งหัวใจจดจำเรื่องของเธอ
But I used my heart to memorize things about you
แม้จะทรมานที่ต้องห่างกันแสนไกล
It’s torturing me to stay far, far away from you
แต่ฉันยังคงหายใจ เพื่อรอวันพบเจอ
Yet, I keep breathing each day to stay alive to the day we meet again
กี่คงคาที่กั้นเรา
No matter how many rivers that block us
กี่ทิวเขาที่ขวางทาง
How many mountains stand in the way
หรือแม้ร้อยพันขวากนาม ใจจะข้ามไป
All obstacles are challenging us, my mind is going through
กี่ราตรีที่ล่วงเลย ผ่านเวลาที่หมุนไป
Many nights have already passed, time that’s still ticking
ทุกนาทีของใจยังคิดถึงเธอ
Every minute my heart says I miss you so
(ฉันยังรอ)
I’m right here waiting
รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง
Dear, love – though it’s been long but love’s there
ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ
My heart still belongs to you
ไม่เคยมีวันห่างไกล
Not a single day it strays off
รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ
Dear, love – when it does happen in my heart
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Love will not fade away
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
Time is not a factor for our bond
คืนที่มองไม่เห็นดาว
The starless nights in the sky
รู้ไหมดาวก็ยังอยู่ตรงนั้น
Though stars actually are in the same spot
ความรักแท้ก็เหมือนกันมันไม่เคยหายไป
Like my true love that it’s there where you’ve found it
กี่คงคาที่กั้นเรา
No matter how many rivers that block us
กี่ทิวเขาที่ขวางทาง
How many mountains stand in the way
หรือแม้ร้อยพันขวากนาม ใจจะข้ามไป
All obstacles are challenging us; my mind is going through
กี่ราตรีที่ล่วงเลย ผ่านเวลาที่หมุนไป
Many nights have already passed, time that’s still ticking
ทุกนาทีของใจยังคิดถึงเธอ
Every minute my heart says I miss you so
(ฉันยังรอ)
I’m right here waiting
รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง
Dear, love – though it’s been long but love’s there
ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ
My heart still belongs to you
ไม่เคยมีวันห่างไกล
Not a single day it strays off
รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ
Dear, love – when it does happen in my heart
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Love will not fade away
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
Time is not a factor for our bond
(ฉันยังรอ)
I’ll always be waiting for you
รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง
Dear, love – though it’s been long but love’s there
ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ
My heart still belongs to you
ไม่เคยมีวันห่างไกล
Not a single day it strays off
รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ
Dear, love – when it does happen in my heart
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Love will not fade away
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
Time is not a factor for our bond
รักเอ๋ย
My love
ไม่มีวันที่รักจะจากไป
Not a single day that love will leave us
นานเท่าไหร่ยังผูกกัน
No matter how long it takes, we are still one
-
“กาศยป” พ่อปู่ยื่นกระดาษที่มีภาพวาดและคำหนึ่งคำเขียนกำกับเอาไว้ ที่ดูจะสะกิดใจของเคนทร์มากพอสมควร “กา สะ ยะ ปะ” พ่อปู่พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม ท่าทางขรึมแบบนี้ที่เคนทร์รู้ดีว่า จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่พ่อปู่กำลังพูดกับเขาด้วยความจริงจัง “เผ่าพันธุ์แห่งองค์พญาครุฑ ผู้เป็นใหญ่บนท้องฟ้า” เคนทร์นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกมีอาการวูบไหวไปตามผิวกาย พ่อปู่จับสังเกตอาการนั้นได้ ก็พยักหน้าน้อย ๆ เข้าใจว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่พ่อปู่เคยสัญญาว่า จะเล่าทุกอย่างให้เคนทร์ได้รับรู้
“เอ็ง เจ้าเคนทร์ หากเอ็งจะเคยได้ยินคำว่า ครุฑยุดนาค มาก่อนหน้านี้” พ่อปู่เริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นไปเป็นมาที่ท่านเก็บเอาไว้มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่รับเคนทร์มาเลี้ยงดู เหมือนเป็นลูกหลานของพ่อปู่เอง “เหล่าบรรดาพญาครุฑต่างได้รับพรให้สามารถจับนาคกินเป็นอาหารได้ มันทำให้สองเผ่าพันธุ์นี้ เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาโดยตลอด เพียงแต่ว่า” พ่อปู่หยุดนิดหนึ่ง ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะเล่าต่อไปว่า
“นาโครคินทระ นา โค ระ อิน ทะ ระ” อีกหนึ่งภาพวาดที่มีชื่อกำกับอยู่ ถูกวางอยู่ตรงข้างหน้าของเคนทร์ วงศ์วานพญานาค ที่มีชาติกำเนิดสูง ได้รับการยกเว้นเอาไว้ โดยกาศยปและนาโครคินทะระ มีข้อตกลงกำหนดร่วมกันเอาไว้ที่ใต้ต้นมหาโพธิ์ใหญ่ ปากมหาสมุทรที่มีพญานาคผู้สูงส่ง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ดูแลเฝ้าห้วงผืนน้ำนั้นเอาไว้ ส่วนบรรดากาศยปพญาครุฑนั้น ใช้เป็นทางบินลงมาที่พื้นโลก ณ จุดที่ตรงนี้” มาถึงตรงนี้ พ่อปู่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเล่าเรื่องต่อไปว่า
“ข้อหนึ่งนั้น ถูกกีดกั้นด้วยชาติกำเนิดและเผ่าพงศ์” พ่อปู่มองไปที่เคนทร์ ที่เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าคมเข้มแบบไทยแท้ คมสัน คมคาย เพียงแต่ดวงตาทั้งสองนั้นต่างหาก ที่นัยน์ตาโศกนั้น ไม่อาจจะซ่อนเอาไว้ได้ “เมื่อพระแม่นาง มเหสีองค์เดียวแห่งมหาครุฑ เป็นมนุษย์ และเป็นผู้เดียวที่สามารถทำบุญถวายองค์พระได้ พระนางมีลูกชายอยู่หนึ่งคน ที่กำเนิดผิดแผกไปจากบรรดาพี่น้องครุฑอื่น ๆ ในเผ่าพันธุ์ และทำหน้าที่พาพระนางแม่ของตน ลงมาทำบุญที่พื้นโลก เพื่อแผ่บุญนั้นกลับไปสู่เหล่ากาศยป” พ่อปู่ยกน้ำชาขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“บุตรคนโตของนาโครคินทระ” พ่อปู่สบตากับเคนทร์ ก่อนจะวางภาพวาดที่สามลงที่ด้านหน้าของเคนทร์ ที่ทำให้ชายหนุ่มเอง ยังตกใจไปกับความละม้ายคล้ายคลึงกับตัวเขาเป็นอย่างมาก ด้วยภาพของชายหนุ่มที่ด้านบนเป็นมนุษย์ส่วนด้านล่างเป็นหางของพญานาค “โภคิน” พ่อปู่พูดต่อ “วันออกพรรษาเป็นวันที่โภคินผู้เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ขึ้นมาจากเมืองบาดาลมาที่เมืองมนุษย์ เพื่อรับพรจากองค์ผู้มีพระภาคเจ้า” พ่อปู่ดื่มน้ำชาอีกครั้ง
