กับดักเด็กบ้านนอก
บทที่ ๑ ฝนหอบฟ้า
..
ไอดินฟุ้งกระจายในตอนที่สายลมพัดพาเอาเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกลให้รวมกลุ่มเสียเขียวครึ้ม ไอ้เปลวเกือบจะปิดประตูไม้บานหนาเตรียมตัวเข้านอนแต่หัววันถ้าลมแรงมันไม่พัดเสียจนหน้าต่างกระแทกเปิดเสียงดังโครมครามต้องเสียเวลาสาวเท้าก้าวไปหวังจะปิดหน้าต่างแต่ไอ้เปลวกลับต้องชะงักค้างเพราะ เสียงเรียกจากเรือพายลำน้อย
เผลอชะโงกหน้าไปมองก็เห็นเรือลำเล็กของผู้ใหญ่ตี๋ที่คนพายพายโคลงไปมาเหมือนจะกึ่มๆ เมา เรือลำร้อยคัดพายมาเทียบท่าผู้ใหญ่แกวางพายแล้วกวักมือเรียกให้ไอ้เปลวเข้ามาช่วยดึงเรือ ไอ้เปลวรั้งดึงเรือผู้ใหญ่เข้าเทียบท่าได้แกก็วักน้ำล้างหน้าล้างตาเอื้อมมือไปหยิบเชือกเรือมาผูกกับเสาก่อนจะดึงข้อมือร่างที่นอนนิ่งในลำเรือขึ้นมาส่งให้ไอ้เปลว
“ฝากเรือหน่อย..ฝากคนด้วยนะไอ้เปลวข้าไปล่ะป่านนี้แม่อิหนูคงคอย”
ผู้ใหญ่ตี๋แกพูดง่ายๆ แล้วถีบหัวเรือก้าวขึ้นท่าไปซะอย่างนั้นทิ้งให้ไอ้เปลวต้องหันกลับไปมองไล่ตั้งแต่ข้อมือกลมจนไปถึงร่างไร้สติที่ต้องพยุงดึง
“เพื่อนไอ้ไผ่ลูกชายข้ามาจากกรุงเทพฯ ไอ้ไผ่มันไปงานศพกับแม่เพ็ญเลยฝากเพื่อนมันไว้อยู่กันสองคนไม่มีอะไรทำลุงเลยพาไอ้หนุ่มมันไปดวนเหล้าโรงร้านเจ๊กเฮงแล้วก็อย่างที่เห็น..คนหนุ่มมันเมาเป็นหมาหอบแดดหลับลึกไปแล้ว ..”
“แล้วผู้ใหญ่จะเอายังไง?”
ไอ้เปลวดึงข้อมือร่างอ่อนให้ลุกร่างโปร่งยืนโงนเงนกลัวเรือลำเล็กจะเอียงล่มไอ้เปลวเลยฉุดข้อมือพร้อมคล้องแขนเข้าที่เอวคนเมาแล้วดึงร่างในเรือลำนั้นมาแปะพักไว้ที่แผงอก
“โอ้ย..ข้าไม่เอา...ฝากเอ็งเอาก็แล้วกัน..ฝนตั้งท่าจะตกแล้วด้วย ข้ากลับก่อนแม่เพ็ญจะมาเพ่นกระบาลดีกว่าฝากไอ้หนุ่มมันหน่อยเดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆ ข้าค่อยให้ไอ้ไผ่มันมารับ ”
ผู้ใหญ่ตี๋แกพูดแซวขันๆ แค่นั้น ก่อนจะเดินเซถลาแซดๆๆ แล้วหายลับไปทางปลายสวนมะพร้าว มาเร็วไปเร็วเสียจนไอ้เปลวตามไม่ทัน
ใช่..ไม่ทันจะอ้าปากปฏิเสธด้วยซ้ำในตอนที่ผู้ใหญ่ตี๋เดินดุ่มๆ หายลับไปจากสายตา จนเม็ดฝนเม็ดใหญ่หล่นโดนหน้าไอ้เปลวถึงได้รู้สึกตัวว่ามีหนุ่มเมืองกรุงตัวไม่ใช่เล็กยืนเอนซุกหน้าซบอยู่กับแผงอกที่หัวใจเต้นระส่ำ..
..
ไอ้เปลวโอบเอวลากคนเมามาโยนลงบนที่นอนผ้าเดินไปเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าดูฝนฟ้าดูท่าว่าคืนนี้ฝนคงจะตกทั้งคืนปิดหน้าต่างแล้วจุดยากันยุงเมื่อหันไปเห็นคนเมานอนปัดป่ายมือไปมาที่เขาว่าคนกรุงเนื้อหอมท่าจะจริงไอ้เปลวยกยิ้มแล้วก้มลงไปถอดรองเท้าผ้าใบที่คาดว่าราคาน่าจะแพง ถอดจากเท้าคนกรุงแล้ววางไว้ใต้เตียงนอนแปลกใจอยู่บ้างที่เท้าทั้งสองข้างของคนหลับมันไม่ได้หยาบกร้านเหมือนของตัวเองถ้าเทียบกันดีไม่ดีเท้านิ่มๆ สองข้างนั้นมันนิ่มกว่ามือใหญ่หยาบกระด้างทั้งสองของเขาเสียอีก..
เม็ดฝนหล่นกระทบหลังคาเสียงดังไอ้เปลวจัดที่จัดทางจัดท่านอนของคนเมาแล้วเอื้อมมือไปดึงมุ้งผ้าที่พับตลบให้ลงมาคลี่คลุมที่นอน ไล่ยุงไล่แมลงแล้วกันมุ้งกันขอบมุ้งยัดใส่ใต้ชายเตียง พนมมือก้มกราบหมอนก่อนจะล้มตัวลงนอนฟังเสียงฟ้าเสียงฝนที่กระหน่ำลงมาอย่าง ไม่ลืมหูลืมตา...
..
เสียงโทรศัพท์ที่ดังอย่างถือวิสาสะถูกคนขี้เซาตะปบมือล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง แสงไฟจากหน้าจอแทรกเสียดบาดตาเมื่อบรรยากาศรอบข้างมันมืดมิดนายกระปุ๊กหรือคุณปุ๊กของคุณนายแม่หรี่ตามองชื่อบนหน้าจอพอเห็นว่าเป็นชื่อของคนที่ไม่อยากเจอหน้าแค่นั้นอารมณ์ร้อนมันก็สั่งสมองให้ปาโทรศัพท์ทิ้งอย่างไม่ใยดี สะลึมสะลือ ทั้งง่วง ทั้งหนาว ทั้งอารมณ์เสีย
และเหมือนว่าปาไปไม่ได้ไกล เมื่อโทรศัพท์เครื่องนั้นเหมือนจะติดมุ้งที่กั้นไว้ไปหล่นอยู่ขอบเตียงมันยังสั่นและดังอยู่ชั่วครู่ก่อนคุณปุ๊กจะตะกายตัวข้ามร่างหนาที่นอนขวางไปเอื้อมหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นแล้วกดรับสายพร้อมตะคอกใส่ไปอย่างไร้สติ
“fucking time,Bitch!!”
ตะคอกใส่ไปทุกอย่าง สิ้นเรี่ยวแรงและความเข้มแข็ง สุดท้ายแสงไฟมันก็ดับลงพร้อมกับหยดน้ำตาที่หล่นร่วง คุณปุ๊กค่อยๆ ทรุดตัวนอนแนบลงบนแผ่นอกกว้าง เสียงหัวใจและเสียงหายใจยังคงกระเพื่อมไหว ไม่ได้ใส่ใจเพราะคนเมาอย่างคุณปุ๊กเผลอคิดไปว่านี้คงเป็นหนึ่งในคู่ขาที่พามาขึ้นเตียงเพื่อที่จะทำให้ลืมเรื่องไร้สาระและความอบอุ่นที่ห่างหายของใครบางคน
อากาศเย็นและชื้น..คุณปุ๊กนอนนิ่งพร้อมสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ กลิ่นหญ้ากลิ่นไอดิน กลิ่นฝน กลิ่นมันเย็นฉ่ำปอด เย็นสดชื้นและหอมเสียยิ่งกว่าน้ำหอมปรับอากาศในห้องแอร์คุณปุ๊กสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ฝ่ามือใหญ่เจ้าของแผงอกลูบหัวคุณปุ๊กเบาๆ คล้ายกล่อมให้นอนรอบข้างมืดไปหมดมืดจนแทบจะมองไม่เห็นอะไร มันเป็นความมืดที่ยากจะอธิบายกับคนที่เคยเผชิญแต่กับความมืดของเมืองกรุง
เพราะมันช่างแตกต่างกันเหลือเกินมืดมิดแต่อบอุ่น คุณปุ๊กเลื่อนตัวไปโอบคล้องมือรอบลำคอหนาแล้วซุกหน้าฝังจมูกลงกับแผ่นอกอุ่นๆ อุ่นจนทำให้เผลอวางใจปล่อยตัวเองให้หลับลงไปอีกครั้ง..
..
เสียงแสบสันต์ เมื่อนกกางเขนแผดร้องส่งทำนองเสียงปลุกที่ขอบหน้าต่าง ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ดังเท่านาฬิกาปลุกที่คุณปุ๊กเคยใช้ แต่เสียอย่างไรนกน้อยก็ยังมีความพยายามมากกว่านาฬิกาไร้จิตวิญญาณที่ได้แต่ดังตามหน้าที่ที่ระบบตั้งค่าขึ้นมา นกกางเขนใจกล้าโผบินมากระดกหางแผดเสียงริมขอบมุ้ง คุณปุ๊กสะดุ้งรำคาญตัวกวนเสียจนต้องขดตัวซุกหน้าหนีเข้าแผงอกไอ้เปลว
ยามเช้าแสนหนาวซ้ำยังมีเสียงน่ารำคาญหูคุณปุ๊กซุกตัวหาไออุ่นอย่างเชื่องช้า สองขาค่อยๆ สอดก่ายแล้วแทรกไซ้เข้าหว่างขาใหญ่ของคนนอนข้างๆ สองแขนโอบรอบเอวหนาแล้วเบียดตัวเข้าหาแน่นแนบ จนคนที่นอนอยู่ด้วยกันเผลอกอดรัดตามด้วยวงแขนใหญ่เหมือนโดนงูเหลือมป่ารัดเข้ากับเอว คุณปุ๊กอึดอัดจนต้องพลิกตัวหนี และสุดท้ายมันกลับกลายเป็นว่าไอ้เปลวนอนซ้อนและโอบเอวคุณปุ๊กไว้ไม่ต่างจากนอนกอดหมอนข้าง
ปลายจมูกเย็นของไอ้เปลวซุกฝังอยู่บนหลังลำคออุ่นของคุณปุ๊กมือใหญ่ข้างหนึ่งสอดโอบเอวคุณปุ๊กในขณะที่อีกข้างล้วงลากมือกร้านไล้ผ่านตามผิวเนียนๆ เสียงครางของคุณปุ๊กถูกส่งออกมาอย่างไร้สติเมื่อมือหยาบลากผ่านแล้วลูบวน วนไล้และลูบลากสัมผัสหยาบๆ มันกระทบผิว แข็งกระด้างแต่ก็อบอุ่นคุณปุ๊กเอียงคอให้จมูกคมฝังซุกลงมาได้ถนัดจนไอ้เปลวที่ไร้สติไม่ต่างกันแทบอยากจะฟัดคมเขี้ยวเข้ากับลำคอเนียนๆ
ท้องฟ้ายังคงครึ้มมัวเมื่อกลุ่มฝนมีแต่จะเพิ่มขึ้นพร้อมลงเม็ดหนา กลุ่มเมฆสีดำบังแสงฟ้าไว้จนหมดหนทางนกกางเขนตัวน้อยไร้ความพยายามที่จะปลุกเจ้าของบ้านเมื่ออากาศมันเหมือนม่านหมอกที่ดึงให้ทั้งสองร่างยิ่งเข้ามาใกล้กัน เหล้าโรงของเจ๊กเฮงมันยังมอมเมาได้ไม่เท่าผิวสัมผัสของมือหยาบที่ทั้งล้วง ทั้งลากแล้วลูบวนคุณปุ๊กเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น สัมผัสที่รู้สึกได้เลยว่ามันไม่ใช่แค่ความกำหนัดและความใคร่ เมื่อสัมผัส หยาบนั้นมันทั้งใส่ใจและทะนุถนอมสัมผัสปานยักษ์ปักหลั่นบรรจงจับประคองแก้วเคลือบล้ำค่าแล้วกลัวเกรงว่ามือหยาบจะทำมันภินท์พังคามือ..
ผ่านมาเกือบสายแต่ดวงตะวันยังไม่โงพ้นกลุ่มเมฆ ไอ้เปลวลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้าขยับตัว
ดวงตาคมลึกได้แต่นอนมองนอนจ้องใบหน้าคนขี้เซา วงแขนใหญ่ยังคงโอบคล้องตะคองกอดเอวอีกคนไว้หลวมๆ ลมหายใจร้อนอุ่นรดปลายจมูกยิ่งมองแล้วบอกไม่ถูกกับความรู้สึกหวงแหนที่ก่อตัวขึ้นกะทันหันทำเอาไอ้เปลวแทบไม่กล้าขยับเพราะกลัวว่าตอนนี้จะเพียงแค่ฝันไป
หนุ่มโสดอย่างไอ้เปลวไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนี้ว่ายังไง?
ไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกับผัวหนุ่มเมียสาวอย่างที่ใครเขาเคยว่าเคยแซวกันหรือเปล่าเพราะนอกจากหวงแล้วไอ้เปลวยังห่วงกลัวว่าคนในอ้อมกอดจะหนาวจนต้องกระชับกอดให้ยิ่งแน่น ไอ้เปลวง่วง ง่วงแต่ไม่อยากหลับตาก็ไอ้เปลวกลัวเหลือเกินว่าถ้าลืมตาขึ้นมาคนที่นอนกอดอยู่ตรงหน้าจะหายไป แล้วก็ฝืนจนได้เรื่องจู่ๆ ความง่วงก็จู่โจมบุกกระชากเปลือกตาไอ้เปลวให้ลงมาจนจวนจะหลับเหล่ไม่หลับเหล่ จนหนังตาเกือบปรือปิดไอ้เปลวถึงได้กระตุกมือตัวเองมาตบเข้าหน้าฉาดใหญ่ ทำโดยไม่คิดเลยว่าเสียงเพี้ยดังข้างหูมันจะปลุกคนขี้เซาที่กำลังหลับให้ลืมตา..
ไอ้เปลวถึงกับตาสว่างสะดุ้งเฮือกเมื่อคนตรงหน้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาแล้วจ้องมอง ดวงตากลมเป็นสีแปลกมันไม่ได้เป็นสีดำแต่เป็นสีน้ำตาลเจือเขียว ดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นแล้วปิดลง สักพักกว่ามันจะเปิดขึ้นมาใหม่พร้อมๆ กับความอุ่นของริมฝีปากที่แนบทาบลงมาบนปลายจมูกไอ้เปลวหัวใจหนุ่มโสดเต้นระส่ำแต่กระนั้นมันก็ยังไม่กล้าหลับตาไอ้เปลวกลั้นใจ ดวงตาคมลึกเบิกโพลงในขณะที่หัวใจเต้นแรง ริมฝีปากอุ่นมันก็เลื่อนลงมาประกบเบาๆ ที่ริมฝีปากของตัวเอง..
เพิ่งเคยครั้งแรกกับไอ้อะไรที่ใครต่างเรียกมันว่า ‘จูบ’ มือนิ่มๆ เอื้อมมาลูบแก้มที่สากเพราะหนวดเคราลูบเบาๆ แต่อ่อนโยนจนไอ้เปลวเคลิ้มหลงซบหน้าลงไปกับฝ่ามือ ริมฝีปากบรรจงแนบชิดแล้วถูกรุกไล่ด้วยปลายลิ้นจากอีกคนที่โอบกอด สองขากอดก่ายแล้วเสือกใสให้ถูเสียดสัมผัสกันตามแรงอารมณ์
หัวใจไอ้เปลวแปลกไปเหมือนมันจะเต้นจนกระเด็นกระดอนออก มานอกอกทั้งๆ ที่ไอ้เปลวขืนตัวกลั้นหายใจระงับอาการไว้จนใกล้จะหมดลม ริมฝีปากนิ่มอุ่นที่แทรกเข้ามายังมีรสชาติขมๆ ของเหล้าโรงติดมาจากปลายลิ้น ไอ้เปลวปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปตามแรงปรารถนาจากไม่ประสีประสาไอ้เปลวก็กล้าที่จะดูดดุนเรียวลิ้นนิ่ม..
ทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณเป็นไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่ๆ ไอ้เปลวไม่เคยมีครูคนไหนมาเสี้ยมสอน..
“Don't leave me alone.. ”
เสียงพร่าๆ ดังออกมาหลังจากจูบที่วาบหวาน ไอ้เปลวไม่รู้หรอกว่าภาษาประกิตที่คนในอ้อมแขนถามมัน เขาถามว่าอะไร สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวพาให้ปากพูดตอบไปอย่างไม่ต้องคิด..ตามที่ความรู้ที่ เรียนอยู่แค่ ม.3
“Ya..YES…”
เพียงแค่เสียงกระซิบตอบที่เบาแสนเบาและพร่าสั่นแต่ผลลัพธ์มันกลับคุ้มค่าไอ้เปลวสุขใจเหลือล้นเมื่อเห็นคนเบื้องหน้ายิ้มแล้วหลับตาลงวงแขนที่โอบ รอบลำคอไอ้เปลวกระชับแน่นขึ้นอีกเมื่อปลายจมูกเย็นซุกลงบนซอกคอแล้วจมลงนิทรา ไอ้เปลวยิ้มกว้างตามแล้วหลับตาในใจเพียงคิดว่า
‘ขอให้ฝนยังคงตกอยู่จนมันตื่น...แล้วลืมตามาพบคนข้างๆ อีกครั้ง...’