พิมพ์หน้านี้ - ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 15 กรงทอง PART 2 [24 ก.พ. 67]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:13:29

หัวข้อ: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 15 กรงทอง PART 2 [24 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:13:29
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:14:33
สารบัญ

 01 บดินทร์  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064950#msg4064950&gsc.tab=0)
 02 ดนัย  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064951#msg4064951)
 03 เหยื่อ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064952#msg4064952)
 04 พราน  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064954#msg4064954)
 05 บ่วงบาศ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064955#msg4064955)
 06 ทัณฑ์มัจจุราช  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064965#msg4064965)
 07 คำสารภาพ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064973#msg4064973&gsc.tab=0)
 08 พันธนาการของปีศาจ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4064992#msg4064992)
 09 สร้างหนี้บุญคุณ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4065010#msg4065010)
 10 มอบตัว  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.new#new&gsc.tab=0)
 11 โบยบิน   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4065035#msg4065035)
 12 โลกใหม่ PART 1   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.new#new&gsc.tab=0)
 13 โลกใหม่ PART 2  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.new#new&gsc.tab=0)
 14 กรงทอง PART 1  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4065078#msg4065078)
 15 กรงทอง PART 2  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73701.msg4065172#msg4065172)
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:25:04

ในที่สุดนิยายในตำนาน (หมายถึงแต่งนาน) ก็ตบลงได้เสียที จึงได้ฤกษ์กลับมาที่บ้านเก่าค๊า
หลังจากแต่งแล้วดองหายไปนาน ในที่สุดก็จบแล้วววว
 :mew4:
++++++++++++++++

ทั้งชีวิตบดินทร์พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เป็นดาวจรัสฟ้า เป็นดาราดวงเด่นที่อยู่หน้าเวทีมีไฟสาดส่องพร้อมพรมแดงปูทาง ทั้งที่ในชีวิตจริงหลังม่านมายาอันน่าหลงใหลนี้ คนโสโครกอย่างเขามันก็เป็นได้แค่ ‘ตัวร้าย’

เขาเคยทำผิดจนไม่อาจให้อภัยและถูกสำเร็จโทษโดย ‘ดนัย’ อย่างไร้ความปรานี สุดท้ายจึงคิดละทิ้งชีวิตบัดซบนี่ซะ ทว่าก็เป็นผู้ลงทันฑ์คนนั้นที่ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้ ทั้งที่บดินทร์ไม่ได้ต้องการเลยแม้แต่นิด!

 

“เลิกสร้างหนี้บุญคุณที่ไม่ได้ร้องขอเสียที!”

“ไม่ได้ขอ...แต่ก็กินเสียจนเกลี้ยงจานเชียวนะ”

 

“ถ้าคุณยอมเป็นคนของผม...ผมจะไม่ทำร้ายคุณเด็ดขาด ผมสัญญา”

“สัญญานั่น...ผมต้องรับเท่านั้นสินะ?”

“ใช่...คุณมีแค่ทางเลือกเดียว”

 

+++++++++++++++++

 
*คำเตือน*

เนื้อหาในนิยายประกอบด้วย

Toxic Relationship: ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ไม่มีความสุข

Dub-Con: ความสัมพันธ์แบบกึ่งจำยอม ของตัวละครหลัก

Violence: การใช้ความรุนแรงทางร่างกาย ในที่รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เต็มใจของตัวละครหลัก

Character Death: มีการกล่าวถึงความตายของตัวละครประกอบ

Suicide: มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตายของตัวละครหลัก

เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และผู้มีวิจารณญาณในการแยกแยะถูกผิดได้ด้วยตัวเอง

ขอบคุณค่ะ


+++++++++++++++

สวัสดีค๊า อนาคี99 ขอฝากเนื้อฝากตัวในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^

(นิยายเรื่องนี้ช่วงแรก ๆ นายเอกจะน่ารำคาญหน่อยนะคะ ดื้อและชอบหาเรื่องใส่ตัวพอสมควรค่ะ หลาย ๆ คนด่าโง่ 555 แต่นั่นก็เป็นบุคลิคเฉพาะตัวที่จะค่อย ๆ ถูกขัดเกลาไปเรื่อย ๆ ในอนาคตค่ะ อดทนกับน้องดินกันนิดนะคะ ปมน้องเคยเป็นตัวร้ายในนิยายเรื่องอื่นมาก่อนค่ะ 555)

นิยายเรื่อง ผมคือ...ตัวร้าย คือภาคแยกจากเรื่อง ผมคือ...นางเอก ดังนั้นในช่วงแรกของนิยายจะมีการอ้างอิงถึงตัวละครจากเรื่องผมคือนางเอกอยู่บ้างนะคะ

ตัวละครจากผมคือนางเอกที่จะมีบทบาทแค่ช่วงต้นเรื่อง

สดายุ อดีตเพื่อนรักของบดินทร์ ที่ถูกบดินทร์หักหลังในวงการแถมยังทำเรื่องไม่ดีด้วยสารพัด
กฤตเมธ แฟนหนุ่มของสดายุดีกรีพระเอกเนื้อทอง ผู้เกลียดบดินทร์พอสมควรในฐานะศัตรูหัวใจ
ซอลย่า ผู้จัดการส่วนตัวครั้งบดินทร์ยังเป็นดารา
บลูม่า ผู้จัดการส่วนตัวของสดายุ
ชิดจันทร์ เด็กสาวตัวร้ายที่ลากชีวิตบดินทร์ลงเหวมาแล้วในภาคผมคือนางเอก
ตัวละครเหล่านี้จะหมดหน้าที่เมื่อบดินทร์ย้ายไปอยู่กับดนัยที่อเมริกาค่ะ

ถ้าติดใจสงสัยอยากติดตามพวกเขาเหล่านี้สามารถไปติดตามได้ที่ ‘ผมคือ...นางเอก’ นะคะ

(โค้งสวยๆ)

298232
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:26:05
พูดคุยก่อนอ่านเล็กน้อย

ทักทายจากผู้แต่งค๊าาาา

เนื่องจากนิยายเรื่อง 'ผมคือตัวร้าย' ใช้เวลาแต่งนานถึง 6 ปีเต็ม และเป็นภาคที่ต่อเนื่องจากเรื่อง 'ผมคือนางเอก' จึงทำให้เซ็ตติ้งเวลาของเรื่องมันจะเกิดในช่วงปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การยอมรับในเรื่องเพศยังเป็นที่ปิดกั้นอยู่บ้าง สื่อที่เกี่ยวกับวาย ชายรักชาย ก็ยังไม่ได้เปิดกว้างอย่างตอนนี้ อีกทั้งด้านเทคโนโลยีทั้งการถ่ายภาพถ่ายคลิปก็ยังไม่ได้ทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนะคะ

เรามาย้อนเวลาไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วกันค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้กันนะคะ ชื่นใจมากๆๆๆ จริง ๆ ค่ะ

ด้วยรัก

อนาคี99

++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : 01 บดินทร์
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:27:05

01 บดินทร์

ทั้งชีวิต ผมพยายามทำทุกวิถีทาง

เพื่อให้ตัวเอง ได้เป็น ดาวจรัสฟ้า เป็นดาราดวงเด่น...

เป็น ‘พระเอกดัง’

ได้อยู่หน้าเวทีมีไฟสาดส่อง พร้อมพรมแดงปูทาง

ทั้งที่ในชีวิตจริง หลังม่านมายาอันน่าหลงใหลนี้

คนจิตใจโสโครกอย่างผม มันก็เป็นได้แค่...

‘ตัวร้าย’



ผม...เคยเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการ

หึ หึ...จะเรียกแบบนั้นได้หรือเปล่านะ

แถวหน้าเหรอ? พระเอกดังเหรอ?

เปล่าเลย…ก็แค่ตัวประกอบกาก ๆ เล่นแข็ง ๆ ที่ถูกดันขึ้นเป็นพระเอกได้ไม่กี่เรื่องก็โดนด่ากระจุยเพราะเล่นแข็งเป็นท่อนไม้ จนได้ฉายาอันน่าภาคภูมิใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ‘พระเอกหน้าเดียว’ ‘พระเอกโรบอท’ หรือแม้กระทั่ง ‘พระเอกท่อนไม้’ ผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีกิเลส ตัณหา ความอยากได้ใคร่มี ความทะยานอยากในสิ่งที่ทั้งชาติให้ตายคนอย่างผมก็ไม่มีวันเอื้อมถึง

แล้วถ้าลดละได้ง่าย ๆ ชีวิตผมจะได้เป็นอย่างวันนี้หรือ?

ไม่...ต่อให้เวลาหวนคืนกลับไปผมก็ยังมั่นใจว่าไอ้คนสารเลวที่ชื่อว่าบดินทร์จะยังคงยืนยันที่จะชั่วช้าเช่นเดิม ผมไม่ใช่เทวดานะ ยิ่งไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่ในศาสนา ไม่สนใจผิดชอบชั่วดี ยึดมั่นแค่เพียงว่าถ้าผมได้ดี ทุกอย่างมันคงจะดีตามไปด้วย ถ้าผมได้ดีอะไรเลวร้ายที่ผ่านมาคงจะดีตามไปด้วย ถ้าผมได้ดีความชั่วที่เคยทำมาก็จะถูกลืมไปด้วย

ถ้าผมได้ดีสิ่งที่ผมทำเอาไว้กับอดีตเพื่อนคนสำคัญมันก็อาจจะดีขึ้นด้วย

ผมมันก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่มีรัก โลภ โกรธ หลง และรักตัวกลัวตาย คนอย่างผมรักชีวิตมากกว่าศักดิ์ศรี ยอมตายดีกว่าต้องเผชิญปัญหาที่หาทางแก้ไม่ได้

บนเศษทุ่นลอยน้ำเล็ก ๆ คนอย่างผมสามารถทนเห็นเพื่อนรักจมน้ำตายต่อหน้า มากกว่าจะยอมตายตกไปพร้อมกัน คนอย่างผมมันขี้ขลาดตาขาว ไร้ศักดิ์ศรีและเลวระยำ เมื่อชั่วช้าจนไม่สามารถกู่กลับ เมื่อปมปัญหาที่ผมผูกขึ้น มันรัดคอจนไม่สามารถหลบหนี ครั้งหนึ่งผมจึงตัดสินใจ ‘ฆ่าตัวตาย’ ด้วยความคิดโง่ ๆ ที่ว่า

‘ถ้าตายซะ ทุกอย่างก็จะจบ’

แต่กรรมเวรที่ผมได้เคยสร้างเอาไว้มันแสนหนักหนาสาหัสขนาดที่ว่าแม้แต่ความตายก็ไม่สามารถลบล้างได้ เรียกง่าย ๆ ดีกว่าว่า ‘แค่ตาย...มันง่ายไป’ ดังนั้นวันนี้ผมจึงยังมีลมหายใจอยู่เพื่อชดใช้เคราะห์กรรมที่เคยสร้างและแน่นอนว่าคนต่ำช้าบาปหนักเช่นผม ฟ้าคงไม่ปรานี ให้ผมชดใช้กรรมได้ง่ายนัก ถึงได้ส่งผู้คุมขังอย่าง ‘มัน’ ลงมาสำเร็จโทษผมถึงบนโลกนี้

มัน...ผู้มีรอยยิ้มดุจเทพยดา ทว่ากลับโหดร้ายกับผมราวกับผีห่าซาตาน

มัน...คือผู้ลงทัณฑ์และผู้คุมขังอย่างสมบูรณ์ของผม

ทุกวัน...ผมได้แต่เฝ้าอ้อนวอนต่อท้องฟ้า

ขอให้กรรมของผม...

กรรมของคนบาปคนนี้...

สิ้นสุดลงเสียที



++++++++++++++++++++++++++++++++++




บดินทร์...ไอ้บดินทร์มันคืออีกาปีกหักที่ถูกจับใส่กรงพาไปยังโลกใบใหม่ที่มันเองก็ไม่กล้าคิดฝันว่าในชีวิตนี้จะได้บินขึ้นฟ้าอีก ชีวิตของตนที่ฟอนเฟะไปหมดก็ล้วนเพราะทำตัวเองจึงไม่มีหน้าไปโทษดินโทษฟ้า เด็ดปีกตัวเองจนไม่เหลือทางให้เดิน แม้แต่ชีวิตก็เคยยินดีปลิดทิ้งไปแล้วครั้งหนึ่ง หมดอาลัยตายอยากขนาดที่แม้โดนดนัยจับใส่กรงพาไปไหนก็ไม่คิดขัดขืน

สนามบินนาริตะ เวลา 06:15

6 นาฬิกา 15 นาทีตามเวลาท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่น ในที่สุดเครื่องบินที่บดินทร์และดนัยโดยสารมาก็ลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย เช้าตรู่ในฤดูหนาวของญี่ปุ่น ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท อากาศหนาวจัดขนาดที่ว่าทันทีที่ก้าวขาออกจากงวงช้างก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเสียดกระดูก สนามบินนานาชาติโตเกียวมีกองหิมะที่ถูกเก็บกวาดอย่างดี กองเอาไว้เป็นหย่อมๆ บดินทร์เหม่อมองกองหิมะเหล่านั้นผ่านความมืดของยามเช้า ขณะเดินตามหลังของดนัยเนิบนาบ

มาทำอะไรที่ญี่ปุ่น?

ตอนแรก บดินทร์รู้เพียงว่าต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ แต่กลับถูกพาไปยังส่วนของตรวจคนเข้าเมืองแทน ไม่ใช่ฝั่งทรานซิสเครื่องอย่างที่เข้าใจ แต่ช่างเถอะ เพราะต่อให้ดนัยจะพาเขาไปตาย บดินทร์ก็ไม่มีอารมณ์จะตั้งคำถาม คนที่ตกเป็นเบี้ยล่างมีหรือจะกล้าอ้าปากต่อกร

เมื่อผ่านด่านสุดท้ายตรงเคาน์เตอร์ศุลกากร บดินทร์ก็ถูกดนัยพาออกมาพบกับกลุ่มคนใส่ชุดสูทสีดำจำนวน 5 คน สองในห้านั้นบดินทร์จำได้ว่าชื่อมานพกับวิเชียรที่เป็นลูกน้องคนสนิทของดนัย ก่อนที่คนทั้งกลุ่มจะพาเขาทั้งคู่ไปยังรถที่จอดรออยู่ด้านนอก รถยุโรปคันใหญ่สีดำเงาติดฟิล์มมืดจอดเรียงกันสามคันรออยู่ก่อนแล้ว บดินทร์และดนัยถูกเชิญให้ขึ้นคันที่อยู่ตรงกลางก่อนเหล่าสมุนอีก 5 คนที่มาด้วยจะกระจายกันไปขึ้นรถอีกสองคันที่เหลือ

ในรถนั้นกว้างขวางและนั่งสบาย บดินทร์นั่งอยู่ข้างกันกับดนัยแม้ไม่เต็มใจนัก ส่วนด้านหน้าก็มีมานพนั่งคู่ไปกับคนขับที่บดินทร์ลองลอบมองผ่านกระจกหน้าก็พบว่าน่าจะเป็นชาวญี่ปุ่น แม้หน้าตาจะไม่ได้ดูดุดัน แต่ริ้วรอยบนใบหน้านั่นก็สามารถบ่งบอกได้อย่างดีว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดา

นั่นสินะ...คนธรรมดาจะมาเป็นลูกน้องเจ้าพ่อได้อย่างไร

ในรถเงียบสนิท ไม่มีใครถาม ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครชวนใครคุยทั้งนั้น ดนัยนั่งเอนหลัง บดินทร์ไม่ได้หันไปมองว่าดวงตาภายใต้แว่นเรย์แบนสีดำนั่นกำลังหลับหรือลืม เพราะตัวเขาเองก็กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างมองวิวข้างทางที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปด้วยสมองที่ว่างเปล่า ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มุมปากยิ้มออกมาบาง ๆ ด้วยนึกขันกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญ ยิ่งนึกถึงคนที่นั่งอยู่ข้างกันยิ่งรู้สึกขบขันจนแทบกลั้นเอาไว้ไม่ได้ หมอนี่ออกจากประเทศไทยมาด้วยบทบาทของนักแสดงตัวประกอบอดทนของฮอลลีวูด นักแสดงโนเนมที่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่

แต่ไอ้นักแสดงโนเนมในไทยคนนั้นพอเหยียบเท้าออกนอกประเทศปุ๊บก็เผยโฉมหน้าใหม่ในฐานะเจ้าพ่อผู้เรืองอำนาจทันที ออกจากประเทศไทยมาด้วยมาดของดาราคนหนึ่ง แต่กลับเหยียบเข้าประเทศญี่ปุ่นด้วยมาดของผู้มีอิทธิพล

ต่างกับเขา...ต่างกับไอ้หมาจนตรอกคนนี้ ที่ขึ้นเครื่องออกจากประเทศไทยมาในฐานะผู้ถูกช่วยเหลือโอบอุ้ม และลงมาเหยียบแผ่นดินของประเทศอื่นในฐานะ ‘ลูกหนี้’ ผู้ไม่มีแม้แต่สิทธิ์เสียงที่จะลิขิตชีวิตของตัวเอง!

...น่าขัน จนน้ำตาแทบไหล

สุดท้าย บดินทร์จึงเลือกที่จะปิดเปลือกตาของตัวเองลง เป็นไปได้ก็อยากจะหลับไปเสียเลย ไม่ขอรับรู้สิ่งใดอีก



+++++++++++++++++++++++



บดินทร์คือดารานักแสดงที่มีผลงานมากมาย ทั้งงานละคร พิธีกร และนายแบบ ซึ่งกว่าที่เขาจะมีวันนี้ได้ก็เคยรับบทเป็นแค่ตัวประกอบมาก่อน ตัวประกอบอดทนที่เล่นละครไปได้กากจนได้รับการกล่าวขวัญว่านอกจากหน้าตาแล้วก็ไม่มีอะไรดี ไร้ฝีมือ ไร้พรสวรรค์ แข็งเป็นท่อนไม้ นักแสดงโรบอท

เริ่มได้เป็นที่รู้จักและมีงานเป็นชิ้นเป็นอันก็ตอนที่สามารถกำจัดอดีตเพื่อนรักที่เป็นถึงพระเอกดังอย่างสดายุได้ ใคร ๆ ต่างก็เห็นเป็นเช่นนั้น แม้ว่าในความจริงมันจะแตกต่างออกไป แต่ใครจะสน ก็คนมันมีชนัก หลักฐานก็มัดตัวจนยากที่จะดิ้นรนปฏิเสธ พูดไปก็ไม่มีใครฟังหรือเข้าข้าง สุดท้ายจึงต้องสวมบทตัวร้ายโดยไม่ตั้งใจ

…ไม่สิ ใครว่าไม่ตั้งใจ สิ่งระยำตำบอนที่มัดตัวอยู่ตอนนี้ ก็ตัวเองนี่แหละที่เผลอลงมือทำลงไปทั้งหมด จะไปโทษใครได้นอกจากตัวเอง เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่เผลอทำร้ายจนต้องออกจากวงการ

เพื่อนที่ออกจากวงการไปอย่างหงส์ปีกหัก กระนั้น หงส์ก็ยังเป็นหงส์ ผิดกับอีกาหน้าด้านที่ยังคงแบกหน้าอยู่ในวงการต่อโดยไม่รู้สึกรู้สาต่อคำติฉินหรือประณามหยามหยัน หัวใจอีกามันด้านยิ่งกว่าพื้นซีเมนต์ มันไม่เจ็บ มันไม่จำ มันไม่เคยสำนึก!

หากเอ่ยถึงชื่อบดินทร์ ทีมงานเบื้องหลัง เหล่าคนวงในไม่ว่าใครก็ต้องส่ายหน้า มันทั้งจองหอง เอาแต่ใจ ต่อหน้านายใหญ่ก็แสร้งทำเป็นเด็กดีสอพลอแต่พอต่อหน้าคนอื่นก็ทำตัวราวคางคกขึ้นวอ ข่าวลือจากวงในแสนคาวฉาวโฉ่ว่าได้ดีเพราะขี้ประจบจนได้งาน ถึงขั้นขึ้นเตียงกับสาวใหญ่นายทุน ยอมเป็นหนุ่มน้อยไร้พิษสงให้พวกหล่อนเหล่านั้นผลัดกันดูแล จนกว่าสัญญาจ้างโฆษณาหรืองานเหล่านั้นจะจบลง

แต่บดินทร์ก็ไม่เคยยี่หระกับข่าวเหล่านั้น เรียกได้ว่าชินชากับชีวิตเน่าหนอนของตัวเองจนเหม็นเบื่อ ถึงมันจะถูกใส่สีจนเข้มข้นไปหน่อยแต่มูลความจริงก็ยังมีอยู่ ในเมื่อเขามันไม่ใช่ดาราที่มีฝีมือแลกงาน อะไรที่พอมีก็ต้องงัดออกมาใช้ เสียน้ำแลกงานมันเป็นเรื่องธรรมดาของวงการที่มีเบื้องหลังฟอนเฟะนี่อยู่แล้ว ก็มีน้ำดีแลกงาน ใครทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาริษยา เครื่องเคราดี ลีลาเด็ด ข่าววงในปิดกันให้แซ่ดว่าถ้าอยากได้ต้องเงินถึง และพ่อดาราแท่งทองคนนี้...สายรุกเท่านั้น!

บดินทร์ไม่เคยใส่ใจว่าใครจะเล่าลือไปว่าอย่างไร ไม่ว่ามันจะเกินจริงไปไกลแค่ไหน ก็ในเมื่อเสียน้ำเพื่องานจริง ๆ ก็ไม่รู้จะทำเป็นซื่อใสไปทำไม

มีงาน มีหน้ามีตาแต่ไม่เคยมีความสุข บดินทร์จ่อมจมอยู่ในบ่อตมแห่งความทุกข์ ทั้งร่างถูกพันธนาการไปด้วยความผิดบาป เหม็นคาวและสกปรก รยางค์สีดำข้นหนืดแห่งความชั่วช้าผูกพันธนาการร่างกายของเขาเอาไว้ไม่ยอมให้หลุดพ้น นับตั้งแต่เผลอทำเรื่องจนสดายุต้องออกจากวงการไป จิตใจของบดินทร์ก็สิ้นไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใด ๆ อีก มีงาน มีเงิน แล้วก็ผลาญ

จนเมื่อเห็นว่าไม่เหลืออะไรให้ต้องแคร์แล้ว ดาราหนุ่มจึงหันเข้าบ่อนเป็นว่าเล่น แรกเริ่มก็แค่ตามสาวใหญ่คู่ขาไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นกลับเป็นเขาที่ไม่อาจถอนตัวออกมา ทั้งติดสุรา เที่ยวกลางคืน ติดการพนันเข้าบ่อน คบคนพาล จนสุดท้ายก็ทิ้งการทิ้งงานด้วยความเหลวไหล เพียงไม่นานจากนั้นงานเงินก็เริ่มขาดมือ เหลือเพียงงานสัญญาระยะยาวที่ผู้จัดการส่วนตัวอย่างซอลย่าอุตส่าห์ช่วยประคับประคองไว้ให้ แถมหนี้บ่อนยังทบท่วมเป็นรายวันจนนับไม่หวาดไม่ไหว

เมื่อชีวิตดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด ก็ต้องกลายเป็นลิ่วล้อทำเรื่องเลวทรามให้แก่ชิดจันทร์เพื่อเอาตัวรอด บดินทร์คิดว่าตัวเองในตอนนั้นมันคือก้อนของความชั่วช้าที่ไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบได้แล้ว ใครจะนึกว่าหลังจากนั้นต่างหากที่เป็นของจริง

‘ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะดิน อย่าให้ฉันต้องเสียเวลามาคอยเก็บข่าวฉาวของเธออีก’

เสียงทรงอำนาจสมกับอำนาจในมือของเจ้าแม่แห่งวงการเอ่ยเตือนด้วยความเยือกเย็น หล่อนปรายตามองมาที่ดาราหน้าเก่าที่หล่อนไม่ค่อยพึงปรารถนา บดินทร์รับคำอย่างที่เคยทำแล้วออกจากห้องของท่านประธานใหญ่มาอย่างไร้อารมณ์

‘ใครแม่งคาบข่าวมาฟ้องอีแก่นี่อีกวะ!? ’

บดินทร์ทำได้เพียงสบถในใจแล้วรีบเดินออกจากอาณาบริเวณของห้องนายใหญ่ โดยไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เจอกับคนที่เขารอคอย ขณะที่กำลังเดินจ้ำด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน ในจังหวะที่กำลังจะเลี้ยวตรงมุมทางเดิน ก็มีร่างคุ้นตาเลี้ยวมาขวางเอาไว้พอดี

ทันทีที่ได้เห็นเต็มสองตาว่าคนตรงหน้าคือใคร หัวใจของบดินทร์ก็เต้นไม่เป็นจังหวะ

“...ยุ...?”

“…”

บดินทร์ร้องทักไปอย่างลืมตัว ทั้งที่รู้แก่ใจว่าความเป็นเพื่อนมันขาดสะบั้นไปนานแล้ว แต่แค่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเขาก็ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือใบหน้าที่แสดงอาการตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาของอีกฝ่าย ดวงตาคู่สวยเหมือนกับในความทรงจำ ตอนนี้กำลังเขม่นมองมาด้วยความดุดัน

คนตรงหน้ายังคงเป็นสดายุ เพื่อนที่เขารักที่สุด และยังเป็นเพื่อนที่เขาเผลอทำเรื่องเลวร้ายอย่างไม่น่าให้อภัยด้วย

ไม่ตกใจเลยที่จะถูกเกลียดเอาแบบนี้

‘ยุ...เป็นยังไงบ้าง? สบายดีหรือเปล่า? ’

‘มึงดูผอมไปเยอะเลยนะ ได้ข่าวว่าถ่ายหนังโหดเหรอ? ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าหักโหมเหมือนเมื่อก่อนอีกล่ะ’

‘ยุ...เรื่องที่ผ่านมา...กูขอโทษนะ...’

ถ้อยคำนับล้านภายในหัวใจหลั่งไหลพรั่งพรู ทว่าบดินทร์ไม่อาจเอื้อนเอ่ยมันออกมาได้แม้แต่เพียงเสี้ยวเดียวของเศษคำเหล่านั้น เพียงเพราะเขารู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้ไม่มีความหมาย อีกทั้ง...ตัวเขาก็ไม่ได้มีค่าพอที่จะพูดมัน

“หึ หึ ทำไมทำหน้าดุแบบนั้นล่ะ? ไม่คิดทักทายเพื่อนเก่าหน่อยเหรอ?”

“…”

ถ้าตบปากตัวเองตอนนี้ได้ก็คงจะตบออกไปสักฉาด คำทักทายมากมายไม่นึกพูดกลับพ่นเพียงถ้อยคำยียวน บดินทร์ลอบกลืนน้ำลายลงคอเฝ้ารอเผื่อว่าสดายุจะตอบโต้อะไรออกมาบ้าง ทว่าอีกฝ่ายกลับเลือกที่จะเลี่ยงการสนทนากับเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่ตอบ ไม่มอง และรีบเบี่ยงตัวเลี่ยงไปอีกฟากเพื่อหลบทางให้พ้น

ในอกของบดินทร์ยอกแปลบขึ้นทันทีที่เห็นสดายุหมางเมินกันอย่างเย็นชา ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าได้เจอกันมันจะต้องออกมาในรูปแบบนี้ แต่พอมันปรากฏอยู่ตรงหน้าเขากลับรับมันไม่ได้

“อ๊ะ! เฮ้ เดี๋ยวสิครับ แหม…เย็นชาเหมือนเดิมเลยนะ”

บดินทร์รีบเข้าไปขวางอีกฝ่ายไว้ กางกั้นไม่ให้หนี สดายุสูดหายใจเฮือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์คุกรุ่น พร้อมกับหัวใจของบดินทร์ที่เต้นระทึก เขาไม่ได้ต้องการจะทำให้สดายุโกรธ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรใช้วิธีไหนที่จะพอรั้งให้อีกฝ่ายอยู่ด้วยกันอีกหน่อย อยากคุยด้วยอีกสักนิดไม่ว่ายังไงก็ตาม

“ช่วยหลบผมหน่อยได้ไหม? คุณบดินทร์!”

ความขุ่นข้องของสดายุกลั่นออกมาทางน้ำเสียงอย่างชัดเจน ถ้อยคำสุภาพที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวกระแทกใจของบดินทร์จนเจ็บแปลบ เขาแสร้งหัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยเจ็บช้ำ พอเห็นว่าสดายุจะเบี่ยงตัวหนีไปอีกเขาก็ตัดสินใจขยับเข้าหาอย่างคุกคาม ฝ่ายนั้นถอยห่างอย่างนึกรังเกียจไปจนหลังชนฝาโดยมีบดินทร์ใช้แขนขวาเท้าผนังเป็นคอกกั้นปิดการเคลื่อนไหวของสดายุไว้

ไม่ได้ตั้งใจ แต่ความสารเลวในสันดานก็ยุยงให้เขาทำแต่เรื่องที่ไม่อาจให้อภัยอยู่ตลอด

หากนี่จะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะได้ต่อเวลาเสวนากับอีกฝ่ายล่ะก็ต่อให้จะถูกเกลียดมากกว่านี้ เขาก็พร้อมจะทำ เสียงแหบพร่าเล็กน้อยของบดินทร์แสร้งเอ่ยขึ้น วาดหวังเดียวให้สดายุตอบโต้กลับมาบ้าง

“ยังหยิ่งไม่เปลี่ยนเลยนะยุ ทั้งที่ไม่เหลืออะไรจะให้ผยองได้แล้วแท้ ๆ”

“ถอยไป!”

“โถ…อย่าเพิ่งตัดรอนกันขนาดนั้นสิครับ เย็นชาใส่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีแบบนี้ ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ?”

บดินทร์แสร้งตัดพ้อด้วยน้ำเสียงทุ้มหวานทรงเสน่ห์ เอียงหน้าเข้าหาคนในกรงแขนเล็กน้อยคล้ายเย้าแหย่ แท้จริงก็แค่อยากเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัด ๆ อยากมองหน้าของคนที่คิดถึงนาน ๆ อีกทั้งยังต้องการให้สดายุฟิวส์ขาดจนควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากเห็นสดายุโมโหแล้วพาล ยิ่งลงไม้ลงมือกับตนได้เลยยิ่งดี

แสร้งทำว่าเกลียดจนอยากให้สติแตก ทั้งที่จริง ๆ แล้วแค่ไม่อยากถูกเมินเฉย

“ขอโทษนะ ผมไม่เคยมีเพื่อน…แบบคุณ!”

“แบบผม? มันยังไงเหรอคุณสดายุ?” บดินทร์ยังคงยิ้ม

“…มันยังไงน่ะเหรอ?” สดายุเปรยขึ้น ชำเลืองมองบดินทร์ตั้งหัวจรดเท้าก่อนพ่นลมหายใจทางจมูกราวกับกำลังเยาะเย้ยบางสิ่งที่น่าสมเพช

“หึ…ก็ไม่รู้สินะ ผมไม่เคยใส่ใจเสียด้วยสิ โอ๊ะ! ถ้าจะพูดให้ถูกก็คง ‘ไม่เคยอยู่ในสายตา’ น่ะ หึ หึ”

หมับ!!

โดยไม่ทันรู้ตัว บดินทร์เผลอลงมือตะปบคางของสดายุเอาไว้อย่างแรง เพียงเพราะถูกอีกฝ่ายยั่วยุกลับ หัวใจสีดำขลับของบดินทร์บีบรัดจนแทบคั้นออกมาเป็นเลือด เขารักอีกฝ่ายแทบตาย แต่ก็เกลียดท่าทางแบบนี้เข้ากระดูก เย่อหยิ่งจองหอง หงส์ปีกหักที่ไม่เคยเสื่อมค่า จนอีกาอย่างเขาอิจฉาจนทนไม่ไหว!



“แค่ท่านประธานเขาใจดีจับใส่ตะกร้าล้างน้ำแล้วให้รับงานเป็นตัวเอกของหนังเรื่องใหม่ แล้วจะกลับไปทำตัวหัวสูงเหมือนเดิมได้นะยุ!”

“อิจฉาเหรอ?” สดายุเยาะขึ้น

“…ว่าไงนะ!?”

“อ๋อ…ขอโทษนะ ผมลืมไปว่าคนที่งานชุกอย่างคุณบดินทร์คงไม่เสียเวลามาคอยอิจฉาผมหรอก ผมเผลอนึกว่าเป็นเมื่อก่อนน่ะ สมัยที่คุณยังเป็นแค่ดาราขายไม่ออก…จนต้องขายเพื่อนเพื่อเป็นบันไดให้ตัวเอง…ดัง!”

“สดายุ! มึง!!”

เพราะอารมณ์ของบดินทร์ฉุนเฉียวขึ้นจากแรงยุส่งของสดายุ ทำให้เขาเผลอกดร่างของอีกฝ่ายกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง

“ปล่อย!!”

สดายุคำรามทันทีที่สองแขนถูกบดินทร์กดตรึงกับผนังอีก ความโกรธเกลียดที่มีทำให้มองไม่เห็นความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในสายตาของบดินทร์เลยแม้แต่นิด เพราะตอนนี้สดายุเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“...”

และเพราะได้เห็นดวงตาดำมืดที่มีแต่ความจงเกลียดจงชังของสดายุเข้า บดินทร์ถึงได้สติรู้ตัวขึ้นมา เขาผ่อนแรงลงเล็กน้อยจนทำให้สดายุสามารถสลัดตัวออกจากปราการของตนไปได้สำเร็จ บดินทร์ไม่ได้เหนี่ยวรั้งอะไร เพียงมองแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินจากไปพร้อมอาการกระฟัดกระเฟียด คำว่าเพื่อนมันแตกสลายไปจนหมดแล้ว



หลังจากวันนั้นบดินทร์ก็เพียรเข้าสำนักงานทุกวัน เพียงคาดหวังว่าอาจเจอคนที่ถวิลหา แต่เมื่อได้เจออีกครั้งก็เหมือนหัวใจของบดินทร์ถูกขยี้ลงพื้นจนแตกละเอียด

ในวันที่บดินทร์เข้าห้องน้ำอยู่ในโซนที่ถือว่าเงียบสงบที่สุดในสำนักงาน เสียงคนสองคนที่คุยกันดังขึ้นในตอนนั้น แล้วฉากเลิฟซีนเร่าร้อนก็ปรากฏสู่สายตาของเขาทันทีที่แง้มประตูเปิดออกดู คนทั้งคู่เป็นผู้ชาย หนึ่งในนั้นบดินทร์จำได้ดีว่าคือกฤตเมธ พระเอกรุ่นใหญ่ในวงการที่ถือได้ว่าโด่งดังและมีชื่อเสียงในทางดีงามจนได้รับฉายาว่าเทพบุตร และพระเอกดังคนนั้นก็กำลังตะโบมจูบอยู่กับคนที่ทำให้หัวใจของบดินทร์แตกร้าวที่สุด

‘สดายุ!!’

บดินทร์กัดฟันรออย่างใจเย็นจนกระทั่งบทเลิฟซีนนั้นจบลง เมื่อกฤตเมธขอตัวออกไปก่อนเพราะมีเรื่องต้องไปคุยกับท่านประธาน ทิ้งให้สดายุยืนปรับสีหน้าที่ยังแดงจัดอยู่ลำพัง

“แหม แหม ได้สกู๊ปข่าวใหญ่เลยเว้ยวันนี้”

“!!?”

ในเสี้ยววินาทีก่อนที่สดายุจะออกจากห้องน้ำ บดินทร์ก็รีบร้องทักขึ้น หัวใจที่ปวดร้าวด้วยแรงหวงหึงทำให้ชายหนุ่มแสดงอาการยิ้มเยาะไปกับสีหน้าตกใจสุดขีดของอีกฝ่าย

สดายุตั้งท่าจะหนีไปจากสถานการณ์กระอักกระอ่วน แต่บดินทร์ไม่ยอม เขาไล่ต้อนให้อีกฝ่ายไปจนมุมตรงกำแพงห้องน้ำ ใบหน้าของสดายุที่แสดงความรังเกียจออกมาอย่างสุดทนที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับตนนั้น มันยิ่งทำให้บดินทร์ขาดสติ

“นี่ถ้ารู้ว่ากับผู้ชายก็ไม่มีปัญหาล่ะก็…ตอนนั้นผมคงไม่ปล่อยคุณไว้”

บดินทร์ก้มลงกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย แกล้งพูดหยอกเย้าคุกคามพลางจ้องมองต้นคอขาวผ่องของสดายุอย่างจาบจ้วง เจ็บใจ บดินทร์เจ็บใจอย่างถึงที่สุดที่เห็นว่าสดายุปลงใจกับไอ้ผู้ชายคนนั้น ทั้งที่เขาต่างหากที่เฝ้าถวิลหาความหอมหวานของสดายุมาตลอด

ทำไมถึงต้องเป็นมัน? ทำไมสดายุถึงเลือกมัน!

“ไม่ปล่อยเหี้ยอะไรวะ!?”

สดายุหลับหูหลับตาตวาดกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ พยายามผลักไสให้บดินทร์พ้นทาง

“ก็ปล่อยให้ไอ้หมากฤตเมธคาบไปแดกยังไงล่ะ!”

“!!?”

จบคำกระซิบร้ายที่ข้างใบหูเย็นเฉียบ บดินทร์ก็ลองลิ้มใบหูแดงก่ำนั้นด้วยเรียวลิ้นของตน สดายุดิ้นรนในฉับพลันที่ถูกล่วงล้ำราวคนคลั่ง แต่แทนที่จะทำให้บดินทร์รู้สึกตัวเขากลับยิ่งกระทำการจาบจ้วงกับอีกฝ่ายด้วยความหึงหวงจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อได้ก้มลงสูดกลิ่นเฉพาะตัวตรงซอกคอขาวกระจ่าง ความต้องการดำมืดก็ยิ่งกระพือโหม

เขาอยากได้ เขาต้องการสดายุ!

ไม่ยกให้ใคร ไม่ยอมให้ใครขโมยไปทั้งนั้น!



แกร๊ก!

“!!?”

เสียงประตูที่จู่ ๆ ก็เปิดขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทำเอาบดินทร์รีบผละจากการคุกคามสดายุชั่วขณะ

ผลัก!!

“อ๊อก!!”

ยังไม่ทันได้รู้ว่าแขกไม่ได้รับเชิญคือใครบดินทร์ก็ถูกสดายุยันเข้าไปที่ท้องแบบเต็มรัก ก่อนเจ้าของเท้าจะผลุนผลันออกจากห้องน้ำไปปล่อยผู้มาใหม่กับคนที่จุกจนพูดไม่ออกไว้ด้านหลัง

“...หืม เดินลิ่วเลยแฮะ”

ผู้มาใหม่รำพึงขึ้นเบา ๆ ขณะยังมองตามแผ่นหลังของสดายุไป

บดินทร์ยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก เดินโขยกเขยกไปตรงหน้าประตูที่มีคนขวางอยู่แล้วตวาดไล่

“หลีกไป!”

“...”

ชายคนนั้นนิ่งเงียบ ขณะมองมายังบดินทร์ที่กำลังหงุดหงิดกับเหตุการณ์นี้ เพราะทั้งเจ็บและเสียหน้าจึงตะเบ็งเสียงข่มขู่ผู้มาใหม่ให้ถอยให้พ้นทาง ขณะเดินกุมท้องมาตรงหน้าประตู ทว่าแทนที่คนที่ยืนบังทางออกอยู่จะทำตามคำของเขา ฝ่ายนั้นกลับยิ้มแล้วดึงประตูปิด

“ทำบ้าอะไรวะ!?”

บดินทร์คำรามตวาดเมื่อถูกดาราที่เขาไม่คุ้นหน้ากวนประสาทโดยการแสร้งทำเป็นหลบแล้วก็ปิดประตูใส่หน้าเขา ขังตัวมันไว้กับเขาในห้องน้ำสองต่อสอง พร้อมรอยยิ้มกวนเบื้องล่าง

“โอ๊ะ ขอโทษทีมือมันลื่น”

“ไอ้!!...”

บดินทร์ตวัดสายตามองฝ่ายนั้นด้วยความโกรธเกรี้ยว มันสูงกว่าเขาราว ๆ หนึ่งฝ่ามือ แม้จะไม่เยอะแต่ก็มากพอให้บดินทร์เองก็ต้องเงยหน้าขึ้นนิดหน่อยเพื่อเขม่นมองข่มขวัญ ทว่าจู่ ๆ ไอ้เด็กใหม่ก็สืบเท้าเข้าใกล้ จนทำให้สัญญาณเตือนภัยในหัวของบดินทร์ก็ดังขึ้นทันที

‘ไอ้เวรนี่!’

แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงดาราหน้าใหม่ที่ไม่มีสัมมาคารวะ บดินทร์จึงเลิกกลัวแล้วเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายข่มกลับแทน อยากเห็นว่าใบหน้ากวนเบื้องล่างนี้ถ้าถูกข่มจนหัวหดจะทำหน้าแบบไหน

แต่แทนที่คนตรงหน้าจะยำเกรงกัน มันกลับยิ้มราวกับไม่ยี่หระในอำนาจจอมปลอมที่หนุนหลังเขาอยู่แม้แต่น้อย บดินทร์จ้องคนตรงหน้าด้วยความหงุดหงิดและไม่เข้าใจ

ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร

แต่ในอีกไม่ช้าเขาจะได้รับรู้มัน

ซึ่งกว่าที่บดินทร์จะได้ประจักษ์ว่าคนคนนี้ คือคนที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของตน ก็หลังจากนี้ไปอีกระยะหนึ่ง



++++++++++++++++

เปิดตัวนายเอกนิสัยเสียค่ะ นิสัยเสียแบบขั้นโคม่าเลยทีเดียว อีกนิดจะไม่ใช่นายเอกละเนี่ย 5555
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : 02 ดนัย
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:30:00
02 ดนัย

ดนัยคนที่ใคร ๆ ต่างก็เห็นว่าเป็นแค่ดาราหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่มีภาพจำเป็นชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มราวเทพบุตร โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าของรอยยิ้มไร้พิษภัยคนนี้จะเป็นถึงเจ้าพ่อในโลกของมาเฟียอเมริกาที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายเข้าขั้นไร้หัวใจ

วันหนึ่งที่กลับมาไทยแล้วได้เจอกับบดินทร์ก็เห็นแค่ว่าเป็นดารากระแสตกไร้ราคา ทั้งยังทำตัวกร่างและคอยตามราวีสดายุเพื่อนของเขาจนน่ารำคาญ คนไร้ค่าที่แค่ขยี้นิดเดียวก็ตายได้ในทันทีไม่ต่างจากมดตัวอื่น ๆ ที่เขาเคยบี้จนจมมาแล้วนักต่อนัก และเขาคงบี้ให้มันตายคามือไปนานแล้วหากไม่เพราะหัวใจสีดำทมิฬดวงนี้จะไม่รู้สึกติดใจใบหน้างดงามหมดจดที่แสนเย่อหยิ่งนั่น ไม่ถูกใจดวงตาที่ราวกับกวางตัวผู้สูงสง่าดื้อรั้น ไม่หมายปองในเรือนร่าง ไม่หลงใหลในกลิ่นหอมหวานจนอยากจะครอบครองเอาไว้ให้เป็นสิทธิ์ของตนเพียงผู้เดียวตั้งแต่เส้นผมตลอดจนปลายเล็บ

ขณะที่กำลังใคร่ครวญสารพัดวิธีที่จะคว้ามาเป็นของตนอย่างนึกสนุกอยู่นั้น ก็คล้ายกับโชคจะเข้าข้างเมื่อบดินทร์เป็นฝ่ายก้าวล่วงเข้ามาในเขตแดนของเขาด้วยตัวเอง

ในที่สุดค่ำคืนที่เขาได้รับชัยเหนือเรือนร่างของฝ่ายนั้นก็มาถึง ในห้วงเวลาที่ดนัยกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องในชัยชนะที่สามารถคว้าจับบดินทร์มาเป็นสินทรัพย์ของตัวเองได้สำเร็จ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าในเช้าวันถัดมาจะพ่ายแพ้กราวรูด

ทั้งที่ไม่เคยถูกทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เลยสักครั้ง ตั้งแต่จำความได้ดนัยคนนี้ก็มีอำนาจเหนือชีวิตของผู้คนมาตลอด ทั้งตอนที่ยังอยู่ในคราบของลูกชายคนเล็กของนายพลหรือแม้แต่ตอนที่ได้รับตำแหน่งในโลกมืด กว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ก็เคยสยบผู้คนมาได้มากมาย แต่กลับไม่อาจคว้าจับมดแค่ตัวเดียวที่ชื่อว่าบดินทร์ให้สยบลงในมือนี้ได้

แม้ความเจ็บใจแล่นลึก แต่ดนัยไม่ยอมแพ้

ฝันไปเถอะเจ้ามดอวดดี เขาจะไม่ยอมให้มันมีโอกาสแม้แต่จะตายเด็ดขาด เขาจะกักขังมันไว้ในกล่องแก้วข้างกายนี่แหละ จะเลี้ยงดูจนอ้วนพีแต่จะไม่ยอมให้หนีไปไหน

และเมื่อไหร่ที่เขาต้องการ เขาก็ต้องได้!

 

+++++++++++++++++++++++++++++++

 

ดนัย ในสายตาของคนทั้งโลกคือนักแสดงชาวเอเชีย ที่เคยมีบทบาทในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง แม้ไม่ใช่บทที่เด่นนัก แต่ก็ถือเป็นบทที่มีความหมาย

ดนัย ในสายตาของคนในประเทศบ้านเกิด คือดาราโกอินเตอร์ ที่เคยมีอดีตเป็นนายแบบสุดเซ็กซี่มาก่อน

ดนัย ในสายตาของคนในวงการด้วยกัน คือดาราลูกนายทหารใหญ่ยศสูง ที่หากใครเผลอไปมีเรื่องมีราวด้วย จบไม่เคยสวยสักราย

นี่คือดนัย เบื้องหน้าที่ใครหลาย ๆ คนรู้จัก

แต่ไม่ใช่ดนัยตัวจริงในอีกโลก ที่ไม่มีใครกล้าจินตนาการถึง

ลูกชายคนเล็กของท่านนายพลใหญ่ที่เข้าวงการบันเทิงเพียงเพราะไม่มีความสนใจในเครื่องแบบอันทรงเกียรติที่หลายคนหมายปอง ดนัยเริ่มงานแรกในวงการด้วยการเป็นนายแบบก่อนรับบทนักแสดงสมทบในละครจอแก้ว เขาเข้าวงการด้วยเหตุผลค่อนข้างซับซ้อน อย่างหนึ่งก็เพื่อใช้มันบังหน้าในจุดที่ตนยืนในโลกของมาเฟีย อย่างน้อยก็ตอนก่อนขึ้นรับตำแหน่ง และเพื่อจะได้ฝึกฝนการแสร้งปั้นหน้าหลอกใครต่อใครว่าเทพบุตรยิ้มสวยคนนี้ไม่ได้มีหัวใจสีดำ

หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมลูกชายคนเล็กของผู้มียศใหญ่คนนี้ถึงไม่เป็นทหารเหมือนบิดา แล้วทำไมท่านนายพลถึงได้ยินยอมให้ลูกชายเข้าวงการบันเทิงทั้งที่นายพลคนนั้นขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัยและความเนี้ยบ

นั่นเป็นเพียงปริศนาหนึ่งในความซับซ้อนอีกมากมายที่ดนัยซ่อนไว้หลังหน้ากากของดาราเจ้าของยิ้มสวย

ปริศนาที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้หากดนัยไม่ยินยอม

แต่ก็ช่างเถิด ในเมื่อภารกิจการขึ้นรับตำแหน่งในพรรคของเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว วงการมายานี้ก็จะเป็นแค่อดีตเท่านั้น

 

+++++++++++++++++++++++++++

 

ในวันหนึ่งขณะที่ดนัยกลับมาเมืองไทย เพื่อโปรโมตภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ตนเล่นเป็นดาราสมทบเป็นเหตุผลบังหน้า เพราะแท้จริงแล้วเป็นการกลับมาเพื่อสอดส่องตลาดของอีกโลกที่เขารับผิดชอบอยู่ และอีกเหตุผลก็คือการกลับมายกเลิกสัญญากับทางต้นสังกัดอย่างจริงจังด้วย

ดนัยเดินหาวหวอด ๆ ออกจากห้องของท่านประธาน หลังจากถูกเรียกมานัดแนะเรื่องที่ต้องให้สัมภาษณ์กับทางรายการ Star Talks ที่พิธีกรเป็นดาราเก่าแก่ของวงการคนหนึ่งซึ่งเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นใครเพราะไม่ได้สนใจที่ท่านประธานเพิ่งกรอกหูไปเมื่อครู่ และจังหวะที่กำลังคิดจะเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในห้องน้ำส่วนที่เงียบที่สุดของสำนักงาน หูผีของเขาก็ดันได้ยินเสียงคนทะเลาะกันในนั้นเข้า

“อะไรกันวะ น่าเบื่อชะมัด”

ในตอนแรกดนัยคิดจะผละไปที่อื่น แต่ในวินาทีที่จะหันหลังหูของเขาก็ดันได้ยินชื่อหนึ่งเข้า

“สดายุ…งั้นเหรอ?”

ดูเหมือนว่าหนึ่งในคู่กรณีที่กำลังตีกันอยู่หลังประตูห้องน้ำนั้นจะเป็นเพื่อนรักคนหนึ่งของเขา พอคิดว่าเพื่อนกำลังตกที่นั่งลำบากดนัยจึงเปิดประตูเข้าไปช่วย แล้วภาพที่เห็นก็เล่นเอาชะงัก

‘สดายุเพื่อนรักกำลังถูกใครบางคนคลุกวงในอยู่!? ’

ในขณะที่คิดว่าจะยื่นมือเข้าช่วยหรือฟ้องกฤตเมธเพื่อจะได้ดูเรื่องสนุก ๆ อยู่นั้น ก็ประจวบกับที่สดายุประเคนหมัดเท้าเข้าหาไอ้ตัวที่หาเรื่องจนลงไปกองเสียก่อน

อืม…ไม่จำเป็นต้องถึงมือเขาจริงด้วย ดนัยเลิกคิ้ว พยายามกลั้นขำจนต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก

“เอ่อ…สดายุ?”

ดนัยตั้งท่าจะทักเพื่อนแต่กลับโดนเมิน แถมยังถูกเดินกระแทกไหล่ออกไปเสียก่อน สดายุผลุนผลันจากไปโดยไม่มีการเหลียวหลัง

“...หืม เดินลิ่วเลยแฮะ”

ดนัยรำพึงขึ้นกับตัวเองเบา ๆ ขณะยังไม่ละสายตาจากแผ่นหลังของเพื่อน เกิดอะไรขึ้นบ้างคงไม่ต้องเดา เพราะเขาเห็นเต็มสองตาอยู่เมื่อครู่ ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอดรู้สอดเห็นหรอก แต่บังเอิญว่าผ่านมาเห็นเข้าพอดีจึงตั้งใจว่าจะช่วยเพื่อน แล้วพอได้เห็นว่าอีกคนที่กำลังมีปัญหากับเพื่อนเขาอยู่คือใคร ดนัยก็ชะงักไปเล็กน้อย

‘บดินทร์เหรอ? ’

ดนัยหรี่ตามองคนที่ยังตั้งหลักลุกขึ้นจากพื้นไม่ได้ พลางพิจารณาถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น สดายุกับบดินทร์คือคนสองคนที่ไม่ควรโคจรมาพบกันได้โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบเมื่อครู่นี้ เพราะเท่าที่จำได้สองคนนี้มีปัญหากันสุด ๆ ข่าววงในปิดกันให้แซ่ดว่าที่สดายุต้องระเห็จออกจากวงการ ก็เพราะคุณบดินทร์ (อดีต) เพื่อนรักนี่แหละที่เป็นต้นเรื่อง ข่าวว่าเกลียดกันจนไม่เผาผี แล้วนี่มันยังไงวะ?

หรือว่า…

‘อ่าฮะ...เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดนี่เอง’

มุมปากของดนัยยกยิ้มราวกับกำลังพบเจอเรื่องสนุก

‘อดีตเคยเป็นมายังไงไม่รู้ล่ะ แต่ตอนนี้บดินทร์หวังแทงข้างหลังสดายุแบบมิดด้ามมีดเลยทีเดียว’

“หลีกไป!”

ห้วงความคิดของดนัยที่ยืนเงียบนิ่งไม่ไหวติงในที่สุดก็ถูกปลุกขึ้นจากเสียงทุ้มต่ำแฝงอารมณ์ร้อนร้ายของชายที่ชื่อบดินทร์ เหตุเพราะเขาดันมายืนตัวใหญ่ขวางประตูอยู่จึงถูกข่มขู่ด้วยความไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่าย

ตอนแรกดนัยก็ไม่ได้คิดจะขวางอะไรบดินทร์หรอก ไม่ได้อยากจะยุ่งด้วยเลยด้วยซ้ำ แต่พอเห็นสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านของคนที่กำลังกุมท้องจ้องหน้ากันอยู่นั้น ความคิดบางอย่างก็แล่นปราดขึ้น

‘ไอ้นี่มันกร่างดีเว้ย’

“บอกให้หลีกไง!”

ในจังหวะที่บดินทร์ออกคำสั่งกับเขาอีกครั้ง ดนัยก็แกล้งปิดประตูใส่อีกฝ่ายเสียงดัง

ปัง!

“ทำบ้าอะไรวะ!?”

“โอ๊ะ…ขอโทษที มือมันลื่นน่ะ”

“ไอ้!!...”

พอดนัยตอบพร้อมไหวไหล่ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม อารมณ์ของคนตรงหน้าก็ดูเหมือนจะทะลุจุดเดือด ดวงหน้าคมคายแหงนเงยขึ้นจ้องตาดนัยในระยะประชิดเพื่อต้องการข่มขวัญ แต่แค่เพียงดนัยสืบเท้าเข้าใกล้ อีกฝ่ายก็ถอยร่นทันที ไม่ได้กล้าท้าชนอย่างที่ปากเก่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถกร้าวเสียงถาม

“มึงเด็กสังกัดใคร?”

เห็นท่าทีแบบนั้นของบดินทร์เข้าดนัยก็ยิ่งนึกขัน หรือว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องสนุกให้เขาได้แก้เบื่อในช่วงกลับมาไทยกันนะ?

“ก็...ยังไม่ได้สังกัดใครครับ ผมเพิ่ง...”

“มาใหม่! งั้นมึงก็ควรรู้ว่าต้องทำตัวยังไงเวลาอยู่ต่อหน้ากู!”

คงเพราะเสียงทุ้มนุ่มเนิบพร้อมรอยยิ้มแกล้งโง่ จึงทำให้ดนัยพูดไม่ทันจบก็ถูกบดินทร์สวนกลับจนหน้าเหวอ เพราะพอได้ยินว่าดนัยเป็นเด็กใหม่เท่านั้น บดินทร์ก็ยิ่งขึ้นเสียงขู่สำทับ

“...”

ดนัยเลิกคิ้วแกล้งทำเป็นตกใจเมื่อถูกบดินทร์ใช้นิ้วชี้จิ้มมาที่กลางอกแล้วข่มกันสารพัดขณะแนะนำตัวเองด้วยอาการหยิ่งผยอง ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะปิดบังเรื่องที่ตัวเองเป็นใครอยู่หรอก แต่การปล่อยให้อีกฝ่ายได้ก้าวร้าวใส่แบบไม่รู้หัวรู้หางแบบนี้ก็สนุกดีไปอีกแบบ

“กูชื่อบดินทร์ และกูไม่ใช่ดาราระดับที่มึงจะมาเล่นหัวได้ ไอ้เด็กใหม่ จำ ใส่ หัว มึง ไว้ ด้วย!!”

บดินทร์ย้ำเน้น ๆ ทีละคำตรงหน้าของดนัย ก่อนจะกระแทกไหล่หนาเปิดประตูออกไปด้านนอกด้วยความคุกรุ่น

ทั้งที่น่าจะโกรธ แต่หัวใจของดนัยกลับเต้นแรงขึ้นในความหมายอื่น นานเหลือเกินแล้วที่ไม่มีใครกล้าทำยโสใส่กันแบบนี้

หรือว่าเรื่องสนุก…กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว?

“เคยได้ยินมาว่าคุณสองคนไม่ถูกกัน...แต่เมื่อกี้เห็นนัวเนียกันขนาดนั้น คงไม่ได้เกลียดกันตามข่าวล่ะมั้ง”

ดนัยเอ่ยขึ้นก่อนที่บดินทร์จะเดินห่างออกไป แสร้งลากเสียงยาวในประโยคสุดท้ายเพื่อให้ระคายอารมณ์คนฟัง ตั้งใจก่อกวนให้บดินทร์ขุ่นเคืองขึ้นไปอีก

“อย่าเสือก!”

และมันก็ได้ผล เมื่อถูกฝ่ายนั้นกระแทกเสียงกร้าวกลับมาก่อนจะหมุนตัวจากไปทันที ปล่อยให้ดนัยได้แต่เบะปากหมั่นไส้ ก่อนยิ้มร้ายกับตัวเองพลางมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินจ้ำจากไป

“คนอะไรวะ? หลงตัวเองฉิบ”

เมื่อกลิ่นเฉพาะตัวบางอย่างจากฝ่ายนั้นกำซาบเข้าสู่จมูก ดนัยก็ถึงกับพรึงเพริดในหัวใจ ริมฝีปากที่ยกยิ้มน้อย ๆ อยู่แล้วยิ่งยิงฟันกว้างขึ้น เมื่อภาพจินตนาการบางอย่างผุดพรายขึ้นในหัว

‘หน้าตาหล่อเหลาหมดจดที่เอาแต่ทำสีหน้าเย่อหยิ่งจองหองนั่น หากถูกรังแกขึ้นมาจะมีสีหน้าแบบไหนนะ? ’

‘ดวงตาสุกสกาวที่เอาแต่เขม่นขวางแบบนั้น หากถูกทำจนร้องไห้มันจะสวยเหมือนลูกกวางน้อยเลยหรือเปล่านะ? ’

‘ริมฝีปากแดงจัดที่เอาแต่พ่นแต่คำหยาบคาย หากถูกบังคับให้ร้องครางอย่างน่าเวทนาจะน่าฟังแค่ไหนกันนะ? ’

‘กลิ่นกายหอมจาง ๆ แบบนั้น หากถูกทำให้กลัวมาก ๆ มันจะหอมหวานจนแทบสำลักเลยไหมนะ? ’

ยิ่งจินตนาการ ความปรารถนาที่ลุกโชนในช่องท้องก็เล่นเอาดนัยรู้สึกลำคอแห้งเป็นผง เขาแลบปลายลิ้นออกมาลิ้มเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน ขณะจ้องมองแผ่นหลังของบดินทร์ที่เดินห่างออกไปไกลแล้ว

“Target Lock on!!”


 

++++++++++++++

 

พระเอกเรื่องนี้แรก ๆ มันก็จะชั่ว ๆ หน่อยค่ะ 555

(ไม่หน่อยอ่ะ พอตัวเลยทีเดียว แต่บอกเลยว่าเหมาะกับนายเอกมากก)
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : 03 เหยื่อ
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:41:03
03 เหยื่อ

ในซอกเล็ก ๆ ของห้องแต่งตัวนักแสดง ควันบุหรี่จาง ๆ ถูกพ่นออกจากปากและจมูกโด่งรั้น ข้างนอกเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงของทีมงานที่กำลังจัดฉากรายการที่กำลังจะเริ่มถ่ายทำในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า

อีกตั้งชั่วโมง แต่บดินทร์พิธีกรผู้ดำเนินรายการก็แต่งตัวรอเรียบร้อยแล้ว วันนี้ชายหนุ่มไม่มีงานอื่นนอกจากการถ่ายโฆษณาสินค้าลงนิตยสารเมื่อช่วงสาย ดังนั้นจึงว่างมากพอที่จะแต่งตัวรอเรื่อยเปื่อย ประจวบกับซอลย่าผู้จัดการส่วนตัวของเขาดันมีเรื่องต้องไปคุยอะไรบางอย่างกับท่านประธานด่วน ทำให้บดินทร์ต้องนั่งแกร่วอยู่ลำพัง

นั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ กับบุหรี่หนึ่งมวน พลางคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำตามหน้าที่ วันนี้เขาต้องสัมภาษณ์ดาราคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากเมืองนอกในฐานะเด็กปั้นอีกคนของท่านประธาน ขึ้นชื่อว่าเด็กปั้นไม่ว่าอย่างไรก็ดูยิ่งใหญ่ จะทำอะไรก็มีแต่คนสนใจ จะทำอะไรก็มีแต่คน ‘เกรงใจ’

บดินทร์ไม่รู้จักหน้าค่าตาของดาราคนนั้นหรอก ได้ยินแค่ว่าชื่อ ‘ดนัย’ อายุอานามดูเหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่คงเพราะถูกส่งไปล่าค่าตัวที่เมืองนอกตั้งแต่เพิ่งเข้าวงการ จึงทำให้เขาไม่ค่อยคุ้นหน้า แต่ถึงอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องสัมภาษณ์คนคนนั้นด้วยความสุภาพ ด้วยความชื่นชมตามที่ถูกบรีฟเอาไว้

ในห้องแต่งตัวยังไม่มีใครเข้ามา บดินทร์จึงยังสูบบุหรี่ได้อย่างสบายใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าทำไมในห้องนี้ถึงไม่มีใครเข้าใกล้

นั่นก็เพราะตัวเขาคนนี้อย่างไรเล่า

ตั้งแต่ไหนแต่ไร บดินทร์ก็ไม่ได้มีเพื่อนเป็นตัวเป็นตน โดยเฉพาะตอนนี้ที่เรียกได้ว่าไม่มีใครเลย ไม่มีแฟน ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ไม่มีแม้กระทั่งคนที่อยากเข้าใกล้

“ฟู่…”

บดินทร์ยังคงพ่นควันปุ๋ย ๆ ด้วยสีหน้าชาชิน ซึมซาบสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายหมายทำให้สมองปลอดโปร่ง ชายหนุ่มไม่มีใครคบมานานมากแล้ว อันที่จริงช่วงชีวิตหนึ่งเขาเคยคบหากับพระเอกชั้นแนวหน้าอย่างสดายุอยู่พักใหญ่ สดายุผู้เก่งกาจและหยิ่งทะนง คนคนนั้นไม่เคยสนใจแม้ใครจะว่าร้าย เพราะไม่เคยเห็นว่าใครจะคู่ควรพอที่จะให้ตัวเองลดตัวลงไปคลุกคลีด้วย

แล้วพอสดายุออกจากวงการไปเพราะข่าวฉาว บดินทร์ก็ไม่เหลือใครอีก และไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขาด้วย นั่นเพราะทุกคนในวงการรู้ว่าที่

สดายุต้องระเห็จออกจากวงการ มันเป็นเพราะใคร แม้หลังจากนั้นบดินทร์จะตั้งหน้าตั้งตาทำงาน แต่คำสรรเสริญที่ได้มากลับกลายเป็นว่าเขาพยายามตั้งตัวเป็นสดายุคนที่สอง พร้อมคำปรามาสพ่วงท้ายว่า ‘ไม่มีทางเทียบสดายุได้แม้เพียงฝุ่น!’

เขาถูกเปรียบเทียบลับหลังมากมายว่าสดายุคือพระเอกขั้นเทพมากฝีมือ ที่ไม่เคยต้องใส่ใจกับคำวิจารณ์หรือข่าวเสียหาย เพราะไม่เคยคิดจะเอาตัวลงมาเกลือกกลั้ว แต่บดินทร์คือนักแสดงไร้ฝีมือที่หักหลังเพื่อนจนได้ดิบได้ดี นิสัยต่ำทรามผิดกับหน้าตา หาเรื่องคนอื่นไปทั่ว ทำตัวกร่างด้วยคิดว่าตัวเองเป็นลูกรักอีกคนของท่านประธาน หลงตัวเอง!

บดินทร์รู้ดีว่าเรื่องที่ทำให้เขาถูกหมั่นไส้จนกลายเป็นหัวข้อข่าวซุบซิบวงในอยู่เนือง ๆ ก็เพราะบดินทร์ยังมีงานไม่ขาดทั้งที่ฝีมือกากสันดานเสีย แถมดูเหมือนเพราะไม่ว่าจะโดนโจมตีอย่างไรก็ยังอยู่ได้นี่แหละ หลัง ๆ จึงเริ่มมีข่าวว่าเขาเป็นเด็กเก็บลับ ๆ ของท่านประธาน ดังนั้นจึงยิ่งไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขาอีก บดินทร์แอบสงสารท่านประธาน

นิดหน่อยที่ถูกลากลงมาสกปรกกับตนไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ใช้ตัวแลกงานก็ยังเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้

คิดไปคิดมาก็เริ่มรู้สึกว่าไร้สาระ บดินทร์จึงอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง ชันขาข้างหนึ่งขึ้นมาเพื่อพักแขนที่คีบบุหรี่ไว้ พลางเอนตัวพิงกับผนังห้องเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อยแล้วพ่นควันออกมาเป็นสาย ใบหน้าเรียบเฉยสายตามองเหม่อไร้โฟกัส บรรยากาศรอบกายดูเหนื่อยล้าและอ้างว้างอย่างยากจะอธิบาย

แต่...ไม่มีใครได้รู้เห็น

และเพราะไม่มีใครเห็น บดินทร์จึงหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยอารมณ์ล่องลอยคล้ายควันบุหรี่ที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศก่อนจะจางหายไป

“ขอบุหรี่สักมวนได้ไหมครับ?”

“!!?”

เสียงทุ้มต่ำปลุกบดินทร์จากภวังค์ เมื่อลืมตาขึ้นมองก็ถึงกับผงะ เพราะถูกเจ้าของเสียงนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในรัศมีที่อันตรายเกินจะรับได้

“มีธุระอะไร?”

บดินทร์ที่ผงะถอยในคราแรก แต่ก็รีบชักสีหน้าทันทีที่เห็นได้เต็มตาแล้วว่าใครกันที่บังอาจเข้ามารบกวนเวลาพักผ่อน

“บุหรี่คุณกลิ่นหอมดี ขอสักมวนได้ไหมครับ?”

คนถูกชักสีหน้าใส่ยังคงตอบกลับด้วยถ้อยคำแสนสุภาพและรอยยิ้มพิมพ์ใจ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้บดินทร์หงุดหงิด

‘ยิ้มพิมพ์ใจที่ไหน มันยิ้มกวนตีนต่างหาก!’

“กูถามว่ามึงมีธุระอะไร ที่นี่ไม่ได้มีงานอะไรให้หน้าใหม่โชว์ตัวหรอกนะ!”

“ขอโทษที่ให้รอนะคะคุณดนัย มาแต่งหน้าได้เลยค่า...อุ๊ยตาย!”

“…!!?”

ยังไม่ทันที่บดินทร์จะได้จัดการอะไรกับไอ้คนไร้มารยาท เสียงทักทายของช่างแต่งหน้าสาวสองที่เปิดประตูทะลึ่งพรวดเข้ามากลับมีหนึ่งคำที่กระแทกมโนสำนึกของบดินทร์เข้าอย่างจัง

‘ดนัย!?’

“คราวนี้...จะกรุณาให้บุหรี่ผมสักมวนได้หรือยังครับ...คุณบดินทร์?”

ดนัยเอ่ยถามขึ้นเบา ๆ ให้พอได้ยินกันเพียงสองคน รอยยิ้มพิมพ์ใจยังคงอยู่ แต่สายตาสีทองแกมเขียวที่จ้องมองมานั้นกลับแฝงด้วยประกายเจ้าเล่ห์ลึกล้ำ

หัวใจของบดินทร์คล้ายถูกบีบรัดจนแทบเต้นไม่เป็นจังหวะ ไร้ร้างคำพูดใด ๆ จะเอื้อนเอ่ย

ดนัย...คนตรงหน้าเขาคือดนัย คนที่เป็นเหมือนลูกรักคนที่สองของท่านประธานเสน่ห์จันทร์! ตกใจไม่เท่ากระวนกระวายใจ ก็จะให้คงสติอยู่ได้อย่างไรเล่าในเมื่อคำเตือนที่ท่านประธานสั่งแล้วสั่งเล่าช่วงนี้คือห้ามสร้างเรื่องให้ถึงหู ไม่อย่างนั้นจะสั่งปลดงานในมือของเขาทั้งหมด!

แต่เขาดันทะลึ่งไปกร่างกับลูกรักของท่านเข้าเสียแล้ว ถ้าจู่ ๆ มางานหายช่วงนี้ อย่าว่าแต่เงินใช้หนี้เลย เงินที่จะกินอยู่ต้องไม่เหลือไปด้วยแน่ คำว่าฉิบหายกระแทกไปมาอยู่ในหัวซ้ำ ๆ แค่คิดว่าจะต้องเจออะไรหลังจากนี้บ้างมือไม้ของบดินทร์ก็สั่นเทิ้มไปหมดแล้ว สติสุดท้ายที่ยังเหลือร้องเตือนให้เขากัดฟันหยิบบุหรี่หนึ่งมวนส่งให้ดนัยที่ยังยืนคอยอยู่

“ขอบคุณครับ”

ดนัยยิ้มรับแต่บดินทร์กลับรีบก้มหน้างุดเพื่อหลบเลี่ยงทันทีที่ส่งบุหรี่ให้เสร็จสรรพ ตั้งท่าจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องที่ตอนนี้ตรงหน้าประตูมีสองสาวช่างแต่งหน้ายืนทำหน้าตาเลิ่กลั่กกันอยู่ ทว่าพอจะลุกออกมาให้พ้นซอกที่นั่ง ร่างสูงสง่าของดนัยก็ก้าวเข้ามาขวางเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่

“ทำไมเงียบจังล่ะครับ เมื่อตะกี้ยังชวนผมคุยจ้อย ๆ อยู่เลย”

“...”

นอกจากจะเบี่ยงกายออกมาขวางบดินทร์แล้ว ดนัยยังเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับว่ามองไม่เห็นถึงบรรยากาศอึดอัดรอบตัวของบดินทร์เลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีอ่อนหลุบมองคนที่ยังเอาแต่ก้มหน้า ริมฝีปากหยักลึกลอบยิ้มพึงใจขณะแอบสูดกลิ่นกายที่กำจายออกมา

จาง ๆ ของคนตรงหน้า

“อะไรกัน…พูดไม่ออกแล้วเหรอครับคุณบดินทร์ หึ หึ คงไม่ใช่หรอกมั้ง คุณจะกลัวอะไรล่ะ ขาใหญ่ซะอย่าง”

เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ดนัยเลยอดจิกกัดเล่นไม่ได้ เขาอยากเห็นว่าบดินทร์จะอดทนได้แค่ไหน อยากเห็นสองแก้มซับสีระเรื่อเพราะเลือดขึ้นหน้าเสียหน่อย

จริงอยู่ถึงดนัยจะดูเป็นคนอารมณ์ดี เข้าถึงง่าย ยิ้มง่าย ขี้เล่น แต่ทั้งหมดที่ทุกคนเห็นนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงชายหนุ่มยังมีด้านมืดที่เป็นคนชอบข่มขวัญคนที่ไม่ชอบหน้าอยู่ด้วย และเลวร้ายชนิดที่ว่าหากใครทำเขาไม่พอใจขึ้นมาละก็เจ้าชายยิ้มหวานคนนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อลิดรอนศักดิ์ศรีของคนคนนั้นแบบไม่เลือกวิธีการเลยทีเดียว

แต่ที่ทำอยู่กับบดินทร์ตอนนี้เรียกไม่ได้หรอกว่าทำไปเพราะชิงชัง เพราะที่จริงแล้วเขาถูกใจอีกฝ่ายเป็นพิเศษต่างหาก การเข้าหาถึงได้พิเศษกว่าใครด้วย

คนพิเศษที่น่าหมั่นไส้จนอยากจับกดเสียเดี๋ยวนี้!

ขณะที่ดนัยกำลังรอชมว่าบดินทร์จะตอบโต้ออกมาแบบไหน เพราะตามสันดานที่เคยได้เห็นไม่น่าจะเป็นคนที่ยอมกันง่าย ๆ แต่เขาคงประเมินเรื่องของศักดินาในวงการต่ำไปหน่อย ในยามนี้จึงทำให้นอกจากบดินทร์จะไม่ต่อสู้กับเขาแล้ว อีกฝ่ายยังอยากหลบเลี่ยงออกไปให้เร็วที่สุดด้วย

ดนัยเดาะลิ้นเบา ๆ ด้วยความขัดใจ ก่อนเพิ่มเลเวลในการยั่วยุบดินทร์ขึ้นอีกเล็กน้อย

“อ๊ะ เดี๋ยวสิครับ…”

พอเห็นบดินทร์จะเดินเลี่ยงออกไป ดนัยก็เข้าไปขวางในระยะประชิดอีกครั้ง สืบเท้าเข้าใกล้เพื่อปิดบังช่องทางสุดท้ายไม่ยอมให้หลบหนี คราวนี้ความอดทนสุดท้ายของบดินทร์จึงขาดผึง ชายหนุ่มตวัดสายตาขุ่นขวางขึ้นสบตาดนัยทันที

เห็นบดินทร์เริ่มมีปฏิกิริยา ดนัยก็รีบก้มหน้าลงใกล้จนใบหน้าของพวกเขาห่างกันไม่ถึงคืบ บดินทร์สับสนในคราแรก แต่พอดนัยเอาบุหรี่ขึ้นมาคาบที่ปากแล้วโยกหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงให้สัญลักษณ์ บดินทร์ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

‘แม่งงงงง!’

กริ๊ง..แชะ...

บดินทร์กัดกรามกรอด เพราะท่าทีของดนัยนั้นมันหมายถึงให้เขาบริการจุดบุหรี่ให้ ไม่อยากทำจนอยากจะกัดลิ้นตายเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ต้องจำใจหยิบไฟแช็กซิปโป้ขึ้นมาจุดให้อย่างเลี่ยงไม่ได้

ดนัยยิ้มย่องตรงหน้าของบดินทร์ พลางพ่นควันปุ๋ย ๆ ท่าทางช่างสำราญใจ ยิ่งได้เห็นบดินทร์จำยอมจนเส้นเลือดปูดโปนตรงขมับ ดนัยก็ยิ่งอิ่มเอมเปรมปรีดิ์จนหยุดยิ้มไม่อยู่

“ฟู่...ขอบคุณครับ ขาใหญ่”

“...!”

พูดขอบคุณออกไปพร้อมเบี่ยงตัวเปิดทางให้ในที่สุด บดินทร์กัด

ริมฝีปากของตนจนแทบห้อเลือดไม่ให้ตอบโต้อะไรออกไป พลางรีบผละจากตรงนั้นอย่างไม่รอช้า ภายในหัวใจภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าหลังจากวันนี้ไปก็ขออย่าให้ต้องเจอะต้องเจอกันอีกเลย!



การสัมภาษณ์ในวันนั้นเป็นไปด้วยดี เจ้าคนร้ายกาจที่เพิ่งปะทะกันในห้องแต่งตัวนักแสดงอย่างดนัย ให้ความร่วมมือในการให้สัมภาษณ์อย่างดีอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะมีการถึงเนื้อถึงตัวแบบเจตนาระหว่างพิธีกรกับแขกรับเชิญบ้าง เพื่อเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาคนดู แต่มันก็ผ่านแค่นั้น

เมื่อการอัดรายการจบลง เมื่อหน้าที่หน้ากล้องเสร็จสิ้น บดินทร์รีบหลบลี้จากไปทันที เขาไม่มั่นใจว่าดนัยจะมีปัญหาอะไรกับตนหรือเปล่า แต่สัญชาตญาณมันบอกว่าผู้ชายคนนี้อันตรายเกินไปจนไม่อยากเข้าใกล้





หลายวันต่อมา บดินทร์ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ขณะจิบกาแฟอยู่กับผู้จัดการส่วนตัวคนสนิทอย่างซอลย่าในห้องแต่งตัว

ซอลย่ารู้ดีว่าวันนี้น้องชายตัวดีของตนกำลังอารมณ์ดีเรื่องอะไรจึงไม่ได้ขัดขวางความสุข ปล่อยให้บดินทร์ได้ฮัมเพลงสบายอารมณ์อยู่แบบนั้น ในขณะที่ตนก็กำลังจัดการตารางงานของดาราคนอื่นในมือต่อ

หลังจากเหตุการณ์น่าอึดอัดวันนั้น บดินทร์ก็ไม่ได้พบเจอกับดนัยอีกเลย เวลาผ่านไปนานจนพิธีกรหนุ่มเริ่มตายใจว่าที่ผ่านมาก็แค่เหตุบังเอิญ และวันนี้ก็เป็นวันดี วันที่เขาจะได้เจอกับสดายุอีกครั้งในฐานะของพิธีกรกับแขกรับเชิญ บดินทร์เตรียมตัวอย่างดีตั้งแต่เช้า ทั้งที่คิวอัดเริ่มตอนสี่โมงเย็น แต่เขาอยากทำให้ดีที่สุด แม้เวลาที่ใช้ในการอัดรายการจะแค่สองสามชั่วโมง แต่มันก็มีค่าสำหรับเขามาก

บดินทร์รอคอยอย่างตื่นเต้นจนถึงเวลาที่เริ่มอัดรายการ ทั้งที่เขาพยายามจะใช้เวลาในช่วงก่อนอัดไปเทียวแอบส่องสดายุเสียหน่อย แต่ดูเหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างเขานัก เพราะดันถูกองครักษ์อย่างผู้จัดการส่วนตัวของอีกฝ่ายและก้างชิ้นใหญ่อย่างกฤตเมธคอยกีดกันไว้จนไม่สามารถเข้าใกล้สดายุได้เลย แม้แต่ในช่วงเบรกแต่ละช่วงก็ยังหาโอกาส

ดี ๆ ไม่ได้

บดินทร์หงุดหงิดจนอาละวาดใส่ช่างแต่งหน้าไปหลายรอบ ร้อนถึงซอลย่าที่ต้องคอยนั่งปลุกปลอบอยู่พักใหญ่ ความไม่พอใจนั้นส่งผลให้เขาขัดคำสั่งของผู้จัดอยู่ตลอดการทำงาน เพราะสคริปต์บทสัมภาษณ์ที่ทางทีมงานให้มาจะเน้นให้สัมภาษณ์กฤตเมธเป็นหลัก เพราะอีกฝ่ายกำลังได้ชื่อว่าดังที่สุดในตอนนี้ โดยให้ความสำคัญกับสดายุเป็นคนสุดท้ายจากทีมดาราทั้งหมดที่มาร่วมสัมภาษณ์ในวันนี้

แต่บดินทร์กลับขีดฆ่าตรงหมายเหตุนั่นทิ้งไป แล้วตั้งหน้าตั้งตาสัมภาษณ์สดายุเป็นหลัก

ทำไมถึงไม่ยอมทำตามสคริปต์ ทั้งที่ถูกไดเรกเตอร์กรอกหูอยู่ตลอดน่ะหรือ?

ก็เพราะเขาคิดถึงและอยากคุยกับสดายุที่สุดอย่างไรล่ะ เหตุผลมันก็มีอยู่แค่นั้นเอง ทั้งที่รู้ว่าเดี๋ยวพอตัดจบเบรก ก็คงโดนผู้จัดด่าจนหูชาหูเปื่อยอีก แต่เขาไม่สน!

การสัมภาษณ์ดำเนินไปแบบนั้นจนกระทั่งเบรกสุดท้าย การได้พักอีกครั้งก่อนเข้าช่วงจบทำให้บดินทร์ได้มีเวลาในการเหม่อมองสดายุที่นั่งห่างออกไปได้อีกสักพัก วันนั้นเขายังคงถูกหมางเมิน แต่มันก็ยังดีที่ได้เจอและพูดคุย ถึงจะเป็นแค่เรื่องงานก็ตาม

เอาเถิด…แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว

บดินทร์คิดเอาไว้ตลอดว่าวันนี้จะจบลงด้วยดี ทุกอย่างจะเป็นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

จนกระทั่ง…

[ไปรอฉันที่โรงแรมของเสี่ยฮง ห้อง 4505 เอากล้องไปด้วยล่ะ]

มันคือคำสั่งจากชิดจันทร์ ผู้หญิงโรคจิตที่คิดจะทำลายกฤตเมธเพื่อเอาชนะแม่ของตัวเองที่เป็นถึงประธานใหญ่ของบริษัทมหาชนผู้นำด้านสื่อธุรกิจเพลงและความบันเทิงครบวงจรแห่งนี้

บดินทร์มือสั่นพั่บทันทีที่ได้ยินคำสั่งนั้น เขาไม่อยากทำ ถึงจะไม่ชอบหน้ากฤตเมธแต่ก็ไม่ได้อยากทำ เขาพลาดที่ดันไปเป็นหนี้บ่อนของเพื่อนนางมารร้ายคนนี้ หนี้เพียงสิบล้านที่เขาไม่สามารถหาเงินมาคืนได้เสียที เพราะลำพังแค่เงินค่าพิธีกรที่เหลือเพียงสามงานในมือตอนนี้ มันยังไม่เพียงพอในการดำเนินชีวิตในฐานะดาราที่ต้องดูดีดูเด่นเป็นเป้าของสื่อเสียด้วยซ้ำ! แถมยังต้องเจียดออกมาจ่ายดอกเบี้ยที่พอกพูนขึ้นทุกวันด้วยอีก แล้วเขาจะไปเหลืออะไรมาจ่ายเงินต้นท่วมหัวนี่กัน!

ในเมื่อบดินทร์ไม่ใช่ดาราที่มีเงินในบัญชี แถมยังมีหนี้ท่วมหัว เขาจึงทำได้เพียงยอมเป็นลิ่วล้อให้กับลูกสาวท่านประธาน เพื่อแลกกับอนาคตว่าจะยังมีงาน ไม่อย่างนั้นนอกจากงานในมือที่มีอยู่น้อยนิดจะหลุดไปแล้ว ยอดหนี้ที่ท่วมท้นอยู่นั้นอาจทวีคูณขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวด้วย

บดินทร์จำยอม เขาไปตามที่ชิดจันทร์นัดแนะ โดยการพรางตัวจากทุกสายตาด้วยเสื้อแขนยาวและกางเกงยีนสีดำ ใส่หมวกแก๊ป แว่นตาดำรวมถึงผ้าปิดปากมิดชิด

“ทำไมช้านักฮะ!?”

“จะถ่ายแบล็กเมล?”

ชิดจันทร์ตะคอกถามขึ้นทันทีที่เจอหน้ากัน แต่บดินทร์ไม่คิดตอบ พอมองเข้าไปในห้องเห็นกฤตเมธนอนสลบไสลอยู่ ก็ได้แต่ถามทั้งที่รู้คำตอบ

“ใช่! ถ่ายมันกับฉันก่อน แล้วเดี๋ยวฉันเตรียมเรียกเด็กไว้เพิ่มแล้ว ถ่ายเสร็จแกก็รีบส่งให้นักข่าวทันทีด้วยล่ะ หึ หึ เอาให้มันอาย”

เจ้าหล่อนตอบหน้าตาเฉย ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่กำลังจะทำ ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าข่าวที่จะปล่อยออกไปนั้นนอกจากชื่อเสียงของกฤตเมธแล้ว ชื่อเสียงของตัวหล่อนเองก็จะเสียหายไปด้วย

‘โรคจิตจริง ๆ ’

บดินทร์ได้แต่สะท้อนใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตามที่

ชิดจันทร์สั่ง

แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร

พรึ่บ!

“ว้ายยยย!!?”

ในเสี้ยววินาทีก่อนที่ประตูจะถูกปิด มันกลับถูกยับยั้งไว้ด้วยแขกไม่ได้รับเชิญอีกสองคนที่วิ่งพรวดกันเข้ามา เสียงกรีดร้องของชิดจันทร์ดังขึ้นก่อนจะทันได้เห็นว่าสองคนที่มาใหม่นั้นคือใคร

“ไอ้สดายุ!?” หญิงสาวแผดเสียงด้วยความตกใจ

“เออ! แล้วคิดว่าใครกันล่ะครับ คุณหนู?” และสดายุก็ตอบรับ

ทันควัน

หัวใจของบดินทร์เย็นวาบจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง ภาพของ

สดายุที่กำลังโต้เถียงกับชิดจันทร์ทำเอาเขากลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอแทบไม่ทัน ถ้าสดายุรู้ว่าผู้สมรู้ร่วมคิดอีกคนเป็นเขาละก็ จะต้องโดนเกลียดจนเข้ากระดูกดำแน่!

“จะยืนเซ่ออยู่ทำไมล่ะ! จัดการมันซิยะไอ้โง่!!”

“ก็ลองแตะน้องยุดูสิ! พ่อเตะคว่ำแน่!!”

ขณะที่กำลังยืนตะลึงอยู่จู่ ๆ ชิดจันทร์ก็หันมาออกคำสั่ง พร้อมกับที่บลูม่าผู้จัดการร่างยักษ์ของสดายุเองก็ประกาศกร้าวขึ้นมาด้วยเสียงห้าวเข้ม บดินทร์สะดุ้งเฮือกไปทั้งตัว เหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั้งขมับและแผ่นหลังด้วยความละล้าละลัง เขาไม่ได้อยากมีเรื่องด้วย ไม่ต้องการมีปัญหา แต่ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี!?

“กรี๊ด!! แกจะไปกลัวบ้าอะไรกับอีแค่พวกกะเทยฮะ!? รีบจัดการมันเข้าสิ ไอ้ขยะเฮงซวยนี่!!”

ชิดจันทร์หันไปออกคำสั่งทั้งยังก่นด่ากันเป็นการใหญ่เมื่อเห็นว่าเขายังคงยืนลังเล ถึงตรงนี้บดินทร์ก็ไม่คิดอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาพุ่งเข้าหาบลูม่าที่อยู่ตรงหน้าประตูทันที เบี่ยงตัวหลบหมัดที่ฝ่ายนั้นปล่อยมาอย่างหวุดหวิด เอื้อมคว้าลูกบิดประตูเปิดแล้วถลาออกจากห้องไปแบบไม่เหลียวหลัง แรงมีเท่าไรเขาใส่มันไปกับการวิ่งทั้งหมด!

“เฮ้ย!!? อย่าหนีนะ!!”

เสียงของบลูม่าไล่หลังมา โชคดีที่บดินทร์คนนี้ฝีเท้าดีกว่า อย่างน้อยตอนยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมก็มีดีกรีเป็นนักวิ่งระยะสั้นของโรงเรียนมาก่อน ดังนั้นเพียงไม่กี่อึดใจเขาก็สลัดบลูม่าได้พ้น

บดินทร์วิ่งหนีลงทางบันไดหนีไฟไปได้สี่ชั้นจังหวะพอดีกับที่มีคนเปิดประตูทางหนีไฟออกมาเขาจึงสวนกลับเข้าไปที่ทางโถงกลาง พลันได้ยินเสียงลิฟต์เปิดขึ้นบดินทร์จึงไม่รอช้าที่จะถลาเข้าไปหามัน

“!!?” การที่เขาพุ่งเข้าไปอย่างแรง ทำให้ปะทะเข้ากับคนที่ยืนอยู่ก่อนจนทำเอาผงะ

“อ๊ะ! ขอโทษครับผมนึกว่าไม่มีคนเข้า”

ชายหนุ่มอีกคนในลิฟต์เอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรพลางส่งยิ้มเผล่มาให้ที่เผลอกดปิดประตูลิฟต์จนทำให้มันเกือบจะหนีบโดนบดินทร์ที่วิ่งกระหืดกระหอบมา

‘ไม่จริง!!’

น้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้ดวงตาใต้แว่นตาดำของบดินทร์เบิกกว้าง คนตรงหน้าคือดนัย! คนที่ไม่อยากเจอมากที่สุด บดินทร์กลั้นหายใจยืนนิ่ง ขณะที่ดูเหมือนดนัยจะไม่ได้ให้ความสนใจตนแล้ว คงเพราะจำเขาที่อยู่ในสภาพปกปิดใบหน้าไม่ได้

ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถิด!

ครั้นพอลิฟต์เปิดขึ้นที่ชั้นหนึ่งบดินทร์ก็พุ่งพรวดออกไปแบบไม่คิดเหลียวหลัง ในหัวใจที่เต้นรัวกำลังพร่ำภาวนาขอให้ดนัยจำตนเองไม่ได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่เขากำลังวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น…

ก็ดันเผลอทิ้งหลักฐานชิ้นสำคัญเอาไว้ให้อีกฝ่ายเสียแล้ว

“อ้าวเฮ้ย? คุณ! กระเป๋าตก!!”

ดนัยรีบตะโกนไล่หลังชายชุดดำที่วิ่งพรวดออกไปแล้วดันทำกระเป๋าเงินตกเอาไว้ เขารีบคว้ากระเป๋าใบนั้นแล้ววิ่งตามไปคืนเจ้าของตามหน้าที่ของพลเมืองที่ดี

“คุณ! เฮ้ย! คุณชุดดำนั่นน่ะ!! เฮ้! กระเป๋าเงินคุณตก!!”

ทั้งกู่ ทั้งตะโกนเรียก ทั้งวิ่งตาม แต่ดูเหมือนชายคนนั้นจะหูดับไปแล้วถึงไม่ได้ยินเสียงเขาเลยสักนิด ทั้งที่คนอื่นมองกันทั้งล็อบบี้โรงแรม และสุดท้ายชายเจ้าของกระเป๋าก็คลาดสายตาไปในที่สุด

“ช่างแม่งแล้ว ฝากฟรอนต์ไว้แล้วกัน”

ดนัยบ่นกับตัวเองขณะตัดสินใจว่าจะฝากกระเป๋าใบนี้ไว้ที่ประชาสัมพันธ์ของโรงแรมแทน เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาด้วยแล้ว ทว่าตอนที่ลองเปิดกระเป๋าใบนั้นสำรวจดู ก็พบกับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเข้าเสียก่อน…

น่าสนใจ ขนาดที่ว่าเขาคงต้องเก็บกระเป๋าใบนี้เอาไว้ เพื่อส่งคืนเจ้าของมันด้วยตัวเอง

มุมปากค่อย ๆ โค้งขึ้น ริมฝีปากหยักลึกแย้มยิ้มบาง ๆ กับตัวเอง ประกายตาสีเขียวทองวาบวามขึ้นเมื่อนึกถึงสีหน้ายามที่ได้เจอกันอีกครั้งของคนคนนั้น

‘ไม่ต้องตกใจนะดิน เดี๋ยวผมจะเอาไปคืนให้ถึงมือเอง!’


++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:42:20
แม้จะหนีมาจากเหตุการณ์ของวันนี้ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าบดินทร์จะหนีพ้น ทันทีที่กลับมาถึงห้องพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อของคนที่ไม่อยากได้ยินเสียงที่สุด

‘Bitch!’ คือชื่อที่เขาบันทึกไว้แทนเบอร์ของชิดจันทร์ บดินทร์ถอนหายใจแล้วปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น ไม่อยากรับสาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากรับรู้ เขาหนีออกมาได้ก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่าชิดจันทร์จะโพนทะนาให้พวกสดายุฟังไปหมดแล้วว่าผู้ร้ายอีกคนเป็นใคร

แต่ถึงอย่างไร บดินทร์ก็ไม่อาจปฏิเสธ หัวใจของชายหนุ่มมืดดำลงทุกขณะ

“ฮ...ฮัลโหล?”

[รับสายได้เสียทีนะไอ้ขี้ขลาด หนีเอาตัวรอดหน้าด้าน ๆ เลยนะแก!]

“ก็ถ้าผมถูกจับได้ มันก็จบกันพอดีสิ”

[หึ! กล้าดีมากนักนะที่ทิ้งฉันเอาไว้ กล้าทำกับคนที่คุ้มหัวแกอยู่ได้ยังไง ฮะ!? แกนี่มันช่างน่าสมเพช ขี้ขลาดตาขาว จนไม่รู้ว่าจะยังเป็นผู้ชายอยู่อีกทำไม หากระโปรงมาใส่ไปซะเถอะ ไอ้สวะ!]

ชิดจันทร์ต่อว่ากันอย่างไม่ไยดี ในสายตาของอีกฝ่ายเขาคนนี้คงแทบไม่เหลือความเป็นมนุษย์ บดินทร์กัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด สั่นเทิ้มไปทั้งตัวด้วยความรู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายจนแทบสำรอก

“...แล้วคุณหนูยังมีอะไรกับผมอีก?”

[ชิ...เมื่อวานตรงหน้าลิฟท์ แกถ่ายรูปไว้ใช่ไหม ตอนฉันกับพี่เมธเดินเข้าห้องน่ะ]

“...มีแค่รูปเดียว ไม่ชัดด้วย”

[ไม่ได้เรื่อง!]

“ก็คุณบอกว่าให้ผมตามไปถ่ายแค่ในห้อง!”

[โอ๊ย! ไอ้โง่! สั่งแค่ไหนได้แค่นั้นเลยนะ! คนอย่างแกนี่เลี้ยงไว้เสียข้าวสุกจริง ๆ !!]

“งั้นก็ไปให้คนอื่นทำสิ!”

[อย่ามาปากดี! แกลืมไปแล้วรึไงว่าพึ่งใบบุญใครอยู่!? ไม่สำนึกบ้างหรือไงว่าคนเลวชาติอย่างแกถ้าไม่มีฉัน หนี้พนันกว่าสิบล้านนั่นแกจะเอาปัญญาที่ไหนไปจ่าย! ถ้าฉันไม่ขอเพื่อนไว้ให้แกได้ผ่อนดอกเขาไป

วัน ๆ แกคิดว่าตอนนี้แกจะเป็นผีอยู่ที่ไหน!? นอกจากฉันจะยังมีใครคุ้มกะลาหัวแกได้อย่างงั้นเหรอ? พ่อที่เฉดหัวแกออกจากบ้านแล้วน่ะเหรอ? หรือไอ้สดายุกันล่ะ? อดีตเพื่อนรักนี่ อ๋อ…ฉันลืมไป มันเคยโดนแกหักหลังซะขนาดนั้น คงไม่มีวันยื่นมือเข้าช่วยแกหรอก]

“อย่าพูดเรื่องนั้นอีกเลย คุณชิด...ผมขอร้อง”

[เรื่องอะไร? เรื่องที่แกถูกเฉดหัวออกจากบ้านเพราะดันทำน้องเลี้ยงท้อง? หรือเรื่องที่แกโบ้ยว่าเด็กคนนั้นท้องกับไอ้สดายุเพื่อนรักของแกกันล่ะ? หึ หึ]

“คุณชิด ผมยอมทำตามที่คุณสั่งทุกอย่างไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องชั่วช้าแค่ไหน ขอแค่เรื่องเดียว ได้โปรด…อย่าทำร้ายยุ”

[หึ! โดนมันรังเกียจยิ่งกว่าปรสิต แกยังจะไปห่วงมันอีกเหรอ ตลกจริง!]

“...ได้โปรดเถอะครับ คุณชิด”

[ได้! เห็นว่าแกอุตส่าห์อ้อนวอนหรอกนะ งั้นฉันจะให้งานแกทำอีกงานหนึ่ง]

“แค่รูปนั่นก็เล่นงานกฤตเมธอยู่หมัดแล้วไม่ใช่เหรอ?”

[ไม่ใช่พี่เมธ แต่เป็นไอ้สดายุ…]

“คุณชิด! ผมบอกแล้วไงว่าอย่ายุ่งกับยุ!”

[หึ! ฉันสนรึไง เอาเป็นว่างานนี้ถ้าแกทำได้ หนี้สิบล้านที่แกติดเพื่อนฉันไว้ ฉันจะให้เขายกหนี้ให้แกทั้งหมด]

“...”

[แต่ถ้าไม่สำเร็จ แกก็ต้องคืนหนี้ทั้งก้อนทันที! รวมทั้งเรื่องเน่าฉาวโฉ่ที่แกพยายามหมกเม็ดทั้งหมดก็จะถูกกระจายสู่สาธารณะด้วย...ทีนี้ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะทำหรือไม่ทำ?]

“ถ้าเรื่องผมหลุดออกไป ผมก็พาดพิงคุณได้เหมือนกัน!”

[แล้วคิดว่าแกจะมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นเหรอ? แกก็รู้ว่าเพื่อนฉันไม่โหด หึ หึ ถ้าแกมีเงินจ่ายละก็นะ ฮะ ฮะ ฮะ!]

“..!”

[อ่อ...แล้วต่อให้แกไม่ทำ ก็ยังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะทำแทนได้ อย่าคิดว่าฉันจะง้อแกไอ้ขี้ขลาด นี่ฉันอุตส่าห์ใจดี เห็นแก่ว่าแกอ้อนวอนนักหนา เลยให้แกเป็นคนจัดการไอ้สดายุเองกับมือ มันจะได้ไม่บอบช้ำมากนัก แต่ถ้าแกไม่ทำฉันก็คงต้องให้คนของเพื่อนฉันจัดการ ตายจริง...พวกนั้นเบามือกันไม่เป็นซะด้วยสิ]

“ทำไมครับคุณชิด! ทำไมต้องทำยุ? ยุไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องครอบครัวของคุณเลย!”

[ใช่! มันไม่เกี่ยว แต่มันกล้าอวดดีกับฉัน สะเออะมายุ่งเรื่องของฉัน! คนอย่างมันต้องโดนสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง! ให้มันรู้ว่าใครเป็นใคร!!]

“...แต่”

[จะทำไม่ทำ!? ถ้าไม่ ฉันจะได้เรียกใช้คนอื่น!!]

บดินทร์กัดฟันอดทนด้วยความขมขื่น เขารู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ขัดขืน

ชิดจันทร์ตั้งแต่แรกแล้ว

คนอย่างเขามันทั้งไร้ค่าและต่ำช้าถึงเพียงนั้นแหละ

“..คุณจะให้ผมทำอะไร?”

[ฉันจะให้แกจัดการย่ำยีไอ้สดายุมันซะ แล้วถ่ายคลิปมาให้ฉัน! จะทำคนเดียวหรือจะรุมโทรมก็แล้วแต่แก แต่มันจะต้องโดนดี และฉันต้องได้คลิปมัน!]