“บุตรชายของพระนางแม่แห่งเหล่าครุฑ ทิชชากร ผู้มีใบหน้าสวยงามยิ่งกว่าอิสตรีใด มีใบหน้าเป็นมนุษย์ ไม่ได้มีปากนกแหลมเช่นบรรดาพี่น้องต่างมารดา ผิวกายละเอียดผ่องพรรณ พาพระแม่ของตัวเองบินลงมาที่เมืองมนุษย์ เพื่อการบุญนั้น และคงเป็นโชคชะตา วาสนาที่นำพา โภคินที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างยาวนาน เพื่อหวังว่าวันหนึ่งหากตัวเองมีบุญมากพอ จะขอถือกำเนิดเป็นมนุษย์ต่อไปภายภาคหน้า ส่วนทิชชากร ที่รู้สึกแต่ว่าตัวเองไม่ใช่พวกเดียวกับเผ่าพงศ์ แปลกแยกและแตกต่าง” เคนทร์นึกถึงภาพในความฝันของใครคนนั้น ที่เขาฝันเห็นอยู่ซ้ำ ๆ
“หนึ่งคือครึ่งครุฑครึ่งมนุษย์ อีกหนึ่งคือนาคที่บารมีกล้าแกร่งแปลงกายเป็นมนุษย์ได้” พ่อปู็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เคนทร์มองเห็นพ่อปู่ดูอ่อนแรงลงไปมาก มากกว่าครั้งที่แล้วที่เขามาหา “ว่ากันว่า นาโครคินทระ นั้นคือเผ่าพันธุ์พญานาคที่ดุร้ายและไม่ยอมใคร ยิ่งเป็นบรรดาพญาครุฑ ที่แม้จะสงบศึกกันไป แต่ก็ยังคงเหยียดหยามนาคอยู่เสมอ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ครุฑเพียงหนึ่งเดียว ที่โภคินยอมให้ ด้วยความอ่อนโยนที่ผิดแผกแปลกวิสัยไป และนั่นคือทิชชากร ผู้มีนามแปลว่านก ไม่ใช่” อย่างวงศ์พญาครุฑ” ใบหน้าที่เคนทร์เห็นในความฝันนั้น เขาจำได้ไม่ลืม ไม่ว่าจะหลับหรือลืมตาก็ตาม
“ผมขอถามได้มั้ยครับแม่” เขมรัฐพูดขึ้น เมื่อทั้งหมดลงมาที่ห้องรับแขกด้านล่าง หลังจากที่ขึ้นไปดูวาตะที่ยังคงหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอน และเมื่อเห็นแม่ของวาตะพยักหน้าอนุญาตอย่างพอจะเข้าใจได้ว่า เพื่อนทั้งสองคนของลูกชายของเธอ แจนและเขมรัฐ คงต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน “มันเกิดอะไรขึ้นกับวาตะกันแน่ครับ เพราะตอนกินข้าวกันอยู่ที่ร้านอาหาร วาตะบอกว่าเขารู้สึกเจ็บที่หน้าอก เหมือนดื่มน้ำที่เย็นจัดลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ดื่มน้ำในตอนนั้น” เขมรัฐกำลังรู้สึกว่า เรื่องนี้มันแปลกเกินไป หากมันไม่มีคำอธิบายใด ๆ
“ใช่ค่ะแม่ แถมขมิ้นสั่งสเต๊กมากิน แต่เขาบอกว่าเหมือนถูกน้ำร้อนลวกที่ลิ้น น้ำร้อนประเภทที่ว่า แบบซุปร้อน ๆ ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำอะไรแบบนั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะแม่ คือถ้ามันเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือสปาเกตตี หนูยังพอจะเชื่อได้บ้าง” แจนเองก็ยอมรับว่า ตอนที่ได้ยินวาตะพูดมาแบบนั้น แจนก็อึ้งเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่าวาตะเป็นเพื่อนที่ไม่ได้ชอบอำ หรือว่าสร้างเรื่องตลกอะไรแบบนี้
