พิมพ์หน้านี้ - Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-04-2025 10:37:04

หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-04-2025 10:37:04
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


แนะนำนิยาย

เขาเคยเป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็ก
เคยเป็นความรักในวัยเรียน
และสุดท้าย... กลายเป็นคนแปลกหน้า
กลายเป็นความทรงจำที่ไม่มีใครกล้าเปิดดู

แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ชื่อของเขาก็ยังซ้อนอยู่ในหัวใจของผมเสมอ

นี่ไม่ใช่แค่นิยาย
แต่มันคือบันทึกของความรัก
ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงของชีวิต

จากเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ในวันนั้น
งอกงาม... เติบโต
และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่
แข็งแรงพอจะต้านลมพายุ

เพราะบางครั้ง
เราอาจต้องใช้ทั้งชีวิต
เพื่อเฝ้ารอใครสักคน
...คนที่เป็น ‘รักเดียว’
ในหัวใจเสมอมา

Love, In Every Lifetime
นิยายที่จะพาคุณย้อนกลับไป
พบ "รักเดียว" ของคุณเอง
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : แนะนำตัวละคร
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-04-2025 10:59:31
แนะนำตัวละคร
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 1 (Coming of age, Slice of life, Feel good)
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-04-2025 15:09:53
ตอนที่ 1 : วันเปิดเทอม


ผมพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง นับแกะหมดไปเป็นฝูงจนเข็มสั่นของนาฬิกาเลยเลข 2 ไปแล้วเกือบครึ่ง ก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้ ... นาฬิกายังเดินไปเรื่อย ๆ ทุกเสียงติ๊กต๊อกยังดังก้องอยู่ในหัว เวลามีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลผมมักจะนอนไม่หลับเสมอ ... ผม มิลค์ ติณสิงห์ สิงหนาฏ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ป้ายแดงที่ตอนนี้กำลังนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงวันเปิดเทอมวันแรกที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง ห้องเรียนใหม่ บรรยากาศใหม่ อาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ และที่สำคัญคือเพื่อนใหม่ แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปีแต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เล่านี้กลับทำให้ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ มีเพียงที่นึกถึงแล้วพอจะช่วยคลายความกังวลได้นั้นคือเพื่อนสนิทที่ปีนี้เราก็ยังโชคดีได้อยู่ห้องเดียวกันอีกครั้ง

ความคิดของผมถูกตรึงไว้กับความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนสนิท ยิ่งนึกถึงความรู้สึกก็ยิ่งผ่อนคลาย ชีวิตของผมดำเนินไปอย่างเรียบๆ ไม่มีอะไรหวือหวาในขณะที่อีกคนโลดโผนเกินวัย แม้จะแตกต่างแต่เราก็เป็นเพื่อนกันมาถึงทุกวันนี้ ... เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนหาย ผมเข้าสู่ห่วงนิทรา โดยไม่รู้เลยซักนิดว่าหลังจากวันนี้ชีวิตของผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ก้าวขาเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่เจอคือจรวดพับกระดาษลอยมาจนเกือบจะทิ่มหน้า ยังดีที่หลบทัน ไม่มีใครสนใจการมาถึงของผม เสียงพูดคุยในห้องยังดังระงม เปิดเทอมวันแรกก็แบบนี้มีเรื่องให้ update ชีวิตกันมากมาย ผมมองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนสนิทยกมือเรียกสุดแขน มันเลือกที่นั่งแถวกลางริมขวา เพราะมันบอกว่าไปศึกษามาแล้วตำแหน่งนี้เป็นต่ำแหน่งที่ครูให้ความสนใจน้อยที่สุด

“กูนั่งไหน” ผมถามเมื่อหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามัน

“ข้างกูซิวะ กูจองที่ไว้ให้” มันพูดพลางเอื้อมมือมายกกระเป๋าเป้ของตัวเองออกจากโต๊ะข้าง ๆ

“มึงแดกข้าวยัง” ผมถามเมื่อวางกระเป๋านักเรียนลงเก้าอี้ ถือเป็นการเสร็จสิ้นการสร้าง land mark

“ยัง รอมึงเนี่ย กลัวไม่เฝ้าไว้แล้วโดนแย่งที่”

“เออๆ ขอบใจ งั้นไปโรงอาหารกัน”

“รีบเลย กูโคตรหิว” มันลุกขึ้นพร้อมกับกอดคอผมออกจากห้อง

ผมนั่งอยู่กลางโรงอาหาร สลับหน้าที่ในการจองโต๊ะกับเพื่อนสนิท เพราะบ้านผมอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเลยมีเวลาให้กินข้าวเช้าก่อนออกจากบ้าน ส่วนมันที่บ้านอยู่ไกล ทำให้ต้องตื่นเช้าและมาหาข้าวเช้ากินที่โรงเรียนเป็นประจำ ผมมองบรรยากาศโดยรอบ เด็กนักเรียนชายนับร้อยเดินกันให้ควักไขว่ บางโต๊ะก็มีพ่อแม่มานั่งให้กำลังใจเด็กตัวน้อย ไม่นานมันก็เดินกลับมา มือหนึ่งถือจานข้าว อีกมือถือแก้วน้ำมา 2 ใบ

“ของมึง” แก้วน้ำอัดลมสีดำถูกเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า

“ขอบใจ” มันไหวไหล่แบบไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว

ไอ้นี้ชื่อ “บอน” เพื่อนสนิทที่สุดของผม รู้จักกันมาตั้งแต่ ป.5 อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาหรือเวรกรรมที่ทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทำผมกับมันได้อยู่ห้องเดียวกันมาตลอดจนถึงปัจจุบัน

“มึงสูงขึ้น?” ผมถามในขณะที่เรา 2 คนเดินกลับมาจากโรงอาหาร

“มึงเตี้ยลง?”

“กวนตีน” มันสูงขึ้นจริงๆ ก่อนปิดเทอมเรายังตัวใกล้กัน แต่ตอนนี้มันสูงเกินผมไปแล้ว

“มึง ... ใครวะ” เรา 2 คนหยุดอยู่หน้าประตู เพื่อนสนิทกระทุ้งศอกเข้าที่สีข้างของผม คิ้วหนาของมันขมวดเป็นปม เพราะที่นั่งด้านหลังของผมถูกจับจองโดยใครซักคนที่เราไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า

“ขึ้นมาพร้อมกัน มึงไม่รู้ แล้วกูจะรู้ไหม”

“เอ้า!!! ถามดีๆ กวนตีนกูอีก” มือใหญ่ๆ ผลักหัวผมเป็นเชิงหยอกล้อ

“กูกวนตรงไหน อยากรู้ก็ถามซิวะ ...”

“... หวัดดี นายชื่ออะไร เราชื่อมิลค์ นี่บอน” ผมหันหลังกลับไปถามทันทีที่หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ เห็นจากหางตาว่าไอ้บอนเดิมมาหยุดอยู่ข้างๆ

“เราจี ... พูดกูมึงได้นะ พูดสุภาพแล้วกูไม่ค่อยชิน 555”

“กูก็ไม่ชิน...” ผมตอบรับพร้อมกับเปิดบทสนทนา

“... มึงมาจากห้องไหนอะ”

“ห้อง 15”

“มาคนเดียวเลยเหรอ”

“เปล่าๆ มาหลายคนแต่ไม่ค่อยสนิท ...” จีตอบพลางมองซ้ายขวา

“... ไอ้นั้นก็มาจากห้อง 15 ชื่อแอมป์” ผมมองตามที่ปลายนิ้วชี้ของจี แอมป์มองกลับมาที่พวกผม คิ้วหนายกสูง ทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตาของพวกเราทั้ง 3 คน



...



เปิดเทอมได้ไม่นานก็เริ่มมีงานกลุ่ม วิชาไหนจับกลุ่ม 2 คน ผมก็จะคู่กับบอน แต่ถ้ากลุ่ม 3 คนก็จะเป็นผม บอน และจี ชีวิต ม.2 ไม่มีอะไรแตกต่างจากปีที่แล้ว เรียน เล่น ทำการบ้านวนเวียนไปเป็นวัฏจักร

“ไอ้บอน มึงจะหนีไปไหน” มันชะงักเท้าทันทีที่ผมตะโกนถาม ร่างสูงค่อยๆ หันมาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อยที่โดนจับได้ว่าแอบไปทำอะไรผิดมา

“เอออออออออออ กู ... คือออออออออออ กู” มันอ่ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะพูดอะไรแล้วก็กลืนกลับลงคอไป

“มึงจะโดดไปหาสาวใช่ไหม” ผมหรี่ตามองอย่างรู้ทัน

“เอ่อน่า กูนัดจุ๊กจิ๊กไว้”

“แต่บ่ายนี้เรานัดกันทำงานกลุ่มนะเว้ย” ผมแย้ง วันนี้วันเสาร์พวกเรามีเรียนพิเศษเสริมกันที่โรงเรียนแค่ครึ่งวันเช้า บ่ายไหนว่างก็ไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง แต่ถ้าต้องทำการบ้านบ่ายวันเสาร์ก็เป็นเวลาที่ดีเพราะสามารถทำได้ไปถึงช่วงเย็น และถ้าไม่เสร็จก็นัดกันวันอาทิตย์ต่อได้

“ก็ ... กูไปก่อนนะ” พูดจบมันก็วิ่งออกจากห้อง

“ไอ้เหี้ย!!! #$*#@><*&&$###@!!!” ผมสาดคำผรุดสวาทตามหลังเพื่อนสนิท แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ฟังก็ตาม

“ฮ่าๆๆ”

“ขำไรวะ” ผมถามจีที่ขำไปพลางเก็บของเข้าเป้ไป

“กูเห็นมันลุกลี้ลุกลนตั้งแต่ก่อนหมดคาบ นึกอยู่แล้วว่ามันต้องชิ่ง ... ปะ ไปกินข้าวกัน”

“เออ แม่ง กินแรงชิบหาย ครั้งก่อนโน้นก็หนี” ผมพูดพรางคว้ากระเป๋าตามจีไปโรงอาหาร

โรงอาหารหลังเลิกเรียนวันเสาร์ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ แต่ร้านค้าก็เปิดขายไม่ถึงครึ่ง โรงเรียนผมมีนักเรียนตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6 รวมๆ กันก็น่าจะหลายพันคน เรียนพิเศษวันเสาร์จะมีเฉพาะ ป.1-ม.3 แล้วก็ไม่ได้บังคับเรียน คนเลยหายไปเกินครึ่ง

“มึงกินเหมือนเดิมปะ” จีถาม

“เหมือนเดิม”

“งั้นกูไปซื้อข้าว เดียวมึงไปซื้อน้ำ”

“เอางั้น?”

“เออ จะได้ไม่เสียเวลา”



“กินน้ำเปล่า ไม่เบื่อเหรอวะ” ผมถามจีพลางตักข้าวเข้าปาก

“ไม่นะ ก็ปกตินิ แล้วมึงกินแต่น้ำอัดลมไม่เบื่อเหรอวะ”

“ก็ไม่ มันหวานๆ ซ่าๆ ... ทำไมมึงกินแต่น้ำเปล่า กูไม่เคยเห็นมึงกินน้ำอัดลม น้ำหวานมึงก็ไม่กิน”

“ไม่รู้วะ น่าจะติดมาจากที่บ้านมั้ง ที่บ้านกูไม่มีใครกินน้ำหวานหรือน้ำอัดเลย กินแต่น้ำเปล่า ...” เชี่ย!!! Healthy ไปไหนวะ

“ไข่ดาวไม่สุกนี้ก็ติดมาจากที่บ้านด้วยเปล่า” ผมเหลือบตามองไข่แดงสีส้มเยิ้มๆ บนจานข้าวของจี นอกจากกินแต่น้ำเปล่านี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่จีชอบกินมากคือไข่ดาว กินทุกมื้อ อย่างน้อยก็มื้อกลางวัน และจะต้องเป็นไข่ดาวที่ไข่แดงไม่สุกเท่านั้น ถ้าสุกมันไม่กิน ต่างจากกับผมที่กินได้หมดทั้งสุกและไม่สุก

“อืม ... มึงก็น่าจะลองดูบ้าง”

“เออๆ ไว้จะลอง”

“ไอ้เหี้ยบอนนี้ก็เจ้าชู้เหมือนกันนะ ครั้งก่อนกูจำได้ว่าไม่ได้ชื่อจุ๊กจิ๊ก รวมถึงเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ด้วย”

“เออ มันแรดไง สงสัยจะเป็นเอดส์ตายเข้าซักวัน ป้องกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“มึงพูดจริงดิ ... ไหนๆ เล่าให้กูฟังดิ” คนตรงหน้าทำตาโตเท่าไข่ห่าน จานข้าวที่กินใกล้จะหมดถูกเลื่อนไปวางไว้ด้านข้าง ในขณะที่ผมที่กินได้ไม่ถึงครึ่งเลยตัดสินใจกินไปพูดไป

“กูจะไปรู้รายละเอียดได้ยังไง ไม่ได้แอบอยู่ใต้เตียงมันซักหน่อย”

“มันไม่เคยเล่าให้มึงฟังเหรอ”

“ก็เล่าบ้าง แต่ไม่ได้ละเอียด ส่วนมากก็บอกแค่ว่าได้กันแล้ว”

“พอได้แล้วมันก็เลิกแบบนั้นปะ”

“ก็ไม่ถึงขนาดฟันแล้วทิ้งหรือ one night stand หรอก … มันเป็นคนขี้เบื่อมากกว่า มันเคยเล่าให้ฟังว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่รู้สึกใจเต้นเวลาอยู่กับเขาแล้วมันก็เลิก”

“เชี่ยยยยยยย ... idol สาสสสสสสสส”

“...” ผมขมวดคิ้ว แม้เราจะอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ผมกับจียังไม่ได้สนิทกันถึงขนาดพูดเรื่องใต้ร่มผ้ากัน เหมือนผมกับบอน

“เปล่าๆ อย่าเข้าใจกูผิด กูไม่ใช่คนแบบนั้น ...”

“... ไม่ใช้จริงๆ แฟนกูยังไม่เคยมีเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” มันรีบอธิบายเมื่อถูกผมหรี่ตามอง

“เออ กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แกล้งมึงไปงั้น” ผมละความสนใจจากจีแล้วกลับมากินข้าวต่อ

“แล้วมึงละ มีแฟนยัง”

“ฮึ ยังอะ ยังไม่เคยมีแฟนเลย” ผมพูดพลางส่ายหัว

“เดียวเจอคนที่ใช่เมื่อไหร่ ก็มีเองแหละเนอะ” พูดกัน 2 คนก็เออออกันเอง 2 คน


“มึง ตรงนี้เอาไวดีวะ” ผมใช้ข้อศอกสะกิดจีที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเราย้ายมาทำงานที่ห้องสมุดเนื่องจากเป็นสถานที่เดียวในโรงเรียนที่มีคอมให้ใช้ทำงานได้

“ไหนวะ ...” จียื่นหน้าเข้ามา

“... กูว่ามันเอาเนื้อหาตรงนี้มาต่อได้นะ ...” มันพูดพลางหันไปลื้อกองหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ

“... อะ อันนี้ แล้วก็ต่อด้วยเล่มนี้ เล่มนี้ และเล่มนี้ กูคั่นหน้าไว้ให้หมดแล้ว” ผมรับหนังสือที่จีส่งมาให้รัวๆ ยอมรับตามตรงว่าชีวิตผมดีขึ้นมากเมื่อมีจีมาเป็นสมาชิกในกลุ่ม หลังจากรู้จักกันได้ไม่นานผมก็รับรู้ได้ว่ามันเป็นคนฉลาดแล้วก็ตั้งใจเรียนมาก สอบ midterm ที่ผ่านมาจีได้คะแนนอันดับ 2 รองจากแอมป์ ตอนนี้งานกลุ่มเดินหน้าเร็วมาก ถ้าเป็นสมัยที่ผมกับไอ้บอนทำกัน 2 คน ไม่ต่างอะไรกับเรือวนอยู่ในอ่าง หรือบางครั้งอาจจะเหลือมผมอยู่คนเดียวที่วนอยู่ในอ่าง แต่ตอนนี้บอกเลยว่าไม่ได้สัมผัสเหตุการณ์แบบนั้นมานานมาก พูดได้เต็มปากเลยว่าจีคือ “เดอะแบก” ของกลุ่มที่แท้จริง

ปลายนิ้วของผมเคาะลงบนแป้น keyboard ตามประโยคที่จีบอกทุกกระเบียนนิ้ว เราทำงาน หยุดพัก แล้วก็กลับมาทำงาน รู้ตัวอีกทีบรรณารักษ์ก็เดินมาบอกว่าห้องสมุดจะปิดในอีก 15 นาที

“แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง ... เก็บไว้ให้ไอ้บอนมันทำบ้าง”

“พวกมึงงงงงง” โคตรเฮี้ยน พูดถึงมันก็โผล่หัวมา

“ไอ้เหี้ย มาได้เวลาพอดีเลิกเลยนะ ... เป็นไง สบายกายสบายใจเลยซิ ... อิ่มเลยไหมมึง ...”

“... กินแรงพวกกูมาตั้งแต่กลางวันเนี่ย” ยิ่งเห็นหน้ามันแล้วก็ยิ่งหมั่นใส้ มีความสุขมาซิมึง

“โห้ยยยยย มิลค์ ...” โหยหวนอย่างกับผีเปรตขอส่วนบุญ ไม่ได้เข้ากับรูปร่างสูงใหญ่ของมันเลยแม้แต่น้อย

“... อย่าพูดแบบนั้น กูก็รู้สึกผิดถึงได้ซื้อขนมมาฝากพวงมึงไง” มันยื่นถึงขนมมาให้ผมกับจีคนละถุง

“ขอบใจมึง” จีสะดุ้งทันทีที่พูดประโยคนี้จบเพราะถูกผมตวัดสายตามองแรง ไอ้นี้ก็คนดีเกิน โดนกินแรงกี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยบ่น

“มึงคิดว่ากูซื้อได้ด้วยขนมเหรอ ... ไอ้บอน กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่ากูไม่แดกรสสตอเบอร์รี่ มึงเห็นกูเป็นน้องจุ๊กจิ๊กของมึงหรือไง”

“สตอร์เบอร์รี่ก็เข้ากับหน้าแบ๊วๆ ของมึงอยู่นะ ... หรือไม่ก็เข้ากับนิสัยสตอเบอร์รี่ของมึง” มันต่อล้อต่อเถียงด้วยสีหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างขั้นสุด

“ไอ้เหี้ยบอน ... นอกจากนิสัยเหี้ย กินแรงคนอื่น แล้วยังปากหมาอีก ... กูขอให้มึงได้กับผู้ชาย เออใช่กูขอให้มึงได้กับอีชาช่า”

"ชาช่าห้อง 26 ชอบบอนเหรอ” จะบอกว่านอกการเรียนเก่งแล้ว จียังเม้าท์เก่งอีกต่างหาก พอได้ยินประโยคเมื่อครู่คนข้างตัวถึงกับหูตั้งเลยทีเดียว

“ใช่ ชอบมากกกกก มันมาติดสินบนกู อืมมมมม #$$$$######%&” พูดไม่ทันจบประโยค มือหนาของไอ้บอนก็เอื่อมมาอุดปากผมไว้ อย่าให้เรา 2 คนได้เผ่ากันเลย รับรองว่าศพไม่สวยทั้งคู่

“แล้วนี้พวกมึงจะกลับเลยหรือเปล่า” มันถามหลังจากที่แกล้งผมจนพอใจ

“กลับเลย ... อันนี้ของมึง แก้คำผิด จัดรู้หน้า ทำปก แล้วก็ print … งานถนัดมึงไม่ใช้เหรอทำหน้าปก” ผมยื่นแผ่น floppy disc สีดำให้มัน

“บ่นจังวะ เป็นเมียกูหรือไง” มันทำหน้ามุ้ยแล้วก็ดึง floppy disc ออกจากมือผม

“ใครจะเอามึงลง ... แล้วมึงกลับไง” แค่คิดก็สยองจนต้องเก็บไปฝันร้ายแล้ว

“เดียวรอรถที่บ้าน ... แล้วพวกมึงกลับด้วยกันเหมือนเดิมปะ”

“เออ เดียวกลับ taxi” ไอ้บอนมีคนขับรถคอยรับคอยส่ง จริงๆ แล้วเหตผลที่มันกลับมาโรงเรียนไม่ใช้เพราะเป็นคนดีเอาขนมมาให้พวกผมหรอกแต่มันกลับมารอคนขับรถเพราะถ้าไปรับมันที่อื่น ป๊าม้าจะรู้ทันทีว่าลูกชายตัวแสบหนีเที่ยว

หลังจากแยกย้าย ผมกับจีเดินออกไปเรียก taxi หน้าโรงเรียน ถ้าวันไหนกลับพร้อมกันเรากลับ taxi คันเดียวกันเพราะบ้านเรา 2 คนอยู่ใกล้กัน ขากลับก็ขอให้พี่ taxi ส่งจีลงก่อนแล้วก็ขับเลยมาส่งผม



.. 'G'

“ว่าไงมึง” ผมรับสายเพื่อนที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อ 20 นาทีก่อน

“ถึงบ้านยัง”

“ถึงแล้วมีไรเปล่า”

“เปล่า แค่โทรถามว่าถึงยัง”

“เออมึง ติวหนังสือให้กูหน่อยดิ กูอยากเก่งเหมือนมึงบ้าง” ว่าจะถามตั้งแต่บ่ายแล้วแต่ก็ลืม

“ได้นะ แต่กูก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น”

“ไม่เป็นไร ขอแค่ให้กูเก่งกว่านี้กูก็โอเคแล้ว ติวทุกวันเสาร์หลังเลิกเรียนพิเศษได้ปะ”

“เอาดี นี่มึงชวนไอ้บอนยัง”

“ยังๆ นี่กูคุยอยู่กับมันอีกสาย เดียวเชื่อมสายแป๊บ...”

“...บอน กูขอให้จีติวหนังสือให้ บ่ายวันเสาร์ มึงมาติวด้วยกันนะ”

“เออได้ ตามนั้น เริ่มเมื่อไหร่”

“เสาร์หน้าก็ได้” จีตอบ

“ตามนั้น แยกย้ายนะมึง เหนื่อยแหละ” ผมตัดบทเพราะว่าเหนื่อยมาก อยากอาบน้ำ กินข้าว เล่นเกม แล้วก็นอน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 1 (Coming of age, Slice of life, Feel good)
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-04-2025 17:46:21
สวัสดีครับผู้อ่านทุกคน
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผม ตั้งใจจะให้เป็นแนว Coming of age ที่มีครบทุกความรู้สึกทั้งยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ มีดราม่าบ้างพอให้มีรสชาด และมี NC นิดหน่อยให้พอหวือหวา

อยากจะชวนคนอ่านเข้ามาพูดคุยและเป็นกำลังใจให้นักเขียน แล้วมาลุ้นไปด้วยกันครับว่าเราจะพามิลค์เดินไปได้ไกลแค่ไหน
หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายเรื่องนี้ ถ้ามีอะไรจุดไหนที่อยากให้แก้ไขปรับปรุง บอกได้เลยนะครับ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เจอกันอีกทีวันอาทิตย์นะครับ

เอารูปเพื่อนสนิท มิลค์และบอน มาฝากทุกคนครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-04-2025 10:01:21
ตอนที่ 2 : จังหวะต้องห้าม


“... แล้วพอย้ายข้างสมการ ก็จะได้คำตอบ” พูดจบจีก็ทำเครื่องหมาย '#' กำกับหลังตัวเลขที่เป็นคำตอบ ... โคตรเทพ คนอะไรแก้โจทย์เลขยากๆได้ง่ายเหมือนปลอกกล้วย ไม่นับรวมว่าสามารถอธิบายให้คนโง่เลขอย่างผมเข้าใจได้ ต้องขอบคุณจีที่ทำให้การสอบเก็บคะแนนครั้งสุดท้ายก่อนสอบ final ของผมได้คะแนนดีกว่าที่คาด นับเป็นครั้งแรกของมนุษย์ต่ำกว่า mean แบบผม

“พวกมึงงงงง กูมาแล้ว” ไอ้บอนยิ้มหน้าระรื่นมาแต่ไกล ผมเหลือบมองเข็มบนนาฬิกาข้อมือ ... มาทำไมตอนนี้วะ อีกชั่วโมงนึงก็จะเลิกแล้ว

“มึงยังยิ้มหน้าระรื่นอีก ในห้องก็ไม่เรียน ไอ้จีมาติวให้มึงก็โดดไปแรด” ผมเปิดฉากด่าทันทีที่มันหย่อนตัวลงที่นั่งข้างๆ

“มึงนี่ขี้บ่นจังวะ กูซื้อขนมมาฝาก” มุกเดิม ไม่เพิ่มเติมอะไรซักนิด 

“โอ้ยยยยยยยยยย!!! กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าไม่แดกรสสตอเบอร์รี่ ถ้ามึงจะซื้อมาไถ่โทษก็ช่วยซื้ออะไรที่กูแดกได้หน่อย” บ่นแต่ก็ฝืนหยิบขนมในถุงเข้าปาก

“ก็แดกได้นิ บ่นไรนักหนาวะ” มันไหวไหล่เหมือนไม่แคร์อะไรทั้งนั้น

“มาแล้วก็ตั้งใจเรียน อยากน้อยจะได้มีอะไรติดสมองกลับไปบ้าง”

 :z6: ป๊าบ!!!!!!!!!   

“เหี้ยมิลค์ กูเจ็บไหมมึง ฟาดมาได้” ขอเอาสมุดฟาดหัวมันซักที หมันไส้กับสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมัน

“นอกจากขี้เลื่อยแล้ว ก็เอาตัวขี้เกียจออกไปด้วย” ผมกับบอนยังต่อล้อต่อเถียงกันอีกหลายประโยคจนกระทั่งจีเอ่ยปากบอกว่าจะเริ่มติวต่อแล้ว

... เริ่มได้ไม่ถึง 10 นาที โทรศัพท์มือถือของไอ้บอนก็ดังขึ้น

“ฮาโหล มินต์เหรอ คุยได้ ... กับมินต์ เราคุยได้อยู่แล้ว” ไอ้บอนกรอกคำหวานผ่านโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ รองจากแมลงสาบแล้วก็เสียงเวลาคุยกับสาวๆของมันนี่แหละที่ผมเกียจเข้าไส้

“มึงทำหน้าตลก” จีแซว เพราะอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากมองบนให้กับเสียง 3 ของไอ้บอน คนอะไร เปลี่ยนแฟนเหมือนเปลี่ยนถุงเท้า

“เหม็นความรักวะ!!!” 

“Final ไอ้บอนมันจะรอดไหมเนี่ย” คิ้วของผมขมวดกันเป็นปมเมื่อได้ยินประโยคคำถามของจี

“ไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้ว พูดก็โกรธ” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เป็นห่วงมันแหละ ในขณะที่สอบครั้งล่าสุดผมทำคะแนนได้ค่อนข้างดี แต่บอนกลับแย่ลงไปกว่าเดิม ความตั้งใจในการเรียนของมันลดลงกว่าเดิมมาก วันๆไม่ทำอะไรนอกจากเล่น แอบหลับในห้องเรียน แล้วก็โดดเรียนไปหาสาวๆ ... เมื่อก่อนมันไม่ใช้คนแบบนี้ แม้จะเรียนไม่เก่ง แต่ยังใส่ใจมากกว่านี้ ผมว่าเป็นเพราะมันสนใจแต่เรื่องจีบหญิง ปฏิเสธไม่ได้ตั้งแต่มันขึ้น ม.2 รูปลักษณ์ภายนอกของมันก็เปลี่ยนไป ตัวสูงขึ้น กล้ามเนื้อเยอะขึ้น ใบหน้าคมขึ้น พูดง่ายๆคือหล่อขึ้น บวกกับความอัธยาศัยดีของมัน บ่อยครั้งผมก็เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ามันแค่เป็นคนเข้าถึงได้ง่าย หรือว่าเจ้าชู้กันแน่ ... เคยเตือนหลายครั้ง มันก็ทำตลกแดกเฉไฉไปเรื่อย พอต้อนจนมุมก็อารมณ์เสียกลบเกลื่อน

“งั้นเรากลับมาติวต่อเนอะ”

ติวจบแล้วก็ไม่มีวี่แววของไอ้บอน มันหายไปเลยตั้งแต่รับสาย เหนื่อยใจกับมัน แม้ผมกับจีสลับกันโทรหาแต่มันไม่รับ

“เอาไงกับกระเป๋ามันดี” จีถาม เพราะเรานั่งรอมันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว

“เดียวกูเอากลับเอง ... ไปเถอะ มันอาจจะกลับไปแล้ว นึกได้เดียวก็โทรมา”



"ไอ้บอน อะ!!! ของมึง” ผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะของมัน ดูสีหน้าก็รู้ว่ามันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลืมกระเป๋า

“เออ ขอบใจวะมึง ... กูลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าลืมกระเป๋าไว้ที่โรงเรียน” คำตอบของมันทำให้ผมอยากจะฟาดกระเป๋าใส่หน้า

“วันนั้นมึงไปไหนมาวะ” ผมถามพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่ง จีมาถึงก่อนผม มันกำลังหันไปคุยอะไรซักอย่างกับแอมป์

“ไปหามิ้นต์มาแป๊บนึง กลับมาโรงเรียนอีกทีคิดว่าพวกมึงน่าจะกลับกันแล้วเลยไม่ได้โทรหา ... อะ อันนี้รายงานวิชาสังคม กูเช็คคำผิด จัดหน้า พิมพ์หน้าปกให้เรียบร้อย”

“เออ โอเค” ผมรบมาแล้วเปิดดูความเรียบร้อย หน้าแรกๆทุกอย่างปกติดี แต่พอเข้ากลางเล่มถึงได้เห็นความ ‘ฉห’ อยู่รำไร

“ไอ้บอน!!!”

“อะไร / ไรวะ” ทั้งมันกับจีประสาทเสียขึ้นพร้อมกัน สีหน้าแตกตื่น

“มึงไม่ได้ดูก่อนเย็บเล่มมาเหรอวะ ข้างในมันตัวอักษรอะไรของมึงเนี่ย” ผมแหกรายงานให้มันดูชัดๆ เจ้าตัวหน้าเสียไปทันทีที่เห็น

“กูว่ากูเช็คแล้วนะ เอาไงดีวะ” แล้วรอยยิ้มเจือนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพื่อนสนิท

“ไอ้เหี้ย อีก 10 นาทีจะเข้าแถวแล้วด้วยจะทำอะไรก็ต้องรีบทำแล้วมึง”

“กูคิดออกแล้ว ...” คำพูดของจีเหมือนประตูสวรรค์ของพวกเรา

“... มึงเอา floppy disc ที่ save งานมาปะ”

“เอามาดิ” มันล้วง floppy disc ออกมาจากกระเป๋า

“โดดออกไป print ที่ร้านเจ้ซอยข้างโรงเรียน”

“ไอ้บอนมึงรีบไปเลย” ผมหันไปบอกมัน

“ไม่ได้ๆ เมื่อเช้ากูเจอจารย์นกแล้วถ้ากูหายไปเขาก็รู้ว่ากูโดดซิวะ ... ไอ้จีมึงรู้นิว่ามันอยู่ไหน มึงไปดิ”

“กูก็เจอแล้วเหมือนกัน” แล้วสายตาของทั้ง 2 คนก็จ้องมาที่ผม เพราะวันนี้มาสายกว่าปกติ เลยยังไม่เจอครูประจำชั้น

“กูไม่รู้จักร้าน” คำตอบของผมทำให้ความหวังของทั้งกลุ่มพังทลาย

“กูรู้แล้ว ... แอมป์ วันนี้มึงเจอจารย์นกยัง” จีหันไปหาเพื่อนร่วมห้องเมื่อปีก่อน

“ยังวะ”

“มึงรู้จักร้านเจ้ที่อยู่ถัดไป 2 ซอยปะ ปีก่อนที่โดดไป print งานกันนะ”

“รู้ ทำไมวะ”

“มึงพาไอ้มิลค์ไปหน่อย ...”

“... พวกกูเลี้ยงข้างกลางวันมึงทั้งอาทิตย์เลย” พอเห็นแอมป์ขมวดคิ้ว จีก็รีบยื่นสินบนให้ทันที

“ไอ้มิลค์จะไหวเหรอ มันเรียบร้อยซะขนาดนี้” บอนกระซิบถามจี แต่ผมบังเอิญได้ยิน

“มันไม่มีทางเลือกวะ กูกับมึงเกมแล้วเหลือแต่มัน” จีตอบ สายตาทั้ง 2 คนมองผมด้วยความหวัง

“ก็ได้ ไปดิ ... มึงเคยโดดเรียนไหม ...” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ แอมป์ก็ตอบรับข้อเสนอ ประโยคแรกมันพูดกับจี ประโยคถัดมาพูดกับผม พอผมส่ายหัว แอปม์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“...เอากระเป๋าเรียนไปด้วย ...” ผมขมวดคิ้ว จะเอาไปทำไมวะ

“...ขากลับเข้าประตูหน้า จะได้อ้างได้ว่ามาสาย...”  ที่พูดมาก็มีเหตุผล สงสัยมันจะโดดเรียนบ่อยเลยรู้ technique

“...ทำตามที่กูบอก แต่ถ้าถูกจับได้ก็ตัวใครตัวมันนะ” ผมไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้า แล้วเดินตามแอมป์ออกจากห้อง... คนเหี้ยอะไร ดุฉิบหาย

หลังจากออกมาได้ไม่เท่าไหร่ เพลงประจำโรงเรียนก็ดังขึ้นเป็นสัญญานให้นักเรียนออกมาตั้งแถวหน้าห้อง รอบๆเลยวุ่นวายเล็กน้อยเพราะทุกคนทยอยออกมาจากห้องเรียน ผมรีบก้าวเท้าตามแอมป์ที่อาศัยจังหวะชุลมุนหลบไปหลังโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเพลงจบเมื่อไหร่พวกเราจะเป็นจุดสนใจของครูและพี่ยามทันที ... พวกเราเลี้ยวมาหลบหลักตึกได้ทันก่อนเพลงจะจบพอดี

“โอ้ย... โทษๆ” เพราะมัวแต่ระแวงหันมองซ้ายทีขวาทีเลยชนเข้ากับแอมป์ที่หยุดเดินกะทันหันจนเจ้าตัวเดินเซไปข้างหน้าหลายก้าว

“ระวังซิวะ...” มันหันกลับมามองผมตาเขียว ผมเลยได้แต่ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ เราไม่สนิทกันเท่าไหร่ ตั้งแต่เปิดเทอมน่าจะเคยคุยกันไม่กี่ประโยค

“...มึงเห็นตรงนั้นไหม” ผมไล่สายตาตามนิ้วมือของแอปม์ ผ่านลานจอดรถหลังโรงเรียน มุมกำแพงสุดริมรั้วมีถังขยะใบใหญ่ตั้งอยู่

“เห็น”

“เดียวกูไปดูต้นทางให้ก่อน มึงตามหลังกูมา ก้มหัวไว้อย่าให้ยามที่เดินตรวจจับได้ พอถึงตรงนั้นปีนถังขยะข้ามกำแพงไปฝั่งโน้น ...”

“... อย่าให้โดนจับได้ แล้วที่สำคัญอย่าเสือกโง่ตกลงไปในถังขยะ” สายตามันโคตรจะดูถูกผม ผมไม่เคยโดดเรียน แม้จะไม่ใช้เด็กเนิร์ดแต่ผมก็ไม่เคยทำผิดระเบียบของโรงเรียนแม้แต่น้อย

“เออ!!!” ถึงจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็อดไม่ได้เลยกระแทกเสียงใส่มะนไปที

แอมป์ยื่นหน้าออกจากมุมตึก ผมเห็นพี่ยามเดินอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานจอดรถ คำนวณจากระยะห่างแล้ว เราน่าจะแอบออกไปได้ไม่ยากอย่างที่คิด

“ไป!!!” พูดจบมันก็ย่อตัวแล้วเดินเลียบกับตัวรถไปเรื่อย ทิ้งระยะห่างครู่หนึ่งผมถึงเดินตามออกมา หัวใจผมเต้นแรง เหงื่อออกเต็มมือ ไม่คิดว่าจะตื่นเต้นขนาดนี้กับการแหกกฎโรงเรียนครั้งแรก

มาได้ครึ่งทาง ผมก้มตัวต่ำ เดินๆหยุดๆตามจังหวะของคนข้างหน้า ทุกอย่างดูง่ายกว่าที่คิดเพราะพี่ยามอยู่ไกลเลยไม่มีอะไรน่ากังวล หรือจริงๆแล้วผมก็มีพรสวรรค์กับการแหกกฎโรงเรียนอยู่บ้าง

   ... 'Bon'

อวยตัวเองได้ไม่ถึงนาที แล้วความ ‘ฉห’ ก็มาเยื่อน ไอ้เหี้ยบอนจะโทรมาทำไมตอนนี้วะ เสียง ringtone ดังลั่นลานจอดรถ ผมรีบล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเปากางเกง แต่ด้วยความตกใจกว่าจะตั้งสติแล้วกดปิดเสียงได้ก็ใช้เวลาไปพอสมควร 

“เฮ้ย!!! ไปดูซิว่ามีนักเรียนแบบอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า” เสียงยามตะโกนคุยกันข้ามลาน ผมรีบก้มตัวลงมองผ่านใต้ท้องรถ เห็นฝีเท้าพี่ยามกำลังเดินใกล้เข้ามา หัวใจเต้นแรงจนสั่น หันซ้ายขวาไม่เห็นแม้แต่เงาของแอมป์ มันชิ่งผมไปแล้ว ... กลัวจนขาก้าวไม่ออก ตายแน่ไอ้มิลค์ ถ้าโดนจับได้ต้องเข้าห้องปกครอง โดนตัดคะแนน ตายๆๆๆๆๆๆๆ

“มานี่”

“แอมป์”

“หุบปากแล้วตามกูมาเงียบๆ” มันกดเสียงต่ำ ก้มมองผ่านใต้ล้อรถเหมือนที่ผมทำ พอมันขยับ มือของผมก็คว้าต้นแขนมันไว้แน่น แอมป์หันกลับมา คิ้วหนายกสูงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

“กูก้าวขาไม่ออก” ผมสารภาพแบบไร้ซึ่งความอาย

“ภาระสัส ๆ” น้ำเสียงของมันไม่สบอารมณ์อย่างมาก ก่อนที่มือหนาจะคว้าเข้าที่ข้อมือของผม ผมก้าวขาตามคนข้างหน้าราวกับคนไร้สติ มันเดินแล้วหยุดก้มตัวมองผ่านใต้ท้องรถเป็นระยะๆ เราเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนผมหลงทิศ ก่อนจะหยุดอยู่หลังรถตู้คันใหญ่ มือหนายังกำรอบข้อมือของผมไว้ ผมหายใจหอบ ขาสั่นจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เชี่ยแม่ง ไม่ไหวจริงๆ เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดวะ

“แดกซะ” บางอย่างถูกยื่นมาตรงหน้า ยังไม่ทันได้ตอบสิ่งนั้นก็ถูกยัดเข้ามาในปาก

ลูกอมค่อยละลายในปาก ทันทีที่รับรสได้ว่ามันคือลูกอมรสสตอร์เบอร์รี่ ความคิดแรกคือคายทิ้ง แต่ถ้าผมคายออกมามีหวังโดนแอปม์บีบคอตายอยู่หลังโรงเรียน เลยได้แต่ฝืนอมไว้ ... น่าแปลกใจที่ความหวานและกลิ่นหอมของสตอเบอร์รี่ช่วยเรียกสติของผมให้กลับคืนมา

“ไปได้แล้ว...” แรงกระตุกที่ข้อมือทำให้ผมค่อยๆยันตัวขึ้นจากพื้น แล้วก้าวขาตามแอมป์ทุกฝีก้าว 

“...ตอนจะข้ามกำแพงต้องรีบหน่อย เดียวยามเห็น กูไปก่อนจะได้ดูต้นทางฝั่งโน้นให้ ...”

“...กูนับ 1 2 3 แล้วตามกูมา...” ผมพยักหน้า

“1 ... 2 ... 3 ... ไป!!!” มือหนากึ่งดึงกึ่งลากให้ผมเดินตาม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ขาของผมก้าวเหยียบลงบนถังขยะตามคนตรงหน้า รู้ตัวอีกทีผมก็โดดลงมาจากกำแพงเรียบร้อย

“เหี้ย!!!” จังหวะที่ลงพื้น ผมเบรกตัวเองไม่ได้เลยไถลไปอีกหลายก้าว ถ้าไม่ได้แอมป์คว้าเอวไว้รับลองว่าได้จับกบอยู่หลังโรงเรียน

“มึงนี่ทำเหี้ยอะไรเป็นบ้างวะ ...” ผมหันกลับไปมองคนที่ประกบซ้อนอยู่ข้างหลัง ยังไม่ทันได้เถียง แอมป์ก็พูดเสียงแข็งใส่

“... เขยิบไป ...เหยียบตีนกู” อิเหี้ย!!! ดุอย่างกับหมา

“ขอโทษ” ผมพูดในจังหวะที่ต้องก้มตัวเอามือยังหัวเข่าเอาไว้ เหนื่อยราวกับหมาหอบแดด

“มึงไหวไหม” น้ำเสียงที่ลดโทนเข้มๆลงดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไหว แต่ขอพัก ... แป็นนึง ... ขอบใจ ... ไม่ได้มึง กู ... แย่แน่เลย” ประโยคที่พูดออกมาขาดๆหายๆ ทำให้ตอกย้ำว่าที่ผ่านมาตัวเองออกกำลังกายน้อยไป ใช้แรงแค่นี้ถึงกับเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน

“เหนื่อยก็เก็บแรงไว้หายใจ พูดมากจนเป็นลมไป ลำบากกูต้องหิ้วมึงไปส่งห้องพยาบาลอีก” ความรู้สึกดีประมาณสิบแต่ความรู้สึกเกียจเกินล้าน คนอะไรมนุษยสัมพันธ์ติดลบ



“ไอ้มิลค์ กูคิดว่ามึงจะไม่รอดซะแล้ว” ไอ้บอนหันมากระซิบทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามานั่ง ผมกลับเข้ามากลางคาบที่ 2

“จะไม่รอดก็เพราะมึงเนี่ยแหละ โทรมาทำเหี้ยอะไรกูเกือบถูกจับได้” ผมพูดออกมาตามไรฟัน มองหน้ามันตาเขียวปัด มันยิ้มแห้ง แต่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่ความสลดอยู่ในนั้นเลย

“ไอ้แอมป์ละ” จีกระซิบถามมาจากด้านหลัง ยังไม่ทันได้หันไปตอบแอมป์ก็เดินเข้ามาในห้อง

ร้านเจ้ไม่ได้อยู่ห่างจากโรงเรียนเท่าไหร่ เดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง ขากลับ เพื่อความแนบเนียน แอมป์ให้ผมเดินเข้าโรงเรียนมาก่อน มันบอกจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อก่อนแล้วค่อยเข้าโรงเรียน

“เป็นไงบ้างวะ โดดเรียนครั้งแรก” จีถามทันทีที่หมดคาบเรียน ผมเลยหันหลังกลับไปคุย

“ตื่นเต้นโคตร เกือบไม่รอด ...”

“...ถ้าไม่ได้แอมป์ช่วยกูโดดจับได้ชัวร์” ภาพจำย้อนกลับไปยังเหตการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ในจังหวะที่เขาถามผมว่าไหวไหม ทำให้ผมรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนแข็งกระด้างลึกๆแล้วกลับมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่

 สายตามองข้ามไหล่ของจีไปยังคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง ในจังหวะเดียวกันนั้นแอมป์หันมาสบสายตาของผมพอดี ผมส่งยิ้มให้ แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าตึงใส่แล้วก็หันกลับไป

ชั่ววินาทีที่สบตาผมรู้สึกเหมือนมือของแอมป์ยังคงกำรอบข้อมือของผม สัมผัสเพียงชั่วครู่แต่กลับฝังรากลึกลงในจิตใต้สำนึก ไอร้อนจากฝ่ามือหนา แรงบีบไม่ได้มากจนผมรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่ได้เบาจนรู้สึกสบายตัว น้ำเสียงที่ออกคำสั่งแกมกึ่งบังคับ  ทันใดนั้นจังหวะการหายใจก็เหมือนจะขาดหายไปดื้อๆ หัวใจกระตุกเหมือนถูกไฟช๊อต เลือดลมสูบฉีด เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนแต่ที่แน่ๆมันใช้ความกลัว ... แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่กล้ายอมรับออกมา

หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 2 (Coming of age, Slice of life, Feel good)
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-04-2025 10:14:17
สวัสดีครับทุกคน ตอนที่ 2 แล้วนะครับ  :mc4:

กลิ่นอายของตอนนี้ชัดเจนว่าอยู่ในช่วงยุค 2G ... พวกเราเลยได้เห็น item ในตำนานอย่าง floppy disk ที่ตอนนี้น่าจะสูญสลายไปจากโลกใบนี้แล้ว


อยากจะชวนคนอ่านเข้ามาร่วมพูดคุยกัน
หวังว่าทุกคนจะชอบครับ  :bye2:

เอารูปมิลค์-แอมป์ทำภารกิจเสี่ยงตายมาฝากครับ
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 2 (Coming of age, Slice of life, Feel good)
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 21-04-2025 22:26:13
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 2 (Coming of age, Slice of life, Feel good)
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 22-04-2025 22:55:26
สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน
อย่างแรกเลยคือขอบคุณทุกคนครับที่เข้ามาอ่าน
รู้สึกตกใจมากที่เปิดมาอีกทีและเห็นว่ายอดอ่านเพิ่มมาจากหลักร้อยเป็นพันกว่า

ความตั้งใจแรกคืออยากแต่งนิยาย Coming of age จริงๆ ที่เราจะได้เห็นตัวละครเติบโตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ความรูู้สึกนึกคิด และมุมมอง-ทัศนคติ ... time line ของนิยายจะยาวพอให้เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปด้วยกัน

เพื่ออรรถรสในการอ่านเลยขอกระซิบว่าในนิยาย ผมวางเศษขนมปังเอาไว้หลายจุด
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนนี้ อาจจะมาโผล่อีกทีในตอนถัดๆไป
ถ้าใครหาได้ว่าเศษขนมปังมีอะไร มาคุยกันได้นะครับ ผมอยากรู้ว่า... “มีใครมองออกบ้างไหม”

หวังว่าทุกคนจะสนุกกับนิยายเรื่องนี้
และอีกครั้ง ... "ขอบคุณครับ สำหรับพันวิวแรกของชีวิต"


พาน้องมาทักทายทุกคนครับ

มิลค์ : "แวะมายิ้มหวาน ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือโดดเรียนเป็นแล้ว"
#รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 2 (Coming of age, Slice of life, Feel good)
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 24-04-2025 20:52:09
Teaser ตอนที่ 3 : รักแรก



บางความรู้สึก... เริ่มต้นจากลูกอมรสหวาน

ผมก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้โชว์ขนม เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนสุดท้ายก็ตัดสินใจลองดูซักครั้ง ... พรุ่งนี้วัน Valentine’s ถ้าไม่ใช้พรุ่งนี้ ผมก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ... เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

“เอาอันนี้ครับ...” ผมชี้นิ้วผ่านกระจกบานใส่ไปยังถาดใส่ลูกอมสีชมพูสดใส

“...ผูกโบว์ให้ผมด้วยนะครับ”

ผมมองดูขวดแก้วที่บรรจุลูกกวาดสีสันสดใสในมือ ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับของขวัญชิ้นนี้ ... ผมไม่ได้หวังอะไรตอบแทนแต่อย่างน้อยขอให้ได้บอกความในใจ

----------

มิลค์ : "เจอกันวันอาทิตย์ครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีความรัก"

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 27-04-2025 10:37:57
ตอนที่ 3 : รักแรก



เทอม 1 ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณจีที่ทำให้เกรดเฉลี่ยของผมดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จนตอนนี้พวกเรา (หรือจริงๆมีแค่ผมกับจี) มีนัดติวกันทุกวันเสาร์หลังเลิกเรียนพิเศษ ... หนักใจกับไอ้บอนจริงๆ เพราะเกรดเฉลี่ยของมันเทอมที่ผ่านมาแย่ลงอีก เตือนหลายรอบแต่มันก็ยังทำตัวเหมือนเดิม

“จี...” ตัวของผมแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงทันทีที่ได้ยินเสียง

“...มึงมีปากกาให้กูยืมไหม กูลืมเอามา”

“ไม่มีวะ ... มิลค์ ?” แรงสะกิดที่หัวไหล่ทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะหันตัวกลับไป

“อะ เออ ว่าไง” ผมมองหน้าจี พยายามสุดชีวิตที่จะไม่เหลือบตาไปมองแอมป์

“มึงมีปากกาอีกด้านให้แอมป์ยืมปะ”

“เดี๋ยวหาก่อนนะ ...”

“... เราเหลือแต่ปากกาสีดำ ใช้ได้เปล่า” ผมถาม สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้ต้องสบตา ผมส่งยิ้มจางๆให้แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสีหน้านิ่งสนิท ...  ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่อยากให้ใครจับได้ว่าผมประหม่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้แอมป์

“ได้ ... ขอบใจ”

“อ๊ะ อืมมม ไม่เป็นไร” แอมป์กลับไปนั่งที่แล้ว ส่วนผมต้องใช้เวลาซักพักเพื่อดึงสติของตัวเองกลับมา

ความรู้สึกของผมที่มีให้แอมป์เปลี่ยนไปตั้งวันที่มันพาผมออกนอกโรงเรียน ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร และแม้จะพยายามหนีความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหน สุดท้ายผมก็ยอมรับกับตัวเองว่าผมแอบชอบแอมป์ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาเต้นอยู่นอกหน้าอก ความประหม่าเกิดขึ้นทุกครั้งที่ผมได้พูดคุยกับเขา ผมแทบจะไม่สามารถมองตาแอมป์ได้ และพยายามแอบมองเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่มีใครรู้ว่าผมชอบแอมป์ เพื่อนสนิททั้ง 2 คนก็ไม่รู้ ผมไม่กล้าเล่า ไม่กล้าบอกความจริงว่าผม ... ชอบเพศเดียวกัน

“ไอ้บอน บ่ายนี้มึงอยู่ติวหรือเปล่า” จีถาม

“อยู่ๆ ... อยู่จริงๆ วันนี้ไม่ได้นัดใครไว้” มันรีบแก้ตัวเมื่อทั้งผมและจีมองมันด้วยสายตาไม่น่าไว้วางใจ

“กูจะคอยดู” แม้จะเป็นเรื่องดีที่มันอยู่ติว แต่ผมก็อดใจพูดประชดมันไม่ได้



“เชี่ยจี มึงพักก่อนได้ไหมวะ กูสมองบวมหมดแล้วเนี่ย” ไอ้บอนโวยวายหลังจากที่เริ่มติวได้ไม่ถึงชั่วโมง

“อีกแป็บดิวะ เพิ่งเริ่มเอง”

“กูไม่ไหวแล้วมึง พักก่อนๆ” พูดจบมันก็ปิดหนังสือแล้วเดินหายไป ... เอาแต่ใจฉิบหาย

“อะไรของมัน ... โทษทีนะมิลค์ ไอ้บอนกวนตลอดเลย วันนี้คงไม่ได้อะไรเท่าไหร่”

“ไม่เป็นไร มันมาติวด้วยก็ดีแล้ว” ปกติถ้าผมติวคนเดียว เราจะเบรคกันประมาณ 1-2 ครั้ง แต่ดูแล้วด้วยความสมาธิสั้นของไอ้บอน วันนี้เลยเบรคบ่อยกว่าปกติ ... ก็ดีเพราะวันนี้ผมเองก็ไม่ค่อยมีสมาธิเรียนเท่าไหร่ สาเหตุเพราะหลังเลิกเรียนผมเห็นแอมป์คุยโทรศัพท์ มันทั้งหัวเราะ ทั้งยิ้ม มันทำให้ผมคิดไปไกลว่าคนปลายสายคือใคร ... แฟนหรือเปล่า ... ในหัวมีแต่เรื่องนี้วนไปวนมา

“จี!!! ไอ้แอมป์มันมีแฟนหรือเปล่าวะ” เชี่ย!!! หลุดปากถาม

จีชะงัก ใบหน้าตี๋ขาวแสดงออกชัดเจนว่ากำลังใช้ความคิด

“ไม่มั้ง ไม่เคยได้ยินมันพูดอะไร แต่กูก็ไม่ชัวร์ ไม่ได้สนิทกับมันขนาดนั้น”

“มึงว่ามันไม่ชอบหน้ากูเปล่าวะ”

“ฮึ กูว่ามันก็ปกตินะ ทำไมวะ”

“มันชอบตึงๆใส่กู อย่างปากกา แทนที่มันจะคืนต่อหน้า กลับมาว่างไว้ที่โต๊ะตอนกูไปเข้าห้องน้ำ”

“มึงคิดมากไปเองหรือเปล่า บังเอิญละมั้ง”

“เสบียงมาแล้ววววววว ...” บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะ

“... อันนี้โตเกียวกับน้ำเปล่าของมึง ... อันนี้ลูกอมสตอร์เบอร์รี่กับน้ำเปล่าของมึง ...” บอนแจกเสบียงที่ซื้อมาให้ผมกับจี

“... ไหนมึงบอกไม่ชอบกินรสสตอร์เบอร์รี่ไง”

“เปลี่ยนใจแล้ว กินไปกินมาก็อร่อยดี”

“เมื่อกี้พวกมึงคุยเรื่องอะไรกันอยู่วะ” บอนถาม

“ทั่วไป ... ไอ้มิลค์มันถามว่าไอ้แอมป์มีแฟนแล้วยัง” พูดจบจีก็เอาขนมโตเกียวเข้าปาก

“เหรอ ...”

“... เฮ้ย!!! ไอ้มิลค์ มึง!!!” ยังไม่ทันได้หยิบลูกอมเข้าปาก ไอ้บอนก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ

“อะไรของมึง” ผมถาม รอยยิ้มร้ายกาจเหมือนตัวโกงในการ์ตูนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน

“กูรู้นะ”

“รู้อะไรของมึง?” ผมยังคงตีหน้าตายแม้ว่าในใจจะสั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหว

“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้ มึงคิดว่ามึงเนียนเหรอ? วันก่อนถามกูเรื่องแอมป์ วันนี้มาแอบมาถามไอ้จี ...”

“ ... มึงชอบไอ้เหี้ยแอมป์ แล้วไม่บอกพวกกูเหรอ”

“เฮ้ย!!! กูเปล่า!!!” เชี่ย!!! เสียงสูงไปไหมวะ เสียอาการฉิบหาย พอมองหน้าไอ้บอน มันก็มองกลับมาด้วยสายตาจ้องจับผิด หันไปทางจีก็เจอสีหน้าไม่ต่างกัน ... ซวยแล้วกู

“หลักฐานคาตาขนาดนี้”

“หลักฐานอะไรของมึง” ตอนนี้เกียจสีหน้ารู้ทันของไอ้บอนที่สุด

“ในมือมึง ... ลูกอมรสตรอรเบอร์รี่ ... รสที่มึงไม่เคยชอบแดก...”

“...แต่ไอ้แอมป์ชอบ” ผมที่กำลังจะเถียงแต่ถูกตอกฝาโลงด้วยประโยคสุดท้ายของไอ้บอน

“เฮ่อออออออ” ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ

“สารภาพมา” ผมดึงมือกลับแต่ไอ้บอนรั้งเอาไว้

“อะไรของมึง”

“ยอมรับมาต่อหน้าพวกกู 2 คนว่ามึงชอบไอ้แอมป์”

“กูไม่เล่น ปัญญาอ่อน”

“ไม่ยอมรับก็ไม่ต้องต้องกิน” ไอ้บอนตอบกลับเสียงแข็ง

“ใช่ ไม่ยอมรับกูก็ไม่ติวต่อ ...” นี่ไอ้จีก็เอากับมันด้วยเหรอเนี่ย

“... มิลค์ มึงบอกพวกกูได้นะเว้ย เพื่อนกันมันต้องพูดกันได้ทุกเรื่องดิวะ” จีพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่เห็นแววตาทีเล่นทีจริงแบบเมื่อครู่

“เออ ยอมรับ กูชอบแอมป์” แม่ง!!! ยอมรับก็ได้วะ

“ไอ้เหี้ย!!!!!!!!!! ไม่คิดว่ามึงจะตกหลุมพราง 555” จีระเบิดขำออกมาต่อหน้าผม ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกคนตรงหน้าหลอกเข้าเต็มๆ ... ไอ้เพื่อนเลวววววววว

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” บอนถาม

“นี่พวกมึงจะไม่ติวแล้วใช่ไหม”

“ไม่ติวแล้ว กูอยากเสือกเรื่องของมึงมากกว่า” จีปิดหนังสือ ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคาง ดูท่าผมคงโดนพวกมันซักจนละเอียด 

“อย่าเนียนไอ้มิลค์ วันนี้มึงต้องคายความลับออกมาให้หมด ... เล่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” ทันทีที่มันปล่อยมือ ผมก็เอาลูกอมเข้าปาก

“ตั้งแต่เทอมที่แล้ว ตอนมันพากูโดดเรียน”

“นี่พวกกูเป็นพ่อสื่อให้มึง 2 คนหรือเนี่ย” มันกับจีมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะก๊าก ไอ้พวกเวร

“มึงแม่งแอบมีความรักแล้วเก็บเงียบไม่บอกพวกกูเลยนะ” ไอ้บอนแกล้งเอามือมาเขี่ยแก้ม ผมบัดมือมันออกด้วยความรำคาญก่อนจะถลึงตาใส่มัน

“แล้วมึงเอาไงต่อ”

“ก็ไม่เอาไง กูจะกล้าไปพูดอะไรกับมัน แค่มองหน้ายังไม่กล้าเลย”

“โถ้ววว puppy love” ได้ทีไอ้บอนก็ทับถมผมไม่หยุด

“ใครจะกร้านโลกเหมือนมึง” ไหนๆก็มีโอกาสแล้วขอกัดมันหน่อยละกัน

“นี่ไง ไอ้บอน มึงประสบการณ์เยอะ สอนไอ้มิลค์มันดิว่าต้องจีบยังไง” จีเสนอ

“แย่หน่อยวะ กูไม่เคยต้องจีบใคร” มันยักไหล่ ทำหน้าทำตากวนอวัยวะเบื่องข้างขั้นสุด

“จะอ้วก” คนอะไรมั่นหน้าฉิบหาย

“แต่กูสอนมึงได้นะว่าต้องทำท่าไหนถึงจะเด็ด” ตอนแรกไม่เข้าใจว่ามันพูดเรื่องอะไร แต่พอเห็นยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันเท่านั้นแหละ

“อิเหี้ย!!!” ด้วยความเขินเลยประเคนเท้าเข้าที่ขามันไปทีหนึ่ง

“เริ่มจากซื้อขนมให้มันดีไหม อะไรก็ได้ที่เป็นรสสตอร์เบอร์รี่” จีเสนอความคิด

“คือกูไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกดีไหม ... อยู่แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ... แอมป์มันคงไม่ชอบแบบกู ... หรอกมั้ง”

“เฮ้ยมึง อย่าเพิ่งถอดใจดิ เดี๋ยวพวกกูช่วย ใช่ไหมบอน” ไอ้จีเริ่มหาพวก

“กูแล้วแต่มึงนะมิลค์ ถ้ามึงอยากลุยกูก็จะช่วย แต่ถ้ามึงคิดว่าแบบนี้โอเคแล้ว ก็ตามนั้น”

“พูดไรวะบอน แบบนี้มิลค์มันเสียกำลังใจหมด” จีค้าน

“มึงก็อย่าไปชงให้มาก ... เกิดไอ้แอมป์ไม่ชอบมันขึ้นมา ไอ้มิลค์ไม่เสียใจเหรอวะ” บทสนทนาของพวงเรายังดำเนินต่อไป แต่ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ จีเสนอตัวว่าจะช่วย แต่ทุกไอเดียถูกบอนเบรกไว้ เพราะผมยังให้คำตอบกับพวกมันไม่ได้ว่าผมต้องการอะไรจากความรักครั้งนี้



...



ผมก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้โชว์ขนม เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนสุดท้ายก็ตัดสินใจลองดูซักครั้ง ... พรุ่งนี้วัน Valentine’s ถ้าไม่ใช้พรุ่งนี้ ผมก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ... เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

“เอาอันนี้ครับ...” ผมชี้นิ้วผ่านกระจกบานใส่ไปยังถาดใส่ลูกอมสีชมพูสดใส

“...ผูกโบว์ให้ผมด้วยนะครับ”

ผมมองดูขวดแก้วที่บรรจุลูกกวาดสีสันสดใสในมือ ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับของขวัญชิ้นนี้ ผมไม่ได้หวังอะไรตอบแทนแต่อย่างน้อยขอให้ได้บอกความในใจ


แทบไม่มีสมาธิ เช้านี้ไม่มีแม้แต่สติจะเรียนหนังสือ จริงๆก็ตั้งแต่เมื่อคืนที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ... จะให้ตอนไหน ทำท่ายังไง พูดอะไรบ้าง ในหัวคิดวนไปเวียนมาตั้งแต่เช้า จนเข้าเรียนคาบบ่ายของขวัญก็ยังนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋า เริ่มลังเลเพราะบรรยากาศวัน Valentine’s ของโรงเรียนชายล้วนไม่ได้คึกคักเท่าไหร่ ถ้าผมให้ของขวัญแอมป์จะต้องเป็นจุดสนใจของคนอื่นพอสมควร

“ไอ้มิลค์ มึงจะเอาไง ใกล้จะเลิกเรียนแล้ว ...” เสียงกระซิบของจีดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันกลับไปทำหน้าละห้อย

ไม่นานเสียงอ๊อดหมดคาบสุดท้ายก็ดังขึ้น พร้อมกับผมที่ลอบถอนหายใจเบา ไม่กล้าจริงๆ ช่างมันละกัน

“มึงนั่งอยู่นี่ เดี๋ยวกูจัดให้ ...”

“... ไอ้แอมป์มานี้ดิ” หัวใจผมเต้นรัวไม่หยุด แม้ระยะจากที่นั่งของแอมป์มาตรงนี้จะไม่ไกลเดิน แต่ทำไมถึงรู้สึกยาวนานขนาดนี้

“มีไร” เสียงของแอมป์ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไอ้มิลค์มีอะไรจะให้ ... ไอ้มิลค์” ผมกลืนน้ำลายลงคอ มองไปทางขวาไอ้บอนส่งยิ้มจางมาเป็นกำลังใจให้ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดหันหลับไปสบตากับแอมป์

“...” เชี่ย!!! ใบ้แดก แค่สบตาสมองก็ขาวโพลนไปหมด

“ว่าไงมึง ถ้าไม่มีไรกูจะกลับบ้าน”

“เรามีของจะให้ ...” โหลแก้วถูกยื่นออกมาตรงหน้า ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเพื่อไม่ให้มือสั่นไปมากกว่านี้ หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกมานอกหน้าอก เขินจนไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า

“... happy Valentine’s นะ ... เราโคตรชอบแอมป์เลย”

“อืม” แอมป์เพียงแค่ตอบรับในลำคอ เขารับโหลแก้วจากมือของผมแล้วก็เดินออกจากห้องไปเลย ความรู้สึกทุกอย่างที่สะสมมาก่อนหน้า ความตื่นเต้น ความกลัว ความหวัง ทุกอย่างเหมือนสลายกลายเป็นอากาศธาตุ ผมไม่เข้าใจนี่คือผมถูกปฏิเสธใช่ไหม

“ไปเถอะมึง เดี๋ยวกูเลี้ยงไอติมข้างโรงเรียน” บอนกอดไหล่พาร่างไร้สติของผมออกจากห้อง พร้อมกับจีที่ถือกระเป๋าของผมเดินตามออกมา

“มันหมายถึงอะไรวะ” ไปไม่ถึงร้านไอศกริมหรอก เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ผมก็หมดเรี่ยวแรง สุดท้ายไอ้บอนเลยพามานั่งที่ระเบียงของตึกเรียนแทน

“กูไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่มึงไม่ต้องคิดมาก อย่างน้อยมึงก็ได้บอกความในใจ ...” บอนกระชับวงแขนที่พาดอยู่บนไหล่

“... ไอ้จี กูบอกแล้วใช้ไหมอย่าไปชงมันมาก เป็นไงละมึง”

“ไอ้เหี้ยแอมป์ กูจะโทรไปด่ามัน ทำเพื่อนกูเสียใจ” จีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ไม่เอา ช่างมันเถอะ ...” ผมพูด

“... อกหักความรู้สึกมันเป็นแบบนี้เองเหรอ” อกหักครั้งแรก ยังไม่ทันได้เริ่มต้นผมก็นกตัวใหญ่มาก ความรู้สึกตีกันมั่วไปหมด อยากตะโกน อยากกรีดร้อง อยากร้องไห้ ระบายทุกความรู้สึกออกมา แต่ตอนนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ


จากที่ไม่แน่ใจว่าอกหักจริงไหม วันรุ่งนี้ผมก็รู้ตัวเลยว่าอกหักจริงเพราะแอมป์จงใจเมินผม ไม่คุย ไม่ทัก ไม่สบตา ถ้าต้องคุยกับกลุ่มของผมมันจะคุยกับบอนหรือไม่ก็จี แต่ที่แน่ๆคือไม่คุยกับผม  ... และทุกอย่างก็แย่ลงไปอีกเมื่อคนในห้องเริ่มล้อเลียนผมกับแอมป์ แม้ว่าเราจะไม่เฉียดเข้าใกล้กันเลยก็ตาม แอมป์ทำหน้าตึงทุกครั้งที่ถูกล้อ ส่วนผมก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะขอโทษก็ไม่มีโอกาส สุดท้ายแอมป์ก็ทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ ไม่มีตัวตนในสายตา ... เจ็บ ... เจ็บเหี้ยๆ ... ถ้ารู้ว่าทุกอย่างจะลงเอ่ยแบบนี้ วันนั้นผมคงเลือกที่จะก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้วปล่อยให้วันแห่งความรักเป็นพียงวันที่ 14 กุมภาพันธ์เหมือนที่ผ่านมา

แต่แม้จะอกหักผมก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบ final ที่จะมาถึง ความกังวลจากการสอบ บวกกับการต้องเข็นไอ้บอนให้ผ่าน final ในสภาพที่ครบ 32 ช่วยดึงผมออกจากความคิดฟุ้งซ่านไปพอสมควร ถึงอย่างนั้น เวลาเผลอผมก็ยังแอบคิดถึงเรื่องของแอมป์

“ไอ้มิลค์ มึงจัดกระเป๋ายัง” จีถาม พวกเรามากินร้านไอศกริมข้างโรงเรียนฉลองสอบเสร็จ

“ยังเลย มีเวลาเสาร์อาทิตย์ ไปแค่ 3 วันเอง” ผมตอบพลางตักไอศกริมรส rum raisin เข้าปาก

ค่ายที่จีพูดถึงคือค่ายศิลปะ ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนค่ายที่พาไปวาดรูป ดูงานศิลป์แต่ความเป็นจริงแล้วคือไปเที่ยวล้วน ๆ

“กูว่าจะจัดเย็นวันอาทิตย์” ก็ตามสไตล์ไอ้บอน หมกไว้ยันวินาทีสุดท้ายแล้วก็โทรมายืมโน่นนี้นั้นเพราะไม่มี

“กูคิดว่าวันนี้มึงจะชิ่งซะอีก” จีถาม

“ชิ่งเหี้ยไร คนอย่างกูไม่เคยทิ้งเพื่อน...” สีหน้าท่าทางของมันมองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าตอแหล

“... อยากเลี้ยงฉลองกับพวกมึง ค่ายศิลปะนี่เหมือนไปเที่ยวส่งท้ายกับพวกมึงอะ”

“มึงจะดราม่าทำไม” ผมถาม อะไรของมัน ยังทำท่าตอแหลอยู่แท้ๆ แล้วก็ดึงเข้าดราม่าซะงั้น

“กูพูดจริง ปีที่ผ่านมากูไม่ตั้งใจเรียนเลย เกรดเทอมนี้คงไม่ได้เท่าไหร่ พวกมึง 2 คนเกรดดี ปีหน้าคงได้ไปอยู่ห้อง king” ต้องขอบคุณจีที่ช่วยติวจนเกรดผมดีขึ้นตามลำดับ เทอมที่ผ่านมาจากพวกปริ่ม mean ผมสอบได้อันดับที่ 3 ตลอดรองจาก จี แล้วก็ ... แอมป์ พวกผม 3 คนคือตัวแทนหมู่บ้านที่ปีหน้ามีโอกาสย้ายไปห้อง king

“ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันก็เป็นเพื่อนกันได้ไหมวะ ... หรือถ้าเราได้ห้อง king จริงเราขอย้ายมาอยู่กับไอ้บอนดีปะ” จีเสนอความคิด

“มิลค์ ... มึงคิดไว้บ้างยังว่าถ้าปีหน้าขึ้นห้อง king แล้วบังเอิญได้อยู่ห้องเดียวกับแอมป์มึงจะทำยังไง” นอกจากจะดึงดราม่าเรื่องตัวเองแล้ว ยังดึงดราม่าเรื่องของผมอีก ไอ่ห่าบอน คนยิ่งไม่อยากจะคิด ... เป็นที่รู้กันในกลุ่มพวกเราว่าผมนก (อย่างเป็นทางการ) และความสัมพันธ์ของผมกับแอมป์ก็ ‘ฉห’ ไม่เหลือชิ้นดี

“ไม่รู้วะ ไม่อยากคิด”

“แล้วทำไมช่วงนี้มึงมีเวลาให้พวกกูวะ ปกติสอบเสร็จมึงต้องรีบไปหาเด็กใน stock แล้วปะ” จีเปลี่ยนบทสนทนา

“ช่วงนี้เบื่อๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษ” ผมเหลือบมองเพื่อนสนิท เพราะช่วงที่ผ่านมีแต่เรื่องของตัวเอง เลยไม่ได้สังเกตว่าไอ้บอนไม่ได้แรดไปแรดมาเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ดีสำหรับมันเพราะช่วง final มันดูกลับมาตั้งใจเรียนขึ้น แม้คะแนนเก็บที่ผ่านมาจะย่ำแย่แต่คิดว่ามันนาจะประคองตัวให้ผ่านปีนี้ไปได้

“ไม่ใช้ว่าแรดจนติดโรคมา เลยต้องมานั่งสงบเสงี่ยมกับพวกกูนะ” ผมหลุดหัวเราะกับคำแซวของจีที่ทำไอ้บอนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ไอ้เหี้ยจี !!!”


... 'G'

“ว่าไงมึง”

“ไอ้มิลค์ ... ดู TV อยู่เหรอ ปิดดิ ... มึงอยู่เงียบๆไว้นะ” อะไรของมันวะ โทรมาพูด ๆ ๆ แล้วก็กด hold สาย ... ผมที่กำลังนอนดู TV กด mute ตามที่มันบอก

...

...

...

“อะไรของมึงวะจี” ผมตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียง... แอมป์ ... แล้วอยู่ๆหัวใจก็เต้นแรง

“ไม่มีๆ โทรมาคุยเล่น”

“มึงว่างมากหรือไง”

“ว่างๆ ... มึง กูอยากรู้ มึงรู้สึกยังไงกับไอ้มิลค์วะ ถ้าเทอมหน้าต้องอยู่ห้องเดียวกัน”

“ไม่ชอบ รำคาญ อยู่ห้องเดียวกันก็ไม่คุย...”

“...บ้าเปล่าวะ ให้ขนมกูวัน Valentine’s กูโยนแม่งทิ้งที่หน้าโรงเรียน”

จบกัน ... รักครั้งแรกของผม แหลกละเอียดเหมือนดอกไม้ที่ถูกช้างทั้งโขลงเหยียบซ้ำ 2 รอบ


----------


มิลค์ : "เก็บหัวใจไว้ในโหลแก้ว ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือนกตัวแรกในชีวิต"
#FirstHeartbreak #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน 
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 3 : รักแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 30-04-2025 20:30:24
Friendship never dies, even when your heart breaks.
#ValentinesHeartbreak
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 3 : รักแรก
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 02-05-2025 00:11:06
Teaser ตอนที่ 4 : คำปลอบ

“กูขอโทษนะมิลค์ ...”

“... กูไม่น่าเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ” จีทำหน้าสำนึกผิด

“ไม่เป็นไรมึง รู้ก็ดี จะได้ตัดใจง่ายขึ้น” ผมฝืนยิ้ม และพยายามมองโลกในแง่ดี ... เออ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ตัดใจให้จบๆไป

“ไอ้บอนด่ากูจนหูชาแล้วเนี่ย ... ” จีบ่น

“... ตายยากนะมึง” บอนเดินกลับมานอกจากน้ำเปล่าแล้วมันยื่นถุงลูกอมรสสตรอเบอร์รี่มาให้ ผมรับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

“ไม่กินเหรอ”

“ไม่ กูไม่ชอบสตรอเบอร์รี่” มันทำหน้าประหลาดใจ และปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อคิดออกว่าทำไมผมถึงเคยชอบลูกอมรสสตอเบอร์รี่

“กูก็ไม่ชอบ รสชาติกวนส้นตีน อย่าให้กูเจอจะต่อยแม่งให้ร่วง” มันคว้าถุงลูกอมแล้วโยนลงถังขยะใกล้ ๆ

“มึงหมายถึงลูกอมหรือคนวะ” รู้ว่าเป็นมุก แต่จีก็ยังจะตบ ... แล้วก็ตบเข้าหน้าตัวเอง

“หมายถึงมึงแหละไอ้สัส ... กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าชง เสี้ยมจนได้เรื่อง แล้วมึงคิดเหี้ยอะไรถึงทำแบบนั้นไปวะ ... เห็นก็รู้แล้วไหมว่ามันไม่ชอบสิ่งที่ไอ้มิลค์ทำ ... ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย #$%$$#####&%$$$”

“มึง นี่กูเอง จีไง เพื่อนมึงอะ ... อย่าด่ามาก กูสำนักผิดไม่ทันแล้ววววววว” จียกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว เห็นพวกมัน 2 คนทะเลาะกันแล้ว ผมก็อดขำออกมาไม่ได้


----------


มิลค์ : "เจอกันวันอาทิตย์ครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือไม่ชอบลูกอมรสสตรอเบอร์รี่"

#MoodyStrawberry #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 4 : คำปลอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 04-05-2025 10:00:20
 ตอนที่ 4 : คำปลอบ

Tigger warning : ตอนนี้มีเนื้อหาเชิง 18+ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงลึกของตัวละครวัยรุ่น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาสะท้อนสภาวะอารมณ์ที่ซับซ้อนและการค้นหาตัวตนในช่วงวัยเปลี่ยนผ่าน



ต่อมน้ำตาแตก ... 2 วันที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ นั่งๆ อยู่น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมรู้ว่าเขาไม่รับรัก แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะถึงขั้นรังเกียจกัน โคตรฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ได้บอนกับจีที่สลับกันโทรมาหาเรื่อย ๆ ผมคงสติแตกมากกว่านี้ ผมก้าวลงจากรถ มองโรงเรียนที่ดูเงียบเหงามากกว่าปกติเพราะเป็นช่วงปิดเทอม ... หวังไว้สุดหัวใจเลยว่าค่ายศิลปะจะช่วย refresh ความรู้สึกของผมให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็มากกว่า 2 วันที่ผ่านมา

“มึงได้นอนบ้างไหมเนี่ย ...” บอนทักทันทีผมเดินเข้ามา เรานัดกันที่โรงอาหารก่อนถึงเวลาออกเดินทาง ... ผมส่ายหัวให้กับคำถามของมัน

“... สภาพมึงดูไม่ได้เลย นั่งอยู่นี่เดียวกูไปซื้อน้ำให้ มึงเอาอย่างอื่นเปล่า ...” ผมส่ายหัวอีกครั้ง

“... น้ำเปล่าเหมือนเดิมนะ” พอผมพยักหน้า ไอบอนก็เดินออกจากโต๊ะ ซักพักจีก็มา

“ไอ้บอนละ”

“ไปซื้อน้ำ”

“กูขอโทษนะมิลค์ ...”

“... กูไม่น่าเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ”

“ไม่เป็นไรมึง รู้ก็ดี จะได้ตัดใจง่ายขึ้น” ผมฝืนยิ้ม และพยายามมองโลกในแง่ดี ... แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ตัดใจให้จบๆ กันไป

“ไอ้บอนด่ากูจนหูชาแล้วเนี่ย ...”

“... ตายยากนะมึง” บอนเดินกลับมานอกจากน้ำเปล่าแล้วมันยื่นถุงลูกอมรสสตรอเบอร์รี่มาให้ ผมรับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

“ไม่กินเหรอ”

“ไม่ กูไม่ชอบสตรอเบอร์รี่” มันทำสีหน้าประหลาดใจ และปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อคิดออกว่าทำไมผมถึงเคยชอบลูกอมรสสตอเบอร์รี่

“กูก็ไม่ชอบ รสชาติกวนส้นตีน อย่าให้กูเจอจะต่อยแม่งให้ร่วง” มันคว้าถุงลูกอมแล้วโยนลงถังขยะใกล้ ๆ

“มึงหมายถึงลูกอมหรือคนวะ” รู้ว่าเป็นมุก แต่จีก็ยังจะตบ ... แล้วก็ตบเข้าตัวเอง

“หมายถึงมึงแหละไอ้สัส ... กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าชง เสี้ยมจนได้เรื่อง แล้วมึงคิดเหี้ยอะไรถึงทำแบบนั้นไปวะ ... เห็นก็รู้แล้วไหมว่ามันไม่ชอบสิ่งที่ไอ้มิลค์ทำ ... ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย #$%$$#####&%$$$”

“มึง นี่กูเอง จีไง เพื่อนมึงอะ ... อย่าด่ามาก กูสำนักผิดไม่ทันแล้ววววว” จียกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว เห็นพวกมัน 2 คนทะเลาะกันแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้



บนรถบัส ผมนั่งริมหน้าต่างข้างบอน จีนั่งอยู่ข้างหลัง พอได้ขึ้นรถแอร์เย็นๆ หนังตาก็รู้สึกหนักขึ้น คงเป็นเพราะที่ผ่านมาผมนอนน้อยด้วยแหละ แปลกที่พอได้อยู่ใกล้พวกมันความความกังวลก็เหมือนจะเบาบางลง

“ง่วงเหรอ มึงสัปหงกหลายรอบแล้ว” บอนถาม

“อืม”

“ง่วงก็นอนพัก ถึงแล้วจะได้มีแรงเที่ยวไง มึงอยากมา refresh ตัวเองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วย...”

“...นอนเลย พิงไหล่กูก็ได้จะได้สบายๆ”

“อืมได้ งั้นกูยืมไหล่แป๊บ” ผมหลับตาแล้วเอียงตัวไปพิงไอ้บอน แต่ด้วยความสูงที่ต่างกันเหมือนผมพิงอยู่ตันแขนของมันมากกว่าหัวไหล่

ผมหลับไปเกือบ 2 ชั่วโมง เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมหลับสนิท ความสดชื่นกลับมาอีกครั้ง พอตื่นขึ้นมาก็ใกล้ถึงจุดหมายแรกพอดี อย่างที่บอกว่า trip นี้เป็น trip เน้นเที่ยวและกิน สถานที่เลยวนอยู่แต่ร้านอาหาร วัด และแหล่งท่องเที่ยวดังประจำจังหวัด พวกเราหัวเราะ ถ่ายรูป และแกล้งกัน มันโคตรให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ผมรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้ผมลืม แต่พอมีช่วงเวลาที่ผมไม่ต้องคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ชีวิตดูสดใสมากขึ้น



เราถึงที่พักตอนเย็นๆ อาจารย์ให้ free time ประมาณชั่วโมงหนึ่งก่อนจะนัดรวมกันที่ห้องอาหาร ตอนจับคู่นอนผมนอนห้องเดียวกับบอน จีงอแงเพราะต้องไปนอนกับคนอื่นแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะยังคดีติดตัวอยู่ ถึงอย่างนั้นมันก็ยืนยันว่าคืนนี้จะหอบผ้าหอบผ่อนมานอนเบียดๆ กัน 3 คน

“มึงอยากจะนอนอีกซักหน่อยไหม” บอนถามหลังจากเข้ามาในห้องพัก

“อืม ซักหน่อยก็ดี ...” พูดจบผมก็ล้มตัวลงนอน

“...บอน”

“ว่าไง” ฟูกนอนยุบตัวลงเมื่อบอนคลานขึ้นมานั่งอยู่ตรงหัวเตียง

“กูเสียใจ” พูดจบน้ำตาก็ไหลออกมาเอง

“กูรู้ กูเข้าใจ”

“มึงกอดกูได้ปะ” ผมพลิกตัวกลับมา พร้อมกับน้ำตาที่ยังไหลนองหน้า

“มานี่มา ...” ผมคลานไปหามันที่กำลังนั่งหลังพิงหัวเตียง บอนขยับตัวให้ผมนั่งซ้อนด้านหน้า

“...ไอ้มิลค์เอ้ยยยย” วงแขนหนาโอบเอวของผมไว้ ผมขอบคุณมันจริงๆ ที่อยู่ข้างๆ ในช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอมากสุด

ผมยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท เสียงสะอื่นดังขึ้นเป็นระยะ ... ลมหายใจอุ่นๆ จากคนที่นั่งซ้อนหลังกระทบลงบนหลังคอก่อนที่จมูกได้รูปจะเริ่มซุกไซ้ลำคอบางระหงส์ อ้อมกอดของคนข้างหลังกระชับแน่นเข้าหาตัว มือหนาสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวหลวมและสัมผัสลูปไล้ไปตามผิวละเอียด

“มึงงงงงงงงงง” สัมผัสวาบหวิวไม่คุ้นเคยทำให้ลมหายใจของผมหยุดฉงักเป็นช่วงๆ

มือหนาลื่นขึ้นมาลูปไหลบริเวณใบหน้าที่ยังเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา บอนค่อยๆ ประคองใบหน้าของผมให้หันกลับมา เราสบตากันเพียงเสี่ยววินาทีก่อนที่ริมฝีปากหนาจะประทับลงบนริมฝีปากของผม สัมผัสที่ทำให้ผมลุ่มหลงในอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาเข้าในโพรงปากและสอดผสานกันอย่างลงตัว เสียงจูบหนักแน่นท่ามกลางความเงียบ ... ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ผมไม่รู้ว่าตัวเองเผลอปล่อยใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่านาทีนั้น ผมอยากให้สัมผัสของเราดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

“เออออออ พวกมึง” เสียงคุ้นหูทำเอาผมสะดุ้งถ้าไม่ใช้เพราะแขนของบอนที่รั้งเอวไว้ผมคงร่วงไปกองอยู่ข้างเตียง จีทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สายตาของมันหลุกหลิกไปมา ผมอายจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเอง

“ออกไปก่อนไอ้เหี้ย!!!” บอนไล่จีออกจากห้อง น้ำเสียงแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ

“กูรอกินข้าวข้างล่างนะ” ไม่นานเสียงเปิดปิดประตูก็ดังขึ้น ในห้องเหลือแต่ความเงียบ และจิตใต้สำนึกของผมก็เริ่มละอายกับพฤติกรรมเมื่อครู่ของตัวเอง

“มิลค์”

“...”

“ออกมาคุยกับกูก่อน...” ผมพยายามยื้อผ้าห่มไว้แต่ก็สู้แรงของมันไม่ได้ เชี่ย!!! เขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า เมื่อกี้กูทำไปได้ยังไงวะ

“...มองหน้ากู...” ใครจะกล้าวะไอ้บ้า ไม่ได้หน้าด้านเหมือนมึง แต่ผมก็ขัดใจมันไม่ได้เมื่อมือหนาเอื้อมมาประคองใบหน้าผมให้หันมาสบตา ... ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าแววตามันระยิบระยับผิดปกติ

“...มิลค์ครับ...” อิเหี้ย!!! เรียกชื่อกูแล้วลงท้ายด้วย ‘ครับ’ มึงเป็นใคร คายเพื่อนกวนสันตีxของกูออกมา

“...เป็นแฟนกูนะครับ” เชี่ย!!! นี่กูฝันไปหรือเปล่าวะ ไอ้บอนขอกูเป็นแฟน

“มึงชอบกูเหรอ” คนตรงหน้าเม้มปาก ทำหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด

“กูไม่รู้ แต่กูไม่อยากเห็นมึงเศร้า ตอนที่มึงเสียใจกูก็รู้สึกไม่โอเคเหมือนกัน ... ถ้ามึงพอจะรู้สึกอะไรกับกูบ้าง เรามาหาคำตอบไปด้วยกัน ...

“... เป็นแฟนกูนะ กูไม่อยากเห็นมึงเศร้าอีกแล้ว ... ตกลงนะ”

“ตกลง มาหาคำตอบไปด้วยกัน” เชรดดดดดดดดดดดดด ใครๆ จะคิดว่าจากที่อกหักชีวิตซังกะตาย อยู่ ๆ ก็ได้แฟนซะงั้น



เพราะผมกับบอนลงมาช้าเกือบครึ่งชั่วโมง คนในห้องอาหารคนเลยบางตาไปมากแล้ว เกรงใจก็แต่กับจีที่นั่งรอพวกเรากินข้าวคนเดียว

“เออ!!! กูกับมิลค์คบกันแล้ว มองอยู่นั้นแหละ” บอนเอ่ยปากอธิบายความสัมพันธ์ใหม่ของเราให้จีเข้าใจ เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องอาหารจีก็มองหน้าผมกับบอนสลับไปมาด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“กูยินดีกับพวกมึงด้วย ... แต่พวกมึงไวไฟกันเกินไปไหมวะ” คำถามของจีทำเอาผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ... โคตรอาย

“รู้สึกยังไงก็แสดงออกแบบนั้น จะคิดมากทำไมวะ” บอนยักไหล่เหมือนเรื่องที่เราจูบกันอย่างดูดดื่นก่อนที่จะตกลงเป็นแฟนกันไม่ใชเรื่องใหญ่โตอะไร ได้ยินคำตอบจีก็ส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ จากนั้นพวกเราก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว

“กูไปตักเพิ่ม มึงเอาอะไรไหม” พอผมส่ายหัวมันก็ลุกออกจากโต๊ะ

“ไอ้มิลค์ ...” จีรีบกระเถิบตัวมานั่งเก้าอี้ข้างผม

“...มึงคบกับมันแล้วจริงดิ”

“จริง ... ทำไมทำหน้างั้นวะ” จีทำสีหน้าปุเลี่ยนๆ เมื่อยินคำตอบของผม

“กูแค่แปลกใจ ไม่คิดว่าสุดท้ายพวกมึงจะคบกัน ... แต่กูยินดีกับมึงด้วยนะเว้ย บอนมันก็สนิทกับมึง น่าจะเข้ากับมึงได้ดี ...”

“...แต่มึง ... กูไม่ได้จะทักให้เสียเรื่องนะ ... คือมึงคุยกับมันเรื่องความเจ้าชู้ของมันให้ clear นะเว้ยจะได้ไม่มีปัญหา” ผมพยักหน้ารับ เพราะในใจก็คิดว่าคงต้องคุยเหมือนกัน

“ไอ้จี กลับไปที่เดิมเลยมึง คุยอะไรกับแฟนกู”

“แหวะ!!! เหม็นความรักวะ ...”

“... เฮ้ยพวกมึง!!! ... แสดงว่าคืนนี้กูก็ไม่นอนด้วยไม่ได้แล้วซิ”

“นอนได้ดิ / ไม่ได้!!!” เดาได้ใช่ไหมครับว่าประโยคไหนเป็นของใคร



“อืมมมมมมมม ... บอน หยุดก่อน ... อิเหี้ยหยุด!!!” ผมพูดเสียงเข้ม มองหน้ามันตาเขียว เขาห้องปุ๊บมันก็ตะปี้ตะปันจูบผมอย่างเดียว

“เชี่ย!!! ... ทำไมดุจังวะ” มันก้มหน้า มือข้างนึงเกาท้ายทอยอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่

“ใครดุ!!!”

“ก็มึงไง ... แต่ดุขนาดนี้ก็เปลี่ยนโพมึงไม่ได้หรอกนะ”

“โพ อะไรของมึง” คำศัพท์อะไรของมันวะ

“ก็โพไง ... มึงนี่เด็กน้อยจริงๆ ... ใครจะเป็นคนนำ ใครจะเป็นคนตาม ... เข้าใจยัง? ...”

“... อย่าบอกนะว่ามึงคิดจะนำกู” เจอคำถามของมันผมถึงขั้นไปต่อไม่เป็น สีหน้าท่าทางน้ำเสียงของมันโคตรดูถูกดูแคลนผม

“ก็เออ กูจะนำ” จริงๆ คือไม่ยังไม่ได้ไปไกลถึงขั้นนั้นเลยแต่ที่เถียงอยู่เนี่ยคือ ego ล้วน ๆ

“แล้วมึงทำเป็น” เชี่ย!!! สีหน้ามันโคตรจะดูถูกดูแคลน

“เป็น”

“ไหน ทำให้กูดูหน่อยซิ ถ้ามึงกดกูลง กูยอมเป็นเป็นผู้ตามที่ดีให้มึงเลย” แล้วผมก็ถูกดันจนหลังชิดกำแพง คนตรงหน้าเท้าแขนยันกับผนังแล้วกักผมไว้ข้างใน จมูกสวยได้รูปคลอเคลียอยู่ข้างแก้มไม่ห่าง ... ไอ้เวร ทำไมท่ามันล่อแหลมจังวะ หรือว่าผมจะเป็นฝ่ายโดนกดแทน

“ไอ้บอน!!! อย่าพาออกนอกเรื่อง เรามีเรื่องต้องทำความเข้าใจกันก่อน” สู้ไม่ได้ผมก็ทำเสียงแข็ง มองแรงใส่มัน

“ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว ... มึงมีอะไร” มันถอยหลังออกไป ยกมือ 2 ข้างทำท่ายอมแพ้

“ตกลงคือกูกับมึงคบกัน ... เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม” กระดากปากเหมือนกันที่ต้องเรียกมันว่าแฟน ไม่เคยคิดว่าสุดท้ายจะได้กันเอง

“เออ ตอนนี้เป็นแฟน แต่เดียวคืนนี้จะได้เป็นผัวเมียกัน ... ขอโทษคร้าบบบบ ไม่เล่นแล้วคร้าบบบบบ” กูต้องมองแรงกี่รอบมึงถึงจะจริงจังวะ อิจังไร

“คบกันแล้ว มึงต้องเลิกเจ้าชู้ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ได้ ถ้ามี กูเลิก”

“ตกลง”

“กูจริงจังนะ ถ้ามึงรับไม่ได้หรือคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็หยุดตอนนี้ ... กูไม่อยากเสียเพื่อนสนิทอย่างมึง” เชี่ย แล้วผมจะดราม่าทำไม พอคิดถึงช่วงเวลาแย่ๆ แล้วมีบอนอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบ คอยให้กำลังใจ แล้วถ้าสุดท้ายเลิกกันจนมองหน้าไม่ติด อยู่ ๆ น้ำตาก็รื้อขึ้นมาซะงั้น

“กูสัญญา จะเลิกเจ้าชู้แล้วมีมึงคนแค่คนเดียว”

“มึงสัญญาแล้วนะ”

“สัญญา ...”

“... กูต่อได้แล้วใช่ไหม ไอ้จีให้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว” ด้วยความงอแงของจี สุดท้ายไอ้บอนเลยต้องยอมให้มานอนด้วยแต่ต่อรองว่าขอเวลาอยู่กับผมก่อน

ผมได้สติอีกครั้งก็ตอนร่างกายหนาวสะท้านเพราะสัมผัสกับความเย็นจากผ้าปูเตียง บอนยืนอยู่ปลายเตียง สายตาที่จับจ้องมาที่ร่างของผมแวววาวระยิบระยับอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ... เขินจนไม่กล้าสบสายตาคู่นั้น

“กูเคยบอกไหมว่าหน้ามึงสวยมาก สารภาพก็ได้ว่ากูเคยเอามึงไปจินตาการตอน ... เผลอคิดไปไกล”

“ไอ้เหี้ย!!! กูเพื่อนมึงไง ...” ผมขู่ฟ่อๆ ในขณะที่มันมองผมด้วยสายตาหิวกระหาย ... แต่จะผิดไหมถ้าผมจะสารภาพ ว่าเคยเอามันไปใช้ในจินตนาการของตัวเองเหมือนกัน

ยังไม่ทันได้ตอบ คนตรงหน้าก็โน้มตัวเข้ามาประกบจูบ อารมณ์ที่เคยสงบนิ่งของผมถูกปลุกขึ้นมาได้อย่างง่ายดายด้วยจังหวะปากและลิ้นที่ช่ำชอง เราสองคนจูบกันอย่างดูดดื่ม เสียงจูบที่ดังท่ามกลางความเงียบทำให้ผมกระดากใจอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้าย... ความละอายใจก็ค่อยๆ ถูกพายุของอารมณ์พัดลอยหายไป


----------


มิลค์ : “แล้วท้องฟ้าก็กลายเป็นสีชมพู ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีแฟนแล้วววววววว”
#FirstPuppyLove #โลกนี้สีชมพู #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 4 : คำปลอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 04-05-2025 10:21:01
สวัสดีครับทุกคน :)
ตอนนี้อาจดูสั้นกว่าปกติเล็กน้อย เลยขออนุญาตชี้แจงซักนิดนะครับ

เดิมที ตอนที่ 4 มีความยาวมากกว่านี้ แต่มีบางพาร์ทที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงลึกของตัวละครที่ยังอายุไม่ถึง 18 ปี ซึ่งผมมองว่าอาจ sensitive เกินไป เลยตัดออกบางส่วนเพื่อให้เหมาะสมที่สุดครับ โดยยังคงพยายามรักษา mood & tone เดิมไว้ให้มากที่สุด

เพื่อเป็นการขอบคุณ และขอโทษทุกคนที่รอกันมาตลอดทั้งสัปดาห์ ผมจะ up ตอนที่ 5 ในวันพุธนี้ (ตอนที่ 6 จะ up ตามปกติในวันอาทิตย์นะครับ)

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 5 : ระหว่างเรา
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 07-05-2025 10:28:32
ตอนที่ 5 : ระหว่างเรา


ปิดเทอมใหญ่แน่นอนว่าหัวใจของผมพองฟูเป็นพิเศษ แม้จะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนตอนเปิดเทอมแต่เราก็คุยโทรศัพท์กับทั้งวันทั้งคืน มานั่งคิดๆ ดูก็เหมือนตลกร้าย ผมไปค่ายศิลปะด้วยความหวังว่าจะเป็นไปพักใจแต่กลับได้แฟนมาซะงั้น แถมคนๆ นั้นยังเป็นเพื่อนสนิท ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยคิดพิศวาสมันเลยซักนิด แม้จะสารภาพไปแล้วว่าเคยเอามันไปใช้ในจิตนาการของตัวเอง แต่ก็ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบนำพา ถามว่าเรา 2 คนใกล้ชิดกันมากแค่ไหนแล้ว ... ก็นั้นแหละครับ ใครจะไปสู้เสน่ห์แพรวพราวของบอนได้ และผมก็สัมผัสได้ว่าหลังจากคืนนั้น เรามีเส้นใยบางๆ เชื่อมเข้าหากันในอีกระดับนึง

ก่อนปิดเทอมไม่กี่สัปดาห์ โรงเรียนประกาศห้องเรียน ม.3 เป็นไปตามคาด ผม จี และ แอมป์เป็นตัวแทนหมู่บ้านขึ้นห้อง king กันไปทั้ง 3 คน ส่วนบอนก็อยู่ห้องคละตามผลคะแนนที่มันได้ มันงอแงเพราะเป็นปีแรกในรอบ 4 ปีที่เราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ผมเองก็เสียดาย มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เรียนอยู่ห้องเดียว

ผมและจีต่างกังวลกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีแต่คนเล่าให้ฟังว่าสังคมของห้อง king ไม่ดีเท่าไหร่ มีแต่คนเห็นแก่ตัว แข่งกันเรียน ชิงดีชิงเด่น แต่เรื่องทั้งหมดก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือผมอยู่ห้องเรียนเดียวกับจีในขณะที่แอมป์แยกไปอยู่อีกห้องหนึ่ง เพราะจากเรื่องที่เกิดขึ้นถ้าต้องอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่าจะมองหน้าแอมป์ได้ยังไง

“มึงว่าพวกเราทำถูกไหมวะ” จีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่มั่นใจในตัวเอง

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ตอนนี้เรา 2 คนยืนงงๆ กันอยู่หน้าหอประชุม

หลังจากปรึกษากันมาหลายวันผมกับจีตัดสินใจจะมาขอย้ายออกจากห้อง king ไปห้องคละตามเดิม และถ้าเป็นไปได้เรา 2 คนก็อยากอยู่ห้องเดียวกับบอน แม้จะเป็นกลุ่มที่ขาดๆ เกินๆ แต่ผมก็รู้สึกอุ่นใจที่พวกเราเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน ... จีที่เป็น ‘เดอะแบก’ ผมที่เป็น ‘GB’ และบอนที่ ‘ละไว้ในฐานที่เข้าใจ’ แต่พออยู่ด้วยกันมันก็ลงตัว

“มิลค์ จี”

“หวัดดีครับครู / สวัสดีครับ” เรา 2 คนยกมือไหวครูนก อดีตครูที่ปรึกษา

“มาทำอะไรกัน ปิดเทอมทำไมไม่นัดกันไปเที่ยวจะเข้ามาโรงเรียนทำไม” ครูนกทักพวกเราแบบเป็นกันเอง

“พอดีมีเรื่องจะมาติดต่อฝ่ายวิชาการนะครับ”

“มีอะไรหรือเปล่า ปรึกษาครูได้นะ” แค่มองหน้ากัน ผมกับจีก็รู้แล้วว่าใจตรงกัน

“ครูครับ คือตอนแรกพวกผมจะมาขอย้ายห้อง” จีเกริ่นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“ทำไมละ เธอ 2 คนได้ห้อง king ไม่ใช้เหรอ จะย้ายออกมาทำไม” ครูนกขมวดคิ้ว ตอนแรกผมตกใจว่าครูรู้ได้ไงว่าพวกผมได้ห้อง king แต่คิดไปคิดมาก็คงไม่แปลกเพราะครูนกก็คงติดตามว่า top 3 ของห้องแยกย้ายกันไปเรียนห้องไหนบ้าง

“คือพวกผมไม่อยากเรียนห้อง king นะครับ เพราะได้ยินมาว่าบรรยากาศไม่น่าเรียนเท่าไหร่”

“ไม่หรอก พวกเธอไปได้ยินอะไรมา ... นี่ไม่ใช้เพราะติดเพื่อนใช่ไหม” ครูนกมองพวกเราอย่างรู้ทัน

“555 ก็ไม่เชิงครับ” พวกเราต่างอมยิ้ม

“ครูว่าพวกเธอกังวลมากไป สังคมเด็กห้อง king ก็เหมือนห้องอื่นๆ นั้นแหละ ... ครูว่าพวกเขาก็รักกันไม่ต่างอะไรกับพวกเธอ ...”

“... พวกเธอมีโอกาสจะก้าวไปข้างหน้า ก็รีบคว้ามันไว้ เธอ 2 คนเป็นเด็กหัวดี ถ้าได้ไปอยู่ในห้องที่มีแต่เด็กเรียนเก่ง มันจะช่วยทำให้พวกเธอไปได้ไกลกว่านี้ ... 2 คนอยากเรียนสายวิทย์ไม่ใช้เหรอ ถ้าอยากก็ต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ...”

“... เพื่อนกัน จะเรียนอยู่ห้องไหนมันก็เป็นเพื่อนกันได้ทั้งนั้น”

และ mission ของวันนี้ก็จบลงด้วยการที่ผมกับจีเดินกลับออกมาพร้อมกับสถานะเด็กห้อง king เหมือนเดิม

“มึงสบายใจขึ้นไหม” ผมถามจีที่ตอนนี้กำลังจ้วงบะหมี่เข้าปาก ชามก๋วยเตี๋ยวของเรา 2 คนเหมือนกัน บะหมี่ 2 2 กษัตริย์ แห้ง เพิ่มหมูแดงและเกี๊ยว

“สบายใจขึ้น จริงๆ ก็ก็ยัง 2 จิต 2 ใจ แต่แบบนี้ก็ตัดสินใจได้แหละ ... มึงละ”

“ก็โล่งใจ แต่ก็ยังกังวลอยู่ กลัวสังคมใหม่ๆ” ผมเป็นคนปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ไม่เก่งเท่าไหร่ และก็ชอบกังวลไปก่อนล่วงหน้าเสมอ

“มีกูอยู่ด้วย มึงจะกลัวอะไร ยังไงกูกับมึงก็ต้องเกาะกันไปตลอดอยู่แล้ว จะ ม.3 หรือ 4 5 6 ก็อยู่ด้วยกันจริงไหม”

“จริง ... ขอบใจมึงนะเว้ย ถ้าไม่ได้มึงกูคงค้างอยู่ห้องคละเหมือนเดิม...” คนตรงหน้ายักไหลเหมือนไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร

“... จี ก่อนเปิดเทอม กูจะไปค้างบ้านไอ้บอน 2 คืนนะ ... กูอ้างชื่อมึงได้เปล่า...” คนตรงหน้าขมวดคิ้ว ตาชั้นเดียวของมันหรี่ลงเหมือนจ้องจะจับผิด

พ่อแม่ผมรับรู้ว่าเพื่อนสนิทของผมคือบอนกับจี แต่จีเป็นลูกรักบ้านผม เพราะมันเรียนเก่งและเรียบร้อย พ่อกับแม่เลยไว้ใจจีเป็นพิเศษ ถ้าอ้างจีทุกอย่างจะง่ายขึ้นเยอะ

“...เทอมหน้าก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันแล้ว เลยอยากใช้เวลากับมันให้เยอะๆ หน่อย” ผมทำเสียงเศร้า หูตก ขอความเห็นใจจากเพื่อนสนิท

“แน่ใจว่าแค่ไปนอนค้าง?”

“นอนค้างอย่างเดียว สาบาญได้”

“มิลค์ ... อย่าโกหก กูให้มึงอ้างชื่อได้ แต่มึงต้องเล่ามาทั้งหมด ... มึงกับมันเกินเลยกันแล้วใช่ไหม” ตะเกียบในมือของจีถูกวางลงบนจาน ทำไมบรรยากาศมันเปลี่ยนเร็วขนาดนี้วะ รู้สึกสันหลังวาปไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ปะ ... เปล่า ... ยัง กูกับมันยังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้น”

“มึงไม่เนียน ...อย่าโกหก” เชี่ย ทำไมมันน่ากลัวงี้วะ

“อะ ... เออ ยอมรับ ถึงขั้นนั้นแล้วจริงๆ”

“ไอ้มิลค์ กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าใจร้อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ... กูเข้าใจว่ามันอดใจยาก แต่มึงต้องรับผิดชอบตัวเองให้มากกว่านี้”

“ไอ้บอนมันดีกับกูนะเว้ย ตั้งแต่คบกันมันก็ไม่มีเรื่องเจ้าชู้เลย ...”

“... โอเค กูสัญญา ว่าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้” หูทั้ง 2 ข้างตกราวกับลูกหมาน้อย ทันทีที่สบสายตาดุๆ ของเพื่อนสนิท

“มึงคบกับมันได้ไม่กี่เดือนเอง มึงแน่ใจได้ไง...” คนตรงหน้าทำเสียงเครียด มันไม่มีปัญหาถ้าผมกับบอนจะคบกัน จีไม่ได้รังเกียจอะไร กลับกันออกจะมีความสุขกับการหาเรื่องแซวเรา 2 คนด้วยซ้ำ แต่สิ่งเดียวที่จีกังวลคือเรื่องความเจ้าชู้ของบอน

“...มึงแม่ง พูดอะไรไม่เคยฟัง แต่มึงต้องสัญญากับกูนะว่าถ้ามีอะไรต้องเล่าให้กูฟัง ...”

“... ถ้าไอ้บอนมีกิ๊ก กูจะชกหน้าแม่ง ทำให้เพื่อนสนิทกูเสียใจ” จีสนิทกับผมมากกว่าบอน

“ใจเย็นมึง อินเกินไปแล้ว มันไม่ได้มีกิ๊กไหมละ” ผมยิ้ม บรรยากาศกลับมาผ่านคลายเหมือนเดิม

“ว่าแต่ กูขอเสือกได้ปะ ... เป็นไงอะ ไอ้เหี้ยบอนเด็ดจริงเปล่าวะ ทำไมใครๆ ก็หลงมันชิบหาย”

“ไอ้เหี้ยจี!!!”



เปิดเทอมวันแรก แน่นอนว่าเมื่อคืนผมก็นอนไม่หลับไปตามระเบียบ เช้านี้ตื่นขึ้นมาตาโหลเป็นหมีแพนด้าเลย โรงเรียนกลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงคุย เสียงฝีเท้าวิ่งเล่น เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง

“ตื่นเต้นไหม” บอนถามขณะที่เราเดินขึ้นตึกเรียนพร้อมกัน

“ตื่นเต้นดิ มึงละ”

“ก็ตื่นเต้น แต่กู keep cool อยู่”

“cool ตายห่าเลยมึงอะ ... บอน มึงสัญญากับกูว่าจะไม่นั่งหลังห้อง จะกลางห้อง หน้าห้องอะไรก็ได้แต่ไม่ใช้หลังห้อง ... กูอยากให้มึงคบเพื่อนดีๆ พออยู่คนละห้องกูรู้สึกใจมันหวิวๆ ยังไม่บอกไม่ถูก”

“จะกังวลอะไร กูมีมึงอยู่ทั้งคน เรียนไม่รู้เรื่องมึงก็ช่วยสอนกูไง ...”

“... เออๆ ไม่นั่งหลังห้อง แค่นี้ต้องทำเป็นดุ”

“งั้นแยกกันตรงนี้ เดียวพักน้อยเช้าไปหาของว่างกินกัน” ผมส่งยิ้มก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ห้องของมันอยู่ชั้น 3 ในขณะที่ห้องของผมอยู่ชั้น 4

เข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่เห็นคืนหน้าตี๋ๆ ของจี มันบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะมาจองที่ให้แต่เช้า จีจองที่นั่งตำแหน่งใกล้เคียงกับเทอมที่แล้ว เยื้องมาทางประตู แถวกลาง สงสัยจะเปิดตำราเดียวกับไอ้บอน

“มาตั้งแต่กี่โมงวะ” ผมถามพรางนั่งลงเก้าอี้ฝั่งซ้ายของจี

“7 โมง โคตรง่วง” พูดจบมันก็หาวใส่ผม

“บรรยากาศเป็นไงวะ” ผมกระซิบเสียงเบา เพราะในห้องมีเด็กนักเรียนอยู่หลายคน

“ก็ดูปกตินะ ไม่ได้แย่เหมือนที่คิด” ผมมองซ้ายมองขวา บางคนก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน บางคนก็นั่งอ่านการ์ตูน ทุกอย่างดูเหมือนบรรยากาศเดิมๆ ที่ผมคุ้นเคย จะมีก็แต่บางคนเท่านั้นที่นั่งอ่านหนังสือแต่ก็น้อยมากจริงๆ

“เฮ้ย!!! พวกมึงอะ...” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากข้างหลัง ผมกับจีเลยหันไปมองพร้อมกัน

“... เพิ่งขึ้นมาห้อง king ครั้งแรกเหรอ” มันนั่งอยู่หลังผมไป 2 แถว คนอะไรวะเรียนห้อง king แต่แต่งตัวผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ไว้ผมยาว เจาะหู 2 ข้าง ใส่เสื้อออกนอกกางเกง รองเท้าและเป้ผิดระเบียบ มันเข้าห้องผิดหรือเปล่าวะ

“เออ เพิ่งขึ้นมาปีแรก กูจี ไอ้นี้มิลค์ มึงชื่ออะไร”

“กูชื่อไอซ์ ...” คนตรงหน้าพูดพร้อมกับสะพายกระเป๋ามานั่งเก้าอี้ว่างข้างซ้ายมือของผม

“... กูย้ายมานั่งกับพวกมึงดีกว่า”

“แล้วเพื่อนมึงไม่ว่าเหรอ” จีถาม

“ไม่ๆ กูแม่งโคตรซวยโดนย้ายมาห้องนี้คนเดียว คิดแล้วยังเซ็งไม่หาย” ไอซ์พูดพลางทำหน้าเบื่อเต็มทน

“ถ้าจับกลุ่มทำงานกูอยู่ด้วยนะ” พูดจบมันก็คว้าหนังสือการ์ตูนขึ้นมาจากกระเป๋า 3 เล่มแล้วยื่นมาให้ผมกับจี ผมรับเอาหนังสือการ์ตูนที่ใช้กระดาษนิตยาสารหุ้มหน้าปกไว้

“การ์ตูนอะไรวะ” ผมถามเพราะปกติก็ไม้คนอ่านการ์ตูนเท่าไหร่ ผิดกับจีที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ Dragon ball

“อ่านเถอะ เดียวก็รู้” ผมพยักหน้า แต่พอเปิดหน้าแรกเท่านั้น ...

“เชี่ย!!! / เหี้ย !!!” ผมกับจีอุทานพร้อมกัน แล้วก็พร้อมใจกันปิดหนังสืออย่ารวดเร็ว

“555 หน้าพวกมึงโคตรตลก” ไอซ์หลุดขำแรงออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผมกับจี รู้แล้วว่าทำไมต้องใช้กระดาษนิตยาสารห่อเอาไว้

“เอาคืนไปเลย” ผมคืนหนังสือให้ไอซ์ แต่พอหันกลับมาทางจี เจ้าตัวกำลังเปิดอ่านด้วยสีหน้าจริงจัง

“เฮ้ยไอซ์ ... มีของไหมมึง” ใครซักคนเดินเข้ามาทัก

“มี เอาเท่าไหร่”

“3 เล่ม”

“ได้ ... ลงชื่อด้วย” มันล้วงมือไปในกระเป๋าเป้แล้วหยิบเอาหนังสือการ์ตูนหุ้มด้วยปกหน้าตาประหลาดๆ ออกมา 3 เล่ม พร้อมกับสมุดจดที่มีโลโก้โรงเรียนเด่นหราอยู่ตรงกลาง

“วันละ 15 บาท ...” ไอซพูดขณะที่อีกคนก้มตัวลงเขียนอะไรซักอย่างลงในสมุด พอเสร็จก็รับหนังสือการ์ตูนไป

“... ทำไมวะ. ..” มันหันมาถามผมที่จ้องหน้ามันอยู่ก่อน

“... กูปล่อยเช่า ถ้ามึงไม่ขอบการ์ตูน หนังสือโป๊กูก็มีนะ บุหรี่ เหล้า ก็มี มึงอยากได้อะไรบอก กูหาให้มึงได้หมด” ผมกระพริบตาปริบๆ เมื่อเจ้าตัวบรรยายสรรพคุณตัวเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจสุดๆ

“มึงนี่มันตัวอบายมุขชัดๆ”

พักน้อยเช้า ผมเดินลงมาจากบนตึกพร้อมจีกับไอซ์ แต่แยกตัวออกไปเมื่อถึงโรงอาหาร

“ห้องใหม่เป็นไง” ผมถามพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามบอน

“ก็ดี แต่จะดีกว่าถ้าได้อยู่กับมึง”

“ทำไงได้ กูก็อยากอยู่ห้องเดียวกับมึงเหมือนกัน”

“รู้งี้น่าจะคบกับมึงตั้งแต่ ป.5” เชี่ยยยยยยยยยยยยยย โคตรเขิน

“ไอ้บอน กูเขินเป็นนะไอ้เหี้ย”

“เขินก็ไม่เห็นต้องพูดคำหยาบเลย เมียกูปากคอเราะร้ายจัง”

“พูดไรวะ เดียวคนอื่นได้ยิน” ผมเหลือบมองซ้ายขวาด้วยความหวาดระแวง ผมกับบอนตกลงกันว่าจะคบกับแบบเงียบๆ ไม่แสดงออกให้ใครรู้ แสดงความรักกันเฉพาะเมื่ออยู่ด้วยกัน 2 คน

“พูดเรื่องจริง มึงเมียกู” มันยิ้ม เป็นยิ้มที่เมื่อเห็นแล้วทำให้หัวใจผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ไม่เคยคิดว่ามันหล่อจนกระทั้งเราเป็นแฟนกัน … แฟนผมก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย

“ทำไมกินข้าวเลยละ” ผมถามเมื่อเห็นว่ามันกินข้าวเป็นจริงเป็นจังแทนที่จะเป็นขนม

“เดียวกลางวันไปเตะบอลกับเพื่อนในห้อง” มีเพื่อนใหม่แล้ววุ้ย คงไม่เหงาเท่าไหร่แล้วมั้ง

“กินน้ำอะไรไหม เดียวกูไปซื้อให้” ผมเสนอตัวเพราะไม่เห็นว่ามันซื้อน้ำมา

“เอาโค้ก”



“ไอ้มิลค์!!!”

“ว่า? ” หันกลับไปก็เจอหน้ากวนๆ ของไอซ์

“ไม่ไปหาไรกินกับพวกกูวะ”

“นัดเพื่อนไว้ ขึ้นห้องใหม่มันไม่ค่อยมีเพื่อนกลัวมันเหงา” ผมอธิบายพร้อมกับรับแก้วโค้กและขวดน้ำเปล่าไว้ในมือ

“พูดให้ดี เพื่อนหรือแฟน” ไอซ์กระเถิบเข้ามากระซิบข้างหู

“มึงรู้ได้ไง” ใจแทบหลุ่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่พอเห็นร้อยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้ากวนๆ ของไอซ์ผมก็รู้ตัวเลยว่าเสียรู้ให้มันไปเต็มๆ

“กูก็เดาไปงั้น แต่เสือกเดาถูก 555” ไอ้เหี้ยไอซ์ กูเกียจมึง!!!

ม.3 ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จำได้ว่าเพิ่งเปิดเทอมเผลอแป๊บเดียวผ่านไปจนเกือบจะครบปีแล้ว กลุ่มติวของพวกเรามีไอซ์เพิ่มเข้ามา ช่วงแรกๆ ก็ติวกัน 4 คน แม้จะหน้าตากวนตีนและนิสัยก็ไม่ต่างอะไรกับหน้าตา แต่ไอซ์ก็สมกับเป็นเด็กที่อยู่ห้อง king มาตั้งแต่ประถม มันเรียนเก่งโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ตอนนี้คนที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคือไอ้บอนเพราะหลังจากสอบ final เทอม 1 มันก็ไม่มาติวกับพวกผมอีกเลย แม้จะพยายามพูดยังไงบอนก็ไม่ยอมมา ผมว่าส่วนหนึ่งเพราะมันรู้สึกน้อยใจเวลาถูกแวดล้อมไปด้วยเด็กห้อง king อย่างที่ครูนกบอกสิ่งแวดล้อมของห้อง king พลักให้ผมกับจีก้าวไปข้างหน้า แต่ยิ่งผมก้าวไปได้ไกลเท่าไหร่ระยะห่างระหว่างผมกับบอนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อีกประเด็นคือผมสัมผัสได้ว่าไอซ์กับบอนไม่ชอบหน้ากันเท่าไหร่ แม้ทั้งคู่จะไม่เคยพูดแต่ผมก็สัมผัสได้เวลา 2 คนนี้อยู่ใกล้กัน

“บอน มึงจะตั้งใจเรียนซักชั่วโมงโดยไม่คิดเรื่องใต้สะดือได้ไหมวะ” ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งอารมณ์เสีย ... พูดใหม่คือผมอารมณ์เสียเลยแหละ เมื่อมือที่ลูบอยู่บริเวณแผ่นหลังเริ่มสอดเข้ามาใต้ร่มผ้า

ยิ่งนัดติวกันมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งคิดว่ามันนัดผมมาเพื่อนทำเรื่องอย่างว่ามากกว่าติวหนังสือ ผมติวให้บอนทุกวันอาทิตย์สัปดาห์เว้นสัปดาห์ บ้านผมบ้าง บ้านมันบ้าง คือผมไม่ได้ติดนะเรื่องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เพราะผมกับบอน เราเข้ากันได้ดีมาก แต่จุดประสงค์หลักที่ผมมาคือติวหนังสือ แล้วนี้ก็ใกล้ช่วงสอบ บอนควรจะมีสมาธิกับการทบทวนบทเรียน ไม่ใช้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ก็ตั้งใจอยู่นี่ไง” มันตอบด้ายน้ำเสียงราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ

“ถ้าตั้งใจก็เอามือออกจากเสื้อกูได้แล้ว ... ไหนบอกจะตั้งใจติว ปีหน้าจะได้เรียนสายวิทย์กับกูไง” พูดจบบอนก็ทำหน้าตาล๊อกแล๊ก สายตาลุกลี้ลุกลนเหมือนคนทำอะไรผิดมา

“มึง ... กูว่ากูจะไม่เลือกสายวิทย์แล้ววะ ...”

“... กูว่ากูไปไม่ไหว ไม่ได้ชอบฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ขนาดนั้น” หัวใจเหมือนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม จริงๆ ผมก็มองออกมาซักพักแล้ว แม้ในใจลึกๆ จะยังหวังว่าจะได้กลับมาเรียนห้องเดียวกันอีกครั้ง

“มึงแน่ใจแล้ว ?”

“แน่ใจ”

“กูยังไงก็ได้นะ เรียนอะไรก็ได้ที่มึงอยากเรียน ... แล้วแต่มึงแล้วเรื่องติวมึงจะเอายังไง ยังอยากจะติวไหมหรือไม่อยากแล้ว” ผมมองหน้ามันสลับกับหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้า

“ที่กูอยากติวเพราะกูอยากใช้เวลาอยู่กับมึง ถ้าไม่ได้ติวก็แทบจะไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย” บอนพูดถูก การเรียนอยู่คนละห้องทำให้เรา 2 คนมีเวลาร่วมกันน้อยกว่าที่คิด แม้จะเรียนวิชาเดียวกันแต่เนื้อหาของห้อง king เข้มข้นกว่ามาก ไม่นับรับถึงการบ้านที่ก็มากตามความเข้มข้นของเนื้อหา ที่โรงเรียนเราได้เจอกันแค่ช่วงพักน้อยเช้าที่เหลือต่างคนต่างอยู่กับเพื่อนของตัวเอง

ตอนกลางวันบอนจะไปเตะบอลกับเพื่อนห้องเดียวกันแม้ผมตามไปดูทุกพักกลางวันแต่ก็แอบดูอยู่ห่างๆ เพราะไม่อยากให้คนอื่นสงสัยในความสัมพันธ์ของเรา ผมชอบมากเวลาเห็นบอนวิ่งอยู่ในสนาม มันเป็นคนสูง รูปร่างดี แม้จะอยู่ท่ามกลางเด็กนักเรียนนับร้อยแต่ผมก็หามันเจอได้ไม่ยาก ... ผมนอกเรื่องไปไกลอีกแล้ว


ผมเข้ากับเพื่อนของมันไม่ค่อยได้ไม่ต่างจากที่บอนเข้ากับไอซ์ไม่ได้เหมือนกัน ไอซ์กับบอนไม่เคยทะเลาะกันแต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามีประกายไปแปล๊บๆ เวลา 2 คนนี้อยู่ให้กัน จีกับบอนไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมอีกแล้ว แม้จะไม่ได้มีเรื่องอะไรแต่เพราะเรียนอยู่คนละห้องทำให้ 2 คนนี้ค่อยๆ ห่างกันไป ... พูดได้เต็มปากว่ากลุ่มของ ผม จี และ บอน ไม่มีอีกต่อไปแล้ว


----------


มิลค์ : “คนมีความรักมักจะชอบทำแววตาหวานซึ้ง ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือโตขึ้นอีกนิดนึง”
 #ขึ้นม.3แล้ว #คนมีความรัก #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 5 : ระหว่างเรา
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 09-05-2025 11:59:57
มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับทุกคน ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นคนขี้อวดแฟน
#GameBattleDating #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 6 : กลัว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 11-05-2025 11:44:55
ตอนที่ 6 : กลัว


ชีวิตมัธยมต้นจบไปแล้วอย่างเป็นทางการพร้อมกับการเริ่มต้นของชีวิตมัธยมปลาย วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศขึ้น ม.4 ห้องเรียนและผลการคัดเลือกสายเรียนประกาศตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ผม จี ไอซ์ ได้เรียนสายวิทย์ตามที่ตั้งใจ ในขณะที่บอนเรียนสายศิลป์คำนวณ ตอนเช้าเป็น home room รวมของทั้งระดับชั้น ม.4 ในหอประชุม ก่อนจะแยกย้ายไปห้องใครห้องมันเพื่อนพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา

“พวกมึง นี่ไอ้อาร์ม กับไอ้โจ เพื่อนกูตั้งแต่สมัยประถม ... นี่มิลค์ นี่จี” ไอซ์พาเพื่อนใหม่มาแนะนำ ผมพอรู้จัก 2 คนนี้อยู่บ้างเพราะไอซ์พูดถึงบ่อย ปีที่แล้วเวลาเดินผ่านก็มีทักทายกันบ้าง บางวันก็กินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร เทอมนี้โชคดีที่พวกเรา 5 คนได้อยู่ห้องเดียวกันหมด ไอซ์เลยมาจองที่ให้ตั้งแต่เช้า สูตรเดียวกับจีเป๊ะเลย ริมห้องฝั่งใกล้ประตู แถวกลาง ไอซ์ อาร์ม โจ นั่งแถวหน้า ผมนั่งข้างจี หลังไอซ์

“พวกมึง ปีนี้จะเปิดทำชมรมกันเปล่า” อาร์มเปิดประเด็น มันเป็นคนตัวใหญ่ ผิวคล้ำ ใส่แว่น แต่แม้ภายนอกจะดูน่ากลัวแต่มันนิสัยดีสุดๆ แล้วก็เป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในกลุ่ม ตามกฎของโรงเรียน ม.4 - 5 สามารถรวมกลุ่มกันเปิดชมรมได้

“กูไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยวะ” ไอซ์ตอบ ในขณะที่ผมกับจีได้พยักหน้าเห็นด้วยกับมัน

“กูกับโจไปคุยกับอาจารย์หมวดวิทย์มาเว้ย อาจารย์เขาชวนเปิดชมรมวิทย์”

“ชมรมวิทย์มีคนทำอยู่แล้วไม่ใช้เหรอ” จีถาม

“ก็ใช่ แต่พวกที่ทำปีที่แล้ว ปีนี้ย้ายไปสมัครสภานักเรียนกันหมดเลย ...” อาร์มเฉลย

“... กูไปคิดมาแล้วกิจกรรมก็ไม่มีอะไรมาก ติววิทย์ให้เด็ก ม.ต้น แล้วปิดเทอมก็จัดค่ายไปต่างจังหวะซัก 2 คืน งานโรงเรียนจัดซุ้มเกมส์ งานวิชาการจัดบูทนิดๆ หน่อย กูว่าแค่นี้คนก็แห่มาสมัครแล้ว”

“กูเอา น่าสนุกดี” ไอซ์ตอบรับแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“กูด้วย / ตกลง” โจกับจีตอบตกลงพร้อมกันเหลือแต่ผม ที่ยังไม่กล้าตัดสินใจ

“มึงไม่ทำเหรอ” จีเอาศอกสะกิด

“กูก็อยาก แต่ก็ไม่เก่งเหมือนพวกมึงไง จะติวให้ใครก็อายเขา” ถ้าเทียบกับคนอื่นในกลุ่ม ผมเป็นคนที่เก่งน้อยที่สุด คนอื่นๆ เปิดหนังสือผ่านๆ ก็สอนสดได้เลย ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แต่ด้วยความสามารถระดับผมไม่น่าจะไปติวให้ใครได้

“มึงไม่ต้องคิดมากเว้ย มึงเป็นเลขาชมรมไหม จัดการเรื่องโน่นนี้นั้นแทน ไม่ต้องรับหน้าที่ติวก็ได้” อาร์มเสนอทางออก

“ได้ กูตกลง”



พักน้อยเช้า ผมแยกจากคนอื่นๆ มาหาบอนเหมือนปกติ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อมาถึงโรงอาหาร กลุ่มของบอนใหญ่ขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เหมือนว่ามีเพื่อนจากหลายๆ ห้องมานั่งรวมกัน พวกมันจะกินข้าวกลางวันตอนพักน้อยเช้าและเตะบอลตอนพักกลางวัน อย่างที่เคยบอก ผมเข้ากับเพื่อนของบอนไม่ค่อยได้

“วี๊ดวิ๊วววววว ว่าไงคนสวย มาหาใครคะ” ... ผมขอแก้คำพูด ไม่ใช้ว่าเข้ากับเพื่อนของบอนไม่ได้ แต่ผมเกียจเพื่อนของมันเลยต่างหาก ... ‘ไอ้ปิง’ เพื่อนสนิทของบอน เอ่ยปากแซวผม บอนกับมันนั่งข้างกันปีที่แล้ว ปีนี้ก็เรียนห้องเดียวกันอีก ผมไม่ชอบมัน ปากเสีย กวนตีน ไม่มีมารยาท เสียงแซวของมันทำให้คนอื่นๆ หันมามองผมเป็นสายตาเดียวกัน ผมคุ้นหน้าครึ่งโต๊ะ อีกครึ่งผมไม่คุ้น ก่อนหน้านี้มี 6-7 คน ผมยังอึดอัด นี่รวมกันเป็น 10 คน โคตรไม่ชอบพวกนี้เลย

“เสือก” ผมพูดเสียงเบา แต่มั่นใจเลยว่าไอ้ปิงอ่านปากผมออก ผมว่ามันโรคจิตนะเพราะดูจะมีความสุขมากเวลาโดนผมด่า

“พวกมึง ... นี้มิลค์ เพื่อนกู” บอนพูดเมื่อผมนั่งลงข้างๆ ผมยังคง keep cool แม้ว่าในใจจะโคตรอึดอัดที่ถูกคนอื่นจ้องเป็นสายตาเดียวกัน

“เพื่อนหรือเด็ก พูดให้ชัด” ไอ้ปิงยังไม่หยุดแซว แม้จะถูกผมมองแรงไปแล้วหลายรอบก็ตาม

“เพื่อน มันเป็นเพื่อนสนิทกูตั้งแต่ประถม” บอนอธิบายเพิ่ม ไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับบอน นอกจากจีและไอซ์

“มึงสูบบุหรี่?” ตอนแรกผมไม่แน่ใจ คิดว่าเป็นกลิ่นจากคนอื่น แต่พอนั่งได้ซักพัก ชัดเลยว่ากลิ่นมาจากคนข้างตัว บอนทำหน้าอึกๆ อักๆ

“มิลค์ มึงจะซีเรียสทำไมวะ ก็ไอ้บอนมันอยากลอง” ไอ้ปิงรีบออกหน้าช่วย ผมตวัดสายตากลับมาที่ตัวต้นเหตุ ฮึ ยิ้มแห้งไปก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้

“อืม มันไม่ดี มึงก็รู้ ... ถ้าป๊าม๊ารู้มึงโดนแน่” ในใจคืออยากจะสาดคำผรุสวาทใส่มันกลางโรงอาหาร แต่ก็ไม่อยากให้มีประเด็นอะไร

บ้านมันเป็นคนจีน ส่วนบ้านผมเป็นคนไทย ป๊าม๊าในความหมายของเราคือพ่อแม่ของบอน ส่วนพ่อแม่ก็คือของฝั่งผม ... ม๊าเคยโทรหาผมช่วงก่อนจะเลือกสายการเรียน ม๊าอยากให้ผมพูดกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนให้หน่อยว่าให้เลือกสายวิทย์ แม้สุดท้ายแล้วจะสอบเข้าคณะสายศิลป์ก็ตาม เพราะม๊ารู้สึกว่าสายวิทย์มีตัวเลือกมากกว่า ผมรับปากว่าจะคุยให้ แต่ผลที่ออกมา ก็ตามที่เห็นอยู่นี่แหละครับ ... นอกจากนั้นม๊ายังบอกอีกว่าตั้งแต่เรียนคนละห้องกัน บอนก็ไม่ตั้งใจเรียน คะแนนก็แย่ลงเลื่อยๆ

“ขอโทษ” บอนกระซิบ น่าจะมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้ยิน

“เดียวกูไปซื้อน้ำให้ เหมือนเดิมใช่ไหม” มันยิ้ม พยักหน้างึดๆ

“ไอ้มิลค์ ไหนๆ มึงจะไปซื้อน้ำแล้ว ซื้อให้พวกกูด้วยได้เปล่าวะ” โคตรเกียจไอ้ปิง ถามขึ้นมากลางวงขนาดนี้ถ้าผมปฏิเสธก็คือไม่มีน้ำใจ ?

“เอาดิ ...”

ไอ้พวกเหี้ย ให้กูซื้อน้ำเป็น 10 แก้ว แล้วก็แดกไม่เหมือนกันอีก ภาระสัสๆ เกียจพวกมัน ผมถือถาดน้ำถาดเบ่อเริ่มกลับมาที่โต๊ะ มีไม่กี่คนที่เอ่ยปากขอบคุณ ... เกียจพวกมัน

“เฮ้ยบอน เบอร์หญิงที่กูให้ไปเมื่อวันก่อนมึงโทรไปหาเขายังวะ” ผมชะงักเมื่อได้ยินใครซักคนพูดขึ้น ใจมันเต้นตุบๆๆๆๆ แต่ก็พยายามไม่ทำตัวให้ผิดสังเกต บอนสบตาผมแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะหันกลับไปตอบ

“ยังๆ ขี้เกียจคุย”

“เขาชอบมึงมากเลยนะเว้ย ถามกูทุกวันว่าเมื่อไหร่มึงจะโทรหาเขา หรือจะให้กูให้เบอร์มึงไปเลยปะ”

“ไม่เอาๆ ไม่ต้อง ถ้าจะโทรเดียวกูโทรเอง” ฮึ!!! ไอ้เหี้ยบอน วันนี้ 2 คดีแล้วนะ เดียวมึงโดนกูแน่

“เฮ้ย ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องแค่นี้เอง” เรื่องแค่นี้พ่อง!!! อยากจะตะโกนใส่หน้าพวกมันว่าเมียไอ้บอนนั่งหัวโด่อยู่นี้

“ไม่ต้องเสือกเลยมึงอะ อยู่เฉยๆ” ไอ้บอนรีบเบรกเพื่อนตัวเองก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้

“หรือมึงมีแฟนแล้ววะ ... ปิง ไอ้บอนมีแฟนยังวะ” บทสนทนาถูกโยนกลับไปที่ไอ้ปิง

“แฟนเหรอ ไม่มีนะ แต่ถ้าแม่ละก็ นั่งอยู่โน่นไง ก๊ากกกกกกก” มันบุ้ยปากมาทางผม แล้วทั้งโต๊ะก็พร้อมใจกันหัวเราะ ... เกียจมันชิบหาย ไอ้เหี้ยปิง

“K!!!” ครั้งนี้ผมพูดออกไปเต็มปากเต็มคำ ไม่มีกระซิบ แต่หน้าหนาอย่างพวกมันคำด่าก็เหมือนคำชม เพราะหัวเราะชอบใจกันใหญ่

“อยากได้เหรอ มามะ เดียวกูจัดให้ซักดอก” ไอ้เหี้ยปิง!!! เกียจแม่ง

“กูไม่คุยกับมึงแหละ ไอ้เหี้ย!!!” เล่นกับหมา หมาเลียปากชัดๆ ผมปั้นหน้ายิ้มให้คนอื่นๆ แล้วจงใจกระแทกประโยคสุดท้ายใส่หน้าไอ้ปิง แต่คงไม่ระคายผิวคนหน้าหนาอย่างมัน

ออกจากโรงอาหารผมเดินทอดน่องไปตามระเบียงทางเดิน ก่อนจะเลี้ยวขึ้นไปยังโรงยิมชั้น 2 หลังจากประตูห้องเก็บของปิดลง ไม่นานเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นไล่หลังมา

“กูขอโทษ” ไอ้บอนรีบชิงพูดก่อน

“เรื่องผู้หญิง อธิบายมา” โกรธมาก ในโรงอาหารเหมือนนั่งอยู่ดีๆ ก็โดนลากมาตบกลาง 4 แยก

“พวกมันเอารูปกูไปให้ใครดูไม่รู้ แค่นั้นเลย กูไม่เคยโทรไป ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ ...”

“... มึงเช็คมือถือกูก็ได้” มันล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าส่งมาให้แต่ผมส่ายหัวปฏิเสธ

“ถ้ามึงบอกว่าไม่มีอะไร กูก็จะเชื่อใจมึง ...” สีหน้าตึงๆ ของไอ้บอนถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม มันถลาดจะเข้ามากอดแต่ผมยกมือขึ้นห้ามไว้

“... แต่ถ้ามึงนอกใจกู กูเลิกกับมึงแน่...” วันนี้มันน่าจะเป็น bipolar นะเพราะจากหน้ายิ้มๆ ถูกแทนที่ด้วยหน้าหมาหงอย ผมก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้ามัน

“...บุหรี่ มึงไม่สูบได้ไหม ...กูไม่ชอบกลิ่น ...เวลาจูบมึง”

มันเงยหน้าขึ้นมา ทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้ออกจากปากผม พอดีกับจังหวะที่ผมคล้องคอมันลงมาจูบ... จูบที่เริ่มจากความนุ่มนวลค่อยๆ ทวีความเร่าร้อนขึ้นทุกวินาที กลิ่นบุหรี่ยังไม่ทันจางหาย ร่างกายเราก็แนบชิดกันจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวเนื้อ

“มึงนี่มัน...” เสียงของบอนแทบเป็นเสียงกระซิบ มือใหญ่เลื่อนมาประคองแผ่นหลังของผมไว้แน่น
ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ค่อยๆ คุกเขาลงกับพื้น แล้วปล่อยให้ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นบอกความรู้สึกแทนคำพูด

ผมไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ตอนนี้เลย มันไม่ใช้ผม ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ใช้ร่างกายเพื่อแลกบางอย่างกลับมา แม้จะแสดงออกว่าโกรธ แต่ลึกๆ แล้วมันคือความกลัว กลัวว่าบอนจะมีคนอื่น กลัวว่าตัวเองมีดีไม่พอที่จะรั้งมันไว้ กลัวว่ารักครั้งแรกของผมจะพังทลาย ... บอนเป็นแฟนคนแรกและผมก็รักมันมาก มากจนไม่เหลือที่ว่างให้กับความรู้สึกอื่นใด ที่ใช้ร่างกายเข้าแลกเพื่อต้องการเตือนสติของมัน และที่สำคัญคือสร้างความมั่นใจกับตัวเองว่าบอนยังเป็นของผม ... ของผมคนเดียวเท่านั้น



งานชมรมวุ่นวายมากกว่าที่คิดไว้ ตำแหน่งเลขาชมรมไม่ต่างอะไรกับ “general เบ้” ดีๆ นี่เอง ผมทำทุกอย่างตั้งแต่งานเอกสาร จองห้องติว จัดคิว เตรียมของว่าง ส่วนคนอื่นๆ ก็เหนื่อยพอกัน ไม่น่าเชื่อว่าชมรมวิทย์จะ popular กว่าที่คาดไว้ highlight หลักคือโปรแกรมติววิชาวิทย์ม.ต้น จากพี่ๆ สายวิทย์ ม.ปลาย โฆษณาเพียงเท่านี้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็แห่พาลูกมาสมัครจนแถวยาวไปถึงดาวอังคาร คนสมัครเยอะจนต้องเพิ่มรอบติว คนอื่นๆ เตรียมเนื้อหาจนหัวหมุน ส่วนผมก็พยายามทำทุกอย่างให้การติวดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด

จากเดิมที่คิดว่าจะติวสัปดาห์ละ 1-2 วัน แต่พอคนแห่มาสมัครเยอะมากเลยต้องปรับเป็น 5 วันต่อสัปดาห์ วันที่ peak มากที่สุด ผมต้องเปิดห้องติวถึง 5 ห้อง พวกเราแบ่งกันรับผิดชอบติวน้องๆ คนละชั้น ม.1 ไอ้โจรับไป ม.2 จี ม.3 ไอซ์และอารม์ และทั้ง 4 คนต่างก็ไปหาเพื่อนคนอื่นในห้องมาช่วยกันติวคนละบทสองบท เพื่อไม่ให้งานหนักมากจนเกิดไป ทำไปทำมาชมรมผมกลายเป็นชมรมที่มี staff และสมาชิกเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนซะงั้น

Staff ส่วนมากเป็นเด็กสายวิทย์ ไอ้ไอซ์เป็นคนไปเกณฑ์คนอื่นๆ มาช่วย ทำไปทำมา staff ของชมรมวิทยศาสตร์ก็ไม่ต่างอะไรกับ copy-paste นักเรียนจากห้องวิทย์ทั้ง 2 ห้องมา เพราะเด็กสายวิทย์ร้อยละ 90 เป็นเด็กที่มาจากห้อง king ทั้ง 2 ห้อง ซึ่งก็จะสนิทกันมากอยู่แล้วเพราะย้ายห้องสลับกันไปมาแค่ 2 ห้องตั้งแต่ประถม

ตอนแรกทุกอย่างดูฉุกละหุกโดยเฉพาะเรื่องสถานที่ แต่พอเริ่มเป็นกระแสโรงเรียนก็หันมาให้ความสนใจ ผมเลยถือโอกาสคุยกับอาจารย์ฝ่ายวิชาการ และอาจารย์ก็ใจดีทำเรื่องขอใช้ห้องเรียนทั้งชั้นสำหรับติวหลังเลิกเรียน

“แม่งโคตรเหนื่อยเลยวะ” จีเดินด้วยสภาพที่เหมือนวิญญาณถูกสูบออกจากร่าง

“อะ น้ำ ... กินขนมไหม ...” ผมยื่นขวดน้ำดื่มพร้อมกันจานขนมปี๊บให้จีที่เหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง มันส่ายหัว รับไปแต่ขวดน้ำ

“...มึงไหวไหม” ผมถาม เพราะจีดูหมดแรง จะว่าไปก็เห็นใจจี มันจับฉลากได้ห้องที่มีแต่เด็กกวนประสาท เลยต้องใช้พลังงานมากกว่าคนอื่นๆ

“เด็กแม่งโคตรแสบ กูพูดจนคอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย...” มันพูดแล้วกระดกน้ำที่เหลือ

“... เดียวกูไปเข้าห้องน้ำก่อน เหลือเวลาอีกแป๊บเดียว” ผมรับขวดเปล่าจากมัน มองตามหลังร่างสูงที่เดินห่างออกไป

พวกเราติวกัน 90 นาที ครึ่งละ 40 นาที พักเบรกอีก 10 นาที ผมเอาโต๊ะมากางไว้กลางห้องโถง เตรียมน้ำและขนมไว้ให้เรียบร้อย เด็กและ staff หยิบได้ตามสบาย ระหว่างพักทุกคนก็จะแยกย้ายไปจับกลุ่มคุยกัน อยากจะเพิ่มเวลาเบรกให้มากกว่านี้แต่เพราะด้วยเวลาจำกัด แค่นี้กว่าผมจะได้ออกจากโรงเรียนก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว

“มึงไปพักเถอะ” ผมบอกจีที่กำลังช่วยพับโต๊ะเก็บ

“ช่วยมึงนั้นแหละ รีบเก็บจะได้รีบไปหาอะไรกิน โคตรหิว” ผมเหลือบดูนาฬิกาติดผนัง 6 โมงเย็นแล้ว

“เกรงใจ”

“ช่วยๆ กันมึง” ผมกับจีรีบเก็บของที่เหลือเข้าห้องชมรม จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากพวกจานช้อนส้อมผมซื้อแบบใช้ให้ทิ้งมา ที่วุ่นวายที่สุดคือการล้างกระติกน้ำเพราะต้องยกไปล้างข้างโรงครัว

สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากโรงเรียนก็ 6 โมงครึ่ง ปกติแล้วผมกับจีจะกลับบ้านพร้อมกัน บ้านเราอยู่ทางเดียวกัน บ้านจีจะถึงก่อนผม แชร์ค่า taxi กัน ถ้าไม่รีบเราจะหาข้าวเย็นกินกันก่อนเพราะถ้ากลับตอนนี้ด้วยความสาหัสของการจราจรในเมืองหลวงผมกับมันน่าจะหิวข้าวตายอยู่บนรถ ร้าน fast food ใกล้โรงเรียนคือร้านประจำของพวกเรา เย็นขนาดนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่แล้ว กินอิ่มก็นั่งเล่นรอเวลาได้

“มึงกับไอ้บอนเป็นยังไงบ้าง” จีถามพลางกัด hamburger คำโตเข้าปาก

“ก็ดี ... มั้ง” ผมตอบคนตรงหน้าไปแบบผ่านๆ

“เล่ามา”

“...”

“ถ้าไม่เล่างั้นกูเล่านะ” คำพูดของจีทำเอาผมชะงัก

“มึงไปรู้อะไรมา”

“กูเห็นมันกับคนอื่น ... ผู้หญิง ...”

