พิมพ์หน้านี้ - The Power of Lyrics; Self - Gravitation แรงโน้มถ่วงส่วนตน (๕) 31-08-2568
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: KADUMPA ที่ 19-05-2022 18:40:59
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
-
บทเพลงหนึ่ง ๆ สามารถพาความรู้สึกของเราคนฟัง ให้จินตนาการเรื่องราวตามไป จากทั้งเนื้อเพลง ทำนอง และเสียงของนักร้อง เกิดจินตนาการแตกต่างกันไป เรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นในหัวของเรา อาจเป็นไปตามเนื้อหาที่มีในเพลง หรือบางที มันอาจจะไปไกลกว่านั้น เมื่อเรารู้สึกได้ ถึงแรงบันดาลใจจากบทเพลงต่าง ๆ ที่ร้อยเรียงลงเป็นตัวอักษร
เนื้อหา เรื่องราว ชื่อ ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ ในงานเขียนเรื่องนี้ล้วนสร้างมาจากจินตนาการ หากว่ามีส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด ไปพ้องกับบุคคลใด ๆ นั้น เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ ดูแคลน บุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดทั้งสิ้น เนื้อเรื่องเป็นไปตามอรรถรสของการดำเนินเรื่องเท่านั้น
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 1. เงาใจ
จุ้ยยกนิ้วขึ้นเช็ดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้า จริงสิ ความเจ็บปวดในใจที่เขาได้รับ ระคนกับความเสียใจอย่างที่สุดนั้น มันยังคงอยู่ ไม่จากไปไหน ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม สิ่งที่เขาได้รับ จากสิ่งที่เขาได้ทำ มันเกินกว่าที่หัวใจของเขาจะรับมันเอาไว้
จุ้ยหันไปมองไปม้านั่งตัวข้าง ๆ กัน มันทำให้นึกถึงคืนก่อนหน้า คืนที่ตัวเขาพอจะบอกกับตัวเองได้บ้างว่า ความเหงาและเดียวดายที่เกาะกินหัวใจอยู่ มันยังมีทางลดทอนลงได้บ้าง กับคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในค่ำคืนอันเปลี่ยวเหงา กับผู้ชายคนนั้น
จุ้ยหยุดยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเองก็ไม่ทันได้สังเกต รู้ตัวอีกที เขาก็มาอยู่ตรงนี้เสียแล้ว ป้ายรถเมล์ที่ตอนนี้ไร้วี่แววของผู้คน ที่เคยผ่านไปผ่านมาตอนแสงอาทิตย์ยังไม่ลาลับขอบฟ้า เทียบกับช่วงดึกสงัดแบบนี้ รอบข้างไม่มีแม้แต่ลมพัด
ความเงียบของท้องถนน ทำให้ใครบางคนอาจจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ความเงียบเดียวกันนี้ ยังพอมีช่องว่าง ทำให้จุ้ยรู้สึกถึงความสงบซ่อนอยู่ จุ้ยทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งที่ป้ายรอรถเมล์ ความหนักอึ้งราวกับว่า สองขาคู่นี้ ได้พาเขาหนีจากความเศร้ามาเป็นระยะทางที่ไกลแสนไกล
เสียงฝีเท้าของใครบางคน ดังขึ้นจากทางด้านซ้าย จุ้ยมองไป ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักศึกษาของรั้วมหาวิทยาลัย ที่มีค่าเทอมแพงระยับกำลังเดินมา ก่อนจะหยุดชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อเห็นจุ้ยนั่งอยู่ที่ป้ายรถ และกำลังมองไปทางนั้น
“ไม่คิดว่าจะเจอใคร” เสียงนักศึกษาหนุ่มเอ่ยขึ้น แสงไฟสีส้มจากเสาไฟถนน สว่างพอจะทำให้จุ้ยได้เห็นว่า เด็กนักศึกษาคนนี้ หน้าตาดี รูปร่างสูง หน่วยก้านดีไม่เบา “เหมือนกัน ดึกขนาดนี้” จุ้ยตอบกลับไป สายตาไล่จากใบหน้าของเด็กหนุ่ม เรื่อยลงมาหยุดที่เป้ากางเกง ก่อนจะวกกลับขึ้นไปสบตากับเด็กหนุ่มอีกครั้ง
เด็กหนุ่มนักศึกษาก้มลงมองไปที่เป้ากางเกงของตัวเอง ยิ้ม ๆ ก่อนถือวิสาสะนั่งลงที่ม้านั่ง ข้าง ๆ กันกับจุ้ย เด็กหนุ่มล้วงมือทั้งสองเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เหมือนจงใจทำให้มันโป่งนูนขึ้นอย่างชัดเจน จุ้ยมองไปที่ตรงนั้น ก่อนกลืนน้ำลายลงคอ
“รถเมล์หมดแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มทักขึ้น สายตามองไปทางรถที่วิ่งมา ถนนเงียบเชียบ ไม่มีรถราเลยสักคัน “ไม่มีมาแล้วล่ะ” จุ้ยเสริม ก่อนจะหันไปมองตามเด็กหนุ่มไป “ชื่ออะไร” เด็กหนุ่มถามจุ้ย ดึงให้เขาหันหน้ากลับมาอีกทาง เด็กหนุ่มยังคงนั่งในท่าเดิม จุ้ยนึกสงสัยว่า ความใหญ่นั้น มันคือเนื้อผ้าที่โป่งขึ้น หรือว่าเนื้ออวัยวะส่วนนั้นจริง ๆ
“ชอบป่ะ” คำถามนั้นมาพร้อมกับท่าทางยั่วเย้า “แล้วมีอะไรให้ไม่ชอบ” จุ้ยตอบไปทีเล่นทีจริง เด็กหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะมองสำรวจไปที่จุ้ยอย่างจริงจัง “แล้วเราชื่ออะไร ยังเด็กอยู่เลย” จุ้ยถาม กะอายุดูแล้ว น่าจะอ่อนกว่าเขาอยู่หลายปี
“ไม่เด็กแล้ว” เด็กหนุ่มตอบกลับไป พร้อมกับเขย่ามือในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง โอ้อวดของที่ตัวเองมี “ตั้ม” เด็กหนุ่มพูดออกมา จุ้ยพยักหน้ารับรู้ แปลกที่รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ ที่ไหนมาก่อน “มาแถวนี้บ่อยเหรอ” จุ้ยถาม ไม่แน่ใจว่าอยากรู้จริง ๆ หรือถามออกไปเพื่อให้บทสนทนาต่อเนื่อง
“อืม” ตั้มส่งเสียง ก่อนจะหันมองไปทางที่เขาเพิ่งเดินมา “ปกติก็ ในสวนใต้สะพานนั่น” พูดจบก็หันกลับมามองจุ้ย “ที่ประจำ” จุ้ยชะโงกหน้ามองตามไป ก่อนจะพยักหน้าให้เด็กหนุ่มอีกครั้ง “มีเวลาเท่าไหร่” จุ้ยถาม สายตาของเด็กหนุ่มจากกรุ้มกริ่ม กลายเป็นครุ่นคิดแบบหาคำตอบจริง ๆ
“ก็ราว ๆ ชั่วโมงนึง” ตั้มตอบ ก่อนจะยิ้มให้กับอีกฝ่าย “แล้วทำอะไรได้บ้าง” จุ้ยถาม อยากรู้ “ก็ลองคุย ๆ ดู” ตั้มตอบ ก่อนจะไล่สายตาสำรวจอีกฝ่ายแบบจริงจัง “คุยกันก่อน” จุ้ยพยักหน้าว่ารับรู้ตามนั้น “แล้วชอบแบบไหน ชอบทำอะไรมากที่สุด” จุ้ยถามเด็กหนุ่มออกไป ตั้มขยับตัวบนมานั่ง ก่อนเหยียดขาทั้งสองข้างออกไปด้านหน้า
“คุย” ตั้มหันมาพูดกับจุ้ย ก่อนจะกลับไปมองที่ปลายเท้าของตัวเอง “คุยเนี่ยนะ” จุ้ยหัวเราะ ก่อนจะพูดว่า “ใครจะอยากคุย” จุ้ยพูดด้วยน้ำเสียงมีจริต “ก็เรากำลังคุยกันอยู่นี่ไง” ตั้มหันมาตอบ ยิ้มของเด็กหนุ่มช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก ทำให้จุ้ยคิดว่า อะไรทำให้ตั้มมาทำอะไรแบบนี้
“ตอนแรกก็แค่คิดว่ามันตื่นเต้นดี” ราวกับว่า เด็กหนุ่มคงถูกถามคำถามนี้มาก่อน นับครั้งไม่ถ้วน “หลัง ๆ ก็แค่ต้องการเงิน” จุ้ยฟังแล้วก็นึกตาม ตั้มก็พูดตรงดี ไม่ต้องมีข้ออ้างว่าเดือดร้อน ถึงต้องจำยอมทำ “อีกอย่าง” ตั้มพูด สบตากับจุ้ยตรง ๆ “ตุ๊ดจ่ายง่าย” ตั้มหยักหน้าช้า ๆ จุ้ยขมวดคิ้วขึ้นมา
“ตรงไปมั้ย” จุ้ยเสียงเริ่มขุ่น ตั้มส่ายหน้า ก่อนตอบว่า “ตุ๊ดจ่ายง่ายจริง ๆ ยิ่งพวกออกสาว อ้วน มีพุง” ตั้มมองหน้าจุ้ยตรง ๆ “จะเรียกเท่าไหร่ก็ได้ ไม่มียังไปหามาเพิ่มให้เลย” จุ้ยฟังที่ตั้มพูด อยากหาคำแก้ตัวมาปฏิเสธ แต่ก็ทำเงียบไป เสมองไปทางอื่น “แล้ว เคยเจออะไรแย่ ๆ มั้ย” จุ้ยถาม มองไปที่รองเท้าของตั้มที่เลอะโคลน
“มีสิ” ตั้มเคาะรองเท้าเข้าหากัน จุ้ยขยับสายตาขึ้นมามองหน้าตั้ม เด็กหนุ่มรอสบสายตาอยู่ก่อนแล้ว “ในสวนนี่แหละ” ตั้มพูด เงยหน้าไปในทิศทางที่สวนสาธารณะนั้นตั้งอยู่ “สุด ๆ” ตั้มพูด จุ้ยสังเกตว่าเด็กหนุ่มดูจะจริงจังขึ้น ทั้งน้ำเสียง ทั้งท่าทาง เมื่อพูดถึงสิ่งที่เขาหาเงินได้จากมัน “เล่าให้ฟังได้มั้ย” จุ้ยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ตั้มยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ
ฝนตกพรำ ๆ ลงมาตั้งแต่ช่วงเย็น มันขาดเม็ดลง แต่กลับปรอยลงมาใหม่ สลับกันอยู่อย่างนั้น ตั้มเดินมาตามฟุตปาธ มองเห็นสวนใต้สะพาน ที่เป็นที่หมาย อยู่ไม่ไกล จริง ๆ คืนนี้ เขาไม่อยากจะออกมาสักเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้เงินขาดมือ พอนึกถึงเงินที่ได้มาง่าย ๆ ไม่ต้องเหนื่อยอะไรมาก ตั้มก็เดินมาจวนจะถึงที่สวนสาธารณะนั้นแล้ว
ตั้มเดินเลยประตูรั้วทางเข้าไปอีกนิด มันเป็นซอกเล็ก ๆ ที่อยู่ลับตาคนเข้าไป ยิ่งตอนกลางคืน หากไม่ใช่เจ้าถิ่นแถวนี้ หรือว่าเป็นที่รู้กัน ก็ยากที่จะสังเกตเห็น เด็กหนุ่มแทรกตัวผ่านซอกระหว่างปูนสองด้านนั้นเข้าไป เสียงรองเท้ากระทบกับทางเดินกรวด ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้น ตั้มปรับสายตาให้ชินกับความมืดด้านในสวน ที่สว่างน้อยกว่าด้านนอกถนน
“มานี่สิ” ยังไม่ทันที่ตั้มจะเดินไปถึงจุดที่เขายืนประจำ ก็มีเสียงหนึ่งเรียกเขาจากตรงม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ ตั้มลังเลในทีแรก แต่คืนฝนตกอ้อยอิ่งไม่ยอมหยุดแบบนี้ หากเลือกเยอะเรื่องมาก อาจจะได้กลับบ้านมือเปล่า “ราคาเดิมมั้ย” ทันทีที่ตั้มเดินเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายก็ยิงคำถามมาทันที ตั้มเกือบจะบอกออกไป แต่ก็นึกว่า มันคือโอกาสเรียกค่าเหนื่อยเสียหายเพิ่ม
“พันนึง” ตั้มหยั่งเชิงออกไป อีกฝ่ายถึงกับเงียบ ตั้มสังเกตเห็นคนคนนั้นนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะรู้สึกถึงมือที่เอื้อมมาลูบที่เป้ากางเกงของเขา “ใหญ่มาก” คำชมนั้นปิดบังความตื่นเต้น ที่กระเส่าอยู่ในเสียงได้ไม่มิด “คุ้มนะ” ตั้มนึกขำตัวเอง ที่ต้องพยายามขายตัวเอง เพราะกลัวว่าคืนนี้จะเสียเที่ยว ทั้ง ๆ ที่ในค่ำคืนปกติ ที่มีคนออกมาเล่นแบบนี้ เขาเลือกที่จะปฏิเสธไปเสียก็เยอะ
“ว่าไง” ตั้มถาม หลังจากที่ขยับตัวถอยจากมือที่กำลังสนุกกับการเล่นซนนั้น “มีไม่ถึง” เสียงนั้นตอบกลับมา ตั้มนึกหงุดหงิดในใจ ว่าไม่มีเงินแล้วมาทำไม แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปตามที่ใจนึก ตั้มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น ก่อนกดเปิดไฟฉาย คนตรงหน้า ที่นั่งยอง ๆ อยู่บนพื้น หลบหน้าก้มลง ตั้มปิดไฟฉาย
“สร้อยอ้ะ ทองจริงป่ะ เอามาก่อนก็ได้นะ เจอกันครั้งหน้า เอามาจ่าย เดี๋ยวคืนให้” ตั้มพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้หวังอะไรจริงจัง “งั้นเอาด้วยได้มั้ย” ตั้มได้ยินแบบนั้น “เอาจริงดิ” อีกฝ่ายรีบส่งเสียงในจำคอยืนยันกลับมา “แต่ ผมเป็นฝ่ายเอานะ” ตั้มบอกให้เคลียร์กันก่อน
“ขออมนะ” ตั้มได้ยิน ก่อนจะมีมือมารูดซิปกางเกงนักศึกษาของเขาลง เด็กหนุ่มนึกขอบคุณ ที่ชุดมันช่วยให้เขาปิดดีลได้เสมอ ๆ “ทอง” ตั้มส่งเสียงเตือน อีกฝ่ายชะงักมือที่กำลังรูดรั้งท่อนขนาดใหญ่นั้น ก่อนจะยื่นสร้อยทองใส่มือตั้ม เด็กหนุ่มนึกไม่ถึงว่า ลาภจะลอยเข้าหาขนาดนี้ เขาสวมสร้องลงทางศีรษะ ก่อนจะรู้สึกถึงลิ้นอุ่น ๆ เปียก ๆ เริ่มจัดการกับแก่นกายของเขา
ตั้มยืนให้อีกฝ่ายใช้ปากไปตามใจ ก่อนจะถอนตัวออกจากปากอุ่น ๆ นั้น แล้วไปนั่งลงที่ม้านั่งยาว ตั้มพูดว่าเขาเมื่อย อีกฝ่ายไม่ว่าอะไร แต่ก็ตามมาคุกเข่า ซุกหน้าลงที่หว่างขาตั้ม เด็กหนุ่มไม่ได้รู้สึกเสียวสะท้านอะไรมากนัก ในหัวจึงแพลนว่า จะเอาทองเส้นนี้ไปปล่อยที่ไหนดี
“นานกว่าจะแตก” ตั้มบอกอีกฝ่าย เมื่อแสงสลัวจากไฟด้านนอก ทำให้เขาพอมองเห็นว่า อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นจากตรงนั้น “ให้เอาเลยมั้ย” ตั้มถาม ใจนึกอยากจะกลับบ้านเต็มแก่แล้ว “มีถุงมั้ย” อีกฝ่ายถาม ตั้งส่ายหน้า “สด ๆ ปกติต้องเพิ่มเงินนะ” ตั้มพูดไปงั้น นี่ถ้าเขาเมายาอย่างตอนไปปาร์ตี้ต่อ ที่บ้านลูกค้า หลังจากโดนหิ้วแบบเหมาเรตไป เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเรื่องนั้น
“มันใหญ่เกิน ขออัพหน่อยนะ กลัวเจ็บ” ตั้มเห็นอีกฝ่ายหยิบเอาอะไรบางอย่างขึ้นมาจุดขึ้นสูบ ก่อนกลิ่นควันจะลอยมา ตั้มจำกลิ่นมันได้จากบ้านลูกค้า “เอาด้วยมั้ย” อีกฝ่ายถาม ตั้มไม่ตอบ ก่อนจะใช้มือถกกางเกงอีกฝ่ายลง เอาเจลมาป้ายที่แท่งทวนของตัวเอง แล้วพยายามจะดันตัวเข้าไป
“ได้มั้ย” อีกฝ่ายเอี้ยวหน้าหันมาถาม ตั้มไม่อยากบอกว่า อยู่ ๆ เขาก็หมดอารมณ์ ท่อนนั้นของเขา อ่อนตัวลง ตั้มสาวมือเพื่อช่วยให้มันกลับมาตั้งชูชันใหม่อีกครั้ง “ลองสูดดู เสียวดี” ก่อนที่กระปุกสีดำบรรจุสารเคมีด้านใน จะถูกดันจนถึงจมูกตั้ม เด็กหนุ่มสูดหายใจลึกที่รูจมูกด้านหนึ่ง ก่อนที่มันจะถูกเลื่อนมาอีกด้าน เพื่อให้ตั้มสูดเข้าไปอีกครั้ง
จุ้ยนั่งนิ่ง มองตรงไปด้านหน้า เวลาน่าจะผ่านมาราว ๆ ชั่วโมงหนึ่งแล้ว ถนนยังคงเงียบสนิท รถราไม่มีผ่านมาเลยสักคัน ข้าง ๆ กัน ร่างของตั้มกำลังกระตุกอย่างแรง มีน้ำลายฟูมอยู่เต็มปาก เด็กหนุ่มพยายามชี้ไม้ชี้มือไปทางสวนสาธารณะใต้สะพาน ราวกับพยายามจะบอกว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขาภายในสวนต้นไม้ขึ้นครึ้มนั้น ร่างของตั้มกระตุกหนักขึ้น ๆ จนสุดท้ายก็นิ่งเงียบไป
คืนนั้น จุ้ยตกใจกลัวจนลนลาน เมื่ออยู่ ๆ ตั้มก็ทรุดตัวลงบนพื้น แล้วมีอาการเหมือนหายใจไม่ออก จุ้ยพยายามจะเรียกตั้ม ให้เด็กหนุ่มเดินออกไปนอกสวนกับเขา แต่อาการของตั้มดูจะแย่ลงในทุก ๆ วินาที จุ้ยไม่สามารถที่จะให้ใครรู้ได้ว่า เขาเข้ามาทำอะไรในยามวิกาลที่นี่ เขาจึงตัดสินใจทิ้งตั้มไว้ในสวนนั้น
แต่นั่น มันไม่ได้จบอยู่แค่นั้น เมื่อข่าวออกว่า พบศพของตั้มนอนเสียชีวิตอยู่บนม้านั่งที่ป้ายรถเมล์ ด้วยอาการหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หลังจากที่ตั้ม พยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองออกมาจากสวนสาธารณะ จนมาถึงป้ายรถเมล์นี้ได้ แต่กว่าจะมีคนมาพบ ตั้มก็สิ้นใจไปนานแล้ว
ตั้มคือเด็กหนุ่มที่จุ้ยแอบมองมานาน เขากับเด็กหนุ่มอาศัยอยู่ในแฟลตเดียวกัน จุ้ยแอบหลงรักตั้ม ต้องการให้ตั้มมีอะไรด้วย จุ้ยรู้ว่าตั้มมาทำอะไรในสวนแห่งนี้ เขาเคยตามตั้มมาจนถึงที่นี่ จากคนที่เคยได้แต่เฝ้าฝัน อยากที่จะมีอะไรด้วย พบกับจุดเปลี่ยน เมื่อรู้ว่า ตั้มไม่ปฏิเสธลูกค้าที่รูปร่างหน้าตาไม่ดี หากว่าเงินถึง จุ้ยจึงตัดสินใจหยิบเอาทองที่เก็บไว้ของภรรยามาด้วย ในคืนที่ฝนตกพรำ ๆ นั้น รอให้ตั้มมา และตั้มก็มาจริง ๆ
“พี่จุ้ย สร้อยของฉัน ไปอยู่บนคอไอ้ตั้มมันได้ยังไง” ภรรยาของเขา เมื่อได้รับรู้ว่า ตำรวจเอาสร้อยคอมาคสอบถามกับญาติของตั้ม และมันเป็นสร้อยทองที่หายไป และจุ้ยบอกกับเธอว่า ห้องโดนงัดและคงถูกขโมยไป แต่แล้ว มันกลับกลายเป็นว่า เธอที่หวังจะไปปลอบญาติของเด็กหนุ่ม กลับได้เห็นว่า สร้อยคอนั้นเป็นของเธอเอง
“พี่เอาไปให้มันใช่มั้ย พี่ไปเอากับมันมาใช่มั้ย พี่ไปให้มันเอาในสวนมาใช่มั้ย ไอ้เหี้ย มึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง ไอ้หน้าส้นตีน ไอ้สารเลว” จุ้ยยืนนิ่งให้ภรรยาด่าทอทุบตี เธอโกรธแค้น สาปแช่งจุ้ย จนสุดท้ายเขาก็ถูกไล่ออกจากห้อง
ตั้มโซซัดโซเซมาจนถึงป้ายรถเมล์แห่งนี้ ความรู้สึกบอบช้ำในจิตใจ ทำให้เขารู้สึกย่ำแย่ และเมื่อรู้ว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังตามหาเจ้าของลายนิ้วมือแฝงที่ตรวจพบบนขวดสารระเหยสีดำนั้น ว่านอกจากผู้ตายแล้ว ยังมีอีกหนึ่งลายนิ้วมือ และคาดว่า จะเป็นของคนที่อยู่กับตั้มในคืนเกิดเหตุ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมจุ้ยถึงได้มาอยู่ที่ป้ายรถเมล์นี้ในเวลาเดิม ทุกค่ำคืน
จุ้ยหันไปมองม้านั่งข้าง ๆ กัน ตั้มมาให้เขาเห็นเพียงแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว ป่านนี้ จุ้ยคิด เด็กหนุ่มคงไปตามทางของเขาแล้ว ส่วนเขา ตั้มลุกขึ้นจากม้านั่งที่ป้ายรถเมล์ ก่อนจะเดินลงไปบนถนน เพื่อข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ก่อนจะปีนขึ้นไปบนซุ้มที่เคยเป็นที่ขายอาหารและเครื่องดื่ม แต่ตอนนี้ มันกลายเป็นที่รกร้าง และถนนยามค่ำคืน โดยเฉพาะเวลาประมาณนี้ ก็เงียบวังเวงจนผิดปกติ ไม่มีใครสัญจรผ่านไปมาให้เห็น
จุ้ยยื่นคอเข้าไปในห่วงเชือก ที่อยู่ตรงหน้าเขา ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงไปด้านล่าง ร่างของจุ้ยดิ้นทุรนทุราย ขาเตะไปมาอยู่กลางอากาศ และเพียงแค่สักพัก ทุกอย่างก็สงบลง เชือกนั้นไหวไปตามแรงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ กับร่างที่สิ้นลมไปแล้ว และหากใครผ่านไปผ่านมา ก็คงได้เห็นว่า เกิดอะไรขึ้นในวาระสุดท้ายของชีวิตจุ้ย
คืนพรุ่งนี้ จุ้ยจะกลับมาที่ป้ายรถเมล์นี้อีกครั้ง ตามเวลาเดิม เหมือนกับในคืนนี้ เขายังคงติดบ่วงที่ตัวเองสร้างขึ้นอยู่ที่นี่ ให้กลับมาทำซ้ำเดิมจนกว่าจะหลุดพ้นมันไปได้ ซึ่งจุ้ยก็จะมีเพียงตั้ม ที่ติดอยู่ในความทรงจำเท่านั้น
ตั้มไม่ได้ปรากฏกายให้ใครได้เห็นอีก มีเพียงแต่เสียงลือเล่ากันว่า ประเหมาะเคราะห์ดี มีคนเห็นร่างของใครบางคน ผูกคอห้อยต่องแต่ง หันหน้าไปมองทางสวนสาธารณะใต้สะพานนั้น เหมือนกับต้องการมองหาใครสักคน อยู่ทุกค่ำคืน หากว่าต้องผ่านมาทางถนนเส้นนี้
**************************************************
Inspired by “เพลงคิดถึงคนแปลกหน้า”
https://www.youtube.com/watch?v=UmlljEYBRn0
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
ฉันไม่รู้มันเกิดได้ไง
Didn’t know how it all happened
ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร
Not so sure who you were
ฉันก็รู้ว่าเธอเป็นแค่เพื่อนใหม่
Probably, you were just a new companion
ที่แค่บังเอิญมายืนใกล้กัน
Standing with me there at the same time
ก็แค่เพียงพวกขี้เหงาได้ระบาย
The lonesome doing what the lonely hearts cried
พวกชีวิตขาดขาดเกินเกินมาพบกัน
Two emotionally deficient struggling to be there
ค่ำคืนนั้นมันผ่านพ้นก็เนิ่นนาน
That was the night a long time ago
แต่ว่าฉันไม่อาจจะลืมจนคืนนี้
But it got stuck in my head till tonight
อยากบอกเธอว่าคิดถึงเธอ
I’d like to say I really miss you
ไม่รู้เพราะอะไร
Have no idea why
ทั้งทั้งที่เจอะกันไม่นาน
Only a brief moment we shared
อยากให้เธอมาเจอที่เดิม
It would be nice to see you there again
ยังหวังได้พบกัน
Wishing you would
เพราะฉันไม่อาจลืมคืนนั้นกับเธอ
‘Cause I can’t get that night with you out of my head
หรือชีวิตมันอาจง่ายดาย
Can we ultimately say life is so simple?
เกินกว่าใจที่จะค้นเจอ
Too easy yet one’s mind can’t figure it out
หรือชีวิตที่จริงมันก็สั้นเต่อ
Or else, life is very short-lived
เผลอเผลอก็ลอยตามลมเรื่อยไป
It goes wherever the wind blows
ก็แค่เพียงพวกขี้เหงาได้ระบาย
The lonesome doing what the lonely hearts cried
พวกชีวิตขาดขาดเกินเกินมาพบกัน
Two emotionally deficient struggling to be free
ค่ำคืนนั้นมันผ่านพ้นก็เนิ่นนาน
That was the night a long time ago
แต่ว่าฉันไม่อาจจะลืมจนคืนนี้
But it got stuck in my head till tonight
อยากบอกเธอว่าคิดถึงเธอ
I’d like to say I really miss you
ไม่รู้เพราะอะไร
Have no idea why
ทั้งทั้งที่เจอะกันไม่นาน
Only a brief moment we shared
อยากให้เธอมาเจอที่เดิม
It would be nice to see you there again
ยังหวังได้พบกัน
Wishing you would
เพราะฉันไม่อาจลืมคืนนั้นกับเธอ
‘Cause I can’t get that night with you out of my head
อยากบอกเธอว่าคิดถึงเธอ
I’d like to say I really miss you
ไม่รู้เพราะอะไร
I don’t really know why
ทั้งทั้งที่เจอะกันไม่นาน
Only a brief moment we shared
อยากให้เธอมาเจอที่เดิม
It would be nice to see you there again
ยังหวังได้พบกัน
Wishing you could
เพราะฉันไม่อาจลืมคืนนั้น
‘Cause I still remember that forgettable night
อยากบอกเธอว่าคิดถึงเธอ
I wish you knew that I do miss you
ไม่รู้เพราะอะไร
I cannot say why
ทั้งทั้งที่เจอะกันไม่นาน
The small amount of time that we had
อยากให้เธอมาเจอที่เดิม
If you could come back to me
ยังหวังได้พบกัน
I’d love to see you
เพราะฉันไม่อาจลืมคืนนั้น
‘Cause I can’t stop thinking about the night
กับเธอ
I was with you
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 2. ก่อนคำลา
ผมนั่งมองผู้หญิงคนนี้มาร่วมชั่วโมง เธอมีใบหน้าที่สะสวย รูปร่างที่ดีผอมสมส่วนตามความชอบแห่งยุคสมัย ผิวพรรณดี ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบไปหมด เธอเกิดในตระกูลนักธุรกิจที่มั่งคั่ง เธอมีทุกอย่างที่เพียบพร้อม รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ทั้งข้าวของเงินทอง ทั้งชื่อเสียงในวงสังคม เทียบกับผมแล้ว มันไม่มีอะไรที่เทียบกันได้เลย
ผมชื่อเจษ เป็นผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง หากว่านี่เป็นไลฟ์สไตล์ของผมเอง คืนนี้ผมคงไม่คิดที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้ เพราะมันห่างไกลจากเรื่องปกติที่ผมจะทำ ผมคิดทบทวนมันซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งนั่นทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว ผมมองดูผู้หญิงคนนี้ จ้องเธอ จนเธอรู้ตัว ผมยิ้มให้เธอ และเธอก็ยิ้มตอบผมกลับมา ผู้หญิงคนนี้ เธอกำลังจะแต่งงาน ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ และเดินตรงไปหาเธอ
ทิวมาถึงสถานที่ที่จะใช้จัดงานแต่งงานของเขาแต่เช้า พรุ่งนี้แล้ว ที่ทิวจะเข้าพิธีวิวาห์กับลูกสาวนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของประเทศ วันนี้เขาจึงต้องมาดูแลด้วยตัวเอง เพื่อให้ทุกอย่างออกมาแบบสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ให้มีที่ติ งานแต่งงานนี้ถือว่าสำคัญกับเขามาก จะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้ ถึงใครจะพูดว่าเขาเป็นเจ้าบ่าว ที่ดูตื่นเต้นและจริงจังกว่าเจ้าสาวมากก็ตามเถอะ
คนงานหลายคนถูกทิวตำหนิเสียงดัง เมื่อทำเรื่องที่เขาสั่งได้ไม่ถูกใจ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม ทิวไม่ยอมให้มันเล็ดลอดไปได้ เวทีด้านหน้า ดอกไม้ประดับงาน ไฟแสงสี เครื่องเสียง แม้แต่ทีมงานออกาไนเซอร์ที่ทางครอบครัวเจ้าสาวจ้างมา ก็ยังเข้าหน้าทิวไม่ติด
“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำเรื่องเดิม ๆ อีกนะครับ” ทิวพูดจบก็สะบัดหน้าเดินไป ทิ้งให้บรรดาทีมงานที่ถูกจ้างมา ต่างสุมหัวกันซุบซิบ เมื่อเห็นว่าเขาคล้อยหลังไปแล้ว ทิวเดินมาด้านหลังฉากที่ทำขึ้นเพื่อเป็นฉากบังตา สำหรับให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว และบรรดาญาติ ๆ ไว้เป็นที่เตรียมตัว จัดเครื่องแต่งกาย แยกออกมาเป็นสัดส่วน ไม่ประเจิดประเจ้อ โดยที่ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาโดยเด็ดขาด
“มีปากก็สักแต่ว่าจะพูดกัน” ทิวบ่นพึมพำกับตัวเอง เขารู้ว่าทีมงานพวกนี้ พูดนินทาลับหลังเขาในเรื่องต่าง ๆ ทั้งที่ฝ่ายหญิงต่างหาก ที่เป็นคนออกเงินเกือบทั้งหมด ในการจัดงานแต่งนี้ “นี่ถ้าไม่คิดว่ามันจะทำให้งานล่มนะ” ทิวพยายามข่มใจ ไม่อย่างนั้น เขาจะออกไปด่ากราด แล้วไล่คนพวกนี้กลับไปให้หมด เขาคิดแล้วก็ให้นึกโมโห
“นี่ก็อีก โทรไปก็ไม่รับสาย หายไปไหนวะ น่ารำคาญฉิบหาย” ทิวยัดโทรศัพท์มือถือของเขากลับลงไปในกระเป๋ากางเกงแบรนด์ชั้นนำ ที่เข้าชุดกันกับชุดที่เขาใส่ หัวจรดเท้า ก็ในเมื่อเขากำลังจะได้ลูกสาวของเจ้าสัวตระกูลมั่งคั่งมาเป็นภรรยา ภาพลักษณ์ที่คนอื่นได้เห็น มันก็ต้องเป็นสิ่งที่แพงที่สุด ดีที่สุดเท่านั้น
“อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปเลยครับ” เสียงพูดนั้น ทำให้ทิวที่กำลังซับความมันบนใบหน้าของตัวเอง ต้องหันขวับไปมอง “เข้ามาได้ยังไง ใครอนุญาตให้คุณเข้ามาในนี้” ทิวตวาดออกไปด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่า จะได้เจอเจ้าของเสียงนี้ ที่นี่ ใบหน้าของคนที่คุ้นเคยยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา
“เสียมารยาทจังเลยครับทิว พี่ก็แค่บอกทีมงานว่า พี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าบ่าว และก็ให้พวกเขาดูรูปที่เราเคยถ่ายด้วยกัน ว่าเราสนิทสนมกันมากแค่ไหน แค่นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” ทิวมีสีหน้าวิตกกังวล เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องรูปที่เคยถ่ายด้วยกัน เรื่องความสนิทสนมที่มีในวันวาน เพราะเขาคิดว่า เขาเดินจากอดีตที่เขาจากมา และทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลังหมดแล้ว
“เดี๋ยวสิ” ทิวสะบัดแขน เมื่ออีกฝ่ายดึงเขาไว้ได้ทัน ไม่ให้เขาเดินหนีไปได้ “ที่มานี่ ต้องการอะไรกันแน่” ทิวถามเสียงห้วน จ้องใบหน้านั้นอย่างระแวง เรื่องมันกำลังจะเป็นไปด้วยดี เขากำลังจะใช้ชีวิตใหม่ หน้าที่การงาน ธุรกิจที่จะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ก็กำลังจะรุ่งโรจน์
“พี่มีเรื่องต้องคุยกับทิว” ทิวรีบโบกไม้โบกมือ “ผมไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับคุณทั้งนั้น และถ้าคุณยังไม่ออกไปจากที่นี่ ผมจะเรียกให้คนมาลากคอคุณ แล้วโยนคุณออกไป” ทิวไม่คิดว่า เขาควรจะมาเสียเวลาพูดคุยอะไรกับคนตรงหน้าอีก
“ทิว ช่วยพี่เอาบ้านกลับคืนมาเถอะนะ” ทิวชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้น “มันเกี่ยวอะไรกับผม” ทิวถามกลับ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ทิว ทิวก็รู้ดีว่าพี่เอาบ้านไปจำนอง เพื่อเอาเงินมาให้ทิวลงทุนทำธุรกิจ” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทิวพูดด้วยน้ำเสียงที่ปกปิดความเสียใจเอาไว้ไม่มิด
“ทิวเป็นคนขอให้พี่เอาบ้านไปจำนอง พี่ก็ไปพูดกับแม่ให้ บอกกับแม่ว่าทิวจะเอามาทำธุรกิจ แม่ก็เลยยอม” ทิวทำหน้าไม่ถูก เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น “เพราะแม่รักทิว” คำพูดนั้น ทำให้หิวต้องหลบสายตา ก้มลงมองที่พื้น “แม่ยอม เพราะทิวเป็นแฟนพี่ เป็นคนรักของพี่” ทิวขบกรามแน่น เขาไม่อยากได้ยินอะไรแบบนี้อีก
“พอได้แล้ว กลับไปได้แล้ว” ทิวพยายามจะเดินหนีอีกครั้ง แต่คราวนี้อีกฝ่ายรวบตัวของทิวเข้ามากอด “ปล่อยนะ” ทิวร้องบอก พยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนนั้น “ทำไมล่ะทิว แต่ก่อนทิวชอบให้พี่กอดทิวเอาไว้แบบนี้ ไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงนั้นตัดพ้อ มันเจือไปด้วยความรู้สึกที่ขมขื่นใจ
“อย่ามาพูดเรื่องบ้า ๆ อะไรแบบนี้นะ” ทิวพยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนที่ครั้งหนึ่ง มันเคยอบอุ่นที่สุด “แล้วนี่ ต้องมาทำตัวให้แมนเข้าไว้ เพื่อให้คนอื่นเขาไม่รู้ ว่าตัวตนจริง ๆ ของทิวเป็นยังไง อยู่กับพี่ ทิวจะเป็นยังไงก็ได้ พี่รักทิว แม่พี่รักทิว บ้านพี่มีแต่มอบความรักให้กับทิว ไม่เคยรังเกียจรังงอนอะไรทิวเลย” ทิวฟังแล้วรู้สึกเหมือนโดนมีดปักเข้าที่หัวใจ
“ก็มันไม่เหมือนเดิมแล้วไงล่ะ” ทิวดิ้นสุดแรงจนหลุดออกจากวงแขนนั้น ทิวหอบหายใจแรง ตาขวางมองอีกฝ่าย ภาพในวันวานย้อนกลับมาให้ทิวได้เห็นและจำมันได้อีกครั้ง “อยู่กับพี่แล้วยังไง แม่พี่รักทิวแล้วยังไง ความรักบ้าบออะไรพวกนั้น มันทำให้ทิวได้อย่างที่ทิวเคยฝันไว้มั้ย” ทิวแหวใส่อีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงและจริตที่ใกล้เคียงอิสตรี
“เงินที่พี่ให้ทิวไป มันก็ทำให้ทิวได้มีร้านเสื้อเป็นของตัวเอง” ทิวหัวเราะอย่างดูถูกเมื่อได้ยินประโยคนั้น “นั่นมันร้านตัดเสื้อข้างถนน แถมยังได้แต่ลูกค้ากระจอกงอกง่อย มันไม่มีความหวังอะไรเลย มันจะเทียบอะไรได้ กับร้านแบรนด์หรู ๆ ที่ทิวกำลังจะมี” ทิวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหยามหยัน ไม่อยากจะเชื่อว่า คนที่พูดยังจะคิดอะไรตื้น ๆ แบบนั้นอีก
“ที่ทิวยอมมาแต่งงานกับอีชะนีนี่ ก็เพราะมันรวย และมันก็โง่มากพอที่จะโอนเงินค่าทำร้านมาให้ทิวตั้งหลายล้าน” ทิวกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมที่เขาใฝ่ฝัน และมันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม “ส่วนเรื่องเก๊กเป็นผู้ชาย มันจะไปยากอะไร ทีตอนแรกทิวยังเป็นฝ่ายเอาพี่ได้เลย” ทิวหัวเราะออกมาอย่างไม่ยี่หระ รู้ทั้งรู้ ว่าอีกฝ่ายรักเขามาก แม้ว่าที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น กับคนอื่นจะเป็นฝ่ายรุกมาโดยตลอด แต่เมื่อถูกทิวขอ เขาก็ยอมให้
“ตอนนี้ทิวก็มีเงินมากพอที่จะช่วยพี่ ไถ่บ้านคืนแล้ว ขอร้องล่ะ มันเป็นบ้านของแม่พี่ ร้านไปไม่ไหว ลูกค้าไม่มีทิวก็ไม่พูด ไม่บอก เล่นส่งค่างวดบ้านไม่กี่งวด แล้วปล่อยให้มันค้าง ไม่ยอมจ่าย ไม่ยอมบอก พี่ถามเมื่อไร ทิวก็โกหกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่รู้อีกที เงินจากที่จำนองบ้านมา ทิวเอาไปใช้จนหมด ธนาคารก็จะยึดบ้านแล้ว ทิวไม่คิดจะรับผิดชอบเลยหรือ”
“หรือทิวคิดว่า มันคงผิดที่พี่เอง ที่ไว้ใจทิว” คำพูดนั้น มันเสียดแทงความรู้สึกทิว แต่เขาไม่ต้องการจะแสดงออกให้อีกฝ่ายรับรู้ “ช่วยไม่ได้” ทิวยักไหล่ “บ้านพี่ พี่ก็ไปหาทางเอาเอง จะมาฟื้นฝอยหาตะเข็บอะไรกับทิวตอนนี้ ทิวไม่รับรู้อะไรด้วยทั้งนั้นแหละ” ทิวต้องการจะกำจัดคนคนนี้ทิ้ง ทั้งจากตรงนี้และจากชีวิตของเขา ให้เร็วที่สุด
“พี่อย่าพยายามพูดอะไรอีกเลย ยื้อไปก็เท่านั้น เงินพี่ทิวไม่คืน บ้านแม่พี่ พี่ก็จัดการเอาเอง ไม่เกี่ยวกับทิว” ทิวพูดแบบคนที่ไม่เหลือเยื่อใยต่อกันอีกต่อไป “ทิวอาจจะขอเงินพี่ก็จริง แต่ถ้าพี่ไม่ให้ทิวตั้งแต่แรก พี่ก็ไม่ต้องเอาบ้านแม่ไปจำนองไง ก็คิดง่าย ๆ ก็ได้นี่พี่ ว่าพี่เคยติดทิวเอาไว้ แล้วพี่ต้องใช้คืน แค่เนี้ย และอีกอย่างนะ”
“ทิวไม่ได้รักพี่แล้ว” สิ้นเสียงพูดของทิว ทิวก็เห็นอีกฝ่ายหลับตาลง เหมือนกำลังจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะลืมตาขึ้น แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เราจบกันจริง ๆ แล้วใช่มั้ย” อีกฝ่ายกลั้นใจถามออกไป “พี่ไม่เคยเข้าใจอะไรยากนี่ ทิวพูดชัดขนาดนี้แล้ว คงไม่เกินสติปัญญาพี่จะเข้าใจล่ะมั้ง พี่มาทางไหน ก็เชิญกลับไปทางนั้น อย่าให้ทิวต้องใช้กำลังโยนพี่ออกไป” ทิวพูด ก่อนจะเดินผ่านอีกฝ่ายไปด้านนอก
พอทิวเดินออกมา ที่หน้าเวทีนั้น ทั้งนักข่าว ทั้งครอบครัวฝ่ายของเจ้าสาวยืนกันอยู่เต็มไปหมด และที่สำคัญ จูน เจ้าสาวของทิว ก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ทิวหน้าเหวอ ทำอะไรไม่ถูก หันกลับไปมองด้านหลัง ก็เห็นอีกฝ่ายค่อย ๆ ดึงเอาไมโครโฟนที่ซ่อนอยู่ออกมา
“จูนใจเย็นก่อนนะ ทิวอธิบายได้ คือ” ทิวพยายามจะพูดแก้ตัว แต่เขาไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน จูนเดินเข้ามาตบหน้าทิวสุดแรง เธอนั้นทั้งเจ็บใจและทั้งอาย เมื่อเธอเชิญนักข่าวมา เพื่อที่จะทำสกู๊ปข่าว เรื่องร้านแบรนด์เสื้อผ้าใหม่ ที่กำลังจะเปิด ที่เธอลงทุนไปมากกว่าสิบล้านบาท แถมเรื่องที่ชวนญาติมา เพื่อหวังจะอวดความสำเร็จของเธอ เรื่องที่ไม่มีใครเชื่อ ว่าทิวนั้นรักเธอจริงและไม่ได้หวังที่จะปอกลอกเธอ
“มึงหลอกกูมาตลอดเลยใช่มั้ย” จูนด่าทิวออกไปด้วยอารมณ์โกรธ อย่างเหลืออด “กูให้หัวใจกับมึง ให้ความรักมึงไปจริง ๆ แต่มึงเสือกทำกับกูแบบนี้ มึงกล้าทำแบบนี้กับกูได้ยังไง” จูนไม่สามารถเก็บอาการเอาไว้ได้ ภาพลักษณ์ความเป็นลูกคุณหนูไม่หลงเหลืออยู่อีก คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเวทีกับเธอ ได้ยินเสียงสนทนานั้นทั้งหมด
“จูนฟังทิวก่อนนะ จูนต้องฟังทิว ไอ้นั่นมันไม่อยากให้ทิวมีความสุข มันไม่อยากเห็นทิวก้าวหน้า มันไม่ต้องการให้ทิวมีชีวิตที่ดีขึ้น จูนต้องเชื่อที่ทิวพูดนะ” ทิวที่เคยมองเห็นทุกอย่าง มากองสยบอยู่แทบเท้าเขา มันกำลังหลุดลอยออกจากชีวิตของเขาไป ต่อหน้าต่อตา
“มึงกับผัวของมึง” จูนที่ใช้มือปาดเช็ดน้ำตาอย่างเร็ว ๆ เพิ่งมองเห็นใบหน้าของคนที่เธอเรียกว่าเป็นผัวของทิวชัด ๆ “พี่รักเรามากนะทิว” เจษพูดกับทิว “เลิกพูดอะไรแบบนี้สักทีได้มั้ย ไม่เห็นหรือไงว่ามึงทำอะไรลงไปบ้าง” ทิวตะโกนด่าเจษจนสุดเสียง และเป็นจูน ที่ตอนนี้หน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ออก และก่อนที่หญิงสาวจะคิดอะไรได้ทัน ที่จอบนเวที คลิปที่ชัดทั้งภาพและเสียง ถูกเล่นผ่านจอภาพนั้น
มันเป็นคลิปวิดีโอ ที่ถูกถ่ายไว้จากห้องน้ำ ที่เห็นจูนกำลังกลืนกินน้ำรักของชายคนหนึ่งลงคอ อย่างหื่นกระหาย เธอเงยหน้ายิ้มชอบใจให้กับผู้ชายคนดังกล่าว จูนมองคลิปนั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะหันมามองหน้าเจษ แล้วถึงได้รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เมื่อเจษคือคนที่ตอบรับนัดของเธอในอินเทอร์เน็ตเมื่อคืนนี้
สุดท้ายแล้ว ผมก็ทำในสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นโชคดีของผม หรือมันเป็นกรรมของผู้หญิงคนนี้ ผมเจอแอคเคาน์ออนไลน์ของเธอ ในแอปพลิเคชันหนึ่ง มันเคยถูกตั้งค่าเป็นส่วนตัวเอาไว้ ผมกดขอรีเควสท์เธอไป ไม่คิดว่าเธอจะตอบรับผม เธอคงระวังตัวพอสมควร หลังจากเธอกดรับผม เธอซักถามผมหลายคำถาม ผมได้แต่คุยกับเธอทางออนไลน์ กว่าเธอจะตัดสินใจนัดกับผม เพื่อออกไปมีอะไรกัน
มันคงเป็นด้านมืดของเธอ ผมว่านะ เธอจะนัดผู้ชายไปนอนด้วย เฉพาะตอนที่เธอมีแฟน มันเหมือนเป็นแรงขับทางเพศอะไรบางอย่างของเธอ ที่จะกระตุ้นเธอให้ทำแบบนี้ ตอนที่เธอมีคนรักเท่านั้น เธอทำมันอย่างลับ ๆ เธอต้องมั่นใจว่า คนที่เธอนัดนั้น ไม่รู้จักเธอ ไม่ทิ้งหลักฐานว่าเคยเจอกับเธอ และไม่มีคลิปที่ยืนยันว่าเธอนอกใจ
เธอพลาด เมื่อเธอมาเจอกับผม คนที่ตั้งใจจะทำลายเธอตั้งแต่แรก เธอเมายาตอนที่ลากผมเข้าไปในห้องน้ำ แล้วใช้ปากเสร็จกิจให้ผม ตลอดเวลาที่เธอทำให้ ผมได้แต่นึกถึงภาพใบหน้าของทิว ว่าทิวเป็นคำกำลังทำมันให้ผม และมันก็ช่วยให้อวัยวะของผมแข็งตัว จนผมสามารถเก็บคลิปนั้นมาได้ โดยที่ตอนนั้น เธอไม่มีทีท่าว่าจะอิดออดแต่อย่างใด
จูนต้องกรีดร้องออกมาอย่างอับอาย เมื่อคลิปเล่นมาจนถึงฉากที่เธอกำลังร่วมรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งอย่างเร่าร้อน ก่อนที่จะเห็นเธอ ดึงเอาถุงยางที่ผู้ชายคนนั้นสวมอยู่ออก แล้วใส่ความแข็งขันชูชันนั้นกลับเข้าไปในตัวของเธออีกครั้ง ทิวถึงกับต้องอึ้ง เมื่อเขาจำรอยสักที่หน้าอกของผู้ชายที่ไม่เห็นหน้าในคลิป ได้เป็นอย่างดี มันเป็นรอยสักที่เคยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศให้ทิวอย่างที่สุด ทิวมองไปที่เจษอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ผมต้องยอมใช้ยาเช่นกัน เพื่อช่วยกระตุ้นอารมณ์ ให้การร่วมรักกับผู้หญิงครั้งแรกของผม ผ่านไปได้ ผมไม่ได้สนุกไปกับมัน ผมไม่เคยต้องการจะมีอะไรกับผู้หญิง ผมแค่ปล่อยให้ธรรมชาติมันพาผมไป และแม้ว่าเธอจะยอมมีอะไรกับผมแบบไม่ป้องกัน ผมก็ปล่อยให้มันเป็นไป เธอยอมแม้กระทั่งให้ผมหลั่ง โดยไม่ขอให้ผมถอนตัวออก เธอบอกว่าเธอชื่นชอบแบบนั้น
“โธ่ ว่าแต่กู มึงก็กะหรี่ดี ๆ นี่เอง อีเหี้ย ถอดถุงเอง ปล่อยให้ผู้ชายแตกในเลยนะมึง จะแต่งงานอยู่แล้ว ยังร่านดอกทองออกไปให้ผู้ชายเอา ที่กูทนฝืนใจป้อนมึงทุกคืน ไม่เคยอิ่มเลยสินะ อีห่า” มาถึงนาทีนี้ ทิวไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ต้องแอ๊บเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว
“มึงอย่าพูดดีไป เงินที่มึงได้ไปจากกู กูจะเอาคืนมาให้ครบทุกบาททุกสตางค์ มึงมีผัวแล้ว แต่มาหลอกแต่งงานกับกู มึงเตรียมตัวไว้เลย กูจะฟ้องมึงให้เหลือแต่ขนอุย มึงคอยดูกู อีตุ๊ด อีวิปริต” เจษได้แต่มองดูทั้งสองคนใช้ผรุสวาทพ่นใส่กัน
ผมเดินทางมาจนถึงช่วงท้ายของโชว์นี้แล้วสินะ ผมหยิบเอาปืนที่พกมาด้วยออกมา เสียงกรีดร้องดังมาจากกลุ่มคนตรงนั้น คนวิ่งหนีหลบกันไปคนละทิศละทาง เมื่อผมเดินถือปืนเข้าไปหาผู้หญิงและผู้ชายคู่นั้น ทั้งสองยืนนิ่ง ตกตะลึง อาจจะคิดว่าวาระสุดท้ายของพวกเขามาถึงแล้ว ผมวางปืนลงบนโต๊ะ ที่พวกเขาใช้วางดอกไม้เซนเตอร์ พีซ ก่อนที่ผมจะหันหลังเดินช้า ๆ
ผมเดินจากตรงนั้นมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ผมรู้จักทิว คนที่ผมเคยรักที่สุดในชีวิต เป็นดั่งดวงใจของผมดี และมันก็เป็นเช่นนั้น มันมีเสียงเดินตามผมมา ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงคลิกตั้งไกปืน เสียงที่ผมคุ้นเคย ที่ผมได้ยินมันหลายครั้ง เมื่อคิดจะปลิดชีวิตตัวเอง ความเย็นเฉียบของปลายกระบอกปืนกดเข้าที่หลังหัวของผม ผมหยุดยืนนิ่ง และหลับตาลง
ทิวยืนเอาปืนจ่อหัวผม มือของเขาสั่น แต่อย่างที่ผมบอก ผมรู้จักเขาดี เขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรขนาดนั้น คนที่จะหยิบเอามัจจุราช แล้วกดลูกโม่ให้กระสุนฝังเข้าไปในหัวผมหรอก มันไม่มีทางเป็นเขาไปได้ ทิวลดปืนลง เขาทำไม่ลง เพราะรู้ดี ว่าไม่มีใครรักเขามากเท่าผมอีกแล้ว ผมจึงได้เตรียมคนที่สามารถปลิดชีพของผมโดยที่จะไม่ลังเลเอาไว้แล้วไง
จูนที่ขาดสติยับยั้ง วิ่งมาจับมือของทิวที่ยังถือปืนอยู่ ลั่นไกปืนออกไปหนึ่งนัด ร่างของเจษล้มลงกองอยู่ที่พื้น เจษตัวกระตุกอยู่หลายที ก่อนจะแน่นิ่งไป ทิวโยนปืนทิ้งลงพื้น ก่อนจะหันมาเกรี้ยวกราดตวาดใส่จูน ว่าทำแบบนั้นทำไม จูนที่พอความโกรธจนหน้ามืดลดลง เธอก็เพิ่งจะคืนสติ และเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ที่มันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรให้คืนกลับมาได้แล้ว
ทศกดปิดการเชื่อมต่อไฟล์ขึ้นไปบนจอเวที ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น ทุกอย่างมันดูหนักอึ้งไปหมดสำหรับเขา ชายหนุ่มใจสลาย เมื่อเขารู้ดีว่า เจษไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว ทศที่เข้ามาเป็นช่างเทคนิคของงานแต่งนี้ อาศัยความรู้ความชำนิชำนาญในเรื่องเทคโนโลยี ทำให้สิ่งที่เขารับปากกับเจษไว้ เป็นไปตามที่เจษต้องการ
“ช่างมันสิวะ พี่ปล่อยมันไป อย่าไปยุ่งอะไรกับเรื่องนี้อีก” ทศพูดขอร้องเจษ เมื่อเจษบอกข่าวร้ายกับเขาในเย็นวันหนึ่ง “ผมขอนะพี่ จะหนึ่งเดือน หรือแค่สัปดาห์เดียว ขอให้ผมได้อยู่กับพี่ อยู่กับพี่จนวันสุดท้าย” ทศน้ำตาคลอหน่วย สิ่งที่เขาต้องมารับรู้ มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหว
“มันไม่มีประโยชน์หรอก สุดท้ายพี่ก็ตายอยู่ดี” เจษบอกกับทศไปแบบนั้น เมื่อมะเร็งสมองของเขาลุกลามจนเกินรักษา “ถ้าพี่จะเห็นแก่ตัว ขอให้ทศร่วมมือ ทำอะไรให้พี่ ทศจะยอมทำมันมั้ย” หมอวินิจฉัยว่า เขาจะอยู่ได้อีกแค่ไม่เกินเดือน ซึ่งแม้ว่าเจษจะไม่มีอาการใด ๆ แต่ระยะของโรคมันไม่ให้โอกาสเขาได้สู้ต่อแล้ว แถมแม่ของเจษ ก็ตรอมใจจนเสียชีวิตไปแล้ว เพราะเรื่องบ้าน ที่สุดท้าย บ้านก็ต้องถูกธนาคารยึดไป
“พี่อยากจะจากไปแบบไม่มีอะไรติดค้างในใจ” เจษบอกกับทศไปแบบนั้น “พี่จะอยากรู้ไปทำไม ว่าคนแบบนั้น คิดอะไรกับพี่ ยังรู้สึกอะไรกับพี่หรือเปล่า” ทศไม่เข้าใจ ว่าเจษยังอาลัยอาวรณ์คนพรรค์นั้นไปเพื่ออะไร “เหมือนอย่างที่เขาฮิต ๆ กันไง” เจษพูด ยิ้มเศร้า ๆ
“จุดแข็ง พี่รักคนยาก” เจษพูดพลางมองหน้าทศ “จุดอ่อน แต่ถ้าได้รักแล้ว พี่รักไม่เปลี่ยนใจ” ทศเห็นเจษฝืนยิ้ม หลังจากปล่อยมุกที่ฝืดที่สุด ที่ทศเคยได้ยินมา “แล้วทศล่ะ มีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรกับเขามั้ย” เจษถามรุ่นน้อง ที่เพิ่งมาสารภาพรักกับเขาเมื่อไม่นานมานี้
“จุดแข็งของผม” ทศพูดขึ้น สบตากับเจษด้วยความรู้สึกรักพี่ชายคนนี้อย่างสุดหัวใจ “คือผมรักพี่” ทศพูด เจษน้ำตาคลอหน่วย เม้มริมฝีปาก พยักหน้ารับรู้ “จุดอ่อนคือ พี่ไม่รักผม” เจษหลับตา แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม ทศโผเข้าหาเจษ กอดเจษเอาไว้ให้แน่นที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่ทศจะไม่มีโอกาสได้กอดเจษแบบนี้อีก และมันคงจะดีไม่น้อย ถ้าหากว่าฟ้าจะให้เขาสองคนเจอกันเร็วกว่านี้
***************************************
Inspired by “เพลงคาใจ”
คำแปลเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=J4mdxo4VPG4
กลับมาหาเธอโดยรู้ดี
Got to come back to see you
ว่าวันนี้ต้องเจอเธอมีคนใหม่
See that you’ve been with someone new
เจอะเขาและเธออยู่เคียงข้างกาย
I can tell that you two are now intimate
แต่ยังไงก็คงต้องมา
Still, I really need to come here
ก็ยังคาใจข้างในลึกลึก
There’s something stuck on my mind
ที่เธอลืมกันไม่ทันพูดคำลา
You forgot about us, without a word to say
จืดจางกันไปไม่ทันพบหน้า
Love faded away, you didn’t want to stay
จึงต้องมา มาหาเธอ
I’ve gotta come see you today
บอกกับเค้าได้ไหมว่าให้หันไปก่อน
No need to be alarmed, giving your love peace of mind
อ้อนวอนขอให้เขาเห็นใจกันบ้าง
I’m begging of you a simple compassion
ที่ต้องการเพียงจะลา
All I want is just a nice goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
One more time, look into your eyes
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Without anyone, just the two of us
บอกคนของเธอให้เข้าใจ
You can say this to make your love understand
ว่าทำไมฉันจึงจงใจมา
Why I did intend to be here right now
แค่เพียงไม่นานคงไม่ว่า
It will not take long, be courteous
ให้เวลาได้ลาซักคำ
I’ll have a moment with you to bid a farewell
ก็ยังคาใจข้างในลึกลึก
There’s something stuck on my mind
ที่เธอลืมกันไม่ทันพูดคำลา
You forgot about us, without a word to say
จืดจางกันไปไม่ทันพบหน้า
Love faded away, you didn’t want to stay
จึงต้องมา มาหาเธอ
I’ve gotta come see you today
บอกกับเค้าได้ไหมว่าให้หันไปก่อน
No need to be alarmed, giving your love peace of mind
อ้อนวอนขอให้เขาเห็นใจกันบ้าง
I’m begging of you a simple compassion
ที่ต้องการเพียงจะลา
All I want is just a nice goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
One more time, look into your eyes
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Without anyone, just the two of us
บอกกับเค้าได้ไหมว่าให้หันไปก่อน
If you can, tell your loved one to turn the other way
อ้อนวอนขอให้เขาเห็นใจกันบ้าง
I’m asking for this simple sympathy
ที่ต้องการเพียงจะลา
I would love to say to you this goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
Look into your eyes just once
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Us alone without anybody else
ที่ต้องการเพียงจะลา
I would love to say to you this goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
Look into your eyes just once
อย่างลำพังโดยไม่มีคนอื่น
Us alone without anybody else
ที่ต้องการเพียงจะลา
Wish to say this goodbye
มองหน้าเธออีกครั้ง
Look you in the eye for one last time
เอ่ยคำลาคำที่มันคาใจ
Say the word that I have in mind
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 3. Catfished
3.1
“เสียงน้องเหมือนผู้หญิงจัง” เสียงจากอีกด้านหนึ่งของวิดีโอ คอล ส่งผ่านมา “แหมพี่ หนูก็ลงทุนอัพทั้งร่างทำไปตั้งเยอะ” จอยตอบกลับไป เธอคิดว่าเธอพลาดไปนิดหนึ่ง ที่ไม่ยอมพูดเสียงให้หนาใหญ่กว่านี้หน่อย เพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะดันชอบอะไรแนวนี้
“เลื่อนกล้องลงต่ำอีกหน่อยสิน้อง” อีกด้านนั้น ขอให้เธอเลื่อนกล้องออกจากหน้าอกหน้าใจ ให้กดลงด้านล่าง “พี่ไม่ชอบนมหนูเหรอ ทำมาตั้งแพง หนูบินไปทำกับหมอเกาหลีเลยนะ” กับคนก่อนหน้า แค่เธอเปิดกล้องให้เห็นเนินอก รายนั้นก็ถึงสวรรค์ชั้นไหน ๆ ไปแล้ว
“พี่อยากเห็นข้างล่างน้อง พี่ชอบแบบนี้ น้องบอกว่ายังไม่ได้เอาออก ขอพี่ดูหน่อยนะ พี่ชอบ พี่อยากเอาน้ำออก” ปลายสายรบเร้าอยากจะให้จอยเปิดให้เห็นถึงด้านล่าง จอยหงุดหงิดที่ฝ่ายนั้นไม่ยอมโอนเงินให้ ถ้าเธอไม่ยอมทำตาม เพราะฝ่ายนั้นชอบกะเทยที่ทำหน้าอกแล้ว แต่ยังไม่ได้แปลงเพศ
“เนี่ย พี่จะกดโอนแล้ว ขอดูข้างล่างน้องหน่อยนะ” ไม่พูดเปล่า แต่โชว์หน้าจอว่า บนโทรศัพท์มือถือแสดงหน้าโอนเงินของแอพธนาคาร จอยพยายามพูดบ่ายเบี่ยง แต่พูดยังไง ก็ดูจะไม่เป็นผล เงินหมื่นที่ผู้ชายคนนี้สัญญาว่าจะให้ เธอทำไมจะไม่อยากได้ แต่เธอจะให้เขาดูได้ยังไง ในสิ่งที่เธอไม่มี
“โอ๊ย กูเป็นชะนี เป็นผู้หญิง กูจะหางูจากไหนมาให้มึงดู กูมีแต่หอยกับรอยยิ้มเนี่ย ไอ้เวร” จอยหมดความอดทน จึงเฉลยพร้อมด่าฝั่งตรงข้ามออกไป “อ้าว อีเหี้ย กูชอบกะเทย ไม่ได้ชอบผู้หญิง กูเกือบเสียเงินให้มึงแล้วมั้ยล่ะ หาแดกง่ายนะ อีชาติชั่ว” ผู้ชายคนนั้น ด่าจอยกลับมาเช่นกัน
“โถ ๆๆๆ อยู่ ๆ ก็เสือกฉลาดขึ้นมา ก่อนหน้านี้ก็ควายให้กูจูงจมูกดี ๆ นี่แหละ ไอ้โง่ ไอ้หน้าเหียก ไปตายซะไป” จอยกดวางสายลง มีข้อความด่าทอจากผู้ชายคนนั้น เข้ามาอีกหลายครั้ง แต่จอยไม่สนใจที่จะอ่าน เธอกดเข้าไปลบบัญชีออนไลน์ของเธอ พร้อมด่าทอสาปส่ง พวกผู้ชายคนนั้น เมื่อเธอชวดเงินหลักหมื่นไปแบบนั้น
ก่อนจะนึกหัวเสีย ที่ต้องมาตั้งบัญชีใหม่อีก รวมถึงเธอคิดจะไปจ้างพวกกะเทยติดยาสักสองสามคน ไปเปิดบัญชีธนาคารใหม่ให้เธอไว้ใช้รับโอนเงินด้วย เพราะบัญชีเก่าเริ่มมีคนส่งต่อ ๆ กันแล้วว่า เป็นบัญชีมิจฉาชีพ จอยนั่งนึกถึงหน้าของพวกเล่นยาที่ท้ายตรอก ลองหาของให้พวกมันเล่น ให้เงินค่าจ้างมันหลักร้อย แค่นี้มันก็ยอมใช้ชื่อมันเปิดบัญชีให้แล้ว
จอยมองยอดเงินในบัญชีแล้วก็ต้องถอนหายใจ มันมีเงินแค่หลักพันเหลือติดบัญชี ถือว่าตอนนี้การเงินของเธอร่อยหรอลงมาก แล้วเดี๋ยวค่าห้องสิ้นเดือนก็จะมาเยือนอีกแล้ว ไหนจะค่าน้ำค่าไฟอีก อินเทอร์เน็ตก็ใกล้จะตัด นี่ยังจะมาโดนพวกวิปริตหื่นกามจับได้อีก ว่าเธอปลอมเป็นกะเทย หลอกให้ผู้ชายพวกนี้โอนเงินให้ แลกกับการดูของลับ ที่พวกเขาคิดว่าเธอมี จอยเคยเอาของปลอมยัดในกางเกงในแล้ว แต่ก็มีพวกที่อยากจะเห็นตอนที่ของมันยังไม่แข็งอีก โว้ย วิตถารกันขนาดหนักแล้ว
จอยเลื่อนเม้าส์หน้าจอคอมพิวเตอร์ กดดูเว็บไซต์หางานแบบปกติ ที่เธอเคยสมัครไว้ แต่ก็ไม่มีที่ไหนตอบกลับมา จอยคิดถึงเว็บหนึ่ง ที่เพื่อน ๆ ของเธอเคยเล่าให้ฟัง ว่ามันเป็นเว็บไซต์งานด่วน เงินดี ที่งานที่โพสต์ลงในนั้น เป็นงานสีเทา ๆ ไล่ไปจนถึงมืดดำ ก็อยู่ที่ว่าเราจะเดือดร้อนขนาดไหน และก็เราร้อนเงินมากแค่ไหน
จอยกดเข้าไปดู มันติดรหัสที่หน้าเว็บ ให้ใช้ได้เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญ หรือพวกคนวงในที่เคยรับงานมาก่อนแล้วเท่านั้น จอยจำได้ว่าเธอจดรหัสผ่านนั้นไว้ที่ไหนสักแห่ง เธอคิดอยู่สักพัก ก็จำได้ว่า มันอยู่ในสมุดจดรับงานกินข้าวกับพวกมีหน้ามีตาในสังคม เพราะวันนั้นเธอไปเจอเพื่อนที่รับงานเอ็นเข้าโดยบังเอิญ เพื่อนคนนั้นบอกกับจอยว่า ตัวเพื่อนนั้น รับแค่งานสองงาน ก็ได้มาเจอกับเศรษฐีต่างชาติ ที่ชอบอะไรตื่นเต้น ๆ แล้วก็เลยผูกปิ่นโตกันมาเรื่อย อย่างที่เห็น
จอยพิมพ์รหัสที่จดไว้ลงในช่องนั้นทีละตัว ก่อนจะเลื่อนเมาส์กดยืนยัน หน้าเพจค้างไปสักพัก ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นรายการงานต่าง ๆ ที่ลงเอาไว้ พร้อมกับรายได้ ที่มีเงื่อนไขกำกับ จอยไล่สายตาดู มันมีแต่งานอุบาทว์ ๆ ที่ไล่ตั้งแต่ มีอะไรกับสัตว์ กินของเสียที่นายจ้างขับถ่ายออกมาสด ๆ ไปจนกระทั่ง ให้อัพยาจนถึงขั้นเสพเกินขนาด ถ้ารอดชีวิตได้ จะให้เงินล้าน
จอยก็รู้ว่าตัวเองร้อนเงินล่ะนะ แต่นี่มันมีแต่เรื่องระยำ ๆ ให้ทำ ต่อให้เงินดีแค่ไหน เธอว่าเธอขอบายดีกว่า งานแบบที่เพื่อนของเธอบอกเอาไว้ ไม่เห็นจะมีใครลงไว้สักงาน จอยเกือบจะกดปิดหน้าเว็บนี้ ก็พลันสายตามองไปเห็น งานจ้างดูแลคนป่วยพิการ ขยับร่างกายไม่ได้ เธอกดเข้าไปดูรายละเอียดด้านใน
มันเป็นงานดูแลคนป่วย ที่ถูกอุบัติเหตุไฟไหม้เผาร่างกาย พูดไม่ได้ ขยับร่างกายไม่ได้ ต้องอาศัยคนดูแลช่วยเรื่องการขับถ่าย งานไม่ยาก ขอแค่ไปพักอยู่ที่นั่นแค่สามวัน ห้องพักพร้อมอาหาร เพราะผู้ดูแลคนปัจจุบัน ติดธุระ จอยคิดว่า งานนี้มันไม่น่าจะมาลงอยู่กับงานวิตถารโรคจิตอะไรพวกนี้ได้เลย
“งานเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว” จอยพึมพำออกมาเบา ๆ “สามวัน” มันไม่ใช่งานหนักอะไรมาก ระยะเวลาสั้น ๆ เธอเลื่อนสายตาลงไปที่ช่องค่าจ้าง “สองแสนบาท” จอยตาโตเมื่อเห็นจำนวนเงิน ก่อนจะกวาดสายตาลงไปที่ช่องหมายเหตุ หากได้รับพิจารณาจะส่งที่อยู่จริงให้ทางข้อความโทรศัพท์ ผู้ป่วยเป็นคนมีชื่อเสียง จึงไม่ต้องการให้เอิกเกริก มีรูปภาพลงไว้ เป็นคนสองคนถ่ายคู่กัน แต่เบลอหน้าไว้จาง ๆ จอยมองดูแล้ว สองคนในรูปคล้าย ๆ จะเป็นคนรักกัน
จอยลังเล คิดไม่ตกว่าจะเอายังไงดี เงินสองแสนแลกกับเช็ดก้นให้กับใครก็ไม่รู้ ถือว่ามันเล็กน้อยมาก แต่ถ้าเจอพวกจิตวิตถาร บังคับให้เธอทำอะไรทุเรศ ๆ ขึ้นมาล่ะ จอยนั่งมองช่องตอบรับข้อเสนอบนหน้าเว็บอยู่พักใหญ่ ก่อนจะบอกตัวเองว่า อย่างแย่ที่สุดก็คือเอาที่ช็อตไฟฟ้า จิ้มคอ จิ้มหน้าพวกมันไปเลย เธอจะพกอาวุธไปด้วย สนับมือเธอก็มี คิดแบบนั้น จอยก็กรอกรายละเอียดส่วนตัวที่ทางเว็บต้องการลงไป กดยืนยัน แล้วเข้านอน ด้วยการคิดเกี่ยวกับงานนี้ จนผล็อยหลับไป
เช้านี้ จอยนั่งอ่านข้อความตอบกลับวนไปวนมาอยู่หลายครั้ง เธอกำลังคิดว่า ถ้าเธอไปตามที่อยู่ที่ได้รับ เธอจะรู้ว่า งานที่ว่ามันจริงหรือหลอก มันดีจริงหรือว่าเลวทรามต่ำช้า ถ้าไม่ไปเธอก็จะไม่รู้ แถมถ้าเธอสามารถทนทำจนมันผ่านไปได้ เธอจะได้เงินที่มากพอ ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน
แถมนายจ้างยังบอกรหัสกล่องจดหมายตรงหน้าบ้าน ให้เธอไว้เปิด เพื่อรับเงินล่วงหน้าจำนวนสองหมื่นบาทได้ก่อนด้วย จอยคิดในใจว่า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ก่อนจะรีบจัดกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วออกไปตามที่อยู่ที่นายจ้างให้ไว้
“พี่ช่วยเนยนิดนึงนะคะ เอ้า ฮึ้บ” เสียงพูดบอกกับคนป่วยบนเตียง เมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ “ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเนยทำความสะอาดให้พี่เอง” เนยพูดพลางยิ้มให้กำลังใจ ชายที่นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้บนเตียงนอนนั้น ก่อนจะถอดกางเกงแบบผูกเอว เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ เนยจัดการเช็ดทำความสะอาด ก่อนล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ จนหมดกลิ่นไม่พึงประสงค์
“เนยรักพี่นะคะ” เนยมองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้โดยรอบ “ไม่ว่าจะเป็นยังไง เนยก็รักพี่เสมอ” เนยที่นั่งอยู่บนเตียงร่างที่ขยับไม่ได้นั้น บีบมือให้กำลังใจ เจ้าของมือที่นอนนิ่งอยู่นั้น หลับตาลง มีหยาดน้ำใส ๆ ที่อยู่ปลายหางตา
“ไม่เป็นไรนะคะ” เนยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มันคงจะเจ็บและทรมานมาก สำหรับคนที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้เข้า แม้เนยจะไม่สามารถรับรู้ความเจ็บปวดนี้ได้ทั้งหมด “เนยจะอยู่กับพี่ตลอดไป ไม่จากไปไหน พี่ได้ยินเนยพูดใช่มั้ยคะ” เนยเอง บางครั้งก็อยากได้เห็นคนที่นอนนิ่ง ขยับตัวไม่ได้ พยักหน้าหรือตอบสนองคำพูดของเธอบ้าง
“เนยยังฝันนะคะ อยากให้เรากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ให้พี่หายเป็นปกติ” เนยพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เธอมองไปบริเวณหว่างขาของคนที่นอนนิ่งขยับไม่ได้ “เนยคิดถึงพี่” เนยลูบมือไปบนแก่นกายของอีกฝ่าย ก่อนจะจับมันรูดรั้งขึ้นลง แต่เจ้าแก่นกลางกาย ยังคงไม่ตอบสนองต่อสัมผัสจากเธอ
“เนยอยากทำให้พี่มีความสุข” เนยพูดจบก็ก้มลงใช้ปากให้กับชายหนุ่ม เธอรูดปากขึ้นลงอยู่นาน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่า แก่นกลางลำตัวของเขาจะขยายตัวขึ้นมา เนยถอนปากออก ปล่อยให้ท่อนแห่งความเป็นชายนิ่งอยู่บนหน้าท้องของชายหนุ่ม เนยเอากางเกงผ้าปิดส่วนนั้นเอาไว้กันอุจาดตา
“ไม่เป็นไรนะคะพี่ ทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น” เนยพูดก่อนจะบีบมือให้กำลังใจอีกฝ่ายอีกครั้ง จอยที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาภายในบ้าน เมื่อเธอไม่เห็นใครอยู่ด้านนอก หลังจากที่เธอเปิดกล่องเอาเงินสดออกมานอนอุ่น ๆ ในกระเป๋าของเธอแล้ว หญิงสาวยืนแอบมองเนยและผู้ชายคนที่นอนนิ่ง ๆ บนเตียงนั้น ผ่านรอยแง้มของประตู ก่อนจะต้องรีบหลบเดินไปทางด้านหน้าบ้าน เมื่อเธอบังเอิญทำเสียงดัง และเนยลุกขึ้นเดินออกมาด้านนอก
“อ้อ เผอิญนึกว่าไม่มีคนอยู่ค่ะ เลยลองเดินเข้ามาดู” เนยทำท่าว่าเพิ่งเดินเข้ามา แล้วตกใจที่เห็นเนยเดินมาเงียบ ๆ “ได้กดกริ่งเรียกมั้ยคะ” เนยถามเสียงเรียบ ๆ มองสบตากับผู้มาใหม่นิ่ง ๆ “โทษทีค่ะ ไม่ทันได้สังเกต” จริง ๆ แล้วตอนแรก จอยคิดที่จะเชิดเงินในกล่องด้านนอกไปเลย แต่พอเธอเดินเข้ามาดูในบ้าน แล้วพบว่า รายละเอียดงานตรงกับที่ลงไว้ที่หน้าเว็บ เธอเลยตัดสินใจว่า อยู่ที่นี่แค่สามวัน เพื่อเงินทั้งหมดจะดีกว่า
“ค่ะ” เนยรับคำสั้น ๆ “ฉันชื่อเนยนะคะ” จอยยิ้มให้ ภายในใจอยากจะหัวเราะว่า กะเทยชอบตั้งชื่อตัวเองซะน่ารักเกินตัว “ฉันจอยค่ะ” จะไม่ให้จอยรู้สึกขำได้ยังไง ต่อให้ปิดยังไงก็ไม่มิด ว่าเป็นกะเทยพยายามดีเด่น บีบเสียงให้เล็ก ใส่เดรสสีหวานจ๋อย และไว้ผมยาว เพื่อปกปิดร่องรอยไฟไหม้บนใบหน้าด้านขวาเอาไว้ เนยเห็นจอยจ้องที่ใบหน้า เนยยกมือขึ้นปัดผมให้ปิดรอยไหม้ เบือนหน้าน้อย ๆ ไปอีกทาง เพื่อให้หลบสายตา
“คุณทำได้ใช่มั้ยคะ สามวัน” เนยเอ่ยถามขึ้น จอยพยักหน้ารีบตอบว่าได้ “คุณคงได้รับค่าจ้างล่วงหน้าแล้ว” เสียงของเนยเหมือนจะเหยียดอยู่ในที จอยรู้สึกแบบนั้น แต่ใครแคร์กันล่ะ “หยิบเอามาแล้วค่ะ” จอยพูดก่อนจะใช้มือตบเบา ๆ ลงบนกระเป๋าเสื้อผ้า เนยพยักหน้ารับ
“คุณช่วยผู้ป่วยทำความสะอาดเป็นใช่มั้ยคะ ล้าง เช็ด และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ” จอยพยักหน้ายิ้ม ๆ ไม่ได้บอกออกไป ว่าเธอได้เห็นเนยทำเป็นตัวอย่างตอนยืนแอบดู แถมยังได้ดูพรีวิว หนังเอ็กซ์สั้น ๆ ที่ไม่เอ็กซ์สักนิด นั้นด้วย อะไรกัน กะเทยขี้เหร่จะตายคนนี้ ทำไมเคยได้ผู้ชายที่ดูแล้ว น่าจะหน้าตาดีไม่น้อยมาเป็นผัว จอยคิดแล้วก็ให้ตำหนิว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม
“ฉันเคยเป็นพยาบาลอาสามาก่อน เรื่องแค่นี้เอง ฉันทำได้ สบายมาก” จอยโกหกออกไปหน้าตาย ทำหน้าจริงจังและเสียงขึงขัง ก่อนจะเห็นเนยพยักหน้ารับ ยิ้มน้อย ๆ แบบโล่งใจ “ฉันจะไม่อยู่สองสามวัน ฉันอยากให้คุณช่วยดูแล เอ่อ” เนยก้มหน้าลงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถซ่อนความเขินอายนั้นไว้ได้
“สามีของฉัน” จอยต้องปั้นหน้านิ่ง กลัวเหลือเกินว่าเธอจะหลุดขำออกมา กะเทยคนนี้เหลือเกินจริง ๆ แต่ก็เอาน่า เอาเงินแสนมาล่อขนาดนี้ ยอมให้กะเทยเป็นนางเอกก็แล้วกัน “คุณโชคดีจังค่ะ ที่เจอรักแท้” จอยทำเสียงเหมือนกับพวกดาราที่เห็นในทีวี เวลาเขาเสแสร้งแกล้งชมกัน ว่าติดตามผลงานของอีกฝ่าย หรือมีอีกฝ่ายเป็นไอดอล จอยนึกหมั่นไส้อยู่ในใจ แต่ไม่รู้ว่าดาราหรือกะเทยนี่ น่าอ้วกใส่มากกว่ากัน
“ช่วยทำความสะอาดช่วงเช้า เติมอาหารทางสายยางสามเวลา น้ำเกลือถ้าหมด ก็เปลี่ยนถึงใหม่ ซึ่งเดี๋ยวดิฉันจะบอกวิธีให้คุณทราบ นอกนั้น ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยให้สามีของฉันพักผ่อนไป อย่าเข้าไปรบกวนเขา ฉันขอแค่นั้น” เนยพูดบอกสิ่งที่จอยต้องทำ “อ้อ และฉันอยากจะขอร้องคุณ อย่าเล่าเรื่องของฉันและสามีให้ใครฟัง เราสองคนต้องการความเป็นส่วนตัว ดังนั้น อย่าบอกใครถึงเรื่องของเรา สภาพร่างกายของเขา และที่อยู่ ว่าเราอยู่ที่ไหน สามีของฉันมาจากตระกูลดัง” เนยพูดบอกกับจอย เธอพยักหน้าเร็ว ๆ ไม่ได้แคร์อะไรกับที่เนยพล่ามมาเลยสักนิด
-
3.2
“ฉันจะออกไปแล้วนะคะ” จอยนึกดีใจ ที่เนยบอกว่า เธอกำลังจะออกจากบ้าน “ขอความกรุณาคุณช่วยอยู่แต่เพียงในห้องพักของคุณนะคะ ถ้าคุณไม่ต้องทำหน้าที่อะไร” จอยคิดในใจ ใครจะไปทำตาม ในห้องเธอไม่มีอะไรสักอย่าง นอกจากเตียงนอนเน่า ๆ นั่น
“ส่วนอาหารของคุณ อยู่ในตู้เย็น เชิญตามสบาย ฉันซื้อเตรียมไว้แล้ว คุณจะทำอาหารก็ได้ แต่ขอให้เป็นอาหารกลิ่นไม่แรง” จอยเห็นเนยลังเล สายตาเป็นกังวล มองไปที่ห้องที่ชายหนุ่มที่กระดิกกระเดี้ยวตัวไม่ได้นอนอยู่ จอยพ่นหายใจออกมาอย่างแรง เมื่อเนยออกจากบ้านไปได้เสียที
“สามวันต่อจากนี้สินะ” จอยพูดกับตัวเอง เมื่อรู้ว่า เหลือเพียงเธอกับผู้ชายที่นอนเป็นผักบนเตียงนอนภายในบ้านหลังนี้เท่านั้น “สองแสน” เสียงของจอยดังลั่นบ้าน ในความเงียบนั้น จอยหัวเราะคิกคัก ที่คิดว่า ในยามที่กำลังลำบาก อยู่ ๆ โชคก็เข้าข้าง เงินหลักแสนมีมารอให้เธอรอดตายแล้ว
จอยเดินไปที่ห้องของผู้ชายคนนั้น เธอเห็นเขาใส่หน้ากากพลาสติกคลุมทั้งหน้าไว้ เนยคงไม่อยากให้เธอเห็นภาพสามีน่าเกลียด ที่มีแต่ผ้าก็อซพันอยู่รอบใบหน้าอย่างกับมัมมี่ จอยตกใจเล็กน้อยเมื่อมองเห็นลูกตาหลังหน้ากากนั้นกลอกกลับมามองทางเธอ ตอนที่เธอเดินเข้าห้องไป
“สวัสดีค่ะ” จอยพูดทักทายออกไป เธอไม่แน่ใจนักว่าได้ยินเสียงอู้อี้ ๆ อะไรออกมาจากลำคอของผู้ชายคนนี้หรือเปล่า “อยากจะกล่าวทักทายกันหรือคะ” จอยพูด ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน “อ้อ พูดไม่ได้” จอยมองไปที่ร่างนิ่งไม่ไหวติงนั้น แล้วก็ให้นึกถึงพรุ่งนี้เช้า ตอนที่ต้องทำความสะอาดให้เขาผู้นี้
“พรุ่งนี้เช้าก็ออม ๆ มือให้ฉันหน่อยแล้วกันนะคะ” จอยพูดกับผู้ชายคนนั้น “อีเนย เมียกะเทยของคุณฝากคุณไว้กับฉัน อย่าขี้เยอะ ส่วนเยี่ยวรดกางเกง ก็เต็มที่ไปเลย เดี๋ยวก็แห้ง” จอยพูดกลั้วหัวเราะ ส่ายหน้าให้กับความล้ำลึกในมุกตลกของตัวเอง “รู้กันสองคนเท่านั้นนะคะ อย่าเอาฉันไปฟ้องอีกะเทยนั่นล่ะ”
จอยพูดจบก็เดินหัวเราะออกมา เธอเดินไปที่ตู้เย็น เปิดดู ก่อนจะรู้สึกทึ่ง ที่ยัยกะเทยเนยลงทุนซื้อของเอาไว้เสียเต็มตู้ เธอรื้อ ๆ ค้น ๆ ดู ก่อนจะเอาเนื้อบดและตับห่าน ออกมาทำอะไรง่าย ๆ กิน มันเป็นผัดกะเพราที่อร่อยมากที่เธอเคยกินมา ส่วนตับห่านอะไรนั่น เนยว่ามันคาวไปสำหรับเธอ นี่ขนาดเปิดยูทูปดูแล้วนะ ว่าฝรั่งต่างชาติเขากินกันยังไง
จอยอาบน้ำเสร็จ ก็มาล้มตัวลงบนที่นอน สภาพมันไม่ได้ แต่มันดันนุ่มสบายดี แปลกประหลาดมาก จอยคิด แต่ก็อีก อะไร ๆ มันไม่เป็นไปอย่างที่คิดเสียทั้งหมดและนะ จอยปิดไฟ พยายามข่มตาหลับในความมืด แต่มันอาจจะเป็นเพราะแปลกที่ ทำให้เธอกลับไม่ลง จอยลืมตาโพลง เปิดโทรศัพท์มือถือดูนั่นดูนี่ไป จนเปิดคลิป ๆ หนึ่งขึ้นมาดู
“นอนไม่หลับเหมือนกันหรือคะ” จอยรู้ตัวอีกที ก็มายืนอยู่ที่ปลายเตียงของชายหนุ่ม เธอเอ่ยถามออกไป เห็นสายตาของอีกฝ่ายมองมาที่เธอ แล้วมาหยุดที่บิกินี่ตัวจิ๋ว ที่จอยใส่กับเสื้อนอนบาง ๆ ในคืนนี้ “ร้อนนะคะ คืนนี้” จอยรู้สึกว่าอากาศมันอบอ้าวยังไงพิกล เธอนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กับชายหนุ่ม
“ตอนมาถึง ฉันแอบดูกะเทยเมียคุณใช้ปากให้คุณ” จอยมองไปที่กลางลำตัวของชายหนุ่ม เธอทำกัดริมฝีปากแสดงท่าอาย “ของคุณอวบมากเลย ขนาดยังไม่ทันแข็งนะ” จอยดึงกางเกงแบบผูกเชือกนั้นออก เผยให้เห็นแท่งทวนขาวอวบด้านใน
“คุณยังมีอารมณ์ได้อยู่มั้ย” จอยถามเสียงกระเส่า เมื่อมือหนึ่งก็เริ่มรูดรั้งท่อนอวบในมือ ส่วนอีกมือก็ล้วงเข้าไปในบิกินี่จิ๋วของตัวเอง “ดีมั้ยคะ ดีกว่าอีเมียกะเทยทำให้ว่ามั้ย เพราะเมื่อเช้า คุณไม่แข็งเหมือน” จอยรู้สึกถึงความตื่นตัวในมือ เธอดึงเอากางเกงในของเธอออก ก่อนจะยืนแล้วโชว์ให้ชายหนุ่มเห็นของเธอชัด ๆ
“โอ้โห” จอยรีบก้มลงครอบปากความใหญ่โตนั้น มันทำให้เธออารมณ์พลุ่งพล่านไม่น้อย เสียงร้องครางในลำคอของเธอ ได้ยินดังเช่นเดียวกับเสียงจากลำคอของชายหนุ่ม จอยช้อนสายตาขึ้นมมองชายหนุ่ม เสียงในลำคอที่ชายหนุ่มทำ ทำให้จอยถอนปากออกจากลำเขื่องนั้น
“ไม่ได้โดนดูดนาน จะออกแล้วหรือคะ” พูดจบก็ก้มลงรูดปากขึ้นลงอย่างชำนิชำนาญ เสียงในลำคอของชายหนุ่มดังไม่หยุด จอยคิดว่า อีกไม่นานเธอต้องได้ลิ้มรสน้ำขุ่นข้นอันโอชะนั้น เพียงแต่ว่า “ของผัวกู อร่อยมากมั้ย ถ้าอร่อย งั้นก็แดกเข้าไปเยอะ ๆ” เสียงถามดังมาจากใบหน้าของเนยที่ก้มลงมาหาจอย
จอยตกใจ แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร มือของเนยก็กดหัวของจอยให้รับเอาท่อนเขื่องกลางลำตัวของชายหนุ่มเข้าไปจนสุดคอหอย เนยกดมือกระแทกลำใหญ่นั้นเข้าในปากของจอย ส่งเสียงบอกจอยให้อมเข้าไปลึก ๆ เมื่อมันอร่อยซาบซ่านไม่หยอก จอยน้ำหูน้ำตาเล็ด เมื่อเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก เมื่อปลายท่อนแข็งนั้น ถูกดันให้เข้าไปลึกจนเกือบถึงทางเดินหลอดลม แล้วสติของจอยก็ดับวูบลง
จอยฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง เธอลืมตาขึ้นมอง เนยนั่งมองเธอมาจากที่มุมห้อง ก่อนจะเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าจอยฟื้นแล้ว จอยรีบขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ก็ต้องรับรู้ว่า มือสองข้างของเธอถูกมัดเอาไว้ด้านบนศีรษะของเธอ ส่วนขาข้างหนึ่งก็ถูกโซ่ล่ามเอาไว้
“เธอได้นึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างมั้ย” เนยถามจอย หญิงสาวตอนนี้ละล่ำละลักบอกว่าเธอขอโทษ “ฉันผิดไปแล้ว เนย เธอปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันจะไม่บอกใครเรื่องนี้ ฉันสัญญา ฉันไม่เอาแล้วเงิน เธอเอาคืนไปเลย ขอแค่ปล่อยฉันไป” เนยมองจอยที่ร้องไห้โฮออกมา “เธอได้นึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างมั้ย” เนยถามจอยออกมาด้วยประโยคเดิม
“เธอปล่อยฉันสิ ฉันจะได้ไถ่โทษให้เธอ เธอให้ฉันไปนะ ปล่อยฉันไป แล้วฉันจะไม่บอกใครเรื่องนี้ เธอเชื่อฉันสิ” จอยพยายามบิดมือออกจากเชือกที่มัด มันหลวมมากพอที่จอยจะแก้หลุด แต่โซ่ที่ขาของเธอนี่สิ จอยนึกหาวิธีเอาตัวรอด “เธอได้นึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างมั้ย” เนยพูดประโยคเดิมซ้ำ จนจอยกรีดร้องออกมาดังลั่น
“มึงเป็นโรคจิตหรือไงอีเหี้ย พูดอยู่ได้ประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อีระยำ อีกเวร มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้” เนยมองหน้าจอยนิ่ง ๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนจะลุกเดินไปที่มุมห้อง จอยชะโงกตามไป จึงได้เห็นชัด ๆ ว่า มันมีโต๊ะวางบรรดามีด เลื่อย ขวาน และสารพัดอาวุธมีคมอยู่บนนั้น จอยดิ้นรนจนมือหลุดออกจากเชือกที่มัดได้ เธอเอามือคว้าหูโทรศัพท์บ้านมาแนบหู มันมีสัญญาณ จอยกดเบอร์แจ้งตำรวจ รอเพียงแค่สองกริ่ง ก็มีคนรับสาย
“คุณตำรวจ ช่วยด้วย ฉันอยู่ในบ้านอีบ้าโรคจิต มันกำลังจะฆ่าฉัน คุณตำรวจ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย” จอยพูดกรอกลงไปอย่างรวดเร็ว แทบฟังไม่ได้ศัพท์ “เธอวางสายลงเดี๋ยวนี้นะ” เสียงตลาดดังมาจากเนย ที่รีบเดินมาที่จอย หญิงสาวไม่ยอมให้เนยแย่งโทรศัพท์ไปจากมือ ทั้งตบทั้งดึงทั้งทึ้ง จนเนยผงะไปด้านหลัง ในมือของจอยกำวิกผมยาวตรงนั้นเอาไว้
“อีอัปลักษณ์” จอยมองเห็นสภาพเนย ที่ผมบาง ๆ ขึ้นไม่เต็มศีรษะ ใบหน้าด้านขวามีรอยไหม้จากความร้อนระดับสูง “อย่ามอง อย่ามอง” เนยร้องออกมาด้วยความอับอาย เธอยืนตัวแข็งทื่อ พยายามยกมือปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ “นี่มันอะไรกัน” เสียงพูดนั้น จอยรู้สึกเหมือนฟ้ามาโปรด เมื่อมันดังมาจากชายหนุ่มในชุดตำรวจ
“คุณตำรวจ จับมันเลยค่ะ อีนี่มันโรคจิต มันพยายามจะฆ่าฉัน” จอยดีใจที่ได้เห็นชายหนุ่มคนนี้ ก่อนที่เธอจะมองเขาเดินเข้ามาหาเธอ สายตามองดูเธอนิ่ง ๆ ก้มลงดึงวิกไปจากมือของจอย “สวยเหมือนเดิมแล้วนะครับ” ตำรวจหนุ่มยิ้มให้กับเนย เมื่อเขาเอาวิกผมดำขลับสวมกลับให้กับคนตรงหน้า “ไม่ร้องไห้แล้วนะคะ คนดีของผม” จอยมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์นั้นมากดเบอร์อีกครั้ง และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เสียงโทรศัพท์มือถือของตำรวจนายนี้ที่ดังขึ้น จอยกรีดร้องดังลั่นที่สุด เท่าที่เธอจะทำได้ เพื่อหวังให้คนช่วย
“ห้องมันเก็บเสียงน่ะ” คุณตำรวจพูดยิ้ม ๆ กับเธอ “ถ้าเธอไม่ร่าน” ตำรวจหนุ่มพูด ก่อนหันไปมองกล้องเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ตรงข้ามกับเตียงผู้ป่วย “ก็แค่ถ้าเธอไม่ร่าน” ตำรวจหนุ่มพูดย้ำกับจอยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เนยให้โอกาสเขาแล้ว เนยพยายามให้โอกาสเขาแล้ว” เนยรีบบอกกับตำรวจหนุ่ม คล้ายกับว่า ต้องการให้เขาเชื่อว่าเธอได้พยายามแล้วจริง ๆ
“อีนี่มันร่าน” ตำรวจหนุ่มชี้นิ้วไปที่จอย “และไอ้เหี้ยนั่นก็ชั่ว” ก่อนจะด่าคนที่นอนนิ่งขยับไม่ได้อยู่บนเตียง ที่ตอนนี้มีแต่น้ำตาที่ไหลนองออกมาจากหน้ากากนั้น เนยมองไปที่ชายหนุ่มบนเตียงนอน ภาพในวันนั้นย้อนกลับคืนมาให้เธอได้เห็นอีกครั้ง
เนยยืมมองเจ้าบ่าวของเธอ ใช่ วันนี้คือวันแต่งงานของเนย เจ้าสาวกะเทยที่โชคดีที่สุดในโลก ใคร ๆ ก็ชมเธอแบบนั้น แต่เธอกำลังมองเห็นเจ้าบ่าวของเธอ ลากเพื่อนเจ้าสาว ที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอมาเอากันอยู่ด้านหลังงาน ทั้งคู่บรรเลงเพลงรักกันอย่างซาบซ่าน ปากก็พร่ำบอกว่า อีกไม่นานเงินของเนยจะเป็นของทั้งคู่ และทั้งสองจะเสวยสุข อยู่ด้วยกันอย่างสมปรารถนา แม้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เนยจับได้ ว่าผัวกับเพื่อนสนิทมีอะไรกัน และเนยก็เคยให้อภัยพวกเขามาก่อนหน้าแล้ว ก่อนที่เจ้าบ่าวคนนี้ของเธอ จะประกาศขอเธอแต่งงาน
เนยรู้ตัวอีกครั้ง เธอก็เห็นปลายมีดแหลมนั้น กระหน่ำแทงเข้าที่คอเพื่อนเจ้าสาวขณะที่เจ้าบ่าวของเธอยังหลับตาซอยเอวเข้าออกอย่างเมามัน จนเมื่อร่างของเพื่อนเจ้าสาวร่วงลงไปกองกับพื้น เจ้าบ่าวก็ถูกฟาดเข้าให้ที่ท้ายทอยลงไปนอนข้างกับเพื่อนเจ้าสาว เนยคว้าเอาคบไฟที่จุดเป็นทางเดินเข้างานแต่งงาน มาทิ่มเข้าหน้าเจ้าบ่าวของเธอ ที่ชายหนุ่มร้องโหยหวน พยายามปัดไฟนั้นออก จนสะเก็ดไฟบางส่วน กระเด็นมาเข้าหน้าของเนยเช่นกัน
เจ้าบ่าวนอนแน่นิ่งไปเพราะพิษบาดแผล เพื่อนเจ้าสาวนั้นจากไปตั้งแต่ถูกคมมีดครั้งแรก เนยยืนมองทั้งสองคนอย่างไร้ความรู้สึก มีดในมือเต็มไปด้วยคราบเลือด ชุดเจ้าสาวสีขาวของเธอเปื้อนไปด้วยความอัปรีย์ ก่อนที่มีดในมือของเนย จะค่อย ๆ ถูกดึงออกจากมือ ตำรวจหนุ่มเอามีดมาถือเอาไว้ ก่อนจะดึงเอาตัวของเนยเข้ามากอด เขาสัญญาว่า เขาจะดูแลเนยเองต่อจากนี้ไป
เจ้าบ่าวของเนยที่ในตอนนี้ นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงนั้น ได้แต่หลับตา ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เมื่อต้องทนฟังเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากจอย แต่มันก็เพียงแค่สักพัก ก่อนที่ห้องนั้นจะกลับมาเงียบสงัดตามเดิม และในตู้เย็นของเนย ก็จะมีเนื้อบด ตับห่าน ที่ตำรวจหนุ่มจะเอาไปแช่เก็บเอาไว้ โดยมีส่วนผสมของยากระตุ้นกำหนัด มันคงมากพอกับการตอบรับงานจากหน้าเว็บไซต์นั้น ในครั้งต่อไป
*******************************
Inspired by “เพลง My Bloody Valentine”
แปลเนื้อร้องภาษาไทย โดย KADUMPA
Thai Lyircs Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=QiOPc06yjII
My valentine running rings around me
Hanging by a thread but we're loosening, loosening
The sparks are flyin' not the type that we need
Bringing a fire that is burning me, burning me
คืนวันวาเลนไทน์แว่วหวานอยู่ไม่ไกล
บนด้ายบางสั่นไหวที่คลายปมจนอ่อนล้า
ไฟรักที่สุมทรวงแต่ไม่สุขสมอุรา
แผดเผาจ้าร้อนระทมจนซมซาน
I know
Nobody said that it'd be easy
My heart
That we could find a way ,make a way
But you don't
You don't prioritize me
How I s'posed to believe yours games will ever change, ever change
ข้าก็รู้มันแสนยากลำบากยิ่ง
เมื่อความจริงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ข้าไม่ใช่เป็นที่หนึ่งดั่งหนามยอก
เกมรักเจ้าลวงหลอกไม่เปลี่ยนผันไม่เปลี่ยนแปลง
It's such a dirty mess imperfect at it's best
But it's my love, my love, my bloody valentine
Sometimes I wanna leave but then I watch you next to me
My love, my love, my bloody valentine
ดั่งโคลนปักจมดิ่งเน่าให้สิ้นหัก
เมื่อดูรักละเลงเลือดมิปานหมาย
อยากผลักไสเจ้าให้ห่างให้ร้างกาย
ทำเพียงได้แค่ยึดยื้อและครอบครอง
Maybe I should but still I just can't walk away
Try to convince me once again that I should stay
Through all the brokenness this bleeding heart must confess
I love my, love my bloody valentine
อยากจะไปเสียให้พ้นจากตรงนี้
เพียงว่ามีคำทักท้วงทานทัดให้
ต้องทนอยู่รู้ร้าวรานทั้งกายใจ
ที่ทนได้ด้วยว่ารักมันปักทรวง
I open doors but you close them on me
I'm compromising won't you show the same, help the change
You're phone is ringing it says shorty, so tell me
What's her name, how'd she get your number
Don't try to be playin' me
ใจหนึ่งเปิดประตูให้เจ้ากลับปิด
ใจหนึ่งชิดจะยอมความเจ้ากลับประหัตประหาร
เสียกเรียกเพรียกอื่นใดหรือคือชื่อนาง
ซ้ำเจ้ายังจางรักข้าให้ช้ำตรม
'Cause I'll know
Before you even say anything
But I hope
You wouldn't lie to me, don't lie to me
You know that we've been here before
Oh Don't patronize, don't feed me lines
Just change your ways, yeah make it right
ก่อนเจ้าเอ่ยชิวหาใบบอนกลิ้ง
จงอย่าชิงโปปดมดเท็จข้า
ใช่ว่าเราไม่เคยผ่านตรงนี้เดิมเพลา
หยุดเสแสร้งและแจ้งข้าแต่เรื่องจริง
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 4.ใจเอย
“รอคุณหมอก่อนนะคะลูก แป๊บเดียว เดี๋ยวเราก็ได้ตรวจแล้ว” แก้วพูดพลางลูบท้องของเธอเองอย่างอ่อนโยน แววตาของเธอ บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า เธอมีความสุขมากแค่ไหน กับลูกที่อยู่ในท้องของเธอนี้ แก้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางห้องตรวจ วันนี้มีคนไข้มารอพบคุณหมอเยอะพอสมควร จากที่แก้วลองกวาดสายตามอง
“กี่เดือนแล้วคะเนี่ย” เสียงถามดังมาจากผู้หญิงที่นั่งอยู่ถัดจากแก้วไปไม่ไกล “ใกล้คลอดเต็มทีแล้วล่ะค่ะ” แก้วตอบกลับไป เธอพอจะเข้าใจ ว่าทำไมหลายคนถึงถามเธอแบบนี้ เพราะว่าท้องของเธอขยายใหญ่มาก จนหลายคนนึกว่าเธอตั้งครรภ์ลูกแฝด
“ผู้หญิงหรือผู้ชายคะ” คำถามนี้อีกเช่นกัน ที่แก้วถูกถามบ่อยเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่เคยเบื่อหรอกนะ ที่จะตอบมันซ้ำ ๆ “เอาไว้ลุ้นวันคลอดเลยค่ะ จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็โอเคทั้งนั้นแหละค่ะ นี่พ่อเค้าก็แทบจะรอไม่ไหวแล้ว อยากเจอหน้าลูกเต็มแก่” แก้วตอบด้วยรอยยิ้มของคนที่รู้ว่า ตัวเองจะได้เป็นแม่คน เธอมีความสุขมากเหลือเกิน ที่จะได้เห็นหน้าลูกของเธอเร็ว ๆ นี้
“แล้วพ่อเด็กล่ะคะ ไม่ได้มาด้วยกันหรือ” แต่คงเป็นคำถามนี้กระมัง ที่แก้วไม่อยากถูกถาม สีหน้าและน้ำเสียงของแก้วเปลี่ยนไปในทันที เธอเชิดหน้าขึ้น ลำคอตรงอย่างหยิ่งทะนง “เขาไม่ว่างค่ะ ติดงาน ขอโทษทีนะคะ คุณหมอเรียกดิฉันเข้าตรวจแล้ว” แก้วพูดจบก็ใช้มือดันตัวลุกขึ้นยืน ท้องของเธอโตจนอุ้ยอ้ายไปหมด
“ไม่ต้องค่ะ ฉันยืนเองได้” แก้วปฏิเสธความช่วยเหลือจากพยาบาลเช่นกัน อะไรกัน ตอนผู้หญิงคนนั้นถามคำถามที่เสียมารยาท พยาบาลไม่กรูกันเข้ามาช่วยปราม แต่พออย่างนี้ จะมาทำดีเอาหน้า อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมให้เป็นแบบนั้น “ยังไงคราวหน้า จะถามอะไรใคร อย่าละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวให้มากเกินไปจะดีกว่านะคะ” แก้วหันไปพูดกับผู้หญิงคนนั้นด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวในอารมณ์ ก่อนจะเดินเข้าห้องตรวจไป
“คุณหมอสวัสดีค่ะ” แก้วทรุดตัวลงนั่งบนเตียงตรวจคนไข้ เธอหวังว่า วันนี้เธอคงจะไม่ต้องขึ้นขาหยั่ง แบบครั้งที่แล้วนะ ใกล้คลอดแล้ว เธอกลัวไปหมด กังวลกับทุกเรื่อง เธอไม่อยากให้อะไรมาเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น นี่ถ้าแม่ของเธอยังอยู่ เธอคงไม่ต้องคิดมากอะไรแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ แม่คงจะมากับเธอตามที่หมอนัดทุกครั้ง และเธอคงจะสบายใจมากกว่านี้
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับวันนี้” คุณหมอหนุ่มหล่อถามแก้ว เธอนึกขำขันกับตัวเอง นี่ถ้าเธอไม่มีสามีแล้ว และกำลังจะมีลูกกับเขา เธอว่า คุณหมอท่านนี้ก็น่าแอ๊วไม่หยอก “หงุดหงิดไปหมดเลยค่ะ นี่ก็เพิ่งเจอคนไม่มีมารยาทถามคำถามน่าเกลียดที่ด้านนอกนั่น ก่อนที่จะเข้ามาหาคุณหมอนี่แหละค่ะ” แก้วถอนหายใจอย่างคนเหลืออด แต่ก็หัวเราะออกมาอย่างคนที่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
