พิมพ์หน้านี้ - ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 46 ★ [End] [06/Mar/2023]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: earthxxide ที่ 11-10-2022 18:52:11

หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 46 ★ [End] [06/Mar/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 11-10-2022 18:52:11
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 1 ★ [11/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 11-10-2022 18:56:38
☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก

✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

´¨`*:•. •.★* สารบัญ *★.• .•:*´¨`

ตอนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063030#msg4063030)

ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063035#msg4063035) / ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063040#msg4063040) / ตอนที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063045#msg4063045)
ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063047#msg4063047) / ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063049#msg4063049) / ตอนที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063051#msg4063051)
ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063055#msg4063055) / ตอนที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063057#msg4063057) / ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063078#msg4063078)
ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063082#msg4063082) / ตอนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063084#msg4063084) / ตอนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063092#msg4063092)
ตอนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063094#msg4063094) / ตอนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063117#msg4063117) / ตอนที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063125#msg4063125)
ตอนที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063131#msg4063131) / ตอนที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063150#msg4063150) / ตอนที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063159#msg4063159)
ตอนที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063173#msg4063173) / ตอนที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063195#msg4063195) / ตอนที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063204#msg4063204)
ตอนที่ 23 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063216#msg4063216) / ตอนที่ 24 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063230#msg4063230) / ตอนที่ 25 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063243#msg4063243)
ตอนที่ 26 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063252#msg4063252) / ตอนที่ 27 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063259#msg4063259) / ตอนที่ 28 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063283#msg4063283)
ตอนที่ 29 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063291#msg4063291) / ตอนที่ 30 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063307#msg4063307) / ตอนที่ 31 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063363#msg4063363)
ตอนที่ 32 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063390#msg4063390) / ตอนที่ 33 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063399#msg4063399) / ตอนที่ 34 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063422#msg4063422)
ตอนที่ 35 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063441#msg4063441) / ตอนที่ 36 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063471#msg4063471) / ตอนที่ 37 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063487#msg4063487)
ตอนที่ 38 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063511#msg4063511) / ตอนที่ 39 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063533#msg4063533) / ตอนที่ 40 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063552#msg4063552)
ตอนที่ 41 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063572#msg4063572) / ตอนที่ 42 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063616#msg4063616) / ตอนที่ 43 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063646#msg4063646)
ตอนที่ 44 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063650#msg4063650) / ตอนที่ 45 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063655#msg4063655)

ตอนที่ 46 [End] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73237.msg4063660#msg4063660)

✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥


หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 1 ★ [11/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 11-10-2022 19:08:08
ตอนที่ 1
ผมชื่อท้องฟ้า


     “โธ่พ่อครับ พ่อก็รู้ว่าผมหวงความเป็นส่วนตัวแค่ไหน” วายุพูดเสียงอ่อน ในหัวก็พยายามคิดหาคำพูดร้อยแปดเพื่อเอามาปฏิเสธคนปลายสาย

     [พ่อก็ไม่ได้ให้น้องนอนห้องลูกเสียหน่อย บ้านเรายังมีห้องว่างอีกเยอะไม่ใช่เหรอ]

     “ผมพูดรวมๆ ไม่ได้หมายถึงเรื่องห้องนอนอย่างเดียว จู่ๆ มีคนแปลกหน้าจะมาอาศัยร่วมชายคาเดียวกัน ไม่คิดว่าผมจะอึดอัดบ้างเหรอครับ”

     [คนแปลกหน้าที่ไหน พ่อบอกแล้วไงว่าเป็นลูกของอาศิมันตร์เพื่อนพ่อ ตอนเด็กๆ ลูกไปเล่นบ้านเขาออกบ่อยจำไม่ได้เหรอ]

     “ผมจำอาศิได้ แต่ลูกชายของเขาหน้าตานิสัยเป็นยังไงผมยังไม่เคยรู้เลย”

     [ถ้าเรื่องนิสัยไม่ต้องห่วง เจ้าศิการันตีด้วยตัวเองว่าลูกชายมันเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนไม่เกเรแน่นอน]

     วายุลอบถอนหายใจ เขาไม่ได้อยากรู้ว่าลูกชายเพื่อนพ่อมีนิสัยอย่างไร สิ่งที่เขาอยากสื่อจริงๆ คือคนไม่สนิทกันไม่ควรมาอยู่บ้านเดียวกัน ยิ่งคนรักสันโดษอย่างเขาด้วยแล้ว การต้องตื่นมาเจอคนที่ไม่รู้จักทุกวันคงสร้างความกระอักกระอ่วนให้เขาไม่น้อย

     “แล้วทำไมถึงฉุกละหุกอย่างนี้ล่ะครับ” หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้วายุไม่พอใจคือพ่อของเขาเล่นมาบอกสองวันก่อนที่เด็กคนนั้นจะย้ายเข้ามา ไม่ให้เวลาเขาเตรียมตัวเตรียมใจเลย

     [พอดีลูกเจ้าศิมีปัญหากับรูมเมทเลยต้องย้ายออกจากหอกะทันหัน บ้านอยู่ไกลมหา’ลัย จะให้หาหอใหม่ก็ไม่มีที่ไหนว่างเลย พ่อเห็นว่ามหา’ลัยใกล้บ้านเราดีเลยลองเสนอให้มาอยู่ด้วยกัน]

     คุณเกริกพลหวนนึกถึงเมื่อวานที่เพื่อนสนิทตนโทรมาปรึกษาปัญหาลูกชาย ตัวเขากับภรรยาเป็นนักการทูตที่ต้องมาประจำการต่างประเทศ แต่นึกขึ้นได้ว่าบ้านที่ไทยนั้นมีแค่ลูกชาย คนขับรถ คนสวนและแม่บ้านอีกสองคนอาศัยอยู่ เขาจึงไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เนื่องจากศิมันตร์เป็นเพื่อนที่ดีของเขามาตลอดตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

     “ไหนบอกเป็นเด็กดีไงครับ แล้วทำไมถึงมีปัญหากับรูมเมทได้”

     [พ่อก็ไม่รู้ลึกตื้นหนาบาง เจ้าศิมันเล่าให้ฟังแค่นี้ แต่อย่าไปสนเรื่องนั้นเลย ลูกแค่ยอมให้น้องมาอยู่ด้วยก็พอ]

     “ผมปฏิเสธไม่ได้สินะครับ” วายุถามทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว อาศิมันตร์เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือไม่ต่างจากพ่อแท้ๆ การที่คนระดับนั้นมาขอความช่วยเหลือคิดหรือว่าเขาจะปฏิเสธได้ลงคอ

     [ถือว่าพ่อขอ คิดซะว่าทำเพื่ออาศินะวายุ]

     “แล้วจะมาอยู่นานไหมครับ” ชายหนุ่มไม่ตอบรับแต่เลือกถามรายละเอียดแทน ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการตอบรับอยู่ดี

     [ทางนั้นบอกว่าจะขอรบกวนไม่เกินสองเดือน ระหว่างที่น้องมาอยู่บ้านเราก็จะพยายามหาหอใหม่ไปด้วย]

     “จะไม่สร้างปัญหาให้ผมแน่นะครับ”

     [เอ๊ะลูกคนนี้ คิดว่าเจ้าศิมันเลี้ยงลูกมาไม่ดีหรือไง]

     “ผมแค่พูดเผื่อไว้ พ่อก็รู้ว่าผมไม่ชอบความวุ่นวาย”

     [เพราะรู้ไงพ่อถึงกล้าชวนมาอยู่กับเรา ลูกชายเจ้าศิน่ะนิสัยดี เหล้าไม่กินบุหรี่ไม่สูบ กลางคืนอยู่แต่บ้านไม่ออกไปเที่ยวไหน รับรองว่าอยู่ด้วยแล้วไม่อึดอัดแน่นอน]

     วายุคิดเอาเองว่าที่พ่อเขากล้าพูดขนาดนี้คงเพราะรู้จักลูกชายอาศิมันตร์อยู่แล้ว ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่เคยไปบ้านอาศิมันตร์อีกเลย มีแต่พ่อแม่เขาที่ไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่บ้านเป็นครั้งคราว ถ้าจะรู้จักกับลูกชายบ้านนั้นก็ไม่แปลก

     “เดี๋ยวผมให้ป้านิดเตรียมห้องไว้ให้แล้วกันครับ” วายุพูดเสียงเนือย เขาคงต้องยอมรับความจริงว่าความเป็นส่วนตัวที่เขารักกำลังจะหายไป

     [พูดแบบนี้แปลว่ายอมให้น้องมาอยู่แล้วใช่ไหม]

     “ผมทำอะไรได้ด้วยเหรอครับ คนนึงก็พ่อ อีกคนนึงก็อา ถึงจะไม่พอใจแต่ผมก็โตพอจะแยกแยะได้แล้วนะครับ”

     [วายุอย่าพูดอย่างนี้ พ่ออยากให้ลูกกับน้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ลูกเจ้าศิเป็นเด็กน่ารัก พ่อเชื่อว่าเราต้องชอบแน่นอน]

     คนฟังลอบถอนหายใจอีกครั้ง อยากตอบกลับไปเหลือเกินว่าถ้าอยากให้เขามีความสุขจริงๆ ช่วยไปหาหอใหม่ให้เด็กคนนั้นแทนจะดีมาก

     “เอาเป็นว่าผมให้มาอยู่ด้วย แต่ผมไม่ขอดูแลนะครับ ผมไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็ก ถึงขนาดเรียนมหา’ลัยน่าจะดูแลตัวเองได้แล้ว เรื่องอาหารการกินความเป็นอยู่ก็ให้ป้านิดกับป้าณีจัดการ” วายุเอ่ยถึงแม่บ้านทั้งสองคน

     [ไม่มีปัญหา ถ้าพ่อจำไม่ผิดปีนี้ลูกเจ้าศิก็จะอายุยี่สิบแล้ว น้องโตพอจะไม่รบกวนเราหรอก]

     ปีนี้อายุยี่สิบ แปลว่าห่างกับเขาหกปีสินะ

     “งั้นก็ดีแล้วครับ”

     [ขอบใจนะวายุ เราก็ดูแลตัวเองบ้าง ทานข้าวให้ตรงเวลา]

     สองพ่อลูกแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะวางสายไป วายุหันมาสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง แต่ผ่านไปสักพักถึงเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ถามชื่อเด็กคนนั้นเลย พ่อเขาเอาแต่เรียกน้องตลอด

     ช่างเถอะ ไว้ค่อยถามตอนเจอหน้ากันก็ได้...วายุบอกกับตัวเอง เขาไม่คิดจะผูกสัมพันธ์กับลูกชายเพื่อนพ่อก็จริง แต่ไหนๆ จะมาอยู่บ้านเดียวกันทั้งที รู้จักชื่อเอาไว้ก็ไม่เสียหาย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เชิญครับ” วายุเอ่ยเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ป้านิดเดินเข้ามาพร้อมใบหน้ายิ้มกริ่ม พาให้เจ้าของห้องสงสัย

     “มาแล้วค่ะคุณวายุ”

     “มา? ใครมาครับ”

     “ก็ลูกชายของคุณศิมันตร์ไงคะ แหม คุณวายุบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะมาวันนี้”

     คิ้วบางที่ขมวดตอนแรกคลายลงทันทีเมื่อรู้ว่าใครมา วายุรู้อยู่แล้วว่าเด็กคนนั้นจะมาวันนี้ เพียงแต่เขาไม่ได้ตั้งตารอเลยหลงลืมไป เรียกว่าไม่อยากให้มาถึงวันนี้เลยจะเหมาะกว่า

     “แล้วทำไมป้านิดยิ้มอย่างนั้นล่ะครับ มีเรื่องดีๆ หรือเปล่า” ชายหนุ่มชวนแม่บ้านคุยขณะปิดคอมพิวเตอร์ โชคดีที่เขาทำงานเสร็จพอดีเลยว่าจะออกไปต้อนรับลูกชายของเพื่อนพ่อเสียหน่อย

     “จะไม่ให้ยิ้มได้ยังไงคะ ตอนแรกป้าเห็นนึกว่าดารามาเยี่ยมบ้านเรา หล่ออย่าบอกใครเชียว”

     “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” วายุพูดกลั้วหัวเราะ เขาอยู่กับป้านิดและป้าณีมาตั้งแต่เด็กๆ เลยไม่ถือสาที่อีกฝ่ายคุยเล่นกับเขาอย่างนี้ เพราะรู้ว่าแกรักเขาเหมือนลูกชายคนหนึ่ง

     “ไว้คุณวายุไปเห็นก็รู้เองค่ะ ป้าขอไปทำงานก่อนนะคะ ป้าให้เขานั่งรอที่ห้องรับแขก มีป้าณีคอยดูแลอยู่”

     “ครับ”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ร่างสูงที่กำลังนั่งหันหลังในห้องรับแขกทำให้วายุรู้ทันทีว่าคนนี้คือลูกชายของคุณอาศิมันตร์ ขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปหา ป้าณีที่ยืนอยู่ก็หันมาเห็นพอดี

     “คุณวายุมาแล้วค่ะ”

     เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาหันมามอง ก่อนรอยยิ้มบางจะผุดขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลา ตอนนี้วายุไม่สงสัยแล้วว่าทำไมป้านิดถึงได้ดูตื่นเต้นนัก นอกจากหน้าตาที่ละม้ายคล้ายผู้เป็นพ่อแล้ว ความหล่อที่ทะลุตายังทำให้วายุเกือบคิดว่าอีกฝ่ายเป็นดาราจริงๆ

     “สวัสดีครับ” ผู้ชายตรงหน้ายืนขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้ วายุประเมินด้วยสายตา เขาว่าเขาสูงแล้วนะ แต่เด็กคนนี้สูงกว่าเขาอีก แถมดูเหมือนจะรูปร่างดีเสียด้วย

     “ลูกของอาศิมันตร์ใช่ไหม”

     “ใช่ครับ”

     “พี่ชื่อวายุ พ่อพี่โทรมาเล่าเรื่องนายให้ฟังแล้ว” เมื่อยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่าย การแทนตัวเองด้วยสรรพนามที่บ่งบอกถึงอายุจึงน่าจะเหมาะสมที่สุด

     “ผมรู้อยู่แล้วครับว่าคุณชื่อวายุ”

     “นายรู้จักพี่?”

     “ครับ ตอนเด็กๆ คุณเคยมาบ้านผม”

     “ขอโทษนะ พอดีพี่จำไม่ได้”

     “ไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้ลูกชายเจ้าของบ้าน “ขอบคุณนะครับที่ให้ผมมาพักที่นี่ แล้วก็ขอโทษด้วยที่มารบกวน”

     “ไม่เป็นไร หรือถ้าจะขอบคุณก็ไปขอบคุณพ่อพี่ พี่ไม่ได้ทำอะไร” วายุเอ่ยเสียงเรียบ หันไปสั่งการกับแม่บ้านอีกคน “รบกวนป้าณีเอาของไปเก็บให้หน่อยนะครับ แล้วก็ฝากพาเดินชมบ้านด้วย”

     “ได้ค่ะ”

     วายุสูดลมหายใจ ตอนแรกเขาอยากให้เวลาเด็กหนุ่มทำความคุ้นชินกับบ้านหลังนี้เสียก่อน แต่ดูจากลักษณะท่าทางแล้วน่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่พอสมควร เขาจึงคิดว่าพูดออกไปให้ชัดเจนแต่แรกเลยจะดีกว่า

     “พี่จะขอพูดตรงๆ เพราะเราก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ถ้านายจะมาอยู่บ้านนี้พี่ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขออย่างเดียวคือต่างคนต่างอยู่ ห้ามมาวุ่นวายชีวิตส่วนตัวของกันและกัน แน่นอนว่าพี่เองก็จะไม่ไปวุ่นวายกับนายเหมือนกัน แบบนี้โอเคไหม”

     “โอเคครับ”

     “ดี” วายุพยักหน้าพอใจ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็พูดจารู้เรื่อง ไม่มานั่งคิดเล็กคิดน้อยให้เขาปวดหัว “ว่าแต่นายชื่ออะไร”

     “ผมเหรอครับ?”

     “ใช่” วายุขมวดคิ้วเมื่อคนตรงหน้าชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ป้าณีออกไปแล้ว ภายในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน ถ้าไม่ถามอีกฝ่ายแล้วจะให้เขาถามผีในบ้านหรือไง

     คนถูกถามชื่อสบตานิ่ง ก่อนมุมปากจะยกยิ้มคล้ายกำลังดีใจบางอย่าง “ผมชื่อ ท้องฟ้า ครับ”

     “ท้องฟ้า?” วายุทวนคำของร่างสูง เขาไม่เคยเห็นคนชื่อนี้มาก่อน จึงอดคิดไม่ได้ว่าเป็นชื่อที่แปลกดี

     “ใช่ครับ”

     “ชื่อเพราะดีนะ” เขาเอ่ยชมเพราะกลัวว่าเมื่อครู่จะเผลอแสดงสีหน้าที่ไม่ควรออกไป

     “นั่นสิครับ ขนาดผมยังคิดเลยว่าเป็นชื่อที่เพราะมาก”

     เป็นอีกครั้งที่วายุคิดว่าแปลก แต่คราวนี้เขาหมายถึงคนตรงหน้า มีใครบ้างจะมายืนชมชื่อตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มๆ อย่างนี้

     “ถ้าขาดเหลืออะไรบอกป้านิดกับป้าณีได้ตลอด ส่วนเรื่องหาหอใหม่ไม่ต้องรีบก็ได้ ขอแค่นายไม่สร้างปัญหาให้จะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็เชิญ”

     “ขอบคุณครับ”

     “มีอะไรอยากถามเพิ่มเติมไหม”

     “ตอนนี้ยังไม่มีครับ”

     เมื่อไม่มีอะไรให้คุยความเงียบจึงเข้าปกคลุม วายุใช้โอกาสนี้พิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้า คำพูดคำจาสุภาพ กิริยานอบน้อมถ่อมตน ดูแล้วคงเป็นเด็กดีอย่างที่พ่อเขาบอกจริงๆ

     “คุณวายุ”

     “หืม?”

     “มีอะไรหรือเปล่าครับ เห็นมองผมนานแล้วแต่ไม่พูดอะไร”

     “เปล่า ไม่มีอะไร”

     วายุยืนมองอีกฝ่ายอีกครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขอตัวแล้วเดินออกมา ระหว่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมันเกินไปหรือเปล่า เขาไม่ได้อยากทำให้เด็กกลัว แต่ถ้าไม่ทำความเข้าใจกันแต่เนิ่นๆ อาจมีปัญหาตามมาทีหลังได้ ซึ่งคนที่รักสงบอย่างเขาย่อมไม่อยากให้เกิดอะไรแบบนั้น

     เป็นเพราะรีบร้อนเดินออกไป วายุจึงไม่ทันเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเด็กหนุ่ม ท้องฟ้ายกยิ้ม สายตาที่มองตามแผ่นหลังเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง

     “เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ...พี่วายุ”




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 1 ★ [11/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-10-2022 20:59:08
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 1 ★ [11/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 12-10-2022 14:45:34
โคแก่กินหญ่าอ่อนหรือเนี้ยยยยยย :hao3: :hao7:
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 2 ★ [12/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 12-10-2022 19:03:11
ตอนที่ 2
พี่วายุ


     ถึงจะบอกว่าต่างคนต่างอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่วายุต้องทำใจยอมรับคือการรับประทานอาหารเช้าของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชายหนุ่มเหลือบมองสมาชิกคนใหม่ของบ้านที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน

     “เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า” เขาไม่ได้เป็นห่วง แค่ถามออกไปตามมารยาทที่ดีของเจ้าบ้านเท่านั้น

     “หลับสบายครับ”

     “อืม”

     “คุณวายุล่ะครับ”

     “อะไร”

     “คุณวายุหลับสบายหรือเปล่า”

     “ถามแปลกๆ พี่เป็นเจ้าของบ้านก็ต้องหลับสบายสิ”

     “นั่นสินะครับ” ท้องฟ้ายิ้มกว้างก่อนจะหันไปหาแม่บ้านที่ยืนอยู่ริมห้อง “ป้านิดล่ะครับหลับสบายไหม”

     “คะ?” คนถูกถามทำหน้าเหลอหลา แต่เมื่อเจ้าของบ้านพยักหน้าเลยตอบออกไป “หลับสบายค่ะ”

     เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษายิ้มตอบก่อนจะหันกลับมาสนใจข้าวต้มเหมือนเดิม วายุยกกาแฟขึ้นดื่ม คิดในใจว่าคนตรงหน้าน่าจะช่างพูดช่างคุยไม่น้อย

     “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”

     “ครับ”

     “นายไม่ได้เอารถมาเหรอ เมื่อวานพี่ไม่เห็นเลย” วายุคิดว่าคนอย่างอาศิมันตร์ไม่น่าจะปล่อยให้ลูกชายลำบากไปเรียนเองแน่นอน

     “รถผมกำลังซ่อมอยู่ในศูนย์ครับ คงอีกสักพักกว่าจะเอามาขับได้”

     “อืม” วายุนิ่งคิดสักพักก่อนจะหันไปบอกแม่บ้าน “ป้านิดครับ รบกวนบอกลุงพงษ์ว่าหลังจากนี้ให้ไปรับส่งท้องฟ้าที่มหา’ลัยหน่อยนะครับ จนกว่ารถของท้องฟ้าจะซ่อมเสร็จ”

     “เอ่อ...คุณวายุลืมแล้วเหรอคะ ลุงพงษ์แกเพิ่งลาไปดูแลภรรยาที่กำลังจะคลอดลูก กว่าจะกลับมาก็เดือนหน้าเลย”

     วายุถึงกับร้องในใจ เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร สัปดาห์ก่อนลุงพงษ์ที่เป็นคนขับรถเพิ่งมาขอลาเขาด้วยตัวเอง ตอนนั้นเขาเห็นว่าตนทำงานฟรีแลนซ์จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกไปไหน เลยอนุญาตให้แกลาได้

     “ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองก็ได้ จะได้ฝึกจำเส้นทางด้วย”

     วายุมองคนที่พูดด้วยใบหน้าไม่คิดอะไร คิ้วบางขมวดกันอย่างคิดหนัก หันไปมองนาฬิกาบนผนังก่อนจะหันมาสบตาอีกรอบ

     “เรียนกี่โมง”

     “ครับ?”

     “พี่ถามว่าเช้านี้มีเรียนกี่โมง”

     “เก้าโมงครับ”

     วายุถอนหายใจเล็กน้อย ดูท่าแล้วเขาคงมีเรื่องให้ต้องทำใจเพิ่ม “เดี๋ยวพี่ไปส่ง ขอไปแต่งตัวแป๊บนึง ไม่นานหรอก”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากรบกวนคุณวายุ”

     “พี่พูดเหรอว่ารบกวน”

     “ไม่ได้พูดหรอกครับ แต่แค่เห็นหน้าผมก็รู้แล้ว”

     วายุทำหน้าไม่ถูกเมื่อถูกทักแบบนั้น นี่เขาแสดงสีหน้าออกไปตั้งแต่ตอนไหน

     “ไม่รบกวนจริงๆ” เขาจะพูดได้อย่างไรว่ารบกวน ถึงยังไงอีกฝ่ายก็เป็นลูกชายเพื่อนพ่อ หากดูแลไม่ดีคนที่จะถูกตำหนิคือพ่อของเขา

     “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณครับ”

     “ไม่เป็นไร”

     วายุปล่อยให้เด็กหนุ่มทานอาหารเช้าต่อไป ส่วนตัวเองลุกกลับห้องเพื่อเปลี่ยนจากชุดธรรมดาเป็นชุดลำลอง จึงไม่ทันเห็นว่าสายตาเกรงใจเมื่อครู่ได้เปลี่ยนเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความดีใจ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ถ้าจะกลับบ้านต้องนั่งรถสายอะไรครับ”

     วายุเหลือบไปมองคนข้างตัว ตอนนี้เขาขับรถมาจอดอยู่หน้ามหาวิทยาลัย แต่แทนที่จะลงไปจากรถคนที่เขามาส่งกลับถามเรื่องนี้ขึ้นมา

     “ถามทำไม”

     “ตอนเลิกเรียนผมจะได้กลับถูกไงครับ”

     “ไม่ต้อง เดี๋ยวพี่มารับ”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

     “ถ้าเกรงใจก็เลิกปฏิเสธได้แล้ว พี่ทำเพราะเห็นแก่คุณอาศิมันตร์ ดังนั้นนายไม่จำเป็นต้องคิดมาก”

     ไม่รู้ว่าวายุคิดไปเองหรือเปล่า แต่พอเขาพูดจบเหมือนสีหน้าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมายิ้มให้เขาเหมือนเดิม

     “ถ้าอย่างนั้นขอรบกวนด้วยนะครับ วันนี้ผมเลิกเรียนบ่ายสาม เสร็จแล้วจะมารอตรงนี้ คุณวายุจะได้ไม่ต้องขับไกล”

     “เอาเบอร์พี่ไปดีกว่า เรียนเสร็จก็โทรมา เผื่อพี่ทำงานอยู่จะได้ติดต่อกันรู้เรื่อง”

     วายุบอกเบอร์ตัวเอง หลังจากนั้นก็ให้เด็กหนุ่มโทรมาหาเขา เพียงเท่านี้เขาก็มีเบอร์ของกันและกัน

     “ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณที่มาส่ง”

     “อืม”

     วายุมองตามจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างหายไปจากสายตา นิ้วเรียวเคาะพวงมาลัย ดวงตาหรี่ลงอย่างใช้ความคิด จู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นความรู้สึกที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก

     เขาไม่รู้ว่าตอนพูดถึงอาศิมันตร์ ทำไมท้องฟ้าถึงทำหน้าเศร้า แต่พอเห็นอย่างนั้นเขากลับรู้สึกคุ้นเคย...คล้ายกับเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน

     วายุสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไป ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับกลับบ้าน ท้องฟ้าก็บอกอยู่ว่าตอนเด็กๆ เขาเคยไปบ้านอาศิมันตร์ ถ้าจะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างก็ไม่แปลก บางทีอาจจะเคยเดินสวนหรือเคยเล่นด้วยกันแต่เขาจำไม่ได้เอง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่เลี้ยงเอง”

     “ไม่ได้ครับ ผมเลี้ยงเอง”

     “พี่โตกว่า จะให้นายมาเลี้ยงข้าวได้ยังไง มันดูไม่ดี”

     “ผมต้องรบกวนคุณวายุไปอีกนาน ถ้าไม่ให้ผมตอบแทนบ้างมันจะดูไม่ดีเหมือนกันครับ”

     บริกรที่ยืนรอรับเมนูได้แต่มองหน้าลูกค้าสองคนไปมา วายุถอนหายใจ ไม่นึกว่าเขาจะต้องมาเถียงกับเด็กอายุยี่สิบในร้านอาหารด้วยเรื่องแค่นี้ เขาพลาดเองที่พาท้องฟ้ามาร้านอาหารแทนที่จะกลับไปทานที่บ้าน

     เรื่องมันเริ่มจากตอนที่วายุไปรับท้องฟ้าหลังเลิกเรียน ภายในรถที่ไม่มีใครพูดอะไร จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงท้องร้องของเด็กหนุ่ม พอถามถึงได้รู้ว่าตอนกลางวันท้องฟ้าเอาแต่แก้รายงานกับเพื่อนจึงไม่มีเวลาทานข้าว วายุไม่อยากให้ทนหิวจึงพามาร้านอาหารแถวมหาวิทยาลัย แต่พอมาถึงแล้วทุกอย่างก็กลายเป็นแบบนี้

     พวกเขาตกลงกันว่าระหว่างที่รถยังอยู่ในศูนย์ วายุจะเป็นคนขับรถไปรับไปส่งที่มหาวิทยาลัย แต่ขณะเดียวกันก็จะให้ท้องฟ้าศึกษาเส้นทางไว้ด้วย เผื่อวันไหนเขาติดธุระจะได้เดินทางเองได้

     “พี่ไม่ได้ลำบากอะไร บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมาก”

     “ไม่คิดมากไม่ได้ครับ ลำพังคุณวายุต้องมารับส่งผมทุกวันก็รบกวนมากพอแล้ว ขืนให้เลี้ยงข้าวอีกพ่อผมจะว่าเอาได้”

     “เลี้ยงข้าวแค่มื้อสองมื้อ ขนหน้าแข้งพี่ไม่ร่วงหรอก”

     “ผมรู้ครับ แต่ถึงยังไงก็อยากตอบแทนอยู่ดี” ท้องฟ้าเอื้อมมาแตะมือวายุเบาๆ ดวงตาอ่อนลง น้ำเสียงที่ใช้ก็เช่นกัน “ให้ผมเลี้ยงนะครับ ผมจะได้สบายใจว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้รบกวนคุณวายุอยู่ฝ่ายเดียว”

     คนถูกเอ่ยขอฉายแววแปลกใจ สามวันที่ผ่านมาท้องฟ้าทำให้วายุรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความเป็นผู้ใหญ่ค่อนข้างสูง ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นใบหน้าที่เหมือนเด็กกำลังอ้อนผู้ปกครองอย่างตอนนี้

     วายุค่อยๆ ดึงมือออก ถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ตามใจแล้วกัน ยังไงเราก็ไม่ได้ทานข้าวนอกบ้านกันบ่อยอยู่แล้ว”

     คนอยากเลี้ยงข้าวยิ้มจนตาแทบปิด พูดขอบคุณเบาๆ พลางหันไปสั่งเมนูกับบริกรที่ยืนรออยู่นานแล้ว

     เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำสินะ เอาเถอะ วายุเข้าใจดี ใช่ว่าเขาไม่เคยเป็นเด็กมาก่อนซะที่ไหน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “คุณวายุครับ”

     “ว่าไง” ปากตอบคนตรงข้ามแต่สายตายังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ไม่เปลี่ยน

     “ไม่ทานเหรอครับ”

     วายุเงยหน้าจากจอโทรศัพท์ ก่อนจะพบว่าคนถามกำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว อาหารในจานท้องฟ้าพร่องลงไปเยอะ ต่างจากจานเขาที่ยังไม่ถูกแตะเลยแม้แต่น้อย

     “โทษที พอดีลูกค้าทักมาคุยเรื่องงานเลยติดลมไปหน่อย”

     “ผมนึกว่าคุณไม่อยากทานอาหารที่ผมเลี้ยงซะอีก” สีหน้าโล่งอกของคนพูดทำเอาวายุหลุดขำเบาๆ

     “คิดได้นะ พี่ไม่ได้เกลียดอะไรนายซะหน่อย ทำไมต้องทำอย่างนั้น” เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มน้อยใจ วายุจึงตักข้าวเข้าปากคำโตเพื่อแสดงให้ดู แต่จู่ๆ ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้เลยวางช้อนลงเหมือนเดิม “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “ทำไมนายเอาแต่เรียกพี่ว่าคุณ”

     “ผมคิดว่าคุณวายุคงไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับผม คำว่าคุณเลยน่าจะเหมาะกว่าครับ”

     “ทำไมคิดอย่างนั้น” วายุพอจะรู้คำตอบ แต่เขาอยากให้เจ้าตัวพูดออกมาเอง

     “ก็วันแรกคุณวายุบอกผมเองว่าไม่อยากให้ไปยุ่งชีวิตส่วนตัว แถมเวลาอยู่ด้วยกันก็ชอบทำหน้านิ่ง”

     นั่นไง เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด วายุอยากจะเขกหัวเด็กตรงหน้าเสียจริงๆ เห็นไม่พูดอะไรเลยนึกว่าเข้าใจ ที่ไหนได้แอบไปคิดมากอยู่คนเดียว

     “นายกำลังเข้าใจผิด ที่พี่พูดแบบนั้นเพราะพี่ไม่ชอบให้คนที่เพิ่งรู้จักกันมายุ่มย่าม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำตัวห่างเหินกัน”

     วายุหยุดพูดเพื่อรอดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้า เมื่อเห็นว่าท้องฟ้ากำลังตั้งใจฟังเขาจึงพูดต่อ

     “พี่ยอมรับว่าตอนแรกแอบหงุดหงิดบ้าง แต่นั่นเพราะพี่กลัวจะมีเรื่องวุ่นวายตามมา แต่ในเมื่อนายไม่ได้สร้างปัญหาให้พี่ก็ไม่ติดใจอะไรอีก ส่วนเรื่องหน้านิ่งก็ไม่มีอะไรเลย หน้าพี่มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

     เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเมื่อวายุพูดประโยคสุดท้ายจบ ท้องฟ้ายกยิ้มกว้าง เขารู้สึกขำจนอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้

     “รู้อยู่แล้วล่ะ แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”

     “นายว่าอะไรนะ”

     “เปล่าครับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแต่ยังคงยิ้มไม่หุบ

     “ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม”

     “เข้าใจแล้วครับ”

     “ถ้างั้นก็เรียกพี่ได้แล้ว มัวแต่คุณอยู่นั่น พี่ไม่ใช่เจ้านายนายซะหน่อย”

     คราวนี้ท้องฟ้าหัวเราะจนออกเสียง ได้แต่คิดขำๆ ในใจว่าอีกฝ่ายช่างเปรียบเทียบเหลือเกิน

     “พี่วายุ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้ม ทั้งปากทั้งตายิ้มพร้อมกัน

     “อืม แบบนี้ค่อยรื่นหูหน่อย”

     “พี่วายุ”

     “ว่าไง”

     “ผมไม่ได้เรียกครับ แค่อยากฝึกพูดให้ชินปากไว้เฉยๆ”

     วายุนิ่งงันไปเล็กน้อย เด็กคนนี้กำลังจะสื่อว่าเขาแก่เกินจะเรียกพี่แล้วหรือเปล่า

     “พี่เพิ่งอายุยี่สิบหก” คนร้อนตัวรีบชิงพูดไว้ก่อน

     “บอกผมทำไมครับ”

     “แค่พูดเผื่อไว้ นายจะได้ไม่ต้องกระดากปากเวลาเรียกพี่”

     “ผมยังไม่ได้คิดว่าพี่แก่เลย อย่าร้อนตัวสิครับ”

     วายุถลึงตาใส่เมื่อเจอสายตากรุ้มกริ่มเข้าไป ดูเหมือนที่เขาเคยพูดว่าเด็กคนนี้มีความเป็นผู้ใหญ่ เห็นทีต้องคิดใหม่เสียแล้ว

     ท้องฟ้าไม่ชวนคุยอะไรต่อ ปล่อยให้คนที่โตกว่าทานข้าวของตัวเองไป เด็กหนุ่มทอดมองคนตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี ถ้าวายุอ่านสายตาออกสักนิดจะรู้ว่าเขาไม่ได้แซวเรื่องอายุ แต่เป็นเรื่องสรรพนามที่เขาโกหกออกไปต่างหาก

     ทำไมท้องฟ้าจะไม่ชินปาก ในเมื่อสิบปีที่ผ่านมาเขาเฝ้าแต่พูดคำนี้ด้วยความคิดถึงแทบทุกวัน เพียงแต่ที่ไม่ยอมพูดตอนแรกเพราะเขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายยังเป็น ‘พี่วายุ’ คนเดิมของเขาหรือเปล่า

     “พี่วายุ”

     “หืม?”

     “ผมไม่ได้เรียกครับ แค่จะบอกว่าผมชอบคำนี้จัง”

     แต่ตอนนี้ท้องฟ้ามั่นใจแล้ว ต่อให้อะไรหลายๆ อย่างจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความอ่อนโยนที่ทำให้เขาตกหลุมรักผู้ชายคนนี้มาตลอดสิบปี

     พี่วายุ

     อืม...ฟังแล้วเพราะกว่าจริงๆ ด้วย




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 2 ★ [12/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-10-2022 21:25:38
 :impress2: :man1:
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 3 ★ [13/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 13-10-2022 18:39:12
ตอนที่ 3
ทำความรู้จัก


     “สวัสดีครับ” วายุเอ่ยเสียงสุภาพเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรมาบนจอโทรศัพท์

     [สวัสดี วายุใช่ไหม]

     “ใช่ครับ”

     [อาศิเพื่อนเจ้าเกริกเองนะ จำได้ไหม]

     “จำได้ครับ”

     [อาอยากโทรมาคุยเรื่องลูกชาย สะดวกหรือเปล่า]

     “สะดวกครับ” วายุกดพักหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาทำงานอยู่ก็จริงแต่ไม่ใช่งานรีบเร่งอะไร และเขาก็ไม่อยากตอบปฏิเสธผู้ใหญ่

     [เจ้าเกริกเล่าให้เราฟังแล้วใช่ไหม]

     “เล่าแล้วครับ”

     [อาขอโทษนะที่ไม่ได้โทรมาบอกด้วยตัวเองแต่แรก พอดีต้องเคลียร์งานหลายๆ อย่าง]

     “ไม่เป็นไรครับ”

     [อาขอถามตรงๆ เลยนะ วายุเต็มใจหรือเปล่าที่ลูกอาไปอยู่ด้วย]

     วายุเผลอยืดหลังตรงด้วยความเกร็ง ทำไมอาศิมันตร์ถึงถามอย่างนี้ล่ะ อย่าบอกนะว่าพ่อเอาเรื่องของเขาไปพูด

     “ผมไม่ได้ลำบากอะไรครับ” วายุเลือกตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เขารู้แล้วว่าท้องฟ้าเป็นเด็กดีจริงๆ เพียงแต่เขาแค่ยังไม่ชินกับการอยู่กับคนแปลกหน้าจึงต้องการเวลาปรับตัว เลยไม่อาจพูดว่าเต็มใจในตอนนี้ได้

     [ลูกอาอาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่มันเป็นเด็กดี ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาท พูดดีๆ มันก็ฟัง วายุไม่ต้องห่วงนะ ก่อนไปอากำชับแล้วว่าห้ามก่อปัญหาให้เราเด็ดขาด]

     “ผมทราบครับ ถึงจะเพิ่งมาอยู่ไม่กี่วันแต่ผมก็พอรู้ว่าเด็กคนนี้น่าจะเลี้ยงง่าย” วายุพูดยิ้มๆ หลังจากรู้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด เขาไม่แน่ใจว่าการรบเร้าขอเลี้ยงข้าวเมื่อวันก่อนเรียกว่าเอาแต่ใจได้หรือเปล่า จึงยังไม่ด่วนตัดสินว่าท้องฟ้าเป็นอย่างที่บิดากล่าวหาหรือไม่

     [เลี้ยงง่ายอยู่แล้ว อาเลี้ยงมากับมือ ไม่เชื่อวายุลองใช้งานมันก็ได้ หรือถ้ามันไม่เชื่อฟังก็โทรมารายงานได้ตลอด] คุณศิมันตร์พูดติดตลก เขายอมรับว่าแอบกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะสร้างความลำบากใจให้ลูกชายเพื่อน แต่เมื่อวายุพูดอย่างนี้เขาก็วางใจ

     “ผมไม่กล้าใช้งานหรอกครับ ลูกชายอาศิทั้งคน”

     [ไม่เป็นไรใช้ได้เต็มที่ ลูกคนนี้มันจะได้รู้จักความลำบากบ้าง โดนตามใจมาแต่เด็กเดี๋ยวจะเสียคนหมด]

     วายุได้แต่ยิ้มแห้งถึงจะรู้ว่าคู่สนทนามองไม่เห็นก็ตาม บ้านเขามีแม่บ้านตั้งสองคน ไม่มีความจำเป็นต้องใช้งานอะไรเลย หรือถ้ามีจริงๆ วายุก็คงไม่กล้าอยู่ดี ถ้าขืนทำอย่างนั้นคนที่จะดุเขาคงไม่ใช่อาศิมันตร์แต่จะเป็นพ่อของเขาแทน

     [อาจะรีบหาหอใหม่ให้ลูกชายเร็วที่สุด จะได้ไม่รบกวนเรานาน]

     “ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรีบก็ได้ ผมไม่ได้ลำบากจริงๆ”

     [ไว้เราสะดวกเมื่อไหร่อาขอเลี้ยงข้าวได้ไหม อาอยากตอบแทนเราบ้าง] ที่จริงคุณศิมันตร์อยากตอบแทนทั้งครอบครัว แต่ตอนนี้เพื่อนเขาและภรรยากำลังทำงานอยู่ต่างประเทศ

     “ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ”

     [เกรงใจอะไรกัน อาสิควรพูดคำนั้น ให้อาได้ตอบแทนบ้างเถอะ]

     “งั้นถ้าไม่รบกวนคุณอาก็ขอบคุณมากครับ” วายุนึกขันอยู่ในใจ นิสัยชอบตอบแทนคนอื่นของลูกได้มาจากพ่อนี่เอง

     [ขอบใจนะวายุ ฝากขอบคุณเจ้าเกริกด้วย]

     “ครับ”

     คุณศิมันตร์วางสายเมื่อการคุยธุระสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อเห็นสามีวางโทรศัพท์ลงคุณกมลฉัตรก็เอ่ยขึ้นมาทันที

     “เป็นไงบ้างคะ ทางนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

     “ไม่มี ดูเหมือนวายุจะเอ็นดูลูกเราด้วยซ้ำ”

     “ค่อยยังชั่ว” คุณกมลฉัตรผ่อนลมหายใจ เธอเคยเจอเด็กชายวายุเมื่อตอนยังเด็ก บวกกับรู้จักครอบครัวธนาวรวัตรเป็นอย่างดีจึงค่อนข้างมั่นใจว่าวายุดีพอจะฝากลูกชายไว้ได้ แต่ที่เธอกังวลคือวายุอาจจะลำบากใจเนื่องจากทุกอย่างกะทันหันเกินไป

     “ผมบอกไปว่าถ้าวายุสะดวกจะขอนัดทานข้าว”

     “เอาสิคะ ฉัตรก็อยากเจอตาวายุเหมือนกัน ไม่ได้เจอนานแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้โตเป็นหนุ่มหรือยัง”

     “พูดอะไรอย่างนั้นคุณ วายุอายุยี่สิบหกแล้ว ถ้าจะห่วงก็ห่วงลูกเราเถอะ ไม่รู้จะไปเอาแต่ใจใส่ลูกเจ้าเกริกหรือเปล่า”

     “อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ลูกเราแค่อ้อนเก่งไปหน่อยเอง” คุณกมลฉัตรยิ้มกว้าง เธอมักจะชอบเวลาโดนลูกชายออดอ้อน คนเป็นแม่ไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ก็ย่อมอยากให้ลูกติดตัวเองเสมอ

     “หน้าตาก็หล่อเหลา ตัวก็สูงใหญ่ แต่กลับชอบทำตัวเป็นลูกหมาเสียอย่างนั้น” คุณศิมันตร์พูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงนิสัยของลูกชาย เวลาไม่ได้ดั่งใจลูกของเขามักจะมีวิธีอ้อนผู้เป็นแม่ได้เสมอ เขาเรียกการกระทำนี้ว่าเอาแต่ใจ ต่างจากภรรยาที่เห็นเป็นเรื่องน่ารัก

     “แต่เวลาจำเป็นจริงๆ ลูกเราก็พึ่งพาได้นะคะ”

     “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมช่วยคุณเลี้ยงมากับมือทำไมจะไม่รู้” คุณศิมันตร์รู้ดีว่าลูกชายของตนมีความเป็นผู้ใหญ่เพียงใด หลายครั้งที่เขาปล่อยให้ลูกเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง และเขาก็ไม่เคยผิดหวังสักครั้ง

     “ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ ฉัตรหิวแล้ว” คุณกมลฉัตรเอ่ยชวน เธอให้แม่บ้านไปตั้งโต๊ะรอขณะที่สามีกำลังคุยโทรศัพท์

     “เอาสิ ผมก็มัวแต่ห่วงเรื่องเจ้าสกาย ตอนกลางวันยังไม่ได้ทานอะไรเลย”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     วายุยกมือกุมขมับ เขานั่งมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจึงเริ่มล้าสายตาขึ้นมา ชายหนุ่มหลับตาลงพลางคิดไม่ตกว่าจะแก้งานยังไงดี งานออกแบบต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่เวลานี้หัวสมองเขามันตื้อไปหมด

     เมื่อมั่นใจว่าไม่สามารถทำงานต่อได้วายุจึงตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ วันนี้ทั้งวันเขาเอาแต่จดจ่ออยู่กับงาน จนถึงตอนที่อาศิมันตร์โทรมาคุยเรื่องลูกชาย วายุลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจแล้วเดินออกจากห้อง ดูเหมือนเขาต้องหาอะไรทำให้หัวโล่งเสียหน่อยแล้ว

     วายุมักจะชอบมานั่งเล่นในสวนหลังบ้าน สวนแห่งนี้มารดาของเขาเป็นคนปลูกขึ้นมาเองกับมือ ก่อนจะจ้างคนสวนมาดูแลภายหลังเนื่องจากภาระงานที่เพิ่มขึ้น แต่เจ้าของสวนก็ยังซื้อต้นไม้มาตกแต่งไม่หยุด จนตอนนี้ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศจึงร่มรื่นชวนให้ผ่อนคลายทุกครั้งที่มาเดินเล่น

     ชายหนุ่มเดินดูต้นไม้ไปเรื่อยๆ ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับร่างสูงที่ยืนหันข้างให้เขา ท้องฟ้ากำลังถือกล้องอยู่ในระดับสายตา ถัดไปคือลุงชาติคนสวนที่กำลังจัดกระถางต้นไม้ให้เข้าที่เข้าทาง

     วันนี้ท้องฟ้าไม่มีเรียนจึงไม่ได้ออกไปไหน แต่ที่วายุแปลกใจคือทำไมเด็กหนุ่มถึงมาอยู่ในสวนได้

     “ซ้ายอีกนิดครับลุงชาติ อย่างนั้นครับ เอามือออกหน่อยครับผมจะถ่ายแล้ว”

     วายุเดินเข้าไปใกล้ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับการถ่ายรูปเลยไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า จนกระทั่งมือบางวางลงบนไหล่กว้าง ท้องฟ้าจึงลดกล้องลงแล้วหันมามองเจ้าของบ้าน

     “ทำอะไรอยู่”

     “คุณท้องฟ้าบอกว่าอยากถ่ายต้นไม้ในสวนครับ ผมเลยมาช่วยหามุมถ่ายให้ รูปจะได้ออกมาสวย” ลุงชาติรายงานเจ้านาย ก่อนจะรีบพูดต่อเมื่อสายตานั้นตวัดมามอง “ผมห้ามแล้วนะครับ บอกให้รอขออนุญาตคุณวายุก่อน แต่คุณท้องฟ้า...เอ่อ...คุณท้องฟ้าบอกว่าคุณวายุใจดี ไม่ดุด้วยเรื่องแค่นี้หรอก”

     วายุเบือนสายตากลับมามองคนข้างตัวอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าเด็กหนุ่มกำลังยิ้มแห้งเหมือนเด็กที่เพิ่งทำความผิดมา ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ หันไปพูดกับคนสวนเสียงเรียบ

     “ลุงชาติไปทำงานต่อเถอะ ไม่ต้องอยู่ช่วยท้องฟ้าแล้ว”

     “ครับ”

     วายุรอให้คนสวนเดินพ้นไปแล้วถึงหันมาสบตากับดวงตาคมเข้มที่กำลังหม่นลง

     “ขอโทษครับ”

     “รู้ตัวด้วยเหรอว่าทำผิด”

     “แค่เห็นหน้าพี่วายุผมก็รู้แล้วครับ”

     วายุชักไม่แน่ใจว่าเขาเก็บอาการไม่เก่งหรือคนตรงหน้าอ่านสีหน้าคนเก่งกันแน่

     “สวนนี้เป็นของแม่พี่ แกไม่ชอบให้ใครเข้ามานอกจากพี่กับคนสวน แกกลัวว่าจะทำสวนพัง”

     “ผมไม่ได้ทำพังนะครับ ผมคอยระวังทุกฝีก้าวไม่ให้เหยียบหรือชนกระถางต้นไม้ ตั้งแต่เข้ามาก็ยังไม่ได้แตะต้องอะไรเลย คอยกำกับลุงชาติอย่างเดียว” ท้องฟ้าละล่ำละลักพูด เขารู้ว่าตัวเองผิดที่ไม่ขออนุญาตก่อน แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าเจ้าของบ้านน่าจะรักสวนแห่งนี้ไม่น้อยเลยคอยระวังอยู่ตลอด

     “นายควรขออนุญาตก่อน ถ้าอยากมาเดินเล่นจริงๆ พี่พามาก็ได้”

     “ขอโทษครับ ผมเห็นพี่วายุกำลังทำงานเลยไม่อยากกวน” ใบหน้าคนพูดหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้วายุที่กำลังจะพูดต่อต้องชะงักคำพูดตัวเอง อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ยังรู้จักยอมรับผิด คิดมาถึงตรงนี้วายุเริ่มเชื่อแล้วว่าสิ่งที่พ่อของเขากับอาศิมันตร์บอกคงเป็นความจริงแน่นอน

     “ชอบถ่ายรูปเหรอ” เจ้าของบ้านเปลี่ยนเรื่องคุย สายตาตกลงไปมองกล้องดิจิตอลแบบพกพาที่ห้อยคออีกคนอยู่

     “ชอบครับ ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ ผมเลยเลือกเรียนเอกภาพยนตร์และภาพนิ่ง” แววตาเป็นประกายของคนพูดทำให้วายุต้องกลั้นขำ พอได้คุยเรื่องที่ชอบใบหน้ากลับมาสดใสเลยนะ สงสัยจะชอบถ่ายรูปมากจริงๆ

     “แปลว่าเรียนจบแล้วอยากเป็นช่างภาพเหรอ”

     “ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นครับ ตอนนี้ผมแค่อยากใช้ชีวิตให้สนุกเต็มที่ก่อน ไว้จบแล้วค่อยคิดอีกทีก็ยังไม่สาย”

     วายุออกเดินนำ คนที่อายุน้อยกว่าจึงเดินตาม ริมฝีปากหนาเอ่ยถึงความชอบตัวเองไปตลอดทาง ไม่ลืมที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายทิวทัศน์รอบตัว เสียงทุ้มที่พูดไม่หยุดทำให้คนฟังอย่างวายุฟังเพลินจนลืมไปสนิทว่ากำลังตำหนิลูกชายเพื่อนพ่อ

     “แล้วพี่วายุจบอะไรมาเหรอครับ” ท้องฟ้าหันมาถามคนที่เดินขนาบข้างเมื่อเขาพูดเรื่องของตัวเองจบแล้ว

     “นิเทศศิลป์”

     “ถึงได้ทำงานออกแบบฟรีแลนซ์สินะครับ”

     “นายรู้ด้วย?” วายุจำได้ว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องงานตัวเองกับเด็กหนุ่มมาก่อน

     “พ่อผมบอกครับ”

     วายุพยักหน้ารับรู้ ไม่นึกสงสัยอะไรอีก คิดเอาเองว่าอาศิมันตร์คงรู้มาจากพ่อเขาอีกที

     “เหมือนเรากำลังทำความรู้จักกันอยู่เลยนะครับ”

     “หืม?” ชายหนุ่มทำหน้างง ไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย

     “ก็ผมกับพี่วายุกำลังแลกเปลี่ยนข้อมูลของกันและกัน ถ้าไม่ใช่ทำความรู้จักแล้วจะเรียกอะไรได้อีกล่ะครับ”

     วายุหัวเราะในลำคอ เขาเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าเขาแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับท้องฟ้าเลยถึงจะอยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้ว ผู้ชายสองคนหยุดเดินเมื่อมาถึงซุ้มหลังคาทรงยุโรปที่มีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ วายุเดินนำไปนั่งก่อนจะชักชวนให้อีกคนตามมา

     “เวลาคิดงานไม่ออกพี่จะชอบมานั่งเล่นที่นี่ พอได้มองต้นไม้ละลานตาแล้วหัวมันจะโล่ง บางทีก็เอาโน้ตบุ๊กมาทำงานด้วย เคยมีวันนึงพี่ทำงานเพลินจนผล็อยหลับไป ตื่นมาโดนยุงกัดจนตัวลายไปหมดเลย”

     ท้องฟ้าอมยิ้ม มองคนที่กำลังเล่าเรื่องตัวเองด้วยสายตาหลงใหล เขาชอบเวลาพี่วายุเล่าอะไรสักอย่าง ใบหน้าคนพูดมักจะฉายแววอ่อนโยนราวกับกำลังอ่านนิทานกล่อมเด็ก สิบปีที่แล้วเป็นยังไงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิมเลยสินะ

     “ตอนเด็กๆ พี่ชอบวาดรูปมาก ถึงขนาดแอบเอาสีเทียนมาวาดบนผนังในห้องนั่งเล่น โดนแม่ดุไปหลายทีจนในที่สุดแกก็ยอมซื้อสมุดระบายสีให้”

     “ซนตั้งแต่เด็กเลยนะครับเนี่ย” ท้องฟ้าอดพูดด้วยความเอ็นดูเด็กชายวายุในอดีตไม่ได้ ทันใดนั้นดวงตาสีน้ำตาลก็เหลือบมามอง

     “พูดเหมือนตอนเด็กนายไม่ซน” วายุไม่เห็นว่าแปลกตรงไหน ตอนวัยเด็กใครๆ ก็ต้องเคยซนกันทั้งนั้น

     “ผมซนจริงๆ ครับ แต่ไม่เท่าพี่วายุ”

     “เดี๋ยวเถอะ”

     “ผมพูดความจริง ถึงขนาดเอาสีเทียนไปวาดบนผนังคงจะแสบไม่น้อยเลยสินะครับ”

     “นายไม่แสบบ้างให้มันรู้ไป”

     “ผมเคยแสบสุดแค่เอามือไปแหย่บ่อปลา”

     “นั่นไม่เรียกว่าแค่แล้ว”

     ท้องฟ้าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลอยให้คนโดนว่าทั้งซนทั้งแสบโกรธไม่ลง วายุรู้อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้หน้าตาดี แต่เวลาท้องฟ้ายิ้มมันเหมือนอีกฝ่ายยิ้มทั้งหน้าไม่ใช่แค่ปาก เห็นอย่างนี้แล้วเป็นใครก็คงไม่กล้าโกรธ

     “พี่เล่ามาเยอะแล้ว ตานายเล่าบ้าง”

     “อยากฟังเรื่องอะไรครับ”

     “อะไรก็ได้ที่นายอยากเล่า”

     “อืม...ขอผมคิดก่อนนะ ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยมีวีรกรรมเหมือนพี่วายุซะด้วยสิ”

     วายุได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ เขาพลาดเองที่เผลอเล่าเรื่องน่าอายให้ท้องฟ้าฟัง ดูจากใบหน้ายิ้มๆ นั่นแล้วเขาคงต้องโดนล้อเรื่องนี้ไปอีกนาน

     ชายหนุ่มกับเด็กหนุ่มนั่งคุยกันอยู่ภายในสวนเนิ่นนาน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม วายุจึงเอ่ยชวนลูกชายเพื่อนพ่อเข้าบ้าน วายุกำลังจะลุกหันหลังเพื่อเดินไปยังทางออก แต่เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นทำให้ต้องหันกลับไปมอง

     “ไหนๆ เราก็สนิทกันขึ้นมานิดนึงแล้ว ขอถ่ายรูปเก็บไว้หน่อยนะครับ” ท้องฟ้าลดระดับกล้องลง มุมปากทั้งสองข้างยกยิ้ม

     “ตามใจนายสิ แต่คราวหลังถ้าจะถ่ายก็บอกกันก่อน” วายุพูดอย่างไม่คิดอะไร ลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยพูดไว้ว่าไม่คิดจะผูกสัมพันธ์กับอีกฝ่าย

     “เผลอๆ แบบนี้แหละครับธรรมชาติดี ดูสิครับ พี่วายุดูดีออก” ร่างสูงหันกล้องมาให้คนในรูปดู วายุมองตามก่อนจะเปรยขึ้นมาเบาๆ

     “ถ่ายรูปเก่งนะ”

     “เพราะนายแบบหน้าตาดีต่างหากครับ”

     “พี่จะถือว่านั่นคือคำชม”

     “ชมอยู่แล้วครับ แต่น้อยกว่าผมนิดนึงนะ” ท้องฟ้าพูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปโดยทำเหมือนไม่เห็นอาการนิ่วหน้าของเจ้าบ้าน วายุอยากเถียงกลับไปว่าเขามั่นใจในรูปลักษณ์ตัวเองไม่น้อย แต่เขาปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าท้องฟ้าหล่อกว่าเขาจริงๆ

     ชายหนุ่มได้แต่โคลงหัวไปมาอย่างเหนื่อยใจปนเอ็นดู เด็กหนอเด็ก กับผู้ใหญ่อย่างเขายังไม่เว้น ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้สิน่า

     วายุเร่งฝีเท้าตามไปจนร่างทั้งสองเดินเคียงคู่กันอีกครั้ง เสียงผิวปากดังมาจากคนอายุน้อยกว่า ใบหน้าเปื้อนยิ้มของท้องฟ้าทำให้วายุนึกสงสัยว่าแค่เขายอมให้หล่อกว่าจะอารมณ์ดีอะไรนักหนา

     ท้องฟ้าเบือนสายตามองคนข้างๆ รอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามความสุขที่กำลังอิ่มเอม เขาจะไม่บอกหรอกว่าวายุเป็นรองแค่เรื่องความหล่อ แต่เรื่องอื่นในชีวิตเขายกให้วายุเป็นที่หนึ่งมาตั้งนานแล้ว




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 3 ★ [13/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-10-2022 22:15:31
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 4 ★ [14/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 14-10-2022 18:23:27
ตอนที่ 4
เด็กไม่ดี


     “อ้าวสกาย ทำไมวันนี้มาเช้าจังวะ”

     เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อ ‘สกาย’ สะดุ้งเล็กน้อย รีบเก็บกระเป๋าสตางค์อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถรอดพ้นสายตาคนที่เพิ่งมาถึงไปได้

     “ฮั่นแน่ ลุกลี้ลุกลนแปลกๆ นะเนี่ย” รามิลนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองเพื่อนสนิทด้วยแววตายิ้มๆ

     “ไม่มีอะไร”

     “ถ้างั้นเอาของที่เก็บไปเมื่อกี้มาให้ดูหน่อย”

     “ใช่เรื่อง?”

     “งั้นก็แปลว่ามี”

     “จะคิดอะไรก็เชิญ”

     รามิลอมยิ้ม ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่คิดจะซักถามจริงจังอยู่แล้ว “ยังไม่ตอบคำถามเลยนะ ทำไมวันนี้มามหา’ลัยแต่เช้า”

     “พี่วายุมีนัดกับลูกค้าแต่เช้า เลยต้องมาส่งกูเร็วกว่าปกติ”

     “พี่วายุ? อ๋อ ลูกชายเจ้าของบ้านที่มึงไปอยู่อ่ะนะ”

     “อืม”

     “ไม่ต้องทำตาเคลิ้มขนาดนั้นก็ได้ พูดชื่อนี้ทีไรจะลอยทุกทีเลยนะมึง”

     สกายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะสนคำแซวของเพื่อนทำไมในเมื่อชื่อนี้มีอิทธิพลกับเขาจริงๆ

     รามิลคือเพื่อนสนิทหนึ่งเดียวที่รู้ว่าสกายแอบหลงรักวายุมาตลอดสิบปี เขาไม่ได้ตั้งใจบอก แต่มีอยู่วันหนึ่งเขาบังเอิญเจอกับวายุในห้างสรรพสินค้า ตอนนั้นสกายไม่กล้าเข้าไปทักเพราะกลัวอีกฝ่ายจำเขาไม่ได้ แต่สายตาที่เขาใช้ทอดมองวายุทำให้รามิลเกิดนึกสงสัยขึ้นมา หลังจากโดนไต่สวนอยู่นานเขาจึงต้องยอมสารภาพออกไป

     “แล้วเป็นไง มีอะไรคืบหน้าบ้างยัง” หนุ่มน้อยหน้าหวานถามด้วยความกระตือรือร้นเสมือนเป็นเรื่องของตัวเอง

     “ยัง”

     “อ้าว!” เสียงอุทานนั้นทำให้สกายรู้ได้ว่าคนรอฟังผิดหวังแค่ไหน

     “ยังไม่มีอะไรคืบหน้า” เขาพูดให้ชัดเจนมากขึ้น

     “มึงไปอยู่บ้านเขาตั้งหลายวัน กูนึกว่าป่านนี้จีบติดไปแล้วเสียอีก”

     “กูไม่เคยบอกว่าจะจีบพี่วายุ”

     “แต่มึงชอบ...ไม่สิ มึงรักเขามาสิบปีเลยนะ”

     “เพราะกูแอบรักเขาอยู่ในมุมมืดมาสิบปีไงถึงไม่คิดจะจีบ”

     “หมายความว่ายังไง” รามิลทำหน้างง เขาคิดมาตลอดว่าการรักใครสักคนจะทำให้เราอยากจีบคนๆ นั้น

     “มึงคิดดูนะมีน กูไม่ได้เจอพี่วายุมาตั้งสิบปี ได้แต่คิดถึงเขา เพ้อถึงเขาอยู่คนเดียว แล้วจู่ๆ วันนึงพี่วายุก็กลับเข้ามาในชีวิตกูอีกครั้ง มึงคิดว่าถ้ากูเดินหน้าจีบจริงๆ โอกาสที่จะจีบติดกับโอกาสที่พี่วายุจะหนีหายไปอีกครั้งอะไรมีมากกว่ากัน”

     รามิลคิดตามคำพูดของเพื่อนก่อนจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง สกายเป็นผู้ชาย พี่วายุก็เป็นผู้ชาย ถึงตอนนี้โลกจะเปิดกว้างแล้วแต่พวกเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพี่วายุมีรสนิยมชอบผู้ชายหรือเปล่า ถ้าหากสกายลุกขึ้นมาจีบพี่วายุตามที่เขาแนะนำ ดีไม่ดีนอกจากความรักอันยาวนานจะจบลงแล้วเพื่อนเขาอาจจะโดนรังเกียจไปเลยก็ได้

     “อะไรที่เสี่ยงทำให้พี่วายุหายไปกูจะไม่มีวันทำเด็ดขาด คราวนี้กูจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ข้างพี่วายุไปตลอด ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม”

     รามิลไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาไม่นึกเลยว่าคำพูดที่เขาชวนคุยไปตามเรื่องตามราวจะทำให้เพื่อนสนิทคิดมากถึงเพียงนี้

     “ถ้ามึงคิดดีแล้วกูก็จะไม่ห้าม แต่อย่าลืมดูแลหัวใจตัวเองด้วยละกัน วันนี้มึงอาจคิดว่าขอแค่ได้อยู่กับเขาก็พอ แต่ถ้าในอนาคตเขามีคนอื่นขึ้นมา ต่อให้มึงแกร่งแค่ไหนก็ทนอยู่ไม่ได้หรอก”

     ไม่ใช่ว่าสกายไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น แต่ความสุขของเขาเพิ่งเริ่มต้น เขาจึงอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงให้มากที่สุด เพราะเขาไม่รู้ว่าความสุขจะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน

     “พอๆ เลิกทำหน้าหงอยได้แล้ว ไม่มีใครบอกเหรอว่าเวลาอยู่กับคนน่ารักต้องยิ้มแย้มเข้าไว้”

     คนหน้าหงอยเปลี่ยนมาทำหน้าเอือมระอาแทน ดวงตากลมโต ปากจิ้มลิ้ม จมูกรั้น แก้มเนียนใส ผิวพรรณขาวผ่อง ทุกอย่างที่เป็นรามิลล้วนน่ารักจนสกายเถียงไม่ออกก็จริง แต่เขาได้ยินอีกฝ่ายชมตัวเองตลอดเวลาจนสกายอดคิดไม่ได้ว่าถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ไม่น่ารักก็คงเป็นนิสัยของเจ้าตัว

     เห็นอย่างนี้อย่าได้ประมาทเชียว แววตาซุกซนนั้นทำเอาเขาปวดหัวมานักต่อนักแล้ว

     สกายเป็นหนุ่มฮอตในมหาวิทยาลัย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาไม่ขาดสาย แต่หลังจากมั่นใจว่าในใจเขามีแต่วายุจึงไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์กับใครอีก เพื่อนสนิทอย่างรามิลที่รู้เรื่องนี้ดีจึงเป็นไม้กันหมาให้เขามาตลอด แต่ละวิธีที่เจ้าตัวสรรหามาจัดการผู้หญิงเหล่านั้นสกายบอกได้คำเดียวว่าแสบถึงทรวง

     “ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย” รามิลเอ่ยเมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าจวนจะถึงเวลาเรียนแล้ว เขาหยิบกระเป๋า ลุกขึ้นแล้วเดินนำไปก่อน สกายลุกตามไปแต่ชะลอฝีเท้าเพื่อรักษาระยะห่าง

     เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาอีกครั้ง ริมฝีปากจุดรอยยิ้มบางเมื่อมองดูรูปโพลารอยด์ที่เขาอัดออกมาเมื่อวันก่อน วายุในรูปกำลังกึ่งนั่งกึ่งยืน ใบหน้าหันข้างเพราะถูกถ่ายขณะลุกจากโต๊ะหินอ่อน แม้ไม่มีรอยยิ้มแต่สกายกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนผ่านดวงตาคู่นั้น

     สกายหวนนึกถึงความทรงจำอันแสนมีค่าของเขา ความทรงจำที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ความทรงจำที่ทำให้เขาโกหกชื่อของตัวเองออกไป

     ‘ชื่อสกายสินะ รู้ไหมว่าสกายแปลว่าอะไร’

     หนุ่มน้อยวัยสิบขวบส่ายหน้าไปมา เขารู้แค่ว่าชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณครูที่โรงเรียนจะเคยสอนคำนี้ แต่เขาไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษจึงไม่เคยท่องจำ

     พี่ชายท่าทางใจดีที่มากับคุณอาเกริกพลยิ้มให้เขา แหงนมองท้องฟ้าที่ไร้เมฆบดบังพลางชี้นิ้วขึ้น ชักชวนให้เขามองตาม

     ‘สกายแปลว่าท้องฟ้า’

     หนุ่มน้อยห่อปากตาโต เขาจำได้แล้ว คุณครูสอนเขาว่าสกายแปลว่าท้องฟ้า ในที่สุดเขาก็นึกออก

     ‘สกายคิดว่าท้องฟ้าตอนนี้สวยไหม’

     ‘สวยครับ’ เด็กชายสกายตอบตามซื่อ เขาไม่รู้ว่าท้องฟ้าสวยหรือไม่สวยดูยังไง แต่ถ้าพี่ชายคนนี้บอกว่าสวยเขาก็จะเชื่ออย่างนั้น

     ‘ต่อไปนี้พี่จะเรียกสกายว่าท้องฟ้า สกายจะได้สดใสและร่าเริง เหมือนที่พี่มองท้องฟ้าแล้วยิ้มออก ดีไหมครับ’

     เด็กชายสกายรีบพยักหน้ารับ ตอนนั้นเขาคิดแค่ว่ารอยยิ้มของพี่วายุช่างอบอุ่นเหลือเกิน เวลาเห็นพี่วายุยิ้มเขามักจะรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา ราวกับความกลัวและความอ่อนแอในใจถูกปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน ดังนั้นถ้าพี่วายุเรียกเขาว่าท้องฟ้าแล้วจะยิ้มให้ดู เขายอมให้เรียกไปตลอดเลย


     จากเด็กชายสกายที่ขี้กลัวและชอบโดนรังแกในวันนั้น วันนี้ได้เติบใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่มสกายที่มีความกล้าหาญและความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก ที่เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ส่วนหนึ่งเพราะวายุ ไม่คิดเลยว่าแค่ชื่อธรรมดาที่อีกฝ่ายตั้งให้จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล และถึงแม้วายุจะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกความทรงจำถูกสลักลงในหัวใจเขาแล้ว เขาจะจดจำภาพในอดีตเหล่านั้นแทนวายุเอง

     สกายยิ้มออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสดใสราวกับท้องฟ้าในช่วงเช้านี้ ชายหนุ่มนึกขอบคุณบิดามารดาที่ตั้งชื่อนี้ให้เขา เพราะถ้าเขาไม่ได้ชื่อสกาย วายุก็คงไม่เรียกเขาว่าท้องฟ้า

     ท้องฟ้า...ชื่อที่เขาไม่เคยให้ใครเรียก เพราะคนเดียวที่เขาอยากให้เรียกคือคนที่เป็นดั่งท้องฟ้าของเขาเหมือนกัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ไม่เอา”

     “ทำไมปฏิเสธเร็วจัง” รามิลนิ่วหน้า มองเพื่อนสนิทที่ขัดใจตนเอง “แค่วันเดียวเอง”

     “วันเดียวก็ไม่ได้”

     “กูไม่แย่งคนของมึงหรอกน่า มึงก็รู้ว่าสเป็กกูต้องสูงยาวเข่าดีสมาร์ทแอนด์แฮนด์ซัม”

     “ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” สกายถอนหายใจยาว มองคนที่เอาแต่รบเร้าอย่างเหนื่อยหน่าย “แค่นี้กูก็รบกวนบ้านเขามากพอแล้ว ขืนพาเพื่อนไปเที่ยวอีกพ่อเอากูตายแน่”

     รามิลเอียงคองง เขาไม่คิดว่าการพาเพื่อนไปทานข้าวที่บ้านจะรบกวนตรงไหนถึงจะไม่ใช่บ้านตัวเองก็เถอะ อันที่จริงเขาไม่ได้อยากไปทานข้าว แค่อยากไปเจอพี่วายุคนโปรดของสกายเฉยๆ รามิลอยากรู้ว่าเวลาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ท่าทางที่วายุมีต่อเพื่อนของเขาเป็นอย่างไร ในฐานะผู้ชายที่ชอบผู้ชายอย่างเขาจึงคิดว่าน่าจะดูออกหากวายุมีรสนิยมเดียวกัน

     “มึงลองโทรไปถามก่อนไหม บางทีพี่วายุอาจจะไม่ได้คิดอะไร”

     “น้อยไปสิ วันแรกที่ไปถึงก็ห้ามกูไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวแล้ว กว่ากูจะตีสนิทเนียนๆ ได้ใช้เวลาตั้งนาน ดังนั้นมึงอย่าหวังเลยว่าจะได้เข้าบ้าน”

     “พี่วายุโลกส่วนตัวสูงขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “น่าจะอย่างนั้น กูยังเคยคิดเลยว่าสิบปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนไปมาก”

     “หมดกัน” รามิลทำปากยื่น สีหน้าแสดงออกชัดว่าผิดหวัง อุตส่าห์อยากเป็นกามเทพสื่อรักให้เพื่อนแท้ๆ

     “แต่...ลองโทรไปถามดูก่อนก็ไม่เสียหาย”

     ใบหน้าเศร้าๆ กลับมายิ้มแย้มทันที สกายดีดหน้าผากไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาคนที่ตอนนี้น่าจะคุยงานกับลูกค้าเสร็จแล้ว

     [พอดีเลย พี่ว่าจะโทรถามอยู่ว่าเราเรียนเสร็จยัง] เสียงใสๆ ที่ดังมาตามสายทำให้เด็กหนุ่มอมยิ้ม รามิลแอบมองบน แค่ได้ยินเสียงนิดๆ หน่อยๆ พ่อคนยิ้มยากกลับยิ้มง่ายขึ้นมาผิดหูผิดตา

     “เสร็จแล้วครับ พี่วายุทำธุระเสร็จแล้วเหรอ”

     [ใช่ พอดีลูกค้าชอบงานที่พี่ออกแบบมาก พอคุยเรื่องงานเสร็จเลยพามาเลี้ยงอาหารแถวมหา’ลัย นี่พี่นั่งเล่นอยู่ในร้านกาแฟ กะจะรอรับเรากลับทีเดียว]

     “พี่กลับไปพักผ่อนก็ได้นะครับ ผมจำเส้นทางได้แล้วกลับเองได้” สกายพูดเสียงอ่อนเนื่องจากเป็นห่วงอีกฝ่าย เมื่อคืนเขาแอบเห็นว่าไฟในห้องทำงานของวายุเปิดยาวจนถึงเที่ยงคืน แถมเช้านี้ยังออกมาพบลูกค้าเร็วอีก เขาจึงกลัวว่าวายุจะเหนื่อยล้า

     [ไม่เป็นไร อยู่บ้านเบื่อๆ ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน เราเลิกเรียนแล้วใช่ไหมพี่จะได้ไปรับ]

     รามิลสะกิดแขนเพื่อนเบาๆ เพื่อเตือนว่าอย่าลืมเรื่องสำคัญ

     “เอ่อ...พี่วายุครับ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะขอพาเพื่อนไปทานข้าวที่บ้าน” สกายเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะรีบพูดต่อเพราะกลัวคนปลายสายไม่พอใจ “เพื่อนผมมันอยากไปเที่ยวเฉยๆ ถ้าพี่ไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมเข้าใจ...”

     [เอาสิ]

     “หืม?” สกายเผลอยกโทรศัพท์ออกจากหูมามอง นี่เขากำลังคุยอยู่กับพี่วายุตัวจริงใช่ไหม “พี่วายุ...อนุญาตเหรอครับ”

     [อืม แค่มาทานข้าวเองไม่เห็นเป็นไรเลย ดีซะอีกเราจะได้ไม่เหงา อยู่แปลกที่แปลกทางพี่ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นโฮมซิก]

     “ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ” สกายเผลอทำเสียงขึ้นจมูกเมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนเขาเป็นเด็กๆ ถึงตอนนี้จะยังเป็นแค่นักศึกษาแต่เขามั่นใจว่าเขาโตพอจะดูแลวายุได้ ถ้าวายุอนุญาตให้เขาดูแลล่ะก็นะ

     เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่คนโตกว่าจะเปลี่ยนเรื่องคุยดื้อๆ [เพื่อนอยู่ด้วยใช่ไหม]

     “อยู่ครับ”

     [งั้นบอกเพื่อนให้ไปพร้อมกัน พี่บอกให้แม่บ้านเตรียมอาหารรอไว้แล้ว มีเพิ่มมาอีกคนคงไม่เป็นไรหรอก]

     “ขอบคุณนะครับ”

     เมื่อเห็นเพื่อนวางโทรศัพท์ลงแล้ว คนที่รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อก็รีบโพล่งขึ้นมาทันที “อนุญาตใช่ไหม”

     “อืม”

     “เย้!” รามิลร้องอย่างดีใจ ก่อนจะลดมือที่ชูขึ้นฟ้าลงเมื่อเห็นสีหน้าของอีกคน “ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ กูบอกแล้วไงว่าไม่แย่งพี่วายุ วางใจได้”

     “กูไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น”

     “ถ้างั้นเรื่องอะไร”

     คนถูกถามเบือนหน้าหนี รามิลทำตาปริบๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ คิดเอาเองว่าเพื่อนสนิทคงเครียดเนื้อหาวิชาที่เรียนวันนี้

     สกายเหม่อมองรอบข้าง สายตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าน้อยใจที่วายุรีบตอบตกลงเพื่อนเขา แต่กลับต้อนรับเขาในวันแรกด้วยถ้อยคำเย็นชา

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “สวย” รามิลเปรยขึ้นมาเบาๆ ขณะอยู่บนโต๊ะอาหาร

     “มีนชมป้านิดเหรอครับ” วายุได้ยินเพื่อนของท้องฟ้าพูดเลยเอ่ยถาม ในห้องนี้มีผู้หญิงแค่ป้านิดที่กำลังเสิร์ฟอาหารให้ทุกคน

     “เปล่าครับ ผม...ผมชมบ้านพี่วายุ ผมฝันอยากมีบ้านสวยๆ แบบนี้มานานแล้ว”

     วายุยิ้มรับคำชมก่อนจะหันไปคุยกับท้องฟ้า รามิลจึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกือบหลุดปากไปเต็มประโยคแล้วว่าพี่วายุสวย ตอนเจอกันในห้างสรรพสินค้ารามิลเห็นไม่ชัด แต่พอได้มานั่งทานข้าวด้วยกันแบบนี้เขาจึงเห็นว่าวายุเป็นผู้ชายที่หน้าสวยมาก ต่างกับเขาที่ค่อนไปทางหน้าหวานมากกว่า

     “อาศิมันตร์บอกว่าวันอาทิตย์หน้าให้พี่พาเราไปหาที่บ้าน ติดธุระอะไรหรือเปล่า” วายุจงใจไม่บอกเหตุผลว่าเป็นเพราะคุณพ่อต้องการฟังพฤติกรรมของลูกชายจากปากของเขาโดยตรง

     “ไม่ครับ”

     “ไม่ดีใจเหรอ จะได้กลับบ้านตัวเองเชียวนะ” วายุนึกแปลกใจ เขาคิดว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มเสียอีก

     “ดีใจครับ” คำตอบของท้องฟ้าสวนทางกับใบหน้า เขายังน้อยใจวายุไม่หาย ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านวายุกับรามิลคุยกันสนุกสนาน จนท้องฟ้าอดคิดไม่ได้ว่าวายุอาจจะไม่ใช่คนโลกส่วนตัวสูง แต่เป็นเพราะวายุไม่ชอบเขาเลยพูดอย่างนั้นในวันแรกที่เขามาอยู่ที่นี่

     “พี่วายุครับ” รามิลเอ่ยขึ้นมา ตั้งใจจะชวนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อน “สกา...เอ่อ...ท้องฟ้าอยู่นี่มันเกเรไหมครับ”

     รามิลยกมือปิดปากแทบไม่ทันเมื่อสายตาคมเข้มตวัดมามอง เขาถูกสกายขอร้องแกมบังคับว่าตอนอยู่ในบ้านวายุให้เรียกด้วยชื่อท้องฟ้า รามิลอยากรู้เหตุผล แต่เมื่อเพื่อนไม่ยอมบอกเขาจึงไม่ถามอะไรอีก คิดแค่ว่าสกายคงมีเหตุผลบางอย่าง

     “ไม่เกเรครับ ท้องฟ้าเป็นเด็กดี พูดอะไรก็เชื่อฟังหมด ไม่เคยก่อเรื่องให้ปวดหัวเลย” วายุเอ่ยชมตามที่เขาคิด โดยหารู้ไม่ว่าคำชมของเขาทำให้เด็กดีหน้าหงิกงอมากขึ้น

     “โห น้อยไปสิครับ พี่ต้องมาเห็นตอนมันอยู่กับผม บอกให้ไปซ้ายมันไปขวา บอกให้เดินหน้ามันถอยหลัง”

     “เพื่อนไม่ใช่พ่อ ทำไมต้องฟัง” ท้องฟ้าจิ้มทอดมันมาใส่ปาก เขารู้สึกหงุดหงิดที่คนอื่นเอาแต่พูดเหมือนเขาเป็นเด็ก แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่เว้น

     “เพื่อนเหรอ พี่นึกว่าเป็นแฟนกันซะอีก”

     “ไม่ใช่!” “ไม่ใช่ครับ!”

     การประสานเสียงปฏิเสธพร้อมกันทำให้วายุเข้าใจไปอีกทางว่าเจ้าตัวคงไม่กล้าพูด

     “ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ เรื่องพวกนี้มันปกติมาก อย่ามองว่าพี่หัวโบราณสิ พี่ไม่ได้แก่ขนาดนั้น”

     “เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ครับ” รามิลยืนยันอีกครั้ง วายุไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนี้ มีคนไม่น้อยที่เชียร์ให้เขาสองคนคบกัน แต่เพราะเป็นเพื่อนกันมานานจึงรู้นิสัยของกันและกันดี รามิลเลยเป็นแฟนกับท้องฟ้าไม่ลง เรียกว่าไม่เคยอยู่ในสายตาเลยดีกว่า

     “จริงเหรอ”

     “ครับ” ท้องฟ้าลงเสียงหนักแน่น เขาจะคบกับเพื่อนตัวเองได้อย่างไรในเมื่อคนเดียวที่อยู่ในใจเขาคือคนตรงหน้า

     “อ่า...งั้นพี่ต้องขอโทษด้วย พี่เห็นคนนึงหล่อคนนึงน่ารัก ดูเหมาะสมกันดีเลยนึกว่าเป็นแฟนกัน” วายุพูดอย่างไม่คิดอะไร แต่เหมือนจะมีอยู่หนึ่งคนที่คิด

     “แล้วผมกับพี่ล่ะครับ”

     “หืม?” เป็นเพราะคนพูดเอาแต่พึมพำอยู่ในคอ วายุจึงได้ยินไม่ชัด “ท้องฟ้าว่าอะไรนะ”

     “เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ท้องฟ้าเบือนหน้าหนี ปล่อยให้อีกสองคนคุยกันไป เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ได้แต่ตัดพ้อในใจคนเดียว

     ไม่ได้รู้เลยสินะครับว่าคนที่ผมอยากเป็นแฟนมากที่สุดก็คือพี่นั่นแหละ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เป็นไงบ้าง” สกายเอ่ยถามระหว่างที่เดินมาส่งเพื่อนหน้าบ้าน ตอนแรกวายุอาสาจะไปส่งแต่รามิลปฏิเสธเพราะเกรงใจ อีกอย่างหอเขากับบ้านวายุก็ไม่ได้ไกลกันมาก

     “ดูไม่ออกว่ะ พี่วายุของมึงหน้าสวยมากแต่ก็นิ่งมากเช่นกัน กูผ่านมาเยอะก็จริงแต่คนนี้แม่งเดายากสุด”

     “อืม” สกายไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว เขาแค่ถามขึ้นมาเผื่อเพื่อนสนิทจะมองเห็นความเป็นไปได้อันน้อยนิด

     “อย่าทำหน้าอย่างนั้น เทียบกับสิบปีที่ผ่านมาตอนนี้มึงพัฒนาขึ้นมากเลยนะ” รามิลตบบ่าให้กำลังใจคนตรงหน้า “ทำตัวดีๆ เผื่อความเป็นเด็กดีของมึงอาจทำให้พี่วายุหันมาชอบก็ได้”

     “ว่ากูเด็กอีกแล้วนะ” คนที่ไม่อยากเด็กเผลอนิ่วหน้า เรียกรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของอีกคน

     “คิดมากเรื่องนี้อยู่สินะ”

     สกายทำหน้าเหลอหลาเมื่อโดนจับได้ ยิ่งเห็นสายตาล้อเลียนเขายิ่งรู้สึกอาย

     “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มึงเกิดหลังพี่เขาล่ะ อยากเหมาะสมกับคนอายุมากกว่าก็ต้องพยายามหน่อยนะ”

     “มึงได้ยิน?”

     “นั่งใกล้กันขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ยินก็หูตึงแล้วครับคุณเด็กชายสกาย”

     “กลับไปได้แล้ว” สกายรีบไล่เพื่อนกลับบ้าน ก่อนที่เขาจะยั้งใจไม่ไหวเผลอเตะคนขึ้นมาจริงๆ

     “รู้แล้วน่า ไม่อยู่ขัดความสุขมึงนานหรอก” รามิลพูดยิ้มๆ ก่อนจะให้กำลังใจเพื่อนอีกรอบ “สู้ๆ ล่ะมึง สิบปียังทนมาแล้วเลย ใครจะรู้อาจมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”

     “อืม ขอบใจ”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุครับ”

     ร่างสูงโปร่งชะงักมือค้างอยู่บนลูกบิดประตู เขากำลังจะเข้าห้องนอนหลังจากอุดอู้อยู่ในห้องทำงานมาหลายชั่วโมง

     “ว่าไง”

     “ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่”

     วายุมองเด็กหนุ่มด้วยความแปลกใจ ท้องฟ้าอยากคุยอะไรกับเขาตอนสี่ทุ่มแบบนี้กันนะ

     “ได้สิ เอาเป็นห้องนั่งเล่นแล้วกัน”

     “คุยตรงนี้ก็ได้ครับ ไม่นานผมรับรอง”

     “งั้นท้องฟ้าจะคุยอะไรกับพี่”

     คนอายุน้อยกว่าหลุบตาลงต่ำ เขาไม่เคยอยากละสายตาไปจากใบหน้าวายุจนกระทั่งตอนนี้

     “ท้องฟ้า” วายุเอ่ยเรียกซ้ำ รู้สึกถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า

     “พี่วายุไม่ชอบผมใช่ไหมครับ”

     “ฮะ!?” วายุเผลอเสียงดัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหัวเขาเลยแม้แต่น้อย

     “ตอนแรกผมคิดว่าพี่โลกส่วนตัวสูงเลยไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แต่พอวันนี้พี่ให้มีนมาทานข้าว ผมเลยคิดว่าพี่น่าจะไม่ชอบผม”

     “เดี๋ยว อะไรทำให้เราคิดแบบนั้น” วายุยังไม่เข้าใจความคิดของเด็กหนุ่ม

     “ก็วันแรกที่ผมมาอยู่นี่พี่พูดกับผมไว้”

     “เรื่องนี้เราคุยกันแล้วนะ”

     “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”

     วายุถอนหายใจ มองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเหนื่อยใจปนเอ็นดู เขาเพิ่งรู้ว่าลูกชายเพื่อนพ่อเป็นคนขี้คิดมากก็วันนี้

     “ท้องฟ้า” มือบางแตะบนไหล่กว้าง เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบกับรอยยิ้มที่เขาหลงใหลมาตลอดสิบปี “คิดว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมาบ้านใช่ไหม”

     “ครับ”

     “พี่จะไม่บอกว่าเราพูดผิดเพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด”

     “หมายความว่าไงครับ” เด็กตัวโตย่นคิ้ว วายุนึกขำอยู่ในใจ ภาพในตอนนี้เหมือนเขากำลังอธิบายเรื่องยากๆ ให้ลูกหลานฟังอยู่เลย

     “พี่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่สนิทมาอยู่บ้านตัวเอง คำว่าอยู่หมายถึงค้างคืน ที่ไม่ชอบเพราะพี่รู้สึกว่าแบบนั้นจะทำตัวสบายๆ เหมือนตอนอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่กรณีของมีนแค่มาทานข้าวด้วยเฉยๆ ทานเสร็จก็กลับ แบบนี้พี่โอเคไม่ได้คิดมากอะไร”

     “...”

     “ส่วนที่พี่พูดกับเราวันแรกเพราะตอนนั้นพี่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอเรา แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าต่อให้มีท้องฟ้าอยู่ด้วยพี่ก็ยังทำตัวสบายๆ ได้เหมือนเดิม พี่มั่นใจว่าท้องฟ้าจะไม่ทำอะไรให้ลำบากใจแน่นอน เพราะท้องฟ้าเป็นเด็กดี”

     ท้องฟ้าเกือบรู้สึกดีแล้ว ถ้าท้ายประโยคไม่มีคำที่เขาแสลงหู เอาเถอะ เห็นแก่ที่วายุไม่ได้คิดแง่ลบกับเขา เขาจะปล่อยผ่านทำเหมือนไม่ได้ยิน

     “ถ้าคำพูดพี่ทำให้ท้องฟ้าไม่สบายใจก็ต้องขอโทษด้วย พี่ขอโทษนะ”

     ท้องฟ้ากำลังจะพูดว่าไม่เป็นไร หากแต่ไอเดียบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวเสียก่อน ร่างสูงมองคนตรงหน้านิ่ง เอ่ยถามออกไปโดยพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้

     “รู้ไหมครับว่าผมเสียใจกับคำพูดพี่แค่ไหน”

     วายุมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ เขาเข้าใจว่าท้องฟ้าคิดมากกับคำพูดของเขา แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นเสียใจ

     “วันนั้นผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะฝืนยิ้มให้พี่ ทั้งที่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไม่ได้เรื่องที่มารบกวนคนอื่น”

     “ท้องฟ้า พี่...”

     “ถ้าผมบอกว่าไม่ยกโทษให้ พี่จะทำยังไงครับ”

     วายุถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดที่คิดว่ากลั่นกรองมาดีแล้วจะทำให้คนๆ หนึ่งเสียใจได้ถึงเพียงนี้ วันนั้นเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่จะมาป่วนในบ้านของเขา แต่พอได้รู้จักกันจริงๆ วายุถึงรู้ว่าไม่ใช่เลย

     “พี่ขอโทษจริงๆ ขอโทษที่พูดโดยไม่ทันคิด”

     ใบหน้ารู้สึกผิดทำเอาท้องฟ้าอยากหยุดแกล้ง แต่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเขาจึงต้องแสดงละครต่อไป

     “วันนี้ทั้งวันผมเอาแต่คิดว่าพี่เกลียดผม”

     “เปล่านะ! พี่ไม่ได้เกลียด”

     “พูดจริงเหรอครับ”

     วายุรีบพยักหน้ารัวเร็ว นั่นล่ะคือสิ่งที่เขากำลังรอ

     “ถ้างั้นพี่กล้าพิสูจน์ไหมครับว่าไม่ได้เกลียดผมจริงๆ”

     “ได้สิ อยากให้พิสูจน์ยังไงบอกมาได้เลย”

     “พาผมไปเที่ยว”

     “หืม?” วายุกะพริบตาปริบๆ มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

     “พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน พี่ต้องพาผมไปเที่ยวเพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่ไม่เกลียดผม ส่วนสถานที่เอาไว้ผมกลับไปคิดคืนนี้แล้วจะบอกทีหลัง แค่นี้พี่ทำให้ผมได้ไหม”

     วายุอยากถามเหลือเกินว่านี่หรือคือวิธีพิสูจน์ว่าเกลียดหรือไม่เกลียด คิดยังไงก็ไม่เข้าใจว่ามันมาเกี่ยวกันได้ยังไง แต่พอเห็นสีหน้าหงอยๆ ของอีกฝ่ายจึงรีบตอบออกไป

     “โอเคครับ ไปเที่ยวก็ไปเที่ยว แต่ขอเป็นในกรุงเทพฯ นะจะได้ไปกลับสะดวก พี่ไม่อยากค้างคืนต่างจังหวัด”

     “ได้ครับ ผมก็ไม่อยากไปไกลเหมือนกันเพราะมะรืนมีเรียน”

     วายุยังไม่หายงง เมื่อครู่เขารู้สึกผิด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวง แต่ไม่รู้ว่าใครและล่อลวงเรื่องอะไร

     “ไปพักผ่อนเถอะครับ ขอโทษที่ชวนคุยซะยาว ราตรีสวัสดิ์ครับพี่วายุ”

     “…ราตรีสวัสดิ์ครับ”

     ร่างสูงโปร่งเปิดประตูห้องนอน เดินหายเข้าไปด้วยใบหน้ามึนงง ต่างกับใครอีกคนที่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาของท้องฟ้าพราวระยับ เขากำลังสนุกที่ได้แกล้งผู้ใหญ่อ่อนโยนแต่ใสซื่อ

     ไหนๆ ก็โดนหาว่าเป็นเด็กแล้ว ก็ขอเป็นเด็กไม่ดีด้วยการโดดเรียนไปเดตเลยแล้วกัน ขอโทษนะครับพี่วายุ แต่ความสุขไม่เข้าใครออกใคร ผมทำแบบนี้เพราะอยากมีความสุข แต่ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ผมจะทำให้พี่รู้ว่าอยู่กับผมก็มีความสุขได้เหมือนกัน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 5 ★ [15/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 15-10-2022 18:00:50
ตอนที่ 5
มีความสุข


     “อยากแวะที่ไหนก็บอก คงอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง” วายุบอกคนที่นั่งข้างกันหลังออกจากบ้านมาได้ไม่นาน รถเก๋งสีขาวสะอาดตากำลังมุ่งหน้าไปยังสวนสัตว์ที่เพิ่งเปิดใหม่

     “นี่กำลังเอาใจผมอยู่หรือเปล่าครับ” ท้องฟ้ายิ้มกริ่ม

     “ขืนไม่เอาใจเดี๋ยวเด็กแถวนี้หาว่าพี่เกลียดอีก”

     “งั้นวันนี้พี่ต้องเอาใจให้มากๆ ผมจะได้รู้ว่าพี่วายุรักผมแค่ไหน”

     วายุเกือบทำรถกระตุกเพียงเพราะคำพูดของเด็กตัวโต เขารู้ว่ามันเป็นประโยคธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆ โดยเฉพาะเมื่อคนพูดคือท้องฟ้า

     “อืม” วายุพูดแค่นั้น เขาคิดเอาเองง่ายๆ ว่าท้องฟ้าคงอยากให้เขารักเหมือนพี่ชายรักน้องชาย มีแต่ตัวท้องฟ้าที่รู้ว่าคำว่ารักที่เขาต้องการมันยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “นึกยังไงถึงอยากมาสวนสัตว์” วายุชวนเด็กหนุ่มคุยหลังจากที่พวกเขาเพิ่งแลกตั๋วเข้ามา วันนี้อากาศแจ่มใส คนจึงหนาตาเป็นพิเศษ

     “เห็นมีนโฆษณาไว้น่ะครับว่าที่นี่น่าเที่ยว เลยอยากมาลองดู”

     “พูดถึงมีน ทำไมไม่ชวนมาด้วยกันล่ะ”

     “มันติดธุระครับ” ท้องฟ้าตอบแต่ไม่ยอมสบตา เขาจะบอกได้อย่างไรว่าโดดเรียนมา เมื่อคืนก็เพิ่งโดนเพื่อนสนิทบ่นจนหูชา

     “อยากไปดูอะไรก่อน” วายุเอ่ยถามพร้อมกับหยิบแผนที่สวนสัตว์ที่พนักงานตรงทางเข้าให้มาดู แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบจึงหันไปมอง ก่อนพบว่าคนที่เขาถามกำลังง่วนอยู่กับการเปิดกล้องที่คล้องอยู่บนคอ “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “พี่ถามว่าอยากไปดูอะไรก่อน”

     “แล้วแต่พี่วายุเลยครับ”

     “ไม่ได้สิ ต้องแล้วแต่เรา”

     “ผมยังไงก็ได้ พี่เลือกดีกว่า”

     “ตัวเองบอกให้พี่เอาใจเอง จำไม่ได้หรือไง”

     ท้องฟ้ามองคนพูดนิ่งๆ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาในที่สุด ไม่ได้รู้ตัวเลยสินะว่าคำพูดนั้นทำให้เขารู้สึกดีเป็นบ้า

     “งั้นไปดูเพนกวินก่อนก็ได้ครับ”

     วายุมองตาปริบๆ แต่ก็ยอมตามใจลูกชายเพื่อนพ่อแต่โดยดี เขาก้มมองแผนที่ในมืออีกครั้ง สถานที่โชว์เพนกวินอยู่แทบจะสุดทางเดิน เท่ากับว่าพวกเขาต้องเดินไปจุดสุดท้ายแล้วค่อยย้อนมาดูสัตว์ชนิดอื่นต่อ วายุงงนิดหน่อยเพราะตอนแรกนึกว่าอีกฝ่ายจะเดินไปตามแผนที่เสียอีก

     ท้องฟ้าอมยิ้ม เรียกคนที่ยังยืนนิ่งให้มาเดินเคียงคู่กัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการไปดูโชว์เพนกวินเป็นที่แรกมันต้องเดินไกล แต่ที่เขาทำอย่างนี้เพราะคนข้างตัวล้วนๆ

     วายุชอบเพนกวิน ท้องฟ้าจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ และไม่ใช่แค่นั้น แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวกับวายุเขาจำได้หมด ราวกับเรื่องราวของวายุเป็นนิทานเรื่องโปรดที่เขามักจะชอบอ่านตอนเด็กจนจำได้แทบทุกประโยค

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พอแล้ว” วายุยื่นมือไปบังกล้องเมื่อเห็นร่างสูงเอาแต่ถ่ายเขาไม่หยุด ตั้งแต่โชว์เพนกวินจนมาถึงตอนนี้เขาได้ยินเสียงชัตเตอร์แทบจะทุกสองนาที และแทบทุกครั้งกล้องจะหันมาทางเขาเสมอ

     “ยิ้มหน่อยครับ เดี๋ยวรูปไม่ขึ้นกล้องไม่รู้ด้วยนะ”

     “มาสวนสัตว์ก็ถ่ายสัตว์ไปสิ จะมาถ่ายพี่ทำไม”

     เพราะผมเอาสวนสัตว์มาเป็นข้ออ้างในการถ่ายรูปพี่เก็บไว้ยังไงล่ะครับ ท้องฟ้าได้แต่ตอบคำถามในใจ เขาศึกษามาแล้วว่าสวนสัตว์แห่งนี้อนุญาตให้ผู้เข้าชมถ่ายรูปได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาเลือกมาที่นี่

     “ไปยืนข้างกรงหน่อยครับ เดี๋ยวผมถ่ายรูปคู่กับกระต่ายให้”

     วายุนึกขำ ตกลงนี่เขากลายเป็นนายแบบจำเป็นให้เด็กหนุ่มไปแล้วหรือ ตลอดทางที่ผ่านมาท้องฟ้าเอาแต่บอกให้เขายืนตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ถ่ายรูปเดี่ยวสลับกับรูปคู่กับสัตว์ไม่หยุด จนวายุเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครกำลังเอาใจใครกันแน่

     “พี่ถ่ายให้ดีกว่า อุตส่าห์มาทั้งทีเราจะได้มีรูปบ้าง” วายุเดินเข้าไปหาคนตัวสูง เอ่ยขอกล้องที่คล้องคออยู่เพื่อเอามาถ่ายให้

     “พี่ใช้เป็นเหรอครับ”

     “เราก็สอนพี่สิ”

     “ไม่เอา เดี๋ยวพี่ทำกล้องผมพัง”

     วายุมองค้อนคนตรงหน้า เขาไม่ได้แก่จนเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีสมัยนี้เสียหน่อย เด็กคนนี้เห็นเขาเป็นคุณลุงหรือไง

     “เอาแบบนี้ดีกว่า” ท้องฟ้าเคลื่อนตัวไปใกล้วายุ พาดแขนไปบนลาดไหล่ รั้งอีกฝ่ายมาแนบชิด เอาสายคล้องกล้องออกจากคอแล้วชูแขนขึ้นสูง “ถ่ายด้วยกัน”

     “ไม่เอา เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” วายุพยายามขืนตัวออก รู้สึกเก้อเขินสายตาที่มองมา เขารู้ว่าคนอื่นคงคิดว่าพี่ชายถ่ายรูปกับน้องชายเฉยๆ แต่วายุเป็นลูกคนเดียว กับเพื่อนก็ไม่เคยทำอะไรอย่างนี้ เขาจึงอดรู้สึกประดักประเดิดไม่ได้

     “อยู่นิ่งๆ ครับ เดี๋ยวรูปออกมาไม่ชัด”

     “เราก็ปล่อยแขนพี่สิ บอกแล้วไงว่าจะถ่ายให้”

     ท้องฟ้าหันมามองด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ดวงตาคมหม่นลงราวกับกำลังเสียใจ “ไหนว่าไม่เกลียดผมไง แค่ถ่ายรูปด้วยกันเอง ทำให้ผมไม่ได้เหรอครับ”

     วายุกำลังจะแก้ความเข้าใจผิด แต่พอเห็นสายตาที่มองมาเขากลับพูดอะไรไม่ออก

     “นะครับ...ถ่ายรูปกับผมนะ ผมอยากมีรูปคู่กับพี่วายุบ้าง”

     คนพูดเป็นผู้ชายตัวโตๆ ที่ไม่ได้มีความน่ารักสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมวายุถึงใจอ่อนยวบกับน้ำเสียงที่ติดจะออดอ้อนอยู่ในที หัวสมองเขาพร่ามัวไปชั่วขณะ เผลอพยักหน้าออกไปโดยไม่รู้ตัว

     ใบหน้าหม่นหมองกลับมายิ้มสดใสอีกครั้ง ท้องฟ้าเอาหน้าไปใกล้แก้มเนียนใส ชักชวนให้อีกฝ่ายหันไปมองกล้อง มีฉากหลังเป็นกระต่ายสองตัวกำลังยืนเกาะกรงมองมายังพวกเขา

     “ยิ้มหน่อยสิครับ อยู่กับผมไม่มีความสุขเหรอ”

     “ถามอะไรอย่างนั้น” วายุบ่นอุบแต่ก็ยอมคลี่ยิ้ม จนกระทั่งได้รูปที่พอใจไปหลายรูปแล้วเจ้าของวงแขนแกร่งจึงถอยออกไป วายุกลับมาหายใจหายคอคล่องอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาที่ถ่ายรูปตัวเองเผลอกลั้นหายใจ

     เด็กหนุ่มก้มมองรูปในกล้องแล้วยิ้มกว้าง ก่อนจะหันมาอวดผลงานตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “รูปคู่รูปแรกของเราสองคน สวยนะครับว่าไหม”

     “อืม” ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นคนตรงหน้ายิ้มวายุถึงอยากยิ้มตาม วันแรกที่อีกฝ่ายแนะนำตัววายุเคยแปลกใจกับชื่อเล่นของเจ้าตัว แต่มาวันนี้เขาไม่นึกสงสัยอะไรแล้ว

     ชื่อท้องฟ้า กับรอยยิ้มที่สดใสราวกับท้องฟ้า มันก็ดูเข้ากันดีนะ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เอ้า” วายุยื่นกรวยไอศกรีมให้เด็กตัวโตก่อนจะนั่งลงข้างกัน เขากับท้องฟ้ามาพักที่ม้านั่งหลังจากเดินดูสัตว์มาสองชั่วโมงเต็ม

     “วันนี้อากาศดีจัง คิดไม่ผิดที่ชวนพี่มา”

     “แน่นอนสิ อากาศดีแถมได้เที่ยวฟรี คงดีใจอยู่ล่ะสิเรา” คำพูดของคนข้างตัวทำให้ท้องฟ้าเหลือบไปมอง

     “ไว้คราวหน้าผมเลี้ยงคืนครับ พี่อยากไปไหนบอกมาได้เลย”

     “ไม่เป็นไร พี่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ซีเรียสอะไร” วายุรีบโบกไม้โบกมือเพราะกลัวเด็กหนุ่มเข้าใจผิดอีก “สรุปเชื่อหรือยังว่าพี่ไม่ได้เกลียดเรา”

     “ผมรู้อยู่แล้วครับ”

     “หืม?”

     “พี่วายุไม่เกลียดผมหรอก ผมรู้ว่าพี่วายุใจดี”

     คนใจดีหันมาประจันหน้า แววตาเต็มไปด้วยความมึนงง “เดี๋ยวนะ ทำไมพูดเหมือนรู้อยู่แล้ว”

     “ก็ใช่ไงครับ”

     “นายหลอกพี่?”

     “เรียกว่าชวนมาเที่ยวแบบเนียนๆ ดีกว่า” ท้องฟ้าว่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ละเลียดชิมไอศกรีมในมือโดยไม่สนสีหน้าเหวอๆ ของอีกคน

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ”

     “อย่ามายิ้ม หลอกพี่ทำไม”

     “ก็ผมไม่รู้จะชวนพี่มาเที่ยวยังไง”

     “อยากมาก็บอกตรงๆ มันจะไปยากอะไร”

     “พี่พูดแล้วนะ”

     “อะไร?”

     “ห้ามลืมคำพูดตัวเองนะครับ ถ้าวันหลังผมชวนอีกพี่ต้องพามา ห้ามเบี้ยว ห้ามผิดสัญญา”

     วายุได้แต่มองคนที่พูดเป็นตุเป็นตะอย่างนิ่งอึ้ง นึกสงสัยในใจว่าทำไมอาศิมันตร์ไม่บอกเขาว่านอกจากเป็นเด็กดีแล้วลูกชายตนยังเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ด้วย

     “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ให้พี่เลี้ยงทุกครั้งหรอกครับ สลับๆ กันไป”

     “พี่บอกเหรอว่าจะพามาอีก”

     “บอกสิ บอกเมื่อกี้”

     “พี่พูดว่า...”

     “หรือมาเที่ยวกับผมพี่ไม่มีความสุข” ท้องฟ้าลดไอศกรีมลงจากปาก หันไปสบตากับวายุ

     “คือพี่...”

     “ตอนอยู่กับผมพี่ไม่มีความสุขเหรอครับ” คำถามเดิมถูกเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง สีหน้าคนพูดเปี่ยมไปด้วยความเสียใจจนคนมองรู้สึกใจหาย

     “ไม่ใช่แบบนั้น”

     “แล้วแบบไหนครับ” ถ้าวายุไม่ได้ตาฝาด เหมือนเขาจะเห็นประกายในดวงตาคนถามแวบหนึ่ง ก่อนมันจะจางหายไป “พี่มาเที่ยวกับผมแล้วมีความสุขใช่ไหม”

     สายตาที่คาดหวัง น้ำเสียงที่กระตือรือร้น แล้วจะให้วายุตอบอย่างอื่นได้ยังไง นอกเสียจาก... “อืม พี่มีความสุข”

     รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง ท้องฟ้าหันกลับไปอย่างเดิม ยกไอศกรีมขึ้นมาทานต่ออย่างอารมณ์ดี

     “ผมก็มีความสุขครับ มีความสุขโคตรๆ เลยที่ได้มาเที่ยวกับพี่”

     วายุไม่รู้ว่าทำไมคำพูดแค่นั้นถึงทำให้หัวใจเขาสั่นไหวได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองไม่ได้มองลูกชายเพื่อนพ่อเป็นคนแปลกหน้าอีกต่อไป

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “หิวหรือยัง แวะทานอะไรก่อนดีไหม”

     ท้องฟ้าหันไปมองคนที่กำลังขับรถอยู่ นึกแปลกใจเพราะวายุถามเขาสองรอบแล้ว

     “ยังครับ พี่วายุมีอะไรหรือเปล่า”

     “พี่เห็นวันนี้เราทานไปแค่ไอศกรีม กลัวจะหิว อีกสักพักกว่าจะถึงบ้าน”

     “ผมไม่หิวครับ ตอนพี่แวะเข้าห้องน้ำผมซื้อแฮมเบอร์เกอร์มาทานแล้ว” ท้องฟ้าโกหกเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่ที่บอกว่าไม่หิวคือเรื่องจริง วันนี้เขาได้ใช้เวลาอยู่กับวายุทั้งวันจนข้างในอิ่มความสุขไปหมด “แต่ถ้าพี่หิวจะแวะทานก่อนก็ได้นะครับ ผมไม่ได้รีบกลับ”

     “ไม่ล่ะ พี่ก็ไม่หิวเหมือนกัน”

     ท้องฟ้าพยักหน้ารับ หันมาสนใจรูปในกล้องดิจิตอลต่อ เขาตั้งใจว่ากลับไปแล้วจะเอาไปโหลดลงโทรศัพท์เพื่อตั้งเป็นรูปหน้าจอ แน่นอนว่ารูปที่เขาเลือกคือรูปคู่ของเขากับวายุ

     “เรื่องหอเป็นไงบ้าง หาได้หรือยัง”

     คำถามของคนข้างๆ ทำให้มือที่กำลังเลื่อนดูรูปหยุดชะงัก เด็กหนุ่มนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบกลับไปอย่างพยายามไม่ให้มีพิรุธ “ยังเลยครับ ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอม เลยมีนักศึกษาหน้าใหม่มาจับจองหอเต็มไปหมด คงจะหาหอที่มีห้องว่างไม่ได้ง่ายๆ”

     “บอกอาศิมันตร์ว่าหาไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบนะ พี่เต็มใจให้เราอยู่ด้วย จะนานเท่าไหร่ก็ได้”

     “ขอบคุณครับ” ท้องฟ้ายิ้มตอบแต่ในใจกำลังร้อนรน เขามัวแต่ดีใจที่ได้อยู่กับวายุจึงลืมสนใจเรื่องหอไปสนิท ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณพ่อหาให้ได้หรือยัง แต่เขาภาวนาให้ยัง หรือหาไม่ได้เลยยิ่งดี

     ท้องฟ้าพูดได้เต็มปากว่าไม่อยากย้ายออกเลย เขาไม่รู้ว่าถ้าต้องจากกันคราวนี้จะมีโอกาสกลับมาเจอวายุอีกไหม สิบปีที่แล้วจู่ๆ วายุก็ย้ายบ้านไป ไม่ทันให้เขาได้ร่ำลาอะไรเลย ตอนนั้นท้องฟ้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้เมื่อเวลาผ่านไปเขาจะทำใจได้แต่ลึกๆ แล้วเขายังคิดถึงวายุอยู่เสมอ และเมื่อสิบปีผ่านมาพวกเขาได้มาพบกันอีกครั้ง ท้องฟ้าจึงสาบานกับตัวเองว่าเขาจะไม่ปล่อยให้วายุหายไปไหนอีก

     ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังกังวลเรื่องอนาคต ชายหนุ่มที่มองตรงไปยังถนนกลับสับสนเรื่องที่กำลังเกิดในปัจจุบัน วายุเคยพูดประโยคเดียวกันกับเพื่อนของพ่อไปแล้ว แต่พอมาพูดกับลูกชายความรู้สึกกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาบอกอาศิมันตร์เพราะเกรงใจ แต่ตอนบอกท้องฟ้าเมื่อครู่ วายุไม่แน่ใจว่าเขาพูดออกไปด้วยความรู้สึกแบบไหน อาจจะเป็นห่วง เอ็นดู กังวล หรืออย่างอื่นวายุก็ไม่อาจรู้ได้ ที่แน่ๆ คือความรู้สึกอึดอัดในวันแรกที่ท้องฟ้ามาอยู่ด้วยไม่มีเหลืออีกต่อไป

     เจ้าของรถเหลือบมองคนข้างตัว ใบหน้าที่ดูเหมือนคิดอะไรอยู่ทำให้เขาถามออกไป “เป็นอะไร คิ้วขมวดกันเชียว”

     คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าคิ้วแทบจะชนกันหันไปมองคนถาม ก่อนมุมปากจะคลี่ยิ้มออกนิดๆ “แค่สงสัยว่าถ้าพ่อหาหอใหม่ไม่ได้จนผมเรียนจบ พี่วายุจะให้ผมอยู่ด้วยจนถึงตอนนั้นหรือเปล่า”

     “ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ในกรุงเทพฯ มีหอเยอะจะตายไป มันต้องมีว่างสักหอแหละน่า”

     “แล้วถ้าไม่มีล่ะครับ”

     วายุกำลังจะตอบกลับไปด้วยคำพูดเดิม แต่เมื่อหันไปอีกครั้งกลับพบว่าเด็กตัวโตกำลังมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะมีบางอย่างแฝงอยู่

     “กลัวอยู่หอคนเดียวแล้วจะเหงาหรือไงเรา” ไม่รู้ว่าอะไรทำให้วายุคิดอย่างนั้น รู้ตัวอีกทีเขาก็พูดออกไปแล้ว

     “ถ้าผมตอบว่าใช่ พี่วายุจะให้ผมอยู่ด้วยไปตลอดหรือเปล่า”

     วายุเอื้อมมือไปโยกหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู วันนี้เขาได้เห็นท้องฟ้าในมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากเป็นเด็กดี เด็กเจ้าเล่ห์แล้วท่าทางจะเป็นเด็กขี้เหงาอีกด้วย เขาเริ่มเชื่อแล้วที่อาศิมันตร์พูดไว้ว่าลูกชายตนเองนั้นชอบเอาแต่ใจ แต่เป็นความเอาแต่ใจที่น่าเอ็นดูไม่น้อยในสายตาเขา

     “ถ้าเป็นเด็กดีล่ะก็นะ” วายุพูดติดตลก แต่คนฟังกลับเชื่ออย่างหมดใจ ท้องฟ้าตาโตเมื่อเห็นโอกาสอยู่รำไร พี่วายุพูดอย่างนี้กำลังจะสื่อว่าอนุญาตให้เขาอยู่ด้วยไปตลอดใช่ไหม

     “ผมเป็นเด็กดีอยู่แล้ว ดูอย่างวันนี้ก็ได้ เด็กเกเรที่ไหนจะทำให้พี่มีความสุขได้ขนาดนี้” คนที่ไม่อยากเป็นเด็ก มาวันนี้กลับภูมิใจความเป็นเด็กดีของตัวเอง วายุหัวเราะในลำคอ เพิ่มคำว่าเด็กขี้อวดเข้าไปในสารบัญนิสัยของคนข้างๆ

     ร่างสูงโปร่งไม่ตอบอะไร ปล่อยให้เด็กหนุ่มฮัมเพลงไปตลอดทาง วายุไม่มีอะไรจะพูดเพราะสิ่งที่ออกจากปากท้องฟ้าล้วนเป็นความจริงทุกคำ

     วันนี้เขามีความสุข...เป็นความสุขที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว จนกระทั่งมีท้องฟ้าเข้ามาในชีวิต




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 6 ★ [16/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 16-10-2022 19:06:18
ตอนที่ 6
เหมาะดีนะ


     “สวัสดีครับ” วายุยกมือไหว้คุณอาศิมันตร์กับคุณน้ากมลฉัตรที่ออกมาต้อนรับ วันนี้เขาพาท้องฟ้ากลับบ้านมาหาพวกท่านตามที่สัญญาไว้

     “ตายจริง ไม่ได้เจอตั้งนาน โตมาหล่ออย่าบอกใครเชียว” คุณกมลฉัตรเดินมาลูบหน้าลูบตาวายุด้วยความเอ็นดู เธอยังจำเด็กชายวายุเมื่อสิบปีก่อนได้ นิสัยเรียบร้อยและนอบน้อมถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดาไม่มีผิด

     “ทานข้าวบ้างหรือเปล่าเรา ทำไมผอมอย่างนี้” คุณศิมันตร์เอ่ยแซวลูกชายเพื่อนตัวเอง เทียบกับลูกชายเขาแล้ววายุดูผอมบางกว่ามากแม้จะอายุมากกว่าก็ตาม

     “ตาวายุไม่ใช่คุณตอนหนุ่มๆ นะคะ เอะอะกินๆ ดีนะที่คุณชอบเล่นกีฬา ไม่งั้นฉัตรคงมีสามีเป็นโอ่ง”

     “อ้าวคุณ นี่เผาผมต่อหน้าเด็กๆ เหรอ”

     “ฉัตรแค่พูดความจริง”

     วายุยกยิ้มกับภาพตรงหน้า เขามาที่นี่ครั้งสุดท้ายเมื่อสิบปีที่แล้วก็จริง แต่เขาจำได้ดีว่าครอบครัวของเพื่อนพ่อน่ารักและอบอุ่นเพียงใด

     “อย่ามัวแต่ยืนคุยกันเลยครับ พี่วายุขับรถมาเหนื่อยๆ”

     “จริงด้วย แม่ก็มัวแต่ดีใจ ไปๆ เข้าบ้านกัน แม่ให้คนเตรียมอาหารไว้เยอะเลย”

     “ลูกอาไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหม” คุณศิมันตร์ชวนวายุคุยระหว่างเดินเข้าบ้าน เลยโดนลูกชายหันมามองด้วยสายตาโอดครวญ

     “โธ่พ่อครับ เห็นผมเป็นคนยังไง”

     “เป็นคนอย่างนี้แหละ เรามันชอบเอาแต่ใจ ไม่ได้ดั่งใจก็อ้อนเขาเป็นเด็กไปทั่ว”

     วายุหัวเราะเสียงเบา นึกย้อนไปในวันที่เขากับท้องฟ้าไปเที่ยวสวนสัตว์ จะว่าไปวันนั้นท้องฟ้าก็ออดอ้อนเขาไปไม่น้อยเหมือนกัน วายุแปลกใจนิดหน่อยเพราะนิสัยขี้อ้อนมันดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์หนุ่มหล่อของเจ้าตัวเลย

     “ว่ายังไง ลูกอาดื้อไหม ถ้าดื้ออาจะได้จัดการวันนี้เลย” คุณศิมันตร์หันมาทวงคำตอบอีกรอบ

     “ไม่ดื้อครับ ออกจะเป็นเด็กดีด้วยซ้ำ” วายุคิดจะแกล้งลูกชายเพื่อนพ่อด้วยการฟ้องไปตรงๆ ว่าเขาโดนหลอกให้พาไปเที่ยว แต่พอเห็นสีหน้าหงอยๆ ปนอ้อนวอนแล้วเขาก็แกล้งไม่ลง

     “งั้นก็ดีแล้ว แต่อย่าตามใจให้มากล่ะ เจ้าสกายยิ่งเอาใจเก่งอยู่ด้วย อย่าหลงคารมตามเด็ดขาด”

     “สกาย?” วายุสะดุดหูกับชื่อที่ไม่คุ้นเคย “ใครเหรอครับ”

     “ถามอะไรอย่างนั้น” คุณศิมันตร์พูดยิ้มๆ ขณะที่ลูกชายหุบยิ้มเปลี่ยนเป็นหน้าเรียบตึง “อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวันยังไม่ได้แนะนำตัว”

     “แนะนำตัวแล้วครับ แต่ตอนนั้น...”

     “ลูกชายอาชื่อสกาย อาตั้งชื่อนี้ให้เพราะภรรยาชอบ”

     “ก็แหม ฉัตรรู้ว่าลูกเราต้องโตมาหล่อเหมือนคุณเลยอยากให้ชื่อเท่ๆ ไงคะ” คุณกมลฉัตรชะลอฝีเท้า หันมาร่วมวงสนทนากับสามีที่เดินตามหลัง ผู้ใหญ่ทั้งสองพูดคุยกันไปตลอดทางโดยไม่ได้รู้เลยว่าลูกชายตนกำลังถูกชายหนุ่มจ้องมองอย่างต้องการคำอธิบาย

     สกายไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่มองตอบอีกฝ่ายนิ่งๆ วายุอยากถามออกไปตรงๆ แต่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เขาจึงเกรงว่าจะไม่เหมาะ เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

     ลูกชายของอาศิมันตร์ที่มาอยู่บ้านเขาชื่อสกาย ไม่ได้ชื่อท้องฟ้าอย่างที่เจ้าตัวบอกกับเขา

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เจ้าเกริกได้บอกไหมว่าจะกลับมาเมื่อไหร่” คุณศิมันตร์เอ่ยถามลูกชายเพื่อนที่วันนี้เขาชวนมาทานข้าวที่บ้าน

     “ประมาณเดือนหน้าครับ อาศิมีอะไรหรือเปล่าครับ”

     “แค่อยากเจอหน้าน่ะ ไม่ได้พบปะกันมาหลายเดือนแล้ว”

     “จะแอบหนีสาวๆ ไปเที่ยวไหนอีกคะ” คุณกมลฉัตรถามอย่างรู้ทัน เวลาครอบครัวธนาวรวัตรเมื่อเยี่ยมบ้านเธอทีไร เหล่าบรรดาสามีมักจะพากันออกไปข้างนอกเสมอ ปล่อยให้ภรรยาอยู่คุยกันที่บ้าน

     “ผมก็ไปตีกอล์ฟกับเจ้าเกริกไงคุณ ไม่เห็นต้องถาม”

     “เพลาๆ บ้างนะคะคุณ ไหนว่าช่วงนี้ปวดเมื่อยตามตัว”

     “สบายมาก ผมยังหนุ่มยังแน่น ถึงจะไม่เท่าเด็กๆ ก็เถอะ” คุณศิมันตร์พูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหันไปคุยกับลูกชาย “จริงสิ ดินบอกว่าจะกลับมาเดือนหน้า เรารู้หรือยัง”

     “รู้แล้วครับ พี่ดินบอกผมแล้ว”

     ดินหรือปฐพีเป็นลูกชายคนโตของคุณศิมันตร์ พี่ชายของสกาย ปฐพีไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกาตั้งแต่สองปีก่อน เพิ่งจบการศึกษาเมื่อเดือนที่แล้ว สาเหตุที่คุณศิมันตร์รบกวนเพื่อนสนิทเรื่องที่พักลูกชายคนเล็กเพราะต้องบินไปร่วมงานรับปริญญาลูกชายคนโต

     “ตาดินน่าจะรุ่นเดียวกับวายุ ไว้กลับมาแล้วอาแนะนำให้รู้จัก”

     “ครับ” วายุตอบรับแต่ในหัวยังคงขบคิดเรื่องชื่อของคนที่นั่งข้างกัน ตั้งแต่อาศิมันตร์เฉลยความจริงจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงต้องโกหก

     “วายุมีแฟนหรือยัง น้าแนะนำลูกสาวเพื่อนให้ไหม”

     “ผมยังไม่มีครับ แต่ไม่เป็นไรดีกว่า ขอบคุณนะครับ” วายุยิ้มแห้งให้คุณน้ากมลฉัตร เขาเคยถูกบิดาถามเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เป็นเชิงกระเซ้าเย้าแหย่มากกว่าจะเร่งให้มีจริงๆ

     “เดี๋ยวเด็กมันหาเอง คุณจะไปยุ่งทำไม”

     “เอ๊ะคุณ ฉัตรก็แค่อยากแนะนำเฉยๆ เพื่อนเรามีลูกสาวน่ารักตั้งหลายคน”

     “อายุปูนนี้ยังจะริอ่านเป็นแม่สื่ออีกนะ”

     “คุณก็อายุเท่าฉัตรยังทำมาเป็นพูด”

     วายุอมยิ้มกับคุณอาคุณน้าที่ละม้ายคล้ายพ่อแม่เขาไม่มีผิด แม้จะแต่งงานกันมาหลายสิบปีแล้วแต่ความรักที่ทั้งคู่มีให้กันนั้นไม่เคยลดลงเลย วายุอดคิดไม่ได้ว่าที่ท้องฟ้า (หรือสกาย) โตมาเป็นเด็กดีคงเพราะได้รับการเลี้ยงดูที่ดีจากครอบครัว

     “แม่ไม่ต้องหาแฟนให้พี่วายุหรอกครับ” จู่ๆ คนข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นมา เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง “พี่วายุมีคนจองแล้ว”

     “ตายจริง วายุกำลังจะมีแฟนเหรอ ไว้ว่างๆ พามาให้น้ารู้จักบ้างสิ” คุณกมลฉัตรเอ่ยอย่างตื่นเต้นก่อนจะโดนสามีปรามทางสายตา

     “ผมยังไม่มีแฟนครับ สกายน่าจะเข้าใจผิด” วายุหันไปมองคนที่พูดเองเออเอง ช่วงนี้เขาไม่ได้คบหากับใคร แล้วเด็กคนนี้ไปเอาข่าวมาจากไหน

     “ผมก็ไม่ได้บอกว่าพี่วายุมีแฟน แค่บอกว่ามีคนจองแล้ว” สกายพูดต่อหน้าตาเฉย เขาพูดเพียงแค่นั้น ไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติมถึงแม้จะมีสายตางุนงงมองมา สกายรู้ว่าวันหนึ่งวายุต้องมีคนรักของตัวเองและเขาไม่มีสิทธิ์ห้ามหรือทักท้วง แต่พอเห็นมารดาพูดเหมือนจะหาคนรักให้เสียเอง เขากลับทนฟังไม่ได้จนต้องประกาศออกไปแบบนั้น

     “ตกลงมันยังไงกัน” คุณศิมันตร์เป็นคนเอ่ยถาม เขาไม่คิดจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของลูกชายเพื่อน เพียงแต่ลูกชายเขาพูดจากำกวมจนเขาต้องถามออกไป

     “ช่วงนี้ผมกำลังจริงจังกับงานครับ ผมอยากสร้างเนื้อสร้างตัวให้ดีก่อนจะมีความรัก” วายุเลือกคำตอบกลางๆ เขาเป็นหัวข้อบทสนทนาแต่ยอมรับว่าเริ่มตามไม่ทันความคิดของเด็กหนุ่มแล้วเหมือนกัน

     “สกายทีหลังอย่าพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า พี่เขายังไม่มีคนรักหรือคนจอง เรานี่นะ” คุณศิมันตร์เอ็ดลูกชายอย่างไม่จริงจัง เขารู้ว่าวายุไม่ได้คิดมากแต่ก็ไม่อยากให้ลูกชายทำพฤติกรรมแบบนี้

     “ไม่เป็นไรครับ สกายคงเข้าใจผิด น่าจะเห็นผมคุยโทรศัพท์บ่อย” วายุเดาว่าคงเพราะอีกฝ่ายเห็นว่าเขามักจะติดต่องานกับลูกค้าทางโทรศัพท์ จึงคิดว่าเขากำลังมีความรัก

     “เรายังทำงานออกแบบอยู่ใช่ไหม” คุณกมลฉัตรถามคนที่เธอรักเหมือนเป็นลูกหลาน

     “ครับ”

     “สนใจมาทำงานกับน้าไหม บริษัทน้ายังต้องการคนทำงานด้านนี้อยู่” คุณกมลฉัตรพูดทีเล่นทีจริง บริษัทของเธอกับสามีทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อโฆษณาและสื่อสิ่งพิมพ์ เธอเคยทาบทามเรื่องนี้กับคุณเกริกพลและคุณมนตร์มณีแล้ว แต่ทั้งสามีและภรรยาต่างบอกว่าขอให้ลูกของตนเป็นคนตัดสินใจเอง

     “ขอบคุณครับที่กรุณา แต่ผมชอบทำงานฟรีแลนซ์มากกว่า มันอิสระและคล่องตัวดี”

     “ทำงานกับน้าก็อิสระเหมือนกัน อยากลาหยุดเมื่อไหร่ก็บอก ถ้าไม่บ่อยเกินไปน้าอนุญาตเสมอ” คุณกมลฉัตรพูดไปยกมือป้องปากไป ก่อนจะสงบเสงี่ยมเมื่อเจอสายตาของสามีเข้าไป

     “อย่าถือสาเลยวายุ ภรรยาอาอยากเจอเรามานานแล้ว ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรนักหนา”

     “แหม สิบปีเชียวนะคะที่ฉัตรไม่ได้เจอวายุ เวลาคุณเกริกมาหาก็ไม่พาลูกชายมาด้วยเลย”

     “อ้าว แม่คิดถึงแต่พี่วายุเหรอครับ งั้นผมก็ตกกระป๋องแล้วสิ” สกายแสร้งทำหน้าเศร้า คุณกมลฉัตรเลยยื่นมือไปลูบใบหน้าด้วยความรักใคร่

     “แม่ที่ไหนจะไม่คิดถึงลูกล่ะ พอไม่มีคนคอยอ้อนแม่แล้วบ้านเงียบเหงาขึ้นมาทันที”

     “ชอบให้ผมอ้อนก็ไม่บอก” เด็กหนุ่มลุกจากที่นั่งตัวเอง เดินอ้อมไปกอดมารดาที่นั่งอยู่อีกฝั่ง เรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มกับสายตาระอาปนเอ็นดูจากบิดา

     “ขอบใจที่ดูแลสกายนะวายุ ระหว่างนี้อาขอฝากน้องด้วย” คุณศิมันตร์ส่งยิ้มให้ลูกชายเพื่อน

     “ยินดีครับ”

     วายุหันไปมองสองแม่ลูกที่คุยกันกระหนุงกระหนิง เขาก็อยากรู้สึกดีกับภาพตรงหน้าอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าเรื่องชื่อเล่นของเจ้าตัวคอยตามรบกวนจิตใจอยู่ตลอด วายุไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “มีอะไรอยากพูดไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามคนข้างๆ เมื่อพวกเขาเดินทางออกมาจากคฤหาสน์นรากิตตินนท์แล้ว

     “มีครับ”

     “พูดมาสิ”

     “ขอโทษที่พูดว่าพี่มีคนจองแล้ว ตอนนั้นผมพูดออกไปไม่ทันคิด”

     วายุอยากถอนหายใจสักร้อยรอบ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยิน

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ”

     “พี่ไม่ได้เรียก แต่กำลังบอกให้เราอธิบายเรื่องชื่อนี้”

     จู่ๆ คนข้างตัวก็เงียบไป ไม่ส่งเสียงอะไรเลย วายุจึงเบนสายตาจากถนนไปมองชั่วขณะ ก่อนจะพบว่าใบหน้าที่มักจะยิ้มแย้มกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     คนที่มีชื่อเล่นสองชื่อหันมามองคนที่กำลังขับรถ ภายในดวงตามีทั้งความลังเลและความคาดหวัง “พี่วายุจำไม่ได้จริงๆ เหรอครับ”

     “จำอะไร”

     “คำว่าท้องฟ้า”

     เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมอธิบายแต่บอกใบ้มาเป็นคำๆ วายุจึงย่นคิ้วอย่างกำลังใช้ความคิด

     “จะให้พี่จำอะไร” ในที่สุดวายุก็ถามออกไปเพราะนึกยังไงก็นึกไม่ออก

     “ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ” วูบหนึ่งที่ความเสียใจปรากฏในดวงตาคู่นั้น ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

     “เราก็บอกพี่มาสิ”

     “ผมอยากให้พี่จำได้ด้วยตัวเอง” วายุกำลังจะถามซ้ำ แต่เด็กตัวโตก็พูดขึ้นมาอีก “ผมขอโทษที่โกหกเรื่องชื่อ แต่ผมอยากให้พี่เรียกด้วยชื่อนี้”

     “พี่ไม่ได้โกรธ แค่สงสัยว่าทำไมไม่พูดความจริงกับพี่แต่แรก”

     “ผมมีเหตุผลของผม เอาเป็นว่าผมขอร้อง หลังจากนี้เรียกผมว่าท้องฟ้าเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

     สายตาที่มองมาเหมือนตอนขอถ่ายรูปคู่กับเขาไม่มีผิด วายุนึกขำอยู่ในใจ อ้อนแม่ไปขนาดนั้นยังมีแรงมาอ้อนเขาต่ออีกเหรอ

     “ได้สิ แต่จะไม่บอกเหตุผลพี่จริงๆ ใช่ไหม”

     “ผมบอกแล้วไงว่าอยากให้พี่จำได้ด้วยตัวเอง”

     วายุอยากถามกลับไปอีกครั้ง แต่คิดอีกทีไม่ถามน่าจะดีกว่า ถึงถามไปอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมตอบ

     “แล้วถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นล่ะ”

     “ก็เรียกท้องฟ้านั่นแหละครับ”

     “จะไม่สับสนเหรอ”

     “ถ้าพี่วายุเป็นคนเรียกผมไม่สับสนหรอก”

     คำพูดที่เหมือนจะมีความนัยแฝงทำให้วายุอดหันไปมองไม่ได้ ใบหน้าของท้องฟ้าดูจริงจังจนเขาไม่คิดว่าเมื่อครู่จะเป็นเพียงประโยคธรรมดา

     “คงเป็นชื่อที่มีความหมายสินะ” วายุคาดเดา

     “ครับ มันมีความหมายสำหรับผมมาก” ท้องฟ้าสบตาคนที่เดาได้ถูกต้อง แต่ถ้าวายุอ่านสายตาเขาออกจะเดาได้ถูกกว่านี้ว่าความหมายและที่มาของชื่อนั้นคืออะไร

     วายุไม่พูดอะไรต่อ ขับรถตรงไปยังบ้านของตัวเอง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดเพลงเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงาเกินไป

     เสียงเพลงดังขึ้นเบาๆ ท้องฟ้าหันกลับมามองนอกหน้าต่าง จนกระทั่งชื่อของเขาถูกเอ่ยอีกครั้งท่ามกลางเพลงอันไพเราะที่เจ้าของรถเป็นคนเปิด

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “จะว่าไป พี่ก็คิดว่าชื่อนี้เหมาะกับเราดีนะ หรือพี่เรียกจนชินปากไปแล้วก็ไม่รู้”

     ท้องฟ้ากำลังยิ้ม ยิ้มจนกลัวว่าแก้มของเขาจะปริแตก เด็กหนุ่มหันกลับมามองทางข้างหน้าอย่างอารมณ์ดี เพลงที่ว่าเพราะยังไม่เท่าเสียงนุ่มๆ ของใครอีกคนที่ดังในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา

     จะไม่เหมาะได้ยังไง ตัวเองเป็นคนตั้งให้เองเมื่อสิบปีก่อน ท้องฟ้าตอบกลับประโยคนั้นในใจ ความเสียใจเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความสุขจนไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 7 ★ [17/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 17-10-2022 15:55:28
ตอนที่ 7
ลูกหมาตัวโต


     เด็กหนุ่มวายุวัยสิบหกปีกำลังจ้องมองหนุ่มน้อยตรงหน้า ตามแขนขามีพลาสเตอร์แปะอยู่หลายจุด ใบหน้าหม่นหมอง ดวงตาไร้ความสดใส

     ‘สวัสดีครับ พี่ชื่อวายุนะ’

     ‘…’

     ไร้เสียงตอบรับจากคนตรงหน้า วายุเดาว่าน่าจะเป็นเด็กไม่ค่อยพูด เขาตามคุณพ่อคุณแม่มาหาคุณอาศิมันตร์กับคุณน้ากมลฉัตรที่บ้าน ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน เขาก็ถูกแนะนำให้มานั่งเล่นชิงช้าหลังบ้าน จนมาเจอกับหนุ่มน้อยคนนี้

     พ่อของเขาเคยบอกว่าอาศิมันตร์มีลูกชายวัยสิบขวบ วายุจึงรู้โดยสัญชาตญาณว่าน่าจะเป็นเด็กคนนี้แน่นอน

     ‘ขอพี่นั่งด้วยได้ไหม’ วายุชี้ไปยังชิงช้าอีกตัวที่ว่างอยู่ คนที่นั่งอยู่ก่อนเม้มปากแน่น สักพักก็พยักหน้าน้อยๆ วายุยิ้มขอบคุณ กำลังจะเดินไปนั่งแต่เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้นมาก่อน

     ‘ให้นั่งแล้ว ห้ามแกล้งนะ’

     ‘หืม?’ วายุร้องเสียงหลงเพราะคิดว่าตัวเองฟังผิด เด็กชายเม้มปากแน่นอีกครั้ง ก่อนจะเผยอออกแล้วพูดซ้ำอย่างกล้าๆ กลัวๆ

     ‘สกายให้นั่งแล้ว พี่วายุอย่าแกล้งสกายนะ’

     ‘ชื่อสกายเหรอเรา’ วายุนั่งลงบนชิงช้าข้างกัน ยื่นมือไปลูบหัวทุยๆ เด็กชายสกายสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยอมให้วางมือแต่โดยดี ‘ทำไมถึงคิดว่าพี่จะแกล้งล่ะ’

     ‘ทุกคนแกล้งสกาย สกายอ่อนแอเลยมีแต่คนชอบแกล้ง’

     คนถามกลับพูดไม่ออกเสียเองเมื่อเจอคำตอบใสซื่อแต่เถรตรงเข้าไป เด็กชายสกายมองมือที่อยู่บนหัวตัวเอง ก่อนดวงตาใสจะเบนมามองเขา

     ‘สกายแบ่งชิงช้าให้แล้ว พี่วายุไม่แกล้งสกายได้ไหมครับ’

     วายุสะอึกอีกครั้ง ตอนอยู่ในห้องนั่งเล่นเขาได้ยินอาศิมันตร์พูดกับพ่อของเขาเรื่องย้ายโรงเรียนให้ลูกชาย สาเหตุเพราะลูกชายมักจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแก ตอนนั้นวายุไม่ได้ตั้งใจฟังเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องรับรู้ แต่พอมาได้ยินเด็กชายพูดแบบนี้เขากลับรู้สึกสงสารขึ้นมา

     แค่แววตาหวาดกลัวกับคำพูดไม่กี่คำ เขาก็รู้ได้ว่าเด็กคนนี้คงผ่านเรื่องราวอันโหดร้ายมาเยอะ

     ‘พี่ไม่แกล้งสกายหรอก แค่อยากเล่นด้วยเฉยๆ ได้ไหมครับ’

     เด็กชายสกายมองคนตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครอยากเล่นกับเขามาก่อน แล้วทำไมจู่ๆ พี่ชายแปลกหน้าคนนี้ถึงมาพูดแบบนี้ล่ะ หลอกให้ตายใจหรือเปล่า หรืออยากเล่นด้วยจริงๆ เด็กชายตัวน้อยไม่แน่ใจว่าจะเชื่อคำพูดนั้นดีไหม

     ‘พี่ไม่แกล้งแน่นอน สัญญาเลย’ วายุชูนิ้วก้อยขึ้นมา ยื่นไปตรงหน้าหนุ่มน้อย แววตาที่มองนิ้วเขาดูไม่มั่นใจ วายุจึงส่งยิ้มไปสำทับอีกที

     นิ้วผอมบางค่อยๆ ยื่นมาเกี่ยวนิ้วเขา วายุยิ้มกว้างขึ้น โยกนิ้วที่เกี่ยวกันไปมาพลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน

     ‘หลังจากนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ สกายดีใจไหมที่ได้เพื่อนใหม่’

     เด็กชายสกายมองเพื่อนเล่นต่างวัยหมาดๆ เขาเคยคิดอยากมีเพื่อนเหมือนคนอื่นๆ แต่ด้วยรูปร่างผอมเก้งก้างที่ดูอ่อนแอจึงไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเขา เพื่อนที่โรงเรียนต่างพูดกันว่าเขาเล่นอะไรก็ไม่ทน อยู่ด้วยแล้วน่าเบื่อ

     ใบหน้าเยาว์วัยแหงนมองคนอายุมากกว่า เสียงเล็กๆ เอ่ยถามอย่างต้องการความมั่นใจ

     ‘จะเป็นเพื่อนกับสกายจริงนะ’

     ‘จริงครับ’

     ‘สกายเหนื่อยง่ายนะ’

     ‘เราก็เล่นอะไรที่ไม่เหนื่อยสิครับ อย่างชิงช้านี่ไง’ วายุจับสายชิงช้าของเด็กชายไกวเบาๆ เท้าเล็กยกขึ้นเหนือพื้น มือน้อยๆ จับสายชิงช้าทั้งสองข้างไว้แน่น

     วายุใช้เท้าถีบพื้นให้ชิงช้าตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกัน เพียงไม่นานเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่วายุได้เห็นครั้งแรก

     ‘แรงอีก แรงอีก’

     ‘แค่นี้พอแล้วครับ เดี๋ยวสกายตกลงมานะ’

     ‘สกายเคยไกวแรงกว่านี้ แค่นี้สบายมาก’

     วายุนึกขำคนเหนื่อยง่ายที่ตอนนี้เกิดอยากเล่นแรงๆ เขาไกวชิงช้าแรงขึ้นเล็กน้อย เสียงหัวเราะจึงดังขึ้นตามลำดับ

     ‘สนุกไหมครับ’

     ‘สนุกครับ’ เด็กชายสกายหันมายิ้มให้พี่ชายแปลกหน้า เขาเพิ่งรู้ว่าการมีเพื่อนเล่นมันสนุกขนาดนี้ ‘พี่วายุมาเล่นกับสกายทุกวันได้ไหม’

     ‘ทุกวันคงไม่ได้ครับ แต่ถ้าวันไหนอาเกริกมาหาคุณพ่อเราอีกพี่ถึงจะมาเล่นกับเราได้’

     ‘งั้นให้อาเกริกมาหาพ่อทุกวันได้ไหมครับ’

     วายุหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นึกเอ็นดูความฉลาดของเด็กชายที่อยากมีเพื่อนเล่น

     ‘อาเกริกต้องทำงาน มาทุกวันไม่ได้ ส่วนพี่ก็มีเรียนจันทร์ถึงศุกร์มาทุกวันไม่ได้เหมือนกัน เหมือนสกายไงครับ’

     เด็กชายสกายทำหน้าหงอยเมื่อรู้ว่าเขาจะไม่ได้เล่นกับเพื่อนใหม่ทุกวัน

     ‘แต่เสาร์อาทิตย์พี่มาเล่นด้วยได้ ถ้าคุณพ่อของเราอนุญาตนะ’

     แววตาเศร้าสร้อยกลับมามีประกายอีกครั้ง เด็กชายตัวน้อยรีบพยักหน้ารัวเร็ว เขามั่นใจว่าผู้เป็นพ่อต้องอนุญาตแน่นอน

     ‘พี่วายุสัญญาแล้วนะ’

     ‘สัญญาครับ’

     นิ้วก้อยทั้งสองเกี่ยวเข้าหากันอีกครั้ง สายตาที่มองมาเปี่ยมไปด้วยความดีใจและไว้วางใจ จนวายุอดยิ้มตามไม่ได้

     ......