“... กูไม่ได้อยากเป็นคนขี้ฟ้องนะเว้ย แต่มึงคือเพื่อนสนิทกู”

“อืมมมมม ... กูรู้ ... ซักพักแล้ว”

“มึงรู้? … แล้วไม่ทำอะไรเนี่ยนะ”

“แล้วกูจะทำอะไรได้”

“มิลค์” จีทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก ... อีกครั้งที่ใบหน้าสวยต้องเปื้อนรอยน้ำตา

ใช่ ... แล้วผมจะทำอะไรได้ จากเรื่องเล่นๆ ในกลุ่มเพื่อน แต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องจริง ผมไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใคร เชื่อตัวเอง เชื่อคนรอบข้าง หรือเชื่อบอน มันบอกที่ทำทั้งหมดไม่ใช้เรื่องจริง ที่โทรคุย นัดเจอกัน ทั้งหมดเพื่อตัดรำคาญเพื่อนในกลุ่ม มันมีผมคนเดียว แต่เหตผลทั้งหมดที่ให้มากลับตรงข้ามกับการกระทำ จากที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันตอนเย็นหรือวันหยุดตอนนี้ผมกำลังถูกใครอีกคนหรือมากกว่านั้นแย่งช่วงเวลาเหล่านั้นไป จากคนที่บอนเคยให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกตอนนี้ผมไม่รุ้แล้วว่าตัวเองอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ ผมไม่เคยอยากเป็นคนที่มีความสำคัญอันดับที่หนึ่งผมแค่อยากเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวของบอน

ผมคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งมากกว่านี้ เด็ดขาดมากกว่านี้ ยืนหยัดเพื่อตัวเองมากกว่านี้ แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่กล้าแม้จะยอมรับความจริงด้วยซ้ำว่าบอนกำลังมีคนอื่น ... ผมรักมัน ผมไม่อยากเลิกกับมัน อะไรก็ตามที่ทำให้เรา 2 คนยังอยู่ด้วยกันได้ผมยินดีทำทุกอย่าง

“กูทำอะไรไม่ได้เลย จากที่คิดว่าตัวเองจะกล้ากว่านี้ เอาเข้าจริงกูแม่งโคตรขี้ขลาด”

“เช็ดน้ำตาซะ ไอ้บอนไม่คู่ควรกับน้ำตาของมึง ...” กระดาษทิชชูถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

“... มึงรู้ไหมเวลากูเห็นมึงนั่งอยู่กับมันที่โรงอาหาร บางครั้งกูก็อยากจะเดินไปซัดหน้ามันซักที มันหัวเราะได้ยังไงในขณะที่มึงนั่งเหมือนคนไร้วิญญาณอยู่ข้างๆ ...”

“... มันทำแบบนี้กับมึงได้ไงวะ มึงเป็นทั้งแฟน ทั้งเพื่อนสนิทของมันนะเว้ย”

“เพราะมันเหี้ยไง” สมัยก่อนมันก็เหี้ยแบบนี้แต่เพราะเป็นเพื่อนกันมันก็พอจะมองข้ามกันได้ แต่ในฐานะแฟน ... มันควรจะปฏิบัติกับผมดีกว่านี้

ผมระแวงตั้งแต่บอนเริ่มทำตัวห่างเหิน เสียใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า ณ ตอนนี้เรา 2 คนไม่ใกล้ชิดกันเหมือนเดิม แม้จะคุยโทรศัพท์กันทุกวันแต่เรื่องที่คุยก็น้อยลงอย่างน่าใจหาย บางครั้งเราก็แค่ถือสายค้างไว้แล้วต่างคนก็ต่างทำธุระของตัวเอง มันเล่นเกม ผมทำการบ้าน ถึงเวลานอนก็แค่บอกลาแล้วแยกย้าย เราทะเลาะกันบ่อย พูดให้ถูกคือเราทะเลาะกันทุกเรื่อง ไม่มีแล้วคำหวาน ไม่มีแล้วความอบอุ่นที่สัมผัสได้ด้วยใจ

ผมยังคงไปหาบอนทุกพักน้อยเช้าแต่ไปก็เหมือนไม่ไป แค่นั่งอยู่ข้างกันแล้วต่างคนก็ต่างเงียบ มันก็คุยกับเพื่อนของมันไป ส่วนผมก็นั่งเงียบๆ เหมือนไม่มีตัวตน แม้จะอึดอัดแค่ไหนที่ต้องถูกเพื่อนของมันปล่อยมุก 2 แง่ 3 ง่ามใส่ แต่ผมก็ยังอยากจะไปเพราะจะได้อยู่ใกล้ๆ บอน บางครั้งผมก็คาดหวังว่าในฐานะแฟนมันจะออกหน้าปกป้องผมบ้าง ไม่ใช้ปล่อยให้ผมเผชิญกับนิสัยแย่ๆ ของเพื่อนมันอยู่คนเดียว

“มึงรู้มาตั้งแต่ตอนไหน”

“เทอมที่แล้ว”

“เชี่ยมิลค์ มีอะไรทำไมไม่บอกกูวะ”

“กูจะกล้าบอกมึงได้ยังไง ... มึงเตือนกูเรื่องความเจ้าชู้ของมันแล้วแท้ๆ” จีเตือนผมหลายครั้ง แต่ผมเคยคิดจริงๆ ว่าผมสามารถเปลี่ยนนิสัยบอนได้ หรืออย่างน้อยด้วยความที่เราเป็นเพื่อนสนิทกันมันก็ไม่น่าจะหักหาญน้ำใจผมถึงเพียงนี้ ผมเคยมั่นใจว่าทุกอย่างที่ทำลงไปจะรั้งมันไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเป็นเพื่อน หรือแม้แต่ความผูกพันทางกาย

พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ตอนนี้เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมกับบอนเข้ากันได้ดี อย่างที่บอกของเรา 2 คนเข้ากันได้ดีเสมอ ผมตามใจบอนทุกอย่าง ยอมทุกอย่างที่บอนต้องการ เพราะอยากให้มันอยู่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสัมผัสไหนจะรั้งใจของคนที่หมดรักได้เลย

“ทำไมจะบอกไม่ได้วะ ...”

“...กูช่วยอะไรมึงได้บ้างไหม มึงอยากให้กูคุยกับมันให้ปะ ?”

“กูไม่รู้ ไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ... ฮือออออออ ...” ผมกั้นความโศกเศร้าไว้ไม่อยู่ ทุกความรู้สึกถูกระบายออกมาในรูปของหยดน้ำตาและเสียงสะอื้น จีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามย้ายมานั่งข้างผม มันกอดไหลผมไว้แล้วใช้มืออีกข้างดึงศีรษะของผมให้ซบลงบนไหล่

“... กูพยายามทุกอย่างแล้ว ... ฮือออออออ”

“ร้องเลยมึง อยากร้องเท่าไหร่มึงร้องออกมาให้หมด...” ยิ่งผมสะอื้นวงแขนของจีก็ยิ่งกระชับไหล่ของผมเข้าหาตัว ผมที่หมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงเลยได้แต่อิงแอบแนบชิดกับความอบอุ่นที่จีมอบให้ พร้อมกับปลดเปลื้องทุกอารมณ์อ่อนไหว ใบหน้าใสเนียนซบลงบนไหล่กว้าง หยดน้ำตาใสไหลออกจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสายจนเสื้อนักเรียนสีขาวของจีเลอะรอยน้ำตา ... นานแค่ไหนไม่รู้ที่เสียงปลอมประโลมยังคงกระซิบข้างหู

“... กูอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง จะเหี้ยแค่ไหนกูก็อยู่ข้างมึง”


----------


มิลค์: ดวงอาทิตย์ไม่ขึ้นจากทิศตะวันตกฉันใด คนเจ้าชู้ก็ไม่มีวันกลับตัวได้ฉันนั้น ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีแฟน Toxic
#ToxicBF #กอด #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 7
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 14-05-2025 23:45:39
เปิดเทอม ม. 5 ครึ่งทางแล้วสำหรับชีวิตมัธยมศึกษาตอนปลาย ปีที่แล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรียนๆ เล่นๆ ยังไม่ต้องจริงจังกับการค้นหาตัวเองว่าอยากเรียนต่อคณะไหน ปีนี้ทุกคนก็ยังพูดในทำนองเดียวกันว่ายังใช้ชีวิตขำๆ ได้ แต่ก็อยากให้ค้นหาตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องเครียดกับการเรียนให้มากจนเกินไปแต่ก็ควรจะเริ่มวางแผนอนาคตไว้บ้าง

“พวกมึงอยากเรียนคณะอะไรกันบ้างวะ...” อาร์มพูดขึ้นระหว่างมื้อกลางวัน

“...กูอยากเรียนวิศวะคอม” มันตอบอย่างมั่นใจ

“กูก็วิศวะ แต่ยังไม่รู้ภาคอะไร” จีตอบ มันพูดกับผมตั้งแต่ปลายปีที่แล้วๆ ว่าอยากเรียนวิศวะ เพราะใส่เสื้อช๊อปแล้วเท่ห์ดี

“กูเหมือนไอ้จี เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โจตอบ ... กลุ่มผมจะเข้าวิศวะ 3 คนเลยเหรอ

“สัตวแพทย์มั้ง” ผมตอบแบบน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมอยากเรียนสายแพทย์ แต่แพทย์กับทันตก็ดูจะไกลเกินเอื้อมไปหน่อย

“อาชีพนางงามสัสสสส ... จบแล้วก็ไปสมัคร Miss Tiffany ได้นะมึง profile ได้อยู่ 555” ผมถีบหน้าแข้งไอ้ห่าอาร์มทันทีที่มันพูดจบ ... ทุกคนรู้ว่ารสนิยมทางเพศของผมคืออะไร พวกมันไม่ได้รังเกียจ แค่แซวกันขำๆ

“แล้วมึงละไอซ์”

“ไม่รู้วะ พวกมึงไปกองกันวิศวะหมด ... อาจจะไปอยู่กับไอ้มิลค์มั้ง ดูคะแนนก่อน” มันพูดไปเคี้ยวข้าวไป เข้าตัวยักไหลแบบไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไรที่จะเลือกเรียนตามเพื่อน

“เชี่ยยยยย รักเพื่อนสาสสสสส ... รักขนาดนี้ คิดมากกว่าเพื่อนเปล่าเนี่ยยยยย”

“Kยยยยยยย” ผมว่าไอ้อาร์มมันโรคจิตนะ ชอบแซวคนอื่นให้ตัวเองโดนด่า ยิ่งด่ามันแรงๆ มันก็หัวเราะชอบใจ ผมไม่ได้คดิจริงจังกับคำแซวของเพื่อนเพราะรู้ดีว่าไอซ์พูดไปอย่างนั้น มันไม่มีทางเลือกเรียนสายการแพทย์


----------


มิลค์ : "เจอกันวันอาทิตย์ครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมาพร้อม The gang"

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-05-2025 12:16:11
Trigger Warning: ตอนนี้มีเนื้อหาที่อาจกระทบความรู้สึก เช่น ความสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และการกระทำที่ไม่ยินยอม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



ปิดเทอมใหญ่ ม.4 ผ่านไปแล้วอีก 1 ปี ปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ชมรมวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิด ไหนจะกิจกรรมติวหนังสือที่ได้ความนิยมล้นหลาม ไหนจะซุ้มงานวันเกิดโรงเรียนที่ได้ยอดขายคูปองมากเป็นอันดับ 1 ... กับเพื่อนใหม่ จะบอกว่าพวกเราเข้ากันได้ดีมาก ผม จี ไอซ์ อาร์ม และ โจ กลายเป็นเพื่อนรักที่ไปไหนไปกัน กิน เที่ยว เรียน พวกเราอยู่ด้วยกันตลอด ... ทุกอย่างสดใสสำหรับปีแรกของชีวิตมัธยมปลาย ยกเว้นอยู่เรื่องเดียว ... เรื่องของผมกับบอน ... ที่แม้ความสัมพันธ์จะลุ่มๆ ดอนๆ แต่เราก็ยังคบกัน

“ไอ้เหี้ยบอนนนนนน ... ไอคนสารเลววววววววววว” ผมตะโกนแหกปากดังลั่นแต่ดึกขนาดนี้ไม่มีคนสนใจเด็กวัยรุ่นที่มายื่นทำ music video อยู่คนเดียวริมหาดแบบผมหรอก ... แล้วลมทะเลพัดเอาทำผรุสวาสของผมลอยหายไป

“เมาแล้วมึง” แขนหนักๆ พาดลงมาบนไหล่แล้วใบหน้าของเพื่อนสนิทก็โผล่เข้ามาในสายตา หน้ามันแดงนิดๆ จากฤทธิ์ของแอลกอฮอร์ ไม่ต่างอะไรกับผมที่รู้สึกกึมๆ จนกล้าตะโกนออกมาดังลั่น

“ไม่เมา กูไม่เมา 555” แล้วผมก็พาดแขนลงบ่นบ่าของมันเช่นนั้น

“เออ!!! ไม่เมาก็ไม่เมา กลับไปนั่งได้แล้ง ไอ้ไอซ์ให้มาตาม มันกลัวมึงเดินลงทะเลเลย” มันพูดพร้อมกับออกแรงลากคอผมกลับไป

ไอซ์นั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นมะพร้าวใหญ่ ใบหน้ามันเริ่มติดสีแดงไม่ต่างอะไรจากผมและจี ตรงหน้านอกจากเครื่องดื่มมึนเมาแล้วยังมีถุงขนมวางระเกะระกะไม่แพ้กัน ... พวกเรานั่งตรงนี้กันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ก่อนที่เมื่อครู่ผมจะคึกแล้ววิ่งเตลิดออกมาที่ชายหาด

“ผัวนอกใจหน่อยเดียว ดราม่าซะอย่างกับนางเอก MV” ไอซ์เอ่ยปากแซว ... ผมตอบกลับมันด้วยการยกนิ้วกลางให้พร้อมกับรอยยิ้ม ... มันรู้ว่าช่วงที่ผ่านผมมีปัญหากับบอน มันที่ไม่ชอบบอนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตอนนี้เรียกได้ว่าเกียจไอ้บอนยันเงา

“มันจะกลับมาเมื่อไหร่วะ...” จีถามพร้อมกับส่งถุงขนมมาให้

“... พอแล้ว มึงแดกเยอะไปแล้ว” มันพูดเสียงเข้ม คว้าเอาแก้วพลาสติดสีแดงที่ผมเล็งไว้มาถือในมือ

“ไม่เยอะ!!!” ผมเถียงแม้จะอ้อแอ่เต็มทีแล้วก็ตาม

“มันจะกลับมาเมื่อไหร่วะ” จีถามพร้อมกับส่งถุงขนมมาให้แทน

“วันมะรืนมั้ง” ปิดเทอมใหญ่ครั้งนี้บอนถูกส่งตัวไปเรียน summer เกือบ 2 เดือน ป๊าม้าต้องการจะดัดสันดานมันที่ปีที่ผ่านมามันไม่ตั้งใจเรียนจนได้เกรดน้อยว่า 2.00

“มึงได้คุยกับมันบ้างหรือเปล่า” ไอซ์ถามพลางยกแก้วขึ้นมาจิ๊บไปเรื่อย ๆ ไม่แฟร์เลยทำไมมันกับจีกินได้แล้วผมกินไม่ได้วะ

“ไม่เลย” ผมส่ายหน้า ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของผมคืออะไร ผมควรจะเสียใจที่แฟนหายหน้าไปเกือบ 2 เดือน แต่ลึกๆ แล้วผมกลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้พวกเราทะเลาะกันบ่อยมาก ทะเลาะกันทุกเรื่อง ทะเลาะกันจนแทบจะพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บอนบอกกับผมตั้งแต่ก่อนไปแล้วว่าอาจจะไม่ได้ติดต่อกลับมา ผมเข้าใจว่าการโทรศัพท์มาจากต่างประเทศไม่ใช้เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก ไม่นับ time zone ของเรา 2 คนที่ห่างกันเกือบ 12 ชั่วโมง คืนสุดท้ายก่อนเดินทาง น่าแปลกที่เรา 2 คนไม่ได้ทะเลาะกัน ออกจะคุยกันมากกว่าที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เราหัวเราะ แซวเล่นและด่ากัน ผมยิ้ม และผมก็สัมผัสได้ว่ามันยิ้ม อาจจะเพราะว่าเราทั้งคู่ต่างก็อยากจะร่ำลากันด้วยรอยยิ้มมากกว่าคราบน้ำตา

“ไม่ใช้ว่ามันกลับมาพร้อมฝรั้งผมทอง” ไอซ์แซว

“ไอ้ไอซ์” จีสะกิดคนข้างตัวเสียงเข้ม ในขณะที่ไอซ์ยักไหล่ราวกับไม่แคร์ว่าคำพูดนั้นจะทำร้ายจิตใจผมแค่ไหน ไอซ์มันเป็นคนแบบนี้แหละ แต่ผมรู้ว่ามันหวังดี ... จีรู้ว่าลึกๆ ผมก็กลัวว่าช่วงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันบอนจะไปมีคนอื่น

“กูทำใจแล้ว แค่มันบอกให้กูเลิก กูก็ยินดีจะเลิกกับมัน” ผมรู้ตัวมาซักพักแล้วว่าเรื่องของผมกับบอนกำลังจะจบลง แต่อาจจะเพราะความเป็นเพื่อนสนิทของเรามั้งที่ยังรั้งให้เรา 2 คนอยู่ด้วยกัน ... ผมรอมันบอกเลิก เพราะรู้ตัวว่ารักมันเกินกว่าที่จะเป็นฝ่ายบอกเลิกเอง แค่มันพูด ผมก็ยินดีจะปล่อยมันไป



เปิดเทอม ม. 5 ครึ่งทางแล้วสำหรับชีวิตมัธยมศึกษาตอนปลาย ปีที่แล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรียนๆ เล่นๆ ยังไม่ต้องจริงจังกับการค้นหาตัวเองว่าอยากเรียนต่อคณะไหน ปีนี้ทุกคนก็ยังพูดในทำนองเดียวกันว่ายังใช้ชีวิตขำๆ ได้ แต่ก็อยากให้ค้นหาตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องเครียดกับการเรียนให้มากจนเกินไปแต่ก็ควรจะเริ่มวางแผนอนาคตไว้บ้าง

“พวกมึงอยากเรียนคณะอะไรกันบ้างวะ...” อาร์มพูดขึ้นระหว่างมื้อกลางวัน

“...กูอยากเรียนวิศวะคอม” มันตอบอย่างมั่นใจ

“กูก็วิศวะ แต่ยังไม่รู้ภาคอะไร” จีตอบ มันพูดกับผมตั้งแต่ปลายปีที่แล้วๆ ว่าอยากเรียนวิศวะ เพราะใส่เสื้อช๊อปแล้วเท่ห์ดี

“กูเหมือนไอ้จี เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โจตอบ ... กลุ่มผมจะเข้าวิศวะ 3 คนเลยเหรอ

“สัตวแพทย์มั้ง” ผมตอบแบบน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมอยากเรียนสายแพทย์ แต่แพทย์กับทันตก็ดูจะไกลเกินเอื้อมไปหน่อย

“อาชีพนางงามสัสสสส ... จบแล้วก็ไปสมัคร Miss Tiffany ได้นะมึง profile ได้อยู่ 555” ผมถีบหน้าแข้งไอ้ห่าอาร์มทันทีที่มันพูดจบ ... ทุกคนรู้ว่ารสนิยมทางเพศของผมคืออะไร พวกมันไม่ได้รังเกียจ แค่แซวกันขำๆ

“แล้วมึงละไอซ์”

“ไม่รู้วะ พวกมึงไปกองกันวิศวะหมด ... อาจจะไปอยู่กับไอ้มิลค์มั้ง ดูคะแนนก่อน” มันพูดไปเคี้ยวข้าวไป เข้าตัวยักไหลแบบไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไรที่จะเลือกเรียนตามเพื่อน

“เชี่ยยยยย รักเพื่อนสาสสสสส ... รักขนาดนี้ คิดมากกว่าเพื่อนเปล่าเนี่ยยยยย”

“Kยยยยยยย” ผมว่าไอ้อาร์มมันโรคจิตนะ ชอบแซวคนอื่นให้ตัวเองโดนด่า ยิ่งด่ามันแรงๆ มันก็หัวเราะชอบใจ ผมไม่ได้คดิจริงจังกับคำแซวของเพื่อนเพราะรู้ดีว่าไอซ์พูดไปอย่างนั้น มันไม่มีทางเลือกเรียนสายการแพทย์

“ไอ้มิลค์ ผัวมึงมา” ผมหันไปสายตาของไอ้โจก็เห็นบอนยืนรออยู่

“เดียวกูมา” ผมเบ้ปาก เมื่อพวกมันทำท่าล้อเลียน ... เพื่อนผมทุกคนรู้ว่าผมกับบอนคบกัน แต่เพื่อนของบอนไม่มีใครรู้ ทุกคนยังคงคิดว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกัน เพื่อนสนิทห่าอะไรมานั่งเฝ้าทุกพักน้อยเช้า

“ไง/ไง” ใจตรงกัน ... ผมยิ้มให้มันเหมือนทุกครั้ง ... แปลกไหมถ้าผมจะเขินแฟนที่คบกันมา 2 ปีกว่าแล้ว ไม่รู้ซิ ผมยังคงเขินบอนเสมอ

“ไม่มีไร แค่อยากเจอมึง” คิ้ว 2 ข้างผูกเข้าหากันจนเกือบจะเป็นปม มามุกไหนวะ

“บ้า!!!”

“มึงเขิน?” มันหรี่ตา มองผมด้วยสีหน้าจ้องจับผิด

“เขินบ้าอะไร” ผมแยกเคี้ยวใส่เพื่อกลบเกลื่อน มันยังหายใจหอบคงเป็นเพราะเพิ่งจะไปเตะบอลกับเพื่อนมา เสื้อยืดสีขาวชุ่มไปด้วยเหงื่อจนนาบไปกับผิวของเจ้าตัว ... วันแรกที่เจอกันหลังกลับจาก summer ผมแทบจำมันไม่ได้ ต้องยอมรับว่าฮอร์โมนเพศชายของมันทำงานได้ดีจนผมต้องอิจฉา มันดูดีขึ้น สูงขึ้น หน้าคมขึ้น และที่สำคัญกล้ามมันแน่นขึ้นมากโดยเฉพาะกล้ามอก

“ไม่เขินก็ไม่เขิน ... เย็นนี้กูไปส่งมึงที่คอนโดได้ไหม”

“ได้ดิ” เรา 2 คนต่างรู้ว่าความหมายจริงๆ ของ ‘ไปส่ง’ คืออะไร

“งั้นเดียวเจอกันตอนเย็น กูรอหน้าโรงเรียนนะ ไปแหละ”

ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ

“หน้าระรื่นมาเลยนะไอ้มิลค์” ผมยักคิ้วส่งให้ไอ้อาร์ม แต่ไม่โต้ตอบเพราะเดียวเรื่องจะยาว

“กูรู้สึกไปเองไหมวะ ว่าตั้งแต่กลับมามึงกับมันดู sweet กันมึงขึ้นกว่าเดิม” ไอ้โจถาม

“คงงั้นมั้ง ก็ดีแล้วไม่ใช้เหรอ” ผมคลายยิ้มตอบพวกมัน อย่างที่พวกมันบอกตั้งแต่กลับจาก summer บอนทำตัวดีผิดกับก่อนหน้านี้ เราไม่ทะเลาะกัน มันเอาใจใส่ และ take care ที่สำคัญคือตอนนี้มันมีผมแค่คนเดียว ... ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เคยคิดจะถามแต่ก็ไม่กล้า เรากลับมารักกันมันก็ดีแล้วไม่ใช้เหรอ

“ดีให้ได้ตลอดละกัน” เสียงเข้มๆ จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากไอซ์ มันไม่ชอบบอนยังไงก็ยังไม่ชอบอยู่อย่างนั้น ต่อให้บอนทำดีกับผมแค่ไหนแต่ไอซ์มันก็เหมือนเกียจฝังใจไปแล้ว

“ไอ้ไอซ์” และก็เป็นอีกครั้งที่จีออกปากเตือนเพื่อนสนิท ไอซ์ยักไหล่แบบไม่แคร์ ท่ายักไหล่กับสีหน้าลอยหน้าลอยตาของมันเป็น signature ที่พวกเราเห็นจนชิน

“จี เย็นนี้ไม่ได้กลับด้วยนะ ...” ผมกระซิบเพื่อนสนิท ในขณะที่หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น

“...บอนจะไปส่งคอนโด” เพราะคนข้างๆ ขมวดคิ้ว ผมเลยต้องอธิบายเพิ่ม

“เบาได้เบา ช่วงนี้มันไปส่งมึงบ่อยผิดปกตินะ” สายตาจ้องจับผิดกับน้ำเสียงเข้มๆ ทำให้ผมต้องหลบสายตา ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าผมเป็นลูกหรือเป็นเพื่อนพวกมันกันแน่ ... จีรู้ว่า ‘ไปส่งบ้าน’ ในที่นี้หมายถึงอะไร แต่จะว่าบอนคนเดียวก็ไม่ถูก อย่างที่เคยบอกว่า sex ของผมกับบอนเข้ากันได้ดีเสมอแม้จะอยู่ในช่วงที่เราทะเลาะกันก็ตาม ยิ่งตอนนี้เรา 2 คน in love กันมากกว่าเดิม ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าต่างคนก็มีแรงดึงดูดฝั่งตรงข้ามให้เข้าหากันมากขนาดไหน

“เออมิลค์ กูลืมไปเลยว่าครูนกให้กูมาถามว่าปีนี้มึงจะสมัครสภานักเรียนเปล่า” ไอ้อารม์ถามหลังจากเพิ่งจบบทสนทนาเรื่องเกมส์กับไอ้โจ พวกมัน 2 คนเป็น buddy เล่นเกมส์ online ด้วยกัน

“ทำไมครูนกถึงถามกูวะ”

“เขาเห็นปีที่แล้วมึงทำงานดีมั้งเลยอยากชวนมึงไปทำสภา”

“กูเนี่ยนะ ปีที่แล้วไม่ได้ทำไรเปล่าวะ แค่เตรียมน้ำเตรียมขนม” ถ้าเทียบกัลป์พวกมัน ผมเหนื่อยน้อยกว่าตั้งเยอะ

“มึงทำตั้งเยอะ พวกกูติวกันได้ราบรื่นก็เพราะมึงจัดการให้เปล่าวะ”

“ครูนกชมมึงเยอะอยู่นะ บอกอยากให้มึงเข้ามาช่วย ดีไม่ดีปีหน้ามึงอาจจะได้เป็นประธานสภา” ไอ้โจเสริม

“เชี่ยยยยยย กูจะมีเพื่อนเป็นคนมีตำแหน่งแล้วเว้ยยยย”

“ถ้าทำ กูก็ไม่ได้ช่วยงานชมรมพวงมึงอะดิ” ผมยังลังเลเพราะรู้สึกผูกพันกับชมรมพอสมควร ปีที่แล้วก็ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ พอเริ่มคุ้นชินจะให้เปลี่ยนไปทำงานสภาเลยรู้สึกแปลกๆ

“ก็แบ่งๆ กันไปทำหน้าที่ไง ชมรม ม.5 ทำได้ปีสุดท้าย ปีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปทำงานวันเกิดโรงเรียน ยังไงสภาก็รับผิดชอบทั้ง 2 งานอยู่แล้วปะ ... วนกันไปมาอยู่แค่นี้”

“พวกมึงว่าไง” ผมหันไปถามจีกับไอซ์

“ทำดิ น่าสนุกดีออก” จีตอบในขณะที่ไอซ์พยักหน้าเห็นด้วย

“เออ เอาก็เอาวะ”



ไม่น่าตอบตกลงครูนกไปเลย งานสภายุ่งมาก เพราะผมไม่เคยทำงานสภามาก่อน ไม่รู้ระเบียบ ไม่รู้วิธีการทำงาน แล้วไหนจะอยู่ๆ ก็ได้ตำแหน่งเลขาสภามาแบบงงๆ เพราะทุกคนเห็นตรงกันว่าผมเป็นหลังบ้านของชมรมวิทย์ได้ ผมก็เป็นหลังบ้านของสภาได้เช่นกัน และถ้าจะเปรียบเทียบว่าเลขาชมรมคือ “general เบ้” แล้ว เลขาสภาก็คือ “นางทาส” ดีๆ นี้เอง

อย่างเช่นวันนี้ วันก่อนหน้าวันไหว้ครู ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น print บทพูดของ ผอ. ไปยังถึงเรื่อง ‘ฉห’ ระดับซึนามิอย่างเช่นร้านค้าลืม order โล่รางวัลนักเรียนดีเด่นของทุกชั้นปี ทำให้ ‘นางทาส’ ประจำสภาอย่างผมต้องกระโดดขึ้นรถ taxi ไปไฟต์กับเจ้าของร้านที่ไม่ยอมรับผิดชอบทั้งที่ผมก็โทรตามทุกสัปดาห์

... 'Bon'

“ไอ้มิลค์ มึงอยู่ไหนวะ กูโทรหามึงตั้งหลายสายทำไมไม่รับ” มันพูดอย่างใส่อารมณ์ทันทีที่ผมรับสาย นั้นยิ่งทำให้ผมที่อารมณ์ร้อนจากเหตุการณ์ก่อนหน้าตอกกลับด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน

“กูไม่มีเหี้ยอะไรต้องทำเลยใช่ไหม ต้องรอรับสายมึงอย่างเดียวหรือไง ... มีอะไร”

“กูมีเรื่องให้มึงช่วย”

“กูไม่ได้อยู่โรงเรียน”

“แล้วมึงจะกลับเมื่อไหร่”

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ แค่นี้นะ” ผมกดวางสายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

กว่าจะถึงโรงเรียนก็ 4 โมงกว่าแล้ว สุดท้ายผมก็บีบคอเจ้าของร้านให้เอาโล่ของคนอื่นที่ยังไม่ถึงกำหนดส่งมาให้ผมก่อน แม้จะไม่ได้โล่ที่เหมือนกันทุกอันแต่ก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดแล้ว แม้จะจบไปปัญหานึงแต่รับรองเลยว่าอีก 108 ปัญหารอผมอยู่ที่ห้องสภา วันนี้พวกเรายุ่งกันมาก ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เสร็จปัญหาที่ 1 ก็ไปแก้ปัญหาที่ 2 เสร็จเรื่องของตัวเองแล้วก็ไปช่วยแก้เรื่องของคนอื่น

ผมเดินก้าวเท้าเร็วๆ ผ่านโถงทางเดินในตึก กลับถึงโรงเรียนได้ไม่ถึง 10 นาที บอนก็โทรให้ผมมาหา

“กูถึงแล้ว” ผมโทรหาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 6

“อยู่ตรงนั้นแหละเดียวกูเดินไป” พูดจบมันก็วางสายไป ... อะไรของมันวะ

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้า

“มานี่” มันมองซ้ายขวา พอเห็นว่าไม่มีคนก็คว้าข้อมือผม กึ่งดึงกึ่งกระชากเข้าห้องเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุด

“อะไรของมึงวะ” มันหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าตึงๆ

“ห้องกูไม่มีพานไว้ครู”

“ฮะ??? ... อะไรนะ”

“ห้องกูไม่มีพานไหว้ครู ... มึงจัดการให้กูหน่อย” ผมแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ไอ้ควายอย่าบอกนะว่าที่โทรจิกตั้งแต่บ่ายก็เพราะเรื่องไร้สาระพวกนี้

แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป นอกห้องก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้น ไอ้บอนรีบเอามือปิดปากผมแล้วลากมาหลบอยู่ในมุมอับของห้อง ผมจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของไอ้ลิง ... เจ็บวะ ... ที่เข้าใจว่าพฤติกรรมแบบนี้หมายถึงอะไร

“กูไม่ทำ กูยุ่งอยู่ มึงไม่เห็นเหรอ” ผมพูดเมื่อมันคลายมือออกจากปากผม

“ทำให้กูหน่อย”

“มึงบ้าเปล่าวะ ทำไม่ทันก็ไปซื้อ” พูดจบผมก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้อง ความรู้สึกมันตีกันยุ่งไปหมด ทั้งโกรธทั้งเสียใจ

เหมือนที่ไอ้ไอซ์พูดไว้ไม่มีผิด ‘มันจะดีกับมึงไปได้ซักเท่าไหร่’ หวานกันได้ไม่เท่าไหร่สุดท้ายทุกอย่างก็วนกลับมาที่เดิม มันกลับมาเจ้าชู้ นอกใจ และมีคนอื่น เราทะเลาะกันเหมือนเดิม แย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะเมื่อก่อนมีแต่มันที่ร้อนในขณะที่ผมพยายามใจเย็นเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ แต่ตอนนี้ต่างคนต่างอารมณ์ร้อนพอกัน ... ผมไม่แคร์แล้วว่ามันจะมีกิ๊กหรือเปล่า จะมีอีกเป็นโหลก็เรื่องของมัน

เรา 2 คนห่างเหินกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่ได้ลงไปหามันตอนพักน้อยเช้ามาพักใหญ่แล้ว ผมบอกบอนว่ายุ่งเรื่องงานสภาแต่ความเป็นจริงแล้วคืออยากหลบหน้า เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันทุกวันเหมือนเดิม ... หรือทั้งหมดพังลงเพราะผม พอเป็นเลขาสภา ผมก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ตอนนีhใครๆ ก็รู้จักผมไม่ว่าจะเป็น อาจารย์ เด็ก ม. ต้น หรือแม้แต่เด็กประถมบางคนก็ยังรู้จักชื่อผม แต่ยิ่ง spot light ส่องที่ผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งห่างไกลจากบอนมากเท่านั้น มันเลี่ยงที่จะพูดคุยกับผมต่อหน้าคนอื่น และเหตุการณ์วันนี้ยิ่งยืนยันในสิ่งที่ผมคิด
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-05-2025 12:16:56
“ไม่รีบเปลี่ยนเสื้อวะมิลค์ เดียวก็กลับไปเรียนไม่ทัน” จีทักพร้อมกับถอดเสื้อพละสีเข้มที่มีตราประจำโรงเรียนปักอยู่บนหน้าอกฝั่งซ้ายออกอย่างรวดเร็ว หมดคาบพละพวกเราต่างต้องรีบเปลี่ยนชุดเพื่อกลับไปเรียนต่ออีกคาบหนึ่ง

“เดียวกูไปเปลี่ยนในห้องน้ำแป๊บ ปวดฉี่ด้วย พวกมึงไปก่อนก็ได้” ผมตอบก่อนจะรีบแยกตัวออกมาเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำ

ประตูห้องห้องน้ำถูกปิดลงพร้อมกับเสียงถอดหายใจเฮือกใหญ่ ผมเท้าแขนกับอ่างล้างหน้าพร้อมกับมองภาพสะท้องของตัวเองในกระจก ช่วงนี้ผมกับบอนทะเลาะกันหนักมาก เมื่อวานก็เพิ่งทะเลาะกันเพราะผมจับได้ว่ามันมีกิ๊ก (อีกแล้ว) แม้ปากจะบอกว่าไม่แคร์แต่เอาเข้าจริงใครจะทนได้ ผมไม่ใช้พระยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา แค่เรื่องเรียนกับงานสภาก็เหนื่อยจะแย่ ยังมีเรื่องพวกนี้เข้ามาอีก ... โคตรเบื่อ ... ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้งก่อนจะเดินไปเปลี่ยนชุดในห้องด้านใน

“เหี้ย!!! ตกใจหมด” แต่ใครจะคิดว่าปิดประตูออกมาแล้วจะเจอจีกับไอ้ไอซ์อยู่ข้างนอก มัน 2 คนมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“มึงถอดเสื้อดิ” ไอ้ไอซ์พูดเสียงเข้ม

“ฮะ!!! อะไรของพวกมึง เดียวก็ขึ้นไปเรียนไม่ทัน” ผมทำเป็นไม่สนใจ ตั้งใจจะแกล้งเนียนเดินออกจากห้องน้ำแต่เจ้าตัวกลับบังไว้ไม่ให้ผมไปไหน

“ไอ้มิลค์ ถอดเสื้อ” หลบจากไอซ์ก็มาเจอจีทำหน้ายักษ์ใส่

“กูไม่เล่น ไปได้แล้ว สายแล้วเนี่ย ...” มันไม่ยอมหลบ ผมเบี่ยงซ้ายมันก็ขยับขวา ผมเบี่ยงขวามันก็ขยับซ้าย

“... อะไรของพวกมึงวะ” ไม่เข้าใจว่าพวกมันเล่นอะไรกัน

“มึงดื้อเองนะ” จีแยกเขี่ยวใส่ผม

“เฮ้ย!!! ไอ้ไอซ์ เล่นเหี้ยอะไร” ไอซ์ล็อคตัวผมจากข้างหลัง ในขณะที่จีเดินเข้ามาประกบ

“ไอ้จีรีบหน่อยดิวะ” กระดุมเสื้อนักเรียนถูกปลดลงอย่างรวดเร็ว และทันทีที่สาบเสื้อแหวกออก สายตาของพวกมันก็เปลี่ยนไปในทันที

“อะไรวะ ทำไมมึงทำท่างั้นวะ” ไอซ์จับผมพลิกตัวกลับมา พอเห็นมันก็ทำสีหน้าไม่ต่างอะไรจากจี ผมแทบจะไม่มีแรงยืนเมื่อสิ่งที่ปกปิดไว้ถูกเปิดเผยต่อหน้าเพื่อนสนิททั้ง 2 คน

“มึง... โดนทำร้ายเหรอ ... กูจะไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง” ไอซ์ทำหน้ายักษ์ มันโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“อย่าไอซ์ กูขอร้อง ...” ผมรั้งข้อมือของมันไว้

“... มันไม่ผิด กูยอมมันเอง” ผมพูดเสียงสั่น พูดไปน้ำตาก็จะไหล

“นี่คือเหตุผลที่ช่วงหลังๆ มึงแยกมาเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ?” ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะมีแต่เรื่องให้กังวลเลยลืมคิดว่าไปว่าพวกมันจะจับสังเกตได้ที่ช่วงหลังๆ ผมแยกมาเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ

“มันบังคับมึงหรือเปล่า ...” จีถาม สีหน้าเคร่งเครียด ผมส่ายหน้าช้าๆ อายจนไม่กล้าสบสายตาของมัน 2 คน

“... รอยเต็มตัวขนาดนี้เนี่ยนะ ...”

“... พวกมึงรักกันยังไงวะ กูว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไกลเกินขอบเขตของคำว่าแฟนแล้วนะ”

ความสัมพันธ์ของผมกับบอนเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เราเคยมีช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูเข้ากันได้ดี ทั้งการพูดคุย หัวเราะ หรือแม้แต่การสัมผัสกัน แต่ช่วงหลังๆ มันเหมือนไม่ใช้แบบนั้นอีกต่อไป บางครั้ง การอยู่ด้วยกันไม่ใช่เพื่อเติมเต็มแต่กลายเป็นการทดสอบขีดจำกัดผมไม่รู้ว่าเรายังรักกันอยู่ หรือแค่ยื้อกันไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่เราทั้งคู่ไม่กล้าปล่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือทุกครั้งที่มองตัวเองในกระจก ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคนในนั้นยังเป็นผมอยู่ไหม
 

ผมก้มมองข้อความในมือถือ ...

Bon

‘มาหากู ที่ห้อง 56’


แม้จะถอนหายใจแต่ 2 เท้าก็ก้าวเดินไปตามระเบียง จะ 5 โมงแล้วบนตึกมีคนอยู่ไม่เท่าไหร่ ทำไมความสัมพันธ์ของเรา 2 คนถึงเป็นแบบนี้ ต้องหลบๆ ซ้อนๆ เปิดประตูห้อง 56 เข้ามา แม่งเอ้ยยยยยย นัดกูมาแท้ๆ ยังต้องให้กูมารอ

... “G”

“ว่าไงมึง” ผมรับสาย

“อยู่ไหนวะ กลับบ้านด้วยกันหรือเปล่า...” ผมนิ่งไปเพราะยังหาคำตอบที่สมเหตสมผลให้ไม่ได้ ไม่คิดว่ามันจะโทรหาตอนนี้ เพราะเมื่อเย็นมันบอกว่าจะเข้าไปทำงานที่ชมรมกว่าจะเสร็จก็น่าจะเกือบ 6 โมง

“... มิลค์ ยังอยู่เปล่าวะ”

“เออๆ อยู่ห้องสภา”

“เหรอวะ? แล้วนี่จะกลับด้วยกันเปล่า”

“กลับพร้อมมึงนั้นแหละ รอที่ชมรมก็ได้ เสร็จแล้วเดียวโทรหา” ผมพูดดักไม่ให้จีเดินมาหาที่ห้องสภา

“โอเคมึง เจอกัน”

“เจอกัน บาย” เฮ่ออออ รอดตัวไป

“ทีกับไอ้จี พูดซะเพราะ ... แต่กับกู ... ฮึ” ผมหันกลับมาตามน้ำเสียงประชดประชัน

“เป็นเหี้ยอะไรมากไหมวะ นัดกูมาเพื่อชวนทะเลาะ?” หงุดหงิดกับน้ำเสียงประชดประชันของมัน ยิ่งหันกลับมาเห็นสีหน้าแววตาแล้วยิ่งโมโห มันไม่ใช้ฝ่ายที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้กับผม ช่วงหลังๆ บอนชอบประชดเรื่องความสนิทของผมกับเพื่อนๆ โดยเฉพาะไอซ์และจี

“เรื่องสถานที่ตั้งซุ้มชมรม...”

“... มึงช่วยกูหน่อย” มันเว้นประโยค ทำท่าทำทางเหมือนไม่อยากจะขอความช่วยเหลือจากผมแต่สุดท้ายก็พูดออกมา คงโดนเพื่อนในชมรมบังคับมาซินะ ปีนี้บอนกับพวกเพื่อนของมันทำชมรมเพลง ... ถ้าถามผม จะตั้งขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้ เอกสารที่ส่งมาตอนขอตั้งชมรมก็เขียนเลอะเทอะจนจับใจความไม่ได้ ตอนนั้นผมก็ช่วยมาครั้งหนึ่งแล้ว

“เฮ่ออออออ” มันชักสีหน้าทันทีที่ผมหลุดถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ

“ช่วยกูหน่อย”

“มึงจะให้กูช่วยอะไร”

“กูอยากได้ที่ตรงหัวมุม”

“มึงบ้าเปล่า ที่มันจับฉลากไปแล้วอยู่ๆ กูจะไปเปลี่ยนได้ไง”

“ช่วยกูหน่อย”

“กูช่วยไม่ได้จริงๆ อันนี้เกิดความสามารถกู” เรื่องเอกสารตั้งชมรม ผมพอจะช่วยพูดให้ได้เพราะสภาไม่ได้ซีเรียสเรื่องรายละเอียดเท่าไหร่ แต่เรื่องที่มันกำลังขอแม้แต่ประธานยังทำไม่ได้เลยมั้ง

“มึงช่วยกูหน่อย”

“ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ”

“ที่ไม่ช่วยเพราะตรงนั้นเป็นที่ของชมรมวิทย์ปะ” ไอ้เหี้ยบอน!!! พอรู้ว่าผมช่วยมันไม่ได้น้ำเสียงท่าทีก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยนะมึง ... สันดาน

“มึงพูดแบบนี้หมายความว่าไง” ผมถามมันอย่างใส่อารมณ์

“ไอ้จีเป็นประธานชมรมวิทย์ แล้วมึงจะให้กูคิดว่าอะไร”

“มึงจะด่าก็ด่ามาตรงๆ อย่ามาทำประชดประชัน”

“มึงด่ากูเหรอ!!!” มันขึ้นเสียง สีหน้าท่าทางชัดเจนว่ากำลังโกรธ

“กูด่ามึงตรงไหน ... พูดไม่รู้เรื่องแบบนี้กูไปแล้วนะ...” บอนขึ้นเสียง สีหน้าโกรธจัด ผมพยายามตัดบทเพราะไม่อยากทะเลาะด้วย แต่ทันทีที่หมุนตัว มันกลับคว้าข้อมือผมไว้แน่น

“... ไอ้เหี้ยบอนปล่อย ...” ผมโวยวาย พยายามจะสลัดมือมันออก

“... โอ้ย!!!” ข้อมือผมโดนบิด ก่อนร่างจะถูกเหวี่ยงกลับจนกระแทกเข้ากับผนัง

“ปากดีนักนะมึง เดียวมึงโดนดีแน่” เสียงของบอนเต็มไปด้วยโทสะ มันกดไหล่ของผมชิดกำแพงแน่น

“ไอ้บอน อย่า เดียวคนมาเห็น” ผมร้องห้าม เสียงสั่น

“มึงไม่ใช่เหรอ ที่ไม่แคร์ถ้าคนอื่นจะรู้ว่ามึงคบกับกู” ผมเบี่ยงหน้าหลบลมหายใจของมันที่รุนแรงร้อนผ่าว

“อย่าทำแบบนี้”

“มึงต้องการไม่ใช่เหรอ กูก็ให้มึงอยู่ตรงนี้แล้วไง” ผมหลับตาแน่น ความกลัวตีตื่นขึ้นในอก น้ำตาเริ่มเอ่อล้น

“อย่า ... กูขอร้อง” คนตรงหน้าหยามเกรียติผมอย่างหยาบช้า ทุกสัมผัสให้ความรู้สึกหยาบกระด้าง ผมไม่มีแรงมากพอจะปกป้องตัวเอง ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม ... ในช่วงเวลานั้น ผมรู้ทันทีว่า เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

“ไอ้เหี้ยบอน!!!” เสียงตะโกนคุ้นหูดังขึ้น พร้อมกับเสียงกระแทกหนักๆ ก่อนที่ร่างกายของผมจะเป็นอิสระ ตามมาด้วยเสียงโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด

“มิลค์ มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”

“จีเหรอ”

“กูเอง”

“จี มึงช่วยกูด้วย” ทันทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าคือจี ผมโผเข้าหาพร้อมกับร้องไห้โฮ เสียงสะอื้นดังแข่งกับเสียงดังโวยวาย ผมไม่รู้ว่ารอบข้างเกิดอะไรขึ้นรู้แค่ตอนนี้ตัวเองต้องการที่ยึดเหนี่ยว

“ชูว์ๆๆ มึงปลอดภัยแล้ว พวกกูมาช่วยมึงแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว” คนข้างๆ ประคองผมไว้ เสียงปลอบประโลมกระซิบที่ข้างหูไม่ห่าง ... จีมาแล้ว จีมาช่วยผมแล้ว ผมปลอดภัยแล้ว

ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงตั้งสติได้ ในห้องเงียบสนิท ผมยืนประจัญหน้ากับต้นต่อของปัญหาทั้งหมดโดยมีจียืนซ้อนอยู่ด้านหลังและไอซ์ยืนคั้นกลางระหว่างผมกับบอน ส่วนไอ้อาร์มกับโจดูต้นทางอยู่ข้างนอก ผมมองหน้าไอซ์ที่มีรอยช้ำอยู่ตรงมุมปากพร้อมกับเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่เหมือนผ่านสงครามมา ก่อนจะเหลือบสายตาไปที่บอน มันอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากไอซ์ ความรู้สึกมากมายถาโถมอยู่ในห้วงของความคิด รัก โกรธ กลัว เสียใจ ผิดหวัง และอีกหลากหลายความรู้สึกที่ผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดเจน

“มิลค์มึงจะเอายังไง ... ใกล้จะ 6 โมงแล้ว” 6 โมงคือเวลาปิดตึก ผมมีเวลาอีกไม่มากก่อนที่พี่ยามจะเริ่มไล่เด็กนักเรียนออกจากตึก

“เหี้ยจี ไอ้มิลค์เป็นเมียกู ไม่เสือกได้ไหมวะ ... มึงอีกคนนะไอ้เหี้ย ...” บอนพูดด้วยความหัวเสีย มันพยายามจะเดินเข้ามาหาแต่ก็ถูกไอซ์พลักให้กลับไปยืนที่เดิม

“... พวกมึงเป็นชู้กับมันหรือไงถึงได้ปกป้องมันนัก”

“มึงอย่าลามปามเพื่อนกู คนอย่างไอ้มิลค์จะเลือกใครก็ได้ทั้งนั้นแต่มันไม่ได้ร่านเหมือนมึงไง” ไอซ์ตอกกลับบอนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน

“มึงคิดว่ากูกลัวมึงเหรอไอ้สัส” พอไอซ์แรงมาฝั่งตรงข้ามก็แรงกัน

“มึงอยากมีเรื่องก็เข้ามาเลยไอ้เหี้ย #%$&&*#$%#^&^&” แล้วมัน 2 คนก็เริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง ผมเริ่มน้ำตารื้อ แม้จะไม่ได้ร้องไห้โฮเหมือนเมื่อครู่ แต่หยดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“ทำที่มึงอยากจะทำ ... ไม่ว่ามึงจะเลือกอะไร กูอยู่ข้างมึงเสมอ” จีกระซิบที่ข้างหู น้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าไม่ได้มีความสำคัญอะไร มือหนาบีบที่หัวไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจ

ผมมองสีหน้าที่กำลังเดือดดานของบอน ... แล้วผมก็สัมผัสได้ว่าคนที่ครั้งหนึ่งผมเคยหลงไหลและทำให้หัวใจเต้นแรง ตอนนี้กลับไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกของผมอีกแล้ว ... กับพฤติกรรมทุกอย่างที่มันกระทำกับผม กับความรู้สึกทุกอย่างที่ผมต้องเผชิญ ... ผมจะยังรักบอนหรือเปล่า คำถามนี้ไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไปเพราะความจริงคือความรักของเราจบไปนานแล้ว ... ที่เรา 2 คนทำอยู่คือการยื้อเวลา

“บอน เราเลิกกันนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนเราคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ แม้จะพูดด้วยความดังระดับปกติแต่ก็ทำให้ไอซ์กับบอนหยุดชะงัก ... เสี่ยววินาที ผมเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของบอน ก่อนที่มันจะปั้นหน้ายักษ์

“มึงแน่ใจ? ... กูให้โอกาสมึงอีกครั้ง”

“ฮึ” เสียงขำในลำคอของไอซ์ดังขึ้น ดูจากสีหน้าก็รู้ว่ามันตั้งใจกวนประสาทไอ้บอน

“เราเลิกกัน” ผมส่งยิ้มให้มันเพื่อบอกลา ... เป็นครั้งสุดท้าย ... ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยิ้มออกมาหน้าตายังไง แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดในฐานะของคนที่รักมันมากคนหนึ่ง

“เอออ!!! เลิกก็เลิก อยากเสือกมาง้อขอคืนดีกับกูทีหลังนะ” พูดจบมันก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้อง





‘You will search for me in another person, I promise.

And you will never find me’


----------


มิลค์: สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเลือกที่จะรักตัวเอง ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นโสดแล้ว
#ByeByeToxicBF #Friendship #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-05-2025 17:20:39
"I gave you everything. And now, I give myself back to me."

มิลค์ : เสียใจแต่ไม่แครรรรรรรร์ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

#SelfLove #Free #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 23-05-2025 13:28:49
"ขอโทษนะครับ"

"ครับ?" ผมหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับเด็กนักเรียนวัยไล่เลี่ยกัน มองจากสีกางเกงของเขาถึงได้รู้ว่าเป็นโรงเรียนมัธยมชายล้วนที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของผม

"เราขอเบอร์นายได้ไหม" คนตรงหน้าถามพร้อมกับยื่น Nokia 8250 มาให้ ... แม้จะไม่ใช้ครั้งแรกที่มีคนเข้ามาขอเบอร์ แต่ผมก็ยังรู้สึกประหม่า

"คือออออ เราไม่ให้ได้ไหมอะ"

"ขอหน่อยนะ นายน่ารักมากเลย เราอยากรู้จัก" คนตรงหน้าส่งยิ้มกลับมา ... ทำไงดีวะ ปฏิเสธขนาดนี้แล้วยังรุกต่อได้


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนมาจีบบบบบบบ

 #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 8 : พักใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 25-05-2025 10:30:44
ผมคิดว่าตัวเองจะเสียใจมากกว่านี้ แต่ความเป็นจริงแล้วผมปรับตัวเข้ากับความโสดได้ง่ายกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะช่วงหลังๆ การอยู่กับบอนทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เมื่อได้กลับมาอยู่คนเดียวเลยรู้สึกมีอิสระมากกว่าที่เคย ความรักความผูกพันของเรา 2 คน ค่อยๆ เหี่ยวเฉาและตายไปนานแล้ว จากที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นฝ่ายบอกเลิกแต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะรักตัวเอง ... น่าแปลกที่วันนั้นผมไม่ได้ร้องไห้หนักอย่างที่คิด และคืนนั้นก็นอนหลับสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเหมือนพันธะทุกอย่างที่เคยฉุดรั้งผมไว้กับความเศร้าได้อันตราทานหายไป ... ใช้เวลาไม่นานผมก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครับ

ม.6 โค้งสุดท้ายของชีวิตมัธยมปลาย เป็นช่วงเวลาสำหรับเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมตัดสินใจแล้วว่าจะสอบเข้าคณะเป็นสัตวแพทยศาสตร์

“มึงจะลงสมัครสภานักเรียนไหม” โจหันกลับมาถาม เพิ่งเปิดเทอมได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ event ใหญ่ที่สุดคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งสมาชิกสภานักเรียน ตามธรรมเนียมแล้ว ผู้สมัคร ม.6 ที่ได้คะแนนสูงที่สุดจะได้เป็นประธานสภา ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือเป็นประธานจัดงานวันเกิดโรงเรียนซึ่งถือว่าเป็น highlight สำคัญประจำปีที่นักเรียนชั้น ม.6 ทุกคนตั้งตารอ

“ลงดิ มาขนาดนี้แล้ว” ผมตอบกลับอย่างไม่ลังเล พูดอย่างไม่เข้าข้างตัวเองคือผมเป็นตัวเต็งที่จะได้ตำแหน่งประธานสภานักเรียน

“แล้วมึงจะเลือกใครเป็นเลขาวะ” โจถามต่อ ในขณะที่คนอื่นๆ เริ่มล้อมวงเข้ามา

“กูว่าจะลองถามไอ้เอสดู” ตำแหน่งเลขาไม่ได้มีกฎตายตัวว่าต้องเป็นสภานักเรียน และสามารถเป็นนักเรียน ม.ปลายปีไหนก็ได้ ปีที่แล้วแค่บังเอิญว่าผมเหมาะกับตำแหน่งนี้พอดี

“ทำไมเป็นไอ้เอสวะ”

“ตอนทำชมรมวิทย์ กูว่ามันเอาการเอางานดีนะ ปีที่แล้วมันเป็นเลขาชมรม งานก็เรียบร้อยดีนิ” เราเรียนอยู่ห้องเดียวกับผม ผมกับเอสไม่ได้สนิทกันมาก มีคุยเรื่องงานกันบ้าง เท่าที่รู้จัก มันนิสัยดี มีความรับผิดชอบ และแก้ปัญหาได้เก่ง ถ้ามันมาช่วย ชีวิตผมคงง่ายขึ้นเยอะ

“ไอ้อาร์ม มึงจัดตารางเรียนพิเศษของเทอมนี้ยัง” ไอซ์ถามหลังจากจบประเด็นเรื่องสภานักเรียน

“เรียบร้อย กูกับจีช่วยกันจัดให้พวกมึงเรียบร้อย ... อะดู” แล้วมันก็กางสมุด note ประจำตัวออกมาให้พวกเราดู ตั้งแต่ขึ้น ม.4 อาร์มกับจีจะจัดตารางเรียนพิเศษให้ เทอมนี้ดูตารางแน่นกว่าปีก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะการสอบ entrance ใกล้จะมาถึงแล้ว

“มิลค์ มึงต้องจัดเวลาตัวเองดีๆ นะเว้ย ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกิจกรรม” จีหันมาพูดกับผม ในขณะที่ทุกคนต่างสนใจกับตารางเรียนพิเศษตรงหน้า ไอ้ไอซ์กับโจโอดครวญตามปกติของพวกมัน

“อืม กูเข้าใจ” ผมยิ้มรับ

$&*#@ Ringtone $&*#@

“เดียวกูมา” จีคลายยิ้มก่อนที่จะเดินออกไปรับโทรศัพท์

“ตกลงคือมันคบกับน้องฝนแล้ว?” โจถาม ผมมองตามแผ่นหลังของจีที่เดินหายออกจากห้อง

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ช่วงนี้ก็ดี happy ดีนะ” ไอซ์ตอบ

น้องฝนคือคนที่จีแอบชอบมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว เอาจริงคือผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากเพราะช่วงนั้นปัญหาของผมกับบอนก็หนักหนา มารู้เรื่องอีกทีก็หลังจากที่เลิกกับบอนไปแล้ว ... ไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องระหว่างจีกับน้องฝนเท่าไหร่นัก เพราะจีไม่ค่อยเล่าให้ใครฟัง เวลาถามเจ้าตัวก็มักจะบอกว่า ‘ก็เรื่อยๆ’

“คู่นี้ 3 วันดี 4 วันไข้ จะคบไม่คบก็เอาซักทางซิวะ” อย่างที่ไอซ์บอก จีกับน้องฝน เดียวก็ดี เดียวก็แย่ ... ผมพอรู้อยู่บ้างเพราะทุกครั้งที่จีรู้สึกไม่โอเคมันจะชวนผมไปกินข้าวที่ร้านประจำของเราที่สยาม

“ไอ้มิลค์ มึงรู้เรื่องอะไรบ้างไหม”

“ก็รู้เท่าที่พวกมึงรู้นั้นแหละ” ผมรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จีชวนไปกินร้านนี้ แสดงว่าเจ้าตัวมีเรื่องไม่สบายใจ และเมื่อดูจากความถี่ที่เรา 2 คนไปกินข้าวด้วยกันแล้วนั้น... ก็ตามที่ไอซ์บอกแหละครับว่า ‘3 วันดี 4 วันไข้’

“กูเห็นมันชวนมึงออกไปกินร้าน Star’ s บ่อย คิดว่ามันจะเล่าอะไรให้มึงฟังบ้าง” จริงอยู่ว่าในกลุ่ม ผมสนิทกับจีมากที่สุด ถ้าเป็นเรื่องอื่นจีเล่าให้ผมฟังทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้

“ถ้ามันอยากจะเล่า เดียวมันก็เล่า” ผมตอบ ยังไม่ทันได้เปิดประเด็นใหม่ จีก็เดินกลับเข้ามา

“มิลค์ เย็นนี้ไปกิน Star’ s กัน” นั้นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ

“อืม ไปดิ” ผมมองหน้าจี ผมรู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น ... มันกำลังเสียใจ

“พวกมึงไปด้วยปะ” จีหันถามคนอื่นๆ

“ไม่วะ พวกกูติดธุระ มึงไปกับไอ้มิลค์ 2 คนละกัน” ไอซ์พูดแทนทุกคน เพราะสนิทกันมากที่สุด ผมเลยได้รับตำแหน่ง ‘ศิราณี’ ประจำตัวของจีอย่างเลี่ยงไม่ได้ ... แต่สำหรับจีแล้ว ผมเต็มใจ เพราะตอนที่ผมเจอเรื่องแย่ๆ จีอยู่ข้างๆ ผมเสมอ เรื่องแค่นี้ ทำไมผมจะช่วยมันไม่ได้



"ผมเอา ไก่ย่างสไปร์ซี่ กับเฟรนฟรายด์ครับ" ผมวางเมนูลงบนโต๊ะ พรางมองสำรวจไปรอบๆ ... มาบ่อนจนพนักงานจำหน้าได้แล้วมั้ง

"ขอ fish and chips ครับ" คนตรงหน้าสั่งเมนูเดิม มากี่ทีก็กินแต่เมนูนี้

"รับน้ำอะไรดีครับ"

"น้ำเปล่า น้ำแข็งหนึ่ง แก้วเปล่าหนึ่งครับ" จีมองหน้าผม คิ้วของมันขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นปม

"รออาหารซักครู่นะครับ ระหว่างนี้ตักสลัดบาร์ได้เลยนะครับ"

"อะไรของมึง" ผมถามเมื่อมันยังมองหน้าผมไม่เลิก

"กูคิดว่ามึงจนกินน้ำหวาน refill"

"กินน้ำเปล่าแหละ ง่ายดี"

"เพิ่งสังเกตมาซักพัก ว่าช่วงหลังมึงกินแต่น้ำเปล่า"

"ติดจากมึงนั้นแหละ..." จากที่เคยติดน้ำหวาน สุดท้ายผมก็ติดนิสัยกินน้ำเปล่าเหมือนมัน

"... ไปตักสลัดเปล่า เดียวกูนั่งเฝ้าโต๊ะให้"

"มึงเอาอะไรไหม" จีถาม

"ไม่อะ เดียวไปตักเอง" มันพยักหน้า ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ

พอเลิกเรียน เรา 2 คนนั่งรถไฟฟ้ามาสยาม ตั้งแต่รถไฟฟ้าเปิดให้บริการตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ชีวิตก็ง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ ไม่อย่างนั้น ผมกับจีไม่มีทางเดินทางจากโรงเรียนมาถึงสยามได้ภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที

"ขอโทษนะครับ ... เพื่อนอีกคนลืมสั่ง side dish นะครับ" พนักงานคนเดิมกลับมา

"อ่อออ ... เอาเป็นมันอบละกันครับ"

"ครับ"

พอจีกลับมา ผมก็ลุกไปตักสลัด สาเหตที่จีชอบพาผมมากินร้านนี้เพราะเป็นเพียงไม่กี่ร้านในสยามที่เราไม่ต้องรีบร้อน เนื่องจากเป็นร้านที่มีบุฟเฟต์สลัดบาร์ ที่ตักได้เรื่อเราเลยสามารถนั่งในร้านได้นานกว่าร้านอื่น

"ขอโทษนะครับ"

"ครับ?" ผมหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับเด็กนักเรียนวัยไล่เลี่ยกัน มองจากสีกางเกงของเขาถึงได้รู้ว่าเป็นโรงเรียนมัธยมชายล้วนที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของผม

"เราขอเบอร์นายได้ไหม" คนตรงหน้าถามพร้อมกับยื่น Nokia 8250 มาให้ ... แม้จะไม่ใช้ครั้งแรกที่มีคนเข้ามาขอเบอร์ แต่ผมก็ยังรู้สึกประหม่า

"คือออออ เราไม่ให้ได้ไหมอะ"

"ขอหน่อยนะ นายน่ารักมากเลย เราอยากรู้จัก" คนตรงหน้าส่งยิ้มกลับมา ... ทำไงดีวะ ปฏิเสธขนาดนี้แล้วยังรุกต่อได้

"มิลค์..." เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับแขนของจีที่พาดลงบนไหล่ มันออกแรงดึงผมเข้ามาใกล้

"... มีอะไรหรือเปล่า ..." มันถามผม แต่เจ้าตัวกลับมองหน้าของใครอีกคน

"... ขอโทษทีครับ แต่เพื่อนผมไม่สะดวกให้เบอร์คนแปลกหน้า" จีส่งยิ้มให้อีกคน ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันเป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความเหนือกว่า ก่อนที่เจ้าตัวจะกอดคอผมออกจากสถานการณ์อึดอัดตรงหน้า

"ไม่ชอบก็ปฏิเสธไปซิวะ ยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้" มันพูดเมื่อเรากลับมาที่โต๊ะ ผมเหลือบมองสลัดในจานของตัวเอง ยังไม่ได้ตัก beet root กับ ซุบข้าวโพดเลย

"กูปฏิเสธไปแล้ว แต่เขาตื้อ"

“เพื่อนกูสวยเลือกได้ว่างั้น?” คนตรงหน้าเอ่ยปากแซวพร้อมกับยิ้มล้อเลียน

“ไอ้นี่!!!” ผมใช้มีดชี้หน้ามัน

“มึงผ่านไอ้บอนมาได้ เรื่องพวกนี้เล็กน้อยเปล่าวะ...”

“... ไม่ชอบก็บอกไปเลยตรงๆ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ มึงมีดีกว่าที่ตัวเองคิด ...”

“... กูไม่ได้พูดเล่นๆ ตอนบอกว่ามึงสวย”

“อืม” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะตักอาหารเข้าปาก ไม่ชินเท่าไหร่กับการถูกชมซึ่งๆ หน้า แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนสนิทก็ตาม

"มึงยังไม่อยากมีแฟนใหม่เหรอวะ ที่จริงคนเมื่อกี้ก็ดูดีอยู่นะ" มันส่งยิ้มเจ้าเลห์

"ยังอะ อยากอยู่คนเดียวอีกซักพัก ตอนนี้ก็ happy ดี ..." ผมยังไม่อยากมีใคร ที่ผ่านมารู้สึกเหนื่อยมากกับการมีใครซักคน พอได้กลับมาอยู่คนเดียวเลยสบายใจกว่า อยากทำอะไรก็ทำได้โดยไม่ต้องกังวล

"... พูดแต่เรื่องของกู แล้วมึงละ เป็นไงบ้าง"

"ก็เรื่อยๆ" มันตอบแค่นั้นแล้วก็ตักสลัดเข้าปาก

"อยากเล่าก็บอกละกัน" คนตรงหน้าพยักหน้ารับรู้

"ขออนุญาติเสิร์ฟอาหารครับ" บทสนทนาของเราจบลงเมื่ออาหารทยอยมาเสิร์ฟ

"ทำไมทำหน้างั้นวะ" ผมถามเมื่อจีมันทำสีหน้าแปลกๆ

"กูเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อกี้ไม่ได้สั่ง side dish"

"อ่อ พนักงานมาถาม ตอนมึงไปตักสลัด ปกติมึงกินมันอบไม่ใช้เหรอ" ตั้งแต่เริ่มมากินร้านนี้ ผมไม่เห็นจีจะสั่ง side dish อย่างอื่นนอกจากมันบด

"เออใช่ thanxๆ" แล้วมันก็เริ่มจัดอาหารตรงหน้า จีใช้มีดตัดแบ่งครึ่งมันอบตรงหน้าก่อนจะเริ่มใช้ส้อมขูดเอาเนื้อสีเหลืองออกมา ... ผมส่งขวดพริกไทยกับเกลือที่อยู่ใกล้มือตัวเองให้มัน

"อะไรของมึง ..." ผมถามเมื่อมันหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง

"... ก็มึงแดกแบบนี้ทุกครั้งไม่ใช้เหรอวะ"

"มึงจำได้?" จีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

"ได้ดิวะ กูมาแดกร้านนี้กับมึงไม่รู้กี่ครั้งแล้ว"  พอมาบ่อยๆ ผมก็รู้ว่าจีมี pattern ในการกินเหมือนเดิม สลัดบาร์ที่ไปตักก็วนไปวนมาอยู่ไม่กี่อย่าง ลำดับการกินก็เหมือนเดิม เตรียมมันอบก่อน ปรุงรสด้วยพริกไทยก่อนค่อยใส่เกลือ ระหว่างรอมันอบหายร้อนเจ้าตัวก็จะกินสลัดรอ ตามด้วยซุบเห็ดที่ใส่ขนมปังกรอบมา 3 ชิ้น แล้วถึงจะเริ่มกิน main dish กับมันอบ โดยจะเริ่มจากตักมันอบเข้าปากก่อนเสมอ



… “G”

“ว่าไงมึง”

“ถึงบ้านยัง”

“ถึงแล้ว เพิ่งถึงเมื่อกี้เลย” หลังจากกินเสร็จพวกเราไปกินของหวานกันต่อ ก่อนจะไปเดินเล่นเพื่อรอเวลาให้รถติดน้อยลงแล้วจึงเรียก taxi กลับบ้าน จริงๆ แล้วจากสยามผมสามารถนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านได้เลย แต่ผมเลือกที่จะกลับ taxi กับจีเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้มันอยู่คนเดียว

“ถึงบ้านก็ดีแล้ว ...กูขอโทษนะ ที่ไม่เคยเล่าอะไรให้มึงฟังเลย กูไม่รู้ว่าจะพูดอะไร มึงไม่โกรธกูนะเว้ย”

“ไม่โกรธๆ มึงพร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่า หรือถ้าแค่ไปนั่งกินข้าวกันแล้วมันช่วยให้มึงสบายใจขึ้นกูก็โอเคนะ ... กูไม่ได้ขี้เสือกเหมือนมึง” ได้โอกาสผมเลยข้อจัดคนปลายสายไป 1 ดอกเน้นๆ

“ไอ้ห่ามิลค์ หลอกด่ากู” มันโวยวาย

“เปล่า กูด่าตรงๆ เลยแหละ” เสียงหัวเราะของจีดังออกมาจากปลายสาย แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว ตลอดช่วงเย็นแม้จะพูดคุยเหมือนปกติแต่มันไม่ได้หัวเราะหรือยิ้มแย้มเหมือนเดิม ผมสัมผัสได้ว่ามันไม่สบายใจ

“กูขอบใจมึงมากนะเว้ย”

“เรื่องแค่นี้เอง มึงคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของกู เพื่อมึงอะไรกูก็ทำให้ได้”



----------


มิลค์ : บางครั้ง ความเจ็บปวดก็ทำให้เราเติบโต ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือกลับมายืนบนพื้นที่ของตัวเองอีกครั้ง

#เบา #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 8 : พักใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 27-05-2025 18:31:46
มิลค์ : Friend, have less but the best  ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีเพื่อนอยู่ข้างๆ
#FiveOfUS #Friendship #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 29-05-2025 20:51:52
“พี่มิลค์คนสวยยยยยยยยยยย...” น้ำเสียงตอแหลดังขึ้นไล่หลัง ผมรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พลางภาวนาให้สามารถหายตัวไปจากตรงนี้ได้เหมือนในการ์ตูน

“... เดียวซิพี่ ไปกับผมก่อน” มันคว้าข้อมือผมอย่างถือวิสาสะ รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของเพื่อนๆ มัน

ผมสะบัดมือออก แต่มันก็คว้ากลับมาอีก... เออ เอาเข้าไป ไอ้บ้านี่... ขนาดผมชักสีหน้าใส่มันก็ยังไม่สะทกสะท้าน ... คนเดินผ่านไปมาเป็นร้อย ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ที่กำลังถูกมันจูงมือเหมือนเด็กอนุบาล... เชี่ยเอ๊ย!!! คนอะไรมันหน้าด้านขนาดนี้! พรุ่งนี้ผมจะต้องเจอกับข่าวลืออะไรอีกวะเนี่ย!

พลั๊กกกกกกกกกกกกก!!!

“เชี่ย!!!” ผมตกใจจนเผลอปล่อยสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งออกมาตัวใหญ่มากกกกกกกกกกกก

“อะไรวะ” ไอ้ปาล์มที่อยู่ๆ ก็ถูกพลักกระเด็นออกไป หันกลับมาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

“ไอ้เด็กเปรต ถ้ามึงไม่อยากโดนตีน อย่าปีนเกลียวแฟนกู” แล้วแขนหนักๆ ก็คล้องคงบนหลังคอของผม อย่าว่าแต่คนแถวนี้ ขนาดผมเองยังงงจนพูดไม่ออก ... กูไปเป็นแฟนไอ้เอสตอนไหนวะ ?


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมมีแต่คนรุมจีบบบบบบบบบบบบ

 # ดอกไม้ในหัวใจ #สวยเลือกได้ #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 9 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 01-06-2025 11:25:22
“เฮ่อออออออ / เฮ่อออออออ” อารม์และโจพร้อมใจกันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนนี้พวกเราทั้ง 5คนกำลังสุมหัวกัน โดยมีผมเป็นจุดศูนย์กลางของวงสนทนา

“มึงจะเอายังไง” ไอซ์เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มันกอดอก มองผมด้วยสายตาคาดคั้นกดดัน

“กูแล้วแต่มึง” ผิดกันกับจีที่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและท่าทีสบายๆ

ผมมองหน้าพวกมันทีละคน ก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ Nokia 3310

‘Bon

ขอโทษ คืนดีกันนะ’

“เฮ่อออออออ ...” ผมกด lock หน้าจอก่อนที่จะเก็บมือถือเข้ากระเป๋า

“... กูขอคิดแป๊บนึง” พูดจบก็ลุกออกมา

2 เท้าก้าวไปตามระเบียงทางเดินที่คุ้นเคย ภาพบรรยายกาศของวันวานไหลเข้ามาในห้วงของความคิดเหมือนสายน้ำ ... ตรงนี้คือสถานที่ที่ผม บอน และจี มักจะมานั่งติวหนังสือหรือทำงานกลุ่มด้วยกัน

“กูนึกแล้วว่ามันต้องอยู่ที่นี้” น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้น ก่อนที่เพื่อนสนิทจะทิ้งตัวลงบนม้านั่งข้างๆ

“กูต้องใช้ความคิด”

“กูไม่ได้เร่ง มึงใช้เวลาเท่าที่มึงต้องการ...”

“... กูเห็นมึงมานั่งแถวนี้บ่อยนะ” จีพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ในขณะที่สายลมอุ่นๆ ของยามบ่ายกำลังพัดโชย กลิ่นแดดอ่อนๆ ลอยปะปนอยู่ในอากาศ

“มึงรู้?”

“ทำไมจะไม่รู้วะ ช่วงนี้เพื่อนสนิทกูบางครั้งก็ใจลอย แล้วก็ชอบหายตัวไปบ่อยๆ กูก็เลยแอบตามมา” มันพูดเหมือนผมเป็นบุคคลที่ 3 ของบทสนทนา

“กู ... คิดถึงมัน”

“ไม่แปลกหรอก แม้มันจะเหี้ย แต่มึงกับมันก็ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ” นับจากวันนั้น ผ่านมาเกือบ 6 เดือนแล้วที่ผมกับบอนเลิกกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังๆ มานี้บางคืนผมก็ฝันถึงมัน พอเช้านี้ตื่นขึ้นมาแล้วเจอข้อความที่มันส่งมาง้อกลางดึก ผมเลยรู้สึกหวั่นไหวมากเป็นพิเศษ

“กูไม่รู้ว่ากูคิดถึงมันในฐานะอะไร ... แฟนหรือว่าเพื่อนสนิท” สมัยก่อนตอนที่เพิ่งเริ่มคบกันใหม่ๆ ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าสุดท้ายเรา 2 คนไปกันไม่รอดจริงๆ อย่างน้อยความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนสนิทก็ยังคงอยู่ แต่ความเป็นจริงไม่ได้สวยงามแบบนั้น ... ความเป็นเพื่อนสนิทของเราจบลงพร้อมกับสถานะแฟน

“มึงไม่ต้องสนใจเว้ย คิดถึงก็คือคิดถึง”

“ใจหนึ่งกูก็อยากกลับไปคืนดีกับมัน แต่ใจนึงกูก็โคตรโกรธกับทุกอย่างที่มันทำไว้”

“มึงอยากได้อะไร”

“กูไม่รู้”

“ถ้ายังไม่รู้ มึงก็ยังไม่ต้องเลือก ... เลือกอะไรก็ได้ที่มึงคิดว่าตัวเองมีความสุข ไม่มีใครตอบได้ว่าหากมึงกลับไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะเป็นรักแท้ของมึงจริงๆ หรืออาจจะวนกลับมาเป็นแฟนเหี้ยๆ ของมึงเหมือนเดิม”



...



ผมหลับตา พยายามใช้สติควบคุมลมหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะเพื่อบรรเทาความตื่นเต้นที่กำลังก่อตัว ตั้งแต่ได้รับตำแหน่งประธานสภานักเรียน นี่มันเป็นครั้งแรกที่ต้องพูดต่อหน้าคนนับร้อยในหอประชุม แม้จะไม่ใช้การพูดในโอกาสที่เป็นทางการ แต่ผมก็ใช้เวลาเตรียมตัวหลายวัน เมื่อเช้าผมพูดกับเพื่อนๆ ม.6 ไปแล้ว น้องๆ ม.4 ก็เพิ่งจะพูดไปเมื่อวาน แต่ที่ออกอาการตื่นเต้นจนแทบจะเป็นลม ก็เพราะอีกไม่ถึง 5 นาที ผมต้องออกไปพูดต่อหน้า ม.5 ทั้งหมด ... พูดกับเพื่อนตัวเองไม่ยากเท่าไหร่ พูดกับรุ่นน้องที่ห่างไป 2 ปีก็ไม่มีอะไรน่ากังวล แต่การพูดกับคนที่ห่างกันแค่ปีเดียว จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก

“มึงไหวไหม ... เอายาดมปะ” ไอ้เอส เลขาสภาป้ายแดง ดีกรีนักกีฬาเทควันโดสายดำยื่นหลอดยาดมมาตรงหน้า

“เอา!!!” ปกติผมไม่ใช้ยาดม ไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ แต่ ณ จุดนี้ อะไรก็ได้ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลมจริงๆ

“มึงตั้งสติ ถ้าขึ้นไปเป็นลมบนเวทีนี้ฉิบหายเลยนะ”

“มันจะแย่กับพวกเรามากใช่ไหมวะ”

“เปล่า กูแค่อาย” พูดจบมันก็ขำออกมาชุดใหญ่ ไม่ให้เกียรติคนกำลังเครียดจนหน้ายุ่งอย่างผมเลย

“ไอ้เหี้ยเอส!!!” ผมแยกเขี้ยวในเลขาสภาจอมกวน จากที่ไม่คุยได้คุยกันเท่าไหร่ ตอนนี้เราแทบจะตัวติดกันตลอด 24 ชม. พอสนิทกันถึงได้รู้ว่าภายใต้บุคลิกนิ่งเงียบ พูดน้อย แท้จริงแล้วมันเป็นคนปากร้ายและกวนตีนมากคนนึง แต่ถึงกระนั้นเอสก็เป็นคนที่ผมสามารถพึ่งพาได้มากกว่าที่คิด

“ขำๆ ไงมึง ... แต่ถ้ามึงเป็นลมเดียวกูอุ้มพาไปส่งห้องพยาบาล”

“ไอ้เหี้ย!!!” ด่าไปมันก็ไม่สะทกสะท้าน ปถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับมีความสุขที่ถูกผมสาดคำผรุสวาทใส่

“พี่มิลค์ พี่พร้อมนะครับ” น้องปาล์มสภานักเรียน ม.5 ชะโงกหน้ามาถาม

“พร้อมๆ”

“ถ้าไม่ไหวพี่จับมือผมไว้ตอนพูดได้นะครับ” ไอ้นี่ก็อีกคน ... อะไรของมันวะ!!!

“ลามปามเพื่อนกู ไส้หัวไปเลยมึง” ไอ้เอสแยกเขี้ยวใส่ ในขณะที่ผมยังงงๆ กับมุกที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ของมัน ไอ้ปาล์มชักสีหน้ากลับแต่ก็ยอมถอย ... ขนาดสภานักเรียนด้วยกันยังปีนเกลียวขนาดนี้ แล้วเพื่อนๆ ของมันจะขนาดไหน

“ซักวันไอ้เหี้ยนี้ต้องโดนตีนกู”

“ใจเย็นมึง จำไวสภานักเรียนโดนทำโทษมากกว่าคนอื่น 2 เท่า”

“ได้ซัดหน้ามันซักทีก็คุ้มไหมวะ” มันหักนิ้วมือตัวเองเสียงดังกรอบแกรบ ... น่ากลัวไปไหนวะ

ผมยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนเวที แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เสียงพูดคุยของพวกมันดังลั่นห้องประชุม ไม่ต่างอะไรจากตลาดสด นี่ขนาดผมยืนนิ่งไม่พูดไม่จามาเกือบ 5 นาทีแล้ว ... ตั้งใจกวนตีนชัดๆ ... ผมส่งสัญญานมือห้ามไอ้เอส เพราะเห็นจากหางตาว่ามันที่ยืนอยู่ด้านข้างเวทีทำท่าจะเดินเข้ามา ถ้าให้เดามันคงจะคว้าไมค์จากมือของผมแล้วด่ากราดพวกเด็กไม่มีมารยาทพวกนั้น แต่นั่นจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เสียงพูดคุยดังต่อเนื่อง และในขณะที่ผมติดสินใจจะเดินลงจากเวที

“พวกมึงเงียบ!!! … แฟนกูรอพูดอยู่ พวกมึงไม่เห็นหรือไง” จบประโยคทีเล่นทีจริงของไอ้ปาล์ม ห้องประชุมที่เสียงดังเหมือนตลาดแตกก็เงียบสงัด จากนั้นไม่กี่อึดใจ เสียงโห่ฮ่าก็ดังสนั่นหวั่นไหว

แล้วความ “ฉห” ก็เริ่มต้นจากวันนั้น แม้ทุกคนจะรู้ดีว่ามันไม่เป็นความจริง แต่ผมก็ตกเป็น topic ซุบซิบนินทาจนสนุกปาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ม.5 มันแย่ถึงขั้นที่ผมไม่สามารถขอความร่วมมืออะไรจากพวกมันได้เลย ไอ้เอสเลยต้องรับหน้าที่เป็นคนกลางในการประสานงาน ยังไม่นับเรื่องที่ผมถูกอาจารย์ที่ปรึกษาสภานักเรียนเรียกไปตำหนิพร้อมกับไอ้ตัวต้นเรื่องที่มองดูจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่ได้มีความสลดเลยแม้แต่น้อย หลังจากวันนั้น สำหรับผม ไอ้ปาล์มก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘แมลงสาบ’ เพราะไม่ว่าจะพยายามเลี่ยงแค่ไหนแต่ก็เหมือนจะเจอมันอยู่ทุกที่

ผมกำลังเดินกลับจากโรงอาหาร เพราะติดประชุมสภา กว่าจะได้ออกมากินข้าว พวกเพื่อนๆ ก็กลับขึ้นห้องเรียนไปก่อนแล้ว

“ไอ้เหี้ย” ผมสบถเมื่อเห็น ‘แมลงสาบ’ ยืนคุยกับเพื่อนของมันอยู่ไม่ไกล ... 2 ขา หันหลังกลับตามความรู้สึกนึกคิด ... แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน

“พี่มิลค์คนสวยยยยยยยยยยย...” น้ำเสียงตอแหลดังขึ้นไล่หลัง ผมรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พลางภาวนาให้สามารถหายตัวไปจากตรงนี้ได้เหมือนในการ์ตูน

“... เดียวซิพี่ ไปกับผมก่อน” มันคว้าข้อมือผมอย่างถือวิสาสะ รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนอยู่ท่ามกลางสายตาล้อเลียนของเพื่อนๆ มัน

ผมสะบัดมือออก แต่มันก็คว้ากลับมาอีก... เออ เอาเข้าไป ไอ้บ้านี่... ขนาดผมชักสีหน้าใส่มันก็ยังไม่สะทกสะท้าน ... คนเดินผ่านไปมาเป็นร้อย ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ที่กำลังถูกมันจูงมือเหมือนเด็กอนุบาล... เชี่ยเอ๊ย!!! คนอะไรมันหน้าด้านขนาดนี้! พรุ่งนี้ผมจะต้องเจอกับข่าวลืออะไรอีกวะเนี่ย!

พลั๊กกกกกกกกกกกกก!!!

“เชี่ย!!!” ผมตกใจจนเผลอปล่อยสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งออกมาตัวใหญ่มากกกกกกกกกกกก

“อะไรวะ” ไอ้ปาล์มที่อยู่ๆ ก็ถูกพลักกระเด็นออกไป หันกลับมาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง

“ไอ้เด็กเปรต ถ้ามึงไม่อยากโดนตีน อย่าปีนเกลียวแฟนกู” แล้วแขนหนักๆ ก็คล้องคงบนหลังคอของผม อย่าว่าแต่คนแถวนี้ ขนาดผมเองยังงงจนพูดไม่ออก ... กูไปเป็นแฟนไอ้เอสตอนไหนวะ ?

แล้วความ ‘ฉห’ ลำดับที่ 2 ก็ตามมาติดๆ เพราะประชาชีนับร้อยต่างเป็นประจักษ์พยานถึงศึกชิงนายครั้งนี้ ข่าวซุบซิบแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง เรื่องเม้ามอยของผมกับไอ้ปาล์มใครๆ ก็รู้ว่าไม่ใช้เรื่องจริงแค่พูดกันสนุกๆ ให้เป็นสีสัน แต่เรื่องของผมกับไอ้เอสไม่ใช้แบบนั้น เพราะความที่เราสนิทกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วทำให้ทุกคนเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าผมกับไอ้เอส featuring กันเรียบร้อยแล้ว

“เป็นไง ใครจะสวยเท่าเพื่อนกูไม่มีอีกแล้ว มีแต่ผู้ชายรุมตอม” พอเห็นผมเดินเข้ามาในห้อง ไอ้อาร์มก็เปิดฉากแซวเป็นคนแรก ... เรื่องเพิ่งเกิดได้ไม่ถึงชั่วโมง ... คนอะไรเสือกเก่งฉิบหาย

“ไอ้เหี้ยอารม์ กูไม่ใช้ขี้” มันหัวเราะคิกคักที่ผมยังมีอารมณ์ขับมากพอจะตบมุกกับมัน

“ตกลงเรื่องจริงไหม” จีถาม

“จริงก็เหี้ยแล้ว กูยังงงๆ อยู่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

“มึงแน่ใจ? ว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับมึง” ไอซ์ถาม ... นับวันไอซ์กับจียิ่งทำตัวเหมือนพ่อผมเข้าไปทุกที โดยเฉพาะถ้ามีใครเข้ามาจีบมัน 2 คนจะแท๊กทีมกันมาซักฟอกผม จีจะออกแนวถามกว้างๆ ไม่จุกจิ๊ก ไม่จี้ แต่ไอ้ไอซ์นี้จี้ทุกดอก เอาทุกเม็ด ไม่เคลียร์มันไม่ปล่อยผ่าน

“แน่ใจ” ผมตอบ

“มึงคุยกับมันบ้างยัง” ไอซ์ถามต่อ

“ยังอะ ตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ได้ว่างคุยกันเลย”

“เออ คุยกับมันให้รู้เรื่อง ไม่ใช้มึงไม่คิดแต่มันคิด”

… ‘ครูแดง’

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก เมื่อเห็นชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาสภานักเรียนโชว์หราอยู่บนหน้าจอมือถือ ภาพใบหน้าเคร่งขรึม และคำตำหนิที่คุ้นเคยแวบเข้ามาในหัว ... ซวยแล้วกู

“ครับครู” ผมกรอกเสียงที่ 4 ใส่ในโทรศัพท์ คนมีความผิดติดตัวก็มันจะร้อนตัวเป็นเรื่องธรรมดา

“มิลค์กับเอส ลงมาหาครูที่ห้องสภาหน่อยลูก”

“เอสด้วยเหรอครับ” ผมพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่น

“เอสด้วยครับ”

“ครับ” แม้น้ำเสียงของครูแดงฟังดูปกติ แต่ผมก็ยังคงสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง

“555 ดูมึงทำหน้าเข้า ... อย่างกับโดนแม่จับได้ว่าใจแตก หนีไปนอนกับผู้ชายมาก”

“ให้แม่กูจับได้ว่าใจแตกยังจะดีซะกว่า ... กูไปแหละ” เชื่อผมเถอะว่าครูแดงน่ากลัวว่าแม่ผมอีก ... ชีวิตประธานสภานี่มันช่างราบรื่นจริงๆ

เสียงโห่แซวก็ดังขึ้นทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียนฝั่งตรงข้าม

“พวกมึงเป็นชะนีหรือไง ร้องโหยหวนอยู่ได้อยู่นั้นแหละ” ผมตวัดสายตามองพวกมันที่ก็ดูจะไม่มีใครเกรงกลัวผมเท่าไหร่ ... ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้เอส ในขณะที่เสียงแซวยังดังต่อเนื่อง

“มึง ครูแดงเรียกกูกับมึงให้ไปห้องสภา” ผมพูดเสียงเรียบ พยายาม keep cool ให้ได้มากที่สุดที่จะทำได้ ... แมร่งเอ้ยยยยย เกรงจนกล้ามเนื้อใบหน้าเมื่อยไปหมดแล้ว ... เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบๆ ไปสักทีวะ

“อืม ไปดิ” พอไอ้เอสลุกตาม พวกมันก็โห่ร้องกันอีกรอบ

ระหว่างทางผมกับมันไม่ได้คุยอะไรกัน เราทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าครูที่ปรึกษาสภานักเรียนเรียกไปพบเรื่องอะไร

“เธอรู้ใช่ไหม ว่าประธานนักเรียนต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนอื่น ...”

“... นี้เป็นครั้งที่สองแล้วนะ ที่ครูต้องเรียกเธอมาตักเตือน...” ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาในห้อง ผมก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เย็นยะเยือก ห้องสภาที่เคยวุ่นวายตอนนี้เงียบกริบ เงียบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาแขวนผนัง ... ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ

“... ครูเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันต้องมีกันบ้าง แต่ครูเตือนตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่าทำอะไรให้ระวัง มีอย่างที่ไหน เรื่องเก่ายังไม่ทันเงียบ มีเรื่องใหม่เข้ามาอีกแล้ว” ขอบคุณไอ้ปาล์ม ไอ้ตัวต้นเหตให้ผมต้องถูกเรียกเข้าห้องเย็นเป็นครั้งที่ 2

“มิลค์ขอโทษครับครู”

“เอาเถอะ ครูว่ากล่าวตักเตือนปาล์มไปแล้ว จะไม่คุยกับเธอ 2 คนด้วยเดียวก็จะหาว่าครูลำเอียง ... 2 คนมีอะไรจะอธิบายไหม”

“ไม่มีครับ ... มิลค์สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ผมยกมือขึ้นไหว้ครูแดง

“ผมมีครับ” ผมหันควับไปมองไอ้เอส ที่อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาด้วยท่าทางจริงจัง

“มีอะไรก็ว่ามา”

“เรื่องนี้มิลค์ไม่ผิดครับ ผมขอรับคำตักเตือนจากครูแดงไว้คนเดียว ...”

“... มิลค์วางตัวดีอยู่แล้วครับ ... ผมขอโทษแทนมิลค์ด้วยครับที่ครั้งนี้เป็นคนก่อปัญหา” พูดจบเจ้าตัวก็ยกมือไหว้ครูแดงอย่างนอบน้อม ราวกับเพิ่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดมารยาทไทย

ไอ้เหี้ยยยยยย เมื่อเช้าแดกกระทิงแดงไปกี่ขวดวะ man ชิบหาย ... แม้แต่ครูแดงก็ดูจะประหลาดใจไม่น้อยกับความ man และ handsome ของไอ้เอส

“เอาเถอะๆ ครูไม่ได้ติดใจอะไรๆ ... ไม่ได้จะโทษว่าใครคนใดคนหนึ่งผิด อยู่ด้วยกัน เป็นสภานักเรียนเหมือนกัน รับชอบก็รับด้วยกัน รับผิดก็รับด้วยกัน ...”

“... แต่รู้ใช่ไหมว่าสภานักเรียนรับโทษมากกว่าคนอื่น 2 เท่า” ขนแขนผมลุกซู่เมื่อเห็นรอยยิ้มเย็นๆ ของครูแดง ... สาบาญได้ว่าผมยอมโดนแม่จับได้ว่าใจแตก ดีกว่าต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 01-06-2025 11:26:15
หลังจากวันนั้น ไอ้ปาล์มก็รักษาระยะห่างจากผมพอสมควร มันเข้ามาพูดคุยเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น และทุกครั้งที่มันเข้ามาใกล้ ก็จะไอ้เอสที่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเงาตามตัวของผมแยกเขี่ยวใส่ตลอด ผมว่าลึกๆ แล้วไอ้ปาล์มมันก็กลัวไอ้เอสอยู่ไม่น้อย เพราะอย่าลืมนะครับว่าภายใต้บุคลิกพูดน้อยของไอ้เอส มันเป็นนักกีฬาเทควันโดสายดำ

วันก่อนหน้างานวันเกิดโรงเรียนหรือที่ใครๆ ก็เรียกว่า “วันสุกดิบ” ซึ่งปกติตามธรรมเนียมแล้วจะเป็นวันศุกร์ ถือเป็นวันหยุดเรียนเป็นกรณีพิเศษ 1 วัน เพื่อให้เด็กนักเรียนได้ตระเตรียมสถานที่สำหรับงานเฉลิมฉลองในวันรุ่งขึ้น

“มึงตื่นเต้นไหมวะ พรุ่งนี้ต้องขึ้นไปพูดในพิธีเปิด” จีถาม ในขณะที่พวกเรากำลังช่วยคนอื่นขนย้ายโต๊ะเก้าอี้จากห้องสภามายังเต็นท์อำนวยการที่ตั้งอยู่ข้างหอประชุม

“ตอนนี้ยัง แต่พอถึงเวลาก็คงมีบ้าง” ผมพูดปลอบใจตัวเอง ปกติผมไม่มีปัญหาหากต้องขึ้นไปพูดหน้าเวทีเพราะส่วนมากก็จะเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่พรุ่งนี้ไหนจะประธานในพิธี สมาคมผู้ปกครอง สมาคมศิษย์เก่า มีแต่คนแปลกหน้าทั้งนั้น รู้เลยว่าคืนนี้ผมคงนอนไม่หลับอีกเช่นเคย

“แล้วทำไมมึงไม่ซ้อมพูดวะ”

“ขี้เกียจแล้ว ซ้อมบ่อยๆ ก็ยิ่งกังวล มาช่วยคนอื่นทำโน้นทำนี่ดีกว่า จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” พรุ่งนี้หน้าที่หลักๆ ของผมมีอย่างเดียวคือพูดในพิธีเปิด บทพูดระยะเวลาไม่เกิน 5 นาที แต่จะให้ซ้อมเหมือนจะไปแข่งโอลิมปิกวิชาการ ผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน ... ฟุ้งซ่านมากเกินไป

“มิลค์ กิ๊กมึงเดินมาโน่นแล้ว” ไอ้ไอซ์เอาศอกมาสะกิด

“ไอ้เหี้ยยยยยยยยย ล่อเก้งชิบหาย” ผมมองหน้าไอ้โจ แล้วมองตามสายตาของมันไป ... ขากรรไกรแทบค้างกับภาพที่เห็น

“ไม่หนักหรือไง” เอสเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มันแบกโต๊ะนักเรียนไว้บ่นไหล่ราวกับเป็นลูกฟุตบอล

“เออออ ไม่ ... ไม่หนัก” ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย เสียอาการฉิบหาย

“เอาไปเต้นท์อำนวยการใช่ไหม เดียวกูถือให้” มันพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาคว้าเก้าอี้ออกจากมือผม

“อะ เออ ... ใช่” ไอ้มิลค์!!! … ตั้งสติ และ keep cool เข้าไว้ ... มึงทำได้ๆๆๆๆๆ

“งั้นเดียวก็ไปก่อน ตอนเย็นเจอกัน” มันส่งยิ้มให้ แล้วหันพยักหน้าให้คนที่เหลือ ก่อนจะเดินจากไป ... ไอ้เลว มึงทิ้งระเบิดไว้ให้กูลูกใหญ่มาก

“เชี่ยมิลค์ เจอ shot นี้เข้าไป ถึงกับเอ๋อแดกไปเลยเหรอ” ใครซักคนเอยปากแซว แต่เพราะผมยังสลัดภาพติดตาเมื่อกี้ไม่ได้ เลยไม่ได้สนใจว่าใคร

“แค่นี้เอง กูก็มีไหม”

“one pack ของมึงหรือจะสู้ six pack ของไอ้เอสได้ ... เมื่อกี้แมร่งมาเป็นลูกๆ เลยมึง”

“ไอ้มิลค์ ... สติกลับเข้าร่างยัง”

“ไหวไหมมึง” แล้วแขนหนักๆ ของไอ้ไอซ์ก็พาดลงมาบนไหล่ นั้นแหละผมถึงได้สติกลับมา

“ฮะ ... ไหวๆ ไม่มีไรนิ” ผมรีบทำเนียนกลบเกลื่อน แต่ดูจากสีหน้าล้อเลียนของพวกมันแล้ว ผมคงทำได้ไม่แนบเนียนพอ ... ไอ้เหี้ยเอส ใครสั่งใครสอนให้มึงถอดเสื้อโชว์กล้าม แบกของกลางโรงเรียนวะ แล้วจะไม่ให้ผมเสียศูนย์ได้ยังไง เออ!!! ยอมรับว่าเสียอาการกับเหตุการณ์เมื่อครู่มาก ... นอกจากขาวแล้ว กล้ามมันยังแน่นมาก ไหนจะเม็ดเหงื่อที่เกาะอยู่ตามผิวกายมันอีก ... ผมไม่แน่ใจว่าหัวใจของตัวเองหยุดเต้นไปกี่วินาที ... เชี่ย!!! เลือดกำเดาแทบพุ่ง

“หุบปากแล้วก็เช็ดน้ำลายด้วย ... แรดนักนะมึง” ไอ้ไอซ์แกล้งเกาคางผม ผมเลยแกล้งทำเป็นรำคาญแล้วปลีกตัวออกมา

“คืนนี้มึงไปค้างบ้านมันใช่ไหม” สติยังไม่ทันได้กลับคืนมาเพื่อนสนิทก็เร่งฝีเท้ามาเดินอยู่ข้างๆ

“ใคร ... เอสเหรอ ... อืม ใช่” ผมตอบรับ คืนนี้ผมไปนอนค้างบ้านเอส เพราะพรุ่งนี้เรา 2 คนต้องมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้า

“มันเหมือนจะคิดอะไรกับมึงนะ”

“มึงก็พูดไป”

“มึงรู้อยู่แกใจ กูสังเกตได้ มีเหรอมึงจะไม่รู้ ...” ผมไม่ปฏิเสธสิ่งที่จีพูด ยอมรับว่าความสัมพันธ์ของผมกับเอสเปลี่ยนไปจากเดิม เราตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา ทั้งในและนอกโรงเรียน เราโทรคุยกันทุกคืน ผมรู้ว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่หมายถึงอะไร แต่ก็เลือกที่จะไม่หาคำตอบ และบอกกับตัวเองว่าที่สนิทกันก็แค่เรื่องงานเท่านั้น ... หลอกตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้ ว่าดอกไม้ในหัวใจของผมกำลังจะเบ่งบาน

“... ยิ้มแบบนี้คือไปต่อไม่ถูกแล้วใช่ไหม”

“รู้เยอะนะมึง” ผมเอาไหล่กระแทกมันไปที ไม่แปลกที่จีจะรู้ ... พูดได้เต็มปากเลยว่า ณ ตอนนี้จีคือเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม สนิทกันถึงขั้นแค่มองตาก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร

“คืนนี้มึงอยากให้กูไปนอนเป็นเพื่อนไหม”

“บ้า ไม่ต้อง ... ไม่มีอะไรหรอก กูยังไม่ได้คิดอะไรกับมัน” ผมพอรู้ว่าจีกังวลอะไร จีไม่เคยพูดออกมาตรงๆ แต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นห่วงเรื่องความสัมพันธ์แบบรักๆ ใคร่ๆ ของผม ... เรื่องของผมกับบอนก็เป็นแบบนี้ ทุกอยากเกิดขึ้นเร็วเกินไป ความสัมพันธ์ที่ก้าวกระโดด และสุดท้ายก็กลายเป็นผมที่เสียใจ



...



งานโรงเรียนจบลงไปได้ด้วยดี ที่เหลือคือการจัดเก็บสถานที่ให้กลับเข้าที่ดังเดิม เพราะฉะนั้นนอกจากวันสุกดิบแล้วพวกเรายังมี ‘วันเก็บกวาด’ อีก 1 วัน ... วันจันทร์โรงเรียนอนุญาตให้เด็ก ม.6 และ สภานักเรียนหยุดเรียนเพื่อทำความสะอาด และจัดสถานที่ต่างๆ ให้เรียบร้อย ... ตอนแรกผมคิดว่าครึ่งเช้าทุกอย่างที่จะเสร็จ แต่เอาเข้าจริงงานเก็บกวาดให้แรงและพลังงานมากว่าที่คิด กว่าจะพักเที่ยงพวกเราก็แทบหมดแรง

“จะเสร็จวันนี้ไหมวะ” ไอ้อาร์มบ่น ในขณะที่พวกเรานั่งพักอยู่ใต้โถงตึก คนอื่นๆ ก็มานั่งพักกันอยู่แถวนี้เพราะเป็นบริเวณที่ลมพัดเย็นสบาย

“เสร็จแหละ” ผมตอบพร้อมกับยกขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม

“มึงนะเหรอที่เสร็จไอ้เอส”

“แค๊กๆๆๆๆ ” ผมไอโฮ้กจนน้ำหูน้ำตาไหล ดีนะที่ไม่ได้สำลักจนน้ำพุ่งใส่ไอ้ไอซ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“อะไรวะ แซวแค่นี้ ... มีพิรุธนะมึง” แล้วพวกมันก็นั่งล้อมวงเข้ามา ... เรื่องชาวบ้านนี้พวกมึงเสือกกันเก่งเหลือเกิน ... อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ นึกด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าใจลอยจนเสียอาการขนาดนั้นเลย

“อะ เอาไปเช็ดหน้า” ผมคว้าผ้าเช็ดหน้าของจีมาซับปาก

“สารภาพมา เด็กหญิงมิลค์ คืนนั้นมึงปิดจ๊อบกับไอ้เอสไปหรือยัง ... จัดไปกี่ดอก เสร็จกี่น้ำ สาธยายมาให้หมด” ไอ้เหี้ยอารม์จังไรจริงนะมึง แล้วพวกมันพร้อมใจกันจ้องตากดดันผม

“ยัง ยังไม่เสร็จ ไม่มีอะไรทั้งนั้น พวกมึงหยดมโน” ผมก็เบรกจินตนาการของพวกมันจนหัวคว้ำ

“กูไม่เชื่อ ซักนิดก็ไม่มี? … พวกมึงกิ๊กกัน แอบส่งสายตาให้กัน แล้วจะให้กูเชื่อว่าคืนนั้นนอนข้างกันเฉยๆ เนี่ยนะ”

“ไม่มี ไม่มีจริงๆ” พอผมยืนกรานปฏิเสธ พวกมันก็หรี่มองราวกับจะจ้องจับผิด ... ผมได้แต่บอกตัวเองในใจว่าให้ keep cool ไว้

“เออ ไม่มีก็ไม่วะ เดียวพวกกูไปคุยกับพวกห้อง 3 ก่อน” พวกมันทำหน้าผิดหวัง ไอ้อารม์ลุกออกไปพร้อมไอ้โจ ไอ้ไอซ์

“เล่ามา ... มึงคิดว่ากูจะเชื่อนิทานก่อนนอนของมึง?” แล้วดูว่ามันทิ้งใครไว้ ... ไอ้จี ... คนที่มองผมทะลุปรุโปร่งไปยันเงา

“แค่จับนอนมือ” โคตรอาย เหมือนลูกสาวมาสารภาพกับพ่อว่าถูกผู้ชายหลอกจับมือ

“อะไรนะ พูดชัดๆ ดิวะ”

“แค่นอนจับมือ !!! ... มึงจะถามอะไรนักหนาฮะ !!!” ผมแยกเขี้ยวใสคนตรงหน้า แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มกว้างจนตาทั้งสอบข้างเป็นสระอิของเพื่อนสนิท ... ไอ้เหี้ย!!! ถูกหลอกอีกจนได้

“เฮ้ยพวกมึง พวกมันนอนจับมือกันเว้ย!!! ”

“โอ้ย!!!” มือไปไวกว่าที่คิด ผมทุบหลังไอ้จีเต็มกำปั่น ... ไอ้เหี้ยจี !!! มึงจะตะโกนทำไม

เสียงโห่ร้องก็ดังลั่นโถง ผมอายจนขึ้นสมอง มองซ้ายมองขวา ไอ้พวกเพื่อนเลวแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนมาแต่ไกล แผนของพวกมันทั้งนั้น ... เพื่อนชั่ว ... แล้วจังหวะหนึ่ง ผมหันไปสบสายตากับไอ้เอส มันส่งยิ้มมุมปากกลับมาให้ และพอโดนจับสังเกตได้ พวกมันก็ยิ่งแซวกันสนุกปาก ... ผมปล่อยเลยตามเลย ให้พวกมันแซวจนเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกกันไปเอง

“พี่มิลค์ ... ผมซื้อน้ำมาให้ครับ” จังหวะ short feel เมื่ออยู่ๆ ไอ้ปาล์มก็โผล่มา

“อืม ขอบใจ” ผมปรับสีหน้าจากยิ้มแย้มเป็นเรียบเฉยแล้วรับขวดน้ำดื่มมาเพราะต้องการรักษาน้ำใจของคนให้ ก่อนจะจงใจเมินโดยหันหลังกลับไปฟังไอ้โจที่กำลังเล่าถึงเหตการณ์จีบสาวในงานวันเกิดโรงเรียนอย่างออกรสชาด ... พวกเราตั้งวงกันเกือบ 20 คน

“พี่มิลค์สบายดีไหมครับ ... ไม่ได้คุยกับพี่เลย”

“ก็เพิ่งคุยกันไปเมื่อวันก่อนไง”

“ผมหมายถึงเรื่องทั่วไปนะครับ ...”

“...พี่จงใจเลี่ยงผม” แล้วผมก็ตกเป็นเป้าสายตาอีกครั้ง เมื่อไอ้โจหยุดเล่าเรื่องสนุก... พอทุกคนเงียบลงก็หันมามองที่ผมเป็นตาเดียว

“ปาล์ม อย่าดราม่า พี่ไม่ได้ทำแบบนั้น” ผมตีหน้าซื่อ แต่จริงๆ คือจงใจเลี่ยงตามที่มันบอกนั้นแหละ ... กับปัญหาทั้งหมดที่ผมต้องเจอ ผมจะยังปั้นหน้ายิ้มคุยกับมันได้อยู่อีกเหรอ

ผมไม่ได้สนใจว่าไอ้ปาล์มพูดอะไรต่อจากนั้น เพราะไอซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ สะกิดยิกๆ ให้ผมมองเลยหลังไอ้ปาลม์ ถึงได้เห็นว่าไอ้เอสย่างสามขุม ทำหน้าเหี้ยมมาทางนี้

“ปาล์ม กลับไปก่อน” ผมพยายามไล่ เพราะดูจากสีหน้าเอาเรื่องของไอ้เอสแล้ว งานนี้จบไม่สวยแน่

“ผมยังอยากจะคุยกับพี่อยู่”

“เออ พี่รู้ แต่กลับไปก่อน” ไอ้เหี้ยปาล์มมมมมมมมมม มันมาแล้ววววววววววววววววว

“กูเตือนมึงแล้วนะไอ้เหี้ย!!!” สิ้นเสียงไอ้เอส มันก็มันก็ประเคนส้นเท้าเข้าเต็มแรง ไอ้ปาล์มล้มกลิ้งอย่างกับลูกขนุนไถลตัวคว่ำไปกับพื้น ... วงเม้ามอยของไอ้โจแตกกระเจิง ... พอไอ้ปาล์มตั้งสติได้ มันก็กระโจนเข้าใส่ไอ้เอส คลุกวงในกันอุตลุดวุ่นวาย

“หยุดๆ พวกมึงหยุด” ผมตะโกนห้าม แต่มีเหรอที่พวกมันจะหยุดฟัง ตอนนี้เอาช้างมาลากก็แยกมัน 2 คนออกจากกันไม่ได้แล้ว

ไอ้เอสปล่อยหมัดหนักๆ ซัดเข้าเต็มดั้งของรุ่นน้อง และด้วยความเลือดร้อนของไอ้ปาล์ม แทนที่จะถอย มันกลับพุ่งตัวเข้าใส่ ทั้ง 2 คนต่างแลกหมัด คลุกวงในกันชุลมุน ... ใช้เวลาซักพักกว่าคนอื่นๆ จะตั้งสติแล้วจับพวกมัน 2 คนแยกกันได้ ... พูดได้คำเดียวเลยว่า ‘งาม’ ... ทั้ง ‘งามหน้า’ และ ’งามไส้’ ... ไอ้ปาล์มหน้ายับ สภาพยังกับโดนช้างทั้งโขลงรุมกระทืบ ในขณะที่ไอ้เอสมีรอยช้ำที่มุมปากนิดหน่อย ... ตายๆ งานนี้กูตายแน่ ๆ


แล้วก็เป็นไปตามคาด ไม่ถึง 20 นาที ผม ไอ้เอส ไอ้ปาล์มโดนครูแดงเรียกเข้าห้องสภา ผมหน้าชาถึงขนาดที่ถ้าโดนตบก็คงไม่รู้สึก ... ครูแดงไม่ซักไซ้ถามสาเหตุ พวกเราโดนอบรมชุดใหญ่ไฟกระพริบ ก่อนจะถูกส่งไปที่กิจการนักเรียน ... โชคยังดีที่อาจารย์ใจดีไม่หักคะแนนความประพฤติ แต่ให้พวกเรา 3 คนไปวิ่งผูกขารอบสนามฟุตบอล 5 รอบ ... สภาพคือดูไม่จืด ไอ้เอสแทบจะลากกระเตงผมกับไอ้ปาล์มไปพร้อมกับแรงควายๆ ของมัน นอกจากเสียงบ่นด่าของผมแล้ว ยังมีเสียงทะเลาะของไอ้เอสกับไอ้ปาล์มดังไม่หยุดหย่อน ... ภาพที่เห็นสร้างความตลกขบขันให้กับประจักษ์พยานนับร้อยที่มามุงดู ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประธานนักเรียนถูกทำโทษ ผมเห็นไอ้เพื่อนเลวทั้ง 4 คนยืนหัวเราะท้องแข็งอยู่บนระเบียง



“กูโกรธพวกมึง 2 คนมาก” ผมพูดกับมัน 2 คนหน้าตึง หลังจากที่เราวิ่งรอบสนามครบ 5 รอบ ... ผมหายใจถี่รัวราวกับหมาหอบแดด

“พี่มิลค์คือผม”

“มึงเงียบไปเลยไอ้ปาล์ม กูไม่อยากได้ยินเสียงมึง” พูดจบผมก็เดินกระทืบเท้าออกมา

ผมเดินกลับขึ้นมาเอาของบนห้องเรียน เห็นจากหางตาว่าไอ้เอสเดินตามมาเงียบ

“มิลค์ กูขอโทษ” มันพูดเสียงสลด ตีหน้าเศร้า ทำหูลู่ หางตก

“มึงแม่ง ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ดีนะไม่โดนตัดคะแนนความประพฤติ” ผมยัดของใส่กระเป๋า ก่อนจะหันไปมองมันตาขวาง

“แต่กูรู้ว่าลึกๆ มึงก็สะใจที่กูต่อยไอ้ปาล์ม” เรา 2 คน สบตากันท่านกลางความเงียบ

“555 ...” เป็นผมที่เผลอยิ้มออกมาก่อน โกรธ แต่เอาเข้าจริง ... โคตรสะใจ โดนซะบ้างก็ดี ปีนเกลียวนัก

“... ไม่ต้องมายิ้ม มึงยังมีคดีติดตัว ... กูวิ่งจนเมื่อยขาไปหมดแล้วเนี่ย” ผมบีบน่องตัวเองเบาๆ

“เดียวกูเลี้ยงไอติมไถโทษ”

“ไอ้เหี้ย ... ไอติมกระจอกไป เลี้ยง Star’ s กูเลย”

“เออ Star’ s ก็ Star’ s วะ” ผมคว้ากระเป๋า เดินนำมันออกจากห้อง สบายใจแล้วมีคนเลี้ยงข้าวเย็น

“มิลค์ ...” ฝีเท้าของผมหยุดชะงักเมื่อเอสก็เข้ามากอดผมไว้จากด้านหลัง แรงกอดกระชับเข้า ทำให้แผ่นหลังของผมแทบสนิทกับลำตัวของคนด้านหลัง ลมหายใจร้อนๆ เป่ากระทบต้นคอขาว ลมหายใจของผมขาดช่วง ภาพจำของจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างผมกับบอนฉายชัดเข้ามาในความทรงจำ ราวกับกล่อง pandora ถูกเปิดออก

“... คือกู”

“เอส ปล่อย ... กูไม่ชอบแบบนี้” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทั้งที่แข็งทื่อไปทั้งตัว ภาวนาให้เอสทำตามคำขอของผม ... เรา 2 คน ค้างอยู่ในท่าล่อแหลมเกินไป... เสียงถอนหายใจดังขึ้นแผ่วเบามาจากด้านหลัง ก่อนที่อ้อมกอดจะคลายออก ... ขอบคุณสวรรค์ที่เอสยังมีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ


----------


มิลค์ : แม้จะผลิดอกแต่ยังไม่เบ่งบาน ... จากน้องมิลค์คนเดิมเพิ่มเติมคือประธานนักเรียนโดนทำโทษ 2 เท่า  :hao5:

#วิ่งผูกขา #ฉห #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


----------


ปล. ตอนนี้ทำรูปสวยๆออกมาได้หลายรูป จะทยอยลงให้นะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 9 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 02-06-2025 20:46:17
“กูไม่รู้ว่ากูคิดถึงมันในฐานะอะไร ... แฟนหรือว่าเพื่อนสนิท”

#คิดถึงก็คือคิดถึง #ไม่รู้ก็ยังไม่ต้องเลือก #รักแท้หรือแฟนเหี้ยๆ

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 9 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 04-06-2025 16:09:57
“ขำๆไงมึง ... แต่ถ้ามึงเป็นลมเดียวกูอุ้มพาไปส่งห้องพยาบาล”

#เอส #พูดน้อยต่อหนัก #ผลิดอกแต่ยังไม่เบ่งบาน

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 9 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 05-06-2025 20:36:20
"ไอ้เหี้ยเอส ใครสั่งใครสอนให้มึงถอดเสื้อโชว์กล้าม แบกของกลางโรงเรียนวะ"

#เขินตัวแตก #เสียจริต #Sixpack

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 06-06-2025 15:15:29
ผมหยุดยืนอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้าน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือเรียวสวยถึงได้เคาะลงบนบานประตูไม้ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาเพราะไม่มีเสียงตอบรับจากคนในห้อง ในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ ทุกอย่างเงียบสนิท เดินเข้ามาถึงได้เห็นจีนอนเอาแขนพาดปิดดวงตาอยู่บนเตียง

“กูเอง ...” ผมพูดเมื่อปลายเท้าหยุดอยู่ข้างเตียง

“... เป็นไรวะ”

“ไม่มีอะไร” จีตอบ เสียงของมันดูไม่สดใสเอาซะเลย

“กูอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ” ผมหย่อนตัวลงนั่งบนพื้น ... จีเป็นแบบนี้เสมอ เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่พูด ไม่บ่น ไม่อธิบาย แต่ผมก็ชินกับความเป็น ‘จี’ แบบนี้อยู่แล้ว ... และผมก็นั่งอยู่ตรงนั้น เงียบๆ เคียงข้างเพื่อน นานนับชั่วโมง


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์อาทิตย์นะครับ ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือมาอยู่เป็นเพื่อนจี  :hao4:

#อยู่ข้างๆ #กำลังใจ #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 10 : ของขวัญพันดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 08-06-2025 10:33:16
“พวกมึงกลับกันยังไง” ผมเอ่ยถามเพื่อนๆ สภานักเรียนที่ตอนนี้ยืนรวมกันอยู่ราวสิบคนบริเวณหน้าร้านอาหาร ... พวกเราเพิ่งฉลองความสำเร็จของงานวันเกิดโรงเรียนกันมา ตลอดเวลาเกือบสามชั่วโมงในร้านอาหาร เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และบทสนทนาต่างๆ ได้ช่วยเยียวยาความเหนื่อยล้าและความเครียดตลอดช่วงเตรียมงานจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงช่วงเวลาดีๆ ให้เก็บไว้ในความทรงจำ

“เดียวพวกกูกลับ taxi ... แล้วมึงละ”

“กูกลับ BTS”

“แล้วมึงกลับไง” ใครคนหนึ่งหันมาถามเอสที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ ผม

“เดียวกูทำธุระก่อนค่อยกลับ” ผมขมวดคิ้ว ... ธุระอะไรของมันตอน 3 ทุ่มของคืนวันศุกร์

“เออๆ งั้นเจอกันวันจันทร์เว้ย” ผมพยักหน้า แล้วพวกเราก็ต่างแยกย้าย

“มึงมีธุระตอนนี้เนี่ยนะ” ผมถามขึ้น ตอนนี้เหลือแค่ผมกับเอสที่เดินแยกมากันอีกทาง

“มีกับมึงนั้นแหละ” มันตอบพร้อมปรายตามองมา

“กับกู?”

“มึงไม่รีบใช่ไหม”

“ก็รีบนิดหนึ่ง ดึกแล้วอะ”

“ตอแหลวะ 3 ทุ่มเอง ... มากับกูเลย” พูดจบ มือหนาก็คว้าข้อมือผมไว้ ก่อนออกแรงจูงให้เดินตาม

“ปล่อยได้แล้วมั้ง อายคนอื่นเขา ...” จะไม่ให้อายได้ยังไง ผู้ชายสองคนเดินจับมือกันกลางสยาม ท่ามกลางสายตานับร้อยนับพัน

“... กูสัญญาว่าจะไม่วิ่งหนีมึง” มันพูดพลางขมวดคิ้ว ก่อนที่จะปล่อยข้อมือผมให้เป็นอิสระ

ผมเดินตามหลังของเลขาสภามาจนถึงตึกใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านสยามสแควร์ ... 3 ทุ่มกว่าแล้ว คนเริ่มบางตา ร้านร่วงเริ่มทยอยปิด ความสงสัยเริ่มก่อเกิดในจิตใจ ... นี่มึงไม่ได้จะพากูมาทำมิดีมิร้ายใช่ไหม

“คุยกับกูแป๊บนึง” มันพูดก่อนจะหย่อยตัวลงนั่งตรงบันไดหน้าตึก ผมมองซ้ายมองขวาเหมือนไม่มั่นใจว่าถ้านั่งตรงนี้จะถูกยามไล่ไหม ... แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งลงข้างมัน

ความเงียบระหว่างเราเริ่มให้ความรู้สึกอึดอัด เอสกุมมือตัวเองแน่น ราวกับกำลังต่อสู้กับความคิดบางอย่างในใจ ทุกครั้งที่เหมือนจะเอ่ยปาก คำพูดเหล่านั้นกลับถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ

“พูดมาเถอะ ... มาถึงขนาดนี้แล้ว” บรรยากาศตึงๆ จนสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“คือ ... กูชอบมึง ... คบกับกูนะ” ผมเม้มริมฝีปาก ประโยคเมื่อครู่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของผมนัก จากท่าทางของมันตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็พอเดาออกว่ามันกำลังหาโอกาสสารภาพรัก

“กูขอโทษนะ ... แต่กูยังไม่พร้อมจะมีใครจริงๆ” เพราะว่ารู้ตัวล่วงหน้า ผมถึงได้มีเวลาคิดและไตร่ตรองความรู้สึกของตัวเอง

“ทำไมวะ ก่อนหน้านี้ มึงก็เหมือนจะมีใจ ... กูทำอะไรผิด” มันมองหน้าผม แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตัดพ้อ ทำให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าที่คิด

“กูขอโทษ มึงไม่ได้ผิด ... ผิดที่กู ... กูมีความสุขมากๆ กับทุกอย่างที่ผ่านมา ... แต่กูไม่พร้อมจริงๆ”

“กูรอได้ รอให้มึงพร้อม ... นานเท่าไหร่กูก็รอได้”

“อย่าเลย ... อาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้ ...” ผมเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“... กูมีความสุขมากกว่า กับการอยู่คนเดียว” ผมเคยคิดจริงๆ ว่าชอบเอส และจากความรู้สึกดีๆ ที่ได้รับมาตลอด ผมก็เชื่อว่ามันมากพอที่จะทำให้ผมเปิดใจและเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่ทว่าอ้อมกอดนั้นกลับตอกย้ำว่าผมยังไม่พร้อม ผมเคยหวังว่าความรู้สึกที่มีให้อีกคนจะทำให้ดอกไม้ในใจกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงไม่กี่วินาทีที่ถูกโอบกอด มีแต่ภาพความทรงจำอันเลวร้ายระหว่างผมกับบอนไหลทะลักเข้ามาในความคิด ... ผมเองก็เสียใจที่สุดท้ายแล้ว ความกลัวมีมากกว่าความหวัง



...



ใกล้สิ้นปี บรรยากาศของวันคริสมาสต์และเทศกาลปีใหม่ที่มาพร้อมกับลมหนาวหนาวทำให้ทุกอย่างลงตัวกับช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองประจำปี

“เสร็จจากตรงนั้นแล้ว ช่วยพี่ review กิจกรรมวันงานเลี้ยงหน่อยนะ” ผมบอกกับรุ่นน้อง ม.5 พลางกระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ สายตาจับจ้องบนกระดาน white board ขนาดใหญ่ที่เขียนรายละเอียดมากมายของงานเลี้ยงวันคริสมาสต์ที่กำลังจากมาถึง ปากกาเคมีหลากสีถูกขีดเขียนเพื่อแยะรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป

“มิลค์ มึงเซ็นนี่ให้กูหน่อย” เอสเปิดประตูเข้ามา พอก้าวมาถึงมันก็ยื่นแฟ้มอันหน้าส่งมาให้

“เบิกของเยอะจังวะ...”

“... มึงเตือนพวกมันให้ใช้ของประหยัดๆ หน่อยดิ” ผมไล่สายตาไปตามแผ่นกระดาษตรงหน้า เบิกของอะไรมากมายขนาดนี้ เดียวก็โดนครูแดงบ่นอีก

“มึงพูดอย่างกับว่าพวกมันจะฟังกู ... เขาถึงได้บอกไงว่าอย่างปล่อยแก๊งค์นางฟ้าไว้กับงาน decoration” มันยักไหล่ ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าไม่เก็บเอาคำพูดของผมไปคิดต่อแน่ ๆ ... ผมถอนหายใจแต่ก็จรดปากกาเซ็นชื้อกำกับ ก่อนจะส่งแฟ้มคืน

“มึงจะกลับบ้านยัง”

“เสร็จจากตรงนี้ก็ว่าจะกลับเลย ... มึงละ”

“อีกซักพัก ขอ review ตรงนี้ก่อน” ผมตอบพลางเลื่อนใบหน้ากลับมายังกระดาน white board อีกครั้ง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อรู้สึกว่ารายละเอียดตรงหน้ายังขาดบางสิ่งบางอย่างไป ... ไม่นานเสียงปิดประตูก็ดังขึ้น ตามหลังฝีเท้าของเอสที่เดินจากไป

… ‘Ice’

“ว่าไง”

“มึงเสร็จยัง” เสียงเข้มๆ ของไอซ์ดังออกมาตามสายโทรศัพท์

“ยังอะ มีไรเปล่า”

“มึงมาดูใจเพื่อนมึงหน่อย ... สติแตก เป็นเหี้ยอะไรก็ไม่พูด”

“จีเหรอ มันเป็นไรอะ”

“ไม่รู้ อยู่ๆ ก็นอยด์แดก ... รีบมา ก่อนที่กูจะหักคอมัน”

“เออ เดียวกูไป” ผมวางสายแล้วรีบเก็บของใส่กระเป๋าเป้

“พี่มิลค์ ผมมาแล้วครับ” น้อง ม.5 เปิดประตูกลับเข้ามา มื่อเห็นผมรีบกวาดของลงกระเป๋าอย่างลวก

“พอดีพี่มีธุระวะ ... วันนี้แค่นี้ก่อนนะ” พูดจบผมก็ก้าวเท้าออกจากห้องสภาทันที

จุดหมายปลายทางคือบ้านไอ้โจ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนเพียง BTS 3 สถานีเท่านั้น เพราะความใกล้โรงเรียน ทำให้บ้านของโจกลายเป็นแหล่งรวมตัวของพวกเราไปโดยปริยาย ... ผมเดินเข้ามาในบ้านเดี่ยว 2 ชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ คนในบ้านคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเราเป็นอย่างดี พอเปิดประตูห้องนั่งเล่น ก็เจอไอซ์ อาร์ม โจ นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นตรงหน้าจอ TV ขนาดยักษ์

“มาช้าจังวะ” ไอ้ไอซ์หันมามองแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะหันกลับไปสนในวีดีโอเกมตรงหน้า

“จีละ ...” ผมวางกระเป๋าเป้บนโซฟา

“... ไอ้เหี้ยไอซ์ กูถาม” ผมเดินเข้าไปใกล้ ใช้เท้าสะกิดมันเล็กน้อยเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“อยู่บนห้องไอ้โจ” มันตอบห้วนๆ เหมือนรำคาญที่ผมมาชัดจังหวะเล่นเกมของพวกมัน

“เล่ามาดิ เกิดไรขึ้น” ผมรู้แค่ว่าวันนี้จีจะไปให้ของขวัญวันเกิดน้องฝน ... โรงเรียนของน้องอยู่ไม่ไกลจากบ้านไอ้โจ เดินไป 10 นาทีก็ถึง ... เดิมทีพวกเรานัดกันว่า ผมจะตามมาสบทบหลังจากเสร็จธุระ แล้วพวกเราจะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน

“ไม่รู้มัน อยู่ๆ ก็เครียดแดก ไม่พูดไม่จา กูถามมันก็ไม่พูด ...”

“... มึงลองขึ้นไปคุยกับมันดิ” ไอ้อาร์มเพยิกหน้าให้ผมเดินขึ้นไปชั้น 2

“เออๆ เดียวกูไปดูมันเอง”

ผมหยุดยืนอยู่ที่ชั้น 2 ของบ้าน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วมือเรียวสวยถึงได้เคาะลงบนบานประตูไม้ ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาเพราะไม่มีเสียงตอบรับจากคนในห้อง ในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ ทุกอย่างเงียบสนิท เดินเข้ามาถึงได้เห็นจีนอนเอาแขนพาดปิดดวงตาอยู่บนเตียง

“กูเอง ...” ผมพูดเมื่อปลายเท้าหยุดอยู่ข้างเตียง

“... เป็นไรวะ”

“ไม่มีอะไร” จีตอบ เสียงของมันดูไม่สดใสเอาซะเลย

“กูอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ” ผมหย่อนตัวลงนั่งบนพื้น ... จีเป็นแบบนี้เสมอ เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่พูด ไม่บ่น ไม่อธิบาย แต่ผมก็ชิดกับความเป็น ‘จี’ แบบนี้อยู่แล้ว ... และผมก็นั่งอยู่ตรงนั้น เงียบๆ เคียงข้างเพื่อน นานนับชั่วโมง

“อะไรวะ? ...” ผมสะดุ้งตัวโยนเมื่ออยู่ๆ จีก็ลุกจากเตียง

“...มึงจะไปไหนเนี่ย” มันไม่ตอบคำถาม แต่เดินไปคว้ากระเป๋าตังค์ มือถือ แล้วก็ถุงกระดาษใบสวยที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วก็เดินออจากห้องไป ... อะไรของมันวะ

“มันไปไหนวะ” อาร์มถามเมื่อผมเดินกลับลงมาข้างล่าง

“เอาของไปให้น้องมั้ง” ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง 4 โมงกว่าแล้ว น้องน่าจะเลิกเรียนแล้ว

“ไอ้ไอซ์!!! … ไปเร็ว” ผมเดินเข้าไปคว้าแขนไอ้ไอซ์ พยายามดึงให้มันลุกขึ้น

“ไปไหนวะ”

“ไปดูไอ้จีไง มึงไม่อยากรู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น” ไอ้ไอซ์ทำท่าคิด ก่อนที่มันจะลุกขึ้นเต็มความสูง

“ไปดิ เรื่องเสือกขอให้บอก” แล้วผมกับมันก็รีบวิ่งตามออกไป เพราะพวกเราวิ่งในขณะที่จีเดิน และ

"มึงว่ามันเป็นอะไรวะ?" ไอซ์กระซิบถามระหว่างที่เราสองคนทำตัวเป็นนักสืบ

“ไม่รู้วะ มันไม่ได้เล่าอะไรให้กูฟังเลย”

“มึงแมร่งไม่ได้เรื่อง กูอุตสาห์ตามให้มาเสือกเรื่องของมัน”

“ควx” ผมขยับปากแม้จะไม่ได้ออกเสียง แต่จากสีหน้ายิ้มแย้มของคนข้างๆ มันคงเดาได้ว่าผมด่าอะไร

เรา 2 คนทิ้งระยะห่างจากจีพอสมควร ผมมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างหน้า อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จริงอยู่ว่าความสัมพันธ์มันกับน้องฝนขึ้นๆ ลงๆ แต่ก่อนหน้านี้ก็ดูราบรื่นดี เมื่อวานจียังเล่าให้ผมฟังอยู่เลยว่าของขวัญวันเกิดของน้องสวยมากขนาดไหน ... ดวงตาคู่สวยจ้องมองถุงกระดาษสีสันสดใสในมือของเพื่อนสนิท ... หลายสัปดาห์ก่อน ผมยังบอกเจ้าตัวอยู่เลยว่ามันไม่มีทางพับดาวกระดาษ 1000 ดวงได้ทันเวลา แต่จีก็ยืนยันว่าทำได้ และปฏิเสธความช่วยเหลือของผม ... ของขวัญชิ้นนี้ต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนกัน เป็นผมๆ คงโยนทิ้งตั้งแต่ 10 ดวงแรกไปแล้ว

จีเดินมาถึงจุดหนัดหมาย โดยมีผมกับไอ้ไอซ์สวมวิญญาณนักสืบโคนันแอบมอง (เสือก) อยู่ไม่ไกล ... ยิ่งเห็นสีหน้าของจี ผมก็ยิ่งหัวใจห่อเหี่ยว ทำไมถึงดูเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบขนาดนั้น ไอซ์สะกิดไหล่ผมยิกๆ เมื่อเห็นร่างบางของน้องฝนเดินเข้ามา ... สีหน้าของจีเรียบสนิท ไม่มีแม้กระทั้งเสี่ยวของรอยยิ้ม พูดกันไม่กี่ประโยค พอน้องรับถุงของขวัญไป เจ้าตัวก็หันหลังเดินจากมา ... ไอ้เชี่ยจี มึงทำอะไรของมึงวะ

“ไปเร็ว!!!” ไอซ์คว้าคอเสื้อ ก่อนจะออกแรงลากผมออกมา ... ไอ้เหี้ย กูเจ็บคอ … เรา 2 คนใส่เกียร์หมาวิ่งกลับบ้านไอ้โจ เพราะมัวแต่ยืนงงเลยไม่สามารถย้อนกลับมาทางเก่าได้โดยที่จีจะไม่สังเกตเห็น พวกเราเลยต้องอ้อมไปอีกทาง



“วันนี้มึงกินอิ่มไหม” จีถาม ในขณะที่เรา 2 คนนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถ taxi สีเขียวเหลือง

“ก็อิ่มนะ ทำไมเหรอ”

“กูเห็นมึงไม่ค่อยกิน” พวกเราออกไปหามื้อเย็นกินตามแผนเดิม ตอนแรกโจเสนอให้ผมไปกิน Star’ s กับจี 2 คนตามธรรมเนียมเวลาจีมีเรื่องไม่สบายหัวใจ cต่ผมอยากให้พวกเราไปกันพร้อมหน้าพร้อมตากันมากกว่า... และก็เป็นอย่างที่ผมคิด เสียงหัวเราะของพวกเราช่วยดึงจีออกจากความเศร้าได้ แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราวก็ตาม

“อืมมม เป็นห่วงมึง” ผมรู้ว่าจีเป็นคนคิดมากเรื่องความรัก แต่ไม่เคยเห็นมันออกอาการหนักขนาดนี้มาก่อน สีหน้าของจีตอนยืนคุยกับน้องฝนยังติดตาผมอยู่เลย

“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูสบายมาก” มันทำท่ากลบเกลื่อน แต่สีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนมากว่าเจ้าตัวไม่โอเคกับความรู้สึกตอนนี้

“โกหกไม่เนียน”

“ไม่มีไรหรอก เดียวมันก็ผ่านไป” รอยยิ้มปลอมๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท

“มึงเล่าให้กูฟังได้นะ ...” มันส่ายหน้าช้าๆ

“... เหมือนกูไม่ได้ช่วยอะไรมึงเลย นั่งอยู่ข้างกันแท้ๆ แต่ช่วยอะไรไม่ได้”

“แค่มึงอยู่ข้างๆ กูก็รู้สึกดีมากแหละ ...”

“... มึงว่าน้องฝนเป็นยังไง”

“น้องก็น่ารักดีนะ ตัวเล็กๆ แต่น้องเขาหันหลังให้กูเลยไม่เห็นหน้า ...”

“... ไอ้จี !!!” ผมแทบจะกระโดดข้ามฝั้งไปบีบคอคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็ช้าไปเสียแล้ว

“หลอกโคตรง่าย” มันหัวเราะออกมาเบาๆ และนี่คงเป็นเสียงหัวเราะแรกของมันในวันนี้

“มึงรู้ ?”

“มึงกับไอซ์ โคตรไม่เนียนอะ ... ยื่นหน้าออกมาขนาดนั้น ไม่เห็นก็แย่แล้ว” มันพูดพลางอมยิ้ม

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมคิดว่าพวกเราก็แนบเนียนพอสมควรแล้วนะ

“มองจากดาวเสาร์ยังเห็นเลย”

“คืนนี้มึงอยากให้กูไปนอนค้างเป็นเพื่อนไหม” ผมเอ่ยปากถามเพราะในใจก็ยังเป็นห่วงจีอยู่ไม่น้อย

“ก็ได้นะ ... มีมึงนอนเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน ...”

“... มึงกับไอ้เอสเป็นไงบ้าง” คำถามของจีทำให้ผมชะงัก จริงๆ แล้วผมว่าคนอื่นต่างก็สังเกตได้ ว่าช่วงหลังๆ ผมกับเอสไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิม แต่แค่ไม่มีใครถาม

“ก็ไม่มีอะไร”

“เลิกกันแล้วเหรอ” คำถามของจีทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ

“ไม่รู้จะเรียกว่าเลิกกันได้หรือเปล่า ... ยังไม่ได้เริ่มคบกันเลยด้วยซ้ำ”

“ทำไมวะ กูว่ามึง 2 คนก็ดูเข้ากันได้ดี ...” ใช้ ผมยอมรับว่ากับเอส อยู่ด้วยแล้วสบายใจมาก

“... มึงยังกลัวอยู่อีกเหรอ” สายตาที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างค่อยๆ หันกลับมา เรา 2 คนสบตากันผ่านแสงรำไรที่ลอดเข้ามาจากภายนอก

“กลัว ... กลัวมาก ...”

“... สุดท้ายทำไมมันถึงจบเหมือนเดิมวะ กูโคตรไม่ชอบเลย ... แอบชอบเพื่อนสนิท ...”

“...ตอนนั้น พอเลิกกันก็เสียเพื่อน ตอนนี้ พอปฏิเสธ กูก็ต้องเสียมันไปอยู่ดี” ตั้งแต่ผมตอบปฏิเสธ เอสก็เริ่มเว้นระยะห่าง พวกเราคุยกันแค่เรื่องงานเท่านั้น ไม่ได้ไปกินข้าวหรือดูหนังด้วยกันอีกเลย ... จนตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราลดระดับลงจากเพื่อนสนิท มาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเท่านั้น

“ความรักมันก็แบบนี้ ไม่มีใครคาดเดาได้ ... เอสมันก็รู้ว่าเสี่ยง แต่ถ้ามึงรักใครซักคนมากๆ การเสี่ยงให้รู้แล้วรู้รอดไป อาจจะดีกว่าการเก็บไว้ในใจตลอดก็ได้นะ”

เสี่ยง ... เหมือนตอนที่ผมเอาความเป็นเพื่อนสนิทระหว่างผมกับบอนมาเสี่ยงนะเหรอ ... จนถึงวันนี้ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มค่าจริงๆ หรือเปล่า


----------


มิลค์ : กลัวที่จะเริ่ม เพราะยังไม่ลืมว่าครั้งที่แล้วมันเจ็บยังไง จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีแผลเป็นในใจ

#กลัว #คนพังๆ2คน #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 10 : ของขวัญพันดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 10-06-2025 11:41:17
“กูรอได้ รอให้มึงพร้อม ... นานเท่าไหร่กูก็รอได้”

“อย่าเลย ... อาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้”
 

#เพราะความรักไม่เพียงพอจะรักษาหัวใจที่แตกร้าว #คนที่ใช้ในเวลาที่ผิด #ไม่ฝืนรัก

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 12-06-2025 19:55:42
“คิดไรอยู่” เสียงของจีดึงสติของผมกลับมาจากห่วงของความคิด

“เรื่อยเปื่อย ... ไหนเอาดอกไม้มาดูดิ ...” จีส่งดอกกุหลาบสีแดงดอกโตมาตรงหน้าทันทีที่ผมร้องขอ   
 
“... โบว์มันเบี้ยว เดียวกูผูกใหม่ให้” นิ้วมือเรียวสวยยื่นไปยังดอกไม้สีแดงสดตรงหน้า โบว์สีชมพูหวานถูกคลายปมออกก่อนจะถูกผูกขึ้นใหม่อย่างทนุถนอม ... ผมอมยิ้มให้กับผลงานตรงหน้า

“ไอ้บอนมันโง่ ที่ไม่รักษาน้ำใจของมึง ...”

“... ใครได้มึงเป็นแฟน ต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆ”


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์อาทิตย์นะครับ ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือยังนั่งอยู่ข้างๆจี

#กุหลาบแดง #Valentine's #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 11 : อ้อมกอดและความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 15-06-2025 11:50:16
Valentine’ s ที่ปีนี้มาพร้อมกับสายลมหนาวในช่วงปลายเหมันตฤดู ช่วยเพิ่มบรรยากาศ romantic ให้กับวันแห่งความรัก

"เพื่อนกูมันฮอตเว้ยยยยย... ตอนนี้ไม่มีใครสวยสู้มิลค์ห้อง 63 ได้แล้ว!" ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับดอกกุหลาบสีแดงดอกเล็กในมือ ย้อนกลับไปเมื่อ 5 นาทีก่อน รุ่นน้อง ม.4 มาด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าห้อง จนไอ้ไอซ์ทนรำคาญไม่ไหว มันส่งสายตากดดันให้ผมออกไปรับของแทนใจมา

“พูดดีๆ ไอ้สัส ใครสวย” ผมพูดพลางเดินกลับมานั่งโต๊ะของตัวเอง

“ก็มึงไง มีแต่คนแวะเวียนเอาของมาให้ ...” ไอ้อาร์มโต้กลับ พร้อมกับเหลือบสายตาไปมองโต๊ะข้างหลังที่มีทั้งดอกกุหลาบ การ์ด กล่องช็อคโกแลต และกล่องของขวัญอีกหลายกล่องกองสุมรวมกัน ... ผมยักไหลเหมือนไม่แคร์ ... ก็แล้วไง คนมันสวย ช่วยไม่ได้

“... สวย แต่ไม่มีผัว 555”

“ไอ้เหี้ยอาร์ม !!! ...” ผมคว้าเอากล่องขนมขว้างใส่มัน นอกจากจะไม่สะเทือนคนร่างควายแบบมันแล้ว มันยังแกะขนมกินหน้าตาเฉย

“... แซวแต่กู เดียวเย็นนี้พวกมึงก็แยกย้ายกันไปหาแฟน ทิ้งกูไว้คนเดียว” ผมกอดอกมองหน้าพวกมันเรียงตัว ... ทุกคนมีแฟนกันหมด ยกเว้นผม

“ใครทิ้ง ได้ช่วยว่ามึงจะไปเป็นเพื่อนไอ้จี” ไอ้อาร์มเถียง

“แค่รอเป็นเพื่อนไหม น้องเขามากูก็ตกกระป๋องแหละ” ผมตวัดสายตามองจีที่นั่งอยู่ด้านข้าง มันส่งยิ้มแหยงๆ กลับมาให้ ... จีนัดน้องฝนไว้เย็นนี้ มันขอให้ผมอยู่เป็นเพื่อนมันจนกว่าจะถึงเวลานัด

จีกับน้องฝนกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง หลังจากที่ความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอดตั้งแต่คริสมาสต์ จนไอ้ไอซ์เอ่ยปากแซวว่าอาการรักๆ เลิกๆ ในระดับที่ไม่น่าไว้วางในขนาดนี้ ดีไม่ดี วันนี้ผมจะเป็นฝ่ายได้ดอกไม้ช่อสวยแทนน้องน้ำฝนก็เป็นได้ ... ลุ้นอยู่เหมือนกันว่า 2 คนนี้จะทะเลาะกันจน event ล่มหรือเปล่า แต่ดูจากสีหน้าของจีที่สดใสตั้งแต่เช้า คิดว่าวันนี้ทุกอย่างคงราบรื่นตามแผนที่วางไว้

เลิกเรียน ทุกคนแยกย้ายกันไปตามนัดของตัวเอง ผมกับจีนั่ง BTS มารอน้องฝนที่สถานีสยาม เรา 2 คนนั่งอยู่ตรงม้านั่งปลายชานชลา ... ผมสอดส่องสายตาไปรอบๆ สมกับเป็นวันแห่งความรัก บางคนถือดอกไม้ บางคนถือของขวัญ ชายหญิงจับมือเดินกันเป็นคู่

“คิดไรอยู่” เสียงของจีดึงสติของผมกลับมาจากห่วงของความคิด

“เรื่อยเปื่อย ... ไหนเอาดอกไม้มาดูดิ ...” จีส่งดอกกุหลาบสีแดงดอกโตมาตรงหน้าทันทีที่ผมร้องขอ

“... โบว์มันเบี้ยว เดียวกูผูกใหม่ให้” นิ้วมือเรียวสวยยื่นไปยังดอกไม้สีแดงสดตรงหน้า โบว์สีชมพูหวานถูกคลายปมออกก่อนจะถูกผูกขึ้นใหม่อย่างทนุถนอม ... ผมอมยิ้มให้กับผลงานตรงหน้า

“ไอ้บอนมันโง่ ที่ไม่รักษาน้ำใจของมึง ...”