จบคำสั่งแสนเย็นชาร้ายกาจจากคนที่ถือได้ว่าเป็นผู้กุมชะตาชีวิต โทรศัพท์ถูกตัดสายไปนานแล้ว แต่เหมือนเสียงหวานใสที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายนั้นจะยังก้องอยู่ในหู บดินทร์ค่อย ๆ ทรุดตัวลงตรงผนังข้างเตียงนอนในคอนโดมิเนียมห้องเล็กที่ยังปิดไฟมืด

[ถ้าคราวนี้แกทำไม่สำเร็จละก็ จะไม่ใช่แค่แกที่เดือดร้อนแน่]

[ถ้าแกเลือกหักหลังฉันเพื่อช่วยไอ้สดายุมัน ฉันจะหาคนไปจัดการให้หนักยิ่งกว่าเดิม]

[อย่าลืมเสียล่ะว่าถ้าแกคิดตุกติกหรือคิดจะหักหลังกัน ฉันจะทำอะไรกับแกบ้าง ไหนจะครอบครัวแกหรือแม้แต่ซอลย่า คิดว่าพวกเขาจะต้องเจอกับอะไรเพื่อชดใช้หนี้ก้อนนั้นแทนแก หืม!?]

ถ้อยคำเหล่านั้นของชิดจันทร์ยังคงหลอกหลอนอยู่ในหู สองแขนสั่นระริกยกขึ้นกอดตัวเองช้า ๆ จากเพียงกอดค่อย ๆ แน่นขึ้น ปลายนิ้วทั้งสิบเกาะจิกตรงบ่าของตัวเองจนแทบขึ้นรอยช้ำ ทั้งร่างสั่นเทิ้มกอดเข่าตัวเองคุดคู้อยู่อย่างนั้น

เสียงสะอื้นแว่วดังออกมาจากใบหน้าที่ก้มซุกอยู่ตรงซอกเข่าตั้งชัน เพียงครู่เสียงนั้นก็ดังขึ้น ดังขึ้น จนกลายเป็นเสียงสะอื้นฮัก จากคนที่กำลังปล่อยโฮร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าพรั่งพรูลงบนกางเกงยีนจนต้นขาเปียกฉ่ำ หลั่งน้ำตาแห่งความเศร้าสร้อย สะอื้นไปกับความหงอยเหงา ร่างคุดคู้ที่ทำได้เพียงกอดตัวเองด้วยความโดดเดี่ยวอ้างว้าง

…ไม่มีใคร

...เขาไม่มีใครเลย

รอบกายมืดมิดแม้ในความฝัน ร่างกายเย็นเฉียบเหน็บหนาวแม้จะกอดตัวเองจนแน่นหนา ไม่มีทางใดให้เลือก ไม่เหลือทางใดให้เดิน อยากพูดคุยกับใครสักคนก็ไม่กล้า หวาดกลัวไปหมด เพราะข้างกายไม่เหลือใครให้เป็นที่พึ่ง ดวงตาแม้ยังมองเห็นแต่กลับมืดมนไปหมดทั้งแปดด้าน

เพราะมือนี้ ทุกอย่างที่มีล้วนภินท์พังไปหมด ดังนั้นจึงต้องเจ็บปวดทุรนทุรายอยู่เพียงลำพัง ไร้ทางหนี ไร้ทางไป ไม่ใช่เพียงอยู่ชดใช้ในสิ่งที่เคยก่อ แต่ยังต้องอยู่ต่อไปเพื่อก่อเวรสร้างกรรมเพิ่ม

เพื่ออะไร? เขาจะยังอยู่เพื่ออะไร?

อยากย้อนเวลา…คนเขลาแสนขลาดคนนี้อยากย้อนเวลาได้สักครั้ง หากสามารถนั่งไทม์แมชชีนกลับไป เขาจะแก้ไขมันให้ได้ จะแก้ไขมันทุกอย่าง จะไม่ปล่อยให้ความต้องการอยู่เหนือเหตุผล จนไปเผลอมีอะไรกับเด็กคนนั้นเด็ดขาด หรืออย่างน้อยก็จะยืดอกรับว่าเป็นพ่อเด็ก ไม่ยอมให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตไปจนถึงสดายุ

หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่เป็นไอ้บดินทร์ที่ขี้ขลาด จะพูดความจริงทุกอย่าง จะปกป้องเพื่อนเพียงคนเดียวที่มีอย่างสุดกำลัง จะไม่ยอมให้มันกลายเป็นแบบนี้

หากเพียงย้อนเวลากลับไปได้สักครั้ง...

บดินทร์สะอื้นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เพราะถึงอย่างไรในตอนนี้ก็ไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนอะไรได้อีกแล้ว ชีวิตที่สกปรกโสโครกของเขาคนนี้แม้แต่จะตายยังเลือกเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะหากไม่ยอมทำตามที่นังคนวิปริตนั่นสั่ง แม้แต่คนรอบตัวที่ไม่เกี่ยวข้องก็จะต้องโดนร่างแหไปด้วย

แต่ถึงจะจบเรื่องนี้ไปได้ คิดหรือว่าจะรอดพ้นจากทุกอย่าง มันไม่มีทางสวยงามได้อย่างนั้นอยู่แล้ว ช้าเร็ววันหนึ่งชีวิตของเขาก็ต้องพังพินาศในมือของชิดจันทร์อยู่ดี แต่ต่อให้รู้อนาคต เขากลับไม่เหลือหนทางอื่นให้เลือกเดิน



ค่อนคืนที่บดินทร์นั่งจับเจ่ากอดเข่าเหม่อลอย มีเพียงคำถามเดียวเท่านั้นที่วนไปวนมาอยู่ในหัว

เพื่ออะไร? นี่เขาจะยังอยู่เพื่ออะไร?

หรือว่า...

จะเป็นการอยู่เพื่อ

‘ครั้งสุดท้าย’
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : 04 พราน
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:46:19

พราน

“เอ่อ…ไม่เห็นเลยจริง ๆ เหรอครับ?”

“ขอโทษด้วยนะคะ คือถ้ามีทางเราจะเก็บเอาไว้ให้คุณลูกค้าอยู่แล้ว แต่นี่ดิฉันให้หลาย ๆ ฝ่ายช่วยกันเช็กแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นเลยจริง ๆ ค่ะ”

“งั้น...ขอบคุณครับ”

ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่ากระเป๋าเงินหาย บดินทร์ก็รีบมาตามหาตามที่ที่ตนสงสัย แต่เมื่อพนักงานแผนกคอนเชียสสาวสวยยืนยันขันแข็งกับเขาว่าไม่พบเห็นกระเป๋าเงินสีดำที่ชายหนุ่มอ้างว่าทำตกไว้ที่โรงแรมเลย ในที่สุดบดินทร์ก็ได้แต่ถอดใจ เพราะเขาเองก็ไม่ได้แน่ใจนักว่าเขาทำกระเป๋าเงินตกหายที่ไหนกันแน่ เมื่อคืนกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่กลับถึงห้องแล้ว ระหว่างทางเขาใช้เพียงเศษเงินที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงไม่รู้เลยว่ามันหล่นหายไปตอนไหน

ความจริงกระเป๋าใบนั้นมันก็ไม่ได้มีของมีค่ามากนักหรอก เงินสดในนั้นก็มีเพียงสองพันกว่าบาท บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็มเขาก็สั่งอายัติหมดแล้ว ที่น่าเสียดายหน่อยคงเป็นบัตรประชาชนกับใบขับขี่ที่ขี้เกียจไปทำใหม่

สิ่งสำคัญเดียวในนั้นที่ทำให้เขาต้องตามหาเสียวุ่นวายคือ ‘รูปถ่ายหนึ่งใบ’ ที่เขาซ่อนมันไว้ในช่องลับ รูปถ่ายคู่กับสดายุเพียงใบเดียวที่เขามี...รูปที่สดายุยิ้มสวยที่สุด

“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าพอจะสะดวกฝากเบอร์ติดต่อไว้ได้หรือเปล่าคะ? เผื่อว่าอาจมีลูกค้าท่านอื่นนำมาคืน เราจะได้ติดต่อคุณลูกค้าให้มารับค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

พอพนักงานสาวเสนอบริการ บดินทร์ก็รีบเขียนเบอร์โทรฝากไว้อย่างมีความหวัง ก่อนจะเดินออกมา

RRRRRR…

“...!”

ทว่ายังไม่ทันที่จะเดินพ้นจากล็อบบี้ ชิดจันทร์ก็โทรมาตามเรื่องที่จะให้เขาส่งรูปที่หล่อนควงกฤตเมธเข้าโรงแรมไปให้นักข่าว เพื่อกระพือข่าวฉาวให้กฤตเมธเสียหาย

“แม่ง!”

บดินทร์สบถอย่างนึกชัง ขณะรีบหลบเข้าไปคุยในซอกหนึ่งตรงโถงลิฟต์ที่ปลอดคนทันที

ชิดจันทร์ตั้งใจทำลายชื่อเสียงกฤตเมธแค่เหตุผลเพราะเกลียดแม่ของตัวเองเข้ากระดูก จึงอยากทำลายเด็กปั้นที่ท่านประธานเสน่ห์จันทร์แม่ของตนรักประหนึ่งลูกในไส้ให้ป่นปี้ ก็เพียงเพื่อแก้แค้นเรื่องที่แม่เคย

ทำร้ายน้ำใจเมื่อนานมาแล้ว

บดินทร์ถอนหายใจ กฤตเมธตกเป็นเหยื่อก็เพียงเพื่อใช้ทำร้ายแม่ตัวเอง นึกเห็นใจอยู่หรอก แต่พอคิดไปว่ากฤตเมธคือคนที่สดายุรัก ก็พานรู้สึกว่าสงสารไม่ลงขึ้นมา

“อืม จะรีบจัดการให้!”

บดินทร์ตัดบทเพียงแค่นั้นก่อนรีบกดตัดสายของชิดจันทร์ทิ้งไปเพื่อตัดรำคาญกับเสียงก่นด่าแสบแก้วหูของนางมารร้าย ช่างหัวมันแล้วว่าชิดจันทร์จะว่าอะไรต่อหรือเปล่า เพราะตอนนี้เขาไม่อยากคุยอะไรกับมันทั้งนั้น ถ้าเป็นไปได้ ไม่ต้องคุยกันอีกเลยยิ่งดี!

บดินทร์ในชุดไพรเวตสีดำใส่หมวกใส่แว่นปิดหน้ามิดชิด ยังคงยืนสงบสติอารมณ์อยู่ตรงซอกหนึ่งตรงโถงทางขึ้นลิฟต์ แค่กระเป๋าเงินหายก็รู้สึกย่ำแย่พออยู่แล้ว ยังมาโดนชิดจันทร์งี่เง่าไม่เข้าเรื่องใส่อีก ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ชีวิตเขาเหมือนถูกต้อนให้จนตรอกขึ้นทุกที

‘อยากหลุดพ้น…’

‘อยากหนีไปให้พ้น ๆ !’



“สวัสดีครับ คุณดิน”

“!!?”

ขณะที่บดินทร์ยังคงยืนละล้าละลัง เพราะไม่รู้จะไปตามหากระเป๋าเงินของตนต่อที่ไหน จู่ ๆ ก็มีคนมากระซิบเรียกตรงข้างหู จนทำเอาสะดุ้งสุดตัว ที่น่าตกใจมากกว่านั้น ก็คือคนที่เข้ามาทักดันเป็นคนที่บดินทร์ไม่ต้องการที่จะเจอที่สุดในตอนนี้ด้วย!

‘ดนัย!?’

“มาทำอะไรแถวนี้ครับ พักที่นี่เหมือนกันเหรอ?”

“อะ...ค...แค่ผ่านมาน่ะ ผมขอตัวก่อนนะ”

แม้ดนัยจะถามไถ่ด้วยหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตร แต่บดินทร์ไม่ได้อยากเป็นมิตรด้วย เขารีบตัดบทลากันแล้วรีบเบี่ยงตัวจากไปทันที แต่ดนัยกลับขยับตัวเข้ามาขวางเอาไว้ได้ทัน ปิดทุกทางที่บดินทร์จะหนีได้ ซ้ำยังเอ่ยชวนเสียงใส

“เดี๋ยวสิครับ ทำไมรีบร้อนจัง อยู่คุยกันก่อนสิ...นะ”

“!!?”

บดินทร์ไม่ใช่คนตัวเล็ก แต่เพราะดนัยสูงใหญ่กำยำเกินไป จึงทำให้แค่เพียงยืนขวางก็ราวกับจะปิดกั้นเส้นทางของคนที่อยากหนีได้ทั้งหมด หัวใจของบดินทร์เต้นรัวแรงจนได้ยินมาถึงข้างนอก มือไม้เย็นเฉียบขึ้นมาจนถึงข้อศอก เหงื่อกาฬแตกชื้นเต็มแผ่นหลังเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทำไมดนัยถึงจำตนได้ ทั้งที่ตอนนี้เขากำลังปกปิดใบหน้าอยู่

‘ดนัย...มันรู้ได้ยังไงว่าเป็นเรา? อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนมันจำเราได้!’

‘ต้องหนี!’

‘เขาต้องรีบไปให้พ้นจากคนคนนี้!!’

หมับ!!

“อ๊ะ!?”

ทันทีที่บดินทร์ตั้งท่าจะเบี่ยงกายออกวิ่งอีกครั้ง ก็ถูกมือแกร่งของอีกฝ่ายคว้าต้นแขนไว้แน่น กระตุกดึงเพียงครั้งก็สามารถเหนี่ยวรั้งให้บดินทร์ก้าวขาไม่ออกแล้ว

“จะรีบหนีไปไหนล่ะครับ?”

ดนัยยังคงพูดจาไพเราะ ทั้งที่ใบหน้านั้นยังคงแย้มยิ้มดูไร้พิษภัย แต่มือที่จับแขนบดินทร์ไว้กลับส่งกระแสคุกคามอย่างชัดเจน!

“ปล่อย...ปล่อยผม!”

บดินทร์พยายามดิ้นรน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล ไม่ใช่เพียงร่างกายที่สูงใหญ่กำยำ ดูเหมือนว่าแม้แต่ในด้านของกำลังดนัยก็ยังมีเหนือกว่ามาก ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่แม้บดินทร์จะดิ้นรนเท่าไร ก็ไม่สามารถหลุดจากอุ้งมือของดนัยได้เสียที ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดนัยหยิบของบางอย่างขึ้นมาชูให้ดูตรงหน้า สันหลังของบดินทร์ก็เย็นวาบ

“ไม่ได้ตามหาไอ้นี่อยู่หรือไง?”

“…!!? ...ทำไมถึง?”

บดินทร์ตกใจจนดวงตาใต้แว่นดำเบิกกว้าง กระเป๋าเงินที่อยู่ในมือของฝ่ายนั้นมันเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีเลยว่าดนัยรู้แล้วว่าคนที่เจอกันเมื่อคืนคือเขาเอง และอาจจะรู้แล้วด้วยถึงเรื่องที่เขากับชิดจันทร์ร่วมมือกัน! ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับดนัยอย่างไรต่อ จึงได้แต่ย้อนคิดถึงเรื่องราวความบาดหมางระหว่างกัน

เขากับดนัยเพิ่งพบเจอกันไม่กี่ครั้ง หากไม่นับครั้งแรกที่มีปัญหากันเพราะความเข้าใจผิดแล้ว ก็ถือว่าเป็นการพบเจอที่ธรรมดา บดินทร์ออกจะมั่นใจด้วยซ้ำว่าไม่เคยสร้างความแค้นเคืองเรื่องอื่น ที่เขาไม่อยากพบเจออีกฝ่าย ก็แค่ไม่อยากวุ่นวายกับเด็กท่านประธานก็เท่านั้น

แล้วดนัยมีเหตุผลอะไรถึงมาวุ่นวายกับเขาแบบนี้กัน?

เพราะอยากแก้แค้นในเรื่องวันนั้นที่เขาเผลอกร่างใส่หรือเปล่านะ?

เห็นว่าถึงอย่างไรก็หนีจากมือแกร่งที่ยังบีบแน่นตรงต้นแขนไม่ได้ บดินทร์จึงได้แต่ถามออกไปตรง ๆ ว่าแท้จริงดนัยต้องการอะไรจากตนกันแน่ เพราะหากเป็นเรื่องที่พอตกลงกันได้ ก็อาจมีโอกาสให้บดินทร์ได้ขอเจรจา

“คุณ...ต้องการอะไร?”

“ขึ้นไปคุยเล่นที่ห้องผมก่อนไหม?” ดนัยยิ้มให้ พลางเอ่ยชวน

“ผมไม่สะดวก” แน่นอนว่าบดินทร์ย่อมปฏิเสธ ‘จู่ ๆ จะมาญาติดีชวนขึ้นห้องเพื่อ!?’

“งั้น...ผมไม่คืนให้นะ” ดนัยชูกระเป๋าเงินของบดินทร์ขึ้น โบกมันไปมาต่อหน้าเจ้าของ

“นี่คุณ!?” ดูเหมือนง่ายถ้าบดินทร์จะคว้าของตรงหน้า แต่เขาไม่กล้าพอเพราะคนที่ถือมันอยู่คือดนัย

“บอกให้มาก็มาดี ๆ เถอะน่า!”

“โอ๊ย!!”

รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นความดุดัน น้ำเสียงละมุนละไมกลายเป็นเสียงห้าวเหี้ยม มือแกร่งที่ยังคงจับอยู่ตรงต้นแขนยิ่งกระชับแน่น แค่กระตุกทีเดียวทั้งร่างของบดินทร์ก็แทบปลิวเข้าปะทะแผ่นอก

“ถ้าไม่ไปดี ๆ ผมจะถอดหมวกกับแว่นคุณออก แล้วอุ้มขึ้นลิฟต์ไปทั้งอย่างนี้แหละ คงได้ฮือฮากันทั้งล็อบบี้แน่!”

“…น…นี่มันเรื่องอะไรกัน? คุณต้องการอะไรกันแน่?”

บดินทร์ได้แต่กระซิบถามเสียงสั่นพร่าด้วยความไม่เข้าใจ รู้สึกได้เลยว่าดนัยพูดจริง หากเขากล้าขัดขืนอีกครั้ง ได้ถูกทำอย่างที่ฝ่ายนั้นลั่นไว้แน่!

ดนัยเพียงตอบสั้น ๆ พร้อมรอยยิ้ม

“เดี๋ยวก็รู้”
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : 05 บ่วงบาศ
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 11-02-2024 03:52:20

05 บ่วงบาศ

ในที่สุดบดินทร์ก็ถูกบังคับให้ตามมาจนถึงชั้นที่ 47 ห้องเบอร์ 4704 อันเป็นห้องพักสุดสวยหรูในระดับห้าดาวใจกลางเมืองที่ค่าเช่าน่าจะแพงจนขนลุก บดินทร์ได้แต่คิดสงสัยถึงตัวตนของดนัยขึ้นมา แค่เพราะเป็นลูกนายพลกับดาราโกอินเตอร์มันสามารถทำให้ดนัยอู้ฟู่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

ในระหว่างที่ยังสงสัย บดินทร์ก็ถูกเชิญเข้าไปในห้องโดยมีผู้เป็นเจ้าของตามประกบไม่ห่าง เขาทำได้เพียงลอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอด้วยความรู้สึกประหวั่นขณะมองประตูบานเขื่องถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง เมื่อเจ้าของห้องยังคงยืนกอดอกจ้องมองกันไม่ละสายตา

“ตกลง…คุณมีอะไรจะคุยกับผม?”

“แค่เชิญมาดื่มชาเฉย ๆ น่ะ”

“ขอโทษทีนะครับ วันนี้ผมยุ่งมากจริง ๆ ไว้โอกาสหน้าได้ไหม?”

ได้ยินคำตอบง่าย ๆ ของดนัยแบบนั้น บดินทร์ก็รีบตัดบทอย่างมีมารยาท จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน และต้องการอะไรจากเขากันแน่? ความไม่รู้ทำหัวใจของบดินทร์เต้นระส่ำ ความกลัวผุดพรายในส่วนลึกอย่างยากจะหักห้าม

“ว้า…เสียดายจัง ทั้งที่ผมเห็นว่าตารางงานของคุณวันนี้มันโล่งมากแท้ ๆ”

ดนัยแสร้งทำสีหน้าเสียดาย แต่ในประโยคที่กล่าวออกมายิ่งทำให้บดินทร์ขนลุกหนัก ‘ไอ้บ้านี่มันรู้แม้กระทั่งตารางงานของเขา!’

จริงอยู่ว่าตารางงานของดาราบางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นความลับ ส่วนใหญ่มักมีการประกาศลงแฟนเพจเพื่อให้แฟนคลับได้ติดตามด้วย แต่ในกรณีของเขากับดนัย มันกลับเป็นอีกความหมาย เพราะนี่มันหมายความว่าเขากำลังโดนฝ่ายนั้นจับตามองอยู่ มันเกินพอที่จะทำให้บดินทร์รู้สึกกลัวจนต้องถอยหลังสองสามก้าวไปเพื่อตั้งหลักแล้ว!

“…ช่วยคืนกระเป๋าผมมาที!”

“โธ่…อุตส่าห์มาทั้งที นั่งคุยเป็นเพื่อนผมหน่อยไม่ได้เหรอ อยู่คนเดียว ผมเหงาจะแย่…นะครับนะ แป๊บเดียวก็ยังดี”

“งั้นคืนกระเป๋าผมมาก่อน”

“ดื่มชาก่อน แล้วผมจะคืนให้”

“...”

การโต้เถียงดำเนินไปได้เพียงครู่เดียว ดนัยก็สามารถหว่านล้อมพร้อมถือวิสาสะเข้าไปโอบเอวบดินทร์ที่ยังอยู่ในอาการอิหลักอิเหลื่อ

พาไปนั่งที่โซฟากลางห้องรับแขกได้จนสำเร็จ พอถูกจับมานั่งตรงโซฟา บดินทร์ก็ไม่กล้าจะลุกไปไหน หัวใจจดจ่ออยู่กับกระเป๋าเงินของตัวเองที่ยังคงถูกฝ่ายนั้นครอบครองอยู่

อึดใจต่อมาชาอุ่น ๆ ก็มาเสิร์ฟถึงที่ กลิ่นชาหอมกรุ่นเข้ากับรอยยิ้มละมุนของผู้เป็นเจ้าของ จนบดินทร์เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับชาขึ้นมาจิบสักอึกด้วยความจำยอม

“จริงสิ…เมื่อกี้ที่ด้านล่าง ได้ยินคุณพูดถึงรูป…กับข่าว มันคือรูปอะไรเหรอ?”

ดนัยถามขึ้นทันทีที่ชงชาเสร็จ ก่อนทรุดกายนั่งลงด้านข้างบดินทร์ที่กำลังหน้าถอดสี มือของฝ่ายนั้นสั่นเสียจนเหมือนจะประคองถ้วยชาต่อไปไม่ไหว ดนัยยิ้มให้น้อย ๆ พลางช่วยดึงถ้วยชาใบย่อมออกจากมือของบดินทร์แล้ววางลงบนโต๊ะเบา ๆ

บดินทร์จับจ้องคนข้างกายไม่วางตา การกระทำเนิบนาบมันสั่นคลอนประสาทเขาจนตึงเครียด โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าดนัยได้ยินบทสนทนาของเขากับชิดจันทร์เมื่อครู่ด้วย มันยิ่งทำให้บดินทร์กระวนกระวายจนเริ่มทำตัวไม่ถูก

“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ!”

“รูปพี่เมธกับชิดจันทร์เมื่อวานสินะ”

“!!?”

“บิงโก! แย่ละ ถ้าเป็นรูปนั้นจริง ๆ ผมคงต้องขอเกี่ยวด้วยซะหน่อย

แล้วละ”

ดนัยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาของบดินทร์เบิกกว้าง ชัดเจนแล้วว่าทำไมถึงถูกลากขึ้นมาถึงบนนี้ เพราะดนัยมีความสัมพันธ์อันดีกับกฤตเมธ ข่าววงในเล่าลือว่าสองคนนั้นนับถือกันเหมือนพี่น้อง เพราะอย่างนั้นดนัยต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานจากกฤตเมธแล้วแน่ ๆ ถึงได้พยายามจับเขามาคาดคั้นถึงที่นี่!

‘ไม่ได้การแล้ว ต้องหนี!’

คิดได้ดังนั้นบดินทร์ก็ลุกพรวดขึ้น ตั้งใจหลบหนีออกจากสถานการณ์ที่อันตราย

‘ช่างหัวกระเป๋าเงินมันแล้ว!’

“อ๊ะ!!?”

แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับกายให้พ้นจากโซฟาตัวใหญ่ก็ถูกผลักลงบนพื้นโดยแรง ตามด้วยดนัยที่ตามมาคร่อมร่างของเขาไว้ อารามตกใจบดินทร์รีบกระเสือกกระสนหนีจากการถูกคุกคามตามสัญชาตญาณ แต่ไม่ทันไรก็ถูกดนัยจับตรึงไว้กับพื้นอย่างง่ายดาย

บดินทร์ถูกกดคว่ำลงบนพื้น โดยมีร่างของดนัยทาบทับลงมาบนหลัง แขนหนึ่งถูกจับไพล่หลังไว้แน่นหนาจนดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด

“ทะ...ทำอะไรน่ะ!? ปล่อยนะ!!”

บดินทร์ตวาดถามออกไปด้วยความหวาดหวั่น หัวใจของเขาเต้นรัวจนเนื้อตัวสั่นริก ทั้งกลัวความผิด ทั้งกลัวอุ้งมือที่เหมือนจะฉีกกระชากร่างให้เป็นชิ้น ๆ นั่น ถึงจะไม่รู้ว่าดนัยต้องการอะไร แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการย่อมไม่เป็นผลดีต่อเขาเป็นแน่! บดินทร์พยายามดิ้นรนหลบหนี แต่ยิ่งขยับกายดนัยก็ยิ่งโถมร่างกดทับ ซ้ำยังเอาแต่ยิ้มเยาะไม่ยอมพูดอะไรเลย

“ปล่อยกู!!”

พอถูกความกลัวครอบงำความคิด บดินทร์ยิ่งดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะยังถูกรุกไล่ไม่เลิก เสียงดนัยเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิดดังขึ้นครั้งหนึ่งเหนือร่าง ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะไถ่ถามบางสิ่งออกมาด้วยน้ำเสียงห้าวห้วนกดต่ำ ผิดกับน้ำคำเสแสร้งหวานหูยามปกติไม่ได้

“บอกมา! เมื่อกี้คุณคุยเรื่องรูปเหี้ยอะไรกับนังคุณหนูชิดจันทร์!?”

“เสือก! ไม่ใช่เรื่องของมึง! ปล่อยกูนะไอ้สัตว์…อู้!!?”

เพราะถูกดนัยกดดัน บดินทร์จึงยิ่งแหกปากโวยวาย ความกลัว ความตึงเครียด และนิสัยที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนของดนัยยิ่งทำให้สติของบดินทร์ขาดผึง แต่ทันทีที่พูดออกไปแบบนั้น ใบหน้าของเขาก็ถูกดนัยคว้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง บีบบังคับให้พลิกหงายขึ้นไปสบตากับผู้กระทำ

ดนัยจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังตื่นตระหนกของบดินทร์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตอนแรกก็แค่หงุดหงิดที่อีกฝ่ายดื้อนัก ทั้งยังสันดานเสีย แต่พอได้กดเอาไว้ใต้ร่างตนแบบนี้ความรู้สึกอีกอย่างก็ดัน

ผุดพรายขึ้นมาแทน

…ความรู้สึกของความใคร่ที่อยากครอบครองบดินทร์เสียตอนนี้!

ดนัยยิ้มเย็นที่มุมปากก่อนจะกล่าวคำที่ทำให้เลือดในกายของบดินทร์เย็นเฉียบ

“ทำไมจะไม่เกี่ยวเล่า ยุเป็นผู้มีบุญคุณของผม พี่เมธก็เป็นพี่ที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด สองคนนี้คือเพื่อนคนสำคัญ และผมจะไม่ให้ไอ้เหี้ยตัวไหนเข้ามาวุ่นวายกับสองคนนี้ทั้งนั้น…”

ยิ่งพูดเสียงของดนัยก็ยิ่งเบาลง

ยิ่งพูดใบหน้าของดนัยก็ยิ่งโน้มต่ำลง

จนเมื่อถึงประโยคสุดท้าย แม้แต่สรรพนามก็เปลี่ยนไป

“ถ้าอยากจะทำเหี้ยใส่สองคนนั้น…ก็มาเหี้ยกับกูแทนนี่!”

“...!!?”

แล้วใบหน้าร้ายกาจนั่นก็โน้มลงมาจนจดจ่ออยู่กับใบหน้าของบดินทร์เพียงแค่ลมหายใจกั้น เสียงกระซิบพร่าดังอยู่ที่ข้างหู

“กูชอบกินเหี้ย”

จบคำดนัยก็ก้มลงลากลิ้นร้อนไปบนแก้มของบดินทร์ เลียชิมความหอมหวานอย่างอดใจไม่ไหว ผู้ถูกกระทำถึงกับแข็งทื่อไปทั้งร่างราวกับถูกฉาบทาด้วยพิษร้าย

“อ๊ะ! อยะ อย่า อย่า!!”

พอรู้สึกตัวขึ้นมาได้จึงรีบใช้มือข้างที่ยังอิสระอยู่ผลักคนที่อยู่บนตัวอย่างเต็มกำลัง พยายามพลิกคว่ำพลิกหงายดิ้นรนปัดป่ายหมายออกไปให้พ้นจุดอันตราย ทว่าสุดท้ายกลับถูกมือใหญ่ของดนัยพันธนาการเอาไว้อีกครั้ง ด้วยการกดตรึงสองแขนของบดินทร์ไว้กับพื้น

“อ๊ากกก!! ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!!”

หลังจับเหยื่อได้ ดนัยที่คร่อมอยู่ตรงช่วงเอวของอีกฝ่ายก็โน้มกายลงไปใกล้ แสร้งคาดคั้นถึงเรื่องราวที่บดินทร์ตั้งใจจะทำกับชิดจันทร์อย่างจริงจัง เพียงแค่อยากไล่ต้อนให้บดินทร์จนมุม ตามนิสัยที่ชอบเล่นกับเหยื่อก่อนกลืนมันลงท้อง

“บอกมาก่อนสิว่ามึงวางแผนจะทำห่าอะไร? กูรู้หมดแล้วเรื่องที่เมื่อคืนมึงมาที่นี่เพื่อจะทำเรื่องระยำกับพี่เมธ มึงรวมหัวกับชิดจันทร์จะทำเรื่องอะไรอีก? รูปถ่ายที่ว่านั่นมึงจะเอาไปให้นักข่าวใช่ไหม? บอกมาให้หมด!!”

“ไม่มีอะไร! กูไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น มึงปล่อยกูไปเถอะนะ…”

“พูด!!”

“กูไม่รู้จริง ๆ ! ปล่อยนะโว้ย! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!”

อย่างที่ดนัยคาดไว้ว่าต่อให้ถูกข่มขู่อย่างไรบดินทร์ก็คงไม่ยอม

ปริปากเรื่องนั้น ดนัยยิ้มร้ายให้กับนักโทษในมือ หัวใจนักล่าเต้นรัวด้วยความสำราญที่เหยื่อใต้ร่างถูกใจเขาไปหมดทุกอย่าง ผู้ล่าใช้มือข้างเดียวกดตัวของบดินทร์เอาไว้ ส่วนอีกมือก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าหลัง พลางแกล้งพูดขู่

“พูดกันดี ๆ ไม่รู้เรื่องสินะ”

“...!”

แค่เห็นว่าดนัยกำลังจะทำอะไรบางอย่าง ดวงหน้าของบดินทร์ก็ยิ่งซีดเผือด

“งั้นลองมาเป็นนางเอกในคลิป xxx ดูหน่อยแล้วกัน!”

“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยย!!!”

ทันทีที่พูดจบดนัยก็คว้าเสื้อของบดินทร์เลิกขึ้น ตั้งท่าถ่ายคลิปดังคำขู่ บดินทร์ดิ้นพราดเป็นปลาโดนทุบหัวทันที สองมือที่หลุดออกจากพันธนาการปัดป่ายไปทั่ว พยายามผลักไสร่างที่ใหญ่กว่าให้พ้นตัว ต้องหนี! ต้องหนีให้ได้!

พลั่ก!

“โอ๊ย!!?”

เสียงดนัยร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด บดินทร์เองยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไป เสียงของแข็งบางอย่างกระทบพื้นเสียงดัง แต่บดินทร์ไม่เห็นหรอกว่ามันคืออะไร สายตาเขาถูกตรึงไว้กับสีแดงฉานของของเหลวอะไรบางอย่างที่กำลังไหลเป็นทางตรงหางคิ้วของอีกฝ่าย

ของเหลวสีแดงนั้นไหลเร็วไปตามข้างแก้มของดนัย จากนั้นก็หยดเปาะแปะลงบนพื้น

ถึงตอนนี้บดินทร์ไม่อยู่เฉยอีกต่อไป เขาดิ้นรนอีกครั้ง และคราวนี้มันช่างง่ายดาย แค่ดันตัวออกมาเพียงนิดเดียวก็สามารถหลุดพ้นจากคนบาดเจ็บตรงหน้าได้แล้ว

หัวใจของบดินทร์เต้นแรงรัว ลมหายใจสะดุดเป็นห้วง จ้องมองคนที่ยังคงนั่งปาดเลือดของตนเงียบ ๆ ตรงหน้า

และในจังหวะที่ฝ่ายนั้นเงยขึ้นมาสบตา บดินทร์ก็ไม่อยู่รออะไรอีกต่อไป!

*

*

*

เสียงฝีเท้าที่วิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เสียงประตูห้องที่ปิดล็อกอัตโนมัติ และความเงียบที่เข้ามาแทนที่

ดนัยยิ้มออกมาน้อย ๆ ด้วยใบหน้าซีกซ้ายที่นองไปด้วยเลือด…

“ดีจริง ๆ” เสียงทุ้มพร่าดังขึ้นเบา ๆ

“แสบแบบนี้ แม่งโคตรชอบ!”



“นพ กูมีเรื่องให้มึงทำ” ดนัยเอ่ยขึ้น ขณะนอนให้ลูกน้องคนสนิทจัดการกับแผลแตกตรงขมับให้

ตั้งแต่ที่ปล่อยให้บดินทร์หนีออกไปได้ เขาก็เรียกให้ลูกน้องที่อยู่ห้องข้างกันเข้ามาช่วยทำแผล ในตอนแรกเหล่าลิ่วล้อก็ออกอาการ

โกรธเกรี้ยวคนที่ทำให้นายเหนือได้แผล ตั้งใจติดตามลากหัวมาให้ได้

แต่ดนัยกลับห้ามไว้ เพราะเขายังไม่อยากให้เหยื่อที่หมายตาตื่นตระหนกจนหนีเตลิดไป ดนัยจึงเรียกมานพลูกน้องมือขวาที่ไว้ใจที่สุดมามอบหมายงานสำคัญแทน

นายพราน กำลังจะเตรียมบ่วงบาศ

“ไปสืบมาทีว่าบดินทร์กำลังจะทำอะไร”



+++++++++++++++++



บดินทร์ในตอนนั้นที่หนีกระเซอะกระเซิงจากดนัยมาด้วยความหวาดกลัว เมื่อกลับมาถึงห้องของตัวเองได้ก็รีบหลบเร้นกายด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงโดนคนที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่ครั้งทำเรื่องแบบนั้นได้?

เวรกรรมหรือ?

เพราะสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำกับสดายุมันย้อนกลับมาทำร้ายเขาอย่างนั้นหรือ?

บดินทร์หวาดหวั่นกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ ในเมื่อความชั่วที่เขาต้องทำยังมีอีกมาก แล้วกรรมที่จะตามมาคืออะไร? มันต้องน่ากลัวกว่านี้ใช่หรือไม่?

กลัว…

เขากลัวเหลือเกิน…

บดินทร์ในตอนนั้น ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เขากลายเป็นเหยื่อที่ถูกดนัยหมายตาไปเรียบร้อยแล้ว





“นายจะหยุดไปไหนเหรอดิน ตั้งหลายวัน?”

ซอลย่าผู้จัดการส่วนตัวของบดินทร์ถามขึ้น ด้วยสีหน้ากังวล

“ผมมีธุระนิดหน่อยน่ะพี่ซอล เลยต้องขอลาหลายวันหน่อย พี่บอกเขาไปแล้วกันว่าผมป่วย แล้วก็ให้คนที่เคยแทนผมอยู่บ่อย ๆ นั่นแทนไปก่อนแล้วกัน”

“กะทันหันขนาดนี้ พี่ไม่รู้ว่าเขาจะรับงานเราได้ไหมนะ รายนั้นก็คิวงานชุกอยู่”

“ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกันนะพี่ซอล ผมจำเป็นจริงๆ”

“โถ่ดิน”

เสียงพูดคุยระหว่างสองหนุ่มดังก้องอยู่ตรงโถงทางเดิน เพราะช่วงเวลานี้ไม่มีพนักงานในส่วนสำนักงานคนอื่น ๆ แล้ว จึงทำให้พวกเขาสามารถคุยกันได้โดยไม่ต้องเบาเสียงนัก

จู่ ๆ วันนี้บดินทร์ก็มาคุยกับซอลย่าเรื่องที่จะลาหยุดกะทันหัน ทั้งที่วันพรุ่งนี้จะต้องอัดรายการ Star Talks และยังไม่สามารถหาคนทำแทนได้ ทำเอาซอลย่าหัวหมุนเป็นลูกข่างเพราะความเอาแต่ใจนี้ แต่สุดท้ายผู้จัดการคนดีก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา เพราะคิดว่านี่เป็นเพียงการเอาแต่ใจตามอารมณ์ขึ้นลงของดาราในสังกัดตัวเองคนนี้เท่านั้น บดินทร์เป็นเช่นนี้เสมอมา นอกจากมีโลกส่วนตัวที่เข้าใจยากแล้วยังมีอีโก้สูงมากอีกด้วย การจะรั้งจะเตือนเลยสุดแสนจะลำบาก บทอยากจะลาก็ลา อยากจะหยุดก็หยุด ไม่เคยให้เหตุผล ไม่เคยให้ตั้งตัว

อย่างตอนนี้ จู่ ๆ ก็บอกว่าจะหยุดแถมยังยาวนานเป็นสัปดาห์ ให้ช่วยหาคนแทนทั้งที่พรุ่งนี้ช่วงเย็นก็จะอัดรายการกันอยู่แล้ว แม้เรื่องแบบนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ทุกครั้งก็มักสร้างความหายนะให้ซอลย่าได้เสมอ อารมณ์อยากทำงานของบดินทร์ช่างขึ้นลงพรวดพราด เหมือนความดันเลือดของผู้ดูแลอย่างซอลย่าที่สูบฉีดปรี๊ดปร๊าดทุกครั้งที่ต้องมารับหน้างานให้

‘โดนด่าแทนอีกแล้วสินะคราวนี้...’ ซอลย่าแทบร้องไห้ออกมา แต่พอถูกบดินทร์ขอร้องอ้อนวอน สุดท้ายก็ไม่อาจทนทำใจแข็ง

“เอาเป็นว่าคราวนี้ดินขอโทษพี่ด้วยแล้วกันนะ แต่ดินจำเป็นจริง ๆ พี่ซอลเข้าใจดินนะ”

“อืม ๆ ดินเล่นแบบนี้พี่ก็ไม่มีทางเลือกอะ แต่ดินช่วยกลับมาให้ทันเทปหน้าด้วยแล้วกันนะ งานอื่น ๆ ด้วย” สุดท้ายการขอร้องที่จริงจังของบดินทร์ก็ทำให้ซอลย่าใจอ่อนจนได้ “เดี๋ยวพี่ไปคุยกับทางพวกผู้จัดก่อน จะได้รีบติดต่อไปที่คนนั้นด้วย”

“ขอบใจนะพี่ซอล ดินขอบใจพี่จริง ๆ”

“ต้องรีบกลับมานะ อย่าเถลไถลเด็ดขาดเชียว”

“...อืม...ครับ ผมจะเคลียร์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด”

“...ดิน?”

ความเครียดขึงที่บดินทร์แสดงออกอย่างชัดเจนทำให้ซอลย่าตระหนักว่าเรื่องคราวนี้ของบดินทร์อาจเร่งด่วนอย่างที่อีกฝ่ายว่า เพราะโดยปกติแล้วน้องชายคนนี้ของเขาไม่เคยขอโทษอย่างจริงจังแบบนี้มาก่อน

“...พี่...รอผมด้วยนะ”

“รอ?”

“อืม...รอผมกลับมา”

ยิ่งพูดก็ยิ่งแปลกหู จนซอลย่าอดเป็นห่วงไม่ได้

“ดิน...วันนี้นายดูแปลกไปนะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า? มีเรื่องอะไรที่พี่พอจะช่วยได้ไหม?”

“ไม่เป็นไรครับพี่ แค่พี่ทนอยู่เคียงข้างผมมาถึงตอนนี้ก็ขอบคุณมากแล้ว” บดินทร์ยิ้มน้อย ๆ แทนคำขอบคุณมอบให้อีกฝ่าย “แล้วก็...

ขอโทษด้วยนะพี่ ผมทำพี่ลำบากอีกแล้ว”

“...ดิน?” เสียงขอโทษที่แหบแห้งลงทุกทีของอีกฝ่าย ทำให้ซอลย่ากังวลมากขึ้น แต่ในเมื่อบดินทร์ไม่ยอมพูดอะไร เขาก็ทำได้เพียงปล่อยไป

“...ดินไปก่อนนะพี่ซอล แล้วเจอกัน”

“อะ...อืม รีบกลับมาล่ะ”

บดินทร์เอ่ยลาแค่นั้น แล้วเดินจากไปทางโถงลิฟต์ ดวงไฟสีอำพันที่ส่องรายทางยิ่งช่วยขับสะท้อนให้แผ่นหลังของคนที่เดินจากไปดูหม่นแสงและอ้างว้าง เพียงแค่มองหัวในของซอลย่าก็วูบไหว สังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไร แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจ ภาวนาให้มันเป็นแค่เรื่องที่เขากังวลไปเองเท่านั้น

‘ขอบคุณนะพี่ซอล...ที่ดีกับผมมาตลอด หลังจากวันนี้ไป ไม่รู้ผมจะยังได้กลับมาหาพี่ หรือจะกลับเข้าวงการได้ไหม หรือแม้แต่ลมหายใจผมก็ไม่แน่ใจว่าจะยังเหลืออยู่ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้หรือเปล่า’

‘ทุกการช่วยเหลือของพี่ที่ผ่านมาทั้งชีวิต...ผม...ขอบคุณพี่มากนะ’

‘แล้วก็...’

‘ขอโทษนะครับ ที่ผมอาจจากพี่ไป...แบบไม่ได้ลา’

บดินทร์ได้แต่เอ่ยลาผู้จัดการคนดีอยู่ในใจ เพราะแน่ใจอย่างยิ่งว่านับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าคมคายสูดลมหายใจลึกพร้อมขบเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นบาง มือขวาที่ล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตสีดำกำบางสิ่งที่อยู่ในนั้นแน่น

วันนี้เขาต้องลงมือทำเรื่องชั่วช้าเพื่อล้างหนี้ หลังจากสืบมาอย่างดีแล้วว่าสดายุมีถ่ายหนังที่ตึกแห่งหนึ่ง และวันนี้สดายุต้องกลับคอนโดมิเนียมเองเพราะต้องแยกกับกฤตเมธเพื่อหลบนักข่าวที่กำลังตามขุดคุ้ยเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่



++++++++++++++++



บดินทร์ติดตามสดายุทั้งวัน เพื่อหาเวลาที่ประจวบเหมาะที่สุดในการลักพาตัวอีกฝ่าย คำสั่งของชิดจันทร์คือการทำลายสดายุ แต่บดินทร์ตั้งใจเพียงจับตัวสดายุมาเพื่อถ่ายรูปที่ชิดจันทร์ต้องการ แล้วจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ

แต่ถึงจะทำเพียงแค่นั้น ภาพที่ออกมาก็ไม่ต่าง เขาทำมันลงไปเพียงเพราะความเห็นแก่ตัว ทำชั่วซ้ำ ๆ กับสดายุ เพียงเพราะต้องการให้ตัวเองหลุดพ้นจากหนี้สินที่กำลังตามหลอกหลอนชีวิตของตน

เอาชื่อเสียงของสดายุแลกกับชีวิตของตัวเอง

เลวระยำอย่างไม่สามารถหาสิ่งใดเปรียบได้

แหวกว่ายอยู่ในนรกอเวจีแบบไม่มีวันได้ผุดได้เกิด

++++++++++++++++++++++++

ดินที่นิสัยไม่ได้ เจอดนัยที่นิสัยไม่ได้กว่า... 55555

นิยายในช่วงนี้เป็นตอนที่คัดมาจากเนื้อเรื่องในนิยาย ‘ผมคือนางเอก’ นะคะอาจมีตัวละครในเรื่องนางเอกและเนื้อหาของเรื่องนั้นเข้ามาแจมเป็นระยะ (ข้ามได้ข้าม 5555) เนื้อเรื่องอาจไปไวในช่วงนี้ หากทำให้ท่านผู้อ่าน งง ๆ ก่ง
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 06 ทัณฑ์มัจจุราช [12 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 12-02-2024 02:07:15

06 ทัณฑ์มัจจุราช

[[Trigger Warning!:] ]

[[Force, corporal punishment] ]

[[เนื้อหามีความรุนแรงทางด้านการข่มเหงทางเพศและจิตใจ ข้ามได้ข้ามค๊า] ]


บดินทร์ซุ่มรอสดายุอย่างใจเย็นราวปีศาจร้ายตรงลานจอดรถมุมเปลี่ยว ถึงตรงนี้เขาควักหัวใจที่บอบช้ำโยนทิ้งพื้นไปแล้ว เหลือเพียงร่างอสุรกายที่กลางอกกลวงโบ๋ เฝ้ารอจับเหยื่อที่เป็นเสมือนทางรอดเดียวของตนอยู่อย่างเงียบเชียบ รอจนกระทั่งดึก ในที่สุดโอกาสทำเลวของบดินทร์ก็มาถึง สดายุเดินออกมาที่ลานจอดรถเพียงลำพัง โดยแยกกับบลูม่าตรงทางออก

พรึ่บ!

“!!?”

พอฝ่ายนั้นเดินผ่านจุดที่อับสายตา บดินทร์ก็รีบย่องเข้าไปที่ด้านหลังของสดายุแล้วจู่โจมโดยไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว ทันทีที่ล็อกตัวสดายุไว้ในวงแขนก็กดผ้าเช็ดหน้าชุบยาสลบตรงจมูกของอีกฝ่ายไว้ครู่หนึ่งจนสดายุแน่นิ่งไป การที่อีกฝ่ายผอมบางลงมากจากการถ่ายทำภาพยนตร์ทำให้เขาสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าที่คิด

ทันทีที่ร่างในอ้อมแขนแน่นิ่งไปแล้ว บดินทร์ก็รีบแบกสดายุไปที่รถ แล้วรีบพากลับไปที่คอนโดของตน เพื่อลงมือทำสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด

+

+

+



แกร่ก...แกร่ก

วี่...วี่.............................วววว...

สองมือสั่นน้อย ๆ ทั้งยังเย็นเป็นน้ำแข็งของบดินทร์กำลังพยายามตั้งกล้องตรงข้างเตียงในมุมที่เห็นทุกอย่างชัดเจนที่สุด พร้อมทั้งเปิดบันทึกภาพในขั้นตอนสุดท้าย ใบหน้าของชายหนุ่มเครียดขึง ทั้งยังหม่นหมองจนแทบไม่เหลือคราบดาราที่แสนทระนงอย่างที่ใคร ๆ รู้จัก ไหล่ที่เคยตั้งตรงผึ่งผาย ตอนนี้ตกลู่ราวกับคนอ่อนแอขาดความมั่นใจ หัวใจของเขาเต้นระส่ำกับสิ่งที่กำลังทำอยู่

‘ทำไมครับคุณชิด! ทำไมต้องทำสดายุ? สดายุไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย!’

‘ใช่! มันไม่เกี่ยว แต่มันกล้าอวดดีกับฉัน สะเออะมายุ่งเรื่องของฉัน คนอย่างมันต้องโดนสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง ให้มันรู้ว่าใครเป็นใคร!’

‘...แต่’

‘จะทำไม่ทำ! ถ้าไม่ ฉันจะได้เรียกใช้คนอื่น’

‘คะ..คุณชิดจะให้ผมทำอะไร? ’

‘ฉันจะให้แกจัดการย่ำยีไอ้สดายุมันซะ แล้วถ่ายคลิปมาให้ฉัน! จะทำคนเดียวหรือจะรุมโทรมก็แล้วแต่แก แต่มันจะต้องโดนดี และฉันต้องได้คลิปมัน!’

‘ไม่! คุณชิด ผมทำไม่ได้!! ทะ...ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น!? ’

‘ได้! ถ้าแกไม่ทำฉันก็จะจ้างคนอื่น’

‘โถ่…ได้โปรดเถอะครับคุณชิด แบบนั้นมันมากเกินไป สดายุไปทำอะไรให้คุณ? ’

‘บอกให้ทำก็ทำเถอะน่า อย่าเรื่องมากนักจะได้ไหม ไอ้สดายุก็ใช่จะไม่เคย มันกับพี่เมธ...หึ! ตกลงแกจะทำไหม!? ’

‘...’

‘ไอ้บดินทร์ แกจะหุบปากอีกนานไหม!? ’

‘แค่รูป…อยากได้แค่รูปใช่ไหม? ’

‘เออ! จะรูปหรือจะคลิปก็เอามา! แค่เป็นรูปที่มันโดนชำเราก็พอ! แกจะทำคนเดียวหรือจะเรียกพวกมารุมโทรมมันฉันก็ไม่ว่า!!’

‘อือ เข้าใจแล้ว’

ประโยคสนทนาในวันนั้นยังก้องอยู่ในหัว น้ำเสียงน่ารังเกียจของชิดจันทร์ที่สั่งให้เขาทำงานสกปรกชั่วร้ายกับสดายุ เขาชิงชังรังเกียจชิดจันทร์จนแทบบ้า แต่เหนืออื่นใดก็ชิงชังตัวเองยิ่งกว่าที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แถมตอนนี้ยัง…

บดินทร์ขบริมฝีปากตัวเองจนแตก ดวงตาแดงก่ำไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ

เขา...คนอย่างเขา...คงไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว เพราะถ้ายังมีความเป็นคนเหลืออยู่บ้าง วันนี้ก็คงไม่ไปหาคนของชิดจันทร์ตามที่โดนโทรเรียก

และคงไม่รับของที่พวกมันส่งให้

ยาสลบ...ยาปลุก

รับมาแล้วยังลงมือทำ เขา…มันก็แค่ปีศาจชาติชั่วที่เอาแต่ปลอบประโลมตัวเองว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่นั้นมันเป็นเพราะโดนบังคับที่ไม่อาจขัดขืน แต่พอเห็นสดายุเดินอย่างไม่ระวังตัวที่ลานจอดรถกลับลงมือทันที

ไม่ตั้งใจหรือ?

แต่ก็ลงมือไปแล้วด้วยสองมือนี้ จนได้ตัวของสดายุมานอนสลบไสลอยู่บนเตียงของตน

“นี่เรา...ทำอะไรลงไป” น้ำเสียงของบดินทร์สั่นพร่า

“...ยุ”

ร่างกายที่ผ่ายผอมลงไปมากจากความเครียดค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ร่างของคนที่ยังคงนอนนิ่ง หย่อนกายลงนั่งข้าง ๆ ร่างนั้น พร้อมเอ่ยคำพูดที่แสนเจ็บปวด

“ยุ...เราขอโทษ”

เอ่ยคำขออภัยทั้งน้ำตา ทว่ามือสั่นระริกก็ยังเอื้อมไปปลดกระดุมของอีกฝ่ายอย่างหน้าไม่อาย

บดินทร์ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างของสดายุอย่างแผ่วเบา กระทั่งร่างนั้นเปลือยเปล่า ผิวกายขาวผุดผาด อีกทั้งสรีระส่วนโค้งเว้าสวยงามที่ปรากฏตรงหน้ามันช่างเย้ายวนจนเจ็บยอกไปหมดทั้งแผ่นอก เจ็บที่ไม่ได้ครอบครองเรือนร่างนี้ และเจ็บที่จะต้องย่ำยีศักดิ์ศรีผู้เป็นเจ้าของ

กล้องวิดีโอกำลังบันทึกภาพ บดินทร์ค่อย ๆ ซุกกายลงแนบกับร่างเปลือยเปล่าของสดายุช้า ๆ มือไม้สั่นระริกสัมผัสบางเบา เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเสียก่อน ทว่าเพียงครู่ต่อมา เสียงครางเบา ๆ ก็ดังขึ้น

“...อืมมม” สดายุเริ่มรู้สึกตัวแล้ว!

“ยุ!?” บดินทร์สะดุ้งสุดตัวทันที แต่ในเมื่อหนีไม่ได้แล้วเขาจึงทำได้เพียงเอ่ยขอโทษสดายุออกไป “ยุ...ขอโทษนะ เราขอโทษ"

“เราสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยเด็ดขาด” บดินทร์กระซิบอธิบายให้สดายุได้ฟังราวเสียงร้องไห้ มันทั้งสั่นเครือและแหบพร่า

ยิ่งขอโทษออกไปมากเท่าไหร่ ยิ่งคนใต้ร่างดูกระสับกระส่ายทั้งที่ยังไร้สติมากแค่ไหน บดินทร์ก็ยิ่งกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่

“เราขอโทษจริง ๆ เราขอแค่รูปในคลิป มันแค่การทำหลอก ๆ เท่านั้นไม่ต้องกลัวนะยุเราไม่ทำอะไรนายหรอกเชื่อใจเรานะ”

แม้สดายุจะยังไม่ได้ลืมตาเพราะฤทธิ์ยาสลบยังคงตกค้าง แต่บดินทร์รู้ว่ามันคงอีกไม่นาน เขาจึงรีบลงมือทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ฟื้นแรง สองมือสั่นระริกพยายามลูบไล้ข้างลำตัวของสดายุ จงใจให้ด้านที่ตั้งกล้องไว้ถ่ายติด แสร้งทำ แสร้งซุกไปตรงซอกคอคนอ่อนแรง

ทำทั้งที่ตัวเขาเองก็ยังร้องไห้ไม่หยุด

ทำไมเรื่องราวถึงต้องเป็นแบบนี้

ทำไมชีวิตของเขาต้องเป็นแบบนี้!



ปึ่ง!!

โครมมม!



“เหี้ยเอ้ย! หยุดนะมึง!!”

จู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกถีบเปิดเข้ามาอย่างแรงโดยกฤตเมธที่อยู่ในร่างยักษ์มารถมึงทึง

ขณะที่บดินทร์ยังคงตะลึงลานเพราะไม่คิดว่าจะถูกตามตัวมาเจอ ร่างของเขาก็ถูกผู้บุกรุกกระชากลงมาจากเตียง แล้วประเคนหมัดใส่ไม่ยั้ง

ทั้งตกใจ ทั้งเจ็บ แต่ลึก ๆ แล้วบดินทร์กลับรู้สึกยินดีที่เรื่องชั่วช้าถูกขัดขวางเอาไว้ได้

และเขาสมควรโดนแล้ว!

“ระยำเอ้ย! มึงจะทำเหี้ยอะไรกับยุ!?”

คือคำพูดสุท้ายที่บดินทร์ได้ยินก่อนที่ร่างเขาจะปลิวหวือลงไปกองบนพื้นพร้อมทั้งเลือดที่กบอยู่ตรงมุมปาก หน้าชาไปเป็นแถบจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บไปครู่หนึ่ง จากนั้นสิ่งที่ได้ยินอย่างต่อมาคือเสียงของร่างกายที่กำลังถูกของแข็งอัดเข้ามาไม่ยั้ง ทั้งหมัดทั้งเท้าที่ระดมกระทืบลงมา เขายินดีรับมันเอาไว้ทั้งหมดโดยไม่ต่อต้านขัดขืน เจ็บจุกสาหัส ก็ไม่ได้คิดจะต่อกร นั่นก็เพราะว่าเขาสมควรได้รับมัน

โทษทัณฑ์นี้ มันช่างเหมาะสมกับเขาที่สุดแล้ว

“พอเถอะค่ะคุณเมธ เดี๋ยวมันเสือกตายขึ้นมาเราจะลำบาก หลังจากนี้ให้กฎหมายจัดการมันเถอะค่ะ”

เสียงของบลูม่ายั้งขึ้น เมื่อเห็นว่าบดินทร์นอนขดกลมอยู่บนพื้นอย่างไร้ทางสู้ ดูสิ้นฤทธิ์แล้วจริง ๆ

“จำใส่กะโหลกไว้เลยนะไอ้สารเลวถ้ามึงกล้าเข้าใกล้ยุอีกเป็นครั้งที่สอง มึงได้ตายจริงแน่!”

กฤตเมธก้มลงข่มขู่อยู่ใกล้หูของบดินทร์ที่สิ้นสภาพไปนานแล้ว เพื่อย้ำชัดว่าคนอย่างบดินทร์ ไม่มีสิทธิ์จะยุ่มย่ามกับสดายุอีกแม้เพียงปลายเส้นผม และเรื่องนั้นบดินทร์เองก็รู้ดีที่สุด

กฤตเมธหายออกไปจากร่างของบดินทร์แล้ว ดวงตาปรือปรอยของผู้ถูกลงทัณฑ์พยายามชำเลืองมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สดายุปลอดภัยดี ร่างที่เคยเปลือยเปล่านั้นถูกบลูม่าช่วยจัดการสวมเสื้อผ้าคืนให้ แล้วตอนนี้ก็ถูกช้อนขึ้นอุ้มสู่อ้อมอกของกฤตเมธอย่างหวงแหน

ดีแล้ว...

บดินทร์คิดเพียงแค่นั้นขณะเหม่อมองดูกฤตเมธอุ้มสดายุเดินออกไป พร้อมกับบลูม่าที่ตามไปติด ๆ ทว่าตรงหน้าประตูบานนั้นกลับมีผู้ร่วมเหตุการณ์อีกหนึ่งคน

หนึ่งคนที่บดินทร์ไม่อยากให้มาเห็นตัวเองในสภาพนี้เลย

“พี่...พี่ซอล...?”

บดินทร์หน้าซีดเผือดทันทีที่เห็นซอลย่า เขาเอ่ยเรียกผู้จัดการส่วนตัวของตนด้วยน้ำเสียงที่เครือสั่น ยิ่งเห็นใบหน้าแสดงความผิดหวังแบบไม่มีปิดบังฉายชัดอยู่บนใบหน้าโศกหวานนั้น บดินทร์ก็ใจแทบขาด น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดเอ่อท้นสองตาอย่างไม่อาจห้าม

“พี่ซอล...”

บดินทร์พยายามยันร่างตัวเองขึ้นเล็กน้อยเพื่อเอื้อมมือหาพี่ชายคนเดียวที่คอยยืนเคียงข้างเขาในวงการแห่งนี้ แม้เขาเคยเหลวไหลผิดบาป ซอลย่าก็ไม่เคยทอดทิ้ง

และครั้งนี้… บดินทร์ก็ยังคาดหวัง

“พี่ซอล ดินอธิบายได้...”

“พอเถอะครับ!”

“...พี่?”

“ผมผิดหวังในตัวคุณเหลือเกินบดินทร์ ไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนี้”

“...พี่ซอล”

ทว่าความหวังเดียวของบดินทร์ก็สิ้นสลายลงในทันที พร้อมกับคำตัดพ้อทั้งน้ำตาของซอลย่า

“คุณมันช่างเลือดเย็น”

“พี่ซอล...ได้โปรด...ฟังผมอธิบายก่อน!”

บดินทร์พยายามกระเสือกกระสนขยับกายเข้าใกล้ซอลย่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่ขอแค่คนเดียว ขอแค่ซอลย่าคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อยากให้ต้องรู้สึกเสียใจกับเขาไปมากกว่านี้อีกแล้ว

‘เอาอีกแล้วนะ ดิน ชอบทำให้พี่ห่วงเรื่อย’

‘ไม่เป็นไร ใครก็พลาดกันได้ พี่เข้าใจ’

‘ยังคิดมากเรื่องคุณสดายุอยู่อีกเหรอ? สักวันเรื่องนี้มันต้องดีขึ้น พี่เชื่ออย่างนั้นนะ’

‘ต้องให้บ่นตลอดเลยนะดิน ถ้าไม่มีพี่จะทำไงเนี่ย’

‘ไม่ต้องกังวลน่า พี่ไม่ได้โกรธดินหรอก แต่คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ’

‘เราสองคนนี่เหมือนเป็นพวกนอกคอกเนอะ หึหึ สมกับเป็นพี่เป็นน้องกันดีจริง’

‘เอาน่า อย่านอยด์นักสิ คิ้วผูกเป็นโบว์แล้ว’

‘อย่าทำร้ายตัวเองอีกนะดิน พี่เป็นห่วงนายมากนะรู้ไหม? ’

คนเดียวที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด คนเดียวที่เขามักจะมองผ่าน เพราะคิดว่าไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีทางหายจากกันไปไหน ถึงขนาดเคยคิดว่าไม่ได้มีค่าต่อตนมากขนาดนั้น แต่ตอนนี้บดินทร์เข้าใจแล้วว่าซอลย่ามีค่ากับเขามากแค่ไหน เพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าตลอดมาคนที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอคือใคร แล้ววันที่ได้รู้ สายตาที่เคยห่วงหาอาทรเขาคู่นั้น ก็ไม่เหลือความเชื่อมั่นในเขาอีกต่อไปแล้ว

แม้สายตาคู่นั้นจะไม่ได้ส่งกระแสดูแคลน แต่ก็สิ้นแล้วซึ่งศรัทธา

“พี่ซอล ฮึ่ก ผม…ผมขอโทษ” บดินทร์พูดได้เพียงแค่นั้น ขณะมองดูซอลย่าถูกบลูม่าลากตัวออกไป ความรู้สึกที่ซอลย่ามีให้เขาคงจบอยู่แค่ตรงนั้น ความรู้สึกที่เขามีให้ตัวเองก็เช่นกัน

จบสิ้นลงทุกอย่างแล้ว



+

+

+
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 06 ทัณฑ์มัจจุราช [12 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 12-02-2024 02:12:00


หลังจากเหตุการณ์สงบลง บดินทร์เหม่อมองที่ประตูที่ยังเปิดกว้างด้วยสายตาที่ร้างไร้ความรู้สึก พอเริ่มมีสติคืนมาว่าควรปิดประตูเสียหน่อย แต่สภาพร่างกายของเขาตอนนี้ก็ย่ำแย่เกินกว่าจะกระดิกตัว แค่ขยับเพียงนิดตั้งแต่ชายโครงขึ้นมาก็ยอกแปลบคงเพราะเขาถูกกฤตเมธเตะย้ำตรงนี้อยู่หลายครั้ง

“อึก...” บดินทร์ได้แต่โอดโอย พลางพยายามขยับกายไปเรื่อย ๆ หวังจะไปปิดประตูห้องตนเสียให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นก็ไพล่นึกไปถึงการบุกมาของกฤตเมธกับบลูม่า ตอนแรกยอมรับว่าตกใจอยู่ไม่น้อยที่ถูกบุกประชิดตัวได้โดยง่าย แต่พอได้เห็นหน้าซอลย่าเขาก็พอเข้าใจว่าคนเหล่านั้นเข้ามาได้อย่างไร

ซอลย่ามีกุญแจสำรองห้องของเขาอยู่ เขาเป็นคนให้ฝ่ายนั้นไว้เองเพื่อให้มาลากตัวเขาได้ยามที่เขาแฮงก์จนตื่นเองไม่ไหว และในครั้งนี้ ก็ถือว่าซอลย่าได้ช่วยเขาไว้เช่นกัน

ช่วยให้เขาหลุดพ้น จากขุมนรกที่เขาก่อไว้เร็วขึ้นอีกหน่อย

ในที่สุดชายหนุ่มก็เคลื่อนกายถึงหน้าประตูด้วยสังขารที่รวดร้าวจนแทบจะร้องไห้ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังฝืนกัดฟันทน เพราะไม่ว่ายังไงเรื่องมันก็จบไปแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหน เขาก็ไม่เหลือสิทธิ์ใด ๆ ที่จะไม่ยอมรับมัน

ในตอนนั้นบดินทร์ที่สติยังไม่ครบถ้วน ไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าความหมดอาลัยตายอยากที่ตัวเองประสบอยู่ในตอนนี้ มันช่างน้อยนิดนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่รอเขาอยู่ตรงหน้าประตู

หมับ!

“...!!!?” ในจังหวะที่เอื้อมมือไปหวังปิดประตูห้องให้เรียบร้อย วินาทีนั้นข้อมืออ่อนแรงของบดินทร์ก็ถูกคว้าไว้โดยง่ายจากใครอีกคนที่ยืนพิงหลังอยู่ตรงหน้าห้อง

"สวัสดีครับ...คุณบดินทร์"

เจ้าของมือส่งเสียงทักพร้อมรอยยิ้มเย็นเยือก วินาทีนั้นสันหลังของบดินทร์ก็ชาวาบ สมองขาวโพลนไม่สามารถประมวลผล ในร่างที่แข็งทื่อราวถูกสาปนั้นคงมีเพียงหัวใจเต้นรัวเต็มที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิต

"...ดะ…ดนัย? "

ริมฝีปากสั่นระริกเอ่ยนามของพญายมราชผู้เฝ้ารอพิพากษาโทษของตนด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ดวงหน้าบดินทร์ซีดเผือดไร้ซึ่งสีเลือด ราวกับวิญญาณถูกฉีกกระชากจนหลุดลอยออกจากร่างกายไปแล้ว

...ตายแน่ ๆ

แค่ได้เห็นว่าคนที่รออยู่ตรงหน้าประตูคือใคร บดินทร์ก็แทบจะหยุดหายใจเสียงตรงนั้น ร่างกายสะบักสะบอมก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว พร้อมเกร็งกายรอรับการลงทัณฑ์อย่างเต็มที่ คนคนนี้ก็คือเพื่อนอีกคนของสดายุดังนั้นไม่หมัดก็เท้า ต้องมีปลิวมาถึงหน้าเขาบ้างแน่!

“ไง...เยินน่าดูเลยนี่ พี่เมธนี่ไม่ยั้งมือเลยเนอะ”

ทว่าดนัยไม่ได้ผลีผลามจู่โจมอย่างที่บดินทร์คิด ชายหนุ่มเพียงทักทายด้วยท่าทีเรียบเรื่อยขณะพาตัวเองเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องรอให้เชิญ จากนั้นก็ลงมือลงล็อกประตู

...กริ๊ก...

เฮือก!

บดินทร์แทบหยุดหายใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น พลันรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่กฤตเมธบุกเข้ามาเสียอีก

“...อ...ออกไป!”

บดินทร์เอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงแผ่วผิวจนแทบจะเป็นเสียงคราง เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดติดร่างก็ราวกับจะละลายหายไปเสียตรงนี้ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายสืบเท้าเข้าหา ร่างกายบอบช้ำก็ทำได้เพียงถดถอย ปากก็เอาแต่ร้องไล่

“ออกไป! ไปให้พ้น!!”

แต่ผู้รุกรานไม่สนองตอบใด ๆ กับคำขับไส ร่างสูงใหญ่ยังคงทำตัวตามสบาย ก้าวเท้าเนิบนาบเข้าหาเจ้าของห้องพร้อมรอยยิ้มละไมดังเช่นที่เคยกระทำ ไม่ยี่หระแม้จะโดนเจ้าของห้องตะโกนไล่เสียงแหบเสียงหลง

‘กลัว!’ หัวใจของบดินทร์เต้นรัวจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เพราะอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้ไหวจึงทำให้เขายิ่งหวาดกลัวผู้บุกรุกคนนี้ โดยเฉพาะดวงตาสีเขียวทองที่ไม่อาจคาดเดาได้คู่นั้น ความทรงจำในครั้งก่อนที่เพิ่งถูกไล่ต้อนยังคงฉายชัด บดินทร์จำได้ติดหัวว่าอุ้งมือของดนัยนี้ต่อให้ใช้แรงในการดิ้นรนเท่าไหร่ก็ไม่อาจหลุดพ้นได้โดยง่าย กลับยิ่งถูกบีบรัดจนกระดูกแทบป่นเสียด้วย

…แล้วตอนนี้เขาควรทำอย่างไรดี?

…ทำยังไงดี?

ดนัยยังคงมีรอยยิ้มพิมพ์ใจประดับบนใบหน้า เขาก้าวตามบดินทร์ที่เดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ ไล่ต้อนจนร่างสะบักสะบอมนั้นถอยร่นไปจนเกือบถึงเตียงนอน ห้องนี้มันเล็กเสียจนนึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าของห้องจะเป็นถึงพิธีกรมีชื่อ แต่เรื่องนั้นใครจะสน ดีเสียอีก ยิ่งแคบก็ยิ่งจับเหยื่อได้เร็วขึ้น

“!!” เมื่อถอยไปตนชนขอบเตียงเข้าบดินทร์ก็สะดุ้งโหยง ในหัวเริ่มประมวลผลในทางเลวร้าย คราวก่อนที่มีเรื่องกัน เขาถูกดนัยเลียแก้มแถมยังเกือบถูกข่มขืนถ่ายคลิป ที่หนีมาได้เพราะใช้ที่เขี่ยบุหรี่กระเบื้องทุบเข้าข้างขมับดนัยจนแตก ภาพสีหน้าราวกับสัตว์ป่าของมันในวันนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในหัว หลักฐานของเหตุการณ์ในวันนั้นก็คือพลาสเตอร์ยาที่แปะอยู่ตรงขมับของดนัย

ทั้งที่ร่างกายไม่ได้ต่างกันมาก และดนัยเองก็ไม่ได้มีทีท่าคุกคามอย่างที่เคยกระทำในวันนั้น แต่ไม่รู้ทำไมบดินทร์ถึงมั่นใจนักว่าเขาไม่มีทางหนีจากเงื้อมมือของอีกฝ่ายพ้น กฤตเมธทำเขาไว้จนเจ็บหนัก แม้แต่แรงที่จะถอยหนีทีละก้าวนี้ก็ยังไม่มั่นคง แล้วจะเหลือทางใดบ้างเล่าที่จะทำให้เขารอดจากสถานการณ์นี้?

ภายในห้องเงียบกริบ ไร้เสียงพูดคุยใด ๆ ยินเพียงเสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของบดินทร์เท่านั้น

“อ๊ะ!!?” ในที่สุดร่างกายบอบช้ำก็สิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรงพยุงกาย เพียงแค่สะดุดเข้ากับพรมข้างเตียงทั้งร่างของบดินทร์ก็ลงไปกองจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นอย่างน่าสมเพช

และในจังหวะนั้นเอง

พรึ่บ!

“...!!?”

จู่ ๆ ไฟในห้องก็ถูกปิด บดินทร์เห็นไม่ชัดแต่รู้แน่ว่าเป็นดนัยที่เอื้อมแขนยาว ๆ ไปปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ตรงผนังที่ยื่นออกมาเล็กน้อย เพื่อกั้นอยู่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระหว่างโถงห้องกับซอกเตียงนอน

พอห้องถูกทำให้มืดลงอย่างกะทันหันหัวใจของบดินทร์ก็บีบรัด ดวงตาที่ยังไม่อาจปรับความสว่างได้เบิกโพลงด้วยความกลัวที่ท่วมท้นพรั่งพรู ก้อนสมองที่อัดแน่นด้วยความกลัวพร่ำอ้อนวอนภาวนา จะยังมีทางไหม จะยังเหลือทางใดไหม ให้เขารอดออกจากที่นี่

ห้องน้อยที่เคยเป็นที่รังปลอดภัยที่สุดของเขา ตอนนี้มันกลับอันตรายที่สุดไปเสียแล้ว...

‘น่ากลัว...ใครก็ได้ช่วยด้วย...ใครก็ได้’

ระหว่างที่บดินทร์กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม ดนัยก็เพียงเฝ้าดูอย่างใจเย็น เขาค่อย ๆ รุกคืบเข้าใกล้ทีละน้อย ไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา ดนัยยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างที่เคยทำกับเหยื่อทุกคนที่เคยได้รับไว้ในมือ แตกต่างกันเล็กน้อยคือเขาไม่ได้ต้องการชีวิตหรือคิดทำลายบดินทร์ให้ย่อยยับเหมือนบรรดาคนที่เคยผ่านมือมาหรอก สิ่งเดียวเท่านั้นที่ต้องการจากคนคนนี้ก็คือเซ็กซ์!

ทำไมถึงทำแบบนี้กับบดินทร์?

ง่ายมาก...นั่นก็เพราะเขาสนใจในตัวบดินทร์เป็นทุนอยู่ก่อนแล้วยังไงล่ะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันหน้าห้องน้ำสำนักงาน กลิ่นหอมเฉพาะตัวอันรุนแรงจากตัวของอีกฝ่าย มันปลุกความปรารถนาใคร่ครอบครองของเขาให้ลุกโชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และกลิ่นนั้นมันก็ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกครั้งที่ได้พบหน้า

ดนัยถือคติไม่ทำร้ายคนดี แต่เป็นตัวของบดินทร์เองต่างหากที่บินเข้ามาในกับดักของเขาเอง ไม่ได้อยากทำลายให้ย่อยยับแต่กลับอยากไล่ต้อนให้ค่อย ๆ จนมุม ติดหมุดปักปีกสีสวยตรึงเอาไว้ในห้องส่วนตัวไม่ให้หนีไปไหน คอยชื่นชมใบหน้าที่แสร้งว่าหยิ่งทะนงแต่กลับแฝงไปด้วยความหวาดหวั่น ถึงบดินทร์จะชอบแสร้งว่าองอาจไม่สนใจผู้ใดแต่เขารู้ดีว่าหัวใจดวงน้อยนั้นมันช่างขี้ขลาด ที่มักทำตัวกร่างก็แค่เพื่อปกปิดความจริงข้อนั้น ทั้งที่แค่โดนเขาข่มขวัญนิดหน่อยก็กลัวจนตัวสั่นขนาดนี้แล้วแท้ ๆ

อา…แต่ยิ่งกลัวตัวก็ยิ่งหอมสินะ ดนัยแย้มยิ้มให้กับสมองที่เอาแต่คิดเรื่องสกปรกของตน ขณะซึมซับกลิ่นเย้ายวนที่ลอยฟุ้งออกจากบดินทร์ กลิ่นกายของเหยื่อตัวเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกบูชายัญให้กับราชันย์ผู้เป็นใหญ่ กลิ่นที่ทำให้เขาพรึงเพริด กลิ่นที่ปลุกกำหนัดของเขาได้ไม่รู้จบ

ในขณะที่ดนัยกำลังจมดิ่งอยู่กับจินตนาการโสมมของตน บดินทร์ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงค่อย ๆ กระถดหนีไปด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย สองมือพยายามควานหาสิ่งของที่พอจะป้องกันตัวได้ แม้หลังจะติดกับผนังไปแล้วร่างสั่นระริกนั่นก็ยังไม่หยุดถดถอย ปากบางพร่ำวอนขอความเมตตาทว่าเสียงกลับเบาหวิวราวอากาศธาตุ แต่สภาพเช่นนั้นแทนที่จะทำให้ดนัยเห็นใจ กลับยิ่งปลุกเร้าให้ชายหนุ่มรุกไล่ไม่ได้พัก

สิ่งเดียวที่ขยับอยู่ในห้องมืดตอนนี้คือเงารางเลือนที่เขยื้อนเข้าใกล้เชื่องช้า ร่างนั้นยิ้มกว้างให้บดินทร์ราวกับเป็นมิตร ทว่ากลับแผ่รังสีคุกคามจนหายใจหายคอไม่ออก แค่ความผิดที่คั่งค้างใจก็จุกอกจนทำอะไรไม่ถูกอยู่แล้ว ทั้งตัวเจ็บหนักจากหมัดเท้าของกฤตเมธจนแทบกระดิกไม่ได้ ยิ่งกว่าร่างกายคือหัวใจที่บอบช้ำกว่าเพราะไม่สามารถหนีความขลาดเขลาของตัวเองพ้น อ่อนแอเป็นหนอนชั้นต่ำ ที่ทำแต่สิ่งผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่คนที่ตัวเองรักยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ ซ้ำร้ายยังเป็นคนลงมือทำร้ายเสียเอง

น่ารังเกียจ บดินทร์เกลียดตัวเองจนโกรธกฤตเมธไม่ลงที่ซ้อมเขาจนไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่คนตรงหน้าที่หมายจะเข้ามาทำร้ายก็ไม่กล้าจะโกรธ

“นี่...จะเข้าไปสิงในนั้นรึไง”

ดนัยทักขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นดึงสติของบดินทร์ให้กลับมา จนเพิ่งรู้ตัวว่าถูกดนัยเข้าใกล้จนมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว!

“ดะ...ได้โปรดเถอะครับ อย่าทำอะไรผมเลย...ผมกลัวแล้ว”

“กลัวอะไร? กลัวผมเหรอ?”

ด้วยความขลาดกลัวระคนหวาดหวั่นทำให้บดินทร์อ้อนวอนออกไปตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ดนัยนึกขันกับปฏิกิริยานั้น เคยเห็นแต่ใบหน้าหยิ่งผยองที่พอหวาดกลัวก็ยิ่งทำตัวกร่างกร้าว ไม่คิดเลยว่าจะมีวันได้ยินบดินทร์อ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าและถ้อยคำสุภาพหวานหูถึงเพียงนี้ ดนัยขึงไถ่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางโน้มตัวลงไปคร่อมร่างคุดคู้ของบดินทร์ไว้ โดยใช้แขนข้างหนึ่งเท้ากับเตียงนุ่ม ส่วนอีกข้างก็ยันกำแพงไว้ จนคล้ายกรงขังที่ใช้กักกันผู้ร้ายปลายแถวอย่างบดินทร์ให้สิ้นทางหนี

เสียงอ่อนหวานนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด เพราะท่าทีคุกคามอย่างโจ่งแจ้งนี้มันยิ่งทำให้บดินทร์หวาดผวามากกว่า

“ผะ...ผมขอโทษ ปล่อยผมไปเถอะนะ”

“จุ๊ จุ๊ หึหึ อย่ากลัวไปเลยครับคุณบดินทร์ ผมไม่ได้เป็นขาโหดเหมือนพี่เมธหรอกน่า ไม่ต้องห่วง ผมสัญญาเลยว่าจะไม่เตะต่อยคุณเลยแม้แต่หมัดเดียว ”

“...” บดินทร์รู้แก่ใจว่าไม่ควรเชื่อ แต่เมื่อเห็นว่าดนัยยืดร่างยืนตรงผละห่างจากตัวเขาออกไปแล้ว หัวใจดวงน้อยก็เริ่มคลายลง แต่ถึงอย่างนั้นตราบใดที่คนคนนี้ยังอยู่ในห้อง ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าเขาจะรอด

พรึ่บ!

บดินทร์สะดุ้งหวือทันทีที่ไฟถูกเปิด ความสว่างกะทันหันทำเอาสายตาปรับโฟกัสไม่ทันไปครู่หนึ่ง

“เฮ้อ...ขอโทษนะที่แกล้งแรงไปหน่อย”

เสียงดนัยเอ่ยขอโทษอยู่ตรงหน้าทว่าไกลออกไปนิดหน่อย ชายหนุ่มเดินไปเปิดไฟในห้องให้พร้อมเอ่ยขอโทษที่แกล้งปิดไปเมื่อครู่ บดินทร์ได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายนิ่งงันเพราะเดาไม่ถูกว่าดนัยต้องการอะไรกันแน่

“อย่าจ้องกันอย่างนั้นสิ...หึหึ ที่จริงตอนแรกผมก็กะจะมายำคุณให้เละอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่พอเห็นคุณโดนพี่เมธยำล่วงหน้าไปแล้ว ก็เลยทำไม่ลง โดนเละขนาดนั้นแล้ว ผมคงไม่ซ้ำคุณแล้วล่ะ แต่ถึงยังไงภาพในกล้องนี้ ผมก็ขอยึดไว้แล้วกันนะ”

ดนัยพูดพลางหยิบกล้องที่ตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาดู พลางแกะ SD Card ข้างในออกมาแล้วเก็บมันไว้ในกระเป๋าเงิน ก่อนจะเดินเข้าไปหาบดินทร์อีกครั้ง

บดินทร์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหน จนแม้แต่ตัวเองยังสงสัยว่าทำไมถึงไม่ยอมหนีตอนที่ยังมีโอกาส ทำไมถึงยังนั่งอยู่ ทำไมถึงยอมให้อีกฝ่ายเข้าใกล้

“โอเค ผมหมดธุระเรื่องสดายุแล้ว”

ดนัยเอ่ยขึ้นขณะเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของบดินทร์ ชายหนุ่มยิ้มกว้างจนตาหยี ใจนึกสงสัยว่าทำไมบดินทร์ถึงไม่ยอมหนีทั้งที่เมื่อครู่เขาจงใจเปิดทางให้อีกฝ่ายแล้วแท้ ๆ อย่าบอกนะว่าแค่เพียงไม่กี่คำกล่อมก็ยอมตายใจคล้อยตามเสียแล้ว?

‘อา...กลิ่นหอมจัง’

“นี่”

“!?”

ดนัยเอ่ยเรียกคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา จนบดินทร์สะดุ้งหวือ เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกผู้ที่ยืนอยู่จับช้อนใบหน้าของตนให้เงยขึ้นสบตา

ดนัยโน้มตัวลงเล็กน้อย สองแขนยืดตรงลงมาใช้ทั้งสองมือช้อนใบหน้าของบดินทร์ให้แหงนหงาย เพื่อจะได้ชื่นชมความงามของอีกฝ่ายอย่างเต็มตา แม้ใบหน้านั้นจะซีดเผือดและสั่นน้อย ๆ ดวงตาฉายแววหวาดหวั่นด้วยความกลัว ดนัยสังเกตเห็นได้ถึงรอยเหงื่อชื้นตรงไรผม

‘กลัว...จนเหงื่อแตก’

“หมดเรื่องสดายุแล้ว...เรามาคุยเรื่องของเรากันต่อดีกว่า”

ในที่สุดดนัยก็เข้าเรื่องที่ตัวเองมาเยือนห้องนี้เสียที ชายหนุ่มคลายสองมือที่เขาใช้ประคองหน้าบดินทร์ออก แล้วใช้มันกอดอกอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า

“ระ...เรื่องของเรา?”

ลางหายนะเริ่มมาเยือนแล้ว บดินทร์รู้สึกอย่างนั้น อยากหนี แต่มือไม้อ่อนแรงไปหมด

คนคนนี้ต้องการอะไร?

“ใช่ เรื่องของเราไง ผมยังไม่ได้คิดบัญชีคุณ เรื่องแผลแตกตรงขมับผมเลยนะ” พูดพลางเคาะตรงหลักฐานที่ขมับไปด้วย “เย็บตั้งสิบเข็มแน่ะ หมอบอกว่าอาจมีแผลเป็นด้วยนะ ถึงกับเสียโฉมเลยล่ะ”

“...ผม...ผมขอโทษ!”

“แค่ขอโทษมันไม่พอหรอกครับ...ใบหน้าของดารามันก็เหมือนสินค้าคุณก็รู้ เวลามันเกิดความเสียหายขึ้นมา แค่ขอโทษง่าย ๆ มันจะไปพอได้ยังไง โดยเฉพาะกับหน้าของผม ที่มีสัญญาหนังระดับโลกหลายเรื่องอยู่ในมือ”

ดนัยแกล้งพล่ามเรื่องความร้ายแรงของบาดแผลเพื่อกดดันบดินทร์ด้วยความสนุกสนาน

‘อืม...หวาดกลัวให้มากกว่านี้อีกสิบดินทร์ ยิ่งกลัว ตัวคุณก็จะยิ่งหอมนะ’

สำหรับบดินทร์นี่ไม่ใช่เพียงแค่ลางร้าย แต่มันคือหายนะเลยต่างหาก ทั้งที่ดนัยยังคงส่งยิ้มให้ไม่ขาด ทว่ามันคือรอยยิ้มของพญามัจจุราช ไม่ใช่มนุษย์!

“แล้วจะให้ผม…ทำยังไง?”

“จ่ายมาสิ”

“จ่าย?”

“จ่ายค่าเสียหายมาซะ”

“ค่าเสียหาย?”

“ใช่”

‘ถูกรีดไถ’ แต่จ่ายเป็นเงิน ย่อมดีกว่าการถูกทำอย่างอื่น

“ได้ ผมจะจ่าย คุณจะเรียกเท่าไหร่?”

‘ติดกับแล้ว!’ ดนัยยิ้มกว้าง นัยน์ตาลึกล้ำวาบวามขึ้น

“คุณตกลงจ่ายแล้วสินะ...แต่บอกไว้ก่อน ว่าผมไม่รับเป็นเงินหรอกนะ”

“...หมายความว่ายังไง?” คำว่าไม่รับเป็นเงินทำเอาวัวสันหลังหวะอย่างบดินทร์ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่น เหตุการณ์ในวันนั้นกลับเข้ามาในความทรงจำของเขาทันที

“คุณต้องจ่ายค่าเสียหายให้ผม...ด้วยตัวของคุณ”

“ว่า…ไงนะ!?”

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 06 ทัณฑ์มัจจุราช [12 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 12-02-2024 02:13:37


และคำตอบของดนัยก็เป็นดั่งที่บดินทร์คิดไว้ ตัวเขาเย็นวาบตั้งแต่กลางกระหม่อมไปจนถึงปลายเท้า คนคนนี้ต้องการเหยียดหยามเขา ต้องการทำลายเขา เขามันบ้าเองที่ดันหลงคิดไปว่าอาจพอเจรจากันได้ คิดผิดตั้งแต่แรก บดินทร์ประจักษ์แล้วว่าเขาโดนรอยยิ้มกับท่าทีสบาย ๆ ของดนัยหลอกให้ตายใจมาตั้งแต่เริ่ม

“ฟังไม่ผิดหรอก คุณต้องจ่ายค่าเสียหายด้วยการ…นอนกับผม!”

“!!”

บดินทร์ก็รีบคลานหนีออกจากตรงนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาตีความหมายของคำพูดนั้นไม่ออก ‘นอน’ หมายถึงดนัยต้องการมีเซ็กซ์กับเขา? แต่เพื่ออะไรล่ะ? แค่อยากแกล้งเหยียบย่ำ? ที่พูดออกมาแบบนั้นก็แค่แหย่กันเล่นสนุก ๆ เพราะเห็นว่าเขาจนตรอกใช่ไหม? บดินทร์พยายามคิดเข้าข้างตัวเองสุดกำลัง พยายามปฏิเสธความจริงที่น่ากลัวออกจากหัว แต่พอได้เห็นท่าทีคุกคามของอีกฝ่ายที่ยืนยิ้มหยัน มองเขาล้มลุกคลุกคลานอย่างทุลักทุเลก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่ดนัยพูดคือเรื่องจริง!

หนี...

ต้องหนี!!

หมับ!!

“สภาพแบบนั้น ยังจะคลานไปไหนกัน?”

“!!?” คลานล้มคลานลุกยังไม่ถึงไหน ขาขวาของบดินทร์ก็ถูกคว้าจับเอาไว้ แค่กระตุกเบา ๆ ก็สามารถรั้งทั้งร่างของบดินทร์ให้ร่วงลงไปนอนกองใต้ร่างอย่างง่ายดาย

ดนัยแย้มยิ้ม แม้จะถูกบดินทร์ผลักไสพร้อมก่นด่าสารพัด

“ไอ้สัตว์! ไอ้วิปริต! มึงกับกูเป็นผู้ชายเหมือนกันนะ!! มึงบ้าไปแล้วเหรอ!!?”

บดินทร์กระถดหนีการคุกคามของดนัยอย่างบ้าคลั่ง ทั้งเตะทั้งถีบ สองมือปัดป่ายผลักไสไปทั่ว พยายามเอาตัวรอดจากคนคุกคามอย่างสุดกำลัง ตอนนี้ดนัยน่ากลัวเสียจนบดินทร์เกิดภาพหลอนว่าใบหน้าของดนัยนั้นกำลังวิปริตบิดเบี้ยวคล้ายภูตพรายอสูรร้าย ไม่ใช่มนุษย์!

“...ครับ ๆ ผมมันสัตว์ครับ สัตว์เดรัจฉานวิปริต ที่อยากฉีกเนื้อคุณกินตอนกำลังเอาคุณด้วยนะ”

“อร๊ากกก!!! ปล่อยยยย!!!”

บดินทร์กรีดร้องสุดเสียง ทันทีที่โดนดนัยอุ้มขึ้น ดิ้นรนผลักไส ไร้ผล สุดท้ายก็ถูกบรรจงวางลงบนเตียง ราวกับเป็นทารก

“ชี่...อย่าดิ้นนักสิครับ ผมไม่อยากรุนแรงนะ”

“ปล่อยกู!!”

แม้ดนัยจะออกปากเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มไพเราะ ผิดกับท่าทีคุกคามโหดร้าย แต่ดูเหมือนบดินทร์จะไม่ได้สนใจฟัง ความกลัวทำเอาหูอื้อไปหมด สองมือผลักไสเท่าที่จะทำได้ พยายามพลิกตัวหนีออกจากมือของอีกฝ่ายแต่สุดท้ายก็ถูกตามตะครุบกลับมาได้ทุกครั้ง เสียงสุดท้ายที่บดินทร์ได้ยินคือเสียงเดาะลิ้นขัดใจครั้งหนึ่งก่อนที่พริบตาต่อมา…

ฟึ่บ!

มีดพกสีดำมะเมื่อมถูกปักลงบนที่นอนด้วยความแรงจนเกือบจะมิดไปทั้งด้าม และมันก็เฉียดใบหูเขาไปเพียงนิดเดียว

“...!” บดินทร์ชะงักไปทันที ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกับความรุนแรงนั้น

“ผมบอกแล้วไงว่าอย่าให้ต้องใช้กำลัง”

คราวนี้น้ำเสียงคนขู่ดูแฝงอารมณ์คุกรุ่นไม่น้อย แตกต่างกับใบหน้าที่ยังคงแย้มยิ้ม

“อยะ...อย่าทำอะไรกูเลยนะ ได้โปรด...”

“ถ้าคุณเป็นเด็กดี ผมก็จะอ่อนโยนด้วยนะ”

ความหวาดกลัวครอบงำจนบดินทร์สั่นไปทั้งตัว แม้แต่คำร้องขอก็สั่นพร่าจนแทบฟังไม่เป็นศัพท์ แต่ยิ่งเห็นแบบนั้นดนัยกลับยินดีจนหัวใจเต้นแรง เขาก้มลงกระซิบเสียงอ่อนตรงหน้าของบดินทร์ ก่อนจะกระชากมีดน้อยที่ปักคาอยู่ขึ้นมากระชับมือ แล้วใช้มีดนั้นเกี่ยวรั้งชายเสื้อยืดของบดินทร์ขึ้น ค่อย ๆ ออกแรงลากตัดเนื้อผ้าจนมันเริ่มขาด

ลมหายใจของบดินทร์สะดุดเป็นห้วง ทั้งลุ้นระทึก ทั้งหวาดหวั่น ว่ามีดเล่มน้อยที่กำลังกรีดผ่านเนื้อผ้าอยู่นั้น มันจะลามมาเชือดเฉือนเนื้อหนังของเขาด้วย ที่กลัวยิ่งกว่าคือกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ปรานีเขาขนาดปาดคอเขาทีเดียวให้ตาย แต่จะค่อย ๆ เชือดเนื้อเถือหนังเขาไปทีละน้อย จนต้องเจ็บปวดเจียนตายจากความทรมานแสนสาหัส

คนบนร่างส่งยิ้มหวานให้ไม่ขาด ขณะกำลังใช้มีดน้อยเกี่ยวรั้งตัดขาดไปทีละนิด รอยยิ้มที่มีเพียงกระแสแห่งความเหี้ยมเกรียมฉายชัด ข่มขวัญจนบดินทร์มองเห็นเพียงความตายจ่อรออยู่ตรงหน้า

หรืออันที่จริงแล้ว ความตายยังจะดูปรานีสำหรับเขามากกว่าการถูกกระทำอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

แคว่ก…

เสียงมีดบาดเนื้อผ้าดังชัด ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเริ่มเข้ามาปะทะผิวเนื้อโดยตรง ตามรอยขาดของเสื้อยืดที่ถูกตัดลากไปเป็นทาง ตั้งแต่ชายเสื้อตรงเอวยาวขึ้นมาจนถึงหน้าอก บดินทร์กลั้นหายใจเมื่อปลายมีดเริ่มเข้าใกล้ลูกกระเดือก

ปึ่ด!

เสียงด้ายเส้นสุดท้ายขาดจากกัน ผ่าเสื้อยืดตัวบางออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นผิวเนื้อสีน้ำนมเนียนละเอียดตลอดตั้งแต่คอถึงท้องน้อย

ภาพของหน้าอกที่กระเพื่อมถี่จากความหวาดกลัวของบดินทร์ ปลุกเร้าสัญชาตญาณดิบของดนัยได้ชะงัด เขาบรรจงใช้ปลายมีดสะกิดรั้งชายเสื้อที่ขาดวิ่นให้เปิดออกจากกัน เพื่อดื่มด่ำกับอาหารตาตรงหน้า แม้จะดูผอมบางกว่าที่คาดไปนิด แต่บดินทร์ก็ยังหุ่นดีจนดนัยถึงกับผิวปากหวิว เขาพึงใจไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกล้ามน้อย ๆ ภายใต้ผิวละเอียดเรียบตึง ส่วนเว้าส่วนโค้งตรงช่วงเอวบาง รวมไปถึงสะโพกสมส่วน แม้แต่ยอดอกสีน้ำตาลอ่อน อ่อนมากจนแทบจะกลืนไปกับผิวกายนั่นก็ชวนให้น้ำลายสอ เสียดายก็แค่รอยช้ำที่กระจายไปทั่วทั้งแขน โดยเฉพาะตรงชายโครงที่มีรอยช้ำรุนแรงสีม่วงปนเขียวขึ้นเป็นปื้น กระทั่งใบหน้าที่ใช้ทำมาหากิน ก็ทั้งแตก ทั้งม่วง จนดนัยอดนึกสงสารขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้

แต่ก็ช่วยไม่ได้แหละนะ ไปขโมยคาบของเขามากิน ก็ต้องโดนเจ้าของเขาอาละวาดใส่อยู่แล้ว

ว่าแต่...

‘พี่เมธนี่ไม่เหลือของสวยงามไว้ให้บ้างเลยเว้ย’

ระหว่างที่ดนัยใช้เวลาพินิจพิจารณา บดินทร์เองก็เริ่มหาทางหนีทีไล่ พอเห็นว่าดนัยกำลังจดจ่อกับบาดแผลบนร่างกายของตนจนถือมีดไว้เพียงหลวม ๆ บดินทร์ลงมือแย่งมีดนั้นทันที

“อ๊ะ!”

ราวกับเตรียมตั้งรับไว้อย่างดีอยู่แล้ว แค่บดินทร์ขยับมือพรวดพราดเข้าหา ดนัยก็ตวัดหลบได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังสามารถโถมทับ ใช้เข่ากดแขนของบดินทร์ไว้ แล้วจงใจกดมีดจนติดลูกกระเดือกของคนใต้ร่าง

“จุ๊ จุ๊ อย่าดื้อสิครับ ลงมือกับคนถืออาวุธแบบนี้มันไม่ฉลาดเลยนะ”

คำพูดหยอกเย้าราวกับหลอกเด็ก แต่ความเย็นเยียบของปลายมีดที่จ่อคาคออยู่มันไม่ได้ช่วยสนับสนุนคำหยอกเอินให้ดูน่าฟังขึ้นแม้แต่นิด และในช่วงเวลาที่ดนัยกำลังเพลิดเพลินกับการไล่ต้อนเหยื่อของตนอยู่นั้น คนสิ้นไร้หนทางอย่างบดินทร์ก็กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน

นี่คือกรรมติดจรวดเหรอ?

เพราะเราตั้งใจทำเรื่องสกปรกกับยุ ผลกรรมมันเลยตามมาทันใช่ไหม?

แล้วควรทำยังไงดี บาปกรรมนี้จะชดใช้ยังไงได้บ้าง?

จริงสิ! มีดที่จดจ่อคอหอยอยู่ตอนนี้ หากมันจะปักลงมาคราวเดียวให้เขาขาดใจเสียก็อาจไม่ต้องทรมานอีก กับดนัยที่ชิงชังกันเป็นทุนเดิมคงไม่ยากที่จะลงมืออยู่แล้ว หากเขาอ้อนวอนสักหน่อยก็ไม่แน่ว่าปีศาจตรงหน้าก็อาจใจดีช่วยปาดทีเดียวให้ตาย ไม่ต้องทุรนทุราย...

ตายเสียตั้งแต่วันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องตื่นมาเจอความอดสูเลวร้าย

ตายเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็จะได้หลุดพ้นจากทุกอย่าง

ตายซะ!

“ฆะ...ฆ่ากูซะ ช่วยฆ่ากูให้ตายที”

เพราะคิดได้แค่นั้นบดินทร์จึงเอ่ยปากอ้อนวอน คนอย่างเขา ไม่ควรมีชีวิตอยู่

“ตายเหรอ? คิดง่ายไปหรือเปล่า?”

สีหน้าของดนัยมืดทะมึนขึ้นทันทีที่ได้ยินคำร้องขอ เสียงเหี้ยมเกรียมบ่งบอกความไม่พอใจชัดแจ้ง ตอกกลับคำขอของบดินทร์อย่างไม่มีปรานี คำตอบของดนัยทำบดินทร์ถึงกับสิ้นหวัง หากการตายยังไม่สามารถชดใช้ผลกรรมที่ทำไว้ได้ แล้วเขาจะยังเหลือสิ่งใดที่สามารถชดใช้ได้อีก?

น้ำตาของบดินทร์หยาดร่วงเป็นสายออกจากดวงตาที่ไร้ความหวัง ดนัยเพียงขมวดคิ้วมองภาพนั้นด้วยความหงุดหงิด จริงอยู่ว่าในโลกที่เขาอยู่มีคนมากมายที่ยอมตายเพื่อศักดิ์ศรี คนหยิ่งทะนงมากมายที่เขาเคยเจอ คนพวกนั้นในยามสิ้นไร้ไม้ตอกถ้าไม่ร้องขอความเมตตาก็ร้องขอความตายไม่ต่างกับที่บดินทร์ทำ

เพียงแต่ใครจะไปยอมให้ของที่อยากได้มาไว้ในมือแทบตายหายไปจากโลกนี้ง่าย ๆ กัน!

อุตส่าห์ได้มาไว้ในมือแล้วแท้ ๆ

ดนัยก้มลงกระซิบตรงข้างหูของบดินทร์ด้วยน้ำเสียงกดต่ำดุดันด้วยความกราดเกรี้ยวภายในที่กำลังขมวดเขม็งเกลียว

“ก่อกรรมทำชั่วกับคนโน้นคนนี้ไว้สารพัด แล้วคิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีไปดื้อ ๆ อย่างนั้นเหรอ? ใครจะไปยอมง่าย ๆ กัน”

“ฮึก!” ลมหายใจของบดินทร์สะดุดเป็นห้วงจากความหวาดกลัวอย่างที่สุด

“อีกอย่างนะ คุณรู้ได้ยังไงว่าแค่ตายซะก็สามารถชดใช้กรรมได้?”

“ละ…แล้ว…จะให้ทำยังไง?”

พอถูกไล่ต้อนหนักเข้าบดินทร์ก็ทำเพียงแต่ตั้งคำถาม คนอย่างเขามันจะไปทำอะไรได้อีกเล่า? แค่ตอนนี้ยังเอาตัวไม่รอด เสียเพื่อน ทำงานพลาด หนี้สิน หมดที่ยืนในสังคม เขาหมดสิ้นหนทางจะเดินแล้ว จะให้ทำอย่างไรต่อได้อีก จะเหลืออะไรให้ชดใช้ได้อีก

คนมันมืดแปดด้านแล้ว จะให้ทำยังไง!?

“ก็ต้องทนทุกข์อยู่ในมือของผมไปชั่วชีวิตไง”

ดนัยกระซิบตอบที่ข้างหู ด้วยประโยคที่ราวกับการสะกดจิต บดินทร์ได้แต่เบิกตาโพลงมองไปยังเจ้าของคำตอบนั้นอย่างไม่เข้าใจ ทั้งไม่เข้าใจ ทั้งไม่อาจตีความคำตอบของดนัยได้

“ไม่…ไม่มีทาง ไม่เอาเด็ดขาด!”

“คุณดิน นี่ไม่ใช่เรื่องที่คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจหรอกนะ”

“...”

“ตอนที่คุณลงมือกับยุ คุณยังไม่ยอมให้หมอนั่นได้เลือกเลย แล้วทำไมทีตัวเองถึงคิดว่ามีสิทธิ์เลือกกัน?”

“แต่กู...กูไม่ได้ตั้งใจทำเกินเลย! แค่หาทางตบตาชิดจันทร์…!”

“แต่สุดท้าย ยุมันก็ต้องเสียหายอยู่ดี เพราะต่อให้จะไม่มีคลิปนั้น แต่หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปชื่อเสียงที่ยุอุตส่าห์ถนอมรักษาไว้อย่างสุดชีวิตในตอนนี้ก็ต้องมัวหมองอยู่ดี ความหวังที่จะได้กลับมายืนในวงการก็จะพังทลายลงไปทั้งหมด”

“ฮึ่ก!”

โดนตอกกลับย้ำความผิดบาป โดนสาดน้ำกรดใส่แผลซ้ำบดินทร์ก็จนตรอกเข้าไปทุกที ดวงตาของเขาแดงช้ำจากน้ำตาที่ถั่งไหล มันเป็นดั่งที่ดนัยว่า เพราะแม้เขาจะปฏิเสธไปว่าไม่ได้ตั้งใจทำเกินเลย แต่ความชั่วก็ได้ปรากฏออกมาแล้ว ทำกับสดายุขนาดนั้นไปแล้ว หากไม่มีใครเข้ามาช่วยล่ะก็ ตอนนี้เขาก็คงอัดคลิปสกปรกนั่นจนเสร็จแล้วส่งให้ชิดจันทร์ไปแล้ว ต่อให้กัดฟันทำมันด้วยน้ำตาแต่มันก็คือความเห็นแก่ตัวที่กล้าลงมือกับเพื่อเก่าเพื่อเอาตัวรอด

หากความเสียหายเกิดขึ้นแก่สดายุที่กำลังจะได้กลับเข้าวงการ ทุกอย่างก็จะภินท์พังลงจริง ๆ ถึงตอนนั้นต่อให้เขาจะตายสักกี่ครั้งก็ไม่อาจลบล้างได้ทั้งนั้น

…แม้ตายก็ลบล้างอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

“เถียงไม่ออกแล้วใช่ไหม เพราะงั้นก็จงยอมรับความผิดของตัวเองซะ”

เห็นว่าบดินทร์ไม่เหลือข้อแก้ต่างแล้ว ดนัยก็เริ่มลงมือด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

“ยอมรับความผิด แล้วให้ผมชำระความซะเถอะ”

เสียงของดนัยเหมือนลอยอยู่ในอากาศ ตอนนี้บดินทร์ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วนอกจากเสียงที่กำลังก่นด่าตัวเองในหัว

ตอนนั้น…เพียงแค่เขาไม่ริษยา ไม่หาเรื่องป้ายสีเพื่อนจนยุต้องออกจากวงการ

ตอนนั้น…เพียงแค่เขาไม่หลงทาง ไม่เอาเงินไปถลุงในบ่อนจนตกไปอยู่ในมือของชิดจันทร์

ตอนนั้น…เพียงแค่เขายอมยืดอกรับผิดชอบทุกอย่าง

ตอนนั้น…เพียงแค่เขา…

ไม่ทันจะได้จัดระบบความคิดในหัว ซอกคอก็ถูกดนัยซุกไซ้ลงมา สติของเขาถึงได้แจ่มชัดขึ้นทันทีว่ากำลังจะถูกทำอะไร บดินทร์ตกใจจนตัวเกร็งเสียงเครือสั่นร้องครางด้วยความกลัวสุดขีดเมื่อปลายลิ้นของอีกฝ่ายลากเลื้อยผ่านลำคอขาวไปจนถึงไหปลาร้า

“...อยะ…!..” ซอกคอถูกดูดอย่างแรงจนเจ็บ ทั้งที่อยากจะผลักไส แต่มือไม้กลับแข็งทื่อไปหมด ทั้งปลายมีดที่ขยับแน่นติดปลายคางก็ยังความกลัวขึ้นมาเสียได้

‘หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ใครก็ได้ช่วยที!’

เมื่อยอดอกถูกครอบครองด้วยริมฝีปากร้อนผ่าว ร่างกายตื่นตระหนกของบดินทร์ก็พลันสะดุ้ง ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริงแต่ก็โกหกตัวเองไม่ได้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน

“ฮึ่ก! อ๊า!”

บดินทร์เผลอครางออกมาด้วยความตกใจระคนความรู้สึกแปลกประหลาด ที่ยอดอกของตนถูกกระตุ้นด้วยปลายลิ้นเปียกลื่นทั้งโลมเลียและบดขยี้ ร่างกายแอ่นหยัดบิดเร่าราวกับไม่ประสีประสาทั้งที่ในอกกำลังกลัวจนแทบบ้า

“โดนเลียแบบนี้แล้วเสียวสินะครับ”

“...มะ...ไม่!..”

ดนัยพึงใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับเกินคาดของบดินทร์เข้า ยิ่งพอรู้ว่ายอดอกคือจุดอ่อนไหวของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็โจมตีสองตุ่มน้อยที่ตั้งเป็นไตนั่นแบบไม่มีพักจนผู้ถูกกระทำทั้งครางทั้งสะดุ้งจนตัวเกร็ง

จู่ ๆ ก็ถูกร่างกายครอบงำ บดินทร์จึงทำได้เพียงร้องครางอย่างทรมาน

เสียงที่กลั่นมาจากความหวาดกลัว รังเกียจ

รังเกียจ...แต่ไม่อาจต้านทาน

‘แม่ง’ ดนัยสบถขึ้นมาเบา ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ออกมาคำหนึ่ง ผละจากหน้าอกของบดินทร์แล้วหยัดตัวขึ้นเพื่อถอดเสื้อยืดของตนออกแล้วโยนมันออกไปที่ข้างเตียง เผยรูปร่างที่กำยำกว่ามากให้บดินทร์ได้เห็นอย่างเต็มตา

บดินทร์รีบกระถดตัวหนีทันทีที่มีดเล่มนั้นผละออกจากคอของตนไป เขากระเด้งตัวพรวดขึ้นพยายามเกลือกกลิ้งไปตามที่นอน วาดหวังริบหรี่ว่าถ้าสามารถหลุดจากเตียงนี้ไปได้ก็อาจรอด

แต่ไม่ทันไรก็ถูกคว้าข้อเท้าลากกลับมาที่เดิมจนได้

‘ดิ้นหนีเป็นลูกแมวเชียวนะ’ ดนัยยิ้มร้ายขณะตะครุบบดินทร์กลับมาไว้ที่ใต้ร่างได้ คงเพราะร่างกายฝ่ายนั้นยังบาดเจ็บไม่น้อย การเคลื่อนไหวจึงเชื่องช้ากว่าปกติ พอรู้แบบนั้นผู้ลงทัณฑ์ก็เบามือลงหน่อย ไม่อยากให้เหยื่อที่ถูกใจต้องบอบช้ำมากไปนัก

“อย่า!”

ในขณะที่ดนัยกำลังหยอกล้อกับตนอย่างสนุกสนาน บดินทร์ก็กำลังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ถูกถอดเสื้อ ถอดเข็มขัด รูดซิปกางเกง แม้จะดิ้นหลุดออกไปได้กี่ครั้ง เพียงพริบตาก็ถูกลากตัวกลับมาได้ตลอด หัวใจของบดินทร์เต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก หนีได้ไม่เคยพ้นขอบเตียง เพียงไม่นานเท่านั้นร่างกายของเขาก็เปล่าเปลือยล่อนจ้อน มันง่ายดายเสียจนบดินทร์แทบจะร้องไห้แต่ดนัยกลับหัวเราะยินดี

“ไอ้เหี้ย ปล่อยกู!”

“ก็ดิ้นให้หลุดเองสิ”

แม้บดินทร์พยายามดิ้นรนก่นด่าเท่าไหร่ ดนัยก็มีแต่ยั่วเย้าพลางกดร่างของบดินทร์ลงบนที่นอนนิ่มอีกครั้งเท่านั้น แต่คราวนี้ดูเหมือนเขาจะประมาทบดินทร์ไปนิด จึงถูกอีกฝ่ายถีบเข้าที่ยอดอกอย่างจังจนร่างกำยำถึงกับเซลงจากเตียง นี่ถ้าเกร็งหน้าท้องรับไว้ไม่ทัน คงจุกไม่น้อย

‘ฤทธิ์เยอะจริงเว้ย!’

ดนัยเข่นเขี้ยว สันกรามถูกบดเข้าหากันจนข้างแก้มปูดนูน ดวงตามาดร้ายมองไปยังบดินทร์ที่กำลังล้มลุกคลุกคลานลงจากเตียงด้วยความขุ่นขึ้งที่เริ่มขมวดตึงขึ้นในท้องของดนัยเรื่อย ๆ ตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่ได้ขึ้นเป็นใหญ่เหนือใครในพรรค ยังไม่เคยมีใครกล้าขัดใจเขาขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่เรื่องแบบนี้ไม่เคยต้องเอ่ยปากก็มีคนมาสังเวยให้ถึงที่แท้ ๆ

หรือเพราะเขาใจดีมากไป?

เช่นนั้นคงต้องเปลี่ยนแผนการกินเหยื่อตัวนี้เสียหน่อยแล้ว เพราะวิธีนุ่มนวลมันเสียเวลา!

ในจังหวะที่บดินทร์กำลังหอบผ้าหอบผ่อนวิ่งตรงไปยังทางออก ก็ถูกดนัยที่สีหน้าร้างไร้รอยยิ้มคว้าเอาไว้ได้ทันตรงหน้าประตูนั้น หมดหลุน ๆ สวนเข้าตรงยอดลิ้นปี่ของคนที่เอาแต่หนีอย่างจังแบบไม่มีเวลาให้ตั้งตัวรับ บดินทร์จุกจนขยับไม่ไหว เขาล้มตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้กระทำอย่างไร้กำลัง ร่างกายที่บอบช้ำอยู่เป็นทุนสูญสิ้นแล้วซึ่งเรี่ยวแรง พริบตาร่างกายอ่อนระทวยถูกแบกขึ้นบ่า ย่างสามขุมไม่กี่ก้าวก็ถูกโยนลงไปนอนขดตัวอยู่บนเตียงอย่างไร้ทางสู้

“...ทำไมถึงอยากทำ…เรื่องพรรค์นี้…กับกู?”

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 06 ทัณฑ์มัจจุราช [12 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 12-02-2024 02:16:00


เมื่อตระหนักรู้แล้วว่าไร้หนทางหนีอย่างสิ้นเชิงแล้ว บดินทร์ก็ทำได้แต่เพียงถามถึงเหตุผลที่ตนถูกลงมือทำเรื่องโหดร้าย เขากับดนัยไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวต่อกัน แม้แต่ความรู้จักสนิทสนมจนก่อให้เกิดความพิศวาสก็ไม่มี เพราะฝ่ายนั้นแค่ต้องการแก้แค้นให้สดายุที่เป็นเพื่อนจริง ๆ น่ะหรือ? หรือแค่ต้องการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีกันให้ย่อยยับเพียงเพื่อความสะใจ?

ดนัยขยับขึ้นไปคร่อมตัวของบดินทร์ไว้ จ้องลึกเข้าไปในดวงตาแดงช้ำที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“ถ้าบอกว่าผมถูกใจคุณ คุณจะเชื่อไหม?”

“ว่าไง…นะ?”

“ตั้งแต่ที่ได้เจอคุณครั้งแรกผมยอมรับว่าความก้าวร้าวแบบนั้นก็ดึงดูดอยู่ไม่น้อย แต่ใบหน้าที่แท้จริงของคุณในห้องแต่งตัววันนั้นมันกลับทำให้ผมลืมไม่ลงมากกว่า”

ดนัยอธิบายพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า เล่าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนคิดต่ออีกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นความหลงใหลหรือเรื่องที่สกปรกแค่ไหนก็บอกเล่าไปจนหมด

“ทั้งที่หยิ่งทระนงขนาดนั้น แต่กลับซ่อนตัวตนที่เปราะบางราวแก้วคริสตัลเอาไว้ ตั้งแต่วันนั้นคุณก็ทำเอาผมเก็บไปฝันนับครั้งไม่ถ้วนว่าได้ครอบครองร่างกายที่แสนสวยงามของคุณทุกค่ำคืน คุณเป็นคริสตัลที่สวยเสียจนผมไม่อยากให้ต้องไปแตกสลายในมือใครทั้งนั้น ไม่ยอมให้ตกไปอยู่ในมือใครเด็ดขาด”

“เป็นของผมคนเดียวเท่านั้น”

“มึงมัน…บ้าไปแล้ว”

ยิ่งได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นจากปากของดนัย บดินทร์ก็ได้แต่ตะลึงระคนสิ้นหวัง แม้แต่มือที่ลูบข้างแก้มอยู่ตอนนี้ก็พาให้รู้สึกคลื่นเหียน

“ดิน คุณสูญเสียทุกอย่างไปหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ อาชีพการงาน แถมได้ยินมาว่าคุณยังมีหนี้บ่อนอยู่มหาศาล เมื่อครู่คุณก็เห็นว่าทุกคนต่างต่อต้านคุณด้วยความเกลียดชัง มีแค่ผมเท่านั้นที่ยังคงปรารถนาในตัวคุณ”

“...”

บดินทร์เม้มริมฝีปากแน่น นั่นไม่ใช่ถ้อยคำโน้มน้าวใจเลยสักนิด แต่มันเป็นคำขู่ต่างหาก คำขู่ที่ว่าถ้าเขาไม่คว้าจับคนคนนี้ไว้ ก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว หัวใจที่บอบช้ำมากอยู่แล้วยิ่งถูกฉีกทึ้งออกเป็นส่วน ๆ เพียงเพราะถ้อยคำเหล่านั้น

“เพื่อที่จะได้คุณ ผมถึงกับยอมทุ่มทุนขนาดสวมบทเป็นคนร้ายแบบนี้เลยยังไงล่ะ”

ดนัยกระซิบประโยคสุดท้ายแล้วก้มลงงับเบาที่ริมฝีปากสั่นระริกตรงหน้า เจ้าของริมฝีปากสะดุ้งน้อย ๆ เปิดโอกาสให้ดนัยสอดปลายลิ้นเข้าไปหยอกล้อด้านใน พอบดินทร์รู้สึกตัวจึงพยายามใช้ลิ้นของตนดันเรียวลิ้นของดนัยออก แต่กลับถูกรั้งใบหน้าเอาไว้บังคับให้ยอมตอบรับจูบดุดันไปจนกว่าผู้กระทำจะพอใจ

เพราะความปวดร้าวจากการถูกจี้ใจดำเลยทำให้บดินทร์เหม่อลอยไปครู่ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกดนัยล่วงล้ำด้วยรสจูบรุนแรงไปเสียแล้ว ใช่ว่าเขาจะไม่เคยจูบกับใคร แต่รสจูบรุนแรงที่ดนัยมอบให้มันกลับให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด ทั้งที่นึกเกลียดคนตรงหน้าจนสุดก้นบึ้งของหัวใจแท้ ๆ กลับไม่ได้รู้สึกขยะแขยงในรสจูบนั้น

ไม่เอานะ! ไม่อยากสูญเสียตัวตน อย่างน้อยศักดิ์ศรีสุดท้ายที่เหลืออยู่นี้ก็ขอสู้ตายกอดเอาไว้ให้แน่น ไม่ยอมเคลิ้มตามไปไม่ได้เด็ดขาด! สัญชาตญาณการดิ้นรนไร้ประโยชน์ชักนำให้บดินทร์ทำอะไรที่สูญเปล่าลงไป

"อึก!? "

ดนัยผละริมฝีปากออกจากบดินทร์ทันที ความเจ็บชาที่ลิ้นกับรสเค็มปร่าคาวคลุ้งในปากทำให้รู้ได้โดยไม่ต้องตรวจสอบ ว่าลิ้นเขาคงเกือบขาดจากคมฟันของคนตรงหน้าแน่ถ้าผละออกมาไม่ทันเมื่อครู่

"หืม? ...ถึงกับกัดกันเลยเหรอ?”

“ก็ไม่ได้บอกว่าจะสมยอมนี่”

บดินทร์ตัดสินใจกัดลิ้นที่รุกรานตนอยู่เมื่อครู่ไปอย่างแรง แล้วแกล้งทำเป็นเย้ยหยันในความมั่นใจของอีกฝ่าย เพื่อตั้งใจให้ดนัยโกรธจัดจนลงไม้ลงมือทุบตีกันให้ย่อยยับ ถ้าฝ่ายนั้นบอกว่าเขาคือคริสตัลที่ไม่อยากให้แตกสลาย เขาก็จะพังทลายมันไปต่อหน้ามันนี่แหละ!

ทั้งที่คาดหวังแบบนั้นแต่ดนัยกลับยิ้มให้กันทั้งที่มีเลือดไหลเป็นทางตรงมุมปาก มิหนำซ้ำยัง…

“ฮะฮะ...ชอบแบบซาดิสม์ก็ไม่บอก"

"อื้อ!? "

ไม่ทันตั้งตัว เพียงพริบตากลิ่นคาวเลือดก็คลุ้งอยู่ในปากของบดินทร์ หากแต่มันไม่ใช่เลือดเขาแต่เป็นเลือดของดนัยซึ่งมาจากแผลลึกตรงปลายลิ้นที่เขาเพิ่งสร้างไว้เมื่อครู่ กลิ่นคาวเลือดยิ่งพาให้รู้สึกสิ้นหวัง

"อึก! ฮว้า แค่ก แค่ก!"

"เป็นไง? เลือดผมหวานไหม? หึ หึ"

เมื่อดนัยผละริมฝีปากออกไป บดินทร์ก็ถึงกับสำลักอากาศ น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้งจากการพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“นี่ถือเป็นสัญญาเลือดระหว่างเรา”

“อะไรน่ะ?”

“สัญญาด้วยเลือดว่าคุณยินยอมเป็นคนของผมแล้ว”

ดนัยกล่าวคำนั้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ดวงตาสีเขียวทองวาบวามล้ำลึก ปลายลิ้นสีแดงสดแลบเลียรอยเลือดตรงริมฝีปากฉ่ำวาวด้วยท่าทีหิวกระหาย รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าจนสิ้นแล้ว

‘ดินคือของของเรา’

‘ต้องคว้าเอามาให้ได้!’

ในขณะที่บดินทร์ยังคงตกตะลึงกับคำพูดนั้นของอีกฝ่ายว่าสัญญาเลือดอะไร ก็ถูกดนัยจับแก้มแล้วรั้งใบหน้าเข้าไปรับจูบอีกครั้ง คราวนี้บดินทร์ก็ไม่เหลือหนทางให้ขัดขืนอีก เขาปล่อยให้ดนัยจูบเขาไปจนกว่าจะพอใจ พลันกระจ่างในเหตุผลต่าง ๆ ขึ้นมา

…ก็แค่เซ็กซ์

…ก็แค่ข้ออ้างในการทำลายเขา

…ก็แค่ความสนุกชั่วข้ามคืนของคนตรงหน้า

…เพราะเขามันก็แค่เศษมนุษย์ที่จะย่ำยีเท่าไหร่ก็ได้

…ใช่แล้ว

…เรามัน…ก็เท่านี้เอง

บดินทร์ปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ารินร่วงจากดวงตาไปเรื่อย ๆ แม้แต่ศักดิ์ศรีสุดท้ายก็ไม่อาจกอดเอาไว้ได้อีกแล้ว ทั้งที่ในหัวใจรวดร้าวเพราะความสิ้นหวังและพังทลายแท้ ๆ แต่ร่างกายกลับตอบสนองทุกสัมผัสที่ดนัยมอบให้ แค่ถูกจูบ แค่ถูกมือร้อนนั้นลูบไล้ ร่างกายก็เหมือนจะไวสัมผัสไปเสียหมด ในเมื่อหัวใจที่พ่ายแพ้ไม่ต้องการต่อสู้อะไรอีกแล้ว ก็ปล่อยให้ร่างกายมันเป็นไปตามสัญชาตญาณของสัตว์เถิด!

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 06 ทัณฑ์มัจจุราช [12 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 12-02-2024 02:16:57


เพราะต่อสู้กับความสิ้นหวังไม่ไหวจึงตั้งใจปล่อยร่างกายให้กับดนัยอย่างที่อีกฝ่ายปรารถนา แต่เมื่อได้ยินเสียงซิปกางเกงของอีกฝ่ายความกลัวก็ผุดขึ้นจากท้องน้อย

บดินทร์กัดฟันกลั้นก้อนสะอื้นเมื่อเห็นดนัยนำอาวุธอันเขื่องเกินมาตรฐานออกมา ความตกใจทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากภาพตรงหน้า อวัยวะสีคล้ำทั้งยาวและอวบหนา มันพองตึงจนเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปน ที่ตรงส่วนปลายของแท่งเนื้อฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำใสแสดงถึงอารมณ์ที่กำลังพุ่งสูงของผู้เป็นเจ้าของ ดนัยยิ้มร้ายเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนกำลังตกตะลึงพรึงเพริด แม้เมื่อครู่จะยังสามารถปากเก่งอยู่ได้ แต่เมื่อเห็นลางหายนะปรากฏชัดอยู่ตรงหน้าบดินทร์ก็เริ่มกลัวขึ้นมา

เขาไม่ได้กลัวการมีเซ็กซ์ แต่กลัวตัวตนของดนัยมากกว่า

บดินทร์กระถดตัวหนีทันทีที่รู้สึกว่าอันตราย พอถูกดนัยคว้าตัวไว้ได้เขาก็ยกเท้าขึ้นถีบเข้าที่อกของผู้รุกราน

ดนัยเดาะลิ้น “ดื้อจังนะ” คว้าตัวของบดินทร์กลับมานอนที่ใต้ร่าง เมื่อดวงตาสอดประสานกันอีกครั้ง ดนัยก็แสยะยิ้ม

“ดูสิดิน ผมเป็นถึงขนาดนี้แล้ว เราเป็นผู้ชายเหมือนกันคุณก็น่าจะรู้นะว่าผมทรมานแค่ไหน อย่าใจร้ายกับผมนักสิครับ”

ประโยคออดอ้อน น้ำเสียงอ่อนหวาน ผิดกับความรุนแรงที่แสดงออกจนบดินทร์ได้แต่นึกขัน เขาหนีจากมือของคนคนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยววินาที เพราะงั้นจะยังมีประโยชน์อะไรให้ดิ้นรน ในเมื่อต่อให้หลุดรอดจากเงื้อมมือของดนัยได้ ความตายก็ยังรอเขาอยู่เบื้องหน้าอยู่ดี

นั่นสินะ…

“แล้วกูจะได้อะไร? ถ้ายอมนอนกับมึงแล้วกูจะได้อะไรตอบแทนเหรอ? ถ้านี่คือการลงทัณฑ์ คือโทษที่กูต้องได้รับ งั้นเมื่อทุกอย่างจบลงแล้วความผิดของกูจะหายไปไหม? ถ้ามึงได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว มึงสามารถทำให้กูหายไปจากที่นี่ หรือพากูหนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวได้หรือเปล่า?”

น้ำเสียงแห้งผากถามบางสิ่งขึ้นด้วยความสิ้นหวัง ดนัยเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ครั้นพอจ้องมองลงไปยังดวงตาแดงช้ำเหม่อลอย ก็พลันอยากปลอบโยนขึ้นมา

“ได้สิ ถ้าคุณทำให้ผมพอใจได้ ต่อให้เป็นนรกหรือสวรรค์ผมก็พาคุณไปได้ทั้งนั้น”

เรื่องนี้ดนัยพูดจริง เพราะเขาตั้งใจจะพาบดินทร์กลับไปอเมริกากับตนด้วยอยู่แล้ว จะพาไปในที่ที่กฎหมายไม่อาจแตะต้องของที่เป็นของเขา แม้ว่าอาจจะต้องผิดใจกับสดายุก็ตาม ดนัยตั้งใจแบบนั้นและคิดไปว่าเพราะบดินทร์กลัวความผิดที่ก่อไว้สุดท้ายจึงปลงใจยินยอมที่จะรับข้อเสนอของเขาแล้ว

โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนดูเบาบดินทร์เกินไป ดูเบาความสิ้นหวังของมนุษย์คนหนึ่งมากเกินไป เพราะในทุกถ้อยคำถามเมื่อครู่นั้นแท้จริงแล้วบดินทร์ไม่ได้ต้องการอะไรเลยแม้สักสิ่งเดียว

บดินทร์หลับตาลง ใช้สองแขนยกขึ้นพาดปิดตรงส่วนดวงตาเพื่อไม่ต้องรับรู้สิ่งใดอีก ร่างกายคลายอาการต่อต้านขัดขืนเมื่อครู่ไปจนสิ้น เปิดทางให้ดนัยได้กระทำย่ามใจกับตนได้อย่างเต็มที่

ดนัยยิ้มพึงใจเพราะเข้าใจไปว่าในที่สุดก็ได้ทุกอย่างมาไว้ในมือแล้ว

คนอ้างตัวว่าเป็นผู้ลงทัณฑ์ก้มลงซุกไซ้ตรงซอกคอขาวของจำเลยอีกครั้ง สูดกลิ่นหอมหวานประจำกายที่หลงใหลมาตลอด พรมจูบไปทั่วอย่างถือสิทธิ์ ครู่หนึ่งก็รู้สึกขัดใจเล็กน้อยขึ้นมาที่เห็นว่านอกจากบดินทร์จะปิดตาแน่นราวกับไม่อยากรับรู้อะไรกับตน แถมริมฝีปากนั้นยังเม้มแน่นไม่ปล่อยให้เสียงใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ฟังอีก

อาการต่อต้านแบบนั้นยิ่งทำให้หัวใจมืดดำของดนัยปรารถนาจะเอาชนะ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน สันกรามขบกันจนนูนขึ้น ดนัยรู้ว่าที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นก็เพื่อยั่วให้เขาลงมือรุนแรง เห็นชัดว่าแม้บดินทร์จะยอมทอดกายให้ก็จริงแต่ก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับเขาเป็นอันขาด

ดนัยเดาะลิ้นเบา ๆ ก่อนลงมือทำในสิ่งที่คิดว่าจะสามารถทำให้บดินทร์ต่อต้านกันไม่ได้อีก มือร้อนเลื่อนลงไปนวดเฟ้นสิ่งที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหว่างขาของบดินทร์ การถูกสัมผัสที่ส่วนอ่อนไหวแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้บดินทร์สะดุ้งเยือก เสียงครางด้วยความตกใจหลุดออกจากริมฝีปากที่เคยเม้มแน่น

ผู้กระทำแย้มยิ้มพึงใจกับปฏิกิริยานั้น เขาล้วงซองเจลหล่อลื่นออกจากกระเป๋าหลัง ใช้ปากฉีกมันแล้วบีบลงบนมือจนชุ่มเพื่อใช้มือลื่น ๆ นี้บีบนวดส่วนล่างของบดินทร์ด้วยความนุ่มนวล เป็นผู้ชายด้วยกันย่อมรู้ดีว่าการถูกจู่โจมจุดอันตรายแบบนี้มันไม่มีทางฝืนเก็บอาการทางทางธรรมชาติของร่างกายอยู่ได้หรอก ดูสิแค่เขาใช้นิ้วโป้งถูกตรงส่วนปลายแค่ไม่กี่ครั้ง แท่งเนื้อที่เคยนุ่มนิ่มนั่นก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในมือของเขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นบดินทร์ก็ยังอดทนต่อต้านกันจนสั่นเกร็งไปทั้งตัว

ดนัยแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผาก กำส่วนอ่อนไหวของบดินทร์ไว้ระหว่างนิ้วแล้วเริ่มเร่งมือรูดรั้งแบบไม่สนใจเลยว่าคนเป็นเจ้าของจะยินยอมหรือไม่ บดินทร์บิดกายเร่าจนผ้าปูเตียงยับย่น เกลียดตัวเองจนน้ำตาไหลที่ทุกซอกมุมในร่างกายเห่อร้อนอ่อนไหวไวสัมผัสไปหมดแค่เพราะตรงนั้นถูกปรนเปรอด้วยฝ่ามือร้อนระอุ ความเหนียวลื่นของเจลในมืออีกฝ่ายเร่งเร้าให้เขายิ่งมีปฏิกิริยา ถึงไม่อยากยอมรับแต่ในตอนนี้ร่างกายของบดินทร์กลับเสียวกระสันเคลิ้มตามการชักนำของดนัยไปอย่างง่ายดาย

แต่พอถึงจุดที่ส่วนนั้นของบดินทร์ตื่นตัวเต็มที่แล้ว ดนัยกลับยังไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ปลดปล่อย มือร้อนฉ่ำลื่นผละออกมาเล็กน้อย เพื่อจัดท่าทางใหม่ เขาจับหัวเข่าสองข้างของบดินทร์แยกออกจากกัน ขยับตัวไปอยู่ตรงกลางแล้วยกสะโพกของอีกฝ่ายให้ลอยสูง การทำแบบนั้นทำให้บดินทร์ผวาจนเอามือมาจับต้นแขนของเขาไว้ เปิดใบหน้าแดงเรื่อกับดวงตาแดงช้ำให้เห็นอีกครั้ง

ดวงตาที่แสดงอาการตื่นตระหนกราวลูกกวางป่า ทำเอาในอกของดนัยบีบรัดด้วยโซ่หนามแห่งความปรารถนา บดินทร์จะรู้ไหมนะว่าตั้งแต่ที่ได้เจอกันครั้งแรก เจ้าตัวก็ได้ถูกเขากระโจนใส่และสมสู่ครั้งแล้วครั้งเล่าในมโนมืดดำของปีศาจตนนี้ ยิ่งเห็นบดินทร์ที่เคยหยิ่งทะนงนอนสิ้นท่าอยู่ใต้ร่าง หัวใจปีศาจกู่ร้องว่าอยากบดขยี้บีบเคล้นแล้วกลืนลงท้องไปซะ!

“อ๊ะ! ...อยะ....อย่า...อื้มมม...” บดินทร์ร้องออกมาอย่างสิ้นท่า สองมือจับยึดแขนของดนัยไว้แน่นเมื่อ ช่องทางที่ไม่เคยมีใครได้รุกล้ำกำลังถูกปลายนิ้วของอีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาทีละน้อย

“เด็กดี ผ่อนคลายหน่อยนะ ผมจะเตรียมพร้อมให้” ดนัยก้มลงกระซิบที่ข้างหูของบดินทร์ด้วยความอ่อนโยน แต่ลมหายใจร้อนผ่าวหอบแรงนั้นมันยิ่งกลับทำให้บดินทร์ตื่นตระหนก

“ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะทะนุถนอมคุณอย่างดีเลย…” ดนัยกระซิบคำหวาน

“!!” แต่พอได้ยินแบบนั้นเข้าบดินทร์ก็สติขาดผึง เขาหดตัวดิ้นรนผลักไสมือร้ายของดนัยให้พ้นออกจากตัว ต่อให้จากนี้จะต้องเจ็บปวดสาหัส ก็จะไม่แสดงความอ่อนแอต่อหน้าไอ้ปีศาจตัวนี้อีกแล้ว!

“เลิกลีลาได้แล้ว! จะทำอะไรก็ทำ ๆ ให้มันจบเสียที!”

“เดี๋ยวจะบาดเจ็บเอานะ”

“เหอะ…เพิ่งรู้ว่าปีศาจเมตตาเป็นด้วย ถุย! อย่ามาตอแหลน่า”

“...”

“ถ้าอยากแสดงความเมตตานัก ก็ช่วยรีบปิดจบเรื่องนี้ได้แล้ว!”

พูดจบก็รีบผินหน้าไปอีกทางเพื่อหลบสายตาร้อนแรงจากคนบนร่าง ริมฝีปากเม้มแน่นอีกครั้ง ไม่ต้องการรู้สึกอะไรอีกแล้วทั้งนั้น

“...” เพราะถูกบดินทร์ก้าวร้าวใส่ทั้ง ๆ ที่คราบน้ำตายังเปื้อนหน้า ดนัยก็ได้แต่ถอนหายใจ ถึงอยากจะถนอมสักหน่อย แต่ที่อีกฝ่ายเรียกร้องก็ถือว่าเข้าทางสันดานเขาพอดีแหละนะ สีหน้าที่เคยมีรอยยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาดุร้าย หัวใจดำมืดลิงโลดที่ได้รับการปลดปล่อย คนอย่างบดินทร์นี่คงเป็นคนประเภทที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา แต่แบบนี้มันโคตรถูกใจดนัยสุด ๆ ไปเลย!

เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นเหนือร่างที่เกร็งสั่น ดนัยใช้มือดันท่อนขาของบดินทร์ไปด้านหน้าจนบั้นท้ายของอีกฝ่ายลอยเด่นขึ้น พาดขาข้างหนึ่งของฝ่ายนั้นไว้บนบ่ากว้าง ส่วนตัวเองก็ฉีกซองเจลหล่อลื่นอีกซองเพื่อชโลมลงบนอาวุธร้อนจัดของตนให้พร้อมใช้งานจากนั้นก็จ่อมันลงไปที่ช่องทางด้านหลังที่แดงน้อย ๆ จากการถูกล่วงล้ำด้วยปลายนิ้วเมื่อครู่

“คุณเป็นฝ่ายร้องขอเองนะ”

“...!”

สิ้นคำของปีศาจร้าย ดนัยก็ดันแก่นกายร้อนผ่าวของตนเข้าสู่ด้านในของบดินทร์ทันที แต่เพียงแค่ส่วนหัวชำแรกผ่านเข้าไปร่างของบดินทร์ก็สะดุ้งไหวด้วยความเจ็บปวด บดินทร์กัดฟันไม่ส่งเสียง ทั้งที่กำลังเจ็บร้าวช่วงล่างราวกับถูกทะลวงด้วยมีด

“ผ่อนแรงหน่อยสิคุณ ไม่งั้นจะเจ็บเอานะ”

ดนัยเตือนด้วยความหวังดี พลางสูดหายใจด้วยความกระสันซ่าน

“...ฮึก…!...อื้อ…”

แค่เพียงครึ่งเดียวของส่วนนั้นที่เข้ามาก็ทำให้บดินทร์เจ็บเจียนใจจะขาด ลมหายใจขาดห้วง เจ็บจนไม่กล้าแม้แต่จะขัดขืน เมื่อได้ยินเสียงจากบนร่างว่าให้ผ่อนคลายเขาก็ทำตามอย่างว่าง่ายเพราะไม่อยากทรมานอีกแล้ว

ดนัยค่อย ๆ บรรจงดันสะโพกไปด้านหน้า ดึงดันรุกคืบเข้าไปในกายของบดินทร์เชื่องช้า ทอดสายตามองแก่นกายของตนที่กำลังถูกสะโพกแน่นตึงของบดินทร์กลืนกินเข้าไปทีละนิด ความหนืดหนุบที่เข้ามาห่อหุ่มทันทีที่ได้แทรกกายเข้าไปทำให้ดนัยรู้สึกดีจนขนลุกไปทั้งต้นคอ

“อืม..ข้างในมัน...แน่นมากเลย”

เพราะรู้สึกดีเกินไปจนถึงกับพร่ำเพ้ออย่างอดไม่ไหว เพราะร่างกายของบดินทร์ถูกใจเขามากอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

“อะ….อ๊า…อึก!”

แม้จะพยายามกัดท่อนแขนของตัวเองเอาไว้แล้ว แต่ความเจ็บปวดทรมานที่ส่วนล่างกับความรู้สึกแปลก ๆ ก็ทำให้บดินทร์เผลอครางออกมาเป็นระยะ ช่องทางคับแคบเกินกว่าจะรับของที่ใหญ่ผิดมนุษย์ของดนัยได้โดยง่าย แค่เจลหล่อลื่นไม่ได้ช่วยให้ความฝืดแน่นลดทอนลง บดินทร์เจ็บจุกจนลมหายใจขาดห้วง ภายในร่างขมิบรัดรึงตามสัญชาตญาณเพราะต้องการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามา ทว่ายิ่งบีบรัด คนบนร่างกลับยิ่งครางเครือเสียงแผ่วหวานด้วยความด้วยความพึงใจกับรสสัมผัสที่บดินทร์มอบให้

“ซื้ด...อย่าเกร็งนักสิ ผมไม่อยากเสร็จตั้งแต่เข้าไปได้แค่ครึ่งทางนะ...ปรานีผมหน่อยเถอะนะ”

ดนัยเย้าขึ้นขณะขยับกายเชื่องช้า โยกสะโพกเป็นจังหวะเบา ๆ เพื่อคืบร่างเข้าไปในตัวของบดินทร์ทีละนิด สิ่งแปลกปลอมพยายามแหวกช่องทางที่ปิดแน่นจนทำให้ร่างกายของบดินทร์ค่อย ๆ ขับเมือกลื่นออกมาเล็กน้อยเพื่อชโลมช่องทางให้ลื่นขึ้น พอดนัยรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นเขาก็ไม่รอช้าที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ เขาดันอาวุธร้ายของตนทะลวงเข้าทีเดียวเข้าลึกจนมองไม่เห็นส่วนโคน

“อ๊า…!...”

บดินทร์กรีดร้องในจังหวะที่ถูกฝืนดันสิ่งนั้นเข้ามาด้านในจนสุด ความอึดอัดจุกเสียดเพราะถูกแก่นกายของดนัยอัดแน่นอยู่ในช่องท้องจนทำเอาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ดนัยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเสียวที่ราวกับกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปจนถึงสมอง

‘แม่ง…นี่มันดีกว่าที่เคยจินตนาการเสียอีก’

‘ใช่เพียงเป็นเหยื่อที่มีกลิ่นอันรัญจวนเท่านั้น แต่บดินทร์ยังมีร่างกายที่เลิศรสอีกด้วย’

ดนัยยกย่องบดินทร์อยู่ในใจ ใช้สองมือช้อนใต้สะโพกของบดินทร์ขึ้นแล้วเริ่มกระแทกเอวเข้าออก เปลี่ยนท่วงท่าเป็นคร่อมตัวของอีกฝ่ายเพื่อเปลี่ยนมุมให้สอดใส่ได้ลึกล้ำมากขึ้น

“ฮึก อื้อ อ๊า!”

ความทรมานที่เคลื่อนเข้าออกในร่างทำให้บดินทร์แทบบ้า เขาพยายามผลักทั้งแผ่นอกทั้งใบหน้าของดนัยให้ออกห่างอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ยิ่งขัดขืนไอ้สารเลวคนนั้นกลับยิ่งทุบสะโพกลงมาหนัก ๆ จนคล้ายว่าส่วนนั้นของดนัยจะยิ่งสอดลึกเข้ามาอีกเรื่อย ๆ

‘จะเข้ามาลึกขนาดไหนกันน่ะ!? มันเจ็บจะตายอยู่แล้ว!’

บดินทร์ได้แต่ตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาเคยเป็นแต่ฝ่ายรุกมาทั้งชีวิตไม่เคยคิดเลยว่าเซ็กซ์กับผู้ชายที่ต้องเป็นฝ่ายรับมันจะทรมานเจียนขาดใจได้ถึงเพียงนี้ แก่นกายอวบใหญ่ราวอาวุธที่กำลังบดขยี้ภายในของเขาอย่างเลือดเย็น

“อ๊ะ!?”

จู่ ๆ ก็ราวกับถูกค้นเจอจุดเร้นลับบางอย่างในร่าง สะโพกของบดินทร์กระตุกขึ้นอย่างแรงราวถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ผนังด้านในหดรัดบีบแน่นเป็นจังหวะ แม้แต่อวัยวะที่อ่อนเปลี้ยลงไปเมื่อครู่เพราะความเจ็บจากการถูกสอดใส่ก็กลับมีปฏิกิริยาอีกครั้ง บดินทร์ตกตะลึงพรึงเพริดจนสติแทบเตลิดไปทุกขณะ

‘เมื่อกี้คืออะไร? ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนั้นจากภายในตัว? ’

‘ในท้องมัน….เสียว... ไม่เอานะ ไม่อยากเป็นแบบนี้’

‘รู้สึกแปลกเกินไป เกลียดความรู้สึกแบบนี้ รีบ ๆ จบไปเสียที!’

‘ไม่อยากรู้สึกถึงมันอีกแล้ว’

“ฮึก อื้อ อ๊ะ!”

บดินทร์ดีดสะโพกขึ้นจากการถูกโจมตีจุดอ่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำอีกจนทนไม่ไหว หน้าท้องกระตุกสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สองมือที่เคยผลักไสดนัยอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อครู่พลันเปลี่ยนไปจีกทึ้งผ้าปูที่นอนเพื่อระบายความรู้สึกที่เอ่อท้น

‘ตรงนี้สินะ’

ดนัยครางต่ำในลำคอเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกบีบรัดจนปวดหนึบไปทั้งส่วนล่าง ความเสียวแผ่ซ่านไปจนถึงสมอง ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เขาก้มลงมองคนที่เอาแต่ส่ายศีรษะไปมาราวกับต้องการปฏิเสธในความสุขสมที่กำลังก่อตัว

“คุณบีบผมแน่นเกินไปนะ มันเกือบจะหักครึ่งอยู่แล้วแน่ะ ชอบตรงนี้สินะครับ?”

ดนัยกระซิบเสียงพร่า พูดขณะถอนแก่นกายออกไปจนเกือบสุดแล้วงัดเข้าไปใหม่จงใจให้โดนจุดเดิมซ้ำ ๆ

บดินทร์แหงนเงยศีรษะไปด้านหลัง หอบหายใจสะท้านเพราะภายในร่างถูกปั่นป่วนจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน ทั้งที่ไม่ปรารถนาจะมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องบัดซบที่ไอ้สารเลวตรงหน้ากำลังกระทำแท้ ๆ แต่ร่างกายกลับทรยศเพราะความเสียดเสียวในร่างกำลังจะทำให้สติของเขากระเจิดกระเจิง

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีคล้ายถูกความร้อนหลอมละลายไปเรื่อย ๆ แค่เพียงถูกแท่งเนื้ออวบใหญ่นั่นเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงอยู่ภายใน ร่างกายของบดินทร์ก็ถึงกับกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า บดินทร์ส่ายศีรษะไปมาด้วยความสิ้นหวัง หน้าผากขาวชื้นไปด้วยเหงื่อ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงจากแรงหายใจถี่กระชั้น

ดนัยขยับเอวอย่างเพลิดเพลินกับการได้ลิ้มรสช่องทางสวาทของบดินทร์ เขาคำรามเสียงต่ำในลำคอด้วยความพึงใจ ความรู้สึกที่ถูกช่องทางคับแน่นหนืดหนุบตอดรัดราวกับถูกดูดดึงเข้าสู่ส่วนลึก หัวใจเต้นแรงราวถูกกระตุ้นเพียงเพราะได้กดคนคนนี้ไว้ใต้ร่างแล้วทำให้เสียวซ่านจนทนไม่ไหว เขามัวเมากับความรู้สึกนั้นจึงแทรกกายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อดื่มด่ำกับความรู้สึกความสุขล้นที่ได้กลืนกินเหยื่ออันโอชะที่เขาเฝ้าจดจ้องรอคอย ดนัยขบริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแลบลิ้นเลียมันราวกับกำลังกัดกินบดินทร์เข้าไปจริง ๆ

หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินออกจากดวงตาที่ปิดสนิท หัวใจของบดินทร์ย่อยยับไปแล้วจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่ยินยอมให้ซาตานตรงหน้ากลืนกินร่างกายนี้ แม้แต่ศักดิ์ศรีสุดท้ายที่กอดเอาไว้แทบตายมันก็แหลกสลายคามือไปเสียแล้ว

“อ๊ะ ฮึก อื้อ อ๊ะอือ”

‘เหี้ยที่สุด…กูมัน…เหี้ยสุด ๆ ’

บดินทร์ได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจขณะที่ริมฝีปากยังร้องครางด้วยความเสียวกระสันที่ร่างกายได้รับ จิตวิญญาณราวถูกแยกออกเป็นสองส่วน หนึ่งเจ็บช้ำอีกหนึ่งกลับร่านร้อนไปกับเซ็กซ์ที่ถึงใจจนขนหัวลุก

หรือเพราะพระเจ้าจะเห็นใจเขากันนะ? ก่อนวาระสุดท้ายจึงอยากให้พบเจอกับความสุขสมทางโลกอีกครั้ง ถึงได้ส่งปีศาจตัวนี้มาเพื่อมอบความหฤหรรษ์จากการเสพสังวาสที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ที่ร่างกายร่านระริกได้ถึงขนาดนี้ก็คงเป็นเพราะพระเจ้าประทานพรมาให้แน่ ๆ

‘งั้นถ้าปีศาจร้ายตนนี้เป็นพรของพระองค์จริง ๆ การที่ผมจะรับความสุขสมครั้งสุดท้ายนี้ไว้ก็คงไม่ผิดใช่ไหมครับ? ’

‘การที่ผมยอมให้ปีศาจตนนี้สมสู่ แล้วมีความสุขไปกับมันก็คงไม่บาปใช่ไหมครับ? ’

บดินทร์ปลอบขวัญตัวเองด้วยการอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าในใจ ขณะปล่อยให้ร่างกายหลอมละลายไปกับแรงราคะที่ถูกดนัยมอบให้ น้ำตาแห่งตัวตนที่แตกสลายไหลนองจนไม่ทันรับรู้ถึงรอยจูบที่พร่างพรมไปทั่วข้างแก้มเพื่อช่วยซับรอยน้ำตาให้

ลมหายใจของบดินทร์เริ่มขาดห้วงเมื่อผู้รุกรานเริ่มเคลื่อนไหวสะโพกหนักหน่วงขึ้น ต้นขาด้านในเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เกร็งสั่นอย่างสุดหักห้าม บดินทร์แยกขาออกกว้างอย่างไร้ยางอาย เมื่อถูกดนัยใช้มือยึดรั้งตรงเชิงกรานเขาไว้แล้วเร่งจังหวะเสยสะโพกแกร่งอัดเข้ามาจนสุดความยาวนับครั้งไม่ถ้วน ร่างของบดินทร์สั่นเทิ้มราวกับโดนไฟดูด รู้สึกได้ถึงผนังเมือกภายในที่ถูกแทงคว้าน รู้สึกแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของท่อนเนื้อยาวใหญ่ที่อัดเข้ามาจนจมมิด ถูกชำเราจนถึงส่วนที่ลึกที่สุดทุกครั้งที่ฝ่ายนั้นเสือกกายเข้ามา

“อ๊ะ อะ ฮ๊า ฮึก!”

บดินทร์ร้องครางจนเสียงแหบแห้ง ความเสียวซ่านรุนแรงแล่นปราดตั้งแต่ช่องท้องไปจนถึงกลางกระหม่อม มือไม้จิกทึ้งปัดป่ายไปทั่ว สั่นเทิ้มไปทั้งตัวจากความหฤหรรษ์อันป่าเถื่อนที่ดนัยมอบให้ ที่หว่างขาสะท้อนแต่เสียงเปียกแฉะลามกจากการขยับที่เร่าร้อนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของถูกกระทำ เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังก้องไปหมด

ทั้งที่แสนจะอัปยศอดสูแต่สุดท้ายก็ดันมีอารมณ์ร่วมไปด้วย เมื่อภายในร่างถูกก่อกวนหนักข้อเข้าบดินทร์ก็เผลอใช้มือช่วยตัวเองไปด้วยความลืมตัว

“...หึหึ...เป็นร่างกายซื่อสัตย์ดีนะครับ”

“อ๊ะ! ...ห....หุบปาก!” แม้จะถูกดูหมิ่น แต่บดินทร์ก็ไม่สามารถหยุดร่างกายของตนได้

“แหม...ดุซะด้วย...อืมมม...แต่ปากล่างกับปากบนนี่ไม่ตรงกันเลยนะ ปากว่าอย่า...แต่ตรงนั้นเนี่ย...ซื้ดดด...”

“ช่วย...หุบปากไปที! ...อ๊ะ!!”

“โอ๊ะ! อย่ารัดแน่นแบบนั้นสิ หึหึ...ขยันยั่วจังนะ เด็กไม่ดีต้องทำโทษรู้ไหม?”

พูดจบดนัยก็เปลี่ยนมุมของเอวให้ดันสูงขึ้น เพื่อให้การโยกกายแต่ละครั้งจะได้ตรงจุดอ่อนไหวของบดินทร์ที่เขาเฟ้นหาไว้จนเจอแบบพอเหมาะพอดี

“อ๊ะ...อย...อย่า...ตรงนั้น...อ๊ะ! ...อ๊ะ...อ๊า....!!”

การถูกไล่ต้อนทำให้บดินทร์หมดทางดิ้นรน น้ำตาของผู้พ่ายแพ้หลั่งไหลพร้อมเสียงครางที่ดังต่อเนื่อง ในชั่วพริบตานั้นสายธารขาวขุ่นก็พุ่งออกจากส่วนปลาย รุนแรงเสียจนบางส่วนเปื้อนไปจนถึงแผ่นอก

เสร็จสม...ทั้งที่สิ้นหวัง

“…Fuck!!”

ดนัยสบถต่ำในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลาหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อบดินทร์ปลดปล่อยภายในร่างก็เกร็งกระชับแน่นเป็นระลอกคลื่น แค่นั้นก็ทำให้ผู้ที่ยังฝังกายอยู่ถึงกับสะท้านกายไปด้วย ดนัยเร่งจังหวะกระแทกกายเข้าไปอย่างหนักหน่วง ทุกอณูในร่างถูกครอบงำด้วยแรงอารมณ์ดำมืดของการปรารถนาหลั่งหยาดพันธุ์ของตนเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่อาจต้านทานความกระสันที่ทะยานสูงขึ้นทุกครั้งที่ขยับกายเข้าสู่ร่างของบดินทร์ได้ไหว

“อ๊ะ อือ หยุด ฮึก หยุด ก่อน อ๊า!”

บดินทร์ครางห้ามอย่างสิ้นหวัง ร่างกายสั่นคลอนเพราะแรงกระแทกที่รุนแรงจนเขาเผลอใช้มือยึดเกาะท่อนแขนของดนัยไว้เป็นที่พึ่ง

“ฮึก!!”

ดนัยกัดฟันบดขยี้เข้าไปในร่างกายของบดินทร์ถี่ยิบ รัวสะโพกจนถึงจุดสูงสุดของอารณ์ก่อนชำแรกเข้าไปจนมิด ปลดปล่อยหยาดพันธุ์พุ่งทะลักเข้าไปภายช่องทางที่ยังตอดรัดอย่างรุนแรง ฝังกายลึกอยู่ในนั้นพร้อมกระตุกร่างอีกสองสามครั้งตามแรงอารมณ์ที่มาถึงจุดสิ้นสุด

เขาถึงจุดสุดยอดในตัวของบดินทร์ด้วยความรุนแรงราวกับสายฟ้าฟาด ขนลุกไปทั้งร่างด้วยความสุขสมอย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน ดนัยปล่อยธารความปรารถนามากมายจนทะลักล้นในช่องท้องที่น่าสงสารขนาดที่ว่าทันทีที่ถอนส่วนปลายออกมาจนหมดน้ำรักสีขาวก็ไหลย้อนตามออกมาจากช่องทางนั้นด้วย

ช่องทางสีแดงยังคงเผยออ้าจากการสูญเสียสิ่งที่ใหญ่โตยังคงขมิบช้า ๆ แค่มองดนัยก็รู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมาอีกครั้งจากความปรารถนาที่จะสอดใส่เข้าไปอีกครั้ง

ซึ่งแน่นอนว่าดนัยย่อมไม่ปฏิเสธความต้องการของตัวเอง

คืนนั้น ในห้องเล็กๆ ของคอนโดห้องน้อยกลางเมืองหลวง มีแต่เสียงครวญครางและเสียงอ้อนวอนน่าสงสาร การลงทัณฑ์ยังคงดำเนินต่อไป แบบไม่มีการหยุดพัก ซึ่งมันจะจบลงตรงไหนนั้น...ไม่มีใครรู้

จนกว่าจะถึงรุ่งเช้าของวันต่อไป



++++++++++++++++++++++++++++



ตี 4 หลังจากช่วงเวลาแห่งความเร่าร้อนถึง 3 รอบจบลง บดินทร์ที่ถูกทำร้ายจนบอบช้ำไม่เหลือแรงแม้แต่จะลืมตาอีก เขาสลบไสลไปตั้งแต่ที่ดนัยยังไม่ทันจบรอบสุดท้าย ร่างกายเปรอะเปื้อนเหนียวเหนอะไปด้วยน้ำรักทั้งของตัวเองและผู้กระทำ บดินทร์ที่ร่วงหล่นสู่ห้วงนิทราที่มืดสนิทไปแล้วย่อมไม่รู้ตัวอีกต่อไปว่าเขาจะถูกทำอะไรหลังจากนั้นบ้าง ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกดนัยเฝ้ามองอยู่อย่างนั้นจนเกือบรุ่งสาง

พอได้เวลาดนัยก็พยุงร่างที่หมดสติของบดินทร์ขึ้นมาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนเอี่ยมสะอาด แม้แต่ช่องทางด้านหลังที่เต็มไปด้วยน้ำรักล้นปรี่ก็ถูกดนัยช่วยทำความสะอาดให้จนหมด ก่อนจะปล่อยให้หลับไปทั้งที่ร่างกายยังคงเปล่าเปลือยอยู่แบบนั้น

เพราะมีธุระที่ยังต้องจัดการในช่วงเช้าตรู่ แม้ยังอยากจะนอนดูใบหน้ายามหลับใหลของบดินทร์ไปอีกสักพัก ดนัยจึงตัดสินใจออกจากห้องของบดินทร์ไปก่อน และจะกลับมาในช่วงสายพร้อมซื้ออาหารมาให้อีกฝ่ายได้ ในหัวใจของชายหนุ่มกระหยิ่มยินดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พอแต่งกายให้ตัวเองพร้อมเดินทางแล้ว ก็เดินมาดูที่บดินทร์อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายนอนหลับพักผ่อนดีแล้ว ก็ก้มลงจูบลาตรงหน้าผากสวยครั้งหนึ่ง

“ฝันดีนะ”

เขาพูดคำนั้นออกไปแม้บดินทร์จะไม่ได้ยิน เรื่องราวทั้งหมดของบดินทร์จากนี้ไปเขาจะเป็นคนเก็บกวาดให้เอง ในเมื่อรับมาเป็นของตนแล้วก็จะไม่ยอมให้ต้องเผชิญความลำบากแน่นอน

ดนัยออกไปจากห้องด้วยความรู้สึกแบบนั้น

โดยนึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากนี้อีกไม่นานเขาจะได้เรียนรู้ถึงความเป็นมนุษย์ขึ้นไปอีกขั้น





***************************

เนื้อหามีการปรับเปลี่ยนบางส่วนค่ะ เพื่อขยี้ความรู้สึกของดนัยและบดินทร์ให้เด่นชัดขึ้น และลดทอนความรุนแรงลงเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องขออภัยสำหรับความรุนแรงที่ยังคงมีมากของเนื้อหาในตอนนี้เช่นเดิมนะคะ
หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 07 คำสารภาพ [13 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 13-02-2024 00:41:37

07 คำสารภาพ

[[ [Trigger Warning: Suicide!] ]]

[[ [มีเนื้อหาเกี่ยวกับการตั้งใจฆ่าตัวตายของตัวละครเอก ถ้าใจไม่พร้อมหรือมีภาวะซึมเศร้าแนะนำให้กดข้ามได้นะคะ] ]]



แสงหรุบหรูรำไรที่ลอดทะลุผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาทางหัวนอนปลุกร่างอ่อนล้าเปลือยเปล่าที่นอนขดเป็นลูกนกให้ได้รู้สึกตัวตื่น

“...อือ” เสียงครางหวิวดังขึ้นเบา ๆ เมื่อร่างบอบช้ำขยับกาย เจ็บร้าวไปหมดตลอดหัวยันปลายเท้า

กว่าจะได้ลุกขึ้นนั่งเป็นกิจจะลักษณะได้ก็เล่นเอาหมดแรง ได้สติจึงรีบมองซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าตอนนี้มีเพียงตนที่เหลืออยู่ลำพัง

ภายในห้องเงียบเชียบ ว่างเปล่า

มัจจุราชตนนั้น จากไปแล้วจริง ๆ

เมื่อเห็นว่าในห้องมืดหม่นไม่เหลือใคร มองไปรอบกายก็ไม่เห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ของอีกฝ่ายที่เคยถอดเรี่ยราดไว้เมื่อคืนแล้ว แสดงว่าคงไม่อยู่แล้วจริง ๆ เห็นดังนั้นบดินทร์ก็ถอนใจออกมาบางเบา

‘รอดแล้ว...หรือเปล่านะ’

ไม่...ใครว่ารอด แม้ว่าเมื่อคืนจะถูกลงทัณฑ์ปางตาย ก็ไม่ได้หมายความว่าความชั่วของเขาจะได้รับการชำระล้าง บดินทร์ทำได้เพียงถอนหายใจเหนื่อยล้า ก่อนทิ้งกายเอนพิงกับหัวเตียงเพื่อพักกายที่อ่อนแรง สมองมึนเบลอคิดเพ้อไปต่าง ๆ นานา

ไม่ได้คิดน้อยใจในเรื่องเลวร้ายที่ได้ถูกกระทำหรอก แต่เสียใจในเรื่องเลวร้ายที่ตัวเองลงมือทำไปมากกว่า คิดวกไปวนมาก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นราวกับแค่ฝันตื่นหนึ่ง ยิ่งได้นั่งเงียบ ๆ เพียงลำพัง ยิ่งเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

นึกไปก็เผลอยิ้มออกมาบาง ๆ ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน มันจะวิเศษแค่ไหนกันนะ?

ถ้าเป็นแค่เพียงความฝัน...



ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด...



ร่างบอบช้ำสะดุ้งไหว เพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ดันดังขึ้นจนใจหายไปวูบหนึ่ง นาฬิกาบอกเวลา 6 โมงครึ่ง ขณะที่บดินทร์เอื้อมมือไปปิดเสียงปลุก ก็ไพล่นึกไปถึงคนที่เพิ่งจากไป ถ้าจำไม่ผิดดนัยน่าจะออกจากห้องไปตอนตี 4 หลังเสร็จสิ้นกับการลงทัณฑ์รอบสุดท้าย

คิดไปคิดมาบดินทร์ก็ได้แต่หัวเราะกับตัวเอง ทำไมกันนะ? ทำไมเขาถึงได้ไม่รู้สึกเจ็บช้ำที่โดนดนัยข่มเหง ไม่ได้รู้สึกว่าโดนทำร้ายเสียด้วยซ้ำ

‘สาสมแล้วงั้นเหรอ? หรือเป็นเพราะเราไม่เหลือหัวใจอีกแล้วกันแน่นะ’

‘เมื่อร่วงหล่น ผู้คนรุมเหยียบย่ำ โดยเฉพาะคนเลวอย่างไอ้ดิน หึหึ ดนัยก็แค่ผลพลอยได้จากความชั่วช้าสามานย์ของเราเองนี่หว่า จะไปโทษใครได้กัน? ’

โครกกก…

จู่ ๆ เสียงท้องร้องประท้วงขึ้นมา คงเพราะตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้อง

‘เฮ้อ…ร่างกายนี่มันซื่อสัตย์จริง ๆ เลยแฮะ เจ็บก็ร้อง หิวก็ร้อง’

‘วันนี้จะกินอะไรดีนะ’

‘โอย...เจ็บก้นฉิบ’

‘ฟ้าหลัวจัง...สงสัยฝนจะตกแฮะ’

บดินทร์ได้แต่นั่งเหม่อ คิดอะไรเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวโดยไม่ยอมขยับกายไปไหน นั่งแก้ผ้าโล่งโจ้งอยู่ในห้องมืด ๆ เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวเศร้า แล้วแต่เรื่องที่แล่นวาบไปวาบมาอยู่ในหัว

ส่วนลึกรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังหนีความจริงอยู่...

แต่เพราะรู้นี่แหละ เลยพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายจนแทบเข้าขั้นบ้าคลั่งที่จะไม่คิดถึงพรุ่งนี้ หรือแม้แต่นาทีต่อไป

กบดานอย่างเงียบเชียบอยู่ในห้องน้อย ๆ ของตัวเอง



เปาะ แปะ...



เปาะแปะ...



เสียงเม็ดฝนร่วงหล่นจากท้องฟ้าแล้วถูกสายลมพัดพาให้มากระทบอยู่กับหน้าต่างตรงหัวนอน เปาะแปะ เปาะแปะ จากบางเบาค่อย ๆ หนักหน่วงขึ้น บดินทร์เอนศีรษะซบตรงขอบหน้าต่างเพื่อสดับฟังเสียงฝนที่ช่างไพเราะราวกับกำลังฟังวงออร์เคสตรามืออาชีพ ไพเราะจนดึงสติอันฟุ้งซ่านของเขาให้สงบลงได้ ราวกับเสียงนั้นได้ชโลมให้หัวใจของเขาได้ชุ่มฉ่ำขึ้นอีกครั้ง

เสียงของน้ำฟ้าที่ชะล้างได้ทุกสิ่ง

ฝนเอย...จะชำระล้างหัวใจโสมมดวงนี้ได้ไหมนะ

วืด...วืด...

กำลังนั่งเหม่อลอยไม่ทันไร เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ทำเอาผวา ไม่ว่าจะเป็นสายจากใครก็ไม่น่าคุยทั้งนั้น!

วืด....วืด....วืด....

เสียงเครื่องสั่นไม่ยอมหยุด แม้จะสิ้นสุดการเรียกจนนิ่งไปได้ แต่เพียงครู่เดียวก็สั่นขึ้นมาใหม่ ใครกันนะที่ตื๊อไม่เลิกขนาดนี้ เจ้าหนี้? ชิดจันทร์? ตำรวจ? ยิ่งคิดก็ยิ่งตกประหม่า มือสั่นระริกค่อย ๆ เอื้อมไปที่มือถือที่ยังสั่นไม่หยุดของตนช้า ๆ ตั้งใจจะปิดเครื่องเสียให้รู้แล้วรู้รอด ปิดเครื่อง ล็อกห้อง ตัดขาดจากสรรพสิ่งทั้งปวง

แต่ในขณะที่จะกดปิด เบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็ทำเอาหัวใจได้ฉงน

‘พ่อ? ’

ตั้งแต่ประกาศตัดพ่อตัดลูกกันมาหลายปี อย่าว่าแต่เจอหน้าเลยแม้แต่การโทรหากันสักสายก็ไม่มี แล้ววันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

หรือว่า...

ในหัวใจแห้งแล้งเริ่มสับสนขึ้นอีกคราว ไม่แน่ใจว่าควรรับสายจากบิดาดีหรือไม่

แต่เพราะวันนี้เขาอ่อนล้า

เพราะวันนี้เขาแสนเหงา

เพราะชื่อนี้...เขาแสนคิดถึง



ปิ๊บ...



ปลายนิ้วสั่นระริกจึงกดรับสายราวกับต้องมนต์ หวังเพียงจับคว้าไม้ท่อนสุดท้ายเพื่อที่เขาอาจจะยังสามารถหายใจต่อไปได้ ไม่จมลงสู่ก้นทะเลเร็วนัก

“...คะ...ครับพ่อ”

[ไอ้ดิน!!?]

แต่แค่เสียงเรียกผ่านสาย ความหวังสุดท้ายก็พังทลายลงตรงหน้า ทั้งตัวของบดินทร์ชาวูบ จนอดคิดไม่ได้เลยว่า

‘ไม่น่ารับสายเลย’

[แกนี่มันลูกทรพีจริง ๆ! สร้างเรื่องได้ไม่หยุดหย่อน! ฉันไปสร้างกรรมสร้างเวรอะไรกับแกไว้นักฮึ! ถึงได้ตอบแทนข้าวแดงแกงร้อนที่ฉันสู้อุตส่าห์ฟูมฟักแกมาแบบนี้ แกเกลียดอะไรฉันนัก!?]

ครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้คุยกัน สิ่งแรกที่ได้ยินจากน้ำเสียงที่แสนคิดถึงคือคำผรุสวาทที่ออกจากปากผู้เป็นพ่อ หัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้วจึงยิ่งเจ็บร้าวรานหนัก ในอกนี้ราวไม่เหลือความอบอุ่นอยู่เลยแม้เพียงนิด

“...เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ พ่อมาด่าผมแบบนี้?”

บดินทร์ถามออกไปด้วยความจนใจ เพราะไม่รู้ว่าข่าวอะไรรั่วไปถึงหูผู้เป็นบิดา อีกฝ่ายถึงได้หัวเสียขนาดนี้ และอย่างที่คิดเอาไว้ จบคำถามพ่อของเขาก็ยิ่งโมโหใส่เขาหนักกว่าเดิม

[อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องนะ! เหอะ! ไอ้ผีพนัน ฉันไม่เคยเลี้ยงแกมาให้เป็นแบบนี้นะ เป็นหนี้จนเจ้าหนี้เขามาทวงให้เสียชื่อเสียเสียง แกลอยนวล แต่เขามาทวงกับฉันที่เป็นพ่อแกนี่ พวกมันประจานจนชาวบ้านชาวช่องเขารู้กันหมดแล้ว พวกมันทำจนฉันไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว หนี้พนันตั้งสิบล้าน แกทำไปได้ยังไง แกทำกับพวกฉันอย่างนี้ได้ยังไง? รู้ไหมว่าถ้าแกไม่รีบใช้หนี้ให้พวกมันภายในวันนี้ พวกมันจะยึดบ้าน ยึดที่ซุกหัวนอนและทรัพย์สินของพวกฉันทั้งหมด แกทำอย่างนี้ได้ยังไงหา!!]

“!!?” คำเฉลยของพ่อทำเอาบดินทร์ถึงกับทรุด หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกจากอก

‘ทวงหนี้? ’

‘ตั้งแต่เช้าขนาดนี้เลยเนี่ยนะ? ’

บดินทร์ตกใจจนสมองแทบไม่ประมวลผลถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกนั้นมันรู้ได้ยังไงว่าเขาทำงานพลาด? นี่เพิ่งจะ 7 โมงเช้า แล้วพวกมันบุกไปถึงบ้านพ่อของเขาที่ราชบุรีได้อย่างไร?

[ใจจริงฉันไม่ได้อยากจะโทรหาแกเลยสักนิด แต่แบบนี้มันเกินไปแล้ว มันมากเกินไป! พวกมันมาเฝ้าราวีพวกฉันตั้งแต่เมื่อคืน จะทำอะไรมันก็ไม่ได้ แจ้งความก็ไม่ได้ มันบอกว่าเพื่อใช้หนี้ แกถึงขั้นยอมทำเรื่องชั่วช้า แต่ดันทำพลาด แกเป็นถึงขนาดนี้ได้ยังไงหา! ไอ้ดิน ไอ้ลูกชั่ว!]

ถูกตลบหลังสินะ...ชิดจันทร์ นังชั่ว!

[แกรีบไปเคลียร์กับพวกมันเลยนะ คิดจะทำห่าเหวอะไรก็แล้วแต่เรื่องของแก แต่อย่าให้พวกฉันต้องไปรับเคราะห์กับเรื่องชั่ว ๆ ที่แกทำไปด้วยอีก!]

‘ถูกตัดหางปล่อยวัดโดยสมบูรณ์เลยว่ะ’

“พะ...พ่อ ผมขอโทษ พ่อช่วยถ่วงมันไว้ให้ผมหน่อยได้ไหม? ถ้าพวกมันเจอผมตอนนี้ ผมตายแน่”

บดินทร์กัดฟันร้องขอที่พึ่งสุดท้าย แม้จะถูกด่าทอตัดรอนสารพัด แต่ส่วนลึกในหัวใจของเขาก็ยังอดคาดหวังไม่ได้ว่าบุพการีคนเดียวในชีวิตที่ยังเหลืออยู่นี้อาจยังพอเหลือใจเมตตากับเลือดในอกคนนี้บ้าง

[เรื่องของแกสิ! ทั้งหมดนี่แกทำมันขึ้นมาเองทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ แกก็ต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ให้พวกฉันที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องไปรับผิดชอบด้วย!]

แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเพียงแค่ความหวัง ที่ไม่มีทางเป็นเรื่องจริง

“พ่อ...ไม่เห็นว่าผมเป็นลูกเลยเหรอ? ตัดรอนกัน...ขนาดนี้...”

[...ลูกชายฉัน ตายไปนานแล้ว]

คำพูดสุดท้ายก่อนบิดาจะวางสาย คือคำพูดสุดท้ายระหว่างความผูกพันสองพ่อลูก บดินทร์ได้แต่น้อยใจในส่วนลึก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเขาเองก็ผิดกับบิดาไว้มาก ตอนจากมาก็สร้างเรื่องไว้ขนาดนั้น ยังหวังได้รับการให้อภัยอะไรอีกโดนทอดทิ้งแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว…

สิ้นสุดคำของพ่อ...ภาพในวันเก่าก่อนก็ย้อนกลับมาในหัวเป็นฉาก ๆ ภาพความทรงจำที่เขาไม่เคยลืมได้ลง



‘นังผู้หญิงคนนั้นมันดีกว่าแม่ตรงไหน หรือแค่คลำแล้วไม่มีหางก็เอาได้ทั้งนั้น!? ’

‘ดิน! เรื่องนี้พ่อผิดเอง แต่พ่ออยากให้ดินรู้ว่าพ่อไม่มีทางรักใครมากไปกว่าแม่ของดินเลยนะ’

‘ใครจะไปเชื่อลงกัน! พ่อหลงมันจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว!’

‘ดิน! หยุดลามปามพ่อได้แล้ว!! พ่อเป็นพ่อนะ!!’

‘พ่อที่เห็นผู้หญิงคนอื่นดีกว่าลูกในไส้น่ะผมไม่มีก็ได้!’

‘ดิน!!

‘ดินลูกพ่อตายห่าไปนานแล้ว!!’



‘แกทำอย่างนี้ได้ยังไงดิน!? แกทำกับน้องได้ยังไง!? ’

‘มันไม่ใช่น้องผม! ก็แค่ผู้หญิงร่าน ๆ เหมือนแม่มัน!’

‘ฉันไม่เคยเลี้ยงแกให้โตขึ้นมาหน้าตัวเมียแบบนี้นะดิน ลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับสิ!’

‘ไม่ว่าจะพูดยังไงพ่อก็เห็นพวกมันดีกว่าผมอยู่แล้วนี่ ต่อให้นังเด็กนั่นดอดเข้ามาขย่มผมเองตอนกลางดึก ผมก็เป็นฝ่ายผิดอยู่ดี!’

‘แต่เพียงดาวท้องไปแล้ว!’

‘ลูกผมหรือเปล่ายังไม่รู้เลย พ่อเคยรู้บ้างหรือเปล่า ว่าลูกเลี้ยงที่พ่อรักหนักหนาเนี่ยไปนอนกับไอ้ยุมากี่ครั้งแล้ว! กับคนอื่น ๆ มันก็เคย แถมไม่หนำใจยังมาขอนอนกับผมอีก ลูกสาวคนดีของพ่อร่านขนาดนี้ ผมควรต้องรับผิดชอบอีกเหรอ!? ’

‘จะยังไงก็ตาม แกต้องรับผิดชอบเพียงดาว!’

‘ถ้าเด็กเกิดมาแล้วใช่ลูกผมล่ะก็ผมรับก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่ก็เร่หาพ่อเด็กเอาเองแล้วกัน! พ่อไม่ต้องกลัวไปหรอกน่า เดี๋ยวมันก็หาได้ ง่ายเหมือนคนเป็นแม่ที่ได้งาบพ่อง่าย ๆ ไง!’

‘ไอ้ดิน!’



ผลัวะ!!



‘...นี่พ่อต่อยผมเพื่อมัน!? ’

‘คนไร้สามัญสำนึกอย่างแกไม่ใช่ลูกฉัน ฉันไม่เคยมีลูกอย่างแก!!’

‘เออ! ผมมันก็แค่ลูกเมียเก่า จะเฉดหัวกันเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้วนี่’

‘เออ! ออกไปจากบ้านฉันซะ! ตั้งแต่วันนี้ไปแกกับฉันไม่ใช่พ่อไม่ใช่ลูกกันอีก!’

‘ก็ได้! จะได้รู้กันไปว่าพ่อเห็นมันดีกว่าผม รักลูกนอกไส้มากกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง!’

‘คนที่ไม่เคยเห็นฉันเป็นพ่ออย่างแก รีบไสหัวออกไปจากชีวิตฉันซะ ออกไป๊!!’

‘...พ่อพูดเองนะ’

‘ออกไป…’

‘...เออ ผมจะออกไปเอง เชิญพ่อเสวยสุขอยู่กับพวกมันไปแล้วกัน ชาตินี้ผมจะไม่มีวันกลับมาเหยียบที่นี่อีก!’

‘ไปเถอะ จากวันนี้ไปฉันจะถือว่าลูกชายของฉัน มันได้ตายไปแล้ว’



เมื่อย้อนคิดไปถึงอดีต บดินทร์ก็ได้แต่ยิ้มเยาะในทิฐิอันโง่เขลาและความชั่วช้าต่ำทรามของตน ผลกรรมหนักเบาที่เคยทำไว้ตั้งแต่คราวนั้น พลันย้อนกลับมาสนองเขาแล้วในคราวนี้

เขาทอดทิ้งเพียงดาวและลูก ทั้งยังดูถูกดูแคลน ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกเขาหรือไม่ หรือต่อให้การแท้งของเพียงดาวในตอนนั้นสาเหตุจะไม่ใช่จากเขาโดยตรง แต่แน่นอนว่าเขาก็คือหนึ่งในปัจจัยเสี่ยง

เนรคุณบุพการี ว่าร้าย ทิฐิ จองหอง

ดูดายเพื่อนรักที่ต้องมาถูกป้ายสีจนมีมลทินเพราะตัวเขา ต้องออกจากวงการเพราะตัวเขา

และ...ชีวิตอันไร้ค่าของไอ้ดินคนนี้ สุดท้ายก็ได้ถูกทำลายจนป่นปี้ลงในมือของตัวเอง

เคราะห์กรรมหนักหนาเหลือเกินที่เคยสร้าง หนักหนาจนไม่รู้ว่าจะหาทางออกแบบไหน รอบด้านมืดมนไปหมด หนี้บ่อนสิบล้านที่ชาตินี้คงไม่มีปัญญาจ่าย เรื่องเลวร้ายที่ทำลงไปกับสดายุก็คงไม่มีทางได้รับการให้อภัย งานการก็คงไม่มีโอกาสได้กลับไปทำอีกแล้ว อีกเดี๋ยวคงถูกชิดจันทร์เปิดโปงเรื่องที่ทำไว้ ยิ่งถ้าฝ่ายสดายุแจ้งความด้วยแล้วอีกเดี๋ยวก็คงออกข่าว และทันทีที่เป็นข่าวก็จะถูกยกเลิกสัญญาว่าจ้างทั้งหมด อาจถูกปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล ทำยังไงดีล่ะ เงินติดบัญชีมีไม่ถึงห้าพันแล้ว ค่าผ่อนคอนโดงวดต่อไปก็ไม่เหลือ

บดินทร์เหม่อลอย เคว้งคว้าง คิดขึ้นได้ว่าไม่ควรต้องกังวลเรื่องค่าผ่อนคอนโดตอนสิ้นเดือน เพราะอีกเดี๋ยวเขาก็ต้องเปลี่ยนที่นอนแล้ว

เปลี่ยนไปนอนคุกถ้าตำรวจมาจับ

เปลี่ยนไปนอนใต้รากมะม่วงถ้าพวกของบ่อนมา

“ไม่เหลือทางให้เดินเลยแฮะ” เสียงแหบแห้งพร่ำเพ้อกับตัวเองเบา ๆ

จมลึกลงไปในดงปัญหาที่ถาโถมเพียงลำพัง

จะโทรหาใครก็ไม่ได้

เขาไม่มีใคร

พี่ซอล คนที่เคยช่วยเหลือดูแล พี่ซอลที่ผิดหวังกับสันดานของเขาจนแทบไม่อยากมองหน้าไปแล้ว ก็คงไม่มีทางให้ความช่วยเหลือ ไม่มีทางอยู่ข้าง ๆ กันอีก แม้แต่ครอบครัวที่เขาเหลืออยู่อย่างพ่อ ก็คงไม่เอาลูกทรพีที่ดีแต่ทำตัวเลวไปวัน ๆ ด้วย

มือที่ยังกำมือถืออยู่สั่นระริก หยาดน้ำอุ่นหยดน้อยค่อย ๆ กลั่นตัวหล่นกลิ้งไปตามพวงแก้มซีดเผือดหยดแล้วหยดเล่า ริมฝีปากพร่ำพูดเพียงคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก

“พ่อ พี่ซอล เพียงดาว ยุ…ดินขอโทษ”

วืด...วืด…

จู่ ๆ โทรศัพท์ในมือก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับปรากฏเบอร์เรียกเข้าที่ไม่เคยคุ้น แต่ตอนนี้บดินทร์ไม่ได้รู้สึกกลัวอีกแล้วต่อให้ปลายสายจะเป็นใครก็ช่าง

เขากดรับแล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ในที่สุดคนของบ่อนก็โทรมาจริง ๆ ในเมื่อเขาทำงานพลาด สัญญาคุ้มกะลาหัวทั้งหมดที่มีก็สิ้นสุด ดังนั้นหนี้สินทั้งหมดทั้งต้นทั้งดอกกว่าสิบล้านบาทจึงต้องชดใช้ให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้เพื่อรักษาชีวิตรอดทั้งต่อตัวเขาและครอบครัว

บดินทร์ไม่ได้ต่อรอง เขาแค่ถามออกไปเพียงคำถามเดียวว่า ‘ถ้าไม่มีจ่าย จะเป็นยังไง?’

และคำตอบที่ได้คือ ‘ตาย’

น่าแปลกที่บดินทร์ไม่ได้รู้สึกตกใจ เขาตอบกลับไปเพียงแค่ ‘เข้าใจแล้ว’ และกดวางสายอย่างสงบ

หัวใจของบดินทร์ว่างเปล่า แม้แต่สมองก็ขาวโพลนโล่งโจ้ง ไม่คิดถึงเรื่องอะไรอีกแล้ว แต่วูบหนึ่งก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ตายเหรอ?

เพราะในหัวเต็มไปด้วยคำคำนั้น นิ้วมือเย็นเยียบจึงเผลอกดเบอร์ของคนที่คิดถึง เบอร์ที่เขาแอบบันทึกไว้ในโทรศัพท์โดยที่เจ้าของเบอร์ไม่เคยรู้

รอเพียงครู่ฝ่ายนั้นก็กดรับสาย

[สดายุพูดครับ]

“...” เสียงของสดายุยังคงแหบหวานเหมือนวันวานที่เคยได้ฟัง คิดถึงเสียงนี้จนบดินทร์เผลอยิ้มออกมา

[ฮัลโหล? ได้ยินหรือเปล่าครับ?]

“...” ฝ่ายนั้นทวนคำเพราะบดินทร์ไม่ยอมพูดอะไรเสียที เขาไม่ได้ตั้งใจกวน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี ในหัวยังโล่งเกินไปจนประมวลเป็นคำพูดไม่ทัน แต่พอได้ยินเสียงบ่นจากปลายสายว่าจะตัดสายกัน บดินทร์ก็รีบอาศัยจังหวะนั้นโพล่งออกไป

“...ยุ...” เสียงที่เอ่ยออกมาแหบเครือจนแม้แต่ตัวเองยังตกใจ แต่ถ้านี่คือโอกาสเดียวที่จะได้คุยปรับความเข้าใจกับสดายุแล้วล่ะก็ ไม่ว่ายังไงก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ให้ได้ “ร่างกาย...เป็นยังไงบ้าง?”

[หาเรื่องรึไง!?]

คือสิ่งที่สดายุตอบกลับมา แน่ล่ะ อีกฝ่ายคงโกรธเกลียดกันจนแทบจะฆ่ากันได้ ใครจะอยากมาคุยดีด้วย

“ปละ...เปล่า ฉันเป็นห่วงนายจริง ๆ” บดินทร์รีบอธิบาย ไม่อยากให้โอกาสครั้งสุดท้ายนี้หลุดลอยไป ได้โปรดเถิด ช่วยฟังกันอีกสักครั้ง

[อย่ามาตลก! เป็นห่วงเหรอ? ต่อให้อมพระมาพูด แม่งก็เชื่อไม่ลงหรอก!]

“...ขอโทษ”

[ถ้าขอโทษแล้วมันจบง่าย ๆ โลกจะมีตำรวจเอาไว้บูชารึไง!?]

คำตอกกลับรุนแรงอย่างที่บดินทร์คิดไว้ แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังไม่วางสาย เขายังมีโอกาส

“ขอโทษนะยุ ขอโทษในทุกเรื่องที่ผ่านมา ฉันคนนี้จะไม่ขอแก้ตัวอะไรทั้งนั้น เรื่องทั้งหมด ฉันคนนี้แหละที่เลว ฉันคนนี้เองที่ระยำชั่วชาติ ฉันที่หักหลังนาย ฉันที่ทำตัวกร่าง ฉัน...ที่คิดจะทำร้ายนาย เมื่อคืนฉันคนนี้...มันไม่สมควรจะ...”

เสียงเศร้าสร้อย รวดร้าวราวใจจะขาดพยายามเอื้อนเอ่ยคำขอโทษออกมาซ้ำ ๆ แม้ว่าก้อนสะอื้นมันจะมาตันอยู่ตรงคอหอยจนแทบพูดอะไรไม่ออก

[หยุดพล่ามได้แล้ว! พูดอะไรของมึงกัน!? ชั่วดีก็รู้อยู่แก่ใจนี่ จะมาสาธยายให้กูฟังทำไม!?]

แต่ก่อนที่บดินทร์จะเอ่ยความคำขอโทษจบ สดายุก็ขัดขึ้นเสียก่อน มารยาทแย่ ๆ ที่ถ้าไม่เกลียดชังจริงจังสดายุจะไม่แสดงกับใครง่าย ๆ ซึ่งบดินทร์รู้ซึ้งในข้อนี้ดี

“ฉันควรทำยังไง? ควรชดใช้ให้นายยังไงได้บ้าง...”

บดินทร์อ้อนวอนด้วยเสียงสั่นพร่าราวกับกำลังร้องขอชีวิต เสียงสะอึกสะอื้นเป็นระลอกเล็ดลอดออกมาอย่างสุดกลั้น หยาดน้ำตาพรั่งพรูไม่ขาดสาย บดินทร์ร้องราวกับเด็ก ร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยคำสุดท้าย

[ออกไปจากชีวิตของกูซะ อย่าได้ต้องเจอะต้องเจอกันอีกเลย]

นั่นคือคำขอสุดท้ายของสดายุก่อนที่จะกดวางสายไป

เสียงของสายที่ถูกตัดไปแล้วนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู โทรศัพท์มือถือร่วงจากมือหล่นปุลงไปบนที่นอนพร้อมกับหยาดน้ำตาถะถั่ง เหมือนหัวใจจะหลุดหายไปจากอก รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นคนผิดไม่มีสิทธิ์ดิ้นรนขอการให้อภัย แต่ก็ไม่อาจห้ามใจให้เผลอตั้งความหวัง

นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเสียงแหบโหย พลันนึกถึงอีกคนที่อยากคุยด้วย อยากสารภาพถึงเรื่องราวที่ผ่านมา อยากขอโทษ ทว่าทันทีที่กดโทรออกไปกลับไม่มีสัญญาณตอบรับ แต่ในขณะที่จะทำการโทรออกไปอีกครั้ง น้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าที่แสดงถึงความสิ้นศรัทธาของซอลย่าก็วาบเข้ามาในหัว

‘ผมผิดหวังในตัวคุณเหลือเกินบดินทร์ ไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนี้...คุณมันช่างเลือดเย็น’

เสียงนั้นดังก้องจนเจ็บปวดในอกไปหมด

พี่ซอลย่าก็ทอดทิ้งเขาไปแล้วเหมือนกัน

ความเคว้งคว้างแล่นลึกเข้าสู่หัวใจอย่างเงียบเชียบ บดินทร์เงยหน้าขึ้นมองรอบกาย บรรยากาศในห้องเดิม ๆ ของตัวเองที่คุ้นตา ห้องที่เขาอุปโลกน์ว่ามันคือรังดักแด้ที่ปลอดภัยที่สุด ตราบใดที่เขายังอยู่ที่นี่เขาก็จะปลอดภัย

แล้วข้างนอกนั่นเล่า?

ที่จริงวันนี้เขาต้องไปอัดรายการ Star Talk ตามตารางงานปกติ นี่ก็เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว จัดนู่นเตรียมนี่หน่อยสักบ่ายสามโมงก็ออกไปทำงานได้ตามปกติ

แต่…

มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ข้างนอกนั่นไม่มีใครต้อนรับกันอีกแล้ว ข้างนอกนั่นคงเหลือเพียงเหล่าคนที่รอเหยียบย่ำ รอสมน้ำหน้า และคนที่หมางเมินไม่แยแสกันอีก

พ่อ พี่ซอลย่า สดายุ คนที่เขารักสุดหัวใจ แต่กลับทอดทิ้งกันไปหมดแล้ว

เพราะเขาเองทั้งนั้น เพราะเขาทำตัวเองทั้งนั้น

ไม่เหลือใครอีกแล้ว…

ไม่เหลืออะไรอีกเลย…

บดินทร์กอดเข่าจับเจ่าอยู่บนเตียงนุ่ม เสียงสายฝนหวดกระหน่ำด้านนอกหน้าต่างยังคงดังชัด

หนาว เพราะทั้งร่างยังคงเปลือยเปล่าจึงหนาวจนทั้งตัวสั่นเทิ้ม มือสั่นระริกคว้าผ้าห่มขึ้นมาห่อตัวไว้ คลุมไปจนตลอดศีรษะจนเหลือเพียงใบหน้าที่ชาชืดไร้อารมณ์ใด ๆ โผล่ออกมา

เงียบ นอกจากเสียงฝนกระหน่ำตรงหน้าต่างแล้ว ทุกอย่างก็เงียบไปหมด เหลือเพียงเสียงลมหายใจนี่ล่ะมั้งที่ยังคงได้ยินแผ่ว ๆ

บดินทร์ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวอย่างเงียบเชียบ ในหัวว่างเปล่า หัวใจก็กลวงโบ๋

ไม่เหลืออะไรให้ยึดติดอีกต่อไป…



+++++++++++++++++++++++++++


หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 07 คำสารภาพ [13 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 13-02-2024 00:42:38


“สวัสดีครับ ชาวโซเชียลทุกคน”

“จำหน้าผมกันได้หรือเปล่าเอ่ย ผมบดินทร์ไงคร้าบ สภาพอาจดูแย่หน่อย แต่ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน”

“สงสัยกันใช่ไหมล่ะครับว่าผมโผล่มาทำอะไรตอนนี้ อย่างแรกเลย ผมมาเพื่อขอบคุณแฟน ๆ ทุกท่านที่ให้การสนับสนุนผมเสมอมา”

“และ...”

“ผมมาเพื่อขอโทษครับ”

“ขอโทษที่ผมเลว ผมคือคนเลว คือคนที่หักหลังเพื่อนได้อย่างเลือดเย็น คือผีพนัน คือคนที่ทำร้ายคนอื่นได้ทุกอย่างเพียงเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดครับ คนอย่างผม...คือคนเลวที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้เลย”

“ยังจำเรื่องข่าวฉาวของพระเอกดังอย่างสดายุได้ใช่ไหมครับ เรื่องที่เขาทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับ ความจริงแล้วมันเป็นผมเองที่เป็นคนใส่ร้ายป้ายสีเขา”

“ใช่แล้วครับ ผมใส่ร้ายเพื่อนรักของตัวเองเพียงเพราะความอิจฉา”

“ผมอิจฉาสดายุที่เด่นกว่า ดังกว่า ผมเลยร่วมมือกับน้องสาวเพื่อหาเรื่องใส่ความเขา เพื่อให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เพื่อให้เขาอยู่ในวงการต่อไปไม่ได้อีก เพื่อที่ผมจะได้อาศัยฝีมือห่วย ๆ นี้สวมรอยเขา”

“นี่แค่เรื่องแรกก็ยี้กันแล้วใช่ไหมล่ะ หึหึ อย่าเพิ่งปิดคลิปนะครับ เรื่องเน่า ๆ ของผมยังมีอีกเป็นกุรุส”

“อย่างเรื่องผีพนัน พวกคุณรู้ไหมว่าผมติดการเข้าบ่อนมาก มีเงินเท่าไหร่ไม่เคยพอ ผมเอาไปถลุงที่บ่อนหมดทุกบาท พอหมดก็เริ่มเป็นหนี้ แต่ผมไม่หยุดหรอกนะ ก็มันยังไม่พอนี่ครับ ผมยังอยากเล่น มันสนุก มันเร้าใจ จนตอนนี้ผมเป็นหนี้บ่อนอยู่ 10 ล้านแน่ะแถมกำลังหนีเจ้าหนี้หัวซุกหัวซุนอยู่ น่าสมเพชใช่ไหมล่ะ”

“ยังครับ...ยังไม่หมด เรื่องเด็ดน่ะมันต่อจากนี้ต่างหาก”

“พอผมเป็นหนี้จนไม่มีตังค์จะใช้คืนเขา ผมก็เริ่มรับงานชั่ว ๆ ที่อีผู้หญิงคนหนึ่งจ้างวาน อีนั่นคือชิดจันทร์ครับ ชื่อคุ้นไหมเอ่ย? ลูกสาวคนเดียวของเจ้าแม่เสน่ห์จันทร์ไงล่ะคร้าบ หล่อนเป็นเด็กโรคจิต ฮิสทีเรียมากผมบอกเลย ฮ่า ฮ่า มันอยากได้ผู้ชายจนตัวซีดตัวสั่น พอเขาไม่เล่นด้วยก็จ้างผมให้ไปทำร้ายผู้ชายคนนั้นสารพัด ตอนนั้นผมเองก็หน้ามืด เพราะไม่มีทางเลือก”

“ก็บ่อนที่ผมไปติดเงินเขาอยู่ดันเป็นบ่อนของคู่ขานาง นางหลอกใช้ผม บอกว่าจะยกหนี้ให้ถ้าทำร้ายผู้ชายคนนั้นได้ และคุณเชื่อไหม...ว่าผมยอมทำ หึหึ บอกแล้วว่าผมมันเหี้ยกว่าที่พวกคุณคิด”

“ผมพยายามทำตามที่นางสั่งแล้วนะ แต่เสือกไม่สำเร็จ นังชิดจันทร์ตัวแสบกับคู่ขาของมันเลยยกพวกมาถล่มบ้านผม เพราะอย่างนี้ไงครับ ผมเลยมาออกคลิปไว้ก่อน เผื่อผมถูกฆ่าหมกห้อง แล้วถูกจัดฉากว่าฆ่าตัวตายขึ้นมา จะได้ตามตัวถูก"

“ถ้าผมเป็นอะไรไป บอกเลย นังชิดจันทร์กับเจ้าพ่อคู่ขาของมันแน่นอนครับ”

“สุดท้าย ผมคงไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว นอกจากฝากไปบอกผู้ชายคนนั้นที่เป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายในครั้งนี้ด้วยว่า…ผมขอโทษ”

“คุณตำรวจครับ จะจับก็รีบมานะครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่คอนโด xxcc ชั้น 10 ห้อง 1010 รีบมาก่อนผมเป็นศพนะ”

“แล้วก็…”

“พี่ซอล”

“ดินขอโทษนะ ที่ทำให้พี่เดือดร้อนอีกแล้ว ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยดูแลดินมาตลอดเลย”

“พ่อ ผมคงไม่มีโอกาสไปกราบเท้าพ่อแล้ว ผมขอโทษสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมานะพ่อ ลูกเนรคุณคนนี้...ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ”

“เพียงดาว...พี่ขอโทษนะ”

“...และ”

“ยุ”

“...ยุ กูขอโทษ ขอโทษจริง ๆ”

“ทุกคนครับ สิ่งเลวร้ายทั้งหมดที่ผมได้ทำลงไป ผมขอชดใช้มันด้วยชีวิตที่แสนสกปรกโสโครกของผมเอง”

“...”



“ลาก่อนครับ”



+++++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 07 คำสารภาพ [13 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 13-02-2024 00:44:24


I remember tears streaming down your face

When I said, I'll never let you go

When all those shadows almost killed your light

I remember you said, Don't leave me here alone

But all that's dead and gone and passed tonight


เสียงเพลงคลอเบา ๆ เพลงที่บดินทร์ชอบที่สุด ชอบขนาดที่เรียกได้ว่า ฟังอยู่แค่เพลงเดียว ชอบทั้งนักร้อง ชอบทั้งความหมาย ฟังแล้วรู้สึกปลอดภัย

Just close your eyes

The sun is going down

You'll be alright

No one can hurt you now

Come morning light

You and I'll be safe and sound


ร่างสูงโปร่ง ยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแย้มยิ้มบาง ๆ ให้ตัวเองในกระจก หันซ้ายที ขวาทีเพื่อเช็กความเรียบร้อยของชุดเก่งตัวโปรด เสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีขาวที่ซื้อเป็นคู่กันกับของสดายุที่เป็นสีดำ กางเกงยีนขาเดฟมีรอยขาดรุ่งริ่งตามแฟชั่นที่สดายุซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด สร้อยทองสองบาทพร้อมจี้พระเลี่ยมทององค์ที่พ่อรักที่สุดที่ได้รับมาในงานฉลองรับปริญญา นาฬิกาข้อมือ TAG Heuer ที่พี่ซอลย่าซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดในปีที่ผ่านมา

ของแสนรักจากคนที่รักเขาแขวนเต็มอยู่บนร่าง รู้สึกอบอุ่นจนต้องยกแขนขึ้นมากอดตัวเองสำทับ อุ่นจริง ๆ อุ่นจนน้ำตาจะไหลให้ได้

Don't you dare look out your window darling?

Everything's on fire

The war outside our door keeps raging on

Hold on to this lullaby

Even when the music's gone


บนเตียงถูกจัดไว้อย่างดี สะอาดสะอ้าน ประดับประดาไปด้วยตุ๊กตาและของขวัญต่าง ๆ มากมายที่เคยได้มาจากเหล่าแฟนคลับ เตียงนอนนุ่มฟูดูอบอุ่นช่างน่านอนเหลือหลาย ผ้าม่านถูกเปิดออกกว้าง มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม แม้จะเป็นวิวเดิมทุกวัน แต่วันนี้ดูเหมือนมันจะสวยที่สุด เพราะสายฝนที่หวดกระหน่ำไม่หยุดทำให้ภาพเมืองหลวงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงเมืองในสายหมอกราวกับเทพนิยาย ทุกอย่างเป็นใจไปหมด งดงาม เข้ากับบทเพลงที่กำลังบรรเลงซ้ำไปซ้ำมา

บดินทร์ยิ้มหวานให้ตัวเองในกระจกอีกครั้ง ก่อนเดินมายังที่นอนของตน

มีดพกคมกริบตรงหัวเตียงถูกหยิบขึ้นมากระชับมั่นไว้ในมือ บดินทร์จ้องมองสิ่งนั้นนิ่ง ดวงตาเหม่อลอยมองไปออกไปถึงภาพฝันแสนสุขในจินตนาการ

เขาพร้อมแล้ว...



ฟึ่บ!



คมมีดกรีดลึกรวดเดียวเกือบถึงกระดูกตรงข้อมือข้างซ้าย ของเหลวสีแดงคล้ำข้นคลั่กทะลักออกมาจากบาดแผลแทบจะทันที

บดินทร์ยิ้มขื่น มองเลือดของตนหยาดหยดลงบนพื้นด้วยความเย็นชา

เจ็บ...

แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บ

Just close your eyes

The sun is going down


บดินทร์เอนร่างลงบนเตียง นอนในท่าที่สบายที่สุด เขาชอบนอนตะแคงข้าง แล้วกอดตุ๊กตาหมีตัวโปรดที่สดายุยกให้ตอนเพิ่งเข้าวงการไว้ในอ้อมแขน พาดแขนซ้ายออกนอกเตียง ปล่อยโลหิตรินรดลงพื้นไม่หยุดหย่อน ความลึกของบาดแผลน่าจะเพียงพอให้เขาค่อย ๆ หลับฝันได้อย่างสบายใจ

You'll be alright

No one can hurt you now


เสียงเพลงแว่วหวาน ทำให้บดินทร์อดไม่ได้ที่จะร้องตามไปด้วย

เพลงความหมายดี ๆ บอกว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ไม่มีใครสามารถทำร้ายเขาได้อีกแล้ว

บดินทร์ร้องเพลงไปยิ้มไป พาลนึกไปว่าอยากได้อ้อมกอดอุ่น ๆ จังเลยนะ

Come morning light

You and I'll be safe and sound

ความหมายของท่อนนี้คือเมื่อแสงของพรุ่งนี้สาดส่อง เราทั้งคู่จะปลอดภัย...สินะ

บดินทร์แปลความหมาย พลางยิ้ม

แต่เรามันตัวคนเดียว ถ้าพรุ่งนี้มาถึง...เราคง...ไม่เหลือลมหายใจอีกต่อไปแล้ว แบบนั้น จะเรียกได้ว่าปลอดภัย...หรือเปล่านะ?

ถ้าเราไม่อยู่แล้ว...จะมีใคร...เสียใจไหมนะ?

ถ้าเราไม่อยู่แล้ว...จะมีคน...เหงา...บ้างไหมนะ?

งานศพ...จะมีคนมาไหม?

เอ๊ะ? ...หรือเราจะเป็นศพไร้ญาติ อา…คงต้องพึ่งร่วมกตัญญูแล้วล่ะ.

หนาว...จังเลย

ร่างอ่อนแรงขดตัวเข้าหากันเล็กน้อย ปล่อยหยาดน้ำตาหลั่งรินหยดแล้วหยดเล่า...

เหงา...จังเลย

Just close your eyes

The sun is going down

You'll be alright

No one can hurt you now

Come morning light

You and I'll be safe and sound


เสียงแหบแห้งยังคงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว แม้มันจะแผ่วลงเรื่อย ๆ แต่ริมฝีปากซีดเซียวก็ยังคงขยับขับขาน

ติ๋ง...

ของเหลวอุ่นสีแดงคล้ำ ไหลเรื่อยจากข้อมือสู่ปลายนิ้ว หยดลงพื้นไม้ปาร์เกต์ราวก๊อกรั่ว

ติ๋ง...ติ๋ง...

ยิ่งไหลออกมามากเท่าไหร่ โลหิตแดงฉานก็ขยายวงไปบนพื้นไม้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

ร่างกายผู้เป็นเจ้าของอ่อนแรงลงทุกขณะ

เหมือนหัวใจดวงเท่ากำปั้นเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย คงเพราะเสียเลือดมากไป

แม้แต่ลมหายใจก็คล้ายจะเริ่มขาดเป็นห้วง…

+

+

+



ดิน!!!



เสียงเรียกชื่อของตนดังแว่วมาไกล ๆ จนบดินทร์ไม่อาจหยั่งรู้ว่าเสียงเพรียกนั้นดังมาจากที่ไหน สติของเขาเลื่อนลอยออกไปในทุกขณะ

โธ่เว้ย! เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!

เสียงใครสักคนสบถอยู่ไกล ๆ คงเป็นข้างห้อง...หรือเปล่านะ?

ทำไมถึงทำอะไรโง่ ๆ อย่างนี้!?

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่บดินทร์ได้ยิน ก่อนที่จะรู้สึกว่าร่างของตัวเองลอยได้

จากนั้นทุกอย่างก็มืดสนิท

เขาตาย...แล้วสินะ

ดีจัง...



+++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 07 คำสารภาพ [13 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 13-02-2024 00:46:11


เสียงไซเรนรถพยาบาลดังแว่วบ่อยครั้ง ตลอดเวลาที่ดนัยยังคงนั่นนิ่งอยู่ตรงหน้าห้องฉุกเฉิน เสื้อของชายหนุ่มเปื้อนสีแดงคล้ำเป็นวงใหญ่ สองมือประสานกันแน่นราวกับกำลังสะกดกลั้นอะไรบางอย่าง ใบหน้าก้มต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น การรอคอยมันช่างยาวนานเหลือเกิน

จะเกิดอะไรขึ้นกับบดินทร์นะ ถ้าเขาไม่ได้กลับเข้าไปที่ห้องนั้น

จะเกิดอะไรขึ้นกับบดินทร์นะ ถ้าเขากลับไปช้ากว่านั้นอีกเพียงไม่เสี้ยวนาที

จะเกิดอะไรขึ้นกับบดินทร์?

จะเกิดอะไรกับเขานะ ถ้าบดินทร์...ตาย

“โธ่เว้ย!!”

กำปั้นแกร่งทุบลงบนหน้าขาอย่างแรงซ้ำ ๆ เพื่อระบายความอัดอั้น ระบายความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อท้น ทั้งที่คิดว่าคว้าตัวเอาไว้ได้แล้วแท้ ๆ แต่ดันแตกสลายไปต่อหน้า

แตกสลายคามือของเขา!

ร่างของดนัยสั่นเทิ้ม…ทั้งโกรธ ทั้งกลัว

“...อย่าตายนะดิน...ห้ามตายเด็ดขาดเลยนะ!”

ดนัยได้แต่ภาวนากับตัวเองแผ่วเบา ขณะยังรออยู่ตรงที่เดิมต่อไป

“...ถ้าผมไม่อนุญาต คุณห้ามตายเด็ดขาดเลยนะ...ขอร้องล่ะ อย่าตายนะ”

ทั้งที่เพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ แต่มันช่างเนิ่นนานเหลือเกินในการรอคอยของดนัย ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันยังต้องใช้เวลา แต่เขากลับร้อนใจจนแทบบ้า

ในขณะที่ยังนั่งกระวนกระวายอยู่นั้น จู่ ๆ ประตูก็เปิดออกโดยแรง พร้อมกับร่างของพยาบาลสาวในชุดสีเขียววิ่งถลาออกมา ในจังหวะนั้น ดนัยไม่รอช้าที่จะเข้าไปขวางตรงหน้าร่างนั้นไว้

“ขอโทษนะครับ! เขาเป็นยังไงบ้าง!?”

ด้วยความเร่งรีบพยาบาลสาวจึงเดินเลี่ยงดนัย พร้อมอธิบายความอย่างเร่งร้อน

“คนไข้เสียเลือดมากค่ะ เลือดสำรองเราเหลือไม่พอ จึงต้องหาเลือดเพิ่มด่วนค่ะ”

“กรุ๊ปอะไรครับ!?”

“AB ค่ะ!”

“กรุ๊ปเดียวกับผมครับ! ผมให้เลือดได้!”



+

+

+

+

+



ในห้องพักฟื้นผู้ป่วย ห้องพิเศษสุดหรูของโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อ ห้องเงียบ ไร้คนรบกวน ทั้งที่มีดาราที่กระแสแรงสุดในตอนนี้นอนอยู่ คนที่เพิ่งออกคลิปประกาศความชั่วของตนออนไลน์ทั่วประเทศแบบไม่กลัวตกงาน ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่ภายในห้องพักกลับไร้วี่แววนักข่าวรบกวน นั่นเพราะอิทธิพลของบ้านดนัยนั่นเองที่สามารถปิดเงียบทุกความเคลื่อนไหว และตอนนี้ ตัวดนัยเองก็นั่งอยู่ในห้องที่เงียบสงัดแห่งนี้ด้วย

บดินทร์ที่ยังต้องให้น้ำเกลืออยู่ยังคงนอนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับร่างไร้วิญญาณ ฝ่ายดนัยเองก็ได้แต่จ้องมองคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ที่บดินทร์ถูกย้ายมาพักฟื้นที่ห้องพิเศษนี้ คำสุดท้ายระหว่างกันคงเป็นคำว่า

‘ทำไมถึงทำอะไรโง่ ๆ อย่างนี้!?’

ที่ดนัยโวยวายใส่ตอนพาตัวบดินทร์ส่งโรงพยาบาลขณะที่ยังไม่หมดสติ จากตอนนั้นก็ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว แม้จนถึงตอนนี้ที่นาฬิกาบอกเวลาทุ่มตรงแล้วแต่ทั้งคู่ยังไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน

“...คุณ...ไม่ต้องคอยเฝ้าผมก็ได้นะ”

เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นเบา ๆ แค่พอได้ยินกันเพียงสองคน เรียกได้ว่าเป็นประโยคแรกที่ออกจากปากของบดินทร์ นับตั้งแต่เขาถูกพาตัวมาที่นี่

“ที่ผมเป็นแบบนี้ คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก...เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น...มันไม่ได้เกี่ยวกับคุณเลยสักนิด”

บดินทร์ยังคงพูดเรื่อย โดยที่ไม่ได้หันมามองเลยว่าดนัยจะต้องการรับฟังเรื่องเหล่านั้นหรือไม่

ดนัยตอบโต้ คิ้วของชายหนุ่มเริ่มขมวดเป็นปม คำพูดของบดินทร์ที่ตั้งใจสลัดเขาออกจากเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้น ทำราวกับเขาไร้ตัวตน ทำเอาดนัยรู้สึกไร้ค่าอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดจนทนไม่ได้ น้ำเสียงจึงกร้าวขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ทำไม? ก็เห็นอยู่ว่ามันเกิดขึ้นเพราะผม”

“ไม่ใช่หรอก สิ่งที่คุณทำน่ะมันก็สาสมดีแล้ว ถูกต้องที่สุดแล้วในสิ่งที่คนชั่วช้าอย่างผมควรได้รับ ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละนอกจากตัวผมคนนี้ คนอย่างผม...คนเลวอย่างผม ไม่ควรได้รับการให้อภัย หรือความเห็นใจจากใครเสียด้วยซ้ำ”

บดินทร์อธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ไม่ได้เจตนายั่วยุให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดีเสียหน่อย ทำไมจู่ ๆ ถึงโมโหขึ้นมากัน? เพราะเขาเหรอ พูดแค่นั้นก็ผิดเสียแล้วเหรอ?

คำพูดตัดพ้อตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าของบดินทร์ ปลุกจิตสำนึกของดนัยขึ้นมาได้อีกครั้ง ตอนนี้คนตรงหน้าของเขาเปราะบางจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยง เขาไม่ควรต่อว่าอีกฝ่ายให้สะเทือนใจอีก

“ไม่ใช่อย่างนั้น...ผม...ก็แค่…”

ดนัยพยายามสรรหาบางถ้อยคำเพื่อลดทอนความเจ็บปวดของบดินทร์ แต่ดันจนด้วยคำพูดราวน้ำท่วมปาก ทั้งที่ตัวตนของเขายามปกติเป็นพวกเสแสร้งเก่งแท้ ๆ แต่กลับนึกคำดี ๆ ไม่ออกสักคำ เมื่อคิดหาเหตุผลก็พบว่ามันคงเป็นที่สภาพจิตใจของเขาเองที่ยังไม่ได้มั่นคงพอจะปลอบโยนใคร

เพราะไม่เคยต้องสูญเสียสิ่งที่ต้องการมาก่อน มันจึงทำให้ดนัยกลัวว่าหากพูดอะไรออกไปแล้วทำให้บดินทร์สะเทือนใจขึ้นมาอีก คนคนนี้ก็อาจหนีไปในที่ที่เขาไม่อาจคว้าเอาไว้ได้อีกแล้ว ดนัยขบกรามจนได้ยินเสียงดังกรอดบดินทร์เป็นแค่เหยื่อที่หมายตาแท้ ๆ แต่กลับกล้ามีผลต่อจิตใจของเขาได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ? การตัดสินใจวู่วามของอีกฝ่ายทำให้ดนัยโกรธมาก เพราะหากขึ้นชื่อว่าเป็นคนของเขาแล้ว ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตายตามใจชอบ!

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 07 คำสารภาพ [13 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 13-02-2024 00:47:34


ก๊อก ก๊อก ก๊อก...

“ขออนุญาตครับ”

“อ้าว...หวัดดียุ พี่เมธ”

สุดท้ายดนัยก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป นอกจากกำมือแน่นแล้วนั่งมองคนที่นอนเบือนหน้าไปอีกด้านด้วยความหงุดหงิด ขณะที่กำลังคิดว่าควรใช้วิธีไหนในการกำราบบดินทร์อยู่นั้นกฤตเมธกับสดายุก็เปิดประตูเข้ามาพอดี

ดนัยลุกขึ้นยืนต้อนรับการมาของคนทั้งคู่อย่างยินดี แม้แต่บดินทร์ที่เอาแต่นอนทื่อก็เริ่มหันมามีปฏิกิริยา ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นนั่งมองมายังสดายุและกฤตเมธด้วยประกายตาวูบไหว

ดูท่าบดินทร์จะตกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ สดายุก็มาเยี่ยม

“มาเยี่ยมเหรอ?”

ดนัยเอ่ยปากถามสดายุที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า กำลังจะชวนคุยต่อแต่สดายุกลับก้าวพรวด ๆ เข้าถึงร่างของบดินทร์เสียแล้ว



เพี้ยะ!!

เสียงดังฟังชัดที่เล่นเอากฤตเมธและดนัยถึงกับตะลึง เพราะไม่คิดว่าสดายุจะลงมือตบหน้าบดินทร์ฉาดใหญ่โดยไม่มีคำเตือน

คนตบ ยืนนิ่งเป็นศิลา

คนโดนตบ ก็แข็งทื่อยิ่งกว่าตุ๊กตาดินปั้น

เหลือเพียงกฤตเมธ และดนัยเท่านั้น ที่ได้แต่ยืนมองหน้ากันเพื่อส่งความสงสัยผ่านสายตา

“ขอโทษนะครับ ผมขอคุยกับเขาแค่สองคนได้ไหม?”

ท่ามกลางความเงียบที่โรยตัวอยู่นานหลายอึดใจ ในที่สุดเสียงแหบหวานก็เปรยขึ้นมาเบา ๆ ไม่มีกระแสใดในน้ำเสียงนั้น ทั้งความโกรธ หรือความเศร้า

กฤตเมธไม่ได้ตอบคำใดเพราะตั้งใจตามใจสดายุอยู่แล้ว เพียงแต่ดนัยถึงไม่ได้พูดอะไรแต่เขารู้สึกว่าไม่อยากปล่อยให้บดินทร์อยู่ตามลำพัง ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบใจนักที่เห็นบดินทร์ถูกทำร้ายอีก หัวคิ้วของดนัยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเสี้ยวหน้าฝั่งที่โดนตบของบดินทร์ขึ้นรอยแดงเป็นปื้น

ต่อให้เป็นสดายุเพื่อนที่เขาให้สิทธิ์พิเศษไว้ แต่แบบนี้มันก็…

แต่ถึงดนัยจะอยากแทรกแซงก็เข้าใจได้ว่าบรรยากาศระหว่างสองคนยามนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ตนควรสอดจึงได้หันหลังตามกฤตเมธออกไปนอกห้องตามเจตจำนงของสดายุ

เพียงอึดใจความเงียบก็เข้าครอบคลุมในห้องผู้ป่วยอีกรอบ คราวนี้ไม่ใช่แค่เงียบ แต่มันแฝงความอึดอัดทบทวีขึ้นด้วย เมื่อสดายุผู้มาเยือนยังไม่ยอมเอื้อนเอ่ยสิ่งใด บดินทร์เจ้าของห้องก็ไร้ซึ่งถ้อยคำใด ๆ ในการโต้ตอบทั้งนั้น

ในหัวใจอันบอบช้ำของบดินทร์หนักอึ้ง คำพูดเป็นล้านที่อยากพูดมันเหมือนพากันจุกอยู่ตรงลิ้นปี่ จนรู้สึกคลื่นเหียน พาลอยากอาเจียนออกมา

“เลือดเย็นจังนะ”

ระหว่างที่บดินทร์ยังทำใจอยู่นั้นคำพูดแรกของสดายุก็ถูกเอ่ยออกมา

“...ขอโทษ”

คิดอะไรไม่ออกอีกแล้วหลังจากได้ยินคำปรามาส คำเดียวที่อยู่ในหัว ยังคงมีแค่คำว่า ‘ขอโทษ’ ซ้ำไปซ้ำมา คำคำเดียวกับที่พยายามบอกอีกฝ่ายผ่านสายโทรศัพท์

ทว่าดูเหมือนยิ่งพูดขอโทษ สดายุจะยิ่งหงุดหงิด เสียงแหบเสน่ห์ที่เคยได้ยินจนชินหู วันนี้มันยิ่งเย็นชากว่าทุกครั้ง

“ขอโทษทำไม? กูไม่ได้มาที่นี่เพื่อฟังมึงขอโทษ! แต่กูมาเพื่อฟังเรื่องทั้งหมดจากปากมึง!”

“...ยุ...”

“มึงทำแบบนี้ทำไม?”

“...”

ทั้งที่บดินทร์ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการที่สดายุมาหาตนถึงโรงพยาบาลมันย่อมไม่ใช่แค่การมาเยี่ยมเยียน แต่ถึงอย่างนั้นบดินทร์กลับพูดอะไรไม่ออก จนสุดท้ายสดายุก็ระเบิดออกมาเพราะหมดความอดทน

“ดิน! อย่าให้กูต้องง้างปากมึง บอกมาว่าฆ่าตัวตายทำไม!? มึงทำกับกูถึงขนาดนั้นน่าจะสมใจมึงไม่ใช่เหรอ แล้วเสือกฆ่าตัวตายเพื่อ? ที่มึงโทรมาบอกกูว่าเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดมึงผิดเอง มึงขอโทษ มึงไม่ได้ตั้งใจ มึงมันขี้ขลาด ให้ตายเหอะ! กูไม่เก็ตที่มึงพูดเลยสักเรื่อง!

มึงขอโทษกูหลังจากทำร้ายกูสักร้อยเรื่องได้ กูอุตส่าห์ไม่ว่าอะไร เรื่องเมื่อคืนกูก็ไม่ได้คิดจะแจ้งความแค่เพราะอยากให้เรื่องมันเงียบ แล้วสุดท้ายมึงก็ไปออกคลิปสารภาพบ้าบออะไรนั่นแล้วลากกูไปเป็นข่าวกับมึงอีกครั้ง ลากกูไปโดนขุดคุ้ยกับมึงด้วย นี่คือสิ่งที่มึงทำเพื่อขอโทษกูงั้นเหรอวะ? เจอหน้าก็เอาแต่ทำร้ายกู ลับหลังก็มาขอโทษ แล้วก็สร้างเรื่องให้กูอีก ตกลงมึงจะเอายังไงกับกูกันแน่หา!?”

ราวกับความอัดอั้นในหัวใจที่เก็บไว้เนิ่นนานกลายเป็นน้ำป่าที่ไหลบ่าออกมาไม่หยุด สดายุแทบจะตะปบตัวของบดินทร์ขึ้นมาเขย่าถามให้รู้เรื่อง ถ้าไม่ติดว่าดนัยยังอ่อนแรงอยู่มากเพราะบาดเจ็บอยู่เขาคงไม่ยั้งตัวเองไว้

“อย่าเอาแต่เงียบนะ!”

“กูก็ขอโทษมึงไปแล้วไง มึงยังจะเอาอะไรกับกูอีก!? มึงบอกให้กูหายไปจากชีวิตมึง กูก็จะไปแล้วนี่ไง กูฆ่าตัวตายแล้วทำไมเหรอ คนอย่างกูตายไปเสียได้ไม่ดีกว่าหรือไง...!? ...”

เพี้ยะ!!

เสียงตบดังขึ้นอีกฉาดใหญ่ ทันทีที่บดินทร์พูดจบคำ ใบหน้าของชายหนุ่มชาวาบไปเป็นแถบ ถูกตบซ้ำที่เดิมถึงสองรอบเล่นเอาเนื้ออ่อนด้านในปากปริแตกจนสัมผัสถึงรสเค็มปร่าของเลือดได้ แต่บดินทร์ไม่มีอารมณ์มาใส่ใจหรอกว่าปากจะแตก หรือแก้มจะชา เพราะสิ่งที่เจ็บกว่านั้น...คือหัวใจ

คนตบอย่างสดายุเองก็ได้แต่หลับตาลงครั้งหนึ่ง สูดหายใจด้วยความโกรธขึ้งระคนเจ็บร้าว มือที่ลงมือตบไปสั่นระริกจนสดายุต้องกำมันไว้แน่น ไม่ได้รู้สึกสะใจเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเกลียดบดินทร์ ยิ่งเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก็ยิ่งเกลียดเพราะอีกฝ่ายกล้าลงมือกับตนอย่างเลือดเย็น ทั้งที่เคยดีต่อกันขนาดนั้นกลับไม่ลังเลเลยที่จะลงมือทำร้ายกันครั้งแล้วครั้งเล่า

…แม้กระทั่งเรื่องเมื่อคืนก็ด้วย

สดายุขบกรามแน่น เพื่อข่มอารมณ์พลุ่งพล่านดาลเดือด จ้องมองบดินทร์ที่ค่อย ๆ ผินหน้ามาสบตาตนเชื่องช้า ใบหน้านั้นดูเหนื่อยอ่อนและสิ้นหวัง ประกายในสายตาก็ดูว่างเปล่า ราวกับเป็นเพียงหลุมดำกลวง ๆ

เจ้าของใบหน้าซีดเซียวแสยะยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้สบสายตาวาวโรจน์ของสดายุ รอยยิ้มเยาะที่ไม่ได้หมายถึงฝ่ายตรงข้าม แต่หมายถึงตัวตนของตัวเอง บดินทร์ยิ้มเยาะในความขลาดเขลาและความซวยซ้ำซวยซากของตน

“...ได้...กูก็จะบอก”

ในที่สุดบดินทร์ก็ปริปาก เขาไม่มีอะไรให้เสียแล้ว ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องรู้สึกติดค้าง เขาจะบอกสดายุทุกอย่างเกี่ยวกับความลับที่เขาเก็บงำมาทั้งชีวิต ความลับที่แสนโสมมของตัวเอง

สดายุไม่ได้ว่าอะไรต่อ เพียงเงียบฟังแต่โดยดี ร่างโปร่งยืดตัวขึ้นกอดอกพร้อมแล้วที่จะรับรู้ทุกสิ่งจากปากของบดินทร์

“เพียงดาว...ท้องกับกู”

แค่สิ่งแรกที่ออกจากปากก็ทำเอาสดายุขมวดคิ้วเป็นปมหนักกว่าเดิม

“มะ...มึง...ว่าไงนะ?”

“ความจริงแล้วเพียงดาวท้องกับกู กูไม่ได้ตั้งใจ เราต่างก็พลาด แล้วพอที่บ้านรู้เข้าก็รับกันไม่ได้”

บดินทร์เอ่ยปากเล่าเรื่องตนกับเพียงดาวออกมา แม้สุดท้ายแล้วเรื่องจริงจะไม่รู้เลยว่าลูกในท้องของเพียงดาวคือลูกใครกันแน่ แต่ในตอนนั้นสดายุเองก็ควรมีสิทธิ์แก้ต่างเช่นกัน ไม่ควรต้องมาจบชีวิตดาราลงเพราะเขา…ไม่ควรถูกป้ายสีเพราะเขา

“...แล้วมึง ก็เลยเอากูเป็นเหยื่องั้นเหรอ? มึง...ทำกับกูขนาดนี้เลยเหรอวะ? มึง...ไม่เคยเห็นกูเป็นเพื่อนเลยเหรอ?”

แค่ได้ยินหัวใจของสดายุก็สั่นไหว บดินทร์ส่ายหน้า พยายามแก้ต่างให้ตัวเองขณะที่น้ำตาเริ่มกลั่นตัวหยาดลงมาเป็นสาย

“ตอนนั้นกูไม่รู้จริง ๆ ว่าเพียงดาวจะทำแบบนั้น กว่ากูจะรู้เรื่องก็ตอนที่มันเป็นข่าวไปแล้ว กูเอง...ก็ตกใจเหมือนกัน”

“มึงไม่รู้เรื่อง? แต่หลังจากนั้นมึงก็ปล่อยให้มันเป็นไป ไม่มีช่วย ไม่มีบอก หลบหน้ากูราวกับเห็นผี จนกูถูกระเห็จออกจากวงการ ไม่มีแม้แต่จะโทรหากูสักครั้ง ไม่เคยคิดจะแยแสกูเลยสักนิด หึหึ...นี่สินะที่มึงบอกว่าไม่รู้เรื่อง”

สดายุถามออกมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบราวกับผิวน้ำที่ไร้คลื่นที่ซุกซ่อนคลื่นลูกใหญ่ไว้ข้างใต้อย่างเงียบเชียบ

คำพูดนั้นราวกับหมัดฮุกซัดตรงเข้ากลางอกจนบดินทร์แทบกระอัก ความจริงมันช่างน่ากลัว ความจริงที่เขาพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดมันช่างน่ากลัว แต่ถึงอย่างนั้นบดินทร์ยังยืนหยัดที่จะพูดเรื่องทั้งหมดต่อไป เขาผิดกับสดายุมามากพอแล้ว อย่างน้อยถ้านี่คือสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ เขาก็พร้อมจะทำทุกอย่าง

"…พอที่บ้านรู้ว่าเพียงดาวท้องกับกู พ่อก็โมโหมากจนประกาศตัดพ่อตัดลูก...ตอนนั้นกูกำลังแย่จนทำอะไรไม่ถูก มันสับสนไปหมด กว่าจะมารู้อีกทีก็ตอนที่มึงเป็นข่าวกับเพียงดาวไปแล้ว...กูไม่คิดว่าพ่อกูจะให้เพียงดาวทำแบบนั้น...ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากช่วย...แต่...กูทำไม่ได้"

บดินทร์พยายามอธิบายพยายามเล่าทุกอย่างตามความเป็นจริงเขาไม่มีอะไรต้องปิดบัง เพราะเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปิดบัง

"กูขอโทษ...ตอนนั้นกูกลัวไปหมดทั้งพ่อ...ทั้งมึง...และ...กูกลัวตัวเองเป็นข่าว...กูกลัวหมดอนาคตในวงการ กูขอโทษที่กูเสือกคิดเองเออเอง ว่าแค่ข่าวพวกนี้คงทำอะไรดาราดังระดับมึงไม่ได้ ยังไงเดี๋ยวบอสก็ต้องเคลียร์ให้เหมือนทุกครั้ง แต่กู...เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ที่กำลังเริ่มมีผลงาน เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก ถ้าจู่ ๆ เป็นข่าวขึ้นมา...มันก็จะพังหมดตอนนั้นกูคิดแค่นั้นจริง ๆ ไม่ได้คิดทำลายมึงเลย หลังจากเกิดเรื่องกูก็เก็บตัวอยู่บ้านตลอด...มารู้อีกที...เรื่องมันก็เลยเถิดเกินกว่าที่กูจะจินตนาการถึงไปแล้ว"

เสียงทุ้มสั่นพร่าเอ่ยอย่างอึดอัด น้ำตาหยดร่วงจากหน่วยตาแดงช้ำ

"...แล้วไงต่อ? "

"..."

"แล้วหลังจากนั้นมันเป็นยังไงต่อ? ลูกมึง...เป็นยังไงบ้าง? "

สดายุยังคงเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกับใบหน้าเย็นชากำลังแช่แข็งบดินทร์ไปทั้งร่าง

"...เพียงดาวแท้งน่ะ ตอนนั้นเธอถูกนักข่าวรุมสัมภาษณ์ทั้งยังถูกขุดคุ้ยอดีตจนความเครียดสะสม สุดท้ายเลยแท้ง...พอหายออกจากโรงพยาบาล พ่อก็ส่งไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ส่วนกูก็ถูกไล่ออกจากบ้านตั้งแต่ตอนนั้น"

ทุกคำที่เล่าออกจากปากราวกระชากวิญญาณออกมาด้วย บดินทร์กัดฟันเล่าทุกอย่างด้วยน้ำเสียงแหบพร่าลงเรื่อย ๆ ร่างกายอ่อนล้าสั่นเทิ้มขึ้นทุกขณะ

สดายุถอนหายใจกับตัวเองเมื่อได้ฟังเรื่องราวนั้นจนจบ เรื่องราวมันยุ่งเหยิงจนเขาไม่รู้ว่าควรจะเอามือไปสางออกที่ตรงไหน ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บปวด ทั้งอึดอัดจนไม่รู้ว่าจะระบายออกมายังไงจนได้แต่เม้มปากยืนมองร่างสั่นระริกของบดินทร์เงียบ ๆ เมื่อปล่อยเวลาผ่านไปได้อีกครู่จึงถามออกมาต่อ

"โอเค…ช่างแม่งเรื่องที่ทำให้กูได้พักงานยาวเป็นปีนั่นเหอะ เรื่องที่มึงควรต้องบอกกูอีกอย่าง คือทำไมหลังจากที่กูกลับมามึงยังมาวุ่นวายกับกูอีก? "

"...กู...ไม่ตั้งใจ"

"หะ? มึงโปะยาสลบกูขนาดนั้นยังบอกไม่ได้ตั้งใจ มึงคิดว่ากูแดกหญ้าเหรอ? "

"กูก็สารภาพไปทางคลิปหมดแล้วไง! "

"คลิปเหี้ยนั่นกูไม่ดู! กูจะฟังจากปาก อยากพูดอะไรก็พูดต่อหน้ากูนี่! "

การโต้เถียงไม่เคยกินเวลาเกินห้าประโยคเพราะไม่ว่ายังไงบดินทร์ก็ไม่มีทางเถียงชนะสดายุที่ตั้งใจมาคาดคั้นได้อย่างแน่นอน

บดินทร์สูดหายใจเข้าปอดหนัก ๆ ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วกำลังใช้แรงทั้งหมดที่มีค้ำร่างไว้อย่างหมิ่นเหม่จะล้มแหล่มิล้มแหล่ มือขวาที่ระโยงสายน้ำเกลือ กำข้อมือซ้ายที่มีแผลเย็บยาวเหยียดเอาไว้แน่นพลางเอ่ยเล่าเรื่องราวต่อไปด้วยปากคอที่สั่นระริก

“เพราะกูอิจฉามึง”

บดินทร์ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเครือสั่น คำว่า ‘อิจฉา’ ที่บดินทร์เอ่ยออกมามันราวกับกำลังใช้มีดจี้แทงที่หัวใจของตัวเองซ้ำ ๆ ยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกสมเพชตัวเองจนอดยกยิ้มหยันขึ้นมาไม่ได้ ขณะเล่าเรื่องราวที่อัดอั้นอยู่ในใจออกมาเรื่อย ๆ ฝ่ายสดายุเองก็นิ่งฟังด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยสงบนักจนต้องยกแขนขึ้นกอดอกตัวเองไว้ ปล่อยให้บดินทร์ได้พูดพล่ามเรื่องราวเหล่านั้นต่อไป

“...กูโคตรอิจฉามึงเลย...ในขณะที่ใคร ๆ ต่างก็ย่อยยับด้วยคำครหานินทา มึงกลับยังยืนอยู่ได้ ในขณะที่ใคร ๆ ต่างก็วุ่นวายเพราะคำคน แต่คำใครก็ไม่มีทางทำอะไรมึงได้ ร้อยพันคำนินทา ต่อให้ถูกสาดสีสาดโคลนใส่ ไม่ว่ายังไงมึงก็ยังดูสวยสะอาด แม้แต่เรื่องที่มึงทำตัวเหลวไหล ก็มีแต่คนมองข้าม...แค่เรื่องเหล่านั้นกูก็อิจฉามึงจะแย่แล้ว...พอมีเรื่องข่าวนั่นขึ้นมา...กูยิ่งอิจฉามึงขึ้นอีกร้อยเท่า...มึงเคยรู้ตัวบ้างไหมวะ?

คนอย่างกูแม่งโคตรเหี้ยที่อิจฉามึง ทั้งที่มึงคือเพื่อนสนิท...เป็นต้นเหตุให้มึงต้องออกจากวงการ โดยไม่ยอมช่วยเหลือยังไม่พอ กูยังอิจฉาที่มึงยังชีวิตอยู่ได้อย่างเยือกเย็นอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่กูอยู่ในวงการอย่างยากเย็น เจ็บปวด โดดเดี่ยว แต่มึงกลับอยู่ข้างนอกนั่นอย่างสบายอารมณ์ และพอข่าวซาไปแค่ไม่นาน ทางผู้ใหญ่เขาก็พยายามดึงมึงกลับเข้าวงการมาอีก...เส้นทางแม่งโรยด้วยกลีบกุหลาบตลอด...กูแม่งโคตรอิจฉา...กูเคยพยายามเลียนแบบมึง พยายามเข้มแข็งให้ได้อย่างมึง แต่ทำไมมันไม่เคยได้อย่างใจวะ...กูคิดอยู่เสมอเลยนะว่ากูกับมึงต่างกันตรงไหน...โอเค ไม่นับเรื่องฝีมือหรือพรสวรรค์ แค่เรื่องความรู้สึกกับหัวใจ ทำไมกูถึงเข้มแข็งสู้มึงไม่ได้กัน?

แต่ก็นะ...สุดท้ายกูก็ได้แค่อิจฉา...ยิ่งกูอิจฉามึงเท่าไหร่ กูก็ยิ่งเกลียดตัวเองขึ้นเท่านั้น เพราะกูมึงเลยต้องออกจากวงการไป และเพราะอย่างนั้นกูเลยต้องโดดเดี่ยว ต้องทำทุกอย่างที่ท่านประธานสั่ง เพราะมันเป็นเพียงทางเดียวที่กูจะยังสามารถอยู่ในวงการได้ กู...หมดศรัทธาในการเป็นนักแสดงไปนานแล้วตั้งแต่ที่มึงจากไป...แต่...ถ้าไม่เป็นนักแสดงกูก็…ไม่มีที่ไป ชีวิตที่เหลือหลังจากนั้น กูก็แค่ใช้มันไปวัน ๆ ทำตามที่ท่านประธานชอบ รับงานที่ท่านประธานสั่ง จากนั้นก็ไม่มีอะไรเลย ชีวิตกูโคตรว่างเปล่า...กูไม่มีใครไม่มีที่ยึดเหนี่ยวกูก็เลย...เข้าบ่อน"

“หะ?”

สดายุถึงกับอุทานออกมาเมื่อได้ยินว่าบดินทร์ยุ่งเกี่ยวกับการพนัน ทั้งที่เขาจำได้ดีว่าในอดีตแม้จะเสเพลเหลวไหล แต่ทั้งเขากับบดินทร์ต่างก็ไม่ชอบการพนันเหล่านี้และไม่เคยเฉียดใกล้แม้แต่น้อย แล้วนี่บดินทร์กลับบอกว่าเข้าบ่อน เล่นเอาความพลุ่งพล่านที่สดายุพยายามเก็บงำเอาไว้เริ่มปะทุขึ้นมาอีกรอบ

แต่บดินทร์กลับเล่าเรื่อยด้วยดวงหน้าชาชืด ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริกยังคงพ่นเรื่องราวความระยำต่ำช้ามากมายของตัวเองออกมา

“...เออ...มึงฟังไม่ผิดหรอก กูเข้าบ่อนเพราะมันเป็นทางเดียวที่ทำให้กูผ่อนคลาย ทำให้กูรู้สึกสนุก ทำให้รู้สึกว่าในชีวิตจำเจของกูยังมีอะไรน่าค้นหา แน่นอนว่ากูคิดผิด แน่นอนว่ากูมันโง่ แค่ไม่นานที่กูติดงอมแงมอยู่ในบ่อน รู้ตัวอีกทีกูก็เป็นหนี้มากมายซะแล้ว...”

“หนี้? เท่าไหร่?”

สดายุถึงกับยกกำปั้นขึ้นมายีขมับตัวเอง

“...สิบล้าน”

“สิบล้าน!! มึงโง่หรือมึงบ้าเนี่ย!? เล่นเข้าไปได้ไงวะ จนเป็นหนี้สิบล้าน!”

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 07 คำสารภาพ [13 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 13-02-2024 00:48:36


ไม่พูดเปล่า มือขาวกระชากคอเสื้อคนป่วยของบดินทร์ขึ้นอย่างแรงด้วยความโมโห แต่ดูเหมือนยิ่งถูกกระทำรุนแรง บดินทร์จะยิ่งเริงร่ายินดี แม้ร่างกายอ่อนล้าเต็มทีแล้วก็ยังสามารถส่งยิ้มหวานให้สดายุทั้งที่น้ำตาคลอหน่วย

“ยุ...มึงยังใส่ใจกูอยู่อีกเหรอ? หึหึ”

บดินทร์รู้ดีว่าสดายุเกลียดการพนัน ตอนเป็นเพื่อนกันก็คอยเตือนเขาอยู่ตลอด แม้แต่ประโยคก่นด่าเมื่อครู่บดินทร์ก็รู้ว่ามันแฝงไว้ด้วยความห่วงใย

แต่คำพูดนั้นของดนัยกลับทำให้สดายุชะงักเล็กน้อย คงเพราะรู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการอะไรออกมาจึงรีบสะบัดมือออกจากบดินทร์ด้วยท่าทีแสดงความหงุดหงิดไม่น้อย

“กูก็แค่สมเพชมึง แล้วไงต่อ? มึงเป็นหนี้แล้วมันเกี่ยวกับการที่มึงพยายามหาเรื่องกูทุกครั้งที่เจอหน้าตรงไหน? ที่มึงร่ายมาเป็นคุ้งเป็นแควเนี่ย มันเกี่ยวกับกูตรงไหน?”

พอได้สติสดายุก็ผละออกไปยืนกอดอกมองมายังบดินทร์ด้วยสายตาขุ่นข้องเช่นเดิม แต่แค่ความรู้สึกจากสดายุที่บดินทร์สัมผัสได้เมื่อครู่ก็เพียงพอให้เขาสามารถพูดต่อด้วยพลังที่เหลือ

“...ตอนแรกก็ไม่เกี่ยวหรอก...ที่กูตอแยมึงตอนนั้นก็แค่เพราะความเหี้ยของกูเอง ตอนกลับมาเจอกันอีกรอบกูโคตรอยากคุยกับมึงดี ๆ แต่มันสายเกินไปที่คนอย่างกูจะเข้าไปคลุกคลีกับมึง จริงไหม? ตอนนั้นกูรวบรวมความกล้าแทบตายกว่าจะกล้าทักมึงออกไป...แต่พอมึงเรียกกูว่า ‘คุณบดินทร์’ พร้อมกับสีหน้าเย็นชาแบบนั้น กูก็รู้ทันทีเลยว่ามึงคงไม่มีทางให้อภัยกูได้...”

บดินทร์บ่นร่ำถึงครั้งที่ได้พบกันครั้งแรก หลังจากสดายุกลับเข้าวงการ วันที่เขายืนรวบรวมความกล้าอยู่นานสองนานกว่าจะกล้าเข้าไปทักสดายุ อยากเอ่ยขอโทษเหลือเกินในตอนนั้น วาดหวังว่าสดายุคงจะยอมพูดคุยด้วยสักครั้ง ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้ขออภัย แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะสายตาที่สดายุใช้กับเขาตั้งแต่แรกพบ คือสายตาแห่งความชิงชังแสนเย็นชา

ตอนนั้นด้วยความที่ทำอะไรไม่ถูก กับไม่อยากปล่อยโอกาสในการเจอหน้าสดายุให้หลุดลอยไปง่าย ๆ เขาจึงได้เผลอทำอะไรโง่ ๆ ออกไป โดยการพูดจาร้ายกาจเพื่อยียวนสดายุให้หันกลับมาคุยด้วย แม้จะไม่ได้มาด้วยไมตรี แต่เขาก็ยินดีอย่างที่สุดที่จะได้ยืดเวลาคุยกับอีกฝ่ายอีกแค่นาทีหนึ่งก็ยังดี

“เพราะมึงผิดหวังที่กูไม่ง่าย มึงเลยร้ายใส่กูงั้นสิ?”

“เพราะกูอยากคุยกับมึงให้นานกว่านั้น กูเลยเผลอพูดไม่ดีใส่มึง...”

“อยากคุยกับกู? แต่เหี้ยใส่กูเนี่ยนะ? มึงอย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อคืน มึงก็ทำไปเพื่อหาเรื่องคุยกับกู?”

สดายุคำรามเสียงต่ำ ใบหน้าถมึงทึงจนแทบจะหยดออกมาเป็นสีดำขึ้นทุกขณะ คล้ายกับว่าหากคำตอบของบดินทร์หลังจากนี้คือคำว่า ‘ใช่’ คงได้ชำระความหลายหมัดเป็นแน่ ทว่าคำตอบของบดินทร์นั้นกลับทำให้สดายุอึ้งไม่น้อย

“ช่วงแรกกูแค่หาเรื่องคุย แต่ช่วงหลัง…เพราะชิดจันทร์สั่งให้กูทำ”

“ว่าไงนะ? ชิดจันทร์? นางเกี่ยวอะไรด้วย?”

“เพราะมึงไปแย่งเหยื่อของมันเข้าไงล่ะ กฤตเมธเป็นเหยื่อที่ชิดจันทร์หมายตาเอาไว้ แล้วมึงดันไปแย่งมาจากอก แถมยังไปยียวนใส่ซะเยอะด้วย นังนั่นเลยของขึ้นไง”

“เกี่ยวอะไรกับกฤตเมธ?”

"ก็ไม่รู้สิ...ไม่เคยมีโอกาสได้ถามแค่รู้ว่ามันเกลียดกฤตเมธอย่างกับอะไร เพราะหมอนั่นดันเป็นลูกรักของท่านประธานยังไงล่ะชิดจันทร์เลยเกลียดนัก."

"เหตุผลงี่เง่าอะไรวะนั่น? "

"ไม่รู้สิ...กูมีหน้าที่แค่ทำตามที่มันสั่งแค่นั้น..."

"เพราะอะไร? "

"...เพราะสิบล้านไง สิบล้านหนี้พนันที่กูติดไว้มันดันเป็นบ่อนของเพื่อนชิดจันทร์มัน นังนั่นสัญญาจะผัดผ่อนหนี้ให้...ถ้ากูทำตามที่มันสั่ง"

บดินทร์พูดพลางแค่นหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ ไปด้วยอย่างนึกสมเพชตัวเอง สดายุเพียงยืนนิ่งอึ้งมองมาอยู่แบบนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายที่บดินทร์เองก็เดาไม่ออกว่าฝ่ายนั้นคิดยังไงกับตนตอนนี้กันแน่ ระหว่างสมเพชหรือสังเวช

สดายุกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตนควรรู้สึกยังไง จึงได้แต่มองบดินทร์ที่ดูราวเศษกระเบื้องแตก ๆ ผิดกับความทรงจำยามที่เคยสนิทสนม เปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไป...จนรู้สึกเจ็บปวดแทน

"...แล้วมึงก็โง่ทำตามทุกคำ? อิดออดไม่ได้ ตุกติกไม่ได้ ต่อให้เป็นเรื่องเหี้ยแค่ไหนก็ทำงั้นสิ? แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าซื่อสัตย์แล้วล่ะ...เรียกอย่างอื่น"

คำจิกกัดของสดายุจี้แผลสุดในใจของบดินทร์ราวเอาน้ำกรดรดซ้ำ ทำให้ในที่สุดบดินทร์ก็สติหลุดเสียงแหบแห้งเครือสั่นตวาดกร้าว ร่างสั่นเทาในชุดคนไข้กระโจนใส่สดายุพร้อมตะปบคว้าคอเสื้อของฝ่ายนั้นไว้แน่นพลางใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ลากร่างโปร่งบางของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ด้วยแรงอารมณ์ปวดร้าว

"มึงก็พูดได้สิยุ กูเป็นหนี้มันอยู่สิบล้านถ้าไม่ทำก็ตาย! ชีวิตกูคนเดียวไม่เท่าไหร่แต่พวกมันจะลากครอบครัวกูไปด้วย! กูไม่ได้อยากทำแต่กูจำเป็นมึงจะให้กูทำยังไง!? "

"งั้นทำไมไม่ตายซะ"

"...!!? "

บดินทร์เบิกตาโพลงกับภาพตรงหน้าที่เห็นสดายุพูดคำนั้นออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาราวพระอิฐพระปูน เลือดหลั่งรินในหัวใจจนท่วมท้น ไม่เหลืออะไรอีกแล้วแม้สักเศษเสี้ยวแห่งความหวังริบหรี่ ตัวตนสุดท้ายพังทลายไม่เป็นท่า

ตายเหรอ?

เขาก็พยายามแล้วที่จะตาย แต่แค่เรื่องพรรค์นั้นก็ยังทำไม่สำเร็จ น้ำตาที่หลั่งร่วงจากหน่วยตาที่บอบช้ำที่ยังเบิกกว้าง คำพูดของสดายุร้ายกาจเกินไป ร้ายกาจจนทำให้บดินทร์ถึงกับสิ้นเรี่ยวสิ้นแรง ทั้งร่างของชายหนุ่มทรุดฮวบลงบนเตียงคนไข้อย่างไร้กำลัง สองมือที่ถือกำคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้ร่วงผล็อยลงข้างกายอย่างอ่อนแรงล้า

ใช่…เขาประสงค์ที่จะตาย และจนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้คิดเจ็บช้ำจากสิ่งที่ตัดสินใจทำ แต่ไม่รู้ทำไมพอได้ยินคนอื่นไล่ให้ไปตาย หัวใจก็กลับรับไม่ไหวขึ้นมา

ชีวิต...ลมหายใจของเขา มันคงไร้ค่าขนาดนั้นเลยสินะ

“กูก็ทำแล้วไง…กูทำไปแล้ว…”

บดินทร์ครางเครือตัดพ้อ ถึงอย่างนั้นคนตรงหน้าก็ยังคงพูดจาโหดร้าย

“กูหมายถึงถ้ามึงอยากตายนัก ก็ควรตายตั้งแต่ยังไม่สร้างเรื่องโน่น! มาตายตอนนี้มันจะไปได้ประโยชน์อะไร นอกจากตายให้คนด่าตามหลัง! พอเกิดปัญหาก็เอาแต่คิดจะตาย แล้วมึงคิดหาวิธีแก้ไม่เป็นเลยหรือไง!”

“...”

บดินทร์หลับตาลงแล้วฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกระทบกระเทียบอย่างไร้หนทางโต้เถียง จะให้พูดอะไรได้เล่าในเมื่อเรื่องที่สดายุสาวไส้มานั้นมันก็คือเรื่องจริงทั้งหมด

“กูถามมึงหน่อยเหอะ เคราะห์กรรมที่มึงเป็นคนสร้าง ทำไมกูต้องรับแทนมึงด้วยวะ? ตั้งแต่เรื่องเพียงดาว มึงบอกว่ายกให้เป็นเด็กกู มึงก็เสือกไปทำจนท้องแล้วมาโบ้ยกู ถามหน่อยกูไม่ใช่พ่อเด็กกูจะรับไหม? ไม่ว่ายังไงค่าก็เท่ากัน มีแต่เสียกับเสีย กูก็เลยไม่รับ สุดท้ายเป็นไงเป็นไง ก็ฉิบหายจนถูกเฉดหัวออกจากวงการเฉย ทั้งที่กูไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ขอโทษ...”

“เดี๋ยว ยังไม่จบ จบจากเรื่องเพียงดาว กูก็อุตส่าห์ก้มหน้ารับกรรมไปโดยไม่พูดอะไร ไม่พาดพิงถึงมึงสักคำ แต่ขนาดกูจากมาโดยไม่มีเงื่อนไขเหี้ยอะไรกับมึงแล้วนะ มึงก็ยังอุตส่าห์ตามราวีกูอยู่นั่น จะไม่ให้กูลืมตาอ้าปากเลยใช่ไหม? กูเคยไปทำอะไรมึงไว้เหรอถึงได้จองเวรกูนัก แค่กูกลับเข้าวงการได้ไม่เท่าไหร่ มึงก็ตามเป็นมารผจญกูซะแล้ว ไม่ต้องมาอ้างเลยนะว่าทำไปเพราะจำเป็น เพราะครอบครัว หรือเพราะห่าเหวอะไรของมึงน่ะ ต้องทำตามที่ชิดจันทร์บงการ? แล้วไง? บอกว่าจำใจทำ แต่มึงก็ทำ! เหี้ยดิน กูถามจริงมึงเคยคิดว่ากูเป็นเพื่อนบ้างไหม!?”

“...ฮึ่ก…กูขอโทษ...”

สิ้นคำถามของสดายุ บดินทร์ก็ทิ้งร่างลงฟุบหน้าร้องไห้ปริ่มใจจะขาดอยู่บนเตียงคนไข้ ไม่ได้ร้องไห้เพียงแค่คำตัดพ้อของสดายุ แต่ร้องไห้เพราะเห็นน้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากหน่วยตาที่ยังคงแข็งกร้าวตรงหน้า

เจ็บไม่แพ้กัน...เขาสำนึกแล้ว

“...ยุ...กูขอโทษ...”

บดินทร์ร้องครางอย่างเจ็บปวด สองมือสั่นระริกที่ระโยงระยางไปด้วยสายน้ำเกลือค่อย ๆ ขยับไปจับมือของสดายุที่อยู่ตรงหน้า อย่างหน้าไม่อาย เพราะไม่ได้ถูกสะบัดไล่ จึงค่อย ๆ ซบใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงไปแนบ

ผิดไปแล้ว...

ผิดไปแล้ว...ผิด...จนไม่อาจสรรหาคำใดมาขออภัยจากเจ้าของมือคู่นี้ได้เลย

“ดิน สมควรแล้วที่มึงจะอิจฉากู มึงสงสัยใช่ไหมว่าทำไมกูถึงไม่สะทกสะท้านกับอะไรง่าย ๆ แล้วทำไมมึงถึงทำอย่างกูไม่ได้ นั่นก็เพราะจิตใจของมึงมันอ่อนแอไงล่ะ อ่อนแอแล้วยังไม่มีหัวคิดด้วย มึงเลยเป็นแบบนี้ จำคำกูไว้เลยนะ ถ้าจากนี้ไปมึงยังไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง มึงเตรียมอิจฉากูไปทั้งชาติได้เลย”

สดายุก่นด่าบดินทร์ทั้งน้ำตานองหน้า เสียงแหบพร่าสั่นเครือในทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยินยอมให้บดินทร์เคลื่อนกายเข้าไปโอบกอดเอวบางนั้นอย่างง่ายดาย ทั้งยังเผลอยกมือขึ้นโอบศีรษะของบดินทร์ที่ซบอยู่ตรงหน้าอกด้วย

บดินทร์สะอึกสะอื้นด้วยความปวดปร่าไปทั้งหัวอก กอดอดีตเพื่อนรักแน่นด้วยแรงกำลังที่เหลืออยู่

“ทำไมมึงไม่บอกกูสักคำ หืม? มึงเองก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนยังไง ในครั้งแรกนั่นถ้ามึงตั้งใจคุยกับกูดี ๆ สักคำแทนที่จะทำเหี้ยแบบนั้น แค่มึงแสดงความจริงใจกับกูสักครั้ง คิดว่ากูจะไม่เปิดโอกาสให้เราได้พูดคุยกันเหรอ? เรื่องพวกนั้นถ้ามึงเล่าให้กูฟังไม่ว่าเมื่อไหร่กูก็พร้อมจะฟังแท้ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพียงดาว หนี้สิบล้าน หรือชิดจันทร์ เรื่องพวกนั้นถ้าช่วยกันก็อาจมีทางออกก็ได้ ทั้งที่กูรอให้มึงเล่าทุกอย่างให้กูฟัง รอมาตลอด...ทำไม...มึงถึงปล่อยให้มันเป็นแบบนี้...หืม?”

“...กู...ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ยุ...ฮึ่ก…กูขอโทษ”

มีเพียงเสียงขอโทษแผ่วเบากับอ้อมกอดที่กระชับแน่นเท่านั้นที่แทนทุกความรู้สึกของบดินทร์ออกมา จากนั้นก็ไม่มีคำใด ๆ หลุดออกจากทั้งคู่อีกนอกจากเสียงสะอื้นเบา ๆ เรื่องราวทั้งหมดระหว่างบดินทร์กับสดายุ ในที่สุดก็จบลงแล้ว

เวลาไหลผ่านไปครู่ใหญ่

เมื่อหัวใจทั้งสองดวงสงบลงได้แล้ว สดายุก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ คล้ายบ่นกับตัวเอง

“เฮ้อ…เอาเถอะ กูรู้ว่าคาดคั้นมึงไปก็เท่านั้น เรื่องแม่งมันก็ย้อนไม่ได้แล้ว ถึงด่ามึงไปแต่กูก็รู้จักมึงดีว่านอกจากปากหนักแล้วทิฐิมึงเองก็สูงเทียมฟ้า โดยเฉพาะในเรื่องความผิดของตัวเอง ก็ไม่แปลกที่มึงจะไม่พูดอะไรเลย”

“...”

สุดท้ายแล้วสดายุก็ปลงตก เขาเพียงกอดบดินทร์ไว้แบบนั้นแล้วพูดถึงสิ่งที่คิด

“กูอโหสิกรรมให้มึง...ดิน กูจะถือว่าคนที่ชื่อบดินทร์ได้ตายไปจากชีวิตกูไปแล้ว”

“...ยุ จะเป็นไปได้ไหม...ที่กูกับมึง...จะ..."

‘กลับไปเป็นเพื่อนกัน’ คือคำที่ยังไม่ทันได้พูดออกไป เพราะถูกสดายุยั้งเอาไว้เสียก่อน

“อย่าเพิ่งเลยมึง เข้าใจกูหน่อยนะ”

“...อือ”

ถึงจุดนั้นบดินทร์ก็ทำได้แค่พยักหน้ารับ เพราะเท่าที่ได้รับจากสดายุคราวนี้มันก็มากพอแล้ว

“หยุดร้อง...จากนี้ไปมึงต้องอยู่ให้ได้...กรรมที่มึงสร้างขึ้นมาแล้วชดใช้มันซะให้จบ”

“...เข้าใจแล้ว”

“นอนพักซะเถอะ”



++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 07 คำสารภาพ [13 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 13-02-2024 00:49:21


“เรื่องครั้งนี้เป็นบทเรียนราคาแพงเลยนะ สำหรับบดินทร์”

กฤตเมธเอ่ยขึ้นขณะยังคงยืนกอดอกพิงกำแพง เสมองไปทางอื่นแสร้งไม่สนใจคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนพูดสั่งสอนบางอย่าง

“และมันก็เป็นบทเรียนที่มีค่ามากสำหรับนายด้วย ดนัย”

“...”

คำพูดของรุ่นพี่ค่อนข้างจี้ใจดำ จนดนัยที่หน้าตึงอยู่แล้วคิ้วขมวดขึ้นไปอีก เขาไม่ได้ตอบอะไรใจอยากอัดบุหรี่เข้าปอดสักฟอดเพื่อให้สมองปลอดโปร่งขึ้นหน่อย ครั้นพอหยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่งกำลังจะถึงปากก็ต้องชะงักไปเพราะนึกขึ้นได้ว่าอยู่ในเขตปลอดบุหรี่ของโรงพยาบาล จึงได้แต่คีบบุหรี่เปล่า ๆ ไว้ที่นิ้วอยู่แบบนั้น

อาการเครียดจัดจนทำอะไรไม่ถูกของดนัยอยู่ในสายตาของกฤตเมธทุกอย่าง ความเป็นห่วงเป็นใยที่ดูเหมือนจะมากกว่าปกติ ตอนโทรมาบอกกันแค่ว่าเผลอลงมือทำร้ายร่างกายของบดินทร์หนักมือไปหน่อย ตอนแรกกฤตเมธไม่ได้คิดอะไรเพราะเท่าที่รู้จักกันมาน้องชายเขาคนนี้มาก็ย่อมรู้ดีถึงสันดานเบื้องหลังแสนโหดเหี้ยมที่ดนัยซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร กี่รายแล้วที่ชีวิตต้องป่นปี้คามือของอีกฝ่าย ถึงพวกนั้นจะสมควรโดนก็เถอะ แต่เขาก็ไม่เคยเห็นดนัยกระวนกระวายเช่นนี้มาก่อน จะบอกว่าเพราะตกใจที่จู่ ๆ บดินทร์ก็ฆ่าตัวตายหรือเพราะเหตุผลอื่นกันแน่นะ?

…เหตุผลที่ไม่อาจปล่อยมือ

กฤตเมธครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ

“ไม่น่าเชื่อว่าบดินทร์จะตัดสินใจทำแบบนั้นเนอะ จุดยืนของคนเรานี่มันไม่เท่ากันจริง ๆ บางคนต่อให้ถูกบดขยี้แค่ไหนก็ไม่สะทกสะท้าน คนชั่วบางคนขนาดถูกจับลงทัณฑ์ก็ยังยิ้มอยู่ได้ แต่สำหรับคนบางแค่เพียงสะกิดนิดเดียวก็พร้อมร่วงลงก้นเหว...เฮ้อ ทำเอารู้สึกผิดนิด ๆ เลยที่เมื่อคืนหนักมือหนักเท้าไปหน่อย”

“ผมจะไม่ให้เขาทำแบบนั้นอีก!”

ดนัยโพล่งขึ้น แม้น้ำเสียงฝ่ายนั้นจะติดเย็นชาอยู่สักเล็กน้อยแต่ก็พอสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความห่วงใย กฤตเมธหรี่ตาลงเล็กน้อย ชัดเจนแล้วว่าระหว่างดนัยและบดินทร์มีอะไรบางอย่างที่มากกว่าแค่ที่เห็น

“ไม่เคยเห็นนายเป็นนายเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ”

“เขาพิเศษน่ะ…ขอโทษนะพี่”

ดนัยตอบออกมาตามความรู้สึกจริงที่ตนมีโดยไม่ได้คิดปิดบังกับกฤตเมธแม้แต่น้อย และที่ขอโทษตามออกไปก็เป็นการประกาศเจตนาอย่างชัดเจนว่าหลังจากนี้ดนัยก็จะยืนข้างบดินทร์อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วสดายุจะกลับไปเป็นคืนดีกับบดินทร์ได้หรือไม่ก็ตาม

“เฮ้ย อย่าคิดมาก ถ้าหมอนั่นสำนึกได้แล้วจริง ๆ และไม่มาวุ่นวายกับยุอีก พี่ก็ไม่ติดใจอะไรแล้วล่ะ”

กฤตเมธหัวเราะเบา ๆ พลางตบไหล่น้องชายในเชิงไม่ถือสา

“พี่เองก็บันดาลโทสะไปหลายหมัดเหมือนกัน เพราะหน้ามืดที่เขามาทำคนของพี่ อันที่จริงก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองมีส่วนผิดนิด ๆ เหมือนกันที่หนักมือกับบดินทร์ไปหน่อย”

“ไม่หรอกพี่ หมอนั่นสร้างเรื่องก่อน เขาพร้อมรับกรรมจากพี่อยู่แล้ว”

“อืม…จากนี้ไปก็คงทำได้แค่อโหสิกรรมซึ่งกันและกันแล้วล่ะ”

“...”

“เหลือแต่นายแล้วดนัย”

“ครับ?”

“นายน่ะ จะเอายังไงกับบดินทร์ต่อ?”

“...นั่นสินะ”

พอถูกถามออกมาแบบนั้น ดนัยที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นก็เริ่มครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ตนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ให้ตายเถอะถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็เขาจะไม่สนใจไยดีเด็ดขาด จะตายตกตามกันไปอย่างไรก็มีแต่จะสร้างความสะใจให้เขามากกว่า แต่คนคนนั้นต้องไม่ใช่บดินทร์!

ดนัยขบกรามกรอด เพราะเขาไม่เคยให้ความสนใจใครเท่านี้มาก่อนจึงยิ่งรู้สึกทั้งเสียหน้าทั้งเจ็บใจที่บดินทร์ปฏิเสธมือที่ตนยื่นไปให้ ทั้งที่คิดว่าจะให้ความสำคัญและอุตส่าห์ให้คำสัญญาไว้แล้วแท้ ๆ การที่อีกฝ่ายดันรนหาที่แบบนี้ เล่นเอาหงุดหงิดจนทนสงบใจอย่างปกติไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจจะพาไปอยู่ในโลกฝั่งเดียวกันที่ไม่ต้องกลัวอะไรด้วยอยู่แล้วเชียว…

ชายหนุ่มชะงักเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้ มุมปากกระตุกขึ้นหนึ่งครั้งก่อนจะถูกเก็บซ่อนไว้อย่างเดิม

ดนัยหันมาเปรยกับพี่ชายที่ตนให้ความเคารพด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ

“ไม่รู้แล้วว่าควรทำยังไงดีอ่ะพี่ พูดตรง ๆ เลยว่าตอนนี้ผมตื้อไปหมด”

แต่เพราะจู่ ๆ กระแสความขุ่นขึ้งที่หนักอึ้งอยู่รอบตัวของดนัยก็จางหายไป กฤตเมธที่ยืนสังเกตอีกฝ่ายมาสักพักก็ยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินน้องชายบ่นออกมาแบบนั้น

“พี่ว่านายมีคำตอบของตัวเองอยู่ในใจแล้วล่ะ”

กฤตเมธเพียงพูดสิ่งที่ตนคิด พลางเอื้อมมือไปตบตรงไหล่ของดนัยเบา ๆ เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้คำพูดของตนที่กำลังเผยรอยยิ้มแปลก ๆ ออกมา



++++++++++++++++++++++++++++



“ขอโทษที่ให้รอครับ”

ในที่สุดสดายุก็เปิดประตูออกมา กฤตเมธกับดนัยหันมองเป็นตาเดียวเพื่อดูว่าใบหน้าของสดายุนั้นมีลางดีหรือลางร้าย ทว่าใบหน้าคมคายกลับนิ่งสงบ ไม่มีริ้วรอยแห่งความโกรธเกลียดเคียดแค้น ความโมโหหรือแม้กระทั่งความยินดี นิ่งสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้น

แล้ว...ทั้งคู่คุยอะไรกันบ้างนะ?

“กลับกันเถอะครับ เราต้องรีบไปกองถ่ายกันแล้วเดี๋ยวจะสาย”

สดายุชวนกฤตเมธกลับทันทีที่ออกจากห้องคนป่วย กฤตเมธพยักหน้ารับ แต่ก่อนที่จะเดินตามคนรักไปก้หันมาพูดทิ้งท้ายบางอย่างกับน้องชายต่างสีเลือด

“กับของบางอย่างหรือคนบางคน มันต้องใช้เวลานะ ฝืนบีบคั้นดึงดันมากไปสุดท้ายมันอาจพังคามือนายเอาได้ จำไว้ด้วย”

“...ขอบคุณที่เตือนครับพี่”

คำสอนสุดท้ายของพี่ชายที่เคารพรัก เป็นไปด้วยความจริงและสัจธรรมของผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่า ทุกคำแนะนำที่เขาได้เคยได้จากกฤตเมธมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการล้วนมีแต่เรื่องดี ๆ ที่สามารถทำให้เขายังสามารถเป็นที่รักของคนในวงการต่อไปได้ทั้งนั้น ครั้งนี้เองก็เช่นกัน คำสอนของกฤตเมธคราวนี้มันจะตราตรึงในหัวใจของเขาไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นระหว่างเขากับบดินทร์ในเร็ว ๆ นี้หรอกนะ

เพราะตราบใดที่อีกฝ่ายยังพยศ…เขาก็ต้องปราบก่อน



++++++++++++++++++++++++++++++++



ดนัยเปิดประตูเข้าห้องมาในที่สุด หลังจากยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงหน้าห้องเนิ่นนาน ทันทีที่เข้ามาได้คนที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ก็ผินหน้ามองมาทางเขาเล็กน้อย ใบหน้านั้นซีดขาวแต่ดวงตากลับแดงก่ำราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จนแม้แต่ปลายจมูกและริมฝีปากยังแดงช้ำไปหมด เป็นการยืนยันได้อย่างดีว่าก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาเพียงครู่เดียวคนคนนี้คงจะร้องไห้อย่างหนักอยู่

ดนัยยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู ไม่แม้แต่จะขยับกายหรือพูดทักอะไรออกไป ต่างฝ่ายต่างเงียบงันทำเพียงสบสายตากันนิ่งงัน

นั่นคงเป็นครั้งแรกที่บดินทร์ได้สังเกตสีหน้าของดนัยชัด ๆ คนที่เฝ้าติดข้างเตียงมาตั้งแต่ที่เขาลืมตาตื่น ใบหน้าราวรูปสลักของคนคนนั้นไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ดวงตานั้นหรือก็ว่างเปล่าไม่หลงเหลือแม้กระทั่งความเหี้ยมเกรียมหรือกระแสคุกคามที่ฝ่ายนั้นมักแสดงใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า

แต่แล้วมันยังไง?

ถึงตอนนี้จะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันแล้ว

บดินทร์ละสายตาเบือนหน้าหลบออกมาในที่สุด จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้อีกฝ่าย หลับตาลง ทิ้งหยาดน้ำหยดสุดท้ายกลิ้งผ่านแก้มสู่หมอนนิ่มอย่างเงียบงัน

คำสุดท้ายของสดายุยังก้องอยู่ในหัว

‘กูอโหสิกรรมให้มึง...ดิน กูจะถือว่าคนที่ชื่อบดินทร์ได้ตายไปจากชีวิตกูไปแล้ว’

‘หยุดร้อง...จากนี้ไปมึงต้องอยู่ให้ได้...กรรมที่มึงสร้างขึ้นมาแล้วชดใช้มันซะให้จบ’

บดินทร์ดีใจที่สดายุอภัยให้ แต่การที่ไม่สามารถเคียงข้างอีกฝ่ายได้แล้วนั้น…มันชวนให้เจ็บปวดเหลือเกิน

…ขอโทษนะยุ ขอโทษที่ทำเรื่องเลวทรามกับยุลงไปมากมาย ดินขอโทษจริง ๆ

…ดินรักยุนะ รักที่สุดและจะรักไปตลอดชีวิต





++++++++++++++++++++++



อ๊าาาา มีแต่ฉากรุนแรงอย่างอีกแน้ววว ขอโทษด้วยนะค๊าาา

สะเทือนตับสะเทือนไต TT^TT

ปล. Rewrite เนื้อหามีความแตกต่างจากผมคือนางเอกเล็กน้อย เพื่อเน้นอารมณ์ความรู้สึกของดนัยกับบดินทร์ให้ชัดเจนขึ้นแล้วนะคะ

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 08 พันธนาการของปีศาจ [14 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 14-02-2024 01:16:29

08 พันธนาการของปีศาจ


เจ็ดโมงครึ่ง ณ ห้องพักฟื้นพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง อาหารผู้ป่วยถูกเสิร์ฟตรงเวลาตามมาตรฐาน ด้วยเมนูโรงพยาบาลที่ไม่ค่อยน่าลิ้มลองสักเท่าไหร่ นั่นคือโจ๊กหมูที่รสชาติชืดสนิท หลังจากผู้ดูแลเข็นรถอาหารเข้ามาให้แล้ว ดนัยก็จัดการปลุกคนที่ยังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมาทานอาหารและยาตามเวลา เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบา ๆ ตรงข้างเตียงคนป่วย ในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

“โจ๊กร้อน ๆ น่ะ ตื่นมาทานเสียหน่อยสิ”

เช้าวันที่สองแล้วที่ดนัยและบดินทร์ใช้ชีวิตอยู่ในห้องพักฟื้นพิเศษสุดหรูแห่งนี้ด้วยกัน และก็เป็นสองวันที่ทั้งคู่ยังไม่มีบทสนทนาระหว่างกันอื่นใดนอกเหนือจากการเรียกทานอาหารและยาตามเวลา

“...”

ได้ยินเสียงเรียกขานบดินทร์ก็ลืมตาตื่น ความจริงชายหนุ่มตื่นมาได้สักพักใหญ่แล้วแต่ไม่อยากลืมตาเพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับคนเฝ้าไข้อย่างดนัย ที่อยู่โยงไม่ยอมไปไหนมาตั้งแต่วันแรก ชำเลืองไปมองก็เห็นร่างสูงใหญ่กำลังจัดการเตรียมนำโจ๊กร้อน ๆ มาตั้งบนโต๊ะเลื่อนสำหรับทานอาหารบนเตียงของคนป่วยให้ พร้อมทั้งรินน้ำส้มเย็นฉ่ำจากตู้เย็นมาวางคู่น้ำเปล่าไว้เสร็จสรรพ

บริการดีแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดี บดินทร์ผินหน้ากลับมาที่เดิมพร้อมหลับตาลงอีกครั้ง แสร้งไม่ได้ยินเสียงปลุกหรือกลิ่นหอมของโจ๊ก

“คุณดิน?”

ดนัยเอ่ยปากเรียกขานอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าบดินทร์ยังคงหลับต่อ เขารู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งหลับ ทั้งที่เพิ่งแอบมองมาที่ตนเมื่อครู่ ชายหนุ่มถอนหายใจ เพิ่งรู้ตัวเองตอนนี้ว่าแท้จริงเขาก็มีความอดทนเป็นเลิศคนหนึ่ง แม้ไม่เคยต้องดูแลใครแบบนี้มาก่อนแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่เท่าไหร่ เพราะเหมือนว่าการคอยเอาใจบดินทร์ที่เอาแต่ทำหน้าเหม็นบูดนี่ก็สนุกดีไม่น้อย

“ผมไม่หิว”

บดินทร์ปฏิเสธออกมาในที่สุด พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงไว้ ไม่อยากต้องเจรจาอะไรกับดนัยอีก แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ยอมถอยง่าย ๆ การโต้เถียงไปมาจึงเริ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ

“อย่าดื้อสิคุณ ทานโจ๊กเสียหน่อยแล้วจะได้ทานยาต่อ”

“วางไว้ก่อนได้ไหมล่ะ ผมยังทานไม่ลงจริง ๆ”

“ทานเสียหน่อยเถอะ คุณยังไม่ยอมทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน แล้วยาหลังอาหารพวกนี้ก็ต้องทานตามเวลา”

“...”

“เอางี้ ถ้าการที่มีผมอยู่ทำให้คุณกินไม่ลงล่ะก็ ออกไปรอข้างนอกก็ได้นะ”

“...”

เพราะบดินทร์เอาแต่ต่อต้าน ดนัยจึงลองยื่นข้อเสนอ และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเพราะท้ายที่สุดแล้วบดินทร์ก็ยอมที่จะลืมตา เห็นแบบนั้นดนัยก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะถอยหลังออกจากเตียงคนป่วยช้า ๆ ไปจนเกือบหน้าประตู เขาแสร้งปิดประตูเสียงดังแล้วลอบมองผ่านกระจกไปยังเตียงผู้ป่วยจากด้านนอก

ดนัยขบคิดกับตัวเองในใจขณะลอบมองอีกฝ่ายผ่านกระจกถึงความแปลกไปของตัวเองที่สามารถเอาใจใส่คนในห้องนั้นได้อย่างไม่รู้สึกฝืน เพราะบดินทร์บาดเจ็บจึงได้ยอมให้งั้นหรือ? เพราะสำนึกผิด? ต้องการรับผิดชอบ? แม้จะอยากได้มาครอบครองแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องดูแลอะไรมากมายขนาดนั้น หรือเพราะความหยิ่งทะนงราวลูกแมวแม้ในยามที่ไม่เหลืออะไรแบบนั้นมันทำให้เขานึกเอ็นดูกันนะ? พอคิดถึงตรงนั้นขึ้นมาได้ดวงตาสีทองแกมเขียวของดนัยก็ทอประกายวับวามออกมา แค่จินตนาการว่าหากสามารถฝึกบดินทร์จนเชื่องเป็นลูกแมวอยู่บนฝ่ามือได้ ก็รู้สึกถึงความอิ่มเอมอันแสนหอมหวานแล้ว

บดินทร์จะรู้ตัวหรือเปล่านะ ว่าที่ได้รับอยู่ตอนนี้คืออภิสิทธิ์พิเศษที่ไม่เคยมีใครได้รับจากดนัยคนนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่เขาหมายตา ถ้าไม่ใช่เหยื่อเนื้อตัวหอมหวาน ถ้าเขาไม่ได้ต้องการ มีหรือที่อีกฝ่ายจะยังเชิดหน้าชูคอกับเขาเหมือนอย่างตอนนี้ได้

ดนัยยิ้มร้าย ขณะจ้องมองบดินทร์ที่กำลังพยายามตักข้าวต้มเข้าปากไม่วางตา ช่างเถิดจะถือเสียว่าเพราะบดินทร์ยังไม่รู้ว่าเขาคนนี้คือใคร และยังมีค่าพอให้ตามใจได้อีกมาก

“ใช้สิทธิ์ให้คุ้มเสียตั้งแต่ตอนนี้นะครับดิน ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ใช้มันอีก”



++++++++++++++++++++++++++++



เมื่อบดินทร์รับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายที่หายไปหลังเสียงประตูที่ปิดลงเพียงอึดใจชายหนุ่มก็ขยับกายลุกขึ้นนั่ง ท้องที่เอาแต่ร้องโครกครากทำให้อดหันไปมองทางถ้วยโจ๊กร้อน ๆ ที่ตั้งรออยู่บนโต๊ะเลื่อนข้างเตียงไม่ไหว แม้พอจะเดาได้ว่ารสชาติมันคงจืดชืดสมฐานะอาหารโรงพยาบาล แต่กลิ่นหอมเย้ายวนนั้นก็ทำเอาท้องไส้ของเขายิ่งประท้วงหนัก และคงเพราะหิวมาก กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีมือขวาของเขาก็กำลังตักโจ๊กคำแรกขึ้นมาจ่อรอที่ปากเสียแล้ว

ร้อน...

บดินทร์ชะงักเล็กน้อยทันทีที่โจ๊กคำแรกหายเข้าไปในปาก ‘ร้อน’ นี่อาจเป็นความรู้สึกรู้สาแรกที่เขารู้สึกได้ หลังจากตายด้านมาพักใหญ่ ๆ พอคำแรกผ่านไป คำที่สองที่สามก็ตามมา พูดไม่ได้ว่าอร่อยแต่ก็พอทำให้มือที่สั่นล้ามีเรี่ยวแรง เขาไม่คิดเลยว่าตนจะหิวโหยมือไม้สั่นพั่บถึงขั้นไม่คณนาต่อความร้อนของโจ๊กได้ขนาดนี้ ร้อนจนลิ้นชา แต่เขาก็ยังซดโฮก ๆ แม้ลิ้นชาจนไม่รับรสแต่อย่างน้อยก็รู้ว่ามันคืออาหาร ไหน ๆ เลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว ก็กินให้มันหมด ๆ กินให้มันจบ ๆ ไป

“โอ้ย!”

ด้วยความรีบร้อนไปหน่อย มือที่ไม่มั่นคงอยู่เป็นทุนจึงเผลอทำช้อนที่เต็มไปด้วยโจ๊กร้อน ๆ ร่วงใส่หน้าอก ตรงช่องว่างระหว่างเสื้อผู้ป่วยที่เปิดอ้าอยู่อย่างพอดิบพอดี ความร้อนลวกผ่านผิวเนื้อตามทางที่โจ๊กไหลเปื้อน แสบจนบดินทร์ถึงกับร้องออกมา

เพล้ง!

พอพลาดสักอย่าง ก็พาลกันไปเป็นโดมิโน่ ความแสบร้อนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันบนทรวงอกทำให้บดินทร์ลนลานควานมือหากระดาษทิชชูที่อยู่บนชั้นวางของถัดออกไปจากหัวเตียง แต่เพราะมันตั้งอยู่ไกลจนต้องเอื้อมสุดแขน ทำให้ตอนเอี้ยวตัวมือซ้ายที่ยังพันไว้แน่นหนาก็ไปชนเข้ากับแก้วน้ำส้มร่วงลงจากโต๊ะเลื่อน มันล้มมาโดนตัวจนเปียกนองไปทั้งหน้าท้อง ก่อนจะกลิ้งหลุน ๆ หล่นไปแตกที่พื้นเป็นการปิดฉาก

“...อะไรกันวะเนี่ย”

บดินทร์สบถออกมาอย่างหัวเสียกับความซุ่มซ่ามแบบต่อเนื่องของตัวเอง ทั้งร้อน ทั้งเหนียว ทั้งเปียก ทั้งแตก ชายหนุ่มขยับมือเลื่อนโต๊ะออกจากเตียงช้า ๆ เพื่อจะก้าวลงจากเตียงในขณะเดียวกันกับที่ดนัยเปิดประตูเข้ามาพอดี

“อย่าเพิ่งลงมา เดี๋ยวมันจะบาดเอา”

ดนัยร้องห้ามขณะเร่งฝีเท้าจากหน้าประตู เดินไปหยิบที่ตักขยะพร้อมไม้กวาดตรงตู้เก็บอุปกรณ์ข้างประตู แล้วดิ่งมาจัดการเก็บกวาดเศษแก้วแตกพร้อมถูพื้นที่เปียกให้แห้ง ท่ามกลางการจับจ้องไม่วางตาของคนไข้บนเตียง

‘ยังจะดูแลกันทำไม? ’

คงเพราะท้องอิ่มสมองจึงเริ่มทำงาน บดินทร์ถึงได้เริ่มสงสัยในการกระทำของดนัยอย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ชายหนุ่มที่ง่วนอยู่กับการกำจัดเศษแก้วตรงหน้าคือดาราที่บอสเสน่ห์จันทร์ยกขึ้นหิ้งลูกรัก ส่งออกไปรับงานที่ต่างแดน รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวพรรณกระจ่างสะอาดสะอ้าน ใบหน้าคร้ามคม คิ้วหนารับกับหน่วยตายาวรีทั้งยังมีสีนัยน์ตาเป็นเอกลักษณ์ จมูกโด่งได้รูปรับกับปากกระจับสีแดงระเรื่อ ทั้งยังดูมีออร่าผู้ดีสมฐานะทางบ้านที่เป็นถึงลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่

ดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้ายันชาติตระกูล ช่างเป็นคนที่ครบถ้วนสมบูรณ์ไปหมดจนน่าอิจฉา

...น่าอิจฉาเหรอ? ความคิดที่ผุดวาบขึ้นมาทำให้บดินทร์นึกขันตัวเอง คนอย่างเขามันก็แบบนี้ อิจฉาคนอื่นไปวัน ๆ ก็เท่านั้น

“!!?”

เพี้ยะ!!

บดินทร์ฟาดมือของดนัยออกไปสุดแรงด้วยความตกใจที่จู่ ๆ มือของดนัยก็เอื้อมเข้ามาปลดปมเชือกเสื้อผู้ป่วย คงเพราะมัวแต่เหม่อลอยจนทำให้ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกดนัยเข้าใกล้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แค่เห็นมือนั้นยื่นเข้ามาใกล้ทั้งตัวของบดินทร์ก็สั่นเทิ้มไปหมด ดวงหน้าตื่นตระหนกจดจ้องดนัยที่ชะงักค้างอยู่ตรงหน้า หลุมเวลาที่เกิดขึ้นในชั่วขณะนั้นทำให้พวกเขาต่างก็นิ่งค้างอยู่หลายนาที

“มันเลอะโจ๊กไม่ใช่รึไง ถอดออกก่อนเถอะ”

เป็นดนัยที่รู้สึกตัวก่อน เขาอธิบายแก่บดินทร์ที่ยังทำหน้าแตกตื่นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ สองมือยื่นเข้าหาบดินทร์อีกครั้งเพื่อช่วยแกะปมเชือกของเสื้อผู้ป่วยให้

“ผะ...ผมทำเองได้!”

แต่บดินทร์กลับเบี่ยงตัวหลบทันที ใบหน้าบูดบึ้งสื่อสารชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ดนัยแตะต้อง เขาพยายามใช้สองมือ ของตนดิ้นรนแกะปมเสื้อด้วยตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงความช่วยเหลือที่ไม่ต้องการ จนเมื่อแกะเองเสร็จ บดินทร์ก็ชำเลืองมองไปยังดนัยครั้งหนึ่ง ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียง เพื่อไปจัดการตัวเองต่อในห้องน้ำ ด้วยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคงไม่ดีนักถ้าจะถอดชุดคลุมกายออกต่อหน้าคนคนนั้น

“จะไปไหน?”

“ห้องน้ำ”

“ผมช่วย”

“ไม่ต้อง! ผมจะไปเอง”

ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันทันทีที่บดินทร์พยายามจะลงจากเตียง แต่ดันมีดนัยยืนขวางทางเอาไว้ คนหนึ่งแค่อยากช่วย และต้องการที่จะช่วยให้ได้ ส่วนอีกคนกลับไม่ต้องการแถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่หน้าของดนัยเองบดินทร์ก็ยังไม่ยอมมองจนเอาแต่หลบเลี่ยงสายตาอยู่ตลอด

“มือข้างหนึ่งก็พ่วงสายน้ำเกลือ ส่วนอีกข้างก็ยังขยับไม่ได้ แล้วคุณจะล้างตัวได้ยังไง?”

“ผมแค่เจ็บ ไม่ได้พิการ เรื่องแค่นี้ทำเองได้!”

คำสุดท้ายของบดินทร์แทบจะเป็นตะคอก ใช้สันมือที่ยังคงปวดแปลบผลักดนัยออกให้พ้นทาง แล้วรีบขยับกายลงจากเตียงเพื่อลากสังขารตัวเองไปยังห้องน้ำตามเจตนารมณ์ของตน แต่ยังไม่ทันจะพ้นก็โดนคว้าตัวขึ้นพาดบ่าแล้วพาเข้าห้องน้ำทั้งอย่างนั้น

พรึ่บ!!

“เฮ้ย!! ปล่อยผมนะ!”

อยากจะโวยวายแต่ก็ไม่ได้มีเรี่ยวแรงพอจะอาละวาด แม้แต่จะตะโกนห้ามน้ำเสียงก็มีแต่ความแหบแห้งจนแสบคอ มือข้างหนึ่งถูกโยงกับเสาคล้องขวดน้ำเกลือในมือของดนัย ส่วนอีกมือก็เจ็บร้าวจนขยับแทบไม่ไหว แถมสองขายังถูกล็อกเอาไว้ด้วยท่อนแขนทรงพลังของฝ่ายนั้นด้วยอีก ทำให้การดิ้นรนถูกสกัดไว้ได้อย่างสิ้นเชิง

เมื่อรู้ว่าดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายบดินทร์ก็จำยอมปล่อยให้ดนัยพาไปห้องน้ำอย่างฝืนใจ แต่แม้เขาจะออกอาการกระฟัดกระเฟียดสักเท่าไหร่ตอนที่ถูกจับให้นั่งบนขอบอ่างอาบน้ำ ดนัยก็ทำเพียงไม่ใส่ใจแล้วหันไปจัดการรองน้ำอุ่นใส่กะละมังพร้อมหาผ้าขนหนูผืนน้อยมาเตรียมรอ

“ผมบอกแล้วไง ว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

บดินทร์ตัดสินใจโพล่งขึ้น พลางใช้มือข้างที่ระโยงสายน้ำเกลือขึ้นปัดมือดนัยที่ตั้งท่าจะช่วยปลดเสื้อออกให้ไปด้วย และมันก็สามารถทำให้ดนัยชะงักได้เล็กน้อย

“ผมก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าเรื่องแค่นี้มันจะเรียกได้ว่ารับผิดชอบ”

ดนัยตอบออกมาโดยไม่ได้มองบดินทร์ด้วยซ้ำว่ากำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่ ดนัยเพียงตั้งหน้าตั้งตาถอดเสื้อของบดินทร์อีกครั้งแม้จะถูกขัดขืนแค่ไหนก็ตาม

“...แล้วคุณทำไปเพื่ออะไร? คุณจะยังมายุ่งวุ่นวายกับผมทำไม? กับคนอย่างผมคุณยัง…ต้องการอะไร?”

เสียงสั่นเครือถามไถ่ขึ้นอย่างใคร่รู้จริงจัง เพราะบดินทร์ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าดนัยคิดอะไรอยู่ เขามั่นใจเหลือเกินว่าดนัยเกลียดชังกัน แม้ในคืนนั้นอีกฝ่ายจะบอกว่าทำไปเพราะปรารถนาในตัวของเขา แต่บดินทร์แน่ใจว่าทั้งหมดเป็นเพียงเกมลงทัณฑ์ที่ฝ่ายนั้นตั้งใจทำลายกันเท่านั้น

แล้วทำไมพอเขาลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ทุกอย่างถึงได้กลับตาลปัตรไปหมดอย่างนี้เล่า? คนที่โหดร้ายกับตนถึงเพียงนั้น ตอนนี้กลับมานั่งเฝ้านอนเฝ้ากันที่โรงพยาบาล ทั้งยังดูแลสารพัด ประคบประหงมราวกับเป็นญาติสนิท มันต่างกันเกินไปกับคนความทรงจำ บดินทร์จึงค่อนข้างสับสนจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก และเพราะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ บดินทร์จึงไม่อาจไว้วางใจให้ดนัยเข้าใกล้ สองมือกระชับเสื้อคนไข้เปียกชื้นเลอะเทอะไว้อย่างสุดกำลัง

‘ถ้าไม่มีคำตอบให้ ก็ช่วยเลิกยุ่งวุ่นวายกันเสียที!’

“ผมก็แค่อยากดูแลคุณ ไม่มีเหตุผลอื่นทั้งนั้น”

ดนัยตอบเพียงสั้น ๆ และมันยิ่งทำให้บดินทร์ไม่เข้าใจ คำถามล้านแปดยังอัดแน่นอยู่เต็มอก แต่ไม่สามารถเรียบเรียงกลั่นกรองออกจากปากได้เลย สุดท้ายจึงได้แต่บริภาษออกไปเท่านั้น แต่คำส่อเสียดเพียงเท่านั้นย่อมไม่ทำให้ดนัยสะทกสะท้าน สองมือแกร่งพยายามถอดเสื้อของบดินทร์ออกแม้จะถูกปัดป้องไม่เลิก

“สมองคุณมันเพี้ยนไปแล้ว”

“ใช่...ผมเพี้ยน นี่อยู่นิ่ง ๆ ได้ไหม ดิ้นอยู่แบบนี้ มันเสียเวลานะ”

“งั้นก็เลิกยุ่งกับผมสิ! คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้นนี่ ทั้งการมาคอยเฝ้าอยู่อย่างนี้ ทั้งเรื่องการรักษาตัว หรือแม้แต่การช่วยชีวิตผม! คุณเกลียดผมไม่ใช่รึไง! ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายไปเสีย…!?”

ไม่ทันได้พูดให้จบประโยค ปลายคางของบดินทร์ก็ถูกบีบเข้าอย่างแรง

“ยังอยากตายอยู่อีกเหรอ?”

เสียงทุ้มต่ำเครียดขึงของเจ้าของมือสะกดให้บดินทร์เงียบอึ้งไปครู่ ใบหน้าของคนตรงหน้ามืดดำราวกับจะหยดออกมาเป็นน้ำหมึก คิ้วหนาเหนือหน่วยตาคมกริบขมวดมุ่นด้วยความขุ่นข้อง ใบหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดเริ่มมีปฏิกิริยาแค่เพราะเพียงคำคำเดียวของบดินทร์

แต่ถึงถูกดนัยข่มขวัญกันแบบนั้น บดินทร์กลับไม่ได้ลนลาน เขาปล่อยให้ดนัยยังคงบีบปลายคางของตนไว้อย่างนั้นพลางส่งสายตาท้าทายพร้อมเอ่ยประโยคที่แสดงถึงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจนให้ดนัยได้สำเหนียก

“...มันเรื่องของผม ชีวิตผม คุณไม่เกี่ยว”

ดนัยหัวเราะทางจมูกออกมาครั้งหนึ่งกับทีท่าเช่นนั้นของคนตรงหน้า แน่นอนว่าคำพูดของบดินทร์ถูกต้อง ชีวิตของบดินทร์ เรื่องของบดินทร์ แท้จริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่นิด แต่ในกรณีที่บดินทร์จะพูดประโยคดังกล่าวเร็วกว่านี้สักสองวัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ต่อให้บดินทร์สิ้นลมไปตรงหน้า เขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่แม้แต่จะให้ความสนใจด้วยซ้ำ

มาพูดเอาตอนนี้มันสายไปหมดแล้ว!

“หึ หึ ชีวิตของคุณเมื่อไหร่กัน? อย่าลืมสิดินว่าเมื่อวานคุณเลือกทิ้งชีวิตของคุณแล้ว เพราะงั้นคุณหมดสิทธิ์ที่จะถือครองมันอีกต่อไป ผมคนนี้ที่พยายามรักษามันไว้ต่างหากที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของมัน”

“พูดบ้าอะไรของคุณน่ะ?”

บดินทร์ไม่มีทางเข้าใจ ตรรกะอะไรล่ะนั้น?

ดนัยแย้มยิ้มให้กับคนที่ยังคงตกตะลึงอยู่ตรงหน้า แล้วย้ำคำชัด ๆ ให้อีกฝ่ายได้สดับอีกครั้ง

“พูดเรื่องจริง เพราะฉะนั้นต่อจากนี้เป็นต้นไป ชีวิตคุณเป็นของผมแล้ว!”

สิ้นคำประกาศิตเอาแต่ใจของดนัยทุกอย่างก็พลันเงียบสงัด ต่างคนก็ต่างไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก ทุกอย่างนิ่งไม่ไหวติง จนสุดท้ายมีเพียงเสียงถอนหายใจบางเบาของบดินทร์เท่านั้นที่ดังขึ้นมาในที่สุด

“นั่นสินะ…”

น้ำเสียงที่คล้ายจะหมดแรงเอ่ยบางถ้อยคำออกมา เมื่อดนัยคลายมือออก ดวงหน้านั้นก็ก้มต่ำไม่ยอมสบสายตากับดนัยอีก ก่อนจะค่อย ๆ ขยับมือถอดเสื้อผู้ป่วยออกจากตัวช้า ๆ ประจักษ์ว่าลำบากอย่างที่ดนัยว่าไว้จริง เพราะแขนของบดินทร์ทั้งสองข้างล้วนแต่บาดเจ็บและระโยงระยางไปด้วยสิ่งกีดขวางเกะกะ ความทุลักทุเลของบดินทร์ ทำให้ดนัยต้องเข้าไปช่วยจัดการปลดเปลื้องอีกครั้ง จนสำเร็จได้ในที่สุด

ดนัยถอนหายใจโล่งอก ที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกแรงบังคับกันตอนนี้อีก ทว่าพอได้เห็นผิวเนื้อเปล่าเปลือยตรงหน้าก็ทำเอานิ่งงันไป

“...”

บนผิวขาวละออเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้จนช้ำเป็นจ้ำม่วงเขียว บางจุดก็หนักจนเกือบกลายเป็นสีดำ ในบรรดาร่องรอยเหล่านั้นยังมีรอยสีแดงคล้ำเป็นจ้ำจุดกระจายอยู่ทั่วบนแผ่นอกและซอกคอ ความป่าเถื่อนฉายชัดในร่องรอยพวกนั้นจนไม่ต้องมีคำบรรยายเสริม ดนัยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใคร่พอใจนักที่เห็นว่าร่างกายของบดินทร์บอบช้ำถึงเพียงนี้ ดวงตาคมกล้าหลุบต่ำหลบเลี่ยงด้วยว่ารู้สึกลำบากใจที่จะต้องทนเห็น

“ผิวโดนลวกนิดหน่อยนะ แต่คงไม่ถึงกับพองหรอก แค่แดงนิด ๆ เดี๋ยวผมขอยาจากพยาบาลให้” ดนัยเอ่ยขึ้นขณะใช้ผ้าขนหนูบิดหมาดบรรจงซับรอยแดงตรงแผงอกขาวของคนหน้านิ่งราวตุ๊กตากระเบื้องไร้ชีวิต

“...”

“คุณจะอาบน้ำเลยไหม หรือจะแค่เช็ดตัวดี?”

“...”

“...ไม่ตอบ? งั้นผมแปลว่าคุณต้องการอาบน้ำก็แล้วกันนะ”

“...”

ยังคงไร้คำตอบโต้ใด ๆ อย่างที่คาดไว้ดนัยจึงไม่ไยดีบดินทร์อีก ดื้อเก่งนักก็ให้ดื้อไป ชายหนุ่มหันไปทิ้งผ้าขนหนูผืนน้อยลงในอ่างล้างหน้า ก่อนจะจัดการเปิดรองน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าบดินทร์นั้นยังระโยงระยางอยู่กับสายน้ำเกลือ ทั้งแขนอีกข้างก็ยังเจ็บระบมจากบาดแผลฉกรรจ์ที่ข้อมือ อีกทั้งอุณหภูมิตรงผิวเนื้อที่สัมผัสได้ก็ดูเหมือนจะสูงกว่าปกติ หากเสี่ยงให้ลงแช่น้ำก็อาจทำให้อีกฝ่ายจับไข้ได้

“ขอโทษที ลืมไปว่าแขนคุณเจ็บอยู่เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้แทน”

เห็นว่าบดินทร์ยังคงเงียบนิ่งดนัยจึงตัดสินใจเอาเองเสร็จสรรพ ปิดก๊อกน้ำในอ่างใหญ่ แล้วเตรียมน้ำใส่กะละมังเล็กตรงอ่างล้างหน้าแทน

แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น น้ำเสียงเย็นชาของบดินทร์ก็เอ่ยถ้อยคำระคายหู ที่สามารถยั่วยุอารมณ์ได้ไม่น้อยขึ้นมาเสียก่อน

“จะทำอะไรก็ตามสบายเถอะ สิทธิ์ขาดในตัวผมมันเป็นของคุณอยู่แล้วนี่”

ทันทีที่ได้ยินทุกกิจกรรมของดนัยก็หยุดชะงัก คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย ดวงตาคมกล้าชำเลืองหาต้นตอของประโยคบาดหู ผู้ที่กำลังนั่งก้มหน้าต่ำแสร้งทำเป็นไม่แยแส ไม่แลเห็นว่าเขาอยู่ในสายตา ตอนแรกก็นึกหงุดหงิดกับท่าทีของอีกฝ่ายอยู่หรอก แต่พอคิดได้ว่าตอนนี้บดินทร์ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติสักเท่าไหร่ก็พอให้ใจเย็นขึ้นได้หน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ถ้อยประโยคที่โต้ตอบออกมาดูปรานีผู้ฟังอย่างบดินทร์เลยสักนิด

“อย่างอนสิคุณ ผมไม่คิดจะลิดรอนคุณถึงขนาดนั้นหรอกน่า”

“ผมไม่ได้งอน!”

บดินทร์ตวาดขึ้นอย่างลืมตัวเพราะหงุดหงิดที่ถูกกระเซ้าราวกับเด็ก กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอไผลไหลตามการยั่วยุของอีกฝ่ายไปเสียแล้วก็คือตอนที่ได้เห็นสีหน้าพึงใจของดนัย

“ยังมีความรู้สึกอยู่นี่นา หึ หึ ผมนึกว่าคุณจะตายด้านไปแล้วเสียอีก”

ไม่ได้ตั้งใจจะว่าร้ายรุนแรงแต่เพราะไม่ได้คิดจะถนอมน้ำใจตั้งแต่ต้น เลยทำให้ดนัยเผลอใช้คำที่ค่อนข้างจะหนักหน่วงสำหรับคนหัวใจเปราะบางอย่างบดินทร์เข้า ดนัยคิดแค่อยากระบายความหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ดูท่าจะแรงไปหน่อยเพราะแทนที่จะทำให้คนใจน้อยเดือดปุด กลับยิ่งฉุดความรู้สึกของบดินทร์ให้ดำดิ่งจนความอดทนของคนเจ็บช้ำขาดสะบั้นลงในที่สุด

‘อยากดูถูกกันนักใช่ไหม ถ้าอยากเห็นไอ้บดินทร์คนนี้ย่อยยับนัก งั้นเอาเลยสิ เหยียบย่ำกันให้สาแก่ใจ มันคงเป็นเวรเป็นกรรมและมึงคงเป็นเจ้ากรรมนายเวรกูคนนี้ เอาเลยสิ เอาคืนกันให้สาสม’

‘กูจะไม่เรียกร้องสักคำ ขอแค่ให้กรรมระหว่างกูกับมึงจบลงในชาตินี้’

‘จะให้กูเป็นเหี้ยอะไรก็ได้...กูยอมทั้งนั้น’

บดินทร์กัดฟันเม้มริมฝีปากแน่น หลังจากตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ เขาก็กลับไปเป็นหุ่นไม้หน้าตายที่เอ่ยได้เพียงถ้อยคำทำร้ายตัวเอง

“ถ้าแม้แต่การแสดงความรู้สึก ก็ยังไม่ได้รับอนุญาต...ผมก็จะไม่ทำอีก”

“อะไรของคุณอีกล่ะ? นี่ ขอร้องเถอะ อย่าเล่นแง่กับผมนักเลย ผมรับมือคุณที่เป็นแบบนี้ไม่ไหวหรอก”

ทันทีที่ถูกดนัยตัดพ้อกลับ บดินทร์ก็ไม่ยอมปริปากพูดอีก ชายหนุ่มก้มหน้าต่ำทำราวกับดนัยเป็นเพียงอากาศธาตุอีกครั้ง

‘พยศเหลือเกินนะ!’

ดนัยได้แต่หงุดหงิดกับทีท่าเช่นนั้นของบดินทร์ขึ้นทุกขณะ โดยปกติเขาเองก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดี ไม่ใช่ผู้ที่มีความอดทนสูงส่งหรือเรียกได้ว่าจุดเดือดต่ำเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่จะต้องมาอดทนอะไรแบบนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผิดวิสัย และตอนนี้เขากำลังจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ

“เฮ้? อย่าเงียบ มีอะไรก็คุยกันตรง ๆ”

ดนัยกดเสียงต่ำกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อกดดันบดินทร์คืนบ้าง พลางยื่นมือไปเชยปลายคางของบดินทร์ให้เงยขึ้นสบตากันตรง ๆ เสียที อย่างที่คิดไว้ แม้ดวงหน้าจะซีดขาวแต่สวยตากลับยังแรงกล้า คิ้วสวยขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นโบว์ ริมฝีปากเม้มสนิทราวกับไม่ต้องการให้มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

“ดิน!?”

ดนัยเรียกซ้ำเมื่อเห็นว่าบดินทร์ยังคงเงียบทื่อ อ่อนใจจนรู้สึกหงุดหงิดทบทวี เรียวนิ้วที่บีบปลายคางของอีกฝ่ายอยู่จึงกระชับแน่นขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

“อยากให้พูดอะไรก็สั่งมาสิครับเจ้านาย แล้วผมจะพูดให้...หรือจะให้ทำอย่างอื่นก็ได้นะ ผมทำได้ทุกอย่างแหละ...แค่นายสั่ง...”

ในที่สุดบดินทร์ก็ปริปาก จงใจใช้ถ้อยคำบาดลึกด้วยดวงหน้าชาชืดไม่แสดงเศษเสี้ยวอารมณ์ใด ๆ จะมีก็เพียงมุมปากหยักสวยเท่านั้นที่เหยียดยิ้มออกมาน้อย ๆ ดนัยถอนหายใจพรูก่อนเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้บดินทร์เล็กน้อย แล้วกดเสียงต่ำเพื่อส่งคำเตือนแก่ผู้ท้าทาย

“อย่ามาตลก ผมไม่ขำด้วย”

“ตายจริง…ขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือครับเจ้านาย? งั้นผมต้องขอโทษด้วยนะ”

แต่ดูเหมือนสงครามที่ปะทุขึ้นมาแล้วนั้นจะไม่มีทีท่าสงบลงง่าย ๆ บดินทร์จงใจก่อมันขึ้น เพื่อยั่วยุให้ดนัยทนสันดานของตนไม่ไหว หมายใจให้อีกฝ่ายโกรธเกลียดกันจนเลิกยุ่งวุ่นวายกันได้เสียที

“นี่คุณ…ตั้งใจกวนผมสินะ?”

“...”

การยั่วยุของบดินทร์ดูเหมือนจะเป็นผล เส้นความอดทนของดนัยดูท่าจะกำลังปริแตกออกทุกขณะ ชายหนุ่มถอนหายใจพรูเพื่อพยายามอดทนแบกฟางเส้นสุดท้ายเอาอย่างสุดกำลัง เขารู้ดีว่านี่คือสาส์นท้ารบจากบดินทร์จึงยิ่งรู้สึกไม่อยากยอมแพ้

ดวงตาสีทองแกมเขียวลึกล้ำราวบ่อที่ไม่มีก้นจ้องมองคนที่เอาแต่ท้าทายความอดทนกันไม่หยุด ในหัวกำลังนึกวิธีการมากมายที่เคยใช้มาในชีวิต คนอย่างบดินทร์สามารถใช้วิธีไหนจัดการได้บ้างนะ? หากเขาถูกท้าทายจากคนอื่นที่ไม่ใช่คนตรงหน้า คนคนนั้นจะเป็นอย่างไร?

จะทำให้ยอมจำนนได้อย่างไร?

หักกระดูก?

กรอกยาพิษ?

หรือปาดเนื้อนิ่มนั่นด้วยมีดทีละแผล?

ใช่…ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็เขามีตัวเลือกมากมายที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน แต่สำหรับบดินทร์คนนี้เขาควรทำอย่างไรดีละ?

ทำยังไงกับริมฝีปากสวย ๆ ที่เอาแต่เม้มแน่น?

ทำยังไงกับลิ้นร้ายที่เอาแต่พ่นคำไม่เข้าหู?

เพราะบดินทร์ปิดปากเงียบไปอีกครั้ง ในขณะที่กำลังใช้ความคิดดนัยจึงเผลอไผลใช้ท้องนิ้วโป้งค่อย ๆ ลูบเบา ๆ ไปบนริมฝีปากที่เม้มแน่นของคนตรงหน้า

ผู้ถูกกระทำขนลุกปราดตั้งแต่ท้ายทอยจนกลางกระหม่อม บดินทร์ปัดมือของดนัยออกจากใบหน้าราวกับมันเป็นมือของภูตผี ทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกกลัวที่จู่ ๆ ก็พุ่งขึ้นจากท้องน้อยแค่เพียงมองเห็นนัยน์ตาราวหลุมลึกของคนตรงหน้า

สายตาแบบนั้นมันน่ากลัวยิ่งกว่าไอ้ปีศาจตัวนั้นที่เขาเคยพบเจอเสียอีก!

“ขอโทษ ผมทำให้ตกใจเหรอ?”

ดนัยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าบดินทร์สั่นไปทั้งตัว ใบหน้าเผือดสีกับดวงตาไหวระริกราวลูกว่างแบบนั้นดึงสติให้ดนัยรู้สึกตัวขึ้น ใช่ว่าดนัยจะชอบใช้กำลังหรืออยากรุกรานให้บดินทร์ตกใจกลัวหรอก ถ้าอีกฝ่ายจะยอมอ่อนให้กันสักนิด ดนัยก็ตั้งใจจะทะนุถนอมราวดอกไม้สูงค่าอยู่แล้ว

“จะขอโทษทำไมกันครับ ในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ของคุณ! ”

แต่ถึงจะสั่นกลัวถึงเพียงนั้น บดินทร์ก็ยังสามารถตอบโต้ได้อย่างเผ็ดร้อน ข้ามผ่านความตายมาได้ครั้งหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่ามันเป็นเพียงความกลัวที่เกิดจากร่างกายช่างจดจำของเขาเท่านั้น หาใช่จิตใจที่ชาด้านดวงนี้ไม่! ต่อให้ร่างกายบอบช้ำนี้จะสั่นระริกต่อต้าน แต่หัวใจที่เพิกเฉยต่อทุกสรรพสิ่ง ย่อมไม่รู้สึกหวาดหวั่นแม้เพียงการถูกความน่ากลัวของดนัยขู่คุกคาม

“...โอเค ถ้าคุณต้องการแบบนี้จริง ๆ ผมก็จะใช้สิทธิ์ให้เต็มที่ตามที่คุณร้องขอ”

เพราะรู้ถึงการยั่วยุของบดินทร์อยู่แล้ว ดนัยจึงเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ดวงตาสีอ่อนทอประกายวาบวามขณะจ้องมองเรือนร่างของบดินทร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แล้ว...อย่ามาโอดครวญทีหลังก็แล้วกัน”

‘เอาสิ ดิน...ผมรับคำท้าของคุณ’

‘อยากรู้เหมือนกัน ว่าสงครามประสาทที่คุณพยายามสร้างขึ้นเนี่ย ใครจะยืนหยัดได้นานกว่ากัน แล้วอย่าหาว่าผมใจร้ายเลยนะ…เพราะเรื่องทุกอย่างที่มันกำลังดำเนินอยู่นี่ คุณนั่นแหละที่เป็นคนทำตัวเองทั้งหมด!!’



+++++++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 08 พันธนาการของปีศาจ [14 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 14-02-2024 01:17:53


“ยืนขึ้นสิ ผมจะถอดกางเกงให้”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำสั่งหรือขอร้อง แต่เป็นประโยคลองใจว่าแท้จริงแล้วบดินทร์ใจกล้าบ้าบิ่นพอที่จะรับคำท้าของตนมากแค่ไหน เพราะหากบดินทร์กล้าพอดนัยก็พร้อมจะวางทุกเดิมพันในเกมนี้ด้วยเช่นกัน!

ดนัยสบตากร้าวของบดินทร์ ในขณะที่เอ่ยประโยคเดิมพันนั้น หัวใจดวงแกร่งเต้นแรงขึ้นทุกขณะ เขาไม่ได้เจตนาให้เรื่องมันดำเนินมาในทิศทางนี้ แรกเริ่มเพียงหวังตั้งใจจะดูแลให้ดีที่สุด แต่เพราะเผลอพาลที่อีกฝ่ายปฏิเสธความหวังดีถึงได้ไม่อาจสงบใจปล่อยผ่าน

ในเมื่อบดินทร์ออกปากยอมมอบชีวิตให้ แม้แท้จริงจะเป็นแค่ความใจเร็วที่เพียงต้องการแดกดันตัดพ้อ แต่ดนัยก็ขอน้อมรับมันไว้อย่างจริงจังแล้วกัน จะดูแลได้อย่างดีไหม ตอนนี้เขาไม่รู้ แต่ขอจัดการให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปโดยราบรื่นก่อนก็แล้วกัน

อย่างแรก...คือการปราบพยศ!!

‘ไม่ต้องกลัวจะเป็นหนี้บุญคุณกันหรอกครับดิน เพราะสิ่งที่คุณได้จากผมไปวันนี้ รับประกันเลยว่าผมเอาคืนจากคุณจนคุ้มแน่’

ตาสบตา บดินทร์ยังคงนั่งนิ่ง อยากหลับตาลงไม่สนใจสิ่งใดอีกอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่ทว่าไม่อาจละสายตาที่กำลังถูกสะกดจากอีกฝ่ายได้ แม้กระทั่งตอนที่ถูกพยุงตัวให้ยืนขึ้น บดินทร์ยังไม่รู้เลยว่าควรจะทำตัวอย่างไร หัวใจดวงนี้ด้านชาแล้วจริงหรือ? เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจ ทั้งที่คิดว่ามีเพียงร่างกายเท่านั้นที่หวาดหวั่นกับสัมผัสของอีกฝ่าย แล้วก้อนเนื้อที่เต้นกระหน่ำอยู่กลางทรวงอกนี่เล่า? หรือแท้ที่จริงแล้ว...หัวใจที่คิดว่าไร้ความรู้สึกไปแล้วนั้น มันจะยังมีเลือดเนื้อหลงเหลืออยู่?

เฮือก!

บดินทร์สะดุ้งเยือกทันทีที่แผ่นหลังเปลือยเปล่าสัมผัสกับผนังเย็นเฉียบ ก่อนที่ลมหายใจจะสะดุดห้วงด้วยไม่ทันตั้งตัวที่ถูกร่างร้อนผ่าวของดนัยกระหนาบตามมาประชิด อยากจะตะโกนกู่ร้อง อยากจะผลักไส ความรู้สึกสะอิดสะเอียนตีขึ้นจนคลื่นไส้ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากยอมให้อีกฝ่ายได้กระทำย่ามใจ ในเมื่อลั่นวาจาออกไปแล้วว่าจะไม่ขัดขืน แม้จะถูกฝืนใจยังไงศักดิ์ศรีก็ตีตราตอกหน้าว่าให้กัดฟันนิ่งไว้ เขาเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอเสียหน่อย เหตุใดจะต้องรู้สึกหวาดหวั่น คิดได้ดังนั้นบดินทร์ก็ค่อย ๆ หลับตาลง

ทว่าบดินทร์พลาดไป เพราะยิ่งหลับตารสสัมผัสก็ยิ่งชัดเจน จนทำได้เพียงก่นด่าตัวเองในใจขณะอดทนกับการต้องรับรู้ถึงสัมผัสของนิ้วมือร้อนผ่าวที่กำลังจัดการปลดเปลื้องกางเกงให้อย่างเชื่องช้า เผยทุกอย่างสู่สายตาของดนัย

“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ผมไม่จับคุณกินหรอกนา”

“...”

“ผมแค่อยากดูแลคุณ ไม่ได้จะทำร้ายอะไรเสียหน่อย”

ดนัยแกล้งกระเซ้า ด้วยเหตุผลง่าย ๆ เพียงความสาแก่ใจ เพื่อระบายความแค้นกับปฏิกิริยาชวนอารมณ์ขึ้นของอีกฝ่ายเมื่อครู่ ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจที่เห็นบดินทร์หลับตาแน่น เกร็งจนสั่นไปทุกที่ที่เขาบรรจงสัมผัส ทั้งร่างแข็งทื่อราวกับโดนพิษร้าย

‘กลัวเป็นแล้วหรือไง?’

แต่ดนัยก็เบาใจได้แค่ครู่เดียวเท่านั้น เพราะไม่นานนักเสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังขึ้นตรงหน้า บดินทร์หัวเราะออกมาหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าที่ราวกับจะเหยียบให้ดนัยจมลงตรงหน้า

“หึ! ไม่ทำร้าย? คืนก่อนทำไปตั้งขนาดนั้น ยังจะบอกให้ผมไม่ต้องกลัวอีกเหรอ คุณนี่ตลกเนอะ ฮะ ฮะ”

เสียงแหบแห้ง ค่อย ๆ ทวนประโยคของดนัยออกมาทีละคำ ทีละคำราวกับจะตอกย้ำในทุก ๆ ความหมายให้เด่นชัด ทั้งยังขบขันไม่หยุดราวกับรู้สึกตลกกับมันเสียเต็มประดา

“เจ้านาย คุณเห็นผมเป็นตัวอะไร? ตัวเหี้ยอะไรเหรอครับที่คุณอยากให้ผมเป็น? ตัวเหี้ยที่มันเจ็บไม่จำ...”

“ดิน!?”

ดนัยแผดเสียงกร้าวเพื่อยั้งสิ่งที่บดินทร์พยายามจะพูดต่อ แต่ดูเหมือนจะยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้บดินทร์มีแรงมากขึ้น คนที่แทบไม่เหลือแรงถึงได้แผดเสียงกร้าวกว่า เค้นพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ด้วยแรงไฟแห่งความโกรธเกรี้ยว

“คุณเลิกทำดีกับผมเสียทีเหอะ ขยะแขยงว่ะ! คืนก่อนใครวะที่ทำให้ผมต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้!? ฮะ ฮะ เออ ๆ แต่ก็ถูกของคุณนะ นั่นไม่ได้เรียกว่าการทำร้าย ก็แค่เอากัน วินวินกันทั้งคู่ขนาดผมยังเคลิ้มเลย!”

บดินทร์เอียงหน้าเล็กน้อย พูดไปหัวเราะไปราวกับเสียสติ ดนัยกัดฟันทนฟังอย่างเหนื่อยหน่าย พลางคิดว่าตนควรเลิกตามใจแล้วจัดการให้เชื่องเสียตอนนี้เลยดีหรือไม่? ในระหว่างที่ดนัยพยายามยับยั้งชั่งใจตัวเองแทบเป็นแทบตาย ก็ได้แต่ทนฟังบดินทร์ก่นด่าอยู่แบบนั้น

“พอได้แล้วดิน”

“ทำไม? ทนฟังไม่ได้ซะแล้วเหรอครับ ทำไมล่ะผมยังทนได้เลย หึ หึ คุณอยากให้ผมเชื่อคุณสินะ เชื่อว่าคุณจะไม่ทำร้ายผม ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะให้ผมเชื่อ? เชื่อทั้ง ๆ ที่คนทำร้ายผมเมื่อคืนก่อนคือคุณ! ทำร้ายผมอย่างตั้งใจ ทำร้ายผมด้วยความสะใจ เบิกตาดูรอยบนตัวผมสิ หลักฐานคาตาไหม!? แล้วเนี่ยข้างในท้องผมยังมีน้ำรักคุณค้างอยู่เต็มเลย! ตอนนั้นเอาผมจนแทบตาย พอผ่านมาได้แค่วันเดียวก็บอกจะดูแลกันเนี่ยนะ จะให้ผมเอาอะไรไปเชื่อคุณวะ!! ฮะ ฮะ....คุณนี่มัน..............เห็นแก่ตัว..............คุณ.........มัน...........”

“เฮ้ย ดิน!?”

พูดไม่ทันจบร่างอ่อนเปลี้ยของบดินทร์ก็ทรุดฮวบลงกับอ้อมแขนของดนัยแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คงเพราะใช้แรงอาละวาดเกินลิมิต การแผดเสียงมากไปทำให้หน้ามืด แรงข้าวต้มไม่กี่คำจึงถูกใช้จนหมดก๊อกในคราวเดียว หมดเกลี้ยงจนขนาดที่ว่าไม่เหลือแรงแม้สักนิดที่จะพยุงตัวเองออกจากอ้อมกอดของดนัยไหว หรือแม้แต่คุมสติตัวเองให้ยั้งยืนฝืนต่อ

เขากำลังจะ...

ไม่ทันไรบดินทร์ก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของคนที่ตนไม่ต้องการอยู่ใกล้มากที่สุด ไม่ใช่แค่หลับเรียกว่าน็อคเอ้าท์ไปเลยน่าจะเหมาะกว่า พอแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่น้อยนิดหมดลงร่างกายของบดินทร์ก็เข้าโหมดชัตดาวน์ทันที

“...”

ดนัยกอดร่างสลบไสลไว้เงียบ ๆ ก้อนเนื้อในอกเต้นรัวกับความจริงที่บดินทร์ตอกใส่หน้ามาเมื่อครู่ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง

เออ! เขาไม่เถียงหรอก ใช่แล้วล่ะ...เขามันเห็นแก่ตัว! จะไม่ปฏิเสธสักคำว่าที่ทำอยู่ตอนนี้คือความเห็นแก่ตัวของตนล้วนๆ รู้ดีอยู่แล้วล่ะว่าที่เขาทำอยู่นี่มันไม่ต่างจากการตบหัวแล้วลูบหลัง แต่มันจะทำไมล่ะ? เพราะถึงยังไงเขาก็จะพยายามยัดเยียดให้บดินทร์ทำตามความพอใจอยู่ดี เพราะมันคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับบดินทร์ ทางที่เขาเลือกให้ คือทางที่บดินทร์จะบอบช้ำน้อยที่สุด

ใครเป็นคนตัดสินเหรอ?

ก็ตัวเขานี่ยังไงล่ะ

ถึงในบทละครที่เขาเคยได้รับจะเป็นบทพระรองแสนดีราวเทพบุตร หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ที่ใคร ๆ เห็นจะเป็นเจ้าชายยิ้มสวยที่นิสัยดีเหมือนเทวดาผู้มีอัธยาศัยน่าคบหาก็เถอะ แต่นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของดนัยที่ไม่ใช่แค่ลูกชายคนเล็กของท่านรัฐมนตรีพ่วงยศนายพลคนดัง ที่ถูกบิดาผู้มากด้วยอิทธิพลเลี้ยงมาบนกองเงินกองทองตามที่คนอื่น ๆ เข้าใจกัน เพราะแท้จริงแล้วดนัยคนนี้คือเจ้าพ่อดนัยที่มีชื่อในโลกมืดเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึงต่างหาก

เรื่องเดียวเท่านั้นที่เรื่องเล่าลือดูเหมือนจะคล้ายคลึงเรื่องจริง นั่นก็คือตลอดชีวิตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่เขาอยากได้แล้วไม่ได้มาไว้ในมือสักที เพราะฉะนั้นตัวของคนในอ้อมแขนนี่ก็เช่นกัน ถ้าเขาอยากได้เสียอย่าง ก็ไม่มีอะไรจะมาขวางเขาได้ทั้งนั้น

“อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละดิน ไม่ว่าคุณจะยินยอมหรือไม่ คุณก็ไม่มีสิทธิ์หนีจากมือผมไปไหนทั้งนั้น”

ดนัยก้มลงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของคนที่สิ้นสติไปแล้ว ใบหน้าราวรูปสลักเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ก่อนจัดการอุ้มร่างเปลือยของบดินทร์ขึ้นพาดบ่าแล้วพาออกจากห้องน้ำไปทั้งสายน้ำเกลือน่ารำคาญ เดินเพียงไม่กี่ก้าวถึงเตียงคนป่วยก็บรรจงวางตัวของบดินทร์ลงอย่างเบามือ ดวงตาลึกล้ำจับจ้องเรือนร่างเปล่าเปลือยตรงหน้าด้วยสายตาที่แสดงความกระหายใคร่อยากเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่

เพราะไม่เคยอยากได้อะไรแล้วไม่ได้

เพราะไม่เคยผิดหวัง จึงไม่เคยลุ่มหลงในสิ่งใด

แต่กับคนตรงหน้าที่ดนัยไม่เคยคิดเสน่หา กลับไม่รู้อะไรดลใจทำให้ละสายตาไปไหนไม่ได้ ความรู้สึกอยากครอบครองพาเอาแทบคลั่ง เพียงแค่มองก็รู้สึกลำคอและริมฝีปากแห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลียไว้ให้ชุ่มชื้น

ความหิวกระหายครอบงำจิตใจโดยไม่รู้ตัว

อยากได้ อยากได้ อยากได้

ยิ่งบดินทร์ดิ้นรนผลักไส ดนัยก็ยิ่งอยากได้

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่มั่นใจเต็มร้อยก็ตอนรับร่างของบดินทร์เข้าสู่อ้อมกอดนี่แหละ

ไม่ใช่เพียงคริสตัลแตกหักง่าย

แต่เป็นอัญมณีสูงค่าราคาแพงที่ดนัยพร้อมยอมทุ่มสุดตัวเพื่อคว้ามาให้ได้

‘อยากได้เหลือเกิน’





ครืด~ ครืด~ ครืด~

เสียงมือถือสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง เรียกสติของดนัยกลับมา เขาเอาผ้าห่มปิดร่างเปลือยของบดินทร์ไว้ชั่วคราว ก่อนเร่งกดรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นเบอร์ใคร

“ว่าไง?”

[พวกมันมาดักรออยู่ที่คอนโดของคุณบดินทร์จริงอย่างที่นายคาดไว้ไม่ผิดเลยครับ ทั้งพวกบ่อน ทั้งนักข่าว]

เสียงตามสายคือลูกน้องคนสนิทที่เขาใช้ให้ไปคอยเฝ้าคอนโดของบดินทร์ไว้อย่างลับ ๆ เพื่อสืบว่าใครกันที่เป็นเจ้าหนี้สิบล้านของบดินทร์

“แล้วรู้หรือยังว่ามันเป็นพวกของบ่อนใคร?”

[เป็นพวกของเสี่ยอัครเดชครับ]

“ดี เฝ้ามันไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวกูจะบอกอีกทีว่าต้องทำยังไง”

[ครับนาย]

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่อง ดนัยก็สั่งให้ลูกน้องออกตามสืบเรื่องของบดินทร์ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องหนี้บ่อนกับการตกเป็นลิ่วล้อของชิดจันทร์โดยไม่ตั้งใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจไยดีนัก แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะบดินทร์เป็นคนของเขาแล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะยอมรับหรือไม่ เขาก็จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนกล้ามาแตะต้องบดินทร์อีกเด็ดขาด!

อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าพ่อบ่อนใหญ่คู่ขาคุณหนูชิดจันทร์จะใหญ่ไปกว่าบารมีของเขาหรือเปล่า



+++++++++++++++++++++++++



ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดบดินทร์ก็รู้สึกตัวตื่น แต่สมองยังมึนงงเกินกว่าจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ในช่วงนาทีแรกที่ลืมตาแล้วมองไปรอบตัวถึงได้รู้ตัวว่าถูกพากลับมานอนเรียบร้อยอยู่ที่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในชุดคนไข้ชุดใหม่หอมสดชื่นกับร่างกายที่สะอาดสะอ้านด้วย เหตุการณ์สุดท้ายก่อนจะหมดสติไปจำได้ว่าเขาสติแตก ขณะที่ร่างกายยังเปลือยล่อนจ้อน

“!!?” บดินทร์ใจหายวาบทันทีที่คิดขึ้นได้ ชายหนุ่มเพ่งสมาธิกับร่างกายของตัวเองทันที ก่อนถอนหายใจโล่งอกในวินาทีถัดมา

…ไม่ได้ถูกล่วงเกินอะไร

หลังสำรวจตัวเองเรียบร้อย พอนึกขึ้นได้ว่าตนน่าจะไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง สายตาจึงลอบชำเลืองไปหาในที่ประจำของคนเฝ้า แล้วก็พบเข้ากับดนัยที่ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น อยู่ที่เดิม เห็นแบบนั้นบดินทร์ก็วางใจที่จะผ่อนคลายได้หน่อย การปะทะกันในห้องน้ำเมื่อครู่ยังคงทิ้งร่องรอยในอารมณ์ขุ่นมัว ดีแล้วที่ตื่นมาแล้วไม่ต้องปะทะคารมต่อเนื่องอีก วันนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะต่อสู้กับอะไรอีก

ดีแล้ว…ที่ต่างคนต่างอยู่

คนไข้นอนนิ่งอยู่บนเตียง คนเฝ้าก็อ่านหนังสือเงียบ ๆ อยู่ตรงโซฟามุมห้อง ในขณะที่บดินทร์คิดว่าวันนี้ตนคงไม่ต้องเผชิญกับเรื่องราวอะไรอีกแล้ว หลังจากนั้นเพียงไม่นานกลับมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมเยือน

แขกที่ดนัยรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร แต่เป็นแขกที่บดินทร์คาดไม่ถึง

“....ดิน”

เสียงทุ้มหวานเอ่ยเรียกคนที่เหม่อลอยอยู่บนเตียงคนป่วยด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า เสียงนั้นคุ้นเคยจนบดินทร์ถึงกับรีบหันมามอง

“...พี่ซอลย่า?”

ด้วยความตกใจจึงทำให้บดินทร์แทบกัดลิ้นตัวเองด้วยซ้ำตอนขานชื่ออีกฝ่าย ขอบตาแดงรื้นขึ้นอีกคราแค่เพียงเห็นว่าซอลย่าปรี่เข้ามาหาพร้อมเสียงสะอื้น

“พี่ขอโทษที่ทิ้งดินเมื่อคืน พี่ผิดเอง พี่ขอโทษ”

“ไม่ครับพี่ซอลย่า ดินต่างหากที่ผิดเอง ดินขอโทษ”

ซอลย่าพร่ำขอโทษทั้งน้ำตา ขณะโผเข้ากอดคนที่ตนรักไม่ต่างจากน้องชายคนหนึ่ง บดินทร์กอดตอบพร้อมซุกใบหน้าลงบนไหล่ที่กำลังสั่นระริก

“...” ดนัยเฝ้ามองสองคนกอดกันกลมดิก ถ่ายทอดภาพแห่งความซาบซึ้งสู่สายตาของเขาเป็นฉาก ใจหนึ่งก็อยากร่วมยินดีด้วยอยู่หรอกที่สองคนนั้นสามารถเคลียร์ใจกันได้ แต่ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ถึงได้แอบเสียวยอกในใจอยู่ลึก ๆ แค่เพียงเห็นว่าบดินทร์ส่งยิ้มหวานล้ำให้กับผู้จัดการของตนไม่ขาด

ดนัยรีบส่ายหน้าดิก ไม่อยากจะคิดว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร

นี่อย่าบอกนะว่า เขากำลัง ‘อิจฉา? ’

ดนัยยิ้มเยาะให้กับความรู้สึกแปลกประหลาดของตน ก่อนจะนั่งมองสองคนพี่น้องพร่ำอาลัยกันต่อ โดยเนื้อหาที่ดนัยได้ยินนั้นก็มีเพียงแค่เรื่องที่บดินทร์และซอลย่าต่างขอโทษขอโพยกันที่ทำให้ต้องลำบากใจแค่นั้น

เพราะดนัยใช้อิทธิพลของพ่อเลี้ยงในการปิดข่าวที่อยู่ของบดินทร์ อีกทั้งเขายังวางกำลังคนเฝ้าไว้ทั่วทั้งโรงพยาบาล คนที่จะสามารถเข้ามาเยี่ยมอาการของบดินทร์ได้ต้องผ่านการอนุมัติของดนัยก่อน สดายุและกฤตเมธได้สิทธิ์นั้นโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ส่วนของซอลย่าเองก็เช่นกัน และมีอีกหนึ่งคนที่ซอลย่าขอพาตัวมาเยี่ยมบดินทร์ด้วย แลกเปลี่ยนกับการเล่าเรื่องราวส่วนตัวบางอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของบดินทร์ให้ดนัยได้ฟัง

“ดิน…ลูก…”

และคนที่ติดสอยห้อยตามซอลย่ามาด้วยกันก็คือพิลาสลักษณ์แม่เลี้ยงของบดินทร์

“...คุณน้า?”

“ดินเป็นไงบ้าง?”

การเผชิญหน้ากันอย่างกะทันหันทำให้บดินทร์ทำหน้าไม่ถูก แม่เลี้ยงที่ไม่เคยญาติดีกันวันนี้กลับมาเยี่ยมถึงที่ ดวงหน้าของหญิงวัยกลางคนแม้จะดูอิ่มเอิบแต่ก็มีร่องรอยความกังวล หล่อนยิ้มบาง ๆ ให้ลูกเลี้ยงก่อนเดินเข้ามาใกล้แล้วทรุดกายลงนั่งที่ข้างเตียงเคียงกันกับซอลย่า

บดินทร์ทำเพียงเอ่ยทักทายตามมารยาท แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอีก ไม่ใช่หยิ่งยโสมาจากไหน แต่เป็นเพราะเขากับแม่เลี้ยงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาตั้งแต่แรก จึงไม่รู้ว่าจะสานต่อการสนทนาที่มากไปกว่าการกล่าวขอบคุณได้อย่างไร ทางฝ่ายผู้สูงวัยกว่าก็เช่นกัน หล่อนไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง ทำเพียงนั่งนิ่งเงียบอยู่ข้าง ๆ กับซอลย่าเท่านั้น

จนในที่สุดซอลย่าก็แอบหลบฉากออกไปอย่างรู้งาน เพื่อให้สองแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงได้สนทนากันบ้าง

“ดิน เป็นยังไงบ้างลูก?”

หลังจากถูกปล่อยให้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง พิลาสลักษณ์จึงเอ่ยถามอาการของลูกเลี้ยงด้วยความห่วงใยด้วยน้ำเสียงสั่นน้อย ๆ ตามวัยที่สูงขึ้น ไม่มีกระแสตัดพ้อหาความตามอย่างที่บดินทร์จินตนาการไว้

“ผมโอเคขึ้นแล้วครับ...ขอโทษคุณน้าด้วยที่ทำให้ต้องลำบากมาเยี่ยม...ขอโทษที่ผมทำแต่เรื่องเดือดร้อน”

บดินทร์ก้มหน้าก้มตาขอโทษเสียงแผ่ว คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยเพราะรู้สึกผิดจากใจจริง

เขาสร้างเรื่องอีกแล้วลูกเลวอย่างเขาสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ครอบครัวอีกแล้ว

พ่อเขาคง...โกรธมาก

“...ดิน”

“ครับ…คุณน้า”

น้ำเสียงอ่อนโยนขานชื่อคนที่กำลังความคิดเตลิดให้ได้สติ พร้อมเอื้อมมือไปสัมผัสที่แขนซ้ายลูกชายแผ่วเบาเพื่อเรียกให้บดินทร์ตระหนักรับฟังในเรื่องที่กำลังจะเอ่ย

“ตอนนี้คุณบดี กำลังไปทำเรื่องขายที่ที่ราชบุรีอยู่...”

“...!?”

“ส่วนที่ของน้าที่ลำปาง ก็กำลังให้ญาติที่นั่นช่วยทำเรื่องขายอยู่เหมือนกัน”

“ขายที่? ทะ…ทำไมถึง…?”

“เราจะรีบขายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ามันจะไม่พอสิบล้านจริง ๆ เราก็ตัดสินใจกันแล้วว่าจะจำนองบ้าน...”

“เดี๋ยว! คุณน้าหมายความว่ายังไง ผมงงไปหมดแล้ว?”

บดินทร์ถามเสียงพร่า เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พิลาสลักษณ์ต้องการจะสื่อ ไม่สิ…แท้จริงสมองเขาก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่หัวใจเขามันกลับปฏิเสธ

“เงินที่ดินติดเขาอยู่น่ะสิบล้านใช่ไหม หลังจากทราบเรื่องเมื่อวานคุณบดีก็เดินทางไปราชบุรีทันที เพื่อทำเรื่องขายที่ตรงสวนผึ้ง เห็นว่ามีนายหน้ารอติดต่อขอซื้ออยู่แล้ว ที่สวยมาก น่าจะได้ราคางามอยู่...”

“ทำไม? พ่อทำแบบนั้นทำไม ที่ดินผืนนั้น...เป็นของปู่ เป็นของดูต่างหน้าที่พ่อหวงมาก...ทำไมถึง....”

“ของดูต่างหน้าหรือจะสู้ดวงใจ ไม่ว่าต่อหน้าดินพ่อเขาจะแสดงท่าทียังไง น้าอยากให้ดินรู้ว่าทุกลมหายใจของคุณบดี...ดินยังคงเป็นลูกชายคนเดียวที่เขารักที่สุดเสมอ”

“...พ่อ...ฮึ่ก...”

หลังฟังคำเฉลย หัวใจของบดินทร์ก็ถูกบีบรัดจนแทบจะขาด บุพการีเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ พ่อที่เขานึกว่าได้ถูกตัดขาดออกจากอ้อมอกแล้ว แท้จริงมันเป็นแค่เขาที่โง่งมจนมองไม่เห็นความรักมากมายยังคงเอ่อล้นรอบกาย น้ำตาของบดินทร์ไหลพรากด้วยความรู้สึกผิดจนแทบหายใจไม่ออก

“...ฮือ...ผมขอโทษ...พ่อ...คุณน้า...ผม…ฮึ่ก…ขอโทษ...”

บดินทร์ร่ำไห้อย่างไม่มีความอายหลงเหลือ เจ็บปวดรวดร้าวกับความไม่ยั้งคิดของตัวเองจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว นอกจากการพร่ำขอโทษ

พิลาสลักษณ์เองก็ถึงกับน้ำตาคลอหน่วย แม้ว่าหล่อนกับลูกเลี้ยงคนนี้จะไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น แต่หล่อนก็ไม่เคยเห็นว่าเด็กหนุ่มเป็นคนไกลหรือน่ารังเกียจตรงไหน มันไม่มีหลงเหลืออีกแล้วทิฐิใด ๆ ที่เคยผูกใจเจ็บ ยิ่งได้เห็นว่าบดินทร์คนนี้แสนบอบบาง หล่อนก็รู้ได้ว่าน่าเสียดายเวลาที่พวกเขาปล่อยให้เสียเปล่าไปโดยไม่ยอมทำความเข้าใจกันเสียจริง

ผู้มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงลอบถอนหายใจเบาบางเพื่อพยายามข่มกลั้นก้อนสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นมาถึงคอหอย สูดหายใจแล้วเอื้อมมืออีกข้างเข้าประคองแขนที่ยังระโยงระยางไปด้วยสายน้ำเกลือของบดินทร์ สองมืออวบอิ่มอ่อนโยน ค่อย ๆ บีบมือของลูกเลี้ยงแน่นขึ้น มือของหญิงวัยห้าสิบเอ็ดปีไม่นิ่มนวลเช่นมือสาว สากระคายทว่าแสนอบอุ่น ใบหน้าอิ่มเอิบที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัย ส่งยิ้มมาไม่ขาดสายพร้อมเอ่ยถ้อยคำพร่ำปลอบประโลมออกมาไม่ขาดปาก

“น้ายังไม่ได้บอกเรื่องที่ดินเข้าโรงพยาบาลให้คุณบดีฟังหรอกนะ น้าเองก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อเช้าจากคุณซอลย่าเหมือนกัน น้าไม่กล้าบอก เพราะลึก ๆ น้าเองก็พอรู้ว่าที่ดินตัดสินใจแบบนี้ส่วนหนึ่งคงเป็นสาเหตุจากสายนั้นของคุณพ่อ แต่น้าอยากให้ดินรู้ ถึงคุณพ่อจะต่อว่าดินไปแบบนั้นแต่หลังจากวางสาย เขาก็ไม่ได้รู้สึกสาแก่ใจที่ทำลงไป ใบหน้าของคุณบดีตอนนั้นราวกับจะร้องไห้ เขาร้อนรนในการหาโฉนดที่ดินผืนสำคัญ รีบเร่งติดต่อกับทางนายหน้าค้าที่ที่เขาเคยด่าสาดเสียเทเสียไปหลายครั้ง เพื่อติดต่อยอมขายที่ให้ในราคาที่เคยถูกเสนอให้ แล้วเดินทางไปราชบุรีทันทีที่สามารถติดต่อนายหน้าได้...”

“ขอโทษนะ ที่น้าเห็นแก่ตัว น้ากลัวว่าคุณบดีจะสติแตกหากรู้เรื่องของดิน น้าเลยยังเงียบไว้ ขอโทษที่น้าเป็นห่วงเขามากกว่าดิน เชื่อเถอะว่าถ้าเขารู้ เขาต้องกลับมาหาดินทันทีแน่ คุณบดีน่ะ เขารักดินมากนะ เพราะฉะนั้นน้าจึงอยากให้ดินเป็นคนไปบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อเอง ไปบอกกันต่อหน้า แล้วเปิดอกพูดกันตามประสาพ่อลูก น้าคิดว่าแบบนั้น ความเจ็บปวดอาจถูกลดทอนลง...ดิน...เห็นด้วยกับน้าใช่ไหม? ...”

“ครับ...ผมเห็นด้วย ทันทีที่พ่อกลับมา ผม...ฮึ่ก...ผมจะไปกราบท่านเอง...”

“จ๊ะ...กลับมาเถอะนะ กลับมาบ้านของดิน น้าอยากให้ดินรู้เหลือเกินว่าตั้งแต่ที่ดินจากมา คุณพ่อของดินยังคงนั่งรอที่โซฟาหน้าบ้านตัวเดิมจนดึก ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้รอใคร แต่น้ารู้ว่าสายตาของเขาที่จับจ้องตรงประตูรั้วไม่วางตานั่นกำลังรอใครอยู่ กลับมานะ บ้านของดิน พ่อของดิน ยังรอดินอยู่...”

“.บ้านของเราครับ...ผมจะกลับไป...ที่บ้านของเรา...”

จบประโยคบอกเล่าความในใจ บดินทร์ก็ก้มลงกราบลงข้างเตียง เทียบเคียงว่ามันคือตักอุ่นของผู้มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยง พิลาสลักษณ์ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป หล่อนปล่อยมันไหลพรั่งพรูออกมาพร้อมกับที่ก้มลงโอบกอดร่างสั่นเทาของลูกเลี้ยงแน่น กอดแรกที่อบอุ่นและตราตรึงในความรู้สึกของทั้งคู่ที่สุด

ภาพความสัมพันธ์อันแสนอบอุ่นระหว่างบดินทร์กับแม่เลี้ยงอยู่ในสายตาของดนัยตลอด แต่ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มไม่ได้มีความรู้สึกอุ่นใจร่วมไปด้วยกับภาพนั้นนักหรอก เพราะเขามีเรื่องที่จะต้องรีบจัดการเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

หนี้สินสิบล้านของบดินทร์ กับที่ดินที่ราชบุรีของครอบครัว



+++++++++++++++++++++

ไม่ว่าจะเริ่มต้นด้วยอะไร แต่ดนัยปิ๊งดินตั้งแต่แรกเจอแน่นอน เพียงแต่ด้วยนิสัยร้ายกาจของนางเลยหาทางเข้าใกล้ด้วยการหาเรื่องราวี 555 นิสัยเจ้าพ่อก็งี้ค่ะ อยากได้ไรต้องได้ บดินทร์ก็ไม่เว้น อิอิ

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 09 สร้างหนี้บุญคุณ [15 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 15-02-2024 05:19:03

09 สร้างหนี้บุญคุณ


“สวัสดีครับคุณดนัยผมไม่ทราบว่าคุณจะแวะเวียนมาเลยไม่ทันได้ต้อนรับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจ เอ่ยทักแขกคนสำคัญที่จู่ ๆ ก็บุกมาเยือนโดยไม่คาดหมาย อัครเดชยิ้มทักทันทีที่ได้เห็นดนัยยืนยิ้มรับอยู่ตรงหน้าโซฟาห้องรับแขกสุดหรูหราพร้อมกับบอดี้การ์ดประจำตัวขนาบด้านหลัง ลูกนายพลก็แบบนี้ เวลาไปไหนมาไหนมักมีสมุนพ่อตามติดไม่ห่าง ในสายตาเขา ดนัยก็เป็นแค่ลูกนายพลที่บ้าอิทธิพลคนหนึ่ง

“ไม่หรอกครับ ทางผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่จู่ ๆ ก็โผล่มาโดยพลการ พอดีว่า...ผมมีเรื่องร้อนใจ อยากให้เสี่ยช่วยด่วนน่ะครับ เลยเผลอเสียมารยาท มาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า”

“แหม ไม่เห็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้นเลย ผมยินดีช่วยเหลือคุณหนูอยู่แล้ว เชิญตามสบายเลยครับ”

ได้ยินดนัยพูดแบบนั้น อัครเดชก็หัวเราะร่า แม้ว่าจะไม่ได้วางใจผู้มาเยือนนัก แต่เพราะแขกคนนี้มีดีกรีเป็นลูกคนมีสีที่หากได้ผูกสัมพันธ์ไว้ ธุรกิจสีเทาของเขาก็จะได้ทางสะดวกขึ้นจึงยิ่งปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด

“ขอบคุณมากครับ”

หลังคำตอบรับของมาเฟียหนุ่มใหญ่ ดนัยยิ้มพราวส่งให้ สองร่างกำยำสูสีหย่อนตัวลงบนโซฟาราคาแพงระยับคนละฝั่ง ที่สามารถหยั่งเชิงกันได้พอดิบพอดี

การพบปะในวันนี้สร้างความแปลกใจเล็กน้อยให้แก่อัครเดช เพราะตามจริงแล้วเส้นทางชีวิตของพวกเขาไม่น่ามีจุดร่วมกันสักเท่าไหร่ หนึ่งคือมาเฟียเจ้าของบ่อนผู้ทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจใต้ดินที่ส่วยหนักจนกฎหมายไม่สามารถเอื้อมถึง แต่อีกหนึ่งกลับเป็นลูกชายคนเล็กของนายพลระดับสูงผู้มากด้วยอิทธิพลทางการทหาร

หากเข้าหากันด้วยอาชีพ คงต้องล่าล้างกันจนสิ้นกันไปข้าง ทว่าหากเข้าหากันด้วยผลประโยชน์แล้ว ก็ใช่ว่าจะเอื้ออาศัยกันไม่ได้ แต่มันมีข้อแตกต่างกันนิดหน่อย ซึ่งมันเป็นเงื่อนไขสำคัญในการอยู่รอดของวงการเถื่อนในมือของอัครเดช นั่นก็คือ หากฝ่ายเขาต้องการความช่วยเหลือทางกฎหมายจากท่านนายพล เขาจะต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาอกเอาใจผู้ทรงอำนาจทางกฎหมายให้เห็นดีเห็นงามด้วย แต่หากเป็นฝ่ายนั้นต้องการความช่วยเหลือจากเขาบ้าง มันก็ง่ายเพียงแค่เอ่ยปาก อัครเดชก็พร้อมสรรหามาถวายให้ถึงที่ แน่นอนว่าเขาย่อมเข้าใจในเหตุผล และยินดีที่จะว่าง่ายให้กับพวกบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหล่านั้นอยู่แล้ว เพราะผลประโยชน์ที่จะได้รับจากคนพวกนี้ พูดได้เลยว่า ‘คุ้มค่า’

บารมีแลกเงิน มันก็เป็นเรื่องปกติของสองวงการอยู่แล้ว อัครเดชวิเคราะห์คนตรงหน้าด้วยประสบการณ์ที่มี คนมีบารมีคบไว้ก็ไม่เสียหาย หมดประโยชน์เมื่อไหร่จะกำจัดทิ้งเสียตอนไหนก็ได้อยู่แล้ว อย่างไอ้เด็กเมื่อวานซืนตรงหน้านี่ก็เหมือนกัน ที่อีกฝ่ายดั้นด้นมาถึงนี่ สิ่งที่พวกลูกคุณหนูอยากได้ก็คงเดาได้ไม่ยากหรอก

ทว่าดูเหมือนคราวนี้มาเฟียตัวพ่ออย่างอัครเดชจะคาดการณ์ผิดไป เพราะทันทีที่ได้ยินคำขอของดนัย ใบหน้าเสี่ยใหญ่ก็แทบจะคลายความเป็นมิตรทันที

“ได้ข่าวว่าเสี่ย กำลังจะซื้อที่ดินผืนงามที่ราชบุรีอยู่สินะครับ”

“อ่า...แหม...คุณทราบด้วยเหรอครับเนี่ย?”

แม้นรอยยิ้มจะเจื่อนลง แต่เส้นประสาทระดับเจ้าพ่อ ย่อมแข็งกว่าคนทั่วไป อัครเดชจึงยังคงส่งยิ้มให้ดนัยอยู่ แต่ดวงตาคมกล้าเริ่มพิเคราะห์อีกฝ่ายด้วยความระแวดระวังมากขึ้น

“ผู้มีอิทธิพลระดับเสี่ย ขยับนิด ขยับหน่อยเขาก็รู้กันทั่วแล้วล่ะครับ”

คำตอบของดนัยทำเอาเปลือกตาขวาของอัครเดชกระตุกยิบ สมองอันชาญฉลาดของคนผ่านโลกมานาน สามารถประมาณการได้ทันทีว่า ‘เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา’ และคลับคล้ายว่าที่ดินผืนงามที่อุตส่าห์จะได้มากำลังจะหลุดลอยในไม่ช้า หลังประเมินด้วยสายตาแล้วพบถึงออร่าบางอย่างในตัวคนคนนั้น อัครเดชก็ไม่อ้อมค้อมอีก

‘เด็กนี่ไม่ธรรมดา กระดูกอ่อนนั่นคงแข็งจนแทบเคี้ยวไม่แตก!’

“คุณดนัยอยากได้เหรอครับ? ถึงได้มาหาผม”

“ตรงดีนะครับ หึหึ ผมชอบเสี่ยจัง”

เห็นว่าอัครเดชเข้าใจเหตุผลการมาของตนโดยไม่ต้องเอ่ยปาก ดนัยก็หัวเราะร่า คลายร่างเอนกายพิงพนักโซฟา ดูหย่อนใจ ทั้งที่ใบหน้ายังไม่คลายแววตาแห่งลูกราชสีห์ แต่ถึงอย่างไรอัครเดชเองก็ใช่จะเป็นลูกกวางน้อยให้ล่าได้ง่าย ๆ ดนัยรู้ดีว่าเวลาที่ผ่านไปแต่ละลมหายใจมีความหมายมากแค่ไหน ชายหนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะเปิดการเจรจา

“ใช่แล้วล่ะครับ...ผมอยากได้ที่ผืนนั้น ตามที่เสี่ยว่ามานั่นแหละ”

ดนัยประกาศความต้องการของตน จ้องมองสีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

คำว่า ‘ไม่มีทาง’ ปรากฏขึ้นทันทีในสายตาของคู่สนทนา ซึ่งดนัยคาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ถึงฝ่ายนั้นจะอ่อนให้เพราะเห็นว่าเขามากด้วยบารมี แต่ก็เป็นแค่บารมีพ่อ แท้จริงแล้วตัวตนของเขาในสายตาอัครเดชนั้นมันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน!

แบบนั้นแหละที่ดนัยชอบนัก

“แย่จริง ที่ผืนนั้นผมคงให้ไม่ได้หรอก กว่าเจ้าของที่ดินจะยอมใจอ่อน เสียเงินไปก็ใช่น้อย และผมเองก็ชอบที่ผืนนั้นมากเสียด้วย” อัครเดชแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ “เปลี่ยนเป็นของกำนัลอย่างอื่นที่สมน้ำสมเนื้อแทนได้หรือเปล่า? ผมคิดว่าสิ่งที่ผมจะเสนอให้ต่อไปนี้ คุณอาจชอบมันมากกว่าที่ผืนนั้นนะ”

อัครเดชพยายามหว่านล้อม ใครจะไปยอมเสียที่ดินแปลงงามนั่นให้กับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างดนัยกัน? มีอำนาจพ่อหนุนหลังแล้วยังไง สุดท้ายผลประโยชน์ระหว่างผู้ใหญ่ ก็สามารถทำให้เรื่องที่เขาไปขัดใจลูกชายคนเล็กกลายเป็นแค่เรื่องขี้ผงได้ไม่ยากอยู่แล้ว

ที่ดินผืนนั้น เป็นที่ทำเลงามเหมาะสำหรับการทำรีสอร์ตและกาสิโนที่สุด อัครเดชต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็น ถึงกับรีบส่งคนไปติดต่อขอซื้อกับไอ้เจ้าของที่หัวแข็งนั่นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ทั้งที่เป็นแค่นายทหารปลดประจำการกินบำนาญกระจอก ๆ กลับกล้าปฏิเสธเงินถุงเงินถัง นี่ถ้าไม่ได้ลูกชายที่เป็นดาราใจแตกแถมดวงซวยของมันช่วยไว้ ไม่แน่ว่าป่านนี้ลุงทหารนั่นอาจเหลือแค่ชื่อไปแล้ว!

ในที่สุดก็จะได้มาไว้ในมือแล้ว อัครเดชไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดลอยไปเพียงเพราะดนัยบ่นอยากได้แน่!

“โถ่...อย่าเพิ่งตัดรอนกันสิครับ ผมจำเป็นต้องได้ที่ผืนนั้นจริง ๆ นะ” ดนัยเองก็ไม่ยอมลดรา “เอาเป็นว่าผมขอซื้อต่อแล้วกัน คุยกันเป็นธุรกิจแฟร์ ๆ เลย เสี่ยอยากเรียกสักเท่าไหร่ครับ เอางี้…ผมให้สิบล้านพอไหม? มากกว่าราคาที่เสี่ยจะซื้อตั้งเท่าหนึ่งเลยนะ”

“...!”

ข้อต่อรองของดนัยเล่นเอาตาขวาของอัครเดชเขม่นอีกรอบ ทุกถ้อยคำของอีกฝ่ายแย้มพราย แสดงชัดว่าการมาคราวนี้ ไม่ใช่เพียงมาเพื่อขอของเล่นเช่นลูกท่านหลานเธอคนอื่น แต่ดนัยมาเพื่อประกาศตัวช่วงชิงของที่เขากำลังจะได้ไว้ในกำมือ! คิ้วหนาเหนือหน่วยตาเริ่มผูกเกี่ยวเป็นปม รอยยิ้มที่เคยประดับบนใบหน้า ค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อยผู้เป็นเจ้าบ้านยืดตัวตรง ไหล่ที่ตั้งผึ่งผายดูองอาจนั้นแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าพ่อตลาดมืดได้แบบไม่มีซ่อนเร้น แผ่อำนาจกดข่มผู้คนอย่างที่เคยทำมาแล้วนักต่อนัก ไม่สนทั้งนั้นไม่ว่าคนตรงหน้าจะเป็นลูกท่านหลานใคร!

“...ดูท่า ผมคงปฏิเสธลำบากเลยนะครับ”

“ผมก็แค่คาดหวังความเมตตาจากเสี่ยเท่านั้นแหละครับ”

แต่ความกดดันนั้นกลับทำอะไรดนัยไม่ได้ เขาไม่รู้สึกอึดอัดที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาข่มเลยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าการมาวันนี้ย่อมไม่ใช่การผลีผลามจับเหยื่อตัวใหญ่โดยไม่มีการเตรียมพร้อม

อัครเดชรับรู้ได้ถึงจุดนั้น มันจึงทำให้เจ้าบ้านเริ่มแสดงท่าทีเป็นศัตรู

“แล้วถ้าผมขอปฏิเสธล่ะ?”

เจ้าพ่ออัครเดชพูดพลางโน้มห้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเล็กน้อยสองมือประสานกันเหนือเข่าที่ใช้ค้ำข้อศอกไว้อย่างมั่นคงเพิ่มความน่าเกรงขามและกดดันให้ดนัยได้รู้สึกกริ่งกลัวขึ้นได้บ้าง รอยยิ้มจอมปลอมจางหายไปนานแล้ว ดวงตาแข็งกร้าว จ้องลึกเข้าไปที่ดวงตาคมกล้าของฝ่ายตรงข้าม ลูกพยัคฆ์แล้วไงยังไง? คิดหรือว่าเขาจะไม่กล้ากำราบอุตส่าห์ล่าของดีมาได้ทำไมต้องยอมให้ใครไม่รู้มาชุบมือเปิบ

“คุณหนูอุตส่าห์มาหาผมถึงที่นี่เพื่อขอสิ่งที่มีค่าสุดๆ ในมือผมไป คิดเหรอครับว่าเงินแค่สิบล้านมันจะพอ?”

“แหม...โก่งราคาจังเลยนะครับ รับซื้อมาแค่ห้าล้านเองแท้ ๆ” ดนัยหัวเราะร่วน ดวงตาสีเขียวทองจ้องมองคนที่พยายามกดข่ม ไร้ความกริ่งกลัว “แถมยังเป็นห้าล้าน ที่ไม่ต้องจ่ายสักแดงเดียวด้วย”

“!!?”

เส้นเลือดข้างขมับของอัครเดชบีบตัวถี่ มันเต้นตุบ ๆ ราวกับจะปริแตก ที่เห็นไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้ายังกล้าผยอง มันคิดจะงัดข้อกับเขา ใช้บารมีที่หนุนหลังมันอยู่มาวัดรอยเท้าเขา เจ้าบ้านกัดฟันกรอด ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาน้อย ๆ

“หึ...ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะเอาที่ผืนนั้นไปทำอะไร แต่ผมคงให้ไม่ได้ ขอโทษด้วยที่ต้องปฏิเสธคุณหนูดนัย...เก็บสิบล้านให้พ่อคุณไว้ใช้เลี้ยงสมุนให้ดีดีกว่านะ”

อัครเดชพูดพลางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ไอ้เด็กอวดดีตรงหน้า คงคิดว่าตัวเองแน่เสียเต็มประดาเลยกระมัง ถึงได้ ไม่ยี่หระกับการโดนเขาข่มขวัญ คิดว่าเขาเพิ่งเจอกับคนแบบมันครั้งแรกหรือไง? ตลอดชีวิตในฐานะคนประกอบอาชีพสีเทาเขามักเจอกับคนพวกนี้เสมอ พวกที่คิดว่าตัวเองมากด้วยบารมี พวกที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสูบเลือดสูบเนื้อของเขา พวกคนมีสี พวกนักการเมืองกังฉินเจ้ายศเจ้าอย่างกับอำนาจจอมปลอม ที่คลานตามกลิ่นเงินกันราวฝูงสุนัข คิดว่าอัครเดชคนนี้อยู่ในวงการมานานเท่าไหร่ กำจุดอ่อนของพวกผู้รากมากดีไว้ขนาดไหน แม้แต่พ่อของไอ้เด็กนี่ก็เหมือนกัน!

“นายพลท่านประวัติดีมาตลอด และตัวผมเองก็ให้ความศรัทธาในบารมีของตัวท่านอยู่ไม่ใช่น้อย อยากเห็นท่าน ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคนนายคนแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน เข้าใจไหมครับคุณหนูว่าผมไม่อยากมีเรื่อง เพราะงั้น กลับไปเสียตั้งแต่ผมยังอารมณ์ดีดีกว่านะครับ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมส่งของขวัญปลอบใจตามไปให้”

อัครเดชเตือนอีกฝ่ายด้วยความใจเย็นเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่คำขู่พล่อย เด็กน้อยควรรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงหมากเบี้ย แต่เป็นเจ้าของกระดาน ที่สามารถกำหนดตาเดินได้ด้วยตัวเอง และยังสามารถกำหนดได้กระทั่งเบี้ยตัวใหญ่ระดับนายพลได้ด้วย คนที่มีเบื้องหน้าดี ๆ น่ะกลัวการป้ายสีอย่างกับอะไร แล้วคนที่มีเบื้องหลังไม่น่าไว้ใจอย่างท่านนายพลก็ย่อมกลัวการถูกเปิดโปงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดอยู่แล้ว ผู้รักษากฎหมายน่ะเวลาถูกจับได้มันร้ายกว่าพวกใต้ดินไร้ตัวตนอย่างพวกเขาอยู่นักหนา ในข้อนี้แหละที่เจ้าแห่งโลกใต้ดินอย่างอัครเดชถือไพ่เหนือกว่าพวกนายพลคนดีล่ะ

“นี่...เล่นขู่กันถึงพ่อเลยเหรอครับ แหม...น่ากลัวจัง” ดนัยแสร้งทำหน้าตื่น “พ่อผมท่านจะเกษียณอยู่แล้วให้ท่านพักสบาย ๆ เถอะครับ เอ๊...แต่รู้สึกจะจำได้ว่าธุรกิจของเสี่ยกับพ่อผมก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันสักเท่าไหร่ จะเอาเรื่องอะไรมาเล่นงานพ่อผมเหรอ? อา...ก็คงมีแหละนะท่านก็ใช่จะตงฉินใสสะอาด แต่ผมขอร้องล่ะอย่าไปวุ่นวายท่านเลยถือว่าเป็นความปรารถนาดีจากผมก็แล้วกันนะ”

“...”

แม้สีหน้าจะยังแสร้งทำเป็นลำบากใจ แต่นัยน์ความที่พูดนั้นกลับแฝงเร้นด้วยความหมายอื่น รอยยิ้มที่ค่อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้น ทำให้อัครเดชเริ่มรู้ตัวว่าดนัยไม่ได้รู้สึกกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย คราวนี้อัครเดชยอมหุบปากลงเพื่อพิจารณาถึงบุคคลตรงหน้า ไม่รู้ทำไมบรรยากาศของเด็กคนนี้ถึงกลับเป็นฝ่ายกดดันเขาแทนได้ เจ้าพ่อใหญ่กำมือแน่น สายตาขยับไปออกคำสั่งให้ลูกน้องเตรียมการสำคัญ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของผมคนเดียวครับ สิบล้านนั่นก็เงินผมเอง ถ้าจะมีปัญหาล่ะก็เล่นกับผมตรง ๆ เลยดีกว่า”

ดนัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่สะทกสะท้านแม้ตอนนี้พวกลิ่วล้อร่วมยี่สิบคนของอัครเดชจะเริ่มแสดงอาการคุกคาม ร่างสูงใหญ่ขยับกายลุกยืนหันหลังเบื้องหน้าเจ้าบ้าน เดินไปหยิบนู่น ชมนี่เล่น ดูไม่ร้อนรน อย่างตอนนี้ก็กำลังชมความงามของแจกันหยกล้ำค่าใบหนึ่งอยู่

“ดูเหมือนธุรกิจค้าของเก่ากำลังไปได้สวยเลยนะครับ เส้นทางสายไหมจากแผ่นดินใหญ่ดูท่าจะสร้างกำไรงามอย่างคาดไม่ถึง คู่ค้ารายล่าสุดอย่างมิสเตอร์จางก็ดูท่าจะถูกใจเสี่ยอยู่ไม่น้อยเลย ถึงขนาดยอมเสี่ยงรับงานตามล่าหยกแก้วโบราณในสุสานหลวงชื่อดังมาให้เสี่ยได้ จุ๊ จุ๊ เจ้าพ่ออัครเดชนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ถ้าได้หยกนั่นมาไว้ในมือเมื่อไหร่ ดูจากเส้นทางต่อไปที่เสี่ยจะส่งออกมัน คงฟันกำไรได้หลายล้านแน่นอนเลยใช่ไหมครับ หึ หึ”

“!!?”

คำพูดของดนัยเฉลยทุกสิ่ง ขนาดเจ้าพ่อที่ว่าแน่อย่างอัครเดชยังถึงกับเหงื่อกาฬแตกซึมตรงไรผม ธุรกิจใต้ดิน มีมุมมืดซุกซ่อน เส้นทางการค้า คู่ค้า การได้มาซึ่งสินค้า ล้วนแล้วแต่เป็นความลับ พยัคฆ์ร้ายเจนสนามย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดอันตรายแก่ตน ให้คุณให้โทษ เห็นได้ชัดว่าดนัยเป็นภัยแก่เขา!

“...แกเป็นใครกันแน่?”

อัครเดชกัดฟันถามกันตรงๆ เขาเดาไม่ออกจริง ๆ ว่าดนัยได้ข้อมูลเหล่านั้นมาจากที่ไหน! ข้อมูลนั่นเป็นความลับและเขามั่นใจว่าไม่มีใครในวงการคนมีสีที่รู้เรื่องนี้แม้แต่คนเดียว

“ก็แค่ดาราโกอินเตอร์ธรรมดา ก็แค่ลูกนายพลกระจอก ๆ ไม่ได้มีความหมายกับคนระดับเสี่ยหรอก หึ หึ ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันอย่างนั้นสิครับ วันนี้ผมก็แค่มาเพราะมีเรื่องขอร้องอ้อนวอนเท่านั้นเอง”

“...ที่ผืนนั้น...”

“ครับ แค่ที่ผืนนั้น”

“...หึ ถ้าฉันไม่ยอมตกลง คงไม่ใช่แค่ชวดเงินสิบล้านสินะ แต่ก่อนอื่น ฉันขอรู้หน่อยได้ไหม ว่าแกเป็นคนของใคร?”

เพราะไม่อาจแน่ใจในเงื้อมเงาที่อยู่เบื้องหลังของคนตรงหน้า อัครเดชจึงไม่คิดจะเสี่ยงดิ้นรน ถึงจะเจ็บใจแต่เพื่อหลบเลี่ยงเรื่องราวที่อาจบานปลายมากกว่า คนที่สามารถรู้ความลับที่สุดของธุรกิจของเขา ทั้งยังไม่แน่ใจว่ารู้ความเคลื่อนไหวของเขาอีกมากแค่ไหน มันจึงเสี่ยงที่จะวัดกันซึ่ง ๆ หน้า ขนาดที่ว่าจะให้ฆ่าอีกฝ่ายซะที่นี่ยังรู้สึกว่าลำบากกว่าการปล่อยให้ที่ผืนนั้นหลุดลอยไปเสียอีก!

“อืม...นี่เห็นว่าเสี่ยใจดียอมเจรจาด้วยง่าย ๆ หรอกนะ ผมจะยอมบอกเรื่องส่วนตัวของผมให้ฟังสักหน่อยก็ได้”

“...”

ดนัยเอ่ยพลางเดินกลับมายืนเผชิญหน้ากับอัครเดชอีกครั้ง ด้วยความที่ส่วนสูงและรูปร่างดูจะพอ ๆ กัน ดังนั้นทางกายภาพจึงข่มกันไม่ค่อยลง ทว่าคนนอกไม่มีวันมองออกหรอกว่าตอนนี้ดนัยกำชัยชนะเหนือเจ้าพ่อบ่อนไว้ได้แล้ว

“จ้าวซิน เควิน บารอส พวกเขาเป็นเพื่อนกินข้าวที่น่ารัก ถึงจะหัวรุนแรงไปหน่อย แต่ก็เป็นเพื่อนที่คบหาได้ ถ้าเสี่ยอยากลองรู้จักสักวันผมจะแนะนำให้ ดูเหมือนจ้าวซินเขาจะสนใจพวกค้าของเก่าอยู่เหมือนกัน แต่เพราะมิสเตอร์จางประกาศตัวเป็นขาใหญ่ จ้าวซินเลยยังไม่คิดจะทำอะไรเพราะไม่อยากไปขัดแข้งขัดขาใครเข้า...แต่ในอนาคต ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าจ้าวซินจะเอายังไงต่อ เพราะถึงหมอนั่นจะเลือดเย็นเป็นอสรพิษที่เก็บทุกคนที่ขวางทางจนเกลี้ยงได้ แต่เพราะนิสัยขี้รำคาญ หมอนั่นจึงไม่ค่อยอยากเอาตัวเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายเท่าไหร่...เรื่องตรงเขตทับซ้อนฝั่งชายแดนที่พวกเสี่ยเพิ่งไปส่งของรุกล้ำอาณาเขตของจ้าวซินเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาฝากบอกว่าครั้งนี้จะยกให้ และหวังว่าจะไม่มีคราวหน้าอีก ฝากบอกมิสเตอร์จางให้สบายใจได้เลยครับ”

“!!”

ดนัยพูดยืดยาวต่อหน้าคนที่หน้าซีดแล้วซีดอีก สามชื่อที่ดนัยเอ่ยออกมาล้วนเป็นเจ้าแห่งโลกมืดรุ่นใหม่ที่ถือได้ว่าเป็นสามในสี่ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ บ่อน ยา อาวุธสงคราม ธุรกิจสีเทาเกือบทั้งหมดล้วนอยู่ในการควบคุมของคนพวกนั้น ในโลกสีเทานี้ผู้ที่อยากก้าวเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ ไม่มีใครไม่รู้จักสามตระกูลที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

จ้าวซิน แห่งตระกูลจ้าว

เควิ่น-บารอส สองพี่น้องแห่งตระกูลโรเมโร่

และแดนนี่ นายเหนือแห่งรังวิษธร

คนเหล่านี้นอกจากจะยิ่งใหญ่แล้วยังเข้าถึงตัวได้ยาก แต่เด็กนี่มันกลับพูดว่ามันได้ร่วมโต๊ะกินข้าวกับคนพวกนั้น อัครเดชถามตัวเองว่าควรเชื่อสิ่งที่ดนัยพูดหรือไม่ แต่เมื่อได้ยินเรื่องการส่งของในเขตทับซ้อนที่ชายแดนเพื่อนบ้าน เขาก็ตระหนักได้ว่ายิ่งไม่ควรปล่อยผ่าน ข้อมูลนั่นอย่าว่าแต่พวกมีสีเลย แม้แต่เขาเองก็เพิ่งรู้จากมิสเตอร์จางเมื่อไม่นานนี้! แล้วนี่ดนัยเป็นใครกันแน่ถึงได้รู้เรื่องนั้นละเอียดนัก? ข่าวสารในแวดวงสีเทาไม่เคยมีชื่อของมันปรากฏ เชื่อได้หรือไม่ แอบอ้างหรือเปล่า ก็แสนยากที่จะคาดเดา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องที่ดนัยอวดโอ้มาทั้งหมดก็เป็นข้อมูลจริงจนปฏิเสธไม่ได้ เพียงเท่านี้ก็เกินพอแล้วที่จะทำให้อัครเดชไม่กล้าพอจะเสี่ยงอะไรกับเด็กคนนี้อีก

เพราะถ้าดนัยสนิทชิดเชื้อกับคนพวกนั้นจริง ลำพังอิทธิพลแค่ในย่านนี้ของเขา ย่อมถูกบี้ทิ้งได้ง่าย ๆ ในทีเดียว!

“ก็ได้...ที่ดินผืนนั้นผมยกให้คุณ”

ในที่สุด อัครเดชก็ตัดใจปล่อยที่ดินผืนสำคัญจากมือในที่สุด เอาเถิดนอกจากเสียหน้าแล้ว ก็ไม่ได้เสียอะไร ในเมื่อไม่ได้ที่ดิน เขาไปขู่เอาเงินจากบดินทร์ ลูกชายเฮงซวยของไอ้เจ้าของที่นั่นแทนก็ได้ ไม่เป็นไร แค่เสียเนื้อที่อุตส่าห์ล่าได้ดีกว่าเสียแขนขาล่ะนะ

เมื่อการเจรจาสัมฤทธิผลตามคาด ดนัยก็ส่งยิ้มพราวเสน่ห์ให้อัครเดชทันที

“ขอบคุณครับเสี่ย ผมนี่เคารพใจเสี่ยสุด ๆ ไปเลย หึ หึ” ดนัยกล่าวชื่นชม ที่ใครฟังก็รู้ว่าไม่ได้มาจากใจ ก่อนจะหันไปเรียกลูกน้องคนสนิท ให้หยิบกระเป๋าใส่เงินสดจำนวนสิบล้านบาทถ้วนมาให้อัครเดช เพื่อเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนดังที่ได้ตกลงกัน

“ไม่ต้องหรอกครับ ที่ผืนนั้นผมเองก็ยังไม่ได้จ่ายเงินซื้อขาย คงไม่กล้ารับเงินจากคุณหรอก” อัครเดชรีบปฏิเสธ รู้สึกได้ว่าการรับเงินจากดนัยอาจไม่ใช่เรื่องดีกับตนนัก

“แหม...อย่าเพิ่งตัดรอนสิครับ ถือว่าเป็นค่าปลอบใจที่โครงการรีสอร์ตสุดหรูควบบ่อนกาสิโนต้องล้มไม่เป็นท่าเพราะผม...รับไปเถอะนะครับ”

ยิ่งดนัยพูด อัครเดชยิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา ราวกับถูกมองจนทะลุปรุโปร่ง ทุกความเคลื่อนไหวของเขาถูกเปิดเผยในที่แจ้งแบบหมดเปลือก อันตราย เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาช่างอันตราย!

“ผมรับไว้ไม่ได้จริง ๆ ครับคุณหนู หากอยากปลอบใจ ก็ช่วยรับปากว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผมอีกก็พอ ฝ่ายผมเองก็จะระวังอย่างสุดความสามารถครับ ที่จะไม่ไปทำอะไรขวางหูขวางตาคุณหนูอีก ผมขอเพียงแค่นี้ หวังว่าคุณหนูคงพอจะกรุณา”

อย่างไรเสียอัครเดชก็ไม่ยอมรับเงินเพราะแม้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไร อัครเดชมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าหากเผลอรับเงินก้อนนี้ ดนัยอาจเข้ามาพัวพันกับชีวิตของเขาไปอีกนาน สู้ไม่ขอรับแล้วแลกเปลี่ยนเป็นคำสัญญาแทนเสียยังเบาใจกว่า

“อา...ถ้าเสี่ยว่าอย่างนั้นผมก็คงไม่คิดบังคับใจล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเปลี่ยนเงินสิบล้านนี่จากค่าปลอบใจ เป็นค่าไถ่ก็แล้วกัน”

“ค่าไถ่?”

ดนัยถอยแต่โดยดี พร้อมเงื่อนไขใหม่ที่ทำเอาอัครเดชต้องขมวดคิ้วสงสัยอีกครั้ง ‘จะมาไม้ไหนอีกวะ? ’

“สิบล้าน จำนวนเงินเท่ากับหนี้ที่บดินทร์ติดเสี่ยอยู่ไงครับ ผมขอไถ่ตัวเขาเป็นไทจากเสี่ย คราวนี้รับเงินผมได้อย่างสบายใจแล้วสินะ”

ในที่สุดอัครเดชก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าทั้งหลายทั้งปวงหมู่มวลเหตุผลร้อยแปด ที่ดนัยดั้นด้นมาหาเขาถึงที่นี่ แท้จริงแล้วเพื่ออะไร

‘เพื่อช่วยบดินทร์!’

ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าบดินทร์ไปเป็นคนของดนัยตอนไหน อัครเดชเองก็มีหูมีตาเป็นสับปะรด เจ้าพ่ออย่างเขาที่รู้แทบจะทุกเรื่องเกี่ยวกับลูกท่านหลานเธอ เพราะมันจะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ในธุรกิจของเขาได้และนั่นหมายรวมถึงเรื่องของดนัยด้วย จากข้อมูลที่รู้ดนัยก็เป็นแค่ลูกชายคนเล็กที่นายพลตามใจมาก มีอาชีพนักแสดงแต่ส่วนใหญ่ไม่รับงานในไทย การกลับมาไทยครั้งนี้ก็แค่มาโปรโมตหนังที่ร่วมแสดง เห็นสนิทสนมก็แค่กับสดายุและกฤตเมธ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวโยงถึงบดินทร์เลยสักนิด ไม่มีข้อมูลว่าดาราสองคนนี้ไปสนิทชิดเชื้อกันตอนไหน ขนาดที่ทำให้ดนัยถึงกับหอบเงินสิบล้านมาใช้หนี้แทน แถมข่มขู่สารพัดเพื่อให้เขาตัดใจจากที่ดินของบ้านบดินทร์อีกต่างหาก นี่...เขาพลาดอะไรไปตอนไหนกัน?

“นึกไม่ถึง ว่าคุณหนูกับคุณบดินทร์จะสนิทกัน” อัครเดชลองถามหยั่งเชิง

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ...” ทว่าดนัยไม่ยอมตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วพยักพเยิดกระเป๋าเงินจำนวนสิบล้านให้เท่านั้น

“งั้นผมก็เต็มใจรับไว้ ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ ไม่นึกว่าบดินทร์จะเป็นคนของคุณ”

อัครเดชยอมรับเงินไว้ในที่สุด เพราะมันคือเงินที่เขามีสิทธิ์อันชอบ รับมาพร้อมกล่าวขอโทษที่เผลอล่วงเกินโดยไม่ตั้งใจ หากรู้ว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ เขาคงไม่เลือกบดินทร์เป็นเหยื่อตั้งแต่แรก…พลาดไปเสียแล้ว

“ขอบคุณที่ยอมรับเงินนี่นะครับ ตามที่เสี่ยขอมา ผมสัญญาว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเสี่ยอีก ถ้าเสี่ยยอมทำตามเงื่อนไขของผมข้อหนึ่ง”

เห็นว่าอีกฝ่ายยอมรับเงินไปดนัยก็เอ่ยปากต่อรองเรื่องสุดท้ายให้อีกฝ่ายได้ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อีกครั้ง

“เงื่อนไข? เชิญคุณหนูเสนอได้เลย” อัครเดชเปิดทางอย่างไม่มีอิดออด ถึงตอนนี้มีอะไรบ้างล่ะที่เขาจะสามารถใช้ขัดเจตนาของคนตรงหน้าได้ ในโลกสีเทานี้ต้องคิดถ้วนถี่แข็งได้อ่อนเป็น

“ถ้าเสี่ยสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับบดินทร์และครอบครัวอีก ผมก็จะช่วยคุยกับจ้าวซินให้ว่าควรปล่อยมิสเตอร์จางไปตามทางของเขา และไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่งกับวงการค้าของเก่าในเขตของเสี่ย เสี่ยว่าข้อแลกเปลี่ยนนี้คู่ควรพอแล้วหรือไม่ครับ หรือเสี่ยยังต้องการอย่างอื่นอีก?”

“โอ...แค่นี้ก็ขอบคุณแล้วครับ ความจริงแค่ชดใช้หนี้สิบล้านเสร็จสิ้น ผมก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับคุณบดินทร์อยู่แล้ว แต่หากคุณหนูกรุณาผมถึงขนาดช่วยคุยกับจ้าวซินให้ ผมก็ยินดีขอรับน้ำใจไว้ไม่ขัดข้องครับ”

จริงไม่จริงไม่รู้ล่ะ อัครเดชขอเอาตัวรอดไว้ก่อน หากข่าววงในหลังจากนี้เป็นไปดังที่ดนัยว่าเขาก็จะยอมรับนับถือเด็กคนนี้เอาไว้และรักษาคำสัญญาเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าทั้งหมดเป็นเพียงคำลวงล่ะก็ ถึงวันนั้นค่อยหาวิธีจัดการเอาคืนให้สาสมกับความเจ็บแสบที่ถูกล้อเล่นกับศักดิ์ศรีเจ้าพ่อให้ดู จะจัดการจนล่มจมให้หมดทั้งตระกูล เอาให้เสียใจที่เกิดมาเลยทีเดียว!

“เสี่ยรับปากผมแล้วนะ”

“ด้วยเกียรติของผมเลย”

“งั้นเป็นอันว่าการเจรจาธุรกิจของเราไปได้สวย และจบลงด้วยดี ขอบคุณที่สละเวลาให้คนอย่างผมนะครับเสี่ย”

เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการดนัยก็ยืนขึ้นพร้อมยื่นมือให้อัครเดชเพื่อเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญาระหว่างกัน อัครเดชเองก็ลุกขึ้นพร้อมเอื้อมมือไปจับมือกับดนัยเพื่อยอมรับข้อตกลงอย่างว่าง่าย ดวงตาสองคู่จดจ้องกันอย่างไม่ลดละทั้งที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตากลับแฝงแววระแวดระวังภัย

“ด้วยความยินดีครับ…คุณหนู”



หลังจากตกลงธุรกิจกันเสร็จสิ้นดนัยก็ขอตัวกลับไปในทันที ก่อนจากไปยังมีทิ้งท้ายให้อัครเดชต้องนั่งกุมขมับอีกเล็กน้อย

‘อ่อ...ฝากเตือนน้องสะใภ้เสี่ยด้วยนะครับว่าให้เลิกยุ่งกับกฤตเมธและสดายุเสียที มันหมดเวลาเล่นสนุกของเด็กน้อยแล้ว ผมรู้ว่าเสี่ยเองก็คงเหนื่อยตามล้างตามเช็ดแล้วเหมือนกัน เพราะงั้น ขอฝากด้วยนะครับ’

เจ้าพ่อรุ่นใหญ่นั่งกอดอกครุ่นคิดเพียงลำพังในห้องโถงกว้างขวาง ถึงสิ่งที่ตัวเองได้ประสบในวันนี้ ดนัยผู้ที่เขาเคยมองเห็นเป็นเพียงลูกแมวตัวน้อยผู้เย่อหยิ่งจองหอง ที่คิดว่าตัวเองแน่เพราะมีพ่อเป็นผู้ทรงอิทธิพล ทว่าวันนี้อัครเดชเพิ่งประจักษ์กับตาว่าที่เขาเห็นมาตลอดนั้นล้วนเป็นภาพลวง ลูกแมวที่ไหนกันลูกเสือตัวใหญ่เลยต่างหาก เผลอแค่นิดเดียวเขาก็เกือบโดนขย้ำคอตายโดยไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว ไอ้ลูกเสือที่แสร้งทำตัวเป็นลูกแมวนั่นซ่อนเขี้ยวเล็บแหลมคมขนาดไหนเอาไว้กันแน่นะ

อัครเดชถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจ้าพ่อหนุ่มพยายามข่มกลั้นความเดือดดาลและความหวาดหวั่นภายในจิตใจไม่ให้หลุดรอดออกมา คนอย่างเขากว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้ความแข็งแกร่งและความเลือดเย็นตั้งมากมายเท่าไหร่ หลังขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของกลุ่มก็ใช้ชีวิตด้วยความระแวดระวังมาตลอด ทุกการเคลื่อนไหว ทุกย่างก้าวเงียบเชียบ มีสติทุกครั้งที่ลงมือทำอะไรสักอย่าง มั่นใจว่าความในที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเขาแทบไม่เคยเล็ดลอด เขาเชื่อมั่นอย่างนั้นจนกระทั่งได้มาเจอกับดนัยนี่แหละ

คนอย่างดนัย...แค่คนอย่างดนัยกลับรู้ตื้นลึกหนาบางทั้งหมดที่เขาเป็น รู้ทุกความเคลื่อนไหว รู้แม้กระทั่งความสัมพันธ์ของเขากับคนที่คาดไม่ถึง มันรู้แม้กระทั่งปูมหลังว่าเขาเป็นใคร…

ยิ่งคิดยิ่งหนักอก จากนี้ไปคงต้องใช้สายตามองคนใหม่และยังต้องเพิ่มการระมัดระวังมากขึ้นด้วย ขืนยังเป็นอย่างนี้ไม่แคล้วคงต้องพลาดท่าเสียทีอีกเป็นแน่



++++++++++++++++++++++++++++++++


หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 09 สร้างหนี้บุญคุณ [15 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 15-02-2024 05:20:34


หลังจากจัดการปัญหาหนี้สินของบดินทร์ได้แล้ว ดนัยก็เตรียมจัดการเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายอีกเล็กน้อย เพราะเขามีแผนจะพาบดินทร์ไปอเมริกาด้วยทันทีที่เรื่องราวทุกอย่างจบลง จึงต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

ทว่าดันเกิดข่าวร้ายขึ้นกับเพื่อนคนสำคัญเสียก่อน

“ว่าไงนะพี่เมธ ยุถูกลักพาตัว! พวกมันเป็นใคร!?”

“ได้พี่ เดี๋ยวผมจัดการให้ ตอนนี้พี่อยู่ไหน เดี๋ยวผมไปหา...ครับเดี๋ยวเจอกัน”

ระหว่างคุยรายละเอียดกับกฤตเมธ ดนัยชำเลืองมองอีกคนที่ยังหลับลึกอยู่บนเตียงคนป่วย ก่อนรีบออกคำสั่งให้ลูกน้องจัดการออกตามหาสดายุ

“นพ มึงส่งคนออกไปตามล่ารถตู้สีบรอนซ์ทะเบียน XX-6426 ด่วน เจอมันที่ไหน รีบติดต่อกูทันที”

“ครับนาย”

“ไอ้วิ มึงรีบไปบอกพยาบาลพิเศษให้คอยดูแลดินไว้ระหว่างที่กูไม่อยู่ กำชับด้วยว่าห้ามคลาดสายตาเด็ดขาด!”

“ครับนายท่าน”

ดนัยจัดแจงสั่งการลูกน้องบางส่วนที่เขาทิ้งไว้ให้ดูแลบดินทร์ เผื่อว่าการช่วยเหลือสดายุยืดเยื้อ เขาจะได้ให้ลูกน้องที่ไว้ใจได้พวกนี้อารักขาบดินทร์ออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปส่งจนถึงเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัย

“ผมไปด้วย!”

ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น คนป่วยที่ดนัยคิดว่ายังคงนอนอยู่บนเตียงคนไข้ ตอนนี้กลับออกมายืนดักรออยู่ตรงหน้าเขา พร้อมชุดที่ดูไม่ค่อยเหมาะจะพาติดสอยห้อยตามไปไหนทั้งนั้น บดินทร์ในชุดคนไข้ที่ท่อนบนใส่คลุมไว้ด้วยเสื้อฮู้ดตัวโคร่งสีดำของดนัย แต่ท่อนล่างคือกางเกงคนป่วยสีเขียวอ่อนพิมพ์ชื่อโรงพยาบาลชัดเจน พร้อมรองเท้าแตะที่ใช้ใส่เวลาจะเข้าห้องน้ำ

ขนาดนี้ยังจะตามไป? ดนัยถึงกับถอนหายใจอย่างหัวเสีย กะไว้อยู่แล้วว่าบดินทร์จะต้องได้ยินเรื่องที่เขาเพิ่งคุยกับกฤตเมธ และต้องขอตามไปด้วยแน่ถ้าเป็นเรื่องของสดายุ

“กลับไปนอนพักซะ นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

ดนัยตัดบท ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางให้บดินทร์ติดตามไปด้วยแน่ ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เขาจะออกไปเผชิญจะมีอันตรายอะไรรออยู่บ้าง เขาไม่อยากต้องห่วงหน้าพะวงหลังหากต้องมีการต่อสู้

“แต่ยุถูกลักพาตัว...”

“แล้วไง? เกี่ยวอะไรกับคุณ?”

“ก็เขาเป็น…เพื่อนผม”

“ไม่ยักรู้...เห็นเกลียดกันจะแย่” ดนัยดักคอทุกทางเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้บดินทร์ตามไปเสี่ยงด้วย

“...อยะ...อย่างน้อย ก็เคยเป็นเพื่อนรักกัน! และผมต้องการไปช่วยเพื่อนผม”

แม้จะถูกคำกระทบกระเทียบของดนัยจี้ใจดำจนเจ็บ แต่บดินทร์ก็ไม่คิดละความพยายาม เขาเคยชั่วช้ากับสดายุแล้วยังไง? ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วนี่!

ติ๊ง!

“!!?”

ในจังหวะที่ถกเถียงกัน ข้อมูลของคนร้ายก็ถูกส่งเข้ามาในมือถือของดนัย จังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ระวังบดินทร์ก็ฉวยโอกาสนั้นแย่งมือถือจากมือดนัยจนได้

“เฮ้ย! ทำอะไรของคุณน่ะ เอาคืนมาเลย!” ดนัยหัวเสียเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยให้บดินทร์ได้ดูข้อมูลรูปพรรณสัณฐานของกลุ่มคนร้ายและป้ายทะเบียนที่กฤตเมธพิมพ์ส่งมาทั้งหมด

“...”

“อย่าคิดสร้างเรื่อง รีบกลับเข้าห้องไปซะ ผมเองก็ต้องรีบไปนะ!”

หลังยึดมือถือคืนได้ดนัยก็กำชับหนักแน่น ในขณะที่บดินทร์ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นอีก เพียงหันกลับเข้าห้องเพื่อตบตาอีกฝ่าย แล้วลอบฟังเสียงของพวกดนัยลงลิฟต์ไป

บดินทร์ก็ยกยิ้มร้าย ได้! เขาไม่ไปพร้อมดนัยก็ได้ แต่ใครบอกล่ะว่าเขาตัดใจไม่ออกตามหาสดายุแล้ว คนใส่หมวกในรูปนั่นเขารู้จัก ผู้หญิงที่ถูกจับไปด้วยนั่นเขาก็รู้จัก หากใครไม่คุ้นตาคงนึกไม่ออก แต่เขารู้ดีว่านั่นคือชิดจันทร์ และชายที่ใส่หมวกนั้นคือพิมานไม่ผิดแน่!

พิมานคือดาราตกอับที่ถูกอัปเปหิจากวงการเพราะติดหนี้พนันจนถูกเจ้าหนี้ราวีถึงกองถ่าย เสียงานเสียการจนสิ้นเนื้อประดาตัวและเสียผู้เสียคนในที่สุด ดารารุ่นพี่ที่มีชะตาชีวิตไม่ต่างจากเขามากนัก ดารารุ่นพี่ที่เขาเจออยู่เป็นประจำในบ่อนของเสี่ยอัครเดช!

แม้แหล่งกบดานไม่แน่ชัด พวกลิ่วล้อนั่นเขาก็ไม่เคยเห็น แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอคลำทางได้ ตกผลึกความคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อรอจังหวะเหมาะ ครั้นพอเปิดประตูแอบดูว่าไม่เหลือใครที่หน้าประตูแล้ว บดินทร์ก็รีบถลาออกไปยังโถงลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกลมาก หวังออกไปตามหาสดายุด้วยตัวเอง ดนัยไม่ให้ไปด้วยแล้วยังไง รถแท็กซี่ก็มี เงินติดตัวก็ยังเหลืออยู่ตั้งสองพันห้าเขาออกไปหาเองก็ได้!

หมับ!!

“!!?”

“ดื้อจังนะคุณ!”

ความตั้งใจของบดินทร์เต็มล้นแต่ยังไม่ทันพ้นทางเลี้ยวโถงลิฟต์ก็ถูกรวบตัวเข้าอ้อมกอดจากทางด้านหลัง บดินทร์ผวามองเจ้าของอ้อมแขนร้ายกาจผู้กำลังยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัย เสียงลิฟต์นั่นเป็นเสียงลวง!!

“ปล่อยนะ!”

บดินทร์ดิ้นรนรุนแรง ทั้งขัดใจ และผวาหวาดหวั่นกับอ้อมแขนที่สวมกอดมาอย่างกะทันหัน ความทรงจำยังคงตรึงตราว่าต่อให้เขามีแรงเท่าไหร่ก็ไม่เคยสลัดหลุดจากอ้อมแขนนี้พ้น!

ดนัยข่มขู่ขึ้นทันทีที่จับตัวบดินทร์ได้ แสบนักก็ต้องใช้ไม้แข็งกันบ้าง

“พูดดี ๆ ไม่ชอบใช่ไหมดิน? ต้องให้บังคับ ต้องให้มีคนเฝ้าสินะ!?”

“ผมรู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร รู้ด้วยว่าจะหาพวกมันได้จากที่ไหน ให้ผมไปช่วยยุด้วยเถอะนะ!”

ในเมื่อไม่สามารถดิ้นหนีจากกรงแขนนี้ได้ ซ้ำยังถูกเรียกคนมาคอยจับตาเฝ้าไว้อีก บดินทร์รีบต่อรองด้วยข้อมูลที่ตนมี

“ว่ายังไงนะ? คุณรู้ว่าไอ้เวรพวกนั้นเป็นใครงั้นเหรอ?”

“ใช่ เพียงแค่คุณยอมให้ผมติดตามไป ผมจะยอมบอกคุณทั้งหมด”

บดินทร์รีบพยักหน้ารัวพลางร้องขอต่อรองอีกครั้ง คราวนี้อ้อมแขนของดนัยจึงยอมคลายออก แล้วเปลี่ยนมาจับไหล่ของบดินทร์ให้หมุนมาเผชิญหน้า

“ร้ายนักนะ ก็ได้ งั้นนำพวกผมไป!”

สุดท้ายดนัยก็ยอมอนุญาต บดินทร์ยิ้มขึ้นด้วยความดีใจที่ในที่สุดคำขอร้องก็สัมฤทธิผล ทั้งสองสบตากันด้วยความหมายที่แตกต่าง เพราะความดีใจที่จะได้ไปช่วยเพื่อนทำให้บดินทร์ลืมความแค้นส่วนตัวกับดนัยไปครู่ รอยยิ้มนั้นจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ในขณะที่ดนัยเองก็เริ่มรู้สึกว่าการเสี่ยงพาบดินทร์ไปด้วยเพื่อแลกมาซึ่งรอยยิ้มนี้บางทีมันก็อาจคุ้มค่าอยู่นิด ๆ

ไม่มีคำพูดใดจากนั้น ทันทีที่ลิฟต์มา สองร่างก้าวเข้าไป เพื่อภารกิจตามหาสดายุ!!



+++++++++++++++++++++++++



ในเรื่องการออกตามหาตัวของสดายุนั้นไม่น่าเชื่อว่าบดินทร์จะกลายเป็นคนที่มีประโยชน์ขึ้นมา เพราะดันเคยไปรู้จักมักจี่กับโจรตอนที่ติดพนันบ่อนอยู่ด้วยกัน แต่ในส่วนอื่น ๆ นั้นลูกน้องของดนัยก็จัดการล่วงหน้าไปหมดแล้ว

“พี่เมธติดต่อมาว่าล่วงหน้าเข้าไปข้างในก่อนแล้ว”

ดนัยเอ่ยขึ้นทันทีที่กดวางสายจากพี่ชาย ตอนนี้พวกเขาและเหล่าสมุนมือดีอีกสามคนเข้ามาถึงหมู่บ้านร้างที่เป็นแหล่งกบดานของพวกโจรลักพาตัวแล้ว เพื่อให้ง่ายต่อการพรางตัว พวกเขาจึงเลือกจอดรถไว้ด้านนอกแล้วเดินเท้าฝ่าทางมืดทึบเข้าตัวหมู่บ้านเข้าไป

หลังหาที่จอดรถซุกซ่อนสายตาในความมืดได้แล้ว เหล่าชายฉกรรจ์มากฝีมือก็เตรียมตัวไล่ล่าพวกผู้ร้ายตัวแสบ เพื่อแย่งชิงตัวประกันคนสำคัญคืน ทุกคนเตรียมพร้อม บดินทร์ก็พร้อม ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในชุดคนไข้อีกต่อไปแล้ว เพื่อความคล่องตัวดนัยเลยให้ลูกน้องคนสนิทหาชุดลำลองมาให้บดินทร์เปลี่ยน ชุดง่าย ๆ แค่เสื้อยืดแขนสั้นสีดำ กางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ บดินทร์จัดแจงเดินตามกลุ่มบอดี้การ์ดตัวล่ำของดนัยไป แต่กลับถูกนายใหญ่ของกลุ่มรั้งไว้เสียก่อน

“คุณรออยู่ที่นี่ดีกว่านะ ข้างในมันอันตราย”

ดนัยว่าพลางดึงร่างของบดินทร์ให้เดินตามกลับไปที่รถ เขาไม่อยากให้บดินทร์ต้องเข้าไปถ่วง

“ไม่! ผมจะเข้าไปด้วย”

บดินทร์ก็ออกอาการฉุนเล็กๆ เมื่อถูกห้าม อุตส่าห์มาถึงที่แล้วไม่ว่ายังไงเขาก็อยากเข้าไปช่วยสดายุด้วย

“สภาพคุณตอนนี้ เข้าไปก็เป็นได้แค่ภาระ ผมไม่อยากเอาคนถ่วงแข้งถ่วงขาเข้าไปด้วยจนทำงานล่มหรอกนะ”

"ผมไม่ทำตัวถ่วงคุณหรอกน่า! ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้น!"

คำพูดของดนัยราวกับน้ำมันที่สาดเข้าในกองไฟ จนทำให้บดินทร์ฉุนขาด

‘กะแล้วเชียว!’ ดนัยส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ

“ก็ที่ทำอยู่นี่แหละ ถ่วง!”

“เออ! แล้วแต่คุณจะว่าเถอะ แต่ถึงยังไงผมก็จะเข้าไป!”

ยิ่งถูกห้ามบดินทร์ก็ยิ่งดื้อดึง และไม่คิดจะเสียเวลากับดนัยอีก ลมพัดแรงขึ้นทุกขณะ เสียงหวีดหวือดังชัด แรงลมหน่วงหนักเริ่มโยกต้นไม้รกครึ้มให้ไหวคลอนไปตามแรงมัน บดินทร์รีบผละจากดนัยแล้วเดินจ้ำฝ่าแรงลมหน่วงหนัก

ดนัยสบถหยาบคายออกมาคำหนึ่งด้วยความสุดทน ปรี่ตามไปคว้าเอวของบดินทร์ไว้แล้วยกจนตัวลอยขึ้นพาดบ่า

“ปล่อยนะ! เวรเอ้ย!”

โครม!

บดินทร์ดิ้นรนได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกโยนโครมเข้าไปในเบาะหลังของรถตู้ ทั้งยังถูกดนัยขึ้นมาคร่อมไว้จนยากจะหลบหนี สองตาจ้องกันแบบไม่มีใครยอมใคร

บดินทร์จะไปเสียอย่างใครก็ห้ามไม่ได้!

ดนัยไม่ให้ไปเสียอย่าง ใครก็ขัดไม่ได้!

จ้องตาข่มกันได้เพียงครู่ สุดท้ายดนัยก็เป็นฝ่ายขอยอมแพ้ ชายหนุ่มถอนหายใจเสียงดัง แล้วเริ่มพูดดี ๆ กับบดินทร์ก่อน

“ดิน ในนั้นมันอันตรายมากนะ พี่เมธบอกว่ายุยังปลอดภัยดีอยู่ในนั้น แต่ขั้นตอนการช่วยมันคงเลี่ยงการปะทะไม่ได้ ถ้าคุณดึงดันจะเข้าไป มันก็เสี่ยงที่จะบาดเจ็บเอาได้”

“...”

“ผมเป็นห่วงคุณนะ”

ได้ผล ทันทีที่ดนัยยอมลงให้ บดินทร์ก็คลายอาการขัดขืน ดวงตาแข็งกร้าวในคราแรกอ่อนแสงลงเล็กน้อยก่อนแทนที่ด้วยสีหน้าลำบากใจ

“อย่าทิ้งผมไว้คนเดียวเลยนะ ได้โปรด...”

คราวนี้เป็นดนัยบ้างที่ต้องนิ่งอึ้งไปกับใบหน้าหมดจดตรงหน้าที่กำลังส่งสายตาอ้อนวอนตอบกลับมา เล่นเอาหัวใจของดนัยอ่อนยวบลงแบบไม่รู้ตัว

“แต่...”

“ขอร้องเถอะครับ พาผมเข้าไปกับคุณด้วย ให้ผมได้เข้าไปช่วยยุกับคุณ” เห็นว่าดนัยเริ่มใจอ่อน บดินทร์ก็ยิ่งอ้อน หนัก อย่างน้อยก็มีดีกรีนักแสดงอยู่บ้าง เรื่องปั้นหน้าใช่ว่าจะไม่ถนัด พอถึงตาจนก็ยังงัดออกมาใช้ได้อยู่

“ผมรู้ว่าคุณปกป้องผมได้”

โดนอ้อนขนาดนั้นเข้าไปใครจะอดไหว แม้ดนัยจะจะดูออกว่าบดินทร์คงใช้ความพยายามในการบังคับตัวเองน่าดู

แต่สำหรับดนัยนั้นต่อให้บดินทร์กัดฟันพูด มันก็โคตรน่าฟัง

ไม่ต้องถามถึงผลที่ตามมาหลังจากนั้น แน่นอนว่าตอนนี้ผู้พ่ายก็กำลังกระเตงบดินทร์ติดตามเข้าไปข้างใน เมื่อเข้าไปสมทบกับลูกน้องที่รออยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่ความมืดพร้อมกัน ด้วยจุดหมายเพียงอย่างเดียวคือช่วยสดายุ

หากไม่นับเรื่องที่กฤตเมธโดนยิงที่สะบักหลังไปหนึ่งแผลตอนเข้าไปช่วยสดายุแล้ว แผนการบุกชิงตัวประกันครั้งนี้ก็ถือได้ว่าสำเร็จลุล่วง

จากเหตุการณ์ในคืนนั้นเองที่บดินทร์ได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของดนัย ว่าที่แท้ชายหนุ่มไม่ใช่แค่ลูกนายพลจึงมีอิทธิพล แต่ตัวดนัยเองนั่นแหละที่เป็นผู้มีอิทธิพลตัวจริงจากการเป็นหัวหน้ามาเฟียในวงการมืด บดินทร์ขนลุกไปทั้งตัวทันทีที่ได้รู้ เพราะนั่นหมายความว่านอกจากเสี่ยอัครเดชที่เป็นเจ้าหนี้ของเขาแล้ว ชีวิตบดินทร์คนนี้ยังต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเจ้าพ่อตัวยักษ์อีกคนที่น่าจะร้ายกาจไม่แพ้เสี่ยอัครเดชด้วย

ในตอนนั้นบดินทร์มีความคิดเพียงอย่างเดียวคือต้องการถอยออกมาให้ห่าง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้ติดบ่วงนายพรานที่ชื่อว่าดนัยไปเรียบร้อยแล้ว ชนิดที่ต่อให้พยายามแทบตายก็ไม่มีทางหนีพ้นเสียด้วย



+++++++++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 09 สร้างหนี้บุญคุณ [15 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 15-02-2024 05:21:19


หลังจากเรื่องราวสงบลง วันรุ่งขึ้นดนัยทำเรื่องพาบดินทร์ออกจากโรงพยาบาล เพื่อนำตัวไปซ่อนที่เซฟเฮ้าส์ของตนที่วังน้ำเขียว โดยให้ลูกน้องช่วยจัดการพาครอบครัวของบดินทร์มารอรับกันอยู่ที่นั่นแล้ว

ส่วนกฤตเมธเอง ดนัยก็ใช้อำนาจที่มีจัดการกันตัวมาอยู่ในโซนพิเศษด้วยเพื่อที่จะได้ไม่มีนักข่าวที่ไหนมาคอยวุ่นวาย ดังนั้นก่อนที่ดนัยจะพาตัวของบดินทร์ออกจากโรงพยาบาลจึงได้พาแวะเข้าเยี่ยมกฤตเมธก่อน

“รู้สึกข้าววันนี้ท่าทางจะอร่อยน่าดูเลยนะพี่ชาย”

ดนัยส่งเสียงทักตั้งแต่หน้าประตูห้อง เพื่อแซวคนป่วยที่เอาแต่อ้อนพยาบาลพิเศษของตัวเองไม่พัก

“ของมันแน่อยู่แล้ว” กฤตเมธยิ้มรับคำแซวแบบไม่เคอะเขิน ก่อนตบท้ายด้วยคำขอบคุณจากใจ

“ขอบใจที่ช่วยพี่ไว้นะ...ขอบใจจริง ๆ ว่ะดนัย”

“เฮ้ยพี่ คนกันเอง ไม่ช่วยพี่แล้วจะให้ผมไปช่วยใครล่ะ โอ๋ ๆ อย่าร้องนะครับ”

โดนคำขอบใจจริงจังเข้าหน่อย ดนัยเลยต้องรีบแก้เขินด้วยการแซวกลับอย่างคนนิสัยเสีย เพราะที่จริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการคำขอบคุณอะไรเลย แค่เห็นเพื่อนคนสำคัญทั้งคู่ปลอดภัยเท่านั้นดนัยก็พอใจแล้ว พอคำว่า ‘ไอ้บ้า’ ลอยมากระแทกหน้า ดนัยก็ยิ่งรู้สึกพึงใจอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบใจนะดนัย ที่อุตส่าห์ไปช่วยเราไว้ ถ้าไม่ได้นาย เราคงแย่”

คราวนี้เป็นตาสดายุเอ่ยคำขอบคุณบ้าง ดนัยยิ้มรับพลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ

“คราวหน้าคราวหลังก็อย่าเที่ยวซ่าแบบนี้อีกนะ สงสารพี่เมธเหอะ แกแก่แล้ว”

ยังไม่ทันพูดจบดนัยก็ถูกกฤตเมธชี้หน้าคาดโทษแบบทีเล่นทีจริง เรียกเสียงหัวเราะร่วนกันไปตามประสา จะเว้นก็แต่ส่วนเกินอีกคนที่ยังคงยืนแอบมองอยู่ไกล ๆ

กฤตเมธเห็นฝ่ายนั้นเฝ้ามองอยู่นานแล้ว จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเป็นฝ่ายทักออกมาก่อน

“ขอบใจนะบดินทร์ ขอบใจที่นายอุตส่าห์ตามไปช่วยยุ ขอบใจนายจริง ๆ”

คนเหม่อสะดุ้งโหยงทันทีที่ถูกพูดขอบคุณกันซึ่งหน้า จะรับคำก็ไม่กล้าบดินทร์จึงได้แต่ยิ้มแหย แล้วรีบก้มหน้าหลบสายตาคมกล้าของกฤตเมธไป สิ่งที่เขาทำกับสดายุก่อนหน้านี้มันหนักหนาเสียจนรู้สึกกระดากเกินกว่าจะมองหน้ากฤตเมธตรง ๆ ได้

ทว่า...สุดท้ายบดินทร์ก็ไม่อาจห้ามใจ ที่จะช้อนสายตาของตนขึ้นมองไปยังคนที่ตนแสนปรารถนาอีกครั้ง...

ยังอาวรณ์เหลือเกิน...

“!!?”

ตาสบตาทันทีที่แอบสอดส่อง เล่นเอาคนแอบมองสะท้านวาบ จะเบือนหน้าหลบก็ไม่ทัน จึงต้องยืนใจสั่นจดจ้องคนคนนั้นอย่างตรงไปตรงมา

“เฮ้...ไปเป็นเพื่อนซื้อกาแฟหน่อยสิ”

“เอ๊ะ?”

คำชวนที่จู่ ๆ ก็ลอยมากระแทกหน้า เล่นเอาบดินทร์ถึงกับเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก ยังไม่ทันได้จับต้นชนปลายก็ถูกสดายุลากตามออกจากห้องคนป่วยด้วยกันเสียแล้ว



++++++++++++++++++++++++



“เอาน้ำอะไรไหม? ลาเต้ปั่นของที่นี่อร่อยนะ”

หลังจากมาถึงร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งในโรงพยาบาล สดายุก็หันมาถามคนที่เดินตามต้อย ๆ ไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากห้อง บดินทร์หน้าเหวอไปเล็กน้อยราวกับยังไม่ได้ติดตั้งสติกับตัว

“มึงชอบกินลาเต้ปั่นไม่ใช่รึไง ไม่เอาสักแก้วล่ะ?”

คำถามนี้สะท้อนไปมาในหัวของบดินทร์ ทั้งก้องอยู่ในโสตประสาท และยังแว่วหวานถึงความทรงจำอันเนิ่นนาน ใบหน้าเศร้าหมองเริ่มทอประกายสดใสขึ้น ริมฝีปากที่เม้มแน่น ค่อย ๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ก่อนอึกอักถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

“ยัง…จำได้ด้วยเหรอว่ากูชอบลาเต้ปั่น”

“ก็ชอบกินลาเต้เหมือนกันนี่ กูชอบแบบไม่ปั่น ส่วนมึงชอบกินแต่แบบปั่น กูเป็นคนจำแม่น…มึงก็รู้”

สดายุตอบขณะยังก้มดูเมนูขนมหวาน รู้ดีว่าท้ายประโยคของตนคงทิ่มแทงใจของบดินทร์อยู่มาก แม้ไม่หันไปมองยังรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มเมื่อครู่นี้ได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว

“น้องครับ ขอลาเต้ปั่นหนึ่ง ไม่ปั่นหนึ่ง วิปครีมเยอะ ๆ อ่อ ราดคาราเมลฉ่ำ ๆ เลยนะน้อง แล้วก็เอาอันนี้ด้วย…”

บดินทร์ยืนนิ่งฟังสดายุสั่งกาแฟด้วยสภาพที่เหม่อลอย เพราะยังติดอยู่กับคำพูดสุดท้ายนั้น จนถูกต่อว่าขึ้นมาอีกครั้งนั่นแหละถึงได้รู้สึกตัว

“เฮ้ย...มึงจะยืนลดพลังวิญญาณอีกนานไหม? เอาแก้วมึงไป”

บดินทร์สะดุ้งเล็ก ๆ เมื่อถูกเรียกขาน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเหม่อไปนานแค่ไหน เพราะกว่าจะรู้ตัวอีกทีลาเต้ปั่นวิปครีมพูนแก้วก็ส่งถึงมือพร้อมจาน Choc Devil Cake แล้ว

“...”

แค่เห็นวิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ ขอบตาของบดินทร์ก็แดงเรื่อขึ้นมา

สดายุจำได้...

จำได้ว่าเขาชอบลาเต้ปั่น ที่ใส่วิปครีมจนพูนและราดคาราเมลเยอะ ๆ

จำได้ว่าเขาชอบทานเค้กช็อกโกแลตมากขนาดไหน

สดายุยังจำได้...

แม้แต่เรื่องของชอบของคนเลว ๆ คนนี้ สดายุก็ยังจำได้…

“รีบไปนั่งดิเฮ้ย เดี๋ยวที่ก็เต็มกันพอดี”

ก่อนที่หยาดน้ำตาของบดินทร์จะถูกกลั่นออกมาเป็นหยด ก็ถูกสดายุผลักให้เดินหน้าออกจากหน้าเคาน์เตอร์แบบ งก ๆ เงิ่น ๆ จนไปนั่งปุลงบนโซฟาที่ด้านในสุดของร้าน

“ตรงนี้แล้วกัน ลับสายตาดี”

“...”

พอนั่งลงได้ ความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งคู่อีกครั้ง คงมีเพียงสดายุที่ดูดลาเต้ของตนซืด ๆ อยู่ฝ่ายเดียว แล้วปล่อยให้บดินทร์นั่งก้มหน้าทำตัวไม่ถูกอยู่แบบนั้น

“รีบกินซะสิ กูจะขึ้นข้างบนแล้ว”

“อ..อืม”

สดายุแกล้งเร่ง บดินทร์จึงรีบกินของตรงหน้าตามที่สดายุว่า โดยไม่ยอมพูดยอมจาอะไรเช่นเดิม เขาไม่กล้าคุยกับสดายุจริง ๆ เพราะกลัวว่าจะเผลอพูดอะไรออกไปแล้วทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ แค่การได้มานั่งดื่มกาแฟกับกินเค้กด้วยกันแบบนี้ ก็เกินฝันพอแล้ว

เห็นคนตรงหน้ากินเอา ๆ ตามคำสั่ง สดายุก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยบางอย่างกับอดีตเพื่อนรัก

“ขอบใจที่มึงอุตส่าห์ไปช่วยกูนะ”

“...!”

คำขอบใจทำบดินทร์ชะงัก ดวงตาคู่โศกค่อย ๆ ช้อนมองคนตรงหน้า แต่เพราะด้านหลังของสดายุมีแสงจ้าเกินไป จึงทำให้บดินทร์ไม่อาจมองเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

แต่...การที่มองไม่เห็นแบบนี้ มันอาจดีแล้วก็ได้ อย่างน้อยการที่ไม่ต้องเห็นสายตาของสดายุตรง ๆ อาจทำให้บดินทร์กล้าพอที่จะเอ่ยความในใจ

“คือ...กูไม่ได้ทำไปเพื่อล้างบาปที่ทำกับมึงหรอกนะ”

“กูรู้”

บดินทร์อธิบายด้วยเกรงว่าสดายุอาจเข้าใจเจตนาของตนผิด และคำตอบของสดายุก็สามารถเรียกกำลังใจของบดินทร์ให้กลับมาได้อีกโข ริมฝีปากสั่นระริกจึงกล้าที่จะเอ่ยเจรจา

ทว่า สดายุกลับไม่เปิดโอกาสให้เขาอีกเป็นหนที่สอง

“ยุ...คือกู…”

“อยากขอให้กูกลับไปเป็นเพื่อนมึงเหรอ?”

“...”

“ดิน มึงเป็นคนที่ให้ตายกูก็เกลียดไม่ลงจริง ๆ ว่ะ แต่มันก็คงฝืนใจกูเกินไปถ้าจะให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน กูเป็นคนผูกใจเจ็บ มึงก็รู้ ลองได้ฝังใจไปแล้วกูเลิกคิดยาก เพราะงั้นถ้ามึงยังคาดหวัง กูก็ขอให้มึงเลิกคิดเสียเถอะ”

คำปฏิเสธของสดายุชัดเจนแจ่มแจ้งเสียจนบดินทร์ไม่อาจกลั้นน้ำตาของตนได้ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ารินร่วงจากดวงตาแดงก่ำ พร่างพรมลงบนก้อนเค้กราวกับหยาดฝน เพียงครู่เสียงสะอื้นฮั่กก็ดังตามออกมาพร้อมคำว่า

‘ขอโทษ’

สดายุจับจ้องคนที่เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าได้แกล้งจนสาแก่ใจแล้วก็เอื้อมมือเข้าหาใบหน้าที่ก้มต่ำนั่น แล้วบรรจงใช้ปลายนิ้วโป้งปาดหยาดน้ำตาออกให้อย่างเบามือ

“...?” การกระทำนั้น ทำบดินทร์ชะงักการสะอื้น ดวงตาฉ่ำชื้นช้อนขึ้นมองสดายุด้วยความสับสนระคนไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่ได้เห็นรอยยิ้มของสดายุที่กำลังมอบให้ตน

รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานแสนนาน

“กูกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับมึงไม่ได้ก็จริง...แต่กูเริ่มใหม่กับมึงได้นะ”

“ฮึ่ก…”

ได้ยินคำนี้เข้าไป บดินทร์ถึงกับสะอื้นก้อนน้ำตาออกมาอีกรอบ ในตอนนั้นสิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้คือดีใจเหลือเกินที่ยังมีชีวิตอยู่



แต่ถึงจะมีความสุขอย่างไรสุดท้ายก็ต้องส่งสดายุคืนให้กับกฤตเมธ เมื่อเวลาจากลามาถึงบดินทร์ก็ต้องออกจากโรงพยาบาลมาพร้อมกับดนัย เพื่อไปที่เซฟเฮ้าส์ของอีกฝ่าย ที่ดูเหมือนว่าดนัยจะจัดการเตรียมพร้อมทุกอย่างเอาไว้ให้ กระทั่งตามครอบครัวของเขาให้ไปรออยู่ล่วงหน้าแล้ว

ถึงตรงนี้บดินทร์ก็ได้แต่เจ็บยอกในอก กับสิ่งที่ดนัยทำให้

ทั้งเรื่องที่ช่วยชีวิต ช่วยจัดการเรื่องโรงพยาบาลที่ไม่มีนักข่าวหน้าไหนตามตัวได้ ทั้งเรื่องที่ช่วยจัดการเรื่องที่ซ่อนตัวจากสังคม

เรื่องเซฟเฮ้าส์

เรื่องครอบครัว

นี่เขา…ติดหนี้บุญคุณของดนัยกี่เรื่องกัน?

กับหนี้บุญคุณที่เขาไม่ต้องการพวกนั้น..



+++++++++++++++++++++++



‘กูกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับมึงไม่ได้ก็จริง...แต่กูเริ่มใหม่กับมึงได้นะ’

“ไม่ได้เห็นคุณยิ้มมานาน มีเรื่องดี ๆ สินะ”

ดนัยทักขึ้นเมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่ข้างกันอมยิ้มอยู่คนเดียว แน่นอนว่าบดินทร์ไม่ได้ตอบอะไร ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับอยู่แบบนั้นและรีบปรับสีหน้าเป็นเย็นชาทันที ไม่ยอมหลุดยิ้มต่อหน้าดนัยอีก

บดินทร์ได้แต่สบถในใจ ให้ตายเถอะ! เขากำลังหาวิธีจัดการกับหนี้บุญคุณของดนัยอยู่แท้ ๆ แต่ดันเผลอนึกไปถึงคำที่สดายุพูดขึ้นก่อนหน้านี้เสียได้ พอนึกถึงครั้งหนึ่งก็พาลละเมอยาวว่าจะได้กลับไปเป็นเพื่อนที่รักกันอีก จนลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังอยู่บนรถของใคร!

“อะไรกันคุณ ทักนิดทักหน่อยก็หน้าบึ้งซะแล้ว ยิ้มอีกสิผมชอบคุณตอนยิ้มนะ”

ดนัยแกล้งแซว ขณะที่สายตายังคงแน่วแน่อยู่กับถนนมุ่งสู่นอกเมือง เส้นทางที่จะนำพวกเขาไปยังเซฟเฮ้าส์ส่วนตัวของบ้านดนัย ที่ซึ่งมีครอบครัวของบดินทร์รออยู่ตามนัดหมายแล้ว

“ผมต้องทำตามใจคุณทุกอย่างหรือเปล่า แม้กระทั่งการนั่งปั้นหน้ายิ้มเป็นตุ๊กตาให้คุณดู”

บรรยากาศผ่อนคลายหายไปจากรถทันทีที่บดินทร์ยอกย้อนด้วยประโยคเจ็บแสบ ก่อนเบือนหน้ามองไปข้างทางเช่นเดิม

ดนัยขบกรามตนเองดังกึก ทั้งที่ก็คาดไว้อยู่แล้วว่าบดินทร์คงยังไม่ยอมอ่อนให้ตนง่าย ๆ เป็นเขาเองที่เผลอหลงใหลไปกับคำอ้อนที่บดินทร์เคยมอบให้ตอนขอให้เขาพาไปช่วยสดายุ ดวงตาสีเขียวทองทอประกายลึกล้ำเมื่อคิดถึงข้อนี้ขึ้นมาได้

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาคนนี้ต้องอ้อนวอนขอความเมตตาจากคนอื่น?

ทั้งที่เขาก็เคยครอบครองทุกอณูบนร่างกายนั่นแล้วแท้ ๆ แต่แค่รอยยิ้มก็ยังคว้ามาไม่ได้งั้นหรือ!

สองมือที่ถือพวงมาลัยอยู่กำแน่นขึ้น แม้ไม่ตั้งใจแต่คนอย่างดนัยดันทนกับอะไรได้ไม่นาน เรียกว่าไม่เคยทนเลยน่าจะดีกว่า ครั้นพอถูกบดินทร์เมินเฉยใส่เข้า ความพลุ่งพล่านของดนัยก็ทะลุจุดเดือด มือที่จับพวงมาลัยอยู่จึงหักเลี้ยวแบบสุดตัว แล้วบึ่งทะยานขึ้นทางยกระดับออกสู่อีกฟากของจุดหมายปลายทางเดิม

“เฮ้ย! คุณจะไปไหน!? ทางนี้ไม่ใช่ที่ที่เราต้องไปนี่!”

บดินทร์ร้องถามเมื่อเห็นว่ารถออกนอกเส้นทางกะทันหัน แต่ดนัยไม่ยอมตอบ กลับกดเบอร์หาลูกน้องคนสนิทแทน

“นพ บอกคุณบดีและครอบครัวด้วยว่าบดินทร์ยังไปหาวันนี้ไม่ได้ ให้รอกันไปก่อน!”



++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดนัยจะรู้ตัวไหมนะว่าเริ่มถลำลึกกับบดินทร์แล้ว...

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 10 มอบตัว [16 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 16-02-2024 04:23:38


10 มอบตัว


[[WARNING : มีบทสนทนาเกี่ยวกับเพศ ที่ค่อนข้างหยาบคาย]]



ครืน...ซ่า....

ซ่า...ซ่า......

เสียงคลื่นกระทบฝั่งวังเวงแว่ว ท้องทะเลสีดำเวิ้งว้างทอดไกลสุดลูกหูลูกตา ท้องน้ำระยิบระยับประดับประดาไปด้วยเรือตกหมึกสีเขียวเรืองรองลอยฟ่องไปหมด ราวกับอัญมณีมรกตสีสวย ตรงหน้าหาดเองก็สว่างไสวด้วยสปอตไลต์สีเหลืองนวลตา หาดส่วนตัวที่ตั้งใจสร้างบรรยากาศแสนโรแมนติก

บรรยากาศงดงามผ่อนคลายแต่มันไม่ได้ผลกับหัวใจของบดินทร์ในตอนนี้ ชายหนุ่มนั่งกอดอกหน้ายู่อยู่ในรถ จ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ยืนกระดกเบียร์สบายใจเฉิบอยู่ตรงกระโปรงหน้าไม่วางตา ทั้งที่ตอนนี้เขาควรไปถึงทีที่ครอบครัวเขารออยู่ แต่ไม่รู้ดนัยเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้พาเขามานั่งแกร่วอยู่ตรงหาดส่วนตัวอะไรสักอย่างสองต่อสอง

ทะเลหัวหิน ตอนเกือบเที่ยงคืน นี่มันไม่ตลกนะ!!

“เฮ้…จะไม่ออกมาดื่มด้วยกันหน่อยเหรอ? มารยาทแย่จังนะคุณเนี่ย”

“...”

เส้นเลือดตรงขมับของบดินทร์เต้นตุบไปกับคำพูดระคายหูรวมถึงรอยยิ้มไม่น่าพิสมัยตรงหน้า อุตส่าห์แยกมานั่งรอเงียบ ๆ ในรถก็ยังถูกดนัยตามราวี แต่สุดท้ายบดินทร์ก็ทำได้แค่ถอนหายใจไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะลุกออกจากรถตามที่อีกฝ่ายเอ่ยปากชวน จะให้อย่างไรได้เล่า ในเมื่อสถานภาพของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากนักโทษที่ถูกควบคุมตัว นอกจากเชื่อฟังอีกฝ่ายแล้วเขาก็ไม่มีหนทางเลือกอื่น อย่าว่าแต่หนีจากดนัยเลย เอาเข้าจริงแค่โผล่หน้าออกไปให้คนอื่นเห็นก็อาจถูกรุมประณาม ร้ายกว่านั้นคืออาจถูกประชาทัณฑ์ทันทีเลยก็ได้

“ผมไม่ชอบดื่มเบียร์ คุณมีบุหรี่ไหม?”

บดินทร์ปฏิเสธกระป๋องเบียร์ที่ดนัยยื่นให้เพราะไม่ชอบกลิ่นของมัน แต่เอ่ยปากขอสิ่งที่ถูกจริตกว่า

“ยี่ห้อนี้ได้หรือเปล่า ผมชอบเย็น ๆ น่ะ”

ดนัยยิ้ม วางกระป๋องเบียร์ลงบนกระโปรงหน้าแล้วล้วงบุหรี่ซองหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อสูทลำลองส่งให้บดินทร์ Marlboro Ice Blast ซองดำน้ำเงินถูกยื่นมาให้ บดินทร์รับมาโดยไม่ได้กล่าวอะไร ปกติเขาสูบแอลเอ็มแดงแต่เอาเข้าจริงยามรู้สึกเครียดขึ้นมาจะยี่ห้ออะไรเขาก็ดูดได้ทั้งนั้น

หยิบบุหรี่ขึ้นคาบก็นึกขึ้นได้ว่าต้องขอไฟแช็ก ทว่าขณะที่กำลังจะยื่นมือออกไปขอ...

ชริ้ง...แชะ!

แสงไฟจาก Zippo ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเสียก่อน ผู้ให้บริการทอดรอยยิ้มพิมพ์ใจ

“...”

รอยยิ้มที่บดินทร์รู้ดีว่ามันหลอกลวงทั้งเพ ถึงกระนั้น เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการยอมจุดบุหรี่จากไฟที่ดนัยยื่นให้ คนมันจนตรอก จะยื่นขนนกหรือแซ่มาให้เขาก็ต้องยินดีรับทั้งนั้น

ฟู่...บดินทร์อัดบุหรี่เข้าปอดฟอดใหญ่ นิ้วคีบบีบเม็ดบีดส์ตรงก้นกรองเพิ่มความเย็นฉ่ำชุ่มคอ พอได้พ่นควันออกมาจนสุดปอด สมองก็เริ่มปลอดโปร่งขึ้น บรรเทาอาการเสพติดนิโคตินได้ในที่สุด บดินทร์เหม่อมองกลุ่มควันจากปอดของตนที่กำลังโดนลมบกหอบลงทะเล ความขมเฝื่อนติดปลายลิ้นช่วยพยุงสติเขาไว้ได้เล็กน้อย

อืม…รสดี

ขณะที่บดินทร์ ยังคงเสพสุขกับรสละมุนลิ้นของบุหรี่มีราคา กว่าจะรู้ตัวว่ามีใบหน้าของดนัยเคลื่อนเข้าใกล้ ก็ช้าเกินกว่าจะระวังตัว

“!!?”

ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างทันทีที่ดนัยก้มลงประกบริมฝีปาก บดินทร์ชะงักด้วยอารามตกใจในทีแรก ก่อนใช้มือดันปลายคางของฝ่ายนั้นให้ออกห่าง แต่เพียงครู่ก็กลับถูกรุกไล่ แม้พยายามเบือนหน้าหนีก็ยังถูกรั้งกลับมารองรับรสจูบลึกล้ำ ริมฝีปากถูกบดขยี้จนรู้สึกได้ว่ามันคงบวมเจ่อ

คิ้วหนาของบดินทร์ขมวดมุ่นด้วยความหงุดหงิด ริมฝีปากที่ยังคงถูกบดคลึงเผยอขึ้นหวังฝังเขี้ยวผู้รุกรานให้ได้เลือดสักรอบ แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนจะทันได้ขยับ ริมฝีปากของผู้รุกรานกลับไหวตัวทันเสียก่อน และมันก็เอ่ยกระซิบข้อตกลงชั่วร้ายอยู่บนริมฝีปากที่กำลังบวมช้ำ

“นี่...ถ้าว่าง่าย ๆ ผมจะยอมพาคุณกลับแต่โดยดีนะ”

‘นั่นสินะ...เราจะขัดขืนไปทำไม’

บดินทร์ฉุกคิด

‘เนื้อตัวนี้ก็ไม่ได้มีอะไรให้หวงแหน ในเมื่อมันยังเหลือค่าพอจะต่อรอง แล้วทำไมเรายังต้องขัดขืนเล่า? ’

“...อืม”

ไร้คำตอบใด ๆ เพียงเผยอริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อแทนความคำตอบนั้น ได้ยินเสียงครางต่ำในลำคอของอีกฝ่ายคล้ายยินดีในคำตอบนี้ ก่อนที่จะถูกจูบประทับลงมาอีกครั้ง

“อื้ม…มม”

ความรุนแรงนั้นแทบเรียกว่าจูบไม่ได้ มันแทบจะเป็นการกลืนกิน ดนัยประกบปากลงมาอย่างเร้าร้อน ลิ้นอวบหนาดุนดันเข้ามากวาดต้อนในโพรงปาก รุกเร้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นที่เกร็งจนสั่นระริกของบดินทร์จนสิ้นทางหนี ถูกดูดดุน เลียชิม ชวนให้ปั่นป่วน

ทั้งที่พวงแก้มเริ่มซับสีชมพูระเรื่อ แต่บดินทร์กลับขมวดคิ้วชิงชังในรสจูบนั้น แม้ในขณะจูบนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้หลับตาด้วยเหตุผลที่ต่างกันเล็กน้อย บดินทร์ไม่ต้องการหลับตาพริ้มราวกับยอมทอดทั้งกายเพื่อรองรับจูบจากผู้ชายที่ตนไม่ชอบขี้หน้า ส่วนดนัยก็แค่อยากเห็นสายตาวาวโรจน์ของบดินทร์ที่กำลังถูกเขาทำให้สูญเสียตัวตนในระยะประชิด

เพราะดนัยจูบเก่งจนน่าโมโห สุดท้ายบดินทร์จึงหลับตาลงด้วยความพ่ายแพ้ ไม่อยากเห็นว่าตนถูกกระทำอะไรจึงพยายามให้สมองคิดไปถึงเรื่องอื่น แล้วปล่อยให้มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ต้องรองรับเรื่องระยำที่ยังเกิดต่อเนื่องนี่

แต่ยิ่งหลับตา เสียงเปียกชื้นในปากก็ยิ่งแจ่มชัด มันกำลังโจมตีโสตประสาทและสมองที่ล่องลอยของบดินทร์อยู่อย่างต่อเนื่อง พอเลิกขัดขืนก็เหมือนจะยิ่งถูกรุกเร้าหนักข้อ แม้พยายามปฏิเสธว่ารสจูบนี้มันช่างห่วยแตก แต่สุดท้ายร่างกายกลับทรยศด้วยการตอบรับเรียวลิ้นจาบจ้วงนั่นราวกับกำลังยินดี ทุกครั้งที่ดนัยเปลี่ยนมุมจูบมันทำให้น้ำลายเปียกฉ่ำเริ่มไหลออกทางมุมปาก มือที่ว่างอยู่ควานหาที่ค้ำยันเมื่อร่างกายถูกโถมทับจนเริ่มทรงตัวไม่อยู่

“...อืม...”

บดินทร์ครางออกมาเบา ๆ เมื่อได้รับการปลดปล่อยจากริมฝีปากของดนัยที่ค่อย ๆ ถอนออกไปอย่างอ้อยอิ่ง เขายังคงหลับตาแน่นเพื่อปรับอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงไปเมื่อครู่ให้กลับมาเข้าที่

“รสชาติเยี่ยม”

ทันทีที่ดนัยมอบคำชมให้ บดินทร์ลืมตาโพลงขึ้นมาค้อนควั่ก แต่แทนที่ดนัยจะรู้สึกเกรงใจ ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าสีหน้าแบบนั้นของบดินทร์ช่างเย้ายวน ไม่ว่าจะเป็นพวงแก้มสีเลือดฝาดหรือริมฝีปากฉ่ำวาวบวมเจ่อ ไหนจะลมหายใจร้อนระอุที่กำลังหอบถี่…ภาพตรงหน้าทำเอาดนัยเผลอกัดริมฝีปากของตนเบา ๆ

ให้ตายสิ…แบบนี้จะให้เขาห้ามใจไม่จับบดินทร์กินไหวได้อย่างไร?

“พอใจหรือยังล่ะ? กลับได้แล้วสินะ”

บรรยากาศหวามไหวหายไปทันตา บดินทร์ผลักดนัยออกให้พ้นทางก่อนเดินเลี่ยงห่างออกมาเล็กน้อย อารมณ์เกลียดพลุ่งพล่านตีรวน เขาอัดบุหรี่ที่เหลือเข้าปอดฟอดใหญ่ เพื่อผ่อนคลายความสับสน แล้วรีบทวงสิ่งที่ตนควรได้รับจากถ้อยสัญญาของดนัยเมื่อครู่

“ครับ ๆ ผมไม่หน่วงคุณไว้นานหรอกน่า แค่พามาสงบสติอารมณ์หน่อยแค่นั้นเอง”

ดนัยว่าพลางกอดอกพิงกายกับกระโปรงหน้ารถคันหรูของตนเช่นเดิม

“...”

คำยั่วเย้าทำบดินทร์ฉุนขึ้นมาอีกคำรบ ใครกันแน่ที่ต้องสงบสติอารมณ์! แต่ก็คร้านจะโต้เถียงจึงเร่งอัดบุหรี่ที่เหลือเข้าปอดจนหมดมวน แล้วขยี้ก้นกรองทิ้งลงบนผืนทราย จากนั้นก็พาตัวเองขึ้นไปนั่งรอตรงที่นั่งข้างคนขับเช่นเดิม

ใครใคร่อยู่ต่อก็ตามใจ เขาหลับรอในรถก็ได้!

อารยะขัดขืนได้ผล เพราะสุดท้ายดนัยก็ตามขึ้นมาประจำที่คนขับในที่สุด แต่แทนที่อีกฝ่ายจับจัดการติดเครื่องรถออกไป ดนัยกลับเปิดประเด็นชวนคุยต่อ

“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมก็เคยพายุมาที่นี่ด้วยนะ ตอนนั้นยุเขาจิตตกเรื่องพี่เมธ ผมเลยพาเขามาปลอบใจ…”

ดนัยพยายามพูดจาส่อเจตนาให้คิดลึก โดยการพูดไปพลางใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากตัวเองไปพลาง ทำให้ความพลุ่งพล่านที่มีอยู่เป็นทุนของบดินทร์ระเบิดออก

“แล้วไง? อย่าบอกนะว่าคุณขอจูบยุเป็นสิ่งตอบแทนด้วย!?”

“ฮะ ฮะ ผมจะไปกล้าได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวพี่เมธได้เล่นงานผมตายสิ” เข้าทางตามที่ดนัยวางไว้ ชายหนุ่มแสร้งทำยิ้มซื่อ

“หึ! ระดับคุณ คนอย่างกฤตเมธทำอะไรไม่ได้หรอก!”

“ใช่...ถ้าแค่พระเอกเนื้อทองธรรมดาก็คงไม่อยู่ในสายตาผมหรอก แต่สำหรับพี่เมธที่ผมให้ความศรัทธาไม่ต่างจากพี่ชายแท้ ๆ อย่าว่าแต่ตัวผมเองจะทำอะไรเลย...ใครหน้าไหนก็ห้ามแตะต้องพี่ผมทั้งนั้น”

คำสาธยายของดนัยฟาดกลางหัวใจจนบดินทร์ไม่อาจค่อนแคะต่อ ขบริมฝีปากตัวเอง ก็อย่างที่ฝ่ายนั้นว่า ‘ใครก็ห้ามแตะต้อง’ เขาเลยต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างไร!

‘เหอะ!’ พอรู้สึกขัดใจจนเกินทน บดินทร์จึงพ่นลมหายใจแรง ๆ ด้วยความหมั่นไส้ในความผูกพันกันเหลือเกินของคนพวกนั้น

ยินเสียงเย้ยหยันจากคนข้างกาย ดนัยก็เหยียดยิ้มถูกจริต แท้จริงเขาก็รู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าบดินทร์ไม่ชอบกฤตเมธ แต่อยากรู้นักว่าจะไม่ชอบถึงขนาดไหน และถ้าเขาเดาไม่ผิดล่ะก็...

“เกลียดพี่เมธสินะคุณน่ะ…เกลียดที่พี่เขาได้เป็นคนรักของยุ”

“..!.”

คำถามเสียดแทง แต่บดินทร์ก็ไม่คิดปฏิเสธ ถูกแล้วล่ะ…เขาเกลียดกฤตเมธ รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นความผิดของตนทั้งสิ้นแต่ก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้อยู่ดี ที่ผู้ชายอื่นนอกจากตนได้อยู่ข้างกายของสดายุ เป็นผู้หญิงเสียยังทำใจง่ายกว่า แต่ทำไมต้องเป็นกฤตเมธด้วย!

“เกลียดที่พี่เมธได้หัวใจของยุไป ยิ่งเกลียดเพราะรู้ว่าแม้แต่ร่างกาย...ยุก็คงพลีให้พี่เมธด้วย”

“หุบปากเสียที!”

บดินทร์คำรามขึ้นมาด้วยความสุดทน เพราะดนัยไม่หยุดจี้ใจดำด้วยวาจาราวกับมีดกรีดหั่นหัวใจของเขาจนเหวอะหวะซ้ำแล้วซ้ำเล่า บดินทร์กระชากประตูเปิด หวังหนีออกนอกรถเสียตอนนั้นเพราะไม่อยากฟังใครพล่ามอะไรให้ระคายหูอีก

“!!?”


หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 10 มอบตัว [16 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 16-02-2024 04:25:14


แต่ดูเหมือนซาตานจะไม่ยอมให้หลบหนี ฝ่ามือแกร่งตามมากระชากประตูปิดล็อกไว้ได้ทันพอดีกับที่บดินทร์ตั้งท่าจะเปิด การถูกคร่อมร่างเบียดประชิดทำบดินทร์เผลอเหวี่ยงศอกหลังไปตามสัญชาตญาณ โชคร้ายที่ดนัยหลบได้ทำให้ชีวิตของบดินทร์ถูกต้อนจนมุมอีกครั้ง

“เอะอะก็เอาแต่หนีนะคุณเนี่ย”

ดนัยเย้า ก่อนจะผละจากตัวของบดินทร์แต่โดยดี แต่บดินทร์กลับไม่ยอมหยุดสงครามแค่ตรงนั้น

“เจ้านาย...บุญคุณของเจ้านายแม่งโคตรท่วมหัวเลยว่ะ มีอะไรที่ผมสามารถทำเพื่อใช้หนี้บุญคุณครั้งนี้ของเจ้านายได้บ้างไหม? ขอร้องล่ะครับเจ้านาย ช่วยล้างหนี้บุญคุณครั้งนี้ให้หมดไปจากหัวผมที!”

เมื่อจนตรอกไร้ทางหนีบดินทร์ก็ได้แต่ต่อรองด้วยจิตใจที่หยาบช้าของตน ขอแค่ไม่ต้องเกี่ยวพันกับคนคนนี้อีกต่อไป บดินทร์ก็พร้อมยอมทำทุกอย่าง จะให้โดดน้ำทะเลตายหรือต่อให้ต้องขายร่างกาย ขอแค่ไม่ต้องพบเจอดนัยอีกเป็นพอ!

“หึ...ปากคุณนี่นะ นอกจากกับยุแล้วเคยอ้อนใครบ้างไหมเนี่ย? ทีอยู่ต่อหน้ายุนี่ อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ แต่พออยู่กับผมทีไรกลายร่างเป็นกระบองเพชรทุกที” ดนัยตัดพ้อ

“ผมคงไม่จำเป็นต้องเอาคุณไปเทียบกับยุมั้ง”

“ใช่สิ...ผมไม่ได้เป็นที่รักเหมือนยุนี่”

“...”

“ผมรู้...คุณรักยุ รักเหมือนที่พี่เมธรัก อยากได้ทั้งหัวใจและร่างกาย อยากกอด อยากสอดใส่ อยากได้ยุไปทั้งตัว!”

“ใช่!! ผมหลงรักยุมานานแล้ว! ถูกของคุณเลย ไอ้ชั่วตัวนี้แหละที่หวังจะครอบครองยุให้ได้อยู่ทุกลมหายใจ แต่มันใจหมาไง มันไม่กล้าพอ! แถมยังไม่มีหน้าไปพบอีกเพราะเสือกทำเรื่องเหี้ย ๆ จนยุต้องออกจากวงการ! ถูกของคุณเลย ผมโคตรเกลียดไอ้กฤตเมธที่มันมาชุบมือเปิบขโมยยุของผมไป ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ภาวนาให้มันตายไปตั้งแต่โดนยิง แต่มันก็เสือกดวงแข็ง หึ! ยังอุตส่าห์มีชีวิตอยู่เป็นก้างตำใจอยู่ได้! ทีนี้กระจ่างแล้วใช่ไหมเจ้านาย! พอใจคุณแล้วหรือยัง!?”

เมื่อถูกวาจาของดนัยไล่ต้อนหนักเข้า บดินทร์ที่จนตรอกอยู่แล้วก็ไม่เหลือสติควบคุมความคิดหรือเหตุผล ชายหนุ่มจึงโพล่งความในใจออกมาด้วยแรงอารมณ์ประชดประชัน ทั้งจริงบ้าง ทั้งอารมณ์พาไปบ้าง แต่บดินทร์ไม่คิดสนใจอีก ไม่ว่าดนัยจะเข้าใจเป็นอะไรก็ช่างหัว เขาไม่เคยคิดให้ความสนใจอยู่แล้ว!

“เหอะ...เป็นไปได้นะคุณเนี่ย คิดได้ยังไงว่าพี่เมธแย่งยุจากคุณ หึหึ ตลกเป็นบ้า”

ดนัยเย้ยออกมาแทบจะในทันทีที่ได้ฟัง ตรรกะของบดินทร์ผิดเพี้ยนไปแล้วจริงๆ

“เออ! เนื้อแท้ผมก็เหี้ยแบบนี้แหละ คุณก็รู้อยู่แก่ใจ เอาล่ะ! ตกลงคุณจะเอายังไง? ไอ้หนี้บุญคุณที่ผมไม่ต้องการเนี่ย จะให้ชดใช้ด้วยอะไร!?”

‘หนี้บุญคุณที่ไม่ได้ต้องการ!? ’

ทันทีที่ได้ยินคำคำนั้นจากปากของบดินทร์ ก็ราวกับมีแสงวาบขึ้นในดวงตาของดนัย จนแม้ในรถที่มีเพียงแสงสลัวยังสามารถมองเห็นดวงตาที่วาววามราวสัตว์ร้าย ดนัยจ้องมองคนที่โมโหจนเสียสติเป็นลูกแมวขู่ฟ่อตรงหน้าด้วยความรู้สึกลึกล้ำ

หึ...อยากชดใช้นักใช่ไหม!

ได้...

“อยากชดใช้งั้นเหรอ เรื่องอะไรบ้างล่ะ? ไอ้หนี้บุญคุณที่ไม่ได้ต้องการของคุณน่ะ?”

ดนัยเอ่ยถาม โดยหันหน้าไปอีกทางเพื่อปกปิดสายตาของตนเองไว้ ยังไม่อยากให้บดินทร์ได้เห็นว่ามันน่ากลัวขนาดไหน

“ทั้งหมด!”

“ทั้งหมด?”

“ใช่! ผมจะชดใช้ทั้งหมด ตอนนี้เลย!”

บดินทร์ตั้งใจตอบออกมาอย่างชัดเจน เขาย่อมรู้ดีว่าต้องชดใช้ด้วยอะไรเพราะมันเดาได้ไม่ยาก ถึงขนาดนี้แล้วหากไม่รู้ว่าดนัยปรารถนาอะไรในตัวเขา ก็คงจะโง่ดักดานเต็มที ถ้าไม่วิตถารเกินไปหนักก็น่าจะพอรับไหวอยู่แล้ว!

“โลภไปหรือเปล่า? คุณมีอะไรติดตัวมางั้นเหรอ ถึงจะสามารถใช้หนี้บุญคุณของผมจนหมดในคืนเดียว?”

ดนัยหยั่งเชิง เอนกายพิงเบาะคนขับด้วยท่าทางสบาย ๆ เบือนหน้ามามองทางบดินทร์เล็กน้อย ส่งสายตาวาววามหยามหยันให้เห็นถึงความไร้ค่า

บดินทร์กัดฟันกรอด ก่อนจะสวนกลับด้วยถ้อยคำที่ตนคิดว่าคงเจ็บแสบพอกัน ให้ดนัยได้หน้าม้านไปบ้าง

“อย่าคิดว่าผมมองไม่ออกว่าคุณต้องการอะไร! ผีเห็นผีน่า”

“อุ๊บ! ฮะ ฮะ ฮะ! ไหนบอกมาสิว่าคุณจะชดใช้เรื่องอะไรกับผมบ้าง ผมไม่อนุญาตให้คุณเหมารวมว่า ‘ทั้งหมด!’ แน่จริงก็สาธยายมาสิ แล้วผมจะบอกให้ว่าคุณต้องชดใช้ยังไง...หึหึ"

“...”

บดินทร์ตีค่าดนัยต่ำไป ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเจ็บจุกกับคำค่อนขอดของเขาแม้แต่นิด ซ้ำร้ายยังดูเหมือนชอบใจมากเสียจนหัวเราะไม่หยุด มิหนำซ้ำยังยื่นเงื่อนไขให้เขาสาธยายบุญคุณที่ต้องชดใช้ด้วย

บดินทร์นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเปิดปากกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นหนัก

“ผมพร้อมชดใช้เรื่องที่คุณช่วยชีวิตผมไว้จากการฆ่าตัวตาย เรื่องที่คุณซ่อนตัวผมจากพวกนักข่าวและเจ้าหนี้ รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดและเรื่องที่คุณจัดการดูแลคนที่บ้านผมด้วย…ส่วนเรื่องที่คุณช่วยยุ ผมจะหาทางตอบแทนคุณอีกที เพราะผมถือว่าเรื่องของยุคือบุญคุณที่ผมซาบซึ้งจากใจจริง”

“...หมดแค่นี้แน่นะ ยังเหลืออะไรต้องทดแทนผมอีกหรือเปล่า? ผมให้โอกาสคุณคิดอีกครั้งก็ได้นะ”

ดนัยเย้าหลังฟังบดินทร์สาธยายจนจบ พลางลอบหยันอยู่ในใจ เพราะมันคือหนี้บุญคุณไร้สาระทั้งนั้นที่บดินทร์เอาไปคิดเล็กคิดน้อยอยู่

“ไม่มีอะไรอีกแล้ว! ผมตั้งใจชดใช้ให้คุณแค่นี้!”

ยิ่งได้ยินเสียงตอบฉะฉาน ดนัยยิ่งนึกขัน บดินทร์คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าได้ถูกสร้างหนี้บุญคุณที่ใหญ่กว่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว ประกายตาของนักล่าฉายชัดอยู่ในดวงตาของดนัยที่ใช้ลอบมองบดินทร์อยู่ ถ้าเหยื่อไม่ก้าวร้าวรนหาที่แบบนี้ เขาก็กะจะปล่อยเอาไว้ให้อยู่อย่างสุขกายสบายใจเสียหน่อย เพราะเขาเองก็ใช่คนที่จะคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องบุญคุณกับใคร แต่หากเจ้าตัวอยากรนหาที่อันนี้เขาก็ไม่คิดปฏิเสธเช่นกัน

“โอเค...งั้น...ผมคงไม่ต้องถามใช่ไหมว่าคุณจะตอบแทนผมด้วยอะไร”

ดนัยหันไปถามพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ รอยยิ้มลวงโลกที่บดินทร์แสนรังเกียจ

“...”

แค่มองตาก็รู้ถึงความหมายที่แอบแฝงอยู่ข้างใน บดินทร์สูดหายใจลึก กรามถูกขบจนขึ้นเป็นสันนูนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนขณะตัดใจถอดเสื้อยืดสีดำออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว

คำว่า ‘ไอ้ตัว’ ลอยฟ่องในหัวจนทำให้สติของเขาตื้นเขินไปหมด บดินทร์หลับตาลงสูดหายใจ พลางพร่ำบอกตัวเอง ว่าให้เลิกคิดถึงศักดิ์ศรีจอมปลอมนั่นเสียที ในเมื่อตัดสินใจใช้ร่างกายเข้าแลกในสิ่งที่ต้องการไม่ต่างจากโสเภณีแล้ว ความอาวรณ์วุ่นวายนั้นมันก็แค่เรื่องไร้สาระ กัดฟันทำมันให้จบ ๆ ไปก็พอแล้ว

“!!?” ทว่าความจริงย่อมโหดร้ายกว่าที่จินตนาการเสมอ ขณะกำลังหลับตาทำใจยอมรับกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นก็ต้องผวาเฮือกเมื่อเบาะที่ตนซุกกายอยู่ถูกปรับเอนลง สิ่งที่พบเห็นหลังลืมตาด้วยความตกใจ ยิ่งทำให้ขนหัวลุก ไม่รู้เพราะแสงสลัวหรือเพราะสายตาเขาปรับโฟกัสไม่ทันกันแน่ ภาพที่เห็นตรงหน้าจึงไม่ได้เป็นดนัยอย่างที่เคยเป็น

…แต่คือดนัยคนเดียวกับคืนนั้น คืนที่กลายร่างเป็นปีศาจที่มีคมเขี้ยวแหลมคมดุร้าย ปีศาจเจ้าของนัยน์ตาเรืองรองที่เคยฉีกทึ้งร่างกายของเขาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด แม้จะน่ากลัวบดินทร์ก็ยังพยายามบังคับหัวใจไม่ให้เต้นแรง บังคับร่างกายไม่ให้สั่นสะท้าน กัดฟันฝืนทนพลางท่องในใจว่าแค่ไม่นาน…แค่ไม่นานมันก็จะจบ

“เซ็กซ์ครั้งที่สองของเราสินะ”

ดนัยก้มลงกระซิบใกล้ใบหน้าซีดเผือด เยาะหยันในความใจกล้าบ้าบิ่นของคนตรงหน้า ทั้งที่ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรเลยแท้ ๆ ไม่อยากบังคับฝืนใจเพราะให้เวลาค่อย ๆ กล่อมให้บดินทร์เชื่อฟังอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า

แต่ดูเอาเถิดว่าแมวน้อยของเขาเย้ากิเลสแค่ไหน!

“สักแต่ ‘เอา’ จนเสร็จอยู่ฝ่ายเดียวแบบนั้นคงเรียกว่าเซ็กซ์ไม่ได้หรอกมั้ง”

ดนัยหัวเราะร่วนกับสิ่งที่บดินทร์ตอบโต้กลับมา ในเมื่อเหยื่ออยากรนหาที่ก็คงต้องสนองเสียหน่อยแล้ว!

“ฮะ ฮะ ดีครับ ดีเลย งั้นเดี๋ยวผมจะจัดเซ็กซ์มันส์ ๆ เป็นการไถ่โทษให้นะ”

ดนัยพูดพลาง ถอดเสื้อของตนออกบ้าง

บดินทร์เป็นเช่นนี้เสมอ เย่อหยิ่ง ถือตน และเป็นคนที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา! ดังนั้นดนัยจึงตั้งใจสั่งสอนให้บดินทร์ได้รู้เสียบ้างว่า บางครั้งการทะนงตนเกินไปมันก็มีแต่จะดึงดูดความหายนะมาเยือนเท่านั้น

อย่างเช่นในตอนนี้!

“ที่นี่ปลอดคนพอจะมีเซ็กซ์กันได้อย่างเพลิดเพลินเลยล่ะ คุณเป็นคนแรกเลยนะที่ทำให้ผมคึกได้ถึงขนาดนี้”

“...”

บดินทร์ขบเม้มริมฝีปากแน่นจนแทบห้อเลือด ขณะทนฟังดนัยพูดพร่ำ เขาไม่อยากได้ยิน และไม่คิดสนใจไม่ว่าอีกฝ่ายจะพ่นพูดอะไร

กระนั้นก็ยังถูกอีกฝ่ายก้มลงมากระซิบที่ข้างหู บังคับให้ต้องรับฟังทุกถ้อยคำหยาบช้า

“รู้ไหมว่าการได้สัมผัสในรูที่ทั้งนุ่มและเปียกลื่นของคุณแบบไม่มีอะไรขวางกั้นมันรู้สึกดีแค่ไหน แถมพอเสร็จแล้วได้เห็นน้ำรักของผมไหลออกมาจากรูของคุณด้วย มันโคตรสุดยอดเลยล่ะ!”

“หุบปากซะ ไอ้ชาติชั่ว!”

“ฮะ ฮะ ฮะ แค่นี้ก็ทนฟังไม่ได้ซะแล้ว การชดใช้ของคุณมันเด็กน้อยแค่นี้เองเหรอ?”

“!!?”

ทุกคำของดนัยทั้งหยามหยันและข่มขวัญบดินทร์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขารู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจพูดแบบนั้นเพื่อให้เขารู้สึกแย่จนขอยอมแพ้ แต่ในเมื่อเขาลั่นวาจาออกไปเองว่าจะชดใช้ด้วยวิธีนี้ ก็ไม่คิดกลับคำเช่นกัน

ฟึ่บ!

บดินทร์คว้าต้นคอของดนัยไว้ แล้วเป็นฝ่ายบดจูบลงไปเพื่อปิดปากเน่าเฟะตรงหน้าเสีย!

…เด็กน้อยงั้นเหรอ?

“...!?”

ดนัยเบิกตาโตกับพฤติกรรมที่คาดไม่ถึงของบดินทร์ นึกไม่ถึงว่าจะถูกอีกฝ่ายเปิดฉากก่อน แค่เพราะถูกเขาเยาะหยันจึงทำใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนั้นหรือ? ดนัยหรี่ตาลง นัยน์ตาสีเขียวทองทอประกายวาววามอย่างผู้ล่า

ในเมื่อบดินทร์ยินยอมเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว หากเขาไม่รับไว้ก็เสียน้ำใจแย่น่ะสิ!

“อึ่ก!”

บดินทร์สะท้านเยือกแค่เพียงเพราะถูกสัมผัสด้วยฝ่ามือร้อนผ่าว แม้เขาจะยังกอดคนผู้นี้ไว้ มอบจูบร้อนแรงให้ไปก็เหมือนยังไม่สามารถสยบคนตรงหน้าได้ ในรถคันหรูกว้างขวางพอให้ทำกิจกรรมอย่างว่า แต่ก็แคบเกินกว่าจะให้ขยับหนีสัมผัสที่ชวนให้ไม่สบายใจนั่น รู้สึกราวกับถูกกักขังอยู่กับปีศาจร้ายในสภาพที่น่าเวทนา

ริมฝีปากถูกผละออก ตั้งแต่ข้างแก้มจนถึงซอกคออุ่นถูกจูบซับหน่วงหนักเสียงดังฟังชัด บดินทร์กัดฟันสะกดกลั้นเสียงที่อาจเล็ดลอดออกมาทุกวิถีทาง เมื่อซอกคอถูกกดฝังด้วยปลายจมูกโด่งสัน ยินเสียงกดจูบและสูดดมดังไปทั่ว ความเสียวกระสันเริ่มก่อตัวจากท้องน้อยแค่เพียงถูกโลมเลียยอดอกเล็กด้วยปลายลิ้นลิ้นฉ่ำชื้น อยากผลักไส แต่ทำได้เพียงเกร็งสองมือจิกลงบนเบาะที่นั่งอย่างไร้ทางหนี เสียงลามกหยาบโลนที่อีกฝ่ายตั้งใจทำให้เขาได้ยิน ทำเอาบดินทร์ต้องรีบยกมือข้างที่เจ็บจนจิกเบาะไม่ไหวขึ้นมาปกปิดใบหน้าแดงซ่านของตนแทน

‘ความรู้สึกบ้านี่อีกแล้ว!’ บดินทร์พยายามปฏิเสธความรู้สึกต้องห้ามที่เกิดขึ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่พอถูกดูดดุนยอดอกด้วยความละโมบสติที่มีมันขาดหายไปช่วงหนึ่ง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กางเกงยีนหลวมโพรกถูกถอดออกไปพร้อมกับกางเกงชั้นในเสียแล้ว

เปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์...

“อย่าสั่นขนาดนั้นสิคุณ คุณก็รู้ว่ายิ่งคุณกลัวผมก็ยิ่งหื่นนะ” ดนัยกระซิบพร้อมเสียงหอบหายใจ ขณะใช้ปากฉีกซองเจลหล่อลื่น

บดินทร์หลับตาลงทันที เพราะไม่อยากเห็นว่าตนกำลังจะถูกทำอะไร ทั้งร่างเกร็งสะท้านเมื่อถูกดนัยใช้เจลเปียกลื่นลูบไล้อยู่ตรงช่องทางต้องห้าม สมองสั่งการให้รีบหนีความจริงไปซะก่อนที่ร่างกายจะเตลิดไปไกลกว่านี้ คิดเสียว่ามันก็แค่ฝันร้ายตื่นหนึ่ง

“อย่าเกร็งนักสิ เดี๋ยวจะเจ็บเอานะ”

เสียงพร่ากระซิบแผ่วอยู่บนริมฝีปาก ดนัยจับขาของบดินทร์แยกออกกว้างเท่าที่พื้นที่ในรถจะอำนวย ขาข้างหนึ่งถูกจับพาดบ่าแกร่งไว้ เปิดช่องทางที่เคยปิดสนิทสู่สายตาของดนัยได้อย่างชัดเจน มันหวาดกลัวจนหุบสนิททันทีที่เรียวนิ้วนั้นเริ่มรุกคืบเข้าด้านใน มันพยายามต้านทานอย่างสุดกำลังแม้จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขัดขวาง

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 10 มอบตัว [16 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 16-02-2024 04:26:01


“ฮึ่ก อื้ออ…”

แม้จะเคยถูกดนัยสอดใส่มาแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้บดินทร์รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมที่พยายามดุนดันเข้ามา ร่างขาวโพลนบิดพล่านต่อต้านปลายนิ้วของดนัยที่กำลังขยับเข้าออกจนเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด

“แน่นมากเลยนะครับ...เหมือนครั้งแรกไม่มีผิด”

“หุบปาก! รีบทำให้เสร็จ ๆ ไปซะที”

เพราะดนัยเอาแต่กระซิบยั่วเย้าด้วยน้ำเสียงแตกพร่า ขณะยังใช้นิ้ววนคว้าน รุกเร้าจโจมตีอยู่ในร่างของบดินทร์อย่างนักล่าที่แสร้งใจดีทั้งที่มีแต่เจตนามุ่งร้าย และนั่นก็ทำให้บดินทร์ไม่อาจกัดฟันทนต่อไปไหว ร่างเปลือยไร้ทางสู้ตวาดลั่น ทั้งที่ยังไม่ยอมเอาแขนออกจากหน้าตน

ไม่อยากเห็น...

ไม่อยากรับรู้อะไรผ่านสายตานี้ทั้งนั้น!!

ทว่าแม้หลับตา เสียงฉ่ำแฉะสวบสาบกลับยิ่งดังชัด เสียงเสียดสีของบางสิ่งกับเสียงเปียกลื่นของเจลหล่อลื่นเปียกแสดงให้ได้รู้ว่าตนกำลังถูกดนัยทำอะไรอยู่ บดินทร์รีบเปลี่ยนจากการปกปิดใบหน้าเป็นปิดหูตัวเองเสีย

เขาไม่อยากได้ยิน ไม่อาจทนฟังเสียงของร่างกายของตนที่กำลังดูดกลืนนิ้วของปีศาจ!

“คุณนี่…ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่ยอมเข็ดเลยนะ”

ดนัยบ่นพร่ำขณะลมหายใจหอบสะท้านขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงอารมณ์ที่ขับเคลื่อน

“อ๊ะ!…”

ช่วงเอวกระตุกชักทันทีที่ถูกกระตุ้นจุดสำคัญในร่าง ‘ตรงนี้สินะ’ แว่วเสียงดนัยพูดบางอย่างขึ้น แต่ยังไม่ทันที่บดินทร์จะได้ประมวลผล เขาก็ถูกปลายนิ้วของอีกฝ่ายบดขยี้ที่เดิมซ้ำ ๆ จนหายใจหายคอแทบไม่ทัน ความเสียวกระสันพุ่งปราดเป็นระลอก

บดินทร์หอบสะท้าน ท่อนล่างบิดเร่า ในระหว่างที่หัวใจยังสับสนแต่ร่างกายกลับตอบสนองอย่างซื่อสัตย์ เขารู้สึกได้ว่าอวัยวะเพศของตนกำลังมีปฏิกิริยาจากการที่โดนรุกรานต่อมลูกหมากซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรวบรวมความคิด พยายามตรึงสติตนไม่ให้เตลิด คิดทุกอย่างให้เป็นเหตุเป็นผล เพราะเขาเป็นผู้ชาย เป็นสัตว์เพศผู้ที่ขับเคลื่อนชีวิตด้วยสัญชาตญาณและตัณหาราคะ สิ่งที่เกิดขึ้น ที่กำลังเผชิญมันก็แค่การปลดเปลื้องของตัวผู้ด้วยกันเท่านั้น ไม่มีอะไรให้ต้องใส่ใจ

ใช่...ไม่มีอะไรที่เขาต้องใส่ใจ…

เดี๋ยวมันก็จบ

เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...

“...นุ่มขึ้นแล้วนี่”

“บ...บอกให้หุบปากไง! ...อึ่ก!! อะ…”

แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ช่องทางน่ารังเกียจของตนก็ดูดกลืนปลายนิ้วของดนัยไว้ไม่ยอมปล่อยจริง ๆ กระทั่งตอนที่ถูกสอดนิ้วเพิ่มเข้ามา มันยังดูดดึงบีบรัดการรุกรานของดนัยราวกับยินดีเสียเต็มประดา บดินทร์หอบหายใจสะท้าน ต้นขาอ้ากว้างเกร็งกระตุกเป็นระยะ แก่นกลางกายที่เคยอ่อนนิ่ม เติบใหญ่ขึ้นได้แม้ไม่โดนสัมผัส ขนาดยังพองขยายได้ไม่เต็มที่ แต่ส่วนปลายก็เริ่มขับน้ำหล่อลื่นเหนียวใสออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

“อืม...อย่ารัดขนาดนั้นสิ เดี๋ยวนิ้วผมก็ขาดหรอก”

ดนัยยังคงกลั่นแกล้งด้วยถ้อยคำหยาบโลน ไม่สนใจแม้บดินทร์จะโวยวายบอกให้หยุด ถึงอย่างไรเสียงด่าทอที่กระเส่าขนาดแบบนั้นมันก็โคตรน่าฟังสำหรับเขาอยู่แล้ว

ปีศาจร้ายแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเพื่อดับความกระหายที่กำลังเพิ่มพรวด ทั้งที่ตั้งใจจะให้บดินทร์ได้พักสักหน่อยแท้ ๆ แต่เจ้าตัวก็ดันเอาตัวใส่พานมาให้ถึงตรงหน้า คนอย่างเขานี่คงทำความดีไม่ขึ้นจริง ๆ ดนัยมั่นใจร้อยเต็มพันว่าจากวันนี้ไปคงโดนบดินทร์ชังน้ำหน้ายิ่งกว่าที่ผ่านมา แต่เขาจะแคร์ทำไมล่ะ ในเมื่อที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถูกเกลียดไม่ต่างกัน

“เอาล่ะ อย่าเกร็งนะ”

ดนัยก้มลงกระซิบด้วยน้ำเสียงแตกพร่า ก่อนนำส่วนที่แข็งขึงร้อนระอุเข้าจ่อประชิดปากทางที่ถูกเตรียมการไว้อย่างดีแล้ว

“...อ๊ะ!....อย่าเพิ่ง!....ฮึ่ก!!”

ร่องสะโพกเจ็บเสียดราวกับจะฉีกขาดเพียงแค่ส่วนหัวอวบใหญ่ผลุบเข้ามา บดินทร์เบิกตาโพลง ภาพที่ดนัยกำลังชำแรกอวัยวะเพศของตนเข้ามาในร่างปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน สิ่งที่ได้เห็นหลอนประสาทเกินไปจนเผลอส่งเสียงครางออกมาด้วยความหวาดหวั่น

“เจ็บหรือเปล่า ผมจะอ่อนโยนให้นะ”

“รีบทำ ๆ เข้าเถอะ!”

ทั้งที่กลัวจนตัวสั่น แต่ครั้นได้ยินเสียงดนัยเอ่ยปลอบ บดินทร์กลับถลึงตาใส่คนอ่อนโยน แล้วออกคำสั่งให้รีบทำในสิ่งที่เขาร้องขอเสีย!

“...” เมื่อความหวังดี ไม่เป็นที่ต้องการ ดนัยก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ จ้องมองคนคนที่เอาแต่เบือนหน้าหลบอย่างสุดกำลัง

‘โอเค ไม่อ่อนโยนก็ได้’ ดนัยแสยะยิ้ม พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองอย่างนึกสนุก

“อ๊ะ!”

บดินทร์ไม่อาจกลั้นเสียงครางเครือเมื่อดนัยสอดพรวดเข้ามาในรวดเดียว เนื้อเมือกด้านในถูกอวัยเพศแข็งแกร่งชำแรกจนเบิกกว้าง ท่อนเนื้อแกร่งขุดคว้านทะยานสู่ด้านในลึกล้ำเสียยิ่งกว่าปลายนิ้ว และเพราะสิ่งแปลกปลอมที่ค่อย ๆ แทรกฝังเข้ามามันใหญ่โตเกินไป ร่างกายจึงปฏิเสธอย่างเต็มที่ ช่องทางขยับผลักดันอย่างสุดกำลังเพื่อไม่ให้สิ่งนั้นรุกล้ำเข้ามาลึกกว่าที่ควรจะเป็น

“...อืม...อย่าเกร็งนักสิ มันขยับลำบากนะ...”

แรงบีบรัดภายในทำเอาดนัยทรมานกับการฝืนกลั้นไม่น้อย เขาจึงโน้มตัวลงคร่อมร่างบดินทร์ไว้แล้วกระซิบพร่าให้ช่วยคลายการบีบรัด

“ผมไม่อยากทำคุณเจ็บจริง ๆ นะ ผ่อนคลายหน่อยสิ”

บดินทร์เม้มริมฝีปากแน่น ทั้งที่อยากจะตะโกนใส่หน้าดนัยออกไปว่ารู้อยู่แล้ว เลิกพูดเสียที แต่ก็ได้แค่กัดฟันทน แล้วผ่อนคลายร่างกายท่อนล่างตามที่อีกฝ่ายร้องขอ เขาไม่ต้องการให้กิจกรรมดำเนินล่าช้านัก อะไรที่พอจะทำแล้วมันเสร็จไปเร็ว ๆ ได้เขาก็ไม่คิดอิดออด

“...!”

เมื่อบดินทร์ยอมเปิดโอกาส เขาก็รีบดันสะโพกเข้าไปรวดเดียวจนสุด ดนัยก็ครางออกมาเบา ๆ ความรู้สึกที่ว่าท่อนล่างกำลังถูกเนื้อเหยื่ออุ่นร้อนโอบรัด มันเป็นอะไรที่เขาไม่เคยปฏิเสธได้

“อ๊ะ! อึ่ก...”

ความใหญ่โตเต็มแน่นอยู่ในช่องท้อง มันสร้างความอึดอัดให้บดินทร์ราวกับสิ่งนั้นมันจะดันขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอหอย นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ให้ความรู้สึกเจ็บร้าวไม่ต่าง ท่อนล่างชาหนึบราวกับเป็นอัมพาต ดนัยใช้ปลายนิ้วลูบไล้ตรงข้างแก้มของบดินทร์ที่พยายามอดทนต่อการสอดใส่จนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมดีใจนะ ที่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับคุณอีก”

“...ช่วยทำให้มันจบที…!”

แต่คำตอบที่ได้กลับมา ยังคงเป็นคำอ้อนวอนที่ปั่นหัวให้ดนัยรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน เขาไม่ได้ตอบอะไร นอกจากค่อย ๆ เคลื่อนไหวเชื่องช้า ขยับออกจนสุดแล้วดันตัวเข้าไปอย่างอ่อนโยน ทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อบดินทร์อยากให้รีบจบเกม เขาก็จะยืดมันออกไปให้ยาวนานเท่านิรันดร์!

บดินทร์เข้าใจความหมายที่ดนัยต้องการสื่อ เขาจึงทุบหน้าอกฝ่ายนั้นไปครั้งหนึ่งด้วยความโกรธแค้น

“ทำได้แค่นี้หรือไง กระจอก!”

ดนัยชะงัก คำดูแคลนของบดินทร์ได้ผล แววตาของดนัยทอแสงวาบขึ้น ฉายชัดว่ากำลังหมดความอดทน กรงเล็บที่เก็บซ่อนถูกกางออกเรียบร้อย พร้อมแล้วที่จะฉีกกระชากร่างเหยื่อ พร้อมแล้วที่จะกัดกินจะไม่เหลือแม้เศษกระดูก!

“ได้...งั้น...ผมไม่เกรงใจล่ะนะ”

“อ๊ะ!”

บดินทร์สะดุ้งไหวเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกจับขาอ้ากว้างออกไปอีก ท่วงท่าที่ถูกจัดใหม่อย่างกะทันหันทำเอาหน้าของบดินทร์ร้อนผ่าว ขาซ้ายเบียดชิดกระจก ขาขวาถูกแยกออกกว้างไปพาดไว้กับพนักพิงของเบาะคนขับ ตรงกึ่งกลางกายมีร่างของดนัยเบียดประชิดอยู่ แม้แต่ตรงนั้นก็ถูกอัดเข้ามาจนแน่น ยังไม่ทันได้ตั้งหลัก ภาพตรงหน้าก็เริ่มสั่นคลอนไปตามแรงเสียดแทงของดนัย รู้เลยว่ามันรุนแรงเสียจนโยกไหวไปทั้งตัวรถ ทิวทัศน์นอกกระจกรถสั่นกระเพื่อมจนบดินทร์หน้าแดงซ่านเมื่อไพล่คิดไปถึงว่าหากใครเดินผ่านมาเห็นเข้า คงรู้ได้ทันทีว่าในรถคันนี้กำลังมีกิจกรรมที่เร่าร้อนขนาดไหน

เพราะเป็นที่แคบเสียงของการเคลื่อนไหวจึงดังชัดไปทุกซอกหลืบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงของเนื้อกระทบกันของหน้าขากับเนินสะโพก เสียงเจลหล่อลื่นที่กำลังโดนเสียดสี เสียงลมหายใจขาดห้วง กระทั่งเสียงครางต่ำด้วยความพึงใจของดนัย บดินทร์ก็ได้ยินชัดเต็มสองหู หรือแม้กระทั่งเสียงครางของตัวเขาเอง…




“อืม…”

ดนัยครางเบา ๆ ขณะสอดใส่ตัวตนเข้าไปอย่างไร้ความปรานี ขยับสะโพกเข้าออกรุนแรงราวกับเป็นเครื่องเจาะ ยิ่งได้ยินเสียงบดินทร์กรีดร้อง หัวใจดำมืดของดนัยก็ยิ่งซึมซาบความหฤหรรษ์

"อ๊ะ อึก...อ๊า!"

ลมหายใจของบดินทร์ขาดเป็นห้วง แม้แต่เสียงครางก็หลุดออกมาอย่างไม่อาจห้าม แก่นกายอวบใหญ่คับแน่นเต็มช่องท้อง ทุกครั้งที่มันขยับ ท่อนลำแข็งขืนก็จะตอกตำบดขยี้ตรงจุดที่อ่อนไหวที่สุดของเขาได้อย่างพอดิบพอดี

ในขณะที่อารมณ์พุ่งสูง แม้บดินทร์จะพยายามอดกลั้นความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดอยู่ในช่องท้อง แต่พอถูกดนัยโฉบริมฝีปากลงมาดูดดุนตรงหน้าอก ความพยายามทุกอย่างที่มีก็เหมือนจะพังทลายลงไปหมด

"อ๊า อ๊ะ! อื้ออ..อย่า! อ๊าา..."

บดินทร์ครางร่ำอย่างลืมอาย เมื่อถูกหยอกดูดเม็ดเล็กทั้งสองข้าง ความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้ร่างกายของบดินทร์บิดเร่า ปลายเท้าที่ลอยสูงจิกเกร็ง แม้แต่ช่องท้องก็สั่นกระตุกเป็นระลอก

ดนัยเลียริมฝีปากตน ผละตัวออกจากตุ่มไตสีอ่อน ขยับท่อนล่างพลางมองภาพที่แสนเย้ายวนตรงหน้า ภาพของบดินทร์ในสภาพที่กำลังอ้าขากว้างและสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างพลางส่งเสียงครางหวานอย่างยอมแพ้ด้วยความกระวนกระวายนั้น มันยิ่งทำให้เขาถึงกับต้องสูดปากเพื่อระงับไม่ให้ตัวเองหน้ามืดจนเผลอขย้ำเหยื่อจนช้ำคามือเสียตอนนี้ ดนัยในร่างสัตว์ป่ายืดคอสูง สอดงัดกายเข้าไปในช่องทางบวมแดงอย่างเพลิดเพลินใจ เขาดันสองขาของบดินทร์ให้อ้ากว้างออกไปอีก แล้วกระดกสะโพกถี่กระชั้นเพื่อตอกย้ำถึงความพ่ายแพ้แก่อีกฝ่าย

“อ๊ะ อ๊า ไม่เอา อ๊ะ ตรงนั้น อย่า อ๊า!”

ความเสียวซ่านแล่นปราดจากการโจมตีไม่เว้นพักของดนัย จนบดินทร์ไม่อาจรักษาสติสมประดีได้อีกแล้ว สองมือปัดป่ายเกาะยึดไหล่หนาไว้เป็นที่พึ่ง ช่องท้องเกร็งกระตุกตอบรับแก่นกายใหญ่โตที่กำลังรุกรานไม่เลิก ถูกเสียดสีตรงจุดกระสันด้านใจส่วนปลายแก่นกายของเขาบวมเป่งแม้ไม่เคยถูกแตะต้อง

ในวินาทีที่ในหัวเหลือเพียงก้อนสมองเปล่า ๆ เขาก็กรีดร้องออกมาจากการถึงจุดสุดยอดที่รุนแรง

“!!!”

จุดสุดยอดมาถึงในพริบตา มันรุนแรงราวถูกฟาดที่กลางกระหม่อม บดินทร์เกร็งร่างกระตุกไหว ลำคอหงายเริ่ด สูดหายใจหอบกระเส่าด้วยความหฤหรรษ์ที่ได้รับ หยาดอารมณ์พุ่งฉีดรินรดตั้งแต่หน้าท้องไปจนถึงปลายคาง ใบหน้าดวงตาหวานล้ำเหม่อลอย ริมฝีปากแดงช้ำเผยอหอบ น้ำตาแห่งก้อนทิฐิที่ถูกทำลายย่อยยับ ค่อย ๆ รื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้าม…เขาถูกทำให้เสร็จทั้งที่ยังไม่โดนแตะต้องส่วนนั้นเลยด้วยซ้ำ!

“อา…นึกว่าจะขาดเป็นสองท่อนเสียแล้ว”

ดนัยแกล้งเย้าที่จู่ ๆ ก็ถูกบดินทร์รัดแก่นกายของตนจนแน่น สีหน้าเขาตอนนี้ไม่สู้ดีนักเพราะกำลังอดทนอย่างสุดความสามารถที่จะไม่เสร็จตามบดินทร์ไปเสียก่อน ร่างหนาหยุดขยับไปครู่หนึ่ง เขาปล่อยขาของบดินทร์ให้เป็นอิสระ ก่อนโถมทับลงไปบนตัวของอีกฝ่ายจนเนื้อชิดเนื้อแทบไม่เหลือช่องว่าง แล้วสบดวงตาฉ่ำน้ำของบดินทร์ตรง ๆ

แม้ยังหอบสะท้าน แม้ร่างกายจะยังอ่อนเปลี้ยจากการถึงจุดสุดยอดที่ไม่คาดฝัน แต่เมื่อตั้งสติได้บดินทร์ก็เม้มริมฝีปากแน่น พลันเบือนหน้าหลบสายตาเร่าร้อนของดนัยที่กำลังจับจ้องมาในระยะประชิด

เขารู้ดีว่ามัน…ยังไม่จบ!

“อื้อ...”

บดินทร์ครางแผ่ว เมื่อถูกดนัยลามเลียตั้งแต่ปลายคางไปจนถึงแอ่งชีพจร เลียชิมรสชาติของเขาผ่านหยาดอารมณ์ที่เขาเพิ่งปลดปล่อย บดินทร์หน้าแดงก่ำกับการกระทำนั้นจนต้องรีบหลับตาลงเพราะไม่ต้องการรับรู้อีก

“!!?” ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่ปลายลิ้นสัมผัส เนื่องจากมันยังคงซาบซ่านจากการปลดปล่อยที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่ ความเสียวซ่านที่เริ่มโจมตีระลอกใหม่ทำให้จนหัวใจที่อ่อนแออยู่เป็นทุน ถึงกับหลอมละลายกลายเป็นหยาดน้ำตาหลั่งริน

“อย่าร้องสิครับ ผมแพ้น้ำตาของคุณนะ”

ดนัยกระซิบแผ่วหวาน จูบซับหยาดน้ำตาที่หลั่งรินไม่หยุดของบดินทร์ด้วยความอ่อนโยน หากถามว่าดนัยรู้สึกสงสารบดินทร์ขึ้นมาหรือไม่ คำตอบคือใช่ แต่ในความเห็นใจนั้นมันมีความพึงพอใจแฝงเร้นอยู่ด้วย การไล่ต้อนจนบดินทร์หมดทางสู้ ทำหัวใจของดนัยเต้นแรงกว่าที่เคย ความทะนงและความย่ามใจฉีดพล่าน ปฏิกิริยาลิงโลดแสดงออกชัดเจน จนทำให้สิ่งที่ยังฝังลึกอยู่ในร่างของบดินทร์ถึงกับกระตุกไหวและขยายใหญ่ขึ้นอีก

“...อือ!? ...ทำไมถึง!...” ใหญ่ขึ้นอีกแล้ว!? ทันทีที่รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บดินทร์จึงรีบเอ่ยปากอ้อนวอน

“ได้โปรด...ช่วย...ทำให้...มันจบที...”

ดนัยยิ้มพรายเมื่อได้ยินคำอ้อน เขาจึงแสร้งกระซิบขอสิ่งแลกเปลี่ยนบ้าง

“...งั้น...ขอผมหลั่งในตัวคุณได้ไหม?”

“อื้อ…ขอร้องล่ะ”

แต่บดินทร์ที่กำลังอ่อนแอกลับตอบรับเพราะได้ทันได้คิดทบทวนว่าดนัยร้องขออะไรมา เขาแค่อยากให้เรื่องนี้มันจบลงโดยเร็ว จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น

หลังได้รับอนุญาต ดนัยก็ดึงสะโพกออกมาช้า ๆ แล้วสอดกายจนจมลึกกลับเข้าไปในคราเดียว

“อ๊า...อย่า ฮึ่ก! อื้อ…”

พอถูกดนัยกระแทกสะโพกเข้าไปราวกับตอกอัด บดินทร์ก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความทรมาน เขาเพิ่งผ่านจุดสุดยอดไปเมื่อครู่ ร่างกายจึงยังไวสัมผัสเกินไป เพียงแค่ดนัยขยับเพียงน้อยนิด สิ่งอวบใหญ่ที่ครูดคลึงไปมาอยู่ในร่างก็ทำเอาความเสียดเสียวแล่นพล่านไปทั้งตัว บดินทร์ครางหวาม กระดกสะโพกรับแรงเสียดทานอย่างห้ามไม่อยู่

“อืม..” ช่องท้องของบดินทร์เร่าร้อนเกินไปจนดนัยเองยังต้องหลุดเสียงครางต่ำด้วยความพึงใจในรสชาติของเซ็กซ์ที่อร่อยล้ำ ยิ่งอีกฝ่ายส่งเสียงหอบกระเส่า เขาก็ยิ่งเสือกแทงรุนแรงเพื่อบดขยี้ภายในของบดินทร์ให้หลอมละลาย

บดินทร์แหงนหงายใบหน้าไปด้านหลังเผยช่วงคอเรียวสวย ขณะแอ่นกายบิดเร่ารองรับความทารุณจากคนบนร่าง จุดสุดยอดที่เพิ่งแตกซ่านไปเมื่อครู่ทำให้บดินทร์ต้องขืนร่างทนรับความหฤหรรษ์ที่กำลังพุ่งสูงอีกครั้ง เสียงหอบหายใจปนสะอื้นขาดเป็นห้วง สองแขนโอบรัดลำคอแกร่งของดนัยไว้แน่นเป็นดั่งที่พึ่งสุดท้าย ช่องทางตอดรัดถี่ ตอบสนองการเคลื่อนไหวของดนัยอย่างสุดกำลัง ต้นขาเบียดกันแนบชิด เสียงหัวหน่าวที่กระทบกับบั้นท้ายเป็นจังหวะรุนแรงยิ่งพาอารมณ์ปรารถนาเตลิด ผนังเมือกบีบรัดท่อนเนื้อแน่น เหยื่อเมือกภายในช่องท้องร้อนจัดเพราะแรงเสียดสี

“...อ๊ะ!!”

ดั่งเรือน้อยที่ไม่อาจต้านทานคลื่นคลั่งแห่งกระแสพายุโหม บดินทร์กัดฟันสวนสะโพกตอบรับอย่างไม่ตั้งใจเมื่อดนัยขยับเสือกแทงบดเน้นไปที่จุดอ่อนไหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกระแสไฟฟ้ารั่วไปรวมอยู่ตรงจุดที่เชื่อมโยงกัน ร่างกายบิดแอ่นซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์รองรับการกระทำป่าเถื่อนของสัตว์ร้ายด้วยความจำยอม

ดนัยขบกรามแน่น ดวงตาสีอ่อนวาววามด้วยความอิ่มหนำ การมีเซ็กซ์กับบดินทร์มันช่างสุดยอดชนิดที่เขายังไม่เคยรู้สึกสุขสมได้เช่นนี้มาก่อน สองมือแกร่งกระชับเข้าที่เชิงกรานของคนใต้ร่างจากนั้นจึงขยับกายเบื้องล่างสอดคว้านไม่หยุด ริมฝีปากแห้งผากก้มลงดูดดุนที่ยอดอกสีอ่อน แลบเลียไปที่เม็ดแข็งเป็นไตด้วยความเสน่หา ลิ้นหนาเลียชิมพลางดูดดุนเสียงดัง ถึงตอนนี้บดินทร์เองก็แอ่นร่างรับริมฝีปากของดนัยอย่างสุดแรงเกิด ในสมองพร่าพรายจนไม่อาจประมวลความคิด

ความเร็วและความรุนแรงในการขยับเพิ่มขึ้นตามที่ใจปรารถนา สองร่างสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียว เพียงอึดใจต่อมาดนัยก็เกือบจะไปถึงจุดหมาย เขาสอดร่างถี่ยิบกระแทกสะโพกเข้าออกจ้วงแทงใส่ร่างเกร็งสั่นของบดินทร์ไม่ยั้งในอึดใจสุดท้าย!

“อ๊ะ!!”

โดยไม่ตั้งใจมันกลับทำให้บดินทร์ถึงจุดสุดยอดเป็นครั้งที่สองอย่างไม่ทันตั้งตัว การถึงสองครั้งติดกันทำเอาหัวใจของบดินทร์แทบหลุดออกจากขั้ว ทั้งร่างเกร็งกระตุกรุนแรง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความสุขสมที่ซัดสาด ปลายนิ้วที่โอบรัดแผ่นหลังของดนัยอยู่จิกลึกจนฝากเป็นรอยแผลกรีดยาวบนแผ่นหลังนั้น

“...!!” เพราะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากความเสร็จสมครั้งที่สองของอีกฝ่าย เร่งรัดให้ดนัยขยับซอยสะโพกเข้าออกเร็วและแรงขึ้นจนร่างกายของบดินทร์สั่นพั่บ เสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังขึ้นพร้อมกับที่เขาปลดปล่อยน้ำรักพุ่งพรวดเข้าไปยังช่องทางที่กำลังตอดตุบ!

บดินทร์หอบสะท้านเมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนจัดที่สาดซัดอยู่ภายใน ดนัยหยัดร่างเกร็งเครียด แหงนหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขสมขึ้นจากหน้าอกของบดินทร์ เพื่อซึมซับทุกความสุขกระสันที่ซ่านผ่าวไปทั้งร่างกาย ทุกการเคลื่อนไหวจบลง แต่สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในร่างของบดินทร์ยังคงเกร็งกระตุก

ดนัยหายใจติดขัด กดแช่แก่นกายที่ได้รับการปลดเปลื้องของตนไว้ในนั้น เมื่อรีดเร้นความต้องการของตนสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของร่างกายอีกฝ่ายจนหมดแล้ว สีหน้าของดนัยก็ผ่อนคลายขึ้น เขาเหยียดยิ้มพราวส่งให้บดินทร์ที่จ้องมองเขาอยู่ด้วยสายตาปรือปรอย ดนัยขยับสะโพกบดเบียดอีกสองสามครั้งพอให้บดินทร์ต้องนิ่วหน้า

“...เอาออกไปเสียที”

เสียงแหบพร่าของบดินทร์ออกคำสั่ง เมื่อดนัยยังไม่ยอมขยับกายไปไหนเสียที ดนัยพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนเอื้อมมือข้ามตัวของบดินทร์ไปหยิบกล่องทิชชูที่เบาะหลัง ทั้งที่ยังเสียบคาอยู่แบบนั้น

“ฮื่อ...นี่คุณ?”

การขยับยุกยิกโดยที่ยังเชื่อมร่างกันอยู่ทำให้บดินทร์ไม่สะดวกใจนัก เขาเอ็ดดนัยออกมาอีกครั้ง หวังให้อีกฝ่ายยอมทำตามเสียที

ทว่าเขากลับได้รับอย่างอื่นมาแทน

จุ๊บ...

จุมพิตอ่อนหวานทิ้งท้าย ก่อนที่ดนัยจะถอนร่างออกไป

ทิ้งไว้เพียงใบหน้าที่แดงก่ำขึ้น กับน้ำตาหยดสุดท้ายที่รินร่วงลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

...จบเสียที…สินะ



+++++++++++++++++++++

น้องดินโดนกินอะเกนโดยสมยอม...อิอิ

แถมพี่ดนัยก็ไม่แผ่วเลยจ้า รู้ว่าน้องดื้อก็รังแกกันหนักเลยทีเดียว

สงสารนว้องงงง TT^TT

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 11 โบยบิน [17 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 17-02-2024 07:41:17

11 โบยบิน


Porsche Cayenne คันหรูวิ่งห้อไปบนถนนสายหลัก ดึกสงัดแล้วจึงมีแต่บรรดารถบรรทุกขนส่งสินค้า รถพ่วงแล่นต่อกันเป็นแถวทิวที่เลนซ้าย ดนัยขับแซงสิงห์รถบรรทุกไปเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น เหลือบมองคนที่เอนกายเหม่อลอยอยู่ข้าง ๆ ร่างสมส่วนกอดตัวเองไว้หลวม ๆ ดูเหมือนต้นแขนขาวที่โผล่พ้นเสื้อยืดสีดำตัวบางจะหนาวแอร์อยู่ไม่น้อย ดนัยหักรถเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันโดยไม่ต้องคิด

“เอาอะไรรองท้องหน่อยไหมคุณ?”

หาที่จอดรถได้ ดนัยก็ถามขึ้นด้วยความห่วงใย แต่คนถูกถามกลับยังนั่งนิ่ง เขาจึงไม่เซ้าซี้ แล้วลงไปซื้อกาแฟกระป๋องมากระดกรวดเดียวหมด พอกลับมาที่รถแล้วเห็นบดินทร์ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่เช่นเดิมก็อดถามออกไปไม่ได้

“คุณแน่ใจนะ ว่าไม่อยากแวะอาบน้ำก่อน?”

ดนัยถามย้ำ อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้เพราะหลังจากมีเซ็กซ์กันเสร็จ บดินทร์ก็รีบแต่งตัวเข้าที่โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แม้จังหวะที่ลุกขึ้นแล้วสิ่งที่ดนัยปล่อยเอาไว้ด้านในเกิดทะลักไหลออกมา เจ้าตัวก็ไม่คิดแยแส เพียงแค่ดึงทิชชูไปกดซับเอาลวก ๆ ทั้งยังไม่ยอมให้ดนัยได้ยื่นมือเข้าช่วย เสร็จแล้วก็รีบแต่งตัวแล้วนั่งประจำที่ เรียกร้องเพียงอย่างเดียวคือกลับบ้านเท่านั้น

“ถ้าคุณไม่สบายตัว ให้ผมแวะโรงแรม...”

“ผมอยากกลับบ้าน...ช่วยพาผมกลับบ้านที”

ตบท้ายด้วยคำว่า ‘ขอร้อง’

ได้ยินแบบนั้นดนัยจึงไม่ถามหาความอะไรอีก เขาเพียงเอื้อมไปหยิบเบลเซอร์ที่แขวนอยู่ด้านหลังมาคลุมร่างของบดินทร์ไว้เท่านั้น ยังดีที่บดินทร์ไม่ทิฐิกับเขาขนาดปัดเสื้อทิ้ง แต่ก็ใช่ว่าบดินทร์จะสิ้นฤทธิ์เสียทีเดียว

“ผมคงไม่ต้องตอบแทนค่าเสื้อคลุมใช่ไหม?”

เพราะยังอุตส่าห์มีคำค่อนขอดตอบกลับมาด้วย เจอแบบนี้เข้าไปดนัยก็ได้แต่ส่ายหน้า ปากแบบนี้มันน่าโดนอีกสักรอบจริงๆ!

“สบายใจเถอะคุณ ผมไม่คิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นหรอก”

ดนัยตอบออกไปด้วยความระอา ระหว่างปล่อยให้คำว่า ‘น่าจะจัดอีกสักรอบให้สิ้นฤทธิ์!’ ลอยฟ่องเต็มสมองไปเรื่อย ๆ บดินทร์จะรู้ไหมนะว่าตัวเองทำให้ดนัยต้องอดทนมากแค่ไหน

ไม่มีใครพูดอะไรอีกหลังจากนั้น ดนัยเพียงทำหน้าที่สารถีไปเงียบ ๆ ปล่อยให้บดินทร์เหม่อมองทิวทัศน์มืดมิดไปตลอดการเดินทาง

ราวหกชั่วโมงจากหัวหินสู่วังน้ำเขียว ดนัยขับรถมือเดียวมาตลอดทางแบบไม่หยุดพัก จนมาถึงเซฟเฮ้าส์ตอนเช้าตรู่ แค่เพียงเสียงรถเข้าไปจอดเทียบด้านหน้า เหล่าคนที่กำลังรอคอยก็กรูกันออกมาที่หน้าบ้าน

บดินทร์รีบก้าวลงจากรถโดยไม่รีรอ เขาวิ่งไปจนสุดฝีเท้า ทว่าก็ไปหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าของผู้เป็นบิดาด้วยความละล้าละลังว่าจะสามารถวิ่งเข้าไปกอดได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า พ่อจะยอมกอดหรือเขาหรือไม่?

แต่ฉับพลันที่ได้เห็นบิดาร้องไห้ แล้วผายมือมาหา บดินทร์ก็ถลาเข้าไปหาโดยไม่คิดอะไรอีก ร่างสูงโปร่งหมอบกรานบนพื้นปูนโดยไม่ยี่หระว่าจะเปรอะเปื้อน สองมือพนมก้มกราบแนบหลังเท้าเปลือยพร้อมน้ำตาที่ถะถั่งออกมาอย่างยากระงับ คำขอโทษแผ่วพร่าด้วยเพราะมีก้อนสะอื้นเข้าขัดขวาง ร่างคุดคู้สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีฝ่ามืออุ่นหนาบรรจงลูบลงที่ศีรษะแล้วถูกประคองขึ้นมาสวมกอดด้วยความอ่อนโยน

“ดิน...ดินลูกพ่อ”

บดีครางเรียกชื่อลูกชายคนเดียวด้วยความรู้สึกผิดและความคิดถึง นานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้โอบกอด ความโหยหาถูกเติมเต็มจนเอ่อล้นเป็นหยาดน้ำตาหลั่งริน สองพ่อลูกประคับประคองสวมกอดกันด้วยน้ำตาที่มากมายหลายความรู้สึก รู้สึกผิด เศร้า เหงา เสียดาย รัก คิดถึง ดีใจ ไม่อายแล้วว่าจะมีใครมาเห็นความน่าสมเพชเหล่านี้หรือไม่ ความตื้นตันผลักดันให้รู้สึกอิ่มเอมเสียยิ่งกว่าความอับอาย

“ดินขอโทษครับพ่อ ดินมันเป็นลูกเลว ดินทำให้พ่อต้องลำบาก ดินมันทรพี…”

บดินทร์สะอื้นฮั่ก พร่ำเอ่ยขอโทษบิดาไม่ขาดปาก ความรู้สึกผิดถาโถมจนแทบหายใจไม่ออก เช่นเดียวกับบิดาที่ก็เอาแต่เอ่ยขอโทษลูกชายซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาต่างแบกรับความรู้ผิดต่อกันมานานเหลือเกินแล้ว

“ไม่เป็นไรดินลูก มันเป็นพ่อเองต่างหากที่ผิดที่ไม่ยอมฟังลูก ดินเอ้ย พ่อขอโทษ...ทั้งหมดเป็นเพราะพ่อทั้งนั้น พ่อขอโทษ…”

“ฮือ...พ่อครับ ดิน...ขอโทษ.....ดิน...คิดถึงพ่อ คิดถึงพ่อ…”

บดินทร์กอดร่างเล็กกว่าของบิดาแน่น ซุกใบหน้าเปื้อนน้ำตา ลงบนไหล่ที่เล็กลงกว่าความทรงจำมาก อ้อมกอดครั้งแรกในรอบหลายปีที่สามารถละลายทุกความบาดหมางต่อกันจนหมดสิ้น



+++++++++++++++++++++++++



เพราะต้องการให้ครอบครัวของบดินทร์ได้ปรับความเข้าใจกัน ดนัยในฐานะเจ้าบ้านจึงไม่ได้ออกไปแสดงตัว ปล่อยให้ครอบครัวของบดินทร์ได้เปิดอกกันได้โดยไม่ต้องเกรงใจคนนอกอย่างตน

วันนี้เป็นวันดีของบดินทร์จริง ๆ เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ว่าได้ ทั้งได้กอดพ่อ ทั้งได้กราบขอโทษแม่เลี้ยง และยังได้ปรับความเข้าใจ ได้เอ่ยขอโทษกับเพียงดาว

เพียงดาวอุ้มลูกสาวหน้าตาน่ารัก ที่มีผิวขาวดวงตาสีน้ำข้าวและเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเหมือนผู้เป็นพ่อ หล่อนนั่งส่งยิ้มให้พี่ชายต่างสายเลือดที่ไม่ได้เจอกันนาน ไม่ว่าหล่อนกับบดินทร์จะเคยมีเรื่องอะไรระหว่างกันมา ตอนนี้หล่อนอภัยให้ได้หมดแล้ว ผิดกับผู้เป็นพี่ที่ยังคงรู้สึกผิดมากมาย วัยเยาว์ผ่านไปไวนัก เผลอเพียงชั่วครู่ก็มาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว

บดินทร์รู้สึกผิดต่อเพียงดาวมากมายเสียจนแทบไม่กล้ามองหน้า เขาชอบสดายุแต่กลับมีความสัมพันธ์กับเพียงดาวเพียงเพราะริษยาที่หล่อนได้รับความรักและความเอ็นดูจากสดายุในฐานะแฟน ในวันที่สดายุกับเพียงดาวตกลงคบกัน หัวใจของบดินทร์ก็แทบขาด เขาโกรธเกลียดหล่อนที่มาคว้าสิ่งสำคัญของเขาไปซึ่ง ๆ หน้า มันจึงทำให้เขาลงมือทำเรื่องเลวร้าย

เพราะเพียงดาวยังเด็กเกินไปในตอนนั้น หล่อนเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังมีความสุขในการบริหารเสน่ห์วัยใส จึงไม่ยากเลยที่บดินทร์จะใช้เสน่ห์ของตนยั่วเย้าจนหล่อนขึ้นเตียงกับตนด้วย เพื่อที่เขาจะได้ใช้ความผิดในข้อนี้กีดกันหล่อนให้พ้นออกจากสดายุ และแผนชั่วของเขามันคงสำเร็จไปได้ด้วยดี ถ้าแม้เพียงดาวจะไม่ท้องขึ้นเสียก่อน จนเกิดเรื่องราวมากมายตามมา

เรื่องนี้บดินทร์ยังไม่กล้าเอ่ยปากกับใคร แม้แต่กับสดายุ เขาเกลียดตัวเองเหลือเกินที่มักหันหลังหนีปัญหา เกลียดตัวเองที่ไม่เคยคิดเผชิญหน้าแม้กระทั่งตอนนี้

“...ดาว...พี่...ขอโทษ”

บดินทร์คุกเข่าลงตรงหน้าน้องสาว เอ่ยขอโทษกับหล่อนซ้ำ ๆ ต่อให้จะถูกต่อว่ากลับมาเขาก็ยินดีรับมัน

แต่เพียงดาวเพียงยิ้ม หล่อนส่งลูกชายให้สามีพาออกไปเดินเล่นที่ด้านนอก ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับอดีตคู่กรณีที่ไม่ได้เจอมานาน แล้วประคองให้ฝ่ายนั้นลุกขึ้นมายืนตรงหน้า

“พี่ดิน…ที่ดาวมาวันนี้ก็เพื่อจะบอกพี่ว่าดาวไม่เป็นไรแล้ว ไม่โกรธและไม่คิดติดใจอะไรพี่อีกแล้วด้วย ดาวเข้าใจแล้วว่าตอนนั้นพวกเราก็แค่ยังเด็ก พี่ไม่ได้บังคับให้ดาวทำ เป็นดาวที่เลือกทางนั้นด้วยตัวดาวเอง มันก็แค่ความผิดพลาดครั้งหนึ่ง และดาวก็ก้าวข้ามมันมาได้แล้ว พี่ดูสิ…ตอนนี้ดาวมีความสุขมาก มีความรักที่ดี มีครอบครัวที่น่ารัก ดาวอยากให้พี่ดินได้เห็นและอยากให้พี่ก้าวข้ามมันเหมือนที่ดาวทำได้”

“ดาว…”

“ดาวอภัยให้พี่ดินค่ะ”

เพียงดาวเอ่ยทุกถ้อยคำออกมาด้วยความจริงใจ สวมกอดของพี่ชายด้วยความเมตตาแด่คนสำนึกผิด แม้บดินทร์จะยังอยากขอโทษเพียงดาวอีกมากมาย แต่หญิงสาวยืนยันว่าไม่ต้องการให้พี่ชายเอ่ยสิ่งใดอีก หล่อนเพียงกระซิบ

“เก็บมันไว้ในอดีตเถอะนะคะ”

บดินทร์พยักหน้ารับ รู้สึกขอบคุณทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่ทำให้เขายังมีโอกาสได้เอ่ยคำขอโทษ ได้รับโอกาสได้รับการให้อภัย




ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้วบดินทร์จึงเอ่ยเรื่องสำคัญที่สุดกับบิดาของตน โดยเฉพาะเรื่องที่ดินกับหนี้สินสิบล้าน ทว่าทันทีที่ถามออกไป คำตอบที่ได้ กลับทำให้บดินทร์ถึงกับมึนทื่อ ใบหน้าเนียนชาวาบราวกับเพิ่งถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด

“พ่อยังไม่ได้ขายที่หรอกดิน เห็นคุณดนัยบอกว่าเรื่องหนี้สิบล้านนั่นเขาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”

“วะ…ว่าไงนะครับ?”

“เขาบอกกับพ่อนะว่า เขาตกลงกับดินเรียบร้อยแล้วว่าเขาจ่ายหนี้ก้อนนี้ให้ดินก่อน แล้วดินค่อยไปทำงานกับเขาเพื่อใช้หนี้ทีหลัง”

“...”

“มีอะไรหรือเปล่าลูก?”

คำอธิบายของบิดาทำหัวใจของบดินทร์บีบรัดด้วยความสับสน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูกังวลขึ้นของผู้เป็นพ่อ บดินทร์จึงไม่อาจเปิดเผยความจริง เรื่องที่ถูกดนัยมัดมือชกได้ ไม่อาจพูดออกไปว่าข้อตกลงที่ฝ่ายนั้นอ้างกับพ่อ เขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็น

ไม่แปลกหรอกหากบิดาจะเชื่อดนัย ก็ใครที่ไหนจะยอมใช้หนี้ก้อนใหญ่แทนให้ หากไม่ได้มีการตกลงรับปากหรือทำสัญญาไรกันไว้ก่อน บดินทร์ข่มกลั้นทุกสิ่งไว้ในใจ ชีวิตเขาถูกดนัยซื้อไว้แล้วด้วยเงินจำนวนสิบล้าน เขามันบ้าไปเองที่เคยคิดว่าจะหนีคนคนนี้พ้น

เพราะแม้แต่สิทธิ์จะปฏิเสธ…ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ!

บดินทร์ลอบถอนหายใจเจ็บร้าว เขายิ้มขื่นแสร้งทำสีหน้าที่ดีที่สุดให้บิดาได้เห็น ลูกอกตัญญูคนนี้จะไม่ยอมให้พ่อต้องทุกข์ใจไปด้วยอีกแล้ว

“ใช่แล้วครับพ่อ…ผมตกลงแล้วว่าจะไปทำงานให้คุณดนัยเพื่อใช้หนี้ให้เขา”



++++++++++++++++++++++++



บ่ายโมงกว่า ท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัว วังน้ำเขียวที่ปกติดูร่มรื่นอยู่แล้ววันนี้ยิ่งครึ้มหนักเพราะอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน เมฆดำเริ่มก่อตัวหนา เสียงฟ้าคำรามครั่นครื้นมาแต่ไกล เดาได้ว่าในไม่ช้าหยาดฝนคงลงดอก

ใต้ร่มหลังคาบ้านไม้ทรงสวย มีบางคนกำลังนั่งเหม่อมองท้องฟ้าสลัวอย่างล่องลอย มองควันบุหรี่สีขาวปลอดที่ค่อย ๆ กระจายตัวพุ่งจากปอดออกมาเป็นสาย ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนสลายตัวไปอย่างช้า ๆ รสขมเฝื่อนในปากคงเป็นอย่างเดียวที่พอทำให้บดินทร์รู้ตัวว่าตนยังคงตื่นลืมตาอยู่

หลังจากครอบครัวกลับไปแล้ว บดินทร์ก็ถูกทิ้งให้อยู่ที่เซฟเฮ้าส์เพียงลำพัง บิดาเตือนเขาไว้ว่าตอนนี้ยังมีนักข่าววนเวียนอยู่แถวบ้าน การปรากฏตัวของเขาช่วงนี้คงไม่เป็นผลดีนัก บดินทร์ไม่ได้ดูข่าวหรือสนใจสื่อออนไลน์เลยนับตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้น เขาจึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้เรื่องคลิปแฉคลิปฉาวของเขานั้นมันเป็นข่าวครึกโครมขนาดไหนแล้ว

ทั้งความจริงเรื่องทำร้ายกฤตเมธกับสดายุ ทั้งเรื่องติดหนี้บ่อน หรือแม้กระทั่งเรื่องฆ่าตัวตาย หลายหลากประเดประดังจนบดินทร์เองก็ยังไม่พร้อมที่จะให้คำตอบแก่ใครทั้งสิ้น ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดแล้วที่เขาจะถูกเก็บตัว หลบเร้นอยู่ในเซฟเฮ้าส์ท่ามกลางป่าเขาแบบนี้ แม้จะเป็นถิ่นของคนที่แสนเกลียด แต่บดินทร์คงทำได้เพียงยกศักดิ์ศรีจอมปลอมของตัวเองทิ้งไปและยอมรับความช่วยเหลือแต่โดยดีเท่านั้น

‘ทำไมถึงให้ความช่วยเหลือมากมายขนาดนี้กัน?’

‘ดนัยกำลังคาดหวังอะไรในตัวของเขาอยู่กันแน่?’

‘กับคนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขาคนนี้…’

บดินทร์ย้อนคิดถึงเรื่องราวระหว่างตนกับเจ้าหนี้รายใหม่ ที่ไม่ว่าจะพิจารณาด้วยสาเหตุอะไรเขาก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่ฝ่ายนั้นยื่นมือเข้ามาช่วยตนอยู่ดี แค่ชอบการมีเซ็กซ์กับเขางั้นเหรอ หรือแค่อยากเล่นสนุกกับชีวิตคนอื่นตามประสาคนรวย?

…ไม่ใช่แค่คนรวยสิ แต่เป็นระดับเจ้าพ่อเลยต่างหาก!

ทั้งที่ความจริงบดินทร์อยากจะคุยเคลียร์ให้จบเรื่องหนี้สินที่โดนฝ่ายนั้นมัดมือชก และอยากถามถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่อีกฝ่ายทำอย่างไม่มีเหตุผล แต่ดนัยดันหนีไปเสียก่อนด้วยเหตุผลเพราะอยากให้เขาได้อยู่กับครอบครัว สุดท้ายตอนนี้เขาก็อยู่คนเดียวแล้ว แต่ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมโผล่หน้าออกมา ทำให้บดินทร์ยังต้องนั่งแกร่วรอเพราะไม่สามารถออกไปไหนได้

มองซ้ายแลขวาก็เห็นมีบอดี้การ์ดจำนวนไม่ธรรมดาเฝ้าอยู่รอบบ้าน เช่นนี้บดินทร์เลยแทบไม่กล้ากระดิกตัว ขืนทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไป ไม่มีใครการันตีได้นี่ว่าเขาจะไม่โดนเป่าด้วยลูกตะกั่วตายอยู่แถวนี้

เฮ้อ…พ่อไม่น่ารีบกลับเพราะห่วงบ้านเลย



“บ่ายแล้ว ไม่ทานอะไรหน่อยเหรอคุณ?”

“!!?”

ดูเหมือนในที่สุดการรอคอยของบดินทร์ก็สิ้นสุดลง ทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มละมุนหูที่ใครต่อใครต่างก็ชื่นชมดังมาจากเบื้องหลัง บดินทร์ก็ได้ฤกษ์เปิดฉากการเจรจาเสียที คำถามตรงประเด็นจึงส่งถึงดนัยแบบไม่รอช้า

“คุณเอาเงินสิบล้านไปไถ่หนี้ของผมที่บ่อนของอัครเดช?”

“อือฮึ แล้วมันทำไมเหรอ?”

ดนัยไหวไหล่เล็กน้อย ตอบออกมาด้วยทีท่าที่ไม่ได้ยี่หระต่อคำถามสักเท่าไหร่ แถมยังเดินเข้ามาหย่อนตัวนั่งเอกเขนกตรงเก้าอี้หวายข้างกายของบดินทร์หน้าตาเฉย

และท่าทีกวนประสาทแบบนี้ของดนัยนี่แหละที่บดินทร์ชังนัก

“จู่ ๆ ก็เอาเงินสิบล้านไปละลายทิ้งแบบนั้น ที่จริงคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่?”

ความไม่เข้าใจทำกิริยาของบดินทร์ก้าวร้าวขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เพราะนอกจากไม่เข้าใจแล้ว ยังเจ็บใจตัวเองมากอีกด้วยที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ทั้งยังอับอายเหลือเกินกับเรื่องที่เขาทำลงไปเมื่อคืน

“ก็ไม่ได้ต้องการอะไร เงินแค่สิบล้านมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม”

แต่ดนัยไม่ได้รู้สึกเดือดร้อน จึงตอบพลางเอนกายลงเอนหลังกับเก้าอี้หวายเต็มตัว บดินทร์หยิ่งในศักดิ์ศรีแค่ไหนทำไมเขาจะไม่รู้…เป็นตัวร้ายที่ยอมตายดีกว่าการขอความเมตตา ยิ่งได้ยินคำตอบของเขา กอปรกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วยแล้วตอนนี้อีกฝ่ายคงแทบลมออกหู

“สิบล้านไม่สำคัญ...เหอะ! คนมีอันจะกินนี่โคตรน่าอิจฉา แต่ก่อนจะทำบุญทำทานก็ช่วยถามความสมัครใจของขอทานด้วยได้ไหมล่ะว่ามันอยากได้หรือเปล่า? หยุดใจบุญพร่ำเพรื่อกับผมเสียทีได้ไหม? ผมไม่ต้องการ!”

คำปรามาสร่ายยาวเป็นวรรคเป็นเวร สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบดินทร์อารมณ์เสียกับเรื่องนี้มากแค่ไหน คำว่า 'หนี้บุญคุณที่ไม่ต้องการ' ฉายชัดอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างที่ไม่ต้องเสียเวลาแปลความหมาย

แต่ดนัยกลับยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เพราะคิดไว้อยู่แล้วถึงแรงต้านที่จะได้รับจากอีกฝ่าย แต่คนอย่างเขาหากตัดสินใจทำบางอย่างลงไปแล้วก็ไม่คิดเปลี่ยนแปลงเช่นกัน และในเมื่อบดินทร์สงสัยใคร่รู้นักดนัยก็จะเฉลยความจริงของค่าไถ่สิบล้านให้ได้ฟัง

“เฮ้อ คุณนี่นะ มาถึงขั้นนี้แล้วยังคิดว่าผมเป็นคนใจบุญอยู่อีกเหรอ?”

“หมายความว่าไง?”

“เคยบอกไปแล้วนี่ ว่าผมอยากได้คุณ”

“...”

“สิบล้านนี่ ก็คือค่าตัวของคุณไง”

“...คุณนี่แม่ง! ลงทุนสิบล้านแค่เพื่อซื้อตัวคนอย่างผมเนี่ยนะ? คุณซื้อผมไม่ต่างจากซื้อโสเภณี ฮะ ฮะ แต่ผมควรภูมิใจสินะ เพราะพวกกะหรี่ชั้นสูงยังได้ไม่เท่านี้เลยมั้ง!”

“มันก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ลางเนื้อชอบลางยา ต่อให้คนอื่นจะว่ายังไงแต่ผมชอบคุณ”

“...”

“โดยเฉพาะตอนมีเซ็กซ์กับคุณ…มันโคตรสุดยอด”

“ไอ้!...สารเลวเอ้ย!”

“ฮะ ฮะ ฮะ อย่าคิดมากนักสิคุณ ผมไม่ใช้งานคุณหนักนักหรอก...มีแต่งานง่าย ๆ สบาย ๆ”

ยิ่งเห็นว่าบดินทร์ดิ้นพล่านจนหน้าแดงหน้าดำด้วยความโมโหระคนสิ้นหวัง ดนัยก็ยิ่งเย้าแหย่ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงขึ้น แท้จริงถึงภายนอกเขาจะดูเป็นมิตร ยิ้มสวยหรือเทพบุตรสักแค่ไหน เนื้อแท้ก็แค่คนร้ายกาจที่ไม่ชอบให้ใครก้าวล่วงดูถูก หากคนตรงหน้าไม่ใช่บดินทร์ที่เขาพึงใจนักหนา ชะตาคงได้นอนเป็นเพื่อนรากมะม่วงไปแล้ว สิทธิพิเศษนี้เขามอบให้บดินทร์เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้อีกฝ่ายขึ้นขี่หัว!

“สนุกนักหรือไงที่เห็นผมต้องกระเสือกกระสนเพื่อล้างหนี้ของคุณ แล้วเรื่องใหญ่ขนาดเงินสิบล้านเนี่ย ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่แรก ปล่อยให้ผมโง่เง่าทำเรื่องสิ้นคิดแบบนั้น! สะใจมากเลยใช่ไหมที่ได้เห็นผมโง่น่ะ!?”

บดินทร์สติแตก ร่างสูงลุกพรวด ตั้งท่ายืนจังก้าชี้หน้าว่าร้ายดนัยไม่ขาดปาก ตัดพ้อต่อว่าสารพัดในเรื่องที่ถูกอีกฝ่ายปกปิด หากเขารู้สักนิดว่าตัวเองถูกจองจำไว้แล้วด้วยหนี้สินสิบล้านนี้ล่ะก็ อย่างน้อยเมื่อคืน...เขาคงไม่ต้องเปลืองตัวแบบนั้น!

เจ็บใจนัก!!

“ผมบอกคุณเหรอว่าสะใจ คิดเองเออเองเก่งนะคุณเนี่ย”

ดนัยยังคงพูดเรื่อย น้ำเสียงดูราบเรียบทั้งยังเจือความขบขัน แต่ในอกชักไม่ขำด้วย รู้สึกว่าสิทธิพิเศษที่มอบให้บดินทร์ไปจะเริ่มสั่นคลอนไม่น้อย เส้นบาง ๆ ที่ยังดึงสติเขาไว้คล้ายว่ามันกำลังจะขาดอยู่รอมร่อ

“หึ! คิดเองเออเองอย่างนั้นเหรอ? เห็น ๆ อยู่ว่าคุณยัดเยียดมันให้กับผม!!”

ปึ่ด!!

“ฮะ ฮะ ฮะ!!”

ดูเหมือนว่าเส้นเชือกแห่งความอดทนจะขาดผึงไปแล้ว ดนัยหัวเราะร่วนออกมาทั้งที่ไม่มีอะไรให้ขำเลยสักนิด เสียงหัวเราะราวเสียงคำรามของปีศาจที่ทำเอาบดินทร์แข็งทื่อไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วประจันหน้ากับบดินทร์ตรง ๆ บ้าง สองแขนแข็งแกร่งสอดล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ เพื่อรั้งสติไม่ให้เผลอเอื้อมไปคว้าคอคนพูดไม่รู้ฟังให้มาอยู่ใต้อาณัติ ลมหายใจแห่งสัมปชัญญะถูกสูดเข้าลึกในปอด แต่ดูเหมือนอารมณ์คุกรุ่นที่ปะทุขึ้นมาแล้วนั้นมันจะไม่สามารถกดข่มให้สงบลงได้ง่าย ๆ

ร่างสูงใหญ่ของดนัยสืบเท้าเข้าหาคนที่ยังยืนแข็งทื่อใกล้ขึ้น ใบหน้าคร้ามคมเอียงองศาเล็กน้อย จดจ้องไปยังสีหน้าแดงสลับขาวของบดินทร์เขม็ง หัวใจดนัยร่ำร้องว่าความต้องการในตัวของอีกฝ่ายกำลังพุ่งสูงจนใกล้ปรอทแตก ยิ่งเห็นสีหน้าดื้อรั้นของบดินทร์ ภาพความทรงจำอันร้อนเร่าของคืนวานก็ผ่านวาบเข้ามาในหัว

มันยิ่งเร่งเร้า…

มันยิ่งพลุ่งพล่าน…

มันยิ่งขับดันให้เลือดในกายของดนัยร้อนระอุจนอยากเอื้อมมือไปคว้า จับกด และฉีกทึ้งจนบดินทร์เปล่าเปลือยไปทั้งร่าง อยากสัมผัสผิวเนื้อตึงแน่นด้วยความรุนแรง อยากแทรกกายเข้าสู่ช่องทางร่านร้อนจนแทบบ้าคลั่ง อยากกักขังเอาไว้ในห้องปิดตายไม่ให้หนีไปไหนได้

สั่งสอนด้วยกำลัง บังคับด้วยอำนาจ

ฝึกให้เชื่องกับจนหนีไปไหนไม่รอด…

แต่…มันยังไม่ใช่ตอนนี้

ดนัยระบายลมหายใจร้อนระอุ ขณะพยายามเอ่ยเจรจากับบดินทร์ต่ออย่างใจเย็น

“นั่นสินะ...ใช่แล้วล่ะดิน ผมตั้งใจยัดเยียดให้คุณจริง ๆ นั่นแหละ ยัดเยียดหนี้บุญที่คุณไม่ต้องการเพื่อทำให้คุณดิ้นหนีจากมือผมไม่ได้ไงล่ะ ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่าถ้าผมต้องการอะไร ต่อให้ต้องทุ่มเท่าไหร่ผมก็ไม่สน อีกอย่างที่คุณควรรู้ไว้…”

“...”

“เรื่องเมื่อคืน…สิ่งที่คุณมอบให้ผมโดยอ้างว่าคือการชดใช้ ผมเอง…ก็ไม่ได้ร้องขอเหมือนกัน”

เมื่อยังพอรังสติอยู่ไหว ว่าเขาควรเว้นช่องว่าให้บดินทร์ได้หายใจหายคอบ้าง ยังอยากเลี้ยง ไม่ใช่ล่าม ดังนั้นดนัยจึงเลือกที่จะตอบโต้บดินทร์ทางวาจาแทนร่างกาย ทว่าคำพูดของเขาก็ใช่จะเบาเหมือนสติ ทุกถ้อยทุกคำย้อนยอกตอกกลับจริงจังหนักแน่น เช่นเดียวกับที่โดนบดินทร์ต่อว่ามา มันแสบสันเสียจนบดินทร์ถึงกับหน้าชา

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรับไปสิ!!”

“แล้วทำไมผมต้องปฏิเสธ? ในเมื่อเนื้อมาวางถึงปากเองแท้ ๆ”

“ไอ้ดนัย!!”

บดินทร์คำรามลั่น พร้อมกับที่เหวี่ยงหมัดฮุคเข้าหาดนัยอย่างไม่ออมแรง เพราะไม่อาจระงับความขุ่นข้องของตนได้เดือดดาลหนักหนากับสิ่งที่ดนัยกล่าวมา มันตีความได้ไม่ยากเลยว่าการยินยอมทอดกายเพื่อแลกอิสรภาพของเขานั้น มันก็เป็นแค่การดิ้นรนอย่างไร้ความหมายของเหยื่อที่โง่เง่าเท่านั้น!

หมับ!

แต่หมัดหนัก ๆ ที่บดินทร์คิดว่าแม่นยำนั้นกลับถูกดนัยคว้าเอาไว้อย่างง่ายดาย ทั้งยังถูกยึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

“อย่ารนหาเรื่องเลยบดินทร์ ผมขอเตือน!”

ดนัยขอร้องอย่างใจเย็น ทว่าดูเหมือนประโยคที่ว่านั่นจะไม่เหมือนประโยคขอร้องสักเท่าไหร่นัก สองร่างยืนประชิด สองสายมีเพียงประกายเกรี้ยวกราด ต่างขิงก็ราข่าก็แรง ไม่มีใครยอมลงให้ใครก่อน ดนัยขบกรามกรอดกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาคิดเอาไว้ไม่เคยผิดเลย บดินทร์คือตัวร้ายที่ยอมตายดีกว่าร้องขอชีวิต หากเป็นคนอื่นที่ได้รับความช่วยเหลือราวฉุดขึ้นจากขุมนรกอย่างนี้ ร้อยทั้งร้อยคงยอมมอบกายถวายชีวิตให้เขาแบบไม่ต้องคิด แต่มันดันไม่ใช่สำหรับบดินทร์ คนคนนี้นอกจากจะไม่ร้องขอให้ช่วยเหลือแล้ว ยังรังเกียจมือของเขาที่ยื่นลงไปให้อีกต่างหาก

ยอมถูกไฟนรกพร่าผลาญมากกว่าจะจับต้องมือของเขา!

ความหงุดหงิดงุ่นง่านเริ่มคืบคลานเข้าครอบงำจิตใจใฝ่คุณธรรมที่เหลือเพียงน้อยนิดของดนัยอย่างช้า ๆ สมองดนัยประมวลผลเร็วรี่ว่าควรทำอย่างไรกับคนดื้อด้านอย่างบดินทร์ดี ในขณะนั้นเองบดินทร์กลับเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอขึ้นมา

“ผมจะชดใช้!”

“อะไร?”

“สิบล้านนั่น ไม่ว่ายังไงผมก็จะชดใช้ให้”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้อง”

“ผมไม่ยอมติดหนี้คุณไปจนวันตายหรอกนะ!”

“อ้อเหรอ? งั้นคุณจะใช้หนี้ผมยังไง?”

“...”

“แม้แต่ที่ยืนในสังคมยังไม่มี คุณจะเอาอะไรมาชดใช้คืนให้ผม…”

ในขณะที่ถามประโยคนี้ออกมา จู่ ๆ ดนัยก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในหัว ตอนแรกก็ตั้งใจจะหาเรื่องบังคับพาบดินทร์กลับไปอเมริกาด้วยอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าตัวเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเองแบบนี้ มันก็ยิ่งง่ายต่อเขาไม่ใช่หรือ?

“มะ..ไม่ว่ายังไง ผมก็จะ..อ๊ะ!?”

ในจังหวะที่บดินทร์พยายามแกะมือของดนัยไปพลาง ยื่นข้อเสนอใช้หนี้ที่ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่นั้น จู่ ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายรวบเข้าไปกอด

“ไปอเมริกากัน!”

“หะ!? อะไรของคุณ?”

คำชวนที่จู่ ๆ ก็ถูกโพล่งออกมาจากดนัย เล่นเอาบดินทร์ที่กำลังดิ้นเร่าถึงกับหยุดชะงัก ดนัยก็เร่งอธิบายถึงเหตุจูงใจมีร้อยแปดพันเก้า เพื่อให้บดินทร์ยอมคล้อยตาม

“คุณก็รู้ตัวไม่ใช่เหรอว่าตัวเองไม่เหลือที่ยืนในประเทศนี้แล้ว สิ่งที่คุณทำลงไป อย่าว่าแต่กลับเข้าวงการเลย แม้แต่งานอื่น ๆ คุณก็ทำไม่ได้ ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน แล้วคุณจะเอาอะไรมาคืนผม คิดจะให้พ่อคุณขายที่อีกหรือไง?”

“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้วแหละ แต่มันเกี่ยวอะไรกับการที่ผมจะต้องไปอเมริกากับคุณด้วย?”

บดินทร์ยังคงเถียงข้าง ๆ คู ๆ แต่เหตุจูงใจของดนัยก็ทำให้น้ำเสียงของเขาเบาลง แม้แต่การดิ้นรนออกจากอ้อมแขนนั้นก็เหมือนจะชะงักไป

ดนัยลอบยิ้มในดวงตา เมื่อสัมผัสได้แล้วว่าถ้อยคำจูงใจของตนได้ผล อ้อมแขนแกร่งกระชับร่างของบดินทร์แน่นขึ้นโดยพยายามให้รู้สึกตัวน้อยที่สุด ก่อนจะโน้มใบหน้าลงใกล้แล้วกระซิบคำโฆษณาสุดท้ายตรงริมหูฝ่ายนั้น

“เพราะนี่คือทางเดียวที่คุณจะสามารถทำงานหาเงินมาใช้หนี้ผมได้ในเวลาอันสั้นไง”



++++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 11 โบยบิน [17 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 17-02-2024 07:42:08


บ่ายคล้อย หลังการโต้เถียงอันยาวนานระหว่างดนัยและบดินทร์จบลง ซอลย่าเดินทางมาถึงเซฟเฮ้าส์พอดี

“ดิน!”

“พี่ซอล!”

ซอลย่าถลาเข้าหาน้องรักทันทีที่เจอหน้า ด้วยความที่ตัวเตี้ยกว่าอยู่มาก ทำให้พอเข้าซุกอ้อมกอดของบดินทร์แล้ว ก็แทบจมหายไปในอ้อมอกของน้องชายราวกับเด็กน้อย

“เป็นยังไงบ้าง ได้ข่าวว่าหนีออกจากโรงพยาบาลตามคุณดนัยไประห่ำจับผู้ร้ายมาด้วยใช่ไหม? ทำไมชอบทำให้พี่เป็นห่วงอยู่เรื่อย หืม? แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง คลาดกันไปคลาดกันมาตลอดเลย”

กอดจนอิ่มใจได้ผู้จัดการดาราร่างเล็กก็เทศนาบดินทร์เสียยกใหญ่ ที่ทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง รู้ดีว่าน้องชายเป็นห่วงสดายุมาก แต่ก็ไม่ควรจะบุ่มบ่ามทั้งที่ตัวเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ ความห่วงใยทำให้ซอลย่าอดบ่นไม่ได้ สองมือเรียวเล็กเอื้อมประคองสองแก้มของน้องชายไว้ จับหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีรอยแผลฟกช้ำน่ากลัวที่ไหนหรือเปล่า หนวดเคราเขียวครึ้มสากมือที่สัมผัสได้ เป็นเครื่องหมายยืนยันได้อย่างดีว่าบดินทร์ไม่ได้ดูแลตัวเองเลย ซอลย่าแทบร้องไห้กับความทรุดโทรมของอีกฝ่ายจึงโผเข้ากอดน้องชายอีกครั้งด้วยความสงสาร หัวกลมเล็กของผู้พี่ถูไถไปมาในอ้อมกอดกว้าง อย่างที่ซอลย่าทำอยู่ประจำยามต้องการจะปลอบใจบดินทร์

กิริยาน่ารักจนบดินทร์ยังอดยิ้มไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะทุกข์หรือเครียดกับอะไรมากแค่ไหน พอได้เจออาการห่วงน้องแบบสุดใจของซอลย่าเข้า มันก็ทำให้เขายิ้มได้ทุกครั้ง

พี่ชายคนนี้ช่างดีกับเขามากเหลือเกิน

ทว่าพฤติกรรมของทั้งสองคน ดันขัดตาแขกอีกคนที่มาด้วยกับซอลย่าไม่น้อย

“อะแฮ่ม!”

ดังนั้นเสียงกระแอมไม่สู้มีมารยาทนัก จึงถูกส่งออกไปเตือนสติของคนทั้งคู่ว่าโลกนี้ยังมีคนอื่นยืนหัวโด่อยู่ด้วย

“สวัสดีค่ะ คุณบดินทร์! ออกจากโรงพยาบาลได้ สบายดีแล้วสินะคะ!”

ประโยคทักทายโทนเสียงเบสทุ้มต่ำ เรียกสายตาของบดินทร์ให้มาหยุดอยู่ที่ผู้มาเยือนอีกคน ที่ค่อนข้างน่าแปลกใจในการมาของอีกฝ่ายไม่น้อย

“สวัสดีครับคุณ…บลูม่า?”

บดินทร์ทักออกไปเพียงแค่นั้น ถึงจะสงสัยว่ามาทำไมแต่ก็ได้สติยั้งปากไว้ทัน เอาเถิดเขายังไม่มีอารมณ์จะตีกับใครตอนนี้ โดยเฉพาะคนที่ยืนตาขวางจ้องเขม็งราวกับจะจับเขาหักคอได้ทุกเมื่ออย่างบลูม่า

“มาด้วยกันได้ยังไงครับเนี่ย?”

แต่ถึงอย่างไรก็ยังอดก้มลงกระซิบถามเอากับซอลย่าไม่ได้ ว่าแท้จริงแล้วแขกคนนั้นโผล่มาหาเขาถึงนี่ได้อย่างไร เพราะระหว่างเขากับบลูม่าผู้จัดการส่วนตัวของสดายุคนนี้ อย่าว่าแต่เคยญาติดีเลย เรียกว่าเกลียดกันจนเข้ากระดูกดีกว่า

“เอ่อ…เขามากับพี่น่ะ ช่วยขับรถมาให้…”

“หะ!?”

ซอลย่าตอบอ้อมแอ้ม ใบหน้าซับสีแดงระเรื่ออย่างลืมตัว เล่นเอาบดินทร์ถึงกับผงะ เข้าใจกระจ่างในทันทีว่าขนาดนี้คงไม่ใช่แค่บังเอิญไปเจอกันแล้วตามมาเยี่ยมเขาแน่ ๆ

‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!’ บดินทร์ทั้งตกใจและสงสัย ในความทรงจำของเขาสองคนนี้ไม่ถูกโรคกันยิ่งกว่าอะไร ข่าวว่าเป็นทั้งคู่แข่งทั้งด้านความรักและอาชีพ โดยเฉพาะหลังจากตอนที่เขากับสดายุแตกหักกัน ก็ยิ่งทำให้ผู้จัดการส่วนตัวอย่างสองคนนี้เกลียดกันยิ่งขึ้นไปอีก

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันวันนี้ถึงได้จูงมือกันมาเยี่ยมเขาได้? มิหนำซ้ำซอลย่ายังออกอาการประหม่าทันทีที่ถามถึงอีกฝ่าย แถมไอ้อีกคนที่ยืนตาขวางอยู่นั้นก็ดูเหมือนอยากกระโดดงับคอเขาให้ได้แค่เห็นว่าเขากอดพี่ชายไม่ยอมปล่อย ทำราวกับว่ากำลังหึงหวง…อื๋อ…หึงหวง!?

“พี่ซอล! อย่าบอกนะว่า…”

“...อะ…เอ่อ…อืม พี่กับบลูเขา…เรา…คบกันอยู่”

“หะ! ตั้งแต่เมื่อไหร่!?”

สองพี่น้องสุมหัวกันเพื่อฟังผู้พี่บอกเล่าเรื่องราวความรักอลเวงของตน ถูกความจริงกระแทกหน้าอย่างจังเข้าทำเอาบดินทร์นิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ แต่เมื่อทำใจได้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจโล่งอก แล้วเริ่มรู้สึกยินดีกับพี่ชายขึ้นมา แม้จะยังขัดใจอยู่บ้างที่คู่กรณีที่ซอลย่ามอบใจคือบลูม่าคนนั้น แต่ก็พออุ่นใจเมื่อได้รับรู้ว่าอย่างน้อย พี่ชายของเขาก็สมหวังในรักเสียที

“ยินดีด้วยนะพี่ซอล” บดินทร์พูดแค่นั้น ก่อนโอบกอดพี่ชายไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง

“ขอบใจนะดิน…” ซอลย่าตอบกลับ กระชับอ้อมแขนเพื่อกอดตอบ ซบใบหน้าลงบนอกอุ่นด้วยความรักและห่วงหา

คราวนี้ก็ถึงเวลาที่บดินทร์จะต้องบอกเล่าเรื่องของตนบ้างแล้ว

“ผมดีใจนะที่จะมีคนดูแลพี่แทนผม…”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ทำอย่างกับจะไปไหนไกล?”

“…พี่ซอล ผมจะไปทำงานกับคุณดนัยที่อเมริกานะ”

“หะ!? ว่าไงนะดิน! ปะ...ไปเมื่อไหร่!?”

“เดือนหน้าครับ”





+++++++++++++++++++++++



สามทุ่ม ณ ท่าอากาศยานแห่งชาติกรุงเทพเนืองแน่นไปด้วยผู้คนดังเช่นทุกวันที่คลาคล่ำมากมายทั้งไทยและเทศ หลายสายการบินที่กำลังจะทะยานออกสู่สุดฟากฟ้า บดินทร์เหม่อมองเครื่องบินที่กำลังขึ้นลงนอกหน้าต่างสนามบินด้วยความรู้สึกหลากหลาย เพียงไม่นานหลังจากที่เขาทำข้อตกลงกับดนัย ฝ่ายนั้นก็จัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเกินทางทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะได้เตรียมใจวันเดินทางก็มาถึงเสียแล้ว

“เดี๋ยวยุมาถึงเขาก็โทรหาเองแหละ ไม่ต้องเฝ้ามือถือขนาดนั้นก็ได้มั้ง”

“...”

เสียงค่อนขอดที่ดังขึ้นที่ด้านหลัง ทำคนฟังอย่างบดินทร์ฉุนกึก จริงอยู่ว่าเขาเฝ้าจอมือถือไม่ห่างแต่นั่นก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของอีกฝ่ายเสียหน่อย? บดินทร์เพิกเฉยไม่สนใจต่อปากต่อคำ เสียงหัวเราะพึงใจดังขึ้นเบา ๆ ก่อนปฏิสัมพันธ์จะจบไปแค่ตรงนั้น

พอได้ยินเสียงคนข้างกาย บดินทร์นึกสะท้อนใจขึ้นมาได้ว่าในที่สุดก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ก้าวแรกสู่ชีวิตใหม่…

ไม่ใช่สิ ก้าวแรกสู่การชดใช้ในสิ่งที่เคยก่อเอาไว้ต่างหาก

ชีวิตใหม่ที่ต้องไปอยู่ในสถานจองจำที่เจ้าหนี้อย่างกฤตเมธเป็นผู้กำหนด ทั้งคงถูกควบคุมทุกฝีก้าวจนน่าอึดอัด เหมือนเช่นตอนนี้ที่อีกฝ่ายคงกลัวว่าเขาจะหนีหนี้ ถึงได้ส่งคนมาคอยคุมไว้ตลอด หนักกว่านั้นคือหากอีกฝ่ายมีเวลาก็จะเป็นคนเฝ้าเขาไว้เองโดยไม่ให้คลาดสายตา จนบดินทร์รู้สึกว่าตัวเองแทบจะบ้าตายวันละหลายครั้ง

ก็เพียงหวังว่าเขาจะมีความอดทนพอที่จะมีชีวิตอยู่ ไปจนถึงวันที่สามารถหลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี้ ได้มีชีวิตของตัวเอง ได้กลับมายืนเคียงข้างสดายุในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ได้ทำงาน ได้สร้างครอบครัวให้พ่อแม่ผู้มีพระคุณ ได้มีอนาคต เพื่อความหวังเหล่านั้นแล้วบดินทร์จึงยังอยากมีลมหายใจเพื่อสู้ต่อไปอย่างสุดกำลัง

ปิ๊บ!

ระหว่างกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในที่สุดเสียงเรียกเข้าจากคนที่รอคอยก็ปรากฏขึ้น ‘สดายุ’

“ฮ...ฮัลโหล...”

“ไง อยู่ตรงไหน กูมาถึงแล้ว”

เสียงแหบเสน่ห์จากปลายสาย ทำให้หัวใจของบดินทร์พองโต เพราะอยากเจอเร็ว ๆ จึงรีบบอกพิกัดของตัวเองแล้วเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ

ไม่นานนักคนที่รอคอยก็มาถึง สดายุเดินทางมาพร้อมกับกฤตเมธในสภาพอำพรางรูปลักษณ์สุดขีด ทั้งใส่หมวก สวมแว่นตาดำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดูเด่นสะดุดตา โดยเฉพาะรอยยิ้มของสดายุที่หวานฉ่ำเชื่อมใจเขาอยู่เสมอ

“ขอโทษที รถติดกว่าที่คิดน่ะ”

“ไม่เป็นไร…แค่มาส่งก็ดีใจแล้ว”

สดายุยิ้มให้เช่นเดียวกับที่บดินทร์ยิ้มรอ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ มันจึงยิ่งทำให้บดินทร์มีแรงใจเดินต่อ ดีใจจริง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ดีใจเหลือเกินที่ได้เอ่ยคำขอโทษ…

บรรยากาศสีชมพูที่แผ่พุ่งออกจากคนทั้งคู่ ค่อนข้างบาดตาแก่ผู้ที่กำลังจับตามองอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกฤตเมธที่กำลังรู้สึกราวโดนมดยกรังมากัดตรงหัวใจ จนอดคาดคั้นน้องชายที่ยังยืนทำหน้าเป็นอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้

“เมื่อไหร่จะพามันไปให้พ้นหูพ้นตาเสียทีหืม? เกตปิดกี่โมงเนี่ย?”

“ให้เวลาเขาหน่อยสิพี่เมธ จะหวงทำไมนักเนี่ย? ผมมีเวลาให้สองคนนั้นอีกเหลือเฟืออ่ะ”

“ไว้นายมีอย่างพี่บ้าง นายจะรู้ว่าทำไมต้อง ‘หวง’ โดยเฉพาะเมื่อมีคนทำสายตาแบบนั้นใส่แฟนของตัวเอง”

“หวงเหรอ? ยากจัง ชีวิตนี้คงบรรลุอย่างพี่ไม่ได้แน่ ฮ่าฮ่า”

ดนัยไหวไหล่ ไม่ใคร่ใส่ใจคำของพี่ชายนัก พูดให้ถูกคือไม่สนใจเลยมากกว่า ในเมื่อเขาไม่สนใจความรักแล้วไยต้องสนใจเรื่อง ‘หวง’ ใครก็ตามที่ได้มาอยู่ในมือก็ถือเป็นสิทธิ์ขาดของเขาอย่างสมบูรณ์ ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจยื้อแย่ง เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ต้อง ‘หวง’

“เออ…ก็เผื่อใจไว้หน่อยเผื่อในอนาคตมันจะมีขึ้นมา!”

“ครับ ๆ ถ้ามีล่ะก็ จะบอกเฮียคนแรกเลย ฮะ ฮะ”

เห็นน้องชายเถียงคำไม่ตกฟาก กฤตเมธก็ได้แต่บ่นอย่างระอาสอนยากสอนเย็นจริง ๆ ไอ้เด็กมาเฟียที่โดนสปอยล์มาแต่เด็กนี่! แต่ก็แค่นั้นเพราะดนัยก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ดี

“แล้วกับไอ้คนที่อุตส่าห์หอบกระเตง ๆ พาไปนอกด้วยเนี่ย…เริ่มหวงขึ้นมาบ้างหรือยังล่ะ?”

“...”

พอถูกถามเรื่องของบดินทร์เข้าความขี้เล่นก็หายไปจากใบหน้าหล่อเหลา ดนัยไม่ได้ให้คำตอบอะไรนอกไปนอกจากรอยยิ้มแปลกประหลาด เขาขี้เกียจโกหกพี่ชาย และไม่อยากบอกเหตุผลที่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ชัดว่าควรจะวางบดินทร์ไว้ที่จุดไหน

“...”

แค่นั้นก็เพียงพอให้กฤตเมธเข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้น้องชายเขาจริงจังเกินกว่าจะเอามาบอกกัน เอาเถิดเขาเองก็ไม่ได้สนใจนักหรอก

“เข้าเกตไปเสียทีเหอะ รำคาญตาจะแย่แล้ว”

จึงทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศกระอักกระอ่วน โดยการออกปากไล่ไปให้พ้นเสีย ก็ได้แต่หวังว่าในสักวันหัวใจที่แห้งแล้งของดนัยดวงนี้จะพอมีพื้นที่ให้ชุ่มชื้นบ้าง กฤตเมธได้แต่นึกฝากฝังกับบดินทร์ไว้แบบนั้น เพราะไม่แน่ว่าการที่สองคนได้อยู่ด้วยกันมันอาจทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น

“จ้า จ้า”

ได้ยินพี่ชายออกปากมาเสียขนาดนั้นดนัยก็ได้แต่ทำตามด้วยความขบขัน จึงส่งเสียงเรียกให้บดินทร์ได้รู้ตัวว่าใกล้ถึงเวลาออกเดินทาง

และ…ออกห่างจากคนที่มีเจ้าของได้แล้ว



ได้ยินเสียงเรียก สดายุก็ออกปากร่ำลากับบดินทร์อย่างเป็นทางการ การพูดคุย งก ๆ เงิ่น ๆ เคอะ ๆ เขิน ๆ เหมือนที่ผ่านมาคงถึงเวลาต้องจบมันแล้ว

และมันก็ถึงเวลาของความในใจอย่างสุดท้ายเสียที

หมับ!

“...?” สดายุชะงักไปเล็กน้อยที่จู่ ๆ ก็ถูกบดินทร์สวมกอด แต่ก็ไม่ได้ผลักไสอ้อมแขนนั้น

อ้อมกอดที่ดูเหมือนพวกเขาจะใช้เวลายาวนานเหลือเกินกว่าที่จะมีวันนี้ได้

“ยุ…กูขอโทษสำหรับที่ผ่านมานะ มึงจะหาว่ากูเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่ขอร้องล่ะ รับกูเป็นเพื่อนอีกครั้งเถอะนะสาบาน ว่ากูจะไม่ทำตัวชั่วช้าแบบนั้นกับมึงอีกแล้ว กูเข็ดแล้วจริง ๆ ได้โปรดเถอะนะ…”

บดินทร์อ้อนวอนทั้งขอบตาที่แดงรื้น ทั้งยังกอดสดายุไว้อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย หลับตาแน่นเพื่อรอฟังคำตอบของอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ รอจนตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัวว่าจะถูกต่อว่า หรือปฏิเสธ

รอนาน…เสียจนเริ่มถอดใจ

นั่นสินะ…ทำเลวกับสดายุไว้ขนาดนั้น ยังอุตส่าห์ใจกล้าหน้าด้านขอร้องในเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอีกหรือ? ใครเขาจะอภัยให้ง่ายขนาดนั้นกันเล่าเห็นสดายุดีด้วยหน่อยก็ทำเป็นเหลิงได้ใจว่าหากเอื้อนเอ่ยออกไปคงไม่มีปัญหา…คิดตื้น ๆ!

“!!?” ในขณะที่คนใจปลาซิวอย่างบดินทร์กำลังคิดจะถอดใจ ขณะที่ร่างสั่นเทิ้มค่อย ๆ คลายวงแขน ขณะนั้นเอง ที่จู่ ๆ ก็ได้รับความอบอุ่นจากอ้อมแขนผอมบางของสดายุ หัวใจของบดินทร์สั่นสะท้านไปจนถึงร่างกาย

ถูกกอด…เขากำลังถูกสดายุสวมกอด

นี่เขา…ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?

“ก็เป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่เหรอ กูถึงมาส่งมึงถึงที่นี่”

เสียงแหบหวานค่อย ๆ กระซิบถ้อยคำแสดงน้ำใจให้บดินทร์ได้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“จริงอยู่ว่ากูเคยบอกว่าเราคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้…แต่กูก็บอกมึงไปแล้วไงว่ากูนับหนึ่งกับมึงได้ และกูก็เริ่มนับมาสักพักแล้ว อย่าบอกนะว่ามึงไม่รู้ตัว”

พูดถึงตรงนี้ สดายุก็คลายวงแขนออกแล้วผละออกมาเพื่อสบตาฉ่ำน้ำของบดินทร์ตรง ๆ

“และนั่นคือเหตุผล…ที่กูไม่เปลี่ยนสรรพนามที่ใช้กับมึงไง”

แค่คำพูดเดียวของสดายุก็ทำทำนบน้ำตาของบดินทร์พังทลาย ทั้งชีวิตของผู้ชายจับจดเห็นแก่ได้อย่างเขา พ่ายแพ้อย่างหมดรูปกับสดายุเพียงคนเดียว แพ้มาตั้งแต่ที่ได้เจอกันครั้งแรก…กระทั่งตอนนี้



หลังล่ำลาอาลัยกันเสร็จสรรพ ความรักของบดินทร์ก็ถูกกีดกันอย่างสิ้นเชิงโดยเจ้าของหัวใจของอีกฝ่าย กฤตเมธเข้ามาแทรกกลางด้วยความอดรนทนไม่ไหวพร้อมออกปากไล่อย่างสุภาพว่าได้เวลาออกเดินทางแล้ว โดยมีดนัยเข้ามาสมทบทีหลัง เมื่อหมดเวลาทั้งบดินทร์และสดายุก็ยอมรับในกติกา ทั้งคู่ถอยห่างจากกันเพื่อประจำในจุดของตัวเอง กล่าวคำร่ำลาเล็กน้อยก่อนที่บดินทร์จะเดินจากไปพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้ง

“บายพี่ เดี๋ยวค่อยแวะมาหาใหม่นะ บายนะยุ เดี๋ยวถึงแล้วไลน์หานะ จุ๊บ ๆ”

ดนัยเอ่ยคำลาพร้อมส่งจูบชวนคลื่นไส้ให้สดายุเป็นของแถม ในพื้นที่ที่เข้าได้ใช้ร่วมกับเพื่อนสองคนนี้ คือพื้นที่เดียวที่ดนัยสามารถหยอกเล่นได้โดยไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์

“เออ โชคดีนะ”

“อืมไปได้แล้ว เดินทางดี ๆ ล่ะ”

สดายุและกฤตเมธ ได้แต่ร่ำลาดนัยด้วยสีหน้าเอือมระอา ทั้งที่มีเบื้องหลังเป็นคนน่ากลัวขนาดนั้นแท้ ๆ แต่กลับยังทำตัวเป็นเด็กใส่พวกเขาเสมอ

“เอ่อ ดนัย!”

แต่ก่อนที่ดนัยจะได้ทันเดินไกลออกไป สดายุก็รีบวิ่งไปหยุดอีกฝ่ายไว้ เพราะนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ต้องฝากฝัง ดนัยหันมองพร้อมส่งรอยยิ้มทะเล้น กะจะเล่นมุกว่า ‘ไม่อยากให้ไปเหรอจ๊ะ’ แต่ก็ช้ากว่าสดายุไปหนึ่งจังหวะ

“ฝากดูแลดินด้วยนะ!”

“...”

ดนัยเลิกคิ้วเล็กน้อยที่จู่ ๆ ก็ถูกสดายุฝากฝังบดินทร์ไว้กับตน ดวงตาแน่วแน่และเชื่อมั่นที่ฝ่ายนั้นมองจ้องมาทำเอาดนัยแกล้งทะเล้นไม่ออก ‘ฝากดูแล’ ช่างเป็นคำที่หนักอึ้งเหลือเกินเพราะดนัยค่อนข้างมั่นใจว่าลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตนกับบดินทร์ไม่มีทางที่จะดูแลอย่างดีได้ ดังนั้นดนัยจึงไม่ได้รับปากออกไปเป็นคำพูด ทำแค่เพียงยิ้ม แล้วโบกมือลาให้สดายุอีกครั้ง

“ไอ้นั่นมันขี้งอน น้อยใจเก่งเป็นที่หนึ่ง แข็งนอกอ่อนใน แถมยังขี้กลัวสุด ๆ ด้วย อย่ารุนแรงกับมันนักล่ะ ฝากผลักดันมันแทนเราด้วย…ขอร้องล่ะ”

แม้สดายุจะยังฝากฝังยาวเหยียด แต่ดนัยกลับไม่ได้ตอบอะไร เขาก็เป็นคนเช่นนี้ หากไม่อาจรักษาคำพูดได้ ก็จะไม่รับปากใครเด็ดขาด

…แต่ก็ใช่ว่าจะดูแลไม่ได้แหละนะ

“ขี้งอนเหรอ…หึ”

เอาเถิด อย่างน้อยข้อมูลที่สดายุให้มาก็น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ดนัยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนเดินมุ่งหน้าตามบดินทร์เข้าช่องตรวจพาสปอร์ตไป



บ่วงบาศสัมฤทธิผล เหยื่อที่เขาหมายตาไว้...ตอนนี้ได้มาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว



++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำเป็นไม่รู้สึกอะไร แต่ที่จริงแอบสนใจน้องสินะ

อ้างรับผิดชอบถึงกับหอบไปอยู่ด้วยกันถึงเมืองนอกเมืองนา

เรามันปากไม่ตรงกับใจอ่ะดนัย อิอิ


หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 12 โลกใหม่ PART 1 [18 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 18-02-2024 08:19:28


12 โลกใหม่ PART 1


ประเทศญี่ปุ่น เดือนธันวาคม ปี 2011

หลังออกจากสนามบินมา บดินทร์ก็เหม่อลอยถึงเรื่องที่ตอนทิ้งไว้เบื้องหลังมาตลอดทาง กว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง รถก็พาเขาเข้ามาถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่งแล้ว

คฤหาสน์สไตล์ญี่ปุ่นโบราณหลังใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางป่าเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ดูมีมนต์ขลัง เงียบสงบ และน่าเกรงขาม ความหนาวเหน็บพุ่งเข้าโอบร่างไว้ทันทีที่บดินทร์ก้าวลงจากรถหรู ในรถมีฮีตเตอร์จึงไม่ได้รู้สึกอนาทรต่อสภาพอากาศ ทว่าตอนนี้ที่ต้องยืนเผชิญกับมันตรง ๆ ก็อดสะท้านเบา ๆ ไม่ได้ ลำพังเพียงเสื้อโค้ตกับกางเกงยีนมันยังอุ่นไม่พอ

ลงจากรถลีมูซีนสุดหรูมาได้ บดินทร์ก็เดินตามดนัยต้อย ๆ เนียนเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งเข้าไปด้านใน เพียงผ่านประตูบานใหญ่ตรงกำแพงรั้วหน้าบ้านเข้าไปได้ ตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันงดงามราวต้องมนต์สะกด สวนหินตกแต่งแนวญี่ปุ่นโบราณกว้างใหญ่ขาวโพลนไปด้วยหิมะหนาขนาบสองข้างทางเดินสู่ตัวคฤหาสน์ ตลอดจากหน้าประตูรั้วยาวไปจนถึงหน้าประตูทางเข้า มีเหล่าชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำยืนเรียงเป็นสองแถวคอยโค้งรับไปเรื่อยจนสุดปลายทางที่มีผู้ชายในชุดกิโมโนญี่ปุ่นยืนรออยู่

ชายชาวอาทิตย์อุทัยแท้ ผิวขาวสะอาด รูปร่างกำยำสูงใหญ่ ภายใต้ชุดญี่ปุ่นสีกรมท่าคลุมทับด้วยเสื้อสีดำที่บดินทร์เองก็ไม่รู้ชื่อเรียกไว้ด้านนอก พอลอบมองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลามีรอยบากเล็ก ๆ ตรงข้างแก้ม ชายคนนั้นส่งยิ้มให้ดนัยที่เดินอยู่ข้างหน้าตน ก่อนที่ดวงเรียวตาดุดันราวพญาเหยี่ยวจะตวัดมาที่เขา หัวใจของบดินทร์กระตุกวูบ ตามสัญชาตญาณหยั่งรู้ว่าชายตรงหน้านั้นไม่ธรรมดา...

ยากูซ่า...สินะ

บดินทร์คิดกับตัวเองเงียบ ๆ ขณะหลุบตาลงเพื่อหลบซ่อนความหวาดหวั่นที่บังเกิดขึ้นในหัวใจ เพราะพอรู้อยู่ว่าคนที่พาเขามาที่นี่ มีอำนาจขนาดไหนจึงเดาได้ไม่ยากถึงแขกที่อีกฝ่ายอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมเยือน

สองผู้มีอำนาจทักทายกันพอหอมปากหอมคอ แล้วจึงพากันเข้าไปในคฤหาสน์ ที่ทางเจ้าบ้านได้จัดเตรียมการรับรองไว้ให้อย่างหรูหรา บดินทร์ที่ตอนแรกตั้งใจจะนั่งให้ไกลสุดกู่กลับถูกดนัยรั้งไว้ให้นั่งลงข้างกันโดยไม่สามารถเอ่ยปากขัดได้

[ไม่ใคร่อยากละลาบละล้วงหรอกนะ แต่ขอรู้ได้ไหมว่าข้างหลังนายเป็นใครกัน? แดนนี่]

เจ้าของคฤหาสน์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มเล็กน้อย ภาษาญี่ปุ่นคือภาษาที่ห่างไกลจากบดินทร์จนราวกับเป็นภาษาต่างดาว แน่นอนว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง ทว่าสายตาคมกล้าที่จับจ้องมองมาคู่นั้น ทำให้พอเดาได้ตนกำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาอยู่

ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรล่ะ แต่สายตาที่ส่งมาถึงนั้นมันช่างชวนขนลุก บดินทร์หลุบสายตาหลบทันที ร่างกายสั่นเทิ้มบางเบา ราวกับกำลังหวาดกลัวกับสิ่งที่ส่งมาพร้อมกับสายตานั้น ‘สายตา ราวกับหมาป่ารอฮุบเหยื่อ’

[ของหวงน่ะ ขอโทษนะโอกามิซัง]

[หวงเหรอ ฮะ ฮะ นี่นายคงตัดสินใจเรื่องหงส์ได้แล้วสินะ ใช่คนนี้หรือเปล่า?]

[ยังไม่แน่หรอกครับ เขายังไม่เคยรู้จักโลกของพวกเรา กลัวว่าจะไม่รอดเอา]

[อย่างนั้นก็ดีสิ นายก็กำลังตามหาอยู่ไม่ใช่เหรอ คนที่ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังน่ะ]

[...]

[กลับไปคราวนี้นายไม่มีโอกาสได้ยืดเวลาแล้วไม่ใช่เหรอ?]

[ไว้จะลองคิดดูอีกทีครับ]

[แดนนี่…ไม่เคยเห็นนายห่วงใครแบบนี้มาก่อนเลยนะ]

[โอกามิซังอย่าล้อผมเล่นเลย เขาแค่น่าสนใจสำหรับผมเท่านั้น]

[อืม…ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ พี่ชายคนนี้ก็จะคอยดู]

เสียงหัวเราะดังขึ้นระหว่างผู้เป็นนายเหนือหลังการสนทนาสี่ห้าประโยค บดินทร์ลอบฟังด้วยความแปลกใจโดยเฉพาะเรื่องที่ดนัยสามารถตอบโต้ด้วยภาษาเดียวกันกับฝ่ายนั้นอย่างฉะฉาน บดินทร์ไม่รู้มาก่อนเลยว่าดนัยพูดภาษาญี่ปุ่นได้ หรือนี่คือความสามารถที่ต้องมีของคนระดับนั้นกันนะ?

บดินทร์ไม่รู้ว่าดนัยพูดกับอีกฝ่ายว่าอะไร ที่รู้สึกได้มีเพียงความกดดันทางสายตาที่หัวหน้ายากูซ่าส่งมาให้มันดูเบาบางลง และสุดท้ายก็ละจากเขาไปได้ในที่สุด

ราวกับเพิ่งโผล่พ้นน้ำได้ บดินทร์จึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออกการสนทนาระหว่างสองคนนั้นจึงค่อนข้างทำให้เขาเบื่อหน่าย ครั้นพอสบโอกาสจึงลองลอบส่งสายตาออกสำรวจโดยรอบ

“...!” โดยไม่คิดว่าจะไปเผลอประสานเข้ากับอีกสายตาที่มองสบมาพอดี

หัวใจของบดินทร์เต้นผิดไปจังหวะหนึ่ง เมื่อใบหน้าของเจ้าของสายตากำลังลอบส่งยิ้มมาให้ ชายคนนั้นนั่งอยู่ด้านหลังของเจ้าบ้านในตำแหน่งที่คล้ายเป็นคนสนิท ใบหน้าสะอาดสะอ้านหมดจดดูเพลินตา ดวงตาคู่นั้นไม่ได้โตมากแต่แพขนตาดกดำทำให้ดูหวาน จมูกโด่งรั้นรับกับคิ้วที่เฉียงขึ้นน้อย ๆ ปากกระจับดูจุ๋มจิ๋มสีชมพูอ่อนน่ามอง ผิวพรรณละเอียดลอออย่างชาวอาทิตย์อุทัย ส่วนรูปร่างก็ดูบอบบางเกินกว่าจะเป็นบอดี้การ์ดของยากูซ่าเหมือนอย่างคนอื่นๆ

ที่ปรึกษา? หรือว่า...

คิดถึงตรงนี้บดินทร์ก็สะดุดใจตัวเอง นี่เขาคงว่างมากถึงได้มีเวลาพินิจพิเคราะห์อีกฝ่ายที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันได้ละเอียดถึงขนาดนี้ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องสุดท้ายที่ดันไปคิดใส่ร้ายอีกฝ่ายว่าเป็น ‘เด็กเจ้าพ่อ’

บดินทร์หลุบตาลงเพื่อหลบสายตาของอีกฝ่าย เพราะเริ่มกระดากอายที่ดันคิดไม่ซื่อ พอเริ่มทำใจได้หน่อยก็ลอบชำเลืองมองไปอีกครั้ง ทว่า...

“!!?” หัวใจของบดินทร์ก็ต้องกระตุกวูบขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง เมื่อสายตาที่เขาส่งไปดันไปประสานเข้ากับอีกคนหนึ่งแทน เป็นเจ้าบ้านผู้น่าเกรงขามที่กำลังสบตาเขาอยู่แล้วยิ้มให้!!

บดินทร์รีบหลบสายตาด้วยใจระทึก เขาไม่สามารถทำความเข้าใจในรอยยิ้มที่ส่งมาได้ มั่นใจแค่ว่ามันต้องไม่ใช่รอยยิ้มฉันมิตรแน่ ๆ นี่เขาเผลอไปแหย่หนวดเสือเข้าแล้วหรือเปล่านะ!? แล้วหลังจากนั้นบดินทร์ก็ได้แต่นั่งสงบสายตาตัวเองให้มองเพียงพื้นเบื้องหน้า ไปจนการเจรจากันระหว่างสองขั้วอำนาจไทย-ญี่ปุ่นจบลง

ในตอนนั้นบดินทร์อุตส่าห์แอบนึกดีใจ ที่ในที่สุดก็จะสามารถออกจากสถานที่น่าอึดอัดแห่งนี้ได้เสียที ถึงแม้ว่าตอนที่อยู่กับดนัยจะไม่ได้สวยหรูอะไรก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นความอึดอัดที่คุ้นเคย ไม่เหมือนที่นี่ ถิ่นของมาเฟียญี่ปุ่นคนนี้ที่นอกจากบรรยากาศหนักอึ้งจนแทบหายใจหายคอไม่ออกแล้ว สายตาโลมเลียนั่น...ก็ทำเอาเสียวสันหลังไม่ใช่น้อย

ทว่าไม่เคยมีคำวอนขอใดของบดินทร์ที่สัมฤทธิผล เพราะผลสรุปคือกลุ่มของพวกเขาได้รับการรับรองพิเศษจากยากูซ่าเจ้าบ้าน ให้ได้พักแบบสุดหรูที่คฤหาสน์สไตล์ญี่ปุ่นโบราณแห่งนี้!

“ทำหน้าเหมือนไม่พอใจ ไม่อยากพักที่นี่เหรอ?”

“...”

ดนัยทักขึ้นในระยะประชิด ในขณะที่กำลังเดินตามคนของคฤหาสน์ไปที่ห้องพักรับรอง แต่บดินทร์เลือกที่จะไม่ตอบอะไร ก็แล้วแต่สิ จะพักที่ไหนเขามีสิทธิ์เลือกหรือไงกัน?

“ผมรู้ว่าคุณอึดอัด จะย้ายที่ไหมล่ะ?”

“...”

ดนัยยังคงหว่านล้อมแปลก ๆ พาลให้บดินทร์เกิดความหวังขึ้นมานิดหน่อย เพราะถ้าย้ายได้จริง ๆ มันก็น่าจะดีกว่าค้างที่นี่ ถ้าไม่ติดว่าประโยคต่อมาของฝ่ายนั้น มันจะทำให้เขาเขวี้ยงทุกความหวังลงพื้นอย่างไร้ค่า

“ลองอ้อนผมดี ๆ สักคำสิ ผมจะยอมปฏิเสธไมตรีของโอกามิซังให้ก็ได้นะ”

ให้เขากัดลิ้นตายซะดีกว่า ถ้าต้องไปอ้อนออเซาะคนอย่างดนัย!

การหมางเมินของบดินทร์ทำให้ดนัยหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ราวกับถูกใจในปฏิกิริยาของบดินทร์เสียเต็มประดา ก่อนเดินนำออกไปเพื่อเข้าห้องรับรองใหญ่ตามที่ผู้รับใช้เจ้าบ้านแนะนำ

ห้องสไตล์ญี่ปุ่นโอ่อ่า ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูขลัง แค่เพียงเห็นห้องโถงใจคอของบดินทร์ก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาต้องพักที่ไหน หากห้องนี้เป็นของดนัย แล้วพวกลิ่วล้อเล่า? โดยเฉพาะเขาคนนี้ที่ยังไม่มีสถานภาพแน่ชัด ลูกน้อง? ขี้ข้า? หรือต่ำต้อยกว่านั้น?

แท้จริงแล้วมีอีกตำแหน่งหน้าที่ที่บดินทร์รู้อยู่แก่ใจแต่ไม่อยากคิดถึงมัน ‘คู่นอน!’

ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันเป็นแค่ความคิดบ้าๆ ที่ไม่เกิดขึ้นจริง โดยเริ่มจากที่คืนนี้เขาจะไม่ต้องอยู่ในห้องนี้กับดนัย

“นี่คุณ...เหม่ออะไรอยู่น่ะ เขาจะพาคุณไปที่ห้อง ตามเขาไปสิ…หรือว่า...อยากอยู่กับผมที่ห้องนี้ก็ได้นะ”

“...!”

ราวกับฟ้ามาโปรดทันทีที่ได้ยินจากดนัยว่าแยกห้องกัน จากนั้นก็แอบอายตัวเองที่ดันเผลอคิดไปถึงไหนต่อไหนว่าจะกลายเป็นคู่นอนทั้งที่ไม่ต้องการ บดินทร์หน้าแดงขึ้นด้วยความรู้สึกอับอายเมื่อไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อนานมา

ครั้งแรก...เขาถูกดนัยฝืนใจเพราะเป็นการแก้แค้นที่เขาทำเรื่องเลวทรามกับสดายุ

ส่วนครั้งที่สอง...ตอนนั้นมันเป็นเพราะเขาโง่ ที่ไปเสนอตัวให้กับอีกฝ่ายเอง

ไม่เคยมีครั้งไหนที่เกิดจากความใคร่เสน่หา น่าอายสิ้นดีที่เผลอคิดเกินเลย

พอเห็นว่าอีกฝ่ายจัดการการอยู่อาศัยให้แยกกันอย่างชัดเจนแบบนี้ บดินทร์ก็ใจชื้นและเริ่มมองดนัยดีขึ้นนิดหน่อย งานที่ว่าจะพามาทำคงเป็นเรื่องที่น่าจะเชื่อถือได้ งานอะไรก็ตามที่สามารถทำให้เขาใช้หนี้อีกฝ่ายจนครบทุกบาททั้งต้นทั้งดอกได้ เขายินดีทำทั้งนั้นไม่ว่ามันจะสกปรกแค่ไหน ลูกน้องเจ้าพ่อเหรอ...หึ มันก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก ถึงตอนนี้บดินทร์ก็พอยิ้มได้ อะไรก็ตามที่มันเคยหน่วงในอกมาตั้งแต่ที่บินออกจากประเทศไทย ก็รู้สึกว่าจะค่อยเบาขึ้นหน่อยแล้ว

เพียงไม่นานหลังจากมาที่ห้องพัก ในช่วงบ่ายคล้อยก็มีคนนำข้อความจากเจ้าบ้านมาแจ้งว่างานเลี้ยงรับรองถูกเตรียมการไว้รอเรียบร้อยแล้ว ในตอนแรกบดินทร์ยังคงละล้าละลัง เพราะไม่แน่ใจว่างานนี้จะเกี่ยวข้องกับตนหรือไม่ แต่ในตอนที่ลูกน้องคนหนึ่งของดนัยที่ชื่อว่าวิเชียรเดินมาแจ้งให้เตรียมตัว บดินทร์จึงจำต้องเข้าร่วมงานตามมารยาท

หลังตอบรับการเข้าร่วมงาน ก็มีหญิงสาวสองคนที่มากับวิเชียรเข้ามาช่วยบดินทร์แต่งตัวใหม่ในชุดแต่งกายแนวญี่ปุ่นที่ไม่คุ้นเคย ที่ไม่แน่ใจว่าควรเรียกกิโมโนหรือยูกาตะดี เพราะเขาเองก็จำแนกประเภทไม่ถูก งานเลี้ยงในคืนนั้นเป็นไปด้วยความราบรื่น สองขั้วอำนาจไทย-ญี่ปุ่นสนทนากันอย่างครื้นเครง แม้ในความครื้นเครงนั้นจะแฝงไปด้วยบรรยากาศแสนอึดอัดที่กินกันไม่ลงเลยก็ตาม ยิ่งบดินทร์ถูกจัดให้นั่งอยู่ถัดจากดนัยด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดจนแทบคีบอะไรเข้าปากไม่ลง นอกจากจะฟังไม่ออกว่าสองเจ้าพ่อคุยอะไรกันบ้างแล้ว ยังอึดอัดกับสายตาที่อ่านความหมายไม่ได้ของมาเฟียเจ้าบ้านที่ส่งมาให้เป็นระยะด้วยนี่แหละ!

ในงานเลี้ยงไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าบ้านกับดนัย แต่ยังมีบุคคลที่คาดว่าน่าจะมีความสำคัญในกลุ่มแก๊งมาร่วมวงอยู่ด้วยอีก 3 คน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้บดินทร์รู้สึกว่ามันจะเกี่ยวกับตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนเขาจะได้รับความสนใจแค่ช่วงแรก ก่อนที่จะถูกเมินกันไปในตอนท้าย

งานเลี้ยงยาวนาน อาหารพร้อมพรั่ง สุราเลิศรส การแสดงตระการตา และนารีหน้าตาแช่มช้อยที่ถูกเรียกตัวเข้ามาในตอนท้าย ทุกอย่างดูลงตัวทว่าไม่ได้ช่วยให้บดินทร์รู้สึกสนุกสนานไปด้วย มันน่าเบื่อจนอยากรีบออกไปข้างนอก อยากกลับไปนอน อยากได้บุหรี่สักตัว

และเมื่ออดทนมาจนถึงจุดหนึ่ง ในขณะที่กระทาชายหลายคนกำลังครื้นเครงไปกับการหยอกล้อเหล่าสาวน้อยที่คอยเข้ามาให้บริการ และทางดนัยเองก็กำลังสนทนาพาทีกันอย่างออกรสชาติกับมาเฟียเจ้าบ้าน บดินทร์จึงถือโอกาสนั้นหลบเลี่ยงออกจากงาน หนีสาวน้อยที่คอยตามประกบเอาใจไม่ห่างแม้จะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง

“เฮ้อ...ค่อยหายใจคล่องขึ้นหน่อย”

ออกมาได้บดินทร์ก็ถึงกับสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด เพราะรู้สึกเหมือนขาดออกซิเจนมานาน จากนั้นก็ล้วงเอามวนบุหรี่ที่ซ่อนเอาไว้ขึ้นมาจุดสูบเพื่อเพิ่มความผ่อนคลาย

ความขมบนปลายลิ้นกับรสมิ้นต์ซาบซ่านทำให้สมองของบดินทร์โล่งขึ้น ควันหอมลอยฟ่องออกมาทางปากและจมูก รู้ดีว่ามันเป็นพิษแก่ร่างกายแต่เขายังเลิกมันไม่ได้ในตอนนี้ ไม่ได้สูบบ่อยถึงขั้นติด แต่ยามที่อยากขึ้นมาร่างกายมันก็ออกอาการโหยหาอยู่

“เบื่อ เหรอครับ?”

“!?”

เสียงไม่คุ้นหูทำเอาบดินทร์แทบสำลักบุหรี่ ทันทีที่หันไปมองก็ต้องตกใจหนักขึ้นไปอีกเพราะนี่คือคนของเจ้าบ้านคนนั้น! คนของยากูซ่าแล้วทำไมถึงพูดภาษาไทยได้?

“ผมเคยอยู่ที่ไทยน่ะ เลยพูดไทยได้นิดหน่อย”

ฝ่ายนั้นเฉลยเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของบดินทร์เข้า ใบหน้าหมดจดส่งยิ้มเป็นมิตร

“เห็นคุณเบื่อ ผมเองก็เบื่อ”

“คือผมฟังพวกเขาไม่รู้เรื่องน่ะ เอ่อ…ผมไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น”

บดินทร์ตอบกลับไปแบบเคอะเขิน คงเพราะอีกฝ่ายพูดภาษาไทยสำเนียงแปร่งหูมา เขาจึงตอบกลับไปแบบกระท่อนกระแท่นไม่ต่าง เพียงเพื่อพยายามหาคำศัพท์และรูปประโยคที่น่าจะเข้าใจง่ายสื่อสารออกไป

“ผมฟังออกก็เบื่อนะ ฮะ ฮะ”

อีกฝ่ายตอบออกมาพร้อมเสียงหัวเราะสดใส ด้วยใบหน้าที่ไม่เข้ากับรังยากูซ่าที่นี่เลยแม้สักเศษเสี้ยว

“อ๊ะ! ผมชื่อมาซามินะ...ชิโรซากิ มาซามิ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“เอ่อ…สวัสดีครับคุณมาซามิ ผมชื่อบดินทร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ครับคุณ เอ่อ…โบะดิง”

ชายญี่ปุ่นหน้าสวยพยายามออกเสียงชื่อของบดินทร์ให้ชัดเจน แต่ลักษณะการออกเสียงที่น่าขบขันนั้นก็เล่นเอาบดินทร์ลอบขำออกมา

“เรียกแค่ดินก็ได้ครับ…ดิน”

“อ๋อ…ครับคุณดิน”

ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มรับก่อนบอกเล่ามารยาทบางอย่างแก่บดินทร์ด้วย

“ถ้าเจอครั้งแรก ปกติคนญี่ปุ่น เรียกนามสกุลครับ แต่ผมอยากให้คุณดินเรียกว่า มาซามิ มากกว่า จะได้สนิทกัน”

“อ่า คุณมาซามิ?”

บดินทร์ขานรับ แม้ไม่เข้าใจวัฒนธรรมการเรียกชื่อหรือนามสกุลของคนญี่ปุ่นนัก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอยากให้เรียกชื่อ เขาก็จะเรียกตามใจ เพราะตอนนี้บดินทร์กำลังถูกใบหน้าคมคายนี้สะกดอยู่ และเพราะอย่างนั้นจึงไม่อยากให้การสนทนาจบลงง่าย ๆ อุตส่าห์เจอเพื่อนคุยคลายเบื่อทั้งที ก็อยากคุยกันนานหน่อย

“เคยไปที่ไทย เอ่อ…ทำอะไรครับ?”

“อา...ไปทำงานครับ พนักงานบริษัท สาขาประเทศไทย”

“เอ๊ะ? บริษัทของที่นี่...เอ่อ เหรอครับ?”

พออีกฝ่ายตอบว่าเป็นพนักงานบริษัทสาขาในไทย ก็พาลเริ่มสงสัยต่อว่าตระกูลยากูซ่าน่ากลัวนี่กำลังทำธุรกิจมืดอะไรในประเทศไทยหรือเปล่า และคำตอบที่ได้ก็พาให้โล่งใจได้ไม่น้อย

“อ่ะ! ที่ทำงานเก่าครับ ไม่ใช่ที่นี่”

ชายหนุ่มตอบ พร้อมยกสองมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าในเชิงปฏิเสธ ทีท่าน่ารักสมกับเป็นคนญี่ปุ่น

บดินทร์ยิ้มออกมาให้กับท่าทางน่ารักน่าชังของอีกฝ่าย ที่จริงก็อยากถามต่อว่าแล้วอีกฝ่ายมาทำงานอะไรที่นี่ แต่เห็นจากแบ็คกราวด์ของเจ้าบ้านแล้ว บดินทร์จึงเลือกที่จะหุบปากตัวเองไว้ เพราะอาจเป็นการละลาบละล้วงอีกฝ่ายจนดูเสียมารยาท อีกทั้งการรู้มากไปก็อาจไม่ใช่เรื่องดี เดี๋ยวถูกยากูซ่าเจ้าถิ่นจับถ่วงอ่าวโตเกียวเหมือนในการ์ตูนที่เคยอ่านขึ้นมาจะลำบากเอา

การสนทนาต่อจากนั้นก็เน้นไปทางเรื่องสบาย ๆ เช่นเคยเที่ยวเมืองไทยที่ไหน เคยไปญี่ปุ่นเมืองใด รวมถึงแนะนำที่เที่ยวดี ๆ สนุก ๆ เผื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมีเวลาพอที่จะไปสัมผัสด้วยตัวเอง มิตรภาพอันดีเกิดขึ้นระหว่างบดินทร์และเพื่อนใหม่นามว่ามาซามิอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีหนึ่งในลิ่วล้อของนายยากูซ่าใหญ่มาเรียกตัวของมาซามิไป ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มสุดท้าย ก่อนที่ความรู้สึกของบดินทร์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในอีกไม่ช้านี้

ดูเหมือนงานเลี้ยงจะยังไม่เลิกรา แต่บดินทร์ไม่เหลือใจจะกลับเข้าไปในงานอีก จึงเดินกลับห้องตัวเองไปทั้งอย่างนั้น เขาคงไม่ถูกจับโบกปูนถ่วงอ่าวกับอีแค่หนีงานเลี้ยงยากูซ่าหรอกจริงไหม?

วันนี้เหนื่อยจะตายชัก ต่อให้ไม่ได้ทำอะไร แต่เพราะความล้าจากการเดินทางที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งยังความเครียดเขม็งตึงของเส้นสมองที่ต้องเผชิญกับบรรยากาศอึดอัดมาค่อนวันค่อนคืน ถึงตอนนี้บดินทร์ไม่เหลือความอดทนใดอีก เขาเมาเล็กน้อยจากการโดนแม่สาวที่ถูกจัดมาเอาใจคนนั้นมอมเหล้ากันไม่หยุด ทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายกับการได้คุยกับใครสักคนอย่างมาซามิ ถึงตอนนี้ร่างกายของบดินทร์มันเปลี้ยไปหมดแล้ว อยากพักผ่อน อยากล้มตัวลงนอนเสียที

โดยไม่คิดเลยว่า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะต้องพบกับเรื่องที่ไม่คาดคิด

 

+++++++++++++++++++++++

 

เพราะเผลอหลับไปครู่หนึ่ง ตอนที่ตื่นขึ้นมาจึงตาสว่างพอสมควร ความเงียบในฝั่งห้องรับรองนี้ทำให้บดินทร์อดไม่ได้ที่จะเดินออกไปสำรวจว่าทางห้องจัดเลี้ยงนั้นไปถึงไหนกันแล้วบ้าง และหากว่าโชคดีก็อาจเจอเข้ากับมาซามิอีกครั้ง

“ชุดมันรุ่มร่ามจังแฮะ”

บดินทร์บ่นออกมาเมื่อเห็นว่าชุดญี่ปุ่นบนร่างกายเริ่มหลุดลุ่ยจากการนอนเมื่อครู่ เขาจึงพยายามจัดระเบียบมันไปพลาง เดินเรื่อยออกจากห้องพักของตัวเองไปตามทางระเบียงด้วย

อ๊ะ...

“!?”

และเพราะกำลังง่วนอยู่กับการจัดชุดให้เข้ารูปเข้ารอยนี่แหละ ทำให้บดินทร์เผลอเดินผ่านมาในจุดที่ไม่ควรเข้า

เสียงหอบหายใจสะท้านจากใครสักคนที่เดาได้ไม่ยากเลยว่ากำลังอยู่ในกิจกรรมอะไรนั้น ทำเอาบดินทร์แข็งชาไปทั้งตัวจนไม่กล้าขยับไปไหน

‘เสียงมันมาจากที่ไหนกัน เราจะหลบทันไหมเนี่ย? ’

แต่พอคิดว่าจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง บดินทร์ก็เป็นอันต้องปวดหัวหนัก เพราะมัวแต่ก้มจัดเครื่องแต่งกายบนร่าง ทำให้เขาดันเลี้ยวผิดจนหลงทางมาเสียไกล ยิ่งหันซ้ายแลขวาก็ยิ่งหลง จะกลับทางเดิมก็เห็นเป็นแยกซ้ายขวา แล้วเมื่อครู่ที่ผ่านมาเขาเลี้ยวมาจากมุมไหนกันเนี่ย?

อ๊า...

ทว่าในจังหวะที่จะเลี้ยวกลับ เสียงนั่นก็ยิ่งแว่วดังขึ้น

「あ!オオカミ様!」

「ん…っあ…いた……っん…やっ……」

「ハァハァっ…」

เสียงร้อง...พร้อมเสียงหอบสะท้านที่ชวนใจระทึก

「んっ…やぁあっあっ…んんっ、あっ」

「ぁっ…でっきませんよっ…あ、んっ…」

ยิ่งเข้าใกล้ขึ้น ก็ยิ่งชัดเจนว่าเสียงนั่นคืออะไร มันไม่ใช่เสียงในหนังแนวผู้ใหญ่ที่เขาเคยดู แต่มันคือเสียงของคนจริง เหตุการณ์จริง ที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ฝาไม้กั้น และมันเป็นเสียงของผู้ชาย!

「はぁっ…んんっ…あぁんっっ…」

「んっ、あぁっ…っつ…ああ…オオカミ様…んんっ…お….おね…がい…」

บดินทร์ไม่ได้มีความตั้งใจจะแอบดู แต่เพราะมันใกล้แค่เพียงก้าวเดียว แค่ขยับตัวเพียงนิดเขาก็สามารถมองเห็นได้เต็มสองตาแล้วถึงกิจกรรมที่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดของเจ้าของเสียง...

นั่นมัน...นายใหญ่ยากูซ่ากับ....มาซามิ!?

บดินทร์เบิกตาโพลงทันทีที่ได้เห็น ภาพนั้นมันบาดตาจนพาใจสั่น ก็คิดอยู่หรอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่แคล้วแนวนี้ เพราะการที่ชายหนุ่มหน้าตาดีสะอาดสะอ้านอย่างมาซามิจะสามารถอยู่ในที่แบบนี้ได้ มันก็คงไม่แคล้ว ตำแหน่งผู้หญิงของนายใหญ่!

「んっ…やぁあっあっ…んんっ、あっ」

「はぁっ…んんっ…あぁんっっ…」

เสียงครางบาดหูพาหัวใจของบดินทร์สั่นสะท้าน ไหนจะท่วงท่าลีลารักร้อนแรงของทั้งคู่ที่ดูจะเปิดเผยนั่นอีก...ทั้งที่ไฟยังเปิดสว่าง ทั้งประตูห้องที่เปิดกว้าง มันจึงทำให้เขามองเห็นร่างขาวผุดผาดของมาซามิในชุดกิโมโนหลุดลุ่ย กำลังถูกบดขยี้กลืนกินอย่างหิวกระหายจากนายใหญ่ของตน

ใบหน้าของมาซามิที่ดูทรมานมากกว่าเสพสมนั้น ทำให้บดินทร์นึกสะท้อนใจขึ้นมา

จำยอม? หน้าที่? หัวใจ? ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผลักดันให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในสภาพแบบนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ความสุขแน่...

บดินทร์ลอบถอนหายใจ และกำลังคิดว่าควรรีบหาทางกลับห้องของตัวเอง เนื่องจากเสียมารยาทกับอีกฝ่ายมาพอแล้วกับการแอบดูในเรื่องที่ไม่สมควร เพราะขืนอยู่นานกว่านี้แล้วถูกนายใหญ่ยากูซ่านั่นรู้เข้า ได้ไปนอนก้นอ่าวแบบไม่ต้องสืบแน่!

“!!?”

ทว่าในจังหวะที่จะหันหลังกลับ เขากลับถูกใครบางคนคว้าตัวเอาไว้โดยการสวมกอดจากด้านหลัง พร้อมเสียงกระซิบเยียบเย็นที่ริมหู ทำเอาชาวาบไปตั้งแต่กระหม่อมจรดปลายเท้า!

 

“แอบดูแบบนี้นิสัยไม่ดีเลยนะ”

 

**********************

สวัสดีค่ะ

เริ่มต้นตอนใหม่แบบกรุบกริบ มาแบบเบา ๆ และมาลงให้ค้างไว้อย่างนั้นแหละ อิอิ

PART หน้าจะได้เจอกับสดายุแว๊บๆ และได้เดินทางต่อไปให้ถึงอเมริกาเสียทีค่ะ

มาแวะญี่ปุ่นเที่ยวขำๆ ค่ะ 555

 

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

อนาคี99

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 13 โลกใหม่ PART 2 [19 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 19-02-2024 12:44:05


13 โลกใหม่ PART 2


“นี่...แอบดูแบบนี้นิสัยไม่ดีเลยนะ”

ดนัยกระซิบที่ข้างหูของบดินทร์คล้ายหยอกล้อ กระชับร่างของบดินทร์ที่ไหวตัวขืนกายออกจากอ้อมแขนตนอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ชี่...อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวเขาก็หมดสนุกกันหรอก”

“...!...”

บดินทร์ยอมสงบลงหลังคำเตือนนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พยายามขืนตัวหนีจากอ้อมแขนที่แน่นราวกับกรงขัง แต่จนแล้วจนรอด สุดท้ายก็ถูกดนัยลากกลับไปจนถึงห้องพักของอีกฝ่ายจนได้ มันง่ายดายจนอยากจะร้องไห้ ทั้งที่เขาเองก็เป็นผู้ชาย แต่ทำไมถึงไม่สามารถขัดขืนอีกฝ่ายได้เลยสักครั้ง ทำไมถึงไม่สามารถผลักตัวเองออกจากกรงแขนของดนัยได้เลย เขาถูกอีกฝ่ายจับล็อกไว้ในท่าที่ไม่สามารถขยับหนี แขนแกร่งข้างซ้ายของฝ่ายนั้นโอบรัดรอบเอวพร้อมยึดเข้ากับมือขวาของเขา แล้วใช้อีกมือที่เหลือยึดมืออีกข้างของเขาไขว้กันไว้จนเคลื่อนไหวลำบาก

“!!?”

และเพราะมัวแต่พยายามปลดปล่อยตัวเองออกจากอีกฝ่าย กว่าจะรู้ตัวว่าติดกับเข้าแล้ว ก็ตอนที่ถูกโยนลงบนฟูกหนากลางห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัว บดินทร์กระเด้งตัวขึ้นทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสฟูกนอน แต่ก็ไม่ได้เร็วไปกว่าการจู่โจมของดนัยที่โถมทับลงมาเสียก่อน

“ฮื่อ จะรีบไปไหน อยู่คุยกันก่อนสิครับ”

น้ำเสียงสัพยอกเอ่ยกระซิบราวกับกำลังหยอกเด็ก

“ปล่อย!!”

บดินทร์พยายามดิ้นรน หัวใจของเขาเต้นระทึกด้วยความตื่นตระหนก คิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น หากอีกฝ่ายหมายใจจะทำเสียอย่างเขาคงไม่มีทางต้านทานไหว!

ชุดญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เปราะบาง ยิ่งบดินทร์ดิ้นรนเพราะถูกดนัยโรมรันมากเท่าไหร่ ชุดมันก็ยิ่งเลื่อนหลุดออกจากร่างกายมากขึ้นเท่านั้น สภาพราวกับปลาโดนทุบหัวของบดินทร์ ทำเอาดนัยอดขำไม่ได้ เห็นแบบนั้นก็นึกสงสาร จึงลองยื่นข้อเสนอที่น่าจะเข้าทางของบดินทร์ดู

“ถ้าคุณหยุดดิ้นแล้วทำตัวว่าง่าย ผมจะยอมปล่อยคุณก็ได้นะ”

“...”

บดินทร์หยุดชะงักทันที แต่ยังคงขืนกายเกร็งอยู่ ในหัวกำลังประมวลผลด้วยความสับสน ถ้ายอมทำตัวว่าง่าย อีกฝ่ายจะยอมปล่อยตัวกันจริงหรือ? จะเชื่อคำฝ่ายนั้นได้จริง ๆ น่ะหรือ?

ดนัยปล่อยมือออกจากการโอบรัด แล้วยันตัวขึ้นมาในท่าที่ยังคร่อมร่างของบดินทร์ไว้อยู่ รอยยิ้มยังคงฉาบฉายบนใบหน้าหล่อเหลา แสงไฟสลัวช่วยขับให้ดวงหน้านั้นดูอ่อนโยนขึ้นมา ทว่ามันไม่ใช่ในสายตาของบดินทร์อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่สำหรับบดินทร์แล้ว ดนัยคือปีศาจร้ายเสมอ!

“กลัวผมเหรอ?”

ดนัยถามขึ้นอย่างอ่อนโยน ขณะถอยออกไปนั่งข้างฟูกนอน ผละออกจากตัวของบดินทร์ที่ทำตัวนิ่งได้ในที่สุด

“มีเหตุผลที่ผมจะไม่กลัวคุณด้วยเหรอ?”

บดินทร์ตอบกลับไปด้วยเสียงที่พยายามจะปั้นให้มั่นคงที่สุด ในขณะกำลังเร่งรีบลุกขึ้นมาจัดทรงชุดยูกาตะของตนให้เข้าที่เข้าทาง

“ผมดูแลคุณดีถึงขนาดนี้แล้ว ยังต้องอีกทำไม?”

ดนัยถามจี้จุดไปเรื่อย ขณะใช้สายตาโลมเลียไปตามร่างกายที่โผล่พ้นเนื้อผ้าของบดินทร์อย่างถือสิทธิ์

“จำเป็นต้องอธิบายด้วยหรือไง ในเมื่อคุณเองก็น่าจะรู้เหตุผลอยู่”

เห็นสายตาของดนัยเข้า บดินทร์ก็ทำได้แค่ต่อปากต่อคำออกไปทั้งที่ไม่กล้าสบตาของอีกฝ่าย หัวใจเต้นโครมครามด้วยความหวาดหวั่น ดนัยในความหมายของบดินทร์ยังคงน่ากลัวเสมอ แม้อีกฝ่ายจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกันแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถมองอีกฝ่ายเป็นมิตรได้

ดนัยหัวเราะร่า พลางออกปากอธิบายให้บดินทร์ได้ลดทอนความกลัวลง

“หึ หึ...ฮ่า ฮ่า อย่ากลัวไปเลยคุณดิน อยู่กันมาสักพักแล้วคุณเองก็น่าจะรู้นะว่าตัวคุณมีภาษีกว่าคนอื่นมากแค่ไหน คุณก็รู้อยู่ว่าผมเป็นใคร...แต่คุณก็ยังได้รับอภิสิทธิ์มากมาย จริงไหม?”

คำอธิบายสไตล์ของดนัย ที่ชวนขนหัวลุกที่สุด บดินทร์หน้าซีดลงไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดของฝ่ายนั้น ใช่...เขารู้ดีว่าดนัยเป็นใคร ยิ่งใหญ่และมีอำนาจแค่ไหน ขนาดกับแค่เสี่ยอัครเดช คนอย่างเขายังแทบเอาตัวไม่รอด แล้วนี่...กับคนระดับดนัยที่ดูเหมือนจะมีอำนาจเหนือกว่าเจ้าพ่อบ่อนหลายขุมด้วยแล้ว ชีวิตของบดินทร์คนนี้มันก็มีค่าแค่เพียงเม็ดธุลีเดียว แทบไม่มีสิทธิ์เสียงจะไปต่อกรอะไรด้วยเลยด้วยซ้ำ

คนอย่างไอ้บดินทร์ชั่วคนนี้...

“ตกลงคุณพาผมมาด้วยทำไม? งานที่คุณบอกว่าจะให้ผมทำ คืองานอะไรกันแน่?”

บดินทร์กัดฟันถามออกไปด้วยความสงสัยกับสิ่งที่ค้างคาในหัวใจมานาน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ในเมื่อมันหลุดปากออกไปแล้ว เขาก็ทำได้เพียงนิ่งฟังคำตอบทั้งที่ใจสั่นสะท้าน

ดนัยยิ้มอ้อยอิ่ง ชันเข่าขึ้นในท่วงท่าสบาย ๆ เอนกายลงบนตั่งหมอนข้างกันกับโต๊ะวางเหล้าและกับแกล้มเล็ก ๆ ข้างฟูกนอน แสร้งทำเป็นครุ่นคิด ทั้งที่ยังรินเหล้าจิบอย่างสบายใจ

แล้วแทนที่จะตอบคำถาม ดนัยดันชวนคุยถึงเรื่องเจ้าบ้านเสียอย่างนั้น

“คุณรู้ไหม โอกามิซังเจ้าของที่นี่เป็นใคร?”

“ก็เป็นพวกยากูซ่าผู้ทรงอิทธิพล”

บดินทร์ตอบอย่างเสียไม่ได้ ขมวดคิ้วมุ่นเป็นปมด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายไม่ไยดีตอบคำถาม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งฟัง

“ใช่...โอกามิซัง คือยากูซ่าระดับหัวหน้าใหญ่ที่มีสาขามากมายในแถบคันโตและเมืองหลวงอย่างโตเกียว โดยเฉพาะในย่านคาบูกิโจ กินซ่าและรปปงหงิ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจร้านน้ำชาหรู ๆ ที่ถูกกฎหมายอย่างไม่น่าเชื่อ”

ดนัยพูดเรื่อย โดยไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่าคนฟังกำลังทำหน้าแบบไหน

อยากจะรู้เสียเมื่อไหร่? คือความคิดของบดินทร์ที่ได้แต่นั่งทำเป็นหูทวนลม ฟังไปแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะไม่เห็นว่าเรื่องราวของยากูซ่าเจ้าบ้านคนนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาตรงไหน นอกจากหากดนัยจะยกเขาให้ทำงานที่นี่ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน

“แล้วรู้ไหมว่ามาซามิทำงานอะไร?”

ดนัยถามขึ้นในประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น สายตาวาววามที่ปรายมามองทางบดินทร์แฝงความรุ่มร้อนไว้ จนคนที่คล้ายกลายเป็นเหยื่อได้แต่สะดุดห้วงหายใจสะท้าน

บดินทร์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออย่างยากเย็น มาซามิทำงานอะไร? นัยซ่อนเร้นที่แฝงมาในคำถามนั้น อย่าบอกนะว่ามันคือคำตอบที่ดนัยตั้งใจจะใช้ตอบคำถามของเขา? บดินทร์ได้แต่นิ่งงันแล้วกำมือจิกเนื้อตัวเองไว้แน่น เขาไม่รู้หรอกว่ามาซามิทำการทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไหม แต่ที่แน่ ๆ คืองานคู่ขาของเจ้าบ้านนี่ไง!

เพราะไม่รู้ว่าดนัยต้องการสื่อสารอะไร ด้วยความขลาดกลัวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น บดินทร์จึงปฏิเสธที่จะรับรู้เอาไว้เสียก่อน

“คิดว่าผมคงไม่จำเป็นต้องรู้!”

“ทำไมล่ะ หึ หึ นี่ผมกำลังคิดเลยนะว่าถ้ามีเวลามากกว่านี้ล่ะก็ อยากจะให้คุณอยู่ที่นี่เพื่อเรียนงานกับมาซามิสักพัก”

ดนัยแสร้งทำหน้าเป็น ราวกับไม่รับรู้ถึงความกลัวของอีกฝ่าย ก่อนจะแกล้งพูดจาคลุมเครือให้คนที่อยู่อีกด้านของฟากฟูกได้ขนลุกขนพองกันอีกครั้ง

“คุณจะได้เก่ง...จนเจ้านายไม่ยอมให้ห่างกายอย่างมาซามิไง...”

“ถ้าแค่งานขาย แบบไอ้ตัวพรรค์นั้น ไม่ต้องถ่อมาฝึกกันถึงนี่ก็ได้!!”

บดินทร์ลั่นขึ้นทันทีที่ดนัยพูดจบ ถึงตรงนี้ไม่ต้องเสียเวลาเดาแล้วว่าดนัยต้องการพาเขามาทำอะไร ‘ขายตัวแลกเงิน’ คงไม่พ้นเรื่องระยำพรรค์นี้ เพราะคนอย่างเขาถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาของอีกฝ่ายที่พอจะไปทำอะไรอย่างอื่นได้อยู่แล้ว!

“จุ๊ จุ๊ จุ๊ ตายจริง อะไรทำให้คุณคิดไปแบบนั้นกันครับคุณบดินทร์”

ดนัยแสร้งเลิกคิ้วตกอกตกใจไปกับคำพูดดูแคลนตัวเองของบดินทร์ ช่างเป็นเหยื่อที่ทำตัวสมกับเป็นเหยื่อ เป็นแมลงไร้เดียงสาที่เอาตัวมาติดกับดักใยแมงมุมกันอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเสียเวลาออกล่า มาเฟียหนุ่มยิ้มร้าย นี่เขาจะบ่มเพาะเจ้าแมลงที่เพิ่งจับได้ตัวนี้ยังไงดีนะ ที่อุตส่าห์คอยเลี้ยงดูอุ้มชูอย่างตอนนี้เจ้าแมลงตัวร้ายจะสำนึกบุญคุณของแมงมุมอย่างเขาไหมนะ เอ้อ...ช่างเลี้ยงยากเลี้ยงเย็นเสียเหลือเกิน ไม้แข็งหน่อยก็ตาย ไม้อ่อนก็เอาไม่อยู่ จะต้องกล่อมต้องโอ๋กันขนาดไหนกันเนี่ย...คนอย่างเขาไม่เคยทำให้ใครถึงขนาดนี้เสียด้วยสิ

นี่ถ้าไม่ติดว่ากำลังติดใจจนหลงใหลได้ปลื้มอยู่แล้วล่ะก็...

“มันก็น่าจะเป็นงานเดียวที่ผมทำได้ จริงไหมล่ะ? ประวัติของผมคุณก็น่าจะสืบรู้หมดแล้วนี่ว่าผมโชกโชนกับเรื่องพวกนี้แค่ไหน แต่ละงานในวงการที่ได้มาก็เพราะเอาตัวขึ้นเตียง เพราะขายน้ำทั้งนั้น!!”

บดินทร์เริ่มเกรี้ยวกราดใส่ดนัยอย่างขาดสติ เดิมทีสติสัมปชัญญะที่หายไปกับความเมาก็ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้อยู่แล้ว ยิ่งถูกดนัยกดดันหนักเข้าจึงยิ่งกลายเป็นสติแตกอย่างที่เห็น

แต่ยิ่งบดินทร์เป็นแบบนั้น ดนัยก็ยิ่งพูดเรื่อย ขณะจิบเหล้าจอกน้อยในมือไปด้วย

“แต่สำหรับผมแล้วคุณมีค่ามากกว่านั้นนะ ผมไม่ขายคุณให้ใครง่าย ๆ หรอกน่า...เก็บไว้เอง...คุ้มกว่า”

ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้อากัปกิริยาเรียบเรื่อยนั้น ดนัยกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัวของตนด้วยความพยายามแค่ไหน เพราะเขายังไม่อยากลงมือทำอะไรกับบดินทร์ทั้งนั้น ความตั้งใจในแรกเริ่มที่ว่าจะดูแลให้ดีที่สุดยังคงผูกพันธนาการในความรู้สึกของเขาอยู่ การใช้อำนาจข่มบดินทร์มันง่ายเสียยิ่งกว่าจะบี้มดตัวหนึ่งให้ตาย แต่สิ่งที่เขาอยากได้จากอีกฝ่ายนั้นมันไม่ใช่แค่การศิโรราบด้วยความหวาดกลัว แต่เป็นความจงรักภักดีที่มาจากหัวใจ เหมือนอย่างเช่นที่เขาเคยใช้ใจซื้อใจกับเหล่าสมุนของเขาทุกคน

ดนัยต้องการให้บดินทร์ยอมรับและภักดีต่อเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง หัวใจของอีกฝ่ายคือสิ่งที่เจ้าพ่อคนนี้ปรารถนา

เพื่ออะไรน่ะหรือ?

ก็เพื่อชัยชนะเหนือความดื้อรั้นนั่นอย่างไรล่ะ!

คนอย่างดนัยไม่เคยพ่ายแพ้แก่ใคร ถ้าเขาหมายอยากจะได้เสียอย่าง ก็ต้องได้มาไม่ว่าด้วยวิธีใด แต่เจ้าคนอวดดีตรงหน้านี้ ครั้งหนึ่งกลับเคยทำให้เขาพ่ายแพ้ยับเยินเพราะการกระทำไม่คิดหน้าคิดหลังของอีกฝ่าย ทั้งที่รู้ว่าเขาคนนี้เป็นใครก็ยังเก่งกล้าดื้อด้านต่อกรกันอย่างไม่ลดละ แม้เขาจะเคยครอบครองร่างกายของฝ่ายนั้น แต่กลับไม่เคยได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวของหัวใจ เพราะแบบนี้อย่างไรล่ะ บดินทร์ถึงได้มีค่าในสายตาของดนัยนัก

แต่ถึงจะเรียกได้ว่ามีค่า แต่ก็เป็นค่าที่สามารถประเมินเป็นราคาค่างวดได้

บดินทร์ เท่ากับ สิบล้าน

ซึ่งก็ถือว่าสูงที่สุดแล้วถ้าเทียบกับบรรดาสิ่งของ หรือคนที่ดนัยเคยประเมินมา เพราะในราคาที่สูงลิบลิ่วขนาดนี้ดนัยยังไม่เคยให้ใครมาก่อน ก็ต้องลุ้นกันหน่อยแล้วว่าในท้ายที่สุด หัวใจของบดินทร์จะแพงสมกับราคาประเมินหรือไม่

ถ้าคุ้มค่า ก็ควรที่จะถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ข้างกายให้นานหน่อย

แต่ถ้าไม่...

ก็คงต้องขอทวงคืนให้คุ้มราคาทุนเช่นกัน!

และเพราะบดินทร์ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกตีค่าเป็นสิ่งของมีราคา เขาจึงเผลอนำยื่นข้อเสนอที่เข้าทางอีกฝ่ายเสียได้

“ห้าหมื่นต่อครั้ง!”

“...?”

บดินทร์ก็โพล่งขึ้น พลางยิ้มเยาะไปทางดนัย แต่มันไม่ใช่เยาะเย้ยฝ่ายนั้นหรอกนะ เขาเยาะหยันในความน่าสมเพชของตัวเองต่างหาก

“ถ้าอยากได้ร่างกายผม...ก็ซื้อสิ แค่ห้าหมื่นต่อครั้งเองนะ ถูกจะตายสำหรับคุณ จริงไหม?”

ดนัยเลิกคิ้วกับข้อเสนอนั้น ก่อนบดกรามตนจนขึ้นเป็นสันนูน หัวใจสีดำกระด้างที่เต้นเร่าอยู่ในอกตอนนี้มันกำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองอยู่ เพราะดูเหมือนทั้งหมดที่เขาทำให้บดินทร์ตั้งแต่เริ่มอยู่ร่วมกันมันสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิงไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อุตส่าห์เว้นระยะให้ ไม่แตะต้อง ทั้งยังให้เกียรติ ไม่ทำอะไรให้รู้สึกไม่สบายใจ…นี่เขายังไม่เคยต้องยอมลงให้ใครขนาดนี้มาก่อนเลยนะ ไม่เคยตามใจใครเท่าบดินทร์มาก่อน

เดี๋ยวนะ...ตามใจเหรอ?

นั่นสินะ...ถ้าไม่ต้องการ อีกฝ่ายคงไม่ถึงขั้นออกปากขอ อยากหาเงินใช้หนี้ แล้วไปจากเขาให้เร็วที่สุดสินะ!

ได้...ถ้าบดินทร์ต้องการอย่างนั้น เขาก็จะไม่ขัดข้อง ดนัยก็เผยยิ้มพราวให้คนตรงหน้า ระยะห่างกันเพียงฟูกกั้น ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามของดนัยลดต่ำลง

“...”

บดินทร์นิ่วหน้าทันทีที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย ลางหายนะทาบทับเป็นเงาดำอยู่บนหัวจนรู้สึกขนลุก รู้ดีว่ากำลังเล่นกับไฟ ทว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น ในระหว่างที่บดินทร์กำลังกังวลกับสิ่งที่จะเกิดอยู่นั้น คำตอบรับของดนัยก็ทำเอาหน้าชา

“แล้วห้าหมื่นนี่…ต่อครั้ง หรือต่อน้ำกันล่ะ...หืม? หึ หึ...ถ้าห้าหมื่นต่อครั้งผมก็โอเคอยู่นะ แต่ถ้าต่อน้ำ ผมว่ามันคงจะแพงไปหน่อย สำหรับสินค้าที่ไม่สดแล้วอย่างคุณ”

“หึ! ไม่นึกเลยว่าระดับเจ้าพ่อดนัยจะขี้งกกับเขาเหมือนกัน”

“ทำไมล่ะ? ผมเป็นพ่อค้านะ ก็ต้องคำนวณกำไรขาดทุนไว้ก่อนอยู่แล้ว ซึ่งผมจะลงทุนกับของที่ผมเห็นถึงผลกำไรเท่านั้น”

ดนัยพูดพลางจิบเหล้าสาเกบ่มอย่างดีช้า ๆ ทำราวกับไม่ยี่หระกับบดินทร์ที่นั่งคุดคู้อยู่อีกฝั่งของฟูกนอน

“เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ ที่ผมเห็นกำไรที่ผมจะได้จากตัวของคุณ วันนั้นผมค่อยเพิ่มมูลค่าให้ก็แล้วกันนะ”

ดนัยว่า พลางขยับตัวหย่อนร่างลงนอนเอกเขนกบนฟูกกว้างอย่างอารมณ์ดี สายตาที่ฉายแววกรุ่นโกรธอยู่เมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นกรุ้มกริ่มอย่างประหลาด ก่อนจะตอบรับข้อเสนอของบดินทร์ออกไป

“โอเค ผมยอมรับข้อเสนอ”

“!!?”

พูดจบก็เอื้อมมือไปกระตุกลากร่างของบดินทร์ลงทับร่างตนเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ บดินทร์ยันกายดิ้นรนทันทีราวต้องของร้อน ทว่าดนัยเองก็ไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ

ยื้อยุดกันครู่หนึ่ง บดินทร์ก็เลิกขัดขืน เป็นเขาที่เพิ่งเสนอขายตัวเองครั้งละห้าหมื่น แล้วยังจะมาเล่นตัวเพื่ออะไร เพราะคิดได้จึงยินยอมนอนนิ่งอยู่บนตัวของดนัยอยู่แบบนั้น

เมื่อเห็นว่าคนบนร่างยอมอ่อนให้ ผู้มีสิทธิ์ขาดก็ยกยิ้มพึงใจ สายตามองตรงไปยังบดินทร์อย่างนึกขัน ทำไมกันนะคนคนนี้ถึงได้เอาใจยากนัก พอเขาดีด้วยก็เอาแต่พยศ แต่พอใจร้ายใส่ก็ดันยอมลงให้ง่าย ๆ ทั้งยังคอยแดกดันตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกว่าเป็นแค่ทาสที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง...

น่าขัน...ทั้งที่แค่ทำตัวว่าง่ายหน่อยก็จะได้อยู่อย่างสบายแล้วแท้ ๆ ดนัยยิ้มเย็นให้กับเหยื่อแสนหวานที่กำลังดิ้นพล่านอยู่บนกับดักที่ถูกติดตรึงอยู่ นี่บดินทร์จะรู้หรือเปล่านะว่าการทำแบบนี้มันยิ่งน่ารังแกมากกว่าน่าสงสาร อยากรู้นักว่าจะพยศไปได้อีกสักกี่น้ำ...

“ดิน ข้อตกลงนี้ ไม่นับกรณีที่คุณเป็นคนเริ่มก่อนนะ”

ดนัยกระซิบที่ข้างหูของคนบนร่าง พลางแกล้งงับเบา ๆ เข้าที่ซอกคอขาวของอีกฝ่าย

“!!”

บดินทร์สะดุ้งสุดตัว เขาดิ้นออกจากบนตัวของดนัยด้วยความตกใจ จนชุดยูสเต๊กตะเกือบหลุดลุ่ยออกจากร่าง แต่เมื่อถูกดนัยไล่คว้าแล้วกดลงให้นอนลงบนฟูจากด้านหลัง เขาก็ยอมสงบลงแล้วนึกโกรธตัวเองที่เอาแต่ทำเรื่องไร้สาระ เช่นการดิ้นรนอย่างเสียเปล่าแบบนั้น แต่พอได้ยินเสียงกระซิบของดนัยที่ข้างหู ร่างกายมันก็ต่อต้านขึ้นมาอีก

“ชี่...อย่าดิ้นนักสิครับ ไหนว่าขายครั้งละห้าหมื่นไง ทำตัวให้มันสมราคาหน่อย”

บดินทร์ชะงักไปทันทีที่ได้ยิน คำประชดประชันที่เขาพ่นออกไปตามแรงอารมณ์เมื่อครู่นั้น ตอนนี้มันกลับเป็นปลายหอกแหลมคมที่ย้อนกลับมาทำลายตัวเขาเองไปเสียแล้ว

“ขะ…ขอโทษนะ....วันนี้ผมยังไม่พร้อม”

สุดท้ายจึงต้องกัดฟันตอบเสียงอ่อน ขณะฝืนใจยินยอมให้ปลายจมูกโด่งดอมดมอยู่ตรงกลุ่มผมหลังใบหู

“อะไรกัน? เล่นตัวแบบนี้จะโก่งค่าตัวหรือไง?”

“...”

“ว่าไงล่ะ?”

ดนัยรุกรานหนักขึ้น โดยการตะโบมลูบต้นขาขาวที่โผล่พ้นชายเสื้อยูกาตะของบดินทร์ในเชิงข่มขวัญมากกว่าปลุกเร้า อยากรู้ว่าคนใต้ร่างจะฝืนทนได้อีกแค่ไหน

“อย่า!”

บดินทร์ร้องห้ามขึ้นทันทีที่มือของดนัยลูบสูงขึ้นมาจนเกือบถึงจุดสำคัญ

“ทำไมล่ะ? ถ้าคุณทำให้ผมเสร็จได้ ผมก็พร้อมจ่ายห้าหมื่นทันทีนะ มันไม่ดีหรือไง?”

“ก็บอกว่าอย่าไง! เลิกดูถูกกันเสียที!!”

บดินทร์ตะโกนลั่นด้วยความคับข้องใจ และนั่นก็เป็นเส้นความอดทนสุดท้ายของดนัยเช่นกัน จากที่แค่กอดก่ายแกล้งหยอกเล่น ตอนนี้จึงกลายเป็นจับขึงพืด กดตรึงเอาไว้บนฟูกนุ่มด้วยความรุนแรงแทน ก่อนที่ดนัยจะกลั่นคำถามบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นจนน่าขนลุก

“ผมให้โอกาสคุณคิดให้ดีอีกครั้งนะบดินทร์ ว่าใครกันแน่ที่ดูถูกใคร?”

“...”

“ผมเหรอ? ที่เป็นฝ่ายเริ่ม?”

“...”

“หรือเป็นตัวคุณเองกันแน่ที่ทั้งดูถูกตัวเอง...และดูถูกผมด้วย”

ยิ่งพูด ดนัยก็ยิ่งก้มต่ำลงมาหาบดินทร์ที่นอนหน้าซีดเผือดอยู่ใต้ร่าง เรื่องที่ดนัยพูดมานั้นมันจริงเสียจนบดินทร์ปฏิเสธไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นบดินทร์ก็ยังอุตส่าห์โต้เถียง

“นั่นมันเป็นเพราะคุณดูถูกผมก่อน!”

“เมื่อไหร่กัน?”

“ก็เรื่อง...งานของ...มาซามิ...”

“หึ...คุณรู้เหรอว่ามาซามิทำงานอะไร? ผมถึงอยากให้คุณเรียนรู้จากเขา”

ดนัยเค้นถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นตามอารมณ์

“หรือคุณไม่สนใจ เพราะงานเดียวที่คุณถนัดนักหนา คือการเอาตัวเข้าแลกแบบนี้? ซึ่ง...ผมก็โอเคนะ”

“นั่นมัน! อ๊ะ! อยะ…!!”

บดินทร์ตั้งใจจะเถียงต่อแม้จะจนมุมเต็มที แต่ก็ต้องสติเตลิดไปเพราะถูกดนัยรุกรานเข้าที่ข้างแก้ม ปลายจมูกโด่งจงใจเข้าใกล้แก้มใสที่กำลังเบี่ยงหลบอย่างสุดกำลัง ก่อนจะลากผ่านไปจนถึงข้างหู เพื่อเอ่ยอธิบายความเป็นจริงให้คนที่ไม่ยอมเข้าใจเสียทีได้ฟัง

“รู้เอาไว้นะ มาซามิน่ะเป็นคนรักของโอกามิซัง ทั้งยังเป็นเลขาคนสนิทที่สามารถจัดการงานทุกอย่างแทนโอกามิซังได้ เป็นคนเก่งและมีความสามารถมากอย่างหาตัวจับยาก การจะเป็นผู้หญิงของยากูซ่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่การดำรงตำแหน่งคนรักพ่วงรองหัวหน้าน่ะ ถ้าไม่แกร่งจริง...ก็ทำไม่ได้หรอกนะ นี่ต่างหากล่ะ สิ่งที่ผมต้องการให้คุณเรียนรู้จากมาซามิเขาน่ะ”

“...”

บดินทร์นิ่งอึ้งไปทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ราวกับถูกน้ำเย็นจัดราดใส่ก้อนสมองที่เคยร้อนลวก ละอายใจต่อมาซามิเหลือเกินที่เขาเผลอคิดสกปรกกับฝ่ายนั้นไปเมื่อครู่ เขาตีความมันผิดตั้งแต่แรก แล้วดันร้องแรกแหกกระเชอว่าโดนรังแก ใบหน้าของบดินทร์ชาวาบเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเพิ่งประชดประชันออกไป ‘ขาย...ครั้งละห้าหมื่น’ บ้าที่สุด เขาฆ่าตัวตายเองชัด ๆ!!

คราวนี้บดินทร์ไม่เหลือแรงที่จะดิ้นรนหรือต่อต้านอะไรกับดนัยอีกแล้ว

แต่ในขณะที่เริ่มทำใจยอมรับผลการกระทำได้ ดนัยกลับยอมปล่อยตัวกันง่าย ๆ

“เอาล่ะ กลับไปพักที่ห้องคุณเถอะ วันนี้ผมอนุญาตให้คุณพักก่อน”

พูดจบก็ยันร่างออกจากบดินทร์เพื่อปล่อยเหยื่อตัวร้ายให้เป็นอิสระ

“..?”

บดินทร์ยันตัวเองลุกตามขึ้นมาด้วยความมึนงง ก่อนเร่งจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เข้าที่ทั้งที่มือไม้ยังสั่นเทาไม่หยุด การได้รับอนุญาตให้สามารถกลับไปในที่ของตัวเองเป็นอะไรที่วิเศษมากในการเดินทางครั้งนี้ ความดีใจทำให้บดินทร์ลนลานอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ทันสังเกตถึงสายตาที่กำลังจ้องมองมาของดนัย

ไม่เห็นเลยว่าสายตานั้นกำลังซ่อนความหมายที่น่ากลัวเอาไว้ขนาดไหน

ไม่ถึงนาทีบดินทร์ก็กระวีกระวาดลุกขึ้นจากฟูกนอน หมายตรงดิ่งออกจากห้องที่น่ากลัวนี้โดยไม่คิดร่ำลาเจ้าของห้องแม้สักคำ

“คุณเข้าใจไม่ผิดหรอกดิน”

“!? ...”

ทว่าในจังหวะที่กำลังจะเปิดประตูเลื่อน เสียงของดนัยก็ดังตามหลังมาจนทำให้บดินทร์ชะงักค้าง เมื่อหันหลังกลับไปมองยังอีกฝ่าย ก็ต้องสะท้านไปทั้งตัวกับดวงตาวาววามที่จ้องเขม็งมา

“งานที่ผมพาคุณมาทำที่นี่...คือการเป็นผู้หญิงของผม”


หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 13 โลกใหม่ PART 2 [19 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 19-02-2024 12:45:41


บดินทร์วิ่งหนีออกจากห้องของดนัยสุดฝีเท้า ไม่สนว่าจะถูกเหล่าบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าห้องนั้นมองมาอย่างไร ทั้งเจ็บปวดและเจ็บใจกับสิ่งที่ถูกกระทำ ทั้งยังสับสนในตัวเองจนหาทางออกไม่ได้ วิ่งมาได้จนเกือบถึงหัวมุมห้องของตนก็หยุดพักหอบหายใจสะท้าน ก่อนที่ครู่ต่อมาจะมีทั้งน้ำตาและเสียงสะอื้นตามขึ้นมา

น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้

เพราะต้องการหนีความจริงที่เมืองไทย จึงตกหลุมพรางที่ดนัยสร้างภาพมายาปิดเอาไว้ พามาทำงานด้วยกันเพื่อใช้หนี้ งานอะไรก็ได้ในวงการมายาที่พอจะทำได้ เขาเชื่อและตามอีกฝ่ายมาทั้งที่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของดนัยเป็นใคร

ถึงตรงนี้บดินทร์รู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองช่างโง่เง่า ที่เผลอไปหลงวางใจปีศาจตนนั้นเข้า

[งานที่ผมพาคุณมาทำที่นี่...คือการเป็นผู้หญิงของผม]

ดั่งคำสาปสรรอันเหี้ยมโหด ร่างของบดินทร์สั่นเทิ้มไปตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า คิดไม่ออกเลยว่าชีวิตจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร มันมืดมนอนธการไปหมดจนหาทางออกไม่ได้ เป็นผู้หญิงของเจ้าพ่อทั้งที่เป็นตัวผู้ เรื่องน่าอัปยศอดสูแบบนั้นมันเกินกว่าที่บดินทร์จะรับไหว จะหนีได้ยังไง? จะหลุดพ้นได้ยังไง?



“กรุณาเข้าห้องได้แล้วครับ คุณบดินทร์”

“!!?”

เสียงที่ดังขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน ทำเอาบดินทร์สะดุ้งไปทั้งตัว พอเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วเจอกับมานพลูกน้องคนสนิทของดนัยเข้า บดินทร์ก็รีบปาดหยาดน้ำที่ยังนองหน้าแบบลวก ๆ

“ไม่ต้องมายุ่ง”

บดินทร์สบถก่อนจะรีบเดินผ่านร่างของมานพไปด้วยความหงุดหงิด พ้นเจ้านายมาแล้วยังต้องมาเจอลูกน้องอีก!

“ก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอก แต่นายท่านสั่งให้คอยจับตาดูคุณไว้”

“หึ! เป็นหมารับใช้ที่ซื่อสัตย์ดีนี่ ทั้งที่เกลียดฉันจะแย่”

บดินทร์เยาะเย้ยอีกฝ่าย เพราะเขารู้ตัวมานานแล้วว่ามานพเกลียดตนมากแค่ไหน ซึ่งเขาไม่สน เพราะให้ตายในชีวิตนี้เขาก็ไม่ขอญาติดีทั้งกับดนัยและพรรคพวกของมันเด็ดขาด

“ถ้ารู้ตัวก็อย่าทำตัวมีปัญหาให้มันมากนัก เพราะถ้าวันไหนที่นายท่านไม่เมตตาขึ้นมา...คุณจะลำบาก”

มานพตอกกลับอย่างแสบสันไม่น้อยหน้า บดินทร์กัดฟันกรอดหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่กำลังมองเหยียดกันอยู่ก่อนแล้ว จริงอยู่ว่ากับดนัยนั้นเขาไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ แต่กับคนที่เป็นขี้ข้าไม่ต่างกันแบบมานพ เขาไม่จำเป็นต้องกลัว ไม่จำเป็นต้องทนถูกมันเหยียดหยาม!

“ปากดีนักนะ ไม่รู้เหรอว่านายมึงให้กูมาอยู่ในฐานะอะไร? หมารักนายอย่างมึงน่าจะรู้นะว่านายมึงให้กูอยู่สูงกว่า!”

บดินทร์กดเสียงต่ำ คำรามขู่อีกฝ่ายด้วยความโกรธเกรี้ยว ทั้งที่เขารังเกียจตำแหน่งผู้หญิงของเจ้าพ่อยิ่งกว่าอะไร แต่กลับอดใช้ประโยชน์จากมันไม่ได้ น่าสมเพชเหรอ? เฮอะ! เขาเลยจุดนั้นมานานแล้ว

แต่มานพกลับไม่ได้รู้สึกกริ่งกลัว บอดี้การ์ดหนุ่มทำเพียงเหยียดยิ้ม แล้วเผชิญหน้ากับบดินทร์ตรง ๆ

“ครับ...คุณบดินทร์ ตอนนี้คุณอาจเหนือกว่าผม แต่ผมก็อยากให้คุณรู้เอาไว้เหมือนกันว่าคุณไม่ใช่คนแรกที่เป็นผู้หญิงของนาย...แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นคนสุดท้ายด้วย ผมเอาหัวเป็นประกัน หึ หึ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนะ ว่าเด็กใหม่ของนายท่านคนนี้...จะเป็นคนโปรดได้สักกี่วัน”

“ไอ้สัตว์!”

บดินทร์ผรุสวาท พร้อมเหวี่ยงหมัดหลุน ๆ เข้าหามานพทันที แต่ด้วยชั้นเชิงที่ต่างกัน มวยหมัดของอดีตดาราย่อมไม่อาจต่อกรกับบอดี้การ์ดมืออาชีพได้ สุดท้ายคมหมัดทื่อ ๆ ของบดินทร์ก็ถูกหยุดไว้อย่างง่ายดายเพียงแค่มานพเบี่ยงตัวหลบ

พอพลาดเป้า แรงหมัดที่เหวี่ยงออกไปอย่างเต็มกำลังจึงทำให้บดินทร์เสียหลักไปชนกับเสาเรือนเข้าโครมใหญ่ แต่แม้จะเจ็บจุกเท่าใดเขาก็ไม่ยอมส่งเสียงน่าอดสูออกมาให้ใครได้ยิน

บอดี้การ์ดหนุ่มพูดขึ้น ขณะใช้มือปัดฝุ่นเล็ก ๆ บนไหล่ ก่อนส่งสายตาเยาะหยันให้บดินทร์ที่จ้องมองมาก่อนแล้ว

“ไม่ต้องรีบหาเรื่องผมหรอกคุณบดินทร์ เพราะเมื่อถึงวันที่คุณหมดราคา...เราได้คุยกันยาวแน่”

มานพพูดทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นแล้วเดินจากไป ทิ้งบดินทร์ไว้กับความเจ็บใจจนตัวสั่นเทิ้มที่ไม่อาจต่อกรอะไรได้เลย เขาอยากชนะ! ไม่ว่ายังไงก็ตามเขาไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้ต่อหน้าลูกน้องของดนัย แต่จะให้พร้อมใจยอมตกเป็นทาสบำเรอกามของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่อาจทนทำใจได้

บดินทร์ได้แต่เดินกลับเข้าห้องของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า ถูกความท้อแท้จู่โจมจนแทบไม่เหลือแรงยืน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าวันใหม่ นี่เพิ่งจะคืนแรกเท่านั้นทำไมมันถึงยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์เช่นนี้ แล้วเวลาที่เหลือจากนี้เล่า ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป?

ลมหายใจที่เหลืออยู่นี้...จะได้รับอิสระเมื่อไหร่กัน?



++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 13 โลกใหม่ PART 2 [19 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 19-02-2024 12:46:20


“น่าเสียดายจังนะครับ ผมยังไม่อยากให้คุณดินกลับเลย”

เช้าวันใหม่มาถึงพร้อมกับการจากลา เพราะดนัยยังต้องเดินทางต่างเมืองเพื่อดูงานของกิจการบางอย่างของตนในประเทศญี่ปุ่น และไม่ค่อยสะดวกใจนักหากต้องอยู่รบกวนหัวหน้าสาขาใหญ่อย่างโอกามินาน

มาซามิรีบเข้ามาร่ำลาบดินทร์ด้วยความเป็นมิตร เพราะถึงจะเพียงครู่สั้น ๆ ที่ได้คุยกัน ต้นมิตรภาพอันแปลกประหลาดก็ได้งอกงามขึ้นมาเสียแล้ว มาซามิยิ้มพราวพร้อมยื่นนามบัตรของตนใส่มือให้บดินทร์อย่างเป็นมิตร

“นี่นามบัตรผมนะ คิดถึงเมื่อไหร่ก็โทรมา”

“ขอบคุณนะครับ ไว้ผมจะโทรหานะ”

บดินทร์ยิ้มรับ พลางนึกยอกใจที่เผลอคิดร้ายกับอีกฝ่ายไปเมื่อคืน ก่อนจะมองหน้าของมาซามิอย่างพินิจพิจารณาเป็นครั้งสุดท้าย ผู้ชายที่หน้าตาสะอาดหมดจดคนนี้คือผู้หญิงของยากูซ่า...คนรักของหัวหน้าที่ลูกน้องในแก๊งทุกคนให้ความเคารพยำเกรง ใบหน้าคมคายที่ประดับแต่รอยยิ้มพิมพ์ใจอยู่ตลอดนี้ แท้จริงเบื้องหลังยังแฝงเอาไว้ด้วยความร้อนแรงยามค่ำคืน เพื่อเติมเต็มให้แก่ผู้เป็นเจ้าชีวิต...กระนั้น ก็ยังน่ายกย่อง

แล้วเขาล่ะ?

“ดิน…?”

“!?”

บดินทร์สะดุ้งจากภวังค์เพราะถูกมาซามิตรงหน้าเรียกขาน พร้อมกับที่มืออีกฝ่ายยื่นมาจับมือของเขาไว้

แต่ที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าคงเป็นคำพูดของอีกฝ่าย

“อย่ากลัวในทางที่คุณเลือก ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ คุณจะชนะ”

มาซามิพูดเสียงเบาคล้ายกระซิบ ทว่าแน่นหนัก

บดินทร์ลอบกลืนน้ำลายพร้อมสะท้านเบา ๆ จากสิ่งที่เพิ่งได้ยิน มาซามิดูออกทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเขากับดนัย คนคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่ถูกกล่าวขานกันมาจริง ๆ ด้วย

“คุณมีเสน่ห์มากนะดิน ใช้มันให้คุ้มค่า ผมเชื่อว่าแดนนี่พร้อมให้คุณได้ทุกอย่างเพียงแค่คุณร้องขอ เขายิ่งใหญ่ และคุณก็จะไม่แพ้ใครแน่…เชื่อผม!”

ประโยคยืดยาวที่เป็นเหมือนคำเตือนใจก่อนจากลา เพราะถูกใจมาก มาซามิจึงอยากสอนให้บดินทร์รู้จักบริหารเสน่ห์เล่ห์กลของตนเพื่อความยิ่งใหญ่ แม้ในวันนั้นบดินทร์จะยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ แต่มันจะเกิดผลต่อบดินทร์อย่างมากในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน



+++++++++++++++++



ผ่านไปร่วมสองสัปดาห์นับจากวันที่จากคฤหาสน์ของโอกามิมา บดินทร์ถูกดนัยพามาไว้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งกลางมหานครโตเกียวที่เจ้าพ่อหนุ่มเหมาระยะยาวเอาไว้ ในระหว่างนั้นดนัยก็เดินทางไปที่ต่าง ๆ ตลอด โดยทิ้งบดินทร์เอาไว้ไม่ได้พาติดตามไปด้วย การที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันเลยระยะหนึ่งทำให้บดินทร์หายใจได้คล่องขึ้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจนัก เพราะคำสุดท้ายที่ดนัยทิ้งเอาไว้ก่อนไป

‘ผมให้เวลาคุณพักเต็มที่ อยากไปไหนก็บอกวิเชียรได้ มันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ’

ทิ้งลูกน้องเอาไว้คอยเฝ้าเขาล่ะสิ บดินทร์คิดได้แค่แบบนั้น แต่ก็ยังดีกว่าทิ้งไอ้หมาบ้ามานพไว้แหละนะ แบบนั้นบดินทร์ก็ค่อยใจชื้น เพราะเขากับวิเชียรถือว่าไม่มีเรื่องบาดหมางกัน

‘พักให้เต็มที่ล่ะดิน เพราะคุณต้องเริ่มงานทันทีที่ถึงอเมริกา’

งานอะไรไม่รู้ และบดินทร์ไม่ต้องการจะรู้ เขาท่องจำคำพูดของมาซามิขึ้นใจ แต่มันไม่เข้าไปประมวลผลว่าต้องทำอะไรบ้างในสมอง เขายังไม่พร้อม รังเกียจที่จะทำมันจนไม่เห็นหนทางที่จะพร้อมขึ้นมาได้ เจ็บปวดทุกครั้งที่คิดว่าจะต้องไปเจออะไรบ้างที่อเมริกา

ผู้หญิงของเจ้าพ่อ...ผู้หญิงของดนัย...มันบัดซบสิ้นดี!!

นี่มันคงเป็น...เวรกรรมสินะ

เพราะความเบื่อหน่าย และท้อแท้ในโชคชะตา บดินทร์จึงไม่ยอมออกไปไหนเลย เอาแต่ฝังตัวเงียบอยู่ในห้อง สั่งเพียงอาหารขึ้นมาส่งตามเวลาที่ท้องหิว นอกจากนั้นก็เมามายไปกับเหล้ารสดีที่สุดเท่าที่โรงแรมมี จนเมาหัวราน้ำไปวัน ๆ แค่นั้น ในเมื่อเจ้าพ่อดนัยบอกว่าจะเปย์ให้ บดินทร์ก็เลิกสนใจราคาของสรรพสุราพวกนั้น ดื่มมันให้ล่มจมกันไปข้าง

เมา ตื่น กินข้าว เมา หลับ ตื่น เมา กินข้าว ไม่มีเวลาที่แน่ชัด ไม่รู้เดือนรู้ตะวัน ไม่รู้วันรู้คืน บดินทร์ปล่อยตัวเองให้เน่าเป็นซากศพอยู่ในห้องพร้อมกับกองขวดเหล้าและก้นบุหรี่ เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออฟหนุ่มหรือสาวบริการขึ้นมากกที่ห้อง ไม่อย่างนั้นป่านนี้อาจติดโรคทางเพศสัมพันธ์ไปแล้ว

นี่ถ้าไม่ถูกวิเชียรคอยจับตามอง และขอร้องว่าได้โปรดอย่าทำให้นายเหนือต้องลงโทษฝ่ายนั้นแล้วล่ะก็ ป่านนี้เขาคงเหมาโฮสต์ทั้งชายหญิงจนหมดบาร์หน้าโรงแรมมาแล้ว

...น่าเบื่อที่สุด!





“โอยย แสบตา! ปิดซะที คนจะนอน!!”

เช้าวันหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกรบกวนการนอนด้วยแสงที่สว่างเกินกว่าสายตาจะรับได้ เขายังเมาค้างไม่หายเลยยังไม่อยากตื่น ใครสาระแนมาเปิดผ้าม่านในห้องกัน!?

“อะไรกัน คุณต้อนรับผมได้ใจร้ายมากเลยนะดิน”

“!!?”

บดินทร์ลุกพรวดขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงของดนัยใกล้ ๆ มาเฟียหนุ่มอยู่ในชุดสูทสามชั้นราคาแพงระยับยืนกอดอกมองอยู่ข้างเตียง พร้อมรอยยิ้มจอมปลอมที่บดินทร์รู้จักดี

“เข้ามาได้ยังไง...”

บดินทร์ตะคอกถามออกไป ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วทึ้งหัวของตัวเองไปทีหนึ่ง ในเมื่อดนัยเป็นเจ้าของทุกอย่าง ย่อมมีสิทธิ์เข้าไปที่ห้องไหนก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่ที่นี่

“อาบน้ำแต่งตัวซะ เราต้องออกเดินทางกันแล้ว”

น่าแปลกที่ดนัยไม่ได้ทักอะไรต่อ นอกจากใช้ให้ซากศพพูดได้ที่หนวดเครารกครึ้ม ทั้งยังเหม็นหึ่งไปด้วยกลิ่นเหล้าและบุหรี่ไปอาบน้ำเสียที

“เดินทาง?”

“ใช่...ไปอาโอโมริกัน”



+++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 13 โลกใหม่ PART 2 [19 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 19-02-2024 12:46:58


“ยุ?”

“ดิน? มาทำไรแถวนี้วะ ไหนว่าไปอเมริกา?”

“โดนปล่อยเกาะน่ะ”

“หะ? กูไม่ตลกด้วยนะไอ้บ้า ตกลงกับดนัยมันยังไงกันแน่วะ?”

แน่นอนว่าสดายุไม่มีทางเชื่อ การที่จู่ ๆ บดินทร์มาโผล่แถวบ้านญาติกฤตเมธที่ญี่ปุ่นมันไม่น่าจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิตไปได้ แต่พอถามออกไปไอ้บ้าตรงหน้ากลับเอาแต่พูดจากำกวม พอคาดคั้นหนักเข้า แทนที่จะตอบคำถามดันยื่นมือมาหาแล้วทำเสียงอ้อน

“ยุ...กูหิว ไม่มีเงินติดตัวเลย หนาวก็หนาว...”

ใช่เพียงแค่น้ำเสียงที่ออดอ้อน ดวงตาที่ช้อนมองมาก็ยังใช่ แบบนั้นจะให้สดายุทำอย่างไรได้ นอกจากกลอกตามองบน แล้วบ่นว่าคิดจะอำกันไปจนถึงเมื่อไหร่? เพราะแม้จะไม่สนิทเท่าไหร่ แต่สดายุก็พอรู้ว่าดนัยไม่ใช่คนที่จะทิ้งขว้างใครไว้แน่

ถ้าไม่หลงทาง ก็หนีมา...

ว่าแต่จะ ‘หนี’ ทำไมกัน?

“ดนัยอยู่ไหน? มึงพักที่ไหนเนี่ย กูได้หาทางไปส่งให้”

สดายุถาม พลางดึงแขนออกจากการเกาะกุม ดูเหมือนบดินทร์เองก็พอจะรู้ตัวว่าเล่นแง่ต่อไปไม่ได้ สุดท้ายเลยยอมพูดความจริง

“มันติดงานน่ะ เลยต้องแวะอยู่ที่ญี่ปุ่นนี่หลายวัน แต่พรุ่งนี้เช้าก็จะไปอเมริกาแล้วล่ะ”

“อ๋อเหรอ แปลกเนอะ อยู่ถึงญี่ปุ่นก็ยังอุตส่าห์มาเจอกันได้อีกนะมึงกับกูเนี่ย แล้วนี่ที่พักอยู่ไหนอ่ะ”

“ก็...ไกลอยู่ ไม่รู้สิ จำไม่ได้อ่ะ มันบอกให้รออยู่แถวนี้ แล้วค่ำ ๆ จะมารับ...แต่กูดันลืมกระเป๋าสตางค์”

บดินทร์ตอบเรื่องจริง ก็ไม่ได้คิดจะหลอกอะไรสดายุตั้งแต่แรก ก็แค่ไม่ได้บอกว่าเรื่องที่ได้มาเจอกันนี่ มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ



++++++++++++++++



“พาผมมาด้วยทำไม? ปกติแค่ดูงานไม่จำเป็นต้องลากมาด้วยนี่”

บดินทร์ถามขึ้นด้วยความหงุดหงิด ที่ถูกลากตัวมาตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งที่พรุ่งนี้เช้าก็จะเดินทางต่อไปยังอเมริกาแล้ว แม้แต่อิสระวันสุดท้ายก็ยังถูกลิดรอนหรือ?

“ทำไม? มาเป็นเพื่อนผมไม่ได้หรือไง?”

ดนัยตัดพ้อ พร้อมมอบรอยยิ้มที่บดินทร์แสนเกลียดมาให้

“ไหนว่าจะให้ผมพักให้เต็มที่ไง? โกหกกันนี่!”

“แล้วถ้าผมบอกว่ายุอยู่ที่นี่ล่ะ?”

“อะไรนะ? ยุอยู่ญี่ปุ่นเหรอ? ที่ไหน? ยุอยู่ที่ไหน?”

“อิจฉายุจัง ผมไม่อยู่ตั้งหลายวันคุณไม่เห็นคิดถึงผมแบบนี้บ้างเลย”

ดนัยยั่วเย้า ยิ่งเห็นสีหน้าที่ดีใจจนปิดไม่อยู่ของบดินทร์แบบนั้น ดนัยก็ยิ่งแกล้ง

“ผมไม่จำเป็นต้องคิดถึงคุณนี่!”

บดินทร์ตะคอกออกไปด้วยความหงุดหงิดที่โดนดนัยแกล้งหยอกเล่น ทว่าเพียงครู่ต่อมาก็คิดอะไรบางอย่างออก

“แต่ถ้าคุณยอมบอกผมว่ายุอยู่ที่ไหน...ผมจะตอบแทนคุณ”

ไหน ๆ หลังจากนี้ไปก็มีแต่เสียกับเสียอยู่แล้ว ก็ใช้มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนเสียเลย!

“หึ...คุณจะเอาอะไรมาตอบแทนผมกัน?”

ดนัยลองเชิงอย่างคนทำธุรกิจ อยากรู้นักว่าของตอบแทนของบดินทร์นั้นมันจะเร้าใจแค่ไหน?

“แล้วคุณอยากได้อะไรจากผมล่ะ?”

“อะไรก็ได้เหรอ?”

“...ทุกอย่าง”



++++++++++++++++++



สุดท้าย ด้วยความเห็นใจเพื่อนเก่า สดายุจึงยินยอมให้บดินทร์ตามมาพักที่บ้านก่อนระหว่างรอดนัย หลังให้ที่พักพิง พร้อมเลี้ยงอาหารเสร็จสรรพ บดินทร์ก็ถูกสดายุให้พักผ่อนตามอัธยาศัย เรียกได้ว่าปล่อยให้อยู่ตามยถากรรมเลยน่าจะถูกกว่า เพราะเมื่อหายหิว สดายุก็พาตัวเองกลับขึ้นห้อง แล้วจมอยู่กับมังงะกองโต โดยไม่คิดสนใจใด ๆ แม้ว่าจะมีแขกตามมานั่งร่วมห้องอยู่ด้วยอีกคน

สดายุไม่ใช่คนช่างคุย ส่วนบดินทร์เองก็ยังคงเกร็ง ๆ การสนทนาระหว่างกันจึงไม่ปะติดปะต่อ ยิ่งเห็นว่าสดายุกำลังดำดิ่งอยู่กับการอ่านมังงะญี่ปุ่นด้วยแล้ว บดินทร์ก็ยิ่งไม่กล้าขัดขวางความสุข เพราะแค่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ แค่ได้เห็นหน้า แค่ได้แอบมอง ก็พอใจเหลือเกินแล้ว

บดินทร์มีความสุขแม้เพียงแค่ได้นั่งอยู่ในที่เดียวกับสดายุ ความสงบใจและบรรยากาศที่อบอุ่นของห้องน้อยนี้ ในที่สุดก็ทำให้บดินทร์เผลอหลับไป กว่าจะมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตื่นมาเจอกับใครอีกคนที่นอนหลับอยู่ข้างกัน

“...!?”

บดินทร์รีบลุกขึ้น ตื่นเต็มตาทันทีในตอนนี้ ทำใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วลองขยับเข้าใกล้สดายุที่กำลังหลับลึกอย่างระมัดระวัง

ผมยาวขึ้นนิดหน่อยหรือเปล่านะ?

ขาวขึ้นจมเลย ได้ออกแดดบ้างหรือเปล่าเนี่ย?

ดูมีน้ำมีนวลขึ้นแฮะ

หลับสนิทจัง…

บดินทร์ จ้องมองสดายุด้วยสายตาที่ร้อนแรงอย่างที่ใจปรารถนา รักมานานจนไม่อาจถอนใจ แต่เพราะเคยทำร้ายอีกฝ่ายด้วยความเห็นแก่ตัวมากจนเกินไป วันนี้ถึงทำได้แค่แอบมอง ช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน

เห็นว่าสดายุหลับสนิท คนขี้ขลาดตาขาวอย่างบดินทร์ก็เกิดย่ามใจ จึงค่อย ๆ ขยับกายเข้าใกล้คนหลับใหลทีละนิด ยกกองมังงะเกะกะออกไปให้พ้นทางอย่างเบามือ ลมหายใจติดขัดเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะกระทำในสิ่งที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด หากสดายุยังตื่นลืมตา

“หากวันนั้นกูไม่ทำระยำหมากับมึง วันนี้…ก็คงแตกต่างออกไปใช่ไหม?”

เสียงทุ้มพร่ากระซิบความในใจออกมาอย่างระมัดระวัง อยากบอกกับเจ้าตัว แต่ก็ไม่ประสงค์ให้เจ้าตัวได้ยิน

“หากวันนั้นเรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน กูคงไม่ต้องเสียมึงให้กับมันใช่ไหม?”

“ยุ...มึงชอบผู้ชายหรือชอบแค่มันวะ? แล้วถ้าเป็นกู จะมีสิทธิ์หรือเปล่า?”

ยิ่งพูดออกไป หัวใจยิ่งเต้นระทึก ยิ่งเห็นว่าร่างที่นอนอยู่ข้างกันยังคงหลับสนิท จิตใจใฝ่ต่ำของบดินทร์ก็เริ่มเข้าครอบงำ ทั้งร่างสะท้านสั่นเพราะหัวใจที่เต้นรัวเป็นกลองรบ ขนาดเข้าใกล้จนลมหายใจระอุรินรดข้างแก้มใสแล้วสดายุก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

“ยุ...กูรักมึงนะ”

เพราะรู้ว่าพูดไปสดายุก็ไม่มีทางได้ยิน บดินทร์จึงย่ามใจจนเผลอไผลพูดแต่สิ่งที่ตนคิด และทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิด แต่กลับหยุดความคิดและการกระทำไม่ได้

“รัก…มาตั้งแต่แรกเห็น…”

ใบหน้าหมองเศร้าโน้มลงใกล้ขึ้นทุกจังหวะคำที่เอื้อนเอ่ย

“ขอโทษ…ที่กูเผลอทำร้าย…”

ดวงตาที่อัดแน่นด้วยความปรารถนา ผ่าวร้อนและเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งที่ยังคงจ้องมองใบหน้าของคนหลับลึกเขม็ง

“อภัยให้กูนะ…”

เสียงสุดท้ายแทบจะหายไปในลำคอ ในขณะที่ริมฝีปากอุ่น บรรจงประทับลงเบา ๆ ที่ข้างแก้มของสดายุอย่างระมัดระวัง

‘ลักหลับ’ การกระทำต่ำทรามที่บดินทร์รู้อยู่แก่ใจว่าช่างชั่วช้า ปากบอกว่ารักนักหนา หากแต่ยังกล้าประทับรอยแปดเปื้อน ความผิดเอ่อล้นท้นใจ จนจำต้องปล่อยหยาดน้ำตาหยดเผาะลงตรงข้างแก้มที่ช้ำรอยจูบ ดวงตาพร่าเลือนยังคงจ้องมองคนที่ตนรักอย่างสุดใจ พร้อมด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเหลือแสนเพราะรู้อยู่แก่ใจชัดเจนว่า ยามใดที่เจ้าของดวงหน้าหวานตื่นลืมตา มือนี้ย่อมไม่อาจไขว่คว้าได้อีก

หัวใจฝ่ายผิดชอบชั่วดีร้องห้าม หากแต่ฝ่ายต่ำทรามกลับไม่ยินยอม

เพราะถ้าหากว่านี่คือโอกาสเดียว และเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย…

ไม่เหลือเวลาให้ใคร่ครวญแล้วว่าควรหรือไม่ ริมฝีปากบางเฉียบขยับเข้าใกล้ ริมฝีปากที่กำลังเผยอน้อย ๆ ตรงหน้า ปรารถนาแค่เพียงจูบเดียว

“เฮ้ย!”

“เฮือก!?”

ทว่าเวลากลับไม่มากพอให้ทันได้สัมผัส เสียงทักเบา ๆ แต่แน่นหนักจากหน้าประตูก็มากระชากบดินทร์กลับสู่ความจริงได้ทันเวลา

ทั้งร่างผู้กระทำความผิดสะดุ้งโหยง ลุกพรวดออกจากร่างของสดายุราวกับแมวขโมยที่ถูกจับได้ ใบหน้าเปื้อนน้ำตาตะลึงมองไปยังกฤตเมธผู้เป็นเจ้าของเสียงทักด้วยแววตาเลิ่กลั่ก ซ้ำยิ่งพอเห็นอีกคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างหลังของฝ่ายนั้นใบหน้าของบดินทร์ก็ยิ่งถอดสี คิ้วหนาขมวดเป็นปม ริมฝีปากขบแน่นกระทั่งเนื้อตัวก็สั่นระริก

“หมดเวลาแล้ว”

กฤตเมธเอ่ยเสียงเย็นชา กอดอกพิงร่างมองเหยียดจากตรงหน้าประตูแบบไม่ปิดบัง เพราะไม่มีความคิดว่าจะต้องรักษามารยาทใด ๆ กับคนอย่างบดินทร์ ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความเห็นใจ สำหรับคนที่เคยทำร้ายคนรักของเขาได้อย่างเลือดเย็น แล้วยังจ้องขโมยกิน อย่างมัน!

ดังนั้น...

“ไสหัวไปได้แล้ว”

คือการไล่ที่ปรานีที่สุดที่กฤตเมธพอจะทำไหว ในขณะที่สองหมัดกำแน่นถูกเก็บไว้ภายใต้ท่าทางกอดอก ที่จริงเขาคงได้เผลอต่อยไปสักหมัดสองหมัด ตั้งแต่แรกที่เห็นว่าบดินทร์ตั้งใจจะทำอะไรสดายุแล้วล่ะ หากไม่ใช่เพราะถูกห้ามเอาไว้ด้วยคำมั่นสัญญาที่ว่า ‘เดี๋ยวผมจัดการให้เอง’ ของดนัยที่กำลังยืนส่งยิ้มให้น่าหมั่นไส้ให้บดินทร์อยู่

“รถรออยู่หน้าบ้านแล้ว”

เหมือนเป็นสัญญาณระหว่างกันของดนัยกับบดินทร์ เพราะทันทีที่ดนัยพูดขึ้น บดินทร์ก็กระแทกเท้าออกจากห้องไปทันที ใบหน้าแดงก่ำด้วยหลากหลายอารมณ์ผสานผสม กระทั่งหยาดน้ำตาที่ยังคงเปื้อนอยู่เต็มหน้าบดินทร์ก็ไม่มีอารมณ์จะเช็ด

“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย!”

กฤตเมธคาดโทษขึ้นทันทีที่บดินทร์เดินผ่าน บดินทร์หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนรีบถลันออกไป โดยไม่มีคำโต้แย้ง ทิ้งไว้เพียงดนัยที่กลายเป็นเป้าสายตาของกฤตเมธแทน

“ครั้งหน้าไม่ทนแล้วนะเว้ย!” กฤตเมธขู่ใส่ดนัยเสียงขรม

“หืม...”

ดนัยไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ พลางยกมือยอมแพ้แบบกวนประสาทเล็ก ๆ ในขณะที่กำลังโดนกฤตเมธคาดโทษอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะตาไว ไหวตัวทันโดยการตะโกนทักทายเพื่อนเก่าอย่างสดายุเสียงทะเล้น

“หวัดดียุ ขี้เซานะเรา”

เห็นสดายุลุกขึ้นนั่ง กฤตเมธก็คร้านหาความกับดนัยต่อ

“ทำไมมาโผล่อยู่แถวนี้กันวะ?” สดายุถามดนัยขึ้น พลางลุกยืนเป็นกิจจะลักษณะ

“แวะมาทำธุระน่ะ ก็เพิ่งรู้นี่แหละว่ายุกับพี่เมธก็อยู่เมืองนี้เหมือนกัน”

ดนัยตอบพร้อมรอยยิ้ม ชำเลืองมองไปทางกฤตเมธที่ยังคงหน้าบูดนิดหน่อย แล้วเบียดตัวเข้ามาในห้องเพื่อสนทนากับสดายุต่ออีกนิด

“บังเอิญเนอะ”

“...”

ดนัยยิ้มพราว รอยยิ้มเชื่อไม่ได้ถึงขนาดที่สดายุยังต้องส่ายหน้า และพอได้ยืนขึ้นมาเสมอกัน ก็เพิ่งได้เห็นเต็มตาถึงการแต่งกายของดนัย ชุดสูทสามชิ้นสีดำสนิท โค้ตยาวดูภูมิฐาน รู้สึกได้ว่านี่คงไม่ใช่แฟชั่นปกติ กฤตเมธเคยบอกเอาไว้ว่าดนัยไม่ธรรมดา เป็นบุคคลอันตรายที่ไม่สมควรมีปัญหาด้วย ตอนแรกสดายุเพียงคิดว่าแค่เส้นใหญ่ แต่พอผ่านเหตุการณ์ช่วยตัวประกันคราวนั้น เขาก็กระจ่างในระดับหนึ่งว่าดนัยมีคำว่าอิทธิพลหนุนหลังอยู่

แต่ดูเหมือนตอนนี้สดายุควรต้องคิดใหม่เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของดนัยเสียแล้ว

“นายคงไม่ได้รังแกไอ้ดินมันนักใช่ไหม?”

ถึงอย่างไร สดายุก็ยังคงทำตัวเป็นปกติ คิดว่าควรรักษาคำว่าเพื่อน คำว่าพวกพ้องที่ดนัยอุตส่าห์มอบให้ ดังนั้นจึงไม่คิดเกรงใจที่จะตั้งคำถามที่ตนสงสัย

ดนัยหัวเราะร่วน เมื่อได้ยินคำถามของสดายุเข้า

“หืม...อะไรทำให้นายคิดอย่างนั้นกันยุ? เราดูร้ายขนาดนั้นเชียว?”

“ก็นะ” สดายุไหวไหล่ และยังคงยืนรอคำตอบ “ว่าไง? นายคงไม่ได้แกล้งพามันมาปล่อยเกาะเล่นแถวนี้ใช่ไหม?”

“หลงทางมาเองต่างหาก นี่เราออกตามหาอยู่ตั้งนานแน่ะ”

ดนัยตอบเสียงสูง ดูน่าเชื่อถือเสียจนสดายุอดหัวเราะตามไปไม่ได้ ไม่มีทางเชื่อหรอกว่าจะบังเอิญมาเจอกันได้ครบทีมขนาดนี้ ไม่เชื่อแน่ว่าจะไม่โดนเล่นตุกติกหรือหลอกพามาเซอร์ไพรซ์

ก็คิดในแง่ดีไปงั้น เพราะสดายุไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างดนัยกับบดินทร์ จึงได้แค่คิดแบบโลกสวยว่าคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ความช่วยเหลือกันมากมายขนาดนี้หรอก

ก็ว่าจะไม่ติดใจ แต่มันอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ สดายุจึงขอสัมภาษณ์ออกไปให้ชัดเจน

“เออนี่...ถามจริง นายกับดินไปรู้จักกันตอนไหนวะ?”

ใบหน้ายิ้มละไมของดนัยจางลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม เหลือเพียงรอยยิ้มที่มุมปากกับดวงตาสีเขียวทองลึกล้ำซ่อนความหมายที่เกินหยั่ง ร่างสูงใหญ่ก้าวล่วงเข้ามาให้ห้องเล็กน้อย แค่พอประชิดตัวของสดายุได้ก่อนก้มลงกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูขาว

“อย่ารู้เลย ไม่อยากถูกโกรธน่ะ”

ดนัยเลือกจะตอบเพียงแค่นั้น ก่อนผละออกมาสบตากับสดายุด้วยสายตาที่สื่อความอย่างชัดเจน ว่าไม่ต้องการให้ใครก็ตามเข้ามายุ่มย่าม ไม่เว้นแม้แต่สดายุ ความเงียบไหลผ่านทั้งคู่อยู่ร่วมนาที ใบหน้าของดนัยยังคงมีรอยยิ้ม ฝ่ายสดายุเองก็ไม่ได้บึ้งตึงอะไร ต่างฝ่ายต่างแค่จ้องมองใบหน้าของกันและกันผ่านกำแพงที่มองไม่เห็น

“ดู ๆ มันให้หน่อยก็แล้วกัน”

เป็นสดายุที่พูดขึ้นก่อน หากดนัยไม่ต้องการให้รู้ สดายุก็จะไม่เซ้าซี้ จึงทำเพียงฝากฝังเท่าที่จะทำได้ ดนัยยิ้มรับคำ ก่อนถามคำถามกลับสดายุบ้าง คำถามที่ราวกับแฝงไปด้วยถ้อยคำประชดประชัน

“นายนี่เป็นคนดีมากเลยนะยุ ทั้งที่เคยโดนบดินทร์ทำร้ายมาสารพัด ก็ยังอุตส่าห์คอยเป็นห่วง...เพื่อนเก่าที่ชื่อบดินทร์คนนี้สำหรับนายคงเป็นคนที่มีค่ามากเลยสิ”

“…ก็นะ”

คือคำตอบเดียวที่สดายุมีให้ดนัย เช่นเดียวกับที่ดนัยไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ กลับมาเหมือนกัน ดนัยหัวเราะ แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรต่อ ใครบางคนที่ยืนเงียบอยู่นานสองนานก็เอ่ยตัดบทขึ้นมาบ้าง

“มันไม่ตายง่ายนักหรอก อย่าห่วงให้มันมากนักเลย!”

คำเดียวเท่านั้นหยุดทุกบริบท โดยเฉพาะเมื่อชำเลืองไปเจอใบหน้าดำทะมึนจนแทบจะหยดออกมาเป็นน้ำหมึกของเจ้าของถ้อยคำด้วยแล้ว สดายุกับดนัยก็ได้แต่ทำหน้าเฝื่อน เหมือนดั่งโดนยาขม

แถมยังเป็นยาขมชนิดที่ขมพิเศษแบบไร้ความปรานี ยี่ห้อกฤตเมธเสียด้วย

“พี่ก็เห็นว่ามันออกจะสุขสบาย สภาพครบสามสิบสอง วางใจเถอะดนัยคงเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีอยู่แล้วล่ะ จริงไหม?”

ยาขมย้ำคำทั้งที่ยังหน้าบึ้งเป็นยักษ์เป็นมาร งานนี้เล่นเอาดนัยถึงกับลอบขำ ลมเพชรหึงตั้งเค้ารุนแรงขนาดนี้ สงสัยเขาคงต้องรีบถอนตัวออกจากจุดเกิดเหตุ เพราะนอกจากจะแข็งแกร่งไม่พอที่จะเป็นตัวกลางคอยไกล่เกลี่ยแล้ว ยังไม่ใช่คนที่กฤตเมธพิศวาสพอจะปรานีเสียด้วย ปล่อยเจ้าของบ้านเขาอยู่เคลียร์กันเองดีกว่า ดูจากสีหน้าของสดายุกับลักษณะการถอนหายใจเหนื่อยหน่ายแล้ว ดูท่าน่าจะต้องเคลียร์กันยาวแน่นอน

คิดได้ ดนัยก็ขอตัวลากลับ แจ้งข่าวทิ้งท้ายว่าจะเดินทางออกจากญี่ปุ่นมุ่งหน้าไปอเมริกาตอนรุ่งเช้า ซึ่งหลังออกจากบ้านกฤตเมธก็จะตรงกลับโตเกียวทันที เพื่อพักที่โรงแรมของสนามบินนาริตะเลย การร่ำลาเป็นไปอย่างกระชับฉับไว เพราะเจ้าบ้านทั้งสองอย่างกฤตเมธและสดายุ ไม่อยู่ในอารมณ์ร่ำลาอาลัยเท่าที่ควร



++++++++++++++++++

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 13 โลกใหม่ PART 2 [19 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 19-02-2024 12:47:43

ดนัยลงมาจากบ้านของกฤตเมธด้วยท่าทางสบาย ๆ สบตากับบดินทร์ครั้งหนึ่งตรงประตูทางออก ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะหลบสายตาไปอย่างไม่ไยดี

พอดนัยลงมาได้ ต่างคนก็ต่างขึ้นประจำที่ของตัวเองบนรถยนต์สีดำคันหรู พร้อมออกเดินทางฝ่ากำแพงหิมะหนา ขึ้นรถได้บดินทร์ก็แสร้งทำเป็นหลับไปทันที เพียงเพราะไม่ต้องการสนทนาอะไรเลยแม้สักคำกับดนัย

“หมดค่าแล้วสินะ…เครื่องมืออย่างผมน่ะ”

“...”

ดนัยตัดพ้อขึ้น ทว่ากลับไม่มีเสียงใดตอบออกมา มาเฟียหนุ่มได้แต่นั่งขำให้กับท่าทางของคนข้างกาย ที่จริงเขาควรโกรธที่บดินทร์ที่เอาแต่หมางเมิน ซึ่งเขาก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย แต่เอาเถิด เขายังอยากให้บดินทร์ดื่มด่ำกับอิสรภาพให้เต็มที่ก่อนที่จะถูกยึดมันคืนในไม่ช้า

ดนัยละสายตาจากบดินทร์ในที่สุด เปลี่ยนเป็นมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ การกลับมาคราวนี้นอกจากการกลับมาคืนตำแหน่งในฐานะมังกรคนปัจจุบันของวิษธร หลังจากที่ให้คุณลุงของตนรักษาการแทนมานาน ทั้งยังต้องจัดการธุรกิจตัวใหม่ที่ร่วมทุนกับเจ้าซิน ที่กำลังมีปัญหาทับเส้นกับมิสเตอร์จาง เจ้าพ่อหน้าใหม่ที่คล้ายว่าจะแผ่อำนาจออกมาเรื่อย ๆ และไม่ยอมหลีกทางให้ง่าย ๆ

ไหนจะเรื่องการแต่งตั้ง ‘หงส์’

ดนัยถอนหายใจ เพราะยังมีเรื่องเครียดรอเขาอยู่อีกเป็นภูเขาที่ต้องไปสะสาง การพาบดินทร์ติดมาด้วยในสถานการณ์อย่างนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะนัก อย่างแรกคือความวุ่นวาย ที่ร้ายสุดก็เป็นที่เขาไม่มีเวลาอยู่กับอีกฝ่ายได้เต็มที่เหมือนที่ตั้งใจ

มาเฟียหนุ่มครุ่นคิด จะเลี้ยงนกน้อยในกรงทองคนนี้อย่างไรดีนะ? ที่พยศอยู่แบบนี้มันก็เร้าใจดีอยู่หรอก แต่อยากให้เชื่องด้วยเร็ว ๆ จัง เอาเถิด เขายังมีเวลาอยู่กับนกน้อยของเขาอีกเหลือเฟือ แต่จะฝึกให้เชื่องได้เมื่อไหร่ หรือจะตายคามือเสียก่อนนั้น คงต้องไปลุ้นกันอีกทีในอนาคต

 

++++++++++++++++++++

 

มื้อเย็น ณ ร้านอาหารฝรั่งเศส ชั้นบนสุดของโรงแรมหรู แสงเทียนสว่างไสวที่ประดับประดาดอกกุหลาบสีสวยเข้ากันกับอาหารเลิศรส ทุกจานถูกจัดเตรียมออกมาอย่างสวยงาม และการปรุงรสชาติที่พิถีพิถัน แต่มันคงจะดีกว่านี้มากหากคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยไม่ใช่ดนัย

 

“กินไม่ลงอีกแล้วเหรอคุณ ผอมจะแย่แล้วนะ”

ดนัยทักขณะตักอาหารเข้าปาก สายตาจ้องมองมาทางบดินทร์ไม่ลดละ ใบหน้าคร้ามคมหล่อเหลาฉาบด้วยรอยยิ้มเยาะตรงข้ามกับถ้อยคำห่วงใย พาลให้บดินทร์ยิ่งกินอะไรไม่ลง

ถึงจะได้ยินชัดเจนว่าดนัยถามอะไร แต่บดินทร์ไม่คิดตอบ ปรายตามองผ่านดนัยไปเพียงครั้ง แล้วผินหน้าไปทางหน้าต่างกระจกใสเพื่อมองแสงไฟยามค่ำคืนด้านนอกแทน บรรยากาศระหว่างกันแบบนี้แน่นอนว่าไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก บดินทร์หมางเมินดนัยอยู่ตลอดตั้งแต่ร่วมทางกันมา ต้องพึ่งพา? แล้วมันยังไง หากไม่พอใจจะฆ่าทิ้งเสียตรงนี้บดินทร์ก็ไม่คิดขัดขืน แต่ถ้าจะต้องฝืนใจคอยประจบล่ะก็ ขอตายอย่างสุนัขยังจะสมใจกว่า

“หึ...แหม หลอกใช้เสร็จ ก็ถีบหัวส่งกันเลยนะ”

เห็นสภาพหมางเมินของบดินทร์แบบนั้น ดนัยก็ได้แต่นึกขัน ลูกไก่ในกำมือตัวนี้ ให้ตายก็ไม่ยอมสิ้นฤทธิ์จริง ๆ ดนัยข่มใจตัวเองไว้ จะถือว่าช่วงนี้เป็นช่วงโปรโมชั่นก็แล้วกัน แล้วหลังจากนั้นค่อย…

มาเฟียหนุ่มลอบยิ้มกับตัวเอง นี่บดินทร์จะรู้ตัวบ้างหรือเปล่านะว่าเขาใจดีด้วยแค่ไหน เป็นคนอื่นหากขืนทำตัวรั้น หรือมีทีท่าไม่เกรงกลัวอำนาจกัน มันผู้นั้นย่อมไม่ได้เหลือลมหายใจมานั่งชูคอร่วมโต๊ะกันได้อย่างนี้หรอก

เพราะเป็นสดายุหรือกฤตเมธเคยขอเอาไว้น่ะหรือ?

ก็ยอมรับว่ามีส่วนช่วยอยู่บ้าง แต่บทดนัยจะร้ายเสียอย่างก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาหักล้างได้

เมื่อบดินทร์ยังคงผินหน้าหนี ดนัยก็ถือโอกาสจ้องมองอย่างไม่ลดละ รูปร่างสง่างาม อกผายไหล่ผึ่ง สมกับที่ถูกขัดเกลาบุคลิกภาพมาให้เป็นดาราดาวเด่น แม้ว่านิสัยกับรูปร่างหน้าตาจะสวนทางกันอย่างสิ้นเชิงก็เถอะ

ตัวแทนของสดายุ...คำที่เคยได้ยินหลายคนปรามาสเอาไว้ว่าบดินทร์ตั้งใจจะแทนสดายุให้ได้ แต่ฝีมือดันไม่ถึงขั้น ถึงตรงนี้ดนัยก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าบดินทร์ไม่มีทางแทนที่ของสดายุได้ รายนั้นแม้มีข่าวฉาว ก็ยังมากล้นด้วยเสน่ห์เหลือรับประทาน เสน่ห์ในแบบของสดายุ ที่ใคร ๆ ก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าบดินทร์ไม่มี

ใช่...ในจุดที่ว่าไม่เหมือนกันนั้นดนัยไม่ขอเถียง แต่เรื่องที่ว่าบดินทร์ไม่มีเสน่ห์ อันนี้คงต้องเอามาถกกันอีกที จริงอยู่สดายุมีเสน่ห์ของการเป็นนักแสดงมากมาย เรียกได้ว่าออร่าฟุ้ง ทั้งยังมีเสน่ห์ในเรื่องนิสัยแข็งนอกอ่อนใน ที่ใคร ๆ ต่างก็พากันลุ่มหลง ไม่เว้นแม้แต่กฤตเมธ พ่อพระเอกหนุ่มเนื้อทอง ที่ต้องมนต์เสน่ห์เหลือร้ายของสดายุเข้าไปจนโงหัวไม่ขึ้น

แต่บดินทร์ก็มีเสน่ห์เฉพาะตนเช่นกัน ในข้อนี้ดนัยเป็นพยานให้ได้ ใครไม่รับรู้แต่เขารู้ว่าบดินทร์คนนี้อบอวลไปด้วยเสน่ห์มากมาย…เสน่ห์ของสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่แสนหยิ่งผยองที่แม้ยามจนตรอกก็ยังน่ารักน่าเอ็นดู เสน่ห์ของกลิ่นกายหอมหวานลึกล้ำเสียจนดนัยยังรู้สึกเสพติด นั่นคือเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้บดินทร์ยังคงมีชีวิตรอดปลอดภัยอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าพ่อดนัยคนนี้

 

เกือบสามสัปดาห์ในญี่ปุ่น ดนัยพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาคอยตามใจบดินทร์ราวกับเป็นเจ้าชายก็มิปาน น้ำใจมิเคยหักหาญ อยากได้หรือหมายปองสิ่งใดก็หามาประเคนให้ ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนบดินทร์จะมองไม่เห็นค่าของสิ่งเหล่านั้นเอาเสียเลย มาเฟียหนุ่มแสยะยิ้มกว้างขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าบดินทร์ช่างไม่เห็นหัวเขาเอาเสียเลย รู้สึกเจ็บใจจนอยากหัวร่อออกมา

“นี่...ใจคอคุณจะไม่ขอบคุณผมสักคำเลยหรือไง?”

“...”

เพราะบดินทร์ยังคงเมินมองไปทางอื่น ดนัยจึงร่ายหนี้บุญคุณในครั้งนี้ของตนอย่างนึกสนุก

“ทั้งที่พอรู้ว่าพี่เมธพายุมาอยู่ที่ร้านของแม่ในอาโอโมริ ผมก็รีบพาคุณไปหาทันทีเชียวนะ”

“คุณคิดว่าผมรู้ได้ยังไงกันว่าวันนี้เป็นวันหยุดประจำปีของร้าน ถ้าผมไม่ให้มานพช่วยไปสืบ”

“คุณคิดว่าจะไปที่ร้านของยุถูกได้ยังไง ถ้าผมไม่พาคุณไปทิ้งไว้ที่นั่น”

“คุณคิดว่าถ้าผมไม่ให้คนรู้จักช่วยจัดงานพบปะของสมาคมธุรกิจร้านอาหารไทย จะสามารถจัดการก้างขวางคออย่างพี่เมธได้ยังไง?”

“แล้วคุณคิดว่าคุณแม่กรพิณน์กับพวกคนในร้านจู่ ๆ จะถูกรางวัลใหญ่จนได้ไปล่องเรือทั้งบ้านขนาดนี้ไหม ถ้าผมไม่ยอมจ่าย?”

ดนัยเล่าทุกอย่างออกมาอย่างสบายอารมณ์ พร้อมตบท้ายด้วยคำว่า “แหม่...เงินไม่น้อยเสียด้วยสิ” ขณะนั่งมองปลายมีดหั่นสเต๊กที่ถืออยู่ในมือ

“ไม่เป็นไรนะ จะไม่สำนึกบุญคุณอะไรเลยผมก็ไม่ว่าหรอก เพราะทุกค่าใช้จ่ายผมเอาไปรวมไว้กับบัญชีหนี้ของคุณหมดแล้ว”

“คุณมันขี้โกง!”

ในที่สุดความพยายามของดนัยก็สัมฤทธิผล เพราะทันทีที่พูดถึงยอดหนี้ บดินทร์ก็ดูเหมือนจะหันมาให้ความสนใจกันบ้างแล้ว ชายหนุ่มยิ้มร้าย หัวใจเต้นเร่าเมื่อสามารถไล่ต้อนเหยื่อได้

“เลิกสร้างบุญคุณที่ไม่ได้ขอเสียที!”

และยิ่งยิ้มพึงใจมากขึ้นทุกทีที่ได้เห็นว่าบดินทร์ดิ้นพล่าน ร่างสูงใหญ่วางมีดหั่นสเต๊กลง แล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นกอดอกเอนพิงพนักเก้าอี้ในท่วงท่าที่ยิ่งดูน่าเกรงขาม ท่าทีแบบนั้นหากใครอยู่ตรงหน้าก็ต้องใจฝ่อ ไม่เว้นแม้แต่บดินทร์เอง

“ไม่ได้ขอ…แต่ก็กินเสียเกลี้ยงจานเชียวนะ”

ดนัยเอ่ยมันด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน

เสียงปึงปังดังตามมาไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น พร้อมกับร่างที่ผลุนผลันออกจากเก้าอี้ไปของบดินทร์ ท่ามกลางสายตาของแขกวีไอพีคนอื่น ๆ ในร้าน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ดนัยยี่หระอะไร

“นายครับ”

เป็นมานพที่เข้ามาถามความต้องการหลังจากนี้ของเจ้านายตนว่าจะให้จัดการกับคนไร้มารยาทนั่นอย่างไร

“ไม่เป็นไร ไปเปิดห้องให้คุณบดินทร์ไป”

ทว่าดนัยไม่ว่าอะไร ชายหนุ่มยังอารมณ์ดีกับการได้ยั่วเย้าให้บดินทร์สติแตก นายใหญ่สั่งบอดี้การ์ดคนสนิทให้ไปเปิดห้องให้บดินทร์แทนการลากไปซ้อมสั่งสอน

มานพรับคำทำตามแต่โดยดี ก่อนหันตัวเดินตามบดินทร์ออกไป ทิ้งเจ้านายที่ยังคงนั่งจิบไวน์ราคาแพงอย่างสบายอารมณ์ไว้กับเพื่อนบอดี้การ์ดที่เหลือ สีหน้านายใหญ่ดูสนุก ซึ่งมานพรู้ดีว่าเพราะนายเขาได้เจอของเล่นที่ถูกใจ แม้มานพจะไม่ชอบกิริยาไม่สำรวมของบดินทร์นัก แต่หากนายท่านไม่ว่า เขาก็จะไม่ทำอะไร แล้วอดใจรอให้ถึงวันที่เจ้านายจะลงทัณฑ์มันด้วยความอำมหิตอย่างร้ายกาจแทน

ดนัยมองลูกน้องเดินจากไป ก่อนจะหันมาสนใจแก้วไวน์ราคาแพงตรงหน้า หยิบมันขึ้นมาแกว่งช้า ๆ ให้รสไวน์แตกซ่านในแก้วใส ก่อนจะเหยียดยิ้มบาง แล้วรำพึงขึ้นมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแสนเยียบเย็น

 

“กอบโกยให้เต็มที่เสียบดินทร์ เพราะหลังจากพรุ่งนี้ไป...ผมจะทวงคืนจนคุ้มเชียว”

 

******************************

 

ตามชื่อนิยายเลยค่ะ ‘ตัวร้าย’ ดูไม่ออกบอกไม่ถูกเลยว่าใครกันแน่ที่ร้ายกว่า

ในเมื่อดนัยกับบดินทร์เองก็กำลังแข่งกันอยู่ ว่าใครจะเผลอใจก่อนกัน

เราเองก็มาแข่งกันหน่อยดีไหมคะ ว่าใครจะทนได้มากกว่ากัน 555

คนอ่าน : ทนรอฉากหวาน ที่เขาเริ่มมุ้งมิ้งกัน

คนเขียน : ทนโดนด่า เพราะกว่าฉากนั้นจะมา...โอ้ย...โอ้ย

ปล. ใครมีผมคือ…นางเอกอยู่ในมือ จะรู้เลยว่า ส่วนหนึ่งของตอนนี้เป็น Part หนึ่งของตอนพิเศษตอนหนึ่งด้วย อิอิ

 

*คำเตือน*

ขอเน้นย้ำอีกครั้ง ว่านิยายเรื่องตัวร้ายนี้ ไม่มีนางเอกเหมือนเรื่องก่อนนะคะ

ไม่มีพระเอกที่แสนดีอย่างที่ลุงเมธเป็น

ไม่มีนางเอกที่แสนทรนงและยึดมั่นในความถูกต้องอย่างน้องยุ

ไม่มีคู่โลกสวยเหมือนเจ้าพอร์ชและเจ้าหนูรุจน์

ในเรื่องนี้มีแต่ความ ‘ร้าย’ เน้นย้ำๆ ว่า ‘ร้าย’ เท่านั้นค่ะ

ใครจะร้าย ใครจะเจ็บ ใครจะแสบกว่ากัน อันนี้ต้องมาคอยลุ้นนะคะ

ส่วนเรื่อง ดราม่านั้น...แน่ยิ่งกว่าแน่จ๊า แต่จะดราม่าคู่ไหนบ้าง...อ่ะ ต้องไปรอลุ้นกันอีกแล้ว อิอิ

 

ขอบคุณที่ยังติดตามกันนะคะ

ช่วงนี้อาจล่าช้าหน่อยเพราะอนาคีกำลังติดงานสำคัญ แต่ช่วงต้นเดือนหน้าน่าจะมาถี่ๆ ให้ได้จ๊า

 

รักเสมอ

อนาคี99


หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 14 กรงทอง PART 1 [21 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 21-02-2024 02:16:16

14 กรงทอง PART 1


อเมริกา เดือนมกราคม ปี 2012

หลังการเดินทางอันยาวนาน ในที่สุดบดินทร์ก็ถูกพาตัวมาไว้ที่บ้านกลางป่าขาวโพลนแห่งหนึ่งในเมืองฟอร์ก เมืองเล็ก ๆ ของรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา บดินทร์ได้แต่แอบแปลกใจที่รังของดนัยมันแตกต่างจากรังมาเฟียที่เคยจินตนาการไว้ เขาคิดเสมอว่าบ้านของคนที่เป็นทั้งดาราตำแหน่งหัวหน้ามาเฟียอเมริกาอย่างดนัยจะต้องอยู่บนหอคอยงาช้างกลางมหานครนิวยอร์ก มีระเบียงห้องเป็นกระจกทั้งบานโชว์วิวเมืองมุมสูงที่มองเห็นเทพีเสรีภาพอยู่ลิบ ๆ แต่นี่กลับเป็นแค่บ้านเดี่ยวท่ามกลางป่าลึกในรัฐวอชิงตันอันห่างไกล ถึงตัวบ้านจะใหญ่สมกับที่คิดไว้ก็เถอะ

เมื่อรถลุยหิมะขับมาจอดอย่างปลอดภัยในโรงจอดรถของบ้านแล้ว บดินทร์ก็ได้แต่เดินตามดนัยเข้าด้านในเงียบ ๆ หัวใจชายหนุ่มเต้นแรงขึ้นทุกย่างก้าวเบื้องหลังของผู้นำที่ตอนนี้ถือได้ว่าเป็นเจ้าของชีวิต

อะไรรอเขาอยู่กันแน่นะ?

บดินทร์ได้แต่คิดในแง่ร้าย แล้วกล้ำกลืนมันลงคอไปเพื่อไม่ให้แสดงออกมาจนน่าสมเพช

“ยินดีต้อนรับสู่รังแห่งวิษธร”

ทันทีที่ก้าวเข้าห้องโถงชั้นสองของตัวเรือน ดนัยก็หันมากล่าวคำต้อนรับพร้อมรอยยิ้มอย่างมิตร ขณะที่มีบริวารช่วยถอดเสื้อโค้ตให้อย่างนอบน้อม

บดินทร์ขมวดคิ้ว แล้วจัดการถอดชุดคลุมของตัวเองออกบ้าง เพราะอากาศที่อุ่นกำลังดีในห้อง เสื้อโค้ตหนาจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ยังไม่ทันที่บดินทร์จะได้ทำอะไร บริวารอีกคนของดนัยก็เข้ามาช่วยจัดการดูแลถอดเสื้อไปเก็บให้ด้วยความนอบน้อมไม่ต่าง ถูกปรนนิบัติอย่างใส่ใจแบบนั้นเข้าไปบดินทร์ก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อน รู้สึกประดักประเดิดที่ถูกดูแลถึงขั้นนี้

“นั่งพักก่อนนะ เดี๋ยวทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้วผมจะพาไปดูห้อง”

“...”

ดนัยยังคงดูแลดิบดี แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้บดินทร์รู้สึกดีขึ้น แต่ก็หย่อนตัวลงนั่งลงบนโซฟากลางห้องราวตุ๊กตาที่ทำตามคำสั่ง ท่าทางแบบนั้นทำให้ดนัยได้แต่ส่ายหน้า มาเฟียหนุ่มหัวเราะในคอเบา ๆ สืบเท้าเข้าใกล้บดินทร์ที่นั่งอยู่จนปลายเท้าแนบชิด ก่อนจะโน้มลงไปหาคนที่นั่งขมวดคิ้วมุ่นจนใบหน้าห่างกันแค่คืบเดียว แม้อีกฝ่ายจะพยายามเบี่ยงกายหลบ แต่ก็ถูกแขนข้างหนึ่งของผู้เป็นใหญ่ขวางกั้นเอาไว้ จนต้องนั่งนิ่งงันอยู่แบบนั้น

“นี่ดิน...ทำตัวว่าง่ายหน่อยสิ ผมไม่ได้ใจดีแบบนี้ตลอดหรอกนะ”

“ให้นั่งก็นั่งแล้ว ผมเผลอไปขัดคำสั่งตอนไหนเหรอ?”

แม้จะถูกดนัยข่มขู่ แต่บดินทร์เองสามารถจ้องตากลับไปได้อย่างไม่ยอมแพ้ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมคนทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่ง ความดื้อแพ่งแบบนั้นทำให้ดนัยถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงผละออกไปพร้อมรอยยิ้มที่ไม่สามารถระบุความหมาย ไม่มีใครรู้ว่าในหัวใจนายใหญ่กำลังพยายามอย่างยากลำบาก ที่จะอดกลั้นไม่เผลอเอื้อมมือไปทำอะไรบางอย่างกับคนตรงหน้า

“ผมว่าคุณคงต้องเรียนรู้อะไรเสียหน่อยแล้วล่ะ”

“...”

ดนัยพูดขึ้นก่อนจะหันไปใช้ลูกน้องให้ไปเรียกใครสักคนเข้ามา

“ไปตามธันวามา”

เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นคนที่น่าจะเป็น ‘ธันวา’ ก็เดินเข้ามา คนมาใหม่โค้งให้นายของตัวเองทันทีที่มาถึง

‘ตัวเล็ก’ คือความคิดแรกที่บดินทร์มีต่อผู้มาใหม่ ธันวาคนนั้นดูเหมือนจะตัวเล็กกว่าเขาหน่อย ส่วนสูงไม่น่าเกิน 170 เป็นผู้ชายร่างเล็ก ผิดกับพวกบอดี้การ์ดประจำตัวของดนัยอยู่โข

ผู้ดูแลบ้านสินะ? บดินทร์จึงตัดสินไปแบบนั้นตามที่ตาเห็น

“นี่คือธันวา” ดนัยแนะนำ “เขาจะเป็นผู้ดูแลคุณนับจากวันนี้เป็นต้นไป”

ทันทีที่ถูกแนะนำตัว คนที่ชื่อธันวาก็หันมาโค้งให้บดินทร์หนึ่งครั้งแทนคำทักทาย ก่อนจะหันไปยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งต่อไป

“พาคุณดินไปพักรอที่ห้องไป แล้วพาลงมาเมื่อโต๊ะอาหารพร้อม” ดนัยสั่งห้วน

“ครับนาย เชิญครับคุณดิน” ธันวารับคำแล้วหันมาเรียกให้บดินทร์ตามตนไป

บ้านไม้ดูกว้างขวาง ภายในติดแสงไฟสีนวลตาดูอบอุ่น ดูเป็นบ้านหลังใหญ่มากกว่ารังของเจ้าพ่อตัวร้าย บดินทร์กวาดสายตามองไปเรื่อยขณะเดินตามลูกน้องของดนัยไปยังที่ที่ได้รับคำสั่งให้พัก

จากนี้ไปเขาต้องอยู่ที่นี่สินะ

บ้านแสนสวยที่เบื้องหลังของมันไม่ต่างจากกรงขัง

กรงขัง...ที่เขาเป็นคนสมัครใจเดินเข้ามาเอง

“ถึงแล้วครับ กระเป๋าอยู่ที่ด้านในแล้ว เชิญครับ”

ธันวาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุภาพประดับใบหน้าอ่อนเยาว์ บดินทร์ขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่เห็นภายในห้องที่ผู้ดูแลแนะนำให้ ความโอ่โถงของห้องนี้ ไม่น่าจะใช่ห้องที่เตรียมไว้เพื่อเขาเพียงคนเดียวเป็นแน่

บดินทร์หันมาถามธันวาเสียงเครียด

“นี่ห้องใคร?”

“ห้องนายครับ นายบอกว่าคุณคือคนพิเศษ ให้อยู่ร่วมห้องกับนาย”

แน่นอนว่าคำตอบจากอีกฝ่ายย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกอยากต่อรองเพิ่ม

“แล้วถ้าฉันอยากได้ห้องส่วนตัวล่ะ? พอดีว่า…ไม่สะดวกอยู่ร่วมกับใคร”

คำถามตรงไปตรงมา ทำให้ธันวาเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของผู้ดูแลยังคงรอยยิ้มไว้เช่นเดิม แม้แววตาจะไม่ได้ให้ความรู้สึกเป็นมิตรเลยก็ตาม

“ผมว่า...อย่าขัดใจนายท่านจะดีกว่านะครับ”

ธันวาตอบสั้น ๆ ก่อนค้อมตัวลงตามมารยาทเพื่อขอตัวออกจากห้องไป ถึงตอนนั้นต่อให้บดินทร์อยากเถียง ก็ทำได้เพียงยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องที่ไม่คุ้นเคย

นั่นสินะ...

เขามันก็แค่เหยื่อในรังอสรพิษ จะไปคิดขอความช่วยเหลือจากใครได้ หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างสมบูรณ์

เมื่อเหลือตัวคนเดียวในห้องกว้าง บดินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจ

‘คุณเข้าใจไม่ผิดหรอกดิน

‘งานที่ผมพาคุณมาทำที่นี่...’

‘คือการเป็นผู้หญิงของผม’

บดินทร์เม้มริมฝีปากแน่น เกลียดเสียยิ่งกว่าอะไรแต่ก็หนีไปไหนไม่รอด ย้อนคิดถึงช่วงหนึ่งที่ชีวิตเคยรุ่งโรจน์ ไม่คิดเลยว่ามันจะพลิกผันมาถึงขั้นนี้…วันที่ต้องขายตัวแลกเงิน

ร่างสูงถอนหายใจยาว ก่อนจะหัวเราะให้กับความน่าสมเพชเวทนาของตน นี่ยังถือว่าโชคดีที่แม้ตัวเปล่า ๆ ก็ยังมีราคาค่างวดหรือเปล่านะ

เฮ้อ..ไอ้ดินเอ้ย

ก็ได้แต่คิดเรื่อยเปื่อย หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาชุดงาม แล้วปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อย ๆ ในเมื่อยังไม่รู้ว่าควรทำอะไรในยามนี้ สิ่งที่พอทำได้ก็คือการอยู่อย่างสงบเสงี่ยม กวาดตามองไปรอบ ๆ ก็พบว่าห้องกว้างถูกจัดไว้อย่างสวยงาม ทั้งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าทึบที่มีหิมะสุมหนา แต่ด้านในกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตร เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อย ผสมผสานความสง่างามและความสะดวกสบายที่ลงตัว คงเพราะถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าทำให้ทั้งบ้านมีกลิ่นอายของธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ หน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่กว้างจนเห็นทัศนียภาพอันงดงามยามหิมะโปรยปรายด้านนอกนั้น ก็ยิ่งช่วยเสริมสุนทรียภาพในการอยู่อาศัย ช่างเป็นความงามที่ยากปฏิเสธ

บดินทร์ปล่อยหัวใจเลื่อนลอยไปกับภาพตรงหน้า นี่คงเป็นความสามารถพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่เขาเชี่ยวชาญ

ความสามารถ…ในการหนีความจริง



ก็อก ก๊อก

“คุณดินครับ อาหารตั้งโต๊ะแล้ว นายให้มาเชิญคุณไปร่วมโต๊ะด้วยครับ”

เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ใครคนนั้นไม่ได้เปิดประตูเข้ามา เพียงแค่พูดมาจากอีกฝั่งของบานประตู คนที่นี่ดูมีมารยาทเพราะท่าทางเจ้าบ้านคงระเบียบจัดไม่หยอก บดินทร์นึกเยาะ ก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูอย่างว่าง่าย

“เชิญครับ”

คนที่มารับเขาคือธันวาคนเดิม ชายหนุ่มเดินนำหน้าพาไปยังห้องทานอาหาร บดินทร์ลอบสังเกตอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง มองแล้วก็คงมีฝีไม้ลายมือพอตัว เพราะถึงตัวจะเล็กแต่กล้ามเนื้อที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้ชุดสูทสีดำนั่นก็คงสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ไม่ยาก

“นายคือคนที่หมอนั่น เอ่อ…คุณดนัยส่งมาคุมความประพฤติฉันเหรอ?”

บดินทร์ถามออกไปตรง ๆ เพราะถ้าใช่ เขาก็จะได้ทำใจยอมรับ เอาเข้าจริงตอนนี้จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นขอแค่ไม่ใช่ไอ้หมาบ้ามานพนั่นเป็นพอ เพราะรายนั้นคงหักคอเขาตายตั้งแต่วันแรก!

ธันวาหันมายิ้มเล็กน้อย ก่อนเดินนำไปต่อ

“เปล่าคุมครับ นายท่านเขาแค่ให้ผมมาช่วยดูแลคุณเท่านั้น”

“ต่างกันตรงไหน?”

“ก็ตรงที่ผมอาจเป็นมิตรกับคุณมากกว่าที่คิดยังไงล่ะครับ”

ธันวาตอบแค่นั้นซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เดินมาถึงห้องอาหาร ชายหนุ่มค้อมตัวลงเพื่อผายมือให้บดินทร์เดินเข้าไปในห้องนั้นเพียงลำพัง

บ้านไม้เข้ากับไฟสีเหลืองนวลดูอบอุ่น ในห้องอาหารถูกจัดแต่งเอาไว้อย่างดี มีโต๊ะตัวใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ประดับประดาด้วยเชิงเทียนและดอกไม้สวยงาม ทุกอย่างดูประณีตไปหมด แต่กลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกน่าอึดอัด

“นั่งสิครับ”

ดนัยผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยเชื้อเชิญ โต๊ะกว้างใหญ่ แต่นั่งกันเพียงแค่ 2 คน โดยที่นั่งของบดินทร์ถูกจัดไว้ตรงหัวโต๊ะอีกฝั่ง ตรงข้ามกับผู้เป็นเจ้าบ้าน เพียงแค่บดินทร์หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีผู้ดูแลเลื่อนให้ อาหารก็ถูกลำเลียงมาเสิร์ฟตรงหน้าตามลำดับ อาหารหน้าตาน่าทานก็จริง แต่ความเป็นระเบียบแบบแผนไปเสียหมดทุกขั้นตอนนี้ กลับทำให้บดินทร์รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาแทน จากที่ปกติก็กินอะไรไม่ลงอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งทำให้อยากขย้อนของเก่า

“อาหารไม่ถูกปากเหรอ ทำหน้าเหมือนอยากคายของเก่าเลยนะคุณ”

“...”

ดนัยทักขึ้น เพราะเห็นว่าบดินทร์ไม่ยอมหยิบจับอะไรกินเสียที คำพูดธรรมดาแต่เมื่ออยู่ถูกที่ถูกทางมันก็ดูทรงพลังขึ้นมา บดินทร์ไม่ได้ตอบ ไม่แม้แต่จะมองไปยังคนถามเสียด้วยซ้ำ เมื่อโดนทักเขาก็แค่หยิบช้อนขึ้นตักซุปเข้าปาก ตามด้วยของอื่น ๆ ที่ทยอยมาเสิร์ฟ ยัดเข้าไปทั้งที่ไม่ได้หิว

“นี่”

“...!?”

แต่เพียงครู่ก็ถูกดนัยที่ไม่รู้เดินมายืนอยู่ข้างกันตั้งแต่เมื่อไหร่คว้ามือขวาของเขาไว้

“ถ้าจู่ ๆ มันจะอร่อยถูกปากขึ้นมา ก็ไม่เห็นต้องรีบกินขนาดนั้นก็ได้นะ ผมยังมีอะไร ๆ ให้คุณกินได้อีกเยอะ”

“ตกลงจะเอายังไง? ต้องการให้กิน หรือไม่ให้กินกันแน่?”

บดินทร์ถามเสียงแข็ง แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกจากการเกาะกุม

คำถามแบบนี้ใครฟังก็รู้ว่าตั้งใจจะกวนอารมณ์กัน แต่นั่นกลับทำให้ดนัยได้หัวเราะออกมา

“โธ่ดิน คุณจะไม่ดื้อกับผมสักนาทีไม่ได้เลยเหรอ หืม?”

“ผมอิ่มแล้ว”

โดนคำหยอกเข้าไป บดินทร์ก็ไม่คิดเสวนาต่อ เขาดึงมือตัวเองกลับมา ตั้งท่าจะลุกจากโต๊ะอาหาร แต่กลับถูกดนัยหยุดเอาไว้

มาเฟียหนุ่มโน้มกายลงไปเท้าแขนคร่อมร่างของคนที่เอาแต่ดึงดันไว้

“นี่ดิน ความอดทนของผมมันไม่ได้เยอะนักหรอกนะ”

“แล้วไง...จะซ้อมกัน ผมก็ไม่ได้ขัดนี่” บดินทร์ท้าทาย

“ซ้อม?” ดนัยเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะออกมา “หึ หึ...ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก ผมถนอมคุณจะแย่”

พูดพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยข้างแก้มนิ่มของบดินทร์เล่น เพื่อเป็นหลักฐานรับรองคำพูดที่ว่า ‘ทะนุถนอม’

“!!?”

บดินทร์รีบผินหน้าหลบ แต่กลับถูกดนัยตะปบปลายคางไว้ด้วยปลายนิ้วเดิมที่แข็งแกร่งราวคีมเหล็ก

“อีกอย่างนะ ถึงไม่ซ้อม ผมก็วิธีที่จะใช้ลงโทษคนดื้อแบบคุณได้อีกเยอะ”



++++++++++++++++

ขู่เก่งงงงง พอพาเขามาถึงรังได้ ข่มใหญ่เชียวพ่ออออ

หัวข้อ: Re: ผมคือตัวร้าย : ตอนที่ 15 กรงทอง PART 2 [24 ก.พ. 67]
เริ่มหัวข้อโดย: thearboo ที่ 24-02-2024 04:27:39


15 กรงทอง PART 2


“อีกอย่างนะ ถึงไม่ซ้อม ผมก็วิธีที่จะใช้ลงโทษคนดื้อได้อีกหลายวิธี”

บดินทร์ชะงักไปเล็กน้อยกับคำขู่ของดนัย แต่กลับไม่ได้รู้สึกว่าคำขู่นั้นมันน่ากลัวตรงไหน ไม่รู้สิ อาจเพราะช่วงนี้หัวใจของเขามันด้านชาแปลก ๆ

“ถูกของคุณครับ ผมก็แค่คนที่ถูกซื้อมา…ไม่ว่าจะโดนมอบโทษทัณฑ์แบบไหนให้ ก็ต้องยินดีรับมันทั้งนั้น”

คราวนี้เป็นดนัยเองที่ต้องเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง ไม่ใช่เพราะคำพูดของบดินทร์หรอกที่ทำให้เขารู้สึกยอกในใจ แต่เป็นเพราะดวงตาชาชืดของอีกฝ่ายต่างหาก บดินทร์มองเขาด้วยดวงตาที่ราวกับเป็นแค่ลูกแก้วเปล่า ๆ ที่ไร้ความรู้สึก

“...ใช่ ในเมื่อคุณเองก็รู้ดีอยู่แล้ว เพราะงั้นผมคงไม่ต้องเกรงใจแล้วสินะ”

“...”

ดนัยยิ้มเหี้ยม ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงถูกบดินทร์ยั่วยุง่ายนัก อาจเพราะอารมณ์ที่ค้างเติ่งมาหลายวันจากการพยายามทำตัวเป็นคนดี หากอีกฝ่ายไม่ยอมเห็นค่ากันแบบนี้ แล้วจะผิดอะไรถ้าเขาจะ…

“ถ้าอิ่มแล้วก็กลับห้องไปเตรียมตัวซะ เพราะผมจะให้คุณได้เริ่มงานตั้งแต่คืนนี้เลย!”

“!!...”

พูดจบก็เดินออกจากห้องทานอาหารไปทันที ทิ้งให้คนที่แสร้งทำใจแข็งได้แต่สะดุดลมหายใจของตัวเอง

 

ดนัยได้แต่สะกดความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ในใจขณะทิ้งบดินทร์ไว้ข้างหลัง ทิ้งความตั้งใจที่จะทำดีกับอีกฝ่ายไปหมดเลยด้วย ทั้งที่ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาอุตส่าห์คอยตามใจสารพัด ให้เวลา ให้พื้นที่ ให้อิสระเท่าที่จะสามารถให้ได้ ทำดีด้วยขนาดนั้นแท้ ๆ อีกฝ่ายกลับไม่เห็นแม้เพียงเศษเสี้ยวถึงความหวังดีที่เขาหยิบยื่นให้

แถมยัง...

เหยียบขยี้ความรู้สึกของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี

“พอที!”

มาเฟียหนุ่มสบถออกมาเบา ๆ รับซิการ์จากสาวรับใช้ขึ้นมาสูบเพื่อให้ความเฝื่อนขมของมันช่วยให้สมองได้ผ่อนคลายขึ้น ถึงอย่างนั้นหัวใจขุ่นข้องก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องของคนดื้อที่เลี้ยงดีไม่เชื่อง

“ขอโทษนะพี่เมธ ผมคงทำดีแบบที่พี่เคยสอนไม่ได้เสียแล้วล่ะ”

“ขอโทษนะยุ เพื่อนนายมันร้ายเกินไปว่ะ เราคงถนอมให้อย่างที่เคยรับปากไม่ไหวหรอก”

ดนัยพูดผ่านอากาศ สำนึกผิดกับเพื่อนสองคนที่เคยให้คำมั่นไว้ว่าจะดูแลบดินทร์อย่างดี เพราะเขาคงทำมันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

เอาชนะหัวใจไม่ได้ ก็บังคับให้อยู่ด้วยกันเสียเลย!

 

+++++++++++++++++

 

‘ถ้าอิ่มแล้วก็กลับห้องไปเตรียมตัวซะ เพราะผมจะให้คุณได้เริ่มงานตั้งแต่คืนนี้เลย!’

คำสุดท้ายที่ดนัยทิ้งไว ราวคมมีดที่กรีดแทงในหัวใจของบดินทร์ซ้ำ ๆ ด้วยความกังวลทำให้บดินทร์เอาแต่นั่งนิ่งพลางขบกัดปลายนิ้วโป้งของตัวเองไปด้วย ตลอดระยะเวลาที่อยู่ร่วมกับดนัยมาแม้จะเคยถูกอีกฝ่ายหยอกเล่นอยู่หลายครั้ง แต่ในคราวนี้เขารู้ดีว่าดนัยพูดจริง!

“เดี๋ยวผมไปรองน้ำอุ่นให้นะครับ”

“...!”

จู่ ๆ ธันวาก็พูดขึ้นมา ทำเอาบดินทร์ที่กำลังวิตกจริตถึงกับสะดุ้งหวือ

“ตอนนี้ข้าวของของคุณดิน คงถูกจัดเข้าตู้เรียบร้อยแล้ว เชิญพักผ่อนตามสบายสักครู่นะครับ แล้วผมจะมาเรียก”

ขนาดเห็นว่าบดินทร์หน้าซีดแล้วซีดอีก ธันวาก็ยังคงยิ้มระรื่นเหมือนเป็นแค่หุ่นยนต์พ่อบ้าน ไร้ความรู้สึกนึกคิด

“ไม่ต้อง” แต่บดินทร์รั้งไว้เสียก่อนที่ธันวาจะทันก้าวออกจากห้องอาหาร “เดี๋ยวฉันจัดการเอง ขอฉันอยู่คนเดียวแล้วกัน”

พูดแค่นั้นก็รู้เรื่อง ธันวาค้อมตัวลงรับคำเป็นอย่างดี แล้วผายมือให้บดินทร์เป็นผู้ออกจากห้องไปก่อน ด้วยหน้าตาที่ประดับรอยยิ้มไร้อารมณ์เช่นเดิม

“เก่งนี่”

ทว่ายังไม่ทันที่บดินทร์จะก้าวพ้นห้องอาหาร ก็ต้องชะงักกับคำพูดของคนที่ก้าวเท้าเข้ามาดักหน้าไว้ บดินทร์กลอกตาครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้าของคำแสลงหูนั้นเป็นใคร

…เจ้าหมาบ้ามานพ คนเดียวในบ้านหลังนี้ที่เกลียดเขาเข้ากระดูก!

“อะไร?”

“คุณรู้ว่านายท่านชอบเอาชนะ คุณก็เลยท้าทายให้เขารู้สึกสนุกและหลงใหลคุณมากขึ้น”

“แล้วไง?”

มานพแค่นคำอธิบายออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้จะเป็นมิตรนัก ในขณะที่บดินทร์เองก็ยืดตัวตรง เชิดหน้าขึ้นตอบกลับอย่างท้าทาย

“คุณคนแรกหรอกนะที่ทำเรื่องพรรค์นี้ ขอบอกไว้ก่อน ถึงวิธีนี้มันจะได้ผล แต่มันก็ไม่นานหรอก”

“ก็คอยดูเอาเองแล้วกัน มันอาจนานพอให้หมาบางตัวอกแตกตายไปก่อนก็ได้”

“หึ หึ...ผมไม่ตายง่าย ๆ หรอก ผมอยู่ทันวันที่คุณร่วงเป็นดอกไม้ริมทางแน่!”

ต่างคนต่างยอกย้อนเจ็บแสบ แม้บดินทร์จะไม่ได้ต้องการตำแหน่งอะไรจากดนัย แต่ก็ไม่อยากแสดงว่าอ่อนแอกว่าให้มานพเห็น

“แต่คุณดินเป็นคนเดียวที่นายท่านพามาอยู่ด้วยที่นี่ครับ”

“...?”

“...”

ถ้อยคำเชือดเฉือนที่สาดใส่กัน ในที่สุดก็ถูกหยุดลงด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวจากคนที่ยืนนิ่งเป็นตัวประกอบอยู่นาน ทันทีที่เสียงนุ่มนั้นพูดจบ ทั้งมานพและบดินทร์ก็หันไปมองที่ธันวากันเป็นตาเดียว

บดินทร์มองมาด้วยความสับสน

แต่มานพกำลังมองจ้องด้วยความกรุ่นโกรธ

“กลับห้องเถอะครับคุณดิน อย่าเสียเวลาอยู่แถวนี้เลยครับ”

ธันวาแทรกตัวมาระหว่างคนทั้งคู่ แล้วผายมือเชื้อเชิญให้บดินทร์รีบกลับไปที่ห้องนอน ก่อนพูดประโยคสุดท้าย ที่สามารถเรียกรอยยิ้มของบดินทร์ออกมาได้ในที่สุดด้วย

“หมาบ้าที่นายเลี้ยงไว้มันเกเรน่ะครับ กัดไม่เลือกเท่าไหร่ อย่าติดใจถือสามันเลยครับ”

ธันวาพูดพลางยิ้มให้บดินทร์ในเชิงรู้กัน ก่อนที่บดินทร์จะเดินละออกมาตามสัญญาณมือที่ธันวาส่งให้ ถึงตรงนี้ใจของบดินทร์เริ่มชื้นขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อย ๆ เขาก็เหมือนได้เจอเพื่อน ไม่สิ…เจอไม้กันหมาบ้าต่างหาก

ไม่แน่ว่าธันวาก็อาจไม่ได้เลวร้ายนัก หากต้องอยู่ที่นี่อีกยาวล่ะก็ คนคนนี้แหละที่บดินทร์คิดจะผูกมิตรด้วย

 

+++++++++++++++++

 

“เปลี่ยนสีเป็นกิ้งก่าเลยนะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าคนที่คุ้มกะลาหัวของมึงอยู่เป็นใคร?”

“ผิดตรงไหนล่ะ? เราเป็นลูกน้องนี่ ใครที่นายชอบ เราก็ต้องชอบด้วยเป็นธรรมดา มันเป็นกฎธรรมชาติ”

ลับแผ่นหลังของบดินทร์ไป มานพก็หันกลับมาเล่นงานเพื่อนร่วมงานของตัวเองทันที แต่ธันวากลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำปรามาสนั้น ชายร่างเล็กเพียงไหวไหล่น้อย ๆ พร้อมกล่าวอ้างเหตุผลอันสมควร

มานพไม่ตอบโต้อะไรอีก นอกจากยืนมองธันวาตาคว่ำ

“เถียงไม่ได้ล่ะสิ ไอ้หมาหวงนาย…!!?”

ธันวายิ้มร้าย เดินผ่านมานพไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะโกรธจนหน้าง้ำหน้างอแค่ไหน แต่ในวินาทีที่กำลังจะพ้นตัวอีกฝ่ายไป กลับถูกมานพคว้าคอเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว

“ถ้านายท่านไม่ขอเอาไว้ กูคงหักคอมึงไปแล้ว” มานพเค้นคำ ก้มมองคนที่ตัวเล็กกว่ามากด้วยแววตาวาวโรจน์

แต่ดูเหมือนธันวาจะไม่ได้ตกใจกลัวอะไร

“เออ แล้วมึงกล้าขัดคำสั่งนายท่านไหมล่ะ? หึ หึ” ธันวาท้าทาย “ถ้าไม่ ก็ปล่อยมือซะ!”

สองสายตาที่กำลังสบประสานราวมีประจุไฟฟ้านับแสนโวลต์แล่นแปลบปลาบระหว่างกัน หมารับใช้สองตัวที่กินนอนอยู่คอกเดียวกันแต่กลับเกลียดกันเสียยิ่งกว่าเป็นศัตรูร่วมชาติ

ทั้งที่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นพี่น้องร่วมสาบานที่รักใคร่กันมากกว่าใครแท้ ๆ

“ชิ!”

มานพสบถ ปล่อยมือออกจากคอของธันวาอย่างแรง เหวี่ยงจนคนตัวเล็กกว่าปลิวถอยหลังไปหลายก้าว แต่เมื่อมันตั้งหลักได้ ก็ยังอุตส่าห์ส่งยิ้มกวนประสาทมาให้ มานพเกลียดธันวายิ่งกว่าอะไร ยิ่งเจ็บใจที่ไม่สามารถแตะต้องเพราะนายเหนือเคยออกปากขอเอาไว้ และมันก็เหมือนหนามยอกใจของบอดี้การ์ดคนนี้เรื่อยมา

เมื่อทำอะไรไม่ได้ มานพก็เดินจากไปด้วยความหงุดหงิด ทิ้งไว้เพียงธันวาที่พอลับหลังของมานพแล้วใบหน้ายิ้มเยาะนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง

 

+++++++++++++++++

 

น้ำอุ่นจากฝักบัวไหลลงสู่ร่างที่กำลังเกร็งทื่อจากความตึงเครียดสะสม พรายน้ำเป็นสายที่ไหลพรมอยู่บนร่างกายนี้แม้พอจะช่วยให้คลายความเหนื่อยล้าได้บ้าง แต่หัวใจกลับหนักอึ้งยิ่งกว่าเก่า

พอกลับมาถึงห้องแล้วพบว่าข้าวของถูกจัดไว้เรียบร้อย บดินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจ จะนั่งแช่รอเวลาก็พาลเครียดหนักขึ้นเปล่า ๆ สุดท้ายเลยตัดสินใจเข้ามาอาบน้ำ ไหน ๆ ก็ได้รับคำสั่งมาให้เตรียมตัว เขาก็ควรต้องตามใจพระเดชพระคุณท่านให้เสร็จสิ้น

‘เริ่มงานตั้งแต่คืนนี้’ คืออะไร ไม่ต้องตีความหมาย ก็เข้าใจ

‘คุณเข้าใจไม่ผิดหรอกดิน’

‘งานที่ผมพาคุณมาทำที่นี่...’

‘คือการเป็นผู้หญิงของผม’

คำพูดในวันนั้นของดนัยยังคงชัดเจนฝังหัว แค่คิดถึงมันบดินทร์ก็สั่นสะท้านขึ้น นี่เขาไม่ได้อาบน้ำอุ่นอยู่หรือไร ทำไมจู่ ๆ มันถึงได้หนาวเสียดไปทั้งร่างได้แบบนี้เล่า?

“นี่...อาบนานขนาดนั้น คงสะอาดหมดจดทุกซอกทุกมุมแล้วใช่ไหม?”

“...!!?”

เมื่อช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดมาเยือน พอได้ยินเสียงเตือนจากผู้เป็นเจ้าของ บดินทร์ก็หลับตาลงเพื่อฝืนหายใจให้ปกติที่สุด เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วพบเข้ากับดนัยในสภาพเปลือยเปล่า ขอบตาของบดินทร์ก็คล้ายจะร้อนผ่าวขึ้น

ร่างกำยำสูงใหญ่ราวรูปสลักของคนดนัยอยู่ใกล้ตาเสียจนอดตกใจไม่ได้ รูปร่างเปลือยเปล่าของฝ่ายนั้นที่บดินทร์เพิ่งเห็นชัดเต็มสองตาครั้งแรก ร่างกายที่เพียบพร้อมเต็มไปด้วยความงดงาม ช่วงไหล่กว้างกำยำ แผงอกหนา กล้ามเนื้อหน้าท้องและช่วงเอวที่สมส่วน

ไม่เว้นแม้แต่…

“มะ...มีอะไร?” บดินทร์กัดฟันถามออกไป ขณะรีบหลบสายตาจากส่วนกลางร่างกายของอีกฝ่ายที่ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ร่วมเดือนแล้วที่ไม่ได้มีอะไรกันหลังจากหัวหินคราวนั้น ทั้งที่ตั้งใจว่าจะขอทำใจอีกสักพัก แบบนี้มันกะทันหันเกินไปแล้ว!

เห็นท่าทางลนลานของบดินทร์เข้า ดนัยก็เหยียดยิ้มร้ายกาจ ‘กลัวเป็นแล้วเหรอ? ’

“งานแรกของคุณไง”

“ตะ...แต่ในนี้มัน...”

“หมดเวลาที่ผมต้องรอแล้ว”

 

++++++++++++++++++++++

ดนัยสูง 192 เซ็นติเมตร (สูงเท่ากับกฤตเมธ)

บดินทร์สูง 185 เซ็นติเมตร

มานพสูง 194 เซ็นติเมตร (ตัวใหญ่กว่าดนัย)

ธันวาสูง 176 เซ็นติเมตร (ตัวเล็กสุดในบรรดาลูกน้องของดนัย)

ยังมีตัวละครอื่นๆ อีกมากมาย รอลุ้นกันต่อไปนะจ๊ะ

PS. งานแรกของบดินทร์จะเป็นอะไรน้อ...อิอิอิอิ

PS.2 เหล่าแฟนเกิร์ลน้องดินคะ ไม่ต้องกังวลไปนะจ๊ะ อีกไม่กี่ตอนข้างหน้า น้องดินเราได้โชว์ความสามารถแน่ๆ ช่วงนี้นางยังอึนๆ แบบว่าเจ็ทแลค รอนางพักฟื้นแป๊บนะค๊า

 

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจค๊า

อนาคี99