     “คุณวายุ คุณวายุคะ”

     ชายหนุ่มเงยหน้าจากแขนด้วยใบหน้าสะลึมสะลือ มองแม่บ้านตรงหน้าที่กำลังเขย่าไหล่เบาๆ

     “ป้าณี มีอะไรหรือเปล่าครับ”

     “ป้าเอากาแฟมาให้ เห็นคุณวายุหลับระหว่างงานเลยมาปลุกค่ะ”

     วายุหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังแสดงไฟล์งานอยู่ ยกมือลูบท้ายทอยด้วยความเก้อเขินก่อนจะพูดขอบคุณ

     “ใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว คุณวายุไปรับคุณท้องฟ้าไหวไหมคะ ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวป้าโทรไปบอกให้”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมพักสายตาเฉยๆ ป้าณีไปทำงานเถอะ”

     เมื่อแม่บ้านออกไปจากห้องแล้ววายุจึงทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาเรียวหรี่ลง แหงนหน้ามองเพดานสีขาว

     ที่จริงวายุรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย แต่ได้งีบหลับไปแล้วเลยพอจะดีขึ้นบ้าง อีกอย่างคือเขาไม่อยากให้บิดาถูกตำหนิว่าดูแลลูกชายเพื่อนไม่ดี วายุจึงยืนยันที่จะไปรับเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง

     ว่าแต่...ฝันเมื่อครู่มันอะไรกัน

     ใบหน้าเนียนใสขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกถึงความฝันที่จำได้ลางๆ วายุจำได้แค่ว่าเขากำลังเล่นกับเด็กคนหนึ่ง ใบหน้าของเด็กชายกับสถานที่เล่นคุ้นเคยมากในความรู้สึก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก มันเลือนราง เหมือนจะชัดเจนแต่ก็คลุมเครือ

     ชายหนุ่มนิ่งคิดสักพักก่อนจะเลิกใส่ใจ เดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเพื่อขับไล่ความง่วงงุน คงเป็นแค่ความฝันทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ วายุบอกกับตัวเองก่อนจะปิดประตูห้องทำงานลง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “แวะห้างหน่อยนะ”

     ท้องฟ้าหันมามองคนที่กำลังขับรถ คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “พี่วายุหิวเหรอครับ”

     “เปล่า จะแวะซื้อของ”

     “ผมไปด้วยนะ”

     “ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” วายุพูดยิ้มๆ เลี้ยวเข้าไปในชั้นจอดรถของห้างสรรพสินค้า เขาเคยมาห้างนี้สองสามครั้ง แต่ก็เพราะมีเหตุจำเป็น วายุมักจะชอบอยู่บ้านจึงไม่ค่อยมาเดินเที่ยว

     “ซื้ออะไรเหรอครับ”

     “เมาส์ พอดีอันเก่ามันไม่ค่อยดีแล้ว”

     “ซื้อเสร็จแล้วไปหาอะไรกินกันไหมครับ”

     วายุสอดสายตามองหาที่จอด แต่ปากก็ตอบเด็กหนุ่มไปด้วย “เอาสิ อยากกินอะไร”

     “พี่วายุ”

     “หือ?” คำตอบที่ไม่คาดคิดเรียกสายตาของวายุให้หันไปมอง ท้องฟ้าอมยิ้ม ยิ้มไปถึงดวงตา

     “ผมจะบอกว่าให้พี่วายุเลือก ผมหิวก็จริงแต่กินอะไรก็ได้”

     “อ๋อ” น้ำเสียงคล้ายโล่งอกทำให้ท้องฟ้าอดถามออกไปไม่ได้

     “คิดไปถึงไหนครับ”

     “ไม่ได้คิด”

     “จริงเหรอครับ”

     “ก็มันไม่มีอะไรให้คิด” วายุดับเครื่องยนต์ก่อนจะปลดหัวเข็มขัด คล้ายจะบอกทางอ้อมว่าให้ยุติการคุย ท้องฟ้าจึงไม่พูดอะไรต่อแต่ดวงตายังฉายแววขบขันไม่หยุด

     วายุลงจากรถ เดินนำไปยังทางเข้าห้าง จนเด็กหนุ่มต้องเร่งฝีเท้าถึงจะตามทัน

     วายุนึกแปลกใจตัวเอง เขาคิดไปได้ยังไงว่าท้องฟ้าอยากกินเขา สงสัยที่งีบหลับไปจะไม่เพียงพอ สมองเลยยังเบลออยู่สินะ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “สีฟ้าสวยกว่า”

     “แต่พี่ชอบสีดำ”

     “เชื่อผมสิครับ สีฟ้าสบายตากว่าเยอะ”

     วายุอยากตอบกลับไปเหลือเกินว่านายไม่ได้ใช้ พี่ต่างหากที่ใช้ แต่ก็ไม่กล้าพอเพราะกลัวเด็กหนุ่มเสียใจที่อุตส่าห์ช่วยเลือกสีและรุ่นของเมาส์

     “คอมฯ พี่สีดำ คีย์บอร์ดสีดำ ห้องทำงานก็เป็นโทนขาวดำ ไม่มีอะไรที่เข้ากับสีฟ้าเลย”

     “มีสิครับ”

     “อะไร”

     “ผมไง”

     วายุหลุดหัวเราะ พาให้เด็กหนุ่มมองด้วยแววตาฉงน

     “พี่พูดถึงอุปกรณ์ทำงาน นายเป็นหรือไง”

     “ตอนพี่ทำงานผมไปนั่งเป็นเพื่อนก็ได้ จะได้ไม่รู้สึกว่าใช้เมาส์สีฟ้าแล้วแปลกๆ”

     วายุยังไม่หายขำ อะไรจะเชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้

     “ชอบสีฟ้าเหรอ” เพราะอดไม่ได้จึงถามออกไป

     “ใช่ครับ”

     “เพราะเรื่องนี้หรือเปล่าถึงอยากให้เรียกว่าท้องฟ้า”

     “ก็ด้วยครับ แต่ไม่ใช่เหตุผลหลัก”

     “แล้วมีเหตุผลอะไรพี่ถึงต้องซื้อสีที่นายชอบ”

     “เพราะพี่วายุใจดีและผมอ้อนเก่ง”

     “…”

     “ซื้อสีฟ้านะครับ เวลาทำงานพี่จะได้ไม่ลืมว่ามีผมอยู่ด้วย”

     วายุถึงกับพูดไม่ออกเมื่อดวงตาคู่นั้นมองมาอย่างอ้อนวอน ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนเด็กอ้อน เวลาไปเที่ยวบ้านเพื่อนเขามักจะเป็นที่รักน้องๆ ของเพื่อนอยู่เสมอ แต่เด็กที่ตัวโต หน้าตาดี เสียงทุ้มขนาดนี้ เขายังไม่เคยโดนอ้อนมาก่อน วายุนึกขำแต่ไม่ได้แปลกใจ ตั้งแต่ไปบ้านอาศิมันตร์คราวก่อนเขาก็รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ามีนิสัยอย่างไร

     “เท่าไหร่ครับ” วายุถามราคากับคนขายหลังจากสอบถามรายละเอียดอุปกรณ์แล้ว เขาส่งเมาส์สีดำให้อีกฝ่ายเอาไปเก็บที่เดิม

     “เห็นไหม ผมอ้อนเก่ง” คนข้างๆ พูดอย่างต้องการโอ้อวดความเก่งของตัวเอง

     “เพราะพี่ใจดีต่างหาก”

     “ไม่เถียงครับ พี่วายุใจดีจริงๆ คนใจดีต้องเจอคนอ้อนเก่งถึงจะสมน้ำสมเนื้อ”

     วายุได้แต่โคลงศีรษะ ยิ่งนานวันเข้าความเป็นผู้ใหญ่ของท้องฟ้าที่แสดงออกในวันแรกๆ ยิ่งหายไป หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาสองคนสนิทกันมากขึ้น วายุเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “สั่งมาเยอะขนาดนี้จะกินหมดเหรอ” ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองอาหารบนโต๊ะ คนตรงหน้ายกยิ้มก่อนจะคีบกุ้งเทมปุระเข้าปากประเดิม

     “หมดแน่นอนครับ ผมยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงเลย”

     “ทำไมล่ะ เรียนหนักเหรอ”

     “เปล่าครับ วันนี้ผมอยากกินข้าวกลางวันกับพี่วายุ เลยยอมหิ้วท้องรอ”

     วายุยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าผู้ชายตัวโตๆ ก็น่ารักได้เหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ชายตรงหน้าที่อ้อนเก่งอย่าบอกใคร

     “แล้วถ้าวันหลังอยากกินข้าวกับพี่อีกจะทำยังไง”

     “ก็จะหิ้วท้องรอเหมือนวันนี้ไงครับ”

     “ไม่เอาพี่ไปนั่งเรียนด้วยเลยล่ะ”

     “อยากทำอยู่นะครับ แต่กลัวพี่วายุไม่มีสมาธิทำงาน”

     วายุมองค้อนคนพูด เขาก็แค่ล้อเล่นไปตามเรื่องตามราว ไม่ต้องรับมุกก็ได้

     “ลองอันนี้ดูครับ เมื่อกี้ผมชิมไปแล้ว อร่อย” ซูชิโรลไข่หวานที่ข้างในเป็นไส้แซลมอนถูกยื่นมาจ่อปาก วายุกำลังจะหยิบตะเกียบมาถือเอง แต่ร่างสูงกลับชักมือหลบ “ผมป้อน”

     “พี่มีมือ กินเองได้”

     “พี่วายุอุตส่าห์ตามใจผมแล้ว ผมก็ต้องเอาใจพี่บ้างสิครับ”

     “ไม่ต้อง ถ้าอยากเอาใจจริงๆ เป็นเด็กดี ไม่สร้างปัญหาให้ก็พอ”

     “แล้วทุกวันนี้ยังดีไม่พออีกเหรอ ผมไม่เคยดื้อกับพี่เลยนะ”

     “ไม่เคยดื้อ แต่เคยหลอกให้พาไปเที่ยว”

     “ครับๆ ยอมรับผิดแต่โดยดี รีบกินได้แล้วครับ ผมเริ่มเมื่อยแล้วนะ”

     “ก็ส่งมาให้พี่สิ”

     “พี่ก็รีบกินสิ”

     วายุอยากถามกลับไปจริงๆ ว่าท้องฟ้าไม่เห็นสายตาคนอื่นที่มองมาหรือไง ถึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้

     “พี่วายุครับ” เสียงนุ่มทุ้มมาพร้อมแววตาออดอ้อน

     “…”

     “ให้ผมป้อนนะครับ แค่คำเดียว”

     วายุรีบยื่นหน้าไปรับซูชิคำโตเข้าปากเพื่อให้จบเรื่องจบราว เขาเกรงว่าถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อกว่านี้จะถูกคนทั้งร้านมองเสียก่อน

     “ยิ้มอะไร” วายุถามแก้มตุ่ยเมื่อเห็นสีหน้าของคนป้อน ท้องฟ้ายกมือเท้าคาง มองคนที่กำลังเคี้ยวตุ้ยด้วยสายตายิ้มๆ

     “ผมอ้อนสำเร็จอีกแล้ว”

     วายุกลืนอาหารลงคอ มองคนตรงหน้านิ่งๆ ก่อนรอยยิ้มบางจะจุดบนริมฝีปาก แววตาเป็นประกายขบขัน

     “เจ้าลูกหมา”

     “หือ?” ท้องฟ้าทำตาปริบๆ ใส่คนที่พูดอะไรแปลกๆ ออกมา “พี่ว่าไงนะครับ”

     “เคยเห็นไหม ลูกหมาตัวโตๆ ขี้อ้อน หูตาตั้ง ส่ายหางดิกๆ เวลาเจ้าของยอมตามใจ”

     “พี่ว่าผมเป็นหมาเหรอ”

     “ยังไม่ได้พูดเลยว่าหมายถึงใคร จะร้อนตัวทำไม” ใบหน้ายิ้มๆ ทำให้ท้องฟ้ารู้ทันทีว่ากำลังโดนแกล้ง แต่ครู่เดียวเขาก็ยกยิ้มบ้างเมื่อนึกอะไรดีๆ ออก

     “ถ้าผมเป็นลูกหมา” มือใหญ่ชี้เข้าหาตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปยังอีกคน “งั้นพี่ก็เป็นเจ้าของ”

     วายุหุบยิ้ม มองคนพูดอย่างระแวง เจ้าเด็กนี่จะมาไม้ไหนอีก

     “เจ้าของที่ดีควรตามใจลูกหมาบ่อยๆ นะครับ”

     “…”

     นั่นไง วายุคิดแล้วเชียวว่าการแกล้งท้องฟ้าต้องไม่ใช่เรื่องที่ดี เขาพลาดเองที่คิดว่าจะทำให้เด็กเจ้าเล่ห์เสียอาการได้

     “เริ่มด้วยการพาลูกหมาไปเที่ยวพรุ่งนี้ ตกลงนะครับ”

     “เดี๋ยว”

     “อะไรครับ คิดจะทอดทิ้งหมาตัวเองเหรอ ระวังบาปนะครับ รับมาแล้วไม่เลี้ยงดูให้ดี”

     วายุอยากยกมือมาตบหน้าผากแรงๆ ไม่นึกเลยว่ามุกเด็กๆ ที่เขายกมาเล่นจะเลยเถิดไปถึงเพียงนี้

     “พี่แค่พูดเล่น”

     “ไม่ทันแล้วครับ ผมคิดจริงจังไปแล้ว”

     วายุมั่นใจว่าท้องฟ้าต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าเมื่อครู่คือการแกล้ง เพราะตอนนี้มันเหมือนกับเขากำลังถูกเอาคืน

     “ไม่ต้องห่วงครับ ลูกหมาตัวนี้เลี้ยงง่าย ไม่ดื้อไม่ซน เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท แค่เจ้าของมอบความรักให้เยอะๆ ก็พอ”

     วายุถึงกับอึ้งเมื่ออีกฝ่ายพูดทุกอย่างได้คล่องปาก นอกจากไม่โกรธที่โดนว่าเป็นหมาแล้วยังยอมรับหน้าตาเฉยอีก กลับเป็นเขาเสียเองที่ไปไม่ถูก

     คนที่กลายเป็นลูกหมาหมาดๆ ก้มหน้าทานอาหารต่ออย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มสดใสถูกแต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลาตลอดมื้ออาหาร

     คอยดูเถอะ ลูกหมาตัวโตๆ อย่างเขานี่แหละจะเกาะแข้งเกาะขาเจ้าของไม่ให้ไปไหนเลย งานนี้ต่อให้ต้องเป็นหมา แต่ถ้ามีวายุเป็นเจ้าของท้องฟ้าก็ยินดี




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 8 ★ [18/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 18-10-2022 16:47:37
ตอนที่ 8
ระวังให้ดี


     วายุได้แต่มองผู้ร่วมโต๊ะอาหารทั้งสามไปมา เขาไม่แน่ใจว่าความอึดอัดที่ลอยอยู่ในอากาศมีสาเหตุมาจากอะไร แต่เขารู้โดยสัญชาตญาณว่ากำลังมีบางอย่างเกิดขึ้น

     “พี่เขตสบายดีนะครับ ไปทำงานต่างจังหวัดเป็นไงบ้าง” ชายหนุ่มเลือกชวนคนที่หน้าตายิ้มแย้มที่สุดคุย ขณะที่อีกสองคน คนหนึ่งหน้าเรียบตึง ส่วนอีกคนทำหน้าสงสัยอยากรู้

     “สบายดี บนดอยอากาศหนาว แต่หนาวใจนะไม่ใช่หนาวกาย” เขตดนัยตอบรุ่นน้องพร้อมรอยยิ้ม แววตาที่ทอดมองเผยความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง

     “คราวก่อนที่พี่เอาบทมาให้อ่าน เห็นว่ามีฉากกอดตั้งหลายฉากไม่ใช่เหรอครับ ยังไม่หายหนาวอีกเหรอ”

     “คนที่พี่อยากกอดจริงๆ ไม่ได้ไปด้วย”

     “จะให้ไปได้ยังไงครับ ผมไม่ใช่ดาราเหมือนพี่เขต” วายุพูดเสียงอ่อนเพราะรู้ว่าคนพูดหมายถึงใคร

     “หน้าที่ในกองมีตั้งเยอะ วายุไปอยู่ฝ่ายเสบียงก็ได้”

     “เลิกพูดเล่นเถอะครับ เดี๋ยวเด็กๆ เข้าใจผิด”

     ท้องฟ้าหน้าบึ้งกว่าเดิมเมื่อโดนคนที่ตัวเองรักเหมารวมเป็นเด็กๆ เขาคิดว่าเขาเลิกอคติกับคำนี้แล้ว จนมาได้ยินวายุพูดวันนี้ ท้องฟ้าถึงได้รู้ว่าไม่ชอบอย่างไรก็ไม่ชอบอยู่อย่างนั้น

     “ว่าแต่จะไม่แนะนำให้รู้จักหน่อยเหรอ นั่งทานข้าวกันมาสักพักแล้ว” เขตดนัยยกน้ำขึ้นดื่ม มองเด็กหนุ่มสองคนที่เขาไม่คุ้นหน้า

     “คนนี้ชื่อสกาย เป็นลูกชายของเพื่อนคุณพ่อ มาอยู่บ้านผมชั่วคราว ส่วนอีกคนชื่อมีนเป็นเพื่อนสกายครับ” วายุรู้ว่าเด็กหนุ่มไม่อยากให้ใครเรียกว่าท้องฟ้านอกจากเขา เพราะเจ้าตัวบอกเอง จึงเลือกแนะนำด้วยชื่อเล่นจริงๆ

     “สวัสดีครับ” รามิลยกมือไหว้ ก่อนใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ เมื่อเพื่อนรักไม่ยอมทำตาม

     “สวัสดีครับ” เสียงลอดไรฟันของสกายเหมือนจะไม่มีผลอะไร เพราะเขตดนัยยิ้มตอบอย่างอัธยาศัยดี

     “พี่ชื่อเขต เป็นรุ่นพี่ของวายุ จบมาจากมหา’ลัยเดียวกัน บ้านอยู่ข้างๆ ขาดเหลืออะไรไปหาได้”

     “เคยอยู่ให้หาด้วยเหรอครับ ผมไม่เคยเห็นพี่เขตอยู่ติดบ้านเกินสองวัน” วายุพูดยิ้มๆ เขตดนัยเป็นนักแสดงหนุ่มที่กำลังมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง มีผลงานการแสดงมาแล้วมากมาย จึงไม่แปลกที่ตารางงานจะยุ่งจนหาเวลาว่างแทบไม่เจอ บางครั้งต้องไปถ่ายละครต่างจังหวัด กินเวลาไปหลายเดือน เช่นเมื่อสองเดือนที่แล้วเป็นต้น

     วายุรู้จักกับเขตดนัยตั้งแต่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ใหม่ๆ ด้วยอุปนิสัยและความไม่ถือตัวทำให้เขตดนัยสนิทกับบ้านของวายุได้อย่างรวดเร็ว ตามประสาเพื่อนบ้านและคนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน หนุ่มดารารูปหล่อมีงานอดิเรกเป็นการทำขนม เขามักจะเอามาให้ครอบครัวธนาวรวัตรช่วยชิมอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะลูกชายที่เขตดนัยรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ

     “หลังจากนี้จะได้เห็นจนเบื่อเลย”

     “ทำไมครับ” วายุเห็นสีหน้ายิ้มกริ่มของอีกฝ่ายเลยอดถามไม่ได้

     “พี่สั่งผู้จัดการห้ามรับงานเดือนนี้อีก อยากพักอยู่บ้านเฉยๆ” เขตดนัยไม่ตอบอย่างเดียว แต่ดึงมือของรุ่นน้องร่วมสถาบันมากุมไว้หลวมๆ “อยากอยู่ทำคะแนนด้วย ห่างหายไปหลายเดือน กลัววายุจะลืมพี่”

     “คุณเขตเคยแสดงละครเรื่องรักสองอารมณ์ใช่ไหมครับ” รามิลยอมเสียมารยาทถามออกไประหว่างการสนทนา เขาเห็นสีหน้าเพื่อนรักที่นั่งข้างๆ แล้วกลัวใจเหลือเกินว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างอาจเกิดการวางมวยขึ้นได้

     “ใช่ครับ”

     “จริงเหรอเนี่ย พี่สาวผมเป็นแฟนพันธุ์แท้เรื่องนี้เลย ยิ่งฉากคุณเขตยิงปืนช่วยนางเอกพี่ผมดูวนเป็นร้อยๆ รอบ”

     “ขอบคุณครับ”

     “ถ้าไม่รบกวนเกินไปผมขอลายเซ็นตอนนี้เลยได้ไหมครับ อยากเอาไปฝากพี่สาว ผมกลัวไม่มีโอกาสเจอคุณเขตอีก” รามิลเอ่ยขอผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างเกรงใจแต่ไม่รอให้ใครปฏิเสธ จัดแจงหยิบกระดาษกับปากกาในกระเป๋ายื่นให้คนตรงหน้าทันที เขตดนัยจึงต้องละจากมือของวายุเพื่อรับกระดาษมาเซ็น

     รามิลลอบถอนหายใจเมื่อสีหน้าเพื่อนสนิทดีขึ้นนิดหนึ่ง ย้ำว่านิดหนึ่งจริงๆ ตอนนี้เขาช่วยได้แค่นี้ ที่เหลือคงต้องรอคุยกับเจ้าตัวทีหลังว่าไม่ควรแสดงอาการออกนอกหน้าจนเกินไป

     วันนี้รามิลกับสกายแก้รายงานกันหัวหมุนจนผ่านในที่สุด เพราะอยากฉลองให้ลืมความเหน็ดเหนื่อย รามิลจึงเอ่ยชวนเพื่อนไปคาราโอเกะ แน่นอนว่าสกายปฏิเสธ เขายังไม่ลืมว่าคราวก่อนที่ไปโดนเพื่อนแซวเรื่องเสียงเพี้ยนไปหลายวัน เมื่อวายุรู้เรื่องนี้จึงชวนทั้งสองให้มาทานข้าวที่บ้านตัวเองแทน

     ในตอนที่วายุกำลังจะพาลูกชายเพื่อนพ่อกับเพื่อนสนิทเข้าบ้าน รถแท็กซี่ก็มาจอดหน้าบ้านข้างๆ ก่อนที่ร่างสูงของเขตดนัยจะก้าวลงมา ตอนแรกวายุนึกว่าตาฝาด แต่พอมองดีๆ จึงพบว่าเป็นเขตดนัยจริงๆ หลังจากทักทายและรอให้อีกฝ่ายเอาของไปเก็บในบ้านแล้ววายุจึงชักชวนให้มาทานข้าวด้วยกัน

     “ขอบคุณครับ” รามิลรับกระดาษที่มีลายเซ็นพร้อมกับส่งยิ้มให้ แต่ในใจกำลังคิดว่าจะเอาไปประมูลขายในเพจแฟนคลับเขตดนัยดีหรือเปล่า รามิลไม่มีพี่สาว และเขาก็ไม่ใช่คนบ้าดารา ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะอยากบ่ายเบี่ยงความสนใจของคนตัวสูง ก่อนที่เพื่อนสนิทจะทนไม่ไหวกระชากมือทั้งสองออกจากกันด้วยตัวเอง

     “เอาด้วยไหม” เขตดนัยถามสกายอย่างใจดี

     “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้บ้าดาราเหมือนพี่สาวเพื่อน”

     “อ่า...งั้นเหรอ” ชายหนุ่มยังคงยิ้มให้คนหน้าบึ้ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดในน้ำเสียงนั้น

     ไม่ใช่แค่เขตดนัย วายุเองก็สัมผัสได้เหมือนกันว่าเด็กหนุ่มมีท่าทางเปลี่ยนไปตั้งแต่เขตดนัยมาร่วมโต๊ะอาหาร เขาไม่รู้ว่าท้องฟ้าเป็นอะไร ได้แต่เดาว่าอาจจะเครียดสะสมเรื่องรายงานที่รามิลบอกว่ากว่าจะผ่านได้นั้นโหดหินมาก

     “ทานกันต่อเถอะครับ ถือว่าผมเลี้ยงต้อนรับพี่เขตควบเลี้ยงฉลองให้สกายกับมีน”

     การรับประทานอาหารดำเนินไปเรื่อยๆ โดยมีวายุกับเขตดนัยพูดคุยกันเสียส่วนใหญ่ อีกสองคนคอยนั่งฟังไปทานไปอย่างเดียว เรื่องราวของวายุที่เขตดนัยยกมาเป็นหัวข้อสนทนาและพูดเหมือนรู้จักดีทำให้ใครบางคนหงุดหงิดมากขึ้น ยิ่งวายุยิ้มกว้างเท่าไหร่ ใบหน้าของเด็กตัวโตยิ่งบึ้งตึงมากเท่านั้น

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ท้องฟ้า”

     เจ้าของแผ่นหลังกว้างหยุดอยู่กับที่ ก่อนใบหน้าคมจะหันมาสบตา ห้องนอนของวายุกับท้องฟ้าอยู่ติดกัน ตอนแรกวายุตั้งใจจะยกห้องริมสุดทางเดินให้ท้องฟ้า แต่เพราะเป็นห้องรับรองแขกที่ไม่ได้ใช้งานมานานจึงทำความสะอาดไม่ทัน

     “วันนี้เป็นอะไร ทำไมไม่ยิ้มเลย”

     “…”

     ความเงียบคือคำตอบ มีเพียงใบหน้านิ่งเรียบกับดวงตาคุกรุ่นที่จ้องมองมา วายุเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม แตะมือลงบนไหล่เบาๆ

     “เครียดเรื่องเรียนเหรอ เอานมอุ่นๆ ไหม เดี๋ยวพี่ให้ป้านิดทำให้” วายุคิดว่าการได้ดื่มนมก่อนนอนอาจทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้น

     “ไม่เป็นไรครับ ถ้าอยากให้ผมยิ้มจริงๆ แค่ตอบผมมาก็พอ”

     “ได้สิ อยากให้ตอบอะไร”

     “พี่วายุคิดว่าผมเป็นลูกหมาพันธุ์อะไรครับ”

     วายุนิ่งงันไปพักใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เขาคิดว่าจะได้ยินประโยคทำนอง ‘ผมเหนื่อยจัง ขอกอดหน่อยได้ไหม’ หรือไม่ก็ ‘พรุ่งนี้พาผมไปเที่ยวปลอบใจหน่อยสิครับ’ แต่คำถามนี้วายุยอมรับว่าคิดไม่ถึงจริงๆ

     “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา”

     “จากที่พี่พูดเมื่อวันก่อน คงคิดว่าผมเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์สินะครับ” คนตรงหน้าไม่บอกเหตุผลแต่ถามกลับมาแทน

     “ก็ใช่” วายุเคยนึกเล่นๆ ว่าถ้าท้องฟ้าเป็นลูกหมาจริงๆ สายพันธุ์นี้คงเหมาะกับนิสัยเจ้าตัวมากที่สุด

     “กับพี่วายุผมเป็นโกลเด้นฯ ก็จริง แต่กับคนอื่น ผมคือพิทบูล”

     “…”

     “สุนัขพันธุ์นี้หวงเจ้าของมาก มันพร้อมกระโจนเข้าหาทุกคนที่เข้าใกล้เจ้าของ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” ร่างสูงขยับเข้าหาร่างบาง โน้มหน้าลงต่ำจนชิดริมหู กระซิบเสียงเบาแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น “ระวังไว้ด้วยนะครับ”

     ท้องฟ้ายกยิ้มให้คนที่ยังยืนนิ่ง หันหลังเดินเข้าห้องด้วยใบหน้าที่เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย ผ่านไปสักพักวายุจึงได้สติ ดวงตาที่มองตามอีกคนเต็มไปด้วยความงุนงง

     วายุไม่รู้ว่าพิทบูลหวงเจ้าของจริงไหม แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมท้องฟ้าถึงเอาเรื่องนี้มาบอก แล้วที่ให้ระวังหมายความว่ายังไง เขาไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครเสียหน่อย ให้ระวังอะไรทำไมไม่บอกให้ครบ

     วายุตัดสินใจกลับเข้าห้องตัวเอง ปล่อยให้ความสงสัยค้างคาไว้อย่างนั้น บางทีท้องฟ้าอาจเรียนหนักเกินไป หวังว่าได้พักผ่อนแล้วพรุ่งนี้จะตื่นมาอย่างสดใสนะเจ้าลูกหมา

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เช้านี้ท้องฟ้าตื่นมาด้วยความหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อวานอีก เขาไม่ใช่แค่สงสัย แต่มั่นใจเลยว่าหนุ่มดาราข้างบ้านคิดเกินเลยกับพี่วายุของเขา สายตาคู่นั้นทำให้ท้องฟ้าเหมือนเห็นตัวเอง มันคือสายตาแบบเดียวกับที่เขามักจะใช้มองวายุ

     ท้องฟ้าในชุดนักศึกษาเดินลงมาจากชั้นสอง แต่เมื่อเข้ามาในห้องอาหาร กลับพบว่านอกจากอาหารเช้าที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้แล้วไม่มีใครอยู่เลย ทั้งที่ปกติวายุจะลงมาก่อนเขาเสมอ ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังสงสัยป้านิดก็เดินเข้ามาพอดี

     “อ้าว ทำไมวันนี้มาทานข้าวเร็วจังคะคุณท้องฟ้า”

     “พี่วายุยังไม่ลงมาเหรอครับ” ท้องฟ้าไม่เสียเวลาตอบ พุ่งเข้าประเด็นสำคัญแทน ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าสิ่งที่เขาหวังจะไม่เป็นจริง

     “ออกไปหาคุณเขตดนัยที่หน้าบ้านค่ะ เหมือนคุณเขตจะเอาของมาให้”

     ท้องฟ้าไม่รอให้แม่บ้านพูดจบ สองขารีบก้าวไปยังหน้าบ้านทันที เช้านี้เขาอุตส่าห์แต่งตัวเร็วขึ้น แต่ดูเหมือนจะเร็วไม่เท่าใครอีกคนสินะ

     วายุกำลังยืนคุยกับเขตดนัยตรงรั้วบ้าน รอยยิ้มที่ทั้งสองมีให้กันทำให้ความหงุดหงิดในใจเพิ่มขึ้นทวีคูณ ท้องฟ้าปั้นหน้ายิ้มก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา สายตาจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าเนียนใส

     “พี่วายุ”

     เจ้าของชื่อหยุดการสนทนาแล้วหันมามอง ท้องฟ้าหยุดยืนตรงหน้า ดึงมือเรียวบางมาจับพร้อมทำเสียงอ้อนที่เขามักจะใช้กับมารดาได้ผลเสมอ

     “อยู่นี่เอง ผมตามหาตั้งนาน ไปทานข้าวกันเถอะครับ ผมไม่อยากทานคนเดียว” ท้องฟ้าเหลือบไปมองอีกคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะแกล้งทำหน้าตกใจ “อ้าว สวัสดีครับคุณเขต มาหาพี่วายุเหรอครับ”

     “ใช่ พี่เอาขนมที่อบเองมาให้วายุชิม” เขตดนัยยิ้มให้ผู้ชายตรงหน้าอย่างยื่นไมตรี “สกายเรียกพี่ก็ได้ ไม่ต้องถึงกับคุณหรอก อยู่บ้านวายุพี่ก็ถือเป็นเพื่อนบ้านเหมือนกัน มาสนิทกันไว้เถอะ”

     “งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ ว่าแต่พี่เขตเอาขนมอะไรมาให้พี่วายุเหรอครับ”

     “มีคุกกี้ โดนัท มาการอง แล้วก็...”

     “โห ของโปรดผมทั้งนั้นเลย ขอผมชิมด้วยคนนะครับ” ท้องฟ้ายื่นมือไปรับกล่องขนมที่เขตดนัยชูขึ้นมา วายุที่มองอยู่ตลอดหันไปพูดกับรุ่นพี่ข้างบ้าน

     “พี่เขต ต้นไม้จะเฉาตายแล้ว กลับไปรดน้ำต่อเถอะครับ”

     “จริงด้วย มัวแต่คุยกับเราเพลิน พี่ไปก่อนนะ ว่างๆ จะมาคุยด้วยใหม่”

     เขตดนัยโบกมือลารุ่นน้องกับเพื่อนบ้านคนใหม่ ท้องฟ้ามองตามจนกระทั่งแผ่นหลังอีกฝ่ายหายเข้าไปในบ้านจึงได้วางใจ แต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงเย็นๆ ของคนข้างตัว

     “ทำอะไรของนาย”

     “ทำอะไร? ก็มาชวนพี่ไปกินข้าวไงครับ” เรื่องอะไรท้องฟ้าต้องยอมรับ ถึงจะรู้ว่ากำลังจะโดนดุก็เถอะ นี่เขาเบาให้แล้วนะ ที่จริงอยากห้ามไม่ให้วายุคุยกับเขตดนัยอีกด้วยซ้ำ

     “พี่หมายถึงที่เสียมารยาทกับพี่เขต ทำไมทำตัวแบบนั้น”

     “ผมเสียมารยาทตรงไหน พี่เขตเป็นคนพูดเองว่าให้เรียกพี่”

     “ท้องฟ้า” วายุลงเสียงหนักขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กตรงหน้ายังไม่ยอมรับผิด

     “ไปกินข้าวกันเถอะครับ วันนี้ผมมีเรียนเช้า ถ้าไม่รีบไปส่งเดี๋ยวผมสายนะ”

     เด็กที่รบเร้าอยากโดดเรียนไปเที่ยวกับเขาทุกวัน มาวันนี้เกิดขยันเรียนขึ้นมาซะอย่างนั้น วายุไม่รู้จะโกรธ ขำ หรือเหนื่อยใจดี เขารู้แค่ว่าท้องฟ้าในตอนนี้อารมณ์ดีกว่าเมื่อวานมาก ซึ่งก็ดีแล้ว ครั้งนี้เขาจะยอมปล่อยผ่านไปแล้วกัน

     “ขนมนี่ผมขอเหมานะครับ”

     “ชอบกินขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ครับ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ตอบรับด้วยเสียงสดใส แต่ภายใต้นั้นเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เรื่องอะไรจะยอมให้วายุกินขนมฝีมือศัตรูหัวใจของเขา

     “เอาสิ พี่เขตคงไม่ว่าหรอก ใครกินก็เหมือนกัน”

     ท้องฟ้าดึงมือคนโตกว่ามาจับอีกครั้งแล้วออกเดิน ดวงตาสีน้ำตาลเลยก้มลงมามอง

     “ไม่ต้องจับก็ได้ ประตูบ้านอยู่แค่นี้เอง”

     “ไม่ได้ครับ เดี๋ยวพี่วายุหนีผม”

     “จะให้หนีไปไหน นี่บ้านพี่” วายุพูดไปขำไป

     “หนีไปคุยกับคนอื่น ทิ้งให้ผมกินข้าวคนเดียว”

     “เป็นเด็กหรือไงถึงต้องคอยให้ผู้ใหญ่นั่งคุมเวลากินข้าว” วายุถามออกไป ก่อนจะคิดได้ทีหลังว่าไม่ควรถามเลย เขาคิดว่าเขารู้คำตอบอยู่แล้ว

     “ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นลูกหมาต่างหาก ผมเป็นลูกหมาของพี่วายุลืมแล้วเหรอครับ”

     วายุรู้ว่าท้องฟ้าพูดไปอย่างนั้นเอง แต่เขาก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ มันไม่ใช่ความรู้สึกขำหรือเอ็นดูเหมือนทุกที แต่เป็นความรู้สึกดีๆ ที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ก่อนจะไหลเข้าสู่หัวใจในเวลาอันรวดเร็ว

     ชายหนุ่มไม่ตอบอะไร ปล่อยให้เด็กตัวโตจูงมือเข้าบ้าน วายุหันหน้าไปอีกทาง จึงไม่เห็นว่าท้องฟ้ากำลังลอบยิ้ม

     ใช่...เขาเป็นลูกหมาของพี่วายุ และจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งเจ้าของไปทั้งนั้น ที่ท้องฟ้าบอกเมื่อคืนว่าให้ระวัง เขาไม่ได้หมายถึงหนุ่มข้างบ้าน แต่หมายถึงคนที่เขากำลังจูงมือต่างหาก

     ขอโทษนะครับพี่วายุ ดูท่าผมคงเป็นเด็กดีไม่ไหว ขอเป็นเด็กเห็นแก่ตัวแทนแล้วกัน ระวังให้ดีนะครับ โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ผสมพิทบูลตัวนี้จะไม่ปล่อยให้พี่หลุดมือไปไหนแน่นอน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 9 ★ [19/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 18-10-2022 19:02:44
ตอนที่ 9
พระจันทร์วันเพ็ญ


     ‘พี่เข้าไปได้แน่เหรอ’ วายุยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ไม่ยอมเดินเข้าไป ได้แต่มองเจ้าของห้องตัวน้อยที่เดินนำไปอย่างลังเล

     ‘เข้าได้ครับ ห้องนี้เป็นห้องสกาย สกายอนุญาตแล้วพี่วายุไม่ต้องเกรงใจ’ เด็กชายสกายหันมาตอบเสียงใส ยกยิ้มให้เพื่อนเล่นต่างวัย พร้อมกับชักชวนให้เข้ามาอีกครั้ง

     วายุลอบถอนหายใจก่อนจะเดินตามเข้าไปในที่สุด ตั้งแต่วันที่เกี่ยวก้อยสัญญากันเขาก็มาเล่นกับเด็กชายสกายทุกสุดสัปดาห์ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่วายุได้เข้ามาในห้องนอนของเด็กชาย จนกระทั่งวันนี้

     ที่จริงวันนี้วายุมีนัดดูหนังกับเพื่อน แต่ตอนเลิกเรียนจู่ๆ คุณพ่อก็โทรมา บอกว่าคุณอาศิมันตร์อยากให้ไปหาที่บ้าน พอไปถึงเขาก็ได้รับเหตุผลว่าลูกชายตัวดีเอาแต่ร้องหา ถ้าเขาไม่มาจะไม่ยอมทำการบ้าน

     ตอนนี้เด็กชายสกายไม่มีรอยฟกช้ำตามตัวแล้ว คุณอาศิมันตร์จัดการเรื่องย้ายโรงเรียนให้เรียบร้อย เด็กชายตัวน้อยเข้ากับเพื่อนใหม่ที่โรงเรียนได้ทุกคน แววตาที่เคยหม่นหมองร่าเริงสดใสขึ้นเยอะจนวายุอดดีใจไปกับคนเป็นพ่อแม่ไม่ได้

     วายุกวาดตามองไปรอบห้อง ผนังห้องสีขาว เตียงขนาดสามฟุตลายสไปเดอร์แมน มีหมอน หมอนข้างและผ้าห่มลายเดียวกัน โทรทัศน์จอใหญ่ ห้องน้ำในตัว ตู้เก็บของและตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ อืม...สมกับเป็นห้องของเด็กผู้ชาย

     ‘พี่มาแล้ว ทีนี้สกายก็ทำการบ้านได้แล้วนะครับ’ วายุส่งยิ้มให้เด็กชายที่สูงเกือบจะเท่ากัน เขาเคยคิดว่าถ้าดูแลหุ่นควบคู่กับทานอาหารที่มีประโยชน์ เด็กคนนี้ต้องโตมาดูดีมากแน่ๆ

     เด็กชายสกายเอามือไขว้หลัง ส่ายหน้าไปมายิ้มๆ เดินไปยังตู้เก็บของแล้วเปิดออก ก่อนจะหยิบบางอย่างในนั้นออกมา

     ‘เมื่อวานพ่อซื้อของเล่นใหม่มาให้สกาย’ หนุ่มน้อยชูกล่องตัวต่อหุ่นยนต์ด้วยท่าทางดีใจ รอยยิ้มในดวงตาทำให้คนมองเผลอยิ้มตาม ‘สกายอยากเล่นกับพี่วายุ’

     ‘แต่สกายยังไม่ได้ทำการบ้านไม่ใช่เหรอครับ คุณพ่อสั่งพี่เอาไว้ว่าถ้าการบ้านยังไม่เสร็จห้ามให้เล่น’ ก่อนวายุจะขึ้นมาบนนี้เขาถูกอาศิมันตร์กำชับไว้ ว่าห้ามตามใจรวมถึงห้ามหลงกลลูกชายตนเป็นอันขาด ห้ามตามใจวายุพอเข้าใจ แต่ห้ามหลงกลนี่หมายความว่าอะไร วายุกำลังจะถามแต่ก็ถูกเด็กชายจูงมือขึ้นห้องด้วยท่าทางกระตือรือร้นเสียก่อน

     ‘ขอเล่นก่อนแล้วค่อยทำทีหลังไม่ได้เหรอครับ’ ตาใสๆ ที่มองมาทำให้วายุหลุดขำ เดินไปวางมือบนศีรษะพลางโยกไปมาเบาๆ

     ‘ไม่ได้ครับ ห้ามผัดวันประกันพรุ่ง พี่สัญญาถ้าทำเสร็จแล้วจะให้เล่น เดี๋ยวพี่ช่วยสอนการบ้านด้วย’ วายุยิ้มอ่อนโยนให้เด็กชาย ที่ตอนนี้เริ่มหุบยิ้มแล้วเปลี่ยนเป็นหน้ากระเง้ากระงอดแทน

     ‘พี่วายุก็มาช่วยสกายต่อสิครับ สกายสัญญาถ้าต่อเสร็จแล้วจะทำการบ้าน’

     คนอายุมากกว่าหัวเราะเสียงดัง นึกเอ็นดูเด็กชายตรงหน้าที่เอาประโยคของเขามาย้อนต่อรอง วายุกำลังจะพูดว่าไม่ได้ แต่แขนเล็กกว่าก็สอดเข้ามากอดเอวเขาไว้เสียก่อน เด็กชายสกายซบหน้ากับท้องวายุอยู่สักพักก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมอง

     ‘นะครับ เล่นกับสกายนะ สกายไม่อยากเล่นคนเดียว อยากให้พี่วายุเล่นด้วยกัน’

     คนถูกขอร้องถึงกับใจอ่อนยวบ เริ่มเข้าใจแล้วว่าคำพูดที่คุณพ่อของเด็กชายเตือนไว้หมายความว่าอย่างไร เสียงทุ้มเล็กที่ออดอ้อน ดวงตาใสที่มองมาอย่างมีความหวัง ริมฝีปากที่ยื่นเล็กน้อย ทั้งหมดนี้กำลังทำให้วายุหลงกล

     ‘นะครับ...’ เมื่อเห็นพี่ชายต่างบ้านไม่พูดอะไร เด็กชายสกายจึงฝังหน้าลงกับท้องอีกครั้งพลางถูไปมา พี่วายุทาแป้งอะไรนะ ทำไมถึงตัวหอมแบบนี้

     ‘…ก็ได้ครับ’

     ‘เย้! พี่วายุใจดีที่สุด’

     เด็กชายสกายร้องด้วยความดีใจ รีบจูงมือเพื่อนเล่นต่างวัยมานั่งบนเตียงแล้วแกะกล่องของเล่นทันที วายุมองใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ นึกขอโทษคุณอาอยู่ในใจที่ไม่สามารถทำตามคำพูดได้

     วายุมั่นใจว่าต่อให้เป็นคนใจแข็งแค่ไหน แต่ถ้าโดนจ้องด้วยสายตาเหมือนที่เขาโดนไม่มีทางปฏิเสธได้แน่นอน เห็นเป็นเด็กผู้ชาย ไม่นึกว่าจะขี้อ้อนขนาดนี้ แถมยังอ้อนได้ผลเสียด้วย

     อดีตเด็กชายเก้งก้างที่ตอนนี้อ้วนท้วมขึ้นเทตัวต่อออกจากกล่องจนแทบเต็มเตียง วายุหยิบคู่มือขึ้นมาดู ทั้งสองเริ่มภารกิจต่อชิ้นส่วนโดยมีคนที่โตกว่าคอยชี้แนะว่าต้องทำยังไง

     ‘พี่วายุ’ หนุ่มน้อยวัยสิบขวบหันมาเอ่ยเรียกขณะที่หุ่นยนต์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

     ‘ว่าไงครับ’

     ‘สกายอยากเล่นกับพี่วายุอย่างนี้ทุกวันเลย’

     รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจทำให้วายุยิ้มตามจนตาหยี เขาเห็นคนยิ้มมาเยอะ แต่ไม่เคยมีใครยิ้มได้สว่างสดใสเท่าเด็กคนนี้เลย

     เมื่อได้บอกความในใจแล้วเด็กชายสกายก็หันไปสนใจของเล่นต่อ คราวนี้วายุไม่พูดอะไรเพราะอยากให้หนุ่มน้อยพยายามด้วยตัวเอง ผิดบ้างถูกบ้างถือเป็นประสบการณ์ จุดประสงค์ในการเล่นคือความสนุกไม่ใช่ความถูกต้อง แต่ถ้าเด็กชายหันมาถามเขาจะช่วยเหลือเป็นครั้งคราว

     วายุลอบมองเด็กชายตัวน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าคลี่ออกกว้างกว่าเดิม วันแรกที่รู้จักกันเขามีเพียงความรู้สึกสงสาร แต่วันนี้วายุพูดได้เต็มปากว่าเขารักและเอ็นดูเด็กชายสกายเหมือนน้องชายคนหนึ่ง

     ......

     ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลงท่ามกลางความมืด ก่อนดวงตาสีน้ำตาลจะกะพริบถี่ วายุลุกขึ้นนั่ง นิ่งอยู่สักพักเพราะกำลังตั้งสติ ใบหน้าที่มองตรงฉายแววสับสนออกมา

     ฝันแบบนี้อีกแล้วเหรอ

     พักหลังมานี้วายุชอบฝันถึงอะไรเดิมๆ ติดต่อกัน แต่พอตื่นมาแล้วความฝันนั้นมักจะเลือนรางจนเขาไม่เคยนึกออกว่าใครคือคนในความฝัน วายุถอนหายใจบางเบา ล้มตัวลงนอนแล้วหลับตา แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เลย

     ชายหนุ่มหยัดตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากมั่นใจแล้วว่าเขาไม่มีทางนอนหลับครั้งที่สองได้ในเร็วๆ นี้ วายุหันไปมองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามกลางคืนที่ไร้ดวงดาว เป็นภาพที่หาดูได้ทั่วไปในเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างเยอะแยะมากมายเช่นนี้

     วายุเลิกผ้าห่มออกจากตัวพลางลุกเดินไปที่ประตู สิ่งเดียวที่เขาคิดว่าจะทำให้นอนหลับได้คือการทำงานที่คั่งค้างให้เสร็จ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ร่างสูงโปร่งเดินลงมายังห้องครัว ตั้งใจจะเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม แต่ในจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวกลับก็เผลอสบตากับใครบางคน

     “ยังไม่นอนเหรอ” วายุเอ่ยถามเด็กหนุ่มขณะเดินเอาแก้วไปล้าง

     “ผมเพิ่งคุยโทรศัพท์กับมีนเสร็จครับ คุยเรื่องงานกลุ่ม ว่าจะลงมาดื่มน้ำเหมือนกัน” ท้องฟ้าเดินมาเปิดตู้เย็นอีกคน “พี่วายุล่ะครับ”

     “นอนไม่หลับ กำลังจะไปทำงานให้ง่วง”

     “พี่เห็นงานเป็นยานอนหลับเหรอ” ท้องฟ้าเอ่ยแซว สิ่งที่ได้กลับมาคือแววตามองค้อน

     “ก็มันไม่มีอะไรให้ทำ”

     “งั้นไปนั่งเล่นในสวนกันไหมครับ ผมก็ยังไม่ง่วงเหมือนกัน พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ผมตื่นสายได้สบาย”

     “มันดึกแล้ว”

     “เพราะดึกไงครับถึงควรไป นั่งคุยกันใต้ท้องฟ้าตอนกลางคืนท่ามกลางสวนดอกไม้ โรแมนติกไปอีกแบบ”

     “จะมาโรแมนติกอะไรกับพี่”

     ท้องฟ้าขำเบาๆ ตัดสินใจไม่บอกว่าเพราะเป็นอีกฝ่ายเขาถึงอยากโรแมนติกด้วย ร่างสูงเอาแก้วไปล้างก่อนจะเดินกลับมาหาอีกคน รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้ามีเสน่ห์

     “นะครับ ไปนั่งเล่นด้วยกัน ผมมีหลายเรื่องเลยที่อยากชวนพี่คุย”

     ใบหน้าของคนพูดทำให้วายุนิ่งงัน ดวงตาที่กำลังออดอ้อนเขารู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ไม่ใช่เร็วๆ นี้ แต่เป็นในอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว

     “...อืม ก็ได้” สุดท้ายวายุก็ปฏิเสธสายตานั้นไม่ลงเหมือนที่เป็นมาตลอด ท้องฟ้ายิ้มกว้างอย่างดีใจ รีบจับมือคนโตกว่าออกเดิน

     เหมือนที่เป็นมาตลอด...?

     วายุสะดุดความคิดตัวเอง ทำไมพอคิดมาถึงตรงนี้มันเหมือนเขารู้จักท้องฟ้ามานานแล้วเลย ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ ไล่ความคิดแปลกๆ ออกจากหัว จะเป็นไปได้ยังไง ท้องฟ้าเพิ่งมาอยู่บ้านเขาได้เดือนเดียวเอง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พระจันทร์สวยจัง” วายุเปรยเบาๆ เมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า วันนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญ พระจันทร์เต็มดวงที่ไร้เมฆบดบังจึงน่ามองมากในสายตาเขา

     “ผมถึงชวนมาไงครับ”

     “ไม่ใช่เพราะมีเรื่องอยากคุยกับพี่เหรอ” ดวงตาสีน้ำตาลละจากท้องฟ้าข้างบน หันมามองท้องฟ้าที่นั่งตรงข้ามแทน

     “กับพี่วายุผมอยากคุยทุกเวลานั่นแหละครับ คุยเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ”

     “จะคุยอะไรก็ว่ามา” วายุถามยิ้มๆ ลูกหมาตัวนี้อ้อนเก่งอย่างเดียวไม่พอ ยังเอาใจเก่งอีกด้วย

     “พี่สนิทกับพี่เขตเหรอครับ”

     “หือ?” ชื่อที่ออกจากปากคนตรงหน้าทำให้วายุแปลกใจ “ทำไมถึงถามเรื่องนี้”

     “ผมแค่อยากรู้เฉยๆ เห็นคุยกันสนิทสนม” ท้องฟ้าหันไปทางอื่น ทำเหมือนไม่ได้อยากรู้มากมาย แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงเริ่มแข็งเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

     “ก็พอสนิทอยู่ พ่อแม่พี่เขตเป็นคนเชียงใหม่ แต่พี่เขตลงมาทำงานกรุงเทพฯ เลยอยู่บ้านคนเดียว บ้านใกล้กัน แถมจบมาจากมหา’ลัยเดียวกัน จะสนิทกันก็ไม่แปลก”

     “แล้ว...” ท้องฟ้ากำลังจะถามว่าวายุรู้เรื่องที่เขตดนัยชอบตัวเองหรือเปล่า แต่มาคิดอีกที ถ้าเขาถามออกไปอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรู เลยเลือกเก็บเงียบไว้แทน

     “แล้วอะไร”

     “เปล่าครับ ช่างมันเถอะ” ท้องฟ้ายิ้มกลบเกลื่อน “พี่ถามผมบ้างดีกว่า”

     “เดี๋ยวนะ” วายุหลุดขำกับท่าทางที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ “ไหนว่ามีหลายเรื่องที่อยากชวนพี่คุยไง”

     “ก็ใช่ครับ แต่ตอนนี้ผมอยากให้พี่ชวนคุยมากกว่า ถามได้ทุกเรื่องเลยผมยินดีตอบ”

     “เดี๋ยวก็ถามเรื่องความรักซะเลย”

     “ถ้าเรื่องความรัก ผมมีคนในใจแล้วครับ”

     “เฮ้ย! พี่ล้อเล่น ไม่ต้องบอกเรื่องส่วนตัวก็ได้”

     “ถ้าเป็นพี่วายุ ผมเต็มใจบอกทุกเรื่องครับ”

     วายุมองเด็กหนุ่มตรงหน้า ความจริงใจในดวงตาคู่นั้นทำให้เขาค่อยๆ ยิ้มออกมา “แปลว่าอยู่กับพี่แล้วสบายใจสินะ”

     “แน่นอนครับ”

     “แล้วกับคนอื่นในบ้านล่ะ” วายุอยากถามเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะอยู่มาหนึ่งเดือน แต่วายุกลับไม่เคยรู้เลยว่าเด็กหนุ่มอึดอัดหรือมีปัญหากับใครไหม

     “คนอื่นก็เหมือนกันครับ ป้านิด ป้าณี ลุงชาติ ทุกคนดีกับผมหมดเลย อาเกริกกับน้ามนตร์ด้วย ถ้าไม่ได้พวกท่านผมคงลำบากมากกว่านี้”

     “อืม” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเจ้าของบ้านจึงโล่งใจ

     “แต่ถ้าถามว่าอยู่กับใครแล้วสบายใจที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นพี่วายุอยู่แล้ว”

     “ก็แน่สิ พี่ไปรับไปส่งนายทุกวัน ตัวติดกับนายที่สุด”

     “ไม่ใช่ครับ เพราะพี่วายุใจดีและอ่อนโยนต่างหาก”

     “…”

     สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความศรัทธาและความเชื่อใจทำให้วายุนิ่งงัน วายุมั่นใจว่าไม่เคยมีใครมองเขาแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกคุ้นเคย ราวกับเคยมีใครมองเขาด้วยสายตาเดียวกันมาก่อน

     “แค่ใจดีก็พอ ไม่ต้องถึงกับอ่อนโยนหรอก” นานทีเดียวกว่าวายุจะหาเสียงตัวเองเจอ

     “ทั้งใจดีและอ่อนโยนครับ เชื่อผมสิ ผมรู้จักพี่มานาน ทำไมจะไม่รู้ว่าพี่เป็นคนยังไง”

     “แค่เดือนเดียวเนี่ยนะ” วายุขำเบาๆ ในลำคอ นึกประหลาดใจว่าหนึ่งเดือนเรียกว่านานได้ด้วยเหรอ แต่แล้วเขาก็ต้องนิ่งงันอีกรอบเมื่อสายตาที่มองมาเปลี่ยนไป

     “คิดว่าเดือนเดียวเหรอครับ” รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าคนถาม เหลือไว้เพียงแววตาจริงจังที่มีความคาดหวังแฝงอยู่

     “...ก็ต้องเดือนเดียวสิ พี่ความจำดี นับวันไม่ผิดหรอก” ใช่ วายุนับวันไม่ผิด แต่ทำไมเขาถึงไม่มั่นใจในคำตอบตัวเองเลย

     “ครับ เดือนเดียวก็เดือนเดียว” เป็นอีกครั้งที่ท้องฟ้ายอมแพ้ เขายอมรับว่าลึกๆ แล้วอยากให้วายุจำเรื่องราวในอดีตได้ แต่ถ้าวายุจำไม่ได้จริงๆ อย่างมากท้องฟ้าก็แค่เสียใจนิดหน่อย ความทรงจำในอดีตสำคัญก็จริง แต่ไม่สำคัญเท่าความทรงจำที่เขากำลังจะสร้างขึ้นในอนาคตหลังจากนี้

     ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ทั้งวายุและท้องฟ้าต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง แต่ขณะที่วายุกำลังจะหาเรื่องมาชวนคุย คนตรงหน้าก็เงยมองท้องฟ้าพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมา

     “พี่วายุครับ”

     “หืม?”

     “คืนนี้...พระจันทร์สวยจริงๆ ด้วย”

     ความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มีรอยยิ้มของคนสองคนคอยเชื่อมบรรยากาศเข้าด้วยกัน วายุเงยหน้ามองพระจันทร์บ้าง และเมื่อลดสายตาลงมาก็เจอกับคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว วายุกับท้องฟ้าสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนทั้งสองจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

     ไม่ใช่แค่ท้องฟ้า วายุเองก็สบายใจเวลาที่อยู่ด้วยกัน วายุไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้ยังไง เขารู้แค่ว่าท้องฟ้าจะไม่มีวันทำให้เขาลำบากใจแน่นอน

     เวลาล่วงเลยจนถึงตีหนึ่ง คนที่ไม่ง่วงก็เริ่มง่วงขึ้นมา เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน จับมืออีกคนให้ลุกตาม ผู้ชายสองคนเดินเข้าบ้านพร้อมกัน บ้านที่ครั้งหนึ่งวายุเคยคิดว่าไม่อยากให้ใครมาอยู่ด้วย แต่วายุไม่รู้ตัวเลยว่าความคิดเขาเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้รู้จักท้องฟ้า




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 10 ★ [26/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 26-10-2022 16:15:10
ตอนที่ 10
เรื่องที่อยากรู้


     “เป็นอะไร” รามิลถามเพื่อนสนิทที่ใบหน้าบึ้งตึงตั้งแต่หัววัน

     “หงุดหงิดคน”

     “คนไหน”

     “คนที่เป็นศัตรูหัวใจ”

     เพียงเท่านั้นรามิลก็เข้าใจทันที เขาไม่ถามต่อว่าใครแต่เลือกถามเรื่องอื่นแทน “เกิดอะไรขึ้น”

     สกายถอนหายใจยาว ความหงุดหงิดในใจไม่มีทีท่าจะลดลง

     “ไม่รู้จะอยากคุยอะไรนักหนา เมื่อเช้าก่อนพี่วายุมาส่งกูก็มาดักรอหน้าบ้าน บอกว่าอยากปรึกษาเรื่องต้นไม้ที่จะเอามาลง คุยกันอยู่นานจนกูต้องบอกว่าจะสายแล้ว ถึงได้ยอมกลับบ้านไป”

     “วันนั้นมึงก็ได้ยินแล้วนี่ พี่เขตพูดชัดเจนว่าช่วงนี้จะเร่งทำคะแนน” เมื่อวันก่อนรามิลไปบ้านวายุเพราะต้องทำงานกลุ่มกับสกาย เขาได้คุยกับเขตดนัยที่เอาขนมมาให้เจ้าของบ้านนิดหน่อย อีกฝ่ายบอกให้เขาเรียกพี่เหมือนเพื่อนสนิทเพื่อความเป็นกันเอง ทำเอารามิลอดแปลกใจไม่ได้ เขาคิดว่าคนเป็นดาราจะถือตัวและเย่อหยิ่งกว่านี้

     “เพราะได้ยินไงกูถึงหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้”

     “แล้วจะเอายังไง”

     “ยังไม่รู้ กูพยายามขัดขวางเท่าที่ทำได้ แต่ดูเหมือนฝั่งนั้นจะเอาจริง”

     “อันที่จริง มึงจีบพี่วายุแข่งกับพี่เขตเลยก็ได้นะ”

     สกายมองคนพูดอย่างแปลกใจ ทำไมวันนี้เพื่อนเขาพูดไม่เหมือนทุกที “ปกติมึงเอาแต่บอกว่าอย่าแสดงออกให้มากไม่ใช่เหรอ”

     “ก็ใช่ แต่กูเพิ่งมาคิดได้”

     “คิดอะไร”

     รามิลอมยิ้ม ทำเป็นไม่ตอบทันทีเพื่อยั่วคนถามให้อยากรู้ยิ่งขึ้น ควงปากกาในมือเล่นไปมา

     “มีน” สกายลงเสียงหนัก

     “ถ้ากูพูดออกไป นั่นหมายความว่ามึงยอมให้กูเป็นพ่อสื่อช่วยเหลือเรื่องความรัก ตกลงไหม”

     “ตกลง” ร่างสูงตอบรับทันที นาทีนี้สกายคิดแค่ว่าเอาใครเป็นพวกได้เขาเอาหมด จึงไม่ทันเห็นดวงตาซุกซนของคนตรงหน้า

     “ที่กูไม่ให้มึงแสดงออกชัด เพราะกูไม่รู้ว่าพี่วายุรับเรื่องพวกนี้ได้หรือเปล่า แต่ดูจากการกระทำของพี่เขตที่เหมือนจะสนใจพี่วายุมานาน และพี่วายุเองก็น่าจะรู้มาตลอดแต่ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือปฏิเสธ กูเลยคิดว่ามีโอกาสที่พี่วายุจะชอบผู้ชายอยู่ไม่มากก็น้อย”

     ดวงตาคนฟังเบิกกว้าง ข้อสันนิษฐานของรามิลทำให้หัวใจของสกายกลับมามีความหวัง ทำไมเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ถ้าวายุไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ มีหรือจะปล่อยให้ผู้ชายด้วยกันตามเอาใจขนาดนี้ ถ้าเขตดนัยจีบได้สกายก็จีบได้ และเขามั่นใจว่าจะทำได้ดีกว่าด้วย

     “กำลังคิดว่าจะจีบพี่วายุยังไงอยู่ล่ะสิ”

     สกายกำลังจะตอบกลับไป แต่เมื่อสังเกตใบหน้าเพื่อนดีๆ จึงหรี่ตาลง “เดี๋ยวนะ ที่บอกว่าจะเป็นพ่อสื่อ อย่าบอกนะว่าจะช่วยกูจีบพี่วายุ”

     “ปิ๊งป่อง ถูกต้องนะครับ” รามิลดีดนิ้วใส่เพื่อนสนิทที่เดาได้ถูกเผง

     “ไม่ต้อง กูจีบเอง ความรักของกู กูจะไม่ขอให้ใครช่วยทั้งนั้น”

     “แล้วใครบอกว่าจะช่วยตรงๆ”

     “หมายความว่ายังไง” สกายขมวดคิ้ว มองคนยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างงุนงง

     “มึงจะจีบพี่วายุก็จีบไป กูแค่จะช่วยให้การจีบของมึงไร้อุปสรรคเท่านั้นเอง”

     “คิดจะทำอะไร”

     รามิลกระตุกยิ้ม ยิ่งนึกถึงแผนการที่อุตส่าห์ครุ่นคิดมาทั้งคืนยิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ตั้งแต่ฉุกคิดได้ว่าวายุอาจจะชอบผู้ชายเหมือนกัน รามิลก็เหมือนค้นพบเรื่องสนุก เขาไม่ได้ประชันฝีมือกับใครมานานแล้ว ดีเหมือนกัน ได้ลงสนามในฐานะไม้กันหมาของเพื่อนอีกครั้งก็ไม่เลว

     “เดี๋ยวมึงก็รู้”

     สกายได้แต่มองอย่างหวั่นใจ ทั้งที่รามิลกำลังจะช่วย แต่บอกตรงๆ ว่าเขาไม่รู้สึกดีเลยสักนิด ก็ดูสายตาคู่นั้นสิ มันเป็นสายตาที่สกายมักจะเห็นบ่อยๆ เวลารามิลคิดจะก่อเรื่องปวดหัวให้เขา

     เอาเถอะ เพื่อนสนิทจะทำอะไรนั้นไม่ใช่เรื่องที่สกายต้องรู้ ตอนนี้เรื่องเดียวที่เขาควรสนใจคือจะทำยังไงให้ความรักอันยาวนานของตัวเองสมหวังต่างหาก

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ประกวดภาพถ่ายเหรอ” เขตดนัยทวนคำพูดของคนตรงหน้า เขายังมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก

     “ครับ เป็นกิจกรรมเล็กๆ ที่ชมรมถ่ายภาพของมหา’ลัยผมจัดขึ้นมา สักครู่นะครับ เดี๋ยวเอาให้ดู”

     รามิลหันไปค้นกระเป๋าตัวเอง ไม่นานก็หยิบโบรชัวร์แผ่นหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้คนตัวสูง บนกระดาษแสดงรายละเอียดและกติกาของกิจกรรม มีประโยคภาษาอังกฤษตัวใหญ่ หัวข้อ ‘Variety of feelings’

     “โจทย์คือให้ถ่ายใบหน้าที่แสดงถึงอารมณ์ที่หลากหลาย ยิ่งมีหลายรูปหลายอารมณ์จะดีมาก หลังจากนั้นก็เอามารวมเป็นอัลบัมแล้วส่งประกวดครับ”

     “อยากให้พี่เป็นนายแบบให้เหรอ”

     “ใช่ครับ”

     ไม่ใช่แค่เขตดนัยกับวายุที่งง แม้แต่สกายที่เป็นเพื่อนสนิทยังคิดไม่ถึงว่ารามิลจะทำอะไรแบบนี้ สัปดาห์ที่แล้วมีรุ่นพี่ในชมรมมาชวนร่วมกิจกรรม แต่เขากับรามิลปฏิเสธไปเพราะไม่อยู่ในความสนใจ ไม่นึกว่าเพื่อนรักจะกลืนน้ำลายตัวเอง

     “ทำไมถึงเป็นพี่ล่ะ” เขตดนัยถามออกไปอย่างสงสัย วันนี้เขาถูกวายุชวนมาทานข้าวที่บ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อนของสกายมีเรื่องอยากขอร้อง เขาเลยแปลกใจนิดหน่อยว่าคนเพิ่งรู้จักกันมีอะไรให้ขอร้องด้วยเหรอ

     “แหม ก็พี่เขตเป็นดาราดัง ผ่านการแสดงมาตั้งหลายเรื่อง ถ่ายรูปประกวดแค่นี้ผมรู้ว่าพี่ช่วยได้อยู่แล้ว”

     เขตดนัยพยักหน้ารับรู้ ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เอง

     “ลองไปขอคนอื่นดีไหม เรื่องแบบนี้พี่คิดว่าควรไปขอร้องคนที่สนิทกันจะดีกว่านะ”

     “พี่เขตให้ผมกับสกายเรียกพี่เพื่อจะได้สนิทกันไม่ใช่เหรอครับ”

     “นั่นมันก็ใช่ ฝั่งพี่ไม่มีปัญหา แต่ที่พี่พูดหมายถึงเรา มีนจะทำงานกับพี่อย่างสนิทใจได้เหรอ”

     รามิลส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้ชายหนุ่มตรงหน้า แต่ดวงตากลับไร้ความรู้สึก “ไม่ใช่แค่พี่สาวหรอกครับ ผมก็แอบปลื้มพี่เขตอยู่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ต้องห่วงผมเลยครับ ได้ตามถ่ายรูปดาราในดวงใจ ใครบ้างจะไม่อยาก”

     “ลองดูก็ไม่เสียหายนะครับ ถือซะว่าช่วยน้อง” วายุช่วยพูดอีกแรง เขตดนัยยังคงทำหน้าคิดหนัก

     “ผมรู้ว่าพี่เขตอยากพักงาน คิดซะว่าไปเที่ยวพักผ่อนก็ได้ครับ ผมแพลนไว้คร่าวๆ ว่าจะไปถ่ายหลายที่ ไม่อยากให้โลเคชันในรูปซ้ำกัน”

     พอเพื่อนสนิทพูดมาถึงตรงนี้สกายก็เริ่มเอะใจอะไรบางอย่าง เขากับรามิลลอบมองตากัน และเมื่อเห็นดวงตาระยิบระยับกับรอยยิ้มมุมปากบางเบา สกายก็รู้ในทันทีว่าเพื่อนของเขากำลังสนุกกับแผนการที่ได้เริ่มดำเนินแล้ว

     ร้ายไม่เบาจริงๆ เพื่อนคนนี้

     “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมมีค่าตอบแทนให้ รวมถึงถ้าได้เงินรางวัลมาผมตั้งใจจะยกให้พี่อยู่แล้ว”

     “อ้าว ที่เราอยากประกวดไม่ใช่เพราะรางวัลหรอกเหรอ” เขตดนัยเอ่ยถาม

     “ผมอยากฝึกฝีมือเฉยๆ ครับ เลยอยากให้พี่เขตมาช่วยงาน พี่เขตมีประสบการณ์ในวงการบันเทิงมายาวนาน ต้องช่วยให้ฝีมือการถ่ายรูปผมดีขึ้นแน่นอน”

     เขตดนัยจ้องมองใบหน้าหวานราวกับผู้หญิง บางอย่างในแววตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรขัดกัน เขตดนัยไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกุเรื่องขึ้นมาเพียงเพราะชื่นชอบเขา แต่เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกแปลกๆ นี้คืออะไร รู้แค่ว่างานนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน

     “อืม เอาสิ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ตอบตกลง ถึงจะยังมีหลายอย่างที่ไม่เคลียร์ “พี่ไม่รับค่าตอบแทน เรื่องแค่นี้เล็กน้อย จะถ่ายวันไหนก็บอกมาแล้วกัน ช่วงนี้พี่ว่างทุกวัน”

     “ขอบคุณครับ พี่เขตใจดีจริงๆ คิดไม่ผิดที่ติดตามพี่มานาน”

     เขตดนัยบอกเบอร์โทรศัพท์และไอดีไลน์ให้เด็กหนุ่มเพื่อจะได้นัดกันสะดวก ก่อนจะหันไปมองร่างบางที่นั่งข้างกัน “หลังจากนี้พี่คงมาทำคะแนนบ่อยๆ ไม่ได้ อย่าเพิ่งหักคะแนนพี่นะ”

     “ผมไม่หักหรอกครับ เพราะผมไม่เคยให้คะแนนพี่เขต” วายุพูดปนขำ

     “ไม่เป็นไร มันต้องมีสักวันแหละน่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินจะไม่กร่อนให้มันรู้ไป”

     รามิลจับแขนเพื่อนรักไว้แน่นเมื่อสกายทำท่าจะพุ่งเข้าไปหา เขาส่งสายตาให้สงบสติอารมณ์ ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนสีหน้าเมื่อเขตดนัยพูดขึ้นมาเชิงหยอกล้อ

     “พี่เคยแต่แสดงละคร ยังไม่เคยถ่ายแบบมาก่อน รบกวนบรีฟท่าทางให้ด้วยนะครับคุณตากล้อง”

     “ไว้ใจได้เลยครับคุณนายแบบ” รามิลรับมุกด้วยการตอบกลับไป ดวงตาสองคู่ประสานกัน เขตดนัยที่กำลังประเมินอีกฝ่ายจำเป็นต้องยิ้มตอบเมื่อเด็กหนุ่มส่งยิ้มมาให้

     หึๆ จะเล่นงานให้หนักจนไม่มีเวลาไปทำคะแนนเลยคอยดู รามิลหมายมั่นอยู่ในใจ เขาไม่ยอมให้ใครมาแย่งคนที่เพื่อนสนิทหมายปองเด็ดขาด ที่ผ่านมารามิลกันผู้หญิงมากมายออกจากสกายเพื่อการนี้โดยเฉพาะ กับอีแค่กันผู้ชายคนเดียวออกจากวายุมันจะไปยากอะไร

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุครับ ผมเอง” เสียงเคาะประตูเบาๆ ตามมาด้วยเสียงทุ้มที่คุ้นเคย

     “เข้ามาสิ”

     ท้องฟ้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หันซ้ายหันขวามองไปรอบห้อง เขาเพิ่งเคยเข้ามาในห้องทำงานของวายุครั้งแรก ก่อนหน้านี้ก็อยากลองเข้ามาแต่ไม่กล้าขอ

     วายุละสายตาจากงานตรงหน้า หันไปมองเด็กหนุ่มพลางเลิกคิ้ว “มาหาพี่มีอะไรหรือเปล่า”

     “ต้องมีด้วยเหรอครับถึงมาได้” ท้องฟ้านั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน วายุหัวเราะในลำคอ ทุกวันนี้เขาเรียกอีกฝ่ายว่าเด็กขี้เหงาได้เต็มปาก อะไรๆ ก็อยากอยู่ใกล้เขาไว้ก่อน

     “รอแป๊บนึง อีกเดี๋ยวจะเสร็จแล้ว” ชายหนุ่มหันไปสนใจงานของตัวเองต่อ

     “ที่นี่คือห้องทำงานพี่วายุเหรอครับ”

     “รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ก็ใช่ครับ แต่ผมเห็นว่าไม่ค่อยต่างจากห้องนอนเท่าไหร่เลย” วายุเคยบอกท้องฟ้าว่าห้องนอนในบ้านหลังนี้เหมือนกันทุกห้อง เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าห้องนอนของวายุเป็นอย่างไร ซึ่งห้องที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ก็เหมือนกัน ต่างกันแค่ไม่มีเตียงนอนกับห้องน้ำ

     “พี่ขอให้พ่อแยกห้องออกมาเอง ที่จริงงานแค่นี้ทำที่ไหนก็ได้ขอแค่มีโน้ตบุ๊ก แต่พี่ไม่อยากทำงานในห้องนอน อยากให้มันเป็นกิจจะลักษณะ”

     “แล้วถ้าระหว่างทำงานเกิดง่วงขึ้นมาล่ะครับ”

     “อาจจะมีงีบหลับนิดหน่อย แต่ถ้างานยังไม่เสร็จพี่จะไม่ออกจากห้องทำงานเด็ดขาด”

     ท้องฟ้ามองคนพูดด้วยสายตารักใคร่และชื่นชม เมื่อสิบปีก่อนวายุเป็นคนมีความรับผิดชอบอย่างไรตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ท้องฟ้ารู้สึกว่าเขาเลือกรักคนไม่ผิด

     “ตกลงที่มาป่วนพี่เพราะเหงาอย่างเดียวใช่ไหม”

     “ป่วนอะไรครับ ผมแค่มาดูว่าพี่ใช้เมาส์ที่ผมเลือกให้หรือเปล่า” ท้องฟ้ามองเลยไปบนโต๊ะ ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นมือวายุกำลังค้างอยู่บนเมาส์สีฟ้า

     “ลูกหมาเลือกให้ทั้งที เจ้าของก็ต้องเอามาใช้เสียหน่อย”

     ท้องฟ้ายิ้มกว้างกว่าเดิม คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ยอมกลายพันธุ์จากคนเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์

     เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้คนโตกว่ามีสมาธิกับการทำงาน เขาเพียงแค่นั่งมองวายุเลื่อนสายตาไปมาบนจอคอมพิวเตอร์ แต่แค่นั้นท้องฟ้าก็มีความสุขแล้ว

     ให้นั่งมองทั้งวันก็ได้ ขอแค่ได้อยู่กับพี่วายุท้องฟ้ายอมหมด

     “เสร็จแล้ว” วายุเอ่ยเมื่อเขากดปิดไฟล์งานอันสุดท้าย “ไปนอนก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่จะกลับห้องเลยเหมือนกัน”

     “เดี๋ยวครับ” ท้องฟ้าจับแขนคนที่ทำท่าจะลุกขึ้น “ผมมีเรื่องอยากถาม”

     “ว่ามาสิ” วายุนั่งลงตามเดิม

     “คือ...ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่วายุ...”

     “ถามมาก่อน แล้วพี่จะบอกอีกทีว่าตอบได้หรือไม่ได้”

     เมื่อได้ยินอย่างนั้นท้องฟ้าจึงสบตากับคนตรงหน้า ความลังเลในแววตาจางหายไป “พี่เขตชอบพี่วายุใช่ไหมครับ”

     ท้องฟ้ารู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ที่เขาถามเพราะคิดว่าการเริ่มเกริ่นจากคำถามง่ายๆ เหมือนคนไม่รู้อะไรเลยจะเนียนกว่า

     คนถูกถามนิ่งไปสักพัก ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก จนสุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาบางเบา ปฏิกิริยานั้นทำให้ท้องฟ้าเอียงคออย่างไม่เข้าใจ

     “รู้จนได้สินะ พี่ไม่ได้จะปิดบังหรอก แต่เห็นว่าไม่จำเป็นเลยไม่บอกเรา”

     “แปลว่าที่พี่เขตทำมาตลอดคือการจีบสินะครับ”

     “ใช่”

     “แล้วพี่รู้สึกยังไงครับ”

     “พี่ไม่ได้รู้สึกอะไร และพี่ก็บอกไปตรงๆ แล้ว แต่พี่เขตยังยืนยันว่าจะตามจีบจนกว่าพี่จะใจอ่อน แต่สัญญาว่าจะไม่ทำให้อึดอัดใจ พี่เลยปล่อยให้เขาทำไป”

     นาทีนี้บอกตรงๆ ว่าท้องฟ้าอยากร้องออกมาดังๆ ให้สมกับความดีใจ แต่เมื่อยังไม่ได้คำตอบที่อยากรู้มากที่สุดเขาจึงต้องเก็บอาการไว้ก่อน

     “พี่ไม่รู้สึกแปลกเหรอครับ”

     “แปลกยังไง”

     “ที่มีผู้ชายมาจีบ”

     วายุมองเด็กหนุ่มนิ่ง นิ่งจนท้องฟ้าเริ่มกระสับกระส่าย เขารีบพูดต่อเพราะกลัวโดนเข้าใจผิด

     “ผมไม่ได้จะว่าอะไรนะครับ การที่ผู้ชายชอบผู้ชายมันปกติมากในยุคนี้ แต่ที่ถามเพราะผมสงสัยว่าพี่วายุ...เอ่อ...พี่วายุ...”

     “พี่ชอบผู้ชาย”

     คราวนี้คนที่นิ่งกลับกลายเป็นท้องฟ้าเสียเอง เขาอุตส่าห์เตรียมสารพัดคำพูดเพื่อมาหลอกถามว่าวายุชอบผู้ชายหรือเปล่า ไม่นึกเลยว่าเจ้าตัวจะพูดออกมาเองอย่างนี้

     “พี่ชอบผู้ชายอยู่แล้วเลยไม่รู้สึกแปลกกับการที่มีผู้ชายเหมือนกันมาจีบ ก่อนพี่เขตจะจีบเขาก็ถามเรื่องนี้กับพี่เหมือนกัน”

     “…”

     “พี่แค่กำลังคิดว่าจะบอกดีไหม พี่ไม่อยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างลำบากใจเลยเก็บเงียบเรื่องนี้มาตลอด แต่ในเมื่อท้องฟ้าบอกว่าอยู่กับพี่แล้วสบายใจ เต็มใจบอกพี่ทุกเรื่อง พี่เลยอยากบอกทุกเรื่องกับท้องฟ้าเหมือนกัน”

     “ผม...ผมไม่ลำบากใจเลยครับ ไม่ว่าพี่วายุจะชอบเพศอะไรพี่ก็ยังเป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุดเสมอ”

     “ขอบใจนะ” รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า วายุลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดินอ้อมมาวางมือลงบนศีรษะของเด็กหนุ่ม “ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”

     “ถ้ากลัวผมตื่นสายก็มาปลุกสิครับ”

     “เป็นเด็กสามขวบหรือไงเรา”

     “ลูกหมาสามขวบต่างหาก”

     “รู้สึกจะชอบเป็นลูกหมาเหลือเกินนะ”

     “มีเจ้าของใจดีทั้งที ใครจะไม่ชอบบ้างครับ”

     วายุหัวเราะคำพูดทะเล้นของอีกฝ่าย ยีกลุ่มผมสีดำด้วยความเอ็นดูก่อนจะบอกให้เด็กหนุ่มกลับห้องนอน เห็นนิ่งๆ อย่างนี้แต่ข้างในวายุเพิ่งสงบลงได้ไม่นาน ตอนพูดความจริงออกไปเขาแอบกลัวอยู่เหมือนว่าท้องฟ้าจะรังเกียจหรือรับไม่ได้ แต่ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีแล้ว



     ภายในห้องนอนอันกว้างใหญ่ เด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มติดใบหน้ากำลังนอนแหงนมองเพดาน รอยยิ้มนั้นค่อยๆ กว้างขึ้นเมื่อร่างสูงหวนคิดถึงบทสนทนาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

     วายุบอกว่าชอบผู้ชาย เขาเองก็เป็นผู้ชาย แถมวายุยังไม่ได้คิดอะไรกับเขตดนัยอีก วันนี้มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น

     หลังจากนี้ท้องฟ้าจะไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว เขาจะเดินหน้าเต็มกำลัง ทำทุกวิถีทางให้วายุรักเขาให้ได้ เหมือนที่เขารักและมั่นคงในตัววายุมาตลอดสิบปีไม่เคยเปลี่ยน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 10 ★ [26/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 27-10-2022 00:12:55
 :katai4: :katai4: :katai4: :call:
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 11 ★ [27/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 27-10-2022 16:26:38
ตอนที่ 11
รักไหม?


     เสียงเปิดประตูมาพร้อมกับใบหน้าเนือย วายุเลิกคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือไปปัดเส้นผมบนหน้าผากเด็กตัวโต

     “ทำไมหงอยมาอย่างนี้ล่ะ”

     “วันนี้อาจารย์ทำเซอร์ไพรส์ครับ”

     “เซอร์ไพรส์ยังไง”

     “นัดสอบย่อยแต่ไม่บอกล่วงหน้า ผมเลยไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน”

     ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบา เขาเข้าใจแล้วว่าเด็กตรงหน้าเป็นอะไร มือบางวางลงบนศีรษะ โยกไปมาเหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็ก

     “แต่ก็ตั้งใจเต็มที่แล้วใช่ไหม”

     “ครับ”

     “งั้นก็ไม่มีอะไรต้องคิดมาก พี่เชื่อว่าท้องฟ้าทำได้อยู่แล้ว”

     สายตาอ่อนโยนทำให้ท้องฟ้ายิ้มออก ดวงตาสีดำกลับมามีประกายสดใสอีกครั้ง

     “เพราะผมเป็นเด็กดี พี่วายุเลยจะบอกว่าผมเรียนเก่งใช่ไหมครับ”

     “เปล่า เรามันเด็กเจ้าเล่ห์ ขนาดพี่ยังโดนหลอกมาแล้วเลย ข้อสอบแค่นี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”

     คนฟังแสร้งทำหน้าผิดหวัง แต่ภายใต้นั้นมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ วายุเข้าใจถูกแล้ว เขาเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ แต่อย่าหวังว่าจะตามความเจ้าเล่ห์ของเขาทันเลย

     “ยังไม่อยากกลับบ้านเลยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างออดอ้อนเมื่อคนโตกว่าขับรถแล่นออกสู่ถนนใหญ่

     “แล้วอยากไปไหน”

     “ที่ไหนก็ได้ครับ ขอแค่ได้ไปกับพี่วายุก็พอ”

     “งั้นไปหาอาจารย์กัน พี่จะให้เขาตรวจสอบว่าเด็กแถวนี้แอบโกงข้อสอบหรือเปล่า”

     “โธ่ ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ ความเจ้าเล่ห์ของผมมีไว้ใช้กับพี่วายุคนเดียว”

     รอยยิ้มบางจุดบนริมฝีปากของชายหนุ่ม น่าแปลกที่วายุควรจะโกรธแต่หัวใจกลับพองโต มันไม่ใช่เรื่องที่ควรดีใจสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกดีเพราะคำพูดนั้น

     “ตกลงอยากไปไหน” ชายหนุ่มทวงคำตอบอีกครั้ง

     “สวนสาธารณะก็ได้ครับ อยากไปนั่งเล่นให้หายนอยด์”

     วายุพยักหน้า เลี้ยวรถมุ่งไปยังจุดหมายปลายทาง ตอนนี้ลูกหมาของเขากำลังเศร้า เลี้ยงไอศกรีมปลอบใจดีไหมนะ

     ขณะที่วายุคิดหาวิธีทำให้เด็กหนุ่มหายคิดมาก ดวงตาของท้องฟ้ากลับเต้นระยิบระยับ จริงอย่างที่วายุว่า ข้อสอบแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก มันเป็นการสอบทบทวนเนื้อหาปีหนึ่งซึ่งท้องฟ้าเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น แต่เขาจะไม่ถือว่าตัวเองโกหกเพราะวายุไม่ได้ถามเรื่องนี้

     หลอกให้ไปเที่ยวด้วยกันสำเร็จแล้ว ขั้นต่อไปในการจีบคือทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “วันนี้ท้องฟ้าสวยนะครับ พี่ว่าไหม” เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาหันไปถามคนที่นั่งข้างกัน อาศัยจังหวะที่คนถูกถามแหงนหน้ามองขยับเข้าไปใกล้

     “นั่นสิ ยิ่งวันนี้ฟ้าเปิดยิ่งสวยมาก”

     ท้องฟ้าสีฟ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา พอมองนานๆ แล้วภายในใจก็รู้สึกปลอดโปร่ง วายุชอบมองท้องฟ้ามาแต่ไหนแต่ไร เขาเคยวาดฝันตอนเด็กว่าอยากมีปีกเหมือนนกจะได้โบยบินไปทั่วผืนฟ้า แต่มันก็เป็นเพียงจินตนาการของเด็กคนหนึ่งที่เลือนหายไปตามกาลเวลา

     “เหมือนกันเลยนะครับ”

     “อะไรเหมือน” ใบหน้าติดรอยยิ้มหันมามอง

     “ผมไง ท้องฟ้าแจ่มใส ผมเองก็สดใส พี่วายุถึงได้ยิ้มตลอดเวลาที่อยู่กับผม เหมือนที่กำลังยิ้มตอนนี้”

     เสียงหัวเราะดังมาจากริมฝีปากบาง วายุเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กหนุ่ม คนที่เขาคิดว่าเหมาะกับชื่อท้องฟ้าที่สุดแล้ว

     “บางทีพี่ก็ไม่แน่ใจว่าจะชมเราหล่อหรือน่ารักดี”

     “พี่วายุคิดว่าผมน่ารักเหรอ” ร่างสูงถามหน้าตื่น ถ้ามีหางคงส่ายดิกๆ ไปแล้ว

     “ไม่รู้สิ อาจจะเพราะนิสัยเราล่ะมั้ง เวลาอยู่ด้วยกันพี่ถึงรู้สึกเหมือนอยู่กับเด็กตลอดเลย แต่เป็นเด็กตัวโตนะ”

     “ผมน่ารัก แล้วพี่รักไหม” เด็กตัวโตทำเป็นไม่ได้ยินคำแสลงหู ยกขาขึ้นมาบนม้านั่ง เหยียดออกแล้วทิ้งศีรษะลงบนตักคนอายุมากกว่าอย่างรวดเร็ว

     “ท้องฟ้า!” วายุพยายามดันตัวออก แต่ร่างกายที่สูงใหญ่กับเรี่ยวแรงที่ต่างกันทำให้เขาผลักไสอีกฝ่ายไม่ได้เลย “ลุกเร็ว ตรงนี้ไม่ใช่ที่นอนนะ เดี๋ยวคนอื่นก็มองหรอก”

     “อย่าไปสนคนอื่นสิครับ สนแค่ผมคนเดียวพอ” ท้องฟ้าดึงมือคนที่เขานอนหนุนตักมาทาบหน้า ถูไถแก้มเข้ากับฝ่ามือนุ่ม แหงนหน้าสบกับดวงตาสีน้ำตาล “ว่าไงครับ ผมน่ารักแล้วพี่รักผมไหม”

     วายุอึกอัก เขาจะตอบว่ารักก็ไม่แปลกอะไร การที่พี่จะรักน้องนั้นเป็นเรื่องปกติถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตาม แต่ประกายบางอย่างในดวงตาคู่นั้นกลับทำให้เขาลังเล ไม่กล้าพูดคำว่ารักออกไป

     “ทำหน้าแบบนี้คือไม่รักผมเหรอ” คนกลัวไม่ถูกรักทำหน้างอง้ำ บีบกระชับมือที่อยู่บนแก้มตัวเอง “ผมเป็นเด็กดี เชื่อฟังขนาดนี้ พี่วายุจะไม่รักผมจริงๆ เหรอครับ”

     “พี่...” วายุเม้มปากแน่น เขาไม่เข้าใจสายตาท้องฟ้าในตอนนี้เลย มันเหมือนจะสื่อว่าคำว่ารักของเขากับของเด็กหนุ่มเป็นคนละความหมายกัน

     ปากหนายื่นออกเล็กน้อย ดวงตาอ้อนกะพริบถี่ แก้มใสแบบผู้ชายถูเข้ากับฝ่ามือไม่หยุด การกระทำเหล่านี้กำลังทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นรัว

     “พี่...พี่รักท้องฟ้า” ในที่สุดวายุก็พ่ายแพ้ เขาแพ้สายตาที่มองมาอย่างรอคอยคำตอบ

     รอยยิ้มสุกสว่างปรากฏไปทั่วใบหน้าหล่อเหลา ท้องฟ้ากดจูบบนหลังมือเบาๆ เป็นเหตุให้คนด้านบนเบิกตากว้าง

     “ทำอะไรเนี่ย”

     “ตอบแทนความรู้สึกที่พี่วายุมีให้ผมไงครับ”

     “…”

     “ถึงจะไม่อัดเสียงไว้แต่ผมจำได้นะ พี่วายุบอกรักผมแล้ว ไม่อนุญาตให้คืนคำทุกกรณีนะครับ”

     ตอนนี้ต่อให้โดนถามว่าสองบวกสองเท่ากับเท่าไหร่ วายุก็คงตอบไม่ได้แน่นอน ใบหน้าเปื้อนยิ้มกับคำพูดสองแง่สองง่ามกำลังทำให้สมองของเขารวนจนคิดอะไรไม่ออก

     “ผมก็รักพี่วายุเหมือนกันครับ รักมากที่สุดเลย”

     “…”

     “ไม่ต้องอัดเสียงนะครับ ถ้าอยากฟังอีกก็มาบอก ผมพูดให้ฟังได้ทุกเวลา”

     วายุคิดว่าเขาควรรีบไปหาหมอให้เร็วที่สุด เขารู้สึกว่าวันนี้หัวใจทำงานหนักเกินไปแล้ว...

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุ นอนหรือยังครับ”

     เสียงทุ้มที่ดังอยู่หน้าประตูทำให้ชายหนุ่มละสายตาจากหนังสือในมือ เห็นท้องฟ้าบอกว่าพรุ่งนี้มีเรียนเช้า เขาเลยคิดว่าเด็กหนุ่มหลับไปแล้วเสียอีก

     วายุเดินไปเปิดประตู ก่อนจะสบตากับเด็กตัวโตที่กำลังยืนยิ้ม บนไหล่มีผ้าเช็ดตัวพาดอยู่

     “พี่ยังไม่นอน เรานั่นแหละ ทำไมป่านนี้ยังไม่นอน”

     “ผมร้อนเลยว่าจะอาบน้ำอีกรอบก่อนนอน แต่ฝักบัวในห้องผมน้ำไม่ไหลเลยครับ”

     “ก็เลยจะมาอาบห้องพี่?”

     “แหะๆ ได้ไหมครับ”

     “ได้สิ” วายุขยับตัวเปิดทางให้คนตรงหน้า ท้องฟ้าพูดขอบคุณก่อนจะรีบเดินเข้ามาเหมือนกลัวเจ้าของห้องเปลี่ยนใจ

     “พี่วายุยังไม่ง่วงเหรอ”

     “ยัง กำลังอ่านหนังสืออยู่”

     “งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

     “อืม ของในนั้นใช้ได้ตามสบายนะ”

     “ขอบคุณครับ”

     วายุเดินกลับมาที่เตียงนอน แต่เมื่อนึกบางอย่างออก พอจะหันไปบอกอีกฝ่ายก็เข้าห้องน้ำไปเสียแล้ว ชายหนุ่มนั่งลงปลายเตียง มองไปยังประตูห้องน้ำอย่างหนักใจ เขาน่าจะฉุกคิดให้เร็วกว่านี้ตอนที่เห็นท้องฟ้าถือแค่ผ้าเช็ดตัวเข้าไป

     ผ่านไปสิบนาทีเสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น วายุหันไปมองทันที ความโล่งอกและความร้อนบนหน้าพุ่งเข้ามาพร้อมกัน

     วายุโล่งอกที่ท้องฟ้าไม่ได้นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมา ท่อนล่างของเด็กหนุ่มสวมกางเกงขายาวผ้านิ่มสีเทาเหมือนตอนมา แต่ที่ทำให้ใบหน้าเขาร้อนผ่าวคือท่อนบนที่ไม่มีอะไรปกปิดเลย ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม หยดน้ำที่เกาะพราวตามลำตัว เสื้อที่พาดอยู่บนไหล่ ทั้งหมดนี้ทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนนายแบบที่หลุดออกมาจากปกนิตยสาร

     สมัยนี้เด็กอายุยี่สิบโตขนาดนี้เลยเหรอ

     วายุเบือนหน้าหนี เขาภาวนาให้ท้องฟ้าพูดขอบคุณแล้วกลับห้องตัวเอง แต่ดูเหมือนคำภาวนาของเขาจะไม่เป็นผล เพราะนอกจากจะไม่ได้ยินคำขอบคุณแล้ว ท้องฟ้ายังเดินมาหาเขาแทนที่จะเป็นประตูห้อง

     “พี่วายุชอบอ่านหนังสือเหรอครับ” เด็กหนุ่มมองไปยังชั้นหนังสือที่อยู่เยื้องบนหัวเตียง

     “ใช่ พี่ชอบอ่านก่อนนอน” วายุตอบแต่ไม่ยอมสบตา ทำเป็นหันไปมองทางอื่น

     “ผมก็ชอบอ่านหนังสือ ไว้ว่างๆ ขอมาอ่านที่ห้องพี่ได้ไหมครับ”

     “อยากอ่านเล่มไหนก็เอาไป ไม่ต้องลำบากมาห้องพี่หรอก” น้ำเสียงวายุราบเรียบแต่ในใจกำลังร้อนรน รีบใส่เสื้อซะทีสิ มัวแต่ยืนเปลือยอยู่ได้

     “พี่วายุ”

     “ว่าไง”

     “…”

     เมื่อคนเรียกไม่ยอมพูดอะไร วายุจึงหันไปมองตามสัญชาตญาณ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรหันไปก็สายไปเสียแล้ว

     “เป็นอะไรครับ หน้าแดงเชียว”

     !!!

     “ไม่สบายเหรอครับ” ท้องฟ้าเดินมาหยุดตรงหน้า มองคนบนเตียงด้วยแววตาเป็นประกาย คำพูดเหมือนจะเป็นห่วง แต่รอยยิ้มกลับสวนทางกันชัดเจน

     “ปะ...เปล่า”

     เปล่าไม่สบาย แปลว่าหน้าแดงเพราะสาเหตุอื่นสินะ

     เด็กหนุ่มคิดอย่างอารมณ์ดี ขยับร่างกำยำเข้าหามากขึ้น จนคนอายุมากกว่าทนไม่ไหวต้องพูดออกมาในที่สุด

     “จะเข้ามาใกล้ทำไม”

     “พี่วายุคิดว่าหุ่นอย่างผมพอจะเป็นนายแบบได้ไหมครับ” ท้องฟ้าไม่ถามเปล่า จับมือบางมาวางบนกล้ามท้องตัวเอง ความเย็นยามที่ฝ่ามือสัมผัสเนื้อผิวทำให้เขารู้สึกดีจนไม่อยากให้ผละออก

     “ได้อยู่แล้ว หุ่นเราออกจะดีขนาดนี้” วายุพยายามพูดไม่ให้เสียงสั่น แต่เขาทำได้ยากเหลือเกินในเวลานี้

     “รู้ได้ไงว่าผมหุ่นดี ผมยังไม่เห็นพี่มองเลย”

     “เมื่อกี้ก็มองไปแล้วไง”

     ท้องฟ้ากระตุกยิ้ม ขยับมืออีกคนให้เลื่อนไปตามลอนหน้าท้อง ยิ่งเห็นอาการสะดุ้งเขาก็ยิ่งได้ใจ

     “ผมหุ่นดีจริงเหรอครับ”

     “อะ...อือ”

     “แล้วพี่วายุชอบไหม”

     “ไป...ไปนอนได้แล้ว อาบน้ำเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ” วายุดึงมือออกแทนการตอบคำถาม พูดเสียงห้วนพลางเบือนหน้าหนีอีกครั้ง เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอแต่ก็ยอมเลิกราแต่โดยดี เขากำลังสนุกก็จริงแต่กลัวอีกฝ่ายเป็นลมไปเสียก่อน

     “ขอบคุณนะครับที่ให้ใช้ห้องน้ำ ฝันดีครับพี่วายุ”

     “อืม...ฝันดี”

     ท้องฟ้าสวมเสื้อก่อนจะเดินออกจากห้อง ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ตอนแรกเขาแค่อยากลองหยั่งเชิง แต่พอเห็นหน้าแดงซ่านของวายุเขาจึงมั่นใจว่าตัวเองมาถูกทาง

     ยังหรอก นี่แค่เริ่มต้น เขาจะไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่ วายุจะต้องตกหลุมรักเขาในสักวัน ฝีมือการจีบของนายท้องฟ้าคนนี้ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 12 ★ [28/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 28-10-2022 17:21:36
ตอนที่ 12
น่าสนุก


     “ค่อยๆ ยิ้มนะครับ อย่ายิ้มกว้างเกินไป อย่างนั้นครับ เอามือเท้าคางด้วย”

     ริมฝีปากของเขตดนัยยกยิ้มบางเบา สายตามองตรงไปยังกล้องถ่ายรูปในมือของเด็กหนุ่ม ลูกค้าในร้านต่างมองมาไม่หยุด แต่เขตดนัยชินกับอะไรแบบนี้แล้ว

     วันนี้เป็นวันแรกที่เขตดนัยมาเป็นนายแบบให้รามิล เด็กหนุ่มหน้าหวานเลือกสถานที่ถ่ายรูปเป็นร้านกาแฟที่ตกแต่งสไตล์ชนบท รามิลให้เหตุผลว่าหัวข้อในการถ่ายรูปวันนี้คืออารมณ์ผ่อนคลาย จึงอยากเลือกโลเคชันให้มีกลิ่นอายธรรมชาติมากที่สุด

     ตอนแรกเขตดนัยเสนอให้ไปต่างจังหวัด แบบนั้นจะได้บรรยากาศผ่อนคลายมากกว่าในตัวเมืองที่มีแต่ตึกสูงตระหง่าน ส่วนเรื่องการเดินทางเขาขับรถพาไปได้ไม่มีปัญหา แต่รามิลปฏิเสธเพราะเกรงใจ บวกกับอยากทดสอบฝีมือในวันแรกจึงไม่คิดจะถ่ายหลายรูป ถ้าต้องเดินทางข้ามจังหวัดเขาเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าน้ำมัน สุดท้ายเลยมาลงเอยที่ร้านกาแฟแห่งนี้

     “อย่าขมวดคิ้วสิครับ พี่เขตกำลังผ่อนคลายอยู่นะ”

     เขตดนัยทำหน้าเหลอหลาเมื่อโดนตากล้องติท่าทาง เขากำลังคิดอะไรบางอย่างเลยเผลอขมวดคิ้วเข้าหากัน

     “แล้วพี่ต้องทำหน้ายังไง”

     “ทำหน้าผ่อนคลายไงครับ”

     แล้วผ่อนคลายที่ว่ามันต้องทำยังไงล่ะ

     เขตดนัยกำลังจะถามกลับไป แต่เด็กหนุ่มก็เดินมาหาเขาเสียก่อน รามิลหยุดยืนตรงหน้า ยื่นมือมาแตะแก้มแผ่วเบา เขตดนัยกำลังยืนเท้าคางกับราวระเบียงไม้ตามที่ตากล้องสั่ง ด้านหลังเป็นบานกระจกที่มีคนในร้านกำลังมองพวกเขาอยู่ บริเวณนี้เป็นโซนที่ทางร้านจัดขึ้นมาให้ลูกค้าถ่ายรูปโดยเฉพาะ

     “เวลาพี่เขตทำงานมาเหนื่อยๆ มักจะทำอะไรให้หายเหนื่อยครับ”

     “นอน” หนุ่มดาราตอบโดยไม่หยุดคิด แต่พอเห็นสีหน้าขัดใจเขาเลยรู้ว่าไม่น่าใช่คำตอบที่คนตรงหน้าต้องการ

     “มีอย่างอื่นไหมครับที่พี่ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เช่นอ่านหนังสือ ดูหนังหรือไปเที่ยว”

     “ทำขนม” เขตดนัยตอบกิจกรรมที่เขาหลงลืมไป “เวลาทำขนมพี่ไม่เคยเหนื่อยเลย กลับกันยิ่งรู้สึกสนุกจนอยากทำทั้งวันทั้งคืน”

     “งั้นคิดซะว่าตอนนี้พี่กำลังทำขนมอยู่นะครับ”

     “แบบนั้นมันจะช่วยได้เหรอ”

     “เชื่อผมสิครับ ทำตามที่ผมบอกแล้วเดี๋ยวความผ่อนคลายจะออกมาทางสีหน้าเอง”

     ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เทคนิคพวกนี้ การทำงานในวงการบันเทิงมาหลายปีทำให้เขตดนัยมีประสบการณ์ในการจัดการอารมณ์ตนเอง แต่การแสดงละครที่มีบทพูดและได้ขยับร่างกาย กับการยืนเป็นนายแบบให้ถ่ายรูปเฉยๆ ความรู้สึกมันต่างกัน เขาเลยไม่คิดว่าแค่นึกถึงสิ่งที่ชอบจะทำให้สีหน้าเป็นอย่างที่ต้องการได้

     รามิลเดินกลับไปยังจุดเดิม ยกกล้องขึ้นระดับสายตาเหมือนจะบอกทางอ้อมว่าพร้อมถ่ายแล้ว ชายหนุ่มจึงต้องโยนความสงสัยทิ้งไปแล้วปั้นหน้ายิ้มอีกครั้ง ในใจก็พยายามหลอกตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังทำขนมอยู่

     เขตดนัยชอบทำขนม ชอบเวลาที่มีคนบอกว่าขนมของเขาอร่อย โดยเฉพาะถ้าคนพูดคือวายุ เขาจะดีใจเป็นพิเศษ...

     “นั่นแหละครับ หน้าแบบนั้นเลย ค้างไว้นะครับ อย่าเพิ่งหุบยิ้มนะ”

     เสียงกดชัตเตอร์รัวๆ ทำให้เขตดนัยแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ชื่อวายุมีผลกับเขาเสมอ แม้ในเวลานี้ก็เช่นกัน แค่นึกถึงอีกฝ่ายเขตดนัยก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

     ชอบถึงขนาดนี้แล้วจะให้เลิกจีบได้ยังไง

     “เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าพอนึกถึงสิ่งที่ชอบความรู้สึกมันจะออกทางสีหน้าเอง” รามิลพูดไปยิ้มไป ท่าทางภูมิใจในคำแนะนำของตัวเอง

     “ก็จริง พอทำตามที่เราบอกแล้วปากมันก็ยกยิ้มเอง”

     “ชอบทำขนมขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “เปล่า” เขตดนัยยิ้มพราย เขานิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกความจริง “พี่กำลังพูดถึงวายุ”

     “…”

     “ถ้ามีนอ่านการกระทำพี่ออกก็น่าจะรู้ว่าพี่ชอบวายุ เพราะงั้นหลังจากนี้ถ้าอยากบรีฟพี่แต่ไม่รู้จะบรีฟยังไง ลองเอาชื่อวายุมาหลอกล่อพี่ก็ได้นะ” เขตดนัยว่าอย่างติดตลก เห็นเด็กหนุ่มเคยบอกว่าต้องถ่ายรูปหลากหลายอารมณ์ เขาเลยคิดเล่นๆ ว่าถ้าวันไหนถ่ายอารมณ์รัก วันนั้นเขาคงเอาแต่คิดถึงวายุทั้งวัน

     รามิลหุบยิ้มทันควัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงจนเขตดนัยงงว่าตัวเองพูดอะไรผิด เด็กหนุ่มก้มมองรูปในกล้องดิจิตอล กดนั่นกดนี่อยู่สักพักก่อนจะเงยมาสบตา

     “ขอโทษนะครับพี่เขต เมื่อกี้ผมเผลอลบรูปไป เราคงต้องถ่ายกันใหม่”

     เขตดนัยเหลอหลาอีกครั้ง หน้านิ่งๆ ที่พูดโดยไร้ความรู้สึกผิดทำเอาเขาไปไม่ถูก แต่เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ชายหนุ่มจึงไม่ว่าอะไร ถึงแม้ความสงสัยในใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นก็ตาม

     รามิลสั่งให้ร่างสูงโพสต์ท่าตามที่ตัวเองต้องการ คราวนี้เขาแกล้งพูดจาวกวนไปมา ให้เอียงคอเท้าคางบ้าง ยกมือแตะท้ายทอยบ้าง เอามือปิดตาบ้าง กว่าจะได้รูปที่พอใจใช้เวลานานพอสมควร

     ไม่สิ...ที่จริงรามิลพอใจตั้งแต่รูปแรกแล้ว แต่ที่เหลือถือเป็นค่าหมั่นไส้ล้วนๆ

     ถ้าจะชอบจนออกนอกหน้าขนาดนี้ก็เชิญชอบต่อไปเลย แต่ก็ได้แค่ชอบอยู่ฝ่ายเดียวแหละวะ รามิลแอบเบ้ปากอยู่ในใจ ดูซิว่าโดนเขาปั่นหัวจนไม่มีเวลาไปทำคะแนนแบบนี้หนุ่มดาราคลั่งรักจะทำยังไงต่อ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “วันนี้พี่เขตทำผมเกร็งไปทั้งตัวเลยนะครับ” รามิลพูดขึ้นมาหลังจากบริกรรับเมนูเดินจากไปแล้ว ตอนนี้เขากับเขตดนัยอยู่ในร้านอาหารที่อยู่นอกตัวเมือง ไม่ไกลจากร้านกาแฟที่พวกเขาใช้เป็นสถานที่ถ่ายรูป

     “เกร็งยังไง”

     “ไม่รู้ตัวเลยเหรอครับว่าตลอดเวลาที่ถ่ายรูปมีคนมองพี่เยอะแค่ไหน ผมก็รู้อยู่หรอกว่ามากับดาราต้องเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้”

     เขตดนัยหัวเราะเมื่อเห็นอาการถอนหายใจของคนตรงหน้า “ช่วยไม่ได้ เราอยากเอาคนดังมาเป็นนายแบบเอง”

     “นี่ถ้าคนพูดไม่ใช่พี่เขตผมว่าหลงตัวเองไปนานแล้วนะครับ”

     ร่างสูงหลุดหัวเราะอีกครั้ง เขาไม่ถือสาที่เด็กหนุ่มพูดจาเหมือนสนิทกันมานาน เขตดนัยเป็นคนสบายๆ ไม่เคยถือตัวกับคนรอบข้าง เวลามีคนมาขอถ่ายรูปเขาก็ให้ความร่วมมือเสมอ อาจจะเพราะเหตุนี้เขาถึงได้มีแฟนคลับเยอะ

     “ขอถามเรื่องส่วนตัวได้ไหมครับ” รามิลเอ่ยถามหลังจากอาหารที่สั่งไปมาเสิร์ฟแล้ว เขามองเขตดนัยอย่างเกรงใจ แต่ความจริงคือต่อให้เขตดนัยไม่อนุญาตเขาก็จะหลอกเอาข้อมูลอยู่ดี

     “ได้สิ ถ้าเป็นเรื่องที่พี่ตอบได้นะ”

     “ที่บอกว่าชอบพี่วายุ พี่ชอบมานานแล้วเหรอครับ”

     “ใช่ ตั้งแต่วายุย้ายมาอยู่บ้านติดกันพี่ก็ชอบมาตลอด แต่จีบเท่าไหร่ก็ไม่ติดซะที คนอะไรใจแข็งชะมัด” เขตดนัยว่าอย่างไม่จริงจัง เขาทั้งตามเอาใจ ทำขนมไปให้ทุกสัปดาห์ คอยหยอดคำหวานทุกครั้งที่เจอกัน แต่วายุก็ไม่เคยหวั่นไหวกับเขาเลย เขตดนัยไม่นึกเสียใจหรือหมดความมั่นใจ เขาออกไปทางขำมากกว่า ขำที่คนอื่นมองว่าเขาคือหนุ่มรูปหล่อโด่งดังที่แค่เอ่ยปากก็มีสาวๆ มายืนต่อแถวเรียงคิว แต่ในความเป็นจริงแค่จีบผู้ชายคนเดียวยังต้องใช้เวลาเป็นปี

     “พี่วายุไม่มีท่าทางชอบพี่เขตบ้างเลยเหรอครับ” รามิลถามโดยพยายามซ่อนรอยยิ้มไว้

     “พี่เคยถามแล้ว วายุบอกว่าชอบพี่ แต่ชอบแบบพี่น้อง” คนถูกถามยกน้ำขึ้นดื่ม มองเด็กหนุ่มด้วยแววตาขบขัน “ถามละเอียดขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าจะช่วยพี่จีบ”

     รามิลมองคนตรงหน้าตาปริบๆ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงคิดไปในทางนั้นได้ ที่เขาถามเพราะอยากตอกย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่ารักครั้งนี้ไม่มีทางสมหวังต่างหาก

     “ถ้ามีนอยากช่วยจริงๆ พี่จะยินดีมากเลย จีบเองมาเป็นปีจนเริ่มท้อแล้ว” คนคิดเองเออเองยื่นหน้าไปใกล้ ส่งยิ้มให้เด็กหน้าหวาน “ถือซะว่าตอบแทนที่พี่มาเป็นนายแบบให้ฟรีแล้วกัน หลังจากนี้ก็ขอฝากด้วยนะครับคุณพ่อสื่อ”

     เดี๋ยว นี่ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เสียหน่อย คนที่เขากำลังเป็นพ่อสื่อให้คือเพื่อนสนิทของเขาต่างหาก รามิลอยากตะโกนออกไปดังๆ แต่เพราะทำไม่ได้จึงต้องฝืนยิ้มให้คนตรงหน้าแทน

     “ผมจะพยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้นะครับ” ช่วยกันพี่ออกไปจากพี่วายุ...ประโยคนี้รามิลแอบเติมเองในใจ “จริงด้วย ผมสัญญากับเพื่อนไว้ว่าจะโทรไปคุยเรื่องงานกลุ่ม ขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ”

     “ได้สิ”

     รามิลลุกเดินออกมา เมื่อห่างจากโต๊ะพอสมควรแล้วจึงกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท ตอนแรกที่ได้ยินว่าจีบเท่าไหร่ก็ไม่ติดเขาคิดว่าเขตดนัยจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ดูจากคำพูดเมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าเขตดนัยยังไม่ตัดใจจากวายุซะทีเดียว เขาจึงต้องรีบบอกเพื่อนให้เร่งมือก่อนที่ศัตรูจะเคลื่อนไหวไปมากกว่านี้

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เมื่อเห็นว่าผ่านไปนานแล้วเด็กหนุ่มยังไม่กลับมาเสียที เขตดนัยจึงเริ่มเป็นห่วง รามิลบอกว่าเพิ่งมาร้านนี้ครั้งแรก แถมตัวร้านยังมีบริเวณกว้างขวาง เขาเลยกลัวว่ารามิลอาจจะจำทางกลับโต๊ะไม่ได้

     ชายหนุ่มลุกจากที่นั่ง เดินไปตามสถานที่ที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะไปคุยโทรศัพท์ จนกระทั่งมาถึงหน้าห้องน้ำ เขตดนัยจึงเห็นร่างอันคุ้นตากำลังยืนหันหลังอยู่

     เขตดนัยกำลังจะเข้าไปหา แต่บทสนทนาที่ลอยมาเข้าหูทำให้เขาชะงักฝีเท้า ชายหนุ่มรีบไปหลบตรงมุมอับหน้าห้องน้ำ ขณะเดียวกันก็คอยเงี่ยหูฟังเด็กหนุ่มคุยกับคนในโทรศัพท์ไปด้วย

     “กูไม่ได้ขู่ แต่เท่าที่พี่เขตพูดเหมือนเขาจะไม่ยอมตัดใจจากพี่วายุง่ายๆ ดังนั้นมึงต้องรีบจีบพี่วายุให้ติด เข้าใจไหมสกาย”

     เขตดนัยย่นคิ้ว ทั้งวายุและสกายเป็นชื่อที่เขารู้จักทั้งนั้น แต่เขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังสงสัยเป็นความจริงหรือเปล่า

     “กูรู้ว่ามึงรักพี่วายุ และพี่วายุก็ชอบผู้ชาย แต่อย่าลืมว่าพี่เขตก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน แถมโปรไฟล์ยังดีกว่ามึงอีก ที่ผ่านมาเขาไม่หวั่นไหวไม่ได้แปลว่าจะไม่หวั่นไหวไปตลอดนะ”

     “…”

     “เออ ไม่ต้องห่วง กูไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่หรอกน่า นี่กูกำลังเป็นไม้กันหมาให้มึงอยู่นะ อย่าพูดเหมือนกูจะก่อเรื่องให้มึงปวดหัวได้ไหม”

     “…”

     “ที่กูคิดไว้คือคอยสร้างสถานการณ์ให้พี่เขตยุ่งเข้าไว้ จะได้ไม่มีเวลาไปจีบพี่วายุ แต่ชมรมเขาให้เวลาแค่เดือนเดียว กูคงรั้งพี่เขตไว้ได้แค่นั้น อยู่ที่มึงแล้วล่ะว่าระหว่างที่ไม่มีก้างขวางคอจะทำให้พี่วายุหันมารักมึงได้ไหม”

     รอมยิ้มมุมปากผุดขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลา เขตดนัยหัวเราะในลำคอ ความสงสัยในใจถูกไขกระจ่างหมดแล้ว ที่แท้ความรู้สึกแปลกๆ ที่เขาสัมผัสได้จากตัวรามิลมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้เอง

     คิดจะช่วยเพื่อนสนิทด้วยการขัดขวางเขาสินะ

     “มึงเป็นเพื่อนกูมานาน ยังไม่รู้อีกเหรอว่ากูเนียนขนาดไหน เชื่อมือเถอะน่า พี่เขตไม่มีทางรู้หรอก กูอุตส่าห์กุเรื่องพี่สาวขึ้นมา แถมยังโกหกไปอีกว่ากูเป็นแฟนคลับเขา อย่างมากก็คงคิดว่ากูคลั่งไคล้ดาราจนอยากตามถ่ายรูปเหมือนพวกสตอล์กเกอร์”

     ยิ่งได้ฟังความจริงจากปากเจ้าตัวอย่างนี้ เขตดนัยยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีนิสัยต่างกับใบหน้าโดยสิ้นเชิง เห็นหน้าหวานๆ ท่าทางเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่นึกว่าข้างในจะแสบขนาดนี้ ถ้าเขาไม่บังเอิญมาได้ยินคงโดนปั่นหัวด้วยการหลอกให้เป็นนายแบบไปอีกนาน

     “เออ กูไม่เถียงว่าหล่อ แต่หล่อแบบหน้าจืดนะ มึงหล่อกว่าพี่เขตเยอะ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้”

     หล่อแบบหน้าจืด?

     เขตดนัยสะดุดหูกับคำชมของเด็กหนุ่ม เขาไม่ใช่คนหลงตัวเอง แต่ที่ผ่านมามีแต่คนบอกว่าใบหน้าเขาราวกับเทพบุตรกลับชาติมาเกิด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ความมั่นใจที่เขามีมาตลอดเกิดสั่นคลอน

     ไม้กันหมา สร้างสถานการณ์ กุเรื่องให้ตายใจ หล่อแบบหน้าจืด...

     รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ น่าแปลกที่ถึงแม้จะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแต่เขตดนัยกลับไม่รู้สึกอะไร อาจเพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กเขาเลยคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องโกรธเคือง มองว่าเป็นการเล่นซุกซนเสียมากกว่า

     ชายหนุ่มเดินออกจากที่ซ่อน กลับมายังโต๊ะตัวเองตามเดิม ไม่นานหลังจากนั้นรามิลก็ตามมา ใบหน้าสดใสกับรอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้

     “ขอโทษนะครับ พอดีงานมีปัญหานิดหน่อยเลยเผลอคุยยาว”

     “ไม่เป็นไร” ร่างสูงตอบกลับไปเหมือนไม่คิดอะไร แต่ความจริงคือกำลังกลั้นยิ้มอยู่

     “พี่เขตรอทานพร้อมผมเหรอครับ” รามิลมองไปยังอาหารบนโต๊ะที่ยังไม่ถูกแตะเลยแม้แต่น้อย

     “ใช่ พี่ไม่อยากทานก่อน”

     “ไม่เห็นต้องรอเลย ทานไปก่อนก็ได้ครับ วันนี้พี่เป็นนายแบบให้ผมทั้งวัน ผมกลัวพี่จะหิว”

     “เป็นห่วงพี่เหรอ”

     “ก็ต้องห่วงสิครับ ผมเป็นแฟนคลับพี่เขตนะลืมแล้วเหรอ”

     เขตดนัยต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะไม่หัวเราะออกมา เขานึกขำ แต่ก็ทึ่งในเวลาเดียวกันที่เด็กหนุ่มตรงหน้าแสดงละครได้แนบเนียนขนาดนี้

     “มีน”

     “ครับ?”

     “ที่บอกว่าเป็นแฟนคลับพี่ แปลว่าชอบพี่ใช่ไหม”

     “ก็ต้องชอบสิครับ”

     “ชอบอะไร ผลงานละครหรือหน้าตา”

     “ทั้งสองอย่างครับ พี่เขตเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ แถมยังหน้าตาดีอันดับต้นๆ ของประเทศอีก ใครไม่ชอบก็บ้าแล้ว”

     “อันดับต้นๆ เลยเหรอ” ร่างสูงหลุดขำกับคำชมของเด็กหนุ่ม

     “ใช่ครับ พี่เขตน่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ หรือพี่คิดว่าตัวเองไม่หล่อ”

     “เปล่า พี่ไม่ได้ถ่อมตัวขนาดนั้น มีคนมากมายที่บอกว่าพี่หล่อ พอส่องกระจกพี่ก็รู้ว่าพวกเขาพูดความจริง”

     แวบหนึ่งเหมือนเขตดนัยจะเห็นปากเล็กๆ นั่นแอบเบ้นิดหนึ่ง ก่อนจะรีบยกยิ้มให้เขาเหมือนเดิม

     “ต้องเป็นความจริงอยู่แล้วครับ พี่เขตออกจะหล่อขนาดนี้”

     คนถูกชมหัวเราะในลำคอก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น เพราะกลัวว่าถ้าคุยเรื่องนี้ต่อไปเขาอาจคว้าเด็กตรงหน้ามาตีก้นให้สมกับความตีสองหน้าของเจ้าตัว

     สกายชอบวายุ นั่นคือที่มาของท่าทางบึ้งตึงที่อีกฝ่ายมีต่อเขา ถึงแม้เขตดนัยจะรู้เรื่องนี้แล้วแต่ก็ไม่คิดจะตัดใจ เขายังยืนกรานจะจีบวายุเหมือนเดิมต่อให้ต้องเป็นคู่แข่งกับเด็กหนุ่มก็ตาม แต่ที่เขากำลังสนใจตอนนี้คือคนที่ปั้นหน้ายิ้มให้เขาโดยเก็บพิรุธได้อย่างแนบเนียน

     หึๆ น่าสนุกดีเหมือนกัน ชักอยากรู้แล้วสิว่าเด็กหน้าหวานคนนี้จะใช้วิธีอะไรมากีดกันเขา เขตดนัยลอบยิ้ม แววตาเป็นประกายท้าทาย ลองดูสักตั้งก็ไม่เลว ระหว่างหนุ่มดาราหน้าจืดกับเด็กเจ้าแผนการใครจะเหนือกว่ากัน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 12 ★ [28/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 29-10-2022 11:13:20
พี่เขตจะเอาคืนยังไงนะ
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 13 ★ [29/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 29-10-2022 19:50:23
ตอนที่ 13
อ้อมกอดอันอบอุ่น


     “คุณวายุคะ ถึงเวลาไปส่งคุณท้องฟ้าแล้วนะคะ”

     เสียงแม่บ้านที่ดังอยู่หน้าประตูไม่ได้ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มขยับเลยแม้แต่น้อย วายุไม่ได้หลับ เขาได้ยินทุกประโยคชัดเจน แต่เปลือกตามันหนักอึ้งเกินกว่าจะเปิดออก

     เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ คุณแม่บ้านจึงเอ่ยขออนุญาตก่อนจะเปิดประตูเข้าไป วายุกำลังนอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท บนขมับมีเหงื่อชื้นทั้งที่ภายในห้องเปิดแอร์

     “คุณวายุคะ” ป้านิดเดินมาหยุดข้างเตียง ทุกอย่างยังคงเงียบสงบจนเธอเริ่มรู้สึกเอะใจ พอลองเอามือวางบนหน้าผากก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ “ตายจริง! ทำไมร้อนอย่างนี้”

     “พี่วายุทำอะไรอยู่ครับป้านิด” เด็กหนุ่มที่บอกให้แม่บ้านขึ้นมาดูเจ้าของบ้านเดินตามเข้ามาในห้อง ท้องฟ้าทานมื้อเช้าเสร็จแล้วและกำลังรอวายุไปส่งมหาวิทยาลัย แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นวายุลงมาเสียที

     “คุณวายุน่าจะเป็นไข้ค่ะ ป้าลองจับตัวเมื่อกี้ ร้อนจี๋เลย”

     ท้องฟ้าขมวดคิ้ว รีบเดินมาวางมือบนหน้าผากอีกคน ความร้อนที่ส่งผ่านฝ่ามือทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่แม่บ้านพูดเป็นความจริง

     “พี่วายุครับ” มือหนาเขย่าตัวคนบนเตียงเบาๆ ก่อนอื่นเขาต้องรู้ว่าวายุยังมีสติหรือไม่

     “…”

     เด็กหนุ่มลองเขย่าตัวแรงขึ้น ไม่นานคนบนเตียงก็เริ่มขยับตัวเล็กน้อย “พี่วายุ ได้ยินผมไหม”

     “อือ...” เสียงครางแผ่วเบาพร้อมกับเปลือกตาที่เปิดขึ้นช้าๆ

     “เป็นยังไงบ้างครับ”

     “ปวดหัว” วายุพูดได้แค่นั้น เสียงของเขาแหบแห้งไปหมด

     “พี่เป็นไข้ ผมเรียกตั้งนานกว่าจะตื่น”

     ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปมอง พอเห็นร่างสูงอยู่ในชุดนักศึกษาเขาถึงนึกได้ว่าวันนี้ท้องฟ้ามีเรียนเช้า

     “ป้านิดครับ” วายุเรียกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่ม “บอกลุงพงษ์ให้ไปส่งท้องฟ้าหน่อยนะครับ วันนี้ผมคงไปเองไม่ไหว” ลุงพงษ์ที่เป็นคนขับรถเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดเมื่อสามวันก่อน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ท้องฟ้าก็ยังอยากให้เขาไปส่งเหมือนเดิม

     “เรื่องคุณท้องฟ้าเดี๋ยวป้าจัดการให้ แต่ตอนนี้คุณวายุไปหาหมอก่อนดีกว่าไหมคะ”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมนอนพักเดี๋ยวก็หาย”

     “จะหายได้ยังไงคะ อย่างน้อยลุกมาทานข้าวทานยาหน่อยก็ยังดี เดี๋ยวป้าเอาขึ้นมาให้นะคะ”

     “ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมยังไม่หิว”

     “รบกวนป้านิดทำข้าวต้มให้ใหม่หน่อยนะครับ” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็หันไปพูดกับแม่บ้าน ไม่สนคนป่วยที่เพิ่งปฏิเสธไป “พี่วายุป่วยอยู่ ผมอยากให้ทานของอ่อนๆ เอายาพาราฯ มาด้วยนะครับ”

     “ได้ค่ะ”

     “พี่บอกว่ายังไม่หิว นายไม่ได้ยิน...” วายุกำลังจะถามว่าไม่ได้ยินหรือไง แต่พอสายตาคมตวัดมามองเขากลับพูดอะไรไม่ออก

     “เอ่อ...” ป้านิดยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่แน่ใจว่าควรฟังคำสั่งของเด็กหนุ่มหรือเจ้าของบ้านดี

     “ป้านิดไปทำข้าวต้มเถอะครับ แล้วก็ไม่ต้องบอกลุงพงษ์นะครับ วันนี้ผมจะไม่ไปเรียน”

     “แต่คุณวายุ...”

     “ป้านิดไม่เป็นห่วงพี่วายุเหรอครับ”

     “ห่วงสิคะ”

     “งั้นทำตามที่ผมบอกครับ”

     “ค่ะ ป้าจะรีบไปทำเดี๋ยวนี้” ป้านิดพยักหน้ารัวก่อนจะออกไปจากห้อง ทันใดนั้นคนบนเตียงก็พูดขึ้นมาเหมือนรอจังหวะประท้วงอยู่

     “ทำอะไรของนาย”

     “ผมต้องถามพี่มากกว่า ขนาดไม่สบายยังจะดื้ออีกนะครับ”

     วายุขมวดคิ้ว กำลังจะเถียงกลับไปว่าเขาไม่ใช่เด็กแต่ดันไอออกมาเสียก่อน ท้องฟ้ายื่นมือไปอังหน้าผากอีกครั้ง สายตาที่ทอดมองทั้งเป็นห่วงและตำหนิในเวลาเดียวกัน

     “ตัวร้อนขนาดนี้ ขืนปล่อยให้นอนเฉยๆ อาการหนักกว่าเดิมพอดี ทนอีกนิดนะครับ ไว้ทานข้าวทานยาเสร็จแล้วผมจะให้พี่พักผ่อน”

     “ก็พี่บอกว่ายังไม่หิว”

     “ไม่หิวก็ต้องทานครับ ไม่งั้นจะเอาแรงจากไหน”

     วายุกำลังจะปฏิเสธอีกครั้ง แต่พอเห็นความเป็นห่วงที่ฉายชัดบนใบหน้าก็ปฏิเสธไม่ลง เขาอดคิดไม่ได้ว่าเวลาแบบนี้ท้องฟ้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย

     “ก็ได้” ร่างสูงคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น “แต่นายไม่ต้องอยู่เฝ้าหรอก รีบไปเรียนได้แล้ว”

     “ไม่ครับ ขืนผมไปเดี๋ยวพี่ก็ไม่ยอมทานข้าว”

     “พี่ไม่ใช่เด็กนะ แล้วพี่ก็ไม่อยากให้นายเสียการเรียน”

     “พี่วายุกำลังป่วย ต่อให้ไปเรียนผมก็ไม่มีสมาธิอยู่ดี ขนาดอยู่ใกล้กันแค่นี้ผมยังหยุดห่วงไม่ได้เลย”

     เป็นอีกครั้งที่วายุพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือเพราะอย่างอื่น เขาถึงรู้สึกว่านอกจากความเป็นห่วงแล้วภายในดวงตาคู่นั้นยังมีความรู้สึกอื่นปนอยู่ด้วย

     “ให้อยู่แค่แป๊บเดียวนะ พี่ทานข้าวเสร็จเมื่อไหร่นายต้องไปเรียนทันที”

     ท้องฟ้ายิ้มรับ ไม่ตกลงและไม่ปฏิเสธ เขาหันไปมองทางประตูห้อง คงอีกสักพักกว่าข้าวต้มจะเสร็จ

     “รอแป๊บนะครับ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังห้องน้ำในห้องนอน วายุมองตามอย่างแปลกใจ ก่อนจะเข้าใจในเวลาถัดมาเมื่อร่างสูงเดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูสองผืนกับกะละมังใส่น้ำ

     ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกวางลงบนหน้าผากของชายหนุ่ม ท้องฟ้านั่งลงข้างเตียงอีกครั้ง ชุบผ้าอีกผืนกับน้ำ บิดหมาดๆ แล้วเอามาเช็ดตามแขนกับต้นคอ ความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายทำให้วายุรู้สึกดีขึ้น

     “ท้องฟ้า” เสียงนุ่มแหบเรียกคนที่กำลังดูแลเขาราวกับเป็นคุณหมอ

     “ครับ?”

     “ขอบใจนะ” ดวงตาของวายุอ่อนลง รอยยิ้มบนใบหน้าอันเหนื่อยล้าทำให้เด็กหนุ่มยิ้มตาม

     “ถ้าไม่ใช่พี่วายุผมไม่ทำให้ขนาดนี้นะครับ”

     วายุคิดว่าใบหน้าเขากำลังร้อนเพราะพิษไข้ อย่างน้อยเขาก็อยากจะเชื่ออย่างนั้น

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     หลังทานข้าวทานยาตามที่เด็กหนุ่มต้องการแล้ว วายุก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนเพลียบวกกับฤทธิ์ของยา ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลาบ่ายโมง อาการปวดหัวทุเลาลงไปบ้างแล้ว

     วายุกำลังจะลุกขึ้นนั่ง แต่ความหนักบริเวณท้องทำให้เขาชะงัก ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองแขนที่พาดอยู่บนตัว ในมือมีหนังสือที่หยิบมาจากชั้นวาง วายุเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่านอกจากเขาแล้วในห้องนี้ยังมีใครอีกคน

     บอกว่าให้ไปเรียน ทำไมถึงไม่ยอมฟังกันเลยนะ

     วายุตั้งใจจะปลุกมาถามให้รู้เรื่อง แต่พอเห็นใบหน้าที่กำลังหลับสบายเขาเลยเปลี่ยนใจ ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างขำปนเอ็นดู ตัวเองมาเฝ้าไข้คนป่วยแต่ดันหลับเองเสียอย่างนั้น

     เอาเถอะ ถึงไปเรียนตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เห็นแก่ที่เด็กตัวโตคอยดูแลอย่างดี เขาจะยอมไม่ฟ้องอาศิมันตร์ว่าลูกชายตัวเองโดดเรียนแล้วกัน

     เพราะนึกสนุกบวกกับไม่มีอะไรทำ คนป่วยที่อาการดีขึ้นแล้วจึงเอาหน้าไปใกล้ใบหน้าของเด็กหนุ่ม วายุพิจารณาไปทีละส่วน เส้นผมสีดำที่ปรกหน้าผาก ดวงตาที่กำลังปิดสนิท จมูกโด่งที่หายใจสม่ำเสมอ ริมฝีปากหนาที่มักจะยิ้มให้เขาบ่อยๆ วายุปฏิเสธไม่ได้เลยว่าท้องฟ้าเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากคนหนึ่ง มากจนคนที่ไม่ควรรู้สึกอะไรอย่างเขากลับรู้สึกขึ้นมา

     วายุไม่เคยมองท้องฟ้าในแง่ของผู้ชายคนหนึ่ง เขามองเด็กคนนี้เป็นลูกชายเพื่อนพ่อมาตลอด แต่การกระทำหลายๆ อย่างของท้องฟ้าทำให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไปทีละนิด พอรู้ตัวอีกทีความรู้สึกนี้ก็เด่นชัดในหัวใจไปแล้ว

     มือบางเอื้อมไปวางบนหัวเด็กหนุ่ม เกลี่ยเส้นผมนุ่มอย่างเบามือ เขาไม่รู้ว่าควรจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง แต่อย่างหนึ่งที่รู้คือเขาจะไม่มีทางแสดงมันออกมาเด็ดขาด เขาไม่อยากทำให้ลูกชายเพื่อนพ่ออึดอัดใจ

     จู่ๆ คนที่หลับอยู่ก็ขยับตัว วายุจึงรีบชักมือกลับ ท้องฟ้าเงยหน้ามามองตาปรือ ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาตื่นอยู่ก่อนแล้ว

     “หลับสบายไหม” คำถามนั้นต้องการเอ่ยแซวมากกว่าอยากรู้จริงๆ

     “ผมแค่พักสายตาเฉยๆ ไม่ได้หลับซะหน่อย”

     ไม่ได้หลับ แต่อีกนิดน้ำลายจะไหลแล้ว

     วายุนึกขำอยู่ในใจ ท้องฟ้ายืดตัวขึ้นก่อนจะยื่นมือมาอังหน้าผาก

     “ไม่ค่อยร้อนแล้ว ยังปวดหัวอยู่ไหมครับ”

     “ไม่ปวดแล้ว”

     “เดี๋ยวตอนเย็นทานยาอีกครั้งนะครับจะได้หายสนิท”

     “สั่งเป็นหมอเชียวนะ ทีพี่สั่งให้ไปเรียนทำไมไม่ฟัง”

     “ก็ผมเป็นห่วงพี่วายุนี่ครับ”

     “ป้านิดกับป้าณีก็อยู่ พี่เองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากด้วย”

     “คนอื่นไม่กล้าขึ้นมากวนหรอกครับ ผมกลัวพี่ไข้ขึ้นแล้วจะไม่มีใครรู้”

     เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้วายุไม่กล้าดุต่อ ท้องฟ้าขยับมาใกล้ เอาคางมาวางบนตัก แหงนหน้าขึ้นมองเหมือนกำลังขอความเห็นใจ

     “อย่าโกรธเลยนะครับ ผมเป็นห่วงพี่วายุจริงๆ บอกแล้วไงว่าผมรักพี่ คนรักกันจะทิ้งกันได้ยังไง”

     วายุคิดว่าถ้าเขาจะป่วยอีกครั้งก็คงเป็นเพราะคำพูดของเด็กหนุ่มที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนเหนื่อยนี่แหละ เขาไม่รู้ว่า ‘ผมรักพี่’ ที่อีกฝ่ายพูดความหมายกว้างแค่ไหน แต่มันก็ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกไปนานทีเดียว

     “ไข้ขึ้นอีกแล้วเหรอครับ” ท้องฟ้าถามหน้าตื่น รีบยื่นมือมาแตะแก้มคนด้านบน

     “เปล่า”

     “แล้วทำไมพี่หน้าแดง”

     ก็ใครล่ะเอาแต่พูดจาสองแง่สองง่าม ไม่รู้เลยหรือไงว่าคำพูดตัวเองอันตรายแค่ไหน

     วายุอยากตอบกลับไป แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงเบือนหน้าหนี ท้องฟ้ามองตามก่อนจะเอียงคองง ทำไมพอหายไข้แล้วท่าทางพี่วายุดูแปลกๆ

     “อยากนอนต่อไหมครับ เดี๋ยวผมออกไปให้จะได้ไม่รบกวนพี่”

     “ไม่เป็นไร พี่นอนเต็มอิ่มแล้ว ถ้าอยากอยู่ต่อก็อยู่เถอะ” วายุพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่พอเห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่ออกเขาถึงรู้ว่าตัวเองพลาดเสียแล้ว

     “กำลังชวนผมนอนด้วยกันอยู่หรือเปล่าครับ”

     “เปล่า!”

     “ปฏิเสธเสียงดังแบบนี้ผมควรเชื่อดีไหมนะ”

     บางทีวายุก็สงสัยว่าเด็กคนนี้ห่วงเขาจริงๆ หรืออยากก่อกวนให้เขาปวดหัวเล่นกันแน่

     “งั้นไม่ต้องอยู่แล้ว ออกไปเลย” เจ้าของห้องพูดแค่นั้น ดึงผ้าห่มมาคลุมก่อนจะล้มตัวนอนโดยหันหน้าไปอีกทาง ท้องฟ้าอมยิ้ม รู้สึกภูมิใจที่ทำให้พี่วายุผู้แสนสุขุมเสียอาการได้ขนาดนี้

     “ขยับไปหน่อยครับ”

     “ทำไม” คนที่นอนหันหลังเหลือบมามองด้วยหางตา

     “ทำตามที่ผมบอกเถอะครับ”

     วายุยังไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมขยับให้แต่โดยดี ท้องฟ้าไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้าวขึ้นมาบนเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างกันอย่างรวดเร็ว

     “ทำอะไรของนาย” วายุหมุนตัวมามองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังยิ้มเผล่ให้เขา

     “นอนเป็นเพื่อนคนป่วยครับ”

     “ต้องให้พูดอีกกี่ครั้งว่าพี่ไม่ใช่เด็ก และพี่ก็ไม่ง่วงแล้วด้วย”

     “ไม่ง่วงก็นอนเล่นไปพลางๆ ครับ ผมรู้นะว่าถ้าไม่นอนแล้วพี่จะไปทำงาน”

     “พี่หายดีแล้ว”

     “ดีขึ้นต่างหากครับ ดีขึ้นไม่ได้แปลว่าหายแล้ว”

     “ก็บอกว่า...” วายุกำลังจะเถียงกลับไป แต่อาการระคายคอทำให้เขาไอออกมา ท้องฟ้าเคลื่อนตัวไปใกล้จนแนบชิด เอื้อมมือไปโอบเอวคนอายุมากกว่าก่อนจะรั้งเข้าหาตัวเอง

     “ผมรู้ว่าพี่วายุโตแล้ว แต่เวลาพี่อ่อนแอผมก็อยากดูแลพี่บ้าง ทีพี่ยังดูแลผมมาตลอดเลย”

     วายุนิ่งงัน ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย เขานึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะทำอะไรแบบนี้

     “ผมเบาแอร์ให้แล้ว แต่เหมือนพี่จะยังหนาวอยู่ แบบนี้พอจะอุ่นขึ้นบ้างไหมครับ”

     “พี่...พี่นอนเองได้ นายออกไปได้แล้ว” วายุไม่ตอบคำถาม เขายอมรับว่าอ้อมกอดของท้องฟ้าทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้หัวใจเต้นรัวด้วย

     “เมื่อกี้ยังอนุญาตให้ผมอยู่อยู่เลย”

     “แต่มานอนเตียงเดียวกันอาจจะติดหวัดได้นะ”

     “ถ้าผมติดหวัดพี่ก็ดูแลผมสิครับ เหมือนที่ผมกำลังดูแลพี่ตอนนี้ไง”

     วายุเงยหน้าไปมองค้อน แบบนั้นจะไปมีความหมายอะไร เขากำลังจะดันตัวออก แต่แรงกอดที่เอวทำให้ใบหน้าจมไปกับอกกว้างอีกครั้ง

     “นอนเถอะครับ ผมรู้ว่าพี่ยังเพลียอยู่ เดี๋ยวถึงมื้อเย็นแล้วผมปลุก”

     วายุคิดจะปฏิเสธ แต่ไออุ่นจากตัวอีกฝ่ายทำให้เขาเริ่มเคลิ้ม จะว่าไปอยู่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน อุ่นกว่าห่มผ้าเองตั้งเยอะ

     ความเพลียที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้ชายหนุ่มเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง แต่ก่อนดวงตาจะปิดลง วายุเหมือนจะได้ยินเสียงทุ้มดังมาจากที่ไกลๆ

     “ตัวพี่วายุนุ่มจัง อยากนอนกอดแบบนี้ทุกวันเลย”

     วายุจับใจความไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในความคิดคือเขารู้สึกชอบอ้อมกอดนี้เหลือเกิน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 14 ★ [30/Oct/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 30-10-2022 20:12:21
ตอนที่ 14
เหมือนกัน


     “คิดจะนั่งมองพี่ไปถึงเมื่อไหร่”

     “จนกว่าพี่วายุจะทำงานเสร็จมั้งครับ”

     วายุถอนหายใจ มองเด็กหนุ่มที่กำลังเท้าคางยิ้มตรงหน้า ถึงเจ้าตัวจะบอกเองว่าเป็นลูกหมาก็เถอะ แต่ไม่ต้องตัวติดกับเจ้าของตลอดเวลาก็ได้ไหม

     วันนี้วายุเอาโน้ตบุ๊กมานั่งทำงานในสวนหลังบ้าน เขาแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอย่างเดียว แต่ดูเหมือนใครบางคนจะเอาแต่ตามติดเขาแจ

     “ไม่ออกไปข้างนอกเหรอ วันหยุดทั้งที”

     “ไม่ครับ”

     “ไม่คิดจะไปเที่ยวกับเพื่อนเลย?”

     “ผมอยากอยู่บ้านมากกว่า”

     วัยรุ่นสมัยนี้แปลกแฮะ ปกติเห็นแต่อยู่ไม่ติดบ้าน แต่รายนี้กลับไม่อยากห่างจากบ้าน

     วายุคิดเล่นๆ ในใจ ก่อนจะเอะใจในวินาทีถัดมา เขาก็ยังวัยรุ่นอยู่ แล้วทำไมถึงพูดเหมือนตัวเองแก่เลย สงสัยอยู่กับเด็กเยอะเกินไปเลยหลงคิดว่าตัวเองอายุเยอะแล้ว

     “แล้วนี่ไม่มีอะไรทำหรือไงถึงเอาแต่นั่งมองพี่”

     “ถึงมีก็ไม่ทำครับ นั่งมองพี่วายุทำงานสนุกกว่าเยอะ” แววตาคนพูดเป็นประกายสดใส ริมฝีปากหนาคลี่ยิ้มให้คนโตกว่า

     “พี่ทำงานมันน่าสนุกตรงไหน” วายุย่นคิ้ว เขาหรือออกจะอยากให้งานเสร็จเร็วๆ จะได้ไปพักผ่อนเสียที แต่เด็กตรงหน้าพูดเหมือนการทำงานเป็นอะไรที่เพลิดเพลินมาก

     “ตรงที่เป็นพี่วายุไงครับ”

     “…”

     “ถ้าเป็นคนอื่นผมไม่เสียเวลามานั่งมองหรอก แต่เพราะเป็นพี่วายุ ต่อให้มองทั้งวันผมก็ไม่เบื่อ”

     วายุคิดว่าเขาไม่ควรถามเลย บางทีการเก็บความสงสัยไว้ในใจอาจดีกว่าถามออกไปให้เข้าตัวเอง ยิ่งเห็นสายตาวาววับของคนพูดเขายิ่งรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมา

     “ตามใจแล้วกัน ถ้าเบื่อไม่รู้ด้วย” ชายหนุ่มทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะหันมาสนใจงานตัวเอง เขาต้องพยายามอย่างหนักที่จะตั้งสติอยู่กับงานตรงหน้า ขณะที่ในหัวเอาแต่นึกถึงคำพูดของเด็กหนุ่มไม่หยุด

     รู้ทั้งรู้ว่าเขาชอบผู้ชายยังจะมาพูดแบบนี้อีก เขาชักสงสัยแล้วสิว่าท้องฟ้าเป็นคนประเภทชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่วหรือเปล่า

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุ มีคนโทรมาครับ” ท้องฟ้าส่งสายตาไปยังโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างโน้ตบุ๊ก เขาเห็นสั่นมาสักพักแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าของจะมัวแต่จดจ่ออยู่กับงานเลยไม่ทันสังเกต

     วายุหยิบโทรศัพท์มากดรับ รอยยิ้มจุดบนใบหน้าใสเมื่อเห็นว่าใครโทรมา “ครับพ่อ”

     [เป็นยังไงบ้างเรา ตีกับลูกเจ้าศิไปถึงไหนแล้ว]

     วายุเผลอนิ่วหน้า นี่พ่อยังคิดว่าเขาอคติกับลูกชายเพื่อนตัวเองอยู่อีกเหรอ

     “อย่าพูดเหมือนผมชอบหาเรื่องคนอื่นได้ไหมครับ ผมไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย ออกจะดูแลดีด้วยซ้ำ” ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองคนที่ตัวเองดูแลมาตลอด ท้องฟ้าชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหมือนอยากถามว่าพูดถึงเขาอยู่หรือเปล่า

     [พ่อล้อเล่น รู้อยู่แล้วว่าวายุไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก ที่โทรมาก็เพราะแม่เขาคิดถึง อีกนานกว่าจะกลับไทยเลยอยากได้ยินเสียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน]

     [แหม ไม่ต้องเอาฉันไปอ้างเลย คุณเองไม่ใช่เหรอที่อยากโทรหาลูก คิดถึงลูกก็บอกไปตรงๆ]

     เสียงสามีภรรยาที่ถกเถียงกันปลายสายทำให้วายุยิ้มกว้าง เขาเอ่ยขอสายคุณแม่ที่ช่วงนี้แทบไม่ได้คุยกัน

     “แม่สบายดีไหมครับ”

     [สบายดีจ้ะ ว่าแต่ลูกเถอะ ช่วงนี้ที่ไทยเริ่มหนาวแล้วไม่ใช่เหรอ ระวังเป็นหวัดนะ]

     “ไม่ต้องห่วงครับ ผมเพิ่งหายจากหวัด ไม่เป็นอีกครั้งในเร็วๆ นี้หรอก” ชายหนุ่มว่าอย่างติดตลก แต่ดูเหมือนคนในสายจะไม่ตลกด้วย

     [ตายจริง แล้วมียากินหรือเปล่า ตอนนอนห่มผ้าไหม ต้องกินของอ่อนๆ นะวายุ บอกป้านิดกับป้าณีเลยว่าห้ามทำอาหารรสจัด]

     “แม่ครับ ผมแค่เป็นหวัดธรรมดา ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง” วายุพูดเสียงอ่อน มารดาเขาชอบห่วงลูกเกินหน้าเกินตามาแต่ไหนแต่ไร หลายครั้งที่วายุต้องเตือนว่าลูกชายคนนี้อายุยี่สิบหกไม่ใช่สามขวบ

     [ไม่รู้แหละ แม่เป็นห่วง เกิดลูกชายคนเดียวเป็นอะไรขึ้นมาแม่จะทำยังไง]

     “ผมไม่เป็นไรง่ายๆ หรอกครับ มีท้องฟ้าอยู่ทั้งคน” วายุพูดยิ้มๆ สบตากับร่างสูงไปด้วย วันที่เขานอนซมอยู่บนเตียงท้องฟ้าคอยดูแลสารพัด ทั้งป้อนข้าวป้อนยา ช่วยเช็ดตัว นอนกอดให้หายหนาว จนวายุอดคิดไม่ได้ว่าในเวลาคับขันเด็กคนนี้ก็พึ่งพาได้เหมือนกัน

     [ท้องฟ้า? ใครเหรอลูก]

     “เอ่อ...ก็สกายไงครับ ลูกชายของอาศิที่มาอยู่บ้านเรา เมื่อกี้ผมพูดชื่อผิด” วายุเกือบลืมไปว่าชื่อท้องฟ้ามีแค่เขาคนเดียวที่เรียก

     [เด็กคนนั้นคอยดูแลตอนลูกป่วยเหรอ]

     “ครับ”

     [แม่ขอคุยกับสกายหน่อยสิ]

     วายุงงนิดหน่อย แต่ก็ยอมส่งโทรศัพท์ให้เด็กหนุ่มแต่โดยดี ท้องฟ้ารับไปก่อนจะพูดด้วยเสียงนอบน้อม

     “สวัสดีครับน้ามนตร์”

     “…”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณนะครับที่ให้ผมมาอยู่บ้านนี้”

     “…”

     “ตอนแรกจะไม่ยอมทานอะไรเลยครับ ผมต้องบังคับให้ทานข้าวทานยาถึงได้หายไข้”

     สองประโยคแรกวายุนั่งฟังเฉยๆ แต่พอมาถึงประโยคล่าสุดใบหน้าเขาก็ตึงขึ้นมาทันที ชายหนุ่มมองค้อนคนตรงหน้า แต่ดูเหมือนคนโดนค้อนจะไม่สนใจ

     “เหรอครับ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพี่วายุดื้ออย่างนี้ประจำ แต่ไม่เป็นไรครับ ดื้อแค่ไหนผมก็เต็มใจดูแล”

     เดี๋ยว! แม่เขาพูดอะไรกับเด็กหนุ่มน่ะ อย่าบอกนะว่ากำลังขายลูกชายตัวเอง

     “ยินดีครับ น้ามนตร์ก็ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ คุณพ่อคุณแม่ผมฝากความคิดถึงมาด้วย บอกว่าถ้าน้ามนตร์กับอาเกริกกลับไทยแล้วอยากให้ไปเที่ยวที่บ้าน”

     ท้องฟ้าคุยกับคุณน้ามนตร์มณีต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนลูกชาย วายุรับมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ต่างกับเด็กหนุ่มที่แววตาเป็นประกายขบขัน

     “แม่คุยอะไรกับสกายครับ”

     [แม่แค่ฝากสกายดูแลลูกเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก]

     น้อยไปสิ แค่ฟังคำพูดของเด็กหนุ่มวายุก็รู้แล้วว่าเขากำลังโดนขายด้วยฝีมือแม่ตัวเอง

     “ผมอายุยี่สิบหกแล้วนะครับ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล”

     [เราน่ะชอบโหมงานจนร่างกายพัง ข้าวปลาก็กินไม่เป็นเวลา แม่รู้นะไม่ใช่ไม่รู้ นี่แม่ก็กำลังเป็นห่วง แต่พอรู้ว่าลูกชายคุณศิพึ่งพาได้ขนาดนี้แม่ก็วางใจ]

     ตกลงอายุยี่สิบหกเป็นเพียงตัวเลขที่ไม่มีความหมายอะไรใช่ไหม ทั้งคนในสายกับคนตรงหน้าถึงเอาแต่พูดเหมือนเขาเป็นเด็ก

     “ครับๆ หลังจากนี้ผมจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น แม่ก็เหมือนกันนะครับ หาเวลากลับมาพักผ่อนบ้าง ผมคิดถึง”

     [แม่ก็คิดถึงลูก]

     วายุกดวางสายหลังจากคุยกับมารดาจนพอใจแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบมองคนที่กำลังยกยิ้ม

     “แม่พี่พูดอะไรบ้าง” ในเมื่อคนหนึ่งไม่ยอมตอบ เขาเลยต้องหันมาไล่บี้กับอีกคนแทน

     “อยากรู้เหรอครับ”

     “ถ้าไม่อยากจะถามทำไม”

     ท้องฟ้ายื่นหน้ามาใกล้ ดวงตาเต้นระยิบระยับ รอยยิ้มที่มุมปากทำให้วายุรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ “น้ามนตร์บอกว่า...ถ้าพี่วายุดื้อให้ผมจัดการได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

     “ท้องฟ้า!”

     เจ้าของชื่อยังคงยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน ถอยกลับมาที่นั่งตัวเองแต่แววตายังล้อเลียนไม่หยุด

     “หลังจากนี้ห้ามดื้อกับผมนะครับ ไม่งั้นผมฟ้องน้ามนตร์จริงๆ ด้วย”

     วายุหน้าบึ้งกว่าเดิม คนที่ควรพูดประโยคนั้นต้องเป็นเขาสิ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับตรงข้ามกันหมด เขาไม่น่าให้แม่คุยกับเด็กหนุ่มเลย

     ท้องฟ้ามองคนตรงหน้าด้วยความขบขัน เขาไม่คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าวายุไม่มีทางดื้อกับเขาแน่นอน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันทำให้ท้องฟ้ารู้ว่าถ้าเขากลายร่างเป็นลูกหมาขี้อ้อนเมื่อไหร่ วายุเป็นต้องยอมเขาไปทุกครั้ง เหลือแค่ยอมเป็นแฟนที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า

     แต่...ระดับท้องฟ้าเสียอย่าง ไม่สำเร็จให้มันรู้ไป

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ชายหนุ่มปิดคอมพิวเตอร์เมื่อเหลือบไปเห็นเวลาบนนาฬิกาผนัง กิจวัตรประจำวันที่เขาทำจนชินไปแล้วคือการไปรับลูกหมาตัวโต ตอนนี้ท้องฟ้าคงใกล้เลิกเรียนแล้ว กว่าเขาจะไปถึงคงทันพอดี

     วายุกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา มือบางหยิบมากดรับ ชื่อบนหน้าจอทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย

     “ว่าไง พี่กำลังจะไปแล้ว เราเลิกเรียนแล้วเหรอ”

     [เลิกแล้วครับ แต่วันนี้พี่วายุไม่ต้องมารับผมนะ]

     “อ้าว ทำไมล่ะ”

     [ผมต้องไปถ่ายหนังสั้นที่บ้านเพื่อน น่าจะกลับดึกๆ]

     “แล้วจะกลับยังไง”

     [เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ไปส่ง]

     “จำทางกลับบ้านได้ใช่ไหม”

     [ผมไม่ใช่เด็กนะครับ] เสียงแง่งอนในสายทำให้วายุหลุดขำ ไม่ใช่เด็กแค่ตอนเขาไม่สบาย แต่ตอนอื่นดูยังไงก็เด็กชัดๆ

     “อย่ากลับดึกนักล่ะ”

     [เป็นห่วงผมเหรอ]

     “ก็ต้องห่วงสิ”

     [งั้นหลังจากนี้ผมกลับดึกทุกวันดีกว่า]

     “ไหนบอกไม่ใช่เด็กไง แค่นี้ก็ดื้อกับพี่แล้ว”

     [ผมไม่ได้ดื้อซะหน่อย แค่อยากให้พี่วายุเป็นห่วงเท่านั้นเอง]

     “…”

     [ห่วงบ่อยๆ นะครับ ผมจะได้รู้ว่าไม่ได้รักพี่วายุอยู่ฝ่ายเดียว]

     โทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว แต่วายุยังถือแนบหูอยู่อย่างนั้น เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มยังดังก้องในหัวไม่หยุด แค่ประโยคธรรมดาแต่กลับทำให้หัวใจสั่นไหวได้

     ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้วว่าท้องฟ้าเป็นคนอย่างไร ดูจากแต่ละคำพูดของเจ้าตัวแล้ว เวลาจีบหญิงคงลีลาแพรวพราวไม่น้อย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เสียงรถที่จอดหน้าบ้านทำให้วายุหันไปมอง เขากำลังดูทีวีในห้องนั่งเล่นหลังจากส่งไฟล์งานให้ลูกค้าคนสุดท้ายไปเมื่อตอนเย็น

     ท้องฟ้าเดินเข้าบ้านมาในเวลาสี่ทุ่ม เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่อยู่บนโซฟา

     “พี่วายุยังไม่นอนเหรอ”

     “ถ้านอนแล้วจะเห็นพี่อยู่ตรงนี้เหรอ”

     คนถามหลุดหัวเราะออกมา ร่างสูงโปร่งเดินมาหยุดตรงหน้า มองลึกเข้าไปในดวงตาสีดำ

     “กินอะไรมาหรือยัง”

     ท้องฟ้ากำลังจะตอบ แต่เสียงท้องร้องดันชิงตอบให้เสียก่อน คราวนี้วายุหลุดหัวเราะบ้าง เขาคิดไว้อยู่แล้วถึงได้มานั่งรอ

     “ไปนั่งรอไป เดี๋ยวพี่ทำอะไรให้กิน”

     “พี่วายุจะทำอาหารให้ผมเหรอ” เสียงทุ้มที่พูดอย่างตื่นเต้นทำให้วายุขำอีกครั้ง

     “ป้านิดกับป้าณีหลับไปแล้ว พี่ไม่อยากปลุก ที่ถามนี่คือดีใจหรือกลัวกินไม่ได้”

     “ต้องดีใจอยู่แล้วครับ ผมกำลังจะได้กินอาหารฝีมือพี่วายุเชียวนะ”

     รอยยิ้มสดใสที่ถูกส่งมาทำให้วายุอดยิ้มตามไม่ได้ เขาไล่เด็กหนุ่มไปรอในห้องนั่งเล่น ส่วนตัวเองเดินไปยังห้องครัว แต่เด็กตัวโตกลับเดินตามเขามา

     “ผมอยากเห็นพี่วายุทำอาหาร” ท้องฟ้าพูดพลางคลี่ยิ้มเมื่อคนโตกว่าหันมามอง

     “ตามใจ”

     ชายหนุ่มเริ่มลงมือทำอาหารด้วยการหยิบวัตถุดิบในตู้เย็นมาวางเรียงบนเคาน์เตอร์ ด้านหลังมีเด็กท้องร้องนั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าวในครัว เขาเลือกเมนูสปาเก็ตตีผัดขึ้เมาทะเลเพราะเห็นเด็กหนุ่มบอกเมื่อวันก่อนว่าอยากกิน

     ท้องฟ้าเท้าคางกับโต๊ะ มองคนที่กำลังสาละวนกับการทำอาหาร มองจากมุมนี้แล้ววายุทั้งดูเท่และน่ารักในเวลาเดียวกัน จะดีแค่ไหนนะถ้าเขาได้กินอาหารฝีมือวายุทุกวัน แค่คิดเฉยๆ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายแล้ว

     กลิ่นหอมโชยไปทั่วห้อง เพียงไม่นานสปาเก็ตตีผัดขี้เมาทะเลก็ถูกวางลงตรงหน้า ท้องฟ้าตาโต มองอาหารในจานสลับกับใบหน้าของคนทำ วายุนั่งลงฝั่งตรงข้าม ส่งสายตาให้เด็กหนุ่มลงมือทาน

     “ไม่กินเหรอ ไหนว่าหิวไง” วายุถามเมื่อเห็นคนหิวเอาแต่นั่งนิ่ง

     “ไม่กล้ากินครับ”

     “ทำไม คิดว่าพี่ใส่ยาพิษลงไปเหรอ”

     “เปล่าครับ ผมกลัวมันหมด”

     “…”

     “ผมไม่อยากให้อาหารที่พี่วายุทำหายไป”

     วายุพยายามแล้ว แต่เขากลั้นขำไม่อยู่จริงๆ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ จนเด็กหนุ่มมองตามด้วยความงง

     “หมดแล้วก็ทำใหม่ได้ ถ้าอยากกินอีกก็บอก พี่ทำให้กินได้ทุกเมื่อ”

     พอได้ยินอย่างนั้นใบหน้าเศร้าๆ ก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ท้องฟ้ายิ้มกว้าง พูดขอบคุณก่อนลงมือจัดการอาหารตรงหน้า ปากก็พร่ำชมว่าอร่อยไม่หยุดจนคนทำยิ้มกว้างตาม

     “รถยังซ่อมไม่เสร็จอีกเหรอ” วายุชวนเด็กหนุ่มคุยระหว่างทานข้าวด้วยการถามเรื่องที่สงสัยมาสักพักแล้ว เขาคิดว่าถ้าท้องฟ้ามีรถขับอย่างน้อยจะได้ไม่ต้องลำบากเรื่องการเดินทางเหมือนวันนี้

     มือที่กำลังใช้ส้อมม้วนเส้นหยุดชะงัก ท้องฟ้าเลิ่กลั่กก่อนจะตอบกลับไปเท่าที่พอจะคิดออกในเวลานี้ “เสร็จแล้วครับ แต่เหมือนคนรู้จักของพ่อจะขอยืมไปขับอยู่”

     วายุงงเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะถ้ายังถามอีกเขาก็ไม่รู้จะอ้างอะไรเหมือนกัน

     รถของท้องฟ้าซ่อมเสร็จตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อนแล้ว เขาบอกให้พ่อเอากลับไปที่บ้านโดยให้เหตุผลว่าอยากหัดใช้รถสาธารณะ แต่เหตุผลที่แท้จริงคืออยากให้วายุไปรับไปส่งเหมือนเดิม แบบนั้นจะได้มีเวลาใกล้ชิดกันมากขึ้น แถมยังเป็นการกันวายุออกจากคู่แข่งบ้านข้างๆ ไปในตัวด้วย

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “ปากเลอะแล้ว” วายุโคลงหัวเบาๆ ก่อนจะหยิบทิชชูมาเช็ดปากลูกหมามูมมาม ท้องฟ้านั่งนิ่ง ปล่อยให้คนอายุมากกว่าเช็ดปากตัวเอง จนกระทั่งมือบางผละออกไปมุมปากทั้งสองข้างถึงยกยิ้ม

     “เป็นห่วงผมอีกแล้วนะครับ”

     “เรียกว่าทนดูไม่ได้ดีกว่า ปกติกินมูมมามอย่างนี้หรือเปล่า”

     “พี่วายุอยากทำอาหารอร่อยเอง ความผิดผมที่ไหน”

     วายุหัวเราะในลำคอ เก่งเหลือเกินนะเรื่องโยนความผิดให้คนอื่น เขากำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อกลับห้อง แต่ช้อนที่ยื่นมาตรงหน้าทำให้เขาชะงัก

     “ไหนๆ ก็เลอะแล้ว มาปากเลอะด้วยกันเถอะครับ”

     “ไม่เป็นไร ตอนเย็นพี่กินข้าวอิ่มแล้ว”

     “กินเป็นเพื่อนหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมกินอยู่คนเดียว เหงาจะตายอยู่แล้ว”

     “…”

     “นะครับ แค่คำเดียวก็ได้ เดี๋ยวผมป้อนพี่จะได้ไม่ต้องกินเองให้เมื่อยมือ”

     วายุถอนหายใจ เขาลืมไปว่าเด็กตรงหน้าอ้อนเก่งขนาดไหน ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมายังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาทนลูกอ้อนของท้องฟ้าได้

     ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มเมื่อการอ้อนสำเร็จ บอกแล้วว่าถ้าเขากลายร่างเป็นลูกหมาเมื่อไหร่วายุเป็นต้องยอมไปทุกครั้ง เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปเช็ดปากเหมือนที่อีกฝ่ายทำให้ การกระทำที่ไม่คาดคิดทำให้วายุนิ่งงัน

     “เท่านี้เราก็มูมมามเหมือนกันแล้ว ว่าผมไม่ได้แล้วนะครับ”

     “…”

     “อยากกินอีกไหมครับ เดี๋ยวผมป้อนให้ใหม่”

     วายุมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เขาไม่ได้ซื่อจนดูไม่ออกว่าเด็กคนนี้ตั้งใจป้อนให้เลอะปากเพื่อจะได้เอาคำว่ามูมมามย้อนกลับมาเล่นงานเขา

     เป็นผู้ชายแท้ๆ ทำไมถึงเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้นะ

     “กินเสร็จแล้วล้างจานให้เรียบร้อย แล้วก็รีบเข้านอนล่ะ” วายุลุกขึ้นทันทีที่พูดจบ เดินออกจากห้องครัวโดยไม่สนเสียงทุ้มที่ร้องเรียก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขึ้นบันไดไปแล้วท้องฟ้าจึงหันกลับมาเหมือนเดิม รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหายไป

     ไม่ได้ตั้งใจจะว่ามูมมามเสียหน่อย แค่อยากเช็ดปากให้เท่านั้นเอง ใครใช้ให้ปากพี่วายุเย้ายวนขนาดนั้นล่ะ เขาไม่ใช้ปากตัวเองเช็ดให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 15 ★ [02/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 02-11-2022 15:39:33
ตอนที่ 15
เด็กแสบกับผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์


     “ยิ้มใหญ่เลยนะ” เขตดนัยเอ่ยแซวคนที่นั่งข้างกัน ตอนนี้เขากำลังขับรถพารามิลไปสวนสนุก เด็กหนุ่มหน้าหวานยิ้มระรื่นตั้งแต่ขึ้นรถจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุที่ชวนมาเพราะอยากถ่ายรูปเขาหรืออยากเที่ยวกันแน่

     “ก็ผมดีใจที่จะได้ถ่ายรูปพี่เขต”

     “ไม่ใช่ว่ากำลังตื่นเต้นที่จะได้ไปสวนสนุกเหรอ”

     “โธ่ คิดว่าผมเห็นสวนสนุกดีกว่าพี่เขตเหรอครับ ต่อให้เอาอะไรมาแลกผมก็ไม่ยอมหรอก”

     เขตดนัยเหลือบไปมองคนพูด ถ้าเป็นคนอื่นอาจโดนรอยยิ้มนั้นหลอกจนหลงเชื่อไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับเขาที่เห็นประกายบางอย่างในดวงตา คำพูดของรามิลอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เขตดนัยรู้ดีว่าความหมายจริงๆ ของประโยคนั้นคือ ‘ใช่ ผมเห็นสวนสนุกดีกว่า ดาราหน้าจืดอย่างพี่ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย’

     ริมฝีปากหนายกยิ้ม นิ้วบนพวงมาลัยเคาะเป็นจังหวะ เขตดนัยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงความขบขันไว้

     “ชอบพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ถามอะไรอย่างนั้นครับ คนเป็นแฟนคลับก็ต้องชอบไอดอลตัวเองอยู่แล้วสิ”

     “งั้นวันนี้พี่เลี้ยงทุกอย่างเอง ถือซะว่าพี่แจกเซอร์วิสให้เรา อยู่จนสวนสนุกปิดเลยนะ”

     “หา~” รามิลร้องเสียงหลง ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนในเวลาถัดมา “เอ่อ...ผมใช้เวลาถ่ายรูปไม่นานหรอกครับ ตั้งใจจะให้พี่เขตเล่นเครื่องเล่นไม่กี่อย่าง เอาแค่พอได้รูปดีๆ”

     วันนี้รามิลกำหนดหัวข้อในการถ่ายรูปเป็นอารมณ์สนุก พอพูดถึงความสนุกเด็กหนุ่มก็คิดถึงสวนสนุกขึ้นมา ภาพในหัวคือเขตดนัยกำลังเล่นเครื่องเล่นด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม พอเขาเสนอออกไปหนุ่มดาราก็เห็นด้วยทันที

     “มีนจะถ่ายรูปก็ถ่ายไป ถ่ายเสร็จแล้วก็มาเล่นด้วยกัน วันนี้พี่ว่างทั้งวัน มีเวลาให้แฟนคลับเหลือเฟือ” เขตดนัยยิ้มพราย หันไปส่งสายตาว่าเขากำลังพูดถึงแฟนคลับคนไหน ทำเอาคนถูกมองถึงกับลอบกลืนน้ำลาย รามิลชอบสวนสนุกก็จริง แต่ให้อยู่กับศัตรูหัวใจของเพื่อนสนิทไปจนปิดก็ไม่ไหวนะ

     “ผมเกรงใจพี่เขต”

     “ไม่ต้องเกรงใจ มีนชอบพี่ขนาดนี้ พี่เต็มใจทำเพื่อเราอยู่แล้ว” แววตาของเขตดนัยพราวระยับ ยิ่งเห็นท่าทางอึกอักของเด็กหน้าหวานเขาก็ยิ่งรู้สึกสนุก ไหนๆ ก็แสดงละครว่าชอบเขาแล้ว ก็ชอบไปให้ตลอดรอดฝั่งแล้วกัน

     รามิลนิ่วหน้า ที่เขาคิดไว้คือชวนเขตดนัยมาสวนสนุกที่อยู่ไกลจากบ้าน อีกฝ่ายจะได้ไม่มีเวลาไปตามจีบวายุ เขาอยากถ่วงเวลาก็จริง แต่ไม่ถึงกับทั้งวันเสียหน่อย สวนสนุกแห่งนี้ปิดสามทุ่ม ให้เขาอยู่กับดาราหน้าจืดจนถึงตอนนั้นคงอกแตกตายก่อนพอดี

     จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ยกยิ้มขึ้นมา ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้เขตดนัยนึกสงสัย เมื่อกี้ยังทำหน้าหงิกอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับยิ้มแปลกๆ คงไม่ได้วางแผนอะไรอีกหรอกนะ

     “พี่เขตจะเลี้ยงทุกอย่างใช่ไหมครับ” เสียงใสหันมาถามพร้อมรอยยิ้มที่แฝงเลศนัย

     “ใช่”

     “งั้นผมไม่เกรงใจก็ได้ครับ ดีเหมือนกัน ได้เที่ยวสวนสนุกกับดาราดัง คนทั่วประเทศคงอิจฉาผมเป็นแถว” เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยี แต่ในใจกำลังคิดว่าจะผลาญเงินอีกฝ่ายยังไงดี รู้จักคนอย่างรามิลน้อยไปเสียแล้ว กล้ามาพูดแบบนี้แปลว่าคงเตรียมใจไว้แล้วสินะ

     เขตดนัยเหลือบไปมองอีกครั้ง แค่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็รู้แล้วว่าเด็กแสบกำลังวางแผนบางอย่างอยู่แน่นอน แต่แทนที่จะกลัวเขากลับรู้สึกท้าทาย อยากให้ถึงสวนสนุกเร็วๆ ซะอย่างนั้น

     วันนี้แหละเขาจะสั่งสอนให้รู้เอง ว่าการมาปั่นหัวผู้ใหญ่ต้องเจอบทลงโทษอะไรบ้าง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ไหวแน่เหรอ”

     “ถามเพราะเป็นห่วงหรือดูถูกครับ”

     “เป็นห่วง” เขตดนัยพูดยิ้มๆ หันไปมองรถไฟเหาะที่มีเสียงกรีดร้องของคนบนนั้นดังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย “พี่ไม่อยากคอยลูบหลังเด็กอ้วก”

     “พี่เขตกลัวจะอ้วกเองหรือเปล่าครับ ถ้ากลัวรออยู่ข้างล่างก็ได้นะ” รามิลยิ้มให้ร่างสูงเหมือนกำลังหวังดี แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันคือรอยยิ้มเยาะ ทุกครั้งที่มาเที่ยวสวนสนุกเขาไม่เคยพลาดที่จะเล่นเครื่องเล่นน่าหวาดเสียวนี้ แต่ดูจากท่าทางคุณชายของดาราหน้าจืดนี่แล้วคงไม่เคยเล่นมาก่อนแน่นอน รามิลเลยชวนมาเล่นรถไฟเหาะเป็นอย่างแรกเผื่อจะได้ภาพเด็ดๆ เขามั่นใจว่าเขตดนัยไม่มีทางลงจากเครื่องเล่นด้วยสีหน้าสบายๆ แน่นอน

     “เด็กอย่างเรายังไม่กลัวเลย แล้วพี่จะกลัวได้ยังไง”

     “เป็นผู้ใหญ่ก็กลัวได้ครับ ถ้ากลัวก็บอกมาตรงๆ ผมไม่เอาไปบอกใครหรอก”

     เขตดนัยยกยิ้ม ย่อตัวลงพลางยื่นหน้าไปใกล้เด็กแสบ “พี่ว่าคนที่กำลังดูถูกน่าจะเป็นมีนมากกว่านะ”

     “ผมเปล่า~” การลากเสียงยาวของคนตรงหน้าทำให้เขตดนัยรู้ว่าเขาเข้าใจไม่ผิด “ถ้าพี่เขตไม่กลัวงั้นไปซื้อตั๋วกันเถอะครับ ก่อนที่แถวจะยาวไปกว่านี้”

     “หึๆ ตกลง”

     รามิลลอบยิ้ม นึกดูถูกอีกฝ่ายอยู่ในใจ อย่าให้เห็นร้องออกมาแล้วกัน จะเอาไปประกาศให้ทั่วเลยว่าหนุ่มดาราร่างสูงใหญ่มาตกม้าตายเพราะเครื่องเล่นเด็ก

     ที่จริงเขตดนัยอยากให้เด็กหนุ่มถ่ายรูปให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยไปเที่ยวเล่น แต่รามิลกลับยกการถ่ายรูปไปเป็นอย่างสุดท้าย โดยให้เหตุผลแค่ว่าถ้าอยากให้รูปออกมาสวยก็ควรถ่ายตอนกลางคืน เมื่อเด็กหนุ่มไม่ยอมบอกว่าจะถ่ายที่ไหนเขาจึงไม่ถามอะไรต่อ ปล่อยให้ตากล้องตัวน้อยเป็นคนจัดการเอง

     มือหนาดึงมือบางมาจับก่อนจะพาออกเดิน รามิลก้มมองมือที่จับกันพลางขมวดคิ้ว

     “มาจับมือผมทำไมครับ”

     “เดี๋ยวเราหลง วันนี้คนยิ่งเยอะเป็นพิเศษ”

     “ไม่ต้องจับก็ได้ ผมเดินข้างๆ พี่ไม่หลงไปไหนหรอก”

     “ทำไม ไหนว่าชอบพี่ไง ได้เดินจับมือกับดาราที่ตัวเองปลื้ม พี่ว่ามีนควรขอบคุณมากกว่านะ”

     รอยยิ้มมุมปากที่ถูกส่งมาทำให้รามิลรู้สึกเหมือนโดนสบประมาท แต่ด้วยนิสัยไม่ยอมใครง่ายๆ เขาจึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน

     “ใครว่าไม่ชอบล่ะครับ ผมแค่กลัวมีคนเอาไปเขียนข่าวว่าดาราดังพาแฟนลับๆ มาเดตสวนสนุก”

     “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมีนยิ่งต้องขอบคุณเข้าไปใหญ่” ร่างสูงหยุดเดิน หันมามองด้วยแววตาเป็นประกาย “ได้เป็นแฟนกับดาราที่ตัวเองปลื้ม ไม่มีแฟนคลับคนไหนไม่ชอบหรอกจริงไหม”

     รามิลไปต่อไม่ถูก เขาคิดว่าเขตดนัยจะรีบปล่อยมือเพราะกลัวเป็นข่าวฉาว แต่นอกจากจะไม่เป็นอย่างที่คิดแล้วเขายังโดนย้อนกลับมาอีก

     “อ้าว เงียบเลย สงสัยอยากเป็นแฟนพี่จริงๆ” เมื่อเห็นเด็กแสบแผลงฤทธิ์ไม่ออกเขตดนัยเลยรีบซ้ำ ใบหน้าคมคายโน้มลงไปหาคนที่เตี้ยกว่า ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความขบขัน “พี่ให้เป็นแฟนวันนึงเอาไหม ไหนๆ ที่เราทำกันอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดตอยู่แล้ว”

     ใครจะอยากเป็นแฟนกับผู้ชายหน้าจืดวะ

     รามิลอยากโพล่งออกไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถ้าทำอย่างนั้นทุกอย่างที่เขาทำมาจะสูญเปล่า เมื่อไม่รู้จะเถียงยังไงเด็กหนุ่มจึงสะบัดมือออก พูดเสียงห้วนทิ้งท้ายก่อนจะเดินหนี

     “มัวแต่ยืนคุยอยู่นั่น ถ้าพี่ไม่ไปซื้อตั๋วผมไปเองก็ได้”

     เขตดนัยมองตามร่างบางที่เดินไปต่อแถวรถไฟเหาะ รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ

     ยกนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่เขตไม่เป็นไรเหรอครับ”

     “พี่สบายดี”

     “ไม่เวียนหัวหรือจะเป็นลมเลยเหรอ”

     “ที่ถามคืออยากหรือไม่อยากให้เป็น” เขตดนัยหัวเราะ มองคนที่มองเขาหัวจรดเท้าไม่วางตา เมื่อโดนจ้องด้วยสายตาที่เหมือนจะรู้ทันรามิลจึงหันหน้าหนี

     “ผมแค่เป็นห่วงเฉยๆ ถ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจเด็กหนุ่มกำลังเสียดาย นอกจากจะไม่มีอาการหวาดกลัวตอนนั่งรถไฟเหาะแล้ว เขตดนัยยังชวนเขาเล่นอย่างอื่นต่อได้หน้าตาเฉย ทำเอารามิลอดคิดไม่ได้ว่าครั้งนี้เขาคงประมาทหนุ่มดาราหน้าจืดเกินไป

     “ไปกินข้าวกันไหม อีกนิดจะหกโมงแล้ว” เขตดนัยเอ่ยชวนเมื่อเห็นท้องฟ้าเริ่มโพล้เพล้ วันนี้เด็กหน้าหวานใช้พลังงานไปเยอะ เขาเลยกลัวว่าจะหิว

     “ดีเหมือนกันครับ กินเสร็จแล้วค่อยถ่ายรูป แสงตอนนี้กำลังดีเลย”

     “ตกลงจะบอกได้ยังว่าจะพาพี่ไปถ่ายที่ไหน”

     รามิลหันมายิ้ม แต่ไม่ยอมบอกอีกเช่นเคย “อีกเดี๋ยวพี่เขตก็รู้เองครับ บอกได้แค่ว่าเป็นสถานที่ที่สนุกสุดๆ ไปเลย”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เวลาหนึ่งทุ่มตรง ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท เด็กหนุ่มพาร่างสูงไปยังสถานที่ที่คิดไว้แต่แรกเมื่อพวกเขาแวะทานข้าวจนอิ่มหนำสำราญแล้ว

     “ที่นี่เหรอ?” เขตดนัยหันไปถามคนที่ยืนต่อแถวด้วยกัน

     “ใช่ครับ” รามิลตอบพร้อมรอยยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

     “ทำไมถึงเป็นชิงช้าสวรรค์ล่ะ”

     “พี่เขตไม่ชอบเหรอครับ”

     “เปล่า เห็นเราบอกว่าสนุกสุดๆ พี่เลยนึกว่าจะเป็นเครื่องเล่นผาดโผนอะไรทำนองนั้น”

     “ชิงช้าสวรรค์นี่แหละครับสนุกที่สุดแล้ว”

     ชายหนุ่มกำลังจะถามว่าสนุกยังไง มันก็แค่การนั่งเฉยๆ อยู่ในกระเช้าที่ลอยขึ้นฟ้า แต่เสียงคนเก็บตั๋วที่เรียกให้ขึ้นเครื่องทำให้เขาไม่มีโอกาสถามออกไป

     เมื่อคนขึ้นครบแล้วชิงช้าสวรรค์ก็เริ่มหมุน กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนจากที่ต่ำขึ้นที่สูง ขณะที่เขตดนัยกำลังจะถามสิ่งที่สงสัย คนตรงหน้าก็พูดขึ้นมาเหมือนอ่านใจออก

     “ผมชอบวิวกรุงเทพฯ ตอนกลางคืน ชอบเวลามองจากที่สูงๆ จนเห็นแสงสีในเมืองเป็นจุดเล็กๆ มันอาจเป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่ได้คิดว่าแปลกอะไร แต่สำหรับผมที่ชอบถ่ายรูป ภาพที่เห็นตอนนี้มันสวยจนไม่อยากลงจากกระเช้าเลย”

     สายตาคนพูดหันไปมองทิวทัศน์ด้านนอก เขตดนัยมองตามสายตานั้น ท้องฟ้าสีดำตัดกับแสงไฟจากสิ่งก่อสร้างในเมือง เมื่อมองจากมุมสูงจึงเห็นไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ภาพที่กำลังมองอยู่นี้เขตดนัยปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสวยเหมือนที่เด็กหนุ่มบอก เขากำลังจะเอ่ยปากชม แต่เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นทำให้ต้องเหลือบไปมอง

     “กะแล้วว่ามาถ่ายบนนี้ต้องได้รูปสวยๆ” รามิลก้มมองรูปในกล้อง ปากก็ชมฝีมือการถ่ายรูปของตัวเองไม่หยุด

     “ขอพี่ดูหน่อย” เด็กหนุ่มส่งกล้องให้ เขตดนัยรับมาดูก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้คนถ่าย “สวยมาก”

     “ใช่ไหมครับ ผมบอกแล้วว่าถ่ายตอนกลางคืนดีสุด”

     “ส่งให้พี่ทางไลน์ได้ไหม อยากเอาไปลงไอจี เดี๋ยวพี่ใส่เครดิตให้”

     “ได้ครับ”

     “ว่าแต่รูปนี้มันสื่อถึงความสนุกยังไงเหรอ”

     คนถูกถามอมยิ้ม รับกล้องกลับคืนมาก่อนจะหันรูปไปให้ดูอีกครั้ง “ในรูปพี่เขตกำลังยิ้มอยู่ใช่ไหมครับ”

     “ใช่”

     “เวลาคนเราสนุกก็ต้องยิ้ม ผมตั้งใจจะถ่ายรูปตอนพี่ยิ้มตั้งแต่แรกแล้ว”

     “ถ้าอย่างนั้นไม่เห็นต้องมาสวนสนุกเลย อยู่ที่ไหนพี่ก็ยิ้มได้”

     รามิลส่ายหัวไปมาเหมือนอยากบอกว่าเขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย “รอยยิ้มที่ถูกสั่งให้ยิ้ม กับรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาเองมันต่างกันนะครับ ผมอยากให้พี่เขตยิ้มโดยที่ผมไม่ต้องบรีฟ อยากให้มันออกมาจากใจของพี่”

     เขตดนัยพยักหน้า เขาเข้าใจการกระทำของเด็กหนุ่มในวันนี้แล้ว ชายหนุ่มอดทึ่งไม่ได้ว่าถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นเด็กแสบ แต่เอาเข้าจริงๆ กลับมีมุมจริงจังกับเขาด้วย ถ้าไม่มีเรื่องที่อีกฝ่ายตั้งใจขัดขวางความรักของเขากับวายุ เขตดนัยคงรู้สึกเอ็นดูและชื่นชมคนตรงหน้ามากกว่านี้

     จู่ๆ มือบางก็แบออกมาตรงหน้า เขตดนัยหุบยิ้มพลางมองอย่างงุนงง

     “ค่ารูปห้าร้อยครับ ราคานี้รวมทุกแอปพลิเคชันแล้ว พี่จะเอาไปลงไอจี เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรืออย่างอื่นก็ตามสบายเลย ขอแค่ใส่เครดิตให้ชัดเจนก็พอ”

     ถ้าเมื่อครู่ว่าทึ่งแล้ว ตอนนี้เขตดนัยทึ่งยิ่งกว่า เขาลืมไปได้ยังไงว่าเด็กแสบก็คือเด็กแสบวันยังค่ำ รอยยิ้มนั้นการันตีได้ดีว่าเขาโดนเด็กคนนี้เล่นงานเข้าให้แล้ว

     “พี่มาเป็นนายแบบให้ฟรีแล้วยังต้องจ่ายอีกเหรอ”

     “มันคนละเรื่องครับ อย่าเอามารวมกันสิ นี่เห็นเป็นพี่เขตนะผมถึงลดให้ ปกติผมรับจ้างถ่ายรูปราคาสตาร์ทที่สองพัน”

     ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ สงสัยยกนี้เขาคงแพ้จริงๆ ใครจะไปรู้ว่าพูดเรื่องงานอยู่ดีๆ จะวกกลับมาเรื่องนี้ได้

     “ตกลง ห้าร้อยก็ห้าร้อย”

     รามิลคลี่ยิ้มเมื่อคนตรงหน้ายื่นธนบัตรสีม่วงให้ เขาไม่คิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ แค่อยากเอาคืนเรื่องเมื่อตอนกลางวันเท่านั้น แต่ในเมื่อเขตดนัยกล้าให้เขาก็กล้ารับไว้ด้วยความเต็มใจ ดีเหมือนกัน กำลังเก็บเงินซื้อกล้องตัวใหม่อยู่เลย

     “พี่ให้เงินมีนแล้ว เท่ากับรูปนี้เป็นของพี่แล้วใช่ไหม”

     “ใช่ครับ”

     “ถ้าอย่างนั้น...” ร่างสูงยื่นหน้าไปใกล้ ดวงตาที่ทอดมองเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “ตอนโพสต์ลงไอจี พี่จะเขียนแคปชันว่า ‘รูปที่สวยที่สุด จากคนที่รักพี่ที่สุด’ ส่วนเครดิตพี่จะให้เป็นคอนแท็กของมีน เผื่อมีคนชอบรูปแล้วอยากจ้างมีนถ่ายรูป แบบนี้โอเคไหม”

     “ไม่เอา!” รามิลตอบกลับทันควัน เผลอลืมตัวเสียงดังเพราะตกใจ ที่ผ่านมาเขาแค่แสดงละคร ไม่ได้รักหรือชื่นชอบดาราหน้าจืดนี่จริงๆ เขาจึงไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาเป็นแฟนคลับเขตดนัย

     “ไม่ต้องกลัว ไม่มีคนดักทำร้ายมีนหรอก แฟนคลับพี่มีแต่คนน่ารัก ถ้าพี่มีแฟนพวกเขาต้องเข้าใจแน่นอน”

     อย่าพูดเหมือนจะเป็นแฟนกันจริงๆ ได้ไหม มันขนลุกโว้ยยยย

     “พี่เขตไม่กลัวพี่วายุเข้าใจผิดเหรอครับ ถ้าพี่ทำอย่างนั้นระวังคะแนนหายหมดนะ”

     เขตดนัยลอบยิ้มเมื่อคนที่อยากกีดกันเขากับวายุดันเอาชื่อวายุมาอ้างเสียเอง เขาคิดว่าเขาเริ่มจับทางอีกฝ่ายได้แล้ว ดูเหมือนสิ่งที่เด็กแสบไม่ชอบที่สุดคือการถูกเข้าใจผิดว่าชื่นชอบเขา

     “พี่ล้อเล่น ไม่ทำจริงๆ หรอก ใครจะกล้าทำให้คนที่ชอบเข้าใจว่าตัวเองคบกับคนอื่นล่ะ แบบนั้นพี่คงจีบวายุไม่ติดไปทั้งชาติ”

     ถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ด้วยกันรามิลคงเบ้ปากออกมาแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่ค่อนขอดในใจว่าตราบใดที่เขายังอยู่เขตดนัยไม่มีทางสมหวังเด็ดขาด คนที่จะได้คบกับวายุต้องเป็นเพื่อนของเขาเท่านั้น

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     หลังผ่านความสนุกมาทั้งวันก็ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน เขตดนัยอาศัยจังหวะที่กำลังเดินไปลานจอดรถคว้ามือคนข้างๆ มาจับอีกครั้ง เขารีบพูดดักไว้เมื่อดวงตาคู่สวยหันมามอง

     “พี่สัญญาว่าจะแจกเซอร์วิสให้เรา จะให้ผิดสัญญาได้ไง”

     “ไม่ต้องแล้วก็ได้ครับ แค่นี้ผมก็แทบจะโดนคนทั้งประเทศเขม่นแล้ว พี่เขตเล่นจ่ายให้ผมหมด ดูแลผมอย่างดีทั้งวัน”

     “ไม่ดีเหรอ มีนจะได้เป็นแฟนคลับกิตติมศักดิ์ของพี่ไง” เขตดนัยกลั้นยิ้มเมื่อเห็นหน้าปูเลี่ยนๆ ของเด็กหนุ่ม เขารู้ว่ารามิลอยากเถียงแต่เถียงไม่ได้ เพราะเจ้าตัวกุเรื่องที่เป็นแฟนคลับขึ้นมาเอง ซึ่งเขาก็ไม่รีรอที่จะใช้ประโยชน์จากจุดนี้มาย้อนเล่นงานอีกฝ่าย

     เขตดนัยไม่คิดว่าตัวเองกำลังรังแกเด็ก เพราะคนที่เริ่มก่อนไม่ใช่เขา เด็กแสบอย่างรามิลต้องเจอผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์อย่างเขาถึงจะสมน้ำสมเนื้อ เขาจะทำให้เด็กหนุ่มรู้เองว่าผู้ชายหน้าจืดคนนี้ก็ร้ายเป็นเหมือนกัน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 16 ★ [07/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 07-11-2022 16:50:57
ตอนที่ 16
ในที่สุด


     วายุมองคนตรงหน้าที่หน้าตาละม้ายคล้ายเด็กหนุ่ม ถ้าไม่บอกว่าเป็นพี่น้องที่เกิดห่างกันหกปีเขาคงคิดว่าเป็นฝาแฝดไปแล้ว

     “วายุ คนนี้คือดินเป็นพี่ชายของสกาย ส่วนนี่วายุ เป็นลูกชายของอาเกริก”

     “สวัสดีครับ” วายุเอ่ยทักทาย ยื่นมือไปจับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม

     “ขอบคุณที่คอยดูแลน้องชายผมนะครับ” ปฐพีพูดเสียงทุ้ม เขาพอจะรู้เรื่องคร่าวๆ มาจากผู้เป็นพ่อแล้ว

     “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ”

     “ผิดคาดนะเนี่ย”

     “ครับ?”

     “เท่าที่ฟังสกายพูดถึงบ่อยๆ ผมนึกว่าจะเป็นผู้ชายภูมิฐานกว่านี้เสียอีก แต่ตอนเห็นครั้งแรกนึกว่าคุณอายุน้อยกว่าผมด้วยซ้ำ”

     เพราะกำลังแปลกใจกับคำพูดของคนตรงหน้า วายุจึงไม่ทันเอะใจว่าสกายรู้จักเขาก่อนจะมาอยู่บ้านเดียวกัน ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้ง รู้สึกโล่งใจที่ปฐพีพูดไปยิ้มไป เขาถึงรู้ว่าประโยคนั้นเป็นการชม

     “พี่ดินกลับมาเมื่อไหร่ครับ ไม่เห็นบอกกันก่อนเลย” สกายถามพี่ชาย เขารู้แค่ว่าปฐพีจะกลับมารับช่วงต่อกิจการของบริษัทที่บ้าน แต่ไม่นึกว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้

     “เพิ่งมาถึงเมื่อวาน พ่ออยากให้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยบอกให้วายุพาเรามาหา” คุณศิมันตร์เป็นคนตอบลูกชายคนเล็ก

     “มีของฝากให้ผมไหมครับ” เด็กหนุ่มถามเสียงสดใส ก่อนจะถูกมารดาเอ็ดอย่างไม่จริงจัง

     “เดี๋ยวเถอะเรา เจอหน้าพี่เขาครั้งแรก แทนที่จะถามสารทุกข์สุกดิบดันห่วงแต่ของฝาก”

     “ไม่เป็นไรครับแม่ พี่ซื้อมาให้แล้ว อยู่บนห้องนอน ไว้ตอนกลับค่อยแวะไปเอา” ปฐพีตอบน้องชายก่อนจะหันไปหาอีกคน “ของวายุก็มีนะ”

     “ของผมเหรอครับ?”

     “ใช่ เห็นพ่อบอกว่าคุณดูแลสกายอย่างดี ผมเลยซื้อมาฝากแทนคำขอบคุณ”

     “ที่จริงไม่ต้องลำบากก็ได้นะครับ บอกแล้วว่าผมเต็มใจ”

     “รับไว้เถอะ ผมอยากให้ เดี๋ยวตอนกลับผมให้สกายหยิบมาพร้อมกันเลย”

     “ถ้างั้นขอบคุณนะครับ” วายุส่งยิ้มให้อีกฝ่าย เขารู้สึกถูกชะตากับพี่ชายของเด็กหนุ่ม พอได้คุยกันเขาถึงรู้ว่าแม้หน้าตาจะเหมือนกันแต่นิสัยกลับต่างกัน ขณะที่คนน้องยิ้มแย้มร่าเริงตลอดเวลา คนพี่กลับสุขุมนุ่มลึกแต่แฝงไปด้วยความใจดี

     “ว่าแต่พ่อยังหาหอใหม่ให้สกายไม่ได้อีกเหรอครับ”

     “ยัง พ่อพยายามหาละแวกใกล้มหา’ลัย แต่จนป่านนี้ยังไม่มีที่ไหนว่างเลย”

     ปฐพีนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะหันมาถามน้องชาย “เมื่อวันก่อนเพื่อนพี่ประกาศขายคอนโดฯ แถวนั้นพอดี สนใจไปอยู่ไหม มันอาจไม่ได้ใกล้มหา’ลัยเท่าไหร่แต่ก็เดินทางสะดวกอยู่”

     สกายหุบยิ้ม สีหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ เขาไม่รู้สึกดีใจกับข้อเสนอที่ปฐพียื่นให้เลยสักนิด เพราะถ้าเขาตอบรับก็เท่ากับจะไม่ได้อยู่กับวายุอีกต่อไป

     “แม่ว่าแบบนั้นก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องรบกวนวายุ” คุณกมลฉัตรเห็นดีเห็นงามด้วย

     “ดินจะซื้อคอนโดฯ ต่อจากเพื่อนเหรอ” คุณศิมันตร์ถามลูกชายคนโต

     “กำลังคิดอยู่ครับ ตอนแรกผมอยากซื้อเพราะเห็นมันขายถูก ตั้งใจเอาไว้เก็งกำไรทีหลัง แต่ถ้าสกายสนใจผมให้น้องอยู่ถาวรเลยก็ได้”

     “ถ้างั้นเอาตามนี้ พ่อฝากจัดการด้วย สกายหลังจากนี้ลูกไปอยู่คอนโดฯ นะ วายุจะได้ไม่ต้องลำบาก...”

     “ไม่เอาครับ”

     เสียงทุ้มที่ปฏิเสธทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารเงียบกันหมด วายุหันไปมองคนข้างๆ อย่างไม่เชื่อสายตาว่าเด็กหนุ่มจะพูดแบบนี้ออกมา

     “ทำไมล่ะ พ่อว่าคอนโดฯ อยู่สบายกว่าหอธรรมดาอีกนะ” คุณศิมันตร์ถามขึ้นมาเป็นคนแรก เขารู้สึกแปลกใจกับท่าทางดื้อดึงของลูกชายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

     “จะที่ไหนผมก็ไม่ไปทั้งนั้นครับ ผมอยากอยู่กับพี่วายุ”

     ความเงียบเข้าปกคลุมอีกรอบ คราวนี้วายุหันไปมองผู้ใหญ่ทั้งสองทันที เขานึกว่าสกายจะโดนดุจึงพยายามคิดหาคำพูดแก้ต่างให้ แต่จู่ๆ คุณอากับคุณน้าก็ยิ้มออกมา สีหน้าเหมือนกำลังขำลูกชายตัวเอง

     “ยังติดพี่เขาเหมือนเดิมเลยนะ ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”

     วายุกำลังงง เขาไม่แน่ใจว่าอาศิมันตร์พูดถึงเขาอยู่หรือเปล่า แต่ดูจากลักษณะประโยคแล้วไม่น่าจะเป็นคนอื่นไปได้ ถ้าอย่างนั้น...

     “วายุ”

     “ครับ?” ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกขณะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     “ขอโทษนะ ดูเหมือนลูกอาจะเอาแต่ใจอีกแล้ว ให้สกายอยู่บ้านเราต่ออีกหน่อยได้ไหม”

     “ได้ครับ ผมกับพ่อแม่ไม่มีปัญหาอะไรเลย”

     “ขอบใจนะ” คุณศิมันตร์ส่งยิ้มให้ลูกชายเพื่อน “ทานข้าวกันต่อเถอะ เรื่องเครียดๆ พักไว้ทีหลัง ลูกชายคนโตเรียนจบปริญญาโททั้งที เราจัดงานเลี้ยงฉลองกันดีไหมคุณ”

     “ก็ดีนะคะ ฉัตรคิดอยู่เหมือนกันว่าจะทำอะไรต้อนรับตาดินดี เอาเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ เชิญแต่แขกคนสนิทมาก็ไม่เลว”

     ผู้ใหญ่ทั้งสองพูดคุยกันตลอดมื้ออาหารโดยมีปฐพีเป็นหัวข้อสนทนา วายุเหลือบมองคนข้างๆ ที่กำลังฟังพี่ชายเล่าเรื่องราวตอนไปอยู่ต่างประเทศ คิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับความสงสัยที่เริ่มก่อตัวภายในใจ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “โห พี่ดินรู้ได้ไงว่าผมอยากได้รุ่นนี้อยู่พอดี” สกายตาโตเมื่อพี่ชายหยิบกล่องรองเท้าออกมาจากถุง ทั้งรุ่นและสีเป็นแบบที่เขาอยากได้มานานแล้ว

     “นายเพิ่งมาบ่นกับพี่เมื่อเดือนก่อนว่าในไทยหาซื้อไม่ได้เลย”

     “แหะๆ จริงด้วยครับ” เด็กหนุ่มหัวเราะแก้เก้อก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วของพี่วายุล่ะครับ”

     ปฐพีหยิบเสื้อเชิ้ตผ้าลินินสีฟ้าออกมาจากอีกถุง ส่งให้น้องชายที่นั่งอยู่ปลายเตียง “น่าจะใส่ได้นะ พี่ซื้อแบบฟรีไซส์มาให้เพราะไม่รู้ว่าวายุขนาดตัวเท่าไหร่”

     “ใส่ได้อยู่แล้วครับ พี่วายุตัวเล็ก แค่กอดเฉยๆ ก็จมอกแล้ว” สกายพูดไปยิ้มไปขณะคลี่เสื้อออกดูขนาด

     “พูดอย่างกับเคยกอดแล้ว”

     “ก็เคยไงครับ”

     ปฐพีปิดตู้เสื้อผ้าก่อนจะหันไปมองคนพูด เขามองลึกเข้าไปในดวงตาที่กำลังฉายแววสดใสเมื่อพูดถึงลูกชายเพื่อนพ่อ

     “สกาย”

     “ครับ?”

     “พี่ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนาย แต่พี่คิดว่าพี่มองคนไม่ผิด”

     “พี่ดินพูดเรื่องอะไร”

     “เรื่องของนายกับวายุ”

     “…”

     “สายตานายทั้งตอนนี้และตอนกินข้าวมันบอกพี่หมดว่านายคิดยังไงกับวายุ”

     สกายสบตาพี่ชายกลับไป เพียงไม่นานรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า “สมกับเป็นพี่ดินจริงๆ ผมไม่เคยปิดอะไรได้เลย”

     “นายเคยบอกว่าไม่คิดจะมองคนอื่นเพราะมีคนในใจอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     “ก็คนนี้ไงครับที่อยู่ในใจผมมาตลอด”

     ปฐพีนิ่งเงียบ ในหัวกำลังลำดับเรื่องราว “อย่าบอกนะว่านายชอบวายุมาตั้งแต่สิบปีก่อน”

     “ผมไม่ได้ชอบพี่วายุ แต่ผมรักเลย” เสียงทุ้มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น เขาไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อน ระยะเวลาสิบปีทำให้สกายมั่นใจว่าเขาหลงรักวายุจริงๆ

     “แน่ใจแล้วเหรอว่ามันคือความรัก ไม่ใช่ความผูกพันเฉยๆ” ปฐพียังจำได้ดีว่าเมื่อสิบปีก่อนน้องชายของเขาทั้งอ่อนแอและไม่สู้คน จึงมักจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกอยู่บ่อยๆ แต่พอวายุเข้ามาในชีวิตสกายก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จากเด็กเก้งก้างที่มีแต่แผลเต็มตัวกลายเป็นเด็กชายที่เปี่ยมไปด้วยความสดใส เขายังนึกขอบคุณวายุมาจนถึงทุกวันนี้

     เรื่องราวทั้งหมดนี้ปฐพีรู้มาจากผู้เป็นพ่ออีกที ตอนนั้นเขาไปเรียนแลกเปลี่ยนต่างประเทศจึงไม่เคยเห็นหน้าวายุ รู้แค่ว่าเป็นลูกชายของเพื่อนพ่อที่มักจะมาเล่นกับสกายบ่อยๆ

     “ผมก็เคยถามตัวเองอย่างนั้นเหมือนกัน ตอนแรกผมก็คิดเหมือนพี่”

     “แล้วอะไรถึงทำให้มั่นใจว่ามันคือความรัก”

     “เพราะผมเคยคบกับคนอื่นมาก่อน” สกายยกยิ้มเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของพี่ชาย “ช่วงที่ยังไม่รู้ใจตัวเองผมก็มีแฟนตามประสาวัยรุ่นทั่วไป แต่ไม่ว่าจะคบกับใครในใจผมก็เอาแต่คิดถึงพี่วายุ ผมถึงรู้ว่าตัวเองตกหลุมรักพี่ชายใจดีคนนั้นมาตลอดสิบปี”

     ปฐพีสบตากับน้องชาย ริมฝีปากค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม สายตานั้นทำให้เขารู้ว่าคนพูดมั่นคงและแน่วแน่กับคำพูดของตัวเองแค่ไหน

     “คิดจะบอกพ่อแม่ไหม” นี่คือเหตุผลที่เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ปฐพีรู้ว่าพ่อแม่พวกเขาเป็นคนหัวสมัยใหม่ แต่กับบางเรื่องก็ไม่แน่ใจว่าพวกท่านจะรับได้หรือเปล่า

     “ยังครับ ตั้งใจจะจีบให้ติดก่อนแล้วค่อยบอก”

     “พี่ไม่คิดว่านายจะจีบไม่ติด”

     “ผมก็คิดอย่างนั้น”

     พี่น้องทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน ถึงจะไม่ค่อยอยู่ด้วยกันแต่ปฐพีก็รู้ดีว่าน้องชายตนนั้นมีนิสัยยังไง ก็ได้แต่หวังว่าคนถูกจีบจะรับมือลีลาอันแพรวพราวของน้องเขาได้โดยไม่เป็นลมไปเสียก่อน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุ ผมเข้าไปได้ไหม”

     ชายหนุ่มที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำหันไปมองประตู เขานิ่งคิดสักพักก่อนจะเดินไปเปิด “ว่าไง”

     ท้องฟ้ามองผ้าขนหนูที่อยู่บนศีรษะ เส้นผมที่เปียกลู่จนปรกหน้าผากทำให้รู้ว่าวายุน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

     “ขอเข้าไปได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มถามซ้ำ

     “จะเข้ามาทำไม”

     “อยากอยู่กับพี่วายุ” ท้องฟ้าพูดพร้อมรอยยิ้ม อาศัยจังหวะที่คนตรงหน้าพูดอะไรไม่ออกแทรกตัวเข้าไปในห้องโดยไม่รออนุญาต วายุมองคนที่เดินไปนั่งปลายเตียงก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แต่เพราะชินกับนิสัยของอีกฝ่ายอยู่แล้วเขาจึงไม่ว่าอะไร

     “ไม่นอนหรือไง นี่ดึกแล้วนะ” วายุนั่งลงข้างเด็กตัวโต มือเช็ดผมขณะที่ปากเอ่ยถาม

     “พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ พี่ลืมเหรอ”

     “ไม่ได้ลืม แต่เด็กไม่ควรนอนดึก”

     “บอกแล้วไงครับว่าผมไม่ใช่เด็ก” ท้องฟ้าทำปากยื่น เขาชอบเป็นเด็กดีของวายุก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นเด็กจริงๆ เสียหน่อย

     “แล้วใครกันที่ดื้อกับพ่อแม่วันนี้”

     “เขาเรียกว่าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองต่างหาก”

     วายุหลุดขำกับคำแก้ตัวของเด็กหนุ่ม ก่อนจะทำหน้างงเมื่อผ้าขนหนูบนหัวถูกแย่งไป

     “ผมเช็ดให้” ท้องฟ้าขยับไปนั่งด้านหลัง คลี่ผ้าขนหนูออก วางลงบนศีรษะก่อนจะเช็ดไปตามเส้นผมอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกสบายที่ได้รับทำให้วายุที่กำลังจะปฏิเสธกลับเปลี่ยนใจ

     ตัวออกจะใหญ่ แต่ทำไมมือเบาจัง

     “ที่บอกว่าอยากอยู่กับพี่น่ะพูดจริงเหรอ” ชายหนุ่มชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไป

     “จริงครับ”

     “อะไรจะขี้เหงาขนาดนั้น”

     “ถ้าไม่ได้อยู่กับพี่วายุผมเหงาหมดนั่นแหละครับ”

     วายุชะงัก เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกไปเลย เขาลืมไปว่าคำพูดคำจาของเด็กคนนี้แพรวพราวขนาดไหน

     “อยากอยู่นานแค่ไหน พี่จะได้บอกพ่อแม่ถูก”

     คำตอบที่กลับมามีเพียงความเงียบ มือที่กำลังเช็ดผมก็หยุดนิ่งเช่นกัน วายุหันไปมองคนด้านหลัง ก่อนจะพบว่าท้องฟ้ามองเขาอยู่ก่อนแล้ว

     “ถ้าผมบอกว่าตลอดไปล่ะครับ”

     “…”

     “ถ้าผมอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป พี่วายุจะอนุญาตไหม”

     สายตาที่มองมาราวกับตรึงเขาไว้ไม่ให้ละไปไหน วายุไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป เขารู้แค่ว่าตอนนี้หัวสมองคิดอะไรไม่ออกเลย

     “ตอนกลับจากสวนสัตว์ พี่บอกว่าถ้าผมเป็นเด็กดีจะให้อยู่ที่นี่ไปตลอด” ท้องฟ้าขยับตัวเข้าหา เอื้อมมือไปโอบกอดร่างบาง ฝังหน้าลงกับซอกคอขาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ “ตอนนี้ผมเป็นเด็กดีแล้ว ห้ามผิดสัญญานะครับ”

     วายุนิ่งงัน แขนขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา หัวใจเขากำลังเต้นแรง ใบหน้าเขากำลังร้อนผ่าว ตั้งแต่ถูกอ้อนมาวายุคิดว่าครั้งนี้เขารับมือยากที่สุด

     “ท้องฟ้า ถอยไปก่อน...”

     “ไม่ครับ ผมไม่ให้พี่ไปไหนทั้งนั้น” วงแขนแกร่งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น วายุกำลังจะบอกว่าเขาไม่ได้จะไปไหน แต่เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นมาอีก “อย่าหนีผมไปอีกเลยนะ ผมขอร้อง”

     เสียงที่ดังอยู่ข้างหูทั้งแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความกลัว จู่ๆ วายุก็รู้สึกผิดทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ทันใดนั้นเสียงเล็กๆ ของใครบางคนก็ลอยเข้ามาในหัว พร้อมกับใบหน้าที่เหมือนคนตรงหน้าแต่ดูเยาว์วัยกว่า

     ‘พี่วายุห้ามหนีท้องฟ้าไปไหนนะ’

     ‘ครับ พี่จะไม่หนีไปไหน จะอยู่กับท้องฟ้าไปตลอดเลย’


     วายุดันตัวออก หันไปสบตากับร่างสูง ดวงตาคู่นั้นทำให้ภาพในอดีตพรั่งพรูเข้ามาในหัวราวกับคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง พอเอามารวมกับความสงสัยเมื่อตอนกลางวันทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก

     “สกาย...?”

     “…”

     “นาย...คือเด็กคนนั้นเหรอ”

     ตอนได้ยินชื่อที่อีกฝ่ายเรียกเด็กหนุ่มเผลอนิ่วหน้า แต่พอได้ยินประโยคถัดมา ความดีใจและตกใจก็ปรากฏบนใบหน้าพร้อมกัน เจ้าของชื่อคลี่ยิ้ม จ้องกลับไปในดวงตาสีน้ำตาล สีหน้าที่ดูไม่มั่นใจทำให้เขารู้ว่าคนตรงหน้าจำเรื่องราวในอดีตได้แล้ว

     “ในที่สุดก็นึกออกซะทีนะครับ...พี่ชายใจดีของผม”




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 17 ★ [08/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 08-11-2022 20:00:21
ตอนที่ 17
ความทรงจำในอดีต


     ‘ต้องย้ายบ้านจริงๆ เหรอครับ’ เด็กหนุ่มเอ่ยถามผู้เป็นพ่อที่กำลังขับรถ เสียงที่เคยสดใสหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด

     ‘ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ ลูกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าขึ้นมหา’ลัยแล้วไม่อยากอยู่หอ พ่อเห็นบ้านใหม่ใกล้มหา’ลัยดี ทำเลก็สวย มีบ่อเลี้ยงปลาที่ลูกอยากได้ด้วยนะ’

     ทั้งที่ควรดีใจแต่วายุกลับยิ้มไม่ออกสักนิด ถ้าเป็นเมื่อสามเดือนก่อนเขาคงร้องลั่นรถด้วยความดีใจไปแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากจากไปไหน ทั้งบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด...รวมถึงคนบางคน

     ‘พ่อเขาจัดการเรื่องโรงเรียนสอนศิลปะให้แล้ว อยู่ใกล้กับบ้านใหม่เหมือนกัน ลูกดีใจไหม’ คุณมนตร์มณีที่นั่งข้างคนขับหันมาถามลูกชายเบาะหลัง

     ‘ดีใจครับ’ คำตอบนั้นสวนทางกับความรู้สึกในใจ แต่จะให้วายุตอบอย่างอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะคนที่รบเร้าขอไปเรียนพิเศษคือเขาเอง

     ‘ที่จริงพ่อไม่อยากให้เรียนเลย แค่เรียนปกติลูกก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนอยู่แล้ว’

     ‘ผมไหวครับ อีกอย่างถ้าจะสอบเข้ามหา’ลัยที่ผมเล็งไว้ก็ต้องมีความรู้ด้านนี้เยอะๆ’

     ‘เอาเถอะ ชีวิตลูกพ่อจะไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่อย่าหักโหมเกินไปล่ะ จำไว้ว่าพ่อกับแม่ไม่เคยกดดันลูกเลย’

     ‘ครับพ่อ’ วายุยิ้มให้บุพการีทั้งสอง ด้วยวัยมัธยมปลายจึงทำให้มีบางครั้งที่เครียดเรื่องมหาวิทยาลัย แต่ทุกครั้งเขาจะได้รับกำลังใจจากคนในครอบครัวจนกลับมามีแรงฮึดเสมอ

     ‘หลังจากนี้ลูกคงเรียนหนักจนไม่มีเวลาไปเที่ยวบ้านอาศิ ยังไงก็บอกลาสกายให้เรียบร้อยล่ะ มันอาจจะทำใจยากหน่อย แต่ถ้าอธิบายดีๆ พ่อว่าน้องคงเข้าใจ’

     รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหาย ความเศร้าเริ่มปรากฏในดวงตาสีน้ำตาลแทน สกายติดวายุมาก เรื่องนี้ผู้ใหญ่ทุกคนรู้กันดี วันนี้คุณพ่อจึงพาเขามาบ้านอาศิมันตร์เพื่อบอกเด็กชายตัวน้อยว่านับจากวันนี้ไปเขาคงมาเล่นด้วยไม่ได้แล้ว

     แต่...วายุจะกล้าพูดออกไปได้อย่างไร ในเมื่อเขารู้อยู่แก่ใจว่าถ้าพูดไปแล้ว คนที่เขารักเหมือนน้องชายแท้ๆ จะต้องเสียใจ

     ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน วายุก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้สกายเสียใจเด็ดขาด เขาอยากให้ลูกชายเพื่อนพ่อมีแต่ความสดใสร่าเริงถึงได้ตั้งชื่อว่าท้องฟ้า แต่วันนี้เขากำลังจะทำให้ท้องฟ้าหม่นหมองเสียเอง

     เด็กหนุ่มก้มมองมือบนตัก ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับความรู้สึกผิดที่กำลังก่อตัว ในหัวเอาแต่พูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา

     พี่ขอโทษนะ...ท้องฟ้า

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     รถยนต์คันหรูจอดสนิทเมื่อมาถึงคฤหาสน์นรากิตตินนท์ ทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวลงจากรถ เสียงทุ้มเล็กที่เขาคุ้นเคยก็ดังขึ้นมา

     ‘พี่วายุ!’

     เจ้าของชื่อหันไปมองทางต้นเสียง ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็โดนกอดบริเวณเอวเสียก่อน ท้องฟ้าถูหน้ากับเสื้ออยู่สักพักก่อนจะช้อนตาขึ้นมองพี่ชายใจดี

     ‘คิดถึงพี่วายุที่สุดเลย’

     คนฟังใจอ่อนยวบ ทั้งที่คิดว่าเตรียมใจมาอย่างดีแล้ว แต่พอเห็นรอยยิ้มใสซื่อเขากลับใจเสาะขึ้นมาซะอย่างนั้น

     ‘พี่ก็คิดถึงเรา’ วายุลูบหัวเด็กชายตัวน้อยที่ยังกอดไม่ปล่อย ก่อนจะยกมือไหว้คนที่ตามหลังมา ‘อาศิ น้าฉัตร สวัสดีครับ’

     ‘สวัสดีจ้ะ’ คุณกมลฉัตรรับไหว้เด็กหนุ่ม สายตาที่ทอดมองเด็กทั้งสองทั้งเอ็นดูและใจหายในเวลาเดียวกัน เธอกับสามีรู้อยู่แล้วว่าวันนี้คุณเกริกพลพาลูกชายมาด้วยเพราะอะไร พอคิดว่าจะไม่ได้เห็นภาพนี้ไปอีกนานจึงอดเสียดายไม่ได้

     ‘เมื่อวานพ่อซื้อหุ่นยนต์ไดโนเสาร์ตัวใหม่มาให้ พี่วายุไปเล่นด้วยกันนะ’

     วายุหันไปมองพ่อของเด็กชายเป็นเชิงขออนุญาต คุณศิมันตร์พยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้

     ‘ไปเถอะ เจ้าสกายคิดถึงเรามาก อายังไม่ได้บอกเพราะอยากให้เราบอกน้องด้วยตัวเอง ถือเสียว่าเล่นสั่งลากับน้องแล้วกัน’

     เพราะกำลังดีใจที่จะได้เล่นกับพี่ชายคนโปรด เด็กชายตัวน้อยจึงไม่ทันฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด วายุเอ่ยขอบคุณก่อนจะก้มมองเจ้าของแขนเล็กที่อยู่บนเอว แววตาอ่อนแสงขณะพูดด้วยเสียงอ่อนโยน

     ‘งั้นวันนี้เราเล่นกันจนถึงเย็นเลยดีไหม’

     ท้องฟ้าคลี่ยิ้มให้คนโตกว่า พยักหน้ารัวๆ ด้วยความดีใจ ‘ครับ เล่นกันจนตะวันตกดินเลยนะ’

     วันนี้เขาจะใช้เวลากับท้องฟ้าให้นานที่สุด เพื่อที่อย่างน้อยจะชดเชยวันเวลาที่ต้องจากกันได้บ้าง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ‘พี่วายุ’

     ‘…’

     ‘พี่วายุครับ’

     ‘…’

     เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อนเล่นต่างวัย เด็กชายท้องฟ้าจึงหันไปมอง คนที่เขาเรียกกำลังมองของเล่นในมือด้วยสายตาเหม่อลอย ท้องฟ้าไม่รู้ว่าพี่วายุเป็นอะไร แต่เขาไม่ชอบหน้าเศร้าๆ ของพี่วายุในตอนนี้เลย

     เด็กชายท้องฟ้าลุกขึ้นยืน คลานเข่าไปหาคนอายุมากกว่า มือเล็กๆ ที่เอื้อมมาประคองแก้มทำให้วายุหลุดจากภวังค์

     ‘พี่วายุเป็นอะไร โดนแกล้งมาเหรอครับ’

     ‘…’

     ‘ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวท้องฟ้าเป่าให้ เพี้ยงหาย เพี้ยงหาย’

     ลมเบาๆ ที่ถูกเป่าไปทั่วหน้าทำให้ก้อนสะอื้นที่พยายามกลืนลงคอกลับขึ้นมาอีกครั้ง วายุยื่นมือไปลูบแก้มเล็ก รั้งศีรษะเข้ามากอด น้ำตาที่กลั้นมานานไหลลงมาในที่สุด

     วายุไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรักลูกชายเพื่อนพ่อถึงเพียงนี้ แต่พอคิดว่าจะไม่ได้เล่นด้วยกันแบบนี้ไปอีกนาน เขาก็รู้สึกหน่วงจนข้างในปวดแปลบไปหมด

     ‘พี่วายุร้องไห้เหรอ’ เสียงทุ้มเล็กเอ่ยถามเมื่อท้องฟ้าสัมผัสได้ถึงความชื้นบริเวณไหล่ เขาเงอะงะทำตัวไม่ถูก ได้แต่กอดปลอบพี่ชายพลางลูบหลังไปมา ‘ใครแกล้งครับ เดี๋ยวท้องฟ้าไปจัดการให้ พี่วายุไม่ร้องนะ’

     ‘เปล่าครับ พี่ไม่ได้ร้อง ไม่ได้โดนใครแกล้งด้วย แค่ฝุ่นเข้าตาเฉยๆ’ วายุพยายามพูดไม่ให้เสียงสั่น เขาผละตัวออก ยกมือปาดน้ำตาก่อนจะยิ้มให้เด็กชาย ‘มาเล่นกันต่อเถอะครับ ไหนพี่ดูหน่อย เราต่อถึงไหนแล้ว’

     ‘ท้องฟ้าต่อเสร็จแล้ว พอจะบอกพี่วายุก็ไม่ได้ยิน’

     ‘อ้าวเหรอ พี่ขอโทษครับ’ วายุหันไปมองรอบเตียงเพื่อดูว่ามีอย่างอื่นให้เล่นอีกไหม ‘ถ้างั้นท้องฟ้าอยากเล่นอะไรต่อ’

     ‘ท้องฟ้าไม่อยากเล่นแล้ว’

     ‘แล้วอยากทำอะไรครับ’

     เด็กชายตัวน้อยอมยิ้ม แววตาเป็นประกายสดใส ขยับตัวเข้าหาก่อนจะโน้มตัวลงนอนหนุนตัก ‘อยากคุยกับพี่วายุ’

     ‘หืม? จะคุยอะไรครับ’

     ‘อะไรก็ได้ ท้องฟ้าชอบฟังเสียงพี่วายุ เวลาพี่วายุพูดท้องฟ้าฟังไม่เบื่อเลย’

     เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น ไล่หยาดน้ำที่กำลังจะไหลลงมาอีกรอบ เมื่อมั่นใจว่าจะไม่ร้องไห้แล้วจึงก้มมองคนบนตักอีกครั้ง

     ‘งั้นเรามาแลกกันถามดีไหมครับ’

     ‘ถามอะไรเหรอครับ’

     ‘อะไรก็ได้ครับ เช่นถ้าพี่ถามว่าชอบกินอะไร ท้องฟ้าก็ต้องบอกของที่ตัวเองชอบกิน พอตอบเสร็จแล้วก็ถามพี่กลับ ทำแบบนี้สลับกันไป’

     ‘เอาครับ ท้องฟ้าอยากเล่น’

     ใบหน้าเยาว์วัยยกยิ้มจนตาหยี ทำเอาวายุอดใจไม่ไหวต้องบีบจมูกไปหนึ่งทีอย่างมันเขี้ยว

     ‘ท้องฟ้าขอถามก่อนนะ’

     ‘ครับ ถามมาเลย’

     ‘พี่วายุชอบกินผักไหม’

     แค่คำถามแรกก็ทำให้เด็กหนุ่มเกือบหลุดขำแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าที่มาของคำถามนี้คืออะไร วายุมองคนที่กำลังทำตาแป๋วรอฟังคำตอบ เขารู้ว่าเด็กชายอยากให้ตอบแบบไหน แต่เขาเลือกที่จะตอบอีกแบบ

     ‘ชอบกินครับ’

     ปากเล็กยื่นออกเล็กน้อย แววตากระเง้ากระงอดทำให้วายุเกือบกลั้นขำไม่อยู่

     ‘แต่มันขมนะ’

     ‘ขมแต่มีประโยชน์ครับ’

     ‘ท้องฟ้าไม่เห็นชอบเลย’ นั่นไง หลุดความในใจออกมาแล้วสินะ วายุกำลังจะอธิบายว่าเหตุใดถึงควรทานผัก แต่เสียงทุ้มเล็กก็พูดขึ้นมาอีก ‘พี่วายุไม่ชอบเป็นเพื่อนท้องฟ้าไม่ได้เหรอ’

     คราวนี้วายุขำพรืด กลั้นไม่อยู่อีกต่อไป ยิ่งเห็นใบหน้าจริงจังที่กำลังออดอ้อนเขายิ่งขำ

     ‘ท้องฟ้าเคยเห็นพี่ป่วยไหมครับ’

     เด็กชายท้องฟ้าส่ายหน้าไปมา ทุกครั้งที่มาบ้านเขาพี่วายุไม่เห็นป่วยเลย

     ‘พี่ไม่เคยป่วยเพราะร่างกายพี่แข็งแรง และที่ร่างกายพี่แข็งแรงเพราะพี่กินของที่มีประโยชน์’ วายุลูบศีรษะของเด็กตัวน้อย ดวงตาที่ทอดมองอ่อนโยน ‘ท้องฟ้าอยากแข็งแรงเหมือนพี่ไหม’

     ‘อยากครับ’

     ‘ถ้างั้นก็ต้องกินผักเยอะๆ ตกลงไหมครับ’

     เด็กไม่ชอบกินผักทำหน้าคิดหนัก รู้สึกว่าโจทย์ข้อนี้ช่างยากเหลือเกิน เขาเกลียดรสขมของผัก แต่เขาก็อยากโตมาแข็งแรงเหมือนพี่วายุเช่นกัน เด็กชายนิ่วหน้าอยู่สักพักก่อนจะช้อนตามองคนด้านบน

     ‘ขอกินวันละนิดได้ไหมครับ ท้องฟ้าไม่อยากกินเยอะ’ เพราะกลัวอีกฝ่ายไม่เข้าใจ เด็กชายท้องฟ้าจึงทำมือนิดเดียวประกอบคำพูด วายุหัวเราะในลำคอ รู้สึกเอ็นดูความฉลาดของคนบนตัก

     ‘ได้ครับ แต่ต้องกินทุกวันนะ’

     ‘ครับ ท้องฟ้าสัญญาว่าจะกินผักทุกวัน’

     นิ้วก้อยทั้งสองเกี่ยวเข้าหากัน รอยยิ้มสดใสที่ถูกส่งมาทำให้วายุทั้งอยากมองและอยากเบือนหน้าหนีในเวลาเดียวกัน เด็กคนนี้กำลังผูกพันกับเขา ยิ่งผูกพันมากเท่าไหร่ตอนจากกันยิ่งเสียใจเท่านั้น เขาไม่อยากเห็นแววตาเศร้าสร้อยของท้องฟ้าเหมือนวันแรกที่รู้จักกันอีกแล้ว

     ‘ตาพี่ถามเราแล้ว’ วายุเปลี่ยนเรื่องคุย โยนเรื่องหนักหัวออกไป ตอนนี้เขาอยากทำให้ท้องฟ้ามีความสุขก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ‘ท้องฟ้าชอบไปเที่ยวที่ไหนครับ’

     ‘สวนสัตว์ครับ’ เด็กชายท้องฟ้าตอบทันควัน เสียงใสฟังชัดรับกับรอยยิ้ม ‘ท้องฟ้าชอบดูสิงโต’

     ‘ชอบสิงโตเหรอครับ’

     ‘ใช่ครับ ท้องฟ้าอยากเท่เหมือนคุณสิงโต’ พ่อของเขาเคยบอกว่าสิงโตเป็นเจ้าป่า ท้องฟ้าไม่รู้ว่าเจ้าป่าแปลว่าอะไร แต่เห็นว่าฟังแล้วเท่ดีเขาเลยอยากเท่บ้าง ‘แล้วพี่วายุชอบสัตว์อะไรเหรอครับ’

     ‘พี่ชอบเพนกวินครับ มันน่ารักดี’

     ‘ท้องฟ้าก็ชอบเหมือนกัน ตอนเด็กๆ พ่อเคยให้ป้อนอาหารเพนกวินด้วย ไว้คราวหน้าพี่วายุไปด้วยกันนะ เดี๋ยวท้องฟ้าสอนวิธีป้อนอาหารเพนกวินให้’

     วายุนิ่งงัน เผลอเม้มปากโดยไม่รู้ตัว เขาเองก็อยากไปสวนสัตว์กับท้องฟ้า แต่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะมีวันนั้น วายุไม่อยากให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แต่สายตาที่มองมาทำให้เขาพูดอย่างอื่นไม่ลง

     ‘ครับ ไว้วันหลังเราไปด้วยกัน’

     ท้องยิ้มกว้าง จดจำคำสัญญาเอาไว้ในใจ พี่วายุสัญญากับเขาแล้ว เขาไม่มีทางลืมแน่นอน

     เด็กสองคนที่อายุต่างกันผลัดกันถามตอบไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยถึงห้าโมงเย็นวายุจึงเอ่ยขึ้นมา

     ‘คำถามสุดท้ายแล้วนะครับ เดี๋ยวพี่ต้องกลับแล้ว’ เสียงของวายุยังอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ภายใต้นั้นเต็มไปด้วยความกลัว หลังคำถามนี้จบลงวายุตั้งใจจะบอกความจริง เขารู้อยู่แล้วว่าท้องฟ้าจะเสียใจ แต่ที่เขากลัวคือตัวเองจะทำใจไม่ได้หากเห็นน้ำตาของคนที่เขารักเหมือนน้องชาย

     ‘ท้องฟ้าไม่รู้จะถามอะไรแล้ว’ เด็กชายท้องฟ้ายิ้มแห้ง เขานึกคำถามไม่ออกจริงๆ ‘เปลี่ยนเป็นขอร้องได้ไหมครับ’

     ‘ได้สิครับ ท้องฟ้าอยากขออะไรว่ามาเลย’ วายุพูดด้วยความเต็มใจ อย่างน้อยถ้าจะไม่ได้เจอกันอีกนาน ขอเขาทำอะไรให้ท้องฟ้ามีความสุขเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี

     ‘พี่วายุห้ามหนีท้องฟ้าไปไหนนะ’

     มือที่กำลังลูบศีรษะหยุดชะงัก วายุมองคนบนตักด้วยสายตาตกตะลึง เขานึกว่าท้องฟ้าจะขอให้เล่านิทานหรือซื้อของเล่นให้ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคำขอเดียวที่เขาไม่สามารถทำให้ได้ ท้องฟ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวไหมครับ แค่นี้พี่ก็รู้สึกผิดมากพอแล้วนะ

     ‘ทำไมพี่วายุทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ จะหนีท้องฟ้าไปจริงๆ เหรอ’ เสียงทุ้มเล็กเอ่ยถามพร้อมกับริมฝีปากที่เริ่มเบะออก วายุไม่รู้ว่าควรตอบอะไรจึงเลือกถามเรื่องอื่นแทน

     ‘ทำไมจู่ๆ ถึงขออะไรแบบนี้ล่ะครับ’

     ‘เมื่อคืนท้องฟ้าฝันว่าพี่วายุกำลังเดินอยู่ข้างหน้า ท้องฟ้าพยายามวิ่งตาม แต่วิ่งเท่าไหร่ก็ตามไม่ทัน จนพี่วายุหายไปท้องฟ้าก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา’

     ‘…’

     ‘ท้องฟ้ากลัวพี่วายุจะหายไปเหมือนในความฝัน เลยอยากให้สัญญาไว้ก่อน’ เด็กชายท้องฟ้าหันตัวเข้าหาเจ้าของตัก ซุกหน้าเข้ากับท้องพลางวาดมือไปกอดรอบเอว ถูไถอยู่สักพักก่อนจะแหงนมองคนด้านบน ‘พี่วายุห้ามหนีไปไหนนะ อยู่กับท้องฟ้าไปตลอดนะครับ’

     สายตาที่กำลังเว้าวอนทำให้วายุจุกจนพูดไม่ออก หยาดน้ำใสรื้นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกในอกตีกันไปหมด นาทีนี้เขาเลือกยากเหลือเกินระหว่างทำให้ท้องฟ้าเสียใจด้วยความจริง กับทำให้ดีใจด้วยคำโกหก

     เมื่อเห็นว่าพี่วายุไม่ยอมสัญญา ท้องฟ้าจึงเริ่มกลัวว่าพี่ชายคนโปรดจะหนีไปจริงๆ เด็กชายครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี ก่อนจะนึกวิธีที่เขามักจะใช้อ้อนมารดาขึ้นมาได้

     เด็กชายท้องฟ้าลุกขึ้นนั่ง โถมตัวเข้าหาคนโตกว่า เอามือโอบรอบคอแล้วซบหน้าลงกับบ่า

     ‘ท้องฟ้าสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนแน่นอน พี่วายุอย่าหนีท้องฟ้าไปเลยนะ’

     วายุแพ้ราบคาบ เขาแพ้อย่างหมดท่าจริงๆ การทำให้เด็กคนนี้เสียใจมันยากเกินไปสำหรับเขา

     ‘ครับ พี่จะไม่หนีไปไหน จะอยู่กับท้องฟ้าไปตลอดเลย’

     เสียงทุ้มเล็กร้องขึ้นด้วยความดีใจ แขนเล็กที่โอบรอบคอกระชับแน่น วายุกอดเด็กชายตอบ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขารู้ว่าคำสัญญานั้นไม่มีทางเป็นจริง เพราะหลังจากวันนี้ไปเขาจะมาหาท้องฟ้าไม่ได้แล้ว แต่วายุก็ไม่อาจพูดความจริงออกไปได้เช่นกัน เขาทำใจเห็นน้ำตาของเด็กคนนี้ไม่ได้จริงๆ

     ยกโทษให้พี่ด้วยนะท้องฟ้า




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 18 ★ [12/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 12-11-2022 17:39:38
ตอนที่ 18
ที่ตรงนี้


     ใบหน้าของชายหนุ่มนิ่งอึ้ง ความทรงจำที่ถาโถมเข้ามาทำให้พูดอะไรไม่ออก วายุได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างตะลึง ภาพเด็กชายท้องฟ้าในอดีตซ้อนทับกับนายท้องฟ้าตรงหน้าได้อย่างพอดี

     “พี่วายุ” ท้องฟ้าโบกมือไปมาพลางเอาหน้าไปใกล้ “เป็นอะไรไปครับ”

     “…ทำไมนายไม่บอกทุกอย่างกับพี่แต่แรก”

     “ผมบอกแล้วไงว่าอยากให้พี่จำได้ด้วยตัวเอง”

     ดวงตาสีน้ำตาลสั่นระริก หยาดน้ำที่เอ่อคลอทำให้เด็กหนุ่มผงะ จากที่กำลังดีใจตอนนี้เขากลับตกใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

     “พี่วายุเป็นอะไร”

     น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเป็นห่วงทำให้หยาดน้ำตาไหลลงมาในที่สุด วายุเบือนหน้าหนี เขาไม่อาจมองหน้าท้องฟ้าได้อีกต่อไป ความรู้สึกผิดเมื่อสิบปีก่อนหวนกลับมาอีกครั้ง

     หลังจากย้ายมาอยู่บ้านใหม่วายุก็ไม่ได้ไปบ้านอาศิมันตร์อีกเลย เขารู้มาจากคุณพ่อที่มักจะโทรศัพท์คุยกับเพื่อนว่าท้องฟ้าเอาแต่ร้องหาเขา บางวันอาการหนักถึงขั้นไม่ยอมทานข้าวเลย เพราะรู้สึกผิดกับลูกชายเพื่อนพ่อบวกกับต้องโฟกัสเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัย วายุจึงพยายามลืมเรื่องนี้มาตลอด เขาทำเป็นไม่นึกถึง ไม่สนใจ ทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลา จนเรื่องราวระหว่างเขากับท้องฟ้าค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป

     เหตุผลที่อยากลืมไม่ใช่ว่าเขาไม่รักท้องฟ้า แต่เพราะรักมากจนเขาไม่อาจทนอยู่กับความรู้สึกผิดต่อไปได้ แต่วายุเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความทรงจำเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน แค่ถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ และวันนี้ท้องฟ้าก็นำมันกลับมาอีกครั้ง

     “พี่วายุ...” ท้องฟ้าทำตัวไม่ถูกเมื่อคนที่เขารักร้องไห้จนตัวโยน พอจะเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาอีกฝ่ายก็ขยับถอยห่างออกไป

     “อย่า...ฮึก...อย่ามองแบบนั้น”

     “แบบไหนครับ”

     “แบบที่เหมือนกับนายกำลังเป็นห่วงพี่”

     “ก็ผมห่วงพี่จริงๆ พี่นั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้า จะให้ผมยิ้มออกได้ยังไง”

     “นายไม่ควรห่วงพี่” วายุสบตากับร่างสูง เขามองผ่านม่านน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด “พี่ไม่มีค่าพอให้นายเป็นห่วง”

     “ทำไมพี่พูดอย่างนั้น”

     “พี่ต้องถามนายมากกว่าว่าทำไมถึงยังทำเฉย พี่ทิ้งนายไปนะ พี่ทำตามสัญญาไม่ได้สักอย่าง นายควรเกลียดพี่สิ ไม่ใช่มาทำดีกับพี่แบบนี้”

     ท้องฟ้าหลุดยิ้ม ถึงจะรู้ว่าไม่ควรในสถานการณ์อย่างนี้แต่เขาก็ยิ้มออกไปแล้ว เด็กหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้า ดวงตาสีดำฉายแววรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง

     “พี่ขอโทษ...ฮึก...พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหนีนายไป แต่ตอนนั้นพี่ไม่อยากให้นายเสียใจเลยไม่กล้าบอกความจริง...” วายุหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เขาถูกเด็กหนุ่มรั้งเข้าไปกอด ฝ่ามือหนาลูบแผ่นหลังขึ้นลง อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้ร่างที่กำลังสะอื้นแผ่วลง

     “ผมรู้ครับ รู้มาตลอด พี่วายุไม่ใช่คนใจร้าย เรื่องนี้ผมรู้ดีที่สุด”

     ใบหน้าเปรอะน้ำตาเหลือบไปมองคนพูด น้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อนของท้องฟ้าทำให้วายุแปลกใจ ทำไมเด็กคนนี้ถึงพูดเหมือนไม่โกรธเขาล่ะ สิบปีเลยนะที่เขาผิดสัญญากับท้องฟ้า หรือเขากำลังโดนหลอกให้ตายใจ

     “ถ้าโกรธก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องกลัวพี่เสียใจ หรือถ้าไม่อยากพูดจะต่อยตีพี่แทนก็ได้”

     “ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ และจะไม่ยอมให้ใครมาทำด้วย” ท้องฟ้าพูดยิ้มๆ อาศัยจังหวะที่วายุเผลอแอบสูดกลิ่นหอมจากเส้นผมนุ่ม

     “แปลว่านายไม่โกรธพี่?”

     “ครับ ไม่โกรธ”

     วายุดันตัวออก หันไปมองพลางขมวดคิ้ว รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้เขาแปลกใจกว่าเดิม

     “ทำไมล่ะ”

     “เพราะเป็นพี่วายุผมถึงโกรธไม่ลง”

     “ท้องฟ้า พี่ไม่เล่น”

     “แล้วใครบอกว่าผมเล่น” เด็กหนุ่มดึงมือบางมาจับ สายตาจับจ้องอยู่ที่คนตรงหน้า “ตอนพี่หายไปผมเสียใจก็จริง แต่พอพ่อบอกว่าที่พี่ไม่บอกความจริงเพราะไม่อยากให้ผมเสียใจ ผมถึงรู้ว่าพี่วายุรักผมแค่ไหน”

     “…”

     “ผมไม่เคยโกรธพี่วายุ เพราะที่ผ่านมาผมมีแต่ความคิดถึง” ท้องฟ้ายกมือที่กำลังจับมาทาบแก้มตัวเอง ส่งความรู้สึกทั้งหมดผ่านไปทางสายตา “ผมคิดถึงพี่...คิดถึงมากๆ เลย”

     เป็นอีกครั้งที่วายุพูดอะไรไม่ออก ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นรัวไปหมด ทั้งสายตา สีหน้า น้ำเสียง ทุกอย่างกำลังบอกว่าท้องฟ้าคิดถึงเขาจริงๆ ความรู้สึกนั้นส่งมาถึงเขาแล้ว ชายหนุ่มรับรู้มันได้ด้วยหัวใจ

     เด็กหนุ่มขยับไปใกล้ มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาล มือที่จับเปลี่ยนเป็นยื่นไปเกลี่ยน้ำตาบนแก้มเนียนใส

     “แล้วพี่วายุล่ะครับ ไม่เจอกันตั้งสิบปี คิดถึงผมบ้างหรือเปล่า” ริมฝีปากคนถามจุดรอยยิ้มอีกครั้ง แววตาที่มองมาทำให้วายุตกอยู่ในภวังค์ ปากเผลอตอบความจริงออกไป

     “พี่...พี่ก็คิดถึงนาย” ถึงแม้ที่ผ่านมาเขาจะจำอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เมื่อความทรงจำทุกอย่างกลับมาแล้ว ความรู้สึกในอดีตก็หวนคืนมาด้วยเช่นกัน ความรักและความคิดถึงที่เขาเคยมีให้ลูกชายเพื่อนพ่อยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนเมื่อสิบปีก่อน

     คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มของเด็กหนุ่มให้กว้างขึ้น ท้องฟ้าดึงร่างบางมากอดอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากอดแน่นขึ้นให้สมกับความสุขที่กำลังอิ่มเอม

     “เลิกรู้สึกผิดได้แล้วครับ พี่วายุไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

     “พี่ผิดสัญญากับนายนะ ให้เลิกรู้สึกผิดคงทำไม่ได้หรอก”

     “ถ้าอย่างนั้น...” มุมปากของเด็กหนุ่มยกยิ้ม ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “เรามาสัญญากันใหม่ดีไหมครับ”

     “สัญญาอะไร”

     “นับจากนี้ไปเราสองคนจะไม่แยกจากกัน จะอยู่ด้วยกันไปตลอด”

     “…”

     “ว่าไงครับ” ท้องฟ้าผละตัวออก มองใบหน้าที่กำลังฉายแววไม่แน่ใจบางอย่าง

     “นี่คือจริงจังอยู่ใช่ไหม”

     “จริงจังสิครับ ผมไม่เอาเรื่องนี้มาพูดเล่นหรอก”

     วายุหลุบตามองต่ำ ไม่ยอมสัญญาตามที่เด็กหนุ่มต้องการ เขาเลยแกล้งทำหน้าอ้อนเพราะรู้ว่าได้ผลเสมอ

     “หรือพี่ไม่อยากอยู่กับผมแล้ว คิดจะหนีผมไปอีกใช่ไหมครับ”

     “ไม่ใช่นะ!” ท่าทางรีบเงยหน้ามาปฏิเสธทำให้ท้องฟ้าต้องซ่อนรอยยิ้มไว้

     “แล้วทำไมถึงไม่สัญญาล่ะครับ”

     “พี่ต้องคุยกับผู้ใหญ่ก่อน ถ้านายจะมาอยู่ที่นี่ถาวรพี่คงตัดสินใจคนเดียวไม่ได้”

     “เรื่องนั้นผมก็หวังไว้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร ที่บอกว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอด ผมหมายถึงเราจะไม่หายจากกันไปไหนต่างหาก”

     “…”

     “ผมกลัวมากนะครับ กลัวจะไม่ได้เจอพี่วายุอีก ผมภาวนาให้ได้เจอพี่อีกครั้งมาตลอด และตอนนี้ผมก็สมหวังแล้ว ดังนั้นผมจะไม่ให้พี่หายไปอีกเด็ดขาด”

     แววตาที่แฝงบางอย่างของท้องฟ้าทำให้ความสงสัยในใจรุนแรงขึ้น หลังสบตากันอยู่สักพักวายุจึงถามออกไปในที่สุด

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “ถ้าพี่ถามอะไรแปลกๆ อย่าเพิ่งตกใจนะ พี่แค่อยากถามให้มันชัดเจน เราจะได้ไม่อึดอัดใจต่อกัน”

     “พี่จะถามอะไร”

     “นายชอบพี่เหรอ”

     “…”

     “พี่พยายามไม่คิดอะไร แต่การกระทำที่ผ่านมาของนายทำให้อดคิดไม่ได้ พี่รู้ว่าถามอย่างนี้มันเหมือนหลงตัวเอง แต่ถ้าไม่ถามพี่ก็ต้องสงสัยไปตลอด”

     “…”

     “ว่าไง นายชอบพี่หรือเปล่า คงไม่ต้องบอกนะว่าชอบแบบไหน พี่รู้ว่านายเข้าใจ”

     ท้องฟ้ามองคนตรงหน้านิ่ง ยอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ วายุก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่พอตั้งสติได้เขาก็ยิ้มออกมา แววตาเต็มไปด้วยความขบขัน

     “เพิ่งมารู้ตัวตอนนี้ไม่ช้าไปหน่อยเหรอครับ โดนผมจีบมาตั้งนานแล้วไม่รู้เลยหรือไง”

     ดวงตาคนถามเบิกกว้าง คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ภายในหัวขาวโพลนไปชั่วขณะ ตอนถามออกไปวายุมั่นใจว่าเขาคงคิดไปเอง แต่พอทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้กลับเป็นเขาเสียเองที่ไปไม่ถูก

     “พี่ถามว่าไงนะครับ ผมชอบพี่หรือเปล่าน่ะเหรอ...” ร่างสูงโน้มหน้าไปใกล้ พูดเสียงเบาทว่าชัดเจน “เปล่าครับ ผมไม่ได้ชอบพี่ ผมรักพี่ต่างหาก”

     “…”

     “คงไม่ต้องบอกนะครับว่ารักแบบไหน ผมรู้ว่าพี่เข้าใจ”

     “พี่...พี่ไม่เข้าใจ” วายุพูดได้แค่นั้น จู่ๆ ก็ไม่กล้าสบตาขึ้นมา ทำไมเขาจะไม่เข้าใจ ในเมื่อสายตาท้องฟ้าชัดเจนขนาดนี้ แต่เขายังตั้งหลักไม่ทันกับความจริงอันน่าเหลือเชื่อ

     “งั้นคงต้องแสดงให้ดูแล้วสิว่าผมรักพี่แบบไหน”

     “อย่านะ” วายุละล่ำละลักพูดเมื่อเด็กหนุ่มเอาหน้ามาใกล้กว่าเดิม มันใกล้เสียจนเขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจ แทบไม่มีช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน

     ท้องฟ้าค่อยๆ หุบยิ้มเมื่อสายตาเลื่อนไปมองริมฝีปากอวบอิ่ม ตอนแรกเขาแค่แหย่เล่น ตั้งใจจะทำให้เขินเฉยๆ แต่พออยู่ใกล้กันแบบนี้เขากลับเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความรู้สึกข้างในเรียกร้องให้ประกบปากลงไป

     ฝ่ามือหนาเลื่อนไปจับท้ายทอย ตรึงใบหน้าให้แหงนขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ริมฝีปากร้อนก็ทาบทับลงมา ปิดโอกาสไม่ให้ถามอะไรแม้แต่คำเดียว

     ท้องฟ้าขบเม้มเบาๆ บดคลึงริมฝีปากแล้วเพิ่มน้ำหนักลงไป ความรู้สึกวาบหวามภายในอกทำให้คนอายุมากกว่าเผยอปากออก เด็กหนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะสอดลิ้นเข้าไป วายุยกมือมาวางบนอกแกร่ง เขาตั้งใจจะผลักออก แต่เรี่ยวแรงกลับหายไปหมดจนทำได้แค่ขยุ้มเสื้อของอีกฝ่าย

     “อืม...” เสียงครางต่ำบ่งบอกถึงความพอใจเมื่อลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดเข้าหากัน อารมณ์ที่แตกกระเจิงทำให้สติของท้องฟ้าเลือนหายไปทีละนิด แต่เมื่อมือหนาล้วงเข้าไปในสาบเสื้อวายุจึงเบิกตาโพลง เขารีบตะครุบมือนั้นอย่างรวดเร็ว เรียกสติของเด็กหนุ่มกลับมาอีกครั้ง

     ใบหน้าทั้งสองผละออกจากกัน แววตาที่มองมาทั้งตกใจและรู้สึกผิด จู่ๆ เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหายออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนบนเตียงมองตามด้วยความงง

     วายุยกมือมาแตะปาก สัมผัสอุ่นร้อนเมื่อครู่ยังคงชัดเจนในความรู้สึก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากเชื่อว่าท้องฟ้าจะบอกรักเขา แถมยังเพิ่งจูบกันไปด้วย มันเป็นเรื่องที่วายุไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น

     ชายหนุ่มล้มตัวลงนอน ยกแขนข้างหนึ่งมาก่ายหน้าผาก ดวงตาที่ทอดมองเพดานสีขาวเต็มไปด้วยความสับสน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เอ่อ...อาหารไม่อร่อยเหรอคะ” ป้าณีเอ่ยถามหลังจากรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมในห้องอาหารมาสักพัก เช้านี้คุณวายุกับคุณท้องฟ้าไม่พูดไม่จา เอาแต่ก้มหน้าทานข้าวอย่างเดียว

     “อร่อยครับ” ท้องฟ้าตอบแม่บ้านแต่สายตาเหลือบไปมองคนที่นั่งตรงข้าม ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าวายุตั้งใจหลบหน้า และสาเหตุก็คงไม่พ้นเรื่องเมื่อคืน

     ท้องฟ้ายอมรับว่าถ้าวายุไม่หยุดไว้เขาคงเผลอเกินเลยไปมากกว่านี้ เมื่อคืนเขานอนแทบไม่หลับ เอาแต่คิดว่าจะขอโทษยังไง แต่พอเจอหน้ากันจริงๆ กลับไม่กล้าพูดออกไป

     ขอโทษสิวะท้องฟ้า นายทำให้พี่วายุตกใจนะเว้ย

     “พี่...” ขณะที่เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้าได้สำเร็จ คนที่เขากำลังจะขอโทษกลับลุกขึ้นยืน วายุหันมาสบตา ดวงตาสีน้ำตาลนิ่งเรียบ

     “กินเสร็จแล้วไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย พี่จะไปรอที่รถ”

     วายุพูดแค่นั้นแล้วเดินออกไป ไม่เปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มพูดอะไรต่อ ท้องฟ้ามองตามแผ่นหลังที่กำลังออกไปจากห้องอาหาร แววตาที่มักจะสดใสหม่นลง

     คงโกรธมากจริงๆ สินะ

     “คุณท้องฟ้ากับคุณวายุทะเลาะกันเหรอคะ”

     “นิดหน่อยครับ” ท้องฟ้าตอบแม่บ้าน เขาจงใจไม่บอกว่าตัวเองเผลอไปจูบลูกชายเจ้าของบ้านเข้า

     “อย่าคิดมากนะคะ คุณวายุโกรธใครไม่นานหรอก ตั้งแต่อยู่บ้านนี้มาป้ายังไม่เคยเห็นคุณวายุโมโหเลย”

     “ครับ” ท้องฟ้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น เขายังนึกไม่ออกเลยว่าต้องทำยังไงวายุถึงจะหายโกรธ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ถึงแล้ว” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นเมื่อรถยนต์สีดำขับมาจอดหน้ามหาวิทยาลัย วายุนั่งนิ่ง ตามองตรงไปข้างหน้า แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันไปมองคนข้างๆ “ไม่ลงหรือไง พี่ต้องกลับไปทำงานต่อนะ”

     “พี่วายุโกรธผมอยู่ใช่ไหมครับ” ท้องฟ้าหันมามองตอบ สายตาตัดพ้อที่ถูกส่งมาทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจ

     “ถ้าจะคุยเรื่องนี้ไว้คุยกันตอนเย็น ตอนนี้นายต้องไปเรียน”

     “ผมเรียนไม่รู้เรื่องหรอกครับถ้าพี่ยังเมินผมอยู่แบบนี้”

     ดวงตาสองคู่สอดประสานกัน สุดท้ายคนที่โตกว่าก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ วายุเบือนหน้าหนีก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง เขาไม่ได้โกรธท้องฟ้า เขาแค่ไม่รู้จะรับมือยังไงกับทุกอย่างที่ประเดประดังเข้ามา

     “ผมขอโทษ”

     เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นเรียกสายตาให้หันกลับไปมอง ท้องฟ้าเอื้อมมือมาวางบนตัก สีหน้าแสดงออกชัดว่ารู้สึกผิด

     “ขอโทษเรื่องอะไร”

     “เรื่องที่ผมจูบพี่เมื่อคืน แถมยังเกือบล่วงเกินพี่อีก ผมขอโทษนะครับ ต่อไปผมจะไม่ทำอีกแล้ว”

     วายุหน้าร้อนผ่าว จากที่ไม่โกรธจะโกรธก็ตอนนี้แหละ เขาพยายามเลี่ยงแทบตาย แต่เด็กคนนี้กลับพูดออกมาหน้าตาเฉย ไม่เขินอายบ้างเลยหรือไง

     “พี่แค่กำลังตกใจ”

     ท้องฟ้าเงยหน้าขึ้นเมื่อวายุเริ่มอธิบาย เขานึกว่าอีกฝ่ายจะโกรธจนไม่อยากพูดด้วยเสียอีก

     “เมื่อคืนเกิดเรื่องตั้งหลายอย่าง ทั้งเรื่องที่พี่ผิดสัญญากับนายเมื่อสิบปีก่อน เรื่องที่นายบอกรักพี่ ไหนจะเรื่องที่นาย...จูบพี่อีก พี่เลยตกใจจนตั้งตัวไม่ทัน”

     “แปลว่าพี่วายุไม่โกรธผมเหรอครับ”

     “ไม่โกรธ แต่พี่อยากให้นายคิดทบทวนอีกที”

     “ทบทวนอะไรครับ”

     ไม่ใช่แค่ท้องฟ้า เมื่อคืนวายุเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน เขาคิดอยู่ทั้งคืนว่าควรทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และตอนนี้เขาก็ได้คำตอบแล้ว

     “นายอาจเข้าใจผิดว่ารักพี่แบบคนรัก แต่ที่จริงเป็นแค่ความผูกพันระหว่างพี่น้องก็ได้ ลองคิดดีๆ นะท้องฟ้าว่าความรักที่นายมีให้พี่เป็นแบบไหน”

     ทันทีที่วายุพูดจบแววตารู้สึกผิดก็หายไป ใบหน้าเด็กหนุ่มตอนนี้นิ่งเสียจนเดาอารมณ์ไม่ออก วายุคิดว่าเขาทำถูกแล้ว เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้ยึดติดอยู่กับเขา ท้องฟ้าควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่จมปลักกับอดีตจนไม่เป็นอันก้าวไปยังอนาคต

     “สิบปี” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็พูดขึ้นมาพร้อมใบหน้าจริงจังที่วายุไม่เคยเห็นมาก่อน

     “สิบปีอะไร”

     “สิบปีที่ผมไม่สามารถรักคนอื่นได้ สิบปีที่ผมเอาแต่คิดถึงพี่ สิบปีที่ผมอยากเจอ อยากกอด อยากได้ยินเสียงพี่มาตลอด แค่นี้พอจะเป็นคำตอบได้ไหมครับว่าผมรักพี่แบบไหน”

     วายุนิ่งอึ้ง คำพูดในหัวหายไปหมด ยิ่งเห็นสายตาของท้องฟ้าเขาก็ยิ่งพูดไม่ออก

     “จากเด็กที่ไม่มีเพื่อนเล่น หันไปทางไหนก็เจอแต่ความโดดเดี่ยว จู่ๆ วันนึงก็มีคนเข้ามาฉุดให้ลุกขึ้น เปลี่ยนโลกของเขาให้กลับมาสดใสอีกครั้ง ใครๆ ก็คงคิดว่าความรู้สึกของเด็กคนนั้นคงเป็นแค่ความผูกพันที่มีให้พี่ชายใจดี”

     “…”

     “ความรักของผมเริ่มมาจากตรงนั้นก็จริง แต่รู้อะไรไหมครับ ต่อให้ผมจะเปลี่ยนแฟนสักกี่คนแต่ในใจผมก็ยังคิดถึงแต่พี่วายุ คิดถึงความอ่อนโยน คิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน คิดถึงรอยยิ้มที่ผมชอบมอง คิดว่าคนเป็นพี่น้องจะรู้สึกแบบนี้มาตลอดสิบปีเหรอครับ”

     “…”

     “ชื่อท้องฟ้าที่พี่ตั้งให้ทำให้ผมมีกำลังใจใช้ชีวิตมาจนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่คิดถึงพี่ผมจะชอบมองท้องฟ้าแล้วยิ้มออกมา คอยปลอบใจตัวเองว่าต่อให้วันนี้ พรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้ายังไม่เจอกัน แต่ตราบใดที่ยังอยู่ใต้ท้องฟ้าผืนเดียวกัน สักวันต้องได้พบกันแน่นอน”

     “…”

     “วันแรกที่เรากลับมาพบกัน รู้ไหมครับว่าผมดีใจแค่ไหน ดีใจที่จะได้กอด ได้ยินเสียง ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง รวมถึงได้บอกความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจมาสิบปี”

     “…”

     “ผมรักพี่นะครับ...พี่วายุ”

     คำพูดของท้องฟ้าไม่มีส่วนไหนที่วายุคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นเลย ทุกประโยคแฝงไปด้วยความหนักแน่นจนคนที่หวั่นไหวกลายเป็นเขาเสียเอง ความจริงที่ได้รู้วันนี้ทำให้วายุอึ้งกว่าเดิม สิบปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้เลยว่ามีคนแอบรักเขามาตลอด แถมใครคนนั้นยังเป็นคนที่เขารู้จักดีเสียด้วย

     “พี่ยังไม่ต้องเชื่อในตัวผมก็ได้ แต่พอจะให้ความหวังได้ไหมครับว่าระหว่างเรามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า” เด็กหนุ่มดึงมือบางไปจับ สายตาที่ทอดมองทั้งอ้อนวอนและวูบไหวดั่งเทียนต้องลม

     “แน่ใจแล้วเหรอว่าเป็นพี่ ชีวิตนายยังต้องเจอผู้คนอีกเยอะนะ”

     “แน่ใจที่สุดครับ” มือที่จับกันอยู่ถูกดึงไปวางบนอกข้างซ้าย สิ่งที่อยู่ในนั้นกำลังเต้นแรงจนเขารับรู้มันได้ผ่านฝ่ามือ “ที่ตรงนี้มันเป็นของพี่มาตลอด และจะเป็นตลอดไปด้วย”

     หัวใจของชายหนุ่มสั่นไหว ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นทีละนิด ภายในรถเกิดความเงียบชั่วขณะ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา หนึ่งคนกำลังรอคำตอบ อีกหนึ่งคนกำลังจมอยู่ในความคิดตัวเอง

     จู่ๆ วายุก็เบือนหน้าไปทางอื่น ดึงมือออกพลางพูดเสียงเรียบ “ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวก็สายหรอก”

     “พี่วายุ” เสียงของท้องฟ้าแผ่วเบา หัวใจหล่นไปกองอยู่กับพื้น พี่วายุกำลังปฏิเสธเขาใช่ไหม แค่ความหวังก็ให้เขาไม่ได้เหรอ

     “วันนี้อาจมารับช้าหน่อย พี่ต้องไปคุยงานกับลูกค้าตอนบ่าย เรียนเสร็จแล้วก็โทรมา”

     “พี่วายุ คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิครับ พี่จะไม่ให้แม้กระทั่งโอกาสผมจริงๆ เหรอ”

     วายุถอนหายใจ มองคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ เขาอุตส่าห์อยากเก็บไว้พูดตอนเย็นจะได้มีเวลาคุยกันนานๆ แต่ดูเหมือนถ้าไม่พูดตอนนี้คงมีเด็กโดดเรียนเป็นแน่

     “พี่ไม่ชอบเด็กดื้อ”

     ประโยคไม่มีที่มาที่ไปทำให้ท้องฟ้านิ่งงัน ดวงตาสีดำมองคนตรงหน้าปริบๆ

     “คนที่จะมาเป็นแฟนพี่ต้องมีความรับผิดชอบ ไม่ละเลยหน้าที่ตัวเอง เป็นที่พึ่งให้พี่ได้ทุกเวลา”

     “…”

     “ยังไม่ไปเรียนอีก ต้องให้พี่โทรไปฟ้องอาศิก่อนใช่ไหม”

     “ไปแล้วครับๆ อย่าเอาพ่อมาขู่สิ พี่ก็รู้ว่าผมกลัวพ่อ” เด็กหนุ่มกุลีกุจอลงจากรถ ใบหน้ากลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง หัวใจที่เกือบเหี่ยวเฉาตอนนี้ถูกเติมลมจนพองโตไปหมด

     “ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ เห็นมีนบอกว่าใกล้สอบแล้ว”

     “ถึงพี่ไม่บอกผมก็ตั้งใจเรียนอยู่แล้วครับ” ท้องฟ้ายืนอยู่ข้างประตูรถ ย่อตัวลงมาจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน “ผมไม่ยอมให้พี่โดนนินทาหรอกว่ามีแฟนเรียนไม่จบเกียรตินิยม”

     “ฝันกลางวันอยู่หรือไง คิดไปถึงขนาดนั้นแล้วเหรอ” วายุพูดกลั้วหัวเราะ นึกขำท่าทางกระตือรือร้นของเด็กหนุ่ม มันอาจเป็นการตัดสินใจที่วายุยังไม่มั่นใจ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากลองให้โอกาส ทั้งท้องฟ้าและตัวเขาเอง

     “ตอนนี้อาจจะเป็นแค่ความฝัน แต่สักวันผมจะทำให้เป็นจริงให้ดู” แววตามุ่งมั่นตรงหน้าทำให้วายุรู้สึกแปลกๆ เขาไล่เด็กหนุ่มให้ไปเรียนก่อนที่อาการเห่อร้อนบนหน้าจะชัดไปมากกว่านี้ ท้องฟ้าหัวเราะแต่ก็ยอมปิดประตูรถแต่โดยดี เขาอยากคุยกับวายุให้นานกว่านี้ แต่ถ้าไม่รีบไปเรียนเดี๋ยวจะชวดเกียรตินิยมขึ้นมาจริงๆ

     ดูเหมือนสัญญาเมื่อคืนเขาคงไม่ต้องทวงคำตอบแล้ว ต่อให้วายุไม่พูดออกมาตรงๆ ท้องฟ้าก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่หายไปไหนเหมือนสิบปีก่อนแน่นอน เด็กหนุ่มผิวปากอารมณ์ดี เดินเข้าห้องเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คอยดูนะพี่วายุ ว่าที่แฟนคนนี้จะตั้งใจเรียนเพื่อพี่ให้ดู




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 19 ★ [15/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 15-11-2022 14:09:22
ตอนที่ 19
ลูกหมาของพี่วายุ


     “ไม่ต้องจับมือก็ได้มั้ง”

     “ไม่ได้ครับ ผมกลัวพี่หลง”

     “พี่ไม่ใช่เด็ก”

     “ผมก็ไม่ได้ว่าพี่เป็นเด็กซะหน่อย”

     วายุนิ่วหน้า มองคนที่ยังตีมึนจับมือเขาไม่ปล่อย เมื่อรู้ตัวว่าโดนมองเด็กหนุ่มจึงหันมายิ้มให้

     “มองผมทำไมครับ มองทางข้างหน้าสิ เดี๋ยวก็ไปชนคนอื่นหรอก”

     “นายก็ปล่อยมือก่อนสิ”

     “แค่จับมือเอง ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ”

     วายุก็อยากจะคิดอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่าเดินไปตรงไหนก็มีแต่คนมอง เขารู้ว่าท้องฟ้าหน้าตาดีและคงเสน่ห์แรงไม่น้อย แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นเป็นที่รู้จักไปทั่วแบบนี้

     วันนี้เด็กหนุ่มเกิดครึ้มอกครึ้มใจ ชวนเขามางานคอนเสิร์ตที่จัดในมหาวิทยาลัย ที่จริงมันเป็นงานประกวดดาวเดือน แต่หลังจากการประกวดจบลงจะมีงานคอนเสิร์ตต่อ เป็นการเล่นดนตรีของศิลปินแนวหน้าของประเทศ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้คนนอกเข้าร่วมคอนเสิร์ตได้

     ตอนแรกก็นั่งฟังดนตรีดีๆ อยู่หรอก แต่จู่ๆ คนที่ชวนมาก็บอกว่าหิว วายุเลยต้องพามาเดินดูของกินตรงบริเวณทางเข้าที่คับคั่งไปด้วยซุ้มร้านอาหาร

     นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาสองคนก็วางตัวเหมือนเดิมกันมาตลอด เหมือนเดิมที่ว่าคือคนหนึ่งจีบไม่พัก รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น ส่วนอีกคนยังใจดีและอ่อนโยนไม่เคยเปลี่ยน เป็นเจ้าของที่ลูกหมาตัวโตทั้งรักทั้งหลงมากขึ้นทุกวัน

     “ท้องฟ้า พี่พูดจริงๆ นะ ปล่อยมือได้แล้ว” วายุพูดซ้ำเมื่อเห็นว่าคนรอบข้างเริ่มมองมากันใหญ่ ร่างสูงชะลอฝีเท้า ก้มมองมือที่จับกันอยู่แต่ไม่ยอมปล่อย

     “พี่วายุเขินเหรอครับ” ดวงตาใสที่ถามกลับมาทำเอาวายุอยากยกมือมาตบหน้าผากเหลือเกิน

     “นายไม่เห็นสายตาที่มองมาเหรอ”

     “เห็นครับ”

     “เห็นแล้วทำไมถึงยังไม่ปล่อย”

     “ก็มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องสน”

     “นายไม่สนแต่พี่สน”

     “ถ้าสนใจขนาดนั้น ทำไมไม่หันมาสนผมบ้างล่ะครับ”

     “...”

     “ผมน่าสนกว่าคนอื่นที่มองมาอีก หรือพี่จะบอกว่าคนพวกนั้นหน้าตาดีกว่าผม”

     วายุเริ่มไม่แน่ใจว่าเขากับเด็กคนนี้กำลังคุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า เขาว่าเขาพูดเรื่องจับมือนะ แล้วทำไมถึงไปโผล่เรื่องหน้าตาได้

     “อย่าคิดมากเลยครับ เดินกับคนหล่อก็แบบนี้แหละ อีกหน่อยผมจีบพี่ติดเราก็ต้องเดินจับมือกันบ่อยๆ อยู่ดี”

     การชมตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มกับการมั่นใจว่าจะจีบติดนั้นทำให้ชายหนุ่มนึกหมั่นไส้ขึ้นมา ไวเท่าความคิด มืออีกข้างที่ไม่ได้จับถูกยกมาดีดหน้าผากคนที่เดินด้วยกันทันที

     “โอ๊ย!” ท้องฟ้ายกมือกุมหน้าผาก ทำหน้าโอดครวญใส่คนอายุมากกว่า “ทำร้ายร่างกายผมทำไม”

     “เขาเรียกเคาะหัวเตือนสติ มั่นใจมากๆ ระวังเสียใจทีหลัง”

     “พี่วายุออกจะใจดี ไม่ปล่อยให้ผมเสียใจหรอก ใช่ไหมครับ” สีหน้าเจ็บปวดหายวับไปกับตา ริมฝีปากกับดวงตาที่ยกยิ้มพร้อมกันทำให้วายุปฏิเสธไม่ลง ได้แต่ค่อนขอดในใจว่านี่มันคำถามภาคบังคับคำตอบชัดๆ

     ทำหน้ายิ้มๆ กับตายิ้มๆ แบบนี้ ใครจะกล้าทำให้เสียใจล่ะ

     “อยากจับมือก็จับไป เรตติงตกขึ้นมาอย่ามาโทษแล้วกัน”

     ท้องฟ้าอมยิ้ม มองคนที่เปลี่ยนเรื่องคุยดื้อๆ เขาอยากบอกเหลือเกินว่าเขาไม่เคยสนเลยว่าคนอื่นจะมองหรือคิดยังไง คนเดียวที่เขาสนใจคือเจ้าของมือที่กำลังจับกันอยู่ต่างหาก

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่สกายคะ”

     ผู้ชายสองคนหยุดเดินเมื่อจู่ๆ ก็มีเด็กสาวในชุดนักศึกษาเข้ามาทัก วายุดึงมือออกจากมือหนา ท้องฟ้าหันมามองนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปเมื่อรุ่นน้องคนนั้นพูดขึ้นมา

     “ขอถ่ายรูปกับพี่สกายได้ไหมคะ”

     “ได้ครับ” ร่างสูงยกยิ้ม ขยับให้รุ่นน้องมายืนข้างๆ เด็กสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้ากล้องถ่ายรูป เมื่อได้รูปที่พอใจแล้วจึงหันมาส่งยิ้มให้

     “ขอบคุณนะคะ ฝ้ายอยากถ่ายรูปกับพี่มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที”

     “ไม่เป็นไรครับ”

     “พี่สกายมาดูคอนเสิร์ตคนเดียวเหรอคะ ฝ้ายก็มาคนเดียวเหมือนกัน ถ้ายังไงมาดูด้วยกันไหมคะ ฝ้ายมีตั๋วที่นั่งด้านหน้าเหลืออยู่พอดี” น้องฝ้ายรัวคำพูดเป็นชุด สายตาที่มองคนตรงหน้าแสดงออกชัดว่ามีเจตนาแอบแฝง ท้องฟ้าไม่ตอบในทันที เขายังคงยิ้มบางๆ ขณะเคลื่อนตัวไปยืนชิดคนที่ยืนมองโดยไม่พูดอะไร

     “พี่มากับคนรู้จักครับ ต้องขอโทษน้องฝ้ายด้วยที่รับความหวังดีไว้ไม่ได้” ท้องฟ้าชูมือที่กลับมาจับกันอีกครั้งขึ้นมา ในตอนนั้นเองที่น้องฝ้ายเห็นว่าข้างๆ พี่สกายมีผู้ชายร่างสูงโปร่งยืนอยู่ด้วย เด็กสาวหน้าเสียนิดหนึ่ง แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับ

     “งั้นคราวหลังฝ้ายขอเข้ามาทักอีกได้ไหมคะ”

     “ได้ครับ”

     น้องฝ้ายยิ้มให้ผู้ชายทั้งสองคนก่อนจะเดินจากไป เด็กหนุ่มมองตามพลางถอนหายใจเบาๆ

     “ท้องฟ้า”

     “ผมไม่รู้จักนะครับ น้องเขาเป็นใครก็ไม่รู้ ที่บอกให้มาทักได้ผมก็แค่พูดไปตามมารยาท” ท้องฟ้ารีบแก้ตัวเมื่อโดนเรียกชื่อ เขาไม่อยากให้วายุเข้าใจผิด

     “มาบอกพี่ทำไม”

     “ก็พี่วายุเรียกผม”

     “พี่แค่จะถามว่าจะจับอีกนานไหม” วายุส่งสายตาไปยังมือที่จับกันอยู่ พอท้องฟ้ามองตามก็ได้แต่ทำหน้าเก้อ เขาอุตส่าห์ดีใจ นึกว่าพี่วายุจะหึง แต่นอกจากไม่รู้สึกอะไรแล้วยังเร่งให้ปล่อยมืออีก

     “ผมขี้เกียจปล่อยแล้ว เดินจับมือไปอย่างนี้แหละ” เด็กหนุ่มออกอาการพาล เรียกเสียงหัวเราะจากอีกคน

     “เป็นอะไร จู่ๆ ก็หน้าบึ้งขึ้นมา”

     “พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

     “รู้สึกอะไร”

     “หึงผมไง มีสาวสวยมาขอถ่ายรูปกับผมเลยนะ โอ๊ย!” ท้องฟ้าร้องเสียงหลงเมื่อโดนดีดหน้าผากอีกรอบ

     “เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน แถมคนที่จีบคือนายไม่ใช่พี่ ลืมแล้วหรือไง”

     “ผมก็แค่อยากให้พี่หึง” เด็กตัวโตลูบหน้าผากป้อยๆ ใบหน้าหงอยเหมือนลูกหมาตกน้ำทำให้วายุขำหนักกว่าเดิม

     “พี่ไม่งี่เง่าขนาดนั้น”

     “งี่เง่าที่ไหน เขาเรียกแสดงความรักต่างหาก ดูอย่างผมสิ ผมยังหึงพี่วายุเลย”

     “หึงพี่?”

     “ใช่ครับ” ท้องฟ้าหยุดเดิน หันมาสบตากับคนโตกว่า “พูดเรื่องนี้ก็ดี ขอบอกไว้ก่อนว่าผมขี้หึงและขี้หวงมาก”

     “เดี๋ยว พี่เพิ่งพูดไปว่าเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน”

     “ไม่ได้เป็นอะไรผมก็จะหึง ยิ่งกับพี่เขตผมยิ่งหึงเป็นสองเท่า”

     วายุมองตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าท่าทางแปลกๆ ที่ท้องฟ้ามีต่อเขตดนัยคืออะไร ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง

     “ขำอะไรครับ”

     “ขำเด็กหึงไม่ลืมหูลืมตา” วายุยกมือมาปาดน้ำตา มองคนที่ทำหน้าขึงขังไม่หยุด “พี่บอกแล้วไงว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขต”

     “พี่ไม่คิดแต่พี่เขตคิด ไม่รู้แหละ ยังไงผมก็จะหึง ผมรักของผมมาสิบปี ไม่ยอมให้ใครมาแย่งทั้งนั้น”

     วายุนิ่งงัน หัวใจกระตุกวูบไหว เขารู้ว่าท้องฟ้าพูดเพราะอารมณ์พาไป แต่พอได้ยินคำว่ารักหน้ามันก็ร้อนขึ้นมา ต้องแสร้งทำเป็นหันไปมองทางอื่น

     “หิวไม่ใช่เหรอ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อ พี่อยากกลับไปดูคอนเสิร์ตแล้ว”

     “เปลี่ยนเรื่องคุยแบบนี้ผมจะถือว่าพี่อนุญาตให้หึงแล้วนะ”

     “พูดอย่างกับถ้าไม่อนุญาตนายจะยอม”

     ท้องฟ้ายิ้มมุมปาก อารมณ์ขุ่นมัวหายไปในพริบตา ถึงจะออกนอกทะเลไปหน่อยแต่อย่างน้อยเขาก็บอกให้วายุรับรู้แล้ว หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องเก็บอาการ แสดงความหึงหวงได้เต็มที่

     เด็กหนุ่มออกเดินนำ จูงมือคนอายุมากกว่าแวะร้านนั้นทีร้านนี้ที วายุมองคนที่กำลังเพลิดเพลินกับการเลือกร้านอาหาร ริมฝีปากยิ้มบางเบาไม่ให้อีกคนเห็น

     เขาไม่พูดเพราะไม่อยากให้เจ้าลูกหมาได้ใจ แต่ไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึก ตอนท้องฟ้าปฏิเสธผู้หญิงคนนั้น วายุทั้งโล่งอกและดีใจในเวลาเดียวกัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ทำไมมาที่นี่ล่ะ” วายุมองไปรอบตัว มันคือสนามหญ้าที่อยู่หลังมหาวิทยาลัย มีเนินเล็กๆ ลาดลงไปจนกลายเป็นพื้นราบ จากตรงนี้ได้ยินเสียงเพลงดังมาเบาๆ มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วประปราย บางคนมาคนเดียว บางคนมากับกลุ่มเพื่อน

     “ในงานมีแต่คนเบียดกันไปมา นั่งตรงนี้แหละครับ บรรยากาศดีกว่าเยอะ” ท้องฟ้านั่งลงบนเนินหญ้า หยิบลูกชิ้นปิ้งในถุงมาเข้าปาก วายุนั่งลงตามโดยชันเข่าขึ้นมากอด

     “คงหิวมากสินะ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นเด็กตัวโตเอาแต่จัดการอาหารตรงหน้า

     “ก่อนงานประกวดดาวเดือนผมไปช่วยเพื่อนจัดเตรียมเวที ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนเย็น”

     “พูดถึงเพื่อน มีนไม่มาด้วยเหรอ”

     “ผมชวนแล้วครับ มันบอกว่าไม่สนใจงานแบบนี้ อยากกลับไปนอนที่หอมากกว่า”

     วายุพยักหน้ารับรู้ ปล่อยให้เด็กหนุ่มจัดการอาหารต่อไป แต่จู่ๆ ลูกชิ้นไม้ก็ถูกยื่นมาตรงหน้า พอหันไปมองก็เจอเข้ากับรอยยิ้มกว้าง

     “กินด้วยกัน”

     วายุหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยอมอ้าปากให้เด็กหนุ่มป้อน จากที่อยู่ด้วยกันมาทำให้เขารู้ว่าต่อให้ปฏิเสธสุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดี วายุเคยคิดอย่างปลงๆ ว่าเขาคงต้องยอมท้องฟ้าไปทั้งชีวิต คนอะไรอ้อนเก่งตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเปลี่ยน

     “อร่อยไหมครับ”

     “อืม”

     “อร่อยเพราะผมป้อนหรือเปล่า”

     “เพราะคนขายทำอร่อยต่างหาก”

     ท้องฟ้าทำหน้าน้อยใจ หันกลับมากินต่อเงียบๆ ท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้วายุเลิกคิ้ว แต่ไม่นานก็หลุดขำออกมา

     “งอนเหรอ”

     “เปล่าครับ”

     ขี้อ้อนอย่างเดียวไม่พอ ยังปากแข็งอีกด้วยแฮะ

     วายุนึกขันในใจ หยิบลูกชิ้นอีกไม้ไปจ่อปากเด็กหนุ่ม ท้องฟ้าหันมามองอย่างงงๆ เขาเลยส่งสายตาไปยังลูกชิ้นที่ถืออยู่

     “จะกินหรือไม่กิน”

     “กินครับ” คนน้อยใจกลับมายิ้มกว้าง อ้าปากรับลูกชิ้นไปเคี้ยวตุ้ยๆ ท่าทางดีอกดีใจทำวายุอดใจไม่ไหว ต้องเอื้อมมือไปยีหัวอย่างเอ็นดู

     “เจ้าลูกหมา”

     น้ำเสียงกับดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนทำให้หัวใจของท้องฟ้าอบอุ่นขึ้นมา เขาชอบสายตาของวายุตอนนี้ มันเหมือนเขาได้กลับไปเป็นเด็กชายท้องฟ้าของพี่วายุอีกครั้ง เด็กหนุ่มเอนหัวไปพิง ถูไถหน้ากับไหล่อีกฝ่าย มือที่กำลังยีหัวจึงชะงักเล็กน้อย

     “ถูกครับ ผมเป็นลูกหมา เป็นลูกหมาของพี่วายุคนเดียว”

     “…”

     “ห้ามทิ้งลูกหมาตัวนี้ไปไหนนะ มันรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของมากเลยนะครับ”

     การกระทำของเด็กตัวโตทำให้หัวใจของวายุเต้นรัว เขากลัวท้องฟ้าจะจับได้เลยพยายามดันตัวออก แต่นอกจากจะไม่ขยับแล้วร่างสูงยังเบียดตัวมาใกล้กว่าเดิมอีก สุดท้ายเขาเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ทั้งหัวทุยๆ ที่กำลังพิงไหล่กับหัวใจที่ยังเต้นโครมครามไม่หยุด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุ”

     “ว่าไง”

     “ถ่ายรูปกันครับ”

     วายุหันไปมองคนข้างๆ เขากำลังนั่งมองท้องฟ้าตอนกลางคืน ฟังเพลงที่ลอยมากับสายลมเพลินๆ

     “นึกยังไงถึงอยากถ่ายรูป”

     “เอาเถอะครับ มาถ่ายด้วยกันนะ”

     วายุไม่ตอบอะไร เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคงไม่ต้องการคำตอบ ก็ดูเจ้าตัวสิ ปากถามแต่มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ว ท้องฟ้าขยับตัวเข้าหาจนไหล่ทั้งสองแตะกัน โน้มใบหน้ามาใกล้แล้วยื่นโทรศัพท์ไปข้างหน้า

     “นับให้หน่อยครับ”

     บังคับให้ถ่ายรูปแล้วยังจะใช้งานอีก เห็นเขายอมให้ตลอดเลยเอาใหญ่เลยนะ วายุคิดอย่างไม่จริงจัง หลังจากรอกล้องโฟกัสแล้วจึงเริ่มนับ

     “เอาล่ะนะ”

     “ครับ”

     “หนึ่ง สอง สา...!!!”

     ตัวเลขสุดท้ายถูกกลืนลงไปในคอ วายุนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันขวับไปมองอีกคน ท้องฟ้ากำลังมองรูปในโทรศัพท์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โดยไม่สนหน้าเหวอๆ ของเขาเลย

     “โชคดีที่ผมมือนิ่งรูปเลยออกมาสวย” เด็กหนุ่มหันโทรศัพท์มาอวดรูป พาให้หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นไปอีก วายุรีบหันไปมองรอบตัว ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าไม่มีใครมอง

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “ใครใช้ให้นายหอมแก้มพี่”

     “ผมใช้ตัวเอง”

     วายุอึ้งอีกรอบเมื่อคนที่ควรรู้สึกผิดกลับตอบได้หน้าตาเฉย ท้องฟ้ายื่นหน้ามาใกล้ ดวงตาเป็นประกายวิบวับ

     “ผมอยากเปลี่ยนรูปหน้าจอแต่ไม่รู้จะตั้งรูปอะไร มีนบอกให้เลือกรูปที่มองแล้วยิ้มออก ผมเลยนึกถึงพี่วายุขึ้นมา”

     “…”

     “แก้มหอมจังเลยครับ พี่วายุทาแป้งอะไรบอกผมบ้างสิ”

     หน้ายิ้มๆ กับคำถามสองแง่สองง่ามทำให้วายุหมดคำพูด เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวงด้วยฝีมือลูกชายเพื่อนพ่อ

     “เอาหน้าออกไปเลย” ชายหนุ่มผลักใบหน้าให้ออกห่าง อยากกลบเกลื่อนน่ะใช่ แต่เขากลัวจะโดนหอมอีกมากกว่า

     “ยังไม่ตอบผมเลยนะว่าทาแป้งอะไร”

     “ไม่ได้ทา”

     “อ้าวเหรอครับ ผมอุตส่าห์อยากซื้อมาทาบ้าง เผื่อพี่วายุจะหอมคืน”

     “เดี๋ยวเถอะ!”

     ดูเหมือนเขาคงต้องจับมาสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว ลูกหมาอะไรเจ้าเล่ห์เป็นบ้า ร้ายกาจจนเจ้าของอย่างวายุตามไม่เคยทันเลยสักครั้ง




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 20 ★ [17/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 17-11-2022 18:39:00
ตอนที่ 20
ไม่ชอบ แต่ชอบ


     “มีน”

     “…”

     “มีน”

     “…”

     เขตดนัยโบกมือไปมา ดีดนิ้วเบาๆ พอให้คนตรงหน้ารู้สึกตัว เมื่อเด็กหนุ่มกะพริบตาเขาจึงยิ้มออกมา

     “เป็นอะไร เอาแต่มองพี่อย่างเดียว เรียกก็ไม่ตอบ”

     “เปล่าครับ” รามิลเบือนหน้าหนี ปากยื่นออกเล็กน้อย เขตดนัยมองตามอย่างงุนงงแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ กลับมาสนใจขนมที่ทำค้างไว้

     รามิลปรายตามามองอีกครั้ง ร่างสูงของเขตดนัยอยู่ในชุดสบายๆ เสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้า กางเกงขายาวผ้าบางสีเทา มีผ้ากันเปื้อนลายตารางสีขาวดำสวมทับไว้ เป็นชุดสบายๆ เหมาะกับการใส่อยู่บ้าน แต่กลับเสริมบุคลิกของคนใส่ให้น่ามองขึ้นไปอีก

     ปกติเห็นแต่งตัวตามแฟชั่น ไม่นึกว่าพอเปลี่ยนมาแต่งแบบคนธรรมดาจะดูดีขึ้นผิดหูผิดตา หนุ่มดาราหน้าจืดก็มีดีเหมือนกันแฮะ

     “แล้วไหนล่ะครับที่จะให้ผมช่วย” พวกเขาอยู่ในห้องครัว ในบ้านของเขตดนัย เจ้าของบ้านกำลังเตรียมส่วนผสมเพื่ออบขนมโดยมีเด็กหน้าหวานอาสาเป็นลูกมือ

     ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ในบ้านศัตรูหัวใจของเพื่อนสนิทได้ ก็คงต้องย้อนไปเมื่อเช้า รามิลกำหนดหัวข้อถ่ายรูปในวันนี้เป็นอารมณ์คิดถึง เด็กหนุ่มให้เขตดนัยเลือกสถานที่เพราะเขาไม่มีไอเดีย เขตดนัยจึงเลือกสวนดอกไม้ขนาดย่อมที่อยู่หน้ารั้วบ้าน โดยให้เหตุผลว่าทุกครั้งที่ไปยืนรดน้ำต้นไม้เขาจะคิดถึงแม่ที่อยู่เชียงใหม่ ดอกไม้ที่แม่ของเขตดนัยชอบที่สุดคือดอกกุหลาบ เกินครึ่งของสวนจึงเป็นดอกกุหลาบไปโดยปริยาย

     หลังจากถ่ายรูปเสร็จรามิลตั้งใจจะกลับ แต่เขาถูกเจ้าของบ้านชวนให้มาชิมคุกกี้แบบใหม่ที่ตั้งใจจะลองทำวันนี้ ถึงแม้รามิลจะเป็นคนผอมบางแต่เขาก็ชอบกินขนมมาก จึงรีบรับคำชวนไว้ด้วยความเต็มใจ

     รามิลมองซ้ายมองขวา บนเคาน์เตอร์ในครัวมีทั้งวัตถุดิบและอุปกรณ์ทำขนมวางเต็มไปหมด ถึงเขาจะไม่ชอบเขตดนัย แต่จะให้นั่งรอกินขนมเฉยๆ เขาก็ทำไม่ลงเหมือนกัน

     “ตอนนี้มีนทำอะไรอยู่” ร่างสูงละสายตาจากการตอกไข่ หันมามองเด็กหน้าหวาน

     “ก็ยืนอยู่ไงครับ” รามิลก้มมองตัวเองที่กำลังยืนข้างเขตดนัย รอให้อีกฝ่ายออกคำสั่ง เขาไม่ได้กวนแต่นึกคำตอบอื่นไม่ออกจริงๆ

     “ทำอะไรอยู่หรือเปล่า”

     “เปล่าครับ ผมยืนเฉยๆ”

     “อืม นั่นล่ะคือสิ่งที่พี่จะให้เราช่วย”

     “…”

     “จะเปลี่ยนจากยืนเฉยๆ ไปนั่งรอเฉยๆ ก็ได้นะ พี่ไม่ว่าอะไร”

     น้ำเสียงกลั้นขำของคนพูดทำให้รามิลอยากข่วนหน้าหล่อๆ ให้เสียโฉมจริงๆ พูดแบบนี้จะหาว่าเขาเป็นตัวถ่วงล่ะสิท่า

     “พี่เขตกำลังดูถูกผมอยู่นะครับ”

     “พี่ก็ว่าพี่ดูไม่ผิดนะ”

     รามิลควันออกหูกว่าเดิม ถึงแม้ทั้งชีวิตเขาจะไม่เคยเข้าครัว ฝีมือในการทำอาหารจึงเป็นศูนย์ แต่มาพูดขนาดนี้คิดหรือว่าคนอย่างเขาจะยอม

     “แค่ซอฟต์คุกกี้ ใครๆ ก็ทำได้” รามิลแย่งกะละมังสแตนเลสมาวางตรงหน้า เขาหยิบไม้พายขึ้นมา มองส่วนผสมในกะละมังแล้วก็แอบลังเลในใจ ต้องสวมถุงมือก่อนไหม มีอย่างอื่นที่ต้องใส่อีกหรือเปล่า ขั้นตอนต่อไปคืออะไร รามิลอยากถามแต่ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอทำให้ไม่กล้าพูดออกไป

     “คนทุกอย่างให้เข้ากัน” เสียงทุ้มที่ดังข้างๆ ทำให้เด็กหนุ่มรีบหันไปแก้ตัว

     “ผมรู้แล้วครับ แค่กำลังนึกทบทวนว่าพี่เขตใส่ส่วนผสมครบหรือยัง”

     เขตดนัยอมยิ้ม แววตาเป็นประกายขบขัน ท่าทางเงอะงะที่กำลังคนส่วนผสมทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวคงไม่เคยทำอาหารมาก่อน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังทำเป็นเก่ง

     “ต่อไปก็เอาแป้งสาลีมาผสม” เขตดนัยทำเป็นไม่เห็นสีหน้าหงุดหงิด เขาอยากแกล้งเด็กแสบก็จริง แต่ขืนปล่อยให้ทำเองเขากลัวว่าครัวจะพังเสียก่อน

     รามิลเหลือบไปมอง ตรงหน้าเขามีถุงแป้งอยู่สามถุง เขาไม่รู้ว่าแป้งสาลีคือถุงไหนเพราะบนถุงไม่ได้เขียนไว้ แต่พอเห็นสายตายิ้มๆ ที่มองมาเขาก็รู้ทันทีว่าถ้าถามไปจะเกิดอะไรขึ้น

     เด็กหนุ่มคว้าหนึ่งในสามถุงนั้นมา คิดเอาเองว่ามันคือแป้งสาลี แต่ถึงไม่ใช่ก็คงไม่เป็นไร แป้งเหมือนกันน่าจะใช้แทนกันได้แหละมั้ง

     “มีน เดี๋ยว” เขตดนัยกำลังจะห้าม แต่ก็ไม่ทันความไวของเด็กหนุ่มที่เทผงสีขาวลงกะละมังไปแล้ว

     “ผมทำเป็นครับ พี่เขตไม่ต้องช่วยก็ได้” ปากพูดกับคนข้างๆ ขณะที่มือคนส่วนผสมให้เข้ากัน

     “แต่ที่เราเทไปเมื่อกี้มันคือเกลือ”

     “…”

     มือที่กำลังคนหยุดชะงัก ใบหน้าตื่นกับดวงตาที่เบิกกว้างทำให้เขตดนัยแทบกลั้นขำไม่อยู่ ตอนแรกเขาตกใจ แต่ตอนนี้เขากลับนึกขำ ขำความซุ่มซ่ามของเด็กแสบที่ริอ่านทำเป็นเก่ง

     “ผม...ผมชอบคุกกี้รสเค็ม เลยอยากลองทำให้พี่เขตชิมไงครับ” รอยยิ้มแห้งถูกส่งมาให้ คราวนี้เขตดนัยหัวเราะเสียงดัง

     “คุกกี้รสเค็ม คิดได้นะเรา”

     “อ่า...ฟังไม่ขึ้นสินะครับ”

     คนตัวสูงส่ายหน้าไปมา เด็กหนุ่มเลยทำหน้าจ๋อย

     “ผมขอโทษ”

     เขตดนัยวางมือบนศีรษะ โยกไปมาเบาๆ คล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาแอบแปลกใจเล็กน้อยที่เด็กตัวแสบยอมรับผิดเป็นด้วย

     “ทำใหม่อีกรอบได้ไหมครับ เดี๋ยวผมออกค่าวัตถุดิบให้”

     “ไม่ต้อง เรายังทำไม่ถึงไหน ทำใหม่ได้สบายมาก”

     “ได้ไงครับ ผมทำพัง ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ”

     “ถ้าอยากรับผิดชอบจริงๆ ก็มาช่วยพี่จีบวายุ”

     ดวงตารู้สึกผิดวาววับขึ้นมาเล็กน้อย เขตดนัยลอบยิ้ม ดูซิว่าโดนไม้นี้เข้าไปเด็กแสบจะทำยังไง

     “เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ผมคงเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกครับ”

     “หึๆ”

     “พี่เขตหัวเราะอะไรครับ”

     “เปล่า” เขาก็แค่ขำคนที่ไม่อยากยุ่งความรักของคนอื่น แต่กลับทำตัวเป็นพ่อสื่อให้เพื่อนสนิทด้วยการเอาตัวเองมาขัดขวางคู่แข่ง “เอาเป็นว่าตรงนี้พี่จัดการเอง เราไปนั่งรอเถอะ”

     “จะไม่ให้ผมช่วยจริงๆ เหรอ”

     “ช่วยแค่นี้ก็มากพอแล้ว”

     สายตายิ้มๆ ที่ถูกส่งมาทำให้รามิลกลับมาหงุดหงิดอีกครั้ง เขาอุตส่าห์อยากช่วยเพราะหวังดี ถึงจะช่วยผิดวิธีไปหน่อยก็เถอะ แต่ในเมื่อพูดกันขนาดนี้เขาก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป

     เด็กหนุ่มสะบัดหน้าหนี เดินดุ่มๆ ไปนั่งกอดอกที่โซฟา เขตดนัยหัวเราะในลำคอ รอยยิ้มจุดบนริมฝีปากอีกครั้ง

     เป็นเด็กที่แสบได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     กลิ่นหอมของขนมที่โชยมาทำให้รามิลหันไปมอง เขาเห็นเขตดนัยกำลังหยิบถาดคุกกี้ออกจากเตาอบ เพียงเท่านั้นดวงตาของเด็กหนุ่มก็เป็นประกายขึ้นมา

     รามิลเดินไปดูใกล้ๆ เขตดนัยกำลังถือถาดขนมอยู่ในมือ ซอฟต์คุกกี้รสช็อกโกแลตถูกวางเรียงเป็นระเบียบ ข้างบนมีเม็ดอัลมอนด์วางประดับ รามิลเพิ่งรู้วันนี้ว่าเขตดนัยไม่เพียงแต่ชอบทำขนม แต่ยังทำเก่งด้วย ต่อให้ยังไม่ได้ชิมแต่ดูจากหน้าตาเขาก็รู้แล้ว

     แต่เขาจะไม่ชมออกไปเป็นอันขาด หนึ่งคืออีกฝ่ายเป็นศัตรูหัวใจของเพื่อนสนิท สองคือเขายังเคืองสายตาล้อเลียนเมื่อครู่ไม่หาย

     “เดี๋ยวผมเอาไปวางให้ครับ”

     รามิลเอื้อมมือไปรับถาดขนม ตั้งใจจะเอาไปวางบนโต๊ะให้ แต่เขาลืมมองว่าเขตดนัยกำลังสวมถุงมือกันความร้อน ขณะที่เขาไม่ได้สวมอะไรเลย

     “โอ๊ย!”

     “มีน!”

     เขตดนัยรีบวางถาดขนมแล้วดึงมือของเด็กหนุ่มมาดู มือเรียวบางของรามิลขึ้นสีแดงเนื่องมาจากสัมผัสกับความร้อนของถาด เขาจูงเด็กหนุ่มมาล้างมือที่อ่าง จากนั้นก็พาไปนั่งโซฟา มือของรามิลยังพองไม่หาย เขตดนัยลูบมือนั้นอย่างแผ่วเบา

     “เจ็บมากไหม”

     รามิลพยักหน้า เขตดนัยลุกขึ้นยืน เขาบอกให้เด็กหนุ่มนั่งรอก่อนจะหายเข้าไปในบ้าน

     ผ่านไปสักพักร่างสูงก็กลับมาพร้อมผ้าชุบน้ำเย็น มือของรามิลถูกดึงไปจับอีกครั้ง เขตดนัยค่อยๆ พันผ้าจนรอบมือ

     “ทิ้งไว้สักพัก อย่าเพิ่งเอาออกนะ แล้วเดี๋ยวพี่ทายาให้”

     “มือผมจะเป็นแผลเป็นไหมครับ” รามิลถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

     “ไม่ขนาดนั้น แค่โดนของร้อน ไม่ได้โดนไฟลวกมือซะหน่อย” หน้ายิ้มๆ ของเขตดนัยทำให้เด็กหนุ่มอดถลึงตาใส่ไม่ได้

     “ก็ผมกลัวนี่นา พี่เขตลองมาโดนเองไหมครับ”

     “พี่รอบคอบพอที่จะไม่ทำให้มือตัวเองพอง”

     รามิลชักสีหน้า ตั้งใจจะโต้ตอบกลับไป แต่เมื่อรู้สึกตัวจึงรีบปรับสีหน้าให้เหมือนเดิม เขาเกือบลืมว่ากำลังแสดงละครเป็นแฟนคลับของเขตดนัย

     “ผมก็แค่อยากช่วยพี่เขต”

     มือหนาถูกวางบนศีรษะอีกครั้ง สายตาที่มองมาทำให้รามิลคิดว่าเขตดนัยคงกำลังจะปลอบ แต่กลับไม่ใช่

     “พี่บอกแล้วไง ว่าแค่นี้มีนก็ช่วยมากพอแล้ว”

     เขาว่าเขาจะไม่เอาเรื่องแล้วนะ แต่เล่นสองครั้งติดแบบนี้คงปล่อยผ่านไปไม่ได้ ทำไมรามิลจะไม่รู้ว่าเขตดนัยกำลังพูดย่อ และใจความเต็มๆ ของประโยคนั้นคงไม่พ้น ‘ช่วยให้พี่ลำบากกว่าเดิม’

     ฝากไว้ก่อนเถอะอีตาดาราหน้าจืด มีโอกาสเมื่อไหร่จะเอาคืนให้สาสมเลย!

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เอามือมาให้พี่ดูหน่อย” เขตดนัยเอ่ยเมื่อพวกเขาทานคุกกี้กันจนหมดแล้ว รามิลยื่นมือที่มีผ้าพันอยู่มาให้ เขาแกะผ้าออกก่อนจะหยิบเจลว่านหางจระเข้มาทา

     “เย็น” เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อฝ่ามือสัมผัสกับความเย็นของเจล พอจะชักมือกลับร่างสูงก็จับไว้แน่น

     “อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวไม่หายนะ”

     “ผมทาเองได้ครับ พี่เขตส่งเจลมาให้ผม”

     “พี่ทาให้จะได้สะดวก รับรองว่าไม่เจ็บ”

     รามิลไม่ได้กลัวว่าจะเจ็บเสียหน่อย เขาแค่ไม่ชินเวลาที่มือของเขตดนัยลูบไปมาบนมือของเขา มันรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง

     “คุกกี้อร่อยไหม” เขตดนัยชวนคุยเพื่อให้เด็กหนุ่มหันไปสนใจเรื่องอื่น รามิลกำลังจะตอบตามจริง แต่พอนึกถึงคำสบประมาทเขาก็กลับคำ

     “งั้นๆ ครับ” นาทีนี้เขาไม่สนแล้วว่ากำลังแสดงละครอยู่หรือไม่ อยากมาว่าเขาดีนัก โดนเอาคืนซะบ้าง

     “แต่พี่เห็นเราหยิบเข้าปากไม่หยุดเลยนะ”

     “ผมแค่ไม่อยากให้พี่เขตเสียน้ำใจ อุตส่าห์ชวนผมมาชิมก็ต้องกินให้หมด”

     “ถูก พี่ชวนเรามาชิม คนปกติเขาชิมกันแค่สองสามชิ้นนะ”

     รามิลหันขวับมามองทันที พูดอย่างนี้จะหาว่าเขาตะกละใช่ไหม

     “เดี๋ยวผมซื้อมาคืนให้ แค่คุกกี้ไม่กี่ชิ้นทำเป็นงกไปได้”

     ประโยคหลังรามิลบ่นกับตัวเอง แต่เพราะนั่งอยู่ใกล้กันเขตดนัยจึงได้ยินทุกอย่าง ร่างสูงหัวเราะในลำคอ ส่ายหัวไปมาเบาๆ เลิกคิดจะถามเรื่องเดิมเพราะถึงถามไปอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมตอบ

     “พี่พูดเล่น ถ้าชอบก็กินไปเถอะ ขนมแค่นี้พี่ไม่งกหรอก”

     “ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าชอบ”

     “ครับๆ ไม่ชอบก็ไม่ชอบ”

     รามิลหน้าหงิกกว่าเดิม ทำไมดาราหน้าจืดพูดเหมือนรู้ความในใจเขาเลย ตอนแรกเขาตั้งใจจะกินชิ้นเดียว แต่พอขนมเข้าปากเขากลับหยุดไม่ได้ รู้ตัวอีกทีคุกกี้ก็หายไปครึ่งโหลแล้ว

     “เสร็จแล้ว” เขตดนัยวางเจลว่านหางจระเข้ลงข้างตัว ลูบมือบางแผ่วเบาก่อนจะยกมาชิดริมฝีปาก

     “พี่เขต ทำอะไรเนี่ย” รามิลร้องขึ้นมาอย่างตกใจ

     “เป่าให้หายไวๆ ไง”

     “ผมไม่ใช่เด็กนะ”

     “พี่รู้ แต่ที่มีนต้องเจ็บตัวก็เพราะพี่ ขอโทษนะครับ”

     สายตาอ่อนโยนที่มองมาทำให้รามิลทำตัวไม่ถูก เขาชักมือกลับก่อนจะเบือนหน้าหนี

     “ผมเสนอตัวไปช่วยเอง พี่ไม่ผิดซะหน่อย ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”

     “ถ้าอย่างนั้นพี่ควรขอบคุณสินะ ขอบคุณนะครับที่อยากช่วยพี่”

     รามิลไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยปล่อยให้เกิดเดดแอร์ชั่วขณะ เดี๋ยวก็พูดเหมือนเขาเป็นตัวถ่วง เดี๋ยวก็มาขอบคุณเขา ตกลงจะเอายังไงกันแน่ ตามไม่ทันแล้วนะ

     เขตดนัยลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบคุกกี้อีกโหลที่แบ่งไว้ตั้งแต่ตอนแรก พอรามิลเห็นอย่างนั้นเลยถามขึ้นมา

     “พี่เขตจะเอาคุกกี้ไปไหนครับ”

     “เอาไปให้วายุ ช่วงนี้หายหน้าไปนาน เลยว่าจะไปทำคะแนนซะหน่อย”

     เด็กหนุ่มหน้านิ่งขึ้นมาทันที ดวงตาลุ่มลึกเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขตดนัยลอบยิ้ม เขาทิ้งช่วงไว้ครู่หนึ่งก่อนจะทำเป็นเดินไปที่ประตู

     “ผมขอได้ไหมครับ”

     “ขออะไร”

     “คุกกี้ที่พี่ถืออยู่”

     เขตดนัยเดินกลับมาหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่ม เขาถามกลับไปขณะพยายามซ่อนรอยยิ้ม “ไหนว่าไม่ชอบ”

     “พี่เขตทำผมเจ็บตัว ผมเลยจะให้รับผิดชอบด้วยการให้คุกกี้ผมไง”

     “ไหนว่าพี่ไม่ผิด”

     “ตอนนี้ผิดแล้วครับ”

     ในที่สุดเขตดนัยก็กลั้นขำไม่อยู่ เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง รามิลหันไปทางอื่นแต่ปากถามย้ำอีกรอบ

     “ตกลงให้ผมได้ไหม”

     “ได้สิ ถือซะว่าคุกกี้โหลนี้แทนคำขอโทษของพี่แล้วกัน”

     รามิลรับโหลคุกกี้มาถือ เขาชอบขนมที่เขตดนัยทำก็จริง แต่เหตุผลหลักที่ทำแบบนี้เพื่อไม่ให้หนุ่มดาราหน้าจืดไปทำคะแนนกับวายุ ตอนนี้ความรักของเพื่อนเขากำลังไปได้สวย รามิลจึงไม่ต้องการให้มีอะไรไปทำให้สะดุด

     เขตดนัยเดินมาส่งรามิลที่หน้าบ้านเมื่อถึงเวลากลับ พอเด็กหนุ่มขึ้นแท็กซี่ไปแล้วเขาก็มองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากสายตา ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าคมสัน เขตดนัยเดินเข้าบ้านด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา

     ใครว่าเขาทำคุกกี้ให้วายุ เขาตั้งใจทำให้เด็กแสบที่วันนี้เป็นเด็กดีต่างหาก ถึงจะทุลักทุเลไปหน่อยแต่เขาก็เห็นถึงความตั้งใจที่อยากช่วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้เอ็นดูได้อย่างไร

     เพียงแต่ถ้าเขาบอกไปตรงๆ รามิลคงไม่ยอมรับ คนอย่างเขตดนัยเลยต้องใช้ลูกไม้สักหน่อย บอกแล้วว่าเขาเป็นผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ ต่อให้เป็นเด็กแสบก็เถอะ แต่คิดจะตามความเจ้าเล่ห์ของเขาให้ทันยังเร็วไปสิบปี




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 21 ★ [21/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-11-2022 16:08:19
ตอนที่ 21
เพิ่งเริ่มต้น


     งานเลี้ยงต้อนรับปฐพีถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์นรากิตตินนท์ แขกภายในงานมีทั้งญาติผู้ใหญ่คนสนิท นักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ตลอดจนเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของปฐพี

     คุณกมลฉัตรยิ้มแย้มกว่าใคร แขกผู้ใหญ่ที่มางานในวันนี้ต่างชมไม่หยุดว่าสถานที่จัดงานทั้งใหญ่โตและอลังการ เธอเป็นคนกำกับเองทุกอย่าง ทั้งการตกแต่ง อาหารจากโรงแรม ซุ้มดอกไม้ เรียกได้ว่าจัดเต็มครบรูปแบบ เธอต้องการให้งานของลูกชายออกมาดูดีที่สุด

     ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับ แต่อีกนัยหนึ่งคุณศิมันตร์ตั้งใจให้เป็นงานเปิดตัวลูกชายคนโตของตระกูล เขาวางแผนจะให้ปฐพีเข้ามามีส่วนร่วมในบริษัทเร็วๆ นี้ จึงถือโอกาสนี้แนะนำลูกชายคนโตให้คนในแวดวงสังคมและธุรกิจรู้จัก

     “พี่ดูเป็นไงบ้าง” วายุถามขณะหันตัวไปมาหน้ากระจก ตอนนี้เขาอยู่ในห้องนอนของท้องฟ้า พวกเขามาถึงที่นี่ตั้งแต่ตอนบ่ายและกำลังเตรียมตัวลงไปร่วมงาน

     “พี่วายุถามรอบที่สามแล้วนะครับ” ท้องฟ้าที่นั่งอยู่ปลายเตียงพูดกลั้วหัวเราะ มองคนที่เอาแต่ถามคำถามเดิมด้วยสีหน้ากังวล

     “ก็พี่ไม่เคยมางานแบบนี้มาก่อนเลยไม่มั่นใจ” วายุก้มมองชุดสูทที่ตัวเองใส่อยู่ ตอนได้ยินคุณน้ากมลฉัตรพูดถึงงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายเมื่อคราวก่อน เขาคิดว่าจะเป็นงานเล็กๆ ที่มีแต่คนในครอบครัว ไม่นึกว่างานจะใหญ่โตและเต็มไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลขนาดนี้

     ท้องฟ้าลุกมายืนตรงหน้า เอื้อมมือมาจัดปกเสื้อให้เข้าที่ สายตาที่มองอีกคนเต็มไปด้วยความรักใคร่

     “พี่วายุดูดีแล้วครับ”

     “จริงนะ”

     “จริงสิครับ พี่วายุใส่อะไรก็ดูดีหมดนั่นแหละ เหลือแค่ไม่ใส่อะไรเลยที่ผมตอบไม่ได้ว่าดูดีหรือเปล่าเพราะยังไม่เคยเห็น”

     “ท้องฟ้า!” วายุหน้าแดงก่ำ เขาหรือกังวลเรื่องงานวันนี้แทบตาย แต่เด็กคนนี้กลับเอาแต่พูดเล่นอยู่ได้

     “อย่าคิดมากเลยครับ พ่อแม่ผมก็บอกแล้วว่าให้ทำตัวตามสบาย” ร่างสูงวางมือลงบนไหล่ รอยยิ้มสดใสจุดขึ้นบนริมฝีปาก

     “ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น แค่ขาดความมั่นใจนิดหน่อย”

     “งั้นมาเอาความมั่นใจจากผมสิครับ”

     “เอายังไง” วายุหัวเราะ คิดว่าคนตรงหน้าคงพูดเล่นเท่านั้น แต่กว่าเขาจะรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่แค่การพูดเล่นก็สายไปเสียแล้ว

     ท้องฟ้าโน้มหน้าลงต่ำ แตะริมฝีปากลงบนแก้มเนียนใส ค้างไว้อย่างนั้นเนิ่นนานก่อนจะถอนใบหน้าออกอย่างอ้อยอิ่ง

     “มั่นใจขึ้นหรือยังครับ” สายตาแพรวพราวที่ถามในระยะประชิดทำให้วายุอึกอัก แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีระเรื่อ มือไม้เกะกะไปหมด

     “ใคร...ใครเขาให้กำลังใจคนอื่นแบบนี้กัน”

     “แล้วต้องให้แบบไหนครับ แบบนี้หรือเปล่า” คนพูดทำท่าจะประกบริมฝีปากลงมา วายุจึงเอนตัวหลบ เขายกมือชี้เป็นเชิงห้ามพลางถลึงตาใส่

     “เลิกรุ่มร่ามได้แล้ว เรากำลังจะลงไปร่วมงานนะ”

     “แปลว่าถ้างานจบแล้วรุ่มร่ามได้ใช่ไหมครับ” แววตาของท้องฟ้าพราวระยับ สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองมาทำให้วายุนึกอยากตบปากตัวเอง

     “ไหนว่าเป็นเด็กดี ทำไมตอนนี้พี่เห็นแต่เด็กดื้อ”

     “ดีหรือดื้อผมไม่รู้ แต่ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าเป็นเด็ก พี่วายุนั่นแหละยัดเยียดให้ผมเป็นเด็กอยู่ได้”

     “ก็นายเด็กกว่าพี่”

     “ถึงจะเด็กกว่าแต่ก็โตพอดูแลพี่ได้แล้วกัน” หน้านิ่งๆ ของท้องฟ้าทำให้วายุลืมไปแล้วว่าจะพูดอะไร เขาไม่รู้ว่าท้องฟ้าจริงจังกับคำพูดมากแค่ไหน แต่บางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง

     “สกาย พี่เข้าไปได้ไหม” เสียงปฐพีที่ดังมาจากหน้าประตูทำให้วายุอยากขอบคุณเหลือเกิน เขากำลังไม่รู้ว่าจะตอบท้องฟ้ายังไงอยู่พอดี

     “ได้ครับ” ท้องฟ้าตะโกนตอบ เพียงครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดออก ร่างสูงใหญ่ของปฐพีก้าวเข้ามาในห้อง เขาหันมายิ้มให้วายุที่ยืนอยู่กับน้องชาย

     “ขอบคุณนะวายุที่มางานผม”

     “ขอแสดงความยินดีอีกรอบนะครับ”

     “ขอบคุณครับ”

     “พี่ดินมาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

     ปฐพีเลื่อนสายตามามองน้องชาย เขาหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขารู้เรื่องที่สกายจีบวายุแบบเปิดเผยแล้ว จึงรู้ว่าท่าทางที่น้องชายกำลังแสดงตอนนี้คืออาการหวง

     “พ่อกับแม่ให้ขึ้นมาตาม อีกเดี๋ยวพี่ต้องขึ้นไปพูดบนเวทีแล้ว เลยอยากแนะนำเราให้ผู้ใหญ่ในงานรู้จักก่อน”

     “ได้ครับ เดี๋ยวผมลงไป”

     “อืม” ปฐพีกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่จังหวะที่ก้าวพ้นประตูก็หันมายิ้มให้ชายหนุ่มอีกครั้ง “อย่าตามใจน้องผมมากนะครับ เห็นซื่อๆ อย่างนี้แต่ข้างในร้ายไม่เบา”

     วายุหัวเราะกับคำเตือนของผู้เป็นพี่ชาย พูดขอบคุณกลับไป ขณะที่น้องชายหน้าบึ้งเพราะถูกใส่ความ

     “ขำผมเหรอครับ”

     “อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิ พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

     “แค่มองตาผมก็รู้แล้วว่าพี่วายุคิดเหมือนพี่ดิน”

     “แล้วพี่นายพูดผิดตรงไหน”

     “ผิดสิครับ ผมไม่เห็นร้ายเลย ออกจะเป็นเด็กดีด้วยซ้ำ”

     “ไหนว่าไม่ใช่เด็ก”

     “มาคิดดูอีกที เป็นเด็กก็ไม่เลวนะครับ” ใบหน้าบึ้งเริ่มปรากฏรอยยิ้ม ท้องฟ้าขยับตัวเข้าหาอย่างคุกคาม สายตาเต็มไปด้วยเลศนัย “เขาว่าเด็กยังหนุ่มยังแน่น พี่วายุอยากลองทดสอบไหมครับว่าผมหนุ่มแน่นจริงหรือเปล่า”

     “เดี๋ยวเถอะ!”

     วายุรู้ว่าปฐพีไม่ได้โกหก แต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายพูดผิดไปอย่างหนึ่ง แบบนี้ไม่ใช่แค่ร้ายข้างในแล้ว ข้างนอกก็ร้ายไม่แพ้กัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     หลังจากคุณศิมันตร์พาลูกชายทั้งสองไปทักทายแขกในงานแล้ว ปฐพีจึงพาท้องฟ้าและวายุมานั่งที่โต๊ะ ส่วนเขาต้องไปเตรียมตัวขึ้นเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณแขกที่มาวันนี้ วายุมองไปรอบตัว ไม่ว่าทางไหนก็มีแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจทั้งนั้น เขารู้เพราะได้ยินตอนท้องฟ้าแนะนำตัวกับแขกผู้ใหญ่

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     วายุโน้มหน้าไปใกล้ พูดเสียงเบาเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน “ไหนน้าฉัตรบอกว่าจะจัดงานเล็กๆ ไง”

     “ตอนแรกก็ตกลงกันแบบนั้นครับ แต่พอใกล้ถึงวันจัดงานจริงๆ แม่กลับตื่นเต้นกว่าพี่ดินที่เป็นเจ้าของงานอีก พ่อก็บ่นเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง แต่แม่ก็เอาแต่บอกว่าไม่อยากให้คนเอาไปนินทาลับหลัง”

     ท้องฟ้ารู้เรื่องพวกนี้เพราะปฐพีเล่าให้ฟัง เขาไม่ได้กลับบ้านเลยเพราะเรียนหนัก แต่ก็หมั่นโทรหาคนที่บ้านอยู่เสมอ ตอนย้ายมาอยู่กับวายุเขาแอบเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แต่พอพี่ชายกลับมาดูแลพ่อแม่แล้วเขาก็วางใจ

     “อืม พี่ไม่ได้จะว่าอะไรหรอก แค่มันเกร็งยังไงไม่รู้”

     “พี่วายุคิดมากเกินไปแล้ว ไม่ต้องวางตัวเรียบร้อยตลอดเวลาก็ได้”

     “พี่ให้เกียรติงานครอบครัวนายไม่ดีเหรอ”

     “ดีครับ แต่นี่มันแค่งานเลี้ยงต้อนรับ ไม่ใช่งานรวมตัวญาติผู้ใหญ่ซะหน่อย”

     “สกาย” เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้วายุและท้องฟ้าหันไปมอง เจ้าของเสียงคือเด็กหนุ่มร่างบางที่กำลังมองมาทางนี้ ดูจากการเรียกชื่อโดยไม่มีคำนำหน้าทำให้วายุคิดว่าน่าจะอายุเท่ากัน

     “ต้นน้ำ”

     น้ำเสียงเหมือนคนตกใจทำให้วายุหันกลับมามอง ดวงตาท้องฟ้าเบิกกว้าง ไม่ต่างกับเด็กหนุ่มที่เข้ามาทัก ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งก่อนท้องฟ้าจะพูดขึ้นมา

     “ต้นน้ำมาที่นี่ได้ยังไง”

     “พ่อเราถูกเชิญมา พอรู้ว่าจะมางานเลี้ยงของบ้านนรากิตตินนท์ เราก็คิดว่าอาจจะได้เจอสกายเลยขอตามมา”

     “จริงสิ พ่อต้นน้ำกับพ่อเราเป็นคู่ค้ากันนี่นะ”

     วายุลอบมองเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังคุยกัน แววตาที่ทั้งคู่ใช้มองกันทำให้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็เลือกนิ่งเงียบไม่ถามออกไป

     “พี่วายุ นี่ต้นน้ำเป็นเพื่อนที่มหา’ลัยผม ส่วนคนนี้พี่วายุ เป็นลูกของเพื่อนพ่อเรา” ท้องฟ้าแนะนำทั้งสองคนให้รู้จัก หลังจากสวัสดีทักทายกันเรียบร้อยแล้วต้นน้ำก็หันมาพูดกับเขา

     “สกายสบายดีไหม ตั้งแต่ตอนที่สกายย้ายออกไปเราก็ไม่ได้เจอกันเลย”

     “เราสบายดี แล้วต้นน้ำล่ะ”

     “เราก็สบายดี...” ต้นน้ำหลุบตามองต่ำ ก่อนเงยหน้ามองคนถามอีกครั้งด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “ไม่สิ เราไม่สบาย ตั้งแต่สกายย้ายออกไปเราก็รู้สึกผิดมาตลอดเลย”

     วายุรู้โดยสัญชาตญาณว่าสองคนนี้คงมีเรื่องส่วนตัวที่อยากคุยกัน เขากำลังจะขอไปเข้าห้องน้ำเพื่อเปิดโอกาสให้คุยสะดวก แต่คนข้างๆ ก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน

     “เราบอกแล้วไงว่าต้นน้ำไม่ผิด เรื่องนั้นเราตัดสินใจด้วยตัวเอง”

     “แต่ที่สกายตัดสินใจอย่างนั้นเพราะเราเป็นต้นเหตุไม่ใช่เหรอ” ต้นน้ำตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังขึ้น ก่อนจะชะงักเมื่อรู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยาไม่เหมาะสม เขาหันไปค้อมหัวเป็นเชิงขอโทษวายุก่อนจะหันมาบอกลาท้องฟ้า “เราขอตัวก่อนนะ พ่อเรามีธุระด่วนเลยต้องกลับก่อนงานเลิก แต่เห็นสกายก่อนเราเลยขอพ่อมาหา”

     “อืม ไปเถอะ ฝากสวัสดีคุณอาด้วยนะ”

     ต้นน้ำกำลังจะเดินจากไป แต่ก็หันกลับมาด้วยแววตาลังเล สุดท้ายก็เดินมาจับมือท้องฟ้าพร้อมใบหน้ารู้สึกผิด

     “เราขอโทษนะ สกายช่วยรับคำขอโทษของเราไปหน่อยได้ไหม”

     ร่างสูงมองตอบนิ่ง บีบมือกลับไปเบาๆ “เราไม่รับคำขอโทษ เพราะเรายังยืนยันว่าเรื่องนั้นต้นน้ำไม่ผิด”

     ต้นน้ำทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ปล่อยมือออก เขาหันมาบอกลาวายุก่อนจะเดินจากไป ท้องฟ้าถอนหายใจบางเบา วายุเห็นอย่างนั้นเลยเอื้อมมือไปแตะไหล่ เขาเพียงแค่ยิ้มให้โดยไม่พูดอะไร

     “ไม่ถามเหรอครับว่าผมกับต้นน้ำมีเรื่องอะไรกัน”

     “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตรงหน้า ใครๆ ก็ต้องอยากรู้ทั้งนั้นแหละ แต่พี่รู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของนายเลยไม่อยากก้าวก่าย”

     รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง ท้องฟ้าจับมือบนไหล่มากุม สบกับดวงตาที่มองมาอย่างอ่อนโยน

     “เพราะพี่วายุเป็นแบบนี้ไง ผมถึงไปไหนไม่รอดมาตลอดสิบปี”

     คำพูดตรงไปตรงมาทำให้หัวใจของวายุเต้นไม่เป็นส่ำ แต่เพราะเห็นว่าสีหน้าคนพูดดูดีขึ้นเขาจึงปล่อยเลยตามเลย เขาไม่รู้ว่าท้องฟ้ากับเด็กคนนั้นมีเรื่องบาดหมางอะไร แต่เขาไม่ชอบแววตารู้สึกผิดของท้องฟ้าเลยสักนิด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “จะพาพี่ไปไหน” วายุถามคนที่กำลังจูงมือ ท้องฟ้าบอกคุณอาศิมันตร์ว่าจะพาเขามาห้องน้ำ แต่ทางที่พวกเขากำลังเดินกลับเป็นคนละทาง

     “พี่ไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ ไม่ใช่เหรอ ผมเลยจะพาไปที่ที่ปลอดคนไง”

     “แล้วมันคือที่ไหน”

     “ไว้ถึงแล้วก็รู้เองครับ”

     วายุอยากถามซ้ำ แต่เพราะรู้ว่าถามไปก็คงไม่ได้คำตอบจึงได้แต่เดินตามไปเงียบๆ จนกระทั่งคนข้างหน้าหยุดเดิน เขาจึงมองไปรอบตัวด้วยดวงตาที่ค่อยๆ เบิกกว้าง

     “ที่นี่มัน...”

     “ใช่ครับ ที่ที่เราสองคนพบกันครั้งแรก”

     วายุเดินไปข้างหน้าช้าๆ จนกระทั่งถึงชิงช้าตัวเล็ก มือเรียวบางเอื้อมไปแตะสายชิงช้า ดวงตาหรี่ลงพร้อมกับความรู้สึกในวันวานที่ย้อนกลับมา

     “ตอนผมขึ้นมัธยม พ่อจะสั่งให้คนมารื้อออกเพราะผมตัวโตเกินกว่าจะนั่งได้ แต่ผมขอเก็บเอาไว้มาจนถึงทุกวันนี้” ท้องฟ้าเดินมายืนเคียงข้าง ปากพูดกับเขาแต่สายตาทอดมองชิงช้าสองตัว

     “ทำไมล่ะ” วายุถามทั้งที่พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่เวลานี้เขานึกคำพูดอื่นไม่ออก

     “ไม่ใช่แค่ชิงช้า แต่ทุกอย่างที่เราเคยเล่นด้วยกันผมเก็บรักษาไว้อย่างดี เวลาคิดถึงพี่วายุผมจะชอบมาที่นี่ มันเหมือนเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าช่วงเวลาที่ผมอยู่กับพี่ไม่ได้เป็นเพียงความฝัน”

     “ตอนนี้ก็ไม่ได้ฝันนะ” วายุเอื้อมมือไปแตะแก้ม ท้องฟ้าคลี่ยิ้มก่อนจะยกมือมากุมไว้อีกที

     “ถูกครับ ตอนนี้เรากลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว”

     วายุเพิ่งสังเกตว่านอกจากชิงช้าแล้วยังมีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ใกล้กัน ท้องฟ้าบอกว่าพ่อของเขาให้คนเอามาเพิ่มทีหลัง เขาจะได้มานั่งเล่นที่นี่ได้ทุกเวลา

     ท้องฟ้าจูงมือวายุไปนั่งที่โต๊ะหินอ่อน เขาจับมือวายุไว้อย่างนั้นถึงแม้จะนั่งลงแล้ว คนถูกจับเองก็ไม่ได้ดึงมือออก

     “ต้นน้ำเคยเป็นรูมเมทตอนผมยังอยู่หอครับ”

     “ท้องฟ้า” วายุตกใจเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ คนตรงหน้าก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขากำลังจะบอกว่าไม่ต้องเล่า แต่สายตากับรอยยิ้มที่ถูกส่งมาทำให้เขาเลือกที่จะฟังเงียบๆ แทน

     “ผมรู้จักกับต้นน้ำตอนปีหนึ่งเหมือนมีน พวกเราสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ต้นน้ำเป็นคนพูดเพราะ แถมครอบครัวต้นน้ำกับครอบครัวผมยังรู้จักกันในฐานะคู่ค้าที่ทำงานร่วมกัน ผมเลยไม่กล้าพูดจาหยาบคายกับต้นน้ำเหมือนที่พูดกับไอ้มีน”

     “…”

     “ผมกับต้นน้ำเลือกอยู่หอเดียวกัน จะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย เราสองคนเป็นรูมเมทกันมาตลอดสองปี จนเมื่อสามเดือนก่อนต้นน้ำก็มาสารภาพว่าแอบชอบผมนานแล้ว”

     “…”

     “สิ่งที่ผมทำตอนนั้นคือขอบคุณต้นน้ำกลับไป ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ รวมถึงขอโทษที่ผมไม่สามารถตอบรับความรู้สึกนั้นได้ เพราะในใจผมมีแต่พี่วายุ”

     วายุบีบกระชับมือของเด็กหนุ่ม เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าบทสนทนาในงานเลี้ยงเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร

     “ต้นน้ำไม่ว่าอะไร เขาเข้าใจและยืนยันที่จะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าระหว่างเรามันเปลี่ยนไป เหมือนมีความอึดอัดเข้ามาแทรกตรงกลาง ผมจะไม่กล่าวโทษเพราะผมเข้าใจต้นน้ำ ความรู้สึกที่ชอบใครสักคนมากๆ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมรับความผิดหวัง ผมเข้าใจดีเพราะผมอยู่กับมันมาตลอด”

     “ท้องฟ้า” เสียงของวายุแผ่วเบา ในใจรู้สึกโหวงขึ้นมา ท้องฟ้ายกยิ้มก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย

     “ผมไม่ได้พูดให้พี่วายุรู้สึกผิด เพราะงั้นห้ามคิดไปเองครับ ผมเคยบอกแล้วว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

     “อืม” เมื่อเห็นสีหน้าเขาดีขึ้นเด็กหนุ่มจึงเล่าต่อ

     “ถึงจะไม่แสดงออกแต่ผมก็รู้ว่าต้นน้ำเสียใจ ส่วนผมก็รู้สึกผิดที่ทำให้ต้นน้ำอกหัก หลังจากทนอยู่ด้วยกันสักพักผมเลยตัดสินใจย้ายออกมา ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าถ้าไม่เห็นหน้าผมอีก ต้นน้ำอาจตัดใจจากผมได้และมีชีวิตที่ดีกว่านี้”

     “ท้องฟ้า อย่าพูดแบบนี้”

     “มันคือความจริงครับ ผมเป็นคนพังความสัมพันธ์ทั้งหมด แถมพอย้ายออกมาแล้วพ่อก็ต้องลำบากหาที่อยู่ใหม่ให้ ไหนจะต้องรบกวนบ้านพี่วายุอีก ผมนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ”

     ริมฝีปากคนพูดกำลังยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่วายุไม่อยากมองสักนิด เขาสบตากับท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินอ้อมไปอีกฝั่งของโต๊ะ วายุไม่พูดอะไร เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วรั้งร่างสูงเข้ามากอด

     “ถูก นายมันใช้ไม่ได้เลย ใช้ไม่ได้ที่เอาแต่โทษตัวเองโดยไม่ถามคนอื่นสักคำ”

     “พี่วายุ...”

     “ทุกคนเขารักนายถึงได้ทำเพื่อนาย มากกว่านี้เขาก็ทำให้ได้ นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลยนะท้องฟ้า”

     “แต่ผมทำให้ต้นน้ำเสียใจ”

     “เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอก ต้นน้ำไม่ผิดที่ชอบนาย และนายก็ไม่ผิดที่ตอบรับต้นน้ำไม่ได้ เราไม่ควรถามหาคนผิดคนถูกกับความรัก เพราะความรักใช้ความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล”

     “…”

     “พี่ไม่รู้จักต้นน้ำ แต่พี่คิดว่าเขาเข้าใจเรื่องนี้ดีถึงได้บอกว่าจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องที่นายย้ายออกมาก็ไม่ผิดเหมือนกัน นายแค่เป็นคนดี ห่วงความรู้สึกของคนรอบข้าง เรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีใครผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว”

     วายุผละตัวออกเพื่อมองหน้าเด็กหนุ่ม สีหน้าของท้องฟ้าดูผ่อนคลายลง แววตาเสียใจและรู้สึกผิดหายไปแล้ว

     “เชื่อพี่เถอะ นายกับต้นน้ำยังเป็นเพื่อนกันได้”

     “ครับ ไว้ถ้ามีโอกาสผมจะไปคุยกับต้นน้ำให้รู้เรื่อง”

     วายุลูบศีรษะของเด็กตัวโต ดวงตาของท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง ดวงตาแบบนี้สิถึงค่อยเหมาะกับชื่อที่เขาตั้งให้

     “ว่าแต่ทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังล่ะ”

     “ผมอยากบอกพี่ทุกเรื่อง เพราะพี่วายุเป็นคนสำคัญของผม”

     คำพูดเรียบง่ายแต่กลับทำให้คนฟังไปต่อไม่ถูก วายุกำลังหน้าแดง เขารู้ได้แม้จะไม่ส่องกระจกก็ตาม

     “แต่ผมมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า”

     “เรื่องอะไร”

     “สัญญาก่อนได้ไหมครับว่าถ้าเล่าแล้วพี่วายุจะไม่ดุผม”

     “ได้สิ พี่สัญญา” วายุตอบกลับไป เพราะอยู่ด้วยกันมานานจนไว้ใจ เขาจึงคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่

     “ตอนผมย้ายออกมาจากหอและกำลังขับรถกลับบ้าน พ่อก็โทรมาบอกว่าจะให้ผมไปอยู่บ้านพี่วายุ ตอนนั้นผมทั้งดีใจ ตกใจ ตื่นเต้นที่จะได้เจอพี่วายุหลังจากไม่ได้เจอมาสิบปี เลยเผลอเหยียบเบรกกะทันหันจนรถคันหลังขับมาชน”

     “ท้องฟ้า นายนี่มัน...” วายุกำลังจะเทศนาเด็กตรงหน้า แต่คนทำความผิดก็ทวนความจำให้เขาเสียก่อน

     “พี่วายุสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ดุผม”

     ชายหนุ่มถอนหายใจ ใครจะไปนึกว่าจะเป็นเรื่องนี้กันล่ะ เขาไม่รู้จะโกรธ อ่อนใจ หรือขำกับเรื่องเล่าของอีกฝ่ายดี เขารู้แค่ว่าคนเป็นพ่อไม่น่าจะขำ และน่าจะดุลูกชายไปพอสมควรแล้ว พอคิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะว่าอะไรอีก

     “พี่วายุ” มือหนากอบกุมมือบางอีกครั้ง ดวงตาของท้องฟ้ามองเข้ามาในดวงตาของเขา “ขอบคุณนะครับ”

     “เรื่องอะไร”

     “ที่ช่วยพูดปลอบผม”

     รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากบาง สายตาที่มองกลับไปทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

     “มองแบบนี้บ่อยๆ นะครับ”

     “แบบไหน”

     “แบบที่ทำให้ผมรักหัวปักหัวปำ” ท้องฟ้ายื่นหน้ามาใกล้ ดวงตาเต้นระยิบระยับ “เรื่องของผมกับต้นน้ำจบไปแล้ว ตอนนี้เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน แต่เรื่องของผมกับพี่เพิ่งเริ่มต้น”

     “…”

     “ระวังให้ดีนะครับ ลูกหมาตัวนี้จะทำให้พี่ตกหลุมรักหัวปักหัวปำเหมือนกันให้ดู”

     วายุมองตอบโดยไม่หลบสายตา สีหน้าเจ้าลูกหมาดูมุ่งมั่นกับคำพูดของตัวเอง จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา มองกลับไปด้วยแววตาท้าทาย

     “ถ้าทำได้ก็ลองดู”




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 22 ★ [23/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 23-11-2022 17:09:51
ตอนที่ 22
โอกาส


     “นี่ก็ดึกแล้ว วายุค้างที่นี่เลยสิ” คุณกมลฉัตรเอ่ยเมื่องานเลี้ยงเลิกรา เธอเป็นห่วงทั้งวายุและลูกชายตัวเอง ไม่อยากให้ขับรถตอนกลางคืน

     “ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจคุณน้ากับคุณอา ให้สกายอยู่ก็ได้ครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมารับ” วายุคิดว่าพ่อแม่ลูกอาจจะคิดถึงกัน จึงอยากให้มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง พรุ่งนี้ท้องฟ้าไม่มีเรียนจึงไม่มีปัญหา

     “เกรงใจอะไรกัน อาสิควรเกรงใจที่เจ้าสกายไปรบกวนเรา ค้างที่นี่เถอะ เดี๋ยวอาให้คนเตรียมห้องไว้ให้” คุณศิมันตร์เอ่ยอย่างใจดี นึกชอบใจความอ่อนน้อมของลูกชายเพื่อน

     “ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นเลยครับ ให้พี่วายุนอนห้องผมก็ได้” ลูกชายคนเล็กของบ้านพูดขึ้นมา คุณศิมันตร์จึงหันไปมอง

     “อะไรจะติดพี่เขาขนาดนั้น” น้ำเสียงคนพูดทั้งเอ็นดูและขบขัน

     “ผมรักใครก็ติดหมดนั่นแหละครับ”

     วายุสะดุ้งเล็กน้อย โชคดีที่คุณอากับคุณน้าเข้าใจว่าท้องฟ้ารักเขาแบบพี่น้อง มีแต่เขาที่รู้ว่าความหมายจริงๆ คืออะไร

     ไม่สิ ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว...

     วายุเลื่อนสายตาไปมองปฐพี รอยยิ้มกับสายตาที่เหมือนอยากแซวทำให้เขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องเขากับน้องชายตัวเองหรือเปล่า แต่ในเมื่อปฐพีไม่ถามเขาก็จะไม่พูดอะไร ไม่ได้กลัวว่าจะถูกกีดกัน แต่กลัวจะโดนแซวมากกว่า

     “ตกลงตามนี้นะ วายุนอนห้องสกาย ขาดเหลืออะไรก็บอกอาได้ไม่ต้องเกรงใจ”

     วายุทำหน้าเหลอหลาเมื่อจู่ๆ บทสรุปก็ออกมาเป็นแบบนี้ เขาเผลอคิดอะไรเพลินๆ จึงไม่ทันฟัง

     “เดี๋ยวครับ ผมต้องนอนห้องสกายเหรอ”

     “ใช่ครับ” คนตอบไม่ใช่คุณพ่อ แต่เป็นคุณลูกชายที่กำลังทำหน้าออดอ้อน “นี่ก็ดึกแล้ว ขับรถตอนกลางคืนมันอันตราย พี่วายุนอนนี่เถอะ”

     “พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น...” วายุพูดเสียงเบา เขาอยากถามว่าทำไมถึงต้องนอนห้องเดียวกัน แต่ก็เกรงใจผู้ใหญ่ทั้งสองที่กำลังมองมา

     “นะครับ นอนกับผมนะ เตียงห้องผมกว้าง รับรองว่านอนสบายไม่อึดอัดแน่นอน”

     คนเป็นพ่อแม่รวมถึงพี่ชายได้แต่ขำท่าทางอ้อนเหมือนเด็กๆ ของลูกชายคนเล็ก ขณะที่คนถูกอ้อนไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้าดี

     “ตกลงไปเถอะครับวายุ น้องผมไม่นอนดิ้นหรอก ไว้ใจได้เลย” ปฐพีช่วยน้องชายเกลี้ยกล่อม วายุอยากตอบกลับไปเหลือเกินว่าเขาไม่ได้กลัวนอนดิ้น แต่กลัวสายตาที่กำลังซ่อนเลศนัยบางอย่างไว้ต่างหาก

     “ครับ คืนนี้ผมจะนอนห้องสกาย” สุดท้ายเขาก็ไม่อาจขัดใจเด็กตัวโตได้ เหมือนที่เป็นมาทุกครั้ง

     ท้องฟ้ายิ้มกว้างอย่างดีใจ คุณศิมันตร์เอื้อมมือมาตบไหล่วายุ สายตาทั้งขบขันและอ่อนใจ

     “อย่าตามใจให้มากล่ะ เจ้าเด็กคนนี้มันฉลาด รู้ว่าอ้อนใครถึงจะได้ผล วายุต้องหัดใจแข็งบ้างนะ”

     วายุได้แต่พูดขอบคุณกลับไป แต่ในใจกำลังโอดครวญ ถ้าใจแข็งได้ง่ายๆ ก็ดีสิครับ คุณอาไม่รู้เหรอว่าลูกชายตัวเองทั้งอ้อนเก่งแถมยังเจ้าเล่ห์จนเขาตามไม่เคยทันเลย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ห้องนายมีผ้านวมไหม พี่ขอสักผืนสิ”

     ท้องฟ้าหันไปมองคนที่ยืนอยู่ปลายเตียง ไม่ยอมขึ้นมานอนด้วยกัน “จะเอาไปทำไมครับ”

     “เอามาปูนอนบนพื้น”

     เด็กหนุ่มยันตัวขึ้นนั่ง สบกับดวงตาสีน้ำตาลที่มองมา

     “พี่จะนอนพื้นทำไม” เขาถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นสีหน้าอึกอักก็ค่อยๆ เผยยิ้มมุมปาก “กลัวผมเหรอ”

     “เปล่า” คนไม่กลัวหันหน้าหนี ไม่ยอมรับง่ายๆ ท้องฟ้าหัวเราะในลำคอ ขยับไปใกล้ก่อนจะดึงมือมาจับ

     “ผมไม่ทำอะไรหรอกน่า ถึงจะอยากทำแค่ไหนก็เถอะ”

     “เห็นไหม ขนาดยังไม่ทันนอนก็หลุดออกมาแล้ว”

     “จริงๆ นะครับ เชื่อผมสิ ผมไม่ทำอะไรพี่วายุหรอก”

     วายุมองดวงตาใสกับนิ้วสามนิ้วที่ชูขึ้นมา ก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆ

     “ไม่ทำแน่นะ”

     “ครับ ผมจะไม่ทำให้พี่วายุลำบากใจแน่นอน”

     วายุหรี่ตามองคนพูด เขารู้สึกเอะใจกับคำสัญญาที่ออกจะยืดยาวไปหน่อย แต่พอคิดว่าท้องฟ้าคงพูดเพราะไม่อยากให้คิดมากเขาจึงเลิกใส่ใจ

     “งั้นจะนอนเลยไหม นี่ก็ห้าทุ่มแล้ว” พวกเขาสองคนอาบน้ำกันเรียบร้อยแล้ว วายุต้องยืมชุดท้องฟ้าใส่เพราะเขาไม่ได้เตรียมตัวมาค้างที่นี่ แต่ด้วยขนาดตัวที่ต่างกันจึงทำให้ชุดที่วายุใส่อยู่ออกจะหลวมไปสักหน่อย

     “เดี๋ยวครับ” ท้องฟ้าลุกขึ้นจากเตียง จูงมือไปยังตู้เก็บของที่อยู่อีกมุมของห้อง “ผมมีอะไรอยากให้พี่ดู”

     เด็กหนุ่มเปิดตู้ออก หยิบบางอย่างในนั้นออกมา เพียงแค่เห็นแวบแรกริมฝีปากวายุก็ผุดรอยยิ้ม เขารู้ทันทีว่าท้องฟ้าจะให้ดูอะไร

     หุ่นยนต์ไดโนเสาร์ ตัวต่อรถแข่ง หนังสือนิทาน สมุดระบายสี ทุกอย่างถูกเด็กหนุ่มนำมาวางบนเตียง วายุเดินไปนั่งข้างๆ หยิบหนังสือนิทานมาเปิดดู นิ้วเรียวลูบไปบนกระดาษด้วยความรู้สึกคิดถึง

     “จำได้ไหมครับ”

     “ต้องจำได้อยู่แล้ว”

     “ตอนนั้นพ่อเรียกให้ลงไปกินข้าว แต่ผมยังอยากฟังพี่วายุเล่านิทานต่อ สุดท้ายเลยต้องให้แม่บ้านยกถาดอาหารขึ้นมา ปากกินไปหูก็ฟังพี่วายุเล่านิทานไป” ท้องฟ้าหัวเราะ เขานึกขำความดื้อของตัวเองในวัยเด็ก มาย้อนคิดดูเขาถึงได้รู้ว่าวายุตามใจเขาตลอด ไม่เคยขัดใจเลยสักครั้ง แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เคย

     “ส่วนสมุดเล่มนี้เราช่วยกันระบายสีใช่ไหม” วายุหยิบสมุดระบายสีมาดู ข้างในมีทั้งภาพที่ถูกระบายสีสวยงาม กับภาพที่สีเลยขอบเส้นออกมาโย้เย้ไปหมด “ตอนนั้นนายเอาไปให้น้าฉัตรดูแล้วถามว่าของใครสวยกว่า พอน้าฉัตรตอบว่าของพี่สวยกว่านายก็ร้องไห้ พอตอบของนายก็ยังร้องอีก จนอาศิต้องบอกว่าสวยเท่ากันถึงจะหยุดร้อง”

     “ก็ผมรักพี่วายุ ไม่อยากให้ใครมาว่าพี่ระบายสีไม่สวย” ริมฝีปากหนาคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง ความสดใสในดวงตาทำให้คนมองเผลอยิ้มตาม

     “แล้วทำไมไม่อยากให้ของพี่สวยกว่า”

     “ผมก็รักตัวเองเหมือนกันนะครับ”

     วายุหัวเราะเสียงดัง ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องฟ้า ต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหนเด็กคนนี้ก็ยังทำให้เขาหัวเราะได้เสมอ

     “คิดถึงจังเลยครับ เหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดไม่นานนี้เอง”

     เสียงหัวเราะค่อยๆ เบาลง วายุมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ภายในนั้นไม่มีความรู้สึกเศร้า มีเพียงความรักและความคิดถึงสะท้อนกลับมา

     “สิบปีที่ผ่านมาพี่อาจจะทิ้งนายไป แต่หลังจากนี้พี่จะอยู่กับนายไปตลอด เรามาสร้างความทรงจำร่วมกันอีกเยอะๆ เลยดีไหม”

     น้ำเสียงที่ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่นทำให้หัวใจของท้องฟ้าพองโต เขาขยับไปใกล้มากขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างกว่าเดิม

     “กำลังตอบตกลงเป็นแฟนผมทางอ้อมอยู่หรือเปล่าครับ โอ๊ย!” คนดีใจร้องเสียงหลงเมื่อโดนหมัดเล็กๆ เขกเข้าที่ศีรษะ วายุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ หมดกันอารมณ์ซึ้งของเขา

     “เคยขอแล้วหรือไง”

     “ถ้าผมขอพี่จะยอมเป็นเหรอ”

     “จีบให้ติดก่อนเถอะ”

     ร่างสูงแกล้งถอนหายใจ แต่รอยยิ้มยังไม่จางหาย “จีบติดอยู่แล้วครับ ระดับนายท้องฟ้าเสียอย่าง”

     วายุหัวเราะอีกครั้ง หลังจากรำลึกความหลังจนพอใจแล้วท้องฟ้าก็ยกของไปเก็บไว้ในตู้ ปิดไฟกลางห้องแล้วเดินกลับมาที่เตียง พอขึ้นไปนอนประจำที่แล้วก็ตบพื้นที่ว่างข้างตัวเอง

     “มานอนเร็วครับ ผมง่วงแล้ว”

     วายุมองนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะลอบถอนหายใจ ขยับไปนอนข้างเด็กตัวโตในที่สุด ถึงจะยังหวั่นอยู่บ้างแต่ลึกๆ แล้วเขาเชื่อใจท้องฟ้า เขารู้ว่าเด็กคนนี้ไม่มีทางทำอะไรไม่ดีกับเขาแน่นอน

     !!!

     วายุนิ่งงัน ความคิดในหัวสะดุด เขาก้มมองมือที่กำลังกอดเอวก่อนจะพูดขึ้นมาท่ามกลางความมืด

     “ท้องฟ้า”

     “ว่าไงครับ”

     ยังจะมาทำเสียงใสซื่ออีก!

     “มากอดพี่ทำไม ไหนว่าจะไม่ทำให้พี่ลำบากใจไง”

     “พี่วายุลำบากใจที่โดนผมกอดเหรอครับ”

     !!!

     วายุเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าความหมายของคำสัญญายืดยาวนั้นคืออะไร แต่เขาคิดว่ามารู้ตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว ท้องฟ้าเบียดตัวมาแนบชิด ไออุ่นจากร่างแกร่งทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ดวงตาที่มองผ่านความมืดเป็นประกายเว้าวอน

     “ว่าไงครับ พี่วายุรังเกียจกอดผมเหรอ”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น”

     “งั้นก็หมายความว่าผมกอดได้ใช่ไหมครับ”

     วายุอยากถอนหายใจออกมาดังๆ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเจอใครเจ้าเล่ห์ขนาดนี้มาก่อน

     “เด็กเจ้าเล่ห์” เพราะอดไม่ได้จึงต้องพูดออกไป

     “พี่มั่วแล้ว ผมออกจะเป็นเด็กดี กลัวพี่หนาวเลยต้องกอดไว้ไง”

     “ผ้าห่มก็มี”

     “เชื่อสิครับว่ากอดผมอุ่นกว่าเยอะ พี่วายุน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ” สายตาวิบวับที่ถูกส่งมา ถึงจะเห็นไม่ชัดแต่วายุก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงวันที่เขาไม่สบาย วายุทำหน้าเหนื่อยใจ ขืนต่อปากต่อคำไม่หยุดคงไม่ได้นอนกันพอดี

     “ให้แค่กอดนะ ถ้าทำมากกว่านี้พี่จะไล่นายลงไปนอนพื้น”

     “เดี๋ยว นี่ห้องผม”

     “งั้นพี่ไปเอง”

     “ไม่ให้ไปครับ” แรงกอดที่เอวเพิ่มมากขึ้น เด็กตัวโตซุกหน้าเข้าหา ทำท่าเหมือนกลัวเขาจะไปจริงๆ

     “งั้นก็สัญญามาว่าจะกอดอย่างเดียว”

     “หอมแก้มก่อนนอนก็ไม่ได้เหรอ”

     “ท้องฟ้า!”

     “ครับๆ กอดอย่างเดียว ไม่มากกว่านี้แน่นอน”

     เสียงตอบรับอย่างแข็งขันทำให้วายุพอใจขึ้นมานิดหนึ่ง เขาหันกลับมาทางเดิม กำลังจะหลับตาแต่เสียงทุ้มก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     “ราตรีสวัสดิ์ครับพี่วายุ”

     “ราตรีสวัสดิ์”

     ดวงตาของชายหนุ่มปิดลง วงแขนที่โอบกอดกระชับขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนที่สติจะเลือนหายเข้าสู่ห้วงนิทรา ริมฝีปากของวายุกลับยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว

     การหลับไปในอ้อมกอดพร้อมใครอีกคนบนเตียง มันก็ไม่แย่เท่าไหร่นะ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ว่าไง” วายุรับโทรศัพท์หลังจากทำงานเสร็จได้ไม่นาน เขาคิดว่าตอนนี้ท้องฟ้าคงเพิ่งเลิกเรียน

     [พี่วายุทำงานอยู่หรือเปล่าครับ]

     “เปล่า”

     [งั้นก็ว่างอยู่ใช่ไหมครับ]

     “จะว่าว่างก็ได้ มีอะไรเหรอ”

     [มาหาผมหน่อยได้ไหมครับ ผมอยู่ร้านอาหารข้างๆ มหา’ลัยที่เราเคยมากัน พี่จำได้ไหม]

     “จำได้ แต่จะให้พี่ไปหาทำไม”

     [มีคนอยากเจอพี่ครับ]

     “ใคร” วายุขมวดคิ้ว นอกจากรามิลแล้วเขาไม่รู้จักเพื่อนของท้องฟ้าสักคน และไม่น่าจะใช่รามิล เพราะถ้าใช่ท้องฟ้าคงพูดมาตรงๆ แล้ว

     [ไว้มาถึงก็รู้เองครับ]

     “ก็ได้ รอหน่อยแล้วกัน” ในเมื่ออีกฝ่ายไม่บอกวายุก็ไม่คิดจะถามต่อ เอาไว้ไปถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง

     [ขอบคุณครับ ให้ลุงพงษ์ขับรถมาส่งนะ ขากลับพี่จะได้กลับกับผม] คุณอาศิมันตร์บอกให้ท้องฟ้าเอารถตัวเองมาใช้ หลังจากรู้ว่าเขาไปรับไปส่งท้องฟ้ามาตลอด วายุเพิ่งมารู้ทีหลังว่าสาเหตุที่เด็กหนุ่มทำแบบนี้เพราะอยากกันเขาออกจากเขตดนัย เป็นเด็กที่ร้ายจริงๆ

     “จะไม่เหยียบเบรกกะทันหันจนรถข้างหลังขับมาชนอีกใช่ไหม” วายุเอ่ยแซววีรกรรมของเด็กตัวโต

     [ถ้าตอนขับรถพี่ไม่มาหอมแก้มผมก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกครับ]

     “ใครจะไปทำแบบนั้น!” วายุเผลอเสียงดัง หน้าแดงก่ำไปหมด เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนอื่นดังมาจากปลายสาย

     [จริงเหรอครับ แก้มผมยิ่งน่าหอมอยู่ด้วย ผมก็แค่กลัวพี่วายุอดใจไม่ไหว]

     “ถ้ายังไม่หยุดพูดเล่นพี่จะไม่ไปแล้วนะ”

     [ไม่ได้สิครับ คนๆ นี้เขาอยากเจอพี่มากเลยนะ]

     วายุถอนหายใจ ถ้าคนพูดมาอยู่ตรงหน้าเขาคงเขกหัวไปแล้ว

     “อีกสิบห้านาทีพี่ไปถึง”

     [ครับผม]

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     วายุชะงักเล็กน้อยเมื่อเดินเข้ามาในร้านอาหาร เขาเห็นแผ่นหลังของท้องฟ้านั่งอยู่ที่โต๊ะติดกระจก แต่คนที่นั่งตรงข้ามต่างหากที่ทำให้เขาแปลกใจ

     “พี่วายุมาแล้ว”

     เสียงของต้นน้ำทำให้ร่างสูงหันมามอง พอเห็นเขาเดินเข้าไปหาท้องฟ้าก็ยิ้มกว้าง รีบขยับให้ข้างตัวเองมีที่ว่าง วายุรับไหว้ต้นน้ำก่อนจะนั่งลงข้างเด็กตัวโต

     “คนที่บอกว่าอยากเจอพี่คือน้องต้นน้ำเหรอ”

     “ใช่ครับ” ต้นน้ำเป็นคนตอบ เขายิ้มให้วายุ แต่เป็นรอยยิ้มที่เจือความรู้สึกผิด “ผมอยากขอโทษพี่วายุ”

     “หือ? ขอโทษอะไรครับ”

     “สกายบอกว่ากำลังจีบพี่วายุ ผมเลยกลัวว่าวันนั้นที่คุยกันพี่จะเข้าใจผิด เลยอยากอธิบายให้พี่ฟัง”

     วายุยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาหันไปมองท้องฟ้าพร้อมกับเลิกคิ้ว คนถูกมองยิ้มให้ก่อนจะอธิบาย

     “วันนี้ผมเคลียร์กับต้นน้ำแล้ว เราสองคนต่างขอโทษกันและกัน ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกต่อไป แต่พอผมพูดเรื่องพี่วายุก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ”

     วายุรู้สึกดีกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่อยากให้เพื่อนสนิทต้องมาเลิกคบกันเพราะความรู้สึกผิดที่ทั้งคู่ไม่ได้ตั้งใจก่อ เขาเกือบจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ถ้าไม่ติดว่าประโยคหลังทำให้เขางงกว่าเดิม

     “ผมไม่ได้ชอบสกายแล้ว ตอนนี้เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน พี่วายุเชื่อผมนะครับ”

     “เดี๋ยว พี่ยังไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะครับ น้องต้นน้ำหรือเปล่าที่เข้าใจผิด”

     “ผมก็บอกไปแล้ว แต่ต้นน้ำก็ยังอยากฟังจากปากพี่อยู่ดี” ท้องฟ้ายิ้มแซวเพื่อนสนิท เหมือนอยากบอกว่าไม่เชื่อเขา เป็นไงล่ะ

     “ก็เรากลัวสกายโกหกนี่นา”

     “เห็นเราเป็นคนขี้โกหกเหรอ”

     “เปล่า เรานึกว่าสกายกลัวเราคิดมากเลยไม่กล้าบอกความจริง”

     “ต้นน้ำนั่นแหละคิดมาก เราบอกแล้วไงว่าเราคุยกับพี่วายุแล้ว คุยก่อนต้นน้ำอีก”

     ต้นน้ำหันมามองเหมือนอยากขอคำยืนยัน วายุจึงยิ้มกลับไปพร้อมพยักหน้า

     “ท้อง...สกายคุยกับพี่แล้วจริงๆ ครับ ไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่เข้าใจผิดแน่นอน”

     พอได้ยินอย่างนั้นเด็กหนุ่มร่างบางก็ทำหน้าโล่งอก รอยยิ้มจุดบนริมฝีปาก ดวงตากลายเป็นสระอิ

     “ค่อยยังชั่ว ผมกลัวมากเลยว่าจะทำให้พี่วายุกับสกายผิดใจกัน”

     “แล้วน้องต้นน้ำล่ะ ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”

     “สบายมากครับ ที่ผ่านมาผมมัวแต่รู้สึกผิดจนลืมไปแล้วว่าชอบสกาย ตอนนี้เลยไม่รู้สึกอะไรแล้ว”

     ใบหน้าติดรอยยิ้มที่พูดโดยไม่มีท่าทีคิดมากทำให้วายุรู้ว่าสองคนนี้คงปรับความเข้าใจกันแล้วจริงๆ

     “ว่าแต่...” ดวงตาต้นน้ำเริ่มมีประกายเจ้าเล่ห์ เขามองวายุก่อนจะหันมามองเพื่อนตัวเอง “จีบกันไปถึงไหนแล้วครับ”

     วายุทำหน้าไม่ถูกที่จู่ๆ ต้นน้ำก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ขณะที่อีกคนเพียงแค่หัวเราะเบาๆ

     “ยังจีบไม่ติดเลย ต้นน้ำช่วยเราจีบหน่อยสิ”

     “โหย ใจร้ายไปไหม มาบอกให้คนที่เคยชอบตัวเองช่วยจีบคนอื่นเนี่ยนะ” ต้นน้ำพูดเองแล้วก็ขำเอง ท่าทางสบายๆ เหมือนพูดเล่นมากกว่าจริงจัง “พี่วายุว่าไงครับ เพื่อนผมมีโอกาสจีบติดไหม”

     “พี่...” วายุอึกอักเมื่อโดนถามตรงๆ ยิ่งเห็นสายตาของคนจีบเขาก็ยิ่งพูดไม่ออก

     “เพื่อนผมเป็นคนดี ได้ไปเป็นแฟนรับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ” เด็กหนุ่มเริ่มอวดสรรพคุณของเพื่อนตัวเอง คนถูกชมรีบพยักหน้า ยิ้มรับคำชมโดยไม่คิดจะถ่อมตัว

     “พี่...พี่หิว ขอสั่งอาหารก่อนนะ” นี่คือวิธีเอาตัวรอดของคนไม่รู้จะพูดอะไร ต่อให้ไม่เนียนแต่วายุก็โล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่มีใครถามอะไรต่อ ถึงจะมีสายตายิ้มๆ มองมาไม่หยุดก็เถอะ

     ตลอดมื้ออาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ท้องฟ้าเคยบอกว่าต้นน้ำเป็นเด็กเรียบร้อย แต่พอรู้จักกันจริงๆ วายุจึงรู้ว่าเด็กคนนี้พกความร่าเริงมาเต็มเปี่ยม จะว่าไปเขาก็คิดว่าต้นน้ำแอบคล้ายรามิลอยู่เหมือนกัน มิน่าถึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้

     ระหว่างที่ทานข้าววายุรู้สึกเหมือนมีคนมอง พอหันไปมองก็เจอเข้ากับสายตาวาววับ ท้องฟ้าโน้มหน้ามาใกล้ กระซิบถามริมหูพอให้ได้ยินสองคน

     “ตกลงจะไม่ให้ความหวังผมจริงๆ เหรอ”

     “พูดอะไรพี่ไม่เห็นรู้เรื่อง”

     “ตามใจครับ ต่อให้ไม่มีโอกาสผมก็จะสร้างขึ้นมาเอง ผมรอมาได้ตั้งสิบปี รออีกนิดหน่อยจะเป็นไรไป” ร่างสูงทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนต่อ วายุรีบเบือนหน้าหนี เขากลัวว่าถ้ามองนานไปกว่านี้จะเผลอยิ้มออกมาเสียก่อน

     มีโอกาสจีบติดหรือเปล่าน่ะเหรอ...เจ้าลูกหมาเอ๊ย ฉลาดเจ้าเล่ห์มาตั้งนาน ดันมาตกม้าตายเพราะเรื่องแค่นี้

     วายุลอบยิ้ม แววตาเป็นประกายขบขัน ถ้าไม่มีโอกาสเขาไม่ปล่อยให้นอนกอดทั้งคืนหรอก




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 23 ★ [26/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 26-11-2022 17:41:20
ตอนที่ 23
ล่อลวง


     “คืนดีกับต้นน้ำแล้วเหรอ” รามิลถามเพื่อนสนิท สกายโทรมาบอกเขาเมื่อคืนแล้วแต่ไม่ได้คุยละเอียดนัก

     “อืม”

     “ไปทำอีท่าไหนถึงคืนดีได้”

     “พี่วายุช่วยพูดเตือนสติกู”

     “เออ ดีเนอะ กูพร่ำบอกให้คืนดีกันตั้งนานไม่ยอมฟัง พี่วายุพูดทีเดียวเชื่อสนิทใจ” รามิลว่าอย่างไม่จริงจัง เขาอยากให้สกายกับต้นน้ำคืนดีกันมานานแล้ว แต่สองคนนี้กลับเอาแต่โทษตัวเอง ไม่ยอมหันหน้าคุยกันสักที

     “ไม่ใช่พี่วายุก็เหนื่อยหน่อยนะ” สกายยักคิ้วใส่เพื่อน จริงๆ เขาก็กวนประสาทไปอย่างนั้น เขารู้ว่ารามิลหวังดีกับเขาและต้นน้ำมาตลอด เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกเขาต่างรู้สึกผิดเลยไม่กล้าปรับความเข้าใจ

     “คลั่งรักเหลือเกินนะ จีบติดเมื่อไหร่อย่าลืมเลี้ยงข้าวกูด้วย เพราะกูความรักมึงถึงราบรื่นไร้อุปสรรค”

     สกายกระตุกยิ้ม เขาเข้าใจความหมายของประโยคนั้นได้ทันที

     “มันก็ไม่ราบรื่นเท่าไหร่หรอก พี่เขตก็มีมาหาพี่วายุบ้าง แต่ยังดีที่ไม่บ่อยเท่าเมื่อก่อน กูเองก็ไม่ได้ตะบี้ตะบันหึง เป็นเพื่อนบ้านกัน จะไม่ให้พูดคุยทักทายกันเลยก็เกินไป”

     “แล้วพี่เขตยังจีบพี่วายุอยู่หรือเปล่า”

     “ไม่รู้สิ กูไม่ได้สนใจเรื่องนั้น กูสนแค่พี่วายุ”

     รามิลนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ คิ้วที่ขมวดกันทำให้สกายผิดสังเกต

     “เป็นอะไรวะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

     “ถ้าสมมติว่ามึงจีบพี่วายุติด มึงว่าพี่เขตจะเสียใจไหม”

     “ก็คงเสียใจ แต่กูไม่เห็นใจอยู่ดี กูรักพี่วายุเกินกว่าจะมาแคร์ความรู้สึกคนอื่น” สกายหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ดวงตาคมหรี่มองเพื่อนสนิท “จู่ๆ มาถามแบบนี้ อย่าบอกนะว่ามึงเป็นห่วงพี่เขต”

     “อะไร ใครเป็นห่วง อย่างอีตาดาราหน้าจืดนั่นน่าห่วงตรงไหน ร้องไห้ฟูมฟายไปเลยยิ่งดี” คนไม่เป็นห่วงรีบปฏิเสธ ยกน้ำปั่นขึ้นดูดพลางหันไปทางอื่น ท่าทางลนลานผิดปกติทำให้น่าสงสัยกว่าเดิม

     “มีน”

     “อะไร”

     “จะห่วงพี่เขตก็ได้นะ กูไม่ได้เกลียดเขา แค่ไม่ยกพี่วายุให้เฉยๆ”

     “มึงนี่พูดไม่รู้เรื่อง ก็บอกว่าไม่ได้ห่วงไง ไม่คุยกับมึงแล้ว ไปเรียนดีกว่า” รามิลสะบัดหน้าหนี สะพายกระเป๋าแล้วลุกออกไป สกายส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเดินตามไป รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก

     คบกันมาตั้งนาน ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเพื่อนสนิทเป็นห่วงศัตรูหัวใจของเขาเข้าให้แล้ว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ไม่เอาแครอทไม่ได้เหรอครับ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างออดอ้อน พาให้คนที่กำลังจะหยิบแครอทใส่ตะกร้าหันมาเลิกคิ้ว

     “ไหนว่าอยากกินแกงกะหรี่”

     “ก็ใช่ครับ แต่ไม่เห็นต้องใส่แครอทเลย”

     “แล้วมันจะเรียกว่าแกงกะหรี่ได้ไง”

     ท้องฟ้าหน้ามุ่ยเมื่อคราวนี้วายุไม่ยอมตามใจ จัดการหย่อนแครอทลงไปในตะกร้ารถเข็น

     “พี่วายุใจร้าย”

     วายุเอียงคองงกับคำพูดที่เหมือนจะงอนอยู่ในที แต่พอเริ่มจับบางอย่างได้เขาก็ยิ้มออกมา

     “อย่าบอกนะว่าไม่ชอบกินแครอท”

     เด็กหนุ่มสะดุ้งที่โดนจับได้ แต่ยังคงปิดปากเงียบไม่พูดอะไร นั่นยิ่งทำให้เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังกว่าเดิม

     วันนี้จู่ๆ ท้องฟ้าก็มาหาวายุในห้องทำงานด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม พร้อมกับบอกว่าอยากกินข้าวแกงกะหรี่ฝีมือพี่วายุ โชคดีที่ตอนนั้นป้านิดกำลังจะออกไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารพอดี เขาเลยอาสาไปเอง มีเด็กตัวโตมาช่วยถือของอีกคน

     พวกเขากำลังเดินดูของในซูเปอร์มาร์เกต วายุตั้งใจจะไปเลือกเนื้อสัตว์หลังจากซื้อผักครบแล้ว แต่ดูเหมือนเขาคงต้องจัดการเด็กไม่ยอมกินผักเสียก่อน

     “ทำไมไม่ชอบกินแครอท”

     “…”

     “ท้องฟ้า” วายุเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่อ่อนลง คนตรงหน้าทำปากยื่น พูดอ้อมแอ้มเหมือนกลัวโดนดุ

     “มันไม่อร่อย”

     “โตขนาดนี้ยังเลือกกินอีกเหรอ”

     “ผักอย่างอื่นผมกินได้ แต่ผมไม่อยากกินแครอท”

     วายุไม่รู้จะขำหรืออ่อนใจดี เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อสิบปีก่อน แต่ไม่นึกว่าจะรวมถึงนิสัยไม่ชอบกินผักด้วย

     “ไหนใครสัญญากับพี่เมื่อตอนเด็กว่าจะกินผัก” วายุพูดยิ้มๆ เขาเชื่อว่าท้องฟ้าจำเรื่องนี้ได้ และดูเหมือนเขาจะคิดถูก เพราะแววตาของเด็กหนุ่มเริ่มลังเล คล้ายตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำยังไง

     “เว้นแครอทไว้อย่างนึงไม่ได้เหรอครับ”

     “วันนี้พี่ว่าจะตั้งใจทำแกงกะหรี่สุดฝีมือ ถ้าคนบางคนกินไม่หมดพี่คงเสียใจน่าดู” เขาทำเป็นพูดลอยๆ โดยไม่ระบุชื่อ ท้องฟ้าลังเลกว่าเดิม นั่นทำให้วายุแอบยิ้มอยู่ในใจ

     วายุไม่คิดจะใช้มุกเมื่อสิบปีก่อน การกล่อมเด็กอายุยี่สิบว่าต้องกินผักให้หลากหลายจะได้แข็งแรงไม่น่าจะได้ผล วายุจึงเลือกใช้วิธีนี้แทน เพราะเขารู้ว่าท้องฟ้าไม่ใช่คนกินทิ้งกินขว้าง ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เขาเสียใจจริงๆ

     “ก็ได้ครับ ผมจะกิน”

     วายุลอบยิ้มเมื่อการล่อลวงสำเร็จ แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อดวงตาคู่นั้นเผยประกายเจ้าเล่ห์

     “แต่ถือเป็นข้อแลกเปลี่ยน คืนนี้ผมขอไปนอนห้องพี่วายุนะครับ”

     “เดี๋ยว มันมาเกี่ยวกันได้ยังไง”

     “เกี่ยวสิครับ อะไรที่เกี่ยวกับพี่วายุ เกี่ยวกับผมหมดนั่นแหละ”

     คนอายุมากกว่าเริ่มงง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมาจบที่เรื่องนี้ได้ ท้องฟ้าไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาคิด เขารีบรุกคืบต่อทันที

     “ผมอุตส่าห์กินของที่ไม่ชอบเพราะไม่อยากให้คนทำเสียใจ ถ้าคืนนี้เขาไม่ให้นอนด้วยผมคงเสียใจน่าดู”

     วายุคิดว่าเขาพลาด พลาดที่ใช้วิธีนี้ล่อลวงท้องฟ้า เลยกลายเป็นว่าเขาโดนล่อลวงด้วยวิธีเดียวกันซะเอง

     “เคยมีใครบอกไหมว่านายเจ้าเล่ห์”

     “เคยครับ”

     “ใคร”

     “พี่วายุไง” ท้องฟ้ายิ้มอารมณ์ดี ผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับ เขาหยิบแครอทในตะกร้าขึ้นมาดู “อืม...เอาจริงๆ ผมว่าแครอทก็น่าอร่อยอยู่นะ ยิ่งถ้าเอาไปทำแกงกะหรี่ที่พี่วายุเป็นคนทำ คงอร่อยน่าดู”

     “…”

     “ผมจะตั้งตารอกินนะครับ เหมือนที่ตั้งตารอนอนกอดพี่วายุ” ท้องฟ้าวางแครอทลงที่เดิม เดินไปโซนเนื้อสัตว์พร้อมรอยยิ้ม ปล่อยให้คนที่มาด้วยกันยืนนิ่งอยู่คนเดียว

     วายุกะพริบตาปริบ นี่เขาตกหลุมอีกฝ่ายอีกแล้วเหรอ ตกลงคืนนี้เขาต้องให้ท้องฟ้ามานอนด้วยจริงๆ ใช่ไหม

     ชายหนุ่มโคลงศีรษะก่อนจะเข็นรถเดินตามร่างสูงไป ในใจก็คิดว่าจะมีสักวันไหมนะที่เขาจะชนะเด็กเจ้าเล่ห์คนนี้ได้

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เสียงเคาะประตูห้องทำให้วายุละสายตาจากหนังสือหันไปมอง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครที่มาหาเขาตอนสี่ทุ่มอย่างนี้

     วายุเดินไปเปิดประตู สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรอยยิ้มกว้างของคนตัวสูง ในมือท้องฟ้ามีหมอนกับผ้าห่ม ดูแล้วคงเตรียมพร้อมมานอนห้องเขาเต็มที่

     “ขอรบกวนด้วยนะครับ” คำพูดนั้นเหมือนจะพูดพอเป็นพิธีมากกว่าเกรงใจจริงๆ

     “ถ้าบอกว่าไม่ให้รบกวนล่ะ”

     “ก็จะรบกวนอยู่ดีครับ” ท้องฟ้าพูดจบก็แทรกตัวเข้ามาในห้อง พาให้เจ้าของห้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ วายุปิดประตู เดินตามร่างสูงไปที่เตียง ท้องฟ้าวางหมอนกับผ้าห่มลงข้างที่ของเขาก่อนจะขึ้นไปนอนอย่างรวดเร็ว

     วายุเดินไปหยุดข้างเตียง มองคนที่เงยหน้ามายิ้มให้เหมือนเด็กๆ แล้วพ่นลมหายใจ ที่เขายอมเพราะเห็นแก่คนไม่ชอบแครอทแต่กวาดแครอทกินจนหมดเป็นอย่างแรกหรอกนะ

     “ให้แค่คืนนี้นะ”

     “ครับผม” คืนนี้ใช้อุบายกินผัก คืนต่อไปค่อยใช้อุบายอื่น...ท้องฟ้าแอบวางแผนในใจ ระดับเขาเสียอย่าง พี่วายุไม่มีทางตามทันอยู่แล้ว

     วายุเดินไปนั่งข้างเด็กตัวโตก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมา เขาปิดไฟกลางห้อง เหลือไว้แค่โคมไฟบนหัวเตียง เขาอยากอ่านหนังสือต่อ แต่ไม่รู้ว่าท้องฟ้าจะนอนเลยหรือเปล่าจึงปิดไฟไว้ก่อน

     ท้องฟ้าหันไปมองคนที่กำลังนั่งพิงหมอน เขาชะโงกตัวไปดูหนังสือในมือวายุ

     “พี่วายุชอบอ่านแนวนี้เหรอครับ” มันคือหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่ละหน้าจะมีภาพประกอบรวมถึงคำอธิบายเกี่ยวกับสถานที่นั้น

     “อืม กำลังคิดว่าจะหาเวลาไปเที่ยวน่ะ ทำงานทุกวันติดกันเลยอยากพักผ่อนบ้าง”

     “ผมไปด้วยนะ” ท้องฟ้ารีบขยับมานอนหนุนตัก ริมฝีปากกับดวงตายกยิ้ม พูดเสียงนุ่มทุ้มอ้อนคนด้านบน

     “ติดเรียนไม่ใช่หรือไง”

     “ผมไม่ได้มีเรียนทุกวันซะหน่อย”

     “พี่อยากไปค้างต่างจังหวัด สักสองสามวันกำลังดี”

     “งั้นรอผมปิดเทอมก่อนได้ไหมครับ อีกแค่เดือนเดียวเอง” ท้องฟ้าดึงมือบางมากุม ปากหนายื่นออกเล็กน้อย “นะครับ รอไปพร้อมผมนะ ถ้าพี่วายุทิ้งผมแล้วไปเที่ยวคนเดียว ผมคงเหงามากแน่ๆ เลย”

     วายุหลุดขำเสียงเบา เขาเริ่มรู้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ท้องฟ้าพูดคำว่า ‘นะครับ’ นั่นหมายถึงเขากำลังจะแพ้เด็กคนนี้

     “เอาสิ ไว้ไปด้วยกัน”

     เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย แค่คำสัญญาสั้นๆ กลับทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้นมามากมาย

     “ไหนครับ ผมขอดูหน่อย มีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง” ท้องฟ้าลุกขึ้นนั่ง ขยับไปใกล้เพื่อจะได้ดูหนังสือถนัด วายุพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อยๆ พอถึงสถานที่ที่เขาสนใจก็จะพูดออกมา

     “อยากไปที่ไหนเป็นพิเศษไหม” วายุหันไปถามคนข้างๆ เมื่อเห็นว่าไม่พูดอะไรเลย คนถูกถามอมยิ้มพลางส่ายหน้า

     “ที่ไหนก็ได้ครับ ขอแค่ได้ไปกับพี่วายุก็พอ” คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีและแอบหมั่นไส้นิดๆ ในเวลาเดียวกัน

     “งั้นปิดเทอมไปเที่ยวสวนแครอทกัน”

     “มันมีที่แบบนั้นด้วยเหรอครับ”

     “มีสิ ไว้จะพาไป”

     “พี่วายุ~”

     เจ้าของชื่อหัวเราะเมื่อเด็กหนุ่มทำหน้ากระเง้ากระงอด ท้องฟ้ามองคนที่หัวเราะไม่หยุด ทันใดนั้นใบหน้าบึ้งตึงก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

     “แกล้งผมเหรอ”

     เสียงหัวเราะหยุดลง วายุกะพริบตาปริบ เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ถูกท้องฟ้าผลักลงนอนราบไปกับเตียง ส่วนตัวเองตามขึ้นมาคร่อมด้านบน

     “ว่าไงครับ ไม่หัวเราะแล้วเหรอ” ท้องฟ้าพูดยิ้มๆ เมื่อคนด้านล่างหัวเราะไม่ออก ใบหน้าตื่นที่กำลังตกใจดูน่ารักและน่าแกล้งไปพร้อมกัน

     “เล่นอะไรของนาย”

     “พี่วายุเล่นผมก่อนไม่ใช่เหรอครับ เห็นผมไม่ชอบกินแครอทเอาใหญ่เลยนะ”

     “พี่ก็แค่หวังดี ไม่อยากให้นายเลือกกิน” คนแกล้งยังไม่ยอมรับว่าตัวเองแกล้ง

     “งั้นหลังจากนี้ผมไม่เลือกกินแล้วก็ได้ครับ” ริมฝีปากหนากระตุกยิ้ม แววตาแฝงไปด้วยเลศนัย “ผมจะกินทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้หมดเลย”

     ทีแรกวายุไม่เข้าใจ แต่พอเห็นสายตาวาววับรวมถึงคิดตามคำพูดดีๆ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ท้องฟ้าบอกว่าจะกินทุกอย่างตรงหน้า และสิ่งที่กำลังอยู่ตรงหน้าตอนนี้...ก็คือเขา!

     วายุกำลังจะห้าม แต่ริมฝีปากที่ทาบทับลงมากลับไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดอะไรสักคำ ท้องฟ้าขบเม้มเบาๆ ไล้ปลายลิ้นไปตามริมฝีปากราวกับกำลังละเลียดชิมขนมหวาน แรงบดคลึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนคนด้านล่างหมดแรงจะต่อต้าน

     ร่างสูงถอนใบหน้าออกเมื่อแย่งชิงความหวานจนพอใจแล้ว ดวงตาปรือที่สบกลับมากับใบหน้าสีแดงเรื่อทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก

     “หวานขนาดนี้ต่อให้กินทุกวันก็ไม่เบื่อ” เสียงทุ้มในระยะประชิดกับการเลียริมฝีปากทำให้ใบหน้าของวายุร้อนผ่าวกว่าเดิม

     “ทะ...ทำไมจูบเก่งอย่างนี้”

     “อยากรู้ก็มาจูบกันอีกสิครับ”

     “พอแล้ว” วายุรีบยกมือมาดันอก ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ยกมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผาก

     “ชอบจูบผมไหม”

     “ไม่ชอบ”

     “เอ...ตอนจูบกันผมก็ว่านิ่มอยู่นะ ทำไมตอนนี้ปากแข็งแล้วล่ะ”

     “ท้องฟ้า” วายุพูดเสียงเข้ม เขาไม่ได้โกรธที่ท้องฟ้าพูดอย่างนี้ แต่อายที่ถูกจับได้ต่างหาก “ถอยออกไปเลย จะนอนแล้ว”

     “อย่าเพิ่งสิครับ คุยกันก่อน”

     “จะคุยอะไร”

     ท้องฟ้าคลี่ยิ้ม มองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาล “พี่วายุรำคาญไหมที่ผมอ้อนบ่อยๆ”

     วายุชะงัก จากที่ตั้งใจจะไล่เด็กหนุ่มออกไปจากตัวเป็นอันต้องเปลี่ยนใจ

     “ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้”

     “ผมกลัวพี่ลำบากใจ บางทีผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเอาแต่ใจเกินไป”

     วายุมองนิ่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรแอบแฝงจึงตอบไปตามตรง

     “พี่ไม่เคยรำคาญ ไม่เคยคิดว่านายเอาแต่ใจด้วย แต่ถ้าเป็นเรื่องเจ้าเล่ห์พี่คิดอยู่ตลอดเวลา”

     ท้องฟ้าหัวเราะในลำคอ เขาไม่คิดจะแก้ตัวเพราะวายุพูดถูกทุกอย่าง

     “ไม่รำคาญแน่นะครับ”

     “อืม”

     “ถ้าอย่างนั้นผมขออ้อนอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

     “อ้อนอะไร” วายุถามกลับไป แต่วินาทีถัดมาเขาก็เห็นประกายในดวงตาของเด็กหนุ่ม

     “พี่วายุ เป็นแฟนกับท้องฟ้านะ”

     วายุนิ่งงัน หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก ทั้งการแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นรวมถึงการขอแบบตรงไปตรงมาทำให้หัวของเขาขาวโพลน เขารู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวงอีกครั้ง

     “นาย...ว่าอะไรนะ”

     “เป็นแฟนกับท้องฟ้านะครับ”

     ยิ่งได้ยินชัดๆ หัวใจของวายุยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม ทั้งคำพูดและน้ำเสียงตอนนี้ราวกับคนพูดย้อนกลับไปเป็นเด็กชายท้องฟ้าเมื่อสิบปีก่อนไม่มีผิด

     “แน่ใจแล้วเหรอ”

     “แน่ใจครับ”

     “คิดดีแล้วใช่ไหม”

     “คิดมาตลอดสิบปี ไม่มีวันไหนที่ไม่อยากเป็นแฟนพี่วายุเลยครับ” ท้องฟ้าไม่พูดเปล่า โน้มหน้าลงมาถูแก้มคลอเคลียกับแก้มนุ่ม “นะครับ เป็นแฟนกับท้องฟ้านะ ท้องฟ้าสัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ดี ไม่ดื้อไม่ซนแน่นอน”

     ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้วายุคงรู้สึกแปลกพิลึก แต่เพราะคนพูดเป็นคนที่อ้อนเขามาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เขารักมาตลอดสิบปี ถึงจะตัวโตเกินกว่าจะใช้คำว่า ‘ไม่ดื้อไม่ซน’ แต่วายุกลับชอบคำพูดนั้น เพราะมันคือคำสัญญาสุดท้ายก่อนที่เขาสองคนจะจากกัน เพียงแต่ตอนนี้สถานะและความรู้สึกของพวกเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว

     วายุเอื้อมมือไปประคองแก้ม รั้งใบหน้าให้หันมามอง ดวงตาสองคู่ประสานกัน ก่อนริมฝีปากบางจะยกยิ้ม

     “ตกลง เป็นก็เป็น”

     “จริงนะครับ! พี่วายุจะเป็นแฟนกับผมจริงๆ นะ!” เสียงทุ้มถามอย่างตื่นเต้น รอยยิ้มสุกสว่างปรากฏไปทั่วใบหน้า ดูเหมือนเจ้าตัวจะดีใจจนเผลอแทนตัวเองด้วยสรรพนามเดิม

     “จริงสิ หรืออยากให้ล้อเล่นก็ได้นะ พี่จะได้...อืมมม” วายุไม่ทันตั้งตัวเมื่อคนด้านบนประกบจูบลงมาอีกครั้ง ดวงตาที่เบิกกว้างค่อยๆ หรี่ปรือลง ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ

     วายุนึกไม่ออกแล้วว่าเขาจะพูดอะไรต่อ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ากำลังอ่านหนังสือ มือเรียวเอื้อมไปคล้องรอบลำคอ ริมฝีปากทั้งสองบดเคล้าเข้าหากันมากขึ้น

     ถ้าหากมันคือการล่อลวง เขาก็เต็มใจที่จะถูกล่อลวงไปตลอดชีวิต ขอแค่ได้อยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ก็พอ

     ผู้ชายที่ชื่อว่าท้องฟ้า คนที่เป็นดั่งท้องฟ้าสว่างสดใส




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 23 ★ [26/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 28-11-2022 18:14:44
ในที่สุดก็ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว :L1:
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 24 ★ [28/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 28-11-2022 18:40:39
ตอนที่ 24
รู้สึกผิด


     ปฐพีกำลังจ้องมองเด็กหนุ่มร่างบางตรงหน้า ถึงแม้เพิ่งเคยเห็นหน้าครั้งแรก แต่จากการแนะนำตัวทำให้เขารู้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

     “อาฝากต้นน้ำด้วยนะดิน”

     “ยินดีครับ”

     คุณพงศกรยิ้มให้ชายหนุ่ม วันนี้เขาไปรับลูกชายที่มหาวิทยาลัยเนื่องจากจะพาไปทำธุระที่ธนาคาร แต่เพราะเมื่อวันก่อนเขาไปงานเลี้ยงบ้านนรากิตตินนท์แต่ทักทายเจ้าของงานได้นิดเดียวแล้วกลับเลย วันนี้เขาเลยแวะมาแสดงความยินดีถึงบริษัท คุณศิมันตร์จึงถือโอกาสนี้ชวนเข้าร่วมประชุมที่จะจัดขึ้นในตอนบ่าย เป็นการประชุมโฆษณาสื่อโทรทัศน์ที่กำลังมองหาหุ้นส่วน

     คุณพงศกรฝากลูกชายให้ปฐพีดูแลระหว่างการประชุม ความคิดนี้คุณศิมันตร์เป็นคนเสนอ เขาอยากต้อนรับและดูแลคู่ค้าธุรกิจให้ดีที่สุด

     เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองออกจากห้องไปแล้วปฐพีจึงหันมามองคนตรงหน้า เขาผายมือไปยังโซฟาเป็นการเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง

     “นั่งก่อนสิ”

     “คุณดินไปทำงานก็ได้ครับ ผมอยู่ได้ไม่มีปัญหา พ่อคงประชุมไม่นาน”

     “ผมทำงานเสร็จแล้ว”

     “แล้วคุณดินไม่ต้องไปประชุมเหรอครับ”

     “มันเป็นการประชุมระดับผู้บริหาร ผมเพิ่งมารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้ไม่นาน” ปฐพีเข้ามาศึกษางานในบริษัทได้พักหนึ่งแล้ว ถึงแม้คุณศิมันตร์จะวางตัวเขาให้เป็นประธานบริษัทคนต่อไป แต่เพราะอยากให้ลูกชายเรียนรู้งานทุกแผนก จึงให้เขาเริ่มจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาด

     “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณดินก็ว่างอยู่สิครับ”

     “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

     “งั้นจะทำอะไรระหว่างรอดีครับ นั่งจ้องตากับผมเหรอ”

     ปฐพีมองนิ่ง รอยยิ้มของคนตรงหน้าทำให้รู้ว่าเจ้าตัวคงพูดเล่น ไม่ได้อยากนั่งจ้องตากับเขาจริงๆ

     “ที่จริงผมมีเอกสารต้องเซ็นอีกนิดหน่อย”

     “งั้นไปทำเถอะครับ เดี๋ยวผมนั่งรอที่โซฟา”

     “แน่ใจนะ”

     ต้นน้ำหัวเราะเสียงเบา เห็นเขาเป็นเด็กอนุบาลหรือไง “อยู่ห้องเดียวกัน แถมนั่งใกล้กันแค่นี้ ผมไม่ถูกลักพาตัวไปหรอกครับ”

     “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

     “หรือคุณดินคิดว่าผมดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีพี่เลี้ยงเด็กตลอดเวลา”

     คำถามที่แฝงความขบขันทำให้ปฐพีลอบถอนหายใจ หลังสบตากันครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นมา

     “เอกสารมีไม่เยอะ ผมเซ็นไม่นาน มีอะไรเรียกผมได้ตลอด”

     “ครับ”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ปฐพีลอบมองคนบนโซฟาเป็นระยะ ต้นน้ำกำลังอ่านหนังสือที่พกมาด้วย เขาเซ็นเอกสารเสร็จสักพักแล้วแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

     เหมือนคนถูกมองจะรู้ตัวจึงหันมาทางเขา พอเห็นว่าเขามองอยู่ก็ส่งยิ้มให้ ปฐพีละสายตามามองเอกสารบนโต๊ะ ได้แต่นึกในใจว่าเขาคงคิดมากไปเอง



     ต้นน้ำปิดหนังสือในมือ เงยหน้ามองชายหนุ่มร่างสูง เขาถามออกไปพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

     “หน้าผมมีอะไรติดหรือเปล่าครับ”

     ปฐพีสะดุ้งเล็กน้อย แต่เขาเก็บอาการไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งขรึม

     “เปล่า”

     “แล้วทำไมคุณดินถึงเอาแต่มองผม”

     “ผมไม่ได้มอง”

     ดวงตาสองคู่ประสานกัน สุดท้ายคนอายุน้อยกว่าก็หัวเราะออกมา

     “โอเคครับ ไม่มองก็ไม่มอง”

     “เบื่อหรือเปล่า”

     “ครับ?” ต้นน้ำทำหน้างงเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน

     “นั่งเฉยๆ เบื่อหรือเปล่า”

     “ผมไม่ได้นั่งเฉยๆ ครับ” ต้นน้ำชูหนังสือในมือขึ้นมา

     “ชอบอ่านหนังสือเหรอ”

     “ปกติก็ไม่ชอบหรอกครับ แต่เห็นคุณดินเอาแต่อ่านเอกสาร เลยคิดว่าผมเองก็ควรรักการอ่านบ้าง”

     ปฐพีทำหน้าไม่ถูกเมื่อเด็กหนุ่มตอบกลับมาอย่างนั้น บางอย่างบอกเขาว่าเด็กคนนี้กำลังล้อเลียนเขามากกว่าจะตอบจริงจัง

     “ผมล้อเล่นครับ ไม่อยากให้อึดอัด คุณดินทำงานต่อเถอะ ผมไม่กวนแล้ว”

     “ผมยังไม่ได้ว่าคุณกวน”

     “แต่ผมชวนคุณดินคุย”

     “ผมเซ็นเอกสารเสร็จแล้ว” ปฐพีพูดจบถึงได้รู้ว่าเขาพลาดเสียแล้ว ประกายในดวงตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกตัว

     “เสร็จแล้วเหรอครับ ผมเห็นคุณดินเอาแต่มองผม เอ๊ย! มองเอกสาร เลยนึกว่ายังไม่เสร็จ”

     ชายหนุ่มปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ เขาคิดว่าไม่ควรต่อบทสนทนากับอีกฝ่าย ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกเหมือนจะเข้าตัวเอง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ต้นน้ำ” ปฐพีเรียกเด็กหนุ่มหลังจากวางสายบิดา

     “ครับ?”

     “พ่อผมโทรมาบอกว่าน่าจะประชุมอีกนาน เลยให้ผมพาคุณไปทานข้าวก่อน”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่หิว”

     “แต่พ่อคุณบอกว่าคุณยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลย”

     ปฐพีเห็นต้นน้ำลอบเม้มปาก ก่อนริมฝีปากบางจะคลายออกแล้วยกเป็นรอยยิ้ม

     “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมไม่อยากรบกวนคุณดิน”

     “ผมบอกเหรอว่ารบกวน”

     “คุณอาศิมันตร์โทรมาบอกแบบนี้แปลว่าต้องให้คุณดินเลี้ยงข้าวผมไม่ใช่เหรอครับ ถ้าใช่ก็แปลว่าผมกำลังรบกวนคุณดิน”

     ชายหนุ่มสบตากับดวงตาคู่สวย วูบหนึ่งเขาคิดว่าเด็กคนนี้ท่าทางจะดื้อไม่เบา ปฐพีลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่โซฟา สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าขาวเนียน

     “ถ้าผมไม่เลี้ยงคุณก็จะยอมไปใช่ไหม” ปฐพีเอ่ยถามเมื่อเดินมาหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่ม

     “อยากให้ผมไปขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “ผมรับปากคุณอาพงศกรว่าจะดูแลคุณ ผมก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด”

     “…”

     “ใกล้ๆ นี้มีร้านอาหาร เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ข้างในร้านมีแอร์ อาหารเทียบระดับภัตตาคารได้สบาย”

     ต้นน้ำหัวเราะเสียงเบา มองคนที่ยืนอยู่ด้วยสายตาขบขัน “เห็นผมเป็นลูกคุณหนูเหรอครับ”

     “ตกลงจะไปไหม” ปฐพีเลี่ยงคำถาม เขาไม่บอกว่าอีกฝ่ายพูดได้ถูกต้อง

     “ถึงผมบอกไม่ไปคุณดินก็คะยั้นคะยอให้ไปอยู่ดี งั้นไปก็ได้ครับ แต่ไม่ให้เลี้ยงนะ” ต้นน้ำวางหนังสือแล้วยืนขึ้นเต็มความสูง อดคิดไม่ได้ว่าศีรษะเขาอยู่แค่ระดับไหล่ของปฐพีเอง ช่างเป็นความต่างที่น่าน้อยใจชะมัด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ตอนแรกต้นน้ำคิดว่าปฐพีพูดเพราะอยากโน้มน้าวเฉยๆ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าสิ่งที่ปฐพีพูดเป็นจริงทุกคำ ร้านอาหารที่พวกเขานั่งอยู่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม บรรยากาศดูหรูหราจนเขาคิดว่าน่าจะไปตั้งในห้างมากกว่าริมถนนอย่างนี้

     “คุณดินก็ทานด้วยเหรอครับ ผมนึกว่าคุณพาผมมาเฉยๆ” ต้นน้ำเอ่ยถามหลังบริกรรับเมนูเดินจากไปแล้ว

     “ผมยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน เมื่อกลางวันเอาแต่ทำงานจนลืม”

     “ถ้าอย่างนั้นให้ผมเลี้ยงคุณดินได้ไหมครับ ถือว่าตอบแทนที่มาดูแลผม”

     ปฐพีขมวดคิ้วเล็กๆ ใบหน้าเคร่งขรึมทำให้เด็กหนุ่มรู้คำตอบได้ทันที

     “ขอโทษครับ ผมก็พูดไปอย่างนั้น แค่คิดว่าทำแบบนี้แล้วอาจช่วยให้หายรู้สึกผิดได้บ้าง”

     “รู้สึกผิดเรื่องอะไร”

     ต้นน้ำชะงัก ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ในใจนึกก่นด่าตัวเองที่เผลอพูดออกไป “ไม่มีอะไรครับ สงสัยผมคงหิวจนเบลอเลยพูดจาไม่รู้เรื่อง”

     ปฐพีไม่ถามอะไรต่อ ระหว่างพวกเขาจึงเกิดความเงียบขึ้นมา จนกระทั่งบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟ สีหน้าของเด็กหนุ่มจึงกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง

     “ต้นน้ำ” ปฐพีพูดขึ้นมาหลังทานอาหารไปได้สักพักแล้ว

     “ครับ?”

     “เรียกผมว่าพี่ก็ได้นะ พ่อคุณกับพ่อผมต้องร่วมงานกันไปอีกนาน เราคงไม่ได้เจอกันครั้งนี้ครั้งเดียว”

     ต้นน้ำสบตานิ่ง แววตาลุ่มลึกเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง มือบางวางช้อนส้อมลง ก่อนริมฝีปากจะจุดรอยยิ้ม

     “ไม่ดีกว่าครับ”

     พวกเขามองตากันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายคนโตกว่าจึงขานรับในลำคอแล้วทานข้าวต่อ ต้นน้ำหัวเราะเบาๆ รู้อย่างนี้พูดออกไปเลยก็ดี

     “ไม่ถามหน่อยเหรอครับว่าทำไม”

     “ผมคิดว่าคุณคงมีเหตุผลส่วนตัว”

     “แล้วไม่อยากรู้เหรอครับ”

     “ผมควรอยากรู้เหรอ”

     คำถามที่มาพร้อมหน้านิ่งๆ เรียกเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ต้นน้ำส่งยิ้มให้ปฐพี แต่คราวนี้รอยยิ้มของเขาแฝงความเศร้าไว้ด้วย

     “ก่อนจะบอกเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่เรียกพี่ ขอถามอะไรอย่างนึงได้ไหมครับ”

     “ว่ามาสิ”

     “คุณดินรู้จักผมก่อนจะมาเจอกันวันนี้ใช่ไหมครับ”

     ปฐพีมองคนถามด้วยสายตาค้นหา เขาไม่แน่ใจว่าต้นน้ำต้องการพูดอะไร หลังนิ่งคิดอยู่สักพักเขาก็ลอบถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจตอบความจริง

     “ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ”

     “ก็ไม่ยังไงครับ ผมคิดว่าสกายคงบอกเรื่องผมกับครอบครัวอยู่แล้ว”

     ชื่อที่คนตรงหน้าพูดออกมาทำให้ปฐพีขรึมกว่าเดิม ต้นน้ำกำลังยิ้มก็จริง แต่ภายในดวงตากลับเจือไปด้วยความเศร้า

     “ถ้าคุณหมายถึงเรื่องย้ายออกจากหอ สกายบอกผมแค่คนเดียว”

     ปฐพีเห็นความแปลกใจบนใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

     “ตอนแรกสกายบอกแค่ว่ามีปัญหากับรูมเมท แต่ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น พอถามไปถามมาสกายเลยเล่าเรื่องคุณให้ผมฟัง”

     ร่างบางหัวเราะเมื่อเขาพูดจบ สีหน้าของต้นน้ำมีหลากหลายอารมณ์ ทั้งขบขัน เสียใจ เศร้า รู้สึกผิด ทุกอย่างผสมปนเปไปหมด

     “แล้วสกายได้บอกไหมครับว่าปัญหานั้นคืออะไร”

     “บอก”

     ต้นน้ำแค่นยิ้ม เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

     “เพราะแบบนี้ใช่ไหมครับ ตอนอยู่ในห้องทำงานคุณถึงมองผมด้วยแววตาสงสาร”

     “ผมไม่ได้...” ปฐพีคิดจะปฏิเสธ แต่สายตาที่เหมือนมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งทำให้เขานิ่งเงียบ เพราะรู้ว่าปฏิเสธไปก็เท่านั้น อันที่จริงเขาไม่ได้สงสารอย่างเดียว แต่เป็นห่วงความรู้สึกของต้นน้ำด้วย

     “ถึงตอนนี้ผมจะปรับความเข้าใจกับสกายแล้ว แต่ลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้สกายต้องย้ายออก และผมก็รู้ด้วยว่าทางบ้านสกายต้องลำบากหาหอใหม่ให้ พอคิดแบบนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิม”

     “คุณคิดมากเกินไปแล้ว”

     “ถูกครับ ผมคิดมากเกินไป ปกติผมไม่คิดมากขนาดนี้หรอก แต่เพราะเป็นเรื่องของสกายเลยหยุดคิดไม่ได้”

     “…”

     “สบายใจได้ครับ ผมไม่รู้สึกอะไรกับน้องชายคุณแล้ว ความรู้สึกเดียวที่ผมมีตอนนี้คือเสียใจเท่านั้น”

     ปฐพีสบตากับต้นน้ำ เขาแอบถอนคำพูดในใจที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กดื้อ ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน แต่เขาพูดได้เต็มปากว่าเด็กคนนี้เป็นห่วงและใส่ใจคนรอบข้างมากแค่ไหน

     “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่คุณไม่อยากเรียกผมว่าพี่”

     คนตัวเล็กกว่ายกยิ้ม ดวงตากลายเป็นสระอิ “เพราะหน้าคล้ายกันมั้งครับ”

     “หืม?”

     “เพราะคุณกับสกายหน้าคล้ายกัน เวลามองคุณผมถึงรู้สึกผิดขึ้นมา เลยไม่อยากเรียกพี่เพราะคิดว่าเราสองคนไม่สนิทกันจะดีกว่า”

     ปฐพีมองนิ่ง ไม่พูดคำพูดใดออกจากปาก ต้นน้ำจึงใช้โอกาสนี้ยุติการสนทนาด้วยการทานอาหารต่อ ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง

     เมื่อถึงเวลาจ่ายเงินต้นน้ำจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรปฐพีก็ยื่นบัตรเครดิตให้บริกรไปเสียก่อน

     “ไหนบอกว่าจะไม่เลี้ยงไงครับ”

     “ผมพูดอย่างนั้นเหรอ”

     “ก็ใช่น่ะสิครับ”

     “ผมว่าผมไม่ได้พูดนะ”

     “แต่ตอนนั้นคุณบอกว่า...” ต้นน้ำชะงักเมื่อหวนคิดถึงบทสนทนาในห้องทำงาน ปฐพีเพียงแค่ถามว่าถ้าไม่เลี้ยงเขาจะยอมมาใช่ไหม แต่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าจะไม่เลี้ยง

     “หึๆ” ปฐพีหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสีหน้ายับย่นของเด็กหนุ่ม

     “เพิ่งรู้จักไม่ถึงวันก็ร้ายใส่กันแล้วเหรอครับ” ต้นน้ำย่นจมูก

     “ผมไม่ได้ร้าย”

     “ร้ายสิครับ ร้ายมากด้วย”

     ปฐพีไม่ตอบอะไร เขารับบัตรคืนจากบริกรแล้วออกเดินนำ ต้นน้ำเดินตามเขามาติดๆ ปากก็บ่นพึมพำไม่หยุด

     “ผมจะฟ้องพ่อ”

     “ฟ้องว่าอะไร ผมเลี้ยงข้าวคุณเหรอ ผมว่านอกจากจะไม่โดนว่าแล้วพ่อคุณยังจะขอบคุณผมด้วยซ้ำนะ”

     ต้นน้ำทำหน้าบึ้ง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมาในที่สุด เขาอดคิดไม่ได้ว่านอกจากหน้าตาแล้วนิสัยพี่กับน้องยังเหมือนกันอีก เขารู้จักนิสัยสกายดีเพราะเป็นเพื่อนกันมานาน แต่เขาเพิ่งรู้ว่าปฐพีเองก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน

     “ต้นน้ำ” ร่างสูงหยุดเดินตรงทางเข้าออฟฟิศ พาให้คนที่เดินขนาบข้างต้องหยุดตาม

     “ว่าไงครับ”

     “ผมเข้าใจความรู้สึกคุณนะ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้ว่าคุณไม่ผิดอะไรเลย และไม่ใช่แค่ผม ต่อให้พ่อแม่สกายรู้เรื่องนี้พวกท่านก็ไม่มีวันกล่าวโทษคุณอยู่ดี”

     ต้นน้ำสบตากับปฐพี น่าแปลกที่แววตาจริงใจคู่นั้นทำให้ความรู้สึกหนักอึ้งในอกเบาบางลงไปเยอะ เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ปฐพีถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่อย่างหนึ่งที่เขารับรู้ได้คือคราวนี้อีกฝ่ายพูดออกมาจากใจจริง ไม่ได้มาจากความรู้สึกสงสาร

     “เข้าใจที่ผมพูดไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อคนตรงหน้าเงียบไป

     “เข้าใจครับ” รอยยิ้มเล็กๆ จุดขึ้นบนริมฝีปากอีกครั้ง “เข้าใจว่าคุณดินอยากให้ผมเรียกว่าพี่มาก”

     ปฐพีนิ่งงันเมื่อเจอคำตอบไม่คาดคิดเข้าไป ต้นน้ำอมยิ้ม สีหน้าฉายแววทะเล้น

     “ตกลงครับ พี่ดินก็พี่ดิน พูดขนาดนี้ผมคงไม่เรียกไม่ได้แล้ว”

     “ผมไม่ได้พูดเพราะเรื่องนั้น ผมหมายความตามนั้นจริงๆ”

     “พี่”

     “หือ?” ปฐพีขานรับอัตโนมัติ เพราะเข้าใจว่าต้นน้ำเรียกเขา

     “ผมไม่ได้เรียก แต่จะให้คุณแทนตัวเองว่าพี่ ให้ผมเรียกอยู่ฝ่ายเดียวมันก็แปลกๆ สิครับ”

     ปฐพียืนนิ่งอยู่นาน สุดท้ายก็ขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเริ่มตามไม่ทันแล้วว่าเด็กคนนี้กำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ เดี๋ยวก็ร่าเริง เดี๋ยวก็เศร้า เดี๋ยวก็ทะเล้น เป็นเด็กที่หลากหลายอารมณ์จริงๆ

     “อย่ามัวแต่ขำสิครับ คนเริ่มมองแล้วนะ รีบขึ้นไปกันเถอะ”

     “รอพี่ด้วยสิ” ปฐพีรีบสาวเท้าตามไป คนอายุน้อยกว่าหันมามองยิ้มๆ เขาเลยเผลอยกมือเสยผมแก้เขิน ไม่รู้ว่าเขินอะไร แต่มันเขินไปแล้ว

     ต้นน้ำลอบมองใบหน้าด้านข้างของปฐพีระหว่างที่อยู่ในลิฟต์ พอคนถูกมองรู้ตัวจึงหันมาเลิกคิ้ว เขาเลยส่งยิ้มไปให้

     “ขอบคุณนะครับพี่ดิน”

     “เรื่องอะไร”

     “อย่าถามสิครับ ผมรู้ว่าพี่รู้”

     ปฐพียกยิ้ม แววตาที่มองเด็กหนุ่มอ่อนแสง มีคนเรียกเขาว่าพี่ก็เยอะ แต่ไม่รู้ทำไมพอเด็กคนนี้เรียกแล้วกลับให้ความรู้สึกต่างออกไป

     “ขอบคุณเรื่องเลี้ยงข้าวน่ะเหรอ”

     “ถ้ายังไม่หยุดร้ายผมจะฟ้องพ่อจริงๆ นะ”

     “หึๆ”




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 25 ★ [30/Nov/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 30-11-2022 12:25:33
ตอนที่ 25
กุหลาบสีขาว


     รามิลมั่นใจมาตลอดว่าเขาสามารถรับมือได้ทุกอย่าง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรวางหน้ายังไง และดูเหมือนวายุเองก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน

     “เอ่อ...ไก่ทอดซอสน้ำปลาอร่อยจังเลยครับ วันหลังพี่วายุทำให้ผมทานอีกนะ” นี่เป็นสิ่งเดียวที่รามิลคิดออกในตอนนี้ ถึงจะดูฝืนไปหน่อยแต่เขาก็คิดว่าควรพูดอะไรสักอย่างให้บรรยากาศดีขึ้น

     “ได้ครับ มีนอยากทานเมื่อไหร่มาได้ทุกเมื่อเลย พี่ยินดีต้อนรับ” วายุรับมุกรามิลด้วยการตอบกลับไป พลางตักไก่ทอดไปให้คนตัวสูงที่ยังคงสีหน้านิ่งเรียบ “พี่เขตลองชิมดูสิครับ ผมทำสุดฝีมือเลยนะ”

     “ขอบใจนะ”

     “ตักให้พี่เขตแล้วก็ตักให้แฟนตัวเองบ้างสิครับ” สกายพูดขึ้นมากลางวง วายุเลยหันไปปรามทางสายตา แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจ ยิ้มรับอีกต่างหาก

     รามิลมาหาเขตดนัยที่บ้านเพราะนัดถ่ายรูปไว้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการถ่ายรูปประกวดเนื่องจากใกล้ครบกำหนดแล้ว เขตดนัยเองก็ต้องเตรียมตัวกลับไปทำงานเหมือนกัน ก่อนเริ่มถ่ายรูปเขาเอาเค้กรสส้มที่ทำเองมาให้วายุ ซึ่งพอดีกับที่วันนี้วายุเป็นคนทำอาหาร เขาเลยชวนทั้งเขตดนัยและรามิลให้มาทานด้วยกัน

     ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งสกายพูดขึ้นมากลางโต๊ะอาหารว่าเขากับวายุคบกันแล้ว วายุจะไม่มีปัญหาเลยถ้าเขตดนัยไม่ได้นั่งอยู่ด้วย เขาไม่ได้จะปกปิด และรู้ว่าสักวันเขตดนัยก็ต้องรู้อยู่ดี แต่การพูดออกมาตรงๆ อย่างนี้เขาคิดว่าออกจะทำร้ายจิตใจกันเกินไปหน่อย

     ทางด้านรามิลเอง ถึงปากจะบอกว่าอยากเห็นดาราหน้าจืดอกหัก แต่เขาก็ไม่คิดว่าเพื่อนสนิทจะขวานผ่าซากขนาดนี้ เขาไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่พอเห็นสีหน้าเขตดนัยหลังรู้ความจริงเขากลับเป็นห่วงความรู้สึกขึ้นมา

     “พี่วายุรู้ใจผมจัง รู้ว่าผมไม่ชอบแครอทเลยไม่ใส่มาเลย”

     “ก็มันไม่มีเมนูไหนที่ต้องใส่”

     “ถึงมีก็ห้ามใส่ครับ”

     “เป็นเด็กหรือไงถึงเลือกกิน” วายุอดว่าเด็กหนุ่มเหมือนคราวก่อนไม่ได้

     “ไม่ได้เป็นเด็ก แต่เป็นคนที่อยากให้แฟนตามใจต่างหาก” สกายพูดจบก็หันมายิ้มให้เขตดนัย “พี่เขตมีของที่ไม่ชอบทานหรือเปล่าครับ”

     “มี”

     “เห็นไหมครับ ขนาดพี่เขตยังมีเลย”

     “สกาย”

     “อย่ามองอย่างนั้นสิครับ ผมเห็นพี่เขตเงียบไปเลยอยากชวนคุยเฉยๆ”

     “สกาย”

     “ครับ?”

     เขตดนัยมองเพื่อนบ้านกับเด็กหนุ่ม สายตาของเขาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ “ยินดีด้วยนะ”

     “ขอบคุณครับ” แม้จะไม่พูดออกมาแต่สกายก็รู้ว่าเขตดนัยหมายถึงเรื่องใด เขาจึงยิ้มรับคำยินดีไว้อย่างเต็มใจ

     “พี่เขต” วายุเอื้อมมาแตะมือเขตดนัย รามิลลอบมองทุกอย่างอยู่เงียบๆ

     “พี่โอเค ไม่ได้เป็นอะไรเลย” เขตดนัยพูดด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วง

     “ผมขอโทษครับ”

     “ขอโทษทำไม วายุได้เจอคนรักของตัวเองทั้งทีออกจะเป็นเรื่องดี ถึงคนๆ นั้นจะไม่ใช่พี่ก็เถอะ”

     “พี่เขตพูดอย่างนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดนะ”

     “พี่พูดจริงๆ อย่าคิดมากสิ”

     “พี่เขตครับ” สกายพูดขึ้นมา เขตดนัยจึงละสายตาจากวายุหันมามอง “ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้เพราะอยากหักหน้าหรือซ้ำเติมพี่นะครับ อย่าเข้าใจผิด ผมอยากให้พี่เขตที่เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนบ้านพี่วายุได้รับรู้ ผมเคารพพี่ ไม่อยากมีเรื่องบาดหมางกับพี่ ถึงได้อยากแสดงออกให้มันชัดเจน เราจะได้อยู่ด้วยกันโดยไม่มีใครอึดอัดใจ”

     วายุหันมามองคนพูดด้วยสายตาทึ่ง เขาคิดว่าสกายพูดเรื่องคบกันเพราะอยากเอาชนะเขตดนัยเฉยๆ ไม่นึกว่าเด็กหนุ่มจะมีความคิดแบบนี้ แววตาของเขาอ่อนแสง ความรักที่มีให้อีกฝ่ายเพิ่มมากขึ้น

     “พี่เข้าใจ ขอบใจมากที่พูดตรงๆ และไม่ต้องห่วง พี่รู้ขอบเขตตัวเองดี ไม่มีทางทำอะไรไม่เหมาะสมแน่นอน”

     “พี่เขตเป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพและนับถือเสมอ เรายังคุยกันได้ทุกเรื่องเหมือนเดิม ห่วงใยกันได้เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยนะครับ”

     เขตดนัยยิ้มให้รุ่นน้องสถาบันเดียวกัน เขารับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของวายุ

     “ขอบใจทั้งสองคนมาก พี่ไม่เป็นไรจริงๆ”

     “งั้นมาทานกันต่อเถอะครับ วันนี้ผมอุตส่าห์ช่วยพี่วายุทำอาหาร” สกายเอ่ยเมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจกันด้วยดีแล้ว บรรยากาศเริ่มกลับมาปกติอีกครั้ง

     “แค่เตรียมจานชามให้เรียกว่าช่วยได้ด้วยเหรอ” วายุพูดยิ้มๆ นึกขำคนที่ช่วยนิดเดียวแต่ดันพูดเสียใหญ่โต

     “ผมไม่ได้ทำแค่นั้นซะหน่อย”

     “แล้วทำอะไรอีก”

     “ยืนให้กำลังใจพี่วายุไง ตั้งแต่เตรียมวัตถุดิบจนทำอาหารเสร็จผมอยู่ข้างๆ พี่ตลอดเลยนะ” รอยยิ้มสดใสที่ถูกส่งมาทำให้วายุต้องยอมในที่สุด เขาเอื้อมมือไปยีหัวเด็กตัวโตด้วยความรักและเอ็นดู

     เขตดนัยมองภาพตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร มีเพียงรอยยิ้มบางเบาที่ริมฝีปาก ขณะเดียวกันก็มีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่เขตครับ” รามิลเรียกอีกฝ่ายหลังเดินผ่านประตูรั้วเข้ามา พวกเขาทานอาหารเสร็จแล้วและกำลังกลับมาเตรียมตัวถ่ายรูปที่บ้านของเขตดนัย

     “ว่าไง”

     รามิลหลุบตามองต่ำ เขาอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ปากมันหนักเกินกว่าจะพูดออกไป สุดท้ายจึงได้แต่ส่งยิ้มไปให้

     “วันนี้เอาเป็นอารมณ์รักแล้วกันนะครับ ไหนๆ ก็เป็นครั้งสุดท้ายทั้งที ผมอยากถ่ายอะไรที่มันโรแมนติก”

     “ได้สิ ขอพี่ไปเคลียร์ห้องครัวก่อนนะ ตอนเอาเค้กไปให้วายุว่าจะกลับมาเก็บอุปกรณ์ แต่ดันอยู่ทานข้าวยาวเลย”

     “ครับ”

     รามิลมองตามแผ่นหลังที่หายเข้าไปในบ้าน ดวงตาของเขาหรี่ลง ความรู้สึกบางอย่างที่เขาคิดว่าไม่ควรเกิดขึ้นกลับชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     รามิลรู้สึกชื่นชมเขตดนัยเป็นอย่างมาก แม้เพิ่งผ่านการอกหักมาไม่ถึงครึ่งวัน แต่ชายหนุ่มกลับสื่ออารมณ์ขณะถ่ายรูปได้ครบถ้วนโดยไม่มีแววตาเสียใจเลย วันนี้เขาพูดได้เต็มปากว่าเขตดนัยเป็นนักแสดงมืออาชีพคนหนึ่ง

     “รูปสุดท้ายแล้ว มองกล้องแล้วยิ้มหน่อยครับ ยิ้มเหมือนยิ้มให้แฟนเลย” รามิลพูดจบก็ชะงักคำพูดตัวเอง เขามัวแต่ถ่ายรูปเพลินจนไม่ทันระวังคำพูด มือที่ถือกล้องจึงลดลงเพื่อดูปฏิกิริยาของคนตัวสูง

     เขตดนัยทำตามที่เด็กหนุ่มบอก เขายืนล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง ยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาที่มองกล้องเผยถึงความรักและความอ่อนโยนราวกับกำลังมองคนรักจริงๆ

     รามิลกลับมาตั้งสมาธิกับการถ่ายรูปอีกครั้ง หลังจากได้รูปที่พอใจแล้วเขาจึงลดกล้องลง ยิ้มให้ร่างสูงเพื่อบอกว่าการถ่ายรูปเสร็จสิ้นแล้ว

     “ขอบคุณนะครับพี่เขต”

     “ไม่เป็นไร”

     “อยากดูรูปไหมครับ ถ้าชอบเดี๋ยวผมส่งให้ทางไลน์เหมือนคราวก่อน”

     “จะหลอกคิดเงินพี่อีกใช่ไหม”

     รามิลหัวเราะกับคำถามของคนตรงหน้า เขาเกือบลืมแล้วว่าตอนไปสวนสนุกเขาได้สร้างวีรกรรมสุดแสบเอาไว้

     “ครั้งนี้ไม่คิดเงินครับ ถือเป็นคำขอบคุณที่พี่ช่วยผมมาตลอด”

     “ถ้าอยากขอบคุณจริงๆ พี่ว่าแค่ส่งรูปให้คงไม่พอมั้ง พี่เป็นนายแบบให้เราตั้งหลายวัน” เขตดนัยพูดไปยิ้มไป เขาตั้งใจจะแหย่เล่นเฉยๆ คิดว่าจะได้เห็นหน้ามุ่ยๆ ของเด็กแสบ แต่ดูเหมือนคนถูกแหย่จะคิดจริงจัง

     “พี่อยากได้อะไรบอกมาได้เลยครับ ถ้าไม่เกินกำลังผมยินดีทุกอย่าง”

     เขตดนัยอดแปลกใจไม่ได้ นอกจากจะไม่มีอาการไม่พอใจแล้วคนตรงหน้ายังพูดดีกับเขาอีก เป็นสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นจากเด็กตัวแสบที่ขยันทำให้เขาหัวหมุนทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน

     “พี่พูดเล่น บอกแล้วไงว่าเต็มใจช่วย ว่าแต่มีนรีบกลับไหม ถ้าไม่รีบอยู่กินเค้กด้วยกันก่อนสิ พี่ทำไว้เยอะเลย”

     “ผมไม่รีบกลับครับ”

     “งั้นเอาตามนี้ เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้”

     “ขอบคุณครับ”

     รามิลรอจนกระทั่งเขตดนัยออกไปจากห้องนั่งเล่นจึงถอนหายใจออกมา เขาต้องพยายามแทบตายที่จะไม่แสดงความหงุดหงิดออกมา เขาไม่ได้หงุดหงิดเขตดนัย แต่หงุดหงิดตัวเองที่เป็นห่วงอีตาดาราหน้าจืด ยิ่งคิดว่าเขตดนัยไม่มีท่าทางเสียใจเพราะเก็บซ่อนเอาไว้ เขาก็ยิ่งเป็นห่วงและหงุดหงิดพร้อมกัน

     ถ้าเสียใจก็แสดงออกมาเลยสิ มัวแต่ยิ้มกลบเกลื่อนอยู่ได้ เห็นแล้วหงุดหงิดชะมัด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “วันนี้พี่เขตมีธุระที่ไหนหรือเปล่าครับ” รามิลถามขึ้นมาขณะนั่งทานเค้กกับเขตดนัย

     “ไม่มี ทำไมเหรอ”

     “ผมอยากไปร้านดอกไม้ รบกวนพี่เขตพาไปหน่อยได้ไหมครับ อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัย เดี๋ยวผมบอกทางให้”

     “ได้สิ”

     “ขอบคุณครับ” รามิลหันมาสนใจขนมหวานเหมือนเดิม เขาเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เขตดนัยมองไปรอบๆ ร้านดอกไม้ที่เขาพารามิลมามีดอกไม้หลากหลายชนิดวางเรียงเต็มไปหมด เขาไม่ได้ถามว่าทำไมรามิลถึงอยากมาเพราะคิดว่าคงมีเหตุผลส่วนตัว ชายหนุ่มนั่งรออยู่หน้าร้านขณะที่ร่างบางเดินไปสอบถามเจ้าของร้านตรงเคาน์เตอร์

     “ขอโทษนะคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะเป็นพนักงานในร้านเดินมาหยุดตรงหน้าเขตดนัยพร้อมสายตาเกรงใจ “ใช่คุณเขตที่เป็นดาราหรือเปล่าคะ”

     “ใช่ครับ”

     “ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ ไม่คิดว่าจะได้เจอคนดังตัวเป็นๆ แบบนี้”

     “ได้ครับ”

     เขตดนัยยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่อหญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อได้รูปที่พอใจแล้วเธอจึงหันมาพูดขอบคุณพลางยิ้มให้

     “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

     “ได้ครับ”

     “พาแฟนมาซื้อดอกไม้เหรอคะ”

     “ครับ?” เขตดนัยถึงกับงงเมื่อโดนถามแบบนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะได้ยิน

     “ก็ผู้ชายที่มากับคุณเขตไงคะ ไม่ใช่แฟนกันเหรอคะ”

     “ไม่ใช่ครับ” เขตดนัยยังงงไม่หาย เขาเคยคิดว่าถ้ามองจากสายตาคนนอก เขากับรามิลน่าจะเหมือนพี่น้องมากกว่าคนรักกันเสียอีก

     “ตายจริง ขอโทษนะคะ พี่เห็นผู้ชายคนนั้นถามหาดอกไม้ที่เข้ากับคุณเขต เลยนึกว่าเป็นแฟนกัน”

     เขตดนัยได้แต่ยิ้มรับคำขอโทษของหญิงสาว จนกระทั่งเธอขอตัวไปทำงานต่อ เขาจึงหันไปมองคนที่กำลังยืนคุยกับเจ้าของร้าน คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ความแปลกใจฉายออกมาทางสีหน้า

     รามิลจะซื้อดอกไม้ให้เขาอย่างนั้นเหรอ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “มีนจะไปไหน”

     “ตามมาเงียบๆ เถอะครับ ผมไม่พาพี่ไปฆาตกรรมหรอก”

     เขตดนัยหลุดขำ อดทึ่งความคิดของเจ้าเด็กแสบไม่ได้ รามิลกำลังจูงมือเขาไปด้านหลังร้านดอกไม้ บริเวณนี้เป็นที่ลับตาจึงไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา

     จู่ๆ คนข้างหน้าก็หยุดเดิน เขตดนัยเลยหยุดตาม รามิลหันซ้ายหันขวา เมื่อมั่นใจว่าแถวนี้ไม่มีใครจึงหมุนตัวกลับมาหาคนตัวสูง

     “ให้พี่เหรอ” ชายหนุ่มมองช่อกุหลาบสีขาวที่คนตรงหน้ายื่นมาให้ แม้จะรู้อยู่แล้วแต่เขาก็อยากถามให้แน่ใจ

     “ผมยื่นให้ใครก็ให้คนนั้นแหละ” เด็กหนุ่มหันหน้าไปทางอื่น ไม่ยอมมองตา

     “มีเหตุผลไหม”

     รามิลเงียบไปจนเขตดนัยคิดว่าคงไม่ตอบแล้ว ก่อนที่เสียงถอนหายใจจะดังขึ้นเบาๆ ใบหน้าหวานหันกลับมามอง ดวงตาของพวกเขาประสานกัน

     “พี่รู้ความหมายของกุหลาบสีขาวไหมครับ”

     “ไม่ พี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่”

     “กุหลาบสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความสะอาด ผุดผ่อง ไม่มีอะไรเจือปน เปรียบเสมือนความรักที่บริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งตอบแทน เป็นความรักที่ปรารถนาดีให้กันโดยแท้จริง”

     “…”

     “พอจะรู้หรือยังครับว่าทำไมผมถึงให้กุหลาบสีขาวกับพี่”

     เขตดนัยพูดไม่ออก เขารู้ได้ทันทีว่ารามิลกำลังพูดถึงเรื่องเขากับวายุ แต่เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรแบบนี้ เขตดนัยนึกว่ารามิลจะดีใจที่ขัดขวางความรักของเขาสำเร็จจนอยากทับถมเสียอีก

     “ผมอยากให้พี่เขตคิดว่าตัวเองคือกุหลาบช่อนี้ ที่ถึงแม้คนรับจะปฏิเสธไม่เอา แต่ความสวยงามของมันก็ไม่ได้ลดลงเลย ต่อให้ความรักของพี่ไม่สมหวัง พี่ก็ยังมีคนรักอีกมากมาย ความรักของพี่ไม่เคยไร้ค่านะครับ”

     เขตดนัยลืมไปแล้วว่าคนตรงหน้าเคยวางแผนจะปั่นหัวเขา ตอนนี้เขาเห็นแต่ใบหน้าเป็นห่วงที่มีสีแดงนิดๆ แต่งแต้ม ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าเด็กแสบก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน

     มือหนาเอื้อมไปรับช่อดอกไม้มาถือ สายตาที่ตกลงมองกุหลาบสีขาวเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

     “ขอบคุณนะที่เป็นห่วง พี่จะเก็บกุหลาบช่อนี้ไว้อย่างดี”

     คนให้ดอกไม้ถึงกับเงอะงะทำตัวไม่ถูก เมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป

     “ผมไม่ได้เป็นห่วงซะหน่อย แค่หงุดหงิดเฉยๆ” ตอนนี้ความรักของเพื่อนสมหวังแล้ว รามิลจึงไม่คิดจะแสดงละครอีกต่อไป ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มจับได้ว่าเขากำลังโกหก

     “หงุดหงิด?” เขตดนัยทวนคำอย่างไม่เข้าใจ

     “อกหักทั้งทีใครบ้างจะไม่เสียใจ ถ้าเสียใจก็แสดงออกมาสิครับ มัวแต่เก็บไว้ข้างในมันคงจะหายหรอก ถ้าไม่รู้จะระบายกับใครมาระบายกับผมก็ได้ ไม่เห็นต้องปั้นหน้ายิ้มตลอดเวลาเลย”

     ร่างสูงทำตาปริบๆ เขากำลังทำความเข้าใจคำพูดของคนตรงหน้า จนกระทั่งทุกอย่างกระจ่างแล้วมุมปากของเขตดนัยจึงยกยิ้ม สายตาที่มองคนพูดอ่อนโยนกว่าเดิม

     “มีนคิดว่าพี่เสียใจเหรอ”

     “แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

     “ถ้าพี่บอกว่าไม่ใช่ล่ะ”

     รามิลหันขวับมามอง ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงมีรอยยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่มีความเศร้าหรือความเสียใจปนอยู่เลย

     “มันอาจฟังดูแปลกๆ แต่ตอนรู้ว่าวายุคบกับสกายพี่ไม่รู้สึกอะไรเลย พี่ก็ยังแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน”

     เด็กหนุ่มยังมองเขาราวกับไม่เชื่อสายตา “พี่เขตไม่ได้โกหกใช่ไหม”

     “พี่จะโกหกทำไม”

     “มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ พี่ชอบพี่วายุมาตั้งนานไม่ใช่เหรอ อุตส่าห์ตามจีบขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องเสียใจบ้างสิ”

     “พี่คงรู้ตัวมานานแล้วว่าวายุไม่มีทางชอบพี่ แต่เพราะไม่อยากยอมแพ้เลยดันทุรังมาตลอด พอทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้เลยทำใจยอมรับได้ไม่ยาก”

     รามิลอ้าปากค้าง เขาอึ้งท่าทางสบายๆ ของคนพูด แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือเขารู้สึกอายกับสิ่งที่ทำลงไป ถ้าเขตดนัยไม่ได้เป็นอะไรแล้วเขาจะซื้อดอกกุหลาบให้ทำไม ไหนจะคำพูดแสดงความเป็นห่วงที่ไม่สมกับเป็นเขาอีก

     “แต่ขอบคุณนะที่มีนห่วงพี่ขนาดนี้ ถึงขั้นซื้อดอกกุหลาบมาปลอบใจ พี่ดีใจมากเลย”

     “ผม...ผมบอกแล้วไงว่าไม่ได้ห่วง แค่กลัวจะเสียใจจนไม่เป็นอันกินข้าวกินปลา”

     “มันก็เรียกว่าห่วงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

     รามิลกัดริมฝีปาก ทำไมยิ่งพูดยิ่งเหมือนเข้าตัวเองไปทุกที

     “ถ้าพี่เขตไม่เป็นอะไรก็คืนกุหลาบมาเลยครับ ช่อละตั้งหลายพัน ผมจะเอามาประดับห้องตัวเอง” เมื่อไม่รู้จะแก้ตัวยังไงก็เปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย รามิลแบมือไปตรงหน้า สีหน้าบึ้งตึง เขตดนัยหัวเราะในลำคอ กลับมาเป็นเด็กแสบเหมือนเดิมแล้วสินะ

     “ปกติพี่ไม่รับของจากแฟนคลับ แต่กุหลาบช่อนี้พี่คงคืนให้ไม่ได้”

     “ทำไมจะไม่ได้ ผมใช้เงินตัวเองซื้อ”

     “แต่มีนให้พี่แล้ว ตอนนี้ถือว่าเป็นของพี่ ยิ่งกุหลาบช่อนี้มาจากความหวังดีของมีนยิ่งคืนให้ไม่ได้ พี่ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของแฟนคลับ”

     รามิลได้แต่ทำหน้าหงิกงอ เขาอยากพูดออกไปตรงๆ ว่าทั้งหมดมันเป็นเรื่องโกหก แต่เขากลับกลัวว่าคนตรงหน้าจะเสียความรู้สึก รามิลนึกหงุดหงิดตัวเองที่เขาแคร์เขตดนัยถึงเพียงนี้ มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย

     เขตดนัยยกยิ้ม อาศัยจังหวะที่เด็กหนุ่มเผลอดึงมือมาจับ หยิบเงินจำนวนพอดีค่าดอกไม้ยัดใส่มือ

     “ให้เงินผมทำไม” รามิลมองธนบัตรในมืออย่างงุนงง

     “ค่าดอกไม้”

     สายตาที่มองกลับมายังไม่หายงง แต่เขตดนัยไม่คิดจะขยายความ เขากระชับมือที่จับกันอยู่ ออกเดินนำไปยังลานจอดรถ

     “กลับกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง แต่ขอแวะซื้อแจกันดอกไม้ก่อนนะ”

     ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา มีเพียงอาการเม้มปากแล้วเบือนหน้าหนี เขตดนัยกระตุกยิ้ม ต่อให้เจ้าตัวปิดปากเงียบไม่ยอมรับ แต่แก้มแดงๆ นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ว่าเด็กแสบกำลังเป็นห่วงเขา

     ชายหนุ่มผิวปากตลอดทางเดิน ทั้งที่เพิ่งอกหักแต่เขากลับกำลังมีความสุข การมีคนคอยเป็นห่วงมันรู้สึกดีอย่างนี้เอง




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 26 ★ [02/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 02-12-2022 11:56:26
ตอนที่ 26
ลูกหมาซ่อนเล็บ


     “คุณท้องฟ้าแน่ใจเหรอคะ” ป้านิดถามย้ำอีกรอบ สีหน้าดูกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิด

     “แน่ใจครับ”

     “ถ้าคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายรู้เข้าเป็นเรื่องแน่ค่ะ” ป้าณีพูดด้วยสีหน้ากังวลไม่ต่างกัน

     “หมายถึงอาเกริกกับน้ามนตร์เหรอครับ”

     “ค่ะ พวกท่านกำชับไว้ว่าให้ดูแลคุณท้องฟ้าอย่างดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”

     “เราก็อย่าให้เขารู้สิครับ”

     แม่บ้านทั้งสองหันไปมองตากัน เด็กหนุ่มจึงพูดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม

     “แค่ทำอาหารเอง ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ อีกอย่างผมเป็นคนขอทำเอง ป้านิดกับป้าณีไม่ได้ใช้ให้ผมทำเสียหน่อย”

     “แล้วทำไมจู่ๆ คุณท้องฟ้าเกิดอยากทำอาหารเองล่ะคะ หรืออาหารที่พวกป้าทำให้ไม่ถูกปาก”

     “เปล่าครับ ผมอยากเซอร์ไพรส์พี่วายุ”

     ป้านิดกับป้าณีทำหน้างง วันเกิดคุณวายุเลยมาแล้ว เทศกาลสำคัญก็ยังไม่ถึง แล้วคุณท้องฟ้าจะเซอร์ไพรส์เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ

     เด็กหนุ่มซ่อนเลศนัยไว้ภายใต้รอยยิ้ม เขาไม่แน่ใจว่าวายุอยากให้คนในบ้านรู้เรื่องที่พวกเขาคบกันหรือเปล่า จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป

     วันนี้วายุออกไปพบลูกค้า ท้องฟ้าเลยมาขอร้องให้แม่บ้านสอนทำอาหาร เขาอยากเซอร์ไพรส์วายุเนื่องในโอกาสเป็นแฟนกัน มันอาจไม่ใช่การเซอร์ไพรส์ที่อลังการ แต่เขาก็อยากให้วายุรับรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งนี้มีความหมายกับเขาแค่ไหน

     “นะครับป้านิด ป้าณี สอนผมทำหน่อยนะ ผมสัญญาจะตั้งใจเรียนทุกขั้นตอน”

     แม่บ้านทั้งสองมองตาปริบๆ จนในที่สุดก็หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะเป็นเด็กน่าเอ็นดูอย่างนี้เองสินะคุณวายุถึงยอมให้มาอยู่ด้วย ทั้งที่ตอนแรกออกจะอยากคัดค้านคุณผู้ชายด้วยซ้ำ

     “ก็ได้ค่ะ แต่ป้าขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”

     “อะไรเหรอครับ”

     “ถ้าจะบอก บอกแค่คุณวายุคนเดียว อย่าบอกคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายได้ไหมคะ ป้าไม่อยากถูกหักเงินเดือน”

     “ฮ่าๆ ได้ครับ สัญญาด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเลย”

     แม่บ้านต่างขำกับท่าทางยกมือตะเบ๊ะของเด็กหนุ่ม ดูเหมือนคนที่พวกเธอเอ็นดูเหมือนลูกจะไม่ได้มีแค่ลูกชายเจ้าของบ้านเสียแล้ว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “มีอะไรหรือเปล่าครับ” วายุถามแม่บ้านทั้งสองที่กำลังทำหน้ากังวล ต่างกับเด็กหนุ่มที่ยิ้มระรื่นเหมือนมีเรื่องน่ายินดี เขาเพิ่งกลับมาจากคุยงานกับลูกค้า พอเข้ามาในบ้านท้องฟ้าก็จูงมือเขามาที่ห้องอาหาร โดยบอกว่ากำลังรอทานข้าวพร้อมกันอยู่เลย

     บนโต๊ะมีไข่เจียวทรงเครื่องกับแกงจืดผักกาดขาวเต้าหู้ไข่ใส่หมูสับ วายุนั่งลงตรงข้ามท้องฟ้าก่อนจะหันไปขอคำตอบจากแม่บ้าน

     “มื้อนี้ผมทำอาหารเองครับ”

     “หือ?” คำตอบที่ไม่คาดคิดดึงสายตาของชายหนุ่มกลับมา ท้องฟ้ายิ้มกว้าง สีหน้าภูมิใจกับผลงานบนโต๊ะ

     “อาหารพวกนี้ป้านิดกับป้าณีสอนผมทำ ผมตั้งใจทำสุดฝีมือเพื่อพี่วายุเลยนะ”

     “เพื่อพี่?” ไม่ใช่ว่าวายุไม่ดีใจ แต่เขากำลังแปลกใจว่าทำไมจู่ๆ ท้องฟ้าถึงอยากทำอาหารให้เขาทาน

     ร่างสูงโน้มหน้ามาใกล้ ยกมือป้องปาก พูดกระซิบที่ริมหู “ฉลองที่เราเป็นแฟนกันไงครับ”

     สีแดงค่อยๆ ลามไปทั่วหน้าของชายหนุ่ม วายุพูดอะไรไม่ออก เขาไม่คิดเลยว่าเหตุผลจะเป็นเรื่องนี้

     “คุณท้องฟ้าตั้งใจทำมากเลยนะคะ ป้าสอนอะไรไปแกเรียนรู้เร็วมาก” ป้านิดเอ่ยชม ก่อนจะมีท่าทางอึกอักเมื่อพูดประโยคถัดมา “แต่...เรื่องรสชาตินั้น...”

     “ผมชิมแล้วครับ อร่อยไม่แพ้ร้านดังๆ เลย ไว้ใจได้แน่นอน” ท้องฟ้าพูดด้วยความมั่นใจ วายุหัวเราะเสียงเบา สายตาที่มองคนพูดอ่อนโยน

     “ขอบใจนะ”

     “ลองชิมดูครับ รับรองว่าพี่วายุต้องติดใจ” ท้องฟ้าหันไปขอถ้วยเล็กจากแม่บ้าน ตักแกงจืดแบ่งใส่ถ้วยแล้วส่งให้ วายุรับมาพลางเอ่ยชมหน้าตาของอาหาร โดยไม่รู้ว่าแม่บ้านสองคนกำลังมองมาด้วยใบหน้าซีดเผือด

     วายุตักน้ำแกงจืดมาชิม รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นยิ้มค้างทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงรสชาติ แต่เพราะคนตรงหน้ากำลังมองมาอย่างคาดหวัง เขาจึงฝืนกลืนน้ำแกงลงคอจนหมด

     “อร่อยไหมครับ”

     “พอใช้ได้” วายุตอบกลับไปหลังจากหาคำตอบที่คิดว่าซอฟต์ที่สุดอยู่นาน

     “แค่พอใช้ได้เองเหรอครับ ผมตั้งใจทำมากเลยนะ” ท้องฟ้าทำหน้าผิดหวัง จัดการแบ่งแกงจืดใส่อีกถ้วย “ผมลองชิมบ้างดีกว่า”

     “อย่า”

     “อย่าค่ะคุณท้องฟ้า”

     สามเสียงพูดขึ้นพร้อมกัน แต่ช้ากว่าเด็กหนุ่มที่ซดแกงจืดเข้าปากไปแล้ว ทั้งห้องอาหารเงียบกริบ ท้องฟ้าทำหน้าเหยเก วายุได้แต่ยิ้มแห้งตามแม่บ้าน

     “ตอนทำเสร็จผมชิมแล้วจริงๆ นะ แต่เห็นว่ามันจืดเลยใส่น้ำปลาเพิ่มไปนิดนึง”

     วายุคิดในใจว่าคงไม่นิดแล้วล่ะมั้ง ซดเข้าไปคำแรกเขาก็รู้สึกถึงโรคไตแล้ว

     “แต่ไข่เจียวอาจอร่อยก็ได้ ไหนพี่ลองชิมดูหน่อย” วายุพูดให้กำลังใจ กำลังจะเอื้อมมือไปตักไข่เจียวแต่ท้องฟ้ากลับห้ามไว้

     “ผมชิมก่อนดีกว่าครับ บอกตรงๆ ผมเริ่มไม่ไว้ใจตัวเองแล้ว”

     “คุณท้องฟ้าอย่าชิมเลยค่ะ เชื่อป้าเถอะ” ป้าณีไม่อยากพูดอย่างนี้ แต่เธอต้องพูดเพราะเป็นห่วงสุขภาพไตของคนชิม ถ้าแกงจืดว่าใส่น้ำปลาเยอะแล้ว เธอเห็นกับตาว่าตอนตีไข่คุณท้องฟ้าใส่น้ำปลาเยอะกว่าอีก แต่พอจะห้ามอีกฝ่ายก็เทไข่ลงกระทะไปเสียแล้ว เธอจะขัดก็ทำไม่ลง ใบหน้าคุณท้องฟ้าตอนทอดไข่ดูมีความสุขและมุ่งมั่นมาก

     “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรู้ฝีมือตัวเอง” ท้องฟ้าพูดจบก็ตักไข่เข้าปากทันที ไม่รอให้คนอื่นห้ามอีก แต่วินาทีที่ต่อมรับรสทำงานสีหน้ากลับเหยเกกว่าเดิม ใบหน้าเด็กหนุ่มบิดเบี้ยวจนวายุลอบกลืนน้ำลาย

     ร่างสูงพรวดพราดลุกขึ้น วิ่งไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว วายุหันไปหาแม่บ้านเพื่อขอคำอธิบาย

     “คุณท้องฟ้าทำตามที่ป้าสอนทุกอย่างเลยนะคะ แต่ตอนปรุงรสแกขอปรุงเอง”

     วายุถอนหายใจ มองทางที่เด็กตัวโตเพิ่งวิ่งไป เขาไม่รู้จะอ่อนใจหรือสงสารดี

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “อย่าทำหน้าอย่างนั้น” วายุโยกหัวเด็กหนุ่มไปมา วันนี้เขาให้ท้องฟ้ามานอนด้วยอีกวัน เพราะอยากให้อีกฝ่ายหายนอยด์จากเรื่องเมื่อตอนเย็น

     “ผมมันใช้ไม่ได้เลย” ใบหน้าคมจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด วายุหัวเราะเบาๆ ดวงตาฉายแววขำปนเอ็นดู

     “ครั้งแรกใครๆ ก็เคยพลาดกันทั้งนั้น ของแบบนี้มันต้องฝึกบ่อยๆ”

     “ผมอุตส่าห์อยากทำให้พี่วายุประทับใจ กลายเป็นว่าทุกอย่างพังไม่เป็นท่า” เสียงคนพูดบ่งบอกถึงความผิดหวัง

     “แค่รู้ว่าตั้งใจทำให้ก็เซอร์ไพรส์สำหรับพี่มากแล้ว ขอบใจนะ”

     “เปลี่ยนคำขอบใจเป็นหอมแก้มแทนได้ไหมครับ เผื่อผมจะรู้สึกดีขึ้น” เด็กตัวโตทำแก้มป่อง เอียงแก้มมารอโดยที่เขายังไม่ได้ตอบ วายุหัวเราะในลำคอ นิดๆ หน่อยๆ ยังจะเอา แม้กระทั่งตอนเศร้ายังเจ้าเล่ห์ได้อีกนะ

     ท้องฟ้าเลิกคิ้วเมื่อวายุขยับเข้ามาใกล้ แต่แทนที่จะหอมแก้มตามที่ขอ กลับยกมือมาประคองแก้มแล้วรั้งใบหน้าให้หันไปสบตา ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรริมฝีปากนุ่มก็ทาบทับลงมาบนริมฝีปาก สัมผัสแผ่วเบาเพียงเสี้ยววินาทีแต่กลับให้ความรู้สึกวาบหวามในอก

     “แบบนี้พอจะรู้สึกดีขึ้นไหม”

     เสียงนุ่มที่ถามชิดริมฝีปากทำให้ท้องฟ้าลืมไปแล้วว่าเขาขอแค่หอมแก้ม มือหนาเอื้อมไปตรึงท้ายทอย รั้งใบหน้าอีกฝ่ายให้มาประกบปากอีกครั้ง คราวนี้เขาจูบนานขึ้น ไม่ใช่ปากแตะปากอย่างที่วายุทำ ความหนักหน่วงที่เพิ่มขึ้นทำให้ชายหนุ่มส่งเสียงประท้วงในลำคอ

     “ท้องฟ้า เดี๋ยวก่อน...” คำพูดเขาหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อร่างสูงจัดการปิดปากเขาอีกรอบ ท้องฟ้าดันวายุนอนราบไปกับเตียง ริมฝีปากทั้งสองยังไม่ผละออกจากกัน ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในปากเมื่อคนอายุมากกว่าเผยอปากออก กวาดไล่ต้อนลิ้นเล็กราวกับหิวกระหายมานาน

     หัวใจวายุเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อจูบนั้นทวีความรุนแรงขึ้น ต่างจากจูบครั้งก่อนๆ ที่เขาเคยได้ลิ้มลอง มันเร่าร้อน ดุดัน และแปลกใหม่จนเขาหัวหมุนไปหมด

     “พี่วายุ...ผมขอได้ไหมครับ”

     วายุนิ่งงัน พูดอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ เขาไม่ได้ซื่อจนไม่รู้ว่าท้องฟ้ากำลังขออะไร เพียงแต่ที่ผ่านมาพวกเขามักจะหยุดอยู่ที่จูบ วายุจึงไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านั้น

     “เอาไว้วันหลังได้ไหม พี่...คือพี่...” วายุอ้อมแอ้ม เขาไม่กล้าพูดว่ายังไม่พร้อม

     “ไม่อยากให้ผมรู้สึกดีขึ้นเหรอครับ” ท้องฟ้าไม่พูดเปล่า โน้มใบหน้าลงมาขบเม้มลำคอขาว แม้จะเพียงแผ่วเบาแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งได้ ร่างสูงไม่คิดจะเอาคำตอบ ฝ่ามือหนาสอดเข้าไปในเสื้อ ลูบไล้ไปทั่วหน้าท้องแบนราบ ก่อนปลายนิ้วยาวจะแตะเข้าที่ยอดอก

     “อ๊ะ” วายุสะดุ้งเฮือกเมื่อนิ้วร้อนลูบวนบนตุ่มไต ความรู้สึกมวนในช่องท้องทำให้เขาต้องบิดตัว

     ท้องฟ้าเลิกเสื้อขึ้น ย้ายใบหน้ามาหาอกขาวเนียน ริมฝีปากร้อนที่ครอบครองยอดอกทำให้วายุคิดอะไรไม่ออก สมองของเขาพร่าเบลอไปหมด

     “ทะ...ท้องฟ้า...อ๊า!” เสียงนุ่มค่อยๆ ดังขึ้นเมื่อลิ้นสากไล้วนบนตุ่มไต ใบหน้าสวยแหงนเงยไปข้างหลัง ปฏิกิริยาของคนใต้ร่างทำให้เด็กหนุ่มรู้ทันทีว่าตรงนี้คือจุดอ่อน

     “น่ารัก...” ท้องฟ้าผงกหัวจากแผ่นอกขาว ส่งยิ้มให้คนรักที่ปรือตามามอง “พี่วายุน่ารักที่สุด”

     “อ๊ะ!” วายุร้องเสียงหลงเมื่อกางเกงของเขาถูกถอดออกไปในพริบตา ร่างสูงยันตัวขึ้น จัดการกับเสื้อผ้าของตัวเอง ใบหน้าวายุร้อนผ่าวกว่าเดิมเมื่อร่างเปลือยที่แกร่งไปทุกส่วนปรากฏต่อสายตา

     ท้องฟ้าโน้มตัวลงมาหา จูบดูดซับความหวานจากริมฝีปาก สายตาที่ทอดมองเผยถึงความต้องการชัดเจน

     “เชื่อใจผมนะ”

     ประกายบางอย่างในดวงตาทำให้วายุรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ความกลัวก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น เสียงทุ้มของท้องฟ้าดูเว้าวอน และมันทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวเช่นกัน

     วายุพยักหน้าช้าๆ ท้องฟ้ายิ้มขอบคุณก่อนกดจูบลงมาอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือใหญ่เข้ากอบกุมส่วนอ่อนไหว

     “ยะ...อย่า...”

     “แน่ใจเหรอครับว่าจะห้ามผม” เด็กหนุ่มกระตุกยิ้ม นอกจากไม่เอามือออกแล้วยังขยับรูดรั้งขึ้นลง วายุยกมือจิกหมอนเพื่อระบายความรู้สึกในอก หัวของเขาขาวโพลน เวลานี้เขาไม่อาจรับรู้อะไรนอกจากความเสียวซ่านที่ร่างสูงมอบให้

     เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่วายุไม่อาจรู้ได้ จนกระทั่งร่างกายของเขากระตุกเกร็ง ปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมา วายุทิ้งตัวลงบนเตียง หอบหายใจรวยริน

     ท้องฟ้าตามลงมาทาบทับ ประกบริมฝีปากลงไป ลิ้นทั้งสองที่เกี่ยวกระหวัดในโพรงปากทำให้เขาพอใจจนต้องครางเสียงต่ำ วายุยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี เขากำลังถูกท้องฟ้าชักนำด้วยแรงปรารถนา

     “อื้อ!” วายุสะดุ้งเฮือกเมื่อนิ้วยาวถูกสอดใส่เข้ามาในช่องทางด้านหลัง เขาอยากร้องออกมา แต่เพราะคนบนร่างไม่ยอมปล่อยริมฝีปากเป็นอิสระ สิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงบิดตัวเร่า นิ้วยังขยับเข้าออกราวกับต้องการเปิดทางให้สิ่งที่ใหญ่กว่า

     ท้องฟ้าผละใบหน้าออก หยาดน้ำสีขาวยืดตามออกมาเป็นสาย เขาถอนนิ้วออกจากช่องทางด้านหลัง จับสองแขนของวายุมาคล้องคอตัวเอง

     “ถ้าเจ็บจิกหลังผมนะครับ”

     วายุกำลังจะถาม แต่ความสงสัยในใจก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อมือแข็งแรงรั้งขาของเขาขึ้น ก่อนท่อนลำที่มีขนาดใหญ่กว่านิ้วจะถูกสอดเข้ามาแทนที่ วายุร้องออกมาด้วยความเจ็บ คิ้วบางขมวดเข้าหากัน ท้องฟ้าโน้มลงมาจูบหน้าผากเพื่อปลอบประโลม

     “ไหวไหมครับ”

     วายุอยากตอบว่าไม่ไหว เขารู้ว่าถ้าพูดออกไปท้องฟ้าจะยอมหยุด แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าเด็กหนุ่มกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน

     ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก พยักหน้าเล็กน้อยพลางขยับเอวเพื่อบอกให้รู้ว่าเขาเต็มใจและต้องการ ท้องฟ้าส่งยิ้มให้คนรัก ประกบจูบลงไปพร้อมกับดันแก่นกายเข้าไปจนชิด

     “อื้อ!” วายุผวาตัวเข้าหา ร่างทั้งสองแนบชิดกันมากขึ้น ความรู้สึกคับแน่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

     “อย่าเกร็งครับ ค่อยๆ ผ่อนคลาย”

     “อะ...อ๊า...” เสียงครางเริ่มดังขึ้นเมื่อเอวหนาเริ่มขยับเข้าออก ท้องฟ้าค่อยๆ เพิ่มความเร็ว เขาอยากกระแทกแรงกว่านี้ แต่กลัววายุจะรับไม่ไหวจึงพยายามผ่อนแรง

     วายุจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้าง ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามา ทั้งความเจ็บปวด ความเสียวซ่าน และความรู้สึกต้องการที่กำลังบอกเขาว่าแค่นี้มันไม่เพียงพอ

     “ทะ...ท้องฟ้า...”

     “ครับ” เสียงทุ้มแหบเอ่ยกระเส่า วายุปรือตามอง ดวงตาฉ่ำเยิ้มไปด้วยหยาดน้ำ

     “ระ...แรงกว่านี้...”

     ประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเด็กหนุ่มขาดผึงในพริบตา ท้องฟ้าเพิ่มความเร็วมากขึ้น เสียงเนื้อกระทบกันดังผสานกับเสียงครางของคนสองคน ริมฝีปากประกบเข้าหากันอีกครั้ง ราวกับพวกเขากำลังบอกรักผ่านร่างกายและการกระทำ

     ร่างบางขยับตามแรงกระแทกกระทั้น มือหนารูดรั้งส่วนอ่อนไหวของอีกคนไปพร้อมกัน เพียงไม่นานเสียงครางทุ้มต่ำก็ดังไปทั่วห้อง ร่างกายของท้องฟ้ากระตุกถี่ ก่อนของเหลวสีขาวขุ่นจะถูกฉีดพ่นออกมาบนหน้าท้อง ตามมาด้วยชายหนุ่มที่แทบจะถึงฝั่งฝันพร้อมกัน

     วายุปรือตาขึ้นเมื่อริมฝีปากร้อนก้มลงมาจูบซับเหงื่อบนขมับ ท้องฟ้ามองคนใต้ร่างด้วยแววตารักใคร่ หยิบทิชชูบนหัวเตียงมาเช็ดน้ำที่เปรอะเปื้อนบนหน้าท้อง ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ แล้วรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอด

     “ผมรักพี่วายุ” เสียงทุ้มเอ่ยข้างใบหู วายุเขินจนอยากซุกหน้าไปใต้หมอน แต่ตอนนี้เขาไม่มีแรงทำอะไรเลย

     “รู้แล้ว นายบอกพี่อยู่ทุกวัน”

     “แล้วพี่วายุล่ะครับ รักผมไหม”

     “ถ้าไม่รักจะมาอยู่ในสภาพนี้เหรอ”

     ท้องฟ้าหัวเราะเบาๆ กดจูบลงบนแก้มคนรักหนักๆ แล้วผละออก

     “ขอบคุณนะครับ ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว”

     เป็นเพราะเพิ่งผ่านบทรักอันเร่าร้อนมา สมองของวายุเลยทำงานช้ากว่าปกติ หลังประมวลผลอยู่สักพักดวงตาเขาก็เบิกกว้าง รีบหันขวับไปมองคนพูดทันที

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “นายหลอกพี่เหรอ”

     ไม่มีคำตอบกลับมา แต่รอยยิ้มมุมปากกับดวงตาวาววับก็แทนคำตอบได้หมดแล้ว วายุเอื้อมมือไปตีแขนเต็มแรง เมื่อครู่เขาหมดแรงก็จริง แต่สำหรับเด็กเจ้าเล่ห์เขายังมีแรงเหลือเฟือ

     “โอ๊ย! พี่วายุ พอแล้วครับ ผมเจ็บนะ” ท้องฟ้ารวบสองมือที่กำลังทุบตีไว้ด้วยมือเดียว ดวงตาของเขาเป็นประกาย ยิ่งเห็นใบหน้าแดงเรื่อเขาก็ยิ่งมีความสุข “ผมก็แค่อยากบอกพี่วายุผ่านการกระทำเฉยๆ”

     “บอกอะไร”

     ท้องฟ้ากระตุกยิ้ม โน้มหน้าลงไปใกล้ก่อนกระซิบข้างหู “เรื่องทำอาหารผมอาจไม่ถนัด แต่เรื่องบนเตียงผมไม่มีทางแพ้ใครแน่นอน โอ๊ย! ผมเจ็บครับ พอแล้วพี่วายุ โอ๊ย!”

     วายุไม่สนใจเสียงร้อง แรงมีเท่าไหร่ใส่ไปให้หมด ต่อไปนี้เขาจะไม่เชื่ออะไรอีกแล้ว เห็นทำตัวเป็นลูกหมาเชื่อง ที่ไหนได้ นี่มันลูกหมาซ่อนเล็บชัดๆ!




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 27 ★ [04/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 04-12-2022 15:57:28
ตอนที่ 27
คนบางคน


     “อะไรนะคะ!” วาธินีเผลอขึ้นเสียงสูง สายตาที่มองคนตรงหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ คนรอบข้างต่างมองมา แต่นาทีนี้เธอไม่สนอะไรทั้งนั้น

     “ผมรู้ว่าวาได้ยินแล้ว เป็นอันว่าเข้าใจตรงกันนะครับ” เสียงของปฐพีนิ่งเรียบ แม้ฟังดูสุภาพแต่ก็ห่างเหิน

     “ดินจะทิ้งวาไปจริงๆ เหรอคะ ดินคิดดีแล้วเหรอ”

     “ผมไม่ได้ทิ้งวา แต่วาเป็นคนขอยุติความสัมพันธ์ของเราเอง”

     “วาไม่ได้พูดแบบนั้น”

     “แต่วาให้ผมทิ้งความรับผิดชอบเพื่อมาหา ซึ่งวาก็น่าจะรู้ว่าผมทำไม่ได้”

     วาธินีกัดริมฝีปาก เธอรู้สึกว่าตัวเองเดินเกมพลาด เธอคิดว่าปฐพีจะเห็นเธอสำคัญกว่างานบริษัท แต่ทุกอย่างกลับออกมาตรงกันข้าม

     “วาก็แค่อยากมีเวลาส่วนตัวกับดินบ้าง พักนี้ดินไม่มีเวลาให้วาเลยนะคะ” เสียงของเธออ่อนลง ริมฝีปากอวบอิ่มส่งยิ้มให้คนตรงหน้า วาธินียังคงมั่นใจว่าเสน่ห์อันเหลือล้นของเธอไม่มีชายหนุ่มคนใดปฏิเสธได้

     “ผมพูดชัดเจนตั้งแต่วันแรกแล้ว และวาก็ยอมรับในเงื่อนไขข้อนี้ แต่จู่ๆ วากลับเรียกร้องทุกอย่างที่ไม่ได้ดั่งใจ ในเมื่อผมดูแลวาไม่ดี วาอยู่กับผมแล้วไม่มีความสุข การจบความสัมพันธ์ก็น่าจะเหมาะที่สุดไม่ใช่เหรอ” ปฐพีสบตากับหญิงสาว สายตาของเขานิ่งแต่แฝงไปด้วยความเฉียบขาด เขาไม่อยากโยนความผิดให้วาธินี แต่เขาก็ไม่อาจสานสัมพันธ์กับผู้หญิงที่บอกให้เขาทิ้งหน้าที่การงานแล้วมาหาตัวเองได้เช่นกัน

     วาธินีรู้สึกไม่พอใจ ถึงแม้ปฐพีจะพูดเหมือนเป็นความผิดตัวเอง แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงงี่เง่า เอาแต่ใจ ไม่มีเหตุผล

     “วาผิดเหรอที่อยากให้ดินสนใจบ้าง วาก็แค่รักดิน”

     “ถ้ารักแต่ไม่มีความเข้าใจ ผมว่ามันก็ไปไม่รอดนะ”

     “ทำไมวาจะไม่เข้าใจดิน วาคบกับดินมานาน วารู้ทุกอย่างในชีวิตดินนะคะ”

     “การรู้เรื่องของผมไม่ได้แปลว่าเข้าใจ รบกวนวาทำความเข้าใจใหม่ด้วยครับ”

     “ดิน!”

     “และเราสองคนยังไม่ได้คบกัน เผื่อวาลืม”

     วาธินีโกรธจนตัวสั่น ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครหักหน้าเธอขนาดนี้มาก่อน ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ผู้หญิงหลายคนล้วนอิจฉา ที่ผ่านมาเธอจึงเป็นฝ่ายนั่งอยู่บนหอคอย มองผู้ชายที่พยายามเข้าหาเธอจากที่สูง แต่ปฐพีกลับต่างออกไป นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอสนใจ

     ปฐพีเป็นทายาทเศรษฐีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ใบหน้าอันหล่อเหลา การศึกษาจบเมืองนอก โปรไฟล์ที่ผู้ชายในชีวิตเธอเทียบไม่ติดสักคน มันทำให้วาธินีคิดได้ว่าเธอต้องไม่ปล่อยผู้ชายคนนี้หลุดมือไปเด็ดขาด ถ้าเธอจับปฐพีได้ชีวิตเธอจะสบายไปทั้งชาติ

     “วาให้โอกาสแค่ครั้งเดียว ถ้าจะเปลี่ยนใจก็รีบทำซะตอนนี้ แล้ววาจะถือว่าไม่ได้ยินที่ดินพูด” ใบหน้าสวยไร้ที่ติเชิดขึ้น เธอต้องการให้ปฐพีรู้ว่าเธอมีตัวเลือกเยอะ และปฐพีไม่ควรปล่อยเธอไป ผู้หญิงอย่างเธอใครๆ ต่างก็หลงใหล เธอไม่เชื่อว่าปฐพีจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น

     “วาเป็นคนสวย วางตัวดี มั่นใจในตัวเอง ใครได้ไปเป็นคนรักต้องโชคดีมากๆ”

     วาธินียกยิ้ม สุดท้ายปฐพีก็ต้องหลงใหลเธอเหมือนผู้ชายคนอื่น

     “ผมหวังว่าสักวันวาจะเจอผู้ชายคนนั้น คนที่ดูแลวาได้ดีกว่าผม คนที่มีเวลาให้วา คนที่รับวาได้อย่างที่วาเป็น”

     “ดิน!” เป็นอีกครั้งที่วาธินีตัวสั่น เธอไม่นึกว่าชายหนุ่มจะพูดกับเธอแบบนี้ด้วยแววตาไร้ความรู้สึก

     “ผมขอโทษที่ทำให้วาเสียเวลา หวังว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้”

     วาธินีหน้าเสีย นาทีนี้เธอรู้แล้วว่าทุ่นเดียวที่มีได้หลุดจากมือไปแล้ว แต่เธอจะไม่แสดงออกให้ปฐพีรู้เป็นอันขาด การพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด

     ร่างระหงลุกขึ้นยืน ริมฝีปากสีแดงเหยียดยิ้ม ปฐพีมองตอบด้วยสายตานิ่ง

     “วาเพิ่งรู้ว่าดินโง่ขนาดนี้ โง่ที่ยอมปล่อยวาไปง่ายๆ ก็ดีค่ะ คนอย่างดินวาไม่อยากเสียเวลายุ่งด้วยหรอก” ยิ่งพูดให้อีกฝ่ายเจ็บเท่าไหร่เธอก็ยิ่งสาแก่ใจเท่านั้น คนอย่างวาธินีไม่คิดจะรู้จักคำว่าแพ้

     “ผมขอโทษครับ”

     เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมากับอาการไม่ทุกข์ร้อนกับคำด่าทอ มันทำให้วาธินีโกรธและไม่ได้ดั่งใจ เธอหุนหันพลันแล่นออกไปจากร้าน ปฐพีถอนหายใจ ดวงตาคมเข้มหันไปมองโต๊ะข้างๆ ที่มีผู้ชายร่างบางกำลังถือใบเมนูบังหน้าอยู่

     “คิดจะนั่งท่านั้นไปถึงเมื่อไหร่”

     แผ่นกระดาษค่อยๆ ลดลง เจ้าของร่างบางฉีกยิ้มให้เขา ปฐพีถอนหายใจอีกครั้ง ไม่คิดว่าจะมีคนรู้จักมาร่วมฟังการสนทนาของเขากับวาธินีด้วย

     “พี่ดินรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ในเมื่อปิดต่อไปก็ไม่ได้ผล ต้นน้ำจึงถือโอกาสย้ายมาโต๊ะของชายหนุ่มเสียเลย ดวงตาที่มองมานิ่งสงบ ต้นน้ำมองกลับไปอย่างรอคอยคำตอบ

     “เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน”

     เดี๋ยว! นี่ไม่ใช่คำตอบที่เขากำลังรอเสียหน่อย ต้นน้ำเผลออ้าปาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้ามุ่ยเมื่อรู้ตัวว่าโดนดุ

     “พูดผิดแล้วครับ ผมนั่งในร้านนี้ก่อนพี่ดินกับผู้หญิงคนนั้นจะมาอีก ไม่ได้แอบฟังด้วย”

     “เหรอ แล้วเราสั่งอะไรมาทานหรือยัง”

     “เรียบร้อยแล้วครับ”

     “งั้นอยู่เป็นเพื่อนก่อนสิ พี่ไม่อยากทานข้าวคนเดียวตอนกำลังเศร้า”

     “พี่ดินเศร้าเหรอ ผมเห็นพี่ปฏิเสธไร้เยื่อใยมากเลยนะ อุ๊บ!” ต้นน้ำยกมือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดความในใจออกไป

     “หึๆ” เสียงหัวเราะรู้ทันทำให้ต้นน้ำมองค้อนกลับไป เขาบอกแล้วว่าผู้ชายคนนี้น่ะร้ายกาจ

     “ก็ได้ครับ ยอมรับว่าได้ยิน” ต้นน้ำพูดออกมาเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโกหก “แต่ผมไม่ได้แอบฟังนะ พูดเสียงดังขนาดนั้น ต่อให้นั่งคนละมุมของร้านยังได้ยินอยู่เลยมั้ง”

     “แล้วทำไมไม่เข้ามาช่วย”

     ต้นน้ำมองค้อนอีกรอบ ดูก็รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้อยากให้ช่วยจริงๆ แต่อยากแกล้งเขามากกว่า

     “ความรักตัวเองก็จัดการเองสิครับ ผมไม่ได้มีอาชีพรับเคลียร์ปัญหาหัวใจคนอื่นซะหน่อย” เด็กหนุ่มพูดจบก็หยิบเมนูไอศกรีมมาดู สายตาไล่มองภาพของหวานด้วยความลังเล มันช่างน่าอร่อยไปหมด

     “ไหนว่าทานเรียบร้อยแล้ว” ปฐพีเห็นท่าทางคนตรงหน้าแล้วอดถามไม่ได้

     “ทานของคาวแล้วครับ แต่ยังไม่ได้ทานของหวาน เพราะผมรู้ว่าจะมีคนเลี้ยงเลยยอมรอ” ต้นน้ำชูบิลอาหารในมือพร้อมรอยยิ้ม ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอีกฝ่ายอยากให้เขาเลี้ยงของคาวที่ทานเสร็จไปแล้วด้วย

     “คราวนี้ยอมให้เลี้ยงแล้วเหรอ”

     “ไม่ยอมครับ แต่ผมรู้ว่าปฏิเสธไปพี่ดินก็ดื้ออยู่ดี สู้ให้เลี้ยงจบๆ ไปเลยดีกว่า”

     “พี่ว่าคนที่ดื้อคือเรามากกว่านะ”

     “พูดอย่างนี้หาเรื่องกันใช่ไหมครับ”

     ปฐพีหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของเด็กหนุ่ม เขาหันไปเรียกบริกรมารับเมนู

     “อยากทานอะไรก็สั่ง”

     “เห็นแก่ความใจดี ผมจะไม่เอาเรื่องที่พี่ว่าผมดื้อแล้วกัน” ต้นน้ำพูดยิ้มๆ สายตาไม่พอใจหายไปในพริบตา ปฐพีคิดในใจว่าเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายดี แค่หลอกล่อด้วยของกินก็เบี่ยงเบนความสนใจได้แล้ว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่ดินมีธุระต่อหรือเปล่าครับ” ต้นน้ำถามขึ้นมาตอนที่พวกเขาออกจากร้านอาหารแล้ว

     “อีกหนึ่งชั่วโมงพี่ต้องกลับออฟฟิศ”

     “แปลว่าตอนนี้ว่างอยู่ใช่ไหมครับ”

     ปฐพีหันไปมองคนที่เดินข้างกัน คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “ถามทำไม”

     “ผมจะชวนเดินเล่น ยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้”

     “เป็นเด็กขี้เหงาหรือไงเรา” ปฐพีพูดด้วยเสียงปนขำ ตั้งแต่วันที่คุณพงศกรฝากให้ดูแลลูกชาย พวกเขาก็ได้เจอกันอีกหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นงานสังคมนักธุรกิจ หรือตอนคุณพงศกรมาหาพ่อของเขาที่บริษัทแล้วพาลูกชายมาด้วย ปฐพีกับต้นน้ำจึงสนิทกันมากขึ้นจากครั้งแรกที่เจอกัน

     “ไม่ได้เหงาครับ แค่โดนเพื่อนทิ้ง” ต้นน้ำทำหน้าบึ้ง วันนี้ไม่มีเรียนเขาจึงชวนรามิลมาเดินห้าง ที่จริงเขาจะชวนสกายด้วย แต่รายนั้นบอกว่าพี่วายุไม่สบายเลยอยากอยู่ดูแลที่บ้าน ระหว่างทานข้าวจู่ๆ รามิลก็โดนเพื่อนโทรตามให้ไปช่วยงานกลุ่ม ขณะที่ต้นน้ำกำลังเซ็งและคิดว่าคงต้องกลับบ้าน ปฐพีก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับผู้หญิงที่เขาไม่รู้จัก ตอนนั้นเขาทำอะไรไม่ถูกจึงยกใบเมนูมาบังหน้า

     “พูดถึงเพื่อน พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”

     “อะไรครับ”

     “เรื่องสกายย้ายออกจากหอ สะดวกใจไหม”

     “สะดวกครับ พี่ดินถามได้ ผมไม่อะไรกับเรื่องนั้นแล้ว”

     ปฐพีลอบมองใบหน้าอีกฝ่าย เมื่อมั่นใจว่าถามได้จริงๆ เขาจึงถามออกไป “สกายเป็นรูมเมทเราตั้งแต่ปีหนึ่ง พ่อเรากับพ่อสกายซึ่งก็คือพ่อพี่รู้จักกัน ตอนสกายย้ายออก สกายบอกพ่อว่ามีปัญหากับรูมเมท แต่ทำไมพี่ไม่เห็นพ่อเรากับพ่อพี่พูดถึงเรื่องนี้เลย”

     ตอนเกิดเหตุการณ์ปฐพียังอยู่เมืองนอก เขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จริงเขาตั้งใจจะถามพ่อไม่ก็น้องชาย แต่เขาเพิ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ไม่นาน และไหนๆ วันนี้ก็มาเจอต้นน้ำแล้วเขาจึงถามเสียเลย เพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจให้คำตอบได้

     ต้นน้ำอมยิ้ม เบือนสายตามามองคนถาม แววตาเป็นประกาย “อาจเพราะโชคชะตามั้งครับ”

     “หือ?”

     “ผมกับสกายรู้จักกันตอนปีหนึ่ง สกายชวนผมไปเป็นรูมเมทจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายรวมถึงไม่เหงา แต่ตอนที่รู้ว่าพ่อของเราสองคนรู้จักกันคือตอนขึ้นปีสองแล้ว”

     “ที่ว่าโชคชะตาหมายถึงแบบนี้เองสินะ แล้วเราไม่ได้บอกพ่อเหรอว่ารูมเมทคือใคร”

     “ไม่ได้บอกครับ สกายก็เหมือนจะไม่ได้บอกด้วย”

     “ทำไมล่ะ”

     “ไม่มีเหตุผลต้องบอกครับ” ต้นน้ำยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ได้จะปิดอะไรหรอกครับ แต่สมมติว่าบอกไปมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนอยู่ดี ยิ่งตอนสกายย้ายออกผมยิ่งคิดว่าทำถูกแล้วที่ไม่บอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ เพราะถ้าพ่อผมกับพ่อสกายรู้ว่าเราทะเลาะกัน มันอาจกระทบถึงเรื่องงานบริษัทด้วย”

     ปฐพีอดหันไปมองคนพูดไม่ได้ ต้นน้ำเป็นเด็กหนุ่มที่ทำให้เขาแปลกใจได้เสมอในเรื่องของความคิด พอมองว่าเป็นเด็กกลับมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ พอมองว่าเป็นผู้ใหญ่กลับกลายเป็นเด็ก จนเขาเริ่มงงกับบุคลิกของอีกฝ่าย

     “ไม่ถามอะไรแล้วเหรอครับ” ต้นน้ำพูดเมื่อเห็นว่าคนข้างๆ เงียบไป

     “ไม่แล้ว”

     “งั้นผมขอถามบ้างนะครับ”

     “ว่ามาสิ”

     “ตกลงพี่ดินยอมอยู่เป็นเพื่อนผมแล้วใช่ไหมครับ”

     ปฐพีหยุดเดิน มองใบหน้าที่กำลังรอคอยคำตอบ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเดินคุยกับต้นน้ำมาสักพักแล้ว ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดู ทำเป็นเว้นช่วงให้อีกฝ่ายลุ้นเล่น

     “เดินเล่นฆ่าเวลาก็ดีเหมือนกัน ถือเป็นการย่อยอาหารไปในตัว”

     คำตอบที่ไม่มีคำตอบเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าเด็กหนุ่ม สายตาดีใจที่มองมาทำให้ปฐพีหัวเราะในลำคอ ถ้าเมื่อครู่เป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้อีกฝ่ายก็คงกำลังเป็นเด็ก และไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เป็นเด็กขี้เหงาเสียด้วย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ต้นน้ำ”

     “ครับ?”

     “เราเป็นเด็กแบบไหนกันแน่”

     ต้นน้ำละสายตาจากตู้กระจก หันมามองคนข้างๆ ด้วยแววตาเป็นคำถาม

     “วัยรุ่นส่วนใหญ่เวลามาห้าง ไม่ดูหนังก็เข้าร้านหนังสือ แต่เรากลับชวนพี่มาร้านแหวนเพชร”

     ต้นน้ำหลุดขำเมื่อเข้าใจสิ่งที่ร่างสูงตั้งใจจะสื่อ เด็กหนุ่มอมยิ้ม แววตาเป็นประกายขบขัน

     “เป็นเด็กแบบที่พี่ดินไม่เคยเจอมาก่อนแน่นอนครับ”

     ปฐพีแกล้งถอนหายใจกับคำตอบที่ไม่ค่อยเหมือนคำตอบ เอาเถอะ เขาก็ถามไปอย่างนั้น แค่แปลกใจนิดหน่อยแต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร

     ต้นน้ำหันกลับมาเมื่อเห็นว่าปฐพีไม่ถามอะไรแล้ว เขาไล่สายตาไปตามแหวนหลากหลายแบบที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้ แต่แล้วคนข้างๆ ก็ถามขึ้นมาอีก

     “ชอบแหวนเหรอ”

     “ชอบดูครับ แต่ไม่ชอบใส่”

     “หมายความว่ายังไง”

     ต้นน้ำหันมามองอีกครั้ง สายตายิ้มๆ ทำให้ปฐพีรีบแก้ตัว

     “แค่อยากชวนคุย ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”

     “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

     ใบหน้าปฐพีนิ่งขรึม แต่ภายใต้นั้นมีความเก้อเขินซ่อนอยู่ เป็นครั้งแรกที่เขาเสียอาการกับเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้

     “ตอนพ่อขอแม่แต่งงาน ท่านสลักชื่อตัวเองกับชื่อแม่ลงไปบนแหวน ทีแรกผมนึกว่าเพราะอยากโรแมนติก แต่ความจริงคือตอนนั้นเพื่อนของพ่อขอแฟนแต่งงานพร้อมกัน แล้วบังเอิญแหวนเป็นแบบเดียวกัน เลยต้องสลักชื่อไว้ เผื่อหล่นหายจะได้ไม่จำสลับ”

     ปฐพีเผลอส่งเสียงหัวเราะผ่านลำคอ แต่พอรู้ตัวก็รีบปิดปากแล้วเบือนหน้าหนี

     “โทษที”

     “ไม่เป็นไรครับ มันน่าขำจริงๆ ตอนแม่เล่าให้ฟังผมยังขำเลย”

     “เลยชอบดูแหวนเหรอ”

     “ครับ ทุกครั้งที่ผ่านร้านแหวนผมจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อาจไม่โรแมนติกเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ผมยิ้มและมีความสุขได้ทุกครั้งที่นึกถึง”

     แววตาคนพูดเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งความสุข ปฐพีเชื่อแล้วว่าเด็กหนุ่มกำลังมีความสุขจริงๆ

     “ผมเคยคิดว่าถ้ามีแฟนก็อยากให้แฟนทำแบบนี้ให้บ้าง แต่ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้กับสกายนะ ตอนแอบชอบผมไม่ทันคิดหรอก มัวแต่อึดอัดที่ไม่กล้าบอกความในใจมากกว่า” ต้นน้ำรีบพูดเมื่อเห็นสายตาที่มองมาของปฐพี

     “ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”

     “ครับ?”

     “เรื่องสกาย แล้วก็เรื่องรู้สึกผิดด้วย” ปฐพีสบตากับต้นน้ำ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาถามออกไปอย่างนั้น แต่พอเห็นอีกฝ่ายพูดถึงอดีตคนที่ชอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมันทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้

     ต้นน้ำมองเข้าไปในดวงตาคนถาม ความเป็นห่วงที่ฉายอยู่ในนั้นทำให้เขายิ้มจนตากลายเป็นสระอิ

     “เห็นผมยิ้มอยู่หรือเปล่า”

     “เห็น”

     “นั่นล่ะครับคือคำตอบ”

     ปฐพียกยิ้มบ้าง เขาชักรู้สึกถูกใจการตอบที่เหมือนไม่ได้ตอบของเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้ว

     “ขอบใจมากที่เล่าเรื่องแหวนให้ฟัง”

     “ไม่เป็นไรครับ”

     ต้นน้ำดูแหวนต่ออีกสักพักก่อนจะเอ่ยขอตัวกับเจ้าของร้าน ปฐพีเห็นว่ายังมีเวลาเหลือเลยจะหันไปถามว่าจะไปไหนต่อ แต่จู่ๆ ต้นน้ำก็หยุดเดิน เขาเลยต้องหยุดตาม เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มบางเบาแต่กลับตรึงสายตาเขาไม่ให้ละไปไหน

     “ขอบคุณนะครับพี่ดิน”

     “ขอบคุณอะไร”

     “ที่พูดปลอบผมเมื่อวันก่อน แล้วก็ที่เป็นห่วงเมื่อกี้”

     ปฐพีจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาค้นหา ต้นน้ำในตอนนี้ไม่มีร่องรอยความเสียใจอีกแล้ว เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดในร้านแหวนเป็นความจริง

     “ไม่เป็นไร”

     “แล้วจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะอยากปลอบพี่บ้าง”

     “ปลอบพี่?” ปฐพีทำหน้างง ต้นน้ำสืบเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มแหงนเงยขึ้นมอง

     “พี่ดินไม่ได้โง่ พี่แค่เป็นคนดี ดีเกินกว่าที่คนบางคนจะเห็นคุณค่า ผมเชื่อว่าสักวันพี่ดินก็ต้องเจอเหมือนกัน คนที่มั่นคงพอจะจับมือพี่แล้วเดินไปด้วยกัน”

     ปฐพีนิ่งอึ้ง เขาไม่นึกว่าต้นน้ำจะยกเรื่องวาธินีมาพูด บางอย่างในแววตาบอกเขาว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเพราะเห็นใจหรือสงสาร แต่พูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ

     “รู้จักกันไม่เท่าไหร่ มั่นใจได้ยังไงว่าพี่เป็นคนดี” ปฐพีพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้เก็บเรื่องวาธินีมาใส่ใจ เพราะนิสัยบ้างานของตัวเองทำให้เขาชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว แต่พอเด็กหนุ่มมาพูดปลอบอย่างนี้เขากลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ หรือที่จริงเขาแค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ และต้นน้ำก็อาจจะเป็นคนนั้น

     “ถ้าพี่ดินไม่ใช่คนดีคงไม่เลี้ยงไอศกรีมผมหรอก”

     ปฐพีกะพริบตาปริบ ก่อนเสียงหัวเราะจะดังขึ้น ดูเหมือนเขาจะตามเด็กคนนี้ไม่ทันจริงๆ นั่นแหละ ขยันทำให้อึ้งได้ตลอด

     “แค่เลี้ยงไอศกรีมก็เป็นคนดีได้แล้วเหรอ”

     “ได้สิครับ”

     “หึๆ ง่ายดี”

     “แล้วจะใช้ชีวิตให้ยากทำไมล่ะครับ บางอย่างไม่ต้องซีเรียสกับมันนักก็ได้”

     ปฐพีกระตุกยิ้ม เขาเลิกคิดว่าต้นน้ำเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เพราะดูแล้วเจ้าตัวน่าจะเป็นทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน

     “ขอบคุณนะที่ช่วยปลอบ”

     “ถ้าอยากขอบคุณ เปลี่ยนเป็นเลี้ยงไอศกรีมอีกถ้วยได้ไหมครับ ที่กินไปเมื่อกลางวันยังไม่จุใจเลย”

     “ฮ่าๆ”

     คนบางคนแม้คบกันมานาน แต่ยิ่งนานวันกลับมีแต่ความรู้สึกแง่ลบ ขณะที่คนบางคนแม้เพิ่งรู้จักกัน แต่ถ้าอยู่ด้วยแล้วสบายใจก็อยากอยู่ใกล้กันไปเรื่อยๆ ปฐพีลอบยิ้ม มองคนที่กำลังเดินนำไปร้านไอศกรีมด้วยใบหน้ามีความสุข ดูเหมือนคนบางคนอย่างหลังที่เขาพูดถึงจะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 28 ★ [06/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 06-12-2022 18:26:10
ตอนที่ 28
กว่าจะรู้ใจ (1)


     “บ้านพี่เขตที่เชียงใหม่เหรอครับ” วายุทวนคำของคนตรงหน้า เขตดนัยมาหาเขาที่บ้านหลังสกายกลับมาจากมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน

     “ใช่ เสาร์นี้เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ พ่อแม่พี่เลยอยากให้กลับไปหาบ้าง มหา’ลัยก็หยุดยาวด้วยใช่ไหม” ประโยคหลังเขตดนัยหันมาถามเด็กหนุ่มที่นั่งข้างวายุ

     “ครับ”

     “งั้นดีเลย ถือโอกาสนี้ไปเที่ยวต่างจังหวัดซะเลยสิ สวนกุหลาบบ้านพี่สวยมาก รับรองไปแล้วไม่ผิดหวัง” ครอบครัวเขตดนัยทำกิจการปลูกและส่งออกดอกไม้ต่างประเทศ แต่จะเน้นกุหลาบมากกว่าพันธุ์อื่น เรื่องนี้คนทั่วไปรวมถึงวายุรู้อยู่แล้ว เนื่องจากเขตดนัยเป็นดาราดัง ประวัติครอบครัวจึงเป็นข้อมูลสาธารณะ

     “จะดีเหรอครับ ผมกลัวจะรบกวนบ้านพี่เขต” วายุทำหน้าลำบากใจ เรื่องเกรงใจก็ส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่าคนข้างๆ จะโอเคหรือเปล่าเลยไม่กล้าด่วนสรุป

     “ถ้ารบกวนพี่จะมาชวนเหรอ แล้วก็ไม่ต้องห่วง พ่อแม่พี่เป็นคนสบายๆ ไม่อึดอัดแน่นอน” เขตดนัยส่งยิ้มให้รุ่นน้อง ก่อนจะเบนสายตามาหาเด็กหนุ่ม “พี่ฝากชวนมีนด้วยนะ ไปกันหลายคนสนุกดี”

     “แต่...”

     “ไว้ผมจะชวนให้ครับ ขอบคุณนะครับพี่เขต”

     วายุหันไปมองคนพูดที่กำลังยิ้มแย้ม สกายพูดอย่างนี้แปลว่าตอบรับคำชวนของเขตดนัยแล้วใช่ไหมนะ

     “แต่ถ้าไม่รบกวนเกินไป ผมขอพาเพื่อนไปอีกคนได้ไหมครับ เพื่อนคนนี้นิสัยดี ผมการันตีได้ แต่ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไรครับ” สกายหมายถึงต้นน้ำ เขายังรู้สึกผิดนิดๆ ที่อีกฝ่ายชวนไปเที่ยวเมื่อวันก่อนแต่เขาปฏิเสธ เนื่องจากต้องอยู่ดูแลวายุที่ไม่สบาย

     “ได้สิ ไม่มีปัญหา เป็นอันว่าตกลงนะ พี่จะได้บอกคนที่บ้านให้เตรียมห้องไว้ให้” เขตดนัยหันมายืนยันกับวายุอีกครั้ง ซึ่งเขาก็ได้แต่พยักหน้ากลับไป ในเมื่อคนข้างๆ โอเคเขาก็ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ เพราะลึกๆ แล้วเขาก็อยากไปเหมือนกัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ” ร่างสูงขานรับในลำคอ แต่ตายังจ้องโทรทัศน์

     “คิดยังไงถึงตอบรับคำชวนของพี่เขต”

     ท้องฟ้าละสายตาจากหนังหันมามอง แววตาเด็กหนุ่มดูแปลกใจกับคำถาม พวกเขานั่งดูหนังอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น วายุเป็นคนชวนเนื่องจากอยากหาจังหวะคุยเรื่องนี้

     “แล้วทำไมผมถึงตอบรับไม่ได้ล่ะครับ หรือพี่วายุไม่อยากไป”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น” วายุเม้มปาก เขาไม่รู้ว่าจะพูดออกไปดีไหม มันเป็นเรื่องที่เขาคิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาเปิดประเด็นสักนิด

     ท้องฟ้ามองใบหน้าอึกอักของคนรัก ทันใดนั้นดวงตาสีเข้มก็วาววับขึ้นมา มุมปากของเด็กหนุ่มยกยิ้ม เขาคิดว่าเขาเข้าใจความคิดของวายุแล้ว

     มือหนาหยิบรีโมทมากดปิดโทรทัศน์ วายุมองตามด้วยความงง กำลังจะถามออกไปแต่ร่างสูงก็พลิกมาคร่อมเขาไว้เสียก่อน สายตาท้องฟ้าเป็นประกาย สีหน้าทะเล้นทำให้วายุเลิกคิ้ว

     “ทำอะไรของนาย”

     “กำลังมองคนน่ารักครับ”

     “ทำไมถึง...” วายุพูดไม่ทันจบริมฝีปากร้อนก็ทาบทับลงมา จูบของท้องฟ้าแนบชิดแต่ไม่เร่งเร้า ให้ความรู้สึกอ่อนหวานและอบอุ่น ท้องฟ้าถอนริมฝีปากออก สายตาที่มองลงมาเป็นประกายขำ ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้าทำให้วายุลืมไปแล้วว่าจะพูดอะไร

     “คิดว่าผมจะหึงพี่กับพี่เขตเหรอครับ”

     “อืม” วายุตกใจที่อีกฝ่ายอ่านความคิดเขาออก แต่จะปฏิเสธก็คงไม่เนียน สู้ยอมรับไปเลยดีกว่า

     “พี่วายุเข้าใจถูกแล้วครับ”

     วายุขมวดคิ้ว คำถามในหัวเพิ่มขึ้นมาเป็นหางว่าว

     “ผมยังหึงพี่อยู่ เพียงแต่ไม่มากเท่าเมื่อก่อนแล้ว ยังไงพี่เขตก็เป็นคนที่เคยชอบพี่ ผมจะหึงจะหวงก็ไม่แปลก”

     “แล้วทำไมถึงตอบพี่เขตไปแบบนั้นล่ะ”

     ท้องฟ้าชูสองนิ้วขึ้นมาพร้อมกับยกยิ้ม “หนึ่ง ผมเชื่อใจพี่วายุกับพี่เขต พี่วายุเป็นแฟนผม ส่วนพี่เขตเป็นคนที่ผมเคารพ ถึงจะหึงยังไงแต่ผมก็มีเหตุผลพอจะไม่ทำตัวงี่เง่า”

     วายุยิ้มออกมา ความรักและความภูมิใจในตัวคนรักเพิ่มมากขึ้น ยิ่งวันเวลาผ่านไปท้องฟ้ายิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเลือกรักคนไม่ผิด

     “แล้วข้อสองล่ะ” วายุถามเพราะเห็นว่ายังเหลืออีกหนึ่งนิ้ว

     “ข้อสองคือพี่วายุอยากไปเที่ยวพักผ่อน ผมไม่อยากให้พี่รอถึงปิดเทอม พี่เขตอุตส่าห์มาชวนทั้งที ผมเลยคิดว่าไปตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน”

     เหตุผลที่เปี่ยมไปด้วยความใส่ใจทำให้วายุอดใจไม่ไหว ต้องโน้มหน้าขึ้นไปหอมแก้มเป็นรางวัล และดูเหมือนคนได้รางวัลจะถูกใจไม่น้อย เพราะดวงตาคู่นั้นกำลังอ้อนวอนให้มีครั้งที่สอง

     “พอแล้ว” วายุพูดยิ้มๆ คิดว่าเขาไม่อายหรือไงที่ทำแบบนี้

     “พอก็พอครับ” รอยยิ้มเด็กหนุ่มค่อยๆ กว้างขึ้น ดวงตาสีดำฉายแววเจ้าเล่ห์ “มาทำอย่างอื่นกันดีกว่า”

     วายุไม่จำเป็นต้องถามว่าอย่างอื่นที่ว่าคืออะไร เพราะวินาทีที่คำถามจบเขาก็ได้คำตอบทันที ริมฝีปากได้รูปทาบทับลงมาอีกครั้ง มือหนาตรึงท้ายทอยไว้ไม่ให้ถอยหนี ปลายลิ้นที่รุกล้ำเข้ามาอย่างช่ำชองทำให้วายุถูกต้อนจนมุมอย่างง่ายดาย กว่าคนบนร่างจะยอมหยุดเขาก็แทบขาดอากาศหายใจ

     “ว่าแต่...” เสียงทุ้มเอ่ยชิดริมฝีปาก พร้อมกับมุมปากที่กำลังยกยิ้ม “พี่วายุหายดีแล้วใช่ไหมครับ ผมกลัวพี่หายไม่ทันวันเสาร์”

     ชายหนุ่มหน้าแดงเรื่อ ความร้อนพุ่งขึ้นมาบนหน้าก่อนจะลามไปแก้มทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว วายุเข้าใจความนัยของคำถามได้ทันที เพราะคนถามนั่นแหละคือคนที่ทำให้เขาไม่สบาย

     ร่างกายวายุไม่ได้อ่อนแอ เขาไม่ได้เป็นไข้ แต่สาเหตุที่เมื่อวันก่อนเขาลุกจากเตียงไม่ขึ้นเพราะใครบางคนเอาแต่โลภมาก ไม่ยอมให้เขานอนเสียที กว่าเจ้าตัวจะพอใจเวลาก็ล่วงเลยไปถึงรุ่งเช้าของอีกวัน เล่นเอาร่างกายเขาระบมรวดร้าวไปหมด

     “ถามเหมือนไม่ใช่ความผิดตัวเองเลยนะ” วายุมองค้อนกลับไป อดหมั่นไส้คนที่เอาแต่ยิ้มไม่ได้

     “ก็มันไม่ใช่ความผิดผม ความผิดพี่วายุต่างหาก”

     “พี่ไปทำอะไรตอนไหน”

     “พี่ยั่วผม”

     “ยั่ว?”

     “ใช่ครับ” ท้องฟ้ายิ้มกรุ้มกริ่ม โน้มหน้ามาใกล้กว่าเดิมจนปลายจมูกแตะกัน “คนอะไรน่ารักเป็นบ้า ไม่ใส่อะไรเลยยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ น่ารักจนผมอยากขังไว้ในห้องทั้งวันทั้งคืน”

     “ท้องฟ้า!”

     “วันนั้นผมยอมให้นอนเพราะเห็นว่าพี่เพลีย แต่ในเมื่อวันนี้พี่มีแรงต่อปากต่อคำกับผม แปลว่าหายดีแล้วสินะครับ” ท้องฟ้ายืนขึ้นเต็มความสูง ยื่นมือมาช้อนใต้ขาแล้วยกร่างทั้งร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว วายุเอื้อมมือไปโอบรอบคอด้วยความตกใจ เล่นอะไรไม่บอกไม่กล่าว ทำเอาใจหายใจคว่ำหมด

     “ท้องฟ้า ปล่อยพี่”

     “ผมปล่อยแน่ครับถ้าถึงห้องนอนแล้ว”

     วายุเตรียมทัดทานเพราะรู้ดีว่าถ้าถึงห้องนอนแล้วต้องเจอกับอะไร แต่ริมฝีปากที่กดจูบลงมาเร็วๆ ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก ราวกับพัดเอาสติของเขาหายไปด้วย ท้องฟ้ามองคนที่กำลังอุ้มด้วยสายตาแพรวพราว แก้มที่กลับมาเป็นสีแดงอีกครั้งทำให้วายุดูน่ารักจนเขาแทบอดใจไม่ไหว

     “ไม่ต้องห่วงครับ คืนนี้ผมจะทำเบาๆ เว้นแต่พี่วายุจะขอแรงๆ เหมือนคราวก่อน”

     วายุเม้มปากแน่น ทำได้แค่ซุกหน้าเข้าหาอกกว้างเพื่อหลีกหนีความอาย ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ขณะเดินขึ้นบันไดเขายิ่งอายเข้าไปใหญ่ ได้แต่นึกในใจว่าจะความจำดีอะไรขนาดนั้น

     หลังจากนี้เขาจะไม่สติหลุดอีกแล้ว ถูกอารมณ์ครอบงำครั้งเดียวแต่อายมาถึงทุกวันนี้ เป็นอะไรที่ไม่คุ้มกันสักนิด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “มีน” ต้นน้ำแอบสะกิดแขนรามิล ระหว่างที่เขตดนัยและสกายช่วยกันขนกระเป๋าไปไว้หลังรถ ตรงหน้าพวกเขาคือรถตู้ขนาดใหญ่ที่ทางบ้านเขตดนัยส่งมาอำนวยความสะดวกให้ลูกชาย

     “หือ?”

     “ไปรู้จักกับคนระดับนั้นได้ยังไง” ต้นน้ำบุ้ยปากไปยังผู้ชายสองคนที่อยู่ท้ายรถ รามิลรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนไม่ได้หมายถึงสกาย

     “อ๋อ อีตาดาราหน้าจืด”

     “มีนว่าอะไรนะ” ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ยิน แต่เพราะเป็นคำที่ไม่นึกว่าจะใช้เรียกดาราหนุ่มที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ต้นน้ำจึงคิดว่าตัวเองหูฝาด

     “เปล่าๆ ไม่มีอะไร พอดีพี่เขตเป็นเพื่อนบ้านพี่วายุ จบมหา’ลัยเดียวกันมาเลยสนิทกันน่ะ”

     “อย่างนี้เอง” ต้นน้ำพยักหน้ารับรู้ สกายบอกแค่ว่าคนรู้จักชวนไปเที่ยวบ้านที่เชียงใหม่ แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมาก พอมาวันนี้ที่เป็นวันออกเดินทาง เขาถึงรู้ว่าคนรู้จักที่สกายพูดถึงคือนักแสดงหนุ่มที่ไม่มีวัยรุ่นคนไหนไม่รู้จัก

     “เรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางกันเลยไหม” เขตดนัยหันมาถามผู้ร่วมทริปทั้งสี่คน อันได้แก่วายุ สกาย รามิลและต้นน้ำ

     “ไม่มีใครลืมอะไรใช่ไหม”

     “ผมลืมครับ”

     วายุมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ เขาถามเพื่อความรอบคอบก็จริง แต่สกายเป็นคนที่ไม่ควรลืมที่สุด เนื่องจากก่อนออกจากบ้านเขาถามย้ำถึงสองครั้ง

     “สกายลืมอะไร ไปหยิบมาก่อนสิ พี่รอได้” เขตดนัยเอ่ยอย่างไม่คิดอะไร

     “ไม่ได้ลืมของครับ ลืมให้แฟนหอมแก้มก่อนออกจากบ้าน”

     คนฟังทำหน้าอึ้งไปตามๆ กัน ก่อนเสียงหัวเราะกับเสียงแซวจะดังขึ้น จะมีก็แต่คนเดียวที่หัวเราะไม่ออก ได้แต่ยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ส่งค้อนวงใหญ่ให้คนที่เอียงแก้มมารอโดยไม่ถามก่อนสักคำ

     “เอาไงวายุ พี่บอกแล้วว่ารอได้ จะหอมเป็นชั่วโมงก็ไม่ว่านะ”

     “พี่เขต~ เอากับเขาด้วยเหรอครับ”

     เขตดนัยหัวเราะเสียงดัง เขาชักชอบลูกล่อลูกชนของเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้ว รู้จักกันมาก็นาน แต่เขายังไม่เคยเห็นวายุเสียอาการขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนการกลับบ้านครั้งนี้จะครึกครื้นกว่าที่คิด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “โห” ต้นน้ำอุทานได้แค่นั้น เมื่อมองตรงไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้า สวนดอกไม้ที่เป็นเหมือนแปลงเพาะต้นแบบ ไกลออกไปเป็นสวนดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตา เห็นเรือนพักคนงานอยู่ลิบๆ การเดินทางใช้เวลาสิบชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น ฉากหลังของสวนดอกไม้จึงเป็นภาพพระอาทิตย์กำลังตกดิน เป็นภาพที่สวยงามราวกับถูกวาดโดยจิตกรชื่อดังระดับโลก

     “มากันแล้วเหรอ”

     เสียงทุ้มของผู้อาวุโสทำให้ทุกคนรีบยกมือไหว้ คุณวิษรุตกับคุณภารวีเดินเข้ามาในบ้านพร้อมรอยยิ้ม บ้านที่พวกเขาเพิ่งมาถึงนี้ตั้งอยู่บนเนิน เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดกลาง เขตดนัยบอกว่าเป็นเรือนเล็กที่บิดาใช้รับรองแขกกับเพื่อนที่นานๆ จะมาเยี่ยมจากกรุงเทพฯ

     “ขอแนะนำก่อนนะครับ นี่พ่อกับแม่พี่ ส่วนสี่คนนี้ชื่อวายุ สกาย มีน ต้นน้ำ” เขตดนัยผายมือไปตามเจ้าของชื่อ ทุกคนยกมือไหว้อีกครั้ง คุณวิษรุตรับไหว้ก่อนเอ่ยต้อนรับอย่างอัธยาศัยดี

     “ตามสบายนะ มากันเหนื่อยๆ พักผ่อนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ลุงให้คนนำเที่ยว”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมพาน้องๆ เที่ยวเอง”

     “อย่างนั้นก็ตามใจ พ่อให้คนเตรียมอาหารไว้แล้ว เดี๋ยวให้ยกมาให้ที่นี่”

     “ขอบคุณครับ”

     “ขอบคุณนะครับที่ชวนพวกผมมาเที่ยว สวนดอกไม้สวยมากเลยครับ” วายุเป็นตัวแทนเอ่ยขอบคุณ คุณภารวียิ้มรับคำชม

     “ตอนกลางวันสวยกว่านี้อีกจ้ะ พรุ่งนี้รอชมกันได้เลย แล้วก็ถ้าอยากได้ดอกไม้กลับไปบอกได้เลยนะไม่ต้องซื้อ”

     “ขอบคุณครับ”

     “ว่าแต่เรื่องนั้นเขตเอาจริงเหรอลูก ตอนตาโอ๊ตมาบอกแม่บอกตรงๆ ว่าตกใจอยู่เหมือนกัน” คุณภารวีหันมาถามลูกชาย รอยยิ้มเริ่มจางหายจากใบหน้า โอ๊ตคือผู้จัดการส่วนตัวของเขตดนัย เพราะต้องตามไปทำงานกับเขตดนัยทุกที่เลยสนิทกับบ้านของเขาไปโดยปริยาย

     “เอาไว้คุยเรื่องนี้ทีหลังเถอะคุณ ลูกพาเพื่อนมาด้วย” คุณวิษรุตปรามเบาๆ คุณภารวีจึงหันมายิ้มให้ทุกคนเหมือนไม่ได้พูดอะไร

     ผู้ใหญ่ทั้งสองแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบลูกชายอยู่สักพักก่อนจะกลับเรือนใหญ่ที่ตั้งห่างออกไป วายุหันมาถามเขตดนัยตอนที่พวกท่านเดินออกไปแล้ว

     “พี่เขตไม่ได้ไปพักกับคุณพ่อคุณแม่เหรอครับ” ที่จริงวายุคาใจเรื่องที่คุณภารวีพูดนิดหน่อย แต่เขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรถามออกไปจึงถามอย่างอื่นแทน

     “เปล่า”

     “ผมนึกว่าพวกท่านจะคิดถึงพี่เสียอีก”

     “ตรงกันข้ามเลย พ่อเป็นคนให้พี่มานอนที่นี่ จะได้คอยดูแลพวกเรา”

     “คุณลุงคุณป้าน่ารักมากเลยครับ ท่าทางใจดีมาก”

     เขตดนัยยิ้มรับคำชมก่อนจะหันมาถามคนที่เหลือ “ชอบที่นี่กันไหม”

     “ชอบครับ” สกายกับต้นน้ำตอบเป็นเสียงเดียวกัน เขตดนัยเบนสายตามามองอีกคนที่ยังไม่ตอบ

     “มีนล่ะ”

     “ที่นี่คือบ้านพี่เขตจริงๆ เหรอครับ” เด็กหนุ่มไม่ตอบแต่ถามกลับแทน

     “จริงสิ ถามทำไม คิดว่าพี่พามาบ้านคนอื่นเหรอ” เขตดนัยพูดปนขำ รามิลเสมองไปทางอื่น “ยังไม่ตอบเลยนะ ตกลงเราชอบที่นี่ไหม”

     “ชอบครับ” รามิลพูดเสียงเบา เขาไม่อยากแสดงออกว่าชอบที่นี่ตั้งแต่วินาทีที่ลงจากรถแล้ว ไม่ว่าจะมองทางไหนก็ดูสวยงามไปหมด จนเขารู้สึกอิจฉาดาราหน้าจืดขึ้นมานิดๆ ที่มีบ้านท่ามกลางสถานที่แบบนี้ รามิลเกิดและโตในกรุงเทพฯ พ่อกับแม่ต่างทำงานหนักจึงไม่ค่อยมีเวลาพาไปเที่ยว นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน

     “ดีใจที่ทุกคนชอบนะ หลังจากนี้ก็ทำตัวตามสบาย คิดซะว่ามาพักตากอากาศ”

     “ขอบคุณอีกครั้งนะครับพี่เขตที่ชวนพวกผมมา”

     “ไม่เป็นไร เอากระเป๋าไปเก็บกันเถอะ เสร็จแล้วจะได้มาทานข้าวกัน”

     “ครับ”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     รามิลพยายามบอกตัวเองว่าเขาไม่ตื่นเต้น ไม่ได้รอคอยที่จะไปเที่ยวสวนดอกไม้วันนี้เลย แค่เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ แถมเช้านี้ยังตื่นแต่เช้า และน่าจะตื่นเร็วกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

     เรือนเล็กแห่งนี้มีสามห้องนอน เขานอนกับต้นน้ำ วายุนอนกับสกาย ส่วนเขตดนัยนอนคนเดียว ตอนเขาตื่นต้นน้ำยังหลับอยู่ เขาอยากปลุกเพื่อนแต่ก็เกรงใจ จึงเดินออกมารับบรรยากาศเช้าตรู่คนเดียว

     รามิลมองไปรอบๆ เรือนเล็กแห่งนี้มีระเบียงกว้าง มองเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศทาง มีชุดโต๊ะกับเก้าอี้ไม้ไว้ให้แขกที่มาพักออกมานั่งชมธรรมชาติบนระเบียง บ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อรับรองแขกโดยเฉพาะ จนรามิลอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีบ้านพักตากอากาศแบบนี้ใกล้กรุงเทพฯ เขาจะชวนสกายกับต้นน้ำมาทุกเดือนเลย

     ร่างบางยกมือกอดอกเมื่อสัมผัสได้ถึงความหนาว เป็นเพราะรีบร้อนอยากมาดูสวนดอกไม้เร็วๆ เขาจึงลืมหยิบเสื้อกันหนาวติดมือมา จะกลับไปเอาก็ไม่อยากละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้า

     รามิลห่อปากพ่นลมเบาๆ ไอควันลอยออกจากปากเห็นได้ชัดเจน เขายืนถูมืออยู่อย่างนั้นสักพัก จนคิดว่าควรกลับห้องพักก่อนจะเป็นหวัดขึ้นมา เสื้อกันหนาวตัวใหญ่ก็ถูกคลุมลงมาบนบ่าทั้งสองข้าง

     ใบหน้าหวานเงยมองคนที่มาใหม่ เขตดนัยกำลังยืนทำหน้าดุอยู่ข้างหลัง

     “ไม่รู้เหรอว่าเช้าๆ อย่างนี้อากาศหนาว ทำไมไม่ใส่เสื้อกันหนาวออกมา”

     รามิลเผลอจ้องตากับเขตดนัย ความสงสัยเมื่อวานกลับมาอีกครั้ง เขาอยากถามว่าที่คุณภารวีพูดหมายถึงอะไร แต่มาคิดอีกทีเขากลับสงสัยตัวเองมากกว่าว่าทำไมถึงอยากรู้ ทั้งที่เป็นเรื่องของผู้ชายที่เขาไม่ได้สนใจเลย

     “มีน พี่ถามเราอยู่” เสียงดุๆ ทำให้คนตัวเล็กกว่าหลุดจากภวังค์

     “ก็ผมลืม” คนพูดทำปากยื่น เขตดนัยอยากเอื้อมมือไปยืดปากให้เข็ดเสียจริงๆ โดนเขาดุยังไม่สลด สมกับที่เขาตั้งฉายาว่าเด็กแสบ “แล้วพี่เขตล่ะ ว่าแต่คนอื่น ทำไมตัวเองไม่ใส่”

     “ใส่มาแล้ว”

     “ผมไม่เห็นพี่ใส่เลย”

     เขตดนัยมองมายังเสื้อที่อยู่บนบ่า บอกเป็นนัยๆ ว่าทำไมตอนนี้เขาถึงไม่ได้สวมเสื้อกันหนาว

     “งั้นเอาคืนไปเลย เดี๋ยวพี่เป็นหวัดผมไม่อยากรับผิดชอบ” รามิลจับเสื้อทำท่าจะถอดออก เขตดนัยเอามือมาวางทาบบนมือเล็ก

     “ไม่ต้อง ให้เราใส่น่ะดีแล้ว พี่แข็งแรงกว่าเรา อากาศแค่นี้ทำอะไรไม่ได้หรอก”

     “จะบอกว่าผมอ่อนแอกว่างั้นสิ” เสียงขึ้นจมูกมาพร้อมใบหน้าที่เชิดขึ้นเล็กน้อย เขตดนัยลอบยิ้ม นึกขำคนไม่อยากอ่อนแอแต่แก้มกลับขึ้นสีแดงเรื่อเพราะความหนาว

     “เป็นห่วงพี่เหรอ”

     “ใครห่วง”

     “มีนไง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเราห่วงพี่”

     “ผมยังไม่ได้พูดเลย”

     เขตดนัยทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเคลื่อนตัวไปใกล้ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอคว้าตัวมากอดจากด้านหลังไว้หลวมๆ

     “อืม ค่อยอุ่นขึ้นหน่อย”

     “พี่เขต! มากอดผมทำไม ปล่อยเลยนะ” ร่างบางพยายามดิ้นขลุกขลัก แต่ขนาดตัวที่ต่างกันจึงทำให้ตกเป็นรองอย่างช่วยไม่ได้

     “กลัวพี่เป็นหวัดไม่ใช่เหรอ พี่ก็กำลังหาความอบอุ่นให้ตัวเองอยู่นี่ไง”

     “ด้วยการมากอดผมเนี่ยนะ”

     “ใช่” เขตดนัยลอบมองใบหน้าคนในอ้อมกอด ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกว่าแก้มของรามิลแดงกว่าเดิม เหมือนไม่ได้มาจากอากาศหนาวอย่างเดียว

     “ถ้าอยากอุ่นก็เอาเสื้อคืนไปสิ เดี๋ยวผมไปหยิบของตัวเองมาก็ได้”

     “จะกลับไปเอาให้เสียเวลาทำไม เราอยากดูดอกไม้ไม่ใช่เหรอ”

     รามิลชะงัก หยุดมือที่กำลังพยายามคลายวงแขน ทำไมดาราหน้าจืดถึงรู้ล่ะว่าเขาออกมาทำอะไร หรือเขาแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปเลยโดนจับได้

     “เป็นอะไร จู่ๆ ก็นิ่งไป”

     “ผม...ผมไม่ได้ชอบขนาดนั้นซะหน่อย แค่ออกมาเข้าห้องน้ำแล้วหลับต่อไม่ลง เลยมาเดินเล่นแถวนี้”

     “หึๆ” เขตดนัยกลั้นยิ้ม ดูเหมือนจะมีคนร้อนตัวทั้งที่เขายังไม่ได้พูดอะไร

     “จริงๆ นะ สวนดอกไม้บ้านพี่สวยก็จริง แต่ผมเห็นมาบ่อยจนชินแล้วเลยไม่ตื่นเต้นสักนิด”

     “ครับ ไม่ตื่นเต้นก็ไม่ตื่นเต้น”

     ดูเหมือนเด็กแสบจะมัวแต่พะวงเรื่องนี้จนลืมไปว่าโดนกอดอยู่ ซึ่งเขตดนัยก็ไม่คิดจะพูดให้อีกฝ่ายรู้ตัว ตอนแรกเขาแค่แกล้งไปอย่างนั้น แต่พอกอดไปสักพักกลับรู้สึกอุ่นขึ้นมา เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ไม่คิดเลยว่าจะกอดพอดีมือ



     ถัดไปจากบริเวณที่ผู้ชายสองคนยืนอยู่ มีสองเด็กกับหนึ่งผู้ใหญ่กำลังเกาะขอบประตูมองมาด้วยรอยยิ้ม ต้นน้ำหันกลับมาด้วยแววตามุ่งมั่น ดูเหมือนสิ่งที่เขาเพิ่งสงสัยได้ไม่นานจะเป็นความจริง

     “ชัดขนาดนี้ เราคอนเฟิร์มให้เลย ไม่ใครคนใดคนหนึ่งต้องคิดเกินเลยแน่นอน”

     “ต้นน้ำ” สกายพูดอย่างอ่อนใจ ข้อสันนิษฐานที่ต้นน้ำบอกเขาเมื่อวานหลังจากลอบสังเกตอาการของรามิลกับเขตดนัย มันทำให้เขาหวั่นว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรแผลงๆ

     “สกายไม่เห็นสายตาที่สองคนนั้นใช้มองกันเหรอ ใครเห็นก็รู้ว่าทั้งคู่ชอบกัน คงมีแต่เจ้าตัวที่น่าจะยังไม่รู้ใจตัวเอง”

     ตอนต้นน้ำตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นรามิลแล้ว พอจะออกมาตามหาก็เจอเข้ากับสกายกับวายุที่มาเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ยืนคุยกันอยู่หน้าห้องพวกเขาก็ได้ยินเสียงมาจากระเบียง พอมาดูถึงเห็นว่าเพื่อนของเขากำลังถูกหนุ่มดาราดังกอดเสียแน่น

     “พี่ว่าเรื่องแบบนี้ดูๆ กันไปก่อนดีไหม มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้” วายุช่วยคนรักพูดอีกแรง เขาสนิทกับเขตดนัยมากกว่าใคร ทำไมจะดูไม่ออกว่าท่าทางเขตดนัยเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้รู้จักกับรามิล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี

     “งั้นผมจะพิสูจน์ให้ดู ว่าสายตาของต้นน้ำคนนี้ไม่มีทางพลาดแน่นอน”

     “ต้นน้ำจะทำอะไร”

     คนถูกถามอมยิ้ม ไม่ยอมบอกว่าเขาเตรียมแผนการไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ดวงตาคู่สวยหันไปมองคนสองคนที่ยังกอดกันอยู่ ผู้ชายที่ไหนจะกอดกันกลมขนาดนี้ถ้าไม่ได้คิดอะไร ยิ่งเห็นอย่างนี้เขาก็ยิ่งมั่นใจในความคิดของตัวเอง

     ต้นน้ำยังไม่สนิทกับเขตดนัย เป้าหมายในครั้งนี้จึงตกไปเป็นเพื่อนสนิทของเขาแทน รามิลแปลว่ากามเทพ เขารู้มาจากสกายว่ารามิลทำตัวเป็นกามเทพให้เพื่อนมาตลอด แต่วันนี้เขานี่แหละจะเป็นกามเทพสื่อรักให้เอง คอยดูนะมีน เพื่อนคนนี้จะทำให้คนทั้งประเทศอิจฉามีนให้ดู




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 29 ★ [09/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 09-12-2022 19:09:15
ตอนที่ 29
กว่าจะรู้ใจ (2)


     รามิลชะงักมือที่ตักอาหารเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาหันไปมองเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าแปลกๆ

     “ต้นน้ำมีอะไรหรือเปล่า”

     คนถูกถามยิ้มกริ่ม ยิ้มจนเขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ ตาม

     “ที่นี่อากาศดีเนอะ ไม่มีควันรถคอยรบกวนเหมือนในเมือง”

     “ใช่” รามิลก็คิดแบบเดียวกัน ตอนเช้าที่ออกมาดูสวนดอกไม้ตรงระเบียง เขาสูดอากาศเข้าปอดได้แบบไม่รู้เบื่อ เป็นกลิ่นอายธรรมชาติที่ทั้งบริสุทธิ์และชวนให้ผ่อนคลาย

     “เสียดาย ถ้ามากับคนรักคงดีกว่านี้”

     “ต้นน้ำก็หาแฟนสักคนสิ” สกายพูดขึ้นมา ตอนนี้เขากับต้นน้ำรวมถึงรามิลกลับมาเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จึงสามารถพูดเรื่องนี้ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

     “ถ้ามันหาได้ง่ายๆ ก็ดีสิ”

     “อย่างต้นน้ำหาได้อยู่แล้ว”

     “พูดอย่างนี้เดี๋ยวเราก็ขโมยพี่ดินมาเป็นแฟนซะเลย”

     “พี่ดิน? ฮ่าๆๆ” สกายพอจะรู้ว่าต้นน้ำกับปฐพีเจอกันบ่อยตามงานสังคมของผู้ใหญ่ สองคนนี้จึงสนิทกันในระดับหนึ่ง แต่ที่เขาขำเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะพูดเล่นอย่างนี้ “เชิญขโมยได้เต็มที่เลย ถ้าต้นน้ำรับนิสัยบ้างานของพี่ดินได้นะ”

     ต้นน้ำย่นจมูกใส่น้องชายที่ไม่มีทีท่าจะหวงพี่ชายเลย ก่อนจะหันมาสนใจเรื่องของคนตรงหน้าแทน

     “พูดถึงเรื่องแฟน พี่น็อตยังตามจีบมีนอยู่หรือเปล่า”

     ร่างสูงที่นั่งข้างรามิลชะงักค้างไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปากเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถรอดสายตาเขาไปได้อยู่ดี ต้นน้ำซ่อนรอยยิ้ม ด่านที่หนึ่งถือว่ามีอาการ

     “พี่น็อตเหรอ ช่วงนี้ก็มีมาหาบ้าง เมื่อวันก่อนยังมานั่งทานข้าวด้วยกันอยู่เลย” น็อตเป็นรุ่นพี่ต่างคณะที่แสดงออกชัดเจนว่าสนใจรามิล ด้วยโครงหน้าหวานที่คล้ายผู้หญิงทำให้คนที่เข้าหารามิลส่วนใหญ่จึงเป็นผู้ชาย และน็อตก็เป็นหนึ่งในนั้น

     “แล้วเมื่อไหร่มีนจะใจอ่อนล่ะ เราเห็นพี่น็อตตามจีบไม่พักเลย บอกตรงๆ ว่าสงสาร”

     “ถ้าสงสารต้นน้ำก็เป็นแฟนกับพี่น็อตเลยสิ”

     “ใครจะกล้าแย่งของเพื่อน อย่างพี่น็อตสเป็กมีนไม่ใช่เหรอ หล่อ สูง หุ่นดี มีความเป็นสุภาพบุรุษ”

     “ทานกันเสร็จหรือยัง พี่จะพาไปร้านดอกไม้ด้วย ตอนบ่ายมีคณะท่องเที่ยวมาจากกรุงเทพฯ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวไม่ทัน”

     ต้นน้ำแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ หน้าสบายๆ ของเขตดนัยหายไปทันทีที่เขาพูดเรื่องพี่น็อตขึ้นมา ตอนแรกเขานึกว่าจะจับสังเกตยากกว่านี้ แต่แสดงออกชัดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แผนที่เขาวางไว้จะได้ราบรื่นขึ้น

     “ร้านดอกไม้เหรอครับ” รามิลตาลุกวาว ลืมเรื่องรุ่นพี่ต่างคณะไปทันที เมื่อวานเขตดนัยเล่าให้ฟังว่าที่ร้านมีบริการจัดช่อดอกไม้ด้วย

     “ใช่ อยากไปไหม”

     “อยากครับ” รามิลรีบตอบโดยลืมเก็บอาการไปสนิท จนกระทั่งเห็นเขตดนัยยิ้มเขาถึงรู้สึกตัว เด็กหนุ่มหันหน้าหนี พูดเสียงตะกุกตะกัก “ผม...ผมหมายถึงอยากไปให้มันครบๆ จะได้ไม่เสียเที่ยว ได้มาเที่ยวบ้านพี่เขตที่เป็นดาราดังทั้งที โอกาสแบบนี้คงหาไม่ได้บ่อย” รามิลพูดจบก็นึกอยากตบปากตัวเอง ทำไมยิ่งแก้ตัวยิ่งฟังเหมือนเขาชมอีตาดาราหน้าจืดเข้าไปทุกที

     “อยากมาอีกก็บอก พี่พามาได้อยู่แล้วถ้าว่าง” เขตดนัยหันไปพูดกับทุกคนให้เหมือนว่าเขาไม่ได้เจาะจงแค่เด็กแสบ พอเห็นสีหน้าตื่นเต้นที่เจ้าตัวพยายามปิดบัง ความรู้สึกขุ่นมัวก่อนหน้านี้ก็จางหายไป เขตดนัยไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขารู้แค่ว่าไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเสียเลย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เหมือนอยู่ในเทพนิยายเลย” วายุอดเปรยไม่ได้เมื่อเดินเข้ามาในอาณาเขตสวนดอกไม้ รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยต้นกุหลาบ มีคนงานกำลังตัดแต่งกิ่งตามสวนอยู่ประปราย วายุรู้เรื่องทางบ้านเขตดนัยพอสมควร แต่เขาไม่เคยมาสถานที่จริงสักครั้ง พอได้เห็นแบบนี้เขาถึงเข้าใจว่าทำไมเขตดนัยถึงอยากให้มา

     “พี่วายุชอบเหรอ”

     “ชอบสิ สวนออกจะสวยขนาดนี้”

     “งั้นไว้เรียนจบแล้วผมจะขอพ่อซื้อที่ต่อจากพี่เขต”

     “เดี๋ยว” วายุหันมามองเด็กหนุ่มที่เดินด้วยกัน แววตาของเขาเป็นประกายขำ

     “ก็พี่วายุชอบ”

     “พี่แค่ชอบเฉยๆ ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้”

     “อะไรทำให้พี่มีความสุขได้ผมอยากทำทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม”

     ความอบอุ่นแล่นจากร่างกายเข้าสู่หัวใจ สายตาที่สบกลับมาทำให้ริมฝีปากชายหนุ่มจุดรอยยิ้ม คนอื่นอาจคิดว่าคำพูดนั้นดูสวยหรูเกินจริง แต่วายุรู้ว่าสกายไม่เคยพูดเล่นๆ การรู้จักเด็กคนนี้มาสิบปีทำให้เขามั่นใจในเรื่องนี้

     “อะแฮ่ม เพลาๆ หน่อยก็ได้ครับ คนโสดยืนอยู่ทั้งคน แค่นี้ก็อิจฉาตาร้อนแล้ว”

     “ไม่ใช่ว่าต้นน้ำมีพี่ดินอยู่แล้วเหรอ” สกายหันมายิ้มล้อเลียน แต่คนโดนล้อกลับไม่รู้สึกอะไร

     “จริงด้วย เราจะขโมยพี่ดินมานี่นา” ท่าทางยกมือปิดปากพร้อมทำตาโตทำให้คนฟังหลุดหัวเราะ เขตดนัยที่ไปคุยธุระกับคนงานในสวนเดินกลับมา สายตาของเขามองมายังร่างบางที่กำลังย่อตัวดูกุหลาบต้นเตี้ยโดยไม่ตั้งใจ

     ขาของเขาราวกับมีอะไรตรึงไว้กับที่ รอยยิ้มของเด็กแสบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้ปรากฏไปทั่วใบหน้าหวาน จากที่จะมาคุยกับวายุเรื่องมื้อกลางวันที่พ่อของเขาให้คนเตรียมแบบปิกนิกไว้ให้ เขตดนัยเลยเปลี่ยนเป็นค่อยๆ เดินเข้าไปหาเด็กแสบ เขาย่อตัวนั่งยองข้างๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว

     ตอนมองจากระยะไกลเขตดนัยนึกว่ารามิลกำลังมองดอกไม้ แต่พออยู่ใกล้กันเขาถึงเห็นว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มสนใจคือผีเสื้อที่เกาะอยู่บนต้น

     รามิลแกล้งเป่าลมเบาๆ เพียงเท่านั้นผีเสื้อก็บินหนีไป เขามองตามผีเสื้อตัวนั้น รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างกว่าเดิม

     “ถ้าได้มาเที่ยวที่แบบนี้บ่อยๆ ก็คงดีสิ” เสียงใสเปรยกับตัวเองเบาๆ

     “แล้วใครบอกว่ามาไม่ได้”

     “เฮ้ย!” รามิลร้องเสียงหลง ด้วยความตกใจเขาจึงเผลอทิ้งก้นลงพื้น เขตดนัยยืนขึ้นเต็มความสูง นอกจากไม่ถือสาคำอุทานแล้วเขายังขำเบาๆ

     “เป็นเด็กขวัญอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะเรา”

     “เรื่องของผม” รามิลหน้าบูดบึ้ง ตอนแรกเขาตกใจ แต่ตอนนี้เขารู้สึกอายที่ดาราหน้าจืดดันได้ยินที่เขาพูด “พี่เขตแกล้งผม”

     “ไม่ได้แกล้ง”

     “แล้วทำไมมาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”

     “ถ้าไม่ทำแบบนี้พี่จะรู้เหรอว่าคนแถวนี้ปากแข็งแค่ไหน”

     รามิลเม้มปากแน่น สายตายิ้มๆ ที่ถูกส่งมาทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี ปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วสินะ งั้นยอมรับไปเลยแล้วกัน นาทีนี้คงไม่เหลือความอายให้ระวังแล้ว

     “พ่อแม่ผมทำงานหนักเลยไม่เคยพาไปเที่ยวที่ไหน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเที่ยวกับเพื่อน”

     เขตดนัยหุบยิ้ม สายตาที่มองอีกฝ่ายเปลี่ยนไป นอกจากความอายในน้ำเสียงแล้วเขายังสัมผัสได้ถึงความเหงาของคนพูด

     “ผมชอบดอกไม้ ให้อยู่กับดอกไม้ทั้งวันก็ไม่เบื่อ ก็เลย...พูดออกไปอย่างนั้น”

     เขตดนัยย่อตัวลงอีกครั้ง จนสายตาของเขากับเด็กหนุ่มอยู่ในระดับเดียวกัน รอยยิ้มบนริมฝีปากเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

     “พี่ดีใจนะที่มีนชอบที่นี่ และพี่ก็พูดไปแล้วว่าถ้าอยากมาอีกก็บอก พี่จะพามา”

     คนตรงหน้ายังไม่หันมาตรงๆ ทำเพียงเหลือบมามองเหมือนกลัวเสียเชิง แต่ก็กลัวโดนหลอกเช่นกัน

     “พูดจริงนะ”

     “จริงสิ พี่สัญญา”

     “ขอบคุณครับ พี่เขตสัญญาแล้วห้ามผิดคำพูดนะ” คราวนี้เด็กหนุ่มหันมายิ้มทั้งปากทั้งตา ความดีใจที่ฉายชัดทางสีหน้าทำให้คนตรงหน้าไม่เหลือเค้าความเป็นเด็กแสบ ตอนนี้เขตดนัยเห็นแต่เด็กขี้เหงาที่ตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่าจะได้มาเที่ยวบ่อยๆ ทำเอาเขาลืมไปสนิทว่าอีกฝ่ายเคยก่อวีรกรรมอะไรไว้

     “พี่เขตครับ”

     เขตดนัยหันไปมอง ต้นน้ำกำลังมองมาด้วยสายตายิ้มๆ เช่นเดียวกับคนอื่น

     “จะอยู่ตรงนี้อีกนานหรือเปล่าครับ พวกผมจะได้เดินนำไปก่อน”

     “โทษที คุยเพลินไปหน่อย ไปด้วยกันนี่แหละ” เขตดนัยลุกขึ้นยืน ไม่ลืมที่จะหันมายื่นมือให้คนที่ยังนั่งอยู่บนพื้น รามิลมองมือหนาก่อนจะเงยขึ้นมองใบหน้าที่มีรอยยิ้ม เขาลังเลนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ยอมส่งมือไปให้

     เอาเถอะ เขาจะเลิกอคติสักวันแล้วกัน อย่างน้อยวันนี้เขาก็รู้แล้วว่าดาราหน้าจืดใจดีกว่าที่คิด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เขตดนัยเริ่มจากพาทุกคนเที่ยวชมสวนดอกไม้พร้อมกับแนะนำสถานที่ไปด้วย สวนดอกไม้มีพื้นที่ทั้งหมดสิบไร่ ส่วนที่พักอาศัยกินพื้นที่กว่าสามไร่ แยกจากกันชัดเจน มีบ้านทั้งหมดสองหลัง คือเรือนเล็กสำหรับรับรองแขกกับเรือนใหญ่ของพ่อแม่เขตดนัย แปดในสิบของพื้นที่ไร่เป็นสวนกุหลาบ เนื่องจากแม่ของเขตดนัยชอบดอกกุหลาบมาก อีกทั้งยังเป็นคนบุกเบิกสวนมาด้วยตัวเอง

     เนื่องจากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์จึงมีนักท่องเที่ยวหนาตาพอสมควร ตอนแรกทุกคนเกาะกลุ่มกันเดินเที่ยว แต่ผ่านไปสักพักต้นน้ำก็ชวนเขตดนัยกับรามิลแยกออกมา โดยให้เหตุผลว่าอยากให้คู่รักมีเวลาอยู่ด้วยกัน ทั้งสองคนไม่มีปัญหา เพราะสุดท้ายก็ต้องกลับมาเจอกันตรงทางเข้าอยู่ดี นั่นจึงเข้าทางเขาเต็มๆ

     “พี่เขตรู้ไหมครับว่าพอได้อยู่ท่ามกลางสวนกุหลาบแบบนี้ มันทำให้ผมคิดถึงพี่น็อตขึ้นมาเลย”

     รามิลหันมาทำหน้างงใส่เพื่อนที่จู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ต่างกับร่างสูงที่ชะงักฝีเท้าทันทีที่ได้ยินชื่อ

     “ใช่คนที่ต้นน้ำบอกว่ากำลังตามจีบมีนหรือเปล่า”

     “ใช่ครับ วันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาพี่น็อตลงทุนซื้อดอกกุหลาบมาเซอร์ไพรส์มีนกลางโรงอาหาร เรื่องนี้สกายเล่าให้ผมฟังอีกที ตอนนั้นเห็นว่าข่าวของมีนกับพี่น็อตดังไปทั่วมหา’ลัยเลย”

     “งั้นเหรอ” เขตดนัยพยายามพูดเสียงปกติให้เหมือนฟังเรื่องทั่วไป

     “ว่าแต่ตอนนั้นมีนได้รับดอกกุหลาบจากพี่น็อตหรือเปล่า” ต้นน้ำหันมาถามเพื่อนสนิท ที่จริงสกายเล่าให้ฟังแล้วเหมือนกัน แต่เขาถามเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของคนบางคน

     “รับ”

     เขตดนัยหยุดเดิน พาให้เด็กหนุ่มทั้งสองหยุดตาม รามิลหันไปมองงงๆ ขณะที่ต้นน้ำกำลังกลั้นยิ้ม

     “พี่เขตหยุดทำไม”

     เขตดนัยขมวดคิ้ว นั่นสิ เขาหยุดเดินทำไม แค่ได้ยินว่ารามิลรับดอกกุหลาบจากคนที่มาจีบทำไมเขาต้องหงุดหงิดด้วย

     “มีนรับดอกกุหลาบจากพี่น็อต ก็แปลว่ารับรักพี่น็อตแล้วเหรอ” ต้นน้ำทำเป็นไม่สนใจท่าทางคนตัวสูง หันมาเข้าเรื่องเดิมต่อ รามิลยังทำหน้างงแต่ปากก็ตอบเพื่อนกลับไป

     “เปล่า เราแค่ไม่อยากหักหน้าพี่น็อตต่อหน้าคนในโรงอาหาร เย็นวันนั้นเราบอกพี่น็อตไปตรงๆ เขาเข้าใจและไม่ว่าอะไร ยังขอบคุณด้วยซ้ำที่เรารับดอกไม้ไว้”

     เขตดนัยผ่อนลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

     “พี่เขตคิดว่าไงครับ”

     “หือ?” ชายหนุ่มตั้งตัวไม่ทันเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถาม

     “ถ้าพี่เขตเป็นพี่น็อต พี่จะรู้สึกยังไงที่มีนยอมรับดอกกุหลาบแค่เพราะไม่อยากให้พี่เสียหน้า”

     “ถามอะไรอย่างนั้นเล่าต้นน้ำ พี่เขตไม่ได้จีบเราซะหน่อย” รามิลรีบแย้ง แค่คิดว่าเขตดนัยกำลังจีบเขาอยู่มันก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

     “แค่สมมติเองน่า ว่าไงครับพี่เขต”

     เขตดนัยทำหน้าใช้ความคิด ดวงตาคมเข้มหันมามองเจ้าของเรื่อง ตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่าแก้มของรามิลมีสีแดงจางๆ

     “พี่ก็คงขอบคุณมีน เหมือนที่เขาคนนั้นทำ”

     รามิลลอบถอนหายใจ เขารู้สึกโล่งอก ถึงจะไม่รู้ว่าโล่งอกเรื่องอะไรก็เถอะ

     “แต่พี่จะไม่ยอมหยุดแค่นี้ พี่จะทำทุกทางให้มีนรับดอกกุหลาบพร้อมกับรับรักพี่ให้ได้...ถ้าพี่เป็นเขาคนนั้นก็คงทำแบบนี้” ประโยคหลังเขตดนัยเติมเข้ามาทีหลัง เขาเกือบลืมพูดออกไปทั้งที่เป็นใจความสำคัญของประโยค วูบหนึ่งเขาหลงคิดว่าตัวเองกำลังจีบรามิลจริงๆ

     “สุดยอดเลยครับพี่เขต ผมเอาใจช่วยนะครับ ขอให้จีบมีนติดเร็วๆ”

     สายตาสองคู่หันมามองคนพูด ต้นน้ำแกล้งยกมือปิดปากสีหน้าตกใจ

     “ขอโทษครับ ผมอินไปหน่อย นึกว่าพี่เขตจีบมีนอยู่จริงๆ”

     รามิลกับเขตดนัยเผลอเบนสายตามาสบกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็หันหน้าหนีกันทันที เขตดนัยไม่รู้ว่ารามิลคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าถามเขา เขาก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน รู้แค่ว่าความรู้สึกหงุดหงิดมันหายไปเมื่อรู้ว่าเด็กแสบไม่ได้มีใจให้รุ่นพี่คนนั้น แต่กลับมีความรู้สึกบางอย่างเข้ามาแทน

     โล่งอก ดีใจ มีความสุข หรืออาจเป็นความรู้สึกอื่นที่เขาไม่เคยถามตัวเองมาก่อน เขตดนัยก็ไม่แน่ใจ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     หลังเที่ยวชมสวนเสร็จและกลับมาจากร้านดอกไม้ เขตดนัยพาทุกคนมาน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน เป็นน้ำตกเล็กๆ ที่มีเฉพาะคนในพื้นที่เท่านั้นที่รู้จัก จากทางเข้าต้องเดินเท้าเข้ามา เขาจึงจอดรถไว้ที่หน้าทางเข้าแต่ไม่ไกลมาก

     แม้จะบอกว่าเป็นน้ำตกเล็กๆ ที่มีแค่สามชั้นแต่ก็กินบริเวณกว้าง อีกทั้งยังล้อมรอบด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้บรรยากาศร่มรื่นชวนให้พักผ่อนหย่อนใจ

     เมื่อทานอาหารกลางวันที่เตรียมมาในปิ่นโตเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสามก็ลงเล่นน้ำอย่างไม่รีรอทันที ก่อนมาเขตดนัยพากลับเรือนเล็กไปเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมาแล้ว ส่วนเขากับวายุนั่งอยู่บนเสื่อผืนใหญ่โดยยันแขนไปด้านหลัง คุยสัพเพเหระพลางมองเด็กๆ ที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุก

     “ไม่ผิดหวังจริงๆ ครับที่มา” วายุสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เขาชอบบรรยากาศธรรมชาติแบบนี้ มันทำให้ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหายเป็นปลิดทิ้ง

     “พี่ชวนมาตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมมา”

     “พี่เขตชอบชวนตอนผมงานยุ่งนี่ครับ”

     “งั้นหลังจากนี้พยายามเคลียร์งานไว้นะ เพราะพี่จะพามาบ่อยๆ”

     “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมเกรงใจ”

     “ไม่เป็นไร พี่สัญญากับมีนไว้แล้ว ตั้งใจว่าปิดเทอมจะพามาอีก”

     วายุเหลือบไปมองคนพูด เขตดนัยกำลังพูดกับเขา แต่สายตามองตรงไปยังร่างบางที่กำลังโวยวายเพราะถูกเพื่อนแกล้งสาดน้ำใส่ ภายในแววตานั้น นอกจากความอ่อนโยนวายุยังรับรู้ถึงอีกความรู้สึก พอเอามารวมกับคำพูดของต้นน้ำที่เล่าให้เขาฟังก่อนมาที่นี่ มันทำให้เขาเริ่มคิดเหมือนกันว่าสิ่งที่ต้นน้ำพูดอาจเป็นความจริง

     “พี่เขตครับ”

     “ว่าไง”

     “พี่ตัดใจจากผมได้แล้วจริงๆ ใช่ไหม”

     ดวงตาคมเข้มหันมามอง วายุส่งยิ้มไปให้

     “นึกยังไงถึงถามเรื่องนี้”

     “ผมแค่อยากถามให้มั่นใจน่ะครับ”

     “อืม...ตัดใจได้หรือยังนี่ไม่รู้ แต่ตอนวายุอยู่กับสกายพี่ก็ไม่รู้สึกอะไรนะ”

     “มันเป็นเพราะอะไร พี่เขตรู้ไหมครับ”

     “น่าจะเพราะพี่รู้ตัวมาตลอดว่าไม่มีทางเอาชนะใจวายุได้ ไม่เหมือนรายนู้น แทบไม่ต้องทำอะไรก็ชนะได้สบายๆ” เขตดนัยส่งสายตาไปยังเด็กหนุ่มร่างสูง “เขาถึงบอกไงว่าคนที่ใช่ ไม่ต้องทำอะไรก็ใช่อยู่ดี”

     “ผมไม่เถียงเรื่องคนที่ใช่ แต่สาเหตุที่พี่ไม่รู้สึกอะไร ผมว่าน่าจะเพราะอย่างอื่นนะ”

     “หมายความว่ายังไง”

     วายุอมยิ้ม เบนสายตากลับมาตรงหน้า

     “พี่เขตรู้ไหมครับว่าหัวใจคนเราซับซ้อนกว่าที่คิด อะไรที่เราปักใจเชื่ออาจไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป แต่อะไรที่เราไม่เคยฉุกคิด สิ่งนั้นอาจเป็นความจริงที่ตาเรามองข้ามไป เหมือนประโยคที่ว่าเส้นผมบังภูเขา”

     เขตดนัยยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี เขากำลังจะถามออกไปตรงๆ แต่ประโยคถัดมาของวายุกลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก

     “พี่เขตบอกว่าชอบผม แต่พี่คงไม่รู้ว่าการกระทำของตัวเองมันสวนทางกัน ตอนแรกผมยังไม่มั่นใจ จนกระทั่งเห็นสายตาที่พี่มองมีนเมื่อกี้ ผมถึงมั่นใจว่าพี่ไม่ได้ไม่รู้สึกอะไร แค่คนที่พี่รู้สึกไม่ใช่ผมแล้วเท่านั้นเอง”

     “เดี๋ยวนะ วายุกำลังจะบอกว่า...”

     วายุหันมายิ้มให้คนข้างๆ แววตาของเขาเป็นประกายขบขัน “หลงรักเด็กเข้าแล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอครับ คนอื่นเขารู้กันไปถึงไหนแล้ว”

     เขตดนัยกำลังจะปฏิเสธ แต่พอคิดตามคำพูดดีๆ ความรู้สึกต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว เขาสนุกเวลาอยู่กับรามิล เขาไม่เคยคิดถึงวายุเวลามีรามิลอยู่ใกล้ๆ เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นรามิลยิ้ม และที่ชัดเจนกว่าอะไรทั้งหมดคือเมื่อคิดว่ารามิลมีใจให้คนอื่น เขาก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

     “ผมไปเล่นน้ำก่อนดีกว่า ถ้าพี่เขตจะเล่นก็ตามมานะครับ”

     “พี่ไม่เล่น วายุไปเถอะ”

     วายุซ่อนรอยยิ้ม เขาลุกขึ้นแล้วเดินห่างออกมา เขาไม่ได้อยากเล่นน้ำ แต่เขาอยากให้เขตดนัยมีเวลาอยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนความรู้สึก บางอย่างต้องรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น สิบปากว่าจากคนอื่นก็ไม่มีประโยชน์ถ้าใจของเราไม่ยอมรับ

     เขตดนัยมองตรงไปข้างหน้า แววตาลุ่มลึกอย่างกำลังใช้ความคิด เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ไม่เคยเอะใจกับความรู้สึกตัวเองสักครั้ง จนมาได้ยินวายุพูดวันนี้ อะไรบางอย่างก็เหมือนถูกปลดล็อก ความสงสัยก่อนหน้านี้หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

     “พี่เขต! ไม่มาเล่นด้วยกันเหรอ” รามิลโผล่พ้นจากผืนน้ำ ว่ายเข้ามาใกล้แล้วตะโกนถาม เขตดนัยส่งยิ้มกลับไป สายตาของเขาเปลี่ยนไปพร้อมกับความรู้สึกที่เขาเพิ่งรู้ใจตัวเอง

     “พี่ลืมเอาชุดมาเปลี่ยน ไว้มาด้วยกันคราวหน้าพี่สัญญาจะลงเล่นด้วย”

     รามิลเอียงคองง แต่ก็พยักหน้าแล้วว่ายกลับมาหาเพื่อน ตัวเองพาคนอื่นกลับบ้านเพื่อไปเอาเสื้อผ้าแต่ดันลืมของตัวเองเสียอย่างนั้น อายุเพิ่งยี่สิบแปดแท้ๆ ไม่นึกเลยว่าอีตาดาราหน้าจืดจะขี้หลงขี้ลืม

     เขตดนัยกระตุกยิ้ม ดูเหมือนคนฟังจะไม่รู้ตัวว่าที่เขาพูดไม่ใช่ประโยคบอกเล่า แต่เป็นการรวบรัดว่าอีกฝ่ายต้องมาที่นี่กับเขาอีก ริมฝีปากหนาจุดรอยยิ้ม แววตาที่ทอดมองร่างบางอ่อนแสง ในที่สุดเขตดนัยก็หาคำตอบเจอว่าทำไมวันนี้เขาถึงเอาแต่รู้สึกแปลกๆ

     เขาชอบรามิล…ชอบเด็กแสบที่ป่วนได้แม้กระทั่งหัวใจของเขา




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 30 ★ [13/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 13-12-2022 12:08:52
ตอนที่ 30
จนหมดลมหายใจ


     วายุกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟ วันนี้เขามารับท้องฟ้าด้วยตัวเอง เขามีนัดคุยงานกับลูกค้าแถวมหาวิทยาลัย เลยถือโอกาสพาลูกหมามาทานมื้อเย็นนอกบ้านเสียเลย

     ตั้งแต่กลับมาจากบ้านเขตดนัยวายุก็สบายใจขึ้น ลึกๆ แล้วเขากังวลว่าเขตดนัยจะไม่เป็นไรอยากที่บอกจริงหรือเปล่า เรื่องที่เขากับท้องฟ้าคบกัน แต่ในเมื่อเขตดนัยมีคนที่ชอบของตัวเองแล้วเขาก็หายห่วง หลังจากนี้ก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้คนที่เป็นทั้งรุ่นพี่และเพื่อนบ้านจีบเด็กหนุ่มหน้าหวานติด

     ในมือของวายุมีแก้วกาแฟที่สั่งมารอท้องฟ้า เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ ตอนที่มีกลุ่มนักศึกษาหญิงเดินเข้ามาในร้าน เด็กกลุ่มนั้นพากันนั่งโต๊ะที่เยื้องไปด้านหลัง เสียงพูดคุยลอยมาเข้าหูเป็นระยะ วายุไม่ได้แอบฟัง เรียกว่าไม่สนใจเลย แต่นั่งใกล้กันขนาดนี้มันก็ต้องได้ยินเป็นธรรมดา

     “จ่ายมาห้าร้อยซะดีๆ อย่าทำเป็นลืม”

     “แหม กับเรื่องนี้ความจำดีเชียวนะยะ”

     “แน่อยู่แล้ว แกอยากเป็นคนท้าเอง พนันอะไรไม่พนัน ดันเอาตัวท็อปคณะนิเทศฯ อย่างน้องสกายมาพนัน สุดท้ายเป็นไงคะ แห้วรับประทาน”

     ชื่อที่ออกมาจากปากหนึ่งในกลุ่มนั้นทำให้วายุสะดุดหู แต่เขาก็เลิกใส่ใจในวินาทีถัดมา มหาวิทยาลัยมีนักศึกษาเยอะแยะมากมาย การจะมีคนชื่อซ้ำในคณะเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลก

     “แต่พูดก็พูดเถอะ เรื่องที่น้องสกายมีแฟนแล้วฉันไม่ค่อยแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้ใครเข้าไปจีบก็ไม่เล่นด้วย แต่ที่คิดไม่ถึงคือแฟนที่ว่าดันเป็นผู้ชายนี่สิ”

     วายุหยุดมือที่กำลังจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาท้องฟ้า เขาซ่อนอาการหูผึ่งไว้ใต้สีหน้านิ่งเรียบ

     “แค่นั้นยังไม่พอนะแก ข่าววงในยังบอกอีกว่าแฟนคนนั้นอายุมากกว่า แถมบ้านรวยไม่ใช่เล่น ขับรถมารับส่งกันทุกวันเลย”

     “ที่เขาว่าโคแก่กินหญ้าอ่อนน่ะเหรอ”

     “ก็ไม่เชิง ฉันว่าน้องสกายน่าจะไปเกาะเขามากกว่า คนที่ดีไปทุกอย่างแบบสกายเนี่ยนะจะชอบผู้ชาย ให้ตายฉันก็ไม่เชื่อ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วนอกจากหลอกคบเพื่อหวังเอาเงิน”

     “แต่สกายจะทำแบบนั้นเหรอ น้องเขาดูไม่ใช่คนเห็นแก่เงินนะ”

     “โอ๊ย อย่าเพิ่งโลกสวยค่ะ กลิ่นเงินมันหอมกว่าที่แกคิด เชื่อสิว่าเพื่อเงินแล้วคนเราทำได้ทุกอย่าง”

     “แต่ฉันได้ยินมาว่าบ้านน้องสกายก็รวยเหมือนกัน ไม่เห็นต้องลงทุนถึงขนาดเกาะผู้ชายกินเลย”

     “คงถังแตกล่ะมั้ง”

     วายุนั่งนิ่ง เขาไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าคนพูด นาทีนี้เขามั่นใจเกินร้อยว่าคนที่กลุ่มนั้นกำลังพูดถึงคือท้องฟ้า ภายนอกเขาวางตัวปกติทุกอย่าง แต่ภายในใจกลับปั่นป่วนไปหมด

     “พี่วายุ”

     เสียงทุ้มที่คุ้นเคยไม่เพียงแต่ดึงสายตาเขาไปมอง แต่ยังรวมถึงคนที่กำลังจับกลุ่มนินทาอยู่ด้วย ท้องฟ้าคลี่ยิ้มพลางสาวเท้าเข้ามาหา ใบหน้าสดใสทำให้วายุต้องฝืนยิ้มกลับไป

     “รอนานไหมครับ พอดีผมแวะปรึกษาเรื่องเรียนกับอาจารย์นิดหน่อย”

     “ไม่นาน พี่เพิ่งมาถึงเหมือนกัน”

     รอยยิ้มของเด็กหนุ่มค่อยๆ จางลง คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย

     “เป็นอะไรครับ หน้าซีดเชียว ไม่สบายหรือเปล่า”

     จากหางตาวายุเห็นว่าคนกลุ่มนั้นกำลังมองมายังพวกเขา ใบหน้าตื่นตกใจทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าใช่ท้องฟ้าแน่นอน อีกฝ่ายคงรู้ตัวแล้วว่าคนที่ตัวเองนินทานั่งอยู่ในระยะเผาขน ใกล้พอจะได้ยินคำพูดทั้งหมด

     “เปล่า ไม่ได้เป็นไร พอดีเครียดเรื่องงานน่ะ” วายุโกหกออกไป เขาจะบอกความจริงกับท้องฟ้าก็ได้ แต่เขาไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เด็กกว่า เขาไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ไม่มีเหตุผลด้วยการเอาเรื่องแค่นี้มาตีโพยตีพาย

     “งั้นกลับบ้านเลยดีไหมครับ พี่วายุจะได้พักผ่อน”

     “ไม่เป็นไร ไม่ได้เครียดขนาดนั้น นายอยากกินอาหารญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ” วายุยิ้มอ่อนโยน เพียงเท่านั้นความสดใสของเด็กหนุ่มก็กลับมา ท้องฟ้ายิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี เห็นวายุยิ้มออกเขาก็โล่งอก ตอนแรกนึกว่าจะไม่สบายเสียแล้ว

     ท้องฟ้ายื่นมือมาตรงหน้า วายุลังเล แต่เพื่อไม่ให้ถูกสงสัยเขาจึงต้องยื่นมือไปจับ เขาเดินตามท้องฟ้าออกจากร้าน ทำเป็นไม่เห็นสายตาของคนกลุ่มเดิมที่มองมา แต่ถึงจะไม่สนใจแค่ไหนเขาก็สลัดคำพูดพวกนั้นออกจากหัวไม่ได้อยู่ดี

     โคแก่กินหญ้าอ่อนอย่างนั้นเหรอ...

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุ”

     “…”

     “พี่วายุครับ”

     “…”

     เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากคนตรงหน้า ท้องฟ้าจึงโน้มหน้าไปใกล้ วายุผงะเล็กน้อย ดวงตาสีดำที่มองมาฉายแววงุนงง

     “เป็นอะไรครับ ผมเรียกก็ไม่ตอบ”

     “เปล่า แค่เหม่อนิดหน่อย” วายุฝืนยิ้มให้เด็กหนุ่ม เขาโยนความคิดในหัวทิ้งไป “ว่าแต่เรียกพี่ทำไม”

     “ผมจะถามว่าอิ่มแล้วเหรอครับ ผมไม่เห็นพี่ทานอะไรเลย”

     วายุกวาดตามองอาหารบนโต๊ะที่พร่องไปเฉพาะส่วนของท้องฟ้า เขาไม่ได้อิ่ม แต่ไม่มีอารมณ์จะทานอะไรเลยต่างหาก

     “พี่ไม่ค่อยหิวน่ะ ขอโทษนะ”

     ท้องฟ้าสบตานิ่ง ตอนอยู่ในร้านกาแฟเขาไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าหรือวายุไม่สบายจริงๆ แต่เก็บเงียบไม่ยอมบอก

     “งั้นบอกให้เขาห่อกลับบ้านนะครับ ยังเหลืออีกเยอะเลย ผมเสียดาย”

     “อืม เอาสิ”

     ท้องฟ้ายกมือเรียกบริกร วายุลอบถอนหายใจ เขาไม่ได้อยากทำให้ท้องฟ้าเป็นห่วง แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็หยุดคิดไม่ได้เลย ตั้งแต่ออกจากร้านกาแฟจนถึงตอนนี้ คำพูดของคนพวกนั้นยังคอยวนเวียนในหัว จนวายุอดถามตัวเองไม่ได้

     การที่เขาคบกับท้องฟ้า...มันดีแล้วจริงๆ เหรอ?

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     พักหลังมานี้ท้องฟ้ามักจะขอมานอนห้องวายุบ่อยๆ แทบจะทุกวันเลยก็ว่าได้ จนเขาไม่คิดจะห้ามแล้ว เพราะห้ามไปก็ไม่สำเร็จอยู่ดี เดี๋ยวก็ใช้ลูกอ้อน เดี๋ยวก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม สารพัดวิธีที่จะทำให้ได้นอนกอดเขา

     แต่วันนี้วายุกลับดีใจที่ท้องฟ้ามานอนด้วย ไม่ใช่วันอื่นไม่ดีใจ เพียงแต่เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้าวันนี้ต้องนอนคนเดียว เขาจะข่มตาหลับได้ไหม

     ท้องฟ้าเดินมาที่เตียงหลังอาบน้ำเสร็จ เขานั่งลงข้างวายุ ยื่นมือมาอังหน้าผาก การกระทำของเด็กตัวโตทำให้วายุแปลกใจ

     “ทำอะไรน่ะ”

     “เช็กว่าพี่มีไข้หรือเปล่า”

     “พี่บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นไร”

     “แต่วันนี้พี่วายุดูแปลกไป ไม่พูดไม่จา ไม่ค่อยยิ้มด้วย หรือยังเครียดเรื่องงานอยู่ครับ”

     ประโยคคำถามที่แฝงความเป็นห่วงทำให้วายุรู้สึกดีและรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกดีที่ท้องฟ้าคอยเป็นห่วงเป็นใย แต่ก็รู้สึกแย่ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้ท้องฟ้าถูกมองในแง่ลบ

     วายุดึงมือบนหน้าผากมากุม เขามองมือหนาก่อนจะเบนสายตาไปมองเจ้าของมือ ความสับสนที่กัดกินหัวใจมาทั้งวันทำให้เขาไม่มีแรงแม้แต่จะฝืนยิ้ม

     ท้องฟ้าเอียงคอมอง สีหน้าวายุดูแปลกไปจนเขารู้สึกได้ เหมือนมีบางอย่างอยู่ในใจแต่ไม่พูดออกมา

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “เราสองคนควรคบกันจริงๆ เหรอ”

     ท้องฟ้านิ่งอึ้ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะได้ยิน เขาพอรู้ว่าวายุกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องนี้ จากที่จะลุกไปเตรียมยาให้กินดักไว้ก่อน ตอนนี้เขาลืมมันไปหมด ร่างสูงขยับตัวเข้าหา พลิกมือมาบีบกระชับมือบางไว้แน่น

     “ทำไมถามแบบนี้ครับ”

     “…”

     “พี่วายุ ตอบผมครับ ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้”

     วายุหลบสายตา เขารู้สึกพลาดที่ถามอย่างนั้นออกไป เขาน่าจะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนเอ่ยปากถาม ไม่น่าผลีผลามเลย

     “พี่วายุ มองตาผมครับ” มือหนาเชยคางให้แหงนเงย วายุสบตากับท้องฟ้าอีกครั้ง “บอกผมหน่อยครับ อะไรทำให้พี่คิดว่าเราสองคนไม่ควรคบกัน”

     ท้องฟ้าไม่ได้เร่งเร้า แต่ก็ไม่ละสายตาไปจากเขาเช่นกัน วายุชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องในร้านกาแฟ เขาไม่ใช่คนขี้ฟ้อง แต่จะให้เขาเก็บความกังวลไปตลอดก็คงไม่ได้เหมือนกัน อย่างน้อยเรื่องนี้เขาก็ควรคุยกับท้องฟ้าตรงๆ

     ท้องฟ้านั่งฟังด้วยใบหน้านิ่ง จนกระทั่งวายุเล่าจบถึงรู้สึกว่ามือที่กำลังเกาะกุมบีบแน่นขึ้น เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจ มองมาด้วยสายตาหงุดหงิด

     “ทำไมไม่บอกผมตั้งแต่ตอนนั้น”

     “พี่ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่”

     “ทำถึงขนาดนี้ไม่ใหญ่ไม่ได้แล้วครับ ไม่รู้อะไรสักอย่างแต่กลับมาพูดจามั่วซั่วจนคนอื่นเสียหาย พี่วายุพอจำหน้าได้ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมพาไปชี้ตัวที่มหา’ลัย”

     “ท้องฟ้า คุยกันก่อน” วายุบีบมือกลับไปเบาๆ หวังให้คนตรงหน้าใจเย็นขึ้น “พี่รู้ว่าที่คนพวกนั้นพูดไม่ใช่เรื่องจริง ตอนแรกพี่ก็โกรธเหมือนกัน แต่พอเอามาคิดดีๆ พี่ถึงฉุกคิดขึ้นมาได้”

     “คิดอะไรครับ”

     วายุเม้มปาก เขาลังเลว่าจะพูดออกไปดีไหม แต่สายตาคมที่มองมาทำให้เขาต้องพูด

     “พี่...พี่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับนาย”

     “ไม่จริงครับ” ท้องฟ้าตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

     “ฟังเหตุผลก่อนสิ”

     “ไม่ว่าพี่จะยกมากี่ร้อยเหตุผลผมก็จะปฏิเสธทั้งหมดอยู่ดี”

     “ท้องฟ้า พี่ขอร้อง ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ก่อน”

     น้ำเสียงวิงวอนของคนรักทำให้เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย ท้องฟ้าหลับตาเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ เขานับหนึ่งถึงห้าในใจก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ

     “ก็ได้ครับ ลองพูดมาว่าอะไรทำให้พี่คิดอย่างนั้น”

     “เราอายุต่างกัน พี่กลัวว่าถ้าเราคบกันคนอื่นจะมองไม่ดี”

     “ถ้าพี่หมายถึงประโยคโคแก่กินหญ้าอ่อน ลืมไปได้เลยครับ คนอื่นจะมองยังไงก็ช่าง สำหรับผมแค่เรารักกันเท่านั้นพอ คนอื่นไม่มีค่าพอให้เราต้องสนใจ”

     “มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะว่าเราอายุต่างกัน พี่เลยไม่แน่ใจว่าเราจะเข้ากันได้หรือรู้ใจกันได้ทุกเรื่องหรือเปล่า”

     เหตุผลของคนตรงหน้าทำให้ท้องฟ้าที่กำลังจะทัดทานถึงกับนิ่งงัน เขามองคนพูดด้วยสายตาค้นหา ความกังวลที่ฉายชัดทางสีหน้าทำให้เขาเลือกที่จะนิ่งฟัง

     “พูดต่อสิครับ”

     “พี่กลัวว่าถ้าคบกันไปนานๆ ความต่างของอายุจะทำให้เราทะเลาะกัน ถึงจะรู้จักกันมาสิบปี แต่พี่ก็รู้เรื่องของนายน้อยมาก แถมนายยังเด็กกว่าพี่ มีอะไรให้พบเจออีกเยอะ ถ้าวันข้างหน้านายได้เจอคนที่เข้ากันหรือรู้ใจกันมากกว่า พี่คง...พี่ก็คง...”

     ไหล่ของคนพูดเริ่มสั่นเทิ้ม คำพูดเริ่มขาดช่วง แต่ท้องฟ้ายังนิ่งฟังต่อไป เขาอยากให้วายุพูดความในใจออกมาให้หมด

     “พี่ไม่อยากเห็นแก่ตัว ไม่อยากทะเลาะกับนาย แต่พี่ก็ไม่อยากเสียนายไป ไม่อยากให้นายเจอคนที่ดีกว่า พี่...ฮึก...พี่ขอโทษ...” เสียงพูดปนสะอื้น วายุพยายามกลั้นน้ำตาแต่ก็ไม่เป็นผล เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ท้องฟ้าเห็น แต่ความกลัว ความสับสน ความกังวลในใจ มันทำให้เขาแสร้งเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว แค่คิดว่าวันหนึ่งเขาต้องเลิกกับท้องฟ้า ในใจก็ปวดแปลบจนแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ

     ท้องฟ้ารวบร่างบางมากอด มือหนายกมาลูบหลัง เขาจูบซับขมับเพื่อปลอบโยน แววตาที่ทอดมองคนในอ้อมกอดอ่อนแสง

     เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ด้วยวัยและนิสัยของเขา จึงคิดง่ายๆ แค่ว่าเขารักวายุ วายุรักเขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่วายุกลับคิดต่างออกไป สำหรับวายุความรักมีมากกว่านั้น วันนี้เขาได้รู้แล้วว่าคนที่เขารักเก็บความกังวลไว้ในใจมากแค่ไหน

     “พี่วายุไม่อยากเสียผมไป แล้วถามผมหรือยังว่าผมอยากเสียพี่ไปหรือเปล่า”

     วายุแหงนเงยมองคนพูด ท้องฟ้าก้มลงมายิ้มให้ เขาใช้มืออีกข้างเกลี่ยน้ำตาบนแก้มใสอย่างแผ่วเบา

     “คนที่ดีกว่าพี่อาจจะมี แต่ผมไม่ได้ต้องการคนแบบนั้น ที่ผมต้องการคือคนนี้ คนที่ผมกำลังกอด คนที่กำลังร้องไห้โยเย รอให้ผมปลอบอยู่ตอนนี้ต่างหาก” ท้องฟ้าบีบจมูกเบาๆ พอได้ยินอย่างนั้นวายุกลับทำตัวไม่ถูก จู่ๆ เขาก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมา

     “มันใช่เวลาไหม พี่จริงจังอยู่นะ”

     “แล้วใครบอกว่าผมไม่จริงจัง” เด็กหนุ่มรั้งศีรษะเล็กมาซบอก โยกตัวไปมาเบาๆ ราวกับกำลังปลอบเด็ก “พี่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับผม ผมก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพี่เหมือนกัน เราต่างมีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่รู้ แต่แทนที่จะปล่อยให้อีกคนไปเจอคนที่ดีกว่า ทำไมเราไม่มาเรียนรู้กันและกันล่ะครับ”

     “…”

     “ผมกับพี่มีเวลาทั้งชีวิต เรามาพยายามไปด้วยกันไม่ดีกว่าเหรอครับ ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ รักกัน รักไปจนแก่จนเฒ่า ดีไหมครับ”

     วายุผละตัวออก เขามองคนพูดด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป แค่คำว่ารักไปจนแก่จนเฒ่า แค่ประโยคสั้นๆ แต่กลับทำให้ความกังวลหายไปในพริบตา ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างแทน

     “นาย...พูดจริงนะ”

     “จริงครับ”

     “จะอยู่กับพี่ไปจนถึงตอนนั้นจริงๆ ใช่ไหม”

     “จนกว่าผมจะหมดลมหายใจ”

     สายตาสองคู่ประสานกัน ทุกคำพูดที่เปล่งออกมาล้วนหนักแน่นและมั่นคง ท้องฟ้าโน้มใบหน้ามาใกล้ ริมฝีปากหนาจุดรอยยิ้ม

     “แล้วพี่วายุล่ะครับ อยากอยู่กับผมไปจนหมดลมหายใจไหม”

     วายุหลุบตามองต่ำ พอโดนถามตรงๆ บ้างเขากลับเขินเสียเอง

     “อยากสิ ถ้าไม่อยากจะมานั่งคิดมากอย่างนี้เหรอ” เสียงพูดแผ่วเบาราวกับกระซิบ ท้องฟ้าหัวเราะในลำคอ ภายในหัวใจรู้สึกเต็มตื้นขึ้นมา

     “สัญญาแล้วนะครับ ทิ้งผมไม่ได้แล้วนะ”

     “นายนั่นแหละห้ามทิ้งพี่ ถ้าทิ้งล่ะก็น่าดู”

     สายตาข่มขู่ของคนพูดไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มกลัวสักนิด ท้องฟ้ายื่นหน้ามาหอมแก้มเร็วๆ แวบแรกวายุตกใจ แต่พอมองตากันไปสักพักพวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

     “ขอโทษนะที่เอาแต่คิดมาก พอมานึกย้อนดูพี่รู้สึกเหมือนตัวเองงี่เง่ายังไงไม่รู้ ทั้งที่เป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ๆ”

     ท้องฟ้าส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาคมเข้มฉายแววรักใคร่

     “ไม่งี่เง่าเลยครับ แล้วก็ไม่ต้องขอโทษด้วย พี่วายุคิดมากเพราะรักผมมาก ผมชอบที่เป็นแบบนี้ รักผมให้มากๆ นะครับ เพราะผมก็จะรักพี่มากๆ เหมือนกัน”

     วายุสอดมือเข้ากับมือของท้องฟ้า เขาให้คำตอบด้วยการยื่นหน้าไปหอมแก้มคืน ท้องฟ้าหัวเราะชอบใจ มือของพวกเขาบีบกระชับแน่น

     “อยู่เรียนรู้ด้วยกันไปนานๆ นะครับ”

     “แน่นอนอยู่แล้ว”

     หัวใจของวายุถูกเติมเต็มด้วยคำสัญญา เขาสัญญากับตัวเองว่าหลังจากนี้จะไม่หวั่นไหวไปกับอะไรอีก ตอนนี้เขารู้แล้วว่าควรให้ความสำคัญกับอะไร ขอแค่ไม่ลืมความรู้สึกนี้ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

     อยู่ด้วยกันไปจนหมดลมหายใจเลยนะ เจ้าท้องฟ้าอันสดใส




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 31 ★ [21/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 21-12-2022 16:24:27
ตอนที่ 31
หนีไม่พ้น


     “นี่มันอะไรกันครับพี่เขต ทำไมจู่ๆ ถึงลาออกจากวงการล่ะครับ” รามิลเอ่ยถามทันทีที่เขตดนัยพามาห้องนั่งเล่น วันนี้เขามีเรียนครึ่งวันเช้า พอเรียนเสร็จเลยมาหาเขตดนัยที่บ้าน ตอนแรกเขาตั้งใจมาบอกผลการประกวดรูปถ่าย แต่ข่าวที่ได้ยินมาจากเพื่อนร่วมเซคฯ ทำให้ต้องเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

     “ใช้คำว่าลาออกก็ไม่ถูกนะ พี่แค่ไม่รับงานละครแล้วย้ายมาทำงานเบื้องหลังแทน”

     รามิลหวนนึกถึงคำพูดของแม่เขตดนัยในวันแรกที่เจอกัน เขาเดาได้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องนี้แน่นอน

     “แต่พี่เขตเคยบอกว่าชอบงานละครมากไม่ใช่เหรอครับ หรือตอนนี้ไม่ชอบแล้ว” ถึงแม้รามิลจะไม่ติดตามข่าวดารา แต่ความโด่งดังของเขตดนัยทำให้เขาพลอยรู้ไปด้วย ยิ่งตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง แทบทุกสื่อโซเชียลมีแต่ข่าวดาราหนุ่มหล่ออำลาวงการบันเทิงแบบไฟแลบ

     เขตดนัยนั่งลงบนโซฟา วางแขนบนพนักด้วยท่าทางสบายๆ ต่างกับเด็กหนุ่มที่ยืนรอคำตอบด้วยใบหน้างุนงง จนเขาส่งสายตาให้นั่งลง รามิลถึงเดินไปนั่งโซฟาเล็กฝั่งตรงข้าม

     “ยิ้มอะไรครับ” รามิลถามเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่ยิ้มตาเป็นประกาย เขาหรืออยากรู้แทบตาย แต่อีตาดาราหน้าจืดกลับนิ่งเงียบอยู่ได้ คิดจะกวนกันหรือไง

     “พี่เพิ่งรู้ว่า...มีนสนใจเรื่องพี่ขนาดนี้”

     ใบหน้ายิ้มๆ ที่โน้มมาใกล้ทำให้รามิลผงะ เขาเบือนสายตาหนี ทำเป็นกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อน

     “ผมแค่สงสัยเฉยๆ ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น ถ้าพี่เขตไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรครับ”

     “ไม่ใช่ไม่อยากตอบ พี่แค่กำลังดีใจที่มีนสนใจเรื่องของพี่ แต่ถ้าบอกไปแล้วมีนห้ามบอกใครนะ เรื่องนี้พี่บอกเฉพาะครอบครัวกับคนพิเศษเท่านั้น”

     รามิลหันขวับมามองคนพูด เขาแทบจะลืมเรื่องที่ถามอยู่เมื่อเขตดนัยพูดคำว่าคนพิเศษขึ้นมา ตอนนี้เขากลับอยากรู้ว่าคนพิเศษที่ว่าหมายถึงอะไรมากกว่า

     “พี่ยังชอบงานละครอยู่ แต่ก็อยากเรียนรู้งานเบื้องหลังเหมือนกัน เรื่องนี้พี่ปรึกษากับผู้จัดการมาเป็นเดือนแล้ว ไม่ได้ตัดสินใจกะทันหัน พี่จบภาพยนตร์มา เลยอยากทำงานที่มันตรงสายบ้าง”

     รามิลพยักหน้ารับรู้ แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตอนเห็นข่าวเขาตกใจแทบตาย นึกว่าเขตดนัยมีปัญหาอะไรเสียอีก รามิลยอมรับว่าเขาเป็นห่วงเขตดนัย คงเพราะพักหลังมานี้อีกฝ่ายดีกับเขามาก เขาเลยค่อยๆ ลดอคติแล้วหันมามองหนุ่มดาราในด้านดีแทน

     ว่าแต่...

     “เรื่องนี้เหรอครับที่พี่เขตห้ามบอกใคร ผมว่ามันไม่น่าจะเป็นความลับขนาดนั้นนะ”

     “มันก็ไม่ใช่ความลับจริงๆ นั่นแหละ แต่พี่พูดแบบนั้นเพราะอยากให้มีนรู้ว่า...สำหรับพี่ มีนเป็นคนพิเศษ”

     แม้ไม่ส่องกระจกรามิลก็รู้ว่าตัวเองกำลังหน้าแดง ถึงเขาจะแอบนินทาว่าหน้าจืดบ่อยๆ แต่เขตดนัยก็จัดว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง จู่ๆ มาพูดแบบนี้ ต่อให้ไม่ชอบแค่ไหนก็ต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา

     เดินชนกำแพงมาหรือไงนะ ทำไมวันนี้เอาแต่พูดจาแปลกๆ

     “จริงด้วย ผมจะมาบอกว่ารูปของพี่ชนะการประกวดนะครับ”

     เขตดนัยกระตุกยิ้มเมื่อคนตรงหน้าเปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเด็กแสบกำลังกลบเกลื่อนอาการเขิน

     “พี่เดาได้อยู่แล้วว่าต้องชนะ”

     “พี่ไปติดสินบนกรรมการหรือไงครับ”

     “เปล่า เราเล่นเอาดาราดังมาเป็นนายแบบ ถ้าไม่ชนะก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”

     รามิลอยากเบ้ปากให้กับความหลงตัวเองของคนพูด แต่ติดที่ว่ามันคือความจริงเลยทำไม่ได้ ไม่คิดบ้างหรือไงว่าที่ชนะอาจเป็นเพราะฝีมือการถ่ายรูปของเขา

     “นั่นแหละครับ ผมเลยจะเอาเงินรางวัลมาให้พี่ ผมรู้ว่าพี่เขตไม่อยากรับ แต่เงินนี้ถือว่าเป็นของพี่เหมือนกัน ยิ่งพี่มาเป็นนายแบบให้ฟรีๆ ผมยิ่งรับเงินรางวัลไว้คนเดียวไม่ได้เข้าไปใหญ่”

     รามิลหยิบซองเงินรางวัลออกมาจากกระเป๋า เขากำลังจะยื่นให้คนตรงหน้า แต่เขตดนัยกลับเอามือมาวางทาบมือของเขา มองมาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

     “พี่ไม่รับเงินรางวัล ถ้ามีนอยากตอบแทนพี่จริงๆ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีกว่า”

     “อะไรครับ”

     “วันนี้เรามีธุระไหม” ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยการถามกลับไป

     “ไม่มีครับ ให้เงินพี่เขตเสร็จผมก็ว่าจะกลับเลย”

     “ดี งั้นไปเที่ยวกัน”

     “หา!” คำชวนที่ไม่คาดคิดทำให้รามิลเผลออุทานเสียงดัง

     “วันนี้พี่เบื่อๆ เรามาก็ดีเหมือนกัน ถือซะว่าไปเที่ยวเป็นเพื่อนพี่”

     “พี่เขต...จะเอาแบบนี้จริงๆ เหรอครับ”

     “จริงสิ”

     รามิลยังไม่หายงง คนอะไรปฏิเสธเงินรางวัลแล้วขอให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนแทน เขาว่าจะมองอีกฝ่ายใหม่แล้วนะ แต่เห็นทีคงต้องเปลี่ยนฉายาจากหน้าจืดเป็นซื่อบื้อแทน

     “ว่าไง ไปเที่ยวเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหม”

     “...ก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับไปคล้ายคนละเมอ ต่างกับคนขอร้องที่ยิ้มกว้าง เขตดนัยพูดขอบคุณ แววตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์

     งงไปเถอะมีน เดี๋ยวจะได้งงกว่านี้อีก พี่จะจีบแบบเนียนๆ จนนายชอบพี่แบบงงๆ ให้ดู

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่เขตอยากมาสวนสนุกเหรอครับ” รามิลหันมาถามคนข้างๆ ระหว่างทางเขตดนัยไม่บอกว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เขาเลยอดแปลกใจไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายพามาสวนสนุกที่เคยมาเมื่อครั้งก่อน

     “ใช่ มีนไม่อยากมาเหรอ”

     “เปล่าครับ ผมแล้วแต่พี่เขต วันนี้ผมมาเป็นคนจ่ายเงินอยู่แล้ว”

     “ไม่ต้อง แค่เรามาเป็นเพื่อนก็ถือว่าตอบแทนแล้ว”

     “ไม่เอาครับ แบบนั้นจะเรียกว่าตอบแทนได้ยังไง” คราวนี้รามิลไม่ยอม ถ้าไม่ให้เขาจ่ายเงินก็เท่ากับเขตดนัยจะจ่ายค่าเครื่องเล่นวันนี้ให้ ขืนยอมให้ทำแบบนั้นเขาได้เกรงใจมากกว่าเดิมกันพอดี

     “พี่เป็นผู้ใหญ่ จะให้เรามาเลี้ยงได้ยังไง”

     “แต่พี่เขตจะให้ผมตอบแทนแค่นี้จริงๆ เหรอครับ แค่มาเที่ยวเป็นเพื่อนมันเล็กน้อยมากเลยนะ”

     “ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ให้เรามาวันเดียวแน่นอน จะชวนมาจนกว่าจะคุ้มค่าตัวเลย”

     รามิลก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี เขาไม่เข้าใจความคิดของเขตดนัยสักนิด แต่เพราะรู้ว่าเถียงยังไงอีกฝ่ายก็ไม่ยอมอยู่ดี เขาจึงเป็นฝ่ายยอมเสียเอง

     “ก็ได้ครับ อย่ามาบ่นทีหลังแล้วกันว่าไม่คุ้มค่าตัว ผมจะตีพี่เขตจริงๆ ด้วย”

     เขตดนัยลอบยิ้ม เขาอยากบอกเหลือเกินว่าถ้าได้มาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ต่อให้ขาดทุนแค่ไหนเขาก็ยอม

     “งั้นไปกันเลยไหม”

     “ครับ”

     เขตดนัยดึงมือบางมาจับก่อนพาออกเดิน รามิลก้มมองมือที่เกาะกุมกันอยู่ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย

     “ไม่ต้องจับมือก็ได้ครับ วันนี้คนไม่เยอะ ผมไม่หลงหรอก” รามิลยังไม่ลืมว่าคราวก่อนเขตดนัยบอกว่ากลัวเขาหลงเลยต้องจับมือไว้

     “ไม่ได้กลัวหลง”

     “แล้วพี่มาจับมือผมทำไม”

     “มือเรานุ่มดี เลยอยากจับ”

     คำตอบแบบกำปั้นทุบดินทำให้เด็กหนุ่มหมดคำพูด รามิลเดินตามไปเงียบๆ ไม่พูดหรือถามอะไรอีก เขตดนัยเหลือบมามอง ก่อนหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นแก้มของคนตัวเล็กค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง

     เป็นไงล่ะ เจอคำตอบของเขาเข้าไป แม้แต่เด็กแสบก็ยังแสบไม่ออก

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “สนุกไหม” เขตดนัยถามคนข้างๆ ที่กำลังดื่มน้ำโดยไม่พูดไม่จา เขาพารามิลมานั่งพักที่ม้านั่ง หลังจากเล่นเครื่องเล่นหลายอย่างติดกันแบบไม่หยุดพัก

     “สนุกแต่เหนื่อยครับ” รามิลไม่ได้พูดเกินจริง เขาหมั่นไส้ที่เขตดนัยไม่ยอมให้จ่ายเงินเลยแกล้งชี้เครื่องเล่นไปทั่ว หวังให้ดาราหน้าจืดเหนื่อยจนขาลาก แต่อีกฝ่ายดันบ้าจี้ เล่นมันทุกอย่างที่เขาชี้ แถมคนที่เหนื่อยจนขาลากกลับเป็นเขาเสียเอง

     “ก็เล่นติดกันซะขนาดนั้น พี่บอกให้พักก่อนก็ไม่ฟัง”

     “แล้วพี่เขตไม่เหนื่อยเลยเหรอ” รามิลอดถามไม่ได้ ท่าทางของเขตดนัยดูสบายๆ ต่างกับเขาที่แทบจะคลานลงมาจากเครื่องเล่น

     “ไม่ ปกติพี่ออกกำลังกายอยู่แล้ว”

     คำพูดที่เหมือนเกทับอยู่ในทีทำให้รามิลแอบเบ้ปาก พูดอย่างนี้จะหาว่าเขาขี้เกียจออกกำลังกายล่ะสิ ถึงจะเป็นความจริงแต่ใครจะบอกให้โง่ แค่ตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า อย่าคิดว่าจะมาพูดทับถม...

     !!!

     รามิลนิ่งงัน ความคิดในหัวสะดุด ตัวของเขาแข็งเป็นหินตอนที่เขตดนัยยื่นหน้ามาใกล้ ใช้ทิชชูซับเหงื่อบนหน้าผาก

     “ร้อนล่ะสิ หน้าแดงเชียว ทีหลังถ้ารู้ตัวว่าเหนื่อยง่ายก็อย่าหักโหมเล่นอย่างนี้อีก สวนสนุกมันไม่หายไปไหนหรอก”

     ตอนแรกรามิลหน้าแดงเพราะร้อน แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่นหรือเปล่า เขาอยากขยับหนี แต่ติดตรงที่นั่งชิดขอบม้านั่ง เลยได้แต่ปล่อยให้คนตัวสูงเช็ดหน้าอยู่อย่างนั้น

     ดวงตาสองคู่สบกัน ใบหน้าของเขตดนัยใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ รามิลลอบกลืนน้ำลาย เขาพยายามทำตัวปกติทั้งที่หัวใจกำลังเต้นโครมคราม

     รามิลเพิ่งสังเกตว่าเขตดนัยหน้าใสมาก พออยู่ใกล้กันแบบนี้เขาถึงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีสิวหรือริ้วรอยสักนิด เป็นดาราต้องผิวหน้าดีขนาดนี้เลยเหรอ มีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่านะ อยากรู้บ้างจัง

     “เข้าใจที่พี่พูดไหม”

     “เข้าใจครับ”

     “เข้าใจว่าอะไร”

     “ว่าพี่เขตหน้าใส เฮ้ย! ไม่ใช่” รามิลสะดุ้งโหยง รีบผละหน้าออกแทบไม่ทัน เขาไม่น่ามองเพลินเลย เผลอพูดออกไปจนได้ “ผมจะบอกว่าเข้าใจแล้ว ทีหลังผมจะค่อยๆ เล่น ไม่หักโหมอย่างนี้อีก

     “แต่เมื่อกี้พี่ได้ยินมีนพูดว่าพี่หน้าใสนะ”

     “พี่เขตฟังผิดแล้ว”

     เขตดนัยทำเป็นพยักหน้า ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้อีกรอบ แววตาของเขาเป็นประกายเพราะกำลังกลั้นยิ้ม

     “ไหนๆ ก็ฟังผิดแล้ว งั้นมีนดูให้หน่อยสิว่าพี่หน้าใสจริงหรือเปล่า”

     “จะ...จะให้ดูทำไม พี่เขตไปส่องกระจกเอาเองสิ”

     “มันไม่ชัดเท่าเห็นกับตา ว่าไงครับ ตอบมาเร็วว่าพี่หน้าใสหรือเปล่า”

     เอาหน้ามาใกล้ขนาดนี้เขาคงจะตอบได้หรอก นี่ถ้าเป็นแฟนคลับคนอื่นคงฟินจนเป็นลมไปแล้วมั้ง

     “ใสครับ” รามิลหลับหูหลับตาตอบ เขาภาวนาให้คนถามเอาหน้าออกไปเร็วๆ

     “เหรอ แต่พี่รู้สึกว่ามีนหน้าใสกว่าอีกนะ”

     “ไม่จริงหรอก”

     “จริงสิ” เขตดนัยไม่พูดเปล่า เขายกมือมาลูบแก้มคนตรงหน้าเบาๆ “ใสอย่างเดียวไม่พอ ยังนุ่มอีกด้วยแฮะ”

     “ผม...ผมจะไปห้องน้ำ พี่เขตนั่งรอไปก่อนนะครับ” รามิลผลักร่างสูงออก เขายืนขึ้นแล้วรีบเดินออกมาทันที ไม่ไหว อยู่ใกล้กันขนาดนั้นหัวใจเหมือนจะระเบิดเสียให้ได้ วันนี้อีตาดาราหน้าจืดเป็นอะไรไปนะ ไม่เห็นเหมือนทุกทีเลย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     รามิลมองทิวทัศน์ด้านล่างด้วยความตื่นเต้น ไม่ว่าจะขึ้นมากี่ครั้งเขาก็ไม่เคยเบื่อ หลังจากเล่นเครื่องเล่นผาดโผนมาทั้งวัน เขตดนัยก็พาเขามานั่งชิงช้าสวรรค์ก่อนกลับ รามิลมองวิวอยู่สักพักก่อนจะหันมาพูดกับคนที่นั่งอีกฝั่ง

     “ขอบคุณนะครับ”

     “เรื่องอะไร”

     “ที่พาผมมานั่งชิงช้าสวรรค์ พี่เขตจำได้ว่าผมชอบเลยพามาใช่ไหมครับ”

     “ใครบอก พี่อยากมานั่งเองต่างหาก”

     รามิลเหมือนได้ยินเสียงกระจกแตก แต่สิ่งที่แตกจริงๆ น่าจะเป็นหน้าเขามากกว่า เด็กหนุ่มทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังบ่นบางอย่าง เขตดนัยหัวเราะในลำคอ

     “ล้อเล่น พี่พามาเพราะเราชอบนั่นแหละ ที่จริงก็กลัวจะเบื่อเหมือนกัน แต่เห็นเรายิ้มแล้วค่อยชื่นใจหน่อยที่พามา”

     รามิลเอียงคอมองคนพูด เขาไม่ตอบอะไร แต่ขยับตัวไปใกล้แล้วยกมือมาอังหน้าผาก เขตดนัยมองการกระทำของคนตรงหน้าพลางเลิกคิ้ว

     “ทำอะไรของเรา”

     “วันนี้พี่เขตมีไข้หรือเปล่าครับ”

     “พี่สบายดี”

     “แต่ผมว่าวันนี้พี่แปลกไปนะ”

     “แปลกยังไง”

     “ไม่รู้สิครับ ผมรู้สึกว่าพี่เขตเปลี่ยนไปหลายอย่าง แต่ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่เปลี่ยนไปคืออะไร”

     เขตดนัยกระตุกยิ้ม เขาจับมือบนหน้าผากมากุมเบาๆ สายตาที่มองกลับไปแฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่าง

     “อาจเป็นเพราะพี่รู้ใจตัวเองแล้วว่าจริงๆ พี่ชอบใคร”

     “พี่เขตมีคนที่ชอบคนใหม่แล้วเหรอครับ” รามิลตาโตด้วยความตกใจ แต่ครู่เดียวก็ขมวดคิ้ว “เดี๋ยวนะครับ แล้วเรื่องนั้นมาเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังคุยกันได้ยังไง”

     “เกี่ยวสิ” เขตดนัยโน้มหน้าไปใกล้ มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน “เขาว่ากันว่าถ้าเรามีคนที่ชอบ เราจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อให้เขาหันมาสนใจ มีนอยากรู้ไหมว่าคนที่พี่ชอบคือใคร”

     “มะ...ไม่อยากรู้ครับ ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของพี่เขต” รามิลพูดตะกุกตะกัก ตอนแรกเขาอยากรู้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่แน่ใจว่าควรรู้ดีไหม บางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้เขาลังเล

     “ตามใจ สักวันมีนก็ต้องรู้อยู่ดี”

     “ผมรู้จักเหรอครับ”

     “รู้จักสิ มีนรู้จักดีเลยล่ะ”

     “ขอ...ขอให้จีบติดนะครับ” รามิลไม่รู้จะพูดอะไร เขาแค่ไม่อยากให้เดดแอร์เลยพูดออกไปอย่างนั้น

     “ก็อยู่ที่เขาคนนั้นว่าจะใจร้ายกับพี่หรือเปล่า แต่พี่ว่าคงไม่หรอก ถึงจะแสบไปหน่อยแต่ก็น่ารักมากๆ พี่ถึงได้ชอบเขาไง”

     ทั้งที่เขตดนัยกำลังพูดถึงคนอื่น แต่รามิลกลับใจเต้นแรงเหมือนอีกฝ่ายพูดถึงเขาเสียเอง เด็กหนุ่มดึงมือออก หันไปมองวิวนอกกระเช้าพลางเปลี่ยนเรื่องคุย

     “เสียดายจังครับ ถ้ารู้ว่าจะมาสวนสนุกผมคงเอากล้องมาด้วย”

     “ไว้วันหลังก็ได้ พี่บอกแล้วว่าจะชวนมาจนกว่าจะคุ้มค่าตัวเลย”

     “อย่าชวนวันที่ผมมีเรียนก็พอครับ”

     “ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ให้เราโดดเรียนมาเที่ยวหรอก”

     เมื่อได้ออกห่างจากเรื่องที่ชวนให้ใจเต้นเด็กหนุ่มก็กลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง รามิลเกาะราวกระเช้า ชี้นิ้วไปทั่วพลางชวนคุยไม่หยุด เขตดนัยคุยตอบเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะนั่งฟังเฉยๆ มากกว่า แค่ได้มองใบหน้าหวานที่มีรอยยิ้มเขาก็มีความสุขแล้ว

     หนีได้หนีไปนะมีน แต่หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก พี่ไม่มีวันปล่อยนายไปเด็ดขาด เตรียมใจไว้ได้เลยเจ้าเด็กแสบ




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 32 ★ [27/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 27-12-2022 13:11:21
ตอนที่ 32
ความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัว


     “พี่ดิน”

     “...”

     “พี่ดินครับ”

     “…”

     ต้นน้ำเอื้อมมือไปโบกตรงหน้า พาให้ร่างสูงหลุดจากภวังค์ เด็กหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตายิ้มๆ

     “เอาแต่มองผมอยู่นั่นแหละ ไม่ทานเหรอครับ”

     “โทษที” ปฐพีกระแอมแก้เก้อก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้า แต่ดูเหมือนคนอายุน้อยกว่าจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ

     “หน้าผมมีอะไรติดหรือเปล่าครับ ผมเห็นพี่ดินแอบมองหลายรอบแล้ว”

     ถึงแม้ภายนอกจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ภายในใจปฐพีนั้นสะดุ้งไปแล้วเรียบร้อย

     “พี่จะแอบมองเราทำไม” คนไม่แอบมองไม่ยอมสบตา

     “นั่นสิครับ พี่ดินไม่จำเป็นต้องแอบมองผมเลย เว้นแต่ว่า...” ต้นน้ำเว้นช่วงพร้อมกับยกมือมาเท้าคาง ยิ้มแบบมีเลศนัย

     “เว้นแต่อะไร”

     “เว้นแต่ผมน่ารักเกินไป จนพี่ดินอดใจไม่ไหวเลยต้องแอบมอง”

     ปฐพีสำลักน้ำที่กำลังดื่ม เขาได้ยินเสียงต้นน้ำหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้สำลักเพราะไม่เห็นด้วย แต่เพราะประโยคที่คนตรงหน้าพูดเล่นๆ กลับถูกเผงเสียอย่างนั้น

     “ผมล้อเล่นครับ พี่ดินทานต่อเถอะ ผมไม่กวนแล้ว”

     ปฐพีอยากบอกเหลือเกินว่าไม่ทันแล้ว ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาต้นน้ำกวนเขาไม่หยุด ไม่ได้กวนการทำงานหรืออะไร แต่กวนใจให้คอยคิดถึงต่างหาก

     วันนี้คุณพงศกรมาหาพ่อของเขาพร้อมกับลูกชายเหมือนทุกครั้ง สาเหตุที่ต้นน้ำมักจะมาบริษัทด้วยเพราะผู้เป็นพ่ออยากให้ลูกชายทำความคุ้นชินกับงานบริหาร เพื่อที่เรียนจบแล้วจะได้มาช่วยงานได้เลย ต้นน้ำเหมือนปฐพีตรงที่ถูกวางตัวให้มารับช่วงต่อกิจการของบริษัทที่บ้านหลังเรียนจบ นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พวกเขาสนิทกัน

     ตอนแรกคุณพงศกรจะให้ลูกชายอยู่ด้วย แต่ปฐพีอาสาดูแลด้วยการพามาทานข้าวนอกบริษัท คุณพงศกรไว้ใจลูกชายของคู่ค้าธุรกิจอยู่แล้วจึงไม่ปฏิเสธ นั่นทำให้ปฐพีแอบขอบคุณอยู่ในใจ

     ไม่ได้ขอบคุณที่ไว้ใจเขา แต่ขอบคุณที่ทำให้เขาได้พิสูจน์บางอย่าง

     “เลี้ยงข้าวบ่อยๆ อย่างนี้ระวังผมจะได้ใจนะครับ”

     คำพูดของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มหันมาสนใจอีกครั้ง ปฐพีมองคนที่กำลังยิ้มด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

     “ได้ใจอะไร”

     “ก็ทุกครั้งที่มาบริษัทกับพ่อ พี่ดินมักจะพาผมมาทานของอร่อยๆ ไม่คิดว่าคราวหลังผมจะงอแงขอตามพ่อมาเพียงเพราะอยากให้พี่ดินเลี้ยงข้าวบ้างเหรอครับ”

     “หึๆ ดูพูดเข้า เราเป็นเด็กสามขวบหรือไง”

     “เป็นเด็กฉลาดต่างหากครับ”

     คำพูดชวนงงทำให้ปฐพีเลิกคิ้ว ต้นน้ำปล่อยให้ร่างสูงงงไม่นานก็ยอมเฉลย

     “ได้มาเรียนรู้งานกับพ่อด้วย ได้กินของฟรีด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวขนาดนี้ ใครจะไม่ชอบบ้างล่ะครับ”

     ปฐพีอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเจอคำตอบพร้อมรอยยิ้มซุกซนเข้าไป อยู่กับต้นน้ำเขาไม่เคยเบื่อ เด็กคนนี้มักจะสรรหาคำพูดมาทำให้ผู้ชายเคร่งขรึมอย่างเขายิ้มออกเสมอ

     “แล้วไม่อยากได้นกตัวที่สามเหรอ”

     “นกตัวที่สาม?” คราวนี้เด็กหนุ่มเลิกคิ้วบ้าง แต่ปฐพีไม่คิดจะเฉลย เขาตักทอดมันกุ้งไปใส่จานอีกฝ่าย

     “เบอร์ก็มี ไลน์ก็มี ถ้าอยากให้เลี้ยงข้าวอีกก็บอก ไม่ต้องรออาพงมาหาพ่อพี่ก็ได้”

     ต้นน้ำแกล้งยกมือปิดปากพร้อมกับทำตาโต ลืมเรื่องที่สงสัยไปสนิท “เอ...นี่ผมกำลังโดนว่าที่ประธานบริษัทจีบหรือเปล่าครับ”

     !!!

     “ผมล้อเล่นครับ พี่ดินตกใจง่ายจัง โดนเด็กแกล้งง่ายๆ แบบนี้ระวังเสียผู้ใหญ่นะครับ” ต้นน้ำยิ้มล้อเลียน เลยโดนสายตาเขม่นกลับมา เขารู้สึกอารมณ์ดีที่ทำให้ผู้ชายเคร่งขรึมหลุดมาดได้

     “เอาใหญ่แล้วนะเรา ยัง ยังไม่หยุดยิ้มอีก”

     “ผมแค่ยิ้มเฉยๆ อย่าโมโหแล้วพาลสิครับ”

     ปฐพีมองมาด้วยสายตาดุ ต้นน้ำส่งยิ้มให้อีกทีก่อนจะเลิกแกล้งแล้วหันมาทานอาหารต่อ เมื่อเด็กหนุ่มเลิกสนใจปฐพีจึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

     ดูเหมือนที่บอกว่าเป็นเด็กฉลาดจะไม่ได้คุยอย่างเดียวสินะ ถึงจะไม่ถูกทั้งหมด แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็ไม่ต่างกับการจีบนักหรอก แต่ถึงจะฉลาดแค่ไหนต้นน้ำก็ไม่มีทางรู้ความนัยที่เขาสื่อแน่นอน ปฐพีลอบยิ้ม แววตาที่มองอีกคนเป็นประกาย

     นกตัวที่สาม...ก็คือว่าที่ประธานบริษัทอย่างเขานี่ไง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “คุณพ่อว่าไงบ้างครับ” ต้นน้ำถามหลังจากปฐพีวางสายพ่อของเขา ตอนนี้พวกเขาทานข้าวเสร็จแล้วและกำลังจะกลับบริษัท

     “การประชุมมีปัญหานิดหน่อย ท่าทางจะไม่เลิกง่ายๆ อาพงเลยให้พี่พาเราไปส่งที่บ้านก่อน”

     “งั้นเหรอครับ”

     “แต่...”

     “ครับ?” ต้นน้ำเลิกคิ้ว เขานึกว่าปฐพีพูดจบแล้ว

     “พี่เคลียร์งานเสร็จแล้ว เหลือแต่เอกสารยิบย่อย ครึ่งบ่ายนี้เลยว่าง ถ้าเรายังไม่อยากกลับจะไปดูหนังก่อนก็ได้นะ” ปฐพีพยายามไม่แสดงพิรุธ เขาทำเหมือนกำลังคุยเรื่องทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

     “พี่ดินกำลังชวนผมไปดูหนังเหรอ”

     “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

     “นึกยังไงถึงชวนครับ”

     “เดือนนี้มีหนังที่พี่อยากดูพอดี ตั้งใจจะหาเวลาไปดูสักหน่อย ไหนๆ วันนี้ก็ว่างแล้วเลยลองชวนเราดู” ชายหนุ่มหันไปทางอื่น แต่หางตาคอยมองคนตรงหน้า ต้นน้ำนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนริมฝีปากจะยกยิ้ม

     “เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ ผมยังไม่อยากกลับเท่าไหร่”

     ปฐพีลอบถอนหายใจเมื่อการชวนผ่านไปด้วยดี ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเขาเคยจีบผู้หญิงด้วยการชวนไปดูหนังบ่อยครั้ง แต่เขาไม่เข้าใจว่าแค่ชวนเด็กผู้ชายคนเดียวทำไมถึงยากเย็นขนาดนี้

     “แต่ผมขอเลี้ยงตั๋วหนังนะ พี่ดินเลี้ยงข้าวผมแล้ว”

     “ต้นน้ำ”

     “เอาอีกแล้ว พอได้ยินอะไรไม่เข้าหูก็ชอบทำหน้าดุใส่ผมตลอด” ต้นน้ำย่นจมูก

     “ถ้าไม่อยากโดนดุก็อย่าพูดคำนี้”

     “คำว่าเลี้ยงเหรอครับ”

     “ยังอีก”

     “ฮ่าๆ”

     รอยยิ้มที่กว้างขึ้นกับเสียงหัวเราะทำให้ปฐพีรู้ตัวว่าโดนเด็กหนุ่มแกล้งเข้าให้แล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจยาว บอกแล้วว่าเขาคงตามอีกฝ่ายไม่ทัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “หนาวเหรอ” ปฐพีกระซิบถามเมื่อเห็นคนข้างๆ ห่อตัว ต้นน้ำสวมแค่เสื้อเชิ้ตตัวบาง พอมาเจอแอร์ในโรงหนังจึงไม่แปลกที่จะหนาว

     คนถูกถามหันมายิ้มแหะๆ แทนคำตอบ ปฐพีถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วเอาไปคลุมไหล่ให้ร่างบาง

     “ไม่เอาครับ เดี๋ยวพี่ดินหนาว” ต้นน้ำทำท่าจะถอดเสื้อออก แต่ปฐพีจับมือไว้

     “ใส่ไว้”

     “ไม่เอาครับ”

     “ต้นน้ำ อย่าดื้อ” ปฐพีทำหน้าดุ ต้นน้ำย่นคอแต่ก็ยังพูดตอบ

     “ผมก็แค่กลัวว่าพี่ดินจะหนาว”

     “พี่ไม่หนาว เรานั่นแหละที่จะหนาว”

     “ครับๆ ใส่ก็ใส่ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง เอาแต่ดุอยู่ได้”

     ถ้าเป็นปกติปฐพีคงดุกลับไปอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขากลับนิ่งงันเพียงเพราะคำว่าเป็นห่วงที่อีกฝ่ายพูดออกมา แค่คำสั้นๆ ที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวตั้งใจพูดหรือเปล่า กลับทำให้ภายในใจอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด

     ปฐพีหันมาโฟกัสหนังตรงหน้าอีกครั้ง มันไม่ใช่หนังที่เขาอยากดูเลยสักนิด แต่ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะเขานึกเหตุผลอื่นไม่ออก เขาแค่อยากใช้เวลาร่วมกับต้นน้ำ เผื่อความรู้สึกบางอย่างจะชัดเจนขึ้นมา ความรู้สึกที่แม้แต่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น

     ปฐพีไม่ใช่หนุ่มน้อยที่ไม่ประสีประสาเรื่องความรัก เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้คืออะไร เพียงแต่เขาอยากแน่ใจว่ามันไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ หนึ่งคือต้นน้ำเป็นลูกชายของคู่ค้าบริษัทรายสำคัญ เขาจึงต้องคิดให้ถี่ถ้วนหากจะทำอะไร สองคือเขาไม่อยากทำให้ต้นน้ำเสียใจ หากมารู้ทีหลังว่าความรู้สึกในครั้งนี้ไม่เป็นอย่างที่คิด

     ชายหนุ่มกำลังคิดอะไรเพลินๆ ตอนที่แขนเล็กสอดเข้ามาคล้องกับแขนของเขา ปฐพีหันไปมอง ก่อนจะเจอเข้ากับรอยยิ้มกับดวงตาที่กลายเป็นสระอิ

     “กอดกันไว้ พี่ดินจะได้ไม่หนาว” ต้นน้ำพูดจบก็เอนศีรษะมาซบไหล่ ปฐพียกยิ้ม โน้มหน้าไปใกล้พลางกระซิบข้างหูด้วยเสียงนุ่มทุ้ม

     “เป็นห่วงเหรอ”

     “เปล่าครับ ผมกลัวพี่ดินไม่สบายแล้วจะไม่มีคนพามาเลี้ยงข้าวอีก”

     ปฐพีหัวเราะในลำคอ ยกมือมาโยกหัวเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายซบไหล่อยู่อย่างนั้น เขาหันไปดูหนังต่อ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เอนหัวไปซบกับศีรษะเล็ก ต้นน้ำเอียงคอมามองแต่ไม่ได้พูดหรือทักท้วงอะไร เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่มีท่าทีปฏิเสธ ปฐพีจึงสอดมือเข้ากับมือเล็ก

     ความอบอุ่นแล่นไปทั่วร่าง ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นรัว ปฐพีอยากถามว่าต้นน้ำใจเต้นแรงเหมือนกันหรือเปล่า แต่มาคิดอีกที แค่ได้อยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว

     จู่ๆ หนังที่เขาคิดว่าน่าเบื่อก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ปฐพีรู้สึกอยากให้หนังฉายต่อไปอีกนานๆ ด้วยซ้ำ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “หนังก็สนุกดีนะครับ แต่มันยืดเยื้อไปหน่อย ผมเกือบหลับตั้งหลายรอบ” ต้นน้ำเอ่ยเมื่อออกมาจากโรงหนัง ก่อนดูหนังพวกเขาทานข้าวไปแล้ว จึงไม่ได้ซื้อป๊อปคอร์นหรือน้ำอัดลมเข้าไป

     “หลับเพราะหนังน่าเบื่อหรือเพราะได้หมอนดี” ปฐพียิ้มมุมปาก ระหว่างดูหนังต้นน้ำซบไหล่เขาตลอด

     “ทั้งสองอย่างครับ”

     เป็นอีกครั้งที่ปฐพีหลุดหัวเราะ วันนี้เขาได้เรียนรู้อีกอย่าง นั่นคือการจะทำให้ต้นน้ำเขินหรือหน้าแดงไม่ใช่เรื่องง่าย

     “อยากกลับหรือยัง”

     “ขอเดินเล่นอีกหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากไปดูพวกเสื้อผ้าด้วย”

     “เอาสิ”

     ปฐพีพาเด็กหนุ่มไปยังร้านเสื้อผ้าชั้นนำ น่าแปลกที่เขาควรเบื่อหน่ายเหมือนตอนพาผู้หญิงมาชอปปิง แต่พออีกฝ่ายเป็นต้นน้ำเขาไม่รู้สึกเบื่อสักนิด กลับอยากใช้เวลาด้วยกันมากขึ้นเรื่อยๆ

     “ตัวนี้เป็นไงครับ” ต้นน้ำหันมาถามขณะทาบเสื้อยืดคอวีเข้ากับตัว ปฐพียืนล้วงมือกับกระเป๋ากางเกง มองอีกคนด้วยสายตายิ้มๆ

     “คิดจะถามทุกตัวเลยหรือไง” เขาทักเพราะต้นน้ำถามอย่างนี้สามรอบแล้ว

     “ถ้าพูดตรงๆ คือผมเลือกไม่ถูกครับ มันสวยทุกตัว เลยให้พี่ดินเลือกแทน”

     “พี่ไม่มีหัวด้านนี้ เราถูกใจตัวไหนก็หยิบมาเถอะ อย่างเราใส่อะไรก็เข้าอยู่แล้ว”

     ต้นน้ำเอียงคอมอง ใบหน้างุนงงทำให้ปฐพีเลิกคิ้ว

     “พี่ดินไม่เคยพาผู้หญิงเข้าร้านเสื้อผ้าเหรอครับ”

     “เคย ถามทำไม”

     “ถ้าเคยแล้วทำไมถึงไม่รู้ล่ะครับ ว่าถ้าพูดอย่างนี้ผู้หญิงเขาจะไม่พอใจเอาได้”

     ปฐพีนิ่งงัน ความเก้อเขินพุ่งขึ้นมาบนใบหน้า เด็กคนนี้กำลังจะบอกว่าเขาจีบผู้หญิงไม่ได้เรื่องหรือไง

     “ก็เราไม่ใช่ผู้หญิง”

     “คิดว่าผมใช่ก็ได้ครับ ผมไม่ถือ”

     “เรานี่มัน...” ปฐพีหยุดคำพูดไว้แค่นั้น เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นผ้าลินินมาหนึ่งตัว

     “ตัวนี้เหรอครับ” ต้นน้ำมองเสื้อในมือก่อนจะเงยหน้ามองคนที่เลือกให้

     “อืม ไม่ชอบเหรอ”

     “เปล่าครับ แค่สงสัยว่าทำไมถึงเป็นตัวนี้”

     “พี่ชอบสีฟ้า”

     คำตอบเรียบง่ายที่ไม่มีการปรุงแต่งเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้า ต้นน้ำอมยิ้ม เก็บเสื้อตัวอื่นไปแขวนไว้บนราวอย่างเดิม การกระทำของคนตรงหน้าทำให้ปฐพีอดถามไม่ได้

     “จะเอาตัวนั้นจริงเหรอ”

     “ถามอะไรอย่างนั้นครับ พี่ดินเลือกให้ผมเองนะ”

     “ก็ใช่ แต่...” ปฐพีไม่กล้าพูดว่าเขาเห็นมันอยู่ใกล้ตัวเลยคว้ามา คิดแค่ว่าเป็นสีที่เขาชอบก็เท่านั้น

     “พี่ดินเลือกเสื้อสีฟ้าให้ผมเพราะชอบสีฟ้า ถ้าผมใส่เสื้อตัวนี้พี่ดินก็จะมองผมบ่อยๆ”

     คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ปฐพีพูดไม่ออก ต้นน้ำยิ้มทะเล้นก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน ปฐพียังยืนอยู่ที่เดิม เขาลืมไปสนิทว่าจะซื้อเสื้อให้อีกฝ่าย

     ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมาในร้านเสื้อผ้า จู่ๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา แววตาที่หันไปมองร่างบางเต็มไปด้วยความขบขัน

     เด็กอะไรก็ไม่รู้ ขยันทำให้เขาอึ้งได้ทุกทีสิน่า

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ปฐพีเพิ่งรู้ว่าต้นน้ำไม่ได้อยู่หอแล้วตอนที่เขาขับรถมาส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้าน ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น เขาโทรไปบอกคุณอาพงศกรแล้วว่าขออนุญาตมาส่งต้นน้ำช้า

     “ขอบคุณนะครับ วันนี้ผมสนุกมากเลย” ต้นน้ำยิ้มให้พลางปลดเข็มขัดนิรภัย เขากำลังจะลงจากรถ แต่เสียงทุ้มของคนที่มาส่งก็เรียกไว้ก่อน

     “ต้นน้ำ”

     “ครับ?”

     ปฐพีหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ก่อนจะส่งธนบัตรจำนวนหนึ่งมาให้

     “อะไรครับ”

     “ค่าเสื้อ” คิ้วเล็กๆ ที่ย่นเข้าหากันทำให้ชายหนุ่มต้องขยายความ “พี่รับปากอาพงว่าจะดูแลเรา พี่ก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด”

     “ไม่เอาครับ แค่นี้พี่ดินก็ดูแลผมมากพอแล้ว แค่ผมใช้เงินตัวเองซื้อเสื้อพ่อไม่โกรธหรอก แต่จะโกรธมากกว่าถ้าผมรบกวนพี่ดินเกินไป”

     “พี่พูดเหรอว่ารบกวน”

     “จะรบกวนหรือไม่ยังไงผมก็รับไว้ไม่ได้อยู่ดีครับ”

     ปฐพีพ่นลมหายใจ เมื่อเห็นว่าเถียงกันต่อไปก็คงไม่จบ เขาจึงดึงมือบางมาจับพร้อมกับยัดเงินใส่มือ พออีกฝ่ายทำท่าจะคัดค้านเขาก็ส่งสายตาดุกลับไป

     “พี่ดิน ผมบอกแล้วไงว่าไม่เอา”

     “อย่าดื้อกับผู้ใหญ่ อายุยี่สิบแล้วไม่ใช่เหรอเราน่ะ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่รู้”

     ต้นน้ำมุ่ยหน้าเมื่อโดนคนโตกว่าดุ ปากเล็กๆ ยื่นออก ใบหน้างอง้ำที่เพิ่งเห็นครั้งแรกทำให้ปฐพีที่กำลังทำหน้านิ่งขรึมหลุดยิ้ม

     “ผมจะฟ้องพ่อว่าพี่ดินไม่ให้จ่ายค่าเสื้อเอง”

     “ถ้าอยากให้พี่ได้รับคำชมก็เชิญฟ้องตามสบาย”

     ต้นน้ำย่นจมูกใส่ร่างสูง เห็นพักหลังมานี้อีกฝ่ายมักจะตามใจ เขาเลยนึกว่าเอาชนะได้ไม่ยาก แต่จากการเถียงกันวันนี้ทำให้เขารู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจยังไงก็ร้ายกาจอย่างนั้น

     “ไม่คุยด้วยแล้ว ผมไปดีกว่า ขืนอยู่ต่อเดี๋ยวโดนดุอีก”

     “เดี๋ยวสิ”

     ต้นน้ำหันไปมองอีกครั้ง ปฐพีจ้องมองเขานิ่ง สายตาคมที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ทำให้เขาชะงัก

     “พี่ดินมีอะไรครับ” ต้นน้ำถามออกไปหลังจากสบตากันอยู่นาน

     “ไม่ได้ชอบสกายแล้วใช่ไหม”

     คนถูกถามทำหน้างงกับคำถามที่ไม่มีที่มา แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มบางเบา

     “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ครับ”

     “พี่อยากรู้”

     “แค่อยากรู้เฉยๆ เหรอครับ”

     คำถามที่เหมือนรู้ทันทำให้ปฐพีเลิกคิ้ว แต่ไม่นานก็หัวเราะออกมา หัวเราะความฉลาดของคนตรงหน้าที่รู้ทันเขาไปเสียทุกอย่าง

     “ผมไม่ได้ชอบสกายแล้วครับ ตอนนี้เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกัน”

     “ถ้าอย่างนั้น...” ปฐพียื่นหน้าไปใกล้ มุมปากยกยิ้มนิดๆ “อกหักจากน้องชายแล้ว สนใจหันมาชอบพี่ชายแทนไหม”

     คนตรงหน้าไม่ตอบอะไร แต่กลับขำจนคนถามเริ่มหมดความมั่นใจ ต้นน้ำยกมือปาดน้ำตา มองมาด้วยสายตายิ้มๆ

     “ตกลงที่ทำวันนี้คือจีบจริงๆ สินะครับ ผมก็ลุ้นแทบตายว่าพี่ดินจะพูดออกมาเมื่อไหร่ นึกว่าคิดไปเองซะแล้ว”

     ปฐพีนิ่งอึ้ง เป็นอีกครั้งที่เขาพูดอะไรไม่ออก แต่พอตั้งสติได้เขาก็ยกมือมาผลักหัวเบาๆ ริมฝีปากหนาจุดรอยยิ้ม

     “แกล้งพี่เหรอ”

     “พี่ดินต่างหากที่แกล้งผม จีบก็บอกว่าจีบสิครับ ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมเลย” ต้นน้ำอมยิ้ม คราวนี้เขายื่นหน้าไปใกล้บ้าง “ชอบผมเหรอ”

     ปฐพีตั้งใจจะไม่หัวเราะ แต่เขาอดไม่ได้เมื่อเจอการถามที่เถรตรงเข้าไป ปกติคนที่ถูกเขาจีบมักจะเขินจนทำอะไรไม่ถูก แต่ต้นน้ำกลับไม่มีอาการที่ว่ามาเลยแม้แต่น้อย

     “ไม่รู้เรียกว่าชอบได้ไหม แต่พี่รู้สึกสนใจเรา” ปฐพีตัดสินใจตอบความจริง ไม่ใช่ว่าเขาไม่จริงจังกับต้นน้ำ แต่พวกเขาเพิ่งรู้จักกันไม่นาน เขาอยากพูดคำว่าชอบหรือรักในตอนที่เขามั่นคงกับความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้

     “เพราะผมน่ารักสินะครับ ผมเข้าใจ เวลาส่องกระจกผมก็ชอบชมตัวเองเหมือนกัน”

     “เรานี่มัน...” ปฐพีไม่รู้จะตั้งนิยามให้คนตรงหน้าว่าอะไรดี เขารู้แค่ว่าเด็กคนนี้ขยันทำให้เขาพูดไม่ออกอยู่เสมอ

     “ก็ถ้าผมไม่น่ารักพี่ดินคงไม่สนใจผมหรอก จริงไหมครับ”

     “อืม เราน่ารัก พอใจหรือยัง”

     ต้นน้ำยิ้มกว้างกว่าเดิม ดวงตากลายเป็นสระอิ ปฐพีส่ายหัวให้กับความแก่นของอีกฝ่าย

     “ตกลงว่าไง พี่จีบเราได้หรือเปล่า”

     “จีบได้ครับ แต่ถ้าอยากจีบให้ติดห้ามดุเหมือนเมื่อกี้อีก”

     “เราก็อย่าทำตัวให้น่าดุสิ”

     “คนจีบกันเขาพูดอย่างนี้เหรอครับ”

     ปฐพีหัวเราะเสียงดัง ไม่บ่อยนักที่เขาจะหัวเราะได้ขนาดนี้ พออยู่กับต้นน้ำเขารู้สึกเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน มันทั้งสบายใจและผ่อนคลาย

     “เรื่องดุพี่ไม่รับปาก แต่สัญญาว่าจะตั้งใจจีบอย่างดี”

     “ถ้าอย่างนั้นก็พยายามเข้านะครับ คุณว่าที่ประธานบริษัท” ต้นน้ำพูดจบก็โน้มหน้ามาใกล้ และโดยไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากบางก็แตะลงบนแก้มของร่างสูง ปฐพีนิ่งงัน มองคนตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร ต้นน้ำยิ้มให้ก่อนจะลงจากรถ เขาบอกลาอีกฝ่ายแล้วเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม

     ไม่ใช่ปฐพีคนเดียวหรอก เขาเองก็สนใจพี่ชายของเพื่อนสนิทเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ชอบเวลาได้อยู่กับปฐพีไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มอมยิ้ม แววตาเป็นประกายขบขัน ถัดจากน้องชายก็มาชอบพี่ชายต่อ ดูเหมือนเขาจะหนีพี่น้องคู่นี้ไม่พ้นจริงๆ สินะ

     ต้นน้ำก็เหมือนปฐพีตรงที่ยังไม่พูดคำว่าชอบออกมา เขาอยากใช้เวลานี้ซึมซับความรู้สึกที่ค่อยๆ ก่อตัวในใจ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่จำเป็นต้องหวือหวา ค่อยเป็นค่อยไป คือคำจำกัดความที่เขามีให้ความสัมพันธ์ในครั้งนี้




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 33 ★ [31/Dec/2022]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 31-12-2022 20:30:12
ตอนที่ 33
คำสัญญา


     “ทำไมนายไม่ปรึกษาพี่ก่อน หรืออย่างน้อยบอกกันก่อนก็ได้” วายุพูดเสียงเข้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ท้องฟ้าถอนหายใจเบาๆ เขาคิดไว้แล้วว่าวายุต้องโกรธ

     “ถ้าผมบอกพี่ก่อน พี่จะห้ามผมไหมครับ”

     “…” คนถูกถามนิ่งงัน ลืมไปสนิทว่าจะพูดอะไรต่อ และคนถามเองก็เหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ เพราะเดาได้อยู่แล้วตั้งแต่แรก

     “ผมรู้ว่าผมผิดที่ไม่บอกพี่ก่อน แต่สิ่งที่ผมทำมันคือสิ่งที่เราต้องเผชิญในสักวัน เราหนีไปตลอดไม่ได้หรอกนะครับ หรือพี่วายุไม่จริงจังกับผม”

     “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่แค่อยากมีเวลาเตรียมใจ” วายุไม่อยากให้ท้องฟ้าเข้าใจผิด เขาจริงจังกับท้องฟ้า และเขาเองก็เคยคิดเรื่องนี้แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้

     วันหยุดสุดสัปดาห์นี้พ่อกับแม่ของวายุจะกลับมา ที่จริงกำหนดการเดิมคือเดือนที่แล้ว แต่ภาระงานที่ติดพันทำให้ต้องเลื่อนวันกลับ วายุคิดเรื่องพ่อแม่ของเขากับท้องฟ้าตั้งแต่วันแรกที่คบกัน เขาตั้งใจจะรอให้ท้องฟ้าเรียนจบแล้วค่อยบอกพวกท่าน แต่วันนี้ท้องฟ้ากลับมาบอกว่าอาศิมันตร์กับน้ากมลฉัตรรู้แล้วว่าพวกเขากำลังคบกัน ซึ่งคนที่โทรไปบอกก็คือท้องฟ้าเอง

     “ทำไมต้องเตรียมใจด้วยล่ะครับ” ท้องฟ้าดึงมือของคนรักมาจับ เขารู้ว่าวายุกำลังคิดอะไร แต่เขาอยากให้วายุพูดออกมา

     “นายไม่กลัวเหรอว่าพ่อแม่พวกเราจะไม่เห็นด้วย”

     “กลัวสิครับ”

     “ถ้ากลัวแล้วทำไมถึงยังบอกล่ะ”

     “ก็ถ้าเอาแต่กลัวแต่ไม่เผชิญหน้าสักที แล้วเมื่อไหร่จะหายกลัวล่ะครับ” ท้องฟ้าส่งยิ้มให้วายุ มือที่จับกันอยู่บีบกระชับ วายุเข้าใจคำพูดของท้องฟ้า แต่เรื่องแบบนี้มันพูดง่ายกว่าทำอยู่แล้ว

     “แล้ว...อาศิกับน้าฉัตรว่ายังไงบ้าง”

     “ผมไม่อยากให้พี่กังวล แต่ผมจะไม่โกหกเพียงเพราะอยากให้พี่สบายใจ ตอนผมโทรไปบอกพ่อกับแม่ก็ตกใจอยู่เหมือนกัน ที่จริงพวกท่านจะขอคุยกับพี่วายุตอนนั้นเลย แต่ผมบอกไปว่าเอาไว้คุยกันทีเดียวตอนอาเกริกกับน้ามนตร์ไปทานข้าวบ้านผมดีกว่า”

     เรื่องที่พ่อแม่ของวายุจะกลับไทยพรุ่งนี้คุณศิมันตร์กับคุณกมลฉัตรทราบอยู่แล้ว จึงชวนให้ไปทานข้าวที่คฤหาสน์นรากิตตินนท์เพื่อเลี้ยงต้อนรับกลับ รวมถึงตอบแทนที่ให้ท้องฟ้ามาอยู่ด้วย

     “ท้องฟ้า!” วายุตกใจกว่าเดิม เขานึกว่าท้องฟ้าแค่อยากบอกพ่อแม่ตัวเองให้รับรู้เฉยๆ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร

     “กลัวอะไรครับ ผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน” ท้องฟ้ายังยิ้มอย่างใจเย็น ต่างกับคนอายุมากกว่าที่สีหน้ากังวลกว่าเดิม

     “ยังจะมายิ้มอีก นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ”

     “แล้วใครบอกว่าผมเล่น”

     วายุไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไร มันทั้งกลัว ลนลาน วิตกกังวลไปสารพัดอย่าง ในหัวเอาแต่จินตนาการความเป็นไปได้มากมายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่ในทางที่ดี

     พ่อแม่ของวายุรู้อยู่แล้วว่าเขาชอบผู้ชาย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขากังวล แต่ที่เขากังวลคือผู้ชายที่ว่าดันเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทตัวเอง ไหนจะเรื่องครอบครัวท้องฟ้าที่ไม่รู้ว่าจะรับได้หรือเปล่าอีก วายุรู้ว่าพวกท่านเป็นคนมีเหตุผล แต่กับเรื่องนี้เขาไม่มั่นใจเลยสักนิด การที่ลูกชายจะคบกับผู้ชายด้วยกัน ในมุมมองพ่อแม่ย่อมมีอย่างอื่นนอกจากความรักที่ต้องคิดถึงอยู่แล้ว ทั้งฐานะทางสังคม ชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจ รวมไปถึงการมีทายาทไว้สืบทอดมรดก

     ท้องฟ้ามองคิ้วของคนรักที่กำลังขมวด เขาไม่ชอบใบหน้าของวายุในตอนนี้เลย เขาอยากเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของวายุ ไม่ใช่แววตากังวลที่เหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ

     ร่างสูงรั้งคนตรงหน้ามากอด ยกมือมาลูบหลังแผ่วเบา วายุนิ่งงันก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปกอดตอบ ท้องฟ้ามักจะทำแบบนี้เวลาวายุมีเรื่องไม่สบายใจ และมันก็ได้ผลทุกครั้ง อ้อมกอดของอีกฝ่ายทำให้เขาสงบลงได้เสมอ

     “ผมรักพี่วายุ อยากอยู่กับพี่วายุ อยากมีความสุขกับพี่วายุไปตลอด”

     “พี่ก็เหมือนกัน”

     “ผมไม่รู้หรอกว่าพวกผู้ใหญ่กังวลอะไรกัน เด็กอย่างผมรู้แค่ว่า ขอแค่ไม่ลืมความรู้สึกนี้ ไม่ว่าทางข้างหน้าเป็นยังไงผมก็จะผ่านมันไปได้ ผมอาจคิดน้อยไปหน่อย แต่บางทีการคิดน้อยก็ทำให้เรากล้าเผชิญหน้ามากขึ้นนะครับ”

     “แต่โลกของผู้ใหญ่มันมีมากกว่านั้นนะท้องฟ้า มันไม่ใช่แค่รักกันแล้วจะไปกันรอด เราต้องนึกถึงครอบครัว สังคม อาชีพการงานด้วย ยิ่งเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน การจะผ่านทุกอย่างไปได้คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน”

     “สำหรับผม สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงคือพี่วายุ”

     “…”

     “พี่วายุสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ขอแค่มีพี่วายุอยู่ด้วย จะกี่ร้อยขวากหนามผมก็จะผ่านมันไปให้ดู”

     ท้องฟ้าผละหน้าออก รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้ มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความกังวลเจือปนสักนิด กลับมีแต่ความรักและความเชื่อใจอยู่ในนั้น

     “แล้วถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาตให้เราคบกันล่ะ”

     “ผมก็จะพิสูจน์ตัวเอง จนกว่าพวกท่านจะยอมรับในตัวพวกเรา”

     “ถ้ามันต้องใช้เวลานานล่ะ”

     “พี่วายุน่าจะรู้นะครับว่าเวลาไม่มีผลกับผมเลย รอพี่มาสิบปีผมยังรอได้ เพื่อพี่วายุแล้วไม่ว่านานแค่ไหนผมก็จะไม่ถอดใจ”

     ความหนักแน่นของน้ำเสียงทำให้หัวใจของวายุเต็มตื้นขึ้นมา เขารับรู้ได้ว่าคำพูดพวกนั้นแฝงไปด้วยความรักที่ท้องฟ้ามีให้เขา

     “การจะผ่านทุกอย่างไปได้มันไม่ง่าย แต่ถ้าผมกับพี่จับมือกันแน่นพอ ผมเชื่อว่ามันจะไม่ยากเกินไปเหมือนกัน เพราะงั้นมาพยายามไปด้วยกันนะครับ พยายามเพื่อความรักของเรา”

     วายุสบตากับท้องฟ้า สายตาคู่นั้นทำให้ความกังวลในใจจางหายไป ความอบอุ่นแล่นเข้ามาแทนที่ นั่นสิ...เขาลืมไปได้ยังไงว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เขายังมีท้องฟ้า ยังมีคนที่เขารักอยู่เคียงข้างเสมอ ท้องฟ้าเองก็คงกังวลไม่ต่างกัน ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่กลับกล้าเผชิญหน้ากับพ่อแม่อย่างไม่ลังเล แล้วเขาที่เป็นผู้ใหญ่จะเอาแต่กลัวได้ยังไง

     มือบางยกมาลูบแก้มของเด็กหนุ่ม รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง

     “ตกลง เราจะพยายามไปด้วยกัน”

     เขาจะพยายามไม่ให้แพ้ท้องฟ้า เพื่อคนที่เขารักและรักเขา

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เจ้าเกริก ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” คุณศิมันตร์โผเข้ากอดเพื่อนสนิท ตบหลังสองสามทีแล้วผละออก วันนี้เขาเชิญครอบครัวธนาวรวัตรมาทานอาหารที่บ้าน แต่เนื่องจากลูกชายคนโตมีโปรเจกต์สำคัญต้องรับผิดชอบจึงไม่ได้อยู่ร่วมด้วย

     “เกือบปีแล้วใช่ไหมที่ฉันไม่ได้กลับไทย”

     “ใช่ กลับมาคราวนี้ฉันจะล้างแค้นหนี้คราวก่อนให้หมดเลย” คุณศิมันตร์หมายถึงการแข่งตีกอล์ฟเมื่อคราวก่อน เพื่อนสนิทของเขาเล่นกอล์ฟเก่งมาก ถ้าลงแข่งระดับจริงจังคงได้เหรียญทองสบายๆ

     “เพิ่งเจอหน้ากันก็คุยเรื่องตีกอล์ฟซะแล้ว พวกคุณนี่นึกถึงเรื่องอื่นไม่เป็นหรือไง” คุณมนตร์มณีเอ่ยแซวสามีแต่ใบหน้ายิ้ม ถ้าบรรดาสามีพูดแต่เรื่องตีกอล์ฟ เธอกับคุณกมลฉัตรก็มักจะพูดแต่เรื่องเสื้อผ้าทำผม

     “สวัสดีครับ” วายุยกมือไหว้เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่ทักทายกันเสร็จแล้ว ข้างๆ เขามีสกายยืนอยู่ คุณศิมันตร์กับคุณกมลฉัตรหันมามอง เขายังยิ้มนอบน้อมถึงแม้ในใจจะเกิดความกลัว

     “สวัสดีจ้ะ วายุสบายดีนะ” คุณกมลฉัตรเป็นคนรับไหว้ ถึงแม้ในดวงตาจะมีความสับสนซ่อนอยู่ แต่รอยยิ้มเอ็นดูที่ถูกส่งมาทำให้วายุใจชื้นขึ้น อย่างน้อยพวกท่านก็ยังรักเขา

     “สบายดีครับ แล้วคุณน้าล่ะครับ”

     “สบายดีเหมือนกันจ้ะ”

     “อย่ามัวแต่ยืนคุยกันเลย เข้าบ้านเถอะ อาให้คนเตรียมอาหารไว้แล้ว” คุณศิมันตร์เอ่ยก่อนจะพาแขกเข้าบ้าน วายุกับสกายเดินรั้งท้าย ถึงแม้พ่อแม่ของสกายจะวางตัวปกติ แต่วายุรู้ว่าพวกท่านคงกำลังขบคิดเรื่องที่พวกเขาคบกัน และในวันนี้จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่นอน

     มือหนาดึงมือเขาไปเกาะกุม วายุหันไปมอง รอยยิ้มสดใสของสกายถูกส่งมาให้

     “ผมอยู่กับพี่วายุเสมอนะ”

     เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาแต่กลับดังก้องอยู่ในหัวใจ วายุยิ้มกลับไป ความอบอุ่นจากฝ่ามือทำให้ความกังวลหายไปหมดสิ้น

     วายุสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บีบกระชับมือที่กุมกันอยู่ ต่อให้ทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมแพ้แน่นอน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     หลังรับประทานอาหารเสร็จคุณศิมันตร์พาทุกคนมายังห้องนั่งเล่น วายุรู้โดยสัญชาตญาณว่าเวลาแห่งความจริงได้มาถึงแล้ว มือของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อ ความวิตกกังวลจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง เขายังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าผู้ใหญ่ไม่ยอมให้คบกันเขาจะทำยังไง

     “ที่ฉันเชิญนายมาทานข้าวที่บ้านมีเหตุผลอยู่ด้วยกันสามข้อ” คุณศิมันตร์เอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง ไม่เหลือรอยยิ้มเหมือนตอนอยู่ในห้องอาหาร

     “อะไรกัน ทำไมต้องทำหน้าเครียดด้วย ฉันรู้น่าว่าเหตุผลอะไร”

     “นายยังรู้ไม่หมด”

     “คุณคะ จะคุยตอนนี้จริงๆ เหรอ” คุณกมลฉัตรจับมือสามี เธอเหลือบมามองวายุกับสกายด้วยสายตากังวลและเป็นห่วง

     “ถ้าไม่คุยตอนนี้แล้วจะคุยตอนไหน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะคุณ”

     “นายจะคุยอะไร” คุณเกริกพลขมวดคิ้ว เขารับรู้ได้ว่าท่าทางของเพื่อนสนิทเปลี่ยนไป

     “เหตุผลที่ฉันเชิญนายมาทานข้าวที่นี่ ข้อแรกคือเลี้ยงต้อนรับกลับไทย ข้อที่สองคือตอบแทนที่บ้านนายคอยดูแลลูกชายฉันอย่างดี”

     “เรื่องพวกนั้นฉันรู้หมดแล้ว”

     “แต่นายยังไม่รู้เหตุผลข้อที่สาม วันนี้ฉันอยากคุยเรื่องวายุกับสกาย”

     วายุเผลอกลั้นหายใจ ถึงแม้จะเดาได้อยู่แล้ว แต่พอคุณอาพูดออกมาตรงๆ เขาก็ยังไม่พร้อมจะเผชิญอยู่ดี

     “เรื่องของวายุกับสกาย?” คุณเกริกพลกับคุณมนตร์มณีหันไปมองเจ้าของชื่อด้วยสีหน้างุนงง

     “ทำหน้าอย่างนั้น อย่าบอกนะว่านายยังไม่รู้ว่าลูกชายของพวกเรากำลังคบกัน”

     “คบกัน!?” คราวนี้คุณเกริกพลทวนคำด้วยเสียงที่ดังขึ้น ใบหน้าตกใจของบิดามารดาทำให้วายุใจแป้วกว่าเดิม

     “จริงเหรอวายุ” คุณมนตร์มณีหันมาถามลูกชาย วายุค่อยๆ พยักหน้ารับ

     “จริงครับ”

     ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ผู้ใหญ่ทั้งสี่ต่างมีสีหน้าแตกต่างกัน สองคนตกใจ อีกสองคนทำหน้ากังวล

     “ผม...ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกครับ” วายุละล่ำละลักพูด เขากำลังจะอธิบายเหตุผล แต่คนข้างๆ ดันชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

     “เป็นความผิดผมเองครับ”

     ทุกสายตารวมถึงวายุหันไปมองคนพูด สกายยังคงพูดต่อไปด้วยใบหน้ารู้สึกผิด

     “ผมห้ามไม่ให้พี่วายุบอกเรื่องนี้เอง ผมรู้ว่าไม่สมควรทำแบบนี้ ผมไม่ได้จะหลอกพ่อแม่รวมถึงอาเกริกกับน้ามนตร์นะครับ ผมเพียงแค่อยากรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยบอก”

     วายุเตรียมจะคัดค้าน เขารู้ว่าที่สกายพูดมาทั้งหมดไม่ใช่ความจริง สกายแค่อยากรับผิดแทนเขาเท่านั้น แต่สายตาคมที่เหลือบมองมาทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก

     “เวลาเหมาะสมที่ว่าคือเมื่อไหร่” คุณศิมันตร์ถามลูกชาย

     “เมื่อผมเรียนจบครับ ตอนนี้ผมยังเป็นแค่นักศึกษาธรรมดา ยังไม่มีอะไรที่เหมาะสมกับพี่วายุ ผมเลยอยากบอกความจริงในตอนที่ผมเหมาะสมกับพี่วายุแล้ว”

     วายุนิ่งอึ้ง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าสกายก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน เขานึกว่ามีแต่ตัวเองที่คิดเรื่องความเหมาะสม

     “แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจมาบอกพ่อ”

     “ผมเคารพพ่อกับแม่ เคารพอาเกริกกับน้ามนตร์ และที่สำคัญที่สุดคือผมรักพี่วายุจริงๆ เลยอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมรักและจริงจังกับพี่วายุมากแค่ไหน”

     คุณเกริกพลหันไปมองภรรยาเป็นเชิงปรึกษา สักพักก็หันกลับมาหาพวกเขา

     “พวกลูกรักกันใช่ไหม”

     “ครับ” วายุกับสกายตอบพร้อมกัน คราวนี้คุณเกริกพลหันไปมองเพื่อนสนิทด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

     “ฉันกับมนตร์แค่ตกใจนิดหน่อย แต่ไม่มีความคิดจะคัดค้านเด็กๆ แล้วทางนายล่ะ”

     “นายดูไม่แปลกใจเลยนะที่วายุชอบผู้ชาย” คุณศิมันตร์ตอบคำถามด้วยคำถาม เขาไม่ได้รังเกียจลูกชายของเพื่อน เพียงแต่แปลกใจเท่านั้น

     “ลูกของฉัน ฉันรู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นยังไง ถ้าจะพูดกันตามตรง คนที่แปลกใจน่าจะเป็นนายมากกว่านะ”

     “ใช่” คุณศิมันตร์ยอมรับโดยไม่อ้อมค้อม “ที่ผ่านมาสกายไม่เคยมีท่าทางชอบผู้ชายมาก่อน ถ้าเป็นเมื่อสองวันก่อนฉันคงตกใจมากกว่านี้ แต่ดีที่สกายโทรมาบอกความจริงก่อน ฉันกับฉัตรถึงมีเวลาไตร่ตรอง”

     “แปลว่าตอนนี้ได้คำตอบแล้วสิ”

     “คำตอบไม่ได้อยู่ที่ฉัน แต่อยู่ที่ลูกชายของนาย” คุณศิมันตร์เบนสายตามามองวายุ ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนนิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึก “วายุรักลูกอาใช่ไหม”

     “ใช่ครับ” วายุตอบโดยไม่หลบตา เขากลัวก็จริง แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด

     “รู้ใช่ไหมว่าสกายเป็นผู้ชาย และอาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งลูกชายจะคบกับผู้ชายด้วยกัน”

     “ผมรู้ครับ”

     “อากับน้าฉัตรไม่ได้รังเกียจวายุ อาไม่ได้หัวโบราณขนาดนั้น แต่เราต้องยอมรับว่าเราไม่ได้อยู่บนโลกนี้คนเดียว ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่เปิดใจเรื่องนี้และพร้อมจะมองในแง่ลบตลอดเวลา”

     “ผมทราบครับ”

     “ในฐานะพ่อที่รักลูก อาไม่อยากให้สกายต้องเจออะไรแบบนั้น ความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายมักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงหลายอย่าง วายุเข้าใจที่อาพูดไหม”

     “เข้าใจครับ”

     “แต่พ่อครับ ผมรักพี่วายุ”

     “อย่าเพิ่งสกาย ฟังพ่อให้จบก่อน”

     “ผมยินดีฟังพ่อครับ แต่ถ้าพ่อจะให้ผมเลิกกับพี่วายุ ผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด”

     “สกาย” คุณกมลฉัตรปรามลูกชาย ไม่บ่อยนักที่เธอจะใช้น้ำเสียงเข้มกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน สกายจึงยอมสงบลงแต่โดยดี

     “พ่อจะอนุญาตให้เราสองคนคบกันหรือไม่ นั่นอยู่ที่คำตอบของพวกเรา”

     “คำตอบอะไรครับ”

     คุณศิมันตร์เหลือบมามองวายุอีกครั้ง คุณเกริกพลกับคุณมนตร์มณีนิ่งเงียบ รอฟังว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร

     “อย่างที่รู้ว่าตอนเด็กๆ สกายเคยเจอสังคมไม่ดี อาไม่อยากให้ลูกอาต้องกลับไปเจออะไรแบบนั้นอีก ถ้าอายอมให้พวกเราคบกัน นั่นหมายความว่าความเสี่ยงอีกมากมายจะต้องตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วายุรับปากอาได้ไหมว่าจะดูแลลูกชายอาอย่างดี ให้สมกับที่อายอมแลกกับความเสี่ยงนั้น”

     “ครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลสกายอย่างดี” วายุตอบรับเสียงฉะฉาน ต่อให้คุณศิมันตร์ไม่ขอเขาก็ตั้งใจไว้แบบนั้นอยู่แล้ว เขารักสกายถึงอยากดูแลสกายให้ดีที่สุด

     “แค่นี้เหรอ”

     “ครับ?”

     “มีแค่นี้เหรอที่วายุอยากสัญญากับอา”

     “เอ่อ...” วายุไปต่อไม่ถูก เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร คุณศิมันตร์ถอนหายใจ มองคนตรงหน้านิ่ง

     “ถ้าคำสัญญาของเรามีแค่นี้ อาคงให้เราสองคนคบกันไม่ได้”

     “คุณอา!”

     “พ่อครับ!”

     “เจ้าศิ!”

     สามเสียงดังพร้อมกัน คุณศิมันตร์มองใบหน้าตกใจของแต่ละคนก่อนจะยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ สีหน้าตกใจของทั้งสามคนจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นงุนงง

     “ก่อนจะบอกเหตุผล อาขอถามอะไรอย่างหนึ่งสิ”

     “ดะ...ได้ครับ” วายุตอบออกไปคล้ายคนละเมอ ตอนนี้เขาเดาความคิดอาศิมันตร์ไม่ออกเลย

     “วายุคิดว่าตัวเองอายุมากกว่า เลยต้องเป็นฝ่ายดูแลสกายใช่ไหม”

     “ใช่ครับ”

     “ผิดแล้ว”

     วายุทำหน้างง เขายังไม่เข้าใจอยู่ดี คุณศิมันตร์ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกชายเพื่อนสนิทก่อนจะเฉลย

     “อาไม่อยากให้วายุคิดอย่างนั้น ชีวิตคู่คือชีวิตที่ต้องดูแลซึ่งกันและกัน ถ้ามีแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูแลคนเดียว ต่อให้รักกันแค่ไหนก็ไปไม่รอดหรอก”

     “คุณอา...” วายุน้ำตารื้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่อาศิมันตร์อยากบอก

     “อาเลี้ยงลูกอามาอย่างดี ถึงอายุจะยังน้อยแต่อามั่นใจว่าเจ้าลูกชายคนนี้ดีพอจะดูแลใครสักคนได้ อาอยากให้สกายกับวายุดูแลกันและกัน รักกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อาขอแค่นี้ วายุสัญญากับอาได้ไหม”

     “ได้...ได้ครับ ผมสัญญา”

     “แล้วลูกล่ะ” คุณศิมันตร์หันมาถามลูกชาย สกายยิ้มกว้าง แววตาเปี่ยมไปด้วยความสุข

     “ผมก็สัญญาครับ สัญญาว่าจะรักและดูแลพี่วายุให้ดีที่สุด”

     “งั้นก็มานี่”

     คุณศิมันตร์กวักมือเรียก ทั้งวายุและสกายจึงคลานเข่าเข้าไปหา วายุประนมมือกราบลงบนตักคุณศิมันตร์ ขณะที่สกายทำแบบเดียวกันกับมารดา

     “รักกันให้มากๆ ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ อยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจและเมตตาซึ่งกันและกันนะจ๊ะ”

     “ขอบคุณครับ”

     คุณกมลฉัตรลูบหัวลูกชาย หลังจากรับคำอวยพรแล้ววายุกับสกายจึงย้ายไปก้มกราบคุณเกริกพลกับคุณมนตร์มณี ผู้อาวุโสมองเด็กทั้งสองคนด้วยแววตาอ่อนแสง มือที่ยกมาลูบหัวอ่อนโยนและอบอุ่น

     “อย่างที่เจ้าศิว่า โลกภายนอกยังมีอะไรอีกเยอะที่ลูกต้องเผชิญ แค่ความรักอย่างเดียวไม่สามารถฝ่าฟันไปได้ ต้องมีความเข้าใจ ความเห็นใจ ความเป็นห่วงซึ่งกันและกันด้วย พ่อขอให้ลูกทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ทำร้ายกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ดูแลประคับประคองกันไป แล้วความรักจะยั่งยืนเอง”

     “ขอบคุณครับพ่อ”

     “แม่ดีใจนะที่ลูกมีความสุข นานแล้วที่แม่ไม่ได้เห็นลูกยิ้มกว้างขนาดนี้”

     “คุณแม่...” วายุโผเข้ากอดเอวมารดา น้ำตาแห่งความปลื้มปีติไหลลงมาอย่างสุดจะกลั้น คุณมนตร์มณีหัวเราะความขี้แยของลูกชายก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม

     “น้าฝากวายุด้วยนะสกาย ดูแลกันและกันไปนานๆ นะ”

     “ครับคุณน้า ผมจะดูแลพี่วายุให้ดีที่สุด”

     วายุยังกอดเอวมารดาไม่ปล่อย เขาหันมามองสกายที่นั่งข้างๆ สายตาสองคู่ประสานกัน รอยยิ้มที่พวกเขามีให้กันเปี่ยมไปด้วยความรักที่มาจากหัวใจ

     ขอแค่ครอบครัวยอมรับวายุก็พอใจแล้ว ไม่มีความรักใดอบอุ่นเท่าความรักจากคนในครอบครัว ตอนนี้เขายิ้มได้เต็มปาก ไม่เหลือความกลัวอีกต่อไป ภายในหัวใจเปี่ยมไปด้วยความสุขที่กำลังเอ่อล้น

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “โล่งอกแล้วใช่ไหมครับ” ท้องฟ้าจับมือคนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ กระตุกเล็กน้อยให้นั่งลง วายุทรุดตัวนั่งบนเตียงโดยมีเด็กหนุ่มกอดเอวจากด้านหลัง คอยสูดดมความหอมจากซอกคอเขาไม่หยุด

     “โล่งจนไม่รู้จะโล่งยังไง เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกเลย” ใบหน้าของวายุประดับด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกขอบคุณที่พ่อแม่เขากับพ่อแม่ท้องฟ้ายอมรับความรักของพวกเขา

     พ่อแม่ของวายุอนุญาตให้ท้องฟ้าอยู่ที่นี่ต่อได้ พวกเขาเป็นผู้ชายเหมือนกันจึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเหมาะสม ถึงคุณศิมันตร์จะไม่เห็นด้วยเพราะเกรงใจ แต่คุณเกริกพลอยากให้ท้องฟ้าอยู่ต่อ เหตุผลคือวายุจะได้มีคนดูแลระหว่างที่เขากับภรรยาไปทำงานต่างประเทศ

     “ว่าแต่นายไม่คิดจะกลับห้องตัวเองเลยหรือไง มานอนห้องพี่หลายวันแล้วนะ” วายุถามพร้อมกับดันใบหน้าเด็กหนุ่มให้ออกห่าง แรกๆ แค่ดม แต่หลังๆ เริ่มซุกซนขึ้นจนเขาชักทนไม่ไหว

     “ก็นี่แหละห้องผม”

     “ห้องพี่ต่างหาก”

     “ห้องพี่วายุก็ถือเป็นห้องผมเหมือนกัน”

     วายุกำลังจะเถียง แต่เขากลับพูดไม่ออกเมื่อจู่ๆ ท้องฟ้าก็ผลักเขาไปนอนราบกับเตียง ส่วนตัวเองตามขึ้นมาคร่อมด้านบน ท้องฟ้ากดริมฝีปากลงไปเบาๆ ปิดโอกาสไม่ให้คนใต้ร่างทักท้วง รสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ทำให้วายุเคลิบเคลิ้มตาม

     เวลาผ่านไปเนิ่นนานก่อนท้องฟ้าจะผละใบหน้าออก เขาจ้องมองวายุด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

     “วันนี้ผมมีความสุขมากเลย พี่วายุมีความสุขเหมือนผมไหม”

     “อืม พี่ก็มีความสุข” วายุเอื้อมมือไปลูบสันกราม ท้องฟ้ายิ้มกว้างก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มซ้ายขวาจนเกิดเสียง

     ฟอด

     “รัก”

     ฟอด

     “รักพี่วายุ”

     ฟอด

     “รักพี่วายุที่สุดเลย”

     “อื้อ...พอแล้ว” วายุยกมือมาปิดปากคนด้านบน ใบหน้ากระจ่างไปด้วยรอยยิ้มขำ ท้องฟ้าทำหน้าเสียดายแต่ครู่เดียวก็กลับมายิ้มจนตาหยี งับมือเขาเบาๆ แล้วทิ้งหน้าลงมาคลอเคลีย

     “ผมจะพยายามนะครับ พยายามเป็นผู้ชายที่เหมาะสมกับพี่วายุที่สุด พี่วายุรอผมหน่อยนะ”

     “นายไม่จำเป็นต้องพยายามเลยท้องฟ้า ทุกอย่างที่เป็นนายมันดีอยู่แล้ว พี่รักนายที่เป็นแบบนี้ และจะไม่มีวันรักน้อยลง”

     ท้องฟ้าคลี่ยิ้ม ใบหน้าและดวงตาฉายแววความสุข เขากดจูบลงบนหน้าผากวายุ คนที่เขารักมาตลอดสิบปี และจะรักตลอดไป

     “ผมรักพี่วายุนะ”

     “พี่ก็รักนาย”

     “ไม่เชื่อครับ”

     “แล้วต้องทำยังไงถึงจะเชื่อ”

     “พี่วายุน่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

     สายตาเจ้าเล่ห์ของคนพูดทำให้วายุหลุดขำ เขาเข้าใจความหมายได้ทันที สายตาชัดขนาดนี้ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าลูกหมาของเขาต้องการอะไร

     ชายหนุ่มเอื้อมมือไปโอบรอบลำคอแกร่ง รั้งใบหน้าอีกคนให้โน้มลงมาหา ริมฝีปากทั้งสองแนบชิดกันอีกครั้ง เสียงหัวใจของคนสองคนเต้นประสานเป็นจังหวะเดียวกัน

     ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นภายในห้อง มีคำๆ หนึ่งกำลังดังก้องในหัวใจ เป็นดั่งคำสัญญาที่พวกเขาต่างมีให้กัน

     ‘พี่รักท้องฟ้า’

     ‘ผมรักพี่วายุ’


     พวกเขาจะรักและดูแลกันตลอดไป นี่คือคำสัญญาที่วายุและท้องฟ้าบอกกับตัวเอง




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 34 ★ [05/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 05-01-2023 20:04:31
ตอนที่ 34
ความแสบของเด็กแสบ


     เขตดนัยกำลังนั่งอยู่ในรถ ดวงตาคมมองไปยังผู้ชายสองคน รอยยิ้มที่เคยมีก่อนหน้านี้จางหายไป เปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งขรึมแทน

     วันนี้เขามารับรามิลที่มหาวิทยาลัย เพื่อนของเขาเปิดร้านอาหารใหม่ เขตดนัยจึงชวนเด็กแสบไปทานอาหารที่นั่นโดยใช้เรื่องถ่ายรูปมาอ้าง แต่ภาพที่เห็นตอนนี้กลับทำให้เขาอยากล้มเลิกทุกอย่างแล้วพาอีกฝ่ายตรงกลับบ้านอย่างเดียว

     รามิลหยุดยืนคุยกับผู้ชายร่างสูง ห่างจากจุดที่เขาจอดรถไม่มากนัก รอยยิ้มบนใบหน้าหวานทำให้ความหงุดหงิดเพิ่มทวีคูณ เขาจะไม่หึงเรี่ยราดเลยถ้าสายตาของผู้ชายคนนั้นไม่แสดงออกชัดว่าคิดเกินเลยกับเด็กแสบของเขา

     ขณะที่เขตดนัยกำลังจะหมดความอดทน รามิลก็บอกลาผู้ชายคนนั้นแล้วเดินมาที่รถ ประตูถูกเปิดออกพร้อมรอยยิ้มที่ถูกส่งมาให้ เขตดนัยชอบมองรอยยิ้มของรามิล แต่ไม่ใช่วันนี้ที่เขามีเรื่องต้องคุยกับอีกฝ่าย

     “พี่เขตรอนานไหมครับ” รามิลถามขณะสาละวนอยู่กับการคาดเข็มขัด จึงไม่เห็นสีหน้าผิดปกติของคนที่มารับ

     “ไม่นาน” เขตดนัยออกรถมุ่งสู่ถนนใหญ่ เขาพยายามไม่ลงน้ำหนักเสียงเพราะกลัวเด็กหนุ่มจะจับได้

     ที่เมื่อครู่เขาไม่ลงไปหาไม่ใช่ว่าความอดทนสูง แต่เขาถูกรามิลสั่งให้รออยู่ในรถอย่างเดียว เขตดนัยเป็นดาราดัง ถ้ามีคนเห็นว่าเขามารับรามิลอาจเป็นประเด็นได้ ถึงอย่างไรข่าวที่เขาอำลาวงการบันเทิงก็ยังไม่หายไปซะทีเดียว

     “ร้านเพื่อนพี่เขตอยู่แถวแม่น้ำเจ้าพระยาใช่ไหมครับ”

     “ใช่”

     “แปลว่ามีกุ้งเผาใช่ไหมครับ” แววตาเป็นประกายของคนถามทำให้เขตดนัยหลุดยิ้ม ความหงุดหงิดในใจหายไปบางส่วน

     “ถามแบบนี้แปลว่าชอบกินกุ้งเหรอ”

     “ที่สุดเลยครับ ให้กินร้อยตัวยังไหว”

     “ขอพี่โทรถามเพื่อนก่อนนะว่าที่ร้านมีถึงร้อยตัวหรือเปล่า”

     “ผมพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง ใครเขาจะกินขนาดนั้นล่ะครับ”

     เขตดนัยหัวเราะ เอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าสบโอกาสจึงเริ่มเกริ่นเรื่องที่สงสัย

     “เมื่อกี้มากับใคร เพื่อนเหรอ”

     “รุ่นพี่ครับ”

     “ดูสนิทกันดีนะ ชื่ออะไร” เขตดนัยถามไปแอบลุ้นไป เขาภาวนาอย่าให้เป็นคนที่คิดไว้เลย

     “ชื่อพี่น็อตครับ อยู่คณะเดียวกัน ถ่ายรูปเก่งอย่าบอกใคร บางครั้งอาจารย์ให้ไปถ่ายรูปมาส่ง ก็ได้พี่น็อตนี่แหละครับช่วยเป็นนายแบบให้”

     ดูเหมือนคำภาวนาของเขาจะไม่เป็นผล มิหนำซ้ำเด็กแสบยังชื่นชมอีกฝ่ายให้ฟังอีก ความหงุดหงิดที่คิดว่าหายไปแล้วจึงกลับมาอีกครั้ง

     “ใช่คนที่จีบเราอยู่หรือเปล่า”

     “ใช่ครับ”

     “...”

     “พี่เขตมีอะไรหรือเปล่าครับ” รามิลหันไปถามเมื่อจู่ๆ คนข้างๆ ก็เงียบไป ใบหน้าเขตดนัยบึ้งตึง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

     “ไม่มีอะไร”

     รามิลพยักหน้ารับถึงจะไม่ค่อยอยากเชื่อก็ตามที ทำหน้าเหมือนโกรธคนทั้งโลกขนาดนั้นเขาคงจะเชื่อได้ลงคอหรอก เมื่อกี้ยังยิ้มอยู่เลย ตอนนี้กลับเอาแต่ทำหน้าบึ้ง หิวอยู่หรือเปล่านะอารมณ์ถึงได้แปรปรวน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่เขต” รามิลจับชายเสื้อไว้ตอนที่เขตดนัยกำลังจะเดินเข้าไปในร้าน เขามองไปรอบๆ ด้วยสายตาลังเล

     “ว่าไง”

     “เรามาถูกร้านแน่เหรอครับ”

     “ถูกสิ นี่ร้านเพื่อนพี่ เพิ่งตกแต่งภายในเสร็จเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เสร็จแล้วก็เปิดร้านเลย มีอะไรหรือเปล่า”

     รามิลขยับเข้าหาร่างสูง พูดเสียงเบาลงเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน “เปลี่ยนร้านได้ไหมครับ ดูจากบรรยากาศร้านแล้วอาหารคงแพงแน่เลย”

     ตอนเขตดนัยมาชวนรามิลนึกว่าเป็นร้านอาหารตามสั่งธรรมดา แต่เขาลืมนึกไปว่าเขตดนัยเป็นดารา เพื่อนดาราย่อมต้องมีฐานะใกล้เคียงกันอยู่แล้ว รามิลไม่ใช่บ้านนอกเข้ากรุง ร้านอาหารระดับนี้เขาเคยเข้ามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่เขาพูดออกไปอย่างนั้นเพราะคนจ่ายเงินคือเขตดนัย รามิลถึงได้เกรงใจอยู่ในตอนนี้

     เขตดนัยยิ้มมุมปาก ยกมือลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู อีกอย่างที่เขาชอบในตัวรามิลคือไม่ว่าจะแสบแค่ไหน แต่เด็กคนนี้มักจะคิดถึงคนอื่นเสมอ

     “ไม่ต้องเกรงใจ เพื่อนพี่อยากให้มาช่วยอุดหนุนร้านใหม่ มันเลยจะลดราคาให้พิเศษ”

     สีหน้าของรามิลดูดีขึ้น เขตดนัยเปลี่ยนมาจับมือเล็กไว้หลวมๆ เขาจูงมือรามิลเข้าไปในร้าน คราวนี้เด็กหนุ่มยอมเดินตามมา

     พอรู้ว่าไม่ต้องเกรงใจรามิลก็กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง เพราะในใจเอาแต่คิดถึงกุ้งเผาจึงไม่ทันฉุกคิดว่ากำลังโดนจับมือ เขตดนัยซ่อนรอยยิ้มเมื่อคนในร้านอาหารมองมา แผนการบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวโดยบังเอิญ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ไม่มาทักทายเจ้าของร้านเลยนะ”

     เสียงที่นำมาก่อนตัวทำให้รามิลหันไปมอง ตรงหน้าเขาคือผู้ชายร่างท้วมที่ดูเป็นคนอารมณ์ดี

     “เพราะฉันรู้ว่าอีกเดี๋ยวนายต้องเดินมาถามความพอใจลูกค้าวีไอพี แล้วทำไมต้องเดินไปหาหลังร้านให้เหนื่อยด้วยล่ะ” คำพูดของเขตดนัยทำให้รามิลเข้าใจในทันที ผู้ชายคนนี้คงเป็นเพื่อนรวมถึงเจ้าของร้าน

     “ที่มานี่เพราะเห็นแก่อาหารสินะ”

     “มาร้านอาหารก็ต้องมากินอาหารไม่ใช่หรือไง”

     “เออ ไอ้คนไม่คิดถึงเพื่อน กินไปให้พอใจเลย” เตวิทย์ประชดเพื่อนอย่างไม่จริงจังก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มหน้าหวาน “แล้วคนนี้คือ...”

     “สวัสดีครับ” รามิลยกมือไหว้เพราะรู้ว่าตัวเองอายุน้อยกว่าแน่นอน

     “ชื่อมีน ที่บอกว่าจะพามาด้วย”

     “อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องมีน พี่ชื่อเต เป็นเพื่อนไอ้เขต อยากได้อะไรเพิ่มสั่งได้เลยนะ”

     “ขอบคุณครับ”

     “มีน”

     เสียงทุ้มของเขตดนัยมาพร้อมกุ้งตัวโตที่แกะเปลือกกับหางแล้วเรียบร้อย รามิลยื่นหน้ามาอ้าปากรับ เขตดนัยยิ้มอ่อนโยน ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเจ้าของร้าน

     “เอาอีกไหม”

     “เอาครับ”

     เตวิทย์ลอบสังเกตท่าทางของเพื่อนสนิท สายตาที่เขตดนัยใช้มองเด็กหนุ่มทำให้เขาเคลือบแคลงใจ แต่พอจะถามออกไปดันโดนขัดเสียก่อน

     “จะยืนจ้องพวกฉันอีกนานไหม หรือจะมานั่งกินด้วย”

     “อะไรวะ นี่นายกล้าไล่เจ้าของร้านที่เป็นคนชวนมาเหรอ”

     “เดี๋ยวรีวิวร้านลงไอจีให้ พอใจหรือยัง”

     “พอใจที่สุดเลยครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะ จะไปเช็กความเรียบร้อยในครัวต่อ ทานกันให้อร่อยนะครับ” น้ำเสียงคนพูดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ประโยคหลังอีกฝ่ายหันมาพูดกับเด็กหนุ่ม รามิลหลุดขำ เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเขตดนัยถึงถูกเพื่อนสนิทชวนให้มาอุดหนุนร้าน

     “เพื่อนพี่เขตน่ารักดีนะครับ”

     “แค่เพื่อนเหรอ”

     “ครับ?”

     “ไม่มีอะไร กินต่อเถอะ” เขตดนัยยื่นกุ้งตัวโตไปจ่อปาก พอของโปรดมาอยู่ตรงหน้ารามิลก็เลิกสนใจเรื่องที่คุยค้างไว้ เด็กหนุ่มอ้าปากรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยท่าทางมีความสุข เขตดนัยรู้สึกขอบคุณเตวิทย์มีร้านนี้มีกุ้งเผา เพราะมันทำให้คนตรงหน้าไม่ทันสังเกตสายตาที่คนรอบข้างมองมา

     เขตดนัยรู้ดีว่าเขาเป็นดาราดัง การที่คนดังมานั่งป้อนอาหารให้ใครก็ไม่รู้กลางร้านด้วยท่าทางสนิทสนม ใครเห็นก็ต้องคิดไปในทางเดียวกันแน่นอน แต่นั่นแหละที่เขาต้องการ

     ในเมื่อจีบเงียบๆ แล้วมีคู่แข่งก็ประกาศตัวให้โลกรู้ไปเลย รุ่นพี่คณะเดียวกันแล้วยังไง ดูซิว่ามีคนทั้งประเทศเป็นสักขีพยานขนาดนี้จะยังกล้าลงสนามกับเขาอีกไหม

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     เสียงพูดคุยของคนรอบข้างทำให้รามิลหยุดการสนทนา ผู้คนต่างพากันมองไปยังจุดๆ เดียว รามิลหันไปมองก่อนจะชะงักอยู่กับที่ พาให้คนที่มาด้วยกันต้องหยุดตาม

     “เป็นอะไรหรือเปล่ามีน” น็อตถามรุ่นน้องคณะเดียวกัน รามิลหันมาส่ายหน้าแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถาม วันนี้ไม่ได้นัดไว้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาได้ แถมยังออกมายืนพิงนอกรถให้เป็นเป้าสายตาอีก

     เมื่อเห็นว่าคนที่รออยู่ปรากฏตัว เขตดนัยจึงหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง เขาเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม ทำเป็นไม่เห็นสายตาของเหล่านักศึกษาที่มองมา เหมือนกับที่ทำเป็นไม่เห็นว่าข้างๆ รามิลมีใครอีกคนอยู่ด้วย

     “พี่เขตมาได้ยังไงครับ” คำถามที่คิดว่าต้องถูกถามแน่นอนถูกเอ่ยขึ้นมา เขตดนัยยิ้มอ่อนโยนให้คนตรงหน้า

     “ก็มารับเราไง” มือหนาเอื้อมไปยีหัวคนถาม สายตาที่ทอดมองเผยความรู้สึกแบบไม่ปิดบัง

     “แต่เราไม่ได้นัดกันไว้นะครับ”

     “ไม่ได้นัดแล้วมาหาไม่ได้เหรอ”

     “ใครเหรอมีน” น็อตหันมาถามรามิล เขตดนัยแอบนิ่วหน้าเล็กน้อย เขารู้ว่าแฟนคลับส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่ต่อให้เป็นผู้ชายที่ไม่สนใจดาราก็น่าจะคุ้นหน้าเขาอยู่บ้าง

     “ชื่อพี่เขตครับ เป็น...” รามิลชะงักเมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดี คนตัวสูงก็ชิงตอบให้

     “ผมเป็นแฟนมีนครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

     “หา!” รามิลสาบานว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำกิริยาไม่เหมาะสม แต่ใครมาเป็นเขาตอนนี้ก็คงห้ามใจไม่อุทานไม่ได้เหมือนกัน คนรอบข้างที่มองมาเริ่มจับกลุ่มพูดคุย บางคนถึงกับยกโทรศัพท์มาถ่ายรูป เขตดนัยไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กมีเวลาตั้งตัว เขารั้งรามิลมาโอบไหล่หลวมๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้คนตรงหน้า

     “มีนมีแฟนแล้วเหรอ ไหนบอกพี่ว่า…” น็อตหันไปถามคนที่ยังทำหน้าเหมือนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ยังไม่ทันถามจบคำตอบก็ดังมาจากอีกคน

     “โทษทีครับ ผมรีบแนะนำตัวไปหน่อยเลยพูดผิด ยังไม่ใช่แฟนตอนนี้ เรียกว่ากำลังศึกษาดูใจดีกว่า เด็กคนนี้เล่นตัวเก่งครับ ชอบให้ผมตามจีบ นี่ก็จีบมาตั้งนานแล้วไม่รู้ใจอ่อนหรือยัง”

     “…”

     “ชื่อน็อตใช่ไหมครับ เห็นมีนเล่าให้ฟังว่าถ่ายรูปเก่ง ถ้าไม่รบกวนเกินไปมาถ่ายให้ผมหน่อยสิครับ ผมอยากมีรูปคู่เหมือนคู่รักคู่อื่นบ้าง”

     เขตดนัยกำลังยิ้มให้ผู้ชายตรงหน้า มองจากสายตาคนนอกคงคิดว่าเขากำลังผูกมิตร แต่แท้จริงแล้วมันคือการประกาศตัวเป็นคู่แข่ง ซึ่งเขารู้ว่าคนที่ชอบรามิลเหมือนกันไม่มีทางที่จะดูไม่ออก

     ผู้ชายสองคนประสานตากัน รามิลอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ติดที่ว่าสมองเขาพังไปแล้วเรียบร้อย ทันใดนั้นคนอายุน้อยกว่าก็ผุดยิ้มที่ริมฝีปาก เป็นรอยยิ้มขบขันและท้าทายอยู่ในที

     “คุณเขตนี่เป็นคนเปิดเผยดีนะครับ”

     “ผมจะถือว่าเป็นคำชม ขอบคุณครับ”

     “ตอนแรกผมไม่แน่ใจ แต่พอมีนแนะนำให้รู้จักผมเลยเริ่มคุ้นขึ้นมา คุณเป็นดาราใช่ไหมครับ”

     “เรียกว่าอดีตดาราดีกว่าครับ ตอนนี้ผมออกจากวงการแล้ว จะได้มีเวลาให้ใครบางคนมากขึ้น” เขตดนัยยกมือลูบหัวคนในอ้อมแขน บอกเป็นนัยๆ ว่ากำลังพูดถึงใคร น็อตหัวเราะในลำคอ เขาเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้ไม่ยาก สายตาคู่นั้นบอกเขาหมดทุกอย่าง

     “ตอนแรกผมตั้งใจจะไปส่งมีน แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว ไว้เจอกันนะครับน้องมีน กลับดีๆ นะ ถึงแล้วส่งข้อความมาบอกพี่ด้วย”

     ดูเหมือนประโยคเป็นห่วงของคนตรงหน้าจะกลายเป็นประโยคยั่วโมโหสำหรับอีกคน เขตดนัยชักสีหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว รามิลส่งยิ้มแหยๆ ให้ กำลังจะตอบกลับไปแต่คนข้างๆ กลับอาสาตอบให้

     “ไม่ต้องห่วงครับ มีผมอยู่ทั้งคนมีนไม่เป็นอะไรแน่นอน ขอตัวก่อนนะครับ ผมจะพามีนไปทำธุระต่อ”

     เขตดนัยไม่คิดจะอยู่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต เขาจูงมือรามิลไปที่รถทันทีหลังพูดจบ จึงไม่ทันเห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่ออกของใครอีกคน น็อตยืนล้วงมือกับกระเป๋ากางเกง มองผู้ชายสองคนที่กำลังเดินห่างออกไปด้วยรอยยิ้มขำ

     ก็ถือเป็นการอกหักที่ไม่แย่เท่าไหร่ อย่างน้อยเขาก็วางใจว่าคนที่เขารักได้เจอคนดีๆ ถึงจะเป็นคนดีที่หึงหน้ามืดตามัวไปหน่อยก็เถอะ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “อธิบายมาเดี๋ยวนี้นะครับพี่เขต ไม่งั้นผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย” รามิลหันไปคาดคั้นทันทีที่ขึ้นมาบนรถ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว สายตาเริ่มไม่พอใจ “พี่เขต ไม่ได้ยินที่ผมถามเหรอครับ”

     เขตดนัยผ่อนลมหายใจ ดวงตาคมเข้มเหลือบมามองคนข้างๆ

     “ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าพี่กำลังทำอะไร”

     “ผมจะไปรู้ได้ยังไงครับ พี่เขตไม่พูดอะไรสักอย่าง มาถึงก็ประกาศว่าเป็นแฟนหน้าตาเฉย พี่เล่นอะไรอยู่ ผมไม่ขำนะ”

     “พี่ไม่ได้เล่น ไม่ได้จะทำให้เราขำด้วย”

     “แล้วพี่กำลังทำอะไร”

     “กำลังหึงคนที่ตัวเองชอบ”

     รามิลชะงัก เหมือนเขาถูกคำว่าชอบโยนใส่หน้า สมองเขาพังเป็นรอบที่สองของวัน ในหัวขาวโพลนไปหมด

     “พี่เขต...ว่าอะไรนะครับ”

     ท่าทางนิ่งอึ้งของเด็กหนุ่มทำให้เขตดนัยหลุดหัวเราะ มือหนายกขึ้นวางบนศีรษะ อารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้านี้จางหายไป

     “พี่ชอบมีน คราวนี้ได้ยินชัดหรือยัง”

     “ผม? พี่เขตชอบผมเหรอ!”

     ตาโตๆ กับอาการตกใจทำให้เขตดนัยขำหนักกว่าเดิม เขาโยกหัวเด็กหนุ่มเบาๆ ความเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

     “ตัวแสบเอ๊ย แสบมาตั้งนาน เรื่องแค่นี้ดันดูไม่ออก”

     “เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้พี่เขตว่าผมแสบเหรอ” รามิลรู้สึกเหมือนกำลังอยู่บนรถไฟเหาะ เดี๋ยวก็โมโห เดี๋ยวก็ตกใจ เดี๋ยวก็งุนงง อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนจะเป็นไบโพล่าร์แล้ว

     “หรือเราจะเถียงว่าตัวเองไม่แสบ”

     “ผมไปแสบตอนไหน”

     “ตอนพยายามกีดกันพี่ออกจากวายุไง”

     ดวงตากลมโตเบิกกว้างอีกครั้ง รามิลได้แต่เผยอปากค้างพูดอะไรไม่ออก ต่างกับร่างสูงที่มีสีหน้าสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อนกับคำพูดของตัวเอง

     “เป็นอะไร ตกใจเหรอ”

     “...พี่เขตรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

     “ตั้งแต่แรก”

     “ไม่จริงอ่ะ ผมไม่เชื่อ”

     “ทำไมถึงไม่เชื่อ”

     “ถ้าพี่เขตรู้มาตั้งแต่แรกทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ”

     “พี่ก็แค่อยากรอดูว่าเราจะแสบสักแค่ไหน” เขตดนัยพูดพร้อมรอยยิ้ม ไม่ได้มีท่าทางโกรธหรือไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้นรามิลก็คิดว่าควรพูดอะไรสักอย่างอยู่ดี

     “ผมขอโทษ ผมแค่อยากช่วยเพื่อนเฉยๆ สกายแอบรักพี่วายุมาหลายปี ผมเลยอยากมันสมหวังสักที” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะเงยขึ้นเมื่อมือหนาวางบนหัวอีกครั้ง

     “ไม่ต้องขอโทษ พี่ต่างหากที่ควรขอบคุณเรา”

     “ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”

     “ขอบคุณที่มีนพาตัวเองเข้ามา พี่ถึงได้รู้ใจตัวเอง”

     เป็นอีกครั้งที่รามิลพูดไม่ออก เขาเกือบลืมว่าเพิ่งโดนเขตดนัยบอกชอบ รถคันหรูค่อยๆ ชะลอความเร็วเมื่อทางข้างหน้าคือไฟแดง จนกระทั่งรถจอดสนิทเขตดนัยจึงหันมามองคนข้างๆ

     “ที่พี่บอกว่ามีนเป็นเด็กแสบ พี่ไม่ได้พูดเล่นนะ” ฝ่ามืออุ่นย้ายจากศีรษะมาลูบไล้แก้มนุ่ม สายตาที่มองมาราวกับตรึงเด็กหนุ่มไว้ไม่ให้ละสายตาหนี

     “อีกแล้วนะ ว่าผมแสบอีกแล้ว”

     “ก็เรามันแสบจริงๆ แสบที่ทำให้พี่หัวปั่นไม่เว้นแต่ละวัน แสบที่ทำให้พี่ตัดใจจากวายุได้ แสบที่ทำให้พี่ตกหลุมรัก แสบ...จนหลงโงหัวไม่ขึ้นไปหมดแล้ว”

     หัวใจของรามิลเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งที่ควรโกรธที่โดนว่าติดๆ กันแต่เขากลับรู้สึกดีเพราะคำพูดนั้น เขตดนัยโน้มหน้ามาใกล้ ริมฝีปากหนาแนบชิดริมหู เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาทว่าดังเข้าไปถึงหัวใจคนฟัง

     “อยากได้เด็กแสบมาเป็นแฟนต้องทำยังไง มีนช่วยบอกทีสิครับ”

     ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เขตดนัยผละใบหน้าออกแล้วหันกลับมาเหมือนเดิม รามิลอยากขอบคุณสัญญาณไฟจราจรสักร้อยรอบ เพราะมันทำให้หัวใจของเขารอดจากอาการวายได้หวุดหวิด

     เขตดนัยไม่พูดหรือถามอะไรต่อ เหมือนอยากให้เขามีเวลาขบคิด ที่จริงรามิลก็พอจะดูออกอยู่บ้าง ตั้งแต่ไปสวนสนุกคราวก่อนท่าทางของเขตดนัยก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่พอมาได้ยินกับหูตัวเองชัดๆ ใครก็ต้องตกใจทั้งนั้น

     รถยนต์สีดำขับมาจอดหน้าหอพัก เขตดนัยกำลังจะหันไปบอกลา แต่เสียงเล็กก็ดังขึ้นมา

     “พี่เขตชอบผมจริงเหรอ”

     “จริงสิ เห็นพี่เป็นคนชอบโกหกเหรอ”

     “เปล่าครับ ผมแค่กลัวพี่เขตจะยังตัดใจจากพี่วายุไม่ได้ เลยคิดจะใช้ผมเป็น...”

     “มีน” เขตดนัยพูดขัดก่อนที่ปากเล็กๆ จะพูดออกมาจนจบ เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร เพราะว่ารู้เขาถึงไม่อยากให้พูด

     “พี่เขตคิดว่าผมจะเชื่อคำพูดนั้นได้ลงเหรอครับ พี่บอกชอบผมหลังอกหักจากพี่วายุไม่นาน จะไม่ให้ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนคั่นเวลาได้ยังไง หรือบางทีพี่อาจจะอยากเอาคืนผม เลยคิดจะหลอกให้ผมชอบแล้วค่อยหักอกทีหลัง คิดแบบนี้ก็ได้เหมือนกัน การกระทำพี่เขตไม่น่าไว้ใจสักอย่าง แล้วยังจะหวังให้ผมเชื่อ...!!!”

     รามิลเบิกตากว้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเขาไม่ทันตั้งตัว เพียงเสี้ยววินาทีที่กำลังพรั่งพรูความในใจ ฝ่ามือหนาก็รั้งเขาเข้าไปหา ก่อนที่ริมฝีปากจะทาบทับลงมาบนริมฝีปากเขา ดูดเม้มเบาๆ แล้วค้างไว้เนิ่นนาน

     เขตดนัยค่อยๆ ถอนหน้าออก ดวงตาปรือมองสบกับดวงตากลมโต เขาใช้นิ้วโป้งไล้วนริมฝีปากบาง ริมฝีปากที่เขาเพิ่งรู้วันนี้ว่าหวานแค่ไหน

     “จูบนี้พอจะบอกอะไรได้บ้างไหม”

     รามิลไม่คิดว่าสมองคนเราจะพังได้ถึงสามครั้งในวันเดียวกัน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เวลานี้เขาทำได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตากับดวงตาที่มองมา ภายในหัวเขาว่างเปล่า คิดอย่างอื่นไม่ออกนอกจากรสจูบที่ได้รับเมื่อครู่

     “พี่ไม่เคยมองมีนเป็นคนคั่นเวลา ไม่เคยโกรธหรืออยากเอาคืนแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่พี่คิดมาตลอดคือเรามันเป็นเด็กแสบ เป็นเด็กป่วน ป่วนได้แม้กระทั่งหัวใจของพี่ ถ้ามีนถามหาความเชื่อใจ ตอนนี้พี่คงให้ได้แค่คำว่าชอบ แต่หลังจากนี้พี่จะค่อยๆ สร้างมันขึ้นมา เพราะงั้นให้โอกาสพี่ได้ไหมครับ...ให้โอกาสผู้ชายคนนี้พิสูจน์ว่าเขาชอบมีนจริงๆ”

     ทุกคำพูดของเขตดนัยล้วนแฝงไปด้วยความหนักแน่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เขาคิดและถามตัวเองหลายรอบจนในที่สุดเขาก็มั่นใจว่าชอบเด็กแสบจริงๆ ชอบใบหน้าหวานที่มักจะแอบมองค้อนบ่อยๆ ชอบจมูกรั้นที่มักจะเชิดขึ้นเวลาดื้อดึง ชอบริมฝีปากที่มักจะพูดไม่ตรงกับใจ ชอบทุกอย่างที่เป็นผู้ชายชื่อรามิล

     ภายในรถเกิดความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรชั่วขณะ รามิลเม้มปากเข้าหากัน ความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในหัว เขตดนัยนั่งนิ่ง รอฟังคำตอบเด็กหนุ่มอย่างจดจ่อ เวลานี้เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดเจน

     เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้นแทรกความเงียบ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าหวานจะหันมายิ้มให้

     “ตกลงครับ ผมจะให้โอกาสพี่เขต”

     เขตดนัยร้องลั่นรถด้วยความดีใจ เขากำลังจะโถมตัวเข้ากอด แต่อีกฝ่ายกลับยกนิ้วขึ้นมาห้าม

     “แค่กอดเอง”

     “กอดก็ไม่ได้ครับ เดี๋ยวพี่เขตรุ่มร่าม เมื่อกี้ก็เหมือนกัน ผมยังไม่อนุญาตให้จูบเลยนะ”

     “เมื่อกี้ไม่ใช่จูบ เขาเรียกว่าปากแตะปาก ถ้าจูบต้อง...”

     “หยุดเลยครับ ไม่ต้องสาธิตให้ดู ผมรู้ทันพี่หรอก”

     คนโดนรู้ทันทำหน้าเซ็ง แต่ครู่เดียวก็กลับมาหัวเราะ เพราะแบบนี้เองสินะเขาถึงได้ชอบรามิล ไม่สิ บางทีความรู้สึกในตอนนี้อาจจะเลยคำว่าชอบไปแล้วก็ได้

     “ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณที่มาส่ง ขับรถกลับดีๆ นะครับ”

     “ถ้าห่วงว่าพี่จะกลับไม่ถึงบ้านก็โทรมาชวนคุยสิ”

     “ผมเพิ่งรู้ว่าพี่เขตเจ้าเล่ห์ก็วันนี้ นิดๆ หน่อยๆ ยังไม่เว้น”

     เขตดนัยหัวเราะแต่ไม่แก้ตัว เพราะเขาเป็นอย่างที่พูดจริงๆ ถ้ารามิลเป็นเด็กแสบเขาก็เป็นผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ เป็นความต่างที่เขาคิดว่าลงตัวพอดี

     “มีน” เขตดนัยเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อนจะลงไปจากรถ

     “ครับ?”

     “ปกติน็อตมาส่งบ่อยเหรอ”

     “ไม่ถึงกับบ่อยแต่ก็มีบ้างครับ ซอยเข้าหอผมค่อนข้างเปลี่ยว ถ้าวันไหนกลับดึกแล้วสกายไม่ว่างพี่น็อตจะมาส่ง”

     “หลังจากนี้ไม่ต้องให้คนอื่นมาส่ง ถ้ากลับดึกอีกโทรบอกพี่ เดี๋ยวพี่มารับ”

     “ไม่เอาครับ ผมไม่อยากรบกวนพี่เขต พี่มีงานต้องทำไม่ใช่เหรอ”

     “พี่ไม่คิดว่างานจะสำคัญกว่ามีน สำหรับมีนพี่ว่างเสมอ พี่ไม่ได้พูดเพราะอยากเอาใจแต่หมายความตามนั้นจริงๆ”

     รามิลต้องพยายามที่จะซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ใบหน้านิ่ง เขาไม่อยากแสดงออกว่าพอใจคำพูดนั้นมากแค่ไหน

     “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”

     “มีน พี่ไม่ได้พูดเล่น พี่เป็นห่วงเราจริงๆ ขอเรื่องนี้สักเรื่องได้ไหม”

     “ผมรู้ว่าพี่เขตเป็นห่วง รู้ด้วยว่าพี่หึงผมกับพี่น็อต”

     เขตดนัยหรี่ตา รอยยิ้มที่ค่อยๆ คลี่ออกทำให้เขาเริ่มเอะใจ

     “คิดจะยั่วโมโหพี่เหรอ”

     “แล้วได้ผลไหมล่ะครับ”

     “เอาใหญ่แล้วนะเจ้าเด็กแสบ ตามใจ อยากลองดีก็เชิญ บอกไว้ก่อนว่ามากกว่าวันนี้พี่ก็ทำได้”

     “ผมไม่ได้ลองดีครับ ผมแค่อยากเห็นพี่เขตหึง มันน่ารักดี ผมชอบ”

     “…”

     “กลับดีๆ นะครับ ถึงแล้วส่งข้อความมาบอกด้วย” รามิลพูดจบก็เดินออกมา เขาไม่รู้ว่าเขตดนัยกำลังทำหน้าแบบไหน แต่ถ้าให้เดาคงเหมือนเขาในตอนนี้ล่ะมั้ง เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแตะริมฝีปากที่กำลังยกยิ้ม สัมผัสแผ่วเบาที่เพิ่งได้รับยังคงชัดเจนในความรู้สึก

     เมื่อวันก่อนรามิลตัดสินใจคุยกับน็อตตรงๆ เขาอยากขอบคุณความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้ ขณะเดียวกันก็อยากขอโทษที่ไม่สามารถตอบรับความรู้สึกได้ เพราะหัวใจของเขามีใครบางคนอยู่แล้ว

     รามิลไม่รู้สาเหตุ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ เขารู้แค่ว่าตัวเองตกหลุมรักดาราหน้าจืดเข้าให้แล้ว แต่เพราะมีเรื่องที่ยังไม่มั่นใจ ที่ผ่านมาถึงได้แต่ลังเล แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้คำตอบเรื่องที่คาใจแล้ว จากนี้ไปจึงได้เวลาเอาคืน

     เอาคืนอะไรน่ะเหรอ...หึๆ

     เด็กหนุ่มอมยิ้ม ดวงตาเต้นระยิบระยับ อยากมาว่าเขาแสบดีนักก็จะแสบให้ดู รู้จักรามิลคนนี้น้อยไปเสียแล้ว คิดว่าตัวเองเจ้าเล่ห์เป็นคนเดียวหรือไง

     รามิลเชื่อใจเขตดนัย แต่เขาไม่คิดจะบอกว่าเขาเองก็ใจตรงกัน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เขาว่ากันว่าช่วงจีบเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด งั้นก็เชิญจีบผมให้พอใจเลยนะครับพี่เขต แล้วพี่จะได้รู้ว่าเด็กแสบอย่างผม...แสบกว่าที่พี่คิดไว้เยอะ




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 35 ★ [09/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 09-01-2023 17:06:35
ตอนที่ 35
การลงโทษของเด็กขี้หึง


     “พี่วายุ นี่อะไรครับ”

     วายุละสายตาจากงานตรงหน้า หันไปมองสิ่งที่ท้องฟ้ากำลังชี้ มันคือตะกร้าขนมที่มีก้านกุหลาบปักตกแต่งอยู่ริมตะกร้า

     “ขนมไง”

     “พี่วายุ~ จะตอบแบบนี้จริงๆ เหรอครับ” เด็กหนุ่มทำหน้ากระเง้ากระงอด เป็นเหตุให้คนโตกว่าหลุดขำ

     “ก็มันเป็นตะกร้าขนม จะให้พี่ตอบอย่างอื่นได้ไง”

     “แล้วนี่ล่ะครับ” ท้องฟ้าหยิบก้านกุหลาบขึ้นมาหนึ่งก้าน

     “อยากให้พี่ตอบจริงๆ เหรอ”

     ใบหน้าคนถามเริ่มบึ้งตึง วายุไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเขากำลังอยากสื่ออะไร

     “โอเคครับ งั้นผมถามใหม่ ใครให้มา”

     “ลูกค้า”

     “ใครครับ”

     “บอกไปแล้วเราจะรู้จักเหรอ”

     “ไม่รู้จักหรอกครับ แต่ในฐานะแฟนพี่วายุผมต้องรู้ไว้”

     “เดี๋ยว นี่นายคิดอะไรอยู่” วายุหัวเราะ เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพอเห็นตะกร้าขนมท้องฟ้าถึงเอาแต่ถามไม่หยุด

     “ลูกค้าผู้ชายหรือผู้หญิงครับ”

     “ผู้ชาย”

     “หล่อกว่าผมหรือเปล่า”

     “ถามขนาดนี้พรุ่งนี้ไปด้วยกันเลยไหม”

     “ยังต้องไปเจอเขาอีกเหรอครับ” ท้องฟ้าพูดเสียงแข็ง เมื่อเช้าวายุออกไปพบลูกค้า ส่วนท้องฟ้าไปเรียนตามปกติ เขาถึงเพิ่งเห็นว่าวายุไม่ได้กลับมาตัวเปล่า แต่มีของฝากจากลูกค้ามาด้วย

     “เรื่องงานไม่มีอะไรแล้ว แต่เขาเพิ่งโทรมาบอกว่าเว็บไซต์โปรโมตร้านที่พี่ออกแบบให้กระแสตอบรับดีมาก เขาเลยอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณพรุ่งนี้”

     คำอธิบายของวายุไม่ได้ทำให้ท้องฟ้ารู้สึกดีแม้แต่น้อย กลับกันความรู้สึกแหม่งๆ ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

     “เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องเลี้ยงข้าวเลยเหรอครับ”

     “ไม่รู้สิ ที่จริงพี่ปฏิเสธไปแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะอยากเลี้ยงให้ได้ พี่เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยตกลงไป”

     ท้องฟ้านิ่วหน้าอย่างกำลังใช้ความคิด ก่อนจะคลี่ยิ้มให้คนตรงหน้า

     “ตกลงครับ ผมไปด้วย”

     “เดี๋ยว” วายุทำหน้าเหลอหลา เขาแค่พูดขำๆ ไปตามประสาเท่านั้น ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเอาจริง

     “ฟังจากที่พี่วายุเล่า ผมคิดว่าลูกค้าคนนั้นน่าจะใจดีอยู่ไม่น้อย มีคนไปเพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรหรอกครับ”

     วายุลอบถอนหายใจ แค่มองหน้าเขาก็รู้แล้วว่าไม่ได้อยากไปทานอาหารเฉยๆ แน่

     “ตามใจ ขอพี่โทรบอกเขาก่อนแล้วกัน แต่คิดว่าน่าจะได้เพราะเขาก็พูดอยู่เหมือนกันว่าจะพาคนอื่นไปด้วยก็ได้”

     ท้องฟ้ายิ้มให้วายุ แต่ในใจกลับร้อนรนอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ มันอาจไม่มีอะไรก็จริง แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าไม่เป็นอย่างนั้น เขาจึงอยากไปดูด้วยตาตัวเองว่าลูกค้าแบบไหนที่เอาใจใส่ผู้ว่าจ้างถึงขนาดซื้อขนมให้ แถมยังอยากเลี้ยงอาหารขอบคุณอีก

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ขอบคุณคุณธันมากนะครับ ที่จริงไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้” วายุยิ้มให้คนตรงหน้า ธันวาเป็นลูกค้าของเขา เป็นผู้ชายหน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ ทุกครั้งที่เจอกันมักจะมีรอยยิ้มติดใบหน้า ตอนนี้เองก็เช่นกัน

     “น้อยไปสิครับ ร้านผมมีคนรู้จักเพิ่มขึ้นเพราะวายุเลยนะ ถ้าไม่ติดว่าวายุเกรงใจผมพาไปร้านดีกว่านี้แล้ว”

     “นี่ก็ดีพอแล้วครับ แค่นี้ผมยังไม่รู้เลยว่าจะทานหมดหรือเปล่า” วายุพูดติดตลก ธันวาสั่งอาหารมาหลายอย่างจนเขาคิดว่าถ้าทานหมดคงอิ่มไปถึงตอนเย็น

     “ขอบคุณคุณธันเหมือนกันนะครับที่ให้ผมมาด้วย ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรแท้ๆ” สกายที่นั่งข้างวายุพูดขัดขึ้นมา ธันวาหันมายิ้มให้

     “ไม่เป็นไรครับ คนรู้จักวายุก็เหมือนคนรู้จักผม สกายเรียกผมว่าพี่ก็ได้นะ อายุเราไม่ได้ห่างกันมาก”

     เด็กหนุ่มนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนสนิทสนมกับคนรักของเขา แต่มือที่เอื้อมมาจับใต้โต๊ะทำให้เขาต้องฝืนยิ้มกลับไป

     “งั้นผมไม่เกรงใจนะครับพี่ธัน”

     “ไม่ต้องเกรงใจ ทานเลยๆ ร้านนี้ผมเคยมาสองสามครั้ง อาหารอร่อยใช้ได้ แต่อีกร้านที่ผมตั้งใจจะพาไปอร่อยกว่านี้อีก ไว้คราวหน้าผมพาไป”

     วายุได้แต่ยิ้มแห้ง โชคดีที่ธันวาพูดเสียงเบา เขาเลยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเจ้าของร้านไล่ออกจากร้านหรือเปล่า ต่างกับสกายที่สีหน้าเริ่มบึ้งตึง ในใจนึกอยากถามว่าจะเลี้ยงข้าวอะไรหลายครั้ง

     “วายุลองชิมดู นี่เมนูโปรดผมเลยนะ” เต้าหู้ทอดผัดพริกเกลือถูกตักมาใส่จาน วายุยิ้มขอบคุณคนตรงหน้า กำลังจะตักมาชิมแต่คนข้างๆ กลับแย่งไปเสียก่อน

     “อร่อยจริงด้วยครับ ผมเพิ่งเคยทานเมนูนี้ครั้งแรก ไม่นึกว่าจะอร่อยขนาดนี้” สกายแกล้งทำตาโต ตักอาหารมาให้วายุเหมือนที่ธันวาทำ แต่คราวนี้เขาตักมาจ่อปากพลางเอามือรอง “ลองชิมสิครับพี่วายุ อร่อยเหมือนที่พี่ธันบอกเลย”

     วายุรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัว เขาเหลือบไปมองธันวา อีกฝ่ายกำลังมองมาทางนี้ รอยยิ้มที่มักจะมีติดใบหน้ายังคงมีให้เห็น แต่เขารู้สึกเหมือนมันต่างไปจากทุกที

     ชายหนุ่มอ้าปากทานอาหารที่เด็กหนุ่มป้อน สกายยกยิ้มพอใจ เอื้อมมือไปปัดเศษข้าวที่มุมปาก

     “อร่อยไหมครับ ถ้าชอบเดี๋ยวผมพามาร้านนี้บ่อยๆ ขอบคุณพี่ธันมากนะครับที่แนะนำร้านนี้ให้รู้จัก ผมกับพี่วายุชอบอยู่แต่บ้านเลยไม่ค่อยรู้จักร้านอาหารดีๆ” ประโยคหลังสกายหันไปพูดกับธันวา เขาพูดด้วยรอยยิ้ม แต่สายตาไม่ยิ้มตาม

     “วายุกับสกายอยู่บ้านเดียวกันเหรอ”

     “ใช่ครับ”

     “ดูจะสนิทกันมากเลยนะ”

     “แน่นอนครับ ผมกับพี่วายุ...”

     “อ่า...ขอโทษครับ ผมนี่พูดอะไรก็ไม่รู้ เป็นพี่น้องกันก็ต้องสนิทกันอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องถามเลย” ธันวายิ้มให้วายุ สกายหรี่ตามองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรมากขึ้น ตอนแรกเขาไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้เขามั่นใจเกินร้อยว่าผู้ชายคนนี้คิดเกินเลยกับวายุแน่นอน ดูจากรอยยิ้มนั่นก็รู้แล้ว

     เด็กหนุ่มกำลังจะแก้ไขความเข้าใจผิดด้วยการประกาศสถานะตัวเอง แต่คนข้างๆ กลับชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น

     “คุณธันเปิดร้านขายดอกไม้ แปลว่าชอบดอกไม้ใช่ไหมครับ”

     “ใช่ครับ ผมชอบดอกไม้มาตั้งแต่เด็ก ตั้งใจว่าพอโตขึ้นต้องมีกิจการดอกไม้ของตัวเองให้ได้ ดอกกุหลาบที่ให้ไปกับตะกร้าขนมเมื่อวันก่อนก็มาจากร้านผมเหมือนกัน จริงสิ พูดถึงขนม วายุลองชิมหรือยังครับ”

     “ชิมแล้วครับ อร่อยมากเลย ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

     “ไม่เป็นไรครับ ถ้าชอบเดี๋ยวผมบอกพ่อให้เอามาให้อีก พ่อผมชอบไปเที่ยวต่างประเทศเลยมักจะซื้อขนมที่ไม่มีขายในไทยมาฝากบ่อยๆ”

     ยิ่งทั้งสองคนคุยกันแบบสนิทสนมมากเท่าไหร่ ใบหน้าของเด็กหนุ่มยิ่งบึ้งตึงเท่านั้น สกายยอมรับว่ากำลังหงุดหงิด เวลานี้เขาไม่อาจปั้นหน้ายิ้มได้อีกต่อไป เขาอยากพาวายุกลับบ้านตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่เขายังเห็นแก่วายุเลยไม่ทำอย่างนั้น

     ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง มื้ออาหารที่น่าหงุดหงิดสำหรับเด็กหนุ่มก็จบลง สกายเดินออกจากร้านด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ต่างกับอีกสองคนที่ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้ามาจนถึงตอนนี้

     “ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารนะครับ”

     “ยินดีครับ ไว้ผมผ่านมาแถวนี้อีกจะชวนมาทานใหม่”

     “อย่าเลยครับ แค่นี้ผมก็เกรงใจแล้ว”

     “เกรงใจอะไรกัน ผมสิต้องเกรงใจ รู้ไหมว่าตั้งแต่มีเว็บไซต์โปรโมตร้านของวายุ ออเดอร์จัดดอกไม้ก็ไหลเข้ามาไม่หยุดเลย เลี้ยงข้าวแค่มื้อเดียวไม่พอหรอก”

     “เอ่อ...แต่ว่าผม...” วายุเริ่มคิดคำพูดไม่ออก เขาเองก็รู้สึกแหม่งๆ เหมือนสกาย แต่เรื่องแบบนี้อาจเป็นแค่การเข้าใจผิด ธันวาอาจไม่ได้คิดอะไรกับเขา ดังนั้นถ้าปฏิเสธไปตรงๆ ก็ดูจะหลงตัวเองไปหน่อย

     “ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ แต่ผมกับพี่วายุขอตัวก่อน พอดีต้องไปทำธุระต่อน่ะครับ” สกายจับไหล่วายุพร้อมกับยิ้มให้คนตรงหน้า เห็นเขายิ้มแบบนี้แต่ที่จริงเขาอยากพุ่งไปอัดหน้าให้รู้แล้วรู้รอด แค่ทำเว็บไซต์โปรโมตร้านดอกไม้ให้ พูดอย่างกับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงไปได้ วายุก็ไม่ได้ทำงานให้ฟรีเสียหน่อย จ่ายเงินแล้วก็จบกัน ไม่มีเหตุผลต้องมาทำแบบนี้เลย เว้นแต่จะคิดอะไรกับคนของเขาจริงๆ

     “ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ ผมก็ต้องกลับไปดูร้านเหมือนกัน ไว้ผมจะขอนัดเลี้ยงข้าวอีกที วายุห้ามปฏิเสธนะ”

     วายุไม่เคยรู้สึกตกที่นั่งลำบากขนาดนี้มาก่อน คนหนึ่งก็ส่งยิ้มมาให้ อีกคนก็เอาแต่ส่งสายตาห้ามปราม ทำเอาเขาอยากหายไปจากตรงนี้จริงๆ

     “ถ้าผมไม่มีธุระนะครับ” วายุเลือกคำตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เขากำลังจะบอกลาธันวา แต่สกายกลับจูงมือเขาออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าว จึงทำได้แค่หันไปค้อมหัวพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่าย

     วายุลอบมองคนที่เดินข้างหน้า สกายไม่แม้แต่จะพูดอะไรสักคำ สีหน้าบึ้งตึงราวกับโกรธคนทั้งโลก เขารู้ทันทีว่าโดนคนรักงอนเข้าให้แล้ว ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนกลับไปแล้วคงต้องเคลียร์กันยาวสินะ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ท้องฟ้า”

     “…”

     “นี่ ท้องฟ้า”

     “…”

     “ใจคอจะเงียบใส่พี่ไปตลอดเลยเหรอ พูดอะไรบ้างสิ”

     “…”

     วายุถอนหายใจ เขานึกว่ากลับบ้านมาแล้วท้องฟ้าจะโวยวาย ห้ามไม่ให้เขาไปเจอธันวาอีก แต่จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ท้องฟ้ากลับไม่พูดอะไร เอาแต่นิ่งเงียบจนเขาเริ่มทำตัวไม่ถูก

     “ท้องฟ้า” วายุขยับเข้าไปใกล้ เอื้อมมือไปประคองแก้มแล้วรั้งให้หันมา “เป็นอะไร บอกพี่หน่อยได้ไหม ไหนว่าเราจะคุยกันทุกเรื่องไง”

     ท้องฟ้าจ้องตากับวายุ สักพักก็ถอนหายใจบางเบา ดวงตาที่มองคนรักเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

     “ผมไม่ชอบเลย”

     “ไม่ชอบอะไร คุณธันน่ะเหรอ”

     “ก็ใช่น่ะสิครับ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหมอนั่นชอบพี่วายุ น่าหงุดหงิดชะมัด”

     “ท้องฟ้า ไปเรียกคุณธันแบบนั้นได้ยังไง เขาเป็นลูกค้าพี่นะ”

     “ถ้าเป็นลูกค้าธรรมดาผมจะไม่ว่าเลย แต่นี่อะไร ยกเหตุผลมาอ้างสารพัดเพื่อจะขอนัดเจออีก คนไม่คิดอะไรเขาไม่ทำแบบนี้หรอก”

     “คิดมากเกินไปแล้ว คุณธันอาจไม่ได้คิดอะไรกับพี่ก็ได้”

     “น้อยไปสิครับ แค่เห็นสายตาที่มองพี่วายุผมก็รู้แล้ว”

     “นี่นายหึงพี่อยู่เหรอ” วายุถามยิ้มๆ เขาแค่อยากให้เด็กหนุ่มอารมณ์ดีขึ้น แต่ท้องฟ้ากลับมองเขานิ่ง ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวเข้าหาด้วยท่าทางคุกคาม

     “ใช่ครับ ผมหึงพี่วายุ” ร่างสูงพลิกตัวมาคร่อมไว้ ใช้แขนยันหมอนทั้งสองด้านไม่ให้คนใต้ร่างหนี “ผมหึงพี่ ผมหวงพี่ ผมไม่อยากให้ใครมองพี่นอกจากผม และก็ไม่อยากให้พี่มองใครนอกจากผมเหมือนกัน”

     วายุกำลังจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง สิ่งที่ท้องฟ้ากลัวไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ริมฝีปากหนาที่ทาบทับลงมาทำให้เขาไม่อาจพูดอะไรออกไปได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรอรับรสจูบที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้ จูบของท้องฟ้าทั้งหนักหน่วงและดุดัน ราวกับอยากบอกให้รู้ว่ากำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ไหน

     “ผมพยายามไม่งี่เง่า พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ด้วยการไม่ตะบี้ตะบันหึง แต่ผมเพิ่งรู้ว่ามันทำยากเหลือเกิน พี่วายุอย่าเพิ่งเบื่อผมนะ”

     วายุยิ้มให้คนบนร่าง เอื้อมมือไปลูบสันกรามด้วยความเอ็นดู เขาส่ายหน้าเบาๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสง

     “พี่ไม่มีวันเบื่อนาย เหมือนที่ไม่มีวันมองคนอื่นนอกจากนาย มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ นายได้ใจพี่ไปแล้วยังมีอะไรต้องกลัวอีกเหรอ”

     ท้องฟ้านิ่งงันกับคำหวานที่ไม่ค่อยจะได้ยินบ่อยนัก แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มออกมา พี่วายุนี่จริงๆ เลย สิบปีที่ผ่านมายังไม่พอหรือไง ถึงขยันทำให้เขาหลงอยู่ได้...

     คนตัวสูงโน้มหน้าลงไปใกล้ ปลายจมูกของคนสองคนสัมผัสกัน

     “ถูกครับ หัวใจของพี่อยู่ที่ผม มันเป็นของผมคนเดียว ไม่ว่าใครหน้าไหนก็แย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น”

     ทันทีที่เสียงทุ้มพูดจบริมฝีปากวายุก็ถูกปิดอีกรอบ เขากำลังจะยืนยันคำพูดนั้น แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว แบบนี้ก็ยืนยันได้เหมือนกัน และดูเหมือนเด็กขี้หึงจะชอบมากกว่าด้วย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ร้านคุณธันมีดอกไม้หลายชนิด ถ้าใช้สีโทนอ่อนน่าจะเหมาะกว่านะครับ อีกทั้งคนมองยังสบายตา รู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่ในร้านจริงๆ” วายุหันโน้ตบุ๊กไปหาธันวาหลังจากเลือกโทนสีพื้นหลังให้แล้ว สิ่งที่กำลังปรากฏบนจอคือเว็บไซต์โปรโมตร้านดอกไม้ที่เขาทำขึ้นมา

     “อืม...ผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้ด้วยสิ เอาอย่างนี้ไหมครับ วายุชอบสีอะไร”

     “ผมเหรอครับ?”

     “ใช่ครับ ให้ผมเลือกเองคงเลือกไม่ถูก เลยคิดว่าให้วายุเลือกน่าจะดีกว่า ถ้าเป็นสายตาวายุผมไว้ใจอยู่แล้ว”

     วายุงงนิดหน่อยแต่ก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายร้องขอ เขาเลือกสีเขียวอ่อนกับสีชมพูให้เพราะคิดว่าน่าจะเข้ากับพื้นหลังของเว็บไซต์ร้านดอกไม้ที่สุดแล้ว

     เมื่อวานธันวาโทรมาหาเขา บอกว่าอยากขอนัดเจอเพื่อปรึกษาเรื่องเว็บไซต์ร้านเพิ่มเติม วายุรู้ว่าท้องฟ้าไม่อยากให้เขามาเจอธันวาอีก แต่เพราะอีกฝ่ายเอาเรื่องงานมาเป็นเหตุผลจึงยากที่จะปฏิเสธ เขาเลยเลือกวันที่ท้องฟ้ามีเรียนเพื่อจะได้ไม่มีปัญหา

     วายุไม่ได้ตั้งใจจะหลอกหรือปิดบัง แต่เพราะรู้ว่าถ้าท้องฟ้ารู้ความจริงต้องไม่ยอม การไม่บอกแต่แรกจึงน่าจะดีกว่า ยังไงเขาก็ไม่ได้แอบมาทำอะไรไม่ดีอยู่แล้ว มันคือการทำงานเท่านั้น

     “ถ้าอยากเปลี่ยนฟอนต์ก็กดตรงนี้นะครับ ผมสำรองไว้ให้สองสามแบบเผื่อคุณธันไม่ถูกใจ” วายุเงยหน้าขึ้นหลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าธันวากำลังมองเขาอยู่

     “อะไรที่วายุเลือกให้ผมถูกใจหมดนั่นแหละครับ”

     วายุไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงได้แต่ยิ้มกลับไป ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มก่อตัวอีกครั้ง

     “เอ่อ...เท่าที่ดูผมว่าไม่น่ามีอะไรแล้ว ที่เหลือคุณธันน่าจะทำเองได้สบาย ถ้าอย่างนั้น...”

     “วันนี้วายุว่างไหมครับ ผมอยากเลี้ยงข้าวตามที่สัญญาไว้คราวก่อน”

     วายุไม่คิดว่าธันวาจะชวนตรงๆ อย่างนี้ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าคราวก่อนอีกฝ่ายพูดอะไรไว้

     “ขอโทษนะครับ พอดีวันนี้ผม...”

     “อย่าปฏิเสธเลยนะครับ ผมอยากทานข้าวกับวายุจริงๆ ทานแถวนี้ก็ได้ครับถ้าวายุรีบกลับบ้าน เลือกร้านได้ตามสบายเลย” ธันวาเลื่อนมือมากุมมือวายุบนโต๊ะ รอยยิ้มที่ถูกส่งมาทำให้เขาเริ่มทำตัวไม่ถูก

     “เอาไว้วันหลังได้ไหมครับ วันนี้ผมไม่สะดวกจริงๆ”

     คนตรงหน้านิ่งไปเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะมองมาที่เขาอีกครั้ง

     “วายุอึดอัดใช่ไหมครับ”

     “ครับ? เอ่อ...คือผม...” วายุตั้งตัวไม่ทันเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถาม ธันวาถอนหายใจ ริมฝีปากจุดรอยยิ้มบางเบา

     “กะแล้วว่าแผนชวนทานข้าวต้องไม่เวิร์ก แต่ทำไงได้ล่ะครับ ผมไม่รู้จะจีบวายุยังไงแล้วจริงๆ”

     “คุณธัน...”

     “ครับ อย่างที่ได้ยิน ผมชอบวายุ ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว”

     วายุนิ่งอึ้ง ถึงแม้จะแอบสงสัยอยู่แล้ว แต่พอมาได้ยินจากปากเจ้าตัวเขาก็อดตกใจไม่ได้ ธันวาบีบกระชับมือที่กุมกันอยู่ สายตาที่มองมาเผยความรู้สึกชัดเจน

     “ไหนๆ วายุก็รู้แล้วงั้นผมพูดตรงๆ เลยแล้วกัน ผมขอจีบวายุได้ไหมครับ สัญญาว่าจะไม่ทำให้อึดอัดใจอีก”

     วายุค่อยๆ ดึงมือออกอย่างสุภาพ เขายิ้มให้อีกฝ่ายแต่เป็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยคำขอโทษ

     “ขอโทษนะครับคุณธัน แต่ผมมี...”

     “พี่วายุมีแฟนแล้วครับ ขอโทษด้วยที่ให้จีบไม่ได้”

     เสียงทุ้มที่คุ้นหูทำให้วายุหันไปมอง คนที่เขาไม่คิดว่าจะมาอยู่ที่นี่เวลานี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

     “ท้องฟ้า” เพราะกำลังตกใจวายุจึงเผลอพูดอีกชื่อออกไป ข้างหลังท้องฟ้าคือรามิลที่มองมาด้วยสายตางุนงง

     “วายุมีแฟนแล้วเหรอ”

     “ใช่ครับ พี่วายุมีแฟนแล้ว” ท้องฟ้าเป็นคนตอบ เขาจับมือวายุแล้วดึงให้ลุกขึ้น “กลับบ้านครับ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

     “เดี๋ยวสิ พี่กำลังจะพาวายุไปทานข้าว”

     เด็กหนุ่มเหลือบไปมองคนพูด สายตาของเขาราวกับมีเปลวไฟอยู่ในนั้น

     “แฟนของผม ผมพาไปเองได้ ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก”

     “แฟน?” ธันวาทำหน้าแปลกใจระคนตกใจ แต่ท้องฟ้าไม่คิดจะอธิบายเพิ่ม เขาหันไปบอกลาเพื่อนสั้นๆ ก่อนจูงมือวายุออกจากร้าน

     “ท้องฟ้า คุยกันก่อน มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ”

     “ถ้าไม่อยากให้ผมโมโหมากไปกว่านี้ก็อย่าเพิ่งพูดอะไรครับ”

     “แต่...”

     “ผมเตือนพี่แล้วนะ” สายตาคมที่ตวัดมามองทำให้วายุไม่กล้าพูดอะไรต่อ จึงได้แต่เดินตามร่างสูงไปเงียบๆ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ทะ...ท้องฟ้า อื้อ...คุยกันก่อนได้ไหม”

     เสียงวายุไม่ได้เข้าโสตประสาทแม้แต่น้อย เพราะท้องฟ้าเอาแต่รุกรานไม่หยุด ตั้งแต่กลับมาจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่นาน แต่ตามเนื้อตัวเขากลับมีแต่รอยแดงเต็มไปหมด

     “ทำไมไปอยู่กับหมอนั่นได้ครับ”

     “คุณธันแค่อยากปรึกษางานเลยขอนัดเจอ นายนั่นแหละไปที่นั่นได้ยังไง”

     “ใครให้ย้อนถามครับ พี่วายุมีความผิดอยู่นะ”

     “พี่ก็แค่...อ๊ะ!” วายุสะดุ้งเมื่อถูกกัดบริเวณลำคอ แม้ไม่แรงมากแต่เขารู้ว่าต้องเป็นรอยแน่นอน ท้องฟ้ามองคนใต้ร่างด้วยสายตาคุกรุ่น แค่นึกภาพผู้ชายคนนั้นกำลังจับมือวายุ เขาก็หงุดหงิดจนแทบคลั่ง

     วันนี้อาจารย์มีธุระด่วนเลยเลิกคลาสก่อนเวลา รามิลจึงชวนท้องฟ้าไปคาเฟ่ที่เพิ่งเปิดใหม่แถวมหาวิทยาลัย แต่พอเข้ามาในร้านแล้วเห็นวายุกำลังนั่งอยู่กับผู้ชายคนนั้น ท้องฟ้าก็รีบเดินดุ่มๆ เข้าไปหาทันที ยิ่งตอนได้ยินอีกฝ่ายขอจีบวายุ เขาก็แทบห้ามใจไม่อยู่เผลอชกหน้าก่อนจะคุยกันด้วยซ้ำ

     “คราวหลังต้องบอกผมทุกอย่าง ห้ามปิดบังเหมือนวันนี้อีก เข้าใจไหมครับ”

     วายุไม่ทันได้ตอบเพราะกำลังเบลอเนื่องจากถูกจู่โจมไม่หยุด ร่างสูงจึงขบกัดยอดอกเบาๆ เพื่อกระตุ้น

     “อื้อ!”

     “ตอบครับ เข้าใจที่ผมพูดไหม”

     “ขะ...เข้าใจแล้ว คราวหลังพี่จะบอกทุกอย่าง”

     ท้องฟ้ากระตุกยิ้มพอใจ เขาผละตัวออก ขยับไปพิงพนักเตียงพร้อมกับดึงร่างบางมานั่งบนตัก

     “วันนี้พี่วายุมีความผิด คนผิดต้องโดนลงโทษ”

     “พูดอะไรของ...อ๊ะ! ทะ...ท้องฟ้า อย่า...” วายุสะดุ้งอีกครั้งเมื่อช่องทางด้านหลังถูกสอดใส่ด้วยนิ้ว เขากำลังจะร้องห้าม แต่ลิ้นร้อนที่ไล้วนบนตุ่มไตทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก ได้แต่ครางไม่เป็นภาษา ท้องฟ้ารุกรานทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สายตาที่แหงนมองเปี่ยมไปด้วยความต้องการ

     “รู้ตัวใช่ไหมครับว่าผิด”

     “พะ...พี่ก็แค่ไม่อยากให้นายโกรธ...อื้อ!” เสียงเล็กร้องดังขึ้นเมื่อมีอีกนิ้วเพิ่มเข้ามา

     “ทำแบบนี้ผมจะโกรธมากกว่าอีก จำไว้นะครับ มีอะไรต้องบอกผมตรงๆ”

     วายุไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการคำตอบหรือเปล่า เพราะพอพูดจบท้องฟ้าก็สอดนิ้วเข้ามาในปากของเขา เด็กหนุ่มควานนิ้วไปทั่วโพรงปากจนหยาดน้ำสีขาวไหลออกมา ขณะเดียวกันก็ถอนนิ้วออกจากด้านหลังพร้อมกับสอดแก่นกายเข้ามาแทน วายุอยากร้องแต่ทำไม่ได้ เพราะปากของเขาถูกนิ้วท้องฟ้าอุดไว้อยู่

     “ดูดสิครับ” ท้องฟ้าเอ่ยเสียงพร่า สายตาราวกับจะแผดเผาคนบนตักให้มอดไหม้ในพริบตา วายุเหมือนถูกมนต์สะกด เขาตวัดลิ้นไปตามนิ้วยาวอย่างช้าๆ ความเจ็บค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความเสียวซ่าน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกท้องฟ้าชักนำด้วยแรงปรารถนา

     ท้องฟ้ามองการกระทำตรงหน้าด้วยสายตาพอใจ เขาถอนนิ้วออกพร้อมกับเด้งตัวเบาๆ วายุสะดุ้งเฮือก ผวาเข้ากอดร่างหนาด้วยความตกใจ ความรู้สึกมวนท้องที่ถาโถมเข้ามาทำให้ภายในหัวขาวโพลน

     “อ๊ะ!” วายุร้องเสียงหลงเมื่อเด็กหนุ่มเด้งตัวอีกครั้ง ท้องฟ้ากระตุกยิ้ม โน้มใบหน้าไปชิดริมหู

     “ถึงเวลาลงโทษแล้วครับ”

     “ละ...ลงโทษอะไร”

     “อะไรกัน พี่วายุไม่รู้เหรอครับ ผมก็สาธิตให้อยู่นี่ไง”

     วายุเข้าใจทันทีว่าท้องฟ้าหมายถึงอะไร ทันใดนั้นใบหน้าเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา

     “ปะ...เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น อื้อ!”

     “คนผิดไม่มีสิทธิ์ต่อรอง เร็วครับ ผมคาดหวังกับพี่วายุอยู่นะ”

     ท้องฟ้าไล่ปากไปตามแผ่นอกขาว มือวางทาบบนหลังก่อนเอนตัววายุลงเพื่อให้ปากของเขาทำงานได้ถนัดขึ้น ความวาบหวามที่ก่อตัวในอกทำให้สติของวายุเลือนหายไปทีละนิด การกระทำของท้องฟ้ากำลังปลุกความต้องการในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมา

     วายุลืมความอายไปหมดสิ้น เวลานี้ไม่ว่าท้องฟ้าสั่งให้ทำอะไรเขาก็พร้อมโอนอ่อนตาม มือบางยันไหล่หนาเอาไว้ ทิ้งน้ำหนักสะโพกลงไปแล้วขยับขึ้นลง เสียงครางกระเส่าดังประสานกับเสียงทุ้มต่ำของอีกคน

     “อ่า...อย่างนั้นครับ...เก่งมาก...แรงอีกครับ” เสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหูทำให้วายุลืมตัว เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายทิ้งตัวลงซ้ำๆ พร้อมกับปลดปล่อยความต้องการออกมา ร่างของท้องฟ้ากระตุกถี่ วายุรู้สึกได้ถึงของเหลวที่ไหลเข้ามาในตัว ก่อนที่ร่างหนาจะสงบลงในที่สุด

     วายุทิ้งตัวลงบนอกเปลือย หอบหายใจเหมือนวิ่งมาราธอนมา เขาทุบมือลงไปเบาๆ เรี่ยวแรงเหมือนถูกสูบออกไปจนหมด

     “นิสัยไม่ดี”

     “ไม่ดีตรงไหนครับ ผมออกจะเชื่อฟังพี่วายุทุกอย่าง ไม่หือไม่อือสักนิด”

     เมื่อความเหนื่อยหายไปความอายก็เข้ามาแทนที่ วายุหน้าแดงซ่านเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเรื่องน่าอายที่ทำลงไป เขาซุกหน้าเข้าหาอกกว้าง ไม่ยอมเงยหน้ามามอง ท้องฟ้าหัวเราะกับท่าทางของคนรัก

     “ทำอะไรครับ”

     “ไม่ต้องพูดเลย ห้ามล้อนะ”

     “ไม่ได้จะล้อซะหน่อย ผมจะชมต่างหาก เพิ่งรู้ว่าแฟนตัวเองเป็นคนเร่าร้อนก็วันนี้”

     “ท้องฟ้า!” วายุผงกหัวมาส่งสายตาค้อน เขากำลังจะทุบมือลงไปอีก แต่ก็ถูกเด็กหนุ่มจับมือไว้พร้อมกับมองมาด้วยสายตายิ้มๆ

     “โกรธหรือเปล่าครับ”

     “หือ? หมายถึงอะไร” วายุทำหน้างงเมื่อจู่ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเรื่อง

     “ที่ผมทำไปทั้งหมดเพราะหึง พี่วายุเข้าใจใช่ไหมครับ”

     วายุก้มหน้างุด ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เขาส่ายหัวไปมาจนผมกระจาย

     “อือ...พี่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้โกรธด้วย ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก พี่แค่ไม่อยากให้นายกังวล แต่พี่ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีลับหลังนายเลยนะ”

     “ผมรู้ครับ พี่วายุไม่ใช่คนแบบนั้น ผมรู้จักพี่ดีที่สุด ผมแค่ไม่อยากให้เรามีความลับต่อกัน”

     “หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว พี่สัญญา”

     ท้องฟ้าคลี่ยิ้ม วายุเลยพลอยยิ้มตาม เขาโล่งอกที่เห็นท้องฟ้ายิ้มออก เพราะนั่นหมายความว่าท้องฟ้าไม่โกรธเขา

     “นายไม่โกรธแล้วใช่ไหม”

     “ครับ ไม่โกรธ”

     “ถ้าอย่างนั้น...”

     “จะไปไหนครับ” ข้อมือวายุถูกจับไว้ในตอนที่จะก้าวลงจากเตียง พอหันกลับไปมองก็เจอเข้ากับสายตาวาววับ “ผมไม่โกรธไม่ได้แปลว่าจะยกโทษให้ พี่วายุยังโดนลงโทษไม่ครบเลยนะครับ”

     !!!

     “ผมไม่ชอบเอาเปรียบใคร พี่วายุทำให้ผมแล้ว ตาผมทำให้พี่บ้าง”

     วายุไม่มีเวลาแม้แต่จะประท้วง ท้องฟ้าพูดจบก็จับตัวเขาคุกเข่ากับเตียงทันที ชายหนุ่มได้แต่โอดครวญในใจ ต่อไปเขาจะไม่ปิดบังอะไรแล้ว ถ้ารู้ว่าเด็กขี้หึงจะลงโทษหนักขนาดนี้เขายอมบอกความจริงไปแต่แรกซะก็ดี




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 36 ★ [14/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 14-01-2023 17:08:52
ตอนที่ 36
ที่พักพิง


     ปฐพีจ้องเอกสารบนโต๊ะนิ่ง มือข้างหนึ่งควงปากกาไปมา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ภายในห้องเงียบสนิท

     เสียงถอนหายใจดังแทรกความเงียบ ก่อนที่แฟ้มเอกสารจะถูกปิดลง ชายหนุ่มทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วด้วยท่าทางเหนื่อยล้า

     “พี่ดิน ผมเข้าไปได้ไหมครับ”

     เสียงเคาะประตูสองสามทีตามมาด้วยเสียงใสที่คุ้นหู ปฐพีขมวดคิ้วอีกครั้งแต่เป็นเพราะความแปลกใจ

     “เข้ามาได้”

     ต้นน้ำเดินเข้ามาในห้องทำงาน รอยยิ้มกว้างถูกส่งมาเป็นอย่างแรก ปฐพีมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาสงสัย

     “พี่จำได้ว่าวันนี้อาพงไม่มีธุระกับพ่อพี่นะ”

     “ถูกครับ ผมเป็นคนขอพ่อมาเอง บอกว่าจะมาเที่ยวบริษัทอาศิ”

     “แล้วพ่อเราก็ยอม?”

     “ครับ”

     “หึๆ เห็นบริษัทพ่อพี่เป็นสนามเด็กเล่นหรือไง” ปฐพีพูดด้วยรอยยิ้มขำ ไม่ได้จะว่าหรือห้ามปราม ต้นน้ำเป็นเด็กเรียบร้อย รู้จักวางตัวต่อหน้าผู้ใหญ่ พ่อของเขาเลยเอ็นดูจนจะเป็นลูกอีกคนแล้ว

     “เมื่อไหร่จะเลิกพูดเหมือนผมเป็นเด็กสักทีครับ” ต้นน้ำย่นจมูก

     “ก็เรามันเด็กจริงๆ”

     “เฮ้อ คนอุตส่าห์คิดถึงเลยมาหา กลับโดนชวนทะเลาะซะอย่างนั้น งั้นผมกลับดีกว่า”

     “เดี๋ยวสิ เมื่อกี้พูดว่าคิดถึงเหรอ”

     ต้นน้ำยิ้มมุมปาก ก่อนจะรีบซ่อนรอยยิ้มแล้วหันกลับมา เขาไขว้มือสองข้างไว้ด้านหลังพลางทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

     “ได้ยินผิดแล้วครับ ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

     ปฐพีหัวเราะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเมื่อกี้เด็กคนนี้บอกคิดถึงเขา ไม่น่าเชื่อว่าแค่คำสั้นๆ กลับทำให้หายเหนื่อยไปได้เยอะ

     “ตกลงอยากให้ผมอยู่ต่อไหมครับ ถ้าอยากก็สัญญามาว่าจะไม่พูดเหมือนผมเป็นเด็กอีก แต่ถ้าพี่ดินไม่ยอมสัญญาผมจะโทรไปชวนเพื่อน...”

     “ตกลง พี่สัญญาจะไม่พูดแบบนั้นอีก”

     ต้นน้ำเอียงคอมอง นึกแปลกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็เกิดยอมง่ายขึ้นมา

     “ทำไมยอมง่ายจังครับ”

     “ก็อยากให้อยู่ต่อ ไหนๆ ก็มาแล้ว อยากอยู่ด้วยกันนานๆ”

     ต้นน้ำเม้มริมฝีปาก เขาต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงความเขินออกมา ใครบอกปฐพีไม่ร้าย เขาเถียงหัวชนฝาเลย

     “แล้วพี่ดินไม่มีงานต้องทำเหรอครับ ตอนเข้ามาผมก็ลืมถาม ผมรบกวนเวลาทำงานหรือเปล่า”

     ความเหนื่อยล้าปรากฏในดวงตาคมเข้มเมื่อได้ยินคำว่าทำงาน แม้จะเพียงครู่เดียวแต่เด็กหนุ่มก็สังเกตเห็น ปฐพียิ้มให้ต้นน้ำ แต่เป็นรอยยิ้มเนือยๆ

     “ไม่รบกวน พี่กำลังอยากพักสายตาอยู่พอดี”

     ต้นน้ำเดินมาหยุดหน้าโต๊ะทำงาน มองเข้าไปในแววตาของคนตรงหน้า ปฐพีเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย

     “พี่ดินเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

     “เปล่า พี่แค่อยากพักเฉยๆ”

     ต้นน้ำนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้ม ดวงตาของเขาเป็นประกายเพราะนึกอะไรดีๆ ออก

     “พี่ดินครับ”

     “ว่าไง”

     “พอจะมีเวลาว่างสักสองชั่วโมงไหมครับ”

     “ถามทำไม”

     “ตอนนั่งรถมาผมเห็นตรงปากซอยมีร้านหมูกระทะเปิดใหม่ ไปด้วยกันไหมครับ นี่ก็จะบ่ายสามแล้ว ผมรู้นะว่าพี่ดินยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง”

     บริษัทของพ่อปฐพีอยู่ในย่านธุรกิจก็จริง แต่เพราะมีมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ใกล้กัน จึงทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารไปจนถึงสถานบันเทิง

     ปฐพีไม่ตอบในทันที เขาเหลือบไปมองแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ ถึงจะบอกว่าอยากพักสายตาแต่เขาก็ไม่คิดจะพักนานขนาดนั้น ภาระงานที่ต้องรับผิดชอบทำให้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้

     ชายหนุ่มหันกลับมามองคนชวน เขาตั้งใจจะปฏิเสธ แต่ต้นน้ำกลับยื่นหน้ามาใกล้จนปลายจมูกเฉียดเขาไปนิดเดียว

     “นะครับ ไปกินหมูกระทะกัน”

     ปฐพีไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะรอยยิ้มของคนพูด ใบหน้าเนียนใสในระยะประชิด หรือเสียงออดอ้อนที่เพิ่งเคยได้ยิน แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร สิ่งนั้นกำลังทำให้เขาหักหลังความคิดตัวเอง ปากเผลอตอบออกไปโดยไม่รู้ตัว

     “อืม เอาสิ”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ต้นน้ำ”

     “…”

     “เดี๋ยวเถอะ เราชวนมาเองนะ”

     เสียงดุๆ ของปฐพีไม่ได้ทำให้ต้นน้ำหยุดหัวเราะ เขายกมือมาปิดปาก พยายามอยู่นานกว่าจะกลั้นขำได้สำเร็จ ร่างสูงมองมาด้วยสายตาดุ ต่างกับเด็กหนุ่มที่ยิ้มขบขัน เขาน่าจะฉุกคิดเรื่องนี้ตอนชวนปฐพีมา

     กระทะที่มีเนื้อสัตว์วางเรียง ไอควันที่ลอยขึ้นมา เสียงคุยเซ็งแซ่ที่ดังมาจากรอบข้าง ทุกอย่างดูไม่เข้ากับชุดสูทบนตัวปฐพีสักนิด

     “ขอโทษครับ ผมพยายามแล้ว” ต้นน้ำเอ่ยเมื่อคนตรงหน้ายังทำหน้าดุ เขาไม่ขำแล้วก็จริงแต่มันหุบยิ้มไม่ได้นี่นา

     “อย่าบอกนะว่าที่ชวนมาเพราะตั้งใจจะแกล้งพี่”

     “ใครจะไปทำแบบนั้นครับ ผมไม่ใช่เด็กๆ นะ”

     ปฐพีหรี่ตามอง เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเอาแต่ตีหน้าซื่อเขาจึงถอนหายใจเบาๆ “แล้วนี่ต้องทำยังไงต่อ”

     “อะไรครับ”

     “พวกหมูบนกระทะนี่ไง แค่เอามาวางเฉยๆ เหรอ”

     “ก็คอยกลับไงครับ ชิ้นไหนสุกแล้วก็พลิกอีกด้านให้สุกตาม ทำไมพี่ดินถามเหมือนไม่เคยกินหมูกระทะเลยครับ”

     “…”

     “หือ? อย่าบอกนะว่า...” ต้นน้ำตาโต มองคนที่จู่ๆ ก็ทำหน้าอึกอัก ปฐพีตีหน้าขรึม หลบสายตาที่มองมา ทันใดนั้นริมฝีปากเด็กหนุ่มก็จุดรอยยิ้ม แววตาเป็นประกายขบขัน

     “ยิ้มอะไร” ปฐพีอดถามไม่ได้

     “เปล่าครับ ผมแค่ขำตัวเอง ขำที่ลืมว่าพี่ดินไปเรียนเมืองนอกมาหลายปี จะไม่เคยกินหมูกระทะก็ไม่แปลก”

     ปฐพีส่งสายตาดุอีกครั้ง เขาทำไปเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน จะบอกว่าไม่รู้จักหมูกระทะเลยก็คงไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่เคยกินเลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

     “มาครับ เดี๋ยวผมสอน” ต้นน้ำใช้ตะเกียบคีบหมูชิ้นที่ด้านล่างสุกแล้ว พลิกกลับให้ด้านบนลงไปนาบกับกระทะ “ชิ้นไหนที่สุกแบบนี้ก็พลิกกลับ จากนั้นก็รอให้สุกทั้งสองด้าน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ได้กินแล้วครับ”

     ปฐพีทำตามคำพูดของคนตรงหน้า ภาพที่ออกมาจึงเป็นภาพชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทหรูหรา พยายามคีบหมูบนกระทะด้วยสีหน้าจริงจัง ภาพที่เห็นทำเอาต้นน้ำต้องกลั้นขำ เพราะกลัวจะโดนมองด้วยสายตาดุอีก

     “พอได้ไหมครับ”

     “เรื่องแค่นี้ คิดว่าพี่จะทำไม่ได้หรือไง” คนมั่นใจว่าทำได้ตีหน้ายุ่งเมื่อไฟข้างล่างกระทะลุกโชนขึ้นมา มือที่กำลังคีบหมูจึงโหย่งขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ต้นน้ำหลุดขำเสียงเบาก่อนรีบเม้มปากเมื่อสายตาคมตวัดมามอง เขาบอกให้ปฐพีนั่งเฉยๆ ส่วนตัวเองจะย่างหมูให้แทน

     ปฐพีมองท่าทางคล่องแคล่วของคนตรงหน้าแล้วอดรู้สึกอายไม่ได้ เขาอายุมากกว่าแถมยังอยู่ในช่วงจีบแท้ๆ แต่กลับต้องให้ต้นน้ำมาทำอะไรแบบนี้ให้ เขาน่าจะพาไปร้านอาหารธรรมดา ไม่น่าตกหลุมรอยยิ้มของอีกฝ่ายเลย

     “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ” หมูชิ้นใหญ่ถูกคีบมาใส่จาน พร้อมกับใบหน้างุนงงของคนถาม

     “ขอโทษนะ”

     “ขอโทษ? เรื่องอะไรครับ”

     ปฐพีไม่ตอบแต่ส่งสายตาไปยังเตาหมูกระทะ เพียงเท่านั้นใบหน้างุนงงก็คลี่ยิ้มทันที

     “คิดมากไปแล้วครับ แค่ย่างหมูใครทำก็เหมือนกันนั่นแหละ และผมก็ตั้งใจพาพี่ดินมาผ่อนคลายอยู่แล้วด้วย”

     “ผ่อนคลาย?”

     ต้นน้ำคีบหมูมาเป่าก่อนเอาเข้าปาก พอเคี้ยวหมดแล้วจึงฉีกยิ้มอีกครั้ง “ก็พี่ดินเครียดเรื่องงานอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”

     ปฐพีนิ่งงัน เขาคิดไม่ถึงว่าต้นน้ำจะดูออก เขามักจะไม่แสดงความรู้สึกให้ใครเห็นง่ายๆ ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งขรึม เขาซ่อนความเหนื่อยล้าและแรงกดดันไว้มากแค่ไหน

     พ่อของปฐพีเป็นนักธุรกิจแนวหน้าของเมืองไทย เมื่อจบการศึกษาจากเมืองนอก เขากลับมาในฐานะผู้บริหารหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง ถึงตำแหน่งของเขาในตอนนี้จะไม่ใหญ่โตมาก แต่ด้วยความที่เป็นลูกชายของประธานบริษัททุกคนจึงให้ความเคารพยำเกรง ภาพลักษณ์ของเขาคือชายหนุ่มผู้มากไปด้วยความสามารถ นั่นคือสิ่งที่คนทั่วไปคิดและมองเห็น แต่ความจริงย่อมมีสองด้านเสมอ

     ปฐพีต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ได้ผลาญเงินพ่อแม่เล่น นั่นไม่ง่ายเลยสำหรับผู้ชายวัยอย่างเขา การห้ำหั่นทางธุรกิจทำให้เกิดความตึงเครียดและแรงกดดันมากมาย เขาไม่สามารถล้มได้ เดินถอยหลังก็ไม่ได้ ตารางชีวิตที่แน่นไปด้วยการทำงานทำให้เขาลืมไปแล้วว่าเสียงหัวเราะเป็นยังไง

     ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หรือความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการการยอมรับจากคนในบริษัท ไม่ได้ต้องการตำแหน่งใหญ่โต สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ อาจเป็นแค่ช่วงเวลาเรียบง่ายในชีวิตกับการยิ้มโดยไม่ต้องคิดอะไร เหมือนที่ต้นน้ำกำลังทำในเวลานี้

     หมูหมักงาที่สุกจนเกรียมนิดๆ ถูกยื่นมาจ่อปาก ปฐพีมองเลยไปก่อนจะสบกับดวงตาคู่สวย

     “อย่ามัวแต่เหม่อสิครับ ถ้าไม่กินอะไรเลยระวังโรคกระเพาะถามหานะ”

     สายตาสองคู่สบกันนิ่ง ปฐพีจับข้อมือนั้นไว้ ริมฝีปากหนาจุดรอยยิ้ม

     “ต้นน้ำ”

     “ครับ?”

     “ขอบคุณนะที่ใส่ใจพี่”

     เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มจนดวงตากลายเป็นสระอิ ปฐพีจับมืออีกฝ่ายเอาหมูมาเข้าปาก

     “อร่อยไหมครับ”

     “คนน่ารักป้อนให้ทั้งที ต้องอร่อยอยู่แล้ว”

     ต้นน้ำยิ้มกว้างกว่าเดิม ปฐพียิ้มตาม เขาเพิ่งรู้วันนี้ว่าอาหารจะอร่อยหรือไม่นั้นไม่ได้อยู่ที่รสชาติ แต่อยู่ที่เรากินกับใคร

     “ไม่คิดจะป้อนผมบ้างเหรอครับ ปกติคนจีบกันเขาต้องป้อนอาหารให้กันนะ”

     “งั้นเมื่อกี้ต้นน้ำก็จีบพี่น่ะสิ”

     “เมื่อกี้ผมไม่ได้ป้อน พี่ดินจับมือผมเอาหมูไปเข้าปากเองต่างหาก”

     ปฐพีหัวเราะในลำคอ ครั้งนี้เขายอมแต่โดยดี เขาคีบหมูที่สุกแล้วมาเป่า เมื่อแน่ใจว่าหายร้อนแล้วจึงยื่นไปตรงหน้า

     “จิ้มน้ำจิ้มด้วยสิครับ”

     “อ้าวเหรอ โทษที”

     บางทีปฐพีอาจไม่ได้ลืมเสียงหัวเราะ เขาแค่รอใครสักคนที่จะมาสร้างเสียงหัวเราะในชีวิต และดูเหมือนตอนนี้เขาจะเจอคนๆ นั้นแล้ว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เฮ้อ~ อิ่มจนพุงกางเลยครับ” ต้นน้ำยกมือลูบท้องตัวเอง ปฐพีหัวเราะในลำคอ จึงโดนเด็กหนุ่มหันมาย่นจมูกใส่

     “พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”

     “แค่มองหน้าพี่ดินผมก็รู้แล้ว กำลังคิดว่าผมกินจุอยู่ใช่ไหมครับ”

     “หึๆ เก่งนะเรา”

     “นั่นไง แอบว่าผมอยู่จริงๆ สินะ” ตาวาวๆ ของต้นน้ำทำให้เสียงหัวเราะของปฐพีดังขึ้น เขาเอื้อมมือไปบีบจมูกขณะที่ยังเดินอยู่

     “กินเยอะๆ น่ะดีแล้ว พี่ชอบคนมีน้ำมีนวล เวลากอดจะได้พอดีมือ”

     ต้นน้ำทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนพูดอย่างนั้นใส่ ปฐพีไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบพูดคำหวาน ตั้งแต่รู้จักมาเขาได้ยินคำพูดแนวนี้นับครั้งได้ แต่ทุกครั้งปฐพีจะทำให้เขาพูดไม่ออกเสมอ เรียกได้ว่าพูดน้อยแต่ต่อยหนัก

     “ผมขี้เกียจเดินแล้ว ขอนั่งพักก่อนนะครับ” วิธีแก้เขินที่ต้นน้ำมักจะใช้คือเปลี่ยนเรื่องคุย เขาเดินไปยังม้านั่งที่ไม่มีคนจับจอง ปฐพีส่งเสียงหึก่อนจะตามไปนั่งข้างกัน เขาไม่คิดจะแซวถึงแม้จะรู้ทัน เพราะอยากให้คนเขินมีเวลาตั้งหลักบ้าง

     หลังกินหมูกระทะเสร็จ ต้นน้ำชวนปฐพีมาเดินเล่นสวนสาธารณะที่อยู่ติดกับตึกบริษัท มันเป็นสวนที่บริษัทของพ่อเขาบริจาคที่ดินให้ อีกทั้งยังออกเงินสนับสนุนการก่อสร้าง แต่เขาก็ไม่เคยมาใช้บริการแม้แต่ครั้งเดียว

     ปฐพีมองไปรอบตัว ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น บนผืนหญ้าสีเขียวมีผู้คนนั่งอยู่ประปราย บ้างก็กำลังวิ่งออกกำลังกายบนฟุตบาธ เวลานี้เขาควรอยู่ในห้องทำงานเพื่อเคลียร์เอกสารกองพะเนินบนโต๊ะให้เสร็จ ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่เขากลับถูกต้นน้ำชวนมาเดินเล่นอย่างง่ายดาย

     ต้นน้ำยืดหลังตรง สูดอากาศเข้าเต็มปอด ใบหน้าเนียนใสกระจ่างไปด้วยรอยยิ้ม

     “อากาศสดชื่นดีจัง พี่ดินลองทำดูสิครับ”

     “แค่เห็นหน้าเราพี่ก็รู้แล้วว่าอากาศสดชื่น”

     “หน้าผมเป็นยังไงเหรอครับ”

     “เป็นอย่างนี้ไง” ปฐพีว่าจบก็เอื้อมมือไปยืดแก้มเด็กหนุ่มเบาๆ ต้นน้ำหัวเราะ เขาเอื้อมมือไปยืดแก้มร่างสูงคืนบ้าง

     “พี่ดินเห็นผมยิ้มแล้ว แต่ผมยังไม่เห็นพี่ยิ้มเลย”

     “ในร้านหมูกระทะพี่ก็ยิ้มนะ”

     “แล้วตอนนี้ยิ้มอีกไม่ได้เหรอครับ” ต้นน้ำขยับเข้าไปใกล้ เอนหัวไปซบต้นแขนแกร่ง เขาหลับตาลงช้าๆ ขณะที่ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม “หรือยังไม่หายเครียดเรื่องงานครับ เล่าให้ผมฟังได้นะ ผมไม่เอาไปบอกใครแน่นอนเพราะไม่มีใครให้บอก”

     ปฐพีหัวเราะ ภายใต้คำพูดติดตลกนั้นเขารับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงของคนถาม ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มพูดในที่สุด

     “โปรเจกต์ที่พี่รับผิดชอบอยู่เป็นโปรเจกต์ใหญ่ บางเรื่องเลยต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการ ถึงจะผ่านไปได้ด้วยดีแต่ทุกครั้งมักจะมีผู้ใหญ่บางท่านไม่เห็นด้วย ถ้าคัดค้านด้วยเหตุผลพี่พร้อมรับฟัง แต่สาเหตุที่เขาคัดค้านเพราะพี่ยังเด็กเกินไป”

     ปฐพีไม่คิดจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่พออีกฝ่ายเป็นต้นน้ำเขากลับเล่าออกมาอย่างง่ายดาย ความสบายใจที่ต้นน้ำมีให้เขาทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ปฐพีพูดได้เต็มปากว่าเขาเชื่อใจและไว้ใจเด็กคนนี้

     รอยยิ้มค่อยๆ หายไปจากใบหน้า ต้นน้ำแหงนมองใบหน้าด้านข้างของปฐพี อีกฝ่ายกำลังมองตรงไปข้างหน้า สายตาเหม่อลอยราวกับกำลังคิดเรื่องที่พูดถึง

     “ที่บอกว่าทุกครั้งแปลว่าเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยเหรอครับ”

     “อืม”

     “แล้วพี่ดินก็เก็บไปคิดมากคนเดียวทุกครั้งเลยเหรอ”

     “อย่าพูดเหมือนพี่เป็นคนอ่อนแอสิ มันเป็นสิ่งที่พี่ต้องเจออยู่แล้วถ้าจะเลือกเดินเส้นทางนี้ พี่แค่ยังเตรียมใจมาไม่พอ ต่อไปคงต้องหนักแน่นมากกว่านี้”

     ต้นน้ำผละตัวออกไป พาให้ร่างสูงหันมามอง เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปประคองใบหน้าคมคาย รอยยิ้มที่คลี่ออกทำให้ดวงตากลายเป็นสระอิ

     “อยู่กับผมแล้วสบายใจไหมครับ”

     ปฐพีนิ่งงัน แต่ครู่เดียวเขาก็ยิ้มตามคนตรงหน้า “ถามอะไรอย่างนั้น ก็ต้องสบายใจอยู่แล้วสิ”

     “ผมจะไม่พูดเรื่องที่ทำให้พี่ดินเหนื่อยใจ เพราะผมยังเด็กและไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ผมจะเป็นที่พักพิงให้พี่ดิน เมื่อไหร่ที่เหนื่อยพี่มาพักที่ผมได้ทุกเวลา อยู่กับผมพี่ไม่ต้องทำตัวเก่ง พี่เป็นตัวของตัวเองได้เสมอ ตกลงไหมครับ”

     ความอบอุ่นจากฝ่ามือค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่หัวใจ วินาทีนี้เองที่ปฐพีมั่นใจว่าเขาเลือกคนไม่ผิด ถึงแม้ต้นน้ำจะแก้ปัญหาให้เขาไม่ได้ ถึงแม้เรื่องที่ทำให้เขาเหนื่อยใจจะยังไม่หายไป แต่ความหนักอึ้งในอกกลับเบาบางลงเพียงเพราะคำพูดปลอบประโลมนั้น

     ปฐพียกมือมาวางทาบมือเล็ก สายตาที่ทอดมองเผยถึงความรู้สึกภายในหัวใจ

     “ที่พักพิงเหรอ...พี่ชอบคำนี้จัง ฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจ เหมือนเราไม่ได้อยู่คนเดียว”

     “ใช่ครับ พี่ดินไม่ได้อยู่คนเดียว พี่ยังมีผมอยู่ข้างๆ”

     “ต้นน้ำ”

     “ครับ?”

     “รู้ตัวไหมว่าเรากำลังทำให้พี่หลง”

     ต้นน้ำหลุดขำเบาๆ นอกจากไม่ผละออกแล้วเขายังโน้มหน้าไปใกล้

     “ก็ตั้งใจทำให้หลงอยู่ไงครับ ดูไม่ออกเหรอ”

     “หึๆ นี่กำลังอ่อยพี่อยู่หรือเปล่า”

     “เปล่าครับ ผมไม่ได้อ่อย ถ้าอ่อยต้องแบบนี้” ทันทีที่พูดจบต้นน้ำก็แตะปากเข้ากับปากของร่างสูง ผ่านไปสักพักจึงถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ปฐพีมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอึ้ง ต้นน้ำยิ้มทะเล้นให้

     “เรานี่มัน...” ปฐพียังยืนกรานว่าเด็กคนนี้มักจะทำให้เขาพูดไม่ออก ครั้งนี้ก็เช่นกัน

     “ไม่ต้องห่วงครับ ผมดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครมอง”

     “ใช่เรื่องที่ต้องห่วงไหม” ชายหนุ่มส่งสายตาดุ นั่นยิ่งทำให้รอยยิ้มของเด็กหนุ่มกว้างขึ้น ต้นน้ำอมยิ้ม เขารู้สึกดีที่ทำให้ปฐพีหลุดมาดได้

     “พูดแบบนี้แปลว่าไม่ชอบจูบผมเหรอ”

     “...”

     “โอเคครับ ท่าทางจะไม่ชอบจริงๆ สินะ งั้นคราวหลังผมจะไม่ทำอีก” ต้นน้ำพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เขากำลังจะเดินออกไป แต่ปฐพีกลับคว้าข้อมือไว้

     “เคยอ่อยใครแบบนี้หรือเปล่า”

     “เคยครับ”

     “ใคร”

     “ตุ๊กตาครับ ตอนเด็กๆ ผมชอบจุ๊บปากตุ๊กตาก่อนนอน ผมคิดว่าทำอย่างนั้นแล้วจะหลับฝันดี” รอยยิ้มทะเล้นของเด็กหนุ่มทำให้ปฐพีหลุดยิ้ม อยู่กับต้นน้ำแล้วไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะรู้สึกเบื่อ

     “งั้นนอกจากตุ๊กตาพี่ก็เป็นคนแรกสินะที่โดนเราอ่อย”

     “แต่หลังจากนี้จะไม่โดนแล้วครับ เพราะพี่ดินไม่ชอบจูบผม” ต้นน้ำแกล้งทำหน้างอน ปฐพีหัวเราะเบาๆ เขารั้งอีกฝ่ายมาใกล้ก่อนจะโน้มใบหน้าไปกระซิบข้างหู

     “ไม่ได้ไม่ชอบจูบ แต่ไม่ชอบสถานที่ ดีนะที่เราอ่อยพี่กลางสวนสาธารณะ ถ้าเป็นในห้องทำงานคิดเหรอว่าพี่จะยอมให้จบแค่ปากแตะปาก”

     ใบหน้าขาวเนียนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ปฐพีมองใบหน้านั้นด้วยสายตาแพรวพราว ต้นน้ำไม่พูดอะไรต่อ ดึงมือออกแล้วเดินหนีทันที หึๆ ทีตัวเองอ่อยน่ะกล้า พอโดนอ่อยกลับดันไม่กล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น

     ปฐพีส่งเสียงหัวเราะก่อนจะเดินตามไป เขามองแผ่นหลังของคนข้างหน้า มองใบหูที่ยังไม่หายแดง มองคนที่เดินหนีเพราะความเขิน ในตอนนั้นเองที่เขาบอกกับตัวเองว่าต้องเป็นคนนี้เท่านั้น

     “คราวหลังอ่อยแบบนี้อีกนะ พี่ชอบ”

     “ไม่ต้องพูดแล้วครับ ผมก็เขินเป็นนะ”

     คนที่เป็นที่พักพิงให้เขา ที่พักพิงที่ไม่ว่าหันกลับไปเมื่อไหร่เขาก็มั่นใจว่าจะอยู่ตรงนั้นเสมอ




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 37 ★ [19/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 19-01-2023 18:24:59
ตอนที่ 37
ค่ามัดจำ


     ใบหน้าของรามิลนิ่งเรียบ ความกังวลฉายชัดออกมาทางแววตา ต้นน้ำที่นั่งข้างๆ ยกมือมาแตะไหล่

     “มีนโอเคไหม”

     “เราโอเค” คำตอบนั้นสวนทางกับสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด สกายถอนหายใจก่อนจะผลักหน้าผากเบาๆ

     “ไม่โอเคก็บอกว่าไม่โอเคสิ กูกับต้นน้ำเป็นเพื่อนมึงนะ”

     “กูโอเคจริงๆ แค่ยังไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพี่เขต”

     “ก็นั่นแหละที่เรียกว่าไม่โอเค”

     สีหน้ารามิลแย่ลงกว่าเดิม สกายหันไปมองตากับต้นน้ำ พวกเขาก็อยากช่วยเพื่อนอยู่หรอก แต่ดูเหมือนปัญหานี้จะใหญ่เกินกำลัง

     เมื่อสิบนาทีก่อนต้นน้ำโทรมาหารามิล พอรู้ว่าอยู่โรงอาหารเขาก็รีบมา ต้นน้ำมาหารามิลเพราะเป็นห่วง แต่จากท่าทางปกติทำให้เขารู้ว่ารามิลยังไม่เห็นข่าว เขาเลยเอาข่าวให้รามิลดู เป็นข่าวอดีตดาราดังกำลังแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับเด็กหนุ่มปริศนา

     ใช่แล้ว...คนในข่าวคือเพื่อนของเขากับเขตดนัย

     เนื้อหาข่าวไม่ระบุชื่อก็จริง แต่ที่ต้นน้ำรู้ว่าเป็นรามิลเพราะมีรูปถ่ายตอนเขตดนัยมาหารามิลที่มหาวิทยาลัย รามิลบอกว่าตอนนั้นมีคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาหลายคน จะมีคนแอบถ่ายก็ไม่แปลก วันนั้นเขามัวแต่สนใจเรื่องเขตดนัยบอกชอบจนลืมนึกถึงเรื่องนี้

     “ทำไมถึงไม่กล้าไปคุยกับพี่เขต” สกายถามเพื่อนสนิท รามิลเล่าเรื่องเขตดนัยให้ฟังแล้ว เขาไม่ได้ว่าอะไร ออกจะยินดีด้วยซ้ำที่เพื่อนมีความรัก แต่พอเห็นข่าวล่าสุดเขาก็อดเป็นห่วงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้

     “กูกลัวคนอื่นรู้เรื่องกูกับพี่เขต”

     สกายทำหน้างง เขาไม่เข้าใจว่าคำตอบของเพื่อนเกี่ยวอะไรกับคำถามของเขา

     “มีนเคยคุยกับพี่เขตไหมว่าจะปิดหรือเปิดเผย”

     รามิลส่ายหน้า

     “กลัวคำตอบเหรอ” ต้นน้ำเดาจากสีหน้าและคำพูด คราวนี้รามิลพยักหน้า เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเขตดนัยอยู่ในจุดที่สามารถคุยเรื่องจริงจังได้หรือยัง จริงอยู่ที่เขตดนัยชอบเขา แต่ขอบเขตของคำว่าชอบมันกว้างแค่ไหน กว้างพอจะสร้างอนาคตไปด้วยกันหรือเปล่า รามิลไม่รู้สักนิด

     ที่บอกว่ากลัวคำตอบ หมายถึงถ้าเขตดนัยบอกว่าต้องปิด เขาก็เข้าใจเพราะมันเกี่ยวกับอาชีพการงานของอีกฝ่าย ถึงแม้ตอนนี้เขตดนัยจะย้ายมาทำงานเบื้องหลังแล้วก็ตาม แต่เข้าใจไม่ได้แปลว่าไม่เสียใจ ก็ในเมื่อถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะต่างอะไรกับแอบคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ

     “อยากให้เขาเปิดตัวสินะ” สกายพูดด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดเขาก็เข้าใจความคิดของเพื่อน รามิลถลึงตาใส่ โทษฐานที่เพื่อนตัวดีพูดได้ตรงเผงราวกับมานั่งกลางใจ

     “เราเข้าใจมีนนะ แต่เราว่าเรื่องแบบนี้ควรคุยกันตรงๆ มานั่งคิดมากคนเดียวก็ไม่ได้อะไรหรอก”

     “ถูกของต้นน้ำ เอาจริงๆ กูก็ไม่เคยเห็นพี่เขตปิดบังนะ เขาก็ยังไปไหนมาไหนกับมึงตามปกติ บางทียังเดินจับมือกันด้วยซ้ำ” สกายรู้เรื่องนี้เพราะบ้านเขตดนัยอยู่ติดกับบ้านวายุ ทำให้เขารู้ว่าเพื่อนของเขาเข้าออกบ้านเขตดนัยบ่อยแค่ไหน

     “แบบนั้นแค่พี่น้องก็ทำได้ ไม่เห็นต้องเป็นแฟนเลย”

     “อ๋อ อยากให้เขาสวีทด้วยสินะ”

     รามิลถลึงตาใส่อีกครั้ง เขากำลังจะข่วนหน้าคนที่พูดเหมือนอ่านความคิดออก แต่ต้นน้ำก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

     “เราว่าไปคุยกับพี่เขตเถอะมีน เรื่องบางอย่างก็ควรพูดออกมาตรงๆ ปรับความเข้าใจกันแต่เนิ่นๆ ปัญหาจะได้ไม่บานปลาย”

     “อืม เราเข้าใจแล้ว ขอบใจนะ”

     รามิลเข้าใจแล้วจริงๆ แต่จะพูดได้ไหมนั้นเป็นอีกเรื่อง อายุที่ห่างกันแปดปีทำให้รามิลกลัวว่าเขตดนัยจะมองเขาเป็นเด็กงี่เง่า จริงจังกับเรื่องไร้สาระ เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนเขาจะชอบดาราหน้าจืดมากจริงๆ ถึงได้เอาแต่กังวลอยู่อย่างนี้

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ไม่อร่อยเหรอ” เขตดนัยหันมาถามคนที่หยิบคุกกี้เข้าปากด้วยท่าทางเหม่อลอย วันนี้รามิลไม่มีเรียนเขาจึงชวนมานั่งเล่นที่บ้าน เหตุผลที่ยกมาบังหน้าคืออยากให้ชิมคุกกี้เนยสด แต่เหตุผลจริงๆ คือเขาอยากใช้เวลาร่วมกับเด็กแสบ

     “อร่อยครับ”

     “แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้น”

     “ผมเครียดเรื่องเรียนนิดหน่อย ใกล้สอบทีไรก็เป็นอย่างนี้ประจำแหละครับ อย่าใส่ใจเลย” รามิลฉีกยิ้มให้ร่างสูง เก็บความกังวลเอาไว้ในใจ ช่วงนี้พวกเขาไม่ค่อยมีเวลาไปไหนด้วยกัน เขตดนัยยุ่งอยู่กับการทำงาน ส่วนเขาก็ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ถ้าวันไหนเขาว่างเขตดนัยก็มักจะชวนมาเที่ยวที่บ้าน เช่นวันนี้เป็นต้น

     ตอนนี้เขตดนัยผันตัวมาทำงานเขียนบทละคร เขาได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ใจดีในวงการที่มองเห็นความสามารถ เขตดนัยเคยแสดงละครมามากมาย และหลายเรื่องเขาก็ช่วยผู้กำกับปรับบทที่คิดว่าไม่เหมาะสม ทำให้มีคนมองเห็นพรสวรรค์ด้านอื่นในตัวเขานอกจากการเป็นนักแสดง

     “พี่เขต” รามิลเรียกคนตัวสูงอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เขตดนัยกำลังทำงานในโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนตัก ส่วนเขานั่งข้างๆ มองอีกฝ่ายทำงานไปพลางกินคุกกี้ไปพลาง

     “ว่าไง”

     “วันนี้ต้นน้ำเอาข่าวความรักดารามาให้ดู” รามิลลองเกริ่นนำเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

     “เราตามข่าวดาราคนอื่นด้วยเหรอ นึกว่าตามแต่ข่าวพี่” เขตดนัยพูดยิ้มๆ เขาหมายถึงตอนที่รามิลขัดขวางเขากับวายุด้วยการกุเรื่องเป็นแฟนคลับขึ้นมา

     “ไม่ได้ตามหรอก ต้นน้ำแค่เอามาให้ผมดูเฉยๆ แล้วในข่าวก็ไม่ได้ระบุชื่อด้วย”

     “อย่าไปสนเรื่องพวกนี้เลย เขาไม่บอกแปลว่าเขามีเหตุผล การเป็นดารามันต้องคิดเยอะ ไม่ใช่นึกอยากจะบอกก็บอกได้ ด้วยอาชีพการงานบางทีก็จำเป็นต้องปิด”

     “ครับ” รามิลรับเสียงอ่อย ความมั่นใจที่มีหายไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าเขาได้คำตอบแล้ว ถึงแม้เขตดนัยจะไม่ได้แสดงละครแต่ก็ยังมีชื่อเสียงในวงการอยู่ดี คงอยากปิดมากกว่าเปิดเผยเหมือนกันสินะ

     “เป็นอะไร เครียดเรื่องสอบอีกแล้วเหรอ” เขตดนัยละสายตาจากโน้ตบุ๊ก เขาจับหน้าเด็กแสบให้หันมาหา “มีนของพี่เก่งอยู่แล้ว พี่เชื่อว่ามีนทำได้ มั่นใจในตัวเองเข้าไว้”

     รามิลไม่ตอบแต่สะบัดหน้าหนี เขตดนัยมองตามอย่างงุนงง เขารู้ว่าไม่ควรทำตัวพาลแต่มันอดไม่ได้ แค่คิดว่าต้องเป็นแฟนลับๆ บอกใครไม่ได้ แสดงออกก็ไม่ได้ ความน้อยใจก็ถาโถมเข้ามา แค่อยากมีโมเมนต์ดีๆ เหมือนคู่รักทั่วไปเขาหวังมากเกินไปสินะ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พอแล้วครับพี่เขต เยอะเกินไปแล้ว” วายุรีบร้องห้ามเมื่อเขตดนัยหยิบกล่องขนมให้ไม่หยุด วันนี้เขาชวนเขตดนัยมาทานข้าวที่บ้าน อีกฝ่ายเลยเอาขนมที่ทำเองมาให้ แต่ดูเหมือนจะเยอะเกินไปหน่อย

     “พี่เอามาเผื่อสกายด้วย อร่อยแน่นอนรับประกัน”

     “เรื่องอร่อยผมรู้อยู่แล้วครับ แต่พี่เขตไม่เก็บไว้ให้มีนบ้างเหรอ” วายุรู้ว่ารามิลชอบของหวานมาก และเขตดนัยก็มักจะใช้ขนมเป็นข้ออ้างชวนเด็กหนุ่มมาหาเสมอ

     “พี่เก็บไว้แล้ว อีกอย่างพักนี้มีนก็ดูเหมือนไม่ค่อยว่าง ชวนมาทีไรปฏิเสธทุกที” อันที่จริงท่าทางของเด็กแสบเรียกว่าดูแปลกไปน่าจะเหมาะกว่าไม่ว่าง แต่เขตดนัยไม่แน่ใจว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าจึงพูดไปอย่างนั้น

     “เอ่อ...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ” สกายพูดขึ้นมา

     “ได้สิ”

     “มีนมันไปคุยกับพี่เขตเรื่องข่าวยังครับ”

     “ข่าว? ข่าวอะไร”

     เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิด รามิลยังไม่ได้คุยกับเขตดนัยจริงๆ ด้วย มิน่าพอพูดถึงเขตดนัยเพื่อนของเขามักจะทำหน้าหงิกเหมือนคนงอน

     “พี่ไปถามมันเองดีกว่าครับ ผมเป็นคนนอก พูดไปอาจไม่เหมาะเท่าไหร่”

     “พี่เขตกับมีนทะเลาะกันเหรอครับ” วายุถามด้วยความเป็นห่วง เขตดนัยรีบส่ายหน้า

     “ไม่ได้ทะเลาะ พี่ว่าพี่ทำตัวดีทุกอย่างนะ ทั้งเอาใจใส่ ทั้งตามใจ ไม่เคยทำอะไรให้มีนโกรธเลย”

     “เชื่อผมเถอะครับว่ามันกำลังงอนพี่ ทางที่ดีพี่เขตรีบไปง้อเถอะ”

     เขตดนัยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม “สกายบอกพี่ได้ไหมว่ามีนงอนเรื่องอะไร เกี่ยวกับข่าวที่เราถามตอนแรกหรือเปล่า”

     สกายชั่งใจอยู่สักพัก เขาอยากให้คนสองคนปรับความเข้าใจกันเอง แต่ในเมื่อคนหนึ่งไม่ยอมพูดออกไป ส่วนอีกคนก็ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลย เขาจึงกลัวว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างอาจบานปลายไปมากกว่านี้

     เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ มองไปยังคนที่กำลังรอคำตอบ

     “ก็ได้ครับ แต่ก่อนจะบอกผมขอถามอะไรหน่อย”

     “ว่ามาเลย”

     “พี่เขตจริงจังกับเพื่อนผมหรือเปล่าครับ”

     เขตดนัยงงนิดหน่อย เขาไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันอยู่หรือเปล่า แต่เขาก็เลือกที่จะตอบความจริง

     “พี่จริงจัง จริงจังมากด้วย พี่เคยบอกมีนว่าพี่ชอบมีน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว พี่รักมีน และถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มีนรักพี่เหมือนกัน”

     “ขอบคุณครับ เท่านี้แหละที่ผมอยากได้ยิน” สกายยิ้มให้เขตดนัยก่อนจะเริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง เขามั่นใจว่าสิ่งที่กำลังทำไม่ใช่การยุ่งไม่เข้าเรื่อง หนึ่งคือรามิลเป็นเพื่อนสนิท การหวังดีต่อเพื่อนไม่มีทางผิดอยู่แล้ว สองคือเขาเชื่อใจเขตดนัย เชื่อใจคำพูดที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ในเมื่อเขากล้าเชื่อใจ รามิลก็ควรเชื่อในตัวเขตดนัยเหมือนกัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “มาที่นี่ทำไมครับ” รามิลเอ่ยถามเมื่อเขตดนัยพามาห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง วันนี้เขามีเรียนแค่ช่วงเช้า พอเรียนเสร็จแล้วกำลังจะกลับหอ ดาราหน้าจืดก็มาหาเขาถึงมหาวิทยาลัย

     “ดูหนัง” คำตอบสั้นๆ ของร่างสูงทำให้เด็กหนุ่มตาโต ถ้าเป็นปกติรามิลคงไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้ในหัวเขามีแต่เรื่องปกปิดความสัมพันธ์ จึงอดตกใจไม่ได้

     “แล้วไม่ต้องทำงานเหรอครับ ไหนว่าช่วงนี้งานยุ่ง”

     “ให้ทำแต่งานอย่างเดียวพี่คงเป็นบ้าก่อนขอเราแต่งงานพอดี งานมันไม่หนีไปไหนหรอก พี่กลัวคนแถวนี้หนีมากกว่าถ้าไม่พามาเดตบ้าง”

     รามิลไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดีระหว่างคำว่าแต่งงานกับเดต เขาเผยอปากค้าง อยากพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออก เขตดนัยมองท่าทางนั้นด้วยสายตาเอ็นดู

     “ดะ...เดตอะไร ยังไม่ใช่แฟนกันซะหน่อย แล้วเรื่องแต่งงานก็อย่าหวังเลย ถึงขอผมก็ไม่แต่งหรอก”

     “แน่ใจเหรอว่าไม่อยากแต่ง”

     รามิลเม้มริมฝีปาก รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเขตดนัยทำให้เขาหน้าร้อนวูบวาบ ราวกับถูกล่วงรู้ความรู้สึกข้างในแล้ว เด็กหนุ่มเดินหนีเข้าไปในห้าง ทิ้งให้คนตัวสูงอยู่ในลานจอดรถ คนอะไรพูดเองเออเองไม่ถามความสมัครใจสักคำ แล้วเขาจะยิ้มทำไมเนี่ย แค่อีตาดาราหน้าจืดพูดเหมือนจะขอแต่งงานไม่เห็นมีอะไรน่าดีใจเลย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “เอาแขนออกเถอะครับพี่เขต” รามิลพูดเสียงเบา พยายามแกะแขนที่พาดอยู่บนไหล่

     “พี่ขับรถมาตั้งนาน เมื่อยแขนไม่ใช่เล่น ขอพักแขนหน่อยไม่ได้เหรอ” เขตดนัยทำหูทวนลม ไม่สนว่าเด็กแสบจะคัดค้านยังไง เขาดึงอีกฝ่ายมาเดินใกล้ๆ ภาพที่ออกมาจึงดูเหมือนคู่รักไม่มีผิด

     “ถ้ามีคนแอบถ่ายรูปไปทำข่าวจะลำบากนะครับ” รามิลมองไปรอบตัวอย่างระแวง ห้างสรรพสินค้าที่เขตดนัยพามาเป็นห้างขนาดใหญ่ เขาจึงกลัวว่าจะมีคนเห็น

     “ก็ให้เขาถ่ายไปสิ”

     “ทำไมพี่เขตพูดเหมือนไม่สนใจเลย”

     “ก็พี่ไม่สนจริงๆ”

     รามิลหันไปมองคนพูด เขาทั้งตกใจและแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน “ไหนว่าไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องของเราไงครับ”

     “พี่พูดแบบนั้นตอนไหน”

     รามิลอึกอัก เขารีบร้อนไปหน่อยเลยไม่ทันระวังคำพูด เขตดนัยหยุดเดิน หันมามองคนตัวเล็กพร้อมกับคาดคั้นเอาคำตอบ

     “ว่าไงครับ พี่ไปพูดแบบนั้นเมื่อไหร่”

     “กะ...ก็วันนั้นที่ผมถามเรื่องดารา...”

     “มีนถามเรื่องดาราไม่ได้ถามเรื่องพี่ ถ้าอยากถามเรื่องพี่ก็พูดมาตรงๆ สิ”

     รามิลปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไรต่อ เขตดนัยถอนหายใจ เขาจูงมือเด็กหนุ่มเข้าไปในห้องลองเสื้อในร้านเสื้อผ้า ยกมือคร่อมเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน

     “พี่เขต! ทำอะไรเนี่ย”

     “อยู่ในนี้ด้วยกันนี่แหละ จนกว่าจะคุยรู้เรื่อง”

     “คุยอะไร ไม่เห็นมีอะไรต้องคุย” รามิลหันหน้าหนี ก่อนจะถูกปลายนิ้วของร่างสูงเชยคางให้หันกลับมา เขาเผลอสบตากับเขตดนัย ดวงตาคู่นั้นดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

     “กำลังกังวลเรื่องข่าวเมื่อวันก่อนอยู่ใช่ไหม”

     พอถูกแทงใจดำเด็กหนุ่มก็สะดุ้งเล็กน้อย รามิลอยากหลบสายตาแต่ทำไม่ได้ จึงได้แต่พยักหน้า

     “พี่ยุ่งอยู่กับงานเลยไม่รู้ว่ามีข่าวแบบนั้นออกมา แต่ไม่ได้แปลว่าพี่ไม่สนใจนะ”

     “เมื่อกี้พี่ยังพูดว่าไม่สนอยู่เลย”

     “ใช่ พี่ไม่สนว่าใครจะเอาเรื่องของเราไปทำข่าว แต่ที่บอกว่าสน พี่หมายถึงเรา”

     รามิลนิ่งอึ้ง เขาเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย เขตดนัยยกยิ้ม มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากออกแผ่วเบา

     “คิดเหรอว่าพี่จะไม่รู้ตัวว่าวันนั้นโดนถ่ายรูป แล้วถ้ามีคนถ่ายรูปก็จะถูกเป็นข่าว”

     “หมายความว่ายังไงครับ”

     “ก็หมายความว่าพี่ตั้งใจให้เรื่องของเราเป็นข่าวไง”

     รามิลตาโต นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่าจะได้ยิน เขานึกมาตลอดว่าเขตดนัยกลัวจะเป็นข่าวกับเขา แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมากลับตรงกันข้ามทุกอย่าง

     “พี่ทำอย่างนี้ทำไม”

     “ทีแรกก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่ใครล่ะทำให้หึง พี่เลยต้องประกาศให้คนทั้งประเทศรู้ว่าเด็กคนนี้มีเจ้าของแล้ว ห้ามจีบ ห้ามมอง ห้ามมายุ่ง”

     ยิ่งได้ฟังรามิลก็ยิ่งอึ้ง เขาไม่นึกเลยว่าเรื่องราวทุกอย่างจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ เขตดนัยขยับหน้ามาใกล้ สายตาที่มองมาบอกถึงความรู้สึกทั้งหมด

     “ต่อให้พี่ยังเป็นดาราแต่เรื่องความรักมันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าแฟนคลับหรือใครก็มากำหนดชีวิตพี่ไม่ได้ พี่ไม่สนว่าใครจะมองยังไง คนเดียวที่พี่สนคือมีน เราใช้ชีวิตของเราไป อยากไปไหนอยากทำอะไรก็ทำ คนอื่นจะคิดยังไงช่างเขา”

     “แล้วถ้านักข่าวถามล่ะครับ”

     “พี่ก็จะพูดความจริงว่าคบกับเราอยู่ ความรักไม่เกี่ยวกับผลงานในวงการ ไม่มีกฎบอกว่าดาราห้ามคบผู้ชายด้วยกัน ใครรับได้ก็รับ ใครรับไม่ได้นั่นเป็นปัญหาของเขา ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเก็บมาใส่ใจ”

     ทุกคำพูดของเขตดนัยล้วนหนักแน่น และมันทำให้ความกังวลในใจหายไปในพริบตา รามิลรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก แค่นี้ก็พอแล้วที่เขาต้องการ ไม่จำเป็นต้องตะโกนให้คนทั้งโลกรู้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสนใจ แค่ไม่ปฏิเสธการมีตัวตนของเขา ไม่หลบๆ ซ่อนๆ เขาก็พอใจแล้ว

     รามิลอมยิ้มเมื่อความสบายใจกลับมาอีกครั้ง เขตดนัยกำลังจะเอ่ยแซว แต่จู่ๆ เด็กแสบก็โพล่งขึ้นมาด้วยใบหน้าตื่น

     “เดี๋ยวสิครับ เรายังไม่ได้คบกันซะหน่อย พี่เขตพูดเองเออเองอีกแล้วนะ”

     “แน่ใจเหรอว่าไม่อยากคบกับพี่ ที่คิดมากนี่ไม่ใช่เพราะมีใจให้พี่แล้วเหรอ”

     รามิลเม้มปากเมื่อถูกแทงใจดำครั้งที่สอง เขตดนัยโน้มหน้ามาใกล้กว่าเดิม จมูกโด่งเป็นสันแตะเข้ากับปลายจมูกของเขา

     “ว่าไงครับ รักพี่แล้วใช่ไหม”

     “...ไม่อยากรัก”

     “หือ? มีนว่าไงนะ” เขตดนัยถามซ้ำเพราะเด็กแสบเอาแต่พูดในลำคอ

     “ไม่อยากรักสักนิด หน้าตาก็จืด ชอบทำให้หงุดหงิด ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมอง จะดังอะไรนักหนา”

     “เดี๋ยวๆ มีนพูดอะไรอยู่” ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่รามิลพูดเกี่ยวอะไรกับคำถาม

     “ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ผมกำลังบอกรักพี่อยู่นะ”

     คราวนี้คนที่อึ้งกลับเป็นเขตดนัยเสียเอง ที่ถามไปอย่างนั้นเขาก็แค่แหย่เล่นถึงจะแอบหวังจริงๆ ก็เถอะ แต่เขาไม่นึกว่ารามิลจะพูดออกมาตรงๆ

     “มีนบอกรักพี่เหรอ แต่เมื่อกี้พี่ไม่ได้ยินคำว่ารักเลยนะ มีนเอาแต่ว่าพี่”

     “ก็พี่ไม่ตรงสเป็กผมสักอย่าง แต่ทำไงได้ล่ะ คนมันรักไปแล้ว” ท้ายประโยครามิลลดเสียงจนแทบกลายเป็นกระซิบ ถึงไม่ส่องกระจกเขาก็รู้ว่าตอนนี้ต้องหน้าแดงมากแน่ๆ เขตดนัยยิ้มกว้าง เขารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังพองโต ภาพเด็กแสบกำลังทำหน้าอึกอักช่างน่ารักจนเขาอยากคว้ามาฟัดแก้มนุ่มๆ เสียตอนนี้เลย

     “มีนพูดจริงนะ ไม่โกหกพี่ใช่ไหม”

     “อยากให้โกหกไหมล่ะ ผมจะได้ถอนคำพูดทั้งหมด”

     “ห้ามถอนเด็ดขาด บอกรักพี่แล้วห้ามคืนคำ พูดคำไหนคำนั้นไม่ให้เปลี่ยนใจ”

     เขตดนัยดึงมือบางมาจับ ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมากๆ ถึงแม้วิธีบอกรักจะแปลกไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอแค่รู้ว่าเด็กแสบรักเขาก็พอแล้ว

     “เราสองคนใจตรงกันแล้ว แปลว่าคบกันได้แล้วใช่ไหม”

     “ใจตรงกันอะไร มีแต่ผมบอกรักพี่คนเดียว”

     เขตดนัยหัวเราะ นึกขำคนที่แม้แต่เวลานี้ก็ยังแสบคงเส้นคงวา ร่างสูงจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากแผ่วเบา ดวงตาสองคู่ประสานกัน

     “พี่รักมีนครับ”

     รามิลตั้งใจจะไม่ยิ้ม แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าเขาจะมาลงเอยกับอีตาดาราหน้าจืด คนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรูหัวใจของเพื่อน

     “ทีนี้ก็คบได้แล้วใช่ไหม”

     “พี่เขตกำลังขอผมเป็นแฟนเหรอ”

     “ใช่”

     “ในห้องลองเสื้อนี่เหรอครับ”

     เขตดนัยนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะออกมา เขามัวแต่ดีใจจนลืมดูสถานที่

     “งั้นคบกันแบบไม่ทางการไปก่อน ไว้พี่จะหาโอกาสเหมาะๆ ขอคบแบบทางการอีกที”

     “มีอย่างนี้ด้วยเหรอครับ”

     “มีสิ” เขตดนัยยิ้มพราย อาศัยจังหวะที่เด็กหนุ่มขำยื่นหน้าไปหอมแก้มฟอดใหญ่ “แต่เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะไม่หนีไปไหน พี่ขอมัดจำไว้ก่อนนะ”

     “พี่เขต!”

     “ไปกันเถอะ ใกล้ถึงเวลาหนังฉายแล้ว”

     เขตดนัยพาเด็กแสบออกมาจากห้องลองเสื้อ รามิลลอบถอนหายใจ โวยวายตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไรแล้วสินะ งั้นคราวนี้เขาจะยกผลประโยชน์ให้จำเลยแล้วกัน

     จุ๊บ

     เขตดนัยชะงักอยู่กับที่ หันไปมองคนที่เขย่งเท้ามาแตะริมฝีปากบนแก้ม รามิลหันไปทางอื่น แก้มที่เขาเพิ่งสัมผัสไปเมื่อครู่ขึ้นสีแดงจางๆ

     “พี่เขตยังมัดจำได้เลย ทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้”

     “…”

     “ผมมัดจำแล้วนะ หลังจากนี้ห้ามมองคนอื่นอีก ถ้าใครมาจีบบอกไปเลยว่ามีคนจองแล้ว”

     เขตดนัยหลุดยิ้ม เขาสอดมือเข้ากับมือบางแล้วกระชับแน่น สายตาที่มองอีกคนทั้งเอ็นดู ขำ และรักใคร่

     “ถึงไม่บอกพี่ก็ไม่มองคนอื่นอยู่แล้ว แฟนน่ารักซะขนาดนี้ ให้มองทั้งวันก็ไม่เบื่อ”

     เขตดนัยจูงมือรามิลไปยังโรงหนัง ตลอดทางเขาเอาแต่ยิ้มไม่หุบ เขาชักอยากเป็นแฟนแบบไม่ทางการไปตลอดแล้วสิ ค่ามัดจำดีต่อใจขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบ




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 38 ★ [24/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 24-01-2023 17:06:18
ตอนที่ 38
จากนี้และตลอดไป


     “ไม่ต้องยิ้มเลย มึงเป็นคนบอกพี่เขตใช่ไหม” รามิลพุ่งเข้าประเด็นทันทีที่เล่าเรื่องตัวเองจบ ต้นน้ำกำลังทำหน้าดีใจ ส่วนอีกคนกลับส่งเสียงหึเบาๆ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างจะออกมาเป็นแบบนี้

     “อะไรทำให้มึงคิดอย่างนั้น”

     “วันนั้นพี่เขตบอกว่าพี่วายุฝากชวนไปทานข้าวที่บ้าน แต่กูปฏิเสธไป แล้ววันต่อมาเขาก็มาพูดเรื่องที่กูกำลังกลุ้มใจ กูเลยรู้ว่ามึงต้องไปพูดบางอย่างกับพี่เขต ไม่งั้นจะพอเหมาะพอเจาะขนาดนี้ได้ยังไง”

     “ฉลาดนี่”

     รามิลส่งค้อนวงใหญ่ให้สกาย เขาไม่ได้โกรธอะไร อันที่จริงเขาควรขอบคุณสกายด้วยซ้ำที่ทำให้เขากับเขตดนัยปรับความเข้าใจกันได้ แต่มันอดค่อนขอดไม่ได้เลยต้องขอสักหน่อย

     “แต่เราว่าสกายคงอยากช่วยมากกว่า อีกอย่างตอนนี้มีนก็ไม่มีเรื่องกังวลแล้ว แถมยังมีแฟนเป็นถึงอดีตดาราดังด้วย มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น เราว่ายิ้มเข้าไว้ดีกว่านะ” ต้นน้ำยิ้มให้รามิล เขารู้สึกดีใจที่คนสองคนที่เขาตามเชียร์มานานสมหวังกันสักที

     “ต้นน้ำก็มีเรื่องดีๆ เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

     “เรา?”

     “ใช่” สกายยิ้มมุมปาก “ใจอ่อนหรือยังล่ะ ได้ข่าวว่าโดนพี่ดินจีบมาสักพักแล้ว”

     ต้นน้ำทำหน้าตกใจปนเก้อเขิน ขณะที่รามิลทำหน้างุนงง

     “พี่ดิน? พี่ชายมึงที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกอ่ะนะ?”

     “ใช่”

     “จริงเหรอต้นน้ำ!” รามิลตาโต รีบหันไปถามคนที่แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดง

     “อืม”

     “ไปเจอกันยังไงล่ะนั่นถึงมาลงเอยกันได้”

     “เรื่องมันยาวน่ะ ว่าแต่สกายรู้ได้ยังไง”

     “พี่ดินมาถามเราว่าไม่ได้คิดอะไรกับต้นน้ำใช่ไหม พอเราถามว่าถามทำไม เขาก็บอกว่าไม่อยากตัดพี่ตัดน้องแค่เพราะชอบคนๆ เดียวกัน”

     รามิลส่งเสียงแซว ขณะที่คนถูกแซวทำหน้าไม่ถูก ใครจะนึกล่ะว่าปฐพีจะไปพูดกับน้องชายอย่างนั้น ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ทำอย่างที่พูดก็เถอะ ขนาดตอนขอจีบยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะพูดออกมา นึกว่าเป็นคนปากแข็งเสียอีก

     แต่เดี๋ยวนะ...

     “พี่ดินบอกสกายเหรอว่าชอบเรา”

     “ใช่”

     สีหน้าต้นน้ำเปลี่ยนไปทันที ริมฝีปากบางคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง คล้ายเจ้าตัวกำลังดีใจบางอย่าง

     “หึๆ ดูเหมือนความพยายามของพี่เราจะไม่สูญเปล่าแล้วสินะ”

     “ไม่ต้องมาแซวเลย ทีตัวเองชิงมีแฟนคนแรก เพื่อนจะมีบ้างไม่ได้หรือไง”

     “ก็ไม่ได้จะห้ามซะหน่อย ออกจะโล่งอกด้วยซ้ำ ในที่สุดก็มีคนรับนิสัยบ้างานของพี่เราได้”

     ต้นน้ำหัวเราะเบาๆ แต่ในใจแอบทักท้วง ในสายตาคนอื่นปฐพีเป็นชายหนุ่มผู้จริงจังกับงานก็จริง แต่สำหรับเขาปฐพีเป็นผู้ชายร้ายกาจจนบางครั้งเขายังตามไม่ทัน

     “ว่าแต่พี่วายุจะให้ของขวัญอะไรมึงวะ สัปดาห์หน้าก็วันเกิดมึงแล้ว”

     ทันทีที่รามิลพูดจบรอยยิ้มบนใบหน้าสกายก็จางหายไป กลับกลายเป็นบึ้งตึงจนเขางงว่าถามอะไรผิดหรือเปล่า

     “พี่วายุไม่พูดถึงของขวัญเลย แถมให้กูกลับไปนอนบ้านตัวเองด้วย บอกว่าวันเกิดทั้งทีอยากให้กูอยู่กับครอบครัวบ้าง”

     “เขาก็ทำถูกแล้วนี่ วันเกิดลูกก็ต้องอยู่กับพ่อแม่สิ”

     สายตาหงุดหงิดที่มองมาทำให้รามิลงงอีกครั้ง แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ยิ้มออกมา

     “อย่าบอกนะว่ามึงไม่อยากห่างพี่วายุ”

     สกายไม่ตอบอะไร มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆ ที่ทำให้รามิลรู้ว่าเขาเดาได้ถูกต้อง รามิลกับต้นน้ำอมยิ้ม แววตาเป็นประกายล้อเลียน จนร่างสูงทนไม่ไหวต้องพูดออกมา

     “ยิ้มอะไรกัน”

     “ยิ้มให้คนติดแฟน”

     “เออ กูติดแฟน ติดมากด้วย” สกายตอบรามิล กับเพื่อนสนิทเขาไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดถึงพ่อแม่ แต่วันเกิดตั้งสัปดาห์หน้า ไม่รู้ทำไมวายุถึงให้เขากลับบ้านตั้งแต่พรุ่งนี้ เอาไว้ค่อยกลับก่อนวันเกิดไม่ได้หรือไง ไม่รู้เหรอว่าการไม่ได้นอนกอดกันมันทรมานแค่ไหน

     “ทำไมไม่ชวนพี่วายุไปด้วยล่ะ สนิทกันไม่ใช่เหรอ” ต้นน้ำหมายถึงครอบครัวสกายกับครอบครัววายุ

     “เราชวนแล้ว แต่พี่วายุบอกว่าติดงานไปด้วยไม่ได้”

     “เอาน่า ห่างกันไม่กี่วันไม่ตายหรอก วันเกิดมึงตั้งสัปดาห์หน้าไม่ใช่เหรอ”

     “พี่วายุอยากให้กูกลับบ้านพรุ่งนี้เลย”

     รามิลกับต้นน้ำทำหน้างง อย่าว่าแต่เพื่อนเลย สกายเองก็งงไม่ต่างกัน ทีแรกเขาจะขอกลับก่อนวันเกิด แต่วายุดันโทรไปบอกพ่อเขาเรียบร้อยแล้วว่าจะกลับพรุ่งนี้ สกายไม่เข้าใจว่าทำไมวายุถึงทำแบบนี้ แต่เพราะไม่อยากทะเลาะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเขาจึงยอมตกลง ทั้งที่ในใจอยากคัดค้านใจจะขาด

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุ”

     เจ้าของชื่อหันไปมองคนเรียก ยังไม่ทันได้ถามว่ามีอะไรก็ถูกร่างอันใหญ่โตโถมเข้าหาจนล้มไปกับเตียง ท้องฟ้าซุกหน้าเข้ากับซอกคอวายุ นิ่งไปสักพักก่อนช้อนตาขึ้นมอง

     “ผมขอกลับบ้านสัปดาห์หน้าไม่ได้เหรอครับ”

     “พี่บอกอาศิไปแล้วว่าเราจะกลับพรุ่งนี้”

     “ทำไมต้องให้ผมรีบกลับด้วย” ท้องฟ้าพูดเสียงกระเง้ากระงอดผิดกับขนาดตัว เขาไม่อยากทะเลาะกับวายุก็จริงแต่มันอดถามไม่ได้

     “นายมาอยู่บ้านพี่ตั้งนานแล้ว ไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะคิดถึงบ้างเหรอ พี่อยากให้นายได้ใช้เวลาร่วมกับพวกท่านบ้าง” วายุพูดแต่ไม่ยอมสบตา โชคดีที่ท้องฟ้ากำลังหงุดหงิดที่ถูกขัดใจเลยไม่ทันสังเกตเห็น

     “งั้นพี่วายุก็ไปกับผมด้วยสิ”

     “พี่ต้องรีบทำงานส่งลูกค้า เป็นงานเร่ง เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนะ”

     “ก็ผมไม่อยากห่างพี่วายุนี่นา จะไม่ได้นอนกอดกันหนึ่งสัปดาห์เลยนะ พี่วายุไม่คิดถึงผมเหรอ” ท้องฟ้าซุกหน้าลงไปตามเดิม ถูไถแก้มตัวเองกับแก้มอีกฝ่าย เขารู้ว่าถ้าทำแบบนี้วายุจะยอมไปด้วย โดนอ้อนขนาดนี้มีหรือวายุจะใจแข็งอยู่ได้

     “แค่สัปดาห์เดียวเอง พี่ไม่ได้ให้ไปอยู่ถาวรซะหน่อย ถ้าคิดถึงโทรมาก็ได้”

     ท้องฟ้าผงกหัวมาพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง เป็นครั้งแรกที่การออดอ้อนของเขาไม่สำเร็จ

     “ได้ยินแค่เสียงมันจะไปหายคิดถึงได้ไงครับ” เด็กตัวโตเริ่มประท้วงอีกครั้ง

     “วิดีโอคอลก็ได้ แบบนั้นจะได้เห็นหน้าด้วย”

     “ได้เห็นหน้าแต่กอดไม่ได้ หอมแก้มไม่ได้ จูบก็ไม่ได้”

     “ในสมองมีแต่เรื่องพวกนี้หรือไง” วายุเขกหัวเด็กหนุ่มเบาๆ ท้องฟ้ายื่นปากนิดๆ เมื่อเห็นว่าพูดยังไงก็ไม่ได้ผลเขาจึงผละตัวไปนอนข้างๆ แล้วหันหน้าหนี

     “แล้วแต่พี่วายุเลยครับ ผมมันก็แค่ลูกหมาตัวเล็กๆ จะไปเถียงเจ้าของได้ไง เฮ้อ เจ้าของไม่สนใจก็ต้องทนหน่อยนะท้องฟ้า”

     วายุหลุดหัวเราะกับคำตัดพ้อของอีกฝ่าย นึกในใจว่าคนพูดเอาอะไรมาตัวเล็ก เขาเอื้อมมือไปแตะต้นแขนแกร่ง เขย่าเบาๆ สองสามที

     “ท้องฟ้า งอนพี่เหรอ”

     “…”

     “ท้องฟ้า”

     “ผมไม่ได้ยิน ผมหลับไปแล้ว”

     วายุหัวเราะอีกครั้ง เอากับเจ้าลูกหมาสิ งอนเป็นเด็กไปได้ เขาขยับเข้าไปชิดร่างสูง สอดมือไปกอดรอบเอวหนา กดจูบกลางแผ่นหลังกว้างเบาๆ ไม่นานท้องฟ้าก็หันกลับมา

     “เฮ้อ ผมไม่เคยงอนพี่วายุได้จริงๆ สักที”

     “อย่างอนเลย พี่ทำไปเพราะหวังดีกับนายนะ ไม่รักกันไม่ทำอย่างนี้หรอก”

     “พี่วายุพูดขนาดนี้แล้วจะให้ผมงอนต่อได้ยังไง” ท้องฟ้าแสร้งถอนหายใจ ใบหน้าคมกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง ริมฝีปากหนาจรดบนหน้าผาก รั้งศีรษะอีกฝ่ายมาซบอก “ขอบคุณที่หวังดีกับผมนะครับ ไว้ผมกลับมาแล้วเราค่อยมาฉลองวันเกิดกัน”

     “อืม”

     “ผมรักพี่วายุนะ”

     “พี่ก็รักนาย” วายุบอกรักกับแผ่นอกกว้าง แต่ในใจกำลังเอ่ยขอโทษ ขอโทษที่ต้องโกหกออกไปอย่างนั้น แต่เขาจำเป็นต้องทำ ของขวัญวันเกิดที่เขาตั้งใจจะให้ท้องฟ้าเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาเตรียมการพอสมควร

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ไม่เล่นใหญ่ไปหน่อยเหรอ” ชลวัตถามเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นสายตาค้อน

     “ฉันคิดมาดีแล้วน่า นายไม่ต้องห่วงหรอก”

     “เอาลูกโป่งด้วยไหม ร้านฉันมีแถมให้”

     “วัต”

     “ฮ่าๆๆ ขอโทษๆ เห็นนายลงทุนทำขนาดนี้เพื่อแฟนเด็กแล้วมันอดแซวไม่ได้ พี่วายุของเราก็มีมุมโรแมนติกเหมือนกันแฮะ”

     วายุหันหน้าหนี เขาชักไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือเปล่าที่เลือกมาใช้บริการร้านของเพื่อน ชลวัตเป็นช่างภาพอิสระที่มีร้านของตัวเอง ภายในร้านมีภาพแขวนสำเร็จรูปรวมไปถึงกรอบรูปหลากหลายชนิด

     “ตกใจเหมือนกันนะตอนที่นายบอกว่ามีแฟนแล้ว ฉันเคยคิดเล่นๆ ว่าคนอย่างนายไม่น่าจะถูกใจใครง่ายๆ” ชลวัตชวนเพื่อนคุยระหว่างอัดกรอบรูป วายุเอารูปภาพมาให้เขาอัดกรอบทั้งหมดห้ารูป แต่ละรูปบ่งบอกถึงความรักระหว่างคนสองคนได้ชัดเจน จนเขาที่เป็นคนนอกยังรู้สึกได้

     “เห็นฉันเป็นคนเรื่องมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ก็ประมาณนั้น”

     วายุถลึงตาใส่คนที่พูดจาทำร้ายกันได้หน้าตาเฉย แต่เขาไม่เถียงหรอกว่าสิ่งที่ชลวัตพูดเป็นความจริง ทั้งชีวิตเขาเคยมีแฟนแค่สองคนก่อนจะมาเจอท้องฟ้า และสองคนนั้นก็เป็นคนบอกเลิกเขาทั้งคู่ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามักจะเมินเฉย ไม่ใส่ใจความสัมพันธ์ วายุรู้ว่าตัวเองเป็นคนผิด ผิดที่โลกส่วนตัวสูงเกินไป เขาไม่ชอบให้ใครเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครรุกล้ำเข้ามาในชีวิต ที่ผ่านมาจึงไม่เคยมีใครทนเขาได้

     แต่กับท้องฟ้ามันต่างออกไป วายุไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของความต่าง อาจเพราะพวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ความรักความผูกพันจึงมีมากกว่าคนอื่น แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ท้องฟ้าคือข้อยกเว้นของวายุ คือผู้ชายคนเดียวที่เขาเต็มใจให้เข้ามาในชีวิต

     เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น วายุหยิบมาดูก่อนจะเผลอยกยิ้ม ชลวัตมองใบหน้าเพื่อนสนิทแล้วลอบยิ้มตาม เขารู้ได้ทันทีว่าปลายสายคือใคร ตั้งแต่คบกันมาเพื่อนของเขาเคยยิ้มกว้างขนาดนี้ที่ไหน

     “ฮัลโหล”

     [ทำอะไรอยู่ครับ]

     วายุหันไปมองเพื่อนสนิทที่ยังอัดกรอบรูปไม่เสร็จ ที่จริงชลวัตบอกให้มาใหม่วันมะรืน แต่ที่เขายังอยู่เพราะอยากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเพื่อนที่นานๆ จะเจอกันที

     “ทำงานอยู่ แต่คุยได้” วายุคิดว่าเขาไม่ได้โกหก แค่คนที่ทำงานไม่ใช่เขาเท่านั้นเอง

     [เหรอครับ เสียดายจัง]

     “เสียดายอะไร”

     [นึกว่าพี่วายุกำลังคิดถึงผมอยู่ซะอีก]

     วายุหัวเราะเบาๆ ท้องฟ้ามักจะสรรหาคำพูดมาทำให้เขาเขินและยิ้มออกได้เสมอ การคบกับคนที่เด็กกว่ามันดีแบบนี้เองสินะ

     “อืม...คิดถึงดีไหมนะ”

     [พูดแบบนี้หมายความว่าไม่คิดถึงผมเหรอ] เสียงทุ้มเริ่มส่อแววงอแง คราวนี้วายุขำหนักกว่าเดิม ปกติก็ขี้อ้อนอยู่แล้ว แต่พอกลับไปอยู่บ้านตัวเองทั้งขี้อ้อนทั้งขี้น้อยใจ

     “พี่ล้อเล่น ไม่ให้คิดถึงแฟนแล้วจะให้คิดถึงใครล่ะ”

     [ดีนะครับที่พี่พูดในโทรศัพท์ ถ้ามาพูดแบบนี้ต่อหน้าโดนผมจูบไปนานแล้ว]

     วายุหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดเถรตรงของคนในสาย เขารีบเบือนหน้าหนีเพราะกลัวเพื่อนจะสังเกตเห็น

     [อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดผมแล้วนะ]

     “พี่รู้แล้ว”

     [พี่วายุเตรียมของขวัญให้ผมยังครับ]

     “ต้องมีของขวัญด้วยเหรอ แค่พี่รักนายทุกวันนี้ยังไม่พอหรือไง”

     ใบหน้าท้องฟ้าหม่นลงนิดหน่อย แต่ครู่เดียวก็กลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิม [ผมถามไปอย่างนั้นเองครับ ไม่มีก็ไม่เป็นไร แค่ได้อยู่กับพี่วายุก็เหมือนผมได้ของขวัญทุกวันอยู่แล้ว]

     “อาศิกับน้าฉัตรสบายดีไหม”

     [สบายดีครับ พ่อแม่ผมยังพูดเลยว่าอยากให้พี่วายุมาด้วย]

     “ฝากขอโทษพวกท่านด้วย พี่ติดงานไปไม่ได้จริงๆ”

     [ไม่เป็นไรครับ เอาไว้กลับไปแล้วผมเอาความคิดถึงของพ่อแม่ไปฝาก จะฝากทั้งวันทั้งคืนไม่ให้พักเลย]

     วายุหน้าร้อนอีกครั้งเมื่อเข้าใจความนัยที่อีกฝ่ายตั้งใจจะสื่อ ท้องฟ้าหัวเราะเบาๆ ราวกับเดาสีหน้าเขาออก

     “พี่ต้องทำงานต่อแล้ว แค่นี้ก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่” วายุรีบเอ่ยวางสายเมื่อชลวัตหันมามอง

     [เขินจนอยากหนีผมก็บอกมาเถอะครับ]

     “ท้องฟ้า”

     [ฮ่าๆๆ โอเคครับ ผมไม่กวนแล้ว คืนนี้ผมโทรหานะ]

     “อืม”

     [ผมรักพี่วายุนะ]

     “เหมือนกัน”

     วายุเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า พอหันกลับมาก็พบว่าเพื่อนของเขายังมองไม่เลิก

     “มองอะไร”

     “มองคนเขิน”

     “วัต!” คนเดียวยังพอว่า แต่เล่นโดนรุมสองคนแบบนี้เขาชักรับมือไม่ไหว

     “ตอนแรกฉันนึกว่านายคลั่งรักเด็กถึงได้เตรียมของขวัญใหญ่โตขนาดนี้ แต่ฟังจากที่พวกนายคุยกันแล้ว เด็กมันน่าจะคลั่งรักนายมากกว่าว่ะ”

     “มัวแต่พูดอยู่ได้ รีบๆ ทำงานได้แล้ว จะเอาไหมเงินน่ะ”

     “ครับๆ ผมไม่พูดแล้ว เขินทีไรโวยวายกลบเกลื่อนตลอด ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”

     วายุแกล้งทำหน้าดุ ชลวัตเลยเลิกแซวแล้วหันไปทำงานของตัวเอง เขาไม่ใช่คนเขินง่าย แต่ท้องฟ้ากลับทำให้เขาเขินได้ทุกครั้งที่คุยกัน โชคดีที่เขาอายุมากกว่าแค่หกปี ถ้าอายุมากกว่านี้เขาคงหัวใจวายไปนานแล้ว



(มีต่อนะครับ)
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 38 ★ [24/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 24-01-2023 17:06:55
     วายุทิ้งตัวลงโซฟาหลังจัดการอะไรบางอย่างเสร็จเรียบร้อย เป็นวันที่หัวหมุนตั้งแต่เช้าจนแทบไม่มีเวลาพักหายใจ แต่ถึงจะมีปัญหาปลีกย่อยทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ใบหน้าเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏรอยยิ้มเมื่อคิดถึงใบหน้าของคนที่เขาตั้งใจทำทุกอย่างให้

     หวังว่าเจ้าลูกหมาจะชอบของขวัญของเขานะ เพราะมันแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมายที่มาจากหัวใจ

     ชายหนุ่มเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำ ไม่นานหลังจากนั้นป้านิดก็มาบอกว่าท้องฟ้ากลับมาแล้ว วายุแวะส่องกระจกเพื่อเช็กสภาพหน้าตัวเอง เขาไม่อยากให้ท้องฟ้าจับได้ว่าเพิ่งผ่านความเหน็ดเหนื่อยมา

     วายุเดินไปที่ประตูบ้าน เขาตั้งใจจะออกไปรับท้องฟ้า แต่พอพ้นหัวมุมห้องนั่งเล่นก็มีอะไรบางอย่างโถมเข้าใส่ อะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้เจอหน้ามาหนึ่งสัปดาห์

     “คิดถึงพี่วายุที่สุดเลย” เสียงทุ้มที่ดังข้างหูทำให้วายุหลุดยิ้ม เขากำลังจะเอื้อมมือไปกอดตอบ แต่พอเห็นป้านิดกับป้าณีมองมาด้วยสายตายิ้มๆ จากที่กำลังจะกอดจึงเปลี่ยนเป็นดันไหล่อีกฝ่ายออกแทน

     “ท้องฟ้า ปล่อยก่อน”

     “ขอกอดนานๆ ไม่ได้เหรอครับ ผมคิดถึงพี่วายุนี่”

     “เราไม่ได้อยู่กันสองคนนะ”

     “ไม่เป็นไรค่ะ พวกป้าจะไปทำงานต่ออยู่พอดี คุณวายุกับคุณท้องฟ้าตามสบายเลย” ป้าณีพูดด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะชวนป้านิดออกไปจากห้องนั่งเล่น แม่บ้านทั้งสองคนรู้เรื่องที่วายุกับท้องฟ้าคบกันแล้ว คุณเกริกพลเป็นคนบอก เขาอยากให้ทุกคนในบ้านรับรู้ถึงสถานภาพที่เปลี่ยนไปของลูกชายเพื่อนสนิท

     “พี่วายุคิดถึงผมหรือเปล่า” ท้องฟ้าเอ่ยถามเมื่อกลับมาอยู่กันสองคน เขาผละใบหน้าออกพร้อมกับส่งยิ้มให้คนตรงหน้า

     “คิดถึงสิ”

     “ไม่เชื่อครับ ต้องแสดงให้ดูด้วย โอ๊ย!” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อถูกดีดกลางหน้าผาก

     “มาถึงก็หื่นใส่เลยนะ อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้ว่านายหมายถึงอะไร”

     “พี่วายุใจร้าย วันเกิดผมแท้ๆ ยังทำร้ายกันได้ลงคอ” ท้องฟ้าลูบหน้าผากป้อยๆ ทำหน้าน่าสงสารจนวายุอยากซ้ำอีกสักที เขาไม่ได้ดีดแรงเสียหน่อย ทำอย่างกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ ไปได้

     “ไปตีกอล์ฟกับพ่อเป็นไงบ้าง สนุกไหม”

     “ไม่สนุกครับ”

     “อ้าว ทำไมล่ะ”

     “ไม่มีพี่วายุไปด้วย”

     วายุหลุดหัวเราะ ขณะเดียวกันก็รู้สึกดีในหัวใจ ท้องฟ้ามักจะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ้าไม่ใส่ใจกันจริงๆ คงถูกมองข้ามได้ง่ายๆ

     “ไปอาบน้ำก่อนเถอะ กลับมาเหนื่อยๆ จะได้สบายตัว”

     “พี่วายุอาบให้ผมได้ไหม” สายตาที่มองมาวาววับราวกับคนพูดอยากทำมากกว่าสิ่งที่ตัวเองร้องขอ

     “มองขนาดนี้คิดว่าพี่จะยอมอาบให้เหรอ”

     “ตามใจหน่อยไม่ได้เหรอครับ วันเกิดผมทั้งที”

     “ไม่ ไปได้แล้ว”

     “ครับๆ ผมไปก็ได้”

     วายุกลั้นยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเด็กตัวโต เขาเดินตามท้องฟ้าขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสอง ปกติท้องฟ้าจะมานอนห้องเขาก็จริง แต่ทุกครั้งจะต้องแวะเอาเสื้อผ้าในห้องตัวเองก่อน วายุนับหนึ่งถึงสามในใจ ซึ่งก็ตรงตามคาด เพราะพอเขานับถึงสามเสียงโวยวายก็ดังออกมาจากห้องนอนทันที

     “พี่วายุ! ของของผมหายไปไหนหมดครับ”

     วายุแกล้งทำหน้าเหลอหลา เดินเข้าไปในห้องนอนเด็กหนุ่มพลางมองไปรอบๆ ทุกอย่างในห้องหายไปหมดไม่เว้นแม้กระทั่งข้าวของในห้องน้ำ มีเพียงเตียงเปล่าๆ กับเฟอร์นิเจอร์เหลือไว้ให้เห็น

     “ทำไมห้องว่างแบบนี้ล่ะ”

     “ผมต่างหากครับที่ต้องถาม”

     “อืม...สงสัยแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดระหว่างที่นายไม่อยู่ เดี๋ยวพี่ลงไปถามให้ ระหว่างนี้นายไปอาบห้องพี่ก่อนแล้วกัน ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวพี่หามาให้”

     “ครับ”

     ท้องฟ้าเดินออกไปจากห้อง วายุเดินตามออกมา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกับความกังวล เขาได้แต่หวังว่าท้องฟ้าจะชอบ

     วายุเดินตามท้องฟ้ามาเรื่อยๆ แต่เพราะมัวแต่คิดอะไรคนเดียวจึงไม่ทันเห็นว่าคนข้างหน้าหยุดยืนอยู่หน้าประตู วายุชนเข้ากับแผ่นหลังกว้าง เขาเงยหน้ามองอีกฝ่าย สีหน้าท้องฟ้าที่กำลังมองเข้าไปในห้องมีหลากหลายอารมณ์ ทั้งตกใจ งุนงง และตื้นตัน

     “ชอบไหม” วายุย้ายมายืนเคียงข้าง มองเข้าไปในห้องที่มีกรอบรูปแขวนเรียงบนผนัง ทุกรูปล้วนเป็นรูปเขากับท้องฟ้าในอิริยาบถต่างๆ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือแต่ละรูปจะมีแบ็กกราวน์เป็นท้องฟ้าที่ต่างกันออกไป บางรูปท้องฟ้าสดใส บางรูปเป็นท้องฟ้าตอนกลางคืน บางรูปมีเมฆครึ้มปกคลุม และบางรูปก็มีฝนตกลงมา

     รูปทุกรูปท้องฟ้าเป็นคนถ่าย แต่คนเลือกมุมกล้องกับฉากหลังคือวายุ เขาจูงมือท้องฟ้าเข้าไปในห้อง คนตัวสูงยังมีสีหน้างุนงง

     “พี่วายุ นี่มัน...”

     วายุหมุนตัวมาสบตากับเด็กหนุ่ม เขาดึงมือทั้งสองมาจับ ส่งยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักไปให้

     “สุขสันต์วันเกิดครับท้องฟ้า”

     “ผม...ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย ทั้งหมดนี้คือของขวัญของผมเหรอครับ”

     วายุพยักหน้าแทนคำตอบ เขาเขย่งเท้าไปหอมแก้มท้องฟ้า คนที่ทำให้ความเหนื่อยทั้งวันของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง

     “ยังไม่ตอบเลยว่าชอบหรือเปล่า”

     “พี่วายุทำอะไรให้ผมก็ชอบหมดแหละครับ ขอบคุณนะครับ ผมชอบทุกรูปเลย” ท้องฟ้าดึงวายุเข้าไปกอด ริมฝีปากหนากดจูบกลางกระหม่อมซ้ำๆ ราวกับอยากถ่ายทอดความรู้สึกในอกให้อีกคนรับรู้

     “ไม่ถามเหรอว่าทำไมของขวัญถึงเป็นรูปแขวน”

     “เอ๋? มีเหตุผลด้วยเหรอครับ”

     วายุอมยิ้ม เขาผละตัวออกก่อนเขย่งเท้าอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาแตะริมฝีปากไปบนริมฝีปากร่างสูง ค้างไว้ครู่หนึ่งแล้วถอนออก

     “ลองสังเกตดีๆ สิ ทุกรูปมีฉากหลังเป็นท้องฟ้าหมดเลย เพียงแต่เป็นท้องฟ้าที่แตกต่างกัน”

     ท้องฟ้ามองไปตามรูปแขวนแต่ละรูป ก่อนจะพึมพำเบาๆ ว่าจริงด้วย

     “พี่อยากให้รูปพวกนี้เป็นสิ่งแทนใจ ว่าพี่จะอยู่กับนายไปตลอด ไม่ว่าท้องฟ้าจะสดใสหรือหม่นหมอง ไม่ว่าท้องฟ้าจะโปร่งหรือมีเมฆบดบัง ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้ากลางวันหรือกลางคืน พี่ก็จะอยู่เคียงข้างท้องฟ้าผืนนี้ในทุกๆ วัน”

     “พี่วายุ” เสียงของเด็กหนุ่มแผ่วเบา ความตื้นตันพุ่งขึ้นมาจนเต็มอก เขาเข้าใจความหมายของประโยคนั้น ท้องฟ้าที่วายุพูดไม่ได้หมายถึงท้องฟ้าบนฟากฟ้า แต่หมายถึงเขา...เด็กหนุ่มที่วายุตั้งชื่อให้ว่าท้องฟ้า

     “พี่อาจจะแสดงออกไม่เก่ง ไม่ค่อยพูดคำหวานๆ เหมือนคนอื่น แต่อยากให้รู้ไว้ว่าพี่ไม่เคยเสียใจที่เลือกนาย ขอบคุณสำหรับสิบปีที่มั่นคง ขอบคุณที่ในนี้มีแต่พี่มาตลอด” วายุวางมือลงไปบนอกข้างซ้าย ท้องฟ้ายกมือมาทาบทับไว้อีกที รอยยิ้มสดใสถูกคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกว้าง

     “ผมก็ไม่เคยเสียใจที่รอคนๆ หนึ่งมาถึงสิบปี เพราะผมรู้ว่าเขาคนนั้นไม่มีทางทำให้ผมเสียใจ ขอบคุณเหมือนกันครับที่เลือกผม ขอบคุณที่อนุญาตให้ผมอยู่เคียงข้าง” ท้องฟ้าดึงมือวายุมาชิดริมฝีปาก กดจูบลงไปบนหลังมือ สายตาที่แหงนมองบอกถึงความรู้สึกทั้งหมดในหัวใจ “ท้องฟ้าผืนนี้ก็จะอยู่กับพี่วายุไปตลอดเหมือนกัน จะเป็นความสดใส เป็นความสบายใจ เป็นทุกอย่างให้พี่วายุ อยู่ด้วยกันไปอีกเจ็ดสิบแปดสิบปีเลยนะครับ”

     “แน่นอนอยู่แล้ว”

     ท้องฟ้ารั้งวายุมากอด เขามองไปตามรูปแต่ละรูปบนผนัง ทั้งชีวิตเขาเคยได้ของขวัญมากมาย แต่ไม่มีของขวัญชิ้นไหนเทียบของขวัญที่คนในอ้อมกอดให้เขาได้เลย

     “ที่จริงพี่มีของขวัญอีกอย่างเตรียมไว้ด้วยนะ”

     “หืม? อะไรครับ”

     วายุผละตัวออก ส่งสายตาไปยังเตียงที่อยู่ด้านหลัง ท้องฟ้าหันไปมองตาม มันคือเตียงนอนธรรมดา แต่ถ้ามองดีๆ จะรู้ว่าไม่ใช่เตียงเดิมเพราะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ท้องฟ้าหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง วายุยิ้มอ่อนโยน

     “พี่เปลี่ยนเป็นเตียงคิงไซส์ เราสองคนจะได้นอนสบายๆ ส่วนเสื้อผ้ากับของของนายพี่ย้ายมาไว้ห้องนี้หมดแล้ว” วายุไม่คิดจะบอกว่าที่วันนี้เขาหัวหมุนทั้งวันก็เพราะเรื่องเตียง เขาตามหาเตียงที่ถูกใจอยู่หลายร้านจนมาเจอกับร้านนี้ แต่พอถึงวันนี้ที่เตียงจะถูกส่งมา ทางร้านกลับบอกว่าเตียงที่เขาสั่งไปเป็นควีนไซส์ไม่ใช่คิงไซส์ วายุเลยต้องตระเวนหาร้านใหม่ที่มีเตียงถูกใจแถมยังพร้อมขนส่งวันนี้เลย กว่าจะหาเจอเหนื่อยไม่ใช่เล่น

     “พี่วายุ...” เป็นอีกครั้งที่ท้องฟ้าพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น

     “จำได้ไหม วันแรกที่นายมาอยู่ที่นี่ พี่บอกนายว่าไม่อยากให้มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว แต่ตอนนี้ความคิดพี่เปลี่ยนไปแล้ว พี่อยากมีนายในชีวิต อยากให้นายมีส่วนร่วมทุกอย่างในชีวิตพี่ อยากตื่นมาเจอหน้านาย อยากหลับไปพร้อมนาย อยากทำอะไรหลายๆ อย่างไปกับนาย พี่รักนายนะท้องฟ้า”

     ท้องฟ้าไม่ตอบอะไร ฝ่ามือหนาสอดเข้าไปใต้กลุ่มผม รั้งศีรษะให้เงยขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงไปทาบทับ เขาตักตวงความหวานราวกับกำลังชิมขนม ส่งลิ้นร้อนเข้าไปชิมรสชาติภายใน ลิ้มรสความหอมหวานที่ชวนให้เมามายและลุ่มหลง ชิมเท่าไหร่ก็ไม่พอ

     ตอนที่วายุพูดเหมือนไม่มีของขวัญให้ ท้องฟ้ายอมรับว่าแอบน้อยใจนิดหน่อย แต่เขาคิดว่าแค่ได้อยู่กับวายุก็ถือเป็นของขวัญสำหรับเขาแล้ว แต่สิ่งที่วายุทำให้ในวันนี้มันไม่เหมือนการให้ของขวัญ ไม่เหมือนการบอกรัก แต่มันยิ่งใหญ่กว่านั้น มันเหมือนคนๆ นี้กำลังบอกว่าเชื่อใจ ไว้ใจ และอยากฝากชีวิตไว้กับเขา

     “ไม่ใช่แค่พี่วายุหรอกครับ ผมเองก็อยากมีพี่ในทุกช่วงเวลาเหมือนกัน พี่วายุเป็นคนสำคัญ เป็นคนพิเศษ เป็นคนที่ผมอยากให้อยู่ข้างๆ ไปตลอด เป็นคนที่ผมอยากบอกรักทุกวันถึงพี่จะเบื่อฟังแล้วก็ตาม”

     วายุส่ายหน้าจนผมสะบัด รอยยิ้มแตะแต้มไปทั่วใบหน้า

     “พี่ไม่เคยเบื่อเลย อยากได้ยินทุกวันด้วยซ้ำ”

     “งั้นผมจะพูดเช้ากลางวันเย็น สามเวลาหลังอาหารเลย ดีไหมครับ”

     วายุหลุดหัวเราะ เขาแกล้งหยิกเอวเด็กตัวโตเบาๆ ท้องฟ้ารวบร่างบางเข้ามาชิด โน้มหน้าลงมาใกล้จนหน้าผากแนบชิดกัน

     “อย่าบอกนะครับว่าที่ให้ผมกลับไปอยู่บ้านเพราะจะแอบทำเซอร์ไพรส์”

     “ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นจะเรียกว่าของขวัญเหรอ”

     “จะทำให้หลงไปถึงไหนครับ แค่นี้ผมก็โงหัวไม่ขึ้นแล้วนะ” เสียงทุ้มเอ่ยชิดริมฝีปาก วายุยิ้มตอบด้วยแววตาท้าทาย

     “แล้วไม่ชอบเหรอ”

     “ชอบครับ ทำให้ผมหลงอีกเยอะๆ เลยยิ่งดี” ท้องฟ้าช้อนตัววายุขึ้นอุ้ม เดินมาวางบนเตียงหนานุ่มพร้อมกับตามมาทาบทับ “เตียงใหม่นี้ประสิทธิภาพดีแค่ไหน ผมขอทดสอบหน่อยนะ”

     “ไม่อาบน้ำก่อนเหรอ”

     “อาบทำไมครับ เดี๋ยวก็ต้องอาบใหม่อยู่ดี”

     ท้องฟ้าสอดมือเข้าไปในเสื้อยืดเนื้อนิ่ม ลากนิ้วไล้ไปทั่วหน้าท้องแบนราบ วายุเริ่มหายใจติดขัด สายตาที่มองลงมาราวกับพร้อมแผดเผาเขาได้ทุกเมื่อ

     “ผมขอของขวัญเพิ่มอีกอย่างได้ไหมครับ”

     “ถ้าบอกว่าไม่ได้นายจะเชื่อฟังไหม”

     “ไม่ครับ”

     “งั้นก็ไม่ต้องถาม”

     “หึๆ โอเคครับ ผมไม่ถามแล้ว ขอแกะของขวัญเลยแล้วกัน”

     มือของท้องฟ้ารุกรานไปทุกพื้นที่ เพียงเสี้ยวพริบตาร่างกายของวายุก็เปลือยเปล่า เด็กหนุ่มมองของขวัญใต้ร่างด้วยสายตาวาววับ อดไม่ได้ที่จะโน้มลงไปสัมผัส เขาชอบของขวัญชิ้นนี้มากที่สุด เป็นของขวัญที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

     ของขวัญที่มีชื่อว่าวายุ คนที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา ทั้งจากนี้และตลอดไป




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 39 ★ [28/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 28-01-2023 11:26:02
ตอนที่ 39
ผืนดินที่มั่นคง


     “ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องมา เรื่องแค่นี้เอง” ต้นน้ำพูดเสียงอ่อน มองคนที่ทำเป็นหยิบหนังสือบนชั้นมาดู แต่ที่จริงคงอยากหนีคำบ่นเขามากกว่า “พี่ดิน ฟังผมอยู่หรือเปล่า”

     “ฟังสิ”

     “งั้นก็กลับไปทำงานได้แล้วครับ”

     ปฐพีปิดหนังสือในมือ เลื่อนสายตามามองเด็กหนุ่ม ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้จนสายตาอยู่ในระดับเดียวกัน

     “ถ้าพี่บอกว่าไม่ล่ะ”

     ต้นน้ำถอนหายใจดังๆ แบบที่ตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน ปฐพีชอบว่าเขาเป็นเด็กดื้อ แต่วันนี้ตัวเองกลับดื้อเสียเอง

     เรื่องมันเริ่มมาจากปฐพีโทรหาต้นน้ำตอนบ่ายโมง ตอนนั้นต้นน้ำอยู่ในร้านหนังสือ เขาเล่าให้ปฐพีฟังเรื่องที่ตัวเองกำลังตามหาหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเข้าออกกี่ร้านก็ไม่เจอเสียที ต้นน้ำเล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น แต่ปฐพีกลับทิ้งงานที่บริษัทมาหาเขาทันทีเพียงเพราะอยากช่วยตามหาหนังสือ

     “ผมพูดจริงๆ นะพี่ดิน ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ พี่กลับไปทำงานเถอะ”

     คราวนี้ปฐพีเป็นฝ่ายถอนหายใจ ดวงตาคมหรี่ลง คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย

     “ทำไมถึงเอาแต่ไล่”

     “ก็พี่ดินหนีงานมาทำไมล่ะ ผมบอกแล้วว่าหาเองได้”

     “พี่ได้บอกหรือยังว่าหนีงานมา”

     ต้นน้ำทำหน้างง ถึงเขาจะยังเรียนอยู่แต่ก็รู้ว่างานบริษัทไม่ได้เลิกบ่ายโมงแน่นอน ยิ่งคนที่เป็นลูกชายประธานบริษัทอย่างปฐพีไม่น่าจะมีเวลาว่าง

     “พี่ปิดโปรเจกต์ไปแล้ว เหลือตรวจงานของลูกค้านิดหน่อย เอาไว้ช่วยเราหาหนังสือเสร็จแล้วค่อยกลับไปสะสาง” ปฐพีอธิบาย ทันใดนั้นคิ้วที่ขมวดกันก็คลายออก ต้นน้ำรู้สึกโล่งใจที่เขาไม่ได้รบกวนอีกฝ่ายอย่างที่กังวล

     “แต่มาช่วยผมแบบนี้จะดีเหรอครับ ผมไม่รู้นะว่าใช้เวลานานแค่ไหน”

     “หนังสือที่เราอยากได้มันหายากขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ครับ เป็นหนังสือที่เลิกผลิตไปแล้ว แต่ไม่ใช่ผมหรอกที่อยากได้ น้องผมต่างหาก”

     “เรามีน้องด้วยเหรอ”

     “ใช่ครับ เป็นน้องผู้หญิงอายุเจ็ดขวบ”

     หนังสือที่ต้นน้ำกำลังตามหาเป็นหนังสือนิทานเกี่ยวกับดวงดาว น้องสาวของเขาบอกว่าเห็นเพื่อนที่โรงเรียนมีแล้วอยากมีบ้าง ต้นน้ำรับปากว่าจะซื้อมาให้เพราะเขาคิดว่าเป็นหนังสือที่มีวางขายตามร้านทั่วไป แต่พอสอบถามพนักงานจึงรู้ว่าเป็นเล่มที่เลิกผลิตไปนานแล้ว

     “ทำไมเราไม่คิดจะบอกน้องตรงๆ” ปฐพีคิดว่าถึงเป็นเด็กแต่ก็น่าจะเข้าใจได้ มันเป็นเหตุสุดวิสัย ต้นน้ำไม่ผิดที่ทำตามสัญญาไม่ได้

     “ผมไม่อยากผิดสัญญากับน้องครับ อีกอย่างพนักงานก็บอกว่าบางร้านอาจจะยังมีอยู่ ผมเลยอยากตามหาเท่าที่ไหวก่อน แต่บอกตรงๆ ตอนนี้ผมก็เริ่มท้อแล้วเหมือนกัน หามาสามร้านแล้วยังไม่เจอเลย” ต้นน้ำคอตก สีหน้าหมดหวัง เขาไม่คิดจะเลิกตามหา แต่การถูกปฏิเสธซ้ำๆ ทำให้กำลังใจหดหายไปทีละนิด

     มือของปฐพีวางลงบนบ่า พาให้ใบหน้าที่หลุบมองต่ำของต้นน้ำเงยขึ้น ดวงตาทั้งคู่สบกัน ก่อนรอยยิ้มอบอุ่นจะจุดบนริมฝีปาก

     “พี่ถึงมาหานี่ไง เพราะรู้ว่าเราต้องการคนช่วย”

     สายตาอ่อนโยนที่มองเข้ามาในดวงตาทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มกลับมาพองโตอีกครั้ง รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าแทนอาการคอตกเมื่อครู่

     “ขอบคุณครับ”

     มือข้างนั้นตบลงบนบ่าเขาเบาๆ สองสามครั้งก่อนจะผละออกไป

     “ทีนี้ก็เลิกไล่ให้กลับบริษัทได้แล้วใช่ไหม”

     “ไม่ได้ไล่ซะหน่อย ผมนึกว่าพี่ดินโดดงานมานี่นา”

     “เห็นพี่เป็นคนไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “เปล่านะครับ ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น”

     ปฐพีหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางรีบปฏิเสธของคนตรงหน้า มือหนาสอดเข้ากับมือบาง บีบกระชับเบาๆ

     “ไปหากันต่อเถอะ พี่รู้จักร้านหนังสือหลายร้าน มันต้องมีสักร้านสิน่า”

     ต้นน้ำมองคนที่เดินนำข้างหน้า ก้มมองมือที่จับกันอยู่ ทันใดนั้นริมฝีปากก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ความอบอุ่นจากฝ่ามือค่อยๆ แล่นเข้าสู่หัวใจ

     ปฐพีไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบหรอก แต่เป็นผู้ชายปากแข็งที่ใจดีต่างหาก ใจดีแม้กระทั่งกับเรื่องเล็กน้อย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “มีจริงๆ เหรอครับ!” ต้นน้ำถามซ้ำด้วยความดีใจ เมื่อพนักงานพยักหน้าหลังจากที่เขาเอารูปหนังสือในโทรศัพท์ให้ดู

     “ค่ะ เหลือเล่มสุดท้ายพอดี เล่มนี้ขายดีมาก และร้านเราก็ไม่ได้รับมาเยอะเพราะเลิกผลิตไปนานแล้ว”

     “ผมซื้อครับ แพงเท่าไหร่ก็ซื้อ” ต้นน้ำพูดรัวเร็วจนแทบลืมหายใจ แต่พอมือใหญ่วางลงบนบ่าเขาถึงรู้ตัวว่าตื่นเต้นเกินไปหน่อย

     “รอห่อปกสักครู่นะคะ คุณลูกค้าจะชำระเป็นเงินสดหรือบัตรคะ”

     “เงินสดครับ”

     ต้นน้ำกุลีกุจอยื่นเงินให้พนักงาน เหมือนกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้เขาจะเปลี่ยนใจไม่ขายให้ ปฐพีมองท่าทางตื่นเต้นของเด็กหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดู ครั้งนี้เขาให้ต้นน้ำจ่ายค่าหนังสือเอง เขาอยากให้ต้นน้ำรู้สึกภูมิใจที่ได้ซื้อหนังสือให้น้องสาว

     ต้นน้ำรับหนังสือมาจากพนักงานเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ปฐพีจูงมือออกจากร้าน ร้านหนังสือแห่งนี้เป็นร้านที่หกที่พวกเขามาสอบถาม ต้นน้ำตั้งใจว่าถ้าร้านนี้ยังไม่มีอีกก็จะถอดใจแล้ว แต่โชคดีที่ปาฏิหาริย์มีจริง สายตาที่มองถุงใส่หนังสือจึงเต็มไปด้วยความดีใจจนคนที่เดินด้วยกันรู้สึกได้

     “ดีใจล่ะสิ” มือหนาวางบนหัวก่อนโยกเบาๆ ต้นน้ำหันไปยิ้มให้ปฐพีจนตากลายเป็นสระอิ

     “ดีใจมากๆ เลยครับ ขอบคุณนะครับพี่ดิน” เขาคงหาหนังสือเล่มนี้ไม่เจอถ้าไม่ได้ปฐพีช่วย เพราะร้านนี้เขาไม่รู้จัก ปฐพีเป็นคนพามา

     “รักน้องมากใช่ไหมเราถึงยอมทำขนาดนี้”

     “ก็ต้องรักสิครับ น้องผมทั้งคน ไว้มีโอกาสพี่ดินมาเที่ยวบ้านผมไหมครับ น้องสาวผมน่ารักมากๆ รับรองเห็นแล้วพี่ดินต้องหลงรักแน่นอน” ต้นน้ำชะงักเมื่อเห็นสายตาที่มองมา เขาหัวเราะเสียงเบาเพื่อกลบเกลื่อน “ขอโทษครับ ผมลืมนึกว่ามันคงเร็วเกินไปที่จะชวนมาบ้าน”

     “ใครบอก พี่กำลังดีใจต่างหาก ดีใจที่เราไว้ใจพี่ถึงขนาดอยากให้ไปเที่ยวที่บ้าน” ปฐพียิ้มมุมปาก โน้มใบหน้ามาชิดริมหู “ขอบคุณนะครับที่ชวน แต่ถ้าจะให้ไปบ้านเรา พี่ขอไปทีเดียวตอนจะไปสู่ขอลูกชายเขาดีกว่า”

     สีแดงค่อยๆ ลามไปทั่วใบหน้าขาวเนียน ปฐพีหัวเราะในลำคอ ต้นน้ำเสมองไปทางอื่น นึกค่อนขอดในใจว่ายังไม่ได้บอกชอบเลยจะมาสู่ขอได้ยังไง

     ตั้งแต่วันที่ปฐพีบอกสกายว่าชอบเขา ต้นน้ำก็รอมาตลอด รอให้ปฐพีพูดคำนั้นกับเขาบ้าง แต่ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนด้วยกันกี่ครั้งปฐพีก็ไม่มีทีท่าว่าจะพูดเลย จนเขาเริ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

     ต้นน้ำรู้ว่าปฐพีไม่ใช่ผู้ชายที่จะมาเล่นกับความรู้สึกคนอื่น เขาจึงมั่นใจว่าปฐพีจริงจังในความสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่ทำไมถึงยังไม่บอกชอบเสียที นั่นเป็นสิ่งที่เขาถามตัวเองอยู่ทุกวัน

     ถึงจะอยากได้ยินแค่ไหนแต่ต้นน้ำก็ไม่คิดจะทวงถาม การบอกชอบใครสักคนต้องมาจากความรู้สึกข้างในจริงๆ ต้นน้ำเชื่อว่าปฐพีมีเหตุผลของตัวเอง และเขาต้องได้ยินคำนั้นในสักวันแน่นอน

     เพราะคิดอะไรคนเดียวมาตลอดทาง ต้นน้ำจึงไม่ทันสังเกตว่าพวกเขาเดินมาถึงสวนสาธารณะที่เคยมาด้วยกันคราวก่อน ปฐพีพาเขามานั่งม้านั่งตัวเดิม มือที่จับกันยังคงจับอยู่อย่างนั้น

     “พี่ดินไม่กลับบริษัทเหรอครับ” ต้นน้ำมองไปรอบๆ ก่อนจะหันมาถามคนข้างๆ

     “ไล่อีกแล้ว”

     “ไม่ได้ไล่ครับ แค่สงสัยเฉยๆ”

     “พี่อยากอยู่กับเรานานๆ หรือต้นน้ำไม่อยากอยู่กับพี่” ดวงตาคมที่หันมาสบทำให้เด็กหนุ่มนิ่งงัน แค่ประโยคสั้นๆ กลับทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อ

     “ผม...ผมก็อยากอยู่กับพี่ดิน” สาบานว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ พอโดนสายตาคู่นั้นจ้องปากมันก็พูดออกไปเอง

     ปฐพียิ้มขอบคุณ ดึงมือบางมาวางบนตัก เขาลูบหลังมือต้นน้ำเล่นเบาๆ สายตามองตรงไปข้างหน้า แววตาคู่นั้นดูเหม่อลอย แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังมีเรื่องให้ขบคิด

     “เอ่อ...ขอบคุณนะครับที่ช่วยหาหนังสือให้” ต้นน้ำพูดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้เกิดความเงียบ

     “เราขอบคุณพี่แล้ว”

     “รับไว้อีกสักครั้งเถอะครับ ผมอยากขอบคุณจริงๆ ถ้าไม่ได้พี่ดินผมนึกไม่ออกเลยว่าจะกลับไปบอกน้องยังไง”

     “ถ้างั้นพี่ก็ขอบคุณเราบ้าง”

     “หือ? ขอบคุณอะไรครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้พี่ดินเลย”

     “ทำสิ”

     “อะไรครับ”

     ปฐพีหันมามองเด็กหนุ่ม ริมฝีปากหนายกยิ้มอ่อนโยน “เราคอยอยู่ข้างๆ พี่ไง”

     ต้นน้ำยังไม่หายงง แต่ปฐพีไม่คิดจะขยายความ ร่างสูงหันกลับมาตามเดิม รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางหาย นานแล้วที่เขาไม่ได้หัวโล่งอย่างนี้ อาจจะหนึ่งปี สองปีหรือมากกว่านั้น

     ที่ผ่านมาชีวิตของปฐพีมีแต่การทำงาน เขาคิดเรื่องงานอยู่ตลอดเวลา ปฐพีเชื่อว่าการทุ่มเทเพื่อผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่แล้วความคิดเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อได้รู้จักต้นน้ำ เด็กหนุ่มที่มักจะมีรอยยิ้มติดใบหน้าเสมอ

     ความสดใส ความสบายใจ ความอุ่นใจ ความรู้สึกดีๆ ที่อีกฝ่ายมีให้ทำให้โลกของปฐพีหมุนช้าลง ต้นน้ำทำให้เขาคิดได้ว่าความสุขไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือเป็นรูปธรรม รอยยิ้มที่ไม่มีความกังวลก็เรียกว่าความสุขได้เหมือนกัน

     ทุกวันนี้ชีวิตของปฐพีผ่อนคลายขึ้นมาก เขายังคงทุ่มเทกับการทำงานแต่ไม่บ้าคลั่งเหมือนเมื่อก่อน ปฐพีเพิ่งคิดได้ว่ามุมมองความคิดเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าหากมองว่าการท้วงติงของผู้ใหญ่มาจากความรักที่มีให้บริษัท คือการปกป้องสิ่งที่บิดาของเขาสร้างขึ้นมา เขาก็พอจะเข้าใจและยอมรับได้

     ปฐพีเบนสายตามามองเด็กหนุ่ม สำหรับเขาในตอนนี้ คนที่เป็นความสุขของเขาอยู่ด้วยกันตรงนี้แล้ว ปฐพีถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าเขาชอบต้นน้ำจริงๆ ใช่ไหม แต่มันไม่จำเป็นอีกแล้ว การที่คนๆ หนึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกเรา เท่านี้ก็ชัดเจนพอแล้วว่าคำตอบคืออะไร

     “ต้นน้ำ”

     “ครับ?” เด็กหนุ่มหันมามองร่างสูง สายตาของปฐพีต่างไปจากทุกครั้ง บางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมา

     “พี่ชอบเรา”

     !!!

     ต้นน้ำนิ่งงัน มือที่ถือถุงหนังสือเผลอปล่อยตกลงพื้น ปฐพีก้มลงเก็บมาวางบนม้านั่ง มุมปากยกยิ้มอ่อนโยน แววตาที่มองเด็กหนุ่มเป็นประกายขบขัน

     “เป็นอะไร ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “พี่ดินพูดว่าอะไรนะครับ”

     “พี่...ชอบ...เรา” คราวนี้ปฐพียื่นหน้าไปพูดใกล้ๆ เขาคิดว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย แต่ท่าทางก้มหน้ากับน้ำตาที่ไหลออกมาทำให้ชายหนุ่มตกใจทำอะไรไม่ถูก

     “พี่ดินบอกชอบผมแล้ว รู้ไหมครับว่าผมรอเวลานี้มาตั้งนาน” เสียงเครือของเด็กหนุ่มทำให้ปฐพียิ้มออกอีกครั้ง มือหนาเชยคางให้แหงนเงย สายตาทั้งคู่ประสานกัน ถึงแม้ดวงตาคู่นั้นจะคลอไปด้วยหยาดน้ำแต่ก็มีความดีใจแฝงอยู่ นั่นทำให้ปฐพีรู้ว่าพวกเขาใจตรงกัน

     “ขอโทษที่พูดเอาป่านนี้ พี่อยากมั่นใจว่าชอบเราจริงๆ ค่อยพูดออกมา ไม่รู้ว่าจะทำให้เราคิดมาก” ปฐพีไล้นิ้วเกลี่ยน้ำตาเบาๆ ต้นน้ำส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้ม

     “ผมไม่ได้โกรธครับ ผมเชื่อใจพี่ดิน เชื่อว่าสักวันพี่ต้องพูดออกมา แต่พอได้ยินกับหูแล้วมันรู้สึกดีจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่”

     “พี่อาจพูดช้าไปหน่อย แต่วินาทีที่พี่พูดออกมาขอให้มั่นใจว่าพี่รู้สึกตามนั้นจริงๆ คำว่าชอบของพี่หนักแน่นและมั่นคงไม่แพ้ใครแน่นอน”

     “ผมรู้ครับ ผมเองก็ชอบพี่ดินเหมือนกัน คนที่ชอบเป็นยังไงทำไมผมจะไม่รู้”

     ปฐพียิ้มกว้าง ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ จริงอย่างที่ต้นน้ำบอก พอได้ยินกับหูแล้วมันรู้สึกดีจริงๆ ถึงเขาจะเพิ่งพูดไปแต่มันเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจเมื่อได้ยินอีกคนพูด

     “คบกันนะ” เสียงทุ้มกระซิบริมหู ต้นน้ำพยักหน้ารัวเร็ว เขารอเวลานี้มาตลอด เรื่องอะไรต้องเล่นตัวให้เสียเวลา

     ต้นน้ำโผเข้ากอดปฐพี เงยมองใบหน้าที่ก้มลงมาสบตา ดวงตาที่กลายเป็นสระอิทำให้ปฐพีพลอยยิ้มตาม

     “โล่งอกจังเลยครับ”

     “เรื่องอะไร”

     “ก็ตอนนี้ผมกับพี่ดินเป็นแฟนกันแล้ว เท่ากับว่าพี่ดินไม่ต้องตัดพี่ตัดน้องกับสกาย”

     ปฐพีนิ่งไปครู่หนึ่ง ได้แต่มองใบหน้าทะเล้นของแฟนหมาดๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ยิ้มออกมา นึกขำที่จู่ๆ ก็โดนน้องชายเผาไม่รู้ตัว

     “บอกไว้ก่อนว่าพี่เป็นคนหวงแฟน กับน้องก็ไม่ยกเว้น”

     “แล้วใครว่าผมไม่หวงล่ะครับ ยิ่งพี่ดินเป็นถึงว่าที่ประธานบริษัท ถ้าพูดกันตามตรงผมต่างหากที่ต้องเป็นคนหวง”

     “หึๆ ตกลงชอบพี่เพราะอะไรกันแน่”

     ต้นน้ำลุกขึ้นยืน ปฐพีมองตามด้วยสายตางง เด็กหนุ่มไม่พูดอะไร ยื่นหน้ามาแตะริมฝีปากที่แก้มเบาๆ แล้วผละออก

     “เพราะพี่ดินใจดีกับผมคนเดียว ผมเลยชอบพี่ดินไงครับ”

     เจ้าเด็กนี่! ให้ตายเถอะ

     ปฐพีโอดครวญในใจ อยากถามเหลือเกินว่าใครสอนให้พูดจาแบบนี้ในที่สาธารณะ ไม่รู้เหรอว่ามันทำให้ทรมานแค่ไหน อยากทำมากกว่าหอมแก้มแต่ทำไม่ได้

     ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะรู้ทันความคิด สองเท้าจึงถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ปฐพีลุกขึ้นยืน เป็นจังหวะเดียวกับที่ต้นน้ำวิ่งหนี เขาวิ่งตามอีกฝ่ายไป เสียงหัวเราะลอยมาตามสายลม

     “คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ จับได้เมื่อไหร่น่าดู”

     ต้นน้ำไม่สนคำขู่ สองเท้ายังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ แต่เพราะความยาวของขาที่ต่างกันทำให้ใช้เวลาไม่นานร่างสูงก็ตามมาประชิดได้ในที่สุด

     ปฐพีรวบร่างบางมากอด เสียงหัวเราะค่อยๆ เบาลง ใบหน้าเล็กหันมาแหงนมอง ดวงตาคู่นั้นราวกับตรึงเขาไว้ ใบหน้าพวกเขาค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน ระยะห่างสั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดริมฝีปากร้อนก็ทาบทับลงมาบนริมฝีปากอวบอิ่ม

     จูบของปฐพีแผ่วเบา อ่อนโยนและนุ่มนวล หัวใจของต้นน้ำที่เต้นถี่เพราะเหนื่อยหอบค่อยๆ เต้นช้าลงในจังหวะที่แปลกใหม่ ปฐพีถอนริมฝีปากหลังดูดซับความหวานจนพอใจแล้ว โชคดีที่ตรงนี้เป็นมุมลับตาคน เขาเลยมีโอกาสชิมกลีบปากนุ่มที่เย้ายวนมานาน

     “ขอบคุณนะครับที่เชื่อใจพี่”

     “ขอบคุณเหมือนกันครับที่มั่นคงกับผมมาตลอด”

     ต้นน้ำไม่ได้เชื่อใจปฐพีเพราะเป็นคนที่ชอบ แต่เพราะเขารู้ว่าผู้ชายคนนี้ควรค่าแก่การเชื่อใจ ปฐพีแปลว่าผืนดิน เขาคิดว่าชื่อนี้เหมาะกับอีกฝ่ายที่สุดแล้ว ผืนดินที่ทั้งหนักแน่นและมั่นคง ผืนดินที่เป็นของเขาคนเดียว




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 40 ★ [31/Jan/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 31-01-2023 18:30:29
ตอนที่ 40
ประกาศความเป็นเจ้าของ


     “อยากได้เหรอครับ”

     วายุละสายตาจากช่อกุหลาบ หันมามองคนที่กำลังยิ้มให้เขา

     “เปล่า เห็นสวยดีเลยแวะดูเฉยๆ”

     “อยากได้ก็บอกสิครับ ผมจะได้ซื้อให้”

     “ไม่ต้องหรอก พี่ไม่มีใครให้ถือโชว์” วายุพูดยิ้มๆ เขากับท้องฟ้ากำลังยืนอยู่หน้าร้านเค้ก แต่สาเหตุที่มีช่อกุหลาบวางขายอยู่หน้าร้านเพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรักที่มีดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาถึง

     “ใครว่าผมจะซื้อให้ถือโชว์คนอื่นล่ะครับ”

     “งั้นนายจะซื้อให้พี่ทำไม”

     “ใครๆ ก็อยากซื้อกุหลาบให้แฟนตัวเองในวันวาเลนไทน์ทั้งนั้นแหละครับ ผมยังอยากเลย”

     วายุหัวเราะ เขาถามไปอย่างนั้นเอง เขารู้ว่าทำไมท้องฟ้าถึงอยากซื้อกุหลาบให้ แต่เขาคิดว่ามันไม่จำเป็น สำหรับวายุ ดอกไม้ไม่สำคัญเท่าคำบอกรักที่ท้องฟ้าพูดให้เขาฟังทุกวัน

     “พี่สกาย”

     เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลังทำให้วายุกับท้องฟ้าหันไปมอง เด็กสาวในชุดนักศึกษากำลังยืนยิ้มให้คนที่ตัวเองเรียก

     “มาซื้อเค้กเหรอคะ”

     “เปล่าครับ พอดีแฟนพี่แวะดูดอกไม้หน้าร้านเฉยๆ น้องโบว์ล่ะครับมาซื้อเค้กเหรอ” การเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อเล่นทำให้วายุรู้ว่าสองคนนี้คงรู้จักกันมาก่อน น้องโบว์หันมายิ้มให้วายุเมื่อถูกพูดถึง ก่อนจะหันไปคุยกับร่างสูงเหมือนเดิม

     “ค่ะ ร้านนี้โบว์มาซื้อประจำ พี่สกายลองซื้อไปทานไหมคะ อร่อยนะโบว์รับประกัน”

     “ขอบคุณที่ชวนครับ” ท้องฟ้ายิ้มให้คนตรงหน้า แต่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

     “จริงด้วย ไหนๆ ก็เจอพี่สกายแล้ว โบว์มีของจะให้ค่ะ” เด็กสาวเปิดกระเป๋าของตัวเอง ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมายื่นให้ท้องฟ้า มันคือกล่องช็อกโกแลตที่ถูกห่อด้วยริบบิ้นสีชมพู “ที่จริงโบว์อยากให้วันวาเลนไทน์ แต่วันนั้นโบว์ไปเข้าค่ายอาสาเลยไม่ได้มามหา’ลัย”

     “เอ่อ...”

     “ห้ามปฏิเสธนะคะ ไม่งั้นผู้หญิงจะเสียใจ ขออนุญาตนะคะ โบว์อยากให้พี่สกายเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร” ประโยคหลังเด็กสาวหันมาพูดกับวายุ เขายิ้มกลับไปโดยไม่พูดอะไร

     “ก็ได้ครับ ขอบคุณนะครับ” ท้องฟ้ารับกล่องช็อกโกแลตมาถือ น้องโบว์ยิ้มให้ก่อนจะขอตัวไปซื้อเค้ก ร่างสูงรีบหันมามองคนข้างๆ ทันที ใบหน้าลนลานของเด็กหนุ่มทำเอาวายุงุนงง

     “เป็นอะไร”

     “โบว์เป็นน้องรหัสเพื่อนผม รู้จักกันแบบผ่านๆ เท่านั้น ส่วนช็อกโกแลตนี่น้องเขาคงอยากให้เฉยๆ แต่ผมไม่คิดจะกินอยู่แล้ว”

     “พี่ยังไม่ได้ถามอะไรเลย”

     “ผมกลัวพี่วายุเข้าใจผิด”

     “คิดมากเกินไปแล้ว” วายุโยกหัวเด็กหนุ่มเบาๆ เขายิ้มให้ท้องฟ้าเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร

     “ต้องคิดมากสิครับ ผมยิ่งเสน่ห์แรงอยู่ เกิดพี่วายุหึงจนหนีผมไปจะทำยังไง”

     “พี่ไม่งี่เง่าอย่างนั้นหรอก สบายใจได้”

     “ผมก็ไม่ได้ว่างี่เง่าซะหน่อย จะดีใจด้วยซ้ำถ้าพี่หึงผมจริงๆ แต่หึงอย่างเดียวนะครับ ห้ามหนีไปไหน หึงแล้วต้องอยู่ให้ผมง้อด้วย”

     วายุโคลงหัวให้แฟนเด็ก เขาเปลี่ยนเรื่องโดยการถามถึงร้านอาหารที่อยากไป วันนี้เขามีธุระแถวนี้พอดี เลยถือโอกาสมารับท้องฟ้ากลับบ้าน

     ระหว่างเดินไปที่รถ วายุเหลือบไปมองกล่องช็อกโกแลตที่ท้องฟ้าเอาใส่กระเป๋าไปเมื่อครู่ ดวงตาสีน้ำตาลหม่นลงเล็กน้อย คำพูดที่เขาเพิ่งบอกท้องฟ้ากำลังสวนทางกับความรู้สึกในใจ

     วายุไว้ใจท้องฟ้า เขารู้ว่าท้องฟ้าไม่มีทางโกหกอยู่แล้ว แต่เรื่องของความรู้สึกไม่เข้าใครออกใคร อยู่ที่ว่าจะแสดงออกมาหรือไม่เท่านั้นเอง

     ขนาดยังไม่ถึงวาเลนไทน์ก็มีคนเอาช็อกโกแลตมาให้แล้ว ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ คงมีคนต่อคิวให้ดอกกุหลาบแฟนเขาจนนับไม่ไหว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “แล้วนายก็ลงทุนมาหาฉันเพราะเรื่องแค่นี้น่ะเหรอ” ชลวัตพูดยิ้มๆ ที่จริงเขาอยากขำออกมาแต่กลัวจะโดนโกรธ

     “ก็บอกว่ามีธุระแถวนี้เลยแวะมาหาเฉยๆ ไง ส่วนเรื่องที่เล่าเมื่อกี้ นายถามมาฉันก็ตอบไป มันก็เท่านั้น” วายุยังไม่ยอมรับว่าเขามาหาชลวัตเพราะอยากได้คำปรึกษาจากเพื่อน คิดแล้วก็ขำตัวเอง เรื่องเล็กๆ ที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจแต่เขาดันหยุดคิดถึงไม่ได้ ทั้งที่ผ่านมาสองวันแล้ว

     “มีแฟนฮอตก็ต้องทำใจหน่อยนะ ฉันไม่รู้จักแฟนนายก็จริง แต่ดูจากหน้าตาก็พอจะรู้ว่าคงเนื้อหอมไม่ใช่เล่น”

     “ฉันไม่ได้คิดอะไร” วายุตอบไม่เต็มเสียง เพราะเขารู้อยู่แก่ใจว่ามันคือคำโกหก

     “นายคิด คิดมากด้วย”

     “นายจะมารู้ดีกว่าฉันได้ไง”

     “เผื่อนายไม่รู้นะวายุ เวลานายกังวลอะไรตาของนายมักจะแสดงออกมา จะปิดทำไมวะ นี่เพื่อนนะเว้ย ที่มาหาเพราะอยากปรึกษาไม่ใช่เหรอ”

     วายุถอนหายใจ เขาลืมไปว่าคบกับชลวัตมานานแค่ไหน ทุกครั้งที่เขามีเรื่องไม่สบายใจมีหรือที่ชลวัตจะไม่รู้

     “แล้วฉันต้องทำยังไง” ในเมื่อปิดไม่มิดก็ถามออกไปตรงๆ เลยแล้วกัน

     “ประกาศความเป็นเจ้าของไง”

     “ประกาศความเป็นเจ้าของ?” วายุทวนคำคนตรงหน้า คิ้วขมวดเข้าหากัน ชลวัตพยักหน้า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปาก

     “ของแบบนี้มันต้องหมั่นแสดงตัวบ่อยๆ ให้คนอื่นรู้ว่าผู้ชายคนนี้มีเจ้าของแล้ว และที่สำคัญคือพวกนายยังรักกันดี ไม่มีที่ว่างให้ใครมาแทรก”

     “อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันไปป่าวประกาศกลางมหา’ลัยว่าสกายเป็นแฟนฉัน”

     “ไม่ขนาดนั้น นายก็แค่ไปแสดงความรักให้คนอื่นเห็น ส่วนจะทำยังไงต้องกลับไปคิดเอง”

     วายุทำหน้าลังเล ขณะที่ชลวัตยิ้มเหมือนเป็นเรื่องน่าสนุก เขาไม่แน่ใจว่าควรเชื่อคำพูดของเพื่อนหรือไม่ ที่ผ่านมาเท่าที่เขานึกออก การแสดงความรักที่เขาเคยทำกับท้องฟ้ามีแค่เดินจับมือ วายุไม่คิดจะปกปิดความสัมพันธ์ แต่ให้หอมแก้มจูบปากต่อหน้าคนอื่นก็ไม่ไหวเหมือนกัน เขาจึงคิดไม่ตกว่าวิธีแสดงความรักที่ชลวัตบอกคืออะไรกันแน่

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ทำอะไรอยู่ครับ”

     วายุรีบปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์แทบไม่ทัน เมื่อจู่ๆ ท้องฟ้าก็เข้ามาในห้องทำงาน เขาส่งยิ้มให้ท้องฟ้า พยายามไม่ให้มีพิรุธ

     “พอดีนึกได้ว่ามีงานที่ยังไม่ได้แก้น่ะ ต้องส่งให้ลูกค้าพรุ่งนี้ แล้วนายยังไม่นอนเหรอ” วายุกำลังโกหก เขาจะบอกได้อย่างไรว่ากำลังหาวิธีแสดงความรักกับแฟน เขาอุตส่าห์รอจนแน่ใจว่าท้องฟ้าหลับแล้วจึงแอบออกมาจากห้อง ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตามมา

     “ที่จริงก็นอนไปแล้วแหละครับ แต่มีบางคนหนีออกมาผมเลยตื่น” เด็กหนุ่มพูดพร้อมรอยยิ้ม เดินมาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงาน “ใกล้เสร็จหรือยังครับ”

     “ยังเลย คงอีกสักพัก นายไปนอนเถอะเดี๋ยวพี่ตามไป”

     ท้องฟ้าส่ายศีรษะ เดินอ้อมมาหยุดยืนหลังเก้าอี้ แขนแข็งแรงยื่นมาโอบรอบคอจากด้านหลัง ใบหน้าคมก้มมาเกยคางบนบ่า

     “ผมอยู่เป็นเพื่อนดีกว่า พี่วายุทำงานเสร็จแล้วจะได้ไปนอนพร้อมกัน”

     ถ้าเป็นเวลาอื่นวายุคงรู้สึกดี แต่ตอนนี้เขากลับอยากปฏิเสธความหวังดีของเจ้าลูกหมา ถ้าท้องฟ้าอยู่ด้วยเขาจะหาข้อมูลต่อได้ยังไง ยิ่งเป็นเรื่องที่ให้รู้ไม่ได้เสียด้วย

     “งั้นไปหยิบหนังสือบนชั้นให้พี่หน่อย เอาเล่มซ้ายสุด”

     ท้องฟ้าเดินไปที่ชั้นหนังสือมุมห้อง วายุใช้จังหวะนี้กดออกจากหน้าที่ค้างอยู่แล้วปิดคอมพิวเตอร์ ไหนๆ ก็หาข้อมูลต่อไม่ได้แล้ว เอาไว้ค่อยหาวันอื่นแล้วกัน

     “อ้าว ไม่ทำงานแล้วเหรอครับ” ท้องฟ้าเลิกคิ้วเมื่อเดินกลับมาแล้วพบว่าคอมพิวเตอร์ถูกปิดไปแล้ว วายุรับหนังสือมาวางบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ส่ายศีรษะเบาๆ พลางยกยิ้ม

     “จู่ๆ มันก็ง่วงขึ้นมาน่ะ เอาไว้ตื่นมาค่อยทำต่อก็ได้”

     “งั้นไปนอนกันเถอะครับ เดินไหวไหมหรืออยากให้ผมอุ้ม” สายตาที่มองมาบอกว่าคนถามไม่ได้เป็นห่วงอย่างเดียว วายุมองค้อนกลับไป เด็กหนุ่มจึงหัวเราะ

     “เดี๋ยวสิ” วายุจับแขนท้องฟ้าตอนที่กำลังจะเดินพ้นประตู เขาอึกอักเล็กน้อย สีหน้าลังเลทำให้ท้องฟ้าเอียงคองง

     “อะไรครับ”

     “เอ่อ...คือวันนี้...วันนี้น่ะ...”

     “วันนี้ทำไมครับ”

     วายุกัดริมฝีปาก นึกหงุดหงิดตัวเองที่ไม่สามารถถามออกไปได้ดั่งใจ เขาเบือนสายตาหนี รวบรวมความกล้าอีกครั้งแล้วพูดออกไป

     “วันนี้...มีคนให้ดอกกุหลาบหรือเปล่า” ที่วายุไม่กล้าถามเพราะวันก่อนเขาเพิ่งพูดไปว่าไม่ได้คิดอะไร แต่การมาถามอย่างนี้ก็เท่ากับยอมรับว่าที่จริงเขาก็คิดเหมือนกัน

     “ไหนว่าไม่คิดอะไรไงครับ”

     นั่นไง ไม่น่าถามเลยจริงๆ สายตาล้อเลียนที่ถูกส่งมาทำให้วายุรู้ว่าเขาพลาดเสียแล้ว

     “แค่อยากรู้เฉยๆ ถามไม่ได้เหรอ”

     “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ สำหรับพี่วายุได้เสมอ” ท้องฟ้าคลี่ยิ้ม นึกดีใจที่วายุสนใจเรื่องนี้ เพราะมันทำให้รู้ว่าวายุรักเขา “วันนี้ไม่มีคนเอามาให้ตรงๆ แต่วางอยู่หน้ากระจกรถครับ มีทั้งก้าน ทั้งช่อกุหลาบ ลูกอมช็อกโกแลตก็มีครับ”

     วายุหน้าบึ้งโดยไม่รู้ตัว ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวภายในใจ มันก็แค่วันธรรมดาที่มีคนกำหนดเป็นวันพิเศษ ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กสมัยนี้ถึงตื่นเต้นกันนัก แถมวันวาเลนไทน์จริงๆ คือพรุ่งนี้ ไม่ใช่วันนี้เสียหน่อย

     “เยอะมากเลยเหรอ”

     “ก็เยอะอยู่นะครับ”

     ยิ่งได้ฟังวายุก็ยิ่งบึ้งตึง ต่างกับเด็กหนุ่มที่ยิ้มกว้างขึ้น ท้องฟ้าไม่แน่ใจว่าวายุรู้ตัวหรือเปล่า ว่าตัวเองกำลังแสดงออกชัดเจนว่าหึงหวง แต่เขาไม่คิดจะทักเพราะมันทำให้เขารู้สึกดีมากๆ

     “แต่ไม่ต้องห่วงครับ ผมเอาไปให้อาจารย์ที่รู้จักกันแล้ว บอกว่าเป็นของขวัญตอบแทนที่อบรมสั่งสอนมาตลอด”

     จากใบหน้าบูดบึ้งกลายเป็นรอยยิ้มโล่งอก ท้องฟ้าเกือบหลุดขำแต่ดีที่กลั้นไว้ได้ทัน วายุรู้สึกดีที่ท้องฟ้าไม่ได้รับของจากคนอื่น แต่อีกใจก็อดถามไม่ได้

     “แล้วแบบนี้คนที่ให้ของนายจะไม่เสียใจเหรอ”

     “ไม่รู้สิครับ แต่ผมมีแฟนแล้ว ผมคิดว่าความรู้สึกของแฟนต้องมาก่อนความรู้สึกคนอื่น คงไม่มีใครอยากให้แฟนตัวเองรับของคนอื่นในวันวาเลนไทน์หรอกครับ”

     วายุคิดว่าแก้มของเขากำลังจะแตกเนื่องมาจากยิ้มกว้างเกินไป เวลานี้เขาดีใจจนไม่สามารถเก็บอาการได้เลย แค่คำพูดประโยคเดียวของท้องฟ้ากลับทำให้อารมณ์ขุ่นมัวในใจหายไปหมด ความสบายใจเข้ามาแทนที่

     “แล้วถ้าพรุ่งนี้มีคนเอาของมาให้อีกล่ะ” วายุคิดว่ามีแน่ๆ ขนาดยังไม่ถึงวาเลนไทน์ยังมีคนเอาของมาให้ล่วงหน้าเลย

     “ถ้าเอามาให้กับมือผมคงปฏิเสธไม่ได้ คงต้องรับมาก่อนแล้วค่อยหาทางอีกที”

     วายุอยากถามว่าไม่รับไม่ได้เหรอ เขาไม่อยากให้ท้องฟ้ารับของจากใครทั้งนั้น แต่เขาไม่กล้าพูดออกไป เพราะเท่านี้ก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าพอแล้ว

     “ผมสัญญาว่าจะไม่เอาของคนอื่นขึ้นรถแม้แต่ชิ้นเดียว ตกลงไหมครับ” ท้องฟ้าเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของคนรัก

     “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก พี่ไม่ได้คิดอะไร”

     จนป่านนี้แล้วยังไม่ยอมรับอีก เดี๋ยวก็จับจูบเสียเลยปากจะได้หายแข็ง ท้องฟ้าคิดเล่นๆ ในใจ เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องโดยการชวนอีกฝ่ายกลับห้องนอน

     ระหว่างเดินกลับห้องวายุยังคิดไม่ตก อารมณ์ขุ่นมัวเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดของชลวัตขึ้นมา ทันใดนั้นดวงตาสีน้ำตาลก็ปรากฏรอยยิ้ม ‘วิธีแสดงความรักต่อหน้าคนอื่น’ วายุคิดว่าเขาหาเจอแล้ว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ผมไปก่อนนะครับ” ท้องฟ้าเอ่ยหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เขาเดินอ้อมโต๊ะมาหาวายุ

     “เลิกเรียนแล้วรีบกลับนะ”

     “แน่นอนครับ วันวาเลนไทน์ทั้งที ต้องรีบกลับมาอยู่กับแฟนอยู่แล้ว” ท้องฟ้าโน้มหน้ามาหอมแก้มคนรัก ส่งยิ้มชวนละลายให้ก่อนเดินออกไปจากห้องอาหาร วายุรอจนได้ยินเสียงขับรถออกไปแล้วจึงลุกขึ้นยืน ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องตัวเอง

     วายุเดินลงมาในชุดที่พร้อมออกไปข้างนอก ป้าณีที่กำลังทำความสะอาดห้องนั่งเล่นหันมามองก่อนจะเอ่ยทัก

     “จะออกไปไหนเหรอคะ” ป้าณีถามพร้อมกับมองลูกชายเจ้าของบ้านอย่างแปลกใจ ตั้งแต่เป็นแม่บ้านมายังไม่เคยเห็นคุณวายุแต่งตัวดีขนาดนี้มาก่อน

     “ไปติดปลอกคอให้ลูกหมาครับ”

     “คะ?” คนถามทำหน้างง แต่วายุไม่คิดจะอธิบายเพิ่ม เขาเอ่ยขอตัวกับแม่บ้านก่อนจะเดินไปโรงจอดรถอย่างอารมณ์ดี จุดหมายปลายทางคือมหาวิทยาลัย แต่ก่อนหน้านั้นเขามีที่ๆ หนึ่งที่ต้องแวะไปก่อน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “อีกแล้วเหรอ” รามิลพูดอย่างเบื่อหน่าย เมื่อมาถึงแล้วพบว่าบนโต๊ะที่เพื่อนเขานั่งอยู่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ รามิลรู้ว่าสกายฮอตในหมู่นักศึกษาหญิง แต่การได้ดอกไม้ติดๆ กันตั้งแต่ยังไม่ถึงวาเลนไทน์ทำให้เขาอดหมั่นไส้ไม่ได้

     “เราบอกให้ปฏิเสธไปบ้างก็ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะทีนี้” ต้นน้ำบ่นพลางถอนหายใจ เขากับสกายมาถึงมหาวิทยาลัยก่อนรามิล

     “มึงเอากลับไปหน่อยได้ไหม จะเอาไปทำอะไรก็ได้ กูไม่อยากเอากลับบ้านไปให้พี่วายุเห็น”

     “พูดเหมือนมึงมีแฟนอยู่คนเดียว นี่พี่เขตก็กำชับกูมาว่าห้ามรับดอกไม้จากใครเด็ดขาด ขอโทษว่ะแต่ครั้งนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ”

     “ไม่ต้องมามองเรา พี่ดินก็กำชับมาเหมือนกัน อย่าว่าแต่ดอกไม้เลย ช็อกโกแลตสักชิ้นยังไม่อนุญาต”

     สกายถอนหายใจเมื่อไม่มีใครช่วยเขาได้สักคน เขารู้ว่าไม่ควรรับของขวัญวาเลนไทน์จากคนอื่น แต่จะให้ปฏิเสธรายคนเขาก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้น เลยคิดว่ารับมาให้หมดแล้วค่อยจัดการทีเดียวดีกว่า ไม่นึกว่าจะมืดแปดด้านอย่างนี้

     ขณะที่กำลังคิดว่าถ้าเอาไปทิ้งถังขยะจะดูใจร้ายไปไหม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สกายหยิบมาดูก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย เขากดรับทันที

     “ครับพี่วายุ”

     [ว่างอยู่หรือเปล่า]

     “ว่างครับ อีกสิบนาทีถึงจะขึ้นเรียน”

     [งั้นออกมาหาหน้ามหา’ลัยหน่อยได้ไหม]

     คิ้วที่เลิกขึ้นเปลี่ยนเป็นขมวดเข้าหากัน

     “ตอนนี้เลยเหรอครับ”

     [ใช่ พี่รออยู่ที่เดิม]

     “อ่า...โอเคครับ เดี๋ยวผมรีบไป”

     สกายเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า ท่าทางรีบร้อนทำให้รามิลแปลกใจ

     “เกิดอะไรขึ้น”

     “พี่วายุให้กูไปหาตรงทางเข้า”

     “มึงลืมของเหรอ”

     “เปล่า”

     ใบหน้าคล้ายเครื่องหมายคำถามทำให้สกายรู้ว่าเพื่อนของเขาก็งงเหมือนกัน แต่เพราะกลัววายุรอนานเขาเลยตั้งใจจะกลับมาอธิบายทีหลัง

     “เรากับมีนไปด้วยได้ไหม” ต้นน้ำที่สงสัยไม่แพ้รามิลถามขึ้นมา สกายนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนตอบกลับไป

     “ได้สิ” วายุคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง ยังไงก็รู้จักเพื่อนของเขาอยู่แล้ว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     สกายพารามิลกับต้นน้ำมาที่รถของวายุ ร่างสูงโปร่งกำลังยืนพิงรถ ในมือถือกุหลาบช่อใหญ่ เพื่อนของเขายกมือไหว้อีกฝ่าย ขณะที่เขามองช่อกุหลาบไม่วางตา

     “ใครให้มาครับ” ประโยคแรกที่เจอหน้ากันแฝงความหงุดหงิดอย่างไม่คิดจะปิดบัง สกายลืมไปสนิทว่าจะถามถึงเหตุผลที่เรียกเขามาหา

     “ไม่มี พี่ซื้อมาเอง”

     “ซื้อมาเอง?” สกายทวนคำพลางกะพริบตาปริบ วายุยกยิ้ม เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าร่างสูงพร้อมกับยื่นช่อกุหลาบให้

     “สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ”

     รามิลกับต้นน้ำทำหน้าเหวอ แต่ไม่เท่าเจ้าของดอกไม้ที่นิ่งอึ้งไปแล้วเรียบร้อย วายุดึงมือหนามารับช่อกุหลาบไปถือ เขย่งเท้าไปแตะริมฝีปากบนแก้มอีกฝ่าย ต่อหน้าเหล่านักศึกษาคนอื่นที่มองมา

     “ที่จริงพี่ตั้งใจจะให้ตอนเย็น แต่กลัวนายเห็นคนอื่นได้แล้วจะน้อยใจเลยเอามาให้ตอนนี้เลย ตั้งใจเรียนนะครับ ไว้เรียนเสร็จแล้วพี่มารับไปทานข้าว” วายุเอื้อมมือไปลูบแก้มสกาย ทั้งสายตาและรอยยิ้มทำเอาเด็กหนุ่มพูดไม่ออกอยู่นาน แต่พอตั้งสติได้ใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฏรอยยิ้ม ความดีใจฉายชัดทางสีหน้า

     “ขอบคุณนะครับ ผมนึกว่าจะไม่ได้ดอกไม้จากพี่วายุแล้วซะอีก”

     “เห็นแบบนี้พี่ก็โรแมนติกเป็นนะ ไม่ซื้อให้แฟนแล้วจะซื้อให้ใครล่ะ”

     ขณะที่เด็กหนุ่มดีใจจนยิ้มไม่หุบ ใครจะรู้ว่าคนให้ดอกไม้กำลังซ่อนความประหม่าไว้ภายใต้รอยยิ้ม วายุไม่ถนัดอะไรแบบนี้เลยสักนิด แต่ความหึงหวงทำให้เขากล้าขึ้นมา ตอนแรกเขาไม่มั่นใจว่าจะได้ผลหรือเปล่า แต่พอเห็นสายตาคนรอบข้างที่มองมา วายุจึงรู้ว่าคำแนะนำของชลวัตมีประโยชน์จริงๆ

     “นึกยังไงถึงซื้อให้ครับ”

     “ถามอะไรอย่างนั้น นายพูดเองนะว่าใครๆ ก็อยากซื้อกุหลาบให้แฟนตัวเองในวันวาเลนไทน์”

     “แล้วทำไมพอผมจะซื้อให้บ้างพี่วายุกลับห้าม”

     “ก็พี่ไม่มีคนให้ถือโชว์ แต่นายมี”

     สกายเอียงคองง แต่พอเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างมุมปากก็ยกยิ้ม ทั้งคำพูดที่ดูแปลกไป การกระทำที่ไม่สมเป็นวายุ การแต่งตัวที่ดูดีผิดปกติ ทั้งหมดนี้คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก...

     ดวงตาของเด็กหนุ่มพราวระยับ ถ้าไม่ติดว่าวิชาวันนี้สำคัญเขาจะพาวายุกลับบ้านตอนนี้เลย คนอะไรหึงหวงน่ารักเป็นบ้า ถึงขนาดตามมาแสดงตัวต่อหน้าคนอื่น จะน่ารักไปถึงไหน

     “กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอครับว่าผมมีเจ้าของแล้ว”

     วายุสะดุ้งในใจ แต่เขายังทำเป็นไม่รู้เรื่อง

     “พูดอะไรของนาย”

     “ยังไม่ยอมรับอีกเหรอครับ พี่วายุทำขนาดนี้คิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ”

     สีหน้ารู้ทันของคนตรงหน้าทำให้วายุไปต่อไม่ถูก เขาอึกอักเล็กน้อยก่อนจะถามกลับไปเสียงเบา

     “มัน...ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

     “ยิ่งกว่าชัดอีกครับ” สกายกระตุกยิ้ม โน้มใบหน้ามาชิดริมหู “แต่ผมชอบนะ ชอบให้พี่วายุประกาศความเป็นเจ้าของ แล้วก็ไม่ต้องห่วงครับ ทั้งตัวและหัวใจผมเป็นของพี่ไปนานแล้ว ใครก็มาแย่งไปไม่ได้หรอก”

     ร่างสูงหัวเราะเบาๆ ยามที่ผละหน้าออก สายตาที่ทอดมองใบหน้าแดงเรื่อเต็มไปด้วยความพอใจ สกายบอกลาวายุเมื่อถึงเวลาขึ้นเรียนแล้ว เขากลับเข้ามาในมหาวิทยาลัยโดยมีสายตานับสิบมองตาม

     “ยิ้มไม่หุบเลยนะมึง” รามิลเอ่ยแซว เขามัวแต่อึ้งกับฉากโรแมนติกตรงหน้าเลยเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ

     “ได้ดอกไม้จากคนรักทั้งที เป็นใครก็ต้องดีใจอยู่แล้ว”

     สกายไม่พูดอะไร เขาไม่คิดจะบอกว่าต้นน้ำพูดผิด เขากำลังดีใจก็จริง แต่สาเหตุมาจากเรื่องอื่น สายตาที่ตกลงมองช่อกุหลาบเป็นประกาย ริมฝีปากหนายกยิ้ม กุหลาบที่วายุซื้อมาให้ไม่ต่างอะไรกับกุหลาบที่คนอื่นให้มา แต่สกายกลับชอบมากที่สุด เพราะมันคือดอกกุหลาบที่แสดงให้เห็นว่าเขามีเจ้าของแล้ว

     เด็กหนุ่มเดินขึ้นเรียนพร้อมรอยยิ้ม คิดในใจอย่างอารมณ์ดี ถ้าทุกวันเป็นวันวาเลนไทน์ก็ดีสิ เขาจะได้โดนประกาศความเป็นเจ้าของทุกวัน




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 41 ★ [05/Feb/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 05-02-2023 18:44:23
ตอนที่ 41
ความหมายของกุหลาบสีแดง


     เสียงน้ำตกไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าหวาน รามิลสูดกลิ่นอายธรรมชาติเข้าปอด เท้าสองข้างแกว่งเบาๆ ใต้น้ำ

     “ถ้าพี่ดินมาด้วยก็ดีสิ” เสียงเปรยของคนข้างๆ ทำให้รามิลหันไปมอง เขาส่งยิ้มให้ต้นน้ำ

     “ช่วยไม่ได้ พี่ดินติดงานไม่ใช่เหรอ”

     “เพราะว่าติดงานถึงได้ถอนหายใจอยู่นี่ไง” ต้นน้ำทำปากยื่น เหลือบมามองคนพูด “มีนกับสกายดีจัง ได้มากับแฟน เราสิมาคนเดียว ได้แต่มองคู่รักสวีทกัน”

     “ไม่ได้มาสวีทซะหน่อย มาเที่ยวต่างหาก แล้วเราก็นั่งอยู่กับต้นน้ำตรงนี้ไง”

     ต้นน้ำหัวเราะ พาให้คนที่ตั้งใจจะปลอบมองตาปริบๆ เขาส่ายหน้ายิ้มๆ ให้รามิล แววตาเป็นประกาย

     “เราก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้คิดมากหรอก แต่เราว่ามีนพูดผิดอย่างนึงนะ แทนที่จะบอกว่ามาเที่ยว น่าจะเรียกว่ามาเปิดตัวกับพ่อแม่แฟนมากกว่า”

     รามิลไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่หลบสายตายิ้มๆ ของเพื่อน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงที่อยู่ในน้ำโดยไม่ตั้งใจ แก้มทั้งสองข้างจึงแดงกว่าเดิม

     หลังผ่านการสอบอันโหดหินมา ตอนนี้พวกเขาปิดเทอมแล้ว เขตดนัยจึงชวนทุกคนมาเที่ยวบ้านตัวเองที่เชียงใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้จะอยู่ยาวถึงหนึ่งสัปดาห์ พวกเขามาถึงตั้งแต่เมื่อวาน แต่เพราะความเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวัน โปรแกรมเที่ยวจึงเริ่มตั้งแต่วันนี้ โดยสถานที่แรกที่เขตดนัยพามาคือน้ำตกที่เคยมาคราวก่อน

     รามิลนึกว่าเขตดนัยชวนมาเพราะอยากรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดตอนที่เขตดนัยบอกบิดามารดาว่าพวกเขากำลังคบกัน รามิลไม่รู้ว่าเขตดนัยจะพามาเปิดตัวจึงไม่ได้เตรียมใจมาก่อน แต่โชคดีที่พวกท่านรู้รสนิยมของลูกชายอยู่แล้ว แถมยังเอ็นดูเขาเหมือนลูกอีกคน รามิลจึงดีใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี

     ลึกๆ แล้วรามิลยังกังวลและไม่มั่นใจ เขตดนัยเป็นดาราดังที่คนรู้จักทั้งประเทศ ส่วนเขาเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดา เขาไม่มั่นใจว่าความต่างนี้จะทำให้ความรักยาวนานไปได้แค่ไหน แต่การกระทำของเขตดนัยครั้งนี้ทำให้รามิลหายกังวลทุกอย่าง เขาเชื่อว่าผู้ชายวัยอย่างเขตดนัย การพาแฟนมาเปิดตัวกับพ่อแม่จะไม่มีทางเกิดขึ้นถ้าเขตดนัยไม่รักแฟนคนนั้นจริงๆ ตอนนี้รามิลจึงยิ้มได้อย่างสบายใจ

     “มีน! มาเล่นน้ำด้วยกันสิ” เขตดนัยตะโกนมาจากอีกฟากของน้ำตก ห่างไปไม่ไกลวายุกับสกายกำลังเล่นน้ำเหมือนกัน รามิลส่ายหน้ากลับไป เขายังอยากนั่งชมนกชมไม้ต่ออีกนิด

     เขตดนัยมองใบหน้าของคนรัก ทันใดนั้นมุมปากก็ผุดรอยยิ้ม เขาค่อยๆ ว่ายเข้าไปใกล้โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว พอใกล้ถึงก็ดำลงไปในน้ำ ก่อนจะโผล่พ้นขึ้นมาพร้อมกับดึงขาของเด็กหนุ่มแบบไม่ให้ตั้งตัว

     “เฮ้ย!” รามิลร้องเสียงหลง แต่เพราะเผลออ้าปากตอนอยู่ในน้ำ เมื่อโผล่ขึ้นมาจึงสำลัก เด็กหนุ่มไอไปมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอาฆาตไป พอตั้งหลักได้ก็รัวทุบอีกฝ่ายไม่ยั้ง อีตาดาราหน้าจืดเล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ อายุปูนนี้แล้วยังจะแกล้งกันอีก

     “โอ๊ย! พอแล้วมีน พี่เจ็บครับ พอแล้ว”

     รามิลไม่สนใจฟัง สองมือยังคงประทุษร้ายไม่หยุด โดนไหล่บ้าง หน้าอกบ้าง แขนบ้าง แล้วแต่ว่ามือไปโดนอะไร เขตดนัยรวบมือสองข้างไปไว้ด้านหลัง รั้งเด็กหนุ่มมาชิดกับอกตัวเอง รามิลยังดิ้นไม่หยุด แต่พอสายตาตกลงมองแผ่นอกกว้างที่ไม่มีอะไรปกปิด ร่างกายก็หยุดดิ้นทันที

     “ชอบใช้ความรุนแรงเหรอเรา เขามีแต่ทะนุถนอมแฟน นี่ทำร้ายแฟนซะพรุนไปทั้งตัว”

     “ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย พี่เขตมาแกล้งผมก่อนทำไมล่ะ” รามิลรีบดึงสายตาขึ้นมา แต่พอสบกับดวงตาคมเข้มเขาก็นิ่งไปอีกครั้ง

     “ก็แค่อยากเล่นน้ำด้วยกัน คราวก่อนพี่สัญญากับเราไว้ จำไม่ได้เหรอ”

     รามิลจำได้ แต่ที่เขาไม่พูดออกไปเพราะตอนนี้สมองกำลังเบลอ ลมหายใจที่รินรดใบหน้า ความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวอีกฝ่าย ไหนจะมือแข็งแรงที่จับแขนเอาไว้อีก แบบนี้มัน...ใกล้เกินไปแล้ว

     “มีน เป็นอะไร” เขตดนัยเอ่ยถามเมื่อจู่ๆ รามิลก็เงียบไป เขามองหน้าแดงๆ ของเด็กแสบอย่างไม่เข้าใจ แต่พอก้มมองร่างทั้งสองที่ยืนชิดกันอยู่ในน้ำ ดวงตาของชายหนุ่มก็วาววับขึ้นมา

     ใบหน้าคมโน้มมาชิดริมหู เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก

     “กลางวันแสกๆ แถมยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ยังกล้าคิดลามกกับพี่อีกเหรอครับ”

     !!!

     รามิลตกใจจนผงะถอยหลัง เขตดนัยหัวเราะเบาๆ แววตาขบขันของคนตรงหน้าทำให้เขาทั้งโกรธและอายในเวลาเดียวกัน

     “ผม...ผมไม่ได้คิดอะไร อย่ามาหลงตัวเองหน่อยเลย หุ่นก็งั้นๆ ไม่เห็นมีอะไรน่าสน” รามิลเชิดหน้าขึ้น ข่มความอายเอาไว้ในใจ ถึงจะเป็นแฟนกันแต่ถ้ายอมรับง่ายๆ ก็ไม่ใช่เขา

     “มีนไม่คิดเหรอ แต่พี่คิดนะ”

     “พี่คิดอะไร”

     “ไม่รู้จริงๆ เหรอ”

     รามิลหันมามองคนพูด สายตาเขตดนัยกำลังจับจ้องอยู่ที่เสื้อยืดบนตัวเขา เพราะเป็นเสื้อสีครีมแถมเนื้อผ้ายังบาง เวลาโดนน้ำจึงทำให้เห็นข้างใน แม้จะเลือนรางแต่ก็ถือว่าเห็น

     “อะ...ไอ้พี่เขต!” รามิลรีบยกมือกอดอก เดินลิ่วๆ ขึ้นฝั่งแทบไม่ทัน ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ไล่หลังมาหน้าของเขาก็ยิ่งร้อนผ่าว

     ให้ตายสิ ไอ้ประโยค ‘กลางวันแสกๆ แถมยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ยังกล้าคิดลามกอีกเหรอ’ เขาต่างหากต้องเป็นคนพูด!

     “รีบหาเสื้อมาเปลี่ยนซะ พี่ชอบเพราะมันเซ็กซี่ก็จริง แต่ถ้าคนอื่นอยู่ด้วยพี่ไม่อนุญาต”

     แล้วใครใช้ให้แกล้งจนตกลงไปในน้ำล่ะ ถ้าไม่เล่นบ้าๆ แบบนั้นเสื้อเขาก็ไม่เปียกอย่างนี้หรอก รามิลได้แต่คิดบัญชีในใจ อย่าให้ถึงตาเขาบ้างแล้วกัน จะจับกดน้ำให้ขาดอากาศหายใจไปเลย!

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ไปเล่นน้ำตกสนุกกันไหม” คุณวิษรุตเอ่ยถามระหว่างอาหารมื้อเย็น ครั้งนี้เขาให้ทุกคนมาพักเรือนใหญ่ รามิลกำลังคบหากับเขตดนัย เขาจึงถือว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แขก

     รามิลแอบส่งสายตาเคืองให้คนตรงหน้า ก่อนจะหันไปยิ้มสุภาพให้คนถาม

     “สนุกครับ” แต่จะสนุกกว่านี้ถ้าไม่มีใครบางคนแกล้งเขา รามิลแอบพูดต่อในใจ

     “อยากไปเที่ยวไหนบอกเจ้าเขตได้เลยไม่ต้องเกรงใจ แต่แถวนี้ไม่มีที่เที่ยวนักหรอก มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า”

     “ผมว่าแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบนะครับ ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติตลอดเวลา อากาศก็ดีด้วย” วายุพูดตามความรู้สึก เขาชอบธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เพราะงานฟรีแลนซ์ของตนเองจึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยว

     “ถ้าชอบก็มาเที่ยวบ่อยๆ สิจ๊ะ โดยเฉพาะหนูมีน หลังจากนี้ต้องมาหาพ่อกับแม่บ่อยๆ นะ” คุณภารวียิ้มให้รามิล สรรพนามแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้เด็กหนุ่มพูดไม่ออกชั่วขณะ

     “พ่อ...แม่...” รามิลพูดตามเสียงเบา คุณภารวียิ้มอ่อนโยน

     “ใช่จ้ะ หลังจากนี้หนูมีนมีพ่อกับแม่สองคนนะ”

     รามิลพยักหน้ารับ เขาส่งยิ้มนอบน้อมแทนคำขอบคุณไปให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง เขตดนัยมองใบหน้าซาบซึ้งของคนรัก ก่อนจะละสายตาเมื่อบิดาเอ่ยขึ้นมา

     “แล้วฝั่งพ่อแม่หนูมีนรู้เรื่องนี้หรือยัง”

     “รู้แล้วครับ มีนเป็นคนบอก ผมตั้งใจว่ากลับไปแล้วจะให้มีนพาไปหาพวกท่าน”

     “อืม ไปแสดงตัวกับผู้ใหญ่ให้เรียบร้อย ตอนนี้ถือว่าเรารับลูกเขามาดูแลแล้ว ต้องทำให้เขาวางใจว่าฝากฝังลูกชายกับเราได้”

     “ครับ”

     “เขต แม่กับพ่อไปคิดเรื่องนั้นกันมาแล้วนะ แม่คิดว่า...” คุณภารวีหยุดพูดเมื่อลูกชายส่งสัญญาณบางอย่างมาทางสายตา เธอหันไปมองสามี คุณวิษรุตที่เข้าใจการกระทำของลูกชายจึงพยักหน้าให้เล็กน้อย

     “เห็นเจ้าเขตบอกว่าเราทำอาหารเก่งเหรอ” คุณวิษรุตเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการหันไปชวนวายุคุย สกายยิ้มภูมิใจที่บิดาของเขตดนัยชมวายุ เขาถือว่าแฟนถูกชมก็เหมือนตัวเองถูกชมด้วย

     “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ตอนเด็กๆ ผมช่วยยายทำอาหารบ่อย พอโตมาเลยทำเป็นหลายเมนู แต่คงเทียบระดับภัตตาคารไม่ได้”

     “สงสัยต้องให้แสดงฝีมือหน่อยแล้ว”

     “ได้เลยครับ ผมยินดี” วายุตอบด้วยความเต็มใจถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดจริงจัง

     “ผมขอไปช่วยด้วยนะ”

     “สกายอยากไปช่วยแน่เหรอ ลุงว่าอยากไปอยู่ใกล้วายุมากกว่ามั้ง” คุณวิษรุตเอ่ยแซวเด็กหนุ่ม เขากับภรรยารู้อยู่แล้วว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน คนถูกแซวยกมือลูบท้ายทอยแก้เขิน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

     รามิลก็หัวเราะเช่นกัน แต่ภายในใจกำลังสงสัย เขาอยากรู้ว่าคุณแม่จะพูดอะไร แต่เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ควรถามหรือเปล่าจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้กับตัว ความสงสัยที่ว่าเรื่องนั้นอาจเกี่ยวข้องกับเขา

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ปกติช่วงกลางวันคุณวิษรุตจะไปทำงานที่ออฟฟิศด้านหน้าสวน เป็นออฟฟิศที่เอาไว้รับรองลูกค้าที่มาติดต่อ เขตดนัยจึงเป็นคนพาทุกคนเที่ยว

     เพราะบิดาใกล้เกษียณแล้ว เขตดนัยที่เป็นลูกชายคนเดียวจึงต้องมารับช่วงต่อ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลิกเป็นนักแสดง การเป็นเจ้าของสวนดอกไม้รวมถึงดูแลคนงานทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเขาที่ไม่ได้จบสายนี้มาโดยตรง จึงจำเป็นต้องใช้เวลาเรียนรู้งาน เขตดนัยจึงตกลงกับบิดาว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะออกจากวงการบันเทิงแล้วกลับมาดูแลสวนดอกไม้อย่างเต็มตัว

     “แล้วบ้านที่กรุงเทพฯ ล่ะครับ” รามิลเอ่ยถามหลังจากเขตดนัยเล่าทุกอย่างให้ฟัง ตอนนี้พวกเขากำลังเดินชมสวน เขตดนัยบอกว่ามีดอกไม้พันธุ์ใหม่ถูกนำมาลง เลยอยากให้มาดูกัน

     “ก็คงขายให้คนอื่นไป ถึงตอนนั้นพี่คงกลับมาอยู่เชียงใหม่ถาวร”

     รามิลสะอึกเล็กน้อย แต่เขายังทำตัวปกติเหมือนกำลังฟังเรื่องทั่วไป

     “เหรอครับ” รามิลยิ้มให้เขตดนัย แต่ในใจกลับไม่ยิ้มตาม ถ้าเขตดนัยย้ายมาอยู่เชียงใหม่ก็แปลว่าพวกเขาต้องห่างกัน พอคิดมาถึงตรงนี้หัวใจของเด็กหนุ่มก็หน่วงขึ้นมา

     “ได้ยินแบบนี้แล้วใจหายเหมือนกันนะครับ พี่เขตเป็นเพื่อนบ้านผมมาตั้งนาน ไม่นึกว่าวันหนึ่งผมจะไม่มีเพื่อนบ้านแล้ว”

     “กรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ห่างกันไม่เท่าไหร่ เดินทางวันเดียวก็ถึง อยากมาตอนไหนก็มา พี่กับพ่อแม่ยินดีต้อนรับเสมอ”

     “แบบนี้ก็เท่ากับมีนจะมีแฟนเป็นเจ้าของสวนดอกไม้น่ะสิ” ต้นน้ำตาโต มองเพื่อนด้วยสายตายิ้มๆ รามิลยิ้มตอบกลับไป แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากใจ

     เขตดนัยมองรอยยิ้มนั้น ดวงตาคมลุ่มลึก เขาเอ่ยขอตัวไปหาคนงานเพื่อคุยธุระบางอย่าง โดยให้คนอื่นเดินนำไปก่อน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พอแล้ว” วายุร้องห้ามเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่กดชัตเตอร์ไม่หยุด สกายลดระดับกล้องที่ถืออยู่ ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

     “ถ่ายรูปพี่วายุ ถ่ายเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกครับ”

     วายุหัวเราะ เวลาไปเที่ยวไหนสกายมักจะชอบถ่ายรูปเก็บไว้เสมอ เขาเองก็เคยขอรูปคู่ตอนไปเที่ยวสวนสัตว์มาตั้งภาพพื้นหลังโทรศัพท์เหมือนกัน มีแฟนชอบถ่ายรูปมันดีแบบนี้เองสินะ

     “เอาแต่ถ่ายพี่คนเดียว ไม่อยากถ่ายด้วยกันบ้างเหรอ”

     สกายยิ้มกว้างเมื่อถูกชวน เขาเดินมาหาวายุ ยกมือโอบเอวหลวมๆ แล้วยื่นกล้องไปข้างหน้า มีฉากหลังเป็นสวนกุหลาบกว้างสุดลูกหูลูกตา

     “พี่วายุเบาๆ หน่อยครับ ผมอิจฉา” ต้นน้ำแกล้งโอดครวญ ในบรรดาคนที่มาเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้มากับแฟน สกายเอากล้องลงเมื่อได้รูปที่พอใจแล้ว แต่มือยังโอบเอวคนรักอยู่ เขาหันไปยักคิ้วให้ต้นน้ำ

     “ถ้าอิจฉาก็ให้พี่ดินพาไปฮันนีมูนสิ”

     “ฮันนีมูนอะไร เพิ่งคบกันได้ไม่นาน”

     “แปลว่าที่จริงก็อยากไปฮันนีมูน แต่ติดตรงที่เพิ่งคบกันสินะ โอเค เดี๋ยวเราบอกพี่ดินให้”

     ต้นน้ำย่นจมูกใส่สกายแต่ไม่ได้ปฏิเสธ เป็นธรรมดาที่คนรักกันจะอยากไปฮันนีมูน แต่ผู้ชายอย่างปฐพีไม่น่าจะเคยคิดเรื่องนี้ เขาจึงไม่คาดหวังเพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีพอแล้ว

     สกายถามถึงปฐพีต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ทั้งหมดจะหยุดคุยกันเมื่อเขตดนัยเดินเข้ามาหา

     “มีอะไรหรือเปล่าครับพี่เขต” วายุเอ่ยถามเมื่อเห็นเขตดนัยยิ้มแปลกๆ

     “พี่มีเรื่องอยากให้ทุกคนช่วยหน่อย”

     “อะไรครับ”

     เขตดนัยเหลือบมองรามิลที่กำลังถ่ายรูปดอกไม้ เมื่อมั่นใจว่าอยู่ห่างพอที่จะไม่ได้ยินจึงหันกลับมา เขาบอกถึงความต้องการของตัวเอง ซึ่งทั้งสามคนก็รับปากเป็นอย่างดี เขตดนัยเอ่ยขอบคุณก่อนหันไปมองร่างบางอีกครั้ง ใบหน้าคมปรากฏยิ้มอ่อนโยน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ทำไมไม่เอากล้องมาด้วย” เขตดนัยถามรามิลที่เดินข้างกัน เขาเห็นอีกฝ่ายใช้แต่โทรศัพท์ถ่ายรูป ขณะที่เพื่อนใช้กล้องดิจิตอล

     “ขี้เกียจเอามาครับ ให้สกายมันพกไปคนเดียวเถอะ รายนั้นน่าจะอยากถ่ายแฟนมากกว่าดอกไม้ ผมเคยยืมกล้องมันครั้งนึง มีแต่รูปพี่วายุเต็มไปหมด” รามิลอดทำหน้าหมั่นไส้ไม่ได้เมื่อพูดถึงความคลั่งรักของเพื่อน ที่เขาพูดได้เพราะตอนนี้มีแค่เขากับเขตดนัย ส่วนคนอื่นกลับบ้านไปก่อนแล้ว จู่ๆ วายุก็บอกว่าปวดหัว สกายกับต้นน้ำเลยพากลับไปพักผ่อน

     “แล้วเราไม่อยากถ่ายพี่บ้างเหรอ”

     รามิลเบนสายตามามอง รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปาก “กำลังชวนผมถ่ายรูปคู่หรือเปล่าครับ”

     เขตดนัยหัวเราะ เขาแค่ถามเฉยๆ ไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น แต่เมื่อโดนถามอย่างนี้เขาก็ไม่ปฏิเสธ

     “ใครๆ ก็อยากมีรูปคู่กับแฟนตัวเองทั้งนั้น หรือเราไม่อยาก”

     “ตอนแรกไม่อยากครับ”

     รอยยิ้มบนใบหน้าคนถามหายไปอย่างรวดเร็ว รามิลขำเสียงเบาก่อนจะพูดต่อ

     “ผมจะมีรูปคู่ไปทำไมล่ะ ในเมื่อแฟนผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน กอดได้ จับมือได้ ไม่เหมือนรูปที่ทำได้แค่มอง”

     เขตดนัยยกยิ้ม เขารู้สึกชอบคำตอบของเด็กแสบ ชายหนุ่มเกือบให้รางวัลคนที่พูดได้ถูกใจ ถ้าไม่เอะใจบางอย่างขึ้นมาก่อน

     “ที่บอกว่าตอนแรกไม่อยาก หมายถึงตอนนี้อยากเหรอ”

     ใบหน้าหวานหม่นลงเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้มให้ รามิลหยุดยืนอยู่กับที่ เขตดนัยจึงหยุดตาม

     “อีกหน่อยพี่เขตต้องกลับมาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยงานคุณพ่อ ถึงตอนนั้นเราคงได้เจอกันน้อยลง ถ้าไม่มีรูปให้ดูต่างหน้าผมก็คิดถึงแย่สิครับ”

     เขตดนัยมองใบหน้าที่พยายามร่าเริง เขากำลังจะพูดบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็มีคนงานเดินมาหาพร้อมดอกกุหลาบสีแดง เขตดนัยลอบยิ้ม มาได้ถูกจังหวะจริงๆ

     “ได้แล้วครับคุณเขต ว่าแต่จะเอาไปทำอะไรเหรอครับ”

     สวนกุหลาบของมารดามีแต่กุหลาบสีชมพูเป็นส่วนใหญ่ เขาจึงให้คนงานหาสีแดงมาให้ เขตดนัยรับดอกกุหลาบมาถือ ก้านทั้งหมดถูกริดหนามแล้วเรียบร้อย เขายิ้มให้อีกฝ่ายแต่ไม่ตอบคำถาม

     “ขอบคุณครับ ลุงไปทำงานต่อเถอะ”

     เขตดนัยหันกลับมาหาเด็กหนุ่ม รามิลกำลังมองดอกกุหลาบในมือเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย

     “มีน”

     “ครับ?” ดวงตาคู่นั้นเงยขึ้นมามองเขา

     “ยังจำวันที่เราให้ดอกกุหลาบพี่ได้ไหม”

     “จำได้สิครับ”

     เขตดนัยยิ้มอ่อนโยน เขาก้าวเท้าไปใกล้เด็กหนุ่มมากขึ้น

     “ตอนนั้นพี่เพิ่งอกหักจากวายุ มีนเลยให้กุหลาบสีขาวเพราะอยากปลอบใจพี่”

     “ใช่ครับ”

     “งั้นมีนก็คงรู้ด้วยใช่ไหม ว่ากุหลาบสีแดงมีความหมายว่าอะไร”

     รามิลนิ่งไปครู่หนึ่ง ได้แต่มองร่างสูงตาปริบๆ แต่ผ่านไปสักพักเขาก็ยิ้มออกมา แก้มเนียนใสเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ เมื่อเข้าใจความนัยของคำถาม

     “ผมรู้ครับ กุหลาบสีแดงหมายถึงความรัก ความหลงใหล ความโรแมนติก เป็นสีที่มักจะใช้เวลาเราอยากบอกรักใครสักคน”

     “พี่เคยคิดว่าตัวเองรักวายุ แต่พี่ไม่เคยวาดฝันอนาคตที่มีวายุอยู่ด้วยเลย แต่พอรู้ตัวว่ารักเรา พี่ก็มีสิ่งที่อยากทำกับเราเต็มไปหมด และมันคงจะดีไม่น้อยถ้าช่วงเวลาที่เหลือของชีวิตพี่ได้อยู่กับเรา”

     “พี่เขต…”

     “พี่รักมีนนะ รักเด็กแสบที่แสบจนขโมยหัวใจของพี่ไปได้ แล้วมีนล่ะ รักพี่หรือเปล่าครับ”

     “ผม...ผมก็รักพี่เขต รักมากๆ เลยครับ” รามิลพยักหน้ารัวเร็ว เขาเคยพูดไปแล้ว และไม่ว่าจะถามอีกกี่ครั้งเขาก็จะตอบเหมือนเดิม นั่นคือเขารักเขตดนัย รักดาราหน้าจืดที่ขโมยหัวใจเขาไปได้เช่นกัน

     เขตดนัยยิ้มให้เด็กหนุ่ม เขาก้มมองกุหลาบในมือแล้วนับจำนวนให้อีกฝ่ายได้ยิน จนกระทั่งครบเก้าดอกจึงเงยหน้ามาสบตาอีกครั้ง

     “มีนรู้ความหมายของกุหลาบสีแดง แล้วรู้ไหมครับว่ากุหลาบเก้าดอกแปลว่าอะไร”

     คราวนี้รามิลส่ายหน้า เขาไม่ได้มีความรู้เรื่องดอกไม้ขนาดนั้น

     “กุหลาบเก้าดอกเป็นสัญลักษณ์ของการขอร่วมชีวิต คือการที่คนๆ หนึ่งอยากอยู่กับคนที่เขารักตลอดไป” เขตดนัยคุกเข่ากับพื้น ยื่นดอกกุหลาบไปตรงหน้า ภายในแววตาสื่อถึงความรู้สึกทั้งหมด “มีนชอบที่นี่ไหม”

     หัวใจของรามิลเต้นรัว เขาพอรู้แล้วว่าเขตดนัยกำลังจะทำอะไร ดวงตาของเขาคลอไปด้วยหยาดน้ำ ความตื้นตันพุ่งขึ้นมาจนเต็มอก

     “ผม...ชอบที่นี่ครับ”

     “งั้นอยู่กับพี่นะครับ อยู่ที่นี่ด้วยกันตลอดไป

     รามิลร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาพยักหน้าทั้งน้ำตา มือที่ยื่นไปรับดอกไม้สั่นเทา เขตดนัยยืนขึ้นพลางเอื้อมมือมาเกลี่ยน้ำตาบนแก้ม

     “รู้ใช่ไหมว่าคำว่าอยู่ที่นี่ตลอดไปหมายถึงอะไร”

     “รู้สิครับ ผมนึกว่าต้องห่างกับพี่เขตแล้วซะอีก ตอนพี่บอกว่าจะย้ายมาอยู่เชียงใหม่ผมใจหายมากเลยนะ”

     “พี่รักเราจะตาย ไม่รู้เหรอว่าทุกวันนี้อยากให้ย้ายมาอยู่ด้วยกันแค่ไหน พี่ไม่ยอมห่างจากเราแน่นอนไม่ต้องห่วง” มือข้างนั้นย้ายมาวางบนศีรษะ รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ “ไว้กลับไปแล้วมีนพาพี่ไปหาพ่อแม่นะ พี่อยากไปแนะนำตัวกับพวกท่าน อยากไปสู่ขอลูกชายเขา พอมีนเรียนจบแล้วจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”

     รามิลพยักหน้ารับอย่างเขินๆ เขายังไม่ชินกับคำว่าสู่ขอเท่าไหร่ แต่เขาก็ชอบเพราะมันทำให้รู้ว่าเขตดนัยรักเขาและอยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาจริงๆ

     “แต่ว่า...” ดวงตาของรามิลเป็นประกาย ริมฝีปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่เขตแพ้ผมนะ”

     “หือ? แพ้อะไร”

     “ก็ผมให้กุหลาบพี่เขตหนึ่งช่อเต็มๆ แต่พี่ให้ผมแค่เก้าดอก นี่ไง พี่แพ้ผม”

     เขตดนัยมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอึ้ง แต่ไม่นานก็ขำออกมา เขาลืมไปได้ยังไงว่าเจ้าเด็กนี่แสบแค่ไหน ซึ้งอยู่ดีๆ วกกลับมาเรื่องนี้ซะอย่างนั้น

     “มีนต่างหากที่แพ้”

     “แพ้ยังไงครับ ผมชนะเห็นๆ”

     “แพ้สิ” เขตดนัยยิ้มพราย เขากวาดตามองไปรอบๆ สวนดอกไม้ “มีนให้พี่แค่หนึ่งช่อ แต่พี่ให้มีนทั้งสวนเลย”

     “ทั้งสวน?” รามิลทวนคำของร่างสูง ทันใดนั้นดวงตาก็ค่อยๆ เบิกกว้าง จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดของคุณแม่ขึ้นมา อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พูดตอนนั้นหมายถึง...

     “พี่คุยกับพ่อแม่แล้ว ทันทีที่ครอบครัวมีนยินยอมให้พวกเราคบกัน ทันทีที่พี่กลับมาที่นี่ในฐานะเจ้าของสวนดอกไม้ พื้นที่ทั้งหมดตรงนี้พี่จะแยกโฉนดออกมา เป็นหนึ่งในค่าสินสอดที่พี่จะให้เรา”

     รามิลพูดอะไรไม่ออก ภาพตรงหน้าพร่ามัวเพราะหยาดน้ำที่รื้นขึ้นมาอีกครั้ง ความรัก ความซาบซึ้ง ความตื้นตัน ทุกความรู้สึกเอ่อล้นจนเต็มอก เขาไม่นึกว่าเขตดนัยจะทำถึงเพียงนี้

     “มันจะไม่เร็วไปเหรอครับ พี่เขตเพิ่งพาผมมาเปิดตัวกับพ่อแม่เองนะ”

     “ไม่เร็วหรอก ที่จริงพ่อแม่พี่รู้เรื่องของเรามาสักพักแล้ว และเรื่องนี้พ่อพี่ก็เป็นคนคิด ท่านอยากให้เป็นของหมั้นกับมีน” เขตดนัยดึงมือบางมากุม เขาส่งยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักไปให้ สายตาที่มองกลับมาเต็มไปด้วยความรู้สึกเดียวกัน

     “ขอบคุณนะครับพี่เขต ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย” เสียงเล็กนั้นสั่นเครือ เขตดนัยหัวเราะในลำคอ วันนี้เด็กแสบกลายเป็นเด็กขี้แยไปซะแล้ว

     “พี่ทำเพื่อเราขนาดนี้ ยังคิดว่าหน้าจืดอยู่อีกไหม”

     “ยังคิดอยู่ครับ”

     เขตดนัยนิ่วหน้า รามิลหัวเราะเบาๆ เขาเอื้อมมือไปคล้องรอบลำคอ ยื่นหน้าไปใกล้จนปลายจมูกแตะกัน

     “แต่เป็นผู้ชายหน้าจืดที่ผมรักมากที่สุด”

     ชายหนุ่มไม่รู้จะขำ ซึ้ง หรือส่ายหัวให้คนตรงหน้าดี ถ้านี่เป็นการสารภาพรักก็คงเป็นประโยคบอกรักที่แปลกที่สุดในชีวิตเขา

     “หึๆ ตัวแสบเอ๊ย จะหาใครแสบได้เท่าเราอีก”

     รามิลยิ้มจนตาหยี เขารู้สึกดีทุกครั้งที่เขตดนัยเรียกแบบนี้ เขาชอบเป็นเด็กแสบ เด็กแสบของพี่เขตคนเดียว

     “หาไม่ได้หรอกครับ อย่างผมน่ะเขาเรียกว่าลิมิเต็ดอิดิชัน พี่เขตโชคดีมากนะที่ได้ผมเป็นแฟน”

     เขตดนัยโน้มหน้ามาจูบปากช่างพูดนั้นอย่างอดไม่อยู่ เด็กอะไรทั้งแสบทั้งน่ารัก ขยันทำให้หลงจริงๆ

     “ขอบคุณนะครับพี่เขต ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลย” สายตาคนพูดก้มลงมองดอกกุหลาบในมือ รอยยิ้มบนใบหน้าหวานทำให้คนมองพลอยยิ้มตาม

     “พี่ก็มีความสุขเหมือนกัน”

     เขตดนัยยื่นมือไปตรงหน้า รามิลสอดมือเข้ากับมือหนา มือทั้งสองบีบกระชับเบาๆ ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน

     รามิลอมยิ้มตลอดทาง แต่เมื่อเดินมาถึงท้ายสวนเขาก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งมีเสื่อผืนใหญ่ บนเสื่อมีทั้งตะกร้าใส่อาหารกับดอกกุหลาบวางประดับ บนกิ่งไม้มีดอกไม้ที่ถูกร้อยต่อกันคล้องห้อยลงมา แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดคือผู้ชายสามคนที่กำลังนั่งอยู่บนเสื่อ

     “มาสักที นึกว่ารอเก้อซะแล้ว” ต้นน้ำพูดพร้อมรอยยิ้ม รามิลงงกว่าเดิม

     “ทำไมทุกคนมาอยู่นี่ได้ ไหนว่ากลับกันไปแล้วไง”

     “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ พี่เขตครับ” วายุยิ้มให้เขตดนัย ร่างสูงจึงหันมาสบตากับเด็กหนุ่ม

     “พี่บอกความรู้สึกไปหมดแล้ว แต่ยังไม่เคยขอเป็นแฟนแบบทางการเลย”

     รามิลเอียงคอมองคนตรงหน้า ก่อนริมฝีปากจะค่อยๆ คลี่ยิ้ม ภาพเหตุการณ์ในห้องลองเสื้อย้อนกลับมา เขารู้ทันทีว่าเขตดนัยกับคนอื่นๆ กำลังจะทำอะไร

     “ตอนนี้สถานที่โรแมนติกแล้ว พยานก็มีแล้ว มีนกับพี่ก็ใจตรงกันแล้ว งั้นพี่จะถามอีกครั้ง…” เขตดนัยยิ้มบาง ดวงตาคมมองเข้ามาในดวงตาของเขา “เป็นแฟนกับพี่นะครับมีน”

     รามิลพยักหน้าช้าๆ เขารู้สึกเหมือนเห็นความสุขกำลังลอยอยู่รอบตัว ทันทีที่เขาตอบตกลงกลีบกุหลาบก็ถูกโปรยขึ้นบนหัว ก่อนจะร่วงหล่นลงพื้นและตามตัวพวกเขา

     “เย้! เพื่อนเรามีแฟนอย่างเป็นทางการแล้ว!”

     “ยินดีด้วยนะครับพี่เขต”

     “มีความสุขมากๆ นะมึง ยินดีด้วย”

     เขตดนัยรั้งรามิลมากอด ริมฝีปากหนาจรดบนหน้าผากแผ่วเบา เขาค้างไว้สักพักแล้วผละออก ดวงตาทั้งคู่สบกันอีกครั้ง

     “รักนะครับเด็กแสบของพี่”

     “รักเหมือนกันครับดาราหน้าจืดของผม”

     รามิลบอกกับตัวเองว่าเขาจะจดจำวันนี้ไปตลอด วันที่เขามีความสุขจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าความรักเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้เขารู้แล้วว่าความรักของเขาอยู่ตรงหน้านี้เอง

     ขอบคุณที่รักผมนะครับพี่เขต




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 42 ★ [14/Feb/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 14-02-2023 19:25:25
ตอนที่ 42
บ้านของเรา


     “ยิ้มอะไรครับ” ท้องฟ้าที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินมาหอมแก้มคนรักแล้วนั่งลงข้างๆ วายุกำลังดูรายการโทรทัศน์ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

     “พอนึกถึงตอนพี่เขตขอมีนเป็นแฟนแล้วมันอดยิ้มไม่ได้น่ะ น่ารักดี” วายุและคนอื่นๆ กลับมาจากบ้านเขตดนัยสองวันแล้ว ระหว่างนั้นเรื่องที่รุ่นพี่เขาขอเด็กหนุ่มเป็นแฟนท่ามกลางสวนกุหลาบยังมีคนพูดถึงเสมอ หนึ่งในนั้นคือวายุ เขารู้สึกว่ามันเป็นการขอคบที่โรแมนติกมาก และเขาก็ดีใจที่ตัวเองได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์โรแมนติกนั้น นึกถึงทีไรเป็นต้องยิ้มทุกที

     ท้องฟ้ามองใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้ม เขานิ่งไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นมา

     “ผิดหวังหรือเปล่าครับ”

     “หือ? ผิดหวังอะไร” จากที่กำลังยิ้ม วายุเป็นอันต้องหุบยิ้มเมื่อเด็กตัวโตพูดอะไรแปลกๆ ออกมา

     “ตอนพี่เขตขอมีนเป็นแฟนมีทั้งสวนดอกไม้ ดอกกุหลาบ แต่ตอนผมขอพี่วายุเป็นแฟนไม่มีอะไรเลย”

     วายุกะพริบตาปริบ เขามองใบหน้าหงอยของคนพูดก่อนจะหลุดขำ พาให้คนที่กำลังเศร้าเลิกคิ้วด้วยความงง โธ่เอ๊ยเจ้าลูกหมา ตัวออกจะใหญ่โตแต่ทำไมคิดเล็กคิดน้อยจัง

     “พี่ไม่ได้ผิดหวัง ไม่ได้อิจฉาด้วย พี่แค่คิดว่ามันน่ารักดีก็เท่านั้น และตอนนายขอพี่เป็นแฟนก็มีไอ้นี่ไง” วายุจิ้มไปที่อกข้างซ้ายของท้องฟ้า ทันใดนั้นใบหน้าหม่นหมองก็กลับมามีรอยยิ้ม ท้องฟ้าโถมตัวเข้าหา วายุที่ไม่ทันตั้งตัวจึงล้มไปนอนราบกับเตียงโดยมีร่างสูงคร่อมอยู่ด้านบน

     “ให้ผมขอเป็นแฟนอีกทีไหมครับ คราวนี้ผมจะทำให้โรแมนติกกว่าพี่เขตเลย”

     “จะขออีกทำไมเล่า เป็นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” วายุหัวเราะ อดเอื้อมมือไปลูบใบหน้าเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

     “ถ้ามันทำให้พี่วายุมีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอกครับ เพื่อพี่แล้วผมทำได้ทุกอย่างเลยนะรู้ไหม”

     วายุยิ้มให้คนด้านบน เขาให้รางวัลคนที่พูดถูกใจด้วยการยื่นหน้าไปหอมแก้ม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายก็อยากให้รางวัลเขาเช่นกัน รางวัลอะไรไม่รู้ รู้แค่ว่าโดนไปหลายรางวัลเลยทีเดียว กว่าจะบอกให้พอได้แก้มทั้งสองข้างเขาเกือบช้ำ

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “สิบปีที่ผ่านมานายไม่เศร้าหรือเสียใจบ้างเลยเหรอ” จู่ๆ วายุก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตอนที่เขาจำเรื่องราวในอดีตได้ท้องฟ้าบอกว่าไม่เคยโกรธเขาเลย วายุเลยสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าเขาโดนพี่ชายที่รักและไว้ใจมากหนีไปโดยไม่บอกอะไรเลย เขาคงเสียใจหรืออาจถึงขั้นเกลียดไปเลยก็ได้

     ท้องฟ้าเอียงคอมองคนถาม คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย “ทำไมถามเรื่องนี้ล่ะครับ”

     “พี่อยากรู้ ท่าทางนายตอนเจอพี่ครั้งแรกดูไม่เหมือนคนที่ผ่านความเสียใจมาเลยนะ”

     รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าคม รอยยิ้มขบขันของคนบนร่างทำให้วายุงงว่าเขาพูดอะไรผิดหรือเปล่า

     “ถ้าให้ตอบตามตรงมันก็ต้องเสียใจอยู่แล้วครับ แต่พี่วายุบอกเองว่าอยากให้ผมสดใสเหมือนท้องฟ้าเลยตั้งชื่อท้องฟ้าให้ แล้วผมจะทำหน้าเศร้าได้ยังไงล่ะครับ”

     ดวงตาคนพูดสดใสเหมือนท้องฟ้าตอนกลางวัน ดวงตาคู่นั้นทำให้วายุไม่อาจละสายตาได้ เขาไล้นิ้วไปตามริมฝีปากที่กำลังยกยิ้ม รอยยิ้มนั้นค่อยๆ กว้างขึ้น

     “รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงตั้งชื่อให้นายว่าท้องฟ้า”

     “เพราะชื่อเล่นผมคือสกายไงครับ”

     วายุส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากบางจุดรอยยิ้ม

     “เพราะเวลานายยิ้มมันเหมือนท้องฟ้าสดใสขึ้นมา ไม่ว่าจะสิบปีก่อนหรือตอนนี้รอยยิ้มนายก็ยังสดใสเหมือนเดิม”

     มือที่อยู่บนริมฝีปากถูกคนตัวสูงดึงไปกุม ใบหน้าเด็กหนุ่มโน้มลงมาใกล้จนจมูกโด่งแตะเข้ากับปลายจมูก

     “ชอบให้ผมยิ้มเหรอครับ”

     “อืม”

     “งั้นพี่วายุต้องอยู่กับผมไปตลอดนะ เพราะผมจะมีความสุขต่อเมื่อได้อยู่กับพี่วายุ แล้วพอมีความสุขผมก็จะยิ้ม”

     “พูดเหมือนพี่หนีไปไหนได้ รักไปทั้งใจแล้วไม่รู้ตัวเลยหรือไง”

     ท้องฟ้าหัวเราะในลำคอ ฝ่ามือหนาสอดเข้ากับมือบาง ริมฝีปากที่เคยมีรอยยิ้มทาบทับลงบนริมฝีปากนุ่มอย่างแผ่วเบา จูบดูดซับความหวานที่ลิ้มลองกี่ครั้งก็ไม่เคยพอ

     ไม่ใช่แค่วายุ ท้องฟ้าเองก็หลงรักรอยยิ้มของวายุเช่นกัน รอยยิ้มที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน รอยยิ้มที่ทำให้เขาตกหลุมรักผู้ชายคนนี้มาตลอดสิบปี

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “บ้านพักตากอากาศเหรอ” วายุละสายตาจากโน้ตบุ๊ก เงยหน้ามาเลิกคิ้วให้คนที่เสนอไอเดียวันหยุดสุดสัปดาห์ขึ้นมา

     “ใช่ครับ เป็นบ้านพักของพ่อผม อยู่ริมทะเล มีชายหาดส่วนตัว”

     “เอาสิ ได้เปลี่ยนบรรยากาศทำงานบ้างก็ดีเหมือนกัน”

     “ไม่ได้ครับ” ท้องฟ้าเอื้อมมือมาบังหน้าจอ วายุจึงเงยหน้ามาเลิกคิ้วอีกครั้ง “ผมตั้งใจพาพี่วายุไปพักผ่อน เพราะงั้นห้ามเอางานไปทำ”

     “แต่งานพี่ยังเหลืออีกเยอะเลยนะ”

     “ไว้ค่อยกลับมาทำไม่ได้เหรอครับ”

     “เอาไปทำด้วยจะได้เสร็จเร็วขึ้นไง แค่ได้เปลี่ยนบรรยากาศก็ถือว่าได้พักผ่อนสำหรับพี่แล้ว”

     ท้องฟ้าทำหน้ามุ่ย เหมือนเด็กที่ไม่ได้ของเล่นดั่งใจ “ก็ผมอยากให้พี่วายุสนใจแต่ผมนี่นา ไปเที่ยวด้วยกันทั้งที ถ้าพี่เอาแต่ทำงานก็ไม่มีเวลาให้ผมสิครับ”

     วายุมองคนพูดนิ่ง สักพักก็หลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมต้องทำหน้าจริงจัง ที่แท้ก็อยากให้สนใจนี่เอง แฟนใครนะน่ารักจริงๆ

     “โอเค พี่จะไม่เอางานไปทำ จะให้เวลานายทั้งวันทั้งคืนเลยดีไหม”

     “ดีครับ” ท้องฟ้ารีบพยักหน้า ดวงตาเริ่มปรากฏประกายเจ้าเล่ห์ “พี่วายุพูดแล้วนะว่าจะให้เวลาผม ‘ทั้งวันทั้งคืน’ เพราะงั้นห้ามนอน ถ้าผมอยากต่อสิบยกก็ต้องไหว”

     “เดี๋ยว! พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น” วายุปฏิเสธเสียงหลง แค่คิดภาพตามเขาก็เพลียแล้ว ปกติรอบสองรอบเรี่ยวแรงยังแทบไม่เหลือ นี่ล่อตั้งสิบยก กะไม่ให้พักหายใจหายคอเลยหรือไง

     “อะไรครับ คิดจะผิดคำพูดเหรอ”

     “นายนั่นแหละคิดเป็นแต่เรื่องนี้หรือไง”

     “คิดเป็นทุกเรื่องครับ แต่จะคิดเรื่องบนเตียงเยอะเป็นพิเศษ” คนตรงหน้าพูดด้วยรอยยิ้มซื่อๆ แต่คำพูดกลับไม่ซื่อตาม วายุเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าคำนิยาม ‘หมาป่าห่มหนังแกะ’ เขาเอาไว้ใช้กับอะไร เพียงแต่กรณีนี้น่าจะเป็นหมาป่าห่มหนังโกลเด้นรีทรีฟเวอร์มากกว่า

     วายุส่ายหัวให้เด็กตัวโต เมื่อเห็นว่ายิ่งเถียงยิ่งเข้าตัวเขาจึงเลิกเถียงแล้วหันมาทำงานต่อ ท้องฟ้าค่อยๆ หุบยิ้ม เหลือไว้เพียงดวงตาลุ่มลึก ดวงตาที่มีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “สวยจัง” วายุเปรยออกมาเบาๆ ขณะมองไปยังทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ภาพพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าตัดกับพื้นผิวทะเลเป็นอะไรที่สวยงามจนละสายตาไม่ได้เลย ลมยามเย็นพัดมากระทบร่าง อากาศที่เย็นสบายบวกกับกลิ่นอายของทะเลทำให้รู้สึกสดชื่นแม้จะเพิ่งมาถึงก็ตาม

     “ชอบไหมครับ” ท้องฟ้าที่เอากระเป๋าไปเก็บในบ้านพักเดินมาโอบเอวคนรัก วายุหันมายิ้มให้คนถาม ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุข

     “ชอบสิ วิวสวยขนาดนี้ ไม่เห็นรู้มาก่อนว่าอาศิมีบ้านพักตากอากาศด้วย”

     “ส่วนใหญ่พ่อผมจะพามาช่วงเทศกาลสำคัญครับ แต่พักหลังนี้งานยุ่งเลยไม่ค่อยได้มา”

     วายุหันกลับมามองทะเลตามเดิม เขากางแขนออกแล้วสูดอากาศบริสุทธิ์ จากกรุงเทพฯ เดินทางด้วยรถยนต์มาแค่หนึ่งชั่วโมง ไม่นึกเลยว่าจะมีสถานที่ที่ทั้งสวยและอากาศดีอย่างนี้

     พวกเขาออกเดินทางตั้งแต่กลางวัน แต่สาเหตุที่มาถึงตอนเย็นเพราะท้องฟ้าไปหาคุณพ่อที่บ้านก่อนจะมา อีกฝ่ายบอกแค่ว่ามีธุระต้องคุยกับพ่อนิดหน่อย ซึ่งวายุก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม ถึงจะเป็นแฟนกันแต่เขาก็ไม่ควรก้าวก่ายจนเกินไป

     “ไว้ค่อยเล่นน้ำพรุ่งนี้นะครับ วันนี้เย็นแล้ว ผมอยากพาพี่วายุไปดูบ้านด้วย”

     “เอาสิ” ตอนมาถึงเขาเดินมาดูทะเลเป็นอย่างแรก จึงยังไม่เห็นภายในบ้านพัก รู้แค่ว่าเป็นบ้านสองชั้นที่ห้อมล้อมไปด้วยกระจก

     ท้องฟ้าจูงมือวายุเข้ามาในบ้าน มองจากภายนอกว่าสวยแล้ว พอได้มาเห็นภายในเขายิ่งรู้สึกว่าสวยมากๆ บ้านทั้งหลังตกแต่งสไตล์เนเชอรัล มีความเป็นเอิร์ธโทนจากสีของอิฐสีน้ำตาลและกระเบื้องลายหินอ่อน กระจกใสที่เปิดรับแสงแดดให้ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ชั้นสองมีระเบียงหันหน้าไปทางท้องทะเล หลังคาเป็นแบบเพิงแหงน ลักษณะกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบตัวบ้าน

     “สวยมากๆ สวยไปหมดทุกอย่างเลย นี่ถ้าไม่ได้มากับนายพี่นึกว่าอยู่ในบ้านพักราคาหลักหมื่นนะเนี่ย” วายุพูดออกมาตามความรู้สึก ท้องฟ้าหันมายิ้มให้

     “ชอบหรือเปล่าครับ”

     “ต้องชอบอยู่แล้ว”

     “ดีแล้วครับ ผมดีใจที่พี่วายุชอบ”

     วายุหันมามองคนพูดเล็กน้อย เขารู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของท้องฟ้า แต่เพราะคิดว่าตัวเองอาจคิดมากไปจึงเลิกใส่ใจ

     “หิวหรือยังครับ ใกล้ๆ นี้มีร้านอาหารอยู่ เดี๋ยวผมพาไป”

     “เอาสิ พี่เริ่มหิวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน”

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     วายุกระชับมือที่จับกันอยู่ ตอนนี้เขามีความสุขมากๆ เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งเบาๆ ลมทะเลที่ไม่หนาวจนเกินไป ท้องฟ้ากลางคืนที่เห็นดาวเต็มไปหมด ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?” ร่างสูงที่เดินเคียงข้างหันมามอง วายุส่งยิ้มให้

     “ขอบคุณนะที่ชวนพี่มา” ใบหน้าใสแหงนมองท้องฟ้า ริมฝีปากกับดวงตายกยิ้มพร้อมกัน “พี่เคยคิดว่าถ้ามีแฟนก็อยากไปเดตสถานที่สวยๆ สักครั้ง และตอนนี้มันก็เกิดขึ้นจริงแล้ว พี่ได้อยู่กับคนที่รักที่สุด ในสถานที่ที่สวยที่สุด ตอนนี้พี่มีความสุขมากเลย”

     ท้องฟ้ามองใบหน้าคนพูด มองรอยยิ้มที่ไม่เคยเบื่อจะมอง เท่านี้แหละที่เขาต้องการ เขาไม่ขออะไรนอกจากอยากให้วายุมีความสุข และเขาจะรู้สึกดีมากถ้าวายุมีความสุขเพราะเขา

     “ถ้าพี่วายุชอบ งั้นเรามาที่นี่เดือนละครั้งดีไหมครับ”

     “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ พี่เกรงใจอาศิ”

     ท้องฟ้าอมยิ้ม เขาไม่พูดอะไรต่อแต่ดวงตาเป็นประกาย ยังหรอก เขาจะยังไม่พูดว่าวายุไม่จำเป็นต้องเกรงใจพ่อเขา รอให้จังหวะเหมาะกว่านี้อีกนิดแล้วเขาถึงค่อยบอก

     วายุหันมามองเมื่อได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ ท้องฟ้าลดระดับกล้องที่คล้องคอ รอยยิ้มสดใสถูกส่งมาให้

     “วิวกำลังดีเลยครับ”

     “ทำไมไม่บอกก่อน เผื่อพี่หน้าเหวอจะทำยังไง”

     “ไม่เหวอหรอกครับ อย่างพี่วายุถ่ายมุมไหนก็ดูดี แถมถ่ายตอนไม่รู้ตัวยังดูธรรมชาติมากกว่าด้วย” ท้องฟ้ายกกล้องมาถ่ายอีกครั้ง วายุส่ายหัวแต่ก็ยอมให้เด็กหนุ่มถ่ายรูปโดยไม่ว่าอะไร เขาเดินเลียบไปตามชายหาดโดยมีตากล้องส่วนตัวคอยเดินตาม จนกระทั่งท้องฟ้าปล่อยกล้องให้คล้องคอแล้วคว้ามือไปจับเหมือนเดิม วายุจึงหันไปถาม

     “ไม่ถ่ายต่อเหรอ”

     “ไว้ค่อยถ่ายพรุ่งนี้ต่อครับ ตอนนี้ขอเดตกับแฟนก่อน”

     วายุหลุดยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเอาคำพูดของเขามาใช้ เขาบีบมือท้องฟ้าเล็กน้อย เดินเคียงข้างไปพร้อมกัน ระหว่างพวกเขาไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงเสียงคลื่นทะเลลอยมาเบาๆ แต่วายุกลับชอบที่เป็นแบบนี้ เขาสบายใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับเด็กคนนี้

     “ขอบคุณนะท้องฟ้า”

     “พี่วายุพูดไปแล้ว”

     “พูดอีกไม่ได้เหรอ”

     “งั้นเปลี่ยนเป็นคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ อย่างเช่น...” ร่างสูงหยุดเดิน พาให้คนที่เดินจับมืออยู่หยุดตาม ท้องฟ้าทำแก้มป่องเอียงหน้ามาหา วายุหัวเราะเบาๆ เขาเขย่งเท้าไปแตะริมฝีปากบนแก้มนั้น

     “พอไหม”

     “ไม่พอครับ”

     วายุหัวเราะในลำคอ เขากำลังจะยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มอีกครั้ง แต่คนอายุน้อยกว่ากลับหันหน้ามาโดยไม่บอกกล่าว แถมยังรวบตัวเขาไปอยู่ในอ้อมกอด ทำให้ปากเขาแตะลงไปบนปากอีกฝ่ายแทน

     ท้องฟ้าไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย เขายกมือมาจับท้ายทอย ตรึงใบหน้าไม่ให้หันหนี ริมฝีปากหนาบดเบียดอย่างดุดัน แทรกลิ้นร้อนเข้าไปควานหาความหวานจากภายใน เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเล็กจนเกิดเสียง เวลาผ่านไปเนิ่นนานจึงถอนปากออก

     “อืม...แบบนี้ค่อยคุ้มกับที่พามาหน่อย” เด็กหนุ่มมองใบหน้าแดงก่ำด้วยสายตาพอใจ วายุหอบหายใจโกยเอาอากาศเข้าปอด หันมองซ้ายมองขวาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงยกมือมาทุบอกคนตรงหน้า

     “เดี๋ยวเถอะ! ถ้ามีใครมาเห็นจะทำยังไง”

     “ไม่มีหรอกครับ ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัว พี่ลืมเหรอ”

     วายุอึกอัก เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ โดยเฉพาะเมื่อเจอเข้ากับสายตายิ้มๆ สิ่งที่ทำได้จึงมีแค่เดินหนีไปพร้อมกับใบหน้าแดงซ่าน

     ท้องฟ้าขำในลำคอก่อนจะเร่งฝีเท้าตามมา ไม่นานมือทั้งสองก็จับเข้าหากันอีกครั้ง พวกเขาเดินเล่นต่ออีกนิดก่อนจะกลับมายังบ้านพัก ท้องฟ้าไม่ได้พาวายุเข้าบ้าน แต่พามาบริเวณด้านหน้าที่มีโต๊ะกับเก้าอี้ไม้เข้าชุดวางตั้งอยู่

     “ยังไม่ไปนอนเหรอ” ท้องฟ้าบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า วายุเลยคิดว่าควรเข้านอนเร็วจะดีกว่า

     “อยากคุยกับพี่วายุต่ออีกหน่อยครับ”

     “จะคุยอะไร”

     “คุยว่าพี่ชอบบ้านหลังนี้ไหม”

     วายุขมวดคิ้ว ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ถ้าเขาจำไม่ผิดท้องฟ้าถามอย่างนี้มาสามครั้งแล้ว แรกๆ เขาไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าคำถามนั้นเหมือนกับแฝงอะไรบางอย่างไว้

     “ชอบสิ”

     “ชอบจริงๆ นะครับ”

     “ทำไมถามแบบนั้น”

     “ผมแค่อยากถามให้แน่ใจ”

     “แน่ใจอะไร”

     คนถูกถามดึงมือไปจับ ดวงตาที่มองกลับมาเปี่ยมไปด้วยความสดใส ราวกับกำลังดีใจที่เขาบอกว่าชอบที่นี่

     “พ่อบอกว่าที่นี่ห่างจากจากบ้านพี่วายุไม่มาก เวลาพี่วายุอยากพักผ่อนจะได้ไปกลับสะดวก”

     “ทำไมจู่ๆ ถึง...” วายุไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ท้องฟ้าพูดเกี่ยวอะไรกับคำถาม แต่ไม่นานดวงตาเขาก็ค่อยๆ เบิกกว้าง ในตอนนั้นเองที่วายุเพิ่งสังเกตว่าท้องฟ้าไม่ได้ถามว่าชอบที่นี่ไหม แต่ถามว่าชอบบ้านหลังนี้ไหม

     “พ่อผมจะยกบ้านนี้ให้พี่วายุ ที่ผมเข้าไปคุยกับพ่อวันนี้ก็เรื่องนี้แหละครับ”

     “ท้องฟ้า!” วายุตกใจจนเผลอดึงมือออก เจ้าของชื่อหัวเราะเบาๆ ราวกับเดาได้ว่าจะเจอปฏิกิริยาอย่างนี้

     “พี่วายุพูดแล้วนะว่าชอบบ้านหลังนี้”

     “ใช่พี่พูดอย่างนั้น แต่...แต่...”

     “แต่อะไรครับ”

     “แต่อาศิจะยกบ้านพักให้พี่ทำไม แล้วทำไมที่ผ่านมาพี่ถึงไม่รู้อะไรเลย”

     “พ่อบอกว่าถ้าบอกตั้งแต่แรกพี่วายุจะปฏิเสธ เลยอยากคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่พี่วายุให้เรียบร้อยก่อนแล้วถึงให้ผมมาบอก”

     วายุยังนิ่งอึ้ง นาทีนี้เขาพูดอะไรไม่ออก ถ้าท้องฟ้ามาบอกเรื่องนี้กับเขาแปลว่าพวกผู้ใหญ่คงคุยเรื่องนี้กันอย่างดีแล้ว การยกบ้านให้คนอื่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ดังนั้นเขาจึงพอเดาได้ว่าพ่อแม่เขากับพ่อแม่ท้องฟ้าคงปรึกษาหารือเรื่องนี้กันมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน

     “สัปดาห์หน้าพ่อผมจะพาไปทำเรื่อง พี่วายุเตรียมตัวไว้นะครับ”

     “เดี๋ยวสิ นายยังไม่ตอบเลยนะว่าทำไมอาศิถึงยกบ้านพักให้พี่”

     “พ่อผมตกลงกับอาเกริกว่าจะให้ผมอยู่บ้านพี่วายุไปจนเรียนจบ แถมผมกำลังคบหากับพี่ ถ้าให้มาอยู่เฉยๆ พ่อคงรู้สึกไม่ดี”

     “แต่ก็ไม่ถึงกับต้องยกบ้านให้เลย พี่...พี่เกรงใจ...”

     “ห้ามเกรงใจครับ เรื่องนี้พ่อแม่พี่รับรู้และยินยอมแล้ว คิดเสียว่าพ่อผมให้ของหมั้นกับพี่ก็ได้ครับ และบ้านนี้ก็ไม่ได้เป็นของพี่คนเดียว พ่อจะให้ผมกับพี่เป็นเจ้าของร่วมกัน”

     วายุคลายความตกใจลง เขาโล่งอกขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อรู้ว่าอาศิมันตร์ไม่ได้ยกบ้านให้เขาคนเดียว ท้องฟ้าคลี่ยิ้ม สายตาที่ทอดมองเปี่ยมไปด้วยความรัก

     “รู้ไหมครับว่าทำไมพ่อถึงให้เราเป็นเจ้าของบ้านร่วมกัน”

     “นายเป็นลูกชาย เขาก็ต้องให้ทรัพย์สมบัติกับลูกตัวเองอยู่แล้ว พี่เข้าใจเรื่องนี้ดี อาศิทำถูกแล้ว”

     ท้องฟ้าส่ายศีรษะ ดวงตาสีดำเป็นประกาย

     “ตอนแรกพ่อตั้งใจจะใส่ชื่อพี่วายุลงไปในโฉนดคนเดียว แต่ผมขอให้ใส่ชื่อผมไปด้วย”

     วายุทำหน้างง ก่อนที่เขาจะได้พูดหรือคิดอะไรเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นมาอีก

     “ผมไม่ได้ห่วงเรื่องเงินหรือสมบัติ แต่ผมอยากให้พี่วายุรู้สึกมั่นคง รู้สึกว่าเรามีอะไรร่วมกัน อะไรที่จับต้องได้และเป็นสิ่งยืนยันว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน พร้อมจะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป”

     วายุพูดไม่ออกอีกครั้ง ดวงตาของเขาร้อนผ่าว ท้องฟ้าดึงมือบางไปจับ ความอบอุ่นถูกส่งผ่านฝ่ามือพร้อมกับรอยยิ้มในดวงตาสดใสคู่นั้น

     “ผมรู้นะว่าต่อให้เราเปิดอกคุยกันมากแค่ไหน แต่ลึกๆ ในใจพี่ก็ยังมีเรื่องให้กังวลอยู่ดี ผมยังเด็ก เรียนก็ยังไม่จบ เป็นแค่เด็กธรรมดาที่ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พี่จะกังวลก็ไม่แปลก แต่ช่วยรอผมหน่อยได้ไหมครับ ผมสัญญาว่าจะเป็นผู้ชายที่ดีพอสำหรับพี่วายุให้ได้ เพื่อที่วันนั้นมาถึงพี่จะได้เดินเคียงข้างผมโดยไม่อายใคร”

     หยาดน้ำใสไหลลงมาอาบแก้ม วายุยกมือมาปาดลวกๆ ก่อนจะยกยิ้ม ท้องฟ้าพูดถูก ลึกๆ แล้วเขายังกังวลกับอนาคตข้างหน้า แต่เพราะความมั่นคงที่ท้องฟ้ามีให้เสมอมา ทำให้เขารู้ว่าอนาคตที่มีเด็กคนนี้อยู่ด้วยไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

     “พี่ไม่เคยอายที่คบกับนาย แค่เป็นนายอย่างทุกวันนี้มันก็ดีมากแล้ว ขอบคุณนะที่คิดถึงพี่ขนาดนี้ ไม่ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงนายคือคนที่ดีที่สุดสำหรับพี่เสมอ”

     ท้องฟ้าคลี่ยิ้ม หัวใจเต็มตื้นเมื่อได้ยินประโยคที่เป็นยิ่งกว่าคำบอกรัก ริมฝีปากหนากดจูบบนหลังมือซ้ำๆ หวังให้คนตรงหน้ารับรู้ถึงความรักทั้งหมดที่มีในหัวใจ

     “หลังจากนี้บ้านหลังนี้เป็นของเราแล้วนะครับ บ้านของผมกับพี่วายุ”

     “บ้านของเรา...” วายุทวนคำของเด็กหนุ่ม รอยยิ้มกว้างขึ้นจนแก้มแทบแตกออกจากกัน

     “ใช่ครับ บ้านของเรา”

     “พี่ชอบคำนี้จัง ฟังแล้วมันอบอุ่นหัวใจ”

     ท้องฟ้ามองรอยยิ้มของคนรัก เขาลุกขึ้นยืนแล้วช้อนตัววายุขึ้นอุ้ม สายตาที่มองคนในอ้อมแขนแพรวพราว

     “ไหนๆ เราก็มีบ้านของตัวเองแล้ว ลองซ้อมเข้าห้องหอกันดีไหมครับ”

     วายุหน้าร้อนผ่าว นึกอยากตีคนที่จู่ๆ ก็วกกลับมาเรื่องใต้สะดือหน้าตาเฉย เขาพูดว่าบ้านไม่ใช่เรือนหอสักหน่อย

     “ห้องหออะไร ยังไม่ได้แต่งเลย”

     “เดี๋ยวผมเรียนจบก็ได้แต่งแล้ว ซ้อมไว้ให้ชินไงครับ”

     “ไม่เอา ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ”

     “ผมปล่อยแน่ครับ แต่ปล่อยบนเตียงเจ้าสาวนะ” ท้องฟ้าอุ้มวายุเข้าบ้าน ไม่สนคำทัดทานของอีกฝ่าย เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับเสียงโวยวาย ท่ามกลางบรรยากาศกลางคืนที่มีแสงจากพระจันทร์ส่องลงมา

     วายุชอบคำว่าบ้านของเรา ท้องฟ้าเองก็ชอบ เพียงแต่บ้านในความหมายของเขาไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นคนที่กำลังดิ้นในอ้อมแขนตอนนี้ต่างหาก

     บ้านของเราสองคน บ้านของเขาที่ชื่อวายุ




     TBC


     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 43 ★ [24/Feb/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 24-02-2023 16:07:23
ตอนที่ 43
DT


     “อยากไปฮันนีมูนเหรอ”

     ต้นน้ำหยุดมือที่กำลังหั่นสเต๊ก เงยหน้ามองคนถามด้วยแววตาตกใจระคนแปลกใจ

     “ทำไมถึงคิดว่าผมอยากไปครับ”

     “สกายบอก”

     นั่นไง ผิดจากที่เขาคิดที่ไหนล่ะ เพื่อนหนอเพื่อน ไอ้เขาก็นึกว่าพูดเล่น ไม่นึกว่าจะเอาไปบอกจริงๆ

     “พวกผมแค่พูดเล่นกันเฉยๆ ครับ พี่ดินไม่ต้องใส่ใจหรอก”

     “อยากไปก็บอก พี่พาไปได้”

     “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ว่าช่วงนี้พี่ดินงานยุ่ง แล้วผมก็ไม่ได้อยากไปขนาดนั้น แค่ได้ทานข้าวกับพี่ดินแบบนี้ก็มีความสุขแล้ว” ต้นน้ำฉีกยิ้ม ปฐพีมองรอยยิ้มของคนตรงหน้าด้วยแววตานิ่งเรียบ เขาไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าแล้วทานอาหารต่อ

     เพราะโปรเจกต์โฆษณาสินค้าที่เพิ่งปิดไปสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้บริษัทมหาศาล บิดาจึงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นผู้บริหาร แน่นอนว่าตำแหน่งที่สูงขึ้นย่อมมาพร้อมภาระงานที่มากขึ้น ปฐพีอยากมีเวลาให้ต้นน้ำมากกว่านี้ แต่หน้าที่ความรับผิดชอบทำให้ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ ทุกวันนี้แค่เขาพาต้นน้ำมาทานข้าวได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

     มือบางเอื้อมมาจับแก้มของชายหนุ่ม ปฐพีเลิกคิ้วให้คนตรงหน้า

     “ยิ้มหน่อยสิครับ อุตส่าห์มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งที”

     รอยยิ้มในดวงตาคู่นั้นทำให้ปฐพียิ้มตาม เขาจับหัวอีกฝ่ายโยกเบาๆ ก่อนชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ที่นี่ไงครับที่ผมไปกับเพื่อน” ต้นน้ำชี้รูปภาพในหนังสือ ชวนให้คนตัวสูงมองตาม พวกเขาอยู่ในร้านหนังสือ และสิ่งที่เด็กหนุ่มกำลังถือคือหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว

     “สวยดี”

     “ผมอยากให้พี่ดินไปด้วยจัง ที่นั่นอากาศดี วิวก็สวย แต่เหตุผลที่อยากให้ไปด้วยจริงๆ เพราะผมอิจฉาคนอื่นมากกว่า” ต้นน้ำหัวเราะเบาๆ เมื่อพูดประโยคสุดท้าย สวนกุหลาบบ้านเขตดนัยเป็นสถานที่ชื่อดัง จึงไม่แปลกที่จะเจอตามหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว

     “อิจฉาทำไม”

     “ก็พี่วายุไปกับสกาย ส่วนมีนเป็นแฟนพี่เขตอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่นั่นผมต้องทนมองคนอื่นหวานกันแต่ตัวเองไม่มีแฟนให้หวานด้วย” ต้นน้ำพูดจบก็รีบยกมือปิดปาก หันมายิ้มให้ร่างสูง “แต่ผมไม่ได้จะว่าอะไรนะครับ บอกแล้วว่าผมเข้าใจ พี่ดินมีงานต้องทำ หน้าที่ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว”

     ดวงตาปฐพีนิ่งเรียบ เขากำลังจะพูดบางอย่าง แต่เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นทำให้ต้องหยิบโทรศัพท์มากดรับ

     “ว่าไงคุณรุ้ง...ตอนนี้เลยเหรอ...บอกคุณสันต์ว่าเลื่อนไปก่อนได้ไหม...เข้าใจแล้ว ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

     ต้นน้ำเผลอเม้มปากโดยไม่รู้ตัว แต่พอปฐพีวางสายแล้วหันมาเขาก็รีบยิ้มกลบเกลื่อน ปฐพีถอนหายใจบางเบา แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

     “ขอโทษนะ พอดีโฆษณาที่กำลังถ่ายทำมีปัญหานิดหน่อย ผู้กำกับเลยอยากให้พี่ไปสตูฯ ตอนนี้เลย”

     วูบหนึ่งปฐพีเห็นความผิดหวังปรากฏบนดวงตา ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แทนที่ด้วยรอยยิ้มที่แค่มองก็รู้ว่าไม่ได้มาจากใจ

     “ไม่เป็นไรครับ พี่ดินไปเถอะ ผมเข้าใจ”

     ปฐพีอยากถามย้ำให้แน่ใจ แต่เขาเหลือเวลาไม่มาก สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงคว้าร่างบางมาจูบหน้าผาก เอ่ยคำขอโทษแล้วเดินออกมาจากร้านหนังสือ

     ต้นน้ำมองตามแผ่นหลังกว้าง รอยยิ้มค่อยๆ หายไปจากริมฝีปาก ภายในดวงตาฉายความน้อยใจที่พยายามปกปิดเอาไว้ออกมา

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ขอบคุณจริงๆ นะครับ ถ้าไม่ได้คุณดินผมไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง”

     ปฐพียิ้มให้คู่สนทนา เขาเดินไปเปิดประตูส่งอีกฝ่ายก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ การถ่ายทำครั้งนี้เต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่คาดคิด เขาไม่อยากกล่าวหาใครโดยเฉพาะผู้หญิง แต่การที่นักแสดงไม่ทำตามบทเพราะคิดว่าความคิดตัวเองดีกว่านั้นอยู่เหนือความคาดหมาย ลำพังคุณสันต์ที่เป็นผู้กำกับมืออาชีพคงแก้ปัญหานี้ไม่ยาก ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่นักแสดงโด่งดังที่เป็นถึงลูกสาวผู้มีอิทธิพล กว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมให้การถ่ายโฆษณาเป็นไปอย่างราบรื่นก็เรียกได้ว่าเหนื่อยไม่ใช่เล่น

     ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดู กว่าเขาจะทำธุระเสร็จเวลาก็ล่วงเลยถึงหกโมงเย็น ต้นน้ำคงกลับบ้านไปแล้ว พอคิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าเศร้าที่พยายามร่าเริงก็เด่นชัดขึ้นมา

     ปฐพีหรี่ตา นิ้วเรียวเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด เขากำลังคิดอะไรบางอย่างตอนที่รุ้งดาวัลย์ เลขาที่พ่อของเขาให้มาช่วยงานเปิดประตูเข้ามา

     “รุ้งกลับก่อนนะคะคุณดิน อย่าหักโหมเกินไปนะคะ” ปฐพีมักจะอยู่เคลียร์เอกสารจนดึกดื่นเสมอ เรื่องนี้เลขาของเขารู้ดีและเคยชินแล้ว

     “เดี๋ยวก่อนคุณรุ้ง”

     “คะ?”

     ปฐพีจ้องอีกฝ่ายนิ่ง เขาทำหน้าจริงจังขณะถามออกไป “ปกติผู้หญิงชอบให้ง้อแบบไหน”

     รุ้งดาวัลย์เผลอทำตาโต ก่อนจะรีบสงวนท่าทางต่อหน้าเจ้านาย เธอพอรู้อยู่บ้างว่าปฐพีมีคนที่กำลังคบหาอยู่ แต่เพราะมักจะเห็นแต่ด้านจริงจังกับงาน จึงไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้

     “ว่าไง ปกติผู้หญิงชอบให้ง้อแบบไหน” ปฐพีถามซ้ำ เลขาสาวยิ้มกลับไปบางเบา แต่ในใจอยากแซวเสียมากกว่า

     “รุ้งตอบไม่ได้ค่ะ เพราะผู้หญิงแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่รุ้งคิดว่าสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนเป็นเหมือนกันคือไม่ว่าจะง้อแบบไหน แต่ถ้ามันมาจากความตั้งใจจริง รุ้งเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องรู้สึกดีและหายงอนแน่นอน”

     “แล้วถ้าผู้ชายล่ะ”

     “คะ?”

     “ผมหมายถึง...ถ้ากับผู้ชาย ขอแค่ตั้งใจง้อก็จะหายเหมือนกันใช่ไหม” ปฐพีถามเสียงขรึมแต่ใบหน้าปกปิดความเก้อเขินไม่มิด ทำเอาเลขาสาวคันปากอยากแซวยิบๆ แต่ต้องพยายามหักห้ามใจไว้

     “เรื่องแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ค่ะ รุ้งเคยแต่โดนผู้ชายง้อ ไม่เคยง้อผู้ชาย เลยไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นยังไง” รุ้งดาวัลย์ยิ้มให้ร่างสูง “แต่ถ้าคนๆ นั้นเป็นคนที่เรารัก รุ้งว่าน่าจะได้ผลเหมือนกันนะคะ การง้อคือการที่เราแคร์อีกฝ่าย ถ้าเขาไม่รักเราคงไม่แคร์ถึงขนาดอยากง้อหรอกค่ะ”

     ปฐพีเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาเหม่อลอยราวกับกำลังคิดถึงใครบางคน เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ถามอะไรต่อรุ้งดาวัลย์จึงเอ่ยขอตัว ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทำงานอีกครั้ง

     เสียงเก้าอี้ขยับเล็กน้อย ดวงตาคมเผยรอยยิ้มเมื่อนึกไอเดียบางอย่างออก จริงอย่างที่เลขาเขาพูด ไม่ลองก็ไม่รู้

     ปฐพีลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว จุดหมายคือร้านแหวนเพชรในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “ยิ้มอะไร” ปฐพีถามคนที่เท้าคางกับพนักโซฟา มองเขาด้วยรอยยิ้มที่กระจ่างไปทั้งหน้า

     “มีแฟนหล่อก็ต้องยิ้มสิครับ”

     ปฐพีส่ายหัว รอยยิ้มบางจุดบนริมฝีปาก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรต้นน้ำถึงอารมณ์ดี หลังจากไม่ได้เจอกันร่วมสองสัปดาห์เพราะภาระงานที่ยุ่งเหยิง วันนี้เขาชวนอีกฝ่ายมานั่งเล่นที่บริษัท ส่วนหนึ่งเพราะเขาเองก็คิดถึงต้นน้ำ แต่อีกส่วนเพราะเขาตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง

     “งั้นพี่มีแฟนน่ารักก็ต้องยิ้มด้วยใช่ไหม”

     ต้นน้ำแกล้งทำตาโต ถ้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกเสียงได้เขาคงทำไปแล้ว ปฐพีพูดอะไรหวานๆ แบบนี้บ่อยที่ไหนกัน บอกแล้วว่าตั้งแต่คบกัน...ไม่สิ ตั้งแต่รู้จักกันมาแทบนับครั้งได้เลย

     “หลังจากนี้ผมขอมาหาพี่ดินบ่อยๆ ได้ไหม”

     “ตามใจเราสิ” ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ให้ต้นน้ำมาเพราะมักจะมีลูกค้ารายสำคัญมาเจรจาธุรกิจบ่อยครั้ง และตัวเขาเองก็ไม่ค่อยอยู่ติดห้องทำงานเท่าไหร่

     “พูดจริงนะครับ”

     “จริงสิ พี่จะโกหกทำไม”

     ต้นน้ำยิ้มกว้าง ความดีใจพุ่งขึ้นมาเต็มอก ที่ผ่านมาปฐพีแทบไม่มีเวลาให้ ซึ่งเขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ แต่เข้าใจไม่ได้แปลว่าไม่เสียใจ ดังนั้นเมื่อปฐพีบอกว่ามาหาบ่อยๆ ได้ เขาจึงอดดีใจไม่ได้ที่หลังจากนี้จะไม่ต้องทนคิดถึงอีกแล้ว

     ปฐพีหันกลับมาโฟกัสงานตรงหน้า ต้นน้ำเงียบเสียงลงเพราะไม่อยากรบกวนอีกฝ่าย เขานั่งมองร่างสูงอยู่อย่างนั้น ไม่สนว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ถ้าถามว่าเบื่อไหม ต้นน้ำตอบได้ทันทีว่าไม่เบื่อ ไม่เคยเบื่อที่จะมองหรืออยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ทั้งที่เพิ่งคบกันไม่เท่าไหร่ แต่ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายคนนี้กลับยิ่งมากขึ้นทุกวัน

     ต้นน้ำกำลังนั่งเท้าคางมองเพลินๆ ตอนที่ปฐพีวางเอกสารในมือ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วหันมายิ้มให้

     “ทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ”

     “อืม” ปฐพีพยักหน้าเล็กน้อย เขาส่งสายตาเรียกเด็กหนุ่ม “มานี่สิ”

     “อะไรครับ” ต้นน้ำถามแต่ก็ยอมเดินไปหา เขาหยุดยืนหน้าโต๊ะทำงาน แต่ปฐพีให้เดินอ้อมโต๊ะไปหาตัวเอง พอเขากำลังจะถามอีกครั้งคนที่นั่งอยู่ก็กระตุกแขนเล็กน้อย ร่างของเขาจึงเซไปนั่งบนตักอีกฝ่าย

     ปฐพีสอดมือมากอดรอบเอว เกยคางบนบ่า ลมหายใจอุ่นรินรดแก้ม ต้นน้ำตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเขาตั้งตัวไม่ทัน

     “พี่ดิน” ต้นน้ำกำลังจะลุกขึ้น แต่แรงยื้อจากแขนแกร่งทำให้เขาทำได้แค่นั่งนิ่งๆ

     “ขอพี่พักแป๊บนึง ทำงานทั้งวันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”

     พักให้หายเหนื่อยของปฐพีมันคือการทำให้ต้นน้ำเหนื่อยมากขึ้น ไม่ได้เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยเพราะหัวใจเต้นรัวเกินไปนี่แหละ

     “ผมไปนั่งโซฟาดีกว่า พี่ดินจะได้พักสบายๆ ตัวผมหนัก เดี๋ยวพี่ดินจะเหนื่อยเพิ่ม”

     “หนักที่ไหน ออกจะเบาขนาดนี้” ปฐพีแกล้งรัดเอวแรงขึ้นเล็กน้อย เขาฝังหน้าลงบนซอกคอขาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ “ให้พี่อุ้มโชว์ไหม จะได้รู้ว่าเบาจริงหรือเปล่า”

     “ไม่เอาครับ! ผม...ผมเชื่อแล้วว่าผมตัวเบา พี่ดินไม่ต้องอุ้มนะ”

     คนตัวสูงหัวเราะในลำคอ เขาอยากแกล้งมากกว่านี้ แต่กลัวว่าถ้าทำจริงๆ อีกฝ่ายจะหนีไปนั่งโซฟา จึงได้แต่กอดไว้เหมือนเดิม

     “ต้นน้ำ”

     “ครับ?”

     “มีอะไรอยากพูดกับพี่หรือเปล่า”

     เด็กหนุ่มเอียงหน้ามามอง ก่อนจะสบกับดวงตาที่มองอยู่ก่อนแล้ว ต้นน้ำเผลอกัดริมฝีปาก บางอย่างในดวงตาคู่นั้นทำให้เขาชะงัก

     “พี่ดินหมายถึงเรื่องอะไร”

     “เรื่องที่ช่วงนี้พี่ไม่มีเวลาให้ เราน้อยใจอยู่ใช่ไหม”

     ต้นน้ำเม้มปาก เขาอยากลุกหนีแต่ติดที่แขนสองข้างบนเอว สายตาที่มองมาทำให้เขารู้ว่าปฐพีรู้คำตอบอยู่แล้ว ต่อให้ปิดบังไปก็เท่านั้น

     “ขอโทษนะครับ”

     “ขอโทษทำไม”

     “ผมพยายามไม่งี่เง่า พยายามเป็นแฟนที่ดี แต่พี่ดินก็ยังจับได้ ผมนี่มันไม่ได้เรื่องเลย” ต้นน้ำพยายามยิ้ม แม้จะยิ้มไม่ออกก็ตาม

     “อย่าคิดอย่างนั้น”

     “ไม่ต้องปลอบหรอกครับ มันคือความจริง ผมเข้าใจพี่ดิน รู้ว่าพี่งานยุ่ง แต่ต่อให้เข้าใจมันก็อดเสียใจไม่ได้ ขอโทษนะครับ”

     ปฐพีมองใบหน้าหม่นหมอง มองรอยยิ้มที่ปกปิดความเสียใจไว้ไม่มิด เขาถอนหายใจบางเบา หมุนตัวเด็กหนุ่มให้หันมาหา มือข้างหนึ่งผละจากเอว เอื้อมไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบบางอย่างออกมา

     ต้นน้ำมองสิ่งที่ปฐพีกำลังถือ ดวงตาสงสัยของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตกใจ กล่องกำมะหยี่รูปทรงสี่เหลี่ยมถูกเปิดออก ภายในนั้นมีแหวนทองคำขาวสองวงที่ขนาดต่างกัน ต้นน้ำรีบเงยหน้ามองอีกฝ่าย ปฐพียิ้มกลับมาให้

     “ทำหน้าแบบนี้ รู้ใช่ไหมว่าพี่กำลังจะทำอะไร”

     “พี่ดิน...” ต้นน้ำทำได้แค่เรียกชื่ออีกฝ่าย นาทีนี้เขาพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกมันผสมปนเปไปหมด

     “ส่งมือมาหน่อยครับ”

     ต้นน้ำรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหุ่นยนต์ ปฐพีให้ทำอะไรก็ทำตาม ร่างสูงสวมแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย ก่อนจะบอกให้เด็กหนุ่มสวมแหวนอีกวงให้ตัวเอง ต้นน้ำมือสั่นเล็กน้อย เขากำลังจะสวมแหวนให้ปฐพี แต่พอสังเกตเห็นตัวอักษรบนแหวนเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง

     “พี่ดิน” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเจ้าของตัก ปฐพีส่งยิ้มให้ เขาดึงมืออีกฝ่ายมาแตะริมฝีปากบนแหวนแผ่วเบา

     “DT รู้หรือเปล่าว่าย่อมาจากอะไร”

     ต้นน้ำพยักหน้า เขาคิดว่าเขารู้ ดวงตาเด็กหนุ่มเริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำ เขาไม่คิดว่าปฐพีจะทำอะไรแบบนี้

     “จำได้ไหม เราเคยเล่าให้พี่ฟังเรื่องแหวนแต่งงานของคุณพ่อคุณแม่ พวกท่านสลักชื่อตัวเองลงบนแหวน เราเลยอยากให้แฟนทำแบบนั้นบ้าง วันนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้วนะ DT…ดินกับต้นน้ำ ผู้ชายคนเดียวที่พี่รัก และจะรักไปตลอด”

     หัวใจของต้นน้ำเต้นรัว เวลานี้เขากลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกต่อไป คำบอกรักที่เขาอยากได้ยินมาตลอด วันนี้ปฐพีพูดให้ฟังแล้ว ปฐพีไม่ได้บอกว่าชอบแต่บอกว่ารัก ต้นน้ำไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน และที่ยิ่งกว่านั้นคือการที่ปฐพีใส่ใจคำพูดของเขา มันแสดงให้เห็นว่าปฐพีรักเขาจริงๆ ผู้ชายที่ไม่ค่อยพูดแต่การกระทำชัดเจนกว่าคำพูดทั้งหมด

     ปฐพีมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของต้นน้ำ เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาเบาๆ สายตาที่ทอดมองเต็มไปด้วยความรัก

     “อย่าร้อง พี่ไม่มีวันทำให้ต้นน้ำเสียใจ”

     “ผมร้องเพราะมีความสุขต่างหากครับ มีมากๆ เลยด้วย” ต้นน้ำสวมกอดปฐพี พูดเสียงอู้อี้อยู่กับอก “ผมเองก็รักพี่ดิน รักคนเดียวและจะรักไปตลอดเหมือนกัน”

     “ถ้ารักพี่ก็สวมแหวนให้พี่ก่อนครับ”

     ต้นน้ำผละตัวออก เขายิ้มเขินก่อนจะเริ่มสวมใหม่อีกครั้ง เมื่อกี้เขามัวแต่ตื่นเต้นเลยลืมว่ายังไม่ได้สวมแหวนให้อีกฝ่าย

     ปฐพีรอให้ต้นน้ำสวมให้เรียบร้อย จากนั้นจึงสอดมือประสานกับมือของต้นน้ำ รอยยิ้มอบอุ่นกับดวงตาอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าคม

     “พี่รักต้นน้ำนะ รักรอยยิ้ม รักเสียงหัวเราะ รักดวงตาสดใส รักทุกอย่างที่เป็นเด็กผู้ชายชื่อต้นน้ำ”

     “พี่ดิน...” ต้นน้ำเคยได้ยินคำบอกรักมาเยอะ แต่ไม่เคยมีใครพูดได้อบอุ่นและอ่อนโยนเท่านี้มาก่อน เขารับรู้ความรู้สึกของปฐพีได้ด้วยหัวใจ ดวงตาคู่นั้นสื่อมาถึงเขาแล้ว

     “บอกให้พี่ฟังอีกทีได้ไหมครับ ว่าต้นน้ำรู้สึกยังไง”

     “ผมรักพี่ดินครับ รักเท่าที่คนๆ หนึ่งจะรักใครได้ ขอบคุณที่ตรงนี้มีแต่ผมนะครับ ผมสัญญาว่าตรงนี้ก็จะมีแต่พี่ดินเช่นกัน” ต้นน้ำวางมือบนอกข้างซ้ายของอีกฝ่าย ก่อนจะดึงมือปฐพีมาทาบบนอกข้างซ้ายของตัวเอง ปฐพียิ้มอ่อนโยน เขากุมมือเด็กหนุ่มแล้วกระชับ ความอบอุ่นแล่นไปทั่วหัวใจ

     “พี่อาจพูดไม่ค่อยเก่ง ยอมรับว่าไม่ถนัดเรื่องละเอียดอ่อนเท่าไหร่ แต่ต้นน้ำพูดกับพี่ตรงๆ ได้นะ งอนได้ งอแงได้ อยากทำอะไรอยากไปไหนบอกได้เลย”

     “ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากให้พี่ดินรำคาญ”

     “ถ้ารำคาญพี่จะมาง้อเราแบบนี้เหรอ”

     ต้นน้ำเอียงคอ ทำหน้างงเล็กน้อย เขานึกว่าสิ่งที่ปฐพีทำวันนี้เป็นแค่การบอกรักเฉยๆ เสียอีก

     “ที่ให้แหวนเพราะอยากง้อผมเหรอ”

     “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ตอนแรกพี่ไม่รู้จะง้อยังไง แต่พอนึกถึงเรื่องที่เราเคยเล่า เลยถือโอกาสง้อไปด้วยบอกรักไปด้วยเลย”

     “ทำไมแฟนผมน่ารักแบบนี้เนี่ย” ต้นน้ำสวมกอดอีกรอบ ซบหน้าลงกับอกของร่างสูง ปฐพีเชยคางให้แหงนเงย ดวงตาทั้งคู่สบกัน ก่อนรอยยิ้มจะผุดขึ้นพร้อมกับเสียงทุ้ม

     “พี่ให้แหวนแล้ว ต้นน้ำไม่คิดจะให้อะไรพี่บ้างเหรอ”

     “พี่ดินอยากได้อะไร”

     “มองตาพี่สิ แล้วเราจะรู้ว่าพี่อยากได้อะไร”

     ต้นน้ำทำตามที่อีกฝ่ายบอก สายตาปฐพีกำลังจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปาก เพียงเท่านั้นเขาก็รู้ว่าปฐพีต้องการอะไร เด็กหนุ่มอมยิ้ม ขยับหน้าไปใกล้แล้วทาบทับริมฝีปากลงไป ไม่นานคนอายุมากกว่าก็ตอบสนองกลับมา จูบของปฐพียังนุ่มนวลเหมือนเดิม แต่คราวนี้มันเปี่ยมไปด้วยความรักที่อีกฝ่ายมีให้ ราวกับกำลังบอกว่าผู้ชายคนนี้พร้อมจะเป็นผืนแผ่นดินเดียวกับเขา

     ตลอดเวลาที่จูบกัน มือของพวกเขายังคงประสานกันอยู่ แหวนสองวงกำลังแตะกันเบาๆ แหวนที่มีชื่อของพวกเขาสลักอยู่บนนั้น

     DT

     ดินกับต้นน้ำ

     พี่ดินจะรักและมั่นคงต่อน้องต้นน้ำ...ตลอดไป




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 44 ★ [27/Feb/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 27-02-2023 18:45:23
ตอนที่ 44
วันธรรมดา


     “ท้องฟ้า”

     “…”

     “ท้องฟ้า”

     “…”

     วายุถอนหายใจ มองคนที่ส่งเสียงอืออาในลำคอแล้วหลับต่อ เมื่อเรียกแล้วไม่ยอมตื่นเขาจึงเอื้อมมือไปเขย่าไหล่

     “จะแปดโมงแล้ว ตื่นได้แล้ว พี่หิว” วายุจัดการธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว สาเหตุที่เขาต้องปลุกท้องฟ้าเพราะคราวก่อนเขาลงไปทานอาหารเช้าคนเดียว ปล่อยให้ท้องฟ้านอนอยู่บนห้อง ผลคือเขาโดนงอนที่ไม่ยอมรอไปทานพร้อมกัน

     โตแต่ตัวจริงๆ ตัวก็ออกจะใหญ่โต แต่ดันขี้เหงา ขี้น้อยใจ แถมยังแสนเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก สมแล้วที่เป็นเจ้าลูกหมา

     “ท้องฟ้า พี่หิวจริงๆ นะ ตื่นเร็วจะได้ลงไปทานข้าวกัน”

     ร่างหนายังนอนนิ่งไม่ขยับ วายุจึงเขย่าแรงกว่าเดิม เขากำลังจะเรียกอีกครั้ง แต่จู่ๆ คนที่เขาคิดว่ายังไม่ตื่นก็ตวัดแขนมาดึงจนเซลงไปนอนข้างกัน ท้องฟ้าขยับมาทาบทับโดยเอาคางเกยหน้าอก ดวงตาปรือเหมือนคนยังตื่นไม่เต็มตา ผมเผ้ายุ่งเหยิงแต่ไม่ได้ทำให้เจ้าของหล่อน้อยลงสักนิด

     “ผมยังง่วงอยู่เลย”

     เสียงเครือง่วงงุนทำเอาคนอายุมากกว่าหลุดขำ วายุยกมือมาปัดเส้นผมออกจากหน้าผาก วางมือบนหัวแล้วโยกไปมา

     “ไหนคราวก่อนใครบอกว่าให้รอไปทานข้าวพร้อมกัน”

     “ขออีกสิบนาทีไม่ได้เหรอครับ”

     “ไม่ พี่หิวแล้ว เลือกเอาว่าจะตื่นไปทานข้าวด้วยกันหรือจะนอนอยู่บนห้องคนเดียว”

     “ผมเลือก...” ท้องฟ้าทำหน้าเหมือนคิดหนัก ก่อนริมฝีปากจะผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ ทันใดนั้นร่างของวายุก็ถูกรั้งไปชิดอกแกร่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาตกอยู่ในอ้อมกอดท้องฟ้า “เลือกนอนกอดพี่วายุ”

     “ท้องฟ้า” วายุพูดด้วยเสียงเหนื่อยใจ แต่เด็กตัวโตกลับไม่สนใจฟัง ใบหน้าคมฝังลงซอกคอ จมูกโด่งสูดกลิ่นหอมจากตัวคนรัก

     “พี่วายุตัวหอมจัง”

     “ก็พี่อาบน้ำแล้ว นายนั่นแหละรีบไปอาบเลย ถ้าชักช้าพี่ให้อยู่คนเดียวจริงๆ นะ”

     “พี่หิวเหรอ”

     “ใช่”

     “งั้น...”

     เสียงทุ้มที่ดังแล้วเงียบไปทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมอง แววตาท้องฟ้าเต้นระยิบระยับ ริมฝีปากหนากระซิบเสียงแหบข้างหู

     “กินผมก่อนไหมครับ อร่อยเหมือนกัน รับรองว่าพี่วายุอิ่มไปอีกนานเลย โอ๊ย! พอแล้วครับ ผมยอมแล้ว ไปอาบน้ำแล้วคร้าบบบ”

     วายุมองตามคนที่วิ่งหนีลงไปจากเตียง เขาส่ายหัวเล็กน้อย สีหน้าเหนื่อยใจปนขบขัน ต่อไปนี้ต้องลงไม้ลงมือสินะ เด็กขี้เซาถึงจะยอมลุกจากเตียง เขาจะจำไว้

     ท้องฟ้าเดินเกือบถึงห้องน้ำ แต่จู่ๆ ก็เดินกลับมา หยุดยืนตรงหน้าพร้อมกับยิ้มแปลกๆ วายุงงเล็กน้อย เขากำลังจะบอกให้รีบไปอาบน้ำ แต่ร่างสูงก็โน้มลงมาแตะริมฝีปากแผ่วเบา ส่งยิ้มชวนละลายให้

     “ผมลืมไป...มอร์นิ่งคิสครับที่รัก”

     วายุได้แต่นิ่งอึ้ง ท้องฟ้ายิ้มอารมณ์ดีก่อนเดินหายไปในห้องน้ำ ผ่านไปสักพักคนโดนจุ๊บถึงได้สติ วายุยกมือแตะริมฝีปาก เขานั่งลูบมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา

     ที่รักเหรอ...ฟังดูไม่เลวเหมือนกันแฮะ

     ชายหนุ่มมองไปยังหน้าต่าง แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ห้องมีชีวิตชีวาขึ้น วายุระบายยิ้ม เขาฮัมเพลงเบาๆ ระหว่างรอเด็กหนุ่มอาบน้ำ

     วันธรรมดาของพวกเขากำลังจะเริ่มขึ้น เป็นวันธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่วายุก็ชอบที่เป็นแบบนี้

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “สุกี้เหรอครับ”

     ประกายในดวงตาของคนถามทำให้วายุหลุดขำ เขาผลักหัวเด็กหนุ่มที่ยื่นหน้ามาถามเบาๆ

     “ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น”

     “ก็ผมยังไม่เคยกินสุกี้กับพี่วายุเลยนี่ครับ ผมขอไปซื้อของด้วยนะ”

     “เอาสิ” วันนี้วายุเกิดครึ้มอกครึ้มใจ อยากทำสุกี้แบบง่ายๆ กินกันเอง ที่จริงเขาตั้งใจจะชวนเขตดนัย แต่เหมือนรายนั้นจะกำลังพารามิลไปเที่ยว วายุยิ้มมุมปากเมื่อนึกถึงรุ่นพี่ข้างบ้าน เขาเพิ่งรู้ว่าเขตดนัยเป็นคนหลงแฟนสุดๆ เรียกว่าคลั่งรักก็คงไม่เกินจริง นี่สินะอานุภาพของความรัก

     วายุกำลังนั่งทำงานอยู่ในสวนหลังบ้าน มีเด็กตัวโตตามติดเหมือนทุกครั้ง แม่ของเขาเอาต้นไม้มาเพิ่มตอนกลับมาอยู่ไทย บรรยากาศในสวนจึงร่มรื่นมากขึ้น

     ท้องฟ้ายกมือเท้าคาง มองมาด้วยสายตายิ้มๆ วายุละมือที่กำลังเช็กอีเมลลูกค้า เงยหน้ามาเลิกคิ้ว

     “ยิ้มอะไร”

     “ผมชอบวันแบบนี้จังเลยครับ”

     “วันแบบนี้?”

     ท้องฟ้าพยักหน้า รอยยิ้มกับดวงตาเป็นประกายสดใส “ได้อยู่กับพี่วายุทั้งวัน ไม่มีเรื่องเครียดให้กวนใจ จะทำอะไรก็ได้ ผมชอบวันแบบนี้ที่สุดเลย”

     วายุยิ้มตามเด็กหนุ่ม เขาเห็นด้วยกับท้องฟ้า มันอาจไม่มีอะไรหวือหวาหรือชวนตื่นเต้น แต่บางทีความเรียบง่ายก็ทำให้มีความสุขได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อได้อยู่กับคนที่เรารัก

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่วายุชอบทานผักกาดขาวกับเห็ดเข็มทองใช่ไหมครับ” ท้องฟ้าถามวายุ แต่มือหยิบของจากชั้นวางมาใส่ตะกร้าเรียบร้อย วายุขำเบาๆ ในลำคอ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วในเวลาต่อมา

     “รู้ได้ไง พี่ยังไม่เคยบอกเลย”

     “ตอนพี่มาทานข้าวบ้านผมสมัยเด็ก วันไหนมีเมนูแกงจืดพี่ชอบตักแต่ผักกาดขาวกับเห็ดเข็มทอง ผมเลยรู้ไงครับ” ท้องฟ้าหันมายิ้มกว้าง ราวกับอยากอวดว่าตัวเองความจำดี ความสดใสในดวงตาทำให้วายุยิ้มตาม มือบางยกมาลูบหัวเด็กหนุ่ม

     “จำได้แม้กระทั่งเรื่องนี้เลยเหรอ”

     “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้นะครับ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพี่วายุผมจำได้หมดเลย พี่วายุชอบเพนกวิน พี่วายุเกลียดแมงมุม พี่วายุไม่ชอบอากาศร้อน เป็นไง ผมเก่งไหมครับ” คนพูดยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาชิดใต้คาง วายุหลุดขำ เขายีหัวเจ้าลูกหมาด้วยความรักและเอ็นดู

     “ขอบใจนะ ขอโทษที่ตอนแรกพี่จำนายไม่ได้”

     “ไม่เป็นไรครับ แค่ตอนนี้พี่วายุรักผมก็พอแล้ว หรือถ้าอยากขอโทษจริงๆ รักผมให้มากๆ ก็พอ”

     วายุหัวเราะ นึกในใจว่าทุกวันนี้ยังมากไม่พอหรือไง ถ้ามากกว่านี้คงไม่ต้องทำงานทำการแล้ว ได้แต่อยู่เฝ้ากันทั้งวัน

     “ถ้างั้น...” วายุยกยิ้มเจ้าเล่ห์ หันไปหยิบแครอทจากชั้นวางมาถือ “พี่ทำต้มจืดแครอทให้กินดีไหม”

     “เดี๋ยวนะครับ มันมาเกี่ยวกันได้ยังไง” เด็กเกลียดแครอททำหน้าเหลอหลา

     “ก็นายอยากให้พี่รักมากๆ ไม่ใช่เหรอ พี่รักนายเลยอยากให้นายกินของมีประโยชน์ ร่างกายจะได้แข็งแรงไง”

     สีหน้าเด็กตัวโตอยู่กึ่งกลางระหว่างอึ้งกับตกตะลึง วายุหัวเราะเสียงดัง ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเพิ่งเคยเห็นท้องฟ้าทำหน้าแบบนี้

     “พี่วายุแกล้งผม” คนโดนแกล้งบ่นอุบ เข็นรถเข็นเดินหนี วายุรีบเดินตามไปแต่ยังไม่หายขำ

     “งอนเหรอ”

     “เปล่าครับ”

     “ดี พี่จะได้ไม่เปลืองแรงง้อ”

     “จะไม่ง้อผมจริงเหรอ”

     “ก็นายไม่ได้งอน”

     ท้องฟ้านิ่งงันอีกรอบ วายุไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเขากำลังงอน เรื่องแบบนี้มันต้องรู้เองสิ ไม่ใช่มาถามอีกฝ่าย

     “ผมงอนก็ได้”

     ก็แค่นี้

     “อยากให้ง้อยังไง” ไม่บ่อยนักที่วายุจะแกล้งท้องฟ้า และทุกครั้งจะจบลงที่เขาเป็นฝ่ายง้อเสมอ วายุไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเหมือนกันไหม แต่สำหรับเขา การเอาใจใส่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ คือการแสดงความรักรูปแบบหนึ่ง

     “จะง้อผมจริงเหรอ”

     “จริงสิ”

     “งั้นหอมแก้มผม”

     “เดี๋ยว! นี่มันในซูเปอร์ฯ” วายุตกใจคนที่พูดอะไรไม่ดูสถานที่ ท้องฟ้ายกยิ้มบ้าง พี่วายุคิดว่าตัวเองแกล้งเป็นคนเดียวหรือไง

     “งั้นติดไว้ก่อน กลับบ้านไปพี่ค่อยง้อผม แต่ถ้าจะง้อที่บ้านผมไม่ให้หอมอย่างเดียวนะ”

     สายตาวาววับที่มองมาทำให้วายุเข้าใจความนัยได้ทันที ทำเอาเขานึกอยากตบปากตัวเอง ไม่น่าไปแกล้งเลย เขาลืมไปว่าลูกหมาตัวนี้เจ้าเล่ห์กว่าเขาหลายเท่านัก

     “รีบซื้อของกันเถอะครับ ผมอยากกลับบ้านเร็วๆ” ท้องฟ้าผิวปากอารมณ์ดี ผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับ วายุมองตามด้วยสายตาเหนื่อยใจ ตกลงเขาแพ้ท้องฟ้าอีกแล้วใช่ไหม

     เฮ้อ...ลูกหมาหลับอยู่ดีๆ ไม่น่าเอานิ้วไปแหย่เลย

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     บรรยากาศมื้อเย็นเต็มไปด้วยความเรียบง่าย วายุกับท้องฟ้าช่วยกันย่างเนื้อ ใส่ผักลงไปต้มในหม้อ หัวข้อสนทนาทั้งมีและไม่มีสาระ เป็นความเรียบง่ายที่อบอวลไปด้วยความสุข

     “กินไอศกรีมไหม” วายุถามเมื่อเห็นว่าของสดหมดแล้ว ตอนไปซูเปอร์มาร์เก็ตเขาซื้อไอศกรีมมาด้วย ตั้งใจเอาไว้ทานหลังทานมื้อหลักเสร็จ

     ท้องฟ้าพยักหน้า วายุจึงเดินไปหยิบถ้วยไอศกรีมมาให้ แต่เด็กตัวโตกลับส่ายหน้า รอยยิ้มจุดบนริมฝีปาก

     “ผมนึกวิธีที่จะให้พี่วายุง้อได้แล้ว”

     วายุเอียงคองง เขาไม่นึกว่าท้องฟ้าจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาในเวลานี้

     “พี่วายุต้องป้อนไอศกรีมผมให้หมด ผมถึงจะหายงอน”

     วายุกะพริบตาปริบ เขาไม่แน่ใจว่าควรขำหรือควรแปลกใจ ก็ไม่ได้หมกมุ่นหรือคิดเรื่องอย่างว่าตลอดเวลาหรอก แต่เขานึกว่าท้องฟ้าอยากให้ง้อด้วยวิธีอื่นเสียอีก

     “ให้ทำแค่นี้เหรอ”

     “ใช่ครับ” ท้องฟ้ายิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายรู้ทัน “หรือพี่วายุคิดว่าผมอยากให้ง้อบนเตียง”

     วายุสะดุ้งเล็กน้อย ท้องฟ้าหัวเราะเบาๆ เด็กหนุ่มลุกมานั่งข้างคนโตกว่า เอนศีรษะไปซบไหล่

     “เห็นผมเป็นคนหื่นขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

     “หรือจะบอกว่าไม่จริง”

     “ผมหื่นก็จริง แต่ไม่ได้เอะอะจับกดอย่างเดียวซะหน่อย ผมก็อยากมีมุมหวานๆ กับแฟนบ้างนะครับ”

     วายุหัวเราะ ยกมือยีหัวอีกฝ่ายเบาๆ เขาส่ายหัวให้ความคิดลึกของตัวเองก่อนจะตักไอศกรีมป้อนคนข้างๆ

     “อร่อยไหม”

     เด็กหนุ่มพยักหน้า วายุจึงตักไปป้อนอีก ป้อนไปก็อดถามตัวเองไม่ได้ ตกลงเขามีแฟนหรือมีลูกกันแน่ อีกนิดก็จะอาบน้ำให้แล้ว

     “พี่วายุ”

     “หืม?”

     “ผมเหมือนฝันอยู่เลยครับ”

     วายุชะงักมือที่กำลังตักไอศกรีม หันไปมองเจ้าของศีรษะที่กำลังซบไหล่

     “ทำไมเหรอ”

     “รู้ไหมครับว่าสิบปีที่ผ่านมา ผมฝันว่าจะได้อยู่กับพี่วายุมาตลอด ตอนนี้ฝันผมเป็นจริงแล้ว ไม่สิ มันยิ่งกว่าที่ฝันไว้อีก ผมได้เป็นแฟนพี่วายุ ได้เป็นคนเดียวที่พี่วายุรัก ทุกเช้าตอนตื่นมาผมมักจะถามตัวเองว่ากำลังฝันหรือเปล่า แต่ถ้าฝันอยู่จริงๆ ผมก็ไม่อยากตื่นเลย”

     วายุวางถ้วยไอศกรีม เอื้อมสองมือไปประคองใบหน้า ท้องฟ้าหันมาตามแรงมือ เขากำลังจะเอ่ยถาม แต่ริมฝีปากที่ทาบทับมาทำให้เขานิ่งงัน

     “ยังคิดว่าฝันอยู่อีกไหม”

     เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ แต่พอตั้งสติได้ก็คลี่ยิ้ม ท้องฟ้ายกมือมาแตะริมฝีปากที่เพิ่งผละออกไป ดวงตาสองคู่สบกัน

     “ยังไม่แน่ใจเลย ขออีกทีได้ไหมครับ”

     วายุหัวเราะในลำคอ แม้กระทั่งเวลานี้ยังเจ้าเล่ห์ได้อีก ทั้งที่รู้อย่างนั้นแต่เขาก็เต็มใจลงไปในหลุมนั้น ยอมทำตามคำขอของอีกฝ่าย

     ริมฝีปากทั้งสองแนบชิดกันอีกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มออกแรงบดคลึงลงไป ขบเม้มกลีบปากให้เปิดออกก่อนส่งลิ้นร้อนที่มีความหวานของไอศกรีมเข้าไปทักทาย วายุวางมือบนลาดไหล่กว้าง ขยุ้มเสื้อจนเป็นรอยยับ ความร้อนรุ่มที่ท้องฟ้ามอบให้มันเกินกว่าที่เขาคิดไว้

     “พะ...พอก่อน” วายุดันตัวท้องฟ้าออก หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ไม่ว่าจะจูบกันกี่ครั้งเด็กคนนี้ก็ต้อนเขาจนมุมได้เสมอ ไปฝึกมาจากไหนนะ ทำไมจูบเก่งแบบนี้

     “พี่วายุเริ่มก่อนนะ” ท้องฟ้าจับมือวายุมาวางบนกางเกง สิ่งที่อยู่ในนั้นกำลังตื่นตัว “ทำผมตื่นแล้ว รับผิดชอบด้วยนะครับ”

     วายุหน้าร้อนผ่าว เขารีบชักมือออกราวกับกำลังจับของร้อน เขาเห็นว่าท้องฟ้าพูดอะไรซึ้งๆ เลยอยากโรแมนติกนิดหน่อยก็เท่านั้น ไม่นึกว่าจะเลยเถิดมาถึงเพียงนี้

     ท้องฟ้ามองใบหน้าแดงซ่านของคนรัก เขาหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นยืนแล้วช้อนตัววายุขึ้นอุ้ม วายุตกใจจนต้องรีบคล้องคอเด็กหนุ่ม แต่พอจะหันไปมองค้อนก็เจอกับสายตาวาววับ

     “วันนี้กินไปตั้งเยอะ ถ้าไม่ออกกำลังกายเดี๋ยวจะอ้วนเอานะครับ”

     วายุขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย แต่พอได้ยินประโยคถัดมาเขาถึงกับพูดไม่ออก

     “เดี๋ยวผมพาพี่วายุออกกำลังกายเอง รับรองว่าได้ทั้งความผอมทั้งความเสียวเลยครับ”

     คำพูดตรงไปตรงมาทำให้วายุหน้าร้อนกว่าเดิม ท้องฟ้ากระตุกยิ้ม เขาชอบเวลาวายุเขินอายมากที่สุด เด็กหนุ่มอุ้มคนอายุมากกว่าขึ้นห้องนอน ก่อนจะเริ่มกิจกรรมย่อยอาหาร วายุอยากคัดค้าน แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กัน เขาเคยเอาชนะเด็กคนนี้ได้ที่ไหน

     เอาเถอะ แพ้มาตั้งหลายครั้ง แพ้อีกสักครั้งจะเป็นไรไป




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 45 ★ [02/Mar/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 02-03-2023 18:17:12
ตอนที่ 45
มือที่จับกัน


     วิลล่าหลังใหญ่ตั้งอยู่ริมทะเล เป็นส่วนหนึ่งของรีสอร์ตชื่อดัง แต่ละหลังห่างกันพอสมควร ให้ความรู้สึกส่วนตัวแก่ผู้ที่มาพัก

     “ผมพักกับมีน วายุพักกับสกาย คุณดินพักกับต้นน้ำนะครับ” เขตดนัยช่วยแบ่งห้องให้ทุกคน เขาเป็นคนจองที่พัก วิลล่าแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องครัว และสระว่ายน้ำส่วนตัว เหตุผลที่เกิดทริปเที่ยวทะเลนี้ขึ้นมาเพราะเขาเห็นว่าเด็กๆ ใกล้เปิดเทอมกันแล้ว จึงอยากพามาเที่ยวส่งท้ายก่อนจะกลับไปเคร่งเครียดกับการเรียน

     “ตอนนี้แยกย้ายเอาของไปเก็บ แล้วอีกหนึ่งชั่วโมงค่อยไปหาอะไรทานกันดีไหมครับ” วายุเสนอความเห็น ตอนนั่งรถมาเขาเห็นร้านอาหารทะเลหลายร้าน

     “ขอสองชั่วโมงได้ไหมครับ ผมอยากให้พี่ดินนอนพัก” ต้นน้ำทักท้วงขึ้นมา เพราะคราวก่อนเขาเผลอไปพูดตัดพ้อแบบไม่จริงจัง ครั้งนี้ปฐพีจึงรีบเคลียร์งานทั้งหมดเพื่อมาเที่ยวกับเขา

     “ไม่เป็นไร พี่ไหว”

     “ไหวแน่นะครับคุณดิน” วายุถามอย่างเป็นห่วง ปฐพีส่งยิ้มให้

     “ไม่ต้องห่วงครับ ผมตั้งใจมาพักผ่อนอยู่แล้ว ถ้ามัวแต่นอนก็อดเที่ยวกันพอดี” ปฐพียกมือลูบศีรษะต้นน้ำ ใครว่าเขาไม่เพลีย ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเขานอนวันละไม่เกินห้าชั่วโมง แต่พอเห็นรอยยิ้มดีใจของเด็กแถวนี้เมื่อรู้ว่าเขาจะมาด้วย ความเหนื่อยจากการทำงานก็หายไปหมดสิ้น ปฐพีคิดถูกจริงๆ ที่ยอมตามใจคนรัก

     “งั้นอีกหนึ่งชั่วโมงมาเจอกันตรงนี้นะครับ ผมรู้จักร้านอร่อย รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน” เขตดนัยสรุป ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย เขาหยิบกระเป๋าที่พนักงานยกมาให้ โอบไหล่รามิลแล้วเดินเข้าห้องไปพร้อมกัน

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “สวยจังเลยครับ” รามิลเปรยออกมา เมื่อมองไปยังผนังกระจกที่เห็นทะเลสุดลูกหูลูกตา รีสอร์ตที่เขตดนัยเลือกมองเห็นทะเลได้จากทุกห้อง ถึงราคาจะแพงแต่ก็คุ้มกับวิวอันสวยงามตรงหน้า

     “ชอบหรือเปล่า” เขตดนัยเดินมาโอบไหล่ รามิลพยักหน้าแต่สายตายังไม่ละจากทิวทัศน์

     “เสียดายจัง ถ้าแดดร่มกว่านี้อีกหน่อยผมว่าจะชวนต้นน้ำกับสกายไปเดินเล่น”

     “รอให้แดดร่มก่อนก็ได้ เราพักกันสามวันสองคืน ยังมีเวลาเหลือเฟือ”

     “ทั้งวิวทั้งห้องสวยขนาดนี้ แพงมากไหมครับพี่เขต”

     “ก็พอสมควร แต่พี่คิดว่ามีนน่าจะชอบเลยตัดสินใจเลือกที่นี่”

     “ขอบคุณนะครับ” รามิลหันมายิ้มให้คนข้างๆ เขตดนัยยิ้มกลับไป มือที่โอบไหล่เปลี่ยนเป็นตวัดไปกอดรอบเอว รั้งคนตัวเล็กมาชิดอกกว้าง

     “แค่ขอบคุณอย่างเดียวเหรอ”

     รามิลขำเสียงเบาให้คนที่ได้คืบจะเอาศอก เขาเขย่งเท้าไปแตะปลายจมูกบนแก้ม ค้างไว้ครู่หนึ่งแล้วผละออก

     “พอไหมครับ”

     “พี่จ่ายค่าห้องไปไม่น้อยเลยนะ แค่นี้ไม่พอหรอก”

     รามิลตีอกผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ไปหนึ่งที มองกันขนาดนี้ไม่รู้เลยว่าคิดอะไรอยู่ นับวันความหื่นในตัวดาราหน้าจืดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ต่างกับก่อนคบกันลิบลับ

     “อีกแค่หนึ่งชั่วโมงก็ต้องไปหาทุกคนแล้วนะครับ”

     “แค่ที่ไหน อีกตั้งหนึ่งชั่วโมงต่างหาก” เขตดนัยอุ้มเด็กแสบมาวางบนเตียง โน้มหน้าไปฟัดแก้มนุ่มๆ จนเกิดเสียงหัวเราะ รามิลพยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็ไม่พ้นอยู่ดี

     “พี่เขตพอแล้ว ผมจั๊กจี้”

     เขตดนัยทำหูทวนลม ยังคงแกล้งคนใต้ร่างไม่หยุด จนเด็กหนุ่มทนไม่ไหว ต้องใช้สองมือประคองใบหน้าให้อยู่นิ่ง สายตาทั้งคู่จึงประสานกัน

     “ผมว่าคนที่แสบน่าจะเป็นพี่เขตมากกว่านะ” รามิลเอ่ยหลังจากหยุดหอบหายใจจากการหัวเราะ

     “ไม่จริงหรอก มีนแสบกว่าพี่ตั้งเยอะ”

     “ผมแสบที่ไหน พี่เขตแกล้งผมอยู่เห็นๆ”

     “แสบสิ” เขตดนัยยิ้มมุมปาก ก้มลงมาแตะริมฝีปากเร็วๆ แล้วผละออก “ทำให้พี่หลงได้ขนาดนี้ แสบไม่ใช่เล่นเลยนะเรา”

     รามิลหัวเราะ นึกในใจว่าถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายก็แสบเหมือนกัน คนที่หลงจนถอนตัวไม่ขึ้นไม่ได้มีแค่เขตดนัยคนเดียวหรอก

     “งั้นหลงอีกเยอะๆ เลยครับ พี่เขตจะได้หนีผมไปไหนไม่ได้” มือบางเอื้อมไปโอบรอบลำคอ รั้งคนด้านบนลงมาชิดกว่าเดิม ลมหายใจอุ่นติดขัดเล็กน้อย เขตดนัยลอบกลืนน้ำลาย

     “มีน” เสียงทุ้มแหบพร่าเมื่อสายตาหลุบมองลงต่ำ เห็นเนื้อผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นคอเสื้อ สายตาที่เปลี่ยนไปทำให้รามิลงุนงง

     “พี่เขตเป็นอะไร”

     “เราพูดถูก อีกแค่หนึ่งชั่วโมงก็ต้องไปหาทุกคน”

     “ใช่ครับ”

     “งั้นมีนก็ต้องรีบปล่อยมือ ก่อนที่พี่จะไม่ปล่อยให้เราออกจากห้อง”

     คำขู่ที่มาพร้อมสายตาวาววับทำให้รามิลผงะ เขารีบปล่อยมือที่คล้องคอ ผลักร่างสูงออกแล้วเด้งตัวขึ้นมาจากเตียง

     “ผม...ผมจะไปอาบน้ำ” เขาพูดแค่นั้น ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเดินหายไปในห้องน้ำทันที เขตดนัยหัวเราะในลำคอ สายตาที่มองประตูห้องน้ำทั้งโล่งอกและเสียดาย

     มาทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้ ไม่ใช่แค่แสบแล้ว ต้องเรียกว่าใจร้ายถึงจะถูก

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     “พี่ดินไหวแน่เหรอครับ พักสักงีบดีกว่าไหม” ต้นน้ำเอ่ยถามหลังวางกระเป๋าบนเตียง ห้องพักของพวกเขาเป็นเตียงเดี่ยว ของคนอื่นก็น่าจะเหมือนกัน

     “ไหว”

     ปฐพีเดินอ้อมเตียงมาหยุดยืนหน้าเด็กหนุ่ม ต้นน้ำยังคงไม่ไว้ใจ เอื้อมมือไปแตะแก้มกับหน้าผากร่างสูง

     “ทำอะไรของเรา”

     “เช็กว่าพี่ดินไม่สบายหรือเปล่า”

     ปฐพีหลุดขำเสียงเบา เขาจับมือต้นน้ำมากุม สายตาเป็นห่วงที่มองมาทำให้ภายในอกรู้สึกอบอุ่น

     “พี่ไหวจริงๆ ต้นน้ำไม่ต้องเป็นห่วง”

     “แต่ผมอยากให้พี่ดินนอนพักสักหน่อย เอาแบบนี้ไหมครับ ให้คนอื่นไปทานข้าวกันก่อน ส่วนพวกเราพักอยู่รีสอร์ต ผมยังไม่หิว อยู่เป็นเพื่อนพี่ดินได้สบาย”

     “พี่ไม่ได้เพลีย เมื่อคืนนอนมาเต็มอิ่มแล้ว แต่ถ้าเราอยากให้พี่พักจริงๆ...” ปฐพีนั่งลงบนเตียง กระตุกแขนอีกฝ่ายเล็กน้อย ต้นน้ำไม่ทันตั้งตัวจึงเซลงมาบนตัก ปฐพีกอดกระชับรอบเอว จมูกโด่งจรดบนแก้มเนียน “อืม...แบบนี้ค่อยหายเหนื่อยหน่อย”

     ใบหน้าของต้นน้ำขึ้นสีแดงเรื่อ พอหันไปมองก็เจอสายตากรุ้มกริ่มของคนที่เป็นห่วง โธ่ คำว่าพักของเขาไม่ได้หมายถึงแบบนี้เสียหน่อย นี่มันไม่ใช่นอนพักแล้ว

     “ผมบอกให้พี่ดินนอนพัก ไม่ใช่หลอกแต๊ะอั๋งผมนะครับ”

     “เป็นแฟนกันก็ต้องหอมแก้มได้สิ ทีตอนยังไม่เป็นแฟนเรายังจุ๊บแก้มพี่ได้เลย”

     ต้นน้ำมักจะทำให้ปฐพีพูดไม่ออก แต่วันนี้กลับเป็นเขาเองที่ไร้ซึ่งคำพูด รอยยิ้มบนใบหน้าเป็นสิ่งยืนยันว่าครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายแพ้ แพ้ราบคาบเลยทีเดียว

     “หึๆ พูดไม่ออกเลยเหรอ” สายตายิ้มๆ ทำให้เด็กหนุ่มหน้าร้อนกว่าเดิม ต้นน้ำพยายามแกะมือบนเอวทว่าไม่เป็นผล

     “พี่ดินปล่อยเลย ผมจะไปหาเพื่อน”

     “ไหนว่าอยากให้พี่พัก”

     “พี่ก็พักไปสิครับ เกี่ยวอะไรกับผม”

     “เกี่ยวสิ เพราะพี่จะพักได้ก็ต่อเมื่อมีเราอยู่ด้วย”

     ต้นน้ำหยุดดิ้น หันไปมองคนที่พูดบางอย่างออกมา สายตาของเขาถูกตรึงไว้ด้วยสายตาของอีกฝ่าย

     “รู้ไหมว่าพี่เร่งเคลียร์งานแทบตายกว่าจะมีเวลามาเที่ยวกับเรา”

     “ผมรู้ครับ เพราะว่ารู้ผมเลยอยากให้พี่ดินพักเยอะๆ”

     “ต้นน้ำบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะเป็นที่พักพิงให้พี่ งั้นก็ต้องอยู่กับพี่สิ”

     สายตาออดอ้อนที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักทำให้เด็กหนุ่มนิ่งงัน ต้นน้ำรู้สึกเหมือนโดนหมัดน็อกใต้เข็มขัด ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็เอาชนะสายตาผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลย

     “ปล่อยได้แล้วครับ” ต้นน้ำพูดเสียงเบาในลำคอ

     “ถ้าปล่อยเราก็หนีพี่ไปน่ะสิ”

     “ผมไม่ได้จะไปไหน เมื่อกี้แค่พูดไปงั้นเอง พี่ดินพูดขนาดนี้ใครจะไปใจแข็งได้ล่ะครับ”

     ปฐพีลอบยิ้ม เขาเชื่อว่าต้นน้ำไม่ได้จะไปหาเพื่อนจริงๆ แต่เขายังไม่ปล่อยมือจากเอว ยังคงกอดร่างบางอยู่อย่างนั้น

     “พี่ดิน ปล่อยได้แล้ว” ต้นน้ำเอ่ยซ้ำเมื่อเห็นว่าคนข้างหลังเอาแต่นิ่ง

     “พี่มาเที่ยวด้วยแบบนี้มีความสุขไหม” แต่อีกฝ่ายกลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมา

     “ถามอะไรอย่างนั้นครับ ต้องมีความสุขอยู่แล้ว”

     “ดีแล้ว พี่อยากให้ต้นน้ำมีความสุข จำไว้ว่าเพื่อเราแล้วพี่ทำได้ทุกอย่าง มากกว่านี้ก็ทำได้”

     “พี่ดิน” ต้นน้ำหันไปมองอีกครั้ง ดวงตาของปฐพีทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

     “พี่เหนื่อยจากการทำงานก็จริง แต่แค่เห็นเรายิ้มพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว ถ้าอยากให้พี่พักจริงๆ ก็เที่ยวให้เต็มที่ มีความสุขให้มากๆ จะได้คุ้มกับที่พี่เร่งทำงานมาทั้งสัปดาห์”

     “จะให้ผมมีความสุขคนเดียวได้ยังไง พี่ดินต้องมีด้วยสิ”

     “แค่ต้นน้ำมีความสุขพี่ก็มีความสุขแล้ว”

     สายตาที่มองมาเกินจะบรรยายเป็นคำพูด ภายในสายตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ความรัก ความอบอุ่น ความสบายใจ และปิติสุขที่ได้อยู่ข้างกัน ต้นน้ำจับมือปฐพีมาทาบแก้มตัวเอง ซึมซับความอบอุ่นจากฝ่ามือ รอยยิ้มกระจ่างไปทั่วใบหน้า เขาไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน

     “พี่ขอจูบได้ไหม”

     จากที่กำลังยิ้ม ต้นน้ำเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป

     “ทำไมถามล่ะครับ”

     “เดี๋ยวคนแถวนี้หาว่าพี่แต๊ะอั๋งอีก”

     ต้นน้ำหัวเราะ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดของเขา เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปคล้องลำคอ โน้มหน้าไปใกล้จนปลายจมูกแตะกัน

     “รอบนี้ผมเต็มใจให้แต๊ะอั๋งครับ”

     ปฐพียิ้มมุมปากให้คนเข้าใจพูด ก่อนที่เขาจะจัดการไม่ให้อีกฝ่ายได้พูดอีกเลย นี่สิคือการพักในแบบของเขา ทำงานมาเหนื่อยๆ ก็ต้องอยากได้รางวัลเป็นธรรมดา ยิ่งถ้ารางวัลนุ่มและหวานขนาดนี้ ให้อดหลับอดนอนอีกเขาก็ไหว

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     หลังกลับมาจากทานอาหารและรอจนแดดร่มลมตก รามิลก็ชวนทุกคนไปเดินเล่นริมทะเล ทีแรกท้องฟ้าจะไปด้วย แต่เพราะวายุบอกว่าอยากพักอยู่ในรีสอร์ตเขาจึงเปลี่ยนใจ

     “ไม่อยากไปเดินเล่นเหรอครับ” ท้องฟ้าเอ่ยถามเมื่อทั้งวิลล่าเหลือเพียงพวกเขาสองคน เขากับวายุอยู่บนระเบียงกว้างที่หันหน้าเข้าทะเล

     “ยืนฟังเสียงคลื่นแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ ไม่คิดเหมือนกันเหรอ” วายุหันมาถามพร้อมรอยยิ้ม ท้องฟ้าหัวเราะเบาๆ

     “จริงด้วยครับ”

     เพราะเป็นวันธรรมดาจึงมีคนไม่มาก นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาเลือกมาวันนี้ วายุเท้าคางกับราวระเบียง สายตาที่มองไปยังเบื้องหน้าเหม่อลอย ลมอ่อนๆ ที่พัดมากระทบร่างให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “อยู่กับพี่มีความสุขหรือเปล่า”

     ร่างสูงหันมามองคนข้างๆ สายตาวายุกำลังมองไปข้างหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

     “มีสิครับ มีมากๆ เลย พี่วายุล่ะมีความสุขไหม”

     “พี่มีความสุข แต่ก็เพราะอย่างนั้นถึงได้กลัว”

     “กลัวอะไรครับ”

     “กลัวว่าวันหนึ่งความสุขนี้จะหายไป” วายุละสายตาจากทะเล หันมามองคนที่เขารักจนหมดใจ “พี่เคยคิดว่าความรักเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะมีแต่ความไม่แน่นอน คาดเดาไม่ได้สักอย่าง วันนี้รักกันอยู่ดีๆ พรุ่งนี้อาจเป็นคนแปลกหน้าต่อกันก็ได้”

     “ไม่เชื่อใจผมเหรอ”

     วายุส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากจุดรอยยิ้ม

     “รู้ไหม ความกลัวของคนเราไม่ใช่อะไรที่จะหายกันได้ง่ายๆ พี่กลัวการจากลา กลัวการบอกเลิกทั้งที่ยังรักกันอยู่ แต่เพราะนาย พี่ถึงเอาชนะความกลัวพวกนั้นได้ มันแปลว่าอะไรรู้ไหม”

     “แปลว่าอะไรครับ”

     วายุขยับไปใกล้ ใบหน้าแหงนเงยมองคนตัวสูง ดวงตาคู่นั้นปราศจากความกลัว

     “แปลว่าพี่รักนาย รักมากพอที่จะเชื่อใจและไว้ใจ นายคือความสุข คือความสบายใจ คือทุกๆ อย่างในชีวิต เพราะงั้นแล้วอย่าหายไปไหนนะ อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดได้ไหม”

     ถึงแม้จะได้ยินคำบอกรักอยู่ทุกวัน แต่คำพูดของคนตรงหน้าก็ทำให้หัวใจเต็มตื้นได้เสมอ ท้องฟ้าดึงมือวายุมาชิดริมฝีปาก กดจูบลงไปซ้ำๆ ดวงตาทั้งสองที่สบกันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่มากกว่าความรัก

     “ผมจะไม่สัญญา แต่ผมจะทำให้เห็นว่าสิ่งที่พี่กลัวไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ผมหนีไปไหนไม่ได้หรอกครับ บอกแล้วว่าหัวใจผมอยู่ที่พี่วายุ มันเป็นของพี่ ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนมันก็จะเป็นของพี่คนเดียว”

     วายุระบายยิ้ม ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ ไม่ใช่คำพูดหรอก แต่เพราะความรักที่เด็กคนนี้มีให้เขามาสิบปีต่างหากที่ทำให้เขาเชื่อใจอีกฝ่ายอย่างไร้ข้อแม้

     ใบหน้าพวกเขาเคลื่อนเข้าหากัน ริมฝีปากห่างเพียงนิ้วกั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา วายุตกใจจนรีบผละหน้าออก

     “พี่วายุ สกาย พี่เขตให้มาตาม...อุ้ย” รามิลยกมือปิดตาแทบไม่ทัน เมื่อเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นเข้า เขาค่อยๆ ลดมือลง ยิ้มแห้งให้คนที่มองมา

     “มีอะไรเหรอมีน”

     “เอ่อ...พี่เขตให้ผมมาตามไปเดินเล่นด้วยกันครับ บอกว่ามาทะเลทั้งที เลยอยากถ่ายรูปทุกคนเก็บไว้”

     “มึงไปก่อน เดี๋ยวกูตามไป”

     รามิลพยักหน้าก่อนจะรีบเดินออกไป ร่างสูงหันมามองคนตรงหน้า ยักคิ้วให้หนึ่งที

     “ต่อไหมครับ”

     “ต่ออะไรเล่า ไปได้แล้ว” วายุถลึงตาใส่ แค่รามิลมาเห็นฉากน่าอายเขาก็เขินจนแทบมุดดินหนีแล้ว

     “งั้นติดไว้ก่อนนะครับ คืนนี้ค่อยมาต่อใหม่” ท้องฟ้ายิ้มเจ้าเล่ห์ วายุตีหน้าดุแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา มือของพวกเขาสอดเข้าหากัน ก่อนที่ท้องฟ้าจะจูงมือวายุไปสมทบกับคนอื่น รอยยิ้มของวายุกว้างขึ้นเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา บางทีการเอาแต่คิดถึงอนาคตอาจทำให้มองข้ามปัจจุบันไป สำหรับเขาในตอนนี้ ขอแค่มือของพวกเขาจับกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันปล่อยจากกัน แค่นั้นก็เพียงพอจะเรียกว่าความสุขได้แล้ว

     “ท้องฟ้า”

     “ครับ?”

     “ขอบคุณนะ”

     เด็กหนุ่มเอียงคองง วายุขำในลำคอแต่ไม่คิดจะขยายความ เขาบีบกระชับมือเบาๆ เปลี่ยนจากเดินเป็นชวนอีกฝ่ายวิ่งช้าๆ ไปหาทุกคน

     ขอบคุณที่ไม่เคยปล่อยมือพี่ พี่เองก็จะไม่ปล่อยมือนายเหมือนกัน ขอสัญญาด้วยหัวใจเลย




     TBC

     Tag : #ท้องฟ้าที่ผมรัก

     Twitter : @earthxxide

     Facebook : Earthxxide
หัวข้อ: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 46 ★ [End] [06/Mar/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: earthxxide ที่ 06-03-2023 19:27:44
ตอนที่ 46 [End]
กันและกัน


     “เข้ามาสิครับ” ท้องฟ้าหันไปมองคนที่จู่ๆ ก็หยุดยืนหน้าห้อง วายุทำหน้าอึกอัก เขาเคยเข้าห้องท้องฟ้ามาหลายครั้ง แต่เพราะสถานะที่เปลี่ยนไปทำให้ความรู้สึกในครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม

     เมื่ออีกฝ่ายยังยืนนิ่ง เด็กหนุ่มจึงเดินไปจับมือให้เข้ามาเสียเอง ท้องฟ้ามองวายุอย่างแปลกใจ แต่พอเห็นแก้มที่ขึ้นสีแดงจางๆ เขาก็กระตุกยิ้ม

     ร่างสูงพามาหยุดยืนหน้าเตียงนอน โน้มตัวกระซิบข้างหูด้วยเสียงทุ้ม

     “เขินเหรอครับ”

     คนแอบเขินสะดุ้งเล็กน้อย แต่เพราะไม่อยากให้เด็กตัวโตได้ใจจึงตีหน้านิ่ง หันเหไปทางอื่น

     “ไม่เห็นมีอะไรต้องเขิน นายนอนกับพี่อยู่ทุกวันลืมหรือไง”

     ท้องฟ้าพยักหน้า ทำหน้าเหมือนเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

     “นั่นสิครับ ไม่มีอะไรต้องเขินเลย พี่วายุ ‘นอน’ กับผมอยู่ทุกวัน แถมยัง ‘เห็น’ ทุกอย่างของกันและกันแล้วด้วย ป่านนี้ไม่เหลืออะไรให้เขินแล้ว”

     การลงน้ำหนักเสียงเพื่อเน้นคำทำให้แก้มของชายหนุ่มแดงกว่าเดิม วายุหันขวับมามองคนที่ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย ทำหน้าแบบนี้รู้แล้วแน่ๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่

     ยังไม่พ้นครึ่งวันก็โดนแกล้งเสียแล้ว ไม่น่าแพ้ลูกอ้อนเจ้าลูกหมายอมตามมาด้วยเลย

     หลังท้องฟ้าเปิดเทอมไม่นานคุณกมลฉัตรก็บ่นคิดถึงลูกชาย คุณศิมันตร์จึงชวนกลับมาอยู่บ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ วายุคิดว่าท้องฟ้าจะกลับบ้านมาหาพ่อแม่คนเดียว แต่เด็กตัวโตกลับอยากให้เขามาด้วย อาศิมันตร์เองก็เอ่ยปากชวน วายุจึงไม่กล้าปฏิเสธ

     วายุหันหน้าหนีสายตายิ้มๆ ทำท่าจะเดินออกจากห้อง ท้องฟ้ารีบมากอดจากด้านหลัง เกยคางลงบนบ่า

     “พี่วายุจะไปไหน”

     “หนีเด็กขี้แกล้ง”

     “โธ่ ผมแค่แหย่หน่อยเดียวเอง เวลาพี่เขินมันน่ารักนี่ครับ ผมอยากเห็นพี่วายุเขินบ่อยๆ”

     วายุหันไปมองคนที่ยังพูดเสียงระรื่น ไม่ได้สำนึกเลยสินะ เห็นเขาเขินแล้วมีความสุขมากหรือไง เดี๋ยวนี้ลูกหมาชักเอาใหญ่แล้ว

     “ปล่อยได้แล้ว”

     “ไม่ปล่อย”

     “ท้องฟ้า”

     “หายงอนผมก่อน”

     “อยากให้หายงอนแล้วตัวเองง้อหรือยัง”

     ท้องฟ้ามองหน้าคนพูด เขาทำตาปริบๆ ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้ม เด็กหนุ่มหมุนตัวคนโตกว่าให้หันมา ย่อตัวจนใบหน้าอยู่ระดับเอว เอื้อมมือไปกอดรอบเอวพลางซบหน้ากับท้องอีกฝ่าย

     “พี่วายุหายงอนท้องฟ้านะครับ”

     วายุตั้งใจจะไม่ยิ้ม แต่สุดท้ายก็กลั้นไม่อยู่ เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ท้องฟ้ากลับง้อเขาจริงๆ แถมวิธีง้อยังเหมือนสิบปีก่อนไม่มีผิด แล้วแบบนี้ใครจะไปงอนอยู่ได้

     “ลุกได้แล้ว”

     “พี่วายุหายงอนผมยัง”

     วายุพยักหน้า เพียงเท่านั้นรอยยิ้มดีใจก็กระจ่างไปทั่วใบหน้า ท้องฟ้ายืนขึ้นเต็มความสูง ดวงตาที่มองมาสดใสจนวายุอดยิ้มตามไม่ได้ ไม่ว่าเมื่อไหร่เด็กคนนี้ก็ทำให้เขายิ้มออกเสมอ ช่างเป็นท้องฟ้าที่สว่างสดใสจริงๆ

     ✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥

     ท้องฟ้าพาวายุมาที่สวนหลังบ้าน พ่อของเขาทำชิงช้าสำหรับผู้ใหญ่ให้ใหม่ วายุมองไปรอบตัวด้วยหลากหลายความรู้สึก ภาพในอดีตที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความทรงจำ

     “คิดถึงไหมครับ”

     “คิดถึงสิ” วายุหันมามองคนถาม ท้องฟ้าเดินไปนั่งชิงช้าก่อนแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาหลุดขำ เด็กหนุ่มตัวสูงใหญ่กำลังนั่งชิงช้า ใช้เท้าถีบพื้นไกวชิงช้าเบาๆ เป็นอะไรที่ไม่เข้ากันสักนิด แต่พอเด็กคนนั้นเป็นท้องฟ้าเขากลับรู้สึกว่าก็น่ารักดีเหมือนกัน

     วายุเดินไปนั่งชิงช้าอีกตัว แหงนหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้า วันนี้ท้องฟ้าไร้เมฆบดบัง เป็นท้องฟ้าที่สวยจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้ วายุคิดเล่นๆ ในใจว่าถ้าท้องฟ้าสวยแบบนี้ทุกวันก็คงดี

     “อย่าเอาแต่มองท้องฟ้าข้างบนสิครับ ท้องฟ้าที่นั่งข้างๆ ก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ”

     ชายหนุ่มหันมามองคนตัดพ้อ เขาหัวเราะเบาๆ ให้ใบหน้าออดอ้อนของอีกฝ่าย วินาทีนั้นเองที่เขาคิดได้ ถึงแม้ท้องฟ้าจะไม่เหมือนเดิมสักวัน ถึงสีจะค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นท้องฟ้า ไม่ว่าเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ยังเป็นท้องฟ้าที่เขารักอยู่ดี

     “หึงแม้กระทั่งท้องฟ้าเลยเหรอ” วายุพูดกลั้วหัวเราะ เอื้อมมือไปโยกศีรษะ ใครจะนึกว่าสิบปีผ่านไป จากเด็กหุ่นผอมเก้งก้างที่มีแผลเต็มตัวจะกลายมาเป็นคนที่เขารักมากที่สุด

     “ผมหึงตัวเองไม่ได้หรอกครับ แต่ถ้าพี่วายุอยากหึงท้องฟ้าเชิญตามสบายเลย ผมชอบให้แฟนหึงอยู่แล้ว”

     วายุชะงักกับมุกเล่นคำของอีกฝ่าย ก่อนที่พวกเขาจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน วายุลุกขึ้นยืนเมื่อคิดอะไรดีๆ ออก เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้า ไขว้แขนสองข้างไว้ข้างหลัง ท้องฟ้ามองตามอย่างงุนงง

     “สวัสดีครับ พี่ชื่อวายุนะ”

     ร่างสูงกะพริบตาปริบ แวบแรกเขายอมรับว่าไม่เข้าใจ แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรมุมปากก็ยกยิ้ม ท้องฟ้าขำในลำคอ ดวงตาที่มองคนตรงหน้าเป็นประกายขบขัน

     “ขอพี่นั่งด้วยได้ไหม” วายุชี้ไปยังชิงช้าอีกตัวที่ว่างอยู่ เด็กหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ สายตากลั้นขำที่มองมาทำให้วายุประหม่าเล็กน้อย แต่ไหนๆ เล่นแล้วก็ต้องเล่นให้จบ

     วายุเดินไปนั่งชิงช้าตัวนั้น เขาหันไปมองคนข้างๆ สายตาอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนครั้งแรกที่เจอกันทำให้รอยยิ้มของเด็กหนุ่มกว้างขึ้น

     “พี่ชื่อวายุนะ เราล่ะชื่ออะไร”

     “ผมชื่อท้องฟ้า”

     “ท้องฟ้าเหรอ ชื่อเพราะจัง” วายุพูดไปแล้วก็อดขำไม่ได้ พูดแบบนี้เหมือนเขากำลังชมตัวเองอยู่เลย

     “ที่จริงผมชื่อสกาย แต่มีคนตั้งชื่อให้ผมว่าท้องฟ้า เขาบอกว่ารอยยิ้มผมสดใสเหมือนท้องฟ้าเลยตั้งชื่อนี้ให้”

     วายุยกมือมาเกาแก้ม ได้ยินแบบนี้แล้วมันชวนเขินยังไงไม่รู้ ท้องฟ้าเองก็ไม่พูดอะไร เหมือนอยากรอดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ

     “ยินดีที่ได้รู้จักนะท้องฟ้า พี่อยากเล่นกับเรา เรามาเป็นเพื่อนกันไหม”

     “ไม่เอาครับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธทันควัน โน้มหน้าไปใกล้พร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย “ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับพี่วายุ”

     “งั้นอยากเป็นอะไร”

     ท้องฟ้ากระตุกยิ้ม เขาจับมือวายุแล้วออกแรงรั้งให้มานั่งบนตัก โน้มหน้าไปประทับริมฝีปากบนกลีบปากนุ่ม

     “อยากเป็นแฟนพี่วายุ”

     “ตัวแค่นี้ริอ่านอยากเป็นแฟนพี่เหรอ”

     “แค่นี้ที่ไหน ผมตัวใหญ่กว่าพี่ตั้งเยอะ อายุยี่สิบแล้วด้วย พี่คบกับผมได้ไม่ติดคุกแน่นอน”

     วายุตีแขนเด็กช่างพูดไปหนึ่งที ท้องฟ้าหัวเราะเบาๆ เขายื่นหน้าไปใกล้ แขนสองข้างโอบเอวร่างบางไว้หลวมๆ

     “ว่าไงครับ ผมเป็นแฟนพี่วายุได้ไหม”

     วายุอยากแกล้งด้วยการบอกว่าไม่ได้ แต่เห็นสายตาออดอ้อนนั่นแล้วเขาก็ทำไม่ลง และที่จริงพวกเขาก็เป็นมากกว่าแฟนไปแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

     ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะรัวหอมแก้มไม่หยุด เสียงหอมแก้มดังฟอดผสานกับเสียงหัวเราะที่ดังไปทั่ว

     ท้องฟ้าแกล้งคนโตกว่าอยู่สักพักก่อนจะหยุดให้อีกฝ่ายหายใจหายคอ เขาเกยคางไปบนบ่า ถูแก้มเข้ากับแก้มนุ่ม วายุหัวเราะท่าทางออดอ้อนผิดกับขนาดตัว แต่เขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร

     “พี่วายุ”

     “หืม?”

     “ขอบคุณนะครับที่วันนั้นเข้ามาเปลี่ยนชีวิตผม พี่เป็นท้องฟ้าผืนใหม่ที่ดีที่สุดสำหรับผมเลย”

     วายุยิ้มให้ท้องฟ้า เขาสอดมือเข้ากับมือของเด็กหนุ่ม เอาหน้าไปใกล้จนหน้าผากแตะกัน

     “นายก็เป็นท้องฟ้าที่สดใสที่สุดในชีวิตพี่เหมือนกัน”

     “ผมเป็นท้องฟ้าของพี่ พี่เป็นท้องฟ้าของผม งั้น...”

     “งั้นอะไร”

     ท้องฟ้ายิ้มมีเลศนัย วายุเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่จู่ๆ เขาก็โดนหอมแก้มอีกฟอดโดยไม่ทันตั้งตัว

     “งั้นเราก็เป็นของกันและกันใช่ไหมครับ”

     วายุหลุดขำกับคำถามของลูกหมาตัวโต เขาวางมือบนศีรษะแล้วโยกไปมา ดวงตาที่สบกันเปี่ยมไปด้วยความรักทั้งหมดที่มีในหัวใจ

     “ใช่ เราเป็นของกันและกัน”

     วายุเป็นทุกอย่างสำหรับท้องฟ้า ท้องฟ้าเป็นทุกอย่างสำหรับวายุ พวกเขาเป็นของกันและกัน เป็นท้องฟ้าที่จะอยู่เคียงข้างกันตลอดไป



     ✦✪✧✥✦✪✧ Happy Ending ✧✪✦✥✧✪✦
หัวข้อ: Re: ☀️ ท้องฟ้าที่ผมรัก ⛅ ★ ตอนที่ 46 ★ [End] [06/Mar/2023]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 18-03-2023 23:15:50
ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับเรื่องราวน่ารัก ๆ และอบอุ่น ของทั้งสามคู่