-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านแม่ทัพได้โปรดยกลูกชายท่านให้ข้าเถิด
#ลูกเขยแม่ทัพ เมื่อ
'อู๋ ซื่อเหยียน' องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋มีอาการภูมิแพ้ที่แสนประหลาดไม่สามารถแตะต้องกายหญิงสาวได้เพราะจะทำให้เกิดผื่นคันและเป็นไข้ไปอีกสามวัน จนองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาต้องสั่งตามหา
'บุรุษดอกไม้' หรือชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้ไม่ต่างจากพวกผู้หญิงขึ้นมาเป็นพระชายาองค์รัชทายาทเพื่อสืบบัลลังก์
หากแต่ว่ามันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นเพราะชีวิตพวกบุรุษดอกไม้นั้นต้องเจอแต่ความลำเค็ญที่ว่าถ้าไม่ถูกพ่อแม่ฆ่าจนตายตกทันทีที่คลอดก็ต้องตายทั้งเป็นอยู่ในซ่องโสเภณีเพื่อบำเรอกามแก่พวกจอมโจร
และวันหนึ่งก็ถึงวันที่สวรรค์นั้นเป็นใจเมื่ออู๋ ซื่อเหยียนได้แอบเดินตามแม่ทัพป๋ายที่เดินย่ำเข้าป่ารกร้างด้วยท่าทีลับๆล่อๆ พร้อมกับกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ที่ยิ่งหอมหวนขึ้นเมื่อใกล้ถึงบ้านหลังเก่าๆหลังหนึ่งที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางป่า
และนั่นทำให้อู๋ ซื่อเหยียนได้พบกับ
'ป๋าย กุ้ยฮวา' ลูกชายคนเดียวของท่านแม่ทัพป๋ายและเป็นบุรุษดอกไม้คนสุดท้ายของแผ่นดินนี้
ผู้ซึ่งเป็นว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท สารบัญ
อารัมภบท (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71727.msg4030281#msg4030281)
ตอนที่ ๑ : ว่าที่พระชายาของข้าช่างงอแงเสียจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71727.msg4031144#msg4031144)
ตอนที่ ๒ : ว่าที่พระชายาของข้าช่างตะกละเสียจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71727.msg4031876#msg4031876)
ตอนที่ ๓ : ว่าที่พระชายาของข้าช่างขี้น้อยใจเสียจริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71727.msg4033322#msg4033322)
open : 29/03/2020
close : -
ช่องทางการติดต่อนักเขียน
Twitter : @seoullamoon
-----------------------------------------------------------------------------------------------
-
อารัมภบท
ภายในโถงพระตำหนักของฮ่องเต้ เหล่าราชวงศ์อู๋และขุนนางชั้นสูงต่างนั่งหน้าเครียดเมื่อหารือกันถึงคู่ครองขององค์รัชทายาทอย่าง ‘อู๋ ซื่อเหยียน’ ที่นั่งหน้านิ่งไม่หืออือต่อการตัดสินใจของเหล่าผู้ใหญ่
“ฝ่าบาท องค์ชายก็ใกล้จะสามสิบชันษาแล้ว หม่อมฉันว่าเราควรหาคู่ครองให้ลูกได้แล้วนะเพคะฝ่าบาท ขืนรอให้ลูกหาเอง เราคงได้ตายตกกันไปก่อนจะได้เห็นองค์ชายเข้าพิธีราชาภิเษก” ฮองเฮากล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจพลางเหลือบมองลูกชายด้วยสายตาตำหนิ หากแต่คนถูกกล่าวถึงและมองเช่นนั้นหาได้มีอากับกิริยาตอบกลับ
“จะหาได้อย่างไรเล่าฮองเฮา เจ้าก็รู้ว่าองค์ชายแตะต้องหญิงอื่นไม่ได้นอกจากเจ้า ส่วนพวกบุรุษดอกไม้ก็หายากเย็นยิ่งกว่าหาเข็มที่จมลงในมหาสมุทร เฮ้อ..” ฮ่องเต้ตรัสก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าเมื่อรู้สึกคิดไม่ตกว่าจะหาบุรุษดอกไม้ได้จากที่ใด
เรื่องมันคงจะไม่ยากขนาดนี้หากองค์รัชทายาทนั้นสามารถต้องกายสตรีได้เหมือนชายหนุ่มทั่วไป หากแต่ในความเป็นจริงนั้น ยามใดที่องค์รัชทายาทแตะต้องกายสตรีแม้แต่ปลายเล็บ เพียงครู่อึดใจเดียวผื่นแดงๆ ก็จะขึ้นตามพระวรกายแถมยังจับไข้ไปอีกสามวัน จนหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ทนเห็นลูกเจ็บป่วยปางตายแบบนั้นไม่ได้
ทั้งนี้ยังต้องขอบคุณสวรรค์ที่บนโลกนี้ยังมีชายที่สามารถตั้งครรภ์ได้คล้ายกับผู้หญิงซึ่งมักจะเรียกกันว่าบุรุษดอกไม้ ซึ่งบุรุษพวกนี้จะมีกลิ่นกายที่หอมหวลเป็นเอกลักษณ์และจะมีปานที่คล้ายกับดอกกุ้ยฮวาหรือดอกหอมหมื่นลี้อยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ทว่าบุรุษดอกนั้นมันก็ไม่ได้หากันได้ง่ายดายเลยเพราะพ่อแม่บางคนที่รู้ว่าลูกชายของตนเกิดมาเป็นบุรุษดอกไม้นั้นก็เลือกที่จะฆ่าหักคอทิ้งทันที ส่วนพวกที่ยังมีชีวิตและเติบโตมาได้ก็มักจะถูกตามล่าแล้วส่งไปขายตามซ่องโสเภณีที่ไว้บำเรอกามพวกโจรป่าเถื่อนเท่านั้น
“ท่านแม่ทัพ” ป๋าย ซานต้ง ผู้ครองตำแหน่งหัวหน้าแม่ทัพยืดหลังขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับก้มหน้าเตรียมน้อมรับคำสั่งจากฮ่องเต้
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“จัดนำไพร่พลทหารให้ออกตามหาพวกบุรุษดอกไม้อีกครั้ง แต่คราวนี้ต้องตามหาให้ครบทุกหย่อมหญ้า อย่าให้พลาดแม้แต่สักที่เดียว”
“น้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
องค์รัชทายาทซื่อเหยียนที่กำลังมุ่งหน้ากลับพระตำหนักของตัวเองที่พ่วงมาพร้อมกับเหล่าขันทีและนางในที่เดินตามกันมาเป็นขบวนต้องหยุดชะงักเมื่อซื่อเหยียนหยุดเดินเพราะสายตาของเขาดันไปเห็น สวี่ ซู่เจิน ผู้ช่วยหมอหลวงที่ครองหัวใจขององค์รัชทายาทผู้ยิ่งใหญ่นี้ไป
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” เสียงทุ้มหนักแน่นขององค์รัชทายาทกล่าวขึ้นพร้อมกับสายตาที่ทอดมองไปทางสระบัวที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา โดยมีสวี่ ซู่เจินที่ยืนกุมมือและก้มหน้าอย่างสำรวมอยู่ด้านหลังและได้แต่ลอบมองแผ่นหลังกว้างที่ซู่เจินอยากจะเข้าไปกอดมันใจจะขาด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถึงแม้องค์ชายจะรับสั่งให้เหล่าขันทีและนางในรออยู่ห่างๆ แต่ระยะของมันก็ยังอยู่ในสายตาของคนเหล่านั้นอยู่ดีรวมถึงพวกทหารหลวงในวังที่เฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ ในพระราชวังด้วย
“ช่วงนี้ใกล้ฤดูหนาวแล้วทำให้สมุนไพรบางชนิดนั้นหายากกว่าปกติ ท่านหมอหลวงจึงต้องใช้เวลาหานานกว่า--”
“ข้าคิดถึงเจ้า” ซื่อเหยียนพูดแทรกขึ้นสั้นๆ พร้อมกับหันใบหน้าโดยใช้หางตามองใบหน้าของคนรัก
“หม่อมฉันก็คิดถึงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” ซู่เจินพูดเสียงสั่นเมื่อความตื้นตันมันตีตื้นจนเขาควบคุมมันไม่ได้
“เสด็จพ่อเรียกข้าเข้าไปคุยเรื่องหาพระชายาอีกแล้ว”
“......” ซู่เจินเงียบลง เขารู้อยู่แล้วว่าฝ่าบาทเรียกองค์ชายไปคุยเรื่องอะไร ทุกครั้งที่รู้แบบนี้หัวใจของซู่เจินมักจะเจ็บปวดไปเสียทุกครั้ง พลางน้อยใจตัวเองที่ทำไมไม่เกิดเป็นสตรีหรือบุรุษดอกไม้
องค์ชายพยายามทำทุกอย่างที่จะได้อยู่กับเขานานที่สุด พยายามยื้อเวลาให้ถูกจับแต่งงานให้ช้าที่สุด ยอมแม้กระทั่งโกหกฮ่องเต้และพระมเหสีว่าตัวเองไม่สามารถสัมผัสตัวสตรีได้ ยอมใช้ใบตำแยถูกตัวให้เป็นผื่นคันเพื่อตบตาคนในวังว่าองค์ชายไม่สามารถแตะตัวผู้หญิงได้ แต่เหมือนตอนนี้เวลาของเรานั้นเหลือน้อยเต็มที
“เราหนีไปด้วยกันดีไหม?”
“องค์ชาย.. อย่าคิดทำเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“.....”
“อย่าคิดลำบากตัวเองเพื่อหม่อมฉันอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามิอาจรู้ได้ว่าข้าจะยื้อเรื่องนี้ไปได้อีกเมื่อไร ข้าเหนื่อย... แต่ข้ามิอาจขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์โดยไม่มีเจ้าเคียงข้างได้ เพราะเช่นนั้นข้าถึงไม่เคยยอมแพ้”
“ฮึก เป็นเพราะหม่อมฉันไม่ใช่สตรีหรือบุรุษดอกไม้ จึงทำให้พระองค์เหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้ หม่อมฉันขออภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ ข้าไม่ได้พูดเพื่อให้เจ้าร้องไห้เสียหน่อย แต่ข้าพูดเพื่อหวังจะให้เจ้ารู้สึกผิดและตกลงที่จะหนีไปกับข้าต่างหาก” ซื่อเหยียนถอนหายใจแล้วหัวเราะเบาๆ หากแต่สายตาเศร้าๆ นั้นช่างสวนทางกับท่าทางหัวเราะนั่นเหลือเกิน
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ” ซู่เจินปฏิเสธหนักแน่นก่อนจะหลับตาเพื่อกลั้นใจพูดในสิ่งที่ตัวเองกลัวและคงจะเสียใจที่สุดเมื่อพูดคำๆ นี้ออกไป “องค์ชายจะต้องอภิเษกกับคนที่สามารถให้กำเนิดองค์รัชทายาทของพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ.. และคนๆ นั้นไม่ใช่หม่อมฉัน”
ซื่อเหยียนนิ่งไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ.. มักใหญ่ใฝ่สูงกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้”
“องค์ชาย พระองค์อย่าเอาความรักไร้สาระของเรามาเป็นทางเลือกผิดๆ ในชีวิตของพระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“.....”
“พระองค์เป็นทายาทของกษัตริย์ ในอนาคตพระองค์ก็ต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนี้... ภาระหน้าที่ของพระองค์ในอนาคตมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะมองเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่เป็นเรื่องเล็กน้อยแบบนี้”
“.....”
“ถึงวันนั้นหม่อมฉันอาจจะไม่ใช่คนที่อยู่เคียงข้างพระองค์ และถึงแม้วังหลวงจะใหญ่เพียงใดแต่มันก็ไม่ได้ใหญ่เกินไปที่จะทำให้หม่อมฉันหาพระองค์ไม่เจอไปตลอดชีวิตนี่พ่ะย่ะค่ะ...”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าบนบัลลังก์นั่นมันอาจจะสูงเกินไปจนข้าอาจจะมองไม่เห็นเจ้าอีกเลย” ซู่เจินหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงยามที่ซื่อเหยียนขึ้นไปฮ่องเต้จริงๆ เวลานั้นผู้ช่วยหมอหลวงธรรมดาๆ แบบเขาคงไม่มีสิทธิ์เข้าเฝ้าและอาจจะไม่ได้เห็นหน้าขององค์ชายอีก แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลยนี่นา
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะตั้งใจศึกษาวิชาการแพทย์มากกว่านี้เพื่อจะสอบขึ้นเป็นหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม ถ้านั่นเป็นความตั้งใจของเจ้าอยู่แล้ว ข้าก็คงไม่กล้าขัด” ซื่อเหยียนนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะฝืนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นก่อนจะเดินกลับตำหนักไปทิ้งให้ซู่เจินที่แสร้งยิ้มว่าไม่เป็นอะไรเมื่อครู่นั้นค่อยๆ ปล่อยหยาดน้ำสีใสให้ไหลออกจากตาพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากแน่นเมื่อเขาไม่อาจกลั้นเสียงสะอื้นได้อีกต่อไป
ตำหนักไท่จี่เตี้ยน
ปึง!!
“องค์รัชทายาทจะเสด็จไปไหนพ่ะย่ะค่ะ!?” ขันทีรีบเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นซื่อเหยียนผลักประตูตำหนักส่วนพระองค์ออกมาพร้อมกับสวมชุดลำลองแบบพวกขุนนางธรรมดา และแน่นอนว่าทุกครั้งที่ทรงสวมฉลองพระองค์นี้นั่นหมายความจะทรงออกไปนอกวังหลวงอีกแล้ว
“ข้าจะไปนอกวัง ให้คนไปเตรียมม้าให้ข้าด้วย”
“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย พระองค์เพิ่งจะถูกฮ่องเต้ตำหนิเรื่องนี้ไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วนี้เองนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“เรื่องของข้า! ข้าบอกให้เจ้าไปเตรียมม้ามา!”
“องค์ช๊ายย!! ไม่ได้จริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ยังไม่ไปอีก!! อยากโดนข้าสั่งตัดหัวเจ้าอย่างนั้นรึ!?”
“พ่ะๆๆ -พ่ะย่ะค่ะ! ปะๆ -ไปเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
อู๋ ซื่อเหยียนควบม้าให้เดินออกนอกวังหลวงอย่างช้าๆ เมื่อเขาเข้ามาในเขตที่ประชาชนอยู่อาศัย ซึ่งบริเวณนี้ยังคงคึกคักเหมือนทุกครั้งที่ได้ออกมา เสียงซึงแซ่ของบรรดาพ่อค้าแม่ขายที่เรียกหาลูกค้าเข้าร้านดังโหวกเหวกจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร
ขายาววาดขาลงจากหลังม้าก่อนที่มือหนาจะผูกม้าเอาไว้กับเสา สองมือไพ่หลังเดินสำรวจข้าวของต่างๆ ในตลาดอย่างเพลิดเพลินก่อนที่ตาคมจะสะดุดเข้ากับร่างใหญ่กำยำที่คุ้นเคยของท่านแม่ทัพ
แต่น่าแปลกที่แม่ทัพป๋ายใส่ชุดลำลองธรรมดา แสดงว่าที่ออกมานอกวังครั้งนี้คงไม่ได้ออกมาเพราะมีภารกิจนอกวัง แต่คงจะมาเพราะเรื่องส่วนตัว
ว่าแต่..ทำไมถึงทำท่าลับๆ ล่อๆ เหมือนกลัวว่าจะมีใครเห็นแบบนั้นล่ะ?
หรือว่าจะคิดก่อการกบฏ!?
ว่าแล้วองค์รัชทายาทก็ค่อยๆ แอบซุ่มตามแม่ทัพป๋ายไป และระยะที่ออกมาก็ไกลพอสมควร จากที่สองข้างทางนั้นมีของขายต่างๆ ตอนนี้กลายเป็นป่าไปหมดแล้ว แถมดูท่าว่าเส้นทางแถวนี้จะไม่ค่อยมีใครใช้เสียด้วยเพราะมันค่อนข้างเป็นป่ารกร้างและเดินลำบากพอสมควร
ซื่อเหยียนต้องทิ้งระยะห่างพอสมควรเพราะอีกคนมีความสามารถเรื่องการต่อสู้ย่อมมีความประสาทสัมผัสรับรู้ที่ไวกว่าคนปกติอยู่แล้ว
“นั่นบ้านท่านแม่ทัพป๋ายรึ? ทำไมถึงมาอยู่ในป่าลึกเช่นนี้กัน?” ตาคมมองร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพป๋ายที่เดินตรงไปยังบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งซึ่งไม่เหมาะกับยศของแม่ทัพป๋ายเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ! ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของใครบางคนที่ซื่อเหยียนไม่เคยได้ยินเสียงดังขึ้นเมื่อแม่ทัพป๋ายเดินไปถึงบ้านหลังเก่านั่น แต่ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร แต่ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเจ้าของเสียงนั้นคงจะแก่นแสบไม่ใช่น้อยเป็นแน่
ซื่อเหยียนค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้นโดยเดินอ้อมไปทางด้านหลังแทนเพื่อแอบฟังสองคนนั้นคุยกัน
ว่าแต่แถวนี้ก็ไม่เห็นจะมีพวกดอกไม้อะไรเลย ทำไมเขาถึงได้กลิ่นหอมหวนคล้ายดอกกุ้ยฮวาเช่นนี้นะ ยิ่งใกล้บ้านท่านแม่ทัพก็ยิ่งหอม
“กุ้ยฮวา! ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้กลิ่นของเจ้าลอยคลุ้งไปทั่วแบบนี้ เจ้าไม่ได้กินสมุนไพรที่พ่อเอามาให้เจ้าหรืออย่างไร?” ป๋าย ซานต้งขมวดคิ้วตำหนิลูกชายที่ไม่ยอมกินสมุนไพรที่เขาให้ไว้ดับกลิ่นกายหอมๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกบุรุษดอกไม้
ใช่แล้วล่ะ...บุรุษดอกไม้ที่ฝ่าบาทตามหา หนึ่งในนั้นคือป๋าย กุ้ยฮวา
ลูกชายของเขาเอง
“โถ่..ท่านพ่อ แถวนี้มันไม่มีผ่านมาซ๊ากกะคน ท่านพ่อจะให้ข้ากินไอ้สมุนไพรขมระคายลิ้นนั่นไปทำไมกัน โห..นี่แค่นึกถึงข้าก็จะอาเจียนแล้ว” กุ้ยฮวาเอามือแนบอกทำท่าอาเจียนเมื่อนึกไปถึงสมุนไพรที่ท่านพ่อให้เขาดื่มเพื่อดับกลิ่นกายหอมหวนนี้ และท่าทางของกุ้ยฮวาทำเอาคนเป็นพ่อถึงกับส่ายหัวเพราะเรื่องการแสดงออกที่เกินหน้าเกินตานั้นไว้ใจป๋าย กุ้ยฮวาได้เลย
“ข้ารู้ แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ควรชะล่าใจ.. กันไว้ดีกว่าแก้ มิเช่นนั้นจุดจบของเจ้าก็คือถ้าไม่ตายจริงๆ เจ้าก็ต้องไปตายทั้งเป็นอยู่ในซ่องโสเภณี เจ้าอยากเป็นเช่นนั้นรึ?”
“ท่านพ่อรู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ว่าถ้าข้าเกิดมาแล้วจะลำบากขนาดนี้ทำไมตอนข้าเกิดท่านพ่อถึงไม่หักคอข้าเสียให้มันจบๆ ไปเลยล่ะ!”
“เอ๊ะ! เจ้าเด็กคนนี้นี่.. ถึงมือพ่อเจ้าจะจับดาบปลิดชีวิตคนมามากมาย แต่ข้าก็ไม่ได้ใจจืดใจดำที่จะฆ่าเด็กตาดำๆ ที่เลือกเกิดไม่ได้แบบเจ้าหรอกนะ”
“.....”
“และอีกอย่าง.. ตอนเกิดมาเจ้าก็ดันหน้าตาน่ารักเหมือนแม่เจ้าเสียด้วย ข้าเลยยิ่งทำไม่ลง”
“โถ่..คิดถึงท่านแม่อีกแล้วหรอท่านแม่ทัพป๋าย~~” กุ้ยฮวาเดินเข้าไปกอดซานต้งเมื่อท่านพ่อของเขาคิดถึงท่านแม่อีกแล้ว
“เฮ้อ น่าเสียดายที่แม่ของเจ้าจากไปตั้งแต่เจ้ายังจำความไม่ได้ มิเช่นนั้นเจ้าคงจะได้คิดถึงแม่เจ้าอย่างเช่นพ่อนี่แหละ”
“ไม่เอาน่า.. ถ้าท่านแม่ยังอยู่ข้าก็ต้องรักทั้งท่านพ่อและท่านแม่ ถ้าเป็นแบบนั้นท่านพ่อก็จะได้รับความรักจากข้าเพียงครึ่งเดียวของตอนนี้เท่านั้นน้า”
“หึๆๆๆ เอาเถอะ.. ในเมื่อเจ้าเล่นถอดแม่เจ้ามาทั้งหน้าตา ทั้งนิสัย ทั้งการพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็คลายคิดถึงแม่เจ้าไปได้เยอะ... เอาล่ะ! พักเรื่องแม่เจ้าก่อน ตอนนี้เจ้าต้องเตรียมเก็บของแล้วหนีไปได้แล้ว”
“อะไรนะ.. ข้าต้องย้ายอีกแล้วหรอ!?” ป๋าย ซานต้งพยักหน้าแล้วตีสีหน้าจริงจังก่อนจะสั่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ลูกชาย
“เจ้าจงย้ายไปอยู่ที่นี่เสีย เพราะวันพรุ่งพ่อและพวกทหารจะต้องออกตามหาบุรุษดอกไม้อีกครั้งตามคำรับสั่งของฝ่าบาทและครั้งนี้จะต้องละเอียดกว่าครั้งก่อนด้วย เพราะฉะนั้นเจ้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
ปัง!!
“คิดจะพาว่าที่พระชายาของข้าหนีไปไหนอีกเล่าท่านแม่ทัพป๋าย? ”
“องค์ชาย!!” แม่ทัพป๋ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยความตกใจ แถมเมื่อกี้เขายังได้ยินองค์ชายเรียกลูกชายของเขาว่าว่าที่พระชายาอย่างเต็มปากอีกด้วย
คงได้ยินทั้งหมดแล้วสินะ...
“อะ-องค์ชายงั้นหรือ? ..”
“องค์ชาย! สะ-เสด็จมาได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่นึกเลยนะว่าบุรุษดอกไม้ที่เสด็จพ่อข้าตามหามาเนิ่นนานนั้น ที่แท้จริงแล้วจะอยู่ใกล้แค่นี้เอง” ซื่อเหยียนเหยียดยิ้มแล้วเอามือไพ่หลังอย่างวางมาดพร้อมกับเดินวนรอบๆ เพื่อสำรวจใบหน้าและร่างกายของกุ้ยฮวาจนร่างบางถึงกับเกร็งไปเล็กน้อย
“เอ่อ.. ปะ-เป็นเกียรติยิ่งนักที่องค์ชายเสด็จมาถึงที่บ้านของกระหม่อม ชะ-เชิญองค์ชายนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนเถิด เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปนำน้ำมาให้ เอ้ย! มาถวายพ่ะย่ะค่ะ” กุ้ยฮวาพยายามทำใจดีสู้เสือผายมือไปยังโต๊ะกินข้าวเล็กๆ ซึ่งเป็นที่เดียวที่จะสามารถให้องค์รัชทายาทนั่งรอได้ และโชคดีหน่อยที่อีกคนก็ยอมไปนั่งอย่างง่ายๆ
“ขัดราชโองการของฝ่าบาทเช่นนี้ มีโทษหนักนักหนา ท่านไม่ทราบงั้นหรือท่านแม่ทัพ” ทันทีที่หย่อนกายนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับป๋าย ซานต้งที่เอาแต่นั่งก้มหน้า ซื่อเหยียนก็เปิดประเด็นขึ้นมาทันที
“ทราบพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“ทราบแล้วเหตุใดเจ้าจึงยังกระทำการเช่นนี้?”
“.....”
“ถึงเสด็จพ่อของข้าจะทรงโปรดตัวท่านแค่ไหน เสด็จพ่อของข้าก็ไม่มีทางเว้นโทษให้--”
เป๊ง!!!!!
ตุ่บ!
“กุ้ยฮวา! เจ้าทำอะไรลงไปน่ะ!?” ซานต้งตวาดลูกชายเสียงดังเมื่อลูกชายตัวดีของเขาเอากระทะฟาดหัวองค์รัชทายาทจนพระองค์สลบเหมือดคาโต๊ะ
“บังอาจ! มันกล้าดีอย่างไรมาทำตัววางมาดแถมยังขู่ท่านพ่อของข้าอีก หึ! สมควรโดนแล้วล่ะ”
“นี่เจ้า!! ริอาจเรียกองค์ชายว่ามันทั้งๆ ที่เจ้าเพิ่งเอากระทะตีหัวองค์รัชทายาทไปหยกๆ แบบนี้นี่เจ้าอยากโดนประหารเจ็ดชั่วโคตรรึไง!?”
“ใครจะรอให้โดนจับประหารล่ะท่านพ่อ!? เราเผ่นกันเถอะ!!”
“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ!?” กุ้ยฮวาทิ้งกระทะที่เป็นของกลางในการทำร้ายร่างกายองค์รัชทายาทแล้วเตรียมจะวิ่งไปเก็บของที่จำเป็น แต่ทว่าจู่ๆ ข้อมือบางของกุ้ยฮวาก็ถูกคนที่เขาคิดว่าสลบไปแล้วจับหมับเข้า
หมับ!!
“เฮ้ย!” ร่างบางตกใจก่อนจะพยายามก้มเก็บกระทะมาฟาดหัวองค์รัชทายาทอีกรอบแต่คราวนี้ร่างสูงนั้นสามารถตั้งตัวได้แล้วจึงใช้เท้าเตะกระทะจนกระเด็นไปไกลแล้วบิดข้อมือขาวนั่นจนกุ้ยฮวาร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ร่างบางจะถูกกระชากให้นั่งลงบนหน้าตักแกร่งพร้อมกับแขนงูเหลือมที่รัดรอบเอวจนกุ้ยฮวาลุกขึ้นไม่ได้
“ปล่อยข้านะ!!”
“องค์ชาย... ได้โปรดไว้ชีวิตลูกชายกระหม่อมด้วยเถิด ถ้าจะทรงลงโทษก็ได้โปรดลงโทษกระหม่อมแทนเถอะพ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมสอนลูกไม่ดีเองจึงได้มีกิริยาชั่วช้าไม่รู้จัดที่ต่ำที่สูงเช่นนี้” ป๋าย ซานต้งถึงกับลงไปคุกเข่าคำนับลงกับพื้นเมื่อกลัวว่ากุ้ยฮวาจะถูกลงโทษ
“จริงสิ.. ส่วนใหญ่แม่ทัพป๋ายต้องอยู่แต่ในวัง นานๆ จะได้แอบออกมาหาลูกสักที คงจะไม่ค่อยได้สั่งสอนกันนัก”
“องค์ชาย...”
“ดีล่ะ แบบนี้พวกข้าหลวงในวังคงชอบ เพราะคงจะได้ดัดนิสัยกันสนุกเลยล่ะครานี้”
“หมะ-หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ถึงแม้ในใจของซานต้งจะได้คำตอบมาแล้วว่าองค์รัชทายาทหมายถึงอะไร แต่เขาก็ยังต้องการจะถามมันอีกครั้ง เผื่อคำตอบขององค์รัชทายาทจะไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาคิด
“อ้อ! เชิญท่านลุกขึ้นยืนก่อนเถิดแม่ทัพป๋าย ส่วนเจ้าก็ลุกขึ้นแล้วลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าท่านพ่อของเจ้า”
“อะไรนะ!?” ซานต้งค่อยๆ ลุกยืนขึ้นตามคำสั่งขององค์รัชทายาท ส่วนกุ้ยฮวาแน่นอนว่าต้องขัดขืนอยู่แล้ว แต่เมื่อหันไปมองคนเป็นพ่อที่พยักหน้าให้เพื่อบอกว่าให้ยอมองค์รัชทายาทก็ถึงกับหน้างอแล้วก็คุกเข่าลง ส่วนซื่อเหยียนก็ยืนขึ้นแล้วเรียกท่านแม่ทัพด้วยสีหน้าจริงจัง
“แม่ทัพป๋าย”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” สิ้นคำตอบรับของป๋าย ซานต้ง ร่างสูงขององค์รัชทายาทก็ค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นจนกุ้ยฮวายังตกใจ ส่วนซานต้งก็ถึงกับต้องคำนับลงเพื่อให้ตัวเองอยู่ต่ำกว่า
“ได้โปรดยืนขึ้นเถิดท่านแม่ทัพ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ..ตามธรรมเนียม--”
“ข้าขอสั่งให้ท่านยืนขึ้น” ซื่อเหยียนกดเสียงต่ำลงเมื่อซานต้งยืนยันจะคำนับอยู่อย่างนั้น จนสุดท้ายก็ต้องจำใจค่อยๆ ลุกขึ้นตามคำสั่ง
“แม่ทัพป๋าย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้โปรดยกลูกชายของท่านให้ข้าเถิด” ซู่เจิน.. นี่น่ะหรือคือสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าต้องการแบบนี้จริงๆ น่ะหรือ
“อะไรนะ!? .. ไม่เอานะท่านพ่อ!” ป๋าย กุ้ยฮวาโวยวายขึ้นในทันที
“ข้ารู้ว่าท่านเป็นผู้กตัญญูและสำนึกในบุญคุณของเสด็จพ่อข้ามาตลอด และในเพลานี้ท่านคงรู้ดีแก่ใจว่าเสด็จพ่อข้าปราถนาสิ่งใดเป็นที่สุด..”
“....”
“เพราะฉะนั้นได้โปรดยกลูกชายของท่านให้ข้าด้วย”
“ท่านพ่ออย่านะ!!” ซานต้งที่ไม่ฟังเสียงคัดค้านของลูกชายหลับตาลงระลึกถึงความปรารถนาขององค์ฮ่องเต้และพระมเหสี ซึ่งความปราถนาของทั้งสองมีเพียงหนึ่งเดียวคือการให้องค์ชายได้อภิเษกเพื่อเป็นหนทางที่จะพาองค์ชายขึ้นสู่การเป็นกษัตริย์
เอาเถิด.. เขาเคยปฏิญาณตนไว้แล้วว่าจะอุทิศทั้งกายและหัวใจแก่ราชวงศ์อู๋และเพื่อชาติบ้านเมือง แต่เมื่อสิบแปดปีที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ป๋าย กุ้ยฮวาคือหัวใจของเขา เพราะฉะนั้นนี่จะเป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องยกหัวใจของตัวเองให้แก่ราชวงศ์อู๋และชาติบ้านเมืองอีกครั้ง...
“พ่ะย่ะค่ะ.. กระหม่อมยินดียกป๋าย กุ้ยฮวาลูกชายของกระหม่อมให้แก่องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพ่อ!!”
To be continued...
เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับตอนแรกของนิยายเรื่องแรกในชีวิตไม่รู้จะถูกใจนักอ่านกันมั้ย
แต่ทางเราก็หวังว่านิยายเรื่องนี้จะช่วยให้หลายคนแก้เบื่อจากการต้องกักตัวอยู่บ้านเพราะโควิด19 ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
-
:pig4: :pig4:
-
เนื้อเรื่องสนุกดีครับ
ปล. จากประสบการณ์ที่ได้ดูซีรี่จีนย้อนยุคมาเยอะไม่ว่าจะเป็น ราชวงศ์ หมิง ชิง ถัง พระมเหสี เขาใช้สรรพนามว่า ฮองเฮา ได้เลยครับ ผิดพลาดประการใดขออภัย เพียงแค่อยกแลกเปลี่นนความคิดเห็นเท่านั้นครับ
-
งานนี้วังแตกแน่ๆ5555 รอชมความแสบทรวงของน้องจ้า
-
:z1: สนุกมากค่ะ รอมาอัพบ่อยๆนะคะ จะตามอ่านทุกตอนเลย ชอบแนวนี้อยู่แล้ว. อิอิ
-
สนุก มาต่อเร็วๆน้าาา
-
-๑-
ว่าที่พระชายาของข้าช่างงอแงเสียเหลือเกิน
ซื่อเหยียนควบม้ากลับเข้าวังหลวงโดยมีกุ้ยฮวานั่งอยู่ทางด้านหน้า ร่างบางพยายามบีบตัวให้เล็กที่สุดเมื่อสองแขนขององค์รัชทายาทคร่อมระหว่างร่างบางเพื่อใช้มือกุมบังเหียนม้า และไหนจะใบหน้าคมที่อยู่ข้างแก้มซ้ายเพื่อดูทางจนลมหายใจร้อนๆนั่นรินรดอยู่ที่ใบหูจนอดรู้สึกจั๊กจี้ไม่ได้
กุ้ยฮวากัดฟันอดทนจนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวังหลวง แม่ทัพป๋ายที่ขี่ม้าตามมาตวัดขาลงจากม้าด้วยท่าทีสง่าสมเป็นแม่ทัพ ก้มโค้งศรีษะลงเพื่อทำความเคารพองค์รัชทายาทและว่าที่พระชายา
“ท่านพ่อ...” ซานต้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองลูกชายด้วยสายตาตำหนิเพราะทั้งสามคนได้ตกลงกันแล้วว่านับแต่นี้ไป กุ้ยฮวาจะไม่สามารถเรียกขานเขาว่าท่านพ่อได้อีกต่อไปเพราะถ้าหากมีใครรู้ว่ากุ้ยฮวาเป็นลูกของแม่ทัพป๋ายที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางใจเป็นอย่างมาก แต่ป๋าย ซานต้งกลับปิดบังเรื่องที่ตนเองมีบุตรชายเป็นบุรุษดอกไม้นั้น..
ชีวิตของท่านแม่ทัพใหญ่คงได้จบด้วยการถูกขังคุกใต้ดินจนไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย
เพราะเรื่องนี้จึงทำให้กุ้ยฮวาเศร้าลงจนว่าที่พระสวามีอย่างอู๋ ซื่อเหยียนค่อยๆยกมือขึ้นตบไหล่กุ้ยฮวาเบาๆแล้วเดินไปหาขันทีประจำพระองค์ว่าตนได้พาบุรุษดอกไม้มาแล้ว ซึ่งขันทีคนนั้นก็ดีใจรีบให้เหล่านางในไปพาว่าที่พระชายามาก่อนที่ตนจะรีบไปกราบทูลเรื่องนี้กับฮ่องเต้
ตากลมมองหน้าท่านพ่อของตัวเองอีกครั้งก่อนจะต้องจำใจเดินตามองค์รัชทายาทไป
นี่น่ะหรือ...การตอบแทนบุญคุณแผ่นดินและความสุขสบายที่ท่านพ่อต้องการให้ข้าเป็น ทำไมทั้งสองอย่างนี้ถึงต้องแลกมาด้วยการที่ข้าไม่มีสิทธิ์เรียกท่านพ่อของตัวเองว่าท่านพ่อ ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับท่านพ่อ หากแต่วันนี้ข้าต้องเสียมันไปก็เพราะความต้องการของท่านพ่อ
ถ้าครั้งนี้ป๋าย กุ้ยฮวาต่อต้านท่านพ่อสักครั้ง.. ท่านพ่อของข้าจะให้อภัยข้าได้หรือไม่?
ตำหนักจิ่งหยางกง
“นี่เป็นตำหนักส่วนตัวของเจ้า” หลังจากเข้ามาในตำหนักจิ่งหยางกงซึ่งเป็นตำหนักที่เหล่าว่าที่พระชายาจะใช้พำนักในช่วงก่อนอภิเษก อู๋ ซื่อเหยียนใช้สายตาตรวจความเรียบร้อยของตำหนักนี้เพราะที่นี้ไร้ผู้คนอาศัยมานับหลายสิบปีหลังจากที่พระชายาองค์ก่อนได้อภิเษกและขึ้นเป็นฮองเฮาแล้วในปัจจุบัน แต่โชคดีที่ฮองเฮาองค์ปัจจุบันหรือเสด็จแม่ของเขาเฝ้ารอว่าที่พระชายาของซื่อเหยียนมาตลอดจึงให้นางในคอยมาทำความสะอาดอยู่เสมอ
“อืม..” กุ้ยฮวาครางตอบสั้นเหมือนคนไร้วิญญาณจนซื่อเหยียนนึกฉุนเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่มีขานรับเขาสั้นๆแบบนี้มาก่อน ร่างสูงจึงหันหาไปกุ้ยฮวาแล้วกอดอกด้วยท่าทีวางมาดก่อนจะสั่งให้เหล่าขันทีและนางในออกไปก่อน
“ความจริง.. ตามกฎแล้วหลังจากอภิเษกพระชายาไม่ควรจะมีตำหนักส่วนพระองค์ แต่ข้าจะลองทูลขอกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ให้ เพราะเห็นว่าเจ้าเคยมีชีวิตอิสระมาก่อนอย่างน้อยก็ควรจะมีที่ให้เจ้าได้หายใจได้ในวังหลวงบ้าง”
“อืม..”
“ถ้าเจ้ายังตอบข้าแค่อืมๆ อีก ข้าจะจับเจ้าเข้าหอเสียตั้งแต่คืนนี้! แล้วก็ไม่ต้องมีมันแล้วด้วยตำหนักส่วนตัวของเจ้าน่ะ!!”
“อย่านะ!!” คำขู่ของซื่อเหยียนได้ผลเมื่อมันสามารถเรียกสติของกุ้ยฮวาให้กลับมาได้อีกครั้ง “ก็ข้าคิดถึงท่านพ่อของข้านี่! ถึงแม้สิบแปดปีที่ผ่านมาข้าจะไม่ได้อยู่กับท่านพ่อตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่ท่านพ่อกลับมาข้าก็ยังเรียกท่านพ่อของข้าได้อย่างเต็มปาก ข้าไม่เข้าใจเลยว่าทำไมวังหลวงต้องพรากท่านพ่อของข้าไปตลอดเลย!”
กุ้ยฮวาพูดด้วยความรู้สึกที่เกินจะกลั้น ทุกอย่างที่เขาพูดออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ท่านพ่อกลับวังหลวงเพื่อทำการศึก กุ้ยฮวาแทบนอนหลับไม่ลงเพราะเป็นห่วงกลัวว่าท่านพ่อจะเป็นอันตรายในสนามรบ
ไม่มีใครรู้เลยว่าลูกแม่ทัพอย่างเขาต้องทนต่อความรู้สึกที่เป็นห่วงจนแทบขาดใจมาตลอดสิบแปดปี หากแต่วันนี้ก็เป็นวังหลวงอีกเช่นเคยที่พรากท่านพ่อของเขาไป
“นี่เจ้า..!!”
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่ท่านพ่อกลับมาหาข้า ข้าดีใจขนาดไหน... ข้าดีใจและโล่งใจทุกครั้งที่ท่านพ่อกลับมาเพราะอย่างน้อยวันนั้นพ่อข้าก็ไม่ได้เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่สนามรบเพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ ฮึก..” มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากให้อีกคนเห็นน้ำตา
ในใจของเขาเกลียดวังหลวงแค่ไหนมิอาจมีใครได้ล่วงรู้ นั่นก็เพราะท่านพ่อของเขารักและถวายชีวิตให้แก่วังหลวงนี้ทุกช่วงลมหายใจจนไม่สนว่าคนที่อยู่ข้างหลังอย่างกุ้ยฮวาจะเจ็บปวดแค่ไหน
“อะไรกัน.. แค่เข้ามาอยู่ในวังหลวงได้ไม่ถึงชั่วยามเจ้าก็ร้องไห้แล้วรึ?” พอโดนทักแบบนั้นตากลมก็มองค้อนร่างสูงหนึ่งทีก่อนจะหันหลังให้ซื่อเหยียนทำท่าเหมือนไม่อยากจะคุยด้วย
“เจ้าต้องอดทน... ในวังหลวงยังมีเรื่องให้เจ้าต้องอดทนอีกมากมาย เก็บน้ำตาของเจ้าไว้ใช้กับเรื่องหนักหนาพวกนั้นเสียดีกว่ามาร้องไห้เพราะเรื่องคิดถึงพ่อไร้สาระแบบนี้”
“เรื่องพ่อข้าไร้สาระตรงไหนกัน!?.. ชีวิตของข้ามีแค่ท่านพ่อคนเดียว ถ้าข้าจะคิดถึงท่านพ่อแล้วร้องไห้มันไร้สาระตรงไหน!?”
“ก็มันไร้สาระตรงที่เจ้ายังเอาแต่คิดว่าชีวิตของเจ้ามีแต่พ่อเจ้าคนเดียวทั้งๆที่ตอนนี้ชีวิตเจ้าก็มีข้าแล้วเหมือนกัน!”
“.....”
“และหลังจากอภิเษก คนที่เจ้าจะคิดถึงจนร้องไห้ได้.. ก็มีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น” พูดจบซื่อเหยียนก็เดินผลักบานประตูออกไปด้วยอารมณ์โทสะเพราะอีกคนเอาแต่งอแงจนไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง ส่วนกุ้ยฮวาที่โมโหไม่แพ้กันก็ถอดรองเท้าของตัวเองแล้วปามันใส่หลังขององค์รัชทายาทจนเหล่านางในที่รออยู่ข้างนอกพระตำหนักก็พากันตกใจ
“ถึงข้าจะเกิดมาต่ำต้อยแต่น้ำตาของข้ามีค่ามากกว่าพวกคนในวังหลวงเยี่ยงเจ้าแน่นอน! เพราะฉะนั้นข้าจะไม่มีวันร้องไห้เพราะเจ้าแน่นอน!” ซื่อเหยียนขำออกมาเบาๆอย่างเย้ยหยันก่อนจะหันกลับมามองหน้าว่าที่พระชายาที่โกรธจนหน้าแดงไปหมดแล้วค่อยๆก้มลงหยิบรองเท้าของกุ้ยฮวาขึ้นมา
“ชอบโยนนักใช่ไหม?... ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องใส่” ว่าจบซื่อเหยียนก็โยนรองเท้าของกุ้ยฮวาจนปลิวไปไกล จนร่างบางร้องเสียงหลงที่รองเท้าคู่โปรดของตัวเองถูกโยนทิ้ง
“เจ้าทำบ้า--!!”
“หยุด!! ข้าไม่รู้ว่าธรรมเนียนนอกวังเป็นอย่างไร แต่ในวังหลวงแห่งนี้พระชายาไม่มีสิทธิ์ขึ้นเสียงหรือทำการกระทำต่ำช้าอย่างที่เจ้าทำเมื่อครู่กับพระสวามี!” ยังไม่ทันที่ปากเล็กๆนั่นจะได้กล่าวว่าอะไรให้มากความ เสียงทุ้มเข้มการพูดแทรกและออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนหัวใจดวงน้อยๆของกุ้ยฮวากระตุกวาบเพราะความกลัวที่เกิดขึ้น
“แต่..!!”
“จำใส่หัวเจ้าเอาไว้เสียว่า ณ ที่แห่งนี้ข้าคือผู้นำและเจ้าคือผู้ตาม! ต่อให้ข้าใคร่ให้เจ้าไปสมสู่กับม้าเจ้าก็ต้องทำ เพราะนั่นคือคำสั่งของสวามี”
“สมสู่กับม้า? นี่เจ้าเสียสติหรือจิตวิปลาสไปแล้วรึ!?”
“ก็ถ้าเจ้ายังดื้อด้านกับข้าเช่นนี้อีก ข้าก็จะแสดงให้ดูว่าข้านั้นยังเสียสติและวิปลาสได้อีกมากเพียงใด”
“เจ้านี่มัน..”
“อ้อ!.. และอย่าลืมว่าข้าเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์เพราะฉะนั้นข้าจึงถูกสั่งสอนมาตลอดว่าเหล่ากษัตริย์เมื่อตรัสสิ่งใดออกไปแล้วห้ามคืนคำพูดเด็ดขาด”
“เจ้าไม่กล้าหรอก!... เพราะถ้าข้าถูกทำเช่นนั้นแล้วรอดไปได้ล่ะก็.. ข้าจะเอาเจ้าไปแฉให้หมดเลย คอยดูสิ!”
“หึ.. คงยากหน่อยนะ เพราะส่วนใหญ่คนที่โดนแบบนั้นไม่ค่อยมีใครรอดกันหรอก ลิ้นจุกปากตายตั้งแต่โดนม้าชำเราไปแล้ว” ในขณะที่กุ้ยฮวาตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อรู้ว่ามีใครหลายคนเคยโดนเช่นนี้ ซื่อเหยียนที่ตอนแรกนึกโกรธก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจเพราะดูท่าทางว่าว่าที่พระชายาของเขาจะเชื่อสนิทใจว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในวังจริงๆ ทั้งๆที่ในความจริงนั้นไม่เคยมีเรื่องเกิดขึ้นมาเลย เขาแค่พูดขู่คนตัวเล็กก็เท่านั้น
แต่ถ้าป๋าย กุ้ยฮวายังพยศใส่เขาแบบนี้อยู่ก็คงไม่แน่.. แต่คงไม่ต้องถึงกับเอาไปให้ม้าชำเราหรอก
เพราะถ้าดื้อกับใคร..คนๆนั้นก็ต้องเป็นคนลงโทษสิ จริงหรือไม่?
“งั้นข้าก็จะหนี!!”
“การหนีพิธีอภิเษกถือเป็นความผิดใหญ่หลวง อยากโดนประหารเจ็ดชั่วโคตรก็ตามใจเจ้า”
“......”
“ถ้าไม่อยากโดนเช่นนั้นก็จงเชื่อฟังข้า และอย่าแม้แต่คิดที่จะหนี พักผ่อนเสีย วันพรุ่งนี้เราต้องออกไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาแต่เช้า”
ตกดึกคืนนั้น..
ตำหนักแพทย์หลวง
“นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์รัชทายาทกำลังจะอภิเษก” ผู้ช่วยหมอหลวงคนหนึ่งเดินเข้ามาในหอปรุงยา ซึ่งตรงนั้นเองก็มีสวี่ ซู่เจินที่กำลังตำสมุนไพรอยู่พอได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับหยุดชะงัก
“องค์รัชทายาทน่ะหรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ตอนจะมาที่นี่ข้าผ่านตำหนักจิ่งหยางกงที่พำนักของว่าที่ชายา เจ้าเชื่อหรือไม่ว่ากลิ่นหอมของว่าที่พระชายานี่หอมฟุ้งไปทั่วบริเวณนั้นเลย”
“นี่เจ้าจะบอกว่าพระชายาของเราเป็นบุรุษดอกไม้อย่างนั้นรึ!!?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ข้าได้ยินมาว่าองค์รัชทายาททรงไปตามหาจนเจอกับว่าที่พระชายาด้วยตัวของพระองค์เองเลย”
“เฮ้อ ถึงเวลาสักทีนะ เห็นผลัดมานานนมจนพระองค์จะสามสิบชันษาอยู่แล้ว ว่าแต่ว่าที่พระชายาเป็นใครล่ะ?”
“ข้าก็ไม่รู้หรอก แต่เห็นพวกนางในบอกว่าเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่ใช่ลูกขุนน้ำขุนนางอะไรหรอก”
“หึ... หนูตกถังข้าวสารชัดๆเลยนะ เจ้าว่าไหม?”
“ตกถังทองเลยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ” ผู้ช่วยหมอหลวงทั้งสองคนเดินหัวเราะแล้วพากันกลับเข้าหอนอน ส่วนซู่เจินที่แอบฟังอยู่ก็เอาแต่กัดปาก สองมือกำสากและครกแน่นเพราะต้องอดทนกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดรอดออกมาให้สองคนนั้นได้ยิน
ตำหนักจิ่งหยางกง
ฮู่...
แอ๊ด..
กุ้ยฮวาที่ต้องนอนอยู่คนเดียวในตำหนักกว้างขวางหลังจากที่เหล่านางในดับตะเกียงแล้วพากันออกไปกันหมดจนเหลือเขาเพียงลำพัง มือบางที่วางอยู่บนอกกำผ้าห่มแน่น สองตากลมมองเพดานมืดๆของตำหนักด้วยความรู้สึกหวาดกลัวก่อนจะหลับตาปี๋แล้วพยายามข่มตาให้หลับ และพลิกตัวไปมาเพื่อหาที่ให้สบายอย่างไรก็ไม่หลับเสียที
ตอนอยู่ในป่าลำบากกว่านี้ น่ากลัวกว่านี้ตั้งเยอะแต่กุ้ยฮวาก็ยังไม่รู้สึกกลัวเท่านี้เลย ที่นี่มีที่นอนหรูหรานอนสบาย แต่กุ้ยฮวากลับรู้สึกไม่สบายเท่าฟูกนอนเก่าๆที่บ้านของเขาเลย
ร่างบางตัดสินใจลุกขึ้นลงจากเตียงโดยหยิบผ้าคลุมขึ้นมาคลุมร่างกายเพราะหวังจะออกไปเดินรับลมให้ง่วงกว่านี้อีกสักหน่อย พอกลับมาจะได้หลับง่ายขึ้น
ใบหน้าหวานแนบอิงกับบานประตูเพื่อฟังเสียงว่ายังมีใครอยู่ข้างนอกหรือไม่ และเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครมือบานก็ผลักบานประตูออกทันที
ปึ่ก!!
“โอ๊ย!!”
“อ๊าก!” เสียงร้องขององค์รัชทายาทและว่าที่พระชายาทำเอาพวกทหารที่เฝ้าเวรยามรีบวิ่งกรูกันมาหน้าตำหนักของว่าที่พระชายาแล้วก็เห็นว่าองค์รัชทายาทล้มลงใช้มือกุบข้างแก้มที่ถูกบานประตูฟาดเข้ามาเต็มๆ ส่วนว่าที่พระชายาก็ยืนตกใจอยู่
“องค์ชายเป็นอะไรรึเปล่าพ่ะย่ะค่ะ? ให้กระหม่อมไปตามหมอหลวงให้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้ากลับไปเฝ้าเวรยามกันต่อเถิด” ซื่อเหยียนลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นตามแขนเสื้อออก
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามาทำอะไรที่หน้าบ้าน.. เอ้ย! หน้าตำหนักของข้า” กุ้ยฮวารอให้พวกทหารกลับไปทั้งหมดก่อน ก่อนจะเอ่ยถามอีกคน
“เจ้านั่นแหละจะออกไปไหน? อ้อ.. หรือว่าเจ้าคิดจะหนี?”
“ข้าไม่ได้จะหนี ข้าแค่นอนไม่หลับเลยจะออกไปเดินเล่น” กุ้ยฮวามองค้อนอีกคนหลังจากที่ถูกใส่ร้าย และอีกอย่างกุ้ยฮวาก็เชื่อว่ากลิ่นกายของตัวเองต้องลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณตำหนักจนเป็นไปไม่ได้ที่ซื่อเหยียนจะไม่ได้กลิ่น ที่มานี่ก็คงจะมาหาเรื่องจับผิดกันน่ะสิ
“ดี.. ไม่ได้คิดจะหนีก็ดี”
“ข้าตอบของข้าไปแล้ว ถึงตาเจ้าตอบข้าบ้างแล้ว”
“ตอบอะไร?”
“ก็ที่ข้าถามไงว่าเจ้ามาทำอะไรที่หน้าตำหนักของข้า?”
“ข้าก็ออกมาเดินรับลม แต่เห็นตำหนักของเจ้าเงียบๆ เลยเดินมาดู เผื่อว่าเจ้าหนีไปข้าจะได้ตามทัน” เมื่อได้คำตอบตากลมก็ถึงกับกลอกตามองบน
“เช่นนั้นเจ้าก็เห็นแล้วนะว่าข้าไม่ได้หนี งั้นข้าไปเดินเล่นของข้าล่ะนะ” กุ้ยฮวากระชับชุดคลุมก่อนจะเบี่ยงตัวเดินผ่านร่างสูงแต่กลับถูกมือหนาคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน
“เช่นนั้นก็ออกไปเดินด้วยกันนี่แหละ เผื่อเจ้าหนี”
“เอ๊ะ!! ข้าก็บอกว่าข้าไม่ได้จะหนีไง โอ๊ย! นี่..เดินช้าๆหน่อยสิ!!”
ทั้งคู่เดินเล่นไปเรื่อยๆ ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรกันสักคำจนกุ้ยฮวารู้สึกอึดอึดเลยก้าวเท้าขยับตัวออกห่างจากซื่อเหยียนเพราะหวังว่าระยะห่างจะคลายความรู้สึกอึดอัดได้บ้าง แต่ร่างสูงก็ตาไวรีบโอบคว้าไหล่บางแล้วกระชากเข้าหาตัวเองจนร่างของกุ้ยฮวาชนเข้ากับสีข้างของร่างสูงอย่างจัง
“โอ๊ย!..เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย!?”
“เจ้าจะไปไหน?” ใบหน้าคมก้มหน้าลงมากระซิบถามใกล้จนใบหน้าหวานต้องก้มหน้าหนี
“ข้าไม่ได้จะไปไหน แต่ข้าอึดอัดที่ต้องเดินกับเจ้า”
“ทำไม.. เจ้าอึดอัดเพราะรัจเกียจข้าหรือว่าเจ้าอึดอัดเพราะตกหลุมรักข้าแล้วงั้นรึ?” ตากลมตวัดมองค้อนซื่อเหยียนทันที
“รักเจ้างั้นรึ!? เห๊อะ!.. ข้ายอมควักหัวใจตัวเองออกมาให้หมูกินยังจะดีเสียกว่า” พูดจบกุ้ยฮวาก็ผลักร่างสูงออกทันทีแล้วรีบจัดระเบียบเสื้อคลุมของตัวเองอีกครั้งเพราะแรงกระชากของซื่อเหยียนเมื่อครู่ทำให้ชุดคลุมของเขาเบี้ยวบูดไปหมด
“รักข้าซะ”
“อะไรนะ!?” เสียงหวานถามกลับอีกครั้งเพราะไม่มั่นใจว่าเขาได้ยินคำสั่งสั้นๆนั่นถูกต้องหรือไม่
“ข้าบอกให้เจ้ารักข้าซะ เพราะมันคือสิ่งที่พระชายาพึงมี ทั้งความรักและภักดี นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องมีให้แก่ข้า เพราะฉะนั้นรีบจัดการกับความอึดอัดที่เจ้ามีต่อข้าแล้วรักข้าซะ”
“นี่โตมาแบบไหนถึงได้ชี้นิ้วสั่งให้ใครรักเจ้าก็ได้น่ะห๊ะ!!”
“ข้าเองก็จะรักเจ้าเหมือนกัน”
“.....” ริมฝีปากอิ่มที่เตรียมจะพ่นคำด่าออกมาอีกถึงกับกลืนหายลงคอไป เพราะไม่นึกว่าองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์จะเอ่ยปากบอกว่าจะรักเขาที่เป็นบุรุษดอกไม้ที่ส่วนใหญ่ชีวิตของคนแบบเขาควรจะจบด้วยความตายตั้งแต่ยังแบเบาะหรือไม่ก็ต้องไปจบชีวิตอยู่ในซ่องโสเภณี
กุ้ยฮวามองเข้าไปในตาของซื่อเหยียนพร้อมๆกับหัวใจที่ค่อยๆเต้นหนักแน่นและเร็วขึ้นจนนัยต์ตาใสสั่นไหวด้วยความรู้สึกอ่อนไหว..
“...ถึงแม้มันจะฝืนใจข้าไปหน่อยก็เถอะ”
เพล้ง...
กุ้ยฮวาได้ยินเสียงของหล่นแตกดังสนั่นอยู่ในหัว ซึ่งมาทบทวนดูอีกทีเสียงนั่นคงเป็นเสียงหน้าเขานั่นแหละที่แตก ตากลมหลับตาลง มือทั้งสองข้างกำหมัดและเม้มปากเข่นเขี้ยวกร่นด่าอีกคนอยู่ในใจหลังจากที่ร่างสูงที่พูดจบก็สะบัดหน้าเดินหนีไปเลย
ไอ้หัวใจเวร! เจ้าไปเต้นเพราะไอ้คนเฮงซวยแบบนั้นได้อย่างไรกัน!?
ฮึ่ย! ข้าอายมากจนอยากจะเอาปืนใหญ่พันรอบตัวแล้วกระโดดไปคว้าคอไอ้องค์ชายนั่นให้ระเบิดตายไปพร้อมกันจริงๆ!
ฮื่อ.. มันน่าโมโหนัก แต่น่าอายยิ่งกว่าอีก!!
-
เช้าวันต่อมา
กุ้ยฮวาที่นอนหลับอย่างสบายจนกางแขนขาอย่างสบายใจราวกับเมื่อคืนไม่ได้ผ่านความอับอายมาอย่างหนักหนา
“ซู๊ด..” เสียงสูดน้ำลายดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือขาวที่เช็ดคราบน้ำลายที่ไหลเป็นสายอยู่ข้างแก้มก่อนที่ร่างบางจะเปลี่ยนท่ามานอนตะแคง ขาเรียวสะบัดเตะผ้าห่มให้มากองกันที่ด้านข้างแล้วใช้แขนขาขมวดผ้าห่มให้เป็นก้อนยาวๆแล้วใช้แขนขากอดก่ายเอาไว้แล้วนอนต่อ
“ว่าที่พระชายา ทรงตื่นบรรทมหรือยังเพคะ องค์ชายมีรับสั่งให้หม่อมฉันมาตามพระองค์ไปร่วมเสวยพระกระยาหารเช้าร่วมกับองค์ชายเพคะ”
“คร่อก...”
“ว่าที่พระชายาเพคะ”
“ฟี้~”
“ว่าที่พระชายา..สายแล้วนะเพคะ” นางในสองคนที่ถูกสั่งให้มาตามมองหน้ากันด้วยความลำบากใจเพราะคนข้างในไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลย
“ว่าที่พระชายา ตื่นเถิดเพคะ.. พระองค์ต้องไปถวายคำทักทายแด่ฮ่องเต้และฮองเฮานะเพคะ”
“.....”
“ว่าที่พระชายา ว่าที่พระชายาเพคะ”
“อะไรกัน? สายป่านนี้แล้วพระชายายังไม่ตื่นอีกรึ!?” คนที่ออกคำสั่งให้นางในสองคนนี้ออกมาตามว่าที่พระชายา เดินเอามือไพ่หลังขึ้นมาหน้าตำหนักของกุ้ยฮวาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เพราะเขาได้ยินนางในสองคนนี้เรียกกุ้ยฮวาอยู่นานสองนานแต่อีกคนก็ยังเงียบไม่คิดจะมาเปิดประตูจนซื่อเหยียนต้องเดินมาตามด้วยตัวเอง
“เฮือก! องค์ชาย..” นางในทั้งสองต่างสะดุ้งเฮือกแล้วหันหน้าไปหาองค์รัชทายาทแล้วก้มหน้าอย่างสำนึกผิด
“พวกเจ้าเรียกกันนานรึยัง?”
“นานแล้วเพคะ.. แต่ว่าที่พระชายาไม่ตอบกลับเลยเพคะ”
“ถอยไป”
พลั่ก!!
ซื่อเหยียนเดินผ่านกลางนางในทั้งสองแล้วผลักประตูเข้าไปทันที ร่างสูงเดินดุ่มเข้าไปหาว่าที่พระชายาที่แสนจะขี้เซาของตัวเองที่คงจะนอนดิ้นมากเพราะชายชุดนอนนั้นเลิกขึ้นมาจนเห็นเนื้อแก้มก้นขาวๆที่โผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อย ลำบากซื่อเหยียนต้องถกลงมาปิดให้
“นี่.. ตื่นได้แล้ว”
“....คร่อก”
“ขี้เซาแล้วยังจะนอนกรนอีกรึ!”
“.....”
“ป๋าย กุ้ยฮวา! ตื่นได้แล้ว!!!”
พรึ่บ!
ซื่อเหยียนตะโกนเสียงดังแล้วกระชากผ้าห่มที่กุ้ยฮวากอดไว้อย่างแรงแล้วเหวี่ยงมันลงพื้น จนในที่สุดตากลมก็ค่อยๆลืมขึ้นแล้วหรี่ตามองคนที่รบกวนการนอนของตัวเองอย่างนึกหงุดหงิด
“นี่เจ้า!..ทำไมต้องมาปลุกข้าแต่เช้าด้วย!?”
“เช้าที่ไหนกัน!? เจ้านอนจนตะวันแยงก้นแล้วไม่รู้ตัวเลยหรือไง?” กุ้ยฮวามองออกไปข้างนอกตำหนัก ไม่ว่าจะดูเช่นไรเพิ่งจะยามเหม่าเท่านั้นเองตะวันยังเพิ่งขึ้นได้ไม่นานเลย
“อะไรกัน.. ข้านึกว่าพวกราชวงค์จะนอนตื่นสายอย่างไรก็ได้เสียอีก”
“พวกเจ้ารีบมาจัดการว่าที่พระชายาให้เรียบร้อย ส่วนสำรับของว่าที่พระชายาพวกเจ้าเก็บไปได้เลย ใกล้ถึงเวลาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว! ไม่มีเวลาให้ว่าที่พระชายาเสวยแล้ว เร็ว!!”
“เพคะองค์ชาย” นางในทั้งสองคนรีบเดินเข้ามาหิ้วปีกของกุ้ยฮวาที่ยังงงๆอยู่ลงจากเตียงแล้วพาเข้าไปชำระล้างร่างกายพร้อมผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ซึ่งแน่นอนว่าเข้าเฝ้าฮ่องเต้และฮองเฮาครั้งก็ต้องจัดเต็มทั้งเครื่องหน้า การแต่งตัวและทรงผมกันเสียหน่อย
แอ๊ด..
“เรียบร้อยแล้วเพคะองค์ชาย” ร่างสูงที่มีสีหน้าร้อนใจหันกลับมามองตามเสียงของนางในทั้งสองคน ใบหน้าคมที่ขมึงตึงเมื่อครู่นั้นหายไปหลงเหลือไว้เพียงรอยยิ้มจางๆหลังจากที่ได้ยลโฉมว่าที่พระชายาของตนเอง
กุ้ยฮวาถูกจับสวมในชุดของหญิงสาวชนชั้นสูง ซื่อเหยียนไม่นึกเลยว่ากุ้ยฮวานะมีผิวที่ขาวราวกับหิมะขนาดนี้ซึ่งผิวขาวๆนั่นตัดกับชุดเกาะอกสีแดงเลือดหมูที่รัดแน่นจนอกแบนๆของกุ้ยฮวาขึ้นเป็นร่องแล้วคลุมทับด้วยชุดผ้าไหมสีขาวปักลายดอกบัว ส่วนทรงผมก็ถูกเก็บรวบขึ้นเป็นมวยเพื่อโชว์โครงหน้าและลำคอยาวระหงส์แล้วประดับด้วยปิ่นทองลายดอกกุ้ยฮวาเข้ากันกับชื่อของเจ้าตัว
“ข้าต้องสวมชุดนี้จริงๆหรือ? นี่มันชุดของสตรีนะ”
“ในเมื่อเจ้าเป็นพระชายาของข้าก็ต้องแต่งกายให้เหมาะสม เรื่องที่พระชายาขององค์รัชทายาทเป็นบุรุษจะแค่คนในวังหลวงเท่านั้นที่รู้ ห้ามให้ประชาชนและคนนอกรู้เป็นอันขาด”
“ในเมื่อคนในวังรู้ว่าข้าเป็นผู้ชายก็ให้ข้าสวมชุดปกติไม่ได้หรือ? เกาะอกนี่มันรัดอกข้าจนข้าหายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว”
“ไม่ได้! อย่ามัวเสียเวลารีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กันได้แล้ว” พูดจบซื่อเหยียนก็สะบัดชายฉลองพระองค์ของตัวเองแล้วเดินนำกุ้ยฮวาไปยังตำหนักของฮ่องเต้และฮองเฮาทันที
“หน็อย.. เมื่อเช้าก็สั่งเก็บอาหารเช้าของข้า ตอนนี้ยังจะมาบังคับให้ข้าใส่ชุดรัดๆแบบนี้อีก ไอ้องค์ชายใจอำมหิตเอ้ย!”
“ฝ่าบาท.. องค์รัชทายาทและว่าที่พระชายาเสด็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา” สุรเสียงทุ้มเข้มขององค์จักรพรรดิหรือฮ่องเต้ที่เปล่งออกมา ทำเอากุ้ยฮวาที่รอจะเข้าไปถึงกับขนลุกซู่และตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก ซื่อเหยียนก็โอบเอวบางให้เดินเข้าไปหาฮ่องเต้และฮองเฮาก่อนที่ทั้งคู่จะคุกเข่าก้มลงถวายบังคมแด่ทั้งสองพระองค์
“ถวายบังคมฝ่าบาทและฮองเฮา วันนี้ข้าพาว่าที่พระชายามาพบทั้งสองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” องค์จักรพรรดิและฮองเฮาต่างก็หัวเราะและหันมายิ้มด้วยกัน
“ไหนว่าที่พระชายา.. เงยหน้าของเจ้าขึ้นให้ข้าเห็นชัดๆสิ” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างเอ็นดู ก่อนที่กุ้ยฮวาจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นตามคำรับสั่งของฮองเฮา ซึ่งเมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นใบหน้าของกุ้ยฮวาก็ต่างยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“เจ้างามยิ่งนัก ยิ่งสวมชุดนี้เจ้าก็ยิ่งงาม ข้ามิแปลกใจแล้วล่ะว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่ดื้อด้านปฏิเสธเรื่องการอภิเษกมานานนมถึงได้ตกลงปลงใจที่จะอภิเษกกับเจ้า” กุ้ยฮวายิ้มแห้งๆแล้วก้มหน้ามองนิ้วชี้ของตัวเองที่แอบไคว้เกี่ยวกันไปมาบนตักเพราะทำตัวไม่ถูก
ว่าแต่.. ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาก็ดูใจดีและทรงเป็นกันเองมากๆ กุ้ยฮวาล่ะแปลกใจจริงๆว่าไอ้องค์ชายนี่ไปเอานิสัยขี้วางอำนาจแบบนี้มาจากไหน แถมยังชอบดุชอบขู่อย่างกับสุนัขอีกต่างหาก!
“เป็นอย่างไรเล่าองค์ชาย.. เจ้าพึงใจในว่าที่พระชายาของเจ้าหรือไม่?” ตากลมเบิกกว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสกับองค์รัชทายาท และจังหวะนั้นเองที่สายตาเฉียบคมของฮ่องเต้ก็สบเข้ากับเขาจนกุ้ยฮวาต้องรีบก้มหน้าจนคางชิดอกจิกมือที่วางอยู่บนตักทั้งสองข้างเข้ากับชุดสวยจนผ้าไหมชั้นดีแทบขาดเพราะกลัวว่าสิ่งที่ตนทำไปจะเป็นการเสียมารยาท
“หม่อมฉันพึงใจในว่าที่พระชายาของตนเองพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำของซื่อเหยียน กุ้ยฮวาก็ตวัดมองใบหน้าของร่างสูงแอบปรายสายตามองเขาก่อนจะอมยิ้มเล็กน้อย
พึงใจอะไรกัน เมื่อคืนยังบอกฝืนใจกับข้าอยู่เลย!! หึ.. คราวนี้ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก
“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นรึ? ไหนลองบอกข้ามาซิว่าองค์ชายพึงใจสิ่งใดในตัวของพระชายา” องค์จักรพรรดิเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะด้วยความชอบใจก่อนจะยื่นหน้าเท้าแขนกับหน้าตักแล้วถามลูกชายด้วยความใคร่รู้
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หม่อมฉันพึงใจในว่าที่พระชายาก็เพราะความสดใสปนดื้อซนของว่าที่พระชายาที่หม่อมฉันคิดว่าสิ่งนี้คงจะช่วยให้ชีวิตของหม่อมฉันที่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้มีสีสันขึ้นมาบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆๆ เจ้าคงซนมากสินะว่าพระชายา ปกติองค์ชายไม่ค่อยเก็บอะไรยิบย่อยมาใส่ใจ แต่ครานี้กลับเอ่ยออกมาแสดงว่าเจ้าคงแสบมากจริงๆ ฮ่าๆๆ”
“คะ-คงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” กุ้ยฮวาได้แต่ก้มหน้าจำนนต่อการครหาที่ไม่ได้จริงจังอะไรของฮ่องเต้ แต่ในใจนั้นแทบลุกเป็นไฟ
องค์ชายน่ะหรือไม่เก็บอะไรมาคิดยิบย่อย? เหอะ!!.. ตั้งแต่เขาเหยียบเข้าวังหลวงมาไม่มีสักเวลาที่องค์ชายจะไม่ต่อว่าเขาน่ะ!!
“ฝ่าบาท..ถึงแม้ว่าที่พระชายาของหม่อมฉันจะดื้อไปบ้าง แต่หม่อมฉันก็เชื่อว่าลึกๆแล้วว่าที่พระชายาเป็นคนดี...” ซื่อเหยียนพูดค้างไว้ก่อนจะคว้ามือบางที่วางอยู่บนตักของกุ้ยฮวาขึ้นมาจับก่อนจะมองใบหน้าหวานที่ยังตกใจกับการกระทำของเขาจนรอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายก่อนที่ซื่อเหยียนจะหันหน้าสบพระเนตรกับฮ่องเต้และกล่าวขึ้นในสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาพึงพอใจเป็นที่สุด “และนั่นคงเป็นเหตุผลที่หม่อมฉันอาจจะยกหัวใจให้ว่าที่พระชายาได้ในอีกไม่นานนี้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากเข้าเฝ้าเสร็จ ซื่อเหยียนและกุ้ยฮวาก็เดินกลับตำหนักพร้อมกัน แต่ทันใดนั้นเองแม่ทัพป๋ายที่เดินสวนมาด้วยท่าทีขึงขังและเร่งรีบก็ทำให้กุ้ยฮวาถึงกับหลุดยิ้มดีใจและกำลังจะโบกมือทักทายท่านพ่อของตน แต่กลับโดนมือหนาขององค์รัชทายาทห้ามไว้
แม่ทัพป๋ายในชุดแม่ทัพเต็มยศก้มศรีษะโค้งต่ำให้แก่องค์รัชทายาทและว่าที่พระชายา จนกุ้ยฮวาถึงกับใจกระตุก
มันไม่ใช่เรื่องที่ควรเลยที่ให้บุพการีโค้งให้ลูกตนเองเช่นนี้
“ท่านดูมีเรื่องร้อนใจจะกราบทูลกับฝ่าบาท ไม่ต้องมากความกับข้าและว่าที่พระชายา จงรีบไปเข้าเฝ้าเถิด” ซื่อเหยียนกล่าวเสียงเรียบหลังจากพิจารณาจากสีหน้าและท่าทางของแม่ทัพป๋ายคงมีเรื่องการศึกเร่งด่วนเป็นแน่เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่อยากให้อีกคนเสียเวลาไปมากกว่า และอีกอย่างเขากลัวว่าว่าที่พระชายาจะอดทนเก็บความคิดถึงพ่อของตนไม่ไหวแล้วจะพาลงอแงใส่เขาอีกเขาจึงต้องรีบให้แม่ทัพไป
กุ้ยฮวาที่ไม่ได้พูดกับท่านพ่อของตัวเองสักคำได้แต่มองแผ่นหลังของพ่อด้วยสายตาละห้อยจนซื่อเหยียนต้องจับมือบางให้เดินกลับตำหนักด้วยกัน
“พวกเจ้าแยกย้ายกันได้แล้ว ข้าและว่าที่พระชายาจะเข้าไปอ่านหนังสือในหออักษร”
“เพคะองค์ชาย/พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
ซื่อเหยียนเดินจูงมือพากุ้ยฮวาเข้าไปในหออักษรส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาทและเมื่อทั้งคู่เข้ามาในหออักษร กุ้ยฮวาก็รีบดึงมือออกจากมือหนาทันที จนคิ้วได้รูปขององค์รัชทายาทถึงกับขมวดกริ้วแล้วใช้สายตาดุๆของตัวเองถามกับร่างบางว่าเหตุใดจึงทำกิริยาเช่นนั้น
“อะไร? ก็มือข้าเหงื่อออกเต็มไปหมด เจ้าไม่รังเกียจหรืออย่างไร!?” กุ้ยฮวาเอาฝ่ามือถูกับชุดเพื่อเช็ดเหงื่อก่อนจะสอดมือเข้ากับมือหนาอีกครั้ง “อ่ะ..อยากจับก็จับ จะได้เลิกมองข้าแบบนั้นเสียที”
“ข้าก็ไม่อยากจับขนาดนั้นหรอก อย่าสำคัญตัวเกินไป” ซื่อเหยียนดึงมือตัวเองออกแล้วเอามือไพ่หลังเดินไปยังที่ประทับของตนเอง
กุ้ยฮวาเบะปากแล้วแลบลิ้นใส่หลังอีกคนอย่างล้อเลียนก่อนจะเดินกระทืบเท้าตึบตังจนซื่อเหยียนต้องหันมาดุ
“เหตุใดจึงเดินกระทืบเท้าเช่นนี้! กิริยาเลวทรามยิ่งนัก!” กุ้ยฮวาถึงกับอ้าปากค้างเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าแค่เดินกระทืบเท้าแค่นี้ถึงกับต้องว่ากันด้วยกิริยาเลวทรามเลยหรือ
“ถ้าจะพาข้ามาแล้วดุด่าข้าเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะกลับตำหนัก!”
“ไม่ได้! ข้าพาเจ้ามาหออักษรก็เพื่อให้เจ้าได้เรียนรู้ตำรา เพราะมีหลายสิ่งที่ในวังหลวงที่เจ้าต้องรู้ ทั้งกฎ ทั้งขนบธรรมเนียม ทั้งสิ่งที่พึงปฏิบัติต่อพระสวามี และอีกมากมายที่เจ้าควรรู้ แต่นี่แม้กระทั่งคำราชาศัพท์เจ้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับไปนอนเล่นสบายใจที่ตำหนักได้อย่างไร”
“แล้วใครบอกเจ้าว่าข้าไม่รู้คำราชาศัพท์ล่ะ?”
“ถ้ารู้แล้วเหตุใดจึงไม่พูดกับข้า!?”
“เอ้า.. ทีเจ้ายังไม่พูดคำราชาศัพท์กับข้าเลยทั้งๆที่ข้าก็กำลังจะเป็นชายาของเจ้าเหมือนกัน”
“นี่เจ้า..!!”
“เอาเป็นว่าเวลาอยู่ด้วยกันสองคนข้าก็จะใช้คำพูดธรรมดากับเจ้า และเวลาที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮาข้าก็จะใช้คำราชาศัพท์กับเจ้า ดีหรือไม่?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาต่อรองกับข้านะ”
“งั้นข้าขอร้องก็ได้.. ในเมื่อที่นี่กำลังจะเป็นบ้านของข้า ข้าก็อยากจะให้บ้านหลังนี้เป็นที่ที่ทำให้ข้างรู้สึกสบายใจได้บ้าง แค่ข้าพูดคุยกับท่านพ่อของข้าไม่ได้ ข้าก็รู้สึกว่าที่นี่แทบจะไม่มีอากาศให้ข้าได้หายใจแล้ว” ซื่อเหยียนมองใบหน้าแสนรั้นนั่นที่สลดลงก็ถึงกับเบือนหน้าหนีแล้วถอนหายใจ
“เอาเถอะ.. ข้าจะพยายามไม่ถือสาเจ้าก็แล้วกัน แต่ก็อย่าข้ามหัวข้ามากเกินไปก็พอ”
“อื้ม! ขอบใจเจ้ามากนะ ซื่อเหยียน!” ซื่อเหยียนถึงกับคิ้วกระตุกเมื่อใบหน้าสลดเมื่อครู่หายวับไปทันที แถมกุ้ยฮวายังเรียกชื่อของเขาเฉยๆอีกด้วย
“นี่เจ้า!!”
“เอ้า.. ก็คนธรรมดาเขาก็พูดกันแบบนี้ไง แหะๆ”
--------------------
..To Be Continued..
เป็นไงกันบ้างคะ พอได้กลิ่นความแสบของว่าที่พระชายสกันรึยัง?
อ้อ! เลือกบอกไปว่าเรื่องนี้องค์รัชทายาทเราอายุ 27 ปีนะคะ ส่วนยัยหนูกุ้ยฮวาก็เพิ่ง 18 ปี เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจที่น้องเขาดื้อรั้นขนาดนี้กันน้า
แต่ไม่ห่วงค่ะเพราะดื้อแค่ไหนองค์รัชทายาทของเราก็ 'เอาอยู่' แน่นอนงับ!!
หากมีตรงไหนอยากแนะนำก็สามารถคอมเม้นต์บอกกันได้เลยนะคะ
-
:pig4:
:3123:
-
โอ้โห ถ้าซือเหยียนจะเผด็จการขนาดนี้ กุ้ยฮวาร้อยคนก็ต้องอยู่หมัดแน่
ปล. แอบกังวลนิดหน่อย กรณีซือเหยียนจะได้เป็นองค์รัชทายาท หากได้ตำแหน่งนี้ตั้งแต่ยังเป็นอ๋องหรือองค์ชาย จะต้องมีพระชายานั้นไม่แปลก แต่จะเกินบ้านเกินเมืองกว่าอ๋องอื่นๆ ตรงที่ รัชทายาทต้องมีพระชายาเยอะๆ กลัวถึงจุดนั้น จวนอ๋องของซื้อเหยียนต้องเกิดสงครามรักแน่ๆ แต่เท่าที่อ่านดู กุ้ยฮวาเป็นรักแรก ตำแหน่งฟู่จิ้นหรือพระชายาหลวง ต้องเป็นของกุ้ยฮวาแน่นอน
-
:katai2-1:
-
สงสารน้องเรียกกระทั้งพ่อตัวเองก็ไม่ได้ น้ำตาจะไหลเมื่อเห็นน้องทำหน้าเศร้ามองพ่อตัวเองเดินผ่าน หวังว่าหลังจากรัชทายาทหลงรักน้องแล้วจะผ่อนปรนลงบ้างนะ แล้วคนรักเก่าของรัชทายาทคงไม่มารังควานน้องหรอกนะ ยิ่งเป็นผู้ช่วยหมอหลวงรู้เรื่องยาเยอะอยู่คงไม่วางยาน้องหรอกนะ ไม่ว่าจะยาพิษ หรือยาทำให้แท้งอ่ะ
ปล. เรื่องสนุกมากค่ะ รีบมาต่อนะคะ
-
แสนซนมาก555
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
ชันษา
To be continued.
-
สนุกมากๆเลยค่า :pig4: :L1:
-
:pi
-
-๒-
ว่าที่พระชายาของข้าช่างตะกละเสียจริง
เกือบสองชั่วยามแล้วที่ทั้งคู่ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในหออักษร ซื่อเหยียนยังคงจดจ่อกับหนังสืออย่างมีสมาธิ ส่วนกุ้ยฮวาที่ถูกจับให้นั่งท่องธรรมเนียมปฏิบัติกับว่าที่พระสวามีก็ตั้งใจอ่านมากจนนั่งสัปหงกไปหลายรอบ แถมตอนนี้ท้องของเขายังสั่นร้องเพราะความหิวไม่หยุดเลย
ให้ตายเถอะ.. ทั้งง่วงทั้งหิว นี่มันทรมานกันชัดๆ
“ซื่อเหยียน..”
“....” ไร้เสียงตอบกลับจากคนที่นั่งอ่านตำราอยู่ตรงข้ามมีเพียงเสียงกระดาษที่ถูกเปลี่ยนหน้าเท่านั้นจนปากอิ่มถึงกับยู่ด้วยความขัดใจ
“ซื่อเหยียน”
“.…”
“องค์ชาย..”
“.…”
“องค์รัชทายาท”
“อะไร?” แหม.. ต้องเรียกองค์รัชทายาทถึงกับขานรับ เจ้าคนอวดดีเอ้ย!
“ข้าหิว”
“ไร้สาระ” คนตัวสูงขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ แถมยังเปลี่ยนหน้ากระดาษด้วยความรุนแรงกว่าปกติ ทำเอาคนหิวถึงกับกัดริมฝีปากล่างอย่างสะกดกลั้นความโกรธ
“ก็เจ้าไม่ให้ข้ากินมื้อเช้านี่”
“ก็ที่เจ้าไม่ได้กินเพราะเจ้าตื่นสายเองนี่” สีหน้าบึ้งตึงบนใบหน้าหวานไม่ได้ทำให้ซื่อเหยียนรู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เพราะภาพที่เขาเห็นตรงหน้านี่มัน..
ใบหน้าของลูกหมาที่โดนขัดใจชัดๆ
“ข้ารู้ว่าข้าผิดที่ข้าตื่นสาย แต่ตอนนี้ข้าหิวจนปวดท้องไปหมดแล้ว แถมยังตาลายจนอ่านธรรมเนียมปฏิบัติไม่รู้เรื่องแล้ว ฮึ! .. น้า~ ไปกินข้าวกันเถอะ นะๆๆๆ”
“เฮ้อ! ทำไมเจ้าถึงชอบทำตัวน่ารำคาญนักนะ” ถึงปากจะบ่นแต่ซื่อเหยียนก็ยอมลุกขึ้นสะบัดชายฉลองพระองค์ด้วยความหงุดหงิด ซึ่งคนที่เอาแต่ร้องหิวก็ยิ้มร่าลุกขึ้นตามร่างสูงพร้อมกับสองเท้าที่วิ่งย่ำกับที่ไปมาด้วยความดีใจจนซื่อเหยียนนึกว่าหากอีกคนมีหางตอนนี้คงกระดิกไปมาแล้วกระมัง
“คอยดูนะ ข้าจะกินให้พุงกางเป็นงูเหลือมเลย!”
โครกกก~~
กุ้ยฮวาเดินตามองค์รัชทายาทกลับหออักษรทั้งที่ท้องยังร้องเพราะความหิวแม้เมื่อกี้จะได้กินข้าวไปแล้วก็ตาม แถมตอนกินก็เกร็งไปทั้งตัวเพราะต้องทานร่วมกับฮองไทเฮา ฮ่องเต้ ฮองเฮา และนางสนมทั้งหลายอีกสิบเอ็ดคน
“ให้ตายเถอะ.. ข้าก็หลงคิดว่าอยู่ในรั้วในวังจะได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่ที่ไหนได้ให้ข้าคีบกินแค่จานละคำสองคำ แบบนี้มันจะไปพอไส้อะไรกัน” กุ้ยฮวาบ่นอุบพลางใช้มือลูบท้องตัวเองที่ในกระเพราะคงมีอาหารอยู่แค่ก้นกระเพราะเท่านั้น
“มันเป็นธรรมเนียมของราชวงค์ที่ถูกสอนต่อกันมาว่า ‘อย่าโลภมากในอาหารมิเช่นนั้นอาจจะถูกปลิดปลง’ ” ซื่อเหยียนกล่าว
“แต่ถ้าให้ข้ากินแค่นี้ข้าก็อาจจะอดตายก่อนถูกวางยาพิษก็ได้นี่”
“ว่าที่พระชายา กระหม่อมขออนุญาตเสนอแนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีประจำตัวองค์รัชทายาทที่กุ้ยฮวาจำได้ว่าซื่อเหยียนเรียกขันทีคนนี้ว่าขันทีต๋วนพูดขึ้นแม้จะก้มหน้าอย่างสำรวมสมกับที่ถูกฝึกหัดมาอย่างดี
“มีอะไรหรอ?”
“หากว่าที่พระชายาทรงหิว พระองค์สามารถสั่งให้นางในนำสำรับอาหารว่างมาถวายแก่พระองค์ได้ทุกเมื่อเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรอ!? เอ.. แต่ข้าว่านี้มันก็บ่ายคล้อยแล้วข้าว่าข้ารอทานมื้อเย็นทีเดียวเลยดีกว่า แล้วพอทานเสร็จก็ค่อยขออาหารว่างก็แล้วกัน”
“มะ-มื้อเย็นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีต๋วนถามขึ้นพลางทำสีหน้าลำบากใจแล้วช้อนสายตามององค์รัชทายาทอย่างขอความช่วยเหลือ
“พวกเราที่นี่ไม่ทานมื้อเย็นกัน เว้นแต่ฝ่าบาทจะมีรับสั่งให้ร่วมเสวยพระกระยาหารเย็นกับพระองค์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเท่านั้น”
“อะไรนะ!? ไม่กินข้าวเย็นกัน.. ไม่เอาแล้ว! ไม่ปงไม่เป็นมันแล้วพระชายงพระชายาอะไรเนี่ย หึ! ..กฎเยอะข้าทนได้นะ แต่กินไม่อิ่มข้าทนไม่ได้!!” เมื่อเส้นความอดทนขาดสะบั้นมือบางก็ยกขึ้นจะถอดชุดของตัวเองออกด้วยความโมโหหิวจนเหล่าขันทีและนางในต้องมาช่วยกันห้ามปราบพาให้ชลมุนวุ่นวายกันยกใหญ่
“ว่าที่พระชายาอย่าทำแบบนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ถอนตัวจากการเป็นว่าที่พระชายา พระองค์อาจจะเดือดร้อนถึงชีวิตนะพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดเย็นพระทัยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เอาแล้ว! ข้าหิว! .. ขนาดอยู่ที่บ้านในป่าข้ายังได้กินวันหนึ่งตั้งหลายมื้อ จู่ๆ จะให้ข้าหักดิบกินวันมื้อสองมื้อแบบนี้ ข้าไม่เอาด้วยแล้ว!!”
“องค์ชายจะให้กระหม่อมทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีต๋วนหันมาถามกับคนที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดในตอนนี้ เพราะดูท่าพวกเขาคงจะรับมือไม่ไหว แบบนี้ก็คงต้องพึ่งองค์ชายเสียแล้ว
“ไปเตรียมอาหารว่างให้ว่าที่พระชายา แล้วไปให้หมอหลวงปรุงยามาให้ข้าด้วย เฮ้อ.. ปวดหัวเสียจริง!”
กุ้ยฮวาถูกจับมานั่งอ่านธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อสงบอารมณ์ในหออักษรขององค์รัชทายาทระหว่างรอของว่างที่เหล่านางในกำลังไปเตรียมมาให้
“นี่ซื่อเหยียน”
“ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดคำสามัญชนธรรมดากับข้าได้ แต่ไม่ได้อนุญาตให้เจ้าพูดจาตีตัวเสมอข้า”
“แล้วข้าไปพูดจาตีตัวเสมอเจ้าตอนไหนกัน?”
“ก็ที่เจ้าเรียกชื่อข้าเฉยๆ ทั้งๆ ที่ข้าเกิดก่อนเจ้าถึงเก้าปีนี่ไม่ได้เรียกตีตัวเสมอข้างั้นรึ?” ซื่อเหยียนพูดก่อนจะส่ายหัวอย่างระอากับความไม่รู้ความของเด็กตรงหน้า
“คือ.. เจ้าจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าทะ-ท่านพี่อย่างนั้นหรือ?”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่รึ?”
“หึ ไม่เอาอ่ะ.. อย่างนั้นข้ายอมเรียกเจ้าว่าองค์ชายก็ได้” ร่างบางส่ายหน้าค้านหัวชนฝาไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมเรียกซื่อเหยียนว่าท่านพี่เด็ดขาด
ถ้าพูดกับคนอื่นคงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าต้องพูดกับอู๋ ซื่อเหยียน กุ้ยฮวาว่ามันรู้สึกแปลกๆ
“เรียกท่านพี่นั่นแหละดีแล้ว เพราะเวลาไม่มีขันทีหรือนางในอยู่ร่วมด้วยเสด็จแม่ก็เรียกเสด็จพ่อข้าว่าท่านพี่เหมือนกัน”
“อ่ะ..อ๋อ” จู่ๆ กุ้ยฮวาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกขึ้นมาจนมือบางต้องแสร้งคลำหาธรรมเนียมปฏิบัติมาอ่านทั้งที่มันเปิดอยู่ตรงหน้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอหาเจอใบหน้าหวานก็ก้มอ่านอย่างขมักเขม่นจนร่างสูงถึงกับหลุดขำที่จู่ๆ คนที่งอแงเพราะความหิวเมื่อกี้ก็หายไปง่ายๆ เสียอย่างนั้น
“หึๆ เป็นอะไรไป?”
“ปละ-เปล่า.. อืม.. เมื่อกี้อ่านถึงไหนแล้วนะ” กุ้ยฮวาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามดีๆ นิ้วชี้เรียวไล่ตามตัวอักษรดูท่าตั้งใจเกินไปจนซื่อเหยียนประหลาดใจปนขำ
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไร ไหนลองเรียกข้าว่าท่านพี่ซิ”
พรึ่บ!
“หา?” มือบางตวัดปิดหนังสือธรรมเนียมปฏิบัติอย่างแรงด้วยความตกใจแถมยังทำหน้าตาตื่นตกใจจนซื่อเหยียนหลุดขำ
และเมื่อรอยยิ้มบนใบหน้าคมที่ประจักษ์แก่สายตาของกุ้ยฮวาเป็นครั้งแรกก็ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นเป็นจังหวะหนักๆ อีกครั้งถึงแม้จะไม่ถึงกับเต้นเร็วแต่มันก็พาลให้เลือดสูบฉีดดีขึ้นจนใบหน้าขาวนวลขึ้นริ้วแดงบนแก้มทั้งสองข้าง
“เจ้าเขินอะไร? ใยแก้มเจ้าจึงแดงเช่นนั้น?”
“เอ่อ.. คือข้า..” ขันทีต๋วน เมื่อไรจะเอาของว่างมาให้ข้าสักที! ข้าไม่อยากอยู่กับซื่อเหยียนสองคนแบบนี้แล้ว!!
“ไม่ต้องอายหรอก เจ้ากำลังจะเป็นพระชายาของข้า จะเขินจะอายบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” หน็อย.. ปากก็บอกไม่เรื่องแปลก แต่ปากนี่ยิ้มเย้ยข้าไม่หยุดเลยนะ!
อะไรนะ.. ยิ้มหรอ!?
ฮ้า~ หัวใจข้ารู้สึกมันอ่อนยวบเพราะรอยยิ้มนั่นอีกแล้ว
“หึ.. ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าแก้มของเจ้ามันยังแดงได้อีก” ซื่อเหยียนอดที่จะพูดไม่ได้เมื่อเห็นว่าริ้วแดงตรงแก้มใสนั่นมันสีเข้มขึ้น
กุ้ยฮวายกสองมือปิดแก้มตัวเองเมื่อถูกแซวว่าแก้มแดงขึ้น พยายามหลบตาคนที่เอาแต่ยิ้มเยาะ แต่พอเห็นรอยยิ้มอีกที่ยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มลงไปก็อดจ้องให้หัวใจทำงานหนักเล่นๆ ไม่ได้
ลักยิ้มของซื่อเหยียน...
.
.
น่าจิ้มจัง
จึ้ก!
ความคิดของกุ้ยฮวาไม่ได้เป็นแค่ความคิดอีกต่อไป... เมื่อร่างบางยืดตัวขึ้นไปทางด้านหน้าแล้วใช้นิ้วชี้เรียวทั้งสองจิ้มลงบนลักยิ้มทั้งสองข้างขององค์รัชทายาทจนปากบางได้รูปของซื่อเหยียนยู่ขึ้นเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วมองใบหน้าหวานที่ดูเคลิ้มแปลกๆ เหมือนคนกำลังล่องลอยอยู่ในนิมิตอะไรบางอย่าง
“อื้อหือ.. นุ่มด้วย ฮิๆ”
“เจ้า... ทำอะไรของเจ้าน่ะ?”
“หืม? ..” เสียงของเจ้าของลักยิ้มเหมือนเสียงระฆังที่ดังก้องกังวานอยู่ในหัวเพื่อเรียกสติคนขี้เพ้อให้ตื่นมาพบความจริงที่แสนจะน่าอับอาย
พลั่ก..
“ว่าที่พระชายาหม่อมฉันนำของ--!!” เสียงผลักประตูและเสียงของขันทีต๋วนทำให้กุ้ยฮวาต้องหันกลับไปมองทั้งที่มือยังคงจิ้มอยู่ที่แก้มของซื่อเหยียน ส่วนซื่อเหยียนเองก็เอียงตัวมองขันทีต๋วนเพราะจะตำหนิที่ไม่ยอมส่งเสียงเรียกเหมือนทุกครั้งก่อนที่จะเข้ามาแถมตรงนั้นก็ไม่ได้มีแค่ขันทีต๋วนแต่กลับมีร่างของซู่เจินที่ในมือถือถาดโอสถมาให้เขาด้วย แน่นอนว่าซื่อเหยียนเองก็ต้องตกใจด้วยเหมือนกันเพราะตัวเองอยู่ในสภาพที่ถูกนิ้วของกุ้ยฮวานั้นจิ้มแก้มอยู่ “เอ่อ.. เช่นนั้นหม่อมฉันจะกลับมาใหม่”
“ไม่ต้องๆๆ คือมันไม่มีอะไรเลย... จริงๆ นะ” กุ้ยฮวาที่ได้สติก็รีบเก็บนิ้วตัวเองแล้วรีบหันมาอธิบายให้ขันทีต๋วนและพวกนางในฟัง “คือมันไม่ได้เป็นแบบที่พวกเจ้าคิดเลย คือข้าแค่เห็นว่าลักยิ้มของซื่อเหยียนมันน่าจิ้มดีข้าก็แค่ลองจิ้มดู”
คำแก้ตัวของกุ้ยฮวาทำเอาซื่อเหยียนถึงกับหลับตาแล้วกุมขมับ ส่วนขันทีต๋วนและพวกนางในน่ะหรอ.. งงกันเป็นไก่ตาแตกแล้ว
“พะ-พวกเจ้าอยู่กับเขามาตั้งนาน เห็นลักยิ้มเขามาตั้งหลายครั้ง พวกเจ้าก็ต้องรู้สึกว่ามันน่าจิ้มเหมือนกันใช่ไหมล่ะ!? ฮ่ะๆ”
“พอเถอะ ยิ่งพูดยิ่งแย่” ซื่อเหยียนพูดก่อนจะลุกเดินอ้อมมาคว้าแขนเรียวให้ไปนั่งด้วยกันที่โต๊ะสำหรับพักทานอาหารว่าง ซึ่งซู่เจินที่เห็นว่าคนรักจับมือถือแขนกับคนอื่นก็ถึงกับหลุบตาวูบเพื่อปกปิดสายตาเศร้าๆ ของตัวเอง
โชคร้ายนักที่วันนี้หมอหลวงและผู้ช่วยหมอหลวงเกือบทุกคนต้องออกไปรักษาชาวบ้านที่อยู่นอกวังตามรับสั่งของฮ่องเต้ ทำให้ตอนนี้เหลือผู้ช่วยหมอหลวงแค่ห้าคนและอีกสี่คนก็ต้องต้มยาที่ต้องคอยเคี่ยวตลอดเวลามิอาจละไปไหนได้ทำให้เหลือเขาคนที่ยังไม่ได้ใส่สมุนไพรลงหม้อต้ม หน้าที่การถวายโอสถแด่องค์รัชทายาทเลยต้องมาตกที่ซู่เจินแทน
จานขนมและถ้วยน้ำชาถูกวางลงตรงหน้าพระพักตร์ขององค์รัชทายาทและว่าที่พระชายา ซึ่งหน้าตาของมันดูน่าทานจนกุ้ยฮวาอดตื่นเต้นไม่ได้
“ขันทีต๋วน อันนี้ใช่ขนมไหว้พระจันทร์หรือไม่?” กุ้ยฮวาถามขึ้นเพราะขนมตรงหน้าเขามีลักษณะคล้ายขนมไหว้พระจันทร์ที่พวกชาวบ้านชอบใช้ตอนทำพิธีไหว้พระจันทร์กัน แต่ในจานตรงหน้าเขานั้นมันดูสวยและปราณีตกว่าที่ชาวบ้านทำอยู่มากโข
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะว่าที่พระชายา แต่ในวังหลวงจะเรียกขนมนี้ว่าขนมฮกลกซิ่วฮี้พ่ะย่ะค่ะ ซึ่งในจานนี้จะมีไส้ถั่วแดง พุทรากวนและไส้ลูกเกดพ่ะย่ะค่ะ และขนมชนิดนี้ควรเสวยคู่กับชาอู่หลงก็จะเข้ากันอย่างดีเลยพ่ะย่ะค่ะว่าที่พระชายา” ขันทีต๋วนกล่าวนำเสนอสำรับอาหารว่างก่อนจะรินน้ำชาชั้นดีลงในแก้วให้ทั้งสองพระองค์ได้ทานคู่กับขนม แต่กุ้ยฮวาที่รู้ว่าชานี้เป็นถึงชาอู่หลงก็ยกดื่มรวดเดียวทันที และแน่นอนว่ามัน...
พรวด!!!
“แอ่ก! ร้อนนนน!!!!”
50%
#ลูกเขยแม่ทัพ
กุ้ยฮวาของเราไม่เคยทิ้งลายความแสบให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ555
วันนี้มาอัพแค่นี้ก่อนนะคะ นอนอยู่บ้านช่วยชาติจนหมดแพชชั่นและตันจนแต่งไม่ออกจริงๆงับ ล่าสุดคือมีเพื่อนเป็นหัวไหล่กับกำแพงแล้ว เหงาสุด!!
ใครเหงาก็มาอ่านเสพความเเสบของกุ้ยฮวากันนะคะ น้องยังมีวีรกรรมเด็ดๆให้องค์รัชทายาทปวดหัวกันอีกเย้อออ~
ชอบไม่ชอบ หรือใครเหงาก็คอมเม้นต์คุยกันได้นะคะ รออ่านเสมอค่า
-
ว่าที่พระชายาแสบดีอ่ะชอบบบบ สงสารก็แต่รัชทายาทมีเจ้าของหัวใจแล้วนี่สิ อยู่ไม่ไกลด้วยเห้อออออ :z10:
-
:katai2-1:
-
:jul3:
-
จะรักกันยังไง องค์รัชทายาทก็มีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว แถมอยู่ใกล้ๆกันด้วย :pig4: :L1:
-
ตำหนักจิ่งหยางกง
“อ่ะ.. เอ่ะๆๆๆ (เจ็บๆๆๆ) ” เสียงร้องอวดครวญของว่าที่พระชายาดังขึ้นเบาๆ เมื่อซู่เจินใช้สมุนไพรป้ายทั่วช่องปากของกุ้ยฮวาที่มันบวมแดงจากการดื่มชาอู่หลงที่ร้อนจัดจนพาให้บวมเจ่อมาถึงริมฝีปากจนซื่อเหยียน ขันทีต๋วนและเหล่านางในพากันก้มหน้าขำคิกคัก
“อ๋ำอะไออัน!? (ขำอะไรกัน!?) ...โอ่ะโอ๊ย!”
“อีกนานหรือไม่กว่าว่าที่พระชายาจะหายดี?” เมื่อเห็นซู่เจินทายาให้กุ้ยฮวาเสร็จ ซื่อเหยียนก็ถามขึ้นทันทีจนมือบางที่กำลังเก็บสมุนไพรนั้นถึงกับหยุดชะงัก แต่ถึงอย่างนั้นซู่เจินก็ต้องจำใจหันไปตอบและพยายามก้มหน้าให้มากที่สุด
เพราะซู่เจินกลัว... กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ทั้งๆ ที่ก็เป็นปากตัวเองแท้ๆ ที่ผลักไสองค์รัชทายาทไป
“หากทายาติดต่อกันทุกสามชั่วยาม อีกไม่เกินวันสองวันก็หายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อพูดเสร็จซู่เจินก็หันไปหยิบซองยาสมุนไพรไปให้นางในโดยมีสายตาของซื่อเหยียนมองตามตลอดฝีเก้าของร่างบางด้วยสายตาที่มิอาจปิดซ่อนความน้อยใจไว้ได้ ซึ่งการกระทำและสายตาของทั้งคู่นั้นกุ้ยฮวาเห็นมันทั้งหมด
“นำสมุนไพรไปตำให้ละเอียดและผสมน้ำเพียงเล็กน้อย แล้วคอยทาให้ว่าที่พระชายาทุกสามชั่วยามด้วยนะ” เมื่อกำชับนางในเสร็จ ซู่เจินก็หันไปโค้งให้องค์รัชทายาทเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขอตัวกลับไป ซึ่งสายตาที่เหลือบมององค์รัชทายาทก่อนไปนั้นมันเต็มไปด้วยความโหยหาจนกุ้ยฮวาที่คอยมองอยู่ยังรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนคงมีความรู้สึกที่พิเศษต่อกันแน่นอน
องค์รัชทายาทก็มีคนรักอยู่แล้วจะมาแต่งงานกันข้าทำไมกันนะ
“พรุ่งนี้เช้าเจ้าไม่ต้องไปถวายพระพรฮ่องเต้และฮองเฮา เดี๋ยวข้าจะกราบทูลให้เองว่าเจ้าไม่สบาย”
“อือ” กุ้ยฮวาตอบกลับสั้นๆ เพราะถ้าพูดมากกว่านี้กลัวว่าจะฟังกันไม่รู้เรื่อง
เฮ้อ.. สุดท้ายวันนี้ก็คงไม่มีอะไรตกถึงท้องแล้วสินะ
หลังจากที่งีบหลับจนตื่นอีกทีก็พบว่าค่ำแล้ว แถมสมุนไพรที่ทาปากไว้ก็ถือว่าดีใช้ได้เลยเพราะปากของกุ้ยฮวาตอนนี้ก็บวมน้อยลงจนสามารถพูดได้ชัดขึ้น และเมื่ออาการดีขึ้นวันนี้ก็เป็นอีกวันที่กุ้ยฮวาออกมาเดินรับลมยามดึก เพียงแต่วันนี้เขาออกมาเดินคนเดียว ซึ่งแน่นอนว่าพอไม่มีองค์ชายจอมจุ้นนั่นแล้ว กุ้ยฮวาก็รู้สึกสบายใจและสบายหูที่สุดเลย!
“องค์ชาย!”
“หืม.. เสียงใครน่ะ?” เสียงที่เกิดขึ้นนั้นดังขึ้นอยู่ไกลๆ แต่หากอยู่ในยามค่ำที่แสนจะเงียบสงบแบบนี้ก็ยังทำให้ได้ยินเสียงนั่นอยู่ดี
กุ้ยฮวาหันไปมองทางต้นเสียงที่เกิดจากบริเวณศาลาริมสระบัว แสงจันทร์ที่สาดกระทบทำให้เห็นเงาของคนสองคนที่กำลังกอดกันอยู่ที่นั่น คนหนึ่งเป็นร่างสูงสง่าที่คนในวังหลวงทุกคนย่อมรู้ดีกว่าเป็นใคร แต่อีกคนนั้นกุ้ยฮวาเห็นไม่ชัดเพราะถูกซื่อเหยียนกอดจนร่างนั้นจมอก จนกระทั่งทั้งคู่ผละกอดออกจากกันตากลมที่ถึงแม้จะเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของคนนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่ซื่อเหยียนกอดอยู่นั้นเป็นใคร
ผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้น...
คิดไม่ผิดจริงๆ ที่ว่าสองคนนั้นต้องมีอะไรกันแน่ๆ
“โถ่เอ้ย! คนรักตัวเองก็มีแล้วแท้ๆ แถมอยู่วังเหมือนกันด้วย แล้วจะจับข้ามาเป็นพระชายาอีกทำไมเล่า!”
“ยังชอบคุยกับตัวเองเหมือนเดิมเลยนะป๋าย กุ้ยฮวา”
“อ๊าก!!” เสียงหวานร้องลั่นด้วยตกใจเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงชายหนุ่มมากระซิบข้างหู กุ้ยฮวารีบหันไปมองคนที่บังอาจแกล้งเขาให้ตกใจจนขวัญกระเจิงด้วยสายตาอาฆาตสุดชีวิต แต่พอเห็นใบหน้านั้นชัดๆ ใบหน้าหวานที่บึ้งตึงก็กลับเปลี่ยนเป็นยิ้มดีใจทันที
“เติ้ง เหว่ยหลง!!” กุ้ยฮวากระโดดกอดคอร่างสูงของสหายคนสนิทด้วยความดีใจจนลืมตัวทันทีเพราะเขาไม่เห็นหน้าเหว่ยหลงมาเกือบสี่ปีแล้วหลังจากอีกคนบอกเขาจะเข้าไปสอบเป็นข้าราชการ
“ฮ่าๆๆ ข้าได้ยินว่าเจ้าเข้าวังมาได้สองสามวันแล้ว แต่ข้ามัวติดงานราชการเลยไม่มาเจอเจ้าสักที” กุ้ยฮวารีบผละกอดออกแล้วส่ายหน้ารัวๆ
“ไม่เป็นไรเลย ข้าเองก็ไม่ได้เจอเจ้านานจนลืมไปว่าที่เจ้าหายไปเพราะมาสอบเป็นขุนนางอยู่ในวังนี่เอง เฮ้อ! ข้ารู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเลยที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย”
“แล้วท่านแม่ทะ--!!” มือบางรีบยกขึ้นปิดปากเหว่ยหลงพร้อมกับขยิบตาและสั่นหน้าเบาๆ ไม่ให้อีกคนเอ่ยถึงท่านพ่อ ซึ่งเหว่ยหลงก็ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ยอมพยักหน้าตกลง
“นั่นใครน่ะ!?” เสียงเข้มกังวานด้วยอำนาจขององค์รัชทายาทดังขึ้นจนกุ้ยฮวาสะดุ้งเพราะกลัวโดนจับได้ที่เขาแอบมาเห็นว่าซื่อเหยียนกำลังพลอดรักกับผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้น
ร่างบางจึงรีบหันไปสั่งพวกนางในให้กลับตำหนักไปก่อน ส่วนตัวเองก็รีบคว้าแขนของเหว่ยหลงแล้ววิ่งหนีไปทันที
ทั้งคู่วิ่งเกือบมาถึงกำแพงวังหลังซึ่งตรงนี้เหว่ยหลงรู้ดีว่าเป็นส่วนของตำหนักพระสนม แต่โชคดีที่ตอนนี้ก็ดึกดื่นพอสมควร พระสนมทั้งหลายคงเข้าบรรทมไปแล้วหรือไม่ก็ขังตัวเองอยู่ในตำหนักกันหมดแล้ว
“ไหน.. เจ้าบอกข้ามาซิ ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ให้ข้าเอ่ยถึงท่านแม่ทัพ?” เหว่ยหลงถามปนหอบเพราะวิ่งมาไกล
“หลังจากที่ข้าต้องมารับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท ข้าก็ไม่อาจเรียกท่านพ่อว่าท่านพ่อได้อีก เพราะเรื่องที่ท่านแม่ทัพเป็นพ่อของข้า มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรให้ใครรู้ นอกจากองค์ชาย ข้าและท่านพ่อ”
“ทำไมกัน?”
“เจ้าก็รู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา.. ฮ่องเต้พยายามตามหาบุรุษดอกไม้มาโดยตลอดเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาท และท่านพ่อข้าเองก็พยายามปิดบังและพาข้าหนีมาตลอดเหมือนกัน”
“....”
“แต่เมื่อสองวันก่อน.. ท่านพ่อได้มาหาข้าเพื่อที่จะพาข้าหนีหลังจากมีเพราะราชโองการให้ออกตามหาบุรุษดอกไม้อีกครั้ง แต่องค์รัชทายาทก็แอบตามท่านพ่อมา สุดท้ายท่านพ่อจึงต้องยอมยกข้าให้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท เพื่อตอบแทนราชวงศ์และผืนแผ่นดินนี้ตามคำโน้มน้าวขององค์รัชทายาท”
“ข้าเข้าใจแล้ว หากคนอื่นรู้เข้าว่าพ่อเจ้าปกปิดเรื่องเจ้าต่อฝ่าบาท ชีวิตของท่านแม่ทัพคงหาไม่เป็นแน่”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องระวังอย่าพูดถึงท่านพ่อต่อหน้าข้าเวลาที่ข้าอยู่กับพวกนางในอีก เข้าใจหรือไม่?”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
“ว่าแต่เจ้านี่ แหม.. พอใส่ชุดขุนน้ำขุนนางแล้วก็ดูดีเหมือนกันนี่ เจ้าอยู่กรมไหนล่ะ?”
“คนรักความยุติธรรมเยี่ยงข้าก็ต้องอยู่กรมยุติธรรมอยู่แล้ว!”
“จริงรึ!? ดีจังเลย เอ้อจริงสิ! วันนี้ข้าเห็นสีหน้าท่านพ่อดูเป็นกังวลมาก เจ้าพอจะรู้ไหมว่าเกิดเหตุอันใด”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะหรอ? หึ.. พ่อเจ้าเป็นแม่ทัพก็คงไม่พ้นเรื่องศึกสงครามหรอก ข้าได้ยินมาว่าทางใต้ถูกโจมตีจากพวกญี่ปุ่นจนไพร่พลทหารเหลือน้อยจนไม่อาจต้านพวกมันไหว พวกทหารฝั่งทางใต้จึงส่งม้าเร็วมาตามให้ท่านแม่ทัพไปช่วยน่ะ”
“แล้วท่านพ่อจะต้องไปเมื่อไร?”
“เห็นว่าจะออกเดินทางคืนพรุ่งนี้”
“คืนพรุ่งนี้อย่างนั้นหรือ? ... ข้าจะออกไปเจอท่านพ่อได้ไหมนะ?” กุ้ยฮวาพึมพำถามกับตัวเองเบาๆ อีกทั้งสีหน้ายังแสดงออกถึงความกังวลอย่างชัดเจน ซึ่งเหว่ยหลงเองก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
กุ้ยฮวาและเหว่ยหลงพูดคุยกันต่อไม่นานก็พากันเดินกลับโดยเหว่ยหลงอาสาจะไปส่งกุ้ยฮวาที่ตำหนักก่อนที่ตัวเองจะกลับจวน
ซึ่งทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าการที่ออกมาคุยกันสองคนอย่างลับๆ ล่อๆ นั้น ได้ถูกจับจ้องโดยสายตาคู่หนึ่งอยู่ตลอดจนทั้งคู่เดินลับสายตาไป
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงหน้าตำหนักจิ่งหยางกง กุ้ยฮวารู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่มีพวกขันทีและนางในยืนอยู่หน้าตำหนักมากมายกว่าปกติและตรงนั้นก็มีขันทีต๋วนที่เดินวนไปวนมาด้วยความกระวนกระวาย ซึ่งพอขันทีต๋วนเห็นว่ากุ้ยฮวาเดินมาแล้วก็รีบวิ่งมาหาทันที
“ว่าที่พระชายา เสด็จไปไหนมาพ่ะย่ะค่ะ!?”
“ข้าออกไปเดินเล่นมา มีอะไรหรือเปล่า?” กุ้ยฮวาถามขึ้นแต่ขันทีต๋วนกลับเหลือบมองที่เหว่ยหลงซึ่งร่างสูงก็รู้ทันทีว่าขันทีต๋วนคงอยากให้เขาออกไปจากตรงนี้โดยเร็วสินะ
“กุ้ยฮวา ถึงตำหนักเจ้าแล้วเช่นนั้นข้ากลับก่อนแล้วกัน”
“อื้ม! ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปเดินเล่นด้วยกันใหม่นะ” เมื่อบอกลาเสร็จกุ้ยฮวาก็เดินกลับตำหนักทันทีโดยมีขันทีต๋วนเดินตามไปติดๆ
“ว่าที่พระชายา กิริยาเมื่อครู่ที่ทำกับท่านใต้เท้า เป็นสิ่งทีมิบังควรเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาก็แค่สหายข้าเท่านั้นน่า ไม่มีอะไรหรอก” ขันทีต๋วนถึงกับถอนหายใจ เขารู้ดีว่าสิ่งที่ว่าที่พระชายาพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง แต่ในวังหลวงนั่นนอกจากอำนาจที่มีมากมายแล้ว ความริษยาเองก็มีมากมายไม่แพ้กัน
หากว่าที่พระชายาพลาดเพียงนิดเดียวนั่นหมายความว่า ตำแหน่งพระชายาขององค์รัชทายาทนั้นอาจจะถึงกับถูกผลัดเปลี่ยนมือไปเลยก็เป็นได้..
ขันทีต๋วนอยากจะอธิบายกับกุ้ยฮวาเหลือเกิน แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาอธิบายแล้วเพราะคนที่รออยู่ในตำหนักของว่าที่พระชายานั้นกำลังกริ้วจนเขาต้องรีบเดินไปส่งว่าที่พระชายาอย่างรวดเร็วและไม่ลืมที่จะให้คำชี้แนะแก่กุ้ยฮวาอีกครั้ง
“ว่าที่พระชายา หลังจากนี้หากถูกกล่าวหาด้วยถ้อยคำรุนแรง ได้โปรดทรงเย็นพระทัยและสะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“กล่าวหา? .. ใครจะมากล่าวหาข้ากัน ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“ได้โปรดจำคำพูดของกระหม่อมไว้เถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังดี... ตอนนี้องค์รัชทายาทมารอพระองค์อยู่ในนำหนักแล้ว ได้โปรด.. จำคำพูดของกระหม่อมไว้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีต๋วนกำชับอีกครั้งเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูตำหนักแล้วเอ่ยบอกกับคนที่รออยู่ด้านในถึงการมาของกุ้ยฮวา
“องค์ชาย ว่าที่พระชายาเสด็จกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้รีบเข้ามาเดี๋ยวนี้!” กุ้ยฮวาถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงอีกคนตะคอกดังขึ้นมาผ่านประตู
เขาชักจะเข้าใจสิ่งที่ขันทีต๋วนกำชับแล้วล่ะสิ.. แต่ว่าเขาทำผิดอะไรกัน?
แอ๊ด...
ทันทีที่กุ้ยฮวาก้าวขาเดินเข้ามาในตำหนักบานประตูก็ถูกปิดลงทันทีจนตอนนี้มีเพียงเขาและซื่อเหยียนอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในตำหนักโอ่อ่านี้
จริงสิ.. ข้าขอไปพบท่านพ่อในวันพรุ่งนี้ดีกว่า!
“องค์ชาย พรุ่งนี้ข้าขอ..”
“ทำไมเจ้าถึงกล้าวิ่งหนีข้าไปกับชายอื่น!!?” ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะถูกตะคอกใส่ ซึ่งเสียงนั้นก็ดังก้องไปทั่วตำหนักจนขันทีต๋วนและนางในที่ยืนรออยู่ด้านนอกยังสะดุ้งไปด้วย และในใจของทุกคนก็ต่างเป็นห่วงว่าที่พระชายาเป็นอย่างยิ่ง
“คือข้า..”
“นิสัยจับมือถือแขนกับชายอื่นไปทั่วแบบนี้มันไม่ใช่ลักษณะนิสัยของคนที่กำลังจะขึ้นเป็นพระชายา! แต่มันเป็นนิสัยของโสเภณีที่อยู่ในซ่อง!”
“อะไรนะ? ..” คำด่าทอที่แสนจะรุนแรงจนกุ้ยฮวาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดเช่นนั้นออกมาจากปากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นถึงองค์รัชทายาท
“กล้าดีอย่างไรถึงไปเดินเล่นกับชายอื่นจนทั่ววังแล้วกลับมาดึกดื่นเช่นนี้!? เจ้าไม่เห็นหัวข้าบ้างเลยหรืออย่างไร!!?”
“แล้วเจ้าล่ะ! เคยเห็นหัวข้าด้วยหรอ!?” ในเมื่อทนไม่ได้ที่อีกคนสาดคำด่าประณามกันไม่หยุด กุ้ยฮวาจึงถามกลับไปบ้าง ซึ่งคำพูดนั้นก็ยิ่งเหมือนน้ำมันที่ถูกราดเข้ากองไฟ
“นี่เจ้า!?”
“ข้าน่ะแค่จับมือ! แถมคนๆ นั้นยังเป็นแค่สหายของข้า แต่เจ้าน่ะถึงกับกอดพลอดรักกันที่ศาลาริมสระ โจ่งแจ้งยิ่งกว่าข้าเสียอีก! แล้วแบบนี้ยังจะหวังให้ใครมาเห็นหัวเจ้าอีกหรือ!?”
“บังอาจนัก!!”
“ขนาดข้าแค่จับมือกับสหายยังโดนกล่าวหาว่าเป็นโสเภณี แล้วเจ้าที่ไปกอดกับผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้นล่ะ.. ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอะไรดี!?”
“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!!” ซื่อเหยียนโกรธมากจนเลือดขึ้นหน้า เส้นเลือดนั้นปูดขึ้นตามขมับจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้กุ้ยฮวารู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ข้าไม่หยุด!! ทีเจ้ายังพ่นคำด่าใส่ข้าได้สารพัด! แล้วทำไมข้าจะ..!! อื้อ!!!” เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ใบหน้าหวานถูกกระชากให้ไปรับจุมพิตอันแสนป่าเถื่อนเพื่อเป็นการลงโทษที่กุ้ยฮวาเอาใช้ปากนี่เถียงร่างสูงไม่หยุด
ตึ่ง!!
“อื้อ!!!!” ร่างบางถูกดันไปจนแผ่นหลังบางกระแทกกับบานประตูอย่างแรงทั้งที่ริมฝีปากยังถูกจูบอย่างรุนแรงแถมมือใหญ่ที่กุมใบหน้าหวานไว้ก็จับเอียงหันตามองศาการจูบที่ซื่อเหยียนสามารถสั่งสอนปากพล่อยๆ นี่ได้อย่างถนัดปาก
มือบางพยายามผลักไสอกแกร่งและขัดขืนสุดชีวิต น้ำตาสีใสไหลอาบแก้มทั้งสองข้างเพราะความโกรธที่ถูกล่วงเกินอย่างโหดร้ายทารุณ
คนอื่นล้วนแต่ได้รับจุมพิตอันแสนหอมหวาน แต่ทำไมข้าถึงได้รับการจุมพิตที่แสนป่าเถื่อนและโหดร้ายเช่นนี้
หรือเพราะว่าข้าเป็นบุรุษดอกไม้อย่างนั้นหรือ.. คนอื่นถึงได้เหยียบย่ำศักดิ์ศรีข้าได้อย่างตามใจชอบ และทำเหมือนข้าไม่ใช่คนบนโลกนี้คนหนึ่ง..
ดวงตากลมหลับตาลงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา มือทั้งสองทิ้งลงข้างลำตัวอย่างตัดพ้อในชะตาชีวิต
กลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งทำให้ซื่อเหยียนที่คิดจะจูบเพื่อสั่งสอนคนตัวเล็ก จนตอนนี้กลายเป็นว่าเขาจูบเพื่อกลืนกินกลิ่นหอมๆ นั่นหวังใจว่าจะให้มันหายไปแต่ทว่ามันกลับกลับกัน เพราะยิ่งเขามอบจูบให้แก่เจ้าของกายอันแสนจะหอมหวนนี้ กลิ่นหอมๆ นี่ก็ยิ่งทวีคูณขึ้นจนยากจะห้ามใจ
มือหนาข้างหนึ่งละออกจากใบหน้าเรียวแล้วปลดเสื้อคลุมของกุ้ยฮวาออกจนมันตกไปอยู่ที่ข้อพับแขนเรียว เผยให้เห็นไหล่ขาวเนียนคล้ายสตรีจนซื่อเหยียนอดไม่ได้ที่จะใช้ปากดูดชิมมันอย่างแรงจนขึ้นรอย
“อย่านะ!! ฮือ.. ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!!” เสียงร้องปานจะขาดใจไม่ได้ช่วยให้ซื่อเหยียนได้สติขึ้นมาเลย ริมฝีปากร้อนๆ ไล่ฉกชิมไปทั่วลำคอระหงส์และลาดไหล่ขาวจนขึ้นรอยแดงจากตอหนวดที่ถูไถไปมาอย่างรุนแรง
จนกระทั่งใบหน้าคมละออกจากลำคอขาวเพื่อจะลิ้มรสความหอมหวานจากริมฝีปากอิ่มที่ตอนนี้มันบวมเจ่ออีกครั้ง แต่เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของกุ้ยฮวาก็ทำให้เขาหยุกชะงักเพราะได้สติขึ้นมา
นี่ข้าทำอะไรลงไป...
“ข้า...” ซื่อเหยียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ใช้ตาคมพิจารณาการกระทำตัวเองก่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาสองก้าวเพราะความสับสนในตัวเอง
“ฮึก.. หากเจ้าโกรธแล้วเจ้าจะลงโทษข้า เจ้าจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้.. แต่อย่าทำกับข้าเช่นนี้เลย ฮือ อย่าทำกับข้าเช่นนั้น” เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระกุ้ยฮวาก็ทรุดลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง ไหล่บางที่ซื่อเหยียนแทบจะถอนตัวเองออกไม่ได้เมื่อครู่นี้สั่นไหวด้วยแรงสะอื้นเพราะการร้องไห้ที่แทบขาดใจของกุ้ยฮวา “ข้าไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้เพื่อเป็นที่ระบายของใคร..ฮืออ ได้โปรด อย่าทำกับข้าแบบนี้.. ได้โปรด..”
ร่างสูงเดินออกมาจากตำหนักของกุ้ยฮวาด้วยสีหน้าดูเครียดและเป็นกังวลอีกทั้งเสียงร้องไห้ของคนในตำหนักยังดังไม่หยุดจนขันทีต๋วนต้องพยักหน้าให้นางในเข้าไปดูว่าที่พระชายา ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปหาองค์รัชทายาท
“องค์ชาย...”
“สั่งให้คนมาเฝ้าว่าที่พระชายาไว้ อย่าให้ว่าที่พระชายาออกนอกตำหนักเด็ดขาดและอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ด้วย”
“กระหม่อมน้อมรับคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“กลับกันเถอะ..”
เช้าวันต่อมา
เช้าวันนี้ในวังนั้นวุ่นวายไปหมดเมื่อมีคนไปฟ้องฮ่องเต้และฮองเฮาแต่เช้าว่าเห็นว่าที่พระชายาแอบไปเดินเล่นกับขุนนางคนหนึ่ง พาลให้ซื่อเหยียนต้องรีบเข้าไปอธิบายแก่ทั้งสองพระองค์ ซึ่งถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะเข้าพระทัย แต่ฮองเฮาที่ถือเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีและถูกต้องมาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปตำหนิว่าที่พระชายาถึงตำหนักจิ่งหยางกง
“ทำไมถึงทำเช่นนี้ว่าที่พระชายา?”
“....” กุ้ยฮวาไม่กล้าตอบอะไรได้แต่ก้มหน้านั่งหน้ามองมือทั้งสองที่กำแน่นอยู่บนหน้าตักตัวเองด้วยความกลัวและกดดัน
“ถึงเจ้าจะเพิ่งเข้าวังได้ไม่กี่วัน แต่บางเรื่องเจ้าก็ควรจะรู้ด้วยจิตใต้สำนึกของเจ้าเองไม่ใช่รึ!?”
“.....”
“เจ้ากำลังจะมีพระสวามี.. และพระสวามีของเจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาท พวกเจ้าทั้งสองคนจะต้องขึ้นมาเป็นพ่อและแม่ของแผ่นดินแทนข้าและฮ่องเต้ในอีกไม่ช้านี้อยู่แล้ว แต่เรื่องง่ายๆ แค่นี้กลับไม่รู้จักไตร่ตรอง เห็นหรือไม่ว่ามันส่งผลเสียอย่างไร?”
“หม่อมฉันขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา หม่อมฉันขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ...”
“สำหรับชาวบ้านคนธรรมดาเจ้าอาจจะอายุน้อยเกินไปสำหรับการออกเรือน แต่สำหรับเหล่าราชวงศ์นั้นการเข้าพิธีอภิเษกตั้งแต่อายุประมานเจ้าไม่ถือว่าน้อยเกินไปเลย ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องมีความคิดความอ่านที่ดีกว่าสามัญชนทั่วไป เข้าใจหรือไม่?”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เพื่อไม่ให้เจ้าทำผิดเป็นครั้งที่สองและเพื่อให้เจ้าจดจำสิ่งที่พึงต้องทำแก่องค์รัชทายาทข้าจำเป็นต้องลงโทษเจ้า” ว่าจบฮองเฮาก็หยิบ ‘ธรรมเนียมปฏิบัติต่อพระสวามี’ ขึ้นมาวางตรงหน้าของกุ้ยฮวา “จงคัดธรรมเนียมปฏิบัติเล่มนี้ห้าสิบจบแล้วนำไปส่งให้ข้าดู และท่องให้ข้าฟังทั้งหมดในอีกห้าวันข้างหน้านี้ เข้าใจหรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะฮองเฮา”
ตำหนักไท่จี่เตี้ยน
“องค์ชาย... สามวันแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไร?”
“ก็หลังจากวันที่เกิดเรื่องวันนั้นน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วอย่างไรเล่า!?”
“คือ.. กระหม่อมได้ทราบมาจากพวกนางในว่าว่าที่พระชายาไม่เสวยอะไรเลยนอกจากน้ำชามาสามวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เดี๋ยวพอหิวแล้วก็กินเองนั่นแหละ เจ้าจะกังวลสิ่งใด?” ขันทีต๋วนถึงกับถอนหายใจในขณะที่ฝนหมึกให้องค์รัชทายาท จากที่ฟังคำบอกเล่าของนางในเขาก็อดสงสารว่าที่พระชายาไม่ได้เลยจริงๆ
ว่าที่พระชายานั้นอายุยังน้อยนักจึงไม่แปลกที่จะทำอะไรที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการไปบ้าง แต่ถ้าหากมีการตักเตือนสั่งสอนกันดีๆ เขาก็เชื่อว่าว่าที่พระชายาจะต้องยอมรับฟังอย่างแน่นอน
แต่ติดที่ว่าคนในวังมักจะสั่งสอนกันด้วยบทลงโทษและคำด่าทอเสียมากกว่าน่ะสิ..
โดยเฉพาะองค์รัชทายาทของเขาน่ะ
“กระหม่อมยังได้ข่าวอีกด้วยว่าว่าที่พระชายาถูกลงโทษด้วยการคัดธรรมเนียมปฏิบัติถึงห้าสิบจบและต้องคัดให้เสร็จภายในห้าวัน และพวกนางในยังบอกอีกว่าตลอดสามวันที่ผ่านยังทรงร้องไห้ไม่หยุด แม้แต่ยามหลับบางทียังหลุดสะอื้นขึ้นมาอีกด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“.....”
“เฮ้อ.. ว่าที่พระชายาก็ตัวเล็กแค่นี้ ทั้งอดข้าว ทั้งร้องไห้ ทั้งต้องคัดธรรมเนียมปฏิบัติทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ หากไม่ใช่คนที่เห็น ที่รับรู้ไม่ใจไม้ไส้ระกำก็ต้องรู้สึกสงสารกันบ้างใช่ไหมล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าคิดจะพูดอะไร.. ขันทีต๋วน?”
“ไปเยี่ยมว่าที่พระชายากันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ว่าง” เสียงทุ้มตอบกลับทันควันจนขันทีต๋วนหุบปากแทบไม่ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะยอมแพ้ได้ง่ายๆ
“ไปสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“.....”
“เฮ้อ.. ถ้าองค์ชายไม่พาว่าที่พระชายาเข้าวัง ว่าที่พระชายาของกระหม่อมคงไม่ได้มานั่งเสียอกเสียใจขนาดนี้ พาเขามาแท้ๆ แต่กลับไม่เคยดูแลใส่ใจเขาเล้ยย~” ซื่อเหยียนปลายตามองขันทีต๋วนด้วยสายเอาเรื่องก่อนจะผ่อนลมหายใจเสียงดัง หัวสมองที่เต็มไปด้วยปัญญาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนร่างสูงจะหุนหันลุกเดินออกจากตำหนักตัวเองทันที
“จะเสด็จไปเยี่ยมว่าที่พระชายาใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ! โถ่เอ้ย..กระหม่อมคิดไว้อยู่แล้วเชียวว่าองค์ชายของกระหม่อมมิใช่คนใจร้ายใจดำ!”
ตำหนักจิ่งหยางกง
“องค์รัชทายาทเสด็จ!”
บานประตูตำหนักที่ถูกปิดเพราะคำสั่งคุมขังขององค์รัชทายาทค่อยๆ ถูกเปิดออก ร่างสูงของซื่อเหยียนเดินแขนไพ่หลังเข้ามาในตำหนักของกุ้ยฮวาอย่างวางอำนาจ คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นใบหน้าของกุ้ยฮวานั้นซีดเผือดเสียยิ่งกว่ากระดาษ ถุงใต้ตาทั้งสองข้างบวมตุ่ยยังคงมีน้ำตาเอ่อคลออย่างไม่มีวันเหือดแห้ง ดวงตากลมที่เคยสุกใสบัดนี้แดงก่ำด้วยความอ่อนล้าและกำลังจดจ้องไปที่ตัวหนังสือที่กำลังไล่เขียนอย่างแน่วแน่แม้ร่างกายจะสั่นเทิ้มไปทั้งตัวเพราะความอ่อนล้าที่หักโหมมาถึงสามวันติด
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ซื่อเหยียนสั่งนางในสองคนที่ช่วยกันฝนหมึกให้กุ้ยฮวานั้นออกไปก่อน เห็นทีเขาต้องตำหนิเด็กดื้อตรงหน้านี่อีกแล้ว แต่จะให้ตำหนิคนที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาทต่อหน้าบ่าวไพร่ก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติกันเกินไป
“พอได้แล้ว!” หลังจากยางในเดินออกไปและปิดประตูให้ มือหนาก็กระชากพู่กันออกจากมือเล็กก่อนจะเขวี้ยงมันทิ้งอย่างแรงจนกระแทกกับฝาผนัง
กุ้ยฮวาใช้ตาแดงก่ำของตัวเองมองพู่กันที่ถูกเขวี้ยงทิ้งไปด้วยความโกรธก่อนจะถอนหายใจอย่างสะกดกลั้นอารมณ์แล้วเอื้อมหยิบพู่กันอันใหม่ขึ้นมาแทน
“ข้าบอกให้พอ!” ซื่อเหยียนยึดพู่กันจากมือของกุ้ยฮวาก่อนจะสังเกตเห็นว่ามือบางนั้นบวมแดง ซึ่งพอเห็นสภาพของอีกคนแล้วซื่อเหยียนถึงกับถอนหายใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร? ฝืนตัวเองแบบนี้อยากตายอย่างนั้นรึ!?”
“เปล่า... ข้าแค่ลงโทษตัวเอง” เสียงที่เคยนุ่มหวานนั้นแหบพร่าจนแทบไม่มีเสียง แค่จะพูดออกมาสักคำกุ้ยฮวาก็ดูเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด “ข้าต้องลงโทษที่ตัวเองหาทางไปหาท่านพ่อของข้าก่อนที่ท่านจะไปรบไม่ได้”
“....”
“ข้าออกไปไม่ได้.. ก็เพราะคำสั่งของเจ้า” กุ้ยฮวาแค่นเสียงหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง “แต่ในเมื่อ... ทุกคนตราหน้ากันหมดว่าข้าทำผิด ข้าจะไปทำอะไรได้ล่ะจริงไหม?”
“....”
“เอาพู่กันคืนมา ข้าต้องคัดต่อ” กุ้ยฮวาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเล็กน้อยก่อนจะพยายามคว้าพู่กันคืนมาแต่ซื่อเหยียนกลับไม่ยอม
“ไปกินข้าวแล้วนอนพักเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง”
“ไม่.. ข้าพักไม่ได้ ข้ายังตัดได้ไม่ถึงไหนเลย นี่เป็นบทลงโทษที่ฮองเฮามอบให้ข้า.. ข้าต้องทำให้เสร็จ โอ๊ย..” กุ้ยฮวาค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปหยิบพู่กันอันแรกที่ซื่อเหยียนโยนทิ้งไป แต่สุดท้ายร่างกายที่ใกล้ถึงขีดจำกัดของกุ้ยฮวาก็พาให้เกิดอาการเวียนหัวจนเกือบล้มไป โชคดีที่มีแขนแกร่งคว้าไว้ได้ทัน
“เลิกดื้อสักที!! เจ้าต้องกินข้าวแล้วพักผ่อน!”
“ไม่! ข้าไม่กิน ตอนนี้ข้ากินอะไรไม่ลงทั้งนั้น”
“เช่นนั้นก็ไปนอนพัก”
“ไม่เอา.. ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้ายังคัดธรรมเนียมปฏิบัติไม่เสร็จ! ข้าไม่อยากถูกฮองเฮาดุอีกแล้ว หลบข้า!” ร่างบางพยายามใช้แรงอันน้อยนิดดันร่างสูงให้ถอยออกไป แต่ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวร่างของกุ้ยฮวาก็ลอยหวืออยู่ในอ้อมแขนของซื่อเหยียนทันที “นี่เจ้า..!!”
“เลือกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าจะกินข้าวก่อนหรือจะนอนพักก่อน”
“แต่ข้า..!!”
“ถ้าเจ้าตอบอย่างอื่นไม่ใช่กินกับนอน เจ้าก็จะโดนข้าปิดปากเจ้าเหมือนวันนั้น.. เจ้าจะเอาอย่างนั้นหรือไม่?” กุ้ยฮวารีบเม้มปากแล้วส่ายหน้ารัวทันทีจนมุมปากหยักขององค์รัชทายาทถึงกับกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นก็เลือกมา”
“นอน... ข้าเลือกนอน” หลังจากชั่งใจอยู่สักพักกุ้ยฮวาก็เลือกที่จะตอบไปว่านอน เพราะอย่างน้อยแค่เขาขึ้นนอนบนที่นอนแล้วทำเป็นแกล้งหลับนิดหน่อย พอองค์รัชทายาทออกไป เขาก็ยังลุกมาคัดต่อได้ แต่ถ้าเขาเลือกกินก่อนสุดท้ายซื่อเหยียนก็คงจะบังคับให้กุ้ยฮวานอนต่อแน่ๆ
“แล้วเจ้าไม่หิวรึ?”
“ไม่”
“อืม นอนก็นอน” ซื่อเหยียนอุ้มกุ้ยฮวาขึ้นไปนอนบนที่นอนก่อนที่ตัวเองจะล้มตัวนอนลงข้างๆ จนกุ้ยฮวาลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ!? ขึ้นมานอนร่วมเตียงกับข้าทำไม?”
“ตกใจอะไร? อีกหน่อยเจ้าก็ต้องนอนร่วมเตียงกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน และบางที.. เราอาจจะต้องทำอะไรกันบนเตียงมากกว่าการนอนหลับร่วมเตียงกันเฉยๆ ด้วย”
“อย่ามาพูดจาลามกใส่ข้านะ!!”
“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งนั้น เตรียมตัวไว้เถอะ.. นี่! อย่ามัวโวยวาย นอนได้แล้ว ข้าจะนอนเฝ้าเจ้าจนกว่าเจ้าจะหลับ”
“ไม่เอา ข้า.. ข้าไม่ชอบนอนเบียดกับคนอื่น”
“ไม่ชอบก็ต้องนอน นี่เป็นคำสั่ง!”
“เลิกสั่งข้าสักทีเถอะ!”
“เจ้าก็เลิกดื้อสักทีเหมือนกัน! ถ้าไม่ชอบให้ข้าสั่งก็อย่าดื้อกับข้า” พูดจบมือหนาก็กระชากแขนเรียวให้กุ้ยฮวานอนลงก่อนจะคว้าร่างบางเข้ามากอด แถมใช้ขายาวๆ นั่นก่ายขาเรียวไม่ให้กุ้ยฮวาดิ้นไปไหนได้อีก
“ปล่อยนะ! ข้าอึดอัด”
“อึดอัดก็รีบๆ หลับ ข้าจะได้ปล่อย”
“ก็เจ้ากอดข้าเสียแน่นขนาดนี้ข้าจะหลับลงได้อย่างไร!?”
“หยุดเถียงข้าแล้วหลับได้แล้ว! นี่เป็นคำสั่ง!!”
“เจ้าสั่งข้าอีกแล้วนะ!!”
....To Be Continued....
#ลูกเขยแม่ทัพ
ถึงแม้จะมีฉากที่น้องโดยขืนจูบ แต่นิยายเรื่องนี้ไม่มีฉากข่มขืนน้า หมดกังวลหายห่วงได้เลยคับ!
อ่านจบแล้วชอบหรือไมชอบยังไงคอมเม้นต์ได้เลยค่า
สุดท้ายนี้สุขสันต์วันปีใหม่ไทย กักตัวอยู่บ้านกันอย่างมีความสุขนะค้า
-
:pig4: :pig4:อยากให้น้องใจแข็งไม่หลงรักพระเอกง่ายๆ
-
:katai2-1:
-
งื้อสนุกกก
-
เป็นรัชทายาทแล้วไงล่ะ ดีแต่บังคับไม่นึกถึงใจกุ้ยฮวาบ้างเลย น้องน่าสงสารจะแย่อยู่แล้ว พ่อจะไปรบยังไม่ได้แม้แต่จะลาแล้วถ้าเกิดพ่อน้องตายล่ะจะทำไง
-
เราคนเดียวแน่ๆเลย ที่รู้สึกไม่ชอบพระเอกยังไงก็ไม่รู้
-
ตัวละครในเรื่องนี้เป็นตัวละครเทาๆ ที่อาจจะมีทั้งด้านดีและไม่ดี แต่ทั้งนี้นักเขียนได้วางนิสัยตัวละครเหล่านี้เพื่อไปให้ถึงปมใหญ่ของเรื่องเพราะฉะนั้นได้โปรดรอติดตามไปพร้อมๆ กันนะคะ
นิยายเรื่องนี้มี 50 ตอน ให้โอกาสองค์รัชทายาทได้เเก้ตัวหน่อยน้าTT
-๓-
ว่าที่พระชายาของข้าช่างขี้น้อยใจยิ่งนัก
ซื่อเหยียนเผลอหลับไปพร้อมกับกุ้ยฮวา ก่อนจะสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกไอร้อนๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวของกุ้ยฮวาซึ่งตอนนี้ร่างบางกำลังนอนหลับอยู่อ้อมกอดของเขา ตาคมเห็นเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาตามไรผมสีเข้มพร้อมทั้งคิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันเพราะรู้สึกไม่สบายตัว
“กุ้ยฮวา...ป๋าย กุ้ยฮวา!” มือหนาตบลงบนแก้มเนียนเบาๆ เพื่อเรียกสติ ซึ่งกุ้ยฮวาก็ยังพอมีสติก่อนจะพยายามฝืนลืมตาที่หนักอึ้ง
“ข้า... ข้าปวดหัว” เสียงหวานแหบพร่าจนแทบจะออกมาแค่ลมปาก สีหน้าของซื่อเหยียนเริ่มร้อนรน เขาพลิกหลังฝ่ามือแนบลงกับหน้าผากและไล่ไปตามลำคอเพื่อวัดไข้
“มีใครอยู่ข้านอกหรือไม่!? ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!” หลังจากได้ยินเช่นนั้น ขันทีต๋วนก็ผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“มีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย!”
“กุ้ยฮวาตัวร้อนมาก รีบไปตามหมอหลวงมาเร็ว!”
“ช่วยด้วย... ข้า..ข้าปวดหัว ข้าหนาว... หนาวไปถึงกระดูกเลย” กุ้ยฮวาพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะพยายามซุกตัวเองให้แนบชิดกับร่างสูงหวังจะขอพึ่งความอบอุ่น ซึ่งซื่อเหยียนก็หยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างกุ้ยฮวาจนถึงคอแล้วกอดกุ้ยฮวาแน่นจนขันทีต๋วนที่เห็นภาพนั้นยังถึงกับหลุดยิ้มแม้ในยามขับขันแบบนี้
หมอหลวงเข้าตรวจอาการให้กุ้ยฮวาที่ตอนนี้หลับไปแล้ว โดยมีนางในคอยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นซับหน้าให้กุ้ยฮวาเบาๆ
“เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท”
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ซื่อเหยียนถามเสียงเครียด ซึ่งหมอหลวงก็อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ไม่เป็นอะไรมากพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ว่าที่พระชายาประชวรเพราะพักผ่อนน้อย หากได้นอนพักอย่างเต็มที่ ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ข้าฝากเจ้าด้วยนะ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอทูลลา” หมอหลวงโค้งให้ซื่อเหยียนก่อนจะเดินออกจากตำหนักกุ้ยฮวาไป
ตาคมมองกองเล่มธรรมเนียมปฏิบัติที่กุ้ยฮวาคัดค้างไว้แล้วถอนหายใจเบาๆ
“รู้สึกผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ” จู่ๆ ขันทีต๋วนก็ยื่นหน้าเข้ามาถามจนซื่อเหยียนถึงกับอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจก่อนจะมองข้ารับใช้คนสนิทด้วยสายตาตำหนิจนอีกคนต้องรีบหลบตาแต่ก็ยังมิวายทำยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย
“ยิ้มอะไร? เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าล่ะรำคาญเจ้าเสียจริง รีบออกไปกันได้แล้ว ข้าจะรีบไปเข้าเฝ้าฮองเฮา”
“องค์ชายจะไปขอให้ฮองเฮาลดโทษให้ว่าที่พระชายาใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ!?”
“มิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!”
“โถ่.. องค์ชาย~”
ตำหนักฉางชุนกง
“ฮองเฮา องค์รัชทายาทมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามาสิ” เมื่อซื่อเหยียนเดินเข้ามาฮองเฮาฟูฉีก็ฉีกยิ้มต้อนรับลูกชายอย่างอบอุ่นซึ่งข้างกายของฟูฉีนั้นก็คือฮองไทเฮาเจินหลี่ที่ยิ้มมองหลานชายด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างจากพระมารดาของร่างสูงก่อนจะพยักหน้าบอกให้พวกนางในออกไปรอข้างนอก
“มาหาแม่ถึงตำหนัก มีอะไรหรือองค์รัชทายาท?”
“เสด็จแม่.. ลูกมีเรื่องอยากจะขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องอะไรหรือองค์ชาย เหตุใดจึงทำหน้าจริงจังเช่นนี้?”
“เสด็จแม่ได้โปรดทรงอภัยให้ว่าที่พระชายาของหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อภัยให้ว่าที่พระชายา? เกิดเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือฮองเฮา...” ฮองไทเฮาที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปถามฮองเฮาทันที “ตัวข้าเองก็อยากจะถามเจ้าหลายหนแล้วเพราะข้าไม่เห็นว่าที่ชายามาหลายวันแล้วนะฮองเฮา” ฟูฉีมีสีหน้าลำบากใจเพราะตัวเธอเองก็ไม่อยากให้ฮองไทเฮารู้เรื่องที่ว่าที่พระชายานั้นได้กระทำความผิดจนถูกลงโทษตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้าวัง
“คือ.. หม่อมฉันได้สั่งลงโทษว่าที่พระชายาเพราะว่าที่พระชายาได้ออกไปเดินเล่นกับขุนนางในวังในยามวิกาลเพคะ”
“แล้วเจ้าได้ถามว่าที่พระชายาหรือไม่ฮองเฮาว่าขุนนางท่านนั้นเป็นใคร?”
“หม่อมฉันได้เรียกขุนนางคนนั้นมาสอบถามแล้วเพคะ สองคนนั้นเคยเป็นสหายกันสมัยที่ทั้งสองคนยังเป็นเด็ก แต่ถึงแม้จะเป็นสหายกันมาก่อนแต่ที่หม่อมฉันต้องตำหนิและลงโทษว่าที่พระชายาก็เพราะว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและไม่ให้เกียรติองค์รัชทายาทนะเพคะ”
“จากที่ข้าฟังมันก็ไม่ใช่เรื่องที่รุนแรงนัก ใยจึงต้องทำถึงกับลงโทษกัน เจ้าลืมไปแล้วหรือฮองเฮาว่าว่าที่พระชายาเพิ่งเข้ามาอยู่ในวังได้ไม่นาน และเท่าที่ข้าดูว่าที่พระชายาก็ดูไม่ใช่คนหัวแข็งอะไร หากบอกกล่าวกันดีๆ ก็คงจะเข้าใจและปฏิบัติตามได้”
“หม่อมฉันขอประทานอภัยที่ตัดสินใจโดยพละการเพคะ”
“เสด็จย่า เรื่องนี้หลานผิดเองพ่ะย่ะค่ะ ว่าที่พระชายาเป็นคนของหลาน แต่หลานกลับไม่อบรมให้ดี”
“แล้วองค์ชายได้ว่ากล่าวว่าที่พระชายาด้วยหรือไม่?”
“...พ่ะย่ะค่ะ” ซื่อเหยียนก้มหน้าแล้วตอบไปตามจริง ซึ่งทำเอาฮองไทเฮาถึงกับถอนหายใจ เพราะทุกคนในวังนี้ย่อมรู้ดีว่าถึงแม้องค์รัชทายาทผู้นี้จะดูสุขุม แต่หากได้โมโหแล้วก็จะพูดจาว่าร้ายโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
“ตอนนี้จิตใจของว่าที่พระชายาคงบอบช้ำนัก คนที่เคยมีอิสระแม้จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต คงไม่คิดว่าในวังหลวงแห่งนี้จะมอบบทลงโทษให้เพียงเพราะแค่ออกไปเดินเล่นกับคนรู้จัก” ทั้งฮองเฮาและองค์รัชทายาทต่างก็ก้มหน้าเงียบและได้สำนึกว่าตนนั้นทำเกินกว่าเหตุ
“ตอนนี้ว่าที่พระชายาอยู่ที่ไหน เห็นที่ย่าคงต้องไปเยี่ยมเสียหน่อย”
“ตอนนี้หลานคิดว่าคงจะยังไม่เหมาะที่จะเข้าไปเยี่ยมว่าที่พระชายาพ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า”
“ทำไมหรือองค์ชาย?”
“ว่าที่พระชายาไม่ค่อยสบาย ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ?” ทั้งฮองไทเฮาและฮองเฮาอุทานขึ้นพร้อมกัน ซึ่งทั้งสองคนดูมีสีหน้ากังวลไม่ต่างกัน
“ทั้งหมดนี่ล้วนแต่เป็นความผิดหลานทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ซื่อเหยียน ตั้งแต่ที่หลานเกิดมา หลานเป็นเลิศในทุกด้าน.. และหลานไม่เคยทำให้ย่าผิดหวังเลย แต่ครานี้ เหตุใดหลานจึงเป็นคนสับเพร่าและละเลยต่อว่าที่พระชายาของตนเองจนเขาถึงกับขั้นล้มป่วยเช่นนี้”
“.....”
“ย่าเข้าใจดีว่าหลานอาจจะยังไม่ได้รักกุ้ยฮวา แต่ตอนนี้ราชวงศ์ของเราต้องการเขา หลานต้องดูแลกุ้ยฮวาให้ดี เพราะเด็กคนนั้นจะต้องกลายเป็นแม่ของลูกเจ้าในไม่ช้านี้”
“.....”
“นับแต่นี้ย่าจะคอยจับตาดูองค์ชายไว้ ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรหรือใครที่ทำให้ว่าที่พระชายาไม่สบายใจอีก ย่าจะเป็นคนจัดการเองและไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น เข้าใจหรือไม่?”
“หลานเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
“องค์ชาย หากว่าที่พระชายาตื่นแล้วให้คนรีบมาตามย่าด้วย ย่าจะไปเยี่ยม”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จย่า”
กุ้ยฮวาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่านี่เป็นเช้าวันใหม่แล้ว ร่างบางรีบเด้งตัวลุกขึ้นมา จนนางในที่แอบนั่งสัปหงกขึ้นกับสะดุ้งตามแล้วยิ้มด้วยความดีใจเมื่อกุ้ยฮวาฟื้นแล้วหลังจากหลับไปเกือบหนึ่งวันเต็ม
“ธรรมเนียมปฏิบัติ!! ธรรมเนียมปฏิบัติที่ข้าคัดไว้อยู่ไหน? เอามาให้ข้าเร็ว ข้าจะคัดต่อ!” เมื่อนอนเต็มที่จนร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง กุ้ยฮวาก็โวยวายหันซ้ายหันขวามองหาสมุดที่เขาใช้คัดธรรมเนียมปฏิบัติทันที
พรุ่งนี้ต้องส่งให้ฮองเฮาแล้วด้วย! ตายแน่ๆ เลยป๋าย กุ้ยฮวาเอ้ย!
“ไม่ต้องหาแล้วเพคะ ตอนนี้ฮองเฮาท่านยกเลิกบทลงโทษแล้วเพคะ ว่าที่พระชายาไม่ต้องคัดแล้วเพคะ”
“หืม ทำไมล่ะ?”
“เห็นพวกนางในที่ตำหนักฉางชุนกงเล่าว่าเมื่อวานนี้องค์รัชทายาทเสด็จไปทูลขอฮองเฮาให้ยกโทษให้ว่าที่พระชายาเพคะ และพวกนั้นยังบอกอีกว่าฮองเฮาและองค์รัชทายาทโดนฮองไทเฮาตำหนิเรื่องที่ลงโทษว่าที่พระชายาด้วยนะเพคะ”
“อะไรนะ!? ฮ่ะ-ฮองเฮาโดนดุเพราะข้างั้นหรือ!?” กุ้ยฮวาถึงกับกลืนน้ำลายก้อนหนืดลงคอด้วยความกลัว
เด็กกะโปโลอย่างเขาเนี่ยนะ? เป็นต้นเหตุที่ทำให้ฮองเฮาถูกฮองไทเฮาตำหนิ
รู้สึกเสียวคอวูบวาบคล้ายว่าอายุจะสั้นลงไปอีกสามสิบปี
“อย่าคิดมากเลยเพคะ เสวยอะไรสักหน่อยก่อนเถิดเพคะจะได้มีแรง” นางในคนนี้พูดยิ้มๆ ในขณะที่ค่อยๆ ช่วยประคองกุ้ยฮวาให้ลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ด้านหน้ามีถ้วยอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะเลย ซึ่งก็มีแต่ของดีๆ ที่กินสำหรับบำรุงร่างกายทั้งนั้นเลย
“มื้อเช้าของวันนี้องค์รัชทายาทเป็นคนรับสั่งให้พ่อครัวทำอาหารบำรุงเหล่านี้มาให้ว่าที่พระชายาเองเลยนะเพคะ.. ตอนที่องค์รัชทายาทรู้ว่าว่าที่พระชายาประชวร พระองค์ดูตกใจมากตะโกนให้พวกหม่อมฉันออกไปตามหมอหลวง แถมยังกอดว่าที่พระชายาแน่นมากจนหม่อมฉันที่ไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าและการกระทำอื่นขององค์รัชทายาทนอกจากใบหน้าเรียบนิ่งและเดินเอามือไพล่หลังแบบที่ทรงทำอยู่เป็นประจำก็ยังตกใจเลยเพคะ นางในคนอื่นๆ ก็เหมือนกันนะเพคะ” องค์ชายนั่นน่ะหรือกอดข้าแน่นมาก หึ.. กะรัดให้ข้าตายมากกว่าล่ะสิ
“เขาไม่เคยยิ้มกับพวกเจ้าเลยอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เคยเลยเพคะ ถ้าไม่ใช่ฮ่องเต้ ฮองไทเฮาหรือฮองเฮาก็ไม่มีใครเคยเห็นองค์รัชทายาทยิ้มเลยเพคะ ส่วนมากจะทรงทำแค่หน้านิ่งๆ หรือไม่ก็ขมวดคิ้วเวลาที่ทรงกริ้วน่ะเพคะ”
“ใครว่าไม่มีเคยมีใครเห็น อย่างน้อยก็ผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้นคนหนึ่งแหละที่เห็น” กุ้ยฮวาพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเม็ดมะม่วงหิมพานต์เข้าปาก
“อะไรนะเพคะ?”
“หืม? อ๋อ! ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่พูดอะไรคนเดียวไปเรื่อยเปื่อยน่ะ.. ว่าแต่ข้าก็อยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว ข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย”
“หม่อมฉันมีนามว่าเซียงฉินเพคะ”
“เซียงฉิน..เจ้าอยู่วังหลวงมากี่ปีแล้ว?”
“อืม.. ร่วมสี่ปีได้แล้วเพคะ” ตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเซียงฉินอยู่วังหลวงมานานพอสมควร คงจะรู้อะไรเกี่ยวกับซื่อเหยียนหรือไม่ก็ผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้นบ้างล่ะ
“นี่ เจ้าพอจะ..”
“องค์รัชทายาทเสด็จ” เซียงฉินรีบลุกขึ้นแล้วยืนในท่าสำรวม ส่วนกุ้ยฮวาก็ทำท่าเสียดายก่อนจะนั่งเท้าคางด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เมื่อรู้ว่าใครเป็นผู้มาเยือน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อเดินเข้ามาซื่อเหยียนก็ถามขึ้นทันที แต่อีกคนกลับทำนิ่งเฉยแถมยังทำเมินมองออกไปนอกหน้าต่างอีกต่างหาก
กลับมาดื้อได้แบบนี้แสดงว่าดีขึ้นแล้วสินะ
“อาหารวันนี้ถูกปากเจ้าหรือไม่?”
“.....”
“สงสัยจะไม่อร่อยถูกปากเจ้าสินะ.. ขันทีต๋วน” หลังจากตัดสินเองเสร็จสรรพตามลักษณะนิสัยเดิมซื่อเหยียนก็หันไปขานเรียกขันทีต๋วนเพื่ออกคำสั่ง
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“ไล่พ่อครัวที่ทำอาหารชุดนี้ออกให้หมด”
“อย่านะ!!” กุ้ยฮวารีบลุกขึ้นแล้วห้ามทันที อาหารพวกนี้น่ะอร่อยจะตาย ถ้าไล่พ่อครัวพวกนี้ออกแล้วเขาจะได้กินอาหารอร่อยๆ แบบนี้ไหมล่ะ!?
ส่วนองค์ชายนี่ก็ใจร้อนเสียจริง! ดูฉลาดทุกเรื่องแต่กลับมองไม่ออกหรืออย่างไรกันว่าที่เขาไม่ตอบน่ะเป็นเพราะอะไร!?
แต่เอาเถอะ! .. กุ้ยฮวาเองก็ไม่ได้อยากให้อีกคนมาสนใจนักหรอก!
แต่ว่าดูไม่ออกจริงๆ รึ!!?
“ดูท่าคงจะไม่อร่อยจริงๆ ถ้วยอาหารว่าที่พระชายายังไม่พร่องไปเท่าไรเลย ขันทีต๋วนเจ้าจงรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะ..”
“ข้าบอกว่าอย่าไง!” ทั้งซื่อเหยียนและขันทีต๋วนต่างหันมองร่างบางเป็นตาเดียว มือเล็กแอบกำหมัดไว้ใต้แขนเสื้อเมื่อเขาเห็นแววตาเย้ยหยันที่แฝงอยู่ภายใต้สายตานิ่งเรียบของซื่อเหยียน
“ทำไมล่ะ? เจ้าดูไม่พึงใจในอาหารแล้วเหตุใดถึงไม่ให้ข้าไล่พ่อครัวออก?”
หน็อย... ปกติเวลาคิดหรือทำอะไรเจ้าองค์ชายนี่ไม่เคยคิดจะถามเขาด้วยซ้ำ ทีตอนนี้ทำมาเป็นถาม ดูก็รู้ว่าซื่อเหยียนกำลังปั่นหัวเขาอยู่!
ได้.. เล่นแบบนี้ใช่ไหม!? ได้เลย!! ป๋าย กุ้ยฮวาคนนี้จะจัดให้เอง!!
“ถ้าข้าบอกว่าข้ารู้สึกว่าอาหารพวกนี้ไม่ถูกปากข้า เจ้าก็จะไล่พ่อครัวออกอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ใช่..” ซื่อเหยียนเอามือไพล่หลังในท่าประจำพลางเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อตั้งใจฟังและกำลังพิจารณาในสิ่งที่ร่างบางกำลังจะพูด
“อาหารพวกนี้ถูกปากข้ามาก แต่ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้สึกไม่พึงใจ”
“....”
“นั่นก็คือ..เจ้า” ทั้งเซียงฉินและขันทีต๋วนถึงกับหน้าซีดหลังจากที่กุ้ยฮวากล่าวเช่นนั้น ทั้งคู่พยายามเหลือบมองใบหน้าขององค์รัชทายาทแต่ก็พบว่าใบหน้าคมยังคงเรียบเฉย ซึ่งกุ้ยฮวาเองก็แปลกใจเหมือนกัน
“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าออกไปจากวังหลวง มันคงเป็นไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ให้ข้าออก..”
“เจ้าก็ออกไปไม่ได้เช่นกัน” ซื่อเหยียนพูดแทรกขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่ากุ้ยฮวากำลังจะพูดอะไร
“....”
“สิ่งเดียวที่ข้าคิดอยากจะทำเพื่อให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นได้คือ..ข้าขอโทษ” กุ้ยฮวาอึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าซื่อเหยียนจะพูดขอโทษกับเขา กุ้ยฮวาเผลอตัดสินคนๆ นี้ไปแล้วว่าเป็นคนจองหอง ทะนงในศักดิ์ศรีของความเป็นองค์รัชทายาทจนมองไม่เห็นผู้ใดที่ต่ำต้อยกว่าตัวเอง
“.....”
“ข้าขอโทษที่พูดจาไม่ดีกล่าวโทษเจ้าโดยไม่รับฟังความจริงจากปากของเจ้ากุ้ยฮวา”
เดี๋ยวนะ.. ซื่อเหยียนทำผิดต่อข้า ก็ต้องขอโทษข้าก็ถูกแล้วสิ แล้วข้าจะรู้สึกผิดทำไมล่ะ!?
“ฮองไทเฮาเสด็จ!! ”
“ฮอง..ฮองไทเฮางั้นรึ!?”
“เจ้าไม่ต้องตกใจไปหรอก เสด็จย่าอยากมาเยี่ยมเจ้าเพราะทรงเป็นห่วงน่ะ” ซื่อเหยียนบอกเมื่อเห็นว่ากุ้ยฮวานั้นหน้าถอดสีด้วยความกลัวและกังวล
ตอนนี้กุ้ยฮวากำลังนั่งตัวเกร็งจนซื่อเหยียนที่นั่งอยู่ข้างกันแอบอมยิ้มเล็กน้อยเพราะตอนนี้ฮองไทเฮาเสด็จมาเยี่ยมกุ้ยฮวาถึงตำหนักด้วยตัวพระองค์เอง แถมยังทรงแย้มพระสรวจในขณะที่ยังทรงเดินชมตำหนักแห่งนี้
“ย่าดีใจยิ่งนักที่ตำหนักนี้ได้มีคนอยู่อีกครั้ง ตำหนักแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นที่ฟูมฟักเหล่าบรรดาแม่ของแผ่นดินนี้ ซึ่งเจ้าจะต้องเป็นคนต่อไปนะกุ้ยฮวา” เจินหลี่มองตำหนักแห่งนี้ด้วยสายตาแสนจะปิติก่อนจะหันมองไปที่กุ้ยฮวาก็นึกแปลกใจ “ว่าที่พระชายา เจ้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่อีกหรือ? เหตุใดถึงเหงื่อออกเยอะแบบนั้น?”
ฮองไทเฮารีบเดินเข้ามาดูอาการของกุ้ยฮวาด้วยความเป็นห่วงทันที ซึ่งนั่นทำให้กุ้ยฮวายิ่งเกร็ง
“กุ้ยฮวาคงรู้สึกเกร็งที่เสด็จย่าทรงเมตตามาเยี่ยมน่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“อ่อ.. อย่างนั้นรึ? อืม.. เช่นนั้นย่ากลับก่อนดีหรือไม่? ย่ากลัวว่าตนเองจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้อาการของว่าที่พระชายาแย่ลง” กุ้ยฮวาที่เห็นฮองไทเฮาหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแล้วทำท่าว่ากำลังจะกลับไปก็รีบเอ่ยรั้งไว้
“เดี๋ยวก่อน... พ่ะย่ะค่ะ คือๆๆ ... หม่อมฉันเกร็งเพราะรู้สึกเป็นเกียรติมากที่เสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉัน ทั้งที่เป็นหม่อมฉันเองแท้ที่ต้องไปหาพระองค์ หม่อมฉันขอประธานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” ปากกระจับสวยรีบอธิบายให้ฮองไทเฮาฟังจนเผลอพูดเร็วและตะกุกตะกักไปหมด ซึ่งทีแรกฮองไทเฮาก็ทำหน้าเหวอเพราะฟังไม่ค่อยจะทัน แต่เมื่อพอจับใจความได้จนรู้ความก็ยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเสียงดังจนซื่อเหยียนต้องยกมือแตะที่หน้าตักของเสด็จย่าแล้วส่ายหัวเบาๆ เพื่อบอกว่าการกระทำนั้นไม่เหมาะสม
“ฮ่ะๆ เป็นเช่นนั้นเองหรือ? ย่าเข้าใจผิดไปเองสินะ...ขอบใจนะองค์ชาย” เจินหลี่พูดกับกุ้ยฮวาด้วยรอยยิ้มเอ็นดูก่อนจะหันไปกระซิบขอบคุณหลานชายที่ช่วยเตือนเรื่องที่เผลอหัวเราะเสียงดังออกไป
“เอ่อ ไม่ใช่แบบนั้นพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอย่าเพิ่งทรงเข้าใจหม่อมฉันผิด เอ่อคือ.. คือ..หมะ-หม่อมฉันดีใจมากที่ทรงเสด็จมาเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ!!” กุ้ยฮวาพูดเสียงดังพร้อมกับโค้งคำนับทำเอาทั้งเจินหลี่และซื่อเหยียนถึงกับหลุดขำพร้อมกัน
“ฮ่าๆๆ นี่แหละ เสน่ห์ที่แสนจะน่าเอ็นดูของนอกวังหลวง ที่ในวังหลวงแห่งนี้ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งใสซื่อและจริงใจ คิดอย่างไรก็แสดงออกแบบนั้น ย่าดีใจนะที่เสน่ห์แบบนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในวังหลวง หลานเห็นด้วยกับย่าหรือไม่ซื่อเหยียน?”
“พ่ะย่ะค่ะ... หากตัดความดื้อรั้นออกไป ก็เป็นแสน่ห์อย่างหนึ่งที่น่ารักมากพ่ะย่ะค่ะ” กุ้ยฮวาทำกับใจกระตุก หันมองซื่อเหยียนทีหนึ่งแต่พอร่างสูงหันมองตอบเจ้าตัวก็หันหน้าหนีแล้วรีบตั้งสติกับตัวเอง พยายามบอกตัวเองว่าซื่อเหยียนนั้นมีคนรักอยู่แล้ว อย่าเผลอใจไปกับคำพูดเอาใจผู้ใหญ่แบบนั้นเด็ดขาด
ห้ามเผลอใจเด็ดขาดนะป๋าย กุ้ยฮวา!!
แต่ก็ราวกับโดนกลั่นแกล้งเมื่อยิ่งบอกย้ำกับตัวเองเท่าไร คำพูดของซื่อเหยียนก็เอาแต่ดังวนอยู่หัวจนกุ้ยฮวารู้สึกร่างกายร้อนขึ้นจนต้องคว้าน้ำชาขึ้นมาดื่ม
แต่ทว่าน้ำชานั่นกำลังจะไหลลงคอเพื่อดับความร้อนในร่างกายอยู่แล้วเชียว ถ้าฮองไทเฮาไม่พูดแบบนี้ขึ้นมา
“หากเป็นเช่นนั้น ถ้าองค์ชายคิดว่าว่าที่พระชายาน่ารักมากแค่ไหนองค์ชายก็ต้องมีเหลนให้ย่ามากเท่านั้นตกลงหรือไม่? ”
พรวด!!
หมดกัน.. จะไม่น่ารักก็ตรงพ่นน้ำชาต่อหน้าพระพักตร์ฮองไทเฮานี่แหละ โชคดีนักที่เขาไม่พ่นใส่พระพักตร์ มิอย่างนั้นชะตากุ้ยฮวาคงขาดแน่ๆ
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ.. หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ สงสัยจะกลืนน้ำชาเร็วไปหน่อยเลยสำลักน่ะพ่ะย่ะค่ะ” กุ้ยฮวารีบแก้ตัวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ซึ่งใครมองก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังโกหก
“เจ้าไม่อยากมีลูกหรือกุ้ยฮวา” ฮองไทเฮาถามตรงจนกุ้ยฮวาถึงกับสะดุ้ง
“คือ.. ไม่ใช่อย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่ของแบบนี้หม่อมฉันคิดว่าค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอาจจะดีกว่าก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมต้องค่อยเป็นค่อยไป? สมัยย่าหลังจากคืนวันเข้าหอย่าก็ตั้งท้องทันที สมัยของฮองเฮาก็เหมือนกันและตัวเจ้าก็จักต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกันด้วยว่าที่พระชายา”
“เอ่อคือ..”
“หรือเป็นเพราะว่าเจ้ารังเกียจองค์รัชทายาทหรือกุ้ยฮวา?”
“หา? ไม่ใช่..”
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้กุ้ยฮวายังโกรธหลานอยู่” ยังไม่ทันที่กุ้ยฮวาจะได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านี้จู่ๆ องค์รัชทายาทก็ดันพูดแทรกขึ้นมาดื้อๆ เสียอย่างนั้น
อ้าว! แล้วไหงถึงทำเป็นเศร้าแล้วทำให้ข้าดูแย่อยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะ!!
“ชีวิตย่าอยู่มานานขนาดนี้ก็เพื่ออยากเห็นหน้าเหลนเป็นคนสุดท้ายของชีวิต.. แต่หากเจ้าเป็นแบบนี้แล้ว โอกาสนั้นในชีวิตย่าคงไม่มีอีกแล้ว”
โอ๊ย! มันจะอะไรนักหนากับแค่เด็กคนเดียวเนี่ย ฮื่อ.. ปวดหัวจนไข้จะกลับแล้ว!
“ถ้าไม่มีโอกาสเห็นหน้าเหลน.. ย่าก็ไม่รู้ว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีไปเพื่ออะไรแล้ว” หญิงวัยชราที่ยังคงความเต่งตึงไว้ราวกับคนอายุสี่สิบมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเศร้าและผิดหวังแต่ในขณะเดียวกันก็ดูปลงตก จนกุ้ยฮวารู้สึกเป็นกังวล เลยต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากซื่อเหยียนแทน
“เสด็จย่า.. อย่าเพิ่งเสียพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กุ้ยฮวายังโกรธหลานอยู่จึงยังทำเป็นเบี่ยงบ่ายเรื่องนี้ เอาเป็นว่าหลานสองคนจะพยายามทำให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะ.. ย่าจะถือว่าเป็นเรื่องของพวกเจ้าและย่าเองก็จะพยายามไม่หวังอะไรมากก็แล้วกัน อย่ากังวลกันมากนักเลย เอาล่ะ ย่าจะไปพักผ่อนแล้ว” ฮองไทเฮาค่อยๆ ยืนขึ้นโดยทีซื่อเหยียนและกุ้ยฮวาคอยประคองแล้วเดินมาส่งถึงบันไดหน้าตำหนักก่อนจะส่งต่อให้นางในประจำตัวพระองค์เป็นคนประคองต่อไป
>> ต่อหน้า 2 นะคะ
-
หลังจากที่ฮองไทเฮากลับตำหนักไปแล้ว กุ้ยฮวาก็ยังคงมีสีหน้ากังวลเพราะดันไปทำลายความหวังสุดท้ายในชีวิตของพระองค์ แต่จะให้เขาทำเช่นไร ถึงแม้การให้กำเนิดองค์รัชทายาทจะเป็นหน้าที่ของพระชายา แต่ในใจลึกๆ กุ้ยฮวาก็อยากให้เด็กคนนั้นเกิดขึ้นจากความรัก... ไม่ใช่เพราะภาระหน้าที่
“เจ้ายังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่อีกหรือ?” ซื่อเหยียนถามขึ้นเมื่อยังเห็นว่ากุ้ยฮวายังดูมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดี แม้ว่าใบหน้าหวานจะเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นไม่ซีดเซียวเหมือนเมื่อวานแล้วก็ตาม
“.....” กุ้ยฮวาไม่ตอบแถมยังแสร้งมองท้องฟ้ามองต้นไม้ไปเรื่อย
“ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ?”
“เปล่า”
“แล้วทำไมจึงไม่ตอบข้า?”
“ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่อยากตอบ เจ้าจะดุข้าหรือไม่?” ตากลมช้อนสบตากับซื่อเหยียนซึ่งร่างสูงก็ทำแค่หัวเราะเบาๆ
“เช่นนั้นเจ้าก็หมายความว่าเจ้ายังโกรธข้าอยู่”
“ข้าไม่ได้โกรธ! แต่ข้าแค่ยังไม่อยากพูดกับเจ้า!”
“ถ้าข้าอนุญาตให้เจ้าไปเยี่ยมแม่ทัพป๋าย เจ้าจะยอมพูดกับข้าได้หรือไม่?”
“เจ้าว่าอะไรนะ...” กุ้ยฮวาถามเสียงสั่นแค่ได้ยินชื่อของท่านพ่อ หยาดน้ำสีใสก็เอ่อคลอออกมาที่ดวงตาด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ
“วันพรุ่งนี้ท่านแม่ทัพจะกลับมาแล้วจะไปรอเจ้าอยู่ที่บ้านเก่าของเจ้า... แต่ข้าคงให้เวลาเจ้ามากไม่ได้ ก่อนฟ้ามืดข้าจะเป็นคนไปรับเจ้าเอง”
“ข้า.. ไปหาท่านพ่อได้จริงๆ ใช่ไหม? จะไม่มีใครดุข้าอีกแล้วใช่ไหม?” คำถามของกุ้ยฮวาเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าที่วังหลวงแห่งนี้คงเข้มงวดกับป๋าย กุ้ยฮวาเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะเขา
อย่างที่เสด็จย่าพูด... เสน่ห์นิสัยแบบที่กุ้ยฮวาเป็นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นในวังหลวงมาก่อน เพราะฉะนั้นถึงแม้กุ้ยฮวาจะต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในกกรอบธรรมเนียมปฏิบัติของวังหลวง แต่ถ้านิสัยบางอย่างที่เป็นตัวตนของกุ้ยฮวาที่มันอาจจะดูไม่เหมาะสมไปบ้างแต่ถ้ามันไม่ผิดกฏใดๆ ในวังหลวง ซื่อเหยียนก็จะไม่ห้ามหรือดุอีก
“อืม วันพรุ่งนี้ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ดุเจ้า”
“เจ้าพูดจริงหรอ!? อืม.. หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็หายโกรธเจ้าแล้วก็ยอมพูดกับเจ้าแล้วก็ได้” กุ้ยฮวากลับมายิ้มได้เต็มปากอีกครั้งก่อนยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าซื่อเหยียนซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ
“หึ.. เจ้าจะทำอะไร?”
“อะไรกัน? เกี่ยวก้อยคืนดีกันไง... เจ้าไม่รู้จักรึ?” ซื่อเหยียนส่ายหัวจนมือบางต้องจับมือหนาขึ้นมาเกี่ยวก้อยกันให้ดู “นี่.. แบบนี้เขาเรียกว่าเกี่ยวก้อยคืนดีกัน”
“แค่เอานิ้วก้อยมาเกี่ยวกันไว้ก็ถือว่าเป็นการคืนดีกันแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“อื้ม! ความจริงนอกจากเกี่ยวก้อยเพื่อคืนดีกันแล้ว ก็ยังมีการเกี่ยวก้อยเพื่อสัญญาด้วยเหมือนกัน จะทำตอนสัญญาเสร็จแล้วหรือจะทำตอนที่กำลังพูดสัญญากันก็ได้”
“หึ.. ไม่น่าเชื่อเลยนะ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่านิ้วก้อยจะมีความหมายขนาดนี้”
“อะไรกัน เจ้าเองก็มีคนรักอยู่แล้วไม่เคยทำแบบนี้ด้วยกันเลยรึ!? ..อุ้บ!” ซื่อเหยียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วทันทีจนกุ้ยฮวาที่เผลอลืมตัวโพล่งถามออกไปแบบนี้ก็รีบดึงนิ้วตัวเองออกแล้วยกมือปิดปากแทบไม่ทัน
“...ที่เจ้าเห็นวันนั้น เจ้าเสียใจหรือไม่?” ซื่อเหยียนเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ไม่หรอก เราไม่ได้รักกันเสียหน่อย อย่าลืมสิเจ้าลากข้าเข้าวังมานะ ทำไมข้าจะต้องเสียใจด้วย” เสียงหวานตอบพลางหัวเราะกลบเกลื่อน
“ดีแล้ว... เพราะข้าก็จะไม่ทำให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นอีกแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าตัดใจจากซู่เจินไปแล้ว.. ในเมื่อข้าได้เลือกเจ้าเข้ามาเป็นพระชายาของข้าแล้ว ข้าก็ต้องให้ความสำคัญกับเจ้าและรักเจ้า เหมือนที่ข้าเคยบอกกับเจ้าวันแรกว่าอย่างไรสักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องรักข้า และข้าก็ต้องรักเจ้า”
“ความจริงแล้ว... มะ-ไม่ต้องก็ได้นะ”
“สำหรับข้า การที่ต้องทนอยู่กับคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิตโดยที่ไม่ได้รักกันนั้นมันทรมานมาก ซึ่งข้าไม่อยากให้เราสองคนเป็นแบบนั้น”
“แต่เจ้าไม่เห็นต้องตัดใจเลยนี่ ถึงตัวเจ้าจะแต่งงานกับข้า แต่เจ้าก็รับคนรักของเจ้าเข้ามาเป็นสนมของเจ้าได้นี่”
“ตัวและสติปัญญาของซู่เจินนั้นมีประโยชน์ต่อผู้อื่นอยู่มาก ข้าไม่อยากให้ซู่เจินต้องละทิ้งความรู้มาอยู่ในวังหลวงเพื่อปรนเปรอความใคร่ของข้า”
“อ้าว..” แล้วข้าล่ะ.. หน็อย! เจ้าจะบอกว่าข้าโง่และไม่มีประโยชน์พอถึงได้มาอยู่ในวังหลวงได้ใช่ไหม!? ไหนบอกว่าตัดใจแล้วไง! ทีแท้ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยกันอยู่นี่เอง เห๊อะ!!
“หึ แอบด่าอะไรข้าในใจอยู่ล่ะ?”
“เปล๊า! เปล่าเลย.. ฮ่ะๆ ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย สักนิดเดียวข้าก็ไม่ได้คิด”
“แก้ตัวจนลิ้นพันแบบนี้แล้วยังจะกล้าโกหกข้าอีกอย่างนั้นรึ?”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ นะ! เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเลยไม่ต้องมาสนใจข้าหรอก”
“คงไม่ได้แล้วล่ะ” ซื่อเหยียดพูดพร้อมเหยียดยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปประชิดตัวร่างบางจนกุ้ยฮวาต้องถอยหนี แต่ยิ่งหนีอีกคนก็ยิ่งตามแถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อีกต่างหากจนสุดท้ายก็ถึงคราจนมุมของกุ้ยฮวาเมื่อแผ่นหลังเนียนสัมผัสเข้ากับเสาต้นใหญ่อย่างไร้ทางหนี “เพราะตอนนี้ข้าเลือกแล้ว..ว่าข้าจะต้องสนใจแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“อย่างนั้นก็ตามใจเจ้า! ถึงข้าห้ามอะไรเจ้าก็คงไม่ฟังอยู่ดี เดี๋ยวพอเจ้าเจอคนอื่นที่พอใจ เจ้าก็จะตัดใจไปเองเหมือนที่เจ้าเคยทำนั่นแหละ”
“การตัดใจนั้นมันยากมากเจ้าไม่รู้หรือ? เพราะฉะนั้นเจ้าวางใจได้เลย เพราะข้าเป็นคนที่ไม่ชอบทำเรื่องยากๆ แบบนั้นหลายรอบ”
“ถ้ายากนักเจ้าก็ไม่ต้องทำสิ เจ้าก็รักผู้ช่วยหมอหลวงคนนั้นต่อไปก็ได้ ส่วนเราก็อยู่..อยู่กันแบบ.. แบบมิตรสหายกันก็ได้ โอ้โห! แค่ข้าคิดว่าจะได้มีสหายที่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าข้าก็ดีใจแล้ว ฮ่ะๆ!” เจื่อนมากๆ บอกเลย หัวเราะเมื่อกี้คือเจื่อนมาก!
“หึ อย่าลืมสิว่าสักวันเจ้ากับข้าจะต้องมีลูกด้วยกัน...” ซื่อเหยียนแกล้งพูดค้างไว้ก่อนยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของกุ้ยฮวาจนร่างบางถึงกับเกร็งคอพร้อมทำหน้าเลิ่กลั่ก “ไม่มีสหายที่ไหนเขามีลูกด้วยกันหรอก”
ใครก็ได้เอาปอกดาบตีหัวข้าทีและช่วยบอกข้าด้วยว่าเจ้าองค์ชายนี่มันไม่ได้จะเอาจริงใช่ไหม!!
To be continued...
อ่านจบแล้ว คอมเม้นต์ให้นักเขียนสักนิดเพื่อที่นักเขียนจะได้มีแรงแต่งต่อไปถึงตอนจบเลยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ กักตัวอยู่บ้านกันอย่างมีความสุขนะคะ
-
:katai2-1:
-
พระเอกตัดใจง่ายจังแล้วผู้ช่วยหมอคนนั้นจะตัดใจได้ง่ายเหมือนพระเอกมั้ย