“... ใครได้มึงเป็นแฟน ต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆ”

แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไร โทรศัพท์มือถือของจีก็ดังขึ้นเสียก่อน

“น้องฝนอยู่ในรถขบวนถัดไป ...” พูดจบจีก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ผมลุกขึ้นยืนตามคนข้างๆ

มันหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม เป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดที่ผมเคยได้รับมา ไม่ทันให้ตั้งตัว จีก็ดึงผมเข้าไปในอ้อมกอด ... ร่างกายผมแข็งทื่อ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว และแม้จะอยู่กลางสถานที่นที่ขึ้นชื่อว่ามีคนพลุกพร่านมากที่สุดในย่านสยาม แต่จีกลับกอดผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไม่แคร์สายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา อ้อมกอดนั้นอบอุ่นและแนบแน่นจน เป็นสัมผัสที่ไม่คุ้นเคย จนผมผลอยกแขนกอดตอบเอวมันไปอย่างลืมตัว

“... ขอบใจมึงมาก สำหรับทุกอย่าง” เสียงทุ่มกระซิบอยู่ข้างหู ในจังหวะเดียวกันกับรถขบวนที่น้องฝนนั่งมา แล่นมาถึงชานชลา

“กูควรจะไปได้แล้ว ... โชคดีนะ” เรา 2 คนผละออกจากกันด้วยรอยยิ้ม ... ผมอยากให้จีสมหวังในความรัก อยากให้มันมีความสุข
        “เจอกันที่โรงเรียน” ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินแยกไปอีกทาง แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ผมก็ได้เป็นประจักษ์พยานกับช่วงเวลาสุดโรแมนติกตรงหน้า ... เพิ่งสังเกตว่าจีในชุดนักเรียนพร้อมดอกกุหลาบในมือดูเผินๆ ไม่ต่างอะไรกับพระเอกในการ์ตูนตาหวานไม่มีผิด มันเดินเข้าไปหาน้องฝนที่หยุดยืนอยู่ไม่ไกล และภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนบันไดเลื่อนจะพาผมลับสายตาไป คือ รอยยิ้มของจี ... รอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะแสดงออกมาได้ จากนั้นดอกกุหลาบก็ถูกยื่นไปให้คนตรงหน้า

...



วันปัจฉิมนิเทศ วันสุดท้ายของชีวิตมัธยม … 12 ปีกับโรงเรียนที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่ 2 ที่นี้ให้ความทรงจำกับผมมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ ไม่น่าเชื่อว่าการเดินทาง 12 ปี จะจบลงแล้ว ณ วันนี้

“ตื่นเต้นไหม” จีถาม ในขณะที่พวกเราตั้งแถวเตรียมตัวจะเดินออกจากหอประชุม เมื่อพิธีปัจฉิมนิเทศสิ้นสุดลง เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนที่พวกพี่ ม.6 จะตั้งแถวเดินออกจากหอประชุม ด้านนอกนั้นเนืองแน่นไปด้วยเพื่อน รุ่นน้อง และครอบครัวที่มายืนรอชื่นชม มอบดอกไม้ และถ่ายภาพแสดงความยินดีกับพวกเรา

“ตื่นเต้นดิ แล้วมึงอะ” ผมถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ตื่นเต้น เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ ... ปีที่แล้วเรายังมาให้ดอกไม้พี่ๆ อยู่เลย ...” พูดไปก็ใจหาย เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ

“... มิลค์”

“ฮึ”

“สัญญากับกู ... ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง กูกับมึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันแบบนี้ไปตลอด”

“กูสัญญา” สิ้นคำสัญญาของผม ไฟในหอประชุมก็ดับลงพร้อมกับเพลงประจำโรงเรียนที่ถูกบรรเลงขึ้นเพื่อส่งพวกเราออกจากหอประชุม เรา 2 คนก้าวเท้าตามคนข้างหน้า ในช่วงจังหวะก่อนจะเดินพ้นประตู ... นิ้วก้อยของเราเกี่ยวไข้วกันไว้ ... เป็นสัญญาว่าผมกับจี เราจะเป็นเพื่อนรักกัน ... ตลอดไป



ตามแผนคือพวกเราจะถ่ายรูปกันที่โรงเรียนช่วงเช้า ส่วนตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงที่โรงแรมซึ่งโรงเรียนเป็นเจ้าภาพจัดให้พวกเรา เพราะฉะนั้นเลยมีเวลาว่างช่วงบ่ายให้ยกโขยงกันมาถ่ายรูปที่ studio ซึ่งสถานที่ยอดฮิตก็คงหนีไม่พ้นย่านสยามสแควร์ แหล่งรวมวัยรุ่นที่วันนี้หันไปทางไหนก็เจอแต่เด็กโรงเรียนผมเดินกันขวักไขว่

“เดียวรอกลุ่มนี้ถ่ายเสร็จก็ถึงคิวกลุ่มพวกเราแหละ” ไอ้โจเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับบัตรคิว

“อีกนานไหมวะ” จีถาม

“เขาบอกน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงมั้ง”

“เหรอ ... มิลค์มากับกูหน่อยดิ” พูดจบจีก็ลุกออกไป ผมมองหน้าเพื่อนคนอื่นเลิกลัก ... อารมณ์ไหนวะ

“กูว่าเรื่องน้องฝนชัวร์”

“วันนี้ไม่เห็นน้องมา” ผมขมวดคิ้วตามคนอื่นๆ ที่กำลังออกความเห็น เพราะเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้ไม่เห็นเงาของน้องฝนเหมือนกัน

“อืม งั้นเดียวกูตามมันไปก่อน ถึงคิวแล้วโทรตามละกัน” พวกมันพยักหน้ารับรู้ ผมเดินตามจีออกมาด้านนอก มันยืนรอผมอยู่ตรงบันได พอเห็นผมเจ้าตัวก็เดินนำขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง

“เป็นไง” ผมถามพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของจีดูไม่ดีเท่าไหร่ จะว่าไปเพราะผมมัวแต่ถูกลากไปถ่ายรูปกับคนนั้นคนนี้ เลยไม่ได้สังเกตเลยว่าจีดูเงียบลงไปตั้งแต่ตอนไหน

มันถอนหายใจสั้นๆ ตามมาด้วยรอยยิ้ม ที่ต่อให้ไม่ใช้เพื่อนสนิทก็ดูออกว่าฝืนยิ้ม ... ดวงตาชั้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ค่อยๆ ปิดลง ... ผมเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น เมื่อเห็นหยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาคุ้นเคยคู่นั้น ... เข้าใจแล้ว... ที่ใครๆ บอกว่าการเห็นคนที่เรารักเจ็บปวด มันเจ็บปวดยิ่งกว่าความเจ็บของตัวเองหลายเท่า มันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

“จี ...” มือบางเอื้อมไปกุมมือของคนตรงหน้า ผมออกแรงบีบมือใหญ่ของมัน หวังว่าความเป็นห่วงของผมจะแพร่ผ่านสัมผัสของเรา ... มันไม่ได้ร้องสะอื่น แต่น้ำตายังคงไหลออกมา

“... อย่าร้อง กูอยากเห็นมึงมีความสุข ...” กว่าจะได้สติก็ตอนนี้นิ้วเรียวสวยเอื้อมไปเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของเพื่อนสนิท พอสัมผัสได้ถึงความชื้นที่ปลายนิ้วผมถึงกับชะงักกับการกระทำที่เผลอเลอของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออก แล้วส่งกระดาษทิชชูใส่มือคนตรงหน้าแทน

“... กูอยากเห็นมึงยิ้ม ยิ้มให้กูดูหน่อยนะ” ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างจีกับน้องฝน ทำไมความสัมพันธ์ของ 2 คนนี้ถึงได้ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา ผมอยากเห็นมันมีความสุข ไม่เข้าใจว่าทั้งที่เพื่อนผมก็ดีแสนดีแต่ทำไมถึงไม่สมหวังกับความรักซักที

จีไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังมากไปกว่านั้น มันใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่โจจะโทรศัพท์มาตามเพราะถึงคิวถ่ายรูปของพวกเรา ผมรู้ว่ายังมีความขุ่นเคืองอยู่ในใจของจี แต่เสียงหัวเราะและความสนุกสนานจากเพื่อนๆ ก็พอจะดึงรอยยิ้มให้กลับมาแต้มบนใบหน้าของมันได้บ้าง



เวลาทั้งบ่ายจบไปกับการถ่ายรูปที่ studio ช่วงเย็นพวกเรานั่งรถไฟฟ้า BTS กลับไปยังโรงแรมที่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก ซึ่งผมในฐานะประธานนักเรียนมีหน้าที่ต้องขึ้นไปกล่าวคำขอบคุณและอำลาโรงเรียนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดชีวิตมัธยมอย่างเป็นทางการ

“.......... ผมในฐานะตัวแทนนักเรียน ม.6 รุ่น xxx ขอขอบคุณคุณครูทุกท่าน และโรงเรียนแห่งนี้ที่ได้มอบความทรงจำดีๆ ให้กับพวกเรามากมาย พวกเราขอสัญญาว่าจะเติบโตในแนวทางโรงเรียนปลูกฝังไว้ ... ขอบคุณครับ” เสียงตบมือดังลั่นห้องจัดเลี้ยง ผมก้าวถอยหลังออกจากโพเดี้ยมแล้วก้มหัวแสดงความเคารพอาจารย์หลายท่านที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าเวที ถือเป็นการสิ้นสุดหน้าที่ประธานนักเรียนอย่างเป็นทางการของผม

ก่อนก้าวลงจากเวที ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองบรรยากาศรอบตัวอีกซักครั้ง รู้สึกใจหายเมื่อถึงเวลาที่จะต้องก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอก ... เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และบรรยากาศคุ้นเคยเหล่านี้จะคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป

“กูพูดดีไหม” ผมถามพวกมันที่กำลังนั่งเม้ามอยเรื่องชาวบ้าน

“ดีจนกูน้ำตาจะไหล ดราม่ามากกกกกก ดึงอารมณ์ขั้นสุด” ไอ้อารม์ตอบ จะดีอยู่แล้วถ้านับท่าทางตอแหลๆ ของมัน ... ไม่เคยหาสาระจากพวกมันได้เลยจริงๆ

“เหลือแค่สอบ entrance ... สอบเสร็จแล้วไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน” โจพูดด้วยสายตาเป็นประกาย มันต้องสนุกมากแน่ๆ trip สั้งลาชีวิตมัธยมของพวกเรา

ถึงกระนั้น ผมก็อดทจะกังวลไม่ได้ ผมทำคะแนนสอบรอบแรกได้ไม่ดีเท่าไหร่ เอาเข้าจริงคือยังห่างไกลจากคณะสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัยในฝัน ผมคาดหวังว่าแม้พวกเราจะไม่ได้เรียนอยู่คณะเดียวกัน แต่อย่างน้อยขอให้อยู่มหาลัยเดียวกันก็ยังดี ... ยังเหลือเวลาอีกเกือบสัปดาห์ แม้จะรู้ว่าทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ผมก็จะพยายามทำให้เต็มที่

“สอบเสร็จแล้วไปเที่ยวทะเลกัน ที่บ้านกูมีคอนโดติดทะเลหัวหิน ไปกันซัก 5 วัน” จบประโยคทุกคนต่างหันมามองไอซ์เป็นสายตาเดียวกัน

“มีคอนโดติดทะเล!!! แล้วทำไมเพิ่งมาบอกวะ” อารม์ถามคำถามแทนใจเราทุกคน ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันมี ก่อนหน้านี้ เวลาไปเที่ยวทะเล พวกเราก็ไปพักโรงแรมหรือบ้านพักเล็กๆ นอนกันตลอด

“พ่อกูบอกว่าต้องจบ ม.6 ก่อนถึงจะพาพวกมึงไปค้างได้” ไอซ์เฉลย

“ไอ้เหี้ย ... พวกมึงที่เหลือมี deal อะไรกับพ่อแม่ไว้ คายออกมาให้หมดเลยนะ” ไอ้อาร์มชี้หน้าพวกเราเรียงคน เริ่มต้นจากไอซ์

“ก็ตามที่บอก คอนโดที่หัวหินจะเป็น safe house ใหม่ของพวกเรา ... แม้จะไม่ได้อยู่คณะเดียวกัน แต่พวกเราจะเที่ยวที่นั้นด้วยกันทุกปิดเทอม ... สัญญา”

“สัญญา / สัญญา / สัญญา / สัญญา” พวกเราให้คำสัญญาพร้อมกัน ก่อนที่ปลายนิ้วของอารม์จะเลื่อนมาที่ไอ้โจเป็นลำดับถัดไป

“รถและความอิสระ ต่อไปนี้กูไม่ต้องขออนุญาตเวลาไปค้างบ้านเพื่อน หรือไปต่างจังหวัดอีกแล้ว” มันพูดด้วยรอยยิ้ม เพราะก่อนหน้านี้โจเป็นคนที่ต้องรายงานพ่อแม่ตลอดว่าไปไหน ทำอะไร ... จากนั้นปลายนิ้วก็เลื่อนมาที่จี

“ความอิสระ ส่วนรถน่าจะอีกซักปีหรือ 2 ปีมั้ง”

จนกระทั้งสุดท้าย ปลายนิ้วมาหยุดอยู่ที่ผม

“ก็คงไม่ต่างอะไรจากตอนนี้เท่าไหร่ ... เรื่องรถกูยังไม่รู้เลยวะ ถ้าติดมหาลัยเดียวกับพวกมึงก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าไม่ เดี๋ยวค่อยดูอีกที” พวกมัน 4 คนทำคะแนนสอบรอบแรกได้ดีมาก ถ้าเทียบกับคะแนนของปีก่อนๆ ก็สามารถเข้าคณะของมหาวิทยาลัยในฝันของเด็กมัธยมทุกคนในประเทศได้สบายๆ

ผมไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังเลยใช่ไหม ... ผมเป็นลูกคนเดียว พ่อกับแม่เป็นนักธุรกิจเลยจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศตลอดเวลา ปีๆ หนึ่งจะกลับมาบ้านแค่ไม่กี่วัน เพราะอยู่ตัวคนเดียวเลยทำให้ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เล็กจนโตผมได้รับอิสระมากมาย มีเงินค่าขนมให้ใช้จ่ายไม่เคยขาดมือ ไปไหนมาไหนไม่เคยต้องขอ ไปนอนค้างบ้านเพื่อนได้เท่าที่ต้องการ ช่วง ม.ปลาย ผมมักจะนอนที่คอนโดแถวโรงเรียน นานๆ ครั้งถึงจะกลับไปนอนที่บ้าน ที่คอนโด ผมอยู่คนเดียวโดยมีแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดและเติมของสดของแห้งให้เป็นประจำ ส่วนที่บ้านก็มีแม่บ้านอยู่เป็นเพื่อน ... ผมไม่ได้สนิทกับพ่อแม่มากนัก นอกจากโทรคุยกันสัปดาห์ละไม่กี่ครั้งแล้ว พวกเขาแทบไม่ได้รับรู้เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องเรียนของผมมากนัก พวกเขารู้แค่ว่ากลุ่มของพวกเรามีกันทั้งหมด 5 คน และจีเป็นเพื่อนที่คบกันมานานและสนิทมากที่สุด มีแค่จีเท่านั้นที่เคยเจอพ่อกับแม่ แต่ก็แค่เพียงครั้งเดียว ตอนที่พวกเขา 2 คนกลับมาพักผ่อนที่ประเทศไทยเมื่อปีก่อน ทำให้มีเวลามากพอจะขอเจอตัวเพื่อนสนิทของลูก ... พ่อแม่ผมปลื้มจีมาก พวกเขารู้จากผมอยู่แล้วว่าจีเป็นคนเรียนเก่ง พอเจอตัวจริงก็ยิ่งปลื้มและไว้ใจ

“มิลค์ กูว่ามีคนอยากคุยกับมึง..." บทสนทนาถูกเปลี่ยนกะทันหัน ผมหันหลังและมองตามสายตาของไอซ์ ... บอนยืนอยู่ตรงไม่ใกล้ไม่ไกล และทันทีที่เราบังเอิญสบตากัน มันส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้

"... กูเห็นมันมองมึงซักพักแหละ ถ้ามึงไม่อยากคุยก็ไม่ต้องไป" ไอซ์พูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ... ผมกำลังใช้ความคิด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน

"กูไปคุยกับมันหน่อยละกัน"

"มึงแน่ใจ?" จีทัก เพื่อนสินทแสดงออกชัดเจนว่าไม่มั่นใจกับการตัดสินใจของผม

"ไหนๆ ก็วันสุดท้ายแล้ว" ผมลุกออกจากโต๊ะ จังหวะเดียวกันบอนก็แยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน ... เรา 2 คนเดินมาเจอกัน คนละครึ่งทาง

"ไง/ไง" อะไรจะบังเอิญขนาดพูดคำเดียวกัน พร้อมกัน

เรา 2 คนต่างอึกอักกับสถานการณ์ตรงหน้า สายตาของมันล๊อกแล๊กเหมือนไม่รู้จะโฟกัสสายตาที่ตรงไหน ในขณะที่ผมได้แต่ก้มหน้ามองพื้นอย่างทำอะไรไม่ถูก

"เรา 2 คน ไปหาที่เงียบๆ คุยกันได้ไหม..." บอนเอ่ยปาก

"... แค่คุย กูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้มึงลำบากใจ" คนตรงหน้าอธิบายเพิ่ม เมื่อสังเกตเห็นความลังเลจากสีหน้าท่าทางของผม

"ได้ มึงสัญญาแล้วนะ"

"สัญญา" แล้วผมก็เดินตามหลังมันออกจากห้องจัดเลี้ยง

"มิลค์ ..." ขาทั้ง 2 ข้างหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนสนิทไล่ตามมาด้านหลัง จีกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหา

"...มึงจะไปไหน" มันถามผมแต่กลับมองหน้าบอน

"ไปคุยกับบอน"

"มึงแน่ใจ?" จีขมวดคิ้ว ย้ำคำถามเดิมเป็นครั้งที่ 2

"ไม่มีอะไรหรอก แค่คุย"

"มึงอยากให้กูไปเป็นเพื่อนไหม" เจ้าตัวยังคงมองหน้าผมกับบอนสลับกันไปมา จีแสดงออกชัดเจนว่าไม่วางใจอดีตเพื่อนรัก ... ไม่ใช้แค่ความสัมพันธ์ของผมกับบอนซินะที่จบลง ความเป็นเพื่อนของจีและบอนก็สิ้นสุดลงด้วยเหลือกัน การเลิกรากับแฟนเก่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างมากกว่าที่ผมเคยคิดไว้เสียอีก

"ไม่เป็นไร กูไปคนเดียวได้ มึงกลับไปรอที่โต๊ะเถอะ" จียอมเดินกลับไปนั่งโต๊ะเมื่อผมยืนหนักแน่นว่าสามารถคุยกับบอน 2 คนได้ ... เราเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไปตามตัวตึก

"มึง 2 คน คบกันเหรอ" บอนถามขึ้นเมื่อเรา 2 คนเดินมาถึงมุมที่สามารถคุยกันได้เงียบๆ

"กับจีเนี่ยนะ ... เพื่อนกัน เอาอะไรมาคิดวะ" ผมหลุดขำให้กับจินตนาการสุดล้ำของมัน

"ก็ดูมันหวงมึงเกินหน้าเกินตา"

"มันหวงก็เพราะมึงนั้นแหละ" คนตรงหน้าเม้มริมฝีปากแน่น ราวกับมีบางคำที่อยากจะพูด แต่สุดท้ายก็กลืนมันกลับลงไปในลำคอ... ผมไม่น่าพูดแบบนั้นออกไปเลย เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้วแท้ๆ

"มึงสบายดีนะ" บอนถามหลังจากที่เราต่างเงียบใส่กันตั้งแต่ผมหลุดปากประชดมันออกไป

"สบายดี มึงละเป็นไงบ้าง"

“สบายดี ...”

“...กูตื่นเต้นนิดหน่อย ไม่คิดว่ามึงจะยอมคุยกับกู...”

" ... กูขอโทษนะมิลค์ ..."

"... กูเป็นแฟนที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้มึงต้องเสียใจ"

"ไม่หรอก ... กูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกัน ที่เป็นฝ่ายถอดใจก่อน" ผมตอบรับคำขอโทษจากบอนด้วยรอยยิ้ม

"กูไม่เคยโทษมึงเลย กูเสียใจมาตลอด เพราะความเหี้ยของตัวเอง ทำให้กูต้องเสียทั้งแฟนและเพื่อนสนิทอย่างมึงไป ... ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ กูจะรักมึงให้มากกว่านี้"

"เรื่องมันผ่านไปแล้ว มาคิดๆ ดู ทั้งกูและมึงต่างก็พยายามเต็มที่แล้ว กับสถานะการณ์ตอนนั้น"

"มันสายไปแล้วใช่ไหม ถ้าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ... อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนสนิท" ผมสบตาคนตรงหน้า ในความทรงจำของผมแววตาของบอนมักจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง แต่วันนี้แววตาที่ผมเห็นกลับดูสั่นไหว ... ผมยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

“กูไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเลยนะที่วันนั้นตกลงเป็นแฟนกับมึง ...”

“... มึงคือแฟนคนแรก เป็นคนสอนให้กูรู้จักกับความรัก ... แต่เรา 2 คนเดินมาไกลจากจุดนั้นมากแล้ว ทั้งกูและมึงต่างก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ ต่างคนต่างก็มีสังคมของตัวเอง ...”

“...หลังจากนี้ เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา แล้วเก็บความทรงจำดีๆ ที่เคยมีให้กันไว้ในใจ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรา 2 คน”

ความบาดหมางในใจจางหายไปตามกาลเวลานานแล้ว สิ่งที่ยังคงอยู่มีเพียงแค่ความทรงจำ เหตผลที่ผมผมยอมคุยกับบอนตามลำพังเพราะรู้ว่าเราต่างยังมีเรื่องค้างคาใจต่อกัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคิดจะหาโอกาสพูดคุยกับมันดีๆ ซักครั้ง หลายครั้งที่บอนขอคืนดีแต่เป็นผมที่บ่ายเบี่ยง เพราะคิดอยู่เสมอว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ แต่หลังจากวันนี้ เรา 2 คนต่างต้องแยกกันไปคนละทาง ผมอยากจากกับบอนด้วยรอยยิ้ม เคลียร์ทุกอย่างที่ค้างอยู่ในใจ ... อย่างน้อยอีก 10 ปีหลังจากนี้ เมื่อผมคิดย้อนมาถึงชีวิตมัธยม บอนจะอยู่ในความทรงจำของผมในฐานะเพื่อนสนิทในวัยเด็กและ puppy love ครั้งแรก ... ตลอดไป


----------


มิลค์ : กอดแรกของเราสองคน  ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือเรียนจบมัธยมแล้ววววววววว

#กอด #แยกย้าย #เติบโต

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 11 : อ้อมกอดและความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 16-06-2025 22:24:10
“สัญญากับกู ... ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง กูกับมึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันแบบนี้ไปตลอด”

“กูสัญญา”


#คำสัญญา #เพื่อนกันตลอดไป
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 11 : อ้อมกอดและความทรงจำ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-06-2025 22:35:38
ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองบรรยากาศรอบตัวอีกซักครั้ง รู้สึกใจหายเมื่อถึงเวลาที่จะต้องก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอก ... เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และบรรยากาศคุ้นเคยเหล่านี้จะคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป

----------


มิลค์ : ทุกเรื่องราวจะถูกบันทึกไว้ในความทรงจำตลอดไป จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย

#เรียนจบ #ความทรงจำ #มัธยม
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Writer’s talk
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 19-06-2025 20:23:59
Writer’s talk
สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกคน ก่อนอื่นเลยผมขอขอบคุณทุกคนสำหรับทุก ๆ การอ่าน ทุกแรงสนับสนุนที่ผ่านมา จนตอนนี้ยอดอ่านทะลุ 4939 read แล้ว  เป็นเวลาเกือบ 2 เดือนที่เราได้รู้จักกับมิลค์, จี, บอน, ไอซ์ และอีกหลายๆคน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเห็นการเติบโต และเปลี่ยนแปลงของตัวละครในหลายๆด้าน

มิลค์ จากคนที่เคยร้องไห้เพราะผิดหวัง และรักจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นคนที่เลือกจะให้อภัย เข้าใจ และปล่อยวาง คนที่หลายครั้งดูอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นที่พึ่งพิงทางอารมณ์ให้ใครได้ แต่พอถึงเวลา มิลค์ก็สามารถปลอบโยนได้อย่างนุ่มนวล

จี จากเพื่อนใหม่ในวันนั้น กลายมาเป็นพื้นที่ปลอดภัยในชีวิตของมิลค์แบบไม่รู้ตัว แม้จะพูดไม่เก่งแต่ทุกการกระทำของเขากลับชัดเจนกว่าคำใด ๆ หลายครั้งที่จีเป็นหลักให้มิลค์ยึดเหนี่ยว แต่จริง ๆ แล้วตัวเองก็ต้องการพื้นที่ปลอดภัยไม่ต่างกัน

บอน จากเพื่อนสนิทและแฟนคนแรกของมิลค์ ตอนนี้กลับกลายเป็นแค่เพื่อนเก่า จากคนที่เคยทำร้าย กลายเป็นคนที่เห็นคุณค่า และการยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ซึ่งก็คือพัฒนาการที่สำคัญไม่แพ้กัน

จนถึงตอนที่ 11 เราได้ส่งน้องๆผ่านช่วงวัยมัธยมเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ตัวละครบางตัวอาจจะจางหายไป บางตัวอาจจะยังคงอยู่ บางคนมีบทบาทมากขึ้น บางคนน้อยลง และแม้ว่าบริบทของพวกเขาจะปรับเปลี่ยนไปตามการเติบโต แต่มิตรภาพของพวกเขายังคงอยู่ จากเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ต่างคณะ หรือต่างมหาวิทยาลัย ความเป็นเพื่อนของพวกเขาถูกทดสอบอีกหลายครั้ง ทั้งด้วยระยะทาง เวลา และทางเดินชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ... แล้วเรามาติดตามไปด้วยกันนะครับว่าหลังจากนี้ชีวิตจะนำพาพวกเขาไปทางไหน

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกๆ การอ่านของทุกคน ... ขอบคุณครับ 
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-06-2025 12:30:02
ผมนั่งไขว้ห้างอยู่ในร้านกาแฟของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ชื่อดัง รอจนชามะนาวตรงหน้าพร่องไปเกินครึ่งแก้ว แต่เครื่องดื่มเย็นๆก็ไม่สามารถลดอาการประหม่าของผมได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของคนรอบตัว ไม่รู้เป็นเพราะแว่นกัดแดดที่เสียบอยู่ตรงคอเสื้อหรือเพราะสัญลักษณ์ตรงหัวเข็มขัดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ... วันนี้พวกเรา 5 คนนัดเจอกันครั้งแรก หลังจากแยกย้ายกันเข้ามหาวิทยาลัย รู้สึกไม่คุ้นชินกับความห่างไกลเพราะเมื่อก่อนพวกเราเจอหน้ากันทุกวัน ... นับๆดู ผมไม่ได้เจอพวกมันมาเกือบ 3 เดือน ช่องทางติดต่อเดียวที่พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ครบทีมคือ MSN ซึ่งก็ยากเย็นเหลือเกินกว่าจะ on ได้พร้อมๆกัน

ผมโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นพวกมัน 4 คนเดินมาจากระยะไกล ... อิเหี้ย เปิดตัวราวกับ F4 ... โคตรคิดถึง สารภาพเลยว่า แม้จะพอมีเพื่อนใหม่ที่คณะอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับเพื่อนอย่างพวกมัน กับเพื่อนใหม่ หลายครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัด แปลกแยก และไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่กับพวกมัน ผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ... รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อเพื่อนทั้ง 4 คนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์อาทิตย์นะครับ ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือคิดถึงเพื่อน

#คึดถึง #เพื่อน #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 22-06-2025 12:47:22
ตอนที่ 12 : ผูกพัน

ภายในร้านขายโดนัทชื่อดังที่ถือเป็นจุดนัดพบสำคัญของย่านสยามสแควร์ ผมนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ อีก 4 คนที่เหลือ ทุกคนใส่ชุดเหมือนกัน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวติดกระดุมข้อมือ ไทด์สีน้ำเงินเข้มตรงกลางปักตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย กางเกงขายาวสีขาว รองเท้าหนังสีดำ เพียงแค่เห็นทุกคนก็รู้ว่าคือนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง

“มึงจะย้ายเข้าหอวันไหน” เสียงของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงสติผมกลับมา

“สัปดาห์หน้ามั้ง”

“เชี่ย กูว่าจะไปช่วยมึงย้ายของเข้าหอ แต่มันตรงกับวันรับน้องพอดี ...”

“... มึงไหวไหม กูโดดได้นะ” จีถามด้วยความเป็นห่วง

“ไหวๆ เดียวแม่บ้านเข้าไปจัดห้องให้ก่อน ของไม่เยอะเท่าไหร่ แป๊บเดียวก็เสร็จ” ผม list ข้าวของเครื่องใช้ออกมาแล้ว ขนของไม่เยอะมากเท่าไหร่

“มึงไม่ได้คิดมากใช้ไหม” จีถาม ผมครุ่นคิดตามคำถามของมัน พลางกวาดสายตามองเพื่อนๆ ทีละคน ไอซ์ติดคณะบัญชี โจเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ ในขณะที่อาร์มและจีติดคณะเดียวกันคือวิศวกรรมศาสตรื

“ไม่ได้คิดมาก” ผมส่ายหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้จี เพื่อยืนยันว่าผมไม่ได้กังวลอะไรอีกแล้ว ... ผมผ่านช่วงเวลาของความวิตกกังวลมาแล้ว

“มิลค์ ... มึงลองไปเรียนดูก่อน ถ้าไม่ชอบค่อยซิ่วมาสอบใหม่ อนาคตเป็นของมึง มึงกำหนดได้ด้วยตัวเอง” ผมค่อยๆ คิดตามประโยคบอกเล่าของจี ... ก็ได้ ผมตกลงจะไปเรียนดูก่อน แล้วถ้าไม่ชอบ ผมจะสอบใหม่ตามที่มันบอก

“ใช้ ถ้าไม่ชอบก็สอบใหม่ ... พวกกูจะช่วยติวข้อสอบให้มึง” เสียงของอาร์มพูดแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับจี หันกลับมาถึงได้รู้ว่าพวกมันเลิกเม้ามอยหอยสังข์แล้วหันมาสนใจผม

“ก็ได้ ตามนั้น กูจะลองไปเรียนดูก่อน”

“ให้มันได้อย่างนี้ซิวะ” ไอ้อาร์มเอื้อมมือมาขยีหัว แต่มือหนาๆ ของมันก็ถูกจีผลักออก

“ผมมันยุ่งหมดแล้ว” จีขมวดคิ้วใส่ ในขณะที่ไอ้อาร์มส่งยิ้มล้อเลียนทันที

“หวงขนาดนี้ มึงเลิกกับน้องฝนแล้วมาคบกับไอ้มิลค์ดีกว่า”

“เสือก / เสือก” เรา 2 คนต่างนิ่งไปพร้อมกันชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะประสาทเสียงด่าออกมาคำเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นพวกเราทุกคนต่างหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างขำขัน ... ผมยังไม่ได้เล่าให้ฟังเลยว่าตอนนี้จีกับน้องฝนเป็นแฟนกันแล้ว ตอนนี้คนข้างๆ กำลัง in love สุดๆ ... โบกมือลากับความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ



...



BMW 645i (E63) สีขาวชะลอความเร็วก่อนจะเลี้ยวเข้ามาในหอพัก การปรากฏตัวของรถยนต์ coupe แบรนด์หรูไม่ใช้เรื่องปกตินักสำหรับมหาวิทยาลัยย่านชานเมืองที่เงียบสงบ ไม่แปลกที่นักศึกษารวมถึงผู้คนบริเวณนั้นต่างจับจ้องและจินตนาการถึงเจ้าของรถที่กำลังจะก้าวลงมาในอีกไม่กี่อึดใจ ... ไม่นานเกินรอ ร่างโปรงในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยีนส์สีเทาซีด สวมรองเท้าผ้าใบสีดำก็ก้าวลงมาจากรถ ผิวเหลืองขาวเปล่งประกายเมื่อสัมผัสกับแสงแดงยามบ่าย ทรงผมที่ถูกตัดซอยและ set มาเป็นอย่างดี ประกอบกับใบหน้าสวยที่แม้ส่วนหนึ่งถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำสนิทแต่ก็ไม่สามารถกลบรัศมีความดูดีลงได้

ผมก้าวลงจากรถ ... แดดโคตรแรง แถมยังร้อนจนแสบผิว ... พอสังเกตหอพักตรงหน้าแล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ก่อนจะเดินอ้อมมาหลังรถเพื่อหยิบกระเป๋าลายปักทรง holo คู่ใจมาห้อยไว้บ่นไหล่ และคว้ากระเป๋าทรง sport ลาย monogram อีกใบไว้ในมือ ผมไม่ได้มีของติดตัวมามากนักเพราะแม่บ้านเอาของใช้ส่วนตัวมาจัดให้ตั้งแต่เมื่อ 2 วันก่อนแล้ว

2 ขาก้าวยาวๆ เข้าหอพัก โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง ... แม้จะเป็นหอใหม่ แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับคอนโดที่ตัวเองอาศัยอยู่ตลอดช่วงมัธยม ... ร่างโปร่งเดินเข้าลิฟต์ ปลายนิ้วกดลงบนปุ่มชั้น 5 คงเพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางวัน หอเลยประหยัดไฟโดยการดับไฟตามโถงทางเดินเหลือแต่เพียงแสงจากภายนอกที่สิ่งสว่างเข้ามา ผมเดินผ่านห้องพักที่เรียงรายทั้ง 2 ข้าง บางห้องเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท บางห้องแม้จะปิดประตูแต่ก็ได้ยินเสียงเพลงหนักๆ ดังรอดออกมา ... ผมเดินมาหยุดที่ห้อง ‘512’

“มาใหม่เหรอ” มือที่กำลังไขกุญแจชะงัก พอหันกลับมา 2 เท้าของผมก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“ครับ” คนตรงหน้าเป็นผู้ชายตัวสูงกว่าผมเล็กน้อย ผมสีดำยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง ผิวสีน้ำผึ้ง โครงหน้าเข้ม... เขาสวมกางเกงยีนส์ขาดๆ เปลือยท่อนบนโชว์ลายกล้ามเนื้อสวย ยืนพิงขอบประตู และกำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

“ปี 1?”

“ครับ”

“อ่อ ขอโทษที่เสียมารยาท พี่ชื่อกาย ปี 3 คณะวิศวะ น้องชื่ออะไร”

“ชื่อมิลค์ครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก มีอะไรขาดเหลือก็บอกพี่ได้ ... พี่ไม่กวนเราแล้ว”

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหันกลับมาไขกุญแจแล้วแทรกตัวเข้ามาข้างในและล๊อคห้องอย่างรวดเร็ว

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตู สายตาไล่สำรวจห้องพักขนาด 30 ตร.ม. ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากนัก เตียงขนาด queen size ตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกเงาติดอยู่ตรงบานประตู 1 ตู้ โต๊ะทำงานขนาดเล็กพร้อมเก้าอี้ 1 ชุด ... ตู้เย็นขนาด 6 คิวที่วางอยู่ข้างโต๊ะทำงาน หลังตู้เย็นมีไมโครเวฟวางอยู่และซ้อนด้วยเตาอบขนาดเล็กอีกชั้น ของพวกนี้ผมซื้อมาเอง แม้จะไม่ได้ถูกใจเท่าไหร่แต่ก็ต้องอยู่ให้ชิน ... อย่างน้อยก็มีห้องน้ำในตัว ตกใจอยู่เหมือนกันเพราะตอนมาหาหอพัก บางหอเป็นห้องน้ำรวมซึ่งผมตัดออกเป็นอันดับแรกๆ ... ความเยอะของผมเรื่องหนึ่งคือ ผมชอบห้องน้ำที่แยกห้องอาบน้ำออกมาเป็นสัดส่วน เพราะไม่ชอบเวลาอาบน้ำแล้วพื้นห้องน้ำเปียกไปหมดทั้งห้อง เวลาใช้ห้องน้ำในส่วนอื่นๆ แล้วพื้นเปียกมันรู้สึกขยะแขยงเท้ายังไงบอกไม่ถูก ... แต่น่าเสียดายที่แถวนี้ไม่มีหอไหนมีห้องน้ำแบบที่ผมต้องการ

“เฮ่อออออ” ไม่รู้ว่าถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ... มองไปทางไหนก็ไม่ถูกใจเลยซักอย่าง ... ผมนอนหงายหน้าอยู่บนเตียง จ้องมองไฟซาลาเปาแสงขาวที่ถูกติดตั้งไว้กึ่งกลางเพดาน ความเยอะอีกอย่างหนึ่งของผมคือผมไม่ชอบไฟแสงขาว มันให้รู้สึกเหมือนไฟในค่ายลูกเสือ ... ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอยู่ยากจนกระทั้งต้องออกมาอยู่หอเองคนเดียวแบบนี้

ผมทำใจตั้งแต่เดินออกจากห้องสอบแล้วว่าไม่มีทางได้เข้ามหาวิทยาลัยในฝันแน่นอน พอประกาศผลเลยไม่ตกใจมากนักที่สอบติดที่นี้ พ่อแม่ดูไม่ได้ appreciate กับมหาลัยของผมเท่าไหร่นัก ทั้ง 2 คนเสนอให้ผมย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ก็ยอมรับการตัดสินใจเมื่อผมยืนยันว่าจะลองมาเรียนดูก่อน และถ้าไม่ชอบจริงๆ ค่อยกลับมาสอบใหม่ปีหน้า หรือถ้าถึงที่สุดแล้วจะตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศก็ยังไม่สายเกินไป

พอรู้ว่าผมต้องย้ายมานอนหอแน่ๆ เพราะระยะห่างจากมหาวิทยาลัยกับบ้านหรือคอนโดใช้เวลาขับรถไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมเลยใช้เวลาช่วงปิดเทอมเริ่มฝึกขับรถและสอบใบขับขี่ ตั้งใจจะเอารถคันเก่าที่จอดทิ้งไว้ที่บ้านมาใช้ จนกระทั้งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน อยู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเลขาของพ่อ โทรมานัดวันให้ไปรับรถป้ายแดงที่ show room

… ‘G’

“ว่าไง” ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงมือถือที่ดังอยู่ข้างหู ไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอหลับไปเมื่อไหร่

“ทำไรอยู่วะ” เสียงของเพื่อนสนิทดังออกมาจากสายโทรศัพท์ พร้อมด้วยสีดังโวยวายเป็นเสียงพื้นหลัง วันนี้จีมีรับน้องคณะ บรรยากาศคงครึกครื่นน่าดู

“เผลอหลับไป เพิ่งตื่น” ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งห้อยขาอยู่ข้างเตียง

“กูโทรมาปลุกมึงเหรอเนี่ย”

“ไม่หรอก จะตื่นพอดี”

“ตื่นแล้วก็ออกไปหาอะไรกินซะ”

“กี่โมงแล้วเนี่ย”

“จะทุ่มหนึ่งแล้ว” นี่ผมเผลอหลับไปเกือบ 3 ชั่วโมงเลยเหรอ

“มึงยังอยู่ที่คณะ?” ผมถามเพราะยังได้ยินเสียงดังรอดออกมาไม่หยุด

“ใช่ๆ จะเสร็จแล้วแหละ ... มึง กูต้องไปแล้ว เดียวโทรคุยกัน ... บาย”

“บาย” หลังจากวางสาย ผมเดินงัวเงียเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า กลับออกมาถึงได้เห็นว่าด้านนอกมืดสนิท



ผมยืนนิ่งอยู่หน้าหอพัก ช่วงหนึ่งทุ่มเป็นเวลาที่บริเวณนี้คึกคักเป็นพิเศษ วัยรุ่นชายหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับผมเดินกันขวักไขว่ รถจักรยานยนต์ขับสวนกันให้วุ่นวาย ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ อยู่นาน แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี

"น้องมิลค์" ผมไม่ค่อยคุ้นกับน้ำเสียงนี้เท่าไหร่ แต่พอหันไปตามเสียงเรียก ก็พบว่าเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ห้องตรงข้ามกัน

"อ่า!!! พี่?" พี่เขาชื่ออะไรนะ เหมือนชื่อพี่เขาจะติดอยู่ที่ปลายลิ้น ... เสียมารยาทชะมัด พี่เขาทักชื่อผมได้คล่อง ในขณะที่ผมกลับจำชื่อพี่เขาไม่ได้เลยสักนิด

“พี่ชื่อกายครับ...” ความรู้สึกผิดเกิดขึ้นในใจ ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป พยายามคิดหาวิธีเพื่อแก้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดตรงหน้า

“... นายมายืนทำหน้างงอะไรตรงนี้” ดูเหมือนพี่กายจะไม่ได้ถือสากับความขี้ลืมของผม

“ผมกำลังจะไปหาของกินครับ ... แถวนี้มีร้านอาหารไหมครับ”

“หน้า 7/11 มีเยอะเลย มีตลาดนัดด้วยนะ” พี่กายชี้ไปทางหน้าปากซอย

“ผมหมายถึงร้านอาหารนะครับ” ผมถามออกไปเพราะเห็นแต่รถเข็นขายอาหารตั้งเรียงราย

“โอ้ยยยยยย แถวนี้ไม่มีหรอก มีแต่ร้านรถเข็น ... เราอะ เป็น hiso หรือไง” พี่กายพูดติดตลกพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียน

“งั้นไม่เป็นไรก็ได้ครับ” ผมโค้งหัวเป็นเชิงขอบคุณ คิดอยู่ว่าจะกลับขึ้นห้องไปหยิบกุญแจรถจะได้ขับออกไปหาอะไรกิน

“เคยกินหมูกระทะไหม” ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน คนตรงหน้าก็ถามหน้านิ่งๆ

“ไม่เคยครับ”

“ไปกินกันไหม พี่เลี้ยง ถือว่าเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ ...” ผมกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ

“... กินไม่เป็นก็ค่อยๆ หัด จะขับออกไปกินที่ห้างทุกวันไม่ไหวหรอก ห้างใกล้สุดแถวนี้ไปกลับก็ชั่วโมงกว่าแล้ว” คนตรงหน้าพูดราวกับล่วงรู้ว่าผมคิดอะไรในใจ ... ผมคิดตามที่พี่กายพูด

“ได้ครับ แต่ต่างคนต่างจ่ายนะครับ ผมเกรงใจ” เอาก็เอาวะ

“ก็ได้ ถ้านายสบายใจแบบนั้น”

ผมยืนนิ่งอยู่หน้าถาดของสดที่วางเรียงรายละลานตา คิ้วทั้ง 2 ข้างขมวดเข้าหากัน ในมือถือจานพลาสติกสีเขียว ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะตักอะไรดีระหว่างหมูหมักซีอิ๊ว หมูหมัก (เฉยๆ) หรือหมูหมักงา เพราะนอกจากป้ายกำกับที่เขียนต่างกันแล้ว เนื้อหมูที่อยู่ในถาดทั้ง 3 ก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างกันเลย

“อย่าคิดมาก ตักๆ ไปเถอะ” พี่กายคว้าจานพลาสติกในมือของผมไปถือ ก่อนจะตักเนื้อหมูทั้ง 3 แบบมาผสมกัน

ผมเดินตามพี่กายกลับมาที่โต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ผักสด และของกินเล่นวางเรียงราย ... อดคิดไม่ได้ว่า แค่ 2 คน จะกินหมดนี่ได้อย่างไร ... ร้านหมูกระทะแถวนี้เป็นร้านแบบง่ายๆ ประมาณตั้งโต๊ะเสร็จก็ขายได้เลย ไม่ต้องมีแอร์ให้เปลืองไฟ พัดลมยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ อาศัยลมธรรมชาติล้วน ๆ นั่งได้ซักพัก ความร้อนจากเตาปิ้งหมูกระทะก็ทำให้ทั้งใบหน้าของผมร้อนผ่าวจนเม็ดเหงื่อเริ่มก่อตัวเป็นหยดเล็กๆ บริเวณไรผมและปลายจมูก

“ร้อนเหรอ เหงื่อออกเยอะเลย” พี่กายพูดพลางส่งกระดาษทิชชูสีชมพูในกล่องปึกหนึ่งมาให้

“ร้อนครับ” ผมพูดพลางมองกระดาษสีชมพูในมือ เคยได้ยินว่ามันทำมาจากกระดาษทิชชู recycle ไม่ค่อยถูกสุขลักษณะนัก ไม่เหมาะจะนำมาซับหน้า ... แต่ถ้าผมไม่ใช้ พี่กายเขาจะมองว่าผมเรื่องมากเกินไปหรือเปล่านะ

“ถามจริง จบมาจากโรงเรียนอะไรเนี่ย” พี่กายจ้องมองกระดาษทิชชูในมือผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา... เหมือนพี่เขาจะอ่านความคิดผมออก

“โรงเรียน XXX ครับ” ผมตอบพลางใช้ช้อนซื้อตัดแบ่งเนื้อหมูในจานก่อนจะกิน

“เชี่ย!!! ลูกคุณหนูนี่หว่า ... หลุดมาเรียนที่นี้ได้ยังไงวะ ...” สีหน้าของพี่กายตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำตอบของผม และเผลออุทานออกมาอย่างลืมตัว

“... ขนาดกินหมูกระทะยังดูผู้ดี ... นายทำให้พี่ดูสถุนนะ รู้ตัวไหม” พูดจบพี่กายก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูชิ้นใหญ่บนเตาเข้าปากไปทั้งอย่างนั้น ผมมองพี่เขาตาปริบๆ พี่กายไม่แม้แต่จะเป่าให้หายร้อนก่อนด้วยซ้ำ ... แล้วบทสนทนาก็ถูกขัดจังหวะด้วยอาหารบนเตาที่เริ่มสุก พี่กายบอกให้รีบกินก่อนที่มันจะไหม้

“รถ BMW สีขาวที่จอดอยู่ใต้หอพัก ของนายเหรอ” พี่กันถามขณะกำลังรอให้เนื้อหมูบนเตาสุก

“ครับ”

“สวยดีนะ เหมาะกับบุคลิกของนายดี”

“ยังไงเหรอครับ”

“เชื่อพี่เถอะว่าอย่างนายไม่เหมาะจะขับกระบะหรอก 555” พูดจบพี่กายก็หัวเราะเสียงดังลั่น จนผมเองยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม ... ใช่ ผมคิดภาพตัวเองขับรถกระบะไม่ออกเลย

หลังจากกินเสร็จ พี่กายพาผมแวะตลาดนัด พี่เขาแนะนำให้ผมซื้อข้าวเช้าของวันพรุ่งนี้ไปเลยเพราะตอนเช้ามีร้านค้าเปิดน้อย ทำให้คนรอคิวเยอะ ทำไปทำมาจะไม่ได้กินข้าวเช้าเอา

“พรุ่งนี้ เปิดเทอมวันแรกพี่เตือนเราไว้อย่าง ...”

“... เลือกเพื่อนดีๆ ลองคุยกับหลายๆ คนแล้วคุยตัดสินใจว่าจะอยู่กับไหน”

“ทำไมเหรอครับ” ผมถามในขณะที่เรากำลังเดินผ่านโถงทางเดินชั้น 5 ในมือของผมถือถุงน้ำเต้าหู

“เพราะต้องอยู่ด้วยกันอีกตั้งหลายปี ...”

… ‘G’

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างผมกับพี่กาย ผมมองโทรศัพท์ในมือที่กำลังแสดงชื่อของเพื่อนสนิทบนหน้าจอสลับกับรุ่นพี่ตรงหน้าที่เหมือนจะยังคุยกันไม่จบประโยคดี

“เอาไว้เจอกันวันหลัง” ผมค้อมหัวเป็นเชิงขอบคุณให้กับประโยคจบบทสนทนาของพี่กาย ก่อนที่ต่างคนต่างหันหลังให้กันเพื่อไขกุญแจเข้าห้อง

“ว่าไงจี” ผมกดรับสายเพราะกับเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง

“กินข้าวยังวะ”

“กินแล้ว”

“กินอะไรอะ”

“หมูกระทะ”

“ฮะ!!! มึงนี่นะกินหมูกระทะ” เสียงตะโกนของจีดังลั่นออกมาจากจากโทรศัพท์

“ตะโกนทำไมเนี่ย”

“ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะกิน แล้วไปกินกับใคร อย่าบอกนะว่ากินคนเดียว”

“ไปกับรุ่นพี่ เขาอยู่ห้องตรงข้ามกับกู”

“รุ่นพี่? อย่ามึงเนี่ยนะจะผูกมิตรกับคนอื่น ... ผู้หญิงผู้ชาย ... เพิ่งรู้จักกันแล้วไปกินข้าวกับเขาเลยเหรอ” แล้วเพื่อนสนิทก็แปลงบทบาทเป็นพ่อคนที่ 2

“ผู้ชาย แล้วจะเสียงเข้มเพื่อออออ” ผมลากเสียงสูง

“เขาจีบมึงหรือเปล่า” ถามแบบนี้รับรองว่าไม่เกินพรุ่งนี้มันต้องแท็กทีมกับไอ้ไอซ์มันสัมภาษณ์ผมแน่นอน

“กูจะไปรู้เหรอ เพิ่งรู้จักกันวันนี้”

“นี่กูคิดถูกคิดผิดวะ ที่ปล่อยมึงไปล่อเสื้อล่อตะเข้ที่โน่นคนเดียว”

“พูดซะอย่างกับจะตามมาอยู่กับกู”

“อย่าท้าๆ”

“ปากดีวะ”

แล้วบทสนทนาก็ถูกขั้นด้วยสายซ้อนจากฝั่งของจี

“มิลค์ กูต้องวางสายแหละ น้องฝนโทรมา”

“เออๆ ทิ้งกูจำไว้”

“โอ้ๆๆๆ อย่างอนๆ ขี้เกียงง้อ ... กูไปแล้วนะ”

“บาย/บาย”



...



ผมนั่งไขว้ห้างอยู่ในร้านกาแฟของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ชื่อดัง รอจนชามะนาวตรงหน้าพร่องไปเกินครึ่งแก้ว แต่เครื่องดื่มเย็นๆ ก็ไม่สามารถลดอาการประหม่าของผมได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจของคนรอบตัว ไม่รู้เป็นเพราะแว่นกัดแดดที่เสียบอยู่ตรงคอเสื้อหรือเพราะสัญลักษณ์ตรงหัวเข็มขัดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ... วันนี้พวกเรา 5 คนนัดเจอกันครั้งแรก หลังจากแยกย้ายกันเข้ามหาวิทยาลัย รู้สึกไม่คุ้นชินกับความห่างไกลเพราะเมื่อก่อนพวกเราเจอหน้ากันทุกวัน ... นับๆ ดู ผมไม่ได้เจอพวกมันมาเกือบ 3 เดือน ช่องทางติดต่อเดียวที่พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ครบทีมคือ MSN ซึ่งก็ยากเย็นเหลือเกินกว่าจะ on ได้พร้อมๆ กัน

ผมโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นพวกมัน 4 คนเดินมาจากระยะไกล ... อิเหี้ย เปิดตัวราวกับ F4 ... โคตรคิดถึง สารภาพเลยว่า แม้จะพอมีเพื่อนใหม่ที่คณะอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับเพื่อนอย่างพวกมัน กับเพื่อนใหม่ หลายครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัด แปลกแยก และไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่กับพวกมัน ผมสามารถเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ ... รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นชัดเจนเมื่อเพื่อนทั้ง 4 คนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

“เชี่ยยยยยยยยย ... ไอซ์ จี ลูกสาวมึงแตกเนื้อสาวแล้ววะ รับรองว่าพ่อๆ อย่างพวกมึงได้หัวหมุ่นแน่” ไอ้อารม์เอ่ยปากแซวผมพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่ 2 คนที่ถูกพาดพิงเอาแต่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวด ... ไอซ์กระเถิบมายืนตรงหน้า มือสากๆ ของมันจับใบหน้าของผมพลิกซ้ายพลิกขวา

“อะไรของมึง” ผมปัดมือมันทิ้ง พร้อมกับถลึงตาใส่

“ไหนว่าไปเรียน? … มึงไปทำอะไรมา ถึงได้แรดขึ้นขนาดนี้”

“ไม่ได้ทำอะไรมา กูไปเรียนไหม ไม่ได้ไปไถนาแทนควาย” แม้มหาลัยที่ผมอยู่จะไม่ได้ร่มรื่นเหมือนมหาลัยที่นี้แต่ผมก็ไม่ได้โดนแดดเท่าไหร่ ไปเรียนก็ขับรถตลอด

“แรดขนาดนี้ ผู้ชายตอมกันให้พรึบเลยซิ” พูดจบมันก็หยิกแก้มผม

“ไอ้เหี้ยไอซ์!!! ... ตอมใช้กับพวกมึง ไม่ใช้กู” จิกกัดกันพอหอมปากหอมคอพวกมันถึงได้หย่อนก้นลงนั่ง ไม่ใช้แต่เฉพาะผมที่เปลี่ยนไป พวกมันก็แปลกตาไปจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันพอสมควร พอเปลี่ยนจากชุดนักเรียนขาสั้นเป็นชุดนิสิตแล้ว พวกมันต่างก็ดูดีกันทุกคน

“กูจะไปสั่งน้ำ พวกมึงเอาอะไรไหม ...” จีถาม

“... มิลค์ ไปช่วยกูถือหน่อย”

“ไปดิ” ผมลุกออกไปตามคำชวนของจี

“เอา iced mocha frappé 1, iced latte 2 และก็ iced chocolate 1 ครับ” สั่งเสร็จ เราก็เขยิบมารอเครื่องดื่มอีกฟากนึงของบาร์

“กูไม่คุ้นกับมึง look นี้เลยวะ ...” จีพูด มันใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“... มึงดูเปลี่ยนไป”

“เปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ดี” ผมถามเพราะเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง

“ถ้าตอบว่าไม่ดี ก็ดูจะโกหกได้ไม่เนียนเท่าไหร่ หลักฐานก็ฟ้องอยู่ตำตา”

“คือกำลังชมกูว่าดูดีขึ้นว่างั้น” ผมเลิกคิ้ว เหล่ตามองมันอย่างจับผิด

“แล้วแต่มึงจะคิด” คนตรงหน้ายักไหล่

“มึงก็เหมือนกัน ดูดีขึ้นกว่าเดิม” พูดจบผมถึงได้ใช้พิจารณาคนตรงหน้าแบบจริงจัง อย่างที่บอกมันดูดีขึ้น จีเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว มันเป็นคนผิวขาวตามแบบฉบับของลูกคนจีนแท้ๆ จมูกโด่งสวยรับกับใบหน้าที่คมสันขึ้นตามวัย เข้ากันดีกับผมซอยสั้นที่จัดทรงด้วย wax ดวงตาชั้นเดียวของมันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น... มองเผินๆ นึกว่าidol เกาหลีปลอมตัวมาเสียอีก

“มึง accessory เยอะขึ้น ... แรดขึ้นนะมึงอะ” มันพูดพร้อมกับคว้ามือทั้ง 2 ข้างของผมขึ้นมาพิจารณา สร้อยข้อมือสีเงินที่พันรอบบนข้อมือซ้าย เข้าชุดกับแหวนบนนิ้วกลางข้างเดียวกันและนิ้วนางข้างขวา ... ผมยิ้มรับให้กับคำชมที่คล้ายจะเป็นการจิกกัดอยู่กลายๆ ... ผมชอบ jewelry มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนมัธยมไม่เคยได้ใส่เพราะโรงเรียนมีกฎห้ามใส่เครื่องประดับทุกชนิดยกเว้นนาฬิกาข้อมือ ในขณะที่มหาวิทยาลัยไม่มีข้อจำกัดตรงนี้

“เครื่องดื่มได้แล้วคะ” บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะด้วยเครื่องดื่มทั้ง 4 แก้ว

“มึงกินกาแฟปะ” จีถาม

“ไม่อะ ขม”

“ลองกินของกู iced mocha frappé รับรองว่ามึงต้องชอบ ...” ผมรับแก้วกาแฟปั่นที่ถูกยื่นมาให้ จีถือถาดที่มีแก้วอีก 3 ใบที่เหลือกลับไปที่โต๊ะ

“...อร่อยไหม”

“อืม อร่อยๆ ... หวานแล้วก็ขมติดปลายลิ้นนิดๆ” ชิมเสร็จผมก็ส่งแก้วคืนให้จี

“บอกแล้วว่ามึงต้องชอบ” จียักคิ้วข้างหนึ่งให้ผม ก่อนจะก้มลงดูดกาแฟปั่นจากหลอดที่ผมเพิ่งใช้เมื่อครู่

“พวกมึง 2 คนทำไรวะ? … จูบกันผ่านหลอดกาแฟ? ...”

“... หยุดจีบกัน แล้วมาช่วยคิดว่าเย็นนี้จะแดกอะไร” ไอ้โจเอ่ยขัด มันมองพวกผมสองคนด้วยสายตาล้อเลียนอย่างโจ่งแจ้ง

“แดกอะไรดี” ไอซ์ถาม

“หมูกระทะ” ไอ้โจรีบเสนอไอเดีย

“กูขอร้องเลยนะ... อยู่ที่โน่นแดกแต่หมูกระทะ” ผมร้องโอดครวญขึ้นมาทันที

“มึงเนี่ยนะแดกหมูกระทะ...” ผมพยักหน้าหงอยๆ

“... โถววววว คุณหนูของบ่าวลำบากมากไหมเจ้าคะ” แล้วมันก็เข้ามาโอบกอดผม ราวกับแม่นมในละครหลังข่าว



พวกเราตกลงกินมื้อเย็นของวันนี้ที่ร้านบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น ต้องขอบคุณพวกมันที่ยอมตามใจผมมากกว่าไอ้โจที่งอแงอยากจะกินหมูกระทะ พูดให้ถูกคือต้องของคุณไอซ์ที่ข้อร้องแกมขู่กรรโชก จนในที่สุดไอ้โจก็ต้องยอมจำนน ... จบมื้ออาหารคนอื่นๆ แยกย้ายกันกลับ ในขณะที่ผมขับรถมาส่งจี ... 4 ทุ่มกว่าแล้ว จากที่คิดว่าจะขับกลับไปนอนหอ ผมเปลี่ยนใจว่ากลับไปนอนคอนโด แล้วค่อยขับรถไปเรียนในเช้าวันพรุ่งนี้ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

“มึงปรับตัวเรื่องมหาลัยได้หรือยัง” จีถามขณะที่รถจอดติดไฟแดงตรง 4 แยก ผมละสายตาจากตัวเลขสีแดงบนป้ายจราจรที่กำลังนับถอยหลังมายังคู่สนทนานี่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไม่รู้วะ บางครั้งก็รู้สึกว่าได้ แต่บางครั้งก็เหมือนอยากลาออกให้รู้แล้วรู้รอด” จีรู้ว่าผมมีปัญหาเรื่องการปรับตัว ... ผมไม่ชอบอยู่หอ และไม่บรรยากาศ รวมถึงสิ่งแวดล้อมของมหาลัย ... มันรู้สึกอึดอัด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ... ผมคุ้นชินกับชีวิตใจกลางเมืองมากกว่า

“มีเพื่อนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเหรอ”

“ไม่เลย” จีเคยบอกว่าถ้ามีเริ่มมีเพื่อนจะปรับตัวได้เร็วขึ้น ผมก็เคยคิดแบบนั้น

“ถามจริง มึงเข้ากับเพื่อนที่มหาลัยไม่ได้เหรอ” ผมชะงักเมื่อเจอคำถามแทงใจดำ

“ก็ไม่เชิง ไม่ได้ถึงขั้นทะเลาะ หรือว่าไม่ชอบหน้ากัน แต่มันแบบ ... อึดอัดวะ เข้ากันไม่ค่อยได้ ... กูไม่รู้จะอธิบายยังไง” เพื่อนของผมไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่เพราะ lifestyle ของเราต่างกันมากเกินไป จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจอกันตรงกลาง มันเลยทำให้ผมทำตัวลำบาก

ผมไม่ได้อยากจะเอาเพื่อนใหม่มาเปรียบเทียบกับเพื่อนเก่า มันไม่ยุติธรรมที่จะเอาคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่เดือนมาเปรียบเทียบกับพวกเราที่รู้จักกันมาหลายปี แต่ถึงกระนั้น ในใจผมก็ยังคงคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครที่จะสามารถเข้ามาแทนที่ความรู้สึกเหล่านั้นได้เลย

“กูเข้าใจ ... มึงไหวไหม”

“ไหวแหละ กูว่าจะลองดูอีกซักหน่อย ... ถ้าไม่ไว้ก็คง drop ออกมา ent ใหม่”

“อยากให้กูช่วยอะไรก็บอก ... ขอโทษนะที่ช่วยอะไรมึงไม่ได้เลย”

“ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่กูต้องตัดสินใจเองอยู่ดี ... กูคิดถึงมึงนะ” รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน แม้จะสินทกันแต่การพูดคำว่า ‘คิดถึง’ ก็ทำให้รู้สึกเขินอายได้ไม่น้อย

“กูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน” จีตอบรับผมด้วยรอยยิ้มละมุน

… ‘P’ Guy’

“พี่กายว่าไงครับ”

“นายยังไม่กลับหอเหรอ”

“ยังครับ วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนมัธยม คืนนี้ว่าจะนอนคอนโดแล้วค่อยกลับพรุ่งนี้เช้า”

“พี่เห็นว่าดึกแล้วยังไม่กลับห้องเลยเป็นห่วง”

“ไม่มีอะไรครับพี่ พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”

“โอเค งั้นพี่ไม่รบกวนแล้ว ขับรถกลับดีๆ”

“ครับพี่ ... บายครับ”

“พี่กายคือพี่ห้องตรงข้ามที่มึงเคยเล่าให้ฟังปะ” จีถามขึ้นหลังจากที่ผมวางสายจากพี่กาย

“อืม”

“พี่เขาจีบมึงหรือเปล่า” มันทำหน้ากรุ่มกริมเหมือนจะล้อเลียน

“บ้า!!! …” ผมปฎิเสธ ... ไม่เข้าใจว่าจะทำเสียงสูงให้ผิดสังเกตทำไม

“... เอาจริงคือไม่รู้วะ” ผมผ่อนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า เล่าให้ฟังก็ได้

“แล้วมึงรู้สึกยังไงกับพี่เขา”

“ก็รู้สึกดีนะ แต่ก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น”

“ค่อยๆ ดูกันไป ... แต่ถ้ามึงจะคบกับพี่เขา ต้องพามาให้กูสแกนก่อน ไม่งั้นกูไม่ยอมนะเว้ย ... ลูกสาวกูทั้งคน กูเลี้ยงของกูมาตั้งแต่เด็ก” เพราะรถยังจอดติดไปแดงอยู่ จีถึงได้โน้มตัวมาล๊อคคอผมไว้ ผมถูกโน้มตัวเข้าหาคนข้างๆ พร้อมกับมือหนาที่ขยีลงบนกลุ่มผมอย่างหยอกล้อ ... แล้วเราก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันในรถตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน

“คร้าบบบบบบบบบคุณพ่อ” ผมขานรับอย่างขำๆ



... ‘G’

หลังจากเข้ามาในห้องได้ไม่ถึง 5 นาที ring tone ประจำตัวของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้น

“ว่าไงมึง”

“ถึงยัง” จีถาม

“ถึงแล้ว เพิ่งถึงเมื่อกี้เลย มีไรเปล่า”

“ไม่มีอะไร แค่โทรมาเช็คเฉยๆ ว่ามึงอยู่ไหนแล้ว”

“เพิ่งถึงเลย”

“แล้วนี้ขึ้นมาบนห้องยัง”

“ขึ้นมาแล้ว เข้าห้องปุ๊บมึงก็โทรมาเลย”

“โอเค งั้นกูไปอาบน้ำนอนแหละ พรุ่งนี้มึงขับรถกลับมหาลัยดีๆ ... ถึงแล้วก็โทรบอกกูด้วย”

“ได้ๆ แล้วเจอกัน ... บาย”

“บาย”


----------


มิลค์ : ทุกช่วงชีวิตคือการเติบโต  ... จากน้องมิลค์ดนเดิม เพิ่มเติมคือพยายามจะเติบโตด้วยตัวเอง

#เติบโต #เล่นหัว #เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 24-06-2025 13:03:12
ร่างโปรงในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงยีนส์สีเทาซีด สวมรองเท้าผ้าใบสีดำก็ก้าวลงมาจากรถ ผิวเหลืองขาวเปล่งประกายเมื่อสัมผัสกับแสงแดงยามบ่าย ทรงผมที่ถูกตัดซอยและ set มาเป็นอย่างดี ประกอบกับใบหน้าสวยที่แม้ส่วนหนึ่งถูกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดสีดำสนิทแต่ก็ไม่สามารถกลบรัศมีความดูดีลงได้


-----


มิลค์ : ที่นี้แหละ คือจุดเริ่มต้นของชีวิตมหาลัย จากน้องมิลค์เดิม เพิ่มเติมคือพยายามปรับตัวให้ได้ ... แต่สุดท้ายไม่ fit in  :m8:


#วันแรก #หอพัก #ความเป็นจริง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 26-06-2025 16:14:43
ผมเดินตามพี่กายกลับมาที่โต๊ะ บนโต๊ะเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ผักสด และของกินเล่นวางเรียงราย ... อดคิดไม่ได้ว่า แค่ 2 คน จะกินหมดนี่ได้อย่างไร ... ร้านหมูกระทะแถวนี้เป็นร้านแบบง่ายๆ ประมาณตั้งโต๊ะเสร็จก็ขายได้เลย ไม่ต้องมีแอร์ให้เปลืองไฟ พัดลมยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ อาศัยลมธรรมชาติล้วน ๆ นั่งได้ซักพัก ความร้อนจากเตาปิ้งหมูกระทะก็ทำให้ทั้งใบหน้าของผมร้อนผ่าวจนเม็ดเหงื่อเริ่มก่อตัวเป็นหยดเล็กๆบริเวณไรผมและปลายจมูก 


----------


มิลค์ : มีคนบอกว่าหมูกระทะจะเยี่ยวยาทุกสิ่ง จากน้องมิลค์เดิม เพิ่มเติมคือกินหมูกระทะเป็นแล้ว  :hao6:

#หมูหมักซีอิ๊ว #หมูหมัก(เฉยๆ) #หมูหมักงา #กระดาษทิชชูสีชมพู
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 12 : ผูกพัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 27-06-2025 16:13:17
ไอ้อารม์เอ่ยปากแซวผมพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่ 2 คนที่ถูกพาดพิงเอาแต่ทำหน้านิ้วคิ้วขมวด ... ไอซ์กระเถิบมายืนตรงหน้า มือสากๆ ของมันจับใบหน้าของผมพลิกซ้ายพลิกขวา

“แรดขนาดนี้ ผู้ชายตอมกันให้พรึบเลยซิ” พูดจบมันก็หยิกแก้มผม


----------


มิลค์ : สาบาญได้ว่าไปเรียนมาจริงๆ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ pheromone ฟุ้งกระจาย  :pighaun:

#ไหนว่าไปเรียน #แรด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 28-06-2025 16:22:20
“มึงใส่ชุดนี้แล้วเหมือนเด็กเลยวะ” จีที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยสายตาล้อเลียน

“ก็ชุดมึงนั้นแหละ ใหญ่ชิบหาย” ผมตอบพลางมองค้อนใส่มัน จะไม่ให้ตลกได้ไง ตัวมันใหญ่กว่าผม พอผมต้องมาใส่เสื้อผ้าของมัน แขนเสื้อแทบจะยาวเลยข้อศอก

“กูว่าตอนรู้จักกันใหม่ๆ กูกับมึงก็ตัวใกล้กันนะ ทำไมตอนนี้มึงตัวเล็กลงวะ” มันยิ้มพลางขยี้ผ้าขนหนูบนหัวตัวเอง

“กูตัวเท่าเดิม มึงตัวใหญ่ขึ้นไง ไอ้เหี้ย ...”

“... รีบเช็ดผม กูง่วงจะตายห่าแล้ว” ผมแยกเขี้ยวใส่ ตีหนึ่งกว่าแล้วยังไม่ได้นอนเลย

“กูอุตส่าห์ให้มึงอาบน้ำก่อน พื้นห้องน้ำจะได้ไม่เปียก ... มึงยังมีหน้ามาบ่นกูอีก” ไอ้เพื่อนเลว พูดซะกูสำนึกผิดไม่ทันเลย


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือยังคงไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก

#นอนค้างคืน #เสื้อตัวใหญ่ #คนใส่ตัวเล็ก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 29-06-2025 12:05:40
ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ

“พรุ่งนี้นายมีเรียนกี่โมง” พี่กายถามในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินกลับมาจากตลาดนัดหน้าปากซอย

“10 โมงครับ ... กะกว่าคืนนี้จะนอนหลับยาว”

“ถ้าพรุ่งนี้ไม่ต้องรีบตื่น คืนนี้สนใจมาดื่มกับพวกพี่ไหม”

“อย่าเลยดีกว่าครับ พวกพี่จะได้เต็มที่กัน” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

กลุ่มเพื่อนพี่กายตั้งวงกันบ่อย ผมว่าสัปดาห์หนึ่งไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ผมรู้เพราะเวลาพวกพี่เขาตั้งวงทีไร เสียงจะดังข้ามมาห้องผมทุกที พี่กายชวนผมไปร่วมวงหลายครั้ง แต่ผมก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด ... อย่างที่จีสงสัย ผมว่าพี่กายกำลังเลียบๆ เคียงๆ ลองเชิงผม ถ้าผมแสดงออกว่าสนใจ พี่เขาก็คงเดินหน้าจีบผมเต็มตัว ... แต่ปัญหามันอยู่ที่ผม ผมยังไม่พร้อม และยังมีความสุขมากกว่ากับการอยู่คนเดียว

“นายชอบกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เหรอ” พี่กายถามพลางเหลือบมองถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ 3 ชิ้นในมือของผม

“ไม่ได้ชอบขนาดนั้น แต่มันง่ายดีครับ” จริงๆ แล้วผมชอบ American breakfast ที่สุด แต่ผมทำอาหารไม่เป็น เลยได้กินแค่เฉพาะตอนกลับบ้าน ช่วงมัธยมผมมักจะนอนค้างที่คอนโดมากกว่า มื้อเช้าเลยหนีไม่พ้น bakery กับนม เพราะง่ายและสะดวกกว่า แต่แถวนี้ไม่มีร้าน bakery เลยซักร้าน น้ำเต้าหูกับปาท่องโก๋เลยเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“แล้วทำไมต้องปาท่องโก๋ 3 ตัว พี่สังเกตมาหลายครั้งแล้ว”

“3 ตัวกำลังพอดีครับ” เพราะ 2 ตัวก็น้อยไป ในขณะที่ 4 ตัวก็มากเกินไป

“ถึงพอดี ... ถ้าเปลี่ยนใจก็แวะมาดื่มกับพี่ได้นะ” แม้กระทั้งจังหวะสุดท้ายพี่กายก็ยังไม่วายจะชวนผมไปดื่มด้วยให้ได้ ... ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากส่งยิ้ม แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง

ถุงอาหารเช้าถูกวางไว้บนโต๊ะทำงาน ผมเปิด notebook เข้า MSN เหมือนที่ทำเป็นประจำ วันนี้มีแค่ผมคนเดียวที่ on รอประมาณ 30 นาที พอเห็นว่าไม่ใครเข้ามา ผมเลยลุกไปอาบน้ำ ไม่ใชเรื่องแปลกอะไร เพราะตอนนี้ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปมีสังคมของตัวเอง สมัยมัธยม on MSN เมื่อไหร่ก็เจอพวกมัน แต่ตอนนี้ถ้าไม่นัดกันก่อน ก็ต้องบังเอิญจริงๆ ถึงจะ on พร้อมกัน ... โลกของพวกเราใหญ่ขึ้น และไม่ได้ซ้อนทับกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วถึงได้สังเกตเห็นว่ามี missed call จากไอซ์ 3 สาย

“ว่าไงมึง”

“มิลค์มึงอยู่ไหนเนี่ย กูโทรหามึงตั้งหลายรอบกว่าจะโทรกลับมา”

“อยู่หอ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ โทษที มีไรๆ”

“มึงรู้เรื่องไอ้จีเปล่าเนี่ย”

“ฮึ ไม่รู้อะ ไม่ได้คุยกับมันมาหลายวันแล้ว” คิดๆ ดูผมน่าจะไม่ได้คุยกับจีมาเกือบสัปดาห์แล้วมั้ง

“มันเลิกกับน้องฝนแล้ว”

“ฮะ!!! ... มึงแน่ใจ ?” ในวินาทีนั้น ผมแทบจะหยุดหายใจ ... เกิดอะไรขึ้นวะ

“แน่ใจซิวะ สายกูเป็นเพื่อนของเพื่อนน้องฝน ... นี่ขนาดมึงยังไม่รู้ ไอ้เหี้ยจี!!! มีอะไรแม่งไม่เคยจะบอก”

“แล้วมันเป็นไงบ้าง”

“ไม่รู้แม่ง พวกกูเพิ่งรู้เรื่องเมื่อช่วงหัวค่ำ ใครโทรหามันก็ไม่รับ กูเลยโทรหามึงคิดว่ามึงจะรู้”

“เดียวกูไปหามันเอง”

“ตอนนี้เนี่ยนะ?”

“เออ เดียวกูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ผมดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ... 2 ทุ่มกว่าเอง ขับออกไปตอนนี้ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าจะถึงบ้านจี

“ได้เรื่องยังไง มึง update พวกกูด้วยนะ”

หลังจากวางสาย ผมรีบเปลี่ยนชุด ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะใส่ชุดไหน เปิดตู้ออกมา คว้าอะไรได้ก็ใส่อันนั้น

“มิลค์ นายจะไปไหนดึกๆ ดื่นๆ” เสียงของพี่กายทักขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูห้อง พี่เขาเปิดประตูค้างไว้ และกำลังตั้งวงกับเพื่อนๆ

“ผมจะไปหาเพื่อนนะครับ” ผมตอบพลางใส่แม่กุญแจล๊อคประตูไว้อีกชั้น

“หาเพื่อน? ตอนนี้นะเหรอ” พี่กายลุกออกจากวงเหล้าแล้วเดินมาหาผมที่หน้าประตู

“ครับ ... พี่ ผมรีบ ไว้ค่อยคุยกันนะ” ผมตัดบทเพราะตอนนี้ไม่มีกระจิตกระใจจะสนทนากับใคร ในหัวคิดถึงแต่เรื่องของจี

ระหว่างทางผมโทรหาจีหลายครั้ง แต่มันไม่รับสาย ... ไอ้เหี้ยนี่ ถ้าเจอตัวละก็น่าดู ทำให้คนอื่นเป็นห่วง ... โชคดีที่การจราจรขาเข้าช่วงหัวค่ำไม่ได้ติดขัดมากนัก ไม่นาน BMW coupe สีขาวก็ลงจากทางด่วน ก่อนจะเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านที่คุ้นเคย ... ผมจอดรถหน้าบ้านเพื่อนสนิท หมู่บ้านของจีเป็น town home กำแพงบ้านเลยเป็นแค่รั้วเตี้ยๆ มองจากด้านนอกผมเห็นแสงไฟจากชั้นล่างยังเปิดอยู่ แสดงว่าป๊ากับม๊าน่าจะยังไม่นอน แม้จะรู้ว่าเสียมารยาทแต่ผมก็กดโทรศัพท์โทรหาม๊า

“ฮาโหล” เสียงผู้หญิงสำเนียงติดจีนนิดๆ ดังขึ้นจากปลายสาย

“สวัสดีครับม๊า นี่มิลค์นะครับ”

“มิลค์เหรอลูก โทรมาดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรหรือเปล่า”

“คือมิลค์อยู่หน้าบ้านนะครับ ...” ผมชะงักไปเสี้ยววินาที เพราะเพิ่งนึกได้ว่าไม่มีเหตุผลดีๆมาใช้เป็นข้ออ้างในการโทรหาม๊าตอนเกือบจะ 4 ทุ่ม

“... มิลค์นัดจีไว้แต่โทรหาแล้วเขาไม่รับสาย เลยจะรบกวนม๊าให้คนมาเปิดประตูให้มิลค์ได้ไหมครับ”

“อยู่หน้าบ้านแล้วเหรอ เจ้าจีนิ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ... เดียวม๊าให้คนไปเปิดให้นะ”

ผมยืนรออยู่ไม่นาน แม่บ้านก็เดินออกมาเปิดประตูให้

“ป๊าม๊าสวัสดีครับ” ผมไหว้ป๊าม้าที่นั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

“ขอโทษนะครับที่มารบกวนดึกๆ”

“ไม่เป็นไรๆ กินอะไรมาหรือยัง ผลไม้ไหม” ป๊ายื่นถาดส้มที่วางอยู่ใกล้ๆ มาทางผม

“ไม่เป็นไร มิลค์กินมาแล้ว ... งั้นมิลค์ขอขึ้นไปหาจีหน่อยนะครับ”

“เออๆ ไปเถอะ” ผมค้อมหัวเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนจะก้าวยาวๆ ขึ้นไปยังชั้น 3 ของบ้าน

ก๊อกๆๆ นิ้วมือเรียวสวยเคาะลงบนประตูหลายครั้งแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับ ผมเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ... ในห้องมืดสนิท อุณหภูมิภายในเรียกได้ว่าหนาวสะท้าน เปิดแอร์เย็นขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี

“อืมมม ออกไป จะนอน ...” คนบนเตียงพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ... ผมเอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟข้างประตู

“... ออกไป” พอไฟเปิดจีก็พูดเสียงติดรำคาญ พร้อมกับพลีกตัวหนีไปอีกฝั่ง

“กูเอง ...” พอรู้ว่าเป็นผม เจ้าตัวถึงได้พลิกตัวกลับมา

“... จี” เมื่อได้เห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทชัดๆ ทุกคำพูดที่เคยคิดไว้ ไม่ว่าจะเป็นคำปลอบโยนหรือด่าทอ ทุกอย่างถูกกลืนหายไปในลำคอ ... มันร้องไห้จนตาบวม น้ำมูกน้ำตาไหลจนไม่เหลือสภาพ ... ผมสงสารคนตรงหน้าจับใจ

“มิลค์ ... มึง”

“กูรู้แล้ว กูมาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้ว” ทันทีที่ผมปีนขึ้นเตียงไปกอด มันก็ร้องไห้โฮออกมา

“มันจบแล้วมิลค์ ทุกอย่างพังหมดแล้ว”

“ชูววววววว์ กูรู้แล้วๆ ไม่ต้องเสียใจ กูอยู่ข้างๆ มึงเสมอ” ผมกระชับอ้อมกอด หวังไว้สุดหัวใจว่ากอดของผมจะช่วยส่งต่อความเข้มแข็งไปให้มันได้บ้าง

นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมกอดจีไว้ในอ้อมแขน พอเสียงสะอื้นค่อยๆ จางหายไป ทั้งห้องก็เงียบสนิทจนได้ยินแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศที่ยังทำงานต่อเนื่อง

“มึงหิวข้าวไหม ... ตั้งแต่เย็นกินอะไรบ้างยัง” ผมถามในขณะที่ยังกอดมันไว้

“ยังเลย” พอมันเริ่มขยับ ผมก็คลายอ้อมกอด

“ไปหาอะไรกินข้างล่างกันไหม ...” หันไปมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนต๊ะข้างหัวเตียง ใกล้จะ 5 ทุ่มแล้ว

“... ตอนนี้ป๊าม๊าขึ้นนอนหมดแล้ว”

“ก็ดี มึงอยู่ด้วย กูอาจจะมีอารมณ์กินอะไรได้บ้าง”

“งั้นมึงไปล้างหน้าล้างตาก่อน” ผมส่งยิ้มบางให้คนตรงหน้า ใบหน้าหล่อเหล่าของเพื่อนสนิทยังคงหลงเหลือร่องรอยของความโศกเศร้า



“ไหนดูซิ มีอะไรเหลือให้มึงกินบ้าง...” ผมพูดพลางลื้อตู้เย็นขนาดมโหราฬที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ในกลุ่มของพวกเรา บ้านจีขึ้นชื้อว่ามีกับข้าวให้กินตลอด 24 ชั่วโมง เพราะความมือหนักของม๊าที่ไม่เคยทำกับข้าวพอกินแค่มื้อเดียว เพราะฉะนั้นไม่แปลกเลยที่จีมักจะชวนพวกเรามาบ้านเพื่อทำภารกิจพิเศษ ... ล้างตู้เย็น

“... นี่ๆๆ กูเจอพะโล้ เขาบอกพะโล้อร่อยคือพะโล้ค้างคืนนะมึง ...” แม้จะไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่ว่านั้นหมายถึงใครแต่พอพูดจบผมก็ส่งชามพะโล้ให้เจ้าของบ้านที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“... เดียวๆ กูขอหาก่อน ระดับม้าแล้วต้องมีขุมทรัพย์ล้ำค่าซ่อนอยู่แน่นอน ...” ผมพูดติดตลก ได้ยินเสียงจีหลุดขำออกมา

“... เชี่ยยยยยยย กูเจอเมนู signature ... ผัดหมี่!!!” ผัดหมี่สไตล์จีนถือเป็นเมนูเด็ดของม้า เส้นหมีแบบจีนผัดกับหมูสับ เต้าหู้ก้อน และ ต้นหอม ... ผมหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่พอเห็นเมนูประจำบ้านตัวเอง คนตรงหน้าก็ได้แต่ทำสีหน้าเบื่อหน่ายพร้อมกรอกตาไปมา

จีรับเอาจานผัดหมีไปต่อคิวเข้าไมโครเวฟ ในขณะที่ผมหยิบขวดน้ำเปล่าออกจากตู้เย็น แล้วเดินมานั่งรอที่โต๊ะกินข้าว โต๊ะกินข้าวบ้านจีเป็นโต๊ะไม้สีเข้มทรงกลม ตรงกลางมีจานกระจกหมุนได้ให้อารมณ์เหมือนกินโต๊ะจีน มุมหนึ่งของโต๊ะจะมีถาดพลาสติกสำหรับวางแก้วน้ำที่ยังไม่ได้ใช้ ... ผมหยิบแก้วออกมา 2 ใบ รินน้ำรอเจ้าของบ้าน

ไม่นานเสียงเปิดปิดประตูไม่โครเวฟก็ดังขึ้นพร้อมกับจีที่ยกถาดอาหารเดินออกมาจากครัว เพิ่งสังเกตว่ามันอยู่ในชุดที่โคตรจะสบายๆ กางเกงบอลและเสื้อยืดสีขาวย้วยๆ

“ตกลงกูหิว หรือมึงหิวกันแน่” มันเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมเลื่อนจานผัดหมี่มาตรงหน้า

“กูกินเป็นเพื่อนมึงไง” ผมฉีกยิ้มกว้าง แล้วตักผัดหมี่ช้อนใหญ่ใส่จาน

“ใจเย็นไอ้มิลค์ ... นี่มึงไปตายอดตายอยากจากไหนมา” มันขำเมื่อเห็นผมทำหน้าปลื้มปริ่มทันทีที่ตักผัดหมี่เข้าปาก

“มึงสงสารกูเถอะ แถวหอกูไม่มีอะไรอร่อยๆ แบบนี้กินหรอก” ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับเส้นหมี่ผมก็เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ผัดหมี่ของม้ายังอร่อยเหมือนเดิม

“เออๆ อร่อยก็กินเยอะๆ” มันอมยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตากินของตัวเอง



“อ่า!!! โคตรอิ่ม” ผมพูดพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ... อิ่มจริงอะไรจริง

“มึงยังอิ่มไม่ได้ ... แดกไอติมเป็นเพื่อนกูก่อน”

“ไม่เอา อิ่มแล้ว” อิ่มจนแทบจะลุกไม่ไหว ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจ จะขอแบ่งใส่ถุงกลับไปกินที่หอด้วย

“รส rum resin นะมึง” ผมหูกระดิกทันทีที่ได้ยินชื่อไอศกรีมรสโปรด

“แล้วไม่บอกก่อนวะ ... กูขอ 2 ลูกเลยนะ” ผมยกมือชู 2 นิ้วพร้อมส่งยิ้มหวานให้คนตรงหน้า ... มันส่ายหัวแบบเอือมระอา จีบอกเสมอว่าผมมีกระเพาะสำหรับของหวานแยกออกมาต่างหาก



“แล้วคืนนี้มึงเอาไง นอนค้างบ้านกูปะ” จีถามในขณะที่เจ้าตัวกำลังล้างจานอย่างขมักเขม่น ส่วนผมก็ยืนเอาสะโพกพิงเคาน์เตอร์ครัว กินแรงมันอยู่ด้านหลัง ... ตอนนี้เที่ยงคืนจะครึ่งแล้ว

“นอนนี้แหละ ขับกลับไปนอนที่คอนโดไม่ไหวแล้ว” ถ้านอนบ้านจีผมน่าจะประหยัดเวลาไปได้เยอะอยู่

“พรุ่งนี้มึงมีเรียนปะ” เสียงน้ำไหล และเสียงจามชามกระทบกันดังเป็น sound effect ระหว่างบทสนทนาของเรา

“มีตอน 10 โมง แล้วมึงละ”

“พรุ่งนี้กูมี lecture ตอน 8 โมงเลยวะ ... แต่มึงจะนอนตื่นสายหน่อยก็ได้นะ เดียวกูบอกป๊าม้าไว้ให้”

“ไม่เป็นไร กูตื่นพร้อมมึง ... จริงๆ กูไปส่งมึงที่มหาลัยก็ได้นะ แล้วค่อยขับกลับไปเปลี่ยนชุดที่หอ น่าจะพอดีๆ กัน”

“มึงไหวเหรอ”

“ไหวดิ พรุ่งนี้บ่ายกูว่าง ค่อยกลับมานอนได้ยาวๆ”

“เอางั้นก็ได้”



“มึงใส่ชุดนี้แล้วเหมือนเด็กเลยวะ” จีที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงด้วยสายตาล้อเลียน

“ก็ชุดมึงนั้นแหละ ใหญ่ชิบหาย” ผมตอบพลางมองค้อนใส่มัน จะไม่ให้ตลกได้ไง ตัวมันใหญ่กว่าผม พอผมต้องมาใส่เสื้อผ้าของมัน แขนเสื้อแทบจะยาวเลยข้อศอก

“กูว่าตอนรู้จักกันใหม่ๆ กูกับมึงก็ตัวใกล้กันนะ ทำไมตอนนี้มึงตัวเล็กลงวะ” มันยิ้มพลางขยี้ผ้าขนหนูบนหัวตัวเอง

“กูตัวเท่าเดิม มึงตัวใหญ่ขึ้นไง ไอ้เหี้ย ...”

“... รีบเช็ดผม กูง่วงจะตายห่าแล้ว” ผมแยกเขี้ยวใส่ ตีหนึ่งกว่าแล้วยังไม่ได้นอนเลย

“กูอุตส่าห์ให้มึงอาบน้ำก่อน พื้นห้องน้ำจะได้ไม่เปียก ... มึงยังมีหน้ามาบ่นกูอีก” ไอ้เพื่อนเลว พูดซะกูสำนึกผิดไม่ทันเลย

“เออ ไม่พูดแล้วก็ได้” ผมสะบัดหน้าใส่มัน

“เถียงไม่ได้ก็เฉไฉไปเรื่อยนะมึงเนี่ย ...” เกียจมัน รู้ทันผมตลอด

“... ยิ้มแบบนี้คือแถไม่ออกใช่ไหม”

“เสือก” ผมขมุมขมิมปากพูด แต่รับรองเลยว่าเพื่อนสนิทอยากจีอ่านปากผมออกแน่นอน มันทำท่าลอยหน้าลอยตา เช็ดผมไปเรื่อย ไม่สะท้านกับคำด่าของผม

กว่าจีจะเช็ดผม ทาครีมก่อนนอนเสร็จ ผมก็แทบจะนั่งหลับอยู่บนเตียง

“มึงต้องเข้มแข็งนะ” ผมพูดขึ้นท่ามกลางความมืดสนิท

“อืม ... ตอนที่มึงเลิกกับไอ้บอน มันเจ็บแบบนี้ไหมวะ” คำถามของจีทำผมนึกย้อนไปถึงอดีต

“ไม่เลย กูรู้สึกโคตรโล่งด้วยซ้ำ ... เจ็บที่สุดคือครั้งแรกที่รู้ว่ามันมีคนอื่น”

“มึงผ่านมันมาได้ยังไง”

“เพราะมึงไง เพราะมีมึงคอยปลอบ และเพราะกูรู้ ... ไม่ว่ากูจะตัดสินใจยังไง มึงก็อยู่ข้างกูเสมอ” ผมคิดย้อนไปถึงวันที่นั่งร้องไห้ต่อหน้ามันที่ร้าน fast food ... ถ้าคนข้างๆ ไม่ใช้จี ผมคงไม่กล้าแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาขนาดนั้น

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น”

“ใครบอก ... เราอาจจะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม แต่กูอยู่ข้างมึงเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”



“ไอ้จีตื่น ตื่นนนนน มึงไปอาบน้ำเลย” ผมยื่นมืออกมาจากนอกผ้าห่มเพื่อเขย่าตัวคนที่นอนหลับอยู่ข้างๆ

“อืมมมมมมม ... มึงอะตื่น ไปอาบน้ำก่อนเลย ห้องน้ำจะได้ไม่เปียก” พอได้ยินข้ออ้างของเพื่อนสนิทที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆ ผมเลยต้องขึ้นไปเข้าห้องน้ำเป็นคนแรก … จะมองโลกในแง่ดีให้ก็ได้ ว่าที่ให้ไปอาบน้ำก่อนคือเสียสละ

โคตรง่วง ไม่รู้เมื่อคืนข่มตานอนได้กี่โมง ผมขอเปลี่ยนใจไม่ไปส่งมันที่มหาลัยแล้วนอนต่อได้ไหม ... กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็สายมากแล้ว สุดท้ายพวกเราเลยต้องหอบหิ้วอาหารเช้ามากินบนรถ

“ไอ้เหี้ยจี เอาใส้ให้กูด้วย ไม่ใช้ให้กูแดกแต่แป้ง” ผมที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย แยกเขี้ยวใส่คนที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ

“อ้าวรู้ตัวด้วยเหรอ” มันขำ เมื่อถูกจับได้ว่าที่ป้อนใส่ปากผมตั้งแต่ขึ้นรถมามีแต่แป้งซาลาเปาทั้งนั้น ส่วนมันก็กินแต่ใส้เน้นๆ ... ต้องของคุณม๊าที่มองการณ์ไกลแล้วเห็นว่าพวกเราต้องตื่นสายแน่ๆ เลยเตรียมข้าวเช้าเป็นซาลาเปาที่ง่ายต่อการกินบนรถ

“ไอ้เลว ... แล้วมือมึงอะ อย่าเช็ดกับเบาะดิวะ เดียวกลิ่นมันติด” ผมพูดพลางส่งซองกระดาษทิชชูให้มัน

“อะๆ แดกเข้าไปจะได้ไม่ต้องบ่น ...” แล้วมันก็ยัดใส้หมูสับทั้งก่อนเข้าปากผม ... ไอ้เพื่อนเหี้ย เดียวกูก็ติดคอตายบนรถพอดี

“... แดกนมถั่วเหลืองด้วยจะได้ไม่ติดคอ” เหมือนจะรู้ทันเพราะยังไม่ทันได้กลืน มันก็เอาหลอดจิ้มเข้ามาปาก ... ไอ้เลว ... ผมว่ามันสนุกนะที่ได้ยั่วโมโหผมตั้งแต่เช้า

“กูจะติดคอตายห่าก็เพราะมึงเนี่ยแหละ ... มองหน้ากูทำไม”

“ขอบตามึงโคตรคล่ำอะ” มันพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้จิ้มมาที่ขอบตาล่างของผม

“ว่าแต่กู มึงก็คล่ำเหมือนกันนั้นแหละ 555” แล้วพวกเราต่างคนก็ต่างหัวเราะกับสภาพของแต่ละคน

“ผมของมึงเริ่มยาวแล้วนะ” จีทักขึ้นมาระหว่างที่รถกำลังค่อยๆ ขยับไปตามถนนเส้นหลักของเมืองหลวง ... เพราะไม่ได้ set เลยทำให้เส้นผมดูยาวกว่าปกติ

“ช่วงนี้ไม่ได้ว่างไปตัดเลย” ร้านตัดผมเจ้าประจำของผมอยู่แถวคอนโด แต่เพราะช่วงนี้ที่มหาลัยยุ่งแต่เรื่องเรียนเลยยังไม่มีเวลาได้ขับกลับมา

“ไม่คุ้นกับมึง ตอนไว้ผมยาว”

“กูหล่อใช่มะ” ผมยักคิ้วพร้อมกับยิ้มมุมปากส่งให้มัน

“เปล่า ...”

“... มึงสวย สวยมาก” มือหนาเอื้อมข้ามที่วางแขนมาเกลี่ยปรอยผมด้านหน้าที่ยาวลงมาเกือบจะถึงคิ้ว ก่อนที่นิ้วมือจะลากไปด้านข้างตามเส้นผมสีดำสลวยแล้วทัดบางส่วนไว้หลังใบหู

“จี ... กู ...”

...

... ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เหมือนไม่แน่ใจว่าจะพูดออกไปดีไหม

...

“... กูว่าจะ drop ออกมาเตรียมตัว ent ใหม่นะ” มือข้างนั้นหยุดชะงัก ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาวางที่หัวไหล่

“เอาดิ เดียวกูช่วย”

ไม่นาน BMW coupe สีขาวก็เลี้ยงมาจอดอยู่หน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ทั้ง 2 ฝากของถนนเลยปกคลุมไปด้วยต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่

“ขอบคุณมึงมากนะเว้ย” จีเอ่ยปากเมื่อผมขับรถมาจอดที่หน้าคณะ

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง”

“มึงขับกลับมหาลัยดีๆ ถึงแล้วโทรมาบอกกูด้วย”

“ได้ ... มึงก็ตั้งเรียน ... แล้วเจอกัน”

“แล้วเจอกัน ... น้องปี 1


----------


มิลค์ : เป็นกำลังใจให้กับการสอบใหม่ด้วยนะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออิพี่จีชมว่าสวย  :-[

#ผมยาว #ซาลาเปา #นมถั่วเหลือง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 01-07-2025 16:57:49
“มึงผ่านมันมาได้ยังไง”

“เพราะมึงไง เพราะมีมึงคอยปลอบ และเพราะกูรู้ ... ไม่ว่ากูจะตัดสินใจยังไง มึงก็อยู่ข้างกูเสมอ”

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น”

“ใครบอก ... เราอาจจะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนเดิม แต่กูอยู่ข้างมึงเสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม”


----------


มิลค์ : แม้ไม่เจอหน้าแต่ใจเราอยู่ใกล้กันเสมอ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือยืนอยู่ข้างๆเสมอ

#กุมมือ #กอด #กำลังใจ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 03-07-2025 14:18:37
“... เชี่ยยยยยยย กูเจอเมนู signature ... ผัดหมี่!!!”

“ตกลงกูหิว หรือมึงหิวกันแน่”

“กูกินเป็นเพื่อนมึงไง”

“ใจเย็นไอ้มิลค์ ... นี่มึงไปตายอดตายอยากจาก
ไหนมา”

“มึงสงสารกูเถอะ แถวหอกูไม่มีอะไรอร่อยๆ แบบนี้กินหรอก”

“เออๆ อร่อยก็กินเยอะๆ”


----------


มิลค์ : มื้อดึกจะเยียวยาทุกสิ่ง จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเจอผัดหมี่ของม๊าในตู้เย็น

#ไข่พะโล้ #ผัดหมี่ #ขุมทรัพย์
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 13 : คืนปลอบใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 04-07-2025 15:54:18
“แล้วทำไมต้องปาท่องโก๋ 3 ตัว พี่สังเกตมาหลายครั้งแล้ว”

“3 ตัวกำลังพอดีครับ”


----------


มิลค์ : เพราะ 2 ตัวก็น้อยไป ในขณะที่ 4 ตัวก็มากเกินไป จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือกินปาท่องโก๋ 3 ตัว

#น้ำเต้าหู้ #ปาท่องโก๋ #ตลาดนัด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 05-07-2025 11:33:29

“ไอ้จี!!! ... กูตื่นเต้นนนนนนนนนนนน” ผมนั่งกัดเล็บมืออยู่หน้าจอ computer อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นผมก็จะได้รู้ผลลัพธ์ของความพยายามของการหลังขดหลังแข็งอ่านหนังสือมาตลอด 6 เดือน ... นิ้วชี้เรียวสวยกดที่ปุ่ม F5 เป็นระยะ

“ได้ๆ มึงติดแน่มิลค์ กูมั่นใจ” จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือหนาออกแรงนวดตรงหัวไหลทั้ง 2 ข้าง

“ไอ้เหี้ยมาแล้วววววววววววววววววววววววววววว ...” หลังจากที่กด F5 ไปครั้งหล้าสุด ในที่สุดหน้าจอก็ขึ้นให้รอผลการตรวจสอบข้อมูล

“... สาธุๆ ถ้ากูติดนะกูสัญญาจะปล่อยนกปล่อยปลา รักษาศีล 5 ...” ผมประนมมืออยู่หน้าจอ และทันทีที่ icon นาฬิกาทรายหายไป มือหนาก็ยื่นมาปังหน้าจอ ณ ตำแหน่งประกาศผลพอดี

“... มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย!!!” ผมแหง่นหน้ามองเพื่อนสนิท เห็นแต่ปลายคางและตอหนวดรำไร

“กูลุ้น ...” มันพูดพร้อมกับค่อยๆ เลื่อมมือลงต่ำ เผยให้เห็นชื่อนามสุกล และรหัสเข้าสอบของผมปรากฏอยู่บนบรรทัดบนสุด ... มือหนาหยุดชะงัก

“... เอาเลยนะมึง ... 1 ... 2 ... 3” แล้วมือหนาก็เลื่อนออกจากหน้าจอ

“ไอ้จี กูไม่กล้าดู” กลายเป็นผมที่หลับตาปี๊ เอามือปิดหน้า ... ไอ้เหี้ยกูกลัวววววววว


----------


มิลค์ : เจอกันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคนลุ้นผลสอบจนตัวเกร็ง

#Entrance #ลุ้นโว้ยยยยยย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 06-07-2025 11:40:35
ตอนที่ 14 : เส้นทางแห่งการเลือก

เพราะตัดสินใจช้าไป ทำให้ผมพลาดโอกาสในการสอบ entrance รอบแรก เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้ในตอนนี้คือ สอบ final ของมหาวิทยาลัยให้เรียบร้อย แล้วยื่นเรื่องขอพักการศึกษา ความตั้งใจแรกของผมคือ drop เรียนแล้วทิ้งทุกอย่างทันที แต่จีเป็นคนแนะนำให้ผมสอบ final ก่อน เพราะไหนๆ ก็เรียนมาจะครบเทอมแล้ว และพยายามตั้งใจสอบเพื่อเก็บเกรดไว้ เผื่อว่าสุดท้ายแล้วผมไปไม่ถึงฝัน แล้วต้องกลับมาเรียนที่นี้อีกรอบ ผมทำตามที่จีแนะนำ

"นายไม่เปลี่ยนใจแน่ ๆ ใช่ไหม" พี่กายถามขณะที่เจ้าตัวกำลังช่วยผมเก็บของลงลังกระดาษ

"มาขนาดนี้แล้วพี่ ผมถอยไม่ได้แล้ว" ผมคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาไว้ตั้งแต่กลางเทอมว่าถ้าสอบเสร็จจะรบกวนอาจารย์เซ็นใบอนุญาต ขอพักการศึกษาให้ ... ผมเพิ่งไปยื่นเรื่องขอพักการศึกษากับทะเบียนเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ตอนนี้ก็เหลือแต่ย้ายออกจากหอ

"ใจหายวะ คิดว่าจะได้ใช้เวลากับนายมากกว่าซักหน่อย..." หลังจากที่ตัดสินใจแน่วแน่และปรึกษากับจีแล้วว่าจะ drop วันรุ่งขึ้นผมก็บอกพี่กาย พี่เขาดูไม่อยากให้ผมไป แต่ก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของผม

"... มิลค์ ไหนๆ วันนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่พูดพี่คงเสียใจไปตลอด ... พี่ ... ชอบนายนะ" เรา 2 นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นข้างเตียง โดยมีลังกระดาษขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ขั้นอยู่ตรงกลาง

"ผมรู้" ผมมองหน้าพี่กายก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมา

"นายรู้เหรอ"

"พี่แสดงออกชัดเจนขนาดนั้น ..."

"... ผมขอบคุณพี่นะครับ พี่เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจเวลาต้องอยู่ที่นี้ ...

"... ผมยังจำได้ วันแรกที่เจอพี่ ... แต่พี่ก็รู้ใช่ไหมว่าผมคงเป็นได้แค่น้อง" สีหน้าของพี่กายเจือนลงไปเล็กน้อย ก่อนที่สายตาดุๆ คู่นั้นจะกลับมาจ้องตาผมอีกครั้ง

"มิลค์ มึงเก็บของเสร็จยัง ..." บทสนทนาของผมกับพี่กายถูดขัดจังหวะ ... เสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามาในห้อง ก่อนหน้านี้ จีอาสายกของบางส่วนไปเก็บในรถ

"... เสร็จแล้วนิ ไปกันยัง หิวข้าวแล้ววะ ... เดียวเราแวะกินข้าวร้านโปรดมึงก่อนดีไหม"

"เอาดิ ไม่ได้กินมาซักพักแหละ"

จีเดินกอดคอผมออกมาจากหอ ในขณะที่มืออีกข้างกอดลังกระดาษไว้ โดยมีพี่กายเดิมตามมาข้างหลัง

"มึงเข้าไปนั่งรอในรถก่อน เดียวกูขอคุยกับพี่กายแป๊บ ..." จีพูดเมื่อเราเดินมาถึงลานจอดรถ

"... ไม่มีอะไร แค่จะขอบคุณพี่เขาที่ช่วย take care มึง ..." มันขยายความเมื่อเห็นคิ้วทั้ง 2 ข้างขมวดเข้าหากัน

“... เดียวกูขับกลับให้” ผมพยักหน้าก่อนจะส่งกุญแจรถให้เพื่อนสนิท

มันเดินอ้อมมาเปิดประตูด้านข้างคนขับให้ผม ก่อนจะดันตัวผมเข้ามานั่งข้างใน จากในรถ ผมเห็นจีกำลังเดินอ้อมไปพูดคุยกับพี่กายที่ยืนอยู่ด้านหลังรถ จากมุมนี้ผมเห็นแผ่นหลังของจีและสีหน้าของพี่กายที่มองคู่สนทนาไม่วางตาตลอดการพูดคุยหลายนาที

“กูเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงถึงไม่ชอบอยู่ที่นี้ ...” จีพูดหลังจากที่เราขอบรถออกมาจากหอพักได้ไม่นาน

“... มันไม่เข้ากับ life style ของมึงเลยซักนิด”

“อืม กูพยายามปรับตัวแล้ว แต่พอคิดว่าต้องอยู่ที่นี้ไปอีก 6 ปี ... ไม่ไหววะ ...”

“... จี ... ถ้ากู ent ใหม่แล้ว fail ... พ่อจะให้กูไปเรียนต่อต่างประเทศนะ” หลังจากผมพูดประโยคสุดท้ายออกมา รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าของจีค่อยๆ จางหายไป บรรยากาศในรถดูอึดอัดขึ้นมาทันตา

“มึงวางแผนล่วงหน้าไว้ได้ ไม่ต้องกังวลอนาคต มึงแค่พยายามตรงนี้ให้เต็มที่”

“กูจะพยายาม”

“มึงทำได้ กูมั่นใจ”



...



“ไอ้จี!!! ... กูตื่นเต้นนนนนนนนนนนน” ผมนั่งกัดเล็บมืออยู่หน้าจอ computer อีกไม่กี่นาทีเท่านั้นผมก็จะได้รู้ผลลัพธ์ของความพยายามของการหลังขดหลังแข็งอ่านหนังสือมาตลอด 6 เดือน ... นิ้วชี้เรียวสวยกดที่ปุ่ม F5 เป็นระยะ

“ได้ๆ มึงติดแน่มิลค์ กูมั่นใจ” จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง มือหนาออกแรงนวดตรงหัวไหลทั้ง 2 ข้าง

“ไอ้เหี้ยมาแล้วววววววววววววววววววววววววววว ...” หลังจากที่กด F5 ไปครั้งหล้าสุด ในที่สุดหน้าจอก็ขึ้นให้รอผลการตรวจสอบข้อมูล

“... สาธุๆ ถ้ากูติดนะกูสัญญาจะปล่อยนกปล่อยปลา รักษาศีล 5 ...” ผมประนมมืออยู่หน้าจอ และทันทีที่ icon นาฬิกาทรายหายไป มือหนาก็ยื่นมาปังหน้าจอ ณ ตำแหน่งประกาศผลพอดี

“... มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย!!!” ผมแหง่นหน้ามองเพื่อนสนิท เห็นแต่ปลายคางและตอหนวดรำไร

“กูลุ้น ...” มันพูดพร้อมกับค่อยๆ เลื่อมมือลงต่ำ เผยให้เห็นชื่อนามสุกล และรหัสเข้าสอบของผมปรากฏอยู่บนบรรทัดบนสุด ... มือหนาหยุดชะงัก

“... เอาเลยนะมึง ... 1 ... 2 ... 3” แล้วมือหนาก็เลื่อนออกจากหน้าจอ

“ไอ้จี กูไม่กล้าดู” กลายเป็นผมที่หลับตาปี๊ เอามือปิดหน้า ... ไอ้เหี้ยกูกลัวววววววว

...

...

...

“ไอ้มิลคคคคคคคคคคคคคค์ มึงติดแล้วโว้ยยยยยยยยย!!!” จีตะโกนดังลั่นห้อง

“ฮะ!!! ...” ผมรีบเอามือออกแล้วจ้องหน้าจอตรงหน้าชัดๆ

นายติณสิงห์ สิงหนาฏ รหัส XXXXXXXXXX

อันดับที่ 1 คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย XXX

อันดับที่ 2 คณะXXX XXXX

อันดับที่ 3 คณะXXX XXXX

อันดับที่ 4 คณะXXX XXXX

“... ไอ้เหี้ย!!! กูสอบติดแล้วววววววววววววววววววววววว!!!” ผมกระโดดลุกจากเก้าอี้ โผเข้ากอดเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ ... ในที่สุดความฝันของผมก็เป็นจริง ผมสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกับจีแล้ว



----------



“มึงแน่ใจเหรอว่าร้านนี้” ผมถามเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ ... พอรู้ผลสอบ วันรุ่งขึ้นเรา 2 คนก็มายืนอยู่หน้าตึกแถวขนาด 2 ห้องที่จีเล่าให้ฟังว่าเป็นร้านขายชุดนิสิตในตำนาน ซื้อตั้งแต่ปี 1 จีบเสื้อยังคมกริบจนถึงปี 4 (แต่บังเอิญว่าผมเรียน 6 ปี)

“ร้านนี้แหละ กูลองมาหลายร้านแล้ว ร้านนี้ดีที่สุด” คนข้างๆ รับประกัน ... จีขึ้นชื่อเรื่องความพิถีพิถัน (เรื่องมาก) ในการสรรหาของคุณภาพดี เพราะฉะนั้นเชื่อผมเถอะ อะไรที่ผ่าน QC ของมันได้ รับรองว่าไม่ธรรมดา ตามสโลแกน ... ‘อะไรดี จีก็ว่าดี’

ภายในร้านแตกต่างจากที่ผมคิดไว้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ในจินตนาการคือข้างในต้องไม่ต่างอะไรกับร้านขายชุดนิสิตที่เราคุ้นเคยของย่านสยามสแควร์ คืออัดแน่นไปด้วยเสื้อ กางเกง ที่มีหลากหลายเนื้อผ้าและสไตล์ แต่ผิดคาด ด้านในมีหุ่นโชว์สวมชุดนิสิตตั้งอยู่ไม่กี่ตัว

“วันนี้มีอะไรให้หนูช่วยบ้างคะ” พนักงานวัยรุ่นเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“อยากมาดูชุดครับ” จีตอมคำถามของเธอด้วยรอยยิ้ม

“ได้เลยคะ หมูขออธิบายก่อนนะคะ ผ้าของทางร้านจะมีแบบเดียว เป็นผ้าชนิดพิเศษเฉพาะของร้านเราเท่านั้น แบบของเสื้อและกางเกงจะมีเฉพาะแบบที่ถูกต้องตามระเบียบของมหาวิทยาลัยนะคะ”

“ได้ครับ งั้นขอลองเสื้อไซต์ M แขนสั้น แขนยาว กางเกงเอว 30 สีกรมครับ” ผมบอกพนักงานถึงชุดที่ต้องการจะลอง แบบเสื้อน้อยก็ง่ายดีครับ ไม่ต้องเลือกมากให้เสียเวลา

“ขอกางเกงวันปฐมนิเทศด้วยนะครับ” คนที่อยู่ข้างๆ บอกน้องพนักงาน ... เออใช่ ผมลืมชุดปฐมนิเทศไปซะสนิทเลย ... น้องพนักงานพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังหลังร้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมเสื้อและกางเกงหลายชุด

“ห้องลองอยู่ด้านหลังนะคะ” เป็นจีที่รับชุดทั้งหมดมาแทนผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำไปยังห้องลองชุด

“เอามาให้กูก็ได้ เดียวกูเข้าไปลอง ...” ผมบอกแต่แทนที่จะส่งชุดให้ มันกลับพลักผมเข้าไปในห้องลองชุดแล้วเดินตามเข้ามา

“... มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย” ผมโวยวายเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อครู่เกือบสะดุดล้มหน้าคว่ำกับพื้น

“ก็มาเป็นเพื่อนมึงไง มึงลองคนเดียวสุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาแขนสั้นแขนยาว...”

“... ไซต์ M ใส่สวยไหม กางเกงฟิตไปหรือเปล่า กูเข้ามาดูด้วยนี้แหละจะได้จบๆ ไป ถ้าจะลอง size อื่นเดี๋ยวกูเดินออกไปบอกพนักงานให้ จะได้ไม่เสียเวลา ...” มันพูดพลางยักคิ้วข้างเดียว

“... ถ้าคิดคำเถียงไม่ออกก็เปลี่ยนชุด กูหิวแล้วเนี่ย” มันพูดพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก

“เออ!!!” ผมกระแทกเสียงใส่ ... หงุดหงิดโว้ยยยยยยย เถียงไม่ออก

ผมลองชุดนั้น ใส่ชุดนี้ เสื้อ size M ไม่มั่นใจ ลองมันทั้ง L และ S ... L ก็ดูจะโคร่งไป S จะพอดีตัวเกินไปหรือเปล่านะ ... กางเกงไซต์ 30 ดูย้วยๆ ไหมวะ ทำไมกางเกงปฐมนิเทศถึงได้ดูแก่ขนาดนี้เนี่ย เปลี่ยนเป็นไซต์ 29 จะสวยกว่าไหม ... ผมลอง ลอง ลอง แล้วก็ลอง ลองในห้องไม่พอ ใส่ออกมาลองกับกระจกบานใหญ่นอกห้องอีก ... ใส่เข้า ถอดออก ส่วนจีก็เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องลองชุด

“พอแล้วไอ้มิลค์ มึงลองอีกรอบพนักงานได้กระโดดงับหัวกูพอดี” จียกมือขึ้นทำท่าปรางห้ามญาติทันทีที่ผมหันกลับมาหามันเพื่อจะขอให้เจ้าตัวเดินไปเอากางเกงมาลองเพิ่ม

“แต่กูไม่แน่ใจว่าจะเลือก size ไหนดี” ผมพูดพลางเดินตามจากออกจากห้องลอง

“เอาชุดอะไรบ้างคะ” พนักงานคนเดิมถาม เมื่อเห็นเรา 2 คนเดินออกมาจากห้องลองชุด

“เอา” ทำไงดี ผมยังตัดสินใจไม่ได้เลย

“เอา เสื้อไซต์ M แขนสั้น 3, แขนยาว 2, กางเกงไซต์ 30 สีกรมมีจีบ 3 กางเกงปฐมนิเทศ 1 ครับ ... ตามนั้นแหละครับ” ในขณะที่ผมกำลังลังเล จีก็ order ชุดให้เสร็จสรรพ น้องพนักงานตรงหน้าอมยิ้มก่อนจะเดินหายไปหลังร้าน

“จะดีเหรอ”

“เชื่อกูว่าดี ... เสื้อไซต์ M ดีแล้ว L ใหญ่ไป S ก็เล็กไป อย่าลืมว่ามึงต้องใส่นั่งเรียนทั้งวัน จะได้ไม่อึดอัด มึงใส่แขนยาวแล้วพับแขนดูดีกว่าแขนสั้น แต่อากาศมันร้อนจะได้ใส่สลับๆ กัน มีแขนยาวติดไว้ใส่กับชุดปฐมนิเทศ หรือวันที่อยากแต่งตัวก็พอ ...”

“... กางเกงไซต์ 30 กำลังพอดีเวลามึงนั่งแล้วมันไม่รั้ง เวลานั่งเรียนนานๆ จะได้ไม่อึดอัด ซื้อ 3 ตัวก็พอแล้วขึ้นปี 2 มึงก็เปลี่ยนมาใส่สีดำไม่มีจีบอยู่ดี ... จบไหม” มันถาม

“เออจบ!!!” ร่ายยาวพร้อมยกเหตผลประกอบมาขนาดนี้ผมจะไปเถียงอะไรได้

“อ่อออออ กูเตือนมึงไว้อย่าง วันไหนที่ต้องใส่กางเกงสีขาว ถ้าไม่อยากเป็น ‘หวานเย็น’ ให้ใส่กางเกงในสีอ่อน”

“อะไรคือ ‘หวานเย็น’ วะ กูไม่ get” ผมถามด้วยสีหน้างงงวย สีกางเกงในเกี่ยวอะไรกับขนมหวานวะ ... จีก้าวเท้ามายืนตรงหน้าก่อนจะก้มลงมากระซิบข้างหู

“อย่างเช่นวันนี้ คนเขารู้กันทั้งร้านแล้วมั้งว่ามึงใส่กางเกงในสีเขียว” ผมขมวดคิ้วมองสีหน้าเจ้าเล่ห์ของมัน แล้วก็เข้าใจทันทีว่า ‘หวานเย็น’ หมายถึงอะไร

“ไอ้เหี้ยจี!!! แล้วทำไมมึงไม่เตือนกู” ทันทีที่คิดออก ผมนี่แทบจะกระโดดกัดคอคนตรงหน้า บอกคำเดียวเลยว่าโคตรอาย มิน่าละทำไมตอนใส่ชุดพิธีการออกไปลองข้างนอกถึงได้รู้สึกว่ามีแต่คนมอง



...



หลังจากรู้ว่าผมสอบเข้ามหาลัยเดียวกับพวกมันได้ ไอซ์ก็ไม่รอช้าจัด event ยิ่งใหญ่แห่งปีเพื่อเลี้ยงฉลองให้ผม ... พวกเราจัด trip มาพักคอนโดของมันที่หัวหินอีกรอบ ปิดเทอมครั้งนี้พวกเรามาที่นี่กันรอบหนึ่งแล้วหลังจากผมสอบ ent เสร็จ พอรู้ผลพวกมันก็ชวนกันมาเป็นรอบที่ 2

"กูดีใจนะเว้ย ที่ในที่สุดพวกเราได้อยู่มหาลัยเดียวกัน..." ไอ้โจพูดพร้อมรอยยิ้ม

"... อยู่กับใครก็ไม่สบายใจเท่าอยู่กับพวกมึง" พวกเราต่างก็อมยิ้ม เพราะการแยกย้ายไปอยู่คนละคณะทำให้พวกเรารู้ว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้กันนั้นมีค่าแค่ไหน แม้แต่จีกับอาร์มที่อยู่คณะเดียวกัน แต่ก็เรียนคนละสาขา คณะวิศวะอันกว้างใหญ่ไพศาล ทำให้มัน 2 คนแทบจะบังเอิญเจอกันนับครั้งได้

"กูก็คิดถึงพวกมึง" ผมพูดพลางยกแก้วของดื่มมึนเมาตรงหน้าขึ้นมาจิบ ... ช่วงแรกที่ย้ายไปนอนหอ ปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ ของผมคืออาการ home sick ผมไล่โทรหาพวกมันทุกคน เพราะเหงาจนแทบอยู่คนเดียวไม่ไหว

"แน่ใจว่าคิดถึงแต่พวกกู" ไอ้โจหรี่ตามอง

"อะไรของมึง" ทำหน้าแบบนี้คงกำลังหาเรื่องแซวผมอยู่แน่ ๆ

"แหมมมมมม ปากบอกเหงา ได้ข่าวว่าพี่ห้องตรงข้ามนี้เช้าถึงเย็นถึง ..."

"... สงสัยถ้าไอ้จีไม่ไปลากมึงกลับมา ตอนนี้มึงคงมีผัวจนลืมเพื่อนไปแล้วมั้ง"

"จีมึงเล่าเรื่องพี่กายให้พวกมันฟังเหรอ" ผมหันไปถามคนๆเดียวที่รู้เรื่องของพี่กาย

"ก็พวกมันเป็นห่วง" จีตอบผมด้วนน้ำเสียงราบเรียบ พลางยกแล้วเหล้าขึ้นมาจิบ

"ปิดเงียบบบบบบบบบ ... มึงคิดเหรอว่าจะปิดพวกกูได้" พูดจบมันก็ยื่นมือมาพลักหัวผมแทบคว่ำ

"แซวแต่กู ... พวกมึงยังมีแฟนกันได้ทุกคน ..." ใช่ครับตอนนี้พวกมันมีแฟนกันทุกคน ยกเว้นผมกับจี

"... ยกเว้นมึง ... ห้ามมี!!! โสดเป็นเพื่อนกูก่อน" ผมหันไปหาเพื่อนสนิท มันไม่ตอบแต่แค่อมยิ้ม แล้วยกแก้วในมือขึ้นมาจิบ ... พวกมันที่เหลือมีแฟนกันหมด ไม่น่าเชื่อว่าขนาดคนบ้าๆ บออย่างไอ้อาร์มกับไอ้โจยังมีแฟนได้ ... แล้วดูผมซิ แห้งสนิท ... พอๆ กันกับไอ้เพื่อนหน้าตี๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ

"มึงแน่ใจว่ามันโสด" ไอ้ไอซ์พูดขึ้น มันมองหน้าจีแล้วก็เลื่อนสายตามาที่ผม

"มึงมีแฟน ?" ผมหันไปถามจี

"ยัง มึงก็ไปฟังไอ้ไอซ์มัน" เจ้าตัวตอบปฏิเสธ

"โสด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนมาจีบ"

"มีคนมาจีบมึงเหรอ" ผมหันไปหันมาสลับระหว่างไอ้ไอซ์กับจี

"แหมมมมมมม ไอ้มิลค์ พูดจาไม่ให้เกียรติหนังหน้าเพื่อนมึงเลย ... กูจะบอกอะไรให้ เห็นเงียบๆ แบบนี้ คนมาจีบเพียบนะคร้าบบบบบบบ" ที่ไอ้อาร์มแซวก็ถูก ผมเหล่มองเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างตัว

"แต่มันเรื่องมากไง ใครเข้ามาจีบก็ไม่สน ระวังเถอะมึง เรื่องเยอะนักจะอยู่บนคานแบบไอ้มิลค์" ไอซ์พูด

"อ้าวไอ้เหี้ย เกี่ยวอะไรกับกู"

"ไอ้มิลค์ กูอยากรู้ ..." ไอ้อาร์มเขยิบตัวมาใกล้ๆ ทำหน้าสงสัยเสียเต็มประดา

"... มึงกับพี่กายได้กันยังวะ"

"ไอ้เหี้ย!!! มึงถามเหี้ยอะไรเนี่ย" ผมโวย

"ไอ้มิลค์ มึงมีพิรุธ ... ตอบมา" ผมมองไปรอบๆ ทำไมพวกมันมองมาที่ผมเป็นสายตาเดียวกัน

"ยัง" ผมตอบไอ้อาร์ม

"จริงดิ ? "

"จริงซิวะ มือยังไม่เคยได้จับเลยด้วยซ้ำ"

"หวงตัวขนาดนั้น" ไอ้นี่ได้ที สัมภาษณ์ผมไม่เลิก

"กูไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะไอ้เหี้ย!!!" ผมทำเสียงดังกลบเกลื่อน วกออกจากเรื่องของกูเถอะ ... ขอร้อง

"แล้วทำไมกับไอ้บอนมึงไวไฟจังวะ" แทนที่จะรอดตัว ผมกลับโดนขุดลึกลงไปเรื่อย ๆ

"สถานะการณ์มันพาไป" ผมตอบพลางหลุบตาลงต่ำ

"ยังไงวะ"

"มึงก็อย่าไปซักมันมาก ... มิลค์ มึงมาดวลเหล้ากับกูดีกว่า" ไอซ์ยกยิ้มมุมปากเมื่ออยู่ๆจีก็เบรคไอ้อาร์มหน้าคะมำ ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มรายการเจาะใจไอ้มิลค์

ยังดีที่อามร์มันเข้าใจเจตนาแฝงของจี ถึงได้หยุดถามแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระ ... ส่วนผมตอนนี้ก็ได้แต่มองขวดเหล้าและขวด mixer ตรงหน้าที่จีไปขนออกมาจากตู้เย็น

"พลัดกันชงคนละแก้ว จะใส่เหล้าหรือ mixer เท่าไหร่ก็ได้ ... ใครเมาก่อนแพ้" ผมพยักหน้า

"คนชนะได้อะไร"

"ไม่รู้ ... มึงชนะให้ได้ก่อนแล้งค่อยว่ากัน"

"อ้าวไอ้เหี้ย พูดแบบนี้มาเลยดีกว่า" โดนดูถูกแบบนี้มีเหรอที่ผมจะยอม ego ในตัวมันเร้าร้อนไปหมด

"แก้วแรกกูให้มึงชงให้ก่อน..." จีพูดพลางยื่นแก้วมาตรงหน้า

".... กูขอ mixer เป็นโซดานะ" ผมจัดให้ตามที่เจ้าตัว request ... ใส่น้ำแข็ง เทเหล้าลงไปเยอะๆ ... แบบนั้นแหละ 555 แล้วตามด้วยโซดาเล็กน้อย ... มึงตายแน่ไอ้จี

ชงเสร็จผมก็ส่งแก้วให้คนตรงหน้า ในใจนี่ยิ้มกรุ่มกริม คืนนี้กูต้องมอมมึงให้ได้ ... มันยื่นมือมารับ สายตาคมจ้องหน้าผม ผมฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่มันจะยกแก้วตรงหน้าขึ้นดื่ม

"อ่าาาาาา ทีกูบ้างละ" ผมกระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้าตาค้าง มันดื่มหมดแก้วโดยไม่มีท่าทางอิดออด ... มองน้ำเมาสีทองค่อยถูกรินลงลงแก้ว จีมองหน้าผม ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้ม

"โค้กละกัน จะได้กินง่ายหน่อย" ผมพยักหน้ารับ ... ความจริงคือผมกินของพวกนี้ไม่เก่งเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้เวลาเพื่อนๆ ที่มหาลัยเก่าตั้งวง ผมมักจะบ่ายเบี่ยงเสมอ

ผมรับแก้วมาจากมือของเพื่อนสนิท แม้ลังเลที่จะดื่มแต่ก็ต้อง keep cool เข้าไว้ ได้กลิ่นแอลกอฮอร์ลอยขึ้นมาจากแก้วจางๆ ริมฝีปากบางสวยจรดลงลบแก้วเนื้อใส สัมผัสแรกคือ รสหวานนำก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงรสขมติดปลายลิ้น ... อร่อย

"ชอบละซิ" คนตรงหน้าเอ่ยถาม เมื่อเห็นผมทำสีหน้ากรุ่มกริ่ม

จากนั้นเรา 2 คนก็ผลักกันชงเหล้าให้อีกฝ่าย ไม่นานผมก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า หัวใจเริ่มเต้นแรง ในขณะที่คนตรงหน้ายังดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก ใบหน้าสวยเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ ดวงตาที่ปกติมักจะมีเสน่ห์อยู่แล้วตอนนี้กลับหวานเยิ้มเป็นประกาย จีมองเพื่อนสนิทตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้

"มันเมาแล้ว?" เสียงของไอซ์ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดิมอ้อมมามองหน้ามิลค์ มันเมาจนแทบจะตั้งตัวให้ตรงไม่ได้ นั่งโยกไปเยกมาไม่ต่างกับตุ๊กตาล้มลุก

"ใครบอกกูเมา .... จี กินอีก ชงมาให้มิลค์อีก ... มิลค์จะกินอีกกกกก" คนเมาเถียงด้วยน้ำเสียงอ้อแอ่ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง จนทำให้เพื่อนสนิททั้ง 2 คน หน้าตึงไปพร้อมๆ กัน

"สภาพแบบนี้ มึงคงไม่มีวันปล่อยให้มันไปเมาที่ไหนแน่ ๆ" ไอซ์พูดขึ้นพลางใช้ศอกสะกิดจี

"ฮึ อย่าได้หวังจะไปเมาให้ใครเห็นเลยมึง" มือทั้ง 2 ข้างชงเหล้าอย่างชำนาญก่อนจะส่งให้เพื่อนสนิท

"มึงยังจะชงให้มันอีกเหรอ" ไอซ์ทัก

"ให้มันกินไป มันจะได้รู้ว่า limit มันอยู่ตรงไหน"

"เท่าที่เห็นนี่คือ 4 แก้วก็เมาแล้วไหมวะ"

"3 นิดๆ" ดวงตาชั้นเดียว มองคนตรงหน้าอย่างเอ็ดดู

"คออ่อนสัส ... มันเอาความมั่นใจมาจากไหนวะว่าจะมอมมึงได้" ไอซ์พูดน้ำเสียงเจอปนความขบขัน

แก้วน้ำเมาแก้วแล้วแก้วเหล่าถูกส่งให้มิลค์ ในขณะที่นั่งดื่มเป็นเพื่อน คนตาชั้นเดียวอดพินิจพิจารณาเพื่อนสนิทตรงหน้าไม่ได้ เพราะที่ผ่านมามิลค์มีปัญหาเรื่องการปรับตัว เลยทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยมีสังคมกับเพื่อนมหาลัยเดิมเท่าไหร่นัก ไม่อยากคิดเลยว่าพอกลับมาในสังคมของตัวเองแล้ว คนตรงหน้าจะโดดเด่นมากแค่ไหน ... มันเปลี่ยนไปจากสมัยก่อนราวกับเป็นอีกคน โครงหน้าที่เคยจิ้มลิ้ม ตอนนี้กลับมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เครื่องหน้าของมันสวย ปากนิด จมูกหน่อย ผิวเนียนละเอียด มือนุ่มไม่ต่างจากหมอนในโรงแรมชั้นดี ตามประสาลูกคุณหนูที่แทบจะไม่เคยหยิบจับอะไรเอง ... มันแต่งตัวเก่งขึ้น ต้องยอมรับว่ารสนิยมการแต่งตัวของมิลค์ดีขึ้นจากเดิมมาก โดยเฉพาะ sense การเลือกเครื่องประดับ สร้อยข้อมือและแหวนสีเงินที่สวมอยู่ทั้งนิ้วมือทั้งซ้ายขวาช่วยขับให้ look ของมันดูสูงเกินเอื้อมขึ้นไปอีก ... profile ของมิลค์ แน่นอนว่าไม่ธรรมดา มันเป็นลูกคนเดียว ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องรวยขนาดไหน ขับ BMW series 6 ตั้งแต่เข้าปี 1 คอนโดที่มันอยู่ช่วงมัธยมไม่ใช้ห้องขนาด 30 หรือ 75 กว่าตารางเมตรที่เห็นได้ทั่วไป แต่คือ penthouse ขนาด 300 กว่าตารางเมตรใจกลางเมือง ไหนจะบ้านหรู ใหญ่โตราวกับวังที่มีแค่แม่บ้านอยู่กับหมาชิวาว่า 2 ตัว ... แค่นี้ก็รับรองว่าได้แล้วว่าพอเปิดเทอมมันจะกลายเป็นจุดสนใจมากแค่ไหน

“จีกูไม่ไหวแล้วววววววววววว ... เวียนหัว” ความคิดฟุ้งซ่าน ถูกดึงกลับมาด้วยเสียงอ้อแอของคนตรงหน้า ใบหน้าของมันย้อมไปด้วยสีแดง ดวงตาหวานเยิ้มมมมมม และนั้นยิ่งเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดอีกเป็นเท่าตัว

“งั้นไปนอนไหม” ดูเหมือนเท่านี้น่าจะพอให้มันรู้ว่า limit ของตัวเองคือเท่าไหร่ พอพรุ่งนี้มันตื่นมาพร้อมกับอาการ hang ผสมกับคำพูด psycho ของเขาอีกนิดหน่อย รับรองว่าคนอย่างไอ้มิลค์จะไม่มีวันปล่อยให้ตัวเองเมาต่อหน้าคนอื่นแน่นอน

“ปายยยยยยยยยย” เจ้าตัวพยายามลุกแต่เพราะเกือบจะล้มหน้าคะมำ จีเลยต้องเข้าไปช่วยพยุง

“มันไม่ไหวแล้ว ?” ไอซ์ที่เดินผ่านมาพอดีถาม

“อืม เดียวกูพามันไปนอนแล้ว”

“น่าสมเพศฉิบหาย ...” ไอซ์ยกยิ้มมุมปากให้กับสภาพของเพื่อนสนิทตัวเล็กที่ไหลไปไหลมาในออมแขนของจี

“... เมาแล้วโคตรเรื้อน ... แต่ก็น่ารักดีนะ ...” ทันทีที่ได้ยิน ‘waring word’ คนตาชั้นเดียวตวัดสายตามองแรงเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“... หวงเกินเบอร์ไปมาก ... มึงก็รู้ ถ้ากูจะเอา รับรองได้ว่าต่อให้คบกับไอ้บอนอยู่ กูก็แย้งมาได้ ...” จีหน้าตึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินที่ไอซ์พูด เพราะเจ้าตัวก็เคยสงสัยว่าไอซ์จะแอบคิดอะไรเกินเลยกับเพื่อนสนิทของตัวเองหรือเปล่า มันเป็นคนเจ้าชู้และนั่นเป็นสาเหตที่ไอซ์ไม่ชอบหน้าไอ้บอน มันเคยบอกว่าแค่เห็นครั้งแรกก็รู้เลยว่าสุดท้ายไอ้บอนต้องทำให้มิลค์เสียใจ

“... เอามันไปนอนไป ... แล้วมึง 2 คนอย่างทำเลอะเทอะนะ” ยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอซ์

“สันตีน” พูดจบจีก็พยุงพามิลค์เข้าห้องนอน

อ๊อก อ๊อกกก เสียงแปลกดังขึ้นจากคนตัวเล็ก ทันทีที่ประมวลผลได้ว่าเกิดอะไรขึ้นร่างสูงก็แทบจะอุ้มคนตัวเล็กกว่าเข้ามาให้ห้องน้ำ

อ้วกกก … อ้วกกกกกกกกกกกกกก...

คนตัวเล็กแทบจะเอาหัวคว่ำมุดลงในโถชักโครก ถ้าไม่ได้จีคอยประคองไว้ มือหนาลูปหลังเพื่อนสนิทอย่างทะนุถนอม

...อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...

สภาพไอ้มิลค์ที่แทบจะนอนกอดคอห่านเป็นภาพที่ไม่น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะเอาหัวมุดลงโถส้วมจริงๆ จีก็อยากจะวิ่งไปเอากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้

“อืมมมมมม” อ้วกเสร็จไอ้ตัวดีก็เริ่มงอแง

“หมดแล้วใช่ไหม ... จะอ้วกอีกหรือเปล่า ...” คนตัวเล็กได้แต่ส่ายหัวไปมา

“... บ้วนปากก่อน” จีพูดพลางพยุงเพื่อนสนิทขึ้นมาหน้าอ่างล้างมือ มิลค์แทบจะทรงตัวไม่อยู่ เขาเลยต้องโอบเอวเพื่อประคองเอาไว้จากด้านหลัง ... ตาชั้นเดียวมองค้างที่กระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า มิลค์ที่ตัวอ่อนตัวพับกำลังบ้วนปากอย่างทุลักทุเล โดยมีจีโอบเอวบางยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง และในจังหวะที่มิลค์เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของจีบังเอิญสบกับสายตาหวานเยิ้มของมิลค์ ทั้งคู่จ้องตากันผ่านบานกระจก ก่อนที่ท่อนแขนแกร่งจะกระชับเอวบางของเพื่อนสนิทเข้าหาตัวอย่างไม่อาจหักห้ามใจ


----------


มิลค์ : You can want me. You can even dream of me จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ But unless I choose you — you don’t touch

#มือยังไม่เคยได้จับ #กอดไหล #โอบเอว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 14 : เส้นทางแห่งการเลือก
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 08-07-2025 19:16:19
อ้วกกก … อ้วกกกกกกกกกกกกกก...

คนตัวเล็กแทบจะเอาหัวคว่ำมุดลงในโถชักโครก ถ้าไม่ได้จีคอยประคองไว้ มือหนาลูปหลังเพื่อนสนิทอย่างทะนุถนอม
 
...อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก...

สภาพไอ้มิลค์ที่แทบจะนอนกอดคอห่านเป็นภาพที่ไม่น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะเอาหัวมุดลงโถส้วมจริงๆ จีก็อยากจะวิ่งไปเอากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้


----------


มิลค์ : หมดกันภาพลักษณ์ที่สร้างมา จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคอห่านเป็นเพื่อนรัก

#เมา #คอห่านเพื่อนรัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 14 : เส้นทางแห่งการเลือก
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 10-07-2025 21:18:15
ในจังหวะที่มิลค์เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของจีบังเอิญสบกับสายตาหวานเยิ้มของมิลค์ ทั้งคู่จ้องตากันผ่านบานกระจก ก่อนที่ท่อนแขนแกร่งจะกระชับเอวบางของเพื่อนสนิทเข้าหาตัวอย่างไม่อาจหักห้ามใจ


----------

มิลค์ :  กับคนบางคน ยืนนิ่งให้เขาโอบเอวเฉย จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเมาไม่รู้เรื่อง

#เพื่อนสนิทครับ #โอบเอว #จ้องตา
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 14 : เส้นทางแห่งการเลือก
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 11-07-2025 13:11:53
“ไอ้จี ออกไปเลย กูร้อน” ผมโวยเพราะนอกจากจะเหนื่อยใจเรื่องอาหารแล้ว อากาศตอนเที่ยงก็ร้อนจนแทบระเหิดกลายเป็นไอ

“หงุดหงิดจังวะ” มันมองหน้าผม ก่อนสายตาจะไล่ลงมายังกล่องอาหารที่อยู่ในมือ ... แล้วมันเขยิบออกไปนั่งกินของตัวเอง ... บทสนทนาของคนรอบตัวยังดังต่อเนื่อง ... เชี่ย!!! รสชาดแดกไม่ได้เลย ... ผมกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ตัดสินใจยอมแพ้

“เดียวกูลุกออกไป แล้วซักพักมึงตามกูไปนะ” มันกระซิบเบาๆ ข้างหู ก่อนจะลุกเดินออกไป... ผมรอ ประมาณ 5 นาทีก่อน แล้วค่อยลุกเดินตามหลังมันไป

“ให้กูตามมาทำไมวะ” พอเดินเลี้ยวมาหลังพุ่มไม้ ก็เจอเพื่อนสนิทยืนกอดอกรออยู่

“จะพาไปโรงอาหาร”

“จริงดิ!!! แถวนี้มีโรงอาหารด้วยเหรอ” ดวงตาของผมเป็นประกายวาววับทันทีที่ได้ยินว่าจีจะพาไปโรงอาหาร รอดตายแล้วโว้ยยยยยย


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ  จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออากาศร้อนราวกับซ้อมตกนรก ถ้าได้ไอติมซักแท่งก็ดี

#อากาศร้อน #ใจร้อน #อารมณ์ร้อน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 15
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 11-07-2025 21:18:05
#สุขสันต์วันหยุดยาวครับ
#มาช้าแต่มานะ  :laugh:
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 15 : โลกใบใหม่ใบเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 13-07-2025 10:56:22
ตอนที่ 15 : โลกใบใหม่ใบเดิม

ผมก้าวลงจากรถ พร้อมกระชับกระเป๋าทรง sport ในมือ แสดแดดยามเช้าส่องผ่านร่มเงาของต้นไม่ใหญ่ที่ขึ้นอยู่เต็ม 2 ฝั่งถนน ทำให้เกิดเป็นเงาไม้ทอดยาวไปตามทางเดินภายในมหาวิทยาลัย เงาไม้เหล่านั้นดูเหมือนมีชีวิตยามพริ้วไหวไปตามสายลมของช่วงปลายฤดูร้อน ... เสียงกลองสันทนาการดังกระหึ่มเป็นจังหวะ ... บรรยากาศของการรับน้องเวียนกลับมาอีกครั้ง

… ‘G’

“มึงถึงหรือยัง” เพื่อนสนิทเอ่ยถามทันทีที่ผมกดรับสาย ฝั่งของจีมีเสียงดังโวกเหวกโวยวายแทรกเข้ามาเป็นระยะ ประกอบกับเสียงอึกทึกครึกโครมรอบข้าง ทำให้ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงของจี

“ถึงแล้ว อยู่จุดลงทะเบียน” ผมหยุดยืนอยู่หน้าจุดลงทะเบียน

“รออยู่ตรงนั้น เดียวกูไปหา” พูดจบมันก็วางสายไป ผมหันมองรอบตัว ทุกคนพร้อมใจกันใส่เสื้องานรับน้องทำให้บรรยากาศในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความสดใส ... ไม่นานจีก็เดิมมาถึง

“เอาบัตรนิสิตมา” ผมส่งบัตรนิสิตให้คนตรงหน้า จีรับบัตรไปจากมือของผม แล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังหาใครซักคน

“กูไปเช็คมาแล้ว ... โต๊ะ 5 ไอ้น๊อตเพื่อนกู เดียวมันจัดการให้ ...” ไม่นานไอซ์ก็เดินมาสมทบ

“... ว่าไงปี 1 เจอพวกกูไม่ไหว้ ปีนเกลียวเหรอมึง” มันอมยิ้มพร้อมส่งยักคิ้วข้างเดียวมาให้

“กวนตีน ... ไอ้เหี้ย!!!” ด่ามันไม่ทันขาดคำ มันก็ถลาเข้ามาล๊อคคอผม ก่อนจะลากผมไปยังจุดลงทะเบียน

“เพื่อนมึงจริงๆ แล้วใน list อยู่บ้าน B นะ ... แต่ถ้าอยากอยู่บ้าน P ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนวะ” คนตรงหน้าพูดพลางมองหน้าไอซ์ ก่อนจะเลื่อนสายตามองจี และสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่ผม

“ไอ้น๊อต!!! อย่ากวนตีน” ไอซ์กดเสียงต่ำ

“เอาไม่เอา” น็อตถามพลางเลิกคิ้ว ทำท่าลอยหน้าลอยตา ดูก็รู้ว่าจงใจกวนประสาทไอซ์

“มึงจะเอาอะไร” ไอซ์ถาม

“เบอร์เพื่อนนึง” ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ ... พูดจริง?

“Black 1 ขวด ...” จีพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าของเพื่อนสนิทเคร่งขรึม บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ถูกท้าทาย

“... 2 ขวด ... 3 ขวด ... ถ้าไม่เอากูไปขอให้คนอื่นช่วย”

“ตกลง ... จริงๆ คือกูพูดเล่น 555 แต่มึงสัญญาแล้วนะ ...” เพื่อนของไอซ์ฉีกยิ้มกว้าง ทำเอาผมใจหายใจคว่ำไปหมด

“... ไอซ์ เพื่อนมึงใจปล้ำดีวะ จริงๆ กูโอเคตั้งแต่ขวดแรกแล้วนะ 555 ... ยินดีต้องรับสู่มหาวิทยาลัย XXX นะน้อง ...” พูดจบน็อตก็หยิบเอาบัตรห้อยคอที่ตรงกลางพิมพ์ชื่อ ‘บ้าน P’ ออกมา ก่อนจะเขียนชื่อของผมกับคณะลงในช่องที่เว้นว่างไว้

“... เป็นหมอซะด้วย เห็นแบบนี้แล้วอยากเป็นน้องหมาเลย” น๊อตส่งยิ้มแพรวพราว บัตรห้อยคอถูกยื่นออกมาตรงหน้า ทว่าบัตรนั้นกลับถูกจีกระชากไปจากมืออย่างรวดเร็ว ข้อมือของผมถูกมือหนาของจีคว้าไว้ เป็นสัญญาณให้ผมเดินตามมันออกมาจากตรงนั้นทันที

ผมเดินตามจีและไอซ์จนถึงจุดรวมตัวของบ้าน P มีนิสิตปี 1 หลายคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ผมเอากระเป๋าไปวางรวมกับคนอื่นก่อนจะเดินกลับมาหาจี

“ใส่ไว้ ...” ป้ายชื่อถูกคล้องลงลำคอระหงษ์โดยเพื่อนสนิท

“... มึงแน่ใจนะว่าคืนนี้จะไม่ไปนอนค้างบ้านกู” งานรับน้องเป็นงานต่อเนื่อง 3 วัน 2 คืน จะค้างคืนที่หอพักของมหาวิทยาลัยหรือไม่ค้างก็ได้ ไม่ได้บังคับ

“กูนอนหอได้ แค่นี้สบายมากอยู่แล้ว”

“มึงไปคิดอีกทีละกัน ถ้าเปลี่ยนใจก็บอก” ผมพยักหน้าก่อนจะแยกไปนั่งรวมกับเด็กปี 1 คนอื่นๆ

ผมนั่งขัดสมาธิลงต่อหลังผู้หญิงคนหนึ่ง เธอตัดผมสั้น สวนเสื้อยืนงานรับน้องเหมือนผม กางเกงยีนซีดๆ รองเท้าผ้าใบขาดๆ ให้อารมณ์ของผู้หญิงที่ออกจะทะมัดทะแมนหน่อย

“หวัดดี นายชื่ออะไร” เธอหันกลับมาถาม แม้จะดูห้าวๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโครงหน้าของเธอสวยมาก

“เราชื่อมิลค์ คณะสัตวแพทย์ เธอละ” ผมตอบพลางยกป้ายห้องคอให้เธอดู

“เราชื่อพลอย คณะวิศวะ” คณะเดียวกับจีเลย

หลังจากแนะนำตัว เรา 2 คนก็คุยเรื่องราวสัพเพเหระต่างๆ นานา ก่อนที่ใครซักคนจะสะกิดหลังผม

“หวัดดี” ผมทักทาย เด็กผู้ชายตัวสูงอีกคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“เราชื่อกันต์ คณะวิทย์กีฬา ... นายละ”

“เรามิลค์ คณะสัตวแพทย์ ... นี่พลอย คณะวิศวะ”



กิจกรรมรับน้องใหม่เริ่มต้นด้วยการให้น้องใหม่แต่ละคนออกมาแนะนำตัวเอง พร้อมกับแสดงท่าเต้นประจำตัว สำหรับผมแล้ว การพูดแนะนำตัวต่อหน้าคนที่ไม่คุ้นเคยยังพอทำใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมกังวลใจยิ่งกว่าคือการต้องเต้นท่าทางประกอบเพลง... สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดในบรรดากิจกรรมรับน้องทั้งหมดก็คือการเต้นสันทนาการ ผมไม่ชอบที่จะต้องมาเต้นท่าทางตลกๆ ต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่สนิทสนมด้วย ความจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะจีบังคับ ผมคงไม่มีทางโผล่หน้ามาในงานรับน้องของมหาวิทยาลัยแน่นอน

"คนต่อไปเชิญเลยครับ" ถัดจากพลอยก็ถึงคิวผม

"สวัสดีครับผมชื่อมิลค์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ... ท่าของผมแบบนี้ๆ" เสียงซุบซิบฮือฮาดังขึ้นเมื่อผมใช้ท่าหากินประจำตัว ... เอา 2 มือมาประกบเป็นรูปหัวใจ เอียงหัว และฉีกยิ้มกว้างงงงงงงงงง ... จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันทวนชื่อและคณะของผมพร้อมกับทำท่าตาม

"ฮืมมมมม หืมมมมมมม หัวใจพี่แทบวาย น่ารักสมเป็นว่าที่คุณหมอจริงๆ เลยครับ" พี่ที่เป็นคนนำสันทนาการเอ่ยปากแซวด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่

ถัดจากผมก็เป็นคิวของกันต์ แน่นอนว่าเพราะคนข้าง ๆ สูงโปร่ง สมส่วนตามแบบฉบับเด็กคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ทำให้ไม่แปลกใจที่จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากทั้งน้องปี 1 และรุ่นพี่ปี 2 ดังขึ้นระงม ยิ่งมันเลือกท่าประจำตัวเป็นท่าเบ่งกล้าม ก็ยิ่งเข้ากับคณะที่ตัวเองเรียนอยู่

"3 คนนี้นี่รู้จักกันมาก่อนไหมครับ..." พี่คนที่ถือโทรโข่งถาม พวกคนทั้ง 3 คนเลยส่ายหน้าพร้อมกัน

"... อยู่ด้วยกันแล้วเหมือนบ้าน P ของพวกเราคัดหน้าตากันมาเลยเนอะ ... กิจกรรมต่อไปขอน้องมิลค์ น้องกันต์มาเป็นคนสาธิตท่าเต้นถัดไปของพวกเราดีกว่า ..."

"... มีใครรู้จักท่าแมงมุมมั้ง" ผมหน้าตึงทันทีที่ได้ยินชื่อท่า ไม่ชอบทำท่าตลกๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งท่า 2 แง่ 3 ง่าม แบบนี้ผมยิ่งไม่ชอบ ... แต่ก็คงไม่มีทางเลือกซินะ ... เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร เลยไม่ได้ตั้งใจฟังพี่ๆ อธิบายมากนัก

"มาเลยครับๆ ใครชอบ กรีดออกมาได้เต็มเสียงนะครับ ... เริ่มต้นจากน้องมิลค์อยู่ข้างล่าง น้องกันต์อยู่ข้างบนนะครับ..." ผมลงไปกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับพื้น ก่อนที่กันต์จะคลานมาคร่อมอยู่ด้านบน

"... พร้อมนะครับ 1 2 3 ... แมงมุม ..." ผมขยับเขยื้อนร่างกายไปตามเนื้อเพลงและจังหวะกลองสันทนาการ แม้จะไม่ชอบแต่ก็อดที่จะหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอาจริงคือผมไม่มีแรงมากขนาดจะยกตัวขึ้นลงตามจังหวะหรอก แค่ต้องคลานถอยหลังด้วยทาทางแปลกประหลาดพิสดารก็ยากพอแล้ว คนที่ยกตัวขึ้นลงส่วนมากจะเป็นไอ้กันต์ซะมากกว่า นักกีฬาแบบมันแค่นี้สบายมากอยู่แล้ว ... เสียงหัวเราะปนเสียงกรี๊ดกร๊าดดังสนั่นเคล้าไปกับเสียงกลองสันทนาการที่เร่งจังหวะขึ้น

"... ขามาน้องมิลค์อยู่ล่างไปแล้ว ขากลับขอน้องมิลค์สลับมาอยู่ข้างบนบ้างนะครับ ..." ผมพยักหน้ารับพร้อมกับสลับตำแหน่ง เสียงหัวเราะสนุกสนานดังขึ้นเมื่อเรา 2 คนเข้าประจำที่ มันจะไม่ตลกได้ยังไงในเมื่อไอ้กันต์ตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ พบสลับมาอยู่ด้านบน ผมนี่แทบจะโกงตัวขึ้นราวกับทำท่ายืดหลังบริหารกล้ามเนื้อ

"พร้อมนะครับ 1 2 3 .... แมงมุม ...." เสียงหัวเราะดังจนแทบจะกลบเสียงกลอง ทั้งผมและกันต์ต่างก็กลั้นขำ พอก้าวเดินท่าแมงมุมไปได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็เริ่มเมื่อย เลยค่อยๆ ลดระดับการโก่งตัวของตัวเองลง แต่เพราะไอ้กันต์มันไม่ทันสังเกต ทำให้จังหวะที่มันยกตัวขึ้น ส่วนล่างของเราจึงสัมผัสกันอย่างจัง ผมตกใจจนมือไม้อ่อน

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดด" เสียงกรีดร้องของเหล่าสาววายดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เมื่อผมทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงไปทับไอ้กันต์ทั้งตัว แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมตัวเล็ก หรือเพราะความเป็นนักกีฬาของมัน ทำให้มันยังทรงตัวไว้ได้ เหมือนจะดีที่มันไม่ล้มจนหลังกระแทกพื้น แต่เคราะห์กรรมกลับมาตกอยู่ที่ผม เพราะต้องรีบคว้าเกาะร่างของมันไว้แน่นราวกับลูกลิง ไม่อย่างนั้นหน้าของผมคงได้ไปไถกับพื้นคอนกรีตเป็นแน่

ทันทีที่เห็นร่างของเพื่อนสนิทแนบชิดอยู่กับรุ่นน้อง ขาทั้ง 2 ข้างของจีก้าวออกจากจุดที่ตัวเองยืนกอดอกมองอยู่ มือหนาคว้าเข้าที่ขอบกางเกงของมิลค์ ก่อนจะกระชากร่างอีกคนให้ลุกยืนขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว

"มึงเล่นอะไรวะ ถ้าน้องตกลงไปเจ็บตัวใครจะรับผิดชอบ" จีหันไปพูดกับเพื่อนตัวเองน้ำเสียงเข้มๆ แววตาแฝงไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

"น้องมิลค์ พี่ขอโทษ เจ็บไหม เป็นอะไรหรือเปล่า" พี่ที่นำกิจกรรมสันทนาการรีบเอ่ยขอโทษผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ผมไม่เป็นไรครับ" ผมตอบตามความจริง เพราะนอกจากตกใจแล้วก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร

ช่วงพักกลางวัน หลังจากที่รับข้าวกล่องมาจาก staff พวกเราก็แยกย้ายกันไปจับกลุ่มกินข้าว ... ผมมองกล่องข้าวในมืออย่างระเหี่ยใจ ผมไม่เคยบอกใช่ไหม นอกจากเรื่องมากเรื่องพื้นห้องน้ำและแสงไฟสีขาวแล้ว ผมยังเรื่องมากเรื่องของกินด้วย ผมไม่ชอบกินอาหารค่ายทุกชนิดไม่ว่าจะมาในรูปของอาหารกล่อง หรือที่ต้องไปยืนต่อแถวตักใส่จาน เพราะจำฝังใจมาตั้งแต่ค่ายลูกเสือสมัยเด็กว่าอาหารค่ายไม่อร่อย แล้วไม่รู้ทำไม ไม่ว่าจะเป็นอาหารค่ายที่ไหนมันก็ไม่เคยอร่อยซักที ... ในมือของผมตอนนี้คือข้าวกระเพราะไก่ไข่ดาว เนื้อไก่สีซีด พริกที่มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่ารสชาติคงเผ็ดจนลิ้นแทบขาด ไข่ดาวน้ำมันเยิ้ม ... เฮ่อออออ บ่นไปคนอื่นก็จะหาว่าเรื่องมาก กินให้พออิ่มๆ ท้องไปละกัน

“ไอ้มิลค์ กูนั่งด้วย” หลังจากที่นั่งเขี่ยพริกออกได้ซักพัก จีก็หย่อยตัวลงมานั่งขัดสมาธิตรงหน้า

“พี่จีกับมิลค์รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ” พลอยถามเมื่อเห็นจีพูดภาษาพ่อขุนรามกับผม

“ใช่ครับ มิลค์เป็นเพื่อนสนิทพี่ รู้จักกันมาตั้งแต่มัธยม” พูดจบมันก็เอื้อมแขนมาพาดคอผมอย่างสนิทสนม

“ไอ้จี ออกไปเลย กูร้อน” ผมโวยเพราะนอกจากจะเหนื่อยใจเรื่องอาหารแล้ว อากาศตอนเที่ยงก็ร้อนจนแทบระเหิดกลายเป็นไอ

“หงุดหงิดจังวะ” มันมองหน้าผม ก่อนสายตาจะไล่ลงมายังกล่องอาหารที่อยู่ในมือ ... แล้วมันเขยิบออกไปนั่งกินของตัวเอง ... บทสนทนาของคนรอบตัวยังดังต่อเนื่อง ... เชี่ย!!! รสชาดแดกไม่ได้เลย ... ผมกินไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก็ตัดสินใจยอมแพ้

“เดียวกูลุกออกไป แล้วซักพักมึงตามกูไปนะ” มันกระซิบเบาๆ ข้างหู ก่อนจะลุกเดินออกไป... ผมรอ ประมาณ 5 นาทีก่อน แล้วค่อยลุกเดินตามหลังมันไป

“ให้กูตามมาทำไมวะ” พอเดินเลี้ยวมาหลังพุ่มไม้ ก็เจอเพื่อนสนิทยืนกอดอกรออยู่

“จะพาไปโรงอาหาร”

“จริงดิ!!! แถวนี้มีโรงอาหารด้วยเหรอ” ดวงตาของผมเป็นประกายวาววับทันทีที่ได้ยินว่าจีจะพาไปโรงอาหาร รอดตายแล้วโว้ยยยยยย

จากนั้นเรา 2 คนเดินผ่านร่มไม้ในมหาวิทยาลัย ไม่นานก็มาโผล่ที่โรงอาหาร

“ปิดเทอมอยู่ ร้านไม่เยอะเท่าไหร่ ... มึงกินได้นะ” จริงๆ แล้วในโรงอาหารมีร้านอาหารนับ 10 ร้าน แต่ที่เปิดอยู่น่าจะ 6-7 ร้าน

“อะไรก็ได้ ขอแค่ไม่ใช้อาหารค่ายก็พอ”

“มึงไปซื้อข้าวไป เดียวกูไปซื้อน้ำให้ ... น้ำเปล่าเหมือนเดิมปะ”

“โค้กได้ไหมอะ อากาศร้อน” มันพยักหน้า แล้วก็เดินแยกไปร้านน้ำ



“ถ้ามึงจะนอนหอ มื้อเย็นกูพามึงหนีออกมาแบบนี้ไม่ได้นะ ...” จีพูดในขณะที่เรา 2 คนเดินกลับมาจากโรงอาหาร

“... มึงแน่ใจว่าจะนอนหอ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน ... ถ้ามึงเข้าไปแล้วกูพาออกมาไม่ได้นะ”

“นอนได้ๆ แค่นี้เอง”

“มึงลองคิดดูอีกทีละกัน” ผมละไม่เข้าใจ วันนี้จีถามผมเรื่องนอนหอบ่อยมาก



“เอาไงมิลค์ ... ไปนอนบ้านกูเถอะ” จียังคงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผมเปลี่ยนใจ ในขณะที่ผมยืนต่อแถวรอเซ็นชื่อเข้าหอพัก

“ไม่เอา กูอยากนอนหอกับเพื่อน”

“มึงเชื่อกูดิวะ มึงนอนหอในไม่ได้หรอก มันหนักกว่าหอที่มึงเคยนอนอีก”

“ไม่!!! กูนอนได้” ผมเริ่มขึ้นเสียงอย่างหงุดหงิด จีพยายามคะยั้นคะยอให้ผมเปลี่ยนใจไปนอนบ้านมันตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว

“ทำไมมึงไม่ฟังกูบ้างวะ” พอผมหงุดหงิด คนข้างๆ ก็เริ่มอารมณ์ร้อนตาม

“แล้วมึงเป็นไรเนี่ย จะบังคับกูทำไม”

“เฮ่ออออ ทำไมดื้อจังวะ กูไม่ทะเลาะกับมึงแล้ว จะทำไรก็ทำ ...” ไม่บ่อยนักที่ทีจีจะแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่ผม ส่วนผมเองก็สะบัดหน้าหนี โกรธมันเหมือนกัน

“... นี่ขนม มึงเอาไป” ถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

“ไม่!!!” ผมเหล่ตามองของข้างใน มีทั้งขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก แฮม และน้ำ แต่เพราะยังโกรธอยู่ ผมเลยปฏิเสธความหวังดีของมัน

“อย่างี่เง่า” คนตรงหน้าพูดอย่างเหลืออด

“กูไม่ได้งี่เง่า ... ไอ้จี!!!” แล้วมันยัดถุงขนมใส่มือผม ก่อนจะเดินกระแทกเท้าปึงปังไปอีกทาง ... มึงคิดว่ามึงโกรธเป็นคนเดียวหรือไงวะ

20 นาทีผ่านไป

... ทำไมมันไม่รับสายวะ

... รับดิวะๆๆๆๆๆ

... ผมนั่งอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ ในใจรู้สึกร้อนรน กระวนกระวายไปหมด

“มีไร” ขอบคุณสวรรค์ที่สุดท้ายเพื่อนสนิทก็รับสาย ... แต่น้ำเสียงจะเหวี่ยงไปถึงไหนวะ

“จี มึงมารับกูได้ไหมอะ ... กูไม่ไหวอะ ... ขอร้อง” ผมพูดกับมันเสียงแผ่ว พยามยามใช้เสียงที่ 4 เพื่อขอความเห็นใจ... ego ที่ก่อนหน้านี้สูงราวตึก 20 ชั้น ตอนนี้ระเหิดกลายเป็นไอไปแล้ว

“ไหนมึงบอกว่าอยู่ได้ไง”

“กูไปนอนบ้านมึงด้วยได้ไหมอะ ... เปลี่ยนใจแล้ว” เปลี่ยนจากเสียงที่ 4 เป็นเสียงที่ 8 มารับกูเถอะ กูขอร้องงงงงงงงงงง

“มึงนี่มัน!!!” จบประโยค มันก็ตัดสายไปดื้อๆ

ผมนั่งคอตกอยู่บนเตียง เงยหน้ามองพัดลมที่หมุนอยู่กลางเพดานห้อง สภาพหอในคือเก่าและโทรมมากกกกกกกกก ห้องนอนโคตรเล็ก แถมต้องนอนกับใครก็ไม่รู้อีกตั้ง 3 คน ไหนจะห้องน้ำรวมอีก ... เชี่ย น้ำตาจะไหล

ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ประตูห้องที่ทำจากไม้สีซอมซ่อถูกเปิด (กระชาก) ออก นัยตาสวยลุกวาวเป็นประกายเมื่อเห็นเพื่อนสนิทยืนอยู่ตรงหน้า แต่พอเห็นสีหน้าตึงเป็นยักษ์วัดแจ้งของจี หัวใจที่เคยพองโตเมื่อวินาทีที่ผ่านมาก็เหมือนจะฝ่อลีบลงไปไม่น้อย

"มึงไม่ต้องพูดอะไรเลยนะ" มันพูดกับผมด้วยน้ำเสียงดุดัน พร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหนาคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าทรง sport ที่วางอยู่ข้างเตียง แล้วหันหลังเดินออกไปโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก ... ทันทีที่ผมตั้งสติได้ ก็รีบก้าวตามคนตรงหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

“จี กู...”

“มึงหยุดเลย” มันหันกลับมาถลึงตาใส่ผม ... ริมฝีปากที่กำลังจะเอ่ยคำขอโทษถึงกับหยุดชะงัก ... ผมพยักหน้าหงึกๆ ทำตัวลีบๆ เดินตามหลังเพื่อนสนิทลงจากหอ ... ด้านล่างรุ่นพี่ปี 2 ที่โต๊ะลงทะเบียนต่างขมวดคิ้วเมื่อเห็นผมเดินตามจีออกมา

“พี่ครับ ...” เดิมทีผมตั้งใจจะปลีกตัวออกไปอธิบายพี่เขา

“มิลค์!!! มึงจะเลิกดื้อแล้วเดินตามกูมาเงียบๆ ได้ไหมวะ” สองขาของผมพลันหยุดชะงักราวกับถูกแช่แข็ง ก่อนจะก้าวตามหลังเพื่อนสนิทไปอย่างว่านอนสอนง่าย ... อะไรจะดุปานนั้นนนนนนนนนนนน

ตลอดทางออกจากหอผมเงียบสนิทราวกับลืมเสียงพูดของตัวเองไว้ข้างบน มันเลี้ยวซ้าย ผมเลี้ยวซ้าย มันเลี้ยวขวา ผมเลี้ยวขวา มันเดิน ผมเดิน มันหยุด ผมหยุด ... จนกระทั้งรถ taxi สีเขียวเหลืองถูกโบกให้จอดอยู่หน้ามหาวิทยาลัย ผมทำตัวลีบบบบบบเดินเข้าห้องโดยสารด้านหลังทันทีที่เพื่อนสนิทหน้ายักษ์เปิดประตูรถแล้วใช้สายตาบอกให้ผมก้าวขึ้นรถไปก่อน

หลังจากบอกจุดหมายปลายทาง ในห้องโดยสารก็เงียบกริบ บรรยากาศมาคุราวกับสงครามเย็นจนลุงคนขับต้องขออนุญาติเปิดวิทยุเพื่อสร้างความผ่อนคลาย ทำนองเพลงลูกทุ่งดังคลอไปกับการจราจรที่เริ่มหนาแน่นตามประสาของเย็นวันธรรมดา

ผมพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ... ร่างโปร่งค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ เมื่อสังเกตได้จากหางตาว่าคนข้างๆ ไม่ได้แสดงพฤติกรรมต่อต้าน ศรีษะทุยก็ค่อยๆ โน้มไปทางซ้ายจนพิงแนบไปกับไหลกว้าง เมื่อจีไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน ผมจึงทิ้งน้ำหนักของศรีษะลงบนหัวไหล่ที่มักใช้แอบอิงอย่างคุ้นเคย ... เพราะผมรู้ว่าจีใจแข็งกับผมได้ไม่นาน

เฮ่อออออ ก็ง้อไม่ยากเท่าไหร่นิ ผมกระหยิมยิ่งย่องอยู่ในใจ

โป๊ก!!! ยังไม่ทันได้คลายยิ้ม ศรีษะทุยก็ถูกเหวี่ยงกลับมาทางเดิมจนกระแทกเข้ากับกระจกประตูรถ ... อารมณ์เกรี่ยวกราดประทุขึ้นเหมือนกองไฟที่โดนสาดด้วยน้ำมัน

“พี่ครับผมจะลงตรงนี้” เออ!!! กูไม่ง้อแล้วก็ได้ ... เล่นตัวฉิบหาย

“ไม่ต้องครับ พี่ไปต่อได้เลย” ผมตวัดสายตามองคนที่นั้งอยู่ข้างๆ ในขณะที่ผมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนข้างๆ กลับนิ่งสนิทราวกับภูเขาน้ำแข็ง

“ไอ้เหี้ยจี มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม” ผมขึ้นเสียง

“ถ้ามึงลงจากรถ ...” นิ้วมือเรียวสวยชะงักอยู่ที่มือจับประตู

“.... วันนี้มึงโดดดีแน่ไอ้มิลค์” 

ผมกำลังชั่งน้ำหนักในใจว่าจะไปให้สุดเพราะกลัวเสียหน้า หรือจะพออยู่แค่นี้ก่อนจะโดนคนข้างๆ หักคอ แต่พอเห็นสายตาที่จ้องมองมาเท่านั้น ... ผมรีบดึงมือกลับกุมไว้บนตักเหมือนเดิม ... เชื่อเถอะว่าจี version ‘winter is coming’ น่ากลัวว่า version ‘Godzilla’ เป็นพันเท่า


----------


มิลค์ : ใครวะ? ปากแซ๊บเหมือนยกพริกมาทั้งสวน Ego ก็สูงราวตึก 20 ชั้น ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ ไม่กล้าข้ามเส้นที่ 'จี' ขีดไว้

#Godzilla #Winter #DomSub
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 15 : โลกใบใหม่ใบเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 16-07-2025 13:14:47
ผมก้าวลงจากรถ พร้อมกระชับกระเป๋าทรง sport ในมือ แสดแดดยามเช้าส่องผ่านร่มเงาของต้นไม่ใหญ่ที่ขึ้นอยู่เต็ม 2 ฝั่งถนน ทำให้เกิดเป็นเงาไม้ทอดยาวไปตามทางเดินภายในมหาวิทยาลัย เงาไม้เหล่านั้นดูเหมือนมีชีวิตยามพริ้วไหวไปตามสายลมของช่วงปลายฤดูร้อน ... เสียงกลองสันทนาการดังกระหึ่มเป็นจังหวะ ... บรรยากาศของการรับน้องเวียนกลับมาอีกครั้ง

#รับน้อง #น้องปี1
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 15 : โลกใบใหม่ใบเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 17-07-2025 13:42:46
"สวัสดีครับผมชื่อมิลค์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ ... ท่าของผมแบบนี้ๆ" ผมใช้ท่าหากินประจำตัว ... เอา 2 มือมาประกบเป็นรูปหัวใจ เอียงหัว และฉีกยิ้มกว้างงงงงงงงงง

"ฮืมมมมม หืมมมมมมม หัวใจพี่แทบวาย น่ารักสมเป็นว่าที่คุณหมอจริงๆ เลยครับ"


#หัวใจ #ยิ้มกว้างงงงงงง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 15 : โลกใบใหม่ใบเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 18-07-2025 16:01:14
“มีไร”

“จี มึงมารับกูได้ไหมอะ ... กูไม่ไหวอะ ... ขอร้อง”

“ไหนมึงบอกว่าอยู่ได้ไง”

“กูไปนอนบ้านมึงด้วยได้ไหมอะ ... เปลี่ยนใจแล้ว”

“มึงนี่มัน!!!”

ผมนั่งคอตกอยู่บนเตียง เงยหน้ามองพัดลมที่หมุนอยู่กลางเพดานห้อง สภาพหอในคือเก่าและโทรมมากกกกกกกกก ห้องนอนโคตรเล็ก แถมต้องนอนกับใครก็ไม่รู้อีกตั้ง 3 คน ไหนจะห้องน้ำรวมอีก ... เชี่ย น้ำตาจะไหล

#เสียงที่8 #เหี่ยวเฉา #ดื้อ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 19-07-2025 14:16:35
Teaser ตอนที่ 16

ผมกำลังเหยียดตัวนอนอ่านการ์ตูนอยู่บนโซฟา ในขณะที่เพื่อนสนิทนั่งหันหลัง on MSN แม้ว่าบรรยากาศระหว่างเราจะไม่ได้มาคุเท่ากับเมื่อเย็น แต่หลังจากขึ้นมาบนห้อง จีก็ยังไม่คุยกับผม อ่านการ์ตูนไปก็เหลือบมองแผ่นหลังของมันไป พลางนึกอยู่ในใจว่าจะหาวิธีไหนมาง้อให้คุณเขาหายโกรธ

“มิลค์ ไปอาบน้ำ” ผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ ทั้งที่เจ้าตัวยังคงหันหลังให้อยู่

“ยังอะ ขออีกแป๊บ” ผมตอบพลางพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนในมือไปหน้าถัดไป

“ไปอาบน้ำ กูรอมึงอาบอยู่เนี่ย กูจะได้อาบซักที ... พื้นห้องน้ำเปียกมึงก็บ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดอีก” นิ้วมือเรียวสวยที่กำลังพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนหยุดชะงัก

“เออๆ” แม้จะยังไม่อยากลุก แต่ถ้าผมยังดื้อไม่เข้าเรื่องอยู่ มีหวังจะยิ่งทำให้จีโกรธมากขึ้นกว่าเดิม ผมเลยยอมลุกเดินเข้าห้องน้ำตามที่เจ้าของห้องบอกอย่างว่าง่าย... แม้จะทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นและพองโตอย่างบอกไม่ถูก ... โกรธผมแทบตาย แต่ก็ยังใส่ใจความรู้สึกของผมเสมอ


----------

มิลค์ ; เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ จากน้องมิลค์คนเดิมเพิ่มเติมคือมีคนคอยใส่ใจ

#ไปอาบน้ำ #ไม่อยากลุกแต่ลุก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-07-2025 11:33:29
ตอนที่ 16 : โอ้ ... น้องเอ้ย

บรรยากาศมาคุระหว่างผมกับจีจางหายไปในทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน เพราะถึงเวลาอาหารเย็นพอดี และแม้ว่าจะมีแขกพิเศษอย่างผมร่วมโต๊ะเพิ่มมาอีกคน แต่ม๊าก็สามารถรังสรรค์อาหารเลิศรสเพิ่มได้หลายเมนูในเวลาอันรวดเร็ว

“จี ลื้อตักอาหารให้อามิลค์อีกหน่อย” สิ้นเสียงม้า ผัดหมีคำโตก็ถูกตักใส่จานอาหารตรงหน้า

“ขอบคุณครับ” ผมค้อมหัวขอบคุณม๊าที่เอ็ดดูลูกนอกไส้คนนี้มาโดยตลอด

“กินๆๆ ไม่ต้องเกรงใจ” แววตาของผมเป็นประกายเจิดจ้า ผัดหมี่ของม้ายังอร่อยเหมือนเดิม

“จี ตักไข่ลูกเขยให้อามิลค์ ...” สิ้นคำสั้งของม๊า ไข่ลูกเขย 2 ฟองก็ถูกตักมาวางอยู่ตรงหน้า ความกระหยิมยิ่งย่องในใจกลับมาอีกครั้ง ... ลูกรักของบ้านก็แบบนี้แหละครับ

“... น้ำราดด้วย” มือที่เพิ่งจะละออกจากจานของผมไปเมื่อครู่ กลับมาอีกครั้งพร้อมช้อนกลางตักแกงจืดขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำราดมะขามหวาน

ป๊าบ!!! แล้วฝ่ามือของคนมีอายุก็ฟาดเข้าที่ต้นแขนของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินเสียง ... ม๊าไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย

“โอ้ยม๊า!!! ก็ตักให้อยู่ไง” เจ้าต้วทำหน้ามุ้ยราวกับเด็กอนุบาล

“ตักดีๆ ลื้ออย่างแกล้งเพื่อนแบบนั้น”

“ยิ้มอะไร มึงยังมีคดีติดตัวอยู่นะ” มันกดเสียงต่ำ กระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่ 2 คน ผมอมยิ้มแล้วตักไข่ลูกเขยเข้าปาก น้ำราดที่จีตักให้เมื่อกี้ ทำให้จานอาหารของผมไม่ต่างอะไรกับถ้วยน้ำแกง

“วันนี้ทำไมใส่เสื้อคล้ายกันละ” ป๊าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถาม

“วันนี้รับน้องมหาลัยครับ มิลค์เป็นน้องปี1 ส่วนจีเป็น staff ครับ” ผมตอบ

“เรียนมหาลัยเดียวกันก็ดีแล้ว จะได้ช่วยเหลือกันและกัน” ป๊าพยักหน้ารับรู้

“555 ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ คณะของมิลค์กับจีอยู่คนละโซนกันเลย” เพราะคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นคณะเก่าแกเลยตั้งอยู่ในพื้นที่หลักของมหาวิทยาลัย ในขณะที่คณะของผมแยกออกมาเป็นชนกลุ่มน้อย

“แค่นี้เอง ... ขนาดอยู่คนละมหาลัย ตอนอีอกหัก ยังขับรถข้ามกรุงเทพมาหาได้”

“555” ได้ยินประโยคจี้ใจดำ ผมก็กลั้นอารมณ์ขันไว้ไม่อยู่ ปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา ... หมดกันภาพลักษณ์ของมิลค์ คน cool ๆ

“ป๊า!!!” คนตรงหน้าโวยวายกลบเกลื่อน ผมเหลือบมองเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆแล้วอมยิ่ม ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจีหลุดฟอร์มขนาดนี้ ... ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าป๊าก็รู้เรื่องจีอกหักเหมือนกัน



ผมกำลังเหยียดตัวนอนอ่านการ์ตูนอยู่บนโซฟา ในขณะที่เพื่อนสนิทนั่งหันหลัง on MSN แม้ว่าบรรยากาศระหว่างเราจะไม่ได้มาคุเท่ากับเมื่อเย็น แต่หลังจากขึ้นมาบนห้อง จีก็ยังไม่คุยกับผม อ่านการ์ตูนไปก็เหลือบมองแผ่นหลังของมันไป พลางนึกอยู่ในใจว่าจะหาวิธีไหนมาง้อให้คุณเขาหายโกรธ

“มิลค์ ไปอาบน้ำ” ผมถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ ทั้งที่เจ้าตัวยังคงหันหลังให้อยู่

“ยังอะ ขออีกแป๊บ” ผมตอบพลางพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนในมือไปหน้าถัดไป

“ไปอาบน้ำ กูรอมึงอาบอยู่เนี่ย กูจะได้อาบซักที ... เดียวกูอาบก่อนแล้วพื้นห้องน้ำเปียกมึงก็บ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดอีก” นิ้วมือเรียวสวยที่กำลังพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนหยุดชะงัก

“เออๆ” แม้จะยังไม่อยากลุก แต่ถ้าผมยังดื้อไม่เข้าเรื่องอยู่ มีหวังจะยิ่งทำให้จีโกรธมากขึ้นกว่าเดิม ผมเลยยอมลุกเดินเข้าห้องน้ำตามที่เจ้าของห้องบอกอย่างว่าง่าย... แม้จะทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นและพองโตอย่างบอกไม่ถูก ... โกรธผมแทบตาย แต่ก็ยังใส่ใจความรู้สึกของผมเสมอ

พอผมอาบน้ำเสร็จ จีก็สลับเข้าไปอาบน้ำบ้าง ... ผมเอนตัวลงนอนอ่านหนังสือการ์ตูนรอเจ้าของห้องอยู่บนเตียง ไม่นานจีก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่ใช้เช็ดผมสั้นๆ ที่ยังคงเปียกหมาดๆ ของมัน

“มิลค์ เช็ดผมให้แห้ง จะได้นอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเข้าไปใส่บาตรกับคนอื่นๆ” มันบ่นทันทีที่เดินมาถึงเตียงแล้วยังเห็นว่าเส้นผมที่เริ่มยาวของผมยังคงไม่แห้งสนิทดี

“นอนเลยก็ได้ กูง่วงแล้ว” ผมวางการ์ตูนบนหัวเตียง แต่ยังไม่ทันจะล้มตัวลงนอน ผ้าขนหนู่ผืนเล็กก็ถูกวางลงบนศรีษะ ... จากนั้นมือหนาของเพื่อนสนิทก็วางทับลงมาแล้วเริ่มออกแรงเช็ดหัวให้อย่างเบามือ

“นอนทั้งที่ยังเปียกแบบนี้เดียวก็เป็นหวัดกันพอดี ...” คนด้านหลังพูดพลางออกแรงยกให้ผมหงายหัวขึ้นเล็กน้อย ผมนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง แรงเช็ดที่กำลังพอดีทำให้รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก

“... ผมมึงยาวแล้วนะ ถ้าขี้เกียจเช็ดก็ไปตัดผมสั้นไป”

“กูชอบผมยาว ...” ผมเถียง จีชอบตัดผมสั้นเพราะม๊าไม่ชอบคนไว้ผมยาว ส่วนผมจะตัดทรงไหนก็ได้เพราะไม่มีใครมาคอยบังคับ ... แต่ถึงจะไว้ผมยาว ม๊าก็รักผมอยู่ดี ฮุๆๆ

“... กูขอโทษเรื่องเมื่อเย็น ... กูน่าจะรู้ว่ามึงหวังดี”

“ไม่เป็นไร กูไม่ได้โกรธแล้ว ...”

“... แต่มึงนะ ดื้อน้อยลงหน่อยดิวะ ...” ผ้าหนูถูกดึงออกไป ... มือหนาสอดนิ้วเข้ามาตามเส้นผมยาวสลวย เมื่อแน่ใจว่าแห้งสนิท จีลุกจากเตียงแล้วเดินเอาผ้าไปใส่ตระกร้าในห้องน้ำ ก่อนจะเดินกลับมาหาผมที่นั่งรออยู่บนเตียง

“... นอนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ...

“... พรุ่งนี้นาฬิกาปลุกแล้วมึงอาบน้ำก่อนเลยนะ เสร็จแล้วฝากปลุกกูด้วย”

“อืม” ผมตอบรับเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ... ไฟในห้องมืดสนิท ... ความรู้สึกเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่ ผมผล็อยหลับไป ในขณะที่ความคิดสุดท้ายยังคงวนเวียนอยู่กับคำขอบคุณที่ตั้งใจว่าจะเอ่ยกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ อีกสักครั้ง



“อะ!!! ... ทำไม 2 คนนี้มาด้วยกัน” รุ่นพี่ปี 2 คนหนึ่งมองผมกับจีสลับกันไปมา หลังจากที่เห็นเรา 2 คนเดินลงจาก Taxi คันเดียวกัน

“อย่าบอกนะว่ามึงเคลมน้องมิลค์ไปแล้ว” รุ่นพี่อีกคนสมทบ

“เพ้อเจ้อ ... ไอ้มิลค์เป็นเพื่อนสนิทกูตั้งแต่มัธยม” แล้วแขนหนักๆ ก็พลาดลงมาบนไหล่ของผม แม้จะไม่ได้แสดงออกแต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามีความไม่พอใจแฝงอยู่ในน้ำเสียง

“อ้าว รุ่นเดียวกันเหรอเนี่ย งั้นไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเรียกเหมือนคนอื่นๆ ดีกว่า” ผมไม่ได้มีประเด็นอะไรกับเรื่องรุ่น อายุเท่ากันผมก็เรียกพวกเขาว่าพี่ได้ เรียกเหมือนคนอื่นๆ ก็ง่ายดี

“ไปเร็วมิลค์ พระมาโน่นแล้ว” จีใช้ข้อศอกสะกิดให้ผมเดินตามไปต่อแถวใส่บาตรพระ

เรา 2 คนนั่งคุกเขาอยู่บนพื้น ในมือของเพื่อนสนิทมีถุงกระดาษขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ม๊าเตรียมไว้ให้สำหรับใส่บาตรตั้งแต่เมื่อคืน ... เมื่อพระภิกษุเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหนาของจีก็ล้วงของในถุงส่งให้ผม ผมรับมาก่อนจะค่อยๆ ใส่ของเหล่านั้นลงในบาตร ใส่ของไปได้ครึ่งหนึ่งผมก็สลับหน้าที่กับจีบ้าง เดียวเราจะได้บุญไปไม่เท่ากัน ... ใส่บาตรเสร็จเรา 2 คนพนมมือขึ้นพร้อมกันเพื่อรับพร

“มัน 2 คน ... เป็นเพื่อนกันจริงดิวะ” รุ่นพี่หลายคนที่เห็นเหตุการณ์ถามไอซ์ด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

“เพื่อนสนิทกัน” ไอซ์ตอบด้วยสีหน้าปกติ แต่ในใจเขาก็รู้สึกเหมือนที่คนอื่นสัมผัสได้ ... โอ๋มากกกกกกกกก มากถึงขนาดที่เมื่อวานตอนกลางวันแอบพาไอ้มิลค์หนีออกไปกินข้าวที่โรงอาหาร เพราะเจ้าตัวกินข้าวกล่องไม่ได้ พอตอนบ่ายก็หลบออกไปซื้อเสบียงเผื่อว่าไอ้มิลค์ไม่ยอมเปลี่ยนใจไปนอนค้างบ้านตัวเอง ตอนเย็นก็โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ไอ้มิลค์ดื้อจะนอนหอในให้ได้ แล้วสุดท้ายก็โทรมาขอให้ขึ้นไปรับ โกรธแต่ก็วิ่งเต้นจนสามารถเอาไอ้ตัวดีออกจากหอในได้ เมื่อวานเห็นเดินหน้าตึงพาไอ้มิลค์กลับบ้าน ไม่รู้เมื่อคืนไปง้อกันอีท่าไหน เช้านี้ต่างคนต่างยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งลงมาจาก taxi ... ตอนเล่นเกมเพื่อนสนิทของไอซ์โกรธมากที่พอเผลอแป๊บเดียวก็มีคนเอาไอ้มิลค์ไปสาธิตท่าเต้นทะลึ่งๆ แล้วยิ่งเห็นไอ้มิลค์กอดเอวน้องปี 1 เป็นลูกลิง เจ้าตัวถึงระงับอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ต้องเดินออกไปจัดการกับภาพบาดตาด้วยตัวเอง

“เกินเบอร์มากกกกกกกกก ... นี่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนกัน กูคิดว่า 2 คนนี้กำลังทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันซะอีก” ใครซักคนพูดขึ้นมา ในขณะที่ไอซ์หัวเราะในลำคอให้กับภาพตรงหน้า ... เพื่อนสนิทของเขา 2 คน นั่งคุกเข่ากับพื้น พนมมือรับพรจากพระ ดูยังไงก็ไม่เหมือนเพื่อนสนิท แต่ถ้าบอกว่าเป็นคู่รักละก็ ... โอ้ยยยยย กูไม่คิดแล้วไอ้เหี้ยยยยยยย



กิจกรรมวันนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเดิมมากนัก เต้นสันทนาการ ละลายพฤติกรรม อาจจะมีไปร่วมเต้นกับบ้านรับน้องอื่นบ้าง อาหารค่ายยังคงน่าเบื่อ มื้อกลางวันจีแอบพาผมหนีมากินข้าวที่โรงอาหารเหมือนเมื่อวาน

“อะมิลค์” แก้วน้ำพลาสติกถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ผมมองแก้วที่เพิ่งรับมาจากมือของเพื่อนสนิท ในแก้วอัดน้ำแข็งไว้จนแน่น ต่างจากคนอื่นๆ ที่มีน้ำแข็งเพียงเล็กน้อย

“ขอบใจ” ผมส่งยิ้มให้ น้ำเย็นๆ ช่วยดับร้อนได้เยอะ จีจำได้เสมอว่าผมชอบกินน้ำเย็นๆ แล้วก็ชอบเคี้ยวน้ำแข็งเกร็ด ในทางกลับกันผมก็จำได้ว่าคนข้างๆ ชอบดื่มน้ำอุณภูมิปกติมากกว่า จีไม่กินน้ำอัดลม ตั้งแต่รู้จักกันมา มันกินน้ำอัดลมนับครั้งได้ ... เมื่อก่อนผมติดน้ำอัดลมแต่ตอนนี้กลับกินนับครั้งได้ไม่ต่างกัน แน่นอนว่านิสัยนี้ของผมติดมาจากเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อะ เช็ดหน้าซะ” หลังจากดื่มน้ำจนเกือบหมด และกำลัง enjoy น้ำแข็งเกร็ดที่เหลืออยู่ในแก้ว

“ขอบใจมากมึง” ผมส่งยิ้มให้มันอีกครั้งก่อนจะหยิบทิชชูเปียกจากมือของจีมาเช็ดหน้า

“มึงเหงื่อออกเยอะมาก” จีพูดพลางใช้มือพัดอยู่ข้างใบหน้าสวย

“ร้อนอะ” ปกติผมเป็นคนขี้ร้อนอยู่แล้ว พอต้องมาทำกิจกรรม outdoor ใบหน้าเลยเคลือบไปด้วยเหงื่อ

“ทนหน่อยมึง เดียวก็หมดช่วงกิจกรรมแล้ว ...”

“... เย็นนี้ไม่ได้กลับบ้านนะ”

“ฮะ!!! ทำไมอะ”

“เย็นนี้หลังคอนเสิร์ต จะมีบายศรี เสร็จแล้วตามธรรมเนียมจะโต้รุ่งกันที่มหาลัย”

“อ่อ เอาดิ ... มึงอยู่กูก็อยู่” ผมยักไหล่ ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก จีอยู่ไหนผมก็อยู่นั้น

มื้อเย็นจีไม่ได้พาผมออกไปกินที่โรงอาหาร เพราะเวลากระชั้นชิดเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็แอบพาผมออกไปซื้อขนมจากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ ... คอนเสิร์ตสนุกมากกกกกกกกก เสียดายที่จีต้องไปเป็น staff เลยไม่ได้อยู่ดูคอนเสิร์ตด้วยกัน ผมเลยทำได้แค่ส่งสายตาหามันจากระยะไกลเท่านั้น ... จบคอนเสิร์ตพวกเราย้ายมายังใต้ตึกเรียนของคณะอะไรซักอย่าง น้องปี 1 ถูกจัดให้นั่งจับกลุ่มหันหลังให้กันอยู่กลางวงล้อมของรุ่นพี่ ไม่นานไฟใต้ตึกก็ดับลงพร้อมกับเนื้อร้องเพลงบายศรีที่ดังขึ้นท่ามกลางแสงเทียง ผมที่เคยผ่านกิจกรรมบายศรีมาแล้วพอคิดถึงบรรยากาศรับน้องตลอดช่วง 2 วันที่ผ่านมาก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์ร่วม

“ไอซ์ ผูกข้อมือให้กูหน่อย” ผมยื่นข้อมือขวาให้เพื่อนสนิทตรงหน้า มันเบ้ปากเมื่อเห็นสายสิญจน์หลายสิบเส้นบนข้อมือของผม

“ชิห์!!! มาให้กูผูกเป็นคนสุดท้าย ใช่ซิ ไม่เห็นหัวกูแล้วนี้” มันเบ้ปาก ทำท่าสะดีดสะดิ้ง ... น่ารักตายห่าแหละมึง

“กูเห็นมีคนต่อแถวรอให้มึงผูกเยอะ เลยไม่อยากชัดจังหวะ ...”

“... ได้เบอร์มากี่คนวะ” จากประสบการณ์ทำให้ผมรู้ว่าความ popular ของรุ่นพี่สามารถวัดได้จากจำนวนของรุ่นน้องที่มาต่อแถวให้ผูกข้อมือ

“ก็หลายคนอยู่ … แซวแต่กู ดูข้อมือตัวเองซะก่อน ... ลูกสาวกูเดียวนี้แรดใหญ่แล้วเว้ย ...” มันยิ้มล้อเลียน เพราะในทางกลับกัน ความ popular ของรุ่นน้องก็สามารถวัดได้จากจำนวนสายสิญจน์บนข้อมือเหมือนกัน

“... มาๆ เดียวก็ผูกข้อมือให้ ...” พูดจบไอซ์ก็เอาสายสิญจน์จุ่มน้ำตาเทียน ... ผมสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนบนข้อมือเมื่อเมื่อถูสายสิญจน์ไปมา ... ไอ้เลวววว จงใจแกล้งกูชัดๆ

“... ขอให้มึงโชคดี กูดีใจที่สุดท้ายมึงได้ทำตามฝันของตัวเอง ... ขอให้ได้เกรดดีๆ และมีความสุขกับการเรียนให้มาก ... ที่สำคัญ ...” แล้วมันก็ขมวดสายสิญจน์เป็นปมแน่น

“... ขอให้มีผัวเป็นตัวเป็นตนซักที 555”

“ไอ้เหี้ยไอซ์!!!” ผมแยกเขี่ยวใส่มัน กำลังจะซึ้งกับคำอวยพรของมันอยู่พอดี ... ไอซ์ก็คือไอซ์ จะจริงจังแค่ไหนมันก็วนเข้าโหมดไร้สาระได้เสมอ

“มึงไปให้ไอ้จีผูกข้อมือยัง” ไอซ์ถามเมื่อผูกข้อมือของผมเสร็จ ไม่มีคนต่อหลังรอให้มันผูกแล้ว ผมเลยมีเวลานั่งคุยกับมันต่อได้

“ยังเลย” ผมเหลือบมองเพื่อนสนิทอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล ยังมีคนต่อแถวให้จีผูกข้อมืออีกหลายคน ... และในจังหวะที่จีเงยหน้าขึ้นมา เรา 2 คนก็บังเอิญสบตากัน เพียงแค่เสี่ยววินาทีที่นั้นที่ผมสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของเพื่อนสนิท ก่อนที่มันจะก้มหน้าลงเพื่อผูกข้อมือให้น้องที่นั่งอยู่ตรงหน้าจนเสร็จ

“ไปต่อแถวเถอะ ... มันรอผูกให้มึงอยู่”

ผมเดินมาต่อแถว มีคนต่อแถวอยู่หน้าผมประมาณ 5 คน มองไปรอบๆ จีน่าจะเป็นรุ่นพี่เพียงไม่กี่คนที่ยังมีน้องปี 1 ต่อแถวรอให้ผูกสายสิญจน์ เพราะรอบข้างต่างคนต่างวุ่นวายกับกิจกรรมของตัวเอง ผมเลยได้โอกาสลอบพิจารณาเพื่อนสนิทโดยที่ไม่มีใครสนใจ ... ตาชั้นเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ ผิวขาวสไตล์ลูกคนจีน จมูกมีดั้งกำลังสวย มองผ่านๆ พระเอกเกาหลีชัดๆ ... จีเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย มันก็เปลี่ยนไปจากจีคนเดิมในความทรงจำของผม เด็กผู้ชายผมสั้น ตาตี๋ที่นั่งกินขนมกับผมที่โรงอาหารในวันนั้น ตอนนี้กลายเป็น net idol เกาหลีไปแล้ว ... ผมมองมันผูกข้อมือใครต่อใคร สีหน้าของจีเรียบเฉย มีบางครั้งที่มันยกยิ้มมุมปากในขณะที่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะด้วยความเขินอาย ... นึกทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา ถึงวันนี้เรา 2 คนผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกันมากมาย จะหัวเราะหรือร้องไห้ จะรักครั้งแรกหรืออกหัก เราต่างก็อยู่ข้างกันและกันเสมอมา ... มันคือเพื่อนสนิทที่สุดของผม เป็นคนๆ เดียวที่ผมพูดได้เต็มปากว่าแค่เรามองตากันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร

“มิลค์ นั่งดิ ...”

“... น้องครับ พี่ขอโทษนะ แต่สายสิญจน์พี่หมดแล้ว ... เอาไว้วันหลังพี่ผูกให้เนอะ” ทันทีที่ผมขัดนั่งสมาธิลงตรงหน้า จีก็เบี่ยงตัวไปคุยกับรุ่นน้องด้านหลังอีก 2-3 คนที่ยังคนต่อแถวรอ ผมไม่รู้ว่าคนด้านหลังทำสีหน้ายังไงแต่ซักพักเสียงพูดคุยด้านหลังก็เงียบหายไป

“... ยื่นมือมา ...” ผมยื่นมือซ้ายให้ เพราะเป็นข้างที่มีสายสิญจน์ผูกอยู่น้อยกว่า จะได้จำได้ว่าอันไหนเป็นของจี

“... 2 มือ” แม้จะสงสัยแต่ผมก็ยื่นมือทั้ง 2 ข้างออกมาตรงหน้า

ฉับ !!!

เฮ้ย!!!” ผมอุทานตกใจ เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าหยิบกรรไกรออกมาตัดสายสิญจน์ที่แขนขวา ฉับเดียวขาดตั้งแต่เส้นแรกยันเส้นสุดท้าย กว่าจะตั้งสติได้มือหนาของจีก็คว้าแขนซ้ายผมไว้พอดี ผมออกแรงดึงกลับแต่มันก็ยื้อไว้ไม่ยอมปล่อย

“อย่าดื้อ” เสียงทุ้มต่ำของจีทำให้ผมผ่อนแรงแขนโดยไม่อาจต้านทาน คนตรงหน้ายกยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเห็นว่าผมนั่งนิ่งๆตามความต้องการของเจ้าตัว

จี มึงไปตัดของคนอื่นได้ไง” ผมพูดเสียงแผ่วเบา พยายามไม่ทำตัวให้เป็นจุดสังเกต

ฉับ !!!

คนตรงหน้ายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนที่คมกรรไกรจะตัดสายสิญจน์ที่แขนซ้ายออก มือหนากวาดเศษสายสิญจน์ที่ร่วงอยู่บนพื้นใส่ถุงพลาสติกอย่างไม่ใยดี ราวกับเป็นเพียงขยะชิ้นหนึ่ง

“มีของกูแค่คนเดียวก็พอแล้ว ...”

“... วันนี้การเดินทางของมึงเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง กูขอให้มึงตั้งใจเรียน เก็บเกรดดีๆ เอาไว้ และมีความสุขกับชีวิตมหาลัย เก็บเกี่ยวทุกประสบการณ์ที่มึงเคยฝัน ...” ผมปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้าก็เข้าโหมดซึ้ง

“... ความฝันของมึงเป็นจริงแล้ว และกูยินดีกับมึงด้วยมากๆ ...”

“... กูอาจจะไม่เคยพูด แต่กูยังคิดถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ใกล้กันเสมอ ตอนนี้เรา 2 คนกำลังเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง และมันมาพร้อมกับระยะห่างที่เพิ่มมากขึ้น ...”

“... เราอาจจะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนแต่ก่อน อาจจะไม่ได้นั่งเรียนข้างกัน หรืออาจจะไม่ได้กลับบ้านด้วยกันบ่อยๆ ... แต่กูสัญญา ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง กูอยู่ข้างมึงเสมอ”

มือหนาละออกจากข้อมือบาง ... ปมสายสิญจน์ถูกจุ่มลงในน้ำตาเทียนจนชุ่ม แต่แทนที่จะเอาถูกนำมากลิ้งลงบนผิวสะอ้านทันทีเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ จีกลับเป่ามันอย่างทะนุถนอม ... จนน้ำตาเทียนที่เคลือบอยู่เย็นตัวลงจนขึ้นเป็นไข เมื่อแน่ใจว่าไม่หลงเหลือความร้อนที่จะทำให้ผิวเนียนของเพื่อนสนิทระคายเคืองแม้แต่น้อย สายสิญจน์จึงถูกนำมาลูบไล้ข้อมือขาวเนียน ก่อนที่เจ้าตัวจะผูกปลายสายสิญจน์ทั้ง 2 ข้างเข้าหากันเป็นโบว์สวย

ผมมองมือหนาประคองข้อมือของผมไว้ในขณะที่นิ้วโป้งของเพื่อนสนิทยังคงลูปวนอยู่รอบปมสายสิญจน์

ดงวตาคู่สวยช้อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าของเพื่อนสนิท โครงหน้าหล่อเหลาตรงหน้าวูบไหวอยู่ใต้แสงเทียน และเพียงเสี่ยววินาทีที่เราสบตากัน ... หัวใจของผมก็ฟูฟ่องเหมือนจะล่องลอยไปไกลแสนไกล ...


'พี่จะรับขวัญเจ้า เอามาเข้าเป็นขวัญจิต

จะรักดังชีวิต ใจคิดกรุณา'


----------


มิลค์ : แค่ผูกข้อมมือรับน้องต้อง 'ทำถึง' ขนาดนี้เลยเหรอ จากน้องคนเดิม เพิ่มเติมคือใจล่องลอยไปไกลแสนไกล

#ผูกข้อมือ #รับขวัญ #อย่าดื้อ #DomSub
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 16 : โอ้ ... น้องเอ้ย
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 21-07-2025 19:18:05
“จี ตักไข่ลูกเขยให้อามิลค์ ...”

“... น้ำราดด้วย”

ป๊าบ!!!

“โอ้ยม๊า!!! ก็ตักให้อยู่ไง”

“ตักดีๆ ลื้ออย่างแกล้งเพื่อนแบบนั้น”


----------

มิลค์ : รู้ซะบ้างว่าใครลูกรัก ใครถูกเก็บมาเลี้ยง จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือจานข้าวกลายเป็นชามน้ำแกง

#ไข่ลูกเขย #ลูกรักคนใหม่
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 1 : บายศรีคืนนั้น by Ice
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 22-07-2025 16:04:31
ตอนพิเศษที่ 1 : บายศรีคืนนั้น by Ice

ผมยืนพิงเสาแอบมองพวกมัน 2 คนจากมุมตึก มิลค์นั่งขัดสมาธิต่อแถวเป็นคนถัดไป ด้านหลังมีน้องทั้งผู้หญิงผู้ชายอีก 2-3 คน ในจินตนารการของผมคือมีหางจิ้งจอกขนาดใหญ่งอกออกมาจากไอ้จี ทันทีที่ไอ้มิลค์ขยับตัวเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้า ผมเห็นไอ้จีทำเป็นเนียนๆ เอาถุงสายสิญจน์ไปซ้อนไว้ด้านหลัง มันเบี่ยงตัวไปพูดอะไรซักอย่างกับน้องๆ ที่นั่งต่อแถวอยู่หลังไอ้มิลค์ น้องๆ ทำท่าทางเสียดาย แต่สุดท้ายก็ลุกออกไปแต่โดยดี ผมหลุดหัวเราะในลำคอเมื่อประติดประต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด แม่งเอ้ยยยยยย!!! มันไม่แม้แต่จะพยายามซ้อนความรู้สึกของตัวเองด้วยซ้ำ

เออออออ ทำตัวราวกับทั้งโลกเหลือกันอยู่ 2 คน ไม่ต้องสนใจหรอกว่ารอบข้างมีแต่คนแอบชำเลืองมองพวกมึง 2 คนทั้งนั้น คนหนึ่งก็ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม คนนึงก็ทำเป็นเท่ห์นั่งนิ่งๆ คิดว่าตัวเองเป็นพระนายในซีรี่ย์เกาหลีมั้ง

“ไอ้เหี้ย!!” ผมหลุดอุทาน เมื่อไอ้จีคว้ากรรไกรออกมาตัดสายสิญจน์จากข้อมือของไอ้มิลค์ทั้ง 2 ข้าง แล้วกวาดเอาเศษสายสิญจน์ทิ้งลงถุงแบบไม่ใยดี

ไอ้เหี้ยจี ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ไอ้คนเจ้าวางแผน คนอย่างมันต้องคิดแผนนี้ไว้แล้วแน่ๆ ตั้งใจจะประกาศชัดต่อหน้าทุกคนเลยซินะว่าพวกมึงไม่ใช่แค่เพื่อนกัน เห่ออออ ถ้ามึงจะทำขนาดนี้ มึงเขียนป้าย ‘ของกู ... จี’ ห้อยคอไอ้มิลค์ไว้เลยก็ได้ ส่วนไอ้เหี้ยมิลค์นี่ก็แปลก นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตา ไม่ห้าม ไม่ขัดขืน ... ไอ้ฉิบหาย!!! หรือว่าไอ้มิลค์จะมีใจให้มันเหมือนกันวะ

แล้วนั้นอะไร เป่าสายสายสิญจน์ ไอ้เหี้ยยยยยยยย คนก่อนหน้ากูไม่เห็นมึงจะละมุนขนาดนี้ พอมาเป็นไอ้มิลค์เป่าให้หายร้อนก่อน ... 2 มาตรฐานฉิบหาย

เออ!!! เอาเข้าไป ไอ้โมเมนต์ยิ้มหวานแล้วจ้องตากันภายใต้แสงเทียนนี่มันคืออะไร!!!
โอ้ยยยยยยยยยยยยย หมันใส้พวกมันโว้ยยยยยยยย


----------

มิลค์ : ว๊ายยยยย มีคนอิจฉา จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเบ้ปากมองบน

#บายศรี #ใต้แสงเทียน #2มาตรฐาน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ปล. สัปดาห์นี้มีตอนพิเศษ 2 ตอนนะครับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 1 : บายศรีคืนนั้น by Ice
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 24-07-2025 19:55:41
เรา 2 คนนั่งคุกเขาอยู่บนพื้น ในมือของเพื่อนสนิทมีถุงกระดาษขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่ม๊าเตรียมไว้ให้สำหรับใส่บาตรตั้งแต่เมื่อคืน ... เมื่อพระภิกษุเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหนาของจีก็ล้วงของในถุงส่งให้ผม ผมรับมาก่อนจะค่อยๆ ใส่ของเหล่านั้นลงในบาตร ใส่ของไปได้ครึ่งหนึ่งผมก็สลับหน้าที่กับจีบ้าง เดียวเราจะได้บุญไปไม่เท่ากัน ... ใส่บาตรเสร็จเรา 2 คนพนมมือขึ้นพร้อมกันเพื่อรับพร



----------


มิลค์ : ทำบาปมาเยอะเลยขอเติมแต้มบุญสักหน่อย จากน้องมิ้ลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนมาทำบุญร่วมกัน

#ทำบุญ #ร่วมชาติ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 2 : บายศรีคืนนั้น (อีกนิด) by Ice
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 25-07-2025 09:38:46
ตอนพิเศษที่ 2 : บายศรีคืนนั้น (อีกนิด) by Ice

“มึงเล่นใหญ่ขนาดนั้น อายบ้างไหมวะ” ผมถามเมื่อตอนนี้เหลือแค่เรา 2 คนที่ช่วยกันยกอุปกรณ์มาเก็บในห้องเก็บของ

“เสือก” จีตอบกลับมาหน้านิ่งๆ

“หางโผล่แล้วนะมึง” อดไม่ได้จริงๆ วะ ขอแซะซักหน่อยละกัน

“เสือก” เอออออ เอากับมันซิ

“แล้วคืนนี้เอาไง กลับหรืออยู่” ผมถามเพราะตอนนี้ 5 ทุ่มกว่าแล้ว ถ้ามีแค่มัน ผมก็พอเดาได้ว่ามันคงกลับบ้านเพราะผมก็ตั้งใจจะกลับเหมือนกัน แต่พอเห็นโมเมนต์ของพวกมันแล้วเลยชักไม่แน่ใจ

“อยู่ กูบอกมิลค์ไว้แล้วว่าคืนนี้จะโต้รุ่ง”

“จะนั่งคุยกัน 2 คนยันเช้า? มึงกะจะไม่ปล่อยให้คนอื่นทำคะแนนบ้างเลยหรือไง”

“เสือก”

“งั้นกูอยู่ด้วยคนดิ กลับบ้านไปก็นอนเหงาๆ คนเดียว อยู่กับพวกมึง เม้าท์มอยนินทาคนอื่นยันเช้าดีกว่า”

“เสือก” พูดจบมันก็ก้าวยาวอยากไป ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวในห้องมืดๆ ที่มีแต่กลิ่นอับชื้น ... ไอ้ฉิบหาย คืนนี้คืนเดียวกูถูกไอ้จีด่าว่าเสือกรวดเดียว 4 ครั้งเลยเหรอวะ

“ตกลงคืนนี้มึงสองคนโต้รุ่งจริง ๆ เหรอวะ” ผมตะโกนขึ้น เมื่อยังได้ยินเสียงฝีเท้าของมันอยู่ไม่ไกล

“เสือก” อ้าวไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!!! ตกลงว่ากูโดนด่าคืนเดียว 5 ดอกติดกันเลยเหรอวะ



ในห้องนอนที่เกือบจะมืดสนิท มีเพียงไฟจากภายนอกจางๆ ที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเท่านั้น ผ้าห่มถูกเลิกออกจากตัวด้วยอารมณ์หงุดหงิด สุดท้ายผมก็ต้องลุกขึ้นมากินน้ำให้ใจรู้สึกเย็นลง

โอ้ยยยยยยยย!!! มือทั้ง 2 ข้างยกขึ้นมาทึ้งผมตัวเองด้วยความฉุนเฉียว ไอ้เหี้ยยยยยยย กูนอนไม่หลับเพราะภาพเป่าข้อมือมันติดตามาจนถึงตอนนี้ … หมันใส้พวกมันฉิบหาย ... คอยดู พรุ่งนี้กูจะไปคิดบัญชีกับพวกมัน 2 คน


----------


มิลค์ : น้องนอนไม่หลับ หัวใจมันกระสับการส่าย จากน้องมิ้ลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือสมน้ำหน้าคนขี้เผือก

#สมน้ำหน้า #เผือก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 17
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 26-07-2025 10:34:39
Teaser ตอนที่ 17


“เพื่อนมึงเหรอ” แก้วถามในขณะที่เราเดินเข้ามาในตึก

“อืม เพื่อนสนิท”

“หล่ออะ โคตรหล่อ ... จีบได้ปะ มีแฟนยัง” แก้วเอาไหล่มากระแซะต้นแขนอย่างมีเลศนัย อย่าได้คิดว่าคนที่จบโรงเรียนหญิงล้วนมาจะต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย ร้อยมาลัย เพราะแก้วพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช้ คนบ้าอะไร พูดคำหยาบ กินเหมือนพายุ แถมยังชอบหยอดผู้ชายไปทั่ว

“เพ้อเจ่อ” ผมรีบขยับตัวหนีให้ห่าง

“หวงเหรอ” แก้วยังคงตามตอแยไม่เลิก

“หวงบ้าอะไร เพื่อนสนิท” ผมเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“จ๊ะ เพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิท เนอะพวกมึง” แก้วหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ... ผูกไทด์ให้กันด้วยจังหวะ romantic ขนาดนั้น อย่างว่าแต่พระเลยอมมาทั้งโบสถ์ก็ไม่มีใครเชื่อ

“กับแก้วนี่ยิ้มแย้ม กับพวกกูสีหน้าอย่างตึง ไม่หวงก็บ้าแล้ว” ไอ้ต้นรีบผสมโรง

“จะไปคาดคั้นทันทำไม เขาบอกว่าเพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิทซิ...” ถูกต้องแล้วไอ้ต่อ พูดคำเดียวให้มันรู้เรื่องบ้าง

“... เพื่อนสนิทท้องติดกัน มึงเคยได้ยินไหม 555” ไอ้พวกเพื่อนเชี่ย!!!

“เออ!!! เรื่องของพวกมึง ... กูจะเข้าห้องเรียนแล้ว” ผมตัดบท รีบเดินหนีเข้าห้องเรียนดีกว่าอยู่ต่อให้โดนแซวไม่เลิก


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติ่มคือเปิดเทอมแล้ว

#แค่เพื่อนสนิทครับ #แซวแรง
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน 1/2
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 27-07-2025 12:45:22
ตอนที่ 17 : ความฝัน 1/2

เปิดเทอม ผมกับเพื่อนๆ พวกเราต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองเมื่อเปิดภาคเรียนใหม่ ผมและเพื่อนๆ ต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ... จีขึ้นปี 2 แล้ว เป็นปีที่ต้องแยกเรียนตามภาควิชาหลัก เจ้าตัวสมัครเข้าภาควิชาปริโตรเคมี ผมเคยได้ยินมาว่าสาขานี้ถือสาขาอันดับต้นๆ ของคณะวิศกรรมศาสตร์ ที่ไม่ว่าใครที่ได้เรียนจะมีบริษัทมาจองตัวตั้งแต่ยังไม่ทันได้เรียนจบ ดังนั้นเลยไม่แปลกที่พอเปิดเทอม จีก็เหมือนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงผมที่ยังคงใช้ชีวิตสบายๆ ตามประสาเด็กปี 1 ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งวิชาส่วนใหญ่จะวนเวียนอยู่แถวคณะคณะวิทยาศาสตร์ และแม้จะอยู่ไม่ไกลจากคณะวิศวะมากนัก แต่ผมก็ไม่เคยบังเอิญเจอจีเลยสักครั้ง

“มิลค์ บ่ายนี้เราเรียนตึกไหนนะ” แก้ว ... พื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเอ่ยถามขึ้น ขณะที่พวกเรากำลังต่อแถวซื้อน้ำอยู่ที่โรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์

“ตึกฟิสิกส์” พอจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากโรงอาหารพร้อมกับเพื่อนๆ ... คณะวิทยาศาสตร์เป็นอีกหนึ่งคณะเก่าแก่ที่สุดของมหาลัย และยังเป็นคณะที่มีพื้นที่กว้างขวาง มีอาคารเรียนมากมายตามจำนวนสาขาวิชาที่มีให้เลือกศึกษา

กลุ่มของพวกเรามีกันทั้งหมด 4 คน ผม แก้ว ต่อ และต้น ... แก้วกับต่อเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ทั้งคู่เรียนคนละโรงเรียนแต่มารู้จักกันที่ค่าย open house ของคณะ แก้วเรียนโรงเรียนหญิงล้วนที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของผมมากนัก ส่วนต่อจบจากโรงเรียนสหศึกษาย่านชานเมือง สำหรับต้นจริงๆ แล้วมันเป็นคนกรุงเทพแต่ย้ายตามพ่อกับแม่ที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด พวกเรา 4 คนมารวมกลุ่มกันได้เพราะบังเอิญได้นั่งใกล้กันในวันปฐมนิเทศ และเพียงแค่ได้พูดคุยกันก็รู้สึกถูกชะตากันอย่างน่าประหลาด

“มึงไม่ชอบกินน้ำอัดลมเหรอ กูเห็นมึงกินแต่น้ำเปล่า” ต้นถามขึ้นในขณะที่พวกเราเดินผ่านเงาไม้ร่มรื่นในมหาวิทยาลัยเพื่อไปยังตึกเรียนของสาขาฟิสิกส์ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของคณะวิทยาศาสตร์

“ปกติเรากินแต่น้ำเปล่า แต่ถ้าอยากกินน้ำอัดลมก็กินได้นะ”

“ไม่ค่อยเห็นคนกินแต่น้ำเปล่า”

“เราติดจากเพื่อนมานะ” ผมตอบพลางภาพของจีก็ผุดขึ้นมาในความคิด ... ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ผมเลิกดื่มน้ำอัดลมแล้วหันมากินแต่น้ำเปล่า

“มิลค์!!!” ขาทั้ง 2 ข้างหยุดชะงักเมื่อได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคย ... แค่นึกถึงก็ได้เจอ

“จี!!!” พอหันกลับมาก็เจอเพื่อนสนิทส่งยิ้มรออยู่ก่อนแล้ว ... รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย ทั้ง 2 คนต่างเดินแยกออกจากกลุ่มเพื่อนมาหากันและกัน ... เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะบังเอิญเดินเจอกันบ้างในมหาวิทยาลัย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เคยเห็นแม้แต่เงา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอจีในรั้วมหาวิทยาลัย

“เชี่ยยยยย ว่าไงครับปี 1” จีเอ่ยปากแซวด้วยรอยยิ้ม มันเคยเห็นผมในชุดนิสิตมาแล้วตอนพาไปลองเสื้อ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันในชุดเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มปักตราคณะวิศวะ ... โคตรเท่ เหมือนหลุดออกมาจากนิยายรักหวานแหวว

“มึงตัดผม” ผมเอ่ยถาม เพราะจำได้ว่าก่อนเปิดเทอม ผมของคนตรงหน้ายาวกว่านี้

“ม๊าบังคับ ...” มันตอบพลางยกมือขึ้นลูบผมบนศรีษะของตัวเอง

“... นั้นเพื่อนคณะมึงเหรอ?” จีถามพลางมองเลยไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“อืม”

“พาไปรู้จักหน่อย”

"หืม... เอาจริงดิ?" ผมถามพลางชะโงกหน้ามองเลยไหล่ของจีไปด้านหลังบ้าง กลุ่มเพื่อนของจีมากันเกือบสิบคนได้ มีอยู่สองสามคนที่ผมคุ้นหน้าจากกิจกรรมรับน้องของมหาวิทยาลัย พอเห็นผม พวกเขาก็ส่งยิ้มให้หรือไม่ก็โบกมือทักทาย ผมตอบรับด้วยการยกมือไหว้ทักทายพวกเขา

“ไม่ต้องไหว้พวกมันหรอก รุ่นเดียวกัน พวกมันไม่ถือ” แต่ยังไม่ทันได้ไหว้ คนตรงหน้าก็รั้งมือผมไว้ ... culture สำคัญของคณะผมคือรุ่นพี่รุ่นน้อง เข้าก่อนถือเป็นพี่ เข้าที่หลังเป็นน้อง ที่คณะผมไหว้พี่ปี 2 ทุกคน แม้ว่าเราจะอายุเท่ากันก็ตาม ผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้อยู่แล้ว จะอายุเท่ากันผมก็ไหว้ได้ในฐานะที่เป็นรุ่นน้อง และผมก็เรียกปี 2 ทุกคนว่าพี่

“เหรอ ... มาดิเดียวพาไปรู้จัก ...” แล้วผมก็เดินนำจีไปยังกลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่

“... พวกมึง นี่จี เพื่อนสนิทกูที่โรงเรียน ... จี นี่แก้ว ต่อ แล้วก็ต้น” จีค้อมหัวเพื่อรับไหว้จากเพื่อนๆ ของผม

“เราจีนะ ... ฝากมิลค์ด้วย มันอาจจะเรื่องเยอะเป็นบางครั้ง ทนๆ มันหน่อยละกัน” จีส่งยิ้มให้กับคนอื่นๆ ก่อนที่มือหนาจะขยี้ลงบนศรีษะของผมอย่างหยอกล้อ

“ถ้ามึงจะมาเพื่อเผากู มึงกลับไปเลยไป” ผมมองค้อน

“555 แสดงว่าเราไม่ได้รู้สึกไปคนเดียว” แก้วหัวเราะเห็นด้วย

“ต้องกินน้ำเย็น ไม่ราดซอสลงในจาน ต้องมีถ้วยน้ำจิ้มแยกต่างหาก” จีเริ่มสาธยายสรรพคุณของผม

“ใช้ตะเกียบไม่เป็น กินอาหารญี่ปุ่นต้องใช้ช้อนส้อม ไม่กินเผ็ด” พอแก้วต่อประโยคจนจบ ทุกคนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน ... อะไรวะ อยู่ๆ ก็โดนรุม

“แล้วนี่มีเรียนที่ตึก ‘ฟิ’ เหรอ” จีถามหลังจากเผาผมจนสาแก่ใจแล้ว

“ใช้ๆ เรียบคาบบ่าย” แก้วตอบ

“โอเค งั้นเราไม่กวนแหละ ...”

“... มิลค์ มึงเอาแว่นมาหรือเปล่า” จีละความสนใจจากคนอื่นๆ แล้วหันมาพูดกับผม

“ไม่ได้เอามา ปกติเรียน lecture ไม่ได้ใช้อะ” ผมสายตาสั้นเล็กน้อย ปกติเลยไม่ได้ใส่แว่น

“วันหลังเอามาด้วย ห้อง lecture ตึก ‘ฟิ’ มันมืด เดียวสายตามึงจะแย่กว่าเดิม”

“เหรอ เออได้ เดียวครั้งหน้าติดใส่กระเป๋ามา”

“แล้วนี่ใครผูกไทด์ให้มึงเนี่ย” จีถามพลางจับปลายไทด์ของผมยกขึ้น

“คนขาย”

“มึงให้คนขายผูกไทด์ให้เนี่ยนะ” จีขมวดคิ้ว

“ก็กูผูกไม่เป็น” แล้วผมจะให้ใครผูกให้ ถ้าไม่ใช้คนขาย

“ถอดออกมาเลย ไทด์มันยาวไป ...” จีปล่อยชายไทด์ลง พร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า ผมถอดไทด์ให้ตามที่เพื่อนสนิทบอก มือหนารับไทด์จากผมไปก่อนจะคลี่ไทด์ให้คลายออกจากกัน

“... วันไหนว่างเดียวกูสอนมึงผูก ... ระหว่างนี้ ถ้าหลุดมึงโทรบอกกูละกัน เดียวกูมาผูกให้ ...” จียกไทด์ขึ้นมาวัดความยาวกับช่วงตัวของผม 2-3 ครั้ง จากนั้นก็ผูกไทด์ในมืออย่างคล่องแคล้ว

“... เรียบร้อย ...” ผูกเสร็จ จีก็ก้าวขามายืนอยู่ตรงหน้า ไทด์สีน้ำเงินเข้มถูกคล้องลงมาบนศรีษะ มือหนารูดไทด์ขึ้นให้พอดีกับลำคอ จากนั้นนิ้วมือของเพื่อนสนิทอ้อมมายังหลังต้นคอเพื่อจัดไทด์หลบเข้าใต้ปกคอเสื้อจนเรียบร้อย

มิลค์และจีหลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวอย่างสมบูรณ์ ... ในขณะที่คนอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าตาปริบๆ นี่มันเหตุการณ์อะไรกัน? ทำไมอยู่ ท้องฟ้าถึงกลายเป็นสีชมพูได้ พลอดรักกันกลางมหาวิทยาลัย ไม่อายเพื่อน อย่างน้อยก็น่าจะอายสิ่งศักดิ์สิทธิ์สักนิดก็ยังดี

“... สวยแล้ว ...” จีมองผมตั้งตัวหัวจรดเท้า

“...ไปเรียนได้แล้วไป” พูดจบมือใหญ่ก็พลักหัวผมเป็นเชิงหยอกล้อ



“เพื่อนมึงเหรอ” แก้วถามในขณะที่เราเดินเข้ามาในตึก ‘ฟิ’

“อืม เพื่อนสนิท”

“หล่ออะ โคตรหล่อ ... จีบได้ปะ มีแฟนยัง” แก้วเอาไหล่มากระแซะต้นแขนอย่างมีเลศนัย อย่าได้คิดว่าคนที่จบโรงเรียนหญิงล้วนมาจะต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย ร้อยมาลัย เพราะแก้วพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช้ คนบ้าอะไร พูดคำหยาบ กินเหมือนพายุ แถมยังชอบหยอดผู้ชายไปทั่ว

“เพ้อเจ่อ” ผมรีบขยับตัวหนีให้ห่าง

“หวงเหรอ” แก้วยังคงตามตอแยไม่เลิก

“หวงบ้าอะไร เพื่อนสนิท” ผมเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“จ๊ะ เพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิท เนอะพวกมึง” แก้วหันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ... ผูกไทด์ให้กันด้วยจังหวะ romantic ขนาดนั้น อย่างว่าแต่พระเลยอมมาทั้งโบสถ์ก็ไม่มีใครเชื่อ

“กับแก้วนี่ยิ้มแย้ม กับพวกกูสีหน้าอย่างตึง ไม่หวงก็บ้าแล้ว” ไอ้ต้นรีบผสมโรง

“จะไปคาดคั้นทันทำไม เขาบอกว่าเพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิทซิ...” ถูกต้องแล้วไอ้ต่อ พูดคำเดียวให้มันรู้เรื่องบ้าง

“... เพื่อนสนิทท้องติดกัน มึงเคยได้ยินไหม 555” ไอ้พวกเพื่อนเชี่ย!!!

“เออ!!! เรื่องของพวกมึง ... กูจะเข้าห้องเรียนแล้ว” ผมตัดบท รีบเดินหนีเข้าห้องเรียนดีกว่าอยู่ต่อให้โดนแซวไม่เลิก



...



สอบ Final ของเทอม 1 จบไปแล้วอย่างรวดเร็ว การสอบของมหาวิทยาลัยแตกต่างจากสมัยมัธยมราวฟ้ากับเหว สมัยมัธยมเราสามารถเตรียมสอบ final ได้ภายในระยะเวลาแค่ 1 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยในระดับมหาวิทยาลัย ... ดูไอ้ต้นเป็นตัวอย่าง

“ต้นมึงไหวไหม” ผมถามเมื่อเดินออกมากจากห้องสอบแล้วเจอมันนั่งคอพับคออ่อนอยู่กับพื้น

“สติกูจะหลุดออกจากร่าง” มันตอบทั้งที่ตาลืมแทบไม่ขึ้น

“เมื่อคืนมึงนอนกี่โมง ...” ผมถามพลางหย่อนตัวลงข้างๆ มันส่ายหัวเป็นคำตอบ

“... มึงไม่ได้นอน!!! …”

“... ไปแอบงีบที่ห้องสมุดไป ก่อนออกจากคณะ เดี๋ยวกูโทรตาม”

“ก็ดีเหมือนกัน” มันลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินสะโหลสะเหลหายขึ้นลิฟต์ไป

คืนนี้มี event ใหญ่ เพราะเป็นวันสอบวันสุดท้ายของเทอม เพื่อนๆ ในรุ่นนัดกันไปฉลองปิดเทอมกันที่ร้านเหล้า พวกผมวางแผนกันว่าหลังสอบเสร็จจะไปดูหนัง กินข้าว แล้วค่อยตามไปยังสถานที่นัดเลี้ยง

… ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากคณะ โทรศัพท์ในมือแจ้งเดือนว่ามีข้อความเข้ามา

“G”

วันนี้มึงสอบวันสุดท้ายใช่เปล่า สอบเสร็จมี plan ไปไหนไหม

“Milk”

คืนนี้ไปฉลองกับเพื่อนในรุ่น ร้าน XXX แต่เดียวไปดูหนัง กินข้าวกับพวกไอ้แก้วก่อน

“G”

เย็นนี้กูเสร็จงานแล้วไปกินข้าวกัน เดียวกูไปส่งมึงที่ร้าน XXX”

“Milk”

เอาจริง?”

“G”

จริง ตกลงตามนั้น เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา



ดูหนังจบ พวกเรามาหาของหวานรองท้องกันที่ร้านไอศกรีม ไอ้ต้นดูสดชื่นขึ้นหลังจากที่มันหลับเป็นตายตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงของหนัง นับถือในความอึดของมันจริงๆ ที่ไม่ยอมกลับไปนอนพักผ่อน ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว

“เย็นนี้กินอะไร” แก้วถามขณะที่พวกเราแต่ละคนกำลังละเลียดไอศกรีมตรงหน้า ... เออวะ ลืมไปซะสนิท

“พวกมึง ... มื้อเย็นกูไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยนะ” ผมพยายาทำตัวนิ่ง keep cool เข้าไว้ เพราะไม่อยากให้พวกมันผิดสังเกต ... แต่ทันทีที่พูดจบ ทุกการเคลื่อนไหวของเพื่อนทั้งสามก็พลันหยุดลง พร้อมกับดวงตาสามคู่ที่จ้องมองมาที่ผมอย่างคาดคั้น

“ไปไหน” แก้วถาม ดวงตากลมโตของมันหรี่ลงอย่างจ้องจับผิด

“ก็ไปกินข้าวไง” keep cool ไว้ๆ

“รู้ว่าไปกินข้าว แต่อยากรู้ว่ามึงไปกับใคร”

“มึงจะไปเค้นอะไรมันนักหนาวะแก้ว ... ทำสีหน้าแบบนี้ มันจะไปกับใคร ถ้าไม่ใช้เพื่อนสนิทท้องติดกันของมัน”

“ไอ้ต้น กูบอกกี่ครั้งแล้วว่ากูกับจีเพื่อนสนิทกัน”

“เชื่อครับว่าเพื่อน เพื่อนสนิททททททททท” แม้ปากจะบอกว่าเพื่อนแต่สีหน้าของมัน ... โคตรตอแหล ... ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันถึงชอบคิดว่าผมกับจีเป็นแฟนกันนักหนา

“แล้วไง คืนนี้คือมึงจะชิ่ง” ไอ้แก้วถาม

“ไม่ชิ่ง กินข้าวเสร็จแล้วเดียวกูตามพวกมึงไปที่ร้าน” ใครจะยอมพลาด event ยิ่งใหญ่แห่งปีขนาดนี้

“ไม่ใช้ทำไปทำมา ไอ้จีมานั่งเฝ้ามึงนะ” ไอ้ต่อแซว

“บ้า!!! ใครจะว่างขนาดนั้น” ผมรีบปฏิเสธ

“ก็เพื่อนสนิทมึงไง เห็นมาเจอมึงได้ทุกสัปดาห์” ต้นเสริม

“ก็พวกกูรักกันไง” เรื่องที่ผม จี ไอซ์ อาร์ม โจ นัดเจอกันเกือบทุกสัปดาห์เป็นอะไรที่ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังมาก่อน เพราะปีที่แล้วตอนยังอยู่อีกมหาลัยหนึ่ง พวกมันก็ไม่ได้นัดเจอกันบ่อยขนาดนี้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่านอกจากวันธรรมดาแล้ว วันเสาร์พวกเราก็มักจะนัดกินข้าวเย็นด้วยกันเสมอ

“เออๆ เรื่องของมึงแหละ แต่ถ้าคืนนี้ไอ้จีมาเฝ้า กูล้อมึงยันลูกบวชแน่ ...”

“... อ่ออออออ กูลืมไปว่ามึงท้องไม่ได้ เพราะมึงไม่มีมดลูก 555”

“ไอ้เหี้ยต้นนนนนนนนนน!!!” เรื่องของผมไม่ใช่ความลับอะไร พวกมันรู้กันตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มสนิทกัน แก้วเป็นคนเปิดประเด็นถาม และผมก็ยินดีที่จะเล่าความจริงให้พวกมันฟัง ดีกว่าพวกมันไปได้ยินมาจากคนอื่น... ความกังวลทั้งหมดกลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะถึงแม้จะรู้ว่าผมชอบผู้ชาย แต่พวกมันก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไร
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน 2/2
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 27-07-2025 12:54:09
ตอนที่ 17 : ความฝัน 2/2

ไอ้ต้นยิ้มกริ่มเมื่อเห็นร่างสูงของจีเดินตามหลังผมเข้ามา สีหน้าของมันสื่อความในใจได้อย่างชัดเจน ‘กูว่าแล้ว’ ... ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก คนที่มาส่วนมากเลยหนีไม่พ้นเด็กมหาลัยผม

“มิลค์ เดียวกูไปนั่งตรงบาร์” คงเป็นเพราะเสียงเพลงที่ดังพอสมควร ทำให้จีโน้มตัวจากด้านหลังมากระซิบอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดต้นคอ ทำให้ผมรู้สึกวูบไหว ไม่เป็นตัวของตัวเอง

“จะดีเหรอวะ” พอหันกลับไปถาม ... ผงะจนต้องก้าวเท้าถอยออกมาอีกก้าวสองก้าว เราอยู่ใกล้ชิดกันมากกว่าที่คิด

“ดีดิ มึงจะได้ไปสนุกกับเพื่อน ... เดียวกูกินขนมรอ” จีคลายยิ้ม

“เพิ่งกินข้าวมาจะกินไหวเหรอ”

“กินนิดหน่อย สบายมาก ... มึงเต็มที่ได้เลย” พูดจบมันก็พลักหลังให้ผมเดินไปหากลุ่มเพื่อน ในขณะที่มันเดินแยกไปนั่งคนเดียวที่บาร์

“แก้ว เมื่อเย็นใครพูดวะว่าจะมาคนเดียว” เสียงกระแนะกระแหนของไอ้ต้นดังขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะ

“นั้นนะซิ มิลค์แกรู้ไหมว่าใคร” แก้วหันมาถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา... เออ มีความสุขกันเข้าไปเลยนะพวกมึง

“กูเองแหละที่พูด พวกมึงเลิกแซวได้ยัง” ผมเริ่มเสียงดังกลบเกลื่อนความเขิน

“แหมมมมมม เขินแล้วทำมาเป็นโมโหกลบเกลื่อน” ไอ้ต้นยังไม่วายแซวต่อ

“ไหนเล่ามาซิว่าทำอีท่าไหนมันถึงตามมาเฝ้ามึงได้” แก้วถามด้วยความอยากรู้

“ไม่ได้ทำอะไร จีมันว่างก็เลยมาด้วย” ผมตอบแบบขอไปที

“จะบอกว่าสวยมากกกกกก อยู่เฉยๆ ก็มีผู้ชายขอตามมาเฝ้างี้” ต้นเสริมด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“จะล้ออะไรมากวะ มันมาก็ดีแล้วไง กูจะได้กินเหล้ากับพวกมึงได้”

“มึงว่ามันไม่แปลกเหรอวะ" แก้วกระซิบพลางขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าเหมือนเราสองคนกำลังคุยเรื่องลับลมคมใน

"อะไรแปลก" ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามันต้องการจะสื่ออะไร

"มึงกับจี" มันเฉลย

"แปลกอะไร ไม่เห็นมีอะไรแปลก"

"ถามจริง ... เป็นแฟนกันปะ?"

"บ้า!!! ไม่ได้เป็น ... เป็นเพื่อน เพื่อนสนิท ..." ผมเน้นย้ำคำว่าเพื่อนสนิท แต่มันก็ยังคงจ้องมองมาด้วยสายตาที่เหมือนกำลังชั่งใจว่าผมกำลังพูดความจริงหรือไม่

"... ทำไมพวกมึงชอบแซวกูกับจีจังวะ" ผมถามด้วยความสงสัยระคนหงุดหงิด

"ก็พวกมึงเหมือนแฟนกัน ..." ไอ้ต้นพูดแทรก

"... ขนาดไอ้ต่อยังรู้สึก" สายตาของผมเลื่อนไปยังไอ้ต่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่อมันเป็นคนซื่อๆ มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยสนใจเรื่องชาวบ้าน

"ก็เหมือนแฟนกัน" มันตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นมาจิ๊บ

"เห็นไหม ขนาดไอ้ต่อยังคิด มึงก็ควรจะรู้สึกอะไรบ้างเปล่าวะ" ไอ้ต้นเสริม

"ไม่มีอะไร สาบาญได้ว่าเพื่อนกัน" ผมยืนยันหนักแน่น

"งั้นมึงฟังนะว่ากูเข้าใจเหตุการณ์วันนี้ถูกไหม ..." ไอ้แก้วเข้ากอดคอผมแน่น มันถามพลางมองไปยังจีที่นั่งกินขนมอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่หน้าบาร์

"... มันมารับมึงไปกินข้าวถูกไหม ..." ผมพยักหน้า

"... มันรู้ได้ไงว่ามึงสอบวันสุดท้ายวันนี้"

"กูน่าจะบอกมันไปมั้ง คุยกันวันก่อน กูจำไม่ได้ว่าบอกมันหรือเปล่า"

"คือมันไม่แปลกนะที่มึงจะพูดเรื่องอะไรพวกนี้ แต่มันแปลกที่มันจำรายละเอียดได้ เรื่องมันเล็กน้อยมากแต่จีมันจำได้ ถ้าไม่ใช้เพราะความจำดีมาก ก็คือใส่ใจมาก"

"แปลกอะไร กูยังรู้เลยว่ามันสอบเสร็จวันไหน" ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะจำวันสอบของเพื่อนสนิทตัวเองได้สักหน่อย... แต่พวกมันทั้ง 3 คนกลับมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ราวกับผมพูดอะไรที่น่าตกใจออกไป

"แล้วของเพื่อนมึงคนอื่นมึงรู้ไหมว่ามันสอบเสร็จวันไหน"

"ไม่รู้ กูไม่ได้คุยกับพวกมัน" ผมส่ายหัว

"นี่ไง ที่พูดมาเมื่อกี้ มึงไม่รู้สึกว่ามันแปลกเหรอวะ"

"ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก" เมื่อได้ยินคำตอบ ไอ้ต้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกรอกตาเป็นเลข 8

"หนึ่งเลยนะ มึงสองคนจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของกันได้ สองคือมึงคุยกับไอ้จีบ่อยมาก มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในกลุ่ม" ผมคิดตามที่แก้วอธิบาย ... อืม ถูก ... แล้วมันแปลกตรงไหนวะ

"ก็เพื่อนสนิทกันไง" ผมยังคงยืนยันคำตอบเดิม

"โอ้ย!!! นี่มึงกวนตีนกูปะ" แก้วทึ้งผมตัวเองก่อนจะส่งสายตาอาฆาตมาทางผม

"ไม่ได้กวนตีน กูพูดความจริง"

"นี่มึงโง่จริง หรือแกล้งโง่เนี่ย ..."

"... เอาใหม่ๆ วันนี้มันมารับมึงไปกินข้าว แล้วแทนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน มันกลับตามมึงมาเฝ้ามึงที่ร้านเหล้า ถูกไหม..." ผมพยักหน้า

"... มันให้เหตุผลว่าอะไร"

"ขากลับมันจะขับรถให้ กูจะได้กินเหล้ากับพวกมึงได้เต็มที่"

"อืมมมมมมม ... แล้วไงต่อ ส่งมึงเสร็จแล้ว มันก็นั่ง Taxi กลับ ?"

"ยังไม่ได้ถามแต่มันน่าจะค้างกับกูนะ"

"ค้างคืนด้วย!!!" ดวงตาของแก้วเบิกกล้างราวกับไข่ห่าน ... ผมไม่เข้าใจว่าพวกมันจะตกใจอะไร เพื่อนสนิท ค้างคืนด้วยกันก็เป็นเรื่องปกติปะ ?

"แปลกไรวะ มันค้างออกจะบ่อย ที่ห้องกูมีของใช้ส่วนตัวมันครบ" ช่วงหลังๆ มานี้ วันเสาร์อาทิตย์จีมาค้างคอนโดผมบ่อย จนในห้องของผมมีของใช้ส่วนตัวของจีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน ชุดนอน ชุดไปรเวท

"ไม่แปลกยังไงวะ แฟนกันชัดๆ" ไอ้ต้นพูดแทรก

"อิต้น อย่าเพิ่งแทรกกู ... แล้วพรุ่งนี้ไงต่อ" แก้วรีบขัด เหมือนมันอยากฟังผมเล่าทั้งหมดแล้วรวบยอดทีเดียว

"ก็ไม่ยังไง พรุ่งนี้ กว่าจีจะตื่นก็บ่ายๆ มั้ง กินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยขับไปส่งมันที่บ้าน แต่ถ้าส่งตอนเย็นๆ ก็คงกินข้าวเย็นกับที่บ้านจี" ผมเล่ากิจวัตรประจำวันในวันหยุดของเราให้พวกมันฟัง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าวันไหนจีมานอนข้างคืน วันถัดไปเราจะกินข้าวกลางวันด้วยกัน แล้วถ้าเวลาลงตัว เราอาจจะกินข้าวเย็นด้วยกันอีกมื้อ ก่อนที่ผมจะขับรถไปส่งจีที่บ้าน แล้วค่อยแยกย้ายกันไปเรียนในวันรุ่งขึ้น

"สรุปคือตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบ มึงกับมันจะตัวติดกันไปอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถูกไหม ..." ผมครุ่นคิดตามคำถามของแก้ว บวกลบคูณหารเวลาในใจ ก่อนจะพยักหน้า จริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จีจะกลับไปนอนบ้านไหมหรือจะค้างกับผมอีกคืน แล้วค่อยกลับบ้านทีเดียววันอาทิตย์

"... อิมิลค์ ถ้าจะตัวติดกันขนาดนี้ เรียนจบแล้วมึงก็แต่งกับมันเลยเถอะ" แก้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายระอาใจ

"เพ้อเจ้อ พวกมึงอะคิดมาก กูบอกแล้วไงว่าเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กูกับจีก็ตัวติดกันแบบนี้มาตลอด" ผมยกแก้วเหล้าในมือขึ้นมาดื่ม ไม่ได้เอาเรื่องที่พวกมันพยายามจับคู่ผมกับจีมาคิดให้เมื่อยสมอง

"มันปกติของแก แต่ไม่ปกติของคนอื่นไง ... กูเข้าใจว่าจีคือเพื่อนสนิท แต่มันไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนทำกันแบบนี้ ... นี้มันแฟนกันชัดๆ"

"กูไม่รู้จะอธิบายพวกมึงยังไง คือกูกับมันเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น"

"เออ เพื่อนก็เพื่อน กูพูดขนาดนี้แล้วมึงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติก็เรื่องของมึงแล้ว" บทสนทนาของพวกเราจบลงด้วยแววตาของแก้วที่มองผมอย่างสมเพศ แล้วผมก็ปล่อยให้คำพูดทั้งหมดของเพื่อนๆ ลอยหายไปกับเสียงเพลงและบรรยากาศครึกครื้นของการเลี้ยงฉลองปิดเทอม



...



"โคตรเหนื่อยยยยยยย" ผมอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้เมื่อก้าวขากลับเข้ามาในห้อง

"แค่นี้เอง บ่นอะไรวะ" จีที่เดินตามหลังเข้ามาพูดขึ้น ในขณะที่เจ้าตัวกำลังถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้อย่างคุ้นชิน

"มึงลากกูออกไปตั้งแต่ 10 โมง ตอนนี้กี่โมงแล้วช่วยดูเวลาด้วย" ผมหันกลับไปมองค้อน

"6 โมงไง นาฬิกามึงตายเหรอ"

"ก็ใช้ไง 6 โมง ... คนบ้าอะไรวะใช้เวลาเลือกรองเท้าคู่เดียวเกือบ 4 ชั่วโมง" ฟังไม่ผิดหรอกครับ จีมันใช้เวลาในการเลือกรองเท้าคู่เดียวนานขนาดนั้นจริงๆ ดูมันทุกร้าน ลองมันทุกรุ่น กว่ามันจะได้คู่ที่ถูกใจ ผมนี่เดินจนขาลาก

"เอาน่า อย่าบ่นให้มากนัก เดียวเย็นนี้เลี้ยงข้าวเย็น" มือหนาขยี้ลงบนศรีษะของผม ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้าห้องนอนของผมราวกับห้องนอนของตัวเอง

"คืนนี้มึงค้างกับกูเปล่า" ผมถามขณะที่เดินตามหลังจีเข้ามาในห้องนอน มันเอาถุง shopping วางไว้ปลายเตียง ถอดนาฬิกาวางไว้บนโต๊ะเรียนหนังสือพร้อมกับกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น

"ค้างไม่ได้วะ พรุ่งนี้มีธุระกับที่บ้าน"

"ได้ กินข้าวเย็นเสร็จแล้วเดี๋ยวกูไปส่ง" ผมหย่อนตัวลงข้างเพื่อนสนิท ขอเหยียดขาให้หายเมื่อยหน่อยเถอะ

"มึงไม่ต้องส่งก็ได้ เดียวกูกลับ taxi"

"บ้า แค่นี้เอง ไปส่งได้ ... ว่าแต่เย็นนี้แดก pizza นะ ไม่ได้แดกนานแล้ว" ผมรีบเสนอเมนูโปรด

"มึงแม่งแดกแต่ junk food ระวังจะมีพุง"

"ไอ้จี!!! กูเจ็บไหม หยิกมาได้" ผมโวยที่อยู่ๆ มันก็ยื่นมือมาหยิกพุง ... หยิกซะแรงเลยไอ้เหี้ย!!! ... โรคจิตอย่างหนึ่งของจีคือหากเราคุยกันเรื่องความอ้วนเมื่อไหร่ มันเป็นอันต้องหยิกพุงของผมทุกครั้ง

"เออ ตามใจมึง จะสั่งเลยไหม"

"สั่งเลยก็ได้นะ"

"Sea food cocktail เหมือนเดิม?" มันถามขณะที่ผมนอนเอกเขนกอยู่บน bean bag

"เหมือนเดิม" ผมตอบ

มันไม่ตอบอะไรกลับ อันเป็นเรื่องเข้าใจตรงกันว่าจีรับรู้ เจ้าตัวจัดการสั่ง pizza ให้เรียบร้อย ส่วนผมก็กลิ้งไปกลิ้งมารอกิน pizza ซอส thousand island ของโปรด

“จี กูถามมึงหน่อย ... มึงอยากได้เกียรตินิยมไหม”

“อยากดิ ใครบ้างไม่อยากได้วะ”

“คือ ... กูไม่รู้ว่ากูอยากได้ไหม ...”

“... บางครั้งกูรู้สึกเหมือนตัวเองหลงทางวะ ...”

“... กูเข้ามหาลัยในฝันได้แล้ว ฝันของกูตลอด 4 ปีเป็นจริงแล้ว และกูก็ควรจะตั้งใจเรียนใช่ไหม แต่พอคิดถึงเรื่องนั้น ... กูไม่รู้ว่าควรจะฝันอะไรต่อ”

“เกรดมึงถึงอันดับหนึ่งเลยไม่ใช้เหรอ”

“อืม” ผมตอบพลางพลิกตัวนอนหงาย สายตาจับจ้องอยู่ที่แสงไฟระยิบระยับจากโคมระย้าที่ห้อยอยู่กลางเพดานห้อง

“มึงคิดแบบนั้นไม่ได้เว้ย เกรด ป.ตรี สูงๆ จะทำให้มึงสามารถไปเรียนต่อที่ไหนก็ได้ ...”

“... แม้ว่าสุดท้ายแล้วมึงจะกลับไปรับช่วงต่อบริษัทของที่บ้าน แต่ในอนาคต มึงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเรียนต่อ อาจจะเป็นสัตวแพทย์หรือบริหาร ไม่สาขาใดก็สาขานึง เพราะฉะนั้นตอนนี้มึงมีโอกาส มึงต้องคว้าเอาไว้”

คำพูดของจีทำให้ความคิดของผมล่องลอยไปไกลแสนไกล ความฝันในวัยเด็กของผมคือการได้เป็นสัตวแพทย์ แต่พอโตขึ้นผมกลับต้องเผชิญกับความจริงว่า สุดท้ายแล้วผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาในการรักษาสัตว์เหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ ... พ่อกำลังวางแผนที่จะสร้างสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ และย้ายกลับมาอยู่ถาวร เส้นทางการสืบทอดธุรกิจของครอบครัวเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยที่ไม่เคยมีใครถามความคิดเห็นของผมเลยแม้แต่น้อย ถึงตอนนี้ทุกอย่างจะเป็นแค่เค้าลาง แต่ผมก็มองเห็นภาระหนักอึ้งอยู่ตรงหน้า ความกลัวและความกังวลที่ถาโถมเข้าใส่ตลอดช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกเครียดและกดดันอยู่ไม่น้อย ... และแน่นอนว่าทุกความรู้สึกถูกบอกผ่านให้คนข้างๆ ได้รับรู้



กำลังเคลิ้มใกล้จะหลับ แต่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวกลับสั่นเตือนพร้อมเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า นิ้วมือเรียวสวยคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู ... คิ้วของผมขมวดเข้าหากัน เมื่อเห็นว่าชื่อผู้ส่งข้อความนั้นมาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย ผมกดเปิดอ่านข้อความจากเพื่อนสนิททันที

“G”

Happy birthday to my dear very best friend. I don't know what to give you on this special day. The only thing I can think of is my promise to you that I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time. The only thing I would ask you in return is ... Milk, will you stay with me forever?.


“Milk”

I will,
forever and ever.
I promise, no one shall ever take your place.


"มึงจำได้" พอพลิกตัวกลับมาถึงได้เห็นว่าสายตาของเพื่อนสนิทจับจ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว ... ผมเหมือนถูกสายตาของจีสะกดไว้ ไม่สามารถละสายสายตาออกจากดวงตาคู่สวยของจีได้ ... เรา 2 คนสบตากันท่ามกลางความเงียบ

"จำได้ดิ วันเกิดเพื่อนสนิทกูทั้งคน" ใบหน้าหล่อเหลาระบายรอยยิ้มอบอุ่นออกมา และเป็นอีกครั้งที่หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ

"ขอบคุณนะ ... มึงเป็นคนแรกของวันที่อวยพรวันเกิดกูเลย ..." รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย พร้อมกับหยาดน้ำตาใสๆ ที่เริ่มเอ่อคลออยู่ตรงหางตา... นิ้วมือของเพื่อนสนิทค่อยๆ เอื้อมมาเกลี่ยหยดน้ำตานั้นออกให้อย่างอ่อนโยน

"... อะไร" ผมถามเมื่อจียื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า

"เกี่ยวก้อยสัญญา..."

"... มึงสัญญาแล้วนะ" แม้จะขำกับพฤติกรรมเด็กๆ ของมัน แต่ผมก็ยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของจีเอาไว้

"เด็กสัส ... เออ กูสัญญา" ผมพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม เป็นอีกครั้งที่หัวใจของผมฟูฟ่องเพราะการกระทำของคนข้างๆ ... พูดได้เต็มปากเลยว่าวันเกิดปีนี้คือวันเกิดที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของผม ... ไม่ต้องมีเค้กวันเกิด ไม่ต้องมีของขวัญ ไม่ต้องมีงานเลี้ยงหรูหรา ขอแค่มีจีอยู่ข้างๆ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว



“กูคิดออกแล้ว ...” จีพูดขึ้นในขณะที่ยังเคี้ยว pizza อยู่เต็มปาก นิ้วมือข้างหนึ่งยังเลอะซอสมะเขือเทศสีแดง เรา 2 คนนั่งกินมื้อเย็นด้วยกันบนโซฟาห้องนั่งเล่น ภาพตรงหน้าคือวิว panorama ของเมืองหลวง แสงไฟจากตึกสูงตัดกับฉากหลังสีดำของท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างลงตัว ผมขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“... เรื่องที่มึงต้องกลับไปรับช่วงต่อ กูคิดออกแล้วว่าต้องทำยังไง” ผมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น รีบเคี้ยวๆๆ แล้วกลืน pizza ลงคอ

“ทำไงวะ”

“เรียนต่อ มึงจบ ป.ตรี แล้วบอกพ่อว่าเรียนต่อ ป.โท ระหว่างนี้มึงก็เป็นสัตวแพทย์รักษาสัตว์ได้”

“แต่มันก็ได้ไม่กี่ปีหรือเปล่าวะ” จีมองเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวังของมิลค์ค่อยๆ เจือนหายไปจากใบหน้าสวย ในใจของเพื่อนสนิทรู้สึกสั่นไหวกับภาพตรงหน้า ... สำหรับจีแล้ว มิลค์เป็นคนที่เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ การเรียน หรือแม้แต่ฐานะ และเขาก็ดูออกตั้งแต่ตอนนี้เลยว่าในอนาคตมันจะต้องประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องหน้าที่การงาน แต่ทั้งหมดนี้ต้องแลกมากับทุกอย่างที่เจ้าตัวต้องแบกรับ ... จีสงสารเพื่อนรักจับใจ ในวันที่เจ้าตัวโทรมาร้องไห้ฟูมฟาย บอกว่าถึงเรียนจบก็ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์ ไม่ได้ทำอาชีพที่ใฝ่ฝัน เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าต้องกลับไปรับช่วงต่อกิจการของพ่อ

“มันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลยหรือเปล่าวะ ... กูไม่อยากพูดให้มึงคิดมาก แต่มึงก็รู้ว่าช้าเร็วมึงต้องกลับไป ... อย่างน้อยมันก็เป็นช่วงเวลา 2-3 ปีที่มึงได้เป็นสัตวแพทย์ ได้รักษาสัตว์ตามที่มึงฝันไว้ ...” ผมคิดตามที่จีพูด พอคิดว่าตัวเองได้รักษาสัตว์ หัวใจมันก็เริ่มกลับมาพองฟูอีกครั้ง

“... แต่ที่สำคัญคือมึงต้องตั้งใจเรียน เก็บเกรดดีๆ ไว้ จะได้เรียนทุกอย่างที่มึงอยากเรียน” จีเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ได้ กูจะทำตามที่มึงบอก ...” แม้จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ 100% แต่การได้รักษาสัตว์แม้จะแค่ไม่กี่ปีก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

“... ไอ้เหี้ยจี !!! มือมึงเลอะอยู่ไหม อีเหี้ย!!!” ซึ้งยังไม่ทันข้ามนาที ผมก็ต้องแยกเขี่ยวใส่คนตรงหน้าที่อาศัยจังหวะเผลอ ขยี้มือลงบนหัวของผมอย่างคุ้นเคย ... ใช่ มันใช้มือข้างที่เลอะซอสมะเขือเทศนั้นแหละ ขยี้หัวผม ... ไอ้เพื่อนเลววววว!!!


----------


มิลค์ : อนาคตมีแต่ความไม่แน่นอน สิ่งที่เราทำได้มีเพียงทำวันนี้ให้ดีที่สุด จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีเพื่อนช่วยคิด

#คำสัญญา #เกี่ยวก้อย #Iwill
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 29-07-2025 22:34:32
จีปล่อยชายไทด์ลง พร้อมกับยื่นมือออกมาข้างหน้า ผมถอดไทด์ให้ตามที่เพื่อนสนิทบอก มือหนารับไทด์จากผมไปก่อนจะคลี่ไทด์ให้คลายออกจากกัน ... จียกไทด์ขึ้นมาวัดความยาวกับช่วงตัวของผม 2-3 ครั้ง จากนั้นก็ผูกไทด์ในมืออย่างคล่องแคล้ว ... ผูกเสร็จ จีก็ก้าวขามายืนอยู่ตรงหน้า ไทด์สีน้ำเงินเข้มถูกคล้องลงมาบนศรีษะ มือหนารูดไทด์ขึ้นให้พอดีกับลำคอ จากนั้นนิ้วมือของเพื่อนสนิทอ้อมมายังหลังต้นคอเพื่อจัดไทด์หลบเข้าใต้ปกคอเสื้อจนเรียบร้อย


----------


มิลค์ : ไม่ใช้คนทุกคนจะผูกเนคไทด์เป็น จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ มีคนคอยผูกเนคไทด์ให้

#โลกส่วนตัว #ผูกไทด์
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 31-07-2025 20:35:03

"สรุปคือตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบ มึงกับมันจะตัวติดกันไปอีกอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถูกไหม ..."

"... อิมิลค์ ถ้าจะตัวติดกันขนาดนี้ เรียนจบแล้วมึงก็แต่งกับมันเลยเถอะ"

"เพ้อเจ้อ พวกมึงอะคิดมาก กูบอกแล้วไงว่าเพื่อนสนิท ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กูกับจีก็ตัวติดกันแบบนี้มาตลอด"

"มันปกติของแก แต่ไม่ปกติของคนอื่นไง ... กูเข้าใจว่าจีคือเพื่อนสนิท แต่มันไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนทำกันแบบนี้ ... นี้มันแฟนกันชัดๆ"


----------


มิลค์ : เพื่อนกันจริงๆนะครับ ... เพื่อนสนิท จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนมาเฝ้า

#เพื่อน #เฟื่อน #แ_น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 17 : ความฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 01-08-2025 18:14:03
'The only thing I can think of is my promise to you that I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time. The only thing I would ask you in return is ... Milk, will you stay with me forever'

'I will,
forever and ever.
I promise, no one shall ever take your place'



----------


มิลค์ : ขอแค่มีจีอยู่ข้างๆ สำหรับผมเท่านี้ก็มากเกินพอแล้ว จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือสัญญาจะอยู่ข้างกันตลอดไป


#สัญญา #Iwill #forever
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 18
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 02-08-2025 14:51:37
Teaser ตอนที่ 18

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวกมาลัย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นจนต้องรีบจอดรถชิดขอบทาง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตอนนี้ร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้มไปหมด สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม ... ผมโกรธ โกรธที่ถูกคนอื่นๆ ร่วมมือกันลับหลัง ... เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ของตัวเองได้ยังไง ผมไม่เคยตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้

“ว่าไงมึง” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทดังขึ้นจากปลายสาย เสียงดังจอแจที่ที่แทรกเข้ามาเป็นฉากหลัง บ่งบอกว่าจีไม่น่าจะอยู่บ้าน

“มึงไม่ได้อยู่บ้านเหรอ” ผมถามออกไป พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เปล่า ตอนนี้อยู่กับกับเพื่อนที่คณะ ... แป๊บนะ กูไปหาที่เงียบๆ คุยกับมึงก่อน ...”

“... มึงเป็นไรเปล่า เสียงมึงฟังดูไม่ค่อยดีเลย” เสียงจอแจรอบข้างค่อยๆ เบาลง จนในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของจีชัดเจนขึ้น

“ไม่มีไร แค่อยากรู้ว่ามึงอยู่ไหน ตอนแรกว่าจะไปหา” ผมตอบเลี่ยงๆ

“มิลค์ มึงไม่เนียน แค่ได้ยินเสียง กูก็รู้แล้วว่ามึงมีปัญหา” ผมเงียบ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าโทรหาจีตอนนี้ยังไงก็ต้องถูกจับได้ แต่ผมอยากได้ยินเสียงจีจริงๆ ... เชี่ย!!! อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา


----------


มิลค์ : เจอกันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือรู้สึกไม่โอเค

#เสียใจ #โกรธ #สับสน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 03-08-2025 09:14:48
ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ ตอนที่ 1/2

BMW coupe สีขาว เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถคณะสัตวแพทยศาสตร์ ผมกะเวลาพลาดเพราะคิดว่ารถจะไม่ติดในเย็นวันอาทิตย์ แต่ที่ไหนได้การจราจรในกรุงเทพไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ

“เราขอโทษ รถติดมาก” ผมรีบขอโทษเพื่อนคนอื่นๆ ที่กำลังประชุมกันอยู่ที่ม้านั่งบริเวณโถงใต้ตึกเรียน แม้จะรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างแปลกๆ ยังไงชอบกลแต่ก็รีบเกินกว่าจะใส่ใจ

“ต่อไปเป็นขบวนแห่ ...” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมา ผมรีบรวบรวมสมาธิแล้วสลัดความคิดเรื่อยเปื่อยเมื่อครู่ออกจากหัว ... เรื่องขบวนแห่วันลอยกระทงเป็นหัวข้อรับผิดชอบของผม

“... เราเสนอให้ทุกคนโหวตว่าจะเอาไอเดียของมิลค์ หรือเอาของไกร” คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินว่าเราจะโหวต

“ครั้งก่อนตกลงกันแล้วไม่ใช้เหรอว่าจะใช้ไอเดียของเรา” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะจากการคุยกันครั้งก่อนพวกเราตกลงเรื่องไอเดียจบแล้ว จริงๆ วันนี้เราควรจะมาคุยกันในรายละเอียดของการดำเนินงานมากกว่า

“คือไกรเสนอไอเดียมา แล้วเรากับคนอื่นคิดว่ามันน่าสนใจ เลยอยากให้ลองโหวตกันดูอีกรอบ” ผมหันไปมองหน้าไกรที่ส่งยิ้มบางๆ กลับมาให้ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เราว่ามันน่าสนใจ มิลค์ลองฟังก่อนดีไหม” เพื่อนอีกคนในกลุ่มพูดสมทบ ผมเลยได้แต่พยักหน้ายอมรับ ... ผมฟังที่ไกรเสนอ มันก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีมากขนาดนั้น ... ผมว่าสถานการณ์ตอนนี้ต้องมีอะไรแปลกๆ ซ้อนอยู่

“เดียวเรามาโหวตกันเลยนะ”

“ได้แต่เพื่อความแฟร์เราขอไม่โหวต” ผมพูดเพราะตามมารยาท เพราะในฐานะเจ้าของไอเดีย ผมไม่ควรที่จะออกเสียงโหวต

“งั้นเราก็ไม่โหวตเหมือนกัน” ไกรพูดเสริมขึ้นมา

“เราโหวตของไกร / ของไกร / ของไกร / ของไกร ...” เสียงสนับสนุนไอเดียของไกรดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ผมเข้าใจทุกอย่าง ... พวกเขาตกลงกันมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะทุกคนที่ยกมือให้ไกรในวันนี้ คือคนเดียวกับที่สนับสนุนผมเมื่อสัปดาห์ก่อน

“... งั้นเอาตามนี้นะ เราเปลี่ยนมาใช้ไอเดียของไกร ... มิลค์มีอะไรจะเสริมไหม” ผมส่ายหน้าเบาๆ

แม้ในใจอยากจะลุกออกไปตั้งแต่รู้ผลโหวต แต่ผมก็ยังประชุมกับพวกเขาจนเสร็จเพื่อรักษามารยาทและความเป็นน้ำใจเป็นนักกีฬา ... ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรรู้สึกยังไง หรือไม่เข้าใจว่าความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้มันคืออะไร อยากจะหัวเราะ อยากร้องไห้ อยากกรีดร้องทำลายข้าวของ แต่สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือนั่งเงียบๆ แล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวกมาลัย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นจนต้องรีบจอดรถชิดขอบทาง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะตอนนี้ร้องไห้จนตัวสั่นเทิ้มไปหมด สุดท้ายก็ทำได้เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม ... ผมโกรธ โกรธที่ถูกคนอื่นๆ ร่วมมือกันลับหลัง ... เป็นครั้งแรกที่ไม่รู้ว่าจะรับมือกับอารมณ์ของตัวเองได้ยังไง ผมไม่เคยตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้



“ว่าไงมึง” เสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทดังขึ้นจากปลายสาย เสียงดังจอแจที่แทรกเข้ามาเป็นฉากหลังบ่งบอกว่าจีไม่น่าจะอยู่บ้าน

“มึงไม่ได้อยู่บ้านเหรอ” ผมถามออกไป พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เปล่า ตอนนี้อยู่กับกับเพื่อนที่คณะ ... แป๊บนะ กูไปหาที่เงียบๆ คุยกับมึงก่อน ...”

“... มึงเป็นไรเปล่า เสียงมึงฟังดูไม่ค่อยดีเลย” เสียงจอแจรอบข้างค่อยๆ เบาลง จนในที่สุดผมก็ได้ยินเสียงของจีชัดเจนขึ้น

“ไม่มีไร แค่อยากรู้ว่ามึงอยู่ไหน ตอนแรกว่าจะไปหา” ผมตอบเลี่ยงๆ

“มิลค์ มึงไม่เนียน แค่ได้ยินเสียง กูก็รู้แล้วว่ามึงมีปัญหา” ผมเงียบ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าโทรหาจีตอนนี้ยังไงก็ต้องถูกจับได้ แต่ผมอยากได้ยินเสียงจีจริงๆ ... เชี่ย!!! อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“เปล่า ไม่มีอะไร” เชี่ยเอ้ยยยย เสียงโคตรแหบ แต่ทำไงได้ตอนนี้น้ำลายแห้งจนเหนียวคอไปหมด

“มึงร้องไห้เหรอ นี่มึงอยู่ไหน”

“อยู่บ้าน”

“อย่าโกหกกู กูได้ยินเสียงแอร์ มึงอยู่ในรถ” คนปลายสายพูดเสียงหนักขึ้นจนน่ากลัว... ตั้งแต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยโกหกอะไรจีได้เลยซักครั้ง ... ถูกมันจับได้ทุกที

“อยู่แถวมหาลัย”

“มึงขับรถไหวไหม” น้ำเสียงของคนปลายสายอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ไหว”

“แน่ใจนะ ถ้าไม่ไหวบอกกู กูจะไปหามึงเดียวนี้เลย” ซึ้งใจจนพูดไม่ออก

“ไหวๆ แน่ใจ”

“กลับไปรอกูที่คอนโด เสร็จตรงนี้แล้วกูตามไปหา ... มีอะไรโทรหากูนะ”

“ได้ เดียวเจอกัน”



“มิลค์ มึงอยู่ไหนวะ” ทันทีที่เสียงปลดล็อกประตู digital ดังขึ้น เสียงของเพื่อนสนิทก็ก้องเข้ามาในห้องครัว

“ห้องครัว” พอปิดฝาประตูตู้เย็น ก็เห็นจียืนอยู่ตรงหน้า มันมองกระป๋องน้ำอัดลมในมือของผมไม่ละสายตา

“ถึงขนาดต้องกินน้ำอัดลม?” จีถามเพราะรู้ว่าผมชอบดื่มน้ำอัดลมเวลาเครียด

“แค่อยากนะ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงธรรมดา สภาพของผมไม่ได้แย่เหมือนเมื่อตอนเย็น เพราะพอกลับมาถึงผมก็อาบน้ำล้างตัว แม้ในใจจะรู้สึกขุ่นมั่วอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิม

“มึงกินข้าวยัง”

“ยังเลย”

“ยังไม่แดกข้าวแต่แดกน้ำอัดลมเนี่ยนะ ...” พอได้ยินว่าผมยังไม่แม้แต่จะกินข้าวเย็น จีก็สาวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า มือหนาคว้ากระป๋องน้ำอัดลมออกจากมือผมเตรียมจะทิ้งลงถังขยะ

“... เฮ่ออออ กูจะทำยังไงกับคนดื้อๆ อย่างมึงดี” จีถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงเพราะเห็นกระป๋องน้ำอัดลมที่ผมกินไปก่อนหน้านี้นอนอยู่ก้นถังขยะ

“แล้วมึงกินข้าวมายัง”

“กินแล้วแต่กินอีกได้ มึงจะกินอะไร Pizza, KFC, Mc”

“Mc ละกัน อยากกิน French Fries”

“เออ ... แดกแม่งแต่ junk food อ้วนจะตายห่าแล้วมึงเนี่ย”

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้กูเลย...” มันยิ้มแหยงๆ เมื่อผมแยกเคี่ยวใส่อย่างรู้ทันว่ามันจะเข้ามาหยิกพุง

“... ไอ้จี!!!” มันอาศัยจังหวะที่ผมเผลอเข้ามาประชิดตัว ... ผมถูกตัวควายๆ ของมันดันจนเอวจสนิท

2 มือหนาประคองใบหน้าสวยไว้ นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างลูปไล้สัมผัสกับขอบตาของคนตรงหน้าอย่างทนุถนอม ราวกับว่า หากออกแรงมากกว่านี้เพียงนิดเดียว ปติมากรรมชิ้นงามตรงหน้าจะบุบสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

“ขอบตามึงยังบวมอยู่เลย เมื่อเย็นร้องไห้หนักเลยเหรอ ...” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ผมไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง พอจะหันหน้าหนี จีก็ออกแรงประคองใบหน้าผมให้หันกลับมาสบตากันอีกครั้ง ตอนนี้เลยทำได้แค่หลบสายตาคมของเพื่อนสนิท

“... กูขอโทษ กว่าจะมาหามึงได้ก็ค่ำแล้ว ... เล่าให้กูฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” ถ้าเป็นคนอื่นๆ ผมคงบอกว่าไม่มีอะไร แต่พอคนที่ถามคือจี คลื่นอารมณ์ก็เต็มตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

“จี กูขออะไรมึงอย่างได้ไหม” น้ำตาที่เพิ่งจะเหือดแห้งไปก่อนหน้า เริ่มกลับมาเต็มตื้นอีกครั้ง

“ได้ดิ มึงขออะไร กูให้มึงได้หมด” จีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน

“กอดกูได้ไหม กูอยากให้มึงกอด ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ผมก็จมอยู่ในอ้อมกอดของจี แขนหนาโอบรอบหัวไหล่ของผมไว้ก่อนจะออกแรงกระชับเข้าหาตัว ความอบอุ่นแพร่ซ่านจากร่างกายของมันตรงมาที่หัวใจของผม ความเหงา ความเดียวดาย ความอ่อนล้า ... ทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยกอดของคนตรงหน้า

มิลค์แทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบเอวของจีไว้แน่น ก่อนจะกระชับแรงกอดเข้าหาตัวเองอย่างเผลอไผล ใบหน้าสวยซบลงบนไหลกว้าง จีไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยด้วยซ้ำที่เสื้อของตัวเองเลอะน้ำตาของคนในอ้อมแขน ... ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่นและเงียบสงบ ภายใต้แสงไฟสีส้มนวลในห้องครัว ... ณ สถานที่ที่ทั้งคู่แบ่งบันความทรงจำร่วมกันมานานนับปี



“ทำไมมึงถึงได้ดีกับกูขนาดนี้” ผมเอ่ยถามเสียงแผ่ว ท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง เราสองคนนอนเคียงข้างกันบนเตียงหลังเดิม ต่างฝ่ายต่างนอนหงายมองเพดานห้อง

ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จีฟังระหว่างมื้อเย็น จีไม่ได้ออกความเห็นอะไรมาก นอกเสียจากจะบอกว่าสังคมในมหาวิทยาลัยนั้นก็เปรียบเสมือนโลกภายนอกในขนาดที่เล็กกว่า และเมื่อเราเรียนจบออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง ข้อเท็จจริงตรงนี้จะยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น จีแนะนำให้ผมมีน้ำใจและใจดีกับคนรอบข้างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และตั้งใจทำในส่วนความรับผิดชอบของตัวเองให้ดีที่สุด เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“กูจะไม่ทำดีกับมึงได้ไง มึงเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคนสำคัญคนเดียวของกู” คำตอบแสนตรงไปตรงมาของจี ทำให้หัวใจของผมสั่นระรัว กลัวเหลือเกินว่าจังหวะที่หนักหน่วงนั้นจะดังจนคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันจะได้ยิน ... ในเสี่ยววินาทีนั้นเอง ผมสัมผัสได้ว่าดอกไม้ในใจค่อยๆ กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง



...



ความรู้สึกของผมที่มีต่อจีเริ่มเปลี่ยนไป ... ตอนนี้ เพียงแค่สบสายตากับดวงตาชั้นเดียวคู่นั้น ไม่เกิน 3 วินาที หัวใจของผมก็เริ่มเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ ทุกครั้งที่เราสัมผัสกัน ผมจะรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างกาย และหลายต่อหลายครั้งที่ผมเขินอายให้กับความใกล้ชิดที่เรามีให้กัน แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ลึกๆ แล้วก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คืออะไร

“ปิด summer มึงจะไป work and travel กับพวกมันเปล่าวะ” เสียงของจีดังออกมาจาก speaker phone … คำถามของเพื่อนสนิททำให้ผมต้องละความสนใจจากจอ PC ตรงหน้า

“ไม่แน่ใจเลยวะ กูอยากไปนะ แต่พอถามพ่อเหมือนเขาอยากให้กูไปเรียนภาษามากกว่า” ตอนนี้โปรแกรม work and travel กำลังเป็นที่นิยมในหมู่เด็กมหาลัย ใครๆ ก็พูดถึงกันทั้งนั้น ได้ทั้งไปเที่ยวต่างประเทศพร้อมกับทำงานเก็บเงิน ใครบ้างจะไม่ชอบ ... เอ่ออออ พ่อผมไงที่ไม่ชอบ

“เฮ้ย!!! จริงดิ” เสียงของจีดังลั่นด้วยความตื่นเต้นจนผมสะดุ้ง

“ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นวะ”

“กูว่าจะบอกมึงอยู่พอดี ... เพื่อนกูที่วิศวะ มันชวนกูไปเรียนภาษาช่วงปิด summer เหมือนกัน กูคิดอยู่ว่าจะมาชวนมึง ... ไปด้วยกันไหมมึง Canada ถ้ามึงไปด้วยก็มี 4 คน มึง กู เพื่อนกู แล้วก็พี่สาวมัน”

“ก็ดีนะ ไปกับมึงพ่อกูคงไม่ติดอะไร ... แล้วมึงลองถามพวกมันบ้างยัง” ถ้าบอกว่าไปเรียนภาษากับจี พ่ออนุญาติให้ไปอยู่แล้ว ... มีลูกรักอย่างจีไปด้วย ขอไปดาวอังคารยังได้เลย

“ยังไม่ได้ถาม แต่คิดว่าไม่น่าจะทัน พวกมันจ่ายเงินมัดจำไป Work กันหมดแล้ว”

“ได้ๆ เดียวกูถามพ่อก่อน”

“พรุ่งนี้มึงมีเรียนแถวคณะกูหรือเปล่า”

“มีนะ พรุ่งนี้มีเรียนที่วิดยา” เด็กสายแพทย์ปี 1 จะมีเรียน lecture ที่คณะวิทยาศาสตร์หลายวิชาเพราะเป็นคณะที่รับผิดชอบวิชาปรับพื้นฐานวิชาเคมี ชีวะ ฟิสิกส์ของคณะสายการแพทย์ทั้งมหาลัย

“พรุ่งนี้คณะกูมีงาน คนน่าจะเยอะ ถ้าเลี่ยงได้ ไม่ผ่านมาแถวนี้ก็ดี”

“อ่อ อืมๆ” ผมตอบรับอยากขอไปที เพราะกำลังมีสมาธิอยู่กับการทำ slide นำเสนองาน คณะของจีอยู่ใกล้กับคณะวิทยาศาสตร์ เอาจริงๆ คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัย แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดินไปไหนมาไหนโดยไม่ผ่านคณะวิศวะ นอกจากจะเดินอ้อมไปอีกไกลโข
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 03-08-2025 09:24:38
ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ ตอนที่ 2/2

คณะวิศวกรรมศาสตร์วุ่นวายตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากจัดงาน open house เด็กนักเรียนมัธยมจากโรงเรียนทั่วสารทิศเดินกันขวักไขว่ ชมนิทรรศการของแต่ละภาควิชาอย่างสนอกสนใจ ผลตอบรับดีแบบนี้ทุกปี ห้องประชุมเต็มทุกรอบการบรรยาย เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปทั่วคณะ ลามไปถึงลานเกียร์ จีและเพื่อนๆ ยุ่งจนหัวหมุน นิสิตปี 2 รับผิดชอบนิทรรศการของภาควิชา ภาควิชาของจีมีนิสิตทั้งหมดเพียงร้อยกว่าคน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนนิสิตของคณะวิศวะ แต่เนื่องจากเป็นภาคที่มีคนเรียนน้อยและเป็นที่ต้องการของตลาดทำให้อัตราการจ้างงานของบัณฑิตสูงมาก ถึงขนาดที่ยังไม่ทันเรียนจบก็มีบริษัทยักษ์ใหญ่มาจองตัวล่วงหน้า รวมถึงเงินเดือนเริ่มต้นก็สูงกว่ามาตรฐานหลายเท่า จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาควิชานี้จะติดอันดับต้นๆ ของคณะวิศวะมาโดยตลอด

เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อย จำนวนเด็กนักเรียนเริ่มบางตา แต่ถึงอย่างนั้นเสียงกิจกรรมกรรมต่างๆ ก็ยังดังขึ้นต่อเนื่อง

“พวกมึงๆ ไปที่หน้าคณะเร็วๆ” เพื่อนในภาคคนหนึ่งวิ่งกลับมาที่ซุ้มกิจกรรมด้วยท่าทางความตื่นเต้น

“มีอะไรวะ”

“3 แยกปากหวานไงมึง”

ภาพจำของเด็กคณะวิศวะที่ติดมาจากละครทีวีคือชอบตั้งกลุ่มบริเวณ 3 แยกเพื่อแซวคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ... ‘3 แยกปากหวาน’ ถูกผันมาจาก ‘3 แยกปากหมา’ เป็นชื่อกิจกรรมที่จัดขึ้นพร้อมงาน open house ทุกปีเพื่อเพิ่มสีสันและความครึกครื้น โดยมีนิสิตปี 1 ของคณะวิศวะเป็นผู้รับผิดชอบตั้งซุ้มอยู่หน้าคณะเพื่อแจกดอกไม้ให้กับนิสิตหรือบุคคลทั่วไปที่เดินผ่านไปมา ความสนุกของกิจกรรมนี้อยู่ที่การใช้บทกลอนหรือคำพูดหยอดคำหวานแบบขำๆ แซวผู้คนที่เดินผ่านไปมา เพื่อเรียกเสียงหัวเราะและสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน และพอมาจัดในช่วงของเดือนกุมภาพันธ์ ก็ถือว่าเข้ากับเทศกาล Valentine’ s ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

“ไรสาระ” ใครซักคนตอบกลับอย่างไม่ยี่ระ มีเฉพาะเด็กปี 1 เท่านั้นที่ตื่นเต้นกับกิจกรรมนี้ ในขณะนิสิตชั้นปีอื่นๆ ออกจะเฉยๆ เพราะแม้ว่า theme ของกิจกรรมคือให้ดอกไม้และหยอดคำหวานเพื่อสร้างสีสันและเสียงหัวเราะ แต่จะมีซักกี่คนที่อินกับเรื่องแบบนี้ ไอ้ที่คาดฝันว่าคนรับคนให้จะเขินอายมันมีแต่ในละครเท่านั้นแหละ ความเป็นจริงๆ คือสวัสดี ยื่นดอกไม้ และกล่าวขอบคุณ

“อันนี้ของจริงมึง ... มิลค์ ติฒสิงห์ อยู่หน้าคณะ” พอจบประโยค ทุกคนที่อยู่ในซุ้มต่างพร้อมใจกันวางมือจากกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ และพากันวิ่งกรูไปยังหน้าคณะด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น

“พวกมันหายไปไหนกันหมด” จีในชุดนิสิตสวมเสื้อ shop ทับอีกชั้นเดินถือกล่องกระดาษเข้ามาในซุ้ม

“ไป 3 แยกปากหวาน ... ไอ้พวกผู้ชายหน้าหม้อ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในซุ้มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเอือมระอา

“หม้ออะไร?”

“แกไปอยู่ไหนมาเนี่ย ... ไอ้เบิร์ดมันวิ่งมาบอกว่ามิลค์ ติฒสิงห์ อยู่หน้าคณะ ...”

“... แกเคยเจอไหม คนดังเลยนะ ลูกเจ้าของ The Nemean Group อะ ฉันเจอครั้งหนึ่งแถวโรงอาหาร ผู้ชายอะไรโคตรสวย ... อ้าวไอ้จี!!!” เธอพูดอย่างออกรสออกชาติ แต่พอหันกลับมาก็พบว่าคนที่เธอคิดว่ายืนฟังอยู่ข้างหลังนั้นหายไปอีกคนแล้ว

2 เท้าก้าวยาวๆ ไปหน้าคณะ พอจีมาถึงก็พบว่าเหตุการณ์ชุลมุนมากกว่าที่คิด คนยืนมุงกันเหมือนรอขอลายเซ็นดารา แต่ต่างกันตรงที่ทุกคนต่างมีดอกไม้ในมือและทั้งหมดล้วนเป็นผู้ชาย มิลค์ยืนเด่นอยู่ใจกลางของความวุ่นวายโกลาหล โดยมีแก้ว ต่อ และต้น ยืมล้อมเป็นวงกลม จากจุดที่ยืนอยู่เขาเห็นชัดเจนว่าคนขี้ร้อนแบบมิลค์เหงื่อออกจนชุ่ม เม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่ทั่วโครงหน้าสวย แต่ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ มิลค์จึงไม่กล้าปฏิเสธ รอยยิ้มหวานยังคงแต้มบนใบหน้า พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุกคนที่นำดอกไม้มามอบให้

จีค่อยๆ แทรกตัวผ่านกลุ่มเพื่อนๆ ในคณะที่ยืนมุงดูเหตุการณ์ จนกระทั้งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิท มิลค์ชะงักไปเสี่ยววินาทีเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ จีจะมายืนอยู่ตรงหน้า แต่แล้วรอยยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยหวานของมิลค์

“จี ช่วยบอกเพื่อนมึงดิว่าพอก่อน พวกกูมี lab ต่อ เดียวไปเรียนไม่ทัน” ต่อเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ

“พวกมึงๆ พอก่อน มิลค์มีเรียนต่อเดียวไปไม่ทัน” จีพูดพลางโอบไหล่มิลค์แล้วดึงให้มายืนใกล้ๆ กัน

“อะไรของมึงนี่ไอ้จี” ใครซักคนตะโกนถาม

“มิลค์มีเรียน lab ต่อ เดียวไปเรียนไม่ทัน” จีอธิบายเพื่อนในรุ่นอีกครั้ง

“อันนั้นกูเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือเป็นอะไรกับเขาอยู่ๆ ไปกอดไหล่เขาแบบนั้นได้ไง”

“เอ้า!!! ก็เพื่อนสนิทกู ทำไมแค่นี้กูจะทำไมได้ ...”

“... มากกว่านี้ยังทำได้เลย ... โอ้ย!!!” เสียงหัวเราะครืนดังขึ้น เมื่อมิลค์ถอกข้อศอกเข้าสีข้างของจีเต็มแรงเพราะเจ้าตัวทำท่าจะก้มลงมาหอมศรีษะทุยๆ ของมิลค์

“จริงดิ?” เพื่อนคนเดิมยังคงถามด้วยความประหลาดใจ

“จริงครับ เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มัธยม ...” มิลค์ช่วยยืนยันสถานะความสัมพันธ์ของเขากับจี

“... ยังไงวันนี้ขอตัวก่อนนะครับ ผมมีเรียนอีกวิชา ขอบคุณนะครับสำหรับดอกไม้” มิลค์พูดอย่างอ่อนน้อมพร้อมกับยกมือไหว้ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น การกระทำนั้นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเจ้าตัวดูน่ารักน่าและเข้าถึงง่ายขึ้นไปอีก ใครจะไปคิดว่ามิลค์ ติฒสิงห์ ทายามเศรษฐีแสนล้าน จะมารยาทงดงามขนาดนี้

“น้องมิลค์มีแฟนหรือยังครับ พี่จีบได้ไหม” แล้วใครซักคนก็ตะโกนถามขึ้นมากลางวง

“ไอ้เหี้ย!!! พอแล้วๆ เดียวเพื่อนกูไปเรียนไม่ทัน” ยังไม่ทันที่มิลค์จะได้ตอบอะไร จีก็รีบตะโกนตัดบท พร้อมกับดึงไหล่มิลค์ให้เดินออกจากวงล้อมนั้นทันที

“พระเอกขี้ม้าขาวเวอร์” แก้วเอ่ยปากแซวเมื่อพวกเขา 5 คนเดินห่างออกมาจากกลุ่มเด็กวิศวะ

“บอกแล้วไงว่าไม่ให้มาแถวนี้” จียิ้มรับแล้วหันกลับไปคุยกับมิลค์ ทั้ง 2 คนชะลอฝีเท้าจนเริ่มทิ้งระยะห่างจากเพื่อนคนอื่นๆ

“ความผิดกูเหรอ จะไปตึก lab แล้วไม่ให้ผ่านคณะมึงได้ไง” มิลค์ยู้ปาก พอเจอเหตุการณ์วุ่นวานเมื่อครู่ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าจีเตือนแล้วตั้งแต่เมื่อคือว่าอย่าผ่านมาแถวนี้

“ไม่ได้บอกว่าความผิดมึงซักหน่อย ...” จีเสียงอ่อย เพราะลืมตัว เลยเผลอพูดเสียงเข้มๆ

“... ร้อนไหม”

“นิดนึง” มิลค์ตอบพลางปลดกระดุมเสื้อนิสิตเม็ดบนออกหนึ่งเม็ด ก่อนจะกระพือเสื้อนิสิตเพื่อระบายความร้อน จีที่เดินอยู่ข้างๆ ถึงกับเดินตัวเกร็ง เพราะจากมุมที่เขายืนอยู่ ทำให้เขาสังเกตเห็นผิวขาวเนียนละเอียดใต้เนื้อผ้าบางเบานั้นได้อย่างไม่ตั้งใจ

“มึงถามพ่อเรื่องไป summer หรือยัง”

“ยังเลย ว่าจะถามคืนนี้ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ... พ่อไม่ติดหรอก ถ้าอ้างชื่อมึง”

“555 ... เย็นนี้เลิกกี่โมง”

“ไม่น่าเกิน 16.30 นะ”

“เลิกแล้วไปกินข้าวกันไหม”

“ไปดิ”

“ถ้าเวลาเหลือไปดูหนังกันเปล่า”

“เอาดิ” มิลค์คลี่ยิ้มกว้างอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อคิดว่าวันนี้จะได้ไปกินข้าวดูหนังกับเพื่อนสนิท

“งั้นเลิกเรียนแล้วโทรหานะ เดียวกูมารับที่ตึก lab”

“ได้ แล้วไว้เจอกัน” มิลค์หันมาส่งยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในตึก



แล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด ไม่ว่ากิจกรรมอะไรก็ตามที่มีชื่อของจีอยู่ในนั้น พ่อโอเคเสมอ พ่อ say yes ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นรายละเอียดของ program เลยด้วยซ้ำ ... วันรุ่งขึ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมทั้งค่าขนมตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่าที่อยู่ที่โน่นก็ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของผมเรียบร้อย ... รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปใช้ชีวิตต่างประเทศกับจี ... เพื่อนรวม trip อีก 2 คน ชื่อวายุ เรียนวิศวะเหมือนจี แต่คนละภาควิชา พี่สาวของวายุชื่อพี่แวว ที่ surprise คือพี่แววเป็นรุ่นพี่ปี 4 คณะผม อะไรโลกจะกลมขนาดนั้น แต่แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว เสียดายอยู่อย่างเดียวคือผมไม่สามารถไป road trip กับจีและวายุต่อหลังจากเรียนจบ course เพราะพ่อขอให้ผมบินตามไปสมทบที่ New York เพื่อร่วมงานเลี้ยงสำคัญ และถือเป็นการออกงานอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผมในฐานะลูกชายเจ้าของ The Nemean Group

“กูขอชนแก้วกับพวกมึงหน่อย ... กว่าจะได้เจอกันก็เปิดเทอมเลย” อาร์มพูดขึ้นพร้อมกับยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นมา ตกลงว่าปิดเทอมครั้งนี้พวกเรา 5 คนต่างแยกย้ายกันไปท่องโลก มีแค่ผมกับจีที่ไปด้วยกัน ในขณะที่พวกมัน 3 คนที่เหลือไป USA เหมือนกันแต่แยกย้ายกันไปอยู่คนละรัฐ

พวกเราจะออกเดินทางในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน และกลับในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ผมจะกลับมาเป็นคนสุดท้ายคือก่อนเปิดเทอมประมาณ 1 สัปดาห์ เพราะต้องมาทำค่ายรับน้องของคณะและของมหาวิทยาลัย ส่วนจีจะกลับมาก่อนผมเล็กน้อย ... ก็อย่างที่ไอ้อาร์มเพิ่งพูดไป กว่าจะได้รวมตัวกันอีกครั้งก็คงต้องรอหลังเปิดเทอม

วันนี้พวกเรามาฉลองกันที่ร้านเหล้า เพราะเป็นวันสอบ final วันสุดท้ายของผม ... ไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็น midterm หรือ final ผมก็สอบเสร็จหลังพวกมันตลอด

“มะรือมึง 2 คนก็เดินทางแล้วดิ” ไอซ์ถาม

“อืม” ผมพยักหน้ารับ เพราะเวลาที่มีไม่มากและตารางเรียนของโรงเรียนที่กระชั้น ทำให้พวกเรา 4 คนต้องออกเดินทางหลังจากที่ผมสอบ final เสร็จเพียง 2 วัน

“จัดของเสร็จยัง” ผมถามจี

“กูจัดเสร็จแล้ว” จีตอบ ผมไม่ได้แปลกใจเพราะจีสอบเสร็จก่อนผมหลายวัน มันมีเวลาเหลือเฟือสำหรับจัดกระเป๋า

“กูยังไม่เสร็จ เหลืออีกนิดหน่อย” ของสำคัญๆ ผม pack ไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้เก็บของอีกนิดหน่อยก็เรียบร้อย พร้อมออกเดินทาง

“แสดงว่าคืนนี้ดึกมากไม่ได้อะดิ”

“ดึกได้ พรุ่งนี้เหลือแค่ออกไปซื้อของที่ห้างอีกนิดนึง แล้วกลับมาจัดกระเป๋าให้เสร็จ”

“ให้กูไปเป็นเพื่อนไหม” จีถาม

“ไม่เป็นไร มึงอยู่กับครอบครัวมึงเถอะ” ผมปฏิเสธเพราะรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็น family man มากแค่ไหน ... สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากเกี่ยวกับครอบครัวของจีคือแม้ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง แต่ทุกเย็นวันอาทิตย์ครอบครัวของจีจะออกไปกินข้าวนอกบ้านด้วยกันเสมอ

“ใจหายวะ จะไม่ได้เจอหน้าพวกมึงตั้ง 3 เดือน” โจพูด พลางตีหน้าเศร้า

“คงคิดถึงพวกมึงน่าดู” ผมพูดสมทบ

“มึงนะไม่เท่าไหร่ ยังมีไอ้จีเป็นเพื่อน พวกกูนี่แยกย้ายกันไป ต้องไปนอนกับใครก็ยังไม่รู้เลย” อาร์มบ่นอุบ

“เวลาแม่งก็คนละ zone ... พวกมึงมีอะไรก็ทิ้งขอความไว้ใน MSN หรือไม่ก็ email มานะเว้ย” ไอซ์บอกพร้อมกับมองหน้าพวกเราทุกคน

“เอาโทรศัพท์มือถือไปกันไหมวะ” พวกเราทั้ง 5 คนพยักหน้าพร้อมกัน

“เอาไปแต่กูปิดไว้นะ เปิดใช้เฉพาะตอนฉุกเฉิน” ผมบอก เพื่อนๆ ที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกันอีกครั้ง แค่โทรจากไทยไป Canada ค่าโทรก็แพงหูฉี่ ไม่อยากคิดว่าถ้าโทรจาก Canada ไป USA จะแพงขนาดไหน

“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มต่ำของคนแปลกหน้าดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่กำลังสนุกสนานของพวกเราทั้งห้าคนต้องหยุดชะงัก

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ไอ้โจถามออกไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่แฝงไปด้วยความกวน

“เราขอชนแก้วเพื่อนพวกนายได้ไหม” ชายแปลกหน้าเอ่ยถามด้วยท่าทีสุภาพ

“มีกันตั้ง 5 คน นายอยากชนกับคนไหน” เพราะรู้จักกันมานานถึงได้ดูออกว่าไอ้โจมันแกล้งคนตรงหน้าไปอย่างนั้น มีหรือที่มันจะไม่รู้ว่าเขามาขอชนแก้วกับใคร ... มีอยู่คนเดียวในกลุ่มเท่านั้นที่มีแรงดึงดูดแต่กับเพศเดียวกัน

“คนนี้ ...” ชายแปลกหน้าตอบ พร้อมกับแก้วที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอร์บรรจุอยู่ครึ่งแก้วถูกยื่นออกมาตรงหน้าผม

“...ชนแก้วกันได้ไหมครับ” เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

แม้จะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ผมไม่เคยจะรับมือกับมันได้ซักที ถ้าไม่ชนจะถูกหาว่าหยิ่งหรือไม่มีมารยาทไหม แต่ถ้าชนอีกฝ่ายจะเขาใจว่าผมเล่นด้วยหรือเปล่า ... ความลังเลฉายชัดอยู่ในแววตาของผม

“ไม่ได้ครับ ... เพื่อนผมไม่สะดวกชนแก้วกับใครทั้งนั้น” อยู่ๆ มันก็โพล่งขึ้นมากลางวง น้ำเสียงเข้มๆ กับสีหน้าตึงๆ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเพื่อนสนิทของผมกำลังอารมณ์ไม่ดี ... ผมรู้สึกถึงวงแขนแข็งแรงโอบรอบไหล่ พร้อมกับแรงดึงให้ขยับเข้าไปใกล้ จนตอนนี้แผ่นหลังครึ่งหนึ่งของผมแนบชิดอยู่กับอกของจี ถ้าทำได้ ผมคิดว่ามันคงอุ้มผมไปนั่งบนตักแล้วด้วยซ้ำ

“จีใจเย็น” ผมเอี่ยวตัวกลับไปมองคนข้างหลัง ในขณะที่นิ้วมือเรียวสวยสัมผัสลงบนหน้าขาของเพื่อนสนิทเพื่อดึงอารมณ์ขุ่นๆ ให้เบาลง

“อย่าดื้อได้ไหมวะ หรือมึงจะชนแก้ว? ...” แต่นอกจากจะไม่สามารถทำให้คนข้างๆ ใจเย็นลงได้แล้ว ผมยังโดนลูกหลงเข้าเต็มๆ น้ำเสียงเข้มๆ นั่นยังพอทน แต่สายตาเรียบนิ่งที่ตวัดมามองผมนั้นทำเอาสันหลังผมเย็นวาบ ... winter is coming ... แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหัวปฏิเสธ ... ดวงตาคู่สวยหลบสายตาของคนตาชั้นเดียวอย่างจำยอม

“... เพื่อนผมไม่ชน ถ้าจะชนก็ชนกับผม” พูดจบมันก็ยื่นแก้วออกไปชนกับคนตรงหน้าหน้าตาเฉย

เสียงชนแก้วดัง ‘แคร้ง’ พร้อมกับคนแปลกหน้าที่เดินคอตกกลับไป

“มึงสร้างเรื่องอีกแล้วนะไอ้มิลค์” จีหันมาว่าผมเสียงเข้ม

“เกี่ยวไรกับกูวะ” ผมถามกลับด้วยความงุนงง ผมผิดตรงไหน นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้สนใจใครเลยด้วยซ้ำ

“มึงจะแต่งตัวอะไรมากมาย กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ใส่เสื้อคอวี แหกจนจะเห็นสะดือ” เจ้าตัวยังคงบ่นต่อไม่หยุด

“มึงก็เวอร์ไป เสื้อคอวีปกติไหมวะ” ผมเถียง

“เรื่องของมึง ... กลับไปนั่งที่ได้แล้ว” พูดจบ จีก็แทบจะยกตัวผมกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม

“อะไรของมึงเนี่ย” งงในงง มึงเป็นฝ่ายดึงกูเข้าไปหาเองไม่ใช้เหรอวะ



หลังจากนั่งหน้าตึงอยู่ซักพัก ด้วยทักษะการปล่อยมุกของไอ้อาร์ม ในที่สุดบรรยากาศก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ทั้งเสียงเพลง บรรยากาศรอบข้าง และแอลกอฮอร์ในแก้ว ทำให้บทสนทนาของพวกเราไหลลื่นไม่มีสะดุด ผมหวังว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มในค่ำคืนนี้จะช่วยเติมเต็มพลังใจของพวกเราในคืนสุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันออกไปเผชิญโลกกว้าง

“จี กูชวนไอ้มิลค์ไปห้องน้ำนะ” ไอซ์พูดขึ้น ในขณะที่จีกำลังสนทนากับไอ้อาร์มและไอ้โจอย่างออกรส ... คิ้วเข้มของจีเลิกขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะตามพวกเราออกไปด้วยดีไหม แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับรู้ แล้วหันกลับไปคุยกับเพื่อนอีก 2 คนต่อ เลนมีแค่ผมที่เดินตามแผ่นหลังไอซ์ออกมาด้านนอก

“กูสูบบุหรี่แป๊บ...” มันเดินเลี่ยงออกมาด้านข้างที่เป็นโซนสำหรับสูบบุหรี่โดยเฉพาะ ... ไอซ์เริ่มสูบบุหรี่ช่วงเข้ามหาลัย เคยบอกให้มันเลิก แต่มีเหรอคนอย่างมันจะยอม ... มันสูบไม่บ่อย นานๆ จะเห็นมันสูบซักครั้ง อย่างว่าแหละ บรรยากาศคืนนี้มันดีจริงๆ

“... เมื่อกี้คืออะไรวะ...” ไอซ์ถามขึ้นหลังจากจุดบุหรี่มวนแรก

“... มึงกับไอ้จีอะ” มันขยายความเมื่อเห็นเครื่องหมาย ‘?’ บนใบหน้าของผม

“ก็ไม่มีอะไรนิ” ผมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่เนียนเอาเสียเลย

“ตอแหลสัส ... อธิบายมาว่าเมื่อกี้คืออะไร ...”