“โอเคครับ” คุณหมอพูดตอบกลับมาอย่างสุภาพ แหม นี่เราพูดจนคุณหมอรู้สึกเกร็งไปเลยหรือเปล่าเนี่ย ตายแล้ว แก้ว เธอใจเต้นแรงมากนะ ถ้าหากว่า คุณหมอจะขอตรวจภายในอย่างครั้งที่แล้ว แก้วอายมากจริง ๆ ก็คุณหมอดันหล่อ หน้าตาดี แถมยังสุภาพมากขนาดนี้ ถ้าเธอเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ธรรม์ฟัง มีหวังเขาต้องหึงเธอไม่น้อยแน่ ๆ แก้วคิดจนมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้า
ธรรม์เดินลงบันไดจากชั้นสองของตัวบ้าน เขามองไปที่ห้องทานข้าว แม็คนั่งอยู่ตรงนั้น คนที่นั่งเงียบ ๆ ทานข้าวเย็นอยู่เพียงลำพัง เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาให้เห็นโดยไม่ปิดบัง ธรรม์เดินมาหาแม็ค เขาก้มลงจะหอมแก้มอีกฝ่าย แต่แม็คเลื่อนแก้มหนี ธรรม์พยายามจะพูดอะไรบางอย่าง เพื่อให้แม็คคลายความไม่พอใจนี้ลงมาบ้าง
“ธรรม์จะต้องไปทำไมบ่อย ๆ มันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” แม็คระเบิดคำพูดออกมา เขาคิดว่า เรื่องนี้มันจะมากเกินไปสักหน่อยแล้ว “ธรรม์ก็แค่ไปดูแลเขา เท่าที่จะทำได้” ธรรม์ที่คิดจะทานข้าวเย็นกับแม็คก่อนที่เขาจะออกไป เกิดเปลี่ยนใจ เพราะคิดว่า ลองเป็นแบบนี้ เขากับแม็คได้ทะเลาะกันยาวแน่ ๆ
“ดูแล” แม็คตวาดออกมาจนเสียงดังลั่นบ้าน “คนที่ธรรม์ต้องดูแลคือแม็ค ไม่ใช่มัน ส่วนมันจะเป็นยังไง ก็เรื่องของมัน ตาย ๆ ไปซะได้เลยยิ่งดี” แม็คตะโกนใส่หน้าธรรม์ด้วยอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านถึงสุด “แม็ค มีเหตุผลหน่อยสิ ธรรม์เองก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ธรรม์ทำลงไปนะ อย่าลืมสิ” ธรรม์พยายามจะอธิบายให้คนรักหนุ่มของเขาเข้าใจ
“รับผิดชอบ” แม็คผลักจานข้าวออก ก่อนจะลุกขึ้น แล้วทำท่าจะเดินขึ้นไปข้างบนบ้าน ธรรม์พยายามจะคว้าแขนของแม็คเอาไว้ แต่แม็คก็สะบัดออกจนสุดแรง “เอากับมันกี่ครั้งล่ะ ความรับผิดชอบมันถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้ ที่ธรรม์บอกกับแม็คว่า ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว ก็นี่สินะ คำตอบของการไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันน่ะ” ธรรม์ได้แต่มองตามแม็ค ที่เดินกระทืบเท้าขึ้นชั้นสองของบ้านไป
เสียงรถจอดที่หน้าประตูบ้าน แก้วมองออกไปดูที่นอกหน้าต่าง ธรรม์กำลังเปิดประตูรั้วเข้ามา ในมือหิ้วถุงข้าวของต่าง ๆ พะรุงพะรัง แก้วที่กำลังง่วนอยู่อาหารเย็นในครัว เธอตักอาหารที่เธอปรุงอย่างสุดฝีมือขึ้นชิม แก้วยิ้ม พึงพอใจกับรสชาตินั้น เธอหันไปที่ประตู เมื่อได้ยินธรรม์เปิดประตูบ้านเข้ามา
“ดูสิใครมา” แก้วยิ้มกว้าง เธอลูบท้องที่ใหญ่โตของเธอ “พ่อกลับถึงบ้านแล้วลูก” แก้วก้มลงพูดกับท้องของเธอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับธรรม์ “มาทันเวลาอาหารเย็นพอดีเลยค่ะ แก้วเพิ่งทำสตูเนื้อเสร็จพอดี นี่แก้วดูสูตรมาจากในอินเทอร์เน็ตเลยนะคะ ทำสุดฝีมือเลย ธรรม์ทานข้าวกับแก้วนะคะเย็นนี้” แก้วพูดจบก็เดินเข้าไปในครัว หยิบจานและช้อนส้อม เตรียมพร้อม
“คุณเป็นยังไงบ้างวันนี้” ธรรม์วางของใช้ที่จำเป็น ที่เขาแวะซื้อที่ซูเปอร์ ระหว่างทางมาที่นี่ ก่อนจะถามอีกฝ่ายออกไป “ก็ดีค่ะ วันนี้แก้วไปหาหมอมา หมอบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แค่ต้องระวังอย่าให้เครียด แต่ไม่ไหวเลยนะคะ แก้วเจอคนพูดจาไม่ดีด้วย แต่ไม่เป็นไร ช่างเถอะ แก้วไม่อยากเอามันมาใส่ใจ เดี๋ยวจะเครียดตามที่หมอว่าไว้” แก้วที่ตักอาหารใส่ชาม ก่อนจะหันมามองที่ธรรม์
“ผมไม่ค่อยหิวน่ะ” ธรรม์บอกออกไป สีหน้าของแก้วดูผิดหวัง เธอวางจานข้าวลงข้างซิ้งค์อย่างแรง “หมอนัด แต่ธรรม์ไม่ยอมไปด้วยกับแก้ว นั่นยังโอเคนะคะ แก้วเข้าใจ เพราะว่าไม่ว่าง ธรรม์ต้องทำงาน แต่เราไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คนเป็นสามีภรรยาเขาทำกัน นานแล้วนะคะ ตั้งแต่แก้วท้อง เอาเถอะค่ะ เรื่องอย่างว่า ช่างมัน แต่เรื่องกินข้าวเย็นกับแก้ว ธรรม์จำได้มั้ยคะ ว่าครั้งสุดท้ายมันเมื่อไหร่” แก้วพูด หันหลังให้กับธรรม์
“คือผม” ธรรม์พูดอะไรไม่ออก ก่อนจะเห็นแก้วหันหน้ามาทางเขา แก้วยิ้มให้ธรรม์ “ไม่หิวก็ไม่หิว ไว้ธรรม์หิว จะกินตอนดึก ๆ ก็ได้ เอาเป็นว่า ธรรม์ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” แก้วเดินเข้ามาหาธรรม์ที่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น “แก้วไม่โกรธธรรม์แล้วค่ะ จะทำหน้าซีดทำไมกัน” แก้วยิ้มหวาน ก่อนจะทำหน้าตกใจขึ้นมา
“อุ๊ย ธรรม์คะ ลูกดิ้น” แก้วคว้ามือของธรรม์ไปจับที่ท้องของเธอ ธรรม์เองก็ตกใจ ที่มีแรงดันจากท้องดันมือของเขาอย่างแรง “รู้สึกใช่มั้ยคะธรรม์ ลูกของเราดิ้นแรงมาก นี่หนูเตะคุณพ่อเลยหรือคะ เด็กดื้อของแม่” แก้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง เธอรู้สึกตลกไปกับท่าทางของธรรม์ ที่ดูจะตกใจจนเกินเหตุ อย่างว่าแหละนะ คนเป็นพ่อ ไม่ได้ตั้งท้องแบบคนเป็นแม่อย่างเธอ ก็คงประหลาดใจกับเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดา
“เดี๋ยวแก้วไปเตรียมเสื้อผ้าให้นะคะ ธรรม์จะได้อาบน้ำ แก้วเพิ่งซื้อชุดนอนใหม่มาให้ธรรม์ พอดีแวะไปที่ห้างมา เห็นลดราคาพอดี ไซส์ใหญ่หน่อยนะคะ พนักงานบอกว่า ไม่มีตัวที่เล็กกว่านี้แล้ว” แก้วกำลังจะเดินไปที่ห้องนอน “เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว” แก้วได้ยินธรรม์พูดแบบนั้น ก็หยุดกึก ก่อนจะหันกลับมามอง
“ธรรม์ไม่นอนที่บ้านหลายวันแล้วนะคะ อะไรกัน งานด่วนที่ธรรม์บอกกับแก้ว ว่าต้องค้างที่สำนักงาน นี่มันเกินไปแล้วนะคะ แก้วท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที แก้วต้องการคนดูแล แก้วต้องการธรรม์มาอยู่ข้าง ๆ อยู่ใกล้ ๆ ถ้าธรรม์จะไม่ห่วงแก้ว ธรรม์ก็ต้องห่วงลูกบ้าง ลูกของเรากำลังจะเกิด กำลังจะลืมตามาดูโลก” ยังไม่ทันที่แก้วจะพูดจบ แก้วก็ร้องออกมา
“โอ๊ะ ธรรม์คะ” แก้มก้มลงมองที่ขาทั้งสองข้างของเธอ มีน้ำเมือกใสไหลนองอยู่ที่พื้น “โอ๊ย ธรรม์” แก้วร้องออกมาเสียงดัง “แก้วเจ็บท้อง” อาการปวดนั้นมันเกินกว่าที่แก้วจะบรรยายออกมาได้จริง ๆ “คุณ ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน เดี๋ยวผมเรียกรถโรงพยาบาล” ธรรม์ตกใจ รีบตั้งสติและคิดว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป ในระหว่างที่แก้วส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น
แม็ครีบจ้ำเท้าเดินเข้ามาในโรงพยาบาล เขากำลังโกรธและโมโหเป็นอย่างมาก ที่ธรรม์พาตัวเองมาวุ่นวายกับเรื่องบ้า ๆ นี่ จนมันมากเกินจะรับไหว แม็คเดินหาคนรักหนุ่มของเขา จนเห็นว่า ธรรม์ยืนอยู่ไม่ไกลกับใครคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“ธรรม์ กลับบ้านกับแม็ค” ธรรม์หันไปตามเสียงออกค่ำสั่งนั้น “เดี๋ยวนี้” แม็คคว้าข้อมือของธรรม์ เพื่อดึงให้อีกฝ่าย เดินตามเขาออกไปจากที่นี่ “ธรรม์คะ นี่มันอะไรกัน” เสียงถามดังมาจากคนที่นั่งอยู่บนรถเข็น “คุณคิดจะทำอะไร ปล่อยมือจากสามีของฉันนะคะ วันนี้ฉันเกือบเสียลูกไป ดีที่หมอช่วยชีวิตลูกของฉันกับธรรม์เอาไว้ได้ แต่ทำไมคุณยังมารังแกฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อีกคะ” แม็คมองไปที่รถเข็น เขารู้สึกสังเวชใจ ปนอนาถใจ
“อีบ้า นี่มึงจะบ้าไปถึงไหน” แมคเดินเข้าหาอีกฝ่าย ไม่สนใจการห้ามปรามของธรรม์ “มึงดู มึงดูสารรูปของมึง” แม็คผลักรถเข็นดันให้มันเข้าหากระจกบานใหญ่ ไม่ไกลจากตรงนั้น มึงดูซะให้เต็มตา อีโรคจิต มึงเป็นผู้ชาย มึงไม่ได้ท้อง มึงแหกตาดู แหกตาดูซะ อีบ้า อีบ้า” แม็คบังคับให้อีกฝ่ายดูเงาในกระจกของตัวเอง ที่สะท้อนออกมา
ภาพในกระจก คือผู้ชายร่างกำยำล่ำสัน ที่อยู่ในชุดคลุมท้องของผู้หญิง นั่งอยู่บนรถเข็นผู้ป่วย ใบหน้าที่เห็นนั้นดูอิดโรย ผมเผ้าดูรุงรัง หนวดเคราขึ้นครึ้มเขียว เงาในกระจกยกมือขึ้นแตะท้องที่ใหญ่โตของตัวเอง ก่อนจะกรีดร้องเสียงดังลั่น และร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ธรรม์สลดใจที่เห็นภาพตรงหน้า แม็คเองนั้นตกใจกับภาพที่เห็น
“ผู้ป่วยมีอาการจิตเภทขั้นรุนแรง หมอสันนิษฐานว่า อาการป่วยนี้น่าจะเริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่มันยากที่จะตรวจพบ ในช่วงวัยนั้น” ธรรม์ได้คุยกับจิตแพทย์ก่อนหน้านี้ “ปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการแยกแยะไม่ได้ว่า เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง รวมทั้งผู้ป่วยรายนี้ มีอาการเห็นภาพหลอนร่วมด้วย ผู้ป่วยสร้างจินตนาการขึ้นมา ว่าตัวเองเป็นคนคนนั้น และเชื่อจริง ๆ ว่าเขาเป็นคนคนนั้น และนั่นทำให้ร่างกายของเขา ตอบสนองความคิดและความรู้สึกนั้น ๆ ที่มี ขึ้นมาจริง ๆ”
“ถือเป็นเคสที่หายากมากมากครับ” คุณหมอสูตินรีเวชหน้าตาดีคนนั้นพูดขึ้น “คนไข้มีอาการตั้งครรภ์เทียมขึ้น และพัฒนาไปตามระยะเวลา เหมือนกับว่าได้ตั้งท้องจริง ๆ” คุณหมอพูดอธิบายให้ธรรม์ฟัง “ร่างกายของคนไข้ตอบสนองเรื่องต่าง ๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ ทั้งเรื่องเด็กขยับตัวในท้อง ทั้งเรื่องน้ำคร่ำที่ไหลออกมา” คุณหมออธิบายต่อไป
“คนไข้เชื่อจริง ๆ ว่าตัวเองตั้งครรภ์ คุณพอจะบอกสาเหตุให้หมอทราบได้มั้ยครับ คือคุณสองคน” หมอสูตินรีเวช ซักถามธรรม์ “ครับ” ธรรม์ยอมรับออกไป “ผมกับเขามีเพศสัมพันธ์กัน” ธรรม์บอกกับหมอทั้งสองท่านไป ว่าเขาเคยมีอะไรกันจริง “แต่ผมป้องกันทุกครั้งนะครับ แต่ว่า” ธรรม์นึกถึงสิ่งที่เขาได้เห็นกับตา แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี
“เขาเอาน้ำอสุจิของผมในถุงยาง ใส่เข้าไปในช่องทาง คือ” คุณหมอทั้งสองท่านพยักหน้ารับทราบ และไม่ต้องให้ธรรม์อธิบายอะไรอีก เพราะหมอเข้าใจและไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติอะไรที่ผู้ชายสองคน จะมีเพศสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน เพียงแต่ว่า สิ่งที่ธรรม์เล่านั้น คงเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้คนไข้เชื่อว่าเขาได้ตั้งท้องจริง ๆ
“ก้อง” ธรรม์นั่งอยู่ข้าง ๆ ผู้ชายคนนี้ ที่เชื่อโดยสนิทใจว่าเขาคือ แก้ว หญิงสาวที่กำลังตั้งท้องให้กัคนรักหนุ่มที่ชื่อว่าธรรม์ จนใช้ชีวิตเหมือนกับหญิงสาวท้องแก่คนหนึ่ง ไปไหนมาไหนข้างนอก โดยสวมชุดคลุมท้อง พูดด้วยสรรพนามของอิสตรี ทำเสียงเล็กเสียงน้อย เพราะใจนั้นรับรู้แต่เพียงว่า เขาคือแก้ว และจะเป็นแก้วของธรรม์เท่านั้น ท่ามกลางสายตาแห่งอคติ ความไม่เข้าใจ ให้เป็นตัวตลก โดนชี้นิ้วหัวเราะขบขัน
ธรรม์นึกย่อนกลับไปเมื่อครั้งที่เขาได้เจอก้องครั้งแรก ก้องประกาศหารูมเมท เพื่อหาคนมาช่วยหารค่าผ่อนบ้าน เพราะแม่ของก้องเสียชีวิต ตอนที่ก้องเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสอง ธรรม์ตอบรับประกาศบนบอร์ดมหาวิทยาลัย ด้วยรู้ว่า ก้องที่แม้จะร่างกายกำยำ หุ่นดีมีกล้าม แต่จริง ๆ แล้ว ก้องซ่อนความตุ้งติ้งเอาไว้ภายใน
ไม่นานหลังจากธรรม์ย้ายเข้ามาอยู่กับก้อง เขาก็เริ่มต้นอ่อยก้อง ถอดเสื้อโชว์หุ่นใส่แต่เพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ให้ของรักของสงวนเขาโผล่ให้ก้องเห็นวับ ๆ แวม ๆ บ้าง ทำอยู่หลายครั้ง ก็เริ่มแกล้งทำผ้าเช็ดตัวหลุดให้ก้องเห็นเต็ม ๆ ตาบ้าง จนเมื่อเห็นว่า ก้องติดกับเขาแน่ ๆ แล้ว ก็แกล้งเมากลับบ้านมาคืนหนึ่ง แล้วให้กล้องช่วยดูแลเช็ดตัวให้ จนทั้งสองคน มีอะไรกันเลยเถิดในคืนนั้น
ธรรม์ทำทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ก้องหลงรักเขา และมันก็เป็นไปเช่นนั้น เห็นได้ชัดโดยไม่ต้องสงสัย ว่าก้องตกหลุมรักครั้งใหญ่ จากที่ธรรม์ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน เพื่อก้องจะได้ไปผ่อนบ้านต่อ ต้องกลายเป็นว่า ก้องทำงานพิเศษเพิ่มอีกหลายงาน ด้วยความรักที่มีต่อธรรม์ และนี่คือบ้านของเขาเอง ที่ตอนนี้มีคนรักมาอยู่ด้วย คนรักที่เขาไว้ใจและทุ่มเททั้งชีวิตให้
แต่แล้ว เมื่อใกล้เรียนจบ ก็ถึงคราวที่แม็ค แฟนตัวจริงของธรรม์เข้ามาในภาพรวม แม็คที่ไม่เคยสงสัยว่า ธรรม์กับก้องจะมีความสัมพันธ์อะไรเกินเลย นอกจากการเป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน เพราะก้องแสดงออกกับทุกคนอย่างที่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเป็น แม็คก็ได้ค้นพบความจริง ธรรม์ที่ไม่คิดจะเลิกกับแม็ค ยอมสารภาพว่าเขามีอะไรกับธรรม์จริง
ที่บ้านแม็ค เตรียมงานแต่งงานของทั้งคู่ไว้แล้ว แม็คที่แม้จะโกรธธรรม์ที่นอกใจ แต่ก็ำไม่สามารถให้ที่บ้านของตัวเอง ที่เป็นเศรษฐีตระกูลใหญ่รู้ได้ว่า ตัวเองถูกแฟนหนุ่มหักหลัง เพราะนั่นจะทำให้พ่อของแม็คนั้นพูดถูก ที่เคยพูดปรามาสแม็คเอาไว้ ถึงความสัมพันธ์ของคู่รักชายชาย ว่าดีแต่เอากันไม่เลือกฤดู แม็คยอมไม่ได้
“งั้นเอาอย่างนี้” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น “แกไปเช่าชุดเจ้าสาวมา แล้วให้ฉันใส่ถ่ายรูปพรีเว็ดดิ้งกับธรรม์ แล้วส่งให้อีก้องมันดู ทำการ์ดแต่งงานปลอม ๆ ชื่อธรรม์กับผู้หญิง ส่งไปให้มัน ให้มันรู้ว่า คนอย่างมันไม่มีหวังตั้งแต่แรกแล้ว” แม็คเห็นด้วยกับแผนการนี้ ส่วนธรรม์ที่มีชนักปักหลังอยู่ ทำได้แค่เงียบและทำตาม ด้วยรู้ว่าแม็คสามารถดลบันดาล ให้เขาเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวที่ต้องการให้เขาได้ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยในชีวิต
ก้องที่ได้รับรู้ถึงข่าวการแต่งงานของธรรม์ ถึงกับเสียสติ ร้องไห้จนแทบขาดใจ ยิ่งธรรม์ไม่รับสายที่ก้องกระหน่ำโทรไปหา แถมไม่ยอมติดต่อกลับมา มันทำให้อาการจิตเภทที่ก้องมีมานานหลายปี ได้จุดปะทุ ภายนอก ก้องเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง แต่ภายในจิตใจที่แสนจะบอบช้ำของเขา มันได้เปลี่ยนคนที่คิดว่าเจอกับรักแท้อย่างเขา ไปตลอดกาล
“ธรรม์คะ” ก้องที่นั่งอยู่บนรถเข็น หันมาพูดกับธรรม์ด้วยเสียงที่พยายามบีบให้เล็กเหมือนผู้หญิง “หมอบอกว่า หมอต้องเอาลูกของเราออก” ก้องพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ เสียงของคนที่หัวใจกำลังแตกสลาย “ธรรม์ช่วยบอกหมอที อย่าให้หมอเอาลูกของเราไป นะคะธรรม์ แก้วขอร้อง” ก้องพูดด้วยน้ำตานองหน้า
“ก้อง” ธรรม์เรียกอีกฝ่าย “นะคะก้อง แก้วรักลูก อย่าให้ใครมาเอาลูกของเราไป” ก้องพูดอ้อนวอน แขนทั้งสองข้างของเขา โอบท้องขนาดใหญ่นั้นไว้ ด้วยต้องการปกป้องสิ่งล้ำค่าที่สุดนั้นเอาไว้ด้วยชีวิต “ก้อง ธรรม์ขอโทษ ธรรม์ขอโทษ ก้อง ธรรม์ผิดไปแล้ว”
ธรรม์ซบหน้าลง สะอึกสะอื้นไปกับความผิดพลาดที่ตนได้ก่อเอาไว้ ได้แต่พูดขอโทษอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ไม่รับรู้การมีอยู่ของก้องอีกต่อไป มีเพียงแต่แก้ว ที่เธอต้องอยู่ในโลกแห่งความเจ็บช้ำ ผิดหวัง ที่แสนจะโหดร้ายนี้ต่อไปเพียงลำพังผู้เดียว
****************************
Inspired by “เพลงปาฏิหาริย์”
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
จะไม่ยอมให้เราคลาดกัน
Won’t let us miss the chance
ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
I’ll be your first love
มันน่าเสียดาย
But that is just a shame
เมื่อเราเจอกันเจอกันแค่ครั้งเดียว
When we first met, that very first sight
ก็ผูกพันเหมือนใกล้ชิดมานาน
Like we have had this bond a long while
บอกไม่ถูกว่าทำไม
I can’t tell you why
หรือเราจะเคยได้เจอกันชาติก่อน
It might be that we together spent a lifetime before
ต่างใจตรงกันมองตาก็เข้าใจ
From your heart to mine, we get it right
แต่คงเป็นเพียงได้แค่มองตา
Sad that it can be just looking in the eye
อยากจะกอดเก็บเธอไว้
Wish I could hold you tight
แต่พบกันเมื่อสาย
But it was too late for that
ไม่อยากจะแย่งใคร
Cannot make you mine
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน
We should have met really sooner
ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
Before you’ve already belonged to someone
อยากให้มันมีปาฎิหารย์
Wish for a miracle
ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป
That I could turn back time
จะไม่ยอมให้เราคลาดกัน
Won’t let us miss the chance
ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
I’ll be your first love ever
มันน่าเสียดาย
But that is just a shame
ปาฏิหารย์ไม่มีจริง
So called miracle doesn’t exist
ต่างใจตรงกันมองตาก็เข้าใจ
From your heart to mine, we get it right
แต่คงเป็นเพียงได้แค่มองตา
Sad that it can be just that looking in the eye
อยากจะกอดเก็บเธอไว้
Wish I could hold you tight
แต่พบกันเมื่อสาย
But it was too late for that
ไม่อยากจะแย่งใคร
Cannot steal you from anyone
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน
We should have met really sooner
ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
Before you’ve already belonged to someone
อยากให้มันมีปาฎิหารย์
Wish for a miracle
ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป
That I could turn back time
จะไม่ยอมให้เราคลาดกัน
Won’t let us miss the chance
ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
I’ll be your first love ever
มันน่าเสียดาย
But that is just a shame
ปาฏิหารย์ไม่มีจริง
So called miracle doesn’t exist
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน
Wish I could see you first
ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
Before you would be someone else’s
อยากให้มันมีปาฎิหารย์
Wish God would do all wonders
ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป
If I would be sent back in time
จะไม่ยอมให้เราคลาดกัน
I will never have us miss our chance
ฉันคงจะพบรักเธอก่อนใคร
I’ll say I love you before other people do
มันน่าเสียดาย
The shame to endure
น่าจะเจอกันมาตั้งนาน
Wish I could see you first
ก่อนที่เธอจะเป็นของใคร
Ask not you fall in love with no one
-
T_T เศร้ามาก ทุกเรื่องเลย แต่ชอบมากเช่นเดียวกัน
ชอบเรื่องที่ 3 ที่สุด (ุถึงยังงงๆว่าคุณตำหนวดอยู่ดีๆมาชอบเนยได้ยังไง)
ขอบคุณนะค้า
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 5.ด้วยหัวใจ
“เฮ้ย ไหน ๆ ก็มาแล้วเพื่อน นั่งดื่มกันก่อน อย่าเพิ่งรีบกลับ” เลโอชายหนุ่มทรงหนุ่มออฟฟิศ ใส่แว่น เสื้อเชิ้ต กางเกงแสล็คขายาวสีดำ รองเท้าหนังมันวาว พยายามขอตัวกลับก่อน เมื่อเขาคิดว่า เขาไม่เหมาะกับสถานที่อะไรแบบนี้ แต่ต้องขับรถมาส่งบรรดาเพื่อน ๆ ที่จะมาปาร์ตี้กันต่อ หลังจากที่นัดรวมตัวกินมื้อค่ำกัน “เอ้า แก้วนี้ เราเลี้ยงเอง” ใครสักคนในกลุ่มเพื่อนสนิท ส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาตั้งอยู่ตรงหน้าของเขา
“ถ้าไม่ชอบสาว ๆ ก็นั่งเอ็นจอยดูหนุ่ม ๆ ไป” เพื่อนคนที่รั้งให้เลโออยู่สนุกกับค่ำคืนนี้ก่อน พูดขึ้น ก่อนจะเดินไปทักทายคนอื่น ๆ ภายในงาน “คือ ไม่ใช่ คือ อืม” เลโอไม่ทันจะได้พูดแก้ตัวอะไร ก็จำต้องยอมจำนนต่อสิ่งที่ตัวเขานั้นชอบ ซึ่งเพื่อน ๆ คนอื่นก็คงจะรู้เช่นกัน และเลโอเองก็รู้สึกเหนื่อย ที่จะปิดบังต่อไป
เลโอยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันนั้นขึ้นจิบ รสชาติของมันแรงจนเขาคิดว่า ถ้ายังดื่มต่อเนื่องกับปริมาณแอลกอฮอล์ระดับนี้ เขาคงคอพับคออ่อนในไม่ช้านี้แน่ บรรยากาศของผับในคืนนี้ดูเร่งเร้าและเร่าร้อนอย่างประหลาด ผู้คนที่มาทั้งชายและหญิง ต่างดูจะกระหายที่จะทำความรู้จักกัน เพื่อพากันไปจบกันบนเตียงที่ไหนสักแห่งในมหานครแห่งนี้
เลโอมองสำรวจไปรอบ ๆ ร้าน แผ่นโปสเตอร์ปิดประกาศมองเห็นได้โดยทั่ว กับค่ำคืนแห่งคราสเต็มดวง ใช่แล้ว ในคืนนี้ ดวงอาทิตย์ โลก จะเดินมาเรียงตัวกัน เพื่อสร้างเงาบนดวงจันทร์ ธีมของงานในค่ำคืนนี้ ดูจะดึงดูดให้ผู้คนออกมาที่ผับแห่งนี้ได้มากเกินคาด และต่างดูจะดึงดูดกันเองอย่างไม่ปิดบัง เมื่อหลายต่อหลายคู่ เริ่มแสดงออกว่าต่างฝ่าย ต่างต้องการกันและกัน
เลโอกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเครื่องดื่ม พลันผู้คนที่เคยยืนบังด้านหน้าของเขาอยู่ ได้เปิดทาให้เขาเห็น ผู้ชายคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ที่โซฟาด้านไกลตรงข้ามกับเขา ใบหน้ารูปไข่ จมูกเป็นสันสวย จากการมองเห็นด้านข้างนั้น ทำให้เลโอหยุดชะงักและเพ่งมอง ใจของเขาเต้นตึกตัก ตื่นเต้นที่ได้เห็นอีกฝ่าย ด้วยว่าเห็นคนที่ต้องตาต้องใจ
ทั้ง ๆ ที่ใครคนนั้น เบือนหน้าออกจากเสียงอึกทึกภายในร้าน ราวกับไม่สนใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว เลโอรู้สึกแปลก ที่รับรู้ถึงความเศร้าสร้อย แผ่กระจายออกมาจากตัวของคนคนนี้ พลันเลโอก็ต้องตกใจจนมือปัดแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าล้มลงจนน้ำสีอำพันนองพื้น เมื่ออยู่ ๆ เขาก็เห็นคนหน้าสวยคนนั้น หันมามองสบตากับเขาตรง ๆ
“เฮ้ย อะไรวะ แก้วเดียวก็เมาแล้วเหรอ ไอ้เลโอ” เพื่อนที่ชวนให้ชายหนุ่มนั่งดื่ม วนกลับมาแซวเขา ก่อนจะสั่งพนักงานให้มาทำความสะอาด และเอาเครื่องดื่มแก้วใหม่มาเปลี่ยนให้ “อ้อ หรือว่าเจอของถูกใจ น้องเขาน่ารักนะเว้ย ถูกใจก็เข้าไปจีบเลย” เพื่อนคนเดิมเย้าหยอก แต่ก็ยุให้เลโอเดินเข้าไปขอชนแก้วกับเป้าหมายจริง ๆ
“เฮ้ย เปล่า” ปากของเลโอพูดปฏิเสธ แต่สายตาก็คอยแต่จะมองไปทางเดิมนั้น ก่อนจะเห็นว่า คนหน้าสวยคนนั้น ไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว แต่มีผู้ชายร่างสูงดูกำยำนั่งประกบข้างอยู่ด้วย “อ้าว เชี่ย มีแฟนแล้ว” เพื่อนของเลโอพูดขึ้น ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้น ก็ใจหล่นวูบ “เฮ้ย ยกแก้วขึ้นชูกลับสิวะ” เพื่อนเชียร์ให้เลโอทำตาม เมื่อผู้ชายร่างกำยำนั้น ค้อมศีรษะให้ ยิ้มมา แล้วชูแก้วเหล้าขึ้นเพื่อผูกมิตร
“เขาเปิดทางให้แล้วมึง ไม่พี่ก็พ่อละมั้ง ไม่น่าจะใช่ผัว” เพื่อนของเลโอพูดติดตลก “อย่างแย่ที่สุด” เพื่อนพูดทิ้งท้าย ก่อนจะกระดกเหล้าที่เหลือในแก้วจนหมด “ก็แมงดาพาน้องหรี่มาอัพราคา หาลูกค้าที่นี่” เพื่อนคนนั้นลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้มตัวลงมาพูดกับเลโอ ก่อนจะเดินจากไปว่า
“ไปเลย กลัวอะไรวะ น่ารักน่าเอาขนาดนั้น ทุ่มหน่อยสิวะเพื่อน” เลโอรู้สึกว่า เขากลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก เมื่อในใจของเขามันตื่นเต้นกับคำพูดของเพื่อน จนเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่ก่อนที่เลโอจะทันได้คิดอะไรต่อไป “นั่งคนเดียวเหงาแย่” เลโอก็เห็นชายหนุ่มร่างกำยำนั้นมาอยู่ที่ด้านหลังของเขา
“ผมไบร” หนุ่มกำยำคนนั้นพูดแนะนำตัว สายตามองไปทางคนหน้าสวย ในทิศทางเดียวกับสายตาของเลโอ “ผม ผมเลโอ” ชายหนุ่มตอบกลับไป รู้สึกแปลก ๆ จนต้องขยับใบหน้าของตัวเองออกห่างจากอีกฝ่าย ที่ดูจะยื่นหน้าเข้ามาจนใกล้ เลโอเห็นไบรยิ้มออกมา
“สิงห์หนุ่มอย่างคุณ กล้าเสี่ยงมั้ยครับ” พูดจบ ไบรก็เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าเลโอ “เชิญที่โต๊ะครับ” ไบรยิ้มให้ เชื้อเชิญเลโอให้ลุกขึ้น และเหมือนมันมีพลังอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เลโอยืนขึ้นตามคำเชิญนั้น “เดี๋ยวครับ” เลโออยากจะรู้ก่อนว่าไบรกับคนคนนั้น
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” เหมือนไบรจะล่วงรู้ถึงความคิดของเลโอ “งั้นก็ พี่น้อง” เลโอคาดหวังให้เป็นไปในทางนั้น “ไม่ใช่ซะทีเดียว” ไบรหัวเราะออกมาเหมือนกับเพิ่งได้ยินเรื่องขำขัน “ตามมาเถอะครับ อย่าคิดมาก” ไบรพูดจบก็เดินนำหน้ากลับไปที่โต๊ะ เลโอเดินถือแก้วเครื่องดื่มตามไปจนทัน คนหน้าสวยของเลโอ ก้มหน้าไม่สบตากับเขา จนไบรพูดขึ้นว่ามีแขกมาร่วมโต๊ะด้วย เมื่อเชิญให้เลโอนั่งลงข้าง ๆ กับใครคนนั้น
“แนะนำตัวให้เพื่อนใหม่ของเรารู้จักหน่อยสิ” ไบรพูดบอก เลโอจึงเห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตา ดวงตาสวยแต่ดูเศร้าคู่นั้น ทำให้เลโอรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก “แอล” เลโอได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะเห็นแอลสบตากับเขา เหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อไบรส่งเสียงในลำคอขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ขอตัวไปห้องน้ำ” แอลพูดกับไบร ก่อนจะลุกเดินไป “สักครู่นะครับ” ไบรพูดกับเลโอ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามแอลไป เลโอมองเห็นทั้งสองคนไปหยุดยืนคุยกันอยู่มุมมืด ๆ ก่อนจะถึงห้องน้ำ ไบรดูจริงจังกับสิ่งที่เขาพูด ส่วนแอลนั้น ดูลังเล และอยากจะล้มเลิกสิ่งที่อยู่ในใจ
“เธอจะโยกโย้เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มาไม่ได้แล้ว” ไบรพูดขึ้นเสียงเข้ม “ยังไงคนนี้ก็ไม่ใช่” แอลเถียงกลับ ไบรส่ายหน้า “เธอรู้ดี ว่านี่คือคนนั้น” ไบรไม่พูดเปล่า ดึงมือทั้งสองข้างของแอลไปหงายฝ่ามือขึ้นดู ก่อนที่ไบรจะพูดต่ออีกว่า “คืนคราสเต็มดวง คืนนี้พิเศษกว่าครั้งไหน ๆ” แอลผ่อนลมหายใจออกมา เพราะเขาก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี
เกือบห้าทุ่มครึ่ง ไบรปิดประตูห้องของคอนโดหรูชั้นบนสุดใจกลางเมืองลง ทิ้งให้เลโอและแอลอยู่กันเพียงตามลำพังสองคน เลโอรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เขารู้ว่าเขาชอบแบบไหน รสนิยมของเขาเป็นเช่นไร แต่หนุ่มวัยยี่สิบเก้าอย่างเขา ยังไม่เคยได้มีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาก่อน จะว่าไป ไม่ว่ากับเพศไหน เลโอก็ไม่เคยทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่ เรื่องที่เขาทำให้ตัวเอง เท่านั้น
แอลมองออกไปด้านนอกหน้าต่างแบบไฮไรส์ พระจันทร์กำลังจะเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ก่อนที่คราสในค่ำคืนนี้จะเต็มดวง เมื่อเวลาหนึ่งนาทีหลังเที่ยงคืน แอลเริ่มรู้สึกว่า เขากำลังจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้ กับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นลง โดยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา และยิ่งเวลาใกล้คราสเต็มดวงมากขึ้นเท่าไหร่ กลิ่นกายของเลโอ ยิ่งทำให้แอลก่อเกิดความกำหนัดจนมากล้น
เลโอเห็นแอลกำมือจนแน่น ลมหายใจของแอลเริ่มติดขัด หอบหายใจแรงขึ้น เลโอขยับตัวเข้าไปนั่งข้าง ๆ กับแอล ชายหนุ่มแตะมือของเขากับมือของแอล เลโอเห็นแอลเหมือนจะตัวอ่อนยวบยาบ เพียงแค่สัมผัสเบา ๆ นั้น แอลรู้ได้ทันทีว่า เลโอคือคนคนนั้น เพราะก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้กับใครทั้งนั้น
“ถ้าคุณเริ่ม มันจะย้อนกลับไม่ได้แล้ว” แอลพูดบอกกับเลโอ เสียงพูดของแอลนั้นกระเส่า จนเลโอรู้สึกตื่นเต้นและตื่นตัวเป็นอย่างมาก เลโอประกบริมฝีปากเข้ากับแอล ก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากนั้นอย่างเร่าร้อนและดุดัน สองมือของเขาตะโบมไล่เลาะ แตะจับ เรือนร่างของแอลไปทั่ว ก่อนจะจัดการให้ร่างนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เลโอเอง ก็สลัดอาภรณ์คลุมกายชิ้นสุดท้าย ให้หลุดออกด้วยเช่นกัน
คราสดวงจันทร์ทาบทับจนเกือบแนบสนิท เสียงของแอลร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเลโอแทรกความแข็งแกร่งนั้น เข้าไปในช่องทางที่ไม่เคยถูกใครชำแรกผ่านมาก่อน สองมือของแอลจิกผ้าปูที่นอนจนแน่น เลโอครางออกมาดังลั่น เมื่อรับรู้ถึงความแน่นนั้นผ่านแก่นกลางลำตัวของเขา เลโอขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูน เมื่อเขากดความยาวทั้งหมดนั้นเข้าไปจนแนบเข้ากับบั้นท้ายของแอล
เลโอยังไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยเวลาอันรวดเร็ว เขาก้มลงจูบกับแอลอย่างดูดดื่ม ชะลอการกระแทกกระทั้นนั้นลง ผ่อนสั้นผ่อนยาว แอลตอบสนองกับทุกสัมผัสที่เลโอมอบให้ ทุกแรงกระหน่ำที่เลโอดันกายเข้าหา แอลแทบจะทนไม่ไหวแล้วปลดปล่อยมันให้ทะลักทลาย
เข็มวินาทีวิ่งเข้าหาหนึ่งนาทีสุดท้าย ก่อนที่คราสจะสมบูรณ์ เลโอรู้ว่า เขาไม่สามารถจะรั้งความรู้สึกนั้นได้อีกต่อไป เขาเร่งจังหวะทั้งแรงและเร็ว จนแอลถึงที่หมายล่วงหน้าเขาไปก่อน โลกเคลื่อนเข้าทาบทับดวงจันทร์จนพอดิบพอดี คราสนั้นสมบูรณ์ เพียงเสี้ยววินาทีที่เลโอปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ไหลเข้าไปในตัวของแอล
เลโอคิดว่าเขาหลับไปได้สักพัก ก่อนที่จะได้ยินเสียงคนพูดรอบตัวเขา และความเจ็บแปลบที่แผ่นอกนั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะสติวูบดับลงไป แอลยืนมองไบร ยื่นหัวใจของเลโอให้กับเขา โดยมีบรรดาคนในครอบครัวของเขา ยืนอยู่รายล้อม และรอดู พวกเขายินดีปรีดา โห่ร้องกันอย่างมีความสุข ที่เห็นแอลกัดกินหัวใจสด ๆ นั้นอย่างเอร็ดอร่อย ทุกคนดีใจ ที่อาการแห่งโรคร้ายของแอลจะได้หายขาด จบสิ้นความหวาดกลัวที่มีกันเสียที
รุ่งเช้ามีข่าวว่า ได้พบศพของชายหนุ่มคนหนึ่ง ถูกทิ้งเอาไว้ โดยมีสภาพเปลือยเปล่า และหน้าอกของเขาถูกผ่าออก หัวใจถูกชำแหละออกไป การสันนิษฐานเบื้องต้นของทางเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ว่าอาจจะเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของเหยื่อรายก่อน ๆ แต่มีเฉพาะเหยื่อรายนี้ ที่มีหลักฐานว่า มีการร่วมเพศก่อนเสียชีวิต ส่วนรายอื่น ๆ มีเพียงหัวใจ รวมทั้งอวัยวะอื่น ๆ ที่หายไปเท่านั้น ทางเจ้าหน้าที่คาดว่า น่าจะเป็นการประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิประหลาด เกี่ยวเนื่องกับจันทรุปราคาทุกครั้งที่ผ่านมา ก็เป็นไปได้
แอลอยู่ในเสื้อคลุมสีนิล คาดเอวไว้ด้วยโซ่เล็ก ๆ สีเงิน ยืนรอรับคำอวยพรจากสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ชายทั้งหมด ทุกคนต่างยินดี ที่โรคร้ายตามคำทำนายของแอลได้หายเป็นปลิดทิ้ง โดยเฉพาะผู้อาวุโสหลักทั้งหลาย ที่พูดถึงการปลดล็อกสิ่งที่ขัดขวางความรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง ของสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทิ้งเอาไว้ให้ และนั่นคือพลังอำนาจ ที่ไม่อาจจะมีใครเทียบเทียม ได้มาไหลวนอยู่ในร่างของแอลแล้ว
“แอลดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาก” ไบรตั้งข้อสังเกต ท่านผู้เฒ่าใหญ่สังเกตแอลอย่างพินิจพิเคราะห์ “เวลาเท่านั้นที่จะบอกเราได้” ท่านผู้เฒ่าพูด ก่อนเอามือแนบลงบนหน้าท้องของแอล ก่อนจะดึงเอาฝ่ามือทั้งสองของแอลมาหงายขึ้นดู ทั้งสองข้าง มีรอยกากบาทกลางฝ่ามือที่ใหญ่และเห็นได้ชัด “งดงามที่สุด” ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าและยิ้มอย่างพึงพอใจ ส่วนผู้อาวุโสหลักต่างพากันแซ่ซ้อง ว่าถึงเวลาของการกลับมายิ่งใหญ่บนโลกอีกครั้ง ของเผ่าพันธุ์พวกเขาแล้ว
“หากเพียงว่า เจ้ารัตติกาลคนใหม่ จะไม่ถือกำเนิดขึ้น” ไบรพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะถูกพวกผู้อาวุโสหลักตำหนิที่พูดถึงเรื่องไร้สาระ “มันเป็นเพียงแค่ตำนานโบราณ เรื่องเล่าปรัมปรา” เสียงพูดนั้นขุ่นมัว และทำให้ไบรต้องก้มหัวขอโทษ “ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มีหรือ ว่าเราจะไม่รู้ อีกอย่าง มันเป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่อุปโลกน์ขึ้น เพื่อกดหัวพวกเราเอาไว้” หนึ่งในผู้อาวุโสหลักอีกคนพูดขึ้น
“ตามตำนาน ตอนนี้ก็เหลืออีกแค่ครึ่งคืน จากสามวันหลังจากที่เจ้าหนุ่มนั่นตาย” ท่านผู้เฒ่าใหญ่พูด ทุกคนเงียบเสียงลง “ตราบใดที่แอล ไม่ได้” ทุกคนถึงกับตกใจ ไบรเองก็ไม่ทันสังเกตเช่นกัน แอลหายไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ “ไปให้ทัน” ท่านผู้เฒ่าสั่งการไบรด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม แต่ลึก ๆ แล้ว เสียงพูดนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น กริ่งเกรง
แอลเดินเข้าไปในห้องเย็นของอาคารนิติเวช ก่อนจะดึงเอาช่องที่บรรจุร่างของเลโอ ออกมาจากช่องเย็น แอลมองใบหน้าซีดขาวของเลโอด้วยความรู้สึกผิด ไม่มีใครสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ เหมือนกับที่แอลได้สัมผัส กับชั่วครู่ชั่วยาม ที่แอลได้ใกล้ชิดกับเลโอ มันคือความรู้สึกที่รับรู้ได้ในทันทีว่า เลโอคือคนที่แอลเฝ้าฝันหา คือรักแท้ ที่แอลต้องการได้เคียงคู่
แต่โชคชะตา ฟ้าก็เล่นตลก ที่ความเชื่อในตำนานของครอบครัวเขา เมื่อแอลเจอกับคนคนนั้น ในคือจันทรคราสเต็มดวง ได้เสพสมเสพสุข เพื่อได้รับเอาหยาดหยดจากเขาคนนั้นเข้าไปพักอยู่ในร่างกาย สิ่งหนึ่งที่เขาจะต้องทำ ก็คือ กินหัวใจของคนคนนั้นสด ๆ เพื่อให้คำสาปโรคร้าย ที่ทำให้พวกเขามีแต่ผู้ชาย ขยายเผ่าพันธุ์ไม่ได้ ปลดล็อกโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้หญิง
แอลก้มหน้าลงจนใกล้กับใบหน้าของเลโอ เขากล่าวคำขอโทษเลโอออกมาเบา ๆ แอลหวังว่า เมื่อทุกอย่างจบลง เลโอจะไม่โกรธแค้นเขา แอลรู้ ว่าเขาอ่อนแอเกินกว่าจะต่อต้านคำสั่งของท่านผู้เฒ่าใหญ่และบรรดาพวกผู้อาวุโสทั้งหลายได้ แต่จิตใจที่แอลโหยหาความรักจากใครสักคน ตามวิถีธรรมชาติ มันทำให้แอลตัดสินใจฝืนคำสั่งในครั้งนี้
แอลจูบลงที่ริมฝีปากของเลโอ ก่อนที่ตัวเขาจะรู้สึกว่า พลังงานในร่างกายของเขา เหมือนกับจะถูกดึงออกจากร่างกายไปจนเกือบหมด หากว่าตำนานที่เหล่าบรรดาผู้อาวุโสหลักหวาดกลัว เอาแต่พูดกัน เชื่อกันว่ามันไม่เป็นจริง เมื่อแอลที่กินหัวใจของคนคนนั้นเข้าไปแล้ว กลับมาจูบคืนชีวิตให้ ภายในสามราตรี หลังจันทรคราส เจ้ารัตติกาลจะกลายเป็นจริง
“แอล เธอทำอะไรลงไป” ไบรที่เห็นรางของแอลทรุดอยู่ด้านหน้าตึกนิติเวช ถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แอลในตอนนี้ดูอ่อนแรงกำลัง ไม่ได้ดูมีน้ำมีนวลเหมือนกับเมื่อก่อนหน้านี้ “ทำในสิ่งที่ฉันควรจะทำยังไงล่ะ” แอลตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ รอยกากบาทบนฝ่ามือทั้งสองข้างของแอลยังคงอยู่ แต่มันเลือนและจางลงไปมาก
“ด้วยการทำลายเผ่าพันธุ์ตัวเองลงอย่างนั้นหรือ” ไบรถามด้วยความไม่เข้าใจ “เธอก็รู้ดี ว่าเธอคือความหวังสุดท้าย ในการขยายจำนวนของพวกเรา” แอลหัวเราะออกมาอย่างนึกหยัน “ด้วยการให้ฉันต้องผ่านมือผู้ชายในเผ่านับไม่ถ้วนต่อจากนี้น่ะหรือ” แอลไม่คิดว่า เขาต้องการที่จะทำในสิ่งนั้น “แต่นั่นมันคือชะตาชีวิตของเธอ ที่ถูกกำหนดเอาไว้” ไบรพูดจบ ก่อนจะรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง ที่แผ่ออกมาจากด้านหลังของตึกนิติเวช แอลหันไปมองตามสายตาของไบร
เลโอลืมตาขึ้น สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอียงตัวตกจากแผ่นอะลูมิเนียมเย็น ๆ นั้น ลงมานอนเปลือยเปล่าอยู่ที่พื้น ที่เย็นเฉียบไม่ต่างกัน ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ตัว ก่อนจะพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้ คือเขานอนอยู่กับแอล แล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง จนมาตอนนี้
เลโอก้มลงที่แผงอกของเขา รอยเย็บขนาดใหญ่ พาดอยู่ที่กลางอก ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะ ไม่มีความรู้สึกของหัวใจเต้นอีกต่อไป เพียงเท่านั้น มันเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของเขา สายตาของเขาเปลี่ยนไป ตอนนี้เลโอมองทุกอย่างได้ชัดเจน โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นสายตาอีกต่อไป
ไม่เพียงเท่านั้น สีสันที่เขามองเห็นก็แตกต่างไป เขาสามารถมองผ่านทะลุกำแพงได้ หากว่าเพ่งสมาธิให้แน่วแน่ สัมผัสทางร่างกายตอนนี้ ยิ่งไวต่อความรู้สึก เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะหยิบเอากางเกงวอร์มขายาวที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้มาใส่ ก่อนที่ประสาทการได้ยินเสียงของเขา จะรับรู้ถึงบทสนทนา ที่ดังมาจากด้านหน้าตึกแห่งนี้ได้
“ไม่ใช่แค่เพียงเผ่าพันธุ์เราที่จะสูญสิ้น ชีวิตของเธอเองก็จะไม่รอด” ไบรตะโกนใส่หน้าแอล ก่อนจะเห็นแอลยักไหล่ และหัวเราะออกมา “ให้ทุกอย่างมันจบ ๆ ลงไปเสียที” แอลบอก และนั่นเหมือนเป็นคำปฏิญาณของเขา แต่ก่อนที่ไบรจะได้พูดอะไรต่อ ตัวของเขาก็ถูกปัดให้ปลิวไปจากตรงนั้น ร่างของไบรกระแทกกับพื้นอย่างแรง ก่อนที่เขาจะเห็นเลโอเดินเข้าไปหาแอล
“คุณทำเรื่องบ้าอะไรกับผมไว้” เลโอถามแอลที่นอนฟุบอยู่บนทางเดินนั้น “คุณฟื้นก็ดีแล้ว” แอลพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เลโอทรุดตัวลงนั่งลง ก่อนจะดึงตัวของแอลเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “ฆ่าฉันซะ” แอลพูดขอร้องกับเลโอ ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาไม่ได้มีความคิดที่จะทำเช่นนั้น แค่อยากได้คำอธิบายดี ๆ สักคำ ว่าทำไมเขาถึงมีชีวิตอยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหัวใจ แต่ก็เห็นแอลในเสื้อคลุมสีดำยิ้มให้
“ขอโทษนะ ที่ฉันทำให้คุณมีชีวิตอมตะซะแล้ว” เรื่องตำนานของเจ้ารัตติกาล เป็นเรื่องจริงสินะ แต่คนที่กินหัวใจของเจ้ารัตติกาลเข้าไป แล้วคืนชีวิตกลับไปนั้น พลังชีวิตในตัวจะลดลง และสูญสิ้นไปในที่สุด “ส่วนฉันกำลังจะเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่รู้จักความตาย” แอลพูดบอกกับเลโอ “บอกผม ว่าผมจะช่วยคุณได้ยังไง” เลโอถาม เมื่อเห็นสีหน้าของแอลไม่ค่อยสู้ดีนัก
“อย่าเลย” แอลห้ามเลโอ “ปล่อยฉันไปเถอะ” แอลพูด เสียใจที่ทุกอย่างมันต้องลงเอยแบบนี้ “ไม่ได้นะ” ไบรตะโกนออกมา “เลโอ นายจะปล่อยให้แอลสูญสิ้นพลังไปไม่ได้” เลโอหันไปมองไบร ที่ตอนนี้เขาจำได้แล้ว ว่าเป็นคนเอามีด กรีดผ่าเอาหัวใจของเขาออกมา ไบรเหมือนกับถูกบีบคอ จากพลังที่ไร้ขีดจำกัดของเลโอ ที่แค่เพียงใช้ความคิดเท่านั้น
“นายต้องช่วยแอลเอาไว้ เลโอ” เสียงของไบรติด ๆ ขัด ๆ เหมือนคนจะขาดอากาศหายใจ เมื่อพยายามจะพูด “แอลอาจจะกำลังตั้งท้องลูกของนายอยู่” คำพูดของไบร ทำให้ความคิดของเลโอสะดุดลง เลโอมองใบหน้าที่ซีดเผือดของแอล ที่กำลังจะหมดสติลง “นายพูดเรื่องอะไร” เลโอตะโกนถามออกไป ไบรไอออกมา ก่อนรีบสูดอากาศเข้าปอด เมื่อพลังของเลโอคลายลง
“ยังมีเรื่องอีกมากมายนัก ที่นายยังไม่รู้ เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์พวกเรา” ไบรบอกกับเลโอ “คืนจันทรคราสคืนนั้น หัวใจหลักของมันก็คือ การที่นายมอบอำนาจให้พวกเรา เพิ่มจำนวนได้อย่างอิสรเสรีต่างหากล่ะ ทั้งนายและแอล ต่างก็ไม่เคยเปรอะเปื้อนกามมลทินด้วยกันทั้งคู่” ไบรรีบพูดออกไป เมื่อเห็นว่าเลโอยืนขึ้น อุ้มร่างของแอลเอาไว้ในวงแขน
“นายสัญญากับฉันก่อน ว่านายจะช่วยแอลเอาไว้ ช่วยแอล ช่วยลูกของนาย แล้วฉันจะบอกวิธีรักษาชีวิตของแอลให้นายรู้” ไบรตะโกนบอกออกไป เมื่อเห็นปีกสีดำที่หลังของเลโอสยายกางออก “เจ้าแห่งรัตติกาล” ไบรได้เห็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง จะ ๆ อยู่ตรงหน้า “เจ้ารัตติกาลรับปากสิ สัญญาสิ ว่าจะช่วยชีวิตแอล”
เลโอก้มลงมองแอลในอ้อมแขนของเขา ที่แอลซุกหน้าเข้ากับอกข้างซ้ายของเขา ที่ไม่มีหัวใจเต้นสูบฉีดอีกต่อไป ไม่สิ ตอนนี้เขากลายเป็นเจ้ารัตติกาลที่ไร้หัวใจ แต่หัวใจของเขา คือคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาตอนนี้ยังไงล่ะ แอลคือหัวใจของเขาแล้ว นับจากนี้ ไบรตะโกนบอกถึงวิธีช่วยชีวิตแอลให้เลโอได้รับรู้ เมื่อปีกสีดำใหญ่ของเลโอขยับบินขึ้น พาตัวของเขาและแอลลอยขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะหายไปกับความมืดมิดแห่งรัตติกาลนั้น
**************************************
Inspired by “เพลง เธอคือใคร”
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=32ZbMeD-98M
ชั่วชีวิตที่เคยรักใคร ไม่เคยล้อเล่นกับหัวใจ
In my whole life, I’m serious about my love lift
แต่ว่าทุกคน เข้ามาคบกัน ไม่นานเขาก็ไป
Every one I knew, they were here briefly and then gone
แต่ละครั้งก็คอยทุ่มเท แต่สุดท้ายก็ยังเสียใจ
I did give everything I had, yet got my heart shattered
เจ็บจนคุ้นเคย แต่ไม่ชอบเลย ที่ต้องไม่เหลือใคร
The pain is familiar, the hard truth when having no one left
ดั่งฟ้า จะแค่เพียงต้องการแกล้งกัน
Heaven, probably these awful pranks from up there
ให้ฉัน ต้องพบเจอแต่เจ็บความช้ำใจ
And I have to endure this pain all along
จนไม่รู้ ว่ารักแท้หน้าตาเป็นเช่นไร
Now love is becoming something far from a familiar sight
ก็ยังไม่พบเจอใคร ที่รักกันจริงสักที
No one is here to give me one true love for real
จะมีไหมซักคน มาเปลี่ยนชีวิตของฉัน เธอคือใคร
Will it be the one to change my life up side down? Who are you?
ที่จะรักจริง ไม่ทอดทิ้งกัน อยากจะรู้
To love and stay around, I wanna know
จะมีไหมซักใจ จะได้เจอะเจอ อยากรู้เธอคือใคร
Will it be that heart to see for myself? Who are you, really?
ที่จะเป็นรักสุดท้าย ของฉันจริงจริงสักที
To be my last love, and truly belongs to me
อยากจะพบสักคนที่เข้าใจ ไม่ต้องพร้อมต้องดีมากมาย
Should there be that one understanding me, no perfection required
อาจจะเถียงกัน อาจทะเลาะกัน เขายังไม่ไปไหน
Should we do argue, or we do fight, still we carry on our affections
อยากจะพบสักใจที่เข้ากัน อยู่กับฉันรักกันเรื่อยไป
Should one heart fits mine, loving me and caring for only me
อย่าแค่แวะมา ฝากแค่น้ำตา ให้ค้างคาในหัวใจ
Should tears be forbidden, no heartbreaking to cause pains
ดั่งฟ้า จะแค่เพียงต้องการแกล้งกัน
Heaven, probably these awful pranks from up there
ให้ฉัน ต้องพบเจอแต่เจ็บความช้ำใจ
And I have to endure this pain all along
จนไม่รู้ ว่ารักแท้หน้าตาเป็นเช่นไร
Now love is becoming something far from a familiar sight
ก็ยังไม่พบเจอใคร ที่รักกันจริงสักที
No one is here to give me one true love for real
จะมีไหมซักคน มาเปลี่ยนชีวิตของฉัน เธอคือใคร
Will it be the one to change my life up side down? Who are you?
ที่จะรักจริง ไม่ทอดทิ้งกัน อยากจะรู้
To love and stay around, I wanna know
จะมีไหมซักใจ จะได้เจอะเจอ อยากรู้เธอคือใคร
Will it be that heart to see for myself? Who are you, really?
ที่จะเป็นรักสุดท้าย ของฉันจริงจริงสักที
To be my last love, and truly belongs to me
ไม่รู้จะเจอเมื่อไหร่
Can’t say when this will really be
ก็เฝ้าแต่ถาม
All I can do is ask
ก็ได้แต่ถามจากฟ้า
I am asking this, longing for the answer from the sky
จะมีไหมซักคน มาเปลี่ยนชีวิตของฉัน เธอคือใคร
Does this someone exit to change my life completely? Will that be you?
ที่จะรักจริง ไม่ทอดทิ้งกัน อยากจะรู้
Give me a genuine love, never walk away from me, I’d love to know
จะมีไหมซักใจ จะได้เจอะเจอ อยากรู้เธอคือใคร
For one pure loving heart to feel, wondering if it s you
ที่จะเป็นรักสุดท้าย ของฉันจริงจริงสักที
My one last love that does belong to me
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 6. Unheard Melody
1.)
“ยังจะต้องให้แม่เดาอีกหรือลูก เมฆ” จิตราพูดด้วยเสียงหยอกเย้ากับเด็กหนุ่มหน้าตาคมสันที่กำลังช่วยเธอเด็ดผัก เพื่อเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็น “แม่รู้มานานแล้วหรือครับ” เมฆอ้อมแอ้มถามผู้เป็นแม่ออกไป ก่อนจะหยุดมือที่ง่วนอยู่ก่อนหน้านั้น สายตามองไปที่ผู้หญิงวัยต้นสี่สิบ ที่เลี้ยงดูเขามาเพียงลำพัง ตั้งแต่อ้อนแต่ออก เพื่อลอบสังเกตอารมณ์ของแม่
“ก็สักพัก” จิตราหย่อนเอาเครื่องแกงจืดลงในหม้อต้ม ตอบคำถามลูกชาย ก่อนจะรวบรวมเอาเศษขยะใส่ลงถัง “เด็ดต่อสิ จะได้กินมั้ยวันนี้” เมฆได้ยินผู้เป็นแม่พูดกลั้วเสียงหัวเราะ เขาหัวเราะตาม ก่อนจะเด็กใบกะเพราในมืออีกครั้ง “แล้วแม่ไม่ว่าอะไรเมฆหรือครับ ที่” เมฆรู้สึกใจชื้นที่แม่รู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็อยากจะถามแม่ของตัวเองให้แน่ชัด
“เมฆชอบเขาจริง ๆ หรือเปล่าล่ะลูก” จิตราเปิดฝาหม้อแกงจืด กลิ่นหอม ๆ เริ่มโชยฟุ้งกลิ่น เตะจมูกไปทั่วทั้งครัว “เอ้า ชิม” จิตราตักแกงใส่ช้อน “เป่าก่อนนะ” ยื่นให้ลูกชายชิม เมฆทำตาโต แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ มันเป็นรสชาติแกงจืดที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก “ที่พยักหน้านี่ เพราะชอบแกงจืดแม่ หรือว่าชอบหนุ่มน้อยนั่น” จิตราถามก่อนจะปรุงแกงจืดเพิ่มอีกนิดหน่อย
“หนุ่มน้อยนั่น” เมฆตอบ เดินเอากะเพราที่เด็ดเสร็จแล้วไปล้างน้ำ จิตราทำค้อนขวับใส่ลูกชาย “งั้นก็ไม่ต้องกินมันแล้ว แกงจืดเนี่ย เททิ้งให้หมด” เมฆได้ยินแม่พูดแบบนั้น ก็รีบเข้ามากอดเอวแม่ หอมแก้ม ก่อนจะทำเสียงอ้อน “ก็ให้หนุ่มน้อยนั่น มากินแกงจืดฝีมือแม่กับเมฆที่บ้านเราไง” จิตราทำเป็นไม่หายงอน เมฆกระเซ้าแม่ของเขา จนจิตราต้องหัวเราะออกมา
“แม่ไม่ว่าอะไรเมฆใช่มั้ยครับ ที่เมฆมีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกัน” เด็กหนุ่มถามแม่ของเขาอีกครั้ง ก่อนจะเตรียมของเพื่อแสดงฝีมือทำกับข้าวเมนูโปรดของบ้านอีกหนึ่งอย่าง “นอกจากใบกะเพราแล้ว เมฆชอบใส่ผักอะไรอีก ลงในผัดกะเพราของเมฆ” จิตราถามขึ้น สบตากับลูกชายของเธอตรง ๆ “ข้าวโพดอ่อน” เด็กหนุ่มตอบแม่ของเขา พลางทำหน้าแหย ๆ
“แม่ว่ามันไม่เข้ากันเลยสักนิด” จิตราพูดบอกลูกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “แต่แม่ก็ยอมกินผัดกะเพราใส่ข้าวโพดอ่อนกับเมฆทุกครั้ง” จิตราไม่พูดเปล่า เธอยื่นตะหลิวส่งให้ลูกชาย “เมฆเป็นคนปรุงจานของเมฆเอง ตามแบบที่เมฆชอบก็แล้วกัน” เมฆยิ้มออกมา ก่อนจะสวมกอดพร้อมบอกขอบคุณแม่ของเขา “กินเย็นนี้นะ” จิตราถอดกอดลูกชาย เมฆหัวเราะออกมาด้วยใจที่เป็นสุข เขารับรองกับจิตราว่า ผัดกะเพราจานนี้ จะเป็นจานที่อร่อยที่สุด เท่าที่เขาเคยทำมา
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดปี ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เป็นอีกวันแล้ว ที่พ่อส่งคนขับรถที่บ้านมารับเขา สามสี่วันมานี่ ทำให้เขาหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด การได้มามหาวิทยาลัยในตอนเช้า ถือเป็นความสุขมากสำหรับเขา ที่ได้ออกจากบ้าน แต่พอตกเย็น ก็ได้เวลาทุกข์ระทม เขาไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากเจอพ่อกับแม่ ไม่อยากกลับไปนั่งจับเจ่าอยู่คนเดียว ในห้องนอนสี่เหลี่ยมที่กว้างขวาง แต่ไร้อิสรภาพ
“คุณหนูเรนครับ คุณท่านให้ผมมารับกลับบ้านครับ เชิญครับ” คนรถเดินไปเปิดประตูรถให้ “อ้อ นายกลับไปก่อนได้เลย วันนี้ฉันมีนัดคุยโปรเจ็กต์เรียนกับอาจารย์ น่าจะเย็น ไม่สิ น่าจะค่ำ ๆ โน่นเลย” คนรถได้รับคำสั่งมาอย่างเข้มงวดว่า ห้ามปล่อยให้เรน คลาดสายตาเป็นอันขาด “แต่คุณท่านสั่งผมมาว่า” คนรถพยายามอ้างถึงสิ่งที่เจ้านายของเขาบอกไว้
“คุณพ่อจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องรายงานของฉันล่ะ อ้อ หรือนายรู้ เอามั้ย ถ้าฉันสอบไม่ผ่าน หรือเรียนไม่จบขึ้นมา นายต้องเป็นคนรับผิดชอบ เพราะนายจะต้องเป็นคนบอกกับคุณพ่อ ต่อหน้าฉัน ว่านายเป็นคนทำอนาคตและชีวิตทั้งชีวิตของฉันพัง” เรนทำหน้าจริงจัง เสียงขึงขังใส่คนขับรถที่พ่อของเขาส่งมา
“เอาไง ว่าไง พูดมา” เรนแกล้งทำเสียงเขียวใส่ คนขับรถหน้าเสีย ทำอะไรไม่ถูก คนที่ทำงานกับคุณท่านรู้ดีว่า ถึงแม้ว่าคุณท่านจะควบคุมคุณหนูเรนยังไง แต่คุณหนูเรนคือดวงใจของท่าน จะเอาอะไร จะไปที่ไหน ขอเพียงคุณหนูเรนเชื่อฟังคำสั่ง คุณท่านก็พร้อมจะเนรมิตสิ่งเหล่านั้นให้ตามต้องการ ยังไม่ทันที่คนขับรถจะทันได้พูดอะไรต่อ เรนก็เดินเข้าไปคว้าแขนของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เดินผ่านมาทางหน้าตึกเรียนของเขาพอดี
“อาจารย์ครับ โห อาจารย์มาพอดีเลย เนี่ย ผมกำลังรออาจารย์อยู่พอดี” หญิงวัยสี่สิบต้น ๆ คนนั้น ท่าทางงง ๆ ที่อยู่ ๆ เรนก็เดินเข้าไปคว้าแขน เรียกเธอว่าอาจารย์ และพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม “อาจารย์ครับ ผมว่า เราไปคุยเรื่องโปรเจ็กต์กันที่ด้านหลังตึกดีกว่า มันเงียบดี จะได้มีสมาธิด้วย” เรนจ้องตาหญิงคนนั้น พยายามส่งสัญญาณบอกไปว่า ให้เธอช่วยเขาด้วย
“อ้อ ได้สิ ครู เอ่อ อาจารย์ว่า ก็ดีเหมือนกันนะ” เรนยิ้มออก เมื่อผู้หญิงคนนี้รับมุกของเขา ก่อนที่เรนจะเป็นคนเดินนำหน้าไปทางด้านหลังตึก ทิ้งให้คนขับรถยืนลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะยอมขับรถออกไป และคิดว่า จะบอกกับคุณท่านว่ายังไงดี เรนลอบมองอยู่ที่ข้างตึกเรียน พอเห็นรถของที่บ้านหายไปแล้ว ก็โล่งอก ยิ้มได้ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณจริง ๆ ที่ช่วยผมเอาไว้” เรนกล่าวขอบคุณกับผู้หญิงที่เพิ่งได้พบกัน “ที่ป้าช่วยนี่ เพราะป้าหวังใจว่า เราคงจะมีเหตุผลดี ๆ อธิบายให้ป้าฟังนะ” เรนทำหน้าแหย ๆ ก่อนจะเดินตามหญิงคนนั้นไปนั่งที่ม้านั่ง ที่อยู่ไม่ไกล “ว่าไงจ๊ะ” เรนนั่งลงที่ตรงกันข้ามกันกับคุณป้าท่านนี้ เรนมองหน้าทีเล่นทีจริงนั้น แล้วรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
“เรนยังไม่อยากกลับบ้านน่ะครับ” เรนบอกกับผู้หญิงคนนั้นไป คำพูด สีหน้า แววตา ของผู้หญิงคนนี้ ทำให้เรนรู้สึกว่า สิ่งที่ขาดหายไปจากพ่อและโดยเฉพาะ แม่ของเขา รวมอยู่ในตัวของคุณป้าท่านนี้ “ทำไมล่ะลูก เรากลับบ้านผิดเวลาแบบนี้ เดี๋ยวพ่อแม่ก็เป็นห่วงแย่” เรนทำหน้าว่า เขาไม่ได้ใส่ใจในข้อนั้น
“เขาก็ดีแต่บังคับเรน” น้ำเสียงของเรนบอกชัดเจนอยู่ในตัวของมัน ว่าเด็กหนุ่มอยู่ในวัยขบถ ไม่ชอบถูกขัดใจ “อีกแค่สัปดาห์เดียว เรนก็จะอายุครบสิบแปด ทีนี้ล่ะ เรนจะทำอะไรก็ได้ ตามแต่ที่เรนอยากจะทำ คอยดูนะ เรนจะไม่ยอมให้พ่อกับแม่บังคับเรนอีกเลย แม้แต่ครั้งเดียว เพราะเรนจะได้เงินประจำตัวจากคุณย่าที่แบ่งเอาไว้ให้” หญิงวัยกลางคนนั่งเงียบ ๆ ฟังที่เด็กหนุ่มพูด
“เรนไม่ต้องง้อเงินไม่กี่หมื่นต่อเดือนจากคุณพ่ออีก” เรนยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด เมื่อเงินที่พ่อเอาไว้ให้ใช้จ่ายต่อเดือน มันไม่พอเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่พ่อสั่งอายัดบัตรเครดิตแบบไม่มีวงเงิน ที่รูดเท่าไหร่ก็ได้ไม่จำกัด ที่เรนเคยใช้ ทำให้เขาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้เท่าเดิม
“พ่อกับแม่เขาก็หวังดีนั่นแหละ” เรนส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณป้าพูด “เนี่ย ดื้อมากนะเรา” เรนยิ้มให้กับคุณป้าที่เขาไม่รู้จัก แม้จะเพิ่งโดนดุ “นี่ถ้าลูกของป้าดื้อเหมือนเรา ป้าจะทำยังไงดี” เรนยิ้มน้อย ๆ ถือว่าเป็นคำชมจากผู้สูงวัยกว่า “ก็มีบ้างล่ะนะ ตามประสาลูกชาย แต่เจ้าเมฆเขาค่อนข้างจะเชื่อฟังป้า” เรนถึงกับทำตาโต เมื่อได้ยินชื่อของลูกคุณป้า
“อ้าว แม่” เมฆที่กำลังจะเดินไปที่หน้าตึกเรียนของเรน เดินมาเจอแม่ของเขานั่งอยู่พอดี และยิ่งไปกว่านั้น “เรน” น้ำเสียงของเมฆนั้น ประหลาดใจที่อยู่ ๆ ก็เห็นเรนนั่งคุยอยู่กับแม่ของเขา “คุณป้าเป็นแม่ของพี่เมฆหรือครับ” เรนทำหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะยกมือไหว้จิตรา
“เรนคือหนุ่มน้อย ที่เมฆของแม่เล่าให้ฟังเมื่อวันก่อนน่ะนะ” จิตราหันไปทางเรนที่ยิ้มรออยู่แล้ว “หน้าตาน่ารักกว่าที่ป้าคิดเอาไว้เสียอีก” จิตราพูด หัวเราะเบา ๆ เอามือทั้งสองประคองแก้มทั้งสองข้างของเรนเอาไว้ “ตายแล้ว นี่แม่ช่วยน้องหนูเรนนี่ทำความผิดเสียแล้วสิ คุณพ่อคุณแม่หนูเรน จะมาเล่นงานป้าล่ะทีนี้” เรนได้ยินจิตราพูดแบบนั้น ก็รีบส่ายหน้าทันที
“เรนจะไม่ยอมให้คุณพ่อมาหาเรื่องคุณป้าแน่นอนครับ” เรนให้คำเป็นมั่นเหมาะ “แม่ช่วยเรนทำอะไรครับ” เมฆนึกเป็นห่วงแม่ของเขาขึ้นมา เพราะรู้ถึงกิตติศัพท์คุณท่าน พ่อของเรนดี “คุณป้าไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เรนต่างหาก ที่บังคับให้คุณป้าช่วย ก็คนรถของคุณพ่อ ไม่ยอมกลับไปสักที เรนก็เลยสร้างเรื่อง บอกว่าคุณป้าเป็นอาจารย์ มาช่วยเรนทำโปรเจ็กต์”
“พี่เมฆอย่าว่าคุณป้านะครับ คุณป้าใจดี ช่วยเรนเอาไว้ แถมยังเข้าใจเรนมากกว่าพ่อแม่ของเรนเองเสียอีก” เมฆตกใจนิด ๆ ที่เห็นเรนโผเข้ากอดเอวของจิตราเอาไว้ “อยากได้คุณป้ามาเป็นแม่ของเรนจัง” จิตราหัวเราะออกมา ก่อนจะเอามือตีลงเบา ๆ ที่แขนของเรน “ดูพูดเข้าเด็กคนนี้เนี่ย” เมฆเห็นแม่ของเขาตอบรับเรนได้แบบนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจ
“แล้วเรนจะกลับยังไง ให้พี่นั่งรถแท็กซี่ไปส่งมั้ย” เมฆถาม เพราะกังวลว่าเรนจะถูกที่บ้านดุเอา “ไม่เอา” เรนตอบเมฆอย่างคนที่เอาแต่ใจจนเคยตัว “เรนหิว” พูดจบ เรนก็พูดอ้อนจิตรา “ถ้าเรนกลับบ้านตอนนี้ เรนโดนบ่นไม่จบแน่” เมฆมองหน้าแม่ของเขา จิตรานิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “งั้น ไปบ้านป้าก่อนแล้วกัน” เมฆทำท่าจะคัดค้าน จิตราจึงให้เหตุผลว่า
“ดีกว่าให้หนูเรนอยู่คนเดียวข้างนอก นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว ไปตั้งหลักที่บ้านเราก่อน กินข้าว อาบน้ำ แล้วจะกลับบ้าน ก็ค่อยว่ากัน แบบนั้นแม่ก็จะสบายใจกว่านะ ที่รู้ว่าเรนปลอดภัย เมฆเองก็ด้วย ดีกว่าไม่ใช่หรือลูก ที่จะให้เรนตะลอน ๆ ไปไหนอยู่คนเดียว” สุดท้ายเมฆก็ยอมให้กับเหตุผลของแม่ เพราะเมฆเองคงเป็นห่วงเรนไม่น้อย หากเรนเตร็ดเตร่ไปเจอใครก็ไม่รู้
-
2.)
เรนรู้สึกสบายใจมากที่สุด เขาได้มาที่บ้านของเมฆ ได้เจอจิตรา แม่ของเมฆที่เข้าใจและดูจะเข้ากันได้ดีกับเขาจนเกินคาดด้วยซ้ำ เรนได้นั่งล้อมวงกินข้าวเย็นกับเมฆและจิตรา มันคือบางอย่างที่ธรรมดาแต่มีความสำคัญสำหรับเรน แต่ไม่ค่อยได้เกิดขึ้นที่บ้านของเขา หากว่าวันไหนได้ร่วมโต๊ะอาหารกัน ไม่พ่อหรือแม่ของเรนก็จะมีเหตุให้ต้องติดงาน มีธุระจำเป็นขึ้นมา ไม่อย่างนั้น ก็ต้องมีเรื่องมาตำหนิหรือสั่งห้ามนั่นนี่เรน
“ไป ๆ หนูเรน ลูกไปนั่งเล่นห้องเมฆเขาก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวป้าจัดการล้างจานพวกนี้เอง” จิตราพูดขึ้น ก่อนที่เมฆอาสาว่าเขาจะช่วยแม่เอง “ไป ๆ เด็กสองคนนี้ อย่ามาเกะกะแม่” จิตราโบกไม้โบกมือให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนออกไปจากครัวของเธอ เมฆบอกขอบคุณแม่ของเขา ก่อนจะเดินเข้าห้องนอน โดยมีเรนเดินตามไป
เรนรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ที่ได้อยู่ตามลำพังในห้องนอนของเมฆ มันไม่ใช่ห้องนอนที่ใหญ่โตหรูหราอย่างห้องของเขา แต่มันทำให้เรนรู้สึกวูบไหวในอารมณ์ แสงสีส้มจากโคมไฟหัวเตียง เตียงนอนสำหรับคนเดียว แต่พอมีเด็กหนุ่มสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน มันก็ดูจะต้องเบียด ๆ กันเข้ามา เมฆเอง เมื่อได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเรนแบบใกล้ชิดขนาดนี้ อยู่ ๆ เขาก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหวในอารมณ์
“ได้มาเที่ยวห้องพี่เมฆทุกวันก็คงดีสิ” เรนพูดกับเมฆ พลางวางมือไว้บนต้นขาของอีกฝ่าย เมฆรู้สึกร้อนวูบจากสัมผัสที่แผ่วเบาบนต้นขาของตัวเอง “ถ้าเรนอยากมา ก็มาได้” เมฆพูดก่อนจะเห็นเรนช้อนสายตาขึ้นมามอง “ก็ไม่รู้ล่ะนะ ว่าพี่เมฆพาใครมาห้องนี้ก่อนเรนแล้วกี่คน” เรนทำเสียงน้อยใจ ดึงมือออกจากต้นขาของเมฆ
“ไม่มีใครเลยจริง ๆ ถามแม่พี่ดูก็ได้ พี่เคยพาใครมาที่ไหนกัน” เมฆตอบตามความจริง เรนทำหน้าไม่เชื่อ ก่อนจะชี้ไปที่คอมพิวเตอร์พีซีของเมฆ แล้วพูดว่า “แอบแชท แอบคุยอะไรกับใครในนั้นหรือเปล่านะ” เรนถามขึ้น เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยขอดูโทรศัพท์มือถือของเมฆ และเมฆก็ให้ดู โดยไม่มีอะไรปิดบัง เรนเอื้อมมือไปขยับเมาส์ หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็สว่างขึ้น
“หรือแอบดูอะไรที่ไม่ควรดูหรือเปล่า” เรนพูดจบ ก็ใช้มือเคลื่อนเมาส์ไปที่แถบด้านล่าง ที่มีเบราว์เซอร์เปิดค้างอยู่ “เดี๋ยว เรน” เมฆร้องห้าม แต่ทันทีที่เบราว์เซอร์นั้นถูกคลิกกลับขึ้นมา ภาพวิดีโอที่เมฆกดหยุดเอาไว้ ก็เล่นต่อในทันที มันเป็นวิดีโอของผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง ที่กำลังทำรักด้วยปากให้ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาอย่างรัญจวนใจ
“ทำไมพี่เมฆดูคลิปผู้ชายผู้หญิงล่ะ” เรนถามด้วยเสียงงอน ๆ เมฆรีบบอกว่า มันไม่ใช่อย่างที่เรนคิด “ก็ตอนแรกพี่กลัวว่า แม่จะมาเจอคลิปพวกนี้ พี่เลยเปิดคลิปชายหญิงตอนช่วยตัวเองแทน ไม่กล้าเปิดคลิปเกย์” เมฆบอกเหตุผลให้เรนฟัง “แต่เรนใช้รูปพี่เมฆ ตอนเรนช่วยตัวเองนะ” เมฆใจเต้นตึกตัก เมื่อได้ยินเรนพูดแบบนั้น
“พี่เมฆ” เรนเรียกชื่ออีกฝ่าย เมื่อยื่นมือไปจับที่แก่นกลางลำตัวของเมฆ เสียงจากวิดีโอที่ดังผ่านลำโพงออกมา เป็นตัวช่วงเร่งเร้าอารมณ์ของเมฆ “พี่เมฆ มันแข็งจัง” เรนใช้มือลูบคลำเมฆจากด้านนอกกางเกง “เรนขออมให้พี่นะ” เรนรูดซิปกางเกงของเมฆลง เผยให้เห็นชั้นในสีขาวของเมฆ ที่มีรอยหยดน้ำใส ๆ เปื้อนเป็นวง ที่แสดงว่าเมฆกำลังมีอารมณ์พลุ่งพล่าน
“เรน จะดีหรือ แม่พี่อยู่ข้างนอก” เมฆพูดออกไปแบบนั้น แต่ก็ต้องสูดปาก เมื่อเรนบอกให้เมฆเงียบ ๆ ไว้ แล้วครอบปากลงไปตามความยาวนั้น เรนตั้งใจทำให้เมฆรู้สึกดี แม้ว่าจะสำลักกับท่อนทวนที่เมฆเผลอตัว ดันเข้าไปจนสุดโพรงปาก ตอนนี้เมฆไม่ได้สนใจเสียงจากวิดีโอที่กำลังเล่นอยู่แล้ว เมื่อเรนปลดกางเกงของตัวเองลงเช่นกัน “พี่เมฆ เอาเรนที” เรนนั้นก็อารมณ์งุ่นง่านไม่ต่างจากเมฆเช่นกัน
“แต่พี่ไม่มีถุงยาง” เมฆเตือนเรน แต่ตอนนี้เรนผลักเมฆลงนอนบนเตียง ก่อนจะขึ้นคร่อมบนตัวของเมฆ ที่เอื้อมมือไปหยิบเอาเจลหล่อลื่น จากที่ซ่อนหลังหัวเตียง ที่ปกติ เขาจะได้ใช้มันก็ตอนสาวมือขึ้นลงบนแก่นกายของตัวเองเท่านั้น เมฆรู้สึกเหมือนตัวเองตัวลอยอยู่ในอากาศ เมื่อเรนกดตัวลงเข้าหาหน้าขาของเขา แล้วส่งผ่านให้ท่อนลำของเมฆแทรกผ่านลำตัวเข้าไป เป็นคนแรก ที่ได้ทำแบบนี้กับเรน
เมฆใช้มือคว้าขยำชายเสื้อนักศึกษาของเรนเอาไว้ เมื่อเขากำลังเห็นสวรรค์อยู่รำไร มันเป็นครั้งแรกของเขาเช่นกัน ที่ได้ร่วมรัก แม้จะหมกมุ่นกันมันมาสักพัก ว่าอยากที่จะทำแบบนี้กับเรน แต่ก็กลัวว่า เรนยังอายุไม่ถึงสิบแปด กลัวว่า แม่จะรู้ หรือเดือดร้อนเพราะเขา แต่ตอนนี้ มันสายเกินกว่าจะกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว เมื่อเรนพ่นเอาความสุขออกมา เลอะเต็มหน้าท้องของเมฆ และเมฆเองก็ไม่ทันที่จะดึงเอาตัวเอง ออกมาหลั่งความสุขที่เอ่อล้น ที่ด้านนอก
จิตรายืนเหม่ออยู่ที่อ่างล้างจาน ในมือของเธอถือจานและฟองน้ำเอาไว้ ใบหน้าของจิตรานิ่งไม่แสดงอารมณ์ ในความคิดพาเธอย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งวันวาน ในวันที่เธอนั้นได้ตั้งท้อง ตั้งแต่สมัยที่เธอเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เพียงแต่ว่า มันเป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ และคนที่ไม่พึงประสงค์ ลูกในท้องของเธอนั้น ก็คือพ่อของเด็กเอง
ในตอนนั้น จิตราไม่มีที่พึ่งที่ไหนเลย ทุกคนหันหลังให้เธอ แม้จะเป็นครอบครัวของเธอเอง จิตรายืนกรานที่จะเก็บเด็กเอาไว้ เธอบอกตัวเองว่า เด็กที่อยู่ในท้องของเธอ เป็นลูกของเธอ เธอจะไม่ทำลายเขาอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นไม่ได้หมายความเพียงแค่ว่า จิตราทำร้ายลูกที่บริสุทธิ์ แต่มันจะเป็นการทำร้ายหัวใจของผู้เป็นแม่อย่างเธอด้วย
เสียงรถยนต์แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน มันดึงจิตราจากภวังค์ ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เธอวางสิ่งที่ถืออยู่ในมือลงในอ่างล้างจาน เปิดน้ำล้างฟองออกจากมือ เช็ดมือจนแห้ง เดินไปที่ประตูบ้าน ก็พอดีกับที่เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น จิตราเปิดประตูออกไป ผู้ชายและผู้หญิงในวัยเดียวกับเธอยืนชะโงกมองผ่านรั้วเหล็ก เข้ามาในบ้านของเธอ ชายหญิงคู่นั้นตกใจที่ได้เห็นจิตรา เธอยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินออกมาที่รั้วบ้าน
“จิตรา” ตรัยเรียกชื่อผู้หญิงที่เขาไม่ได้เจอมานานมาก ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ผู้หญิงที่มาด้วยกันกับตรัยเอง ก็ต้องตกใจจนตาโต เมื่อได้เห็นจิตราเช่นกัน พิมพ์พรกำลังสับสน ว่าทำไมพวกเธอถึงได้ขับรถมาที่นี่ จนเจอกับจิตรา เพราะเธอนั้น มาตามที่อยู่ที่ 'ผู้ปรารถนาดี' ส่งมาบอกว่า ลูกของเธอ เรน มาอยู่ที่นี่กับผู้ชาย จนเธอบอกกับสามีว่าให้ตามมารับลูกกลับบ้าน
“มากันไวดีนี่คะ” จิตราพูด หัวเราะเบา ๆ “รักลูกกันมากสินะคะ” ก่อนจะใช้น้ำเสียงเหน็บแนมประชดประชันทั้งสองคนตรงหน้า “ลูกฉันอยู่ไหน เรียกลูกเรนออกมา ฉันจะได้กลับกันสักที ไม่อยากอยู่ตรงนี้นาน มันเป็นเสนียด” พิมพ์พรผู้ไม่เคยเปลี่ยน เคยเกลียดจิตราอย่างไร ในตอนนี้ความเกลียดชังนั้น ก็ไม่เคยลดทอนลงไปจากใจของเธอเลย
“ลูกเรน” จิตราหันไปทางด้านหลัง เรียกชื่อเด็กหนุ่มที่เพิ่งอ้อมแอ้ม เปิดประตูบ้านออกมา โดยมีเมฆเดินตามมาด้วย “คุณพ่อคุณแม่” เรนเรียกบิดาและมารดาของตัวเอง “ตายแล้ว ทำไมเสื้อผ้าลูกถึงได้ดูยับเยินแบบนั้น” พิมพ์พรร้องออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นสภาพลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ “ถ้าแกทำอะไรอุบาทว์ ๆ กับลูกฉัน ฉันไม่เอาแกไว้แน่” ตรัยตะโกนชี้หน้าด่าเมฆ
“อุ๊บ” จิตรายกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ก่อนจะหันมองไปทางเด็กหนุ่มทั้งสองคน “ก็บอกเขาไปสิจ๊ะ ลูกเรน ว่าเมื่อกี้นี้ ในห้องพี่เขา สุดคอหอยเลยมั้ยคะลูก” เรนมองหน้าจิตราแบบไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ ท่าทีแม่ของเมฆ ไม่ใช่แบบนี้ “ไอ้ระยำ ไอ้เด็กชั่ว มึงล่อลวงลูกกู เรนอายุยังไม่ถึงสิบแปด ก็จะแจ้งตำรวจมาลากคอมึงเข้าคุก” พิมพ์พรตะโกนด่าออกมาจนสุดเสียง
“ก่อนที่มึงจะด่าใคร นี่ ๆๆๆ” จิตราดึงแขนของเรนให้ขยับเดินเข้าไปใกล้กับรั้วบ้าน เมฆมองแม่ของเขาด้วยความรู้สึกสับสน “อีนี่ต่างหาก ที่มัน ทั้งแรด ทั้งร่าน ไม่ต่างจากแม่ของมัน” เรนสะบัดแขนออกจากมือของจิตรา “อีป้านี่ อย่ามาด่าแม่กูนะ อีบ้า” เรนแหวใส่จิตราดังลั่น “เรน อย่ามาก้าวร้าวกับแม่พี่นะ” เมฆออกโรงปกป้องแม่ของเขา
“กูจะบอกอะไรให้นะ แม่มึงเนี่ย เมื่อก่อนก็ใช่ย่อย มึงรู้มั้ย ว่ามันทำเหี้ยอะไรกับกูไว้” จิตราหันไปมองหน้าพิมพ์พร ที่ตอนนี้ทำหน้าเหวอ เหมือนโดนสะกิดแผลเก่า ให้กลับมาตกสะเก็ดอีกครั้ง “กูท้องลูกของกูอยู่ กูท้องกับพ่อมึงนี่แหละ อีเรน แต่อีห่าราก แม่ของมึงนี่ก็ทำมาดีกับกู บอกว่าเอายาบำรุงมาให้กูกิน แต่สุดท้าย ก็นั่งตกเลือดในห้องน้ำ เพราะมันเอายาขับเลือดมาให้กูแดก กูก็โง่ไง ที่เชื่อมึง อีพิมพ์พร”
“คุณแม่” เรนไม่อยากจะเชื่อว่าแม่ของเขาจะทำอะไรแบบนั้นได้ เมฆถึงกับตกใจที่แม่ของเขาเคยเกือบจะเสียเขาไป ตรัยเอง แม้ว่าตอนนั้นจะไม่อยากรับเป็นพ่อของเด็กในท้องจิตรา และจำเป็นต้องแต่งงานกับพิมพ์พร ลูกสาวครอบครัวแวดวงสังคมชั้นสูงด้วยกัน ที่ก็กำลังท้องกับตรัยเช่นกัน แต่เขาก็ไม่คิดว่า พิมพ์พรจะใช้วิธีนี้ กำจัดเสี้ยนหนามหัวใจ เพราะพิมพ์พรรู้ดีว่า จิตราเป็นใคร และกำลังท้องลูกของเขาอยู่
“ไม่จริงนะ เรน แม่ไม่ได้ทำ คุณคะ ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง อีจิตรามันตอแหล ก็เห็น ๆ อยู่ ว่าลูกมันยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ทั้งคน” พิมพ์พรรีบพูดแก้ตัวปากคอสั่น “แล้วใครว่ามันคือเด็กคนนี้ล่ะ” จิตราพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปปลดล็อกประตูรั้ว แล้วจึงเดินกลับมายืนอยู่ข้างหลังเมฆ จิตราจับแขนทั้งสองข้างของเมฆเอาไว้ ก่อนพูดขึ้นว่า
“กูแท้งลูกของกู” ทุกคนตรงนั้น ตกใจกับสิ่งที่จิตราพูดออกมา “ตรัย ฉันแท้งลูกของเรา เพราะความไว้ใจคนผิด และเพราะคุณไม่เคยเหลียวแลฉัน เพราะฉันมันจน” เมฆไม่เข้าใจว่า แม่ของเขากำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่แม่พูด มันทำให้เขางงไปหมด ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง “ฉันเลี้ยงดูเด็กคนนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก” “ฉันบอกกับมันเสมอ ว่ามันเหมือนพ่อมันไม่มีผิด” จิตราพูด จ้องไปที่ใบหน้าของตรัย
“มันจึงทำทุกอย่างเหมือนกับพ่อมันไม่มีผิดเพี้ยน” ตรัยส่ายหน้า พยายามจะปฏิเสธสิ่งที่ได้ยิน “มันจึงเงี่ยนได้ผิดที่ แต่ถูกเวลา” พิมพ์พรตามไม่ทัน กับสิ่งที่จิตราบอก แต่ตรัยนั้น เขารู้สึกเหมือนคนกำลังจะขาดใจลงไปตรงนั้น “ฉันทนเลี้ยงมันมา ทั้ง ๆ ที่ฉันเกลียดมันอย่างกับอะไรดี” จิตราละมือทั้งสองข้างจากตัวของเมฆ เด็กหนุ่มตัวชาไปหมด เมื่อได้ยินเต็มสองรูหู ว่าแม่ของเขารังเกียจเขา
“จิตรา นี่เธอทำอะไรลงไป” ตรัยพูดด้วยหัวใจที่ปวดร้าว “ไม่จริง” พิมพ์พรที่พอคิดตามจนเข้าใจกับสิ่งที่จิตราพูด ก็เถียงกลับ “พยาบาลที่ขโมยลูกฉันไป มันหายสาบสูญไปแล้ว” เมื่อตอนที่พิมพ์พรคลอดลูกคนแรก ลูกชายของเธอถูกขโมยออกจากห้องเด็กแรกเกิด กล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่า พยาบาลเวรดึกคนหนึ่ง เป็นคนลักลูกของเธอออกไป แต่พยาบาลคนนั้น ก็หายตัวไป ไม่มีใครพบเจออีกเลย ก่อนที่เธอจะตั้งท้องเรนอีกครั้ง เกือบปีหลังจากนั้น
“แล้วมึงคิดว่า อีนั่น มันหายตัวไปในอากาศได้เองหรือไงล่ะ” จิตรายังจำภาพคุณพยาบาลคนนั้นได้ดี ที่นอนชักอยู่สักพัก หลังจากที่จิตราฉีดยากระตุ้นหัวใจให้ พิมพ์พรกรีดร้องออกมาจนลั่นไปหมด มองหน้าเมฆและตรัยสลับกัน อย่างคนเสียสติ เมื่อเริ่มมองเห็นความละม้ายคล้ายคลึงกันนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น มันเกินกว่าที่ตรัยจะรับได้ เช่นกัน “ฉันทำผิดต่อเธอ แต่ทำไมเธอไม่ทำกับฉัน ไปลงกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องทำไม” ใบหน้าของจิตราเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมาในทันที ที่ได้ยินตรัยพูดแบบนั้น
“แล้วลูกของฉันล่ะ มันรู้เรื่องอะไรกับใครด้วยมั้ย แล้วพวกมึงทำยังไงกับมัน พวกมึงมันตอแหลทั้งโคตร พวกมึงเคยได้ยินเสียงกรีดร้องขอความเห็นใจจากกูบ้างมั้ย เปล่าเลย กูอยู่ตัวคนเดียว เจ็บปวดเจียนตายตอนกูเห็นลูกของกูจมอยู่ในน้ำส้วมชักโครก มึงเคยเห็นถึงหัวใจของกูด้วยหรือ มึงเคยเห็นคุณค่าของกูสองแม่ลูกด้วยหรือไง”
“ลูกกู ควรจะต้องได้ทุกอย่างที่อีเรนเด็กเหี้ยนี่ได้ ลูกกูควรจะต้องได้อยู่ในที่ที่อีนี่มันอยู่” จิตรามองไปที่เรนด้วยสายตาที่ขยะแขยงอย่างที่สุด “แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ตรัยมึงทอดทิ้งลูกของมึง อย่างใจดำที่สุด อีพิมพ์พร มึงฆ่าลูกกูอย่างเลือดเย็นอำมหิต แต่อย่าว่าล่ะนะ มึงสองคนรักลูกของพวกมึงนี่ กูเข้าใจ ูเลยต้องการให้พวกมึงรู้สึกอย่างที่กูรู้สึก ได้กรีดร้องออกมาจนสุดเสียง แต่มันก็ไม่มีใครได้ยิน ไม่มีใครเข้าใจ”
“แล้วนี่” จิตราใช้มือผลักไหล่ ผลักหลังของเมฆ ให้เดินไปหาตรัยกับพิมพ์พร “เอาเลย มึงจะเอามันไปต้มยำทำแกงยังไงก็เชิญ จะแจ้งความเอาตำรวจมาจับมัน ก็แล้วแต่พวกมึง” เสียงของจิตราเต็มไปด้วยความเคียดแค้นพยาบาท มันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอ ยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้เมฆโตขึ้นมา และเป็นไปตามที่เธอต้องการในวันนี้ “แม่” เมฆเรียกจิตรา ผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในชีวิตเขา ตั้งแต่เด็กจนโต
“แม่ไม่เคยรักเมฆเลยใช่มั้ย” น้ำตาใส ๆ ไหลลงนองหน้าของเมฆ จิตราเชิดหน้าขึ้น เอียงตามองใบหน้าของเมฆ ที่เด็กหนุ่มเห็นจิตรา ผู้หญิงที่วันนี้เขาไม่รู้จัก ว่าเธอเป็นใคร ทำก็คือกลั้นน้ำตาที่เอ่อท้นขอบตานั้นเอาไว้ ไม่ให้ไหลรินลงมา “งั้นก็แสดงว่า เรนกับพี่เมฆก็เกี่ยวข้องกันเป็น” ภาพของเขากับเมฆที่เพิ่งร่วมรักกัน ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเรน จนเขาไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่เมฆ ตรัยรู้สึกเจ็บเจียนตาย พิมพ์พรคลั่ง กรีดร้องอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
“แม่” เมฆคุกเข่าลงตรงหน้าจิตรา มีคนเคยบอกว่า จิตใจผู้หญิงเปรียบดั่งทะเลแห่งห้วงอารมณ์ที่ลึกที่สุด มันสามารถเก็บงำเอาความลับอันดำมืดไว้ในที่ที่ดำดิ่ง ลึกลงไปจนสุดประมาณและจิตราคือหนึ่งในผู้หญิง คนที่เก็บงำความรู้สึก ความคิด และเอามันมาเป็นการกระทำของเธอ เฝ้ารอวันนั้นที่จะชำระความ กับการจองเวรของเธอ ให้ทุกคนได้รับมันไปอย่างสาสมที่สุด
*****************************************
Inspired by “เพลงที่ไม่มีใครฟัง”
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=AvimffNkQ-0
เคยมีเธอเท่านั้น
Once, there was only you
ที่เป็นคนที่ฟังเพลงฉันตลอด
Who always listened to my song
เธอจะฟังและยิ้มและมีน้ำตา
Then smiled and cried when you heard it
เธอจะคอยบอกฉัน
You utterly told me
ว่าตรงไหนที่กินใจมากที่สุด
Which verse that completely touched your heart
เธอจะคอยจะรอจะฟังเรื่อยมา
You were waiting and longing for it all along
แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนผันไม่เหมือนวันเก่า
Then the time changed, nothing remained the same
ไม่มีเราเมื่อเธอไปกับเขา
There’s no longer us when you left me behind
และเพลงนี้ก็เป็นแค่เพียง
This song is now only just
เป็นเพลงที่ไร้คนรอคอย
The song nobody is waiting for
ก็เหมือนแค่เสียงลอยลอยไม่มีความหมาย
It’s comprised with the sound in polysyllabic gibberish
อยากร้องแค่ให้เธอฟังว่าเพลงเพลงนี้ มันดีพอไหม
Wish I could sing this song to you if it’s still good enough
แต่สุดท้ายก็รู้เพลงนี้ไม่มีความหมาย
Though I find that it’s completely meaningless
เป็นเพลงที่ไม่มีใครฟัง
The song that nobody ever listens to
ตัวเธอคงไม่รู้
You won’t even know that
ว่าชีวิตจิตใจที่ฉันทุ่มเท
How hard I’ve tried and put into this
มันกลายเป็นเศษคำและตัวโน้ตธรรมดา
They’re just unrhymed lyrics in irregular rhythms
เธอก็ได้แต่ยิ้ม
All you did was smile
ได้แต่เพียงชื่นชมรักษาน้ำใจ
Giving me kind words, not to hurt my feeling
แล้วก็เดินจากไปไม่ให้เสียกริยา
Then walked away with your social etiquette preserved
แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนผันไม่เหมือนวันเก่า
Then the time changed, nothing remained the same
ไม่มีเราเมื่อเธอไปกับเขา
There’s no longer us when you left me all alone
และเพลงนี้ก็เป็นแค่เพียง
This song is now only just
เป็นเพลงที่ไร้คนรอคอย
The song nobody is waiting for
ก็เหมือนแค่เสียงลอยลอยไม่มีความหมาย
It’s comprised with the sound in polysyllabic gibberish
อยากร้องแค่ให้เธอฟังว่าเพลงเพลงนี้ มันดีพอไหม
Wish I could sing this song to you if it’s still good enough
แต่สุดท้ายก็รู้เพลงนี้ไม่มีความหมาย
Though I find that it’s completely meaningless
เป็นเพลงที่ไม่มีใครฟัง
The song that nobody ever listens to
และเพลงนี้ก็เป็นแค่เพียง
This song has now become that
เป็นเพลงที่ไร้คนรอคอย
The song which no one desires
ก็เหมือนแค่เสียงลอยลอยไม่มีความหมาย
It sounds so empty and absolutely pointless
อยากร้องแค่ให้เธอฟังว่าเพลงเพลงนี้มันดีพอไหม
Wish this song were your song if it was still meant to be
และสุดท้ายก็รู้ เพลงนี้ไม่มีความหมาย
But in the end, we all know that it’s totally senseless
เป็นเพลงที่ไม่มีใครฟัง
The song which no one will tune to
ไม่มีใครฟัง
The Unheard Melody
-
ชอบเรื่องที่ 5 รู้สึกมีความโรแมนติก 555+
แต่เรื่องที่ 6 นี่ไม่ไหวจริงๆ ผญเป็นอะไรที่อาฆาตมาก ตั้งหลายปี ยอมทำ ยอมทน
orz
ขอบคุณนะจ้า
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 7. ของขวัญ
1.)
“เดี๋ยวผมส่งให้ดู” ข้อความที่ส่งมาทางโปรแกรมแชท ทำให้มินตราที่นั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะประชุม ค่อย ๆ เลื่อนโทรศัพท์ที่อยู่ในมือลงไปใต้โต๊ะ มือถือของเธอสั่นอีกครั้ง หญิงสาวมองดูคนอื่น ๆ ที่กำลังจ้องไปทางจอโปรเจ็กเตอร์ที่อีกด้าน ให้แน่ใจว่า ไม่มีใครมองเธออยู่ ก่อนจะค่อย ๆ แง้มหน้าจอมือถือขึ้นมาดู
ภาพที่แสดงคือ ภาพเปลือยของชายหนุ่มที่รูปร่างดีมาก เขากึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียง เพียงแต่ไม่เห็นหน้าค่าตาแต่อย่างใด โดยที่มินตรามองเห็นแก่นกายกลางลำตัวของคนในรูปนั้น ขยายตัวตั้งผงาด เส้นเลือดปูดโปนไปหมด 'ไหวมั้ย' อีกข้อความส่งมาถาม มินตรากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะตอบตกลงว่า ให้ไปเจอที่เดิมหลังเลิกงานเย็นนี้
มินตรามาถึงเวลานัดก่อนเวลาเล็กน้อย ช่วงบ่ายวันนี้ เธอไม่เป็นอันได้ทำอะไร ใจเฝ้าคิดถึงแต่รูปรูปนั้น ที่ถูกส่งมาให้เธอ รูปร่างของชายหนุ่มกับส่วนสำคัญของเขา มันทำให้เธอรู้สึกเร่าร้อนเป็นอย่างมาก มินตราเดินไปที่ร้านกาแฟในห้างสรรพสินค้า ที่นัดประจำของเธอ มันอยู่ลึกเข้าไปด้านใน ห่างจากร้านอื่น ๆ ทำให้รู้สึกเป็นส่วนตัว ปลอดจากสายตาผู้คน
“เขาจะถูกใจมินมั้ย” เมื่อเห็นว่าพนักงานที่นำเครื่องดื่มมาให้ เดินจากไปแล้ว เธอถามผู้ชายที่นั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว “แน่นอนสิ มินทั้งสวย ทั้งหุ่นดี ใครก็ต้องชอบ ผมยังชอบเลย” มินตรายิ้มเขิน ๆ ก่อนจะตีเข้าที่แขนของชายหนุ่มเบา ๆ เมื่อถูกอีกฝ่ายไถลมือเข้าไปใต้กระโปรงชุดทำงานของเธอ ก่อนจะดึงมือออกมายกขึ้นดม แล้วยักคิ้วให้เธอ
“เดี๋ยวคนเห็น” เธอทำท่าห้ามชายหนุ่ม แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เธอ 'เล่นด้วย' มาสักพักใหญ่แล้ว พูดยังไงดี จะเรียกว่าเพื่อนช่วยเพื่อน friends with benefits หรืออะไรก็ว่าไป แล้วแต่จะเรียกกัน แต่เอาเป็นว่า เขาช่วยปลดปล่อยความกำหนัดของเธอได้เป็นอย่างดี ซึ่งเธอชอบเขามาก เพราะเขารู้จุดของเธอ และพาเธอล่องลอยกับความหฤหรรษ์ ได้มากกว่าใคร ๆ
"บาสก็ชมมินเกินไป” ปากก็พูดไปแบบนั้น แต่สีหน้าและแววตาของมินตรา แสดงออกมาว่าพึงพอใจกับคำพูดของชายหนุ่มอยู่ไม่น้อย “แต่ มินไม่เคยแลกคู่แบบนี้นะ” มินตรารู้สึกตื่นเต้นก็จริง แต่ก็เป็นกังวล เรื่องที่เธอตัดสินใจตอบตกลงไปนี้ “มันไม่ใช่เซ็กส์หมู่ อะไรแบบนั้นใช่มั้ย” มินตราพูดด้วยการลดเสียงลง ให้ได้ยินเฉพาะเธอกับบาสสองคนเท่านั้น
“ไม่ใช่” บาส ชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว ออกแนวเอเชียตะวันออก ตอบหญิงสาว “มินจะเป็นคู่ให้พี่เขา ส่วนคู่ของเขา จะโดนผมจัดการ สองคู่ สี่คน มาสวิงกัน” แววตาของบาสที่ใช้มองมาที่เธอ มินตรารู้สึกว่า เธอกำลังถูกโลมเลียแทนสายตาของ 'คนเล่นเสริม' ที่กำลังจะมาถึงในไม่กี่นาทีนี้ อย่างที่บอกไปแล้ว บาสนั้นเป็นคนสรรหาความตื่นเต้นเร้าใจ เข้ามาในชีวิตของมินตรา
ตั้งแต่เธอรู้จักกันบาส ผ่านทางแอพโซเชียล ปีกว่า ๆ มานี้ บาสไม่เคยทำให้เธอผิดหวังกับเรื่องบนเตียง มินตราพึงพอใจกับเซ็กส์รูปแบบใหม่ ๆ ที่บาสปรนเปรอให้เธอย่างถึงใจ และตอนนี้ บาสจะยกความตื่นเต้นนั้นให้ขยับขั้นขึ้นไปอีก มันคือการได้ทดลอง ลิ้มรสชาติใหม่ ๆ ที่คนที่กระหายเรื่องราวอย่างว่าแบบเธอ แทบจะทนรอไม่ไหว
มินตราคาดหวังกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่พอสมควร แต่เธอก็พอจะคลายกังวลลงไปได้อยู่บ้าง เพราะเธอสามารถเชื่อใจบาสได้ว่า ทุกอย่างจะถูกปิดเป็นความลับ หน้าที่การงานที่ดี ที่กว่ามินตราจะก้าวมาประสบความสำเร็จในขั้นนี้ ก็ถือว่ารวดเร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอยู่มาก อีกทั้งชื่อเสียงในแวดวงสังคมที่เธออยู่ เธอเป็นที่รู้จักอยู่ไม่น้อย จากที่มินตราเล่นกับบาสมา บาสเก็บทุกอย่างเงียบกริบให้เธอได้
“รอนานมั้ย” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น จากผู้ชายร่างสูงกำยำ ผิวสีแทน ใบหน้าคมเข้ม ผมตัดสั้นสกินเฮด ที่เดินเข้ามาพร้อมกับผู้หญิงสาวสวยร่างเล็กอีกคนหนึ่ง “เชิญนั่งครับ พี่เจค” บาสกล่าวเชิญชวนทั้งสองคนที่เพิ่งมาใหม่ เจคนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ กันกับมินตรา ที่ตอนนี้เธอใจเต้นแรง จนแทบควบคุมไม่ได้ “และคุณ” บาสหันไปถามหญิงสาวที่นั่งลงข้าง ๆ เขา
“ปลายฝนค่ะ” เสียงพูดนั้นไพเราะ แต่แฝงไปด้วยจริตจะก้าน การชายตาชดช้อยนั้น แสดงออกอย่างชัดเจนว่า เธอพอใจกับสิ่งที่เห็น และนั่นก็คือชายหนุ่มรูปงามอย่างบาส จากคู่เล่นของเธอที่คมเข้ม มาดชายไทยแท้ สู่ชายหนุ่มสไตล์พิมพ์นิยม ที่เธอรู้สึกว่า ค่ำคืนนี้ จะเป็นอีกคืนที่เธอต้องประทับใจ
“มินตรานะคะ” หญิงสาวทั้งสองคนทักทายและแนะนำตัวกัน ยิ้มให้กัน ก่อนจะแลกคอนแท็คในแอพแชทกัน ทั้งสองคนต่างก็รู้สึกดี ที่การหยิบยืมความสนุกส่วนตัวของกันและกันครั้งนี้ ดูจะเป็นไปด้วยดี ชายหญิงที่หน้าตาดี โปรไฟล์เด่น ทั้งสี่คนที่จะพากันปลดปล่อยความรู้สึกกันอย่างไม่ปิดบัง กับการเพิ่มรสชาติให้กับชีวิตครั้งนี้ ทั้งหมดนั่งคุยกันสักพัก เพื่อให้พอคุ้นกัน ก่อนที่จะลงเอยด้วยการ ไปที่ห้องคอนโดของบาส ที่เขาเช่าเอาไว้เพื่อกิจนี้โดยเฉพาะ
เสียงร้องครวญครางด้วยความสุขจากสองสาว ดังระงมไปทั้งห้อง มินตราและปลายฝน ถูกจัดให้อยู่ในท่าคลานสี่ขาข้าง ๆ กัน โดยที่มีชายหนุ่มสองคนขยับตัวเข้าออก อยู่ที่ด้านหลังของคนทั้งคู่ มินตราที่คู่กับเจค เธอรู้สึกพึงพอใจกับสัมผัสกระแทกกระทั้น อย่างหื่นกระหายนั้น จนเธอแทบจะสำลักความสุขที่ได้รับ และเธอก็เห็นปลายฝน ที่ถูกบาส คู่เล่นประจำของเธอ อัดแรงเข้าใส่ จนหัวสั่นหัวคลอน
“เสียวดีมั้ยพี่เจค” บาสที่ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยรสแห่งกามารมณ์ หันไปถามชายหนุ่มผิวเข้มที่อยู่ข้าง ๆ กัน เจคหันมามองบาสด้วยสายตาสั่นสะท้าน เขาไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ขยับบั้นท้ายเข้าใส่รุนแรงมากยิ่งขึ้น จนมินตราต้องหันหน้ามามองด้านหลัง โดยที่ปลายฝนนั้น ก้มหน้างุดอยู่บนที่นอน ด้วยความรัญจวนใจ แบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
มินตรามองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองคน ก่อนที่จะเห็นเจคเลื่อนหน้าเข้าใกล้กับบาส แล้วชายหนุ่มทั้งสองคนก็ประกบปากแลกลิ้นจูบกันอย่างหื่นกระหาย มินตราแม้จะรู้สึกตกใจอยู่บ้าง ที่เห็นบาสจูบกับผู้ชายอื่น แต่รสรักที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอ มันทำให้เธอได้แต่บิดตัวเร่า ๆ มองเห็นสวรรค์อยู่รำไร เสียงร้องของเจคที่ดังขึ้นไม่นานหลังจากนั้น ก่อนที่ตัวเขาจะสั่นกระตุกอยู่หลายที แล้วจึงถอนกายออกจากมินตรา เธอมองเห็นของเหลวสีขาวขุ่น อัดแน่นอยู่ที่ปลายกระเปาะถุงยาง ก่อนจะได้ยินเสียงบาสร้องดังขึ้นว่า ใกล้แล้ว ๆ
“มิน ผมขอ” บาสดึงตัวออกจากปลายฝน ที่นอนหายใจรวยรินอยู่ เมื่อเธอถึงฝั่งฝันไปนับครั้งไม่ถ้วน บาสดึงเกราะป้องกันออกจากแก่นกาย ก่อนจะสอดเข้าไปในร่างของมิน แล้วเกร็งกระตุกปลดปล่อยให้ทุกอย่างทะลักทลาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มินตราให้บาสทำแบบนี้ แต่การถูกเจคมองเธอโดนบาสทำต่อหน้านั้น ทำให้เธออารมณ์พลุ่งพล่านอย่างถึงขีดสุด
จากคืนนั้น มินตรายังไม่มีโอกาสได้นัดเจอกับบาสอีก มีเพียงรูปภาพที่บาสส่งมายั่วยวนเธอเท่านั้น ช่วงนี้งานเธอรัดตัวมาก กระดิกกระเดี้ยตัวไปไหนไม่ได้เลย แต่ละวันเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทั้ง ๆ ที่ตำแหน่งเธอก็ใหญ่โต เมื่อกลับถึงบ้าน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย พอตื่นเช้า ก็ต้องรีบฝ่ากระแสการจราจรในเมืองหลวงไปทำงาน วนเวียนอยู่แบบนี้เป็นสัปดาห์
พอนานหลายสัปดาห์เข้า บาสก็ดูจะเงียบหายไปด้วย เมื่อมินตราตอบปฏิเสธการนัดเจอกับเขาไปหลายต่อหลายครั้ง ทั้ง ๆ ที่เธออยากจะไป แต่ก็ทำไม่ได้ จนตอนนี้ บาสขาดการติดต่อกับเธอไปเสียดื้อ ๆ จนอยู่ ๆ เธอก็ได้ข้อความทางแชท ส่งมาหา แต่มันไม่ได้ถูกส่งมาจากบาส 'เสียดายที่เธอมาไม่ได้ สองคนนี้ ทำให้ฉันทั้งจุกทั้งอิ่ม' แต่กลับเป็นข้อความ ที่ถูกส่งมาจากปลายฝน
“ทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน บาส” มินตรารู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เพราะบาสและเธอตกลงกันอย่างดิบดีตั้งแต่แรกแล้วว่า จะไม่เล่นกับคนอื่นลับหลัง ถ้าจะเล่นก็ต้องเล่นพร้อมกัน เพื่อความสบายใจและปลอดภัยของทั้งคู่ นี่ยัยปลายฝน ได้ทั้งสองคนไปปรนเปรอพร้อม ๆ กัน มันจะมากไปแล้ว มินตราส่งข้อความกลับไปถาม ว่าตอนนี้ปลายฝนอยู่ที่ไหน แต่ผ่านไปหลายชั่วโมง ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมา มินตราตัดสินใจโทรผ่านแอพไป แต่ก็ไม่มีคนรับ จนเธอต้องเข้าประชุม ซึ่งมินตราไม่รับรู้ข้อมูลการประชุมใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะใจมัวแต่คิดเรื่องของสามคนนั้น
ตกเย็น มินตรารีบบึ่งไปที่คอนโดที่บาสใช้ประกอบกามกิจกับเธอ แต่ก็พบว่า ไม่มีใครอยู่ที่นั่น มินตรานั่งลงบนโซฟาอย่างหงุดหงิด แสดงว่าบาสพาสองคนนั่น ไปที่อื่น อาจจะเป็นห้องที่เจคและปลายฝนเคยใช้กันเป็นประจำก็ได้ แต่นั่นมันที่ไหนกันล่ะ มินตราถอนหายใจออกมา กำลังจะลุกจากโซฟานั้น กระเป๋าสะพายของเธอตกลงบนพื้น
มินตราก้มลงหยิบ ก่อนที่สายตาเธอจะมองเห็นแล็บท็อป ที่ถูกดันเข้าไปข้างใต้โซฟา เหมือนกับว่า มันถูกจงใจซ่อนเอาไว้ที่ข้างใต้นั้น มินตราดึงมันออกมาวางไว้บนโซฟา เธอปิดมันขึ้น ก่อนมันจะแสดงหน้าล็อกอิน ว่าติดพาสเวิร์ด มินตราลองใส่รหัสที่เกี่ยวกับบาส เท่าที่เธอจะพอนึกออก แต่มันก็ไม่ใช่เลย มินตราร้องออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะลองใส่วันเดือนปีเกิดของเธอลงไป
หน้าจอสว่างวาบขึ้น เปิดให้เธอเห็นหน้าเดสก์ท็อป เธอมือไม้สั่น ที่เดารหัสได้ถูกต้องอย่างเหลือเชื่อ เธอเปิดไฟล์นั่นนี่ดู แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร จนเธอมองเห็นไอคอนที่ดูเหมือนกับโปรแกรมนาฬิกาธรรมดา ที่มุมซ้าย มินตราลองคลิกมันดู ก่อนที่โปรแกรมวิดีโอแชท จะเด้งเปิดขึ้นมา พร้อมทั้งข้อความที่ผู้ชายสองคน พิมพ์ตอบโต้กัน มินตราไล่อ่านดู เธอถึงกับหายใจติดขัด จะร้องไห้ ก็ร้องไม่ออก จะกรีดร้องออกมาก็จุกอยู่ที่ในอก
หลังจากวันนั้นเกือบสัปดาห์ ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบ มินตราไม่ได้รับข้อความจากบาสอีกเลย แถมแอคเค้านท์ที่เคยติดต่อกันทุกช่องทาง ก็ถูกลบไปหมด มินตราถึงกับประสาทเสีย ไม่เป็นอันทำงานทำการ จนถึงกับถูกเรียกเข้าไปในตำหนิ ที่ปล่อยให้งานเกิดความผิดพลาด และถ้าเธอไม่แก้ไขให้ลูกค้ารายใหญ่ กลับมาต่อสัญญาได้ภายในเดือนนี้ เธอเตรียมตัวโบกมืออำลากับตำแหน่งของเธอได้เลย
มินตราใช้ความพยายามค้นหาอยู่นาน กว่าที่เธอจะตามเบาะแสแรกเจอ และนั่นคือที่อยู่ของปลายฝน มันเป็นหมู่บ้านจัดสรรเลยชานเมืองออกไป มินตราขอลางานครึ่งวัน บอกว่าจะออกไปหาทางคุยกับลูกค้ารายใหญ่รายนั้น เธอขับรถไปยังจุดหมายปลายทาง ก่อนที่จะจอดรถอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ที่มีบรรยากาศร่มรื่นน่าอยู่ มินตรากดกริ่งที่หน้าบ้านอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาดู
“เธอ” เจ้าของเสียงพูดขึ้น ท่าทางตื่นตระหนก หันไปมองที่ด้านในบ้าน ก่อนที่มินตราจะได้ยินว่า “เพื่อนที่ทำงานมาค่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ปลายฝนพูดตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเดินออกมาที่ประตูรั้วบ้าน มินตรามองเห็นผู้ชายรูปร่างท้วม เดินออกมามองอยู่สักครู่ พอเห็นว่าเป็นเพื่อนผู้หญิงจากที่ทำงาน ก็เดินกลับเข้าไปด้านใน
“เธอมาที่นี่ทำไม” ปลายฝนต่อว่ามินตราทันทีที่เห็นว่าผู้ชายร่างท้วมนั้น เข้าไปในบ้านแล้ว “เธอหาบ้านฉันเจอได้ยังไงกัน เธอกำลังจะทำให้ฉันเดือดร้อน เธอรู้ตัวมั้ย” ปลายฝนมีสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างแท้จริง “ออกมาคุยกับฉันข้างนอก” มินตราออกคำสั่ง ปลายฝนพูดปฏิเสธ “หรือจะให้ฉันบอกผัวเธอเรื่องนี้” มินตราพูดจบ ก็เดินกลับไปขึ้นรถ ปลายฝนขัดมินตราไม่ได้ เลยเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านนอกด้วย
“เธอรู้จักเจคนานขนาดไหนแล้ว” มินตรายิงคำถามใส่ปลายฝนทันที “ฉันไม่ได้เจอกับเจคเขามาเป็นสัปดาห์แล้ว” ปลายฝนพูดกับมินตรา “ฉันถามว่า เธอรู้จักกับเจคนานแค่ไหนแล้ว” มินตราเสียงเข้ม ปลายฝนตกใจกับท่าทางของอีกฝ่าย “ก็สักพักน่ะ ฉันเจอเขาในกลุ่มหาคู่ ก็อย่างที่เธอทำนั่นแหละ” ปลายฝนตอบ นึกฉุนที่เหมือนกำลังถูกมินตราตำหนิ ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนทำนั้นไม่ต่างกัน
“แล้วเธอ” มินตรากลั้นหายใจ ถามคำถามนี้ออกไป “แล้วเธอเคยมีอะไรกับเจคแบบไม่ป้องกันมั้ย” คำถามนั้นทำเอาปลายฝนหน้าเหวอ “แบบที่บาสทำกับเธอวันนั้นน่ะหรือ” ปลายฝนถามกลับไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ มินตราพยักหน้า “ไม่เคย” ปลายฝนตอบออกมา ก่อนจะพูดต่อไปว่า “จนกระทั่งฉันไปกับเขาสองคน วันที่เธอไม่มา” น้ำเสียงของปลายฝน เหมือนกับคนกำลังจะร้องไห้ มินตราพลางนึกถึงสิ่งที่ได้คุยกับเพื่อนของเธอก่อนหน้านี้
“แกห้ามบอกใครเด็ดขาดนะ ว่าแกได้ข้อมูลคนไข้มาจากฉัน” เพื่อนของมินตราพูดมาตามสาย “มันเป็นความลับของคนไข้ ที่ฉันต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ แต่ฉันเห็นว่าเป็นแก เห็นแก่ความเป็นเพื่อนนะ” เสียงพูดนั้นสำทับให้มินตราทำตามที่สัญญาอย่างเคร่งครัด “ฉันรู้แล้วน่า” มินตราบอกเพื่อนไป “มันไม่ได้ระบุชื่อ แต่ฉันไปค้นจากเลขเคส รายนี้ก่อนหน้าที่มาตรวจ ผลเป็นลบมาตลอด” เพื่อนของมินตราเงียบไปนิดหนึ่ง “แกดูเอาเองละกัน” พูดจบก็วางสายลงทันที
“แล้ว” มินตราที่ดึงสติกลับมาอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า “แล้วสองคนนั้น แสดงผลตรวจเลือดให้เธอดูมั้ย” มินตราถามต่อ ปลายฝนส่ายหน้า “เจคไม่เคย เพราะเขาใช้ถุงยางทุกครั้ง ตั้งแต่ฉันเล่นกับเขามา” ปลายฝนบอกกับมินตราออกไปแบบนั้น “แต่คืนนั้น บาสเอาผลของเขาส่งให้ฉันดู” ปลายฝนเริ่มปากคอสั่น หยิบเอาโทรศัพท์มือถือมาเปิดให้มินตราดู โดยที่มินตราเปิดผลตรวจที่เธอได้รับจากเพื่อน เทียบให้ปลายฝนดู และในตอนนี้ ปลายฝนหน้าซีดเผือด หูอื้อตาลาย ไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
-
2.)
บาสใจเต้นรัว เมื่อเขากดเข้าไปในกลุ่มลับกลุ่มนี้ ที่เขารู้สึกสนใจใคร่รู้มานาน เพียงแต่ไม่คิดว่า ตัวเองจะมีโอกาสได้เข้ามาคุยอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย รายชื่อสมาชิกในกลุ่มยาวลงไปด้านล่าง ทุกคนมีชื่อยูสเซอร์ ตามด้วยอักษรภาษาอังกฤษ G และ B เพื่อให้เพื่อนสมาชิกรู้ว่า คนไหนคือเป้าหมายที่ต้องการจะคุยด้วย บาสไล่สายตาอ่านชื่อพวกนั้น จนไปสะดุดตากับชื่อหนึ่ง เขาจึงกดเข้าไป ก่อนส่งข้อความทักทาย
“สวัสดีครับ” ข้อความนั้นตอบกลับมาในเวลาเพียงไม่นาน “ผม G นะ ถ้าคุณยังไม่รู้” บาสใจเต้นตึกตัก คิดว่า จะตอบกลับไปยังไงดี “ครับ ผมเห็นแล้ว” บาสตอบกลับไป “ผม B ครับ ก่อนจะเห็นข้อความตอบกลับมา “คุณต้องการอะไร” บาสใจเต้นรัว ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งกลับไปทันที
“พี่ทำให้ผมได้มั้ย” อีกฝั่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมาว่า “แน่ใจหรือเปล่า” ก่อนที่บาสจะเห็นรูปเปลือยของอีกฝ่าย ส่งมาให้เขา รูปนั้นเผยให้เห็นถึงแก่นกายความเป็นชายที่ชูชัน เส้นเลือดปูดโปนชัดเจน มันเป็นความรู้สึกที่ยั่วยวนความรู้สึกทางกามมากที่สุด เท่าที่บาสเคยรู้สึกมา ยิ่งบาสได้คุยกับอีกฝ่ายมากขึ้น บาสก็ยิ่งหลงใหลบุคลิกและการพูดคุยของผู้ชายคนนี้ ยิ่งได้เปิดกล้องคุยกัน ได้เห็นรูปร่างหน้าตากัน บาสยิ่งเกิดความต้องการนั้นมากจนหยุดไม่อยู่
บาสใช้เวลาเกือบ ๆ สองสัปดาห์ตามที่อีกฝ่ายบอกเขา ให้เขามาทบทวนให้ดี ว่านี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ หรือเปล่า พอครบเวลา บาสก็ส่งข้อความไปบอกว่า เขาพร้อมแล้ว และให้ฝ่ายนั้น มาตามสถานที่ที่เขานัดไว้ได้เลย พอถึงเวลานัด เจคตัวจริงหล่อกว่าที่บาสเห็นในกล้องโปรแกรมแชทเสียอีก ตอนนี้เขาไม่ขออะไรแล้ว แค่ขอให้เจคทำตามที่เขาต้องการก็พอ
“ครั้งแรกหรือเปล่า” เจคถามบาสที่เดินเข้ามาหยุดยืนแนบชิดอยู่ที่ด้านหน้าของเขา “เปล่า ถ้ากับผู้ชายด้วยกัน เปล่า” บาสตอบออกไป เสียงของเขากระเส่าอย่างห้ามไม่ได้ เจคสบตากับบาส ก่อนจะบดริมฝีปากจูบกับบาสอย่างดูดดื่ม สองหนุ่มแลกลิ้นกันพันตู ความต้องการจากทั้งสองฝั่ง ชัดเจนอย่างปฏิเสธไม่ได้
“ผมชอบพี่ พี่เจค” ไม่พูดเปล่า บาสรูดมือขึ้นลงไปตามความยาวของความแข็งแกร่งที่หว่างขาของเจค แม้มันจะยังอยู่ภายในกางเกง แต่ก็ทำให้บาสหื่นกระหายในตัวเจคมากขึ้นและมากขึ้น เจคหยุดมือของบาส ก่อนจะหันหลัง ทำท่าจะเดินไปที่ประตูห้อง
“พี่ก็รู้ตัวดี ว่าพี่อยากทำให้ผม” เจคสอดแขนทั้งสองข้างกอดเจคจากทางด้านหลัง “ผมรู้ว่าพี่รู้ตัว ว่าพี่มีพลังอำนาจนั้นในตัว” บาสกระซิบที่ข้างหูของเจคด้วยน้ำเสียงยั่วยวน เจคหันหน้ามาหาบาส ก่อนที่บาสจะใช้ลิ้นไล่เลียไปบนริมฝีปากของเจค “พี่จะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปหรือครับ” บาสค่อย ๆ ดันตัวของเจคให้หันหน้ากลับมาทางเขา “ทำให้ผมเป็นแบบพี่นะครับ ผมต้องการมัน” บาสจับมือของเจคมาตะโบมบีบจับที่บั้นท้ายอันกลมกลึงของเขา เสียงเตือนของหมอดังเข้ามาในโสตประสาทของเจค ว่าอาการของเขาเริ่มดื้อยามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าสภาพร่างกายภายนอก บอกว่าเขาดูเป็นปกติและสุขภาพดี
“มันจะถอยหลังกลับไม่ได้แล้วนะ” เจคบอกกับบาส ที่ส่ายหน้าช้า ๆ “ผมไม่ต้องการถอยหลังกลับ” บาสบอกกับเจค แล้วจูบที่ปากของอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ใฝ่ฝัน “มันคือของขวัญ” บาสพูด ก่อนจะเริ่มถอดเสื้อของเจค “ที่พี่จะให้ผม” ก่อนจะย่อตัวนั่งลง ปลดเข็มขัดของแล้วจับกางเกงเจคถอดออก ท่อนมหึมาที่เขาเห็นในรูป ตอนนี้มาจรดอยู่ที่ปลายลิ้นของเขาแล้ว ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้น มันได้แทรกผ่านเข้าไปในช่องทางของบาส โดยที่ไม่มีอะไรกางกั้น จนเจคได้ฝากทุกหยาดหยดเอาไว้ภายในร่างกายของบาส
มินตรากลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกอ่อนล้า เธอยังคิดไม่ตก ว่าเธอจะทำยังไงต่อไปดี เมื่อเธอค้นพบเรื่องของเจคและบาส ทั้งสองคนติดต่อกันมาสักพัก ก่อนที่บาสจะนัดให้เธอไปเจอกับเจคและปลายฝน จะให้พูดจริง ๆ มินตราบอกไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ว่ารสนิยมทางเพศของทั้งเจคและบาสเป็นแบบไหน ทั้งสองคนสามารถมีอะไรกับผู้ชายและผู้หญิงได้ทั้งนั้น และทำหน้าที่นั้นได้ดีเสียด้วย
ที่น่ากลัวก็คือ ทั้งสองคนมีความต้องการอื่นอยู่ในความรู้สึกมานาน และต้องการที่จะทำตามอารมณ์แรงปรารถนานั้น มินตราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า บาสจะมีแรงขับทางเพศนี้อยู่ในตัว บนแล็ปท็อปของบาส ที่มินตราเห็น บาสเสิร์ชหาเรื่องนี้เยอะมาก บาสเป็นพวก Bugchaser ตัวอักษร B หลังชื่อยูสเซอร์เนมของเขา และนี่คงเป็นเหตุผลที่บาสค่อย ๆ ตะล่อมขอให้มินตราอมมีอะไรกับเขา โดยไม่สวมถุงยาง
มินตรายอมทำแบบนั้นเพราะผลตรวจที่ไปตรวจมาด้วยกันทั้งคู่ และตรวจเลือดด้วยกันอยู่ประจำ โดยที่เธอกินยาคุมกำเนิดอยู่ตลอด แต่มันคงจะหยุดอยู่แค่ บาสได้รับรู้ว่า การมีอะไรกันแบบเนื้อแนบเนื้อมันเป็นอย่างไร ถ้าบาสไม่มาพบกลุ่มแชทลับ สำหรับคนที่มีรสนิยมความต้องการแบบนี้เข้ามาหาคู่กัน และที่นั่น บาสก็เจอเจค
เจคคือผู้ติดเชื้อ และเขาก็รู้ตัวดี แต่แรงขับทางเพศทำให้เขารู้สึกว่า เขาเป็นผู้กุมอำนาจ เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของคนอื่น เขาเป็นพวก Giftgiver ตัวอักษร G ท้ายยูสเซอร์เนมของเขา ใช่ พวกเขาเรียกกันแบบนั้น เรียกมันว่าของขวัญ เมื่อเจคมาเจอเข้ากับ Bugchaser อย่างบาส ที่ไม่ใช่แค่เพียงต้องการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันเท่านั้น แต่ต้องการมีเซ็กส์กับผู้ที่มีเชื้อ เพื่อให้ตัวเขาเองติดเชื้อด้วย เพื่อต้องการที่จะแชร์ความรู้สึก ประสบการณ์ และชีวิตที่เหมือนกันกับอีกฝ่าย และเจคก็ไม่ปฏิเสธที่จะมอบมันเป็นของขวัญให้บาส
คืนวันนั้น มันย้อนกลับมาทำให้มินตราถึงกับเข่าอ่อน เธอยอมให้บาสหลั่งข้างในตัวเธอ โดยที่ผลตรวจที่เธอได้มาจากเพื่อน แสดงวันที่ว่าเป็นบวก ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน มินตราสับสน เสียใจ อมทุกข์ จิตตก วุ่นวายใจ เครียด และอารมณ์อื่น ๆ ที่ประดังประเดเข้ามา มินตรารู้สึกเหมือนถูกค้อนปอนด์หนัก ๆ ทุบเข้าอย่างจัง เธองงและมืดไปหมดทั้งแปดด้าน
“วันนี้คุณกลับบ้านเร็วจัง” เสียงทักนั้น ดึงความคิดของมินตราให้กลับมา “คุณทำงานหนักมากเลยนะครับช่วงนี้” สามีของมินตรา ที่เพิ่งแต่งงานกันเมื่อไม่นานมานี้เข้ามาหอมแก้มเธอซ้ายขวา “ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ” ชายหนุ่มใส่แว่นตา ดูเนิร์ด ๆ ในชุดพนักงานบริษัทยิ้มกว้างให้กับมินตรา ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอน มินตราหันมองตามไป ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนนั้นด้วย
“แล้วอย่างนี้ แม่ผมจะได้อุ้มหลานเมื่อไหร่” ชายหนุ่มหันมาพูดกับมินตรา พลางปลดเนกไทออก “นี่เมื่อวานก็โทรมาหาผม บอกให้คุณเพลา ๆ งานลงหน่อย และให้ผมขยันทำการบ้านให้มากขึ้น” มินตราได้แต่มองชายหนุ่มพูดกับเธอ เขาคนนี้เข้าใจมินตรา ว่าเธอต้องทำงานหนัก จึงเลือกที่จะมีเซ็กส์กับเธอแบบป้องกันมาตลอด
“แต่ เราจะทำยังไงกับเจ้าพวกนี้ดี” มินตราฝืนยิ้มตาม เมื่อชายหนุ่มหยิบเอาซองถุงยางจากลิ้นชักโต๊ะเล็กข้างเตียงออกมาพูดเย้าภรรยา ว่าถ้าใช้มัน ย่าคงอดอุ้มหลานเป็นแน่ มินตราได้ยินอีกหลายเรื่องที่สามีบอกกับเธอ รวมทั้งเรื่องที่ทั้งสองคน ควรจะไปตรวจร่างกายให้แน่ใจเสียก่อนที่จะมีลูก มินตราได้แต่กรีดร้องอยู่ภายในใจ
“พี่สองคนดูดีมากกว่าในกล้องอีกนะครับ” เสียงเด็กหนุ่มวัยยี่สิบพูดขึ้น เมื่อทั้งหมดนัดเจอกันที่ร้านกาแฟ หรูหรา แต่หลบมุมและดูเป็นส่วนตัว “ชอบมั้ยล่ะครับ” บาสถาม เด็กหนุ่มพยักหน้ายืนยัน เจคมองเด็กหนุ่มด้วยสายตายั่วกามอารมณ์ “พี่ทั้งสองคน รุกผมได้มั้ย” เด็กหนุ่มถามขึ้น หลังจากได้เห็นอาวุธคู่กายของทั้งสองคนจากรูป ก่อนหน้านี้
“ผมอยากได้ของขวัญจากพี่ทั้งคู่” ใบหน้าของเด็กหนุ่ม ไม่อาจซ่อนความต้องการและแรงขับนั้นได้มิด “ได้แสดงฝีมือจริง ๆ แล้วนะบาส” เจคกระซิบบอกกับบาส ที่ตอนนี้ยูสเซอร์ของเขา ต่อท้ายด้วยตัวอักษร G แล้ว และมีเด็กคนนี้ส่งข้อความทักมาว่าเขาเป็น B และต้องการที่จะเป็นพวกเดียวกัน บาสจึงเสนอว่า ถ้าจะเล่นกัน เขาจะเล่นพร้อม ๆ กันกับแฟนเท่านั้น และเด็กหนุ่มก็ตอบตกลง ให้ทั้งเจคและบาสมาเปลี่ยนเขาตามแต่จะต้องการ บาสยิ้มกริ่ม เจคเองก็เช่นกัน และค่ำคืนนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ก็คงจะยิ้มให้กับผลงานของเขาสองคนเช่นกัน
*******************************************
Inspired by “เพลงอย่าใกล้กันเลย”
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPPA
https://www.youtube.com/watch?v=d7VtzO92qJQ
เราต่างก็รู้ดี เธอเองก็มีใคร
We all do know, You’ve got someone
และฉันก็มีของฉัน
And I’ve already had mine
ฉันรู้ว่าผิด ถ้าคิดจะชอบกัน
I know it’s wrong for us to have these feelings
แต่อยากเหลือเกิน กับการจะห้ามใจ
But it’s so damn difficult to avoid this taboo
เธออาจจะเหมือนไฟ ฉันเหมือนกับน้ำมัน
You are the fire, and I am the fuel
ทิ้งไว้ใกล้กันก็ติดไฟ
Both burst into flame
เผาผลาญทุกอย่าง เผาผลาญทั้งจิตใจ
Burning down everything, burning all hearts to the ground
ฉันคิดว่าเราอย่าใกล้กันเลย
I wish we never got this very close
ก่อนที่ใครสักคน จะคิดเลยเถิด
Before someone is out of hand
จะคิดให้มันมากกว่านี้
Or goes too far with this
มันคงไม่ดีเท่าไหร่
It’ s not such a good idea
ก่อนที่ใครสักคน จะเริ่มทำผิด
Before someone is making a mistake
ฉันคิดว่าควรหยุดดีไหม
Shall we stop it at this moment?
อย่าปล่อยเอาไว้ ให้มันลุกลาม
Don’t let it be monstrously aggressive
เราต่างก็รักกัน ฉันนั้นต้องการเธอ
We enjoy each other’s company, I’d love to have you
และรู้ว่าเธอ ต้องการฉัน
And I know you do need me for good
ฉันรู้ว่าผิด ที่คิดไปอย่างนั้น
It’s forbidden to have that kind of thought
และไม่ต้องการให้มันเกิด ขึ้นเลย
I don’t really desire this uncanny combustion to happen
เธอกลับไปเสียเถอะ ขอร้องอย่ามาเจอ
You should better leave, please don’t come back around here
เพราะเขาต้องการ เธอเช่นกัน
‘Cause your family, they need you there as well
และฉันรู้อยู่ ว่าคนข้างข้างฉัน
And I absolutely realize that my love here
คงไม่ต้องการจะเสียฉันไป
Definitely is not going to lose me
ก่อนที่ใครสักคน จะคิดเลยเถิด
Before someone is out of hand
จะคิดให้มันมากกว่านี้
Or goes too far with this
มันคงไม่ดีเท่าไหร่
It’s not such a good idea
ก่อนที่ใครสักคน จะเริ่มทำผิด
Before someone is making a mistake
ฉันคิดว่าควรหยุดดีไหม
Shall we stop it at this moment?
อย่าปล่อยเอาไว้ ให้มันลุกลาม
Don’t let it be monstrously aggressive
ต่อจากวันนี้ ให้เป็นเพียงฝัน
From today and beyond, call it just a dream
แค่เพียงเท่านั้น มันคงจะพอแล้ว
Keep it that way, that how it’s supposed to be
ก่อนที่ใครสักคน จะคิดเลยเถิด
Before someone is out of control
จะคิดให้มันมากกว่านี้
Or acts irrationally
มันคงไม่ดีเท่าไหร่
That is not how things go
ก่อนที่ใครสักคน จะเริ่มทำผิด
Before one of us commits acts of indecency
ฉันคิดว่าควรหยุด จะดีไหม
I’d rather stop it right now, don’t you think?
อย่าปล่อยเอาไว้ ให้มันลุกลาม
Let’s not blow things way out of proportion
อย่าปล่อยเอาไว้ ให้มันลุกลาม
Never ever open up a Pandora’ s box
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 8. คู่กัน
“ยังไม่พบการเคลื่อนไหวใด ๆ” เสียงรายงานกลับไปของผู้ชายสองคน ที่นั่งอยู่ที่ร้านกาแฟหัวมุมถนน และเล็งไปที่บันไดลงมาจากตึกที่ฝั่งตรงข้ามถนน “เป้าหมายคือผู้ชายตัวเล็ก ผิวขาว อายุปลายยี่สิบ ผมสั้นสีดำขลับเสยไปด้านหลัง ความยาวแค่ท้ายทอย อาจจะสวมชุดธรรมดาที่ไม่สะดุดตา เฝ้าระวังให้ดี” ชายสองคนนั้น รับทราบรายละเอียดรูปพรรณสัณฐานส่งมาให้
“เฮ้ยดูนั่น” สองหนุ่มพากันมองไปที่สาวสวยผมยาวสีทอง รูปร่างอวบอัด ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวตัวโคร่ง กางเกงรัดรูปสีดำ ทำให้ดูทะมัดทะแมง แว่นตากันแดดกรอบขนาดใหญ่ ดูแฟชั่นเฉี่ยวคม ปิดบังใบหน้าเรียวได้รูปนั้นไว้ แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความน่ามองเอาไว้ได้หมด สองหนุ่มเห็นสาวสวยคนนั้นมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่ที่มุมปากสีแดงชาด รู้ตัวว่าถูกสองหนุ่มมองมา ก่อนจะค่อย ๆ หันออกเดินไปยังทิศทางที่ต้องการ
“ว้าว สวยฉิบ” สองหนุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินไปชะโงกหน้ามองตาม พูดกันอย่างออกรส ขณะกลับมานั่งที่โต๊ะกาแฟ ว่าถ้าหากมีเวลาได้อยู่กับสาวสวยทรงสะบึมนั้นสักคืนนะ จะจัดให้แจ่ม ๆ เลย “โอ๊ะ ซอรี่” ก่อนจะเห็นว่ามีชายวัยกลางคน หัวล้าน อ้วนพุงพลุ้ย เดินสะดุดพร้อมกับทำเครื่องดื่มในแก้วหกใส่กระเป๋าทรงยาวสีดำที่วางอยู่บนพื้นของทั้งสองคน
“เฮ้ ระวังหน่อยสิพวก” ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นมาดูว่าของด้านในกระเป๋าเสียหายหรือเปล่า ชายวัยกลางคนนั้น มองเห็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกภายในนั้น ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ พ่นน้ำยาอะไรบางอย่าง ลงไปในแก้วกาแฟของทั้งคู่อย่างรวดเร็ว “ซอรี่ ซอรี่” ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“สิบ เก้า แปด เจ็ด” ก่อนจะนับถอยหลังขณะที่ผ่อนความเร็วในการเดินให้ช้าลง “สอง หนึ่ง” แล้วจึงหันเดินกลับไปทางโต๊ะกาแฟที่ตั้งอยู่หน้าร้านนั้น ชายสองคนฟุบหลับหน้าวางพาดอยู่บนโต๊ะ ชายพุงโตหย่อนก้อนทรงกลมสีเทาลงในกระเป๋าใบยาวสีดำนั้น แล้วจึงรีบเดินออกมา เสียงคนโวยวายดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อมีควันลอยออกมาจากกระเป๋าใบนั้น และชายสองคนนั้น ที่พนักงานร้านกาแฟร้องเรียกเสียงดังลั่น เขย่าตัวปลุก แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา
“ถ้าคุณไม่ได้ผมช่วย คุณซวยไปแล้วนะ” เสียงหล่อ ๆ ดังขึ้นจากอุปกรณ์รับเสียงที่ใส่เอาไว้ในหู “คิดว่าเอาตัวรอดได้ไม่ยากโดยไม่มีคุณ” เสียงตอบกลับนั้น ทำเอาชายหัวล้านพุงโตที่เดินตามมาห่าง ๆ ที่อีกฝั่งถนน ต้องหลุดยิ้มออกมา “เฮ้อ ขอบคุณสักคำก็ไม่มี” เสียงพูดแสดงอาการน้อยใจ สาวสวยผมบลอนด์ได้ยินแล้วต้องรีบซ่อนยิ้มเอาไว้ในหน้า
“แจ้งพิกัด” เสียงพูดเลี่ยงไปเรื่องอื่น เมื่อสาวผมบลอนด์ ไปหยุดยืนอยู่ทางคนเดินข้าม ที่ฝั่งตึกถนนด้านหน้า เป็นทางลงไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน “สถานีแกรนด์เซ็นทรัลเพ็นน์” เสียงยืนยันพิกัดตอบกลับมา “เจอกันในอีกสามสิบนาที” สาวสวยผมบลอนด์ทรงอึ๋มพยักหน้ารับคำสั่ง “สวยจัด ๆ เลยนะวันนี้” ก่อนจะได้ยินเสียงชมดังผ่านเครื่องรับสัญญาณมา สาวผมบลอนด์ยกมือซ้ายขึ้นแตะที่ผมด้านหลังหูของเธอ ก่อนจะหักนิ้วทั้งหมดลง คงเหลือแต่นิ้วกลางให้คนที่เพิ่งเอ่ยปากชมต้องหลุดหัวเราะออกมา
เขารอจนสาวสวยคนนั้น เดินข้ามฝั่งไป จนเดินต่อลงไปที่สถานีใต้ดิน ก่อนที่ตัวเขาจะเลี้ยวไปทางซ้าย มองเห็นชายอีกสองคน นั่งประจำที่อยู่ที่หน้าร้านกาแฟ มีกระเป๋าใบยาวสีดำเหมือนกับชายสองคนก่อนหน้า ชายลงพุงทำอย่างเดียวกันกับอีกสองคนนี้ ก่อนจะใช้โทรศัพท์มือถือของหนึ่งในชายสองคนนั้น กดเบอร์หาเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้ววางค้างสาย เอาไว้บนโต๊ะกาแฟที่ทั้งสองฟุบหลับ ก่อนจะรีบเดินจากไป
สาวผมบลอนด์เดินออกจากสถานีใต้ดิน นาฬิกาบอกเวลาว่าเหลืออีกห้านาที จะถึงเวลานัดหมาย ตึกสูงเสียดฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า คือพิกัดของปฏิบัติการครั้งนี้ ด้านล่างตึก มีหน่วยรักษาความปลอดภัยยืนกันอยู่หนาแน่น การจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปแบบนั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอน สาวผมบลอนด์รอจังหวะจนสบโอกาส เดินเลี่ยงไปทางด้านข้าง ก่อนจะเดินอ้อมไปที่ด้านหลังตึก
ด้านหลังตึกปลอดคน สาวสวยผมบลอนด์ขยับกรอบแว่นสองครั้ง ก่อนที่แผงรหัสบนประตู จะปรากฏลายนิ้วมือ เผยให้เห็นตัวเลขสี่ตัวที่ต้องการ และเพียงไม่นาน หลังจากกดคอมบิเนชั่นถูกต้องจากการเดาตำแหน่งตัวเลข เพียงสองครั้งเท่านั้น ประตูก็ถูกเปิดออก สาวผมบลอนด์รีบเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูตามหลัง แว่นกันแดดปรับความสว่างโดยอัตโนมัติ ให้สามารถมองเห็นได้ในที่มืด ทำให้เห็นทางเดินยาวตรงไป ก่อนจะพาไปสู่โถงกว้างที่ซ่อนตัวอยู่ภายในตึกแห่งนี้
หนุ่มหล่อในชุดทักซิโด้ก้าวลงจากรถสปอร์ตคันหรู ที่หน้าตึกสูงเสียดฟ้านั้น เขาเดินเข้าไปที่ทางเข้า ที่ถูกควบคุมโดยเหล่าหน่วยรักษาความปลอดภัย ชายหนุ่มถูกขอให้วางฝ่ามือลงบนหน้าจอทางเข้า เพื่อสแกนยืนยันตัวตน หน้าจอเลื่อนอ่านลายมือของเขา ก่อนจะขึ้นสัญญาณสีเขียวว่าผ่าน ชายหนุ่มประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน เมื่อแผ่นหนังเทียมที่แปะไว้ เคลื่อนหลุดออกตอนเขายกมือขึ้นจากหน้าจอ
ด่านสุดท้าย เขาถูกขอให้สแกนม่านตา แสงสีแดงจากเครื่องอ่านสาดเข้าหา หน่วยรักษาความปลอดภัยกระชับอาวุธที่อยู่ในมือ เตรียมพร้อมหากว่าเครื่องตรวจจับสิ่งแปลกปลอมได้ ไฟแสดงผลสีเขียวพร้อมเสียงพูดจากคอมพิวเตอร์ ยืนยันว่าเขาคือทายาทอภิมหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันเกือบทั่วโลก ที่จะมาร่วมการแสดงความสำเร็จสุดยอดของนวัตกรรมใหม่แห่งยุค
หนุ่มหล่อหุ่นดูชวนฝัน เดินไปที่ลิฟต์เฉพาะกิจของงานในวันนี้ พนักงานกดประตูลิฟต์ให้เปิดออก ซึ่งแขกผู้ร่วมงานวีไอพีเหล่านี้ สามารถขึ้นไปได้เพียงทีละคนหรือทีละกลุ่มที่มาด้วยกันเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของเหล่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ประตูลิฟต์ปิดเข้าหากัน ก่อนจะพาชายหนุ่มพุ่งทะยานจากด้านล่าง ขึ้นไปที่ชั้นบนสุด ที่เป็นสถานที่จัดงานอันเป็นความลับสุดยอดนี้
“ประจำที่” ชายหนุ่มพูดขึ้น ถอดคอนแท็คเลนส์ ก่อนประตูลิฟต์จะเปิดออก “รับทราบ จะถึงแหล่งกำเนิดพลังงานภายในอีกสิบนาที” สาวผมบลอนด์ตอบกลับ แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงกลางโถงกว้างนั้น ก่อนจะมองเงยหน้าขึ้นไปด้านบน ที่มีโดมกระจกทรงโค้ง สาวผมบลอนด์ใช้นิ้วโป้งเสยวิกผมสีทองนั้นให้หลุดออก ก่อนจะถอดเน็ตคลุมผมตามมา เผยให้ผมสั้นสีดำขลับ ถูกเสยขึ้นความยาวเพียงท้ายทอย
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวถูกถอดออกเช่นกัน เผยให้เห็นถึงบอดี้สูทสีดำรัดรูป ที่หน้าอกหน้าใจนั้นอวบอิ่มเย้ายวน เจ้าตัวหยิบเอาวัตถุทรงกลมออกมาจากเข็มขัด กดเบา ๆ ก่อนที่สลิงจะพุ่งขึ้นไปในอากาศ เสียงคลิกเบา ๆ ดังขึ้นเมื่อปลายสลิงมัดเข้ากับโครงเหล็กบนโดมโค้งนั้นแน่นแล้ว มือกดปุ่มสีแดงบนผิวของวัตถุทรงกลม เพื่อให้สลิงดึงตัวขึ้นไปด้านบน
“เฮ้ย แกเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” เสียงถามนั้นดังขึ้น ก่อนที่จะรู้สึกถึงข้อเท้าข้างหนึ่งถูกมือดึงรั้งเอาไว้ ให้กลับลงมาที่พื้น “จีน เกิดอะไรขึ้น” เสียงถามนั้นดังเข้ามาในหู แต่ตอนนี้ไม่สามารถหยุดอธิบายได้ พอสะบัดขาให้หลุดออกจากการเกาะกุมนั้นได้ ศิลปะแม่ไม้มวยไทยก็ถูกงัดออกมากระหน่ำเข้าหาสมุนสามคน ที่กรูรุมกันเข้ามา หมัด เข่า ศอก แข้ง ถูกระดมเข้าใส่คู่ต่อสู้
“เก่งนักใช่มั้ย” เสียงพูดนั้นดังขึ้น ก่อนที่จีนจะเห็นมีดคมกริบแวววับ ถูกแทงเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายอย่างจัง ก่อนที่ร่างของจีนจะถูกดันไปจนกระแทกเข้ากับผนังซีเมนต์ “เสร็จข้าล่ะ” จีนก้มมองมีดที่ปักเข้ามาในอกอวบอิ่มนั้นจนมิดด้าม จีนดึงมีดออกจากปทุมถัน จะว่าไม่เจ็บก็ไม่ใช่ เพราะมันรู้สึกจุกอยู่ไม่น้อย ก่อนจะดึงเอาหน้าอกทรงโตด้านซ้ายนั้นออกมาจากชุดบอดี้สูท
“เฮ้ย ผู้ชายรึ” เสียงพูดนั้นตกใจ “เซอร์ไพรส์” จีนพูดก่อนจะจับหัวของอีกฝ่าย กดลงมากระแทกกับเข่าลอยของเขา สมุนทั้งสามคนสลบเหมือดอยู่บนพื้น “จีน จีน ตอบผมด้วย” คำถามนั้น เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ “เอซ ผมโอเค” จีนตอบกลับอีกฝ่ายไป “เจออุปสรรคเล็กน้อย ต้องดีเลย์ แต่ไม่เกินห้านาที” จีนพูดจบก็กดปุ่มให้สลิงดึงตัวเขาขึ้นไปด้านบน
เอซต้องรีบปรับอาการร้อนรนที่แสดงออกมา เมื่อรู้ตัวว่า กำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น เมื่อเขาเผลอเรียกจีนออกมาเสียงดัง ตอนที่ได้ยินเสียงผิดปกติ ดังมาจากเครื่องรับสัญญาณ แถมจีนก็ไม่ยอมตอบเขาในทันทีเสียอีก คิดได้แบบนั้นไม่ทันไร หางตาก็ปรายไปเห็นการเคลื่อนไหวของทีมรักษาความปลอดภัยที่ทางตึกจ้างมาเป็นกรณีพิเศษ
พวกมันคงรู้ตัวแล้วว่า มหาเศรษฐีหนุ่มหล่อคนเดียวกัน แต่มีสองคนในงานงานเดียวกัน พร้อมกับรถสปอร์ตสุดหรูสีเดียวกัน แต่ป้ายทะเบียนเดียวกันสองคัน ตัวจริงคงมาถึงที่งานนี้แล้วเช่นกัน ไวเท่าความคิด เอซขยับเท้าเดินไปที่รูปปั้นก้อนหินสลัก ที่มีลูกเหล็กเล็ก ๆ หลายร้อยลูกวางประดับอยู่ที่ฐาน ก่อนจะกดคันโยกที่ใช้เคลื่อนรูปปั้นขึ้นลง ให้ฐานมันขยับ ลูกเหล็กเหล่านั้นกลิ้งเข้าหาบรรดาหน่วยรักษาความปลอดภัยที่วิ่งเข้ามา พากันล้มระเนระนาด
เอซคว้าปืนจากเอวของหนึ่งในหน่วยรักษาความปลอดภัย ที่ตัวไถลมาทางเขาพอดี เอซกดเข่าขวาของเขาลงบนไหล่ของอีกฝ่าย ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่น เอซคงน้ำหนักเอาไว้แบบนั้น ก่อนจะเล็งปืนยิงไปที่ไฟฟอลโล่วติดตามตัวทั้งสี่ด้านให้ดับลง เพื่อที่ว่าในความมืด เขาจะไม่กลายเป็นเป้าโจมตีให้กับหน่วยรักษาความปลอดภัยพวกนี้
“ขอบใจสำหรับปืนนะ” เอซพูดก่อนจะชกเข้าที่หน้าเจ้าของปืนจนสลบ ในความมืด เสียงกรีดร้องท่ามกลางความโกลาหล จากบรรดาแขกวีโอพี แสงไฟวาบขึ้นและเสียงดังตูมสนั่น จากระเบิดควันที่เอซโยนไปในอากาศตรงกลางงาน เสียงสั่งการให้ควานหาตัวเขามาให้ได้ดังมา เมื่อเอซออกมาจากที่นั่นตรงบริเวณประตูลับด้านข้างเวที ที่ฝ่ายข้อมูลได้แจ้งไว้ก่อนหน้าแล้ว
“พวกมันไหวตัว เจอกันที่จุดนัดพบ เพื่อทำลายแหล่งกำเนิดพลังงาน” เอซพูดผ่านเครื่องรับสัญญาณไป “อีกสองนาที ถึงที่หมาย” จีนตอบกลับ เอซเดินผ่านทางเดินแคบ ๆ นั้น ก่อนจะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และเลี้ยวซ้ายอีกที ชายหนุ่มดันประตูให้เปิดออก ก่อนจะต้องเบี่ยงตัวหลบ เมื่อมีหมัดสวิงเข้ามาใส่ใบหน้าของเขา เอซคว้าเอวอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะรวบร่างนั้นเอาไว้ในอ้อมแขน
“จีน ผมเอง” เจ้าของชื่อที่พยายามจะรัวหมัดเข้าใส่ หยุดดิ้นขัดขืน ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “คุณไม่เป็นไรนะ” จีนถาม ก่อนมองสำรวจไปที่เอซ “ผมโอเค ว่าแต่” เอซเองก็มองไปที่จีน ก่อนจะเอามือลูบไปบนหน้าอกที่แฟบแบนไปข้างหนึ่ง แต่เหลืออีกข้างที่ยังโตอวบอั๋นอยู่ ตอนนี้จีนจึงกลายเป็นนางมณโฑ ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“เสียใจด้วย มันเหลืออยู่ข้างเดียว เอ้า เอาไป” จีนดึงหน้าอกเทียมข้างที่เหลือส่งใส่มือเอซ “แล้วที่คุยกันเอาไว้ ว่าจะยืมชุดนี้กลับไปด้วยล่ะ” เอซถามจีนที่เดินนำหน้าเขา รู้สึกผิดหวัง ที่วันนี้อะไร ๆ มันไม่ค่อยเป็นไปตามแผนนัก โดยเฉพาะเรื่องที่เขาจะหาความซู่ซ่ามาเติมความสัมพันธ์ เสียงตื๊ดสองครั้งดังขึ้นในหูของเอซ นั่นแสดงว่ามีสายนอก ที่เป็นสายปกติเรียกเข้ามา
“ครับ” เอซรับสายนั้น “เอ่อ” เอซลากเสียงยาวจีนหันมามองหน้าเขา “สีฟ้าละกันครับ” จีนได้ยินเอซพูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะท้วงออกไป “เดี๋ยวก่อน ช่างวอลล์เปเปอร์ใช่มั้ย” เอซเห็นแววตานั้นของจีน ก็รู้ได้ทันทีเลยว่า มันไม่ใช่สีที่ถูกต้องอีกแล้ว “สีขาว” จีนบอกกับเอซ ก่อนที่เอซจะบอกไปที่ปลายสายอีกที “แต่เดี๋ยวก่อน” เอซเลิกคิ้วขึ้น เมื่อจีนจับที่ข้อมือของเขา
“สีฟ้าก็ได้” ทุกทีสิน่า เอซตะโกนอยู่ในใจคนเดียว จีนทำตาเขียวปั้ดใส่ เอซยกไหล่ทำท่าว่า เขายังไม่ได้พูดอะไร “แต่ถ้าจะให้พูด ผมก็เลือกทุกอย่างเป็นสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอนะ หรือไม่จริง” จีนเอียงหน้านิด ๆ มองมาทางเอซที่วางสายจากช่างไปแล้ว “ก็สีขาวมันสว่างไป คุณก็ให้เครดิตผม มันจะเป็นอะไรไป” จีนเกลียดนักเวลาที่เอซพูดหรือทำอะไรถูก แล้วเขากลายเป็นคนที่ต้องยอมแทนที่จะเป็นเอซ
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงช่องว่างสองฝั่งที่แยกไกลออกจากกันมาก ไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้เอง และถ้าขืนทำอย่างนั้น แล้วร่วงตกลงไป ก็เจอกันอีกทีที่พื้นด้านล่าง ที่มันคือความสูงเป็นร้อยเมตรจากตรงนี้ จีนหยิบเอาปากกาออกมาจากช่องด้านข้างของรองเท้าบู้ท ก่อนจะกดตรงกลางของปากกา ปลายปากกาที่แยกเป็นสี่แฉก ส่งสลิงพุ่งตรงไปปักที่ผนังอีกฟากหนึ่ง จีนดึงเอาอีกด้านของปากกา มาปักเข้ากันผนังด้านนี้ เมื่อลองดึงดูว่าแน่นดีแล้ว ก็ยกนิ้วโป้งเป็นสัญญาณว่าใช้งานได้ปลอดภัย
“ให้ผมไปก่อน ทดสอบน้ำหนัก” เอซพูดขึ้น เขาต้องรับรองความปลอดภัยให้จีนก่อนเสมอ จีนจำได้ดี ตั้งแต่การออกปฏิบัติการครั้งแรกด้วยกัน ความปลอดภัยของจีน คือหัวใจของเอซ และนั่นคือสิ่งที่เอซพูดบอกกับจีนเอาไว้ เอซดึงตัวขึ้นคร่อมไปบนลวดสลิง มันไหวเอนไปตามน้ำหนักร่างกายของเขา แต่เขาเคยเทรนมาแล้ว ไม่นานเอซก็ควบคุมได้ และใช้สองมือดึงตัวให้เลื่อนไปด้านหน้า
“ตามผมมาได้เลย ทิ้งระยะห่างเล็กน้อย” เอซบอกกับจีน เมื่อเขาแน่ใจว่า ลวดสลิงนั้นแข็งแรงและยึดผนังแน่นมากพอสำหรับน้ำหนักของทั้งสองคน จีนทำตาม ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็ข้ามเลยกึ่งกลางลวดสลิงมาแล้ว ก่อนที่ลวดสลิงจะสั่งไหวอย่างแรง เมื่อทั้งสองหันไป ก็เห็นบรรดาเหล่ารักษาความปลอดภัย กำลังช่วยกันเขย่าลวดสลิงนั้น เอซตะโกนบอกจีนให้รีบดังตัวข้ามไป
“จีน” เอซก้มลงไปเอื้อมมือคว้าแขนของจีนได้ทัน เมื่อจีนพลัดหล่นจากลวดสลิง เสียงจากอีกฝั่งดังข้ามมาว่า ไม่ต้องเขย่าแล้ว ให้ยิงได้เลย เอซใช้พลังแขนของเขาทั้งหมด ดึงจีนและตัวเขาเองให้เคลื่อนเข้าหาขอบพื้นอีกด้าน จีนคว้าปืนที่ร่วงจากเอวของเอซพอดี ไม่รอช้า เอี้ยวตัวหันไปที่อีกฝั่ง แล้วยิงสกัดสมุนพวกนั้นเอาไว้
“กระโดด” ก่อนที่จะได้ยินเสียงเอซร้องบอกจีนให้ปล่อยมือได้ จีนตกลงบนพื้นของอีกฝั่ง ที่เป็นทางลาด หายเข้าไปในผนัง “จีน” เอซร้องเรียก เมื่อเห็นอีกฝ่าย ม้วนตัวบนพื้น ก่อนจะพุ่งหายเข้าไปตามทางลาดนั้น เอซกระโดดลงบนพื้นด้านข้าง เสียงปืนยิงไล่หลังมา เขาจำเป็นต้องหลบไปทางลาดอีกด้านหนึ่ง แล้วสไลด์ตัวตามลงไป ก่อนที่สองทางลาดจะบรรจบกัน
เอซรับร่างของจีนเอาไว้ได้พอดี เขาเอามือกดให้ใบหน้าของจีนซบลงที่แผงอกของเขา ก่อนที่ทั้งสองจะไถลออกจากช่องทางลาดนั้น ทั้งคู่รีบลุกขึ้นมาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง อยู่ในท่าเตรียมพร้อม จีนเล็งปืนตามองตรงไปที่เบื้องหน้าของเขา ก่อนจะหันกลับไปด้านหลังอีกทาง จ้องเขม็ง เล็งปืนไปด้านหน้า พร้อมที่จะสาดกระสุนเข้าใส่ หากว่ามีภัยเข้ามาคุกคาม
“ตอนนี้เราต้องจัดการทำลายเครื่องกำเนิดพลังงานแล้ว” เอซพูดขึ้น จีนพยักหน้า ก่อนจะกดปุ่มเพื่อให้ระเบิดทำงาน สมุนที่กำลังจะพยายามข้ามลวดสลิงมาที่ฝั่งนี้ ได้ยินเสียงติ๊ดถี่ ๆ จากปลายเชือกสลิงทั้งสองข้าง ก่อนที่เสียงตูมสนั่นจะดังขึ้น เอซและจีนที่วิ่งมาจนถึงปลายสุดทางอุโมงค์ ที่มองออกไปด้านนอก มันคือแม่น้ำที่ไหลอยู่เบื้องล่าง
“เราต้องโดด ถ้าเราโดนควันจากสารนั่น เราแย่แน่” เอซพูดยังไม่ทันจะขาดคำ เสียงระเบิดก็ไล่ตามหลังพวกเขามา เอซจับมือจีน แต่เขาถูกจีนผลักให้พุ่งตัวลงไปในแม่น้ำ สายตาของเอซมองเห็นว่าจีนพุ่งตัวตามเขาลงมา แต่ควันจากสารอันตรายนั้น คลุ้งอยู่รอบตัวของจีน เอซพุ่งตัวขึ้นมาพ่นลมหายใจที่เหนือผิวน้ำ เขาตะโกนร้องเรียกชื่อของจีนซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น
“จีน จีน” เอซรีบว่ายน้ำเข้าไปหาเจ้าของชื่อ ที่พุ่งขึ้นมาไอที่เหนือผิวน้ำ เอซเห็นแบบนั้น ก็หยิบเอาหลอดยาต้านออกมาจากช่องลับของชุดทักซิโด้ เป้าหมายคือ แทงมันเข้าไปที่หัวใจของจีน เพื่อหยุดยั้งสารเปลี่ยนพันธุกรรม ที่จะทำการปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอที่ทำให้คนเกิดมาเป็นรักร่วมเพศ ให้ปรับเปลี่ยนไปมีความชอบในเพศตรงข้าม
“จีน ไม่นะ” เอซร้องเสียงดัง เมื่อจีนแสดงอาการต่อต้านเขา จีนจับข้อมือของเขาเอาไว้ ไม่ยอมให้เขาปักเข็มยาต้านนั้นลงไปที่หัวใจ “ผมไม่ยอมหรอก” เอซไม่อาจจะให้จีนเปลี่ยนไปได้ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร หากว่าเรื่องมันเป็นไปแบบนั้น “เอซ ถ้าอยากจะพิสูจน์ละก็” เสียงจีนพูดขึ้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้กับเขา แล้วจีนก็ประกบริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเอซ ชายหนุ่มโล่งใจ ระดมพรมจูบไปทั่วใบหน้าของจีน กอดจีนเอาไว้จนแน่น เมื่อเขารู้ว่า เขาไม่ได้สูญเสียจีนไปตลอดกาล
จีนกับเอซขับรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านเดี่ยว สงบเงียบที่นอกเมือง ก่อนที่ทั้งคู่จะก้าวลงจากรถ ช่วงหัวค่ำแบบนี้ บ้านหลังข้าง ๆ ถัดไปซ้ายขวา ครอบครัวได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว มีทั้งบ้านคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ถัดจากบ้านของเขาไปทางขวา คุณพ่อคุณแม่ชายหญิงที่เพิ่งคลอดอยู่หลังถัดไปทางซ้าย ส่วนบ้านของเอซและจีนนั้น
“เดี๋ยวสิครับ” เอซดึงมือของจีนเอาไว้ ให้หันหน้ามาหาเขา “ลืมอะไรไปหรือเปล่า” พอเอซถามแบบนั้น จีนก็นึกขึ้นได้ ก่อนจะยื่นมือซ้ายออกไปให้เอซแต่โดยดี “น่าโดนทำโทษจริง ๆ” เอซที่สวมแหวนแต่งงานอยู่ก่อนแล้ว พูดคาดโทษกับจีน ขณะที่เขาสวมแหวนแต่งงานลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย “ผมรักคุณนะ จีน” เอซหอมเข้าที่แก้มขอองคู่ชีวิตของเขา “ผมก็รักคุณ เอซ” จีนตอบกลับ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าบ้าน ที่ประตูบ้านได้ถูกเปิดออก
“ไหน ใครกลับมาแล้วเอ่ย” เสียงคุณยาย ผู้เป็นแม่ของจีนถามหลานชายตัวน้อยวัยสี่ขวบของเธอ ที่หัวเราะดีใจ ที่ได้เห็นพ่อทั้งสองคนของเขากลับถึงบ้าน หลังจากออกไปทำงานมาทั้งวัน “ทำไมดูเหนื่อยกันทั้งคู่เลย ฮึ ยู” แม่ถามลูกชายของเธอ “ว่าไง เท็น” ก่อนจะแตะเข้าที่ใบหน้าของลูกเขย “นิดหน่อยครับแม่ วันนี้ถ่ายฉากสตั๊นท์เยอะไปหน่อย ส่วนยูเขา บทที่เขียนยังไม่ลงตัวน่ะครับ” เท็น หรือชื่อรหัสลับ เอซ ตอบกลับแม่แฟน โดยมียู รหัสลับ จีน ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ แม่ของยู รับรู้ว่าลูกชายของเธอทำงานเป็นนักเขียนบท ภาพยนตร์ ส่วนลูกเขยนั้น เป็นหัวหน้าทีมสตั๊นท์แมน
“ยู พาตาหนูเข้านอนก่อนไป แล้วไปอาบน้ำอาบท่า เท็นด้วยลูก เดี๋ยวแม่จัดกับข้าวให้” เท็นและยูรับคำของแม่ ก่อนจะพาลูกชายของพวกเขา ไปกล่อมนอนจนหลับปุ๋ยไปแล้ว “ผมบอกแล้ว ว่าวอลล์เปเปอร์ต้องสีฟ้า ไม่งั้น สว่างแยงตา ลูกนอนไม่หลับพอดี” เท็นพูดกับยู ตอนที่พวกเขาเดินกลับห้องนอน “รู้แล้วครับ พ่อคนเก่ง” ยูยอมให้เท็นก็ได้ในครั้งนี้ เท็นดึงยูเข้ามากอดจนแน่น โล่งใจที่ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแบบที่มันควรจะเป็น
เท็นกับยูนั่งกินข้าวด้วยกัน มีแม่ของยูชวนทั้งสองคนคุยเป็นระยะ มีรายงานข่าวสั้น ๆ ในทีวี ว่าเกิดเหตุระเบิดไม่รุนแรงที่ด้านหลังตึกติดกับแม่น้ำในเมือง แต่ยังไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ก่อนที่ช่องทีวีนั้น จะตัดสัญญาณแล้วเปลี่ยนเป็นรายการปรกติของทางสถานี เท็นและยูสบตากันเพียงแวบเดียว ก็หันไปคุยกับแม่ เหมือนว่าวันนี้ เป็นเพียงวันธรรมดา วันหนึ่งเท่านั้น
***********************************
Inspired by “เพลงสุด...สุด”
คำแปลเนื้องร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=cVpixdydQgs
บนสวรรค์อยู่ตรงนั้น มันก็คงไม่ตึกตึก
Up there in heaven, things may not be thrilling
มันก็คงไม่คึกเท่าไหร่
Things may not get us electrified
แต่ตอนนี้อยู่กับฉัน
But now you’re with me
ใจของเธอเต้นตึกตึก
That should get you all excited
ใจของเราเริ่มร้อนแรง
All these feelings rush to or hearts
หัวใจมันร่ำร้อง จะให้พอได้ไง
Heartbeats are roaring, they cannot be stopped
เอาอีกนิดต่ออีกนิดเร้าใจ
Causes the emotion to stir
เพลิดเพลินไปกับแสงสี
Lights are flashing all the joy
ที่มันหลากหลาย เธอกับฉัน
Varied bliss for you and me
มาอีกนิด เข้ามาชิด จังหวะของเรา
Get closer, come all the way the rhythms
ขอเพียงเธอยอมเป็นเธออย่าเก็บเอาไว้
All you need is to be you, and no holding back
ใกล้อีกนิด เอาให้ชิด สะกิดหัวใจ
Be next to me, heart to heart you and I
ฉันไม่ไปที่ไหนเธอก็รู้
Not going anywhere, you know for sure
ยังไงฉันก็ยังอยู่
I’m surely staying right here
ที่ตรงนั้นมีใครไหมคนที่ยังต้องอึดอัด
Things over there, anyone seems uncomfortable with?
คนที่ไม่เคยระบาย
Some may need to get it all released
บอกกับฉันหน่อยได้ไหม
Tell me this, and tell me now
ฉันจะช่วยให้สุดสุด
I’ll help you to carry on
ทำให้เธอได้ก้าวไป
We’ll leave things behind from this point
หัวใจมันร่ำร้อง จะให้พอได้ไง
Heartbeats are roaring, they cannot be stopped
เอาอีกนิดต่ออีกนิดเร้าใจ
Causes the emotion to stir
เพลิดเพลินไปกับแสงสี
Lights are flashing all the joy
ที่มันหลากหลาย เธอกับฉัน
Varied bliss for you and me
มาอีกนิด เข้ามาชิด จังหวะของเรา
Get closer, come all the way the rhythms
ขอเพียงเธอยอมเป็นเธออย่าเก็บเอาไว้
All you need is to be you, and no holding back
ใกล้อีกนิด เอาให้ชิด สะกิดหัวใจ
Be next to me, heart to heart you and I
ฉันไม่ไปที่ไหนเธอก็รู้
Not going anywhere, you know for sure
ยังไงฉันก็ยังอยู่
I’m surely staying right here
หัวใจมันร่ำร้อง จะให้พอได้ไง
The heart says, that is not enough
เอาอีกนิดต่ออีกนิดเร้าใจ
More of this felicity
เพลิดเพลินไปกับแสงสี
The colors of all the fun
ที่มันหลากหลาย เธอกับฉัน
Plenty for happily ever after
มาอีกนิด เข้ามาชิด จังหวะของเรา
Get closer, come all the way the high meters
ขอเพียงเธอยอมเป็นเธออย่าเก็บเอาไว้
All you need is to come out, and nothing’s held back
ใกล้อีกนิด เอาให้ชิด สะกิดหัวใจ
Be next to me, my heart touches yours
ฉันไม่ไปที่ไหนเธอก็รู้
I’m not going anywhere, you can be sure
ยังไงฉันก็ยังอยู่
I’m fabulously staying right here
ใกล้อีกนิด เอาให้ชิด สะกิดหัวใจ
Be here get near, our hearts
ฉันไม่ไปที่ไหนเธอก็รู้
I’m right here with you indefinitely
ยังไงฉันก็ยังอยู่
I’m putting my foot down
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 9. ชั่วดี
1.)
“นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว จำได้บ้างมั้ย” ปิ๊กที่นั่งเคี้ยวหมากฝรั่งหยับ ๆ หันมามองคนต้นเสียง “ถ้าจำไม่ไหว แล้วคุณผู้หมวด นับทำไมล่ะคะ” ไม่พูดเปล่า ปิ๊กทำท่าทำทาง ส่งจริตแพรวพราวให้กับนายตำรวจหนุ่ม ที่กำลังจัดการกับเอกสารที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ที่ปิ๊กหรืออีปิ๊กที่ทุกคนรู้จัก โดนจับมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครัง แต่สุดท้ายระบบก็ปล่อยให้เรื่องเดิม ๆ นี้ ยังคงวนเวียนซ้ำซากอยู่แบบนี้
“นี่ถ้าผู้หมวดปล่อยหนูนะ หนูจะจัดสมนาคุณให้แจ่ม ๆ หนึ่งน้ำเลย คาปาก ไม่คิดตังค์” ปิ๊กพูดเอาจริง ก่อนจะกระตุกแขนข้างขวา ที่ถูกใส่กุญแจมือติดกับราวที่นั่งเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาวิ่งหนีหายไปเหมือนเมื่อสองครั้งก่อน คุณตำรวจหนุ่มได้แต่ขบกราม เก็บอารมณ์ขุ่น ๆ เอาไว้ในใจ เพราะอีปิ๊กมันไม่เคยหลาบจำอะไรทั้งนั้น มันยังทำผิดซ้ำเดิม ไม่ว่าเรื่องอะไร
“ไม่ล่ะ ผมชอบผู้หญิง” ผู้หมวดพูด พลางเร่งมือทำเอกสารให้เสร็จ “ค่า” ปิ๊กพูดลากเสียงยาว “จะผู้ชาย จะลูกค้าเนี่ยเหมือนกันหมด ก่อนจะยัดงวงเข้าปากอีปิ๊ก ก็พูดออกตัวแบบนี้แหละ แต่พอจะหลั่งลงคออีปิ๊ก อิคึ อิคึ ปากตุ๊ดคอชะนี ก็ไม่เห็นผู้ชายจะบอกได้ถึงความแตกต่างแตกต่าง พุ่งกระจายได้หมด” ตำรวจที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นพากันแอบหัวเราะ นึกเห็นใจหมวดที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ต้องมาต่อล้อต่อคำ กับอีปิ๊ก
“โอ๊ย” ผู้หมวดถึงกับต้องร้องระบายความหงุดหงิดออกมา ก่อนเร่งทำเอกสารจนเสร็จ “อ้าว คุณมาพอดีเลย ผมโอนให้เป็นหน้าที่ของคุณเลยแล้วกัน” ผู้หมวดหนุ่ม ที่เห็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิเดินเข้ามาพอดี ก็รีบบอกให้เขามารับช่วงต่อ เพราะหมวดเองคิดว่า เขาจะทนห้ามตัวเองไม่ให้เตะปากกะเทยไม่ได้นานแน่ ๆ เจ้าหน้าที่มูลนิธิรับเอกสารมาถือไว้ในมือ
“แล้วเลิกพฤติกรรมแบบนี้สักทีนะ” ผู้หมวดพูดกับปิ๊ก ขณะไขกุญแจมือให้ ปิ๊กทำหน้าทำตาไม่รู้ไม่ชี้ “หวังว่าคงไม่ต้องเจอกันอีก” ก่อนจะพูดสำทับอีกครั้งหนึ่ง ปิ๊กถือโอกาสจังหวะที่ผู้หมวดหนุ่มไม่ทันระวังตัว เอามือฉวยเป้านูน ๆ บนเครื่องแบบรัดรูปนั้นจนเต็มมือ ก่อนจะยกมือขึ้นมาดม แล้วเดินเชิดออกจากสถานีไป ผู้หมวดคิดอยากจะโวยวายก็ยังไงอยู่ แต่คงโดนตำรวจคนอื่นล้อไม่เลิกแน่ ๆ ก็ได้แต่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไป
“เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวแบบนี้สักที” เสียงเจ้าหน้าที่มูลนิธิหนุ่มที่เดินตามปิ๊กออกมา พูดขึ้น “ทำไมล่ะ จับกรวยตำรวจ ดมของหลวงแค่นี้เอง ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ บำบัดทุกข์บำรุงสุข ดูแลประชาชนน่า” ปิ๊กทำพูดยียวน ก่อนที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิจะคว้าแขนของปิ๊กไปดู “ฉันหมายถึงเรื่องนี้” ปิ๊กมองตามลงไปที่ข้อพับแขน ที่มีรอยเข็มฉีดยาใหม่ ๆ สองสามรอยตรงนั้น
“วุ่นวายน่า” ปิ๊กสะบัดแขนให้หลุดจากมือของเจ้าหน้าที่มูลนิธิ “เธอเคยคิดบ้างมั้ย ว่าครั้งต่อไปเธอจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้” เจ้าหน้าที่ถามขึ้น ปิ๊กที่เคี้ยวหมากฝรั่งดังแจ๊บ ๆ หยุดเคี้ยว ก่อนจะถุยหมากฝั่งนั้นออกจากปาก “พี่เคยถูกพ่อเลี้ยงเอา ตอนอายุสิบสี่ โดยไม่ใช้เจลมั้ย โดนเอาแบบดุ้นเพียว ๆ น่ะ” คำถามนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่หนุ่มถึงกับชะงักไป ชายหนุ่มมองดูปิ๊กยักไหล่ให้
“เวลามันไฮ มันก็เลยไม่เจ็บไง” ปิ๊กพูด น้ำเสียงที่ใช้ มันเจือไปด้วยความเจ็บช้ำ “สนุกดีด้วยพี่” ปิ๊กยิ้ม แต่ทำไมรอยยิ้มที่มี มันถึงได้ดูเศร้านัก “ไว้พี่เคยโดนพ่อเลี้ยงเอาสด ๆ แล้วพี่ค่อยมาคุยกับหนูแล้วกัน” ปิ๊กบอกกับชายหนุ่มไปแบบนั้น ความรู้สึกทั้งสงสารและเห็นใจสะท้อนอยู่ในอกของเจ้าหน้าที่มูลนิธิผู้นี้ ถึงสาเหตุที่ทำให้ปิ๊กต้องออกจากบ้าน มาทำสิ่งที่เขาหาเลี้ยงชีพอยู่แบบนี้ “เธอก็เลิกทำมันซะสิ” ชายหนุ่มที่ดูแลเคสของปิ๊กมาได้สักระยะ อยากให้ปิ๊กเลิกทำแบบนี้จริง ๆ
“ปากมันต้องกิน รูมันก็ต้องรับงานค่ะ” ปิ๊กพูดด้วยลีลากรีดกราย ก่อนจะหัวเราะออกมา ราวกับว่า เรื่องที่ได้ยินจากปากของชายหนุ่มนั้น มันเป็นเรื่องตลกร้าย ที่จะมาขอกันแบบนี้ “ครับหัวหน้า” ปิ๊กมองดูเจ้าหน้าที่หนุ่มรับสายโทรศัพท์ ที่เพิ่งโทรเข้ามา “เรียบร้อยครับ ผมรับตัวมาแล้ว” เจ้าหน้าที่หนุ่มตอบกลับไป “บ้านหัวหน้าหรือครับ” ปิ๊กได้ยินชายหนุ่มพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะกดวางสายไป
“ไม่ไปได้มั้ย” ปิ๊กพูดขอร้อง เมื่อเจ้าหน้าที่หนุ่ม พาเขาไปขึ้นรถ “เธอจะได้ไปกลับไปยืนเร่ขายตัวอีกน่ะหรือ ฝันไปเถอะ เธออย่ามาพูดหาทางเอาตัวรอด หนีไปได้อีกเลย” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้ เขาต้องการที่จะช่วยให้ปิ๊กกลับตัว และเปลี่ยนชีวิตได้เสียที ปิ๊กทำหน้าเศร้าให้เห็นแค่ชั่วครู่ ก็กลับมาทำเชิดหน้า ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ
ขับรถมาได้สักพัก เจ้าหน้าที่มูลนิธิหนุ่มก็มจอดรถอยู่หน้าบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ก่อนจะพูดบอกให้ปิ๊กลงจากรถ ปิ๊กทำตามเพราะรู้ตัวดี ว่าเลี่ยงไม่ได้ เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินรุนหลังให้ปิ๊กเข้าไปในบ้าน ก่อนจะมองเห็นเจ้าของบ้าน เปิดประตูออกมา เจ้าหน้าที่หนุ่มกล่าวทักทายเจ้าของบ้าน ก่อนจะได้ยินคำชื่นชมอย่างไม่หยุดปาก
“นายนี่ช่วยงานฉันได้เยอะมากจริง ๆ นะ ชิน” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อยิ้มรับ “ยินดีครับหัวหน้า มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” ชินนั้นตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าเขาต้องการอยากจะช่วยทุกเคสที่ทางมูลนิธิอย่างเต็มกำลัง ให้ได้มากที่สุด เขาอยากจะให้เคสที่มูลนิธิดูแลอยู่ มีความคืบหน้าและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
“ดี ๆ ยังไง เธอรีบไปดูเคสด่วนอีกเคสได้เลยนะ เดี๋ยวทางนี้ผมดูแลต่อให้เอง” หัวหน้ามูลนิธิพูดกับเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ชินแม้จะรู้สึกแปลก ๆ ที่เคสด่วนทุกเคส จะต้องพามาที่บ้านของหัวหน้าแบบนี้ แต่งานมันก็ราบรื่นดีเสมอมา แถมชินเองก็เห็นว่า หัวหน้าเป็นคนดีคนหนึ่ง เขาก็เลยไม่ได้ขัดอะไร
“แต่มีอย่างหนึ่งครับหัวหน้า” ชินพูดขึ้น ในขณะที่หัวหน้าของเขา กำลังจะดึงปิ๊กให้เข้าไปในบ้าน “อย่างเคสนี้” ชินหมายถึงเคสของปิ๊ก ซึ่งปิ๊กนั้น หันมาสบตากับชิน ขณะที่ชินพูดกับหัวหน้า “เราได้แต่จับ ๆ ปล่อย ๆ เขาก็ทำซ้ำเดิม ๆ ผมรู้สึกว่า มันน่าจะมีอะไรผิดปกติอยู่นะครับ อาจจะมีใครที่เล่นตุกติก ผมยังไม่แน่ใจ” หัวหน้าพยักหน้ารับรู้ ชินพอจะโล่งใจที่ได้เห็นหัวหน้าให้ความใส่ใจแบบนี้
“คุณไปรวบรวมหลักฐานมา เอามาให้ได้มากที่สุด แล้วเอาไว้เราคุยกันอีกที ถ้าเราจับตัวการได้ มันจะยิ่งดีเลย เป็นผลดีต่อมูลนิธิของเรา ดีมั้ย” หัวหน้ายิ่งพูดชื่นชมชินต่อหน้าเขามากขึ้นอีก ว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่เอาการเอางาน ทำเพื่อมูลนิธิแบบนี้ รับรองว่า วันหนึ่ง ชินจะสามารถก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนเขา ได้มาเป็นหัวหน้ามุลนิธิในเร็ววันนี้ได้อย่างแน่นอน ชินยิ้มรับหัวหน้า รู้สึกดีใจที่มีหัวหน้าที่ดี เขาขับรถกลับไปหาภรรยาที่เพิ่งตั้งครรภ์ได้สามเดือนอย่างสบายใจ
-
2.)
ในห้องที่เปิดไฟไว้สลัว ๆ มองไม่เห็นใบหน้าของคนที่นั่งเปลือยกายอยู่บนเก้าอี้ โดยที่ปิ๊กเปลือยกายนั่งคุกเข่า ใบหน้าก้มซุกลงที่หว่างขาของอีกฝ่าย เมื่อถูกออกคำสั่งให้สูดดมพวงสวรรค์นั้นให้ทั่ว โดยเอาทั้งจมูกและปาก ซุกไซ้โลมเล้า แสดงท่าทางถึงความรู้สึกกำหนัดต้องการสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างมากมาย ก่อนจะอ้าปาก เอาสิ่งที่ยังอ่อยนตัวอยู่นั้นเข้าปาก เพื่อทำให้มันแข็งขันชูชัน
“มึงเคยทำได้ดีกว่านี้นี่นา อีปิ๊ก” เสียงบริภาษนั้นดังลั่น เมื่อรู้สึกไม่พอใจ ที่ปิ๊กไม่สามารถทำให้มันตั้งตระหง่านได้ “อีห่านี่ ทำกูหมดอารมณ์ แล้วแบบนี้ คลิปมันจะขายได้ยังไงล่ะ อีเวร” ปิ๊กยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำลายที่อยู่ข้างปาก เมื่อเขาถูกผลักให้ละออกจากหน้าขาของอีกฝ่าย “ขอโทษหัวหน้า” ปิ๊กกล่าวออกไป คนที่เป็นหัวหน้ามองดูร่างผอมเปลือยเปล่าของปิ๊ก ก่อนจะมองเห็นรอยเข็มจิ้มที่แขนนั่น
“เปลืองของกูฉิบหายเลยอีปิ๊ก” หัวหน้าหยิบเอาเข็มฉีดยา มาฉีดไล่ลม “กูกะว่าจะเก็บเอาไว้ใช้กับเด็กใหม่ ๆ ที่มันไม่ยอม เสือกทำพยศกับกู แต่ต้องเอามาหมดเปลืองกับตุ๊ดเจนสนามอย่างมึง” ปิ๊กพอจะจำหน้าของเด็กวัยรุ่นพวกนั้นบางคนได้ “แถมลูกค้าเสือกอยากจะดูคลิปที่มึงโดนเอาอีก แม่ง เอ๊ย รสนิยมต่ำจริง” หัวหน้าไม่พูดเปล่า หัวเราะเยาะสภาพของปิ๊กอย่างเย้ยหยัน
“คลิปก็ขายไม่ค่อยดี แล้วยังจะมีไอ้ชิน เสือกสอดรู้สอดเห็น อยากจะทำตัวพิทักษ์โลกขึ้นมาซะอีก เดี๋ยวกูจะจัดการสั่งสอนมันซะหน่อย แต่จะทำยังไงกับมันดี” ปิ๊กได้ยินหัวหน้าพูดแบบนั้น ก็รีบพูดขึ้น “เขาสืบสาวราวเรื่องมาถึงตัวหัวหน้าไม่ได้หรอก เชื่อปิ๊กเถอะ อีกอย่างเขาเป็นคนดี อย่าทำอะไรเขาเลย” จากที่ปิ๊กเคยเห็นมา ชินเป็นคนคนเดียวในมูลนิธิ ที่ไม่เหนื่อยหน่ายกับเคสของปิ๊ก แถมชินยังเป็นคนดีมากคนหนึ่ง ใครที่ได้เขาไปเป็นคนรัก คือคนที่โชคดีมากจริง ๆ
“โอ๊ย อีปิ๊ก อีดอก” เสียงหัวเราะดูแคลนของหัวหน้าที่ปิ๊กได้ยินนั้น มันทำร้ายความรู้สึกของเขาได้อย่างเหลือเชื่อ “นี่มึงเสือกหลงรักไอ้ชินจริง ๆ ด้วยสินะ อีเหี้ย กูสังเกตมึงมาหลายรอบล่ะ โถ ร่านหนักเลยนะมึง นี่มึงคิดสินะ ว่าสักวัน ไอ้ชินมันจะหลงเอามึงเข้าจริง ๆ” ปิ๊กที่โหยหาความรู้สึกนี้มานาน พอมีชินมาใส่ใจ ว่าเขาจะทุกข์ร้อน จะเป็นจะตายยังไง คอยเป็นห่วงเป็นใย ใจของปิ๊กก็โอนอ่อนไปตามนั้น
“งั้นกูใช้มึงนี่แหละ จัดการมัน อีปิ๊ก” ปิ๊กทำท่าขัดขืน เมื่อหัวหน้ายื่นโทรศัพท์มือถือให้ปิ๊กกดโทรหาชิน “ถ้ามึงไม่ทำ มึงคิดดี ๆ นะ ว่าเวลามึงอยากยาขึ้นมา มึงจะไปหาของเกรดพรีเมียมฟรี ๆ ฉีดให้มึงลอย ๆ ได้จากที่ไหน” ปิ๊กที่เคยคิดจะตัดใจ หักดิบอดยา สุดท้ายก็กลับมาตายรัง ร้องขอมันจากหัวหน้าทุกทีไป ที่เคยตั้งใจว่าจะทำมันให้สำเร็จ ก็เป็นได้แค่ความคิด
ชินเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากที่เขาจำได้ว่า ยืนเรียกหัวหน้าอยู่ที่ประตูบ้าน แต่ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา อารามว่าเป็นกังวลจากน้ำเสียงในโทรศัพท์ของปิ๊ก ที่พูดไม่ชัดเจนว่า อะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับหัวหน้า ชินเลยรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน ทั้ง ๆ ที่เข้านอนไปแล้ว แต่งตัวแม้ว่าภรรยาของเขาจะทักท้วง และมีปากเสียงกัน แต่ชินก็ยืนยันว่าเขาจำเป็นต้องไป ด้วยว่าหน้าที่นั้นสำคัญ
“มันฟื้นแล้ว” ชินได้ยินเสียงของหัวหน้าพูด เขาลืมตาขึ้นมอง พยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับความสลัวภายในห้องนั้น ภาพที่เห็นคือหัวหน้าที่ใส่กางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว ส่วนปิ๊กนั้นอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ชินพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะรู้ตัวว่า เขาถูกมัดแขนทั้งสองอยู่กับคานไม้ที่ตอกยึดติดผนัง ส่วนขาของเขาที่ถูกแยกออกจากกัน ก็ถูกมัดตรึงกับเสาสองต้น ชินพยายามจะขยับตัว แต่เชือกนั้นก็มัดไว้จนแน่นหนา
“อย่าเพิ่งดิ้นไป มันยังไม่ถึงเวลาเสียว” ชินเห็นหัวหน้าลุกขึ้นไปที่โต๊ะวางคอมพิวเตอร์ ด้านหลังกล้องที่ตั้งอยู่บนขาตั้ง ที่หันมาทางเขา ชินพยายามจะพูดออกไป แต่ปากเขาก็ถูกปิดไว้ด้วยผ้าเทปอย่างแน่นหนา หัวหน้าเดินถือเข้มฉีดยาที่มีของเหลวใสบรรจุอยู่ เดินตรงมาที่เขา ชินมองตามหัวหน้าที่นั่งลง ตัวของเขาล่อนจ้อน หัวหน้าใช้มือจับที่ท่อนแห่งความเป็นชายของเขา ชินพยายามบิดตัวหนี แต่ก็ไม่พ้นที่หัวหน้าฉีดของเหลวนั้น เข้าไปในอวัยวะเพศของเขา
“แล้วเดี๋ยวมึงจะต้องขอบคุณกู” ชินรู้สึกจี๊ดขึ้นมาในทันที “ส่วนคลิปที่มึงเอากับเด็กในความดูแลของมูลนิธิ จะปิดปากมึงเรื่องกูหาแดกกับเด็กพวกนี้ไปนานเท่านาน” เสียงของหัวหน้า ฟังดูแล้วน่ารังเกียจในความรู้สึก ชินเห็นหัวหน้าเดินไปนั่งที่เก้าอี้ ก่อนเอ่ยปากสั่งปิ๊กที่นั่งอยู่ไกลให้ทำตาม
“อีปิ๊ก โอกาสทองของมึงมาถึงแล้ว” ชินเห็นปิ๊กขยับตัวเข้ามาหาเขา ชินไม่ได้ชอบผู้ชาย เขาไม่ได้เป็นเกย์ แต่การได้เห็นปิ๊กเปลือยเปล่า ชินที่ได้เห็นของของปิ๊กชูชันรออยู่แล้ว ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นจากสารเคมี ที่หัวหน้าฉีดให้กับปิ๊กก่อนหน้านี้ มันทำให้ชินเกิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“โห ช้างยับ ไอ้ชิน พอของมึงขยายตัว แม่ง ทั้งยาวทั้งใหญ่ อีปิ๊ก รูมึงบานแน่ ๆ” หากว่าเป็นอาการปรกติของชิน เขาคงซัดหัวหน้าให้หมอบไปแล้ว แต่ตอนนี้ อะไรก็ตามที่หัวหน้าฉีดให้เขา มันกำลังไหลวนอยู่ในตัวของชิน และทำให้คำพูดที่แสนโสโครกหูนั้น กลับเย้ายวน เร่งเร้าให้ความเป็นชายของเขาตั้งตรงและพร้อมรบแล้ว
“ไอ้เหี้ย น้ำหล่อลื่นมึงเยิ้มเชียวไอ้ชิน อีปิ๊ก มึงรออะไรอยู่ จัดการสิวะ” ชินไม่อาจจะบังคับตัวเองได้ เขาดันสะโพกเข้าหาปากของปิ๊กที่ครอบลงมา และตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน “ดูดแรง ๆ อีกปิ๊ก” เสียงหัวหน้าคอยกำกับอยู่ไม่ห่าง ปิ๊กเร่งความเร็วของริมฝีปากที่สัมผัสขึ้นลง ชินเองก็ร่ำร้องอยู่ในใจ ว่าให้ปิ๊กทำให้แรงขึ้นอีก ให้มันสะใจเขามากกว่านี้
“อีปิ๊ก มึงจัดไอ้ชินมันหน่อย เมียมันท้องอยู่ มันน่าจะอดอยากพอดู” เสียงพูดที่น่าสะอิดสะเอียนของหัวหน้า กลับทำให้ชินในเต้นแรง ไม่ว่าปิ๊กจะทำอะไรเขา ชินก็อยากให้ปิ๊กทำมันเร็ว ๆ ทำเสียที ปิ๊กขยับตัวขึ้นคร่อมที่หน้าขาของชิน ชินที่ไม่เคยคิดจะแตะต้องหว่างขาของผู้ชายคนไหน กลับรู้สึกว่า เขาอยากสัมผัสร่างของปิ๊กให้ครบทุกส่วน
“ไม่ต้องใส่ถุง ลูกค้าไม่ชอบ” ปิ๊กที่ฉีกซองถุงยางออก จำต้องโยนมันทิ้งไป ปิ๊กมองเห็นสายตาที่เว้าวอนของชิน ที่ปิ๊กรู้ ว่าตอนนี้ชินไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ปิ๊กที่ชโลมเจลลงบนแก่นกายของชิน และปากทางของตัวเอง นั่งกดทุกอย่างให้ค่อย ๆ เข้าไปจนสุดลำ ชินเหมือนกับว่า ตอนนี้เขากำลังลอยอยู่ที่ไหนสักแห่งบนสวรรค์ เสียงกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บ แน่นตึงไปหมดของปิ๊ก ยิ่งเร้าอารมณ์ชินมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อีห่า เด็ดว่ะ อีปิ๊ก” หัวหน้ามองภาพของปิ๊กและชินที่กำลังบรรเลงเพลงรักกัน ด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านด้วยเช่นกัน จากที่แค่ลูบไล้ส่วนสำคัญของตัวเอง จนเอามันออกมารูดรั้งในมือด้วยอารมณ์ดำฤษณา ปากก็คอยกำกับปิ๊ก และหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นชินทุรนทุราย ยามปิ๊กถอนตัวเพื่อเปลี่ยนท่า หันหลังนั่งให้ชิน และเหลียวหลังมามอง จนชินนั้นทนต่อไปไม่ไหว ต้องทะลักทลายเข้าไปในตัวของปิ๊กอย่างหยุดไม่ได้ ปิ๊กที่สัมผัสได้ถึงความอุ่นในช่องทางของตัวเอง ก็กักเก็บเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ต้องหลั่งออกมาจนเปียกชุ่ม เลอะเปรอะหน้าขาของชินไปหมด
“อีปิ๊กมึงออกไปก่อน กูอยากเอารูซิง ๆ ของมัน” หัวหน้าไล่ปิ๊กให้ออกไปข้างนอก เพื่อให้หัวหน้า ได้เสพสุขกับร่างกายของชินบ้าง เสียงของชินอู้อี้ ๆ บอกให้รู้ว่า เขาไม่ต้องการสิ่งที่หัวหน้ากำลังจะบังคับให้กับเขา หัวหน้าถ่มน้ำลายลงบนแก่นกายของตัวเอง ปิ๊กหันมามองชินอย่างเห็นใจ ก่อนจะจำใจเปิดประตูเดินออกไปข้างนอก
“มึงอย่าเกร็งไอ้ชิน โอ้ว มึง ฟิตโคตร” ชินดิ้นด้วยความเจ็บ แต่หัวหน้าก็ไม่หยุดที่จะดันตัวเข้าไปจนสุด แล้วขยับตัวทันทีด้วยความเมามัน “ดีฉิบหาย” ชินที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วย ทั้งเจ็บและทรมานเหมือนร่างของเขาจะแยกออกจากกันเป็นเสี่ยง ๆ เสียงหัวหน้ากระแทกกระทั้นตัวเข้ากับบั้นท้ายของเขาดังลั่นห้อง ก่อนที่หัวหน้าจะร้องด่าโวยวายออกมา เมื่อชินที่ไม่ได้เตรียมตัวรับศึก ไม่สามารถอั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
“ไอ้เหี้ย เหม็นฉิบหาย ทำไมมึงไม่อั้นเอาไว้ก่อน ไอ้สัตว์” หัวหน้าดึงตัวเองออก เพราะกลิ่นนั้นคละคลุ้งออกมาจากชินจนหัวหน้ารู้สึกสะอิดสะเอียน “ไอ้นี่ กูยังไม่เสร็จเลย งั้นมึงต้องอมให้กูจนแตก” หัวหน้าดึงเอาผ้าเทปออกจากปากของชิน และดันเอาท่อนลำที่เพิ่งดึงออกจากด้านหลังของชิน ใส่ปากชายหนุ่ม “ดูด” คำสั่งหัวหน้าดังออกมาได้ยินถึงข้างนอก ก่อนที่ปิ๊กจะได้ยินเสียงหัวหน้าร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“ไอ้ชิน ไอ้เหี้ย ไอ้เวรตะไล” ปิ๊กเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นหัวหน้านอนคุดคู้ เอามือกุมเป้าเอาไว้ ส่วนชินนั้น ก็มีเลือดไหลออกจากปากมากมาย ปิ๊กรีบหยิบกางเกงขึ้นมาใส่ ก่อนจะรีบแก้มัดขาทั้งสองข้างให้กับชิน ท่ามกลางเสียงร้องครวญครางปริ่มว่าจะขาดใจของหัวหน้าดังอยู่ไม่ขาด ปิ๊กรีบเอากุญแจมาไขล็อกให้มือทั้งสองข้างของชินเป็นอิสระ
“ปิ๊กทำแบบนี้ทำไม” ชินหยิบเอาเสื้อมาเช็ดเลือดออกจากปาก ชายหนุ่มถามปิ๊กด้วยความผิดหวังสุดแสนประมาณ “พี่จำเรื่องพ่อเลี้ยงที่หนูเล่าให้ฟังได้มั้ยล่ะ” ปิ๊กมองหน้าชิน “พี่รู้แล้วนะ ว่าหนูรู้สึกยังไง” ก่อนจะหันไปมองที่หัวหน้า “อีปิ๊ก มึงช่วยกูด้วย ไอ้เหี้ยชิน แม่งกัดของกูขาด” ไม่ไกลกันนั้น ส่วนหัวของของลับหัวหน้า ตกอยู่ “พี่ไปซะ พี่ชิน จำไว้ พี่ไม่ได้มาที่นี่ คืนนี้” ปิ๊กไล่ให้ชินรีบออกไป
“ไปสิ รีบไปเร็ว ๆ เข้า” เลือดที่ไหลโกรกออกมา ทำให้เสียงโวยวายครวญครางของหัวหน้าเริ่มแผ่วลง “แล้ว” ชินที่เดินไปหยุดอยู่ที่ประตูห้อง ชี้ไปที่หัวหน้า ที่ดูซีดเผือดไปทั้งตัว “หนูจัดการเองพี่” ปิ๊กบอกกับชิน “พี่ปิดประตูให้หนู และอย่ากลับมาที่นี่อีกก็พอ” ชินรีบหยิบเอาเสื้อผ้ามาใส่ สายตามองปิ๊กที่เดินไปถอดกล้องออกจากแท่นวาง กดลบคลิปที่ชินถูกถ่ายไว้ทิ้งทั้งหมด
“หัวหน้าขา ยิ้มหน่อย” ปิ๊กพูดเมื่อหันกล้องถ่ายสภาพของหัวหน้าเอาไว้ “ปิ๊ก ช่วยพ่อด้วยลูก” เสียงอ้อนวอนนั้นดังออกมา จากคนที่เลือดออกจากร่างกายจนอ่อนแรง ชินหันหลังจากภาพตรงนั้น ก่อนเดินออกจากบ้าน และขับรถออกไปทันที “หนูรักพ่อ” ปิ๊กพูดขึ้นด้วยความชอกช้ำในความรู้สึก “แต่พ่อทำกับหนูเอาไว้ยังไงบ้าง” ปิ๊กปักเข็มฉีดยาที่มีของเหลวใสลงบนท่อนลำของผู้เป็นพ่อเลี้ยง เสียงร้องดังออกมา ปิ๊กคิดว่า มันเสนาะหูดี ตัวยานั้นกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดดีขึ้นกว่าเดิม และพื้นห้อง ก็นองไปด้วยเลือดแดงฉานไปทั่ว ในแววตาของหัวหน้า ปิ๊กในวันนั้นย้อนกลับมาให้เห็น
“แม่ไม่อยู่หรือพ่อ” ปิ๊กในวัยสิบสี่กลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าพ่อเลี้ยงนั่งสูบบุหรี่ พ่นควันสีเทาอยู่ที่หน้าบ้านตามลำพัง “อืม หายไปไหนไม่รู้ทั้งวัน” พ่อเลี้ยงมองตามเด็กหนุ่มที่ผิวขาวราวหยวกกล้วย “โตเป็นสาวแล้วสวยนะปิ๊ก” เจ้าของชื่อหันมายิ้มอาย ๆ ไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของผู้เป็นพ่อเลี้ยง ยิ่งพอผู้เป็นพ่อเลี้ยงเดินเข้ามาหาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ปิ๊กใจเต้นแรง
“พ่อรู้นะ ว่าปิ๊กแอบดูของพ่อ” พ่อเลี้ยงไม่รอคำตอบ จับมือของปิ๊กแหวกผ้าขาวม้าผืนเดียวที่เขานุ่งอยู่เข้าไปสัมผัส สิ่งที่อยู่ด้านใน ปิ๊กที่แอบหลงรักพ่อเลี้ยง ด้วยความที่เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่น ไม่เคยได้ใกล้ชิดกับพ่อของตัวเอง ก็เลือกที่จะไม่หักห้ามใจของตัวเองเอาไว้ ปิ๊กนั่งคุกเข่าลง และเริ่มจัดการบำเรอความสุขให้กับพ่อเลี้ยง
เกมมันจบลงที่ปิ๊กนั้นเลือดไหลไม่หยุด พ่อเลี้ยงที่ตะบี้ตะบันกระแทกกระทั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย จนตัวเองถึงฝั่งฝัน แต่นั่นกลับทำให้ปิ๊กรู้สึกใกล้เคียงกับความเป็นผู้หญิงมากที่สุด เท่าที่ตัวเขาเองอยากรู้สึก ทุกอย่างมันเริ่มจากตรงนั้น และดำเนินต่อเนื่องมาเป็นปี ๆ จนเมื่อปิ๊กอายุครบสิบแปด สุดท้ายแล้ว แม่ก็จับได้ ว่าปิ๊กที่ดูจะหึงหวงพ่อเลี้ยงกับแม่ของตัวเอง ปรนเปรอพ่อเลี้ยงด้วยวิธีการอะไร
“เขาไม่ได้รักแม่ เขารักหนู แม่นั่นแหละ ที่เป็นคนขัดขวางความสุขในชีวิตของเรา” ปิ๊กตลาดเสียงใส่แม่ของเขา “อีปิ๊ก อีชาติหมา นี่มันผัวกูนะ ที่มึงนอนให้มันแยงอยู่เนี่ย” แม่ตรงเข้าจะตบหน้าปิ๊ก เธอจึงได้เห็นว่าลูกชายที่เป็นเลือดจากอกของเธอตอบโต้เธอกลับ “แม่ไม่มีสิทธิ์จะมาตบหนูนะ ของแบบนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ชายนะ ว่าเขาจะเลือกใคร สวย ๆ ใหม่ ๆ อย่างหนู หรือว่าเหี่ยว ๆ ใกล้ตายแบบแม่” เสียงแม่ลูกทะเลาะตบตีแย่งผู้ชายคนเดียวกัน ดังลั่นให้คนได้ยินกันไปทั่ว
“หนูกับเขา เราตัดสินใจแล้วว่า จะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ที่เขาต้องทนอยู่กับชะนีแก่หงำเหงอะอย่างแม่ ก็เพราะว่าเขาสงสาร แต่ตอนนี้ เขาคิดได้แล้ว ว่าเขารักหนู จากนี้ไป ก็เชิญแม่อยู่ไปคนเดียวเถอะ” ปิ๊กเดินไปยืนอยู่เคียงข้างกับพ่อเลี้ยง ที่ไม่ได้พูดอะไร ยิ่งได้เห็นสองแม่ลูกแย่งตัวเขาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยแล้ว อีโก้มันยิ่งพุ่งแรง แม่ของปิ๊กมองไปที่ผู้ชายระยำคนนั้นอย่างอาฆาตแค้น ก่อนจะเห็นสร้อยทองอยู่ที่คอของผัวของเธอ
“นั่นมันทองกูนี่” พูดจบ ผู้เป็นแม่ก็วิ่งไปที่ตู้เก็บของ ที่เธอซ่อนทองเอาไว้ในกระป๋องนมข้นหวานใบเก่า “อีพวกเหี้ย เอาทองของกูคืนมา” เมื่อมองไม่เห็นทองเส้นใหญ่ที่เธอทำงานหาเงินมาซื้อเก็บเอาไว้ แม่ของปิ๊กก็วิ่งเข้าใส่คนทั้งคู่ หมายจะเอาทองคืนมา แต่ก็ต้องลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น จุกแน่นหายใจแทบไม่ออก “เสือกวิ่งมาชนตีนผัวหนูเองนะแม่” นั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่ปิ๊กได้พบกับแม่ของเขา ที่นอนน้ำตาไหลรินลงมา มองดูลูกชายและผัวคนที่สองในชีวิตของเธอ เดินจากไปด้วยกัน
“หนูออกมากับพ่อเพราะความรัก แล้วพ่อรักหนูแบบไหนกัน” ปิ๊กปักเข็มฉีดยาเข็มสุดท้ายลงบนอวัยวะส่วนสำคัญแสดงความเป็นชายของพ่อเลี้ยง เลือดที่เคยไหลพุ่งทะลักออกมา เริ่มจะลดน้อยลง ตามเสียงร้องที่เริ่มเงียบหายไป และลมหายใจที่เริ่มรวยรินลงทุกที “จากเริ่มให้หนูติดยา ให้หนูเริ่มขายตัวเอาเงินมาให้พ่อซื้อยามาให้หนูเสพ วนเวียนอยู่อย่างนั้น แค่เหลืออยู่อย่าง ที่หนูยังโชคดีที่ยังไม่เป็นเอดส์” ปิ๊กเองก็ไม่รู้ว่า เธอนั้นรอดมาได้ยังไงถึงทุกวันนี้ ได้ยินเสียงตำรวจที่ด้านนอก
“มากันได้สักที” ปิ๊กได้ยินเสียงตำรวจที่ด้านนอก เขาโทรหาตำรวจก่อนหน้านี้ ให้รีบมา เพราะมีคนตาย และเขาเป็นคนทำเอง ตำรวจบุกเข้ามาในบ้าน ก่อนจะจับปิ๊กกดลงกับพื้น ท่ามกลางสถานที่เกิดเหตุที่น่าสยดสยอง เลือดนองไปทั่ว ปิ๊กที่ถูกกัดลงกับพื้น หันหน้าไปมองผู้เป็นพ่อเลี้ยง ที่นอนแน่นิ่ง สิ้นใจมาได้สักพักแล้ว ปิ๊กน้ำตาไหลรินลงมา ภาพของแม่ที่นอนกองอยู่กับพื้นในวันนั้น ถูกฉายซ้ำไปซ้ำมาในความคิดของเขา
ในวันที่ศาลตัดสินคดีของปิ๊ก เขารับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ปิ๊กน้อมรับในคำตัดสินที่มีนั้น เจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัวให้เขาเดินตามออกจากหน้าบัลลังก์ ปิ๊กเห็นชินยืนมองมา ตลอดเวลาแห่งการดำเนินคดีข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ชินช่วยเหลือปิ๊กอย่างดีที่สุด ปิ๊กไม่เปิดปากบอกอะไรเลย นอกจากว่าเขาเป็นคนร้าย ทำเองทั้งหมด เนื่องจากความหึงหวงที่มีต่อผู้ตาย ปิ๊กกำลังจะเดินตามเจ้าหน้าที่ศาลออกไป ก่อนจะเห็นแม่ของเขาก้มหน้า และเดินเงียบ ๆ ออกไปจากห้องพิจารณาคดี ปิ๊กถึงกับเบะปาก ก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร ถ้าเพียงแต่ในวันนั้น
“ปิ๊กอยากเล่นตุ๊กตา” เสียงตีดังเพี้ยะลงบนแขนของปิ๊กในวัยเยาว์ ในวัยที่ไร้เดียงสาเกินกว่าจะแยกความแตกต่างได้ มีเพียงความชอบที่เด็กน้อยคนหนึ่ง พึงมีต่อตุ๊กตาสาวน้อยผมยาวสลวยตัวนั้น “แม่” ปิ๊กร้องเรียกแม่ เมื่อถูกแม่หยิกเนื้อแขนอย่างแรง เพราะเขาพยายามจะหยิบตุ๊กตาผมยาวนั้นมาถือเอาไว้ในมือ ปิ๊กที่ร้องไห้จนตัวโยน หมดหวังที่จะได้อ้อมกอดอันอบอุ่น กอดที่มาจากความเข้าใจ เต็มไปด้วยความรักและทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ภายใต้อ้อมกอดนั้นของแม่
***********************************
Inspired by “เพลงกลกามแห่งความรัก”
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch?v=KXZxhbvWOmw
ความรู้สึกนั่นหรือ
My feelings? I’m gonna put into words
เหงา อ้างว้าง โดดเดี่ยว
Lonely, all alone and isolated
เดินไปตามลำพังคนเดียว
Just me, walking down the rough road
ไร้ แม้ใครยึดเหนี่ยว
No one to hold on to
ล่องลอยคว้าง กลางน้ำเชี่ยว
Like plunging into the torrential waters
สาดแรงซัด สุดแรงซ้ำ
Gushing and keep on outpouring
อยู่ประจำ สุดหลีกหนี
Over and over, no escape
เป็นอย่างนี้ เจออย่างนี้
Continually, facing all these
ชีวิตมันไม่มี ดีอะไร
What’s good to see with this life?
เจ็บ จนเกินเจ็บ ทุกข์ จนลืมทุกข์
Hurting more than hurt, too painful to recognize the pain
ไม่ใช่ชีวิตแต่เป็นซากชีวิต
It’s not called life, it’s inhuman one
ถึงมีร่าง แต่ก็ไร้ใจ
It's my body but no heart there to beat
ทุกสัมผัสแสดงให้ดู เหมือนรู้สึก
Pretentious acts, emotions and all that jazz
ลีลาเสน่หา เร่าร้อน
The sensual moves and fire is burning
โหมไฟไหม้ลาม
Blazing the flames
กลกามแห่งความรัก
Love and its erotic tricks
เผามันเข้าไป ดวงใจที่รานร้าว
Ready to combust these broken hearts
แหลกยับเยิน
To the ground
จะชั่วจะดี จะชี้ยังไง
Good or bad, to measure it
ขึ้นอยู่กับใครจะคิดไปเอง
Depends solely on how you see
ฉันเป็นฉันเลือกเลือกทางฉันเอง
I was, I picked and I myself made my choice
ชีวิตเหมือนเพลง บรรเลงผิดคีย์
Life turned out like a song sung so off pitch
สิ่งที่ใฝ่และฝัน หวัง วาดไว้ ว่างเปล่า
What I’m dreaming of, wishing, imagining – they’re all empty
เป็นเพียงลมโชยมาบางเบา
It’s just the wind no one feels it
ที่เห็น ก็เป็นเหมือนเงา
To see I am being in the shadows
สิ่งที่เหลือ คือความเศร้า
What’s left for me is pure misery
เก็บความคิด และความหวัง
Pick up my thoughts and my hopes
กับวันวานจบเท่านี้
From the old days to end them today
เกมแค่นี้ พอแค่นี้
This is it, enough is enough
ชีวิตมันก็ดี ที่สะใจ
Sarcasm, life can be ironically satisfying
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 10. ซอยเปลี่ยว
“ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว ทำไมหัวหน้ายังไม่กลับสักทีวะ อ้อยอิ่งอยู่นั่นแหละ น่าเบื่อฉิบหาย” เสียงพี่วารีกระซิบกระซาบ พลางบุ้ยบ้ายไปทางห้องกระจกเล็ก ๆ ที่หัวหน้าฝ่ายนั่งอยู่ พนักงานสามสี่คน รวมถึงเหน่ง พนักงานน้องเล็กสุด ที่เพิ่งเข้างานมาไม่นาน หันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน
“เชื่อสิ ว่ากำลังฉอเลาะ ประจบประแจงนายอยู่” ภาพหญิงวัยกลางคนในห้องกระจก กำลังจีบปากจีบคอคุยโทรศัพท์ แลดูน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด “นี่ถ้านายไม่โทรมา แจ้นกลับเป็นคนแรกไปแล้ว พี่ต้องออกไปพบลูกค้า” พี่วารีจีบปากจีบคอเลียนแบบผู้เป็นหัวหน้า
“ก็แก่แร้งทึ้งขนาดนั้นแล้ว ให้เขาหน่อยเถอะ ผลงานก็ไม่มี ที่อยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะขโมยเอางานที่เราทำในแผนก ไปเสนอหน้ากับนายว่าเป็นความคิดของตัวเอง” พี่เจี๊ยบที่อายุน้อยลงมาหน่อย ลูกคู่เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับพี่วารี เสริมทัพลูกพี่ตัวเองอย่างออกรส
“เข้าสาย ออกก่อน ลาบ่อย คงมโนเอาว่าเป็นเมียนาย” พี่เจี๊ยบพูดต่อ สีหน้าบ่งบอกถึงความรู้สึกในใจ ที่เปิดเผยว่าคิดอย่างไรกับหัวหน้างานของตน “ฉันจะแต่งหน้า จะทำธุระส่วนตัวสักหน่อย ก็ทำไม่ได้ ต้องมานั่งรอว่า เมื่อไหร่คุณเธอถึงจะไปสักที” พี่วารีถอนหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่นัดกับผัวเอาไว้ด้วย ว่าจะไปเดินซื้อของกัน ขอลางานตั้งแต่แรก ก็ไม่ให้ลา ทีตัวเองนะ ลายาวตั้งแต่พรุ่งนี้ถึงจันทร์หน้า” สิ่งที่หัวหน้าทำได้ แต่ตัวเองทำไม่ได้ ส่งผลให้พี่วารีรู้สึกหัวเสียไม่น้อย “แกดูไว้เลยนะเหน่ง ว่ามีหัวหน้าดีมันควรจะต้องเป็นยังไง” พี่วารีหันมาพูดกับเหน่ง ที่กำลังมองเห็นแกทำหน้าภาคภูมิใจ เมื่อพูดถึงตัวเอง
“แกโชคดีมาก ๆ แล้วเหน่ง ที่ได้พี่วารีเป็นคนดูแล สอนงานให้แกแบบนี้” พี่เจี๊ยบไม่ลืมที่จะพยักพเยิดตามพี่วารี เหน่งทั้งฟังที่สองคนนี้พูด ทั้งเห็นสีหน้า แววตา ท่าทางที่กำลังแสดงออกมาตรงหน้า ก็พาลให้รู้สึกคลื่นเหียน จะอาเจียนออกมาเสียให้ได้
“มันเป็นตุ๊ดแน่นอนพี่ หนูมองไม่ผิดหรอก” นี่คือประโยคที่เหน่งแอบได้ยินพี่เจี๊ยบพูดกับพี่วารีลับหลังเขา เมื่อวันก่อน “แกคิดว่าอย่างนั้นหรือ แต่ฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะตุ้งติ้งอะไรเลยนะ” พี่วารีพูด ทำหน้านึกท่าทางการพูดการจา การเดิน ลักษณะทางกายภาพทั่วไปของพนักงานรุ่นน้องคนใหม่
“มันเป็นพวกที่เขาเรียกกันว่าอีแอบยังไงล่ะ พี่วารี” พี่เจี๊ยบพูดบอก ทำหน้าทำตาสะอิดสะเอียนเมื่อต้องพูดถึง “พวกนี้ มันก็จะทำตัวเหมือนกับว่า มันเป็นผู้ชายปกติทั่วไป แต่จริง ๆ แล้ว ลึก ๆ ข้างในใจมัน วัน ๆ ก็สอดสายตา มองผู้ชายคนนั้นที คนนี้ที ในหัวคิดแต่เรื่องราวลามกจกเปรต” พี่เจี๊ยบทำท่าขนลุกขนพอง
“หนูเตือนพี่วารีด้วยความหวังดีเลยนะ” พี่เจี๊ยบบีบมือลงบนแขนพี่วารี แสดงท่าทีห่วงใย “พี่ว่ารีอย่าเผลอเชียวนะคะ มันได้งาบเอาผัวพี่ไปกินแน่” พี่วารีฟังคำพูดของรุ่นน้องผู้เป็นลูกคู่ของเธอ แล้วก็ให้นึกกังวลขึ้นมา “ถ้ามันทำอย่างนั้นจริง รับรอง พี่เฉดหัวมันออก ก่อนที่มันจะทำงานผ่านโปรแน่” ยิ่งคิด พี่วารีก็นึกทบทวนถึงสามีของเธอ
ที่มีอยู่หลายครั้ง ที่เขาบอกว่าไปทำงานด่วน ต้องออกต่างจังหวัด แต่นั่น ก็ก่อนที่เหน่งจะเข้ามาทำงานที่นี่ มันเป็นช่วงที่พี่เจี๊ยบเองก็ลาป่วยอยู่บ่อย ๆ โดยไม่มีใบแพทย์ ซึ่งพี่วารีก็ช่วยอยู่ทุกครั้ง ไม่ให้นายว่าอะไร ที่พี่เจี๊ยบอยู่ ๆ ก็ป่วย อยู่ ๆ ก็หาย หรือหลายครั้งก็ดันอยู่ต่างจังหวัด ทั้ง ๆ ที่ป่วย ซึ่งข้อแก้ตัวของพี่เจี๊ยบก็คือ ดั้นด้นมาหาหมอดี ยาดี ทั้ง ๆ ที่ป่วยหนัก ที่ไหนเขาว่ารักษาหายก็ไปรับหยูกรับยาที่นั่น
“เหน่งต้องขอบคุณพี่วารีมาก ๆ นะครับ ที่เอ็นดูเหน่งเป็นน้องเป็นนุ่ง” เหน่งยกมือไหว้พี่วารี แสดงความอ่อนน้อม “พี่เจี๊ยบด้วยนะครับ” เหน่งหันไปไหว้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ที่พี่เจี๊ยบเผลอแสดงออกมาทางแววตา ว่ารู้สึกไม่ชอบใจนัก ที่เหน่งดูจะมือไม้อ่อน เสียงออดอ้อน กับพี่วารีมากจนเกินหน้าเกินตา
“พี่วารีเอ็นดูแกน่ะก็ดีแล้ว แต่แกก็ต้องทำงานหนัก ขยันขันแข็ง เพื่อแลกกันนะ” พี่เจี๊ยบใช้น้ำเสียงปรามบอกรุ่นน้อง มันดึงเอาความคิดของเหน่งให้กลับมาอยู่กับความเป็นจริงของทั้งสองคน ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา “พูดอะไรไปให้ก็ให้เชื่อฟัง” พี่วารีสำทับคำพูดของพี่เจี๊ยบ “สั่งอะไรไป ก็อย่าให้เหมือนกับสั่งขี้มูก” พี่วารีชี้นิ้วไปยังเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานของแก
“เดี๋ยวพี่วารีแกเซ็นใบโอทีให้เองแหละ” พี่เจี๊ยบพูดแบบนั้น เหน่งก็รู้ได้ทันที ว่าแกหมายถึงอะไร “เต็มที่ก็สองชั่วโมงเท่านั้นนะ หลังจากนั้น ถ้างานยังไม่เสร็จ พี่ไม่ออกใบทำโอทีให้ อยู่ด้วยกันก็ต้องช่วย ๆ กัน” พี่วารีรีบบอกข้อกำหนดออกมาในทันที ทั้ง ๆ ที่เหน่งจำได้ ว่าถ้างานเร่งจริง ๆ ให้พนักงานอยู่ทำโอทีต่อได้ แล้วให้ลงเวลาตามจริง
“ใจจริง พี่ก็อยากจะอยู่ช่วยนะเหน่ง แต่วันนี้พี่มีธุระด่วนจริง ๆ ยาหนูหมดพอดีน่ะพี่วารี ต้องกินต่อเนื่อง นี่ก็อยากจะหายเป็นปรกติกับเขาเสียที” พี่เจี๊ยบรีบพูดขัดพี่วารี ที่ทำท่าจะถามเกี่ยวกับรายละเอียดอาการป่วยของพี่เจี๊ยบ ซึ่งเหน่งได้แต่ซ่อนอาการเก็บเอาไว้ในใบหน้า ว่าเขาได้ยินพี่เจี๊ยบคุยโทรศัพท์ที่ด้านหลังตึก ตอนที่เขาหลบไปเช็กข้อความในแอพหาคู่ พี่เจี๊ยบนัดแนะว่าจะไปเจอใครบางคนที่ม่านรูดเย็นนี้ เหน่งได้แต่พูดอวยพรให้อีกฝ่ายหายเร็ว ๆ
“พวกพี่ก็รู้แหละ ว่าบ้านแกอยู่ไกล เหน่ง” พี่เจี๊ยบพูดขึ้น เมื่อหัวหน้ากลับบ้านไปแล้ว และพี่วารีกับเธอเอง ก็กำลังจะกลับเช่นกัน “แต่ยังไงแกก็ผู้ชาย” เหน่งจับน้ำเสียงพูดเยาะอยู่ในทีนั้นได้ จากน้ำเสียงของพี่เจี๊ยบ “กลับบ้านดึกนิดดึกหน่อย ไม่เป็นไรหรอก ใช่มั้ย ผู้ชายทั้งแท่ง” พี่เจี๊ยบพูด ทำท่ากลั้นหัวเราะ สบตากับพี่วารี เหมือนว่าเพิ่งจะหลุดพูดอะไรออกมา
“ทำได้ใช่มั้ย” พี่วารีพูด ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่รอคำตอบ “งานต้องเสร็จนะ แล้วเอามาวางที่โต๊ะพี่ล่ะ” พี่เจี๊ยบพูดจบ ก็เดินตามพี่วารีออกจากออฟฟิศไป เหลือเหน่งนั่งอยู่ในออฟฟิศเพียงคนเดียว คนอื่น ๆ ไม่มีใครยอมอยู่ทำโอทีกันสักคน เพราะนอกจากจะได้เต็มที่แค่สองชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่อยู่เกินกว่านั้นแล้ว จำนวนชั่วโมงยังไปโผล่ใต้ชื่อของพี่วารีและพี่เจี๊ยบ แถมยังได้หน้ากับนายว่านำทีมน้อง ๆ ทำงานจนลุล่วงอีก
กว่าเหน่งจะได้ปิดคอมพิวเตอร์ ไล่ปิดไฟในสำนักงาน ล็อกประตู ก็เลยคำว่าหัวค่ำไปนานโขแล้ว แถมเป็นรถเมล์คันที่สามของสาวที่เหน่งต้องการ กว่าที่ผู้โดยสารบนรถจะพอเบาบางลง ให้เขาได้แทรกตัวขึ้นไปยืนด้านบน และประตูรถเมล์สามารถปิดได้ เหน่งนั่งรถสายแรกมาสักพัก ก็ต้องลงมาต่อรถอีกสายหนึ่ง ที่ตอนนี้ดีหน่อย เพราะเป็นสายรถร่วมที่วิ่งออกนอกเมือง
“สุดสายแล้ว ลงเลย รีบหน่อย ๆ ” เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนบอกผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน ที่เหลืออยู่ให้รีบลงจากรถ ก่อนจะกระทืบคันเร่งแล้วกระชากรถขับออกไป เหน่งละสายตาจากไฟท้ายของรถเมล์ร่วมคันนั้น มองไปทางรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายที่จอดรออยู่ มีน้องผู้หญิงทำงานออฟฟิศสองคนที่นั่งมากับรถเมล์คันเดียวกัน ขึ้นไปนั่งรออยู่แล้ว ส่วนพี่ผู้หญิงวัยกลางคน มีผู้ชายที่น่าจะเป็นแฟนพี่เขา ขี่มอเตอร์ไซค์มารับ เลี้ยวรถหายเข้าไปในซอยข้าง ๆ ที่มีร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่ไม่ไกลจากอู่รถสองแถวนี้
“คราวหลังยอมนั่งรถไฟฟ้ามาดีกว่า มันดึกไป” เสียงหนึ่งในสองสาวกระซิบกระซาบกัน พร้อมมองมาทางเหน่ง ที่ก้าวขึ้นมานั่งที่เบาะฝั่งตรงข้ามบนรถสองแถว “โทรหาพี่ชายแกไว้ก่อนสิ ว่าเราสองคนกำลังจะเข้าบ้าน อย่างน้อยก็มีคนรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน” สาวอีกคนรีบบอกเพื่อนให้ทำตาม เหน่งลอบมองผู้หญิงทั้งสองคน ที่แสดงออกอย่างชัดเจน ว่ากำลังเป็นกังวล เมื่อบนรถสองแถว มีเพียงพวกเธอและเหน่งรวมสามคนเท่านั้นในเวลานี้
ครู่ใหญ่ ๆ เมื่อรถร่วมอีกคันมาจอดส่งผู้โดยสาร และทั้งหมดก็มีคนมารอรับกันทั้งนั้น คนขับรถสองแถววัยกลางคน เดินมาหยุดอยู่ที่ท้ายรถ เหน่งหันไปมอง คนขับรถมองเหน่งเพียงแวบเดียว ก่อนจะหันไปมองสองสาวที่นั่งอยู่ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูด้านคนขับ ไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้น ก่อนรถสองแถวจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปในถนน
รถสองแถววิ่งไม่เร็วนัก ระหว่างทางที่ไป ไม่มีใครโบกให้จอดเลย ลมเย็น ๆ พัดผ่านผู้โดยสารเพียงแค่สามคนที่อยู่บนรถ สองสาวพนักงานบริษัทนั่งตัวติดกัน แววตาไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นกังวล ที่เป็นครั้งแรกที่พวกเธอกลับบ้านดึกขนาดนี้ จากการที่ตัดสินใจจะรอรถเมล์ เพื่อประหยัดเงินให้เหลือเผื่อเอาไว้ช่วงปลายเดือน
ยิ่งขับไปนานเข้า รถสองแถวก็พาทั้งสามคนผ่านสองข้างทางที่เคยมีบ้านเรือนตั้งอยู่ น้อยลงทุกที ๆ แต่ละหลังตอนนี้อยู่ห่างกัน เรียกได้ว่าเดินถึงกันได้ แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบแน่นอน แถมเริ่มดึกแล้วอย่างนี้ รถจะผ่านมาสักคัน คนจะผ่านสักคน แทบจะไม่มี สองสาวเอี้ยวตัวมองออกไปนอกตัวรถ เพื่อดูว่า จุดหมายของพวกเธอใกล้ถึงหรือยัง ทำไมวันนี้มันถึงได้ดูไกลกว่าเดิมมากนัก
สองสาวพนักงานบริษัทสะดุ้ง ก่อนจะหันมามองเหน่ง เมื่อเสียงกริ่งลงรถดังขึ้น รถสองแถวเริ่มชะลอ ก่อนจะหยุดและจอดลงที่ข้างทาง เหน่งก้าวลงบันไดนั้นเล็ก ๆ หลังรถสองแถว ก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่ด้านหน้า โดยมีสายตาของสองสาวจับจ้องมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา
เหน่งเดินย้อนกลับมาที่ท้ายรถสองแถว ก่อนจะหันไปมองเห็นสายตาของผู้หญิงสองคนที่ยังนั่งอยู่บนรถ ที่ตอนนี้พวกเธอกำลังใจเสีย ที่เหน่งนั้นลงรถก่อนพวกเธอ โดยที่คนขับพารถออกจากตรงนั้น และมุ่งหน้าตรงไปยังความมืดเบื้องหน้า ซึ่งเหน่งไม่แน่ใจนัก ว่าหนึ่งในพวกเธอนั้น ติดต่อพี่ชายได้หรือยัง เนื่องจากว่าพี่ชายไม่ยอมรับสาย พวกเธอจึงทำได้แต่ทิ้งข้อความเอาไว้ในแอพแชท
เหน่งเดินข้ามถนนที่ว่างเปล่า มาหยุดยืนอยู่ที่ปากซอยทางเข้าบ้าน ความดำมืดแห่งรัตติกาลทำให้ซอยนี้ดูเปลี่ยวจนน่าขนลุก เหน่งกระชับเป้สะพายข้างก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไป เสียงฝีเท้าของเขาได้ยินท่ามกลางความเงียบนั้น มองตรงเข้าไป ไฟทางอยู่ไกลจนเกือบครึ่งซอย นอกนั้นมันคือความมืด ไฟหน้าบ้านที่เปิดทิ้งเอาไว้ที่บ้านสองหลังแรกที่ปากทางเข้า ตอนนี้มันอยู่ที่เบื้องหลัง
เหน่งก้าวเท้าเร็วขึ้น ไฟที่กลางซอยค่อย ๆ สว่างมากขึ้น ๆ เมื่อเหน่งเดินเข้าไปในซอย สองข้างทางตอนนี้คือป่าหญ้ารกชัฏ บางช่างมันสูงเลยหัวของผู้ชายตัวใหญ่ ๆ สูง ๆ เสียอีก ดวงจันทร์คืนเพ็ญก็จริง แต่ทำไมดูไปแล้ว แสงนวลจากฟ้าไม่สามารถส่องอะไรให้กระจ่างในค่ำคืนนี้ได้เลย
เหน่งเดินผ่านไฟกลางซอยนั้นมาได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว เสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา เหน่งหันกลับไปมอง ก็เห็นผู้ชายร่างใหญ่กำลังพุ่งเข้าหาเขา เหน่งรู้สึกได้ถึงมืออันใหญ่โตคว้าหมับบีบเข้าที่คอของเขา ก่อนที่มือนั้นจะดันให้ตัวของเขาต้องถอยหลังหลุน ๆๆ ไปตามแรงดันนั้น
“อย่าร้องนะมึง” เสียงสั่งฟังดูแหบแห้ง แต่ก็เหี้ยมเกรียมอยู่ในที “เดินเข้าไป” คำสั่งนั้นคือให้เหน่งเดินลุยป่าหญ้าที่สูงรกท่วมหัวนั้น “เข้าไป” เหน่งหันหลังกลับ เมื่อเจ้าของคำสั่งนั้นปล่อยมืออกจากลำคอของเขา แล้วใช้มันผลักเข้าที่หลังของเขา ให้เดินนำหน้า ไฟตรงกลางซอยมองเห็นรำไร ๆ จากตรงความลึกที่เหน่งอยู่ในตอนนี้
“ถอดกางเกง” เสียงนั้นฟังดูหื่นกระหายในกามอย่างชัดเจน “ผมเป็นผู้ชายนะพี่” หนึ่งพูดบอกอีกฝ่ายออกไป “ก็ไม่สน” เหน่งได้ยินเสียงตอบกลับมา และได้ยินเสียงรูดซิบกางเกงขออีกฝ่ายดังขึ้น “เร็ว” จากแสงรำไร ๆ นั้น การขยับมือเข้าออกของผู้ชายร่างยักษ์ ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้ล้อเล่น
“เร็ว ๆ อีตุ๊ด ก็รู้มึงชอบแบบนี้ ก็แอบมองมึงกลับบ้านค่ำมืดแทบทุกวัน กูรู้มึงจงใจอ่อย มึงอยากได้อยากโดน” เสียงนั้นทวีความกระเหี้ยนกระหือรือ มือข้างหนึ่งของชายร่างยักษ์กระชากขอบกางเกงของเหน่ง เพื่อให้มันหลุดออก “พี่มีถุงยางหรือเปล่า” เหน่งถาม เมื่อกางเกงของเขาหล่นไปกองอยู่ที่ข้อเท้า “อย่างกูเอาสดเท่านั้น” เสียงถ่มน้ำลายดังขึ้น ก่อนที่เหน่งจะถูกผลักให้หันหลัง แล้วรับรู้ได้ถึงความอวบแน่นที่ดันผ่านช่องทางฝืดไร้การชะโลมนั้นเข้ามา
พระจันทร์คืนเพ็ญอวดแสงนวลอยู่บนฟ้า เหน่งเดินออกมาจากป่าหญ้านั้น เขาเอามือเช็ดปากซ้ายทีขวาที ก่อนจะมองเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่ด้านในรั้วของบ้าน ที่อยู่ถัดมาจากไฟกลางซอยนั้น ผู้ชายคนนั้นยืนนิ่ง ๆ มองเหน่ง และเปลี่ยนเป็นมองตาม เมื่อเห็นเหน่งเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง เหน่งหันกลับไปมอง ผู้ชายคนนั้นค่อย ๆ ถอยไปด้านหลัง ก่อนจะหายเข้าไปในความมืดของตัวบ้าน
“กลับดึกนะมึง” เหน่งหันไปทางต้นเสียงนั้น “แม่ หนูตกใจหมด” เหน่งพูดกับแม่ของเขา ที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาใช้หลังดันประตูรั้วให้เปิดออก ก่อนจะใช้เท้าเตะมันเบา ๆ ให้ปิดงับตามหลัง “อย่างมึงเนี่ยนะตกใจกลัว” เสียงไฟสลัว ๆ ในบ้านทำให้เหน่งมองเห็นใบหน้าของแม่อยู่ในเงามืด
“อย่าเริ่ม” เหน่งพูดเสียงขุ่นเคือง “จะเอามั้ยเนี่ย” ก่อนจะยื่นของที่ถืออยู่ในมือให้ “ยังดีที่มึงไม่ลืม” แม่ของเขารับมันเอาไป เหน่งสลัดของเหลวที่เปื้อนมือเขาให้หลุดออก “แล้วมึงมารถสองแถวของใคร” แม่ของเหน่งถามขึ้น เมื่อเดินตามเขาเข้ามาในบ้าน “น้าเชิด” เหน่งตอบ ก่อนกระดกน้ำจากแก้วที่เพิ่งรินใส่รวดเดียว
“มีคนบนรถมั้ย” เสียงของแม่ฟังดูตื่นเต้นดีใจ “ผู้หญิงสองคน” เหน่งตอบ ก่อนจะได้ยืนแม่ของเขาหัวเราะเสียงแหลมออกมา “สนุกล่ะมึง” เหน่งมองไปที่แม่ของเขา ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “เออแม่ เห็นผู้ชายหล่อ ๆ หุ่นดี๊ดี บ้านกลางซอยมั้ย” สิ้นเสียงถามของเหน่ง “อย่าไปยุ่งกับมัน ตัวเหี้ยอะไรก็ไม่รู้” แม่ของเขาก็ตวาดแหวออกมา
“โคตรหล่อ” เหน่งยังจำกลิ่นแห่งความเย้ายวนที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นอย่างติดจมูก “กูเพิ่งเห็นมันเมื่อสองสามคืนก่อน ตัวห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ อยู่ห่าง ๆ มันเอาไว้ อย่าร่านนักเลย แค่นี้บ้านหลังนี้ก็อัปรีย์พอแล้ว” เหน่งรู้ดี ว่าตั้งแต่ที่แม่ของเขาผิดคำครู แล้วชีวิตของเขาสองแม่ลูกต้องได้รับผลกรรมอะไรมาบ้าง
“กลิ่นอะไร” แม่ของเขาถามขึ้น เหน่งที่กำลังจะเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน หันไปมองรอบ ๆ ตัว ก่อนจะพบคราบเหนียวเปรอะอยู่ทั่วกระเป๋าสะพายของเขา “อีดอกทอง” แม่ของเขาพูดพลางส่ายหน้า เมื่อเห็นเหน่งใช้นิ้วปาดของเหลวนั้นมาป้ายลงบนลิ้น เจ้าของน้ำขุ่นข้นนี้ ที่กระซิบที่ข้างหูของเขาว่า ครั้งหน้าให้มาทำแบบนี้กันอีก ตื่นเต้นดี คงไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ตอนที่เหน่งกระซวกมือเข้าไปในท้องของหนุ่มร่างยักษ์คนนั้น
“ช่วยดูในมือของตัวเองด้วย ว่าตัวเองถืออะไรอยู่” แม่ของเหน่งยกพวงเครื่องในมนุษย์ที่ถืออยู่ในมือนั้นขึ้น ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิด ๆ ที่บริเวณลำไส้ที่อัดแน่นไปด้วยเวจอันหอมกรุ่นที่แม่ชอบ “แล้วตับมันหายไปไหน” ก่อนจะหวีดแหวด่าทอเหน่ง “มึงแอบแดกก่อนกูอีกแล้วนะ อีลูกเวร” เสียงนั้นดังไล่หลังลูกของเธอไป
เหน่งไม่อยู่รอฟังเสียงแม่ของเขาด่า เพราะเดี๋ยวแม่ก็คงเพลินจัดการกับไส้ของโปรดของแม่ ก่อนจะเหลือบางส่วนเอาไว้ทำต้มเครื่องในขาย ตบตาคนเหมือนกับที่เหน่งเองก็หางานทำไกลบ้านเช่นกัน อีกทั้งวิธีการที่ใช้ดีลกับผู้ชายให้ตกหลุมพรางของเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยากในยุคสมัยที่แอพโทรศัพท์มือถือ ใช้นัดหาเซ็กส์ มีให้เลือกใช้เกลื่อนขนาดนี้
ยังดีที่หญ้าข้างทางยาวท่วมหัว ก็คงจะมีกลิ่นอยู่สักพัก คนคิดว่าหมาเน่าหมาตายไปตามประสา ยังดีที่เป็นกลางคืน ถ้าดีลมาตอนกลางวัน หนุ่มร่างยักษ์คนนั้นก็คงจะรุ้แล้วแหละ ว่าโครงกระดูกของคนก่อนหน้าเขา ก็กองอยู่ที่เดียวกันกับร่างของเขาในตอนนี้นั่นแหละ
เหน่งอาบน้ำชำระร่างกายจนตัวเองหอมฟุ้ง ก่อนจะเดินมาที่หน้าต่างห้องนอน ที่เปิดออกเพื่อรับลมเย็น ๆ เขามองไปทางบ้านดำทะมึนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไฟกลางซอยนั้น มันเป็นบ้านร้าง ไม่มีใครอาศัยอยู่มานานมาก การได้เห็นร่างของผู้ชายคนนั้น กลิ่นของเขา มันทำให้เหน่งรู้สึกตื่นเต้นและเย้ายวนอารมณ์ของเขาอย่างมากมาย
“อยากได้จัง” เหน่งพูดขึ้นมาเบา ๆ เพื่อให้มันลอยไปหาคนที่เป็นเป้าหมายของเขา ไม่นานนัก ดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นก็ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างชั้นสองของบ้านหลังนั้น เหน่งครางออกมาด้วยความรู้สึกหฤหรรษ์ “ตอบรับแล้วใช่มั้ย” เหน่งล้วงมือผ่านขอบกางเกงขาสั้นใส่นอนของเขา เลื่อนมือลงไปเคล้าคลึงที่แก่นกายของตัวเอง ในขณะที่จ้องไปที่ดวงตาคู่นั้นที่แดงก่ำมากขึ้นกว่าเดิม
“อีวารีงั้นรึ” เหน่งพูดออกมา “ไม่สิ อีนี่แก่จะตาย แถมมันยังมีประโยชน์อยู่ ผัวมันกูก็ยังไม่ได้กิน เก็บมันเอาไว้ก่อน เอาอีเจี๊ยบ อีงูพิษดีกว่า อีห่ารากนี่มันร้าย จัดการมันก่อนดีกว่า” เหน่งยังไม่รู้ว่าผู้ชายในบ้านหลังนั้น เป็นตัวเหี้ยอะไร ตามที่แม่ของเขาว่าไว้ แต่นั่นก็น่าตื่นเต้นดีไม่ใช่หรือ ที่จะได้รู้ว่าเจ้าของกลิ่นฟีโรโมนอันรัญจวนใจนี้ มีวิธีกินอาหารของเขาอย่างไร
“บอกอีเจี๊ยบว่า มีสำนักทรงรักษาโรคมาใหม่ หรือมีหมอเทวดายาลูกกลอน เอ หรือจะเป็นของวิเศษอะไรก็เอาเหอะ ใช้อีวารีเป็นตัวยุ ยังไงอีเจี๊ยบก็ต้องทำตาม หลอกแดกผัวหนุ่มอีวารีที่หลอกแดกเงินอีวารียังไม่พอ ยังจะโกหกเรื่องเจ็บป่วยของตัวเองได้เป็นวรรคเป็นเวร คราวนี้แหละ มึงเจอของจริงแน่” เหน่งพูดจบ เขาว่าเขาพอจะดูออก ว่าเจ้าของดวงตาแดงก่ำคู่นั้น มีแววพึงพอใจกับแผนของเขาอยู่นะ
***********************************
Inspired by “เพลงกลับดึก”
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
กลับดึก อยู่ก็ลึกในซอยเปลี่ยว
It’s this late night, living deep in this secluded lane
โดดเดี่ยว ดึกอย่างนี้ไม่มีผู้คน
All alone, in the dark with nobody’s around
เดินเข้าไป หัวใจจะหล่น
Walking by myself, I’m scared to death
ถ้าคอยกังวลอยู่อย่างนี้ ทุกทีคงแย่
Been worried like this is suffering my mind
ก็กลับดึก ถ้ามีเขาเอาใจใส่
It’s late in the night if you show that you care
จะดีใจ ดึกยังไงก็คงไม่แคร์
I’m all happy, will never care how dark the night is
เดินด้วยกัน ไม่กลัวแน่แน่
You walk with me, nothing to be scared
ถ้ายอมดูแล ก็จะยกหัวใจให้เลย
You’re taking care of me, I’ll give my heart to you
รูปหล่อ กล้ามใหญ่ ใครสักคน
Handsome, muscled, will you be the one?
ที่จะมีจิตใจกับฉัน
Who has feelings for me
มีแก่ใจ ไปไหนไปกัน
Be with me wherever I’ll go
จะเปลี่ยว จะดึก ก็ไม่กลัว
Isolated, late at night, we’ll be just fine
ก็กลับดึก ก็เลยนึกไปเรื่อยเปื่อย
It’s this late in the dark, my mind’s wandering
เหน็ดเหนื่อยอยู่ในใจ คนเดียวทุกวัน
Heart’s weary, it’s all me and me only
เดินเข้าไป หัวใจมันสั่น
Walking in the dark lane, my heart’s all shaking
ถ้ามีใครเดินอยู่กับฉัน
If someone is coming with me
คงถึงบ้านสบาย
I’ll be home safe in no time
ถ้ามีใครเดินอยู่กับฉัน
If you’re coming with me
คงถึงบ้านสบาย
I’ll be home wherever you are
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 11. Being On Top
“ภายในห้องพักต้องตั้งเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิยี่สิบสองจุดสองสามห้าไว้ตลอดเวลา และต้องเปิดเครื่องปรับอากาศล่วงหน้าก่อนที่คุณม่อนจะเดินทางมาถึงอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงครึ่ง” เสียงพนักงานอ่านข้อกำหนดข้อแรกในแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือ “ยี่สิบสองจุดสองสามห้าเนี่ยนะ” เสียงนั้นถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “แล้วมันจะวัดยังไงวะ ไอ้จุดสองสามห้าเนี่ย” ปากถามไปพลางมองเพื่อนที่กำลังกดรีโมทแอร์ไป
“กูก็ไม่รู้ว่ะ กดแม่งจุดห้านั่นแหละ กูว่า” เสียงตอบมาอย่างอิดหนาระอาใจเช่นกัน “นี่แค่ข้อแรกนะมึง ยังมีแสบ ๆ อีกหลายข้อ” ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมงานว่ามาแบบนั้น สายตาก็ไล่ลงไปยังข้ออื่น ๆ “จัดอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่นใดที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ หรือเลียนแบบเนื้อสัตว์ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ทุกชนิดภายในห้องพัก ห้ามทำมาจากวัสดุเหล่านี้ และหรือทำให้เกิดความรู้สึกใด ๆ ที่เกี่ยวกับการทุณสัตว์ รวมถึงพนักงานและสต๊าฟทุกคน ต้องงดการทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมตลอดทั้งวัน”
“ไอ้เหี้ย ถึงว่า อาหารสต๊าฟเมื่อเช้า แม่งมีแต่เมนูผัก เห็นบอกให้งดแดกข้าวมาจากบ้าน กูก็นึกว่าจะมีของดีให้แดกที่นี่ กูก็อุตส่าห์แหกดากมาแต่เช้า” อ่านข้อนี้จบ มีเพียงเสียงร้องอุทานคำนั้นออกมา อย่างอดไม่ได้ “อย่าเชียวนะมึง ด่าเป็นชื่อสัตว์แบบนี้ เดี๋ยวมึงก็ได้ซวยหรอก ต้องด่าเป็นชื่อพืชพรรณจากป่าดงดิบล้าล่ะ กูว่า ถึงจะไม่โดนหักเงิน” และนั่นอยู่ในข้อตกลงในสัญญาการมาร่วมงานอย่างเป็นทางการ ที่ระบุชัดเจนถึงข้อห้ามข้อนี้และอัตราการปรับเงินจากศิลปิน หากพนักงานผู้หนึ่งผู้ใดทำการละเมิดข้อตกลงนี้
“มึงเลื่อนลงไปอีก อ่านสองข้อต่อจากข้อนั้นดูสิ” สายตาไล่ลงไปตามที่เพื่อนบอก “จานชามเครื่องใช้สำหรับการรับประทานอาหารจะต้องเป็นกระเบื้องลายครามชั้นเยี่ยมเท่านั้น น้ำดื่มต้องเป็นน้ำดื่มอัลคาไลน์เท่านั้น โดยจัดหาเตรียมเอาไว้อย่างน้อยสิบแพ็ค ครึ่งหนึ่งแช่เย็นจัด ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้เก็บไว้ในระดับความเย็นเดียวกับอุณหภูมิห้อง ณ ขณะนั้น ดอกไม้ประดับห้องจำนวนสองร้อยดอก สามารถเลือกดอกไม้ได้เพียงดอกกุหลาบหรือดอกทิวลิปเท่านั้น หากเป็นดอกกุหลาบ ต้องเป็นดอกกุหลาบที่ไร้หนามบนกิ่งโดยสิ้นเชิง และต้องเป็นดอกไม้ที่มาจากสวนที่ไร้ยาหรือสารฆ่าแมลงเท่านั้น และงดดอกคาร์เนชั่นโดยเด็ดขาด”
“กาแฟเย็นคาราเมลมัคคิอาโต ผสมซอยมิลค์ ไม่หวาน หรือถ้าหวานต้องเป็นความหวานจากตัวกาแฟเองเท่านั้นจำนวนหนึ่งแก้ว บุหรี่นอกชั้นดีจำนวนสิบแพ็คพร้อมไฟแช็ก ไวน์แดงชั้นเยี่ยม ไวน์ขาวชั้นเยี่ยมแช่เย็นจัด อย่างละสองขวด และวอดก้าขนาดหนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบมิลลิลิตรจำนวนหนึ่งขวด พร้อมเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ติดตั้งให้เรียบร้อยภายในห้องพัก” ถึงตรงนี้ พนักงานทั้งสองก็ได้แต่สบตากัน แล้วถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ก่อนจะก้มหน้าก้มตา ตระเตรียมข้อกำหนดทั้งหมดที่ได้อ่านมาให้ทันก่อนที่คุณม่อนจะเดินทางมาถึง
กว่าที่ม่อนจะเดินทางมาถึง ทุกคนที่รออยู่เริ่มออกอาการเครียด เพราะแม้ว่าเวลาจะจวนเจียน ใกล้ถึงที่นัดหมายกันไว้ แต่ก็ไร้วี่แววของนักแสดงดาวรุ่งคนใหม่ ที่ทำปรากฏการณ์ ส่งภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขานำแสดงนั้น ให้ทำรายได้ติดอยู่ในท็อปห้าของอันดับหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของประเทศ แถมยังสามารถกวาดรายได้อย่างถล่มทลายจากการส่งภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกไปฉายยังต่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น กระแสคู่รักคู่จริงระหว่างม่อนกับนักกแสดงชายอีกคนในเรื่อง ก็ทำให้เพิ่มยอดแฟน ๆ จากทั่วโลกอย่างท่วมท้น
“เดี๋ยวคุณม่อนรีบเตรียมตัวเลยนะครับ” ม่อนหันไปมองตามเสียงนั้น ใบหน้าเรียบเฉยแต่สายตาแสดงออกไปตรง ๆ ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่า ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะมาพูดจาเร่งให้เขาทำอะไรไม่ทำอะไร “ถ้าไม่ใช่หน้าที่ ก็ไม่ต้อง” คำพูดที่ออกเสียงเน้นทุกคำ ก่อนจะมองเห็นหน้าพนักงานที่พอจะมองออกว่า พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจเช่นกัน
“ยังจะยืนจ้องหน้าอยู่อีกหรือ ทำไมไม่ไปอยู่ในที่ของตัวเอง” ม่อนถามออกไปตรง ๆ ก่อนจะมองขึ้นลงจากศีรษะจรดปลายเท้า อย่างจงใจให้พนักงานคนนี้รู้ตัว และไม่ได้แคร์ที่เห็นฝ่ายพนักงาน ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน “มีอะไรก็ไปทำซะไป” คุณดา ผู้เป็นผู้บริหารสาวของทางค่ายเดินเข้ามา ก่อนบอกพนักงานของตัวเองให้ออกไปก่อน ม่อนมองดูพนักงานคนนั้นตอบรับคำของคุณดา ก่อนจะเดินจากไปด้วยอาการซ่อนความโกรธไว้ไม่มิด
“น้องม่อนเข้าไปในห้องพักก่อนนะคะ เดี๋ยวถ้าถึงเวลาแล้ว พี่จะให้เด็กมาเชิญไปที่หน้าเซ็ท” คุณดาโอภาปราศรัย ก่อนจะพยักหน้าให้ผู้ช่วยของม่อน พาเขาเข้าไปในห้องพัก ม่อนยกมือไหว้คุณดา ก่อนจะหันเดินตามผู้ช่วยเข้าไปด้านในห้อง ยังไม่ทันจะได้ปิดประตู เสียงโวยวายของม่อน ก็ดังออกมาให้ได้ยิน “อะไรกันคะน้องม่อน” คุณดาร้องถาม แสดงอาการตกใจเมื่อเห็นม่อนยืนโกรธจนตัวสั่นไปหมด
“นี่พี่ดาไม่ได้ใส่ใจกับข้อกำหนดในสัญญาที่เราทำกันไว้เลยหรือครับ” ม่อนผายมือไปจนทั่วห้อง “ไม่มีอะไรที่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาสักอย่าง แอร์ก็ไม่ได้เปิด” ม่อนคว้ารีโมทเครื่องปรับอากาศ ที่อยู่บนพื้นห้องขึ้นมาอย่างหัวเสีย “รีโมทก็ใช้ไม่ได้อีก” ม่อนเริ่มวีนเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีพนักงานหลายคนวิ่งมาหยุดยืนดูที่หน้าประตู ว่าเกิดอะไรขึ้น โดยมีคุณดาพยายามพูดให้ม่อนใจเย็นลงก่อน
“น้ำอัลคาไลน์ก็ไม่ได้แช่เย็น” คุณดามองไปที่มุมห้อง มีน้ำดื่มวางกองรวมกันอยู่ที่ตรงนั้น “คุณดาจะให้ม่อนดื่มกาแฟนี่จริง ๆ หรือครับ” แก้วกาแฟที่น้ำแข็งละลายจนน้ำเจิ่งนองโต๊ะวางตั้งอยู่ “แล้วไหนไวน์แดง ไวน์ขาว วอดก้ากับเครื่องทำน้ำแข็ง ๆ ไม่มีสักอย่าง นี่ม่อนยังไม่ได้มองหาบุหรี่ที่ม่อนสั่งเอาไว้เลยนะ” เสียงของม่อนดังมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแผดดังลั่นไปหมด
“แล้วดอกกุหลาบนี่” ม่อนเดินไปคว้าช่อดอกไม้จากแจกัน “โอ๊ย” แล้วต้องร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บ “ดอกกุหลาบมีหนามนี่” เสียงผู้ช่วยของม่อนรีบวิ่งเข้ามาช่วย “มีหนามจริง ๆ ด้วย หนามทิ่มนิ้วน้องม่อน” เสียงผู้ช่วยดังขึ้นด้วยความตกใจ ก้มลงหยิบช่อกุหลาบนั้นยื่นให้คุณดาดู คุณดากันไปทางเหล่าบรรดาพนักงานที่ยืนหน้าเสียกันอยู่หน้าห้อง “ใครที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ ไปตามมาพบฉันเดี๋ยวนี้” พนักงานได้ยินแบบนั้น ต่างพากันทำหน้าเลิ่กลั่ก “ไปสิ ยังจะยืนเซ่อกันอยู่อีก” คุณดาสั่งอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดุกว่าเดิม เพียงไม่นาน พนักงานชายคนก่อนหน้านี้ ที่โกรธกิริยาและคำพูดที่ไม่ไว้หน้าของม่อนก็เดินเข้ามา
“เธอรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในห้องพักของคุณม่อนใช่มั้ย ท็อป” ทันทีที่เขาปิดประตูห้องพักของม่อนตามหลัง ทิ้งให้บรรดาพนักงานคนอื่นที่เต็มไปด้วยความอยากรู้เอาไว้ด้านนอก คุณดาก็ยิงคำถามใส่ทันที “ใช่ครับ” ท็อปรับคำ ก่อนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แต่นี่ไม่ใช่สภาพห้องที่เขาเข้ามาเตรียมความเรียบร้อยให้ก่อนหน้านี้ “ตอนผมออกไป ทุกอย่างเรียบร้อยดี ห้องไม่ได้เป็นแบบนี้นะครับ” ท็อปจำได้อย่างแน่นอน ว่าน้ำดื่มถูกจัดเข้าตู้แช่ตามรายละเอียดที่เขารับมา กาแฟยังไม่ควรจะส่งมาถึง บรรดาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพง หายไปจากชั้นวาง บุหรี่ที่เขาตระเวนหาซื้อก็ไม่อยู่ในที่ของมัน
“คุณม่อนถูกหนามกุหลาบตำเข้าที่นิ้ว” ผู้ช่วยของม่อนชี้ไปที่มือของดาราหนุ่มดาวรุ่ง ท็อปมองตามไป ม่อนกำผ้าสีขาวอยู่ในมือ ก่อนจะยื่นส่งให้กับผู้ช่วยของเขา “เห็นหรือยัง” มีรอยวงกลมสีแดงอยู่บนผ้าสีขาวผืนนั้น ท็อปพูดไม่ออก ทั้ง ๆ ที่เขาจำได้ว่า เขาเป็นคนนั่งลิดหนามทั้งหมดออกด้วยตัวเอง และตรวจแล้วตรวจอีก ว่าไม่มีหนามหลงเหลืออยู่แล้ว แต่ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ของทั้งหมดที่เขาเตรียมไว้พร้อมแล้ว สมบูรณ์ทุกอย่างแล้วแท้ ๆ กลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“ท็อป เธอรู้ไม่ใช่หรือ ว่าถ้าทางพนักงานของบริษัทเราทำผิดสัญญาที่ระบุไว้กับคุณม่อน มันจะมีความผิดและต้องชดใช้ค่าปรับ” ท็อปเริ่มหน้าเสีย เพราะรู้จำนวนเงินค่าปรับนั้นดี ว่ามันมากขนาดไหน “แต่ผมจัดการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยเป็นอย่างดีแล้วนะครับพี่ดา” ท็อปยืนยันหนักแน่นกับหัวหน้าของตัวเอง “เธอมีอะไรยืนยันคำพูดได้มั้ยล่ะ รูปถ่าย คลิปวิดีโอ” ม่อนเอ่ยถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาออกไป “ผมเตรียมทุกอย่างตามข้อเรียกร้องของคุณทุกข้อเอาไว้แล้ว แบบไม่มีขาดตกบกพร่อง”
“นอกจากคนของคุณดาจะว่าม่อนเรื่องมากแล้ว ยังหาว่าม่อนโกหก และกำลังใส่ร้ายเขาอยู่ด้วยนะครับ” ท็อปเห็นคุณดาทำท่าปรามไม่ให้เขาพูดอะไรต่ออีก เมื่อเรื่องราวมันกำลังจะบานปลายไปกันใหญ่ และท็อปเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรมาสนับสนุนคำพูดของตัวเอง ทุกอย่างที่เขาพูดออกไป ตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่คำแก้ตัว เป็นได้แค่คำกล่าวอ้างลอย ๆ ของตัวเองเท่านั้น และที่แย่ไปกว่านั้น เขาไล่เพื่อนที่ช่วยกันจัดห้องพักของม่อนในตอนแรก ไปช่วยงานด้านนอก เพราะวันนี้ขาดคนงาน จึงมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่จัดห้องจนเสร็จ เพื่อนคนดังกล่าวก็ไม่สามารถมาช่วยยืนยันอะไรได้
“พี่ก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนะคะน้องม่อน” ท็อปก้มหน้าหลบสายตาของคุณดา เมื่อเห็นคุณดามองและพูดออกมาแบบนั้น เขารู้ตัวแล้วว่า วันนี้เขาผิดพลาดครั้งใหญ่ “พี่ก็คงต้องถามน้องม่อนแล้วล่ะ ว่าน้องม่อนจะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง” ม่อนเลื่อนสายตาจากคุณดามามองหน้าม่อน ที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะรู้ตัวดีว่า ตอนนี้ตัวเขานั้นเสียเปรียบม่อนทุกประตู
“งั้นเริ่มจาก วันนี้เธอไม่ได้ชื่อท็อป” เจ้าของชื่อมองหน้าม่อน ไม่เข้าใจว่าม่อนหมายความว่าอะไร “ฉันไม่ชอบคนชื่อท็อป วันนี้ทั้งวัน ห้ามใครเรียกเธอว่าท็อป หรือถ้ามีใครเผลอเรียก เธอก็ห้ามสนใจ ห้ามหันไปหา ห้ามพูดด้วย เริ่มจากตรงนี้เธอคิดว่าเธอทำได้มั้ย” ท็อปหันไปสบตากับคุณดา ที่มองเขามาด้วยสายตานิ่ง ๆ “ทำได้ครับ” ก่อนเขาจะพยักหน้ารับคำกับม่อน ที่กำลังมองท็อปด้วยใบหน้าที่ซ่อนยิ้ม
สองวันหลังจากนั้น นักข่าวมารอสัมภาษณ์ม่อนที่งานเปิดตัวสินค้า ที่ม่อนรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ จากประเด็นในโซเชียลที่ร้อนระอุ กับอักษรย่อนักแสดงชายสายวาย ที่เรื่องมากเป็นที่สุด ข้อเรียกร้องเยอะจนเกินที่ใครจะประเคนให้ได้ แถมยังเหวี่ยงวีนไว้หน้าหัวหงอกหัวดำหน้าไหน ๆ อีกต่างหาก โดยที่ประเด็นพุ่งเข้ามาที่ม่อน โดยพ่วงข่าวเกาเหลา ไม่กินเส้นกับพระเอกหนุ่มนักแสดงจากเรื่องเดียวกันอีก ถึงกับมีข่าวว่า ห้ามไม่ให้คนในกองถ่ายที่มีชื่อเดียวกันกับพระเอกคนนั้น เข้ามาใกล้
“แหม พี่ ๆ นักข่าวครับ ซื่อ ๆ ติ๋ม ๆ อย่างม่อนเนี่ยนะครับ จะไปกล้าสั่งอะไรใครแบบนั้น ขนาดร้านทำกาแฟให้ผิด ม่อนยังไม่กล้าท้วงเขาเลยครับ ไม่กินเองก็เอามาให้พี่ ๆ รปภ. ที่ตึก ได้ทาน ม่อนสงสารพี่เขาน่ะครับ ทานจนดึกดื่น” ม่อนตอบคำถามนักข่าวไปด้วยท่าทางสดใสร่าเริง มีอาการเขินอายเป็นระยะ ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องน่าอายของตัวเองออกมา
“แต่มันมีโพสต์ในโซเชียลก่อนหน้านี้นะคะน้องม่อน ที่บอกว่า ข้อเรียกร้องมากมายกำหนดอยู่ในสัญญา ถ้าใครทำไม่ได้ หรือฝ่าฝืน โดนปรับเงินกันอานเลย” ม่อนได้ยินพี่นักข่าวสาวคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีถามขึ้น ก็ทำหน้าเป็นกังวลขึ้นมาในทันที ม่อนถอนหายใจออกมา แสดงถึงความไม่สบายใจอย่างที่สุด ถึงการโพสต์คุกคามกันในโลกออนไลน์แบบนี้
“เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ม่อนไม่เข้าใจเหมือนกันนะครับ ว่าคนที่เขาจงใจปล่อยข่าว เขาคิดอะไรอยู่ แต่ม่อนขอยืนยันนะครับว่า ถึงแม้ว่าม่อนจะเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงมากขนาดไหน แต่ม่อนนั้นให้เกียรติและเคารพพี่ ๆ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของม่อนทุกท่าน ไม่มีพี่ ๆ เหล่านี้คอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนม่อน ไม่มีทางเลยครับ ที่ม่อนจะก้าวมาถึงจุดสูงสุดในชีวิตจุดนี้ได้ แต่ถ้าม่อนทำอะไรไปโดยไม่ตั้งใจ แล้วทำให้พี่ ๆ ทีมงานท่านใดเสียความรู้สึก ม่อนกราบขอโทษไว้ตรงนี้เลย รวมถึงพี่ ๆ นักข่าวทุกท่านด้วยนะครับ ม่อนไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลยสักครั้ง”
ม่อนยกมือขึ้นไหว้นักข่าวทุกท่าน แล้วพูดถึงประเด็นที่ตัวเขาเองทราบดีว่า การโดนบุลลี่มันเป็นอย่างไร มันเลวร้ายแค่ไหน ไม่มีเหตุผลใดเลยที่เขาจะกล้าทำในสิ่งเดียวกันกับใครทั้งนั้น ยิ่งกับคนที่มีสถานะทางสังคมที่ต่ำด้อยกว่าเขาด้วยแล้ว ม่อนบอกกับนักข่าวว่า เขากลับจะยิ่งช่วยเหลือ เกื้อกูล แบ่งปันให้กับคนที่ยังขาด จนบางครั้งกลายเป็นตัวเขา ที่ต้องเดือดร้อนเสียเองด้วยซ้ำ พูดมาถึงตรงนี้ มีนักข่าวอีกคนพูดเสริมขึ้นมาว่า เคยได้ยินผู้ใหญ่ในวงการพูดถึงเรื่องที่ม่อนมีจิตใจดี แต่โดนเอารัดเอาเปรียบเช่นกัน ม่อนยกมือไหว้นักข่าวท่านั้น ก่อนจะกะพริบตาถี่ ๆ เหมือนไล่หยาดน้ำใสที่เอ่อขึ้นท้นหน่วยตานั้นให้หายไป
“หนูยอมรับเลยจริง ๆ นะคะพี่ดา ว่าอีนี่มันดอกทองจริง ๆ แถมมันยังแสดงเก่งขึ้นทุกวัน ๆ” เนตรดาว นักแสดงที่อยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี พูดกับคุณดา ในขณะที่กำลังดูการไลฟ์การสัมภาษณ์ของม่อน เนตรดาวเข้ามาพบคุณดาที่สตูดิโอ เพื่อมาของานจากคุณดา เพราะเธอเองก็ว่างงานมานานมาก เนื่องจากไม่มีผู้จัดละครเจ้าไหนป้อนงานให้เธอเลย ในระยะหลัง ๆ มานี้
“ฉันก็ไม่เถียงนี่” คุณดาพูดยิ้ม ๆ ก่อนจิบกาแฟแก้วโปรดที่ถืออยู่ในมือ “งั้นพี่ดาก็ต้องรู้ไว้เลยนะคะ ว่าอีงูพิษนี่มันไว้ใจอะไรไม่ได้เลย พี่ดาให้มันมาอยู่ใกล้ ๆ ไม่ได้มีความปลอดภัยอะไร มันแว้งกัดพี่ดาได้ทุกเมื่อ” คุณดามองท่าทางพูดจาฉอเลาะของม่อนกับนักข่าวบนหน้าจอทีวีขนาดหนึ่งร้อยนิ้ว ที่ตั้งอยู่ในห้องทำงานของเธอ ก่อนจะยักไหล่ขึ้น เหมือนว่าเธอไม่ได้ยี่หระอะไรกับสิ่งที่เนตรดาวเพิ่งพูด
“แล้วที่มีข่าวว่า น้องม่อนกับนักแสดงชายอักษรย่อ ท. มีปัญหากัน จนแทบจะมองหน้ากันไม่ติด แถมยังมีเรื่องเม้าท์อีกว่า ถึงขนาดที่น้องม่อนสั่งห้ามคนในกองทีมีชื่อเดียวกัน ไม่ให้เรียกชื่อระหว่างที่น้องม่อนอยู่ด้วย มันจริงอย่างที่เขาแชร์ ๆ กันในเน็ตหรือเปล่าครับ” ม่อนทำหน้าเหนื่อยใจ ส่งสายตาแบบขอความเห็นใจจากพี่ ๆ สื่อมวลชนที่กำลังยืนสัมภาษณ์เขาอยู่
“คงไม่ต้องใช้อักษรย่อแล้วมั้งครับ” ม่อนพูด พาให้นักข่าวตรงนั้นหัวเราะตามไปด้วย “กับม่อนแล้ว พี่ท็อปเป็นพี่ชายที่ดีที่สุด เท่าที่น้องชายคนนี้จะหาได้เลยนะครับ” ม่อนยิ้มอ่อนโยน ทุกครั้งที่เอ่ยชื่อของนักแสดงหนุ่มรูปงามคนนั้น “แล้วม่อนจะมีปัญหาอะไรแบบนั้นกับพี่ท็อปเขาได้ยังไงกัน อย่าว่าแต่จะสั่งห้ามเรียกชื่อเลยครับ คนชื่อซ้ำกัน จะไปห้ามไม่ให้เรียกชื่อเขา ม่อนทำไม่ได้หรอกครับ เพราะม่อนเคารพทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือม่อนเสมอ”
“แต่อย่างว่านะครับ หลังจากงานหนัง พี่ท็อปเองก็เริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ ม่อนเองก็มีซีรี่ส์ที่กำลังจะเปิดกล้อง แล้วก็มีงานถ่ายแบบ มีพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์อย่างวันนี้ เราพี่น้องก็ห่าง ๆ กันไปบ้าง ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ก็ยังมีส่งข้อความนะครับ” ม่อนทำท่าเออออไปกับนักข่าวที่พยักหน้าตามเวลาที่ม่อนพูด “ส่งข้อความทักทายกันบ้าง พี่เขากลับมาจากเมืองนอก ก็มีของฝาก ขนม ช็อกโกแลต ซื้อเสื้อ ซื้อรองเท้ามาฝากบ้าง ตามประสาพี่ชายน้องชายที่เคยร่วมงานกันมา” ม่อนพูดก่อนจะหัวเราะตามพี่นักข่าวคนหนึ่งที่พูดขึ้นว่า เคยเห็นต่างฝ่ายต่างฝากคอมเม้นต์หยอกล้อกันผ่านโซเชียลมีเดียบ้าง
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” เนตรดาวพูดพลางทำหน้าพะอืดพะอม รู้สึกขยะแขยงไปกับความจอมปลอมอย่างที่สุดของม่อน “เธอมีอะไรอีกมั้ย เนตรดาว” คุณดาถามขึ้น เพราะเห็นว่าธุระที่เนตรดาวขอเข้าพบเธอนั้น เธอได้อธิบายให้เนตรดาวรับทราบเป็นที่เข้าใจดีแล้ว “ไม่มีแล้วค่ะ เดี๋ยวหนูว่า จะกลับพร้อมกับท็อปเลย” เนตรดาวตั้งใจจะมารับแฟนหนุ่มที่ทำงานกับคุณดากลับบ้านพร้อมกันเลย
“เธอกลับไปก่อนเถอะ เนตรดาว พี่ใช้ท็อปมันไปทำธุระให้พี่ มันน่าจะกลับดึก” คุณดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ หยิบปากกามาถือเอาไว้ในมือ เป็นนัยบอกเนตรดาวว่า เธอจะทำงานต่อแล้ว “ธุระ” เนตรดาวทวนคำพูดของคุณดา “ธุระอะไรคะพี่ดา ท็อปไม่เห็นบอกหนู” คุณดานิ่งเงียบไม่ตอบ “ธุระอะไรคะพี่ดา หนูถาม พี่ก็ตอบหนูสิ” เนตรดาวถามออกไปด้วยน้ำเสียงคาดคั้นจะเอาคำตอบจากคุณดาให้ได้ “อย่าบอกนะ ว่าพี่ดาวให้ท็อป” เนตรดาวคว้ากระเป๋าถือที่วางอยู่บนโซฟา รีบเดินไปที่ประตูห้องทำงาน
“เธอคิดจะไปไหน เนตรดาว” คุณดาถามเสียงที่ดังและเด็ดขาด “ผัวหนู หนูจะตามไปประจานอีตุ๊ดกะหรี่นั่นให้คนเขารู้กันให้ทั่ว ว่าตัวตนจริง ๆ ของมัน ระยำตำบอนแค่ไหน” เนตรดาวแผดเสียงตอบกลับ “ถ้าเธอทำอะไรลงไป ฉันจะถอดเธอออกจากงานทุกอย่าง แล้วเธอมั่นใจได้เลยเนตรดาว ว่าเธอจะไม่มีทางได้โงหัวขึ้นมาอีกได้เลยในวงการนี้ อย่าคิดลองดีกับฉัน” เสียงคุณดาเฉียบขาดและเนตรดาวก็รู้ดีว่า คุณดาไม่ได้พูดเล่น
“ฉันเก็บเธอขึ้นมาจากกองขยะอันแสนโสโครกได้ ฉันก็เอาเธอกลับไปโยนทิ้งที่เดิมได้เช่นกัน อีตุ๊ดนั่นมันจะดอกทองยังไง แต่มันคือตัวเงินตัวทอง สร้างรายได้มหาศาลให้กับฉันได้ในเวลานี้ ถ้าเธอคิดที่จะทำให้ฉันสูญเสียรายได้มหาศาลนี้ไปล่ะก็ เธอคงรู้นะ ว่านักข่าวจะได้รู้แน่นอน ว่ากำพืดที่แท้จริงของเธอมันเป็นมาเป็นไปยังไง มันถูกเสกสรรปั้นแต่ง สร้างเรื่องปูมหลังเป็นนิยายตอแหลคนมาขนาดไหน”
“สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือ ยกผัวใส่พานส่งให้มันไป แล้วแค่รอรับผัวของกลับบ้าน ไม่อย่างนั้น ก็เอาเนรมิตเงินสดสิบล้าน ค่าปรับที่ผัวเธอทำผิดพลาด ละเมิดข้อตกลงในสัญญาเอามากองให้ฉันเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ แถมยังเอาเรื่องพวกนี้ ไปโพสต์ลงเน็ตอีก ถ้าเธอไม่มีปัญญาทำได้ อย่างที่ปากดี ก็ไสหัวไปนอนรอผัวกลับมาเงียบ ๆ ที่ห้องเช่ารูหนูนั่น ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน ไป๊ ไปซะให้พ้น ๆ หน้าฉัน อย่ามายืนขวางหูขวางตา” คุณดาตะเพิดไล่เนตรดาวให้กลับไป และอย่าได้คิดก่อเรื่อง สร้างปัญหาให้เธอ
ม่อนทาบลายนิ้วมือเพื่อสแกนเปิดล็อกประตูดิจิตอลห้องชุดสุดหรูกลางกรุงของเขา ขณะที่ตอบขอบคุณร้านอาหารแบบเชฟเทเบิ้ลที่คิวยาว จองโต๊ะยากมากที่สุดแห่งหนึ่ง ที่เชฟคนดังระดับโลก ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเองด้วย เพิ่งโทรมาคอนเฟิร์มการจองมื้อค่ำเนื้อวากิวเอห้าด้วยตัวเอง ว่าเป็นเกียรติกับทางร้านเป็นอย่างมาก และยินดีพร้อมต้อนรับม่อนในคืนสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้
“กลับมาแล้วหรือ” เสียงทักดังขึ้น ม่อนหันไปมองตามเสียงนั้น ท็อป นักแสดงหนุ่มรูปหล่อ นอนเปลือยกายอยู่บนเตียงนอน โดยมีนักแสดงหน้าใหม่ ที่กำลังถ่ายทำซีรี่ส์เรื่องใหม่ด้วยกัน ใช้ปากกับความเป็นชายให้ท็อปอย่างเมามัน ม่อนพยักหน้าให้ ก่อนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ร่านกว่าที่คิดอีก อีนี่” โดยที่ท็อปก็หัวเราะตาม เมื่อยกตัวกระแทกเอ็นที่ใหญ่และแข็งแรงเข้าปากอีกฝ่ายไปรัว ๆ
“พี่ดาให้คนส่งของมาให้แล้วนะ แกแถมเหล้าแพง ๆ มาให้อีกเพียบเลย” ท็อปพูดไป พลางส่งเสียงซี้ดซ้าดเสียวซ่านจากกกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ไปด้วย ของที่ว่า คือของที่คุณดาให้คนขนออกจากห้องพักที่หน้าเซ็ทของม่อน แล้วส่งทั้งหมดมาที่นี่ ก่อนที่ม่อนจะตอบอะไรไป เสียงกริ่งประตูดังขั้น ม่อนสบตาก่อนยิ้มให้กับท็อป นักแสดงหนุ่มแบบรู้กัน ม่อนเดินไปเปิดประตูห้อง พนักงานบัตเลอร์โค้งให้กับเขา ก่อนจะขอตัวกลับลงไปด้านล่าง “เข้ามาสิ” ม่อนก้าวถอยหลัง พูดกับผู้มาใหม่ ให้เดินตามเขาเข้ามา
“ปิดประตู” ท็อป พนักงานที่ช่วยงานคุณดาอยู่ ก้าวเท้าเข้ามาในห้องอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะปิดประตูตามหลัง หลังจากที่เขาได้คุยกับคุณดา นี่คือสิ่งที่จะทำให้เขาไม่ต้องชดใช้เงินสิบล้านบาทให้กับม่อน “ถอด” ม่อนชี้นิ้วไปที่กางเกงยีนสีซีด ๆ ตัวเก่งตัวเก่าของท็อป ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีจากภาพของท็อป นักแสดงหนุ่มที่กำลังบรรเลงเพลงกามกับผู้ชายอีกคน ที่เขาจำได้ทันทีว่าเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ที่เคยพร็อพประกอบฉากให้วันก่อน ท็อป พนักงานหนุ่ม ปล่อยให้กางเกงยีนตกลงไปกองที่ข้อเท้า ก่อนจะเห็นม่อนทรุดตัวลงนั่งที่ด้านหน้าของเขา ชั้นในของท็อปถูกดึงลง แล้วเขาก็รู้สึกถึงความอุ่นจากโพรงปากของม่อนครอบลงมา
“เล่นด้วยคนสิ” ท็อปดาราหนุ่มเจ้าบทบาท เดินเข้ามายืนที่ด้านข้างของท็อปพนักงานหนุ่ม ก่อนจะประกบปากกับผู้มาใหม่ “อ้าปาก” นักแสดงหนุ่มหล่อออกคำสั่ง พนักงานหนุ่มทำตาม ก่อนจะโดนนักแสดงหนุ่มสอนเกมสวาทให้ จนท็อป พนักงานหนุ่มเผลอครางในลำคอ ม่อนถอนปากออก เมื่อท็อป พระเอกในหนังที่ร่วมแสดงกับเขา เดินจับมือท็อป พนักงานหนุ่มสไตล์เกาหลี ที่ดึงกางเกงยีนขึ้น แล้วเดินตามไปที่เตียงนอน โดยมีน้องนักแสดงหน้าใหม่ นอนช่วยตัวเองรออยู่
“เอาสิ” ท็อป นักแสดงหนุ่มเอ่ยปากพูด ให้ท็อปพนักงานอปป้า ก้มลงใช้ปากให้ น้องนักแสดงหนุ่มช่วยถอดเสื้อผ้าให้ จนทั้งสามคนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงง ม่อนเดินมาหยุดอยู่จที่ข้างเตียง จุดบุหรี่ขึ้นสูบ มองทั้งสามคนนัวเนียไม่รู้หัวรู้หาง ก่อนจะเห็นท็อป พระเอกหนุ่ม จับท็อป พนักงานหนุ่ม ขึ้นนั่งทับที่กลางลำตัว โดยมีน้องนักแสดงหน้าใหม่ นั่งทับที่กลางลำตัวของท็อป พนักงานหนุ่มอีกทอดหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงครางระงมไปทั่วทั้งห้อง โดยที่ม่อนเช็กให้แน่ใจว่า แบตเตอรี่ของกล้องแอบถ่าย จะมากพอไปตลอดจนจบ ไม่หมดกลางคันแบบครั้งที่แล้ว
“ฮัลโหล” เนตรดาวยกโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย เธอยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน “เหนื่อยจังเลยครับที่รัก ที่กองงานเร่งมาก ต้องทำทั้งคืนเลย เหนื่อยเป็นบ้า” ท็อปแฟนหนุ่มของเธอ ส่งเสียงมาตามสาย “อือ” เนตรดาวทำได้แค่เพียงตอบกลับไปแค่นั้น ก้อนแข็ง ๆ อะไรบางอย่าง แล่นขึ้นจุกคอหอยเธอจนหายใจแทบไม่ออก มือไม้ของเธอสั่นไปหมด ขอบตาร้อนผะผ่าวไปหมด น้ำตาใส ๆ จะหยดพ้นขอบตาทั้งสองลงมาได้ทุกเมื่อ
“เนี่ยเดี๋ยวท็อปต้องไปแทนคนที่กองต่างจังหวัดอีก คนมันขาดน่ะ อาจจะต้องไปหลายวันหน่อย ทำงานเพลินจนลืมบอกที่รักเลย แต่เงินดีมากเลยนะ เนี่ย ท็อปได้เงินพิเศษเพิ่มด้วย งานง่าย ๆ สบาย ๆ คราวนี้ได้เงินพอซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม ใบที่ที่รักอยากได้มานานได้แล้ว ที่รักดีใจมั้ยครับ” เสียงแฟนหนุ่มของเธอถามเอาใจมา “อื้ม” เนตรดาวตอบกลับไป ก่อนที่ท็อป แฟนหนุ่มของเธอจะรีบตัดสายทิ้ง บอกว่าต้องรีบไปทำงานแล้ว เนตรดาวปล่อยโทรศัพท์ให้ตกลงข้างตัว หมดเรี่ยวแรงและพลังใจที่เคยมี
***********************************************
Inspired by “เพลงเกิดเป็นตัวละคอน”
https://www.youtube.com/watch? v=nxuWtcITlRs
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
มีคนใดจะรู้และเข้าใจ
Will there be someone to get it and know me?
ตัวละครอย่างฉันนั้นเป็นอย่างไร
How it feels the role I’ m portraying
เขาให้ฉันเล่นบทไหน
Whatever part they ask me to play
ฉันนั้นไม่เคยเกี่ยง
I’ ll always take it
จะตัวโกง
An antagonist
จะตัวใด
And everything else
เขาให้ฉันแสดงไปตามเรื่องที่แต่ง
I’ m asked to act the scripts written
เรื่อยไป
So on, and on
จะมีวันไหน
Will there be one day?
วันที่ฉันมีโอกาสได้เป็น
That day I get a chance to be
อย่างตัวฉันเอง
Who I truly am
มันจะเป็นอย่างนี้ไปสักเท่าใด
How long will this ever take?
มันคงเป็นอย่างนี้ตลอดไป
Or it is like this forever
ฉันนั้นพร้อมที่จะตัดสินใจ
I am ready to make my decision
ฉันพร้อมจะบอกกับตัวเอง
I am ready to let myself know
บอกตัวเอง
Of this self - awareness
ฉันอยากเป็นแค่ตัวฉัน [อยากเป็นแค่ตัวฉัน]
I need to be who I really am (I am what I am)
ฉัน อยากเป็นแค่ตรงนั้น [อยากเป็นแค่ตรงนั้น]
I need to be there where I am (I’ m there where I am)
ฉันไม่หวั่น
I stay strong
เพราะฉันชัดเจน
I’ ve made myself clear
ฉันจะเป็นสิ่งที่ใจนั้นต้องการ
I’ ll become only what I desire
ฉันจะเป็น สิ่งที่ฉันนั้นคิดจะเป็น
I will be something I will only need
ฉันไม่เป็น สิ่งที่ฉันไม่คิดจะเป็น
I won’ t be anything I won’ t ever need
ฉันอยากเป็นเพียงตัวฉัน
I’ ll be just the way I am
จากนี้ไป
From now on
[ฉันอยากเป็นแค่ตัวฉัน] จากนี้ไป
[I’ ll be a person I need to be] Forevermore
[ฉันอยากเป็นแค่ตรงนั้น] จากนี้ไป
[I’ ll stay where it fits me] Eternally
[ฉันอยากเป็นแค่ตัวฉัน] I am who I say I am
-
+The Power of Lyrics, the Moments of Storytelling
ตอนที่ 12. My heart is (now) yours
“ตั้น เราขอคุยด้วยหน่อย” ทุกคนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ตรงนั้น หันไปมองทาต้นเสียงด้วยความตกใจ โดยที่เจ้าของชื่อ จงใจไม่หันไปมอง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง “ไอ้เชน แกมาทางไหน แกกลับไปทางนั้นเลยนะ ตั้นไม่มีอะไรจะพูดกับแกทั้งนั้นแหละ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นแล้วลุกจากม้านั่ง ไปยืนขวางคนที่เพิ่งมาใหม่เอาไว้
“เธอไม่เกี่ยว หลบไป เราจะคุยกับตั้น” เสียงพูดนั้นทุ้มต่ำ แบบที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี มันเข้ากับใบหน้าที่หล่อแต่ดูเลวของเจ้าของเสียง แต่วิธีพูดต่างหากที่แปลกหูไป เชนพูดจบก็เดินเบี่ยงตัวหลบเพื่อนผู้หญิงคนนั้น เพื่อตรงเข้าไปหาตั้นที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ ตั้นรีบลุกขึ้นยืน เพื่อจะเดินหนี แต่เชนก็เดินมาถึงตัวเขาเสียก่อน
“เชน นั่นแกจะทำอะไรตั้นอีก ปล่อยตั้นนะ” เสียงเพื่อนผู้หญิงอีกคนร้องตะโกนออกมา เมื่อเห็นว่า จู่ ๆ เชนก็ดึงตั้นเข้ามากอด ก่อนจะเห้นท่าทีของตั้นที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเชน พยายามผลักแผงอกหนาของหุ่นคนที่เล่นกีฬาเพื่อดันตัวเองออกมา แต่ดูไปแล้วยากเย็นนักที่จะสู้แรงอีกง่ายได้ “เฮ้ย เชน มึงเลิกรังแกตั้นดีกว่าว่ะ พวกกูขอร้อง” เพื่อนผู้ชายอีกคนตรงเข้าช่วยดึงตัวของตั้นให้หลุดออกจากอาการกอดรักของเชน
“มึงมีแต่ใช้กำลัง เท่าที่เป็นอยู่นี้ มึงคิดว่าพวกกูยังสูญเสียไม่พอกันอีกหรือวะ” คำพูดนั้นทำให้เชนหยุดชะงัก เขามองตั้นด้วยสายตาที่กลุ่มเพื่อน ๆ เองที่เห็นแล้วก็อธิบายไม่ถูก มันสับสนปนเศร้า สายตาที่ทุกคนไม่เคยเห็นว่าเชนเคยแสดงมันที่ไหนมากก่อน เชนมองไปที่ตั้นที่กำลังยืนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น ก่อนที่เชนจะเห็นน้ำตาของตั้นไหลลงมาเป็นสาย ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นแปลบเข้าสู่ตรงกลางหัวใจของเชน
“นี่ถ้าสิงห์มันยังอยู่ มันไม่ปล่อยให้แกมาทำร้ายตั้นอยู่อย่างนี้หรอก” สิ้นเสียงพูดประโยคนั้น ตั้นก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร 'ทุกคน' เสียงตะโกนร้องบอกดังลั่นอยู่ในอก 'เรานี่ไงสิงห์' แต่เจ้าตัวไม่รู้ที่จะบอกกล่าวให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร “แต่มันไม่อยู่แล้วไง สิงห์มันไม่อยู่กับพวกเราแล้ว ซึ่งแก ไอ้เชน แกเองก็รู้ดี ว่ามันตายเพราะใคร” ทุกสายตาเคียดแค้นชิงชังมองพุ่งตรงมาที่เชน
“ใช่สิ ครอบครัวแกมันรวย มันเสกได้นี่ ว่าใครเป็นคนถูก ใครเป็นคนผิด” เพื่อน ๆ พากันปลอบตั้น ที่กำลังร้องไห้จนตัวโยน เสียงร้องไห้ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ตรงนั้น เริ่มเดินเข้ามามุงดู ตั้น นักเรียนดีเด่นตั้งแต่มัธยมต้นจนมาถึงตอนนี้มัธยมปลายเทอมสุดท้าย ที่กำลังจะก้าวเข้ารั้วมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุการณ์เศร้าสลดเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนปิดเทอมแรก ที่ทำให้ทุกคนต้องเห็นใจตั้นอย่างที่สุด
สิงห์ เด็กหนุ่มนักเรียนทุน ผู้ที่เป็นนักเรียนตัวอย่างให้กับนักเรียนทั้งโรงเรียนถึงความมุมานะ ที่พยายามจะถีบตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้า พาชีวิตให้มุ่งสู่ความสำเร็จ แม้ว่าฐานะทางบ้านจะไม่พร้อม แต่ด้วยมันสมองและสองมือของสิงห์ ทำให้เขาคว้าจุดเริ่มต้นของความฝัน ได้รับทุนการศึกษาจากผู้ใหญ่ใจดี ให้เรียนได้สูงที่สุดเท่าที่เขาต้องการและความสามารถของเขาไปถึง โดยสิงห์มีตั้นเป็นกำลังใจที่สำคัญ ให้กับเขามาตลอด
สิงห์ตั้น คือคู่รักตัวอย่าง ที่แม้แต่อาจารย์ก็ยังรู้สึกเอ็นดู ทั้งสองคนแม้จะเป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่ แต่เมื่อทั้งสองคนช่วยกันเรียน ช่วยแบ่งเบางานโรงเรียนและภาระของอาจารย์ ทั้งสองจึงเป็นคู่รักวัยเรียนที่ควรเอามาเป็นเยี่ยงอย่าง ว่าความรักในวัยเรียนนั้นไม่ใช่อุปสรรค หากว่าต่างพากันไปในด้านดี คบกันอยู่ในกรอบ รักษาความสมดุลทั้งการเรียนและเรื่องของหัวใจ สิงห์และตั้นทำมันได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นมา
เชนนั้น เป็นที่รู้กันดี ว่าเขาแสดงออกอย่างชัดเจนมาโดยตลอด ว่าเขานั้นรังเกียจเกย์ บนหน้าโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของเขา เชนเคยโพสต์ลงไปอย่างโจ่งแจ้ง ว่าเขานั้นเกลียดตุ๊ด ไม่สามารถคบค้าสมาคมกับคนลักเพศได้ เพราะผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้น ถ้าใครที่เขารู้ว่าผิดเพศมาอยู่ใกล้ ๆ ระวังตัวเอาไว้ให้ดี กับสิงห์และตั้น เคยมีคนเห็น ว่าเชนมายืนมองทั้งคู่ด้วยอาการไม่สบอารมณ์หลายต่อหลายครั้ง โดยที่สิงห์นั้น ลุกขึ้นปกป้องตั้นเอาไว้ได้ทุกครั้ง แต่แล้ววันที่ทุกคนไม่อยากให้เกิด มันกลับมาถึงจนได้
เหตุการณ์เล่ากันว่า เชนได้ขโมยโทรศัพท์มือถือของสิงห์ไป ก่อนจะเอามันไปส่งข้อความหลอกตั้นให้มาหาที่โรงยิมหลังโรงเรียน โดยบอกว่าสิงห์กำลังช่วยงานอาจารย์อยู่ อยากให้ตั้นมาช่วยด้วย ซึ่งตั้นก็หลงกล ไปหาสิงห์ที่โรงยิมหลังโรงเรียน โดยที่สิงห์ตัวจริงนั้นตามหาตั้นจนวุ่น เมื่อมีคนบอกว่า เห็นตั้นเดินไปทางหลังโรงเรียน สิงห์จึงรีบตามไป จนสุดท้ายแล้วกลายเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อสิงห์นอนเสียชีวิตอยู่ที่กลางโรงยิม โดยมีตั้นที่ร้องไห้เหมือนคนเสียสติ กอดเขาไว้ในอ้อมอก
ข้อความเหล่านั้นอยู่ในมือถือของสิงห์และตั้น แต่ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใด ที่ระบุว่า เชนมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แถมกล้องวงจรปิดที่เคยมีตรงโรงยิม ถูกส่งซ่อมและกำลังจะมาติดตั้งกลับคืนตอนเปิดเทอมใหม่ ทุกคนแม้ว่าจะปักใจเชื่อว่าเชนคือคนผิด แต่เชนได้รับการปล่อยตัว ไม่ถูกดำเนินคดีใด ๆ เลยเชื่อกันว่า นั่นเป็นอำนาจของความรวยของครอบครัวของเชน ที่ทำให้ทุกอย่างหายไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
เมื่อเปิดเทอมใหม่ ทุกคนพยายามจะไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อเพื่อน ๆ เจอหน้าตั้น ก็พยายามพูดจาสรวลเสเฮฮา ไม่พยายามพูดหรือทำอะไรที่จะทำให้ต้องคิดถึงสิงห์ ซึ่งทุกอย่างนั้นเป็นไปด้วยดีตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเชนได้เดินมาหาตั้น และพยายามจะกอดตั้นเอาไว้กับอก ซึ่งทุกคนกลัวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสิงห์ จะมาซ้ำรอยเกิดขึ้นกับตั้นเข้าอีกคน เพื่อน ๆ จึงช่วยกันยืนล้อมตัวตั้น กันเชนเอาไว้ให้อยู่ห่างจากตั้น
'ไม่สิ' คำพูดนั้นผุดขึ้นในหัวแทบจะในทันที นี่เขาจะบอกกับตั้น บอกกับทุกคนอย่างไรดี ว่าเขาไม่ใช่เชน นี่เขาจะเริ่มอธิบายตรงไหนก่อนดี ว่าเมื่อเช้าหลังจากรู้สึกว่าตัวเองได้หลับไปอย่างยาวนาน เขาตื่นขึ้นมาในห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย แถมยังอยู่ในร่างของเชน เด็กหนุ่มผู้เป็นขบถในทุก ๆ เรื่องคนนั้น คนที่ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา คนที่ตัดสินว่า โลกทั้งใบอยู่ตรงข้ามกับเขา และทุก ๆ คนเป็นศัตรูกับเขาทั้งนั้น
“แกเห็นใจมันบ้างไม่ได้หรือไง ถึงมันจะชอบผู้ชาย แต่มันก็เป็นคน มีศักดิ์ศรี นี่ร่างกายมันก็อ่อนแอ ทางที่ดี แกอย่ายุ่งกับมันเลยดีกว่า เชน” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนพูดจบ ก็บอกให้ตั้นเก็บข้าวของ เพื่อจะได้พาตั้นเดินออกไปจากตรงนั้น “ตั้น เรามีเรื่องต้องคุยกัน ตั้น เรามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน” สิงห์ในร่างเชนพยายามจะเรียกให้ตั้นหยุดฟังเขาก่อน แต่มันเป็นอะไรที่ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน เมื่อทุก ๆ อณูของเขาในตอนนี้ น้ำเสียง ใบหน้า ร่างกาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันคือเชนทั้งนั้น แม้ว่าเขาจะรู้ว่า ตัวตนจริง ๆ ของเขานั้นคือสิงห์แน่นอน
ตั้นรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า ก่อนจะหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาถือ เสียงเพื่อน ๆ พูดปลอบใจและคอยช่วยเหลือไม่ห่าง ทั้งหมดให้กำลังใจกับเด็กหนุ่มที่เสียแฟนหนุ่มไปไม่นานก่อนหน้านี้ แถมยังมีคนที่ทุกคนต่างก็เชื่อกันว่าเป็นฆาตกร มายืนอยู่ตรงหน้า และพยายามจะทำอะไรก็ไม่รู้อีก ไม่มีใครสามารถไว้วางใจเชนให้อยู่กับตั้นลำพังได้อีกต่อไป
สิงห์คิดทบทวนกลับไปกลับมาในหัว ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น หลังจากที่เขารีบตามไปเจอตั้มที่ยิมหลังโรงเรียน แต่จุดสุดท้ายที่กับเข้ามาในความทรงจำ ก็คือตอนที่เขาและเชนผลัดกันรัวหมัดใส่กันและกันโดยไม่ยั้ง แต่เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น สิงห์จำไม่ได้เลยสักนิด และที่ยิ่งน่าตกใจมากไปกว่านั้น ก็คือการที่เขาตื่นขึ้นมาในร่างของเชน โดยที่รู้ตัวดีว่า เขาคือสิงห์ ไม่ใช่เจ้าของร่างที่เขากำลังยืนมองในกระจกอยู่ตอนนี้
ทั้งยังคำพูดของเพื่อน ๆ ที่พูดกับเขาในร่างของเชนว่า สิงห์ได้จากทุกคนไปแล้ว จากไปแบบไม่มีวันกลับมาอีก นั่นก็แสดงว่า ตัวเขาได้ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ สิงห์รู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว มันสับสน มันงงงัน มันจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก เขาที่เคยได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับตั้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ ต้องมาติดอยู่ในร่างของคนที่เกลียดชังเกย์อย่างเชน คนที่แสดงท่าทีรังเกียจเขาและตั้นอย่างเปิดเผย
เพื่อน ๆ รั้งตั้นไว้ที่ร้านอาหารจนเย็นมากแล้ว เพื่ออยากให้ตั้นได้ใช้เวลาสนุกสนานกับเพื่อน ๆ และพยายามลืมความเศร้าจากการจากไปของสิงห์ ตั้นพูดขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคน แต่ก็ขอตัวกลับก่อน เพราะบ้านของเขาอยู่ไกล เพื่อนหลายคนก็เอ่ยขึ้นว่า ก่อนหน้านี้ สิงห์เคยไปรับไปส่งตั้นที่บ้านเกือบทุกวัน ด้วยเหตุผลที่ว่านี้ จึงเห็นพ้องกันให้ตั้นรีบกลับบ้าน ก่อนที่จะดึกมากไป ตั้นค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าลง เมื่อเขาเดินใกล้ถึงบ้านของตัวเองเข้าทุกที ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านหลัง ที่เดินเข้ามาประชิดถึงตัวอย่างรวดเร็ว
“ตั้น อย่าร้อง” ตั้นตาเบิกโพลง เมื่อเขามองเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า “สัญญานะว่าจะไม่ตะโกนโวยวาย ถ้าปล่อยมือออก” ตั้นพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะรู้สึกถึงมือแข็งแรงนั้น ค่อย ๆ คลายออกจากริมฝีปากของเขา “เชน เธอมาทำอะไรที่นี่ ถ้ามีใครมาเห็นเข้า จะทำยังไง” ตั้นต่อว่าอีกฝ่ายทันทีที่เขาเป็นอิสระจากการเกาะกุมนั้น สิงห์ในร่างของเชนชะงักไปกับคำพูดและกิริยาที่แสดงออกของตั้นคนรัก
“แล้ววันนี้อีก เธอเป็นบ้าอะไรถึงได้เข้ามากอดฉันแบบนั้น เพื่อนก็นั่งกันอยู่เต็มไปหมด นี่เธออยากให้ทุกคนรู้กันหมดใช่มั้ย ว่าเธอกับฉันเป็นอะไรกัน ทำอะไรกันมาบ้าง แล้วที่พูดกับตำรวจไว้ยังไงบ้าง” ตั้นต่อว่าออกไปเป็นชุด ก่อนจะทุบสองสามครั้งเข้าที่แขนของคนตรงหน้า สิงห์เหมือนตัวเองถูกค้อนใหญ่ ๆ ทุบเข้าที่หัว มึนงงไปหมดว่าสิ่งที่เขาได้ยินจากปากของตั้น
“แล้วเราเป็นอะไรกันหรือตั้น” แต่ละคำที่สิงห์พูดออกไป เมื่อเขาพอจะตั้งสติได้ มันช่างยากเย็นยิ่งนัก เขาได้ยินความคิดของตัวเอง ผ่านปากออกมาด้วยเสียงของเชน “ถามอะไรบ้า ๆ แบบนั้น” ตั้นมองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นมัว น้ำเสียงนั้นฟ้องถึงความรู้สึกน้อยใจ สิงห์ใจสั่น เขาจำได้ว่า ตลอดเวลาที่คบกับตั้นมานั้น เขาไม่เคยเห็นกิริยาท่าทางแบบนี้จากตั้นเลยสักครั้งเดียว
“เธอเป็นคนบอกฉันเองนะ ว่าเราเป็นอะไรกัน” ตั้นพูดให้อีกฝ่ายนึกให้ได้ ว่าเคยบอกอะไรกันไว้ “นั่นสินะ” สิงห์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “อยากได้ยินจากตั้นบ้าง” คำพูดนั้นทำให้สิงห์รู้สึกเจ็บแปลบเข้าที่กลางหัวใจ “เราเป็นอะไรกัน” เสียงตัดพ้ออย่างัดเจนดังออกมาจากปากคนตรงหน้า นั่นทำให้ตั้นเปลี่ยนท่าที และปรับโทนเสียงให้อ่อนโยนขึ้น
“เธอเคยพูดว่า เธออยากอยู่กับฉันตลอดไปไม่ใช่หรือไง” ตั้นจับที่ต้นแขนที่เป็นมัดกล้ามนั้น ถามออกไปพลางสบตากับอีกฝ่าย แวบหนึ่ง เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ตั้นชะงักเมื่ออะไรบางอย่างในแววตาคู่นั้นที่เขาเห็น ทำให้เขารู้สึกถึงใครอีกคน เหมือนมีแววตาของคนสองคนซ้อนทับกันอยู่ “แล้วตั้นล่ะ อยากอยู่ด้วยกันตลอดไปมั้ย” ตั้นยิ้มออกมาอย่างเคอะเขิน “ยังต้องถามอีกหรือไง” เมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ตั้งแต่ฉันโดนเธอเอาครั้งแรกในห้องน้ำโรงเรียนกวดวิชา ฉันรู้ ว่าฉันขาดเธอไม่ได้” ตั้นเอื้อมมือไปลูบเป้ากางเกงของอีกฝ่าย ก่อนจะเอามือมาลูบที่ปากตัวเอง สายตาของตั้นที่เย้ายวน มันทำให้สิงห์ในร่างของเชนถึงกับอึ้งไปในทันที เขาไม่เคยรู้เลยสินะ ว่าจริง ๆ แล้ว ตั้นเป็นคนยังไง “แต่ ที่มันยังติดอยู่ในใจ ไม่สิ มันทำให้ฉันรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ มันก็คือสิ่งนี้” ตั้นปลดกระดุมเสื้อลง แหวกให้เห็นที่กลางอกของตัวเอง สิงห์มองเห็นรอยแผลเป็นลากลงเป็นทางยาวที่หน้าอกของตั้น
“ตั้น” สิงห์พึมพำเรียกชื่อตั้นออกมา “นี่ถ้าไม่ใช่ว่าฉันรอดตายมาได้ เพราะหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ในอกของฉันตอนนี้ล่ะก็ ฉันจะไม่แคร์อะไรเกี่ยวกับเขาอีกเลย” สายตาของตั้นเว้าวอน ด้วยว่าก่อนหน้านี้นั้น ตั้นจำได้ดีว่าเชนเคยไม่พอใจตั้นมากขนาดไหน ที่ตั้นไม่ยอมเลิกกับสิงห์เสียที “มันมีโอกาสน้อยมากนะ ที่จะเจอคนบริจาคหัวใจ ที่จะเข้ากับร่างกายของเราได้ และเขาก็ยินดีที่จะให้มันกับเรา โดยที่เราไม่ต้องรอคิวที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึงสักที”
สิงห์รู้สึกชาไปหมดทั้งร่าง ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ แล่นเข้ามาในหัวของเขา ตั้งแต่ตอนที่เขารับรู้ว่า ตั้นมีโรคประจำตัวที่ต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ จนถึงวันที่เขาตัดสินใจทำหนังสือยินยอมยกหัวใจของเขาให้กับตั้น เพราะตั้นเป็นคนรักของเขา หากว่าวันหนึ่งเขาปุบปับจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย แม้เขาจะไม่เคยบอกกับตั้นเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาในเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าตั้นจะไม่ยอมและห้ามเขาไว้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นแบบนี้ สิงห์จ้องแผลเป็นที่หน้าอกของตั้น นั่นคือหัวใจของเขา ที่กำลังเต้นอยู่ในอกขอตั้นสินะ
“ฉันรู้ดี อย่างที่เราเคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ว่าฉันควรอยู่ห่างจากเธอในช่วงนี้ แต่คืนนี้ ให้ฉันอยู่กับเธอได้มั้ย พาฉันไปจากที่นี่ ฉันมีความทรงจำที่นี่กับเขามากจนเกินไป ฉันอยู่ที่บ้านฉันเองต่อไปไม่ไหวแล้ว นะเชน พาฉันไปกับเธอด้วย” ตั้นพูดจบก็โผเข้ากอดอีกฝ่าย ก่อนจะซบหน้าลงบนแผงอกกว้างนั้นอย่างรักใคร่ ของคนที่โหยหาความอบอุ่นนี้มานาน สิงห์กอดตั้นด้วยอ้อมแขนของเชน อ้อมกอดที่เขาเคยมอบให้กับตั้น ที่มันเคยอบอุ่นหัวใจของเขาตลอดมา
สิงห์วิ่งมาด้วยอาการกระหืดกระหอบ เขาผลุนผลันเข้าไปในโรงยิม กวาดสายตามองไปจนทั่ว แต่ไม่เห็นใครในนั้น สิงห์ตะโกนเรียกชื่อตั้นจนดังลั่น เรียกซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใด ๆ สิงห์วิ่งตรงไปจนถึงด้านหลังของโรงยิม ประตูสนิมเขรอะบานเก่าถูกล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่ มองลอดซี่ลูกกรงออกไป มีเพียงป่าหญ้ารกชัฏ ไม่มีวี่แววของใครทั้งนั้น
“เชน มึงทำอะไรตั้น บอกกูมา ตั้นอยู่ที่ไหน” ทันทีที่สิงห์วิ่งกลับมาจากด้านหลังของโรงยิม ก็พบเข้ากับเชนที่ยืนขวางอยู่ที่ประตูทางออกด้านหน้าโรงยิม “มึงยกตั้นให้กูได้มั้ยสิงห์” เชนยิงคำถามไปอย่างไม่รีรอ “กูกับตั้นเอากันแล้ว ตั้นเป็นของกูแล้ว ตั้นควรอยู่กับกู ไม่ใช่มึง” สิงห์เห็นท่าทางจริงจังของเชนแบบนั้น ทำให้เขายิ่งโมโห ว่านี่มันเรื่องล้อเล่นบ้าบออะไรกัน มันจะมากเกินไปแล้ว
“มึงพูดเรื่องเหี้ยอะไรของมึง ตั้นเป็นแฟนกู ใคร ๆ ก็รู้ มึงอย่ามาพูดจาอะไรแบบนี้ มึงเกลียดคนอย่างพวกกู มึงจะมาขอให้กูยกตั้นให้มึงเนี่ยนะ ทุกอย่างมันมีลิมิต ต่อไปนี้กูจะไม่ทนกับคนเหยียดเพศอย่างมึงแล้ว ไอ้เชน” สิงห์ตะโกนด่าเชนอย่างหมดความอดทน “กูไม่ได้เหยียดเพศ กูแค่ไม่ชอบที่เห็นมึงกับตั้นอยู่ด้วยกัน และกูบอกมึงไว้เลย สิงห์ มึงก็สู้กูไม่ได้หรอก” เชนพูดจบ ก่อนที่ทั้งสองคนจะพุ่งเข้าแลกหมัดกันอย่างดุเดือด
ตั้นเดินเข้ามาในโรงยิม ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือเชนยืนคร่อมร่างของสิงห์ที่นอนแผ่หงายอยู่บนพื้นด้วยสภาพสะบักสะบอม ตั้นตกใจกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าเหตุการณ์มันจะเลยเถิดบานปลายมาถึงขนาดนี้ สิงห์เมื่อรับรู้ว่าตั้นเดินเข้ามาในโรงยิม ก็พยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งโดนเชนใช้เท้ายันร่างของเขาให้กลับลงไปนอนบนพื้น ในทุกครั้งที่สิงห์พยายามจะลุกขึ้น
“ตั้น หนีไป” เสียงร้องบอกของสิงห์ฟังดูแผ่วเบา ก่อนที่สิงห์จะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง และแน่นิ่งไป ความรู้สึกของสิงห์ในตอนนั้น เหมือนกับเขาโดนพลังงานอะไรบางอย่างดูดดึงร่างของเขาให้หมุนวนเข้าไปในเกลียวน้ำสีดำมืด สติรับรู้ของตัวเองจางลงไปทุก ๆ ขณะการหายใจที่ช้าจนเกือบจะไม่เคลื่อนไหว เสียงของตั้นเรียกชื่อเขาดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะราบเรียบสงบลง
“ฝันร้ายหรือเชน” สิงห์สะดุ้งเฮือกก่อนลืมตาขึ้นมองไปทั่วห้อง ตั้นที่นอนอยู่ข้าง ๆ บนเตียงนอนถามขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาพร้อมอาการเหนื่อยหอบ สิงห์หันไปมองตั้นที่ส่งสายตาอาทรมาให้เขา ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ รับรู้ว่า เขาอยู่กับตั้นในห้องนอนของเชน ห้องเดียวกับที่เขาตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในร่างของเชนก่อนหน้านี้
“ให้ฉันช่วยนะ เธอจะได้รู้สึกดีขึ้น” ตั้นจูบเบา ๆ ที่ไรหนวดเหนือริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนจะไล้ปลายจมูกขึ้นลงที่ข้างแก้มของเชน แล้วจึงเลื่อนตัวลงไปที่กลางลำตัวของเชน ที่กำลังเปลือยเปล่า “ฉันอยากโดนเธอเอาอีก เอาฉันนะ เอาฉันแรง ๆ อย่างที่เธอเคยทำ อย่างที่เธอเคยบอกว่าเธออยากได้ฉันเป็นเมียของเธอไงเชน” สิงห์มองดูตั้นอ้าปากจัดการกับแก่นกายของเชนอย่างหื่นกระหาย ซึ่งเขาเองก็ยากที่จะควบคุม ไม่ให้มันตื่นตัว ไม่ได้
สิงห์เอื้อมมือไปจับหัวของตั้นกดขึ้นลงตามจังหวะอารมณ์ กับสิงห์เมื่อตอนตั้นอยู่กับเขา ทั้งสองคนไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เพราะสิงห์รอให้ทุกอย่างพร้อมและสุกงอม เสียงผิวเนื้อที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายดังขึ้นเมื่อตั้นถอนปากออกจากความแข็งแกร่งและอ้าปากกว้างอมดุ้นเขื่องกลับเข้าไปใหม่ ระหว่างความรู้สึกพรึงเพริดนั้น สิงห์เอื้อมมือไปวางลงบนต้นคอของตั้น
สิงห์ถามตัวเองว่า ถ้าเขาค่อย ๆ เพิ่มแรงบีบที่มือลงบนคอของตั้น แรงขึ้นและแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่ผ่อนแรงลง เรื่องราวทั้งหมดนี้ มันจะไปจบลงที่ใด แต่อีกเสียงหนึ่งในหัวของเขา กลับพูดกับเขาว่า หัวใจที่เขาให้ไว้กับตั้น มันกำลังสูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของตั้นอยู่ในขณะนี้ ตั้น คนที่เขารักมากและเคยคิดที่จะฝากชีวิตเอาไว้
*************************************
Inspired by “เพลงตัวจริงของเธอ”
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch? v=s7_Ooanyry0
บ่อยบ่อยที่เห็นเขาเดินผ่านมาและทักทาย
He often said Hi when he was passing by
แต่เธอทำเฉยเฉยไม่ค่อยยิ้มและพูดจา
I saw you didn’t even smile or say anything back
แต่สิ่งที่ฟ้องว่ามันไม่จริงคือสายตา
But what’s giving away was how you looked at him
สบตากันทุกครั้งก็เป็นเธอที่หวั่นไหว
He looked into your eyes, you showed that you cared
เจ็บปวดรู้ไหมที่ได้รู้ความเป็นจริง
The pain struck me when I realized that
ว่าเธอนั้นไม่เคยจะลืมและยังรักเขามากมาย
You’ve never forgotten him, you always love him so
เจ็บปวดทุกครั้งแต่ต้องทนอยู่เรื่อยไป
It pained me really as I had to face this the whole time
จะห้ามได้อย่างไรกับเขาคนที่เธอไม่ลืม
How could I tell you to stop thinking about him?
ตั้งแต่เมื่อฉันและเธอตกลงมาคบกัน
Since the day you and I went out
แค่ตัวเธอเท่านั้นเท่าที่ฉันครอบครองได้
It’s just your body that stayed with me
แต่สิ่งที่ฉันต้องการจากเธอคือหัวใจ
What I demanded from you, it was your heart
แต่จะทำยังไงให้เธอลืมเขาคนนั้น
How could I stop you? Please baby, please forget about him
อยากเก็บเขาไว้คงไม่ฝืนหัวใจเธอ
I have no say if you want to keep him
ไม่ต้องการอะไรจากเธอถ้ามันฝืนใจให้กัน
I don’t want you to do things you don’t want to
อยากเก็บเขาไว้ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน
Okay, baby keep him deep in your heart
จะรู้ไว้เท่านั้นว่าฉันเป็นตัวจริงของเธอ
All I know is that I am still your man
ฉันนั้นหวังว่าคงต้องมีวันนึง
I wish there would be some day
ที่เวลาจะคอยเยียวยาให้เธอหายดี
Time would heal and you’d be again fine
แต่คงจะคอยนานมากไป
But that would be too long now
จิตใจมันเลยบางลงทุกที
My heart can’t afford another heartache
รู้บ้างรึเปล่าฉันเป็นอย่างไร
Don’t you ever see how I really feel?
ตั้งแต่เมื่อฉันและเธอตกลงมาคบกัน
Since the day you and I went out
แค่ตัวเธอเท่านั้นเท่าที่ฉันครอบครองได้
It’s just your body that stayed with me
แต่สิ่งที่ฉันต้องการจากเธอคือหัวใจ
What I demanded from you, it was your heart
แต่จะทำยังไงให้เธอลืมเขาคนนั้น
How could I stop you? Please baby, please forget about him
อยากเก็บเขาไว้คงไม่ฝืนหัวใจเธอ
I have no say if you want to keep him
ไม่ต้องการอะไรจากเธอถ้ามันฝืนใจให้กัน
I don’t want you to do things you don’t want to
อยากเก็บเขาไว้ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน
Okay, baby keep him deep in your heart
จะรู้ไว้เท่านั้นว่าฉันเป็นตัวจริงของเธอ
All I know is that I am still your man
อยากเก็บเขาไว้ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน
You’d like to keep him by your side, okay fine
จะรู้ไว้เท่านั้นว่าฉันเป็นตัวจริงของเธอ
All I ask is I am the man you come home to
-
25 ธันวาคม 2567
“เฮีย เมามาอีกแล้วหรือไง นี่ก็ใกล้วันงานแล้วนะ” จิ๋วหลิวเดินออกจากห้องนอน สายตามองไปที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เห็นใครบางคนนอนใช้ผ้าห่มพันหน้าคลุมตัวเป็นดักแด้ ก็ส่ายหน้าแบบเซ็งพี่ชายของตัวเอง “ตื่นได้แล้ว” ไม่พูดเปล่า จิ๋วหลิวใช้มือเขย่าขย่มตัวของพี่ชายอย่างที่เคยทำมาตลอด เวลาอยากปลุกผู้ชายของตัวเองให้ตื่นนอน
“เกรงใจพี่เดียร์เขาบ้างมั้ยเนี่ย โทรบอกเขาหรือยัง ว่าจะเมา แล้วมาค้างที่บ้านนี่” จิ๋วหลิวได้แต่ถอนหายใจ เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นอนขดอยู่บนโซฟานั่น พลันมีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น จิ๋วหลิวเลยใช้มือฟาดลงไปที่ก้นของคนที่นอนไม่หือไม่อือนั้นดังป้าบ ก่อนจะเดินไปดูที่หน้าบ้านว่าใครมา
“จิ๋วเปิดประตูให้เฮียหน่อย เฮียจะเอาของลง แล้วเดี๋ยวจิ๋วมาช่วยเฮียด้วย มีของที่พี่เดียร์ฝากมาให้ยาย หลายถุงเลย” จิ๋วหลิวขมวดคิ้วแบบงง ๆ เดินไปเปิดประตูรั้วให้พี่ชายของตัวเองเอารถยนต์เข้ามาจอด โดยที่ฉงนใจไปด้วยว่า ถ้าเฮียเพิ่งขับรถเข้ามา แล้วใครกันที่นอนเป็นผ้าห่มพันมัมมี่อยู่ที่โซฟาในบ้าน
“ไอ้ยักษ์ ไงมึง พอนอนได้มั้ยวะ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ล่อซะดึก แต่ตื่นเร็วเหมือนกันนะมึง” จิ๋วหลิวที่ถือของเต็มสองมือเดินตามพี่ชายเข้ามาในบ้าน ก็เห็นเพื่อนพี่ชายที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย นั่งอยู่ที่โซฟา โดยมีผ้าห่มหล่นลงมากองอยู่ที่หน้าตัก
“ตื่นตั้งแต่เพี้ยะเมื่อกี้แล้ว” ยักษ์ปากพูดกับเพื่อนไป แต่สายตามองตามคนตัวเล็กที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น “เห็นตัวเล็ก ๆ แต่มือหนักเป็นบ้าเลย” พูดออกไปในทันที แม้จะไม่ได้บ่งบอกว่าพูดกับใคร แต่ยักษ์ก็เชื่อว่า เจ้าตัวต้องได้ยินอย่างแน่นอน
“ไอ้ยักษ์มึงนอนใส่กางเกงมั้ยเนี่ย ยายกูอยู่เรือนสวนข้าง ๆ เนี่ย แกยิ่งเจ้าระเบียบอยู่ มึงจะมานั่ง ๆ นอน ๆ เดินอวดซิกแพ็คไม่ได้นะเว้ย เดี๋ยวยายกูด่าตายห่า ว่าทำตัวรุ่มร่าม” ยักษ์หันมามองทางเพื่อนสนิท ที่แม้จะดูงง ๆ ว่ายักษ์พูดกับใคร แต่ก็รีบเตือนเพื่อนว่า ยายของเขาเป็นคนค่อนข้างดุและเนี้ยบมาก
“บ๊อกเซอร์” อีกครั้งที่ปากก็พูดไป แต่สายตาของยักษ์ก็เหล่เอียงมองไปทางจิ๋วหลิวที่กำลังจัดของให้เข้าที่ “มึงลุกขึ้นมาแต่งตัวดี ๆ ก่อน” ยักษ์ดันตัวลุกขึ้นยืนตามที่เพื่อนบอก ก่อนจะหยิบเสื้อยืดและกางเกงขายาวที่พาดอยู่บนพนักโซฟามาสวม
“ไอ้โต น้องมึงเป็นใบ้หรือเปล่าวะ เจอกัน ไม่เห็นทักกูสักคำ” ยักษ์เอ่ยถามเพื่อนออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่จิ๋วหลิวหันมองมาพอดี “ยักษ์ มึงเลิกแกล้งน้องกูได้แล้ว มึงนี่ยังไงนะ ชอบแกล้งเด็ก” จิ๋วหลิวเห็นยักษ์มองมาที่ตัวเองแบบไม่วางตา
“น้องมึงไม่เด็กแล้ว ไอ้โต มีแฟนได้แล้วล่ะ” ยักษ์พูดไปซ่อนยิ้มไป แล้วยิ่งเห็นจิ๋วหลิวขมวดคิ้วไม่พอใจที่ได้ยินแบบนั้น ยักษ์ยิ่งชอบใจ “รอไปก่อนเลยจิ๋ว เฮียไม่ยอม” เฮียโตของจิ๋วหลิวเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ น้องชาย ใช้แขนโอบรอบไหล่ของจิ๋วหลิว
“อยู่กับเฮียแบบนี้แหละดีแล้ว เฮียดูแลจิ๋วเอง ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม แมลงวันหัวเขียวบินมาจะเกาะจิ๋ว เฮียฟาดตายห่าหมด” ประโยคนี้ของโต ทำเอายักษ์แอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่ทั้งสามคน จะเห็นหญิงสูงอายุเดินเข้ามาในบ้าน
“ยายครับ นี่ไอ้ยักษ์เพื่อนโต ยายจำมันได้มั้ย ไอ้คนที่มาเที่ยวบ้านเราตอนนั้น แล้วซดน้ำแกงเขียวหวานของยายซะหมดหม้อเลย” ยักษ์ยกมือไหว้ผู้สูงอายุกว่า ก่อนจะรีบเดินเข้าไปพยุงแขน ให้ยายมานั่งที่โซฟา แล้วถามยายว่า
“คุณยายสบายดีมั้ยครับ ผมว่าจะมาสวัสดีคุณยายหลายรอบแล้ว เพิ่งจะมีโอกาส” ยักษ์ยิ้มกว้างให้ผู้สูงวัยกว่า “ก็ตามประสาคนแก่นั่นแหละ” ยายยิ้มกว้าง สายตาเอ็นดูหนุ่มตัวสูงใหญ่ชื่อสมตัว ที่ยายพอจะมองออก ว่าที่เข้ามาเอาใจคนแก่แบบมีหวังผลอะไรบางอย่าง
“คือคุณย่าผมเสียไปแล้ว ผมคิดถึงตอนอยู่กับคุณย่าน่ะครับ” ยักษ์มีสีหน้าอ่อนลง เมื่อพูดถึงย่าของตัวเองที่จากเขาไปแล้ว “คุณยายมีหลานน่ารัก ๆ” สายตาของยักษ์หันไปมองจิ๋วหลิวที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ “คือคุณยายมีหลานอยู่แล้วสองคน แต่ถ้าไม่รังเกียจ ผมขอเป็นหลานคุณยายเพิ่มอีกสักคนนะครับ” ยักษ์ไม่พูดเปล่า เริ่มบีบนวดแขนผู้สูงวัยแบบนอบน้อม
“ที่มาประจบคนแก่เนี่ย หวังจะขออะไรจากยายรึ” ยักษ์รู้ได้ในทันที ว่าตัวเองโดนจับไต๋ได้ตั้งแต่เริ่มอ้าปากพูดสินะ “ผมยังไม่กล้าขอคุณยายตอนนี้หรอกครับ” ยักษ์ยิ้มเขิน ๆ หันไปมองจิ๋วหลิวอยู่บ่อยครั้ง “ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ยายคิด คนที่เราควรจะประจบ ไม่น่าจะใช่ยายหรอกนะ ยักษ์” หนุ่มตัวโต ที่คิดว่าตัวเองฉลาดเหลี่ยมเยอะ ถูกคนแก่มองเสียทะลุปรุโปร่ง
“อ้าวเฮ้ย ไม่ได้นะ ไอ้ยักษ์ มรดกเอย บ้านเอย ที่ดินเอย มันของกูกับน้องกู พอเลยมึงเนี่ย ออกมา ๆ อย่ามาทำดีหวังสมบัติจากยายกู” เสียงหัวเราะดังขึ้น แม้แต่จิ๋วหลิวยังอดขำไม่ได้ “ยายอย่าไปหลงกลไอ้นี่นะครับ บ้านมันรวยอยู่แล้ว เวลามันมาบ้านเรา ให้มันกินข้าวกินขนมพอครับยาย ถือว่าโตขอ” โตทั้งกอดทั้งหอมยายของตัวเองอย่างเด็กน้อย
“นี่ไม่คิดจะขอโทษกันหน่อยหรือไง” ยักษ์ที่มาหยุดยืนอยู่ข้างจิ๋วหลิว ถามอีกฝ่าย “เรื่องเมื่อเช่าน่ะ เจ็บนะ มาทำร้ายร่างกายกันแบบนั้น” ยักษ์มองหน้าจิ๋วหลิวแบบตรง ๆ “ไม่คิดเงินค่าที่พักก็ดีเท่าไหร่แล้ว” จิ๋วหลิวตอบกลับ พร้อมหันมามอง ให้นึกสงสัยว่าทำไมยักษ์ถึงได้ชอบจ้องมองมาทางตัวเองนัก
“ใจร้ายจัง” จิ๋วหลิวไม่เพียงได้ยินน้ำเสียงที่ตัดพ้อของยักษ์ แต่แววตาที่ใช้มองมา ก็เป็นคำถามว่า อีกฝ่ายนั้น ใจร้ายตามปากว่ามาด้วยจริงไหม “ก็อยากจะจ่ายอยู่นะ แต่กลัวว่าจะไม่มากพอ” ยักษ์จ้องมองเข้าไปในดวงตาของจิ๋วหลิว “โรงแรมระดับห้าดาวหกดาวมีเยอะแยะไป” จิ๋วหลิวพูด พลางเสหลบสายตาอีกฝ่าย
“แต่ที่ที่อยากจะให้ใจไปอยู่ มันมีค่ามากกว่านั้นเยอะ” น้ำเสียงที่ยักษ์ใช้กับคำพูดประโยคนี้ มันฟังดูจริงจังมาก จนจิ๋วหลิวเลือกที่จะไม่หันกลับไปสบตากับยักษ์ จนกระทั่งมีเสียงกระแอมดังขึ้นที่ประตูบ้าน ทุกคนหันไปก็เห็นหญิงสาวแสนสวยยืนอยู่ก่อนแล้ว
“โต ของที่เดียร์ฝากให้ยาย เรียบร้อยหรือยัง” หญิงสาวถามแฟนขอเธอทันที หลังจากที่ทำความเคารพผู้สูงวัยเรียบร้อยแล้ว “จิ๋วเดินเอาข้าวบ้านมาแล้ว” โตรีบตอบว่าที่ภรรยาออกไป “จิ๋วเอามาเก็บใส่ตู้เรียบร้อยแล้วครับพี่เดียร์” จิ๋วหลิวบอกกับว่าที่พี่สะใภ้ โตกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็มีสายเรียกเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของเขาเสียก่อน
“ร้านซ้อมโทรมา” โตบอกทุกคน ก่อนจะขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์ที่นอกตัวบ้าน จิ๋วหลิวเห็นแบบนั้น ก็เดินตามพี่ชายออกไปเช่นกัน เดียร์ได้โอกาส ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะแขวนอะไรบางอย่างที่เหนือประตูนั่น แล้วหันมามองที่ยักษ์
“ดวงดีก็ต้องโชคดี” เดียร์เดินยิ้มมานั่งลงที่ข้าง ๆ ยาย ยักษ์นั้นมีท่าทีลังเล อยากจะเดินไปยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ก็ยังดูสองจิตสองใจ “แล้วแต่นะ ตัดสินใจเอาเอง” เสียงของเดียร์พูดขึ้นอีกครั้ง ยักษ์มองไปที่ผู้สูงวัย ที่ไม่ได้มีทีท่าทักท้วงอะไร และดูเหมือนจะอยากรู้เช่นกัน ว่ายักษ์จะตัดสินใจแบบไหน
“มายืนทำอะไรอยู่หน้าประตูบ้าน” จิ๋วหลิวที่เดินจะกลับเข้าไปในบ้านถามขึ้น เมื่อเห็นยักษ์มายืนเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนรอให้จิ๋วหลิวเดินกลับมา “อุ๊ย บังเอิญจัง” เดียร์พูดขึ้นยิ้ม ๆ “ดูสิคะคุณยาย สองคนนั่นยืนอยู่ใต้มิสเซิลโทด้วย” จิ๋วหลิวได้ยินแบบนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะก้มลงมาเห็นว่า ยักษ์ยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ด้วยใบหน้าแดง หูแดงไปหมด
“ตามธรรมเนียมแล้ว วันนี้วันคริสต์มาส ใครที่ยืนอยู่ใต้มิสเซิลโทด้วยกัน ต้องทำการจุ๊บกันทีหนึ่ง” จิ๋วหลิวได้ยินเดียร์พูดต่อ และเห็นยักษ์เดินขยับเข้าหา ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่า มือทั้งสองข้างของตัวเองนั้น ถูกยักษ์เอาไปกุมเอาไว้
“กลัวหรือเปล่า” ยักษ์ที่ก้มหน้าเข้ามาหา ทำให้จิ๋วหลิว เจ้าตัวถึงกับเผลอกลั้นหายใจ “โดนยักษ์จับกินนะ” พูดจบ ยักษ์ก็ก้มหน้าเข้าหาจิ๋วหลิวใกล้เข้าไปอีก จนริมฝีปากของทั้งคู่เกือบจะชิดกันแล้ว เสียงเดียร์หวีดออกมาอย่างลืมตัว ยักษ์เมื่อเห็นจิ๋วหลิวยืนนิ่ง ก็แนบริมฝีปากของตัวเองลงทาบทับกับจิ๋วหลิว และตอนนั้นเอง ที่โตเดินกลับมาพอดี
************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
All I Want For Christmas Is You - Mariah Carey
https://www.youtube.com/watch?v=aAkMkVFwAoo
I don't want a lot for Christmas
วันคริสต์มาสก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย
There is just one thing I need
จะมีก็เพียงแค่อย่างเดียวที่ต้องการ
I don't care about the presents underneath the Christmas tree
ไม่ได้สนใจของขวัญที่กองอยู่ใต้ต้นคริสต์มาส
I just want you for my own
แค่ต้องการคุณมาเป็นของตัวฉันสักที
More than you could ever know
ความต้องการนั้นมันมากเกินกว่าที่คุณจะเข้าใจ
Make my wish come true
ช่วยทำให้ความฝันฉันเป็นจริงเสียที
All I want for Christmas is you
คริสต์มาสนี้ต้องการแค่คุณเท่านั้นจริงจริง
I don't want a lot for Christmas
ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายในวันคริสต์มาส
There is just one thing I need
มีเพียงสิ่งเดียวที่ใจปรารถนา
Don't care about the presents underneath the Christmas tree
ไม่ได้แยแสของขวัญเรียงรายใต้ต้นคริสต์มาส
I don't need to hang my stocking there upon the fireplace
ไม่จำเป็นต้องไปแขวนถุงเท้าที่เหนือเตาผิงนั่น
Santa Claus won't make me happy with a toy on Christmas Day
แม้แต่ของขวัญจากซานตาคลอส ก็ไม่ได้ทำให้ดีใจในวันนี้
I just want you for my own
แค่ต้องการคุณมาเป็นของฉัน
More than you could ever know
มากกว่าที่คุณจะรู้ตัวเสียอีก
Make my wish come true
ขอให้พรนี้เป็นจริงสมใจ
All I want for Christmas is you
คริสต์มาสนี้ขอเพียงคุณเท่านั้น
Oh, I won't ask for much this Christmas
ไม่ได้เรียกร้องอะไรเกินงามกับคริสต์มาสนี้
I won't even wish for snow
หิมะไม่ตกก็ไม่เป็นอะไรเลย
I'm just gonna keep on waiting underneath the mistletoe
ก็หวังเพียงว่าจะรอคอยคุณอยู่ใต้มิสเซิลโทอยู่อย่างนี้
I won't make a list and send it to the North Pole for Saint Nick
รายชื่อของที่อยากได้ก็ไม่มี ไม่ส่งไปถึงเซนต์นิคที่ขั้วโลกเหนือ
I won't even stay awake to hear those magic reindeer click
ค่ำคืนก็ไม่อยู่รอเพื่อให้ได้ยินเสียงเรนเดียร์ลากเลื่อนวิเศษนั่น
'Cause I just want you here tonight
เพราะสิ่งที่ต้องการเพียงอย่างเดียวคืนนี้คือเธอ
Holding on to me so tight
มากอดฉันเอาไว้ให้แน่นแน่น
What more can I do?
มีอะไรอย่างอื่นมั้ยที่ฉันจะทำได้อีก
Oh, baby, all I want for Christmas is you
มีเพียงแต่คุณเท่านั้นที่ฉันต้องการ
Oh-oh, all the lights are shining so brightly everywhere
ไฟประดับอยู่ทั่วทุกหนแห่งสว่างไสวสวยงาม
And the sound of children's laughter fills the air
และมีเสียงหัวเราะของเด็กเด็กได้ยินอยู่ถ้วนทั่ว
And everyone is singing
ทุกทุกคนต่างร้องเพลงสนุกสนาน
I hear those sleigh bells ringing
ฉันว่าฉันได้ยินเสียงกระดิ่งลากเลื่อนดังใกล้เข้ามา
Santa, won't you bring me the one I really need?
ซานต้าได้โปรดพาคนที่ฉันใฝ่ฝันให้มาหา
Won't you please bring my baby to me?
ขอแค่คนนี้คนเดียวพามาให้ฉันได้ไหม
Oh, I don't want a lot for Christmas
คริสต์มาสนี้ไม่ได้หวังอะไรมากมาย
This is all I'm asking for
และแค่นี้จริงจริงที่ฉันอยากจะขอ
I just wanna see my baby standing right outside my door
แค่เปิดประตูออกไปแล้วคนในฝันก็ยืนรออยู่แล้วที่ข้างนอกนั้น
Oh, I just want you for my own
แค่ต้องการคุณมาเป็นของฉัน
More than you could ever know
มากกว่าที่คุณจะเข้าใจได้อีกนะ
Make my wish come true
ขอให้ฉันสมปรารถนาเสียที
Oh, baby, all I want for Christmas is you
เพราะคริสต์มาสนี้ ฉันต้องการเพียงแค่คุณเท่านั้น
-
24 ธันวาคม 2567
เดียร์เดินออกจากลิฟต์ ก่อนจะเดินเลี้ยวไปทางขวา เพื่อเดินตรงไปที่ห้องคอนโดของโต แฟนหนุ่มของเธอ ด้วยที่ว่า เธอลืมของบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในงานเอาไว้ที่นี่ เดียร์โทรหาโต แต่แฟนหนุ่มของเธอติดคุยสายกับลูกค้า หญิงสาวเลยไม่ได้บอกกับเขา แต่เลือกที่จะขับรถตรงมาที่นี่เลย เพราะเข้าใจดีว่า ยิ่งใกล้วันงาน ต่างคนก็ต่างยุ่ง ไหนจะงานที่ทำประจำ รวมทั้งยังเป็นช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อีกต่างหาก
เดียร์เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง เธอเปิดกระเป๋าสะพาย มองหาเหรียญโทเค่นที่ใช้แตะกับประตูดิจิตอลเพื่อเปิด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ตัวโทเค่นอยู่กับโต เธอเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดข้อความในแชทดู ที่โตเคยส่งรหัสหกตัวมาให้
ยักษ์วางกล่องกระดาษทิชชูเอาไว้ที่โต๊ะกระจกตัวกลาง ก่อนจะหยิบขวดเจลมาบีบใส่มือ แล้วจึงค่อย ๆ เอนตัวลงพิงพนักโซฟาตัวยาวในห้องรับแขกนั่น ยักษ์เลื่อนมือที่มีเจลใส่ลงไปหาที่กึ่งกลางลำตัว เขาผ่อนลมหายใจออก เมื่อเลื่อนมือขึ้นลงแล้วความแข็งเขื่อนพองโตขึ้นมาจนเต็มสู้มือ
สายตาของยักษ์จับจ้องไปที่กระดาษเอสี่ใบหนึ่งที่ถืออยู่อีกมือ ในขณะที่มืออีกข้างเร่งเร้าจังหวะสลับผ่อนคลายให้กับตัวเอง ช้าปรับเร็ว เร็วแล้วไปช้า โดยที่เอวของเขาก็ขยับขึ้นลงไปตามความรู้สึกที่มี เท้าทั้งสองข้างจิกเกร็งบ้าง นิ้วเท้าแผ่กางออกบ้าง ตามอาการวาบหวามที่เกิดขึ้น
“ว้าย” เดียร์ที่เปิดประตูเข้ามา ก็ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ เนื่องจากพอจะเดาได้ว่า คนที่นอนเอนตัวไปตามความยาวของโซฟา ที่มีพนักพิงขวางร่างกายจากสายตาอยู่ กำลังทำอะไรอยู่ เพราะหญิงสาวเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว
“เฮ้ย” ยักษ์เองก็สะดุ้งตกใจ ร้องเสียงดังลั่นห้อง แม้จะรู้ว่าเดียร์ไม่ได้เห็นส่วนสำคัญของเขา เพราะมีพนักโซฟาขวางลำตัวท่อนล่างอยู่ ยื่นโผล่ไปแต่เท้า แต่ก็รีบคว้าผ้าขนหนูที่อยู่ไม่ไกล มาพันรอบตัวเอาไว้ ไม่ให้อะไร ๆ น่ากระอักกระอ่วนใจไปมากกว่านี้
“แก ฉันไม่รู้ว่าแกมาอยู่ห้องโต โทษทีนะยักษ์” เดียร์ทำหน้าปูเลี่ยนๆ ที่ต้องมาเห็นเพื่อนสนิทแฟนของตัวเอง กำลังเพลิดเพลินอยู่แบบนั้น “เอาเถอะมันเป็นเรื่องปกติ ที่ผู้ชายจะทำอย่างที่แกทำ” เดียร์พยายามกลบเกลื่อนความน่าอายให้กับยักษ์ ที่ยืนหน้าแดงมากจากความอาย
“เออ ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครมา ไอ้โตมันบอกว่า มันขายคอนโดนี้แล้ว แค่รอทำความสะอาดแล้วส่งมอบห้อง” ไม่พูดเปล่า ยักษ์หันรีหันขวาง หากางเกงขายาวที่สวมก่อนหน้า เพราะตอนนี้ทุกอย่างสงบลงแล้ว ท่อนล่างของเขาไม่นูนตุงชี้ชูชันให้ต้องขายขี้หน้าเจ้าของ
“กระดาษอะไร” เดียร์พูดขึ้น ขณะที่ยักษ์กำลังแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะก้มลงหยิบมันขึ้นมาพลิกดู แล้วต้องตกใจ เมื่อได้เห็นรูปของใครคนหนึ่งที่ถูกปรินท์ออกมา “เดียร์ เดี๋ยวก่อน” ยักษ์พยายามร้องห้ามแฟนเจ้าของคอนโด แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
“ไอ้ยักษ์ นี่แก สไลด์หนอนกับรูปนี้หรือ แกจินตนาการกับรูปนี้เนี่ยนะ” เสียงของเดียร์จริงจัง ด้วยสีหน้าที่ทั้งตกใจทั้งประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ยักษ์เองได้แต่ทำหน้ายอมรับโดยจำนน เมื่อความลับที่เขาซ่อนเอาไว้ ดันมาถูกเปิดเผยจนได้ “เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เดียร์พูดกับยักษ์ ว่ายังไง วันนี้ก็ต้องพูดเรื่องนี้ให้เคลียร์
“นั่งลง” เดียร์ออกคำสั่ง “จะนั่งดี ๆ หรือจะให้กดโทรศัพท์บอกมันตอนนี้” ยักษ์ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่นั่งลงที่โต๊ะกาแฟแต่โดยดี โดยที่มองไปยังกระดาษเจ้ากรรม ที่มีรูปของจิ๋วหลิวที่ใส่กางเกงว่ายน้ำอยู่บนนั้น รูปที่ยักษ์ชอบและเก็บมาจินตนาการ
“ทำไมถึงเป็นรูปจิ๋ว นี่ถ้าโตรู้เรื่องนี้เข้า ถึงกับระเบิดนิวเคลียร์ลงได้เลยนะ ยังไง ไหนอธิบายมาซิ” เดียร์ถามเพื่อนสนิทแฟนออกไปตรง ๆ “คือ” ยักษ์ลังเล แต่พอคิดว่า ไม่มีทางอื่นนอกจากสารภาพพูดไปตรง ๆ “ฉันชอบจิ๋ว” เดียร์ทำตาโตเมื่อได้ยินยักษ์พูดออกมาแบบนั้น
“ฉันแอบชอบจิ๋วมาตั้งแต่ตอนเรียน ม.ปลาย แล้ว” เดียร์แอบอมยิ้มที่ได้เห็นยักษ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่เจ้าตัวที่เป็นหนุ่มบึ้กร่างใหญ่สมชื่อ พูดออกมาเหมือนตัวเองตัวเล็กตัวน้อย “แกก็เลยเอาน้องเพื่อนมา แบบว่า” เดียร์แอบแซวยักษ์ “ก็เพราะมันน้องเพื่อนนี่แหละ” ยักษ์พูดพร้อมถอนหายใจออกมา
“ถึงได้ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าการจินตนาการ ก็ไม่คิดว่าจะทำแค่นี้หรอก จริง ๆ อยากจะทำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าจิ๋วยอมให้ฉันทำนะ” เดียร์มองเห็นว่า ยักษ์พูดความรู้สึกจริง ๆ ของเขาออกมา “ฉันรักจิ๋ว แต่ไม่เคยกล้าที่จะบอก เพราะจิ๋วไม่เคยมีมีท่าอะไรกับฉันเลย” น้ำเสียงของยักษ์น้อยใจอยู่ในที
“แถม ยังไอ้โตอีก ที่ดันเป็นพี่ชายของจิ๋วด้วยแล้ว เดียร์ แกก็รู้ว่ามันหวงน้องมันมากขนาดไหน” เดียร์พยักหน้าแบบเข้าใจที่ยักษ์พูด “ว่าแต่ แกเริ่มชอบจิ๋วมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหน เล่ามาซิ” จะว่าไป เดียร์นั้นก็อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาเป็นไปยังไงกันแน่ ยักษ์เองก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เขาก็เริ่มเล่าให้เดียร์ฟังตั้งแต่เริ่ม
“เออ เราชื่อโตนะ นายล่ะ ชื่ออะไร” โตแนะนำตัวเองกับเพื่อนที่เพิ่งย้ายมาเข้าเรียนใหม่ชั้นมัธยมปีที่สี่ ที่โรงเรียนของเขา “เราชื่อบิ๊ก ย่อมาจากบิ๊กแบง” เพื่อนที่ตัวสูงใหญ่กว่าเพื่อนในวัยเดียวกันตอบกลับมา “เราชื่อโต ชื่อนายก็แปลว่าโต แต่นายล่ำกว่าเรามาก ต่อไปนี้ เราโต นายยักษ์ก็แล้วกัน” โตจัดการชื่อเล่นให้เพื่อนเสร็จสรรพ
“เดี๋ยวก่อน” เดียร์พูดขัดจังหวะยักษ์ที่กำลังเล่าเรื่องของตัวเองกับเพื่อนสนิท “เอาเรื่องของแกกับจิ๋วเลย เข้าเรื่องเลยดีกว่า ส่วนเรื่องแกกับโตน่ะ โตเล่าให้ฉันฟังไม่รู้จะกี่รอบแล้ว” ยักษ์ยิ้มแห้ง ๆ ที่ได้ยินเดียร์บ่นออกมาแบบนั้น “งั้นเข้าเรื่องเลยเนอะ” ยักษ์หัวเราะแก้เขิน ส่วนเดียร์ก็พยักหน้าด้วยอาการเซ็งหน่อย ๆ
“เปิดเทอมขึ้น ม.สี่ วันแรก อย่าให้ใครแกล้ง เข้าใจมั้ย” โตกำชับน้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จิ๋วโตแล้วเฮีย ไม่มีใครมาแกล้งแล้ว” จิ๋วหลิวส่ายหน้ากับความห่วงใยอันมากมายของพี่ชายตัวเอง ก่อนจะหยิบกระเป๋านักเรียนของตัวเองไปถือเอาไว้
“เฮียเป็นพี่ เฮียไม่ได้เป็นแฟนจิ๋ว” จิ๋วถือจังหวะนี้ แกล้งพูดใส่พี่ชายตัวเองเสียเลย “แฟนก็ไม่ได้ ห้ามมี อย่าให้เฮียรู้เชียวนะ ว่ามีใครมาขายขนมจีบ ทองหยอด ทองหยิบกับจิ๋ว เฮียอัดมันแน่ ตั้งใจเรียนไปก่อน อย่าเพิ่งมีความรัก” โตกำชับกำชาน้องชายของตัวเองหนักขึ้นกว่าเดิม
“เฮ้ย ไอ้โต อะไรวะ เสียงดังแต่เช้า เปิดเทอมวันแรกนะมึง” ยักษ์ที่เพิ่งมาถึงโรงเรียน เห็นโตโวยวายเสียงดังกับใครแต่เช้า หน้าตึกเรียนที่ไม่ใช่สำหรับชั้น ม.หก อย่างพวกเขา จิ๋วหลิวใช้โอกาสนี้ เมื่อเห็นว่ามีคนมาทักพี่ชาย ฉวยจังหวะรีบเดินขึ้นตึกเรียน
“น้องกูเอง จิ๋ว กูสอนน้องกูอยู่ อ้าว เผลอหน่อยเดียว หนีขึ้นตึกไปซะแล้ว” โตบ่นที่เดี๋ยวนี้ น้องชายคนเดียวของเขา ชักจะออกอาการดื้อกับเขา “จิ๋วหลิวอ้ะนะ” ยักษ์ถาม “เออสิวะ จะใครที่ไหนอีก” โตสำทับคำตอบของตัวเอง แต่สีหน้าของยักษ์ไม่เชื่อที่โตพูด
“น้องแกที่ตัวกระปุ๊กกระปิ๊กนั่นน่ะนะ” ยักษ์ถามย้ำออกไปอีก “เออ มีจิ๋วหลิวเดียวนั่นแหละ แต่น้องกู ก็โตขึ้นบ้าง แต่ก็ยังดูเด็กมากอยู่ดี” ในสายตาพี่ชายอย่างโต นี่คือเหตุผลที่เขาต้องดูแลน้องให้ดี “จิ๋ว จิ๋ว” โตตะโกนเรียกชื่อน้องชาย เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทไม่เชื่อที่ตัวเองพูด
“จิ๋ว น้องกูมันโตขึ้น จิ๋ว” โตตะโกนเรียกน้องชาย ดีที่ว่ายังเช้าอยู่มาก คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ “แต่หน้ามันใสกิ๊กเลย หน้าตาน่าเอ็นดู จิ๋ว” สิ้นเสียงเรียกของโตเท่านั้น ยักษ์ก็มองเห็นเด็กหนุ่มหน้าใส ชะโงกหน้าลงมาตรงบันได ที่ทำให้ยักษ์ถึงกับตะลึงในทันที
“เฮียเรียกจิ๋วทำไม เสียงดัง อายเขา” จิ๋วดุพี่ชายให้เลิกทำเสียงดังได้แล้ว “เฮียเดินกลับตึกไปได้แล้ว” หลังจากนั้นสองพี่น้องก็โต้ตอบกันไปมาอยู่สองสามประโยค แต่เป็นที่ยักษ์นี่สิ ที่จ้องไปที่จิ๋วหลิว ตาไม่กะพริบ มีรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า แม้จะไม่ยอมรับในทันทีว่า เพิ่งถูกกามเทพแผลงศรรักมาปักอกเข้าให้แล้ว
“หลังจากนั้นมา” ยักษ์พูดกับเดียร์ “จะทำอะไร ก็ต้องระวังไม่ให้ไอ้โตจับได้ ว่าแอบชอบน้องมัน มาจนเดี๋ยวนี้” เดียร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอเองมารู้จักกับโตและยักษ์ ก็ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพราะทั้งโต ยักษ์ และจิ๋วหลิว เรียนโรงเรียนชายล้วนแห่งเดียวกัน
“จิ๋วหลิวมันก็น่ารักมากจริง ๆ แหละ ยิ่งตอนนี้นะ เป็นเชฟอาหารไทยที่เนื้อหอมมาก มีคนมาตามจีบเยอะมาก โตเคยเล่าให้ฟัง” เดียร์พูดไปแบบนั้น “อุ้ย” ก่อนจะเห็นยักษ์ทำหน้าคว่ำใส่ “แต่โตคุมน้องแจขนาดนั้น จิ๋วมันจะทำอะไรได้” เดียร์พูดปลอบใจยักษ์
“ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ฉันก็พยายามหาโอกาสทำดีกับจิ๋ว หวังทำคะแนน หรือให้จิ๋วเห็นฉันบ้าง ฉันชวนคุย แต่จิ๋วก็ยังถามคำตอบคำ ยิ่งพอไอ้โตมันเห็นว่าฉันคุยกับจิ๋วบ่อย ๆ มันก็มักจะขัดจังหวะ ชวนฉันไปที่อื่น แกเข้าใจใช่มั้ย เดียร์” พ่อคนตัวโตล่ำบึ้กนั่งไหล่ห่อหน้าหุบ ระบายความในใจออกมาให้เพื่อนสาวฟัง
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันนะ อุตส่าห์เลียบ ๆ เคียง ๆ ไม่มีพิรุธถามมาจนได้ ว่าจิ๋วชอบกินไอติมรสชาติอะไร ก็หาโอกาสเลี้ยงเพื่อนในห้องจิ๋วด้วย จะได้ไม่มีใครจับได้” เดียร์ฟังยักษ์เล่าเรื่องที่ตัวเองพยายามดูแลจิ๋วหลิว เพื่อหวังให้รุ่นน้องที่เป็นน้องเพื่อนคนนี้ หันมาสนใจตัว
“ทั้งโรงอาหาร มีรสนั้นอยู่อันเดียว แต่พอฉันทำเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปดูหน้าห้อง หวังว่าจะชื่อในที่ได้เห็นแฟนตัวเองกินไอติมที่ถูกใจ ที่ไหนได้ เพื่อนดันมาขอกินแทน และจิ๋วก็ใจดีให้ไปอีก แม่ง หมดกัน” ยักษ์ยังจำความรู้สึกใจแป้วในวันนั้นได้ดี
“แฟนงี้” เดียร์ถามเสียงสูง ที่ได้ยินยักษ์ใช้คำว่าแฟนเรียกจิ๋วหลิว “ก็แหม” ยักษ์ทำเสียงเขิน ๆ “ก็เรียกแบบนั้น มันทำให้ฉันสบายใจขึ้นนี่หว่า แม้ว่าจิ๋วไม่ได้มารู้เรื่องอะไรด้วยก็ตาม” เดียร์เองก็ไม่เคยระแคะระคายมาก่อน ว่ายักษ์จะแอบชอบจิ๋วหลิวมานานมากขนาดนี้
“นะจิ๋ว ช่วยเขียนสรุปเนื้อหาวิชานี้ให้เฮียหน่อย เฮียจะเอาไว้อ่านสอบ จิ๋วลายมือสวย เขียนอ่านง่าย นะ เดี๋ยวเฮียเลี้ยงไอติม สิบแท่งเลยก็ได้” จิ๋วหลิวรับสมุดที่พี่ชายยื่นให้มาถือเอาไว้ “จิ๋วไม่ได้เห็นแก่กินนะเฮีย” จิ๋วหลิวออกตัวล้อฟรี “เอาเถอะ จิ๋วกินเท่าไหร่ก็ไม้อ้วน ไม่เป็นไรหรอก” โตใช้สองมือหยิกแก้มสองข้างของน้องชายตัวเองเบา ๆ “น่ารักมากน้องพี่” ก่อนจะเดินผิวปากอารมณ์ดีจากไป
“อะไรวะ” เช้าวันถัดมา โตเอาสมุดจดมายื่นให้กับยักษ์ “กูให้จิ๋วช่วยเขียนสรุปวิชาที่จะสอบให้” ยักษ์รับสมุดเล่มนั้นมาอย่างงง ๆ “แต่กูหยิบสมุดผิดเล่มติดไป เนี่ยสมุดมึง” ยักษ์ได้ยินแบบนั้น ก็ตาโต รีบเปิดสมุดดูทันที “ไอ้สัตว์ยักษ์ มึงไม่ต้องทำมายิ้มเลย กูจับมึงได้แล้ว ที่มึงยิ้มหวานปานน้ำผึ้งอยู่เนี่ย ก็เพราะ” ยักษ์ถึงกับต้องรีบติดเบรก หุบยิ้มในทันที กลัวว่าเพื่อนจะจับได้เสียแล้ว
“เพราะมึงไม่ต้องเขียนเองไง สบายเลยนะมึง กูจะให้น้องกูเขียนใส่สมุดของกูอีกเล่ม จิ๋วมันก็ต้องอ่านหนังสือสอบของมัน กูสงสารน้องกู ส่วนมึงไอ้ยักษ์” โตบอกกับเพื่อนสนิท ที่เปิดสมุดดูไปแต่ละหน้าด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ว่าถูกใจ
“หุบยิ้มกวนโมโหของมึง แล้วอย่าลืมไปซีร็อกส์ให้กูด้วย ให้ครบทุกหน้าด้วยนะมึง” เดียร์อดนึกเอ็นดูไปกับท่าทางการเล่าของยักษ์ ที่แสดงออกว่าเขารักน้องชายเพื่อนจริง ๆ ไม่ได้ “สมุดจดเล่มนั้น ไม่เพียงแค่ทำให้ฉันสอบไล่ ม.หก ได้คะแนนท็อป แต่มันก็ช่วยทำให้ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีกด้วย” เดียร์มองเห็นแววตาที่ยักษ์มี ตอนที่พูดถึงจิ๋วหลิวแบบนั้น
“ฉันคิดอะไรดี ๆ ออกแล้ว มา งั้นฉันจะช่วยแกเอง” เดียร์ตัดสินใจอย่างจริงจัง “ได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่มันก็ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วมั้ย ดีกว่าเก็บเงียบเอาไว้ แกเชื่อฉัน ยักษ์” ส่วนคนที่อยากได้น้องเพื่อนเป็นแฟน ถึงกับรีบถามว่าจะต้องทำยังไง เดียร์ได้แต่บอกว่า ให้ยักษ์ทำตามแผนของเธอก็พอ
*****************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
รู้ยัง - ต้น ธนษิต
https://www.youtube.com/watch?v=njRH69_Q6wE
มีใครที่เขาเฝ้าคอยแต่เธอตรงนี้รู้ยัง
It’s this guy over here been waiting for you, you see?
ไม่ใช่ความบังเอิญก็ตั้งใจเดินมาให้เจอ
No coincidence, only meant to walk past you, you see
มีใครที่เขาเฝ้ามองแต่เธอตรงนี้รู้ยัง
This guy is me been watching over you, you see?
ไม่ใช่แค่คิดถึงแต่ห่วงใยเธอเสมอ
Not only thinking of you but caring for you always
ได้แต่พูดลอยลอยอย่างนั้นเรื่อยไป
Say something out of the blue all the time
เปิดเพลงรักบ่อยบ่อย แต่ไม่ได้บอกให้ใคร
Keep playing this love songs, never say for whom
บอกว่ารักเบาเบา ในใจเท่านั้น
Gently say love, though echo quietly on my mind
ไม่ใช่พรหมลิขิตที่ขีดเอาไว้
No destiny that designs all of this
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นความตั้งใจ
No accident but all determination
ก็อยากให้เธอเข้าใจสักครั้ง
Wish you would get me just once
เธอคงยังไม่รู้ ว่ามีหนึ่งคนแอบรักเธอ
You don’t really know that this guy’s in love with you
แอบดูแลแต่เธอทำอะไรเพื่อเธอเหมือนไม่ตั้งใจ
Keeps taking care of you to make it look unintentionally
ถ้าเธอได้ฟังเพลงนี้ ก็อาจจะพอได้รู้ใจ
If you’re listening to this song, you may take a hint out of it
กับความจริงข้างใน
With all the feelings inside
ที่มันทำยังไงก็ไม่กล้าพูดออกไปสักที
Though how much I try but unable to speak it right out
ว่าใครที่อยู่ตรงนี้รู้ยัง
That this guy who is me, waiting for you here, don’t you see?
พยายามเฝ้าดูเพื่อจะได้รู้ว่าเธอชอบอะไร
Observe all the things you really like
พยายามเข้าใจจะได้มีเรื่องคุยกับเธอ
Understand that so we’ll have things to talk about
ที่เขานั้นคอยเฝ้ามองแต่เธอตรงนี้ รู้ยัง
Keep on looking at you over here, want you to see
แค่ต้องการดูแลและอยู่ข้างเธอเสมอ
All I want is to look after you and stay beside you
I just wanna know
I'mma let you know
I just wanna know
I'mma let you know
Cos I like you baby
Cos I need you baby
-
3 วันก่อนงานแต่ง
“เอาน่า นี่มันจะเป็นของขวัญวันแต่งงานชิ้นที่พิเศษที่สุดเลยนะ” เดียร์พูดพลางยิ้มกว้าง เมื่อทั้งหมดสี่คน เดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสตูดิโอ โดยมีครูผู้ฝึกสอน เดินออกมาต้อนรับพวกเขา “เพราะมันจะเป็นการแสดงที่มาจากน้องสุดที่รักและเพื่อนสนิทที่สุดของเจ้าบ่าวเจ้าสาว” โตฟังที่ว่าที่ภรรยาของเขาพูด และจัดแจงทุกอย่างเพื่อการนี้
“ใช่มั้ยโต” เดียร์ถามว่าที่สามีของเธอ โตทำหน้านิ่ง ไม่พูดอะไร แต่สายตาก็มองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของเพื่อนสนิทและน้องชายของตัวเอง “แต่โตว่านะ” พูดได้แค่นั้น เดียร์ก็พูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “เดียร์ไม่คิดว่า เดียร์จะพูดหรือทำอะไรผิด ใช่มั้ยคะโต” สิ่งที่โตทำได้ในตอนนี้มีแค่เพียง
“โตก็ว่าอย่างนั้นครับ” เมื่อคำตอบจากว่าที่สามีเป็นแบบนั้น เดียร์ก็ยิ้มอย่างพอใจ “เดียร์ฝากนักเรียนใหม่สองคนนี้เอาไว้ด้วยนะคะครู” เดียร์ใช้สองมือดันหลังของยักษ์และจิ๋วหลิวให้เดินไปข้างหน้า “ไม่ต้องห่วงฮ่ะน้องเดียร์” ครูผู้ฝึกสอนรับปากด้วยความรู้สึกยินดี ก่อนจะเชื้อเชิญจิ๋วหลิวที่มีสีหน้าลังเลให้เดินเข้าสตูดิโอไป
“ไม่ต้องห่วงนะฮะ ทุกอย่างจะออกมาดีแน่นอน ไปฮ่ะ คุณนักเรียนรูปหล่อ เราไปซ้อมกัน” ยักษ์หัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะเดินตามจิ๋วหลิวเข้าไปด้านในพร้อมกับครูผู้สอน “เดี๋ยวเรารอสองคนที่นี่” โตอ้อมแอ้มพูดขึ้น “ไม่ค่ะ” เดียร์ส่ายหน้า ก่อนจะบอกให้โตขับรถพาเธอกลับได้แล้ว โตที่รู้สึกห่วงน้อง แต่ก็ไม่อยากจะมีปัญหากับแฟน ทำให้เขาเดินตามเดียร์ไปแต่โดยดี
“เอานะฮะ สองคนมองดูตัวเองในกระจก มั่นใจนะฮะ สำรวจตัวเองและคู่เต้นของเรา” ยักษ์กับจิ๋วหลิวมองไปที่กระจกบานใหญ่ด้านหน้าของตัวเอง ก่อนจะเหลือบตาไปสบกับอีกฝ่ายในกระจกนั้น ยักษ์เผยยิ้มน้อย ๆ ออกมาให้เห็น ส่วนจิ๋วหลิวนั้น แอบเป่าปากพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ
“เพลงมันจะจังหวะโยก ๆ เต้น ๆ นัว ๆ โอเคนะฮะทั้งสองคน” จิ๋วหลิวบอกกับครูว่า อยากจะลองฟังตัวเลือกเพลงอื่น ๆ ดูก่อน แต่พอเสนอไป ครูผู้สอนก็ยิ้มรับอย่างใจดีและเป็นมิตร แล้วกลับมาใช้เพลงเดิมเพลงนี้อยู่ดี “ยักษ์ ครูอยากให้เราผ่อนคลายนะ มองดูคู่ของเรา น่ารัก น่าทะนุถนอม และเย้ายวนไปพร้อม ๆ กัน ใช้จินตนาการของเราให้เต็มที่ เข้าใจครูนะ” ยักษ์ฟังที่ครูพูด
“สตีม ๆ ไอร้อน ระอุ คุกรุ่น” ครูอธิบายออกมา ยักษ์สบตานิ่งผ่านกระจกกับจิ๋วหลิว “ส่วนจิ๋วหลิว ครูอยากให้เรา” ครูผู้สอนเดินมาอยู่ด้านหลังของจิ๋วหลิว “มองเข้าไปในตาของคู่ของเรา ค้นหาซิ ว่าเขารู้สึกอะไรยังไงกับเรา แต่เราเองก็ยังคงเป็นผู้คุมเกมนี้อยู่” ครูผู้สอนค่อย ๆ ใช้มือทั้งสองข้าง ดันไหล่ของจิ๋วหลิวให้หันหน้าไปทางที่ยักษ์ยืนอยู่
“เราเดินเข้าไปหาเขา ที่ยืนรอท่าเราอยู่” ยักษ์หันมองตรงมาทางจิ๋วหลิวและครู “นับ ห้า หก เจ็ด แปด” ครูพาจิ๋วหลิวเดินตามจังหวะการนับจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของยักษ์ “วางมือลงที่กลางหน้าอกของเขา รู้สึกเข้าไป ฟีล เดอะ ฮีท ความร้อนที่พร้อมปะทุ” มือของจิ๋วหลิวที่วางแนบอยู่บนแผงอกกว้างของยักษ์ รับรู้ถึงใจที่เต้นตึกตักของอีกฝ่าย
“ยักษ์รู้สึกยังไงตอนนี้” ครูเอ่ยถามยักษ์ออกไป “คือผม” ยักษ์พูดออกมาแค่นั้น สายตาได้แต่จับจ้องไปที่จิ๋วหลิวแบบไม่วางตา “ความรู้สึกที่กักเก็บเอาไว้ อยากที่จะพรั่งพรูมันออกมา” ครูพูดเสียงดังใส่ยักษ์ “สิ่งที่อยากปลดปล่อย พลังงานเหล่านั้น ที่เกินกว่าจะต้านทานมันได้ไหว” เร่งเร้าให้ยักษ์ตอบออกมาโดยฉับพลัน
“สิ่งที่เคยคิดจะทำ ที่อยากทำก่อนหน้านี้ แล้วไม่กล้า” จิ๋วหลิวเงยหน้าขึ้นสบตากับยักษ์ที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว จังหวะการเต้นของหัวใจของยักษ์แรง ถี่ รัวเร็วขึ้นกว่าเมื่อครู ส่งผ่านความรู้สึกมาที่มือของจิ๋วหลิว “ทำมันซะตอนนี้เลย” คำสั่งของครูผู้ฝึกสอนดังไปทั่วสตูดิโอ
จิ๋วหลิวรู้สึกได้ถึงมือสองข้างของยักษ์ ที่กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวออก มันลากผ่านมือของจิ๋วหลิวที่ยังวางทาบอยู่บนแผงอกแกร่งของยักษ์ “จำเอาไว้ จำเอาความรู้สึกนี้เอาไว้นะ เลี้ยงมันไว้ก่อนนะยักษ์ ส่วนจิ๋วขยับเดินถอยห่างออกมา” จิ๋วหลิวค่อย ๆ เดินถอยหลังตามแรงปลายนิ้วของครูที่แตะอยู่บนไหล่ของเขา ยักษ์ที่รู้สึกถึงปลายมือของจิ๋วหลิวกำลังจะหลุดจากการสัมผัสที่บนแผงอกของเขาไป เหมือนหัวใจกำลังจะหลุดลอย
“ครูว่า เรามีเวลาน้อย เดี๋ยวครูให้จิ๋วหลิวทดลองอะไรหน่อย” ยักษ์กับจิ๋วหลิวที่เพิ่งแยกการประสานสายตาออกจากกัน ดูจะทำตัวไม่ถูก โดยที่จิ๋วหลิวแอบกลืนน้ำลายลงคอแบบยากลำบาก และตอนนี้หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างมาก ยักษ์ที่เดินมาหยุดเปิดขวดน้ำยกขึ้นดื่ม มองตามครูที่พาจิ๋วหลิวเดินหายไปทางห้องด้านหลัง ก่อนจะได้ยินจิ๋วหลิวร้องเสียงหลง แล้วจึงเห็นทั้งสองเดินกลับออกมาที่ด้านนอกอีกครั้ง
“การซ้อมเราต้องกระชับ เพราะเวลาเรามีจำกัด” จิ๋วหลิวมีท่าทีเขินอายต่อสายตาของยักษ์ที่มองตรงมาตาไม่กะพริบ เมื่อเขาเห็นจิ๋วหลิวเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าซีทรู ที่มีริ้วรอบตัว ยาวจากบ่าลงมาที่เอว แต่ทุกครั้งที่จิ๋วหลิวขยับตัว ก็จะเผยให้เห็นเนินอกและท้องแบนราบของจิ๋วหลิว ใต้ผ้าซีทรูนั้น
“ท่อนนี้ของเพลง” ครูผู้สอนพูดขึ้นหลังจากเปิดเพลง เมื่อจะเตือนถึงท่อนดนตรีที่กำลังจะมาถึง “จังหวะเป็นละติน ยักษ์มายืนประกบตรงด้านหลังจิ๋วนี่” ยักษ์เดินมาทำตามที่ครูสั่ง “มองไปที่เอวของจิ๋วหลิว” ไม่ต้องสั่งซ้ำ เพราะสายตาของยักษ์มองไปที่เอวคอดของอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว
“อยากสัมผัส” ครูถามขึ้น มองไปที่หน้าของยักษ์ เขาพยักหน้าช้า “แต่จับไม่ได้” ยักษ์เหมือนถูกดึงเรียกสติ “คือของต้องห้าม มืออย่าต้อง” ครูไกด์มือทั้งสองข้างของยักษ์ ทำเหมือนจะจับเอวของจิ๋วหลิวเอาไว้ แต่ไม่โดน ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน “รอคอยคำอนุญาตจากเจ้าของเอวนี้” ครูเปลี่ยนไปไกด์จิ๋วหลิว
“โยกเอวไปมา ช้า ๆ” สะโพกจิ๋วหลิวที่สะบัดไปซ้ายขวา มือของยักษ์ก็เลื่อนตาม ประคอง ไม่แตะต้อง แต่ต้องแตะ ห่างกาย แต่ไม่ไกลห่าง “ดีมาก คนหนึ่งต้องการ อีกคนอยากให้เป็นที่ต้องการ จิ๋วเงยหน้าหันมามองสบตากับยักษ์” จิ๋วหลิวหันมาสบตากับยักษ์ที่หน้าตาแดงก่ำไปหมดแล้วตอนนี้
“เอนไปด้านหลัง จิ๋วเอนเอาหลังไปพิงกับอกของยักษ์” จิ๋วหลิวเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง เมื่อรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตัวเอง แตะสัมผัสกับแผงอกของยักษ์ ก่อนที่บั้นเอวจะแนบลงกับอีกฝ่าย รับรู้ถึงความยาวนูนเป็นสันที่พาดตัวอยู่
“มองตากันไว้นะ ยักษ์เลื่อนแขนมาโอบรอบตัวจิ๋ว ส่วนจิ๋วปล่อยตัวสบาย ๆ นะ ยักษ์ค่อย ๆ โยกตัวเอาแผ่นอกประคองตัวจิ๋วให้โยกคลอไปกับตัวของเรา ความรู้สึกต้องการเขา และเมื่อเขาโอนอ่อน ให้ทำตามความรู้สึกที่มีได้เลย อินเนอร์มา” สิ้นคำสั่ง ยักษ์จับตัวของจิ๋วหลิวให้หันมามองหน้ากัน ก่อนจะเลื่อนมือของจิ๋วให้มาโอบรอบท้ายทอยของเขาไว้
“จิ๋วเลื่อนมือผ่านแทรกผมของยักษ์ขึ้นไป แบบนั้นแหละ” มือของยักษ์เลื่อนไปวางไว้ที่หลังเอวของจิ๋วหลิว ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงไปวางบนเนินหนั่นของอีกฝ่าย แล้วช้อนตัวจิ๋วหลิวให้ยกตัวขึ้น จนใบหน้าของทั้งสองคน เกือบแนบชิดกัน
**********************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
ละลาย - ต้าห์อู๋
https://www.youtube.com/watch?v=YGnfTKGwJEc
Hey! หรือว่าโลกเรา
Hey, or this world isn’t, is it?
มันยังคงร้อนไม่พอให้เธอพอใจ
Hot enough to be able to satisfy you
Hey! ก็ที่เธอทำ
Hey, that of you do
ยิ่งดันให้องศามันยิ่งเพิ่มขึ้นไป
Push the temperature rising through the roof
ทุกท่าทีและสายตาที่มองมา
Those moves of course turn heads
ทำฉันแทบจะคลั่งตาย
They make me go crazy, super crazy
พยายามเท่าไร ต้านทานเธอไม่ไหว
No matter how hard I try, I cannot resist
อุณหภูมิหัวใจ ควบคุมไม่ได้แล้ว
The heat built in my heart, it’s out of control
เธอทำฉัน ร้อน ร้อน ร้อนรนข้างในหัวใจ
You’re making me feel hot, so hot burning out on the inside
เร้า เร้า เร่งให้ใจละลาย (ละ-ลา-ละ-ลา-ลา-ลาย)
Seductive, accelerating to melt everything in its path
เธอทำฉัน ร้อน ร้อน ร้อนเกินจุดเดือดหัวใจ
You’re making me so high, burning to the boiling point
รุกเร้าฉันให้ลุกเป็นไฟ (ละ-ลา-ละ-ลา-ลา-ลาย)
Seductive, accelerating to fire up all the things
แต่ร้อนเท่าไหร่ไม่กลัวก็พร้อมให้ตัวและใจฉันถูกเธอแผดเผา
Yet, the dying hot makes me more desire of you while being on fire
Hey! วุ่นวายไปใหญ่
Hey, all of this chaos
ปั่นป่วนใจทั้งวันทั้งคืน ไม่ให้ฉันนั้นได้พักเลย
And the heart goes crazy, not knowing how to settle it
นอนหรือว่าตื่น ไม่เคยเป็นอย่างนี้
Through sleep now awake, this is persistently happening
ก็ไม่แน่ใจ ที่มันไหล
Not sure that how it flows
ไม่รู้ มันร้อน จนฉันนั้นมีเหงื่อ
Fire that blindsides me, I’m all up with sweat
หรือว่า ฉันนั้น ละลายจนไม่เหลือ
Or this says I’m all melt up to nothing
ทำอย่างนี้ได้ไง เล่นกับใจไม่ไหว
How is this going like this, manipulating my heart
ระวังไฟจะย้อนคืน
Then it'll backfire
เข้ามาเลยมาเผาได้ตามต้องการ
Come on, come put on this fire showcase
อยากจะเริ่มตรงไหนให้เธอเลือกเอา
Anywhere you would like to begin
แต่จะไม่ใช่แค่ฉันที่โดนแผดเผา
Yet, I’m not the only one that is playing with fire
-
“แก ไปไม่ได้จริง ๆ หรือวะ” เสียงถามกลับไป แสดงถึงความผิดหวังอยู่ไม่น้อย “เออ ฉันอยากไปจริง ๆ” เมื่อเพื่อนตอบกลับมาจากปลายสาย ว่าไม่สามารถไปด้วยได้แล้ว “ถ้าแกไม่ไป ฉันก็ไม่รู้จะไปยังไงเหมือนกัน ก็แกสัญญา ว่าจะเป็นสปอนเซอร์ให้นี่นา” พูดออกไปแบบนั้น เผื่อว่าเพื่อนจะรู้สึกผิด แล้วเปลี่ยนใจไปด้วยกัน
“ก็ยังไม่ได้น่ะสิ” อีกฝ่ายถามมา ถึงเรื่องประจำที่เจ้าตัวทำอยู่ “ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากทำถึงขั้นนั้น” ตอบกลับเพื่อนไป เมื่อถูกถามว่า ทำไมไม่ทำจนสุดทาง ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว “ปกติมันก็ไม่แย่เท่าคืนนี้นี่นา” ที่บอกว่าไม่แย่ มันหมายถึงเงินที่คนเมาที่เข้าไปตีสนิทด้วย เริ่มจ่ายไม่อั้น เงินที่หยิบยื่นใส่มือ บอกให้ไปซื้อเหล้ามาเพิ่มอีก หลังจากแบ่งให้กับพวกบาร์เทนเดอร์แล้ว ก็เก็บเข้ากระเป๋าทั้งหมด ไม่เคยลงไปกับค่าเหล้าแต่อย่างใด ด้วยความเสียดาย
“อืม คืนนี้เจอแต่พวกขี้เหนียว อุตส่าห์ยอมเปิดเบียร์ เนี่ย ขวดเดียวตั้งแต่หัวค่ำ ตอนนี้ยังไม่เลยคอขวดเลย” นาฬิกาบนหน้าจอมือถือเก่าตกรุ่นไปนานแล้ว บอกเวลาว่าเลยตีสองมาหลายนาทีแล้ว “ไม่งั้น เดี๋ยวรอรถเมล์ ก็กลับห้องแล้ว” พูดตอบกลับไป เมื่อเห็นว่าเพื่อนนั้น ไม่เปลี่ยนใจที่จะไปเที่ยวด้วยกัน อย่างที่วางแผนกันไว้แน่ ๆ
“ไม่เอา” ทีนี้ตอบกลับไปแบบสั้น ๆ เสียงจากปลายสายร่ายยาวกลับมา ถึงความง่ายดายของงานสบายที่เพียงแค่ ต้องตัดใจหนึบ ครั้งแรกครั้งเดียวแค่นั้น ครั้งต่อ ๆ ไป หลัง ๆ มันก็ง่ายขึ้นเอง “อืม แกไปนอนเถอะ” ตอบกลับไปแบบคนผิดหวัง ทั้งเรื่องที่เพื่อนเบี้ยวทริป รวมถึงคำแนะนำของเพื่อน ที่พยายามหว่านล้อมเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
“คุณ จะไปเที่ยวหรือครับ” นิ่มถึงกับสะดุ้งตัวโยน รีบหันไปมองทางต้นเสียงทันที “ทำบ้าอะไรเนี่ย ตกใจหมด” นิ่มส่งเสียงดุอีกฝ่ายไป “อยากไปเที่ยวจริง ๆ หรือเปล่า” เสียงทุ้มหล่อของอีกฝ่าย มันก็แปลกที่ทำให้เขาคนนี้ พูดดูน่าฟังไม่หยอก “แล้วอยากจะรู้ไปทำไม” เดาจากรูปร่างหน้าตา นิ่มคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุมากว่าเขาไม่เท่าไหร่
“ผมออกมาเที่ยว แต่ว่า” ชายหนุ่มพูดกลับมา “ถ้าเมาก็กลับบ้านไปนอนซะ” นิ่มพูดห้วน ๆ ก่อนจะหันหลังทำท่าจะเดินไปจากตรงนั้น “ของถูกคนขโมยไปหมดเลย มือถือ บัตรเครดิต เงินสด” นิ่มหยุดเดินเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดมาแบบนั้น “แล้วผมก็ยังไม่อยากกลับบ้าน” นิ่มหันหน้ากลับมาทางชายหนุ่มอีกครั้ง ชั่งใจดูลักษณะท่าทางของอีกฝ่าย ว่าน่าไว้ใจได้มากแค่ไหน
“ไม่แจ้งตำรวจ” เหมือนชายหนุ่มจะเดาความคิดของนิ่มได้ นิ่มเองจับที่ปลายน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้ ว่ามันแปลก ๆ เหมือนเขามีเรื่องอะไรที่ไม่อยากบอก นิ่มเดินเข้าไปประชิดกับชายหนุ่ม ที่ตกใจชะงักไปสักนิด “น่าสงสัยนะคุณน่ะ” พูดจบนิ่มก็เอาสองมือสอดลงไปที่กระเป๋าด้านหลังกางเกงยีนทั้งสองข้างของชายหนุ่ม นิ่มได้กลิ่นเหล้าอ่อน ๆ ออกมาจากลมหายใจของอีกฝ่าย แต่ไม่มีกลิ่นพิเศษ ที่มักจะมีจากนักเที่ยวที่ไม่ได้ออกมาเมาแค่เหล้าเบียร์
“เพิ่งเคยออกมาเที่ยวกลางคืนหรือไง ถึงไม่ระวังตัวแบบนี้” พูดจบ นิ่มก็ล้วงมือทั้งสองข้าง ลงไปในกระเป๋าด้านหน้ากางเกงยีนของชายหนุ่ม มันว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น เหมือนกับกระเป๋าด้านหลัง ชายหนุ่มต้องเหลือบตาไปอีกทาง เมื่อปลายนิ้วของเด็กหนุ่มคนนี้ สัมผัสโดนเนื้อเอ็นที่ยังอ่อนนิ่งสงบอยู่ของเขา แบบที่เด็กหนุ่มไม่ทันรู้ตัว ว่าเพิ่งทำอะไรลงไป
“ไม่เหลืออะไรเลยจริง ๆ ด้วยนี่” นิ่มขมวดคิ้ว มองหน้าชายหนุ่ม “แต่ผมพาคุณไปเที่ยวได้นะ” ชายหนุ่มพูดยืนยัน “จะไปยังไง เงินสักบาทคุณก็ไม่มี แล้วรู้หรือไง ว่าฉันอยากจะไปไหน” แทนคำตอบ ชายหนุ่มยื่นแบมือยื่นมาทางนิ่ม “มือถือ” ชายหนุ่มพูด นิ่มลังเล “จะวิ่งหนีไปพร้อมมือถือฉันไม่ได้นะคุณ” นิ่มเกลียดที่เห็นชายหนุ่มกลอกตากลับมา ว่ามือถือห่วย ๆ ใครจะอยากได้ มันยังโทรออกได้ก็บุญแล้ว
“ผมจะรออยู่ตรงหัวมุม ครับ ครับ” หลังจากที่ชายหนุ่มพูดโทรศัพท์เพียงไม่นาน ก็ส่งคืนให้กับนิ่ม ก่อนจะชี้นิ้วไปตรงหัวมุมถนน ไม่ไกลจากตรงนั้น “เราไปยืนรอที่มุมถนน ตรงนั้น” ชายหนุ่มพูด พลางเดินนำไป นิ่มเดินตามไปห่าง ๆ ถ้าหากไม่ชอบมาพากล เขาจะได้วิ่งหนีได้ทัน ซอกซอยแถวนี้ เขาหลับตาเดินยังได้ นิ่มยืนถัดจากชายหนุ่มมาพอให้ได้ระยะห่าง ชายหนุ่มหันมามองเด็กหนุ่ม นึกขำท่าทางระมัดระวังตัวของอีกฝ่าย
“ทีเมื่อกี้นั่งอยู่ในซอกเปลี่ยว ๆ มืด ๆ ทำไมไม่กลัว” เสียงกลั้วหัวเราะของชายหนุ่ม ทำให้นิ่มย่นจมูกใส่อย่างลืมตัว ชายหนุ่มซ่อนรอยยิ้มไว้ในหน้า ก่อนที่ไม่นาน จะมีรถหรูสีดำคันใหญ่ มาจอดตรงหน้าชายหนุ่ม คนขับรถรีบกุลีกุจอลงมาหาชายหนุ่ม ท่าทางนอบน้อม นิ่มได้ยินเบา ๆ ว่าคนขับเรียกชายหนุ่มว่านายน้อย
“อย่าบอกใคร เข้าใจมั้ยครับ” นิ่มทำเสไปมองทางอื่น เมื่อคนขับรถจ้องมาทางเขา ตอนที่ยื่นเงินสดปึกใหญ่สองปึกให้กับชายหนุ่ม แถมด้วยบัตรเหล็กสี่เหลี่ยมสีดำอีกหนึ่งใบ “อย่าไปเลยครับ เป็นใครก็ไม่รู้” โดยไม่ฟังคำทัดทานของคนขับรถ นิ่มเห็นชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม ก่อนที่คนขับรถจะจำใจขึ้นรถแล้วขับออกไป
“เราไปกันได้หรือยัง” ชายหนุ่มถาม ยื่นธนบัตรสีเทาให้กับนิ่ม “แน่ใจนะ” นิ่มถามออกไปเพื่อความแน่ใจ “ตามมา” ไม่ได้รับเงินจำนวนนั้นมาจากชายหนุ่ม “เร็วสิ ตามมา” นิ่มหันไปให้อีกฝ่ายรีบตามมา ก่อนชายหนุ่มจะได้ยินนิ่มต่อรองค่ารถตุ๊กตุ๊ก “ใกล้แค่นี้เองป๋า สามสิบก็พอ จะมาเอาอะไรแปดสิบร้อยนึง” นิ่มต่อรองราคา บอกว่าที่คนขับเรียกมามันสูงเกินไป กับระยะทางแค่นี้
“โอ๊ย ไอ้หนุ่มนี่ก็ดูรวยดีมีสตางค์ ให้ลุงหน่อยเถอะวะ ร้อยเดียวเอง” คนขับหันมาทางชายหนุ่มที่ดูดีภูมิฐานมีฐานะ “มันเกี่ยวกันที่ไหนป๋า ใครจะรวยหรือเปล่าน่ะ อ้ะ ห้าสิบแล้วกัน ไป ๆ เร็ว ขึ้นรถ” นิ่มบอกให้ชายหนุ่มขึ้นไปบนรถ คนขับรถอายุรุ่นพ่อ ส่ายหัวโวยวายว่าได้เงินน้อย “จะไปไม่ไป ไม่งั้นนั่งตบยุงตรงนี้ ไม่ได้เลยสักบาทนะ จะเอาไม่เอาป๋า ห้าสิบนะ อย่าเพิ่มราคาตอนลงล่ะ” ชายหนุ่มแอบยิ้มกับการต่อรองของเด็กหนุ่ม ที่เขาเอง ไม่มีทางทำได้แบบนี้ บอกราคามาเท่าไหร่ ก็ยื่นจ่ายไปเท่านั้น และหลายครั้ง ต้องจ่ายมากกว่าคนอื่นแบบไม่มีเหตุผลให้ด้วย
“ขอบคุณนะป๋า พาซิ่งมาซะ” นิ่มลงจากรถ ยื่นเงินห้าสิบบาทให้กับคนขับ “ใจคอจะให้แค่ห้าสิบจริง ๆ หรือวะ ไอ้หนู” คนขับรถบ่นกระปอดกระแปด “แป๊บ ๆ แค่ลงจากเตียง เดี๋ยวเองก็ได้คืนอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่าจากไอ้หนุ่มหน้าหล่อนี่” คนขับมองนิ่มและชายหนุ่มสลับกันไปมา “ฉันเป็นไกด์นำเที่ยว ไม่ใช่ทำอย่างว่า จะเอาไม่เอา” นิ่มพูดเสียงดังใส่คนขับรถสามล้อเครื่อง
“เอานี่ไปครับ” ชายหนุ่มยัดเงินหนึ่งพันบาทใส่มือคนขับ “ผมไม่ได้จ้างพาเขาขึ้นเตียงด้วย” เมื่อเห็นว่าคนขับพูดจาไม่ดีกับเด็กหนุ่ม “ลุงพูดขอโทษคุณเขาเดี๋ยวนี้ แล้วอย่าเที่ยวไปพูดแบบนี้กับใครอีก” เสียงเข้ม ๆ ของชายหนุ่มสั่งคนขับ “เร็วสิครับ” นิ่มเห็นปากคนขับขยับอ้อมแอ้ม พูดขอโทษเขาออกมา ก่อนจะรีบบึ่งรถออกไปจากตรงนั้น
“ให้ไปทำไม เงินตั้งเป็นพัน” นิ่มพูดกับชายหนุ่ม “ชอบหรือไง คนพูดดูถูกแบบนั้น” ชายหนุ่มไม่ได้รอคำตอบจากนิ่ม แต่เดินนำเข้าไปในสถานีรถไฟ นิ่มมองตามอีกฝ่าย ก่อนจะเดินตามเข้าไป “รอตรงนี้” นิ่มบอกกับชายหนุ่ม รับธนบัตรสีเทาใบหนึ่งไปจากชายหนุ่ม ก่อนจะเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋ว เพียงไม่นาน นิ่มก็เดินกลับมาพร้อมตั๋วรถไฟสองใบในมือ
“ทำไมเงินทอนมันเยอะจัง” ชายหนุ่มถามขึ้น มองดูเงินในมือที่นิ่มคืนให้ “ชั้นสาม นั่งพัดลม คนละเก้าสิบสี่บาท” นิ่มตอบกลับไป “เราต้องหาเสบียงเตรียมเอาไว้ด้วย” ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะเดินตามนิ่มไป ที่ตอนนี้นิ่มดูจะร่าเริง เมื่อจะได้ไปเที่ยวแบบที่คุยกับเพื่อนเอาไว้ ว่าจะไปด้วยกัน ชายหนุ่มเดินตามนิ่มไปที่แผงขายขนมและน้ำดื่ม เชาปล่อยให้นิ่มหยิบในสิ่งที่ต้องการ และหยิบเพิ่มอีกหลายอย่างก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน เมื่อเห็นว่านิ่มไม่ได้อยากได้อะไรมากนัก นอกจากน้ำดื่มและขนมแก้หิวสองสามชิ้นเท่านั้น
“เร็ว มาทางนี้ ขึ้นขบวนที่ชานชาลานี้” นิ่มชี้นิ้วไปทางขบวนรถไฟที่ติดเครื่องรออยู่ พอดีกับเสียงของเจ้าหน้าที่สถานีรถไฟ ประกาศให้ผู้โดยสารขึ้นไปบนขบวนรถได้แล้ว เพราะใกล้เวลาที่รถไฟจะเคลื่อนตัวออกจากสถานี “เลขที่นั่งเราอะไร” ชายหนุ่มถามนิ่ม เมื่อทั้งสองคนกระโดดขึ้นมาบนรถไฟเรียบร้อยแล้ว
“ว่างตรงไหน ก็ตรงนั้น ฉันขอนั่งหันหน้าไปทางด้านหน้านะ นั่งหันหลังแล้วเวียนหัว” นิ่มเลือกที่นั่งเบาะไม้ทาสีเหลืองสด ชายหนุ่มนั่งลงที่ตรงข้ามกัน “จริง ๆ เลือกขบวนรถที่มีแอร์ก็ได้นะ ไม่ต้องเลือกตั๋วที่ถูกอะไรแบบนี้” ชายหนุ่มบอกกับนิ่มไปตามที่คิด “แบบนั้นมันจะไปสนุกยังไงกันล่ะ” นิ่มที่ยิ้มออกมา เมื่อรถไฟขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้า “เบาะไม้ ลมธรรมชาติ ฝุ่น คนที่วุ่นวายรอบ ๆ ตัว ถ้านั่งห้องแอร์ ไม่ได้เจออะไรแบบนี้นะ” ชายหนุ่มมองเห็นความสดใสในแววตาของเด็กหนุ่ม ที่แตกต่างจากแววตาที่เขาเห็น ตอนอยู่ด้านหน้าสถานที่เที่ยวกลางคืนนั่น
“พร้อมนะ” นิ่มร้องบอกชายหนุ่ม ที่ยิ้มตามรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม “เดี๋ยวก็รู้ ว่ามันสนุก ว่าฉันไม่ได้หลอกคุณ ไม่ได้พูดเล่น ๆ นะ ว่าฉันอยากจะมาเที่ยวแบบนี้” ลมจากด้านนอกหน้าต่างกว้างพัดเข้ามา จนนิ่มต้องพูดเสียงให้ดังขึ้น แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้กับชายหนุ่ม ที่โน้มตัวมาฟังเด็กหนุ่มพูดกับเขาเช่นกัน
“หิวน้ำมั้ย” นิ่มที่พอรู้สึกตัวว่า ใบหน้าของตัวเองอยู่ใกล้กับชายหนุ่มมาก จนเกือบจะชิดกัน เมื่อขบวนรถไฟกระดอนขึ้น เลื่อนให้หน้าของทั้งสองคนขยับเข้าหากันมากขึ้นอีก นิ่มยื่นขวดน้ำให้กับชายหนุ่ม “มองอะไร” ถามออกไป เมื่อชายหนุ่มยื่นมือมารับขวดน้ำไปเปิด แล้วยกขึ้นดื่ม แต่สายตาก็ยังคงมองมาทางนิ่มอยู่ดี
“ทำไม แค่นี้เอง มองไม่ได้หรือไง หวงแม้กระทั่งกับผมงั้นหรือ” อยู่ ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกอยากพูดแหย่อีกฝ่ายออกไป และตามที่เขาคิดเอาไว้ ชายหนุ่มเห็นเด็กหนุ่มย่นจมูกใส่เขา ทำให้ชายหนุ่ม อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงซี่สวย นิ่มทำเป็นมองไม่เห็นความน่าดูนั้น หันหน้าออกไปมองที่นอกหน้าต่าง โดยที่รู้ตัวว่า ชายหนุ่มยังคงมองมาที่นิ่มอย่างไม่วางตา
****************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Levitating - Dua Lipa feat. DaBaby
https://www.youtube.com/watch?v=TUVcZfQe-Kw
Billboard Baby Dua Lipa make 'em dance when it come on
เปิดเผย เปิดตัว ชวนมายักย้ายออกสเต็ป
Everybody lookin' for a dancefloor to run on
ใครใครต่างก็มองหาลานเต้นให้วาดลวดลาย
If you wanna run away with me I know a galaxy
หากว่าเธอต้องการจะหนีไปด้วยกัน ฉันรู้จักที่พิเศษอยู่แห่งหนึ่งนะ
And I can take you for a ride
หากเธอสนใจเราจะไปด้วยกันก็ได้
I had a premonition that we fell into a rhythm
ภาพนิมิตที่ฉันมีมองเห็นเราเหมือนฝันไปกับจังหวะ
Where the music don't stop for life
ที่มันทำมีดนตรีไหลวนไม่หยุดคลอชีวิต
Glitter in the sky, glitter in my eyes
เกล็ดระยิบบนท้อวงฟ้า พราวระยับในดวงตาฉัน
Shining just the way I like
ส่องแสงแวววาวอย่างที่ฉันชอบใจ
If you're feeling like you need a little bit of company
หากว่าเธอรู้สึกว่าต้องการใครสักคนไปเป็นเพื่อน
You met me at the perfect time
งั้นเราก็เจอกันเวลาประจวบเหมาะพอดี
You want me, I want you baby
ฉันต้องการเธอ เธอเองก็ต้องการฉัน
My sugarboo, I'm levitating
ทูนหัวของฉัน ฉันกำลังล่องลอยไป
The Milky Way we're renegading
บนทางช้างเผือก เราสองคนไม่ต้องสนอะไรแล้วทั้งนั้น
I got you moonlight, you're my starlight
ฉันพาเธอไปในแสงจันทร์ ให้เธอเป็นแสงดวงดาวให้ฉัน
I need you all night, comе on dance with me
เราจะอยู่ด้วยกันทั้งคืน เธอมาเต้นรำกับฉัน
I'm levitating
ฉันล่องลอยไปในอากาศ
I'm one of the greatest ain't no debatin' on it
ผมคือสุดยอดคนหนึ่งปฏิเสธยังไงก็ไม่ได้
Let's go
ไปกันต่อ
I'm still levitated I'm heavily medicated
ผมรู้สึกล่องลอยในอากาศ คล้ายคล้ายกินยารักษาหนักหนัก
Ironic I gave 'em love and they end up hatin' on me
แปลกดี ผมให้ความรักไป แต่กลับได้ความชังกลับมา
Go
เอาเลย
She told me she love me and she been waitin'
เธอบอกว่าเธอรักผม และเธอก็รอผมอยู่
Been fightin' hard for your love and I'm runnin' thin on my patience
ใจสู่เรื่องรักเราอย่างหนัก แต่รู้สึกความอดทนจะน้อยลงเรื่อยเรื่อย
Needed someone to hug even took it back to the basics
ต้องการอ้อมกอดของใครสักคน ย้อนกลับไปแบบธรรมดาที่สุด
You see what you got me out here doin'
ดูเอาเถอะว่าเธอทำให้ผมต้องมาทำอะไรแบบนี้
Mighta threw me off but can't nobody stop the movement
อาจจะทำให้ผมเขวไปบ้าง แต่ไม่มีใครทำให้ผมเลิกล้มความตั้งใจแน่นอน
Uh-uh let's go
เอาล่ะนะทีนี้
Left foot right foot, levitatin'
ซ้ายขวา สองเท้าก้าวไป
C'mon
มาเถอะ
Pop stars
สายใจ
Go
ไปด้วยกัน
Dua Lipa with DaBaby
มีคุณกับผม
I had to lace my shoes for all the blessings I was chasin'
ผมผ๔กเชือกรองเท้าให้แน่น เพราะดีใจได้รับพรแน่นแน่น
Go
ไปด้วยกัน
If I ever slip I'll fall into a better situation
แม้ผมอาจจะพลาดอะไรไปบ้าง แต่มันจะดีขึ้นจากนี้แน่นอน
So, catch up go put some cheese on it
เอาล่ะเตรียมพร้อม ขนม น้ำ มากันเพียบ
Get out and get your bread up
พากันไป พร้อมเสบียงให้อุ่นใจ
They always leave when you fall but you run together
ใครอาจจะทิ้งเราเมื่อเราพลาด แต่เราสองคนจะไปด้วยกัน
Hey
แน่นอน
Weight of the world on my shoulders I kept my head up
แม้ว่าโลกนี้จะหนักอึ้งบนบ่ามากเท่าไหร่ ยังไงก็เชิดหน้าเดินต่อไป
Now baby stand up 'cause girl you
มาเถอะที่รัก ยืนขึ้น เพราะเรานั้น
You can fly away with me tonight
เราจะบินไปด้วยกันในคืนนี้
You can fly away with me tonight
เราจะโบยบินออกจากตรงนี้ไป
Baby let me take you for a ride
ให้ฉันเป็นคนพาคุณออกเดินทางไป
I'm levitating
ฉันจะพาคุณล่องลอยไป
My love is like a rocket watch it blast off
รักฉันเหมือนยายอวกาศที่พุ่งทะยาน
And I'm feeling so electric dance my ass off
เสียงดนตรีทำให้ฉันเต้นจนเหนื่อยหอบ
And even if I wanted to, I can't stop
ต่อให้อยากจะหยุดแต่มันก็ทำไม่ได้
I'm levitating
ฉันพาเธอล่องลอยไปด้วยกัน
-
รถไฟเคลื่อนขบวนออกมาจากสถานีต้นทางได้สักพักใหญ่ ๆ นิ่มเพลิดเพลินกับการมองออกไปที่นอกหน้าต่าง มองดูสองข้างทาง ด้วยความรู้สึกดีใจ ผสมผสานกับความสนุกสนานที่ได้เจอะเจอผู้คนมากมาย ที่กลายมาเป็นเพื่อนเดินทางบนรถไฟขบวนเดียวกันในวันนี้ ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาทำให้เรื่องราวที่เก็บเอาไว้อยู่ในใจ ดูจะผ่อนคลายลงได้เป็นอย่างมาก
“อีหนู เอ็งไม่รู้อะไรเสียแล้ว” หญิงวัยกลางคนที่ขึ้นมาจากสถานีแถบชานเมืองกรุงเทพมหานคร แล้วเริ่มต้นบทสนทนา พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติกันมาตลอดทาง พูดกับนิ่ม “เดี๋ยวสถานีหน้า เอ็งจะได้กินของอร่อยที่สุด รับรองเลย เชื่อป้าสิ” นิ่มทำตาโต ก่อนจะถามกลับผู้อาวุโสกว่าไปว่า
“อร่อยแน่นะป้า แล้วถ้ามันห่วยล่ะ” นิ่มทำหน้าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ป้าบอก “เอ๊ะ นังนี่ ต้องอร่อยสิวะ ถ้าไม่อร่อยนะ” ป้ามองไปรอบ ๆ ตัว เหมือนกำลังมองหาตัวช่วยอะไรสักอย่าง จนหันมามองหน้าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าคมคายที่นั่งอยู่เบาะไม้ตรงข้าม “ป้าเอาหัวไอ้หนุ่มนี่เป็นประกันเลย” นิ่มหันไปมองหน้าชายหนุ่มที่ทำหน้าเหวออ้าปากค้าง
“อ้าว ทำไมกลายเป็นผมไปได้ล่ะครับ” นิ่มหัวเราะชอบใจออกมา ก่อนจะเห็นชายหนุ่มทำตาดุใส่ รถไฟเริ่มชะลอความเร็ว บ่งบอกให้ผู้โดยสารที่กำลังจะลงสถานีหน้านี้ ได้เตรียมตัวลง “ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นค่ะ สิบบาทเลยเร็ว เหลือไม่เยอะแล้วนะ หมดแล้วหมดเลย อดกินกันมาหลายขบวนแล้วนะ สิบบาท สิบบาท” ทันทีที่รถไฟจอดสนิท ผู้โดยสารบนขบวนลงจนหมด และกำลังเติมผู้โดยสารขึ้นมาใหม่ เสียงแม่ค้าก็ตะโกนร้องขายของดีของเด็ด จากสถานีรถไฟสถานีนี้ ที่จะหากินจากที่อื่น เป็นไม่มี
“สิบบาทเองหรือป้า” ชายหนุ่มถามผู้สูงอายุกว่า ที่ทำยักคิ้วให้แทนคำตอบ “เอาสิบห่อเลยครับ” ชายหนุ่มบอกกับแม่ค้าที่ขึ้นมาขายก๋วยเตี๋ยวแห้งห่อกะทัดรัดบนขบวน “นี่ครับเงิน” ชายหนุ่มยื่นเงินให้แม่ค้า ก่อนจะรับห่อก๋วยเตี๋ยวทั้งหมดมา “คุณ จะซื้ออะไรเยอะขนาดนั้น” นิ่มถามชายหนุ่ม ที่เหมาห่อก๋วยเตี๋ยวจากแม่ค้ามาจนหมดตะกร้า
“ก็หนึ่งห่อของคุณ” ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะเริ่มจัดแจงแบ่งสันปันส่วน “ห่อนี้ของป้านะครับ” ผู้สูงวัยกว่ายิ้มออกมา ก่อนกล่าวขอบคุณในน้ำใจที่เขามีให้ “ส่วนสองห่อนี้ของผม” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ให้เหตุผลว่าเพราะเขาตัวใหญ่ กินเยอะ เดี๋ยวจะไม่อิ่ม “ส่วนหกห่อที่เหลือนี่ ไม่ต้องแอบด่าผมกันแล้วนะครับ” ชายหนุ่มพูดกับกลุ่มคนอีกประมาณห้าหกคนที่นั่งอยู่เบาะไม้ ไม่ไกลกัน เสียงหัวเราะจากผู้โดยสารคนอื่น ๆ รวมทั้งคำพูดขอบคุณดังกลับมาหาชายหนุ่ม
นิ่มมองดูชายหนุ่มที่ตอนนี้ กำลังยิ้มให้ พร้อมกับกำลังลงมือแกะห่อก๋วยเตี๋ยว พลางคะยั้นคะยอหญิงวัยกลางคน ให้ทำตาม เพื่อลงมือกินอาหารด้วยกัน ป้าพยักหน้ารับคำเชื้อเชิญของชายหนุ่ม นิ่มเองก็ทำตามเช่นกัน ชายหนุ่มดึงตะเกียบออกจากห่อ ก่อนจะใช้มันคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก แล้วทำตาโต
“อร่อยมากครับป้า” นิ่มที่เคี้ยวเส้นบะหมี่ มองท่าทีตื่นเต้นที่เจอของอร่อยถูกปากของชายหนุ่ม ด้วยความรู้สึก นึกขำขัน แม้ท่าทางนั้นมันจะดูเกินจริงไปสักหน่อย แต่น่าเอ็นดูไม่น้อย “ป้าบอกเอ็งสองคนแล้ว” นิ่มหันไปยกนิ้วโป้งให้กับผู้สูงวัยกว่า ด้วยความหมายว่า หญิงสูงวัยคือที่สุดแห่งการแนะนำ ก่อนจะเห็นชายหนุ่มรีบแกะก๋วยเตี๋ยวห่อที่สอง แล้วก็จัดการมันจนหมดห่อ ด้วยเวลาอันรวดเร็ว
“เอ็งมันคนจิตใจดีนะไอ้หนุ่ม มิน่าล่ะ” หญิงสูงวัยพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะเก็บรวบรวมกระดาษห่อก๋วยเตี๋ยวแห้งรวมกันลงใส่ถุงพลาสติก “อะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถาม ก่อนจะยกขวดน้ำเปล่าขึ้นดื่ม “ก็อีหนูนี่มันถึงได้รักเอ็งไง ไอ้รูปหล่อ” นิ่มได้ยินแบบนั้นก็รีบโบกไม้โบกมือ ให้รู้ว่า มันไม่ใช่ในแบบที่ป้าคิดเลยสักนิดเดียว
“เอ็งอย่ามาปฏิเสธเลย ป้าอายุปูนนี้แล้ว ดูออก” หญิงสูงวัยยิ้มไปพูดไป ทำให้นิ่มต้องบอกกับป้าออกไปอีกครั้ง “หนูแค่พาเขามาเที่ยวเฉย ๆ ป้าเขาออกเงิน หนูบอกทาง ชื่อก็ยังไม่รู้จักเลย จริงมั้ย คุณ” นิ่มหันไปถามหาคำยืนยันจากอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ทำหน้าทำตาอมยิ้มชอบใจ จนนิ่มรู้สึกว่า มันเป็นท่าทางที่น่าหมั่นไส้ที่สุด
“เอ็งสองคนรู้ใจกันให้เร็วที่สุดแล้วกัน” เสียงรถไฟวิ่งช้าลง เป็นสัญญาณว่า ขบวนรถกำลังชะลอเพื่อเข้าจอดสถานีหน้า “ป้าลงที่สถานีหน้านี้แล้ว” แววตาของผู้สูงวัยกว่าที่มีให้กับทั้งสองคน คือความรู้สึกดีใจและชื่นใจ ที่ได้เจอกันในครั้งนี้ “ป้ามีใครมารับมั้ย” นิ่มถามผู้สูงวัยกว่า ที่ลงไปรอรับของที่นิ่มกับชายหนุ่มช่วยกันส่งให้กับป้า ผ่านทางหน้าต่างรถไฟ เพื่อให้ง่ายกับหญิงวัยกลางคนที่จะต้องถือของพวกนี้ลงไปเอง
“ไม่ต้องห่วง นี่มันถิ่นป้า” หญิงสูงวัยพูดด้วยความสดใส เหมือนกับว่า ป้าได้อะไรที่มีค่ามากในชีวิตของตัวเอง กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง “ของครบนะครับ” ชายหนุ่มถามย้ำ หญิงสูงวัยพยักหน้ารับแทนคำตอบ เสียงเจ้าหน้าที่สถานีสั่นระฆัง พร้อมเสียงประกาศดังขึ้น ว่ารถไฟกำลังจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี “ถ้าลูกชายป้ากับแฟนเขายังอยู่” ป้าพูดด้วยน้ำตาคลอหน่วย
“สองคนนั่นก็คงจะเป็นอย่างเอ็งสองคนนี้แหละ” หญิงสูงวัยยอมปล่อยมือ ออกจากมือของทั้งนิ่มและชายหนุ่มที่ป้ายื่นมือมาจับเอาไว้ สายตาของหญิงสูงวัยมองเห็นเด็กหนุ่มและชายหนุ่มที่เดินทางมาด้วยกันบนรถไฟนั้น ยกมือไหว้และโบกไม้โบกมือร่ำลากัน ที่พบกันด้วยความบังเอิญ จนจากลากันด้วยความตั้งใจ
“เวลาเดินทางแล้วเจอคนดี ๆ น่ารักกับเรา ก็ถือว่าได้กำไรจากการเดินทางนั้นแล้วแหละ” นิ่มพูดกับชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน “ผมว่า ผมเจออะไรแบบนั้นตั้งแต่ก่อนออกมาจากกรุงเทพฯ แล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดขึ้น ก่อนจะหยิบเอาแว่นตากันแดดราคาถูก ที่เขาซื้อจากร้านขายของชำสถานีรถไฟขึ้นมาใส่
“หลับเอาแรงก่อนนะ” เสียงของชายหนุ่มบอกมาแบบนั้น นิ่มพยักหน้ากลับไป ไม่รู้ว่า ภายใต้แว่นตากันแดดสีดำนั้น ชายหนุ่มเห็นหรือเปล่า ชายหนุ่มที่บอกว่าเขาจะหลับเพื่อพักสายตา แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้หลับตาอย่างที่บอกแต่อย่างใด ได้แต่มองใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างละเอียด โดยห้ามไม่ให้ตัวเองต้องยิ้มออกมา
“ลงที่ไหนกันนี่สองคน” เสียงนายตรวจรถไฟถามขึ้น ก่อนที่นิ่มและชายหนุ่มที่เผลอหลับกันไปจริง ๆ ด้วยความง่วง สะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมา มองซ้ายมองขวา ดูสองข้างทางไม่ออก ว่าตกลงแล้วขบวนรถไฟพาพวกเขาสองคนมาถึงที่ไหนกันแล้ว “มันเลยมาหลายสถานีแล้วคุณ” เสียงนายตรวจบอกกับทั้งสองคน เมื่อเอาตั๋วรถไฟของคนทั้งคู่ไปดู “เผลอหลับยาวเลยใช่มั้ยเนี่ย จริง ๆ ต้องโดนปรับนะ นั่งเลยมาจากสถานีที่ซื้อตั๋วไว้เนี่ย” เสียงของนายสถานีดุทั้งสองคน นิ่มได้แต่ยิ้มแหย ๆ บอกขอโทษออกไปว่าไม่ได้ตั้งใจ
“คุณ ผมจำแล้ว ผมเคยผ่านมา ลงสถานีนี้แหละ” ชายหนุ่มคว้าข้อมือของนิ่ม ที่รวบรวมของใส่ถุงพลาสติก แล้วรีบลุกเดินตามชายหนุ่มไปที่ประตู เมื่อขบวนรถไฟจอดสนิท ทั้งสองคนก็ลงไปในทันที “คุณรู้จริง ๆ หรือไง ว่าที่นี่มันที่ไหน” นิ่มถามอีกฝ่าย ขณะที่วิ่งตามไปด้วย “ไปจากตรงนี้ก่อนเถอะน่า” เสียงตอบกลับมานั้น กลั้วไปด้วยเสียงหัวเราะ ที่ทำให้นิ่มต้องหัวเราะตามออกมาด้วย
“เอาไงทีนี้” นิ่มที่ควรจะเป็นคนพาเที่ยว ต้องกลับมาเป็นฝ่ายถามชายหนุ่มแทน “คุณคิดว่าไง คนนำเที่ยวไม่ใช่หรือไง” ชายหนุ่มโบ้ยงานให้กับนิ่มในทันที “นี่คุณ ถ้าเราลงถูกสถานี ก็ไม่ยากหรอกคุณ ฉันก็พาคุณไปถูกแหละ” นิ่มบอกกับชายหนุ่มไปว่า จะมาโทษกันแบบนี้ก็ไม่ได้นะ ชายหนุ่มมองหน้านิ่มเงียบ ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน “ถามมั้ยล่ะ มีปากก็ต้องถามทางนะ” นิ่มเสนอทางแก้ออกไป
“จะถามใคร” มองไปรอบ ๆ รถสาธารณะอะไรก็ไม่มีให้เห็น เจ้าหน้าที่สักคนก็ไม่มี “ป้ายจอดรถ มันเป็นแค่ป้ายจอดรถไฟ” ทั้งสองคนมองหน้ากันแบบว่า ทีนี้ทั้งคู่จะทำยังกันจริง ๆ แล้ว “ค้นหารอบ ๆ แถวนี้ในมือถือคุณ” ชายหนุ่มบอกกับนิ่ม ที่หัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะพูดออกมาว่า “คุณ มือถือฉันโทรเข้าออกได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจพรืดออกมาอย่างไม่เกรงใจกันเลยทีเดียว
“เดินไปก่อนมั้ย เดี๋ยวก็ต้องมีรถขับผ่านมาบ้างแหละ นี่มันก็ยังไม่เย็นมาก ไป” นิ่มกวักมือเรียกให้ชายหนุ่มเดินตาม แสงแดดยามเย็นพ้นยอดไม้ไปแล้ว “ผมมีเงิน ผมจ้างคุณให้อุ้มผม แบกผมไปจนกว่าจะถึงที่พักได้มั้ย” ชายหนุ่มพูดแหย่อีกฝ่ายไปแบบนั้น “ไหนเงิน” นิ่มถาม ก่อนที่จะรับเงินจากชายหนุ่มมา “อ้ะ ฉันจ้างคุณเหมือนกัน” นิ่มยื่นเงินคืนกลับไป “แน่ใจหรือเปล่า พูดแบบนี้ ผมทำจริงนะ” ชายหนุ่มทำท่าจะคว้าตัวของนิ่มมาอุ้มในอ้อมแขน จนนิ่มต้องเผลอหัวเราะเสียงดัง ห้ามไม่ให้ชายหนุ่มทำจริง ๆ
“ไม่เก่งจริงนี่คุณน่ะ” ชายหนุ่มพูดกับนิ่ม ก่อนจะต้องรีบหันไปทางด้านหลัง นิ่มเองก็เช่นกัน เมื่อมีเสียงรถกระบะกำลังขับมาพอดี “จอดก่อนครับ จอดด้วยครับ” ชายหนุ่มร้องเรียกพลางโบกไม้โบกมือ “มาเดินอะไรกันอยู่ตรงนี้ จะมืดค่ำแล้ว” เสียงผู้หญิงที่น่าจะอายุมากกว่าพวกเขาอยู่สักหน่อยร้องถาม เมื่อลดกระจกลง
“แถวนี้มีโรงแรมหรือรีสอร์ตอะไรบ้างมั้ยพี่” นิ่มถามพี่ผู้หญิงออกไป “แถวนี้มันไม่มีหรอก แต่พี่มีรีสอร์ตนะ แต่มันยังทำไม่เสร็จเลย” แววตาของทั้งนิ่มและชายหนุ่มแสดงความดีใจขึ้นมาในทันที “พี่คิดเท่าไหร่ครับ ให้ผมสองคนไปพักด้วยนะครับ แค่คืนนี้ก็ยังดี” คำพูดของชายหนุ่มทำให้พี่ผู้หญิงนิ่งชั่งใจอยู่สักพัก
“เอ้า เอาก็เอา กระโดดขึ้นท้ายกระบะมาเลย นั่งกันได้มั้ย” ไม่ต้องคะยั้นคะยออะไรกันมาก เสียงนิ่มตะโกนบอกพี่สาวว่าสบายมาก เผลอนิดเดียวก็ผลุงขึ้นไปอยู่บนท้ายกระบะแล้ว ก่อนจะต้องเป็นคนช่วยดึงชายหนุ่มขึ้นมานั่งอย่างทุลักทุเล “เรียบร้อยแล้วพี่ ไปกันเลย” เสียงนิ่มตะโกนบอกพี่ผู้หญิง ก่อนที่รถกระบะจะเคลื่อนตัวออกจากตรงนั้น
“มันคงไม่เหมือนในหนังใช่มั้ย แบบ โบกรถผิดคัน แล้วรู้ตัวอีกที กลายเป็นแพ็กเนื้อขายตามร้านไปแล้ว” ชายหนุ่มถามขึ้น จากหนังฝรั่งสยองขวัญที่ดูมาเยอะ เมื่อนั่งรถมาได้สักพักใหญ่ “ถ้ามันเป็นแบบนั้นล่ะ” นิ่มทำเสียงหวีดหวิวแบบรายการเล่าเรื่องลึกลับที่เคยดู ก่อนจะได้ยินเสียงพี่สาวคนขับ เปิดหน้าต่างตะโกนออกมาว่า “ทางเข้ามันแย่หน่อยนะ” ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปในทางเล็ก ๆ ที่ด้านหน้ามีป้ายชื่อรีสอร์ตตั้งอยู่
“โอ๊ย ดวงจันทร์หรือดาวอังคาร” เสียงนิ่มร้องถาม เมื่อต้องนั่งแบบตัวกระดอนขึ้นลง บนถนนเล็ก ๆ ที่ขรุขระ เพราะยังไม่ได้ปรับสภาพ เนื่องจากยังมีรถขนของเข้าออก เพื่อก่อสร้างที่พักกันอยู่ “จับเอาไว้” ชายหนุ่มยื่นแขนให้นิ่มจับ และไม่ทันที่ทั้งสองคนจะระวัง ตัวของนิ่มก็เด้งขึ้นแล้วไปตกลงบนตักของชายหนุ่มพอดี
“เดี๋ยวคุณ ฉันลุกขึ้นก่อน” ปากบอกพยายามจะลุก แต่รถที่กระเด้งกระดอน ก็ทำให้นิ่มต้องนั่งกลับไปบนตักของชายหนุ่มซ้ำ ๆ อยู่หลายที “ผมบอกคุณไว้ตอนนี้เลยนะ คุณเด้งขึ้นเด้งลงแบบนี้อีกไม่กี่ครั้ง อย่าหาว่าผมลามกนะ” พูดได้เพียงเท่านั้น สิ่งที่นิ่มสัมผัสและรู้สึกได้ ก็คือความแข็งขันชูชันเขื่องเขื่อน อยู่นในสภาพพร้อมรบของชายหนุ่ม
***********************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Espresso - Sabrina Carpenter
https://www.youtube.com/watch?v=51zjlMhdSTE
Now he's thinkin' 'bout me every night, oh
เนี่ย เขาได้แต่เพ้อหากันทุกค่ำคืน
Is it that sweet? I guess so
มันฟังดูหวานแหวว ฉันก็ว่างั้นแหละ
Say you can't sleep, baby, I know
ปากบอกว่านอนไม่หลับ แหงล่ะ
That's that me espresso
ก็ฉันอย่างกับกาแฟชงเข้มยังไงยังงั้น
Move it up, down, left, right, oh
สี่ทิศ ขึ้น ลง ซ้าย ขวา
Switch it up like Nintendo
ปรับได้รอบทิศอย่างในเกมวิดีโอ
Say you can't sleep, baby, I know
แล้วก็บอกว่านอนไม่หลับ ฉันรู้
That's that me espresso
เพราะฉันมันเข้มยิ่งกว่าโอเลี้ยง
I can't relate to desperation
ก็ใช่ว่าฉันจะเข้าใจถึงความสิ้นหวังนี่หรอกนะ
My give-a-fucks are on vacation
เพราะจะว่าไม่สนใจ แหม ฉันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นั่นแหละ
And I got this one boy and he won't stop callin'
เนี่ย มีหนุ่มอยู่คน ที่เพียรถามเพียรโทรหา
When they act this way, I know I got 'em
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแบบนั้น ก็รู้แล้ว ว่าเสร็จแน่
Too bad your ex don't do it for ya
แย่เลยนะที่แฟนเก่าไม่ยอมทำแบบนี้ให้
Walked in and dream-came-trued it for ya
แบบเป็นฝันที่เป็นจริงเดินออกมาให้เจอะเจอ
Soft skin and I perfumed it for ya
ผิวเนียนเนียนน้ำหอมกรุ่นจรุงให้ได้ดอมดม
I know I Mountain Dew it for ya
ฉันรู้ว่าฉันนี่มันน้ำค้างใสเย็นบนยอดเขา
That morning coffee, brewed it for ya
เป็นกาแฟยามเช้าที่ชงมาเป็นพิเศษ
One touch and I brand-newed it for ya (oh)
สัมผัสเพียงครั้งเดียว ฉันก็เริ่มต้นได้ใหม่ให้ได้อีกทันที
I'm working late, 'cause I'm a singer
ฉันท่องราตรียามค่ำ เพราะ เอ่อ ฉันเป็นนักร้อง ใช่ ใช่
Oh, he looks so cute wrapped 'round my finger
เขาดูน่ารักมากมาก แบบหาโอกาสจะเกี่ยวก้อยด้วย
My twisted humor make him laugh so often
อารมณ์ขันพิกลของฉันทำให้เขาหัวเราะอยู่บ่อยบ่อย
My honey bee, come and get this pollen
ผึ้งภมร บินตรงมาเก็บเกี่ยวเกสร
Is it that sweet? I guess so, uh
มันดูหวานหอมดี ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ
That's that me espresso
เพราะฉันมันยิ่งกว่าเอสเพรสโซ่เข้มเข้มแก้วใด
-
“ถึงแล้ว มายเบบี้ของพี่” เจ้าของรีสอร์ตที่ลงมาจากที่นั่งคนขับ เดินมาทางด้านหลังกระบะของรถ ก่อนจะผายมือไปที่ที่พักที่กำลังก่อสร้างอยู่ “แหม ใจร้อนจริงนะ เธอสองคน รอก่อน เดี๋ยวพี่เตรียมห้องพักให้” นิ่มที่พยายามดันตัวลุกขึ้นจากตักของอีกฝ่าย “ไม่ใช่อย่างนั้นพี่ คือ ถนนมันกระเด้งกระดอนมาก” รีบแก้ตัวออกไปในทันที
“เอ้า ใครอยู่แถวนี้บ้าง ไปเตรียมห้องให้ห้องหนึ่งเร็ว ลูกค้ารอจะไม่ไหวแล้ว” เสียงพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตตะโกนเรียกน้องพนักงาน ให้จัดห้องพักให้ลูกค้าเปิดประเดิมสองคนนี้ทันที “ไม่อยากลุกขึ้นก็บอก” ชายหนุ่มที่เพิ่งดึงตัวของนิ่มให้กลับลงมานั่งบนตักเขาแบบเดิม พูดยิ้ม ๆ อย่างนึกสนุกที่ได้แกล้งอีกฝ่าย
“เอ๊ะ คุณนี่” นิ่มซัดผัวะเข้าให้ที่ต้นแขนของอีกฝ่าย “แก้เขินหรือไง” ทำเอาชายหนุ่มต้องคลำต้นแขนของตัวเองป้อย ๆ ทำท่าว่าเจ็บเสียเต็มประดา “ไม่ใช่อย่างนั้นนะพี่” นิ่มที่ยันตัวลุกขึ้นมาจนได้ รีบพาตัวเองลงมาจากกระบะหลังรถ มายืนอยู่ข้าง ๆ พี่เจ้าของรีสอร์ต ที่มองไปที่ชายหนุ่ม ที่ใช้เวลาจัดอะไร ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง จากการโดนนั่งทับตักมาสักพัก พอเรียบร้อยแล้ว ก็พาเอาตัวเองลงมาจากรถบ้าง
“เย็นขนาดนี้ น่าจะหิวกันแล้ว” พี่เจ้าของรีสอร์ตพูดกับทั้งสองคน ที่พอนึกถึงมื้อเย็น นิ่มกับชายหนุ่มก็ท้องร้องออกมาในทันที “โห เสียงท้องร้องดังมาก” พี่ผู้หญิงเจ้าของรีสอร์ตพูดกลัวหัวเราะ แซวทั้งสองคนออกไป “ครัวของที่พักมันยังไม่เสร็จ แต่ถ้าไม่รังเกียจ เดี๋ยวกินข้าวด้วยกัน” ความใจดีของพี่เจ้าของ ทำให้ทั้งสองคนต้องรีบรับน้ำใจนั้นเอาไว้
“วันนี้มีแค่ก๋วยเตี๋ยวแห้งห่อเดียว ที่ตกถึงท้องเองพี่” นิ่มทำหัวเราะแหะ ๆ เอามือลูบท้องไปมา ให้รู้ว่าหิวแล้วจริง ๆ “ก๋วยเตี๋ยวห่อสถานีรถไฟน่ะหรือ” พี่ผู้หญิงส่งเสียงถาม “มันอร่อยมากนะนั่น” เสียงพี่ผู้หญิงยืนยันความจริง “มันก็อร่อยแหละ แต่นิ่มกินไปแค่ห่อเดียว แต่คุณคนนี้เขา” นิ่มพูด พลางหันไปทางชายหนุ่ม
“กินคนเดียวสองห่อ” นิ่มเบ้ปากไปทางชายหนุ่ม ที่ได้กินของอร่อยมากกว่าคนอื่น “แต่ผมซื้อของอร่อยเลี้ยงคุณนะ คุณไกด์” ชายหนุ่มทำทวง พูดกันอีกฝ่ายลืม นิ่มไม่ปฏิเสธความจริงในข้อนั้น “ก็จริง คุณก็มีน้ำใจกับทั้งฉัน คุณป้า และก็คนอื่นบนรถไฟนั่นแหละ” นิ่มสบตากับชายหนุ่ม เมื่อพูดถึงสิ่งที่ชายหนุ่มทำไว้
“ประทับใจเขาเนอะ เราน่ะ” พี่เจ้าของรีสอร์ต เอานิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าอกของนิ่มเบา ๆ นิ่มรีบส่ายหน้าดิก “เอาอะไรมาประทับใจพี่ พูดไป” นิ่มพูดเสียงเบาอุบอิบ ชายหนุ่มมองนิ่มยิ้ม ๆ “แบบนี้เองหรือครับ ที่คนเขาประทับสิ่งที่เราทำเอาไว้ในความรู้สึกตลอดไป” นิ่มทำเป็นหูทวนลม ไม่ได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเพิ่งพูดออกมา
“ตลกดีนะเธอสองคน” พี่ผู้หญิงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ส่ายหน้ามองไปที่ทั้งสองคนด้วยความเอ็นดู เด็กทำงานในรีสอร์ตเดินมาบอกว่าห้องพักที่ให้เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว “ไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องกันก่อน เดี๋ยวให้น้องมันพาไป แล้วออกมากินมื้อเย็นกันเลย พี่เตรียมกับข้าวอร่อย ๆ ไม่แพ้ก๋วยเตี๋ยวแห้งรถไฟแน่นอน รอเดี๋ยวเดียว” พี่สาวผู้ใจดีพูดเสร็จ ก็เดินไปทางด้านหลัง ที่ดูเหมือนจะถูกจัดเอาไว้ให้เป็นพื้นที่พักส่วนตัว
“ห้องนี้เป็นห้องที่พร้อมที่สุดแล้ว ทั้งเตียงนอน น้ำ ไฟ พักห้องนะคะ” เด็กคนงานบอกกับนิ่มและชายหนุ่ม ก่อนจะขอตัวเดินจากไป “มันมีอยู่เตียงเดียว” นิ่มพึมพำออกมา แต่ชายหนุ่มก็ได้ยิน “คืนเดียวเอง นอนได้มั้ย” นิ่มหันไปทางชายหนุ่ม จังหวะจะอ้าปากพูดออกไป “หรือว่ากลัว” ได้ยินชายหนุ่มพูดมาแบบนั้น “กลัวใจตัวเอง” ชายหนุ่มทำหรี่ตามองนิ่ม ที่ทำเสพูดไปเรื่องอื่น
“รีบไปล้างหน้าล้างตา หิวแล้ว เร็วเข้า” พูดจบ นิ่มก็รีบเข้าไปวักน้ำใส่หน้าเร็ว ๆ ก่อนจะเดินออกมา โดยมีชายหนุ่มยื่นผ้าขนหนูผืนหน้านุ่มให้เช็ดหน้า “เร็ว ๆ เลย หิวแล้ว” ก่อนจะพูดกับอีกฝ่าย ที่เดินผิวปากทำหน้ายียวนเข้าไปในห้องน้ำ ชายหนุ่มเดินไปยืนอยู่หน้าโถชักโครก แล้วหันมามองนิ่มที่ยืนมองอยู่ ก่อนที่นิ่มจะรีบเดินไปรอที่หน้าห้อง เพราะเห็นชายหนุ่มรูดซิปกางเกงลง
“มาเลย กินข้าวกัน” ทันทีที่นิ่มและชายหนุ่มเดินกลับมาที่ด้านหน้ารีสอร์ต พี่ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของ ก็เอ่ยปากชวนทั้งสองคนทันที “นั่งล้อมวงกันพื้น ไหวมั้ย โต๊ะกินข้าวพี่สั่งมาแล้ว ยังไม่ได้ให้เด็กมันเริ่มตั้งเลย” พี่เจ้าของพูดออกตัว ถึงความไม่พร้อมในการต้อนรับขับสู้ ซึ่งเธอเองก็เร่งเต็มที่ เพื่อจะได้เปิดรับการจองเข้าพักได้ในต้นเดือนหน้า
“สบายมากพี่ แบบนี้ชอบเลย” นิ่มพูด รีบนั่งบนเสื่อปูบนพื้น มองดูกับข้าวสามสี่อย่างที่พี่เจ้าของเตรียมเอาไว้ “มีน้ำพริกผัดลวกแบบนี้ เติมข้าวหลายจานแน่ ๆ” นิ่มยิ้มกว้างเมื่อเจอกับข้าวถูกใจ “แล้วเราล่ะ” พี่ผู้หญิงหันไปถามชายหนุ่ม “เพิ่งครั้งแรกเลยครับ” ชายหนุ่มดูเก้ ๆ กัง ๆ เมื่อต้องนั่งขัดสมาธิลงกับพื้น ก่อนจะยืดขาข้างหนึ่งหันไปทางนิ่ม แล้วรู้สึกว่านั่งได้สบายมาก
“กับข้าวพื้น ๆ หน่อยนะ น้ำพริกกะปิ ผักลวก ส่วนนั่นไข่พะโล้ กินเต็มที่เลย ไม่พอเดี๋ยวตักมาใหม่ วันก่อนพี่ทำหม้อใหญ่ไปถวายเพลพระที่วัด นี่ก็ตักแบ่งให้ชาวบ้านแถวนี้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่หมด” นิ่มตาวาว บอกไม่เกรงใจแล้ว พร้อมตักเอาน้ำพริกมาใส่บนข้าว ก่อนตักเข้าปาก แล้วแนมตามด้วยผักบุ้งต้นอวบ ๆ เอามาลวก กินอย่างอร่อย ชายหนุ่มมองดูว่านิ่มทำยังไง แล้วก็ทำตาม
“อร่อยมากครับ อร่อยน้ำตาไหล” ชายหนุ่มนึกแปลกใจ ว่าไอ้น้ำที่ดูดำ ๆ ดูเผ็ด ๆ มันจะอร่อยและเข้ากันมากกับข้าวสวยร้อน ๆ และผักลวกรสหวาน ๆ นั้น “อร่อยก็กินเยอะ ๆ พะโล้นี่ด้วย เร็ว” พี่เจ้าของรีสอร์ตตักไข่เป็ดพะโล้ใส่จานให้ชายหนุ่ม พร้อมตักน้ำพะโล้ราดไปบนข้าวให้จนชุ่ม ชายหนุ่มรีบพูดขอบคุณออกไป
“ถ้าไม่เผ็ด พริกน้ำปลามี จัดการเลย” พี่เจ้าของรีสอร์ตมองดูชายหนุ่มตักไข่พะโล้เข้าปาก ก่อนเคี้ยวตุ้ย ๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนนิ่มก็ชี้ให้ชายหนุ่มลองกินผักลวกอื่น ๆ กินกับน้ำพริก จนการนั่งล้อมวงกินข้าวเย็นในวันนั้น ดูสนุกสนานมีชีวิตชีวากว่ามื้อก่อน ๆ ที่ผ่านมา
“กินข้าวกันจนอิ่มแล้ว ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย” พี่เจ้าของรีสอร์ตพูดขึ้น เมื่อทุกคนกินข้าวจนอิ่มแปล้กันแล้ว “เจ้านี่แทนตัวเองว่านิ่ม” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ บอกกับพี่สาวใจดีไปว่าตัวเองชื่อนิ่ม “พี่ชื่อถิน ย่อมาจากกระถิน” ไม่พูดเปล่า พี่ถินชี้มือไปที่ยอดกระถินลวกในจานที่เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ “สาวบ้านนายอดสวย ๆ เก็บมาจิ้มกับน้ำพริกได้จากริมรั้ว” พี่ถินแนะนำตัวเองพร้อมสรรพคุณจนเสร็จสรรพ
“แล้วเราล่ะ ชื่ออะไร” พี่ถินถามชายหนุ่มที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ “เขาไม่ยอมบอกหรอกพี่ถิน นี่นิ่มถามเขาหลายรอบแล้ว ก็ได้ยินแต่เขาเรียกคุณ ๆ ผม ๆ” นิ่มพูดพลางทำหน้าล้อเลียนอีกฝ่าย ที่เห็นแต่เจ้าตัวชายหนุ่มเอง ทำหน้านิ่ง ๆ แต่แววตาไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจในตัวของเขาผิด “หรือเป็นความลับ” พี่ถินถาม แต่ก็พยักหน้าแบบผู้ใหญ่ที่พอจะเข้าใจ หากว่าชายหนุ่มต้องการที่จะให้เป็นเช่นนั้น
“พ่อผมตั้งชื่อให้ว่าดิน” ชายหนุ่มตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด “พ่อบอกว่า พ่อต้องการให้ผมเข้มแข็ง อดทน และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้” ชายหนุ่มพูดอธิบายต่อจากนั้น นิ่มสบตากับดินที่มีความหมายอะไรบางอย่างออตัวอยู่ในนั้น “คนหนึ่งแข็ง อีกคนอ่อน ดินนิ่ม เออ ก็ฟังดูเข้ากันดี” พี่ถินพูดกลั้วหัวเราะ มองดูสองคนที่รีบผละสายตาออกจากกัน
นิ่มและดินร่ำลาพี่ถิน พี่สาวผู้ใจดี ผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ต เพื่อกลับไปพักผ่อนที่ห้อง พี่ถินไม่ลืมที่จะบอกกับทั้งคู่ว่า พรุ่งนี้เช้าให้เดินมากินข้าวต้ม พี่ถินจะทำเอาไว้ให้ ทั้งสองคน ดินและนิ่มยกมือไหว้ขอบคุณพี่ถินอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องพัก ดินเปิดประตูเข้าไปแล้วกดเปิดสวิตช์ไฟ นิ่มมองเข้าไปที่เตียงนอนเตียงเดียวนั้นที่ตั้งอยู่ในห้อง
“คุณนอนก่อนได้เลยนะ” ดินหันมามองทางต้นเสียง เห็นนิ่มหันหลังเดินออกไปทางด้านหน้าห้องพัก นิ่มหย่อนตัวลงนั่งบนทราย ที่ตอนนี้เดาได้แค่เพียงว่า ข้างหน้าของตัวเองคือหาดทรายริมทะเล ที่เมื่อแสงตะวันเคลื่อนตัวมาถึงพรุ่งนี้ยามเช้า มันจะต้องเป็นวิวที่สวยมากแน่ ๆ ลมทะเลพัดมาแรงพอสมควร จนนิ่มต้องห่อไหล่
“ปกติทำอะไรเอง ต้องดูแลตัวเอง ปากหนัก ไม่ยอมเอ่ยปากพึ่งพาใครสินะ” ดินพูดก่อนหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ กับนิ่ม หลังจากที่เขาเอาเสื้อเชิ้ตวางลงคลุมไหล่ให้กับนิ่ม “แล้วปกติ คุณต้องเสียสละ ทำเพื่อคนอื่น ไม่ยอมพูดว่าตัวเองก็เหนื่อย และต้องการความเห็นใจ วางมือบนไหล่ถามว่าเหนื่อยหรือเปล่า ถูกมั้ย” นิ่มหันไปมองหน้าดิน ถามย้อนอีกฝ่ายกลับไป
“รู้จักผมดีจัง” ดินพูดกลับมายิ้ม ๆ “จะบอกว่า คุณรู้ใจผมอย่างนั้นหรือเปล่า” ดินเห็นนิ่มย่นจมูกใส่ จนต้องหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “คุณนี่ก็ชอบพูดจาอะไรเพ้อ ๆ เหมือนกันนะ” นิ่มว่าดินเข้าให้ “คุณก็ชอบทำตัวปากไม่ตรงกับใจบ่อย ๆ” ดินว่ากลับนิ่มเข้าให้ “นี่คุณ” นิ่มทำเสียงดังขึงขังใส่ “ก็นี่คุณเหมือนกัน” ดินไม่ยอม พูดอย่างเดียวกันกลับไปบ้าง
“แล้วคุณจะแคร์ทำไม” นิ่มถามออกไป เสียงอ่อนลงกว่าก่อนหน้า “แล้วคุณจะไม่ให้ผมแคร์ไปถึงเมื่อไหร่” ดินย้อนถาม ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายหลบตาในทันที “ว่าไง” ดินถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีอ่อนลง “พูดอะไร” นิ่มทำเป็นไขสือ ไม่ยอมรับว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมา
“รู้จักกันยังไม่ถึงวัน จะเอาอะไรมาแคร์ พูดไปเรื่อย” นิ่มรีบพูดออกไป ความต้องการคือไม่ต้องการที่จะเข้าข้างตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยหัวใจตัวเองจะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ตามแต่ “สมัยนี้ เขาเจอกันยังไม่ถึงชั่วโมง เขายังไปต่อกัน ไหนถึงไหนแล้วมั้ย” ดินโพล่งออกไปแบบนั้น นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตัวเขาถึงได้มาพูดอะไรแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องปกติของตัวเขาเลยสักนิด
“คุณมันบ้า” นิ่มว่าอีกฝ่าย “คุณมันดื้อ” ดินพูดตอบกลับไป นิ่มหยุดนิ่งสบตากับดิน ทั้งสองคนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ยังยั้งตัวเองเอาไว้ “ใครพูดก่อนแพ้นะ เคยได้ยินมาแบบนั้น” นิ่มพูดออกมาในที่สุด ดินมองนิ่มอย่างชั่งใจ “แต่ผมชอบนะ” ดินพูดออกไป นิ่มทำหน้าเหมือนกับไม่คิดว่าชายหนุ่มจะพูดออกมา ดินวางมือของตัวเองบนมือของนิ่มที่อยู่บนทรายละเอียดนั้น
“จูบนะ” ดินเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ และเมื่อเห็นนิ่มไม่ขยับหน้าถอยออก “ได้มั้ย” เสียงถามนั้น ไม่ใช่แค่ต้องการหยั่งเชิง แต่คือการขอให้อีกฝ่ายตอบรับในความต้องการ “น้ำพริกกะปินะ” นิ่มพูดออกไป ไม่มีคำพูดห้ามปรามสักคำ “นี่ก็ไข่พะโล้” ดินตอบกลับยิ้ม ๆ ก่อนจะเห็นนิ่มหลุดยิ้มออกมาเช่นกัน ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน กับความโรแมนติกที่ทั้งสองคนคิดว่า มันมาถึงตรงจุดนี้ได้ยังไง
************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Kiss Me - Sixpence None the Richer
https://www.youtube.com/watch?v=CAC-onWPMB0
Kiss me, out of the bearded barley
จูบฉัน หากมองดูยอดข้าวทอดรวงสีทองแบบนั้น
Nightly, beside the green, green grass
ยามค่ำ ลานสีเขียวท้องทุ่งไกลสุดตา
Swing, swing, swing the spinning step
โยกชิงช้าไม้ให้ฉันนั่งให้ขึ้นสูง
You'll wear those shoes and I will wear that dress
เธอใส่รองเท้าคู่เดิม แล้วฉันจะใส่ชุดเดิมชุดนั้น
Oh, kiss me, beneath the milky twilight
จูบฉัน ใต้แสงนวลทางช้างเผือก
Lead me out on the moonlit floor
เดินนำออกไปที่ลานกลางแสงจันทร์เพ็ญ
Lift your open hand
ผายมือขึ้นเป็นสัญญาณ
Strike up the band and make the fireflies dance
แล้ววงดนตรีจะเริ่มบรรเลง หิ่งห้อยจะเต้นครื้นเครง
Silver moon's sparkling
ดวงจันทร์ทอแสงระยิบระยับตา
So kiss me
จูบฉันที
Kiss me, down by the broken tree house
จูบฉัน บ้านต้นไม้ที่เคยเล่นดูเก่าลง
Swing me, upon its hanging tire
โยกชิงช้าที่ทำมาจากยางรถสีดำ
Bring, bring, bring your flowered hat
อย่าลืมเอาหมวกดอกไม้ใบนั้นมา
We'll take the trail marked on your father's map
แล้วเราไปเดินตามลายแทงที่พ่อเธอทำเอาไว้กัน
Oh, kiss me, beneath the milky twilight
จูบฉัน ใต้แสงนวลทางช้างเผือก
Lead me out on the moonlit floor
เดินนำออกไปที่ลานกลางแสงจันทร์เพ็ญ
Lift your open hand
ผายมือขึ้นเป็นสัญญาณ
Strike up the band and make the fireflies dance
แล้ววงดนตรีจะเริ่มบรรเลง หิ่งห้อยจะเต้นครื้นเครง
Silver moon's sparkling
ดวงจันทร์ทอแสงระยิบระยับตา
So kiss me
จูบได้มั้ย
So kiss me
จูบกันมั้ย
-
“ทำไมลุกขึ้นจากเตียงมาคนเดียวแบบนี้ล่ะครับ” ดินสอดแขนทั้งสองข้าง เข้ารวบเอวของนิ่มจากทางด้านหลัง ก่อนจะดึงตัวของอีกฝ่ายให้ขยับแนบเข้าหากับแผงอกของตัวเอง “ทิ้งให้ผมนอนเหงาอยู่คนเดียวได้ยังไงกัน” ส่วนปลายจมูกก็ทำตัวเป็นเด็กซน ซุกเข้าหาที่ต้นคอของนิ่ม โดยเจ้าของลำคอนั้น ทำเอียงคอหนี แต่ก็ไม่พ้นจากปลายจมูกโด่ง ๆ ของดินไปได้
“อะไรของคุณเนี่ย” นิ่มที่พยายามจะแกะแขนหนวดปลาหมึกของดิน ที่พันเอวของเขาอยู่ หัวเราะเสียงใสให้ได้ยิน เมื่อทำยังไงก็ตาม พอดึงมือข้างหนึ่งของดินออกได้ แต่ก็โดนมืออีกข้าง รวบตัวของนิ่มกลับเข้ามาสู่อ้อมกอดของดินได้อยู่ดี “จะหนีไปไหน นิ่มหนีดินไปไม่พ้นหรอก ต้องโดนดินกอดแบบนี้แหละ กอดไปตลอด” ดินยังไม่หยุดซุกไซ้ที่ข้างหู ลำคอ ของนิ่ม
“ดิน ไม่เอา อายคนอื่นเขา” เสียงหัวเราะคิกคัก ส่งเสียงห้ามปรามของนิ่ม เมื่อรู้ว่ามันไม่ได้เป็นผลแต่อย่างใด “มาโดนดินหอมซะดี ๆ” ไม่พูดเปล่า ดินดันร่างของนิ่มให้หันกลับมามองหน้ากัน แก้มที่แดงซ่านไปด้วยความเขินอายของนิ่ม ทำให้ดินยิ่งรู้สึกฮึกเหิม ประกอบกับรอยยิ้มของนิ่มด้วยแล้ว ทำให้ดินอดใจไว้ไม่ได้ ก้มลงจู่โจมแก้มของอีกฝ่ายทันที
“ดิน” เสียงเรียกชื่อของชายหนุ่ม ดังมาจากตรงที่ไม่ไกลนัก “ดิน” เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกอีกครั้ง พี่กระถินที่เดินถือถาดกาแฟร้อน ๆ หอมกรุ่นมาให้ เห็นดินยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ใช้ไหล่ข้างหนึ่งพิงเสาระเบียงหน้าห้องพัก และพอมองตามสายตาของดินไป ก็เห็นว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยืนมองนิ่มที่เดินเล่นอยู่ที่ชายหาด
“เพิ่งตื่นไม่ใช่หรือเรา” พี่นิ่มถามชายหนุ่มออกไป ดินพอรู้ตัวว่าถูกจับได้ ว่ากำลังแอบมีความสุขจากการได้เฝ้ามองใครบางคน ก็ทำยิ้มกลบเกลื่อน แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยแก้ตัวให้เขาได้มากสักเท่าไหร่ก็ตาม “ไม่นึกว่าฝันกลางวันจะมาเช้าได้ขนาดนี้” คำพูดแซวมาของพี่กระถิน ทำเอาดินต้องหลุดหัวเราะอาย ๆ ออกมาจนได้
“แล้วเป็นไง เมื่อคืนนอนหลับสบายมั้ย” พี่กระถินถามไถ่ชายหนุ่ม ก่อนจะชี้ไปที่ถ้วยกาแฟร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นบนถาด “ดีมากครับ” ดินกล่าว ก่อนพูดขอบคุณพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตออกไป แล้วหยิบถ้วยกาแฟขึ้นจิบ “แล้วนิ่มล่ะ หลับสบายมั้ย” กระถินพี่สาวผู้ใจดี ชะโงกหน้าแวบหนึ่งเข้าไปมองในห้อง เตียงนอนในห้อง เหมือนถูกจัดเอาไว้ลวก ๆ หลังคนในห้องตื่นแล้ว
“ก็น่าจะดีนะครับ” ดินจิบกาแฟ เลี่ยงสายตาไม่มองมาที่พี่กระถิน “แล้ว” กระถินทำเสียงสงสัย หรี่ตามองไปที่ดิน ที่ทำหน้าไม่เข้าใจว่า พี่สาวคนนี้อยากรู้เรื่องอะไร “แหม ก็เมื่อคืนน่ะ ยังไง เรียบร้อยแล้วหรือยัง” น้ำเสียงหยอกเอินทำทีเล่นทีจริงของกระถิน ทำให้ดินส่ายหัวไปมา ยิ้ม ๆ ที่มุมปากแบบมีเลศนัย
“ผมไม่ คิส แอนด์ เทล ครับพี่” ดินตอบออกมา ทำให้พี่กระถินหัวเราะชอบใจ “ว้า แสดงว่ายังไม่ได้กัน” ดินเกือบจะสำลักกาแฟออกมา เพราะน้ำเสียงผิดหวังและรู้จริงของพี่สาวเจ้าของรีสอร์ต “ถ้าอยู่ต่อกันอีกคืน ก็ค่อยจัดการซะให้เรียบร้อยคืนนี้ ขาดเหลืออยากได้อะไรก็บอก เดี๋ยวพี่จัดหามาให้ ถุง พวกหล่อลื่นอะไรยังไง” พี่กระถินพูดแบบว่า ทุกอย่างมันคือเรื่องปกติของเธอ ที่เธอคิดเอาไว้อยู่แล้ว เผื่อตอนรีสอร์ตเปิดทำการ ลูกค้าต้องมีมาหลากหลาย
“กินกาแฟเสร็จ ก็ฝากไปเรียกนิ่มมันมากินข้าวต้มกุ้ง ขอเวลาพี่ทำแป๊บเดียว แล้วหลังจากนั้น อยากจะพักผ่อนเงียบ ๆ กันสองคน หรืออยากจะทำกิจกรรมอะไร ก็บอกพี่ได้นะ ขี่รถเครื่องเที่ยวรอบ ๆ แถวนี้ หรือจะไปเดินเล่นกันในตัวตลาดก็มี เผื่อจะเบื่อ นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้อง เอารถมอเตอร์ไซค์พี่ไปได้ เติมน้ำมันให้ด้วย” ดินกล่าวขอบคุณพี่กระถินอีกครั้ง ก่อนพี่สาวเจ้าของรีสอร์ต จะเดินกลับไปทางครัวด้านหลัง
“อ้าว พี่กระถินเอากาแฟมาให้หรือคุณ” คล้อยหลังพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตไปเพียงนิดเดียว เป็นจังหวะเดียวกับที่นิ่มเดินกลับมาที่ห้องพักพอดี “ร้อน ๆ หอม ๆ เลยคุณ” ดินยกถ้วยกาแฟส่งให้อีกฝ่าย นิ่มรับถ้วยกาแฟไปจิบ ก่อนจะทำเสียงพอใจในรสชาตินั้นออกมา “ช่วยชีวิตยามเช้ามาก” ดินยิ้มขำไปกับท่าทางของนิ่ม ที่ดูผ่อนคลายลงจากเมื่อวานที่ทั้งสองคนเพิ่งเจอกัน แล้วก็มาออกทริปแบบกะทันหันแบบนี้
“พี่กระถินเตรียมข้าวต้มกุ้งเอาไว้ให้ หิวหรือยัง” นิ่มพยักหน้าขึ้นลงเร็ว ๆ แทนคำตอบ “หิวมาก หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย” นิ่มทำท่าว่าหิวมาก ที่รู้สึกตัวตื่นแต่เช้า ก็เพราะว่าท้องร้องรู้สึกหิวนี่แหละ ทั้งกาแฟหอม ๆ ทั้งข้าวเช้าที่พี่กระถินบอกว่าจะเตรียมเอาไว้ให้นี่แหละ ดินมองท่าทีสดใสของนิ่ม ก็ทำให้เขารู้สึกดีตามอีกฝ่ายไปด้วย
“โอ๊ย อิ่มท้องจะแตก” นิ่มร้องตะโกนบอกกับทุกคนให้ได้ยิน ก่อนจะเอามือตบลงบนท้องของตัวเองเบา ๆ “มีเมนูไหนที่พี่ถินทำแล้วไม่อร่อยบ้างมั้ยเนี่ย” พี่สาวเจ้าของรีสอร์ตทำยิ้ม ๆ เมื่อถูกชม “มีสิ เดี๋ยววันหลังทำให้กิน” คำตอบของพี่กระถินทำให้ดินหัวเราะเสียงใส “แล้วทำให้แล้ว ต้องกินให้หมดนะ ติได้ แต่แม่ครัวรับฟังเฉพาะคำชม” ส่วนนิ่มทำหน้าเหวอ เมื่อพี่กระถินบอกมาแบบนั้น
“คุณอยากทำอะไรวันนี้” ดินถามอีกฝ่าย หลังจากที่เดินกลับมาที่ห้องพัก พี่กระถินนั้นขอตัวไปติดต่อช่างมาทำปั๊มน้ำกับเครื่องปั่นไฟ เอาไว้สำรองเวลาไฟดับ ให้เสร็จเรียบร้อย เพราะรีสอร์ตใกล้จะเปิดรับการจองห้องจากลูกค้าแล้ว “ไม่ทำอะไรทั้งนั้น” นิ่มพูด ก่อนจะเดินไปเอนตัวลงบนเปลญวนแบบตาข่าย ที่ผูกเอาไว้นอนรับลมที่ระเบียงหน้าห้องพัก
“พี่คนสวย ไปเล่นกันมั้ย” จู่ ๆ ก็มีเสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นที่ข้าง ๆ เปล นิ่มลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นเด็กชายตัวน้อย ยืนยิ้มหวานส่งมาให้ “อุ้ย โผล่มาจากไหนเนี่ย เจ้าหนูน้อย” ดินยิ้มกว้าง มองดูนิ่มที่มีเด็กน้อย ยืนส่งสายตาหวานให้ “ไปเล่นกัน” ไม่พูดเปล่า หนุ่มน้อยดึงแขนของนิ่มให้ลุกขึ้นจากเปล ดินเดินมานั่งลงข้าง ๆ เปลญวน เจ้าหนุ่มน้อยหันมามองดิน
“ตัวสูงจัง” เจ้าเด็กน้อยว่าดินเข้าให้ “เหมือนไดโนเสาร์สีชมพูที่อยู่ในทีวี” หนูน้อยอธิบายสิ่งที่น่าจะไปเห็นมาจากในหนังการ์ตูน “ชื่ออะไรน่ะเรา” ดินถามออกไป เจ้าหนุ่มน้อยทำปากขมุบขมิบพูด แต่ไม่มีเสียงดังออกมาให้ได้ยิน “ชื่ออะไร แล้วบ้านอยู่ที่ไหน ทำไมเดินมาเล่นตรงนี้ได้” นิ่มเอ่ยปากถามเด็กน้อย ก่อนจะชะโงกมอง เผื่อว่าจะมีใครเดินตามหาเจ้าเด็กน้อยคนนี้ พร้อมด้วยไม้เรียวในมือ
“ชื่อไข่นุ้ย บ้านอยู่โน่น” เด็กน้อยตอบกลับนิ่ม ส่วนมือก็ชี้ไปในทิศทาง ที่บอกแน่ชัดไม่ได้ว่า บ้านที่ว่าอยู่ไหนกันแน่ “ผมว่าเจ้าหนุ่มนี่ไม่ชอบหน้าผม” ดินสังเกตดี ๆ แล้ว “พิจารณาตัวเองได้แล้วนะคุณ” นิ่มพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นจากเปลญวน โดยที่เจ้าไข่นุ้ย ยิ้มกว้าง แล้วรีบยื่นมือมาจับมือของนิ่มเอาไว้จนแน่น กลัวว่านิ่มจะเปลี่ยนใจ
“แน่ะ เจ้านี่” ดินร้องเสียงหลง เมื่อเห็นเจ้าไข่นุ้ยดูจะแพรวพราวตั้งแต่เด็ก “ชอบพี่คนสวย” ไม่ต้องสืบอะไรกันอีก เจ้าไข่นุ้ยก็เผยทุกอย่างออกมาให้ได้รับรู้ “ไปจำใครเขาพูดมา” นิ่มเองถึงกับต้องหลุดปากถาม ก่อนจะหัวเราะให้กับความแก่แดดแก่ลมของเด็กน้อย “ชอบก็บอกว่าชอบ” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดินคิดว่า เจ้าไข่นุ้ยนั้น หันมามองหน้าเขา อย่างกับว่า เจ้าเด็กนี่นั้น พูดประโยคดังกล่าวใส่หน้าเขา ยังไงยังงั้น
“เอ๊า” ดินทำเสียงขุ่น “เย็นไว้คุณ นี่เด็กน้อย” นิ่มอดขำไปกับท่าทางหัวร้อนของดินไม่ได้ “แล้วจะเล่นอะไร ตัวแค่นี้ เล่นอะไรเป็น” นิ่มหันไปถามไข่นุ้ย ที่ตอนนี้ยิ้มกว้าง ชอบใจที่พี่คนสวยยอมให้จับมือไม่ปล่อย “ไปตรงโน้น” ไข่นุ้ยทำปากบุ้ยบ้ายไปทางชายหาด ก่อนจะดึงมือให้นิ่มเดินตาม ดินมองไปที่ทั้งนิ่มและไข่นุ้ย ตาขวาง ๆ ไม่สบอารมณ์
ไข่นุ้ยเดินนำมาจนถึงตรงเนินทราย มันมีขอนไม้ใหญ่วางขวางทางอยู่ เด็กน้อยหันมองมาเห็นดินที่เดินมาทันพอดี มือข้างขวาของไข่นุ้ยจับมือของนิ่ม พอดินเดินมาถึง ไข่นุ้ยก็ทำมือกวักเรียกให้ดินยื่นมือมาจับ ดินตะโกนเรียกชื่อใหม่ของไข่นุ้ยว่า ไอ้เจ้าไข่แสบ เมื่อไข่นุ้ยจับมือของทั้งดินและนิ่มเอาไว้ เพื่อโหนดึงตัวให้ลอยขึ้นจากพื้น แล้วกระโดดข้ามขอนไม้นั้นไปลงอีกฝั่ง
“ไข่นุ้ยแข็งแรง” เด็กน้อยตะโกนบอก ชมตัวเองแบบนั้น ก่อนจะวิ่งฉิวไปกระโดดผลุง ๆ ขึ้นไปนั่งบนโต๊ะไม้ใต้ต้นสนต้นใหญ่ แสงแดดรำไรลอดผ่านลงมา ให้บรรยากาศผ่อนคลาย “เล่นอันนี้กัน” พอดินและนิ่มเดินตามมาที่โต๊ะไม้ ก็ได้ยินไข่นุ้ยร้องบอก “เล่นเป็นด้วยหรือเรา” นิ่มที่นั่งลงบนม้านั่งไม้ ถามขึ้น ดินมองไข่นุ้ย เอาฝาจีบจากขวดเครื่องดื่ม เอามาจัดแจง วางเข้าที่ให้เรียบร้อยทั้งสองฝั่ง
“มันชักจะเกินเรื่องไปมากแล้ว ไอ้เด็กแสบ” ดินมองดูเด็กน้อยท่าทางคล่องแคล่ว จัดแจงเกมหมากฮอร์สจนพร้อมแข่ง “ทีมนิ่มไข่นุ้ย” นิ่มยกมือให้เด็กน้อยแตะมือ ไข่นุ้ยไฮไฟว์กับนิ่มในทันที “อ้ะ ได้ ถ้าคิดว่าจะรวมหัวกันรุมผมแล้วจะชนะ” ยังไม่ทันที่ดินจะพูดจบ ไข่นุ้ยก็ขยับฝาจีบเดินหน้าเป็นตาแรก
“หึ มาเลยดีกว่า แล้วก็อย่าหาว่า ผู้ใหญ่หล่อ ๆ อย่างผมแกล้งเด็กและคนสวยก็แล้วกัน” ดินดึงแขนเสื้อขึ้น บอกว่าเขาพร้อมแล้วกับศึกในครั้งนี้ ไข่นุ้ยยิ้มหวาน หันไปมองหน้านิ่ม เมื่อได้ยินดินพูดว่าคนสวย “หนึ่งสอง กินสองต่อครับ เข้าฮอร์สด้วย” ดินขยับฝาจีบ เดินรุกคืบไปสองช่องติดกัน
“โกงหรือเปล่าเนี่ย” นิ่มร้องบอก เมื่อเห็นว่าดินเอาฝาอีกอันมาต่อกันด้านบน เพื่อเป็นสัญลักษณ์การเดินข้ามไปมาบนกระดานได้ “เดินยังไงดี ไข่นุ้ย” นิ่มถามเด็กน้อย แต่ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมา ก่อนที่นิ่มจะเห็นไข่นุ้ยที่ก่อนหน้านี้ ดูจะไม่ค่อยอยากจะพูดกับดินสักเท่าไหร่ เอามือป้องปากกระซิบแผนการให้ดินได้รับรู้ ว่าตาต่อไปจะต้องเดินยังไง ดินเองยังอดหัวเราะและส่ายหัวให้กับความเจ้าเล่ห์ของไข่นุ้ยไม่ได้
“พอจะแพ้แล้ว ทิ้งกันเลยงี้” นิ่มร้องถามไข่นุ้ย เอามือจักจี้เอวเด็กน้อย ไข่นุ้ยหัวเราะเสียงดังชอบใจ “อุ๊ย คนสวยแพ้ คนสวยไม่พอใจ” มาคราวนี้ ดินกับไข่นุ้ยดูเข้าคู่กันเสียอย่างนั้น นิ่มเองต่างหากที่เป็นฝ่ายทำหน้าไม่พอใจ ทำตาดุใส่ทั้งดินและไข่นุ้ย “พี่ว่า” ดินสะกิดเอวไข่นุ้ยอย่างจงใจ เด็กน้อยสะดุ้งเอวทุกครั้งด้วยความจักจี้
“เราต้องวิ่งหนีกันแล้วล่ะ” ดินร้องบอก “ไป” ไข่นุ้ยตะโกนเสียงดัง “คิดว่าจะหนีพ้นหรือไงทั้งสองคน” นิ่มอยู่ ๆ ก็กลายเป็นเป้าหมายในการถูกแกล้งไปเสียอย่างนั้น ไข่นุ้ยกระโดดพรวดเดียวลงจากโต๊ะไม้ ก่อนจะคว้ามือของดิน ดึงให้วิ่งหนีนิ่ม ที่ลุกขึ้นวิ่งตาม “วิ่งเร็ว” ดินร้องเตือนเมื่อไข่นุ้ยเกือบถูกนิ่มจับเอาไว้ได้
“มานี่” ดินคว้าเอาตัวของไข่นุ้ย ยกจนเด็กน้อยตัวลอยขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนบ่าของเขา ก่อนที่ดินจะจับแขนทั้งสองข้างของไข่นุ้ยชูขึ้น แล้วพาวิ่งไปมาบนหาดทราย หลบหลีกนิ่มที่วิ่งตาม ไข่นุ้ยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ก่อนที่นิ่มจะวิ่งทันทั้งสองคน แล้วแปะมือลงบนหลังของดิน ชายหนุ่มปล่อยให้ไข่นุ้ยยืนลงบนพื้นทราย แล้วหันไปส่งสัญญาณกัน ก่อนที่ทั้งดินและไข่นุ้ยจะมาเป็นฝ่าย ช่วยกันวิ่งไล่จับนิ่มแทน
ดินที่วิ่งตามนิ่มจนถึงจังหวะหนึ่ง คว้าเอวของที่วิ่งตามนิ่มจนถึงจังหวะหนึ่ง คว้าเอวของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ไข่นุ้ยตะโกนกรีดร้องดีใจ ที่พี่ดินจับตัวพี่คนสวยเอาไว้ได้แล้ว นิ่มเองก็หัวเราะออกมาอย่างสดใส ยิ้มกว้างตามความสดใสของไข่นุ้ย ดินใช้พลังแขนยกตัวของนิ่มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เสียงร้องแบบตกใจผสมกับเสียงหัวเราะของนิ่มดังขึ้น
“ไม่ไหวแล้ว ขอยอมแพ้ เหนื่อยมาก” นิ่มร้องบอก ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนทราย คลื่นทะเลพัดเข้ามา ถึงกลางหลังของนิ่ม ไข่นุ้ยนั่งลงข้าง ๆ นิ่ม ที่ตอนนี้นอนหงายเอามือยกขึ้นบังแสงตัววันที่สาดส่องลงมา ก่อนที่ดินจะเอาตัวเองเข้าบังแสงแดดนั้นให้ ทำให้เกิดเงาบังเอาไว้ให้ นิ่มมองเห็นดินที่ค้อมตัวอยู่ด้านบน มองลงมาที่เขา ก่อนชายหนุ่มจะเลื่อนสายตาลงมาจ้องที่ริมฝีปากของนิ่ม ที่เผยอขึ้นเล็กน้อย
ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะรอจนถึงเมื่อไหร่ ดินพูดกับตัวเอง ชอบก็บอกว่าชอบ เสียงแสบ ๆ ของไข่นุ้ยดังขึ้นในหู ดินยกมือข้างหนึ่งไปปิดตาของไข่นุ้ยเอาไว้ เมื่อเขาก้มใบหน้าลงไปหานิ่ม ไข่นุ้ยเอียงหน้าไปด้านหลัง เอามือทั้งสองแงะมือของดินที่เอามาปิดตาเด็กน้อยเอาไว้ออก ชะเง้อชะแง้มอง ปากก็บอกว่า ขอดูด้วย ก่อนที่ทั้งดินและนิ่มจะได้ยินเสียงของไข่นุ้ย ที่หัวเราะคิกคัก บอกว่ามีคนจูบกัน พี่คนหล่อกับพี่คนสวยจูบกัน
**********************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Haven't Met You Yet - Michael Bublé
https://www.youtube.com/watch?v=clyEF8ADH2s
I'm not surprised
ไม่ได้แปลกใจอะไร
Not everything lasts
กับที่เขาว่าไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป
I've broken my heart so many times,
ฉันต้องเสียใจมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
I stopped keepin' track
จนเลิกนับจำนวนว่ามันเท่าไหร่กันแน่
Talk myself in
บอกตัวเองให้เริ่มใหม่
I talk myself out
แล้วก็บอกตัวเองให้เลิกเถอะ
I get all worked up
พอรู้สึกว่ามันน่าจะมีหวัง
Then I let myself down
สุดท้ายก็ปล่อยให้ตัวเองช้ำใจ
I tried so very hard not to lose it
ฉันพยายามอย่างหนักที่จะไม่เสียมันไป
I came up with a million excuses
มีเหตุผลเป็นล้านล้านข้อใช้ปลอบตัวเอง
I thought, I thought of every possibility
ก็คิดเอาไว้ คิดถึงทุกความเป็นไปได้ที่มี
And I know someday that it'll all turn out
เพราะรู้ว่าสักวันมันคงจะเป็นไปได้จริง
You'll make me work so we can work to work it out
และเธอจะมาทำให้เราทำมันออกมาได้สำเร็จ
And I promise you kid, that I'll give so much more than I get
ฉันขอสัญญากับเธอตรงนี้คนดี ว่าจะให้มากกว่าที่ได้รับ
I just haven't met you yet
เพียงแค่ว่าตอนนี้เรายังไม่ได้เจอกัน
I might have to wait
ฉันอาจจะต้องเฝ้ารอคอยมัน
I'll never give up
แต่ยืนยันว่าจะไม่หมดหวัง
I guess it's half timing
เดาว่าครึ่งหนึ่งมันคือเรื่องของจังหวะเวลา
And the other half's luck
ส่วนอีกครึ่งมันก็คงต้องมีดวงโชคดีกันบ้าง
Wherever you are
ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน
Whenever it's right
ไม่ว่าเมื่อไหร่ตอนนั้นจะมาถึง
You come out of nowhere and into my life
จู่จู่เธอก็จะออกมาและเข้ามาในชีวิตของฉันอย่างไม่คาดฝัน
And I know that we can be so amazing
และฉันรู้ว่าเราทั้งคู่จะเหมาะสมกันเป็นอย่างดี
And baby your love is gonna change me
และคนดี ความรักของเธอมันจะเปลี่ยนแปลงฉัน
And now I can see every possibility
มาถึงตอนนี้ฉันมองเห็นในทุกทุกความเป็นไปได้ที่มี
But somehow, I know that will all turn out
และฉันเองก็คิดว่ามันจะออกมาได้ดี
And you'll make me work so we can work to work it out
และเธอนั้นจะช่วยให้เราทำมันออกมาได้สำเร็จ
And I promise you kid, I'll give so much more than I get
ฉันขอสัญญากับเธอคนดี ว่าจะให้เธอมากกว่าที่ฉันได้รับ
I just haven't met you yet
เพียงแค่ให้เราสองคนได้เจอกัน
They say all's fair
เขาว่ากันว่าทุกอย่างจะยุติธรรม
In love and war
ในเรื่องรบและเรื่องรัก
But I won't need to fight it
แต่ฉันไม่คิดว่าจะต้องต่อสู้แต่อย่างใด
We'll get it right
เราสองจะทำมันให้ถูกต้อง
And we'll be united
แล้วเราจะได้อยู่เคียงข้างกัน
And I know that we can be so amazing
ฉันรู้ว่าเราสองคนจะดูดีเมื่ออยู่ด้วยกัน
And being in your life is gonna change me
และการที่ฉันได้อยู่ในชีวิตของเธอ จะเปลี่ยนแปลงตัวฉันได้
And now I can see every single possibility
และมาคราวนี้ ฉันมองเห็นในทุกทุกสิ่งที่มันจะเป็นไปได้
And someday I know it'll all turn out
ว่าวันหนึ่งแล้วมันจะออกมาอย่างที่ตั้งใจ
And I'll work, to work it out
แล้วฉันจะทำมันเอง ทำมันออกมาให้ได้
Promise you kid, I'll give more than I get
เชื่อฉันสิคนดี ว่าฉันจะให้เธอมากกว่าที่ฉันได้รับ
Than I get, than I get, than I get
มากกว่านั้น มากกว่านี้ มากกว่ารัก
Oh, you know it will all turn out
ขอให้เธอรับรู้ว่ามันจะออกมาถูกใจ
And you'll make me work, so we can work, to work it out
เธอจะเป็นแรงผลักดัน ทำให้เรา ทำมันออกมาได้สมใจ
And I promise you kid, to give so much more than I get
และฉันยืนยันกับเธอคนดี จะมอบทุกอย่างให้กับเธอ แล้วเธอก็ให้ฉัน
Yeah, I just haven't met you yet
ขอแค่เราอยู่ด้วยกันจากวันนี้
I just haven't met you yet
เพียงแค่เราได้เจอะเจอกัน
Oh, promise you kid
ฉันสัญญายืนยันนะคนดี
To give so much more than I get
จะให้เธอทุกอย่างมากกว่า ที่เธอมอบให้ฉัน
I said love, love, love, love, love, love, love
ฉันพูดได้แค่ รัก รัก รัก ยาวยาวไป
I just haven't met you yet
แค่ว่าตอนก่อนหน้านี้เรายังไม่เจอกัน
Love, love, love, love, love, love
รัก รัก รัก ในทุกทุกวัน
I just haven't met you yet
ขอแค่ว่าตอนนี้เรายังอยู่ด้วยกัน
-
“ถ้าวันนี้จะออกไปเที่ยวไหนกัน” พี่กระถินถามดินกับนิ่ม หลังจากที่เช้านี้ทั้งหมดนั่งกินข้าวเข้ากันไป ก็คุยเรื่องสัพเพเหระอะไรกันไป การสนทนานำมาซึ่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นกันเอง “โน่น เอาเจ้าเฒ่าของพี่ไปขี่ได้ มีหลายที่ไม่ไกล ให้ขี่เลาะไปดู” พี่เจ้าของรีสอร์ตชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์รุ่นโบราณที่ยังคงแล่นได้อย่างน่ามหัศจรรย์
“น้ำมันมีอยู่สักครึ่งถังได้ ถ้าจะไปไกล ก็เติมน้ำมันไปก่อนล่วงหน้า” พี่นิ่มพูดจบ ก็เดินไปหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์มาส่งให้ “ถ้าจะอยู่รีสอร์ต วันนี้ก็น่าจะได้แต่นอนฟังเสียงเลื่อยไม้ เสียงตอกแท่นทำปั๊มน้ำนั่นแหละ” พี่กระถินออกตัว ถึงบรรดางานต่าง ๆ ที่ช่างหลากหลายช่าง จะมามะรุมมะตุ้มรุมทำงานพร้อมกันในวันนี้ เพราะเมื่อวานตอนดึก พี่นิ่มก็ต้องลุกขึ้นมารับเซอร์ไพรซ์ เมื่อแท็งก์น้ำสำรอง มาส่งก่อนกำหนดตั้งแต่เมื่อคืน
“เช้านี้ฟ้าครึ้ม ๆ ฝนจะตกมั้ยครับ” ดินเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ที่มีเมฆดำลอยอ้อยอิ่งอยู่ แม้ว่าจะมีลมเอื่อย ๆ พัดมาเป็นระยะก็ตาม “ไม่น่านะ เดี๋ยวลมพัดมา ก็หายไปหมดแล้วนั่นแหละ” พี่นิ่มส่ายหน้าบอกไม่น่าเป็นห่วง ก่อนที่แกจะขอตัวเดินไปรับช่างชุดแรก ที่เพิ่งเลี้ยวรถเข้ามาจอด เพื่อเริ่มงานในวันนี้
“ไปไหนกันดีคุณ” ดินถามนิ่ม ขณะเดินนำไปที่มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ไม่ไกล “แล้วขี่เป็นหรือไงคุณ” นิ่มที่เดินมาทันกันที่มอเตอร์ไซค์จอดอยู่ถามขึ้น “แน่ใจ” นิ่มถามย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นดินเอาพวงกุญแจรถมาใส่นิ้วชี้แล้วหมุนควงเล่น “ไม่ คุณขี่ ผมซ้อน” ก่อนที่นิ่มจะเห็นดิน หยุดควงพวงกุญแจนั่น ยิ้มกว้าง แล้วจับมันใส่ในมือของนิ่ม
“ก็ว่าแล้ว” นิ่มย่นคิ้ว ส่ายหน้า ก่อนจะนั่งคร่อมไปบนรถจักรยานยนต์ “ขี่ดี ๆ นะ” ดินพาตัวเองขึ้นนั่งซ้อนท้าย นิ่มต้องใช้แรงขายันเท้าทั้งสองข้างเอาไว้กับพื้น เพราะรถส่ายไปมาด้วยน้ำหนักของทั้งสองคนตั้งแต่ยังไม่ได้สตาร์ทรถ “ไหวป่ะเนี่ย” เสียงถามแบบจงใจจะล้ออีกฝ่ายของดิน ทำให้นิ่มต้องหันมาทำตาเขียวใส่ ในขณะที่ดินหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“เป็นคนนั่งซ้อนก็อย่างพูดเยอะ” ไม่พูดเปล่า นิ่มไขกุญแจ ก่อนจะใช้เท้าสตาร์ทรถครั้งเดียวติด “โห เจ๋งจริง” นิ่มหันมามองหน้ารถ ก่อนจะแอบยิ้มออกมาเช่นกัน แปลกดี นิ่มคิดในใจ ว่าดินในตอนนี้ ดูจะอารมณ์ดีและหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย กว่าตอนที่เจอกัน เป็นไปในแบบที่ไม่ต้องเดาว่า ชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ ดีใจก็ดวงตาเป็นประกาย สนุกสนานก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาในทันที
“คุณ เราแวะร้านกาแฟเล็ก ๆ นั่นก่อนดีกว่า ฝนชักจะลงเม็ดหนักแล้ว” ดินร้องบอกนิ่ม ชี้นิ้วไปที่ร้านข้างทาง ที่จะว่าไปก็ไม่เชิงจะเป็นคาเฟ่ร้านกาแฟอะไรจริงจัง แต่เป็นเหมือนเอาบ้านของตัวเอง มาเปิดชานหลังบ้าน ที่มองออกไปเป็นริมทะเล ที่มองไปได้จุดสุดลูกหูลูกตามากกว่า นิ่มเลี้ยวรถลงข้างทาง พอดีกับมีที่ว่างใต้ชายคาของร้าน ยื่นออกมาบังฝนให้พอดี
“เอ้า ฝนตกแล้ว เข้ามาก่อน เข้ามาด้านในก่อน” พี่เจ้าของร้านร้องตะโกนบอก ทันทีที่เห็นทั้งสองคนแวะเข้ามาจอดรถที่ด้านหน้า “ไม่เป็นไร เข้ามาเลย พื้นเลอะเดี๋ยวเช็ดได้” พี่ผู้ชายคนเดิมรีบบอก โบกมือเรียกให้เดินเข้ามาได้เลย ไม่ต้องถอดรองเท้า เมื่อเห็นทั้งดินและนิ่มดูลังเล เพราะเศษดินและน้ำเปื้อนรองเท้าอยู่พอสมควร
“ไอ้เด็กพวกนี้นี่ บอกอะไรแล้วก็ต้องค้านเสมอ ทำตรงกันข้าม” ดินและนิ่มยิ้มแบบเด็กโดนลุงแก่ ๆ ที่บ้านดุเอา เมื่อทั้งสองเดินเท้าเปล่าขึ้นไม้กระดานที่ทำเป็นเรือนยกชั้นเหนือพื้นดิน ด้วยความที่เกรงใจ เพราะพื้นที่ขัดเอาไว้เสียเงาวับสะอาดสะอ้าน ต้องเลอะแน่นอน ก่อนที่พี่ผู้ชายเจ้าของบ้าน จะชี้มือชี้ไม้ไปที่ลานนั่งกับพื้นด้านหลัง ตะโกนบอกให้ทั้งสองคนเลือกที่นั่งเอาตามสบาย
“รับอะไรดี” พี่ผู้ชายเจ้าของร้านถาม เมื่อดินและนิ่มเลือกนั่งที่โต๊ะตั้งพื้นเล็ก ๆ ริมหน้าต่างแบบบานเฟี้ยม ที่ผลักเปิดไปจนสุด เปิดกว้างรับวิวเป็นแบบพาโนรามา ดูวิวทะเลได้แบบสุดสายตา ฝนด้านนอกยังคงโปรยปรายลงเม็ดไม่ขาดสาย ไกลออกไปในทะเล มองเห็นแดดสีทองสาดส่องลงมาบนผืนน้ำ เป็นภาพที่แปลกตาดีของลูกค้าทั้งสองคนในร้านขณะนี้
“อะไรอร่อยครับพี่” นิ่มถามขึ้น มือพลิกใบเมนูเล็ก ที่ทำจากกระดาษเคลือบพลาสติกแบบง่าย สายตากวาดมองไปแบบเร็ว ๆ “อร่อยทุกอย่าง” พี่ผู้ชายเจ้าของร้านพูดขึ้นทันที “ถ้าทำได้นะ” ดินเกือบหลุดขำพรวดออกมา ด้วยที่ว่าสีหน้าของพี่เจ้าของร้าน ไม่ได้มีแววว่าจะพูดเล่นเลยสักนิด นิ่มเองก็แอบขำ เมื่อรู้ตัวว่าเจอตัวจี๊ดเข้าให้แล้ว
“งั้น” ดินพูดขึ้น “พี่ทำอะไรอร่อยบ้างครับ” ดินว่าเขามาถูกทางแล้วนะ “อ้ะ ไอ้หนุ่มนี่ฉลาดเลือก” พี่เจ้าของร้านยิ้มกว้างออกมา “เมนูไหนก็ทำได้หมดแหละ แต่กินได้มั้ยอีกเรื่อง” มาถึงตอนนี้ ดินกับนิ่มหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย “รอแป๊บ เดี๋ยวจัดกาแฟสูตรเด็ดให้ ใครมาร้านนี้ก็ต้องสั่ง เพราะทำอร่อยอยู่อย่างเดียว” ไม่พูดเปล่า พี่เจ้าของร้านเดินกลับไปที่หลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟ ผิวปากอย่างอารมณ์ดี
“เอ้านี่” ดินยื่นผ้าเช็ดหน้าที่พกมาในกระเป๋ากางเกง ส่งให้นิ่ม “เช็ดผมซะ เดี๋ยวเป็นหวัด” เป็นการยัดผ้าผืนนั้นลงใส่มือมากกว่า ว่ายังไงนิ่มก็ต้องรับเอาไปทำตามที่บอก “ก็ใครจะคิดว่าฝนจะตกลงมาแบบนี้” นิ่มรับผ้าผืนนั้นมา เช็ดหน้าเช็ดผมอย่างลวก ๆ โดยมีดินนั่งมองแบบไม่ละสายตา “แล้วคุณไม่เช็ดหรือไง” นิ่มที่กลัวว่าผ้าผืนน้อย ๆ นั้นจะชื้นไปทั้งผืน ถามอีกอีกฝ่ายออกไป
“หลังจากที่คุณเช็ดแล้วเนี่ยนะ” ดินทำเบ้ปาก รับผ้าเช็ดหน้านั้นกลับคืนมา ก่อนจะทำยิ้ม ๆ เมื่อเอาผ้าผืนเดียวกันนั้นมาเช็ดผมของตัวเอง นิ่มทำเป็นมองไม่เห็นไอ้อาการยิ้ม ๆ เหมือนจะชอบใจอะไรนั่นของดิน “ช่วงนี้ฝนมันก็ตกบ่อยหน่อย ตก ๆ หยุด ๆ” เสียงพี่ผู้ชายเจ้าของร้านดังมาจากด้านหลังเคาน์เตอร์ โดยมีกาแฟกลิ่นหอมโชยฉุยตามมาด้วย
“อ้าวหรือครับ เห็นมีคนบอกว่า ถ้าเป็นเมฆแบบนี้ ลมพัดมาเดี๋ยวก็ลอยออกไปในทะเลหมด” ดินพูดจบ เสียงของสายฝนก็ดังขึ้นมาอีก “ใครบอกเอ็งมาไอ้หนุ่ม” พี่เจ้าของร้านถามกลับมา หลังจากทำกาแฟแก้วแรกเสร็จ และเริ่มลงมือชงแก้วที่สอง “พี่กระถินครับ” นิ่มช่วยตอบออกไป แล้วต้องเห็นพี่ผู้ชายชะโงกหน้าโผล่มาทำหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อได้ยินชื่อนั้นถูกพูดถึง
“เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวก่อน” เสียงช้อนคนกาแฟดังเคร้ง ๆ แรงกว่าแก้วแรกมาก “เดี๋ยวจะเล่าอะไรดี ๆ ให้ฟัง” พี่เจ้าของร้านรีบชงกาแฟแก้วที่สองจนเสร็จ ก่อนจะใส่ถาดแล้วยกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ กลิ่นกาแฟเตะจมูกของทั้งดินและนิ่ม “ค่อย ๆ จิบล่ะ มันร้อน แต่ต้องดื่มตอนมันยังควันลอยโก๋แบบนี้แหละ ถึงจะอร่อย ถึงรสถึงชาติ” พี่เจ้าของร้านบอกกับทั้งสองคน โดยเจ้าตัวเองถาดไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ไม่ไกลจากโต๊ะมุมนั้น
“กระถินนี่ ใช่กระถินเจ้าของรีสอร์ตใหม่นั่นใช่มั้ย” พี่เจ้าของร้านถาม ดินและนิ่มทำน่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อรสชาติของกาแฟที่ตัวเองได้ลองจิบนั้น มันดีกว่าหน้าตาของมันมาก “ใช่ครับ” ดินตอบ “พี่รู้จักด้วยหรือครับ” ดินถาม ก่อนจะเห็นพี่ผู้ชายเจ้าของร้าน หยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดเบอร์จากสปีดไดอัลที่มีอยู่ในลิสต์นั้นเพียงเบอร์เดียว รอเสียงเรียกไม่นาน ก็มีเสียงดังกลับมา ว่าโทรมาทำไม เพราะกำลังยุ่งอยู่
“นี่เธอไปหลอกเด็กมันทำไม ว่าฝนจะไม่ตก” พี่ผู้ชายกรอกเสียงลงไปตามสาย ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายถามกลับมาว่าเด็กที่ไหน แล้วค่อยพูดอ๋อลากเสียงยาว ก่อนจะพูดกลับมาว่า ดินและนิ่มช่างโชคร้ายที่โผล่ไปถึงร้านกาแฟของพี่ชูนี่จนได้
“ดูแลสองคนนั้นให้ดี ๆ ล่ะ เขาเป็นแขกประเดิมของฉัน” พี่กระถินส่งเสียงกลับมาหา “แล้วใครมันจะไปรู้ ก็ปกติมันเป็นแบบนั้นนี่นา” พี่ชูแอบยิ้ม ก่อนจะจงใจพูดกลับไปว่า “แหม แค่ไปอยู่เมืองกรุงเข้าให้หน่อย ลืมหมดแล้ว ว่าคนถิ่นบ้านเราเขาเป็นกันยังไง” พี่ชูหลับตาปี๋ ยิ้มเมื่อได้ยินพี่กระถินร่ายคำด่ายาวเป็นพืดตามมาจนฟังแทบไม่ทัน
“แล้วนี่ตกลง เธอจะส่งให้ฉันมั้ย” พี่ถินถามกลับมากับสิ่งที่ถามพี่ชูเอาไว้ แต่ยังไม่ได้คำตอบ “ก็มันเปิดหรือยังล่ะ รีสอร์ตเธอน่ะ” พี่ชูถามกลับไป จนได้ยินเสียงที่แสดงความเหนื่อยของอีกฝ่ายดังกลับมา “ก็เร่งอยู่นี่ไง” สีหน้าของพี่ชูแสดงออกถึงความเข้าใจอีกฝ่าย ที่บอกว่าอยากจะทำความฝันให้สำเร็จด้วยตัวเอง “ถ้าเปิดแล้ว ฉันก็ส่งให้” น้ำเสียงของพี่ชูฟังดูก็รู้ว่ามีแต่ความห่วงใย
“ฉันวางสายล่ะ ไอ้เด็กสองคนนี้มันรอฟังอยู่ ว่าเธอแอบชอบฉันตั้งแต่สมัยตอนเป็นเด็กยังไง” ยังไม่ทันที่เสียงด่าขรมจากพี่กระถินจะดังขึ้น พี่ชูก็ชิงวางสายลงเสียก่อน ดินกับนิ่มทำตาโต กับท้ายประโยคที่พี่ชูทิ้งระเบิดเอาไว้ “เรื่องจริง” พี่ชูพูด ชี้นิ้วให้ดินและนิ่มจิบกาแฟไปด้วย “สาวเปรี้ยวเฉี่ยวของหมู่บ้านเลยล่ะ” พี่ชูเลื่อนหารูปเก่าในมือถือ ที่ถ่ายเอาไว้สมัยเรียนมัธยมปลายด้วยกันกับพี่กระถิน
“เป็นไง ใช่มั้ย” พี่ชูถาม ก่อนจะเห็นดินและนิ่มพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเห็นรูปสมัยยังเด็กของพี่กระถิน ที่ดูแก่นแก้วไม่เบา “ถ้าเป็นสมัยนี่ ต้องเรียกว่าตัวจี๊ด” นิ่มพูดขึ้น หัวเราะเบา ๆ ให้กับความน่าเอ็นดูของพี่กระถินสมัยยังวัยเยาว์ “แต่ชะตาฟ้าลิขิตเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่ได้คู่กัน” น้ำเสียงของพี่ชูฟังดูมีความผิดหวังอยู่ลึก ๆ แต่ก็เจ้าตัวก็บอกว่าเข้าใจ มันเป็นเรื่องของจังหวะชีวิต กับค่านิยมสมัยนั้นที่ไม่สามารถทำให้พี่ชูลงเอยกับพี่กระถินได้
“เห็นชีวิตเขาไปได้ดี เราก็ดีใจ” แววตาและน้ำเสียงของพี่ชู มีแต่ความปรารถนาดีให้กับอีกฝ่ายอย่างจริงใจ “กว่าจะได้เจอกันอีกที ก็ตอนรู้ข่าวว่าเขาเสียทั้งสามีและลูกไปในอุบัติเหตุ” พี่ชูเล่าว่า ยังจำได้ดีว่าตอนนั้น พี่กระถินที่ทุกคนเคยเห็นแต่ภาพของผู้หญิงแกร่ง ใจนักเลง กล้าชนกับทุกเรื่อง ต้องเสียศูนย์มากขนาดไหน กับความสูญเสียอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันแบบนั้นในชีวิต
“แล้วพี่ชูไม่มีใครเลยหรือครับ” ดินถามออกไปอย่างกลัวว่าจะเสียมารยาท “โน่น” พี่ชูพูด พลางหันไปมองกรอบรูปที่แขวนเอาไว้ที่ฝาผนังบ้าน “ผู้หญิงที่เข้าใจโลกนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์” พี่ชูพูดถึงภรรยาที่จากไปก่อนเวลาอันควร “เพราะไม่มีลูกด้วยกัน ถึงได้มีโอกาสอยู่กับเขาจนลมหายใจสุดท้าย” เพราะภรรยาของพี่ชูป่วย ไม่สามารถมีลูกได้ เพราะถ้าหากทั้งคู่ฝืนที่จะมาทายาทตัวน้อย พี่ชูคงต้องได้เป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว พี่ชูจึงตัดสินใจไม่ไปต่อ แม้ว่าฝ่ายพี่ผู้หญิงจะคะยั้นคะยอยังไงก็ตาม
“แต่นี่กลับมาเจอกิ๊กเก่า” พี่ชูหันมาพูดยิ้ม ๆ ยักคิ้วหลิ่วตา “ขอเขาแล้ว” พี่ชูหันไปพูดกับรูปคู่แต่งงานนั้น “ใช่มั้ยจ๊ะเธอ” พี่ชูยิ้มให้กับรูปใบนั้น คิดถึงภรรยาที่จากไปอย่างสุดหัวใจ “ก็ไม่เห็นเขากลับมาด่าอะไรนะ” ก่อนที่พี่ชูจะหัวเราะออกมาเสียงดัง ทำเอาดินและนิ่มต้องหัวเราะตามไปด้วย “ชีวิตมันคงต้องดำเนินต่อไปมั้ง” พี่ชูเล่า “พอพี่ผู้หญิงเขาจากไปได้สักพักใหญ่ ถึงได้รู้ข่าวเรื่องพี่ถินเขา” ดินและนิ่มจิบกาแฟฟังเรื่องที่พี่ชูเล่า
“พอพี่ถินเขาเริ่มดีขึ้น เริ่มทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ก็มีโอกาสได้คุยกัน” ดินและนิ่มยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินแบบนั้น “ไม่ใช่ เอ๊ะ พวกเอ็งนี่ คิดแต่เรื่องอะไรกันวะ” พี่ชูทำท่าเขิน ๆ เป็นเหมือนกัน “ยังเว้ย” พี่ชูเล่าต่อ “ที่ได้คุยกันคือ จะทำยังไงกันต่อหลังจากนั้น” พี่ชูบอกว่า ตอนนั้นมีความคิดว่า จะออกจากงานราชการที่ทำอยู่ แล้วกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด พี่กระถินเอากลับไปนั่งคิดอยู่สักสัปดาห์หนึ่งได้ ก็ได้คำตอบ
“พี่ถินนะ ก็สไตล์เขาแหละ กลับมาบอกพี่ว่า ถ้าเธอกลับฉันก็กลับ แล้วก็ออกจากงานบริษัทเงินเดือนหกหลักนั่นทันที” แววตาพี่ชูเป็นประกาย “เห็นชื่อรีสอร์ตใช่มั้ย ที่พี่ถินเขาเรียกว่ามายเบบี้” ชื่อของลูกพี่กระถินที่เสียไป ถูกเอามาตั้งเป็นความระลึกถึง และด้วยความที่พี่ชูสามารถเป็นที่พึ่งอะไรได้บ้างให้กับพี่กระถิน
“ก็ทุลักทุเลล่ะนะ ทั้งเรื่องเงิน เรื่องที่ทาง ดีหน่อย บ้านนี้มันไม่มีภาระอะไร เอาไปจำนองกับธนาคารได้ แต่พี่ถินเขามีศักดิ์ศรีของเขาค้ำคออยู่ ไม่ใช่หรอก เงินกิ๊กน่ะ” พี่ชูรู้ดีว่า พี่ถินจะด่าเขาเสียงดังขนาดไหน เมื่อได้ยินตัวเองถูกเรียกว่ามีกิ๊ก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร หากใครจะรู้ถึงหัวใจดี ๆ ที่พี่ชูและพี่กระถินต่างก็มีมอบให้กัน
“เห็นโต๊ะตัวนั้นมั้ย ที่แช่อยู่ในน้ำน่ะ” ดินและนิ่มหันไปมองโต๊ะไม้ตัวหนึ่งที่ขามันกำลังถูกคลื่นทะเลพัดเข้ามาเบา ๆ แดดด้านนอกเริ่มส่องแสง ฝนเริ่มขาดเม็ดแล้วในตอนนี้ “มุมโปรดของพี่ถินเขา” พี่ชูพูดด้วยสายตาที่เป็นประกาย “เขาถามว่า ทำไมปล่อยให้โต๊ะมันแช่น้ำแบบนั้น เดี๋ยวมันก็ผุหมด” พี่ชูพูดถึงคำพูดของพี่ถิน ที่ทุกครั้งที่ว่างแล้วมานั่งกาแฟด้วยกัน จะต้องถามทุกครั้ง
“ถ้าเปลี่ยน” พี่ชูพูด “มันก็ไม่ใช่มุมโปรดน่ะสิ” สายตาของพี่ชูเปลี่ยนมามองที่ถ้วยกาแฟทั้งสองของดินและนิ่มแทน ทั้งสองคนเหมือนจะนึกอะไรได้ ก็ก้มลงมองไปที่เมนู มันมีชื่อหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า กระถิน และไม่ต้องสงสัย ว่ามันคือเมนูเครื่องดื่มที่พี่ชูชงได้อร่อยที่สุด ด้วยเหตุผลที่ว่า นี่คือกาแฟรสชาติที่พี่กระถินบอกกับพี่ชูว่า รักมันมากมายแค่ไหน
****************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Sunday Morning - MAROON 5
https://www.youtube.com/watch?v=LD2I5iNDegM
Sunday morning, rain is falling
เช้าวันอาทิตย์ หยาดฝนโปรยปราย
Steal some covers, share some skin (I like that)
หาที่หลบฝน เนื้อชื้นชื้นแนบเนื้อ ดีต่อใจ
Clouds are shrouding us in moments unforgettable
เมฆฝนเคลื่อนตัวมาอยู่ด้านบน สถานการณ์มันเป็นใจ
You twist to fit the mold that I am in
เธอปรับให้มันเข้ากันได้กับแม่พิมพ์ที่ถูกปั้นขึ้นมาเป็นตัวฉัน
But things just get so crazy
แต่เรื่องราวต่างต่างมันเริ่มปั่นป่วน
Living life gets hard to do
การใช้ชีวิตมันไม่ได้เป็นไปดั่งใจ
And I would gladly hit the road, get up and go if I knew
ฉันเองเต็มใจอยากจะหนีไปให้ไกล ลุกขึ้นตอนนี้แล้วออกวิ่งหากรู้ว่า
That someday it would lead me back to you
วันใดวันหนึ่งชีวิตมันจะพาฉันกลับมาหาเธอ
That someday it would lead me back to you (oh, someday)
ว่าสักวันมันจะพาฉันได้กลับมาเจอเธอ
That may be all I need
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ
In darkness, she is all I see (all I see)
ในความมืดมน เธอคือแสงที่ส่องสว่าง
Come and rest your bones with me
กลับมาแล้วมาพักร่างที่เหนื่อยล้ากับฉัน
Driving slow on Sunday morning
แล้วค่อยค่อยไปช้าช้าด้วยกันกับวันหยุดแบบนี้
And I never want to leave
และฉันจะไม่จากเธอไปที่ไหนอีก
Yeah, fingers trace your every outline, oh yeah, yeah
ใช้นิ้วบรรจงขีดรูปร่างเอาไว้ทุกทุกแบบ
Yeah, paint a picture with my hand, oh, woah
วาดออกมาเป็นภาพที่ชัดเจนด้วยมือฉันเอง
And back and forth we sway like branches in a storm
ไม่ว่าจะอย่างไร เราจะไหวขึ้นลงเหมือนกิ่งไม่ในสายลมพายุ
Change the weather, still together when it ends
แต่เมื่ออากาศเปลี่ยนพายุสงบลง เราสองคนก็ยังคงอยู่ด้วยกัน
That may be all I need
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ
In darkness, she is all I see (all I see)
ในความมืดมน เธอคือสิ่งที่ส่องสว่าง
Come and rest your bones with me
กลับมาแล้วมาพักร่างที่เหนื่อยล้ากับฉัน
Driving slow on Sunday morning
แล้วค่อยค่อยไปช้าช้าด้วยกันกับวันหยุดแบบนี้
And I never want to leave
และฉันจะไม่จากเธอไปที่ไหนอีก
But things just get so crazy living
เมื่อชีวิตมันกลับกลายโชคชะตากลับพลิกผัน
Life gets hard to do (life gets hard)
ชีวิตพาเราผ่านช่วงเวลาที่แสนลำบาก ยากเกินจะฝ่าฟัน
Sunday morning rain is falling and I'm calling out to you
ฝนตกกระหน่ำในเช้าวันอาทิตย์ และฉันร้องเรียกหาเธอ
Singing, someday it'll bring me back to you
พูดออกจากปากได้ว่า มันจะพาฉันกลับมาเจอเธอ
Yeah (someday oh, someday oh)
ใช่แล้ว ว่าวันหนึ่ง วันนั้น
Find a way to bring myself back home to you
ฉันจะพบเจอหนทางที่พาตัวเองกลับบ้านมาหาเธอ
You may not know
เธออาจจะไม่รู้สินะ
That may be all I need
นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ฉันต้องการ
In darkness, she is all I see (all I see)
ในความมืดมน เธอคือสิ่งที่ส่องสว่าง
Come and rest your bones with me
กลับมาแล้วมาพักร่างที่เหนื่อยล้ากับฉัน
Driving slow on Sunday morning
แล้วค่อยค่อยไปช้าช้าด้วยกันกับวันหยุดแบบนี้
And I never want to leave
และฉันจะไม่จากเธอไปที่ไหนอีก
There's a flower in your hair
ดอกไม้ที่แซมอยู่บนผมของเธอ
I'm a flower in your hair
เมื่อฟ้าฝนเป็นใจ ฉันคือดอกไม้ที่ผลิบานใหม่เพื่อเธอ
-
“ถึงแล้ว” พี่ชูตะโกนบอกดินและนิ่มที่นั่งอยู่ที่กระบะท้าย “เอ้า ใครอยู่ด้านใน มาช่วยกันยกเจ้าเฒ่าลงหน่อย” ก่อนจะส่งเสียงเรียกคนที่อยู่ด้านในรีสอร์ต ให้ออกมาช่วยกันยกรถมอเตอร์ไซค์ที่ผูกเอาไว้ที่ด้านท้าย ที่สองคนอาสาเป็นเด็กรถ นั่งจับมาตลอดทาง ดินยังคงประคองรถจักรยานยนต์คันนั้น ขณะที่บอกให้นิ่มกระโดดลงมาก่อน
“เจ้าเฒ่ามันงอแงอีกแล้วหรือเนี่ย” พี่กระถินเยี่ยมหน้าออกมาจากด้านใน ถามออกไป มือไม้ก็โบกให้เด็ก ๆ คนงานของรีสอร์ตช่วยกันยกลง โดยบอกให้ดินกับนิ่มที่ทำท่าจะช่วยยกลง ว่าให้คนงานทำดีกว่า “เติมน้ำมันให้จนเต็มถัง แต่ไม่ได้ขี่เที่ยวเท่าไหร่เลยสินะ” พี่กระถินเจ้าของรีสอร์ตผู้ใจดี ดด้วยน้ำเสียงเสียดายแทน
“ไม่เป็นไรเลยครับพี่ถิน” ดินรีบพูดให้พี่ถินสบายใจได้ “เราได้เจอพี่ถิน แล้วยังได้ไปเจอพี่ชู” นิ่มพูดพลางหันไปทางพี่ชู ผู้ที่ลักษณะดูจะดุดัน แต่กลับเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดคนหนึ่ง ที่เคยเจอมา ทั้งสองคนต้องขอบคุณพี่เจ้าของร้านกาแฟ ที่อาสาเป็นธุระมาส่งทั้งรถทั้งคน “อยู่กินข้าวด้วยกันมั้ยล่ะ” คำถามนั้นของพี่กระถิน ยิงตรงไปที่จะเป็นใครไม่ได้ นอกจากพี่ชูที่ยืนเอาข้อศอกพิงขอบหน้าต่างรถ ด้านข้างคนขับอยู่
“ลองไม่ชวนสิ” น้ำเสียงตอบกลับไปแบบกวนโมโห พี่กระถินทำท่าจะถองเข้าให้ที่พุงของพี่ชู “แล้วมีอะไรกินบ้าง” พี่ชูถามเพิ่มเติม หัวเราะชอบใจที่ยั่วโมโหพี่ถินได้ “เตรียมไว้แล้ว” พี่กระถินบอก มองสบตากับดิน ในขณะที่นิ่มมองดูหน้าทั้งสองคนแบบสลับกันไปมา “มื้อพิเศษ ก่อนที่แขกสองคนแรกของทางรีสอร์ต จะต้องเดินทางกลับพรุ่งนี้” พี่กระถินยิ้มอย่างใจดีออกไป
“ลำบากพี่ถินแย่” นิ่มบอกกับพี่สาวผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ตออกไป ด้วยความเกรงใจ “ไม่เป็นอะไรเลย บังเอิญพี่อยากกินอยู่แล้วด้วย ใช่มั้ยดิน” พี่กระถินพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มที่ยืนทำเป็นไม่รู้เรื่อง “คุณไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือเปล่า” นิ่มพูดเสียงดุกับดิน โดยที่ชายหนุ่มรีบตอบกลับมาว่า “คุณนั่นแหละ ที่เป็นต้นเรื่อง” ดินพูดหน้านิ่ง แต่แววตานั้นที่บอกว่า รู้สึกดีที่ได้ทำอะไรบางอย่างให้กับนิ่ม
“ผมหิวแล้ว กินข้าวกันเลยมั้ยครับ” ดินหันไปพูดกับพี่กระถิน ที่ยิ้มตาม ก่อนจะบอกว่า “เอ้า ถ้าหิวแล้ว จะรออะไรล่ะ ไปกินข้าวกัน มื้อนี้ก็ทำให้เด็ก ๆ คนงานในรีสอร์ต ลาภปากไปด้วย” พี่กระถินบอกกับทุกคน พี่ชูเดินนำหน้าเข้าไปด้านใน โดยมีดินและนิ่มเดินตาม แล้วพี่กระถินเจ้าของรีสอร์ตเดินปิดท้าย
“วันไหนว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ จะแวะมานอนเล่นที่นี่อีก พี่ยินดีต้อนรับเสมอนะ” พี่กระถินพูดกับนิ่ม ที่ยืนยันว่าจะช่วยพี่สาวผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ตล้างจานชาม เพื่อเป็นการตอบแทน “ขอบคุณมากนะครับพี่ แต่นิ่มคงต้องเก็บสตางค์นานหน่อย” ได้ยินแบบนั้น พี่กระถินก็รีบเอ่ยกับนิ่มว่า “เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” เจ้าของรีสอร์ตพูดออกไปตามประสาคนที่มีน้ำใจให้กับคนอื่นอยู่เสมอ
“จะไม่ใช่ได้ยังไงพี่” นิ่มที่วางจานที่ล้างสะอาดแล้วลงบนถาดรองน้ำ “นี่ถ้าไม่ใช่เขา” นิ่มทำบุ้ยปากให้พี่สาวผู้ใจดีรู้ว่ากำลังพูดถึงดิน “ก็คงไม่ได้มาแบบนี้หรอก” นิ่มบอกกับพี่กระถินออกไปตามตรง ว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ดินเป็นผู้รับผิดชอบ “แล้วทำไมถึงอยากมา” พี่กระถินถาม มองดูนิ่มที่แววตามีความหม่นเศร้าอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
“ก็” นิ่มคิดว่าเขาควรจะพูดออกไปดีมั้ย “นิ่มอยากพาแม่มาเที่ยว” พี่กระถินมองดูนิ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “แต่มันสายไปหน่อย” ในมือของนิ่มตอนนี้มีถุงผ้าเล็ก ๆ ที่ใส่อะไรบางอย่างเอาไว้ “สิ่งที่นิ่มเหลืออยู่ให้ยังรู้สึกว่า แม่ยังอยู่ข้าง ๆ ก็มีอยู่เท่านี้” นิ่มบอกกับพี่กระถินว่า กระดูกชิ้นเล็ก ๆ ของแม่ เป็นสิ่งเดียวที่นิ่มไปเอามาได้จากบรรดาพี่น้องของแม่ ที่พากันแย่งชิงของไม่กี่อย่างที่แม่มี
“เคยสัญญากับเขาเอาไว้ ว่าจะทำงานเก็บเงิน แล้วพาแม่มาเที่ยวทะเล” นิ่มรีบกะพริบตาถี่ ๆ ไล่หยาดน้ำอุ่นใสนั้นให้พ้นไปจากขอบตา “ตอนแรกเพื่อนมันก็จะมาด้วย แล้วช่วยออกเงินให้ก่อน แต่ก็เกิดเหตุ มันมาไม่ได้เสียก่อน” นิ่มพยายามหัวเราะออกไป พี่กระถินรู้ดีว่า นิ่มกำลังกลบเกลื่อนให้ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองกำลังอ่อนแอและอ่อนกำลังขนาดไหน
“แล้วเทพบุตรสุดหล่อขี่ม้าขาวในชีวิตก็มีจริง” พี่กระถินพูดแซวขึ้น ยิ้ม ๆ ให้กับอาการของนิ่มที่บอกว่าดินนั้น “ไม่เห็นจะหล่อเลย” นิ่มทำหน้านิ่ง ไม่อยากให้พี่กระถินแซวว่า เกิดชอบดินขึ้นมาแล้วหรือเปล่า “นั่นแหละ ก็ได้เขาช่วย อยู่ ๆ ออกมาจากไหนก็ไม่รู้ มาเสนอว่าอยากจะพาไปเที่ยวแทนเพื่อน เห็นเขาเงินถุงเงินถัง ก็เลยตามเลย” นิ่มเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับพี่กระถินฟัง
“เออว่ะ มันคออ่อนอย่างที่มันพูดจริง ๆ ด้วย” พี่กระถินพูดพลางส่ายหัว เมื่อตอนนี้ นิ่มที่หลังจากกระดกเครื่องดื่มสูตรพิเศษเข้าไปไม่เท่าไหร่ ก็ออกอาการที่มีแต่สาโทสูตรลับเท่านั้น ที่ทำได้ “นิ่มไม่เมา นิ่มไม่เคยเมา” นิ่มหันมาพูดแก้ตัวกับพี่กระถิน “เหล้าครึ่ง ความในใจอีกครึ่ง” พี่ชูหัวเราะออกมาเบา ๆ จำได้ว่านิ่มอยู่ ๆ ก็น้ำตาร่วงเผาะ เมื่อนั่งลงที่วงข้าว แล้วมีกับข้าวของโปรดของแม่ตั้งรออยู่
“ดินนั่นแหละ ที่ต้องรับผิดชอบ” ดินมองดูแก้มแดง ๆ ของนิ่มแล้วก็คิดว่า สิ่งที่พี่กระถินพูดนั้น มันไม่พ้นความรับผิดและรับชอบของเขาไปอย่างแน่นอน “คืนแรกก็จัดเลยหรือวะดิน” พี่ชูถาม เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งพี่ชูและพี่กระถินออกมาได้ “ใครจะไปหลับลง” ดินพูดเขิน ๆ แต่การจัดในคืนแรกนั้น มันคือการที่ดินได้ยินนิ่มละเมอถึงแม่ออกมา รวมทั้งชื่ออาหารโปรดด้วย ดินจึงเอามาถามพี่กระถิน ว่าพอจะทำอะไรให้นิ่มได้บ้างมั้ย
“เอ็งมันโคตรพระเอก ไอ้ดิน” พี่ชูยกแก้วขึ้นคารวะ พี่กระถินทำตาม โดยมีดินกระดกเหล้าที่เหลือก้นแก้ว ลงคอไปรวดเดียวหมด “ต้องอย่างนั้นสิวะ ไอ้หน้าหล่อ” พี่ชูเชียร์แบบรู้ว่าเข้าข้างใครอยู่ “ต้องอย่างนี้สิวะ” นิ่มหันมามองหน้าดิน แล้วพูดเลียนแบบที่ได้ยินจากพี่ชู “เมามากแล้วคุณน่ะ” ดินพูดว่านิ่มออกไป “ปกติเคยดื่มกับเขามั้ย” นิ่มที่ได้ยินดินถามแบบนั้น ก็ทำนิ่งคิด ก่อนจะตอบออกมาให้ได้ยินกันทุกคน
“ปกติแล้ว ก็เคยแค่จิบเข้าปาก แล้วก็บ้วนมันกลับลงแก้วไป แล้วจะเมาได้ไง” นิ่มพูดก่อนจะหัวเราะคิกคัก ให้กับวิธีที่เพื่อนสอนมา แล้วนิ่มก็ใช้มันทุกครั้งที่ออกไปตอนกลางคืน “รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ด้วยวิธีนี้สินะ” พี่กระถินถอนใจออกมา เมื่อรู้ว่า นิ่มเองก็หาวิธีรักษาตัวรอด ไม่ได้เป็นเด็กใจแตกเพราะอยากจะสนุกและเที่ยวเตร่ไปเท่านั้น
“แต่ขอโทษด้วย นิ่มเนี่ย ระดับนี้แล้ว ไม่เคยติดใจใคร มีแต่คนติดใจ” นิ่มหัวเราะร่วนไปกับประโยคที่ทำให้คนมาเที่ยวกลางคืนหลายคน เลี่ยงไม่ยอมขอให้ไปต่อด้วย เพราะคิดว่านิ่มนั้นเป็นเด็กกร้านโลกเกินวัย “ฟันธง เอ็ง ไอ้ดิน” พี่ชูพูดพลางตบลงบ่าของดินเบา ๆ “เอ็งได้ของดีแล้ว แบบนี้เก่งแต่พูดชัวร์” ดินได้ยินพี่ชูพูดแบบนั้น มันทำให้เขานึกถึงตอนที่นิ่มล้วงมือลงมาในกระเป๋ากางเกงด้านหน้า แล้วนิ้วของนิ่มมาสัมผัสโดนไอ้ความเป็นหนุ่มของเขาโดยไม่ตั้งใจนั่นได้ดี
“ผมพานิ่มไปนอนก่อนนะครับ เมามากแล้ว” ดินพูดก่อนจะลุกขึ้นไปพยุงตัวนิ่มให้ลุกขึ้นตาม “จะพากลับด้วยเนี่ย ระวังนะ เจอหนักแน่ ๆ” นิ่มพูดขู่ดิน จากวิธีที่ได้ผลมาทุกครั้ง “พวกตัวช่วย กองกำลังเสริมอะไรต่าง ๆ พี่ใส่เอาไว้ในลิ้นชักหัวเตียงนะ ดิน” พี่กระถินชี้ทางสว่างให้กับดิน ที่ตอนนี้หน้าแดงหูแดงไปหมด แต่ไม่รู้ว่าจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ หรือว่าจากความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัวตอนนี้กันแน่
“คุณเดินดี ๆ” ดินบอกกับอีกฝ่าย เมื่อนิ่มยืนโงนเงนอยู่ที่หน้าประตูห้อง “นิ่ม เดี๋ยวล้ม” ดินทำเสียงดุ ก่อนจะได้ยินเสียงของนิ่มหัวเราะอ้อแอ้ชอบใจ “เราจะเริ่มทำกันเลยมั้ย” เสียงนิ่มถามออกมา เมื่อดินปิดประตูห้องตามหลัง ก่อนที่ดินจะต้องพุ่งตัวไปคว้าเอวของนิ่ม ที่อยู่ ๆ ก็ทำท่าจะหงายไปทางด้านหลัง ดินที่ต้องหาหลักพิงตัวเอาไว้ เพื่อไม่ให้ล้ม ก็เซไปจนแผ่นหลังของเขาพักลงที่ผนังห้อง
“หูย แน่นดีจัง” เสียงนิ่มชมอีกฝ่ายออกมา เมื่อตัวของเขาพิงเข้ากับแผ่นอกหนา ๆ แน่น ๆ ของดิน “พูดเก่งนะเราน่ะ” ดินเองก็รู้สึกได้ดี ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรงมาก “ไม่ได้เก่งแค่พูดนะ” นิ่มตอบกลับมา “แต่เก่งทุกอย่าง” นิ่มพูด ที่ตอนนี้คางอยู่เกยตรงแผ่นอกของดิน “เช่นอะไรบ้าง” ดินไม่พูดเปล่า เขาใช้แขนช้อนด้านหลังเอวของนิ่มขึ้นมา ทำให้ตัวของนิ่มถูกยกขึ้นมาใกล้ใบหน้าของดินมากขึ้น
“คุณจะทำอะไร” เสียงนิ่มถามออกไป “คุณจะมาทำเป็นพูดนั่นนี่ แล้วทำไม่เป็นอยากว่ามา ไม่ได้นะ” ดินพูด ก่อนจะใช้อีกมือที่ยังว่างอยู่ ดึงให้เสื้อเชิ้ตของนิ่มข้างหนึ่ง เลยหัวไหล่ตกลงไปด้านล่าง เผยให้เห็นหน้าอกของนิ่ม “ทำแบบนี้” ดินพูดเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงจูบที่เหนือหน้าอกด้านนั้นของนิ่มเบา ๆ ดินเงยสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย โดยที่นิ่มมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว
“คิดว่าทำได้อยู่ฝ่ายเดียวหรือไง” เสียงนิ่มฟังดูไม่พอใจ ก่อนจะทำดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนของดิน “นี่ ของจริงมันเป็นอย่างนี้” รู้ตัวอีกที นิ่มก็แหวกเสื้อของดินให้กว้างออก กระดุมสองเม็ดบน ของเสื้อเชิ้ตของเขา ถูกนิ่มปลดออก ก่อนที่ดินจะทันรู้ตัวหรือห้ามอะไรอีกฝ่ายได้ทัน ดินก็ต้องกัดฟันแน่น เมื่อหัวนมของเขาถูกนิ่มคว้าเข้าปาก แล้วรุกไล่ด้วยปลายลิ้นแบบนั้น
“อย่าคิดนะ ว่าจะได้กำไรอยู่คนเดียว คนอย่างนิ่มไม่ยอมขาดทุนหรอก” ดินถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ เมื่อได้ยินนิ่มพูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกต่างหาก “เรามาทำแบบแฟร์ ๆ กันก็ได้ ผมไม่เอาเปรียบคุณหรอก” ดินคิดว่า ถ้าคืนนี้อะไร ๆ มันจะเกินเลยไปจนหยุดเอาไว้ไม่อยู่ นิ่มทำอะไรให้เขา แน่นอนว่า ดินจะทำคืนให้อย่างแน่นอน
“คุณทำอะไรได้อีก” ดินหลุดปากถามออกไป ก่อนจะผ่อนอ้อมแขนให้นิ่มขยับตัวได้สบายขึ้น “ปกติคนเขาทำอะไรกันบ้าง” นิ่มถามเสียงเบา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดิน ที่ตอนนี้ นิ่มจะทำอะไรให้เขา ดินยินดีทั้งนั้นแหละ นิ่มค่อย ๆ ย่อตัวลงไปด้านล่าง โดยที่สายตายังคงจ้องมองอยู่กับดิน ชายหนุ่มมองดูอีกฝ่ายนั่งลงคุกเข่าอยู่ด้านหน้าตัวเขา
ดินมองดูนิ่มใช้มือค่อย ๆ ปลดกระดุมกางเกงของเขาออก ก่อนที่ดินจะรู้สึกถึงน้ำหนักมือของนิ่มที่กดลงไปที่ความอ่อนนุ่มกลางลำตัวของเขา ตอนที่ซิปกางเกงกำลังถูกเลื่อนลงไปจนสุดทาง ดินกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว เมื่อสิ่งที่นิ่มก่อนหน้านี้ มันเริ่มตื่นและตึงตัวขึ้นอยู่ด้านในกางเกงชั้นในสีขาวตัวนั้น เมื่อตอนนี้มันโป่งนูนอยู่ห่างจากใบหน้าและริมฝีปากของนิ่ม แค่เพียงเล็กน้อย
“นิ่ม คุณแน่ใจนะ” ดินเสียงสั่นถามอีกฝ่ายออกไป ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนสุด เมื่อเห็นนิ่มเผยอริมฝีปากขึ้น ยิ่งนิ่มสบตากับเขาแบบไม่ละสายตาไปไหน มันยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของดินตอนนี้พลุ่'พล่านอย่างที่สุด ขอบกางเกงชั้นในสีขาวของดิน ถูกนิ่มใช้ปลายนิ้วโป้งมือสอดเข้าไปทั้งสองข้าง
ก่อนที่ชั้นในตัวนั้นจะเลื่อนตัวลง เผยให้เห็นถึงไรขนที่ไล่ลงจากสะดือหายลงไปด้านล่างขอบกางเกง แล้วตอนนี้กำลังเผยตัวมากขึ้นและมากขึ้น ความคิดที่ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ทำให้ดินรู้สึกตื่นตัวอย่างถึงที่สุด ความรู้สึกที่มันเต้นตุบจากเส้นเลือดที่พาดไปตามความยาวที่กำลังตั้งชันขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งคำพูดของพี่ชู ที่บอกไว้ว่า นิ่มยังไม่เคยผ่านมือใคร มันทำให้ดินนั้น
********************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
Blank Space - Taylor Swift
https://www.youtube.com/watch?v=2mIBS3fHp6A
Nice to meet you, where you been?
ยินดีที่ได้พบกัน ทำไมถึงไม่เคยเจอกันก่อนหน้านี้
I could show you incredible things
ฉันหาสิ่งที่เกิดคาดมาให้ได้นะ
Magic, madness, heaven, sin
เวทมนตร์ ความบ้าคลั่ง สวรรค์ หรือความผิดบาป
Saw you there and I thought
เพราะพอเห็นเธอยืนอยู่ ฉันก็บอกกับตัวเองว่า
"Oh, my God, look at that face"
โอ๊ย นั่นมันใบหน้าพระเจ้าสร้าง
You look like my next mistake
เธอเหมือนกับความผิดพลาดครั้งต่อไปของฉัน
Love's a game, wanna play?"
ชอบเล่นเกมมั้ย มาเล่นกันเถอะ
New money, suit and tie
มีเงินถุงเงินถัง แต่งตัวก็ดี
I can read you like a magazine
ฉันบอกได้เลยว่า ฉันรู้จักเธอดี
Ain't it funny? Rumors fly
มันฟังดูตลกดีมั้ย ที่ข่าวลือมันจะแพร่ไป
And I know you heard about me
ฉันรู้ว่าเธออาจะเคยได้ยินเรื่องของฉัน
So hey, let's be friends
เอางี้ หรือจะเป็นเพื่อนกันก่อน
I'm dying to see how this one ends
ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า แล้วตอนจบมันจะเป็นยังไง
Grab your passport and my hand
คว้าหนังสือเดินทางมาแล้วจับมือฉันเอาไว้
I can make the bad guys good for a weekend
ฉันสามารถทำให้หนุ่มร้ายร้ายกลายเป็นเด็กดีได้เมื่อข้ามสุดสัปดาห์
So, it's gonna be forever
เรื่องมันจะลงเอยด้วยความสุขตลอดไป
Or it's gonna go down in flames
หรือมันจะเป็นแบบโดนไฟเผาทั้งเป็น
You can tell me when it's over
เดี๋ยวไว้เธอเป็นคนบอกฉันแล้วกัน
If the high was worth the pain
ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวแล้วคุ้มค่ากับความเจ็บปวดมั้ย
Got a long list of ex-lovers
ถ้าฉันมีแฟนเก่ายาวเหยียดเป็นหางว่าว
They'll tell you I'm insane
ทั้งหมดจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉันมันเพี้ยน
'Cause you know I love the players
เพราะอย่างที่บอกฉันชอบที่คนเล่นเกม
And you love the game
แต่เธออาจจะชอบที่ตัวเนื้อเกม
'Cause we're young, and we're reckless
เราสองคนยังเด็กและก็บ้าบิ่น
We'll take this way too far
เราจะทำให้เรื่องทั้งหมดมันเกินจะย้อนกลับ
It'll leave you breathless
มันจะทำให้เธอรู้สึกดีจนลืมหายใจ
Or with a nasty scar
หรือจะเหลือเอาไว้เพียงรอยแผลเก่าที่น่าเกลียด
Got a long list of ex-lovers
หากบรรดาแฟนเก่าที่ฉันมี
They'll tell you I'm insane
จะพากันบอกว่าฉันมันบ้า
But I've got a blank space, baby
แต่หน้ากระดาษที่ฉันเหลือว่างอยู่
And I'll write your name
ฉันจะเขียนชื่อเธอลงไป
Cherry lips, crystal skies
ริมฝีปากอวบอิ่มน่าจูบ ตัดกับท้องฟ้าระยิบระยับ
I could show you incredible things
ฉันหาสิ่งเหลือเชื่อมาให้เธอได้นะ
Stolen kisses, pretty lies
จุมพิตที่เธอขโมยกัน คำโกหกที่แสนสวย
You're the King, baby, I'm your Queen
เมื่อเธอเป็นรุก ฉันเป็นรับให้
Find out what you want
เลือกเอาที่ได้ดั่งใจเธอ
Be that girl for a month
หรือเป็นคนคนนั้นให้สักเดือนเต็ม
Wait, the worst is yet to come
รอก่อนเถอะ สิ่งที่ร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง
Screaming, crying, perfect storms
เสียงตะโกนด่าทอ เสียงร้องไห้กรีดร้อง มันน้องน้องพายุดีดีนี่เอง
I can make all the tables turn
ฉันทำให้ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรได้หมด
Rose garden filled with thorns
สวนกุหลาบสวยแต่ยังคงหนามแหลมเอาไว้ทั้งแปลง
Keep you second guessing like
อาจจะทำให้เธอลังเลได้มากอยู่
"Oh, my God, who is she?"
ว่าใครนะคนนี้ช่างน่าจับจองเสียจริง
I get drunk on jealousy
แต่ฉันอาจจะมีแต่ความหึงหวงไม่ว่างเว้น
But you'll come back each time you leave
แต่เป็นเธอนั่นแหละที่ย้อนกลับมาทุกครั้งหลังจากจากไป
'Cause, darling, I'm a nightmare dressed like a daydream
เพราะที่รัก ตัวฉันมันคือฝันร้ายที่อยู่ภายใต้ชุดแห่งความฝันหวาน
So, it's gonna be forever
เรื่องมันจะลงเอยด้วยความสุขตลอดไป
Or it's gonna go down in flames
หรือมันจะเป็นแบบโดนไฟเผาทั้งเป็น
You can tell me when it's over
เดี๋ยวไว้เธอเป็นคนบอกฉันแล้วกัน
If the high was worth the pain
ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวแล้วคุ้มค่ากับความเจ็บปวดมั้ย
Got a long list of ex-lovers
ถ้าฉันมีแฟนเก่ายาวเหยียดเป็นหางว่าว
They'll tell you I'm insane
ทั้งหมดจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฉันมันเพี้ยน
'Cause you know I love the players
เพราะอย่างที่บอกฉันชอบที่คนเล่นเกม
And you love the game
แต่เธออาจจะชอบที่ตัวเนื้อเกม
'Cause we're young, and we're reckless
เราสองคนยังเด็กและก็บ้าบิ่น
We'll take this way too far
เราจะทำให้เรื่องทั้งหมดมันเกินจะย้อนกลับ
It'll leave you breathless
มันจะทำให้เธอรู้สึกดีจนลืมหายใจ
Or with a nasty scar
หรือจะเหลือเอาไว้เพียงรอยแผลเก่าที่น่าเกลียด
Got a long list of ex-lovers
หากบรรดาแฟนเก่าที่ฉันมี
They'll tell you I'm insane
จะพากันบอกว่าฉันมันบ้า
But I've got a blank space, baby
แต่หน้ากระดาษที่ฉันเหลือว่างอยู่
And I'll write your name
ฉันจะเขียนชื่อเธอลงไป
Boys only want love if it's torture
หนุ่มหนุ่มต้องการเรื่องรักเพราะมันคือเครื่องทรมานที่ตรงใจ
Don't say I didn't, say I didn't warn
อย่าพูดนะ ว่าไม่มีใครบอก ว่าไม่มีใครเตือน
Boys only want love if it's torture
หนุ่มหนุ่มต้องการร่วมรักเพราะมันคือเครื่องทรมานที่เร้าใจ
Don't say I didn't, say I didn't warn
อย่ามาบอกนะ ว่าไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครห้าม
-
“ดูทำหน้าเข้า เมื่อคืนหนักไปหน่อยหรือไง” นิ่มที่ขมวดคิ้วจนแน่น ส่งเสียงอิดออดตอนที่นั่งอยู่ที่แคร่ไม้ ไม่ไกลจากที่พี่กระถินกำลังชงกาแฟอยู่ ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เมื่อได้ยินพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตพูดแซวมาแบบนั้น “ขอเข้ม ๆ เลยนะพี่ถิน หนักหัวมากเลยตอนนี้” พี่กระถินเอาถ้วยกาแฟร้อนที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ควันลอยฉุย มาวางไว้ให้ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า
“ที่ว่าหนักเนี่ย” เสียงของพี่กระถินกึ่ง ๆ จะทั้งถามเอาความและแซวนิ่มไปในตัว “มันคือเหล้าที่ก๊งไปเมื่อคืน หรือว่าอะไรอย่างอื่นกันแน่” พี่ถินนั่งลงที่เก้าอี้ไม่ไกลจากตรงซุ้มที่จัดเอาไว้ให้ลูกค้าที่จะมาพัก ให้มีที่ถ่ายรูปเล่นกัน “อะไรกันพี่ถิน” นิ่มไม่ตอบคำถาม ก่อนจะก้มลงเอาเปากเป่าไปที่กาแฟในถ้วยนั้นเบา ๆ เพื่อให้เครื่องดื่มคลายร้อนลง
“แล้วก็ตื่นซะเช้าเลย หรือว่า” พี่กระถินเย้านิ่มต่ออีก “หรือว่ายังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน” นิ่มใช้สองมือประคองแก้วกาแฟที่อุ่นพอจะจับได้โดยไม่ร้อนมือขึ้นจิบ ความร้อนจากน้ำกาแฟ ปลุกให้ภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล่นกลับมาให้นิ่มได้จำได้อีกครั้ง และเมื่อภาพแรกได้กลับมาแจ่มชัดในความทรงจำ ทุก ๆ ภาพหลังจากนั้น ก็แล่นกลับมาเป็นภาพฉายที่บอกได้จนครบเรื่องราว
ดินนั่งลงบนเตียงนอน ห้อยขาลงที่ขอบเตียง โดยเอนตัวเท้าแขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง เพื่อให้ด้านหน้าของตัวเองเด่นชัดขึ้น นิ่มมองเห็นอีกฝ่ายที่ตอนนี้เหลือเพียงชั้นในสีขาวเพียงตัวเดียวติดตัวอยู่ ก็เดินตามไปจนหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของชายหนุ่ม สายตามองเห็นดินค่อย ๆ เลื่อนขาทั้งสองแยกออกจากกัน เพราะถ้านิ่มยังมองที่จุดกลางลำตัวตรงหว่างขาของอีกฝ่ายยังไม่ชัด ตอนนี้ก็จะได้มองเห็นได้จนเต็มสองตา
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของนิ่มดังขึ้น เสียงจากอีกปลายสายดังทักมา ถามว่านิ่มเป็นอย่างไรบ้าง นิ่มตอบกลับไปว่าตัวเองสบายดี ก่อนที่ดินจะดึงเอามือข้างที่เหลือของนิ่มไปวางแหมะเอาไว้บนหน้าท้องที่อุดมไปด้วยกล้ามท้องของเขา สายตาของดินจ้องมองตาของนิ่ม ประหนึ่งว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่น่าจะใช่นิ่มคุยโทรศัพท์กับเพื่อน และตัวมือถือถูกกดตัดสายลง เมื่อมือของนิ่มถูกดินดึงเลื่อนแทรกเข้าไปในใต้เนื้อผ้าของชั้นในสีขาวนั้น
ดินออกแรงเพิ่ม ดึงข้อมือของนิ่มให้เจ้าตัวโน้มตัวมาด้านหน้า ก่อนที่ดินจะยกตัวขึ้น เพื่อให้ใบหน้าและริมฝีปากของตัวเขาเองนั้น อยู่จนเกือบจะชิดกับอีกฝ่าย ดินกระซิบอะไรบางอย่างออกไปเบา ๆ ให้นิ่มได้ยิน ก่อนที่ทั้งสองคนจะเลื่อนหน้าเข้าใกล้กันอีก แล้วดินจึงค่อย ๆ บรรจงวางริมฝีปากลงแนบไปกับของอีกฝ่าย ก่อนที่ดินจะลิ้นเลาะเล็มกึ่งบังคับให้นิ่มเผยอปากขึ้น เพื่อให้ดินได้แทรกเข้าไปชิมลิ้มรสความหวานจากนิ่มได้
ดินที่ยังคงรั้งให้นิ่มจูบกับตัวเองอยู่ ก็พร้อม ๆ กับขยับมือของนิ่มให้ขึ้นลงไปตามความยาวที่เหยียดตัวตั้งขึ้นจนสุด ที่ตอนนี้มันยึกยักหงึกหงักตัวในมือของนิ่ม เสียงครางด้วยความพอใจในลำคอของชายหนุ่ม เมื่อมือของนิ่มลากผ่านขึ้นไปที่บริเวณปลายสุด แล้วความลื่นของของเหลวน้ำสีใส ที่เอ่อล้นออกมาจนล้นออกจากส่วนหุ้มปลาย ทำให้ทตรงนั้นลื่น สร้างความรู้สึกให้กับเจ้าของลำตัวพองอ้วนนั้นเป็นอย่างมาก
ตัวของนิ่มตอนนี้ถูกดึงให้นั่งลงตรงกลางระหว่างขาของดิน เมื่อชายหนุ่มยอมปล่อยให้ริมฝีปากและลิ้นของนิ่มเป็นอิสระ แต่ได้ทวงถามสิ่งที่นิ่มบอกว่าทำได้และจะทำให้ ก่อนจะพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้นิ่มดึงให้ชั้นในสีขาวตัวนั้น โดยดินยกบั้นท้ายให้นิ่มสามารถดึงมันออก และลากผ่านมันออกไปจนพ้นปลายเท้าของชายหนุ่มได้ นิ่มมองเห็นความยาวทั้งหมดที่แข็งขันจนสุดปลาย พาดตัวไปบนหน้าท้องของดินไปทางซ้าย แสงสลัวจากโคมไฟที่หัวเตียง ทำให้มองเห็นน้ำใส ๆ จากปลายท่อนอวบ ไหลลงเปื้อนกล้ามเนื้อท้องของดิน
ดินบอกกับนิ่มว่าไม่เป็นไร เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ประสา ก่อนจะขยับตัวให้นิ่มสามารถจับกำรอบความอวบนั้นได้จนถนัดมือ ดินมองตามมือของนิ่มที่เริ่มขยับไปตามความยาวที่ดินมี มันเร็วขึ้นจนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และนั่นทำให้หนังที่หุ้มอยู่ที่ส่วนปลาย ดึงรั้งตัวเองลงมากองอยู่ที่รอบคอของแท่งทวน เผยให้เห็นถึงส่วนหัวที่บานออก มันชุ่มไปด้วยของเหลวมีใส ที่ฉ่ำออกมาจากอารมณ์ของดินที่กำลังพลุ่งพล่านเพิ่มขึ้น ไปตามความพึงพอใจของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
“มันไม่ได้มีอะไรเลยพี่ถิน จริง ๆ นะ นิ่มเมามาก อันนั้นยอมรับ” นิ่มตอบกลับพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตผู้ใจดีไปแบบนั้น “อ๋อเหรอ จริงอ้ะ” ก่อนจะได้ยินพี่กระถินพูดแกมหัวเราะออกมา แบบนั้นแล้ว นิ่มก้มหน้าลงจิบกาแฟจากถ้วย เงยสายตามองไปที่พี่กระถิน ที่ทำหน้าไม่เชื่อกับสิ่งที่นิ่มเพิ่งพูดออกมาเลยสักนิด ก่อนที่นิ่มจะก้มลงไปมองกาแฟในถ้วยนั้นอีกครั้ง
ดินค่อย ๆ ดันตัวของนิ่มให้เอนลงบนที่นอน กระดุมเม็ดสุดท้ายของเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่าย ดินปลดมันออก ก่อนจะใช้มือปัดให้เสื้อเชิ้ตตัวนั้นเปิดกว้างออก เผยให้เห็นเนินกล้ามเนื้ออกของนิ่ม ที่ยอดอกนั้นมีเม็ดติ่งชูชันขึ้นด้วยแรงสัมผัสลูบไล้จากฝ่ามือของดิน เมื่อก่อนหน้านี้ ดินเลื่อนตัวลงไปข้างล่างอีกนิด เมื่อนิ้วชี้และนิ้วโป้ง พอควานหาเม็ดติ่งยอดอกของนิ่มเจอ ก็ทำการบิดคลึงไปตามอำเภอใจ จนเจ้าของต้องแอ่นอกขึ้นรับ
นิ่มกัดริมฝีปากของตัวเอง สายตามองเห็นดินที่บรรจงประทับรอยจูบลงที่เหนือไรขนอ่อน ๆ ที่ไล่เลียงจนเป็นแพรหนาขึ้น เมื่อมันเรียงตัวไล่กันไปที่ด้านล่าง ริมฝีปากของดินคลอเคลียไปกับไรแพรอ่อนนุ่มสีดำนั้น คางของชายหนุ่มที่มีไรหนวดเขียวครึ้ม แตะเข้าที่ส่วนปลายที่ชันขึ้นของนิ่ม ที่ตอนนี้ มันเองก็ชุ่มชื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำใสเช่นกัน ดินแนบแก้มข้างหนึ่งของเขาเข้ากับด้านในต้นขาของนิ่ม ก่อนจะหันไปกดประทับริมฝีปากลงบนนั้น ดินงับเบา ๆ หยอกล้อ เมื่อรู้สึกได้ถึงอาการสั่นไปทั้งตัวของอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ นิ่มทำให้ดินต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อความยาวกว่าครึ่งถูกกลืนหายเข้าไป เพื่อให้ดินรู้สึกว่า ปลายลิ้นของอีกฝ่ายนั้นมันช่างนุ่มนวลและชวนฝันเพียงใด มาคราวนี้ ดินเองตั้งใจจะทำให้นิ่มได้รู้สึกดีไม่ต่างกัน เมื่อดินใช้มือค่อย ๆ แยกขาทั้งสองข้างของนิ่มออกจากกัน เผยให้เห็นร่องที่หายเข้าไปด้านหลัง ก่อนที่นิ่มจะรู้ตัวอีกที ความอุ่นชื้นจากปลายลิ้นของดิน ก็ควานหาช่องทางจนเจอ และกำลังรุกล้ำจนปากทางเข้านั้น เปียกปอนอย่างตั้งใจ
นิ่มกัดฟันกรอด เบนหน้าลงบนหมอนใบใหญ่ เผลอตัวใช้มือกดหัวของดินให้แนบลงไปตรงจุดที่ชายหนุ่มกำลังมอบความรู้สึกที่เคยแต่ได้ยินคนเขาพูดกัน แต่เพิ่งเคยได้ลิ้มรสและรับรู้มันครั้งแรกในชีวิต ดินเมื่อได้เห็นนิ่มแสดงอาการแบบนั้น ก็ยิ่งรุกไล่ไม่ยั้ง ปลายลิ้นขยับขึ้นลงเร็ว แรง หนักขึ้น และเข้าออกลึก ถี่ ดุดัน มากขึ้นและมากขึ้น สายตาสังเกตไปที่ปลายความแข็งของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้หยาดน้ำใสไหลลงมาเป็นสาย
“สงสัยพี่จะถามผิดคน” พี่กระถินเจ้าของรีสอร์ตผู้ใจดีพูดขึ้น ก่อนที่นิ่มจะมองตามสายตาของพี่สาวผู้อารีไป ก็เห็นว่าดินกำลังเดินมาจากทางห้องพัก “กาแฟมั้ยดิน เข้ม ๆ” พี่กระถินตะโกนถามเมื่อดินใกล้เดินมาถึง ดินพยักหน้ายิ้มตอบรับไป “ดูเหมือนจะใช้พลังงานไปเยอะ เติมของหน่อยแล้วกัน” พี่กระถินพูดเสร็จ ก็เดินไปจัดเครื่องดื่มยามเช้าให้กับดิน นิ่มนั้นรีบหันหน้ากลับ มาทำเป็นสนใจกาแฟตรงหน้าของตัวเอง
“ตื่นแล้ว ทำไมไม่เห็นปลุกผม” ดินที่นั่งลงข้าง ๆ กับนิ่ม ถามอีกฝ่ายเพราะตอนที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา พอมองไปข้าง ๆ แล้วนิ่มไม่อยู่ตรงนั้น พี่กระถินชงกาแฟไป ก็ไม่ทำให้ตัวเองมีพิรุธ แต่แอบฟังการสนทนากันของน้องทั้งสองคนอย่างตั้งใจ “ว่าไง ผมถามเนี่ย ว่าทำไมไม่ปลุกผมด้วย” ดินยื่นหน้าเข้าใกล้ นิ่มมองเห็นอีกฝ่ายทำแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็ฉายกลับมาให้นิ่มได้เห็นทันที
“เอ่อ พี่กระถิน คือ นิ่มว่า นิ่มไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะต้องเช็คเอ้าท์แล้ว เกรงใจพี่แม่บ้าน ต้องมารอทำความสะอาดห้อง” นิ่มไม่ตอบดิน แต่บอกกับพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตไปแบบนั้น “เอาอย่างงั้นหรือ” พี่กระถินยิ้มเอ็นดูกับท่าทางที่เก็บความลับไม่ได้เลยของนิ่ม แต่ก็บอกให้นิ่มไปอาบน้ำได้ ถ้าต้องการแบบนั้น แม้ว่าพี่แม่บ้านจะบอกแล้วว่า ไม่ได้รีบร้อนอะไรที่จะทำความสะอาดห้อง
“พี่ถามนิ่มก็รู้ว่า ถามผิดคน แต่เด็กมันไม่เคยต้องมือใคร มันก็โป๊ะล่ะนะ” พี่นิ่มถือกาแฟมาให้ดิน ที่กล่าวขอบคุณพี่สาวผู้ใจดีไป “แต่ผมไม่คิส แอนด์ เทล ย่ะ รู้หรอก” พี่กระถินพูดดักคอดินที่กำลังจะอ้าปากพูดตอบพี่สาวกลับไป “แต่จากรอยยิ้มนี้” พี่กระถินมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของดิน ที่ชายหนุ่มเองก็ปกปิดได้ไม่เก่งไปกว่านิ่มเท่าไหร่นัก “มันต้องมีเรื่องราวอะไรดี ๆ เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ใช่มั้ย” ดินไม่ได้ตอบพี่กระถินไป ได้แต่ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบรับความหอมกรุ่นและรสชาติที่เข้มข้นนั้น
นิ่มเดินกลับเข้ามาในห้องพัก มองไปที่เตียงนอนที่ผ้าปูที่นอนยับย่น ส่วนห่มก็ยังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย ขวดพลาสติกที่ด้านนอกขวดมีฉลากสีสดใสพันรอบอยู่ บ่งบอกว่าเนื้อเจลที่บรรจุอยู่ด้านในนั้น ช่วยให้ความหล่อลื่น วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง ส่วนที่พื้นห้องนั้น ห่อสีดำรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กที่ถูกฉีกออก ให้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในได้ถูกใช้ไปแล้ว มันตกอยู่ตรงนั้น
นิ่มรีบเดินไปที่เตียงแบบพยายามไม่มองไปยังทุกอย่างที่ดูผิดระเบียบเหล่านั้น ก่อนจะเอาขวดพลาสติกบนโต๊ะหัวเตียง เปิดลิ้นชักแล้วใส่มันกลับคืนไปที่เดิมที่เห็นดินหยิบมันออกมา แล้วจึงรีบก้มลงหยิบห่อสีดำรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ดินก็เป็นคนฉีกมันออกเพื่อใช้เช่นกัน จากกิจกรรมที่ทั้งสองคนทำร่วมกันเมื่อคืน นิ่มใช้กระดาษทิชชูพันรอบห่อนั้น แล้วหย่อนมันลงไปในถังขยะใบเล็กที่มุมห้อง
ก่อนที่สายตาของนิ่มจะมองไปเห็นอะไรบางอย่าง จนต้องเอากระดาษชำระมาอีกจำนวนหนึ่ง วางพวกมันลงไปปิดถุงที่ทำมาจาก ที่ถูกดึงรูดออกจากสุดความยาว ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ก้นถังขยะก่อนแล้ว เพื่อปกปิดมันจากสายตาของพี่แม่บ้าน ที่จะเข้ามาทำความสะอาดห้องหลังจากนี้ นิ่มรีบคว้าผ้าเช็ดตัว แล้วเดินอย่างเร็ว ตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนที่ภาพต่าง ๆ จะพากันผุดขึ้นมา ให้นิ่มนึกภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ได้เพิ่มเติมอีกว่า
ความเย็นผสมกับความชุ่มชื้น นิ่มรับรู้ได้จากปลายนิ้วของดิน ที่ป้ายทับเพื่อทาอะไรบางอย่างที่ด้านล่างของนิ่ม ดินจ้องตากับนิ่มเมื่อเขาขยับนิ้วที่ลื่นเจลนั้นเข้าไปด้านในความแคบคับนั้น นิ่มโหย่งตัวขึ้น เมื่อความแปลกปลอมจากปลายนิ้วหนึ่งข้อของดิน แทรกผ่านเข้าไปด้านใน ดินหยุดนิ่งและรอ เมื่อเห็นแววความกังวลก่อตัวอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
“หายใจลึก ๆ” ดินกระซิบเบา ๆ นิ่มส่ายหน้าเร็ว เพื่อเป็นการบอกกับชายหนุ่มว่าให้รอก่อน เพราะตัวเองไม่สามารถที่จะไปต่อได้ ดินพยักหน้าเข้าใจ ดึงนิ้วออกจากที่ตรงนั้น ที่เขารับรู้ได้ว่า นิ่มที่ไม่เคยผ่านมือผู้ชายคนไหนมา คงไม่สามารถรับได้ในทันทีทันใด ดินก้มลงจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากของนิ่ม และเมื่อเห็นอีกฝ่ายจูบตอบกลับมา ดินก็เริ่มแทรกปลายลิ้นเข้าไป ก่อนที่ทั้งสองคนจะเริ่มจูบกันอย่างดื่มด่ำ
ดินหยิบเอาห่อสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำนั้นมาฉีกออก ก่อนจะหยิบเอาสิ่งที่อยู่ด้านในมาวางลงที่ส่วนปลายความยาว แล้วรูดลงไปจนสุด นิ่มรับรู้ได้ถึงขาของตัวเองที่ถูกดันให้ลอยขึ้น เมื่อหมอนหนุนใบหนึ่งถูกสอดเข้าด้านใต้ของบั้นท้ายของนิ่ม ให้ทุกอย่างเด่นขึ้น เพื่อให้ดินแทรกตัวเข้าหาช่องทางของนิ่มได้สะดวกขึ้น
นิ่มสูดลมหายใจเข้าจนลึก เมื่อรู้สึกถึงความเย็นลื่นของลักษณะที่บานออกด้านข้าง ที่มันเกินร่องรับของเขาไปมาก มันถูกเลื่อนขึ้นเลื่อนลง เหมือนเป็นการเตือนให้เจ้าของร่องแคบนี้ให้รับรู้เอาไว้ว่า อีกไม่กี่วินาทีนี้ มันจะต้องรับการรุกรานเข้าไปเต็มทั้งความยาวและความใหญ่ นิ่มกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างลืมตัว ความกลัวกับความต้องการกำลังสวนทางกันอย่างแปลกประหลาด
“ถ้าไม่ใส่ล่ะ” เสียงดินถามนิ่ม คนถูกถามจ้องไปในดวงตาของอีกฝ่าย “ยังยอมให้ทำอยู่มั้ย” เสียงดึงเบา ๆ ดังขึ้น เมื่อมันหลุดพ้นปลายความแข็งขันนั้นออกไป ตอนนี้ความนุ่มหยุ่นที่ปากทางรับสัมผัสได้กับเนื้อที่แนบเนื้อ เมื่อส่วนปลายมาประจำการที่ปากทางเข้า มือของนิ่มถูกดินดึงให้ไปจับความยางของท่อนด้านล่าง “ถ้าได้” เสียงดินกระซิบบอกกับนิ่ม “นำทางให้ที” ความหมายของดิน เพื่อให้นิ่มเป็นคนยินยอมก่อน
“ถ้าทำแบบนั้น” นิ่มพูดขึ้น “ทุกอย่างจะไม่มีทางหวนกลับ” ดินต่อท้ายประโยคนั้นให้ “ความสัมพันธ์ของเราทั้งสองคนจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” นิ่มฟังที่ดินพูดออกมา คำพูดของเพื่อนที่กล่าวเตือนมาตอนที่กดรับสายมือถือดังเข้ามาในโสตประสาทของนิ่ม “คุณจะรับความแตกต่างที่ผมมีได้มั้ย” ว่านิ่มจะไว้ใจดินได้มากน้อยแค่ไหนกัน มือที่กุมเอาความแข็งขืนนั้นเอาไว้ ถูกกดลง ทำให้นิ่มรู้สึกถึงส่วนปลายของดินกำลังค่อย ๆ ดันตัวแทรกเข้ามาด้านใน ความอุ่นจนร้อนกำลังปะทุขึ้นทั้งในความรู้สึกของดินและนิ่ม
*****************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Side to Side - Ariana Grande feat. Nikki Minaj
https://www.youtube.com/watch?v=h0JrKnBE3nI
I've been here all night
ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน
I've been here all day
แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน
And boy, got me walkin' side to side
พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง
(Let them hoes know)
บอกพวกนางนางที่เหลือให้รับรู้กันด้วย
I'm talkin' to ya
ใช่ ฉันหมายถึงคุณนั่นแหละ
See you standing over there with your body
เห็นยืนมาดเข้มซิกแพ็คแน่นอยู่ตรงนั้น
Feeling like I wanna rock with your body
ทำให้รู้สึกว่าต้องจัดการอะไรสักอย่างกับกล้ามนั่น
And we don't gotta think 'bout nothin' ('bout nothin')
โดยที่เราสองคนไม่ต้องคิดอะไรมาก อย่าสนใจอะไรมากมาย
I'm comin' at ya
ฉันก็จะพุ่งตัวใส่แล้วนะ
'Cause I know you got a bad reputation
เพราะฉันคาดว่าคุณเองก็คงจะไม่เบาเช่นกัน
Doesn't matter, 'cause you give me temptation
แต่ช่างมันเถอะ เพราะคุณมันเร้าใจเกินต้าน
And we don't gotta think 'bout nothin' ('bout nothin')
ซึ่งเราจะไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ซักไซ้อะไรกันอีก
These friends keep talkin' way too much
นังเพื่อนพวกนี้ช่างติ ช่างเตือน ช่างห้าม
Say I should give you up
บอกให้ฉันอย่ายอมอะไรอะไรให้คุณ
Can't hear them no, 'cause I
ไม่อยากจะฟังพวกมันหรอกนะ เพราะว่า
I've been here all night
ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน
I've been here all day
แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน
And boy, got me walkin' side to side
พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง
I've been here all night
ตั้งแต่ค่ำมายันสว่าง
I've been here all day
ตั้งแต่วันยันมาค่ำคืน
And boy, got me walkin' side to side (side to side)
ผู้ชายคนนี้ทำให้ฟ้าใสใสเปลี่ยนสี
Been tryna hide it
พยายามปกปิดและห้ามใจ
Baby what's it gonna hurt if they don't know?
ว่ามั้ย ถ้าไม่มีใครรู้ ก็ไม่เห็นจะทำให้ใครเดือดร้อน
Makin' everybody think that we solo
ก็แกล้งทำเป็นเราต่างคนต่างอยู่นอนเตียงคู่
Just as long as you know you got me (you got me)
รู้แค่ว่าคุณนั้นได้มีฉัน ได้กันและกัน
And boy I got ya
และฉันก็ได้คุณเช่นกัน
Guess tonight I'm making deals with the devil
เดาว่าคืนนี้ฉันได้ตกลงทำสัญญากับปิศาจ
And I know it's gonna get me in trouble
และรู้แก่ใจดีว่ามันจะก่อปัญหาตามมาให้ฉันทีหลัง
Just as long as you know you got me
แต่ไม่เป็นไรตราบเท่าที่คุณยังมีกันและกัน
These friends keep talkin' way too much
นังเพื่อนพวกนี้ช่างติ ช่างเตือน ช่างห้าม
Say I should give you up
บอกให้ฉันอย่ายอมอะไรอะไรให้คุณ
Can't hear them no, 'cause I
ไม่อยากจะฟังพวกมันหรอกนะ เพราะว่า
I've been here all night
ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน
I've been here all day
แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน
And boy, got me walkin' side to side
พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง
I've been here all night
ตั้งแต่ค่ำมายันสว่าง
I've been here all day
ตั้งแต่วันยันมาค่ำคืน
And boy, got me walkin' side to side (side to side)
ผู้ชายคนนี้ทำให้ฟ้าใสใสเปลี่ยนสี
This the new style with the fresh type of flow
นี่มันเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่กว่าที่เคยมา
Wrist icicle, ride dick bicycle
อวบเต่งเท่าไอติมอมแล้วดูด ขึ้นแท่นจักรยานที่นั่งแล้วเจ็บจนต้องสูด
Come through yo, get you this type of blow
ต่อให้เคยผ่านอะไรอะไรมา ก็เป็นงานยากในเรื่องปากเป่า
If you wanna menage I got a tricycle
แม้จะร่วมมือและแท็คทีมกันก็ตาม
All these bitches, flows is my mini-me
เพื่อนเอยเธอยังแค่ตัวเล็กตัวน้อยไม่แกร่งเท่ากันฉัน
Body smoking, so they call me young Nicki chimney
ถ้าเป็นฉันที่หุ่นเร่าร้อน พวกเขาเลยเรียกฉันว่ามาขึ้นครู
Rappers in they feelings 'cause they feelin' me
พวกพวกที่เคยเห็นกันอยู่ ก็จะรู้ได้ว่าฉันชั้นเซียน
Uh, I-I give zero fucks and I got zero chill in me
ว่าตัวฉันเผชิญศึกได้ไม่หวั่น ไม่มีอะไรเอาฉันลงได้นอกจากลิฟต์
Kissing me, copped the blue box that say Tiffany
ส่งจุ๊บมาให้ฉันที เพราะนี่ทำจนได้เครื่องเพชรใส่กล่องมาครอบครอง
Curry with the shot, just tell 'em to call me Stephanie
ผงเคอร์รี่เขาก็ว่า ฉายาสเตฟานี่ฟาดเรียบ เขาก็เรียก
Gun pop and I make my gum pop
ชื่อเสียงดังสนั่น เคี้ยวหยับหยับเป่าหมากฝรั่งดังป๊อบ
I'm the queen of rap, young Ariana run pop
ฉันมันขึ้นแท่นตัวแม่ตัวมัม เธอยังแค่ตัวลูกยังซิง
These friends keep talkin' way too much
นังเพื่อนพวกนี้ช่างติ ช่างเตือน ช่างห้าม
Say I should give you up
บอกให้ฉันอย่ายอมอะไรอะไรให้คุณ
Can't hear them no, 'cause I
ไม่อยากจะฟังพวกมันหรอกนะ เพราะว่า
I've been here all night
ก็อยู่ด้วยกันมาทั้งคืน
I've been here all day
แถมช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกทั้งวัน
And boy, got me walkin' side to side
พ่อหนุ่มนี่ทำซะฉันเดินไม่ตรงทาง
I've been here all night
ตั้งแต่ค่ำมายันสว่าง
I've been here all day
ตั้งแต่วันยันมาค่ำคืน
And boy, got me walkin' side to side (side to side)
ผู้ชายคนนี้ทำให้ฟ้าใสใสเปลี่ยนสี
This the new style with the fresh type of flow
นี่มันเรื่องใหม่และเรื่องใหญ่กว่าที่เคยมา
Wrist icicle, ride dick bicycle
อวบเต่งเท่าไอติมอมแล้วดูด ขึ้นแท่นจักรยานที่นั่งแล้วเจ็บจนต้องสูด
Come through yo, get you this type of blow
ต่อให้เคยผ่านอะไรอะไรมา ก็เป็นงานยากในเรื่องปากเป่า
If you wanna menage I got a tricycle
แม้จะร่วมมือและแท็คทีมกันก็ตาม
-
“มานี่สิ” นิ่มร้องเรียกไข่นุ้ยที่ยืนแอบดูอยู่ไกล ๆ ไม่ยอมเดินเข้ามาหา “จะกลับวันนี้แล้วนะ ไม่มาส่งหน่อยหรือไง” ไข่นุ้ยยิ้มออกมาแบบเขิน ๆ ก่อนจะทำหันรีหันขวาง แล้วจังหันหลังวิ่งหลุน ๆ กลับไปทางบ้านของตัวเอง ทำให้นิ่มหันมาหัวเราะกับดิน ที่กำลังยืนรอพี่กระถินอยู่ ดินพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นิ่มนั้นตามเด็กชายตัวน้อยไป “ตัวแสบรอด้วย” นิ่มเลยก้าวเท้าออกเดินตามหลังไข่นุ้ยไป
“อย่าไปนานนักนะ เดี๋ยวไม่ทันเที่ยวรถไฟ” ดินร้องบอกตามหลังนิ่มไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายขานรับตอบกลับมาไกล ๆ ก่อนที่ดินจะหันกลับมาอีกทางหนึ่ง แล้วเห็นพี่กระถิน พี่สาวผู้ใจดี ผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ตแห่งนี้ พร้อมกับพี่ชู เจ้าของร้านกาแฟที่อยู่ค้างคืนกับพี่กระถินตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งสองคนยืนมองดินแบบเงียบ ๆ ดินมองไปที่มือของพี่กระถิน ที่ถือบัตรเครดิตใบสีดำใบนั้นอยู่ในมือ ในใจก็รู้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“นิ่มรู้หรือเปล่า ว่าเราคือใคร ดิน” พี่กระถินถามดินออกมาในที่สุด “คนที่เอาบัตรนี้มาให้พี่ถิน เขายังอยู่มั้ยครับ” ดินถามกลับพี่สาวผู้แสนใจดีกลับไป แทนการตอบคำถาม “ตอบคำถามพี่มาก่อนดิน” ดินสบตากับพี่กระถิน ก่อนจะเลยไปมองทางพี่ชู ที่ดูจะนิ่งเงียบ ไม่เหมือนกับพี่ชูผู้เล่าเรื่องนั้นอย่างสนุกสนาน แบบเมื่อวันก่อนที่ได้เจอกัน
“แล้วดินคิดจะบอกนิ่มมั้ย” พี่กระถินถามอีกครั้ง ในใจรู้สึกเป็นห่วงนิ่มมากกว่าใครในตอนนี้ “ว่าดินเป็นอะไร” พี่ชูเป็นฝ่ายพูดถามขึ้นแทน ก่อนที่ดินจะเห็นว่า พี่ชูใช้มือจับข้อศอกของพี่กระถินเอาไว้ ตอนที่พี่กระถินกำลังจะยื่นบัตรคืนให้กับดิน ชายหนุ่มรู้สึกหนึบ ๆ ในใจ เมื่อเห็นว่าหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อคนรู้ว่าเขาเป็นอะไร “ไม่ต้องรังเกียจผมขนาดนั้นก็ได้ครับ” ดินพูดออกมาจากความรู้สึกน้อยใจลึก ๆ
“ผมไม่ได้น่ากลัวอะไรแบบที่พี่ทั้งสองคนอาจจะรับรู้มา” สุดท้ายแล้ว ดินก็รับเอาบัตรใบนั้นกลับมาถือเอาไว้ “ผมเข้าใจนะครับ ว่าพี่ชูเป็นห่วงพี่กระถิน” ลักษณะท่าทางและสายตาของพี่ชูที่มองมาที่ดิน ผิดไปจากที่เป็นแต่แรกโดยชัดเจน “กระถินคือคนคนเดียวในชีวิตที่พี่เหลืออยู่ และสำคัญมากที่สุด” ดินพยักหน้าแบบเข้าใจ เมื่อได้ยินพี่ชูพูดบอกมาแบบนั้น
“ตั้งแต่ผมมีนิ่มอยู่ด้วย” ดินพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจากใจที่สุด เท่าที่เขาเคยพูดมันออกไป “ผมก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็นอีกเลยนะครับ” ดินบอกพี่ทั้งสองคนออกไปตามความจริง “เป็นครั้งแรกเลยนะครับ ที่ผมเชื่อแล้วว่าวันหนึ่ง จะมีใครสักคนมาเปลี่ยนสิ่งที่เราเป็นได้จริง ๆ” พี่กระถินมองเห็นความจริงใจในแววตาของดิน “ผมหมายความตามที่พูดมาจริง ๆ นะครับ” ดินไม่อยากให้พี่ทั้งสอง ทั้งพี่กระถินและพี่ชูที่มีน้ำใจหยิบยื่นให้เขามา เข้าใจหรือรู้สึกกับเขาเป็นอื่นไป
“คุยอะไรกันอยู่เนี่ย ทำไมดูเครียดกันจัง” นิ่มที่วิ่งหอบแฮกกลับมาจากบ้านของไข่นุ้ย ที่เขินวิ่งกลับไปหาแม่ที่บอกให้โบกมือร่ำลานิ่มที่จะกลับกรุงเทพฯ ในวันนี้แล้ว แต่เด็กน้อยก็วิ่งฉิวขึ้นไปบนบ้าน โบกมือเร็ว ๆ ให้นิ่ม ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในตัวบ้าน นิ่มเลยยกมือไหว้แม่ของไข่นุ้ย แล้วเดินกลับมาที่รีสอร์ต มองเห็นทั้งสามคน ดิน พี่กระถิน และพี่ชู ดูสนทนาพูดคุยกันแบบหน้าตาเคร่งเครียด
“โอ๋ ๆ พี่ถิน ไว้เดี๋ยวนิ่มกลับมาใหม่นะ คราวหน้าจะมาถล่มวงกับข้าวพี่ให้สุด ๆ ไปเลย ใช่มั้ย” นิ่มเข้าไปกอดเอวพี่สาวผู้แสนใจดี เจ้าจองรีสอร์ตนี้เอาไว้ ก่อนจะหันมาหาดินเพื่อถามอีกฝ่าย ดินยิ้มพลางพยักหน้าให้ “เดินทางกลับโดยปลอดภัยนะนิ่ม แล้วอย่าลืมโทรมาคุยเล่นกันบ้างล่ะ” พี่กระถินกอดนิ่มกลับ นิ่มรับคำพี่กระถินอย่างว่าง่าย “คราวหน้าจะเก็บสตางค์มาจ่ายค่าห้องนะพี่ถิน” นิ่มทำหน้าอาย ๆ ที่ต้องบอกกับพี่กระถินไปแบบนั้น
“ไม่เป็นไร คราวนี้ดินเขาจัดการให้เรียบร้อยแล้ว” พี่กระถินพูดพลางสบตากับดิน “เอาเถอะ จะไปขึ้นรถไฟกลับกันใช่มั้ย ถ้างั้นก็รีบไปกันเสียก่อน เดี๋ยวจะไม่ทันขบวน” พี่ถินบอกกับทั้งสองคน ก่อนที่พี่ชูจะบอกว่า เดี๋ยวจะเป็นคนอาสาขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟในเมืองแทนพี่กระถินให้เอง เพราะตั้งใจจะกลับไปที่ร้านกาแฟพอดี นิ่มและดินไหว้ลาพี่สาวเจ้าของรีสอร์ตผู้ใจดี ก่อนจะโบกมือลาเมื่อขึ้นไปนั่งอยู่ที่หลังกระบะรถของพี่ชู
“นายน้อย” ทันทีที่พี่ชูขับรถกระบะจากไป เสียงรียกนั้นทำให้ทั้งดินและนิ่มหันหน้าไปมองในทันที นิ่มจำได้ว่า ผู้ชายคนที่เรียกดินว่านายน้อยนั้น คือคนคนเดียวกันกับที่ขับรถมาหาดินในเช้ามืดวันนั้น ที่ดินกับนิ่มเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ดินมองตามที่คนขับรถผายมือไป ตรงนั้นมีรถลิมูซีนคันยาว สีดำสนิทจอดอยู่ ก่อนจะเห็นกระจกทางด้านหลังถูกลดลง มองเห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ที่ใส่ชุดสีดำทั้งตัว รวมถึงแว่นตาดำนั้นด้วยนั่งหน้านิ่งไม่บอกอารมณ์อยู่ที่เบาะด้านหลัง คนขับรถพูดสั้น ๆ กับดินว่า นายหญิงนั้นรอพบนายน้อยอยู่
“นิ่ม” ดินหันไปทางอีกฝ่าย ก่อนจะยื่นเงินให้ “ไปซื้อตั๋วรถไฟ แล้วรอผมที่ชานชาลาด้านใน” ตอนแรกนั้นนิ่มดูลังเล เพราะไม่อยากจะปล่อยให้ดินต้องอยู่คนเดียว “เชื่อใจผมนะ เดี๋ยวผมตามเข้าไป ผมขอเวลาเดี๋ยวเดียว” ดินบีบมือของนิ่มจนแน่น ก่อนจะถอดเสื้อคลุมออก แล้วให้นิ่มใส่เอาไว้แทน “สัญญา” ดินพูดย้ำกับนิ่ม ซึ่งนิ่มนั้นพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋ว นิ่มหันไปมองทางดินอีกครั้ง ก็เห็นดินเข้าไปนั่งในรถคันนั้นแล้วปิดประตูลง
“มันไม่ใช่เรื่องยากสินะครับ ที่แม่จะตามผมจนเจอ” ดินที่นั่งอยู่ข้างกับแม่ของตัวเอง มองตรงไปข้างหน้า ถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ที่แม่ปล่อยให้แกทำอะไรตามใจ แกเล่นสนุกพอหรือยัง ดีน” เสียงแม่ของเขาถามกลับมา “แกไม่ชอบสินะ ชื่อที่แม่เรียกแกเนี่ย ชอบนักใช่มั้ย ดิน ชื่อที่พ่อแกตั้งให้” แม่ของดินไม่ต้องรอให้ลูกชายของเธอแสดงท่าทีไม่ชอบใจให้มากไปกว่านั้น กล่าวขึ้นในทันที
“ผมไม่ได้กำลังเล่นสนุก และใช่ครับแม่ ผมชอบชื่อดิน มากกว่าที่แม่เรียกผมว่าดีน” ผู้เป็นแม่หันมามองทางลูกชายของเธอ ก่อนจะถอดแว่นตาดำนั้นออก เผยให้เห็นถึงดวงตาสีฟ้าสว่างของเธอ ดีนหลบสายตาของแม่ เสไปมองทางอื่น “พ่อแกเลือกที่จะขี้ขลาดตาขาว ตัดช่องไปแต่ของตัวเอง ทอดทิ้งแก ทิ้งแม่ ทิ้งทุกอย่างที่ร่วมกันสร้างมาไป เพื่อไปตายอย่างเดียวดายและไร้ประโยชน์" เสียงของแม่นั้น ดินรู้สึกได้ว่ามันยังมีความโกรธและเย้ยหยันผู้เป็นสามีสุดที่รัก ที่จากไปแล้วเจือปนหลงเหลืออยู่ไม่น้อย
“ผมว่า พ่อกล้าหาญมากต่างหาก ที่เลือกจะพูดและทำในสิ่งที่คิด กล้าที่จะปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ใช่” ดินตอบแม่ของเขาไปในฐานะของลูกชายของพ่อ ที่ไม่สามารถมาพูดแก้ต่างให้ตัวเองได้แล้วในตอนนี้ “ซึ่งผมคิดว่าที่พ่อพูดไว้ มันเป็นความจริง” แม่ของดีนมองหน้าลูกชายของเธออย่างไม่เชื่อโดยสนิทใจนัก “แกหมายความว่า” ดินพยักหน้าให้กับแม่ของเขา ก่อนจะพูดออกมาว่า
“สามสี่วันมานี่ ผมไม่ได้เป็นอย่างที่เคยมา เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ” สายตาของแม่ดูไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ดินเพิ่งบอกไปนัก “สิ่งที่พ่อทำนายเอาไว้ ว่าวันหนึ่ง จะมีคนมาเปลี่ยนแปลงตัวผมได้ ในแบบที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ” ดินบอกกับแม่ของเขา ด้วยแววตาที่ดูเป็นประกายขึ้นมา “แต่มันเกิดขึ้นแล้วครับแม่ ตรงตามที่พ่อเคยบอกเอาไว้ทุกอย่าง และผมอยากให้แม่เชื่อผม ว่ามันเป็นไปได้ และได้เป็นไปแล้ว” นี่คือสิ่งที่ดินต้องการที่จะยืนยันกับแม่ของเขา “คำถามที่แม่ควรจะถามแกและควรจะรู้มากกว่าก็คือ ดีน แกกับเขานั้น” สิ่งที่แม่ถามเขามา มันคือเรื่องที่เกิดเมื่อคืนนี้
“โอ๊ะ ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” นิ่มรีบกล่าวขออภัยกับหญิงสาวหน้าตาสวยแถมแต่งตัวดี แบบมองแล้วฐานะร่ำรวยตั้งแต่หัวจรดเท้า จนดูแล้วแปลกประหลาดใจ ว่า ทำไม เพราะอะไร หรือว่ายังไง ถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้ “พอมามองดูใกล้ ๆ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมถึงเป็นเธอไปได้” นิ่มขมวดคิ้วในทันที เมื่อได้ยินหญิงสาวแสนสวยคนนั้นพูดขึ้น “อะไรนะ” นิ่มสงสัยไปกับสิ่งที่ได้ยิน “ว่ายังไงนะ” เพราะนิ่มมั่นใจว่า ตัวเองไม่เคยเจอกันหญิงสาวที่หอมกรุ่นไปด้วยน้ำหอมราคาแพงระยับคนนี้มาก่อน
“เดี๋ยว ทำอะไรน่ะ” นิ่มขยับตัวออกห่าง เมื่ออยู่ ๆ หญิงสาวคนดังกล่าว ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับต้นคอของนิ่ม “มันเป็นกลิ่นแบบนี้เองหรือ” นิ่มรู้สึกแปลกใจกับท่าทางและคำพูดของผู้หญิงคนนี้ “ดีนอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้” สิ่งที่หญิงสาวแสนสวยคนนี้พูด แล้วเธอก็เดินผ่านนิ่มไป ยิ่งทำให้นิ่มรู้สึกงงมากขึ้นไปอีก “ฉันไม่ได้อยากเจอเธออีกหรอกนะ ต่อจากนี้” หญิงสาวคนนั้นพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นี้ นิ่มได้แต่คิดว่า ทำไมเขาถึงต้องมาเจอคนประหลาด ๆ อะไรแบบนี้ด้วย
นิ่มเดินมานั่งที่ม้าหินตรงชานชาลาสอง ที่รถไฟขบวนที่ซื้อตั๋วเอาไว้ จะมาจอดเทียบ เพื่อพากลับเข้ากรุงเทพมหานคร นิ่มก้มลงมองตั๋วโดยสารสองใบที่ถือเอาไว้ในมือ ก่อนจะหันหน้ามองไปตรงทางเข้าสถานี ที่ดินควรจะเดินตามเข้ามาในเร็วนี้ หน้าจอโทรทัศน์ที่แขวนเอาไว้ เพื่อบอกสถานะของรถไฟขบวนต่าง ๆ ที่จะวิ่งผ่านที่สถานีนี้ทั้งเที่ยวขึ้นและเที่ยวล่อง แสดงรายละเอียดของขบวนที่นิ่มจะโดยสารไปด้วย ว่าทันทีที่รถไฟขบวนดังกล่าวเทียบเข้าจอดที่ชานชาลาเรียบร้อยแล้ว มีเวลาเพียงสองนาทีเท่านั้น ก่อนที่รถไฟขบวนดังกล่าว จะต้องเคลื่อนตัวออกจากสถานีนี้ไป
เสียงระฆังที่แขวนอยู่ดังขึ้น ก่อนที่นิ่มจะได้ยินเสียงประกาศตามมาว่า เลขขบวนรถไฟที่บอกเอาไว้บนตั๋วกระดาษสีขาวสองใบนั้น กำลังจะมาถึงสถานีในอีกสองสามนาทีข้างหน้านี้ นิ่มมองไปที่ทางเข้าสถานี ก็ยังไม่เห็นดินเดินตามเข้ามา เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น ลมพัดมาปะทะใบหน้าของนิ่ม เมื่อขบวนรถไฟเข้าจอดเทียบที่ชานชาลาสองและหยุดนิ่ง ผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงสถานีนี้ ที่เป็นจุดหมายของพวกเขา ต่างพากันลงมาจากตัวขบวนรถ
“ซื้อตั๋วไปกับขบวนนี้หรือเปล่า รีบขึ้นรถไฟเลย รถจะออกแล้ว” เสียงเจ้าหน้าที่สถานีร้องบอกผู้โดยสาร นิ่มเองก็เดินตามคนอื่น ๆ ขึ้นไปบนรถไฟ พอหาที่นั่งได้ นิ่มก็ชะโงกออกไปทางหน้าต่าง ก่อนจะนั่งลงตามเดิม เมื่อไม่เห็นวี่แววของดิน นิ่มมองมือของตัวเองที่ถือตั๋วรถไฟหนึ่งในสองใบที่ซื้อเอาไว้ ลมเบา ๆ เริ่มพัดมา เมื่อเสียงระฆังเตือน สัญญาณรถไฟขบวนนี้กำลังจะออกจากสถานีดังขึ้นอีกครั้ง เสียงหวูดรถไฟก็ดังขึ้น และลมพัดมาเริ่มแรงขึ้นเมื่อรถไฟขบวนดังกล่าวออกตัวไปข้างหน้า ก่อนที่นิ่มจะปล่อยมือจากตั๋วรถไฟใบนั้น ให้ปลิวหลุดลอยไป
“เดี๋ยวก่อนครับ รอก่อน รอด้วย” ดินที่วิ่งอย่างกระหืดกระหอบเข้ามาในสถานี ร้องตะโกนเรียกรถไฟที่ออกตัวไปจากสถานีได้ระยะหนึ่งแล้ว ดินก้มลงหยิบตั๋วรถไฟที่เห็นตกอยู่ขึ้นมา เสียงเจ้าหน้าที่ประจำสถานี บอกให้ดินรอไปกับขบวนหน้าแทน เมื่อดินถามว่า ขบวนถัดไปที่จะเข้ากรุงเทพฯ จะมาเมื่อไหร่ คำตอบที่ได้ว่าอีกสองชั่วโมงจากนี้ ทำให้ดินรู้ว่า เขาจะรอแบบนั้นไม่ได้ “นายน้อยครับ กลับไปกับนายหญิงก่อนมั้ยครับ” คนขับรถที่ตามดินมาบอกกับนายของตนแบบนั้น
“ผมต้องไปเจอนิ่มก่อน” ดินบอกปฏิเสธคนขับรถไปในทันที ดินกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี “ไอ้ดิน” เจ้าของชื่อรีบหันขวับไปทางต้นเสียงพอดี ก่อนที่ดินจะยิ้มออกมาจนกว้าง เมื่อเห็นว่าพี่ชูพยักหน้าเรียกให้ดินรีบมาขึ้นรถ “พี่ชูขับรถตามรถไฟทันแน่นะ” ดินร้องถาม ทันทีที่พี่ชูเหยียบคันเร่งออกไปจากหน้าสถานีด้วยความรวดเร็ว “เอ็งก็คอยดูแล้วกัน” พี่ชูตอบกลับดินไป แต่พอขับตามมาจนถึงสถานีถัดไป รถไฟก็เคลื่อนตัวออกไปก่อนแล้ว
“พี่ชู พี่ไหวแน่นะ” ดินร้องถามแบบให้แน่ใจ ว่าพี่ชูจะพาเขาไปทัน ที่สถานีหน้าแน่ ๆ “ไม่เชื่อคนถิ่นอย่างช้า แล้วเอ็งจะไปเชื่อหมาที่ไหนวะ” แต่แล้วเมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานีถัดไป ก็เห็นแต่ความว่างเปล่า สอบถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่า รถไฟขบวนนั้นออกจากสถานีไปแล้ว ทำให้ทั้งสองคนรีบกลับขึ้นไปบนรถกระบะอีกครั้ง พี่ชูเหยียบคันเร่งออกรถจนล้อบดไปกับถนน ส่งเสียงคำรามลั่น
“อย่าเพิ่งหมดหวังสิวะ ไอ้ดิน” พี่ชูเลี้ยวรถเข้าโค้งได้อย่างน่าหวาดเสียว ดินเองตอนนี้ห่วงแต่ว่า จะไปตามรถไฟขบวนที่นิ่มนั่งไปไม่ทันเช่นกัน “แต่เอ็งต้องรู้อะไรเอาไว้อย่างนะ” เสียงพี่ชูร้องตะโกนบอก แข่งกับเสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะที่คำรามดังลั่น เมื่อพี่ชูกระทืบคันเร่งนั้นลงไป “อะไรพี่” ดินร้องถามกลับไป พร้อมกับรถกระบะที่ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ถ้าหลุดจากสถานีหน้านี้ไป” พี่ชูพูดเมื่อรถกระบะกำลังขับตีคู่ไปพร้อมกับรถไฟขบวนดังกล่าว “ตรงนี้มันเป็นทางตรงก็จริง” พี่ชูพูดก่อนบุ้ยปากให้ดูว่า ที่ด้านหน้ามันคือถนนที่ทางมันเลี้ยวไปทางซ้าย “ส่วนรถไฟมันจะเลี้ยวไปทางขวา” ฟังพี่ชูพูดจบ ขบวนรถไฟก็เบี่ยงตัวออกไปด้านขวาในทันที “สถานีหน้า ทางรถ ทางรถไฟ มันจะไปบรรจบกัน และถ้าเอ็งไปถึงสถานีไม่ทันก่อนรถไฟ” เสียงพี่ชูเองก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
“ก็จบเห่ เพราะแนวเขาด้านหน้ามันจะขวางเอาไว้ หลุดไปอีกทีก็ข้ามจังหวัดแล้ว ถนนมันตัดไปอีกทาง” พี่ชูอาศัยความชำนาญของถนนหนทางแถวนี้ ที่ว่าจะให้หลับตาขับได้ก็คงไม่ผิดนัก เลี้ยวเข้าไปจอดยังด้านหน้าของสถานีรถไฟในทันที “ไอ้ดิน” พี่ชูร้องตะโกนบอกกับดิน “ขอบคุณมากครับพี่ชู” ไม่ต้องบอกอะไรมากมาย ดินแทบจะเปิดประตูกระโดดลงจากรถไปในทันที ก่อนจะวิ่งเร็วจี๋ ก้าวพรวด ๆ ไม่กี่ก้าว ก็พาตัวเองไปอยู่บนรถไฟขบวนนั้นเรียบร้อยแล้ว โดยมีพี่ชูนั่งยิ้มอยู่ที่ด้านหลังพวงมาลัยรถกระบะตามไป
ดินเป่าปากผ่อนลมหายใจออกเพื่อไล่ความตื่นเต้นและอาการหอบจากการวิ่งมาขึ้นรถไฟ ชายหนุ่มขึ้นไปที่รถคันแรกของขบวน เนื่องจากตั๋วไม่ได้ระบุที่นั่ง ดินเลยจะใช้วิธี ที่จะเดินไปทีละตู้รถไฟ เพื่อดูว่านิ่มนั่งอยู่ที่ตรงไหน โดยเริ่มจากตู้แรกนี้เลย เขาเริ่มเดินโดยสายตามองหาอีกฝ่าย จากตู้แรก ค่อย ๆ ไล่ไปทีละตู้ มองกวาดตาหา แต่ก็ยังไม่เห็น ดินโยกหัวไปมา บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร ก่อนจะเริ่มเดินหาที่ตู้ถัดไป ทีละอัน ๆ จนจำนวนตู้งวดเข้าทุกที ดินเดินมาหยุดอยู่ที่ท้ายขบวนรถไฟจริง ๆ ที่ตู้สุดท้าย ก่อนจะต้องระงับโทสะของตัวเองไม่ให้แสดงออกมา เมื่อแน่ใจแล้วว่า นิ่มไม่ได้อยู่บนรถไฟขบวนนี้
“เขารู้มั้ยว่าแกเป็นใคร เจ้าเด็กคนนั้นน่ะ” เสียงแม่ของเขาดังเข้าในหัว “อย่าบอกนะ ว่าแกยังไม่ได้บอกหรือพูดอะไรให้เขารู้” แม่ของดินหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดูลูกชายของตัวเอง “มันไม่แฟร์นะ ถ้าเขาจะไม่รู้เรื่องนี้” ดินมองสบตากับแม่ของเขา “ผมจะไปบอกเขาครับ” ดินพูดออกมา “ผมจะไปบอกกับนิ่มตอนนี้เลย พูดบอกกับนิ่มทุกอย่าง ทุกเรื่อง” ดินหลับตาลงจนแน่น เมื่อนิ่มไม่ได้อยู่ตรงนั้นให้ดินได้เล่าทุกอย่างให้ฟัง
*************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Houdini - Dua Lipa
https://www.youtube.com/watch?v=cCfPDrRQp9k
Okay,
เอางี้
I come and I go
ฉันมาได้ แล้วเดี๋ยวฉันก็จากไป
Tell me all the ways you need me
บอกมาทีสิ ว่าเธอต้องการตัวฉัน
I'm not here for long
แต่ฉันจะอยู่ตรงนี้แค่ไม่นานหรอกนะ
Catch me or I go Houdini
รั้งฉันเอาไว้ให้ได้ พ่อคนเล่นกล
I come and I go
ฉันมาแต่เดี๋ยวก็ไป
Prove you got the right to please me
พิสูจน์สิ ว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะทำให้ฉันพอใจ
Everybody knows
เพราะใครใครก็รู้กัน
Catch me or I go Houdini
ถ้าไม่ยื้อกันไว้ ฉันก็จะจากไป พ่อคนแสนกล
Time is passin' like a solar eclipse
เวลามันผ่านไปยิ่งกว่าไม่กี่นาทีของสุริยคราส
See you watchin' and you blow me a kiss
เห็นแล้วล่ะว่ามองจ้องกันมาและส่งจูบมาให้แบบนั้น
It's your moment, baby, don't let it slip
ถือเป็นช่วงเวลาทองของเลยนะ อย่าปล่อยให้มันหลุดมือไป
Come in closer, are you readin' my lips?
ตรงเข้ามาใกล้ใกล้ เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย
They say I come and I go
ใครเขาก็พูดกัน ฉันมาแต่เดี๋ยวก็ไป
Tell me all the ways you need me
บอกกับฉันมาทุกอย่าง ว่าเธอต้องการกัน
I'm not here for long
เพราะฉันไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก
Catch me or I go Houdini
คว้าตัวฉันเอาไว้สิ พ่อหนุ่มเล่นกล
I come and I go
ฉันมาแต่เดี๋ยวก็ไป
Prove you got the right to please me
พิสูจน์สิ ว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะทำให้ฉันพอใจ
Everybody knows
เพราะใครใครก็รู้กัน
Catch me or I go Houdini
ถ้าไม่ยื้อกันไว้ ฉันก็จะจากไป พ่อหนุ่มแสนกล
If you're good enough, you'll find a way
ถ้าเธอมีดีมากพอ ก็จะค้นพบหนทางได้เอง
Maybe you could cause a girl to change (her ways)
ว่าบางทีเธออาจทำให้ฉันเปลี่ยนใจที่มี
Do you think about it night and day?
ว่าแต่เธอคิดถึงมันตลอดเวลาวันยังค่ำมั้ยล่ะ
Maybe you could be the one to make me stay
บางทีเธออาจจะทำให้คนอย่างฉันไม่อยากจากไป
Everything you say is soundin' so sweet
ทุกทุกคำที่เธอพูดออกมา มันฟังดูหวานซึ้งจริงจริงด้วย
But do you practice everything that you preach?
แต่เธอเป็นคนพูดแล้วทำอย่างที่พูดหรือเปล่าล่ะ
I need something that'll make me believe
ฉันต้องการอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันเชื่อได้ว่า
If you got it, baby, give it to me
เธอสามารถทำมันได้จริง แสดงให้ฉันเห็นหน่อย
They say I come and I go
ใครเขาก็พูดกัน ฉันมาแต่เดี๋ยวก็ไป
Tell me all the ways you need me
บอกกับฉันมาทุกอย่าง ว่าเธอต้องการกัน
I'm not here for long
เพราะฉันไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก
Catch me or I go Houdini
คว้าตัวฉันเอาไว้สิ พ่อหนุ่มเล่นกล
I come and I go (I come and I go)
ฉันมาแล้วก็คงต้องไป อาจจะไม่ได้เจอกันอีก
Prove you got the right to please me
พิสูจน์ทีว่าเธอทำให้ฉันสุขใจได้
Everybody knows (I'm not here for long)
ใครใครก็คงมองออก ว่าฉันมาแล้วเดี๋ยวก็ไป
Catch me or I go Houdini
จับฉันเอาไว้ได้มั้ย พ่อคนเล่นกล
If you're good enough, you'll find a way
ถ้าเธอมีดีมากพอ ก็จะค้นพบหนทางได้เอง
Maybe you could cause a girl to change (her ways)
ว่าบางทีเธออาจทำให้ฉันเปลี่ยนใจที่มี
Do you think about it night and day?
ว่าแต่เธอคิดถึงมันตลอดเวลาวันยังค่ำมั้ยล่ะ
Maybe you could be the one to make me stay
บางทีเธออาจจะทำให้คนอย่างฉันไม่อยากจากไป
I come and I go
ฉันมาแต่เดี๋ยวก็ไป
Prove you got the right to please me
พิสูจน์สิ ว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะทำให้ฉันพอใจ
Everybody knows
เพราะใครใครก็รู้กัน
Catch me or I go Houdini
ถ้าไม่ยื้อกันไว้ ฉันก็จะจากไป พ่อหนุ่มแสนกล
I come and I go (I come and I go)
ฉันมาแล้วก็คงต้องไป อาจจะไม่ได้เจอกันอีก
Prove you got the right to please me
พิสูจน์ที ว่าเธอทำให้ฉันสุขใจได้
Everybody knows (I'm not here for long)
ใครใครก็คงมองออก ว่าฉันมาแล้วเดี๋ยวก็ไป
Catch me or I go Houdini
จับฉันเอาไว้ได้มั้ย พ่อคนเล่นกล
Houdini
พ่อหนุ่มความลับล้น
Catch me or I go Houdini
รั้งตัวฉันเอาไว้ให้อยู่กับเธอที พ่อคนแสนกล
-
Show a little more
เปิดให้เห็นมากหน่อย
Show a little less
วับวับแวมแวมพอลุ้น
Add a little smoke
ควันที่มันพรางตา
Welcome to Burlesque
ขอต้อนรับสู่เราเหล่าบาร์นางโชว์
Everything you dream of
ทุกสรรพสิ่งที่คุณเคยฝันไว้
But never can possess
แต่ยังไม่เคยได้ครอบครองจริงจริง
Nothing's what it seems
ไม่มีอะไรที่เป็นอย่างที่คุณมองเห็น
Welcome to Burlesque
นี่คือเราเหล่าคณะบาร์นางโชว์
“ฉันว่า คุณควรจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็ใครเป็นใครแถวนี้ก่อนนะ” เจ้หงส์บอกกับ ‘หุ้นส่วน’ คนใหม่ ที่จะมาร่วมลงทุนทำร้านกับเธอ “ฉันแค่อยากให้คุณวรรธแน่ใจก่อน ที่จะตัดสินใจอะไรลงไปมากกว่านี้ ว่าคุณจะต้อง” เจ้หงส์พูดด้วยน้ำเสียงที่บอกกับอีกฝ่ายไปว่า “และกำลังเจอะเจอกับอะไรอยู่” เพราะจะไม่มีการเปลี่ยนใจยกเลิกจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป หลังจากนี้
“ผมคงไม่เสี่ยงมอบเงินก้อนใหญ่ให้กับใครไปง่าย ๆ” ชายหนุ่มพูดตอบกลับเจ้หงส์ “ถ้าผมเองไม่รู้สึกมั่นใจ หรือคิดว่ามันจะกลายเป็นความผิดพลาด” วรรธหยุดพูดนิดหนึ่ง สังเกตสีหน้าและแววตาของอีกฝ่าย ที่เจ้หงส์เองก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด ว่าต้องการเงินก้อนใหญ่จำนวนนี้มากจริง ๆ และไอ้ที่พูดเหมือนจะให้ตัวเขานั้น คิดให้รอบคอบอีกครั้ง ก็แค่พูดไปตามมารยาทเท่านั้นเอง
Everyone is buying
ใครใครก็ต้องลงทุนจ่ายสตางค์
Put your money in my hand
เพื่อเป็นค่าปกปิดค่าผ่านทาง
If you got a little extra
แต่หากว่าคุณจ่ายเพิ่มอีกสักนิดสักหน่อย
Well, give it to the band
มันก็จะเป็นค่าน้ำค่าเหนื่อยให้กับวง
You may not be guilty
คุณเองอาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด
But you're ready to confess
แต่กลับร้อนรนอยากจะสารภาพขึ้นมาเสียอย่างนั้น
Tell me what you need
งั้นบอกมาว่าใจอยากได้อะไร
Welcome to Burlesque
มองหาอะไรจากเหล่านางโชว์ของบาร์เรา
“ก็ถ้าคุณวรรธพูดมาเองแบบนั้น ฉันก็สบายใจ” เจ้หงส์คราวนี้ยิ้มกว้างออกไป เพราะได้ยินชายหนุ่มยืนยันออกมาจากปากของตัวเองแบบนั้น “แล้วสัญญาที่จะทำระหว่างกัน มันจะเป็น” ปากก็พูดไป มือของเจ้หงส์ก็ยื่นแบออกไป เพื่อให้วรรธส่งกระเป๋าที่บรรจุเงินสดอัดแน่นเอาไว้จนเต็ม ส่งมาใส่มือให้เธอ “ร่างสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือสัญญาใจแบบสบาย ๆ ไว้ใจกันและกัน” เจ้หงส์กำมือลงกับหูกระเป๋าสีดำนั้น ที่น้ำหนักของมันทำให้เธอใจเต้นรัว เพราะเงินสด ๆ มันมาอยู่ในมือของเธอแล้ว
“ผมเองก็อยากจะรู้ว่า ร้านนี้มันจะทำเงินให้ผมยังไงได้บ้าง” วรรธยังคงไม่ปล่อยให้กระเป๋าใบนั้น อยู่ในมือของเจ้หงส์โดยสมบูรณ์ ชายหนุ่มยังคงดึงหูหิ้วของกระเป๋าใบนั้นอยู่ “ร้านที่ฉันมองภาพเอาไว้ มันก็แค่ร้านที่มันเป็นบาร์โชว์เล็ก ๆ ทำกันแบบง่าย ๆ ปกครองกันแบบครอบครัว มีอะไรก็พึ่งพาอาศัยกัน เหล้าดี การแสดงแกรนด์ ราคาก็อยู่ในระดับที่จ่ายได้ เป็นมิตรกับลูกค้า โดยเฉพาะนางโชว์ที่ขึ้นเวที ที่มีจุดขายแตกต่างกันไป” เจ้หงส์บรรยายความที่ตัวเองคิดเอาไว้ วรรธยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้น “อย่างเช่น” ถามออกไปถึงเหล่านางที่จะขึ้นไปเฉิดฉายที่บนเวทีนั่น เจ้หงส์ยิ้มกว้างออกมาในทันที
“คนแรก” เจ้หงส์พูดถึงนางโชว์คนแรกที่ประจำในร้านของเธอ “เรียกมันนังโก้โก้” เจ้หงส์เปิดรูปจากโทรศัพท์มือถือให้วรรธได้ดู วรรธมีสีหน้าประทับใจ ในการทำมาแล้วทุกสัดส่วนของโกโก้ ที่ดูก็รู้ว่า ความบอร์นทูบี เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ของเจ้าตัว มันฉายออกมาจากทุกอณูของร่างกาย “จับมันแต่งอะไร ยังไงมันก็สวย ให้มันโชว์ตลก มันก็ยังดูดี” เจ้หงส์พยักหน้าสำทับเช่นเดียวกับความคิดของวรรธเองเช่นกัน
You can dream of Coco
ไม่ผิดที่จะฝันถึงนังโก้
Do it at your risk
แต่พูดได้แค่ว่าเราเตือนแล้วนะ
โก้เป่าลมออกจากปากพรืดใหญ่ เพราะรู้สึกขี้เกียจที่ต้องเช็ดหน้าต่างกระจกบานใหญ่ของห้องคอนโด ที่ตัวเองซื้อ และยังต้องผ่อนต่อไปอีกยาว ๆ จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะไม่ชอบที่หน้าต่างกระจกมันดูไม่ใสปิ๊ง มันดูไม่นิ้ง ซึ่งเจ้าตัวไม่ชอบให้มันเป็นแบบนั้น โก้นั่งลงบนขอบด้านบนของโซฟาที่ถูกดันมาพิงเข้ากับหน้าต่างกระจก เมื่อตอนที่เธอจัดห้องใหม่สัปดาห์ที่แล้ว โก้ใช้ไม้เช็ดกระจกด้ามยาวไถขึ้นลง สายตาก็มองออกไปด้านนอกหน้าต่างนั่น
ที่คอนโดฝั่งตรงข้าม โก้มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ห้องชั้นบน เลยห้องของเธอขึ้นไปประมาณสามสี่ชั้น เขาคนนั้นยืนถือแก้วกาแฟอยู่ในมือ โดยมีเพียงแค่ผ้าขนหนูสีขาวผืนเดียวพันเอวอยู่เท่านั้น โก้รู้สึกนึกสนุก เธอวางไม้เช็ดกระจกลง ก่อนจะยืนขึ้น แล้วยกไม้ยกมือให้เป็นที่สังเกต เรียกความสนใจจากชายหนุ่มร่างกำยำคนนั้น และเพียงไม่นานมันก็ได้ผล ชายหนุ่มหันมองลงมาที่ห้องของโก้
โก้ไม่รอช้า ใช้นิ้วเลื่อนซิปเสื้อเกาะอกตัวเล็กที่เธอใส่อยู่ ให้ลงไปจนสุด เผยให้เห็นหน้าอกที่เธอไปทำมาด้วยความภาคภูมิใจในฝีมือของหมอท่านนั้น ที่มันออกมาสวยสมใจโก้เป็นอย่างมาก โก้สบตากับชายหนุ่มคนนั้นโดยไม่ปิดบัง และพอแน่ใจแล้วว่า ชายหนุ่มหุ่นล่ำกล้ามโตคนนั้นให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาเห็น โก้ก็ล้วงมือขวาเข้าไปใต้เสื้อด้านหน้าอกซ้าย แล้วค่อย ๆ ขยำหน้าอกข้างนั้นของเธอ จากช้า ๆ และเบามือ จนเริ่มหนักหน่วงขึ้น
โก้ใช้ปลายลิ้นเลาะเลียริมฝีปากด้านบนของตัวเอง เมื่อเห็นว่าถ้วยกาแฟได้หายไปจากมือของชายหนุ่ม แต่มือข้างนั้นของอีกฝ่าย ตอนนี้เข้าไปจับคลึงสิ่งที่อยู่ด้านใต้ผ้าขนหนูผืนนั้นแทนแล้ว โก้หันหลังให้กับกระจกหน้าต่าง ก่อนจะยกขาข้างหนึ่งพาดบนพนักพิงโซฟา ภายใต้กระโปรงมินิสเกิร์ตที่เธอใส่ มันไม่มีชั้นใน
โก้เหลียวหลังมามอง ชายหนุ่มคนนั้นกำลังสาวมือขึ้นลงไปตามความยาวของท่อนแห่งความเป็นชายของตัวเอง สายตาจับจ้องมาที่บั้นท้ายของโก้ โดยที่ไม่ได้แสดงอาการตกใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นแต่อย่างใด เพราะโก้เองก็ไม่ได้ปิดบังส่วนล่างของเธอเองเช่นกัน โก้จับมันพาดชี้ลงด้านล่าง ให้ชายหนุ่มเห็นชัด ๆ พร้อมกับการขมิบกล้ามเนื้อด้านหลังนั้น เร็ว รัว และถี่ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มถุยน้ำลายลงบนความยาวนั้น เพื่อเพิ่มความลื่นมือให้มากยิ่งขึ้น
โก้พยักหน้าให้กับชายหนุ่ม เพื่อเป็นอันรู้กันว่า เธอต้องการให้ชายหนุ่มโบยบินไปให้ถึงฝั่ง โก้กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนนิ้วมือให้ผ่านร่องด้านหลังเบา ๆ ชายหนุ่มในห้องคอนโดที่ฝั่งตรงข้าม อ้าปากกว้าง โก่งตัวจนงอ ก่อนจะรัวมือขึ้นลงอีกไม่เกินห้าหกครั้ง ความขาวขุ่นแต่ข้นก็ทะลักพุ่งออกมาชนกระจกหน้าต่างที่ห้องตรงข้ามนั้น โก้นับได้ว่ามันพุ่งออกมาติดต่อกันไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง แล้วที่เหลือก็ไหลเปรอะเปื้อนที่บนส่วนปลายนั้น
โก้จัดการเสื้อผ้าของตัวเองจนเรียบร้อย มองเห็นชายหนุ่มหุ่นล่ำที่กล้ามเนื้อท้องเกร็งขึ้นเป็นลอนสวย ตอนที่เขาปลดปล่อยทุกอย่างมันออกมา ตอนนี้หอบหายใจราวกับเพิ่งไปวิ่งมาไม่ต่ำกว่าสิบรอบสนาม ต้องรีบก้มตัวลงคว้าผ้าขนหนูผืนสีขาวที่ตกอยู่บนพื้น กลับขึ้นมาพันร่างกายเหมือนเดิม เมื่อมีใครบางคนเปิดประตูห้องเข้ามา โก้หัวเราะออกมาเสียงดัง เมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มคนนั้น พยายามใช้ตัวบังคราบน้ำบนกระจกนั้น จากสายตาของหญิงสาวคนที่เพิ่งเข้าห้องมาแบบนั้น
“แสบได้ใจจริง ๆ” วรรธหัวเราะไปกับเรื่องที่เจ้หงส์เพิ่งเล่าจบ ซึ่งเจ้เองก็ยืนยันว่า โกโก้นั้นแผลงฤทธิ์อะไรมาเยอะ “คนที่สอง” เจ้หงส์พูดขึ้น ก่อนจะโชว์รูปของนางโชว์ที่ผิวออกไปทางคล้ำ ไม่ใช่แบบพิมพ์นิยมขาวใสอย่างคนอื่น ๆ แต่อย่างใด “แฝด” วรรธพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ใช่ นังแฝด” เจ้หงส์พูดกลั้วหัวเราะ “แฝดสามเสียด้วย” เจ้หงส์ยืนยันตามนั้น แม้ว่าวรรธจะขมวดคิ้ว ด้วยความที่เขาเห็นว่ามันมีนางโชว์เพียงคนเดียวในรูปก็ตาม
The triplets grant you mercy
แฝดสามเสกสรรได้ตามประสงค์
But not your every wish
แต่ที่เหลือแล้วแต่แฝดจะต้องคง
หลังจากโชว์จบลง แฝดก็ลงมาถ่ายรูปกับลูกค้าในร้าน รวมไปถึงบรรดาแฟน ๆ การแสดงของเธอ เพื่อรับทิปตามแต่น้ำใจที่จะยื่นให้กับนักแสดงของทางร้าน โดยกฎเหล็กข้อหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่เจ้หงส์ทำการตกลงกับนางโชว์ทุกคนเป็นที่เข้าใจกันแล้วว่า ห้ามเรียกร้องเงินทิปจากแขก มากไปกว่าที่แขกของร้านยินดีที่จะหยิบยื่นให้ ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น และถือว่าทุกคนเข้าใจตรงกันตามนั้นแล้ว
“เอาสิ ยูอยากลองอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ไทยเลดี้บอยน่ะ ที่บ้านเรา ไม่ดูใกล้เคียงผู้หญิงแบบนี้นะ” เสียงฝรั่งต่างชาติสองคน ที่ยืนอยู่ไม่ไกล ดังมาให้ได้ยิน “ถ้าเขายินยอมกลับไปที่ห้องโรงแรมด้วย มันก็ไม่เรียกว่าซื้อขายใช่มั้ย” คนที่โดนเพื่อนยุ ถามกลับไป เพื่อให้มันกระจ่างก่อน “มันพูดอะไรกันวะ เจน พูดถึงกูหรือเปล่า” แฝดหันไปถามนางโชว์อีกคนที่เพิ่งถ่ายรูปกับแฟน ๆ เสร็จ ซึ่งคนที่ถูกถามพยักหน้าบอกกว่าใช่ “เขาสงสัยน่ะ ว่าพี่แฝด” เจนหัวเราะออกมาเบา ๆ “แฝดสามยังไง” เจนพูดจบก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่หลังร้าน
“คุณเป็นแฝดสามจริง ๆ หรือครับ” แฝดเข้าใจที่ฝรั่งพูดมา เพียงคำเดียวที่แปลว่าแฝดสาม “ผมอยากลอง” แฝดมองไปที่มือของฝรั่งที่แตะมาที่ต้นแขนของเธอ “ถ้าคุณไม่ถือ และชอบที่จะมีสามีเป็นฝรั่ง แบบสนุกข้ามคืน ไม่ได้จริงจังอะไร” ฝรั่งหัวเราะออกมาแก้เขิน “ผัวคืนเดียว แบบสนุก ๆ” ฝรั่งพูดกับแฝดที่ยืนฟังนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น “ยู ว้อนท์ เซ็กส์” แฝดพูดกับฝรั่งไปด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทย ฝรั่งพยักหน้า ก่อนจะแตะมือลงไปที่บั้นท้ายของแฝด
“โว้ว” วรรธร้องตะโกนออกมาเสียงหลง เมื่อได้เห็นภาพแฝดสามที่เจ้หงส์แสดงให้ดู “แฝดสามมันคือแบบนี้เอง” เจ้หงส์พยักหน้า ก่อนจะกดปิดรูปที่แฝดเป็นคนถ่ายแล้วส่งมาให้พี่หงส์ดูเอง “ฝรั่งคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย” วรรธอดถามไม่ได้ เมื่อเจ้หงส์เป็นคนบอกเอง ว่าแฝดสาม ดุ้นยักษ์หนึ่ง อีกสองที่ห้อยโตงเตงในถุงหนังรอยหยักสีดำคล้ำนั้น ที่ยานยาวลงมาเกือบเท่าความยาวของดุ้นคล้ำ รวมเป็นแฝดสาม ที่คือฝ่ายบุกทะลวง ไม่ใช่ฝ่ายตั้งรับแต่อย่างใด
“ยังอยู่ดี มีชีวิต” เจ้หงส์พูดกลั้วหัวเราะ “แค่บินไปกลับลอนดอนมากรุงเทพฯ ทุก ๆ สามเดือน” วรรธพยักหน้าแบบยอมรับในความแฝดสามนี้จริง ๆ “ทุกครั้งที่ถึงวันต้องบินกลับอังกฤษ ก็จะร้องฟูมฟายไม่อยากจะไปสนามบิน หลายครั้งเลยแหละ ที่คืนก่อนจะต้องไปขึ้นเครื่อง ก็มาเมาแอ๋ที่ร้านนี่ แบบหาเรื่องให้ตัวเองเมาจนตื่นสาย เพื่อจะได้ไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน จะได้หาเรื่องอยู่ต่อสักคืนก็ยังดี” วรรธหัวเราะไปกับสิ่งที่ได้ยิน กับเสน่ห์ของแฝดสาม ที่ไปต้องใจต่างชาติถึงขั้นหัวปักหัวปำ
“คนที่สาม” เจ้หงส์พูดต่อจากนั้น “คุณวรรธก็ได้เจอกับตัวเองแล้วนี่” วรรธถึงกับยิ้มกริ่มด้วยความชอบใจในทันที เมื่อถูกเจ้หงส์ถามแบบนั้น “นังเจน” เจ้หงส์พูดชื่อของนางโชว์คนที่สามออกมา “เผอิญฉันเป็นคนที่ชอบให้โอกาส” เจ้หงส์บอกกับชายหนุ่มออกไป “แต่ก็กับคนที่มีดีและพร้อมจะรับโอกาสนั้นจากฉัน โดยที่ไม่ทำให้โอกาสที่ได้รับไปนั้น เสียเปล่า” เจ้หงส์พูดถึงวันที่เธอ มองเห็นว่าเจนนั้นฉายแววออกมา
Jessie keeps you guessing
เจนนั้นเหมือนกับทำให้ต้องมนต์
So cool and statuesque
ทั้งน่าพิสมัยและยังงามประดุจเทพี
“ท่อนนี้เดี๋ยวกูร้องเอง” โก้ตะโกนบอกกับทุกคน เมื่อการซ้อมเพลงที่ต้องรวมทั้งสามคนบนเวที เป็นไปด้วยความทุลักทุเลเป็นอย่างมาก กับความไม่ลงตัวในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะการแบ่งท่อนเนื้อร้อง ว่าใครจะร้องท่อนไหน “เพราะกูเป็นคริสติน่า” แฝดและนางโชว์อีกคนสบตากัน ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความเอือมระอา ด้วยการต้องดีลกับอีโก้ของคนที่ชื่อว่าโก้เช่นเดียวกัน
“เอานะ เอาท่อนที่คริสติน่าร้องเลย เพลงมา” โก้ตะโกนบอกกับคนควบคุมเพลง ก่อนที่เพลงเลดี้ มามาลาด จะดังขึ้น แล้วโก้ก็เริ่มลิปซิงค์ แต่ก็ร้องทับไลน์ประสานเสียงของคนอื่นไปด้วย ไม่ได้ร้องแต่ท่อนเฉพาะของตัวเอง “ฉันว่าแบบนี้ไม่เวิร์ค” นางโชว์ทั้งสามคนบนเวที หันขวับมาพร้อมกัน เพื่อเห็นว่าต้นเสียงคือกะเทยรุ่นแม่ ที่ดูก็รู้ว่าเคยเป็นนางโชว์มาก่อน เดินมาจากมุมของร้าน มาที่ด้านหน้าเวที
“ยังไงกันเนี่ย” โก้พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เป็นใคร ยังไงมาสั่งอะไร ร้านนี้ก็แสดงแบบนี้มาตลอด” โก้ไม่สบอารมณ์นักที่มีใครก็ไม่รู้มาขัดจังหวะและพูดอะไรที่ไม่เข้าหู คนที่เป็นตัวแสดงนำของร้านแบบเธอ มาตั้งแต่ต้นแบบนี้ “เพราะอย่างนั้นไง ร้านมันถึงกำลังจะเจ๊ง จนฉันต้องมาซื้อต่อเพื่อให้ต่อจากนี้ไป ร้านมันต้องไปต่อได้” เจ้หงส์ประกาศตัวตรงนั้น ต่อหน้าทุกคน ว่าตอนนี้เธอคือเจ้าของร้านคนใหม่แทนเจ้าของเดิมแล้ว
“เธอน่ะ ใช่ เธอนั่นแหละ ที่เป็นคนส่องไฟฟอลโล่ว์น่ะ ชื่ออะไร” เจ้หงส์เรียกเด็กที่ถือไฟส่องเวทีคนนั้น “หนูหรือ” เจนหันมองซ้ายขวา เมื่อไม่มีใครคนอื่นแล้ว ก็บอกชื่อตัวเองออกไป “หนูชื่อเจน” ก่อนจะเดินไปที่ด้านหน้าเวที ที่เจ้หงส์ยืนอยู่ “ไหน หมุนตัวให้ดูซิ” เจนทำตามที่เจ้หงส์สั่ง “เลิกเสื้อขึ้น” เจ้หงส์ตะโกนให้ทำตาม “ชายเสื้อน่ะ ดึงขึ้น” เจนทำตาม มองเห็นเอวที่คอดของเจ้าตัว
“ไม่ใช่ผู้หญิงใช่มั้ยเรา” เจนส่ายหน้า เมื่อเจ้หงส์ถามแบบนั้น ก่อนเจ้หงส์จะโบกมือให้เดินมาใกล้ ๆ เจนถึงกับสะดุ้ง เมื่อเดินมาที่ขอบเวทีด้านหน้า แล้วเจ้หงส์ล้วงมือเข้าไปใต้ขากางเกงขาสั้นที่เจนใส่อยู่ เพื่อคลำตรงหว่างขา “เออ แปลกดี สวยแบบไม่ต้องทำอะไร ธรรมชาติดี ศัลยกรรมมามั่งมั้ย” อีกครั้งที่เจนส่ายหน้าแทนคำตอบ “มีบ้างที่แพ็คเกจนวดหน้าพวกหนูเหลือ ก็เลยพามันไปทำด้วย” แฝดบอกกับเจ้หงส์ที่กำลังมีสีหน้าพออกพอใจ
“เจน เธอเป็นคริสติน่าในเพลงนี้ มันก็จะทำให้ครบสี่คนพอดีกับเนื้อร้อง” เจ้หงส์ตัดสินใจสรุปให้ “ฉันยืนแอบดูอยู่นาน ฉันเห็นนังเจนมันงับคำได้ทัน ร้องได้ตรงทุกคำ” ยังไม่ทันที่เจ้หงส์จะพูดจบ “ถ้างั้น ก็ไม่ต้องมีฉันอยู่หรอก” โก้กระโดดลงจากเวที ก่อนจะเดินไปที่ประตูร้าน กำลังจะกระชากประตูเปิดออกไปด้วยความโกรธผสมกันกับความอาย ที่ถูกปลดออกจากท่อนที่ตัวเองต้องการร้อง
“ถ้ามึงแน่ใจอย่างนั้น ก็ตามใจ แต่บอกไว้ตรงนี้เลยนะ ว่าถ้าก้าวออกจากร้านนี้ไปแล้ว จะกลับมาไม่ได้แล้วนะ” เจ้หงส์ประกาศกร้าว “หนูโอเคกับท่อนร้องแร็พของหนู” แฝดรีบแสดงตัว ส่วนนางโชว์อีกคนที่หน้าเด็กกว่าใครตรงนั้น ไม่มีปากเสียงอะไร จะท่อนไหนยังไงก็ได้ ขอแค่ให้ได้ขึ้นโชว์ด้วยเป็นพอ “เอายังไง จะไปใช่มั้ย กับอีแค่ไม่ได้ร้องท่อนที่ตัวเองความสามารถยังไปไม่ถึง แต่มันยังมีส่วนร่วมอื่น ที่ฉันเห็นว่าเธอจะทำได้ดี เอายังไง” เสียงเจ้หงส์เล่าถึงตรงนั้น
“ผมชอบโชว์เพลงนั้นนะ โดยเฉพาะเจน” หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้วรรธอยากเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของบาร์นางโชว์แห่งนี้ “อีกสามคนที่เหลือ ไม่ดีว่างั้น” เจ้หงส์พูดแบบหยอกเอินชายหนุ่มออกไป “ก็ไม่ใช่แบบนั้น” วรรธทำกรุ้มกริ่มเมื่อพูดถึงเจนกันแบบนี้ “เจนมันพิเศษตรงที่มันไม่ใช่คนใจง่าย” ชายหนุ่มเห็นด้วยกับเจ้หงส์ “ก็ถ้าเขาพร้อม ผมก็พร้อม ติดอยู่แค่ถ้าเขายอมเป็นเมียผม เจ้จะให้เจนหยุดแสดงในร้านนี้นี่แหละ” วรรธพูด ส่วนเจ้หงส์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“คนที่สี่” เจ้หงส์พูดขึ้น “คนสุดท้ายของร้าน” เจ้หงส์ชูรูปให้กับวรรธได้ดู “นังจันจิ จันเจ้า มันมีหลายชื่อ หรือบางทีมันก็สมควรถูกเรียกว่า จังไร” วรรธหัวเราะไปกับคำพูดของเจ้หงส์ ด้วยที่ว่าเจ้หงส์นั้น พูดถึงนางโชว์ของร้านคนนี้ ด้วยอาการเอ็นดูเสียมากกว่า “มันเป็นคนหน้าเด็กกว่าใคร หน้าเด็กกว่านังเจนเสียด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่มันอายุมากกว่าเกือบสามปีทีเดียว” เจ้หงส์เริ่มเล่าเกี่ยวกับจันให้กับชายหนุ่มได้ฟัง
"Behave yourself", says Georgia
จันมันเตือนแล้วนะ ให้ทำตัวดีดี
Welcome to Burlesque
เช่นเดียวกับนางโชว์อีกที่เหลือของบาร์นี้
“นังจัน มึงไปรวยอะไรมาเนี่ย” โก้ถามน้องนางโชว์ ขณะที่ใช้ตะเกียบคืบหมูกระทะเข้าปาก “นั่นสิ พี่จัน ซื้อมาตั้งเยอะแยะขนาดนี้” เจนสงสัยเช่นกัน ที่อยู่ ๆ วันนี้ จันก็โทรตามทุกคนให้มาถึงร้านแต่เนิ่น ๆ เพื่อกินหมูกระทะด้วยกัน “จะรวยอะไรมาก็ช่าง ฉันจะฟาดให้เรียบ” แฝดที่เดินไปหยิบเอาถ้วยกับช้อนมาเพิ่มนั่งลงที่วงหมูกระทะ แล้วคีบหมูและพวกบรรดาซีฟู้ด วางลงไปบนกระทะเพิ่มขึ้นอีก
“เออ เอา ๆ บาร์โชว์กู มีแต่กลิ่นหมูกระทะ อีนังพวกนี้นี่” เสียงเจ้หงส์แว้ด ๆ ทันทีที่เห็นการตั้งวงกินข้าวกันของบรรดานางโชว์ทั้งสี่ “ชิมก่อน อร่อยมาก นังจันมันรวยอะไรมาไม่รู้ มันเลี้ยง” โก้ไม่พูดเปล่า คีบชิ้นหมูที่กำลังสุกพอดี ชุ่มไปด้วยน้ำจิ้มรสเด็ดฝีมือการตำและปรุงของเจน ใส่ปากเจ้หงส์ “หืม แฝด มึงย่างหมูอร่อยมาก นังเจน น้ำจิ้มมึงก็เริ่ดเกิน” เจ้หงส์ออกปากชม ก่อนจะโบกมือห้าม เมื่อโก้จะคีบอย่างอื่นให้อีก เพราะเจ้หงส์จะรีบไปเคลียร์บิลก่อน
“แล้วไอ้พวกนั้น มึงซ้อมเพลงกันแม่นแล้วหรือยัง” เจ้หงส์ชี้นิ้วไปที่บรรดาหนุ่ม ๆ สามสี่คนที่เป็นวงดนตรีสด ที่เจ้หงส์คิดขึ้นมาว่า คืนวันศุกร์จะทำเป็นไลฟ์แบนด์ เล่นดนตรีสด เพื่อไม่ให้แขกร้านเบื่อ “เรียบร้อยแล้วแม่” เสียงสมาชิกวงตอบกลับไป หลังจากที่รองท้องหมูกระทะของจันจนแน่นท้องกันมาแล้ว “แน่นะ” เสียงเจ้หงส์เข้มแบบที่ต้องการความจริง “เอ้า ซ้อมสิมึง เร็วเข้า” มาถึงตอนนี้สี่หนุ่มก็กุลีกุจอซ้อมดนตรีกันต่อ เพราะต่างรู้สรรพคุณของเจ้หงส์กันทั้งหมด ว่าถ้าแกดีด้วย แกก็ดีใจหาย แต่ถ้าแกร้ายขึ้นมา เอาเป็นว่าอย่าให้แกร้ายด้วยเป็นพอ
“ใครโทรมาหาแกจังวะ จัน เห็นโทรไม่หยุดเลยเนี่ย” แฝดถามขึ้น เมื่อเห็นว่า เบอร์โทรศัพท์เบอร์เดิมเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ เป็นเบอร์เดิม ๆ ซ้ำ ๆ แบบที่จันไม่ได้บันทึกเอาไว้ในเครื่อง จันชะโงกหน้าดูที่หน้าจอมือถือของตัวเอง ก่อนจะยิ้ม ๆ แล้วพูดบอกกับทุกคนไปว่า “สปอนเซอร์ใหญ่หมูกระทะมื้อนี่น่ะสิ” จันตอบ ก่อนจะบอกว่า กุ้งที่ซื้อมานั้นเนื้อมันสด รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบมากทีเดียว
“อย่าบอกนะ ว่าเป็นความหน้าเด็กของมึงอีกแล้ว” เจนหันมามองทางจันที ที่โก้พูดขึ้นพลางส่ายหน้า “แม่นพี่โก้” จันยอมรับ ก่อนจะคีบชิ้นปลาหมึกสด ๆ เนื้อเด้ง ๆ ชุ่มไปด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ดของเจนเข้าปากไป “ยังไงพี่จัน ไหนเล่า” เจนใช้ศอกกระทุ้งแขนจันเบา ๆ เพื่อให้เจ้าตัวคายความลับออกมา “อีดอก กูจะติดร่างแหไปด้วยมั้ยเนี่ย กูกินหมูมันไปเยอะซะด้วยสิ” แฝดพูดติดตลก ทำให้ทั้งสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“คืองี้ มีแด๊ดดี้อยู่คน หนูเพิ่งเจอแหละ แต่ไม่ได้เจอที่ร้านนะ ไปเจอกันข้างนอกโน่น ในแอพนั่นแหละ เขาชวนหนูออกไปกินข้าว บอกว่าอยากเจอหนู” จันเริ่มเหล้าให้บรรดาเพื่อนนางโชว์ฟัง “เสร็จแล้ว บรรยากาศมันดี อะไร ๆ ก็ดี เขาดื่มไปพอกรึ่ม ๆ แต่หนูไม่ได้ดื่มนะ เดี๋ยวแผนไม่สำเร็จ” สามคนที่เหลือมองหน้ากัน ไม่นึกว่าจันนั้น จะมีมุมร้าย ๆ กับเขาเหมือนกัน ทำให้โก้กล่าวชมว่า จันเป็นน้องสาวที่คลานตามโก้ออกมาทีเดียว
“หนูขย่มแด๊ดดี้หนูจนเสร็จ หนูก็บอกว่า หนูกำลังเรียนอยู่ปีหนึ่ง หนูรู้จักกันลูกสาวของเขา ก็รูปในมือถือที่เขาเปิดให้ดู หนูจำได้ว่านั่นมันเพื่อนชั้นปีเดียวกับหนู ได้ยินแบบนั้น เขาก็อึ้งไปเลย ถามหนูว่าหนูอายุเท่าไหร่ หนูก็ได้แต่กลั้นขำ” เจนคีบกุ้งใส่ถ้วยให้จันอีก “แล้วไงต่อ” เจนร้อง บอกให้จันรีบเล่า “อีดอกเจน อีห่า อยากรู้ขั้นสุด” แฝดด่าน้องนางโชว์ด้วยอาการกลั้วหัวเราะ “ก็หนูอยากรู้” เจนหัวเราะไปตามโก้และแฝดที่ส่ายหัวให้
“หนูก็แค่บอกว่า ก็ลองคิดดู ว่าหนูเรียนปีเดียวกันกับลูกสาวเขา แต่หนูไม่ได้โกหกนะ หนูแค่ไม่ได้บอกว่า หนูเพิ่งมีโอกาสไปลงเรียนใหม่ ไม่ได้บอกว่าหนูอายุสิบเจ็ดเท่าลูกสาวเขาสักหน่อย” แฝดตบเข่าฉาด บอกว่าถ้าตำรวจมาถามหา บอกว่าเธอกินหมูกระทะไปแค่ชิ้นสองชิ้นเท่านั้น “แด๊ดดี้หนูกลัวลนลานไปหมด ไม่รู้ว่ากลัวลูกสาวจะรู้ ว่าพ่อชอบกินกะเทยมีงู หรือว่าคิดไปเองกันแน่ ว่าเพิ่งจัดกะเทยรุ่นลูก อายุยังไม่ถึงเข้าไปซะเต็มแม็ก” จันบอกกับทุกคนว่า ขนาดของแด๊ดดี้ก็ใช่ย่อย
“บาปกรรมนังจัน เดี๋ยวทำผู้เฒ่าหัวใจวาย” โก้ดุจันเข้าให้ จันส่ายหัวดิก “แก่อะไร เพิ่งห้าสิบนิด ๆ เอง แรงดีมากเหอะ หนูถึงต้องขึ้นขย่มเอง ไม่งั้น โอย รูหนูหลวมพอดี กระแทกเข้ามาที หนูจุกไปหมด” จันทำท่าปลาบปลื้ม “จุกหรือเสียว เอาดี ๆ นังจัน” โก้ว่าเข้าให้อีก “ใหญ่ว่าของพี่แฝดอีกหรือ” เจนอ้อมแอ้ม ๆ ถามออกไป ก่อนที่ทั้งสามคนจะหันไปทางแฝด ที่กำลังยัดไส้หรอกเข้าปาก “กราบค่ะ” ทั้งสามพูดพร้อมกัน เพราะไม่มีใครจะยักษ์เขื่องเกินขนาดของแฝดไปได้อีกแล้ว
Everyone is buying
ใครใครก็ต้องจ่ายกันทั้งนั้น
Put your money in my hand
เงินที่ยื่นหมูไปไก่มา
If you want a little extra
แต่ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มอีกเล็กอีกน้อย
Well, you know where I am
คงรู้นะว่าจะตามหาเจ้หงส์ได้ที่ไหน
Something there in the dark
อะไรที่เห็นมันก็เน้นเทาเทาดำดำ
Is playing with your mind
มันจะล่อหลอกเล่นล้อไปกับจิตใจของคุณ
It's not the end of days
แต่ใช่ว่ามันจะเป็นจุดจบของโลกเสียเมื่อไหร่
It's just the bump and grind
มันก็แค่หยอกเอินแค่บดบดยั่วยั่ว
“ว่ายังไงคะ คุณวรรธ พอจะเห็นภาพมั้ยคะ ว่าแนวทางของบาร์แห่งนี้ มันจะพาคุณผู้ชายไปทิศทางไหน” เจ้หงส์ถามชายหนุ่มอีกครั้ง เมื่อเธอเล่าเรื่องของนางโชว์สี่จบลง วรระชี้นิ้วไปที่กระเป๋าที่ใส่เงินสดอัดแน่น ที่ตอนนี้อยู่ในมือของเจ้หงส์นานแล้ว “สิ่งที่ผมอยากรู้เพิ่มเติมก็คือ เรื่องของเจ้หงส์นี่แหละ” วรรธรู้สึกว่า กะเทยนางโชว์รุ่นใหญ่คนนี้ มีความน่าทึ่งไม่น้อย “ว่ากว่าจะมาถึงตรงจุดนี้ได้ ต้องผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง” ชายหนุ่มหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินเจ้หงส์ตอบกลับมาสั้น ๆ แต่ได้ใจความว่า “จะฟังเรื่องดี หรือเรื่องเหี้ยที่เจ้ทำดีคะ” ความนางพญาฉายฉาบออกมาจากท่าทางและคำพูดของเจ้หงส์
Show a little more
เปิดให้เห็นกันมาหน่อย
Show a little less
ปิดให้เดากันสักเล็กน้อย
Add a little smoke
พรางตาด้วยม่านควันบางบาง
Welcome to Burlesque
นี่แหละเราบาร์นางโชว์ทรงเสน่ห์
***************************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาไทย โดย KADUMPA
Burlesque - CHER
https://www.youtube.com/watch?v=mw8yzcMtOVI
-
“ทำไมชอบมานั่งอยู่คนเดียวแบบนี้” กวีพูดถามอีกฝ่ายออกไป แม้ว่าจะรู้ดี ที่อีกฝ่ายจะไม่มีท่าทีตอบกลับมาแต่อย่างใด จะว่าชินแล้วแบบนั้น เขาเองก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองแบบนั้นได้ มันแค่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ดำเนินไป ในช่วงเวลานี้ ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน ดีกว่าเขาไม่สามารถมาเจอะเจอกับอีกฝ่ายได้
“เขียนอะไรขยุกขยิกอยู่นั่นแหละ” กวีบ่นใส่อีกฝ่าย ตอนที่ทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งฝั่งตรงข้าม ใต้ตึกเรียนตอนนี้ มีนักศึกษาอยู่บางตา กระจายตัวนั่งห่าง ๆ กันไป แสงแดดอันร้อนแรงมาทั้งวัน ตอนนี้ดูโรยราอ่อนกำลังลงไปมากแล้ว ลมเอื่อย ๆ พัดมา กวียิ้ม เมื่อเห็นไรผมด้านหน้าที่ปรกหน้าผากของอีกฝ่าย ถูกสายลมนั้นพัดเบา ๆ
“ทำไมก่อนหน้านี้ ถึงมองไม่เห็นนะ ว่านายน่ารักขนาดนี้” พูดไปแล้ว กวีก็อยากจะเอานิ้วจิ้มลงไปที่รอยลักยิ้มที่บุ๋มบนแก้มของอีกฝ่าย “ตอนทำหน้านิ่ง ๆ นี่ก็ดูจริงจังดี หน้าดุเป็นบ้า” กวีจ้องไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ที่ตอนนี้เรียบเฉย “ชอบทำหน้าดุ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว” กวีหัวเราะให้กับตัวเอง ที่เก็บอาการไม่อยู่
“น่ารัก” เขาหลุดปากพูดออกมาอีกครั้ง แน่นอน ที่กวีรู้ตัวดี ว่าเขาพูดคำว่าน่ารักกับอีกฝ่ายบ่อย จนเรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยก็ไม่ผิด เขาอยากจะพูดคำนี้กับอีกฝ่ายซ้ำ ๆ พูดไปเรื่อย ๆ พูดให้ได้บ่อยมากที่สุด เท่าที่ตัวเขาเองจะทำได้ เพราะกวีอยากให้อีกฝ่ายได้ยิน ประหนึ่งว่า เขาเองต้องการที่จะชดเชยเวลาที่สูญไป ที่ไม่ได้พูดคำคำนี้ ได้มากพอ เมื่อตอนที่อีกฝ่ายมีโอกาสได้ยินเขาพูดออกจากปาก
“ถ้ายิ้มอีกนิด โลกคงน่าอยู่มากกว่านี้อีกเยอะเลย” กวีรู้ตัวอีกที เขาก็นอนหงายบนโต๊ะไม้นั้น กวีนอนเงยหน้ามองอีกฝ่าย ที่กำลังก้มเขียนอะไรสักอย่างบนกระดาษอย่างขะมักเขม้น โดยไม่ได้มีท่าทีใส่ใจเขาเลยสักนิด ฟ้าด้านบนนั้นเริ่มมืด อีกเดี๋ยวเขาคงต้องอยู่คนเดียวอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายต้องกลับไป แม้จะใจหาย แม้จะถูกความเหงาเล่นงาน และถูกความมืดควบคุมให้รู้สึกเดียวดาย
“เอ็งก็รู้ ว่าที่พูดไปทั้งหมดน่ะ ยังไงเจ้านี่ มันก็ไม่ได้ยิน” กวีผุดลุกขึ้นนั่งในทันที ที่ได้ยินอีกเสียงหนึ่งที่เขาคุ้นเคย และจะได้ยินเสียงนี้ เฉพาะเวลาใกล้ค่ำจนถึงก่อนรุ่งสางเท่านั้น “ทำไมตาไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย ตั้งแต่ผมรู้จักตามานี่ มีแต่พูดทับถมกันอยู่ได้” ชายสูงวัยหัวเราะหึในลำคอ ที่ได้ยินไอ้หนุ่มวัยหลานส่งเสียงน้อยใจอยู่ในที ออกมาแบบนั้น
“ข้าก็พูดไปตามความจริง เอ็งมันรับไม่ได้เองต่างหาก” ชายชราชะโงกหน้าดูตัวหนังสือที่อีกฝ่ายเพิ่งเขียนเสร็จ ก่อนจะหันไปมองกวี ที่ทรุดตัวลงนั่งที่ตรงข้ามกับอีกฝ่ายอีกครั้ง “เขาเขียนอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่เข้าใจ ตาบอกผมว่า ผมจะรู้เอง ว่าเขาเขียนอะไร เนี่ยผมพยายามอ่านนะ แต่ก็” กวีทำหน้าท้อไปกับคำพูดของตัวเอง เมื่อมันไม่เห็นว่าจะเป็นไปตามที่ชายชราบอกกับเขาเมื่อก่อนหน้านี้เลยสักนิด
“ถ้าเอ็งอ่านรู้เรื่อง เอ็งจะยอมแลกอะไรบ้าง” เสียงของชายชราผ่านเข้ามาให้กวีได้ยิน เมื่อสายตาของเขากำลังมองอีกฝ่ายเก็บของใส่กระเป๋าเป้ เพื่อเตรียมตัวกลับแล้ว “ทุกอย่าง” กวีตอบออกไป แม้ใจจะรู้สึกว่างโหวงไปหมด เมื่อความเดียวดายกำลังเข้ามาจับจองความรู้สึกที่เขามี “แบบนั้นแล้ว” กวีหันไปมองชายชรา ที่หยุดพูดไปชั่วขณะ เหมือนเตรียมความพร้อมให้กับความคิดของกวี
“โดยที่เอ็งกลับไปเป็นเอ็งคนเดิม คนที่ห่วยบรม คนที่เส็งเคร็ง ไม่เอาไหน ไม่ใส่ใจอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่พาเอ็งมาอยู่ตรงนี้” กวีมองอีกฝ่ายลุกขึ้น ขณะที่ฟังเสียงชายชราพูดออกมา “เอ็งจะแลกมันมั้ย เมื่อตอนนี้ ตรงนี้ เอ็งไม่ใช่คนคนเดิมที่เอ็งเคยเป็น ตอนนี้เอ็งมองเห็นเขา เอ็งรู้สึกอะไร เอ็งก็พูดออกไปตามนั้น ตามที่เอ็งรู้สึกได้เลย เอ็งมาเจอเขาได้โดยที่เอ็งไม่ต้องกังวลว่าใครจะพูดอะไรเกี่ยวกับเอ็งสองคน” กวีมองอีกฝ่ายกำลังออกเดินไปจากตรงนั้น
“แลกกัน” ชายชราพูด “กับการที่เอ็งกลับไปเป็นเอ็งคนเดิม” กวีสบตากับชายชรา “กับเป็นเอ็งในตอนนี้ คนที่รู้ว่าเอ็งจะไม่ทำให้เจ้าหนุ่มนั้นเสียใจอีก” กวีกะพริบตาถี่ ๆ ไล่ความชื้นร้อนผ่าวที่เอ่อท้นขึ้นมาที่ขอบตา “เหมือนที่ตายังอยู่ตรงนี้ ไม่กลับไปเป็นคนเดิม” กวีได้ยินเสียงพูดที่สั่นเครือของตัวเอง ชายชรายิ้มเหงา ๆ ไม่ตอบคำถามของกวี ปล่อยให้เขาได้อยู่กับความคิดของตัวเองแบบนั้น
“โคตรจะเหลือเชื่อเลย” จุนได้ยินประโยคนี้ซ้ำ ๆ ตั้งแต่เช้า มันถือว่าเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ เลยก็ว่าได้ ที่ไม่ว่าใครก็พูดถึงเรื่องนี้ “เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ หมอจะบอกว่าหมดหวังแล้ว ก็สมองกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุขนาดนั้น แต่นี่กลับรอดมาได้ แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เห็นกวีมันเดินขึ้นไปห้องอาจารย์มั้ยล่ะ เดินปร๋อ แม่ง ปาฏิหาริย์ชัด ๆ”
จุนยิ้มออกมา แบบนี้ก็ดีแล้ว เขาบอกกับตัวเอง เมื่อรู้ข่าวดีเกี่ยวกับกวี ที่เขาฟื้นขึ้นจากอาการโคม่า หลังจากที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน โดยที่ไม่มีอาการของคนป่วย ที่เพิ่งผ่านอุบัติเหตุใหญ่อย่างสาหัสสากรรจ์เลยสักนิด โดยที่ทางทีมแพทย์ อาจารย์หมอที่ให้การรักษาเอง ก็ยังให้คำอธิบายไม่ได้
“จริงหรือเปล่าไม่รู้นะ จุน” กลุ่มเพื่อนของจุนเองก็พากันพูดถึงเรื่องนี้ “แก ฉันได้ยินมาว่า อันนี้เล่าแล้วเหยียบไว้เลยนะ รู้กันแค่นี้ แค่กลุ่มเรานะเว้ย” เสียงห้ามนั้นสวนทางกับสีหน้าและแววตา ที่อยากจะเล่าให้เรื่องนี้มันขยายเป็นวงกว้างออกไปให้ได้มากที่สุด
“เขาว่ากันว่านะ ครอบครัวของกวีถึงกับลงทุนเล่นของ บนบานศาลกล่าว คุณไสยมนต์ดำ ให้กวีมันกลับมาเหมือนเดิมเลยนะ” จุนได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น ก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกไป ก่อนจะจำได้ว่า เขาควรต้องทำตัวอย่างไร เพื่อนในกลุ่ม เมื่อเห็นว่าจุนทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่พูด ก็เริ่มเล่าเรื่องกันต่ออย่างออกรสออกชาติ
“เรื่องนี้เอ็กซ์คลูซีฟ เรื่องลับวงในเลยแหละ เขาลือกันว่า พ่อกับแม่ของกวีบังคับให้แฟนของกวี แฟนลับ ๆ ที่คบกันมาตั้งแต่ตอนมอปลาย ลงนามสาบานเจ็ดวัดเจ็ดวา ว่าจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับกวีมันอีก ขอเพียงแค่มันกลับมาหายเป็นปกติอีกครั้ง แฟนของมันต้องออกไปจากชีวิตมัน เพื่อให้กวีมันรอด” จุนบีบมือของตัวเองจนเจ็บ ที่ได้ยินอะไรแบบนั้น
ในมือของแม่ของกวี ที่ถือกระดาษแผ่นนั้น ที่ก่อนหน้านี้ เธอแอบดูจุนที่นั่งอยู่ข้างเตียงของลูกชายเธอ เธอลอบฟังจุน ที่มาบอกลากวี ร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่จุนพูด คนเป็นแม่อย่างเธอไม่อยากจะเชื่อ จนเมื่อเธอได้อ่านกระดาษที่จุนยัดมันใส่มือของกวีเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปด้วยน้ำตานองหน้า ของคนที่เสียใจอย่างที่สุดแล้ว ที่ต้องตัดสินใจทำอะไรแบบนี้
“เราปฏิเสธที่จะเขียนคำอาลัยให้เธอนะ เราอยากให้เธอกลับมาเหมือนเดิม แม้ว่าเธอจะจำเราไม่ได้เลยก็ตาม คุณตาที่อยู่กับเธอ บอกกับเราในฝันแบบนี้ ว่าเธอยังมีโอกาสกลับมาได้อีกครั้ง เราเองก็ไม่รู้วิธีว่าต้องทำยังไง เอาเป็นว่า เราจะจดจำเธอเอาไว้แค่ฝ่ายเดียว ขอแค่เธอปลอดภัย เราจะไม่มาเจอเธออีก แค่ขอให้เธอหายดีก็พอ โชคดีนะ แม้ว่าต่อจากนี้ไปเธอจะจำเราไม่ได้ก็ตาม” แม่ของกวีพยายามกลั้นน้ำตา เมื่อสามีของเธออ่านประโยคเหล่านั้นออกมา
“เฮ้ยกวี ไปกินข้าวโรงอาหารกับพวกกูมั้ย ไหวหรือเปล่ามึง” กวีหันไปตามเสียงชวนของเพื่อนในกลุ่ม “ไหวสิวะ กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” กวีตอบกลับเพื่อนไป ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปรวมกลุ่มด้วย “มึงรู้สึกยังไงบ้างวะ” เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มถาม “ตอนนี้กูโอเค” กวีตอบกลับเพื่อนไป “แล้วตอนนั้นล่ะ ตอนที่เกิดเรื่อง” เพื่อนถามกลับมาอีกครั้ง “มันเหมือนกับว่า กูหลับแล้วก็ฝันไป” กวีเองก็ไม่รู้ว่าจะเล่าให้เพื่อนฟังยังไงเหมือนกัน
“แต่ตอนนี้ ก็สบายดี พวกมึงไม่ต้องเป็นห่วง” กวีพูดขึ้น ก่อนสายตาจะหันไปมองที่โต๊ะนั่งใต้ตึกตัวนั้น อะไรบาอย่างสะกิดใจเขาให้เดินไปทางโต๊ะตัวนั้น เพื่อน ๆ ในกลุ่มมองตามกวีด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรวะกวี” ต่างถามออกไปด้วยความเป็นห่วงเพื่อน ก่อนจะเห็นกวีทรุดตัวลงกับพื้น ร้องออกมาด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ภาพอะไรบางอย่างผ่านเข้ามาให้เขาเห็น ชายชราคนหนึ่งกับคำถามที่ย้ำถามเขาว่า เขาจะแลกด้วยอะไร แลกทั้งหมดที่มีเลยหรือไม่
กวีกลับมาถึงบ้าน เมื่อคนรถขับรถไปรับเขากลับมาพัก หลังจากที่เพื่อน ๆ ในกลุ่ม ช่วยโทรหาพ่อและแม่ของเขา กวีขอตัวนอนพักในห้องนอน โดยบอกกับพ่อและแม่ว่า เขาไม่เป็นอะไร และสัญญาว่าจะบอกทันทีที่เขารู้สึกผิดปกติ ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม แลกกันการของอยู่คนเดียวในห้อง โดยไม่ต้องมีใครมานั่งเฝ้า ไม่แม้แต่พยาบาลพิเศษที่พ่อและแม่จ่ายเงินไม่อั้น เพื่อความมั่นใจว่าลูกชายคนเดียวของพวกเขา จะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด
“ไม่มีอะไรดูเลยหรือวะ มีแต่เรื่องอะไรไม่รู้ น่าเบื่อ” กวีกดรีโมททีวีไปเรื่อย ๆ หน้าจอโทรทัศน์มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอน เมื่อเห็นข่าวหนึ่งบนหน้าจอนั้น “คุณตาจากไปด้วยอาการสงบ ทางครอบครัวที่หวังว่าสักวันหนึ่งคุณตาจะฟื้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบกับความผิดหวัง” เสียงของผู้ประกาศข่าวดังมาให้กวีได้ยิน
“โดยได้เล่าว่า ก่อนที่คุณตาจะมีอาการโคม่า จากอุบัติเหตุในไซต์งานที่คุณตาคุมงานอยู่ ที่ตอนนั้นคุณตายังหนุ่มอยู่ คุณตาและคุณยายมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ก่อนที่คุณตาจะหุนหันออกจากบ้านเพื่อไปที่ไซต์งานนั้น เป็นระยะเวลานานมาก ๆ ที่ทางครอบครัวทำทุกวิถึทาง เพื่อให้คุณตายังอยุ่กับพวกเขา จนวาระสุดท้าย ที่คุณตาจากไปอย่างสงบ หลังจากที่คุณยาย คู่ชีวิตของคุณ ได้จากไปเมื่อสองวันก่อน” กวีได้ยินเสียงของชายชราดังแว่วมาจากที่ไหนไกล ๆ สักแห่ง
“ข้าไม่สามารถกลับไปทำร้ายคนที่ข้ารักได้อีก เอ็งทำลง เอ็งก็เลือกเอา แลกเอาเลย ถ้าเอ็งยอม กลับไปเป็นคนโหลยโท่ย เฮงซวยคนเดิมคนนั้นได้อีก สำหรับข้า เขาอาจจะเสียใจ ที่ข้าไม่กลับไป แต่ข้ายังดีใจ ที่ข้าไม่ได้สร้างความเสียใจเรื่องใหม่ให้กับเขาอีก ข้าจะไปของข้าแบบนี้แหละ” อยู่ ๆ กวีก็น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โต๊ะม้านั่งไม้ตัวนั้น ลักยิ้มบนแก้ม กระดาษที่ใครคนนั้นเขียนอะไรบางอย่างลงไป แวบผ่านเข้ามาในโสตประสาท ภาพแล้วภาพเล่า
จุนเดินตามเพื่อนในกลุ่มไปช้า ๆ เขาเดินคล้อยหลังมาสักหน่อย เพราะไม่อยากร่วมวงสนทนากับเรื่องของกวี ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในกลุ่มเพื่อน และรวมถึงคนทั้งมหาวิทยาลัย จุนบอกกับตัวเองเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้อีก ถึงแม้ว่ามันจะยากเย็นมากก็แค่ไหนก็ตาม อีกเพียงไม่เท่าไหร่ การเรียนปีสี่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็จะจบลง และการแยกย้ายก็จะเกิดขึ้น เพื่อทุกอย่างจะได้จบลงอย่างสมบูรณ์
“นอกจากมันจะดูแข็งแรงแล้ว” เพื่อนในกลุ่มพูดขึ้น จุนมองตามไป เมื่อเห็นกวีกำลังเดินสวนมา “มันยังเรียนตามเพื่อนได้ทัน แถมยังแม่นมาก อาจารย์ถามอะไรมันก็ตอบได้หมด ยังกับมันมานั่งเรียนด้วยกันกับพวกเรางั้นแหละ” จุนแอบยิ้มไม่ให้ใครเห็น เมื่อนึกถึงตอนที่เขานั่งอ่านหนังสือออกเสียง กับวิชาที่เพิ่งเรียนมา ทุก ๆ เย็น ในทุก ๆ วัน จุนก้มหน้างุด เมื่อกวีเดินผ่านสวนกับเขาพอดี
“นี่ใจคอจะไม่ทักกันจริง ๆ น่ะหรือ” จุนตกใจกับคำทักทายของกวีแบบนั้น และยิ่งตกใจกว่าเดิม เมื่อกวีเดินถอยหลังเพื่อมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างหน้าเขา เพื่อน ๆ ของจุนต่างพากันมองหน้ากันไปมา ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น “จริง ๆ เธอก็ไม่ควรเชื่ออะไรตาแก่ เอ๊ย คุณตานั่นไปเสียทุกอย่างนะ” กวีมองแววตาที่ทั้งตกใจ ทั้งดีใจ ทั้งสับสนไปหมดของจุน แล้วก็ต้องหัวเราะออกมา
“ยิ้มก็ไม่ยิ้ม ทำหน้าดุ ทำหน้าจริงจัง” จุนกลืนน้ำลายลงคอด้วยอาการของคนไม่ตั้งตัว “แล้วจะเห็นลักยิ้มได้ยังไง” เมื่อกวียื่นมือมาข้างหน้า แล้วเอานิ้วจิ้มลงที่แก้มของจุน ท่ามกลางอาการเหวอของเพื่อนทั้งกลุ่มของจุน “เธอไม่ควรทำแบบนี้” จุนพูดออกไปจนได้ นึกถึงความปลอดภัยของกวีเป็นสำคัญ “เราเป็นคนจำได้เอง เราเป็นคนทักเธอก่อนเอง เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ไม่พูดเปล่ากวีก้มหน้าเข้าหาจุน จูบลงที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายในทันที
“คุณตาอาจจะไม่กล้ากลับไปหาคุณยายอีก เพราะกลัวจะทำผิดซ้ำเดิมอีก” เพื่อน ๆ ของจุนต่างยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงหวีดนั้นไม่ให้ออกมา เมื่อพอปะติดปะต่อเรื่องได้ ว่าตัวซีเคร็ทของเรื่องนี้ ที่ทุกคนสงสัยและตามหา อยู่ไม่ไกลนี่เอง “ขอนะ” กวีจูบซ้ำลงที่เดิม แม้ว่าจุนจะทำท่าขัดขืน “จะอยู่ทำแบบนี้ แบบไม่กลัวว่าใครจะคิดยังไง ไม่กลัวว่าที่บ้านจะกีดกันหรือไม่” จุนต้องใช้มือยันแผงอกกว้างของกวีเอาไว้
“จะบอกว่าน่ารัก ให้จุนได้ยินจากปากเรา ไอ้ที่เขียนด่าเราว่าไอ้ผีบ้านั่น ตกลงจุนเห็นเรามาตลอด แต่ตาแก่นั่นบอกให้ทำเป็นไม่เห็นสินะ” กวีดึงตัวจุนเข้ามากอดอยู่ในอ้อมแขน ไม่กลัวเลยสักนิด เมื่อเห็นว่ามีใครหลายต่อหลายคนยกกล้องมือถือขึ้นถ่ายทั้งรูปทั้งคลิป “เสียสละเพื่อเรามากเกินพอแล้วนะ ให้เราทำเพื่อจุนบ้างต่อจากนี้” จุนร้องไห้ออกมา ใจอยากจะใช้มือผลักอีกฝ่ายให้ออกไป แต่อ้อมกอดนี้ ก็แสนจะอบอุ่นเหลือเกิน
**********************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
ตามใจ - Follow Follow
fellow fellow - ตามใจ [LIVE SESSION]
ถ้าเธอกำลังเดินทางไปไกลแสนไกล
If you’re on a journey to a place far away,
ในคืนบางคืนที่ฟ้าไม่มีแสงใด
In those nights where there’s nothing but darkness
มันจะมีดาวดวงนึง
There’s just this one star
ที่ยังอยู่ตรงนั้น ให้ตามไป
To be there for you to follow
ถ้าเธอยังคงไม่รู้รักเป็นเช่นไร
If you still don’t know what love is,
และถ้าเธอยังคงกลัวว่ารักได้ไหม
Though you’re still afraid whether you should fall in love
ทำไมเธอไม่ลองฟังเสียงหัวใจ
Why don’t you listen to your heart?
แล้วไปตามนั้น
And then, you follow through
ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไรกว่าที่ฉันได้เจอเธอ
It’s been such a long time until I’ve found you
จากตอนนี้ จากตรงนี้ กับเวลาทุกนาที
From now and here on out, with every minute spent
อย่าเสียมันไปอีกเลย
Don’t we waste it ever again
ใช่ฉัน ใช่ฉันบ้างหรือเปล่า
Is it me? Is it me all along?
คล้ายคนที่รอบ้างหรือเปล่า
Am I close to that guy you’re longing for?
คนที่เธออยากใช้คำว่าเรา
The one you want to call us we
คนที่เธออธิษฐานให้ได้เจอ
The one you wish to come true
ถ้าใจของเธอมีคำตอบ
If there’s already an answer in your heart
ใช้ใจนำทางก็พอ
Let your heart guide you now
ถ้าฉันคือคนที่เธอเฝ้ารอ
If I am the one you’re waiting for
รู้ไว้เลย ฉันก็รอแค่เธอเหมือนกัน
Now you know, you are the only one I long for too
ให้ความรักเป็นเข็มทิศที่จะนำทางไป
Allow love to be the compass guiding us through
ให้เวลาบอกเธอเองว่าต้องการอะไร
Let the time tell you what you really need
ให้ใจเธอได้ลองรักแค่สักครั้งได้ไหม
Then show your heart to feel free to love just once
ต้องใช้เวลาตั้งเท่าไรกว่าที่ฉันได้เจอเธอ
It’s been such a long time until I’ve found you
จากตอนนี้ จากตรงนี้ กับเวลาทุกนาที
From now and here on out, with every minute spent
อย่าเสียมันไปอีกเลย
Don’t we waste it ever again
ใช่ฉัน ใช่ฉันบ้างหรือเปล่า
Is it me? Is it me all along?
คล้ายคนที่รอบ้างหรือเปล่า
Am I close to that guy you’re longing for?
คนที่เธออยากใช้คำว่าเรา
The one you want to call us we
คนที่เธออธิษฐานให้ได้เจอ
The one you wish to come true
ถ้าใจของเธอมีคำตอบ
If there’s an answer already in your heart
ใช้ใจนำทางก็พอ
Let your heart guide you now
ถ้าฉันคือคนที่เธอเฝ้ารอ
If I am the one you’re waiting for
รู้ไว้เลย ฉันก็รอแค่เธอเหมือนกัน
Now you know, you are the only one I long for too
ให้ฉันเป็นคนนั้น
Let me be the one
คนนั้น คนนั้น คนนั้น คนนั้น
Be that one, the only one for you
ใช่ฉัน ใช่ฉันบ้างหรือเปล่า
Is it me? Is it me all along?
คล้ายคนที่รอบ้างหรือเปล่า
Am I close to that guy you’re longing for?
คนที่เธออยากใช้คำว่าเรา
The one you want to call us we
คนที่เธออธิษฐานให้ได้เจอ
The one you wish to come true
ถ้าใจของเธอมีคำตอบ
If there’s an answer already in your heart
ใช้ใจนำทางก็พอ
Let your heart guide you now
ถ้าฉันคือคนที่เธอเฝ้ารอ
If I am the one you’re waiting for
รู้ไว้เลย ฉันก็รอแค่เธอเหมือนกัน
Now you know, you are the only one I long for too
ให้ฉันเป็นคนนั้น
Let me be the one
คนนั้น คนนั้น คนนั้น คนนั้น
Be that one, the only one for you
-
“ทำไมถึงได้ทำทุกอย่าง ให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่โตบานปลาย ขึ้นมาจนได้แบบนี้” คนที่ถูกต่อว่า ถึงกับหันขวับไปมองต้นเสียงในทันที สายตาที่ใช้มองไปที่อีกฝ่าย แสดงถึงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดมาเสมอว่า ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่โตมากแค่ไหน แต่ด้วยความที่มันคือคนสองคนอยู่ด้วยกัน ต่างจะเป็นคนสุดท้าย ที่จะพูดกล่าวโทษกัน
“ที่พูดนี่คิดแล้วใช่มั้ยฮะ” เสียงถามนั้นไม่เก็บกักอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “ตกลงคือพัชใช่มั้ยที่เป็นคนผิด” ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่ไม่ปิดบังใด ๆ เลย ถึงความเดือดดาล ที่กำลังถูกต่อว่าต่อขานว่า เป็นคนผิดยังไม่พอ แถมยังทำให้เรื่องมันเลยเถิด จนมันอาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
“ก็ถ้าพัชไม่พูดอะไรแบบนั้นกับแม่ไป แค่เออ ๆ ออ ๆ ปล่อยผ่าน แม่เขาจะพูดอะไรก็ให้เขาพูดไป หรือไม่ก็เดินหนี อะไรก็ได้น่ะ ที่มันจะทำให้ไม่เกิดเรื่อง ไม่ต้องต่อล้อต่อเถียง มีปากมีเสียงกัน อะไรก็ได้น่ะ ทำไมถึงไม่ทำ” น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่พัชจับความรู้สึกได้ นั่นคือความเอือมระอากับเรื่องเหล่านี้มากเช่นกัน
“ใช่สิ นี่แม่ของตั้นนี่ มันก็ต้องแบบนี้สินะ” พัชพูดด้วยความรู้สึกที่ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บแปลบ “ต่อให้แม่ของตั้นจะพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกของพัชเท่าไหร่ยังไง พัชก็ต้องทน ทำไมตั้นไม่ไปบอกแม่ของตัวเองบ้างล่ะว่า เลิกพูดจาอะไรเลอะเทอะ งี่เง่า เลิกยุ่งวุ่นวาย เลิกทำตัวสร้างปัญหาเสียที” พัชพูดตอบกลับตั้นไป จนเกือบจะเป็นการตะโกนใส่หน้ากัน
“นี่พัชกำลังว่าแม่ของตั้นอยู่นะ” เห็นได้ชัดว่า ผู้เป็นลูกอย่างตั้น กำลังสะกดอารมณ์ได้อย่างยากเย็นเช่นกัน “เพิ่งรู้ตัวหรือไง ทำไมความรู้สึกช้าจังเลย” เกือบจะกายเป็นการยียวน กวนให้อารมณ์ขุ่นข้องกันมากเข้าไปใหญ่ ที่ยิ่งพูด พัชก็ไม่มีท่าทีจะลดราวาศอกลงแต่อย่างใด
“ตั้นเคยเห็นแม่ของพัชสร้างปัญหาอะไรให้กับชีวิตคู่ของเรามั้ยล่ะ ไม่ใช่มั้ย” พัชพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะอย่างจงใจ “ก็แม่ของพัช” ตั้นพูดมาได้แค่นั้น “ใช่ เพราะแม่ของพัชไม่อยู่แล้ว เลยไม่เคยสร้างเรื่องสร้างราว ไม่ก่อความวุ่นวาย ใช่ นี่แหละประเด็นสำคัญ” พัชแทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อต้องการให้ตั้นเข้าใจในประเด็นที่พูด
“พัชหมายความว่า จะให้แม่ตั้นตายเหมือนกับแม่ของพัชใช่มั้ย” ตั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกัน แทนคำตอบ พัชปรบมือหนึ่งครั้งเสียงดังลั่นใส่หน้าตั้น “แม่พัชถึงได้ไม่เคยสาระแนเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเราเลยสักครั้งไง เข้าใจได้ไม่ยากนะ เอาจริง ๆ” พัชพูดไปจ้องตากับตั้นไปแบบไม่ยอมลดละ
“สาระแน” ปลายเสียงของตั้น มันแสดงถึงความรู้สึกผิดหวังกับการเลือกใช้คำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน “ตกลงจะพูดแบบนี้กันจริง ๆ ใช่มั้ย” ตั้นถามพัชด้วยท่าทีที่อ่อนลง แต่มันไม่ใช่ด้วยความเข้าใจ แต่ด้วยความเสียใจ ที่ถูกคนที่รักทำร้ายความรู้สึกอย่างที่สุด โดยที่อีกฝ่ายตั้งใจให้เขารู้สึกแย่แบบนี้
“แล้วที่เคยพูดมาดี ๆ เคยอธิบายไปให้ตายก็เสียเปล่า มันเคยได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้างล่ะ” พัชยังคงน้ำเสียงที่แสดงออกว่า ตัวเองกำลังอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย และแสดงอำนาจออกมาอย่างไม่ยี่หระ ว่าตั้นจะรู้สึกอย่างไรแล้วในตอนนี้
อยากจะปฏิเสธแทบตาย พัชพูดกับตัวเอง แต่สุดท้าย ในที่สุดก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่บ้านตั้นจนได้ ทั้ง ๆ ที่พยายามจะบ่ายเบี่ยง พูดหลีกเลี่ยงต่าง ๆ ไปสารพัด แต่แล้วก็ต้องมานั่งแกร่วอยู่ในห้องรับแขกที่แสนจะน่าเบื่อแบบนี้ โดยที่แม่ของตั้น ก็ทำหน้าตาแบบบอกบุญไม่รับอยู่ตลอดเวลา
“เธอไม่มีที่ไหนจะไป หรือจะไปทำอะไรบ้างหรือไง” แม่ของตั้นพูดขึ้น จงใจจะส่งสารไปถึงพัช แต่ดวงตากลับมองไปทางอื่น “คุณแม่จะเอาคำตอบจริง ๆ หรือคำตอบแบบรักษามารยาทดีล่ะครับ” พัชที่ถอนหายใจแบบไม่เกรงใจอีกฝ่าย ตอบกลับไป
“มารยาทมันก็เป็นสมบัติของผู้ดีที่เขามีกันล่ะนะ” พัชเบะปากทันทีที่ได้ยินแม่ของตั้นพูดแบบนั้น “แต่ฉันกพอจะเข้าใจคนอย่างพวกเธออยู่บ้าง ว่าเมื่อต้นกำเนิดมันไม่ดี ผลที่ได้ มันก็คงจะไม่สามารถดีไปกว่าต้นทาง ถ้าเธอจะไม่เข้าใจเรื่องอะไรแบบนี้ อาจจะขาดการอบรม อาจจะขาดบุพการีสั่งสอน” คนเรามีปมที่ถ้าถูกจี้ได้ถูกจุดแล้วละก็
“มันก็ไม่แน่นะครับคุณแม่ บุพการีบางคนถึงอยู่สอน ก็ไม่ได้สอนอะไรที่เป็นประโยชน์ เกิดแต่โทษ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไมเหมือนกัน ให้เปลืองข้าว เปลืองน้ำ เปลืองอากาศ” พัชพูดแบบที่หันหน้าไปเผชิญกับแม่ของตั้นตรง ๆ และนั่นก็ทำให้ผู้สูงวัยกว่า หันมามองพัชด้วยสายตาที่จงเกลียดจงชัง
“ฉันไม่แปลกใจที่เธอจะเป็นประเภทที่ขุนเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อง ล้างน้ำเท่าไหร่ก็ไม่สะอาด เปลืองด่างเปลืองกรด ไม่มีทางที่จะลบกลิ่น ลบรอย ลบความด่างพร้อยที่มีอยู่รอบตัวลงไปได้” แม่ของตั้นมองหน้าของพัชอย่างชิงชัง พัชนั้นมองตอบจ้องกลับไป ไม่หลบสายตา
“นี่คุณแม่กำลังด่าตั้น ลูกชายของตัวเองอยู่นะครับ ว่าทำไมถึงได้กินไม่เลือก” พัชพูดไปหัวเราะคิกคักไป “แถมยังกินบ่อย กินนาน กินไม่ยอมอิ่ม เดี๋ยวเติม เดี๋ยวตัก เดี๋ยวขออีกอยู่แบบนั้น” พัชต้องการให้แม่ของตั้นโกรธจนควันออกหูมากกว่านี้อีก
“อย่าลืมสิครับ ว่าพัชคือลูกสะใภ้ของคุณแม่ที่ตั้นเลือก” พัชเลือกจี้จุดที่แม่ของตั้นมีปมอยู่เช่นกัน “ฉันไม่เคยรับว่าเธอเป็นลูกสะใภ้อะไรนั่น เธอมันเป็นผู้ชาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก เธอมันเป็นกะเทย ที่วันหนึ่งลูกชายของฉันจะตาสว่าง มองเห็นเพชรแท้ แล้วเขวี้ยงกรวดที่ถืออยู่ในมืออย่างเธอทิ้งไป” แม่ของตั้นพูดไป ตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธ
“คุณแม่นี่ก็พูดไปเรื่อย เพ้อมากขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ถ้าจะมีใครเป็นกรวด มันก็เป็นกรวดเป็นหิน กันทั้งคู่นั่นแหละ ไม่ได้สูงส่งไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะลูกชายคุณแม่ เลือกสถานที่กินเสียที่ไหน ซาวน่าเกย์น่ะคุณแม่ รู้จักมั้ย รู้มั้ยว่าลูกชายคุณแม่ ก็ถือว่าเป็นดาวซาวน่าเกย์ใช่ย่อย แค่ยกระดับหน่อย ตรงที่มันเรียกว่าออนเซน แถมเจอกันกับพัชครั้งแรก ตั้นก็กินจนมูมมาม” ไหน ๆ ก็จะตอบโต้กันแล้ว พัชก็คิดว่า เขาจะเปิดโลกการเรียนรู้ของผู้เป็นแม่คนนี้ เกี่ยวกับลูกชายตัวเองสักหน่อย
“อีบ้า” แม่ของตั้นด่าพัช “อีกะเทยบ้า อีชั่ว” แต่พัชก็ไม่ได้แสดงอาการยี่หระแต่อย่างใด “เออ กะเทยก็กะเทย แล้วก็ให้รู้เอาไว้เลยนะ ว่าลูกชายคุณแม่ชอบบริโภคกะเทย จะพูดเกย์ จะเรียก LGBTQ เมมน้อย ๆ อย่างคุณแม่ ก็ไม่กระดิก ไม่รู้จักอีก เนี่ย ตั้นชอบกินกะเทยอย่างพัชเนี่ย ชอบมาก สะกิดตลอด ตั้งแต่ยังใช้ถุงยาง จนเดี๋ยวนี้เสียบสด แถมปล่อยในอีกต่างหาก” พัชทำท่าป้องปากตอนพูด เพื่อต้องการให้แม่ของตั้นได้ยินชัด ๆ
“แล้วนี่อย่าคิดว่าไม่รู้นะ ว่าคุณแม่เที่ยวไปหาผู้หญิงจะมาให้ตั้นแต่งงานด้วย ทำไมถึงได้กล้าจะทำให้ลูกของตัวเองทำผิดศีลธรรม หน้าด้านหน้าทน ให้ลูกชายของตัวเองทำตัวนอกใจคนรักของตัวเอง ชั่ว ยังเป็นคำพูดที่เบาไปเลยนะคุณแม่ เนี่ย สะกดเป็นมั้ยคำว่าชั่ว คำว่าเลว ทำไมถึงกล้าที่จะให้ลูกชายทำตัวระยำแบบนั้นล่ะคุณแม่” เสียงแม่ของตั้น กรีดร้องใส่หน้าของพัช ว่าคนอย่างพัชไม่มัวันเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่อย่างเธอ ไม่มีวัน
บ้านทั้งบ้านเงียบสนิท จริง ๆ บ้านที่ถูกใช้เป็นเรือนหอหลังนี้ ถึงมันจะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ แต่มันก็ไม่ถึงกับเงียบเชียบขนาดนี้ แปลกแต่จริงที่คืนนี้บ้านทั้งหลังเงียบงัน แถมยังดูกว้างเกินไปเสียด้วยซ้ำ ภายในห้องนอน คนสองคนที่เป็นคนรักของกัน นอนหันหลังให้แก่กัน ความเงียบคือเสียงที่ดังที่สุด ที่ทั้งสองคนตะโกนใส่กัน
พัชยังคงนอนลืมตาโพลง หันหน้าไปทางหน้าต่าง ที่มีผ้าม่านบาง ๆ กั้นแสงจากภายนอกเอาไว้ เมื่อรับรู้ว่า ตั้นลุกออกจากเตียงนอนไปพร้อมหมอนหนุน เพื่อออกไปนอนที่โซฟาเบดในห้องนั่งเล่น แสงจันทร์สลัวจากภายนอกหน้าต่าง กระทบกับรอยหยาดน้ำตาที่ไหนลงนองหน้าของพัช ในขณะที่ตั้นได้แต่กลั้นเสียงสะอื้นไห้ ให้เบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
****************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
เข้าใจที่ไม่เข้าใจ - ลุลา
https://www.youtube.com/watch?v=AreNZTmFbnM
เคยสงสัยว่าเรื่องของเรา อยู่อยู่มันเกิดอะไร
I wondered what really happened between us
คนรักกัน เปลี่ยนเป็นไม่รักกัน มันเป็นไปได้ยังไง
We were pretty much in love, now we’re not, how could it be?
ไม่เข้าใจ ฉันดีไม่พอ หรือฉันนั้นขาดอะไร
Don’t get it, am I not good enough? What am I missing here?
มีเรื่องราว และเหตุผลมากมาย ที่ฉันยังไม่รู้ใช่ไหม
There’re so many things and reasons that I’m still blindsided, right?
แต่ยิ่งฉันค้นยิ่งพยายาม
The more I try to figure it out
มันก็ยิ่งชัดในความเลือนลาง
The brighter it gets in that shadow
เธอได้สอนให้ฉันได้รู้
You taught me to realize
เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่ต้องไปเข้าใจ
I know now that something isn’t meant to be understood
เข้าใจว่าเธอไม่รักก็คือไม่รักไง
Knowing now that you don’t love me, that’s what it is
อย่างที่ฉันยังเคยรัก เธอวันแรกที่เจอกัน
Just like I fell in love with you the very first day we met
ฉันยังไม่เข้าใจตัวเองวันนั้นเลย
I didn’t get that either about myself
เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่มีทางเข้าใจ
I know that somehow, we don’t get all we question
ถ้าหากเธอเลือกจะไป ก็ห้ามกันไม่ได้
If you choose to leave, that is inevitable
ไม่ต้องหาหรอกเหตุผล กับใจคนที่เปลี่ยนไป
No need to explain what makes sense, with someone whose mind is changed
ต่อให้รู้ว่าทำไมเธอไม่รักกัน
Though I find out why you don’t love me anymore
เธอก็ไม่กลับมา
You will never come back anyway
แต่ยิ่งฉันค้นยิ่งพยายาม
The more I try to figure it out
มันก็ยิ่งชัดในความเลือนลาง
The brighter it gets in that shadow
เธอได้สอนให้ฉันได้รู้
You taught me to realize
คำพูดที่ชัดเจนในเมื่อวาน
Clear promises from the other days
ว่าเราจะรักกันนานเท่านาน
That we would love till death do us part
มันไม่หลงเหลือความหมายอะไรอีกแล้ว
There’s no meaning that is now left
เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่ต้องไปเข้าใจ
I know now that something isn’t meant to be understood
เข้าใจว่าเธอไม่รักก็คือไม่รักไง
Knowing now that you don’t love me, that’s what it is
อย่างที่ฉันยังเคยรัก เธอวันแรกที่เจอกัน
Just like I fell in love with you the very first day we met
ฉันยังไม่เข้าใจตัวเองวันนั้นเลย
I didn’t get that either about myself
เข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องไม่มีทางเข้าใจ
I know that somehow, we don’t get all we question
ถ้าหากเธอเลือกจะไป ก็ห้ามกันไม่ได้
If you choose to leave, that is inevitable
ไม่ต้องหาหรอกเหตุผล กับใจคนที่เปลี่ยนไป
No need to explain what makes sense, with someone whose mind is changed
ต่อให้รู้ว่าทำไมเธอไม่รักกัน
Though I find out why you don’t love me anymore
เธอก็ไม่กลับมา
You will never come back anyway
ต่อให้รู้ว่าทำไมเธอไม่รักกัน
I may know why you no longer love me
เธอก็ไม่กลับมา
You won’t come back no more
-
“ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้” เสียงนั้นถามซ้ำ ๆ หลายต่อหลายครั้ง จนพัชรู้สึกหงุดหงิดจนต้องเบือนหน้าหนี จะมีใครที่รู้ดีไปกว่าตัวของพัชเอง การจะมาถามว่าทำไม เพราะอะไรพัชถึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ มันยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับเขามากขึ้นไปอีก
สิ่งที่พัชอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือการตะโกนออกไปดัง ๆ ให้สุดเสียง ให้ดังเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ตะโกนให้เสียงของตัวเองกลบเสียงของคนอื่น ไม่ให้เขาต้องได้ยินคำถามบ้า ๆ พวกนั้นอีกต่อไป คิดถึงตรงนี้แล้วพัชก็แน่ใจว่า ได้ยินเสียงตะโกนกรีดร้องจนสุดเสียงของตัวเอง ที่มันดังมากที่สุด เท่าที่พัชเคยได้ยินตัวเองร้องออกมา
พัชลืมตาขึ้น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อให้ตัวเองรับรู้ว่า ตอนนี้ตัวเขานั้นอยู่ที่ไหน แสงจากด้านนอกหน้าต่างลอดผ่านรอยตรงกลางระหว่างผ้าม่านหน้าต่างเข้ามา พัชรู้แล้วว่าเขาฝันไป มันเป็นฝันประหลาดอีกครั้งที่เกิดขึ้นในรอบหลายวันมานี้ จนพัชเองก็กลัวว่า เขาอาจจะต้องกลับไปหาจิตแพทย์อีกครั้ง หลังจากที่ไม่จำเป็นต้องไปมาสักพักใหญ่แล้ว
พัชลุกขึ้นจากที่นอน ก่อนจะต้องรีบหันมองไปรอบ ๆ ห้องนอนที่ตัวเองยืนอยู่ ก่อนจะต้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อพบว่าห้องนอนห้องนี้ คือห้องที่บ้านเก่า ที่พัชเคยอยู่กับตั้น พัชรีบกวาดสายตาดูไปจนรอบห้องอีกครั้ง ไม่ผิดแน่ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ในเมื่อเขาย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้วนี่นา
พัชต้องรีบสำรวจตัวเอง ถามตัวเองในทันทีว่า เมื่อคืนไปทำอะไรมา ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ พัชรีบทบทวนความทรงจำ ใช่ เมื่อคืนเขาออกไปสังสรรค์ ไปดื่มกับเพื่อนที่บาร์แห่งหนึ่งหลังเลิกงาน หลังจากที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวยามค่ำคืนแบบนั้น มาเป็นเวลานานแล้ว โดยที่ต้องสรรหาข้ออ้างต่าง ๆ นานา ในทุกครั้งที่เพื่อนเอ่ยปากชวน
“เมื่อคืนดื่มจนเมาขนาดนั้นเลยหรือ ไม่นี่นา” พัชพูดออกมาดัง ๆ เพื่อให้ตัวเองได้ยิน เพื่อเช็คดูว่า เขาไม่ได้กำลังคิดไปเอง และตัวเองก็กำลังตื่นอยู่ ก่อนจะมองไปที่ประตูห้อง ที่ดูเหมือนว่าจะแง้มเอาไว้เล็กน้อย เสียงคุยกันของหลายคนดังลอดเข้ามาในห้อง ให้ได้ยินเบา ๆ แต่จับใจความไม่ได้ว่าคุยกันเรื่องอะไร
พัชค่อย ๆ แง้มประตูห้องนอนให้เปิดกว้างออกอีกนิด เพื่อให้ตัวเองสามารถมองออกไปด้านนอกได้ มันคือบ้านเก่าที่พัชเคยอยู่กับตั้นจริง ๆ ด้วย ตายล่ะ พัชคิด มีคนอยู่ข้างนอกหลายคนด้วย หนึ่งเสียงที่พัชจำได้แน่นอนก็คือตั้น แต่ตั้นกำลังคุยกับใครอยู่ในตอนนี้
“เป็นไงเป็นกัน” พัชบอกกับตัวเอง ก่อนจะกลั้นใจ เปิดประตูออกไป เป็นไงเป็นกัน อย่างแย่ที่สุดก็คงแค่โดนตำหนิอย่างเช่นที่ผ่าน ๆ มา แต่ก็ไม่เป็นไร พัชคิดถึงสิ่งที่เขาจะทำ ก็แค่ออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น เพราะมันคงไม่มีอะไรเหลือให้ต้องอายมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“ตื่นแล้วหรือครับ” พัชมองไปทางต้นเสียง เจ้าของคำถามนั้น “หิวมั้ย เมื่อคืนกว่าจะได้นอน ก็อ้วกออกมาเกือบหมด” ตั้นถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง นานแล้วสินะ ที่พัชไม่ได้เห็นตั้นยิ้มแบบนี้ อะไรกัน ทำไมตั้นยังคงยิ้มให้กับเขาได้อยู่ หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“ดูซูบไปนะเรา” พัชรีบหันไปมองต้นเสียงอีกคนที่พูดกับเขา “เดือนแรก ๆ ก็แบบนี้แหละ แต่เดี๋ยวก็จะดีขึ้น” พัชถึงกับอึ้ง เมื่อแม่ของตั้นพูดกับเขาแบบนั้น “ตั้นไปช่วยพยุงพัชมานั่งก่อน” แม่ของตั้นบอกกับลูกชาย “เดินดี ๆ นะ ระวังหกล้ม พัชยิ่งดื้อกับตั้น ถ้าเป็นเรื่องนี้” เสียงของตั้นดุพัช แต่ก็เป็นไปในแบบไม่จริงจังนัก
“เมื่อคืนพัชอาจจะเมามาก ยังไงต้องขอโทษทุกคนด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมานอนค้างที่นี่ได้” พัชพูดเร็วปรื๋อ เมื่อมานั่งที่โซฟาเบดตัวเก่า ตัวที่ทั้งนั่งและนอนดูทีวีกับตั้นมาเป็นปี ๆ “ท้องแรกหรือคะ ยังดูไม่ออกเท่าไหร่” เสียงจากอีกคน ที่พัชจำได้ว่า เป็นเพื่อนที่มาจากสมาคมอะไรสักอย่าง ที่แม่ของตั้นเป็นสมาชิกอยู่
“ยินดีด้วยนะคะ อีกไม่นานก็จะได้อุ้มหลานย่าแล้ว” พัชกลอกตาแบบว่า ทำไมเขาต้องมานั่งฟังเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย ถ้าจะดีใจ ว่าตั้นจะมีลูก กับใครก็ตามที่แม่ของเขาจับแต่งงานด้วย ก็ช่วยแสดงความยินดีกัน ตอนที่เขาไม่ได้นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ได้มั้ย
“โน่นค่ะ คนเป็นพ่อนั่นต่างหาก ที่เห่อลูกมากกว่าใครทั้งหมด” พัชกำลังจะกลอกตาซ้ำ ที่แม่ของตั้นพูดออกมาแบบนั้น ถ้าไม่เห็นว่า ตั้นเอามือมาวางไว้ที่บนท้องของพัชแบบนั้น “ท้องสาว ทั้งดื้อ ทั้งแพ้ หมายถึงผมนะครับ” พัชมองหน้าตั้นแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“น่ารักเชียว โบราณเขาว่าเอาไว้ แพ้ท้องแทนเมีย อย่างนี้ก็ครองคู่กันแบบ ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร” เพื่อนของแม่ตั้นพูดด้วยแววตาเอ็นดูตั้นกับพัช “เขาแพ้ท้อง ผมแพ้ยิ่งกว่า เมื่อคืนเขาก็แพ้หนักมาก ผมเองก็หมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว” ตั้นพูดพลางหัวเราะเขิน ๆ ให้กับสิ่งที่ตัวเองเล่า
“เดี๋ยวนะ ใครท้อง” พัชกำลังคิดว่า ตั้นกำลังเล่นตลกอะไรอยู่ในตอนนี้ แต่เมื่อเห็นแม่ของตั้น รวมทั้งเพื่อนของแม่ก็ด้วย สามคนร่วมกันรวมหัวกันปั้นเรื่องอะไรกันอยู่ “สามเดือนแรก ก็หนักหน่อย แต่เดี๋ยวก็จะดีขึ้น คุณพ่อก็ดูแลคุณแม่ดี ๆ” ไม่ไหวแล้ว ทุกคนกำลังทำให้พัชรู้สึกปวดประสาท
“เดี๋ยวเลย พอเลย ทุกคนต้องหยุดเดี๋ยวนี้” พัชลุกพรวดขึ้นจากโซฟาเบด ตั้นถึงกับตกใจ รีบลุกขึ้นยืนตามเพื่อประคองตัวของพัช “เอ๊ะ พัชนี่ ตั้นบอกแล้วไง ให้ระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าดื้อกับตั้นให้มากนักเลยนะ ตั้นเป็นห่วงพัชกับลูกมากแค่ไหน พัชก็รู้นี่” พัชมองเข้าไปในแววตาของตั้น ตั้งแต่รู้จักและอยู่ด้วยกันมา ใช่ ตั้นไม่เคยพูดจาล้อเล่นอะไรแบบนี้
“หมอก็เตือนมาแล้ว ว่าพัชอาจจะมีภาวะปฏิเสธการตั้งครรภ์ อาจจะด้วยความที่เพิ่งเคยท้องเป็นครั้งแรก คงเป็นแค่ความตกใจ แค่ความกังวลของคุณแม่มือใหม่ แต่ไม่เป็นไรนะ” ตั้นพูดบอกกับพัช ก่อนจะดึงตัวของพัชเข้าไปกอด พัชรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองข้างในทันที
“เรามีกันสามคนแล้วนะ” ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดหรือน้ำเสียงของตั้นเท่านั้น ที่ทำให้พัชคิดถึงความอบอุ่นนี้ แต่อ้อมกอดของตั้น ที่มันทำให้พัชรู้สึกปลอดภัยนี่ต่างหาก ที่ทำให้พัชอดเอาไว้ไม่ไหว กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ร้องไห้เป็นเด็กเลย ดูสิ ร้องใหญ่เลยทีนี้” แม่ของตั้นหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องร้องนะครับ” ตั้นใช้มือเช็ดน้ำตาให้ออกจากใบหน้าของพัช “ตั้นอยู่ตรงนี้แล้ว จะกอดพัชและลูกเอาไว้แบบนี้ตลอดไป” ยิ่งพูดปลอบ แต่ก็เหมือนกับยิ่งทำให้ เขื่อนที่กักเก็บน้ำเอาไว้จนปริ่ม เอ่อท้น ทะลักทลายลงมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่
“ที่ร้องไห้นี่ เพราะไม่อยากจะกินยาใช่มั้ยเนี่ย” ตั้นพูด พลางดึงมือของพัชให้กลับลงมานั่งที่โซฟาเบดตัวเก่านั้นอีกครั้ง “มาเลย ได้เวลากินยาบำรุงแล้ว” ตั้นหันไปหยิบถุงกระดาษที่เขียนชื่อโรงพยาบาลที่ด้านข้างมาจากโต๊ะกาแฟด้านหน้า ก่อนจะดึงเอากระดาษเช็ดหน้า มาซับน้ำตาให้พัชจนแห้ง พัชที่พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองดูสิ่งที่ตั้นทำให้
“อันนี้ยาบำรุงครรภ์” พัชได้ยินที่ตั้นพูด สายตามองไปที่ซองยาในมือของอีกฝ่าย มันระบุชื่อ เขียนชื่อของพัชเอาไว้อย่างชัดเจน ตอนนี้นอกจากพัชจะสับสนเรื่องที่อยู่ ๆ ก็ตื่นมาเจอเรื่องราวอะไรแบบนี้ ท่ามกลางคนที่กลายเป็นอดีตในชีวิตไปหมดแล้ว แต่โรงพยาบาลที่ระบุชื่อเขาลงไปเป็นคนไข้นี่สิ แถมยังจะเป็นแผนกที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ด้วย
เดี๋ยวนะ พัชเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เขาตั้งท้องเนี่ยนะ ไวเท่าความคิด พัชก้มลงมองที่ท้องตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตั้น ที่ถือยาบำรุงและแก้วน้ำรออยู่แล้ว อย่างที่ไม่ยอมให้พัชเบี้ยวไม่ยอมกินอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อตั้นส่งสายตาดุ ๆ มาแบบนั้น พัชลังเลที่จะกิน แต่คิดว่า มันคงเหมือนกับการกินวิตามินหรืออาหารเสริมนั่นแหละ ก็เลยตามน้ำไปก่อน มันคงไม่เป็นอะไรหรอก
“พัชท้องได้กี่เดือนแล้ว ตั้น” ถามเอง แถมได้ยินที่ตัวเองถามแบบนั้น มันฟังประหลาดอยู่ไม่น้อย “สามเดือนแล้ว” ตั้นพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “อีกหกเดือนก็ได้ออกมาเจอหน้ากันแล้วนะ” ตั้นพูดพร้อมกับเอามือลูบท้องของพัชอย่างแผ่วเบา พัชเก็บภาพความตื่นเต้น ใบหน้าที่ดูมีความสุขของตั้นเข้าในความทรงจำ
“ตั้น” พัชเรียกชื่ออีกฝ่าย “ว่าไง” ตั้นถาม ก่อนจะรู้ตัวว่า พัชยื่นหน้าเข้าจูบที่ริมฝีปากของว่าที่คุณพ่อแบบนั้น “พัช” ตั้นเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างเขิน ๆ แต่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ครั้งที่แล้วที่พัชจุ๊บตั้นแบบนี้” ตั้นพูดด้วยความอารมณ์ดี “ไอ้ตัวเล็กถึงได้โผล่มาแบบนี้ไง” พัชรู้สึกจุกในลำคอ เมื่อมองเห็นความสุขของตั้น ที่ดูเหมือนจะเลือนรางจนแทบจะจำไม่ได้แล้ว กลับมาฉายชัดอยู่ต่อหน้าของเขาอีกครั้ง
**************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J
Golden Hour - Billkin
https://www.youtube.com/watch?v=lSZ-Fln3FFM
ทุกเช้าที่ตื่นมาไม่ใช่เพราะนาฬิกา
All mornings, woken up not by the clock alarm
แต่เพราะมีใครสักคนโทรมาปลุกให้ฉันนั้นตื่น
But was because of someone calling to wake me up
และในทุกทุกคืน ไม่เคยต้องฝันร้าย
Also every nights, no nightmares terrorize me
เพราะมีคนบอกฝันดี
Because there was someone saying good night to me
ทุกครั้งอ่อนล้า มีคนซับน้ำตา
Every time I was weak, someone wiped my tears for
ไม่เคยต้องเหงาแม้สักเวลา
Not a time I would feel lonely
มีคนที่เข้าใจ จับมือฉันเดินไป
Someone that understood me and held my hand to walk
เพราะมีเธอคนนี้
That’ s because I had you
วันนี้และคืนที่สวยงาม เพียงแค่มันได้เลยผ่าน
Today and beautiful nights, though they already passed
เหลือเพียงความทรงจำ ที่หล่อเลี้ยงฉันไปวันวัน
Left with me was memory to cherish my life day by day
แค่ได้คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น
To think of those periods of times
แค่ได้รู้ว่าฉันได้เคยมีวันที่ดีเท่าไร
To realize how good the old days were
รักเธอดีเท่าไร ฉันโชคดีแค่ไหนได้พบเธอ
How great your love was, how lucky that I met you
เพราะรักเธอของฉันได้ผ่านไปแล้ว
‘Cause your love is no longer here
และไม่มีเรื่องใดจะดีเหมือนเดิม
None of this will be good again
แล้วเธอล่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า
What about you? Ever think of me?
ได้รู้เวลาตอนนั้นที่ผ่านไป
Knowing that those times had gone
ทุกทุกเรื่องราว มีค่ามากเท่าไร
Everything that happened, they’re valuable
ยังคงยิ้มยังหัวเราะและยังร้องไห้ เมื่อได้คิดถึง
Still gets me to smile and cry when I think about it
วันนี้และคืนที่สวยงาม เพียงแค่มันได้เลยผ่าน
Today and beautiful nights, though they already passed
เหลือเพียงความทรงจำ ที่หล่อเลี้ยงฉันไปวันวัน
Left with me was memory to cherish my life day by day
แค่ได้คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น
To think of those periods of times
แค่ได้รู้ว่าฉันได้เคยมีวันที่ดีเท่าไร
To realize how good the old days were
รักเธอดีเท่าไร ฉันโชคดีแค่ไหนได้พบเธอ
How great your love was, how lucky that I met you
เพราะรักเธอของฉันได้ผ่านไปแล้ว
‘Cause your love is no longer here
และไม่มีเรื่องใดจะดีเหมือนเดิม
None of this will be good again
แล้วเธอล่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า
What about you? Ever think of me?
คงไม่มีปาฏิหาริย์ จะพาฉันไปเริ่มใหม่
No such miracles would take me to start it all over
ไม่อยากจะอธิฐานให้เวลาได้ย้อนไป
No wish to ask for to turn back time
แต่ยังจะภาวนาให้เธอกลับมาจะได้ไหม
Yet, praying that you might one day come back to me
แค่ได้คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น
To think of those periods of times
แค่ได้รู้ว่าฉันได้เคยมีวันที่ดีเท่าไร
To realize how good the old days were
รักเธอดีเท่าไร ฉันโชคดีแค่ไหนได้พบเธอ
How great your love was, how lucky that I met you
เพราะรักเธอของฉันได้ผ่านไปแล้ว
‘Cause your love is no longer here
และไม่มีเรื่องใดจะดีเหมือนเดิม
None of this will be good again
มันยังมีบางครั้งที่อยากถาม
There’s some time I want to ask a question
เธอไม่อยู่ตรงนี้ให้ได้ถาม
But you’re not here for me to strike my wonder
แล้วเธอล่ะ คิดถึงกันหรือเปล่า
How about you? Do you miss me I like miss you?
-
พัชไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมตอนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าตั้นและแม่ของตั้น มันกลับเป็นความรู้สึกสบายใจ และบ้านทั้งหลังเหมือนถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความสงบ ทั้ง ๆ ที่ครั้งหลังสุดที่เรียกได้ว่า พัชเผชิญหน้ากันกับคนทั้งคู่ มันมีแต่ความอึดอัดและความทรมานจิตใจ
“ลุกขึ้นมาทำไม นอนพักเยอะ ๆ ดีกว่านะ แล้วอาการแพ้ท้องดีขึ้นแล้วหรือ ลุกมาเดินแบบนี้ เดี๋ยวเวียนหัวนะ” แม่ของตั้นที่ยืนทำอะไรง่วนอยู่ที่หน้าเตาทำอาหาร พูดกับพัช เมื่อเห็นว่าเขาเดินมาหยุดอยู่ไม่ไกล พัชหยิบจานที่ล้างเอาไว้จนสะอาดแล้ว หยิบมันขึ้นมาคว่ำลงไปตรงที่วางจาน
“พัชโอเคครับ” พัชพูดบอกออกไปแบบนั้น มองเห็นแม่ของตั้นยิ้มให้ ก่อนจะหันไปมองที่หม้อที่ตั้งไฟเอาไว้อ่อน ๆ ที่แม่เคี่ยวน้ำซุปไก่สีใสน่าทานเป็นอย่างมาก “ตอนเด็ก ๆ เวลาตั้นเขารู้สึกไม่สบาย แม่ก็ต้มซุปร้อน ๆ ให้เขาซด ไม่นานเลย ตั้นก็หายเป็นหวัด” พัชมองแม่ของตั้น ใช้พัพพีช้อนฟองขาว ๆ ที่อยู่ตรงขอบหม้อออก เพื่อให้น้ำซุปนั้นมีสีใส
“ตั้นเขาชอบแบบไม่ใส่น้ำปลา ใส่เกลือหรืออย่างมากก็ใส่แต่ซีอิ๊วขาวได้ เขาบอกว่ากลิ่นมันไม่แรง ส่วนน้ำปลามันคาวไปหน่อย นี่แม่ก็สงสัยนะ ว่ามีลูกเป็นฝรั่งกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” พัชได้ยินแม่ของตั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ส่วนสายตายังมองไปที่ทัพพีที่ตักฟองออกจากหม้อน้ำซุป
“แต่วันนี้ ซุปใสหม้อนี้สำหรับเรานะ พัช” แม่ของตั้นหันมายิ้มให้อีกครั้ง “กินอะไรไม่ค่อยลง ก็ซดน้ำซุปร้อน ๆ เอา คล่องคอดี แก้อาการคลื่นเหียนไปด้วย นี่ถ้ากลัวว่าจะจืดไป เหยาะพริกไทยปุ่นลงไปหน่อยก่อนกิน จะได้ไม่เลี่ยน หวังว่าจะถูกปากนะ” สิ่งหนึ่งที่พัชไม่เคยรู้มาก่อนเลย ก็คือแม่ของตั้นทำอาหารได้น่าหอมกินมาก และอีกสิ่งที่เพิ่งรู้ก็คือ อะไรคืออาหารจานโปรดของตั้น
“พัชขอชิมได้มั้ยครับ” พัชบอกกับแม่ของตั้น ที่พยักหน้าเชิญชวน “ระวังร้อนนะ มานี่ แม่ตักใส่ถ้วยให้ก่อน” พัชมองเห็นน้ำซุกที่ส่งควันลอยฟุ้งในถ้วยนั้น ก่อนจะหยิบช้อนสั้นตักน้ำซุปจากถ้วยขึ้นเป่า แล้วเอาเข้าปาก ตาของพัชคงเป็นประกายขึ้นมาจนสังเกตได้ในทันที ที่ได้รับรสของอาหารที่อร่อยนั้น
“ชอบใช่มั้ย ชอบก็กินเยอะ ๆ เพราะกินอาหารหนักต้องย่อยเยอะ ก็คงจะออกมาหมด น้ำซุปอุ่น ๆ ก็ทำให้ให้สบายท้อง” แม่ของตั้นพูดไปยิ้มไป และพัชเองไม่คิดว่าตัวเองเคยมีโมเม้นท์ที่เคยคุยกันดี ๆ แบบนี้กับแม่ของตั้นเลยสักครั้ง “สงสัยเจ้าตัวเล็กจะชอบเหมือนกัน ดีเลย จะได้ไม่กวนเยอะ กินอะไรแล้วต้องเอาออกมาหมดแบบนั้น” แม่ของตั้นพูดเสียงกลั้วหัวเราะ เมื่อเห็นพัชซดน้ำซุปจนหมดถ้วยได้ โดยไม่มีอาการคลื่นไส้อย่างตอนกินอาหารอย่างอื่น
“ขอบคุณนะครับ” พัชพูดออกไปจนได้ และนี่ก็คืออีกหนึ่งประโยค ที่ตัวเขาเองจำไม่ได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เคยพูดประโยคนี้กับอีกฝ่าย โดยที่ในใจไม่ได้คิดค่อนขอดอีกฝ่าย หรือเอากลับไปพูดนินทากับเพื่อนทีหลัง จนกลายเป็นเรื่องตลกระหว่างกลุ่มแชท มันคือเมื่อไหร่กัน
“มาพูดขอบคุณอะไรกัน เล็กน้อยเอง พัชก็เป็นลูกแม่คนหนึ่ง แล้วในท้องนั่น ก็หลานแม่ หลานคนแรกของย่า” แม่ของตั้นพูด ก่อนจะรับถ้วยน้ำซุปไปจากมือของพัช “กลับไปนั่งพักก่อนไป เดี๋ยวแม่เคี่ยวน้ำซุปต่ออีกหน่อย แล้วจะยกไปให้ นั่น ตั้นเขาเรียกหาแล้ว” แม่พูดขึ้น หัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงของลูกชายเรียกหาคนรัก
“หมอสั่งเอาไว้แล้วไง ว่าให้พักผ่อนเยอะ ๆ” พัชที่เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ตั้นยืนรออยู่ที่โซฟาเบดตัวเก่าอยู่ก่อนแล้ว “รู้สึกหิวน่ะ เห็นแม่ทำซุปใสอยู่ในครัว ก็เลยไปขอชิม อร่อยมาก” หรือนี่จะเป็นครั้งแรกในรอบเป็นปี ๆ ที่บทสนทนาระหว่างกัน พัชนึกย้อนกลับไป ที่มันไม่ใช่การค่อนแคะกระแนะกระแหน เพื่อรอให้อีกฝ่ายทำสีหน้าเจ็บปวด เพื่อสนองความสะใจของตัวเอง
“ตั้นดีใจนะ และก็คลายกังวลไปเยอะ” ตั้นจับมือของพัชเอามากุมเอาไว้ เมื่อทั้งสองนั่งลงบนโซฟาเบดตัวเก่านั้นด้วยกัน “ที่พัชเข้ากันได้ดีกับแม่ มันคงจะทำให้ตั้นเสียใจไม่น้อย หากว่าพัชและแม่ไม่สามารถญาติดีกันได้ เพราะไหนจะลูกเราที่จะลืมตาเกิดขึ้นมาอีกล่ะ แบบนั้นยุ่งแน่ ๆ” พัชรู้สึกถึงก้อนเหนียว ๆ ที่มันกลืนลงไปได้อย่างยากลำบาก ที่มันขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
“ผมรักพัชมาก และเรากำลังจะมีลูกด้วยกัน” พัชมองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข ที่มันฉายชัดอยู่ในนั้นของตั้น “แต่ตั้นก็มีแม่คนเดียว และตอนนี้แม่ก็อายุมากแล้ว สุขภาพก็แย่ลงทุกวัน ตั้นไม่อยากเลือกใครเหนือใครทั้งนั้น ตั้นเองคงเคยทำบุญเอาไว้อยู่บ้าง บุญเก่ายังมี ขอบคุณนะพัช ที่ทำเพื่อตั้นมากขนาดนี้” พัชพูดอะไรไม่ออก เมื่อตั้นดึงเอาตัวเขาเข้าไปกอดจนแน่น
“ตั้นเลือกมา ถึงเวลาแล้ว อย่ามามัวขี้ขลาด หดหัวอยู่แต่ในกระดอง” พัชตะโกนเสียงดัง ตะคอกใส่หน้าของอีกฝ่ายจนสุดเสียง ไม่สนเลยสักนิด ว่าแม่ของตั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย “ถึงเวลาที่ต้องเลือกแล้ว อยู่ต่อไปแบบนี้มันไม่เวิร์คหรอก” พัชส่งสายตาแบบคนไม่ยี่หระต่อสถานการณ์ตรงหน้า บอกอีกฝ่ายให้เลือกมา มันจะไม่มีการประนีประนอมกันอีกต่อไป
“ใจเย็นก่อนพัช ตั้นขอให้พัชคุยดี ๆ” ตั้นพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเช่นกัน “ใจเย็นอะไรกันอีก ตั้น คุยดี ๆ คืออะไร ในเมื่อมีแต่พัชคนเดียวที่ต้องทนมาตลอด มันคือพัชนี่ พัชเท่านั้นที่พูดดี แต่มันก็เท่านั้น แม่ของคุณเรียกพัชว่ากะเทยไม่มีหัวนอนปลายตีน แล้วแบบนี้ พัชยังจะต้องคุยอะไรดี ๆ ด้วยอีก ตั้นต้องการให้พัชใจเย็นได้อีกอยู่อย่างนั้นสิ นี่ดีเท่าไหร่แล้ว ที่พัชไม่สวนกลับไปบ้าง ด่าแม่ของตั้นด้วยคำต่ำ ๆ ประเภทเดียวกันอย่างที่พัชโดน” หน้าตา สีหน้า ท่าทาง คำพูดของพัช เดือดอย่างที่สุด
“สิ่งที่ตั้นขอพัช คือ เรื่องที่ตั้นต้องการให้พัช เรียนรู้และรู้จักแม่เขาบ้าง” ตั้นพูดถึงเรื่องที่เคยคุยกันก่อนหน้า ว่าพัชควรจะปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง เพื่อเข้าหาผู้ใหญ่ “แล้วแม่ของตั้น รู้จักอะไรพัชบ้าง ไหนบอกมาทีคุณแม่ พัชชอบสีอะไร ของโปรดที่พัชชอบกินคือ” พัชเบ้ปากใส่ เมื่อเห็นแม่ของตั้นเบือนหน้าหันไปทางอื่น
“เห็นหรือยัง ตั้นควรจะเห็นเองกับตาบ้างนะ ว่าตัวปัญหาที่แท้จริงน่ะ ไม่ใช่พัช” ตั้นหลับตาลง อย่างคนที่ต้องการควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างที่สุด “พัชถึงได้ให้ตั้นเลือกไง เราสองคนเป็นคู่เกย์นะ พูดเอาไว้ให้ได้ยินกันตรงนี้อีกครั้ง เผื่อแม่ของตั้นจะยังไม่ทราบ ว่าตั้นน่ะ ชอบซดถั่วดำ และไม่มีทางที่ถั่วดำมันจะกลายเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง แบบที่แม่ตั้นจะบังคับให้ตั้นกินได้” ตั้นส่ายหน้าเมื่อได้ยินพัชพูดแบบนั้นออกมา
“ตั้น ถ้าตั้นจะอยากมีลูกตามที่แม่ตั้นบังคับด้วยการเอาแต่ได้ เอาแต่ใจรู้ทั้งรู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นเกย์ ชอบผู้ชาย แล้วจะหาผู้หญิงมาให้ตั้นแต่งงานด้วย พัชถึงได้พูดจนปากจะฉีกถึงรูหูนี่ยังไง ว่าตั้นต้องเลือก จะไปต่อโดยไม่มีพัช ก็แค่พูดมา แต่ถ้าจะมีพัชอย่างที่เราเคยอยู่ด้วยกันมาแล้วล่ะก็ ถึงเวลาตัดตัวปัญหาออกไปซะ” เสียงของพัชยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของตัวเอง
“ตั้น” พัชเรียกชื่อคนรักของตัวเอง ที่จำได้ว่า อีกฝ่ายกลายเป็นคนในอดีตไปแล้ว “เท้าของพัชยังไม่เริ่มบวม แต่หมอบอกว่า อีกไม่นาน พอน้ำหนักเริ่มมากขึ้น รับรองได้เลย” ตั้นเอาเท้าของพัช ไปนวดให้เบา ๆ “พัชพูดว่าไงนะ” พัชเห็นรอยยิ้มของตั้น ที่แสดงให้เห็นถึงความสุขที่เขามี มันทำให้พัชเม้มริมฝีปากจนเกือบจะเป็นเส้นตรง ด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่รุมเข้ามาหามากมาย
“พัชอยากขอโทษ” ตั้นหัวเราะออกมาแทบจะทันที ที่ได้ยินพัชพูดแบบนั้น “ไม่เป็นอะไรเลย ตั้นทำให้ได้ มา ๆ นวดเท้าหน่อย พัชจะได้นอนหลับสบาย ถ้าพัชรู้สึกสบาย เจ้าตัวเล็กในท้อง ก็จะได้ไม่กวนมาก” ตั้นจัดแจงให้พัชเอนหลังลงพิงกับหมอนใบใหญ่ที่ตั้นเตรียมเอาไว้ให้พัชล่วงหน้า เมื่อตอนที่ท้องของพัชเริ่มใหญ่มากขึ้นกว่านี้ จะลุกจะนั่งจะได้ไม่ลำบากมาก
“ตั้นเสียอีก ที่ต้องขอบคุณพัช ที่ต้องอุ้มท้องลูกเราตั้งเก้าเดือน ตั้นรู้ว่าพัชไม่ชอบที่ตัวเองน้ำหนักขึ้น ไม่อยากอ้วน ขอบคุณนะ ที่พัชกำลังจะมอบของขวัญที่พิเศษที่สุดให้กับตั้น ยังไง ถ้าแม่ของตั้นพูดอะไรไม่ถูกหู ไม่ถูกใจพัชไปบ้าง ทน ๆ เอาหน่อยเนอะ” สายตาของตั้นที่ใช้มองมาที่พัช มันทำให้พัชรู้สึกทรมานอย่างที่สุด
“ได้ ตั้นเลือกเองนะ แล้วอย่ามาเสียใจทีหลัง เพราะมันไม่ทันแล้ว พัชจะได้รู้เสียที ว่าสิ่งที่พัชทำให้มันไม่มีค่าอะไรสำหรับตั้นเอาเสียเลย ไม่ต้องสนหรอกความรู้สึกของพัชเนี่ย แล้วอย่าคิดนะว่าพัชจะแคร์ จบ ๆ กันไปก็ดี ตัดขาดกันตั้งแต่ตอนนี้ พัชไม่ง้อ และรู้เอาไว้ด้วย ว่าต่อจากนี้ คนที่เสียใจ มันไม่ใช่พัช” ทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ทุกคำพูด พัชจำได้ดี และมันย้อนกลับมาให้พัชได้รู้สึกอีกครั้ง
**********************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
แอบหวัง - Anatomy Rabbit
https://www.youtube.com/watch?v=ksX5GvUB418
ก็สบายดีหนิ
I’m pretty okay
ไม่เห็นจะเศร้าใจเหมือนที่ดูในหนัง
Nothing makes me sad like in the movies I saw
ไม่มีเธอก็สบาย
Living without you is simply alright
ไม่ต้องปวดหัวต้องคอยเอาใจอยู่เรื่อยไป
Save myself from headaches, no need to appease you all the time
หลอกตัวเองไปวันวัน
Fooling myself on a daily basis
ว่าไม่มีเธอก็อยู่ไหว
I’m fine when you’ re not around
บอกตัวเองไปวันวัน
Telling myself so daily
ว่าแค่นี้สบาย
It’s nothing, really
แต่ใจข้างในยังคิดถึง
But in my heart, I do miss you
ยังไม่ลืมเธอได้เลยสักวัน
Never ever can forget you not just one day
และใจก็ยังคงแอบหวัง
Deep down, I’m hoping that
ว่าสักวันเธอจะกลับมาหา
Someday you’ll come back to me
ต้องคอยแสดงบทบาทสมมุติ
I need to act and pretend
เหมือนคนอารมณ์ดี
Like I’m always in a good mood
ต่อหน้าใครใคร ฉันต้องมีความสุข
In front of others, I must show that I own the happiness
ต้องยิ้ม หัวเราะ
Smiles and laughs
ทั้งที่ใจข้างใน ไม่เคยรู้สึกดี
Though inside my heart, doesn’t feel any good of it
ยังคงคิดถึง วันวานวันนั้นที่มีเธออยู่
I still miss you, the old days that I had you with me
ยังคงไม่ลืม ภาพความทรงจำทุกทุกเรื่องราว
I still can’t forget, all the memory - every single thing
-
“อย่ากวนเยอะนะเจ้าตัวเล็ก” ตั้นพูดกับหน้าท้องของพัช ที่มันยื่นออกมาน้อย ๆ “พัชกินยาบำรุงก่อนนอนนะ แล้วอันนี้ยาที่ช่วยให้อาการแพ้ท้องไม่หนักมาก จะได้หลับสบายขึ้น ตอนกลางคืนก็จะไม่ต้องตื่นบ่อย อาการมอร์นิ่งซิกเนสหลังตื่นนอนก็จะทุเลาลงด้วย” พัชรับยาจากตั้นไปกิน และต้องดื่มน้ำจนหมดแก้วให้ตั้นดูต่อหน้า
“นอนพักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ” ตั้นประคองตัวของพัชให้นอนลง ก่อนจะขยับหมอนหนุนและหมอนข้างสำหรับคนท้องให้กับพัช เพื่อให้เจ้าตัวนอนหลับสบาย ใครจะว่าตั้นเห่อลูกคนแรกนี้มาก ทั้ง ๆ ที่ท้องของพัชยังไม่ได้ใหญ่อะไรเลย แต่ตั้นก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่าทั้งหมดนี้ เขาทำเพื่อพัชคนที่เสียสละมากกว่าเขา ไม่ว่าจะอะไรทั้งหมด
“ตั้นล่ะ ยังรู้สึกคลื่นไส้อยู่มั้ย” พัชถามมองดูตั้นจัดแจงขยับผ้าห่มคลุมตัวให้กับพัช เพื่อให้พัชนอนหลับในท่าที่สบายมากที่สุด “ไม่ค่อยเท่าไหร่แล้ว” นี่คือคำพูดของตั้น ที่เจ้าตัวใช้เสมอ ยามต้องการบอกปัดอะไรบางอย่าง ที่แม้มันจะกำลังรบกวนความรู้สึกของเขาอยู่มากก็ตาม แต่เป็นที่ตั้นไม่ต้องการให้คนอื่นหันความสนใจมาโฟกัสที่ตัวเขา
“เป็นแบบนี้ก็ดีนะ” พัชบอกกับตั้น ยิ้มให้กับอีกฝ่าย ในแบบที่ตัวเขาเองนั้น “สบายดี” รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ “มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่นา” ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของตั้น พลันพัชเองก็น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาทั้งสองจนร้อนผ่าว เพราะที่จำได้ ย้อนกลับไปแล้วนั้น มันไม่เคยเป็นแบบนี้ มันไม่เคยทำให้ใจสงบแบบนี้เลย
“ร้องไห้ทำไม ตั้นพูดเสียงดังไปหรือเปล่า ตั้นไม่ได้ดุพัชสักหน่อย” ตั้นหัวเราะเบา ๆ แบบเอ็นดู ที่อยู่ ๆ คู่ชีวิตของเขาก็มีน้ำหูน้ำตาขึ้นมา “ไม่เป็นไรนะ” ยิ่งตั้นพูดปลอบมากเท่าไหร่ พัชก็สะอึกสะอื้นเพิ่มขึ้นเท่านั้น กับความรู้สึกที่มันอธิบายไม่ถูก แต่มันถูกนำมาด้วยความรู้สึกผิดในใจ “เราก็อยู่กันไปแบบนี้แหละ พัชกับตั้น แล้วก็เจ้าตัวเล็กนี่ด้วย” ริมฝีปากของพัชสั่นระริก เมื่อมองเห็นตั้นแนบแก้มลงไปที่ท้องน้อยของพัช
“เช็ดน้ำตาก่อน” พัชใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้กับพัชอย่างอ่อนโยน “คนท้องก็อย่างนี้แหละ ตั้นอ่านเจอในเว็บของคุณหมอ ฮอร์โมนมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวขึ้นสูง เดี๋ยวลดลง มันก็จะสวงิ ๆ หน่อย คนที่อยู่ใกล้ต้องทำความเข้าใจเยอะ ๆ แต่ตอนนี้ คนท้องต้องนอนพักเยอะ ๆ ตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้เช้า จะได้อารมณ์ดี ๆ เช่นกัน” ตั้นบอกกับพัช แล้วยังบังคับให้อีกฝ่ายหลับตาลง
พัชหลับตาลงตามที่ตั้นบอกอย่างว่าง่าย มันเป็นแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ ที่พัชอยู่กับตั้น แล้วพอพูดอะไรกัน ก็ไม่มีแต่การสาดอารมณ์ใส่กัน มีเพียงแค่การทำตามกันแบบเข้าใจ และรู้สึกได้ถึงความหวังดีที่มีให้กันและกัน ความอบอุ่นที่ทำให้การส่งเข้านอนในคืนนี้ ทำให้ใจรู้สึกสบาย และไม่มีอะไรเข้ามาให้รกสมองจนนอนไม่หลับ
เสียงปลุกจากนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ ดังแผดขึ้นในความรู้สึก พัชใช้มือควานหามันเพื่อเอามาปิดเสียงนั้นให้มันดับลง มือไล่แปะแบบเปะปะไปตามความจำที่มี ว่าปกติแล้ว ตัวเองวางมือถือเอาไว้ตรงไหน ตอนก่อนเข้านอน พอหยิบมาได้ พัชเลื่อนปิดเสียงปลุกจากนาฬิกาที่น่ารำคาญนั้น เวลาที่หน้าจอบอกถึงว่า มันเลยหกโมงเช้ามาห้านาที
พัชผุดลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ต้องนึกได้ว่า ตั้นเตือนเอาไว้แล้ว ให้ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง ตอนจะนั่ง ก็ต้องค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่ง ต้องไม่ลืมว่าตัวเองนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ อันตรายสำหรับช่วงท้องในไตรมาสแรก ก็มีสูงอยู่ ดังนั้นตั้นก็เลยดูจะจู้จี้จุกจิกกับพัชมากพอสมควร เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
“ตั้นไม่ทำข้าวเช้าหรือไงวันนี้ ทำไมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เงียบจัง” พัชนึกสงสัย ก่อนจะก้มลงมองไปที่เท้าทั้งสองข้างของตัวเอง ที่เหยียบอยู่บนพื้นห้อง ที่มันดูไม่เหมือนเดิม มันดูมีลักษณะที่เป็นปรกติ ไม่บวมขึ้นอย่างที่ตั้นบีบนวดเท้าให้เมื่อวาน เห็นแบบนั้นแล้ว พัชรีบเอามือมาจับที่หน้าท้องของตัวเองในทันที
“ไม่จริง” พัชร้องขึ้นเสียงดัง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองห้องนอนที่ตัวเองอยู่ มันคือห้องที่คอนโดที่เขาซื้อเอง หลังจากแยกออกมาจากบ้านเดิมที่อยู่ด้วยกันกับตั้น พัชรู้สึกได้เลย ยอมรับว่าตอนนี้ตัวของเขานั้น ใจสั่นไปหมด เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันกลับมาสู่ชีวิตก่อนหน้า ที่มันคงจะเป็นแค่ฝันไปเพียงเท่านั้น
พัชเดินเข้ามาในออฟฟิศตามปกติ ท่ามกลางสายตาของใครหลายต่อหลายคนที่มองมาที่เขา แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ว่าบรรยากาศมันดูไม่เป็นมิตรมากเท่าไหร่นัก พัชเองรู้สึกได้ไม่ยากกับความอึมครึมนั้น แต่บอกไม่ได้ว่ามันเกิดมาจากอะไรกันแน่ เพราะเขามั่นใจว่า ตัวเองไม่ได้ไปทำอะไรผิด หรือสร้างความบาดหมางอะไรกับใครไว้
“พัช แกตามมานี่” เพื่อนที่สนิทที่สุดในออฟฟิศ “มานี่เลย” รีบเดินมาดึงตัวเขาหลบไปที่ห้องด้านหลัง ที่เลยผ่านห้องชงกาแฟไปในทันที “อะไรเนี่ย มีอะไร” พัชเองถึงกับตกใจกับท่าทางของเพื่อน รวมถึงท่าทีแปลก ๆ ของคนอื่น ๆ ในออฟฟิศที่เห็น
“ฉันรู้นะ ว่าตำแหน่งแกน่ะ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันอย่างคนอื่น” เพื่อนสนิทของพัชพูด พลางชะโงกดูให้แน่ใจว่า ไม่มีใครเดินผ่านมา “แต่แกจะหายไปโดยที่ไม่ติดต่อใครเลยนานติด ๆ กัน สามสี่วันแบบนี้ไม่ได้ คนตามงานแกกันให้ควั่ก โน่น ยิ่งพวกกลุ่มออแกไนซ์ ตามเขียวปั้ดที่ตามหาแกไม่เจอ” พัชถึงกับหน้าเหวอที่ได้ยินเพื่อนพูดออกมาแบบนั้น
“แกว่ายังไงนะ ฉันทำอะไรนะ” พัชต้องเอ่ยปากถามเพื่อนออกไปในทันที “ยิ่งคนอื่นเขารู้ว่า แกเงียบหายไป หลังจากคืนที่ออกไปเย้ว ๆ เมาเหล้า เที่ยวสามสี่ผับติดต่อกัน ทั้งคืนจนถึงเช้าด้วยแล้ว ดีนะ ที่นายไม่ว่าอะไร เพราะฉันบอกนายว่า แกไปถ่ายงานให้กับลูกค้ารายใหญ่ อาจจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ตก็คงจะใช้ไม่ได้” เพื่อนสนิททำหน้าที่แก้ตัวแทนพัชให้จนเสร็จสรรพ
“ถึงแกจะเป็นพนักงานแค่ไม่กี่คน ที่นายไว้ใจมาก เพราะการทำงานของแกไม่เคยขาดตกบกพร่องก็เถอะ” เพื่อนพูดกับพัชอย่างเป็นจริงเป็นจัง “แต่แกอย่าลืมนะ ว่ามันมีพวกที่คอยจะซ้ำเมื่อแกล้มอยู่อีกหลายคน” พัชกำลังเรียบเรียงเหตุและผล ตรรกะเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งรับข้อมูลมา อย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะยอมรับมันยังไงเหมือนกัน เมื่อเพื่อนสนิทของเขาบอกว่า เขาหายไปหลายวัน หลังจากออกไปปาร์ตี้มาทั้งคืน
“นายเขาเข้าใจ ว่าแกน่ะ เพิ่งมีปัญหาชีวิตคู่มา และกับตั้นอาจจะมีอะไรที่มันทำให้แกต้องบู๊ ต้องสู้กันยกใหญ่” พัชได้ยินเพื่อนก็จริง แต่ในหัวกำลังถามตัวเองถึงความไม่น่าเชื่อนี้ว่า ที่ตัวเขาเองนั้น ฝันไปเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่เห็นตั้น แม่ของตั้น รวมทั้งเรื่องที่ตัวเองนั้นตั้งท้อง มันแค่เพียงข้ามคืนไม่ใช่หรือ เพราะเขาจำได้ว่าออกไปสังสรรค์จริง แต่ก็ตื่นขึ้นในอีกวัน จนกระทั่งหลับแล้วตื่นอีกรอบ มันก็ไม่เกินสองวันเป็นอย่างมาก
“แกเคยฝันอะไรแปลก ๆ มั้ย แบบฝันเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้เลย ในชีวิตจริงไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย แต่ในฝัน มันกลับเหมือนจริงมาก จริงจนแกรู้สึกมันได้ แม้ตอนที่แกตื่นขึ้นมาแล้ว” พัชยังคงรู้สึกถึงการมีเด็กตัวน้อยอยู่ในท้องน้อย รวมถึงอาการพะอืดพะอมของการแพ้ท้อง ที่ในความเป็นจริง พัชไม่มีทางรู้สึกสิ่งเหล่านี้ได้เองอย่างแน่นอน ถ้ามันไม่เกิดขึ้นกับเขาจริง ๆ
“ฝันงั้นหรือ อย่างเช่นเรื่องอะไร” เพื่อนสนิทของพัชทำหน้างง ถามกลับมา “ก็อย่างเช่นเรื่อง” พัชเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกไปยังไงเหมือนกัน ให้ดูไม่ประหลาด “เรื่องฝันว่าตัวเองท้อง อะไรแบบเนี้ย” เพื่อนสนิทของพัชเลิกคิ้วขึ้นในทันที เมื่อได้ยินพัชพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างนึกขัน
“ไม่เคยหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นผู้หญิงก็ตาม ไม่อ้ะ ไม่เคยฝันอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง” พัชได้ยินเพื่อนสนิทพูดด้วยอาการกลั้วหัวเราะ “แกอย่าบอกนะ ว่าแกฝันอะไรแบบนี้” เพื่อนสนิทของพัชส่งสายตาราวกับเอ็นดูในความพิสดารนี้เสียเต็มประดา “ถ้าแกฝันอะไรแบบนี้จริง ฉันก็เข้าใจได้นะ เพราะมันคงเหมือนกับเป็นความหวังที่ไม่อาจจะเป็นไปได้เอง ไม่เกิดขึ้นจริงของคู่รักเกย์เลสเบี้ยน” พัชพยักหน้าน้อย ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“นี่เป็นหนึ่งเหตุผลหรือเปล่า ที่ทำให้แกกับตั้นเลิกกัน เรื่องที่แกไม่สามารถมีลูกด้วยกันเองตามธรรมชาติได้” พัชยิ้ม พลางรับส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อนออกไป “เพราะจริง ๆ ฉันก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ ที่คู่เกย์จะไปรับเด็กที่เป็นลูกคนอื่นมาเลี้ยง เข้าตำรา เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอมน่ะ ฉันว่าไม่โอเค” เพื่อนสนิทบอกความคิดของตัวเองออกมาให้พัชรับรู้
“แต่ถ้าแกจะดึงดันทำกันจริง ๆ ฉันก็ไม่ห้ามอะไรพวกแกหรอก แต่ฉันไม่รู้ว่าแกรู้มั้ยนะ แต่ตั้นมันดูมีความสุขกับชีวิตที่มันเลือกแล้ว และฉันก็ได้ข่าวมาว่า ผู้หญิงที่มันแต่งงานด้วย กำลังท้องลูกคนแรกอยู่” พัชได้ยินมาถึงตรงนี้ ก็รีบเปลี่ยนเรื่อง และเดินออกไปชงกาแฟ รีบกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เริ่มทำงานตามปกติ ในวันนั้น พยายามทำทุกอย่างให้กลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้ได้ดังเดิม
*********************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
ใครนิยาม - ETC.
https://www.youtube.com/watch?v=hWE9lGOs_64
ปล่อยมือยอมหากเธอนั้นคิดจะไป
I let go of my hands when you want to leave
เมื่อเธอยืนยันว่าในหัวใจ
You insisted that this was what your heart desired
เธอต้องการอย่างนั้น
You did really want it that way
บอกกับเธอให้เธอรักเค้านานนาน
I told you to love him eternally
เมื่อเธอเจอคนที่เธอต้องการ
This time you found someone you longed for
ฉันพร้อมจะเข้าใจ
I’d make myself understood
อยากจะยินดีที่มองดูเธอและเค้า
I’d love to wish you and your love happiness
ด้วยรักสุดใจ
With all the love my heart stored
แต่ไม่เคยจะทำได้สักที
Yet, no I never ever could
ความรักจริงจริงมันคืออะไร
True love, what is that thing, really?
ใครนิยาม
Who gives it its definition?
ที่บอกว่ารัก
It says that love
ต้องสุขใจแม้สุดท้ายเธอรักใคร
Is the way I am happy to see whoever you love
แต่แล้วความจริงมันคืออะไร
But what the reality turns out to be?
ยอมให้เธอจากไป
I did let you walk away
แล้วทำไม ช้าอย่างนี้
And then why am I so sad like this?
สิ่งที่เคยเข้าใจไม่เหลือสักอย่าง
What I thought I understood is gone
เมื่อก่อนที่เคยได้ยินได้ฟัง
I heard people say it before
ว่ารักคือการให้ไป
That love was all about giving
ไม่ใช่การครอบครองแล้วหวังอะไร
It was not to possess and hope it would give something back
แต่ความเป็นจริงนั้นมีไหมใคร
But truly, can anyone that's living out there?
ที่ทำได้จริงทุกอย่าง
Can do any sort of this shit for real?
-
สามสี่วันที่ผ่านมานี้ เป็นที่พัชเอง ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้เลย ด้วยความที่ทุกเช้าที่เขาตื่นนอนขึ้นมา เขาพบตัวเองยังคงอยู่ในห้องเดิม แต่มันไม่ใช่ห้องที่เขาต้องการ พัชลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องคอนโดของตัวเอง ไม่ใช่ห้องนอนที่บ้านหลังเก่าที่เคยอยู่ การที่ไม่มีใครเข้าหน้าพัชได้ติด ไม่แม้แต่เพื่อนสนิทในที่ทำงาน ก็ยังเลี่ยงและบอกกับพัชตรง ๆ ว่า ขออยู่ห่าง ๆ กันสักพัก จนกว่าพัชจะหาทางดีลกับตัวเองได้ และไม่เอาอะไรก็ตามที่กำลังเป็นปัญหา หรือที่กำลังทำให้พัชความรู้สึกไม่นิ่ง จนกลายเป็นคนที่ใช้อารมณ์กับทุกเรื่องแบบนี้
ซึ่งพัชนั้น ถูกนายเรียกเข้าพบด้วยเช่นกัน และเตือนมาว่า หากพัชยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป และไม่ยอมแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อะไร ๆ คงจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนเดิม เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดตามมาในภายหลัง พัชได้แต่รับปากนายไป รู้ตัวเช่นกันว่านายนั้นซีเรียสกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะน้อยครั้งมาก ที่พัชจะถูกเรียกมาตำหนิและคาดโทษแบบนี้
พัชกลับห้องคอนโดทันทีหลังเลิกงาน เพื่อเลี่ยงการตกเป็นเป้าสายตา และไม่ต้องตอบคำถามอะไรประหลาด ๆ จากคนที่ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องอะไรของพวกเขาเลยสักนิด พัชวางถุงผ้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบเอาขวดแก้วสองสามแพ็คออกมา พัชแวะร้านสะดวกซื้อที่ใต้คอนโด ตั้งใจเพื่อซื้อพวกมันมา
พัชนึกถึงคืนนั้น คืนที่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แล้วตื่นขึ้นมาที่บ้านเก่าของตัวเองกับตั้น จึงคิดว่า หลังจากวันที่พัชตื่นขึ้นมาในห้องคอนโดของตัวเอง แล้วในคืนถัด ๆ มา ไม่สามารถนอนหลับแล้วตื่นที่ห้องนอนในบ้านเก่าได้ มันคงจะมีเงื่อนไขอะไรบางอย่างที่ผิดไปจากคืนนั้นอย่างแน่นอน และนั่นคงจะเป็นการที่ยังมีสติครบถ้วนก่อนเข้านอนของเขา
พัชเปิดขวดแอลกอฮอล์ขวดแรก ที่เป็นเครื่องดื่มเดียวกันกับที่เขาดื่มในคืนนั้น ก่อนจะกระดกขวดขึ้นดื่มรวมเดียวจนหมดขวด พัชไอออกมา เมื่อรสชาติแอลกอฮอล์มันบาดคอ พัชจงใจปล่อยให้ท้องว่าง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมปริมาณแอลกอฮอล์เข้าไปได้อย่างเต็มที่ พัชเปิดขวดที่สอง ก่อนที่มันจะว่างเปล่าตามขวดแรกไปในเวลาไม่นาน
ตอนนี้สายตาของพัชเริ่มพร่าเลือนจากฤทธิ์ของเครื่องแอลกอฮอล์ เมื่อขวดรองสุดท้ายเพิ่งหมดไป พัชพยายามคว้ามือ จับขวดสุดท้ายที่เหลืออยู่นาน ก่อนจะจับมันมาเปิดฝนออกจนได้ เขาต้องกลั้นไม่ให้ตัวเองขย้อนเอาน้ำเมาที่ดื่มเข้าไปทั้งหมดนั้นออกมา ด้วยกลัวว่า มันจะคลายฤทธิ์ลงเสียก่อน และจะไม่สามารถไปอยู่ในที่ที่เขาตั้งใจเอาไว้แต่แรกได้
ภาพสุดท้ายที่พัชมองเห็น ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะถูกตัดจนดับวูบลง คือภาพของขวดแอลกอฮอล์ขวดสุดท้าย กลิ้งหลุดจากมือที่ถือมันเอาไว้อย่างง่อนแง่น เครื่องดื่มจากในขวดไหลลงนองบนพื้นห้อง ด้วยความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะรวบรวมความคิดให้เป็นชิ้นเดียวกันให้ได้ ว่าตัวเองอยากจะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่ไหน
“พัช” เสียงเรียกดังเข้ามาให้ได้ยิน “พัช พัช” และดังขึ้นอีกหลายครั้ง จนเจ้าของชื่อสะดุ้งและรู้สึกตัวจากเสียงเรียกนั้น พัชรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา เมื่อตั้นจับมือของพัชไปกุมเอาไว้ “หมอเรียกแล้ว” เสียงตั้นบอกกับพัช โดยที่ตัวพัชนั้น มองเห็นตัวเองในกระจก กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นคนไข้ พัชก้มลงมองดูที่ท้องของตัวเอง มันโตขึ้นเป็นอย่างมาก และมากกว่าเมื่อครั้งที่แล้ว ที่รับรู้ว่า ตัวเขานั้นท้องได้สามเดือนแรก
รถเข็นเข้ามาในห้องทำอัลตร้าซาวด์ พัชเห็นคุณหมอเจ้าของเคส ที่ตั้นดูจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี จากการที่พัชมองเห็นตั้นและคุณหมอ ทักทายพูดคุยอย่างเป็นกันเอง รวมถึงคุณหมอยังหันมายิ้มให้กับพัชอย่างอ่อนโยน ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้สัพเพเหระ เหมือนรู้จักกันมานาน แม้ว่า พัชรู้ตัวดีว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับคุณหมอฝากครรภ์ท่านนี้ก็ตาม
“เอนตัวนอนสบาย ๆ นะคะ รีแล็กซ์ได้เลย ผ่อนคลายนะคะ” เสียงคุณหมอพูดมาอย่างนุ่มนวลและใจดี ความรู้สึกเย็นจากเจลสีใส ที่ถูกป้ายและเคลื่อนไปตามท้องที่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดของพัช ทำให้เจ้าตัวทั้งตกใจและประหลาดใจอยู่ปนกัน และตอนนี้พัชไม่แน่ใจว่าอาการคลื่นไส้ที่เริ่มรู้สึกนั้น มันมาจากการตั้งครรภ์ หรือว่าจากแอลกอฮอล์จำนวนมาก ที่เขาจะได้ว่า ดื่มพวกมันเข้าไปอย่างมากมาย ในระยะเวลาไม่นาน
“หมอว่า อาการคลื่นไส้ที่ยังมีอยู่ อาจจะไม่ใช่อาการแพ้ท้อง แต่น่าจะมาจากความเครียดและความวิตกกังวล” คุณหมอพูดบอกมา พัชหันไปมองทางตั้นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กุมมือของพัชอยู่ไม่ห่าง “พอท้องใหญ่ขึ้น อะไร ๆ ก็ทำได้ยากขึ้น จะลุก จะนั่ง จะเดิน ก็อุ้ยอ้าย ปวดเมื่อยไปหมด” พัชมองเห็นแววตาที่ตั้นมองมา ที่มันมีแต่ความห่วงใน อัดแน่นอยู่ภายในนั้น
“พอไม่ทันใจพัชเขานะ ตอนนี้นะ ผมนี่หูชาไปหลายวัน” ตั้นพูดแซวคู่ชีวิตของเขา แต่ก็ด้วยอาการกลั้วหัวเราะ เป็นไปด้วยความเอ็นดู “ต้องอาศัยความเข้าใจมาก ๆ เลยค่ะ ท่องเอาไว้เลย ว่านั้นไม่ได้เป็นเพราะคุณพัช แต่เป็นที่ฮอร์โมนมันสวิงขึ้นสวิงลง อย่างห้ามไม่ได้เสียด้วย” คุณหมอบอกกับตั้นให้ยอมได้คือยอม ยอมไม่ได้ก็คือต้องยอม ตั้นหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินแบบนั้น
“เสียงหัวใจเต้น มีสองเซ็ทนะคะ” พัชหันมาตามที่ได้ยินหมอพูด ก่อนจะได้ยินเสียงหัวใจสองดวงเต้นเป็นจังหวะที่เข้ากัน พัชแทบไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่เขากำลังจ้องมองอยู่ในตอนนี้ ภาพที่หน้าจอมอนิเตอร์ มองเห็นการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างบนนั้น “เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวขอหมอปรับมุมอีกครั้ง” หมอพูดก่อนจะค่อย ๆ ขยับเครื่องมือที่ถืออยู่
“ค่อนข้างจะขี้อายเหมือนกันนะ เด็กคนนี้” ภาพบนหน้าจอมอนิเตอร์เปลี่ยนไป รู้ร่างของเด็กทารกในครรภ์เผยตัวให้เห็นชัดเจนในที่สุด “ยินดีด้วยนะคะ น้องแข็งแรงดี การเต้นของหัวใจก็เป็นจังหวะสมบูรณ์ดีมากค่ะ” การขยับตัวของเด็กบนหน้าจอมอนิเตอร์นั้น ทำให้พัชน้ำตารื้นขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะปล่อยให้หยาดน้ำตาใส ๆ ร้อนผ่าวนั้น ไหลลงบนแก้ม
“ลูกของเรา พัช” ตั้นจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากของพัชเบา ๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รวมทั้งความรู้สึกที่ตื้นตันอย่างเต็มเปี่ยมจนชัดเจน “แต่สิ่งที่หมอเป็นห่วงตอนนี้นะคะ คือเรื่องการพักผ่อนของคุณพัช” หมอหันมาพูดกับพัชโดยตรง โดยที่สายตาของพัชยังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอมอนิเตอร์ไม่เปลี่ยนแปลง
“ผลเลือดออกมาเป็นที่น่าพอใจ มีแค่อะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ผมอยากจะเสริมให้ค่ะ ว่าการพักผ่อนให้เต็มที่จะทำให้อาการแพ้ท้องดีขึ้น รวมทั้งเรื่องการบาลานซ์อารมณ์ด้วย เพราะถ้าเราอารมณ์ดี เด็กในครรภ์ก็จะดีตามเราไปด้วย เรื่องอาหารการกินก็อาจจะต้องปรับให้เพิ่มโปรตีนมากขึ้น รวมถึงผักและผลไม้ด้วย” ตั้นรับคำทั้งหมดนั้นจากที่หมอบอกมา
“ก่อนหน้านี้ ผมเองก็กังวลอยู่เหมือนกัน” ตั้นพูดกับคุณหมอ “เพราะพัชเขาดูเหมือนจะหลับยากมาก ตาแป๋วอยู่ยันดึก บางทีก็เกือบถึงเช้าเลย” ตั้นเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับหมอฟัง “จนหลัง ๆ มา ผมคิดไปถึงขั้นว่า พัชเขาตั้งใจที่จะไม่เข้านอนด้วยซ้ำ” ตั้นหัวเราะออกมา ตลกไปกับความคิดมากเกินเหตุของเขา
“มันเป็นไปไม่ได้จริงไหมครับคุณหมอ” คนถูกถามเองก็ยังหัวเราะออกมาด้วย “อันนี้คุณตั้นน่าจะเป็นห่วงมาก ก็เลยจินตนาการอะไรไปเกินกว่าความเป็นจริงที่มี” พัชได้ยินทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน “แต่พอได้ยินคุณหมอบอกว่า ทั้งพัชและลูกแข็งแรงดี ผมก็สบายใจแล้วครับ ทั้งสองคนเป็นแก้วตาดวงใจของผม” คุณหมอตอบกลับว่าเธอยินดีอย่างที่สุด และดีใจที่ทั้งพัชและตั้นมีความสุข
“ทีนี้ พร้อมจะรู้เพศของเด็กหรือยังคะ” คุณหมอถามขึ้นด้วยน้ำใจอ่อนโยนและใจดี ตั้นหันมาสบตากับพัชพร้อมเลิกคิ้วขึ้น เป็นเชิงถามพัชถึงความต้องการของพัช “ผมยังไงก็ได้ครับ” ตั้นพูดออกมา ทั้งหมอและตั้นรอคำตอบจากพัช ที่ตอนนี้มีสีหน้าดูลังเล ว่าจะให้คำตอบออกไปแบบไหนดี สายตาที่มองไปที่มอนิเตอร์นั้น มีน้ำตาใส ๆ คลอหน่วยอยู่
“พัชยังไม่อยากรู้” พัชเอ่ยออกมาในที่สุด “คุณหมอทราบแล้วใช่มั้ยครับ” คุณหมอพยักหน้าแทนคำตอบ “ช่วยเก็บเป็นความลับก่อนได้มั้ยครับ อย่าเพิ่งบอกพัช” คุณหมอยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ และยินดีที่จะเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับก่อน ถ้าพัชยังไม่อยากรู้ จนกว่าพัชเองจะร้องขอ
“ส่วนผม ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว แบบไหนผมก็รัก ไม่มีปัญหาอะไรครับ” ตั้นตอบคุณหมอออกไป เมื่อถูกถามว่า เขาเองต้องการจะรู้เรื่องเพศของลูกหรือเปล่า “ผมรอรู้ทีเดียวพร้อมพัชได้เลยครับ” พัชสบตากับตั้น ที่ความดีใจและความสุขของตั้น ผลักตัวเองออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จนพัชรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
*********************************************************
คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
ภาพทรงจำ - Mahafather
https://www.youtube.com/watch?v=mXcWDKahepM
อยากขอให้นาฬิกา หยุดเดินจะได้ไหม
I’d like the clock to stop what it’s doing
ทวนเข็มของนาฬิกาให้ภาพมันไม่หายไป
Go backward so all the pictures stay the same
อยู่ดีดีอารมณ์อ่อนไหว คิดถึงเธอเหลือเกิน
All of the sudden with this vulnerability, I miss you so
นานคืนวันไม่มีเธอแล้ว ยังไม่ชินสักคราว
It’s been this long you’re not around yet I’m not used to it
ภาพเรื่องราวค่อยค่อยจางหาย ไปตามกาลเวลา
What we had has started to fade away according to date and time
ไม่อยากลืมให้ภาพสลาย ฉันต้องทำเช่นไร
I don’t want to see them get erased, what must I do?
ฉันคิดถึงเธอ
I miss you dearly
อยากให้เธอได้รู้
I want you to know this
อยากขอให้นาฬิกา หยุดเดินจะได้ไหม
I wish that clock stop its ticking, please
ทวนเข็มของนาฬิกาให้ภาพมันไม่หายไป
Move the clock arms back so nothing will go away
อยากขอให้ความทรงจำ อย่าเดินไปจากฉัน
I’m asking of this memory, don’t you dare walk out of my life
เพียงแค่มีกันและกัน อย่างเดิมจะได้ไหม
Just you and I, we have what we’ve had as always
อยากจะรู้ เธอเป็นยังไง
I’d like to know how you are doing
ที่ฉันขอ ขอความเห็นใจ
I’m begging of you, I need your mercy
ใครจะรู้ ฉันเหงาเพียงใด
Who knows how lonely I have had
มันทรมานหัวใจ ของคนที่คิดถึงเธอ
It’s killing me, I am the one that misses you
หากคืนนี้ เรานั้นอยู่ด้วยกัน
If tonight we are still together,
มันคงเป็นวันที่สดใส
It will be our glorious day
อยากขอให้นาฬิกา หยุดเดินจะได้ไหม
I wish that clock stop its ticking, please
ทวนเข็มของนาฬิกาให้ภาพมันไม่หายไป
Move the clock arms back so nothing will go away
อยากขอให้ความทรงจำ อย่าเดินไปจากฉัน
I’m asking of this memory, don’t you dare walk out of my life
เพียงแค่มีกันและกัน อย่างเดิมจะได้ไหม
Just you and I, we have what we’ve had as always
อยากจะรู้ เธอเป็นยังไง
I’d like to know how you are doing
ที่ฉันขอ ขอความเห็นใจ
I’m begging of you, I need your mercy
ใครจะรู้ ฉันเหงาเพียงใด
Who knows how lonely I have had
มันทรมานหัวใจ ของคนที่คิดถึงเธอ
It’s killing me, I am the one that misses you
ที่คิดถึงเธอ
That I miss you
ที่คิดถึงเธอ
That I do miss you so bad