“พวกลูก ๆ เคยได้ยินคำว่า พิษนาค มั้ย” นิ่งไปอยู่อึดใจ แม่ของวาตะก็พูดขึ้น ส่วนพ่อของวาตะเดินไปที่ในครัว เพื่อไปเอาน้ำดื่มมาให้กับทุกคน แจนและเขมรัฐหันมามองหน้ากัน ก่อนจะต่างพากันส่ายหน้าเพราะนี่คือครั้งแรกจริง ๆ ที่ทั้งคู่ได้ยินอะไรแบบนี้ แม่รอจนพ่อกลับมาด้วยน้ำดื่มสี่แก้ว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่คนเป็นแม่เอง จากที่ไม่เชื่อว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง ต้องเชื่อจนสนิทใจ
“ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะหลวงพ่อ” แม่ยกมือไหว้ท่าเจ้าอาวาสวัดที่เธอมาทำบุญอยู่บ่อย ๆ ด้วยว่าท่านเป็นสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และคิดว่าคงจะช่วยลูกน้อยของเธอได้ “ตอนนี้ย่างเข้าเดือนที่หกแล้ว นี่ก็ตั้งแต่เขาเกิดมาเลย หนูสงสารลูกมากเจ้าค่ะ” หลวงพ่อมองดูเด็กชายตัวน้อยที่ร้องโยเยไม่ยอมหยุด เหมือนกับว่ากำลังเจ็บปวดกับอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก
“เจ้าหนูนี่มันชื่อว่าอะไรล่ะ” หลวงพ่อเอ่ยถามเมื่อท่านทำท่าเหมือนกับว่า ท่านรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง “วาตะค่ะหลวงพ่อ” หลวงพ่อมองไปที่พ่อและแม่ ก่อนจะก้มลงมองเด็กน้อยนั่นอีกครั้ง “ลม เจ้าแห่งท้องฟ้าสินะ” หลวงพ่อท่านพูด ก่อนจะยกตัวของเด็กน้อยที่นอนอยู่ในเปลขึ้นอุ้ม “อืม” หลวงพ่อเปิดเสื้อดูที่ไหล่ข้างซ้ายของเด็กน้อย จุดสีแดงนั่นมีขนาดเท่ากับเหรียญบาท เสียงแม่บอกกับหลวงพ่อว่า มันใหญ่ขึ้นกว่าตอนเกิดมาก จากที่เป็นเพียงจุดสีแดงเล็ก ๆ
“เขาทำสัญลักษณ์ของเขาเอาไว้ ว่าเมื่อพบกันอีกครั้ง เขาจะได้จำกันได้ และมันไม่ใช่เฉพาะเขาหรอกนะที่อยากจะจำ เจ้าหนูนี่ ก็เช่นกัน เราไปฝืนอะไรที่เขาลั่นวาจา สาบานกันเอาไว้แล้วไม่ได้หรอกนะ โยม” พ่อและแม่ของเด็กน้อยไม่เข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อพูด “อธิบายง่าย ๆ ไอ้การที่โยมทั้งสองมาเจอกันแต่งงานกัน นั่นก็เพราะกรรมที่ทำร่วมกันมา นำพาให้มาเป็นคู่กัน ทั้งกรรมดีและกรรมเลว” หลวงพ่อท่านพูด
“เจ้าหนูนี่ก็เช่นกัน กับสิ่งที่ติดตัวเขามา กำหนดให้เขาเป็น” แม่ของเด็กน้อยรีบถามขึ้นในทันที ที่ได้ยินหลวงพ่อพูดมาแบบนั้น “ช่วยอะไรลูกหนูได้บ้างมั้ยเจ้าคะหลวงพ่อ” คำถามนั้นทำให้หลวงพ่อต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ “กิจของสงฆ์คงทำอะไรให้ไม่ได้มากนักหรอกโยม” หลวงพ่อพูดก่อนจะวางเจ้าตัวน้อยลงบนเปลตามเดิม “เอาเป็นว่า” หลวงพ่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“วาตะคามิน” พลันเสียงร้องไห้โยเยนั้นก็เงียบหายลงไป แววตาใสแป๋วของเด็กน้อยจับจ้องไปที่ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ “เออ ว่าไง เย็นลงบ้างแล้วสินะ พิษนาคน่ะ” พ่อและแม่ยิ่งตกใจไปกันใหญ่ ที่เห็นลูกชายจองพวกเขาหัวเราะออกมา เอามือกำนิ้วชี้ของหลวงตาเอาไว้ “วาตะแปลว่าลม” หลวงพ่อท่านพูด ภาพในนมิตที่ผ่านมาให้ท่านเห็นนั้น
“คามินแปลว่าสีแดง” หลวงพ่อพูดกับพ่อแม่ของเด็กน้อย “สีแดงเลือดนก” หลวงพ่อท่านพูดจากภาพนิมิตนั้น “ครุฑกับนาค เขาไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครุฑหนึ่ง และนาคหนึ่ง ผิดแผกจากเผ่าพันธุ์ เอาเป็นว่าโยมทั้งสองให้ชื่อวาตะคามินติดตัวเขาไว้ก่อน ให้เขารับรู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งที่เคยเป็นมา ทั้งที่กำลังจะเป็นต่อจากนี้ และนี่ เอานี่ไป” หลวงพ่อยื่นตลับหนึ่งใส่มือผู้เป็นพ่อของเด็กน้อย
“เริ่มตั้งแต่เข้าพรรษานะ อย่าให้ขาด เอาสีผึ้งนี้ ป้ายที่ปานแดงนั่น ทาทุกวัน ก็คงพอจะช่วยได้บ้าง แต่พอถึงออกพรรษา ช่วงนั้นจะหนักหน่อย เขาทวงคนของเขา ส่วนช่วงอื่น ๆ หมั่นทำบุญพาเจ้าหนูนี่ไปด้วย สอนให้เขาแผ่เมตตา สอนให้รู้จักการให้อภัย แต่โยมต้องรับรู้ไว้ก่อนว่า ไม่มีอะไรสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้จริง ๆ หรอก วันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี พิษนาค ก็ให้ระวังเรื่องน้ำ ภัยจากน้ำ น้ำร้อน ลมพิษ งูเงี้ยวเขี้ยวขอ” หลวงพ่อพูดบอกกับพ่อและแม่ของหนูน้อย
“โยมอาจจะยังไม่เข้าใจทั้งหมดในตอนนี้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง ทุกสิ่งมันจะเกิดขึ้นโดยบุพกรรมนั้นจัดสรรบันดาล สิ่งที่ทำได้ ช่วยได้ ให้เจ้าหนูนี่มันเลี้ยงง่ายขึ้น โยมสองคนเหนื่อยน้อยลง อาตมาก็ทำได้เพียงเท่านี้แหละ” แจนและเขมรัฐได้แต่มองหน้ากัน กับสิ่งที่แม่ของวาตะเล่าให้ฟัง เพราะจำได้ว่า วาตะเล่าเรื่องที่เขาเกือบจะจมน้ำได้ในตอนเด็ก ดีว่าพ่อของวาตะมาเห็นเข้าก่อน และดึงวาตะขึ้นมาจากสระน้ำเป่าลมนั่นได้ทัน
“อุรเคนทร์” พ่อปู่เรียกชื่อคนที่พ่อปู่ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก เอ็งเองล่ะ เอ็งก็รู้ใช่มั้ย ว่าชื่อของเอ็ง” พ่อปู่ถามชายหนุ่ม ที่พ่อปู่ยกมือห้ามไม่ให้เข้าไปหาท่าน หลังจากที่เคนทร์เห็นพ่อปู่ไอออกมาอย่างหนัก “ชื่อเอ็งแปลว่าพญานาค” หลวงปู่ไออกมา ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก “ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าพ่อและแม่เอ็งจะใช้ชื่อไหนเรียกเอ็ง เอาสิวะ เอ็งไม่เคยหันเลยสักชื่อ” พ่อปู่หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูลูกหลาน
“แต่พอข้าขอเรียกเอ็งว่าอุรเคนทร์เท่านั้น เอ็งก็ยอมให้ข้าเลี้ยงดูเอ็งได้สักที” พ่อปู่พยักหน้าเมื่อเห็นสีหน้าของเคนทร์ที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างมาก “พิษเอ็งมันร้าย เจ้าเคนทร์ พิษนาค” พ่อปู่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หากรับเลี้ยงดูอุรเคนทร์ วันหนึ่งนั้น “ข้าจะต้องตายด้วยการหาสาเหตุไม่ได้ เพราะพิษนาคนั้น” แต่พ่อปู่ก็รักเคนทร์ดุจลูกหลานของพ่อปู่เอง “แต่พิษนาคนั้น ก็เกิดขึ้นกับคนของเอ็งเช่นกัน แต่มันคนละอย่างกับที่เกิดกับข้า” พ่อปู่บอกกับเคนทร์
“จนกว่าเอ็งจะหาเขาเจอ สิ่งที่เอ็งรู้สึก สิ่งที่เอ็งสัมผัส เขาจะรับรู้ได้ผ่านน้ำ ยิ่งใกล้ออกพรรษาแล้ว ขึ้นสิบห้าค่ำ และเช่นกัน สิ่งที่เขารู้สึก เอ็งก็จะรับรู้ได้เช่นกัน” เคนทร์ตอนรับคำพ่อปู่ แต่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปประคองพ่อปู่ ต้องเรียกให้ศิษย์คนอื่นมาพยุงพ่อปู่ เพื่อนำส่งโรงพยาบาล อาการของพ่อปู่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่พ่อปู่ไม่ยอมบอกให้เคนทร์รู้ จนเมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว
ภาพที่เคนทร์เห็นในความฝัน เริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้ เคนทร์รู้สึกหงุดหงิดบ้าง เมื่อพ่อปู่ได้แต่พูดบอกกับเขาว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็จะเกิดขึ้นเอง กับสิ่งที่ชายหนุ่มถามไปว่า เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เมื่อเวลามาถึง สิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จะแสดงตัวออกมาเอง และจะดำเนินไปอย่างที่ทุกอย่างนั้นจะต้องเกิดขึ้น และอีกเพียงไม่กี่วัน สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ข้าอ้อนวอนว่าต่อจากนี้ ขอเพียงมีที่พักพิงอาศัย แม้นเกิดอีกชาติหน้าฉันใด บำเพ็ญเพียรขอได้ตามอุรา” โภคินกอดทิชชากรเอาไว้ในอ้อมอกจนแน่น แต่อีกฝ่ายดันตัวของเขาออกห่าง “ข้าเองต่างหากที่บุญน้อย วาสนาต่ำต้อยฉุดรั้ง เพียงได้รักท่านแค่เพียงครั้ง ใจสมดั่งประสงค์มุ่งหมาย” ทิชชากรไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายใด ๆ กับโภคิน เมื่อท่านพ่อเจ้าเอ่ยปาก ว่าจะยกเรื่องนี้ให้ หากทิชชากรยอมกลับขึ้นไปเมืองครุฑ และจะไม่ลงมาพบกับโภคินอีก ตลอดไป
“แต่หากวันหนึ่งเป็นไปได้ เราคงรักใคร่สมหวัง ดินแดนแห่งนั้นว่านามตั้ง ไร้ชิงชังคือดั่งสุวรรณภูมิ” โภคินได้ยินแบบนั้น ก็ดึงตัวของทิชชากรเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปาก “ข้าขอสัญญาสาบานว่า ต่อให้นานเกินกว่าศตวรรษ จะเร่งรัดตามเจ้าวิหคศกุนต์ชาติ รักเราคืออำนาจเหนือสิ่งใด” ทิชชากรหลับตาเพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ก่อนที่จะต้องรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานสุดจะบรรยาย เมื่อโภคินคายพิษนาคลงที่ไหล่ข้างซ้ายของทิชชากร พิษนั้นไหลลงบนปีกของทิชชากร ทำให้เลือดจากปีกไหลนองไปทั่วบริเวณ
โภคินต้องตัดใจ กลับลงไปใต้บาดาล ด้วยจิตที่ตั้งมั่นจะบำเพ็ญเพียร เพื่อจะได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์และครองรักกับทิชชากรที่สัญญาสาบานกันเอาไว้ ว่าจะต้องมีสักครั้ง ที่ทั้งสองได้สมหวังต่อจากนี้ พระนางแม่ที่ตอนนี้บินอยู่กับท่านเจ้าพ่อของทิชชากร ได้แต่ร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นลูกชายของพระนางตัดสินใจแบบนั้น และตอนนี้กำลังทุรนทุรายไปกับพิษนาคที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส
ทิชชากรเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ร้องเรียกหาพระนางแม่ด้วยน้ำตาอาบหน้า แต่ก็รู้ดีว่า ตัวเองได้ตัดสินใจเลือกทางชีวิตของตัวเองไปแล้ว ทิชชากรพยายามบินขึ้นด้วยปีกที่เหลืออยู่เพียงด้านเดียวของตัวเอง ด้วยพละกำลังที่เหลือทั้งหมดของตัวเอง เลือดจากปีกที่ใช้ไม่ได้แล้ว ไหลปลิวไปตามลมที่พัดมา ก่อนที่ร่างของทิชชากรจะหมดแรง และร่วงลงไปนอนอยู่บนพื้นดิน โดยที่สายตามองเห็นว่าที่บนท้องฟ้านั้น พระนางแม่ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นแล้ว
*******************************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง - INK WARUNTORN
https://www.youtube.com/watch?v=xXUFl-hDG2g
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
If you love someone, do you really know it?
ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
That your love will be temporary or it will last forever
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ
If you find somebody, that you feel them so precious
เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร
When your eyes meet, how does that make you feel?
รักหนึ่งอาจเกิดด้วยใครลิขิตหรือมันอาจเกิดด้วยตาต้องใจ
One love may occur with destiny, or it was just pure attraction
หรือมันอาจเกิดด้วยเหตุผลใด ใครเล่าเลยใครจะเลยล่วงรู้
Though it may be because of various reasons, who know whichever works for you
อาจเกิดเพราะใครกำหนดหรือใครขีดกฎเกณฑ์ไว้ให้เจอ
It may happen because it’s meant to be, or it’s just rule of nature
ให้เราต้องพบกันอยู่เสมอทุกครั้งไป
So, we cross our paths in life always
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
If you love someone, do you really know it?
ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
That your love will be temporary or it will last forever
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ
If you find somebody, that you feel them so precious
เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร
When your eyes meet, how does that make you feel?
เมื่อรักผลิบานในความรู้สึก เธอไม่ต้องตรึกตรองลึกลงไป
When love is blooming in feelings, you don’t need to dig deep to find out
ขอเธอติดตามฟังเสียงหัวใจ พาล่องลอยไปจนไกลดุจฝัน
All you do is to listen to your heart, it’ll take you float away like you’re dreaming
เมื่อรักไม่อาจกำหนดและไม่อาจกดเก็บไม่ให้เกิด
So that love cannot design, and it cannot be suppressed from happening
เธอเพียงแค่ปล่อยให้ใจเตลิดลอยไป
You now need to let it flow and fly away
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า
If you love someone, do you really know it?
ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น
That your love will be temporary or it will last forever
ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ
If you find somebody, that you feel them so precious
เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร
When your eyes meet, how does that make you feel?
ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง และติดตราตรึงหัวใจ
If you do love someone, you love them wholeheartedly
ความรักจะเกิดขึ้นมาแบบไหนอย่างไรคงไม่สำคัญ
How love now shines, whatever it is, doesn’t really matter
เท่าเธอรักด้วยทั้งหมด ทุกสิ่งที่มันเป็นฉัน
It’s not bigger than you can love, love everything that’s made of me
ในชีวิตนี้แค่นั้นที่ใจฉันต้องการ
In my life, this is all I am asking for
แม้นานแค่ไหน
No matter how long it is
จะเป็นความรักหนึ่งเดียวที่ใจฉันต้องการ
This is the only love that my heart desires