“... มันหึงมึง? หรือว่า ... มึง 2 คนได้กันแล้ว” พูดจบมันก็สูบนิโครตินเฮือกใหญ่เข้าปอด พลางหรี่ตามองผมด้วยสายตาจ้องจับผิด

“เพ้อเจ้อ ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

“ไอ้มิลค์ ถ้ามึงไม่เล่าดีๆ กูจะเค้นคอมึงออกมานะ” ไอ้เหี้ย จะโหดไปไหน กูเพื่อนมึงนะเว้ย

ผมมองหน้ามัน ไอซ์จ้องตาผมพรางยกมือขึ้นจรดปลายบุหรี่ลงบนริบฝีปากเป็นพักๆ ท่าคีบบุหรี่ของไอ้ไอซ์คือกร้าวใจมาก เท่ห์สัส เหมือนหลุดออกมาจากนิตยาสาร ตามสไตล์ Casanova ตัวพ่อ แต่ไม่อยากบอกมันเพราะกลัวจะได้ใจ

...

...

...

“กูไม่รู้”

“ไม่รู้? หมายความว่าอะไรวะ”

“กูไม่รู้ว่าระหว่างกูกับมันคืออะไร กูไม่รู้ว่ากูควรจะทำตัวยังไง ควรจะรู้สึกยังไง ...” ผมยอมรับออกมาในที่สุด

ผมรู้มาซักพักแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับจีไม่ใช้ความสัมพันธ์ปกติของคนเป็นเพื่อนกัน ช่วงหลังๆ มานี้ ความพิเศษระหว่างเรามีมากขึ้นจนคนรอบข้างเริ่มจับสังเกตได้

“... ควรจะตัดใจ หรือควรจะไปต่อ กูไม่รู้เหี้ยอะไรเลย” ช่วงเวลาที่ผ่านมามีคำถามมากมายเกิดขึ้น แต่ผมไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามเหล่านั้นได้เลยซักอย่าง

“มึงชอบมัน?”

“กูไม่รู้” ความสับสนมันกัดกินไปถึงข้างในหัวใจ แม้แต่คำถามง่ายๆ ผมยังตอบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“อย่ากวนตีน”

“กูไม่รู้จริงๆ”

“เอาสั้นๆ ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน มึงชอบมันไหม?”

“กูชอบมันได้เหรอ”

“แล้วอะไรทำให้มึงคิดว่าไม่ได้วะ” มันหรี่ตามองก่อนจะสูบนิโครตินเข้าปอดอีกครั้ง

“มันเป็นเพื่อนสนิทกูไง ถ้าสุดท้ายแล้วมันจบแบบไอ้บอน ... กูไม่อยากจะเสียมันไป ...”

“... แต่อีกใจ กูโคตรมีความสุขเลยเวลาอยู่ใกล้มัน”

“มึงคุยกับมันหรือยัง” ผมส่ายหน้าให้กับคำถามของไอซ์

“ใครจะกล้าคุย ... มันชอบ ...” ผมพูดไม่ออก คำว่า 'ผู้ชาย' มันติดอยู่ที่ริมฝีปาก

“... ชอบแบบกูหรือเปล่า กูยังไม่รู้เลย” ผมไม่รู้จริงๆ และไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงความเป็นไปได้นั้นด้วยซ้ำ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา จีไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ที่บ่งบอกว่าเขาอาจจะชอบคนเพศเดียวกัน

“มึงกำลังสับสน...” ผมพยักหน้ายอมรับความจริง

“... แล้วไป summer กับมันตั้ง 2 เดือน มึงจะไหวเหรอวะ” ดวงตาคู่สวยช้อนตาขึ้นมองเพื่อนสนิทอีกครั้ง ผมมีคำพูดค้างคาอยู่ในใจมากมาย แต่กลับไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

“บางครั้งกูก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจถูกไหม” เพราะมัวแต่ตื่นเต้นดีใจถึงช่วงเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เลยทำให้ผมไม่ได้คิดให้รอบคอบ กว่าจะคิดได้ ก็ไม่สามารถจะหันหลังกลับแล้ว

“เฮ่อออออออ ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่มึงตัดสินใจไปแล้ว ... มองอีกมุมหนึ่ง มึงก็มีเวลาตั้ง 2 เดือนเพื่อหาคำตอบ ... มึงชอบมันไหม มันชอบมึงหรือเปล่า ใช้ช่วงเวลานี้ในการหาคำตอบให้กับทุกคำถามที่มึงสงสัย ...”

“... ไม่มีโอกาสไหนอีกแล้วที่มึงจะเป็นตัวของตัวเองได้มากเท่ากับช่วงที่อยู่ที่โน่นอีกแล้ว รู้สึกในสิ่งที่มึงอยากจะรู้สึก ทำในสิ่งที่มึงอย่างทำ เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด ...”

“... ไม่ต้องคิดเหี้ยอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต แค่มีสมาธิอยู่กับปัจจุบัน ... แต่ที่สำคัญ มึงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง”

“แล้วถ้ากูหาคำตอบไม่ได้”

“หาคำตอบไม่ได้ ก็กลับมาหาต่อที่เมืองไทย ... ไปใช้ชีวิตกับมัน กูว่าอย่างน้อยๆ มันก็ต้องเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำของชีวิตมึง ...”

เสียงแจ้งเตือนข้อความจากมือถือของไอซ์ดังขึ้น มันเหลือบตามองเพียงเสียววินาที

“... เดียวกูกลับเข้าไปก่อน ไอ้ 2 คนนั้นถ่วงเวลาไอ้จีไม่ไหวแล้ว มึงไปล้างหน้าล้างตาแล้วปรับอารมณ์ตัวเองให้เรียบร้อย ถ้าไอ้จีเห็นสีหน้ามึงตอนนี้ มันเอากูตายแน่”

“ขอบใจนะ”

“อืม ไม่ต้องคิดอะไรมาก มีไรก็ MSN หากู” พูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น รองเท้าผ้าใบสีขาวขยี้ลงบนก้นนิโคตินที่เหลืออยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเปลวไฟดับมอดลงแล้วจริงๆ

“ที่ถามกูเมื่อกี้ มึงไม่อยากได้คำตอบแล้วเหรอ” ผมถาม เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตอบคำถามของมัน

“กูได้คำตอบของกูแล้ว” พูดจบมันก็เดินจากไป


----------


มิลค์ : รักแต่ก็กลัว จากน้องมิลค์คนเดิมเพิ่มเติมคือไม่แน่ใจว่าจะชนะความกลัวได้ไหม

#รัก #กลัว #กล้า
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 05-08-2025 10:48:50
“... แกเคยเจอไหม คนดังเลยนะ ลูกเจ้าของ The Nemean Group อะ ฉันเจอครั้งหนึ่งแถวโรงอาหาร ผู้ชายอะไรโคตรสวย ... อ้าวไอ้จี!!!”

2 เท้าก้าวยาวๆไปหน้าคณะ พอจีมาถึงก็พบว่าเหตุการณ์ชุลมุนมากกว่าที่คิด คนยืนมุงกันเหมือนรอขอลายเซ็นดารา แต่ต่างกันตรงที่ทุกคนต่างมีดอกไม้ในมือและทั้งหมดล้วนเป็นผู้ชาย มิลค์ยืนเด่นอยู่ใจกลางของความวุ่นวายโกลาหล โดยมีแก้ว ต่อ และต้น ยืมล้อมเป็นวงกลม จากจุดที่ยืนอยู่เขาเห็นชัดเจนว่าคนขี้ร้อนแบบมิลค์เหงื่อออกจนชุ่ม เม็ดเหงื่อเกาะพราวอยู่ทั่วโครงหน้าสวย แต่ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ มิลค์จึงไม่กล้าปฏิเสธ รอยยิ้มหวานยังคงแต้มบนใบหน้า พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุกคนที่นำดอกไม้มามอบให้


----------


มิลค์ : อากาศร้อนจนแทบจะละลาย จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือยิ้มแย้มให้กับทุกคน


#3แยกปากหวาน #ดอกไม้ #ชุลมุน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 07-08-2025 00:03:57
“บอกแล้วไงว่าไม่ให้มาแถวนี้” จียิ้มรับแล้วหันกลับไปคุยกับมิลค์ ทั้ง 2 คนชะลอฝีเท้าจนเริ่มทิ้งระยะห่างจากเพื่อนคนอื่นๆ

“ความผิดกูเหรอ จะไปตึก lab แล้วไม่ให้ผ่านคณะมึงได้ไง” มิลค์ยู้ปาก พอเจอเหตุการณ์วุ่นวานเมื่อครู่ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าจีเตือนแล้วตั้งแต่เมื่อคือว่าอย่าผ่านมาแถวนี้

“ไม่ได้บอกว่าความผิดมึงซักหน่อย ...” จีเสียงอ่อย เพราะลืมตัว เลยเผลอพูดเสียงเข้มๆ

“... ร้อนไหม”

“นิดนึง” มิลค์ตอบพลางปลดกระดุมเสื้อนิสิตเม็ดบนออกหนึ่งเม็ด ก่อนจะกระพือเสื้อนิสิตเพื่อระบายความร้อน จีที่เดินอยู่ข้างๆ ถึงกับเดินตัวเกร็ง เพราะจากมุมที่เขายืนอยู่ ทำให้เขาสังเกตเห็นผิวขาวเนียนละเอียดใต้เนื้อผ้าบางเบานั้นได้อย่างไม่ตั้งใจ


----------


มิลค์ : อากาศมันร้อนเลยต้องปลดกระดุม จากน้องมิลค์ตยเดิม เพิ่มเติมคือมีคนเดินตัวเกร็งอยู่ข้างๆ

#ไม่ได้ตั้งใจ #แค่ร้อน #จริงๆนะ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 18 : ดอกไม้ในหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 08-08-2025 12:36:49
2 มือหนาประคองใบหน้าสวยไว้ นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างลูปไล้สัมผัสกับขอบตาของคนตรงหน้าอย่างทนุถนอม ราวกับว่า หากออกแรงมากกว่านี้เพียงนิดเดียว ปติมากรรมชิ้นงามตรงหน้าจะบุบสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

“จี กูขออะไรมึงอย่างได้ไหม”

ได้ดิ มึงขออะไร กูให้มึงได้หมด”

“กอดกูได้ไหม กูอยากให้มึงกอด ...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ผมก็จมอยู่ในอ้อมกอดของจี แขนหนาโอบรอบหัวไหล่ของผมไว้ก่อนจะออกแรงกระชับเข้าหาตัว ความอบอุ่นแพร่ซ่านจากร่างกายของมันตรงมาที่หัวใจของผม ความเหงา ความเดียวดาย ความอ่อนล้า ... ทั้งหมดถูกเติมเต็มด้วยกอดของคนตรงหน้า

มิลค์แทบจะจมหายไปในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบเอวของจีไว้แน่น ก่อนจะกระชับแรงกอดเข้าหาตัวเองอย่างเผลอไผล ใบหน้าสวยซบลงบนไหลกว้าง จีไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยด้วยซ้ำที่เสื้อของตัวเองเลอะน้ำตาของคนในอ้อมแขน ... ทั้งสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่นและเงียบสงบ ภายใต้แสงไฟสีส้มนวลในห้องครัว ... ณ สถานที่ที่ทั้งคู่แบ่งบันความทรงจำร่วมกันมานานนับปี


----------


“กูจะไม่ทำดีกับมึงได้ไง มึงเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคนสำคัญคนเดียวของกู” คำตอบแสนตรงไปตรงมาของจี ทำให้หัวใจของผมสั่นระรัว กลัวเหลือเกินว่าจังหวะที่หนักหน่วงนั้นจะดังจนคนที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันจะได้ยิน ... ในเสี่ยววินาทีนั้นเอง ผมสัมผัสได้ว่าดอกไม้ในใจค่อยๆ กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง



----------


มิลค์ : There is light even in the darkest of times จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือกำลังจะมีความรัก

#กอด #ดอกไม้ในหัวใจ #เบ่งบาน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 19
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 09-08-2025 15:42:05
Teaser ตอนที่ 19

"มึงไหวนะ กูเป็นห่วง"

"ไหว ที่คุยกันวันนั้น กูคิดอะไรได้เยอะเลย ... " ไอซ์เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องระหว่างจีกับผม ส่วนคนอื่นผมไม่แน่ใจว่าพวกมันไม่รู้ หรือรู้แล้วไม่พูดกันแน่

"...จริงๆ แล้วตอนนี้กูตื่นเต้นมากกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่กูต้องไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว"

"มึงไม่ต้องกังวล ไอ้จีไม่ปล่อยให้มึงคลาดสายตาหรอก"

"แต่กูกับมัน นอนคนละบ้าน ไม่รู้จะได้เจอกันบ่อยแค่ไหน" เดิมทีผมวางแผนจะนอนบ้านเดียวกันกับจีแต่กฏของโรงเรียนอนุญาติให้ host family รับนักเรียนได้ชาติละ 1 คนเท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุด

"อย่าคิดมาก อยู่เมืองไทย มึง 2 คนยังเจอกันโคตรบ่อย ไปอยู่เมืองนอกกัน 2 คน ดีไม่ดีมันเก็บของมานอนกับมึงตั้งแต่สัปดาห์แรก"

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี"

"มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปเที่ยวให้สนุก ..." ไอซ์ตบบ่าผมเบาๆ

"... แต่ที่สำคัญ มึงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง" มันย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง

“อืม ขอบใจมึงมากๆ"

"ปะ ไอ้จีมันเหล่มองมาหลายครั้งแล้ว" ไอซ์พูดพลางพยักเพยิดไปทางจี

"พวกมึงโชคดีนะเว้ย" จีพูดขณะที่พวกเรา 5 คนยืนจับกลุ่มกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้าย

"เหมือนกัน เจอกันอีก 3 เดือนข้างหน้า ... พวกเรามากอดกันหน่อยดิ" ไอ้อาร์มพูดจบ พวกเราทั้ง 5 คนต่างก็กรูเข้าไปกอดคอกันกลมกลางสนามบิน ภาพของกลุ่มเด็กผู้ชายห้าคนกอดกันแน่น สร้างความสนใจให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่น้อย


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือออกเดินทางไกล

#Summer # Canada #Friendship
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 10-08-2025 09:55:27
ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน part 1/2

ผมยืนกอดอกมองพวกมัน 4 คนยืนคุยกันสนุกปากอยู่หน้าจุด check in ของสายการบิน พวกเรายิ้ม หัวเราะ และตบมุกกันไปมา ... กว่าจะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งก็ 3 เดือนนับจากนี้ ... ทั้งๆ ที่ผมกับจีบอกแล้วว่าไม่ต้องมาแต่พวกมันก็ยืนยันว่าจะมาส่ง

“จี กูว่าได้เวลาแล้วแหละ” ไอซ์พูดหลังจากพวกเรายืนคุยกันมาพักใหญ่

“อืม งั้นเดียวกูไปลาป๊าม๊าก่อน”

“ไอ้มิลค์ ... มึงมาคุยกับกูแป๊บดิ ...” ยังไม่ทันที่ผมจะเดินตามหลังจีไปสวัสดีป๊าม๊า เสียงของไอซ์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“... แป็บเดียว ยังไงมึงก็ได้ไปกราบลาพ่อตาแม่ยายมึงอยู่แล้ว” ผมถลึงตาใส่มัน ไม่อยากให้คนอื่นๆ ได้ยิน โชคดีที่คนอื่นมัวแต่คุยกันจนไม่ได้สนใจบทสนทนาของเราสองคน ... ไอซ์พยักหน้าให้อาร์มและโจ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาพร้อมกับผม

"ว่าไงมึง" ผมถาม

"มึงไหวนะ กูเป็นห่วง"

"ไหว ที่คุยกันวันนั้น กูคิดอะไรได้เยอะเลย ... " ไอซ์เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องระหว่างจีกับผม ส่วนคนอื่นผมไม่แน่ใจว่าพวกมันไม่รู้ หรือรู้แล้วไม่พูดกันแน่

"...จริงๆ แล้วตอนนี้กูตื่นเต้นมากกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่กูต้องไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว"

"มึงไม่ต้องกังวล ไอ้จีไม่ปล่อยให้มึงคลาดสายตาหรอก"

"แต่กูกับมัน นอนคนละบ้าน ไม่รู้จะได้เจอกันบ่อยแค่ไหน" เดิมทีผมวางแผนจะนอนบ้านเดียวกันกับจีแต่กฏของโรงเรียนอนุญาติให้ host family รับนักเรียนได้ชาติละ 1 คนเท่านั้น เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนทุกคนใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุด

"อย่าคิดมาก อยู่เมืองไทย มึง 2 คนยังเจอกันโคตรบ่อย ไปอยู่เมืองนอกกัน 2 คน ดีไม่ดีมันเก็บของมานอนกับมึงตั้งแต่สัปดาห์แรก"

"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี"

"มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปเที่ยวให้สนุก ..." ไอซ์ตบบ่าผมเบาๆ

"... แต่ที่สำคัญ มึงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง" มันย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง

“อืม ขอบใจมึงมากๆ"

"ปะ ไอ้จีมันเหล่มองมาหลายครั้งแล้ว" ไอซ์พูดพลางพยักเพยิดไปทางจี

"พวกมึงโชคดีนะเว้ย" จีพูดขณะที่พวกเรา 5 คนยืนจับกลุ่มกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกย้าย

"เหมือนกัน เจอกันอีก 3 เดือนข้างหน้า ... พวกเรามากอดกันหน่อยดิ" ไอ้อาร์มพูดจบ พวกเราทั้ง 5 คนต่างก็กรูเข้าไปกอดคอกันกลมกลางสนามบิน ภาพของกลุ่มเด็กผู้ชายห้าคนกอดกันแน่น สร้างความสนใจให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่น้อย



"มึงคุยอะไรกับไอซ์" จีถามขึ้นมาในขณะที่เรา 2 กำลังต่อแถว Immigration

"ไม่มีอะไร มันฝากซื้อของ..." ผมตอบออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก พยายามเลี่ยงที่จะสบตา คำตอบของผมทำให้คนตรงหน้าขมวดคิ้วกลับมา ผมน่าจะรู้ดีว่าตัวเองไม่เคยโกหกจีได้เลยซักครั้ง

"... จี กูกังวลวะ ..." คิดได้แบบนั้น เลยต้องพยายามเปลี่ยนเรื่อง ไม่อย่างนั้นผมต้องถูกมันซักจนสารภาพทุกอย่างออกมาแน่ๆ

"... กูไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศคนเดียวมาก่อน" คิ้วหนาค่อยๆ คลายออก ในขณะที่สายตาของจีจ้องตาของผมไม่กระพริบ

"ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวกูดูแลมึงเอง" จบคำพูดนั้น มือหนาก็อบกุมมือของผมไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว ... เชี่ย!!! หัวใจของผม รู้สึกวูบวาบราวกับเล่นรถไฟเหาะ

"อ่อออ เออออออ ... ชอบใจ ..." อยู่ๆ ผมก็ไม่สามารถสบสายตาของจีได้ ... ผมเขิน เขินจนต้องหลบสายตาคู่นั้น

“... จี ... คือกู”

“คนต่อไปครับ” แล้ว moment ของผมกับจีถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกจากพี่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

หลังจากผ่านด่านตรวจเข้ามาด้านใน เรา 2 คนมุ่งหน้าไปยัง gate เพื่อสมทบกับวายุและพี่แวว

“อ้าว!!! คิดว่าใคร ... น้องมิลค์คนดังนี่เอง” พี่แววทักขึ้นทันทีที่เห็นว่ารุ่นน้องที่จะมาร่วม trip ครั้งนี้คือผม... พี่แววอยู่ปี 4 ซึ่งก็ถือว่าห่างจากผมพอสมควร ไม่ค่อยมีกิจกรรมที่ปี 1 กับปี 4 จะได้ทำร่วมกันเท่าไหร่นัก สารภาพเลยว่าครั้งที่ได้ยินชื่อผมคิดหน้าพี่เขาไม่ออก แต่พอเจอหน้าเท่านั้นแหละ ใครบ้างจะจำพี่แววไม่ได้ ... เพราะความสวยโดดเด่นของพี่เขาเลยทำให้พี่แววตกเป็น topic ในกลุ่มของพวกผมหลายครั้ง ครั้งหนึ่งไอ้แก้วเคยประกาศกร้าวว่าพออยู่ปี 4 มันจะต้องสวยสู้พี่แววให้ได้

“พี่แววสวัสดีครับ” ผมไหว้พี่แววตามความเคยชิน นั้นทำให้จีที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกมือไหว้ตาม พี่แววส่งยิ้มให้เรา 2 คน เป็นยิ้มที่โคตรสวย

“คนดังเลยเหรอครับ” ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากพูดคุยกับรุ่นพี่ร่วมคณะ น้ำเสียงนิ่งเรียบของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้น มันมองหน้าผมกับพี่แววสลับกันไปมา

“จีไม่รู้อะไร ที่คณะ มิลค์นี่ popular มาก ...” พี่แววตอบจีอย่างสนิทสนม ... เท่าที่จีเคยเล่าให้ฟัง มันเคยเจอพี่แววมาก่อนนี้ครั้งหรือสองครั้ง ในขณะที่ผมถ้าไม่นับว่าเคยเดินผ่านกันที่คณะ ก็ไม่เคยได้พูดคุยกับพี่แววเป็นการส่วนตัวมาก่อน

“... นี่ถ้าไอ้กวินมันรู้ว่าน้องคณะที่มา summer กับพี่คือน้องมิลค์ มันจะต้องเสียใจที่ตอนพี่ชวนแล้วมันไม่มาด้วยกัน” คิ้วของจีขมวดเข้าหากัน ก่อนที่เจ้าตัวจะคลายออกและปรับสีหน้าให้เป็นปกติในทันที โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

“แฮะๆ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ พยายามเสแสร้งกลบเกลื่อนไม่สนใจสายตาคาดคั้นกดดันที่ส่งมาจากคนที่อยู่ข้างตัว ... ลืมไปซะสนิทเลยว่าพี่แววเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับพี่กวิน

“วายุ ถ่ายรูปพี่กับน้องมิลค์หน่อย พี่จะส่งไปยั่วไอ้กวิน” พูดจบกล่องถ่ายรูปดิจิตอลก็ถูกยัดใส่มือวายุ ก่อนที่พี่แววจะเดินมาคล้องแขนผมเพื่อโพสต์ท่าถ่ายรูป

“กวินคือใครวะ” นั้นไง นึกแล้วไม่มีผิดว่ามันต้องถาม เพราะหลังจากถ่ายรูปเสร็จ พี่แววก็กลับไปอยู่กับน้องชาย ... เหมือนทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ แล้วปล่อยให้ผมเอาตัวรอดเอง

“พี่ที่คณะ” ผมพยายาม keep cool เพื่อหวังจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้

“อันนั้นกูรู้อยู่แล้วไหม ...” มันตอบกลับเสียงเข้ม พร้อมกับคิ้วหนาที่เริ่มขมวดเป็นปมอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนลมหนาวกำลังจะพัดมา

“... จะบอกกูดีๆ หรือจะให้กูเค้น” ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ที่คนข้างๆ ดูจะสนอกสนใจกับการที่มีคนเข้ามาขายขนมจีบผมซะเหลือเกิน

“เออ เขาจีบกู ...” สุดท้ายผมก็ทนกับสายตาคาดคั้นของจีไม่ไหว

“... เจ้าของดอกกุหลาบวันวาเลนไทด์ที่มึงลืมไว้ที่ร้านอาหารไง”

“555 กูจำได้แล้ว” จีหัวเราะออกมาเบาๆ มันก็สมควรจะจำได้อยู่หรอก

วันวาเลนไทด์ที่ผ่านมาพี่กวินเอาดอกไม้มาให้ผม ท่ามกลางสายตาประชาชีนับสิบๆ คู่ แล้วพอดีกับที่เย็นวันนั้นผมนัดจีไว้เพื่อคุยกันเรื่อง summer trip ก็เลยต้องหิ้วดอกไม่ไปด้วย หลังจากที่ทั้งแซวทั้งซักผมยกใหญ่มันก็อาสาถือดอกไม้ช่อนั้นให้ แต่แล้วเจ้าตัวกลับลืมช่อดอกไม้ไว้ที่ร้านอาหาร กว่าผมจะคิดออกก็ตอนถึงบ้าน ... แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะผมไม่คิดจะเก็บดอกไม้ไว้อยู่แล้ว จริงๆ ที่รับมาเพราะไม่อยากหักหน้าพี่กวิน เพราะฉะนั้นการที่จีทำดอกไม้หายไปทำให้ต่อมรู้สึกผิดของผมทำงานน้อยลงไปเยอะ



บนเครื่องบินผมนั่งคู่กับจี ในขณะที่ 2 พี่น้องนั่งห่างจากพวกผมไปพอสมควร flight บินยาวนาน และน่าเบื่อ ดูหนังก็แล้ว เล่นเกมก็แล้ว กินก็แล้ว ไม่มีวี่แววว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขึ้น

“ยุกยิ๊กอะไรของมึงวะ” จีถามขึ้น คงเพราะเห็นผมขยับตัวซ้ายๆ ขวาๆ อยู่นานสองนาน

“เบื่ออะ เมื่อย ไม่มีอะไรทำ” ผมบ่นหน้างอ

“กูบอกให้มึงบิน business จะได้นั่งสบายๆ มึงก็ไม่บิน”

“ก็กูอยากนั่งกับมึง” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งหน้างอ เมื่อยโว้ยยยยยยยย

“นอนไหม”

“พยายามแล้ว นอนไม่หลับ” ทำน่าจะเคลิ้มแต่เอาเข้าจริงก็ข่มตาหลับไม่ได้

“เยอะนะมึงเนี่ย”

“แล้วมึงจะมาว่ากูทำไม” ผมถามกลับอย่างงงๆ ผมอยู่เฉยๆ ของผม มันถาม ผมก็ตอบ แล้วมาว่าผมทำไม

“เออๆ ไม่ได้ว่า ฟังเพลงไหม ...”

“... ฟังๆ ไปเถอะ อย่าเรื่องมาก” พูดจบมันก็ยัดหูฟังใส่หูโดยไม่ถามความเห็นผมซักคำ ... เออ ฟังก็ได้ ... สไตล์การฟังเพลงของจีไม่ต่างกับผมเท่าไหร่นัก ... เพลง pop สบายๆ เพลงแล้วเพลงเล่าถูกเล่นสลับกันไปมา ... และในจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ

“อะไร...” ผมถามเมื่อนิ้วมือของเพื่อนสนิทสะกิดที่แขนยิกๆ มันบุ้ยปากไปยัง air hostage ที่เดินไปมาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย

“... เขาน่ารักดีวะ” หัวใจของผมกระตุกราวกับถูกกระแสไฟเบาๆ ช๊อต มันไม่ได้มากแต่ก็พอจะทำให้รู้สึกคันยิบๆ ในจังหวะที่พี่เขาเดินกลับมา ผมที่ทำเหมือนไม่สนใจแต่จับสังเกตได้ว่ามีจังหวะเพียงเสี่ยววินาทีที่เขามองจี ... แค่นั้นในใจของผมก็เหมือนมีพายุหมุ่นอยู่ข้างใน ... ในหัวประมวลผลอย่างรวดเร็ว และในจังหวะที่พี่เขาเดินย้อนกลับไปผมก็คิดอะไรบางอย่างออก

“จี นอนนะ” รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นในใจ

“อืม เอาดิ”

“นอนไม่สบายอะ ... ขอหนุนนะ” พูดจบผมก็วางหมอนใบเล็กตรงหัวไหล่ของเพื่อนสนิท จัดตัวเองพลิกองศาให้เหมาะสม แล้วทิ้งน้ำหนักลงบนตำแหน่งที่คุ้นเคย ในจังหวะที่ air hostage เดินวนกลับมา ด้วยองศาที่ถูกจัดวางไว้พอเหมาะ โดยที่ผมไม่ต้องเงยหน้ามองด้วยซ้ำ ... เรา 2 คนสบตากัน และแน่นอนว่าผมไม่สามารถห้ามตัวเองให้หุบยิ้มบางๆ ที่มุมปากได้

เมื่อเหตการณ์ผ่านพ้นไป ในขณะที่มิลค์กำลังยกยิ้มเพราะภูมิใจกับชัยชนะเล็กๆน้อยๆของตัวเอง แต่เจ้าตัวหารู้ไหมว่าเจ้าของไหล่ที่กำลังอิงแอบอยู่นั้นก็เก็บยิ้มเจ้าเล่ห์ของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน



จากที่คิดว่าจะนอนเล่นๆ ทำไปทำมาผมกลับหลับจริงซะงั้น ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่เครื่องใกล้จะ landing แล้ว ... ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่เราถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เพราะพวกเราทั้ง 4 คนต่างหลับ เลยไม่มีใครได้กรอกเอกสารเข้าเมืองเลยแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย กว่าจะกรอกเอกสารครบและผ่านด่าน ตม. มาได้ก็ช้ากว่าเวลานัดหมายไปร่วมชั่วโมง

“Hey!!!, Are you Milk?” ทันทีที่เดินออกมาจากข้างนอกผมก็ถูกเรียกโดยผู้หญิงมีอายุคนนึง

“Yes” เธอผอม ใส่แว่น ผมยาวหยิกสีน้ำตาลแดง สูงประมาณผม

“Hi, I’ m Linda. Your host mother. Let go, we are so late” ผมจำได้ตั้งแต่ก่อนเธอจะแนะนำตัวซะอีกว่าเธอคือเจ้าของบ้านที่ผมจะไปอาศัยอยู่ เรา email คุยกันหลายครั้งเรื่องการเตรียมตัวและความเป็นอยู่ของผมตลอดช่วงเวลา 2 เดือนกว่าที่ผมต้องอยู่กับเธอ ... พูดจบเธอก็คว้า carry on ของผมแล้วเดินนำออกประตูไป ... ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนในใจของผมวูปไหว เพราะคิดมาตลอดว่าจะมีเวลาได้ลำลาเพื่อนสนิท หันกลับไปหาจี ก็พบว่าเจ้าตัวตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม มันกำลังเดินตามหลังผู้ชายร่างท้วมไปอีกทาง ... เรามีเวลาเพียงแค่เสี่ยววินาทีเท่านั้นที่จะได้บอกลากันผ่านทางสายตา

ตลอดทางกลับบ้าน Linda อธิบายเรื่องต่างๆ มากมาย ผมฟังบ้าง ใจลอยไปบ้าง เพราะมัวแต่คิดถึงจี เพิ่งเริ่มต้นผมชีวิตในต่างได้ได้ไม่ถึง 30 นาที ผมก็รู้สึกเหงาจับใจเสียแล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่เธอพูดมา ผมจับใจความได้ว่าวันนี้ช่วงเย็นจะมี party เล็กๆ ที่บ้านเพื่อเลี้ยงอำลานักเรียนอีกคนที่กำลังจะบินกลับ แต่ถ้าผมเหนื่อยล้าจากการเดินทางก็สามารถแยกไปพักผ่อนได้โดยไม่ต้องเกรงใจ

เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ที่บ้านมีนักเรียนอยู่ 3 คน ไม่นับคนที่กำลังจะบินกลับในอีกวันสองวัน เป็นผู้ชาย 2 คน คนเกาหลีและบราซิล อีกคนเป็นผู้หญิงชาวญี่ปุ่น เธอยังบอกผมอีกว่าเธอไม่มีโอกาสได้รับนักเรียนคนไทยบ่อยนัก ครั้งสุดท้ายที่มีนักเรียนคนไทยมานอนบ้านเธอคือประมาณ 3 ปีที่แล้ว ... รถยนต์เริ่มเข้าเขตชุมชน จากนั้นเธอก็บอกผมว่าต้องนั่ง bus สายไหนไปเรียน และขากลับถ้าผมเห็น supermarket สีเหลืองๆ ด้านขวามือแสดงว่าอีก 2 ป้ายจะถึงแล้ว

บ้านของ Linda ปลูกอยู่บนเนิน เป็นบ้าน 2 ชั้นบวกกับชั้นใต้ดิน 1 ชั้น รวมเป็น 3 ชั้น แต่ละชั้นมีห้องนอน 2 ห้อง ห้องนั่งเล่นรวมกับห้องกินข้าว ห้องน้ำ และห้องครัวอย่างละ 1 ห้อง แม้ทุกชั้นมีห้องกินข้าวและห้องครัว แต่เพื่อความเป็นระเบียบเลยมีกฎว่าจะต้องกินข้าวและทำอาหารที่ชั้น 1 เท่านั้น ครอบครัวของ Linda อยู่ชั้น 2 ส่วนเด็กๆ จะอยู่ชั้น 1 กับชั้นใต้ดิน ห้องนั่งเล่นชั้น 1 มีคอมพิวเตอร์อยู่สามารถใช้ได้ตามสบาย … ห้องของผมอยู่ชั้นใต้ดิน โดยมีเพื่อนชาวบราซิลอยู่ห้องถัดไป

พอเข้ามาในบ้าน คงเพราะกำลังจะมี party บรรยากาศเลยดูคึกคัก ทุกคนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่ชั้น 1 ตอนแรกคิดว่าจะขอตัวไปพักผ่อน ผมเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องส่งยิ้มทักทาย และแนะนำตัวให้กับทุกคนตามมารยาท ก่อนที่ Linda จะให้ Bruno เพื่อนชาวบราซิลช่วยผมยกกระเป๋าลงมา

“ห้องของเราอยู่ข้างๆ นายนะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ ... นี่ห้องน้ำ บ้านนี้ไม่มีกฎเรื่องจำนวนครั้งของการอาบน้ำ แต่เราขอว่าตอนเช้าๆ อย่าอาบน้ำนาน เพราะถ้าน้ำร้อนหมดหม้อ กว่าจะใช้ได้อีกทีต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ถ้านายจัดของเสร็จแล้วก็ตามขึ้นไป party ข้างบนนะ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะถูกบรีฟมาก่อนแล้วว่าบ้านแต่ละหลังจะมีกฎเรื่องการอาบน้ำที่แตกต่างกัน

ห้องผมมีขนาดประมาณ 3 x 3 เมตร เล็กกว่าหอที่ผมเคยอยู่เสียอีก และเนื่องจากอยู่ชั้นใต้ดินเลยไม่มีหน้าต่าง ในห้องไม่ได้มีอะไรมากมายนักนอกจากเตียงขนาด 1 คนนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน และมุมว่างๆ อีกมุมหนึ่งที่ผมสามารถเอาไว้เก็บกระเป๋าเดินทางได้ ... เฮ่ออออ ให้ความรู้สึกเหมือนกลับมานอนหออีกครั้ง ... วางกระเป๋าเสร็จผมก็เดินออกมาสำรวจด้านนอก แม้ห้องนอนจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ห้องนั่งเล่นกลับกว้างขวาง มีโซฟาขนาดใหญ่ตั้งอยู่มุมห้องตรงข้ามกับทีวีขนาด 50 นิ้ว อีกมุมหนึ่งมีเตียงลมวางอยู่ ดูจากขนาดแล้วน่าจะนอนได้ 2- 3 คนสบายๆ ห้องน้ำดีกว่าที่คิดเพราะมีห้องอาบน้ำแยกออกมาเป็นสัดส่วนชัดเจน ห้องครัวขนาดเล็กมากแต่ก็ไม่ได้สำคัญเพราะไม่ได้ใช้อยู่แล้ว

3 ทุ่มกว่า ผมก็รู้สึกหนักหนังตาจนแทบจะลืมไม่ขึ้น เลยขอตัวลงมานอน คงเป็นเพราะ jet lack ตอนนี้ที่เมืองไทยน่าจะประมาณ 6 โมงเช้าเท่านั้น ... แต่พอเปิดประตูห้องน้ำเท่านั้น หัวใจของผมก็หล่นวูบไปจนอยู่ที่ตาตุ่ม แมงมุมตัวใหญ่สีดำสนิทยืนนิ่งอยู่กลางห้องน้ำ ผมไม่เคยเจอแมงมุมตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ในหัวประมวณผลอย่างรวดเร็วว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง ... โอเค ผมยอมแพ้

“Bruno เรารบกวนนายหน่อยได้หรือเปล่า ...” หนุ่มบราซิลผิวเข้ม รูปร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับ เขาเดินตามผมลงมาชั้นล่าง และพอเปิดประตูห้องน้ำเจ้าแมงมุมสีดำก็ยังอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือพอเห็นผมมีเพื่อนเพิ่มมาอีกคนมันก็ยกขาหน้าทั้ง 4 ข้างขึ้นตั้งการ์ดพร้อมต่อสู้

“...Shit!!!” ผมสถบออกมาอย่างลืมตัวพร้อมกันก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ

“เดียวฉันจัดการให้ ...” พูดจบ Bruno ก็เดินกลับเข้าห้องของตัวเอง ไม่นานเขาออกมาพร้อมกับขวดโหลแก้ว และกระดาษ A4 พับครึ่ง

“... นายถอยไปรอข้างนอก แล้วถ้ามันวิ่งหนี นายรีบเข้าไปหลบในห้องก่อน” ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วถอยหลังออกจากห้อง

Bruno เดินเข้าไปหาแมงมุมตัวนั้นอย่างระมัดระวัง … โหลแก้วครอบถูกครอบลงบนแมงมุมตัวใหญ่อย่างรวดเร็วก่อนที่กระดาษ A4 จะถูดสอดเข้าไปด้านใต้เพื่อใช้เป็นฐาน ... เขาใช้ 2 มือประคองยกโหลแก้วและกระดาษขึ้นพร้อมกันจากพื้นอย่างระวัง พอตำแหน่งถูกต้องเจ้าตัวก็ดึงกระดาษออก เจ้าแมงมุมสีดำตกลงใปในชักโครกเสียงดัง ต๋อม ก่อนจะถูก flush หายไป

“นายไม่ชอบแมงมุม?”

“ไม่ชอบ” ผมส่ายหัว สัตว์ 2 ชนิดที่ผมไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกับมันได้คือแมงมุม กับแมลงสาบ

“ถ้ามีอีกก็เรียกละกัน เจ้าพวกนี้มันดุ บางตัวก็มีพิษ”

“โอเค ขอบคุณนายมากๆ”

แค่หัวถึงหมอน สติของผมก็ลอยหายไปอย่างรวดเร็ว เสียงเพลงและเสียงหัวเราะที่ดังมาจากชั้นบนไม่ได้ส่งผลต่อการนอนของผมเลยแม้แต่น้อย ... เช้าวันถัดไป ผมถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตู

“ครับ?” แปลกใจนิดหน่อยที่เปิดประตูออกมาแล้วเจอ Mark สามีของ Linda

“มีโทรศัพท์ถึงนาย ...” ผมขมวดคิ้ว มองโทรศัพท์ไร้สายที่ถูกยื่นมาตรงหน้า

“... เขาบอกว่าเป็นเพื่อนของนาย”

“ขอบคุณครับ ...”

“... Hello”

“มิลค์!!!”

“จี!!!” จากที่สลึมสลือสติไม่เต็มร้อย พอได้ยินเสียงของจีเท่านั้น ความง่วงก็หายไปทันตา

“เออกูเอง ... family เป็นไงบ้าง”

“ก็ดี คนเยอะ ครึกครื้น family มึงละ”

“อึมๆ วะ host กูเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ เด็กบราซิลอีกคนก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน”

“เหรอ ... แย่วะ”

“เออมึง บ่ายนี้นัดกันไหม”

“เอาดิๆ แต่จะเจอกันยังไงอะ”

“เดียวกูโทรไปนัดไอ้วายุก่อน แล้วโทรหามึงอีกทีนะ”

“ได้ๆ เดียวกูรอ”

หลังวางสายจากจี ผมเดินขึ้นมาชั้น 1 ข้างบนเงียบสนิท อาจเป็นเพราะทุกคนกำลังพักผ่อนหลังจากเต็มที่กับงาน party เมื่อคืน ในตู้เย็นมีอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงแช่อยู่หลายอย่าง เมื่อวาน Linda บอกผมว่าอาหารที่อยู่ในตู้เย็นถ้าไม่ได้แปะชื่อไว้คือสามารถหยิบออกมากินได้

“Good morning” ผมเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารก็เจอ Linda ในชุดเสื้อยืนกางเกงวอร์มเดินลงมาจากชั้นบน

“Good morning” เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อผมส่งยิ้มให้

“เธอน่ารักมาก”

“555 ผมเหรอ ... ไม่หรอกครับ”

“ฉันพูดจริง เวลาเธอยิ้ม น่ารักมาก ... ฉันว่า Bruno ต้องชอบเธอมากแน่ๆ”

“คุณก็พูดไป ผมอยู่เงียบๆ ของผมเขาไม่มาสนใจผมหรอกครับ” ผมไม่ได้ประหลาดใจที่ Linda บอกว่า Bruno จะต้องชอบผม ผมสัมผัสได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า Bruno มีรสนิยมเหมือนผม และผมก็ว่า Bruno ก็รับรู้ว่าผมมีรสนิยมเหมือนเขา

“วันนี้เธอมีแผนจะทำอะไรบ้าง อยากให้ฉันบอก Bruno ให้พาเธอไปเที่ยวในเมืองไหม” เธอยิ้มกรุ่มกริม ยังไม่ทันไร host mother ก็ทำหน้าที่เป็นแม่สื่อซะแล้ว

“555 ไม่เป็นไรครับ ...” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

“... ผมมีนัดกับเพื่อนๆ”

“เพื่อน?”

“เพื่อนคนไทยที่มาด้วยกันนะครับ”

แล้วบทสนทนาของผมกับ Linda ก็ดำเนินต่อไปอีกหลายเรื่อง เธอเล่าเรื่องต่างๆ ในชีวิตของเธอให้ผมฟังมากมาย จนผมยังแอบทึ่งว่าเห็น look เป็นแม่บ้านลูก 2 แบบนี้ชีวิตวัยรุ่นของเธอก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ... จากช่วงสายของวันจนตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาชี้จนเกือบจะถึงเลข 1 แม้จะแอบงีบหลับไปบนโซฟาแล้วตื่นมากินมื้อเที่ยง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจีจะโทรกลับมา
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 10-08-2025 09:56:25
ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน part 2/2

“เฮ่ออออออ” อดไม่ได้ที่จะถอดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ... ผมกำลังล้างจานอยู่ในครัว เสียงน้ำไหลกับเสียงกระทบกันของเครื่องครัวดังขึ้นเป็นเสียงพื้นหลัง หันไปมองนาฬิกา บ่าย 2 ครึ่งแล้ว ... สงสัยนัดของเราวันนี้ต้องยกเลิก คงต้องรอถึงวันจันทร์ถึงจะได้เจอจี

ก๊อกๆๆ เสียงเคาะกระจกตรงอ่างล้างจานทำเอาผมสะดุ้งออกจากภวังค์

“เฮ้ย!!!” วินาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองกำลังฝัน ... จียืนอยู่อีกฝังหนึ่งของหน้าต่าง ... มันฉีกยิ้มกว้างจนตาชั้นเดียวของมันกลายเป็นสระอิ ... พอตั้งสติได้ผมก็ชี้นิ้วไปทางประตูบ้าน

“มึงมาได้ไง” ผมถามเมื่อเปิดประตูให้เพื่อนสนิทเข้ามาในบ้าน

“กูขอให้ host ขับรถมาส่ง” ผมกระพริบตาปริบๆ ให้กับคำตอบของจี ... ความปลาบปลื้มเอ่อล้นอยู่ในใจ

“กูนึกว่านัดวันนี้จะล่มซะแล้ว”

“ไม่ล่มๆ กูนัดวายุกับพี่แววไว้ในเมือง มึงจะเปลี่ยนชุดไหมหรือไปชุดนี้” มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เปลี่ยนๆ ... แต่เดียวกูแนะนำมึงกับ Linda ก่อน ...”

“... Linda คุณว่างอยู่หรือเปล่า” ผมเดินขึ้นมาตรงชานพักบันไดชั้น 2

“ว่างๆ มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมมีคนที่อยากจะแนะนำให้คุณรู้จัก”

“โอเค เดี๋ยวฉันลงไป” ไม่นาน Linda ก็เดินลงมาจากชั้น 2

“Hello” จีเป็นฝ่ายทักเธอก่อนพร้อมยื่นมือออกมา check hand ตามธรรมเนียม

“Hello”

“Linda นี่เพื่อนสนิทของผม ชื่อจี”

“Oh ยินดีที่ได้รู้จัก ฉัน Linda มิลค์บอกฉันว่าพวกเธอมากัน 4 คน”

“ใช่ครับ ยังมีวายุ และพี่สาวชื่อแวว”

“ดีเลย ฉันว่าเราต้องชวนพวกเธอมาจัด party อาหารไทยด้วยกันซักมื้อ”

“555 จะดีเหรอครับ” ผมหัวเราะแห้ง สำหรับวายุกับพี่แววผมไม่รู้ แต่การจะให้ผมกับจีทำอาหารมื้อใหญ่ไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก

“ดีซิ เครื่องแกงที่ฉันขอให้เธอเอามานะ เธอจะลองทำให้พวกเรากินวันไหนดี” What!!! ทำให้กิน อะไร ยังไง ใครทำ ... ผมเหรอ จะบ้าหรือเปล่า ... พอได้ยินว่าจะให้ผมทำอาหาร คนข้างๆ ก็หลุดหัวเราะออกมาจนผมต้องใช้ข้อศอกกกระทุ้งสีข้างมัน ... จีรู้ว่านอกจากต้มมาม่า ทอดไส้กรอก และปิ้งขนมปังแล้ว ผมก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย

“เออออออ เดียวรอให้ผมปรับตัวซักพักก่อนนะครับ”

“ได้เลย เธอพร้อมเมื่อไหร่บอกฉันได้เสมอ ...” ถ้ารอให้พร้อมก็คงไม่มีวันนั้นหรอกครับ

“... แล้วนี้พวกเธอจะไปไหนกันต่อ”

“เรานัดเพื่อนคนอื่นๆ ไว้ที่ down town นะครับ”

“ดีเลย อย่าลืมนะ ถ้าเธอเห็น supermarket สีเหลืองๆ อีก 2 ป้ายเธอต้องลงแล้ว ... แล้วฉันขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าเดินจากบ้านไป down town เด็ดขาดเพราะจะต้องผ่าน zone ที่ homeless อยู่ มันอันตราย”

“ครับ/ครับ”

ผมพาเพื่อนสนิทเดินลงมาชั้นใต้ดิน จีชมไม่หยุดปากเลยว่าบ้านของ Linda สวยและสะอาดมากเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านของตัวเอง

“ห้องมึงสบายตาดีนะ ...” มันยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วมองไปรอบๆ ห้องนอนของผมปูด้วยพรหมสีน้ำตาลอ่อน บุ wall paper สีครีม มีโคมไฟสูงวางอยู่ที่มุมห้อง 2 ฝั่ง

“... เตียงมึงก็โคตรนุ่ม ... เปลี่ยนชุดดิวะ เดียวไม่ทัน” พูดจบจีก็กระโดดขึ้นมานั่งบนเตียงของผม

“เออ มึงรอนี่เดียวกูเปลี่ยนชุดแป๊บ”

“มึงจะไปไหนวะ” มือที่กำลังเอื้อมไปจับลูกบิดประตูหยุดชะงัก

“เปลี่ยนชุดไง”

“เปลี่ยนในนี้ดิวะ จะออกไปเปลี่ยนข้างนอกทำไม ... หรือว่าอาย ...” ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ เรา 2 คนเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเดียวกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่พอเริ่มคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิท การแก้ผ้าต่อหน้าจีกลับเป็นเรื่องที่กระดากใจอยู่ไม่น้อย

“... มึงเขินกูเหรอ หรือมีอะไรซ้อนไว้ ไปแอบสักมาหรือไง” มันทำสีหน้าจ้องจับผิด พร้อมกับทำท่าจะเข้ามาคลุกวงในเพื่อสำรวจ

“บ้า ไม่ได้สัก ... เปลี่ยนก็เปลี่ยน แต่มึงห้ามแกล้งกูนะเว้ย” ผมก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่คนตรงหน้า

“เออๆ ไม่แกล้ง รีบเปลี่ยนเร็ว” เหมือนชี้โพรงให้กระรอกยังไงไม่รู้ ปากบอกไม่แกล้งแต่จีกลับฉีกยิ้มกว้างจนไม่น่าไว้ใจ

ผมก้มลงเปลี่ยนกางเกงอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาอยู่ที่ตอนเปลี่ยนเสื้อ เพราะความเขินผมเลยดึงเสื้อไหมพรหมและเสื้อยืดตัวในออกพร้อมกัน ทำให้เสื้อทั้ง 2 ตัวติดกันจนไม่สามารถดึงให้หลุดออกทางหัวได้ ... เชี่ย!!! มีอะไรจะน่าอายกว่านี้อีกไหม ผมติดอยู่ในท่าที่ทั้งโคตรน่าอายและโคตรล่อแหลมต่อหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ

ลูกกระเดือกของจีขยับขึ้นลงตามจังหวะกลืนน้ำลาย จะขำก็ขำไม่ออก เมื่อเห็นเสื้อติดอยู่ตรงหัวของเพื่อนสนิท จะดึงออกหรือใส่กลับที่เดิมเจ้าตัวก็ทำไมได้ซักอย่าง มันดิ้นไปมาพยายามจะดึงเสื้อให้หลุดออก ... แม้จะดูตลกแต่ภาพที่เห็นทำเอาสติของจีไม่อยู่กับร่องกับรอย มันไม่ใช้คนออกกำลัง ทำให้ร่างตรงหน้าไม่ได้มีกล้ามเนื้อมากนัก แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามาที่สุด คงหนีไม่พ้นผิวที่โคตรเนียนราวกับว่าเจ้าของร่างนั้นอาบน้ำผึ้งแช่น้ำนมทุกวัน ไหนจะตุมไตสีอ่อนบนหน้าอกที่แค่เผลอไผลคิดจินตนาการ อารมณ์ของเขาก็เหมือนจะเตลิดไปไกล ... จีลุกยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิท มือหนาจับเสื้อทั้ง 2 ตัวไว้แน่น

“อยู่นิ่งๆ เดียวกูช่วย” พอได้ยินเสียงของเขา มิลค์ก็หยุดดิ้นไปมา แผ่นอกเนียนตรงหน้ากระเพื่อมขึ้นลงตามการหายใจของเจ้าตัว ... พอได้อยู่ใกล้ หัวใจก็เหมือนจะเต้นเร็วกว่าเดิม ... นิ้วโป้งสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อที่ม้วนขมวดเข้าหากัน มือหนาค่อยดึงเสื้อให้ยกสูงขึ้นตามทิศทางของแขนเพื่อนสนิท ... พอเสื้อถูกดึงออกถึงได้เห็นว่านอกจากผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงแล้ว ใบหน้าของมิลค์ก็เหมือนจะมีสีแดงแต้มอยู่ตรงแก้มบางๆ



ผมกับจียืนขดตัวอยู่หน้าป้ายรถเมย์ เลยเวลานัดหมายไปเกือบ 40 นาทีแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของวายุและพี่แวว อากาศหนาวจนผมรู้สึกได้ว่าจมูกของตัวเองน่าจะแดงไม่ต่างอะไรจากอันปังแมน

“ไปกันเถอะมิลค์” จีเอ่ยชวน

“ถ้าวายุกับพี่แววมาแล้วไม่เจอ มันจะไม่เป็นไรเหรอ” ผมถามด้วยความลังเล

“ไม่เป็นหรอก มาแล้วไม่เจอเดียวพวกเขาก็ไปเดินเล่นกัน 2 คน ... ไปเถอะ หนาววะ หิวด้วย” จีตอบพลางถูมือเข้าหากันเบาๆ

ผมยืนแหงนหน้ามองเมนูอาหารที่ติดอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ เรา 2 คนเดินเข้า Sandwich ชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากป้ายรถเมย์มากนัก

“กูอ่านไม่รู้เรื่อง” ผมยอมแพ้ อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการให้เราสั่งยังไง แม้จะเป็นร้านที่มีให้เห็นทั่วไปในกรุงเทพ แต่ผมกลับไปเคยกินมันเลยซักครั้ง

“มึงไปนั่งไป เดียวกูสั่งให้ แบ่งกันคนละครึ่งนะ”

“เออ” ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทรงสูงข้างหน้าต่าง ไม่นานจีก็เดินตามมา

“มึงสั่งอะไรมาเนี่ย!!!” ผมอุทาน เมื่ออยู่ๆ ก็มี sandwich ขนาด 12 นิ้วมาวางอยู่ตรงหน้า

“บ่นไรวะ สั่งมากินคนละครึ่ง ...” sandwich ขนาด 6 นิ้วถูกยื่นมาตรงหน้า ... ผมกลืนน้ำลายลงคอ เพิ่งกินข้าวกลางวันไปได้ไม่กี่ชั่วโมง แล้วผมจะกินหมดไหม

“... กินๆ ไปเถอะ กินไม่หมดเดียวที่เหลือกูจัดการเอง” ผมลงมือจัดการอาหารตรงหน้า และก็เป็นไปตามที่คิดไว้ ... จีเป็นคนจัดการ sandwich อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือของผม

กินเสร็จ เรา 2 คนเดินเล่นกันต่อ ทุกอย่างดูตืนตาตื่นใจไปหมด เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เดินเก็บบรรยากาศ ไปเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมโคตรดี เหมือนที่เคยเห็นในหนัง Hollywood ตึกสูง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศเย็นสบาย รู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยไปถึง 5 โมงกว่า ถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้านเพราะวันนี้เป็นมื้อแรกที่ผมจะได้ร่วมโต๊ะอาหารกับทุกคน

“แวะกินอะไรร้อนๆ ก่อนไหม” จีถามในขณะที่พวกเราเดินผ่านร้านกาแฟชื่อดัง

“ก็ดีนะ อากาศโคตรหนาว” สำหรับคนเมืองหนาวอากาศแบบนี้ถือว่าสบายๆ แต่สำครับคนเมืองร้อนแค่นี้ก็ถือว่าหนาวมากแล้ว

ผมเดินเข้ามาในร้านกาแฟที่การตกแต่งร้านไม่ต่างจากที่เมืองไทยมากนัก

“Chocolate ร้อนเนอะ แบ่งกันกิน” จีถามในขณะที่เรายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“ได้ เดียวกูเลี้ยง เมื่อกี้มึงจ่ายไปแล้ว” ผมเสนอตัวเลี้ยงเพราะมื้อก่อนหน้าจียืนยันว่าจะเป็นคนจ่าย

“เอาดิ เดียวกูไปหาที่นั่ง” ผมมองตามแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินห่างออกไป ... เพิ่งนึกได้ว่าความรู้สึกโหวงๆ เคว้งๆ ตั้งแต่เมื่อวานหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“อะ” ผมยื่นแก้ว chocolate ให้คนตรงหน้า จีถอดเสื้อกันหนาวตัวนอกพาดไว้บนพนักพิง ผมเลยทำตามบ้างเพราะรู้สึกร้อนตั้งแต่เดินเข้ามาในร้าน

“มึงกินก่อนเลย” แก้ว chocolate ร้อนในมือที่ยื่นไปให้เพื่อนสนิทถูกดันกลับมา

“ขอบใจ ...” ผมยิ้มพลางจิบเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อคลายหนาว ... ความรู้สึกที่รสหวานของ chocolate ร้อนค่อยๆ ไหลลงคอ มันช่างดีต่อใจเสียเหลือเกิน ไม่แปลกว่าทำไมใครหลายคนจะชอบดื่มเครื่องร้อนๆ เพื่อใช้คลายหนาว

“... บ้านมึงอยู่แถวไหนอะ” ผมรู้แค่บ้านของเรา 4 คนอยู่ zone เดียวกันแต่ไม่รู้ว่าอยู่ใกล้ไกลกันมาขนาดไหน

“ไอ้ supermarket สีเหลืองที่ Linda พูดถึงนะ กูต้องลงก่อน 2 ป้าย”

“ดีอะ พอรู้ว่ามึงอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา” พึ่งจะรู้สึกตัวหลังจากที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปากไปแล้ว ... เชี่ย!!! นี่ผมพูดอะไรออกไป เผลอแสดงความรู้สึกมากเกินไปหรือเปล่า

“อยู่ใกล้กันก็ดี เหงาๆ กูจะได้มาเล่นบ้านมึง” จีพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ

“เอาดิ กูว่า Linda เขาดู happy นะเวลามีแขกมาบ้านนะ”

พอ chocolate หมดแก้ว เรา 2 คนก็นั่งรถเมย์กลับ ตอนแรกผมคิดว่าจีจะลงเมื่อถึงป้ายแต่มันบอกกับผมว่าอยากไปนั่งเล่นบ้านผมก่อนเพราะกลับไปก็อยู่คนเดียว ไม่รู้จะทำอะไร



ที่บ้าน Linda กำลังเตรียมทำ sushi สำหรับมื้อเย็น เธอบอกผมว่าเธอตั้งใจทำมื้อนี้เพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับผมอย่างเป็นทางการ ผมกับจีเลยอาสาเป็นลูกมือช่วยเธออีกแรง ตอนแรกผมจินตนาการว่าเธอจะอวดฝีมือปั้น sushi ได้คล่องแคล้วราวกับเชฟร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ก็ต้องฝันค้างเมื่อเห็นว่าที่จริงแล้วเธอใช้แม่พิมพ์ช่วย จนแล้วจนรอด สุดท้ายผมกับจีลงสนามลอง DIY ปั้น sushi เป็นของพวกเราเองเหมือนกัน

ผมที่กำลังจัดวาง sushi ใส่ในแม่พิมพ์ อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะเพื่อนสนิทที่มีท่าทางเก้งๆ กังๆ ไม่ต่างกัน จีกำลังออกแรงกดแม่พิมพ์อย่างทุลักทุเล เพื่อให้ซูชิขึ้นรูปสวยงาม เพิ่งนึกได้ว่าเรา 2 คนไม่เคยทำอาหารเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ด้วยกันซักครั้ง อย่างมากเวลานอนค้างคืนด้วยกันก็แค่ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินเท่านั้นเอง

“มองไร” เชี่ย!!! อีกแล้วเหรอวะ วันนี้ผมเผลอตัวกับเพื่อนสนิทบ่อยครั้งเกินไปแล้ว ... กว่าจะรู้ตัว จีก็เป็นฝ่ายจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว

“มึงดูสนุก” ผมรีบหาเรื่องเปลี่ยนประเด็น

“ทำอาหารก็สนุกดีเหมือนกันนะ ทำไมเวลาอยู่เมืองไทยเราไม่ทำอาหารด้วยกันบ่อยๆ วะ” มันถาม เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ในใจ

“บรรยากาศมั้ง อยู่เมื่อไทยอะไรก็ง่าย หิวก็แค่โทรสั่ง เดินออกไปหน้าบ้านก็มีของกินแหละ” สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือการกินข้าวในร้านอาหารที่นี้ถือว่าแพง และแน่นอนว่าไม่มีรถเข็นหรือร้านข้างทางเหมือนเมืองไทย

“อืม ก็คงงั้น แต่ได้มาทำอะไรแบบนี้กับมึงก็ดีเหมือนกัน” ผมอมยิ้มให้กับคำตอบของจี ... บางครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ ... หรือจะไม่ใช้แค่ผมคนเดียวที่รู้สึก

จากตอนแรกที่คิดว่าจะขอตัวกลับบ้านก่อน แต่ด้วยความน่ารักและช่างชวนคุยของลินดา สุดท้ายจีก็มานั่งร่วมโต๊ะทานมื้อเย็นกับพวกเรา ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ครอบครัว host family 4 คน รวมกับเด็กนักเรียกอีก 5 คน โต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ก็ดูเล็กไปทันตา จนต้องไปช่วยกันขนเก้าอี้จากชั้นล่างขึ้นมาเสริม บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

เมื่อถึงเวลาแยกย้าย ผมอาสาจะเดินไปส่งจีที่ป้ายรถเมย์ แต่เจ้าตัวปฏิเสธ มันไม่อยากให้ผมเดินกลับมามืดๆ คนเดียว ผมเลยทำได้แค่ส่งจีที่หน้าประตู

“แน่ใจนะว่าจะไม่นอนค้าง” ผมถามเพราะพรุ่งนี้วันอาทิตย์ ยังเหลือเวลาพักผ่อนอีก 1 วัน ก่อนที่จะพวกเราจะเปิดเทอมในวันจันทร์

“เกรงใจ Linda”

“เขาดูอยากให้มึงค้างด้วยจะตาย” ผมยื้อ เพราะพอคิดว่าจะต้องห่างกัน ในใจก็รู้สึกเค้วงๆ ยังไงชอบกล

“เกรงใจเขา รอให้คุ้นเคยกว่านี้ก่อน” ผมฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ แสดงว่าอนาคตยังมีโอกาส

“มึงสัญญาแล้วนะ”

“อืม สัญญา ... มิลค์ พรุ่งนี้กูมาหามึงอีกนะ ถ้าว่างก็ไปเดินเล่น supermarket กัน”

“เอาดิ ... มีมึงอยู่ด้วยกูจะได้ไม่เหงา”

“เข้าบ้านได้แล้ว หนาวขนาดนี้เดี๋ยวไม่สบาย”

“อืม มึงถึงแล้วก็ MSN มานะ”

“ได้ แล้วเจอกันพรุ่ง บายมึง” หัวใจของผมเต้นรัวเมื่อมือหนาของเพื่อนสนิทวางลงบนศรีษะก่อนจะออกแรงขยี้เบาๆ ... ผมยืนอยู่ในห้องนั่งเล่น มองแผ่นหลังของจีเดินหายลับไปตรงหัวโค้ง แม้บรรยากาศภายนอกจะมืดและหนาวมากแค่ไหน แต่ในใจของผมกลับอบอุ่นเหมือนมีกองไฟน้อยๆ จุดติดอยู่ข้างใน



ผมลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ต้องเป็นเพราะเมื่อหัวค่ำดื่มน้ำพันช์ของ Linda ไปหลายแก้วแน่ๆ แต่ระหว่างเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็ได้ยินเสียงพูดคุยกัน เลยอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปสำรวจ

“อ้าว!!! พวกเราคุยกันเสียงดังหรือเปล่า” Bruno ถามเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา

“เปล่า เราแค่ลุกมาเข้าห้องน้ำ”

“ถ้ายังไม่รีบนอนมาคุยกับพวกเราก่อนก็ได้นะ” เพื่อนชาวบราซิลเอ่ยปากชวน

“เอาดิ”

หลังจากกลับมาจากห้องน้ำก็พบว่าตำแหน่งที่นั่งถูกเปลี่ยนไปเล็กน้อย Minho หนุ่มตี้แว่นชาวเกาหลีที่เคยนั่งอยู่ข้าง Bruno ย้ายมานั่งข้าง Nami สาว rock ชาวญี่ปุ่น ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ Bruno แล้วส่งยิ้มให้คนอื่นๆ ยอมรับเลยว่าประหม่าเพราะผมเพิ่งมาถึงเมื่อวานและนอกจาก Bruno ที่พูดคุยกันไปไม่กี่ประโยคแล้ว ผมก็ยังไม่มีโอกาสคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนอื่นที่เหลือเลย

“พวกนายอยู่ที่นี่กันมานานหรือยัง” ผมถาม

“ฉันอยู่ที่นี่มา 8 เดือนแล้ว Bruno มาหลังฉันประมาณ 2 เดือน แล้ว Nami เพิ่งมาเมื่อเดือนก่อน ...” Minho เป็นคนอธิบายก่อนที่จะถามผมกลับ

“... แล้วนายจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่”

“ประมาณ 2 เดือน”

“2 เดือน น้อยมากเลยนะ เพื่อนๆ ของเราส่วนใหญ่อยู่ที่นี่กันอย่างน้อยๆ ก็ 4-5 เดือน”

“ฉันมีเวลาแค่นี้ ปิดเทอม summer แค่ 3 เดือน เสร็จจากตรงนี้ฉันต้องบินไปหาพ่อที่ NY ก่อนที่จะกลับไปเรียน”

“นายเรียนอะไร”

“ฉันเรียนสัตวแพทย์” ทุกคนดูตื่นเต้นที่รู้ว่าผมเรียนสัตว์แพทย์ Minho ทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ ในขณะที่อีก 2 คนที่เหลือยกนิ้วโป้งให้ผม

“นายรู้ไหมว่าสัตวแพทย์ที่เกาหลีเนี่ยเรียนยากมากเลยนะ คนที่เรียนได้ต้องเก่งมากๆ”

“555 ไม่หรอก ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้น” คุยกันได้ซักพัก ผมถึงได้รู้ว่าพวกเขามาเรียนภาษาที่ Canada เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ Minho อยากเรียนบริหาร Bruno อยากเรียนเกี่ยวกับกีฬา ส่วน Nami ตั้งใจจะมาเรียน art ที่นี้

บทสนทนาของเราลื่นไหลไปเรื่อยๆ คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง บางครั้งถึงกับต้องใช้ภาษามือ หรือหยิบ talking dic มาช่วยแปลภาษา เรื่องที่คุยก็แคบลงเรื่อยๆ จากเรื่องทั่วๆ ไปจนตอนนี้ผมกำลังนั่งจ้อง Minho เล่าเรื่องการเสีย virgin ครั้งแรก หลังจากฟังเรื่องของ Bruno และ Nami ไปก่อนหน้านี้แล้ว ... นี่พวกเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง

“ถึงคิวนายแล้ว เล่ามาให้พวกเราฟังเลย” ผมหันซ้ายหัวขวา เมื่อถึงคิวของตัวเอง อยู่ๆ ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา

“คือ ... เราเล่าไม่เก่งนะ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ... พวกนายเป็นฝ่ายถามได้ไหม” จะให้ผมเล่าเรื่องส่วนตัวแบบนั้นออกมา มันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน

“ได้!!! งั้นฉันถามก่อน ...” Nami ยกขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ เธอถูกมือไปมา ทำสีหน้าท่าทางเหมือนตั้งใจจะถามคำถามชิงรางวัล

“... นายชอบเพศเดียวกันหรือเปล่า”

“ชอบ” ผมตอบอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เพราะคิดมาก่อนหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องโดนถาม ... ผมกำลังทำตามที่ไอซ์บอก … ซื่อสัตย์กับตัวเอง

“ฉันว่าแล้ว” Bruno กำมือยกขึ้นเหนือหัว ... มันจะดีใจอะไรขนาดนั้น

“Bruno แอบปลื้มนายอยู่ ...” Minho เสริม ผมหันไปมองฝรั้งผิวเข้มที่นั่งอยู่ข้างๆ ... Bruno ส่งยิ้มให้ผม ... ราวกับโดนไฟช๊อต หล่อแบบวัวตายควายล้ม ถ้าอยู่เมืองไทยรับรองได้ว่าอย่างน้อยๆ เขาต้องได้เป็นนายแบบหรืออาจจะเป็นดาราได้เลยด้วยซ้ำ

“... งั้นฉันจะช่วยนายเอง Bruno ... นายยัง virgin อยู่ไหม”

“ไม่แล้ว” ผมส่ายหัว

“โย้ววว!!! ...” Minho ตะโกนเมื่อได้ยินคำตอบของผม

“... นายนี่ไม่ได้เรียบร้อยเหมือนอย่างที่เห็นซินะ” ผมยิ้มรับให้กับคำถามของเพื่อนชาวเกาหลี คิดในใจว่าประสบการณ์ด้านนั้นของผมก็ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน

“แล้วตอนนี้นายมีแฟนหรือเปล่า” Nami เป็นฝ่ายถามบ้าง พอผมส่ายหัว Minho ก็ทำท่าลิงโลนอีกครั้ง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่แอบปลื้มผมคือ Bruno หรือมันกันแน่ เพราะ Bruno ไม่พูดอะไรเลยนอกจากส่งยิ้มกระชากหัวใจอยากเดียว

“งั้นคำถามนี้จะเป็นคำถามชี้ชะตาของนายแล้ว Bruno” Minho ถูมือไปมา ก่อนที่จะยิงคำถามตีแสกหน้าผมเข้าอย่างจัง

“เพื่อนคนไทยของนายที่ชื่อจี แค่เพื่อนจริงเหรอ” ดวงตาทั้ง 3 คู่จ้องมาที่ผมสายตาเดียวกัน ผมเม้มปากพรางคิดว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง ตอนแรกผมตั้งใจจะปฏิเสธเพราะพวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดที่ผมจะยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้า แต่ก่อนที่จะพูดออะไรออกไป คำพูดของไอซ์จะดังก้องในหัวอีกครั้ง ‘ไม่มีโอกาสไหนที่มึงจะเป็นตัวของตัวเองได้มากเท่ากับตอนอยู่ที่โน่นอีกแล้ว รู้สึกในสิ่งที่มึงอยากจะรู้สึก ไม่ต้องคิดเหี้ยอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคต มีสมาธิอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ... แต่ที่สำคัญมึงต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง’

“ฉันไม่รู้”

“ไม่รู้? หมายถึงอะไรวะ”

“ไม่รู้ว่าเป็นแค่เพื่อน หรือมากกว่านั้น ... ความสัมพันธ์ของเรา 2 คนเพิ่งจะ complicate ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา”

“แล้วนายชอบเขาไหม” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเม้มปาก ความคิดแรกคือโกหก แต่พอคิดได้ว่าต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง

“ฉันคิดว่าชอบ แต่ยังไม่แน่ใจ ... จริงๆ แล้วเราตั้งใจจะใช้เวลาช่วงที่อยู่ที่นี้หาคำตอบ”

“นาย 2 คนรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว”

“6 ปีได้แล้วมั้ง จีเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน”

“Bruno ท่าทางนายจะเจอคู่แข่งคนสำคัญแล้ว” Bruno แค่ส่งยิ้มให้กับคำแซวของ Minho พวกเรายังคงพูดคุยกันต่ออีกหลายเรื่องจนถึงกลางดึก ก่อนที่คืนนี้จะจบลงด้วยการบอก goodnight ระหว่างพวกเราทั้ง 4 คน


----------


มิลค์ : กลัวการอยู่คนเดียวจนใจฝ่อ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีความอุ่นใจเดินอยู่ข้างๆ

#Journey #Voyage
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 11-08-2025 14:05:49
พอเปิดประตูห้องน้ำเท่านั้น หัวใจของผมก็หล่นวูบไปจนอยู่ที่ตาตุ่ม แมงมุมตัวใหญ่สีดำสนิทยืนนิ่งอยู่กลางห้องน้ำ ผมไม่เคยเจอแมงมุมตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ในหัวประมวณผลอย่างรวดเร็วว่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง ... โอเค ผมยอมแพ้


----------


มิลค์ : 2 อย่างที่เกลียดที่สุดในชีวิตคือ แมงมุม กับแมลงสาบ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ ใครก็ได้ช่วยมิลค์ด้วยยยยยยยยยย

#กล้วแล้ววววววว #แมงมุมสีดำ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 12-08-2025 15:09:14
จากช่วงสายของวันจนตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาชี้จนเกือบจะถึงเลข 1 แม้จะแอบงีบหลับไปบนโซฟาแล้วตื่นมากินมื้อเที่ยง ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจีจะโทรกลับมา

“เฮ่ออออออ” อดไม่ได้ที่จะถอดหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ... ผมกำลังล้างจานอยู่ในครัว เสียงน้ำไหลกับเสียงกระทบกันของเครื่องครัวดังขึ้นเป็นเสียงพื้นหลัง หันไปมองนาฬิกา บ่าย 2 ครึ่งแล้ว ... สงสัยนัดของเราวันนี้ต้องยกเลิก คงต้องรอถึงวันจันทร์ถึงจะได้เจอจี

ก๊อกๆๆ เสียงเคาะกระจกตรงอ่างล้างจานทำเอาผมสะดุ้งออกจากภวังค์
   
“เฮ้ย!!!” วินาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองกำลังฝัน ... จียืนอยู่อีกฝังหนึ่งของหน้าต่าง ... มันฉีกยิ้มกว้างจนตาชั้นเดียวของมันกลายเป็นสระอิ ... พอตั้งสติได้ผมก็ชี้นิ้วไปทางประตูบ้าน


----------

#แอบงีบ #เคาะกระจก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 12-08-2025 22:24:12
#สุขสันต์วันแม่
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 14-08-2025 21:59:03
“อะ” ผมยื่นแก้ว chocolate ให้คนตรงหน้า

“มึงกินก่อนเลย” แก้ว chocolate ร้อนในมือที่ยื่นไปให้เพื่อนสนิทถูกดันกลับมา

“ขอบใจ ...” ผมยิ้มพลางจิบเครื่องดื่มร้อนๆ เพื่อคลายหนาว

“... บ้านมึงอยู่แถวไหนอะ”

“ไอ้ supermarket สีเหลืองที่ Linda พูดถึงนะ กูต้องลงก่อน 2 ป้าย”

“ดีอะ พอรู้ว่ามึงอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา


----------


#แชร์ #HotChocolate #Live
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 19 : ไกลบ้าน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 15-08-2025 11:53:18
Tigger warning : ตอนนี้มีเนื้อหาเชิง 18+ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงลึกของตัวละครวัยรุ่น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาสะท้อนสภาวะอารมณ์ที่ซับซ้อนและการค้นหาตัวตนในช่วงวัยเปลี่ยนผ่าน

เพราะความเขินผมเลยดึงเสื้อไหมพรหมและเสื้อยืดตัวในออกพร้อมกัน ทำให้เสื้อทั้ง 2 ตัวติดกันจนไม่สามารถดึงให้หลุดออกทางหัวได้ ผมติดอยู่ในท่าที่ทั้งโคตรน่าอายและโคตรล่อแหลมต่อหน้าคนที่ตัวเองแอบชอบ

แม้จะดูตลกแต่ภาพที่เห็นทำเอาสติของจีไม่อยู่กับร่องกับรอย ผิวที่โคตรเนียนราวกับว่าเจ้าของร่างนั้นอาบน้ำผึ้งแช่น้ำนมทุกวัน แค่เผลอไผลคิดจินตนาการ อารมณ์ของเขาก็เหมือนจะเตลิดไปไกล

“อยู่นิ่งๆ เดียวกูช่วย” นิ้วโป้งสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อที่ม้วนขมวดเข้าหากัน มือหนาค่อยดึงเสื้อให้ยกสูงขึ้นตามทิศทางของแขนเพื่อนสนิท ... พอเสื้อถูกดึงออกถึงได้เห็นว่านอกจากผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงแล้ว ใบหน้าของมิลค์ก็เหมือนจะมีสีแดงแต้มอยู่ตรงแก้มบางๆ


----------


#กรรมบันดาล #ไม่ได้ตั้งใจ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 20
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 16-08-2025 14:56:15
Teaser ตอนที่ 20

“มิลค์ ไอ้กวินโวยวายใส่พี่ใหญ่เลย หาว่าพี่ไม่ยอมบอกมันก่อนว่ารุ่นน้องที่มาด้วยคือมิลค์” ผมหันกลับไปหาพี่แววทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง

“พี่กวินก็เวอร์ตลอด” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ เป็นที่รู้กันทั้งคณะว่าพี่กวินชอบเล่นใหญ่

“มันบ้าๆ บอ แต่เพื่อนพี่รักจริงนะ ไม่ให้โอกาสมันบ้างเหรอ มันจีบมิลค์มาตั้งแต่เทอม 1 แล้วนิ”

“555 พี่แวววววว ผมยังอยากอยู่คนเดียวอีกซักหน่อยนะครับ” การหัวเราะกลบเกลื่อนพร้อมกับให้เหตุผลว่าชอบที่จะอยู่คนเดียวเป็น technique ที่ผมชอบใช้ประจำเวลาโดนถามเรื่องแฟน

“อะๆ ยังไม่ชอบก็ยังไม่ชอบเนอะ ... แล้วนี้คืนนี้จะเต็มที่เลยเปล่า” พี่แววยิ้ม ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด

“ไม่หรอกครับ ผมคออ่อน คงกินได้นิดๆ หน่อย ...”

“... อ่อ พี่แวว Linda เขาจะชวนพวกเราไปทำอาหารไทยที่บ้านเขานะครับ”

“ได้ซิ เขาบอกหรือยังว่าเมื่อไหร่”

“ยังเลยครับ คิดว่าน่าจะหลังผมลองทำอาหารไทยให้เขากินซักมื้อนะครับ”

“จริงดิ!!! น้องมิลค์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ” สีหน้าของพี่แววดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“ไม่เป็นครับ ผมเลยมาเกริ่นกับพี่ก่อน เพราะถ้าวันไหน Linda จะให้ผมทำ ผมจะได้มาขอคำแนะนำจากพี่ 555” รอยยิ้มแข็งข้างอยู่บนใบหน้าของพี่แวว แต่ผมกลับไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย 555 เพราะถึงจุดนี้ยังไงก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ... ผมพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงต้องเป็นเร็วๆ นี้แหละ

“555 ถามได้ๆ แต่พี่ก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งเท่าไหร่นะ” ผมยิ้มให้กับคำตอบที่แสนจะถ่อนตัวของพี่แวว เพราะผมมั่นใจเลยว่ายังไงพี่แววก็ทำอาหารเก่งกว่าผมแน่นอน


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้จะต้องทำอาหารเลี้ยงคนทั้งบ้าน

#ตัวช่วย #อยู่เป็น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 17-08-2025 09:48:25
ตอนที่ 20 : The point of no return 1/2

ผมกำลังยืนจับกลุ่มเม้าท์มอยอย่างออกรสกับเพื่อนร่วมชั้นชาวเกาหลี และบราซิลอยู่หน้าอาคารเรียน ตอนนี้เกือบทุ่มนึงแล้วแต่บริเวณโรงเรียนยังคงคึกคัก เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนาของ Canada แต่อย่าถามว่าคือวันอะไร เพราะผมก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน รู้แค่ว่าเป็นวันที่เกี่ยวกับนักบวชคนนึง และแน่นอนว่าด้วยความที่ประเทศฝั่งตกวันตก วัฒนธรรมของเขาต่างจากเรามาก ถ้าเป็นฝั่งเอเชีย วันนี้คงเป็นวันที่พวกเราเตรียมตัวเข้าวัดทำบุญ แต่ที่นี้พวกเรากำลังเตรียมตัวไป party กัน ... trip แรกกับโรงเรียนของพวกเราคือการตระเวรไปผับทั้งหมด 4 ผับใน 1 คืน ตอนแรกที่เห็น event นี้ผมรู้สึกเฉยๆ แต่วายุกลับตาลุกวาวพร้อมกับมัดมือชกทุกคนให้ลงชื่อร่วม trip ไปกับมัน

อากาศหนาวผสมกับลมพัดแรงช่วงหัวค่ำทำให้ผมกระชับเสื้อกันหนาวเข้าหาตัว การอยู่ที่นี่มาเกือบ 2 สัปดาห์ไม่ได้ทำให้ผมปรับตัวกับอุณหภูมิเลขตัวเดียวของที่นี้ได้เลยแม้แต่น้อย

“หนาวเหรอ” ผมหันไปตามเสียงคุ้นเคย จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ลมมันแรงวะ” พูดไปปากยังสั่น รู้สึกได้เลยว่าจมูกและใบหูของตัวเองต้องแดงมากแน่ๆ

“เอาของกูไปใช้ก่อน...” พูดจบผ้าพันคอไหมพรหมก็พาดลงมาบนต้นคอระหงษ์

“... ไม่เป็นไรมึง นิดเดียวกูทนได้” ทำท่าจะส่งคืนแต่จีกลับจับมือผมไว้ แล้วพันผ้าพันคอผืนนุ่มล้อมรอบคอของผมอีกชั้น เมื่อเช้าผมตั้งใจว่าจะหยิบเอาผ้าพันคอมาด้วยแต่สุดท้ายก็ลืมจนได้

เปิดเทอมได้ 2 สัปดาห์ เรามาโรงเรียนพร้อมกันทุกเช้า เพราะรถ bus ผ่านบ้านผมก่อน เราเลยนัดเจอกันที่ป้ายรถเมย์ใกล้บ้านจี แต่เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือ การนัดเจอกันเลยทำได้ยาก ช่วงแรกผมตื่นตามเวลาปกติแต่พอถึงป้ายรถเมย์ที่นัดกันไว้แล้วไม่เจอจี ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาก่อนเวลาหรือว่ามาสายจนจีขึ้นรถไปก่อนนี้แล้ว ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรถไปต่อ หลังจากนั้นเลยแก้ปัญหาด้วยการออกจากบ้านเช้ากว่า housemate คนอื่นๆ เพื่อมายืนรอจีที่ป้ายรถเมย์แทน เราตกลงกันว่าผมจะรอไม่เกิน 15 นาทีนับจากเวลาที่เรานัดกันไว้เท่านั้น ถ้าเกินจากนั้นแล้วจียังไม่มาคือมีโอกาสสูงมากที่เขาจะตื่นสาย ในกรณีนี้ผมจะนั่งรถมาโรงเรียนเลย เพราะสำหรับคน Canada แล้วการมาเข้าเรียนสายถือว่ามีความผิดมากกว่าการไม่ทำการบ้านซะอีก

“คืนนี้มึงอย่ากินเหล้าเยอะนะ” จีเตือนขึ้นมาหลังจากที่พวกเราคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเสร็จ และกลับมายืนอยู่ข้างกันอีกครั้ง ผมกับจีเรียน class เดียวกัน เพราะผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษของเราออกมาใกล้เคียงกัน

“กูเคยกินได้เยอะที่ไหน” ผมเป็นคนคออ่อน ไม่เกิน 3 แก้ว ก็มึนหัวจนลุกแทบไม่ขึ้นแล้ว ที่เมืองไทยส่วนมากผมจะกินเหล้ากับพวกไอ้ไอซ์ที่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งมากกว่า เวลาเมาเลยไม่มีปัญหาเท่าไหร่ แค่ลากกันขึ้นไปชั้น 2 ก็ได้ที่นอนแล้ว หรือไม่ก็นอนที่โซฟา ส่วนกับเพื่อนมหาลัยผมไปด้วยไม่กี่ครั้ง

“เออ พูดไว้ก่อน”

“ได้ ถ้ากิน จะมาขออนุญาติมึงก่อน” คนตรงหน้าพยักหน้ารับคำ

รอไม่นานรถ bus คันสีเหลืองสดเหมือนที่เห็นในหนังก็วิ่งเข้ามาหน้าตึกเรียน สภาพบนรถไม่ต่างอะไรจากรถ bus ที่คณะเท่าไหร่นัก เก่า และนั่งไม่สบาย ผมนั่งข้างจี ในขณะที่วายุและพี่แววนั่งอยู่ข้างหลัง

“มิลค์ ไอ้กวินโวยวายใส่พี่ใหญ่เลย หาว่าพี่ไม่ยอมบอกมันก่อนว่ารุ่นน้องที่มาด้วยคือมิลค์” ผมหันกลับไปหาพี่แววทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง

“พี่กวินก็เวอร์ตลอด” ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ เป็นที่รู้กันทั้งคณะว่าพี่กวินชอบเล่นใหญ่

“มันบ้าๆ บอ แต่เพื่อนพี่รักจริงนะ ไม่ให้โอกาสมันบ้างเหรอ มันจีบมิลค์มาตั้งแต่เทอม 1 แล้วนิ”

“555 พี่แวววววว ผมยังอยากอยู่คนเดียวอีกซักหน่อยนะครับ” การหัวเราะกลบเกลื่อนพร้อมกับให้เหตุผลว่าชอบที่จะอยู่คนเดียวเป็น technique ที่ผมชอบใช้ประจำเวลาโดนถามเรื่องแฟน

“อะๆ ยังไม่ชอบก็ยังไม่ชอบเนอะ ... แล้วนี้คืนนี้จะเต็มที่เลยเปล่า” พี่แววยิ้ม ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด

“ไม่หรอกครับ ผมคออ่อน คงกินได้นิดๆ หน่อย ...”

“... อ่อ พี่แวว Linda เขาจะชวนพวกเราไปทำอาหารไทยที่บ้านเขานะครับ”

“ได้ซิ เขาบอกหรือยังว่าเมื่อไหร่”

“ยังเลยครับ คิดว่าน่าจะหลังผมลองทำอาหารไทยให้เขากินซักมื้อนะครับ”

“จริงดิ!!! น้องมิลค์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ” สีหน้าของพี่แววดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“ไม่เป็นครับ ผมเลยมาเกริ่นกับพี่ก่อน เพราะถ้าวันไหน Linda จะให้ผมทำ ผมจะได้มาขอคำแนะนำจากพี่ 555” รอยยิ้มแข็งข้างอยู่บนใบหน้าของพี่แวว แต่ผมกลับไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย 555 เพราะถึงจุดนี้ยังไงก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ... ผมพยายามเลี่ยงมาตลอด แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงต้องเป็นเร็วๆ นี้แหละ

“555 ถามได้ๆ แต่พี่ก็ไม่ได้ทำอาหารเก่งเท่าไหร่นะ” ผมยิ้มให้กับคำตอบที่แสนจะถ่อนตัวของพี่แวว เพราะผมมั่นใจเลยว่ายังไงพี่แววก็ทำอาหารเก่งกว่าผมแน่นอน

ร้านแรกเป็นแนว pub and restaurant ด้านในเปิดไฟสลัวๆ เข้ากับร้านที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม ผมถามมาจากเพื่อนชาวเกาหลีถึงได้รู้ว่าความเป็น pub ของร้านจะเพิ่มมากขึ้นจากลำดับของร้านที่พวกเราไปแวะ ดูจากเวลาตอนนี้ประมาณ 19.30 กว่าจะวนถึงร้านสุดท้ายก็น่าจะประมาณเที่ยงคืน

“พวกมึงกินอะไรกันวะ” วายุวางเมนูเครื่องดื่มลงบนโต๊ะ พวกเรามีคูปองเครื่องดื่มฟรีคนละ 1 แก้วต่อร้าน ผมหยิบเมนูขึ้นมาอ่านแล้วส่งต่อให้จีที่นั่งอยู่ข้างๆ ... ไม่รู้จักเลยซักเมนู

“กูเอาอันนี้ละกัน” จีชี้นิ้วลงบนเมนู วายุพยักหน้ารับก่อนจะจดเมนูลงบนกระดาษ

“มึงละเอาไร” วายุเงยหน้าขึ้นมาถามผม แล้วผมก็หันไปถามคนข้างๆ

“กูกินนะ” ผมถามคนข้างๆ

“อืม เอาดิ” สายตาของผมเป็นประกายเมื่อเพื่อนสนิทให้อนุญาต

“เอาไรดีวะวายุ กูกินไม่ค่อยเป็นอะ” ผมถามพลางชะโงกหน้าเข้าไปใกล้วายุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“อันนี้ไหมมึง ดูน่าอร่อย” มันชี้เมนูอะไรซักอย่าง ผมอ่านดูแล้วรู้จักแค่ rum กับ honey ... แค่นี้ก็น่าจะอร่อยแล้วมั้ง ... พอพยักหน้าวายุก็จดเมนูลงในกระดาษก่อนจะลุกหายไป

“ร้านบรรยากาศโคตรดีเลย” รู้สึกตื่นเต้น เพราะไม่ค่อยได้มาร้านแนวนี้เท่าไหร่นัก อย่างที่บอกว่าถ้ากินกับพวกไอ้ไอซ์ก็มักจะกินกันที่บ้าน กับเพื่อนมหาลัยก็มักจะเป็นแนว pub แบบวัยรุ่น

“ร้านดีอยู่”

“มาแล้วๆ” นั่งมองโน่นมองนี้ได้ไม่นาน วายุก็เดินกลับมาพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ 3 แก้ว

“เชี่ย!!! อร่อยยยยยยยยยย ...” แก้วของผมหวานแล้วก็ได้กลิ่นน้ำผึ้งจางๆ ที่ปลายลิ้น

“... จี กูขอลองของมึงบ้างดิ...” ผมฉีกยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ อ้อนเข้าไว้ จีใจอ่อนให้กับผมใน version ขี้อ่อนเสมอ คนข้างๆ มองผมอย่างปลงๆ ก่อนที่จะยื่นแก้วในมือมาให้ ผมส่งแก้วของตัวเองให้มันแลกกับแก้วที่อยู่ในมือของเพื่อนสนิท

“... เข้มสัส” ผมนิ่วหน้าทันทีที่ลิ้นสัมพัสกับรสชาติของเครื่องดื่ม แก้วของจีเข้มบาดคอ กลิ่นแอลกอฮอร์เข้มข้น เหมือนกิน on the rock ... ดื่มได้จิบเดียวผมก็ส่งแก้วคืน

“มิลค์มึงลองของกูไหม” ผมพยักหน้าเมื่อวายุเอ่ยปากถาม ใจนึงผมก็อยากลองชิมแก้วในมือของวายุแต่อีกใจก็เกรงใจเพราะผมกับมันไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ … แต่ก่อนที่มือของผมจะเอื้อมถึงแก้ว มือหนาๆ ของจีก็คว้าหมับลงบนข้อมือ

“พอแล้ว กินผสมกันมั่วๆ เดียวก็เมาพอดี” เสียงเข้มๆ ของเพื่อนสนิท ทำให้ผมงัดลูกไม้ร้อยเล่มเกวียนออกมาสู้

“นะจี กูอยากลอง ขอนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ” ผมพูดกับมันด้วยน้ำเสียงอ้อล้อ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

“มุกนี้ของมึงใช้ไม่ได้ผลกับกูหรอกมิลค์ จัดการในแก้วของตัวเองไป” มันตอบกลับเสียงเข้ม พร้อมกับยกแก้วในมือตัวเองขึ้นมาดื่ม ... เออ!!! ก็ได้วะ

ผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง พวกเราก็ย้ายมาร้านที่ 2 ร้านนี้ออกแนว pub มากขึ้นมาหน่อย เคาน์เตอร์เครื่องดื่มตั้งเด่นอยู่ด้านในสุดของร้าน หลังเคาน์เตอร์ตกแต่งด้วยขวดเหล้ารูปทรงแปลกตาเป็นชั้นๆ สูงจนถึงเพดาน แน่นอนว่าพอเข้ามาในร้าน วายุก็อาสาไปหยิบเมนูพร้อมกับแนะนำเครื่องดื่มให้ผมเสร็จสรรพ

“วายุมันดื่มเก่งเหมือนกันนะ” ผมพูดขึ้นระหว่างที่รอวายุเดินกลับมา

“ไม่เก่งได้ไง ภาคมันกินกันโคตรดุ มีนัดกินเหล้ากันทุกสัปดาห์เลยมั้ง”

“แล้วภาคมึงละ”

“ถ้าเทียบกับภาคไอ้วายุแล้ว ของกูเด็กน้อยไปเลย” ถ้าระดับจียังถูกเรียกว่าเด็กน้อย ผมคงอยู่ในระดับ เด็กแรกเกิด เพราะไม่เกิน 3 แก้วผมก็เมาเป๋แล้ว

ไม่นานวายุก็เดินกลับมา แล้วมันก็เอาเครื่องดื่มอะไรไม่รู้มาให้ผมลอง หวานๆ เปรี้ยวๆ จิบแรกคือรู้สึกสดชื่นมาก ยิ่งจิบยิ่งอร่อย ผมขอชิมของแก้วของจี ซึ่งก็เข้มไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่นัก สงสัยว่าจีจะไม่ชอบกินอะไรที่ fancy เหมือนผม

“มึง กูปวดท้อง ไปเข้าห้องน้ำก่อน มึงอยู่กับไอ้วายุได้นะ” จีบอกพลางทำหน้าเหยเกเล็กน้อย

“ไอ้จี มึงเห็นกูเป็นคนยังไงวะ ทำไมมิลค์จะอยู่กับกูไม่ได้” วายุโวยวายแบบทีเล่นทีจริง

“กูเห็นมึงเป็นคนเหี้ยไง เพื่อนกูไม่ได้เจนโลกแบบมึงนะ”

“เพื่อนมึง??? ไอ้มิลค์ก็เพื่อนกูหรือเปล่าวะ ใช่ไหมมิลค์” พูดจบวายุก็ล็อคคอดึงผมเข้ามาใกล้

“เออๆ กูเพื่อนมึง” ไอ้เหี้ย แรงโคตรเยอะ ... จะว่าไปอยู่ด้วยกันมา 2 สัปดาห์ ผมคุ้นเคยกับวายุมากขึ้นกว่าตอนแรก มันอาจจะดูห้าวๆ แต่พอได้รู้จักแล้วมันเป็นคนที่นิสัยคบได้คนนึง

จีหรี่ตามองวายุอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลาแยกเขี้ยวใส่เพื่อนร่วมคณะก่อนจะเดินแยกออกไปเข้าห้องน้ำ

“มิลค์ ...” ลับหลังจี วายุก็คลายอ้อมแขนที่ล็อคคอผมออก

“... ไอ้จีไม่อยู่แล้ว แดกอีกไหม เดียวกูแบบเด็ดๆ จัดให้เลย” มันถามพลางเลิกคิ้วทะเล้น

“จะดีเหรอมึง” ผมมีความลังเลอยู่เล็กน้อย

“ดีซิวะ มึงจะกลัวอะไร มีอะไรเดียวกูรับผิดชอบเอง” มือหนาตบบ่าผมเบาๆ

“จัดมาเลยมึงงงงงงงง” มีเหรอที่ผมจะไม่ฉวยโอกาสนี้ เหล้าก็อร่อย บรรยากาศก็โคตรดี ถ้าเมาก็ยังมีเพื่อนอีก 2 คนคอยหิ้วกลับ ... จัดซิครับรออะไร

“ต้องแบบนี้ซิวะ อย่าไปกลัวไอ้จีมัน” วายุหัวเราะร่วน

แล้วแก้วที่ 2, 3 และ 4 ก็ตามมาติดๆ ด้วยความที่มีเวลาน้อย วายุเลยจัดให้ผมเป็นแก้ว shot ซึ่งแต่ละ shot ก็ลึกซึ้งเหมือนบทกวี รู้สึกราวกับถูกเปิดโลก ไม่น่าเชื่อว่าเครื่องดื่มแก้วเล็กขนาดนี้จะผสมผสานรสชาดได้สลับซับซ้อน กลิ่นหอมที่นำมาก่อนตั้งแต่ยกแก้วขึ้นดื่ม รสหวานเมื่อลิ้นสัมผัส และจบด้วยความขมของ whisky แต่ความหวานหอมแปลกตากลับมีปริมาณของแอลกอฮอร์ซ้อนอยู่ไม่น้อย

“ไอ้เหี้ยวายุ!!! ...” จีพูดกับวายุเสียงเข้ม เพราะทันทีที่เดินกลับมาแล้วเห็นสภาพของเพื่อนสนิทที่หน้าแดงเหมือนลูกตำลึง ตาหวานเยิ้ม นั่งแจกยิ้มกว้างให้ทุกคนที่เดินผ่าน

“... กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ามอมเหล้ามิลค์” วายุที่นั่งอยู่ข้างๆยิ้มรับ ในเมื่อหลักฐานมันคาตาขนาดนี้ ก็ไม่รู้จะเสียเวลาปฏิเสธไปทำไม

“555 เพื่อนมึงแม่งคอโคตรอ่อน”

“กูไม่ขำกับมึงนะเว้ย” ท่าทางจริงจังของจีทำเอาวายุถึงกับชะงักไป กับแค่มอมเหล้าขำๆ ทำไมคนใจเย็นอย่างจีถึงได้หัวเสียขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขากับมันก็เคยแกล้งมอมเหล้าคนอื่นมาแล้วตั้งหลายครั้ง

“นี่มึงจริงจัง?”

“จริงจังซิวะ ก็กูบอกแล้วไงว่ามันคออ่อน ร้านก่อนก็กินไปแก้วนึงแล้ว นี่มึงให้มันกินไปอีกเท่าไหร่ ...”

“... ตอนเช้าพอมันแฮงค์ก็ลำบากกูอีกไหม”

“จี กูร้อน” เสียงอ้อแอ้ของเพื่อนสนิทดังอยู่ข้างหู พร้อมกับศีรษะทุยที่ซบลงบนกลางหลังของผมอย่างออดอ้อน พอหันกลับมา เจ้าตัวถึงกับต้องรีบคว้ามือของมิลค์เอาไว้ก่อนที่มันจะถอดเสื้อโชว์ผิวเนียนกลางผับ

“มิลค์ มึงอยู่เฉยๆ ดิวะ ...” ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าตัวยิ่งดิ้นขลุกขลักไปมา น้ำเสียงเข้มๆ ที่เคยใช้ได้ผลมาตลอด ตอนนี้ดูจะไม่ได้รับการตอบรับจากคนเมาเท่าไหร่นัก

“... ไอ้วายุ กูบอกมึงแล้วใช่ไหม” จีพูดกับวายุด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย

“เออๆ กูขอโทษ”

“กูพามันออกไปนั่งรอในรถละกัน” พูดจบจีก็ประคองมิลค์ออกจากโต๊ะ ก่อนจะประคองร่างที่เริ่มจะไม่เป็นทรงของมิลค์ออกจากโต๊ะ แต่ใครจะคิดว่าไอ้ตัวดีมีฤทธิ์มากกว่าที่เห็น ไม่รู้มันเอาเรี่ยวเอาแรงจากไหน อยู่ๆ ก็สะบัดตัวออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วพุ่งตัวไปยังโซนที่นักเที่ยวราตรีกำลังเต้นกันอย่างเมามัน กว่าจีจะตั้งสติได้ ก็เห็นหลังไวไวของเพื่อนสนิทหายลับไปในฝูงชน

2 เท้าก้าวยาวๆ ฝ่ากลุ่มคนที่กำลังเต้นปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่ ... ความมืด ความแออัด และเสียงที่ดังสนั่นทำให้กว่าจะหาตัวมิลค์เจอก็เสียเวลาไปหลายนาที ... คิ้วหนาขมวดเป็นปม มุมปากกระตุกรัว หัวใจเต้นแรงสูบฉีดเลือดจนเจ้าตัวรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งร่าง ... ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเพื่อนสนิทกำลังเต้นสีอยู่กับหนุ่มฝรั้งผมสีทอง ตาสีฟ้าอย่างอิงแอบแนบชิด มือหนาของคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังวางลงบนเอวของมิลค์อย่างถือวิสาสะ ... ไอ้ตัวดี!!!

“Hey man, back off. He’ s drunk...” จบประโยคมือหนาก็คว้าข้อมือบางแล้วลากตัวเพื่อนสนิทตัวแสบออกมา ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะจะอุ้มมันขึ้นพาดบ่าซะให้สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องเสียเวลายื้อยุดฉุดกระฉาก

“... มึงนี่มันโคตรดื้อ” ร่างบางของมิลค์ถูกพลักเข้าไปด้านในของเบาะนั่งภายในรถ bus เจ้าตัวคอพับคออ่อนอยู่บนเก้าอี้ หัวทุยพิงหน้าต่างอย่างหมดเรียวแรง

“เฮ่อออออออ” จีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สภาพแบบนี้คงเป็นเขาเองนั้นแหละที่ต้องพามันกลับบ้าน

“มึงหายไปไหนมาวะ กูเดินตามมาที่รถแล้วไม่เห็นมึง 2 คน” ไม่นานวายุเดินขึ้นรถมาสมทบ

“ก็ไอ้มิลค์อะดิ เมาแล้วก็วิ่งไปเต้นกับฝรั้ง ...”

“... พรุ่งนี้รอให้ตื่นก่อนเถอะ มันโดนดีแน่” จีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงละท่าทีเหนื่อยใจ

“แล้วมึงจะเอาไงกับมันต่อ” วายุถาม

“ทำไงละมึง ก็พามันกลับบ้านดิ”

“จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่แบบนี้ มึงให้มันนอนซักตื่นดีกว่าไหม ...”

“... ให้มันหลับไปจนถึงร้านถัดไปก็ได้นะ เมื่อเย็นก็ดู map มา ร้านที่ 3 มันจะย้อนไปทางบ้านพวกเรา นั่ง bus กลับจากตรงนั้นน่าจะง่ายกว่า”

“ก็ดี รอให้มันมีสติกว่านี้แล้วค่อยพามากลับ” คำนวณเวลาในใจคร่าวๆ กว่าจะถึงร้านที่ 3 ไอ้ตัวดีน่าจะมีเวลานอนได้เกือบชั่วโมง ถึงตอนนั้นคงส่างเมาขึ้นมากแล้ว ถ้ากลับตอนนี้มีหวังเขาได้อุ้มมันกลับไปตลอดทางเป็นแน่

พูดจบจีก็หย่อยตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อนสนิท หัวทุยที่โครงไปโครงมากระแทกกับกระจกเป็นพักๆ จนจีอดเป็นห่วงไม่ได้ มือหนายื่นมาประคองหัวของมิลค์เอาไว้ก่อนจะดึงมาพักไว้ที่หัวไหล ด้วยความสูงที่ต่างกันหัวของมิลค์เลยพิงอยู่ตรงต้นแขนของจีพอดิบพอดี

“มันเมาแล้วก็รั่วเหมือนกันนะ” วายุพูดติดขำ เพราะเจ้าตัวก็ไม่คิดมาก่อนว่าคนที่บุคลิคเรียบร้อยๆ มาดคุณหนูแบบไอ้มิลค์ บทจะเมาก็แสบเอาเรื่องไม่น้อย

“มันดื้อเงียบ ไหนจะเอาแต่ใจอีก” พูดไปก็รู้สึกหมั่นใส่จนอยากจะจับหัวมันโขกเข้ากับหน้าต่างรถซักทีให้หายดื้อ

“พวกมึง 2 คนรู้จักกันมานานยัง” วายุที่นั่งอยู่ข้างหลังเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“ก็ตั้งแต่ ม.2 มันเป็นเพื่อนมัธยมที่สนิทที่สุดของกู”

“กูแม่งเห็นพวกมึง 2 คนแล้วโคตรอิจฉา ...”

“... มันต้องดีมากแน่ๆ เลยใช่ไหม การที่เรามีเพื่อนสนิทมากๆ ประเภทมองตาแล้วรู้ใจกันซักคนนึง”

“ฮึๆ” เขาไม่ตอบอะไรวายุนอกจากหัวเราะขำในลำคอ ... จีเหลือบตามองเพื่อนสนิทที่หลับคอพับคออ่อนพิงต้นแขนของเขาอยู่ สายตาของเขาจ้องมองใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์อย่างเผลอไผล ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่านิ้วโป้งของเขาก็ค่อยๆ ยื่นไปสัมผัสเส้นผมนุ่ม ปลายนิ้วลากผ่านกลุ่มผมนุ่มสลวยช้าๆ อย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าเจ้าของศีรษะจะตื่น... นิ้วมือที่ลูบไล้เส้นผมหยุดลงตรงขมับบาง ก่อนจะขยับเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากออกอย่างอ่อนโยน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 17-08-2025 09:57:18
ตอนที่ 20 : The point of no return 2/2

ผ่านไปไม่นาน คนอื่นๆ ก็ทยอยกลับขึ้นมาบนรถ พี่แววดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นรุ่นน้องร่วมคณะนอนคอพับคออ่อนซบไหล่เพื่อนสนิท เป็นเป็นภาพที่น่ารักจนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่าย moment น่ารักๆ แบบนี้เก็บไว้

“อืมมมมมมมม” หลังจากรถ bus เคลื่อนตัวมาได้ครึ่งทาง ไอ้ตัวดีก็ส่งเสียงงอแง ก่อนที่หัวทุยๆ ของมันจะยกออกจากต้นแขนของเขา

“รู้สึกตัวแล้วเหรอมึง”

“อืม” มันพูดแค่นั้นแล้วก็หันมองซ้ายมองขวา

“มึงรู้สึกยังไงบ้าง”

“มึนๆ ร้อนๆ วูบวาปๆ”

“มึงนอนต่ออีกหน่อย พอถึงร้านที่ 3 แล้วเดียวกูพามึงกลับบ้านนะ”

“ก็ดี กลับไปนอนก็ดี”

ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ก็กำลังเดินแจกของบางอย่าง เมื่อเธอเดินมาถึง หลอดพลาสติกใสขนาดใหญ่กว่าลูกอมเล็กน้อยก็ถูกวางลงบนผ่ามือของจีและมิลค์คนละ 1 หลอด เธอส่งยิ้มให้ทั้ง 2 คนแต่ก่อนที่เธอจะเดินผ่านไป

“Can I have more of this” คำพูดของมิลค์ทำเอาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ตาค้าง ไอ้ตัวดีมันรู้ไหมเนี่ยว่าที่เขาแจกอยู่คืออะไร

“No No No, he is very drunk. Just forget it” จีคว้ามือที่ยื่นออกไปของมิลค์เอาไว้

“That ok, he is so cute...” เธอยิ้มหวาน

“.... You just take it easy on him, okay” ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังไม่ทันที่จีจะได้อธิบายเธอก็ส่งหลอดพลาสติกใส 1 กำมือให้มิลค์แล้วก็เดินจากไปพร้อมรอยยิ้ม ... ไอ้ตัวดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่พอ เจ้าตัวยังเอาของพวกนั้นมาโชว์ให้เขาดูอย่างอารมณ์ดี

“นี่จี กูได้มาเยอะเลย” พูดจบมิลค์ก็ฉีกยิ้มกว้าง มันกำของเหล่านั้นไว้ในมือราวกับสมบัติล้ำค่า ดวงตาของมันหวานเยิ้มด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอร์

“มิลค์ มึงรู้หรือเปล่าว่าที่มึงถืออยู่คืออะไร” วายุนึกสนุกเลยอดไม่ได้ที่จะแกล้งคนเมา

“รู้ซิวะ ทำไมกูจะไม่รู้” มิลค์ตอบเสียงอ้อแอ้

“เหรอออออ งั้นบอกกูซิมันคืออะไร”

“lubricant ไง ที่เขาเอาไว้ใช้ตอน fuck กันอะ แค่นี้มึงไม่รู้จักเหรอวะ”

“555 ไอ้เหี้ยโคตรรั่ว แล้วมึงเอามาเยอะขนาดนั้นจะเอาใช้ทำกับใครวะ” คำถามของวายุทำเอามิลค์ถึงกับสะดุ้ง มันมองซ้ายมองขวาเหมือนหาตัวช่วย แล้วสายตาของมันก็มาหยุดอยู่กับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ

“กับมึงไงจี คืนนี้มึงใช้กับกูนะ นะๆๆๆๆๆ” วายุหัวเราะดังลั่น ในขณะที่ไอ้ตัวดีฉีกยิ้มกว้าง ก่อนที่หน้าผากของมันจะซบลงบนต้นแขนของเขาอีกครั้ง ส่วนนิ้วมือเรียวสวยก็กุมมือหนาของเขาไว้พร้อมกับเขย่าไปมาเป็นเชิงออดอ้อน ไม่รู้ว่าถ้าปราศจากฤทธิ์ของแอลกอฮอร์แล้วไอ้ตัวดีจะกล้าอ้อนเขาขนาดนี้ไหม ... แน่นอนว่าจีไม่ใช้พระอิฐพระปูน ไหนจะ skinship ไหนจะฤทธิ์ของ whisky ที่เขาดื่มไป 2 แก้วก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ให้มีความรู้สึกอะไรเลยกับสถานการณ์ตอนนี้เขาก็คงต้องไปบวช

“อย่าเล่นให้มันมากนักไอ้มิลค์ ถ้ากูใช้กับมึงจริงๆ ...”

“... รับรองว่ามึงขำไม่ออกแน่” จีพูดเสียงเข้ม เขาใช้ทุกความพยายามที่หลงเหลืออยู่กดความรู้สึกที่กำลังลุกโชนอยู่ภายในให้ดับมอดลง

“จีนี่กูเอง มิลค์ไง เพื่อนมึงอะ มึงทำกูได้ลงคอเหรอ” ใบหน้าของมันขึ้นสีแดง ดวงตาหวานเยิ้ม ฉีกยิ้มกว้าง ... สวยราวกับดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ... สติของเขาจะพังครืนลงเพราะมันไม่ยอมให้ความร่วมมือนี่แหละ

“มึงอยากลองไหมละ” แล้วก็เกิด dead air ขึ้นระหว่างเขากับเพื่อนสนิท ... 2 คนจ้องตากันไม่กระพริบ ...จังหวะนั้นถ้ามิลค์ตอบตกลง สาบาญได้เลยว่าคืนนี้ไอ้ตัวดีไม่รอดมือเขาแน่ๆ ต่อให้เช้าวันรุ่งขึ้นจะต้องง้อมันหนักแค่ไหน หรือจะต้องโดนมันโกรธ แต่เขาก็อยากจะขอลองเสี่ยงดูซักครั้ง

“จีพูดจาทะลึ่ง!!! เลิกแกล้งมิลค์ได้แล้ว ... อะนี่ เอาไปเช็ดหน้ามิลค์แล้วปล่อยให้เพื่อนนอน” โชคดีที่พี่แววพูดขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน บทสนทนาก่อนหน้านี้เลยลอยหายไปตามสายลม ... จีรับทิชชูเปียกมาจากพี่แวว แล้วบรรจงเช็ดหน้าเช็ดตาให้เพื่อนสนิทที่เหมือนจะสงบนิ่งไปจากเมื่อครู่พอสมควร ... แผ่นทิชชูสีขาวสะอาดไล่เช็ดไปตามโครงหน้าสวย ผ่านหน้าผาก แก้ม จมูกและรอบดวงตาอย่างเบามือ



หลังจากที่ผมได้สติกลับมาพอสมควร ก็ถูกจีลากขึ้นรถ bus กลับบ้าน พอเรา 2 คนกลับ วายุกับพี่แววก็ตัดสินใจกลับพร้อมกัน พวกเรา 4 คนอยู่บ้าน zone เดียวกัน ถ้านั่งรถย้อนมาจาก downtown จะถึงบ้านจีก่อน ตามด้วยบ้านของผม พี่แวว และวายุ ... จียืนยันว่าจะไปส่งผมถึงบ้าน แม้ผมจะบอกมันไม่รู้กี่รอบแล้วว่าผมหายมึนหัวและสามารถเดินกลับบ้านเองได้แล้วก็ตาม

“ที่นี่อากาศดีเนอะ” จีพูดขึ้นขณะที่เรา 2 คนเดินอยู่ริมถนน เพราะความที่มันกลัวว่าผมจะวิ่งเตลิดไปกลางถนนจากฤทธิของแอลกอฮอร์ เจ้าตัวเลยบังคับจูงมือผมมาตลอดทาง ... ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ต้องยอมรับว่าอากาศเมืองหนาวนั้นชุ่มปอดมากกว่าเมืองร้อนแบบบ้านเราเป็นไหนๆ

“ใช่ แต่ถ้าอากาศอุ่นขึ้นกว่านี้หน่อยก็น่าจะดี”

“กูดีใจนะที่ได้มาที่นี้กับมึง” ผมหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทที่เดินอยู่ข้างๆ แสงจากโคมไฟริมถนนสาดส่องลงบนในหน้าหล่อเหล่าของจี

“กูก็ดีใจเหมือนกัน ... แค่มีมึงอยู่ใกล้ๆ ต่อให้กลัวแค่ไหนกูก็ไม่หวั่น” นึกย้อนไปถึงวันที่สนามบิน จีบอกกับผมว่าไม่ต้องกลัว มันจะดูแผมเอง มาถึงวันนี้มันทำอย่างที่พูดจริงๆ แต่ไม่ใช้แค่จีเท่านั้นที่ดูแลผม ผมก็ดูแลจีเหมือนกัน

“วายุมันถาม ว่ากูต้องรู้สึกดีมากๆ เลยใช่ไหมที่มีเพื่อนสนิทอย่างมึง ...” มือทั้ง 2 ข้างออกแรงบีบกันและกันแน่นขึ้นโดยที่ทั้งมิลค์และจีต่างก็ไม่ทันรู้ตัว

“... ไม่มีใครเข้าใจพวกเราหรอก ว่าการมีคนๆ หนึ่งที่เติบโตมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ รู้จักกันในทุกซอกมุมของชีวิต สนิทกันมากจนแค่มองตาก็รู้ใจ ความรู้สึกนั้นมันพิเศษมากขนาดไหน” พูดจบมันก็หันมาส่งยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมแทบจะลืมหายใจ เหมือนพระอาทิตย์ที่ฉายแสงท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ หัวใจของผมพองฟูไปราวกับมีคนจุดพลุอยู่ข้างในเป็นร้อยเป็นพันดอก

“อืม” เอาจริงๆ คือ ณ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากตอบรับคำพูดของจีในลำคอ และปล่อยให้ตัวเองถูกจูงมือเดินไปเรื่อย ๆ ... เรา 2 คนเดินอยู่ข้างกัน ใต้ท้องฟ้ามืดสนิทที่พราวระยิบไปด้วยแสงดาว



พอกลับถึงบ้าน ผมถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่า Linda จัด party เหมือนกัน เรา 2 คนเลยถูกดึงตัวเข้าไปในงานเลี้ยงโดยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้

หลังจากยืนพูดคุยทุกคนได้ซักพัก Minho ก็ชวนคนอื่นตั้งวงดวล vodka ผมกับจีถูกลากเข้ามาคลุกวงใน ตอนนี้พวกเรายืนล้อมวงอยู่รอบเคาน์เตอร์ในครัว เสียงเพลง pop คุ้นหูดังคลอเบาๆ บนเคาน์เตอร์มี vodka ขวดใหญ่ แก้ว shot นับ 10 แก้ว จานใส่เกลือและมะนาวที่ถูกผ่าเป็นซีกๆ ... ผมยิ้มแห้งให้กับภาพตรงหน้า แม้ผมจะได้สติกลับมาพอสมควรแล้วแต่ก็ยอมรับเลยว่าตอนนี้ขยาด alcohol ไปอีกซักพัก

“เราจะหมุนขวดนี้ ถ้าปากขวดชี้ไปที่ใครคนนั้นต้องดื่ม 1 shot ... มิลค์ นายดื่มเป็นไหม” ไม่แปลกใจที่ Minho จะถามผม อยู่บ้านเดียวกันมาเกือบ 2 สัปดาห์ มันชวนผมกินเหล้ากินเบียร์ทุกคืน แต่ส่วนมากแล้วผมจะปฏิเสธ

“ไม่เป็น เราไม่เล่นได้ไหมอะ”

“ไม่ได้ๆ host children ทุกคนต้องเล่นเกมนี้ เป็นธรรมเนียม ... จี นายก็ต้องเล่นด้วย” ถ้าจะบังคับเล่น แล้วมันจะถามทำไมว่ากินเหล้าได้ไหม ... สุดท้าย ผมกับจีเลยพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ เอาวะมาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ นอนตื่นได้ยันเที่ยง

Minho เป็นคนเริ่มหมุนขวดคนก่อน และผู้โชคดีรายคือ Bruno ซึ่งก็ดื่ม vodka ทั้ง shot ได้แบบไม่สะทกสะท้าน ขวดชี้ชะตาหมุดไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ โดนกันไปครั้ง 2 ครั้ง ผมยังเป็นคนเดียวที่เหลือรอด แต่ก็ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างผมได้มานาน เมื่อ Nami วางแก้ว shot ลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนที่เธอจะหมดขวดเจ้าปัญหาและสุดท้ายปลายขวดก็ชี้มาทางผม

ในมือของผมถือแก้ว shot ที่บรรจุน้ำใสอยู่เกือบเต็ม ทันทีที่ได้กลิ่น ผมก็ต้องย่นจมูกเพราะความฉุนของกลิ่นแอลกอฮอร์

“มิลค์ นายดมไม่ได้ ถ้านายไม่ชอบกินเพียวๆ เอามะนาวจิ้มเกลือบีบเข้าปากแล้วกระดกทีเดียวหมด shot ไปเลย” Bruno แนะนำพลางหัวเราะขำกับสีหน้าเหยเกของผม ... ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะคว้ามะนาวซีกจิ้มเกลือที่เพื่อนชาวบราซิลยื่นมาให้ บีบเข้าปาก จากนั้นก็ตามด้วย vodka 1 shot รสชาดเปรียวเค็มตลบอบอวนอยู่ในช่องปาก ก่อนที่เครื่องดื่มมึนเมาร้อนวูบวาปจะไหล่ผ่านลำคอลงไปยังกระเพาะอาหาร มันรู้สึกเหมือนกลืนลูกไฟเข้าไปทั้งลูก

“อ่า!!!!!” อากาศที่ว่าหนาว ถูกความร้อนแรงของวอดก้ากลบหายไปจนหมดสิ้น

“ดื่มน้ำ ...” ยังไม่ทันได้ร้องขอ จีก็ยัดแก้วน้ำเปล่าใส่มือ ผมยกขึ้นดื่มอย่างไม่รอช้า

“... ไหวนะมึง” มือหนาบีบลงบนหัวไหล ผมพยักหน้าพลางใช้หลังมือปาดคราบน้ำออกจากริมฝีปาก เรา 2 คนสบตากันเพียงเสี่ยววินาที ก่อนที่ผมจะเห็นรอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา

เกมยังคงดำเดินต่อไปพร้อมทั้งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของพวกเรา แม้ผมจะรอดตัวไปอีกหลายรอบแต่ฤทธิ์จาก vodka shot นั้นก็ทำให้ผมกลับมามีการร้อนวูบวาปอีกครั้ง

“มึงไม่ไหวแล้วเหรอ” จีถามขึ้นเมื่อมันสัมผัสได้ว่าผมเริ่มยืนพิงมันมากขึ้นเรื่อยๆ

“มึนแล้ววะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆ รู้สึกได้ถึงกลิ่น vodka ที่ปะปนมากับลมหายใจของตัวเอง

“ไปนอนไหม” ผมพยักหน้ารับ

“มิลค์!!!” แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากลา ไอ้ขวดเจ้าปัญหาก็ชี้มาที่ผมจนได้ ... โอ้ยยยยยยยย เกิดแต่กับกู!!!

“ไม่ไหวแล้วๆ” ผมเริ่มอิดออด เพราะรู้ว่าอาการที่เป็นอยู่ใกล้ limit ของตัวเองมาแค่ไหน

“กินหน่อยๆ แก้วเดียวแล้วนายไปนอนได้เลย” Minho ยังคงคะยั้นคะยอให้ผมดื่ม และในขณะที่ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก มือหนาของจีก็คว้าแก้ว shot จากมือของ Minho

“I’ ll drink for him” พูดจบ vodka ทั้ง shot ก็หายไปในลำคอของของจี ... ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ มองเพื่อนสนิทแหงนหน้าก่อนจะกระดก vodka เข้าปาก ผิวของมันขาวซะจนมองเห็นเส้นเลือด ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืน ... ผมรู้สึกเหมือนเลือดลมกำลังไหลเวียนทั่วร่าง ข้างในร่างกายรู้สึกร้อนวูปวาปทั้งที่อูณหภูมิตอนนี้เป็นเลขตัวเดียวด้วยซ้ำ ... มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่สมควรจะมีให้กับเพื่อนสนิท ... เชี่ย!!! นี่กูมีอารมณ์กับท่ากระดกเหล้าของมันได้ยังไงวะ

“G, You are the man!!! Salute!!!” Minho ทำมือประสานกันเหมือนในหนังจีน ก่อนกระดก vodka เพื่อคารวะความแมนเกินร้อยของจี



“มิลค์ มึงจะนอนไหน” จีถามขึ้นเมื่อเรา 2 คนเดินมาในห้องนอน

“ก็นอนในห้องไง ...” ผมยังไม่ทันพูดจบประโยคดี คนตรงหน้าก็ขมวดคิ้วเป็นปม

“... เออวะ กูลืมไปเลยว่าไม่ใช้ที่คอนโด” เพราะเคยชินกับเตียง king size ที่คอนโดเลยลืมไปว่าผู้ชาย 2 คนไม่สามารถจะนอนเบียดกันบนเตียงขนาด single bed ได้

“มึงมานอนกับกูในห้องนั่งเล่นเลย”

“เอาดิ เดียวเปลี่ยนชุดก่อน มึงใส่ชุดนอนกูไปก่อนนะ” ผมตอบรับ แล้วหยิบชุดนอนจากในตู้เสื้อผ้าส่งให้จีพร้อมกับแปรงสีฟันอันใหม่

“อืม”

“มึง กูไม่อาบน้ำได้ไหมอะ ง่วงนอนแล้ว แปรงฟันแล้วนอนเลยนะ”

“เอาดิ กูก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” นานๆ ทีจะเห็นจีซักแห้ง อย่างว่าแหละคืนนี้เหนื่อยมากจริงๆ

“งั้นมึงไปแปรงฟัน เปลี่ยนชุดก่อนเลย” ผมเสนอ เพราะต้องการเวลาส่วนตัวเล็กน้อยเพื่อตั้งสติ จีพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ... ผมถอนหายใจยาวเหยียด ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง อะไรวะเนี่ยไอ้มิลค์ คิดอะไรฟุ้งซ่านอยู่ในหัว มึงกับมันเป็นเพื่อนกันนะเว้ย ... คืนนี้มันก็เหมือนกับทุกๆ คืนที่เราด้วยด้วยกันนั้นแหละ หยุดคิดๆๆๆๆๆๆ ... ผมทุบหัวตัวเองเบาๆ 2-3 ครั้งก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเปลี่ยนชุด

พอจีออกมาจากห้องน้ำผมก็เข้าไปแปรงฟันต่อ ในจังหวะที่จะปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องน้ำ ผมก็พลันสะดุดตากับภาพแปรงสีฟัน 2 อันที่ถูกใส่ไว้ในแก้วน้ำใบเดียวกัน ทั้งที่ปกติแล้วเรา 2 คนก็วางแปรงสีฟันไว้แบบนี้ตลอดแต่ทำไมวันนี้ผมถึงอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ... มันรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นถึงได้เห็นว่าจีขนหมอนและผ้าห่มมากองไว้บนเตียงอัดลมหมดแล้ว มันตบมือลงบนเตียงเป็นสัญญานให้ผมนอนได้แล้ว

“นอนเลยนะ” จีถาม เมื่อผมสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่ม

“อืม นอนเลย” แม้ปากจะบอกว่านอน แต่ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงหัวค่ำยังคงฉายวนเวียนอยู่ในความคิด แม้จะเมาแต่ผมก็รับรู้ว่าบนรถ bus เราคุยอะไรกัน ... ‘มึงอยากลองไหมละ’ ... ไอ้เหี้ย!!! มันพูดแบบนี้กับผมได้ยังไง ถ้ากูหน้ามืดตอบตกลง มึงต้องรับผิดชอบเอาขันหมากมาขอกูนะ

มัวแต่คิดอะไรเรื่อบเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แสงจากโคมไฟในห้องดับสนิท แรงยุบตัวของเตียงทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามันเอนตัวลงนอน และผมก็ควรจะเข้านอนได้แล้วเหมือนกัน

“ฝันดีนะมึง” เสียงของจีดังขึ้นข้างหู

“อืมฝันดี”

จากที่คิดฟุ้งซ่านมาตลอดครึ่งชั่วโมง พอหัวถึงหมอนผมก็เหมือนโดนหมัดน็อค สมองมัน shut down ไปดื้อๆ ... ตื่นขึ้นมาอีกทีคือตอนกลางดึก พอขยับตัวถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และพอสมองตื่นตัวมากพอจะประมวณผลได้ ผมก็เข้าใจทันทีว่าความอึดอัดที่เกิดขึ้นมาสาเหตุมาจากอะไร ... หัวใจเต้นแรงจนสั่นสะท้าน ในลำคอแห้งผากไม่ต่างจากทะเลทราย ... เป็นเพราะ ‘สัมผัส’ ของคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลัง ผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดอยู่หลังต้นคอ แขนหนักๆ พาดลำตัวของผม และลอดลงใต้วงแขน มือข้างนั้นของจีกุมมืออีกข้างหนึ่งของผมเอาไว้หลวมๆ เรา 2 คนต่างอิงแอบแนบชิด แผ่นหลังบางสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากแผ่นอกกว้างของเพื่อนสนิทที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง ... เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาครบ ในสมองตีกันให้ยุ่งไปหมด เสี่ยวหนึ่งของความคิด ปมดำมืดในจิตใต้สำนึกร้องเตือนถึงเสียงสะท้อนจากอดีตที่ยังฝังลึก ... ผมเคยข้ามเส้นกับ ‘เพื่อนสนิท’ มาก่อน แล้วสุดท้ายผมก็เสียทั้งแฟนและเพื่อนสนิทไป

สมองสั่งให้ผมพาตัวเองออกจากสถานการณ์ตรงหน้า แต่เมื่อคิดย้อนไปถึงความรู้สึกทุกอย่างที่ผ่านมา ... สุดท้าย นิ้วมือเรียวสวยก็ค่อยๆ เกี่ยวกระหวัดกับนิ้วมือหนา ก่อนจะสอดประสานทั้ง 2 มือให้แนบแน่น พร้อมกับกระชับอ้อมกอดของเพื่อนสนิทเข้าหาตัว แล้วจมหายไปกับไออุ่นของคนที่นอนกอดผมอยู่ด้านหลัง

ปล่อยให้ทุกการกระทำที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ล่องลอยไปเหมือนฝัน ไม่ว่าจะเกิดจากความเผลอไผลหรือตั้งใจ ... คืนนี้ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่ฝืนความรู้สึกของตัวเองอีกต่อไป ... ผมยอมรับความพ่ายแพ้กับความรู้สึกของตัวเอง ... ผมตกหลุมรักจีเข้าแล้วจริงๆ


" I'm at the point of no return, so afraid of getting burned
But I want to take a chance
Oh, please give me a reason to believe
Say you're the one that you'll always be
Someone to have and hold with all my heart and soul
I need to know before I fall in love."

                                                                                         
Before I fall in love, Coco Lee, 1999


----------


มิลค์ : ความกลัวมีมากเท่าภูเขา จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือแต่ตอนนี้ความรักมันมีมากกว่า

#กลัว #กอด #ข้ามเส้น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 19-08-2025 09:54:06
“หนาวเหรอ” ผมหันไปตามเสียงคุ้นเคย จียืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ลมมันแรงวะ” พูดไปปากยังสั่น รู้สึกได้เลยว่าจมูกและใบหูของตัวเองต้องแดงมากแน่ๆ

“เอาของกูไปใช้ก่อน...” พูดจบผ้าพันคอไหมพรหมก็พาดลงมาบนต้นคอระหงษ์

“... ไม่เป็นไรมึง นิดเดียวกูทนได้” ทำท่าจะส่งคืนแต่จีกลับจับมือผมไว้ แล้วพันผ้าพันคอผืนนุ่มล้อมรอบคอของผมอีกชั้น เมื่อเช้าผมตั้งใจว่าจะหยิบเอาผ้าพันคอมาด้วยแต่สุดท้ายก็ลืมจนได้


----------


#ลมหนาว #ใจอุ่น
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-08-2025 21:38:49
“... ไม่มีใครเข้าใจพวกเราหรอก ว่าการมีคนๆ หนึ่งที่เติบโตมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันมากมาย ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้ รู้จักกันในทุกซอกมุมของชีวิต สนิทกันมากจนแค่มองตาก็รู้ใจ ความรู้สึกนั้นมันพิเศษมากขนาดไหน” พูดจบมันก็หันมาส่งยิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมแทบจะลืมหายใจ เหมือนพระอาทิตย์ที่ฉายแสงท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ หัวใจของผมพองฟูไปราวกับมีคนจุดพลุอยู่ข้างในเป็นร้อยเป็นพันดอก

“อืม” เอาจริงๆ คือ ณ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากตอบรับคำพูดของจีในลำคอ และปล่อยให้ตัวเองถูกจูงมือเดินไปเรื่อย ๆ ... เรา 2 คนเดินอยู่ข้างกัน ใต้ท้องฟ้ามืดสนิทที่พราวระยิบไปด้วยแสงดาว


----------

#ใต้แสงดาว #เรา
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 20 : The point of no return
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 22-08-2025 10:26:15
“I’ ll drink for him” พูดจบ vodka ทั้ง shot ก็หายไปในลำคอของของจี ... ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ มองเพื่อนสนิทแหงนหน้าก่อนจะกระดก vodka เข้าปาก ผิวของมันขาวซะจนมองเห็นเส้นเลือด ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืน ... ผมรู้สึกเหมือนเลือดลมกำลังไหลเวียนทั่วร่าง ข้างในร่างกายรู้สึกร้อนวูปวาปทั้งที่อูณหภูมิตอนนี้เป็นเลขตัวเดียวด้วยซ้ำ ... มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่สมควรจะมีให้กับเพื่อนสนิท ... เชี่ย!!! นี่กูมีอารมณ์กับท่ากระดกเหล้าของมันได้ยังไงวะ

“G, You are the man!!! Salute!!!”


----------

#หมดแก้ว #เพื่อนาย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 23-08-2025 13:21:21
Teaser ตอนที่ 21


“What’ s the relationship between you two?”

“I don’ t know. I know it’ s more than friend, but we never talk about it.”

“You should. Because just friend don’ t look at each other like that”

“I know, but too much fear.”

“I understand. Do you have the answer you are looking for?”

“Yes, I do ... love him.” คำตอบนั้นพูดออกมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด ... จนผมเองยังเผลอยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“I am glad that you have your answer. But the next step takes a lot of courage. ...”

“... keep fighting, I’ m right behind you.”

“Thanx … But I wonder. Minho said you like me.” พูดถึงประโยคนี้ผมก็หยุดชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า

Bruno เหมือนรอว่าผมจะพูดอะไรแต่พอเห็นผมเงียบเขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่

“I see, but why am I not even flirting with you? . Not once. …” ผมพยักหน้ารับ นั้นแหละที่ผมสงสัย Bruno พักอยู่ห้องข้างๆ ผม เป็นคนแรกที่ผมได้คุยด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่สนิทที่สุดของผม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีจีบผมเลยแม้แต่น้อย

“… I honestly like you but when I saw you two together. I know I have no chance.” ผมยิ้มรับให้กับคำตอบของ Bruno และภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นจริงตามนั้น


----------


#Just friend don’ t look at each other like that
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 24-08-2025 09:04:49
ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย 1/2

เช้าวันถัดไป ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเราทั้งคู่นอนอยู่คนละฝากฝั่งของเตียง ไม่รู้ว่าเพราะผมหรือมันกันแน่ที่นอนดิ้น เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังชี้ไปเกือบจะถึงเลข 11 ไม่บ่อยนักที่ผมจะตื่นสายจนตะวันโด่งขนาดนี้ ผิดกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่ตื่นสบายเป็นปกติ บางวันอาจจะเลยไปถึงช่วงบ่ายเลยด้วยซ้ำ ผมลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วหันกลับไปมองเพื่อนสนิทที่นอนหันหลังให้ ภาพที่ตัวเองถูกจีกอดไว้ทั้งตัวฉายวาบขึ้นมาในหัว แม้อุณภูมิวันนี้จะอยู่ที่ 10 กว่าองศาแต่ใบหน้าของผมกลับรู้สึกร้อนผ่าววูบวาป ... จีจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเมื่อคืนทำให้ผมใจเต้นแรงแค่ไหน

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ผมก็เดินขึ้นมาชั้นบน ทุกอย่างเงียบสงัด คิดว่าทุกคนน่าจะยังนอนหลับอยู่ เดาจากเมื่อคืนก่อนจะเผลอหลับ ผมยังได้ยินเสียงดังมาจากชั้น 1 อยู่เลย ตอนแรกคิดว่าจะรอจีตื่นแล้วค่อยหาอะไรกินแต่ตอนเดินผ่านห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ เจ้าตัวยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เลย ถ้ารอต่อไป ผมอาจจะได้กิน late lunch แทน โชคดีที่ในตู้เย็นมีแป้ง pancake เหลือมาจากเมื่อวาน เลยพอประทังความหิวไปได้อีกมื้อ ... pancake เนย วิปครีม และ Maple syrup เป็นส่วนผสมที่โคตรจะลงตัว ขณะกำลังทอด pancake ผมอดคิดไม่ได้ว่าที่เมืองไทยผมแทบจะไม่เคยทำอาหารกินเองเลยด้วยซ้ำ แต่พอมาอยู่ที่นี้ต้องทำเองทุกอย่าง โดยเฉพาะมื้อกลางวันที่ต้องทำ sandwich แล้ว pack ไปกินที่โรงเรียน

“Hi” ในขณะที่กำลังยืนล้างจานอยู่ในครัว น้ำเสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ... จีตื่นแล้ว

“ตื่นเร็วกว่าที่กูคิดนะเนี่ย” เข็มสั้นของนาฬิกายังเลยเลข 1 มาได้ไม่เท่าไหร่

“กูรู้สึกตัวแล้วเห็นว่ามึงตื่นแล้ว ก็เลยลุกขึ้นมา ... มีไรกินบ้างวะ” จีถามเสียงงัวเงีย ดวงตายังปรือ ทรงผมชี้โด่ชี้เด่ ... ตื่นก็สาย พอตื่นมาแล้วก็ร้องหาของกิน ไม่บ่อยนักที่ผมจะเห็นจีทำตัวเป็นเด็กอายุ 5 ขวบแบบนี้

“มี pancake” ผมเพยิกหน้ายังถ้วยแป้ง pancake ดิบ ถ้วยใหญ่ที่ยังวางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัว

“ทำให้กินหน่อย” แม้จะไม่ได้ทำท่าทางหรือน้ำเสียงออดอ้อน แต่พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ทั้งคำพูดที่เกินเลยจากคำว่าเพื่อนสนิทไปพอสมควร และเรื่องที่นอนกอดกัน สถานการณ์ตอนนี้เลยทำให้หัวใจของผมวูปไหวไม่น้อย ... ทำไมบรรยากาศมันถึงได้เหมือนคู่รักกันขนาดนี้นะ

“อืม ... กินเยอะปะ” ผมพยักหน้ารับ พลางเดินกลับไปหน้าเตา

“4 แผ่น”

“แดกอะไรเยอะแยะวะ”

“ก็กูหิว ... ทำๆ ไปเถอะ มึงยังมีคดีติดตัวอยู่นะ” ผมหันกลับไปขมวดคิ้วใส่จี คดีอะไรของมันวะ?

“กินอิ่มก่อนแล้วค่อยสะสางกับมึงทีหลัง ถ้าอร่อย โทษมึงอาจจะลดก็ได้นะ” มันยักคิ้วข้างเดียวอย่างมีเลศนัย แสดงท่าทางออกชัดเจนมาว่าถือไพ่เหนือกว่า ... เมื่อวานผมทำอะไรลงไปบ้างวะเนี่ย

“ชิห์” ถึงจะสบถ และทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ผมก็บรรจงเทแป้ง pancake ลงในกระทะ ก่อนจะปาดเนยใส่ลงไปหน่อยนึง

“เอาเนยเพิ่มอีก ...” โคตรน่าหมันไส้ ทำมาเป็นยืนกอดอกสั่งโน่นสั่งนี้ ได้ทีละเอาใหญ่ ได้ยินแบบนั้นผมเลยจ้วงเนยกระบิใหญ่ใส่ลงกระทะ

“... มึงกวนตีนกูเหรอ” มือหน้าวางลงบนหัวทุยของเพื่อนสนิทก่อนจะโยกไปมา

“ไอ้จี หน้าเตาไหมมึง” ผมมองหน้ามันตาเขียว แม้จะไม่มีความสามารถในการทำครัว แต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรเล่นกันหน้าเตา

“เออมิลค์ มึงทำไข่ดาวเป็นเปล่าวะ” มันถามหลังจากเดินกลับไปยืนในที่ของตัวเอง

“ฮึ ...” ผมส่วยหัว ไข่ดาวนี่ advance ไปนะมึง

“... มึงจะกินกับ pancake ?” คนบ้าอะไรวะกินไข่ดาวกับ pancake

“เปล่า มึงทำให้กูได้ปะ มื้อกลางวัน” หืมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ?

“ทุกวัน?...” ผมถามกลับ และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มมุมปากที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้า

“... มากไปมั้งมึง ข้าวกลางวันกูยังเป็น sandwich โง่ๆ อยู่เลย” มื้อกลางวันของผมคือ sandwich เด็กอนุบาล คือทาเนยบนขนมปัง ใส่ผักใบเขียว ใส่แฮม ใส้กรอก จบแค่นั้นเลย

“นะๆ ทำให้กินหน่อย” อืมมมมม พฤติกรรมออดอ้อนแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจของผมเลยเอามากๆ

“มึงก็ทำได้ไม่ใช้เหรอ” ผมถามกลับ ไม่เข้าใจว่ามันจะให้ผมทำให้ทำไม เพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่า skill ทำอาหารของตัวเองมีมากกว่าผม

“กูตื่นไม่ทัน” รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าสวย เมื่อได้ยินคำตอบของคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ... แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบหวานแหววหัวใจพองฟู แต่ก็ไม่ใช้คำตอบจืดชืดแบบนี้ไหมวะ

“อิเหี้ยยยยยยยย!!!”

“นะมึง ทำให้หน่อย” เออ!!! รู้ว่ากูแพ้ทาง ก็ออดอ้อนใหญ่เชียวนะมึง

“ก็ได้ แต่กูต้องไปแอบมองคนอื่นทำนะ” ผมเห็น Bruno ทอดไข่บ่อย วันหลังจะไปแอบเนียนๆ ดูวิธีทำ

“Yesssssss!!! แต่มึง ... กูขอไข่แดงไม่สุกได้เปล่าวะ”

“ไอ้เหี้ยจี!!! ... กูทอดไข่ให้มึงได้นี่ก็บุญแล้วไหมวะ” ถ้าไม่ใช่ว่ามีคดีติดตัวอยู่ ผมจะเอาตะหลิวฟาดหัวมัน

บนโต๊ะอาหาร คนตรงหน้าตัก pancake คำโตเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ สีหน้าของจีมีความสุขมากจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าฝีมือการทำ pancake ของผมอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“เบาๆ เดียวติดคอ” ผมปราบเพราะมันยัดห่าขนาดนี้เดียวก็ติดคอตายพอดี

“มึง ...”

“... สัญญากับกู ว่าหลังจากนี้ ถ้าไม่มีกูอยู่ด้วย มึงห้ามไปเมาต่อหน้าใคร” อะไรวะ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนโหมด ตามอารมณ์มันไม่ทันเว้ย

“อืม” อ่าว!!! อิเชี่ย!!! กูสัญญากับมันง่ายไปไหม ไม่เถียง ไม่ถามให้พอดูมีจริตซักหน่อยเหรอวะ … อย่างว่าแหละ รักเขาไปแล้ว อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนว่าง่ายขึ้นมาทันตาเห็น

“มึงรู้ตัวไหม เมื่อคืนถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วยป่านนี้มึงได้ผัวฝรั้งไปแล้ว”

“บ้า!!! มึงพูดอะไร กูไม่เคยทำตัวแบบนั้น”

“เนี่ย มึงเมาแล้วก็จำไม่ได้ใช่ไหม” มันส่ายหัวอย่างเอือมระอา

“ใครเมา เมื่อคืนกูไม่ได้เมา” ผมยังคงเถียงคำไม่ตกฝาก

“แถจนสีข้างถลอดหมดแล้ว”

“นี่มึงด่ากูเหรอ”

“เมื่อคืนมึงเมา”

“กูไม่เมา” มันถอนหายใจใส่ผมเฮือกใหญ่ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน ... เจ็บจี๊ดเลยวะ

“มึงเมา ... แล้วไปเต้นสีกับฝรั้ง ...”

“... จะต้องให้กูเล่าไหมว่าพวกมึงสีกันแนบชิดขนาดไหน ...”

“... ถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วย รับรองได้ว่าเช้านี้มึงโบ๋ไปแล้ว” คำพูดของจีทำเอาผมอ้าปากค้าง มึงเลือกคำพูดได้เหี้ยมากกกกกกกกก ไม่ให้เกียรติความเป็นกุลสตรีของกูเลยซักนิด

“ไอ้เหี้ยจี!!! ...” นี่ขนาดมึงบอกว่าจะไม่เล่านะ ไอ้เพื่อนเลว

“... เออ กูเมา กูก็สัญญากับมึงไปแล้วไง”

“สัญญาแล้วก็ทำตามด้วย ทอดไข่ดาวให้กูตลอด trip ถือเป็นบทลงโทษของมึง แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 นะ ...”

“... มึงโดนดีแน่ไอ้ตัวดี” มีดในมือถูกชี้มาทางผมอย่างคาดโทษ ผมที่กำลังจะอ่าปากเถียง แต่พอคิดได้ว่าสงบปากสงบคำไว้น่าจะเจ็บตัวน้อยกว่า สุดท้ายเลยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม



วันถัดๆ ไปสิ่งแรกที่ผมทำคือมายืนดักรอ Bruno ในครัว หลังจากทำเป็นเนียนนั่งกินข้าวไปเรื่อย ในที่สุดเป้าหมายก็เดินขึ้นมาชั้นล่าง เขาเพิ่งไป joking กลับมา ก็ตามประสาคนอยากเรียนวิทย์กีฬาแหละครับ Bruno เป็นพวกบ้าการออกกำลัง แล้วจากที่ได้ยินมา เขาเล่นกีฬาได้ทุกชนิดแต่ที่เก่งที่สุดคงหนีไม่พ้น football ซึ่งถือเป็นกีฬาประจำชาติบราซิล

“Hi, นายไป joking ที่ไหนมา” ผมเดินเข้าไปหา Bruno ในครัว ก่อนจะยืนในจุดที่เหมาะกับการสังเกตการณ์

“สวนสาธารณะแถว uptown” เจ้าตัวพูดพลางตระเตรียมสิ่งของ ... ผมต้องจดจำเอาไว้ กระทะแบนๆ วางอยู่ใต้ซิงค์ แล้วนั้นอะไรวะ หยิบขวดอะไรออกมาจากตู้ด้านบน หน้าตาเหมือนขวดสเปรย์ ... Bruno ฉีดขวดสเปรย์นั้นลงบนกระทะที่ตั้งอยู่บนเตา

“แถวนี้ก็มีสวนไม่ใช้เหรอ” เดินไปอีกหน่อยเป็นโรงเรียนมัธยมที่มีลู่วิ่งรอบสนาม football ผมเคยไปเดินเล่นมาครั้งสองครั้ง

“สวนที่ uptown ดีกว่าเยอะ นายต้องลองไปดู” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเห็น Bruno ตอกไข่ใส่กระทะ เสี่ยงซ่าๆ จากในกระทะทำให้ผมคิดออกว่าขวดสเปรย์นั้นคือน้ำมันนี้เอง ฉลาดดีวะเอาน้ำมันใส่ขวดสเปรย์ เวลาใช้ก็แค่พรมให้ทั่วกระทะ ง่ายแถมยังใช้น้ำมันน้อย

“นายไป joking สัปดาห์ละกี่ครั้ง” ผมยังคงหาเรื่องคุยไปเรื่อยๆ เพราะยังต้องสังเกตไปจนกว่าไข่ดาวฟองนั้นจะขึ้นจากระทะ

“3 – 4 วัน ประมาณนั้น ...” เชี่ย!!! โคตร fit ... Bruno ยังคงปล่อยไข่ดาวไว้ในกระทะจนไข่ขาวที่ใสเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีขาวและคงรูปขึ้นมา ในขณะที่ไข่แดงยังดิบเป็นวงสวยอยู่ตรงกลาง

“... ปกตินายออกกำลังบ้างไหม ...” ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ

“... นายต้องออกกำลังบ้างนะ มันมีประโยชน์ในระยะยาว” ผมรู้แต่เพราะขี้เกียจไง ... พอดีกับจังหวะที่ไข่ขาวสุกได้ที่ Bruno ใช้ตะหลิวซิลิโคนแซะฐานไข่ดาวขึ้นมา ... แล้วไข่ดาวแบบไข่แดงดิบใบสวยก็วางอยู่บนจาน

“อืม” ผมส่งยิ้มให้กับ Bruno เป็นการบอกว่าผมกำลังจะขอตัว

“นั่งเป็นเพื่อนกันก่อนซิ”

“Okay” ลังเลนิดหน่อยแต่สุดท้ายผมก็ตอบตกลง วันนี้ว่างๆ ไม่มีอะไรต้องรีบอยู่แล้ว

“เงียบหน่อยนะ วันหยุดก็แบบนี้ Minho กับ Nami กว่าจะตื่นก็เกือบเที่ยง ... Linda ก็พาลูกไปข้างนอก” Bruno พูดพลางตักอาหารเข้าปาก

“อืม ฉันชินกับการอยู่ในบ้านเงียบๆ ...”

“... พ่อแม่ฉันไม่ค่อยอยู่บ้านนะ พวกเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ” ผมอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นคิ้วของคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“ฉันก็พอจะเดาได้ ...”

“... พวกเรารู้สึกว่านายต่างจากเด็กไทยคนอื่นๆ ที่เคยรู้จัก เลยเอาชื่อนามสกลุนายไป google” คนตรงหน้าอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นผมทำหน้าสงสัย

“อ่า!!!!” เพราะผมก็เคยเอาชื่อตัวเองไป search เลยรู้ว่าเพื่อนต่างชาติน่าจะเห็นข่าวเกี่ยวกับครอบครัวผมมาไม่น้อย

“นายเป็นคนดังเหรอ ชีวิตของนายมันไม่ง่ายเลยใช่ไหม”

“ก็ไม่เชิง มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ...” ผมอธิบายต่อเมื่อจับสังเกตได้ว่าคนตรงหน้ายังอยากให้ผมอธิบายเพิ่ม

“ข้อดีคือฉันมีอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ก็แลกมากับการที่ต้องอยู่คนเดียว แล้วตกเป็นจุดสนใจ ... แต่ฉันชินกับมันแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร”

“ฉันถามเรื่องส่วนตัวนายได้ไหม ...” ผมพยักหน้า

“...นายกับจี โตมาด้วยกันเหรอ”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ จีเป็นเพื่อนสนิทของเราตั้งแต่เด็ก”

“วันก่อน เราเห็นนาย 2 คน ... นอนกอดกันในห้องนั่งเล่น”

“นายเห็นเหรอ” แม้จะตกใจแต่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีคนเห็น กอดกันกลมกลางห้องนั่งเล่นซะขนาดนั้น

“เห็น ... ตกลงว่าคบกันแล้ว?”

“ยัง”

“ขนาดนี้แล้วยังไม่เรียกว่าคบกันอีกเหรอ คืนนั้นที่จีกินแก้ว shot แทนนาย ก็โคตร feel แฟนแล้วนะ”

“มันก็ทำแบบนี้มาตลอด”

“What’ s the relationship between you two?”

“I don’ t know. I know it’ s more than friend, but we never talk about it.”

“You should. Because just friend don’ t look at each other like that”

“I know, but too much fear.”

“I understand. Do you have the answer you are looking for?”

“Yes, I do ... love him.” คำตอบนั้นพูดออกมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด ... จนผมเองยังเผลอยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“I am glad that you have your answer. But the next step takes a lot of courage. ...”

“... keep fighting, I’ m right behind you.”

“Thanx … But I wonder. Minho said you like me.” พูดถึงประโยคนี้ผมก็หยุดชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า

Bruno เหมือนรอว่าผมจะพูดอะไรแต่พอเห็นผมเงียบเขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่

“I see, but why am I not even flirting with you? . Not once. …” ผมพยักหน้ารับ นั้นแหละที่ผมสงสัย Bruno พักอยู่ห้องข้างๆ ผม เป็นคนแรกที่ผมได้คุยด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่สนิทที่สุดของผม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีจีบผมเลยแม้แต่น้อย

“… I honestly like you but when I saw you two together. I know I have no chance.” ผมยิ้มรับให้กับคำตอบของ Bruno และภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นจริงตามนั้น



ช่วงบ่ายผมนัดจีไว้ที่ supermarket สีเหลืองใกล้บ้าน

“กูไปแอบดูวิธีทอดไข่ดาวจาก Bruno มา” ผมพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านชั้นวางของ โดยมีจีอาสาเข็นรถเข็นให้

“แสดงว่าพรุ่งนี้กูจะได้กินไข่ดาว ... อย่าลืมว่าไข่แดงไม่สุกนะเว้ย” จีกำชับ

“ชิห์!!! สั่งจังวะ ... มึงภาวนาให้กูทอดแล้วไม่ไหม้ก่อนเถอะ” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน

“เออๆๆ อยู่อีกตั้งนาน ยังไงก็ต้องได้กินไข่ดาวไข่แดงไม่สุกฝีมือมึง” พอได้ยินคำตอบก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี

“ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ยยยยยย”

“เพราะมึงเมาแล้วแรดไง จำไว้ว่าถ้าไม่อยากโดนลงโทษก็อย่าเมาแล้วแรด”

“อิเหี้ยจี !!!” ถ้าทำได้ ผมจะกระโดดงับหัวมันให้รู้แล้วรู้รอด

“พูดมาก เอาขนมไปแดกซักถุงไป” พูดจบมันก็คว้า chip ถุงใหญ่โยนลงมาในรถเข็น

“ไม่เอา ไม่แดก”

“ช่วงนี้มึงแปลกๆ นะ ปกติชอบขนมกรอบๆ ไม่ใช้เหรอ ทำไมตั้งแต่มาอยู่ที่นี่กูเห็นมึงซื้อแต่ผลไม้วะ” มันหรี่ตามองผม สายตาตรงหน้าจ้องจับผิดผมอย่างไม่ปิดบัง

“กูกลัวอ้วน ... ไอ้จี!!!” ยังไม่ทันขาดขำ มือหนาก็หยิกเข้าที่พุงเหมือนทุกครั้ง ... เขินวะ ทำตัวไม่ถูกเลย

“ก็เท่าเดิม อ้วนอะไรวะ”

“เหรอ” แม้จะไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ แต่เวลามาทีไร ผมต้องน้ำหนักขึ้นทุกครั้ง

“กินไปเถอะ ดูข้าวกลางวันของมึงแต่ละมื้อ sandwich ชิ้นเดียว จะเอาที่ไหนไปอ้วนวะ”

“เออๆ ผลไม้กูก็ชอบกิน” ผมเป็นคนที่ชอบกินผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วที่นี่ผลไม้ก็รสชาติดีกว่าที่เมืองไทยเยอะ เลยอดไม่ได้ที่จะซื้อติดตู้เย็นไว้ตลอด ผิดกับจีที่ไม่ชอบกินผักผลไม้ เพราะฉะนั้นเลยไม่แปลกที่ตอนนี้ในตระกร้ารถเข็นถึงมีแต่ strawberry apple และ cherry ของผม กับถุงขนมขบเคี้ยวหลากหลายยี่ห้อของจี

“มิลค์!!! …”

“... ไก่ย่างน่ากินวะ” พวกเราเดินมาถึงโซนอาหารปรุงสุก พอมองตามสายตาเป็นประกายของจีก็เห็นไก่ย่างตัวใหญ่หมุ่นอยู่ในเตาอบ มันช่างอวบอ้วนยั่วน้ำลายเหลือเกิน พอมองเลยไปอีกหน่อยตาของผมก็เป็นประกายตามเพื่อนสนิทเมื่อเห็นซี่โครงหมูราดซอสบาบีคิวฉ่ำๆ

“กูอยากกินซี่โครงหมู”

“ซื้อกลับไปกินบ้านมึงกัน”

“เอาดิ!!!”
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 24-08-2025 09:11:32
ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย 2/2

“พี่แววววววววว พี่ช่วยมิลค์ด้วย” พอเจอหน้าพี่แววที่โรงเรียน ผมก็ถลาตัวเข้าไปหาพี่สาวร่วมคณะ

“เป็นอะไรมิลค์ ทำไมทำเสียงแบบนั้น”

“Linda เขาจะให้มิลค์ทำอาหารไทยเย็นนี้ เขามัดมือชก บอกว่านัดทุกคนไว้แล้ว”

“555 พี่บอกมิลค์แล้วว่าให้ชิงนัดวันไปก่อน อย่างน้อยเราจะได้เลือกวันได้”

“ก็มิลค์คิดว่าจะเนียนไปเรื่อยๆ จน Linda เขาลืม” ผมผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอด หวังลมๆ แล้งๆ ว่า Linda จะลืม ใครจะคิดว่าจะโดน host mother รู้ทันดัดหลังด้วยกันมันมือชกแบบนี้

“แล้วนี้ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง”

“มิลค์เอาเครื่องแกงสำเร็จรูปมา ... มีพะแนง ต้มยำกุ้ง แล้วมิลค์คิดว่าจะทำผัดผักเพิ่ม กินกับข้าวสวย”

“ฟังดูก็ไม่น่ายากเท่าไหร่นะ”

“555 พี่แววไม่รู้อะไร มิลค์มันหุงข้าวยังไม่เป็นด้วยซ้ำ” เสียงทับถมของจีดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไอ้จี ถ้าไม่ช่วยก็อย่ามาชักใบให้เรือเสีย” ผมมองแรงใส่เพื่อนสนิท ใครจะสบายตัวเหมือนมัน host ของจีเขาไม่ได้เป็น type เดียวกับ Linda เลยไม่เคยขอให้มันทำอาหารไทยให้กินซักมื้อ

“มึงก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องทำ กูบอกตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วว่าให้ฝึก มึงก็ไม่ฝึก แล้วจะโวยวายอะไรวะ”

“แล้วมึงจะดุกูทำไม ... เย็นนี้มึงมาช่วยกูเลย” Linda มัดมือชกผม ผมมัดมืดชกจีบ้าง

“ไม่ไป กูไม่อยากโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดวางยาคนทั้งบ้าน 555” พูดจบมันก็ทำสีหน้าลอยไปลอยมา หมันไส้โว้ยยยยยยยยยยยยยยย

“ไอ้จี!!!”

“เอานะๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน เดียวพี่พาไปซื้อของ เอาแบบง่ายๆ เหมือนต้มมาม่าเลยดีไหม ...”

“... ว่าแต่ มิลค์ต้มมาม่าเป็นใช่ไหม” พูดเสร็จพี่แววก็อมยิ้มเป็นเชิงหยอกล้อ

“พี่แววววววววววววววว” ผมโวยเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังโดนแกล้ง



ณ supermarket ย่าน China town ผมกำลังเดินตามหลังพี่แวว โดยมีจีที่อาสาเข็ดรถเข็นให้เดินตามหลังมาคู่กับวายุ

“ต้มย้ำกุ้ง ใช้กุ้งแช่แข็งก็ได้ ง่ายดี แต่ตอนต้มต้องคอยเช็คนะ เพราะถ้าสุกเกินไปกุ้งจะเล๊ะ มิลค์เช็คเป็นไหม ...” ผมส่ายหัว

“... จับๆ ดูก็ได้ ถ้าเด่งๆ ก็ใช้ได้”

“จับแล้วมันจะไม่ร้อนเหรอครับ” รอยยิ้มของพี่แววถึงกับแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เมื่อได้ยินคำถามตามประสาของคนไม่เคยทำอาหารแบบผม

“งั้นลองกินก็ได้ ถ้าเด้งๆ ก็ใช้ได้”

“โอเคครับ” แล้วผมก็หยิบกุ้งแช่แข็ง 1 pack ใส่รถเข็น

“พะแนง เอาเป็นเนื้อละกัน เพราะถ้าไม่สุกก็กินดิบได้ ...” รอบนี้เป็นผมที่ยิ้มค้าง นี่พี่แววกำลังบอกอะไรผมทางอ้อมหรือเปล่า

“... ซื้อเนื้อหั่นเต๋าเลยเวลาทำจะได้ง่ายๆ” ผมผยิบเนื้อ 2 pack ลงในตระกร้า

หลังจากนั้นพี่แววก็พาผมไปซื้อผักและเครื่องปรุงสำหรับผัดผัก รวมถึงติวขั้นตอนการหุงข้าวและการทำอาหารโดยใช้เครื่องแกงสำเร็จรูป ฟังๆ ดูก็ไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ต่างอะไรกับการอุ่นซุปกระป๋องแล้วเติมเนื้อสัตว์ลงไป ... ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วว่าจะสามารถเอาตัวรอดจาก challenge อาหารเย็นของ Linda

หลังจากซื้อของเสร็จ มีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยพวกเราเลยมานั่งกินไอศกรีมด้วยกัน เรา 4 คน ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนพร้อมกันบ่อยนัก พี่แววจะอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นมากกว่า ในขณะที่ผม จี และวายุ ไปเที่ยวด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียน วายุรับหน้าที่เป็นไกด์ และ navigator กิจวัตรประจำวันของมันคือมาเสนอที่เที่ยวให้ผมกับจีในทุกๆ เช้า

“พี่แววกลับวันไหนครับ” ผมถามในระหว่างที่พวกเรากำลัง enjoy กับไอศกรีมตรงหน้า

“เหลืออีก 2 สัปดาห์ ... ยังดีที่ได้ไป Whisler ก่อนกลับ” เพราะพี่แววต้องกลับไปฝึกงานเลยไม่สามารถอยู่ได้เต็ม 2 เดือนเหมือนพวกเรา … Whisler เป็น trip สุดท้ายก่อนที่พี่แววจะบินกลับ ถือว่าโชคยังเข้าข้างเพราะ Whisler ถือเป็น is a must ของ Canada ใครๆ ก็บอกว่าเป็นเทือกเขาที่สวยมาก เพราะปกคลุมไปด้วยหิมะ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวอีกด้วย

“ผมก็อยากไป ยังไม่เคยเห็นหิมะเลย” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เพราะปกติเวลาไปเที่ยวต่างประเทศไม่เคยจะตรงกับช่วงหิมะตกซักที

“มันต้องสนุกมากแน่ๆ” หลังจากนั้นผมกับพี่แววก็คุยกันเรื่องที่คณะ ซึ่งหนีไม่พ้น topic เรื่องของชาวบ้าน ... และผมก็ต้องประหลาดใจ ที่พี่สาวคนสวนรู้ทุกเรื่อง ตอบได้ทุกอย่างราวกับเป็น Wikipedia

“มิลค์ มึงกินไอติมยังไงของมึงเนี่ย หกเลอะแขนเสื้อหมดแล้ว ...” จีทักขึ้นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจระหว่างผมกับพี่แวว... กว่าจะรู้ตัว แขนเสื้อกันหนาวของผมก็เปื้อนไอศกรีมรสวานิลลาเป็นวงกว้างเสียแล้ว

สายตาของวายุมองไปยังเพื่อนร่วมคณะที่กระวีกระวาดหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดแขนเสื้อให้เพื่อนสนิทราวกับไอศกรีมนั้นหกเลอะเสื้อของตัวเอง ในขณะที่มิลค์ดูไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นักเพราะยังคงพูดคุยกับพี่สาวของเขาไม่หยุดปาก ... ภาพที่เห็นทำให้วายุคิดในใจว่านี่มันเพื่อนหรือลูกกันแน่วะ

“... ไปล้างแขนเสื้อกับกู”

“แป๊บนึง กูเม้าท์อยู่” พอได้ยินเสียงตอบรับแบบขอไปทีของมิลค์ นั้นทำให้คนที่ใจเย็นเป็นปกติอย่างจีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ

“ไปกับกู อย่าดื้อ” คิ้วข้างหนึ่งของวายุเลิกขึ้นอย่างช้าๆ เขาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะเพียงแค่จีบอกกล่าวด้วยเสียงเรียบๆ คุณหนูเอาแต่ใจอย่างมิลค์ก็ยอมลุกเดินตามเพื่อนสนิทไปอย่างไม่หือไม่อือ

เขาสังเกตมาซักพักแล้วว่าทั้งคู่ต่างก็รู้จุดพอดีของแต่ละฝ่าย จีที่ปกติจะประคบประหงมตามใจ แต่วายุสัมผัสได้ว่ามีจุดๆ หนึ่งที่เจ้าตัวจะไม่ปล่อยให้อีกคนไปไกลเกินกว่านั้น และเช่นเดียวกันกับมิลค์ที่ถึงจะเอาแต่ใจกับจีแต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าไม่ควรเอาแต่ใจจนเกินจุดที่อีกคนขีดเส้นไว้ ... คงเป็นเพราะทั้ง 2 คนรู้จักกันมานาน จนความสัมพันธ์สลับซับซ้อน เขาเคยได้ยินมาว่าจีมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูแตกต่างจากเพื่อนสนิททั่วไป ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง จนกระทั้งได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ด้วยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆ นั้นคือมิลค์อย่างแน่นอน

“แกว่า 2 คนนั้นมี something กันไหม” พี่แววถามขึ้นในช่วงจังหวะที่ทั้งโต๊ะมีกันแค่ 2 พี่น้อง

“ไม่รู้วะเจ้ เคยถามแต่ทั้ง 2 คนก็ตอบเหมือนกันว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน”

“ที่คณะคนจีบมิลค์เยอะมากเลยนะ ทั้งผู้ชายผู้หญิง”

“ไอ้จีก็เหมือนกัน popular จนใครๆ ก็แซวว่าเป็นสมบัติคณะ” วายุกล่าวสมทบ

“เจ้เคยสงสัยว่ามีคนจีบมิลค์เยอะขนาดนั้น ไม่มีซักคนเลยเหรอที่เข้าตา ... แต่พอมาเจอ 2 คนนี้ตอนอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ไม่แปลกใจนะที่มิลค์จะไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาเลย” วายุพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเขาคิดว่าเหตุผลของจีก็คงไม่ต่างกัน



ผมกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า host family 3 คน และเพื่อนต่างชาติอีก 3 คน ความรู้สึกตอนที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอรอยยิ้มของทั้ง 6 คนพร้อมหน้า คือไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คนเหล่านี้ซินะที่จะเป็นผู้ร่วมชะตากรรมของค่ำคืนนี้ Linda พูดขึ้นตั้งแต่ผมก้าวขาเข้ามาในบ้านว่ามื้อเย็นวันนี้จะเป็นเวที solo เดี่ยวของผม ในขณะที่เธอจะทำหน้าที่เป็นเพียงลูกมือเท่านั้น

เริ่มต้นจากการหุงข้าว พี่แววสอนผมมาอยากดีว่ากินกัน 6 คนใช้ข้าว 3 ถ้วย กับน้ำ 1 ข้อนิ้ว แต่พอมาทำจริงๆ แล้วถึงได้เริ่มสงสัยว่าพี่แววหมายถึงถ้วยขนาดเท่าไหร่ เพราะ Linda มีถ้วยหลากหลายขนาดให้ผมเลือกสรร

"Linda คุณว่ากินกัน 7 คน ข้าว 3 ถ้วย พอไหม" Linda ที่กำลังหันผักเป็นชิ้นอย่างชำนาญ เงยหน้าขึ้นมาพิจารณาถ้วยแบ่ง soup ในมือของผม เธอทำหน้าครุ่นคิด

"ไม่รู้ซิ ฉันเองก็ไม่ค่อยได้หุงข้าวซักเท่าไหร่" รอยยิ้มสวยค้างอยู่บนใบหน้าของผม ถ้าไม่ติดว่าทั้ง 6 คนกำลังตั้งความหวังไว้กับ Thai dinner มื้อนี้ ผมจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอดว่าผมก็หุงข้าวไม่เป็นเหมือนกัน ... แต่พอเห็นรอยยิ้มจริงใจของ Linda แล้ว ... ข้าวสาร 4 ถ้วยก็ถูกโยนลงไปในหม้อพร้อมกับเทน้ำจนสูง 1 ข้อนิ้ว ... เอาวะเหลือดีกว่าขาด

จบปัญหาเรื่องข้าว ผมก็เตรียมตัวจะทำพะแนงเนื้อต่อ พอใส่เครื่องแกงถึงได้เจอกับปัญหาที่ 2 คือผมเอาเครื่องแกงมาน้อยไป ดูจากคำแนะนำข้างถุงแล้วเครื่องแกงน่าจะน้อยกว่าปริมาณเนื้อครึ่งต่อครึ่ง ผมไม่มีทางเหลือกนอกจากอาศัยวิชาเคมีขึ้นพื้นฐานที่ร่ำเรียนมาเมื่อเทอมก่อน สูตรประมาณสารสัมพัทธ์ปรากฏภาพขึ้นในหัว M1V1 = M2V2 ในเมื่อปริมาณมันน้อยก็เจือจางมันซะจะได้มีปริมาณมากขึ้น ผมจัดการเทน้ำลงไปจนแน่ใจว่ามีปริมาณเครื่องแกงมากพอจะคลุกเคล้าเนื้อทั้งหมดได้ แต่พอตักขึ้นมาชิมถึงได้รู้ว่าผมไม่ควรทำแบบนั้น มันคลุกได้ก็จริงแต่ก็แทบไม่เหลือรสชาดของแกงพะแนงเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเจือจาง หลงเหลือรสพะแนงติดแค่ที่ปลายลิ้น ผมมองซ้ายขวาหาตัวช่วย และสายตาก็เหลือบไปเห็นกระปุกพริกไทยดำ ไม่รอช้าผมจัดการสาดเครื่องปรุงจากโลกตะวันออกลงไปในกระทะหวังเพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับโปรตีนจากหลัก เมนูต่อไปคือต้มยำ แม้ผมจะซื้อเครื่องต้มยำมาหลายห่อแต่จากประสบการณ์จากพะแนงก็เดาได้เลยว่าที่เอามานั้นน้อยเกิดไป

"มิลค์ ทำไมเธอยืนหน้าเครียดแบบนั้น" Linda ถามผมที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าเตา

"ผมว่าต้มยำมันน้อยเกินไป" ครั้งนี้ผมใส่น้ำอย่างระมัดระวังเพื่อรักษารสชาด ถึงกระนั้นต้นยำที่ได้ก็ยังน้อยเกินไปสำหรับ 7 คน

“ฉันมีน้ำกะทินะ ถ้านายอยากลองใส่เพิ่ม" พูดจบเธอก็เปิดตู้ชั้นลอยเหนือเตา ก่อนจะหยิบน้ำกะทิออกมา 3 กระป๋อง

"ดีเลยครับ รสชาดน่าจะออกมาพอดีๆ" ผมยิ้มเพราะคิดว่าถ้าใส่กะทิเข้าไปหน่อย รสชาดคงออกมาใช้ได้พอดี

พูดจบผมก็หันไปจัดการเนื้อในกระทะที่เริ่มจะสุกได้ที่ พอหันกลับมาก็แทบจะกรีดร้องออกมาเต็มเสียงเพราะ Linda จัดการเทน้ำกะทิลงในหม้อรวดเดียว 3 กระป๋องโดยปราศจากการชิมใดใด ... คือจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว ต้มยำที่เคยมีสีสันสดใสตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับแกงกะทิสีขาวคลัก สิ่งเดียวที่ทำได้คือ keep cool หยิบช้อนจากลิ้นชักออกมาตักต้มยำขึ้นมาชิม ... เชี่ยยยยยยยยยยยย!!! แย่กว่าแกงกะทิพันเท่า เหมือนแดกน้ำกะทิเปล่าๆ ไม่มีผิดเพี้ยน

"เป็นยังไงบ้าง" Linda ที่ยืนใจจดจ่ออยู่ข้างๆ ถามขึ้นมา

"Yummy!!!" แล้วผมจะตอบอะไรได้มากกว่านี้ ... จะให้บอกว่าในหม้อนี่คือหายนะของอาหารไทยอย่างนั้นเหรอ

"โล่งอกไป ฉันก็คิดว่าจะทำต้มยำของเธอพังซะแล้ว" ... คะ!!! อย่าเรียกว่าพังเลย เรียงว่าฉิบหายน่าจะถูกต้องกว่า

กับข้าว 3 อย่าง อย่างเดียวที่ดูจะฉิบหายน้อยที่สุดคือผัดผัก จนกระทั้งกับข้าวทุกอย่างถูกจัดใส่จาน ผมถึงได้รู้ว่ามีความฉิบหายอย่างสุดท้ายรออยู่ ... ข้าวในหม้อแข็งเกินไป

"ทำยังไงดีละมิลค์" Linda ถามผมด้วยสีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างกัน ถ้าผมทำกินเองก็คงช่างหัวมัน โยนข้าวลงถังขยะแล้วกินกับข้าวกับขนมปัง แต่สำหรับฝรั้งแล้วอาหารไทยต้องกินกับข้าวสวยเท่านั้น นอกนั้นผิดผี รับไม่ได้







“แล้วมึงทำยังไงต่อ” จีถามในขณะที่พวกเรานั่งอยู่ใน food court ใกล้โรงเรียน ปกติแล้วพวกเราจะทำอาหารมากินกันมากกว่า แต่ food court ก็เป็นทางเลือกที่ดีในกรณีที่พวกเราเบื่ออาหารฝีมือตัวเองขึ้นสุด บอกเลยว่าผู้ชาย 3 คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ฝีมือทำอาหารพอกัน คือกินได้แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่ากินเลยจะดีกว่า

“กูคิดอะไรไม่ออก เลยเติมน้ำลงในเพิ่ม ... ไอ้เชี่ย ใครจะคิดว่าข้าวนุ่มขึ้นเฉยเลย 555” ผมพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่คนที่แทบจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารเป็นจริงเป็นจังอย่างผมแก้ปัญหาได้เท่านี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

“แล้วต้มยำของมึงละเป็นไง” วายุถาม

“แดกไม่ได้ รสชาติเหมือนกะทิเปล่า ...”

“... แล้ว Linda ก็ซดเอาๆ บอกว่าอร่อยมาก”

“แสดงว่ารอดตัวไป”

“รอดเหี้ยไรละ อยู่ๆ Mark ก็ถามขึ้นมา ว่าถ้าอร่อยขนาดนั้นทำไมกูถึงไม่แตะเลย 555” พูดจบทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเอาตัวรอดแบบเนียนๆ แต่กลับถูกจับสังเกตได้

“กูนึกแล้วว่าต้องเป็นมื้อเย็นที่บันเทิงที่สุดในชีวิตมึง ... อะมิลค์” จีพูดติดตลกพร้อมกับตักเอาผักสลัดจากจานของตัวเองใส่จานผม ในขณะที่ผมตักข้าวและกับครึ่งหนึ่งให้กับคนข้างๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เรา 2 คนตกลงแบ่งอาหารในจานของกันและกัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ทุกมื้อ จีไม่ชอบกินผัก ตั้งแต่มาถึงที่นี้ผักในจานของจีจะเหลือทิ้งไว้เสมอ ในขณะที่ผมไม่สามารถจัดการอาหารในจานได้หมดซักมื้อ food court ที่นี้แม้ราคาจะแพงว่าที่เมืองไทยมาก แต่ปริมาณอาหารก็ให้มาไม่ยั้งเหมือนกัน

“มีไรปะ” ผมถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นวายุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอมยิ้มบางๆ

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ... Whisler พวกมึงพร้อมกันไหม”

“พร้อมดิ โคตรตื่นเต้น” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เลยหวังเอาไว้มากๆ ว่าจะได้เห็นหิมะที่ Whisler

“พูดถึงแล้วก็ใจหายเนอะ พี่แววจะกลับแล้ว”

“อืมใช่ ไม่น่าเชื่อว่าแป๊บๆ เราอยู่มาเกินครึ่งทางแล้ว” พี่แววกลับไทยหลังจากหลังจบ trip Whisler ไม่กี่วัน ในขณะที่พวกผมยังเหลือเวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์ เวลาผ่านไปเร็วมาก

“กลับไปไม่รู้จะได้อยู่พร้อมหน้ากัน 3 คนแบบนี้ไหม ...”

“... เสียดาย ตอนแรกกูไม่ได้ทำ visa ไว้ ไม่งั้นจะเปลี่ยนใจไป US กับมึงแล้วเนี่ย ... ทำตอนนี้ทันไหมวะ” วายุพูด

“ไม่ทันแล้ว ... กูเช็คเมื่อวันก่อน คิวยาวเป็นเดือน หรือต่อทันก็ได้ visa แค่ไม่กี่วัน ...”

“... กูลองเช็คดู คิดว่าถ้าทำได้จะมาชวนมึงไป NY ด้วยกัน” จีอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นวายุขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย สัปดาห์ก่อนผมอ้อนจีหนักมากให้ชวนวายุยกเลิกแผน road trip แล้วไป NY กับผม จีเลยลองไปเช็คข้อมูลว่าจะสามารถทำ visa US จากที่นี้ได้ไหม และผลก็ออกมาอย่างที่เห็น

“เสียดายวะ ตอนนั้นเราไม่สนิทกันไง กูเลยไม่กล้าไปรบกวนมึง ถ้ารู้ว่าจะสนิทกันขนาดนี้นะ กูตกลงไปกับมึงตั้งแต่วันแรกที่มึงออกปากชวนแล้ว” วายุพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายจริงๆ



...



ผมกระชับเสื้อกันหนาวในมือ แม้จะหนาวยะเยือกแต่ก็ไม่สามารถจะละสายตาจากวิวที่เห็นอยู่ตอนนี้ได้ ... ภาพของต้นสนสีเขียวเข้มสูงฉลูด ตัดกับภูเขาใหญ่น้อยปกคลุมไปด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ... สวยเหมือนภาพที่มักจะถูกบอกเล่าในนิยาย

“สวยเนอะ” จีที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น พอผมหันกลับมา ถึงได้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จับจ้องบรรยากาศภายนอกเช่นเดียวกับผม

“อืม” ผมตอบรับ ในขณะที่สายตาไม่สามารถละออกจากใบหน้าของเพื่อนสนิทได้ ตาชั้นเดียวที่ผมโคตรจะหลงใหล จมูกสวย ลูกกระเดือกที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย ผิวขาวไม่ต่างอะไรจากหิมะที่ปกคลุมภูเขาอยู่ภายนอก ... หล่อ โคตรหล่อ หล่อวัวตายควายล้ม

“มิลค์”

“ฮะ” เพราะได้ยินชื่อตัวเองผมถึงดึงสติกลับมาได้

“หน้ากูมีอะไรติดเหรอ” มันถามพร้อมกับรอยยิ้มล้อเลียน ... มีความหล่อของมึงไง อิเหี้ย รู้ว่ากูแอบมองแล้วจะทักให้กูเขินเพื่อ

“อ่อ ไม่มี” ผมรีบกลบเกลื่อน แล้วตีเนียนชวนมันคุยเรื่องสัพเพเหระ

Whisler สวยเหมือนที่ใครๆ ก็พูดกัน ข้างในแบ่งเป็นหลายขั้นตามระดับความโปรของนักท่องเที่ยว แน่นอนว่านักเรียนจากประเทศเขตร้อนแบบพวกผมต่างก็เลือกลงหลักปักฐานกันที่ level 1 พวกเราสามารถเลือกได้ว่าจะเล่น ski หรือ snow board แต่เพื่อความ cool พวกเราเลยเลือก snow board

“จี รอกูด้วย” ผมตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่เดินจ้ำๆ อยู่ด้านหน้า พวกเรากำลังแบก board ขึ้นไปด้านบนเพื่อจะได้สไลด์มันลงมา

“มึงก็ก้าวเร็วๆ ดิวะ” มันหันกลับมา

“อีกตั้งไกล กูไปรอข้างล่างได้ไหม” ทุลักทุเลจนผมเริ่มจะท้อ

“ไม่ได้ๆ มาขนาดนี้แล้ว เร็วเข้า” แล้วจีก็ตัดสินใจเดินย้อนลงมา มือหนาคว้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม

ด้านบนเป็นลานหิมะโลงๆ พวกเราเลยถือโอกาสลองซ้อมเล่นกันก่อน วายุกับจีดูจะมี skill เกี่ยวกับอะไรพวกนี้พอสมควร ในขณะที่ผม พอสไลด์ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มหน้าคะมำ แล้วจะให้สไลด์ไปข้างล่าง ผมจะรอดไหมเนี่ย

“โอ้ย!!! ...” ผมที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นสะดุงเฮือกเมื่อมีบางอย่างเย็นๆ กระทบเข้ากลางหลัง พอหันกลับมาถึงได้เห็นเพื่อนสนิทยืนถือ snow ball อยู่ในมือ มันฉีกยิ้มกว้างเพราะถูกจับได้คาหนังคาเขา

“... ไอ้จี!!!” ผมไม่ยอมมันหรอก

2 มือโกยหิมะข้างตัว ปั้นเป็นก้อน แล้วขว้างออกไปเต็มแรง เสียงร้องดังขึ้น แต่ดูก็รู้ว่ามันตอแหล หลังจากนั้นสงครามบอลหิมะก็เริ่มขึ้น ผมกับมันขว้างบอลหิมะใส่กันไม่ยั้ง เสียงหัวเราะของเรา 2 คนดังลั่น ก่อนที่ละอองเกร็ดสีขาวจะเริ่มโปรยปรายมาจากฝากฟ้า ... หิมะกำลังตก

“เฮ้ย!!!” เพราะว่ามัวแต่สนใจหิมะที่กำลังตก กว่าจะรู้ตัวก็ถูกเพื่อนสนิทเข้าประชิด มันล๊อคคอผมไว้ในวงแขนก่อนที่จะเริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเราทั้งคู่ล้มไปกับพื้น แต่แทนที่จะหยุด จีกลับคลุกวงในทำให้เรา 2 คนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหิมะ เสียงหัวเราะของเราดังไม่หยุดทามกลางเกร็ดหิมะที่ร่างหล่นมาจากท้องฟ้า

“พอแล้วๆ กูหายใจไม่ทัน” พอผมเอ่ยปาก มันถึงได้หยุด เราสบตากันเสี่ยววินาทีก่อนที่เพื่อนสนิทที่คร่อมอยู่ด้านบนจะทิ้งตัวลงมานอนอยู่บนพื้นหิมะข้างๆ เรา 2 คนนอนตะแคงหน้าเข้าหากัน

“มึงได้เห็นหิมะแล้ว” มันพูด ... จีรู้ว่าผมไม่เคยเห็นหิมะ แล้วก็ตั้งความหวังไว้สูงมากกว่าจะได้เห็น

“ใช่ ... ได้เห็นพร้อมกับมึง” ผมตอบ







“ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลยเนอะ” คนตรงหน้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรา 2 คนสบตากันเงียบๆ ก่อนมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมากุมมือของผมไว้

“อืม ... อย่างอยู่แบบนี้กับมึง ... ตลอดไป” ผมตอบรับและผลั้งเผลอบอกความในใจออกไป

นิ้วมือเรียวสวยค่อยๆ เกี่ยวพันกับนิ้วมือของเพื่อนสนิทก่อนจะประสานมือของเราให้แนบแน่น แม้เราทั้งคู่จะสวมถุงมือ แต่หัวใจของผมกลับสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากคนตรงหน้า เสี่ยวความคิดหนึ่ง ผมขอพรจากพระเจ้า ...

‘ขอให้ความทรงจำใน summer trip ครั้งนี้

อยู่กับผมไป ... ตลอดกาล’


----------


#ตลอดไป #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 25-08-2025 22:34:40
“เอาเนยเพิ่มอีก ...” โคตรน่าหมันไส้ ทำมาเป็นยืนกอดอกสั่งโน่นสั่งนี้ ได้ทีละเอาใหญ่ ได้ยินแบบนั้นผมเลยจ้วงเนยกระบิใหญ่ใส่ลงกระทะ

“... มึงกวนตีนกูเหรอ” มือหน้าวางลงบนหัวทุยของเพื่อนสนิทก่อนจะโยกไปมา

“ไอ้จี หน้าเตาไหมมึง” ผมมองหน้ามันตาเขียว แม้จะไม่มีความสามารถในการทำครัว แต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรเล่นกันหน้าเตา


----------

#เพื่อนเล่น #เล่นเพื่อน #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 27-08-2025 20:19:57
“... ถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วย รับรองได้ว่าเช้านี้มึงโบ๋ไปแล้ว” คำพูดของจีทำเอาผมอ้าปากค้าง มึงเลือกคำพูดได้เหี้ยมากกกกกกกกก ไม่ให้เกียรติความเป็นกุลสตรีของกูเลยซักนิด

“ไอ้เหี้ยจี!!! ...” นี่ขนาดมึงบอกว่าจะไม่เล่านะ ไอ้เพื่อนเลว

“... เออ กูเมา กูก็สัญญากับมึงไปแล้วไง”

“สัญญาแล้วก็ทำตามด้วย ทอดไข่ดาวให้กูตลอด trip ถือเป็นบทลงโทษของมึง แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 นะ ...”

“... มึงโดนดีแน่ไอ้ตัวดี” มีดในมือถูกชี้มาทางผมอย่างคาดโทษ ผมที่กำลังจะอ่าปากเถียง แต่พอคิดได้ว่าสงบปากสงบคำไว้น่าจะเจ็บตัวน้อยกว่า สุดท้ายเลยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม


----------


#ไข่ดาว #ไข่แดงไม่สุก #ทำโทษ #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 28-08-2025 16:20:14
“มิลค์!!! …”

“... ไก่ย่างน่ากินวะ” พวกเราเดินมาถึงโซนอาหารปรุงสุก พอมองตามสายตาเป็นประกายของจีก็เห็นไก่ย่างตัวใหญ่หมุ่นอยู่ในเตาอบ มันช่างอวบอ้วนยั่วน้ำลายเหลือเกิน พอมองเลยไปอีกหน่อยตาของผมก็เป็นประกายตามเพื่อนสนิทเมื่อเห็นซี่โครงหมูราดซอสบาบีคิวฉ่ำๆ

“กูอยากกินซี่โครงหมู”

“ซื้อกลับไปกินบ้านมึงกัน”

“เอาดิ!!!”


----------

#ไก่ย่าง #ซี่โครงหมู #หิว #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 29-08-2025 11:35:42
“มึงได้เห็นหิมะแล้ว” มันพูด ... จีรู้ว่าผมไม่เคยเห็นหิมะ แล้วก็ตั้งความหวังไว้สูงมากกว่าจะได้เห็น

“ใช่ ... ได้เห็นพร้อมกับมึง” ผมตอบ


“ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลยเนอะ” คนตรงหน้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรา 2 คนสบตากันเงียบๆ ก่อนมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมากุมมือของผมไว้

“อืม ... อย่างอยู่แบบนี้กับมึง ... ตลอดไป” ผมตอบรับและผลั้งเผลอบอกความในใจออกไป


----------

#อุ่นใจ #ตลอดไป #US #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนพิเศษที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 29-08-2025 22:33:44
Teaser ตอนพิเศษที่ 2

ผมกำลังยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ลมหายใจเข้าออกเริ่มกลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อาการปากแห้งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ความประหม่าที่ถาโถมมาตั้งแต่ช่วงเช้ามลายหายไปเมื่อผมสวมเกราะป้องกัน ดวงตาคู่สวยไล่สายตาจากทรงผมที่ถูกบรรจง set มาอย่างดี ชุดสูททักซิโดแบรนด์หรูพอดีตัวที่กำลังสวมใส่ นาฬิกาข้อมือระดับ iconic และ cufflinks ทองประดับอัญมณีสีแดงสด ... ผมพร้อมแล้ว

ในห้อง grand ballroom ของโรงแรมสุดหรูใจกลางมหานคร New York เพดานห้องสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร ที่มี Chandaria โคมใหญ่แขวนอยู่ใจกลางห้อง ตามผนังประดับประดาไปด้วยไม้ฉลุสีทอง เสียงเพลงบรรเลงจากวงดนตรีคลาสสิกดังคลอไปกับบรรยากาศของการพูดคุยธรุกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกงานสังคมในฐานะลูกของพ่อ


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือใส่สูทผูกไทด์

#NY #With Arms
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 31-08-2025 09:40:41
ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน

ผมกำลังยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ลมหายใจเข้าออกเริ่มกลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อาการปากแห้งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ความประหม่าที่ถาโถมมาตั้งแต่ช่วงเช้ามลายหายไปเมื่อผมสวมเกราะป้องกัน ดวงตาคู่สวยไล่สายตาจากทรงผมที่ถูกบรรจง set มาอย่างดี ชุดสูททักซิโดแบรนด์หรูพอดีตัวที่กำลังสวมใส่ นาฬิกาข้อมือระดับ iconic และ cufflinks ทองประดับอัญมณีสีแดงสด ... ผมพร้อมแล้ว

ในห้อง grand ballroom ของโรงแรมสุดหรูใจกลางมหานคร New York เพดานห้องสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร ที่มี Chandaria โคมใหญ่แขวนอยู่ใจกลางห้อง ตามผนังประดับประดาไปด้วยไม้ฉลุสีทอง เสียงเพลงบรรเลงจากวงดนตรีคลาสสิกดังคลอไปกับบรรยากาศของการพูดคุยธรุกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกงานสังคมในฐานะลูกของพ่อ

“Good evening, Mr. ambassador” พ่อทักทายชายสูงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาหาด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“Hello Mike and Ploy, you look gorgeous as the last time we met.” ท่านทูตเอ่ยปากทักทายพ่อกับแม่อย่างสนิทสนม ทั้งคำพูดและภาษากายบ่งบอกได้ชัดเจนถึงทักษะทางการทูตชั้นเซียน

“Hello” ผมยื่นมือไปตรงหน้าทันทีที่เขาจับมือกับแม่เสร็จ

“And you are?” ท่านทูตเอ่ยถาม

“Let me…” และในขณะที่พ่อกำลังจะแนะนำตัวผม ท่านทูตก็พูดแทรกขึ้นด้วยท่าทางขบขัน

“No no Tim, let me guess … You take after your mom and same nose as your dad. You must me the son”

“You are right. Let me introduce, Milk, my son.” ผมยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือทักทายกับอีกฝ่ายที่ยื่นมาตรงหน้า

“Of course, you are, the next line to the throne hahaha. Nice to meet you.”

“Nice to meet you too.” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม

ตลอดช่วงหัวค่ำของวัน ผมส่งยิ้ม หัวเราะ และพูดคุยสนทนาเรื่องจิปาฐะกับแขกระดับ VIP ที่บินลัดฟ้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนมาร่วมกันที่นี้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือเสาะหาโอกาสทางธุรกิจ ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการทุมเทเงินทองมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงระดับนี้จะช่วยให้การเจรจาธุรกิจราบรื่นได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือทุกคนต่างพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป บทสนทนาวนเวียนอยู่กับเรื่องครอบครัว งานอดิเรก หรือไม่ก็เรื่องเก่าๆ สมัยวันวาน



“พ่อดีใจนะที่ลูกตกลงมาช่วยงานพ่อหลังจากเรียนจบ” พ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้น ในขณะที่เราทั้ง 3 คนกำลังนั่งอยู่ใน stretched Rolls-Royce Silver Spirit กลับที่พัก

“แต่มิลค์ขอเป็นหลังจากเรียนจบ ป.โทนะพ่อ” คิ้วของคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันทันทีที่ผมพูดจบประโยค

“ลูกบอกคุณแล้วไงคะ ว่าจะขอเรียนโทจบก่อนถึงจะกลับมาช่วย” แม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ พ่อช่วยผมพูดอีกแรง

“ก็ได้ ถ้าลูกต้องการแบบนั้น” สีหน้าเข้มขึงดูผ่อนคลายลง ไม่รู้ว่าจำไม่ได้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นลืม

“แล้วนี่จีเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่มาที่นี้ได้ติดต่อกันบ้างไหม” แม่เปลี่ยนประเด็นเพื่อช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“ไม่เลยแม่ เมล์ไปแล้วแต่มันไม่ตอบ”

“ไป backpack คงจะหาคอมลำบาก เดียวค่อยกลับไปเจอกันที่เมืองไทย”

“ครับ”

“แล้วนี้เจ้าจีเรียนอยู่ปีไหนแล้ว” พ่อถามด้วยสีหน้าที่ผ่านคลายขึ้นกว่าเดิมเมื่อพูดถึงเรื่องจี ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่จีก็เป็น ‘ลูกรัก’ ของพ่อเสมอ

“ปี 3 แล้วครับ”

“อีกปีเดียวก็จบแล้วเหรอ ...” ผมพยักหน้ารับ

“… ถามจีนะ ถ้าอยากมาทำงานกับพ่อก็บอกได้ตลอด

“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับรอยยิ้ม อดดีใจแทนเจ้าตัวไม่ได้

“เสียดายที่ไม่ได้มา New York ด้วยกัน” พ่อจบบทสนทนาด้วยประโยคลอยๆ หลังจากนั้นประเด็นเรื่องการกลับมาช่วยงานหลังเรียนจบของผมก็ไม่ถูกพูดถึงอีกเลยตลอดช่วงเวลาที่ผมพักอยู่ที่ New York







“มึงตอบตัวเองได้ยัง” ผมยืนเผชิญหน้ากับไอซ์ มันพูดพลางคีบบุหรี่ในมือขึ้นมาสูบ เหมือนเกิดเดจาวูขึ้นระหว่างผมกับมัน สถานการณ์เดิม บทสนทนาเรื่องเดิม ต่างกันแค่ช่วงเวลา

“ได้แล้ว ... กูรักมัน” ผมบอกไอซ์ไปตามตรง มันหรี่ตามองผม ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาลูกใหญ่

“ในที่สุดก็รู้ใจตัวเอง แล้วมึงคุยกับมันหรือยัง” ไอซ์ถาม ผมส่ายหน้าให้กับคำถามนั้น

“กูไม่กล้า”

“ถ้าไม่พูด แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าพวกมึงใจตรงกันหรือเปล่า กูว่าไอ้จีก็มีใจให้มึง ไม่มากก็น้อย ...”

“... ตั้งแต่มึงกลับมาก็ตัวติดกันตลอดเลยไม่ใช่เหรอ ...” ผมพยักหน้ารับ หลังจากเปิดมือถือได้ไม่ถึง 10 นาที สายแรกที่โทรเข้ามาก็คือของจี วันรุ่งขึ้นจีมาหาผมที่คอนโด มาช่วยลื้อกระเป๋า จัดของ มันมานอนค้างกับผมได้ 2 คืนแล้ว และคืนนี้ก็คงนอนค้างอีกคืน ก่อนที่จะกลับไปนอนบ้านตัวเองในวันถัดไปเพราะวันมะรืนมีงานรับน้องของมหาลัย

“... เล่ามาดิว่าเกิดอะไรบ้าง”

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไอซ์ฟัง ทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึกถูกร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องเล่า ราวกับนิทานก่อนนอน

“ตกลงว่ามันมานานค้างกับมึงทุกสุดสัปดาห์”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้” พอเริ่มคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ รู้ตัวอีกทีจีก็มานอนค้างกับผมทุกวันศุกร์และเสาร์ ก่อนที่จะกลับไปนอนบ้านตัวเองวันอาทิตย์ จนสุดท้ายการเห็นจีเดินไปเดินมาในบ้านก็เป็นกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับ housemate ทุกคน

“แล้วเรื่องกอด ทุกคืนเลยเหรอ ...” แม้จะรู้สึกเขินอายแต่ผมก็พยักหน้ารับ

“... แล้วตอนตื่นละ”

“บ้าง แต่ก็จะออกแนวเล่นๆ ซะมากกว่า”

“มันเคยพูดเรื่องนี้กับมึงบ้างไหม” ไอซ์ถามพลางทำสีหน้าครุ่นคิด

“ไม่เคยเลย วันแรกที่นอนกอดกัน กูก็คิดว่าตอนเช้ามันจะพูดอะไรบ้าง แต่ก็เปล่า”

“มีอะไรมากกว่ากอดไหม” ไอซ์ถามคำถามชวนใจเต้นได้เรียบง่ายราวกับเราคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศ ระหว่างรอคำตอบ เจ้าตัวสูดนิโคตินเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่

“ไม่มี มากสุดก็ปล่อยมุกทะลึ่งใส่ แต่ตอนนั้นคือเมากันทั้งคู่” พอคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ lubricant หัวใจผมก็เต้นโครมครามอย่างประหลาด

“แปลกนะ จีมันไม่ใช้พวกทำอะไรไม่คิด นอนกอดกันทุกคืนเป็นไปได้เหรอวะ ว่ามันจะไม่ตั้งใจ” ไอซ์ทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก

“กูไม่รู้ มันไม่พูดกูก็ไม่กล้าถาม” ผมตอบเสียงแผ่ว

“พอกลับมา มันยังนอนกอดมึงอยู่ไหม”

“ก็กอดนะ” เมื่อคืนก็กอด คืนก่อนหน้านั้นก็กอด แต่พอตื่นเช้ามามันก็ทำเหมือนไม่มีอะไร

“อืมมมม ... กูเพิ่งสังเกตว่าบางครั้งมึงกับมันพูดภาษาอังกฤษกัน”

“อืม มันบอกว่าไม่อยากให้ลืมสิ่งที่ไปเรียนมา”

“เหรอ? แน่ใจนะว่าไม่ใช้ secret language ของมึง 2 คน...” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของไอซ์ ... secret language เหรอ ... ก็ดีเหมือนกันนะ ... แล้วรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย

“... ตอนนี้มึงรู้สึกยังไง”

“เอาจริงนะ เหมือนคน in love โลกสีชมพู แค่เห็นหน้ามันหัวใจกูก็เต้นรัว ตอนนี้กูไม่กล้าสบตามันด้วยซ้ำ” พูดไปก็เขิน

“โคตรคลั่งรัก” ไอซ์ยิ้ม

“Summer ที่ผ่านมาเหมือนฝัน”

“ถ้าอยากให้เป็นมากกว่าความฝัน มึงต้องคุยกับมันนะ” คำพูดของไอซ์ทำรอยยิ้มของผมค่อยๆ จางหายไป

“กูกลัว”

“กูรู้ว่ามึงกลัว แต่เรื่องแบบนี้มันต้องเสี่ยงหรือเปล่าวะ”

“แล้วถ้ามันไม่ได้คิดเหมือนกู หรือถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ work ละ กูไม่อยากจะเสียมันไป” ผมใคร่ครวญมาตลอดช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ แต่ก็ไม่สามารถจะเค้นความกล้าเพื่อบอกชอบจีได้ แน่นอนว่าพอได้จินตนาการว่าอีกฝ่ายตอบรับ หัวใจผมก็ฟองโตเหมือนจะลอยไปได้ไกลแสนไกล แต่พอคิดว่าหากถูกปฏิเสธ หรือสุดท้ายแล้วเราไปได้กันไม่รอด ความกังวลก็ก่อตัวขึ้นมหาศาล เพราะจุดจบของความรักระหว่างเพื่อนทั้ง 3 ครั้งของผมดูจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก

“ไอ้จีไม่มีวันรังเกียจมึง ที่ผ่านมามันก็ยอมรับความรู้สึกทุกอย่างของมึงได้ไม่ใช้เหรอ มึงมีแฟนคนแรกทั้งที่มันก็เตือนแล้วเตือนอีก แต่พอมึงเสียใจมันไม่แม้แต่จะว่ามึงซักคำ”

“แต่นี้ไม่เหมือนกันนะเว้ย ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวมัน ... กูกลัว กลัวทุกอย่าง กลัวว่าจะเสียมันไป”

“กูรู้ว่ามึงใช้ความกล้ามากแค่ไหนกว่าจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้ แต่มันจะต้องใช้ความกล้ามากกว่านั้นอีกหลายเท่าที่จะพูดความจริงกันมัน”

“เป็นมึง มึงจะบอกไหม” ผมถาม

“บอก เพราะถ้าบอกกูยังมีโอกาส แต่ถ้าไม่บอกโอกาสคือศูนย์” คำตอบของไอซ์ทำผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“กูไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไง”

“มึงต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ...”

“... ใช้เวลาเท่าที่มึงต้องการ ชั่งน้ำหนักกับความรู้สึกของตัวเอง และเหมือนเดิม คือมึงต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง” พูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้ซ้ำ


...


งานรับน้อง 3 วัน 2 คืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกใจหายเพราะเหมือนเพิ่งผ่านการเป็นน้องใหม่มาเมื่อวาน เผลอแป๊บเดียวผ่านไปแล้ว 1 ปี

“มิลค์ มึงจะไปกินเลี้ยงกับพวกมันไหม” จีถามในขณะที่ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋า

“ไม่ค่อยอยากไปอะ พรุ่งนี้กูเปิดเทอมแล้ว อยากกลับไปพักมากกว่า” ผมตอบปฏิเสธทั้งที่ในใจอยากไปกินข้าวกับจี แต่ผมไม่สนิทกับเพื่อนคนอื่นๆ เหมือนจี ถ้าไปด้วยคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ... แต่อีกใจก็รู้สึกลังเล ข้างในมันรู้สึกหวิวๆ ยังไงชอบกล พอคิดได้ว่าเมื่อเปิดเทอมแล้วเรา 2 คนต่างก็ต้องห่างกันอีกครั้ง อยากเก็บเกี่ยวทุกวินาทีที่เรา 2 คนมีด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไปเถอะ เปิดเทอมแล้วคงวุ่นๆ ไม่ได้มีเวลามานั่งกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ... นะ ไปด้วยกัน ...” เจอลูกอ้อนของจีเข้าไป แล้วผมจะปฏิเสธยังไงไหว เลยได้แต่พยักหน้าตอบตกลง

“โอเค เดียวกูไปบอกคนอื่นว่ามึงไปด้วย เก็บของเสร็จแล้วตามไปที่ใต้ตึกนะ” พูดจบ มันก็เดินตัวปลิวออกจากห้อง

“เฮ่อออออออ!!!” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่อยากห่างกับจีเลย คิดๆ ดู ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผมกับมันตัวติดกันตลอด ตั้งแต่วันแรกที่สอบเสร็จจนกระทั้งวันนี้ ... ถ้าได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็คงจะดีไม่น้อย

ผมเดินตามจีออกมาด้านนอก เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจอแจ ทุกคนกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน ผมเดินผ่าฝูงคนออกด้านนอก ส่งยิ้มและทักทายกับเพื่อนคนอื่นๆ เป็นระยะ แต่อยู่ๆ ขาทั้ง 2 ข้างกลับแข็งทื่อ นิ้วมือเรียวสวยกำหูหิ้วกระเป๋าแน่นอย่างลืมตัว เหมือนพายุหมุนลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในอก ... รุ่นพี่ผู้ชายคณะวิทยากำลังนั่งตักจีอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ แขนทั้ง 2 ข้างของเพื่อนสนิทพาดอยู่บนเอวของพี่คนนั้นอย่างสนิทสนม

“กูจะกลับบ้าน” รู้ตัวอีกที ผมก็ยืนประจัญหน้ากับมัน ... น้ำเสียงเรียบไร้อารมณ์แต่กลับทำให้ทุกคนรอบข้างนิ่งสนิท บรรยากาศสนุกสนานถูกพัดหายไปจากสายลม แม้จะเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่มิลค์ก็ยิ้มแย้มและสุภาพกับทุกคน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเห็นมิลค์แสดงอารมณ์ขุ่นๆ ออกมา ... ทุกสายตาจับจ้องมายังคน 3 คน บรรยากาศกดดันคาดคั้นจนรุ่นพี่ต้องลุกออกจากตักของจี ... พอตั้งสติได้ผมที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป

“ขอโทษครับ” ผมกล่าวขอโทษรุ่นพี่ที่ทำกิริยาไม่สุภาพใส่ จากนั้นเลยตัดสินใจหันหลังเดินออกมา

“มิลค์!!!...” เสียงของจีดังไล่หลัง ในขณะที่ผมสาวเท้าก้าวยาวๆ

“... มิลค์ หยุดก่อน ... มิลค์!!!” มือหนาคว้าข้อมือผมไว้ ผมหันกลับไปตามแรงฉุดรั้ง แต่พอช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเพื่อนสนิท ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นกว่าเดิม

“ทำไม!!!” ผมกระชากเสียง ตอบกลับคนตรงหน้า

“เป็นไรวะ ไหนว่าจะไปกินข้าวกันไง”

“ไม่ไป ไม่กิน จะกลับบ้าน” ผมตอบเสียงเข้ม

“ไปกินข้าวกันก่อน แล้วกลับไปเอาของบ้านกู เดียวกูขับรถไปส่งที่คอนโด” คนตรงหน้าพยายามใช้น้ำเย็นเข้าสู้ ... ผมกลืนน้ำลายลงคอ ลืมไปได้ยังไงว่าของใช้ส่วนตัวอยู่บ้านจีทั้งกระเป๋า เพราะไปนอนค้างกับจีตลอดช่วงงานรับน้อง ... แต่จะให้กลับพร้อมกันก็เสียฟอร์มหมดดิวะ

“ไม่เอา จะกลับตอนนี้” ที่ดึงดันอยู่นี่ ไม่มีอะไรหรอก ... ego ของตัวเองล้วน ๆ ที่ตอนนี้น่าจะสูงกว่าตึกใบหยกแล้วมั้ง

“อย่าดื้อดิวะ”

“ไม่ได้ดื้อ จะกลับ ปล่อย!!!” ผมดึงข้อมือกลับแต่มันก็รั้งไว้ไม่ยอมปล่อย

“อย่าดื้อ ไม่พอใจอะไรก็พูด ไม่ใช้มาทำนิสัยแบบนี้” จีเริ่มตอบกลับเสียงเข้ม

“ไม่ได้ทำอะไรเลย กูแค่จะกลับ เชิญมึงไปกินกับพี่มึงเถอะ”

“มิลค์!!! อย่าประชด ไม่พอใจอะไรก็พูดดีๆ ...” เสียงเข้มๆ กับท่าทางหงุดหงิดถูกแทนที่ด้วยความนิ่งสนิท ผมเสียวสันหลังวาบเพราะ the winter is coming

“... ไหน บอกก็ซิว่าไม่พอใจเรื่องอะไร...”

ผมเลือกที่จะเงียบ เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่กล้าบอกความจริงกับจี

“... มองหน้ากูซิ ... Milk, dear, look at me, please...” น้ำเสียงของจีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด พอเจอประโยคนี้เข้าไป ผมที่ยังก้มหน้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากช้อนสายตาขึ้นมา ... มันยิ้ม ยิ้มทำไมวะ

“... กูไม่ได้ตั้งใจให้คนอื่นนั่งตักเปล่าวะ เขามานั่งของเขาเองแล้วก็เป็นรุ่นพี่ กูเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ...”

“... ถ้ามึงไม่พอใจมื้อเย็นนั่งตักกูตลอดเลยก็ได้นะ” ตอนแรกผมคิดว่ามันล้อเล่น แต่มองจากสีหน้าและสายตาแล้วคิดว่าจีไม่ได้พูดเพราะอารมณ์ชั่ววูปแน่ๆ

“ไอ้บ้า ใครจะนั่งตักมึง” ผมด่ามันเพื่อกลบเกลื่อน

“หายโกรธแล้วใช่ไหม ...” ผมพยักหน้า ... เกียจตัวเองฉิบหาย อิห่ามิลค์ มึงนี่โคตรใจง่าย

“... งั้นไปกินข้าวกันนะ กูอยากใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของ summer นี้กับมึง” มือหนากุมมือผมไว้แล้วออกแรงฉุดรั้งให้เดินย้อนกลับไปทางเดิม

สายตาของผมจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามากมาย ตลอดช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาทำให้ผมกับจีผูกพันกันมากขึ้นไปอีกขั้น ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องราวของเราจะเป็นอย่างไร เลยได้แค่ภาวนาอยู่ในใจ ขอให้สุดท้ายแล้วเรา 2 คนใจตรงกัน

ช่วงเวลาวันสุดท้ายของ Trip summer ปี 1 จบลงด้วยการที่จีขับรถมาส่งผมที่คอนโด จากนั้นเรา 2 คนนั่งคุยกันในรถจนดึก ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง


‘เธอกับฉัน เราเป็นอะไรช่วยบอกฉันที
อยากรู้สายตาที่เธอมีให้กัน
มันหมายความว่าอะไร
เป็นแค่เพียงอารมณ์อ่อนไหวที่คงหายไป
หรือซ่อนความรักที่มีเอาไว้
เธอคิดยังไงกับฉัน ช่วยบอกฉันที’

                                                                                                       หมายความว่าอะไร, Mean, 2017

----------


#US #ปลายฝัน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 02-09-2025 12:15:08
“เป็นมึง มึงจะบอกไหม” ผมถาม

“บอก เพราะถ้าบอกกูยังมีโอกาส แต่ถ้าไม่บอกโอกาสคือศูนย์” คำตอบของไอซ์ทำผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“กูไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไง”

“มึงต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ...”

“... ใช้เวลาเท่าที่มึงต้องการ ชั่งน้ำหนักกับความรู้สึกของตัวเอง และเหมือนเดิม คือมึงต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง” พูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้ซ้ำ


----------


#ปมในใจ #ปลายฝัน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 04-09-2025 16:20:49
“ … You take after your mom and same nose as your dad. You must me the son”

“You are right. Let me introduce, Milk, my son.” ผมยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือทักทายกับอีกฝ่ายที่ยื่นมาตรงหน้า

“Of course, you are, the next line to the throne hahaha. Nice to meet you.”

“Nice to meet you too.” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม

ตลอดช่วงหัวค่ำของวัน ผมส่งยิ้ม หัวเราะ และพูดคุยสนทนาเรื่องจิปาฐะกับแขกระดับ VIP ที่บินลัดฟ้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนมาร่วมกันที่นี้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือเสาะหาโอกาสทางธุรกิจ ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการทุมเทเงินทองมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงระดับนี้จะช่วยให้การเจรจาธุรกิจราบรื่นได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือทุกคนต่างพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป บทสนทนาวนเวียนอยู่กับเรื่องครอบครัว งานอดิเรก หรือไม่ก็เรื่องเก่าๆสมัยวันวาน


----------


#Duty #The inevitable fate #ปลายฝัน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 06-09-2025 11:35:11
Teaser ตอนที่ 22

“กูไม่เห็นเพื่อนมึงซักพักแล้วนะ ยุ่งเหรอวะ”

“ก็ดูจะยุ่งๆ อยู่นะ หายไปเลยเหมือนกัน” ตั้งแต่เปิดเทอมจีก็หายไปเลย ผมเองก็ยุ่งกับการเรียนรู้ตัวอีกทีไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว

“พวกแกไม่ได้คุยกันทุกวันเหรอ” แก้วเอ่ยถาม

“เป็นช่วงๆ มากกว่า บางช่วงก็คุยกันบ่อย บางช่วงก็เงียบๆ ไป” พูดแล้วก็คิดถึงช่วง summer ชะมัด เจอหน้ากันทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น บางวันเจอหน้ากันยันหลับตานอน ตอนเช้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอกันอีก ยอมรับว่าหลังจากกลับมารู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ที่ต้องห่างจากจี แม้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้จะไม่ได้แตกต่างจากช่วงเปิดเทอมก่อนๆ มากนักก็ตาม

“ถามจริง ไป summer ด้วยกัน 2 เดือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เหรอวะ” ต่อเป็นตัวแทนหมู่บ้านถาม ทุกคนดูสนอกสนใจกับความสัมพันธ์ของผมกับจีซะเหลือเกิน กับเรื่องเรียนไม่เห็นจะอยากรู้ขนาดนี้ จำได้ว่าตอนบอกพวกมันว่าปิดเทอมใหญ่จะไป summer กับจี ผมก็ถูกพวกมันล้อไปพักใหญ่

“พวกแกดูละครเยอะไปหรือเปล่า” ผมพูดพลางหยิบเอาเอกสารขึ้นมาเตรียม lecture หวังลึกๆ อยู่ในใจว่าพวกมันจะหยุดถามแล้วเตรียมตัวเรียน ไม่ใช้ครั้งแรกที่ถูกพวกมันถาม และทุกครั้งผมก็ตอบเหมือนเดิม

“ไหนเอารูปตอนไปเที่ยวมาให้พวกกูดูซิ” ไอ้ต้นยังไม่ยอมหยุด

“ไม่ได้เอามา เอาลง PC ไปหมดแล้ว” ผมรีบตัดบท เพราะพวกมันรู้ว่าปกจิผมจะพกกล้อง digital มาถ่าย lab ทุกวัน

“ปากบอกไม่มีอะไร แต่ไม่ยอมเอารูปมาให้พวกกูดูซักที แก้ตัวให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอ้ต้นกัดฟันพูดแล้วยอมจบบทสนทนาเมื่อเห็นว่าอาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ... ใครจะกล้าให้พวกมันดู อิงแอบแนบชิดกันเกือบทุกรูป ไม่กอดคอกันก็โอบไหล


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือขึ้นปี 2 แล้ว

#เปิดเทอม #ปี 2 #ตอนที่ 22
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน




หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 22
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 07-09-2025 09:55:30
ตอนที่ 22 : Rare Item

ตั้งแต่ขึ้นปี 2 ชีวิตก็บันเทิงเริงลมต่างจากปี 1 ลิบลับ พอเห็นตารางสอนแล้วถึงเข้าใจว่าทำไมรุ่นพี่ถึงบอกว่าอยากทำอะไรให้รีบทำตั้งแต่ปี 1 ไม่ว่าจะเป็นลงเรียนวิชาเลือก ไปจนถึงการหาแฟนนอกคณะ เพราะตารางเรียนของผมถูกอัดแน่นไปด้วยวิชา lecture และ lab ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ 8.00 - 16.00 เต็มเวลาราชการ และจะแน่นแบบนี้ไปอีกหลายปี

“พวกมึงไปกินข้าวในสยามกันไหม” ไอ้ต่อถามเมื่อเราทั้ง 4 คนเดินสมองไหลออกมาจากห้อง lecture

“กินบ้ากินบออะไร ดูเวลาด้วย 12.15 แล้ว” แก้วตอบไอ้ต่อเสียงเข้ม ดูจากเวลาที่เหลืออยู่แล้ว เรา 4 คนเลยจำใจเดินไปหาอะไรรองท้องที่ร้านค้าหน้าคณะ พวกเรามีเวลาพักแค่ชั่วโมงเดียวและไม่ว่าคาบก่อนหน้าจะปล่อยกี่โมง คาบบ่ายก็จะเริ่มตอน 13.00 ตรงเวลาเสมอ

“แกกินได้ไหมวะ” แก้วถาม

“ได้” ผมพูดพลางกัดแซนวิชสำเร็จรูปเข้าปากแล้วตามด้วย mocha เย็นเพื่อเพิ่มระดับ caffeine ในกระแสเลือด ที่คณะไม่มีโรงอาหาร เด็กสัตวแพทย์ส่วนมากเลยมักจะไปฝากท้องกับโรงอาหารของคณะข้างเคียงทำให้เวลาเที่ยงๆ แบบนี้คนในโรงอาหารจะเยอะราวกับมีจลาจล แต่ถึงอย่างนั้นอาหารที่โรงอาหารก็ไม่ได้ถูกปากผมมากนัก ร้านอาหารที่ผมกินได้มีอยู่ไม่กี่ร้าน หนึ่งในนั้นคือร้านอาหารอีสานที่คิวมักจะยาวไปถึงดาวอังคาร

“เย็นนี้เปิดตัวน้องรหัส พวกแกซื้อของ take น้องหรือยัง” ไอ้ต้นถามเมื่อพวกเรากินเสร็จเรียบร้อยและกำลังเตรียมตัวเดินกลับไปตึกเรียน

“ยังเลยวะ ใครจะไปมีเวลาซื้อ เมื่อวานกว่าจะเลิกเรียน ทำรายงาน lab เสร็จ กลับถึงบ้านก็หมดแรงพอดี” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำบ่นของไอ้ต่อ

“งั้นเลิกเรียนแล้วออกไปซื้อของ take ที่สยามกันไหม กว่าจะเฉลยสายรหัสก็น่าเกือบ 5 โมง” ผมเสนอความคิด ไม่ใช้เฉพาะกลุ่มเราเท่านั้นที่ยังไม่ได้เตรียม เพื่อนคนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้เตรียมตัวเหมือนกัน

“ตื่นเต้นไหม แกยังไม่เคยเจอน้องปีหนึ่งเลยนิ” แก้วถามผม

“ไม่รู้วะ” จะว่าตื่นเต้นก็ไม่เชิง

ผมกลับมาจาก summer ใกล้กับวันเปิดเทอมมาก เลยเป็นแค่คนเดียวในรุ่นที่ไม่ได้ไปร่วมค่ายรับน้องของคณะ ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับสายรหัสมากนัก สายรหัสของผมไม่เหมือนกับของคนอื่นเพราะพี่ๆ หลายคนลาออกไปเรียนคณะอื่นทำให้สายรหัสขาดช่วง ปีที่แล้วนอกจากวันเปิดตัวสายรหัสแล้วผมกับพี่รหัสก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ร่วมกันอีกเลย

“กูไปบนมาว่าขอได้น้องรหัสหล่อๆ” แก้วพูดติดตลก

“แรดนัก” ไอ้ต้นแซว

“อย่าบอกนะว่าแกไม่อยากได้น้องรหัสสวยๆ”

“อยากได้ซิวะ 6 ปีรั้วมหาลัย กูก็หวังจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาซักที” พูดจบพวกมัน 2 คนก็หัวเราะกันสนุกสนาน

“ไอ้มิลค์แล้วมึงละ ลุ้นกับเขาไหม” ไอ้ต้นหันกลับมาถามผม

“เฉยๆ”

“ใช่ซิ!!! ใครจะไปดีเลิศเท่าแฟนมึง...” พอผมไม่เล่นตามน้ำไปกับมัน ไอ้ต้นก็หันมาแว้งกัดทันที งูพิษชัดๆ

“... แซวแค่นี้มาทำเป็นมองตาขวาง”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช้แฟน”

“จร้า เช้าถึงเย็นถึงขนาดนี้ เพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิท” พวกมัน 3 คนแซวผมเรื่องของจีทุกครั้งที่มีโอกาส

“กูไม่เห็นเพื่อนมึงซักพักแล้วนะ ยุ่งเหรอวะ”

“ก็ดูจะยุ่งๆ อยู่นะ หายไปเลยเหมือนกัน” ตั้งแต่เปิดเทอมจีก็หายไปเลย ผมเองก็ยุ่งกับการเรียนรู้ตัวอีกทีไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว

“พวกแกไม่ได้คุยกันทุกวันเหรอ” แก้วเอ่ยถาม

“เป็นช่วงๆ มากกว่า บางช่วงก็คุยกันบ่อย บางช่วงก็เงียบๆ ไป” พูดแล้วก็คิดถึงช่วง summer ชะมัด เจอหน้ากันทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น บางวันเจอหน้ากันยันหลับตานอน ตอนเช้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอกันอีก ยอมรับว่าหลังจากกลับมารู้สึกไม่ชินเท่าไหร่ที่ต้องห่างจากจี แม้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้จะไม่ได้แตกต่างจากช่วงเปิดเทอมก่อนๆ มากนักก็ตาม

“ถามจริง ไป summer ด้วยกัน 2 เดือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เหรอวะ” ต่อเป็นตัวแทนหมู่บ้านถาม ทุกคนดูสนอกสนใจกับความสัมพันธ์ของผมกับจีซะเหลือเกิน กับเรื่องเรียนไม่เห็นจะอยากรู้ขนาดนี้ จำได้ว่าตอนบอกพวกมันว่าปิดเทอมใหญ่จะไป summer กับจี ผมก็ถูกพวกมันล้อไปพักใหญ่

“พวกแกดูละครเยอะไปหรือเปล่า” ผมพูดพลางหยิบเอาเอกสารขึ้นมาเตรียม lecture หวังลึกๆ อยู่ในใจว่าพวกมันจะหยุดถามแล้วเตรียมตัวเรียน ไม่ใช้ครั้งแรกที่ถูกพวกมันถาม และทุกครั้งผมก็ตอบเหมือนเดิม

“ไหนเอารูปตอนไปเที่ยวมาให้พวกกูดูซิ” ไอ้ต้นยังไม่ยอมหยุด

“ไม่ได้เอามา เอาลง PC ไปหมดแล้ว” ผมรีบตัดบท เพราะพวกมันรู้ว่าปกจิผมจะพกกล้อง digital มาถ่าย lab ทุกวัน

“ปากบอกไม่มีอะไร แต่ไม่ยอมเอารูปมาให้พวกกูดูซักที แก้ตัวให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอ้ต้นกัดฟันพูดแล้วยอมจบบทสนทนาเมื่อเห็นว่าอาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ... ใครจะกล้าให้พวกมันดู อิงแอบแนบชิดกันเกือบทุกรูป ไม่กอดคอกันก็โอบไหล


เสียงกลองสันทนาการดังกระหึ่มออกมาจากห้องกิจกรรม ผมพร้อมเพื่อนๆ ยืนรออยู่ด้านนอกเพื่อรอเวลาเปิดตัวสายรหัส เสียงพูดคุยดังลั่นโถง ไม่น้อยหน้าเสียงกลอง ในมือของทุกคนต่างมีถุงขนมมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป

“น้องๆ ปี 2 ตั้งแถวได้แล้วครับ ถึงเวลาเปิดตัวสายรหัสแล้วครับ” เมื่อถึงเวลา พี่นิสิตสัมพันธ์ปี 3 ก็เปิดประตูออกมา

ในห้องกิจกรรม น้องปี 1 นั่งขัดสมาธิเรียงเป็นแถวอยู่กลางห้อง วงถัดมาคือปี 2 และวงนอกสุดคือปี 3 ด้วยความที่คนเยอะมาก ทำให้อุณหภูมิในห้องร้อนขึ้นกว่าเดิม จนพี่ปี 3 บางส่วนต้องออกจากห้องเพื่อลดความแออัด แต่ถึงอย่างนั้นคนขี้ร้อนอย่างผมก็ยังมีเหงื่อซึมตามไรผม การเปิดสายรหัสไม่มีอะไรมาก MC จะเรียกเลขสายรหัสให้พี่ และน้องรหัสแสดงตัวเรียงลำดับจากสายแรกไปจนถึงสายสุดท้าย จากนั้นจะมีเวลาประมาณ 5 นาทีให้ให้ทุกคนได้พูดคุยแนะนำตัว ใครที่ตลกก็มักจะอาศัยโอกาสนี้สร้างเสียหัวเราะและเปิดตัวอย่างอลังการ แต่สำหรับคนขี้อายและไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองแบบผมแล้ว การต้องถูกคนที่ไม่รู้จักนับร้อยจ้องเป็นสายตาเดียวกัน แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาทีแต่ก็สร้างความอึดอัดให้ได้ไม่น้อย

หัวใจของผมเต้นรัวเมื่อสายรหัสก่อนหน้าแนะนำตัวเสร็จ

“คนถัดไป ถ้าน้องคนไหนได้พี่เขาเป็นพี่รหัสนี่ถือว่ามีแต้มบุญสูงมากนะครับ...” เมื่อถึงคิวของผม MC ก็เอ่ยปากแซว

“... ไม่เคยเห็นหน้าพี่เขาใช่ไหมละ นี่เลยครับ rare item ของคณะเรา ตอนค่ายรับน้องพี่เขายังไม่กลับจาก honey moon 555 ไม่ใช้ๆ พี่พูดผิด ยังไม่กลับจาก summer trip ครับ” ผมอมยิ้ม สงสัยว่าเรื่องที่ผมไปเรียน summer กับจีจะรู้กันทั้งคณะแล้วจริงๆ ไม่ต้องเดาแหล่งที่มาเลย พี่กวินแน่ๆ ตาม concept พี่กวินรู้ โลกรู้

“สวัสดีครับ พี่ชื่อมิลค์ ติณสิงห์ สิงหนาฏ ครับ รหัส 64” เสียงซุบซิบดังขึ้นเมื่อผมแนะนำตัว นึกไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมยิ้มให้กับแววตานับร้อยที่มองมาเป็นสายตาเดียวกัน

“น้องคนไหนรหัส 64 ยกมือขึ้นหน่อยครับ” แล้วทุกสายตาก็จับจ้องไปยังน้องผู้ชายตัวเล็กๆ ใส่เสื้อนิสิตแขนสั่นตัวโคร่งๆ ที่ยกมือขึ้นสุดแขน

“สวัสดีครับผมชื่อ เพชร ชื่อจริงพัชระ นามสกุลกระจ่างดี”

หลังจากแนะนำตัวครบทุกสายรหัสพี่ปี 3 ก็เปิดโอกาสให้พี่รหัสน้องรหัสได้ทำความรู้จักกันประมาณ 5 นาที ผมรู้สึกประหม่าเมื่อต้องเดินผ่านสายตาหลายคู่เพื่อไปหาน้องรหัสที่นั่งอยู่กลางวง ... เพชรมองพี่รหัสเดินข้ามห้องมาหา พี่มิลค์สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขนเสื้อถึงข้อศอก กางเกงสแล็ค และรองเท้าหนังสีดำ จะมีซักกี่คนที่แต่งชุดนิสิตถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่กลับดูดีได้ราว elf ในภาพยนตร์เรื่อง The lord of the ring โครงหน้าสวย กิริยาท่าทางทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัว แค่เดินผ่านก็รู้แล้วว่ามาจากครอบครัวที่มีชาติตระกูลดี

“สวัสดีครับ” มิลค์กล่าวทักทายน้องรหัสด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้า

“สวัสดีครับพี่มิลค์ ผมเพชรนะครับ” น้องเพชรยกมือไหว ในใจรู้สึกประหม่าเมื่อต้องอยู่ใกล้ๆ กับพี่รหัสที่เหมือนจะมี aura เปล่งประกายตลอดเวลา

“พี่ซื้อขนมมาให้ กินให้อร่อยนะ” ถุงขนมถูกส่งให้น้องรหัส ดวงตาผู้รับเปล่งประกายเมื่อเห็นขนมหน้าตาน่ากินจากหลากหลายยี่ห้ออยู่ด้านใน

“ขอบคุณครับ”

“น้องเพชรพักที่ไหน”

“หอในครับ”

“บ้านอยู่แถวไหนเหรอ”

“ผมมาจากชุมพรครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ากรุงเทพ”

“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะครับ พี่ขอเบอร์น้องเพชรหน่อย” รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพี่รหัส ... จังหวะที่เจ้าตัวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาน้องรหัสถึงได้สังเกตเห็นกำไลและแหวนสีเงินเข้าชุดกัน

“086 xxx xxxx ครับ” นิ้วมือเรียวสวยกดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของรุ่นน้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะโทรไป missed call

“อันนี้เบอร์พี่นะ เดียวจบห้องเชียร์แล้วนัดกินข้าวกัน ...” ไม่นานเบอร์สวยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอมือถือของน้องรหัส

“... มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามเพราะรู้สึกได้ว่าน้องเพชรดูแปลกๆ ตั้งแต่เริ่มพูดคุย

“พี่เป็น hiso เหรอครับ” ผมระบายยิ้มบางๆ ให้กับคำถามของน้องเพชร

“พี่เป็นนิสิตปี 2 คณะสัตวแพทยศาสตร์ครับ”

“มีแต่คนบอกผมว่าพี่เป็น hiso ... ผมเป็นแค่เด็กทุนบ้านๆ มาจากต่างจังหวัด” อ่า!!! กังวลเรื่องนี้อยู่ซินะ

“มหาวิทยาลัยไม่ได้แบ่งแยกว่าเราเป็นใครมาจากไหน ตอนนี้เราเรียนอยู่คณะเดียวกัน สายรหัสเดียวกัน เรื่องอื่นไม่สำคัญหรอกครับ ...”

“... สบายใจขึ้นแล้วเนอะ” น้องเพชรพยักหน้า รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรุ่นน้อง

“พี่ร้อนเหรอครับ เหงื่อออกเยอะเลย” น้องเพชรทักเพราะเห็นหยดเหงื่อเกาะตามไรผมของพี่รหัส

“อืม พี่ขี้ร้อน”

“น้องๆ หมดเวลาแล้วคะ เดียวค่อยคุยกันหลังเลิกกิจกรรมเชียร์นะคะ” เสียงรุ่นพี่พี่ปี 3 ดังขึ้นผ่านลำโพง

“พี่ไปก่อนนะ เอาไว้ค่อยคุยกัน”

“สวัสดีครับพี่” ผมยกมือรับไหว้น้องเพชรก่อนจะลุกออกจากห้อง


“น้องแกดูนิสัยดีนะ” แก้วพูดในขณะที่เรา 2 คนเบียดเสียดลงจากอาคารกำลังเดินลงจากอาคาร โถงบันไดคราครำไปด้วยเพื่อนๆ ที่กำลังเดินเบียดเสียดกัน ยิ่งทำให้อากาศอบอ้าวขึ้นไปอีก

“น้องมาจากชุมพร ... มากรุงเทพเป็นครั้งแรก” ก้าวแต่ละก้าวหนักอึ้งราวกับมีใครเอาตุ้มน้ำหนักมาถ่วงไว้ หัวใจเต้นระรัว ผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้า เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มซึมตามไรผม

“แกไหวไหมเนี่ย หน้าซีดมากเลย” เพื่อนสนิททักเมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มซีดขาวของผม

“ร้อน ...” ผมพึมพำเสียงแผ่ว

“อิมิลค์!!!” เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงโหวกเหวกโวยวายของแก้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิทไป


ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ใช้เวลาซักพักกว่าจะรับรู้ได้ว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องพยาบาล

“มึงเป็นไงบ้าง” ได้ยินเสียงถึงได้รู้ว่าไอ้ต่อนั่งอยู่ข้างๆ

“มึนๆ หัววะ” ผมหลับตา มึนหัวจริง

“มึงหน้ามืดไป สงสัยจะเพราะอากาศร้อน” ต่ออธิบาย

“อืม”

“โทรหาจีให้กูหน่อย” ต่อนึกไว้อยู่แล้วว่าพอลืมตาขึ้นมา ไอ้มิลค์ต้องถามหาจีเป็นคนแรก

“ไอ้แก้วโทรให้แล้ว มันกับจีคุยอยู่กับพี่กิจการนิสิต ...” แก้วคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต่อให้ไม่มีอะไรร้ายแรง วันนี้มิลค์ก็ไม่ควรจะขับรถ เจ้าตัวเลยถือวิสาสะใช้โทรศัพท์ของมิลค์โทรหาจี ถึงได้เห็นว่าชื่อของจีใน name list มีตัวอักษรพิเศษบ่งบองสถานะพิเศษของเพื่อนสนิทคนนี้ ‘G (^.^) v’

ยังไม่ทันจบประโยค แก้วก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกันคนอื่นๆ โดยมีจีในชุดนิสิตถูกระเบียบสวมทับด้วยเสื้อช๊อปสีน้ำเงินปักสัญลักษณ์ตรามหาวิทยาลัยไว้ตรงหน้าอกซ้าย เดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย

“... เรียบร้อยไหมมึง”

“เรียบร้อย เดียวกูพามิลค์ไปตรวจสุขภาพก่อนกลับบ้าน” จีตอบพลางเดินมาข้างเตียง

“กลับคอนโด” ผมค้าน อยากกลับคอนโดมากกว่า

“ใครบอกว่าบ้านมึง บ้านกูครับ ...”

“... ป่านี้ม๊าขึ้นเขาหลงซ่านไปเก็บโสมพันปีมาตุ๋นให้มึงแดกแล้วมั้ง” คนข้างๆ พูดติดตลก

“You don’ t have to tell her”

“You are her favorite. She will know anyway. How do you feel?”

“Better...”

“... ไม่ชอบยาจีนเลยขม” พอคิดถึงรสชาดยาจีนแล้วชีวิตก็รู้สึกห่อเหี่ยวชอบกล รู้เลยว่าพอก้าวขาเข้าบ้านของจีแล้วต้องเจอม๊ายืนรออยู่พร้อมกับยาจีนถ้วยใหญ่ แค่คิดก็ขมคอแล้ว

“ไม่ชอบแดก ก็หัดดูแลตัวเอง รู้ว่าทนร้อนไม่ได้ก็ยังไม่ยอมเลี่ยง” มือหนาวางบนหัวของผมอย่างแผ่วเบา

“กูอยากกินผัดหมี่”

“เดียวบอกม๊าให้ ... มึงลุกไหวไหมหรือจะให้อุ้ม” มันถามราวกับว่าเรื่องจะอุ้มผมผ่านสายตาประชาชีคนที่คณะเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“ลุกไหว”

“คลุมนี่ไว้” เสื้อสีน้ำเงินถูกคลุมลงมาบนหัวไหล่ ... เสื้อช๊อปธรรมดาที่เป็นสัญลักษณ์ของเด็กคณะวิศวะแต่พอคลุมอยู่บนไหลของมิลค์ ติฒสิงห์แล้วก็ดูราวกับเสื้อผ้าแบรนด์หรูขึ้นมาทันตา ... แก้วอมยิ้มอยู่ในใจ มิลค์ยังคงไม่รู้ว่าตัวพฤติกรรมของจีโคตรชัดเจน เกินหน้าเกินตาจากคำว่าเพื่อนสนิทไปมาก แสดงความเป็นเจ้าของขนาดนี้ ไอ้มิลค์ยังกล้าพูดว่าเพื่อนกันอีกเหรอ คิดแล้วก็อยากหยุมหัวเรียกสติมันซักรอบ

“กูไปถอยรถมึงมาจอดหน้าคณะให้แล้ว” กุญแจรถ Maserati Granturismo ถูกยื่นมาตรงหน้าแต่ก่อนที่ผมจะยื่นมือไปคว้าไว้ จีก็รับกุญแจรถไปจากมือของไอ้ต้น

กว่าจะทุลักทุเลลงเดินไปถึงรถก็ใช้เวลาหลายนาที รุ่นพี่ปี 3 บางคนเดินเข้ามาถามอาการ บางคนพอเห็นว่าผมไม่มีอาการน่าเป็นห่วงก็เอ่ยปากแซว แต่คนที่ดูจะได้รับความสนใจไม่น้อยไปกว่าผมก็คือเพื่อนสนิทต่างคณะ ในขณะที่ผมรู้สึกอึดอัดเวลาที่คนข้างตัวตกเป็นเป้าสายตา แต่เจ้าตัวเองดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร จีทำสีหน้าเรียบเฉย มีส่งยิ้มน้อยๆ เป็นมารยาท มือข้างหนึ่งของจีถือกระเป๋าเรียนของผมในขณะที่มืออีกข้างคอยประคองผมไม่ห่าง

“ขอบใจพวกมึงมาก ... เจอกันพรุ่งนี้” ผมเอ่ยปากของคุณเพื่อนทั้ง 3 คนจากในรถ

“ถ้าไม่ไหวก็พัก”

“ไม่อยากหยุด พรุ่งนี้มีเรียน lab ด้วย” วิชา lecture ยังพอขอนั่งฟังเสียงย้อนหลังหรือขอพวกมันลอกได้แต่ถ้าเป็น lab นี่ขาดแล้วขาดเลยต้องไปตามเอาสัปดาห์หน้า

“เออๆ เอาที่ไหว พักผ่อนเยอะๆ”

มิลค์พยักหน้ารับ ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเคลื่อนออกจากคณะ โดยมีเพื่อนสนิทรับหน้าที่สารถีจำเป็น

“ไหนบอกไม่ใช้แฟนกัน” ต้นพูดเมื่อเห็นรถของเพื่อนเลี้ยวออกนอกประตูคณะไป

“นั้นนะซิ ผัวเมียชัดๆ”

“คนนึงก็ออดอ้อน คนนึงก็ช่างเอาอกเอาใจ ... เมื่อไหร่จะได้กันซักที จะได้จบๆ ไป” ภาพกระหนุงกระหนิงยังติดตาของทั้ง 3 คน ทั้งคำพูด การกระทำ และน้ำเสียง เริ่มแรกที่รู้จักกัน ทั้ง 3 คนสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของมิลค์กับจีไม่ธรรมดา พอมาตอนนี้ทุกอย่างดูจะเกินเลยจากคำว่าเพื่อนสนิทไปเยอะมากถึงขนาดที่ต่อให้อมวัดทั้งวัดมาพูดก็ยังไม่มีใครไม่เชื่อว่า 2 คนนี้เป็นแค่เพื่อนกัน


...


"จี!!!" ผมลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินริมลานกว้าง โบกไม้โบกมือจนสุดแขน แต่พอโดนไอซ์กับโจที่นั่งอยู่ข้างๆ ดุ ถึงได้รู้ว่าตัวเองเผลอส่งเสียงจนเป็นจุดสนใจของคนรอบข้าง

เวลาประมาณ 5 โมง แสงแดดกำลังรำไร ... หลังจากผ่านสัปดาห์สอบ midterm พวกเราเลยได้โอกาสนัดกินข้าวเย็นกันครบทีม แล้วถ้าอารมณ์ครึ้มๆ อาจจะไปนั่งกินเหล้าชิวๆ กันต่อ

"ว่าไง พวกมึงมารอนานหรือยัง" จีวางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ผม ส่วนไอ้อาร์มนั่งลงฝั่งตรงข้าม

"ไหนว่าพวกมึงเรียนคนละภาค ทำไมมาพร้อมกันได้วะ" ไอ้โจถาม

"บังเอิญเจอกันข้างบน ..." อาร์มตอบ

"...ตกลงจะกินอะไร" อ่าาาาา ปัญหาโลกแตก

"กูอยากกินร้าน Star’ s" ผมชิงเสนอเป็นคนแรก บอกก่อนได้เปรียบ

"มึงไม่เบื่อเหรอวะ ไปกินกับไอ้จีไม่รู้กี่รอบ" ไอ้โจแย้ง

"ไม่!!! กูอยากกินอาหารฝรั้ง"

"อาหารฝรั้งร้านอื่นก็มีไหม ไม่เอา"

"ไม่!!! กูอยากกินสลัดด้วย"

"ไอ้มิลค์ อย่าเอาแต่ใจ กูไม่ใช้ไอ้จีที่จะโอ้มึงเป็นลูก" ไอ้โจมองตาขวาง

"แล้วมึงอยากกินอะไร" ผมถาม

"กูอยากแดกส้มตำ"

“ไม่เอาอะมึงงงงง กูเพิ่งแดกไปเมื่อวันก่อนกับเพื่อนที่คณะ” ผมโวยเพราะเพิ่งไปกินกับพวกไอ้แก้วมาเมื่อวันก่อน หลังจากปรับตัวเรื่องเวลาพักกลางวันอันน้อยนิดได้ ตอนนี้ไม่ว่าจะเหลือเวลาพักอยู่เท่าไหร่พวกเราก็แว๊ปไปกินข้าวทัน ผมเลยได้กินข้าวเหนียว น้ำตกไก่ทอด และปอเปี๊ยะทอดของโปรดเป็นประจำ

“ก็เรื่องของมึง โหวตเลยจะได้จบ” ไอ้เพื่อนตัวดีกวนตีนกลับมา

“เออ!!! โหวตก็โหวต” ผมฮึดฮัดตอบ

“ส้มตำ / Star’ s / Star’ s / ส้มตำ” แล้วเหตุการณ์ชวนอึดอัดก็เกิดขึ้นเมื่อผมและไอซ์โหวต Star’ s ในขณะที่อาร์มกับโจโหวตส้มตำ เพราะฉะนั้นความกดดันทั้งหมดเลยตกอยู่ที่จี

“ให้ไอ้จีโหวต รู้เลยว่าแม่งจะโหวตอะไร” ไอ้โจแขวะจีด้วยน้ำเสียงกวนๆ

“รู้แล้วก็ลุกซิครับ” ไอซ์คว้ากระเป๋า ท่าทางจะโมโหหิว

“ไม่!!! มึงโหวตมาเลยไอ้จี ให้มันรู้กันไปว่ามึงเห็นไอ้มิลค์ดีกว่าพวกกู” ท่าทางมันจะหมดหวังจริงๆ ถึงได้เอาความเป็นเพื่อนมาต่อรอง จริงจังเกินไปไหมวะกับอิแค่เลือกร้าน

“กูโหวต Star’ s” คนข้างๆ ตอบเสียงเรียบ

“เย่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เป็นอีกครั้งที่ผมหลุดตะโกนเสียงดัง

“มึงแม่งงงงง เออ!!! แดกก็แดก” แล้วพวกเราก็เก็บของเตรียมลุกออกจากโต๊ะ

“พวกมึง ... กูปวดฉี่” ผมพูดขึ้นหลังจากที่พวกเราเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว

“ไอ้มิลค์ มึงเรื่องมากวะ” ไอ้โจยังกัดผมไม่เลิก สงสัยจะแค้นจริง

“กูปวดฉี่นี่เรื่องมากตรงไหน พวกมึงรอแป๊บ กูไม่ไหววะ”

“เดียวกูพาไป ... พวกมึงจะไปกันก่อนก็ได้นะ” จีถามคนอื่นๆ

“ไปเป็นไร รอได้ ... ให้เร็วเลยไอ้มิลค์” ไอซ์เป็นฝ่ายตอบ

ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังคนตัวสูงออกไป จีพาผมเดินตัดกลางลานกว้างด้านข้างของคณะที่ปูพื้นด้วยอิฐตัวหนอน ต้นไม้ใหญ่อายุพอๆ กับมหาวิทยาลัยที่ถูกปลูกอยู่รอบๆ แผ่กิ่งก้านร่มเงาปกคลุมเกือบทั้งลาน คณะวิศวะเป็นหนึ่งในคณะลูกรักของมหาวิทยาลัยเพราะนอกจากจะเป็น 1 ใน 4 คณะเก่าแก่ที่สุดของมหาวิทยาลัย และมีจำนวนนิสิตมากที่สุดแล้ว ยังเป็นคณะที่มีศิษย์เก่าเป็นมีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ มากมาย ไม่แปลกที่คณะนี้จะมีสถานที่กว้างขวาง ตึกเรียนใหญ่โต ต่างจากคณะของผมโดยสิ้นเชิง


“เชี่ยยยยยยยย!!! ...” ผมอุทานเสียงดังลั่นลาน เมื่ออยู่ๆ ก็สะดุดกับอิฐตัวหนอนที่เผยอขึ้นมาจากพื้น ทำให้สุดท้ายต้องมานั่งจับกบอยู่บนพื้นท่ามกลางสายตาประชาชีนับร้อย ... โคตรอาย

“... จี เก็บกระเป๋าให้กูหน่อย” จีมองผมตาค้าง มันเหมือนจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะหัวเราะก็เกรงใจ พอผมเรียกเจ้าตัวถึงได้เก็บสีหน้าแล้วเดินไปก้มเก็บกระเป๋าหนังสีดำที่กองอยู่บนพื้น ไม่รู้ล้มท่าไหนกระเป๋าถึงได้ลอยไปไกลขนาดนั้น

“เจ็บไหมมึง” คนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเดินย้อนกลับมา มันเก็บกระเป๋าให้ตามคำขอก่อนจะเดินเข้ามาช่วยพยุงผมขึ้นจากพื้น อายวะแม่ง คนเป็นร้อยจ้องผมเป็นสายตาเดียวกัน

“เจ็บซิวะ ถลอกเลยแม่ง ...” ผมยกฝ่ามือให้คนตรงหน้าดู

“... แต่อายวะ มีแต่คนมองกู” อายจนทำได้แค่มองเพื่อนสนิทที่อยู่ตรงหน้า

“เฮ่อออออ มึงนี่นะ ล้มตรงไหนไม่ล้ม เสือกมาล้มตรงนี้”

“อะไรของมึง” ล้มตรงนี้แล้วมันยังไง คนตรงหน้าไม่ตอบคำถามแค่ยักไหล่แล้วก็หันหลังกลับทางเดิม

ผมเดินฝ่าสายตาประชาชีมาจนถึงอีกฝั่ง ระหว่างทางแม้จะไม่ได้มองตรงๆ แต่ก็สัมผัสได้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตา รีบเข้าห้องน้ำแล้วรีบเผ่นออกจากที่นี้ดีกว่า

“น้องจี พาใครมา ... เอ๊ะ!!! คนนี้ใช้ rare item ของคณะสัตวแพทย์หรือเปล่า” ขาทั้ง 2 ข้างของผมหยุดชะงักเมื่อใครซักคนเรียกชื่อเพื่อนสนิท ... โต๊ะม้าหินตัวนั้นเต็มไปด้วยเด็กคณะวิศวะ

“ไม่ใช้พี่ พี่จำผิดคนแล้ว” จีโกหกซึ่งหน้า มันรู้อยู่แล้วว่า ‘rare item’ คือคำสรรพนามที่หมายถึงผม ไม่รู้ว่าเริ่มมาจากไหนหรือมีคนอื่นในมหาลัยที่ถูกเรียกด้วยชื่อนี้อีกไหม

“โกหกไม่เนียนเลยนะ คนนี้หรือเปล่าที่ไป summer ด้วยกันมา” จีแสยะยิ้มเมื่อถูกจับได้

“คนนี้แหละครับ มิลค์นี่พี่กาย พี่ในภาค ... พี่กายนี่มิลค์ครับ ...” พี่เขาดูแปลกใจที่ผมยกมือไหว้ แต่ก็ก้มหัวรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้ม แม้จีจะเคยเล่าว่าที่คณะไม่ได้จริงจังเรื่องการไหว้เหมือนคณะผมแต่อ่อนน้อมไว้ก่อนย่อมดีกว่าเสมอ

“... เพื่อนสนิทผม” พูดจบแขนหนักๆ ก็พาดลงมาบนหัวไหล่ ก่อนที่คนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังจะกระชับแขนดึงผมก็กระเถิบมาใกล้ๆ ... ทันทีที่แผ่นหลังของผมสัมผัสกับหน้าอกของเพื่อนสนิท ใจมันก็สั่นไปหมด

“วี๊ดวิ๊ววววววววววว ... น้องรู้ไหมว่าลานเกียร์ที่นี่มีตำนาน”

“ไม่รู้ครับ” ผมส่ายหัว

“เอ้า!!! ก็เขาบอกว่าใครที่เดินสะดุดลานเกียร์จะได้แฟนเป็นเด็กคณะวิศวะ ...” มือหนาปิดลงบนหูทั้ง 2 ข้างก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงเฮโลของคนแถวนั้นดังลอดเข้ามา แต่มันช้าเกินไปเพราะผมได้ยินประโยคก่อนหน้านั้นเต็ม 2 หู ... อิเหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย ใบหน้าเห่อร้อนจะแทบจะต้มน้ำสุก ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างหลังเพราะกลัวว่ามันจะรับรู้ถึงความในใจ ... จีออกแรงพลักผมให้เดินไปข้างหน้า ผมพยายามจะหันไปมองแต่ก็สู่แรงของมันไม่ได้เลยได้แต่ก้าวเดินต่อไป ... หลังจากออกมาจากห้องน้ำ จีก็บอกว่าพวกมันไปรอที่หน้าคณะแล้วพาผมเดินออกไปอีกทาง


----------

#ใครสะดุดานเกียร์ #เขาว่าจะได้แฟนเป็นเด็กวิศวะ #Rare item
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 22 : Rare Item
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 09-09-2025 11:21:10
“กลับคอนโด” ผมค้าน อยากกลับคอนโดมากกว่า

“ใครบอกว่าบ้านมึง บ้านกูครับ ...”

“... ป่านี้ม๊าขึ้นเขาหลงซ่านไปเก็บโสมพันปีมาตุ๋นให้มึงแดกแล้วมั้ง” คนข้างๆ พูดติดตลก

“You don’ t have to tell her”

“You are her favorite. She will know anyway. How do you feel?”

“Better...”

“... ไม่ชอบยาจีนเลยขม” พอคิดถึงรสชาดยาจีนแล้วชีวิตก็รู้สึกห่อเหี่ยวชอบกล รู้เลยว่าพอก้าวขาเข้าบ้านของจีแล้วต้องเจอม๊ายืนรออยู่พร้อมกับยาจีนถ้วยใหญ่ แค่คิดก็ขมคอแล้ว

“ไม่ชอบแดก ก็หัดดูแลตัวเอง รู้ว่าทนร้อนไม่ได้ก็ยังไม่ยอมเลี่ยง” มือหนาวางบนหัวของผมอย่างแผ่วเบา


----------


#ไม่สบาย #ต้มยาจีน #Rare item
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 22 : Rare Item
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 10-09-2025 21:08:42
Writer's talk

สวัสดีครับผู้อ่านทุกคน ก่อนอื่นผมอยากขอบคุณจากใจสำหรับยอดวิว 10,000 วิว … ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนมาร่วมเดินทางไปกับมิลค์และจีมากขนาดนี้

ตอนนี้เราส่งมิลค์เดินทางจนจบ Part 2 เรียกได้ว่านิยายเดินมาครึ่งทางแล้ว Canada Trip ก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ จนในที่สุดมิลค์ก็ยอมรับกับตัวเองว่าเขาตกหลุมรักจีแล้วจริงๆ หลังจากนี้คือการก้าวข้ามความกลัวที่ฝังอยู่ในใจ เพื่อจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ในฐานะผู้เขียน ผมอยากฝากให้ทุกคนช่วยเป็นกำลังใจให้ตัวละครของเรา แล้วมาติดตามไปพร้อมกันนะครับ ว่าชีวิตจะนำพาพวกเขาไปทางไหน

สุดท้ายนี้ ขอบคุณจากใจอีกครั้งสำหรับทุก ๆ การอ่าน … มันทำให้ผมอยากเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆ จริงๆ ครับ

 :bye2:
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 22 : Rare Item
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 11-09-2025 21:40:19
 ผมรู้สึกประหม่าเมื่อต้องเดินผ่านสายตาหลายคู่เพื่อไปหาน้องรหัสที่นั่งอยู่กลางวง ... เพชรมองพี่รหัสเดินข้ามห้องมาหา พี่มิลค์สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวพับแขนเสื้อถึงข้อศอก กางเกงสแล็ค และรองเท้าหนังสีดำ จะมีซักกี่คนที่แต่งชุดนิสิตถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่กลับดูดีได้ราว elf ในภาพยนตร์เรื่อง The lord of the ring โครงหน้าสวย กิริยาท่าทางทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัว แค่เดินผ่านก็รู้แล้วว่ามาจากครอบครัวที่มีชาติตระกูลดี

“สวัสดีครับ” มิลค์กล่าวทักทายน้องรหัสด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้า

----------

#พี่รหัส #น้องรหัส #Rare item
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 23
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 13-09-2025 12:17:33
Teaser ตอนที่ 23

 “แล้วลอยกระทงปีนี้พี่มิลค์มีคนไปลอยด้วยหรือยังครับ” น้องบาสถามในจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจกับจานอาหารตรงหน้า แต่คนหูไวอย่างไอ้ต้นมีเหรอจะไม่ได้ยิน รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าพี่รหัสของคนพูด … ผมนึกถึงความทรงจำเมื่อปีที่แล้ว กว่าจะเสร็จงานของคณะก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว ยังดีที่พวกไอ้ไอซ์อยู่รอ พวกเราเลยได้ลอยกระทงกันครบทั้ง 5 คน

“มากไปไอ้บาส ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทของน้องรหัสพี่มิลค์ก็ไม่มีทางลัด มึงเอาบัตรคิวไปต่อแถว โน้นนนนนน ปลายแถวยาวไปถึงดาวอังคารแล้วมั้ง” ต้นเบรกน้องรหัสตัวเองหัวทิ่ม

“ไม่มีบัตรลัดคิวเหรอครับ”

“หน้าหม้อให้มันน้อยๆ หน่อย หูดำหมดแล้ว” ต้องขอบคุณไอ้ต้นที่ช่วยตลกกลบเกลื่อน เพราะไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ผมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยได้อยู่ดี

“อะงั้นผมตัก Takoyaki ให้พี่ เผื่อพี่จะใจดีให้บัตรลัดคิวผมซักใบ” พูดจบ Takoyaki ก็ถูกวางใส่จานตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะเริ่มกิน แก้วที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ใช้ข้อศอกสะกิดผมยิกๆ

“อะไรของแก” มันไม่ตอบ แค่พยักเพยิกหน้าไปอีกทาง พอผมมองตามสายตาของมันไปเท่านั้นแหละ ... เสียวสันหลังวาบบบบบบบ อีติ๋มจะตายหรือไม่ตายผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คืออิมิลค์ตายแน่งานนี้


---------

มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือถูกเอาคอพาดเขียง

#Takoyaki # :katai1:
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime :ตอนที่ 23: The Prince, The Promise and The Proposal
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 14-09-2025 10:44:54
ตอนที่ 23 : The Prince, The Promise and The Proposal

โต๊ะอาหาร 2 ตัวถูกนำมาต่อกันเพื่อให้เพียงพอสำหรับพี่รหัส 4 คน และน้องรหัสอีก 4 คน กลุ่มผมตัดสินใจว่าจะเลี้ยงสายรหัสพร้อมกันเพื่อเพิ่มความมีอรรถรสในการเม้าท์มอย เพราะฉะนั้นกว่าทั้ง 8 ชีวิตจะหาเวลาว่างตรงกัน เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะหมดเทอม 1 ... พวกเราเลี้ยงกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นยอดฮิตแถวมหาวิทยาลัย เป็นร้านอาหารที่พวกผมมักจะมากินกันหลังสอบเสร็จ

“น้องเพชรกินอะไรดีครับ” ผมถามเพราะเห็นว่าน้องยังคงพลิกเมนูไปมา

“ผมยังไม่รู้เลยพี่ ... ราคามันแพง ผมเกรงใจพี่” น้องรหัสกระซิบเสียงผ่า ผมอมยิ้มให้กับคำตอบของน้อง เท่าที่รู้จักกันมาน้องเพชรเป็นคนขี้เกรงใจคนอื่นมาก

“ไม่เป็นไร พี่อยากเลี้ยง อยากกินอะไรสั่งเลย ... ไหน พี่ช่วยเลือก ...” ผมถือวิสาสะดึงเมนูตรงหน้าน้องมาวางไว้ตรงกลางระหว่างเรา

“... ไก่ หมู เนื้อ หรือปลา”

“ไก่ก็ได้ครับ”

“ไก่ย่างหรือไก่ทอดดี” ผมถามพลางพลิกไปยังหน้าเมนูไก่

“ย่างดีกว่าครับ”

“อันนี้ไหม ไก่ย่างซีอิ้ว หวานๆ ติดเค็มนิดนึง พี่ว่ามันอร่อยดี”

“ได้ครับ” น้องเพชรพยักหน้ารับ ผมเลยยกมือเรียกพนักงาน คนอื่นสั่งหมดแล้วเหลือแต่ผมกับน้องเพชร

“ปลาหิมะย่างเกลือ ไก่ย่างซีอิ้ว แล้วขอ Salmon กับ Hamachi sashimi ครับ ...”

“... เพชรช่วยพี่กินปลาดิบนะ” ผมหันมาบอกน้องเพชร

“ได้ครับ” น้องเพชรยิ้มตาหยี

“สั่งครบแล้ว งั้นเรามาแนะนำตัวกันอีกรอบดีไหม” แก้วเสนอไอเดีย ก็ดีเหมือนกันเพราะนอกจากน้องรหัสตัวเองแล้ว ผมไม่รู้จักน้องคนอื่นๆ เลย

พวกมันคาดหวังเอาไว้มากว่าจะได้น้องรหัสสวยๆ หล่อๆ เผื่อจะได้พัฒนาความสัมพันธ์เป็นอะไรมากกว่านั้น ความตลกร้ายคือไม่ใช้ว่าน้องๆ ไม่สวยไม่หล่อแต่พวกเราทั้ง 4 คนได้น้องรหัสเพศเดียวกับตัวเองกันหมด ... ประตูความหวังที่จะเคลมน้องของน้องรหัสของพวกมันเลยถูกปิดตาย

น้องรหัสของแก้วเป็นเด็กผู้หญิงสไตลเดียวกับมัน ตัวเล็ก ใส่แว่น ดัดผมเป็นลอน เลยไม่แปลกที่ 2 คนนี้จะสนิทกัน น้องรหัสไอ้ต้น สูง ตี้ เกาหลี oppa ดีกรีหลีดคณะ ส่วนน้องรหัสไอ้ต่อมาสายนักกีฬา ตำแหน่ง hooker ทีมรักบี้คณะ ส่วนน้องรหัสผมด้วยความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเด็กทุนเลยไม่แปลกใจที่น้องจะเป็นหัวกะทิและมือ lecture ของชั้นปี ความบังเอิญคือน้องเพชรกับน้องรหัสไอ้ต้นเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน

ประหลาดใจไหมครับที่กีฬาประจำคณะสัตวแพทย์คือรักบี้ ตอนเข้าปี 1 รุ่นพี่จะมาเกณฑ์น้องๆ ให้ไปสมัครชมรมรักบี้ โดยโฆษณาเชิญชวนว่าแม้ชื่อจะดูเป็นกีฬารุนแรงแต่จริงๆ แล้วเป็นกีฬาที่เล่นกัน softๆ และเป็นชมรมที่มีเฉพาะคณะสัตวแพทย์ สถาปัตย์ วิศวะ และวิทยาศาสตร์เท่านั้น ผลปรากฏว่าวันถัดไปหลังจากการแข่งครั้งแรกกับสถาปัตย์เพื่อนผมเข้าเรียนด้วยสภาพเป้าตาซ้ายช้ำเป็นดวง ตอนปี 1 ผมเคยไปเชียร์เพื่อนๆ ที่สนามครั้งนึงแล้วก็เลิกไปอีกเลยเพราะสู้อากาศร้อนไม่ไหว

หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จผมก็หันมาสนทนากับน้องรหัสต่อ

“อยู่มาจะเทอมนึงแล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ดีครับ ตอนนี้ปรับตัวได้แล้ว ชีวิตมหาลัยสนุกดีครับ”

“พี่บอกแล้วว่ามันสนุก” เราเคยคุยกันเรื่องชีวิตมหาลัยกันก่อนหน้านี้ น้องมาปรึกษาเพราะช่วงแรกยังปรับตัวไม่ค่อยได้ สิ่งแวดล้อม เพื่อน หรือแม้กระทั้ง life style เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ น้องเลยเกิด culture shock

“ใกล้จะลอยกระทงแล้ว ในรุ่นเริ่มแบ่งงานกันหรือยัง” บทสนทนาถูกย้ายกลับมาที่ไอ้ต้น

“เริ่มแล้วครับ” น้องรหัสไอ้ต้นตอบ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะชื่อบาส ... หน้าที่หลักของปี 1 คือกีฬา freshy ซึ่งจบไปแล้วตั้งแต่ต้นเทอม อีกงานคืองานวันลอยกระทงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า

“คุยกันดีๆ แล้วก็ระวังโดนหักหลัง 555 ... ใช่ไหมไอ้มิลค์” นึกแล้วว่าต้องโดนเหน็บ เรื่องที่ผมมีปัญหากับเพื่อนตอนเตรียมงานลอยกระทงปีที่แล้วไม่ใช้ความลับอะไร รู้กันทั้งคณะ เพราะเปิดเรียนวันถัดไปผมก็ขอถอนตัวแล้วออกมาเป็น staff ทำงานยกลังแบกของเหมือนคนอื่นๆ

“เลวววววววว” ผมเบ้ปากมองแรงใส่มัน ซึ่งก็สร้างเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ได้พอสมควร

“รู้ใช่ไหมมันมีเรื่องเล่าว่าถ้าลอยกระทงแล้วเจอเต่าในสระใหญ่ของมหาลัยจะได้เป็นแฟนกับคนที่มาลอยด้วย แต่ถ้าเจอตะพาบจะเลิกกัน” ไอ้ต่อเริ่มเล่านิทานหลอกเด็กในขณะที่อาหารเริ่มถูกนำมาเสิร์ฟ

มหาวิทยาลัยของผมมีเรื่องเล่าแบบนี้มากมาย ขึ้นบันไดหน้าคณะครุศาสตร์นี้แล้วจะเรียนไม่จบ ใช้ลิฟต์เขียวคณะศิลปกรรมแล้วจะถูก retire เรื่องสะดุดลานเกียร์วิศวะก็เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าเหล่านั้น ผมว่ามันก็แค่เรื่องขำขันหรืออาจจะเป็นกุศโลบายให้นิสิตเคารพกฎการใช้สถานที่ที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นมากกว่า ... ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ปีที่แล้วพอมีเวลาว่างนอกจากจะตระเวรกินอาหารเลื่องชื่อของแต่ละคณะแล้ว บางคนยังไปตามหาสถานที่ในตำนานที่กระจายอยู่ทั่วมหาลัยอีกด้วย

“แล้วลอยกระทงปีนี้พี่มิลค์มีคนไปลอยด้วยหรือยังครับ” น้องบาสถามในจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจกับจานอาหารตรงหน้า แต่คนหูไวอย่างไอ้ต้นมีเหรอจะไม่ได้ยิน รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าพี่รหัสของคนพูด … ผมนึกถึงความทรงจำเมื่อปีที่แล้ว กว่าจะเสร็จงานของคณะก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว ยังดีที่พวกไอ้ไอซ์อยู่รอ พวกเราเลยได้ลอยกระทงกันครบทั้ง 5 คน

“มากไปไอ้บาส ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทของน้องรหัสพี่มิลค์ก็ไม่มีทางลัด มึงเอาบัตรคิวไปต่อแถว โน้นนนนนน ปลายแถวยาวไปถึงดาวอังคารแล้วมั้ง” ต้นเบรกน้องรหัสตัวเองหัวทิ่ม

“ไม่มีบัตรลัดคิวเหรอครับ”

“หน้าหม้อให้มันน้อยๆ หน่อย หูดำหมดแล้ว” ต้องขอบคุณไอ้ต้นที่ช่วยตลกกลบเกลื่อน เพราะไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่ ผมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ค่อยได้อยู่ดี

“อะงั้นผมตัก Takoyaki ให้พี่ เผื่อพี่จะใจดีให้บัตรลัดคิวผมซักใบ” พูดจบ Takoyaki ก็ถูกวางใส่จานตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะเริ่มกิน แก้วที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ใช้ข้อศอกสะกิดผมยิกๆ

“อะไรของแก” มันไม่ตอบ แค่พยักเพยิกหน้าไปอีกทาง พอผมมองตามสายตาของมันไปเท่านั้นแหละ ... เสียวสันหลังวาบบบบบบบ อีติ๋มจะตายหรือไม่ตายผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คืออิมิลค์ตายแน่งานนี้

“เชี่ย!!!”

“ฉิบหาย!!!”

“มึงงานเข้าแน่ หน้าโคตรตึง” เพื่อนทั้ง 3 ตอบสนองกับสถานการณ์ตรงหน้าไปในแนวทางเดียวกัน แม้จะอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองแต่นึกไปนึกมาแล้วนึกสงสารตัวเองก่อนน่าจะดีที่สุด

“เดียวกูมา ...” ผมตัดสินใจลุกไปหาเพื่อนสนิทที่ยืนหน้าตึงเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่หน้าร้านอาหาร กระจกหน้าร้านก็ใสแจ๋วขนาดนี้ รับรองว่าจีเห็น shot เมื่อกี้เต็ม 2 ตา

“... มาได้ไง” ผมเดินออกมานอกร้านพร้อมกับยิ้มสยามที่จริงใจ จีมักจะใจอ่อนเสมอเวลาถูกผมอ้อน

“เมื่อกี้คืออะไร” แต่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ... คนตรงหน้าถามเสียงเข้ม สีหน้าเหมือนไปกินรังแตนมาซัก 10 รัง

“น้องมันตักอาหารให้ กูเอื้อมไม่ถึง” ใจนึงคิดจะกลบเกลื่อนแต่จากประสบการณ์แล้วผมไม่น่าจะตบตาคนตรงหน้าได้ แค่มองสีหน้าแววตาก็รู้สึกหนาวยะเยือกถึงกระดูก ... winter is coming ของแท้ ... สายตาที่มองข้ามไหล่ของผมไป ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนี้เรากำลังได้รับความสนใจจากคนที่อยู่ด้านหลังมากแค่ไหน

“มึงมันดื้อ ... กูมาดูเฉยๆ จำได้ว่ามึงบอกเมื่อวันก่อนว่าจะเลี้ยงสายรหัส” รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหล่า ก่อนที่มือหนาทั้ง 2 ข้างวางลงบนศรีษะทุยของมิลค์แล้วโยกซ้ายขวาด้วยความหมันเคี่ยว

“แล้วเดียวมึงไปไหนต่อ” ผมถาม

“ไม่รู้ อยู่แถวๆ นี้แหละ”

“ได้ๆ เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา”

“มึงกลับไปกินต่อเถอะ” ผมพยักหน้ารับ แล้วจึงเดินกลับเข้ามาในร้าน

“หวานเวอร์” ยังไม่ทันได้นั่ง ไอ้ต่อก็เอ่ยปากแซว

“กูคิดว่ามึงจะโดนฆาตกรรมอยู่หน้าร้านซะแล้ว”

“แค่นี้เอง จิ๊บๆ กูเอาอยู่สบายๆ” ผมยักไหล่เหมือนไม่แคร์ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะหง่อยเป็นหมาหางตกเลยก็ตาม

“จร้า!!! พ่อคนเก่ง เอาอยู่ทุกสถานการณ์ เมื่อกี้ไม่มั่นใจแบบนี้บ้างละ”

จากนั้นเราก็กลับมาพูดคุยสังสรรค์กันต่อ แต่พอกินไปได้ครึ่งทางคนต้นเรื่องก็เดินกลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง

“หวัดดีจี มาหาใคร” แก้วเอ่ยทักทายเพื่อนต่างคณะ แต่ดูจากสีหน้าอมยิ้มของมันแล้วน่าจะอยากล้อเลียนผมกับจีมากกว่า

“มาหามิลค์ ... อะให้” ถุงกระดาษสีชมพูถูกยื่นมาตรงหน้า

“อะไรวะ?” ผมถาม พอเปิดถุงถึงได้เห็นเค้ก 2 ชิ้นอยู่ข้างใน

“เค้ก ...”

“... ซื้อมาให้มึง” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าบอกไปตอนไหนว่าอยากกิน

“ขอบใจนะ” แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เอ่ยปากขอบคุณ

“ซื้อมากินกับมึง”

“ฮะ?” อะไร ยังไง งง ??? ... ผมยังประมวณผลไม่ทันว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

“มาอย่างเหนือ” ไอ้ต่อพูดออกมาด้วยสีหน้าปลื้มปลิ่ม

“จะกินตอนนี้” พูดจบจีก็ไปลากเก้าอี้มาเพิ่มอีกตัว ... เอาจริงเหรอวะ เพื่อนๆ มองเรา 2 คนด้วยสายตาขบขัน ในขณะที่น้องๆ ดูจะตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า อย่าว่าแต่น้องเลย ผมก็งงเหมือนกัน อารมณ์ไหนวะ ... ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจีในโหมดเอาแต่ใจและงอแงเป็นเด็กน้อยแบบนี้

“จี ไปข้างนอกกับกูแป๊บนึง ...” พูดจบผมก็คว้าข้อมือของเพื่อนสนิท แล้วลากมันออกมาข้างนอก

“... ไม่เล่นแบบนี้ซิ กูอึดอัด”

“มึงอึดอัดกูเหรอ”

“เปล่า อึดอัดสายตาคนอื่น” กับจีผมไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

“เสร็จจากเลี้ยงน้องแล้วไปไหนต่อ” คนตรงหน้ายิ้มกว้างจนตาเป็นสระอิ

“ยังไม่มีแผน”

“งั้นไปหาที่นั่งกินเค้กกับกูนะ ...” ผมพยักหน้ารับคำชวน

“... คืนนี้ไปนอนค้างคอนโดมึงด้วย ...” ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมแวะไปบ้านจีบ้าง จีมานั่งเล่นที่คอนโดผมบ้าง แต่ยังไม่ได้นอนค้างคืนด้วยกันเลยซักครั้ง

“... ไม่เอาดีกว่า ไปกินเค้กที่คอนโดมึง แล้วก็นอนค้าง”

“เอาดิ” ผมตอบรับพร้อมรอยยิ้ม จะแบบไหนผมก็ happy หมดแหละ

“งั้นเดียวกูไปเดินเล่นแถวนี้รอ มึงเสร็จแล้วโทรบอกกูนะ”



คีย์การ์ดสำรองถูกใช้เปิดประตูห้องโดยเพื่อนสนิท มาถึงเจ้าตัวก็เดินตรงไปที่ครัว จัดแจงจานชามช้อนซ้อมสำหรับของหวานมื้อดึก ไม่นานทุกอยากก็ถูกจัดวางไปบนโต๊ะห้องนั่งเล่นพร้อมสรรพ ผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนโซฟาพร้อมกับรับจานเปล่ามาถือไว้ในมือ

“อร่อยยยยยย” ยิ้มจนตาปิด ของหวานนี่มันดีต่อใจจริงๆ

“นึกแล้วว่ามึงต้องชอบ ลองอันนี้ๆ” จาน blueberry cheese pie สีม่วงเข้มถูกเลื่อนมาตรงหน้า

“อันนี้ก็อร่อย” ความหวานของซอส blueberry ตัดกับความเค็มติดปลายลิ้นจากแป้ง pie ข้างล่างพอดิบพอดี

“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถามพลางตักเค้ก red velvet สีแดงสดเข้าปาก

“ก็ดีนะ เรียนหนักแต่ก็สนุก ...” ยอมรับเลยว่าปี 2 เรียนหนักขึ้นกว่าปีที่แล้วเยอะมาก เนื้อหาเปลี่ยนจากวิทยาศาสตร์ทั่วไปเป็นวิชา preclinic ที่ยากกว่าเดิม

“... แต่เกรดกูน่าจะตกวะ ไม่รู้จะ maintain เกียรตินิยมอันดับ 1 ไหวไหม” ผมทำคะแนน midterm ครั้งที่ผ่านมาได้น้อยกว่าที่คิด ดูทรงแล้วเกรดเทอมนี้น่าจะตกลงมาพอสมควร

“เอาจริงๆ ขอให้เกรดเกิน 3 เรื่องเรียนต่อก็ไม่ใช้ปัญหา ... พ่อมึงจะกลับมาเมื่อไหร่นะ”

“กูได้ยินมาว่าปีหน้า ช้าสุดไม่เกิน 2 ปี” ข่าวการตั้ง head office ประจำทวีปเอเชียที่กรุงเทพเป็นข่าวดังมากเมื่อปีที่แล้ว ทั้งในแวดวงนักลงทุนและอสังหาริมทรัพย์ต่างให้การสนใจกับ project นี้ ทุกคนอยากรู้ว่าบริษัทจะลงทุนในประเทศมากน้อยแค่ไหน ตัวเลขการจ้างงานจะเป็นยังไง จะเน้นธุรกิจเดิมหรือต่อยอดธรุกิจใหม่ จะเลือก location ไหนตั้งสำนักงานใหญ่ให้เหมาะสมกับศักดิ์ศรีของ The Nemean Group

“มึงคุยกับพ่อเรื่องเรียนต่อแล้วปะ?”

“คุยแล้ว แม่ช่วยพูดอีกแรง คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็คง delay ได้ถึงแค่จบ ป.โท” เรื่องของอนาคตยังคงเป็นเรื่องที่กวนใจของผมเสมอ

“whatever will be, will be เว้ย” พูดจบจีก็ตักเค้กเข้าปากอีกคำ

“I know”

“พูดไปใครจะเชื่อว่าคนแบบมึงก็มีเรื่องของอนาคตให้กังวลเหมือนกัน” คนตรงหน้าพูดติดตลก

“คนเราต่างก็มีเรื่องให้กังวลด้วยกันทั้งนั้น...”

“... พ่อยังชวนมึงมาทำงานด้วยกันอยู่นะ ล่าสุดที่เจอกันก็ยังชวน” ผมหมายถึงตอน summer ที่ผมบินไปหาที่ NY อะนะ

“กูยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”

“กังวลอะไรวะ”

“อยากทำงานให้ตรงกับสายที่จบมา แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเด็กเส้น” ผมเม้มปาก เราเคยคุยกันเรื่องนี้หลายครั้งและจีก็แบ่งรับแบ่งสู้มาตลอด ผมเข้าใจความรู้สึกของจีแต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้มันตอบตกลงเพราะถ้าจีทำงานที่บริษัทเราจะได้เจอกันบ่อยขึ้น ชีวิตของเราจะได้โคจรกลับมาใกล้กันอีกครั้ง

“มึงจะเรียนโทต่อหรือเปล่า” ผมถามคำถามที่เริ่มกวนใจผมมาซักพัก ... ความใกล้ชิดของเราจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ... ถามทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ ... คำตอบคืออีกไม่ถึง 2 ปีนับจากนี้ ... ตอนนี้จีเรียนอยู่ปี 3 แล้ว อีกแป๊บเดียวก็เรียนจบ จากนั้นก็เริ่มต้นทำงาน ส่วนผมถ้านับรวม ป.โทอีก 3 ปีก็ยังเหลือเวลาใช้ชีวิตเป็นนิสิตอีก 7 ปี

“เรียนต่อดิ แต่ยังไม่รู้จะเรียนอะไร ทำงานก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ผมไม่ได้แปลกใจกับคำตอบ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าคนเรียงเก่งแบบจีจะต้องเรียนต่อ จีวางแผนสำหรับอนาคตไว้เสมอ

“ไปเรียนต่อต่างประเทศซินะ” จีพยักหน้า ... คำตอบของจีทำผมเผลอคิดไปไกลอีกแล้ว ถ้าไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 2-3 ปี เราจะไม่ได้เจอหน้ากันนานขนาดนั้นเลยเหรอ

“ดูทำหน้าเข้า ชอบคิดมากวะ ...” คนข้างๆ วางจานลงบนโต๊ะ ก่อนจะกระเถิบมานั่งใกล้ๆ จนต้นแขนของเราสัมผัสกันบางเบา ... ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอกับความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น

“... กูลองคิดเล่นๆ มาแล้ว กว่าจะได้ไปก็น่าจะพอดีกับที่มึงจบตรีแล้วเริ่มเรียนต่อพอดี เพราะฉะนั้นเราน่าจะจบโทพร้อมๆ กัน ต่างคนต่างยุ่งเรื่องเรียนแป๊บๆ ก็เรียนจบแล้ว ...” ผมยกขาข้างหนึ่งขึ้นมานั่งชันเข่าบนโซฟาแล้ววางแก้มลงบนหัวเข่าหันหน้าไปทางเพื่อนสนิท พร้อมกับฟังจีวางแผนอนาคตราวกับเด็กน้อยกำลังฟังนิทานก่อนนอน

“... เราปิดเทอมคนละช่วงเวลากัน กูบินกลับมาได้ปีละ 2 ครั้ง ส่วนมึงก็บินไปหากูได้ปีละ 2 ครั้ง ... ได้เจอ กันอย่างน้อยปีละ 4 ครั้ง เฉลี่ยทุก 3 เดือนก็ไม่ได้เลวร้ายหรือเปล่าวะ” ผมจินตนาการตามคำพูดของจี

“ทำไมกูถึงรู้สึกว่ายิ่งโตขึ้นเรายิ่งห่างกัน เมื่อก่อนเราเจอหน้ากันทุกวัน ตอนนี้เป็นหลักสัปดาห์ อนาคตอาจจะหลักเดือน ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น"

“เพราะเรากำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไง จะมีอะไรเข้ามาในชีวิตเราอีกมากมาย โลกใบนี้จะไม่ได้แค่กูกับมึงอีกต่อไป” ผมกรอกตามองไปรอบห้อง ก่อนที่สายตาจะกลับมาหยุดลงที่ตาชั้นเดียวคู่นั้น ... แค่มีจีอยู่ข้างๆ ต่อให้โลกทั้งใบถล่มลงมาตรงหน้าผมก็มั่นใจว่าจะผ่านพ้นไปได้เสมอ

“จะเป็นแบบนั้นเหรอ”

“อืม โดยเฉพาะมึง เทียบกับกูแล้วโลกของมึงจะใหญ่กว่ามาก...”

“... มึงจะเจอผู้คนมากมาย อนาคตของมึงจะไปได้ไกลว่าที่คนๆ หนึ่งจะกล้าฝัน”

“กูไม่เข้าใจที่มึงพูด” จียิ้มให้คนข้างๆ อย่างเอ็ดดู

“โถเด็กน้อย ...” มือหนาของเพื่อนสนิทวางลงบนศีรษะของผมอย่างอ่อนโยน และผมก็เผลอตอบรับสัมผัสนั้นด้วยการขยับศีรษะไปมาคล้ายลูกแมวที่กำลังออดอ้อนอย่างไม่รู้ตัว

“... คิดตามกูนะ อนาคตต่อให้กูเก่งแค่ไหนกูก็เป็นได้แค่พนักงานบริษัท อย่างมากก็เป็น CEO ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ส่วนมึง อนาคตถูกวางไว้แล้วว่าวันหนึ่งจะได้เป็นเจ้าของบริษัทข้ามชาติ ...”

“... มึงอาจจะคิดว่ากูเพ้อเจ่อ แต่กูรู้ว่าเมื่อถึงวันนั้นมึงจะ shine ออกมาด้วยตัวของมึงเอง” ผมจินตนาการภาพตามที่จีบอก คิดไม่ออกเลยว่าคนขี้อาย และไม่มั่นใจในตัวเองอย่างผมจะไปถึงจุดๆ นั้นได้ยังไง ... อนาคตเป็นเรื่องของความไม่แน่นอน แต่สิ่งเดียวที่แน่นอนคือปัจจุบัน

“Must I do it alone?" ผมถาม เมื่อคิดถึงภาระอันหนักอึ้งที่รออยู่เบื่องหน้า

"Yes, my dear" เสียงตอบรับของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกหนักแน่นแต่นุ่มนวล

"Why?"

" Because only the prince can bear the heavy of the crown." คำตอบขอบจีช่วยสร้างความมั่นใจ ว่าผมจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แววตาคู่นั้นอบอุ่นจนผมรู้สึกคลายความกังวลลงได้บ้าง

“อืมมม ... whatever will be will be” ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่นั่งนิ่ง ๆ อยู่แบบนั้น ปล่อยให้ความเงียบเติมเต็มห้อง ... ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปพิงไหล่เพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ

เรานั่งอยู่อย่างนั้น จนความเงียบกลายเป็นภาษาที่ปลอดภัยที่สุดระหว่างเรา

“มิลค์ … ถ้าอายุ 40 แล้วเรา 2 คนยังไม่มีแฟน ... แต่งงานกันนะ” ผมผละตัวออกมาแล้วมองเพื่อนสนิท ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อว่าเจ้าตัวพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาจริงๆ

 เหมือนมีบอลลูนลูกใหญ่เท่าบ้านระเบิดในหัว รับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองต้องแดงก่ำอย่างแน่นอน หัวใจเต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก

“พูดอะไรวะเนี่ย กูเพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่กี่เดือน มึงจะขอกูเป็นเมียแล้วเหรอ” ผมโวยวายเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินอายที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วง รู้ทั้งรู้ว่าที่ทำไปยังไงก็กลบความอายของผมไม่มิด ... แต่คนมันเขินนะเว้ยยยยยยยยยยยย

“มึงพูดเองนะว่าจะเป็นเมีย 555” พอได้ยินสิ่งที่จีพูดออกมา ผมถึงได้ตระหนักว่าเมื่อกี้ตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป

“อิเหี้ยจี” ผมแยกเคี้ยวใส่เพื่อนสนิทเพื่อซ่อนความเขินอายที่ยังคงไม่จางหายไป

“ตอนอายุ 40 มึงว่าพวกเราจะเป็นยัง ?”

“มึงอาจจะกลายร่างเป็นอาแป๊ะ ส่วนกูก็คงเริ่มมีรอยตีนกาบนใบหน้า”

“มึงเปรียบเทียบกูได้เหี้ยมาก ถ้าตอนนั้นกูเป็นอาแป๊ะ มึงก็มีผัวเป็นอาแป๊ะเหมือนกัน” คนข้างๆ กระโดดเข้ามล๊อคคอผม จากนั้นเราก็คลุกวงใน กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตามประสา

“555 เออ ... ตอนนั้นมึงอย่าลืมเอาขันหมากมาสู่ขอกูนะ...” ผมยิ้ม แม้จะเป็นเรื่องที่พูดกันเล่นๆ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่ากำลังถูกจีขอแต่งงานอ้อมๆ อยู่หรือเปล่า

“... G”

“ครับ, dear”

“Let's forget the future for a while. Right now, it's only you and me”

“Yes, the future can wait. Just us two and that is more than complete”

เรา 2 คนส่งยิ้มให้กัน นิ้วก้อยของเราค่อยๆ เกี่ยวคล้องกันไว้ มือหนาเลื่อนมาวางทับด้านบนก่อนที่นิ้วมือของเราทั้งคู่จะสอดประสานแทบแน่น ... แทนคำสัญญาที่เราให้แก่กันในค่ำคืนนี้


และเรามีเพียง

งานวิวาห์เดียวดายภายใต้แสงจันทร์

สุขสกาวดวงดาวแพรวพราวนับหมื่นร้อยพัน

ร่วมกันเป็นพยานแห่งรัก

ที่ไม่มีพิธีใดจักสําคัญ ... เหนือใจ

เพียงแค่ใจเรารักกัน, วิยะดา โกมารกุล, 1986

----------

#The Prince #The Promise #The Proposal
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

----------

ปล. เหมือนว่าช่วงนี้ web จะมีปัญหาบ่อยๆ สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเข้า web ไม่ได้ 2 ครั้ง

ผมขอแป๊ะ link สำรองของนิยายไว้ให้เผื่อกรณีฉุกเฉินนะครับ

ปกติผมจะใช้ Thai Boys Love เป็นหลักอยู่แล้ว

ส่วนใน Read a write เนื้อหาและภาพต่างๆจะเหมือนกับใน Thai Boys Love ทุกอย่างนะครับ

https://www.readawrite.com/a/0077c79d286eab2ea86aa367f44b3ce1
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime :ตอนที่ 23: The Prince, The Promise and The Proposal
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 16-09-2025 08:16:11
“อร่อยยยยยย” ยิ้มจนตาปิด ของหวานนี่มันดีต่อใจจริงๆ

“นึกแล้วว่ามึงต้องชอบ ลองอันนี้ๆ” จาน blueberry cheese pie สีม่วงเข้มถูกเลื่อนมาตรงหน้า

“อันนี้ก็อร่อย” ความหวานของซอส blueberry ตัดกับความเค็มติดปลายลิ้นจากแป้ง pie ข้างล่างพอดิบพอดี

“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถามพลางตักเค้ก red velvet สีแดงสดเข้าปาก

----------

#The Prince #The Promise #The Proposal
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime :ตอนที่ 23: The Prince, The Promise and The Proposal
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 17-09-2025 23:42:20
“Must I do it alone?" ผมถาม เมื่อคิดถึงภาระอันหนักอึ้งที่รออยู่เบื่องหน้า

"Yes, my dear" เสียงตอบรับของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้ความรู้สึกหนักแน่นแต่นุ่มนวล

"Why?"

" Because only the prince can bear the heavy of the crown." คำตอบขอบจีช่วยสร้างความมั่นใจ ว่าผมจะสามารถยืนหยัดต่อไปได้ แววตาคู่นั้นอบอุ่นจนผมรู้สึกคลายความกังวลลงได้บ้าง


----------


#The Prince #The Promise #The Proposal
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 19-09-2025 13:06:26
Teaser ตอนที่ 24

น้องวินยังไม่ทันพูดจบประโยคดี Lexus RX300 สีดำก็วิ่งเข้ามาในลานจอดรถด้านข้าง คนอื่นๆอาจจะไม่รู้แต่สำหรับเพื่อนกลุ่มผมพวกมันรู้ดีกว่าใครคือเจ้าของรถ ... SUV คันใหญ่ถอยหลังเข้าซองจอดรถ ไม่นานเกินรอคนขับก็เปิดประตูออกมา

“เพื่อนสนิทมึงรู้คิวอย่างกับติดเครื่องดักพักไว้” เห็นด้วยกับต้น โผล่มาได้จังหวะเหมือนนัดคิวกับคนเขียนไว้

“หล่อสัส ลุคนี้คือมาเพื่อนฆ่าน้องวินโดยเฉพาะ” ผมคิดตามที่ต่อพูด วันนี้จีสวมเสื้อโปโลสีขาว กางเกงสามส่วนสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าผ้าใบสีขาว แว่นกัดแดดสีดำช่วยขับให้คนใส่ดูเด่นและตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างยิ่งไปกว่าเดิม ... ต้องยอมรับว่าวันนี้มันหล่อจริง

“น้องวินจะต่อคิวจีบเหรอคะ ...” แก้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสาว

“... ถามแฟนพี่มิลค์หรือยังว่าอนุญาตไหม”


----------


มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ จากน้องมิลค์เดิมเพิ่มเติมคือมีคนหล่อมารับ

#โปโลสีขาว #แว่นกัดแดดสีดำ #ติดสินบนคนเขียน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 24 : Fireworks
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-09-2025 22:19:42
พอดีพรุ่งนี้ผมมีธุระด่วน กลัวว่าจะไม่ว่างทั้งวัน เลยเอาตอนที่ 24 มาลงให้อ่านกันตั้งแต่คืนนี้ครับ
Enjoy ครับ  :katai4:


----------


ตอนที่ 24 : Fireworks part 1/2

เสียงกลองสันทนาการดังกระหึ่มเป็นจังหวะสนุกสนาน ผมที่เต้นไปได้ไม่กี่เพลงก็เดินเหงื่อซกกลับมาหาแก้วที่นั่งอยู่ที่โต๊ะสวัสดิการด้านหลัง ... ผ่านไปแล้วอีก 1 ปี ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของปิดเทอมใหญ่ก่อนที่สัปดาห์หน้าพวกผมจะเป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 เต็มตัว

“เหนื่อยก็พัก เดียวเป็นลมเป็นแล้งไปแล้วลำบากพวกกูอีก” แก้วเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมหย่อนตัวลงบนเก้าอี้

“มึงตั้งใจจะล้อกูยังปี 6 เลยไหม” ผมรับน้ำมาจากมันมาดื่น ก่อนจะยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า

“ไม่อะ ... กูตั้งใจจะล้อจนมึงแก่เลยต่างหาก 555”

“อิเลว” ผมเป้ปากมองบนใส่มัน พวกเราอยู่ด้วยกันมา 2 ปีแล้ว สนิทกันถึงระดับที่ด่ากันได้โดยอีกฝ่ายไม่เก็บมาคิดมากอะไร

“เตรียมงานมาเกือบปี วันนี้วันสุดท้ายแล้วรู้สึกแปลกๆ วะ” ต้นกับต่อเดินออกจากวงเต้นสันทนาการมาสมทบ ขนาดผมที่ไม่อิน ยังรู้สึกโหวงๆ ปีที่แล้วพวกเราเป็นน้องพี่เลี้ยง ปีนี้ขึ้นปี 3 ต้องมารับผิดชอบทำค่ายรับน้อง ปิดเทอมใหญ่ครั้งหน้า ทำห้องเชียร์ ปิดเทอมขึ้นปี 6 ทำค่ายอาสาต่างจังหวัด

“ปีที่แล้วกูพลาดจากน้องรหัส ปีนี้กูตั้งความหวังใหม่กับหลานรหัส” ต้นพูดด้วยสายตาเป็นประกาย ผมละส่ายหัวให้กับความคิดของมัน สงสัยจะดูละครมากไป

“ทำไมๆ ไอ้มิลค์มึงไม่เห็นด้วย?”

“เรื่องของมึงเถอะ เอาที่มึงสบายใจ”

“ฮึ!!! ใครจะเหมือนมึง ผู้ชายเข้ามาหาไม่ขาด”

“คนมันหน้าตาดีช่วยไม่ได้” ผมยักไหล่

“หมันไส้มึง”

“พูดถึงไอ้มิลค์ มีน้องปี 1 มาขอเบอร์มึงกับกูด้วยนะ” ไอ้ต่อพูดขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

“ใครวะๆ” พอได้ยินแก้วเลยรีบเข้ามาสมทบ

“น้องที่เป็นตัวเต็งหลีดคณะอะ”

“อ่า!!!” พวกมันก็ตอบรับพร้อมกัน

จังหวะนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นน้องที่กำลังตกเป็นประเด็นกำลังเต้นสันทนาการพอดี

“น้องวิน ... หล่อ ขาว สูงประมาณ 180 นักกีฬาบาสโรงเรียน พ่อเป็นเจ้าของโรงพยาบาลสัตว์” ต่ออธิบายคุณสมบัติน้องเขาราวกับเซลล์ขายรถ

“ในที่สุด!!! ก็มีคนคู่ควรกับกับคุณมิลค์ ติฒสิงห์มาจุติบนโลกนี้ซักที” ต้นทำท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า

“ถ้ามึงกับน้องได้กันนี้ กูขึ้นสวรรค์เลยนะ ตัว top ของปี 3 กับปี 1 ได้กันเอง จะมีเรื่องอะไรฟินไปมากกว่านี้” แก้วก็เข้ามาร่วมวงไปกับพวกมันด้วย มันกุมมือทั้ง 2 ข้างของตัวเองพร้อมทำสีหน้ากรุ่มกริ่ม

แต่พอพวกมันเห็นสีหน้านิ่งสนิทของผม

“อะไรวะ พวกกูอุตสาห์ชง มึงจะไม่เล่นมุกกับพวกกูซักนิด?” ต่อตัดพ้อด้วยสีหน้าท่าทางที่มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าตอแหล

“ใช่ซิ ใครจะสู้หนุ่มขาวตี๋ oppa เกาหลี คณะวิศวะคนนั้นได้” พอสบโอกาสไอ้ต้นก็ซ้ำเติมผมทันที

“ถ้ากูเล่นแล้วมีคนมาบังเอิญได้ยินเดียวก็กลายเป็นข่าวลืออีก” ที่คณะสัตวแพทย์กำแพงมักมีหู ประตูมักมีตา ... อัตลักษณ์สำคัญของนิสิตคณะนี้คือพวกเรามี DNA ของความขี้เม๊าท์อยู่ในตัว ราวกับเป็น 1 ในคุณสมบัติที่ถูกคัดเลือกมาตอนสอบสัมภาษณ์

พวกเราจริงจังกันมากขึ้นขนาดมีชมรมวารสาร วารสารคณะจะออกทุกๆ 2-3 เดือน ซึ่งนอกจากจะมีเนื้อหาสาระความรู้และข่าวประชาสัมพันธ์ต่างๆ แล้ว collum หนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันคือ gossip ของแต่ละชั้นปีที่ไม่มีใครรู้ว่าคนเขียนคือใคร แต่คิดว่าน่าจะเป็น Natasha Romanoff แห่ง The Avenger แฝงตัวเข้ามาเป็นนิสิตเพราะเขาคนนั้นรับรู้ความเคลื่อนไหวของเราทุกคนแม้ว่ามันจะลึกลับแค่ไหนก็ตาม ตัวผมถูกพูดถึงบ้างเป็นครั้งคราวอย่างเช่นฉบับแรกที่ปล่อยออกมาตอนเพิ่งเข้าปี 1 ผมไม่เคยบอกใครเรื่องครอบครัวแม้แต่ตอบสอบสัมภาษณ์อาจารย์ก็ยังไม่รู้ แต่พอมันถูกเขียนลงใน collum gossip เรื่องที่ผมเป็นทายาท The Nemean Group ก็ไม่ใช้ความลับอีกต่อไป

กิจกรรมดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะขึ้นรถกลับกรุงเทพ ประธานค่ายกล่าวขอบคุณ นัดแนะน้องปี 1 ถึงกิจกรรมตอนเปิดเทอม และส่งท้ายด้วยความในใจของน้องๆ บางคนก็พูดซึ้งจนน้ำตาแทบไหล บางคนก็มาแนวตลกฮากระจาย น้องคนไหนที่ popular ในหมู่พี่ๆ เวลาจับไมค์ก็จะมีเสียงกรี๊ดกร้าดตามมา และคนนี้ก็เช่นกัน ... น้องวิน ... นี่ซินะที่เขาเรียกกันว่าสมบัติคณะ หล่อระดับที่ไปเป็นดาราได้สบายๆ ขนาดใส่เสื้อยืดค่ายกากๆ กับกางเกงเลสีเขียวสดก็ยังกด aura ความหล่อของน้องไม่ลง

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

เสียงจากเพื่อนร่วมรุ่นดังสนั่นเมื่อไมค์อยู่ในมือของน้องวิน

“ไอ้แก้ว เบาๆ หน่อย กูแสบหู” ต้นเอาศอกกระแทกเพื่อนสนิทเพื่อเรียกความสำรวมกลับมา

“สวัสดีอาจารย์ พี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนครับ ผมอยากจะขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจทำค่ายนี้ขึ้นมาเพื่อนต้องรับน้องปี 1 อย่างพวกผม”

“แล้วน้องวินมีความประทับใจอะไรจะพูดถึงค่ายนี้ไหมคะ” อยากจะแหมถึงดาวอังคาร คนอื่นพูดจบก็ส่งไมค์ต่อ แต่พอเป็นคนหล่อหน่อยหนึ่งนี่ให้น้องเขามี air time ยาวเลยนะ

“เป็นค่ายที่สนุกมากครับแล้วก็อบอุ่นมากๆ ดีใจที่ได้รู้จักพี่ๆ แล้วก็เพื่อนๆ มันดีจนไม่อยากให้เวลา 3 วันที่อยู่ที่นี้จบลง” เหล่า staff ชายหญิงพากันทำหน้าเคลิ้มไปกับคำหวานของน้อง

“แล้วกับพี่ๆ ละครับ น้องวินมีความประทับใจอะไรไหม” ชงซะเข้มขนาดนี้รู้เลยว่าถามหวังผลแน่นอน รับลองได้ว่าถ้าน้องพูดชื่อใครออกมา collum gossip ในวารสารฉบับหน้าต้องมีประเด็นนี้แน่ๆ

“ประทับใจพี่มิลค์ครับ” ทุกอย่างนิ่งสนิทประมาณ 3 วินาที ก่อนที่

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

เสียงโห่ร้องดังจนแสบแก้วหู

“พี่มิลค์จะตกคนหน้าตาดีไปทั้งคณะไม่ได้นะคะ ...” พิธีกรทำหน้าเหม็นเบื่อ

“... ทำไมน้องวินถึงประทับใจอะไรในตัวพี่มิลค์” แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังชงมาให้ผมซะเข้ม

“จริงๆ แล้วพี่คณะคนแรกที่ผมเจอคือพี่มิลค์ครับ วันสอบสัมภาษณ์ผมหาทางไปห้องสอบไม่เจอ แล้วบังเอิญเจอพี่มิลค์ พี่เขาเดินไปส่งผมที่ห้องแล้วก็อวยพรให้ผมโชคดี”

“อีมิลค์ ไหนว่ามึงไม่สน” แก้วกระซิบ

“กูยังจำไม่ได้เลยว่าเคยเจอน้อง” ผมกระซิบตอบ เพราะตอนนี้กำลังปั้นหน้ายิ้มสยาม ถ้าน้องไม่พูดผมก็จำเหตุการณ์นั้นไม่ได้จริงๆ

“แล้วก็ ... พี่มิลค์น่ารักมากครับ” ยังไม่หยุดอีกนะไอ้น้องวิน

“เชี่ยยยยยยยยยยยย กูชอบคนตรงๆ แบบน้องเขา” แก้วทำท่าทางเหมือนร่างจะสลายไปตรงนี้ แต่ผมคิดอยู่ในใจว่ามันก็ชอบคนหน้าตาดีทุกคนนั้นแหละ

“ผมถามได้ไหมครับ ...” น้องวินหันไปถามเพื่อนร่วมรุ่นของผมที่ยืนเป็นพิธีกรอยู่ข้างๆ

“... พี่มิลค์กับพี่ต้นเป็นแฟนกันหรือเปล่าครับ”

แล้วทุกอย่างก็นิ่งสนิทไปอีก 3 วินาที

55555555555

ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นมาแทน ขนาดผมกับไอ้คู่กรณียังอดที่จะขำไม่ได้

“ว่าไงคะพี่มิลค์ พี่ต้น ตกลงว่าแอบแซ๊บกันเองหรือเปล่าคะ”

“อย่าเลยครับน้อง แค่คิดพี่ก็สยองแล้ว ... นอกจากหน้าตากับฐานะแล้ว พี่ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดี” ไอ้ต้นไอ้เพื่อนเลว

“แล้วพี่มิลค์ละคะ มีอะไรจะโต้ตอบไหม” ผมยิ้มเหี้ยมมองหน้ามัน ... มึงเริ่มก่อนนะไอ้ต้น

“ไม่ไหวเหมือนกันครับ นอนตื่นสาย น้ำไม่อาบ ฟันไม่แปรง *&%^*) () %#$%%” ยังไม่ทันพูดจบประโยคไอ้ต้นก็รีบเอามือมาปิดปากผม อย่าให้ได้เผากันรับรองว่าศพไม่สวยทั้งคู่

“555 ปิดด่อมเนอะ เรือล้มตั้งแต่ยังไม่ออกจากฝั่ง ยังไม่ทันไรก็หยุมหัวกันเองแล้ว”

“แสดงว่าพี่มิลค์ยังว่าง ผมจีบได้ใช่ไหมครับ” ไอ้น้องวิน!!! มึงยังไม่จบอีกเหรอ

น้องวินยังไม่ทันพูดจบประโยคดี Lexus RX300 สีดำก็วิ่งเข้ามาในลานจอดรถด้านข้าง คนอื่นๆ อาจจะไม่รู้แต่สำหรับเพื่อนกลุ่มผมพวกมันรู้ดีกว่าใครคือเจ้าของรถ ... SUV คันใหญ่ถอยหลังเข้าซองจอดรถ ไม่นานเกินรอคนขับก็เปิดประตูออกมา

“เพื่อนสนิทมึงรู้คิวอย่างกับติดเครื่องดักพักไว้” เห็นด้วยกับต้น โผล่มาได้จังหวะเหมือนนัดคิวกับคนเขียนไว้

“หล่อสัส ลุคนี้คือมาเพื่อนฆ่าน้องวินโดยเฉพาะ” ผมคิดตามที่ต่อพูด วันนี้จีสวมเสื้อโปโลสีขาว กางเกงสามส่วนสีน้ำตาลอ่อน รองเท้าผ้าใบสีขาว แว่นกัดแดดสีดำช่วยขับให้คนใส่ดูเด่นและตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้างยิ่งไปกว่าเดิม ... ต้องยอมรับว่าวันนี้มันหล่อจริง

“น้องวินจะต่อคิวจีบเหรอคะ ...” แก้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสาว

“... ถามแฟนพี่มิลค์หรือยังว่าอนุญาตไหม”



...



ณ สถานที่ที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงเพลง ผมเดินเบียดเสียดผ่านผู้คนนับร้อยที่กำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนของวันหยุดยาว

“กว่าจะมาถึง ...” แก้วทักทาย เมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะที่มันเสียสละมาจองก่อนตั้งแต่หัวค่ำ

“... ถึงกับตามมาเฝ้าเลยเหรอวะ” มันกระซิบข้างหู เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคนที่เดินตามผมมา

“เปล่าๆ บังเอิญเมื่อเย็นไปกินข้าวกับที่บ้านจีมา มันก็เลยขอมาด้วย” พอดีว่าเมื่อบ่ายจีโทรมาบอกว่าป๊าม๊าให้โทรมาชวนผมไปกินข้าวที่บ้าน ตอนแรกผมปฏิเสธเพราะนัดกับพวกมันไว้ก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมคุยกันไปคุยกันมา ผลถึงกลายเป็นว่าผมไปกินข้าวกับป๊าม๊าก่อนแล้วค่อยออกมาท่องราตรีพร้อมกับเพื่อนสนิท

“อ่อออ ไปกินข้าวกับพ่อแม่สามีมานี่เอง”

“เลิกแซวได้แล้ว บอกว่าเพื่อนสนิทก็เพื่อนสนิทซิวะ”

“จ๊ะ เพื่อนสนิทเนอะ ... กูเดาว่ามันใช้ข้ออ้างว่ามึงจะได้ดื่มเหล้าได้เต็มที่ ...” คนข้างๆ ทำสีหน้าเหม็นเบื่อเมื่อผมตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“... มุกเดิมๆ แต่ก็ยังใช้ได้กับมึงเสมอ ... แต่ก็ดี คืนนี้จะได้ปลดปล่อยเต็มที่ ...”

“... ไม่เมาไม่เลิก”

“ไม่เมาไม่เลิก ชนนนนนนนนนนนนน” ต้นเดินคู่มากับต่อก่อนที่พวกเราจะ party กันยาวๆ



“มิลค์ มึงรีบไปสร้าง land mark ไอ้จีเร็ว” แก้วที่ก่อนหน้านี้คุยเรื่องราวสับเพเหระกับผมอย่างออกรส อยู่ดีๆ มันก็โน้มหน้ามากระซิบข้างหู

“land mark อะไรของมึง” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่ามันไปสรรหาคำพวกนี้มาจากไหน

“แสดงความเป็นเจ้าของไง เร็วมึง กูเห็น 2 คนนั้นมองเพื่อนสนิทมึงตาไม่กระพริบเลย” ผมมองตามสายตาของแก้วก็เจอกับผู้หญิงแต่งตัวด้วยชุดเกาะอกวาบหวิวกับผู้ชายตัวเล็กๆ ในชุดเสื้อยืดเอวสั่นพอดีตัว 2 คนนั้นมองเพื่อนสนิทของผมไม่ละสายตา

“ไม่เอา ใครจะไปทำอะไรแบบนั้น” แม้จะกรุ่นๆ อยู่ภายในแต่ผมยังคงรักษาท่าทีเพราะไม่อยากแสดงออกให้คนอื่นรับรู้ว่าผมรู้สึกกับจีมากกว่าเพื่อนสนิท จนถึงตอนนี้มีแค่กลุ่มเพื่อนมัธยมเท่านั้นที่รู้ พวกไอ้แก้วผมไม่แน่ใจว่าพวกมันรู้มากน้อยแค่ไหน

“ไอ้มิลค์นี้ไม่ใช้เวลาที่มึงจะมาเขินอายนะเว้ย ...”

“... มึงๆๆๆๆๆ ไม่ทันแล้ว พวกมันเดิมมาแล้ว” ผมหันกลับไปอีกครั้ง 2 คนนั้นก็เดินถึงตัวจีแล้ว ตอนแรกเรานั่งอยู่ข้างกันแต่เพราะแก้วมีเรื่องจะคุยกับผมๆ เลยสลับที่มานั่งฝั่งตรงข้ามกับแก้วแทน ... รู้สึกโกรธตัวเองชะมัด

ไม่รู้ว่า 3 คนนั้นคุยอะไร แต่มันเหมือนมีไฟสุมอยู่ในอกเมื่อเห็นจีโน้มตัวลงไปฟัง 2 คนนั้นใกล้ๆ ผู้หญิงก็ส่งยิ้มหวานย้อย ส่วนผู้ชายอีกคนก็หัวเราะอย่างมีจริตจะก้าน ... รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเพื่อนสนิท

“G”

“ครับ, dear ”

“I thirsty for something” น้ำเสียงอ้อแอ้ดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันกลับไปตามเสียงเรียก ร่างโปร่งของเพื่อนสนิทก็พุ่งเข้าหา แขนเล็กพาดอยู่หลังต้นคอ โครงหน้าสวยเขยิบเข้ามาแนบชิดจนจีได้กลิ่นแอลกอฮอร์จางๆ จากลมหายใจของคนข้างตัว

“Are you drunk?”

“Little bit” พูดจบมันก็ฉีกยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สว่างไสวราวกับดวงจันทร์เต็มดวง

“What do you want?”

“Anything sweet will do …”

“... for example … your lip” เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ สายตาของจีจับจ้องไปยังปากของเพื่อนสนิทที่เจ้าตัวเผลอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ ... ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืนน้ำลายของจี ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้ม ... แสดงออกขนาดนี้ไม่เรียกว่าเมานิดหน่อยแล้วมั้ง

“My dear, don’ t test me...” ใบหน้าหล่อเหล้าก้มลงมา ระยะห่างใกล้เสียจนทั้งคู่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

“… What you’ re asking for is very dangerous ...” ... จีใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อกดความต้องการที่ลุกโชนอยู่ภายในให้ดับมอด ... ในขณะที่คนตรงข้ามดูจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าไหร่นัก ไอ้ตัวดีทำตาใส เอียงหน้ามองเขาราวกับกำลังสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังจากนี้ ... ไอ้มิลค์เวลาเมานี่ไม่ปลอดภัยกับหัวใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

“... ฮึๆๆๆ ...”

“I like this version of you … but let’ s get you a drink before you say something you really can't take back...” จีค่อยๆ ถอยห่าง ก่อนที่มือหน้าจะวางลงบนศรีษะของเพื่อนสนิทแล้วโยกไปมาด้วยความหมันเคี่ยว

“... Ok, stay here ... แก้ว เราฝากมิลค์ด้วย” จีประคองเพื่อนสนิทนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะตะโกนข้ามโต๊ะไปพูดกับเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม แล้วก้าวเท้าออกไป ทิ้งให้แขกไม่ได้รับเชิญทั้ง 2 คนหน้าชาไปตามๆ กันกับพฤติกรรมเฉยเมยของตัวเอง

“ก็ไม่เห็นว่าจะเมาขนาดนั้นซักหน่อย” น้ำเสียงประชดประชัดดังขึ้นจากเด็กผู้ชายในชุดเสื้อยืดเอวสั่น เขามองผมด้วยสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“เราบอกเมื่อไหร่ว่าเมา” แล้วคิดเหรอว่าผมจะยอม ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงลักษณะเดียวกัน

“เป็นแฟนเขาเหรอ ถ้าเป็นเราจะถอยแต่ถ้าไม่ใช้เราก็มีสิทธิเหมือนกัน”

“จะเป็นหรือไม่เป็นนายก็ไม่มีสิทธิ์” ผมที่นั่งไขว้ขาอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงยักไหล่แบบไม่แคร์ พร้อมกับเบ้ปากมองบน ยอมรับเลยว่าจงใจกวนประสาทคนตรงหน้า อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอร์ที่ทำให้ผมทำใจตัวเองโดยขาดสติยั้งคิด

“แกนี่มัน” ในจังหวะที่คนตรงหน้าจะเดินเข้ามาประชิด ต้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เข้ามายืนขว้างไว้

“พวกเรามาเที่ยวกันเฉพาะกลุ่มเพื่อน พวกเธอกลับไปเถอะ” มันเอ่ยปากไล่อย่างสุภาพ

“เพื่อนนายกวนตีนเราก่อน” กวนตีนก่อนแล้วไง ใครแครรรรรรรรรรรรรรรร์

“มึง ... กลับเถอะ กูไม่อยากมีเรื่อง” ผู้หญิงในชุดเกาะอกพยายามดึงสติของเพื่อนเธอเอาไว้ แม้ว่าเขาคนนั้นจะหล่อราวกับ idol เกาหลีแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากมีเรื่อง เพราะนอกจากเขาไม่ได้ดูมีท่าทีจะสนใจเธอหรือเพื่อนของเธอแล้ว ที่สำคัญคนที่เพื่อนของเธอกำลังมีปัญหาด้วยอยู่นั้นก็ดูไม่ใช้คนธรรมดา กิริยาท่าทางบุคคิกราวกับคุณหนูตามแบบฉบับละครหลังข่าว ยิ่งพิจารณาเสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องประดับ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นพวกลูกหลาน Hiso หากตามใจเพื่อนจนมีเรื่องมีราว คาดว่าผลที่ได้จะไม่คุ้มเสีย

“เออ!!! กลับก็กลับ” พูดจบ 2 คนนั้นก็สะบัดตัวเดินกระแทกเท้าออกไป

“ฮึๆ” ผมหัวเราะอย่างผู้มีชัย ...  ไม่ว่าเราจะมีสถานะอะไรก็ตาม จีเป็นของผม ของผมคนเดียวเท่านั้น

“ส่วนมึง!!! ให้มันน้อยๆ หน่อย ที่นี่ร้านเหล้าไม่ใช้โรงแรม...” ไอ้ต้นหันกลับมามองผมตาขวาง

“... ไหนว่าไม่ได้เป็นอะไรกันไง ... เก็บอาการไม่อยู่แล้วมึงนะ” นิ้วชี้ของเพื่อนจิ้มลงมาที่หัว มันออกแรงผลักจนผมแทบจะตกเก้าอี้

“ไอ้เหี้ยต้น!!!”



...



Maserati Granturismo สีขาวเลี้ยวผ่านประตูบ้านเหล็กดัดลวดลายงดงามวิจิตรที่มีรูปปั้นสิงโต Nemean ตัวใหญ่ประดับอยู่บนเสาประตูทั้ง 2 ข้าง รถคันหรูวิ่งผ่านถนนอิฐตัวหนอนเข้ามาด้านใด เงาของร่มไม้ใหญ่ปกคลุมตัวรถตลอดระยะทางที่วิ่งเข้ามา ไม่นานบ้านสีขาว 3 ชั้นหลังใหญ่ก็ประกฎขึ้นในสายตา ทันทีที่รถคันหรูจอดสนิท ลูกชายเจ้าของบ้านกับเพื่อนสนิทก็ก้าวลงจากรถพร้อมกัน

“มากี่ครั้ง ก็ยังไม่ชินกับบ้านมึงซักที” จีพูดขึ้นพรางมองไปรอบๆ บ้านหลังใหญ่ใจกลางเมืองที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยความเขียวขจีของพืชพรรณนานาชนิด แค่ผ่านประตูรั้วเข้ามาก็เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง

“ขนาดกูยังไม่ชินเลย ...” จีมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่เดินนำหน้า สวยขนาดนี้แต่น่าเสียดายที่มิลค์ไม่ชอบบ้านหลังนี้ แม้มิลค์จะไม่เคยบอกแต่จีก็สัมผัสได้ว่าสาเหตุน่าจะมาจากความห่างเหินของคนในครอบครัว พ่อซื้อคอนโดให้มิลค์ช่วง ม. ปลาย ช่วงแรกเจ้าตัวยังไปๆ กลับๆ ระหว่างบ้านกับคอนโดแต่หลังจากเข้ามหาลัยมันก็ย้ายออกมาอยู่คอนโดและแทบจะกลับบ้านนับครั้งได้ ยิ่งพ่อกับแม่ย้ายกลับมามันก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากกลับบ้าน

“... พ่อกูน่าจะมีแขก” เจ้าตัวพูดขึ้นหลังจากที่เห็นรถยุโรปคันใหญ่ที่ไม่คุ้นตา จีมองเลยเข้าไปในโรงจอดรถ Maserati Granturismo ดูจะเป็นรถที่ธรรมดาที่สุดในบ้านหลังนี้ เพราะในโรงรถมีสมาชิกตั้งแต่ Maybach 62S, Rolls Royce phantom, Bentley Mulsanne รวมไปถึงรถหรูอีกหลายคันจอดเรียงกันเป็นแถว

“น้องมิลค์ จะกลับบ้านทำไมไม่บอกพี่” พี่แอน คนเก่าคนแก่ของบ้านสิงหนาฏฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จีอมยิ้มเมื่อเห็นทั้ง 2 คนกอดกันกลม แม้จะเป็นลูกคุณหนูแต่ข้อดีประการหนึ่งของมิลค์คือมันเป็นคนไม่ถือตัว จะกับรุ่นพี่ที่คณะหรือภารโรงในมหาลัย มิลค์ก็ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพเสมอ

“มิลค์แค่กลับมาเอาของ”

“ช่วงนี้เรียนหนักไหม น้องมิลค์อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เดียวพี่แอนทำแล้วเอาไปฝากไว้ให้” พี่แอนเป็นคนที่รู้ใจมิลค์ที่สุด ของใช้ส่วนตัวตลอดจนอาหารที่ชอบ ไม่มีอะไรที่แม่บ้านคนนี้จะไม่รู้เกี่ยวกับคุณหนูของเธอ นอกจากดูแลความเรียบร้อยในบ้านใหญ่แล้ว พี่แอนยังดูแลความเป็นอยู่ของมิลค์ที่คอนโดด้วย พี่แอนจะเข้าไปทำความสะอาดและเติมของสดของแห้งให้คุณชายตัวน้อยของเธอด้วยตัวเอง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

“มิลค์อยากกินแกงเขียวหวานเนื้อ ต้มโคล้งใส่ปลาแห้งกับตำลึงเยอะๆ แล้วก็ผัดวุ้นเส้น” จีอดไม่ได้ที่จะขำให้กับดวงตาแวววาวของเพื่อนสนิท มิลค์ชอบอาหารฝีมือพี่แอนที่สุด ใครๆ ก็คิดว่าคุณหนูอย่างมันต้องชอบอาหารฝรั่ง แต่อีกเรื่องที่น่าประหลาดใจคือมิลค์ชอบกินอาหารไทย อาหารอีสานมันก็ชอบแม้จะกินเผ็ดไม่เก่งและกินปลาร้าไม่เป็น แต่ถ้าเป็นตำไทย ลาบ น้ำตก ไก่ย่าง ไอ้มิลค์สู้ไม่ถอย ถึงขั้นใช้มือจกข้าวเหนียวส้มตำก็เคยมาแล้ว

“ได้เลยครับ เดียวพี่แอนทำให้เสร็จแล้วจะรีบเอาเข้าให้นะครับ ... น้องจีอยากกินอะไรไหม พี่แอนจะได้ทำฝากไปพร้อมกัน” พี่แอนหันไปถามจีที่ยืนอยู่ด้านหลังผม

“555 ไม่เป็นไรครับ เดียวจีไปแย้งมิลค์กิน”

“ได้ครับ เดียวพี่แอนทำเผื่อน้องจี” จบประโยคเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นมาจากห้องรับแขก เมื่อรู้ว่าพ่อกับแขกกำลังจะเข้ามาพี่แอนก็ขอตัวกลับไปทำงานที่ในครัว

“อ้าวมิลค์ กลับมาบ้านเหรอลูก” พ่อทักทายเมื่อเห็นผม

“มิลค์กลับมาเอาของ ... อาณรงค์สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่สูงวัยที่เดินตามหลังพ่อเข้ามา ดูจากการแต่งตัวของทั้ง 2 คนแล้วคิดว่าน่าจะกำลังออกไปธุระกัน

“ไม่เจอกันนาน โตเป็นหนุ่มแล้ว” อาณรงค์กล่าวทักทายผมอย่างเป็นกันเอง ผมคุ้นเคยกับอาณรงค์มาตั้งแต่เด็ก อาเป็นคนสนิทของพ่อ ทั้ง 2 คนรู้จักกันตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ พอพ่อกลับมาเปิด head office ที่ไทย อาณรงค์ก็ออกจากบริษัทเดิมมาช่วยงานพ่อ

“ณรงค์ ... นี่จี เพื่อนสนิทเจ้ามิลค์” พ่ออมยิ้มเมื่อเห็นลูกชายคนโปรดยืนอยู่ข้างหลังผม

“สวัสดีครับ” จียกมือไหว้อาณรงค์

“จีเป็นคนเก่ง ผมชวนมาทำงานที่บริษัทตั้งหลายครั้งแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมตอบตกลงซักที” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทีเล่นทีจริง

“555 ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกครับ” จีเลยทำได้แค่หัวเราะกลบเกลื่อน

“เป็นคนเก่งก็ดีแล้ว ถ้าอนาคตสนใจมาทำงานด้วยกันบอกลุงได้นะ ...” อาณรงค์ตบไหล่จีหนักๆ 2 ที

“... ไปกันเถอะพี่ เดียวจะสายเอา”

“งั้นพ่อไปก่อน”

“ครับ / สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับอา” พูดจบทั้ง 2 คนก็เดินออกจากบ้าน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 24
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-09-2025 22:21:42
ตอนที่ 24 : Fireworks part 2/2

“หยุดยาวนี้แกมี plan ไปไหน” แก้วถามในขณะที่พวกเรากำลังเก็บของหลังเลิก class วันนี้เป็นวันศุกร์สุดท้ายก่อนหยุดยาวปีใหม่ 4 วัน

“อยู่กรุงเทพนี่แหละ วันอาทิตย์นัดเพื่อนมัธยม countdown ที่คอนโด แกละ” เป็นธรรมเนียมประจำทุกปีอยู่แล้วที่พวกเราจะ countdown และนอนค้างคืนด้วยกันที่คอนโดของผม แล้ววันถัดไปพวกเราก็จะไปทำบุญด้วยกัน

“อยู่กับที่บ้าน”

... ‘G’

“ว่าไงจี ถึงแล้วเหรอ ... อืม เดียวเจอกันข้างล่าง” จบประโยคผมก็เก็บของเสร็จพอดี

“ไหนว่านัดกับเพื่อนไว้วันอาทิตย์ไง” ต้นถามด้วยสายตาล้อเรียน

“เมื่อบ่ายจีเพิ่งโทรมาชวนไปกิน buffet ปิ้งย่างนะ”

“กูพนันข้าวมื้อนึงว่าพวกมัน 2 คนต้องตัวกินกันตลอดหยุดยาว 4 วัน”

“กูไม่พนันเพราะดูทรงแล้วตัวติดกันยันวันอังคารชัวร์” ต่อรีบปฏิเสธ

“ไอ้มิลค์ กูเห็นมึงเป็นเด็กน้อยไร้ประสบการณ์ ...” ไอ้ต้นรับคว้าคอผมก่อนที่ผมจะชิ่งหนี

“... ช่วงเทศกาลแบบนี้แหละเหมาะที่จะได้กันที่สุดแล้ว ... หยุดยาว อากาศเย็นกำลังดี เทศกาลแห่งความสุข ...”

“... countdown เสร็จตีหัวลากเข้าห้องเลย เปิดปีใหม่นอกจากเริ่มต้นใหม่แล้ว ยังได้ผัวใหม่ด้วย 555”

“ไอ้เหี้ยยยย จังไรชิบหาย ... กูไปแหละ” ผมพลักมันออก แล้วเดินออกจากห้อง ... ใครจะไปทำอะไรบ้าๆ แบบนั้น

จีนั่งรออยู่ที่โต๊ะไม้ใต้ถุนตึก คนตรงหน้าระบายยิ้มในจังหวะที่เจ้าตัวหันหน้ามาในจังหวะที่ผมก้างออกจากลิฟต์พอดี มันแต่งตัวชุดไปรเวทเพราะวันนี้ไม่มีเรียน จีอยู่ปี 4 แล้วส่วนใหญ่จะเป็นวิชาฝึกงาน หรือไม่ก็ทำ project จบ ยิ่งเป็นช่วงปลายเทอมแบบนี้ ตารางเรียนของเจ้าตัวยิ่งว่าง ผิดกับผมที่ตารางเรียนยังแน่นตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์

“ปะ หิวแล้ว” มันลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อผมเดินเข้ามาใกล้

“อยากกินเนื้อย่าง” ผมพูดพลางเอามือลูบท้อง แค่คิดถึงเนื้อย่างติดมันนุ่มๆ น้ำลายก็สอแล้ว

“อี้ เหม็นเนื้อ” เจ้าตัวคว้าเอากระเป๋าในมือผมไปถือไว้แล้วทำจมูกย่น

“น่าสงสารพวกไม่กินเนื้อจริงๆ” ผมเชิดหน้าใส่ อย่าคิดว่าจะยอมแพ้ ... จีไม่กินเนื้อเพราะที่บ้านนับถือเจ้าแม่กวนอิม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เคร่งถึงขั้นต้องแยกเตากับผม

“รีบไปๆ เย็นวันศุกร์รถติดกว่าจะถึงร้านน่าจะทุ่มหนึ่งพอดี” ผมพยักหน้าเห็นด้วย จากตรงขับผ่ารถติดไปย่านทองหล่อเคยคิดก็น่าเบื่อแล้ว



“กูว่า trip ปิดเทอมปีนี้น่าจะต้องจัดเร็วหน่อย” ผมพูดในระหว่างที่รถของเราติดอยู่ตรง 4 แยก

“กูก็คิดว่าอย่างนั้น”

“ปิด summer กูมีต้องไปฝึกงานที่ฟาร์มเดือนนึง ส่วนพวกมึงก็ต้องเริ่มทำงานกันแล้ว กูว่าภายในสัปดาห์แรกหลังสอบเสร็จน่าจะเหมาะที่สุด” พวกมัน 4 คนที่เหลือเรียนจบแล้ว ผมไม่รู้ว่าปกติแล้วเด็กที่เรียนจบจะเริ่มทำงานกันเดือนไหน แต่เท่าที่เคยคุยกับไอซ์มันบอกวว่าแล้วแต่บริษัท บางที่ก็เริ่มเลย บางที่ก็ให้พักก่อนเดือนหนึ่ง

“มึงฝึกงานเมื่อไหร่”

“กลางเดือนมีนา น่าจะฝึกเสร็จก่อนสงกรานต์ ... มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามเพราะคนข้างตัวเม้มปาก ทำสีหน้าครุ่นคิด

“กูได้งานแล้วนะ เขาเพิ่งตอบรับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ...” ความรู้สึกแรกคือผิดหวัง เพราะแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธมาตลอดแต่ผมก็ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าจีจะตอบตกลงมาทำงานที่บริษัทของพ่อ

‘Only the prince can bear the heavy of the crown’ คำพูดของจียังคงดังก้องอยู่ในหัว เพราะตั้งแต่พ่อกลับมา น้ำหนักของมงกุฎก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้ดีว่าในอนาคต แม้แต่จีก็ไม่สามารถแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของผมได้ แต่การมีเขาอยู่เคียงข้าง ย่อมดีกว่าการต้องเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างเพียงลำพัง

“... กูต้องไปทำงาน off shore นะ” แล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ

“เหรอ แล้วต้องไปนานเท่าไหร่อะ”

“ไป 3 สัปดาห์ กลับ 1 สัปดาห์” พอได้ยินคำตอบแล้วเหมือนชาไปทั้งตัว

“มึงเริ่มทำงานเมื่อไหร่”

“ต้นเดือนเมษา”

“กูกลับมาไม่ทันซินะ” กว่าผมจะกลับมาจีก็ไป off shore แล้ว

“อืมมมม ไม่ทัน”

“แสดงว่าเรื่อง trip ญี่ปุ่นคงต้องเลื่อนไปยาวเลย”

“I am sorry”

“The timing is all wrong...” เราคุยกันตั้งแต่ปีที่แล้วว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันซักครั้งก่อนจีเรียนจบ แต่เวลาของเราไม่เคยตรงกันเลยตั้งแต่ปิดเทอมเล็กจนถึงตอนนี้

“... it's beginning now, the distance between us” พูดไปก็ใจหาย เหมือนเพิ่งจะเริ่มคุ้นชินกับความห่างเหินของชีวิตในมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน ก็ต้องมาปรับตัวกับชีวิตในวัยทำงานอีกแล้ว

“I promise, no matter what the future holds. You'll always be the most important person in my life” มือหนาวางทับลงบนหลังมือของผมที่วางอยู่บนหัวเกียร์ ผมคลายยิ้มให้กับคำตอบของเพื่อนสนิท แม้ข้างในจะสั่นไหวมากแค่ไหนแต่คำสัญญาจากจีก็ทำให้ผมมั่นใจว่าเราจะเป็นคนสำคัญของกันและกันตลอดไป



“จี!!! มึงเอามาเยอะไปหรือเปล่าเนี่ย” ผมอุทานเมื่อจียกถาดหมู ไก่ กุ้งมาร่วม 10 ถาด

“กินได้ๆ กำลังหิว”

“แต่กูเริ่มอิ่มแล้วนะเว้ย”

“ไรวะ มึงกินไปได้นิดเดียวเอง”

“นิดเดียวอะไร กูแดกวัวไปจะครึ่งตัวอยู่แล้ว ...”

“... กินไหม อร่อยนะเว้ย โคตรนุ่ม” ผมคีบเนื้อวัวชิ้นที่สุกกำลังยื่นไปให้คนตรงหน้า

“ไม่เอาเหม็น ... ไอ้มิลค์เลิกเล่น กูเหม็น” มันพูดเสียงเข้ม เมื่อเห็นว่าผมยังเล่นไม่เลิก

“555 กูกินเองก็ได้ อร่อยยยยยย!!!” อร่อยจนแสงออกปาก เนื้อวัวคือที่สุดดดดดดดดด

“อะ แดกวัวแล้วก็แดงกุ้งต่อปากจะได้ไม่ว่าง...” กุ้งแกะเปลือกแล้ว 2 ตัวถูกคีบมาวางลงบนจานตรงหน้า เนื้อสัมผัสเด้งๆ หวานๆ เนื้อกุ้งคือที่สุดดดดดดดดดดดดดด

“... ต้องทำตาวาวขนาดนั้น”

“ก็มันอร่อยๆ ก่อนหน้านี้กูเครียดเรื่องสอบเลยกินอะไรไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่” เทอมมนี้มีวิชา lab สุดหิน 2 ตัวที่แม้ว่าจะเตรียมตัวมากเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ

“ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ” พูดจบกุ้งทั้งตัวก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ผมมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงถามว่าจะป้อนตรงนี้จริงเหรอ ส่วนมันก็มองหน้าผมก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปยังกุ้งตัวนั้นราวกับถามว่าทำไมไม่กินซักที ... ริมฝีปากสีชมพูงับเอาเนื้อกุ้งสีขาวเด้ง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย มิลค์เคี้ยวอาหารในปากราวกับว่ามันอร่อยเสียเต็มประดา

แล้วก็เป็นอย่างที่ผมเตือน จีตักอาหารมาเยอะเกินไปจนตอนท้ายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเรามาทรมานตัวเองซะมากกว่า อิ่มจนท้องแทบแตกแต่ก็ฝืนยัดเข้าไปจนหมดเพราะไม่อยากโดนปรับ

“โคตรอิ่ม” มันพูดพลางนั่งผึ่งพุงอยู่ข้างๆ ผมในรถ

“กูเตือนมึงแล้วว่ามันเยอะไป”

“แต่ก็หมด”

“มันมากเกินไปไหม” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน อิ่มขนาดนี้ คืนนี้กว่าจะได้นอนมีหวังหลังเที่ยงคืนแน่ๆ

“ของคาวกินแล้ว ของหวานกินแล้ว ทำอะไรกันต่อดี” จีเอนหลังลงบนเบาะแล้วตะแคงข้างมาทางผม ดูท่าแล้วเราจะตัวติดกันไปยังวันอังคารเหมือนที่ไอ้ต้นแซว

“ยังไม่ 4 ทุ่มเลย ไปเช่าหนังมาดูกันไหม” ผมเสนอ จะไปหาของกินต่อคงไม่ไหว จะหาที่เดินเล่นตอนนี้ก็ปิดหมดแล้ว ไปเช่าหนังมาดูที่คอนโดน่าจะเหมาะที่สุด

“เอาดิ ไปดูที่ห้องมึงนะ พรุ่งนี้ตื่นสายหน่อยแล้วขับไปนั่งเล่นหาอะไรกินที่บางแสนกัน”

“ได้ ไม่ได้ไปทะเลนานมากกกกก” โปรแกรมแน่นขนาดนี้ ผมจะได้ชาร์จแบตไปด้วยในตัว

เราขับรถไปจอดไว้ที่คอนโดก่อนจะเดินออกมาร้านเช่าหนังที่อยู่ห่างไปไม่เท่าไหร่ ขำที่พอผมกับจีเดินเข้าร้านพนักงานก็ทำจมูกฟุตฟิตเพราะได้กลิ่นปิ้งย่างจากเสื้อของเรา 2 คน

“สงสัยกลับคอนโดแล้วต้องอาบน้ำก่อนดูหนัง ไม่งั้นกลิ่นติดโซฟาแน่ๆ” ผมพูดในขณะที่เรา 2 คนก้มๆ เงยๆ เลือก CD หนังบนชั้น

“มึงอยากดูแนวไหนวะ” จีถาม มันนั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าในขณะที่ผมยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง

“ไม่รู้เลยวะ มีอะไรน่าสนใจไหม” ผมไล่นิ้วไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เก่าไปก็เคยดูแล้ว

“มึง!!! กูเจอเรื่องนี้ เป็น director’ s cut ด้วย” กล่อง CD ถูกยื่นออกมาตรงหน้า หน้าปกของมันเป็นรูปเด็กวัยรุ่นชายหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับผม

“เคยดูกับมึงแล้วนิ” มันเป็นหนังโรงที่ผมกับจีเคยไปดูด้วยกันแล้ว ถือว่าเป็นหนังกระแสของปีนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะตอนแรก tailer ทำออกมาเป็นแนวหนักรักวัยรุ่นแต่พอฉายไปได้ไม่กี่วันกลับเป็นกระแสโด่งดังเนื่องจากแทนที่ตัวเอกในเรื่องจะเป็นคู่ชาย-หญิงแต่กลับพลิกเป็นคู่ชาย-ชาย ถึงกระนั้นกระแสของหนังก็มาแรง รวมถึงคำวิจารณ์จากสำนักต่างๆ ก็ยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมแห่งปี

“ยังไม่เคยดู Director’ s cut เลย อยากดูตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว” หลังจากหนังออกจากโรงไปได้ไม่นาน ผู้กำกับก็ออก version Director’ s cut โดยเพิ่มเนื้อหาให้ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น แต่เพราะเวลาที่ไม่ตรงกันเลยทำให้เราไม่ได้ไปดูจนกระทั้งมันออกจากโรง

“เอาดิ”



“ถ้ามึงเป็นมิวมึงจะทำยังไงวะ” จีถามในขณะที่จอ TV ตรงหน้ากำลังขึ้น end credit

“ถ้าเป็นกูๆ ก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน กอดกัน จูบกัน เหมือนว่าจะคบกันแต่สุดท้ายไม่ได้คบ ...”

“... โต้งพูดแบบนี้เห็นแก่ตัวนะ ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้แล้วจะให้มิวทำยังไง อยากให้รอหรือตัดใจก็เลือกเอาซักทาง คนพูดว่าเจ็บแล้วแต่คนฟังเจ็บมากกว่า...”

“… รักกันแต่เป็นแฟนกันไม่ได้ก็เหมือนถูกปฏิเสธเปล่าวะ อาจจะทรมานกว่าด้วยซ้ำ...

“... แล้วถ้ามึงเป็นโต้งมึงจะทำยังไง”

“กูว่าโต้งยอมแพ้ง่ายไป เป็นกูๆ จะสู้ สู้ไปเรื่อยๆ จนกว่ากูจะชนะ”



เราคุยเรื่องราวสัพเพเหระกันต่อกว่าจะได้นอนก็ดึกมาก ไม่แปลกที่กว่าเรา 2 คนจะตื่นก็เลยเที่ยงไปพอสมควร พวกเราเลยตัดสินใจไปนั่งเล่นริมหาดบางแสนกันช่วงเย็น นั่งเก้าอี้เปลริมหาด ดูพระอาทิตย์ตก ฟังเสียงคลื่น กิน sea food ร้านประจำแต่ที่ surprise คือจีชวนผมนอนค้างบางแสนโดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่าไหนๆ ก็ขับมาแล้วนอนค้างซักคืน พรุ่งนี้ตื่นมาเดินเล่มริมหาดตอนเช้า กินข้าวกลางวันแล้วค่อยขับรถกลับกรุงเทพมาเตรียม count down กับ ไอซ์ อาร์ม โจ้

น้ำทะเลสีเขียวตกกระทบแสงแดดยามเย็น หาดทรายสีขาว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง จีนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ริมชายหาด เพราะแว่นกันแดดสีดำที่เจ้าตัวใส่ทำให้จีสามารถมองเพื่อนสนิทของตัวเองได้เต็มตาโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกมิลค์จับได้ มิลค์ยืนอยู่ไม่ห่างจากเขาเท่าไหร่นัก มันกำลังยืนเอาขาแช่น้ำทะเลพรางมองออกไปสุดปลายฟ้า เขาไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดอะไรอยู่ในใจแต่เขาก็ไม่สามารถละสายตาจากมิลค์ได้แม้แต่เสี่ยววินาทีหนึ่ง และในช่วงจังหวะหนึ่งที่มิลค์หันมา จีมั่นใจว่าแว่นกันแดดของตัวเองทึบแสงพอที่มิลค์จะไม่สามารถบอกได้ว่าเขากำลังหลับหรือตื่น แต่ไม่ว่สมิลค์จะรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม ทั้ง 2 คนก็สบตากัน แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท ยิ้มสวยที่ถูกแต้มด้วยแสงแดดยามเย็น สำหรับจีแล้วภาพตรงหน้างดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชั้นครู



“ไอ้มิลค์ เร็วเข้าเดียวไม่ทัน” ผมที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นกระโดดข้ามพนักพิงแล้วหย่อยตัวลงตรงกลางระหว่างจีกับไอซ์

TV จอใหญ่ตรงหน้ากำลังเปิดช่องถ่ายทอดสดงาน count down ชื่อดังย่านใจกลางเมือง ตัวเลขขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ 5 ... 4 ... 3 ... 2 ... 1

เฮ่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เสียงโห่ร้องของพวกเราดังลั่นห้องในจังหวะเดียวกับที่พลุไฟนับสิบนับร้อยสว่างไสวท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิท ... สวยงามราวกับความฝัน ... เป็นเวลาประมาณ 5 นาทีที่พวกเราต่างเงียบแล้วซึมซับกับบรรยากาศตรงหน้า ผมอาศัยช่วงเวลาที่ทุกคนต่างสนใจกับการแสดงพลุไฟตรงหน้า ลอบสังเกตพวกมัน พวกเรา count down ด้วยกันที่นี้ทุกปีมาตั้งแต่ ม. 5 จำได้ว่าตอนขึ้นมหาลัยผมก็กลัวว่าพวกเราจะห่างและสนิทกันน้อยลง แต่ระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมาพวกเรากลับสนิทกันมากขึ้น ชีวิตมหาลัยมีเรื่องราวต่างๆ เข้ามามากมายที่ต่างจากชีวิตมัธยม และผมก็หวังว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีกหนึ่งช่วงชีวิตจะทำให้พวกเราสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม

“มิลค์”

“กูอยู่นี้” ผมขานรับในขณะที่ก้มๆ เงยๆ อยู่แถวตู้ใต้ซิงค์ล้างมือในห้องครัว

“หาอะไรอยู่วะ” จีพูพรางก้าวเท้าเข้ามาในห้อง

“หาถุงขยะ” ผมแทบจะคานเข้าไปในตู้ จำได้ว่ามันเก็บอยู่แถวนี้

“ไอ้มิลค์ ถุงขยะไม่ได้เก็บอยู่ตรงนั้นไหม ...” จีเดินไปอีกฝั่งของครัวก่อนจะเปิดตู้แล้วหยิบเอาถุงดำออกมากหลายใบ

“... นี่ห้องมึงหรือห้องกูวะ” มันส่ายหัวอย่างเอือมระอา

“เอ้า!!! ก็ครั้งสุดท้ายมันอยู่ตรงนี้”

“ครั้งสุดท้ายของมึงนี่คือเมื่อไหร่ ...” ผมเม้มปากคิดหาคำตอบให้กับเพื่อนสนิท นั้นนะซิเมื่อไหร่วะ

“... ไอ้ลูกคุณหนูเอ้ยยยยย” จีเดินเข้ามาหาก่อนที่มือหนาจะขยี้ลงบนหัวของผมอย่างหยอกล้อ

“เออๆ บ่นกูอยู่นั้นแหละ” ผมพูดพร้อมกับก้าวเท้าจะเดินออกจากห้อง

“Wait ...” จีคว้าข้อมือของผมไว้ ก่อนจะออกแรงดึงให้ผมเดินเข้าไปหา ผมยิ้มอย่างเขินอายแต่ขาทั้ง 2 ข้างก็เดินตามแรงดึงอย่างไม่ขัดขืน

“... tell me. What’ s in your mine” เสียงกระซิบดังขึ้นข้างหู ผมถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท เรากอดกันหลวมๆ ก่อนที่มันจะส่ายตัวไปมาช้าๆ ราวกับจะชวนผมเต้นรำ

ตั้งแต่กลับมาจาก Canada ผมไม่ได้รู้สึกสับสนกับกอดของคนตรงหน้าอีกต่อไป กลับรู้สึกโหยหาเสียด้วยซ้ำ เราไม่ได้กอดกันบ่อยนัก ส่วนมากจะเป็นกอดตอนนอนหลับไปแล้วซะมากกว่า ... อีกหนึ่งเหตุผลที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอคืนวันขึ้นปีใหม่ เพราะมันเหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่หลังจาก count down เรา 2 คนจะออกมาหาที่เงียบๆ เพื่อซึบซับกอดของกันและกัน

“Not thing” ผมตอบปฏิเสธ

“I saw it. When you are peeking on me and other ...”

“... Don’ t worry. We will be together next year and the years after. And if they don’ t, I give you my word, I will be here with you, sitting next to you, counting down …”

“… I promise I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time”

“จี ... แค่มีมึงอยู่ข้างๆ ต่อให้โลกทั้งใบถล่มลงมา กูก็มั่นใจว่าจะผ่านมันไปได้”



“ไอซ์ กูเห็นพวกมัน 2 คนกอดกันในครัว” อาร์มพูดขึ้นในห้องที่มืดสนิท ไอซ์รู้ได้ทันทีที่ว่าหมายถึง 2 คนไหน อาร์มไม่ได้ตั้งใจจะแอบดู แต่แค่บังเอิญจะเดินเข้าไปหยิบของในครัวพอดี

หลังจาก countdown เสร็จ พวกเขาทั้ง 5 คน party กันอีกซักพักก่อนจะแยกย้ายเข้าห้องนอน คอนโดไอ้มิลค์มี 2 ห้องนอน พวกเขา 3 คนจงใจนอนเบียดกันในห้องนอนเล็กและให้ 2 คนนั้นนอนด้วยกัน

“กอดแบบไหน” แม้จะรู้อยู่แล้วแต่เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะถาม มิลค์เคยเล่าให้เขาฟังว่ากอดกันแต่ไม่เคยลงรายละเอียด กอดมีหลายแบบและให้หลากหลายความรู้สึกกับผู้ถูกกอด

“กอดกันกลมเลยมึง”

“กอดแบบเพื่อนหรือเปล่า” โจที่นอนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงแย้ง

“ตอนที่เห็น กูไม่ได้รู้สึกแบบเพื่อนกอดกัน ... มันเหมือนคนรักกันมากกว่า” อาร์มพูดความจริงตามสิ่งที่คิด ตอนที่เห็นยังคิดว่าตัวเองหลุดเข้าไปในละครหลังข่าวหรือเปล่า

“อืมมม จริงๆ แล้วไม่ต้องพูดพวกเราก็รู้สึกกันอยู่แล้วไหมว่าพวกมัน 2 คนดูมี something” ไอซ์พูดขึ้นเพราะยิ่งนานวัน 2 คนนั้นก็ดูเหมือนจะปิดปังความสัมพันธ์เกินเพื่อนเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ขนาดคนนอกยังสังเกตได้แล้วมีเหรอที่เพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกันจะไม่รู้

“อืม / อืม”

“มึงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ปะ” อาร์มถาม

“ก็นิดหน่อย มิลค์มันเคยมาปรึกษา” ไอซ์ตอบ แม้จะจริงที่มิลค์เคยปรึกษาเขาแต่ก็เฉพาะช่วงแรกที่มันยังสับสน พอยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้มันก็ไม่ค่อยพูดอะไรให้เขาฟังเท่าไหร่

“แล้วคือยังไง ตกลงคือมันคบกันแล้ว?”

“กูว่ายัง ถ้าคบอะไรๆ น่าจะชัดกว่านี้” ไอซ์ตอบ

“นี่ยังไม่ชัดอีกเหรอ ป้อนข้าวกัน กอดกัน ไปเที่ยวด้วยกัน 2 คน ในห้องนอนไอ้มิลค์มีข้าวของเครื่องใช้ไอ้จีครบ มึงรู้ใช่ไหมว่ามัน 2 คนตัวติดกันมาตั้งแต่วันศุกร์”

“ไม่บอกก็พอเดาได้” เมื่อเย็นไอ้มิลค์เล่าอย่างหน้าชื่นตาบานว่าไปค้างบางแสนกับจีมาตั้งแต่เมื่อวาน พอขึ้นมาบนห้องก็เจอร่องรอยว่ามีคนมาค้างคืนก่อนหน้านั้นแล้ว

“นี่ยังไม่นับว่าไอ้จีถือ key card สำรองห้องไอ้มิลค์นะ” เรื่องนี้ก็เกินไปมาก มีแต่แฟนกันเท่านั้นแหละที่จะมีกุญแจห้องของกันและกัน ไอซ์คิดว่าไอ้มิลค์น่าจะจงใจสื่อความหมายว่าจีมีความพิเศษมากกว่าเพื่อนสนิททั่วไป

“ให้เวลาไอ้มิลค์มันหน่อย มันก็รักของมันแต่มันยังเอาชนะความกลัวไม่ได้ ...”

“... มึงอย่าลืมว่า puppy love ไอ้มิลค์ก็เริ่มจากเพื่อนสนิทแล้วก็จบที่ต้องเสียทั้งเพื่อนเสียทั้งแฟน ...”

“... ไอ้จีเป็นคนที่สนิทกับไอ้มิลค์ที่สุด ... ถ้าเสียไอ้จีไปอีกคน กูไม่อยากคิดสภาพเลยว่าไอ้มิลค์จะอยู่ยังไง”


----------

#New year #Together #Fireworks
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 24 : Fireworks
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 23-09-2025 12:15:45
“G”

“ครับ, dear ”

“I thirsty for something” น้ำเสียงอ้อแอ้ดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันกลับไปตามเสียงเรียก ร่างโปร่งของเพื่อนสนิทก็พุ่งเข้าหา แขนเล็กพาดอยู่หลังต้นคอ โครงหน้าสวยเขยิบเข้ามาแนบชิดจนจีได้กลิ่นแอลกอฮอร์จางๆ จากลมหายใจของคนข้างตัว

“Are you drunk?”

“Little bit” พูดจบมันก็ฉีกยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สว่างไสวราวกับดวงจันทร์เต็มดวง

“What do you want?”

“Anything sweet will do …”

“... for example … your lip” เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ สายตาของจีจับจ้องไปยังปากของเพื่อนสนิทที่เจ้าตัวเผลอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ ... ลูกกระเดือกเคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการกลืนน้ำลายของจี ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้ม ... แสดงออกขนาดนี้ไม่เรียกว่าเมานิดหน่อยแล้วมั้ง


----------


#Landmark #แค่เพื่อนสนิท #Fireworks
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 24 : Fireworks
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 25-09-2025 15:04:51
รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเพื่อนสนิท ยิ้มสวยที่ถูกแต้มด้วยแสงแดดยามเย็น สำหรับจีแล้วภาพตรงหน้างดงามราวกับภาพวาดของจิตรกรชั้นครู


----------

#แอบมอง #ภาพวาด #Fireworks
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 25
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 27-09-2025 11:58:54
Teaser ตอนที่ 25

BMW series 5 วิ่งผ่านถนนยามค่ำคืน ผ่านย่านทองหล่อ สุขุมวิท พระราม 4 ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนสาทร ด้วยเพราะการจราจรกลางดึกของคืนวันเสาร์ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที BMW สีขาวก็จอดสนิทในช่องจอดรถของคอนโดหรู จีหิ้วปีกมิลค์ที่บ่นงึมงำๆ มาตลอดทาง ในขณะที่วายุทำตัวเหมือน bodyguard คอยเปิดปิดประตูอำนวยความสะดวกจนกระทั้งประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุด

คิ้วคมของวายุขมวดเข้าหากันทันทีที่กระเป๋าตังค์ของจีทาบลงบนแท่น key card แล้วบานประตูตรงหน้าปลดล๊อค ... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้มี key card ห้องเพื่อน ... แต่ความสงสัยก็ถูกลืมเลื่อน เมื่อเจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง

“ไอ้เชี่ยยยยยยย ห้องแม่งโคตรสวย” penthouse ขนาดใหญ่ที่พอเดินเข้ามาแล้วจะเจอกับห้องนั่งเล่นเพดานสูง กระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นถึงเพดานทำให้ห้องนี้เห็นวิวเมืองได้แบบ 180 องศา แสงไฟจากตึกสูงส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด พอเงยหน้ามองบนเพดาน ... แม่เจ้า ... โคมระย้าอลังการขนาดนี้น่าจะซื้อรถของเขาได้ทั้งคัน

“มึงตามสบายนะ ครัวกับห้องกินข้าวอยู่อีกทาง ถ้าหิวน้ำหรือจะกินอะไรก็เปิดตู้เย็นได้เลย เดียวกูพามิลค์ไปห้องนอนก่อน” วายุพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกำลังสนอกสนใจกับความอลังการตรงหน้า

จีประคองเพื่อนสนิทให้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เจ้าตัวถอยออกมาพร้อมกับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า ไอ้มิลค์หลับไปแล้ว เขาเลยต้องรับบทเป็นพระเอก ... 2 ขายาวก้าวไปยังห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน ... มือหนาจัดการลอกคราบเพื่อนสนิท จนไอ้ตัวดีเหลือแต่ boxer ตอนลอกคราบก็ก้มหน้าก้มตาถอด แต่พอเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงกับสติหลุดกับภาพตรงหน้า ... ขนตางอน โครงหน้าสวย ผิวเนียนละเอียดราวกับอาบน้ำแร่แช่น้ำนมมาตั้งแต่เด็ก มันไม่ใช้คนออกกำลังกายเลยไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบคนอื่นเขา แต่เพียงเท่านี้ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ ... จีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ตาชั้นเดียวจดจ้องไปยังแผ่นอกที่เคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ สติสัมปชัญญะตีกันวุ่นวายไปหมด ความคิดและจินตนาการกำลังเตลิดไปไกล รู้ตัวอีกทีใบหน้าของเขากับเพื่อนสนิทก็อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ


----------
มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนพามาเข้านอน

#เมา #ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 28-09-2025 09:48:06
ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly (Part1/2)


“สุขสันต์วันเกิดนะวายุ ... นี่ของขวัญ ของกูกับจี” ผมยื่นถุงกระดาษสีสันสดใสให้คนตรงหน้า ตั้งแต่เดินเข้ามามาในงานก็เพิ่งได้เจอเจ้าของวันเกิด เพราะเจ้าตัวติดภารกิจ ‘คนของประชาชน’ เดินทักทายโต๊ะนั้นทีโต๊ะนี้ที

“ขอบใจพวกมึงมาก เดียวกูเอาไปเก็บไว้ในรถก่อน ไม่งั้นเดียวเมาแล้วไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน ... ตามสบายนะเดียวกลับมาดื่มด้วย” หันหลังเดินกลับไปได้ไม่นาน เจ้าตัวก็ถูกเพื่อนอีกกลุ่มทักทาย ดูจากท่าทางที่พูดคุยกันอย่างออกรสแล้ว เดาว่าวายุน่าจะลืมไปแล้วมั้งว่ากำลังจะเดินเอาของไปเก็บที่รถ

“แบบนี้แหละคนของประชาชน ...” จีที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยปากแซว

“... ร้านประจำมันก็แบบนี้ รู้จักไปหมด ตั้งแต่ยามที่ลานจอดรถจนถึงเจ้าของ” วายุฉลองงานวันเกิดอายุ 24 ด้วยการนัดเพื่อนๆ มาสรรสังที่ร้านเหล้าร้านประจำของเจ้าตัว แต่จริงๆ แล้วผมคิดว่าน่าจะเป็นร้านประจำของคณะจีมากกว่า เพราะนอกจากเจ้าของวันเกิดทักทายทุกคนแล้ว คนข้างตัวก็มีรุ่นพี่รุ่นน้องมาทักทายไม่หยุด บรรยากาศตอนนี้คึกครืนมาก ตามประสาคืนวันเสาร์

“มันดูดื่มเก่งนะ กูไม่เห็นมือมันว่างเลย” ผมแซวเพราะเห็นเจ้าของวันเกิดดื่มเรื่อยๆ ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตอนนี้

“มันคอแข็ง ...” ผมพยักหน้ารับ จากประสบการณ์ที่ไป party ด้วยกันมาสมัย summer trip คอแข็งว่าจีก็วายุเนี่ยแหละ ... มีแต่ผมที่คออ่อนอยู่คนเดียว

“... เรื่องฝึกงานมึงพร้อมไหม”

“พร้อมไหม ก็พร้อม”

“ฟาร์มวัวที่นครราชสีมาใช่เปล่า” จีถามย้ำ

“อืม” ผมตอบรับแบบขอไปที จะพร้อมไม่พร้อม ผมก็ต้องไป แม้ฟาร์มที่จะไปจะเป็นของรุ่นพี่ที่คณะ และรุ่นพี่หลายๆ คนต่างการันตีเป็นเสียงเดียวกันว่าสบายที่สุดแล้วในบรรดาฟาร์มทั้งหมดที่เปิดรับนิสิตฝึกงาน แต่ผมก็ยังกังวล ผมไม่ชอบความลำบาก คำว่า “ดี” ในที่นี้คือดีกว่ามาตรฐานฟาร์มทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องทำอาหารกินเอง อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง นอนห้องพัดลม และที่สำคัญคือห้องน้ำ แค่นึกถึงห้องน้ำในฟาร์ม ผมก็ขนลุกไปทั้งตัว

“ทำหน้าแบบนี้ รู้เลยว่าไม่อยากไป”

“เอาจริงก็ไม่อยากไป แต่มันเป็นวิชาๆ หนึ่งเลย ไม่ไปก็ไม่ได้ ...”

“... กูไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ไปอยู่นานขนาดนั้น สัปดาห์เดียวก็พอแล้วหรือเปล่าวะ” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งใส่อารมณ์ ผมไม่กล้าบ่นกับเพื่อนๆ ที่คณะเพราะกลัวจะถูกมองว่าติดหรู รักสบาย

“ยิ่งพูดยิ่งหน้างอ 555 ...” ผมหันกลับไปมองแรงเพื่อนสนิทที่ดูจะมีความสุขบนความทุกข์ของผมเสียเหลือเกิน

“... กูไม่รู้หรอกว่าอาจารย์คณะมึงเขาคิดยังไง และกูก็ไม่เข้าใจ life style ของสัตวแพทย์ด้วย ...”

“... แต่การที่มึงต้องทนทำในสิ่งที่มึงไม่ชอบ และผ่านมันไปได้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์หรือเปล่าวะ...”

“... คนเรานะ ไม่มีทางได้ทุกอย่างที่เราต้องการหรอกนะ แม้ว่าคนๆ นั้นจะคือ มิลค์ ติณสิงห์ ก็ตาม ... บางครั้งเราก็ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ”

“อืม ...” ผมถอนหายใจ พยายามมองโลกในแง่ดีตามที่เพื่อนสนิทบอก

“... กูผ่าน รด. มาได้ กูก็ต้องผ่านฝึกงานไปได้ซิวะ” คิดเข้าข้างตัวเองว่า รด. ลำบากกว่านี้ยังผ่านมาได้ แค่ฝึกงานฟาร์มเองทำไมผมจะผ่านไปไม่ได้

“เก่งมาก ต้องแบบนี้ซิวะ”



อ้วกกก อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!

“ไหวไหมมึง” มือหนาของจีลูปขึ้นลงบนแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่นั่งยองๆ อยู่ด้านหลังลานจอดรถในขณะที่แขนอีกข้างก็รั้งเอวบางเอาไว้ไม่ให้ล้มหน้าคะมำ

“อืมๆ” เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ ตามประสาคนเมา

“มาๆ เดียวกูช่วยหิ้วมันขึ้นรถ” เสียงของตัวต้นเหตที่ทำให้ไอ้มิลค์เมาไม่ได้สติดังขึ้นจากด้านหลัง

“มึงไม่ต้องเลย!!!” จีหันไปพูดกับวายุเสียงเข้ม พร้อมกับพลักมือของเพื่อนที่จะเข้ามาช่วยพยุงให้ออกห่าง

“เออๆ หวงจริงเว้ย” เจ้าตัวพูดขำๆ ปลดล็อครถตัวเองแล้วเปิดประตูหลังรอ วันนี้จีกับมิลค์ไม่ได้เอารถมาเพราะทั้งคู่ตั้งใจจะมาดื่มในงานเลี้ยง

“กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามอมเหล้ามิลค์ พอมันเมาแล้วลำบากกูทุกที” วายุเบ้ปากให้เพื่อนของตัวเองที่แม้ปากจะบ่นแต่ก็ประคบประหงมตั้งแต่หัวค่ำ เรียกได้ว่าประกบติดเป็นเงาตามตัวไอ้มิลค์ไม่ห่าง แยกเขี้ยวใส่ทุกคนที่ทำท่าจะเดินเข้าหาเพื่อนสนิทของตัวเอง

“ก็เพื่อนมึงน่ารักน่าแกล้งขนาดนี้ กูอดใจไม่ไหว 555” แม้ปากจะแซวแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามิลค์ดูดีขึ้นจริงๆ นับจากครั้งสุดท้ายที่เขาบังเอิญเดินสวนกันในมหาลัยเมื่อ 2 ปีก่อน เจอกันครั้งแรกสมัย summer trip ก็คิดอยู่ในใจว่ามิลค์หน้าตาน่ารักดี แต่พอมาวันนี้ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าคำว่า “น่ารัก” ... โครงหน้าสวย บุคลิกดี ยิ่งเจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่องแบบวันนี้ บอกเลยว่าหนุ่มๆ ในร้านมองตามกันคอแทบเคล็ด

“เดียวกูจะคิดบัญชีกับมึง” จีพูดพลางพยุงมิลค์เข้าไปในห้องโดยสารด้านหลัง

“คอนโดไอ้มิลค์อยู่ไหนนะ” วายุถามเมื่อเข้ามานั่งประจำที่พลขับ

“สาทร เดียวใกล้ๆ กูบอกทาง ... มึงไปส่งได้ใช่ไหม ไม่ได้นัดใครไว้ต่อเหรอ” วายุมองผ่านกระจกมองหลังถึงได้เห็นว่าจีก้มๆ เงยๆ บรรจงวางหัวของไอ้มิลค์ไว้บนตัก ... ทนุถนอมขนาดนี้ บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน

“ไปส่งได้ ไม่ได้นัดใครไว้”

BMW series 5 วิ่งผ่านถนนยามค่ำคืน ผ่านย่านทองหล่อ สุขุมวิท พระราม 4 ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนสาทร ด้วยเพราะการจราจรกลางดึกของคืนวันเสาร์ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที BMW สีขาวก็จอดสนิทในช่องจอดรถของคอนโดหรู จีหิ้วปีกมิลค์ที่บ่นงึมงำๆ มาตลอดทาง ในขณะที่วายุทำตัวเหมือน bodyguard คอยเปิดปิดประตูอำนวยความสะดวกจนกระทั้งประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุด

คิ้วคมของวายุขมวดเข้าหากันทันทีที่กระเป๋าตังค์ของจีทาบลงบนแท่น key card แล้วบานประตูตรงหน้าปลดล๊อค ... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้มี key card ห้องเพื่อน ... แต่ความสงสัยก็ถูกลืมเลื่อน เมื่อเจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง

“ไอ้เชี่ยยยยยยย ห้องแม่งโคตรสวย” penthouse ขนาดใหญ่ที่พอเดินเข้ามาแล้วจะเจอกับห้องนั่งเล่นเพดานสูง กระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นถึงเพดานทำให้ห้องนี้เห็นวิวเมืองได้แบบ 180 องศา แสงไฟจากตึกสูงส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด พอเงยหน้ามองบนเพดาน ... แม่เจ้า ... โคมระย้าอลังการขนาดนี้น่าจะซื้อรถของเขาได้ทั้งคัน

“มึงตามสบายนะ ครัวกับห้องกินข้าวอยู่อีกทาง ถ้าหิวน้ำหรือจะกินอะไรก็เปิดตู้เย็นได้เลย เดียวกูพามิลค์ไปห้องนอนก่อน” วายุพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกำลังสนอกสนใจกับความอลังการตรงหน้า

จีประคองเพื่อนสนิทให้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เจ้าตัวถอยออกมาพร้อมกับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า ไอ้มิลค์หลับไปแล้ว เขาเลยต้องรับบทเป็นพระเอก ... 2 ขายาวก้าวไปยังห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน ... มือหนาจัดการลอกคราบเพื่อนสนิท จนไอ้ตัวดีเหลือแต่ boxer ตอนลอกคราบก็ก้มหน้าก้มตาถอด แต่พอเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงกับสติหลุดกับภาพตรงหน้า ... ขนตางอน โครงหน้าสวย ผิวเนียนละเอียดราวกับอาบน้ำแร่แช่น้ำนมมาตั้งแต่เด็ก มันไม่ใช้คนออกกำลังกายเลยไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบคนอื่นเขา แต่เพียงเท่านี้ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ ... จีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ตาชั้นเดียวจดจ้องไปยังแผ่นอกที่เคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ สติสัมปชัญญะตีกันวุ่นวายไปหมด ความคิดและจินตนาการกำลังเตลิดไปไกล รู้ตัวอีกทีใบหน้าของเขากับเพื่อนสนิทก็อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

“ไอ้จี มึงหายไปไหนเนี่ย ... มึงอยู่ห้องไหนวะ” เสียงตะโกนของวายุดังขึ้นจากทางเดินนอกห้อง จีรีบพลักตัวออกแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปยังประตู ก่อนที่วายุจะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น

“กูอยู่นี้” จีโผล่หน้ามาจากห้องนอนใหญ่ ทันทีที่เห็นเพื่อนวายุก็ก้าวเท้าเดินเข้ามา

“ทำไมนานจังวะ มีอะไรหรือเปล่า ไอ้มิลค์อ้วกแตกเหรอ ให้กูช่วยเช็ดไหม ...” มันทำท่าจะยื่นหน้าเข้ามา จีเลยก้าวออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู

“... มึงดุมีพิรุธนะ ... ไม่ใช้จะทำอะไรไอ้มิลค์ใช่ไหม ...” วายุมองหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าแววตาหยอกล้อ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจีทำท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลยอดไม่ได้ที่จะพูดแซว

“... ทำๆ ไปเถอะ รวบหัวรวบหางแม่งเลยจะได้ happy ending ซักที”

“กูไม่ได้สันดานแบบมึง กำลังจะเช็ดตัวให้มิลค์อยู่ ...” ไอ้เรื่องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนสนิทกัน หรือการจะ take care ดูแลกันวายุพอเข้าใจได้ แต่ถึงขั้นมี keycard ห้องไอ้มิลค์ กับเช็ดตัวให้นี้ก็ดูจะเกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิทไปไกลมากจริงๆ ... อาจจะมากกว่าคำว่าแฟนแล้วด้วยซ้ำ

“... มึงจะกลับแล้วเหรอ” อะ!!! ไอ้นี้ พอพูดจาไม่เข้าหูก็ไล่กลับเลยซะงั้น

“ยังวะ อยู่รอก่อนเผื่อมึงมีอะไรให้ช่วย”

“มึงจะกลับก็ได้นะ คืนนี้กูค้างเป็นเพื่อนไอ้มิลค์”

“ทิ้งกูเลยว่างั้น?”

“กูคุยกับมันไว้ก่อนแล้วว่าจะค้าง”

“เออๆ มึงเช็ดตัวให้มันไปเถอะ เดียวกูนั่งๆ นอนๆ รอที่ห้องนั่งเล่น”

จีกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขากำลังจ้องมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กำลังหลับไม่รู้เรื่องอยู่ใต้ผ้าห่ม ... คำพูดของวายุยังวนเวียนอยู่ในหัว ... ใจหนึ่งเขาอยากให้เกียรติมิลค์ ถึงได้รอแล้วรอเล่า ให้ความรู้สึกมันสุกงอม แต่อีกใจหนึ่งก็แทบจะรอต่อไปไม่ไหว ... ทั้งรัก ทั้งหลง ... 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้ยาวนานอย่างที่เขาเคยคิด อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะก้าวเข้าสู่วัยทำงาน เรา 2 คนจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ปากบอกมิลค์ว่าไม่ต้องกลัวแต่ใครจะรู้ว่าในใจเขารู้สึกสั่นไหวทุกครั้งที่นึกถึง แม้จะมั่นใจแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ... หรือจะรวบหัวรวบหางให้จบๆ ไปเลยคืนนี้ดี พรุ่งนี้เจ้าตัวคงอาละวาทจนบ้านแตก แต่ต่อให้โกรธขนาดไหนก็มั่นใจว่าเขาจะง้อสำเร็จ

“เฮ่ออออออ” ผ้าห่มครึ่งบนถูกเลิกลงมา จีสลัดความคิดจินตนาการต่างๆ ออกจากหัว เขาจะทำแบบนั้นกับคนที่เฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กได้ยังไง ... มือหนาคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กจุ่มลงในกะละมังน้ำอุ่นก่อนจะบรรจงเช็ดตัวให้เพื่อนสนิทอย่างเบามือ



“วายุ ไอ้วายุตื่น” จากที่เรียกปากเปล่า จีออกแรงเขย่าเพื่อนร่วมคณะที่นอนเหยียดตัวยาวบนโซฟา

“ฮะ!!! อืมๆ โทษที เผลอหลับไป” เจ้าตัวตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย

“ถ้าง่วงก็ไปนอนในห้อง”

“เกรงใจ กูจะไปนอนเตียงเดียวกับไอ้มิลค์ได้ไง” คิ้วขวาของจีกระตุกยิกๆ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจกวนประสาทเขาหรือพูดออกมาเพราะความง่วงกันแน่

“นอนอีกห้องซิวะ” จีตอบเพื่อนเสียงเข้ม

“เหรอ ... แต่ก็เกรงใจอยู่ดี ไม่ได้ขออนุญาติเจ้าของห้องไว้ก่อน” เจ้าตัวพูดพลางพลิกตัวขึ้นมานั่ง

“นอนได้ มิลค์ก็รู้จักมึง ...”

“... ดึกแล้วนอนนี่แหละ ขับรถดึกๆ อันตราย” ตอนนี้ตี 3 กว่าแล้ว ไหนจะผลจากแอลกอฮอร์ที่กำลังออกฤทธิ์เต็มที่ ให้มันนอนค้างคืนที่นี้น่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวมันเองและคนอื่นๆ

“เกรงใจไอ้มิลค์”

“นอนได้ มิลค์มันไม่ใช้คนคิดเล็กคิดน้อย” ไปอยู่ Canada มาด้วยกันตั้ง 2 เดือน มิลค์รู้จักวายุดีในระดับหนึ่ง เรื่องแค่นี้ไอ้มิลค์ไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อยหรอก

“เหรอ งั้นรบกวนไอ้มิลค์ซักคืนละกัน แล้วนี่มึงเช็ดตัวมันเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว”

“ทำไมนานนักวะ” คำถามที่ดูเหมือนจะซ้อนความสงสัยบางอย่างเอาไว้ แต่ดูจากสีหน้าของคนถามแล้วรู้เลยว่ามันไม่ได้คิดอะไร

“ไอ้มิลค์อ้วก เลยต้องเช็ดตัว 2 รอบ” พูดขึ้นมาแล้วก็อยากเดินไปบีบคอไอ้วายุ ถ้าไม่ใช้เพราะมันเขาได้นอนหลับไปนานแล้ว

“ฮึๆ นี่มันเป็นเพื่อนหรือลูกมึงกันแน่วะ” ในใจอยากจะเอ่ยปากแซวว่าเพื่อนหรือเมียแต่ก็กลัวว่าคืนนี้จะไม่มีที่ซุกหัวนอน

“กูก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน ... ตกลงนอนนี้นะ งั้นกูไปอาบน้ำนอนแล้ว”

“เมื่อไหร่มึง 2 คนจะคบกันซักที ...” 2 ขาหยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้ยินคำถามของวายุ

“... มาถึงขนาดนี้แล้วมึง”

“กูไม่เข้าใจว่ามึงพูดเรื่องอะไร” รู้ทั้งรู้ว่าไม่เนียน แต่จีก็ยังแสดงบทเป็นผู้ร้ายปากแข็ง

“มึงรู้ว่ากูพูดถึงเรื่องอะไร คบๆ กันซักที คนที่เชียร์เขาเชียร์กันจนท้อหมดแล้ว” วายุพูดให้ดูยิ่งใหญ่ไปอย่างนั้น คนเชียร์ในที่นี้เขาหมายถึงตัวเองล้วนๆ

“ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง มันอยากเสือกก็บอกกูมา” จีคลายยิ้ม ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงบนโซฟาฝังตรงข้าม

“อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ทำไมไม่คบกันซักทีวะ”

“มิลค์ยังไม่พร้อม”

“มึงเคยขอเขาเป็นแฟนหรือยัง ...”

“... กากสัส ... กูสอนให้เอาไหม” พอเจ้าตัวส่ายหัว วายุเลยอดไม่ได้ที่จะทับถมคนมาดเยอะ

“มึงไม่ต้องยุ่งเลย เรื่องของกูๆ จัดการเองได้”

“เออ!!! พ่อคนเก่ง จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ พอทำงานแล้วมึงไม่มีเวลามานั่งเฝ้ามันแบบนี้นะเว้ย”

“กูรู้น่า”

“รู้แต่ก็ปล่อยจนเวลาผ่านมาเป็นปีๆ ...” เขาคิดว่า 2 คนนี้จะตกลงคบกันตั้งแต่กลับมาจาก summer trip แล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะลากสถานะเพื่อนสนิทมาได้นานขนาดนี้

“... อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้ว”

“หรือว่ากูไม่ควรรอวะ” พอโดนจี้จุดเจ้าตัวก็หลุดความในใจตัวเองออกมา

“นี่ตกลงไอ้มิลค์ไม่พร้อม หรือว่ามึงไม่พร้อมกันแน่”

“ไม่รู้ซิ สมัยก่อนกูคิดแค่อยากให้เรื่องของเรามันค่อยๆ พัฒนา ...”

“... แต่พอใกล้จะเรียนจบกูก็กังวลเรื่องหน้าที่การงาน มึงคิดดูดิ กูต้องทำงานกี่ปีถึงจะมีปัญญาซื้อคอนโดแบบนี้อยู่กับไอ้มิลค์ได้ มันอาจจะเป็นเพื่อนที่กูรู้จักมาตั้งแต่เด็ก แต่อีกมุมหนึ่งมันก็คือ มิลค์ ติฒสิงห์เลยนะเว้ย”

“ถ้าให้พูดความจริงคือทำงานทั้งชาติมนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็ไม่มีปัญญาซื้อคอนโดระดับนี้ไหว ...

“... แต่กูว่ามึงคิดมากไป ใช่ว่าคบกับมึงแล้วชีวิตมันจะลำบาก? มึงเคยถามไอ้มิลค์หรือยังว่ามันคิดยังไง ...” จีส่างหัวให้กับคำถามของวายุ

“... บางครั้งคนที่มีทุกอย่างแบบไอ้มิลค์ก็อยากจะใช้ชีวิตธรรมดาๆ กับมึง มากกว่าอยู่บนหอคอยงาช้างกับพวกเจ้าชายหรือเปล่าวะ”

“แต่มิลค์มันมีปมกับการคบเพื่อนสนิท” วายุส่ายหน้าเมื่อได้ยินเหตุผลของจี

“อย่าไปคิดแทนไอ้มิลค์ กับคนที่เรารัก มันมีข้อยกเว้นได้กับทุกเรื่องเสมอ ...”

“... แค่มั่นใจในความรู้สึกของมึง แล้วก็พุ่งชนเลยเว้ย กูเป็นกำลังใจให้”



..........



“เป็นไงบ้าง” เสียงของเพื่อนสนิทดังออกมาจาก smart phone 2G รุ่นล่าสุด

“ก็ดี ดีกว่าที่คิด” ผมตอบคำถามของจีท่ามกลางเสียงร้องของจักจั่นที่ดังไปทั่วฟาร์ม ล้มร้อนและแดดแรงจนแสบผิว นี่ซินะฤดูร้อนของจริง

“มึงปรับตัวได้เก่งกว่าที่คิดนะเนี่ย” คนปลายสายเอ่ยปากแซว

“กูก็ยังประหลาดใจกับตัวเองเหมือนกัน” ลำบากแค่ช่วงสัปดาห์แรก แต่หลังจากปรับตัวได้ก็รู้สึกว่าการมาอยู่ฟาร์มไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด สำหรับเรื่องอาหารการกิน ส่วนใหญ่พวกผมจะติดรถส่งนมไปซื้อที่ตลาดนัด กลางคืนที่จากที่กลัวว่าจะร้อนจนนอนไม่ได้ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น พัดลมหมุนกลางเพดาน และลมเอื่อยๆ ที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างช่วยให้หลับสบายกว่าที่คิด

“เรื่องห้องน้ำมึงจัดการได้ยัง”

“เรียบร้อย กูซื้อรองเท้าแตะมาใส่ก่อนจะเข้าห้องน้ำ” ปัญหาใหญ่ที่สุดของผมคือเรื่องพื้นห้องน้ำเปียกซึ่งก็แน่นอนว่าห้องน้ำตามต่างจังหวัดส่วนมากจะไม่แยกห้องอาบน้ำออกมาเป็นสัดเป็นส่วน ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการใส่ของเท้าเข้าห้องน้ำซะเลย

“เหลือเชื่อกับมึงเลยจริงๆ” เสียงหัวเราะของจีดังออกมาจากโทรศัพท์

“เรื่องพื้นห้องน้ำเปียกนี่เรื่องใหญ่นะเว้ย”

“กูรู้ ...” จีต้องรู้อยู่แล้ว เพราะเวลาไปนอนค้างคืนด้วยกันจีจะให้ผมใช้ห้องน้ำเป็นคนแรกเสมอ

“... มิลค์ ... กูต้องไป off shore พรุ่งนี้นะ”

“อืม กูจำได้ แล้วมึงไปยังไงอะ”

“นั่งรถตู้ของบริษัทไปที่ base แถวชลบุรี แล้วนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไป”

“เชี่ยยยยยยยยยได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ด้วย ถ่ายรูปมาให้กูดูด้วยนะ”

“ได้ๆ”

“แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นกี่โมง”

“ตื่นตี 4 ออกจากบ้านตี 5 ถึง office 6 โมง ถึง base 8 โมง กว่าจะถึง station ก็น่าจะ 10 โมง แล้วก็เริ่มทำงานเลย”

“เช้าขนาดนี้จะตื่นไหวไหม จะให้กูโทรปลุกเปล่า” ผมถามเพราะเพื่อนสนิทของผมนะนอนขี้เซาเป็นที่สุด

“ไม่ต้องๆ มึงนอนพักไปเถอะ กูตั้งนาฬิกาแล้ว”

“ตื่นเต้นไหม”

“ตื่นเต้นดิ”

“ตอนอยู่ off shore กูโทรหามึงได้ปะ”

“ได้ แต่กูไม่รู้ว่ามันมีสัญญานหรือเปล่านะ”

“เหรอ”

“มันอาจจะมีขาดๆ หายๆ หรือไม่มึงส่ง DM มาใน FB ก็ได้ น่าจะคุยกันง่ายกว่า”

“เหรอ ... กูกังวลวะ ไม่อยากห่างจากมึง”

“กูก็ไม่อยากห่างจากมึงเหมือนกัน อย่าคิดมาก มึง enjoy กับการฝึกงานไปเถอะ แป๊บๆ ก็ได้กลับบ้านแล้ว ...” เวลาผ่านไปเร็วเหมือนที่จีบอก เผลอแป๊บเดียวผมมาอยู่ที่นี้ได้เกือบครึ่งทางแล้วเหลืออีก 2 สัปดาห์เท่านั้น

“... กลับถึงบ้านแล้วรอกูนะ ... กูกลับกรุงเทพเมื่อไหร่ไปหาอะไรกินกัน”

“อืม รอ ... รอมึงมาตลอดนั้นแหละ” ผมตอบรับคำขอของคนปลายสายด้วยรอยยิ้ม

หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 28-09-2025 09:52:37
ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly (Part2/2)


ส่องกระจกแล้วส่องกระจกอีก เสื้อตัวนั้นใส่แล้วดูดีไหมนะ ถ้าใส่กับกางเองตัวนี้จะเข้ากันหรือเปล่า ชุดนี้ก็หลวม ชุดนั้นก็ไม่ถูกใจ กำไร แหวน ใส่ทั้งหมดนี่จะเยอะไปไหม ผมหยิบเสื้อผ้ากางเกงเครื่องประดับเข้าๆ ออกๆ มาตั้งแต่ช่วงบ่าย จนถึงตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ อีกไม่ถึงชั่วโมงจะถึงเวลานัดแล้ว ... ไม่เอาชุดนี้ ไม่เข้ากัน เลือกใหม่ๆ

ขณะที่กำลังเลือดชุดสำหรับเย็นนี้ อยู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก

“มึงอยู่ในนี้หรือเปล่าวะ ...” เป็นจังหวะ dead air ที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต คนตรงหน้าในชุดเสื้อโปโลสีฟ้ากางเกงยีนส์ขายาวกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าตกตะลึง ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นผม

“... เปลี่ยนชุดอยู่เหรอ” จีเป็นฝ่ายที่ตั้งสติได้ก่อน แต่แทนที่จะเดินกลับออกไป เจ้าตัวกลับก้าวเข้ามาในห้อง แล้วทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เห็นผมจะเดินไปเดินมาโดยสวม boxer อยู่ตัวเดียว  :m25:

 “อะ เออ นั่งก่อนดิ” ผมไม่รู้ว่าควรจะไล่มันออกจากห้อง หรือชวนมันเข้ามาแต่ในเมื่อเจ้าตัวหย่อนก้นลงบนเตียงแล้ว ผมก็เลยๆ ตามเลย

“มึงรื้อชุดออกมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ” เสื้อกางเกงหลายชุดของผมวางอยู่บนเตียง แขวนอยู่บนตู้ พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ จีมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาจะกลับมาหยุดอยู่ที่ผมอีกครั้ง

“อ่ออ เออ อืม” เชี่ย!!! ไปไม่เป็นเลยอะ จีนิ่งมาก มันทำเหมือนนี่คือเหตุการณ์ปกติ ส่วนผมก็เขินมาก เขินจนทำตัวไม่ถูก เลยคว้าเสื้อที่อยู่ใกล้ที่สุด ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วใส่ๆ มันไปละกัน

“ตัวนี้ดีกว่า ...” มือที่กำลังสวมเสื้อหยุดชะงัก จีหยิบเสื้อตัวที่วางอยู่บนเตียงแล้วเดินเข้ามาหา

“... น่าจะเข้ากับมึง” ผมรับเสื้อยืดคอกลมสีขาวจากมือเพื่อนสนิท มันเป็นเสื้อยืดคอกลมง่ายๆ มีแค่ logo ของ brand ปักอยู่บนหน้าอกซ้าย

“เหรอ” รับมาแล้วก็รีบสวมอย่างไว

“เอากางเกงตัวนี้” กางเกงยีนส์สีเทาซีดๆ ถูกส่งมาให้ พอใส่เสื้อกางเกงครบ ในใจเลยรู้สึกว้าวุ้นน้อยลง

“ผมไม่ต้อง set แล้วมั้ง แค่นี้ก็ดูดีแล้ว” เชี่ยยยยยยยยยยยยย!!! นี่มันกำลังชมว่าผมดูดีงั้นเหรอ

“อืม ไม่ set แล้วก็ได้”

“ยังขาดอะไรอีกซักหน่อย ...” พูดจบมันก็เดินไปโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเปิดกล่องใส่ accessory ที่วางอยู่หน้ากระจก

“... เหมือนจะเยอะขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่กูเห็นนะ ... นี่ไง ...” เจ้าตัวพูดงึมงำๆ ก่อนจะเดินกลับมา สร้อยข้อมือและกำไลถูกบรรจงสวมใส่บนข้องมือทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยแหวนที่ถูกสวมลงบนนิ้วชี้ขวา นิ้วกลางซ้าย และจบลงด้วยนิ้วนางข้างซ้าย

“... perfect” มากกกกกก เกินไปมากสำหรับวันแรกที่เจ้าตัวกลับมาจาก offshore ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหัวใจของผมทำงานหนักเหมือนไปวิ่งมาราธอนมา 10 รอบ ผมไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าบรรยากาศระหว่างเรามันดูแปลกไป เหมือนว่าเรากำลังก้าวขึ้นไปอีก step หนึ่ง

“งั้นเราไปกันเลยไหม” ผมถามขึ้นในขณะที่คนตรงหน้ายังกุมมือข้างซ้ายของผมไว้

“มานั่งกับกูก่อน ...” จีเดินจูงผมไปที่เตียงแล้วดึงตัวผมมานั่งบนตัก

“... นั่งดีๆ อย่ายุกยิกดิ”

“ก็มันนั่งไม่ถนัด” ผมเถียงเพราะนั่งไปถนัดจริงๆ ... ไม่ถนัดทั้งกาย ไม่ถนัดทั้งใจ

“มิลค์ นั่งดีๆ ถ้าของกูมันขึ้นๆ มาจริงๆ กูจะให้มึงช่วยเอามันลงนะ...” เป็นคำขู่ที่ทำผมตัวแข็งทื่อเป็นหินทันที  :oo1:

“... กูไม่อยู่ 3 สัปดาห์ เป็นเด็กไม่ดีหรือเปล่า” เสียงกระซิบที่ดังอยู่ไม่ไกล และลมร้อนที่เป่าลดหลังใบหูทำให้อุณภูมิร่างกายของผมร้อนฉ่า มือหนาที่เคยกุมมือของผมเอาไว้เปลี่ยมมาโอบเอวหลวมๆ

“กูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน มีแค่ไปทำงานที่คณะเท่านั้นเอง” ผมกลับมาก่อนจีประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากพักร่างได้ 2 วันก็นัดทำงานกับพวกไอ้แก้วที่คณะ แม้จะฝึกงานเสร็จแล้วแต่พวกเรายังต้องทำ assignment ให้เสร็จก่อนเปิดเทอม

“เหรอ แน่ใจ? ว่าระหว่างฝึกงานไม่มีใครมาจีบ ...” ริมฝีปากบางของผมเม้มเข้าหากัน

“... ถ้าโกหกจะถูกทำโทษนะ” คนด้านหลังพูดเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรในใจ สงสัยมาซักพักแล้วว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มเป็นสายให้จี หรือความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นสายให้คนข้างๆ ทั้ง 3 คนเลยก็ได้

“ก็ ... ก็มีบ้าง ... มีคนมาขอเบอร์ ขอ Facebook”

“แล้วไงต่อ” น้ำเสียงเรียบสนิทในขณะที่แขนที่พาดอยู่บนเอวกลับออกแรงดึงรั้งผมเข้าหาตัว

“ก็ไม่ได้ให้ บอกเขาว่าไม่สะดวกให้”

“ดีมากครับ ... มิลค์”

“อืม”

“เราไม่พูดกูมึงกันได้ไหม”

“ฮะ??? อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย”

“เพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่าไม่พูดกูมึง”

“แล้วจะให้ใช้คำไหน”

“เรียกชื่อแทนไง”

“ไม่เอาอะ ไม่ชิน”

“เรียกบ่อยๆ เดียวก็ชิน ... มิลค์ครับ ...” เชี่ยยยยยยยยยยยย ขนลุกไปทั้งตัว

“... มิลค์หิวข้าวหรือยัง ... ไม่ต้องเขิน ไหนเรียกชื่อจีซิ ...”

...

...

...

“... เรียกเร็วครับ”

“จี ... มิลค์หิวข้าวแล้ว”

“ดีมากครับ งั้นไปกินข้าวกันนะ คนเก่งของจี”

จมูกโด่งของจีกดลงบนลาดไหล่ของมิลค์ ก่อนที่หน้าผากกว้างจะซบลงแผ่นหลังของเพื่อนสนิท แล้วออกแรงรั้งตัวที่นั่งอยู่บนตักของเขาให้อิงแอบแนบชิดมากขึ้นกว่าเดิม

จีกลับมาถึง base กลางดึกของเมื่อคืน สายแรกที่โทรเข้ามาคือสายของมิลค์ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขารีบกลับกรุงเทพแต่เช้าได้ยังไง เป็นครั้งแรกที่เรา 2 คนห่างกันนานขนาดนี้ รวมๆ แล้วเกือบจะเดือนครึ่งที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน การได้ยินแค่เสียงกลับยิ่งทำให้คิดถึงมากขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ทำไมตั้งแต่เริ่มทำงาน เวลาอยู่ใกล้ชิดกับมิลค์แล้วมีแต่ความคิดอกุศลเกิดขึ้นมากมาย อยากกอด อยากจูบ อยากดูแลปกป้อง อยากเป็นเจ้าของ อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ... เป็นแฟนกันเลยได้ไหม คบกันเลยได้ไหม ไม่อยากรอให้เสียเวลาอีกแล้ว



ผมในชุดไปรเวทยืนถือของพะรุงพะรังอยู่ใต้ร่มไม้ของลานเกียร์ บัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ในชุดครุยนับร้อยๆ คนเดินสวนกันไปมาให้ขวักไขว่ เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และการรวมตัวกันของพ่อแม่ญาติพี่น้องทำให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่น่าจดจำของบัณฑิตใหม่

“มิลค์ ไหวไหมของเยอะมากเลย” จีเดินกลับมาพร้อมกับช่อดอกไม้สีส้มในอ้อมแขน ในมือของมันยังถือตุ๊กตาหมีสีขาวใส่ชุดครุยแบบเดียวกันถึง 3 ตัว

“ไหวๆ เอามาๆ เดียวมิลค์เก็บไว้ให้” ผมคว้าเอาช่อดอกไม้ในอ้อมแขนของจี ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะม้าหินด้านหลัง ทีมีช่อดอกไม้วางอยู่ก่อนแล้วเกือบ 10 ช่อและตุ๊กตาใส่ชุดครุยเกือบ 15 ตัว

“ร้อนฉิบหาย” คนตรงหน้าบ่นพร้อมกับใช้มือทั้ง 2 ข้างกระพือเสื้อพิธีการสีขาวตัวหนาเพื่อระบายความร้อน

“กินน้ำก่อน” มือหนึ่งหยิบขวดน้ำดื่มส่งให้ ส่วนอีกมือหยิบเอาพัดลมไฟฟ้าแบบพกพาขึ้นมาเป่าเพื่อช่วยดับร้อน มือหนารับเอาขวดน้ำจากมือผมไปก่อนจะกระดกน้ำไปค่อนขวด

แม้จะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคมที่อากาศไม่ได้จัดว่าร้อนเท่าไหร่นักแต่เพราะชุดที่หนา ไหนจะเสื้อข้างในและเสื้อครุยแค่คิดผมก็รู้สึกเห็นในบัฌฑิตใหม่ที่ต้องสวมชุดรับปริญญาเดินไปเดินมาทั้งวัน

 “อ่า!!! ขอบใจ ... แล้วนี่ร้อนไหม หิวข้าวหรือเปล่า”

“ไม่ร้อนๆ มิลค์กินมาแล้วตอนที่จีอยู่ในหอประชุม ... ป๊าม๊ามากี่โมง” ผมพูดพลางเอาพัดลงไฟฟ้าแบบพกพาเป่าคนตรงหน้าพร้อมกันถึง 2 ตัว

“น่าจะอีกซักพัก นัดไว้บ่าย 3 ...”

“... แล้วนี่โดดเรียนได้ใช่ไหม เกรงใจ”

“โดดเรียนได้ เดียวไปตาม lecture กับไอ้แก้วเอา” วันนี้ผมตั้งใจจะอยู่กับจีทั้งวัน ที่จริงคืออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อวาน จีมานอนค้างที่คอนโดของผม เราตื่นพร้อมกันตั้งแต่ตี 3 เพราะคณะวิศวะเข้ารับปริญญาช่วงเช้า เจ้าตัวเลยต้องตื่นเช้ามาแต่งหน้า ทำผม และถึงคณะให้ทันนัดตอน 6 โมงเช้า ในขณะที่เพื่อนสนิทแต่งหล่อ ผมก็จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นานา รวมถึงขับรถมาส่งเพื่อให้คนตรงหน้าได้มีเวลากินข้าวเช้า

“พี่จีคะ ... ถ่ายรูปกันคะ” บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะด้วยกลุ่มรุ่นน้องชายหญิงกลุ่มใหญ่

“ได้ซิครับ” คนตรงหน้าตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ แม้ว่าจะร้อนจนเม็ดเหงื่อขึ้นเต็มหน้าก็ตามแต่จีก็ยิ้มแย้มถ่ายรูปกับทุกคน

“จี ... เหงื่อออกเยอะมาก เดียวมิลค์จัดการให้ ...”

“... แป๊บนึงนะครับ ... หลับตา ...” ผมหันไปบอกกลุ่มรุ่นน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบเอาสเปรย์น้ำแร่ออกมาฉีดพรมเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ซักพักแล้วค่อยๆ ใช้ทิชชูซับออก

“รู้สึกดีขึ้นเลยวะ”

“อืม ไปได้แล้ว ...” พูดจบก็พลักไหล่เพื่อนสนิทให้เดินไปหากลุ่มรุ่นน้องที่ตั้งท่ารอถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล เสียงหัวเราะ เสียงแซว ดังขึ้นเมื่อพี่บัณฑิตเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงกลาง ตั้งแต่วันนั้น เราก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อของกันและกันแทน ไม่มีแล้ว “กู-มึง” มีแต่ “มิลค์-จี” แม้ว่าช่วงแรกจะขัดเขินแต่ซักพักก็ชิน พวกเพื่อนๆ แซวกันสนุกปากแต่ลับหลังพวกมันก็แอบยินดี ผมสัมผัสได้ว่าความรู้สึกของเราทั้ง 2 คนกำลังสุกงอม แม้จะยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการแต่ตอนนี้ผมกับจีก็ไม่ต่างอะไรกับคู่รัก

ช่วงที่จีไป off shore ผมนั่งนับวันรอจีกลับมาราวกับเด็กน้อยนับถอยหลังรอวันหยุด ช่วงที่กลับมากรุงเทพจีมานอนกับผมเกือบทุกวัน แม้จะต้องเข้า office แต่ก็เหมือนไปพอเป็นพิธี เจ้าตัวเลยมีเวลาว่างไปรับไปส่งผมรวมถึงพาไปกินข้าวดูหนัง เรากอด จับมือ และสัมผัสตัวกันง่ายขึ้นกว่าเก่า ... แค่มองตาผมก็รับรู้ได้ว่าเรา 2 คนใจตรงกัน ผมไม่สนใจแล้วกับแผลในอดีต ตอนนี้ผมมั่นใจว่าตัวเองพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า เพียงแค่จีเอ่ยปาก ผมก็พร้อมจะขยับสถานนะจากเพื่อนเป็นคนรัก

“... มาครับ เดียวพี่ช่วยพี่จีถือ” ถ่ายรูปเสร็จน้องๆ ก็ให้ช่อดอกไม้และของขวัญอีกหลายชิ้นจนผมต้องเดินเข้าไปช่วยถือ

“จะขนกลับหมดไหมวะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับยืนเท้าเอวมองของขวัญมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะ

“หมดแหละ ... ทำไงได้เนอะ คนมัน popular” อดใจไม่แซวไม่ได้ ของขวัญจาก FC เยอะจริงๆ กองเต็มโต๊ะจนลุงป้าน้าอาโต๊ะข้างๆ เหล่มองทุกครั้งที่เจ้าตัวกลับมาพร้อมช่อดอกไม้และของขวัญชิ้นใหม่

“แซวๆ ... แป๊บนะป๊าโทรมา ...”

“... ไปกัน ป๊าม๊ารออยู่หน้าคณะ ไปถ่ายรูปกับป๊าม๊ากัน”

“แล้วของละ”

“ทิ้งไว้นี่แหละ ไม่มีใครเอาไปหรอก ...”

“... จีเอาแค่ช่อนี้ไปก็พอ อย่างอื่นหายได้ยกเว้นช่อนี้” ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่เจ้าตัวหยิบเอาช่อดอกกุหลาบสีแดงสดช่อโตขึ้นมากอดไว้ ช่อดอกไม้ของผมที่ให้เจ้าตัวเป็นช่อแรกหลังจากออกมาจากหอประชุม

“G”

“ครับ, dear”

“Congratulations again, no word can explain how I feel today”

“You don’ t have to said anything. Your smile tells me everything and I cannot wait to take the next step with you.”

“สวัสดีครับป๊า-ม๊า ... สวัสดีครับเฮีย-เจ้” ผมยกมือไหว้พ่อแม่และพี่ๆ ของจี ป๊าผูกเนคไทด์สวมสูทมาเต็มยส ในขณะที่ม๊ามาในชุดเดรสสีชมพูสดใส

“ขอบใจนะอามิลค์ เหนื่อยแย่เลยตื่นตั้งแต่เช้าแล้วยังต้องมาอยู่เป็นเพื่อนอาจีทั้งวัน” ม๊าหันมาพูดกับผม

“ไม่เป็นไรครับม๊า”

“ไม่ได้เจอนานเลย เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีนะ”

“สบายดีครับ ม๊าเป็นยังไงบ้างครับ” มือเล็กๆ ของม๊ากุมมือผมไว้ตอนช่วงเวลาที่ไถถามสาระทุกข์สุขดิบ

“ม๊าสบายดี แล้วนี่ใกล้จะเรียนจบหรือยัง”

“ถ้านับปีนี้ด้วยก็อีก 3 ปีครับ”

“ใกล้แล้วๆ พยายามอีกนิด”

“ขอบคุณครับ”

“คุณพ่อคุณแม่สบายดีนะ”

“สบายดีครับ”

“เจ้าจีมาเล่าให้ฟังว่าพ่อของมิลค์ชวนเขาไปทำงานด้วยกัน ม๊าก็เชียร์ให้ไปทำนะ ทำงานกับอามิลค์มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน แต่อีก็ดื้อเหลือเกิน”

“555 มิลค์พยายามพูดเท่าไหร่จีก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจครับ ... ไปครับม๊า ไปถ่ายรูปกัน” ผมจูงมือม๊ามายังป้ายชื่อหน้าคณะ

ผมเขยิบออกมายืนอยู่ด้านข้างเพื่อให้ครอบครัวของจีได้ถ่ายรวมกัน เลยได้เห็นว่าป๊าและม๊ายิ้มกว้างแค่ไหน ลูกชายคนสุดท้องเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยวุฒิเกียรตินิยมอันดับ 1 ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่เอ่อล้นออกมาทางสายตาและรอยยิ้ม

“มิลค์ มาถ่ายรูปกันลูก ...” ป๊าเรียกผมหลังจากถ่ายรูปครอบครัวไปได้หลาย act

“... มาๆ มายืนข้างจีเลย” ผมยิ้มรับแล้วค่อยๆ เขยิบเข้ามายืนข้างเพื่อนสนิท

“พร้อมนะครับ ขอ 5 act รั่วๆ เลยนะครับ” พี่ตากล้องตะโกนบอก

หลังมือของผมกับจีสัมผัสกันเบาๆ จากนั้นนิ้วก้อยของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มสะกิดนิ้วก้อยของผม เราสะกิดกันไปมาในขณะที่ act ท่าถ่ายรูป ก่อนที่นิ้วก้อยของจีจะตวัดเกี่ยวนิ้วก้อยของผม

“เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะมิลค์” ป๊าเอ่ยปากชวน หลังจากที่ตระเวนถ่ายรูปกับลูกชายคนเล็กจนทั่วคณะ ตอนนี้ทุกคนย้ายมานั่งรวมกันที่โต๊ะมาหิน ยังมีรุ่นพี่รุ่นน้องมาขอถ่ายรูปกับบัณฑิตใหม่ต่อเนื่องจนของขวัญเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เฮียกับเจ้ต้องอาสาเอาของบางส่วนไปเก็บที่รถก่อน

“จะดีเหรอครับ มิลค์เกรงใจ”

“เกรงใจอะไร คนกันเองทั้งนั้น ป๊าม๊าไปรอที่โรงแรม ลือ 2 คนเสร็จแล้วค่อยตามมานะ”

“ได้ครับ ... งั้นมิลค์ฝากของไว้กับป๊าก่อนนะครับ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งครับ”



“มึงว่าคนนั้นใช่แฟนพี่จีหรือเปล่าวะ” มือที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำออกชะงักอยู่กับที่ เสียงของใครซักคนดังขึ้นโดยมีเสียงน้ำไหลจากก๊อกเป็นเสียง background

“พี่จี บัณฑิต อะเหรอ ...”

“... จะเหลือเหรอมึง ตามมาเฝ้าตั้งแต่เช้า กูแอบเห็น shot เขาซับหน้าให้กันด้วย ยิ้มหวานราวกับทั้งโลกมีแค่เรา 2 คน”

“พี่เขาน่ารักดีเนอะ เขาเรียนมหาลัยเราเปล่าวะ”

“นี่มึงไม่รู้จักพี่เขาเหรอ”

“ฮึ ใครวะ”

“มิลค์ ติฒสิงห์ ไงมึง rare item คณะสัตว ลูกเจ้าของ The Nemean Group อะ”

“คนนี้นะเหรอ เชี่ยยยยยย มิน่าละราศีโคตรจับ คนอะไรเหมือนเปล่ง aura ตลอดเวลา”

“ตอนพี่เขาเข้าเรียนปี 1 เป็น talk of the town เลยนะ”

“ใครจะเชื่อเนอะว่าสุดท้ายจะมาเป็นแฟนกับพี่คณะเรา”

“มีข่าวเม้าท์ว่า 2 คนนี้คบกันมาซักพักแล้ว เขาว่ากันว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม”

“ดีเนอะ ได้เป็นแฟนกับเพื่อนสนิท”

“เหมาะสมกันดี พี่จีก็เป็นหนึ่งในสมบัติคณะ หล่อ นิสัยดี เรียงเก่ง มีแต่คนปลื้ม บริษัทที่พี่จีทำงานโคตรใหญ่ เงินเดือนก็ดี”

“จริงมึง 2 คนนี้โคตรเหมาะสมกัน”

“มีคนในใจแล้วนี่เอง มิน่าละพี่จีถึงไม่เคยมีข่าวกับใคร”

“อืม เปิดตัวขนาดนี้ ชัดแล้วมั้งว่าคบกันจริง”



“มันหล่อจริงๆ เว้ยวันนี้” ไอซ์พูดพลางยกแขนขึ้นพาดไหล่ผมไว้หลวมๆ ผมมองเพื่อนสนิทที่แม้จะเดินออกมาไกลจากคณะแต่ก็ยังมีคนมาขอถ่ายรูป สมแล้วที่จะถูกเรียกว่า ‘สมบัติคณะ’

หลังจากส่งป๊าม๊ากลับ ผมกับจีก็เดินมาสมทบกับคนอื่นๆ พวกเรานัดกันถ่ายรวมกลุ่มแถวหน้าหอประชุม

“อืม หล่อ”

“ชมผู้ชายหล่อได้ไม่อายปากเลยนะมึง...” ไอซ์เอ่ยบางแซว มันเบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ จริงๆ ก็อาย แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้คุณเขาหล่อจริง หล่อจนอยากเก็บเอาไว้ที่ห้อง ไม่อยากให้ใครเห็น แต่วันนี้เป็นวันของเขาเลยต้องยอมให้วันหนึ่ง

“... วาสนามึงเนอะ ได้แฟนหล่อ”

“บ้า!!! ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวไอซ์เบาๆ

“กูก็พูดเผื่อไว้ก่อนไง”

“พูดแบบนี้ มึงไปรู้อะไรมา จีมันไปปรึกษามึงเหรอ”

“หางกระดิกเลยนะอีแรด ... เปล่า มันไม่ได้พูดอะไร จีมันเคยปรึกษาเรื่องแบบนี้กับใครที่ไหน ...”

“... กูแค่สัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของมึง 2 คนก้าวไปอีก step หนึ่งแล้ว”

“อืม” ไอซ์ไม่ใช้คนแรกที่พูดประโยคนี้ ตอนนี้ความรู้สึกที่เรา 2 คนมีให้กันมันล้นจนซ้อนเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ

“มึงไม่กลัวแล้วเนอะ” ผมส่ายหัวให้กับคำถามของไอซ์

“ไม่กลัวแล้ว” มีจีอยู่ด้วยต่อให้ฟ้าถล่มลงมาผมก็ไม่กลัว

“ยินดีกับมึงด้วย”

“ขอบใจ ... ไปถ่ายรูปกันมึง พวกมันกวักมือเรียกแล้ว”



‘Fuck butterfly, I feel the whole zoo when I’ m with you’



Gossip 3rd Year

ข่าวล่ามาแรงคร่า!!! วันรับปริญญาที่ผ่านมามีแมงเม๊าท์ตาดีแอบไปเห็นไฮโซ ม. ที่ลานเกียร์ ปักหลักอยู่ตั้งแต่เช้าถึงเย็น ทั้งช่วยถือของ ช่วยถ่ายรูป ป้อนน้ำ เช็ดหน้า หนุ่ม ม. ของเราทำหน้าที่ได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง จังหวะถ่ายรูปครอบครัวดิฉันน้ำตาลื้อเมื่อพ่อสามีกวักมือเรียกลูกสะใภ้เข้าเฟลม ให้ความรู้สึกเหมือนถ่ายรูปครอบครัวบ่าวสาวมากกว่างานรับปริญญา เหนือสิ่งอื่นใดคือช่อดอกไม้ใหญ่เท่าบ้านราวกับเหมาดอกกุหลาบทั้งปากคลองตลาดมาไว้ในช่อเดียวกัน สมศักดิ์ศรีลูกเขยมหาเศรษฐีแสนล้าน สุดท้ายดิฉันขอแสดงความยินดีกับ หนุ่ม จ. ‘ลูกเขยคณะ’ ที่คว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 มาครองได้สำเร็จ และขอให้บ่าวสาวมีชีวิตคู่ที่ยืนยาว ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร


----------

#Next step #พี่จีจะกินน้องแล้วววววววว #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 30-09-2025 12:05:31
“กูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน มีแค่ไปทำงานที่คณะเท่านั้นเอง” ผมกลับมาก่อนจีประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากพักร่างได้ 2 วันก็นัดทำงานกับพวกไอ้แก้วที่คณะ แม้จะฝึกงานเสร็จแล้วแต่พวกเรายังต้องทำ assignment ให้เสร็จก่อนเปิดเทอม

“เหรอ แน่ใจ? ว่าระหว่างฝึกงานไม่มีใครมาจีบ ...” ริมฝีปากบางของผมเม้มเข้าหากัน

“... ถ้าโกหกจะถูกทำโทษนะ” คนด้านหลังพูดเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรในใจ สงสัยมาซักพักแล้วว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มเป็นสายให้จี หรือความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นสายให้คนข้างๆ ทั้ง 3 คนเลยก็ได้

“ก็ ... ก็มีบ้าง ... มีคนมาขอเบอร์ ขอ Facebook”

“แล้วไงต่อ” น้ำเสียงเรียบสนิทในขณะที่แขนที่พาดอยู่บนเอวกลับออกแรงดึงรั้งผมเข้าหาตัว

“ก็ไม่ได้ให้ บอกเขาว่าไม่สะดวกให้”

“ดีมากครับ ... มิลค์”


----------


#นั่งตัก #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 02-10-2025 13:42:13
“มึงอยู่ในนี้หรือเปล่าวะ ...” เป็นจังหวะ dead air ที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต คนตรงหน้าในชุดเสื้อโปโลสีฟ้ากางเกงยีนส์ขายาวกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าตกตะลึง ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นผม

“... เปลี่ยนชุดอยู่เหรอ” จีเป็นฝ่ายที่ตั้งสติได้ก่อน แต่แทนที่จะเดินกลับออกไป เจ้าตัวกลับก้าวเข้ามาในห้อง แล้วทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เห็นผมจะเดินไปเดินมาโดยสวม boxer อยู่ตัวเดียว  :m25:

 “อะ เออ นั่งก่อนดิ” ผมไม่รู้ว่าควรจะไล่มันออกจากห้อง หรือชวนมันเข้ามาแต่ในเมื่อเจ้าตัวหย่อนก้นลงบนเตียงแล้ว ผมก็เลยๆ ตามเลย


----------


#เปลี่ยนชุด #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 26
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 03-10-2025 22:21:12
Teaser ตอนที่ 26

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด เดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมคิดอยู่มนใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบศัลย์ neuro ก็ยากเกิน”


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออยากเป็นหมอฮอร์โมน

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 05-10-2025 10:22:01
ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 1/2)

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด พวกเราเดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมขมวดคิ้วและบ่นในใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบผ่าตัด neuro ก็ยากเกิน”

“ทำไมแกถึงชอบฮอร์โมนวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“มีดิ สนุกจะตาย”

“สนุกตรงไหน มีแต่เรื่องยากๆ”

“นั้นแหละที่สนุก ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็ต่อยอดไปได้อีกไกล ...”

“... อีกอยากตอนขึ้นฝึกงาน เราชอบบรรยากาศที่หน่วย พี่หมอนิสัยดี ตลก ไม่กินหัว อาจารย์ก็สอนสนุก เรียนไปหัวเราะไป”

“ก็จริง ถ้าเทียบกับแผนกอื่น เราก็ชอบแผนกนี้ที่สุด อาจารย์สอนอย่างกับจะไปเปิดตลกคาเฟ่ ...” แก้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม อาจารย์และ staff มีส่วนมากจริงๆ กับความชอบในตัววิชาของนิสิต

ปี 4 เทอม 2 เป็นปีที่นิสิตจะได้เรียนกับอาจารย์ครบทุกภาควิชา เท่าที่เรียนมาตอนนี้ผมชอบวิชาที่เกี่ยวกับฮอร์โมนมากที่สุด ตอนนี้ปัญหาเดียวคือผมยังไม่เจออาจารย์ที่รู้สึกว่า click กันจนจะขอเป็น advisor ได้

“... มิลค์” อยู่ๆ แก้วที่พูดคุยยิ้มแย้มกับผมมาตลอดทางก็หยุดเดินซะดื้อๆ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปจากเดิมจนผมต้องมองตามสายตาคู่นั้น

“จี” เสียงเรียกชื่อคนคุ้นเคยหลุดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งอยู่กับที่ ... จีนั่งอยู่ในร้านอาหาร โต๊ะริมกระจกบานใหญ่ทำให้ผมเห็นเพื่อนสนิทกับใครอีกคนชัดเต็ม 2 ตา เธอผิวขาว ไว้ผมยาว มองจากด้านข้างแล้วเห็นสันจมูกยกขึ้นชัดเจน ... ในจังหวะที่ผมตั้งสติได้ แล้วกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ เจ้าตัวก็หันมาพอดี ... เรา 2 คนสบตากัน ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้าง ก่อนที่จีจะลุกออกจากร้านอาหารมาด้วยท่าทีร้อนรน

“เรากลับคณะก่อนนะ” แก้วที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้ผมกับจีได้คุยกัน

“มิลค์ ...”

“... มิลค์ฟังจีก่อน มันไม่ใช้แบบนั้น มันไม่ใช้แบบที่มิลค์คิด” ผมที่กำลังสมองเบลอ กว่าจะรู้ตัวจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเจ้าตัวดูไม่ดีเอามากๆ ท่าทางลนลานแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งกระตุ้นให้กลไกการป้องกันตัวเองของผมทำงานโดยอัตโนมัติ

“กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ผมพยายามตั้งสติ ทำตัวเองให้นิ่งที่สุดในสถานการณ์ตรงหน้า พยายามสุดความสามารถที่จะกลั้นน้ำตา ไม่ได้สนใจว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปจะแย่แค่ไหน ขอแค่อย่าร้องไห้ออกมาตอนนี้ก็พอ

“มิลค์ ไม่เอาดิ ไหนว่าเราจะเลิกพูดกูมึงไง”

“กูกลับไปเรียนก่อนนะ” เป็นข้ออ้างที่ตลกมากแต่ผมก็คิดออกแค่นี้จริงๆ

“เดียวจีเดินไปส่ง ... รอตรงนี้แป๊บนึง” พูดจบเจ้าตัวก็เดินจ้ำกลับไปที่ร้าน



คิดเหรอว่าผมจะรออยู่ตรงนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองทิ้งตัวลงบนเตียงของโรงแรมย่านราชประสงค์ ผมไม่ได้กลับคอนโด เพราะรู้ว่าจีต้องไปดักรอที่ห้อง ไม่กลับบ้านเพราะเป็นสถานที่ถัดไปที่จีจะไป หากรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่คอนโด ผมมาตัวเปล่าๆ ไม่ได้เตรียมของอะไรมาเลยซักอย่าง ออกจากสยามก็ขับตรงมาที่นี้

... ‘G (^.^) v’

Smartphone ในกระเป๋ากางเกงสั่นไม่หยุด พอเจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้อยู่รอ จีก็กระหน่ำโทรมาไม่ยั้ง ไหนจะ inbox ข้อความใน FB ที่เจ้าตัว DM มาทั้งขอโทษและอ้อนวอนให้ผมรับสาย ผมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงที่นุ่มสบายราวกับนอนอยู่บนปุยเมฆ และปล่อยให้โทรศัพท์มือถือสั่นจนหยุดไปอีกครั้ง

‘G (^.^) v’ 16 missed call



... ‘Kaew’

‘Kaew’ 1 missed call

‘Kaew’

แกหายไปไหน รับโทรศัพท์ฉัน ฉันสาบาญว่าไอ้จีไม่ได้อยู่กับฉัน



... ‘Kaew’

“อืม”

“แกอยู่ไหน…”

“… มิลค์ ฉันถามว่าแกอยู่ไหน ...” แก้วถามผมเสียงเข้ม

“... ไม่บอกก็ได้ แต่อย่างน้อยบอกฉันหน่อยว่าแกปลอดภัย”

“เราโอเค แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“ไอ้จีประสาทแดกไปแล้ว มันหาแกไม่เจอ ...”

“... รับสายมันหน่อย น้ำเสียงมันดูร้อนรนมาก...”

“... ฉันไม่รู้ว่าแกกับมันทะเลาะอะไรกัน แต่มันบอกว่ามันจะไป off shore พรุ่งนี้แล้ว ... มิลค์ ถ้าไม่คุยกันวันนี้ แกต้องรอไปอีก 3 สัปดาห์เลยนะ ... ฉันแล้วแต่แกเลย แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง”



... ‘G (^.^) v’

“อืม” สุดท้ายผมก็ยอมรับสาย

“มิลค์ มิคล์อยู่ไหน จีรอมิลค์อยู่ที่ห้อง เย็นนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”

“ไม่ต้องรอ กูไม่กลับห้อง”

“มิลค์อยู่บ้านเหรอ จีไปหามิลค์ที่บ้านนะ”

“ไม่ได้อยู่”

“Milk, please, where are you? We really need to talk.”

“G”

“ครับ, dear”

“I am not ready. Let talk when you get back home.” พอพูดจบประโยค น้ำตาก็ไหลรินลงมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วินาทีนั้นผมถึงเพิ่งรู้สึกตัว... นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะจี

มันเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แน่นอนว่าผมอยากจะใช้เวลาวันสุดท้ายกับจีแต่ที่ไม่ได้เอ่ยปากขอเพราะอยากให้เจ้าตัวใช้เวลากับที่บ้านบ้าง จีมานอนค้างกับผมตั้งแต่กลับ จนเราเพิ่งแยกกันเมื่อ 2 วันก่อน

โกรธตัวเองเพราะที่ผ่านมาผมอยู่ข้างๆ จีมาตลอดแต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่ามีใครอีกคนกำลังแทรกกลางระหว่างเรา สับสนเพราะไม่เข้าใจว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านคืออะไร ที่ชอบเข้ามากอด เข้ามาคลอเคลีย ที่บอกให้ผมรอ คืออะไร ทุกอย่างมันหมายความว่าอะไร ผมคิดว่าเราใจตรงกัน คิดว่าเราใกล้จะขยับสถานะจากเพื่อนสนิทเป็นคนรัก หรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว มีความรู้สึกหลายหลายมากมายเกิดขึ้นเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวยตลอดทั้งคืน ผมเคยรู้สึกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนมักจะประดับประดาด้วยแสงดาวระยิบระยับแต่ทำไมคืนนี้ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นความสวยงามที่คุ้นตานั้นอีกแล้ว



Key card ถูกวางแนบลงบนบานประตู หัวใจของผมเต้นเร็วจนสั่นระรัวในขณะที่ผลักปานประตูให้เปิดออก ขาทั้ง 2 ข้างเดินเข้ามาในห้องที่คุ้นเคย ... ภายในห้องปิดไฟมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเท่านั้น ทุกอย่างเงียบสนิท ... นี่ผมกำลังคาดหวังอะไร หวังว่าพอเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอจียืนรออยู่หน้าประตูงั้นเหรอ สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเจ้าตัวนอนค้างที่นี้ คือคราบน้ำที่ยังเปียกอยู่ให้ห้องอาบน้ำ ... ผมกลับมาที่คอนโดในช่วงเช้าของอีกวันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเรียน ... จีไปแล้ว และผมต้องอยู่ตัวคนเดียวไปอีก 3 สัปดาห์

เป็น 3 สัปดาห์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอนแค่หายใจให้ทั่วท้องยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เข็มของนาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปข้างหน้าตามจังหวะเดิม แม้ว่าผมจะภาวนาขอให้มันเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย ... หน้าจอ smart phone ในมือเปิดค้างอยู่ที่ inbox ของ FB นิ้วโป้ง slide หน้าจอขึ้นไปบนสุดเพื่อไล่ดูข้อความเก่าๆ ที่เราส่งหากัน และเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนกระทั้งถึงข้อความที่จีส่งมาล่าสุดในวันที่เราทะเลาะกัน ... ห้องที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มันกว้างและเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีนั่งอยู่ข้างๆ



เป็นมื้ออาหารที่อึมครึมระหว่างเรา เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อึดอัดที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ถึงวันนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าเราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยโกรธกัน ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างเรา ... น่าอึดอัดชะมัด ... เราต่างสั่งอาหารของตัวเอง ไม่มีแม้แต่กับข้าวจานกลางที่เรามักจะสั่งมากินด้วยกัน ผักในจากของคนตรงหน้ายังนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับกับข้าวในจานของผม ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่ความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ ที่ไม่คุ้นชิน เหมือนว่าต่างคนต่างมีเรื่องอะไรในใจแต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มพูดมันออกมา ระยะเวลา 3 สัปดาห์มากพอให้ผมได้คิดทบทวนไตรตรอง ผมพร้อมที่จะฟังคนตรงหน้าอธิบาย และถ้ามันสมเหตสมผล ผมก็พร้อมจะมองข้ามทุกอย่าง ... โลกใบนี้มันเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีอยู่ข้างๆ

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัย สายตากำลังจับจ้องไปยังไฟสีแดงที่กำลังนับถอยหลัง เสียงเพลงช่วยทำให้บรรยากาศในรถไม่อึดอัดมากกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั้งจบมื้ออาหารก็ยังไม่มีใครพูดความในใจออกมา

“มิลค์ ...”

“... กูว่ากูรู้สึกดีกับเขา กูจะลองคบกับเขาดู” น้ำเสียงแผ่วเบาและราบเรียบของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นในขณะที่ไฟจราจรสีแดงกำลังนับถอยหลัง

5, 4, 3, 2, 1

ทุกอย่างจบลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ กับความรู้สึกมากมายที่ให้ใครอีกคน ถึงวันนี้ผมยังไม่เคยได้บอกรักจีเลยซักครั้ง วันนี้เรื่องราวมากมายระหว่างเราไม่มีความหมายอีกแล้ว ... ผมรับรู้ได้ว่าช่วงเวลาของความสุขจบลงแล้ว ไม่มีแล้วความรู้สึกที่สัมผัสได้ด้วยใจ ไม่มีอีกแล้วเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มีให้กัน ... ทุกอย่างกำลังจะจืดจางและมลายหายไป ... ราวกับความฝัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 05-10-2025 10:26:09
ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 2/2)

ความรู้สึกมันมากเกินกว่าที่จะรับไหว จากที่เคยคิดว่าไม่มีใครที่จะแทรกกลางความสัมพันธ์ระหว่างผมกับจีได้แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับพังทลาย ราวกับปราสาทที่ถูกก่อสร้างบนพื้นทราย ทำให้ไม่แข็งแรงพอจะต้านแรงของพายุใหญ่ ... สิ่งที่เคยเชื่อมั่นมาตลอดชีวิต วันนี้เหมือนมันไม่มีอยู่จริง ... ผมหลบหน้าและมันนำมาซึ่งความห่างเหิน

“มึงไหวแน่นะ” คำถามของไอซ์ทำให้อาร์มและโจเลิกสนใจ smartphone ในมือแล้วเปลี่ยนมาสนใจผมแทน ไม่ใช้แค่ผมคงเดียวที่งง เพื่อนคนอื่นๆ ก็งงเป็นไก่ตาแตกเมื่ออยู่ๆ จีก็เปิดตัวแฟนสาว

“ไหวดิ แค่นี้เอง”

“มึงไม่ได้เจอมันมานานแค่ไหนแล้ว”

“2 -3 เดือนแล้วมั้ง” ความห่างเหินของเรายังทำลายสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ ผมรู้ว่าตัวเองพูดประโยคนี้บ่อยแล้ว ‘แต่เราไม่เคยห่างกันขนาดนี้มาก่อน’ ห่างในที่นี้คือไม่เจอหน้า ไม่โทรหา ไม่ DM คุยกัน ห่างกันทั้งร่างกายและจิตใจ มันเริ่มมาจากผมเทนัดดูหนังของเรา แบบที่เรียกได้ว่ามาบอกเอาหน้างานโดยให้เหตุผลกับจีแค่ว่าไม่อยากดูแล้ว เรานัดกันมานานมากว่าจะดูหนังภาคต่อเรื่องนี้ด้วยกัน ตั้งแต่ก่อนที่จีจะเปิดตัวเธอคนนั้น ผมรู้ว่าไม่ควรยกเลิกนัดในตอนที่อีกคนซื้อตั๋ว และรออยู่หน้าโรงหนังแล้ว แต่ผมผิดอะไรในเมื่ออีกฝ่ายก็ให้ผมรอเก้อเหมือนกัน

“ถ้าไม่ไหว มึงจะกลับก็ได้นะ”

“กูไม่กลับ มันจะซักเท่าไหร่กัน กูก็อยากจะเจอตัวจริงซักที” ผมพูดอย่างท้าทาย ผมไม่คิดจะหลบหน้าเธอคนนั้น ... คนอย่างมิลค์ ติฒสิงห์ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าใครทั้งนั้น

“นี่คือสาเหตที่มึงประโคมแต่งตัวมาวันนี้ใช่ไหม ...” ไอซ์พูดพลางใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“... ถามจริงๆ ที่แต่งมาวันนี้เนี่ยกี่ล้านวะ ...” ผมแต่งตัวเพราะได้ยินมาว่าแฟนของจีเธอแต่ง brand name ทั้งตัว

“... กูถามจริง นี่มึงกำลังสู้กับเฟิร์ส หรือมึงกำลังสู้กับความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ?”

“ไม่ใช้เรื่องของมึง” ผมตอบอย่างกระฟัดกระเฟียดเพราะคำพูดของไอซ์ไม่ต่างอะไรจากการเอาเหล็กร้อนๆ มาขยี้ลงบนแผลสด

“เก่งให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอซ์พูดออกไปด้วยความหมั่นไส้ เขาไม่เข้าใจเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยซักนิด มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยอวด ไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาแข่งอะไรไร้สาระแบบนั้น คงเพราะความโกรธและความเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวลืมไปมั้งว่าตัวเองคือมิลค์ ติฒสิงห์ แค่นี้ก็แพงจนไม่มีแก้วแหวนเงินทองที่ไหนจะเทียบเท่า

เป็นเหมือนที่คิดแฟนใหม่จีใส่ brand name มาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่แน่นอนว่าสามัญชนคนธรรมดาอย่างเธอหรือจะสู้เจ้าชายบนหอคอยงาช้างแบบมิลค์ ติฒสิงห์ได้ แม้จะยิ้มหวานให้แต่ไอซ์กับสังเกตได้ว่าเธอแอบมองไอ้มิลค์ตั้งแต่หัวจรดเท้าเพราะกระเป๋า Chanel ที่เธอถือและร้องเท้า Dior ที่เธอใส่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับ Rolex Daytona Rose Gold บนข้อมือซ้าย และ Cartier Juste Un Clou with pave diamonds ครบ set แหวนกำไลบนข้อมือขวาของมิลค์ เรียกได้ว่าทั้งตัวไอ้มิลค์ถอยรถ BMW ได้สบายๆ

ยกแรกไอ้มิลค์ชนะขาด ... แต่เกมนี้ไม่ได้ตัดสินกันด้วยใครแต่งตัวแพงกว่ากัน เพราะทันทีที่เธอเดินควงแขนแฟนหนุ่ม aura ที่เคยเปล่งประกายจากตัวมิลค์ก็ดูจะหม่นลงไปไม่น้อย ... มิลค์อาจจะแพงกว่า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเธอคือแฟนของจี ดูจากสีหน้าของมิลค์ คิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงเข้าใจความจริงข้อนี้ไม่มากก็น้อย

“มิลค์ เราขอถ่ายรูปคู่กับมิลค์ได้ไหม มิลค์หล่อกว่าในรูปเยอะมากๆ นี่เพื่อนๆ เราตื่นเต้นมากเลยนะที่รู้ว่าจีเป็นเพื่อนสนิทของมิลค์” เป็นปกติของทุกคนที่อยากจะสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนของแฟนโดยเฉพาะเพื่อนสนิท ส่วนตัวแล้วไอซ์รู้สึกว่าเฟิร์สทำได้ดี เธอน่ารักและยิ้มแย้มให้กับทุกคน ที่จริงเธอทยอยขอถ่ายรูปคู่กับคนอื่นๆ ครบแล้วเหลือแต่ไอ้มิลค์ ... ถูกของเธอ มิลค์เป็นคนดัง ในยุคที่ทุกคนกำลังให้ความสำคัญกับการ up status ของตัวเอง การลงรูปคู่กับคนดังอย่างมิลค์ย่อมเรียกความฮือฮาได้มหาศาล

ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุคของ Social media แสงไฟก็เหมือนจะตกไปที่มิลค์ ติฒสิงห์พอสมควร ทุกคนอยากรู้จักทายาทเพียงคนเดียวของ The Nemean Group ผู้ที่ใครๆ ก็มองว่าเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และการศึกษา ทำให้บ่อยครั้งที่รูปของมิลค์ถูกนำมาโพสต์ลงตามเพจ cute boy เพื่อเพิ่มยอด engagement

“เราขอโทษนะเฟิร์สแต่เราไม่ชอบถ่ายรูป” มิลค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ พร้อมกับรอยยิ้ม ... ไอซ์ได้ยินเสียงเศษใบหน้าของเธอแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่แฟนของเธอทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ กับสถานการณ์ตอนนี้

“แรงไปไหมมึง” ไอซ์กระซิบเมื่อมิลค์ผละกลับมาเดินอยู่ข้างๆ กัน

“ก็กูไม่ชอบถ่ายรูป” คำตอบของมิลค์ทำให้ไอซ์หัวเราะในลำคอ ... เอากับมันซิ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง มองจากดาวอังคารก็รู้เลยว่าตอแหล

“ตอแหล” สงสัยว่าไอซ์จะคิดดังไปหน่อย

“พี่มิลค์ๆ ...” เสียงใสๆ ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายหญิง 3 คนวิ่งมาทางพวกเรา

“... พวกหนูเป็นรุ่นน้องพี่ เรียนอยู่ปี 1 เพื่อนหนูคนนี้แอบปลื้มพี่มากกกกกกกก มันไม่กล้าขอพี่ถ่ายรูปคู่ พวกหนูเลยจะมาถ่ายเป็นเพื่อนมัน ...” ปลายนิ้วของเธอชี้ไปยังเด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไป แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ชาย ไอ้มิลค์มีแรงดึงดูดกับเพศเดียวกันเสมอ

“... นะคะพี่ ถ่ายรูปกับพวกหนูหน่อยนะคะๆๆๆ” บรรยากาศ dead air เกิดขึ้นหลังจากคำถามของน้อง เพราะทุกคนต่างพร้อมใจกันกลั้นลมหายใจเพื่อรอฟังคำตอบ

“ได้เลยครับ” แล้วไอ้มิลค์ก็เลือกที่จะเปิด war ด้วยการต้องรับพร้อมรอยยิ้ม

“ไอ้ปอนด์มาเร็ว พี่มิลค์ตกลงแล้ว” น้องผู้หญิงที่ดูจะเป็นหัวโจกของกลุ่มตะโกนเรียกเพื่อนของเธอ ก่อนที่เธอจะไปลากเพื่อนเข้ามาร่วมวงถ่ายรูป

แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ไอซ์ก็สังเกตได้ว่าเฟิร์สแสยะยิ้ม เมื่อคนที่เพิ่งปฏิเสธการถ่ายรูปคู่กับเธอ ยิ้มแย้มถ่ายรูปกับรุ่นน้องและแสดงความเป็นกันเองถึงขนาดโอบไหล่รุ่นน้องคนนั้นจนน้องเขินตัวแข็งทื่อ

พวกเราย้ายมายังร้านอาหารที่เฟิร์สเป็นคนแนะนำ แม้ว่าเพื่อนคนอื่นๆ พยายามจะจับให้คู่อรินั่งห่างกันแต่ด้วยจังหวะที่ไม่พอดีเลยทำให้มิลค์นั่งประจัญหน้ากับเฟิร์สโดยมีจีนั่งอยู่ด้านซ้ายของเธอ ไอ้มิลค์ยังคงเล่นสงครามประสาทโดยเปิดดูเมนูประมาณ 3 รอบ และจบด้วยการไม่สั่งอาหารอะไรเลยซักอย่าง ตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงหนีไม่พ้นจี เพราะคนหนึ่งก็เพื่อนสนิท อีกคนหนึ่งก็แฟน

ไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ

“มิลค์ กินอันนี้ ร้านนี้เขาทำอร่อยมากเลยนะ” ต้องยอมใจเฟิร์สที่แม้จะถูกไอ้มิลค์เปิด war มาตั้งแต่เย็นแต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือด้วยการใช้ตะเกียบหยิบเอาตับทอดกระเทียบชิ้นโตไปวางไว้บนจานของมิลค์ ... ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดมหันต์ จริงอยู่ว่ามิลค์เป็นคนไม่เลือกกิน อาหารข้างทางมันก็กินได้ ส้มตำมันก็ใช้มือเปล่าๆ จกได้ แต่ในโลกใบนี้มีอาหารเพียงอย่างเดียวที่เจ้าตัวเกียจเข้าใส้ ... และนั้นก็คือ ... ตับ

“อืมมมมม” มันออกอาการทันทีที่ตับชิ้นนั้นถูกวางไว้บนจานตรง เจ้าตัวเอามือปิดจมูกพร้อมกับเขยิบเก้าอี้หนี มันเกียจตับ เกียจถึงขนาดที่แม้แต่กลิ่นก็ยังดมไม่ได้

“เฮ้ย!!!!! ...” ทุกอยากเกิดขึ้นเร็วมาก ถึงขนาดที่เพื่อนคนอื่นๆ ยังไม่ทันได้ออกปากห้าม

จีคือคนที่ไวที่สุด มันรีบยกจานตรงหน้าไอ้มิลค์ออก สีหน้าของมันคือตกใจมาก ซึ่งก็สมควรเพราะหากได้กลิ่นเข้าไปจังๆ ถึงขึ้นทำให้ไอ้มิลค์อ้วกแตกได้

“... มิลค์ไม่กินตับ …” จีหันไปพูดกับแฟนตัวเองเสียงเข้ม

“... ไหวไหมมิลค์” ก่อนจะหันมาพูดกับมิลค์เสียงอ่อน

“ไหวๆ ไม่เป็นไร ขอโทษ กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำ” พอพูดจบแล้วมันก็ลุกพรวดพลาดออกไป

งานเข้าไอ้จีชนิดที่เรียกได้ว่ามโหฬาร เพราะแฟนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกดุด้วยน้ำเสียงเข้มๆ แล้วไหนจะเพื่อนสนิทที่ลุกออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ถ้าเป็นปกติไอ้จีต้องรีบกวีกวาดตามไปง้อไอ้มิลค์ แต่ตอนนี้คนมีชนักติดหลังจะทำอะไรได้นอกจากนั่งอยู่กับที่ ง้อแฟนตัวเอง

ไอ้มิลค์หายไปประมาณ 20 นาที คาดว่าน่าจะออกไป clear จมูกตัวเองให้โล่งรวมถึงสงบสติอารมณ์ มันเดินกลับเข้ามาในจังหวะที่จีกำลังใช้ตะเกียบป้อนอาหารให้แฟนสาว นั้นยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแย่ไปกว่าเดิม ไอ้มิลค์ที่นิ่งอยู่แล้วตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภูเขาน้ำแข็งที่แพร่ไอเย็นไปทั่ว แต่ดูท่าว่าเฟิร์สจะเลิกให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทของแฟนไปแล้ว เพราะหลังจากขอโทษมิลค์แบบพอเป็นมารยาทเจ้าตัวก็สร้างโลกส่วนตัวกับแฟนหนุ่มโดยไม่สนใจไอ้มิลค์อีกเลย

นิ้วมือเรียวสวยกำเข้าหากันแน่น ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมอยากจะกรีดร้องออกมา ความใกล้ชิด รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็น ยิ่งได้ยิน ผมยิ่งอยากเอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ เมื่อไหร่จะกินอิ่ม เมื่อไหร่จะแยกย้าย ผมรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยากทำให้บรรยากาศมันแย่แต่พอเห็นเขา 2 คนเดินคู่กันมันก็เหมือนมีพายุเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ข้างใน ความโกรธ ความผิดหวัง ความอิจฉา กำลังกัดกินผมจากภายใน ... ทุกอย่างที่เธอได้ เมื่อก่อนมันเคยเป็นของผม ... แทบจะกลั่นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

“ไอ้มิลค์ ไปเป็นเพื่อนกูสูบบุหรี่หน่อย” แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาก ไอซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ฉุดผมให้ลุกออกจากโต๊ะ ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นตามแรงดึงของมัน

ผมเดินตามหลังมันออกจากร้านอาหาร เดินตามมันมาเรื่อยๆ แบบคนไร้สติ รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าตึกสูงในสยามสแควร์

“กลับบ้านไหม ...” ไอซ์ถาม

“... สีหน้ามึงดูไม่ได้เลยวะ”

“วันนี้กูทำตัวแย่มากเลยใช่ไหม”

“ก็เหี้ยพอตัว กูไม่เคยคิดว่าบทจะร้ายมึงจะร้ายได้สุดขนาดนี้ ...” ผมพยักหน้ารับผิด กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำตาที่กำลังก่อตัว

“... แต่กูสะใจนะ ให้ไอ้จีมันโดนซะบ้าง 555” แม้จะอยู่ในโหมดเศร้าแต่ผมก็อดขำกับมุกตลกของไอซ์ไม่ได้

“รอยยิ้มนั้น เสียงหัวเราะนั้น เมื่อก่อนมันเป็นของกู กูไม่อยากแบ่งให้ใคร ...”

“... ทำไมวะไอซ์ กูทำอะไรผิด ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้” จากที่แค่น้ำตารื้อๆ พอได้ระบายความในใจ หยดน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาคู่สวย เรากำลังจะคบกันไม่ใช้เหรอ ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่จะตอบมึงได้คือไอ้จี มึงกล้าถามมันไหม...” ผมสายหัวพลางยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา

“... อย่าร้อง กูไม่ใช้ไอ้จี เลยมีปัญญาปลอบมึงได้แค่นี้ ...” มันไม่ได้กอดผมเหมือนที่จีทำ ไอซ์แค่เขยิบเข้ามาใกล้แล้วลูบหลังเป็นการปลอบโยน

“... มึงรู้ใช่ไหวว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช้จีของมึงคนเดียวอีกแล้ว มึงต้องเข้มแข็ง และยืนอยู่ให้ได้ด้วยตัวของมึงเอง” เพราะไอซ์รู้ว่าที่ผ่านมาผมพึ่งพาจีมากแค่ไหน สำหรับผมแล้วจีเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทหรือคนที่ผมรัก เขาเป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตผม และหลังจากนี้ผมจะต้องอยู่ให้ได้โดยปราศจากครึ่งชีวิตนั้น



...



“ที่จริงพวกเรานัดเจอกันแบบนี้ก็ง่ายดีนะ” โจพูดขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังช่วยกันเก็บจานอาหาร

“ก็ดีนะ จะได้เจอกันบ่อยๆ” อาร์มสมทบ

“เอาดิ คิดถึงพวกมึง นัดทุกสัปดาห์เลยก็ได้นะ” ผมในฐานะเจ้าของบ้านตอบรับ เมื่อเย็นอยู่ๆ ไอซ์ก็จัดแจงนัดทุกคนมากินข้าวที่ห้องของผม ผมเลยโทรบอกพี่แอนให้ช่วยเตรียมอาหารให้แล้วให้คนมาส่งที่ห้อง ผมก็ชอบไอเดียนี้เหมือนกัน คืนวันเสาร์แบบนี้อยู่กันได้ยาวๆ โดยยังมีพรุ่งนี้ให้ได้พักผ่อนอีก 1 วัน

“พี่แอนยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิม ... ซักวันกูจะซื้อตัวพี่แอนไปจากมึง 555” อาร์มพูดพลางลูบหน้าท้องไปมา วันนี้มีกระดูกหมูอ่อนต้มกระหล่ำปลีของโปรดมัน อาร์มเลยเจริญอาหารเป็นพิเศษ

“อย่าเลว พี่แอนไม่ไปอยู่กับมึงหรอก พี่แอนรักกู”

“ขี้หวงวะ”

“แล้วนี่ไอ้จีไปไหน” ไอ้โจถาม

“ไม่รู้มัน ชวนแล้วมันบอกไม่ว่าง” ไอซ์ตอบ

“จะว่าไปตั้งแต่วันนั้น มันก็ไม่พาเฟิร์สมากินข้าวกับพวกเราอีกเลยเนอะ” โจพูดขึ้น

“ใครจะกล้า ดูเพื่อนมึงวันนั้นซะก่อน กูคิดว่าจะลุกขึ้นมาหยุมหัวกันกลางร้านอาหาร” แม้จะพยายามทำตัวนิ่งๆ แต่ก็ไม่วายโดนไอ้ไอซ์จิกกัด

“เออกูผิด พอใจพวกมึงยัง” ผมกระแทกเสียงใส่ไอซ์

“พูดแค่นี้ทำมาเป็นน้อยใจ ... แล้วมึงเป็นไงบ้าง ตอนนี้เรียนปีไหนแล้วนะ”

“จะจบปี 4 แล้ว ยังเหลืออีก 2 ปี”

“ดีแล้วมึง อย่าเพิ่งรีบจบออกมาทำงานเลย กูนี่ยังอยากย้อนเวลากลับไปเรียนต่อ”

“พวกมึงมีแผนจะเรียนต่อหรือเปล่า” ผมถาม

“ทำงานซักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยหาทางเรียนต่อ” ไอซ์ตอบ ในขณะที่คนอื่นก็ตอบในทำนองเดียวกัน

“พวกมึงว่าไอ้จีกับเฟิร์สจะไปกันรอดหรือเปล่าวะ” อยู่ๆ ไอ้อาร์มก็เปลี่ยนเรื่อง

“อารมณ์ไหนของมึง” ไอซ์ถาม

“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ แหละ อยู่กันแค่พวกเรา 4 คน กูพูดเลยละกัน ...”

“... มันมาปรึกษา คือทะเลาะกันบ่อย ทะเลาะกันทุกเรื่อง”

“ทำไมวะ”

“เข้ากันไม่ได้มั้ง คือคนละ life style เลย ล่าสุดสัปดาห์ก่อนก็โทรมานอยด์ๆ ว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”

“ก็อย่างว่าแหละ ใครจะไปรู้ใจไอ้จีได้เท่าไอ้มิลค์ 555” คำแซวของไอ้โจทำเอาพวกเราหัวเราะลั่น

“ไอ้เลว ไม่ต้องเอากูเข้าไปเกี่ยวเลย จะรักจะเลิกกันก็ไม่ใช้เรื่องของกู”

“แหมๆ ทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจ แต่พอได้ยินชื่อไอ้จีนี่หูตั้งเลยนะ ...”

“... มึงได้เจอกับมันบ้างไหม”

“อ้าว!!! ทำไมอยู่ๆ มาสัมภาษณ์กูซะงั้น” ผมถาม

“อยากเสือก ตอบมาเร็วๆ”

“อย่าว่าแต่เจอเลย แค่คุยกันยังน้อย” ช่วงหลังมานี้เราไม่ค่อยได้คุยกัน จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันคือเมื่อไหร่

นับจากวันนั้นรายละเอียดในความสัมพันธ์ของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สมัยก่อนเวลาผมขับรถไปส่ง ไม่เกิน 20 นาทีให้หลัง จีจะโทรกลับมาเช็คเสมอว่าผมกลับถึงบ้านแล้วหรือยัง แต่ตอนนี้ต่อให้รอนานเท่าไหร่เขาก็ไม่โทรมาถาม เวลากินข้าวด้วยกันจีมักจะตักโน่นตักนี่ใส่จานให้ผมเสมอ เขารู้เสมอว่าผมชอบหรือไม่ชอบกินอะไรแต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว วันเกิดของทุกปี จีจะเป็นคนแรกที่โทรมาอวยพร แต่ปีที่ผ่านมาแม้แต่ข้อความผมก็ไม่ได้รับ ... ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว และผมรับรู้มันในทุกวินาที

“อืม กูเข้าใจ มันต้องใช้เวลา”

“มิลค์ ... มันพูดกับกูเรื่องมึงด้วยนะ”

“ฮะ?”

“มันก็แคร์ความรู้สึกมึง กูเข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็เพื่อนกัน อย่าให้ใครมาทำลายความผูกพันธ์ที่มีให้กันนะเว้ย”



คำพูดของอาร์มทำให้ผมย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ผมยืนมองข้อความในโทรศัพท์มือถือยุค 2G ที่ตัวเองเคยใช้ สายตากำลังไล่อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้เมื่อ 4 ปีก่อน ... I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time

“Hi” อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

“ไม่มีอะไร โทรมาเฉยๆ ... มึงเป็นยังไงบ้าง”

“กูโอเคดี แล้วมึงละเป็นยังไงบ้าง” เราไม่ได้แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นของกันและกันอีกแล้ว สรรพนามที่ใช้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็น กู-มึง เหมือนเดิม

“ก็ดี เรื่อยๆ” ใครจะเชื่อว่านี่คือบทสนทนาของคน 2 คนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ฟังแล้วให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน ถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนเราคุยอะไรกันได้เป็นชั่วโมงๆ

“มึงตัดสินใจได้ยังว่าจะเรียนต่ออะไร” ใจชื่นขึ้นมาหน่อยเมื่อคนปลายสายคุยเรื่องที่เราเคยช่วยกันวางแผน

“แต่ยังไม่ได้ตัดสิน ยังมีเวลา”

“จริงด้วย มึงยังมีเวลาอีกตั้ง 2 ปี”

“ทำไมเงียบจัง นี่มึงอยู่ไหน”

...

...

...

“อยู่ต่างจังหวัด ...”

“... กับเฟิร์ส ... Don't ask...”

“... the answer won't make you feel any better ...” ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น นี่ผมกำลังร้องไห้อยู่เหรอ ความคิดกำลังเตลิดไปไกล แค่จินตาการภาพคน 2 คนผมก็ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ ... It hurts. It feels like my heart is being torn apart

“... กูกลับไปแล้วเราไปกินข้าวดูหนังกันไหม ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับมึงเลย ...”

“... Milk, will you wait for me?”

“I will” … always



...



ผมกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงา เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเลือกอยู่นานสองนานในที่สุดผมก็ได้ชุดที่จะใส่ไปกินข้าวกับจีเย็นนี้ ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะเป็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เราจะได้เจอกัน

... ‘G (^.^) v’

“ถึงแล้วเหรอ”

“มิลค์ ...”

“... วันนี้กูขอเลื่อนได้ไหม พอดีต้องไปทำธุระกับเฟิร์ส”

“อืม … ได้ซิ” ไม่ได้!!! มึงนัดกูก่อนแล้วจะเทกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง

“ขอโทษนะ เดียวกูกลับมาครั้งหน้าแล้วนัดมึงใหม่”

“อืม” เย็นนี้เป็นเย็นวันสุดท้ายก่อนที่จีจะไป off shore วันพรุ่งนี้

ผมทิ้งตัวลงนอนหงายอยู่บนเตียงทันทีที่วางสาย ไม่สนใจแล้วว่าเสื้อจะยับ เพราะวันนี้ก็คงไม่ได้ออกไปไหนอยู่ดี

... ‘G (^.^) v’

“อืม” หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงจีก็โทรกลับมา

“กูไปได้แล้วนะ แต่เป็นช่วงค่ำได้ไหม” รู้สึกเหมือนหมาที่รอเจ้าของเพราะพอได้ยินว่านัดของเราไม่ล่ม ผมก็ผลุดลุกขึ้นมาจากโซฟา

“ได้ซิ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น

“งั้นเดียวเจอกัน”



ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง

... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ กูขอโทษไม่ได้แล้วจริงๆ วะ”



... ‘G (^.^) v’

“มึงๆ ได้ เจอกันเวลาเดิมนะ”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ ขอโทษๆ จริงๆ cancel ไปก่อนนะ กลัวว่าจะไม่ทัน ไม่อยากให้มึงรอนาน”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ครั้งสุดท้ายแล้ว เดียวสองทุ่มครึ่ง กูไปรับ”

“จี พอแล้ว กูไม่ไปแล้ว ครั้งหน้ามึงไปเคลียร์กับแฟนมึงให้เรียบร้อยแล้วค่อยมานัดกู” ผมพูดเสียงเข้ม ยอมรับเลยว่าตอนนี้กำลังอารมณ์เสีย คนปลายสายทำให้ผมว้าวุ่นมาตั้งแต่บ่าย เปลี่ยนชุดแล้วก็เปลี่ยนกลับไปกลับมาหลายรอบ ... กูไม่ใช่ตัวสำรองในชีวิตของมึงนะจี

“แต่กูอยากเจอมึง”

“ดึกขนาดนั้นไม่ไหวหรอก พรุ่งนี้มึงต้องตื่นแต่เช้า ส่วนกูก็ต้องไปคณะตั้งแต่เช้าเหมือนกัน” ตื่นเช้าเป็นแค่ข้ออ้าง ไม่ใช้ว่าผมไม่อยากเจอ แต่ด้วยอารมณ์ของเราตอนนี้ การเจอกันอาจทำให้อะไรๆ มันแย่ไปกว่าเดิม ผมไม่ใช้แค่โกรธ แต่มันทั้งเสียใจและน้อยใจ ผมนัดจีก่อน ส่วนอีกคนก็งอแงจนทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แล้วเพื่อนสนิทของผมก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์ของเธอ ... เห็นผมเป็นตัวอะไร


----------

ไอซ์ : "You know damn well that things are going to change, and he's no longer your guiding star. It's time to shine on your own"

#The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 07-10-2025 11:18:00
เป็น 3 สัปดาห์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอนแค่หายใจให้ทั่วท้องยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เข็มของนาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปข้างหน้าตามจังหวะเดิม แม้ว่าผมจะภาวนาขอให้มันเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย

หน้าจอ smart phone ในมือเปิดค้างอยู่ที่ inbox ของ FB นิ้วโป้ง slide หน้าจอขึ้นไปบนสุดเพื่อไล่ดูข้อความเก่าๆ ที่เราส่งหากัน และเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนกระทั้งถึงข้อความที่จีส่งมาล่าสุดในวันที่เราทะเลาะกัน

ห้องที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มันกว้างและเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีนั่งอยู่ข้างๆ


----------

#เหงาจับใจ ##The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 10-10-2025 10:14:36
“... ถามจริงๆ ที่แต่งมาวันนี้เนี่ยกี่ล้านวะ ...” ผมแต่งตัวเพราะได้ยินมาว่าแฟนของจีเธอแต่ง brand name ทั้งตัว

“... กูถามจริง นี่มึงกำลังสู้กับเฟิร์ส หรือมึงกำลังสู้กับความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ?”

“ไม่ใช้เรื่องของมึง” ผมตอบอย่างกระฟัดกระเฟียดเพราะคำพูดของไอซ์ไม่ต่างอะไรจากการเอาเหล็กร้อนๆ มาขยี้ลงบนแผลสด

“เก่งให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอซ์พูดออกไปด้วยความหมั่นไส้ เขาไม่เข้าใจเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยซักนิด มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยอวด ไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาแข่งอะไรไร้สาระแบบนั้น คงเพราะความโกรธและความเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวลืมไปมั้งว่าตัวเองคือมิลค์ ติฒสิงห์ แค่นี้ก็แพงจนไม่มีแก้วแหวนเงินทองที่ไหนจะเทียบเท่า


----------


#แพงข้างนอก #พังข้างใน #The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 11-10-2025 11:07:10
Teaser ตอนที่ 27

“นั่งซิ” พี่เจย์แตะมือลงบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อเห็นผมเดินถือกล่องข้าวเข้ามาหา

“ขอบคุณครับ”

“แก้วไปไหนละ”

“ไปหาเพื่อนที่ห้องอาหารครับ” แก้วไปกินข้าวกับไอ้ต่อไอ้ต้น

“แล้วไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนละ”

“ผมเกรงใจครับ ทุกคนไปกินข้าวกันหมด ไม่มีใครอยู่เฝ้าห้องเลย”

“เป็นคนดีจัง จะไปก็ได้นะ พี่อยู่ให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไปตอนนี้ห้องอาหารคนคงเยอะมาก” ผมพูดพลางแกะข้าวกล่องในมือ

“อยู่ง่ายกินง่ายกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ”

“555 ครับ” ผมเกาหัวตัวเองแก้เขิน ไม่อยากจะบอกความจริงว่า พอแก้วกลับมาผมถึงจะออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารด้านในศูนย์ประชุมเหมือนกัน โรคไม่ชอบกินข้าวกล่องนี่แก้ยังไงก็ไม่หาย อาการหนักพอๆ กับโรคไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก


----------


มิลค์ : เจอกันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือขอแนะนำพี่เจย์

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 12-10-2025 09:33:37
ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ

“อีมิลค์ ฉันตื่นเต้นจะได้อยู่ใกล้ชิดพี่เจย์” แก้วพูดขึ้นพลางยกมือขึ้นปิดหน้า ทำท่าทำทางเขินอายราวกับสาวน้อยวัยแรกแย้ม ... ซึ่งไม่ได้เข้ากับจริตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“ตื่นเต้นอะไรวะ ที่คณะก็เดินเจอกันบ่อย”

“แค่เดินเจอไง นี่จะได้ช่วยงานพี่เขาใกล้ๆ เลยนะ โอ้ยยยยยยยยย ตื่นเต้น” พูดจบมันก็หันไปเม้าท์มอยกับเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

พี่เจย์ ดอกเตอร์ป้ายแดงที่เพิ่งบินกลับมาสดๆ ร้อนๆ เป็นอาจารย์หนุ่มไฟแรงที่ครองตำแหน่งขวัญใจมหาชนของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มสอน ใครบ้างจะไม่ชอบพี่เจย์ หนุ่มตี๋ ผิวขาว ดูสะอาดสะอ้าน ผู้ซึ่ง lecture ด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก และรอยยิ้มสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์

“มาแล้วๆ” ใครซักคนพูดขึ้นในจังหวะที่พี่เจย์เดินเข้ามาในห้องด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ทับด้วย jacket กระดุม 2 แถวสี navy ตัดกับกางเกงสีครีม ดูจากกการแต่งตัวก็รู้แล้วว่าจบมาจากอังกฤษ

“สวัสดีครับน้องๆ พร้อมกันแล้วเนอะ” พี่เจย์ถามพวกเราทุกคน และทันทีที่พี่เขายิ้ม ผมก็ได้ยินเสียงครวญครางจากไอ้แก้ว ... แรดนัก

“พร้อมครับ / คะ”

“วันนี้เป็นวันแรกของพวกเรา อะไรๆ อาจจะติดขัดไปบ้าง ถ้ามีอะไรที่ผิดไปจากแผนที่เราคุยกันไว้ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ แก้ปัญหา ทุกคนมีเบอร์พี่แล้ว มีอะไรโทรหาพี่ได้ตลอดนะครับ ยังพอมีเวลาอีก 10 นาที ยังไงทุกคน stand by ที่คอมได้เลยนะครับ”

ช่วงสัปดาห์นี้มีงานประชุมวิชาการนานาชาติของสมาคมสัตวแพทย์ซึ่งจะจัดเป็นประจำทุกปี งานนี้เป็นงานใหญ่ระดับภูมิภาค มีสัตวแพทย์ทั้งในและต่างประเทศนับพันคนเข้าร่วม แน่นอนว่างานใหญ่ขนาดนี้อาจารย์แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะขนนิสิตนักศึกษามาช่วยงานกันอย่างคับคั่ง

“แก ฉันอยากกินกาแฟวะ”

“เหมือนกัน” ผมกับแก้วนั่งอยู่หลังหน้าจอคอม

“ช่วงว่างๆ ไปซื้อกาแฟกันนะ”

“อืม”

หลังจากนั้นพวกเราก็หัวหมุนกันอยู่หน้าคอม กว่าจะได้เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ 10 โมงกว่าแล้ว

“พี่เจย์ครับ เดียวผมกับแก้วขอเดินไปซื้อกาแฟแป๊บนึงนะครับ พี่เจย์เอาอะไรไหมครับ”

“พี่ขอ caramel macchiato แก้วใหญ่ เพิ่ม whipping cream ครับ”

“อ่อ!!! ได้ครับ”

“คิดจะกินแล้วต้องกินให้สุดครับ ...” เหมือนพี่เจย์จะรู้ว่าผมกับแก้วคิดอะไรอยู่ในใจ caramel macchiato ก็ว่าหวานแล้ว ยังเพิ่ม whipping cream ให้อ้วนขึ้นไปอีก

“... อะนี่ครับ พี่เลี้ยงมิลค์กับแก้วนะครับ” พี่เจย์ยื่นแบงก์พันส่งมาให้

“จะดีเหรอครับ”

“ดีซิ ผู้ใหญ่ให้ของแล้วห้ามปฏิเสธนะรู้ไหม เร็วเข้ารีบไปรีบมา พี่อยากกิน whipping cream แล้ว”

“ได้เลยคะพี่ ...” แก้วตอบรับก่อนที่เรา 2 คนไหว้ของคุณพี่เจย์

“... พี่เจย์นิสัยดีมากเลยอะแก ...”

“... คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งฉลาด ทั้งใจดี แค่อยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุขแล้ว”

“คนไหม ไม่ใช้เทวดา”

“ชิห์ แกเรียนต่อกับพี่เขาดิ”

“จริงๆ ก็คิดอยู่นะ แต่เพิ่งรู้จักพี่เขาเองเราเลยว่าจะรอดูอีกหน่อย” ตั้งแต่เจอกันในคาบ lecture ผมก็ถูกชะตากับพี่เจย์อยู่ไม่น้อย ผมชอบวิธีการสอนของพี่เจย์ ชอบความสุภาพ และเป็นกันเอง



“นั่งซิ” พี่เจย์แตะมือลงบนเก้าอี้ข้างๆ เมื่อเห็นผมเดินถือกล่องข้าวเข้ามาหา

“ขอบคุณครับ”

“แก้วไปไหนละ”

“ไปหาเพื่อนที่ห้องอาหารครับ” แก้วไปกินข้าวกับไอ้ต่อไอ้ต้น

“แล้วไม่ไปกินข้าวกับเพื่อนละ”

“ผมเกรงใจครับ ทุกคนไปกินข้าวกันหมด ไม่มีใครอยู่เฝ้าห้องเลย”

“เป็นคนดีจัง จะไปก็ได้นะ พี่อยู่ให้”

“ไม่เป็นไรครับ ไปตอนนี้ห้องอาหารคนคงเยอะมาก” ผมพูดพลางแกะข้าวกล่องในมือ

“อยู่ง่ายกินง่ายกว่าที่พี่คิดไว้เยอะเลยนะ”

“555 ครับ” ผมเกาหัวตัวเองแก้เขิน ไม่อยากจะบอกความจริงว่า พอแก้วกลับมาผมถึงจะออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารด้านในศูนย์ประชุมเหมือนกัน โรคไม่ชอบกินข้าวกล่องนี่แก้ยังไงก็ไม่หาย อาการหนักพอๆ กับโรคไม่ชอบพื้นห้องน้ำเปียก

“เลือกหรือยังว่าจะเรียนสัตว์เลี้ยงหรือปศุสัตว์ครับ”

“สัตว์เลี้ยงครับ”

“555 พี่ก็ถามอะไรไม่รู้เนอะ คิดภาพมิลค์ไปล้มวัว เจาะเลือดหมูไม่ออกเลย”

“ปศุสัตว์ไม่เหมาะกับ life style ของผมเท่าไหร่ครับ”

“นั้นนะซิ ... เรียน lecture ถึงตอนนี้ชอบวิชาอะไรที่สุดครับ” พี่เจย์กินไปคุยไปกับผมอย่างเป็นกันเอง เหมือนเป็นรุ่นน้องมากกว่าลูกศิษย์

“lecture ของพี่ครับ” ส่วนหนึ่งอาจจะเพื่อเอาใจ แต่ส่วนหนึ่งคือผมชอบ lecture ของพี่เจย์มากจริงๆ

“ตอบได้ดี อยู่เป็นนะเนี่ย” รอยยิ้มล้อเลียนปรากฎของบนใบหน้าของดอกเตอร์หนุ่ม พอได้คุยเรื่องทั่วไปถึงได้สังเกตเห็นว่าเวลาพูดคุยพี่เจย์ก็เล่นหูเล่นตาเก่งเหมือนกัน ผมหมายถึงการแสดงออกทางสีหน้านะ

“ถ้าชอบมาเรียนต่อกับพี่ไหม”

“555 เอาแบบนี้เลยเหรอครับ”

“แบบนี้แหละตรงๆ” นี่ผมกำลังถูกจีบให้ไปเป็นเด็กในสังกัดแบบซึ่งๆ หน้าอยู่ใช่ไหมเนี่ย

“ผมคิดๆ เรื่องเรียนต่ออยู่เหมือนกัน แต่ขอเวลาผมตัดสินใจหน่อยนะครับ”

“เอาเลยครับ พี่ไม่ซีเรียส”

“พี่คุมน้ำหนักเหรอครับ” ผมถามเพราะเห็นว่าพี่เจย์ตัดมันของหมูกรอบออกหมดเลย

“คนเริ่มมีอายุก็แบบนี้แหละครับ กินตามใจปากไม่ได้”

“พี่พูดอย่างกับตัวเองอายุ 30 ...”

“... จริงเหรอพี่”

“พี่อายุมากกว่าน้องมิลค์ 15 ปีเลยนะ”

“เชี่ยยยยย!!! … ขอโทษครับ” ผมรีบยกมือขึ้นปิดปาก รู้สึกตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะเพิ่งหลุดพูดคำหยาบต่อหน้าอาจารย์

“ไม่เป็นไรๆ อยู่กันส่วนตัวแบบนี้ พูดได้ครับ พี่ไม่ซีเรียส” พี่เจย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม โคตร nice เชื่อแล้วว่าทำไมถึงมีแต่คนปลื้ม

“ผมคิดว่าพี่อายุมากกว่าไม่กี่ปี” surprise มากเพราะคิดว่าพี่เจย์อายุไม่เกิน 30 ยอมรับเลยว่าพี่เจย์หน้าเด็กมาก

“อ่า ขอบคุณที่ชมครับ”







เราทุกคนต่างรู้ว่าความสัมพันธ์ของจีกับเฟิร์สขึ้นๆ ลงๆ เหมือนรถไฟเหาะ แม้จะไม่ใช้คนที่จีโทรมาปรึกษาแต่ผมก็รับรู้ได้จากคำบอกเล่าของเพื่อนคนอื่นๆ พวกเขาทะเลาะกันบ่อย ทะเลาะกันเกือบทุกเรื่อง เลิกๆ คบๆ วนไปวนมา สารภาพว่าครั้งแรกที่รู้ว่า 2 คนเลิกกัน มันมีความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในใจ แต่พอเขากลับมาคบกัน ดอกไม้ในใจของผมก็แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

แม้จะไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ เหมือนเดิม แต่เราก็ยังมีนัดกินข้าวดูหนังกันนานๆ ครั้ง ผมไม่รู้ว่าอะไรทรมานมากกว่ากัน ระหว่างความคิดถึงเมื่อเราไม่ได้พบเจอ กับความจริงที่ไม่ว่าเราจะเจอกันบ่อยแค่ไหนแต่เขาก็ไม่ใช้จีคนเดิมของผมอีกแล้ว

ผมว่าบางครั้งความเหงาก็น่ากลัว

ผมกำลังยืนรอจีอยู่ที่ตีนบันได BTS สถานีศาลาแดง วันนี้ถนนสีลมคราครำไปด้วยผู้คนเนื่องจากมีงานถนนคนเดินเป็นวันสุดท้าย เสียงพูดคุย แสงสี กลิ่นอาหารทำให้ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยสีสันและมีชีวิตชีวา

“มิลค์” พอผมหันกลับไปตามเสียงเรียกจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“รถติดเหรอ”

“นิดหนึ่ง เอารถกลับไปจอดที่บ้าน แล้วก็รีบนั่ง MRT มาหามิลค์เลย ... หิวยัง” รอยยิ้มของมิลค์สดใสราวกับดวงอาทิตย์กลางฤดูหนาว

“หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน” ผมพยักหน้าตอบรับ

เราเริ่มจากต้นถนนสีลมแล้วเดินย้อนไปทางแยกนราธิวาส แวะทุกร้านนี่อยากแวะ กินทุกอย่างที่อยากกิน ซื้อที่ทุกอย่างที่อยากซื้อ ... และรู้สึกที่อย่างที่เราอยากจะรู้สึก ราวกับว่าโลกใบนี้มีแค่เรา 2 คน

“จีว่ามิลค์ใส่เสื้อตัวนี้แล้วสวยไหม” ผมถามพร้อมกับพาดเสื้อยืดสีฟ้าสกรีนรายกราฟฟิกลงบนตัว

“อืม สวยอยู่นะ จะเปลี่ยนแนวเหรอ” หลังๆ มานี้จีสังเกตได้ว่าเพื่อนสนิทเปลี่ยนมาใช้ brand name เยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างวันนี้แม้เจ้าตัวจะแต่งตัวสบายๆ แต่เสื้อยืนที่สวมก็สกรีนโลโก้ brand ดังอยู่กลางอก รวมถึงเครื่องประดับแบรนด์หรูอย่าง Cartier เข้า set กำไลแหวนบนข้อมือทั้ง 2 ข้าง

“ซื้อเอาไว้ใส่ตอนไปฝึกงาน” คำตอบของมิลค์ทำเอาเจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อย เขามัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นจนลืมไปได้ยังไงว่าตอนนี้มิลค์อยู่ปี 5 แล้ว เป็นปีที่เจ้าตัวเริ่มออกไปฝึกงานต่างจังหวัด ชุดฝึกงานต่างจังหวัดของคณะสัตวแพทย์มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่า ‘ชุดหมี’ ซึ่งดูเผินๆ ไม่ต่างอะไรจากชุดพนักงานดับเพลิงดีดีนี่เอง แม้จะเป็นชุดที่หนาและร้อนแต่มิลค์กลับต้องใส่เสื้อผ้าไว้ด้านในอีกชั้น เพราะเนื้อผ้าที่สากทำให้เจ้าตัวรู้สึกคันเวลาสวม

“ต้องซื้อกี่ตัว”

“อยากได้ซัก 4 ตัว”

“งั้นจีช่วยมิลค์เลือกนะ” จีดูจะสนุกมากกับการจับผมแต่งตัวเป็นตุ๊กตา ซื้อแค่ 4 ตัวแต่ลองเสื้อไปประมาณ 30 ตัว ใช้เวลาเลือกไปเกือบครึ่งชั่วโมง เกรงใจคนขายจนไม่กล้าต่อราคา

ซื้อเสื้อเสร็จเดินไปอีกหน่อยก็เจอร้านหมูย่าง พอได้กลิ่น แค่มองหน้า ผมก็รู้แล้วว่าจีคิดอะไร

“จะกินกี่ไม้” ผมถามในขณะที่กำลังก้าวขาไปยืนต่อแถว จีชอบกินหมูย่างมาก เป็นอีกหนึ่งเมนูประจำของเจ้าตัว

“4 ไม้ มิลค์กินกี่ไม้”

“2 ไม้พอเก็บท้องเอาไว้กินอย่างอื่น อย่างกินของทอด โอ้ย!!!” ผมมองจีตาขวาง เพราะพอพูดเรื่องของทอดเจ้าตัวก็หยิกพุงผมเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ

“เดียวจีต่อแถวให้ มิลค์ไปซื้อน้ำส้มคั้นร้านโน้นได้ปะ”

“ได้ๆ ขวดเดียว แบ่งกันเนอะ” พอจีพยักหน้าผมก็เดินไปต่อแถวร้านน้ำส้ม พอกลับมาหมูปิ้งทั้ง 6 ไม้ก็อยู่ในมือของเพื่อนสนิท

“มิลค์ถือเองได้” ผมพูดขึ้นเมื่อเจ้าตัวยื่นหมูปิ้งมาจอที่ปาก

“จีป้อน เดียวมือเปื้อน ...”

“... เร็วเข้า” ผมมองตาของเพื่อนสนิท ก่อนจะสลัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกจากหัว แล้วอ้าปากงับหมูปิ้งตรงหน้า เราสลับกันกินคนละคำสองคำ ทำไปทำมาผมเหมือนผมจะกินไป 3 ไม้แทนที่จะเป็น 2 ไม้ตามที่ตั้งใจไว้

“อะจี” หลอดพลาสติดสีเขียวถูกยื่นไปจ่อปากของเพื่อนสนิท เราสอบตากันเสี่ยววินาทีก่อนที่จีจะดูดน้ำส้มหายไปเกือบครึ่งขวด

“ที่เหลือมิลค์กินเลยนะ” ผมพยักหน้าแล้วดูดน้ำส้มจากขวดที่เหลือจากหลอดเดิมจนหมด

หลังจากหมูปิ้งก็ต่อด้วยผัดไท ปาท่องโก ไก่ย่าง ชานมไข่มุก เดินผ่านอะไรที่อยากกินก็ซื้อกินโดยไม่สนใจว่าจะเป็นคาวหรือหวาน

“เฮ้ย!!! ... หลบเร็วมิลค์” ไม่ทันพูดจบประโยค จีก็คว้าขอมือของผม แล้วพาผมวิ่งออกมาจากตรงนั้น

“อะไรวะ” งงว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็วิ่งตามหลังของคนตรงหน้า จีพาผมเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนหลงทิศ

“เหนื่อยวะ” จนสุดท้ายเรา 2 คนก็มายืนหอบแฮ๊กอยู่หลังมุมตึก

“โคตรเหนื่อย ไม่ได้วิ่งแบบนี้มานานมาก” ผมบ่น

“ท่าทางเหมือนหมาหอบแดดเลยมิลค์” จีเอ่ยปากแซว ว่าแต่คนอื่นทั้งที่ตัวเองก็หอบไม่แพ้กัน

“เออดิ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เจอเพื่อนเฟิร์ส” ผมชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่จะสลัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกจากหัว (อีกครั้ง)

“กลัวจะถูกจับได้เหรอ ว่าแอบหนีมาแรด” ผมยังไม่ได้เล่าใช่ไหมว่าก่อนหน้านี้จีไปไหนมา จีไปส่งเฟิร์สที่สุวรรณภูมิ เพื่อบินไปเรียนต่อที่ปริญญาโทที่ USA ผมแสยะยิ้มเพราะเมื่อคำนวณคร่าวๆ ตอนนี้เครื่องของเธอน่าจะ take off ไปแล้ว

“ก็เออดิ” แล้วเราก็หัวเราะให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราไม่ได้หัวเราะด้วยกันแบบนี้ โคตรคิดถึงความรู้สึกแบบนี้เลย คิดถึงดวงตาชั้นเดียวคู่นั้น คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงเสียหัวเราะ ... คิดถึงจี

“G”

“ครับ, dear”

“I really like when we are together” ผมไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะตอบตกลง เมื่อจีโทรชวนผมมาถนนคนเดินตั้งแต่สัปดาห์ก่อน รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจความผิดชอบชั่วดีอีกแล้ว

“Us two are the best”

“I miss you”

“And I miss us” ผมมองรอยยิ้มของเพื่อนสนิทตรงหน้า ยิ้มของจีอบอุ่นราวกับแสงแดดในฤดูหนาว

ผมว่าบางครั้งความเหงาก็น่ากลัวเพราะมันทำให้เราตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร



..........



“ทำไมมึงมาเร็ววะ” ผมถามพลางเขยิบหลีกทางให้ไอซ์เดินเข้ามา วันนี้พวกเรานัดมา hang out กันที่ห้องของผม ไอซ์มาถึงเป็นคนแรกก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมง

“มาคุยกับมึง” มันพูดพร้อมกับเดินนำผมเข้ามาในห้องนั่งเล่น

“มีเรื่องอะไรวะ” ผมกระโดดขึ้นมานั่งบนโซฟา เรานั่งอยู่คนละฝั่ง เผชิญหน้าเข้าหากัน

“กูถามมึงตรงๆ เลยนะ”

“อืม”

“มึงกำลังทำอะไรอยู่วะ”

“กูไม่เข้าใจว่ามึงหมายถึงอะไร”

“เรื่องไอ้จี”

“กูทำอะไร?”

“ไอ้มิลค์ อย่าตอแหล มึงคิดว่ากูไม่สังเกตเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อะไรของมึง” มึงยังคงตีหน้าซื่อเป็นผู้ร้ายปากแข็ง

“ได้!!! มึงจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ... มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าพวกมึง 2 คนแอบไปกินข้าวดูหนังกัน พวกมึงกลับมาเรียกชื่อเล่นกัน และกูได้ยินเต็ม 2 หูว่ามันเรียกมึงว่า dear ...”

“... นี่มันลากมึงขึ้นเตียงแล้วหรือยัง” ไอ้เหี้ยยยยย!!! ถ้าจะพูดขนาดนี้ก็ลุกขึ้นมาตบหน้ากูเลยดีกว่า

“ไอซ์!!! มึงพูดเกิดไปแล้วนะ”

“ดูพฤติกรรมตัวเองก่อนจะมาด่ากู ... นี่มึงคิดจะทำอะไร” นอกจากมันจะไม่หยุดแล้วมันยังซักผมต่อ ไอ้เพื่อนเหี้ย!!!

“กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น”

“ถ้าไม่คิดก็มองหน้ากู” ผมมองหน้ามัน แต่ไม่ถึง 3 วินาทีก็ต้องหลบตา คนทำผิดมักมีชนักติดหลังเสมอ

“ทำไมกูจะทำไม่ได้ ...” เมื่อหลังชนฝา ผมก็สารภาพความจริงออกมา

“... กู happy มัน happy ก็ไม่มีอะไรผิดเปล่าวะ”

“มึงพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือเปล่า”

“กู ไม่ แคร์” ผมกระแทกหลังลงกับเบาะ ยกมือขึ้นกอดอกราวกับเด็กน้อยที่ถูกขัดใจ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าที่เราทำอยู่หมายถึงอะไร

“เฮ่ออออออ ... มึงมีความสุขจริงๆ เหรอวะ ...” ไอซ์ถอดหายใจยาว เจ้าตัวนับ 1 ถึง 100 พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นมาหยุมหัวไอ้มิลค์

“... กูไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างมึง 2 คนเป็นบ้าอะไร ที่ผ่านมากู support มึงเพราะทั้งมึงและมันต่างก็ไม่มีใคร แต่ตอนนี้มันมีแฟนแล้ว และลึกๆ มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันผิด ...”

“... กูรู้ว่ามึงรักมัน และถ้ามันรักมึงจริงๆ มันต้องให้เกียรติมึง มันต้องไปเลิกกับเฟิร์สแล้วมาขอคบกับมึง ไม่ใช้ทำเหมือนมึงเป็นตัวสำรองแบบนี้ ...” เหมือนโดนลากมาตบกลางสี่แยกด้วยคำว่า ‘ตัวสำรอง’

“... และกูสาบาญเลยว่าถ้าถึงวันนั้นแล้วมันไม่ยอมคุกเข่าขอมึงเป็นแฟน หรือทำตัวกั๊กมึงไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน ต่อให้เป็นเพื่อน กูก็จะล่อมันให้หน้ายับเลย”



..........



ผมยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อคำเตือนของไอซ์ รู้ทั้งรู้ว่ามันหวังดีและรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่มันผิด แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ขอแค่ได้จับมือของจีไว้ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ผมก็ยินดี

“มิลค์ ไปกินบะหมี่ที่ทองหล่อกัน” จีพูดขึ้นในขณะที่คนอื่นๆ เตรียมตัวกลับบ้าน เข็มสั้นของนาฬิกาเลยเลข 11 มาเล็กน้อย ผมมองหน้าเพื่อนสนิทจากนั้นมองเลยไปที่ไอซ์ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังของจี

“ไปซิ” ไอซ์มองผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่เจ้าตัวจะเก็บของใส่กระเป๋า มันเดินออกจากห้องเป็นคนแรกโดยที่ไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย



“ไม่ได้ไปกินบะหมี่เจ้านี้นานมาก” จีพูดขณะที่ Lexus IS 350 สีเทาดำกำลังเคลื่อนตัวผ่านถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร ร้านบะหมี่ที่จีพูดถึงเป็นร้านรถเข็นที่ตั้งอยู่ในซอยเล็กๆ ตรงข้ามกับปากซอยทองหล่อ สมัยก่อนหลังจากเที่ยวเสร็จเราชอบมาแวะกินมื้อดึกกันก่อนจะกลับบ้าน ส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกว่าร้านนี้อร่อยเกินมาตราฐานร้านบะหมี่ทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไมจีถึงได้ติดอกติดใจร้านนี้นัก

“จริง ไม่ได้มานานจนมิลค์ลืมร้านนี้ไปแล้ว” ตั้งแต่พวกมันเรียนจบ ผมก็แทบไม่ได้เที่ยวกลางคืนอีกเลย

“ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง” จีถาม

“ฝึกงานสนุกดี” ปีนี้ผมเริ่มมีวิชาฝึกงานมากขึ้น ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด

“ตอนไปต่างจังหวัดเป็นไงบ้าง ยังไม่ชอบอยู่ไหม”

“ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ผ่านการฝึกงานที่ฟาร์มมาได้แค่นี้สบายมาก

“อีกแป๊บเดียวมึงก็เรียนจบแล้วเนอะ”

“อืม ...” ตอนนี้ปี 5 เทอม 2 แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็เตรียมตัวขึ้นปี 6

“... ปิดเทอมใหญ่มิลค์มีค่ายอาสานะ”

“ค่ายที่มิลค์เคยพูดถึงนะเหรอ”

“อืม ค่ายนั้นแหละ” มันเป็นวิชาค่ายอาสาที่นิสิตทุกคนต้องไป

... ‘First’

บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะเมื่อโทรศัพท์ของจีก็มีสายเรียกเข้า จีหยิบมือถือที่วางอยู่ตรงคอนโซนหน้ารถขึ้นมาดูก่อนที่เจ้าตัวยกมือขึ้นมาทำท่าจุปากให้ผมอยู่เงียบๆ ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ... โทรมาดึกขนาดนี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ

“Hello”

“จีอยู่ไหนแล้วคะ ถึงบ้านหรือยัง” แม้จะคุยกันไม่กี่ครั้งแต่ผมก็จำเสียงของเธอได้ขึ้นใจ โทรศัพท์มือถือของจีต่อกับ Bluetooth รถยนต์ทำให้ผมได้ยินเสียงของเธอชัดเจน

“กำลังจะกลับครับ”

... ‘Ice’

แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆ มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมรีบหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงและตัดสายอย่างรวดเร็ว แต่ดูท่าว่าจะสายเกินไป

“จีอยู่กับใครคะ” มันเหล่สายตามองมาทางผม ผมสัมผัสได้ว่าเราทั้งคู่ต่างกลั้นหลายใจ

“อยู่กับมิลค์”

“กับมิลค์? ดึกขนาดนี้ยังอยู่กับมิลค์อีกเหรอ ไหนบอกว่ากำลังจะกลับบ้านไง” น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ผมจะได้ยินอะไรมากไปกว่านั้นจีก็กดปิด Bluetooth แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูทันที

“กำลังไปหาอะไรกินกับมิลค์ ... ไม่ใช้อย่างนั้น ...” ไม่ใช้แค่น้ำเสียงของเธอที่เปลี่ยนไป น้ำเสียงของจีก็เข้มขึ้นเช่นกัน

“... อืม อืม ... ไม่ใช้ ...” ผมไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรแต่บรรยากาศในรถแย่ลงจากเมื่อ 5 นาทีก่อนราวกับพลิกฝ่ามือ

“... เฟิร์ส พูดอะไรช่วยให้เกียรติมิลค์ด้วยครับ ...” น้ำเสียงของจีเรียบนิ่ง สีหน้าแววตาฉายชัดว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ ... Winter is coming

“... อืม อืม ... ไว้คุยกันครับ” พูดจบมันก็กดวางสาย ก่อนจะโยนมือถือกลับที่เดิมอย่างไม่ใยดี

...

...

...

“กลับบ้านไหม” ผมถามเมื่อเราทั้งคู่ต่างเงียบใส่กันมาซักพัก มันส่ายหน้า แต่ยังเหม่อมองไปนอกหน้าต่างๆ

“ไม่กลับ ... อยากอยู่กับมิลค์”

“อยากอยู่กับจีเหมือนกัน” นิ้วก้อยของผมยื่นไปสัมผัสกับนิ้วชี้ของจีที่วางอยู่บนเกียร์รถยนต์ ก่อนที่ปลายนิ้วของเราจะเกี่ยวกันไว้หลวมๆ

“ทะเลาะกันมา 2 วันแล้ว จีไม่ได้คุยกับเฟิร์สมาตั้งแต่วันพฤหัส นี่เขาเป็นฝ่ายโทรมาก่อน”

“เลิกไหม รู้อยู่แล้วว่าเข้ากันไม่ได้ จีจะรั้งไว้ทำไม ... ไม่เหนื่อยเหรอ” เลิกไหม แล้วมาคบกับกู กูสัญญาว่าจะรัก และไม่ทำให้มึงเสียใจ ขอร้อง เรามาคบกับนะ ... ผมทำได้แค่กล่าวประโยคนี้ในใจ

“เหนื่อย แต่อีกใจ ... ก็รักเขา” คำตอบของจีทำเอาผมหายใจไม่ออกราวกับคนกำลังจมน้ำ ถ้าความรู้สึกที่มีให้อีกคนที่อยู่คนละซีกโลกคือความรัก แล้วความรู้สึกที่มีให้ผม คนที่นั่งอยู่ข้างเขาตอนนี้มันเรียกว่าอะไร

ตอนที่จีชวนผมออกมากินข้าวผมจินตนาการภาพว่ามันคงเป็นมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคาดหวังไว้ เหมือนเราทั้ง 2 คนต่างหลุดเข้าไปในโลกของตัวเอง ต่างคนต่างกิน ไม่พูดคุย ไม่ไถ่ถาม กินเสร็จจ่ายเงินแล้วขับรถกลับ สารภาพว่าเมื่อชั่วโมงก่อนผมแอบมีความหวังว่าจีจะค้างคืนกับผม และเราจะได้ใช้ชีวิตด้วยกันจนถึงหัวค่ำของวันพรุ่งนี้ เหมือนอย่างในอดีต

Lexus สีเทาดำจอดสนิทอยู่หน้าประตูทางเข้าคอนโดย่านสาทร

“G” ผมเรียกชื่อเพื่อนสนิทด้วยสำเนียง American คุ้นหู

“ครับ, dear”

“We must stop doing this, ...” ผมหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ ความรู้สึกกำลังเอ่อล้นจะแทบจะคุมไว้ไม่อยู่

“... I can't take it anymore. I feel like I'm falling apart” พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ผมสะอื่นแล้วรีบยกหลังมือของมาปาดน้ำตา ไม่เคยคิดเลยว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้

“I am so sorry, dear. I don’ t mean to hurt you”

“You don’ t have to. No matter what I choose, it will hurt either way”

“Milk, Can we still be best friends?”

“Always”

ตอนนี้ผมตอบตัวเองได้แล้วว่าระหว่างความคิดถึงกับความจริงอะไรเจ็บปวดมากกว่ากัน

‘Sometimes, the truth hurts the most’


----------


#Us two #I miss you # And I miss us #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 14-10-2025 11:24:30
"My dear. the problem is that you love him so much
that you would allow him to drag you all the way to Hell
if it meant you could hold his hand on the way down"


----------


#Please, dance with me in the dark #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 27 : ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 16-10-2025 08:30:07

“We must stop doing this, ...” ผมหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ ความรู้สึกกำลังเอ่อล้นจะแทบจะคุมไว้ไม่อยู่

“... I can't take it anymore. I feel like I'm falling apart” พูดจบน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ผมสะอื่นแล้วรีบยกหลังมือของมาปาดน้ำตา ไม่เคยคิดเลยว่ากรรมจะตามสนองเร็วขนาดนี้

“I am so sorry, dear. I don’ t mean to hurt you”

“You don’ t have to. No matter what I choose, it will hurt either way”


--------


#The truth hurts the most #ไม่รู้ว่าน้ำหรือไฟ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 17-10-2025 23:40:25
Teaser ตอนที่ 28

“กลางวันไปกินข้าวไหน” แก้วถามเมื่ออาจารย์ปิดสไลด์ เป็นสัญญานว่าปล่อยนิสิตให้ไปพักกลางวันได้

“กูว่าจะไปหาอะไรกินในสยาม อยากเดินดูโน่นนี้หน่อย”

“ให้พวกกูไปด้วยไหม” ต่อเสนอตัวไปเป็นเพื่อน

“ไม่เป็นไร พวกแกไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ เราว่าจะเดินเล่นนิดหน่อย เกรงใจพวกแก”

“เหรอ”

“อืม ไว้เจอกันคาบบ่าย” แก้วเหมือนจะอยากตามมาแต่เพราะต่อส่งสายตาเชิงห้ามปรามเจ้าตัวถึงได้ปล่อยให้ผมไปคนเดียว มัน 3 คนรู้เรื่องระหว่างผมกับจี แม้จะเป็นห่วงแต่พวกมันก็ยินดีจะเว้นระยะห่างตามที่ผมต้องการ

ช่วงหลังๆ ผมมักจะแยกตัวไปกินข้าวกลางวันคนเดียว อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากหน่อย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดแม้ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบซักที เทอมสุดท้ายของปี 5 ใกล้จะจบลง อีกไม่นานผมจะก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ของคณะ เวลาในรั้วมหาลัยเหลือน้อยลงทุกที จากที่เคยมั่นใจว่าจะเรียนต่อตอนนี้ผมรู้สึกลังเล

ผมเดินเลาะไปตามซอยของสยามสแควร์ตั้งใจจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ชั้น 2 ของร้านแว่นตา ในขณะที่กำลังเดินขึ้นชั้นบน ผมมองเข้าไปในร้าน ในจังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในลูกค้าเงยหน้าขึ้นมาพอดี เรา 2 คนสบตากัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สุดแสนจะคุ้นเลย เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู

“มิลค์!!!”

“บอน!!!”


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์เดิม เพิ่มเติมคือชอบกินข้าวคนเดียว

#The toxic and abusive Ex is back #Red flag
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 19-10-2025 10:16:48
ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด (Part 1/2)

ไม่ว่าแสงอาทิตย์จะฉาบท้องฟ้าให้มีสีฟ้าครามแค่ไหนแต่ผืนฟ้าที่เคยสวยงามตอนนี้กลับไม่สดใสเหมือนเก่า หัวใจของผมปกคุลมไปด้วยเมฆหมอกขมุกขมัว ความสัมพันธ์ของผมกับจีที่เหมือนจะกลับมาอยู่ในระดับเดิม ตอนนี้ร่วงหล่นราวกับตกเหว หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ออกไปไหนมาไหนกัน 2 คนอีกเลย สรรพนามของเราถูกเปลี่ยนกลับมาเป็น ‘กู-มึง’ อีกครั้ง

“กลางวันไปกินข้าวไหน” แก้วถามเมื่ออาจารย์ปิดสไลด์ เป็นสัญญานว่าปล่อยนิสิตให้ไปพักกลางวันได้

“กูว่าจะไปหาอะไรกินในสยาม อยากเดินดูโน่นนี้หน่อย”

“ให้พวกกูไปด้วยไหม” ต่อเสนอตัวไปเป็นเพื่อน

“ไม่เป็นไร พวกแกไปกินที่โรงอาหารกันเถอะ เราว่าจะเดินเล่นนิดหน่อย เกรงใจพวกแก”

“เหรอ”

“อืม ไว้เจอกันคาบบ่าย” แก้วเหมือนจะอยากตามมาแต่เพราะต่อส่งสายตาเชิงห้ามปรามเจ้าตัวถึงได้ปล่อยให้ผมไปคนเดียว มัน 3 คนรู้เรื่องระหว่างผมกับจี แม้จะเป็นห่วงแต่พวกมันก็ยินดีจะเว้นระยะห่างตามที่ผมต้องการ

ช่วงหลังๆ ผมมักจะแยกตัวไปกินข้าวกลางวันคนเดียว อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากหน่อย มีหลายเรื่องที่ต้องคิดแม้ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้คำตอบซักที เทอมสุดท้ายของปี 5 ใกล้จะจบลง อีกไม่นานผมจะก้าวขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ของคณะ เวลาในรั้วมหาลัยเหลือน้อยลงทุกที จากที่เคยมั่นใจว่าจะเรียนต่อตอนนี้ผมรู้สึกลังเล

ผมเดินเลาะไปตามซอยของสยามสแควร์ตั้งใจจะไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ร้านหนึ่งที่อยู่ชั้น 2 ของร้านแว่นตา ในขณะที่กำลังเดินขึ้นชั้นบน ผมมองเข้าไปในร้าน ในจังหวะเดียวกันกับที่หนึ่งในลูกค้าเงยหน้าขึ้นมาพอดี เรา 2 คนสบตากัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สุดแสนจะคุ้นเลย เขาก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงประตู

“มิลค์!!!”

“บอน!!!”

“มึงมาทำอะไร” เจ้าตัวถามพลางก้าวออกจากร้าน

“กินข้าว ... ชั้น 2 มีร้านอาหารญี่ปุ่น” ผมอธิบายเพิ่มเติม

“จริงดิ? กูกินด้วยได้เปล่า ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย หรือมึงนัดใครไว้”

“เอาดิ กูมาคนเดียวเหมือนกัน”

“งั้นรอแป๊บกูจ่ายตังค์ก่อน ...” เจ้าตัวรีบกลับเข้าไปในร้าน จ่ายเงิน รับของ แล้วเดินออกภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 นาที

“... ไปกัน” มันพูดก่อนจะเดินตามหลังผมขึ้นมายังชั้น 2



“สั่งอะไรมากินตรงกลางไหม” บอนถามเมื่อต่างคนต่างสั่งมื้อกลางวันของตัวเองเรียบร้อย

“เอาดิ” ผมพยักหน้า แล้วเปิดเมนูหาอาหารจานกลาง

“มึงยังชอบกินของทอดอยู่ไหม”

“ชอบ”

“เอาหมู tonkatsu ครับ”

“กูสั่งอะไรมากินคู่กันหน่อยนะ” ผมถาม

“เอาเลยๆ” คนตรงข้ามตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

“เอา Hamachi sashimi ครับ” พนักงานตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะเก็บเมนูแล้วเดินไปส่ง order

“มึงเป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานโคตร” บอนถามอย่างกระตือรือร้น ตั้งแต่จบมัธยม เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ผมรู้แค่บอนเรียนต่อคณะบริหารที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง

“นานจริง กูโอเคดี ใกล้เรียนจบแล้ว”

“เออใช่ กูลืมไปเลยว่ามึงเรียนสัตวแพทย์” ผมไม่ได้แปลกใจที่บอนรู้ เราเป็น friend กันใน FB ตั้งแต่ปีที่แล้ว

“แล้วมึงละ ตอนนี้ทำไรอยู่”

“เรียนต่อ จริงๆ ตอนนี้กูเรียนต่อที่ New York แต่เป็นช่วงปิดเทอมเลยกลับมาบ้าน” รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะเจ้าตัวไม่ค่อย up อะไรลง FB ผมเลยไม่รู้เรื่องชีวิตของบอนมากนัก

“เรียนบริหาร?”

“อืม บริหาร minor เป็นการเงิน”

“เหมาะกับมึง” มันยิ้มกว้างตอบรับคำชมของผม บ้านของบอนเป็นโรงงาน OEM อาหาร ผมเชื่อว่าวัยเด็กของพวกเราทุกคนต้องเคยกินอาหารที่ผลิตจากธรุกิจที่บ้านของมันมาอย่างน้อย 1 อย่าง การเรียนต่อด้านบริหารควบการเงินเป็นสาขาที่เหมาะกับผู้บริหารในอนาคตอย่างบอน

“ขำอะไรวะ” มันถามเมื่อผมหลุดขำเพราะแอบแซวมันในหัว

“ขำมึง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กไม่ชอบเรียนหนังสืออย่างมึงจะมาไกลได้ขนาดนี้”

“ก็โตแล้วไหมวะ เรียนๆ เล่นๆ มาตลอด ถึงเวลาต้องจริงจังกับอนาคตตัวเองซักที” ผมทำสีหน้าเหลือเชื่อว่าประโยคคมๆ แบบนี้จะหลุดออกจากปากของมัน

“ม๊าคงดีใจน่าดู ... ป๊าม๊าสบายดีนะ” อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ ผมกับบอนเลยคุยไปกินไป

“สบายดี แล้วมึงละ จบแล้วจะทำอะไรต่อ” มันถาม

“ยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”

“อย่างมึงเนี่ยนะ” บอนถามด้วยสีหน้าสงสัย เพราะในความรู้สึกของบอนมิคล์เป็นคนเก่งและมักจะวางแผนอนาคตของตัวเองเสมอ

“คนอย่างกูเนี่ยแหละ 555” แต่แม้จะเป็นคนเก่ง แต่คนเราก็ย่อมมีช่วงที่ไม่แน่ใจกับอนาคตของตัวเองบ้างเหมือนกัน

“มึงไม่ได้จะต้องกลับไปช่วยงานพ่อเหรอ”

“ไม่รู้ซิ? ยังคิดอยู่ว่าจะเรียนต่อเกี่ยวกับสัตวแพทย์ดีไหม ช่วงหลังๆ พ่อกูไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย” ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อมักจะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเรียนจบแล้วอยากให้ผมกลับมาทำงานที่บริษัท

“เล่าได้นะ”

“เรียนต่อ ป.โท ที่คณะก็ยื้อเวลาเป็นหมอได้อีกซัก 3 ปี”

“อยากเป็นหมอขนาดนั้น?”

“ก็อยาก แม้จะรู้ว่าสุดท้ายต้องกลับไป” เพราะรู้ว่าสุดท้ายต้องกลับไป ตอนนี้เลยเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการฝืนชะตาชีวิตตัวเอง

“อืมมมมมม จริงๆ ก็ไม่เห็นจะต้องคิดมากเปล่าวะ อยากเรียนก็เรียน ใช้เวลาไม่กี่ปีเอง มึงยังเหลือเวลากลับไปช่วยงานที่บ้านอีกตั้งเยอะ แต่ถ้ามึงกลับไปช่วยงานพ่อเลย มึงจะไม่ได้กลับมาเรียนสัตวแพทย์อีกแล้วนะ”

จากนั้นก็เหมือน dead air ที่เราต่างคนต่างกินอาหารของตัวเองเงียบๆ ผมกำลังคิดตามประโยคที่บอนพูดออกมา

“มองไร” มันถามเมื่อผมเผลอมองหน้ามันนานกว่าปกติ

“มึงเปลี่ยนไปเยอะมาก”

“กูหล่อขึ้นใช่มะ ...” หมันใส้ความมั่นใจของมันเหลือเกิน ผมไม่ตอบแม้ว่าเรื่องอวยตัวเองของจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม บอนสมัยยังเป็นเด็กมัธยมในความทรงจำของผมวันนั้น ตอนนี้กลายเป็นชายหนุ่มดีกรีนักเรียนนอก ไปแล้ว มันตัวหนาขึ้น ต้นแขนที่โผล่พ้นเสื้อโปโลแขนสั้นออกมาบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวออกกำลังกายเป็นประจำ ใบหน้าที่คุ้นชินถูกแทนที่ด้วยโครงหน้าหล่อเหลาของผู้ใหญ่

“... ไม่อยากจะโม้ แต่ตอนมหาลัยกูรับงานเดินแบบด้วยนะ ...” ผมเผลอทำปากขมุมขมิบด้วยความหมันใส้

“... เคยสงสัยว่าจะมีโอกาสได้เจอมึงในงานบ้างไหม แต่ก็ไม่เคยเจอเลย”

“มึงดูละครมากไป กูไม่ค่อยได้ไปงานแบบนั้นหรอก” โอกาสจะเจอผมตามงานเปิดตัวสินค้าหรือตามงานสังคมต่างๆ น้อยยิ่งกว่าการเจอผมในเพจ cute boy มาก

“กินเสร็จแล้วมึงต้องกลับไปเรียนต่อหรือเปล่า ...” มันถามเมื่อมื้ออาหารของเราใกล้จะสิ้นสุดลง ผมขยับข้อมือดูนาฬิกา digital ของ Casio ที่ข้อมือซ้าย เหลือเวลาอีก 15 นาที

“... เสียดายวะ นานๆ ทีได้เจอมึงที ยังใช้เบอร์เดิมอยู่ไหม”

“เบอร์เดิม มึงละ”

“เบอร์เดิม กูว่างอีกตั้งเดือนนึง ถ้าวันไหนมึงว่างไปเที่ยวกันไหม”

“เอาซิ ...” ผมมองมันในขณะที่มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว

“... บอน กูไม่อยากอยู่คนเดียว กูอยากไปเที่ยว มึงพากูไปได้หรือเปล่า”



ผมกำลังก้าวเดินตามแผ่นหลังสูงใหญ่ของบอน เราเดินลัดเลาะไปตามระเบียงของโรมแรมหรูที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อก้าวเท้าออกจากตัวโรงแรมผมก็ได้กลิ่นของแม่น้ำ สายลมเอื่อยๆ ของช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ปะทะเข้ากับโครงหน้าสวย เส้นผมที่เริ่มจะยาวปลิวไสวไปตามสายลม

“ก้าวระวังนะ” บอนก้าวลงเรืออย่างมั่นคง มันหันกลับมาหาผมที่ยังยืนอยู่บนท่าเรือพร้อมกับรอยยิ้ม ผมมองฝ่ามือหนาที่ถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนที่รอยยิ้มหวานจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ขอบใจ” มันกุมมือผมไว้หลวมๆ ในขณะที่ผมก้าวขึ้นเรือ

ย้อนกลับไปเมื่อกลางวันบอนนิ่งไปแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะตอบรับคำขอแปลกประหลาดของผม เจ้าตัวทำหน้าครุ่นคิดอยู่ซักพักก่อนจะออกไปโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้ามาพร้อมกับบอกว่าจะพาไปเที่ยว แต่ขออุ๊บไว้ก่อนเป็น surprise บอนเอาศักดิ์ศรีเป็นประจำว่าผมจะต้องชอบสถานที่ที่มันกำลังจะพามา ... ใครจะคิดว่าเจ้าตัวจะเล่นใหญ่ถึงขนาดเหมาเรือยอร์ชส่วนตัวพาผมมาล่องแม่น้ำเจ้าพระยา

“กูไม่เคยมาล่องเรือแบบนี้มาก่อน” ผมพูดพร้อมกับหย่อนตัวลงบนเบาะนั่งข้างๆ บอน

“ชอบไหมละ”

“ชอบดิ วันนี้อากาศโคตรดี” เป็นโชดดีของผมวันนี้ที่อากาศเย็นส่งท้ายปลายฤดูหนาว

“มึงจ้างเขากี่ชั่วโมง” มันส่ายหัว

“นานเท่าทีจะทำให้มึงสบายใจขึ้น”

“โคตรป๋า ... ใช้มุกนี้จีบสาวบ่อยหรือเปล่า”

“ไม่เคยเลยเถอะ มึงชอบมองกูในแง่ร้าย”

“ใครจะไปรู้ เมื่อก่อนมึงใช่ย่อยซะที่ไหน ...”

“... พูดไปก็คิดถึงเมื่อก่อน มึงแมร่งโคตรเจ้าชู้ ชนิดที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน 555”

“เออ พูดตอนนี้แล้วก็ขำ ส่วนมึงก็โคตรขี้หึง”

“ทำไงได้ มึงเป็นแฟนคนแรกของกูนะเว้ย กูก็วาดฝันว่าโลกจะเป็นสีชมพูไหม ...”

“... ใครจะรู้ มีแฟนผิดคิดจนตัวตาย”

“มึงแมร่ง ด่ากูเจ็บตลอด...”

“... กูยังจำเรื่องห้องเก็บของหลังโรงยิมได้อยู่เลย”

“555 กูแรดเนอะ ทำไปได้ไงวะ” คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้กับความแรดของตัวเอง

“แต่กูพูดจริงนะว่าไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร”

“กูจ่ายได้นะ เกรงใจมึง”

“ไม่เอา มิลค์ ติฒสิงห์ เอ่ยปากอยากมาเที่ยวทั้งที กูก็ต้องตอบรับให้สมศักดิ์ศรีหน่อยซิวะ”

“ขอบใจนะ”

“เพื่อมึง กูยินดีเสมอ ...”

“... กูเคยคิดว่าถ้าวันนั้นกูทำตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิมซักหน่อย รักมึงให้มากกว่าเดิมซักนิด หรือหยุดเจ้าชู้ในวันที่มึงร้องขอ ตอนนี้เรา 2 คนจะเป็นยังไง”

“ฮึๆๆ ไม่ใช้มึงแค่คนเดียวที่คิด ...”

“... บางครั้งกูก็สงสัยเหมือนกัน ว่าถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายถอดใจก่อน วันนี้เราจะเป็นยังไง แต่คิดไปก็ไม่มีใครตอบได้หรอก ... มึงอาจจะเป็นรักแท้...”

“... หรืออาจจะเป็นแฟนเหี้ยๆ ของกูเหมือนเดิม” ผมยืมประโยคที่ใครอีกคนเคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อนมาใช้ ผมกับบอนสบตากัน เราต่างอมยิ้ม ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันนึงจะได้กลับมานั่งคุยเรื่องในอดีตกับแฟนเก่าคนแรก มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ที่จริงคือมันดีมากๆ อาจเพราะเราเคยผ่านช่วงเวลาแย่ๆ มาด้วยกัน เคยรักกันมาก และเกียจกันจนไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน แต่แล้วความบาดหมางก็เจือจางไปตามกาลเวลา จนตอนนี้เหลือทิ้งไว้แค่ความทรงจำดีๆ ที่ทำให้เรานั่งอมยิ้มทุกครั้งที่คิดถึง

เราใช้เวลาล่องเรือกันเกือบ 3 ชั่วโมง พอผมเอ่ยปากบอกว่าสบายใจขึ้นแล้ว บอนก็บอกให้คนขับหันหัวเรือกลับ ผมตอบแทนบอนด้วยการเสนอตัวเลี้ยงอาหารมื้อเย็นที่โรงแรม แม้จะคุยกันเยอะมากมาค่อนวันแล้วแต่เราก็ยังมีเรื่องให้สลับกันเล่าสู่กันฟังได้ฟังไม่รู้จบ บอนเล่าเรื่องราวโลดโผนของชีวิตในหอพักนักศึกษาให้ผมฟัง แน่นอนว่ามีทั้ง part ปกติและ part ที่ไม่น่าจะผ่านกองเซนเซอร์ ผมเพิ่งรู้ว่าหลังจากผม บอนก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายคนไหนอีก ที่ผ่านมาเจ้าตัวมีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด

เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะยังคงดังขึ้นมาตลอดทางจากห้องอาหารไปยังตึกจอดรถ อากาศเย็นลงจากเมื่อบ่ายพอสมควร ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอดก่อนที่จะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในรถ BMW series 3 สีขาวสะดุดตา

“มึงจอดรถทิ้งไว้ที่สยามใช่ไหม” บอนถาม

“บอน ตอนนี้มึงมีแฟนหรือเปล่า ...” มันมองหน้าผม คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเหมือนไม่แน่ใจว่าคำถามนี้เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาของเรา ในรถมีแค่เสียงแอร์และเสียงจากเครื่องยนต์ และทันทีที่คนตรงหน้าส่ายหัว

“... ดี” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมิลค์ นิ้วมือเรียวสวยคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อโปโลสีแดงก่อนจะดึงรั้งแฟนเก่าเข้ามาประกบจูบ ... ผมรู้สึกได้ถึงแรงตอบรับที่ค่อย ๆ ทวีความลึกซึ้งขึ้น บอนไม่ดันผมออก ไม่หลบ ไม่ปฏิเสธ ... แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปเหมือนสายน้ำที่พาเรามา
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 28
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 19-10-2025 10:20:15
ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด (Part 2/2)

ผมยืดคอขึ้นเพื่อโกยอากาศเข้าให้เต็มปอด เอวบางโยกขึ้นลงตามจังหวะที่ถูกส่งมาจากคนด้านล่าง ความเสี่ยวซ่านแพร่กระสานไปทั่วร่างกาย ในบางจังหวะที่จุดอ่อนไหวด้านในถูกกระตุ้น นิ้วมือเรียวสวยถึงกับต้องจิกลงบนกล้ามอกแน่นเพื่อระบายอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำ

มือหนาคว้าหมับเข้าที่เอวคอด ก่อนที่บอนจะพลิกตัวขึ้นเพื่อสลับตำแหน่ง ท่อนขาเนียนเรียวปราศจากไรขนถูกยกขึ้นพาดบนไหล่กว้าง เรา 2 คนสบตากันอีกครั้ง

“ไหวไหม” คนด้านบนถาม พอพยักหน้าตอบรับบอนก็โถมกระหน่ำแรงลงมาจนผมต้องเอื้อมมือขึ้นไปดันหัวเตียงเอาไว้ไม่ให้ตัวเองไถลไปตามแรงกระแทก

เสียงลมหายใจ เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงเจลหล่อลื่นที่เสียดสีกับช่องทางอ่อนไหว แม้จะฟังดูหยาบโลนแต่กลับยิ่งยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของเรา 2 คนเตลิดไปไกล

เพี๊ยะ!!!

ผมนิ่งงันไปชั่วขณะเพราะความตกตลึง แต่พอตั้งสติได้ความโกรธก็พุ่งทยาน

เพี๊ยะ!!!

ฝ่ามือบางตบเข้าที่แก้มของคนด้านบนเต็มแรง ใบหน้าคมหันไปตามแรงกระแทกก่อนจะเริ่มขึ้นเป็นสีแดงจางๆ กิจกรรมด้านล่างหยุดชงัก คิ้วหนาขมวดเข้าหากันบ่งบอกชัดเจนว่าบอนไม่พอใจ

“อย่าตีก้น กูไม่ใช้กระหรี่” ดวงตาด้านล่างฉายแววแข็งกร้าวไม่ต่างกัน แต่พอพูดจบผมก็คว้าคอคนของมันลงมาประกบจูบ อารมณ์ใคร่ถูกปลุกกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เอวหนาซอยถี่ยิบ ฝ่ามือร้อนกดเอวบางจนแทบจะจมหายไปกับเตียง เสียงครางสูงต่ำดังสลับ คนด้านบนหายใจถี่เร็ว

“ทำให้กู ...” มิลค์พูดขึ้นพลางจับเอามือหนามาวางไว้ที่จุดอ่อนไหว

“... เสร็จพร้อมกัน” คนด้านบนพยักหน้ารับ เอวหนายังคงซอยถี่เร็ว ในขณะที่ฝ่ามือร้อนกุมจุดอ่อนไหวของมิลค์ไว้ในมือก่อนจะรูดขึ้นลง

“อ่า / อร่า!!!”



“มึงสวย” ผมที่กำลังนั่งเช็ดผมอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามปรายสายตาขึ้นมอง บอนที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่มองผมไม่ละสายตา เสื้อคลุมอาบน้ำที่เจ้าตัวใส่แหกออกจนเห็นช่วงอกที่มีรอยปื้นแดงๆ พาดผ่าน เพราะไม่ได้เตรียมชุดมาพวกเราเลยต้องใช้ชุดคลุมอาบน้ำแทนชุดนอน

“ต่อให้ชมมากกว่านี้กูก็ไม่ให้อีกรอบหรอกนะ” ผมแยกเคี้ยวใส่เพราะรู้สันดานของคนตรงหน้าดี นาฬิกา digital ตรงหัวเตียงบ่งบอกเวลา 01.45 พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า บอนอาสาไปส่งผมที่คณะให้ทันก่อนคาบเช้า 8.00

“กูไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ...” น้ำเสียงมันตัดเพ้อ บ่งบอกชัดเจนว่าให้ผมหยุดมองมันในแง่ร้ายได้แล้ว

“... มึงพูดจริงๆ เหรอว่าตั้งแต่เลิกกัน มึงไม่เคยมีแฟนอีกเลย”

“อืม ไม่เคย” ผมตอบพลางใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมที่ใกล้จะแห้งสนิท

“ทำไมวะ”

“ไม่อยากมี อยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า”

“เดียวนะ!!! งั้นแสดงว่าถึงตอนนี้กูเป็นคนเดียวที่มึงเคยมีอะไรด้วย?” บอนตาเป็นประกายเมื่อตีความคำตอบของผมไปอีกประเด็นหนึ่งหน้าตาเฉย สีหน้าภาคภูมิใจนั้นทำให้ผมอยากจะเดินไปฟาดหน้ามันอีกซักที

“ก็ตามนั้น” ผมใช้ความนิ่งสยบแววตาเจ้าเล่ห์ของมัน ในใจรู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ไอ้บอนลืมคิดไปว่านอกจากมันจะเป็นคนเดียวที่ผมเคยมีอะไรด้วยแล้ว เมื่อกี้ยังเป็น sex ครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปีของผม

“กูพูดจริงๆ นะว่ามึงสวยจริง สวยมาก สวยจนใครๆ ก็ต้องหันกลับมามอง ...”

“... รู้หรือเปล่าว่าที่ห้องอาหารคนแอบมองมึงเยอะมาก” ผมยิ้มรับ ก่อนจะลุกขึ้นเอาผ้าขนหนูผืนเล็กไปเก็บในห้องน้ำ ขณะที่เดินกลับออกมาเห็นซองถุงยางที่ถูกฉีกออกแล้ว 3 ซองนอนนิ่งอยู่ก้นถังขยะ ช่วงจังหวะหนึ่งผมอยากจะย้อนเวลากลับไปหยุมหัวตัวเอง เพราะกลัวว่าการติดสินใจเพียงชั่ววูปจะทำให้เรื่องราวต่างๆ ซับซ้อนมากไปกว่าที่เป็นอยู่

“นอนเถอะ ...” ผมทิ้งตัวลงบนเตียงในขณะที่บอนก็ไถลตัวลงมานอนอยู่ข้างๆ เรานอนตะแคงหันหน้าเข้าหากัน

“... ปิดไฟได้แล้ว โคตรง่วง”

“กูขอโทษนะที่ตีก้นมึง” บอนทำหน้าหมาหงอย ให้ความรู้สึกเหมือนหมา Golden retriever ที่กลัวว่าจะถูกเจ้าของดุ

“อืม ขอโทษเหมือนกันที่ตบหน้ามึง”

“กูไม่รู้ว่ามึงไม่ชอบ ...”

“... มิลค์...”

“... ลองกลับมาคบกันไหม” นั้นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ

“อย่าเลย มึงก็รู้ว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า sex” ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด แม้จะหายโกรธไปนานแล้วแต่ผมก็ยังจำได้ว่ามันทำให้ผมเสียใจมากแค่ไหน

“กูรู้ แต่กูอยากลองดูอีกซักครั้ง ... ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วกูไม่คว้าไว้ไม่ได้”

“กูไม่อยากทำร้ายมึง ... กูดีใจนะเว้ยที่เรากลับมาเป็นเพื่อนกันได้อีกครั้ง” ผมตอบตามความจริง ตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรในใจ แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่คำว่ารักปนอยู่เลยแม้แต่น้อย

“กูขอเวลาแค่เดือนเดียว ...” คนตรงหน้ายังคงยื้อ

“... ลองคบกัน แล้วเมื่อถึงเวลา กูทำให้มึงกลับมารักกูไม่ได้ ถึงตอนนั้นกูก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว...”

“... เราจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

...

...

...

“ได้ ถ้ามึงสัญญาว่าทุกอย่างจะจบใน 1 เดือน...” มันพยักหน้ารับพร้อมมองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย

“... แต่กูเตือนมึงไว้ก่อนว่าอย่างคาดหวังอะไรมากนัก” รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางรู้สึกอะไรมากไปกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ตอบตกลง อยากลองทำอะไรบ้าๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากมายดูซักครั้ง



“อีมิลค์ เมื่อวานแกหายไปไหนมา” แก้วถามทันทีที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้ามันแสดงออกชัดเจนว่าสงสัยที่เห็นผมนั่งอยู่ในห้อง lecture ตั้งแต่ 7.30 ทั้งที่ปกติผมมักจะมาถึงเกือบๆ 8.00

“ปวดหัวหน่อยๆ เลยกลับบ้าน”

“อย่าตอแหล เมื่อวานก่อนกลับบ้านไอ้ต่อยังเห็นรถแกจอดอยู่ที่ตึก ...”

“... แล้วเมื่อเช้าใครมาส่ง ... ฉันเห็นแกลงจาก BMW สีขาว รถใคร รถไอ้จีเหรอ”

“รถเพื่อน” ผมยอมบอกอย่างเสียมิได้

“ใต้ตาแกบวมมาก เมื่อคืนได้นอนบ้างไหมวะ”

“นอนดิ แต่ดึกหน่อย” แก้วยิ้มเจือน ไม่รู้มันจินตาการสาเหตที่ทำให้ผมนอนดึกไปไกลถึงไหน

“มิลค์ ฉันจริงจังนะ ... ทุกคนเป็นห่วง ...”

“... เมื่อวานอยู่ๆ แกก็หายไป โทรไม่รับ DM ไปก็ไม่อ่าน ทิ้งรถไว้ที่คณะทั้งคืน เช้านี้มีใครไม่รู้มาส่ง ...”

“... แล้วแกจะให้ฉันคิดว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมหลุดขำกับจินตนาการสุดจะกว้างไกลของมัน แต่เจ้าตัวกลับตวัดสายตามองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“นี่แกคิดว่าเราไปทำอะไรมา” ผมถาม

“กับพฤติกรรมของแกช่วงนี้ ฉันไม่รู้ว่าควรจะคิดอะไรแล้ว”

“เพื่อนจริงๆ เพื่อนสมัยมัธยม บังเอิญเจอกันเมื่อวานเลยคุยกันเพลินไปหน่อย”

“คุยกันเพลินจนทิ้งรถไว้ที่ตึกเนี่ยนะ ... เฮ่ออออออออ ...”

“... แกรู้ใช่ไหมว่าคำตอบมันไม่ make sense แต่ถ้าแกบอกว่าเพื่อนฉันก็จะเชื่อ”

“เราขอโทษ แต่เราสัญญาว่าที่ผ่านไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย”

“ช่วงนี้แกเป็นอะไรวะ มีปัญหาอะไรบอกฉันได้นะเว้ย”

“เรามีเรื่องให้ต้องคิด”

“เรื่องไอ้จี? ...” ผมพยักหน้า

“... ฉันพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ...” ผมก็พอรู้ว่าแก้วเดาสถานการณ์ออก

"... เราช่วยอะไรแกได้บ้างไหม" ผมส่ายหน้าให้กับความหวังดีของแก้ว

"เรายังไม่พร้อมจะตัดสินใจอะไรทั้งนั้น แค่อยากอยู่กับตัวให้มากกว่านี้อีกหน่อย"



----------



“แน่ใจนะว่าจะไม่กินด้วยกัน” ผมถามในขณะที่รถกำลังเลี้ยงเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านเลียบด่วน

“ไม่วะ เพื่อนมึงไม่ชอบหน้ากู โดยเฉพาะไอ้ไอซ์” เพราะไอซ์มันรู้ไงว่ามึงสันดานเหี้ย มันเลยไม่ชอบมึง 555 อย่างว่าแหละผีเห็นผี

“งั้นกินเสร็จแล้วกูโทรหา ...”

“... ไหนว่าไม่ไปกินด้วยไง” ผมถามเพราะบอนก้าวลงมาจากรถเหมือนกัน

“ก็ไม่กิน แต่จะไปส่ง”

“กวนตีนนะมึง” ผมรู้ว่ามันจงใจไปกวนตีนไอ้ไอซ์มากกว่าอยากจะไปส่งผม

อาร์มโบกมือเรียนทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาในร้านอาหาร บรรยากาศแปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อพวกมันเห็นว่าคนที่เดินตามผมเข้ามาในร้านอาหารคือแฟนเก่าที่สร้างวีรกรรมไว้มากมาย เพราะรู้จักกันมานานถึงรู้ว่าพวกมันส่งซิกกันผ่านสายตา จีและไอซ์มองหน้าผมกับบอนสลับกันไปมา

“enjoy นะมึง เสร็จแล้วโทรบอก เดี๋ยวกูมารับ” บอนเดินมาส่งผมถึงโต๊ะอาหาร

“ไม่เอา อายคนอื่นเขา” ผมขืนตัวเมื่อคนข้างๆ พยายามจะกดจมูกลงบนศีรษะ

“ฮึๆๆ” มันหัวเราะอยู่ในลำคอ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหลังมือผมอย่างแผ่วเบา รู้แหละว่าตั้งใจปั่นประสาทไอซ์กับจี แต่ทำแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนในกลุ่มก็ทำให้ผมรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย

“เล่ามา” หลับหลังบอน ผมก็ถูกพวกมันทั้ง 4 คนจ้องมองด้วยสายตาคาดคั้น

“บังเอิญเจอกันที่สยามเมื่อหลายวันก่อน” ผมตอบพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบปลาดิบตรงหน้า

“อย่ากวนตีน” ไอซ์พูดเสียงเข้ม มันรู้ว่าผมจงใจเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

“มันขอจีบ”

“แล้วมึงตกลง?”

“กูไม่เสียอะไรหรือเปล่าวะ เหลืออีกไม่ถึง 3 สัปดาห์มันก็กลับไปเรียนต่อแล้ว” ผมยักไหล่ ทำสีหน้าท่าทางว่าไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร

“แล้วไงต่อ”

“ก็ถ้าถึงตอนนั้นกูไม่รู้สึกอะไร ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

“เพื่อน? ...” ไอซ์ถือวิสาสะแหวกคอเสื้อผมไปด้านข้างเผยให้เห็นหลักฐานจากกิจกรรมเมื่อคืนที่ปรากฏชัดเจนบริเวณไหปลาร้าลามไปจนถึงลาดไหล่ คนข้างๆ ขมวดคิ้วทันที สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์กับภาพที่เห็น ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ช่วงอกและหน้าท้อง ผิวละเอียดของมิลค์เต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงช้ำ

“... ตัวลายเป็นตุ๊กแกขนาดนี้ยังกล้าพูดคำว่าเพื่อน”

“วินวินไง ... ทำอย่างกับมึงไม่เข้าใจคำนี้” ถึงเวลาของผมที่จะเอาคืนไอ้ไอซบ้าง

“ยอกย้อนนะมึง ... คิดจะแรดก็อย่าลืมป้องกันตัวเองให้ดีละ”

“เออน่า กูดูแลตัวเองได้ ยังไงก็ไม่ท้องก่อนแต่ง” พูดจบผมก็ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบอีกชิ้นเข้าปาก

“ปากดีฉิบหาย ท้องไม่ได้แต่ถ้าติดโรคขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้ ไอ้เหี้ยบอนยิ่งมั่วๆ อยู่ด้วย”

จบประโยคนั้นพวกเราเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น ในจังหวะที่มิลค์ก้มหน้าก้มตากินอาหารและพูดคุยกับเพื่อนๆ ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจองมองมาด้วยสายตาสั่นไหว และเสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน สายตาจากดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นฉายแววความไม่พอใจอยู่ในที



ประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุดของคอนโดหรูย่านสาทร เจ้าของดวงตาชั้นเดียวก้าวออกมาจากลิฟต์ คีย์การ์ดถูกวางแนบลงบนบานประตูก่อนที่ประตูไม้บานใหญ่จะปลดล๊อค แม้ช่วงหลังมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าของห้องจะดูห่างเหิน และเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยเหมือนเมื่อก่อนแต่การที่มิลค์ไม่ได้เอ่ยปากขอ keycard คืน ก็ทำให้จีรู้สึกใจชื่นขึ้นมาบ้างว่าระหว่างเรายังคงมีความรู้สึกบางอย่างเชื่อมถึงกันอยู่

ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ไฟตามทางเดินถูกเปิดทิ้งไว้เป็นสัญญานว่าเจ้าของอยู่ในห้อง แต่พอเดินเข้ามาหัวใจของจีก็เหมือนจะร่วงหล่น บนชั้นเก็บรองเท้าช่องประจำของเขามีรองเท้าของใครอีกคู่วางอยู่ จีเดินผ่านไปตามระเบียงทางเดินที่คุ้นชิน ห้องนั่งเล่นว่างเปล่า ห้องครัวและห้องกินข้าวเงียบสนิท พอเห็นว่าประตูห้องนอนของมิลค์เปิดแง้มไว้ 2 ขาก็เดินไปทางนั้นทันที แต่ยิ่งเข้าใกล้ หัวใจก็ยิ่งเต้นถี่รัว จีได้ยินเสียงบางอย่างเล็ดรอดออกมา เสียงที่บ่งบอกว่าเขามาผิดเวลา แม้จะรู้ว่าภาพด้านหลังบานประตูคืออะไรแต่ถึงอย่างนั้น 2 เท้าก็ยังก้าวเดินไปข้างหน้า

ประตูรถ Lexus IS สีดำถูกกระแทกปิดอย่างแรงจนเสียงดังไปทั่วลานจอด กำปั้นหนักๆ ถูกฟาดลงบนพวงมาลัยอย่างไม่ออมแรง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาตะโกนออกมาเต็มเสียงอย่างสุดจะกั้น มันมากไป มากเกินไป ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาน่าจะหันหลังเดินกลับทางเดิม ไม่น่าพาตัวเองไปเห็นภาพตรงหน้า โกรธจนอยากจะพุ่งไปกระฉากทั้งคู่ออกจากกัน แต่สิ่งเดียวที่ทำได้คือพาตัวเองออกมา เหมือนโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้า น้ำตาไหลอาบแก้มจนไม่เหลือเค้าของความหล่อเหลา

จากช่องประตูที่แง้มอยู่ เขาเห็นมิลค์นั่งคร่อมอยู่บนตักของบอน ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้ออย่างนักกีฬากำลังโอบรอบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนที่เขารักและเฝ้าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก เอวบางขยับขึ้นลงตามแรงอารมณ์ ทั้ง 2 คนสอดประสานกันแนบแน่นลงตัว จีเคยจินตนาการถึงการร่วมรักครั้งแรกระหว่างเขากับมิลค์ว่าเสียงครางของอีกฝ่ายจะต้องทำให้เขาคลั่งรักจนแทบบ้า แต่ตอนนี้เสียงที่ได้ยินกลับเหมือนใบมีดที่กรีดลึกลงกลางหัวใจ ... ทุกอย่างพังทลายลงหมดแล้ว


----------


#พังหมดแล้ว #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


ปล. สัปดาห์นี้ภาพเยอะหน่อยนะครับ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 20-10-2025 20:16:17
“บอน ตอนนี้มึงมีแฟนหรือเปล่า ...” มันมองหน้าผม คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นเหมือนไม่แน่ใจว่าคำถามนี้เกี่ยวอะไรกับบทสนทนาของเรา ในรถมีแค่เสียงแอร์และเสียงจากเครื่องยนต์ และทันทีที่คนตรงหน้าส่ายหัว

“... ดี” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมิลค์ นิ้วมือเรียวสวยคว้าเข้าที่ปกคอเสื้อโปโลสีแดงก่อนจะดึงรั้งแฟนเก่าเข้ามาประกบจูบ ... ผมรู้สึกได้ถึงแรงตอบรับที่ค่อย ๆ ทวีความลึกซึ้งขึ้น บอนไม่ดันผมออก ไม่หลบ ไม่ปฏิเสธ ... แค่ปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปเหมือนสายน้ำที่พาเรามา


----------


#ดี!!! #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 22-10-2025 11:01:29
“เพื่อน? ...” ไอซ์ถือวิสาสะแหวกคอเสื้อผมไปด้านข้างเผยให้เห็นหลักฐานจากกิจกรรมเมื่อคืนที่ปรากฏชัดเจนบริเวณไหปลาร้าลามไปจนถึงลาดไหล่ คนข้างๆ ขมวดคิ้วทันที สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์กับภาพที่เห็น ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่ช่วงอกและหน้าท้อง ผิวละเอียดของมิลค์เต็มไปด้วยร่องรอยสีแดงช้ำ

“... ตัวลายเป็นตุ๊กแกขนาดนี้ยังกล้าพูดคำว่าเพื่อน”

“วินวินไง ... ทำอย่างกับมึงไม่เข้าใจคำนี้” ถึงเวลาของผมที่จะเอาคืนไอ้ไอซบ้าง

“ยอกย้อนนะมึง ... คิดจะแรดก็อย่าลืมป้องกันตัวเองให้ดีละ”

“เออน่า กูดูแลตัวเองได้ ยังไงก็ไม่ท้องก่อนแต่ง” พูดจบผมก็ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบอีกชิ้นเข้าปาก

“ปากดีฉิบหาย ท้องไม่ได้แต่ถ้าติดโรคขึ้นมากูจะสมน้ำหน้าให้ ไอ้เหี้ยบอนยิ่งมั่วๆ อยู่ด้วย”

จบประโยคนั้นพวกเราเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น ในจังหวะที่มิลค์ก้มหน้าก้มตากินอาหารและพูดคุยกับเพื่อนๆ ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจองมองมาด้วยสายตาสั่นไหว และเสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน สายตาจากดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นฉายแววความไม่พอใจอยู่ในที


----------

#วินวิน #ยอกย้อน #แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 28 : แหลกละเอียด
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 24-10-2025 09:32:49
จากช่องประตูที่แง้มอยู่ เขาเห็นมิลค์นั่งคร่อมอยู่บนตักของบอน ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้ออย่างนักกีฬากำลังโอบรอบแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนที่เขารักและเฝ้าทนุถนอมมาตั้งแต่เด็ก เอวบางขยับขึ้นลงตามแรงอารมณ์ ทั้ง 2 คนสอดประสานกันแนบแน่นลงตัว จีเคยจินตนาการถึงการร่วมรักครั้งแรกระหว่างเขากับมิลค์ว่าเสียงครางของอีกฝ่ายจะต้องทำให้เขาคลั่งรักจนแทบบ้า แต่ตอนนี้เสียงที่ได้ยินกลับเหมือนใบมีดที่กรีดลึกลงกลางหัวใจ ... ทุกอย่างพังทลายลงหมดแล้ว


----------

"It broke my heart. It broke us. It broke the whole world."
#แหลกละเอียด
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 29
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 25-10-2025 11:40:25
Teaser ตอนที่ 29

เปิดเทอมปี 6 บันเทิงเริงรมตามที่ทุกคนพูดกัน นอกจากวิชาการที่ต้องแน่นอยู่ในสมองแล้ว hand skill ก็เป็นอีก 1 ทักษะที่ต้องฝึกฝนไม่แพ้กัน จากนิสิตชั้นปีที่ 5 ที่ได้แต่เป็น observer ตอนนี้พวกผมต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หนังสือเป็นตั้งๆ กองอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชีวิตของนิสิตชั้นปีที่ 6 วนเวียนอยู่แค่โรงพยาบาล ห้องสมุด และห้องนอน กลับจากฝึกงานก็ต้องอ่านหนังสือ ทำ present และทบทวนความรู้เพื่อใช้ในการ round case วันถัดไป เหนื่อย เครียด แต่ก็สนุก บรรยากาศตอนนี้ทำให้ความรู้สึกว่าอยากเรียนต่อกลับมาอีกครั้ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเรียนต่อปริญญาโท แล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมจะขอให้พี่เจย์รับเป็น advisor

เผลอแป๊บเดียวชีวิตนิสิตปริญญาตรีปีสุดท้ายก็ผ่านไปแล้วเกินครึ่งทางแล้ว พร้อมกับข่าวการเลิกราของจีกับเฟิร์ส ตอนที่ได้ยินไอ้อาร์มเอ่ยปากแซวจี ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะ 2 คนนี้เลิกๆ คบๆ กันเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จียืนยันว่าเลิกกันจริง วันที่ผมรู้ ทั้ง 2 คนเลิกกันมาประมาณ 1 เดือนแล้ว จีไม่ได้เล่ารายละเอียดแต่เท่าที่จับน้ำเสียงได้คงเลิกกันไม่ดีเท่าไหร่นัก

แม้ว่าความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจของผมอีกครั้ง แต่เพราะชีวิตที่วนเวียนอยู่แต่กับการฝึกงานทำให้ผมไม่ว่างจะมีสมาธิกับเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียนจนเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ

... ‘Arm’

“ว่า?” ผมถามในขณะที่กำลังพับเสื้อกาวน์เก็บเข้ากระเป๋า

“มึง เย็นนี้เจอกันที่สยาม กินข้าวกัน กูจะไปตัดผม ไอ้จีก็มาด้วย” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินชื่อใครอีกคน ช่วงหลังๆ มานี้ถ้าไม่ได้เจอพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ เราก็ไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกันเลย

“มึงจะมาถึงกี่โมง”

“ประมาณ 6 โมง” ผมเหลือมองนาฬิกา digital บนข้อมือ ตอนนี้ 4 โมงนิดๆ มีเวลาเหลือเฟือให้ผมเตรียม ตัว round case วันพรุ่งนี้จนเสร็จ

“ได้ เจอกันมึง” โชคดีที่ไม่ได้เอารถมา ไม่น่าเกิน 3 ทุ่มผมน่าจะได้กระโดดขึ้น BTS ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าก็ถึงบ้าน ได้ทบทวนอีกหน่อย แล้วค่อยนอน อย่างช้าที่สุดไม่น่าจะดึกเกินตี 1


----------

มิลค์ : เจอกะนพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้จะเป็นหมอเต็มตัวแล้ว

#ปี6 #เรียนหนัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 26-10-2025 09:31:14
ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว (Part 1/2)

ผมในชุดหมีสีฟ้าอมเทา สวมหมวกแก๊บสีฟ้าสดใสปักโลโก้ประจำค่ายอาสากำลังเดินผ่านแดดร้อนๆ ไปยังบ้านไม้ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ด้านในของหมู่บ้าน รั้วบ้านทำจากไม้ไผ่ซี่ๆ ปักไว้เพื่อกั้นแนวเขต เถาของต้นตำลึงพันเกี่ยวกับรั้วไม้จนยุ่งเหยิง ผมมองเข้าไปด้านในถึงได้เห็นว่าเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ในชุมชน

“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่ไหมครับ”

“จ๊า แป๊บหนึ่งนะลูก” เสียงเดินดังขึ้นจากชั้นบน ไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้าวบันไดลงมาจากชั้น 2

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

“สวัสดีจ๊ะ นักศึกษาที่มาค่ายอาสาใช่ไหม มีอะไรให้แม่ช่วยหรือเปล่าจ๊ะ” เธอยกมือขึ้นรับไหว้พร้อมกับต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม

“ผมจะมาขอยืมไม้กวาดกับที่ตักผงนะครับ” ผมฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจเท่าไหร่

ผมถูกเพื่อนในกลุ่มส่งออกมาเพื่อตระเวนยืมอุปกรณ์ทำความสะอาดจากชาวบ้าน เพราะพวกมันลงความเห็นว่าคนอย่างผมไม่เหมาะจะทำหน้าที่ใช้แรงงาน ระหว่างเดินเข้ามาภายในบ้านผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่น้อย แค่คิดภาพว่าถ้าเป็นตัวผม แล้วอยู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาตะโกนเรียกอยู่นอกรั้วเพื่อขอยืมของใช้ในบ้าน ตัวเองจะรู้สึกยังไง

“ได้ซิลูก เอาผ้าเช็ดพื้นกับถังน้ำด้วยไหม” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมตกตะลึงไม่น้อย

“เอาครับ” คิดในใจว่าโชคดีชะมัดที่ได้ทุกอย่างจากบ้านหลังเดียว เพราะตอนแรกผมตั้งใจจะไปขอยืมผ้ากับถังน้ำจากบ้านอีกหลัง

“งั้นรอแม่แป๊บนะจ๊ะ”

“ให้ผมไปช่วยถือไหมครับ”

“ไม่เป็นไรจ๊ะ รอตรงนี้แหละ” เธอยิ้มให้ผม ก่อนจะเดินหายไปด้านหลัง ผมถอดหมวกแก๊บออก ยกมือขึ้นเสยผมเพราะความรำคาญ ถ้าไม่ลืมตัดผมก่อนมาก็คงไม่เหนียวหัวขนาดนี้ อากาศข้างนอกร้อนอย่างกับเตาอบ ฤดูร้อนเดือนเมษาไม่เคยปราณีผู้ใดทั้งนั้น ว่าแล้วก็รูดซิบชุดหมีลงครึ่งหนึ่งก่อนจะรีบกระพือเสื้อยืดลายกราฟฟิกตัวในเพื่อช่วยระบายความร้อน

“ขอบคุณครับ” พอได้ยินเสียงคนเดินมาผมก็หันหลังกลับไปในจังหวะที่เธอถือของกลับมาพอดี

“ร้อนเหรอลูก” เธอถาม

“ก็ ... ร้อนครับ” ผมเสยะยิ้ม เพราะไม่ต้องการทำตัวสำอางให้ใครเห็นแต่อากาศตอนนี้ก็ร้อนราวกับซ้อมลงนรกจริงๆ

“ดื่มน้ำก่อนนะลูก” พูดจบเธอก็เดินไปเปิดตู้เย็นทรงสูงที่ได้รับ sponsor จากน้ำดื่มยี่ห้อดัง

“ไม่เป็นไรครับ ...”

“... ขอบคุณครับ ...” ผมจะเอ่ยปากห้ามแต่เธอก็เปิดขวดน้ำอัดลมสีเขียวอย่างรวดเร็ว

“... เดียวตอนเอาของมาคือผมค่อยมาจ่ายเงินได้ไหมครับ พอดีว่าผมลืมหยิบกระเป๋งตังค์มา” ผมพูดพลางคิดคำนวณอยู่ในหัวว่าในตัวมีของอะไรที่จะพอเอามามัดจำเป็นค่าน้ำอัดลมได้บ้าง

ย้อนกลับไปในสมัยที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยย่านชานเมือง หัวค่ำวันหนึ่ง ในขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านรถของผมเกิดยางแตกกลางทาง ความโชคดีคือเสียอยู่หน้าอู่ซ่อมรถ แต่ความโชคร้ายคือผมมีเงินสดไม่พอ เจ้าของอู่เลยยื่นข้อเสนอว่าผมสามารถเอาเงินมาจ่ายวันหลังได้แต่ผมต้องวางนาฬิกาข้อมือไว้เป็นมัดจำ ผมเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปเพราะมูลค่าของนาฬิกาข้อมือที่ผมสวมใส่นั้นน่าจะมากกว่ามูลค่ายางรถยนต์หลายเท่าตัว

“โอ้ยยย ไม่ต้องหรอก แม่เลี้ยง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจจริงๆ”

“แม่เลี้ยงเอง นานๆ จะมีนักศึกษามาเยี่ยม มีโอกาสแม่ก็อยากดูแล”

“งั้นขอบคุณมากนะครับ” พอได้ดูดน้ำอัดลมสีเขียวอึกใหญ่ ความหวานผสมความซ่าช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา

“ร้อนก็นั่งพักก่อน เดินกลับไปร้อนๆ แบบนี้เดียวเป็นลมแดดกันพอดี” พอได้ยินคำเตือนผมถึงได้หย่อนตัวลงที่แครไม้ไผ่ข้างๆ ส่วนเธอก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ม้าหินหน้าบ้าน เธอน่าจะอายุประมาณพี่แอน ผิวของเธอมีสีแทนน่าจะเพราะถูกแดดร้อนๆ เผา เธอสวมเสื้อยืดสีฟ้าและผ้าถุงสีน้ำตาลสลับเหลือง

“อากาศร้อนมากเลยนะครับ” ผมชวนคุยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

“หน้าร้อนก็แบบนี้ เดือนหน้าร้อนกว่านี้อีก ...”

“... ลูกใกล้จะเรียนจบหรือยัง”

“เปิดเทอมถัดไปก็ปีสุดท้ายแล้วครับ”

“ยินดีด้วยนะ เรียนจบแล้วพ่อแม่จะได้ภูมิใจ”

“ขอบคุณครับ” ผมตอบรับคำอวยพรด้วยรอยยิ้ม

“เป็นคนกรุงเทพเหรอจ๊ะ”

“อ่อออออ ครับ คนกรุงเทพครับ”

“แม่ก็เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ”

“แม่ไปทำงานที่กรุงเทพเหรอครับ”

“จ๊ะ ก่อนหน้านี้แม่ไปทำงานเป็นคนงานก่อสร้างมาประมาณ 6 เดือน...”

“... งานเสร็จแล้วเลยกลับมาอยู่กับลูกหลานที่บ้าน คิดว่าพักซักเดือนแล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ”



“ทำไมไม่นอนวะ มายืนตากน้ำค้างทำไมตรงนี้” ไอ้ต้นเรียกผมจากในห้อง

“อากาศดีนะ เลยอยากคิดอะไรเพลินๆ”

“เออๆ ระวังเป็นหวัดนะมึง”

“อืม” พูดจบแล้วมันก็กระโดดขึ้นเตียงไปคุยเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆ ต่อ

เสียงโวยวายดังออกมาจากในห้อง ผมท้าวแขนอยู่กับราวระเบียง สายตามองออกไปด้านนอกเห็นแสงไฟจากตึกกลางของศูนย์ฝึก เลยไปด้านหลังเห็นเงาดำของภูเขาขนาดใหญ่ทอดยาวจนหายไปในความมืด แม้ว่าอากาศตอนกลางวันจะร้อนราวกับนรกแต่กลางคืนกลับหนาวจนต้องใส่เสื้อแขนยาว

หลังจากที่เตรียมตัวกันมานานหลายเดือนในที่สุดคืนสุดท้ายของค่ายอาสาก็กำลังจะผ่านพ้นไป ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เมื่อหัวค่ำอาจารย์จัด party เล็กๆ ให้พวกเรา ก่อนจะกล่าวชมเชยและขอปิดค่ายอาสาอย่างเป็นทางการพร้อมกับย้ำเตือนว่า การเสร็จสิ้นของค่ายอาสาก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนิสิตชั้นปีที่ 6

ความมืดยามค่ำคืนช่วยให้ผมคิดทบทวนตัวเองได้มากขึ้น ผมเป็นคนไม่ชอบทำกิจกรรมและในบรรดากิจกรรมทั้งหมด ค่ายอาสาเป็นกิจกรรมที่ไม่ชอบมากที่สุด ผมไม่ชอบความลำบาก ไม่ชอบออกค่าย นอนตามโรงเรียน อาบน้ำกลางทุ้ง แต่วันนี้พอกลับมาคิดทบทวนถึงได้รู้ว่าค่ายอาสา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาให้อะไรกับผมมากกว่าที่คาดหวังไว้ แม้จะเหนื่อย นอนดึกตื่นเช้า อากาศร้อน อาหารไม่อร่อย แต่ก็ยอมรับว่าสนุกและได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย ได้ทำงานกับเพื่อนใหม่ ทะเลาะกันบ้าง หัวเราะร่วมกันบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานกับคนหมู่มาก ได้เห็นเพื่อนในมุมที่ไม่เคยเห็น เห็นคนที่เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้เล่นไพ่กินเงินตาละบาทอย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นเพื่อนผู้ชายตัวใหญ่หุ่นนักกีฬาชวนเพื่อนทุกคนในห้องไปอาบน้ำพร้อมกันเพราะกลัวผี หลายคนบอกว่าไม่คิดไม่ฝันว่าจะเห็นผมใน look สบายๆ ใส่แว่นตา สวมเสื้อยืดกางเกงเลลงมานั่งเล่นกินขนมกับคนอื่นๆ

ยังมีอีกเรื่องที่ผมยังตราตรึงอยู่ในห้วงของความคิด ... น้ำเขียวขวดนั้น เป็นตัวแทนของคำว่า ‘น้ำใจ’ ผมไม่เคยเข้าใจคำๆ นี้จนกระทั้งได้สัมผัสกับตัวเอง รอยยิ้มของคุณป้าร้านขายของชำยังติดอยู่ในความทรงจำ เด็กในเมืองอย่างผม ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้ ผมไม่เคยไปขอยืมของจากเพื่อนร่วมคอนโด เราต่างคนต่างอยู่ ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่พึ่งพาอาศัยกัน รสชาดของน้ำเขียวยังซ่าติดอยู่ที่ปลายลิ้น คิดไม่ออกว่าจะมีสถานการณ์ไหนที่จะนำพาให้คนงานก่อสร้างได้เลี้ยงน้ำมิลค์ ติฒสิงห์ เหตุการณ์วันนั้นทำให้ผมรู้ซึ้งว่า ‘น้ำใจ’ ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดในแบบเรียนแต่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ มีอยู่จริง



...



เปิดเทอมปี 6 บันเทิงเริงรมตามที่ทุกคนพูดกัน นอกจากวิชาการที่ต้องแน่นอยู่ในสมองแล้ว hand skill ก็เป็นอีก 1 ทักษะที่ต้องฝึกฝนไม่แพ้กัน จากนิสิตชั้นปีที่ 5 ที่ได้แต่เป็น observer ตอนนี้พวกผมต้องลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หนังสือเป็นตั้งๆ กองอยู่ที่โต๊ะทำงาน ชีวิตของนิสิตชั้นปีที่ 6 วนเวียนอยู่แค่โรงพยาบาล ห้องสมุด และห้องนอน กลับจากฝึกงานก็ต้องอ่านหนังสือ ทำ present และทบทวนความรู้เพื่อใช้ในการ round case วันถัดไป เหนื่อย เครียด แต่ก็สนุก บรรยากาศตอนนี้ทำให้ความรู้สึกว่าอยากเรียนต่อกลับมาอีกครั้ง ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะเรียนต่อปริญญาโท แล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดผมจะขอให้พี่เจย์รับเป็น advisor

เผลอแป๊บเดียวชีวิตนิสิตปริญญาตรีปีสุดท้ายก็ผ่านไปแล้วเกินครึ่งทางแล้ว พร้อมกับข่าวการเลิกราของจีกับเฟิร์ส ตอนที่ได้ยินไอ้อาร์มเอ่ยปากแซวจี ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะ 2 คนนี้เลิกๆ คบๆ กันเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จียืนยันว่าเลิกกันจริง วันที่ผมรู้ ทั้ง 2 คนเลิกกันมาประมาณ 1 เดือนแล้ว จีไม่ได้เล่ารายละเอียดแต่เท่าที่จับน้ำเสียงได้คงเลิกกันไม่ดีเท่าไหร่นัก

แม้ว่าความหวังเล็กๆ เกิดขึ้นในหัวใจของผมอีกครั้ง แต่เพราะชีวิตที่วนเวียนอยู่แต่กับการฝึกงานทำให้ผมไม่ว่างจะมีสมาธิกับเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียนจนเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ

... ‘Arm’

“ว่า?” ผมถามในขณะที่กำลังพับเสื้อกาวน์เก็บเข้ากระเป๋า

“มึง เย็นนี้เจอกันที่สยาม กินข้าวกัน กูจะไปตัดผม ไอ้จีก็มาด้วย” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินชื่อใครอีกคน ช่วงหลังๆ มานี้ถ้าไม่ได้เจอพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ เราก็ไม่ได้เจอหน้าหรือพูดคุยกันเลย

“มึงจะมาถึงกี่โมง”

“ประมาณ 6 โมง” ผมเหลือมองนาฬิกา digital บนข้อมือ ตอนนี้ 4 โมงนิดๆ มีเวลาเหลือเฟือให้ผมเตรียม ตัว round case วันพรุ่งนี้จนเสร็จ

“ได้ เจอกันมึง” โชคดีที่ไม่ได้เอารถมา ไม่น่าเกิน 3 ทุ่มผมน่าจะได้กระโดดขึ้น BTS ไม่เกิน 4 ทุ่มน่าก็ถึงบ้าน ได้ทบทวนอีกหน่อย แล้วค่อยนอน อย่างช้าที่สุดไม่น่าจะดึกเกินตี 1



... ‘G’

“อืม” ผมกระซิบเพราะนั่งอยู่ในห้องสมุด

“กูอยู่สยามแล้ว มึงอยู่ไหน”

“อยู่คณะ”

“เจอกันร้านตัดผมนะ ไอ้อารม์ถึงแล้ว”

“โอเค เดียวกู clear งานตรงนี้เสร็จแล้วตามไป” ผมวางสาย กด save งานลง handy drive อมยิ้มให้กับตัวเองที่ทำทุกอย่างได้ตามที่วางแผนไว้ slide สำหรับ present งานเสร็จเรียบร้อย วันนี้จะได้กินข้าวเม้าท์มอยได้อย่างสบายใจ

แม้จะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมแต่ผมกับจีก็ยังคุยกันได้ตามปกติ ชีวิตนิสิตชั้นปีที่ 6 กินเวลาชีวิตของผมไปพอสมควร จากเดิมที่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องของจี ตอนนี้ผมยุ่งจนไม่เหลือเวลาให้คิดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียน นั้นคงเป็นข้อดีอีกข้อของการเรียนหนัก ผมไม่ได้เจอจีมาซักพัก จำไม่ได้ว่านานแค่ไหนเพราะความห่างของเราทำลายสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ จนผมเลิกให้ความสนใจเรื่องนี้ไปแล้ว

“ทำไมแต่งตัวทางการจังวะ” ผมถามเมื่อเจอหน้าจี เพราะปกติต่อให้เข้า office จีก็มักจะแต่ตัวสบายๆ แต่วันนี้มันใส่ชุดทำงานเต็มยศ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขน กางเกงสแลคสีดำ รองเท้าหนัง

“ตอนนี้กลับมาทำงาน office เต็มตัวแล้วเลยต้องแต่งตัวเรียบร้อย” ผมขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้รับ

“ไม่ต้องไป offshore แล้วเหรอ”

“อืม ไม่ได้ไปมาซักพักแล้ว”

“ทำไมอะ” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงดีใจ แต่ตอนนี้จะไป offshore หรือไม่ไป ก็มีค่าเท่ากัน

“ก็ทำงานมาจะเข้าปีที่ 3 แล้ว พอมีเด็กใหม่เข้ามาบริษัทเลยดึงตัวกูกลับมาทำงาน office” เผลอแป๊บเดียวพวกมันทำงานกันมาจะ 3 ปีแล้วเหรอ เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ

“ไอ้อาร์มละ”

“อยู่ในร้านแล้ว เข้าไปทักมันหน่อยไหม” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินตามหลังจีเข้าไปในร้าน

“หล่อแล้วๆ” ผมเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นเพื่อนนั่งหลังตรงโดยมีช่างทำผมกำลังใช้กรรไกรซอยผมอย่างชำนาญ

“กูหล่อได้มากกว่านี้อีก ...” ผมเบ้หน้ามองบน เมื่อได้ยินคำตอบ มั่นหน้ามากกกกกกกกกก

“... พวกมึงไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้นะ เสร็จแล้วเดียวกูโทรหา”

“ได้มึง งั้นเจอกัน ... จะไปเดินเล่นที่ไหน” ผมถามจีเมื่อเรา 2 คนเดินออกมานอกร้าน ผมไม่ได้มีอะไรอยากดูเป็นพิเศษ ช่วงนี้ใช้เงินน้อยมาก แทบจะไม่ได้ shopping เลยด้วยซ้ำ

“อยากเดินดูของ แต่กินนี่กันก่อน” พูดจบจีก็หยิบกล่องเค้กออกมาจากกระเป๋าเป้ มันเดินนำผมไปนั่งที่นั่งกินใกล้ๆ

“สภาพเค้กโคตรยับเยิน” ผมหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพเค้ก อดขำไม่ได้จริงๆ ใครสั่งใครสอนให้เก็บเค้กใส่เป้ พอเปิดกล่องออกมาก็เห็นว่าหน้าเค้กไถลออกไปด้านข้างเกือบครึ่งก้อน

“ร้านนี้อร่อยนะเว้ย อยู่แถวที่ทำงาน” พูดจบเจ้าตัวก็แกะช้อนพลาสติกออกจากห่อแล้วจ้วงเค้กคำโตเข้าปากก่อนจะส่งช้อนมาให้ ... ผมลองตักมาชิมคำเล็กๆ รสชาดดี หอมเนย แต่พอจะตักเข้าปากอีกคำ smart phone ในกระเป๋าก็ดังขึ้น

... ‘Kaew’

“ว่าไงมึง”

“แกฉันจะถามเรื่อง #&^*###%$@@!%^*&*” แก้วโทรมาถามเรื่อง round case พรุ่งนี้

สมาธิของมิลค์ถูกย้ายไปอยู่กับคู่สนทนาในโทรศัพท์ บางครั้งก็ขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรอยู่ มียิ้มบ้าง เม้มปากบ้าง บางครั้งก็มองบน จีอาศัยจังหวะนี้ลอบสังเกตเพื่อนสนิท ใต้ตาบวมเล็กน้อย เส้นผมที่ปกติจะถูก set เป็นทรง วันนี้ถูกปล่อยให้ปิดหน้าผากอย่างเป็นธรรมชาติ คงเพราะยุ่งจนไม่มีเวลามาห่วงหล่อ แต่สิ่งหนึ่งที่จีสังเกตเห็นคือใบหน้าของมิลค์มีเค้าโครงของความเป็นผู้ใหญ่ให้เห็นชัดกว่าแต่ก่อน ปากนิด จมูกหน่อย ทำให้โครงหน้าที่สวยอยู่แล้ว สวยจนตอนที่เวลาเจ้าตัวยิ้ม รอยยิ้มนั้นสว่างไสวราวกับดวงจันทร์ในคืนเดือนมืด

ในขณะที่มิลค์ตอบคำถามคนปลายสาย สิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยคือจีตักเค้กในมือป้อนให้เรื่อยๆ หลักจากเค้กหมดก้อนจีส่งกระดาษทิชชูให้เพื่อนสนิท มิลค์รับไปเช็ดปากอย่างลวกๆ เพราะกำลังมีสมาธิอยู่กับบทสนทนาจนเขาต้องดึงทิชชูจากมือมาเช็ดคราบเค้กที่เลอะอยู่ตรงมุมปากให้ เค้กหมดไปแล้วแต่มิคล์พูดคุยกับแก้วโดยไม่มีทีท่าว่าจะจบ

จีฆ่าเวลาด้วยการมองไปรอบๆ แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุดกับสายตาของกลุ่มของพนักงานของร้านฝั่งตรงข้าม ไม่บอกก็รู้ว่าคนกลุ่มนั้นเห็นทุกการกระทำของเขา บางคนยิ้มให้อย่างหยอกล้อ บางคนก็ทำหน้าเขินอาย จีทำได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ กลับคืนแล้วคว้าข้อมือของมิลค์เดินออกไปอีกทาง
หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 26-10-2025 09:44:10
ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว (Part 2/2)

ผมเดินตามเงาสูงของจีไปยังตึกจอดรถ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนค้อนทุบเข้ากลางศีรษะ มึนจนคิดไม่ออกว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร ในมือของจีถือถุงกระดาษจากร้าน gift shop ชื่อดัง เมื่อเย็นระหว่างรออาร์มตัดผม จีชวนผมไปเดินเลือกซื้อของขวัญ แม้จะรู้ว่าซื้อไปทำอะไรแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะถาม และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมสมองเบลอมาจนถึงตอนนี้ ... เธอชื่อ ‘ษา’ เป็นเพื่อนที่ทำงานของจี จีสนิทสนมกับเธอมาพักใหญ่และกำลังจะขอเธอเป็นแฟนในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่กำลังจะมาถึง ทั้งคู่มีแผนจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี้จังหวะเวลาไม่เคยเป็นใจให้เรา 2 คนเลย ผมรู้มานานแล้วว่าจีเลิกกับเฟิร์สแต่เพราะยุ่งกับเรื่องเรียนจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น รู้สึกตัวอีกทีจีก็กำลังจะมีแฟนคนที่ 2

ตั้งแต่กลับมาจาก summer trip ผมสัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของเราไม่เหมือนเดิมแต่เพราะเอาแต่กลัวเลยเลือกที่จะรอ แต่พอผมพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าทุกอย่างกลับล่มสลายเมื่อจีมีแฟนคนแรก ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดตรงไหน ปล่อยให้จีรอนานไปหรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว เป็นเรื่องที่ผมคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ความคิดที่จะสารภาพรักกับจีมีขึ้นก่อนหน้านี้มาซักระยะ ไอซ์เชียร์ให้ผมพูดกับจีตรงๆ เพื่อทำทุกอย่างให้ชัดเจน แต่ผมไม่กล้าเพราะกลัวว่าถ้าจีไม่ได้คิดเหมือนกันแล้วผมจะเสียจีไป ไอซ์บอกกับผมว่า ‘มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดแค่ว่าถ้าพรุ่งนี้มันแต่งงาน มึงจะเสียใจไหมที่ไม่ได้บอกรักมันตั้งแต่ยังมีโอกาส’ และผมก็ตัดสินใจว่าจะสารภาพทุกอย่างหลังจากรู้ว่าจีเลิกกับเฟิร์สแต่ตอนนี้ดูเหมือนผมจะตัดสินใจช้าเกินไป

“ทำไมวันนี้ไม่ได้ขับรถมาละ” จีถามเมื่อเรา 2 คนนั่งอยู่ในรถ จีอาสาไปส่งทันทีที่เจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้ขับรถมา

“เมื่อคืนนอนดึก เมื่อเช้าตื่นสายก็เลยนั่ง BTS มา”

“เรียนหนักมากเลยเหรอ”

“ก็หนักนะ”

“เรียนหนักจนหน้าโทรมแล้ว”

“อืม”

“มึงตัดสินใจเรื่องเรียนต่อได้ยัง”

“ตัดสินใจได้แล้ว”

“ดีแล้ว จะได้ทำตามฝัน”

“มึงจะขอเขาเป็นแฟนวันไหนนะ” ผมถาม พยามยามทำตัวให้เป็นปกติ ส่งยิ้มมุมปากให้คนตรงหน้าทั้งๆ ที่ในใจกำลังกรีดร้องออกมาสุดเสียง

“ถ้าเป็นไปตามแผนน่าจะวันเสาร์”

วันนี้วันพฤหัส ... ผมกั้นหายใจเมื่ออยู่ๆ ก็คิดอะไรได้จากประโยคที่เพิ่งลอยหายไปกับสายลม ... มันหมายความว่าตอนนี้จียังโสด ... จนกว่าจะถึงวันเสาร์

ความเครียดก่อตัวขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าจะพูดตอนที่จีโสดผมเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้นคือต้องสารภาพวันนี้ ไม่เช่นนั้นผมก็รอต่อไปเรื่อยๆ เปลือกตาเลื่อนลงปิดดวงตาคู่สวย ลมหายใจค่อยๆ ผ่อนจังหวะหายใจเข้าออก ถึงจะพยายามสงบสติมากแค่ไหน หัวใจของผมกลับเต้นถี่รัว ... แม้จะเป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ แต่ผมก็ตัดสินใจจะลองเสี่ยงดู

“จี”

“ว่าไงมึง” ความกลัวก่อตัวขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ที่สูงเสียดฟ้า ผมยังคงหลับตาเพื่อซ่อนความหวาดกลัวในใจ สั่นจนต้องกำมือทั้ง 2 ข้างเข้าหากันแน่น

“กูรักมึง ...” พูดออกไปแล้ว

“... รักมากกว่าเพื่อน” พูดออกไปทั้งหมดแล้ว

... ผมไม่เคยรู้สึกกลัวมากขนาดนี้มาก่อน ทั้งกลัวว่าจะถูกปฏิเสธและกลัวที่จะถูกตอบรับ

... ถ้าจีตอบตกลงหัวใจของผมจะพองฟูราวกับก้อนเมฆ และแม้ความสุขนั้นย่อมต้องแลกมากับโลกทั้งใบที่จะถล่มใส่ผมก็ตาม แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว

... บทสนทนาระหว่างเราเงียบหายไป ในขณะที่รถยนต์กำลังแล่นผ่านถนนยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานคร หนึ่งวินาทียาวนานราวกับเป็นชั่วโมง

“ขอบใจ แต่กูคิดกับมึงแค่เพื่อน ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยมากกว่านั้น” คำตอบที่ได้ยินเหมือนฟ้าผ่าเข้าที่กลางหัวใจ

แล้วผมก็ได้รู้ความจริง ... ไม่ว่าจะถูกปฏิเสธหรือตอบรับ ผมก็ถูกโลกทั้งใบถล่มใส่อยู่ดี จะต่างกันก็แค่หากถูกตอบรับผมก็จะมีจียืนอยู่ข้างๆ ... แต่ตอนนี้เหลือผม ... แค่เพียงคนเดียว

“กับเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา มึงใจร้ายมาก” ผมพูดทั้งที่มือยังสั่นไม่หยุด กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป ประโยคร้ายๆ ก็หลุดออกจากริมฝีปาก แม้จะเตรียมใจมาแล้วแต่การถูกปฏิเสธส่งผลให้ความมั่นคงทางอารณ์ของผมสั่นคอน

“กูขอโทษ ถ้าที่ผ่านมาทำให้มึงเข้าใจผิด ...”

“... ความฝันของกูคือแต่งงานกับผู้หญิงซักคนแล้วสร้างครอบครัวด้วยกัน” ด้วยอารณ์อ่อนไหวผมเกือบจะหลุดปากถามคนตรงหน้าไปว่า ‘ถ้าแต่งกับกูแล้วจะสร้างครอบครัวไม่ได้ตรงไหน’

... ผมนั่งนิ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองเพราะไม่อยากหลุดคำพูดร้ายๆ ออกมา

... ที่ผ่านมาผมมีความสุขมากกับสิ่งที่ได้รับ

... และผมไม่ต้องการให้เหตุการณ์เหล่านั้นถูกเปลี่ยนให้เป็นความทรงจำแย่ๆ

“กูควรจะทำยังไงต่อ กูควรจะตัดใจไหม” ผมถาม

“ตัดใจเถอะมิลค์ มันดีกว่าสำหรับมึงและกู” จีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นี่ผมคาดหวังอะไรจากคำถามเมื่อครู่ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าคนถูกปฏิเสธก็ต้องตัดใจ

“กูขอโทษ กูพยายามห้ามใจตัวเองแล้วแต่กูทำไม่ได้...” ในรถเงียบกริบ เสียงเพลงที่เคยเปิดคลอตอนนี้หยุดไปแล้ว

พอมิลค์หันหน้ากลับมา จีถึงได้เห็นว่าใบหน้าสวยนั้นเปรอะเปื้อนด้วยรอยน้ำตา มันพยายามกั้นสะอื้นจนตัวสั่น มือทั้ง 2 ข้างกำเข้าหากันจนเส้นเลือดที่แขนบูดโปน ... เกาะกำบังถูกทุบจนแตกละเอียด ... ไม่เหลือสภาพมิลค์ ติฒสิงห์ผู้สูงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย

“... เราจะห่างกันไหม กูไม่อยากจะเสียมึงไปเหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านมา”

“ไม่หรอก กูเป็น ‘คนอื่น’ ที่ไหน กูเป็นเพื่อนสนิทของมึงนะเว้ย ถ้ามึงไม่ห่างกูก็ไม่ห่าง ...”

“... แต่ถ้าช่วงนี้มึงต้องการให้กูถอยไป บอกกูได้นะ ถึงเวลาที่มึงพร้อมกูยินดีกลับมาหามึงเสมอ”

“ไม่เอา ไม่ห่าง กูไม่อยากห่างจากมึง” ผมปฏิเสธทั้งน้ำตา แค่คิดถึงชีวิตที่ไม่มีจี ผมก็ไม่รู้แล้วว่าจะอยู่ได้อย่างไร

“ตอนแรกกูตั้งใจว่าหลังจากขอเป็นแฟน สัปดาห์หน้ากูจะพาเขามาเจอกับพวกมึง ...”

“... แต่กูว่ารออีกซักหน่อยก็ได้”

“ไม่เป็นไร มึงพาเขามาเถอะ กูขอร้อง อย่าทำแบบนั้น ... เขาเป็นอนาคตของมึง คนที่อาจจะเป็นอนาคตของมึง ส่วนกูคือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ...” และจะเป็นคนที่จางหายไปตามกาลเวลา

แม้จะพยายามยื้อไว้มากแค่ไหนแต่ลึกๆ แล้วผมก็รู้ระยะห่างระหว่างเรากำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในวันวานไม่รู้จะยังคงอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ ความห่างไกลที่ผมกลัว ตอนนี้มันปรากฏภาพขึ้นชัดเจนแล้ว

“... กูสัญญาว่าจากนี้จะไม่ทำให้มึงลำบากใจ”



รถ Lexus IS 350 สีเทาดำจอดนิ่งอยู่ในที่จอดรถหน้าคอนโด เรามาถึงได้พักใหญ่แล้วแต่ผมยังไม่พร้อมจะลงจากรถ เรายังคงพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีต จีตอบทุกความสงสัยของผม คำปฏิเสธอย่างสุภาพออกจากปากของเพื่อนสนิทหลายต่อหลายครั้ง ... สุดท้ายผมก็ยอมรับความจริงว่าเรื่องทั้งหมดมีเพียงผมเท่านั้นที่คิดไปเองฝ่ายเดียว

“กูไปแล้วนะ” ผมพูดขึ้นเมื่อคิดว่าถึงเวลาแล้ว

“จมูกมึงยังแดงอยู่เลย”

“ถ้าจะรอจนหาย คงต้องรอถึงเช้า” แม้ผมพูดติดตลก แต่คนตรงหน้ากลับไม่ขำเลยไม้แต่น้อย มุกตลกของผมเลยลอยหายไปท่ามกลางแสงดาว

“มึงไหวนะ”

“ไหว” ปากบอกไหวแต่คิดไม่ออกเลยว่าผมจะผ่านคืนนี้ไปได้ยังไง

“มึงไม่ต้องกังวล ยังไงกูก็เพื่อนมึง กูไม่มีวันหายไปไหน จะอยู่ข้างๆ มึงตรงนี้นี่แหละ”

“ขอบใจ ...”

“... กูยอมรับได้ทุกอย่างไม่ว่ามึงจะเลือกใคร และกูคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแน่นอน” พูดจบผมรีบลงจากรถก่อนที่จะร้องไห้ตาบวมอีกรอบ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวความพยายามก่อนหน้านี้ก็ไร้ความหมาย



‘ผีตายซาก’ คือสภาพของผมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนก็แทบไม่หลับ ไหนจะต้องฝึกงาน ไหนจะต้อง round case ต้องขอบคุณแก้ว ต่อ ต้น ที่พยายามประคองผมไว้ไม่ให้พังครืนลงมา มันทั้งปลอบ ทั้งนั่งเป็นเพื่อนเวลาร้องไห้ แบกเนื้อหา round case ในส่วนของผม ซื้อข้าวกลางวันมาให้เพื่อให้ผมเอาเวลาไปนอน ... ยิ่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าโลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะแตกสลายมากแค่ไหนก็ตาม

เวลา 1 สัปดาห์ ผ่านไปเร็วกว่าใจคิด เย็นวันเสาร์ผมเดินเข้ามาใน hypermarket ขนาดใหญ่ย่านพระราม 3 แปลกใจไม่น้อยที่สถานที่นัดกินข้าวสำหรับเปิดตัวแฟนคนที่ 2 ไม่ใช้ห้างหรูย่านสยาม - ราชประสงค์แบบครั้งแรก ผมจงใจมาสายเพราะถ้าจะต้องมานั่งรอจิตใจผมคงฟุ้งซ่านมากกว่าที่เป็นอยู่ พอเห็นชื่อร้านอาหารก็รู้สึกอุ่นใจเพราะอาหารญี่ปุ่นคงไม่มีเมนูตับ

“ษา นี่มิลค์”

“มิลค์นี่ษา”

“สวัสดีคะ / หวัดดีครับ”

เพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอย ตำแหน่งที่นั่งวันนี้เลยถูกวางแผนมาล่วงหน้า มิลค์นั่งอยู่ด้านนอก ส่วนษานั่งอยู่ด้านในสุดฝั่งตรงข้าม ตอนแรกโจคิดจะให้นั่งฝังเดียวกันจะได้ไม่ต้องเห็นหน้า แต่พออาร์มทักว่าถ้าทำแบบนั้นมิลค์จะต้องนั่งติดกับจี สู่ให้นั่งเยื่องๆ กันคนละมุมน่าจะดีที่สุด

ไอซ์ลอบมองมิลค์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มิลค์โทรมาร้องห่มร้องไห้กับเขาตั้งแต่คืนนั้น พอได้ยินเสียงไอซ์ก็รู้เลยว่ามิลค์ใกล้จะแตกสลายเต็มที สุดท้ายเขาต้องหอบเสื้อผ้าไปนอนเป็นเพื่อนตั้งแต่กลางดึกของคืนนั้นจนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขานอนค้างกับมิลค์มาครบสัปดาห์ ไอซ์รับปากมิลค์ว่าจะไม่บอกใครเรื่องนอนค้าง ที่นัดกันวันนี้คือต่างคนต่างแยกกันมา ส่วนเรื่องที่มันถูกจีปฏิเสธ จากสภาพของไอ้มิลค์ในวันนี้ อารม์กับโจก็คงเดาได้ไม่ยาก

แม้จะเป็นวันเสาร์แต่มิลค์ก็ต้องไปทำงานกับเพื่อนที่คณะ ไอซ์เลยกลับบ้านช่วงกลางวันแล้วแยกกันมาเจอที่ร้านอาหาร เมื่อบ่ายเขายังหวั่นใจอยู่เลยว่าวันนี้ไอ้มิลค์จะแผลงฤทธิ์อะไรไหม แต่พอดูจากเสื้อผ้า หน้าผม และ accessory เรียบๆ ที่เจ้าตัวใส่มา ทำให้เบาใจไปได้เยอะว่าประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอย

ตั้งแต่รู้จักกันมามิลค์เป็นคนประเภทที่พยายามกลมกลืนไปกับคนรอบข้าง มันไม่ชอบทำตัวโดดเด่น ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แต่ยิ่งโตขึ้นทุกอย่างก็ยิ่งดูไปในทางตรงกันข้ามเพราะไม่ว่าเจ้าตัวจะพยายามเท่าไหร่แต่ในความเป็นจริงแล้วมิลค์ก็เหมือนกับดาวฤกษ์ที่โดดเด่นท่ามกลางดาวเคราะห์นับล้าน ษาตื่นเต้นและตั้งตารอที่จะได้เจอกับมิลค์ ติณสิงห์ ตัวเป็นๆ ก่อนหน้านี้เธอถามทั้งจีและคนอื่นๆ บ่อยครั้งว่าตัวจริงของมิลค์เป็นยังไง พวกเขาทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่ามิลค์ ติฒสิงห์ ตัวจริงต่างจากลูกชายเจ้าสัวแสนล้านในละครหลังข่าวลิบลับ

“มิลค์พูดน้อยมาเลยเนอะ” ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงษาก็เป็นฝ่ายพูดกับมิลค์ก่อน

พวกเราพูดคุยกันสนุกปากแต่มิลค์ดูไม่ค่อยคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ เท่าไหร่นัก ถามคำตอบคำแล้วก้มหน้าก้มตากินอาหารในจานตัวเองเงียบๆ ซึ่งก็เข้าใจได้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น มันดูเหนื่อย เพราะความเครียดทำให้เจ้าตัวนอนไม่ค่อยหลับ aura ที่เคยเปล่งประกาย ตอนนี้ดูหม่นหมองไปพอสมควร

“เรามึนๆ นะ เพิ่งกลับจากคณะ” คำตอบของมิลค์ทำเอาอารม์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับลอบถอดหายใจ เอาเข้าจริงทุกคนต่างก็กั้นหายใจรอฟังคำตอบเพราะกลัวว่าไอ้ตัวดีจะแสดงอภินิหารเหมือนคราวก่อน

“วันเสาร์อาทิตย์ต้องเรียนเหรอ” เธอถามต่อด้วยความสงสัย

“แล้วแต่ station ที่ขึ้นฝึกงานนะ station ของเราเดือนนี้ไม่มีขึ้น clinic วันเสาร์อาทิตย์ แต่ก็ต้องไปทำรายงานกับเพื่อนที่คณะอยู่ดี”

“เรียนหนักแบบนี้มีเวลาได้พักไหมเนี่ย”

“ก็มีนะ อย่างตอนนี้ก็ถือว่าได้พักผ่อนแล้ว”

“เราตื่นเต้นมากเลยตอนที่รู้ว่าจีเป็นเพื่อนสนิทของมิลค์ ... มิลค์ตัวจริงน่ารักมากกว่าในรูปอีก” เพื่อน 3 คนที่เหลือกั้นหายใจโดยพร้อมเพียงกันอีกครั้งเมื่ออยู่ๆ เธอก็คว้าแขนของจีเข้ามากอด

“ขอบคุณครับ” มิลค์มองภาพนั้นเพียงแค่เสี่ยววินาที ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ แล้วกลับมาสนใจอาหารในจานต่อ

บรรยากาศบนโต๊ะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ไอซ์สังเกตได้ว่าคนตรงหน้าเงียบลงไปกว่าเดิม จากที่กินอาหารบ้างไม่กินบ้าง ตอนนี้มันเอาแต่เขี่ยอาหารไปมา แล้วสวรรค์ก็เหมือนจะเป็นใจเมื่อแก้วเพื่อนสนิทที่คณะโทรมาคุยเรื่องงาน เจ้าตัวเลยถือโอกาสลุกออกไปคุยโทรศัพท์

Ice ;
ไหวไหม อยากกลับก่อนเปล่า

Milk ;
ไหว กลับก่อนได้ก็ดี แต่ก็เกรงใจจี

Ice ;
กลับได้ เดียวกูบอกคนอื่นๆ ให้ว่ามึงมีงานที่คณะ

Milk ;
งั้นกลับนะ

Ice ;
อืม เจอกันที่ห้องมึง
นับวันกูยิ่งเหมือนผัวเก็บมึงเข้าไปทุกทีแล้วเนี่ย
ถ้าคนอื่นรู้ว่ากูไปนอนค้างกับมึงมาทั้งอาทิตย์
คงได้เข้าใจผิดว่ากูทีท้ายครัวมึงกับจี

Milk ;
อิเหี้ยยยยยยยยยยยยยย
ใครจะเอามึง



ไอซ์อมยิ้ม ด่าได้ แสดงว่าจิตใจดีขึ้นกว่าแต่ก่อนที่นั่งนิ่งๆ ให้เขาด่าอยู่ฝ่ายเดียว ไอซ์บอกทุกคนว่ามิลค์ติดงานที่คณะเลยขอตัวกลับก่อน มีแต่ษาที่เชื่อคำโกหกของเขา ในขณะที่คนอื่นๆ รู้ว่ามิลค์ทนมองไม่ไหว แม้จะสงสารแต่ทั้งมิลค์และจีก็เพื่อนของพวกเขา คนกลางอย่างไอซ์ อาร์ม และโจเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ ความสัมพันธ์ของคน 2 คนก็ต้องให้มิลค์กับจีหาทางออกกันเอง



“มึงเอาจริง?” ไอซ์ถามในขณะที่จ้องมองหน้าจอ smart phone ของมิลค์ เหมือนเป็น session บำบัดจิตที่ไอ้มิลค์ต้องมานั่งคุยกับเขาในห้องนั่งเล่นก่อนแยกย้ายเข้าห้องนอน ฟังดูแล้วตลกแต่มิลค์บอกว่าพอได้คุยเรื่องไร้สาระกับเขาแล้วทำให้นอนหลับง่ายขึ้น



Milk ;
ที่พี่เคยชวนผมไปอังกฤษ พี่ยังสะดวกอยู่ไหมครับ

P’ Jay ;
ยังสะดวกอยู่ครับ

Milk ;
งั้นผมไปรบกวนพี่ประมาณสัปดาห์หนึ่งนะครับ

P’ Jay ;
ยินดีเลยครับน้อง
เจอกันครับ

Milk ;
ขอบคุณครับ



“อืม”

“ไปก็ดี เปิดหูเปิดตา เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมซักหน่อยมึงน่าจะ happy มากขึ้น...”

“... แต่เรื่องจะไม่ซับซ้อนไปมากกว่าเดิมใช่ไหม ...” ผมขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าอะไรจะซับซ้อนไปมากกว่าเดิม

“... กูหมายถึงจะไม่เป็นเหมือนตอนที่อยู่ๆ มึงก็กลับไปเอาไอ้บอนใช่ไหม”

“จะบ้าเหรอ มันเหมือนกันที่ไหน”

“ใครจะรู้ ก่อนหน้านี้มึงเกียจไอ้บอนเข้าไส้ อยู่ๆ กลับไปเอากับมันเฉย”

“มึงก็คิดมาก แล้วเรื่องไอ้บอนกูจัดการไม่เรียบร้อยตรงไหน”

“กูว่าจะถามนานแล้ว ตกลงว่าจบยังไงวะ” ไอซ์ถามพร้อมกับคว้าหมอนอิงขึ้นมากอด ทำท่าราวกับกำลังฟังนิทานก่อนนอน

“ก็ไม่ยังไง กูบอกตั้งแต่แรกแล้วว่ากูไม่ได้คิดอะไร แต่มันขอโอกาส ...”

“... ก่อนมันกลับก็ clear กันเข้าใจแล้ว”

“มึงบอกกับมันตรงๆ?”

“อืม ตอนแรกกูคิดว่ามันจะโวยวาย แต่มันก็ยอมรับ มันว่ามันทำใจไว้แล้ว แค่อยากลองดูอีกซักครั้ง”

“มึงรู้ตัวใช่ไหมว่าถ้ามึงไม่ได้ยึดติดกับไอ้จี ตอนนี้มึงมีแฟนไปแล้ว”

“รู้ แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกไปแล้ว”

“กูจะบอกมึงว่า หายเจ็บแล้วเริ่มต้นใหม่นะ ไม่ใช้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนไอ้จีจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนเดียว ...”

“... แต่ใครก็ตามที่มึงเลือก ก็โชคดีที่สุดในโลกเหมือนกัน … ตอนนี้คนต่อแถวรอเป็นผัวมิลค์ ติฒสิงห์ ยาวไปจนถึงดาวเสาร์แล้วมั้ง”

“มึงแมร่ง ... ขอบใจ แต่กูขอเวลาอีกซักพัก”

“เขาว่ากันว่า อังกฤษ shopping มันมากเลยนะเว้ย” ไอซ์เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะอยากให้มิลค์คุยเรื่องสบายๆ ก่อนนอน ขนาดเจ้าตัวบอกว่านอนหลับได้ดีขึ้นแต่บางคืนเขายังแอบเห็นมันลุกขึ้นมากินน้ำอัดลมกลางดึก ไม่รู้ว่าระหว่างจิตใจกับกระเพาะของไอ้มิลค์ อะไรจะทนไม่ไหวก่อนกัน


----------

#สารภาพ #หนี #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 28-10-2025 12:35:53
‘ผีตายซาก’ คือสภาพของผมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนก็แทบไม่หลับ ไหนจะต้องฝึกงาน ไหนจะต้อง round case ต้องขอบคุณแก้ว ต่อ ต้น ที่พยายามประคองผมไว้ไม่ให้พังครืนลงมา มันทั้งปลอบ ทั้งนั่งเป็นเพื่อนเวลาร้องไห้ แบกเนื้อหา round case ในส่วนของผม ซื้อข้าวกลางวันมาให้เพื่อให้ผมเอาเวลาไปนอน ... ยิ่งโตขึ้นถึงได้รู้ว่าโลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะแตกสลายมากแค่ไหนก็ตาม


----------

#กินไม่ได้ #นอนไม่หลับ #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Milky_Milky_Way ที่ 30-10-2025 10:59:09
“มึงรู้ตัวใช่ไหมว่าถ้ามึงไม่ได้ยึดติดกับไอ้จี ตอนนี้มึงมีแฟนไปแล้ว”

“รู้ แต่กูก็ไม่รู้จะทำยังไง มันรู้สึกไปแล้ว”

“กูจะบอกมึงว่า หายเจ็บแล้วเริ่มต้นใหม่นะ ไม่ใช้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนไอ้จีจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนเดียว ...”

“... แต่ใครก็ตามที่มึงเลือก ก็โชคดีที่สุดในโลกเหมือนกัน … ตอนนี้คนต่อแถวรอเป็นผัวมิลค์ ติฒสิงห์ ยาวไปจนถึงดาวเสาร์แล้วมั้ง”


----------


#เพื่อนแท้ #คนโชคดี #คืนไร้ดาว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน