ตอนที่ 4
Pechra Part
RRRRRR
+++Tawan+++
สายที่โทรเข้ามาเป็นตะวันนั่นเอง ผมเลยมองไปยังที่โต๊ะที่ผมบอกให้เขานั่งรอ แต่ปรากฏว่าไม่มี ทั้งๆ ที่เมื่อกี้ เขายังยืนซื้อข้าวมันไก่อยู่เลย
“ว่าไง” ผมกดรับแล้วถามปลายสาย อาจจะโทรมาบอกว่าไปห้องน้ำก็เป็นได้
(พี่เอกจะพาผมไปไหน)
“ตะวัน กูเองนะ”
(พี่ทำผมกลัวนะ)
เสียงของตะวันตื่นตระหนกเกินกว่าปกติ ผมพยายามจับใจความและดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้อยู่ที่นี่
“ตะวัน มึงได้ยินกูไหม ตะวัน! โธ่โว้ย” ผมเรียกเสียงดังจนคนรอบข้างตกใจ ผมได้ยินเสียงของตะวันพูดถึงคนชื่อเอก คงจะเป็นเพื่อนพี่ชายของมันที่เคยเจอกันเมื่อวานสินะ ผมเดินออกจากแถวมาแล้วเดินตรงไปยังรถ เปิดจีพีเอสดูด้วยว่ามันกำลังไปทางไหน พอรู้ทางคร่าวๆ แล้ว จึงกดโทรศัพท์หาคนที่คิดว่ารู้จุดหมายปลายทาง
Thu…Thu…Thu…
(เพชรเหรอ)
“ครับ ผมเอง”
(โทรมามีอะไรหรือเปล่า)
“ผมคิดว่าเพื่อนพี่จับตัวตะวันไป”
(ใคร)
“คนที่ชื่อเอก”
(ไอ้เอกอะนะ จะใช่เหรอ)
“ผมอยู่กับตะวันที่สวนสาธารณะ เรากำลังจะกินข้าวกัน แล้วอยู่ๆ ตะวันก็หายไป มีสายโทรเข้ามาจากตะวัน มันบอกว่ามันกลัวและผมได้ยินมันเรียกคนที่ชื่อเอก”
(ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะติดต่อกับมันให้ เผื่อมีเรื่องเข้าใจผิดกัน)
“ครับ ด่วนก็ดี เพราะผมกำลังขับตามไปอยู่” ผมบอกแล้วกดวาง เปิดจีพีเอสอีกครั้งเพื่อเช็กว่าไปทางไหน ผมกังวลจากที่ได้ยินเสียงสั่นๆ ของตะวัน ผมกลัวว่าคนที่ชื่อเอกจะทำอะไรไม่ดี กลัวว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลังจากขับตามได้ไม่นาน เส้นทางที่ขับก็ดูเหมือนจะออกนอกเมืองไปไกล ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมไม่คุ้นตาเอาซะเลย
RRRRRR
มีสายโทรเข้าจากพี่เนส ผมจึงจอดรถข้างทางแล้วรับสาย
“ครับ”
(เส้นทางที่มันขับไป คือที่ไหน) พี่เนสถาม ฟังจากน้ำเสียงแล้วเขาก็ดูกระวนกระวายไม่ต่างกัน
“ผมไม่รู้ แต่ออกนอกเมืองมาทางเหนือ”
(บ้านพักของปู่มัน นายตามมันไปเรื่อยๆ แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะขับรถตามไป)
“ครับ แล้วเขาบอกไหม ว่าจับตะวันไปทำไม”
(มันชอบว่าเพราะมันชอบตะวัน แต่เรื่องนี้ฉันรู้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะทำเรื่องแบบนี้ ยังไงฝากนายด้วยแล้วกัน ถ้าไปถึงแล้วก็โทรมานะ)
“ครับ” ผมบอกแล้วกดตัดสาย รู้สึกไม่สบายใจเลยกับเรื่องที่เกิดขึ้น
+++
“เวรเอ๊ย” ผมกำลังหัวเสีย นี่มันเป็นไฟแดงที่ 5 แล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไฟแดงมาได้ไม่นาน ถึงผมจะไม่รู้จักเส้นทางนี้ดี แต่ก็เคยได้ยินมาว่าชอบมีคนตายเพราะขับรถเร็วเกินจนแหกโค้ง ไหนจะกลางดึกที่ชอบมีคนมาแข่งรถกันด้วย ทำให้ตอนกลางวันและตอนเย็นถนนสายนี้จึงรถติดเป็นพิเศษ ซึ่งเหตุนี้เลยทำให้ผมหัวเสียอยู่ตอนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ติดอะไรนักหนาวะ” ผมพยายามขี่รถขึ้นไปเบียดหลายต่อหลายคัน รู้ว่ารถคันหลังคงจะอยากด่าผมไม่น้อย แต่ถ้าไม่รีบ ผมก็กลัวว่าตะวันจะโดนทำอะไรไม่ดีไปซะก่อน
นานกว่า 2 ชั่วโมงที่ผมขี่รถกว่าจะมาถึงจุดหมาย ที่นี่เป็นบ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงหลายลูก ผมลองโทรไปหาพี่เนสก่อนที่จะเข้าไปในตัวบ้าน
Thu…Thu…Thu…
(ถึงไหนแล้ว)
“ผมอยู่หน้าบ้าน”
(ยังไม่ต้องเข้าไปนะ ไอ้เอกมันมีปืน ฉันโทรแจ้งตำรวจไปแล้ว) พี่เนสบอก นั่นยิ่งทำให้ผมกังวลกว่าเดิมอีก ถ้าคนที่ชื่อเอกมีปืนจริง แล้วตะวันจะรู้สึกกลัวแค่ไหน
ถึงจะบอกไม่ให้เข้าไป แต่ผมก็ต้องเข้าอยู่ดี ถ้าโชคดีก็คงช่วยตะวันไว้ได้ ส่วนถ้าโชคร้าย ผมไม่อยากพูดถึง เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด ไม่ว่าจะใครบาดเจ็บ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น
ผมเดินดูเกือบรอบบ้าน ประตูถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา หน้าต่างแทบทุกบานก็ล็อกปิดสนิท ทำให้ผมไม่สามารถเข้าไปได้
กึ่ก
ผมคลำหน้าต่างทุกบานจนมาเจอบานทางด้านซ้ายของบ้าน มันถูกลงกลอนเฉกเช่นทุกๆ บาน แต่ว่าไม้มันผุเกินกว่าจะใช้การได้จริง จึงไม่ยากเลยถ้าจะงัดเข้าไป
ผมพยายามทำให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เพราะผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันอยู่ไหน หรือพาตะวันไปซ้อนไว้ที่ห้องไหน ภาวนาว่าอย่าเปิดไปแล้วเจอมันถือปืนจอหัวผมอยู่ก็พอ
ตุ้บ
ผมกระโดดเข้ามายังห้องห้องหนึ่ง คงจะเป็นห้องนอนของใครสักคน ผมไม่ได้สนใจที่จะสำรวจมากนัก สายตาคอยสอดส่องไปรอบๆ แล้วค่อยๆ เปิดประตูออกไป
“พี่เอกปล่อยผมไปเถอะนะ”
“ตะวันจะร้องไห้ทำไม พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก หิวไหม”
“ผมไม่หิว ผมอยากกลับบ้าน”
“กลับไปทำไมล่ะ กลับไปหาไอ้เนสเหรอ มันไม่สนใจตะวันแล้ว”
“เปล่า ผมไม่ได้จะกลับไปหาพี่เนส”
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่กับพี่ที่นี่สิ พี่รักตะวันนะ พี่จะดูแลตะวันเอง”
“แต่ผมไม่ได้รักพี่ ผมอยากจะกลับบ้าน พี่เอกให้ตะวันกลับบ้านนะ”
“โธ่ ตะวัน พี่ก็บอกแล้วไงวะว่าพี่จะดูแลตะวันเอง แค่อยู่กับพี่ รักพี่ มันไม่ยากเลยไม่ใช่หรือไง!” มันเหมือนคนขาดสติ พูดจาเสียงดังจนตะวันสั่นไปด้วยความกลัว แถมยังบีบคอของตะวันจนเป็นรอยแดงอีกต่างหาก มือข้างหนึ่งของมันถือปืนเอาไว้ ทำให้ตะวันกลัวจนร้องไห้ไม่หยุด
“เดี๋ยวพี่ไปทำอะไรให้กิน นั่งอยู่นี่ก็แล้วกัน” มันบอกกับตะวันแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ผมที่แอบอยู่ก็รีบวิ่งเปิดประตูไปหาตะวันที่นั่งสั่นอยู่
“ชู่ววว”
“เพชร” ตะวันเรียกชื่อผมเสียงเบา
“ไม่ต้องร้อง เดี๋ยวกูจะพามึงออกไป” ผมบอกแล้วรีบแก้เชือกที่มัดตะวันออก มองดูรอบๆ ห้องเพื่อหาทางออกแต่ก็ไม่เจอประตูเลยสักบาน
“ลุกไหวไหม” ผมถาม
“อืม” ผมพยุงตะวันลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินไปตามทาง บ้านหลังนี้จัดว่าใหญ่มาก ถึงจะเป็นบ้านชั้นเดียวแต่ก็มีหลายห้อง เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมจึงเลือกออกทางเดิมที่เข้ามา
“ช้าๆ นะ” ผมบอก เพราะประตูห้องอยู่ใกล้กับครัว ผมได้ยินเสียงกาต้มน้ำและเสียงที่มันกำลังหันอะไรสักอย่างอยู่
แก๊ก
“ตะวัน!” มันเรียกชื่อตะวันเสียงดัง
“เฮือก” ตะวันตกใจจนเข่าทรุด
“เดินออกมา!”
“พี่เอก พี่ปล่อยพวกเราไปเถอะนะ”
“ทำไมตะวันถึงอยากไปจากพี่ล่ะ พี่เป็นคนที่อยู่ข้างตะวันมาตลอดเลยนะ หลังจากที่ตะวันตัดใจจากไอ้เนสได้ ตะวันก็ต้องเลือกพี่สิ ตะวันต้องรักพี่ ตะวันไม่เห็นความดีของพี่เลยเหรอ”
“ผมรู้ว่าพี่ดีกับผมมาก และผมซึ่งใจมากด้วย แต่ผมไม่ได้รักพี่”
“แล้วตะวันรักใคร รักมันเหรอ มันที่มาทีหลัง มันที่เป็นใครก็ไม่รู้ จะดูแลตะวันได้เหมือนกับพี่เหรอ จะรับฟังตะวันได้เหมือนกับพี่หรือไง”
“ฮื่ออออ”
“อยู่กับพี่เถอะตะวัน...เดินมาหาพี่สิวะ!”
“คุณไม่เห็นเหรอว่าตะวันกลัวคุณแค่ไหน” ผมพูดหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“กลัวเหรอ กูมีอะไรให้กลัว กูมีแต่ดูแล ปกป้องตะวัน ทำไมต้องกลัวกูด้วย”
“แต่ตะวันไม่ได้อยากอยู่กับคุณ”
“มึงมีสิทธิ์อะไรมาพูด มึงจะรู้เรื่องอะไร กับไอ้เนสน่ะกูพอรับได้เพราะมันมาก่อน แต่กับมึงน่ะไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น”
“คุณน่ะมีสติหน่อยสิ คิดไม่ออกเลยเหรอว่าอะไรผิด อะไรถูก”
“กูจะอยู่กับคนที่กูรัก มันผิดตรงไหน มึงนั่นแหละเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาแทรกกลางระหว่างพวกกู” ดูเหมือนยิ่งพูดจะยิ่งไม่รู้เรื่อง
“ผมอยู่ของผมตรงนี้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่แค่คุณสักหน่อยที่คอยอยู่ข้างตะวัน”
“ถ้าไม่มีมึง ตะวันก็คงจะไม่ลังเลสินะ” มันบอกแล้วหันปืนมาทางผม
“อย่านะพี่ พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” ตะวันร้องห้าม
“ตะวันปกป้องมันเหรอ เห็นมันดีกว่าพี่ที่ดีกับตะวันมาตลอดใช่ไหม”
“มันไม่เกี่ยวกันนะพี่เอก พี่ต้องใจเย็นก่อนนะ”
ปัง
เสียงปืนดังขึ้น ผมกับตะวันหมอบลงทันที ทำให้ปืนที่อยู่ในมือของมันกระเด็นออกไป คนที่ยิงเข้ามาคงจะเป้นตำรวจแน่ๆ
“โอ๊ย” เสียงร้องของมันดังขึ้น เลือดที่มือของมันไหลออกมาไม่หยุด เสี้ยววินาทีที่ผมสบตากับมัน เราต่างก็วิ่งเข้าไปคว้าปืนที่ตกอยู่บนพื้น ทั้งๆ ที่อยู่ห่างแค่เอื้อม แต่ผมกลับคว้าไว้ไม่ทัน จึงถอยหลังออกมาบังตะวันเอาไว้
“ถอยออกไป”
“ตำรวจอยู่ด้านนอก คุณต้องหยุดทำแบบนี้”
“กูไม่สน ถ้ากูไม่ได้ตะวัน มึงก็ต้องไม่ได้”
ปัง ปัง ปัง
เสียงปืนดังขึ้น ผมผลักตะวันไปอีกด้าน รู้ตัวอีกทีตัวผมเองก็ล้มลงแล้ว ภาพรางๆ ที่เห็นคือมีตำรวจวิ่งเข้ามาแล้วเสียงปืนก็ดังขึ้นจนปวดหัว
“เพชร เพชร” ผมได้ยินเสียงตะวันเรียกชื่อของผม ตะวันคงไม่เป็นไรแล้วสินะ แค่นี้ก็คงโอเคแล้ว
“อย่าเป็นอะไรไปนะเพชร ฮื่อออ พี่เนส ช่วยเพชรด้วยนะครับ”
“ใจเย็นก่อน พี่โทรเรียกรถพยาบาลแล้ว”
“เพชร อย่าเป็นไรนะ ฮึก เพชร” ผมพูดไม่ออก ทั้งจุกและเจ็บไปหมดบริเวณหน้าท้อง ได้แต่ยิ้มให้อีกคน ไม่ว่าจะครั้งแรกที่เจอกัน หรือแม้ว่าตอนนี้ ตะวันก็เป็นคนขี้แยไม่เปลี่ยนเลย
“มึงจะไม่เป็นไรนะเพชร มึงอย่าหลับสิ เพชร เพชร” ได้ยินเสียงตะวันเรียกหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่มีแรงจะตอบกลับ แสงสว่างค่อยๆ มืดลงแล้วสติของผมก็ดับไปจนไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก
+++
“อืมมม”
“เพชร พี่เนส เพชรฝืนแล้ว”
“เดี๋ยวพี่ไปตามหมอให้”
“ครับ...เพชร ได้ยินกูไหม”
“อืม” ผมตอบรับแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น ผมกะพริบตาหลายทีถึงจะปรับการมองเห็นได้ชัดเจน แต่ก็ยังคงมึนงงอยู่ดี
“เจ็บไหม อย่าเพิ่งขยับนะ” ผมได้แต่พยักหน้า เพราะเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก
“เจ็บมากเลยใช่ไหม มึงหลับไปตั้ง 2 วันแน่ะ” ตะวันพูดเสียงสั่น มันเหมือนคนที่อยากจะร้องไห้แต่ก็กลั่นเอาไว้
“ดื่มน้ำไหม” ตะวันถาม ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ
“เจ็บ” ผมพูดออกไปเสียงเบา แล้วหายใจเข้าลึกๆ พอดีกับที่หมอเดินเข้ามา ผมได้แต่มองตามตะวันที่ถอยไปอยู่ด้านหลังหมอ ทั้งๆ ที่เพิ่งตื่น ผมก็รู้สึกง่วงอีกแล้ว อยากจะมองหน้าตะวันต่อ แต่ก็ไม่อาจฝืนไหวจึงหลับไปในที่สุด
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในกลางดึก คอแห้งและรู้สึกหิวน้ำมาก
“เพชร”
“น้ำ”
“แป๊บนะ” ตะวันบอก มันเปิดโคมไฟหัวเตียงแล้วรินน้ำใส่แก้วให้ ก่อนจะส่งมาให้ผมดื่ม
“ค่อยๆ ดื่ม เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม”
“ดีขึ้นแล้ว มึงไม่เป็นไรใช่ไหม”
“อืม ไม่เป็นไรเลย”
“แล้วไอ้คนที่จับมึงล่ะ”
“ถูกตำรวจจับไปแล้ว” ตะวันบอกแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“เป็นอะไร หิวเหรอ ได้นอนบ้างหรือเปล่า”
“อืม แต่กูเป็นห่วงมึงแทบแย่ ดูตากูสิ ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้วเนี่ย”
“รักกูแล้วน่ะสิ”
“มึงเล่นมุกเหรอ”
“หึ” ผมหัวเราะกับความปากแข็ง แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะเร่งอะไรมันหรอก ถ้าสักวัน มันรู้สึกว่ารักผมแล้วจริงๆ ผมเชื่อว่ามันจะต้องพูดออกมาแน่ คนอย่างมัน ถ้าลองได้รักแล้ว มันรักจริง
“หัวเราะอะไร มึงน่ะรอกูไปจนแก่เลย”
“ถ้าต้องเปิดซิงตอนแก่ มึงจะเสียใจนะ”
“ไอ้บ้า มึงพูดอะไรเนี่ย”
“หรือจะลองตอนนี้ดีล่ะ”
“สาบานว่ามึงเพิ่งโดนยิงมา”
“เออ ไม่แกล้งแล้ว” ผมบอกแล้วจะขยับตัว แต่มันไม่เป็นอย่างที่คิดเลยรู้สึกเจ็บที่แผล
“เจ็บเหรอ มึงขยับทำไมเนี่ย ไหนดูสิ” ตะวันพูดอย่างร้อนรน
“มีความเป็นห่วง”
“เออ กูห่วง มึงอย่าทำแบบนี้สิวะ” ตะวันพูด มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้
“เออๆ ๆ ไม่ร้องนะโว้ย” ผมบอก แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว
“ฮึก ตอนที่มึงถูกยิง ตอนที่มึงต้องเข้าห้องผ่าตัด ฮื่อออ แม้แต่ตอนที่มึงนอนพักฝืน ไม่มีตอนไหนเลยนะโว้ยที่กูไม่เป็นห่วงมึง ฮึกๆ”
“รู้แล้วๆ”
“กะ...กูไม่รู้หรอกนะ ว่าตอนนี้กูเริ่มรักมึงหรือยัง ฮื่อๆ หรือกูอาจจะรักมึงมากๆ ไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่กูแน่ใจ คือมึงคือคนที่ร่วมทุกร่วมสุขไปกับกูได้ ฮึกๆ เป็นคนที่กูไม่เคยคิดว่าจะใช่ แต่กูก็รู้สึกว่าโคตรดีเลยที่เป็นมึง”
“ไม่เอาสิ ไม่ร้อง” ผมบอกเพราะเป็นคนปลอบคนไม่เก่ง ได้แต่เช็ดน้ำตาให้มันแทน
“ขอบคุณนะ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”
“อืม กูรอได้ เพราะกูเชื่อ ว่าสักวันมึงต้องรักกู” ผมบอกแล้วขยับไปกอดมัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีในความรัก ไม่ใช่ทุกคนที่รักแล้วจะได้ความรักตอบ แต่ผมเชื่อว่าความจริงใจจะไม่ทรยศใครและไม่ทำให้ใครเสียใจ
“ขอบใจนะ สักวันหนึ่ง กูต้องบอกรักมึงแน่ๆ” ตะวันบอกแล้วกอดผมตอบ เรื่องของความรัก ไม่มีอะไรที่ง่าย รักมากไปก็เป็นโทษ รักน้อยไปก็ไม่ดี ผมจึงไม่เร่งรีบ ปล่อยเวลาให้ค่อยๆ เรียนรู้กันไป ถ้าสักวันหนึ่ง มันจะใช่ เดี๋ยวมันก็ใช่เอง
เท่าที่รู้จัก ผมเชื่อว่าพี่เนสรักตะวันจริงๆ แต่เขาก็เล่นกับความรู้สึกของคนอื่น เลยไม่แปลกใจที่จะจบลงแบบนี้ ทางที่เขาเลือก ใช่ว่าไม่ดี มันอาจจะดีในแบบของเขา ถึงแม้ว่าจะทำให้ตะวันเสียใจ แต่ผมก็เชื่อว่าตัวเขาเองก็เสียใจไม่ต่างกัน
กับคนที่ชื่อเอก ถ้าเขาตรงไปตรงมากกว่านี้สักนิด แสดงออกกว่านี้สักหน่อย ตะวันอาจจะเอนเอียงไปกับเขาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
ส่วนผม ถึงแม้จะปล่อยเวลามาเนิ่นนาน แต่มันก็คุ้มที่จะเสี่ยง ผมได้แสดงแล้วว่าผมสามารถอยู่ข้างมันได้ ผมปกป้องมันได้ สิ่งที่ตะวันต้องการตอนนี้ก็คือเวลา หากผมแสดงความจริงใจให้เห็น มันก็ไม่อยากเลยที่เราจะตกลงเป็นแฟนกัน...
:hao3: :hao3: จบแล้วค่ะ เหลือลงตอนพิเศษให้อีกตอนนะคะ :hao3: :hao3:
ตอนพิเศษ
Nes Part
6 ปีก่อน
ผมมีผู้หญิงที่คิดว่ารักมากอยู่คนหนึ่ง เรารู้จักกันมานาน คอยดูแลกันและกันอยู่เสมอ เขาทำให้ผมหยุดที่เขาได้และไม่คิดจะมองคนอื่น ผมเชื่อนะ ว่าคนเรา สามารถรักคนได้เพียงคนเดียว และผมเองก็คิดว่าตัวเองรักเขาแค่คนเดียวมาโดยตลอด จนกระทั่ง...ผมได้รู้จักเด็กน้อยคนหนึ่ง คนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งๆ ที่ไม่ควรจะเป็นแบบนี้ แต่ทำไมเด็กคนนี้ถึงทำให้ผมหวั่นไหวได้ขนาดนี้นะ
“เนส ไปเที่ยวกันไหม”
“วันนี้ไม่ได้”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“วันนี้แม่ให้กลับไปกินข้าวที่บ้านน่ะ”
“แม่หรือตะวัน ดูนี่สิ เขาดูติดเธอมากเลยนะ” ผมขมวดคิ้วกับข้อความที่ตะวันส่งให้ทราย เพราะที่จริงแล้ว การที่ผมจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน เพราะมีเด็กน้อยของผมรอทานข้าวอยู่ นั่นก็คือตะวันนั่นเอง
“แม่สิ เราจะโกหกเธอทำไม”
“รู้ไหมว่าตะวันส่งข้อความมาให้เรามากเกินไป”
“เธอน่ะคิดมาก ตะวันเขาอยากชวนเธอไปด้วยหรือเปล่า ข้อความที่เขาส่งมาให้เราก็บอกให้ชวนเธอไปด้วยนะ” ผมโกหก เพราะไม่อยากให้ทรายไม่สบายใจ เป็นเรื่องจริงที่ตะวันไม่ชอบทราย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ไม่ล่ะ เรากลัวเป็นแบบครั้งที่แล้ว” ทรายปฏิเสธ เพราะทุกครั้งที่เธอตามผมไปบ้าน มักจะต้องมีปัญหาตามมาทุกที และส่วนมากก็จะเป็นทรายที่ได้รับบาดแผลมาแบบไม่ได้ตั้งใจ
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับก่อนนะ”
“อืม เดี๋ยวรายงานที่เหลือเราเอากลับไปทำกับเอกเอง เธอไปเถอะ” ทรายบอก เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม เธอขยันและตั้งใจเรียน ทุกคนยกให้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงแกร่งที่กำราบชายโหดในกลุ่มทุกคนอยู่หมัด
ผมขับรถกลับบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าทุกวัน การได้เจอหน้าของตะวันมันทำให้ผมมีความสุข เขาเป็นเด็กน้อยน่ารัก ยิ้มเก่ง และพูดคุยเก่ง ครั้งแรกที่เจอกัน เขาก็เป็นคนชวนผมคุยก่อน มันไม่ง่ายเลยกับการที่ต้องปรับตัวเข้าหาคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ต้องกลายมาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
“กลับมาแล้วครับ”
“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวพ่อจะกลับมาแล้วนะ”
“ครับแม่ แล้วน้องล่ะครับ”
“อยู่ในห้อง เพิ่งกลับมาเหมือนกัน”
“ถ้างั้น...”
“อย่าไปกวนน้องนะเนส” แม่พูดดัก
“ผมเปล่ากวนสักหน่อย” ผมเดินไปหอมแก้มแม่แล้วเดินขึ้นมาบนห้อง ถ้าเลี้ยวขวาก็เป็นห้องของผม แต่ถ้าเลี้ยวซ้าย ก็เป็นห้องของตะวัน ซึ่งแน่นอน ว่าผมต้องไปหาน้องก่อน
“ตะวัน” ผมเปิดประตูห้องไปแล้วเรียกชื่อเด็กน้อย ได้ยินเสียงน้ำจากห้องน้ำ ทำให้ผมเงียบแล้วเดินไปนั่งที่เตียงนอน กลิ่นของตะวันอบอวลไปทั่วทั้งห้อง เป็นกลิ่นเด็กที่ผมชอบ
“พี่เนส!” เด็กน้อยเปิดประตูออกมาแล้วร้องด้วยความตกใจ เขานุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ทำให้เห็นเอวเล็กและผิวขาวภายใต้เสื้อผ้าที่แทบจะใส่อย่างมิดชิดตลอดเวลา
“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เด็กน้อยเปลี่ยนเรื่อง ใบหน้าใสที่ตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อและกำลังแดงขึ้นเรื่อยๆ
“เพิ่งเข้ามาเอง แต่พี่เรียกเราก่อนแล้วนะ เราไม่ตอบพี่เอง”
“ผมไม่ได้ยิน” ตะวันบอกแล้วเดินเลี่ยงไปยังตู้เสื้อผ้า เด็กน้อยมองดูเสื้อทีละตัว แต่ก็ไม่คิดจะหยิบออกมา
“เสื้อกล้ามสีแดง” ผมเลือกให้แล้วตะวันก็หยิบออกมาวางลงที่นอนข้างๆ ผม
“ไม่ใส่เลยเหรอ” ผมถาม
“ไม่ครับ รอพี่เนสออกไปก่อน”
“ไล่หรือเปล่า”
“ไม่กล้าหรอกครับ แล้วพี่ไม่ไปอาบน้ำเหรอ เดี๋ยวพ่อจะมาแล้วนะ”
“ก็มาดูเราก่อน ถ้าอย่างนั้นพี่ไปห้องแล้วนะ”
“ครับ” เด็กน้อยรับคำโดยที่ไม่หันมามองผม ผมเดินไปลูบหัวพร้อมกับหอมแก้มเขาแล้วเดินออกมา
ผมชอบสถานะของพวกเราตอนนี้ ที่มากกว่าพี่น้อง แต่ไม่ใช่คนรัก เพราะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากเกินกว่าจะพูดออกมา เพียงแค่มองตา ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกทั้งหมดของอีกฝ่าย เราทั้งสองเข้าใจกันและกันเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำใด
มื้อเย็นผ่านไปด้วยดี แม่ยังคงทำกับข้าวอร่อยไม่เปลี่ยน พ่อของตะวันเองก็ดีกับผมและแม่มาก ถึงจะทำงานไกลและไม่ค่อยกลับบ้าน แต่ทุกครั้งที่กลับมาก็มักจะมีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วยเสมอ
“ตะวัน”
“ครับ”
“ขึ้นไปทำการบ้านเถอะลูก เดี๋ยวแม่เก็บเอง เนสก็ขึ้นไปพักเถอะนะ”
“ครับ / ครับ” ผมกับตะวันตอบรับพร้อมกัน ระหว่างที่ขึ้นบันไดมา เด็กน้อยก็เล่าเรื่องของวันนี้ให้ฟัง
“การบ้านเยอะเลยเหรอ”
“ใช่ครับ”
“พี่ช่วยสอนไหม”
“ได้เหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ผมบอก เด็กน้อยยิ้มร่า แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไป
กว่าจะทำการบ้านเสร็จก็ปาไปเกือบ 5 ทุ่ม ยอมรับว่าอาจารย์สมัยนี้ให้การบ้านเด็กมาทำเยอะจริง ตะวันงอแงตลอดเลยว่ายาก นี่ควรส่งไปเรียนพิเศษเพิ่มดีไหมนะ จะได้เข้าใจในบทเรียนมากขึ้น
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
“พี่จะกลับห้องเลยเหรอ” ตะวันถามผม ผมเลยได้แต่ส่ายหน้า
“ยังหรอก รอเราหลับก่อน หลับตาได้แล้วนะ จะมาตาใสตอนกลางคืนไม่ได้” ผมบอก ตะวันก็พยักหน้าหลับตาทันที ผมจ้องมองใบหน้าใสภายใต้ไฟสลัว ดูเหมือนเด็กน้อยจะหลับไปแล้ว ทั้งที่เมื่อกี้ยังพูดเสียงเจื้อยแจ้วอยู่เลย
ผมยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงที่เดิม ไม่ได้ลุกไปไหน ถึงแม้ว่าเด็กน้อยจะหลับไปนานแล้ว ด้วยความที่อากาศเริ่มเย็น ผมเลยดึงผ้าห่มขึ้นมาให้อีกคนถึงอก
“จุ๊บ” ผมก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของเด็กน้อยเบาๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำแบบนี้ แต่เกือบทุกครั้งเลยก็ว่าได้ ผมยอมรับว่าตัวเองหวั่นไหว แต่ผมก็รู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถทำอะไรที่มากกว่านี้ได้
แก๊ก
เสียงประตูห้องเปิดออก ทำให้ผมผละตัวจากตะวันอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นคือแม่ของผมเปิดประตูเข้ามา และคิดว่าเขาคงจะเห็นที่ผมทำลงไปเมื่อกี้
แม่ไม่ต้องพูดอะไรเลย แค่สายตาผิดหวังที่มองมา ผมก็รับรู้ได้ทันที ผมไม่มีคำอธิบายใดๆ แม่ของผมก็ยืนอยู่แบบนั้นจนผมต้องเดินไปประคองให้ออกจากห้องของน้องไป
ผมประคองแม่ลงมานั่งด้านล่าง พ่อคงเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้ว แม่เอาแต่นั่งร้องไห้ไม่หยุด ตัวผมเองก็ไม่มีอะไรจะพูดเพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง
“เนส”
“ครับ”
“หยุดได้ไหมลูก สิ่งที่ลูกคิด สิ่งที่ลูกทำ ความรู้สึกที่มากเกินกว่าพี่น้อง” แม่พูดไปก็ร้องไห้ไป ท่านไม่ได้สะอึกสะอื้นเหมือนกับก่อนหน้านี้
“ผมเปล่า”
“สิ่งที่ลูกทำไป มันไม่ใช่สิ่งที่พี่น้องเขาทำกันนะลูก หยุดความรู้สึกแบบนี้เถอะนะ แม่ขอ”
“แต่เราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ด้วยซ้ำ”
“น้องตะวันกับพ่อของเขาเป็นคนดี แม่คิดไม่ออกเลยถ้าพ่อรู้ว่าเนสไปทำอะไรแบบนั้น คิดว่าพ่อจะรับได้ไหม คิดไหมว่าน้องตะวันจะเจออะไรในโลกที่โหดร้ายแบบนี้ แม่ไม่ว่าถ้าเราจะคบผู้ชาย แต่ต้องไม่ใช่น้องนะลูก” ผมได้แต่นิ่งเงียบ แค่แม่ร้องไห้ มันก็แย่มากพอแล้ว ความรู้สึกที่อยากก้าวข้ามไป แต่เหมือนกำแพงจะอยู่สูงจนไม่อาจทำลายลงได้
“แม่รักเนสนะลูก และแม่ก็รักพ่อและน้องตะวันด้วย” แม่บอกแล้วหันมามองหน้าผม ดวงตาแดงก่ำ ผมทำได้แต่เพียงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ท่าน
“ครับ ผมเข้าใจ” ผมบอกแม่แล้วขอตัวเข้าห้อง
เช้าวันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส แต่ไม่รู้สึกถึงความสดใสเลย เป็นอีกเช้าที่ผมต้องทำเป็นเมินตะวัน หลายวันแล้วที่ผมทำเป็นไม่เห็นเขาแล้วออกจากบ้านไป
“พี่เนส พี่เป็นอะไร ทำไมไม่คุยกับผม ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรือเปล่า”
“เปล่า”
“แล้วพี่จะไปไหน”
“ไปหาแฟน”
“แฟน?”
“อืม พี่กำลังจะไปหาทราย”
“ไหนพี่บอกว่าจะยังไม่คบกับพี่ทรายไง ไหนพี่บอกว่าสับสน ไม่แน่ใจว่าตัวเองรักพี่ทรายจริงหรือเปล่า”
“เพราะพี่แน่ใจแล้วไง พี่ถึงขอทรายเป็นแฟน พี่ไปแล้วนะ ทรายรออยู่” ผมบอกอีกคนที่ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ก็ไม่คิดจะสนใจ ถึงจะเจ็บปวดใจมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ดูเหมือนผมจะคิดตื้นเกินไป มันไม่ใช่แค่นั้น ผมทำให้คนที่ตัวเองรักต้องเจ็บปวด ผมทำให้เด็กน้อยที่เคยใสซื่อกลายเป็นเด็กร้ายๆ ผมทำให้ผู้หญิงที่เคยสดใสกลายเป็นคนเงียบขรึม
ตะวันมักจะทำร้ายทรายเสมอ ทั้งเมื่อก่อนและตอนนี้ เขาเคยผลัดทรายตกสระน้ำทั้งๆ ที่อีกคนว่ายน้ำไม่เป็น ทำน้ำร้อนลวกใส่มือ และกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ อีกสารพัด ผมรับรู้นะ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อคนหนึ่งทำผิด ผมก็ขอให้อีกคนให้อภัยและมักพูดถึงความไม่ตั้งใจของตะวัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าความจริงเป็นยังไง ผมให้ท้ายตะวัน ไม่ว่าเขาจะทำผิดแค่ไหน ทำร้ายทรายยังไง ผมก็ขอให้ทรายให้อภัยเขาเสมอมา
“ถามจริงๆ นะ มึงยังรักทรายอยู่ไหม”
“คือกู...รักสิ กูไม่เคยไม่รักทรายเลยนะ”
“หึ มึงรู้ตัวไหม เมื่อกี้มึงลังเลที่จะตอบนะ”
“กูเปล่า”
“ตอนนี้น้องชายของมึง กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตของมึงโดยที่มึงไม่รู้ตัว”
“มึงก็พูดเว่อร์เกินไป”
“กูพูดเรื่องจริงต่างหาก อยู่ที่มึงจะยอมรับไหม”
“กูรักทราย”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน กูคงเชื่อ แต่บอกตามตรงว่าตอนนี้กูเชื่อไม่ลง”
“กูรักทรายจริงๆ ”
“ถ้ามึงรักทราย มึงจะไม่ทำแบบนี้”
“กูทำอะไร”
“นี่มึงไม่รู้ตัวเลยเหรอ มึงทำให้เขาเสียใจ มึงทั้งโกหก ทั้งปิดบัง”
“กูก็แค่อยากให้ทรายสบายใจ”
“นั่นก็แค่ข้ออ้างของคนเห็นแก่ตัว มึงไม่ได้ทำอะไรให้ทรายรู้สึกดีเลยด้วยซ้ำ มึงแค่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีคนเดียว ตอนนี้ทุกอย่างมีแต่แย่กับแย่ มึงเห็นสภาพทรายตอนนี้ไหม มึงไม่สงสารเขาเหรอ เขารักมึงมากนะโว้ย”
“กูไม่ได้ตั้งใจ กูไม่มีทางเลือก”
“ทางเลือกน่ะมี แต่มึงเป็นคนที่ไม่น่ามีสิทธิ์มีทางเลือกมากที่สุด”
“…”
“มึงเลือกได้นะ ว่ามึงจะเลือกใคร ไม่ว่าทางไหน มันก็ต้องมีคนหนึ่งที่เจ็บ”
“กูเลือกแล้ว”
“แต่ผลลัพธ์ที่มึงเลือกมันไม่เหมือนกับที่ในใจมึงต้องการ”
“แล้วจะให้กูทำยังไง กูเลือกตะวันไม่ได้” ผมไม่อยากให้ใครเจ็บปวดมากไปกว่านี้ และนี่คือสิ่งที่ถูกต้อง
“กับความรัก มึงอย่าตอแหลใช้ความคิด จะผิดหรือจะถูก มึงควรใช้หัวใจ” ไอ้เอกพูดขึ้น ถึงมันจะพูดแบบนั้น แต่ทางเลือกเดียวที่ผมเลือกได้ นั่นก็คือทราย
ไม่ว่าหัวใจผมจะบอกว่าเป็นตะวัน แต่ถ้าเพื่อความถูกต้อง คำตอบของผมยังไงก็คือทราย ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายผมมาตลอด เธอเป็นคนดี และที่สำคัญ เธอเลือกผม ทั้งๆ ที่ตัวผมเองไม่มีอะไรดีเลยด้วยซ้ำ
ถ้าพูดถึงศีลธรรม ผมไม่ควรคิดเรื่องตะวันเลยด้วยซ้ำ เราทั้งคู่เป็นผู้ชาย แถมผมยังมีศักดิ์เป็นพี่ของเขาอีก ที่สำคัญถ้าผมเลือกตะวัน ต้องมีหลายคนที่เสียใจ ทั้งพ่อแม่ ทั้งทรายและเพื่อนๆ ของผมที่คอยเชียร์ผมกับทรายมาโดยตลอด ไหนจะความผิดชอบชั่วดีอีก
“คิดดีๆ ถ้ามึงคิดว่าตัวเองเลือกถูกแล้ว มึงต้องทำให้ดีกว่านี้ มึงเห็นไหม เด็กคนหนึ่งจะเป็นฆาตกรอยู่แล้ว ไหนจะทรายอีกที่ทุกวันนี้กูแทบจะไม่เห็นรอยยิ้มของเขาเลย” ไอ้เอกบอกกับผม มันนั่งกินเหล้ากับผมอยู่นาน และคอยรับฟังความในใจของผมตลอด มันเป็นเพื่อนที่ดี ผมจึงอยากฝากให้มันดูแลตะวันแทนผม ผมที่เป็นพี่ชายที่แย่ เป็นผู้ชายที่แย่
หลังจากตัดสินใจได้ ผมจึงโทรหาตะวัน ผมไม่เคยคุยกับเด็กน้อยให้เคลียร์ ยอมรับว่าผมเองก็ยังคงให้ความหวังอีกคนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ต่อจากนี้ ผมจะต้องยุติความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถเป็นไปได้นี้ให้ได้
(ครับพี่เนส)
“พี่จะพูดแค่ครั้งเดียวนะ เลิกยุ่งกับทรายได้แล้ว”
(พี่เห็นเขาดีกว่าผมเหรอ)
“ขอโทษนะ คนที่พี่รักคือทราย”
(แต่ผมรักพี่)
“ตั้งสติหน่อยตะวัน เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้”
(แล้วทำไมพี่เพิ่งมาบอกตอนนี้ ตอนที่ผมรักพี่สุดหัวใจ)
“ขอโทษนะตะวัน เรายังเด็ก ยังต้องไปเจอคนอีกเยอะแยะ เดี๋ยวเราก็ลืมพี่ได้ เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง พี่เชื่อนะ ว่านายจะเจอคนที่ดี คนที่รักนาย...ได้มากกว่าพี่คนนี้” ผมบอกออกไป นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ผ่านมาผมผิดเอง ผมไม่สามารถตัดตะวันออกไปได้จริงๆ แต่ถ้าผมต้องเลือก ผมก็จะเลือกทางที่ดีสำหรับทุกฝ่าย และหวังว่าสักวัน ตะวันจะได้เจอคนที่ดีกว่าผม รักเขา...ได้มากกว่าผู้ชายแย่ๆ คนนี้
:bye2: :bye2: จบแล้วค่ะ :bye2: :bye2: