ขออนุญาตยังไม่ใส่ส่วนนำนิยายเพื่อหลีกเลี่ยงการสปอยเนื้อหา
บทนำ
“มึง” เสียงที่คุ้นเคยดังลอดเข้าหูตั้งแต่ผมยังไม่ทันจะเปิดประดูเสียด้วยซ้ำ “กูลืมมือถือว่ะ”
ไททัน เพื่อนสนิทที่เพิ่งแยกจากกันไปไม่ได้ครึ่งชั่วโมงดียืนส่งยิ้มพิมพ์ใจให้ผมอยู่หลังกรอบประตู
“อือ แล้ว”
“มึงช่วย…” น้ำเสียงมันเปลี่ยนเป็นออดอ้อนพร้อมทำท่าทางอึกอัก มือข้างหนึ่งยกขึ้นดันประตูราวกับทันรู้ว่าผมกำลังจะปิดใส่หน้า “ไปเอา… เป็นเพื่อนกูหน่อย… นะธาม”
“ไม่” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง “พรุ่งนี้เช้าไม่ได้เหรอ กูเหนื่อย จะนอน”
“พอดี…. เออ พอดีกูต้องรีบโทรหาแม่”
“ยืมเครื่องกูก่อน”
“กูจำเบอร์แม่ไม่ได้” ไททันยิ้มแหย “อีกอย่าง ถ้าพรุ่งนี้เช้ามือถือกูหายจะทำไง กูว่าไปตอนนี้แหละ”
ไททันยังคงไม่ลดราวาศอก เอื้อมมือมาจับแขนผมด้วยสีหน้าอ้อนวอนสุดชีวิต “ถ้ามึงยอมไปเป็นเพื่อนกู กูสัญญาว่าพรุ่งนี้จะไปขอไอดีไลน์น้องพิมพ์คณะสถาปัตย์ฯมาให้”
“กูไม่ชอบ
“น้องฟ้าอักษร”
“ไม่ชอบ”
“น้องวาศึกษา”
“รอกูแต่งตัวก่อน”
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่า ๆ เกือบสี่ทุ่ม ผมและไททันเดินลัดเลาะจากหอพักชายในมหาวิทยาลัยมุ่งหน้าไปทางคณะวิทยาศาสตร์ สืบสาวราวเรื่องได้ความว่ามันน่าจะลืมทิ้งไว้ในห้องแลปตั้งแต่เรียนวิชาเคมีในช่วงบ่ายที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็วุ่นจนไม่ได้จับโทรศัพท์มือถืออีกเลย เพิ่งมานึกได้ก็ตอนที่แยกกันกับผมเมื่อไม่นานมานี้เอง
อากาศในคืนนี้ค่อนข้างเย็น ส่วนหนึ่งเพราะกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวในอีกไม่นานนี้แล้ว ผมไม่เจอสื่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เดินสวนมาเลยสักคนเดียว มีเพียงสุนัขเจ้าถิ่นที่ประจำตึกเทียวเท่าไล่หลังเราเป็นทอด ๆ ไป จนในที่สุดเราสองคนก็เดินมาจนถึงจุดหมายปลายทาง ...คณะวิทยาศาสตร์ ตึกสีส้มอิฐที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า อย่างน้อยแสงไฟประดับที่เปิดอยู่รอบอาคารก็ช่วยให้ตึกนี้ดูไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่… มั้ง
“สวัสดีครับพี่” ไททันเดินรี่เข้าไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยอาคารพร้อมยกมือไหว้ปะหลก ๆ “พอดีผมนึกได้ว่าลืมมือถือไว้ในห้องเรียน เลยจะขออนุญาตพี่ขึ้นไปหยิบมือถือหน่อยครับ แป๊บเดียว”
ไททันเน้นหนักที่คำสุดท้ายพลางยื่นบัตรนักศึกษาส่งให้ รปภ. เพื่อยืนยันว่ามันเป็นนักศึกษาจริง ๆ พี่ รปภ. รับบัตรนักศึกษามาจ้องดูสลับหน้าทีรูปทีราวกับไม่เชื่อว่ามันคือเจ้าของบัตรตัวจริง
“นึกได้ซะดึกเชียวนะเอ็ง แล้วนี่ลืมไว้ห้องไหนล่ะ”
“204 ครับ”
“อ๋อ...” พี่ยามลากเสียง ท่าทางสะดุ้งเล็กน้อย “เออ รีบไปรีบมา แล้วอย่าไปเที่ยวมือบอนหยิบจับอะไรต่ออะไรเข้าล่ะ เดี๋ยวจะมาหาว่าพี่ไม่เตือน เอ้านี่กุญแจ”
พี่ยามดึงกุญแจดอกหนึ่งออกจากกุญแจพวงใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะสีเทาแล้วหยิบส่งให้ผม
“อ้าว ไม่ไปด้วยกันเหรอพี่”
ไททันยืนเกาหัวแกรก แต่สายตาม้นจับจ้องอยู่ที่ทางเดินขึ้นอาคารที่มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ มัวราวกับไม่ได้เปิด ผมรับกุญแจมาถือด้วยความงุนงง
“ข้าไปไม่ได้” พี่ รปภ พูดพร้อมผายมือไปยังโถงทางเดินด้านหลัง “เดี๋ยวใครผ่านไปผ่านมาไม่เห็นอยู่ตรงนี้เขาจะหาว่าข้าอู้งาน ไม่ได้ไม่ได้… แต่ข้าเตือนพวกเอ็งแล้วนะว่าอย่าเที่ยวหยิบจับอะไรมั่วซั่ว เด็กสมัยนี้มันขี้หลงขี้ลืมจริงจริ้ง...”
ถึงแม้จะไม่ได้เดินมาส่ง แต่ผมก็ยังรู้สึกขอบคุณพี่แกที่บ่นกระปอดกระแปดส่งพวกเราไล่หลังมาเป็นระยะ ไททันก้มหน้าเดินนำผมไปยังห้อง 204 อย่างเงียบ ๆ ไร้ซึ่งบทสนทนาตลอดทางเดิน บรรยากาศโถงทางเดินบนชั้นสองช่างแตกต่างกับชั้นหนึ่งราวฟ้ากับเหว แสงไฟจากหลอดนีออนสลัว ๆ ยิ่งไปบางดวงกะพริบติด ๆ ดับ ๆ ยิ่งเสริมให้บรรยากาศตอนนี้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
“ยืมมือถือหน่อย”
ถึงหน้าห้อง มันหยุดเดินโดยที่ผมไม่ได้ตั้งตัวเลยชนกับฝ่ามือที่ยืนออกมารอมือถืออยู่ตรงหน้า ผมหยิบมือถือพร้อมเปิดไฟฉายส่งให้มันโดยไม่ได้พูดอะไร มืออีกข้างโบกกุญแจชี้ให้มันเปิดห้อง
“เชี่ย!”
ไททันสะดุ้งโหยงปล่อยมือจากลูกบิดประตูพร้อมโผตัวเข้าหาผม เป็นเวลาเดียวกันกับที่หลอดไฟทั้งชั้นกะพริบดับลง เรียกได้ว่าเราสองคนตกอยู่ในความมืดอยู่เสี้ยววินาที ...จังหวะนรกจริง ๆ
“โถ่...แค่ไฟตก” ผมทำท่าเอื้อมมือไปลูบหัวมันเป็นการล้อเลียน “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะครับ”
“ไม่ใช่” มันร้องเสียงหลง มือยังคงชี้ไปทางประตูที่เปิดอ้าอยู่ด้วยความสั่นเทาจนผมต้องหันไปมองตาม ลูกกุญแจยังคงเสียบคาอยู่กับลูกบิดประตู แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นอยู่ถัดออกไป
“เชี่ย!” ผมอุทานคำเดียวกับที่มันหลุดปากออกมาเมื่อสักครู่ ตอนนี้เราสองคนยืนเบียดกันแน่นจนแทบจะเป็นคนเดียวกัน เพราะสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเราเบื้องหลังบานประตูสีฟ้ามีวัตถุขนาดใหญ่ขวางอยู่ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรมันก็ไม่ควรมาตั้งอยู่ในสถานที่แบบนี้
หลังธรณีประตูมีโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่สีดำสนิทที่ด้านบนมีวัตถุที่คล้ายกับหัวโขนหลากสีสันวางประดับอยู่ ผมไม่รู้หรอกครับว่ามันเรียกว่าอะไร แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้คือมันไม่ควรมาตั้งอยู่ตรงนี้
เราสองคนก็เช่นกัน!
ดูเหมือนว่าไททันจะตั้งสติได้ก่อนผม มันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมือท่วมหัวไหว้สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแถมยังพึมพำอะไรไม่รู้อยู่ในลำคอ ผมเลยต้องรีบยกมือขึ้นไหว้ตามอย่างเสียไม่ได้ มันสาดแสงไฟฉายเข้าไปในห้องเพื่อไล่ความมืด จากนั้นจึงสอดแทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างโต๊ะหมู่และวงกบประตูเพื่อพาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้อง
แอด
มันออกแรงเลื่อนโต๊ะหมู่บูชาไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้ผมเข้าไปในห้อง (ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เอ่ยปากว่าอยากเข้าไปด้วยก็ตามที) แรงเสียดทานทำพานดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะหมู่เขยื้อนตกลงมากองอยู่แทบเท้าผม เสียงโลหะกระทบพื้นในความเงียบยิ่งทำให้ทำอย่างตรงนี้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
ผมก้มลงไปเก็บพานขึ้นมาวางบนโต๊ะหมู่ด้วยใจเต้นระทึกยิ่งกว่าจังหวะกลองก่อนจะยกมือไหว้ท่วมหัว สิ่งที่ผมควรจะตกใจกว่าคือความว่างเปล่าด้านข้างที่ไร้ซึ่งเงาของไททันอีกต่อไป
แสงสว่างวาบปรากฎขึ้นกลางห้องทำให้ผมต้องสะดุ้งถอยหลังอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว ไททันยืนโบกมือถือให้ผมเห็นเป็นนัยว่าเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว ส่วนมืออีกข้างสาดไฟฉายจากมือถือผมเพื่อส่องแสงสว่างให้ตัวเอง
แอด… เสียงประตูหน้าที่เราเปิดค้างไว้ค่อย ๆ เลื่อนปิดก่อนกระทบวงกบประตู ปัง! ทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวรีบวิ่งไปหาไททันที่กลางห้องทันที
แต่ตอนนี้ไม่มีไททันยืนอยู่กลางห้องอีกแล้ว
แสงไฟสลัวจากหลอดไฟที่ลอดผ่านกระจกเหนือบานประตูและสายตาที่ชินกับความมืดมิดภายในห้องทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตว่าแสงจากไฟฉายที่เคยอยู่ตรงนี้อันตรธานหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมรู้เพียงว่าตอนนี้มีเพียงผมคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้องนี้ แผงสวิตช์ไฟหลังหัองก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเดินไปเปิด โทรศัพท์มือถือของตัวเองก็หายไปพร้อมไททัน
สติ
ผมพยายามเตือนตัวเองว่าต้องมีสติ
“แฮ่”
“เชี่ย!”
ผมใช้สติที่เพิ่งรวบรวมมาได้เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมาไล่เตะไททันไปรอบห้องด้วยความโมโห ก็อยู่ดี ๆ เล่นโผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะแบบนี้ ผีก็ผีเถอะครับ
“เดี๋ยว หยุด!” มันหยุดวิ่งเอามือกุมอก “ฉิบหายของจริงแล้วครับ”
“อะไรของมึงอีกไอ้ทัน เลิกเล่นสักทีเถอะว่ะ”
“กูไม่ได้เล่น แต่มึงดูโน่น “มันชี้มือไปทางประตูหน้าห้อง “โต๊ะหายไปแล้วโว้ย”
ที่ที่เคยมีโต๊ะหมู่บูชาทตั้งขวางทางเดินอยู่หน้าห้องเมื่อสักครู่บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า แสงไฟสลัว ๆ ที่เล็ดลอดเข้ามาในห้องเผยให้เห็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ผมกับไททันไม่รอช้า เพียงคำว่า ‘วิ่ง’ คำเดียวของมันก็ทำให้เราสองคนวิ่งโลดออกมายืนหอบอยู่หน้าโต๊ะ รปภ ข้างล่างได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
“พวกเอ็งเจอผีกันมาเหรอ วิ่งหน้าตาตื่นขนาดนี้” พี่ รปภ ถามเสียงเรียบ มือกระดกเครื่องดื่มชูกำลังเข้าปาก
“เจอผีก็ดีสิพี่ พวกผมเจออะไรมาก็ไม่รู้เนี่ย” ไททันตอบทั้งที่ตัวเองยังไม่หายจากอาการหอบดี
“แล้วอะไรก็ไม่รู้ของพวกเอ็งมันคืออะไรกันล่ะวะ”
“ก็ผมบอกว่าไม่รู้อยู่นี่ไงครับ”
“เออ ๆ อย่างนั้นแล้วแต่เอ็งแล้วกัน” ชายตรงหน้าผมทำหน้าเหนื่อยใจ “แล้วนี่ไม่ได้มือซนหยิบจับอะไรกันมาใช่มั้ย”
“ไม่มีครับพี่ ไม่มีเลย” ผมรีบตัดบท “ถ้าอย่างนั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณมากเลยครับพี่”
แม้จะไม่รู้ว่าตัวเองจะขอบคุณเพื่ออะไรทั้ง ๆ ที่ต้องขึ้นไปหยิบเอง เจอก็เจอคนเดียว แต่ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้คงได้มีการวางมวยรอบดึกแน่นอน แต่ก็ยังไม่วายบ่นไล่หลังเราสองคนดังมาเป็นระยะถึงความ ‘ไม่รู้เรื่อง’ ของ ‘เด็กสมัยนี้
“เดี๋ยว! ไอ้น้อง” พี่ยามวิ่งไล่หลังพวกเรามาตั้งแต่ยังเดินไม่ทันถึงชานบันได “กุญแจ”
ตายล่ะวา! ตั้งแต่หน้าประตูห้องนั้นไล่มาจนถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราเจอ ยังไม่มีใครสนใจดึงลูกกุญแจออกจากลูกบิดประตูเลยด้วยซ้ำ
“แหะ ๆ” ผมยิ้มอ่อน “พอดีผมเสียบคาไว้กับประตูบ้านบน ยังไงผม ‘รบกวน’ พี่ขึ้นไปเก็บให้พวกผมด้วยนะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว...”
ผมทำท่ากดดูนาฬิกาในโทรศัทพ์มือถือโดยไม่ได้สนใจเวลา ก่อนรีบคว้าแขนไอ้ไททันวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้พี่ยามได้พูดอะไรอีก ได้ยินเพียงเสียงก่นด่าที่ค่อย ๆ ไกลออกไป ระหว่างทางเดินกลับเงียบสงัดยิ่งกว่าขาไป ผมไม่เห็นสุนัขสักตัวออกมาวิ่งไล่เห่าเราเหมือนอย่างเคย ไททันเดินคอตกไม่พูดไม่จาเหมือนคนกำลังง่วนอยู่กับการใช้ความคิด เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันจนกระทั่งแยกกันตอนขึ้นบันไดหอพักชาย
ผมกับไททันอยู่หอพักเดียวกันมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้เมื่อสองปีก่อน เรียนคณะ เดียวกัน ไปไหนด้วยกัน จีบหญิงด้วยกัน จะเรียกว่าซี้ยิ่งกว่าใครในมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ ห้องผมอยู่ชั้นสาม ส่วนไททันอยู่ชั้นสี่ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายแยกออกมาก่อน เมื่อไขกุญแจเข้าห้องได้ผมก็เริ่มต้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ใส่อยู่ เตรียมตัวออกไปอาบน้ำในห้องน้ำรวมที่อยู่ถัดไป
“ครอก...ฟี้”
ผมค่อย ๆ หันหลังกลับไปหาต้นตอของเสียงช้า ๆ ด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าตัวเองกลัวหรือตกใจ รู้สึกว่าเสียงกรนที่ได้ยินมีดั หนึ่งเพราะผมไม่คุ้นกับเสียงที่เพิ่งได้ยิน และสองผมไม่มีรูมเมท! รูมเมทผมเก็บของอพยพไปอยู่กับแฟนมันเรียบร้อยตั้งแต่ปลายเดือนก่อน เลยกลายเป็นว่าผมเลยได้ครอบครองห้องนี้คนเดียวไปโดยปริยาย
เบื้องหน้าผมมีแต่ความว่างเปล่า บนเตียงทั้งสองชั้นมีเพียงข้าวของของผมเองที่วางระเกะระกะไปทั่ว ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่คลองสายตา บางทีผมอาจจะคิดไปเอง หรือคงเป็นเสียงกรนจากห้องข้าง ๆ ที่ดังลอดกำแพงมาก็ได้มั้ง สงสัยหลอนจนหูแว่ว
คิดได้แบบนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตาถอดกางเกงโยนลงตะกร้า แต่กางเกงเจ้ากรรมที่ถอดทิ้งไปกลับพุ่งเลยตะกร้ามุดเข้าไปอยู่ใต้เตียง ผมจึงเอาเท้าควานเข้าไปใต้เตียงเพื่อหวังจะคีบกางเกงออกมาด้วยความขี้เกียจ
“โอ๊ย”
“ผี! ผีหลอก!”
เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นใต้เตียงชั้นล่างจังหวะเดียวกันกับที่ผมรู้สึกได้ว่าเท้าตัวเองคีบโดนอะไรสักอย่างนิ่มเหมือนเนื้อคน ความกลัวสั่งให้ตัวผมเองผงะถอยหลังไปชนกำแพงโดยอัตโนมัติ วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย
“ผี ไหนผี”
ร่างนั้นค่อย ๆ เขยิบออกมาจนสุดขอบเตียงหากแต่ยังแอบอยู่ในเงามืด สายตาสะท้อนแสงจากหลอดไฟบนเพดานให้เห็นเป็นประกายเพียงเท่านั้น เว้นแต่ว่า… มันกำลังจ้องเป้ากางเกงผมอยู่! ผมรีบคลี่ผ้าเช็ดตัวออกมาพันรอบเอวตามสัญชาตญาณ ทันทีที่มันระลึกได้ว่าผมสังเกตว่ามันกำลังจ้องผมอยู่ สายมันก็เลื่อนมาสบกับผมแทน
เสี้ยววินาทีที่สายตาเราบรรจบกันมันทำให้ผมรู้สึกราวกับตกอยู่ในภวังค์ อากาศรอบตัวหนาวขึ้นมาจับจิต เสียงเอะอะโวยวายที่ดังอยู่ในโสตประสาทดับลงราวกับมีคนปิดสวิตช์ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะหยุดหายใจ
“ไอ้ผีโรคจิต” คำแรกที่หลุดออกจากปากผมหลังจากตั้งสติได้ “แน่จริงมึงออกมาสิวะ”
ไม่ทันขาดคำ หลอดไฟนีออนเหนือหัวก็ดับพรึบลงแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย รู้สึกเหมือนอากาศที่หนาวอยู่ก่อนหน้าแล้วยิ่งเย็นยะเยือกราวกับติดลบ ผมรู้สึกได้ว่ามีสายลมพัดผ่านคล้ายมีอะไรสักอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างตัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยมาเตะจมูกในขณะที่มือหนานุ่มข้างหนึ่งจับเข้าที่เอวซ้าย และ ‘หอมจัง’ คือคำพูดที่ดังขึ้นอยู่หลังหูพร้อมลมหายใจรดต้นคอที่ทำเอาผมขนลุกชัน
“ออกไป!” ผมแผดเสียงทันทีที่ได้สติ “ไอ้ผีบ้า”
ไม่ว่าเปล่า ผมดันศอกขวาถองไปข้างหลังอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง คิดว่าคงได้ผลเพราะมันผละมือออกจากเอวผมแล้ว จากนั้นจึงรีบถลาไปทางสวิตช์ไฟขวามือเพื่อเรียกความสว่างกลับมาให้เร็วที่สุด ก่อนจะหันหน้ากลับมาทางทิศเดิมแล้วพนมมือท่วมหัว
“ผมไม่ไหวแล้วครับ” ผมพูดเสียงสั่น น้ำตาเอ่อคลอเต็มสองเบ้า “ผมเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว... ให้ผมพักผ่อนหน่อยไม่ได้เหรอครับ พรุ่งนี้ค่อยมาหลอกผมใหม่ก็ได้ ผมขอร้องเถอะนะครับ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังพูดอยู่กับใคร คิดไปคิดมาก็เหมือนกำลังขอร้องผียังไงอย่างนั้น ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าจะลืมตาแล้วปรับภาพสายตาให้กลับมามองเห็นได้อีกครั้งหนึ่ง ตรงหน้าผมมีเพียงความว่างเปล่า ไร้วี่แววว่าเคยมีมนุษย์ยืนอยู่ตรงนั้น ก้มลงดูใต้เตียงก็ว่างเปล่าชั้นเดียวกัน