พิมพ์หน้านี้ - THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: SAILOM ที่ 22-01-2020 02:03:15

หัวข้อ: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 22-01-2020 02:03:15
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



                                                     
THE HALF BLOOD PROJECT
 

                                                             
เนตรแห่งมนตรา


                                                                 
สารบัญ
   

 แนะนำตัวละคร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4022722#msg4022722)

INTRODUCTION (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4025436#msg4025436)

บทที่1 ดวงตาเมดูซ่า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4025550#msg4025550)

บทที2 ความลับของจารึก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4026442#msg4026442)

บทที3 การฝึกครั้งแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4027003#msg4027003)

บทที4ความลับและสาเหตุความเกลียดชัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4027814#msg4027814)

บทที5ความรู้สึกที่แท้จริง (http://[url=https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4027814#msg4027814)

บทที่6 อาวุธใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4029485#msg4029485)

บทที่7วันเกิดกับการเปลี่ยนแปลง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4029954#msg4029954)

บทที่8 ปากทางเข้ากับเลือดทายาทที่หลั่งริน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4031799#msg4031799)

บทที่9 อุโมงค์กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากเจอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4033480#msg4033480)

บทที่10 หุบเขากระจก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71481.msg4034889#msg4034889)
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA)
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 22-01-2020 02:07:28
เมื่อตำรวจเริ่มมีปัญหากับคดีที่แปลกประหลาด องค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านสิ่งเหนือธรรมชาติโดยมีฮันเตอร์เป็นผู้อำนวยการ เขาต้องออกหาบรรด่เด็กเลือดผสมเพื่อตั้งรับกับกองกำลังของบัลเซบับปีศาจที่จ้องจะทำลายมนุษย์ที่กำลังขยาตัวอย่างน่าตกใจ THE HALF BLOOD PROJECT จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา
เนตรแห่งมนตรา POWER OF MADUSA

มายารัตติกาล  POWER OF VAMPIRE

สายธารกลางเปลวไฟ POWER OF AQUATIC

ไพรอาถรรพ์ POWER OF NYMPHS

พระจันทร์สีเลือด POWER OF LYCANTHROP

ศึกเดือดท้องนภา POWER OF DRAGONS


สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอกราบแทบอก รี้ดเดอร์ทุกท่าน นะคะ ขึ้นปีใหม่ มีโปรเจคใหม่ ที่เขียนมานานแล้วนะ เป็นนิยาย เแฟนตาซี ผจญภัยกับความสัมพันธ์ ความรักของหนุ่มๆเลือดผสม

วันที่ 14.2.20 เจอกันกับ คนแรก

เนตรแห่งมนตรา POWER OF MADUSA


พีท หนุ่มสายเลือด เมดูซ่า กับ ความรักระหว่าง เมธิต นักโบราณคดีหนุ่ม

ฝากด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 1.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 01-02-2020 20:49:27
นับถอยหลัง 14 วัน กับการปรากฏตัว บุตรแห่งเมดูซ่า
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 1.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-02-2020 00:32:02
รอจ้า
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 6.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 06-02-2020 14:40:00
VAMP
 
บุตรแห่งแวมไพร์ ที่จะมากระชากใจสาวๆในมาดนักแสดงหนุ่มากความสามารถที่มีความสามารถในการเคลื่อนที และการมองเห็น
หนึ่งในสมาชิก THE HALF BLOOD PROJECT

พบกับเนตรแห่งมนตรา ตอนแรก 14/2/20
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 8.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 08-02-2020 07:20:11
ELLE
บุตรแห่งท้องทะเล ชายหนุ่มสุขุมผู้รักในท้องทะเล พี่ชายที่สนิทกับพีทเพราะโตมาในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเดียวกัน มีความสามาถในการควบคุมน้ำและอยู่ในน้ำได้เป็นเวลานาน

พบกับเนตรแห่งมนตรา ตอนแรก 14/2/20

หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 8.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 08-02-2020 15:04:53
เกรท
บุตรแห่งพงไพร

ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ใหญ่เขาสูญเสียคนรอบข้างเพราะพลังในตัวของตัวเอง เขาสามารถควบคุมพืชและสามารถสร้างม่านลวงตาได้

หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 1.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 08-02-2020 15:46:39
รอจ้า

ขอบคุณค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 8.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 08-02-2020 22:52:45
ฝากนิยายด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 11.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 11-02-2020 15:37:33
HENRY  เฮนรี่

บุตรแห่งหมาป่า นักมวยหนุ่มลูกชายของนักโบราณคดีที่ทำงานให้องกร เลือดร้อนและมีพละกำลังที่มากกว่าคนปกติ วิ่งเร็วและถนัดการโจมตีระยะใกล้ประชิดตัว

ฝากติดตาม The half blood project : เนตรแห่งมนตรา ด้วยนะคะ เดี๋ยวอิมเมจน้องเล็กคนสุดท้องมาลงอีกที 13/2/20 พบกับ INTRO กันนะคะ หวังว่าคนอ่านจะชอบกัน

หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 11.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: Sailomcc. ที่ 11-02-2020 23:00:58
HENRY  เฮนรี่

บุตรแห่งหมาป่า นักมวยหนุ่มลูกชายของนักโบราณคดีที่ทำงานให้องกร เลือดร้อนและมีพละกำลังที่มากกว่าคนปกติ วิ่งเร็วและถนัดการโจมตีระยะใกล้ประชิดตัว

ฝากติดตาม The half blood project : เนตรแห่งมนตรา ด้วยนะคะ เดี๋ยวอิมเมจน้องเล็กคนสุดท้องมาลงอีกที 13/2/20 พบกับ INTRO กันนะคะ หวังว่าคนอ่านจะชอบกัน

13,14/2สองสันติดเลยนะคะ ฝากด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา(Power of MEDUSA) 12.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 13-02-2020 06:54:15
มาค่ะสมาชิกคนสุดท้ายของ โครงการ

DREAGRO

เดรโก้ หนุ่มนักดนตรีเลือดร้อนผู้มีสายเลือดมังกร ที่มาพร้อมพลังพิเศษที่สามารถเคลื่อนที่ในอากาศและควบคุมไฟได้



เตรียมความพร้อมกับการผจญภัยในการตามหาดวงตาแห่งเมดูซ่า กับ เนตรแห่งมนตรา

ฝากนิยายด้วยนะคะ หวังว่าคนอ่านจะถูกใจกับงานเขียนชิ้นนี้ หากมีข้อผิดพลาดสามารถชมได้เลยนะคะ

#THP #เนตรแห่งมนตรา
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา INTRO.13.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 13-02-2020 15:14:30
The Half- blood projects ตอน เนตรแห่งมนตรา

เพราะสิ่งที่เห็นมักไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่เสมอไป

    แด่ดวงตาที่มองเพียงฉาบฉวย…..เนตรแห่งมนตรา


บทนำ

   หญิงสูงวัยในชุดสีฟ้าหม่นมีผ้าคลุมสีขาวอยู่บนศีรษะนั่งมองเด็กชายที่ขับกล่อมเสียงเปียโนให้คนที่มาในงานรับบริจาคเงินทุนการศึกษา และเลี้ยงดูเด็กยากไร้ของมูลนิธิคริสตจักรเซนต์เบิร์กอย่างเคลิบเคลิ้มโดยบอกกับตัวเองในใจว่า ‘ ทำไมเวลามันช่างผ่านไปรวดเร็วขนาดนี้นะ’


ภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วพลั่งพรูเธอมาในหัวอย่างไม่ขาดสาย


    เสียงฟ้าร้องดังสนั่นกึกก้องกัมปนาทราวกับโกรธกริ้วมาเป็นเวลานาน หญิงวัยกลางคนฝ่าแรงพายุที่โหมกระหน่ำตรงเข้ามายังปราสาทหลังใหญ่ที่มีไม้กางเขนติดไว้ที่จั่วหลังคาด้านบน แต่ก็ต้องชะงักลงด้วยเสียงร้องไห้ระงมที่กำลังแข่งกับเสียงฟ้า
‘ โถเด็กน้อยใครทำกับหนูแบบนี้นะ’ หล่อนอุ้มเด็กชายที่วางอยู่กลางโพรงหญ้าขึ้นมาอยู่ในอ้อมกอดอย่างทะนุดถนอม ‘ มาอยู่กับแม่นะลูก’ โซฟีกล่าวอย่างอ่อนโยนก่อนจะวิ่งตรงกลับเข้าไปยังในตัวโบสถ์


    แววตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนเม็ดทรายจับจ้องมองมาที่ผู้ให้ความอบอุ่นอยู่บนเตียงนอนสีขาวที่ไร้ซึ่งลายใดๆ ทำให้โซฟีเคลิบเคลิ้มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กว่าจะตั้งสติได้ก็รู้ว่าตนได้โอบกอดเด็กคนนั้นไว้จนเช้าเสียแล้ว


    ‘แปลกจริงทำไมฉันถึงได้มานอนอยู่อย่างนี้นะ’ เธอพึมพำกับตัวเองทันทีที่หลุดจากภวังค์ ‘น่ารักจนฉันนอนกอดทั้งคืนเลยนะเรา ’ โซฟีก้มลงมาจุมพิตที่ร่างน้อยเบาๆก่อนจะเข้าไปยังส่วนที่เป็นโรงเรียนซึ่งอยู่หลังโบสถ์


    โบสถ์แห่งนี้มีโรงเรียนในการดูแลของครูอาสาแลครูประจำที่ได้เงินเดือนน้อยนิด มีตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลไปจนถึงชั้นมัธยมตอนปลาย เด็กนักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กกำพร้าบ้างขาดพ่อบ้างขาดแม่หรือไม่ก็ทั้งสองซึ่งโซฟีก็เป็นหนึ่งในนั้น ใช่ เธอเคยเป็นเด็กกำพร้าที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ จนวันนี้หล่อนเรียนจบมาประมาณสองสามปีก็กลับมาสอนที่นี่ดังเดิม ถึงแม้เงินเดือนจะได้น้อยกว่าแต่มันก็อบอุ่นที่ได้กลับมาอยู่บ้านแห่งแรก และได้กลับมาใช้ความรู้ที่มีตอบแทนให้กับที่นี่ โดยหล่อนมักจะเดินออกไปตามหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลแล้วเก็บเด็กกำพร้ามาไว้ในการดูแลของตนที่นี่ เพราะเธอเชื่อว่าทุกคนจะต้องสบายเหมือนเธอ


    “ เป็นยังไงบ้างครับคุณแม่โซฟีวันนี้พีทเล่นเพราะหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มที่เล่นเปียโนเดินตรงเข้ามาทักเขาจนหลุดออกจาภวังค์ “ เพราะจ้ะเพราะมากเลย แม่ว่าทุกคนก็ต้องคิดอย่างนั้น”


เธอตอบไปอย่างชื่นชมแล้วลุกขึ้นไปกล่าวขอบคุณแขกที่มาเยือนงานในวันนี้พร้อมทั้งสรุปยอดเงินบริจาคที่ได้มาให้ทราบกันอย่างทั่วถึงก่อนจะทิ้งท้ายไปว่า


     “ ขอให้พระเจ้าอวยพร” ไม่นานผู้คนก็เดินออกจากโบสถ์ไปจนหมดทิ้งไว้เพียงเด็กจำนวนหนึ่งช่วยกันเก็บกวาดอย่างไม่เกี่ยงงาน คนที่ชุบเลี้ยงได้แต่ยืนมองอย่างมีความสุขก่อนจะตกใจกับเสียงดังสนั่นของชายหนุ่มตัวแสบอีกคนหนึ่งที่ดังมาจากประตู


    “ ทำอะไรกันอยู่ครับ” ชายหนุ่มผมดำเงาในชุดสีฟ้าน้ำทะเลกับกางเกงเขารูปเดินตรงเข้ามา


    “ โถนึกว่าใครไอ้ตัวแสบนี่เอง” โซฟีเอ่ยอย่างเป็นกันเอง “เป็นไงมาไงล่ะเนี่ยแล้ววันนี้ไม่ได้ทำงานเหรอถึงได้มาได้” หล่อนถามชายหนุ่มที่มาใหม่


    “ ไม่ได้ทำครับวันนี้วันหยุด ผมจะมารับพีทมันไปหางาน เห็นมันบ่นว่าช่วงนี้งานหายากก็เลยอยากให้มันลองไปสมัครงานในเมืองดูบ้าง อยู่แถวนี้สายงานที่มันเรียนมาคงหายากอยู่” โซฟีพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ ว่าแต่ตอนนี้มันอยู่ไหนล่ะเนี่ย”   


    “ น่าจะแถวๆนี้แหละ ก่อนหน้านี้แม่ยังเห็นเก็บกวาดกับพวกเด็กๆอยู่เลย”  เธอพูด “ เดี๋ยวแม่พาไปแล้วกัน” สิ้นคำหญิงสูงวัยก็เดินดุ่มๆออกไปอย่างคล่องตัว “ ดูซิใครมา” โซฟีตะโกนบอกเด็กๆที่นั่งล้างแก้ว รวมทั้งเด็กโข่งที่ยืนเช็ดจานอยู่


    “ พี่แอล” พีทตะโกนอย่างสุดเสียง


    “ จะตะโกนทำไมเนี่ยอยู่แค่นี้เอง ไม่ได้หูหนวกเสียหน่อย” คนมาใหม่แซวก่อนจะพูดเป็นเชิงเตือนสติแล้วบอกให้รู้ว่าเธอมาทำอะไร “ ว่าแต่เก็บกระเป๋าหรือยัง” หัวที่เส้นผมเป็นลอนงามพยักหงึกๆเป็นเชิงตอบรับ


    “ พี่พีทจะไปไหนเหรอ” เด็กสาวถักเปียที่นั่งล้างจานถามขึ้นอย่างตกใจ


    “ พี่จะออกไปหางานทำ อยู่ทางนี้เมนี่ต้องดูแลคุณแม่กับเพื่อนๆด้วยนะ” เขาตอบด้วยเสียงมัวหม่นน้ำใสๆพยายามเอ่อล้นออกมา แต่เขาก็กลั้นเอาไว้ได้


    “ แล้วพี่จะกลับมาเยี่ยมพวกเราอีกไหมคะ”  เด็กสาวปล่อยน้ำใสๆออกมาด้วยความอาวรณ์


    “ กลับสิจ๊ะที่นี่มันคือบ้านของพี่นี่” พีทคว้าร่างน้อยมากอดอย่างอบอุ่นเพราะเมนี่ก็เปรียบเสมือนน้องสาวของเขา “ พี่สัญญาเลยว่าจะกลับมาที่นี่แน่นอน เกี่ยวก้อยเลย” นิ้วเรียวทั้งคู่เกี่ยวกันอย่างแน่นแฟ้นเป็นการแทนคำสัญญาและความรักที่มีต่อกันและกัน


    “ รีบไปได้แล้วเดี๋ยวจะเข้าเมืองดึกเอา ” โซฟีเอ่ย


    “ คุณแม่ไล่ผมเหรอ” พีทกระโดดเข้าไปกอดทั้งน้ำตา “ แต่ถึงแม่ไล่ ผมก็ไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน ผมจะกลับมาช่วยโรงเรียนของเราอย่างที่แม่ทำอยู่” เขาพูดอย่างจริงจัง


    “ แม่ไม่ต้องห่วงนะ พีทมันโตแล้วอีกอย่างผมจะช่วยดูแลมันเอง” แอลพูดเพื่อให้ผู้มีพระคุณมั่นใจเพราะท่านห่วงเด็กทุกคนที่ออกไปจากที่นี่มากเนื่องจากเขาคิดว่าข้างนอกมันช่างโหดร้ายเหลือเกิน


    “ โชคดีจ้ะ” คำพูดสุดท้ายที่หนุ่มผมลอนได้ยินยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทมันไม่อาจลบเลือนได้ เพราะเสียงของผู้หญิงที่ได้ยินเกือบทุกวันตั้งแต่เด็กกำลังจะไม่ได้ยินอีกแล้ว ใจของเขาโหวงๆแปลกๆเหมือนกับว่าการก้าวออกไปวันนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญเอามากๆและเหมือนว่าชีวิตของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว




สวัสดีค่ะ สวัสดีบนหน้าจอคอมของมิตรรักนักอ่านที่แสนคิดถึง วันนี้สายลมมีนิยายเรื่องใหม่ ที่เกิ่นๆไปนานแล้วว่าจะลง กับโปรเจคหนุ่มหล่อลูกครึ่ง แต่ไม่ใช่ลูกครึ่งต่างประเทศนะคะ หากแต่เป็นครึ่งพันธุ์ นั่นแน่งงล่ะสิ ถ้างงเลื่อนไปดูคาแร็คเตอร์ตัวละครด้านบนได้เลย แต่ถ้าหากว่าพร้อมแล้ว พรุ่งนี้เรามาเริ่มการตามหาดวงตาเมดูซ่า ไปกับหนุ่มพีทและบรรดาหนุม THE HALF BLOOD กันนะคะ
นี่ยังไม่นับรวมความรักที่เกิดขึ้นของหนุ่มพีทและ มิวส์ นักโบรราณคดีหนุ่มสายเลือดแห่งอเธนา พวกเขาจะพังทลายกำแพงแห่งสายเลือดได้หรือไม่ ติดตามได้ใน THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา

ด้วยรัก SAILOMCC.
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา INTRO.13.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 13-02-2020 19:19:20
เพิ่งเคยลองทำสารบัญหากมีปัญหามาแจ้งกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่1 บุตรแห่งเมดูซ่า.14.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 14-02-2020 11:33:31
บทที่หนึ่ง บุตรแห่งเมดูซ่า
   
ภายในอาคารสูงซึ่งที่กินพื้นที่แถบชานเมืองไปเป็นจำนวนมาก ใครจะรู้ว่าภายในกระจกใสนั่นจะมีเทคโนโลยีชั้นสูงที่ได้งบจากรัฐบาลไปจำนวนมาก


องค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นหน่วยสืบสวนสอบสวนและคอยจัดการกับคดีพิเศษที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยจะคอยทำงานอย่างเงียบๆ และไม่แสดงตัวตนแต่ก็ถือเป็นที่ยอมรับในทั่วโลกเพราะในแต่ละประเทศมักจะมีองค์กรเช่นนี้และคอยติดต่อข้อมูลเพื่อส่งถึงกันตลอดเวลา


ส่วนใหญ่แล้วชื่อที่ใช้ในองค์กรจะไม่มีการบังคับแต่อย่างใดว่าจะใช้ชื่อไหนเพราะไม่มีใครสนใจเรื่องภูมิหลังแต่ละคนแต่ส่วนใหญ่แล้วจะตั้งชื่อตามที่ตนอยากเป็น ส่วนเรื่องความหลังน่ะหรือ ไม่ต้องพูดถึงเพราะยิ่งมีคนประเภทเดียวกันอยู่ด้วยกันมันต้องมีการแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ฮันเตอร์ผู้อำนวยองค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยมีใครสืบทราบได้เรื่องสถานะภาพ เบื้องหลังชีวิตหลังการทำงานเพราะเขาเป็นคนค่อนข้างเก็บความลับได้อย่างเยี่ยมยอด และไม่ค่อยบอกใครเกี่ยวเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน


วันนี้ก็คงจะเป็นวันที่องค์กรที่ประจำการในประเทศไทยต้องยุ่งวุ่นวายอีกครั้งเป็นแน่เมื่อมีนายตำรวจสองสามคนแบกวัตถุบางอย่างเข้ามายังห้องตรวจสอบภายในองค์กร


    “ อีกรายแล้วเหรอเนี่ย” ชายวัยกลางคนผมยาวเหมือนนักร้องร็อกเกอร์ในตำนานพูดขึ้นหลังจากที่ยืนมองดูรูปปั้นหินของเด็กสาวผมลอนที่ถูกตำรวจพบแล้วพาเข้ามาในองค์กร


    “ ครับท่าน ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอนเพราะทางเราได้กะเทาะหินพวกนี้ออกจากร่างแล้วแต่ภายในยังคงเป็นหินทั้งหมดอยู่”  ตำรวจหนุ่มในเครื่องแบบพูดอธิบาย


    “ เมดูซ่าน่ะสิเบน” เขาหันไปจ้องหนุ่มในเครื่องแบบ “ ผมคิดว่ามันกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่เพราะคนที่กลายเป็นหินส่วนใหญ่เป็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันหมด” เขาอธิบาย


    “ แล้วคุณจะเอายังไง” เบนถาม


    “ ผมขอไปปรึกษาทีมผมก่อนก็แล้วกันเพราะตอนนี้เรื่องประหลาดพวกนี้เกิดขึ้นทุกวันแทบไม่ได้พักกันเลย ต้องเข้าใจกันด้วยผมก็อายุมากแล้ว” เขาพูด


    “ อย่าให้นานนักนะฮันเตอร์เพราะผมอยากปิดคดีนี้เร็วๆ ผมว่าหาคนเพิ่มได้แล้วมั้ง” เบนพูดทิ้งทวนก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้องทิ้งไว้เพียงชายผมยาวที่หน้านิ่วคิ้วขมวดยืนจ้องร่างที่กลายเป็นหินอยู่ตรงหน้า


เลดี้ที่ยืนจ้องๆมองๆจากข้างนอกเมื่อเห็นว่าเบนเดินออกไปแล้วจึงเข้ามาหวังถามไถ่เรื่องราวเมื่อครู่เพราะฮันเตอร์ไม่เคยทำหน้าเครียดอย่างนี้มาก่อน


    “ กาแฟค่ะท่าน” หญิงสาวผมบ็อบยื่นถ้วยกาแฟสีขาวให้คนตรงหน้า “ มีอะไรหรือเปล่าคะทำไมดูเครียดจัง”


    “ ผมขออยู่คนเดียวก่อนเลดี้ แล้วกาแฟนี่เอาออกไปด้วยผมยังไม่ได้สั่ง” เขาดันถ้วยกาแฟกลับไปอย่างไม่แยแส


    “ มีอะไรก็บอกกันดีๆก็ได้อย่ามาแสร้งทำเป็นมีความลับหน่อยได้ไหม” เธอพูด

    “ เรื่องนี้ผมขอเอาไว้พูดในที่ประชุม” ฮันเตอร์ตอบกลับ


ใบหน้าของหญิงสาวบึ้งตึงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เราก็อุตส่าห์เป็นห่วงไปนั่งจิบเลือดต่อดีกว่า” เธอพูดก่อนจะก้าวออกไปอย่างไม่พอใจ


    “ เดี๋ยว” เสียงทุ้มต่ำเอ่ย ทำให้ร่างบางหยุดลงในทันทีหล่อนหันกลับมาคลี่ยิ้มบางให้พร้อมกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกขัดด้วยคำสั่งของคนตรงหน้า “ เรียกประชุมด่วนให้ผมด้วย”


    “ ค่ะ” เธอกระแทกเสียงแล้วก้าวออกไปทันที


ในการเรียกประชุมด่วนประจำองค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากหากใครมาช้าจะพลาดทันทีเพราะ
ประตูที่มีระบบรักษาความปลอดภัย จะปิดแล้วล็อคอัตโนมัติโดยห้ามคนในออกคนนอกไม่ให้เข้าจนกว่าการประชุมจะจบลง


    “ มีอะไรหรือเปล่าท่านทำไมถึงได้เร่งด่วนขนาดนี้” ชายลูกครึ่งโทลภูเขาเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่พิเศษด้านข้างที่เตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ


    “ ไม่มีอะไรเหรอกโทรตเขาก็แค่อยากเรียกแกมานั่งกินดินเนอร์เท่านั้นแหละ” เขาพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้เสริมความสูงพิเศษด้านข้างหนุ่มร่างยักษ์


    “ พูดมากจังวะไซต์ เดี๋ยวจับขยี้เป็นลูกชิ้นเลย” โทรตพูดพร้อมกับบีบมือขนาดใหญ่อย่างจริงจังแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อคนเรียกประชุมเดินเข้ามา


    “ เลดี้ตั้งระบบรักษาความปลอดภัย” ฮันเตอร์ที่กำลังเดินเข้ามาหันกลับไปสั่งหญิงสาวที่เดินตามหลังมาติดๆ


    “ ค่ะ” เธอรับคำ ก่อนจะหันไปพูดกับระบบการติดตั้งที่อยู่ด้านข้าง “ ระบบรักษาความปลอดภัย” รูปแม่กุญแจเด้งขึ้นมาด้านหน้า มือเรียวยาวรูดไปจนสูดขอบก่อนจะได้ยินเสียงจากระบบตอบรับ ‘ระบบทำการสำเร็จ’ เขาจึงรีบเดินนั่งด้านข้างชายผมยาวที่หัวโต๊ะ


    “ ทำไมวันนี้มากันแค่นี้ล่ะ” ฮันเตอร์พูดอย่างแปลกใจเพราะสมาชิกที่มาในวันนี้หายไปถึงสามคน


    “ ก็จากการที่ไปสู้กับฝูงแมงมุมครั้งที่แล้ววิกซ์มันรู้สึกผิดที่ฆ่าเผ่าพันธุ์ตัวเองเลยถอนตัวไปส่วนน้องชายมันก็ออกไปตามพี่มันครับนายพล” โทรตตอบ


    “ ส่วนดอกเตอร์แบรต” เลดี้เอ่ยพร้อมกับเลียริมฝีปากเมื่อนึกถึงดอกเตอร์หนุ่มที่เป็นเพียงมนุษย์คนเดียวขององค์กร “ ท่านโทรมาแจ้งว่าติดธุระมาไม่ได้ให้ประชุมก่อนเลย”


ฮันเตอร์พยักหน้าเชิงเข้าใจก่อนจะพูดขึ้น “ ตอนนี้เรื่องที่พวกเรากลัวมากที่สุดกำลังใกล้เข้ามาแล้ว” เขาเริ่มบทสนทนาอย่างจริงจัง “ เมื่อตลอดปีมานี้มีคนตายอย่างผิดธรรมชาติหลายอย่าง เลือดหายไปจนหมดร่าง บางคนถูกเขี้ยวกระชากจนไม่เหลือซาก แล้วที่บริเวณตอนเหนือก็เหมือนกันเกิดไฟไหม้ป่า ยังไม่นับรวมคนหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกและล่าสุด เลดี้” เขาเรียกชื่อส่งสัญญาณเพื่อให้หญิงสาวสั่งการระบบคอมพิวเตอร์ให้แสดงภาพสามมิติขึ้นมากลางโต๊ะฉายให้เห็นถึงรูปปั้นหินเสมือนวางอยู่จริง “ รูปปั้นหินพวกนี้ถูกพบจำนวนมากในแถบเขตพื้นที่เรา ฉันอยากให้พวกเราเตรียมพร้อม และช่วยกันหากำลังเสริม”   


    “ กำลังเสริม” โทรตทวนคำ “ แต่เราเป็นทีมที่ดีอยู่แล้วจะหาคนอื่นมาเพิ่มทำไม” เขายืดอกอยู่ภูมใจในทีม


    “ จริงด้วยไหนจะต้องฝึก ไหนจะต้องซ้อมให้อีก” ไซต์เสริมขึ้น


    “นั่นไม่ใช่เรื่องยากเพราะพวกเราจะช่วยกันสอนพวกเขาเอง” ฮันเตอร์แย้ง “ ส่วนเหตุผลที่ต้องหาเพิ่มนั้นก็เพราะว่าพวกเรามีจำนวนน้อยลงทุกวัน ผิดกับพวกมันที่เหมือนสร้างกองกำลังขึ้นทุกวัน ถ้าหากวันหนึ่งมันบุกมาจะได้พอสูสีกันบ้างไม่ใช่เราวิ่งเข้าไปตาย”


    “ แล้วเราจะหาได้ยังไงล่ะ” ชายครึ่งโทรลถามอย่างสงสัย “ หรือว่าเราจะเอามนุษย์มาฝึก”


    “ เราจะตามหาจากเครื่องตรวจจับ ดีเอ็นเอ ที่เลดี้กับด็อกเตอร์ช่วยกันสร้างขึ้นมา” สิ้นเสียงของฮันเตอร์ เลดี้ก็จัดการเปิดระบบภาพขึ้นมาฉายบนโต๊ะแทนรูปปั้นหินอันนั้น “ อธิบายเลดี้”


เธอพยักหน้ารับคำสั่ง “ นี่คือเครือข่ายหลักที่เราจะนำเข้าสัญญาณส่งไปยังโทรศัพท์พวกนี้” หล่อนยื่นสิ่งที่เหมือนโทรศัพท์แอนดรอยด์ทั่วไปให้กับสองคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟัง “ เมื่อเราเข้าไปที่เมนูแสดงตัวตน แผนที่จะระบุตำแหน่งจากเครือข่ายหลักที่สำนักงานไปให้หากเป็นจุดสีเขียวแสดงว่าพลังของคนๆนั้นยังไม่เคยถูกใช้ให้เข้าไปคุยอย่างประนีประนอมที่สุดเพราะเขาอาจมองว่าเราจิตไม่ปกติได้ แต่หากเป็นสีแดงแสดงว่าเขารู้ตัวตนที่กำลังเป็นอยู่แล้วให้มุ่งประเด็นทันที” หล่อนอธิบาย “ เอาล่ะฉันจะแสกนในพื้นที่แถวนี้ดูแล้วจะส่งไปเข้าเครื่องให้ขอให้ตามหาให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นพวกปีศาจอาจเจอพวกนั้นก่อน แล้วเราจะแย่” เขากำชับก่อนจะหันไปสั่งระบบ “ แสกนตัวตน”


    ‘แสกนตัวตน’ ลำแสงสีขาวสว่างจ้าบริเวณกลางโต๊ะ ‘สำเร็จ’


    “ ดาวน์โหลดข้อมูล” เธอสั่งพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาในมือ


    ‘ดาวน์โหลดข้อมูล’ ระบบประมวลผลอยู่สักครู่เสียงข้อความในมือถือก็สั่นทันที ‘สำเร็จ’


    “ นี่” เลดี้ยื่นไปให้ทั้งคู่ “ เอาไปลองใช้ดูหวังว่าคงจะหามาได้โดยเร็วและทันการณ์นะ”





เสียงดนตรีจังหวะเร้าใจดังไปทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่เป็นสถานที่จัดงานประมูล รถหลากหลายรุ่นจากหลายบริษัทโดยเหล่าบรรดานักสะสมรถรุ่นที่ทำมาอย่างจำกัดจำนวนตบเท้าเข้ามาอย่างเนืองแน่นพร้อมกลับเงินในกระเป๋าที่แน่นไม่แพ้กันแต่ละคนจึงมีผู้ชายชุดดำยืนประกบไม่ต่ำกว่าสองคนแต่ยกเว้นชายหนุ่มที่เดินมากับเพื่อนในชุดสูทสีดำมีสีหน้าที่บอกบุญไม่รับ


    “ เป็นไรของแกวะ ฉันอุตส่าห์พามาเปิดหูเปิดตาให้มาเจอกับโลกภายนอก และนี่ก็ไม่ใช่ห้องวิจัยหรือป่าที่อยู่กับซากหินซากดินอะไรนั่น ยิ้มหน่อยสิเพื่อน” ชายหนุ่มตี๋ในชุดสีแดงแสบตาหันมาบ่นใส่เพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์


    “ ใครจะไปมีความสุขกันมีแต่คนรวยๆที่ชอบอวดรวยมาทั้งนั้น รถเขามีเอาไว้เป็นยานพาหนะจะมาประมูลอวดรวยกันทำไมก็ไม่รู้” ชายหนุ่มผิวสีแทนที่มาจากการถูกแดดเผาขยับริมฝีปากเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ


    “ ฉันไม่ได้พามาดูรถโว้ย แต่ฉันพาแกมาดูโน่น” สายตารีเล็กมองไปยังหญิงสาวผมลอนยาวที่วาดลวดลายอยู่บนเวทีอย่างพลิ้วไหวเพราะท่อนขาสีขาวตัดกับชุดดำลายตาข่ายอย่างละสายตาแทบไม่ลง ดวงตาสีทรายที่กรีดด้วยอายไลน์เนอร์ทำให้ดูโดดเด่นขึ้นมาจนทำให้ผู้คนแถวนั้นนิ่งงันราวกับถูกสะกด


    “ ไม่เอาว่ะ” เขาส่ายหัวปฏิเสธอย่างไม่ยี่หระ


    “ เฮ้ย !” เขาส่งแววตาอย่างสงสัย “ ผู้ชายส่วนใหญ่เขาก็มาดูแบบนี้กันทั้งนั้นหรือว่า” ศอกหนากระทุ้งเข้าที่ท้องของชายหนุ่มอย่างจัง


    “ ไม่ใช่อย่างที่แกคิดเว้ย” เขาอธิบายก่อนที่เพื่อนสนิทจะเข้าใจผิด “ ฉันแค่คิดว่าผู้หญิงดีๆเขาไม่ควรทำแบบนี้”


    “ คิดมากหรือเปล่า” ชายเสื้อแดงย้อนกลับ


    “ คนอย่างแกคิดน้อยน่ะสิ ผู้หญิงพวกนั้นก็เหมือนกันที่ทำเป็นดอกไม้ให้ผู้ชายมาดอมดมไม่มีใครเห็นพวกนี้มีค่าเหรอก” เขาเอ่ยพลางมองสิ่งที่พูดถึงอย่างระอา


    “ ครับพ่อพระ” เขายกมือไหว้ “ ผมว่าไม่ต้องเป็นแล้วนักโบราณคดีไปบวชเถอะ จะได้เป็นหลวงพี่มิวส์” เขาแซว


    “ เออถ้ารู้อย่างนี้ก็พากลับได้แล้ว ฉันรู้สึกเบื่อจะแย่อยู่แล้วอีกอย่างพรุ่งนี้ต้องเตรียมงานไปเสนอในที่ประชุมอีก” เขาพูด


    “ได้ไงวะ มาแล้วอย่าเสียเที่ยวขออยู่จนจบเลยไม่ได้เหรอ” เขาพูดอย่างอ้อนวอน


    “ ไม่ ถ้าจะอยู่ก็อยู่คนเดียวฉันกลับล่ะ” สิ้นเสียงชายหนุ่มก็พูดพร่ำทำเพลงที่เร่งฝีเท้าออกไปทันทีใน


วินาทีนั้นเสียงเพลงก็สิ้นสุดลง สาวผมลอนที่เต้นเสร็จลงตากเวทีไป ทีมงานชายที่ถือไมโครโฟนในมือเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเอ่ยทักทายคนในงานอย่างเป็นกันเอง
 

   “ สวัสดีครับ ผมพีรพลหรือเรียกว่าน้องพีทก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เสียงปรบมือดังสนั่น “ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายคนนั้นที่กำลังก้าวออกไปจะรีบไปไหนครับ งานเพิ่งเริ่มเอง”เขาแซวหนุ่มชุดดำที่มุ่งจะออกไปที่ประตูทั้งๆที่มีแต่คนสวนเข้ามา “ กลับเข้ามาก่อนเถอะนะครับเรากำลังจะเริ่มประมูลแล้ว”


    คนโดนทักถึงกับผงะเพราะคนที่เดินออกจากงานเพียงคนเดียวในเวลานี้คือเขากับชายเสื้อแดงที่กำลังก้าวตามไปเอ่ยขึ้นทันที


    “เขาหมายถึงแกไม่คิดจะอยู่ต่อเหรอวะ ตอนนี้คนในงานจ้องมาที่แกคนเดียวเลยนะ” เขาขยับหลบสายตาเพื่อแสดงให้คนตรงหน้ามองและเชื่อในสิ่งที่เขาพูด “ เอาไง”


    “ เอออยู่ก็อยู่” ใบหน้านิ่งตอบอย่างขอไปที


    “ เอาล่ะครับ ในที่สุดคุณคนนั้นก็เปลี่ยนใจแล้ว เราจะมาเริ่มประมูลกันเลยดีกว่า” น้ำเสียงบวกกับแววตาที่จดจ้องของพีททำให้คนที่เขาส่งสายตาไปให้นิ่งไปทันที ในใจเขาคิดแค่เพียงว่าขอให้ได้ราคาเริ่มที่สูงๆเพราะหากเป็นเช่นนั้นเปอร์เซ็นต์ค่าตัวของเขาก็จะเพิ่มตามมาด้วยเขาเบนสายตามาที่ชายหัวโล้นด้านหน้า ‘ขอเริ่มสิบล้านนะครับคุณลุง’


    “ สิบล้าน” ชายตรงหน้าพูดขึ้นตามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พีทที่ยืนอยู่บนเวทียิ้มร่ากับผลงานตัวเองแต่คนที่พูดมีสีหน้าที่ไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด


    “ มีใครให้มากกว่านี้ไหมครับ” เขาย้ำพลางส่งสายตาไปยังชายตัวโตที่ยืนอยู่ข้างผมชายหนุ่มใบหน้าขาวเด่นที่ยืนส่งยิ้มมาให้ ‘ผมขอซักสิบห้าล้านได้ไหมครับ’ เขานิ่งอยู่นานแต่กลับไม่มีการตอบรับจากชายผู้นั้นเลย เสียงค้อนตอกเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาประมูลทำให้เขาหลุดจากภวังค์ทันที ‘ทำไมไม่ได้ผลวะ’ เธอคิดในใจก่อนจะตัดบทเพราะเสียงระฆังตีให้สัญญาณแล้วว่าจบลงที่สิบล้าน  “ ครับ รายการที่กำลังจ่อคิวอยู่ด้านล่างนั้นเป็นการโชว์ของบริษัทต่อไป สำหรับวันนี้ พีทขอขอบพระคุณทุกคนมากเลยนะครับ”เขาโบกมือก่อนจะหันหลังหายไปพร้อมกับเสียงเพลงและความแปลกใจเพราะเขาหันกลับไปมองชายคนที่เพิ่งส่งสายตาให้ตอนนี้มีเพียงความว่างเปล่า


    “ จะกลับได้ยังวะ” มิวส์หันกลับมาถามอีกครั้ง “ ซื้อก็ไม่ได้ซื้อ ประมูลก็ไม่ได้ประมูล แล้วคุณเจมส์จะอยู่ทำซากอะไรครับ”


    “ ก็เตี่ยฉันสั่งให้มาจองคิวทีมคุณพีทไปเป็นพิธีกรเปิดตัวสินค้าใหม่ของที่บ้านฉัน” เจมส์พูด


    “ แล้วทำไมต้องเป็นทีมนี้ด้วยวะ” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ


    “ คนอย่างแกจะไปรู้อะไร แกรู้ไหมว่าถ้าน้องพีทได้ไปโปรโมทสินค้าตัวไหนหรือไปเป็นพิธีกรอะไรสินค้าทุกตัว จะเป็นที่รู้จักมาก” เขาอธิบายอย่างภูมิใจ “ เร็วรีบไปดักก่อนเดี๋ยวจะไม่ทันน้องเขากันพอดี”


    ชายหนุ่มที่อยู่นุดลำลองพร้อมกลับบ้านกำลังยืนนับเงินในซองที่เพิ่งได้รับมาอย่างมีความสุขก่อนจะชะงักกับสีเสื้ออันร้อนแรงของชายตรงหน้า


    “ ขอโทษนะครับ พี่ชื่อเจมส์ส่วนข้างๆนี่ชื่อมิวส์ครับ” เขาแนะนำตัวขึ้นอย่างลอยๆ


    “ ขอโทษนะครับมีอะไรหรือเปล่าครับ แต่หากไม่ใช่เรื่องงานก็ต้องขอตัวนะครับ อ่อขอโทษที่แซวพี่บนเวทีด้วยนะครับ” เขายิ้มห้ก่อนจะหยิบแว่นตาสีชาขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออก


    “ เวลาคุยกับลูกค้าพูดดีๆก็ได้มั้งคุณหรือจะโก่งค่าตัว” มิวส์พูดโดยไม่มองหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว


    “ ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยโก่งค่าตัวเพราะเวลาทำงานผมจริงจัง แล้วอีกอย่างจู่ๆคุณก็พรวดพราดเข้ามา จะให้ผมยืนคุยโดยที่ไม่รู้จุดประสงค์ของพวกคุณจะรู้เหรอว่าต้องการอะไร” เขาให้เหตุผล “ หากเป็นเรื่องงานผมยินดีคุยครับ”


    “ เหรอครับ ดีจังเลยเราจะไปคุยที่ไหนดีครับ” เจมส์แสดงท่าทางดีใจจนแทบตัวลอย


    “ ตรงนี้แหละครับ ที่อื่นคงไม่สะดวก ทีมของผมมีแต่ผู้หญิง”


    “ โชว์ถึงขนาดนี้ไม่ต้องอายต้องกลัวอะไรแล้วล่ะมั้ง” มิวส์กล่าวขึ้นมาลอยๆก่อนจะตามด้วยฝ่าเท้าของเพื่อนเขาเองขยี้ลงไปที่ปลายเท้าของเขา


    “ ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรกับดิฉันหรือเปล่าเห็นพูดจาไม่เข้าหูมาหลายครั้งแล้วนะ” คนที่ยืนด้านหลังพีทจ้องไปยังคนตรงหน้า


 “ไม่เป็นไร” พีทหันไปบอกเพื่อน “ ผมหมดความอดทนแล้ว บอกเลยว่าพวกผมไม่รับงานนี้ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” สิ้นคำเขาก็กระแทกเท้าจากไปทันทีทิ้งไว้เพียงชายหน้าตี๋ที่แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด


    “ เป็นอะไรของแกวะ” เขาถามอย่างไม่สบอารมณ์


    “ อะไร ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่” มิวส์ตอบอย่างมั่นใจ


    “ เหรอฉันว่าแกควรไปผ่าเอาสัตว์เลี้ยงออกจากปากได้แล้ว” สิ้นคำเขาก็กระแทกเท้าจากไปอีกคนทิ้งไว้เพียงนักโบราณคดีที่ยืนอึ้งอยู่


หลังจากแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนพีทก็เดินออกไปยังประตูเพื่อไปยังที่จอดรถพร้อมกับบ่นไปตลอดทาง“ อะไรกันวะ! วันนี้มีแต่เรื่องซวยๆ” แต่ฝีเท้าต้องหยุดชะงักลงเพราะสัญชาตญาณของชายหนุ่มได้บอกว่ามีคนกำลังจ้องมองเธออยู่ ขาเรียวยาวสาวไปข้าวหน้าโดยไม่เหลียวไปมองอย่างรวดเร็ว แต่อยู่จากโรงจอดรถธรรมดากลับแปรเปลี่ยนไปเป็นป่าดงดิบที่มีแต่ต้นไม้ปกคลุมหนาเต็มไปหมด“ อะไรกันวะเนี่ย!” เขาอุทานเบาๆก่อนจะค่อยๆหยุดเดินลง


    “ สวัสดี” ผู้ชายคนที่ส่งยิ้มให้เขาในงานเอ่ยทักขึ้น


    “ นายเป็นใครแล้วต้องการอะไร”เขาถามกลับพร้อมกับถอยหลังกรูดแต่ก็ต้องถึงทางตันเพราะโทรตยืนดักไว้อยู่


    “ เราเป็นตัวแทนจากองค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์” ไซต์ที่อยู่ในเสื้อโทรตกล่าวพร้อมกับอธิบายรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน “ นายคือบุตรแห่งเมดูซ่า”


    “ เป็นไปไม่ได้จะมาบอกว่าผมเป็นลูกของเมดูซ่าอย่างนั้นเหรอ นี่หลุดมาจากโรงพยาบาลบ้าเหรอถามจริง” เขาส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจกับคนตรงหน้าเท่าไหร่นัก ‘คนบ้าอะไร เมดูซ่าเหรอ เพ้อเจ้อหรือเปล่า’


    “ แล้วนายจะอธิบายหลักพวกนี้ยังไง เรื่องที่นายสามารถสั่งใครก็ได้ให้ทำตามหรือสะกดให้หยุดนิ่งได้” โทรตพูดแทรก


    “ มันก็แค่เป็นหลักนิเทศศาสตร์ที่ผมเรียนมาเรื่องการใช้สายตาอายคอนแทคกับการพูดหว่านล้อมน่ะเข้าใจไหม หลบ” เขาพยายามอธิบายพร้อมกับเดินหนี


    “  เหรอแล้วทำไมกันนะคนพวกนั้นมักจะพูดตามที่ใจนายคิดเสมอเลย แล้วทำไมกันนะคนพวกนั้นกลับแสดงสีหน้าเหมือนโดนสะกดเวลาพูด แล้วทำไมกันนะพวกเขาแทบจะจำเรื่องที่พูดไม่ได้เลย” ไซต์เสริม


    “ ยอมรับความจริงเถอะนะว่าเราแตกต่างจากคนอื่น มาอยู่กับเรามาช่วยเพื่อนมนุษย์ที่เราอยากใช้ชีวิตอยู่บนโลกของพวกเขากันเถอะ” เกรทเอาน้ำเย็นลูบ


    “ แต่ตอนนี้มก็ยังใช้ชีวิตปกติได้อยู่เลยไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนแล้วก็ไม่เคยได้รับความเดือดร้อนจากปีศาจอะไรนั่นเลย” เขาพยายามบ่ายเบี่ยง


    “ ตอนนี้ยังเหรอกเพราะนายยังไม่แสดงตัวตนมากหากถึงวันนั้นมันจะน่ากลัวมากเลยรู้ไหมเพราะฉันเคยผ่านจุดๆนั้นมาแล้ว” เกรทเอ่ย


    “ คิดดูดีๆนะหากนายมาอยู่กับเราอย่างน้อยคนรอบข้างนายจะปลอดภัยเพราะหากคนอื่นรู้ว่านายเป็นใครพวกมันไม่เก็บไว้แน่” โทรตกำชับ


แววตาสีทรายเต็มไปด้วยความสับสน แต่ภายในใจก็มีความคิดที่ขัดแย้งกันเพราะหากตัวเขาไปอยู่กับองค์กร คนรอบตัวก็จะปลอดภัยแต่อีกใจคือเขาก็ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ทั่วไปได้อยู่


    “ นายอาจได้พบแม่ของนายด้วยนะ” เสียงของไซต์ทำให้เขาหลุดจากภวังค์เพราะคำสั้นๆที่ถวิลหามานานนี่เอง


    “ แม่เหรอ” เขาถามกลับพร้อมกับแววตาที่มีความหวัง “ ตกลง แต่ผมต้องส่งเงินไปให้โบสถ์ด้วยแล้วมจะหาเงินจากไหนล่ะ”


    “ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น องค์กรเราทำงานให้รัฐบาลมีเงินเพียงพอแน่นอน” โทรตพูด


    “ ตกลงแล้วจะเริ่มงานวันไหน” เขาถามกลับ


    “ พรุ่งนี้” ไซต์พูด “ มีอะไรต้องสะสางไหม”


    “ ไม่มี” เขาตอบแม้จะต้องโทรไปไล่ขอแคนเซิลงานก็ตาม


    “ หวังว่าฮันเตอร์จะหาเพิ่มได้อีกนะ” โทรตพูดก่อนที่สัญญาจากโทรศัพท์จะดังขึ้น


ทุกอย่างรอบตัวของพีทกลับมาสู่สาวะปกติ ที่จอดรถกลับคืนสู่สภาพเดิม กลุ่มคนเมื่อครู่หายไปจะบอกวั่นกลางวันก็ไม่ใช่เพราะนามบัตรสีเงินในมือเป็นเครื่องยืนยันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือความจริง และมันจะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล



มาค่ะ มาเริ่มต้นปฐมบทแห่งการต่อสู้ ความรัก และมิตรภาพกันกับวันดีๆ ในวันวาเลนไทน์นี้ เป็นกำลังใจให้กับหนุ่มพีทและมิวส์ของเราด้วยนะคะ

#THP
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่2 ความลับของ บุตรแห่งเมดูซ่า22.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 22-02-2020 09:55:57
บทที่สอง ความลับของจารึก
   
“ เก็บของจะไปไหนเหรอ” หนุ่มผมลอนถามขึ้นมาพร้อมกับพ่ายคนสนิทตรงหน้าที่กำลังคว้าเสื้อผ้าลงในกระเป๋าสีฟ้า

   “ พี่ว่าจะไปเก็บข้อมูลทางทะเลที่ใต้สักอาทิตย์สองอาทิตย์น่ะ แล้วนายล่ะเตรียมเก็บข้าวของไปไหนทำไมไม่เห็นบอกกันล่วงหน้าอย่าบอกนะว่าจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว” เขาถามจี้อีกฝ่ายที่กำลังนั่งพับเสื้อสีดำแล้วยัดลงในกระเป๋า

    “ ก็จะให้บอกได้ยังไงพี่เล่นกลับดึกขนาดนี้” เขาหลบสายตาเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะจับได้

    “ จ้า จะไปไหนก็ดูแลตัวเองดีๆก็แล้วกัน พี่ไปอาบน้ำก่อนนะเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” แอลลุกเดินตรงไปเข้าห้องน้ำทันที

    “ พีทก็ว่าจะนอนเลยต้องตื่นแต่เช้าเหมือนกัน” เขาก็รูดซิปกระเป๋าใบสีเทาแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนทันที

‘ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ด้วยนะ’ พีทนอนคิดจนผล็อยหลับไป


รถคันสีดำที่มีระบบการป้องกันอย่างดีมุ่งเข้าสู่องค์กรอย่างรวดเร็วโดยการบังคับด้วยระบบคอมพิวเตอร์ไร้ซึ่งคนขับรถคนนี้จะทำตามคำสั่งของผู้วางโปรแกรมอย่างเลดี้เท่านั้น

    “ ถึงแล้วเหรอเนี่ย” พีทที่มาช้าที่สุดบิดขี้เกียจทันทีที่ก้าวลงจากรถเขาลากกระเป๋าไปยังประตูที่สามารถมองเห็นเข้าไปด้านในเขาจ้องมองๆพยายามเปิดอยู่นานแต่ทว่ามันเปิดไม่ออก “ ขอโทษนะครับแล้วผมจะเข้าไปยังไง” เขาเดินไปกดปุ่มที่เป็นลำโพงขยายให้คนข้างในทราบไม่นานประตูก็เปิดออกทันที เขาสาวเท้าเข้าไปด้านใน

รอบตัวเต็มไปด้วยอะไรที่แปลกประหลาดเพราะทุกอย่างในองค์กรเกือบทั้งหมดถูกควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ “ เจ๋งวะ”

    “ จะชื่นชมอีกนานไหม ตอนนี้การประชุมจะเริ่มแล้วทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องประชุมกันหมดแล้วหากเข้าช้านายจะไม่ได้เข้าจนกว่าเราจะประชุมเสร็จ” สาวผมบ็อบในชุดรัดติ้วพูด

    “ ครับ” เขาตอบสั้นๆก่อนจะเดินตามหญิงที่ไม่คุ้นหน้าไป
ทันทีที่พีทก้าวพ้นประตูเข้ามาในห้องเขาต้องพบสายตาของคนนับสิบจับจ้องมาที่เขาคนเดียวแต่ทว่าทำไมคนที่นั่งอยู่ริมโต๊ะด้าน
หน้าดูคุ้นๆหน้านักนะ

    “ พีทมาได้ไงเนี่ย” แอลตะโกนทักทันทีที่เห็นน้องชาย

    “ พีทต้องถามพี่มากกว่าว่ามาที่นี่ได้ยังไง รู้ไหมเมื่อคืนพีทอึดอัดมากที่มีเรื่องหนักใจแล้วคุยกับใครไม่ได้” สิ้นคำเขาก็วิ่งเข้าไปหาพี่ชายอันเป็นที่รักทันที เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้เกิดคลานตามกันออกมาจากมารดาที่แท้จริงแต่ความสนิทสนมนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว

    “ ขอโทษนะที่ต้องขัด แต่ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญที่กำลังจะพูด” ฮันเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบทำให้ทั้งคู่ผละออกจากอ้อมกอดทันที “ เอาล่ะตอนนี้ก็ครบแล้วฉันขอให้ทุกคนแนะนำตัวเริ่มที่นาย” เขาผายมือไปให้ชายหนุ่มที่มาใหม่

    “ สวัสดีครับผมชื่อพีทครับ” เขาเริ่มแนะนำก่อนจะเวียนไปตามเก้าอี้ที่นั่งโดยตามด้วยแอล เกรท แวมป์ เฮนรี่และเดรโก้

    “ หวังว่าทุกคนคงพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้นะ” เขาเอ่ยก่อนอธิบายสมาชิกในองค์กรให้รู้จัก “ นี่คือ ด็อกเตอร์แบรด ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์ของที่นี่ ส่วนที่นั่งด้านข้างคือเลดี้เป็นผู้ช่วยผม แล้วก็นั่นโทรตกับไซต์หวังว่าบางคนจะได้เจอเขามาแล้วทั้งคู่เป็นฝ่ายทำการตั้งรบส่วนคนสุดท้ายที่กำลังเดินถือจารึกมาคือ ด็อกเตอร์มิวส์”


พีทสะดุ้งทันทีที่เห็นหน้าชายผู้เข้ามาใหม่แต่ไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องถูกขัดด้วยเสียงนิ่งเรียบของ ฮันเตอร์อีกตามเคย

    “ ตอนนี้องค์กรของเรากำลังต้องการกำลังเสริมที่มีฝีมือเพื่อไปต่อสู้กับพวกของเบลเซบับที่กำลังซุ่มตั้งกองกำลังเพื่อที่จะเข้ามาล้มล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งตอนนี้มันกำลังออกตามหาบางอย่างบางอย่างที่มันยังไม่ได้ไปนั่นก็คือของสำคัญที่เราจะบอกในวันนี้
ส่วนพวกนายที่เป็นมนุษย์ที่ถือกำเนิดมาจากการไม่ยอมก้มหัวให้กับสงครามครั้งนี้กล่าวง่ายๆก็คือพ่อแม่ของพวกนายแต่ละคน
พยายามที่จะต่อสู้กับการสู้รบครั้งนี้ถึงแม้จะต้องทรยศกับเผ่าพันธุ์ก็ตาม หวังว่าพวกนายคงไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังนะ” เขาอธิบาย“ ก่อนอื่นมาดูสัญญากันก่อน”


ฮันเตอร์ส่งสัญญาให้กับสมาชิกใหม่ทุกคนอย่างรวดเร็ว




(สำเนา)
เลขรับ1129/XXลงวันที่ 11 เมษายน XXX         
องค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์
………………………………………………………….
องค์การตำรวจและหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษแห่งประเทศไทย
จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10000
9 เมษายน XXXX
เรื่อง การฝึกฝนและเตรียมความพร้อมเพื่อการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์
เรียน ผู้มีสายเลือดที่ไม่ปกติหรือชาวเลือดผสม
สิ่งที่ส่งแนบมาด้วย : ตารางการซ้อม และเรื่องราวของบัลเซบับขนาดย่อเพื่อความเข้าใจ
    ด้วยข้า ฮันเตอร์ ผู้อำนวยการองค์กรปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์มีความประสงค์ว่าควรมีการจัดตั้งกองกำลังหนุนเพื่อการรบในอนาคตจึงมีการรวบรวมผู้ที่มีพลังพิเศษมาการฝึกที่แสนหนักหน่วงอาจอันตรายถึงชีวิต
    และหากผู้นั้นพิการหรือเสียชีวิตระหว่างการฝึกทางเราจะรับผิดชอบครอบครัวของผู้เสียหายไปตลอดชั่วอายุคนของผู้นั้นที่เสียสละมาช่วยองค์กรของเรา
*แต่ถ้าการเกิดอุบัติเหตุนั้นเกิดจากการเลินเล่อของผู้ทำการฝึกทางเราจะถือว่าสัญญาเป็นโมฆะทันที

เอกสารแนบ
ตารางการฝึกซ้อม
5.00น. – 7.00น.                                         ฝึกในช่วงเช้า
7.05น. – 8.00น.                                         รับประทานอาหารเช้า
8.05น. – 11.55น.                                       ฝึกช่วงสาย
12.00น. – 13.00น.                                     รับประทานอาหารกลางวัน
13.00น. – 18.00น.                                ฝึกช่วงบ่าย
19.00น. ……                                         รับประทานอาหารเย็น พักผ่อน


หมายเหตุ การฝึกฝนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม


เอกสารแนบ 2


บัลเซบับ
เบลเซบับ หรือ เบเอลเซบูล (Beelzebul) ปรากฏในคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ว่าเป็นผู้ปกครองปีศาจ หรือเจ้าชายแห่งมวลปีศาจ มันไม่มีตัวตนที่แน่นอนแต่มันสามารถที่จะควบคุมพวกปีศาจได้อย่างง่ายเพราะความศรัทธาของพวกที่ไม่คิดจะหวังพึ่งตัวเอง                   


 “ มันไม่มีตัวตนอย่างนี้เราจะจัดการยังไง อย่าบอกนะว่าจะให้เราสู้กับลมหรือหมอก” แวมป์ที่นั่งอยู่ใกล้ถามหลังอ่านสัญญา


    “ เปล่า เราไม่ได้จะสู้กับมัน เราแค่ต้องทำไม่ให้มันหาของที่มันกำลังตามหาอยู่ให้ได้” ฮันเตอร์พูดขึ้น “ เพราะมันก็กำลังตามหาบางอย่างที่พวกเราตามหาเหมือนกัน ด็อกเตอร์” เขาหันไปทางแบรดที่กำลังรอคิวในการให้ข้อมูลอยู่


    “ ครับ” เขารับสั้นๆ “ นี่คือแบบจำรองแผ่นจารึก” เขาพูดพลางชี้ไปยังภาพสามมิติที่ฉายแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ

“ เท่าที่ผมและเพื่อนเก็บข้อมูลมาเราพบว่าเป็นแผ่นจารึกของของหกสิ่งที่จะสามารถปลุกคนจากความตายและสร้างความเป็นอมตะ

ได้ซึ่งในแผ่นจารึกนี้บอกทั้งไว้ว่า
เมื่อวันใดที่ของทั้งหกมารวมตัวกัน
เนตรแห่งมนตรา ดวงตาแห่งความรักความเกลียดชัง
หินล้ำค่าบนคอจ้าวแห่งรัตติกาล ทับทิมแห่งอำนาจ
หัวใจแห่งท้องสมุทร ไข่มุกแห่งความบริสุทธิ์
หยาดน้ำตาจากธิดาแห่งไพรผู้เป็นเจ้าของเขาวงกต ตัวแทนแห่งความหมองหม่น
โลหิตจากผู้เป็นใหญ่ในนภา เลือดของพญามังกรแห่งความอมตะ
พลังจากเศษหินจากดวงจันทร์ จ้าวแห่งพลังอำนาจทั้งปวง
 พลัง อำนาจ และความเป็นอมตะจงสำเร็จแด่ผู้ครอบครอง


    “ นี่คือจากการแปลส่วนที่หนึ่งที่คุณแพรวพรรณส่งมาให้” แบรดพูด


    “ แม่” ชายหนุ่มผิวสีแทนที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องตะโกนถามออกมาด้วยความตกใจเพราะวันก่อนที่เขาจะมาที่นี่ทุกอย่างมันพังไม่เป็นท่าไปหมด  “แม่ทำงานให้องค์กรนี่ด้วยเหรอ” เฮนรี่ถาม


    “ ใช่มีพวกเราแทรกตัวอยู่ตามองค์กรต่างๆทั่วโลก เพราะว่าหากมีจารึกปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่เราจะรู้ก่อนที่พวกนั้นจะรู้อย่างแน่นอน แม่ของเธอรับหน้าที่ตรวจของก่อนที่จะส่งไปยังพิพิธพันธ์ก็เพราะสิ่งนี้แหละ และที่สำคัญเขาทำหน้าที่จนวินาทีสุดท้าย หวังว่านายคงไม่ทำให้เธอเสียใจล่ะ” ฮันเตอร์หันไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่ “ ต่อเลยครับดอกเตอร์”


    “ จารึกทั้งหมดแตกเป็นหกส่วน ซึ่งตอนนี้เราได้มาส่วนหนึ่งแล้ว” เขาอธิบาย “ตอนเกิดเรื่องกับแพรวพรรณผมจึงไปหาคนมาช่วยแปล” เขาผายมือไปที่ชายหนุ่มที่กำลังเดินมาหา “ นี่คือเพื่อนของผมเขาจะมาช่วยสานงานต่อแต่ทว่าในจารึกนั้นเหมือนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนนั่นก็คือส่วนที่เป็นภาษากรีกโบราณและภาษาพาเซลหรือที่เรารู้กันว่าภาษางูซึ่งมิวส์อาจไม่เข้าใจและต้องใช้เวลาซึ่งผมกลัวจะไม่ทันการเลยมาขอให้พวกคุณลองช่วยดูเผื่อเลือดในตัวของพวกคุณจะมีสัญชาตญาณอยู่บ้าง” แบรดเปลี่ยนภาพบนโต๊ะเป็นข้อความที่คัดลอกมาจากจารึกอย่างสมบูรณ์


 ทั้งหกมองภาพที่ขึ้นมาใหม่อย่างพิจารณาแต่ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าไม่สามารถอ่านออกแม้แต่ตัวเดียวเว้นเสียแต่


    “ ปากทางเข้า ถ้ำกอร์กอน เหรอ ? ” เสียงที่เอ่ยทำให้สายตาทุกคู่หันไปจดจ้องพีทที่นั่งอยู่มุมโต๊ะ


    “ อ่านออกด้วยเหรอ ?” แอลถามอย่างไม่เข้าใจ
 พีทพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ


    “ ไม่รู้สิ มันคือความรู้สึกนะไม่ได้อ่านผ่านสายตาหรอก พี่ก็รู้ฉันมีปัญหาด้านภาษาขนาดไหน” เขาอธิบาย


    “ พีท” ฮันเตอร์เรียก “ หลังจากนี้เธอทำหน้าที่มาช่วยคุณมิวส์แปลนะ ส่วนเรื่องการฝึกฝนขอให้แบ่งเวลาการซ้อมหลังจากแปลเสร็จ”


    “ แต่ผมขอแปลคนเดียวได้ไหมคือไม่อยากยุ่งกับคนๆนี้ครับ” พีทชี้ไปทางมิวส์


    “ นี่รู้จักกันมาก่อนเหรอ” แบรดเอ่ย


    “ แต่ยังไงก็ตามฉันไม่รู้ว่าสองคนรู้จักหรือมีปัญหาอะไรมาก่อนแต่ตอนนี้คืองานซึ่งเป็นงานใหญ่มากหากมัวเอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นที่ตั้งแบบนี้รับรองงานไม่เดินแน่ๆ”


    “ ผมเอาไงก็ได้  ผมไม่ใช่เด็กอยู่แล้วที่จะเอาเวลามาคิดเล็กคิดน้อย” มิวส์พูดพลางมองไปที่ชายหนุ่มที่นั่งหน้าบึ้งตึง


    “ ผมก็เหมือนกันครับ อีกอย่างผมมั่นใจว่าผมก็ทำตัวมีประโยชน์ ไม่แพ้ใครบางคนที่ชอบดูถูกคนอื่นหรอกครับ” เขาสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้


    “  เอาล่ะ เอาล่ะ เอาเป็นว่าเราจะแบ่งหน้าที่กันอย่างนี้ พีทจะเข้ามาช่วยงานคุณมิวส์ระหว่างพักการซ้อมซึ่งตารางจะถูกจัดให้ใหม่เพราะอาจต้องใช้เวลาและสมาธิในการแกะลายแทง” ฮันเตอร์หันไปบอกหนุ่มผมลอน “ ส่วนทุกคนซ้อมตามตารางที่แจกให้ไปเราจะใช้เวลาที่นี่สองอาทิตย์ก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตปกติขอให้ตั้งใจเพราะนี่ไม่ใช่เกมแต่มันคือชีวิตจริงหากพลาดพลั้งอะไรขึ้นมาจะหาว่าฉันไม่เตือน”


    “ ในตารางบอกว่าวันนี้ว่างนี่ครับ เราสามารถออกไปข้างนอกได้ไหมครับ ผมจะได้กลับไปดูแม่ ผมเป็นห่วงยังไงก็ไม่รู้” แวมป์เอ่ยขึ้น


    “ ไม่ได้ ! ห้ามให้ใครออกจากที่นี่ทั้งนั้นเวลาในวันนี้ที่ว่างนั้น จริงๆฉันอยากให้พวกเธอลองละลายพฤติกรรมปรับตัวเข้าหากันเพราะหลังจากนี้เราจะเป็นทีมไม่ใช่ตัวใครตัวมันอีกแล้ว หวังว่าคงเข้าใจ” ไม่มีเสียงตอบกลับคัดค้านใดๆเพราะเหมือนลงเรือลำเดียวกัน แล้วมีฮันเตอร์เปรียบกับกัปตัน “ คนอื่นออกไปได้ส่วนพีทวันนี้เธอก็ไปอยู่กับเพื่อนก่อนแล้วค่อยมาช่วยคุณมิวส์ก็ได้หรือว่าไง”


    “ ผมเอาไงก็ได้” มิวส์ตอบสั้นๆก่อนจะเก็บเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะ


    “ ฉันก็เหมือนกัน” พีทตอบ “ แต่ถ้าจะให้ฉันไปอยู่กับเพื่อนน่าจะดีกว่า” เขายิ้มแล้ววิ่งไปเกาะแขนแอลที่อยู่ใกล้ทันที


    “ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราเจอกันอีกห้านาทีที่ห้องนั่งเล่นนะ” เกรทเอ่ยด้วยที่เป็นผู้อาวุโสที่สุด
ห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆตั้งวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบและพร้อมให้ทั้งหกที่มาอยู่ใหม่ใช้


    “ เฮียนั่งก่อนมั้ยจะเดินวนไปวนมาทำไมผมมึนหัวไปหมดแล้ว” เดรโก้ที่นั่งอยู่บนโซฟาสีขาวที่ตั้งอยู่ใจกลางบ้านพักหลังเล็กๆที่อยู่ภายในบริเวณองค์กรเอ่ยขึ้น


    “ มีสิทธิ์อะไรมาเรียกฉันเหมือนคนแก่อย่างนี้” เกรทที่กำลังใช้ความคิดหันไปแหวใส่หน้าเด็กหนุ่มใบหน้าสีขาวดวงตาสีน้ำตาลเจือสีแดง แววจาของเขาดุตรงกันข้ามกับนิสัยที่เหมือนเด็กไม่ยอมโต


    “ แล้วเฮียจะเดินไปเดินมาทำไมกันล่ะ” เขาถามก่อนที่จะย้ายร่างล่ำมานั่งที่บริเวณตรงกันข้ามกับโทรทัศน์ที่กำลังเปิดช่องรายการดนตรีที่เขาโปรดปราน


    “ ใครจะมาทำตัวให้เหมือนผ่านไปวันๆอย่างนายล่ะ” เขาหรี่เสียงลงก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงด้านข้างชายหนุ่ม “ นายรู้อะไรไหมว่าฉันต้องสูญเสียพ่อไปตั้งแต่พวกมันเริ่มออกตามหาพวกเรา ฉันผ่านอะไรมามาก มากเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรับไหว ฉันเลยตัดสินใจออกมาอยู่คนเดียวเพื่อไม่ให้ญาติพี่น้องต้องเดือดร้อนอีก” เขาพยายามกลั้นน้ำใสๆที่ดวงตา “ ฉันไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว ฉันอยากจบเรื่องนี้เร็วๆสักทีแล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่คนทั่วไปใช้กัน”


    “ ถ้าอย่างนั้นผมว่าเราควรจะรีบๆจบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดผมก็อยากเจอแม่อีกครั้งเหมือนกัน” เฮนรี่ที่เข้ามาใหม่เอ่ยขึ้นก่อนที่พีทและแอลจะพยักหน้าสมทบด้วย


    “ เอาน่าเฮีย อย่าคิดมากผมมั่นใจว่าใครๆก็ต้องผ่านการสูญเสียมาทั้งนั้นแหละดูอย่างผมสิยายผมเสียไปเมื่อวาน ทำใจเดี๋ยวเดียวเอง” เดรโก้กลบความเศร้าของคนตรงหน้าด้วยเรื่องของตนที่พยายามจะลืมมันไป


    “ ถ้าไม่มีใครก็ยังมีพวกเรานะ เราสองคนก็เป็นเด็กกำพร้าโตมากับเก่าๆถ้าไม่รังเกียจอะไรเรามาเป็นพี่น้องกันได้นะ” พีทเอ่ยขึ้นพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งด้านข้างๆชายหนุ่มที่กำลังเศร้า “ ได้ไหม” เขาไม่ตอบอะไรได้แต่เพียงพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับพร้อมกับหลั่งน้ำตาที่พรั่งพูออกมาอย่างเสียไม่ได้ ผู้ที่อาวุโสที่สุด เข้มแข็งที่สุด กลับต้องมาอ่อนแอที่สุดด้วยเรื่องเพียงนี้เองหรือ


    “ ว่าแต่ไอ้ดาราขี้เก๊กนั่นไปไหนเสียล่ะทำไมยังไม่มาเสียที” เดรโก้เปลี่ยนเรื่อง “ สงสัยคงจะเคยตัว” พูดไม่ทันจบขวดน้ำก็ลอยเข้ามากระแทกที่หัวของเขาอย่างจังในทันที


    “ ขอร้องนะเจ้าหนูอย่ามาปากมากถึงฉันอีก ไม่อย่างนั้นล่ะก็” แวมป์ที่เข้ามาใหม่แยกเขี้ยวใส่ “ ฉันจะกัดให้จมเขี้ยวเลย”


    “ ครับขอโทษครับ” เขายิ้มแฉ่งใส่แวมป์ “ ว่าแต่พี่ไม่ไปถ่ายหนังถ่ายละครเหรอวันนี้ คิวงานน่าจะแน่นไม่ใช่เหรอ”
    “ ไม่หรอก ฉันทิ้งคิวงานทุกอย่างเพื่อมาใช้เวลาอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากให้ความพยายามของแม่ฉันต้องสูญเปล่า” เขาตอบด้วย
แววตาที่เรียบนิ่ง


    “ เอาล่ะฉันในฐานะที่อาวุโสที่สุดขอเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการ” เกรทที่นั่งเช็ดน้ำตาลุกขึ้นมายืนอย่างสง่าเหมือนเคยแววตาที่เคยเศร้ากลับกลายเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ความฝันที่ถูกจุดประกายขึ้นมาจากบุคคลรอบข้างที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานกลับสนิทสนมกันราวกับคนในครอบครัว “ ฉันว่าการที่เราจะอยู่ด้วยกันได้เราต้องรู้จักนิสัยใจคอกันก่อน อีกอย่าง”
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หลับตาลงภายในห้องที่เคยเป็นห้องรับรองแขกตอนนี้กลายเป็นน้ำตกที่สวนงามไปในบัดดลเสียงน้ำที่ตกลงมากระทบกับโขดหิน เสียงเหล่านกที่บินอยู่บนฟ้าพากันส่งเสียงร้องระงมบรรดาเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่แผ่ใบปกคลุมอย่างร่มเย็น


    “ เจ๋งไปเลยเฮีย” เดรโก้พูดพร้อมกับก้าวออกจากจุดที่ตนยืนอยู่


    “ อย่าขยับนะเพราะหากขยับนายจะเตะขอบโต๊ะ” เขาเตือนก่อนจะบันดาลทุกอย่างกลับมาอยู่สภาพเดิม “ ฉันบังคับทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่อยากจะให้เห็นได้”


    “ ลองดูของผมบ้างนะอาจยังไม่เจ๋งมากแต่ก็ลองฝึกมาทั้งคืนหลังจากสองคนนั้นที่ไปตามหาบอกผม” เดรโก้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะถอยห่างออกมาจากบริเวณที่มีผู้คน “ ขอกระดาษที” เขายื่นมือไปที่ที่เฮนรี่นั่งอยู่ซึ่งใกล้กับกล่องกระดาษทิชชู่ที่สุด “ ดูนะ” เขากองกระดาษสีขาวไว้กลางห้องก่อนที่จะยื่นมือไปที่กองสีขาวนั้นไม่นานแสงสีแดงร้อนฉ่าก็ออกมาเผากองกระดาษตรงหน้าให้ลุกขึ้นมาเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่เดรโก้ยิ้มให้กับผลงานตัวเองแต่เหมือนจะไม่สามารถบังคับให้พายุเพลิงนั้นหยุดได้ “ ช่วยด้วยมันดับไม่ได้ ตอนนี้มันจูนเข้ากับตัวผมแล้ว” เขาตะโกนขึ้นอย่างตกใจ


    “ อยู่นิ่งๆนะ” แอลที่นั่งอยู่ลุกยืนขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปทางตู้ปลาที่อยู่ด้านหลังพร้อมทั้งบังคับให้น้ำชโลมลงบนกองไฟทันที “ นี่คือพลังฉัน ฉันสามารถคุมและหายในในน้ำได้”


    “ ขอบคุณนะ” เดรโก้เอ่ยก่อนจะทิ้งตัวลงอย่างหัวเสียเพระเสื้อหนังตัวโปรดของเขาถูกไปเอาไปครึ่งแขนเสียแล้ว


    “ ไม่เป็นไรจ้ะ ทีหลังก็ระวังหน่อย” เขายิ้มให้


    “ จริง ถ้าเกิดว่ามันไหม้หมดรับรองได้เลยว่าต้องมีคนเป็นตากุ้งยิงกันบ้างแหละ” เฮนรี่ที่นั่งข้างๆตบไหล่เป็นเชิงหยอกล้อ แต่เดรโก้กลับหน้าบูดบึ้ง “ อย่างอนนะโอ๋ๆ” เขายกมือส่ายไปมาที่น้องสุดท้อง


    “ ไม่เห็นเหรอว่ามันไม่ชอบ หยุดล้อมันได้แล้ว” แวมป์ตะโกนขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะที่กำลังดังสนั่น


    “ แล้วแกเดือดร้อนอะไรวะ” เฮนรี่หันมาทำตาขวางใส่


เพราะด้วยสัญชาตญาณระหว่างสองเผ่าพันธุ์ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษทั้งเฮนรี่และ แวมป์จึงไม่ค่อยลงรอยกันอย่างเห็นได้ชัด


    “ ก็ไม่อะไรแต่ก็ควรเล่นให้มันพอดีพองามไม่ใช่ไร้สาระอย่างนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจนทำให้อีกฝ่ายเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาในมือของเฮนรี่บีบกระป๋องน้ำอัดลมจนแหลกไม่มีชิ้นดี


    “ หึ” แวมป์หัวเราะในลำคอเบาๆแต่ก็ดังพอที่หูของสุนัขหมาป่าจะรับรู้ได้


    “ แกหัวเราะอะไรของแกวะไอ้ค้างคาวกินเลือด” เฮนรี่พุ่งเขาไปหาชายหนุ่มที่ยืนนั่งอยู่อย่างไม่รอช้า “ ไปไหนวะ” เขาคว้าได้เพียงอากาศเท่านั้นเพราะแวมป์หาได้ยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่ ทั้งคู่ไล่ไปไล่มากันอยู่นานสองนานจนทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์


    “ หยุดได้แล้วพอสักที” ชายหนุ่มที่กำลังก่อสงครามภายในห้องหันกลับมาตามเสียงทันทีแววตาสีทรายสะท้อนกลับเข้าไปที่ดวงตาของทั้งคู่อย่างจัง “ กอดกัน” ทั้งคู่ทำตามอย่างเสียไม่ได้ “ จูบ”


    “ พอเถอะ อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยผมขนลุกไปหมดแล้ว” เดรโก้พูดแทรกทันทีเพราะชายหนุ่มสองคนตรงหน้ากำลังขยับใบหน้าเข้าหากัน


    “ พอ” พีทเอ่ยก่อนจะผละสายตาออกจากทั้งคู่แล้วทิ้งตัวนั่งลงที่เดิม


    “ นายไม่มีสิทธิ์มาบังคับฉันอย่างนี้นะ” แวมป์เอ่ย


    “ ใช่นายจะมาบังคับกันอย่างนี้ได้ไง” เฮนรี่หันมาสมทบ


    “ ก็เรามาสร้างความสามัคคีกันนะไม่ใช่มาแตกคอกันแบบนี้ ฉันไม่เข้าใจอะไรหรอกนะว่าทำไมนายสองคนถึงได้เลือดร้อนขนาดนี้แต่ตอนนี้เราควรรักกันช่วย เหลือกัน” พีทเอ่ยชายหนุ่มทั้งคู่มองหน้ากันแต่ก็ถูกขัดด้วยน้องชายประจำบ้าน


    “ ผมนั่งตรงกลางระหว่างพี่สองคนแล้วกันจะได้ไม่ทะเลาะกันอีก” สิ้นคำเดรโก้ก็ทิ้งตัวลงอย่างไม่สนใจใคร


    “ เอาเป็นว่าเราก็รู้จักกันพอสมควรแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้แล้วร่างกายของเราต้องพร้อมก่อนที่จะฝึกนะ” เกรทเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับแอลและพีททิ้งไว้เพียงสามหนุ่มที่กำลังจะเกิดสงครามเย็นภายในห้อง


    “ ผมว่าพี่ไปกับผมดีกว่านะครับมีหลายเรื่องทีผมกำลังอยากรู้เรื่องวงการบันเทิงอยู่พอดี” เดรโก้ดึงแวมป์ให้เดินตามออกมา
“ จะไหวไหมเนี่ย” ไซต์พูดขึ้นขณะที่มองผ่านกล้องวงจรปิดในห้องควบคุม ที่ถ่ายทอดสดจากกล้องที่ติดไปทั่วบ้านของทั้งหกด้วยเรื่องความปลอดภัยและการใช้ชีวิตร่วมกัน


    “ ลืมไปเลยว่าแวมไพร์กับหมาป่าไม่ถูกกัน” โทรตที่นั่งข้างๆเอ่ย


    “ ทำไงได้ล่ะก็เอามาแล้วนี่” เลดี้กุมขมับอย่างเหลืออด





สวัสดีค่ะ มาช้าไม่วันนึงขอโทษค่าาาาาาาาาาาาสระอาล้านตัว มาตามต่อกันได้เลยค่ะกับการรวมตัวของหนุ่มๆในบ้านฝึก
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่2 ความลับของ บุตรแห่งเมดูซ่า22.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 22-02-2020 19:47:57
 :t3:ฝากนิยายด้วยยยยงับ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่3 การฝึกครั้งแรก 28.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 28-02-2020 09:28:37
   บทที่สาม การฝึกครั้งแรก

                เสียงสัญญาณดังสนั่นไปทั่วทั้งบ้านหลังใหญ่ที่แบ่งออกเป็นหกห้องภายในองค์กรตั้งแต่เวลาตีห้าและดูทีท่าว่าจะไม่มีทางหยุดจนกว่าคนที่กดสัญญาณอยู่จะเห็นเด็กหนุ่มทั้งหกลุกขึ้นมาจากห้วงนิทราอันแสนสบาย และก็เป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้อย่างไม่มีผิดว่าแต่ละคนต้องตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย บ้างก็บ่นอิดออดเว้นเสียแต่เกรทที่ดูเหมือนจะเสร็จเป็นคนแรก

                “ ขอโทษนะครับ ผมว่าควรกดปิดได้แล้ว เดี๋ยวผมจะเดินไปปลุกคนที่เหลือเอง” เขาหันไปบอกกล้องวงจรปิดที่มั่นใจว่าต้องมีคนคุมมองดูอยู่อย่างแน่นอนเพราะว่าเสียงสัญญาณที่ดังในตอนนี้แทบจะทะลุแก้วหูของเขาแล้ว

 ไม่นานเสียงนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไปราวกับว่าเป็นการรับรู้สิ่งที่เกรทขอร้อง พี่ชายที่โตที่สุดในบ้านเดินตรงดิ่งไปยังห้องน้องเล็กสุดอย่างเดรโก้ที่ไม่มีทีท่าจะเดินออกมาอย่างคนอื่น

                “ ไอ้เบื๊อก! ตื่นได้แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองไปไหน ” เกรทตะโกนข้ามประตูเข้าไป แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับมา “ ฉันบุกล่ะนะ”

                “ อย่าเพิ่งเฮีย !” เดรโก้ตะโกนออกมาเสียงหลง แต่ก็ไม่ทันที่จะคัดค้านของพี่ใหญ่ที่เปิดประตูเดินดุ่มๆเข้าไปอย่างเร่งรีบ

                “ ไอ้ลามก !ทำไมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ล็อคประตู” เขาปิดตาพูดกับเดรโก้ที่เปลือยท่อนบนให้เห็นอกหนาที่เคยซ่อนอยู่ นี่ยังไม่นับรวมท่อนล่างที่โล่งจนเห็นส่วนอื่นๆได้

 เดรโก้ถอยกรูดไปหลบหลังประตูตู้อย่างรวดเร็ว “ ก็ใครใช้ให้เฮียเข้ามาอย่างนี้ล่ะ ผมเสียหายนะครับ”

                “ เหรอ! นายเนี่ยนะเสียหาย ตาฉันจะเป็นกุ้งยิงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” เกรทตอบกลับทั้งๆที่เอามือปิดตา

                “ แล้วบุกเข้ามากันเล่า มีอะไรหรือเปล่าอย่าบอกนะว่าตั้งใจมาแอบดูผม” เดรโก้ยิ้มหวานมาให้เพราะเห็นว่าพี่ชายที่ยืนหน้าห้องตัวแข็งทื่อ

                “ ไม่ใช่!” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง “ คนอื่นเขาไปรวมกันหมดแล้ว เหลือนายเนี่ยแหละทำอะไรช้าจริง”

                “ คร้าบ” เขาลากเสียงยาว “ รับรองอีกสองนาทีถึง เฮียไปก่อนเลย”

 ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งหกก็มารวมตัวกันที่สนามหญ้าโล่งกว้างที่อยู่ภายในการควบคุมขององค์กรเพราะระดับพลังที่จะถูกสอนในวันนี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่อันตรายต่อบุคคลธรรมดาเป็นอย่างมาก

                “ ก่อนจะมีการฝึกซ้อมวันนี้ฉันอยากให้ทุกคนรับชุดพวกนี้ไปเปลี่ยนก่อน มันจะช่วยให้พลังของพวกเธอใช้ได้ง่ายขึ้นแค่ในตอนนี้เท่านั้น เพราะเธออาจยังคุมมันไม่ได้โดยเฉพาะนายเดรโก้” เลดี้ยื่นจุดสีดำที่มีตราสัญลักษณ์ขององค์กรรูปมนุษย์เทพจับมือกันอยู่กลางอกให้กับทั้งหกคน

 ไม่นานชุดที่พร้อมทำการฝึกก็ถูกสวมลงบนตัวอย่างเหมาะสมกับพลังของแต่ละตน อย่างพีทเขาต้องฝึกการต่อสู้โดยใช้อาวุธและมือด้วย เสื้อที่ได้รับก็จะเหนียวและหนาเป็นพิเศษ แอลชุดของเธอเบาบางเพราะต้องง่ายต่อการอยู่ในน้ำแต่ก็ต้องเหนียวเพื่อป้องกันอาวุธที่แหลมคม เฮนรี่และแวมป์จะเป็นชุดที่เน้นการคล่องตัว ส่วนของเกรทจะเน้นเรื่องการอำพลางตัวซึ่งเป็นผ้าที่สามารถปรับตามจิตของเขาได้น้องสุดท้องอย่างเดรโก้แน่นอนผ้าชนิดนั้นต้องสามารถทนความร้อนที่พร้อมจะแผ่ออกมาจากตัวเขาให้ได้

                “ ต่อไปฉันจะให้ทุกคนลองกำหนดจิตเพื่อกำหนดพลังก่อนเพราะหากคุมมันไม่ได้ตัวเธอเองจะเดือดร้อน อีกอย่างพยายามกดความเป็นมนุษย์ของตัวเองไว้ในจิตใต้สำนึกลึกๆก่อนเพราะความเมตตาของจิตใจคนมันจะทำให้เราไม่สามารถสู้กับพวกไม่มีหัวใจอย่างบัลเซบับได้” ฮันเตอร์พูด “ เอาล่ะหลับตาเพ่งไปที่ลูกแก้วตรงหน้าของแต่ละคนมันจะสะท้อนแววตาที่เป็นเลือดอีกครึ่งหนึ่งในตัวเพราะความจริงมักจะถูกเปิดด้วยสายตาของเรา”

 ทั้งหกปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายเพราะพวกเขารู้ดีว่าหากประมาทแล้วจะต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบที่เกิดกับเดรโก้เมื่อวานอย่างแน่นอน

 เมื่อความคิดภายในหัวสงบ ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นมนุษย์ถูกซ่อนงำเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจ แต่หาได้หดหายไปไม่เพราะถ้าหากมันยังคงอยู่จะทำให้ตัวของพวกเขาเองอ่อนไหวและคุมพลังได้ยาก

                “ เอาล่ะฉันหวังว่าคงจะพร้อมกันแล้ว ขอให้พวกเธอระวังตัวให้ดีเพราะนี่คือการฝึกเสมือนจริงที่อาจอันตรายถึงชีวิตได้ จงจำไว้ว่าเราสามารถไว้ใจได้เพียงตัวเราและคนที่คุ้นเคยเท่านั้นอย่าไปหลงกลกับสัตว์พวกนี้” สิ้นคำของฮันเตอร์บาเรียแก้วก็ครอบตัวเขาและเลดี้ทันที

 พื้นดินและสนามหญ้าตรงหน้ายุบตัวลงไป ทั้งหกได้แต่เพ่งพินิจว่าจะมีอะไรโผล่ออกมา และก็เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ไม่มีผิดเพราะสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าเป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงเลยว่าการฝึกวันแรกจะโหดร้ายขนาดนี้

                “ ซอมบี้เลยหรือ ?” เลดี้ถามชายที่ยืนมองด้านข้าง

                “ พวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาแบบไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถแพร่เชื้อได้ไม่ต้องกังวลไป” ฮันเตอร์หันไปบอกเธอที่กำลังมองด้วยแววตากังวล “ ฉันแค่ต้องการดูว่าเขาจะเอาตัวรอดได้แค่ไหน” สิ้นคำก็มีแท่นอาวุธปรากฏขึ้นที่บริเวณด้านหลังกลุ่มร่างไร้วิญญาณนับร้อยที่พุ่งเข้ามา

                “ พีทเธอไม่สามารถควบคุมมันด้วยสายตาได้หรอก !” แวมป์ตะโกนบอกชายหนุ่มที่กำลังพยายามใช้สายตาอันแน่วแน่เพ่งมองศพเดินได้ที่กำลังยกพลเดินเข้ามาหา “ ต้องฆ่าสถานเดียวพวกมันไม่มีความรู้สึก” เขาอธิบายสั้นๆ

                “ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ก็พลังฉันมีแค่นี้” เขาตะโกนย้อนกลับไปอย่างเหลืออดเพราะสถานการณ์บีบเข้ามาอย่างเต็มที่แล้ว ซ้ายมือเขามีเพียงเดรโก้กับเฮนรี่ที่กำลังเข้ารับปรับสู้อย่างไม่สนใจใคร ขวามือก็มีแอลที่ใช้น้ำจากท่อการประปาใกล้ๆสร้างเป็นดาบขึ้นมาสู้ ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับเกรทที่ใช้รากของสนามหญ้าพันขาเอาไว้เพื่อให้ฝ่ายมีดาบฟัน

                “ เธอวิ่งไปที่อาวุธให้เร็วที่สุด ตรงนั้นน่ะ” เขาชี้ไปทางโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาวุธสงคราม “ พร้อมนะ ฉันจะนับถึงสามแล้ววิ่งไปเลย” พีทพยักหน้าเชิงรับรู้ “ หนึ่ง สอง สาม วิ่ง !” เขาตะโกนให้สัญญาณก่อนจะตะโกนบอกทั้งห้าให้มาสนใจพีท “ ช่วยกันคุ้มกันให้เขาที”

                “ ได้เลย” ทั้งสี่ประสานเสียง

 เกรทใช้พลังในส่วนของตนโดยการดึงรากของหญ้าที่อยู่กับพื้นขึ้นมารั้งเหล่าบรรดาศพเดินได้ที่วิ่งตามพีทไป ส่วนเดรโก้และแอลมีหน้าที่ป้องกันพวกที่กำลังโจมตีอยู่โดยมีเฮนรี่กับแวมป์คอยคุมสถานการอีกฝั่ง

                “ เขาถึงแล้ว” แวมป์ผู้มีสายตาที่ส่งไปได้ไกลพูดขึ้นเมื่อเห็นหนุ่มผมลอนคว้าปืนมา “ หมอบ” เขาตะโกนอย่างสุดเสียงสิ้นคำสาวน้อยเลือดคลั่งกราดยิงเหล่าอสุรกายเดินดินอย่างบ้าคลั่งแต่มันก็ไม่สามารถทำให้ร่างที่เดินอยู่นั้นสะท้านได้

                “ เอาไงดีถ้าเธอไม่หยุดยิงเราอาจโดนลูกหลงด้วยนะ” เฮนรี่เอ่ย

                “ นายสามารถบังคับให้เห็นม่านลวงตาได้ใช่ไหม ?” แวมป์เอ่ยอยากกระหืดกะหอบ

                “ ใช่ ทำไมเหรอ?” เจ้าของพลังถามกลับ

                “ นายสั่งให้พีทที่กำลังกราดยิงอยู่นั้นเห็นว่าพวกผีตายหมดแล้ว พอเธอหยุดยิงฉันจะวิ่งไปแย่งปืนเอง” แวมไพร์หนุ่มเอ่ย

                “ ส่วนนายสองคนคอยคุ้มกันพวกที่คอยโจมตีเกรทด้วย” เขาหันไปสั่งเฮนรี่กับเดรโก้ที่กำลังเลือดร้อนพร้อมสู้หากแต่ว่า

                “ แล้วนายเป็นใครวะ สั่งอยู่ได้อย่างกับเป็นหัวหน้า” เฮนรี่ผู้ที่เลือดภายในตัวช่างต่อต้านเลือดของแวมป์เสียเหลือเกินเอ่ยอย่างไม่พอใจกับการออกคำสั่งเท่าไหร่นักเพราะมันหลายครั้งแล้วที่แวมป์เอาแต่สั่งเขา

                “ ก็ไม่ได้เก่งมาจากไหนหรอก แต่ฉันรู้ว่าฉันผ่านเรื่องพวกนี้มามากกว่าพวกนายก็แล้วกัน ถ้าอยากรอดก็เชื่อฉันถ้าไม่อย่างนั้นก็เตรียมไปเป็นอาหารพวกมันได้เลยหรือไม่ก็อาจโดนกระสุนจากพีทด้วย” เขาชี้ไปทางพีทที่ยังคงกราดยิงมาอย่างไม่หยุดหย่อน

                “ เออ” เฮนรี่จนมุมด้วยหลักการ “ แต่ที่ทำฉันบอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ได้เชื่อนาย เพราะนายเป็นใหญ่ในหมู่พวกเราหรอกนะแต่ฉันเป็นพวกเห็นแก่ส่วนรวม” คนที่ฟังยิ้มรับอย่างเข้าใจได้

                “ เริ่ม” สิ้นคำรอบข้างก็เต็มไปด้วยศพที่มีสภาพเหมือนถูกยิงบ้างสมองกระจุยบ้างก็แขนไปทางขาไปทางหัวอยู่อีกทางพีทที่กำลังกราดยิงอยู่นั้นก็สิ้นสุดลงแวมเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเข้าไปคว้าร่างบางไว้ก่อนที่ซอมบี้ที่เธอเห็นว่าตายแล้วจะขย้ำ

                “ สำเร็จแล้ว” เขาบอกคนที่วิ่งเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ

                “ สำเร็จอะไรกัน เธอกำลังจะฆ่าพวกเราทุกคน พวกมันไม่ได้สะท้านเลยรู้ไหม” เขาอธิบาย

                “ จะบ้าเหรอไม่เห็นหรือไงว่าฉันจัดการหมดแล้ว” เขาชี้ไปตรงหน้าผายให้เห็นสิ่งที่ตนเห็นแต่หาใช่สิ่งที่เป็นไม่

                “ ลองดูใหม่ซิ” เขาเว้นเสียง “ หยุด”

 คนหูดีอย่างเฮนรี่หันไปบอกตามที่ได้ยิน สาวนักพลางตัวหยุดเพ่งสายตาทันที ทำให้สิ่งที่เห็นตรงหน้าตอนนี้เหมือนเดิมคือยังคงมีศพเดินได้ที่ชุ่มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองที่ไหลออกมาตามรูที่โดนยิง

                “ ไม่จริงเป็นไปไม่ได้ ฉันยิงไปขนาดนั้นทำไมมันถึงยังเดินสบายใจแบบนี้อยู่ได้” เขาตกใจกับสิ่งที่ตนเห็น

                “ พวกนี้มันเป็นศพถ้าหากอยากชนะไม่เผาก็ต้องตัดคอ” เขาหยิบดาบยาวประมาณหนึ่งช่วงแขนที่วางอยู่บนโต๊ะยื่นไปให้บัตรแห่งเมดูซ่าที่กำลังงงงันอยู่ “ เอานี่ไปฉันว่าคงชัวร์กว่าปืนเมื่อกี้นี้” เขาพูดเชิงประชดประชัน

                “ ขอบคุณ” พีทรับมาอย่างเก้ๆกังๆ “ แล้วไงต่อ”

                “ ฟันที่คอมันให้ขาด” เขาตะโกนก่อนจะคว้าดาบอีกอันมาบ้าง “ ลุย” สิ้นเสียงสงครามขนาดย่อมก็ได้อุบัติขึ้น

 ทั้งหกใช้พลังที่มีอยู่ในตัวทั้งหมดจัดการบรรดาซอมบี้กินเวลานานไปกว่าครึ่งชั่วโมงจนแสงแรกในยามเช้าค่อยๆทอดประกายขึ้นเรื่อยๆ

 ร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นล้มตายเกลื่อนกราดสนามหญ้า แขนไปทางขาไปทางซึ่งน่าจะเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนให้กับใครหลายๆคนเว้นแต่ว่าพื้นที่ตรงนั้นจะยุบตัวลงแล้วจัดการเศษซากเหล่านั้นอย่างรวดเร็วมิเช่นนั้นอาจมีใครทานข้าวเช้าไม่ลงกันบ้างล่ะ

                “ เอาล่ะพอแค่นี้ก่อนไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมทานข้าวแล้วเข้าประชุม” ฮันเตอร์พูดก่อนจะทิ้งให้หนุ่มสาวที่หมดเรี่ยวแรงจากกิจรรมในตอนเช้าคุยต่อกันเอง

                “ นี่แค่เบาะๆหรือเรียกว่าวอร์มตอนเช้าก็ได้” เลดี้ทิ้งคำแล้วเดินตามไป

                “ วอร์มเหรอ ยายเจ๊หน้านิ่งมันบอกว่าวอร์มเหรอแถวบ้านฉันเรียกว่าจะฆ่ากันหรือทำสงครามแล้วเนี่ย ฉันนึกว่าจะต้องฝึกใช้อาวุธฝึกต่อยมวยหรือวิ่งเบาๆก่อน ที่ไหนได้ให้มาออกกำลังกายกับศพเนี่ยนะ” เดรโก้หนุ่มน้อยของบ้านบ่นอย่างขอไปทีก่อนจะทิ้งตัวนอนอย่างหมดแรงลงไปบนพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยคาวเลือดที่ยังคงติดอยู่หลังทำความสะอาด

                “ จะบ่นเอาอะไรวะ คิดซะว่าเล่นเกมแล้วกัน” เฮนรี่เอ่ยปลอบใจชายหนุ่มที่เพิ่งตัดพ้อไป

                “ ฉันว่าเรารีบไปอาบน้ำกินข้าวกันเถอะ ถ้าขนาดนี้เรียกวอร์มฉันมั่นใจได้ว่าต้องมีอะไรหนักกว่านี้รออยู่แน่” เกรทเสนอพลางปัดเหงื่อเม็ดโตที่ไหลย้อยมาบนหน้า

                “ ดีเหมือนกัน ฉันก็รู้สึกแขยงตัวขึ้นมาแล้ว ไปกันเถอะ” พีทเอ่ยพลางทำหน้าสะอิดสะเอียนเหมือนจะอาเจียนออกมาก็ไม่ปาน

                “ โอเคแล้วเจอกัน” แอลเอ่ยก่อนจะเดินไปสมทบเพราะเขาก็มีร่างกายที่โทรมไม่ต่างจากทุกคน

 ร่างกายสะอาดสะอ้านที่ชำระคราบเลือดคราบเหงื่ออกจากร่างกายไปจนหมดสิ้น ทิ้งไว้เพียงรอยขีดขวดและฟกช้ำจนเป็นจ้ำเป็นจุดซึ่งรอยเหล่านี้หาได้มีผลต่อหนุ่มๆแต่อย่างใด

                “ พี่แอลดูสิแขนฉันจะเป็นแผลเป็นไหมเนี่ย” พีทที่ต้องใช้ผิวพรรณรวมทั้งหน้าตาในการทำมาหากินพูดขึ้นอย่างกังวลใจ

                “ เดี๋ยวมันก็หายน่า อย่าไปคิดมากเลยดูอย่างแวมป์ขนาดเขาเป็นดาราแท้ๆยังไม่เห็นบ่นอะไรเลย มีแต่แกนี่แหละที่หน้าบูดหน้าบึ้งอยู่นั่นแหละกับแค่รอยขีดข่วนอะไรนักหนาเชียว” แอลปลอบโยนน้องสาว แต่ในใจเขาเองก็กังวลไม่แพ้กันจึงแอบใส่ยาลบเลือนแผลเป็นทาบางๆไว้ก่อน

                “ ว่าไม่ได้นะ ผู้ชายอย่างเราต้องรู้จักบำรุงรักษาตัวเองให้ดีทั้งจากภายนอกและภายในจะต้องมีสุขภาพที่ดีแล้วผิวพรรณก็เป็นเรื่องสำคัญ” เกรทที่เดินเข้ามานั่งข้างๆพูดขึ้น “ ลองเอานี่ไปใช้ดูรับรองเจ๋ง”

                “ ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าคนอย่างเฮียเนี่ยจะดูแลรักษาอะไรเรื่องพวกนี้ด้วยแต่ยังไงก็ขอบคุณนะ” พีทรับยาที่เกรทยื่นมาให้เขียนข้างกระปุกว่า ‘สมุนไพรลบเลือนริ้วรอยจากว่าน 108 ชนิด’

                “ หนุ่มๆจ๋า จะบ่นอีกนานมั้ยจ๊ะ เราหิวกันจะแย่อยู่แล้วนะโดยเฉพาะเฮียมาช้าสุดรู้ไหมว่าฉันแทบจะกินช้างได้ทั้งตัวพร้อมเคี้ยวกระดูกได้เลยนะเนี่ย” เดรโก้ที่นั่งจ้องหนุ่มๆอยู่นานเอ่ยขึ้นเพราะตามมารยาทบนโต๊ะอาหารแล้วต้องรอรับประทานพร้อมกัน

                “ แกอย่ามาเหมาว่าเราเลย ฉันรอได้” เฮนรี่บ่น

                “ จะอ้วกว่ะ แต่เสียดายของ” คู่ปรับตลอดกาลอย่างแวมป์เอ่ยกัดก่อนจะจิบน้ำสีแดงกลิ่นคาวคลุ้งเข้าไปในปากอย่างสบายใจ

                “ ใครขอความคิดเห็นไม่ทราบ” เฮนรี่หันไปตามต้นเสียงที่เอ่ยกัดตนเมื่อครู่

                “ เปล่าก็ยังไม่ได้พูดอะไร ถึงใครเลยนี่ หรือว่าถ้านายอยากรับก็รับไปสิ” เขาเอ่ยอย่างงเลื่อนลอย

                “ พอๆได้แล้วขอร้องล่ะครับ หยุดหาเรื่องกันสักทีได้ไหม ผมล่ะปวดหัวกับพวกพี่จริงๆเลย จะอะไรกันนักกันหนาทะเลาะกันอยู่ได้” น้องเล็กสุดปรามทันทีเพราะเหตุด้วยว่าทั้งบ้านมีชายสามคน ทะเลาะกันสองจึงทำให้เขาเป็นกรรมการห้ามอยู่ร่ำไป

                “ เห็นด้วย ฉันคิดว่าเราควรรีบๆทานได้แล้ว จะได้ไปประชุมเพราะเมื่อกี้แอบเห็นมาว่ามีนายตำรวจใหญ่เข้ามาพบฮันเตอร์ด้วยแหละ” เกรทที่ไวกับทุกเรื่องเอ่ยขึ้น

                “ ชักตื่นเต้นแล้วสิ” พีทตาลุกวาว

 หลังจากรับประทานอาหารเช้าเข้าไปกันอย่างอิ่มหมีพลีพัน ทั้งหกก็ตรงดิ่งไปยังห้องบัญชาการใหญ่ก่อนจะใช้สายตาของตนสแกนเข้ากับเครื่องตรวจจับม่านตาแสดงตัวตนเพื่อปลดล็อคประตูเข้าไปทีละคนเพราะหากไม่ทำเช่นนั้นแล้วจากประตูปกติจะกลายเป็นสนามไฟฟ้าทันที ซึ่งเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงระมัดระวังกับขั้นตอนนี้ที่สุด

                “ เอาล่ะมากันครบแล้วนะ” ฮันเตอร์เอ่ยจากเก้าอี้ตัวประจำที่วางอยู่บริเวณหัวโต๊ะก่อนจะหันกลับไปสั่งเลดี้ให้ทำการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย

                “ เรียบร้อยแล้วครับฮันเตอร์” เขาบอกพร้อมกับไปนั่งที่เก้าอีประจำตัวที่ตรงหน้ามีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดีๆมากมาย

                “ ที่ฉันเรียกประชุมด่วนในวันนี้ก็เพราะว่ามีรายงานจากเบนมาว่ามีศพจำนวนมากหายไปจากโรงพยาบาล ป่าช้า และตามสุสาน ซึ่งทำให้เราสันนิษฐานได้เลยว่าพวกมันกำลังสร้างกองกำลัง” เขาพูดทั้งที่สายตาหลายคู่จดจ่อมาที่ศพที่นอนแน่นิ่งอยู่ตู้แก้วที่ปรากฏขึ้นกลางโต๊ะซึ่งเป็นภาพเสมือนจริง

                “ นี่มันคือพวกที่เราเจอเมื่อเช้านี่” เดรโก้หันไปกระซิบกับเฮนรี่แต่ก็ต้องหยุดลงเพราะได้ยินเสียงปรามให้หยุดพูดมาจากโทรตที่นั่งอยู่ข้างๆ

                “ สิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่นี้มันคือซอมบี้ที่ถูกสร้างมาจากไวรัสที่ไม่ร้ายแรงมากซึ่งตัดต่อโดยพวกนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเกี่ยวกับชีวเคมีที่พวกเรามีอยู่สร้างมันขึ้นมาเพื่อให้พวกเธอฝึกการต่อสู้ ดังนั้นมันจึงไม่อันตรายและแพร่เชื้อได้” เขาพูดก่อนที่มิวส์จะลุกเสริมขึ้นมาว่า

                “ อย่างที่บอกว่าหากมันถูกสร้างมาด้วยไวรัสสิ่งที่เราจัดการมันได้ดีที่สุดคือต้องตัดหัวเพราะเป็นจุดสูญกลางในการเชื่อมโยงระหว่างสมอง เว้นเสียแต่ว่าศพที่พวกมันเอาไปนั้นไม่ได้เอาไปให้นักวิทยาศาสตร์ทำการทดลองอย่างแน่นอน” มิวส์หันไปให้สัญญาณกับเลดี้ที่คอยคุมภาพเสมือนใจกลางโต๊ะประชุมอยู่ทำให้ปรากฏภาพชายหญิงนุ่งน้อยห่มน้อยจากนอกสภาพผิวกร้านแดดจนกลายเป็นรอยไหม้แล้วยังลวดลายอักขระจำนวนมากที่สักอยู่ตามตัว ในมือของพวกศพเหล่านั้นถือกะโหลกสีขาวราวกับว่ามันคือของเล่น ผมเพ่าก็ดูกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง

                “ นี่คือชนเผ่าวูดูหรือลัทธิวูดูที่เหลืออยู่น้อยนิดบนโลกเรา  ซึ่งผมได้ข่าวมาว่าพวกนี้ถูกจับตัวไปทำงานให้บัลเซบับซึ่งเท่าที่เรามีข้อมูลอยู่นั้น ทำให้รู้ว่า ‘ซอมบี้’ นี้เกิดขึ้นนี้มันเหมือนกับซอมบี้ที่เกิดครั้งแรกในดินแดนแถบริมฝั่งทะเลคาริบเบียน และได้เผยแพร่ขยายไปในส่วนต่างๆ ของทวีปยุโรป ผู้ที่ทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมา คือบรรดาพ่อมดหมอผีผู้รอบรู้เกี่ยวกับวิชามนต์ดำในลัทธิวูดู อันเป็นลัทธิหนึ่งซึ่งมีวิธีปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์ โดยการท่องมนต์ลึกลับอ้อนวอนต่อ เวสตู เทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้าย นอกจากนั้นลัทธิวูดู ยังมีมีพิธีการเกี่ยวกับการสาปแช่งและสังหารศัตรู ด้วยวิธีการของมนต์ดำอีกมากมาย ซอมบี้ที่ถูกปลุกจากพวกหมอผีหรือพวกลัทธิ มักจะมีนิสัยดุร้าย ชอบกินพวกซากคนตายตามสุสาน ซากสัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่คนเป็นก็ย่อมได้พวกมันจะมีลักษณะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่ บางพวกและยิ่งร้ายไปกว่านั้นเราได้พบซอมบี้ที่มีชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วทำให้ไม่สามารถที่จะตั้งตัวหรือตั้งรับได้เหมือนหนังดังๆหลายเรื่องที่เราเคยดูและอีกอย่างที่พวกมันสร้างซอมบี้ขึ้นมาไม่ได้เพื่อใช้ฆ่าใครอย่างเดียวเพราะตอนนี้มันกำลังออกตามหาคนที่เป็นเหมือนกับพวกเธอ หากพวกนั้นขัดขืนก็จะถูกฆ่าและเป็นอาหารพวกมัน” มิวส์สรุป

                “ แล้วอย่างนี้จะมีวิธีปราบมันได้ยังไงล่ะในเมื่อมันถูกสร้างมาจากมนต์ดำหรือว่าเอาสายสิญจน์ไปคล้องดี” เฮนรี่ถามทีเล่นทีจริง

                “ ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกผีดิบก็เหมือนซอมบี้ อย่างที่บอกไว้ตอนต้น มันมีความแข็งแรงสูง แถมเป็นพวกไม่กลัวแสงแดด เวลาโดนอะไรก็จะไม่รู้สึกนอกเสียจากว่า ทำลายมันให้เละ” มิวส์ผู้ค้นข้อมูลเอ่ยขึ้น

                “ ตอนนี้สิ่งที่มันอยากได้อีกก็คือ ‘จารึก’ ที่หายไป” แบรดที่นั่งข้างๆชายหนุ่มสมทบ“ ซึ่งเราก็มีอยู่เสียด้วยผมอยากให้เราตั้งรับดีๆเพราะมันอาจจะบุกมาที่นี่ก็ได้” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง

                “ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงด็อกเตอร์เรากำลังเร่งพัฒนาฝีมือเด็กๆอยู่แต่ที่น่ากังวลคือตอนนี้เราแกะแผ่นจารึกไปถึงไหนแล้ว” ฮันเตอร์พูดเรื่องที่ตนกังวลเพราะหากบัลเซบับรู้เรื่องก่อนมันจะทำให้พวกเขาทำงานลำบากขึ้น

                “ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ครับ เพราะตอนนี้เราเหลือเพียงส่วนที่เป็นภาษาพาเซลรอให้พีทมาช่วยก็เท่านั้น” แบรดเอ่ย

                “ อย่างนั้นวันนี้ผมจะให้พีทพักการซ้อมไว้ก่อน แล้วไปช่วยคุณมิวส์แกะจารึกเพราะยิ่งรู้เร็วก็ยิ่งดี” ฮันเตอร์ เสนอ

                “ ดีเหมือนกันผมก็อยากรู้จริงๆว่าส่วนๆนั้นมันคืออะไรทำไมถึงได้ต้องมีหลายภาษาอย่างนี้” มิวส์เอ่ย

                “ สรุปวันนี้ช่วงบ่ายเราจะฝึกกันต่อขอให้ทุกคนพร้อมไว้ด้วย ส่วนพีทไปช่วยด็อกเตอร์กับคุณมิวส์พรุ่งนี้ค่อยมาฝึกใช้อาวุธ” ฮันเตอร์สรุปผลการประชุมก่อนจะแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนทิ้งไว้เพียงความไม่สบายใจและความอึดอัดของพีทเท่านั้น



สวัสดีค่ะ วันนี้เป็นการฝึกซ้อมครั้งแรก ของหนุ่มๆนะคะ หวังว่าจะชอบกัน จะพยายามเขียนแอคชั่นให้เก่งกว่านี้นะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่3 การฝึกครั้งแรก 28.2.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 29-02-2020 23:39:45
ฝากนิยายด้วยค่ะ :mew2:
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่4 ความลับและสาเหตุ 7.3.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 07-03-2020 00:06:13
บทที่สี่ ความลับและสาเหตุความเกลียดชัง

               “ เดี๋ยวอยู่กันสองคนไปก่อนนะ ผมจะออกไปช่วยเลดี้ดูระบบรักษาความปลอดภัยเสียหน่อย” แบรดหันไปบอกสองศัตรูคู่อาฆาตที่นั่งจ้องๆมองๆจารึกแผ่นหนาที่วางอยู่บนโต๊ะใหญ่

                “ ถึงไหนแล้ว” พีทพูดฝ่าความเงียบขึ้นมาอย่างดุดันทำให้อีกฝ่ายจำต้องตอบโต้กลับ

                “ พูดดีๆก็ได้มั้งคุณ ไม่ต้องมากระแทกเสียงก็ได้ อีกอย่างผมก็ยืนอยู่แค่นี้จะเสียงดังไปทำไม” มิวส์สวนกลับ

                “ อ้าว ผมก็พูดของผมแบบนี้จะให้เอายังไงล่ะ”  เขาสวนกลับอย่างทันทีเหมือนกัน

                “ ก็ไม่เอายังไงผมจะพยายามทำความเข้าใจกับคุณให้มากกว่านี้ก็แล้วกันเพราะเรายังต้องทำงานด้วยกันไม่อยากเอาเรื่องไร้สาระมาทำให้งานเดินช้าไปกว่านี้”

                “ ครับ” เขากระแทกสียงอย่างอดกลั้น “ แล้วจะให้ทำอะไรบ้างครับ”

                “ เท่าที่ผมแปลมา” เขาเข้าสู่โหมดจริงจังทันทีที่เข้าเรื่องงาน “ อย่างที่เคยบอกไปวันนั้นว่าเราได้จารึกมาเพียงบางส่วนเท่านั้นส่วนที่ผมและคุณกำลังจะแปลนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นส่วนของหนึ่งในหกสิ่งที่ทั้งเราและพวกนั้นหากันอยู่แต่ภาษาพวกนี้เท่าที่ผมแปลน่าจะเป็นภาษาพาเซลเป็นภาษาโบราณที่ไม่มีการนำมาใช้กันแล้วจะมีก็แต่พวกที่บูชางูเท่านั้นซึ่งผมก็เดาได้ว่าที่คุณแปลด้วยแสดงว่าคุณมีสายเลือด”

                “ ครับ ผมมีสายเลือดฝั่งแม่เป็นเมดูซ่าครับ” เขาแทรกขึ้น “ ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

                “ อ๋อ! มิน่าล่ะทำไมดูคุณกับผมไม่ค่อยถูกชะตากัน”

                “ ทำไมเหรอครับ” พีทถามกลับอย่างสนใจเพราะกับเขาแล้วเหมือนเกลียดกันราวกับว่าเป็นศัตรูกันมาก่อนแม้จะเพิ่งเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง

                “ ผมมีสายเลือดที่คล้ายกับพวกคุณแต่ไม่ได้สืบมาโดยตรงหรอกนะ” เขาอธิบาย “ ต้นตระกูลของผมตั้งแต่สมัยทวดของทวดแล้วท่านเล่าต่อกันมาว่าตระกูลของเรานับถือเทพีอธีน่ากันมานานเพราะเชื่อกันว่าฝ่ายทางพ่อของผมเคยเป็นคนใกล้ชิดสนิทของท่านที่ เอ่อ” เขาตะกุกตะกัก

                “ ที่ฆ่าแม่ของผมใช่ไหมครับ” เขาตอบกลับไป

 เขาพยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “ผมว่านี่จะเป็นส่วนที่ทำให้เราไม่ค่อยถูกชะตากันก็ได้เพราะสายเลือดของเราทั้งคู่มีคำว่าไม่คู่ควรแก่การเป็นมิตรหรือคนรักขีดกั้นไว้อยู่ แต่ผมว่านั่นน่าจะเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่าถ้าเราจะคุยดีๆกันก็คงทำได้มั้งคุณว่ามั้ย”

                “ น่าจะได้มั้ง” เขาตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “ ผมว่าเราควรเริ่มงานแล้วหรือเปล่า”

                “ ได้ครับ” เขาตอบอย่างสุภาพ

 หนุ่มผมลอนใช้มือเรียวยาวลูบผ่านอักษรที่เกิดจากการแกะสลักแผ่นหินช้าๆแววตาคู่งามมองอย่างพิจารณาเพราะเธอก็ไม่สามารถอ่านออกได้อย่างรวดเร็วเท่าไหร่นักจึงต้องใช้สมาธิอย่างยิ่งในการทำงานครั้งนี้เพราะหากพลาดชะตาชีวิตของตัวเขาเองและโลกมนุษย์อาจเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ได้

                “ กอร์กอน” เขาพึมพำ “ ถ้ำกอร์กอน”

                “ กอร์กอนเหรอ” มิวส์เอ่ยอย่างติดใจเพราะเขาเอ่ยคำนี้เป็นรอบที่สองหลังจากประชุมกันครั้งที่แล้ว “ผมจำได้ล่ะวันนั้นนายก็พูดถึงเรื่องปากทางเข้าอะไรนี่แหละลองแปลดูซิ”

                “ รู้แล้วกำลังเร่งอยู่ แต่ขออยู่เงียบๆซักพักได้ไหม” เขาหันมาทำท่าดุ

                “ โอเค” คนที่โดนดุสงบเสงี่ยมลงแล้วเดินออกไปทางประตูที่ปิดไว้

 นัยน์ตาสีทรายใช้ความสงบที่กลับเข้ามาอีกครั้งอย่างตั้งอกตั้งใจตัวอักขระต่างๆที่เคยแปลกตาไปกลับค่อยๆเด่นชัดขึ้นมาภายแววตา ริมฝีปากคู่งามคลี่ออกอย่างโล่งใจเขาไล่อ่านลงมาอย่างสนใจ

                ‘ จงไปตามที่ๆศรัทธาในตัวข้า หากแห่งนั้นไร้ซึ่งศรัทธาประตูจะผนึกไปชั่วกาล จงบูชา จงเชื่อในสิ่งที่คิดอยู่บนความถูกต้อง ความเป็นข้าจะเป็นหนทางแห่งการเปิดประตูที่ปิดไว้’

                “ แค่นี้เหรอ ? จะบอกทั้งทีบอกแค่นี้เหรอ” เขาพึมพำ

                “ เป็นไงบ้าง” มิวส์ถามคำถามออกไปพร้อมยื่นโกโก้ในแก้วสีขาวที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจคละคลุ้งไปทั่วห้อง

                “ ขอบคุณ” เขารับแก้วเข้ามาก่อนจะเป่าลมเพื่อลดระดับความร้อนแล้วจิบเข้าปาก “ ผมจับใจความได้ประมาณนี้” แผ่นกระดาษสีขาวที่เขียนข้อความไว้ถูกส่งมาให้คนตรงหน้าอย่างเร่งรีบ “คุณคิดว่ายังไง”

                “ เราต้องรีบหาประตูให้ได้” เขาพูดอย่างมีความหวัง “ ตามผมมา”

                “ คุณจะไปไหนเราไม่มีส่วนที่หายไปไม่ใช่เหรอ มันอาจจะบอกอะไรที่มันละเอียดกว่านี้ก็ได้นะ ฉันว่าถ้าออกไปตอนนี้เราก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรหรือเปล่า” พีทอธิบาย

                “ มันไม่ทันแล้วตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกแย่มาก แล้วอีกอย่างผมคิดว่าเราจะไปหาข้อมูลนี้ได้จากไหน” เขาคลี่ยิ้มให้ชายหนุ่มที่เอาแต่ตั้งคำถามก่อนจะพากันออกไปข้างนอกโดยรถส่วนตัวของมิวส์เอง

 ทั้งคู่พากันขับรถมานอกเมืองจนถึงบ้านทรงยุโรปที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดแต่ไร้ซึ่งการจัดให้เป็นหมวดหมู่เลยแม้แต่น้อยแค่มองจากบริเวณประตูรั้วสีดำที่ลงกุญแจสนิมเขรอะไว้ ถ้าชายที่พามาไม่บอกว่ามีคนอยู่ล่ะก็คงคิดว่าที่นี่เป็นบ้านผีสิงหรือบ้านร้างอะไรเทือกนั้นอย่างแน่นอนเพราะยิ่งมองไปรอบพื้นที่นี้มีแต่สัตว์ที่เราเรียกกันว่างูเลื้อยกันเพ่นพ่านไปหมด

   “มาหาใครกันน่ะหรือว่าเป็นแขกของที่นี่”

                “ เสียงใครน่ะ” เขาสบถกับตัวเองก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มด้านข้างที่ทำท่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร “ คุณคุยกับฉันหรือเปล่า?”

                “ ผมยังไม่ได้พูดอะไรกับคุณเลย คุณคิดไปเองหรือเปล่า” เขาตอบกลับอย่างสงสัย

                “แปลกจริง เขาได้ยินเราด้วย” เสียงปริศนาพึมพำก่อนที่จะตะโกนร้องเรียก “พวกเรามีคนคุยกับพวกเราได้ด้วย”

                “ใครน่ะ ถ้าไม่ออกมาฉันจะ ฉันจะ” เขากระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดเพราะเสียงยังคงเซ็งแซ่ภายในโสตประสาท

                “ คุณอยู่นิ่งๆสิเดี๋ยวงูแถวนี้มันก็ฉกหรอก” เขาหันมากระซิบบอกพีทที่ยืนไม่นิ่งข้างๆพ้อมกับชี้ให้เขามองงูสองสามตัวที่แผ่แม่เบี้ยอยู่ที่พื้นซึ่งยังไม่นับรวมงูเหลือมขนาดมหึมาที่พาดอยู่บนรั้ว “ เพื่อนผมบอกว่ามันกำลังออกมา งูพวกนี้มันคุ้นผมแต่คุณแปลกหน้าแปลกกลิ่นอาจจะฉกเอาได้”

                “คุณไม่ต้องห่วงหรอกพวกเราไม่ฉกคุณอย่างแน่นอนเพราะคุณมิวส์คือคนที่เราไว้ใจ คุณเป็นเพื่อนเขาเราจึงไม่ทำร้ายคุณเราดีใจมากกว่าที่นานๆทีจะมีคนฟังเรารู้เรื่อง”

                “ อย่าบอกนะว่าที่ฉันได้ยินคือเสียงนายน่ะ” พีทค่อยๆนั่งลงแล้วพูดขึ้นอย่างลอยๆ “ แล้วตัวไหนล่ะฉันจะรู้ไหมว่าฉันอยู่กับใครคนที่มากับฉันเขาจะหาว่าฉันบ้าแล้วนะ” เขาเหน็บคนที่มองเธอแล้วยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ย

 งูตัวที่ดูจะใหญ่กว่าตัวอื่นเลื่อยผ่าเข้ามาหาหญิงสาวคู่สนทนาอย่างรวดเร็วเขาถอยตั้งหลักอย่างรวดเร็วเพราะไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะใช่ตัวที่คุยกับเธอหรือเปล่าเพราะหากไม่ใช่มันอาจจะทำร้ายเขาก็ได้

                “บอกว่าไม่ต้องกลัวไง เอาล่ะขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยแล้วกันฉันชื่อลูฟเป็นหัวหน้าผู้ดูแลความปลอดภัยที่นี่”

                “ คุณคุยกับงูได้ด้วยเหรอผมไม่ยักรู้” ชายหนุ่มที่มาด้วยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

                “ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันแหละอย่าว่าแต่คุณเลย” เขายิ้มเจื่อนๆให้ก่อนจะมาสนใจกับพลังใหม่ของตน “ แล้วอยู่ที่นี่มานานหรือยัง”

                “เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วล่ะพ่อเล่าว่าเพราะตั้งแต่ครอบครัวของคุณแดนย้ายเข้ามาที่นี่เราก็ถูกเลี้ยงมาอย่างดีเหมือนเป็นญาติกันผมก็เหมือนเป็นพี่น้องของคุณแดนเพราะเราโตมาด้วยกัน” งูที่แผ่แม่เบี้ยอย่างสง่าเอ่ย “แล้วมาหาคุณแดนทำไมกันเหรอ”

                “ เราแค่จะมาถามเรื่องแผ่นจารึกของ” ยังไม่ทันจบบทสนทนาของเขาก็เงียบลงเมื่อชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับมิวส์แต่ดูจะเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดินมา

               “ ไม่ทราบว่าผมมีอะไรติดหน้าหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นทันทีเพราะรู้ตัวว่าตนเองกำลังเป็นเป้าสายตา

                “ นี่คุณพีทคนที่ฉันเล่าให้ฟัง” มิวส์ผายมือแนะนำ “ ส่วนนี่แดนเป็นรุ่นพี่ของผมสมัยเรียน” เขาหันไปบอกพีทที่กำลังทำหน้าสงสัยด้วยความแตกต่างทางการแต่งกายของเขาทั้งสองคน เพราะแดนดูแต่งตัวเนี้ยบหรูและทุกอย่างเป็นแบรนด์เนม

                “ สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เขายกมือไหว้อย่างนอบน้อม

                “ อะไรกันวะ มัวแต่มองอยู่นั่นแหละ ไม่คิดจะเปิดประตูให้เข้าไปหน่อยเหรอ”

                “ เออๆ เร่งจริง ก็ตาน้องเขามันดึงดูดใจจริงๆเลยวะแต่แปลกจริงๆว่าทั้งๆที่ไม่เคยมาที่นี่ทำไมเจ้าลูฟมันถึงดูสนิทจัง” แดนก้มลงถามถึงงูของตน

                “ ผมคุยกับมันได้ครับ” เขาพูดอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะกลายเป็นตัวประหลาดสายตาของคนที่เพิ่งรู้จักใหม่เพราะ

รู้ดีว่าเขาต้องเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีแน่นอน

                “ ดีเลยครับนานๆทีผมจะเจอคนที่คุยกันถูกคอเสียทียังไงก็เชิญเข้ามาก่อนเลยนะครับ” เข้าพูดอย่างสุภาพก่อนจะหันไปใช้น้ำเสียงคนละโทนกับเพื่อนรุ่นน้อง “ ส่วนแกเอารถจอดไว้ที่นี่แหละไม่หายแน่นอนขืนขับเข้าไปเหยีบบรรดาเพื่อนๆของฉันหมด”

                “ เออ” เขาตอบสั้นๆก่อนที่จะสาวเท้าตามแดนและพีทที่เดินนำหน้าเข้าไป

ทันทีที่ก้าวผ่านพ้นประตูรั้วเข้ามาสิ่งที่พบด้านนอกยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นงูที่ดูจะหลากสายพันธุ์ขึ้นรวมถึงต้นไม้ที่ดูจะมีรูปทรงแปลกตาซึ่งบางชนิดเขาก็เพิ่งเคยเห็นที่นี่

                “ โห ถ้าพี่เกรทมาเห็นที่นี่รับรองได้เลยว่าต้องอยู่ได้ทั้งวันแน่ๆ” เขาเอ่ยพลางมองรอบตัวอย่างตื่นตาตื่นใจแต่ก็ต้องสะดุดกับรูปปั้นหินของหญิงสาวที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางสวนที่เหมือนกับมีชีวิตมองแล้วชวนขนลุกไม่เบา

                “ นั่นเป็นรูปปั้นของแม่บ้านคนก่อนครับคิดจะขโมยของเลยโดนสาป” แดนอธิบายสั้นๆแต่ก็สร้างความสนใจให้กับเขาได้ไม่น้อยแต่การสนทนาก็ไม่ได้ถูกสานต่อไปอย่างใดเพราะเจ้าของบ้านเดินดิ่งเข้าไปภายในบ้านทันที

                “ คุณ ที่นี่ดูขนลุกแปลกๆนะ” พีทสะกิดมิวส์ที่เดินนิ่งไม่สนโลกอยู่ข้างๆ

                “ แปลกยังไงพี่เขาเป็นคนอนุรักษ์ธรรมชาติเขาก็เลยไม่ตัดต้นไม่ถ้าสิ่งนี้ที่คุณว่าแปลกแล้วคุณคิดผิด” เขาเกริ่นนำแล้วทิ้งข้อสงสัยให้ชายหนุ่มอีกปมหนึ่ง

                “ ทำไมวันนี้เจอแต่คนพูดไม่รู้เรื่องนะปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย” เขาบ่นก่อนจะรีบจ้ำเท้าไปอย่างรวดเร็วจนเข้าไปในตัวบ้าน

 ภายในห้องรับแขกถูกตกแต่งไม่ต่างกับตัวบ้านที่เป็นสไตล์ยุโรปตามฝาผนังเต็มไปด้วยรูปถ่ายและรูปวาดของคนที่คาดว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษ แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปจากคนปกติคงจะเป็นรูปทุกใบจะมีเหมือนหนังงูที่ลอกคราบแขวนประดับประดาอยู่ยังไม่รวมถึงรูปปั้นหรือแม้กระทั่งลายแจกันก็ยังเป็นงูทั้งหมด

                “ ดูคุณแดนจะรักงูมากเลยนะครับ” พีทพูดทำลายความเงียบของเจ้าของบ้านที่เวลานิ่งดูน่าขนลุกพิกล

                “ ครับจะว่าอย่างนั้นก็ได้” เขาผายมืออย่างสุภาพ “ เดี๋ยวนั่งรอตรงนี้ก่อนนะครับเดี๋ยวผมจะไปเอาของว่างมาให้”

                “ ไม่เป็นไรดีกว่าเรามาคุยเรื่องงานกันก่อนเพราะที่พวกเรามาก็รบกวนแกจะแย่อยู่แล้ว” มิวส์ร้องห้าม

                “ ได้ไงวะนานๆทีจะมีคนเข้ามาเยี่ยมบ้านก็ต้องมีการต้อนรับกันอย่างดีสิ ส่วนเรื่องธุระน่ะเอาไว้ก่อนยังไงฉันก็พร้อมที่จะช่วยอยู่แล้ว” เขาอธิบาย

                “ เออถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ” เขาพูดกลับอย่างอ่อนแรงแต่ก็ต้องจำยอมเพราะเขารู้ดีว่าพี่คนสนิทหากลองได้จะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้

 ไม่นานบรรดาขนมหลากหลายชนิดถูกนำมาวางเต็มบริเวณโต๊ะอย่างล้นหลามจนแขกที่มาเยือนร้องห้ามว่าให้พอก่อนแต่เจ้าของบ้านยังคงหามาเพิ่มเรื่อยๆมิวส์และพีทเลยได้แต่คล้อยตามไป

                “ เอาล่ะเริ่มถามได้เลยอยากรู้อะไรบ้าง” เขาวางพายสับประรดลงแล้วถาม

                “ คือเราอยากรู้เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับเทพีเมดูซ่าที่นายบูชาอยู่” มิวส์เริ่มยิงคำถามแรกอย่างรวดเร็วเพราะเขาเสียเวลาไปกับการรอคอยแดนเป็นอย่างมาก

                “ เรื่องนี้นี่เอง” เขาพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าเข้าใจในสิ่งที่คนมาเยือนถาม “ กอร์กอน มาจากภาษากรีก หมายถึง น่าเกลียดน่ากลัว กอร์กอน เป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวมีผมเป็นงู เมื่อถูกจ้องตาจะกลายเป็นหิน มีด้วยกันสามพี่น้อง คือ สธีโน่  ผู้เกรียงไกร ยูไรเอล  ผู้โลดโผน และ เมดูซ่า  ผู้งดงาม ซึ่งในสามพี่น้อง เมดูซ่า เป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ พี่สาวทั้งสองของเธอเป็นอสุรกายน่ากลัวใบหน้ากลม จมูกแบนมีฟันที่แหลมคม มีหัวและหางเป็นงูรวมถึงปีกสีทองเหลืองและมีผิดเป็นเกล็ดแวววาวแต่เมดูซ่านั้นมีเส้นผมที่สวยงามมีแววตาที่ทรงเสน่ห์ใครมองเป็นอันต้องหลงใหลเหล่ากอร์กอน เป็นลูกของเทพแห่งท้องทะเลฟอซิส และซีโต และยังเป็นหลานของไกอาอีกด้วย” แดนเอื้อมไปหยิบชามาจิบก่อนจะเล่าต่อว่า “ มันมีอยู่หลายตำนานเหมือนกันนะจะเริ่มให้ฟัง เรื่องที่หนึ่ง เล่าว่าเมดูซ่าเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก โดยเฉพาะเส้นผมของเธอซึ่งเป็นที่ล่ำลือว่างดงามที่สุด งามยิ่งกว่าเทพีไหนๆ หรือแม้แต่เทพีอเธน่าเสียอีก ซึ่งตรงจุดนี้แหละที่ทำให้อเธน่าอิจฉานางมากๆ เมดูซ่าและพี่สาวของเธออาศัยอยู่ในดินแดนที่ไกลโพ้นทางตอนเหนือ ไกลจนแสงอาทิตย์ไม่อาจทอดลงมาได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเมดูซ่า เธอจึงขอเทพีอเธน่าให้พาเธอไปดินแดนทางใต้เพื่อชมพระอาทิตย์ แต่อเธน่าปฏิเสธ เมดูซ่าจึงพูดออกไปด้วยความโกรธว่า ‘ที่ท่านไม่พาข้าไปเพราะท่านอิจฉาในความงามของข้าใช่หรือไม่’ ทันใดนั้นเทพีอเธน่าก็สาปให้ผมที่สวยงามของเธอเป็นงู และมีรูปร่างเป็นอสุรกายเหมือนพี่สาวของเธอ  เรื่องที่สอง เล่าว่าเมดูซ่า และพี่สาวทั้งสาม เป็นพี่น้องร่วมมารดากับอเธน่า อเธน่าเกลียดเหล่ากอร์กอนที่มีมารดาเดียวกับนางมากจึงหาทางกำจัดทิ้ง เพราะพี่สาวทั้งสองของเมดูซ่าเป็นอมตะ อเธน่าจึงไม่สามารถทำอะไรได้ เป้าหมายของนางจึงตกอยู่ที่เมดูซ่าเพียงผู้เดียว วันหนึ่งขณะที่เธอเข้าไปสักการะในวิหารของเทพีอเธน่าหญิงสาวทั่วไปจะมาสักการะที่นี่ เพราะเป็นวิหารแห่งพรหมจรรย์ เทพเนปจูนหรือก็คือโพไซดอนก็มาวิหารนี้เช่นเดียวกัน เมื่อโพไซดอนเห็นเมดูซ่าปุ๊บก็หลงรักทันที อยากจะได้มาครอบครอง ก็เลยข่มขืนเธอที่นั่น ได้โอกาสของอเธน่าแล้ว นางใส่ร้ายเมดูซา ว่ามาสมสู่ชายในวิหารของนาง จึงสาปให้เส้นผมของเธอเป็นงู มีรูปร่างอัปลักษณ์ ชายใดที่เธอเห็นจะต้องเป็นหิน เรื่องที่สาม เล่าว่า เมดูซ่าเป็นหญิงงามที่มีชายมากมายหมายปอง เรื่องความงามนี้ไปเข้าหูของเทพแห่งน้ำโพไซดอน ซึ่งโพไซดอนเองก็อยากจะรู้ว่านางเมดูซ่านั้นจะงามเพียงใด เมื่อพบเมดูซ่าโพไซดอนก็หลงรักในความงามนั้นทันที จึงฉุดเมดูซ่าเข้าวิหารที่อยู่ใกล้ๆนั้นเพื่อขมขื่น! แต่วิหารที่โพไซดอนฉุดนางเมดูซ่าเข้าไปกลับเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพีอเธน่าเสียนี่ เธอโกรธมากที่เมดูซ่าทำให้วิหารแห่งพรหมจรรย์ของนางต้องแปดเปื้อน จึงสาปให้นางเป็นอสูรร้าย มีผมเป็นงู ตอนนั้น เมดูซ่า เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เธอจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเคียดแค้น โดยเฉพาะบุรุษทุกคน ความเคียดแค้นของเธอนั้นมีมากเสียจนทำให้ใครก็ตามที่ถูกนางจ้องมองต้องกลายเป็นหิน เนื้อเรื่องก็ประมาณนี้แหละ แต่ในความคิดของฉันคือนางเป็นคนน่าสงสารมากเลย”

                “ แล้วแกเอ่อ” มิวส์เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก

                “ แล้วทำไมฉันถึงได้ศรัทธาในเทพีน่ะเหรอ” เขาถามกลับ “ พ่อของฉันเป็นชาวลิเบียน่ะมันมีตำนานเคยเล่าว่าเมดูซ่านั้นเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา มีผมขอดหยิกหยักถักเป็นเปียเล็กๆทั่วทั้งหัวแบบชาวอัฟริกัน  ดูคล้ายงู เป็น ที่นับถือของชาวลิเบียโบราณว่าเป็น เทพแห่งงู หรือเจ้าป่าเจ้าเขาผู้มีอำนาจดุร้าย ในยุโรปสมัยโบราณยุคหิน งู ยังไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจเหนือ ธรรมชาติเมื่อหกร้อยปีก่อนคริสตกาลชาวกรีกก็ผูกเรื่องให้เมดูซ่าเป็นนางมารร้าย และทำลายวิหารเมดูซ่าทิ้งไป จากเดิมที่เมดูซ่าเป็นที่ยกย่องบูชา ก็เปลี่ยนเป็นเทพีอเธน่า ผู้เป็นเทพสตรีตัวอย่างของสังคม ที่ชาวกรีกต้องการใช้เป็นแบบอย่างคือไม่ได้เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาอย่างเมดูซ่า คือรักษาพรหมจรรย์ และรับใช้ครอบครัว ยึดมั่นในความซื่อสัตย์จงรักภักดีและเทิดทูน ซีอุส เหนือตนเอง”

                “ แล้วนางตายยังไงล่ะแกยังไม่ได้เล่าเลยเนี่ย” มิวส์เร่งเร้า

                “ เออกำลังจะเล่าอยู่  เมดูซ่าถูกสังหารโดยเพอร์ซีอุส แต่ก็ไปว่าเพอร์ซีอุสเขาไม่ได้นะ เพราะเพอร์ซีอุสต้องการช่วยแม่ของตนดาเน่ จึงต้องทำตามคำท้าทายของกษัตริย์โพลิเดคเทส ด้วยการตัดหัวของเมดูซ่ามาให้ แล้วเพอร์ซีอุสก็ทำสำเร็จ สามารถสังหารเมดูซ่าได้ด้วยความช่วยเหลือของ อเธน่า และ เฮอร์เมส  เพอร์ซีอุสนำหัวของเมดูซ่ากลับไป และทำให้กษัตริย์กลายเป็นหิน เมื่อสามารถช่วยแม่ของตนได้แล้ว ก็นำหัวของเมดูซ่าไปให้เทพีอเธน่า และเทพีอเธน่า ก็นำหัวของเมดูซ่าไปประดับโล่ประจำองค์”

                “ ขอโทษนะเว้ยที่ขัดแต่อยากรู้ว่าดวงตาที่เขาว่าอยู่บนโล่ของเทพีอเธน่าอะไรเนี่ยฉันจะไปหาได้ยังไงวะ” พีทพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาไม่ต้องพลิกแผ่นดินหาหรอกหรือ

                “ บางครั้งตำนานมันก็ปรุงแต่งกันได้มานี่สิฉันจะพามาดูอะไร” เขาลุกแล้วเดินนำทั้งคู่ไปที่ใจกลางของห้องโถงที่มีรูปปั้นหญิงใบหน้าที่สง่างามแต่บริเวณผมมีสภาพเป็นงู

                “ นี่แม่ผมเหรอ” เขาเดินตรงไปที่รูปปั้นทันทีน้ำใสๆไหลรินออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ถึงแม้จะไม่ได้ผูกพันกันโดยตรงแต่เขาก็มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นของนางแล้วยิ่งได้ฟังเรื่องราวต่างๆมานั้นยิ่งสงสารผู้เป็นมารดาอย่างจับใจ

                “ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ผมขอพิสูจน์ก่อนว่าเธอเป็นธแห่งเทพีจริงๆหรือเปล่า” เขาหยิบลูกแก้วสีทรายคล้ายดวงตาของชายหนุ่มก่อนที่จะยื่นมาให้เขา “ ลองเพ่งสายตาไปที่ดวงตาของนางทีหากว่าเป็นจริงดวงตาจะเปลี่ยนรูปเป็นบางอย่างแต่ถ้าไม่เธอก็จะกลายเป็นหินทันที”

                “ ครับ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับว่าผมคือสายเลือดแห่งเทพีที่คุณศรัทธาอย่างแน่นอน” เขารับสิ่งที่เรียกว่าดวงตามาไว้ในกำมือ ทันทีที่สัมผัสเหมือนมือไออุ่นแห่งความเป็นแม่มาปลอบโยนลูก ดวงตาที่อยู่ในสภาพเหมือนลูกแล้วค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นแหวนขนาดทันที

                “ ขอบคุณพระเจ้า คุณรู้ไหมว่าผมตามหาคุณมานานแค่ไหน” แดนโผเขาไปจับมือพีทที่กำลังยืนงุนงงกับสิ่งที่ตนเพิ่งได้มา

                “ อย่าบอกนะว่าข่าวที่เขาว่ามีคนโดดสาปเป็นหินแต่จริงๆแล้วเป็นฝีมือของแกทั้งนั้น” มิวส์ซักคนตรงหน้า ซึ่งเขาพยักหน้าเป็นเชิงให้คำตอบ “แกรูไหมว่าองค์กรที่ฉันทำงานอยู่วุ่นมากแล้วแกทำอย่างนี้ได้ยังไง”

                “ เรื่องมันมีอยู่ว่า” เขาเริ่มเล่าเรื่องอีกครั้ง “ ตำนานเล่าว่าขณะที่ฆ่าเมดูซ่านั้น เลือดของนางได้หยดลงไปในทะเลสองหยด หยดแรกได้ให้กำเนิดเป็น ไครเซเออร์ หยดที่สองได้ให้กำเนิดเป็น เพกาซัส พ่อของฉันบอกว่าจริงๆแล้วยังมีหยดที่สามที่พี่ของนางได้เก็บเอาไว้เพื่อสร้างตัวแทนนางขึ้นมาฉันและตระกูลฉันเลยช่วยกันออกตามหา”

                “ แล้วแกได้ดวงตานี้มาจากไหนแกรู้ไหมว่ามันสำคัญมาก” มิวส์เอ่ยพลางชี้ไปที่แหวนของหญิงสาว

                “ คือจริงๆแล้วนี่ไม่ใช่ดวงตาของท่านเทพีหรอกมันเป็นแค่แก้วที่ต้องคำสาปไว้เพื่อสำหรับตามหาทายาทของนางที่พี่ของนางให้ไว้เท่านั้นเอง และอย่าถามอะไรต่อเพราะฉันจะไม่ตอบ อีกอย่างหน้าที่ของฉันยังไม่จบ” เขาหันหลังให้ชายหนุ่มรุ่นน้องทันทีแล้วไปประชันหน้ากับพีทแทน “ ถ้าคุณอยากได้ดวงตาต้องเข้าไปเอาที่พี่ของนางหรือป้าของคุณเอง”

                “ ที่ไหนครับ” เขาถามอย่างสนใจ

                “ เดี๋ยวคืนนี้ผมขอศึกษาตำราที่พ่อให้ไว้ก่อน” เขาบอก “ ขอโทษทีนะผมไม่คิดว่าจะเจอเร็วขนาดนี้เลยไม่ได้เตรียมตัวไว้ยังไงจะรีบส่งข่าวนะครับ”

                “ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอตัวกลับก่อนนะครับถ้ามีอะไรก็ติดต่อได้ตลอดนี่” ยังไม่ทันจบก็มีเสียงทุ้มแทรกขึ้นมา

                “ ตกลงถ้ามีอะไรโทรหาเบอร์ฉันเพราะช่วงนี้เขาอาจจะยุ่งมากอาจไม่มีเวลาที่จะรับโทรศัพท์ก็ได้”

                “ โอเค” น้ำเสียงประชดของรุ่นพี่ที่เหมือนจะรู้ใจใจรุ่นน้องของตนพูดขึ้น

                “ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอบคุณมากนะครับ” เขายกมือไหว้

                “ หวังว่าเราจะเจอกันอีกนะครับ”



มาแล้ววววมาอ่านกันน้าาาาาาาาาาาาาาาามีอะไรคอมเม้นเป็นกำลังใจกันนะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่4 ความลับและสาเหตุความเกลียด 7.3.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 07-03-2020 23:50:59
 :mew6:สามารถติชมได้นะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่5 ความรู้สึกที่แท้จริง 17.3.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 17-03-2020 00:41:34
บทที่ห้า ความรู้สึกที่แท้จริง

               

“ โอ๊ย! เบาๆหน่อยสิเฮีย นี่ใช้มือหรือเปล่าเนี่ยแผลนะไม่ใช่พวกซอมบี้จะได้ขยี้แบบนี้” เสียงของน้อยชายสุดท้องของกลุ่มดังออกมาทันทีที่พีทและมิวส์เดินเข้ามาในส่วนของที่พัก

               “ แล้วจะให้ทำยังไง ก็คนมันมือหนักนี่หว่าถ้าอยากให้เบาก็นี้ก็ไปให้คนอื่นทำสิจะมาขอให้ฉันทำทำไม” เกรทที่เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์กดไปบนใบหน้าคมขาวจนทำให้เดรโก้ที่นั่งบนอยู่ถึงกับร้องโอดโอยออกมาอย่างสุดจะทนได้

                “ ถ้าไม่เต็มใจมาทำให้ไม่ต้องก็ได้นะฉันไปให้พี่พีททำให้ก็ได้” ชายหนุ่มไม่พูดเปล่าเพราะเขาลุกเดินตรงไปหาผู้มาใหม่ที่นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ “ พี่พีททำแผลให้หน่อยสิครับถ้าไอ้เฮียโหดทำต่อมีหวังหน้าตาผมต้องพังพินาศแน่ๆเลย”

                “ แล้วไปโดนอะไรมาล่ะเนี่ยถึงได้ช้ำไปทั้งตัวอย่างนี้” มิวส์ที่นั่งข้างๆพีทเอ่ยถามเพราะบริเวณตามตัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำไปทั่วร่างกาย

                “ จะเป็นอะไรได้อีกล่ะครับก็มันไม่มีสมาธิกับการซ้อมล่ะสิเลยคุมพลังไม่ได้ ไฟเลยเผาตัวเองจนเกือบตาย” เฮนรีที่กำลังถือข้าวของพะรุงพะรังเพื่อเอาไปเก็บในครัวเอ่ยขึ้นก่อนจะมีอีกเสียงของแอลที่เดินตามหลังมาเอ่ยสมทบ

                “ ส่วนรอยช้ำตามตัวเกิดอย่างการที่เล่นไม่รู้เวลาเลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับคุณมิวส์”

                “ เหรอครับ” เขาหันไปพูดกับแอลก่อนจะมาสนใจคนตรงหน้า “ แล้วทำไมประมาทอย่างนั้นล่ะรู้ไหมว่าชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายเลยนะนั่น”

                “ รู้ครับแต่ผมเห็นทุกคนจริงจังกับการฝึกเลยไม่อยากให้เครียดแต่ไม่คิดว่าจะ อูยย” เขาครางขึ้นมาทันทีก่อนที่จะจับมือของชายหนุ่มนัยน์ตาสีทรายอย่างรวดเร็ว “ เบาๆสิพี่พีทผมเจ็บนะ”

                “ ขอโทษนะ แต่จะให้ทำไงได้ล่ะพี่มือหนักนี่ถ้าอยากเบากว่านี้คงต้องวิธีนี้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มทำหน้ามึนงง “ มองตาพี่สิ” พีทจับศีรษะของชายตรงหน้าให้ประสานตาเข้ากับใบหน้าของตนก่อนจะพูดออกมาว่า “ นั่งอยู่นิ่งๆห้ามพูด ห้ามร้อง จนกว่าพี่จะสั่ง” สิ้นเสียงของเขาร่างของชายหนุ่มตรงหน้าก็นิ่งงันทำให้คนรอบข้างรู้ว่าสถานการณ์คงสงบแล้วจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน

                เฮนรี่ที่ดูจะเป็นพ่อครัวประจำบ้านเพราะเขาถูกพ่อแม่สอนให้ช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กเดินตรงดิ่งเข้าไปยังห้องครัวที่ถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยโดยมีแอลเข้ามาช่วยเป็นลูกมือหรือในบางครั้งที่เป็นเมนูที่คุ้นชินเขาเองก็จะผันมาเป็นพ่อครัวแล้วเฮนรี่กลับมาเป็นลูกมือแอลแทน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

               “ เฮนรี่” แอลเอ่ยเรียกชื่อพ่อครัวที่กำลังเตรียมจัดข้าวของอยู่ “ ฉันก็ลืมถามไปเลยว่าเรื่องจารึกเป็นยังไงบ้างมัวแต่สนใจเสียงโอดครวญของเจ้าตัวแสบ”

                “ คงจะได้เรื่องแล้วล่ะมั้งไม่อย่างนั้นพีทคงจะบ่นให้นายฟังแล้ว” เขาหันมาตอบขณะที่ในมือกำลังโชว์ลีลาการหั่นผักกาดขาวอย่างชำนาญ “ แต่อย่างว่าแหละมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนการที่จะแปลอะไรหรือหาข้อมูลกับเรื่องที่เกิดมานานแล้วมันต้องใช้เวลา จะให้วันเดียวคงเป็นไปไม่ได้” เฮนรี่พูดอย่างเข้าใจเพราะเขาเห็นเวลาที่แม่ของตนใช้เวลาอยู่นานโขกว่าจะแกะอักษรแปลกๆออกมาเป็นภาษาปัจจุบันได้ อีกทั้งของพวกนี้ก็เปราะบางต้องค่อยๆสัมผัส หากรุนแรงอาจทำให้เกิดความเสียหาย

                “ อืม อย่างนั้นเดี๋ยวค่อยไปคุยบนโต๊ะอาหารก็ได้” แอลเอ่ยก่อนจะก้มหน้าก้มตาหั่นผักในมือต่อ

ทางฝั่งพีทที่กำลังทำแผลให้เดรโก้

                “ เสร็จแล้ว” พีทเอ่ยหลังจากที่วางสำลีชุบยาฆ่าเชื้อแผ่นสุดท้ายลง ก่อนจะหันกลับไปชวนคนที่เป็นแขกประจำของบ้าน “ วันนี้คุณอยู่ทานข้าวกับพวกเราก่อนนะครับเพราะถ้าพวกนั้นถามเรื่องรายละเอียดวันนี้ฉันคงเล่าไม่หมดแน่ๆ” เขาให้เหตุผล

                “ ครับ” เขาตอบสั้นๆทั้งที่ในใจรอคำนี้มาเนิ่นนานเพราะที่เขายังนั่งอยู่ทั้งๆที่ควรจะกลับได้แล้วก็เพราะรอคำเชิญชวนจากชายหนุ่ม

 สมองของชายหนุ่มเองก็ไม่สามารถที่จะให้คำตอบของหัวใจตนได้ว่าทำไมกันจะต้องอยู่เพื่อรอให้เขาชวนทั้งๆที่ชอบทะเลาะกันด้วยซ้ำ ทำไมกันวันนี้เขาถึงได้แสดงท่าทางแปลกประหลาดออกไปเวลาที่เขาอยู่กับผู้ชายคนอื่นแต่ความคิดต่างๆก็ต้องหยุดลงเมื่อมือของพีทเอามือมาสัมผัสที่หน้าผากของเขา

                “ เป็นอะไรหรือเปล่าครับเห็นนั่งนิ่งมาสักพักแล้ว” เสียงชายหนุ่มพร้อมกับท่าทางของเขาทำให้หัวใจของนักโบราณคดีหนุ่มเต้นออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะใบหน้าเริ่มแดงซ่านอย่างเห็นได้ชัด “ ดูสิหน้าแดงเชียวสงสัยไม่สบาย เดี๋ยวฉันไปหายามาให้นะ” พีทไม่รอให้เขาตอบกลับมาเขาก็ลุกไปทิ้งไว้เพียงน้องชายเล็กที่นั่งสังเกตการอยู่กับหนุ่มนักโบราณคดีที่นิ่งเหมือนสตาฟไว้

                “ ชอบเขาล่ะสิ” เดรโก้เห็นว่าอยู่ตามลำพังแล้วเลยตรงดิ่งเข้าไปหา

 ชายหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะตั้งสติตอบว่า “ เปล่าวันนี้พี่ก็แค่เพลียๆน่ะอยู่แต่กับหน้าจารึกทั้งวันไหนจะต้องออกไปตากแดดตากลมอีกคงไม่แปลกใช่มั้ยที่จะไม่สบาย” มิวส์พยายามตอบแบบไม่หลบสาบตา

                “ อย่าโกหกผมเลยหน่าผมดูแค่นี้ก็ออกแล้ว อย่าลืมว่าเราเป็นผู้ชายเหมือนกันดูกันออกอยู่แล้ว” หนุ่มไฟแรงเอ่ย

                “ เหรอ ดูออกเหรอดูอะไร” เขาถามกลับอย่างร้อนรนเพราะถึงแม้เขาจะเก่งทุกเรื่องมีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่ไม่สามารถจะแก้ได้คือ การโกหกที่ไม่เก่งเสียเลยและสองเรื่องหัวใจของเขาเอง

                “ ก็บอกอยู่ว่าพี่ชอบเขาแล้วจะถามอีกทำไมล่ะเนี่ย”

                “ ฉันเนี่ยนะชอบ” มิวส์ทวนคำพูดชายหนุ่มตรงหน้าเป็นเชิงคำถาม “ พีทกับฉันไม่ชอบขี้หน้ากันจะตาย”

                “ พี่ไม่เคยได้ยินคำนี้เหรอว่าเกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้น” เดรโก้พูดสำนวนคุ้นหูทำให้คนฟังเริ่มคล้อยตาม “ จะทำอะไรก็รีบทำนะเหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวที่เราจะอยู่ที่นี่พอออกไป พี่พีทอาจจะไปเจอคนอื่นแล้วนะ จะหาว่าไม่เตือน” หนุ่มไฟแรงชักจูงไม่หยุด

                “ พอเลยๆ” มิวส์ร้องห้าม “ อย่ามาพยายามบิวท์ฉันให้คล้อยตามฉันไม่สนใจหรอก”

                “ เอาน่าอย่าโกหกใจตัวเองเลยเชื่อผม พี่รักแล้วต้องพุ่ง”

                “ พุ่งอะไร” เสียงพีทที่กำลังเดินถือยาเข้ามาเอ่ยถามขึ้นทำให้เดรโก้ยิ้มเจื่อนๆก่อนจะลุกออกไปอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย “ พุ่งอะไรเหรอ เจ้าเดรโก้มันพูดไรของมัน” เขาซักคนที่นั่งอยู่

                “ ไม่มีอะไรเราแค่คุยกันน่ะคุณอย่าไปสนใจเลย” เขาแก้ตัว

                “ ไม่ถามต่อแล้ว เดี๋ยวคุณทานยาแล้วนอนพักก่อนเดี๋ยวฉันจะเขาไปช่วยพี่แอลเสียหน่อยเห็นว่าวันนี้มีของโปรดฉันด้วย” สิ้นคำเขาก็วิ่งเข้าไปในครัวทันที

                “ รักแล้วต้องพุ่งเหรอ” ชายหนุ่มทวนคำของหนุ่มไฟแรงก่อนจะผลอยหลับไปหาใช่เพราะฤทธิ์ยาไม่ก็คงเป็นเพราะความอ่อนเพลียมากกว่า

โต๊ะอาหารถูกจัดขึ้นอยากรวดเร็วด้วยเพราะลูกมือที่เข้าไปช่วยในครัวในวันนี้มีกันอยู่หลายคนเดรโก้ที่ไม่ค่อยจะทำอะไรนักเลยถูกอันเชิญออกจากห้องออกมาปลุกชายหนุ่มที่นอนหลับใหลอยู่บนโซฟานุ่มอยู่ที่ใจกลางบ้าน

                “ พี่ครับ พี่ตื่นได้แล้วอาหารกำลังร้อนๆเลย” หนุ่มไฟแรงกระซิบที่ข้างใบหูของชายหนุ่มก่อนที่จะเหลืออดกับการนอนขี้เซาของคนตรงหน้าจึงใช้มือหนาเขย่าคนที่กำลังงัวเงียอยู่ “ พี่ครับตื่นได้แล้วไม่อย่างนั้นผมจะเดินไปบอกพี่พีทนะครับว่าพี่”

                “ มาแล้วเหรอ” พีทถามทันทีที่ทั้งคู่เดินเหยียบเข้ามาในห้องครัวก่อนจะหันไปถามไถ่อาการ “ เป็นยังไงบ้างครับคุณมิวส์ดีขึ้นหรือยัง”

                “ คงจะดีขึ้นมากแล้วล่ะหรืออาจจะหายเลยก็ได้นะพี่พีท สงสัยได้ยาดี โอ๊ย” เดรโก้ที่นั่งข้างๆคนถูกถามต้องหยุดปากลงเพราะเท้าหนาของมิวส์ขยี้แทบจะจมดิน

                “ เป็นอะไรของนายเนี่ยมาร้องโวยวายบนโต๊ะอาหาร” เกรทแหวใส่ตามประสาพี่ใหญ่ของบ้านก่อนที่จะถูกห้ามทัพโดยคนมาใหม่ที่ถือแก้วบรรจุของเหลวข้นสีแดง

                “ ขอโทษที่มาช้า บังเอิญเลือดมันขาดตลาดน่ะ” แวมป์พูดพลางจิบคาวเลือดเข้าปากอย่างสบายใจก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเดรโก้ “ ทำไมทำหน้าไม่รับบุญอย่างนั้นล่ะ”

                “ ก็” ยังไม่ทันได้มีคำตอบใดๆจากน้องคนเล็กของบ้านก็ถูกเสียงของคนที่กำลังเป็นเสมือนวัวสันหลังหวะอยู่พูดขึ้นเสียก่อน

                “ วันนี้ผมกับพีทช่วยกันหาข้อมูล” เขาส่งสายตาไปยังคนที่กำลังถูกเอ่ยชื่ออย่างไม่กลัวนัยน์ตาสีทรายแต่อย่างใดก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดอย่างละเอียดจนทั้งห้าที่กำลังตั้งใจฟังได้แต่เงียบและเก็บข้อมูลใส่ตัวอย่างมากที่สุด

                “ โห ทำไมเรื่องมันซับซ้อนอะไรขนาดนี้” เกรทโพล่งออกมาหลังเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น

                “ แล้วจะให้ทำยังไงต่อไปดีล่ะงานนี้ดูเหมือนจะไม่หมูเลยนะโลกก็ตั้งกว้างใหญ่คงจะมีสักที่ล่ะทั้งที่เป็นประตู นี่มันยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรแอตแลนติกรวมกับแปซิฟิกอีกนะเนี่ย” น้องน้อยสุดเวอร์ของบ้านเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนจดจ้องมาที่เขาประมาณว่าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าจึงทำให้เดรโก้หงอยไปลงในทันที

                “ ไม่ต้องห่วงนะครับอย่างที่บอกเพื่อนของผมจะช่วยตามหาให้อย่างเต็มที่เพราะยังไงมันก็คือหน้าที่ของมันอยู่แล้ว” มิวส์เอ่ยบอกทั้งๆที่เขาก็ไม่มั่นใจเสียเท่าไหร่นักก็ตาม

                “ ครับ ฉันก็เชื่อเหมือนกับคุณเพราะฉันรู้สึกว่าคุณแดนมีจิตใจที่มุ่งมั่นเอามากๆ” พีทเอ่ยชมบุคคลที่ไม่ได้นั่งอยู่ในบทสนทาทำให้คนที่กำลังมีใจทำท่าทางฟิดฟัดโดยการตักอาหารเข้ามากทันที

เดรโก้ที่รู้เรื่องเพียงคนเดียวได้แต่นั่งยิ้มในความไม่รู้เดียงสาของบุตรแห่งเมดูซาว่ากำลังมีคนมามีใจให้

 เรื่องราวบนโต๊ะอาหารผ่านไปได้ด้วยดี อาหารทุกอย่างถูกจัดการอย่างราบคราบแทบไม่เหลือติดก้นจานเลยด้วยซ้ำทำให้คนที่เป็นฝ่ายล้างจานถึงกับยิ้มแก้มปริเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเทเศษอาหารทิ้ง

                “นายล้างคนเดียวทุกวันเลยเหรอ” มิวส์เอ่ยพร้อมกับรับจานที่เดรโก้มาเช็ดอย่างคล่องมือ

                “ ครับ ล้างคนเดียวทุกวันแหละเพราะแต่ละคนมีหน้าที่กันหมดแล้วเว้นเสียแต่ผมที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากล้างจาน” เขาพูด “ อ๋อ เป็นอีกสองอย่างนั่นคือไข่ต้มกับต้มบะหมี่” คำพูดของเขาทำให้เรียกเสียงหัวเราะของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี มิวส์ได้แต่คิดในใจว่าโชคดีที่เดรโก้เป็นแบบนี้ร่าเริงได้ทุกสถานการณ์ถึงแม้จะซึมเศร้าในช่วงแรกๆที่เสียญาติเพียงคนเดียวไป “ จริงๆพี่ไม่ต้องมาช่วยผมก็ได้นะ”

                “ นายบอกคำนี้มาหลายรอบแล้ว อย่างที่บอกฉันก็ไม่อยากมานั่งอยู่เฉยๆอีกอย่างฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย” เขาค่อยๆลดระดับเสียงลงทำให้คนที่กำลังฟังรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก “ คือฉัน” ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง

                “ ถ้ามันลำบากมากพี่ไม่ต้องพูดก็ได้เอาเรื่องที่จะให้ผมช่วยเลยดีกว่า” หนุ่มใจร้อนเอ่ย

                “ คือฉันอยากรู้ว่าเวลาจะจีบใครควรทำยังไง ควรเริ่มต้นยังไง คือฉัน เอ่อฉัน แบบว่า แบบนะคือ”

                “ พอพี่ พอเลย” เดรโก้ยกมือห้าม “ จะมา เออนั่นเออนี่อย่างนี้ไม่ได้เพราะการจะจีบคนคนนึงนั้นมันก็ต้องมีชั้นเชิงกันหน่อยอีกอย่างพี่มาปรึกษาถูกคนแล้วผมนี่แหละผู้ชำนาญการทางด้านจีบ” เขายิ้มอย่างภูมิใจกับตำแหน่งที่ตนรับเองแต่งตั้งเอง “ ขอหนึ่งในการจีบไม่ว่าหญิงหรือชายพี่จะต้องไม่เขินอายอย่างนี้มันเสียฟอร์มชายชาตรีแบบเราหมด เราต้องมั่นใจไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งนั้น” เดรโก้ยกกำปั้นขึ้นมาราวกับว่ากำลังปลุกใจมิวส์ไปรบเสียอย่างนั้น

                “ แล้วจะให้ทำยังไง”

                “ ไม่ยากหรอก” เขาตบไหล่ “ ชายชาตรีอย่างเราต้องมีความเป็นคนแข็งแรงแต่ไม่กระด้างนั่นก็คือต้องอ่อนโยนยอมให้อีกฝ่ายมากๆ เขาจะได้เห็นว่าเราตามใจเขา ร้อยทั้งร้อยใครๆก็ชอบคนตามใจอีกอย่าง นะพาไปเที่ยวกันบ้าง ดูหนังกันบ้างก็เป็นความคิดที่ดีนะเพราะเป็นที่ที่คนสองคนจะได้สบสายตา มือจับมือแล้วก็ได้ซบกัน” สายตาเคลิบเคลิ้มของเขาทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าจินตนาการอย่างเห็นภาพแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเขาพูดต่อว่า “ แผนนี้คงไม่ได้เพราะช่วงนี้อยู่ในช่วงการฝึกผมว่า” เดรโก้ยกมือมาเกาคางอย่างใช้ความคิด “ พี่ต้องมาที่นี่บ่อยๆสร้างความสนิทสนมคนในบ้านโดยเฉพาะพี่เกรท พี่แอล สามคนนี้สนิทกันกันมาก เขาเรียกว่าเข้าทางเพื่อนพอหลังจากตีสนิทไปเรื่อยๆพี่พวกนั้นก็จะแอบเอาเรื่องของเราไปพูดกับพี่พีทจนพี่พีทคล้อยตามสุดท้ายก็แฮปปี้เอนดิ้งพี่กับพี่พีทก็จะได้รักกันแล้วพากันออกไปเดทหลังจากการฝึก”

                “ โห ฟังดูเหมือนละครเลยแฮะมันจะได้ผลแน่เหรอวะ” มิวส์เริ่มไม่มั่นใจเพราะแผนที่เอ่ยมานั้นฟังแปลก

                “ เอาน่าพี่เชื่อผมเถอะว่ายังไงก็รุ่งไม่ร่วงแน่นอนอยู่ที่พี่ว่าพร้อมแค่ไหน” เดรโก้เสริมทัพให้ “ จริงไหมพี่เฮนรี่” เขาเอ่ยถึงหนุ่มหูดีที่ยืนฟังอยู่ไกล

                “ อะไรนะมีคนกำลังฟังเราคุยอยู่” มิวส์เหงื่อผุดที่ใบหน้า “ แล้วทำไมไม่บอก”

                “ พี่ไม่ต้องกลัวไปหรอกพวกเราในบ้านไว้ใจกันได้ ยิ่งคนเยอะจะได้จีบติดเร็ว” เดรโก้เสนอ

                “ จริงครับเราจะช่วยคุณเอง” แวมป์ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเอื้อมมือมาหยิบจานจากในมือมิวส์ออกมาวางไว้บนชั้นก่อนจะทิ้งทวนว่า “ เชื่อมือนักแสดงมืออาชีพอย่างผมเถอะ”

                “ แล้วขนาดคุณสองคนยังรู้เลยแล้วพวกนั้นล่ะครับ” มิวส์ถามอย่างไม่มั่นใจเพราะเขาเพิ่งนึกได้ว่าบ้านนี้มีอะไรเหนือธรรมชาติเยอะไปหมด

                “ ไม่ต้องห่วงหรอกกลุ่นนั้นพากันออกไปนั่งเล่นข้างนอกโน่น” เฮนรี่เดินเข้ามาในครัวก่อนจะตบไหล่ชายหนุ่ม “ ไม่ต้องห่วงแผนสำเร็จแน่”

                “ ผมก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน” ชายหนุ่มอึกอักก่อนจะขอตัวลากลับก่อน

                “ ฉันว่าเราคงได้ยินข่าวดี” แวมป์เอ่ยก่อนจะหายลับไปแล้วตามด้วยเฮนรี่

                “ อะไรวะอยู่คนเดียวอีกแล้ว” เดรโก้บ่นอุบก่อนจะหันมาสนใจจานที่บรรดาพี่ๆในบ้านรับประทานในอ่างแล้วก้มหน้าก้มตาล้างต่อพร้อมทั้งภาวนาว่าการฝึกพรุ่งนี้อย่าหนักนักเลย

สวัสดีค่ะขอโทษที่หายไปนานเลย ยุ่งมากๆเลย ทุกคนสบายดีกันไหม สายลมหวังว่าคงสบายดี ดูแลสุขภาพร่างกายกันด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตรา บทที่6 อาวุธใหม่ 23.3.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 23-03-2020 01:48:37
บทที่หก อาวุธใหม่



               เสียงกริ่งปลุกจากฮันเตอร์ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบ้านอีกเหมือนเดิมทำให้บรรดาหนุ่มๆเลือดผสมกระตือรือร้นกันอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครอิดออดเพราะพวกเขาคุ้นชินกับเสียงเรียกในตอนเช้าอย่างนี้ไปเสียแล้ว เว้นเสียแต่หนุ่มสายตาไวที่ต้องทนฝันร้ายที่ทำให้เขานอนหลับอย่างผวามาตลอดคืน

                “ สดชื่นหน่อยสิพี่ วันนี้เราจะได้ลองฝึกใช้อาวุธนะ” เดรโก้ที่เดินตามหลังทักแวมป์ที่กำลังอ้าปากหาว

                “ แหม ใครจะไปสดชื่นได้ทุกวันล่ะคนเรามันก็ต้องมีอ่อนเพลียกันบ้าง” พี่ชายคนโตของบ้านเดินเขามาตอบแทนก่อนจะจิกกัดคนที่ท่าทางร่าเริงจนหน้าหมั่นไส้ “ ฉันจำได้นะว่าวันแรกๆนายเองก็เป็นยิ่งกว่านี้อีกกว่าจะตื่นได้”

                “ พี่ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ชายหนุ่มแก้ตัวอย่างพัลวัน “ ผมก็แค่ปรับตัวไม่ทันแต่ตอนนี้รับรองได้เลยว่าพร้อมสุดๆ” ว่าแล้วเดรโก้ก็วิ่งเอาขนมปังที่วางไว้บนโต๊ะอาหารใสปากสองสามชิ้นก่อนจะรีบไปรวมกับ แอล เฮนรี่ และพีทที่มายืนรอหน้าประตูทางเข้าห้องฝึกซ้อม ไม่นานแวมป์และเกรทก็ตามมาสมทบ

 บานประตูที่ปิดอยู่ค่อยๆเปิดออกแต่ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรที่อยู่ด้านในได้เลยนอกจากความมืดที่แลดูจะปกคลุมไปรอบห้องทั้งหมดสาวเท้าเข้าไปอย่างหวาดระแวง เว้นเสียแต่ผู้ที่สายตาเฉียบคมที่มองท่ามกกลางความมืดได้อย่างชัดเจนอย่าง แวมป์ที่พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆก็ไปปะทะกับบางสิ่งบางอย่างที่ตั้งวางอยู่ด้านในสุดชิดอยู่กับกำแพง

                “ เริ่มไม่สนุกแล้วสิ วันนี้จะมีอะไรอีกเนี่ย” พีทใช้สายตาที่พอจะปรับเข้ากับความมืดกวาดมองรอบๆอย่างระแวงเพราะพลังของตนไม่สามารถโจมตีอะไรได้เหมือนกับคนอื่น

                “ คงไม่มีอะไรโผล่ออกมาหรอกมั้ง เฮ้ย !” ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเกรท ก็มีบางอย่างมาพันรอบเรียวขาของเขาทันที

                “ งานเข้าแล้ว” แวมป์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบก่อนจะตะโกนสั่งทุกคน “ ตรงสุดปลายห้องมีคลังอาวุธวางอยู่วิ่งไปเอามาเลย” คำสั่งของแวมป์ฟังดูเหมือนง่ายแต่ทว่าทางที่จะวิ่งไปเอาอาวุธนั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน

                “ จะให้ไปเอายังไงพวกมันขวางเต็มไปหมดเลย” เดรโก้ที่จุดไฟบนปลายนิ้วขึ้นมาเพื่อส่องสว่างก่อนจะชี้ไปทางบรรดาเหล่าอสุรกายที่กำลังเคลือบคลานเข้ามาหา

                “ ไม่เห็นจะยากเลย ก็บินไปสิ” เฮนรี่เอ่ย “ ก็วันนั้นฉันเห็นนายฝึกบินอยู่ไม่ใช่เหรอเดรโก้นายก็บินไปเอามาให้คนอื่นๆส่วนฉันกับนายนี่” เขามองไปทางแวมป์อย่างไม่ยี่หระ “ จะไปเอากันเอง”

                “ ได้ครับ” สิ้นเสียงชายหนุ่มวิ่งถอยหลังกรูดเพื่อหาพื้นที่ที่จะทำการร่อนขึ้น ก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วสูงไปด้านหน้า เท้าที่เคยชิดกับพื้นตอนนี้ได้ต้านแรงโน้มถ่วงของโลกลอยละลิ่วผ่านพวกซอมบี้ด้านล่างไปได้อย่างสบาย “ รอแป๊บนะครับ เฮ้ย!” สิ้นเสียงร้องของชายหนุ่มที่เหมือนจะมีบางอย่างเข้ามาปะทะจนเสียการทรงตัวกลางอากาศ เมื่อสายตามองไปก็เผยให้เห็นสัตว์ปีกขนาดมหึมาที่รอดักอยู่ด้านบนแววตาที่ไร้ความปราณีจ้องมองร่างที่กำลังร่วงสู่พสุธา

                “ เกรทตรงข้างๆมีต้นไม้ รับเดรโก้ที” แวมป์ผู้ที่สามารถใช้สายตาในความมืดตะโกนสั่งเพราะเขาเหมือนเป็นสายตาแทนเพื่อนทั้งห้าที่พอจะมองเห็นได้เพียงเลือนราง

 ไม่นานต้นสนพุ่มงามก็แผ่กิ่งก้านสาขาออกเป็นเสมือนเตียงนอนขนาดย่อมยื่นมารอรับชายหนุ่มที่โดนฟาดบนอากาศซึ่งกำลังร่วงลงมาเหมือนผลไม้ที่หล่นจากต้นก็ไม่ปาน

                “ นุ่มดีแฮะ” เดรโก้เอ่ยทันทีที่สัมผัสใบนิ่มๆของต้นสน “ เล่นทีเผลอเหรอ เดี๋ยวเจอพี่หน่อยไอ้น้อง”พอตั้งหลักๆได้เขาก็พุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาดที่กำลังบินโฉบไปโฉบมาอยู่กลางอากาศ

                “ ตัวอะไรอีกวะเนี่ย” เฮนรี่เอ่ยหลังจากได้ยินเสียงขู่กรรโชกก่อนจะสั่งให้เกรท พีทและแอลที่อยู่ด้านหลังระวังตัวเพราะตอนนี้ทั้งศึกข้างบนและศึกข้างล่างกำลังหมายมุ่งที่จะพุ่งเข้ามาโจมตี

                “ อย่าตัดชิ้นส่วนมันนะเดรโก้นั่นมันไฮดราเพราะหากตัดมันแล้วส่วนที่ถูกตัดมันจะงอกมาใหม่” แวมป์ผู้ที่กร้านต่อสัตว์ประหลาดนานาชนิดเอ่ยขึ้น แต่คงช้าไปเสียแล้วเพราะมีดพกในมือของชายหนุ่มตัดไปยังส่วนหัวของมันจนขาแบบไม่มีเหลือไปแล้ว

                “ ไม่ทันแล้วพี่” สิ้นเสียงของเดรโก้ที่ตะโกนย้อนลงมาก็เป็นเสียงของหัวที่ร่วงลงมาสู่พื้นเป็นการยืนยันคำตอบ “ เหวอ! ” เจ้าน้องเล็กร้องอย่างเสียงหลงเมื่อรอยแผลที่เพิ่งตัดไปกำลังมีบางอย่างงอกออกมาแต่ไม่ใช่เพียงหนึ่งแต่กลับเป็นเท่าทวีคูณจากของเดิม “ ทำไงล่ะพี่” เดรโก้ที่นั่งอยู่บนหลังเริ่มใจคอไม่ดีเพราะหากเกิดการต่อสู้บนนี้มีหวังคอหักแน่

                “ เดี๋ยวฉันขึ้นไปช่วยใจเย็นๆก่อนนะ” แวมป์เอ่ยก่อนจะหันมาพูดกับชายหนุ่มนักมวยว่า “ พาคนอื่นๆไปเอาอาวุธเอาอันที่มีน้ำใสๆอัดเป็นกระสุนแล้วส่งมาให้ฉันด้วย” สิ้นเสียงเข้าก็กระโดดเหยียบศพเดินได้แล้วพุ่งตัวเกาะระหว่างกงเล็บของไฮดราที่กำลังบินอยู่บนฟ้าอย่างเหนียวแน่น

                “ เกรทส่งพวกเราไปเอาอาวุธที” เฮนรี่เอ่ยสั่งบุตรแห่งผู้พิทักษ์ป่าที่กำลังจ้องบรรดาศัตรูที่กำลังดาหน้าเข้ามา

                “ ได้เลย” เขาเอามือดันไปด้านล่างไม่นานรากไม่ที่เคยฝังอยู่ใต้พื้นดินก็ลอยขึ้นมา “ จับมันไว้นะพีท แอล” ทั้งคู่ทำตามอย่างไม่เกี่ยงเพราะตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะเป็นรอง เนื่องจากไม่มีทั้งน้ำและงู “ เอาล่ะนะ” เกรทให้สัญญาณก่อนที่จะบังคับรากไม้ให้ดีดคนที่เกาะข้ามบรรดาพวกผีดิบไป

                “ เอาอันไหนดีละพี่” พีทถามแอลที่ยืนข้างๆเพราะตรงหน้ามีอาวุธมากมายเหลือเกินไม่ว่าจะเป็น มีดพก ดาบซามูไรอันยาวที่ถูกลับมาจนคมกริบ ส่วนอีกฝั่งก็เป็นเหมือนคลังอาวุธสงครามที่ใช้ในการรบใหญ่ๆ

                “ ถ้าจะใช้กับไอ้พวกซอมบี้เอานี่เลยแล้วกัน” แอลคว้าระเบิดขึ้นมาแต่โดนปรามด้วยคนที่กำลังลอยละลิ่วข้ามมาใหม่

                “ อย่าลืมสิว่าพวกนี้หากหัวของมันยังคงไม่โดนทำลายมันก็จะยังคงเดินไปเรื่อยๆที่สำคัญถ้าใช้ระเบิดอาจโดนพวกเรากันเองก็ได้นะ” เฮนรี่อธิบายก่อนจะหันไปหาเกรท “ เกรทเอากิ่งไม้ส่งนี่ให้ข้างบนที” เขายื่นบางอย่างให้หนุ่มนักคุมพืช

                “ ได้เลย จัดให้” ปืนพกขนาดเล็กถูกกิ่งไม้ขนาดเล็กค่อยๆประคองขึ้นไปเรื่อยๆ “ เชี่ย” คนคุมร้องเสียงหลงเพราะหางของไฮดราปัดเอากิ่งไม้ที่กำลังส่งของสำคัญหล่นลงมาท่ามกลางฝูงซอมบี้ด้านล่าง

                “ แล้วทำไมเราไม่ยิงเองล่ะ” พีทเสนอ พลางจับปืนในมืออย่างเก้ๆกังๆอาจเป็นเพราะตัวเขาเองไม่ค่อยได้มาฝึกฝนเสียเท่าไหร่

                “ ไม่ได้ มองก็ไม่เห็นตัวมันจะยิงยังไง ถ้าโดนสองคนนั้นอีกล่ะ” แอลที่กำลังฟาดฟันบรรดาศพตรงหน้าเอ่ยหนุ่มเลือดร้อนอย่างพีทมีหรือจะฟัง

                 “ เดรโก้จุดไฟ” หลอนตะโกน

 ทันทีที่แสงไฟส่องแสงพอให้เห็นแสงสว่างก็เผยให้เห็นสัตว์ปีกที่เต็มไปด้วยเมือกปลายเท้าของมันมีเล็บที่แหลมคมงองุ้มราวกับกงเล็บของพญาราชสีห์ที่พร้อมกับตะปบทุกสิ่งซึ่งมีแวมป์เกาะอยู่อย่างเหนียวแน่น

                “ จะทำอะไรก็เร็วๆสิพี่พีท ผมจะร่วงอยู่แล้ว” เดรโก้ที่พยายามกอดคออันเต็มไปด้วยเมือกเหลวเหนียวน่าขยักแขยงเพื่อต้านทานแรงส่ายไปส่ายมาของสัตว์ที่กำลังเกรี้ยวโกรธอยู่

                “ เอาล่ะนะ” เขาบอกกำตัวเองแล้วก็ลั่นไกปืนขนาดเล็กในมือออกไปด้วยความไม่มั่นใจนัก

 เมื่อกระสุนหลุดออกจากปลายกระบอกออกไปแรงที่ถูกถีบนำพาเข้าไปฝังบริเวณใจกลางหน้าผากของมันอย่างฉิวเฉียดเพราะหากพลาดอีกนิดหน่อยก็จะกลายเป็นกะโหลกของน้องชายคนเล็กก็เป็นได้

  กระสุนที่ฝังตัวเข้าไปในกะโหลกอันหนาของไฮดราค่อยๆแตกจากหนึ่งไปเป็นสองจากสองไปเป็นสี่จนกระทั่งเนื้อเยื่อทั้งหมดในร่างที่กระสุนอัดน้ำยาชนิดพิเศษของเลดี้ที่สัมผัส ตัวมันก็ค่อยๆเหี่ยวยุ่ยจนหยดลงมาทำให้คนที่อยู่ข้างบนฟ้าทั้งคู่ร่วงดิ่งลงมาในสภาพที่เต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเฟะติดตามลำตัว

                “ ทำได้ดี” แวมป์เดินเข้ามาตบไหล่ชายหนุ่มที่ถือปืนคามืออยู่

                “ ชมได้แต่อย่าจับตัวฉันนะ ฉันจะอ้วก” เขาเช็ดตรงบริเวณที่น้ำเมือกสีดำบนเสื้อของตนก่อนจะก้มทำหน้าตาหงอยๆเพราะเขาสัมผัสได้ว่าสายตาของเพื่อนๆที่กำลังมองอยู่ไม่ใช่สายตาชื่นชมอย่างเดียว

                “ ทำได้ดี ทำได้ดีมากแต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร” เสียงของฮันเตอร์มาพร้อมกับแสงสว่างที่ทำให้ทั้งหกรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นแค่การสร้างม่านลวงตาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่กำลังจะพัฒนาไปเป็นเกมที่ผู้เล่นสามารถทุกอย่างกับฉากในเกมได้

                “ นี่เป็นแค่ระบบหรอกเหรอ” เดรโก้บ่นอุบเพราะเขาเกือบตาย

                “ ใช่นะสิ หากไม่ใช่ระบบคอมพิวเตอร์แล้วใช้ของจริงๆใครจะไปหาไฮดรากับซอมบี้พวกนี้มาได้บ่อยๆกันล่ะ อีกอย่างหนึ่งฉันก็ไม่ค่อยไว้ใจให้พวกเธอใช้อาวุธกันโดยไม่มีการเรียนรู้กันอย่างละเอียดหรอกเพราะเมื่อกี้นี้ถ้าหากยิงกันจริงๆป่านนี้นายไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้แน่” ฮันเตอร์ให้เหตุผล

                “ คือตอนนี้พวกเราคิดอาวุธที่คิดว่าเหมาะสมกับพวกเธอไว้แล้ว” เลดี้ที่อยู่ข้างๆพูด แทรกบ้าง “ เอาเป็นว่าตอนนี้ไปล้างหน้าล้างตากันแล้วมาเจอกันที่นี่อีกสิบห้านาที”

                “ ได้ครับ หวังว่าคงไม่มีอะไรทำให้เซอไพรส์อีกนะครับ” แวมป์ที่คล้ายจะสนิทกับเลดี้เอ่ยแซวก่อนจะเดินออกไป

  ห้องที่เคยเป็นสนามรบเมื่อครู่ ตอนนี้กลายเป็นห้องเรียนชั่วคราวที่มีอาวุธต่างๆวางอยู่มากมายส่วนสิ่งที่แปลกตาออกไปก็เหมือนจะเป็นถุงผ้าหกถุงที่วางเรียงรายบนโต๊ะสีขาวนี้ที่มีชื่อของแต่ะคนเขียนติดไว้

                “ เท่าที่ดูเมื่อเช้านี้บอกได้เลยว่าพัฒนาขึ้นมามากรู้จักแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าโดยเฉพาะแวมป์ที่ดูจะเข้าใจกับสัตว์ในตำนานมากเลยซึ่งมันดีกำบงานของเรามันทำให้เรารู้จุดอ่อนได้” ร็อกเกอร์หนุ่มที่เป็นพี่เลี้ยงเอ่ย

                “ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับฮันเตอร์” เขาถ่อมตน “ เพราะตอนเด็กๆแม่ชอบเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังต่างหาก”

                “ จะเกิดจากอะไรก็ตามแต่ฉันหวังว่าคงจะคอยเตือนสติไม่ผลีผลามกันอีกนะ” ฮันเตอร์หันไปทำสีหน้าคล้ายจะเตือนสติหนุ่มเลือดร้อนของบ้านอย่าเดรโก้

                “ แค่ป้องกันอันตรายก็เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มแก้ตัว

                “ มีอะไรหรือเปล่า” คนที่กำลังไล่คุยกับทุกคนหันมาถามหนุ่มนัยน์ตาสีทรายที่ดูเงียบจนผิดปกติตั้งแต่หลังภารกิจเมื่อเช้าแล้ว

                “ ผมเหรอครับ” คนที่รู้ตัวเงยหน้าที่กำลังเศร้าหมองขึ้นมาประชันสายตานับสิบคู่ที่กำลังจดจ้องมายังเขาเพียงคนเดียว

                “ ใช่น่ะสิพี่เป็นอะไรหรือเปล่า ผมเห็นพี่หงอยๆมาตั้งแต่หลังซ้อมแล้ว” เดรโก้เอ่ยสมทบ

                “ ฉันก็แค่” เขาตะกุกตะกักอยากจะพูดสิ่งที่อัดอั้นอย่างลำบากแต่สุดท้ายก็โพล่งคำพูดที่ทำให้ทุกคนที่มองอยู่ตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว “ คือฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นตัวถ่วงครั้งนี้ ถ้าหากฉันยิงพลาดสักนิดเดรโก้คงตายไปแล้วอีกอย่างพลังของฉันก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรกับใครเลย” เขาก้มหน้าหลบสายตาคนอื่นๆ

                “ คิดมากไปได้ ไม่ได้มีใครว่าอะไรเลยที่พวกเรามองเมื่อเช้านี้เราแค่อึ้งในความบ้าบิ่นของแกต่างหาก แกลองคิดดูสิถ้าไม่มีลูกบ้าของแกป่านนี้ภารกิจจะสำเร็จได้ไง” แอลที่เหมือนจะเป็นพี่ชายแท้ๆจับมืออย่างห่วงใย “ อีกอย่างนึงนะพลังของเธออาจยังมีอะไรพิเศษก็ได้เพราะทุกอย่างมันคงมีดีในตัวของมันเองแหละอยู่ที่ว่าเราจะใช้มันดีได้แค่ไหน”

                “ จริง” ฮันเตอร์ที่ยืนฟังอยู่ห่างๆพูดแทรกก่อนจะเหลียวหลังไปคว้าถุงที่เขียนชื่อด้านหน้าว่า ‘พีท’ มาไว้ในมาแล้วยื่นไปให้สาวจอมคิดมากด้านหน้า “ ลองแกะดู”

 เขาทำตามอย่างว่าง่าย “ สร้อยรูปงูเนี่ยนะ” เขาถามพลางพลิกไปมาอย่างสงสัย

                “ มันจะเป็นอย่างนั้นถ้าคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น” บุคคลที่สามที่แทรกกลางวงสนทนาพูดขึ้น

                “ แล้วจะให้ผมมองเป็นอะไรล่ะครับคุณเลดี้” เขาตุปัดตุปอดอย่างไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่

                “ ลองมองอย่างที่นายอยากให้มันเป็นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่เราได้มาตอนได้จารึก” เลดี้อธิบาย

                “ งูจ๋าจงออกมา” พีทพูดทีหลอกทีจริงแต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็ออกมาจากสร้อยคอเพราะมันกำลังกลับกลายเป็นงูขนาดจิ๋ว “ ตัวแค่นี้เองเหรอนึกว่าจะใหญ่เท่าอนาคอนด้าในหนัง” เขาละสายตาจากของที่ตนเพิ่งได้มาสลับกับมองเลดี้ แต่ทว่าเจ้าผิวลื่นตัวน้อยในมือกลับหายจากมือไปอย่างรวดเร็ว “ ไปไหนแล้วล่ะ”

                “ พี่พีทข้างหลัง” เดรโก้ชี้ไปทางที่ชายหนุ่มยืนอยู่อย่างตกใจ พีทคงจะไม่รีบหันกลับไปมองถ้าหากทั้งหมดทำท่าทางตกใจไม่ต่างจากน้องคนเล็ก

 สัตว์เลื้อยคลานขนาดมหึมาที่มีลายคลับคล้ายคลับคากับเจ้าไส้เดือนดินในความคิดของเขาเมื่อครู่แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มเจ้ายิ้มอย่างกระหยิ่มใจที่ตัวเขาจะมีตัวช่วยหรือพลังกับคนอื่นบ้างเสียที

                “ นายชื่ออะไรเหรอ” เขาถามออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งรอยยิ้ม

                “ แจ็ค ผมชื่อแจ็ค” งูหนุ่มพ่นภาษามนุษย์ที่ดูเหมือนจะทำให้ทุกคนตกใจออกมา ก่อนจะเอาหน้ามาสีตามลำตัวของชายหนุ่มอย่างเอาอกเอาใจ

                “ เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปตื่นเต้นกับของคนอื่นเลยมาสนใจของตัวเองดีกว่า” ฮันเตอร์เอ่ยก่อนจะหยิบยื่นถุงของแต่ละคนมาให้อย่างรวดเร็ว

                “ ของพี่เจ๋งจัง” น้องชายคนเล็กมองสะหนับมือของชายหนุ่มเลือดหมาป่าอย่างชื่นชม

                “ แล้วนายล่ะได้อะไร”

เดรโก้ยกสร้อยที่ตรงจี้เหมือนจะเป็นกงเล็บขนาดใหญ่ของอะไรสักอย่างให้กับเฮนรี่ดู “ อาจจะเป็นคล้ายๆของพีทก็ได้มั้งที่นึกเอาแล้วมันจะออกมา ไม่แน่นะอาจจะเป็นมังกรขนาดมหึมาเลยก็ได้

                “ ผมลองแล้วไม่กระดิกซักกระติ๊ดเพ่งจนตาจะถลนแล้วเนี่ย” เดรโก้ไม่เพียงพูดเท่านั้นยังพยายามทำอย่างตั้งใจ

 เฮนรี่ปล่อยให้น้องชายคนเล็กพยายามต่อแล้วหันไปถามพี่ชายคนโตอย่างเกรทที่กำลังพยายามพลิกซ้ายพลิกขวาถุงที่ได้มาก็ได้แค่เพียงขวดแก้วใสๆกับต้นไม้หนึ่งต้นเท่านั้น “ แล้วของพี่ล่ะทำอะไรได้บ้าง”

                “ อย่างที่เห็นแหละไม่เห็นมีอะไรเลย” เขาบ่นก่อนจะกระเทขวดแก้นั้นวจนมีบางอย่างออกมา “ เม็ดข้าวโพดเนี่ยนะ คิดว่าฉันหิวเหรอ” เขาแหวใส่ของที่ตนได้มาราวกับว่ามันมีชีวิตก่อนจะตั้งสติได้ว่ามีคนคอยมองอยู่จึงเอ่ยถาม “ แล้วนายล่ะได้อะไร” เกรทถามกลับแต่พอชายหนุ่มยกสิ่งที่ตนได้เขาจึงถามกลับไปอย่างสนใจ “ แล้วทำอะไรได้บ้าง”

                “ ไม่รู้สิอาจจะเอาไว้ต่อยเพิ่มความเจ็บก็ได้มั้ง”

                “ ของอย่างนี้มันต้องลอง” เกรทเสนอพร้อมกับแววตาที่ดูคาดหวังเยเหลือเกิน

 เฮนรี่ง้างอาวุธในมือหวังจะลองทุบลองดินแต่ก็ต้องถูกฮันเตอร์ร้องเตือน “ จะทำอะไรก็ระวังด้วยเพราะเราไม่รู้ว่าศักยภาพมันเป็นยังไง”

                “ เอาเป็นว่าทุกคนลองหลบก่อนก็ได้” เขาโบกมือไปมาก่อนจะทุบกำปั้นพร้อมกับสะหนับในมือลงไปกับพื้นดินอย่างรวดเร็ว

 แวมป์ที่รอดูของที่คู่ปรับได้เดินเข้าไปสังเกตการณ์

                “ ไม่เห็นมีอะไรเลยสงสัยแค่เอาไว้ เหวอ !” เขาร้องเสียงหลงเพราะพื้นที่ถูกเฮนรี่ต่อยลงไปเมื่อครู่แยกออกจากกันเป็นทางยาวจนจะทำให้เขาล่วงลงไป แต่พอตั้งสติได้ใบหน้าที่เคยตกใจก็กลับมาเต๊ะมาดขรึมเหมือนเดิม “ ก็งั้นๆ”

                “ ปากดีจริง” เฮนรี่เอ่ย “ แล้วนายเองล่ะได้อะไร” ชายหนุ่มพูดอย่างหยั่งเชิงเพราะของที่ตนเองได้ช่างถูกใจนักมวยอย่างเขาไม่น้อยเลยทีเดียว

 เขาไม่รอช้ารับยกกริชในมือขึ้นมาให้ดูทันที

                “ ของฉัน” แวมป์เอ่ยพลางดันถุงที่ตนได้อีกอันไปไว้ข้างหลัง

                “ แล้วอะไรเต้นดุ๊กดิ๊กในนั้นอีกล่ะ” แอลที่ยืนอยู่ข้างหลังถาม

                “ ไม่มีอะไรหรอกช่างมันเถอะ” เขาพยายามซ่อนสุดฤทธิ์

                “ ไม่มีอะไรแล้วจะซ่อนทำไม” เฮนรี่เอ่ยพร้อมใบหน้าที่พร้อมเข้าชิงมาดู

               “ เออให้ดูก็ได้” แวมป์เปิดปากถุงออกก็มีค้างคาวอ้านพุงโย้ที่บินขึ้นสู่อากาศอย่างทุลักทุเลเพราะไขมันในตัวถ่วงมันไว้ “ หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลยนะ” หนุ่มมาดพระเอกตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์

                “ จะอายทำไมก็น่ารักดีออก” แอลเอ่ยแต่ก็ยังคงไม่หยุดหัวเราะทำให้สีหน้าของแวมป์เคร่งขรึเขาจึงเบี่ยงเบน “ ดูของฉันสิฉันได้คล้ายๆหอยสังข์เล็กๆน่ารักดีเนอะ”

   “ ว่ากันว่านางเงือกชอบเป่าหอย ไหนลองเป่าซิ” เดรโก้แซว

                “ ได้สิฉันจะลอง” เขาสูดอากาศเข้าไปกักเก็บภายในปอดอย่างรวดเร็วก่อนจะเป่าลมผ่านหอยสังข์สีขาวประกายมุขอย่างสุดแรงแต่เสียงที่ออกมากลับตรงกันข้ามกับน้องคนเล็กคิด

                “ พี่แอล ! พอได้แล้วหูจะแตกอยู่แล้ว” เดรโก้ที่อยู่ใกล้สุดตะโกนแต่ก็คงไม่เจ็บปวดเท่าคนหูดีอย่างเฮนรี่ที่แทบจะนอนกองลงบนพื้นอย่างทรมาน

                “ ทำไมฉันว่ามันก็เพราะดีนะ ฉันชอบ” เขายิ้มชื่นชมกับผลงานเพลงของตนเองที่ทำเอาคนอื่นแทบแก้วหูแตก

                “ เพราะอะไรกันเล่า แกจะฆ่าเราเลยรู้ไหมดูสิงูน้อยของฉันตกใจแย่” พีทหันมาแหวก่อนจะไปสนใจงูต่อ

 แต่สำหรับแอลแล้วเสียงที่ได้ยินออกไปนั้นช่างไพเราะเหลือเกิน

                “ เอาล่ะวันนี้ของให้ทุกคนไปทำความเคยชินกับสิ่งที่ได้ไปซะแล้วพรุ่งนี้เราจะมาซ้อมกันต่อ” ฮันเตอร์เอ่ยแล้วเดินจากไปพร้อมกับเลขาสาวทิ้งไว้ให้บรรดาหนุ่มๆชื่นชมกับของเล่นชิ้นใหม่กันอย่างเต็มที่





สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่านในช่วงเวลาที่เคร่งเครียดแบบนี้สายลมหวังว่าทุกคนจะสบายดี และช่วงเวลาที่ทุกคนเก็บตัวอยู่บ้านสายลมเองจะเพิ่มความถี่ในการอัพนิยายนะคะ ขอให้ทุกคนสบายดีค่ะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตราบทที่7วันเกิดกับการเปลี่ยนแปลง 27.3.20
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 27-03-2020 00:13:56
บทที่เจ็ด วันเกิดกับการเปลี่ยนแปลง

               “ พี่แอลพรุ่งนี้วันอะไรน้า” พีทที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามพี่ชายที่กำลังนั่งทำแผลอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

                “ วันอาทิตย์ไงมีอะไรหรือเปล่า” เขาตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจอะไร

 คนที่ถามทำหน้ามุ่ยเหมือนโดนขัดใจ “ วันอาทิตย์ก็วันอาทิตย์” เขากระแทกตัวลงบนเตียนนอนแสนนุ่มอย่างขัดเคือง “ อีกสองนาทีนายจะครบยี่สิบห้าแล้วนะพีท” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะวางนาฬิกาปลุกไว้ที่เดิม

 คนที่นั่งอยู่หน้ากระจกอมยิ้มกับนิสัยเหมือนเด็กของชายหนุ่มก่อนที่จะก้มมองดูนาฬิกาข้อมือสีขาวที่ถอดวางไว้อยู่บนโต๊ะ “ คงคิดว่าฉันลืมล่ะสิ”

 เมื่อนาฬิกาเข็มสั้นและยาวชี้ตรงกันเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดีเป๊ะแสดงถึงเวลาของวันใหม่เสียงประตูห้องก็ดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด แอลเปิดประตูด้วยสีหน้าตกใจ “ มีอะไรหรือเปล่า”

                “ คือพี่แวมป์กับพี่เฮนรี่จะตีกันอีกแล้วลงไปช่วยห้ามทัพที ตอนนี้พี่เกรทเฝ้าอยู่” น้องชายคนเล็กกระพริบตาหนึ่งทีก่อนจะกระชากร่างบางที่เดินมาสมทบที่หลับให้ตามออกไป “ ไปเร็วพี่พีทไป” 

 ภาพที่สาวทั้งสองเห็นคือชายหนุ่มรูปร่างกำยำทั้งสองกำลังทำการคลุกวงในอย่างดุดันโดยเท่าทีดูทั้งคู่ไม่มีใครยอมใครทำให้คนที่คอยยืนเป็นเสมือนกรรมการห้ามทัพอย่างเกรทยืนยกมือห้ามอย่างไม่สบอารมณ์

                “ นี่มันอะไรกันเนี่ย” พีทที่กำลังมาถึงตะโกนขึ้นเสียงแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย “ หยุดเดี๋ยวนี้นะไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เขาเดินเข้าไปพยายามแยกสองหนุ่มออกจากกัน

                “ พวกนายอย่ามายุ่งได้มั้ย นี่มันไม่ใช่เรื่องของพวกนาย” แวมป์หันมาตะคอกอย่างเหลืออด “ เพราะฉันกับมันต้องการเคลียการอย่างลูกผู้ชาย

   “ ลูกผู้ชายหรือหมาบ้ากันแน่ถึงได้กัดกันขนาดนี้เวลาที่อยู่ที่นี่ตั้งหลายวันไม่ทำให้รักกันขึ้นมาบ้างเลยหรือไง ทำไมไม่ลองเปิดใจล่ะ” พีทที่เคยดุดันกลับค่อยๆลองใช้ไม้อ่อนเข้าช่วย

                “ พี่ดูไปก่อนนะผมกับพี่แอลจะไปตามคนมาช่วยห้าม” เดรโก้เดินมากระซิบก่อนจะทิ้งให้เขายืนห้ามทัพกับเกรทแต่ก็อย่างว่าพละกำลังของเขาหรือจะสู้ชายหนุ่มร่างกำยำที่เป็นนักมวยได้

                “ โอ้ย” เฮนรี่เหวี่ยงร่างเกรทที่เกาะแขนออกอย่างรุนแรง ทำให้ร่างบางสะบัดมือไปถูกถุงที่กำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ทำให้ค้างคาวตัวอ้วนบินพุงพุ้ยออกมา “ แย่แล้ว”

                “ พวกเธอเล่นอะไรกันทำไมไม่ยอมหลับยอมนอนรู้ไหมว่าฉันรำคาญ” เจ้าตัวที่กระพือปีกบ่นออกมาเป็นภาษามนุษย์อย่างคล่องป๋อ “ แล้วนี่อย่าบอกนะว่าชื่อพีท” เมื่อชายหนุ่มพยักหน้า มือหนาของเฮนรี่ก็คว้าปากเจ้าจอมจุ้นไว้ทันทีแต่มันก็ไม่วายบ่นเสียงลอดมือออกมา “ เออ อู้ อั้ย อ้าเอ้า แอ้ง เออ อู่”

                “ นายพูดอะไร” พีทที่กำลังเกาะแขนแวมป์เอ่ยถาม

                “ อย่าไปสนใจเลยเรามาห้ามสองคนนี้ต่อดีกว่า” เกรทเอ่ยพลางยิ้มแหยๆ

                “ จะให้ห้ามอะไรก็ไม่เห็นทะเลาะกันแล้ว” เขามองด้วยสายตาจับผิดก่อนที่จะหันไปสนใจกับน้องชายคนเล็กที่กำลังวิ่งมาแสร้งห้ามศึก

                “ จับได้แล้ว” เกรทขยับปากใบ้คำชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามา

                “ เซอไพรซ์” แอลที่เดินเข้ามากับมิวส์ซึ่งมีขนมเค้กก้อนโตเขียนด้วยครีมสีชมพูว่า ‘แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะ’

                “ ใครคิดแผนนี้” พีทวางมาดนิ่งหมายจะจับผิด นัยน์ตาสีทรายไล่มองทุกคนตรงหน้าอย่างจับผิด คนที่ถูกมองก็พยายามเก็บพิรุธอย่างสุดแรงเกิดเว้นเสียแต่

                “ ฉันบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าไม่เวิร์คหรอก” เกรทชี้ไปทางเดรโก้

                “ อ้าว! เฮีย ไหงมาโยนให้กันอย่างนี้มันก็ช่วยๆกันนั่นแหละสองคนโน้นโน่นเล่นกันซะเนียน” เขาชี้ไปทางสองหนุ่มที่กำลังยิ้มแหยเผยฟันขาว

                “ อ้าวเฮ้ย !” ทั้งคู่อุทานมาพร้อมกันซึ่งก็เป็นเป้าสายตาของพีทด้วย

                “ คือคุณพีทครับ ผมเป็นคนทำเองครับพวกเขาไม่รู้เรื่องผมแค่อยากทำให้คนสนุกแต่ไม่คิดว่ามัน” มิวส์ที่ถือเค้กอยู่เอ่ยโดยไม่คิดจะจ้องไปยังชายหนุ่มแม้แต่นอดเดียว

                “ มันสนุกมากเลยครับ โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนทำหน้าอย่างนี้” หนุ่มผมลอนฉีกยิ้มสุดมุมปาก “ ทำไมทำหน้ากันอย่างนั้นล่ะวันนี้วันเกิดพีทนะอย่าเศร้าสิ” เขายังคงหัวเราะไม่มีหยุด

                “ สนุกเหรอแต่ฉันจะนอน” ค้างคาวอ้วนที่อยู่ในมือเฮนรี่เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ ไปนอนกันได้แล้ว”

                “ พูดมากจริงเดี๋ยวจับทอดกระเทียมเลย” เฮนรี่เขกหัวของมันหนึ่งที “ เอาของนายไป เอาไปขังเลยก็ได้พูดมากจริงๆ” แวมป์รับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะยัดเก็บเข้าไปในถุง

                “ ต่อเลยครับ” หนุ่มแวมไพร์เอ่ย

                “ ถ้าไม่โกรธก็เป่าเลยสิ” แอลสะกิดเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ปกติดีแล้ว

 พีทที่กำลังยิ้มปลื้มปริ่มค่อยๆหลับตาลงพร้อมกับอธิฐานอะไรบางอย่างก่อนจะค่อยๆลืมตาแล้วเป่าแสงสว่างตรงหน้าจนดับลง

                “ ขอบคุณทุกคนนะคะ” เขาหันไปสบตากับเพื่อนทั้งหมดก่อนจะหน้าแดงระเรื่อเมื่อสบตากับชายหนุ่มที่คุ้นหน้า

 

   



               “ แยกย้ายกันไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันต่อ” เสียงมอนิเตอร์คุ้นหูที่ควบคุมโดยโทรตและไซต์ในเวลากลางคืนเอ่ยแทรก

                “ ครับจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” พีทตะโกนไปลอยๆ “ เอาเป็นว่าวันนี้เราแยกกันก่อนไว้พรุ่งนี้เรามากินเค้กด้วยกัน”

  ทุกคนลงความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ก่อนจะแยกย้ายกันไปยกเว้นสองหนุ่มที่เหมือนจะเปลี่ยนจากไม่ชอบขี้หน้ากันมาเป็นเพื่อนที่แสนสนิท

                “ เดี๋ยวสิครับ” มิวส์คว้าแขนหญิงสาวไว้

                “ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

                “ คือวันนี้เป็นวันครบรอบยี่สิบห้าปีของคุณ ซึ่งผมคิดว่าเลือดในร่างกายของคุณมันจะทำให้เรียกพวกนั้นมาทำร้ายได้ ผมว่าเอ่อ…ช่วงนี้อย่าเพิ่งออกไปไหนนะผมเป็นห่วง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย

                “ ครับ แต่พรุ่งนี้ผมขออะไรคุณอย่างนึงได้ไหม” เขาส่งสายตาอย่างอ้อนวอน

                “ อะไรครับ”

                “ คือพาผมไปหาแม่โซฟีที่โบสถ์ที ผมอยากไปกราบท่าน” เขาอดนึกถึงผู้มีพระคุณที่เลี้ยงตนมาตั้งแต่เด็กไม่ได้

                “ แล้วจะออกไปยังไง ไม่ซ้อมหรือครับ” มิวส์ถามอย่างสงสัย

                “ ถ้าคุณขอต้องได้แน่ นะครับ ช่วยผมที” เขาอ้อนวอน

                “ ครับแค่แป๊บเดียวนะ”

                “ขอบคุณครับ อย่างนั้นพรุ่งนี้บ่ายๆเจอกัน” เขาตอบก่อนจะบอกคำล่ำลากับชายหนุ่มแล้วเดินยิ้มกลับห้องนอนไปอย่างมีความสุข

               ตลอดช่วงเช้าเขาฝึกหนักจนแทบจะไม่มีเวลาหายใจหายคอหรือแม้กระทั่งคิดเรื่องวันเกิดของตัวเองด้วยซ้ำจนกระทั่งฝึกเสร็จเขาก็รีบจัดการกับตัวเองอย่างรวดเร็วเพราะชายหนุ่มที่นัดไว้มารอที่ห้องรับแขกนานพอสมควรแล้ว

                “ รอนานมั้ยครับ” 

                “ ไม่ครับ” เขายิ้มรับอย่างสุภาพ “ จะไปกันเลยหรือเปล่าครับ”

                “ เดี๋ยวรอพี่แอลก่อนครับ เพราะพี่เขาก็คงคิดถึงที่นั่นไม่ต่างจากผมหรอกครับ” พีททิ้งตัวนั่งลงด้านข้าง

                “ มาแล้วครับรอนานมั้ย” ชายหนุ่มกับเสื้อเชิ้ตผ้าคัตตอนสีฟ้าส่งยิ้มหวานให้ทั้งคู่ที่กำลังยืนคุยกันอยู่

                “ นานมาก” พีทพูดทีเล่นทีหยอก “ สงสัยมัวแต่เสริมหล่ออยู่ล่ะสิ”

                “ ฟล่ออะไร เราก็เพ้อเจ้อไปเรื่อยแล้ว” ผู้เป็นพ่ายตีที่ไหล่บางแก้เขิน

                “ ล้อเล่นนิดหน่อยก็ไม่ได้” พีทวิ่งมากอดคอพี่ชายคนสนิทก่อนจะหันมาทางชายหนุ่มที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ “ เราไปกันเลยมั้ยครับ”

                “ ครับ อ่อไปครับไปเลย” มิวส์รับคำก่อนจะเดินนำทางไปที่รถ

  ไม่ทันไรโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมาทันที

                “ ว่าไงกำลังคิดถึงเลยวะ” มิวส์กรอกเสียงไประหว่างติดเครื่องยนต์

                “ แกกำลังทำอะไรอยู่ยุ่งหรือเปล่าวะฉันมีเรื่องจะปรึกษา” แดนกรอกเสียงตอบกลับอย่างเร่งรีบ

                “ มีอะไรหรือเปล่าเสียงแกดูตื่นเต้นมากเลยนะหรือว่า” ชายหนุ่มไม่ทันพูดจบตนสายก็กรอกเสียงกลับมาทันที

                “ เออสิตอนนี้ฉันได้เบาะแสเรื่องทางเข้าถ้ำของเทพีแล้วนะ”

                “ จริงเหรอวะเดี๋ยวฉันจะเข้าไปหาตอนนี้ฉันขอพาสาวๆไปที่โบสถ์ก่อน” มิวส์ให้เหตุผล

                “ แสดงว่าคุณพีทก็อยู่กับแกเหรอ” แดนถามแต่ก็พูดต่อโดยไม่รอคำตอบ “ อย่าลืมเอาเธอมาด้วยนะ”

                “ เออฉันจะบอกให้ แค่นี้ก่อนนะฉันจะขับรถ” สิ้นเสียงเขาก็ตัดสายทิ้งแล้วหันไปบอกหนุ่มสองคนที่มีสายตาตั้งคำถามส่งมาให้ “ คือเพื่อนของผมที่ไปถามเรื่องกอร์กอนวันนั้นโทรมาบอกว่าได้เบาะแสแล้วครับ”

                “ เอาอย่างนี้ไหมครับเราไปกันที่โบสถ์กันก่อนไม่นานหรอก แล้วเดี๋ยวรีบไปบ้านเพื่อนของคุณ ไม่น่าจะเสียเวลามากหรอกใช่มั้ยพีท” แอลเสนอความเห็น

                “ ได้ ถ้าอย่างนั้นเรารีบๆไปโบสถ์เลยได้ไหมครับ ผมรู้สึกใจคอไม่ดียังไงไม่รู้” หนุ่มนัยน์ตาสีทรายเร่งเร้าเหมือนความรู้สึกบางอย่างในใจมันบอกว่า อันตราย

    “ ครับผมพาคุณไปถึงแน่ๆไม่ต้องกังวลว่าจะพาไปขายหรือแวะไหนหรอก” คนขับพูดก่อนเหยียบคันเร่งออกไป

                “ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ ผมเพียงแค่คิดว่าจะต้องมีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆเรียกว่าลางสังหรณ์เลยก็ได้นะ” มือเรียวยาวเอื้อมไปคว้ามือของพี่ชายที่นั่งเบาะด้านข้างอย่างร้อนใจ

                “ เอาน่าคิดมากจริงน้องฉัน วันนี้วันเกิดเขาให้คิดแต่สิ่งดีๆ แล้วมาคิดอะไรแบบนี้ได้ยังไงไม่เอานะ”

                “ ฉันกลัว กลัวว่าจะไม่ได้สุข ร่าเริง หรือใช้ชีวิตปกติอีกแล้ว” พีทกอดพี่ชายก่อนที่น้ำใสๆจะหลั่งรินออกมาราวกับประปาแตก “ พี่อย่าทิ้งฉันนะฉันกลัวยังไงไม่รู้”

                “ ใครจะไปทิ้งล่ะฉันก็นั่งอยู่นี่ คุณมิวส์ก็ด้วย ไหนจะแม่ พวกพื่อนๆและหลายๆคนอีก” เขาปลอบ

                “ จริงครับถ้าคุณไม่มีใครจริงๆจำไว้นะครับว่ายังไงก็ยังมีผม” สายตาจริงจังส่งผ่านกระจกมายังชายหนุ่ม “ ว่าแต่คุณโทรบอกทางโบสถ์หรือยังว่าจะไปหาเดี๋ยวเผื่อคลาดกันมันจะไปฟรีนะครับ”

                “ จริงด้วยลืมไปเลยตั้งแต่มาฝึกยังไม่เคยติดต่อกลับไปเลยนี่” พีทเอ่ยพลางล้วงกระเป๋าไปมาทั้งสองข้าง “ โทรศัพท์โดนฮันเตอร์เก็บไปแล้วขอยืมหน่อยได้หรือเปล่าครับ” เขาส่งเสียงอ้อนวอนไปตรงคนที่กำลังขับรถอยู่

                “ นี่ครับ” เขาส่งไปให้ชายหนุ่มด้านหลัง

                “ ขอบคุณครับ” ทันทีที่มือเรียวยาวได้สิ่งที่ต้องการมาครอบครองก็เร่งรีบกดตัวเลขอันคุ้นมืออย่างเร่งรีบก่อนจะกดโทรออก “ รับสิ รับเร็วๆหน่อยใจคอยยิ่งไม่ค่อยดีอยู่” คิ้วคู่งามแทบจะขมวดติดกันเพราะปลายสายไม่มีทีท่าที่จะรับ

                “ ใจเย็นที่นั่นอาจจะยังยุ่งๆกันอยู่ก็ได้” แอลให้กำลังใจแต่ภายในความคิดของเขาเองนั้นก็รู้สึกกังวลไม่น้อยเพราะทางโบสถ์ที่ตนกับน้องสาวอยู่มาตั้งแต่เล็กจนโตนั้นไม่เคยมีใครรับโทรศัพท์ช้าเลยเพราะช่องทางการติดต่อกับผู้บริจาคจะติดต่อมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นทางโทรศัพท์หากช้าหรือไม่ทันจะเป็นการตัดเงินตัวเอง “ พยายามโทรเข้านะ”

                “ สองสามรอบแล้วนะทำไม่ยังไม่มีคนรับเลยเนี่ย” พีทที่ถือโทรศัพท์แนบหูเริ่มหงุดหงิดด้วยความกระวนกระวายใจ “ ถ้ารอบนี้ไม่รับนะไปถึงฉันจะตียายเมนี่ให้ก้นลายเลย”

                “ จะคุยกับใคร” เสียงแหบแห้งรอดสายมายังต้นสายของหนุ่มนัยน์ตาทราย

                “ แล้วนี่ใครครับ ทำไมมารับโทรศัพท์ที่โบสถ์ได้หรือว่า” โครม! ยังไม่ทันจบคำเสียงเหมือนมีบางอย่างถล่มก็ลอดผ่านโทรศัพท์ออกมา “ เสียงอะไรน่ะ ฮัลโหลตอบหน่อยสิเสียงอะไร”

                “ หยุดพล่ามสักทีน่ารำคาญ” เสียงปริศนาพูด “ ฉันรอแกมานาน คิดอยู่แล้วเชียวว่าแกต้องกลับมาที่นี่”

                “ อย่ามานะพี่พีท โอ้ย!” เสียงคุ้นหูดังแทรกมา

                “ เมนี่ เมนี่ใช่มั้ยมีอะไรหรือเปล่าพี่ไม่เล่นด้วยหรอกนะ” เขาพ่นเสียงออกไปอย่างสั่นเครือเพราะภายในในรู้ดีแล้วว่าพลังของเธอกำลังทำให้คนที่ตัวเองรักเดือดร้อน แต่อีกใจก็ภาวนาได้เพียงขอให้เป็นการหยอกล้อของน้องสาวคนเล็ก

                “ ถ้าไม่อยากให้ใครตายเพิ่มไปมากกว่านี้ก็รีบๆมาฉันจะรอ ….”

                “ ฮัลโหล ฮัลโหล โถ่โว้ย” เขาแทบอยากจะวี้ดให้ลั่นรถ “ คุณมิวส์ครับ ขับไวกว่านี้ได้ไหมคตับ ผมคิดว่าที่นั่นกำลังมีอันตราย”

                “ ครับ” ชายหนุ่มได้เพียงรับคำแต่ไม่ถามอะไรมากเพราะหน้าตาจริงจังของพีททำให้เท้าของเขาเหยียบคันเร่งแทบมิด

                “ มีอะไรหรือเปล่าพีท” แอลที่นั่งข้างๆถาม

                “ ไม่แน่ใจแต่ฉันว่าเราต้องเตรียมอาวุธ” มือเรียวยาวเอื้อมไปหยิบกระเป๋ามาตรวจสอบปืนพกบรรจุแคปซูลกระสุนพิเศษและมีดพกขนาดเล็ก “ ของพี่พร้อมไหม”

                “ อืม ดีนะพกมาด้วยแต่หวังว่าจะไม่ได้ใช้นะ” แอลตอบอย่างไม่สู้ดีนัก “อะไรกันเพิ่งฝึกไม่กี่วันปฏิบัติจริงแล้วหรือ”

                “ ครับ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

                รถของมิวส์มุ่งหน้ามาด้วยความรวดเร็วแต่ก็คงไม่เท่ากับใจอันร้อนเร่าของพีทอย่างแน่นอน

 ‘ขอให้อย่าเป็นอย่างที่คิดเลยนะ’

                “ ทำไมมันโทรมขนาดนี้เนี่ย” พีทที่มองออกไปนอกกระจกตัดพ้ออย่างเสียไม่ได้เพราะสภาพที่ที่ตนเคยอยู่เมื่อเกือบสองอาทิตย์ก่อนมันช่างเสื่อมโทรมราวกับว่าไม่มีผู้คน

                “ แล้ววันนี้ก็น่าจะเปิดสอนไม่ใช่เหรอทำไมดูไม่มีใครเลยล่ะ” แอลเสริม

                “ ผมว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ ทางที่ดีเราลองโทรเข้าไปเช็คอีกทีดีไหมครับ” ชายหนุ่มเพียงคนเดียวเสนอ

                “ ไม่ชงไม่เช็คอะไรทั้งนั้นแล้วผมรู้สึกใจคอไม่ดียังไงก็ไม่รู้ รีบๆลงไปดูเถอะพี่แอลแล้วอย่าลืมหยิบอะไรไปป้องกันตัวด้วยนะ” พีทหันไปสั่งพี่ชายก่อนที่จะคว้าปืนพกขนาดเล็กพร้อมกับมีดในกำมือแล้วเปิดประตูก้าวลงจากรถโดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้น

                “ น้องคุณนี่ดื้อจริงๆ” มิวส์ปลดเข็มขัดแล้วรีบเปิดประตูตามลงไป

 แอลเห็นทุกคนเร่งรีบตนเลยรีบเปิดลงมาหลังจากที่ส่งข้อความไปหาเกรท

‘ ขอกำลังเสริมด่วน’

                “ ช้าจริง” พีทหันมาบ่นใส่หน้าพี่ชาย “ ไปเลยแล้วกันตอนนี้ฉันสั่งให้แจ็คนำหน้าไปก่อนแล้ว”

                “ อืม ก็ดีอย่างน้อยเราเองก็จะได้รู้ว่าข้างหน้ามันมีอะไรหรือเปล่า” แอลล้วงปืนในกระเป๋าออกมาตั้งท่ารอรับสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดี

                “ ไปกันเถอะ” บุตชายแห่งเมดูซ่าเดินดุ่ยๆนำหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับชายหนุ่มข้างกาย

                “ รอด้วย” แอลตะโกนตามหลัง

                “ ทำไมมันเงียบจังเลยนะ” พีทที่ก้าวเหยียบผ่านเข้ามาบริเวณภายในรั้วเอ่ยขึ้น

 แอลหันซ้ายหันขวาอย่างไม่ค่อยแน่ใจกับสถานการณ์อย่างนี้เสียเท่าไหร่ เพราะยิ่งเงียบยิ่งอันตราย

                “ พี่ว่าเราเอ่อ เราจะเข้าไปจริงๆเหรอ”

                “ พี่ก็ถามแปลกๆก็เข้าน่ะสิ” พีทหันกลับมาตอบ “ แล้วพี่จะกลัวอะไรเนี่ยที่นี่ก็อยู่มาตั้งแต่เด็กดูซิคุณมิวส์เขายังไม่พูดอะไรสักคำเลยแปลกคนจริง”

                “ เอออยู่มาตั้งแต่เด็กก็จริง แต่ที่นี่มันไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่หว่า” เขาทำจมูกฟุดฟิด “ กลิ่นก็เหม็นเน่าๆสาบๆไม่เหมือนเมื่อก่อนมีแต่กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าแล้วแกดูโน่น” แอลชี้ไปยังสวนดอกไม้ที่ไร้ดอกไม้แม้ดอกเดียว “ แกเคยเห็นแม่ปล่อยให้มันตายหรือเฉาหรือไง”

  พีททำท่าทางครุ่นคิดกับคำพูดของคนเป็นพี่ “แต่จะให้ทำยังไง ถ้าไม่เข้าไปจะรู้เหรอว่าข้างในมีอะไร อีกอย่างถ้าหากว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นเราจะได้ช่วยกันแก้ทัน”

                “ แต่ถ้ามันไม่ใช่เรื่องปกติล่ะ เอ่อถ้าเป็น” เขาพูดได้อย่างำม่ค่อยเต็มปากกับสิ่งที่คิดเท่าไหร่

                “ เป็นอะไรล่ะ” พีทถามกลับ

                “ ปีศาจไง แกจำเรื่องที่เกรทเล่าให้ฟังไม่ได้เหรอว่ าก่อนที่จะมาที่นี่แกเองก็โดนพวกมันโจมตีเอา แล้วถ้าพวกมันมาตามหาเราที่นี่ล่ะเราสองคนจะไหวเหรอ”

                “ แล้วจะเอายังไงถ้าไม่เข้าไปตอนนี้อาจทำให้แม่กับคนอื่นๆอยู่ในอันตรายก็ได้ ใจจริงๆพีทก็กลัวไม่ได้ต่างอะไรกับพี่แอลเลยแต่จะมาปล่อยให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่มารับเคราะห์แทนเราฉันรับไม่ได้

                “ ไม่ต้องห่วงหรอกนะตอนนี้ฉันขอกำลังเสริมไปแล้วยังไงก็นิ่งไว้รอจนกว่าพวกนั้นจะมา”

                “ ไม่ทันแล้วล่ะครับ” มิวส์ชี้ไปที่แจ็คที่สะบักสะบอมกลับมา

                “ เป็นอะไรน่ะ ใครทำอะไรนาย” พีทลูบผิวมันเลื่อมที่เต็มไปด้วยเลือดของเจ้างูคู่หูของตัวเอง

                “ พวกมันรู้แล้ว พวกมันมีมากเหลือเกินหนีไปอย่าอยู่ที่นี่” มันใช้พลังเฮือกสุดท้ายทิ้งคำก่อนจะสลบไป

                “ หนีอะไรล่ะตื่นขึ้นมาบอกก่อน” พีทพยายามสนทนาด้วยแต่ร่างงูนั้นกลับกลายมาเป็นเครื่องประดับเหมือนเดิม “ ขอบใจ” เขาหยิบสร้อยจากพื้นหญ้ามาสวมที่คอ

                “ เอายังไงล่ะคราวนี้มันรู้ว่าพวกเรามาแล้ว” มิวส์ถามอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะตนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาก็เท่านั้น

                “ บุกฉันว่าเราต้องบุกเพราะยังไงมันก็ต้องตามหาเราเจออยู่ดี สู้ก็ตายไม่สู้ก็ตาย” พีทเสนอ

                “ เอาวะ ยังไงเราต้องช่วยกันถ่วงเวลาจนกว่าพวกนั้นจะมานะ” แอลหยิบปืนยื่นไปให้ชายหนุ่ม “ คงใช้เป็นนะครับ”

                “ ครับ ขอบคุณครับ” เขารับมาในใจคิดเพียงว่า ‘เอาไงก็เอากันวะ’

                “ ไปเลย แต่ต้องระวังด้วยนะอย่าให้มันเห็นเราเข้าไม่อย่างนั้นเละกันหมดนี่แน่” พีทว่าก่อนจะค่อยๆเดินออกมาจากที่หลบ

                “ แม่จะเป็นยังไงบ้างนะ” แอลพึมพำอย่างเป็นห่วง “ คอยดูนะถ้าแม่เป็นอะไรขึ้นมาฉันจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเลย” หนุ่มที่เคยกลัวสิ่งที่ไม่อยากเจอแข็งแกร่งขึ้นเมื่อนึกถึงผู้มีพระคุณ

                “ ไม่มีใครเป็นอะไรแน่นอนครับ เชื่อผม” มิวส์กลั้นใจปลอบคนตรงหน้าทั้งที่ใจของตัวเขาก็ไม่แน่ใจกับปัญหาครั้งนี้เหมือนกันเพราะตั้งแต่ก้าวขามาทำงานในองค์กรนี้ก็เจอแต่เรื่องประหลาดๆเต็มไปหมด

                “ เอาอย่างนี้นะถ้าเราต้องการช่วยแม่ให้ได้เราจะต้องมีสติ” พีทที่มีสติก่อนพี่ชายที่แสนอ่อนไหวพูดเตือน

                “ ตกลงฉันขอเวลาแป๊บนึง” เขาหลับตาสูดลมหายใจพยายามรวบรวมสติ “ พร้อมแล้วลุยกันเลย”

 
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT : เนตรแห่งมนตราบทที่7 วันเกิดกับการเปลี่ยนแปลง 27.3.2
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 27-03-2020 00:14:45
ประตูทางเข้าที่เคยเปิดอ้าเพื่อรอต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียนและผู้บริจาคบัดนี้กลับปิดมืดมิดชิดอย่างแน่นหนา

                “ ทำไงล่ะ ประตูหน้ามันล็อค” มิวส์เอ่ยพลางพยายามที่จะดัน

                “ คุณจะทำอะไรเนี่ย จะกระแทกทำไม เข้าประตูหน้าไม่ได้ก็เข้าประตูหลังสิ เสียงดังขนาดนี้จะให้มันยกโขยงกันมาฆ่าพวกเราหรือไง” พีทกระชากชายหนุ่มให้วิ่งตามไปโดยมีแอลคุ้มท้ายอย่างระแวดระวัง

                “ โอ๊ย” ชายหนุ่มร้องโอดครวญเมื่อพีทตรงหน้าผลักเขามากระแทกกับกำแพงอย่างเต็มแรง “ ขอโทษครับ”

                “ พี่แอลตอนนี้มีพวกมันเฝ้าอยู่ทางปากประตูทางเข้าจะทำไงดี” เขากระซิบบอกกับพี่ชายที่รั้งท้ายมาพร้อมทั้งชี้นิ้วไปทางคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนเฝ้าประตูอยู่

                “ พวกนี้ไม่น่าจะใช่ปีศาจหรอกนะพี่ว่า น่าจะเป็นพวกคนเลวที่หลงผิดหลอกง่ายมากกว่า”

                “ พี่รู้ได้ยังไง” พีทถามอย่างสงสัยเพราะปกติแล้วปีศาจมักชอบแฝงอยู่ในร่างมนุษย์

                “ ปีศาจที่ไหนจะนั่งกินแฮมเบอร์เกอร์ ข้าวผัดกระเพราแล้วดูโน่น” เขาชี้ไปทางชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เคราเฟิ้มคอที่กำลังวิ่งไล่เตะเพื่อนที่วิ่งมาตบหัวคร่าเวลา “ ฉันว่านี่คงต้องเป็นหน้าที่เธอแล้ว” เขาเสนอ

                “ ได้ จัดให้” สิ้นคำพีทก็เดินออกจากที่ซ่อนซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นเป้าสายตาของผู้ชายทั้งห้าที่ยืนเรียงรายเฝ้าปากทางเข้าประตูอยู่

                “ มองตาผมสิครับ” พีทพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ มองสิครับแล้วพีทจะพาไปทำอะไรที่สุดยอด” เขาพยายามชักจูงจิตใจคนตรงหน้าแล้วดูว่าจะเป็นไปอย่างง่ายดายเสียด้วยเพราะเสียงของเขาช่างเย้ายวนจิตใจคนที่จิตอ่อนไหวเสียด้วย

                “ นี่สินะที่เขาเรียกว่าสะกดจิตหมู่” มิวส์ที่หลบอยู่เอ่ยเบาๆกับแอลที่ลุ้นอยู่

                “ เงียบก่อนได้ไหมคุณดูไปก่อน” หนุ่มสาวนัยน์ตาสีฟ้ายังคงจับจ้องไปที่การสะกดจิตหมู่ตรงหน้า

 หนุ่มผมลอนยังคงพยายามใช้สายตาจ้องนิ่งไปยังทุกคนเมื่อเห็นว่าทุกคนมีแววตานิ่งรอรับคำสั่งจึงพูดออกไปว่า

                “ จงเดินไปที่สระน้ำ อย่ากลับมาจนกว่าจะได้รับคำสั่ง”

 สิ้นคำของชายหนุ่มพวกเฝ้าทางเข้าทั้งห้าก็พากันเดินชักแถวไปทางบ่อน้ำด้านข้างโดยที่ไม่วายตะโกนว่า ‘จงเดินไปที่สระน้ำอย่ากลับมาจนกว่าจะได้รับคำสั่ง’ ซ้ำไปซ้ำมา

                “ สำเร็จ” เขาหันมาส่งสัญญาณมือว่าทุกอย่างเรียบร้อย

  แอลที่อยู่ในที่ซ่อนเดินออกมาพร้อมกับมิวส์ที่กำลังมองการสะกดจิตหมู่อย่างชื่นชม

                “ ผมจำได้ว่าตอนที่เจอคุณครั้งแรกยังไม่เก่งขนาดนี้เลยนะครับแต่เมื่อกี้เจ๋งไปเลย” คำชมเมื่อครู่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยิ้มจนแก้มแทบจะฉีกแต่วินาทีหวานซึ้งก็หยุดลงโดย

                “ มันใช่เวลาไหมเนี่ย” แอลเอ่ยพลางชักปืนในมือเพื่อรอการเหนี่ยวไก “ รู้อะไรมั้ยว่าฉันไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย ถ้าไม่ใช่แม่นะฉันจะนั่งรอเฉยๆอยู่ด้านนอกแล้ว” หนุ่มผู้หวาดระแวงเกริ่นก่อนจะเดินนำหน้าไป

ทันทีที่ประตูด้านหลังเปิดออกกลิ่นเหม็นเน่าราวกับซากศพก็ฟุ้งกระจายออกมาเหมือนกับว่ากลิ่นพวกนี้ถูกอัดแน่นด้านในมานานเพื่อรอวันปลดปล่อยนี่ยังไม่นับรวมแมลงวัน แมลงสาบที่บินไปกระโดดมาเต็มไปหมด

                “ แน่ใจนะเรามาโบสถ์ที่เราเคยอยู่ถูกที่แน่ๆ” พีทมองไปซ้ายทีขวาทีสภาพภายในดูน่าขยะแขยงกว่าด้านนอกเป็นหลายล้านเท่ามากเพราะตามรูปที่แขวนติดไว้ตามผนังก็มีเศษเลือดติดเต็มไปหมด ไหนจะยังเศษกระจกที่แตกเกลื่อนกลาดเต็มพื้นอีก

                “ เอาไงต่อครับ” มิวส์ที่ยืนด้านข้างของสาวผมลอนถามขึ้น

                “ แยกย้ายกันตามหาแม่ให้เจอแล้วถามว่าเด็กๆอยู่ที่ไหนเราจะได้ช่วยกันพาออกไปจากที่นี่” พีทเสนอ

                “ จะบ้าเหรอตอนนี้เราก็เหมือนอยู่ในรังของมันเลยนะ ถ้าแยกกันจะเป็นการตัดกำลังของพวกเราเองหรือเปล่า”

                “ แล้วจะให้ทำยังไง ให้ช่วยกันหาทุกห้องไม่ไหวหรอกนะกว่าจะเจอครึ่งวันพอดี” พีทกล่าวพลางชี้ไปยังห้องต่างๆที่มีอยู่มากมายหลายชั้นเหลือเกิน

                “ ชั้นหนึ่งผมว่าไม่น่าจะมีหรอกครับ” มิวส์เสนอพร้อมกับแหงนมองไปด้านบนที่มีอยู่ทั่งหมดสี่ชั้น

                “ ทำไมนายถึงได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะ” แอลหันกลับมาถาม

                “ ก็ถ้ามันอยู่ชั้นนี้มันคงออกมาฆ่าพวกเราแล้วล่ะ เราเล่นเดินกันอย่างกับสนามเด็กเล่นกันเสียขนาดนี้” เขาอธิบายเชิงเหน็บแนมกับสองหนุ่มที่ดูไม่ระแวดระวังอะไรเลย

                “ แนวคิดคุณก็ดีเหมือนกันนะ” พีทเสริม “ แล้วที่ว่าเดินเล่นนี่คืออะไร”

                “ เขากำลังว่าเราประมาทอยู่น่ะ” แอลกระซิบบอกด้านข้างทำให้หนุ่มมั่นผงะเล็กน้อยก่อนจะถอยไปหลบที่ริบกำแพงที่เต็มไปด้วยแมลงสาบ

                “ บอกกันตรงๆก็ได้นะครับอย่ามาอ้อมค้อมกับผม” พีทหันไปแหวคนที่วิ่งตามเข้ามา

                “ ครับ” มิวส์ตอบอย่างยิ้มๆ “ แล้วเราจะเอายังไงต่อครับหัวหน้าทัพ”

                “ หยุดทะเลาะกันได้ไหม ขอแบบโหมดจริงจังของคุณเวลาทำงานหรืออยู่กับคนอื่นอะไรอย่างนี้ชอบกวนจังเวลาอยู่กับผมเนี่ย ไม่เข้าใจจริงๆ” พีทบ่นพึมพำ

                “ โอเคครับ ก็ผมเห็นเครียดเลยอยากให้ผ่อนคลายเผื่อจะคิดแผนออก”

                “ ขอบคุณครับ แต่ผมคิดว่าผมขอเปลี่ยนเป็นความสงบดีกว่า”

                “ โอ้ย !จะเถียงกันเอาอะไรเนี่ยพวกมันมาโน่นแล้ว” แอลชี้ขึ้นไปที่ด้านบนที่มีเหมือนฝูงอะไรบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาทางพวกเธอ “ ฉันว่าพวกมันรู้แล้ว”

                “ ใช่แล้วผมนึกออกแล้วพวกมันตามกลิ่นของคุณมา”

                “ กลิ่นอะไรของนาย” พีททำท่าทางฟุดฟิดกับร่างกายของตัวเองอย่างไม่มั่นใจ

                “ ก็ทุกๆวันที่บุตรแห่งเมดูซ่าครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ร่างกายจะทำการเตรียมความพร้อมเพื่อทำการสร้างเสน่ห์เย้ายวนบรรดาเหล่าปีศาจหรือชายหนุ่มมาทำการแก้แค้นที่โดนสาปไง ผมเคยเตือนเรื่องนี้กับคุณแล้วนะ”

                “ อะไรกันวะเนี่ยทำมันต้องมาปล่อยกลิ่นอะไรกันวันนี้แม่นะแม่ทำไมถึงทำกับฉันได้”

                “ ฉันว่าเอาเวลาโอดครวญของแกมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะเอายังไงมันมากันโน่นแล้วนะ” แอลสะกิดเพราะฝูงสัตว์ปีกตัวเล็กแต่เต็มไปด้วยเขี้ยวที่คมกริบเหมือนพร้อมจะกัดฉีกทุกอย่างพุ่งมาอย่างรวดเร็ว

                “ พีทระวัง” ปีกที่คมกริบราวกับมีดโกนปาดทะลุเสื้อหนังสีดำของมิวส์อย่างรวดเร็ว

                “ มันตามกลิ่น” แอลวิเคราะห์ “ เจอนี้หน่อยเป็นไง” เขายื่นมือไปที่ตู้ปลาด้านข้างแล้วควบคุมของเหลวจนกลายเป็นมีดดาบขนาดใหญ่

                “ คุณจะทำอะไร” มิวส์ที่กำลังกำบังอยู่เอ่ยถาม

                “ ในเมื่อมันใช้เพียงกลิ่นของพีทนำทางเราก็จะใช้พีทเป็นตัวล่อแล้วก็ดูเองแล้วกัน” สิ้นคำเขาก็โยนดาบที่ทำจากน้ำตู้ปลามาบริเวณที่หนุ่มผมลอนนั่งอยู่แล้วบังคับให้หมุนราวกับว่าเป็นบาเรียเพื่อป้องกันค้างคาวนั้น

                “ มันได้ผล” มิวส์ที่เห็นเหตุการณ์ว่าค้างคาวผีพวกนั้นถูกดาบตัดขาดเป็นส่วนๆอย่างไม่เหลือซาก

 ไม่นานเหล่าค้างคาวที่พวยพุ่งเข้ามาหาพีทก็เหมือนจะหมดลง

                “ เก่งกันจริงๆเลยนะเหล่าลูกหลานของข้า” น้ำเสียงแข็งกร้านดังก้องไปรอบตึกทั้งสี่ชั้น

                “ ใครน่ะ ต้องการอะไรทำไมถึงต้องทำกันถึงขนาดนี้ด้วย” พีทตะโกนตอบโต้กับไป

               “ แน่จริงก็ออกมาสิวะมาซึ่งๆหน้ากัน อย่ามารอบกัดอย่างนี้” มิวส์ที่เลือดไหลโชกแขนตะโกนออกไปด้วยความเจ็บแค้นบ้าง

                “ ปากดีจริงๆนะเจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ หน้าโง่อย่างแกฉันแค่บีบทีเดียวก็ตายอยู่แล้ว”

                “ ฉันไม่กลัวหรอกแน่จริงก็ออกมาเลย” เขายังคงท้าทายพร้อมกับส่องปากลำกล้องปืนไปทั่วทิศทาง

                “ แกทำให้ฉันโกรธเองนะเจ้าหน้าโง่”

โครม !

                “ ระวังข้างหลังนาย” แอลร้องตะโกนเตือนชายหนุ่มที่กำลังประคองกับน้องสาวของตน

                “ นี่มันตัวอะไรกันวะเนี่ย” พีทมองไล่จากเท้าขึ้นไปด้านบนเพราะตัวของมันสูงเสียดฟ้า

                “ มันหลอกเรามันอยู่ตรงนี้นานแล้วแต่มันยังไม่เผยตัวตนออกมา เพราะว่ามันกำลังหลอกให้เราเผยพลังออกมา”

                “ ฉลาดนี่เจ้าหนู”

                “ นี่นะเหรอเบลเซบับผู้อยากจะยิ่งใหญ่” แอลมองด้วยสายตาเยอะเย้ย

                “ แกไม่มีสิทธ์มาว่านายท่านต่อหน้าข้าเพราะข้าแอสโมดีอุสจะฆ่าเจ้า”

                “แอสโมดีอุส” ทั้งสามอุทานอย่างพร้อมเพียงกันก่อนจะพากันวิ่งไปหลบที่มุมห้องที่เต็มไปด้วยแมลงสาบอีกครั้ง

ร่างสูงราวกับตึกหลายชั้นตรงหน้ามีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดสามหัวโดยมีหอกเป็นอาวุธ หัวทั้งสามของมันเป็น วัว แพะ และคน เพราะว่า สัตว์พวกนี้ถือว่าเป็นสัตว์ที่ลุ่มหลงในตัณหา เมื่อทั้งสามมองลงมาก็พบว่าเท้าของมันจะเป็นเท้าของไก่ที่เสริมเหล็กแหลมและคมกริบไว้

                “ เอาไงล่ะ จะยืนนิ่งรอให้มันฆ่าหรือไง” พีทเขย่าพี่ทั้งสองอย่างสุดแรง

                “ เดี๋ยวนะครับผมนึกออกแล้วผมเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อย่าจ้องตามันถ้าจ้องแล้วมันจะทำได้เหมือนคุณพีท” มิวส์ผู้เชี่ยวชาญด้านตำนานต่างๆเอ่ย

                “ คุณหมายความว่ายังไง” แอลถามบ้าง

                “ มันสะกดจิตได้”

                “ คุณมิวส์กับพี่ต้องวิ่งให้พ้นรัศมีตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันขอลองอะไรนิดหน่อยและหวังว่าจะได้ผล”

                “ ลองอะไร” แอลถามน้องชายอย่างรวดเร็วเพราะไอ้สามหัวตัวยักษ์กำลังใช้เล็บเท้ายกตะปบพวกเขาแล้ว

                “ ไม่มีเวลาแล้วเชื่อผม พาพี่หนีไป”

                “ ครับผมเชื่อใจคุณ” มิวส์หันไปสบตาพีทครู่หนึ่งก่อนจะคว้าแอลให้วิ่งตามไปด้วย

                “ ฉันหวังว่าคงพักฟื้นพอแล้วนะ” เขากระชากสร้อยที่คอออกอย่างรวดเร็ว “ แจ็คฉันขอตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่นายทำได้” สิ้นเสียงสร้อยในมือก็หายไปกับตาก่อนจะมีบางอย่างดันตัวหญิงสาวขึ้นไปประชันหน้ากับดวงตาสีเหลืองที่นิ่งสงบแต่ภายในแฝงไปด้วยพลังอำนาจที่พร้อมจะกลืนกินเธอ

                “ แกกล้ามากที่คิดจะต่อกรกับสายตาคนอย่างข้า” แอสโมดีอุสคำรามใส่คนตรงหน้าอย่างเดือดดาลเพราะไม่เคยมีใครคิดที่กล้าจะสบตาเขาแม้แต่น้อยนอกจากเมดูซ่าที่เขาเคยแอบเข้าไปหาเมื่อนานมาแล้ว

                “ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไมนายถึงได้มั่นใจในสายตาของตัวเองนักหนา” สิ้นคำดวงตาสีทรายก็เบิกตาเพ่งพินิจมองคนตรงหน้า

                “ ได้เดี๋ยวจัดให้ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าบุตรแห่งเมดูซ่าอย่างแกจะมีอะไรดีบ้าง”

 พลังงานที่ไร้ตัวตนแผ่ซ่านไปทั่วรอบสารทิศโบสถ์ทั้งโบสถ์สั่นราวกับว่าเกิดแผ่นดินจะแยกก็ไม่ปาน แอลกับมิวส์วิ่งหลบเศษอิฐกันอย่างจ้าระหวั่น

                “ พลังคงตีกันน่ะ” เสียงปริศนากระซิบที่ข้างใบหูของทั้งคู่

                “ ฮันเตอร์” ทั้งสองประสานเสียงอย่างมีความหวัง

                “ ทำไมมาช้าจังล่ะ”

                “ แค่ข้อความจากเธอที่ส่งไปก็ไม่มีอะไรที่บ่งบอกจุดเกิดเหตุได้เลยมาไวที่สุดได้แค่นี้แหละ” เขาคว้าข้อมือชายหนุ่มตรงหน้า “ ตามมาไปรวมตัวกับพวกข้างนอกก่อน”

                “ แล้วพีทล่ะครับ” มิวส์ถามพลางชี้ขึ้นไปจุดที่ชายหนุ่มซึ่งกำลังนิ่งงันสบตากับปีศาจอยู่ด้านบน

                “ เราจะไปรวมกันก่อนแล้วจะเข้ามาช่วยพีท”

                “ ครับคือผมมีเรื่องสำคัญจะบอก”

                “ มีอะไรไปคุยข้างนอก” สิ้นเสียงฮันเตอร์ก็ดึงมือเรียวบางไปตามทางที่เขาแอบเข้ามา

 ทั้ง แวมป์ เดรโก เกรท เฮนรี่ ไซต์ โทรตและเฮนรี่กำลังเตรียมความพร้อมที่จะเข้าโจมตีโดยมีเลดี้คอยสั่งการตามที่ฮันเตอร์ได้สั่งเอาไว้

                “ ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ” เขารายงาน

                “ ดี” ฮันเตอร์รับคำสั้นๆก่อนจะหันมาถามมิวส์ที่ยืนด้านหลัง “ แล้วเรื่องสำคัญที่คุณจะบอกผมเมื่อสักครู่มีอะไรหรือเปล่าทำไมดูรีบร้อนนักล่ะ”

                “ คือตอนนี้เพื่อนผมที่ช่วยหาปากทางเข้าถ้ำกอร์กอนโทรมาบอกว่าน่าจะเจอปากทางเข้าแล้วครับ” เขาเล่าทุกอย่างที่แดนให้ฮันเตอร์ฟังอย่างพอจับใจความได้

                “ ดีเลยพวกเราก้าวมาไวกว่าพวกมันหนึ่งก้าวแล้ว เอาอย่างนี้นะเราจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม” เขาหันไปแจกแจง “ แวมป์ เดรโก้ พาคุณมิวส์กับพีทไปที่บ้านของเพื่อนคุณมิวส์ ส่วนที่เหลือช่วยกันจัดการเรื่องยุ่งๆทีกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่ ฉันว่าสงครามใกล้จะเริ่มต้นแล้วล่ะ”

                “ คุณจะให้แต่พวกเด็กๆไปจะไหวเหรอ พวกนี้ยังฝึกไม่ครบตามที่เราตกลงกันไว้เลยด้วยซ้ำ” ไซต์เอ่ยพลางเหลือบตามองคนที่ตนมองดูการฝึกทุกวันอย่างหนักใจ”

                “ ก็จริงอย่างที่นายพูด” ฮันเตอร์ทำท่าทางครุ่นคิดก่อนจะลงมติว่า “ อย่างนั้นนายก็ไปช่วยพวกนั้น เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ก็แล้วกันฉันว่าตอนนี้พีทน่าจะแย่แล้ว”

   “ เก่งเหมือนกันนะไอ้หนูที่ต้านพลังข้าได้นานขนาดนี้” แอสโมดีอุสที่ไม่มีท่าทีอ่อนแรงแม้แต่น้อยเอ่ย “ แต่ก็ดูแล้วคงจะไม่นานหรอกดูสิเลือดเริ่มซึมออกมาตามตาของแกแล้ว ฉันว่าแกยอมมาอยู่กับเราดีๆเถอะ”

                “ ฉันจะไม่อยู่กับคนที่ทำร้ายคนที่ฉันรักหรอก แกทำร้าย แม่ และเด็กๆที่นี่” เขาเก็บความเจ็บปวดเข้าไปในสู่ก้นบึ้งของจิตใจและพยายามขับมันมาเป็นพลังให้มากที่สุดเพราะพลังของเขาตอนนี้อ่อนแรงเต็มที

                “ อย่าฝืนเลยไอ้หนู มาอยู่กับฉัน อย่าดื้อแล้วฉันจะคืนน้องกับแม่แกให้เขารอแกอยู่ด้านบนแล้วนะ” แอสโมดีอุสพยายามทั้งบังคับทางจิตใจและจิตใต้สำนึก

                “ ไม่มีทางหรอกไอ้ปีศาจหน้าโง่” สิ้นคำมีดพกอันเล็กก็พุ่งเข้าไปที่ดวงตาที่เกรี้ยวกราดตรงหน้า

                “ อ้าก ! ใครวะใครมาทำอย่างนี้กับตาของข้า” แอสโมดีอุสคำรามอย่างทรมานก่อนจะใช้มือดึงมีดพกออกอย่างรวดเร็ว “ ฉันถามว่าใคร”

                “ ฉันเอง เจอกันอีกแล้วนะไอ้สามสัตว์” ฮันเตอร์กล่าวทักทายอย่างคุ้นเคยแต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก

                 “ แกอีกแล้วเหรอ ไอ้พวกกบฏต่อสายพันธุ์”

                “ อย่าคำว่ากบฏเลย ใช้คำว่าฉลาดน่าจะดีกว่านะพวกฉันมีกันแค่คนละหัวยังคิดได้เลยว่าอะไรถูกอะไรผิดแกมีตั้งสามหัวทำไมคิดอะไรไม่ได้เลยล่ะ”

 ระหว่างที่ฮันเตอร์พยายามหว่านล้อมเจ้าตัวใหญ่ยักษ์ในอีกมุมหนึ่งของห้องเดรโก้ถอยหลังเตรียมเป็นรันเวย์เพื่อทำการโฉบชายหนุ่มด้านบนที่สลบคาหลังงูตัวใหญ่อยู่

                “ เอาเลย” แวมป์ส่งสัญญาณ

  สิ้นเสียงของแวมไพร์หนุ่มเดรโก้วิ่งมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะลอยขึ้นสู่อากาศแล้วคว้าตัวของพีทมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะดิ่งลงสู่พื้น

                ทันทีที่ร่างของพีทแยกออกจากแจ็ค ตัวงูใหญ่ยักษ์ที่เคยใหญ่ผงาดก็กลับกลายมเป็นสร้อยห้อยไว้ที่คอของเขาโดยอัตโนมัติ

                “ ไปเร็ว” แวมป์รับร่างของพีทจากเดรโก้แล้ววิ่งนำโดยมีมังกรหนุ่มดูหลังให้

 รถขององค์กรติดเครื่องรอการเคลื่อนตัวโดยมีไซต์และมิวส์รออยู่

                “ คุณพีทเป็นยังไงบ้าง” มิวส์หันไปที่เบาะหลังถามไถ่คนที่ไม่มีสติ

                “ แค่สลบน่ะ” แวมป์ตอบสั้นๆ

                “ ออกรถ” ทันทีที่เสียงประตูจากคนสุดท้ายที่รออยู่ปิดลงรถคนสีดำก็แล่นออกไปด้วยความรวดเร็ว

เป้าหมายเดียวของสงครามครั้งนี้คือ ดวงตาของเมดูซา เนตรแห่งมนตราที่รออยู่ข้างหน้า



มาต่อกันจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
หัวข้อ: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่8 ปากทางเข้ากับเลือดทายาทที่หลั่งริน 10/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 10-04-2020 00:19:42
บทที่แปด ปากทางเข้ากับเลือดทายาทที่หลั่งริน

“ เมื่อกี้มันตัวอะไร” เดรโก้เปิดการสนทนาเพราะบนรถเริ่มเงียบเกินไป

                “ แอสโมดีอุส” มิวส์ที่กำลังขับรถตอบ

                “ มันก็เป็นแค่ชื่อนึงเท่านั้น” ไซต์เอ่ย “ เพราะชื่อของเจ้านี่มันมีมากมายเหลือเกิน ทั้ง แอสโมเดย์ โซโมเดย์ แอสโมได ที่เรียกกันบ่อยๆก็แอสโมดีอุสนี่แหละ”

                “ แล้วมันมาจากไหนล่ะครับตัวตั้งใหญ่ตั้งโตถ้าโผล่แต่ละทีก็ต้องมีคนเห็นสิ” แวมป์ถามบ้าง

                “ ก็จริงอย่างที่นายพูดเพราะ แอสโมดีอุส เป็นปีศาจที่เก่าแก่ในคัมภีร์กฏหมายของยิว บอกว่ามันเป็น ผู้ส่งสารแห่งพระเป็นเจ้า ซึ่งก็คือเทวดา นั่นเอง แต่มันเป็นคู่ปรับของโซโลม่อน และ ผู้ปกครองทางใต้ด้วยปีศาจหกสิบหกกองทัพเป็นของมันถ้าจำไม่ผิดมันมาจากเซนด์แอชเมเดวาหรือดินแดนแห่งราคะแต่ว่ามันเป็นปีศาจที่มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อของชาวฮิบรูเป็นอย่างมาก และถูกจัดว่าเป็น ปีศาจแห่งความชั่วร้ายเลยทีเดียวที่สำคัญผู้ที่จะสามารถเรียกจอมปีศาจตนนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมาก”

                “ งั้นก็แสดงว่าตอนนี้บัลเซบับมันกำลังสร้างกองกำลังเหรอเนี่ย มันถึงได้ลงทุนปลุกปีศาจขึ้นมาเอง” แวมป์แสดงความเห็น

                “ ทั้งใช่และไม่ใช่” ไซต์เอ่ยก่อนจะพูดต่อเพราะทุกคนได้แต่จ้องหน้าอย่างสนใจ “ มันไม่น่าจะปลุกเองได้ ต้องมีคนช่วยอยู่แน่ๆเพราะรัศมีการโดนสะกดจิตของแอสโมดีอุสกว้างมาก ตอนนี้ร่างกายมันก็อ่อนแอเกินกว่าจะทำอะไรเองนอกเสียจากว่ามันจะใส่หมวกอาคม เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกมันสะกดจิตยังไงล่ะ”

                “ หมวกอาคม” เดรโก้เอ่ยขึ้นบ้าง “ อะไรกันอีกล่ะเนี่ย”

                “ ถึงแล้วครับ” มิวส์ตัดบทสนทนาลงโดยการนำรถมาจอดเทียบรั้วหน้าบ้านของเพื่อนสนิท “ ไปกันเถอะ” 

                “ ครับ คุณลงไปก่อนเลยเดี๋ยวผมจะปลุกพีทก่อนแล้วจะตามลงไป” แวมป์เอ่ย “ พีท พีท ถึงแล้ว” เขาเรียกชื่อชายหนุ่มอยู่สักครู่ ไม่นานร่างบางก็ได้สติ “ ตื่นแล้วเหรอไปเร็วทุกคนกำลังรออยู่”

                “ แวมป์เหรอ ที่นี่ที่ไหนล่ะ แล้วนายมาได้ยังไง”

                “ เอาน่าเรื่องมันยาว เดี๋ยวว่างๆฉันจะเราให้ฟังตอนนี้บอกได้แค่ว่าเรามาบ้านเพื่อนของคุณมิวส์แล้วพวกนั้นก็กำลังรอเราสองคนอยู่”

                “ โอเค อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เขาตอบอย่างพอเข้าใจ

  ประตูรั้วบ้านที่คุ้นเคยกับคนที่คุ้นตาทำให้พีทเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งเดียว และครั้งเดียวที่เขากับมิวส์มาที่นี่ก็เพราะต้องการหา ‘ปากทางเข้าถ้ำกอร์กอน’

                “ สวัสดีครับคุณแดน” เขาเอ่ยทักทายแดนที่กำลังยืนมองเข้าไปในรถด้วยแววตาเป็นห่วง

                “ สวัสดีครับคุณพีท” เขาทักทายกลับด้วยมารยาท “ ทำไมถึงได้โทรมขนาดนี้ล่ะครับ ไปทำอะไรมา”

                “ ไม่มีอะไรหรอก” มิวส์ตัดบท “ ฉันว่าแกพาเราเข้าบ้านกันก่อนดีกว่ามั้ยเพื่อน”

                “ เออๆ ฉันก็เสียมารยาทจริงเชียวลืมชวนแขกเข้าบ้านเลย” แดนเอ่ยอย่างรุกลี้รุกลน “ เชิญครับ”

 ทันที่ประตูรั้วบ้านเปิดเหล่าบรรดาสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กใหญ่ก็โผล่หน้าสลอนออกมาต้อนรับแขกใหม่ที่มาเยือน

                “ ทำไมงูมันมากมายขนาดนี้เนี่ย” เดรโก้ที่เงียบอยู่นานเอ่ยพลางมองไอ้บรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่เพ่นพ่านไปมาเต็มพื้นไปหมด “ มันไม่ทำอะไรนายหรอก ก็แค่ออกมาดูว่าใครมาน่ะ” พีทที่ฟังและดูท่าทางงูออกเอ่ย

                “ เร็วๆหน่อยสิ มัวแต่โอ้เอ้กันอยู่นั่นแหละ” ไซต์ที่เดินอยู่ด้านหน้าท้วง

                “ รู้แล้ว เร่งจริงๆเลย” เดรโก้เร่งฝีเท้าฉับๆเร่งความเร็วตามกลุ่มคนด้านหน้าไป

 สภาพภายในบ้านของแดนยังคงคุ้นตาข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเว้นเสียแต่บริเวณที่ทั้งหมดก้าวเท้ามาถึงนั้นคือบริเวณหน้ารูปปั้นหญิงสาวที่มีหัวเป็นงูยืนถือแก้วไวน์ ดูสง่าปนความน่ากลัวซึ่งอาจทำให้ใครบางคนขนลุกได้ยืนอยู่

                “ ทำไมตรงนี้มันถึงได้ดูเลอะเทอะขนาดนี้วะ” มิวส์ถามอย่างรู้นิสัยรักความสะอาดของเพื่อนหนุ่ม “ แล้วดูสิตรงพื้นไม้นั้นก็ยังมีรอยแซะอีก”

               “ เออหยุดสงสัยเสียที” แดนหันมาบอก “ ฉันคิดว่าตรงนี้แหละคือปากทางเข้าของถ้ำเทพีที่เห็นรอยนั่นคือฉันพยายามล้วง แกะ งัดหมดแล้วมันก็ไม่เปิดเสียทีจนเมื่อเช้าที่โทรหาแกนี่แหละฉันเจอข้อความนี่” เขายื่นกระดาษเก่าๆให้มิวส์

                “ เมื่อสายโลหิตหลั่งรินลงบนทราย กำแพงจะพังทลายด้วยพลังของทายาท” เขาค่อยๆอ่านอย่าพินิจ “ แสดงว่าเราก็ต้องใช้เลือดของคุณพีทน่ะสิ”

                “ ใช่ และนี่เป็นเหตุผลที่ให้นายพาคุณพีทมาด้วย” แดนมองไปที่พีทซึ่งท่าทางไม่สู้ดีนักหลังตอบ

                “ จะไหวเหรอครับ คือตอนนี้พี่พีทอ่อนแรงมากเลยนะครับ” เดรโก้ที่ยืนประคองชายหนุ่มอยู่เอ่ย

                “ ฉันไหว” เขาพยายามยืนตัวตรง “ แล้วจะให้หยดลงบนอะไรล่ะฉันยังไม่เห็นทรายอะไรเลย”

                “ มีครับคุณแค่มองข้ามมันไปก็เท่านั้น” แดนเอ่ยก่อนจะเดินมาประคองร่างบางให้เข้าไปใกล้รูปปั้นมากกว่าเดิม “ คุณยืนตรงนี้นะครับผมจะไปเตรียมมีดก่อน”

                “ ครับ” พีทรับคำอย่างกล้าๆกลัวๆ

 สถานการณ์ในตอนนี้ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ แต่ถึงยังไงก็ต้องยอมเสี่ยงเพราะไม่มีทางเลือกอื่นเลย ทุกคนในบริเวณนั้นได้แต่เพียงภาวนาว่าขอให้มันเป็นไปอย่างที่แดนคาดเดา

                “ มาแล้วครับ” แดนเดินมาพร้อมกับมีดเล่มเล็กเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างดี “ ทันทีที่เลือดไหลให้คุณเอาเลือดหยดลงไปในแก้วนะครับเพราะแก้วที่เห็นอยู่ มันทำมันทำมาจากทรายครับ” ชายหนุ่มอธิบายแล้วค่อยบรรจงกรีดที่ปลายนิ้วของหญิงสาวจนสิ่งที่ต้องการค่อยๆพรั่งพรูออกมา “ เอาเลยครับ”

ทันทีที่น้ำสีแดงข้นหยดลงสัมผัสกับก้นภาชนะใสตรงหน้าพื้นดินก็ค่อยๆสั่นสะเทือนราวกับว่าเกิดแผ่นดินไหว ลมด้านนอกพัดกรรโชกอย่างรุนแรง ท้องฟ้าเริ่มวิปริตแปรปรวนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนที่รูปปั้นของเทพีเมดูซ่าจะค่อยๆเคลื่อนตัวลงไปตามรอยแยกของพื้นด้านล่างทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งลอยไปตามอากาศ

                “ อะไรกันวะเนี่ย” เดรโก้ปัดมือไปมาก่อนจะพิจารณากับสิ่งที่เกิดตรงหน้า “ บันได เฮ้! ทุกคนดูบันไดสิ”

                “ ไหน” แดนรีบขยี้ตามาดูผลงานตัวเอง “ ในที่สุดในที่สุดฉันก็ทำได้ ฉันเจอปากทางเข้าแล้ว” เขาร้องออกมาอย่างดีใจและน่าจะเกินไปเสียด้วย

ตุ๊บ!

                “ คุณพีท” มิวส์พุ่งตรงไปยังชายหนุ่มที่ทรุดตัวลงกับพื้นทันที

                “ ฉันว่าพาคุณพีทไปที่โซฟาก่อน เดี๋ยวฉันจะไปเอายาดมมาให้” แดนหันหลังกลับมาบอกเพื่อนสนิทที่กำลังประคองร่างบางซึ่งมีใบหน้าซีดอยู่

                “ ไปเร็วๆเถอะครับพี่พีทหน้าซีดหมดแล้ว” เดรโก้เอ่ย “ ไม่ต้องห่วงนะครับเดี๋ยวผม พี่แวมป์แล้วก็คุณไซต์จะเดินดูรอบๆก่อนยังไงเราก็ต้องไปพร้อมกัน”

                “ ใช่เราจะให้พีทพักฟื้นสักครู่แล้วจะลงไปข้างล่างนั่นกัน” ไซต์เอ่ยก่อนจะหันไปถามแดนที่ถือยาดมมา “ แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับในนี้บ้าง”

                “ ผมก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะครับ แต่ผมมีแผนที่มันจะบอกว่าเราอยู่ตรงไหนแล้วเดี๋ยวผมขอเอายาดมนี่ไปให้คุณพีทก่อนนะครับ”

                “ ได้ยังไงขอแผนที่นั่นด้วยนะเผื่อต้องใช้ รบกวนด้วยนะ” ไซต์เอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

                “ ครับ” แดนรับคำก่อนจะเดินเอายาดมไปให้เพื่อนสนิทก่อนจะเดินหายลับไปบนชั้นสองซึ่งกินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง “ นี่ครับ” เขายื่นกระดาษเก่าๆสีน้ำตาลให้กับชายหนุ่มร่างเล็กก่อนจะยื่นเป้สามใบให้กับแวมป์และเดรโก้ “ ผมว่าน่าจะกินเวลาหลายวันอยู่เหมือนกัน พวกคุณเอานี่ติดกระเป๋าไปนะ”

                “ ทำไมคุณดูเตรียมพร้อมจังเลยล่ะครับ เหมือนกับว่าเตรียมไว้แล้วอย่างนั้นแหละ” แวมป์ที่มองพฤติกรรมของชายหนุ่มมานานเอ่ยขึ้น

                “ อ๋อ คือผมต้องเข้าไปเดินสำรวจพวกวัตถุโบราณบ่อยน่ะครับบางครั้งก็มีงานด่วนเข้ามาเป้เลยต้องพร้อมตลอดเวลาครับ ข้างในก็ไม่มีอะไรมากก็แค่ถุงนอนแล้วก็พวกอาหารกระป๋องครับ”

                “ พี่แวมป์ก็ถามอย่างกับพี่เขาเป็นคนร้ายอย่างนั้นแหละ” เดรโก้ปรามเพราะเห็นสีหน้าคนโดนถามสีหน้าเริ่มไม่ดีแล้ว

                “ เอาล่ะ ยังไงก็ขอบคุณนายมากเลยแล้วกัน” ไซต์เอ่ย “ ถ้าพีทฟื้นเราจะเดินทางกันทันทีส่วนคุณเราคงไม่รบกวนอะไรแล้วขอแค่รออยู่ที่บ้านอาจจะมีพวกเรามาสมทบ”

                “ แต่ผมอยากเดินทางไปกับพวกคุณ” ชายหนุ่มหน้าเจื่อนลงทันทีเมื่อรู้ว่าตนคงไม่ได้ไปแน่

                “ ไม่ได้เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้ามีอะไรแล้วใครจะรับผิดชอบชีวิตคุณ เอาเป็นว่าอยู่นี่ รอพวกเรามาสมทบไม่มีมากกว่านี้ ตกลงนะครับ” ไซต์ตัดบทปล่อยให้แดนได้แต่ยืนหน้าจ๋อยมองไปยังบันไดตรงหน้า

‘อีกแค่เอื้อมมือเดียวเท่านั้นทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้นะ’

                “ คุณพีทฟื้นแล้ว” มิวส์ตะโกนทำให้สถานการณ์ตรึงเครียดจบลง

หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่8 ปากทางเข้ากับเลือดทายาทที่หลั่งริน 10/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 10-04-2020 00:27:05
ร่างบางค่อยปรับดวงตาให้เข้ากับแสงที่ทอดเข้ามากระทบกับดวงตา พร้อมกับค่อยๆลุกขึ้นนั่งโดยได้รับการประคับประคองจากชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

                “ เป็นไงบ้างพี่พีท มึนหรือหน้ามืดมั้ย” เดรโก้ที่มาถึงก่อนเอ่ยถาม

                “ ไม่ล่ะ” เขาส่ายหัว “ ฉันนอนไปนานเท่าไหร่เนี่ย”

                “ ไม่นานเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่านายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ไซต์เอ่ยก่อนจะเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม “ นายไหวแน่นะ”

                “ แน่ครับ ตอนนี้ผมโอเคขึ้นมากแล้ว” เขาฉีกยิ้มให้คนตรงหน้า

                “ ดี อย่างนั้นก็ไปกันเลยทุกอย่างพร้อมแล้ว” ไซต์ประคองชายหนุ่มให้ลุกทันที

                “ จะไหวแน่เหรอ” มิวส์กระซิบที่ข้างหู “ ผมว่าคุณน่าจะพักฟื้นอีกหน่อยนะ”

                “ ผมไหวครับ คุณนั่นแหละพร้อมหรือเปล่าวันนี้ก็ผ่านอะไรมาโชกโชนเลย”

                “ ไม่ต้องห่วงผมหรอกผมสบายอยู่แล้ว”

                “ สองคนนั้นน่ะคุยอะไรกันอยู่เราจะลงกันไปแล้วนะ” แวมป์ตะโกนมาจากหน้าบันไดทางลงสู่ถ้ำกอร์กอน

                “ จะรีบเดินไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” มิวส์รับคำก่อนจะจับมือของชายหนุ่มให้เดินตามมา เขากระชับมือให้แน่นขึ้นเพื่อไม่ให้หลุดออกจากัน

                “ เอานี่ไปเผื่อได้ใช้” แวมป์ยื่นมีดพกขนาดเหมาะมือให้ชายหนุ่มก่อนจะตามด้วยปืนพกที่บรรจุสารพิเศษสามารถทำลายเนื้อเยื่อได้ไว้ “ แล้วนี่เป้ที่เพื่อนนายจัดไว้ ฉันกับเดรโก้จะช่วยแบกคนละใบ”

                “ พร้อมนะ” ไซต์เอ่ยกับผู้ร่วมทีม

                “ เดี๋ยวก่อน” ทุกคนหันมาทางแวมไพร์หนุ่ม “ ชีฟองออกมาเฝ้าทางนี้ไว้ ถ้าใครที่ไม่น่าไว้ใจคิดเข้ามาให้กลับไปรายงานองค์กรทันที”

                “ ได้เลย” ค้างคาวอ้วนตอบ

                “ พร้อมจริงๆหรือยัง” ไซต์ถามอีกครั้ง

คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับแต่อย่างใดแต่แววตาและสีหน้าของทั้งสี่เต็มไปด้วยความหวัง และความกล้าเห็นคำคอบแทน ‘เนตรแห่งมนตราแล้วเราจะได้เจอกัน ’

แง้ๆๆๆๆๆอยู่บ้านเหงากันไหมเอ่ยมีอะไรพูดคุยกันน้า
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่9 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 18-04-2020 01:30:38
บทที่เก้า อุโมงค์กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากเจอ

กลิ่นเหม็นอับลอยเข้ามาเตะจมูกทันทีที่ลงมาในอุโมงค์เปียก แฉะ ชื้นและไร้ซึ่งแสงใดๆเล็ดลอดผ่านลงมานอกจากแสงจากปากทางเข้า แต่เมื่อเท้าทั้งห้าก้าวเหยียบลงบนพื้นอันมืดสนิทนั้นแสงสว่างจากด้านบนก็ค่อยๆพลันดับหายไป แน่นอนล่ะว่าประตูปากทางเข้าบ้านใครจะเปิดอ้าได้ทั้งวันทั้งคืนกันล่ะ

 ภายในอุโมงค์มืดสนิทแค่ไหนก็ต้องมีแสงไฟริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์อาจจะใช่หรือไม่ใช่เรื่องจริง เพราะสายตาทั้งห้าคู่ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างริบหรี่นั้นเลยแม้แต่น้อย มีสิ่งเดียวในตอนนี้ที่สัมผัสได้นั่นก็คือความมืดมิด เสียงรองเท้ากระทบกับน้ำที่เฉอะแฉะ ถ้าจะให้เปรียบว่าที่ที่ทั้งห้ายืนอยู่เป็นทางเดินเข้าบ้านของใครสักคนเจ้าของบ้านของบ้านหลังนี้คงไม่คิดที่จะต้อนรับแขกเสียเท่าไหร่

                “ ทำไมมันมืดอย่างนี้เนี่ย” หลังจากที่เดินอยู่สักพักโดยไม่มีแสงนำทาง เพื่อหวังจะเห็นแสงของทางออก เดรโก้ก็บ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้เพราะสายตาของเขาช่างป่วยเหลือเกินเมื่ออยู่ในความมืด

                “ เงียบๆหน่อย เราไม่รู้ว่าที่นี่จะมีอะไรนะ” ไซต์เตือนก่อนจะหันไปหาแวมป์ “ นายยังมองเห็นได้ดีใช่ไหม”

                “ ครับชัดเลยครับ” เขาตอบ “ มีอะไรหรือเปล่า”

                “ เพื่อนของคุณมิวส์เขาให้แผนที่มาเอาออกมากางดูหน่อยซิอยู่ในกระเป๋าเป้ที่นายสะพายอยู่น่ะนายมองเห็นใช่มั้ย”

                “ ครับเดี๋ยวลองผมลองดูให้” สิ้นคำชายหนุ่มก็ขยับกระเป๋ามาไว้ด้านหนาก่อนจะเปิดหยิบเอากระดาษออกมากางออกแต่กลับปรากฏว่า “ ทำไมมันไม่มีอะไรเลยล่ะครับนอกจารูปเมดูซ่าที่เป็นปากทางเข้ากับที่ที่เรายืนอยู่”

                “ ไหนดูซิ” เดรโก้จุดประกายไฟออกมาอยู่ในกำมือ “ จริงด้วย เราโดนหลอกแล้วล่ะ”

                “ ไม่หรอกครับผมว่านี่อาจเป็นแผนที่เข้าและออก” มิวส์เอ่ย

                “ อะไรคือแผนที่เข้าและออก” พีทถามอย่างงงๆ

                “ ก็เหมือนกับการที่เราจะหาที่อยู่ของตัวเองไงครับแผนที่นี้ก็เหมือนกันมันจะปรากฏสถานที่ที่พวกเราอยู่และเคยผ่านมาแต่จะไม่สามารบอกได้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรจนกว่าเราจะเดินไปถึงจุดใหม่แผนที่ของที่นั้นก็จะปรากฏออกมา”

                “ แล้วมันจะช่วยอะไรได้ล่ะเนี่ยเสียแรงที่เอามาจริงๆ” เดรโก้เอ่ย

                “ ก็ไม่ซะทีเดียวครับ” มิวส์แย้ง “ ลองดูตรงนี้สิครับ” เขาชี้ไปยังบริเวณต้นท่อที่มีรูปรอยเท้าทั้งห้าอยู่ “ มันยังบอกด้วยว่าเรามากันกี่คนและอยู่ตรงไหนอย่างน้อยก็ไม่ทำให้หลงได้ถ้าใช้เป็น”

                “ โอเค เอาอย่างนี้คุณเอาแผนที่ไปแล้วกันนะคุณมิวส์” ไซต์เสนอเพราะดูแล้วเขาจะชำนาญ

                “ ขอบคุณครับ” มิวส์รับแผนที่มาจากแวมป์แล้วเอามากางดูต่อ “ เราต้องตรงไปเรื่อยๆ”

                “ เดินไปถึงไหนกันล่ะ” เดรโก้ถามบ้าง

                “ ก็ไปเรื่อยๆอย่างที่พี่เขาบอกนั่นแหละ ตอนนี้พี่ว่านายดับไฟก่อนดีกว่านะพี่รู้สึกไม่ดีเลย” พีทบอกน้องชายที่ถือลูกไฟอยู่ในมือ

                “ โธ่พี่พีทมันมืดอย่างนี้ถ้าไม่มีอะไรส่องสว่างเราจะเดินได้ยังไง งูเงี้ยวเขี้ยวขอจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้”

                “ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกถ้ามีอะไรพี่ก็ต้องรู้” เขาให้เหตุผล “ พี่ว่าตอนนี้ดับไฟก่อน”   

                “ เชื่อพีทเถอะ” แวมป์สมทบ ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกันว่าทำไมต้องคล้อยตามหญิงสาวด้วย แต่ความรู้สึกข้างในมันบอกให้เชื่อเขาเถอะ

                “ ก็ได้ พี่นำทางดีๆก็แล้วกัน” สิ้นเสียงเปลวเพลิงในมือที่เคยส่องสว่างก็พลันดับลง

 ความมืดค่อยๆเริ่มเข้ามากัดกินหัวใจอีกครั้งคนที่ชอบอยู่กับแสงไฟได้แต่เกาะชายหนุ่มผู้มีสายตาเฉียบแหลมอย่างแวมป์ไว้ราวกับคนพิการทางสายตาก็ไม่ปาน

                “ ระวังนะตรงนี้ลื่น” แวมป์เตือน

                “ ตรงนี้แล้วตรงไหนล่ะครับ เหวอ !” ยังไม่ทันสิ้นคำชายหนุ่มก็ก้นจ้ำเบ้าลงไปนอนกองกับพื้น

                “ ฉันคิดว่าคงไม่ทันแล้วล่ะ” พีทที่เดินต่อเดรโก้เอ่ย “ เป็นอะไรหรือเปล่า”

                “ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ปวดนิดหน่อย แต่ว่ามีเมือกอะไรเต็มตัวไปหมดเลยครับเหนียวๆลื่นๆ กลิ่นก็” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาเช็ดกับเสื้อเพราะเมือกนั้นส่งกลิ่นคาวคละคุ้งเหลือกิน

                “ ไหนขอดูหน่อย” ไซต์เอื้อมมือลงไปป้ายของเหลวเหนียวหนืดที่ตัวของเดรโก้อย่างพินิจก่อนจะเอามาวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง “ เราต้องรีบไปแล้ว”

                “ อะไรกันแค่ดมๆก็รู้แล้วหรือไงว่ามันคืออะไร” เดรโก้ถามอย่างสงสัย “ ยังไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ ชัวร์หรือเปล่าก็ไม่รู้” ชายหนุ่มทำท่าจะจุดไฟ

                “ อย่าจุดไฟนะ เชื่อไซต์เถอะ” แวมป์ร้องเตือน

                “ เดี๋ยวครับ” มิวส์ที่อยู่ด้านหลังกระซิบกระซาบ “ ผมว่าเหมือนมีอะไรผ่านหลังเราไปนะครับ”

                “ อะไรกันอีกเนี่ย” เดรโก้ลุกขึ้นพลางพยายามเช็ดเมือกนั้นออกจากตัวอย่างไม่สู้ดี

                “ นายจะบ่นเอาอะไร” ไซต์ที่ยืนอยู่ข้างๆกระทุ้งท้องชายหนุ่มให้โน้มตัวลงมาหา “ ถ้านายยังไม่อยากตายในนี้ ก็ทำตามที่ฉันบอก”

                เดรโก้พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงรับรู้ว่าชายตัวเล็กข้างหน้าจริงจังมากแค่ไหน ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินเกาะกลุ่มไปข้างหน้าอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด

                “ ระ… เหวอ!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงทั้งหมดก็ไถลตามทางลาดลื่นที่แยกเป็นสายยาวอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด “ จับไว้นะอย่าให้คลาดกันเชียว มันมีหลายช่องจะทำให้เราหลง” เขาร้องเตือนแต่ดูแล้วคงจะไม่ทันเพราะด้านหลังเขามีเพียงไซต์เท่านั้น

  ซวบ ! เสียงร่างของชายหนุ่มและไซต์กระแทกกับบางอย่างเป็นสัญญาณว่าถึงปลายทางของการไถลเสียแล้ว

                “ เป็นไงบ้าง” เขาหันไปถามชายร่างแคระด้านข้างที่กระแทกเข้าจังๆกับบางอย่างตรงหน้า

                “ ยังไม่ตาย ยังครบสามสิบสองอยู่” ไซต์ตอบ “ แล้วที่นี่ที่ไหนเนี่ย ?”

                “ ผมคิดว่าเรากำลังอยู่ในรังของอะไรบางอย่างครับ แล้วเราก็เหมือนกำลังจะอยู่ในห้องอาหารของมันด้วย” แวมป์ที่มองในความมืดได้อย่างทะลุปรุโปร่งอธิบายสิ่งที่เห็น “ เพราะตรงหน้าของเราเป็นกองกระดูกครับ”

                “ เราไปกันเถอะ ท่าทางไม่ดีแล้ว” ไซต์เอ่ย

                “แล้วจะไปที่ไหนล่ะครับแล้วพวกนั้นอีก”

                “ นั่นสินะ” ไซต์หยุดครุ่นคิดสักครู่ “ เอาอย่างนี้รีบหาพวกนั้นให้เจอแล้วรีบหาทาออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเพราะฉันไม่อยากเป็นอาหารของใคร”

                “ ครับผมก็เหมือนกัน” สิ้นคำแวมป์ก็เดินฝ่าความมืดนำทางไซต์ไปอย่างไร้จุดหมาย

กองกระดูกกองมหึมาตั้งเรียงรายท่ามกลางความมืดกลิ่นเหม็นเน่าปนคาวเลือดคละคลุ้งอย่างน่าสะอิดสะเอียนจนทำให้ทั้งสามแทบเก็บอาการแทบไม่อยู่

 

“ พี่พีท พี่มิวส์” เดรโก้เขย่าสองร่างสลับกันไปมา “ โธ่! มาง่วงอะไรกันตอนนี้วะ”

                “ โอย…ย” มิวส์ครางพลางเอามือกุมขมับอย่างเจ็บปวด

                “ เป็นไงบ้างครับ” เดรโก้จุดประกายไฟเล็กๆเพื่อส่องสว่างแล้วขยับไปหาชายหนุ่ม

                “ เจ็บหัวน่ะ” มิวส์ตอบ “ แล้วพีทล่ะ”

                “ แหมพี่ตื่นมาก็ถามหาเลยนะ” เดรโก้กระเซ้า “ พี่พีทยังไม่ฟื้นเลย เราไปหาคนมาช่วยกันเถอะ”

                “ จะไปยังไงก็นายบอกว่าพีทยังไม่ฟื้นเลย” มิวส์ชี้ไปที่ร่างบางที่นอนนิ่งงันอยู่

                “ นั่นสิ เอาอย่างนี้แล้วกันนะครับ พี่เฝ้าพี่พีทอยู่ตรงนี้แล้วผมจะไปเดินตามหาพวกพี่แวมป์เอง ถ้าเจอพวกนั้นแล้วจะพามาที่นี่แล้วค่อยหาทางออกต่อ ว่าแต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าพวกนั้นอยู่ไหนล่ะ”

                “ เรื่องนั้นไม่ยาก” สิ้นคำมิวส์ก็ล้วงเอาแผนที่ในกระเป๋ากางเกงออกมา “ ตรงนี้คือจุดที่กำลังลังยืนอยู่ ส่วนรอยเท้านี้ก็เป็นรอยเท้าของสองคนนั่น” เขาชี้ลงไปที่กระดาษที่ปรากฏรอยเท้าสองคู่ขึ้นมา “ เข้าใจนะ”

                “ เข้าใจครับ ว่าแต่นี่มันเป็นรอยเท้าใครล่ะครับทำไมมันเป็นรูปแปลกๆไม่เหมือนรอยเท้าของพวกเราเลยล่ะครับ” เขาชี้ไปยังรูปประหลาดที่เป็นรอยยาวๆกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่อช้า

                “ คงเป็นเจ้าของรังนี้มั้งถ้านายยังไม่อยากเป็นอาหารของเจ้านั่นก็ควรดับไฟหานะเพราะพี่คิดว่าไฟจะทำให้มันเห็นนายชัดขึ้น” ชายหนุ่มชี้ไปยังลูกไฟสีเหลืองอมส้มในมือของชายหนุ่ม

                “ ถ้าพี่ให้ผมดับไฟแล้วผมจะไปมองเห็นพวกนั้นได้ยังไงกันล่ะ ผมไม่ได้มองเห็นในที่มืดๆได้อย่างพี่แวมป์นะ” เดรโก้เอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืน “ ผมจะพยายามทำให้มันลูกเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอแค่เอาไว้ส่องสว่างก็พอพี่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมน่ะเนื้อไม่อร่อยจนเจ้านั่นอยากกินหรอก”

                “ ตามใจนายแล้วกัน ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ” มิวส์รู้ดีว่าเดรโก้เป็นพวกหัวดื้อไม่ฟังอะไรง่ายๆเลยคิดว่าถ้าห้ามไปคงไม่ฟังอยู่ดีจึงปล่อยเลยตามเลยไป

ทางฝั่งของแวมป์และไซต์เองก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายเช่นเดิมจนร่างเล็กอดถามคนนำทางไม่ได้

                “ เห็นพวกนั้นบ้างหรือยัง” ไซต์ที่เดินเกาะหลังของแวมป์เอ่ยถามเพราะตัวเองมองอะไรแทบไม่เห็นเลย

                “ ยังเลยครับ เห็นแต่พวกเศษหนังเก่าๆที่พวกมันน่าจะลอกคราบเอาไว้เต็มไปหมดเลย ผมว่าตัวของมันไม่น่าจะเล็กเลยนะครับ”

                “ นั่นแหละคือเหตุผลที่เราต้องหาพวกนั้นให้เร็วที่สุด” เขาพูดพลางจับชายเสื้อของคนตรงหน้าไว้แน่นส่วนมืออีกข้างก็ถือมีดพกขนาดเล็กที่พร้อมรับการโจมตี ถ้าถามว่าทำไมไม่ใช้ปืนบอกได้คำเดียวเลยว่าถ้ำอาจถล่มได้ด้วยแรงปืนและแรงสั่นสะเทือน

   “ พี่แวมป์ ไซต์ อยู่ไหน เฮ้!”

               “ เอาแล้วไง ไอ้เด็กใจร้อนมันร้องตะโกนอยู่ มันจะรู้มั้ยเนี่ยว่ามันกำลังร้องเรียกเจ้าของบ้านไปกินมื้อเช้าอยู่” ไซต์บ่นอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะบอกคนข้างหน้าให้เร่งความเร็ว

                “ จะให้ทำไงต่อดีครับ เสียงมันก้องอย่างนี้เราจะจับจุดได้ยังไงว่าอยู่ตรงไหน” แวมป์เอ่ย “ ถ้าให้เดินไปเรื่อยๆอย่างนี้มันยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะผมว่าเราควรจับจุดให้ได้ก่อนว่าน่าจะมาจากทางไหนแล้วค่อยเดินดีกว่ามั้ยครับ”

                “ แล้วนายจะจับจุดอะไรของนายยังไงในเมื่อตอนนี้ฉันก็มองอะไรไม่เห็นขนาดนี้” ไซต์เอ่ยอย่างหงุดหงิดเพราะในใจคิดว่าตนต้องได้เป็นอาหารของตัวอะไรในนี้แน่ๆ

                “ คุณหายตัวได้ใช่ไหมครับ” เขาถามไซต์พยักหน้าเป็นเชิงตอบกลับ “ เวลาคุณจะหายตัวคุณต้องคิดถึงจุดที่จะไปใช่ไหมครับ”

                “ ใช่ แต่ฉันต้องเห็นจุดๆนั้นก่อนนะไม่อย่างนั้นอาจจะไปโผล่ที่ไหนก็ได้” ไซต์อธิบาย

                “ อยากรู้ก็ต้องเสี่ยงจริงไหมครับ” แวมป์เอ่ย “ คุณลองพยายามนึกไปหาต้นเสียงของเดรโก้ที่กำลังร้องเรียกอยู่ให้ได้ เอาให้แน่ก่อนแล้วค่อยเพ่งไปนะครับ”

                “ ได้แล้ว นายจับมือฉันไว้นะ” ไซต์สั่งก่อนที่ร่างทั้งสองจะหายวับไปกับความมืด

  กลิ่นเหม็นคาวลอยเข้ามาเตะจมูกทันทีที่ทั้งไซต์และแวมป์เท้าสัมผัสพื้นน้ำเปียกแฉะในอุโมงค์ที่ดูจะเป็นโถงโล่งกว้างที่สุดของอุโมงค์แห่งนี้

                “ ที่นี่ที่ไหนเนี่ย แล้วไหนล่ะเดรโก้” แวมป์หันซ้ายหันขวาพยายามหาน้องชายคนเล็กของบ้าน “ คุณคิดถึงอะไรอยู่ไซต์ทำไมเราถึงได้มาโผล่ที่แบบนี้”

                “ คือ ฉันคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นที่อยู่ของตัวอะไรสักอย่างเพราะ” ไซต์ตอบอย่างตะกุกตะกักเพราะกลัวเสียหน้า แต่แววตาที่ฉายมาจากความมืดที่ตนมองไม่เห็นแต่ความรู้สึกชั่งน่าขนลุกเสียเหลือเกิน “ คือฉันคิดอย่างเดียวว่าเราต้องเป็นอาหารของมันแน่ๆเลยไม่ค่อยมีสติสักเท่าไหร่”

                “ ก็เลยพาเราสองคนมาเสิร์ฟถึงที่เลยเหรอ” แวมป์ถามอย่างตกใจ “ พาเราออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”

                “ ไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นตอนนี้ฉันก็จะต้องพานายมาโผล่ที่นี่อยู่ดี” ไซต์กำหมัดตอบไปอย่างหนักแน่น “ ทำไมฉันถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะทั้งๆที่ผ่านอะไรมามากมาย แต่พอห่างจากทีมเดิมกลับขี้ขลาดขนาดนี้”

                “ ไม่หรอกครับเราแค่ประหม่ากันเท่านั้น” แวมป์ปลอบ “ เอาอย่างนี้เราหาทางออกจากห้องนี้ก่อนเพราะกลิ่นไม่ค่อยดีเลย” สิ่งที่แวมป์เอ่ย ไม่ได้หมายถึงกลิ่นเหม็นคาวเพียงอย่างเดียวหรอก แต่จริงๆแล้วสายตาของเขาไปปะทะกับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ยาวที่รูปร่างคล้ายงูแต่น่าจะมีอะไรผสมด้วยเพราะมันช่างแตกต่างจากงูยักษ์ธรรมดาทั่วไปเหลือเกินมองจากภายนอกแล้วน่าจะเพิ่งลอกคราบได้ไม่นานนักเพราะตัวของมันยังคงชุ่มน้ำและอ่อนเพลียอยู่จึงไม่ได้สนใจกับแขกที่มาเยือนเท่าไหร่นัก แต่ถ้าขืนยืนรอมันคงตื่นมาจัดการกับพวกเขาอย่างแน่นอน

                “ ทำไมเดินเร็วนักล่ะฉันขาสั้นนะจะตามไม่ทันอยู่แล้ว” ไซต์กระชากชายเสื้อแวมป์ที่เดินนำทางไวผิดปกติ “ นายหนีอะไรอยู่หรือเปล่ามีอะไรก็บอกกันสิ”

                “ ไม่ได้หนีอะไรครับเราแค่ต้องรีบเดินจะได้เจอเดรโก้เสียทีเพราะตรงนี้น่าจะไกลจากเขาอยู่เพราะเสียงตะโกนก็ไม่ค่อยได้ยินแล้ว” แวมป์เอ่ย “ อีกย่างตอนนี้เราก็เสียเวลาที่นี่มานานเกินไปหากช้าพวกบัลเซบับอาจตามเรามาที่นี่ได้เพราะไม่มีอะไรที่พวกนั้นหาไม่เจอหรอก”

                “ จริงของนายเนอะ” ไซต์พูดเป็นเชิงเห็นด้วย “ ถ้ายังไงก็รีบๆไปเถอะฉันจะไม่กวนสมาธิแล้ว”

                “ ครับ ตอนนี้คุณก็รวบรวมสติให้ดีที่สุดแล้วพาเราไปหาพวกนั้นให้ได้นะครับ” สิ้นคำเขาก็เร่งฝีเท้าออกเดินไปอย่ารวดเร็วแต่ก็ไม่ได้เร็วมากพอที่ชายตัวเล็กจะตามไม่ทันอย่างเมื่อครู่

               “ พี่แวมป์ ไซต์ อยู่ไหน” เดรโก้ร้องตะโกนอย่างสุดเสียงจนคอแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆแต่ก็ไร้วี่แววการตอบสนองของฝ่ายตรงข้าม “ ไปอยู่ไหนของเขานะ”

ฝึบ!

                “ ใครน่ะ” เดรโก้หันไปถามกับอากาศที่ว่างเปล่าด้านหลังที่ทำให้เขาเสียวสันหลังวูบ “ พี่พีทเหรอ หรือพี่มิวส์”

 เสียงเงียบงันกับความโดดเดี่ยวของชายหนุ่มเริ่มสร้างความกลัวให้เขาแล้ว

                “ เดรโก้ สติโว้ยสติ ตอนนี้แกคือความหวังนะถ้าแกยังหาพวกนั้นไม่เจอแกได้แก่ตายในนี้แน่จะยอมเหรอแฟนก็ยังไม่มีเลย” เขาพยายามปลอบใจตัวเองสุดฤทธิ์

ฝึบ! โครม!

                “ เมื่อกี้มาแค่ลมก็เสียวแล้วตอนนี้มาพร้อมพลังงานเลยหรือไง ใครวะ!” ความกลัวของชายหนุ่มปลุกความกล้าที่เป็นสัญชาตญาณขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ ฉันถามว่าใคร” เขาเร่งลูกไฟให้ใหญ่ขึ้นจนส่องแสงทะลุไปทั่วทั้งอุโมงค์ “ ถ้ายังไมออกมาฉันจะเผาแกให้เกรียมเลยดูสิ”

 

“ แสงนั่น” แวมป์เอ่ย “ ของเดรโก้แน่ๆไซต์คุณพร้อมนะพาไปตรงนั้นที”

                “ ได้เลยคราวนี้ไม่พลาดแน่” เขาเอ่ยก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่ชายเสื้อของแวมป์ก่อนจะหายตัวไป

ตุ๊บ!

                “ อย่านะ” แวมป์ตะโกนเตือนเดรโก้ที่กำลังจะเขวี้ยงเปลวไฟขนาดใหญ่มาทางเขา “ ดับไฟเดรโก้”

                “ ทำไมล่ะพี่ เมื่อกี้มันมีตัวอะไรไม่รู้ผ่านผมไปจะให้ดับไฟได้ยังไงกัน” เดรโก้ให้เหตุผล

                “ เชื่อฉันดับเถอะ ที่นี่มันถ้ำของงูหรือสัตว์เลื้อยคลานอะไรสักอย่าง มันชอบอยู่ที่ชื้นๆหากนายจุดไฟมันจะรับรู้ได้ทันทีว่าอุณหภูมิเปลี่ยนไปแล้วเราจะกลายเป็นเป้านิ่งทันที”

                “ เข้าใจแล้วครับ” สิ้นคำเปลวไฟในมือก็ค่อยๆดับมอดลงไป

                “ แล้วพีทกับคุณมิวส์ล่ะอยู่ไหน” ไซต์เอ่ยเพราะแสงไฟของเดรโก้เมื่อครู่ทำให้เขามองเห็นสิ่งรอบตัวแต่ไร้หญิงสาวกับชายหนุ่มที่เดินทางมาด้วย

                “ พี่พีทกระแทกกับอะไรสักอย่างนี่แหละตอนร่วงลงมาเลยสลบ ตอนนี้พี่มิวส์เฝ้าอยู่ ตามผมมาเลยนะครับผมจำทางได้”

                “ นายจะมองเห็นได้ยังไงก็ดับไฟไปแล้ว” ไซต์ท้วง

                “ จริงแฮะ ลืมไปเลย”

                “ เอาอย่างนี้นายมาเกาะไหล่ฉันแล้วคอยสะกิดบอกทางเราจะใช้เสียงให้น้อยที่สุดเพื่อความปลอดภัย” แวมป์เสนอ “ พร้อมแล้วนะ” เดรโก้พยักหน้าเชิงรับรู้ก่อนทีแวมป์จะเริ่มใช้สายตาอีกครั้ง



หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่9 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 18-04-2020 01:31:35
ต่อ
“ น้ำ ขอน้ำหน่อย” ร่างบางที่นอนอยู่กับพื้นค่อยขยับตัวทีละน้อยมิวส์ล้วงไปหยิบไฟฉายกระบอกเล็กออกมาตรวจสอบความปลอดภัยของคนในอ้อมกอด

                “ อยู่เฉยๆก่อนครับอย่าเพิ่งรีบลุก” มิวส์ค่อยๆพยุงร่างของพีทมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะล้วงหยิบน้ำในกระเป๋าของมาให้ชายหนุ่มที่กำลังหิวกระหาย “ น้ำครับ”

 พีทรับน้ำมาดื่มอย่างกระหายก่อนจะขยับตัวออกจากอ้อมอกของชายหนุ่มทันที

                “ แล้วคนอื่นล่ะ” เขาถาม “ แล้วผมสลบไปนานเท่าไหร่แล้ว หัวนายไปโดนอะไรมา”

                “ ตื่นมาก็ยิงคำถามเลยนะครับ” มิวส์คลี่ยิ้มที่เห็นคนที่กำลังเป็นห่วงพูดได้ปกติได้ “ ตอนที่ล่วงลงมาในนี้เราแยกกับแวมป์แล้วก็ไซต์ ส่วนตอนนี้เดรโก้ออกไปตามหาพวกนั้นอยู่เดี๋ยวก็คงกลับมาส่วนหัวผมมันน่าจะกระแทกกับอะไรสักอย่างตอนหล่นลงมา”

                “ ขอโทษนะครับที่ต้องมาลำบากอะไรอย่างนี้” เขาล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อของตัวเองแล้วเอื้อมมือไปซับเลือดบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างเบามือ “ ขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ”

                “ ถ้าคุณยังไม่หยุดพูดคำว่าขอโทษผมจะโกรธคุณจริงๆด้วย” มิวส์จับข้อมือนุ่มที่กำลังซับเลือดบนใบหน้าไว้ “ ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะอยากช่วยคุณ อยากดูแลคุณ แต่ทำไมต้องมาพูดทำร้ายจิตใจผมอย่างนี้ล่ะทำเหมือนผมโดนบังคับมาอย่างนั้นแหละ” แววตาจริงจังจดจ้องไปยังแววตาสีทราย “ จำไว้นะไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ผมจะอยู่ข้างคุณ”

 ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากของชายหนุ่มเลยแม้แต่คำพูดเดียวเพราะดวงตาของเขาถ่ายทอดความรู้สึกออกมาอย่างหมดสิ้นเสียแล้ว

                “ ร้องไห้ทำไม” มิวส์ถามพลางเอามือเช็ดน้ำที่กำลังไหล

                “ สวีทกันเหลือเกินนะครับ” เสียงของแวมป์ดังขัดจังหวะมาจากด้านหลังของทั้งคู่ “ แต่เสียดายอย่างนึง ตรงที่มันไม่ถูกเวลาเลยนะครับ”

                “ ดับไฟด้วยแล้วมารวมกันไว้” ไซต์ที่ตามแวมป์มาเอ่ย “ เราจะรีบออกจากที่นี่กัน”

 สิ้นคำของชายร่างแคระไฟสว่างดวงน้อยของมิวส์ทีดับลงแล้วทั้งหมดก็เข้าสู่โหมดแห่งความมืดมิดอีกครั้ง

                “ แล้วเราจะไปไหนกันล่ะครับ” พีทที่เกาะไหล่ของเดรโก้เอ่ย

                “ คือนี่เป็นแผนที่นะครับคุณแวมป์ลองกางดูก่อนไหมแต่ผมคงมองไม่เห็น” มิวส์ส่งแผนที่ให้กับแวมป์

                “ ตอนนี้เรากำลังเดินไปหาทางตัน” แวมป์เอ่ย “ เราต้องเดินย้อนกลับไปทางที่พวกเรามา” เขาหันกลับไปกระซิบกับไซต์

                “ เข้าใจแล้ว” ไซต์ล้วงหยิบอาวุธขึ้นมาในมืออีกครั้งแล้วพยายามตั้งสติให้อยู่กับเนื้อกับตัวให้มากที่สุดเพราะตัวเขาเองรู้ดีว่าข้างหน้าคืออะไร

                “ พยายามเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้นะ” แวมป์ที่เดินวนไปมาก่อนจะหันไปหาเดรโก้ “เดรโก้ฉันขอร้องนะไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตามห้ามจุดไฟเด็ดขาด”

                “ ครับ” ชายหนุ่มรับคำอย่างงงๆก่อนจะวิ่งตามไปติดๆ

 สถานที่ที่คุ้นเคยกับบางสิ่งที่ค้นตาที่ยังคงนอนสงบนิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างใด ฝีเท้าคนนำทางอย่างแวมป์ค่อยๆชะลอความเร็วและความรุนแรงในการสัมผัสกับพื้นเปียกแฉะ เมื่อความเร็วคนตรงหน้าลดลงผู้เดินตามที่เหลือก็ลดลงตามไปโดยปริยาย แวมป์หันกลับมามองด้านหลังอย่างเบาใจว่าอย่างน้อยก็ไม่มีคนพรวดพลาดเดินกระแทกกันเมื่อเขาลดความเร็วลง

                “ มีอะไรหรือเปล่า” ไซต์ถาม

                “ ไม่มีอะไรครับเราไปกันเถอะ” แวมป์กระซิบกลับก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวไปข้างหน้าช้าๆแต่ก็ไม่มีทีท่าที่จะหยุด

 ร่างมันเลื่อมที่ขดตัวเป็นชั้นๆค่อยขยับตัวช้าๆราวกับว่ามันสัมผัสได้ถึงผู้มาใหม่ที่มาเยือน

                “ มันรู้ตัวแล้ว” แวมป์เอ่ย

                “ อะไรเหรอครับ” เดรโก้ที่อยู่ถัดจากคู่สนทนาของแวมป์ถามกลับ “ พี่มีอะไรกันหรือเปล่า ผมได้ยินกระซิบกันหลายรอบแล้วนะครับ ถ้าเป็นเรื่องที่มีผลกับพวกเราด้วยพี่ก็ควรจะบอกบ้างนะครับเราเป็นทีมมาด้วยกันทำไมต้องมีความลับด้วยล่ะ”

                “ มีงูตัวใหญ่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้องนั้น” แวมป์เอ่ยอย่างเหลืออดพอเห็นว่าใบหน้าของผู้ที่รับรู้เรื่องที่พยายามปิดจึงเอ่ยต่อ “ รู้แล้วไง สู้ก็ไม่ไหวหรอก มันมืดขนาดนี้มันจะทำให้พวกเราตายกันหมด ฟังนะเรื่องบางเรื่องน่ะคนที่รู้เขาอาจมีเหตุผลในการตัดสินใจดีแล้วว่าบอกหรือไม่บอก”

                “ แล้วพี่ตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่บอกแล้วมาพูดทำไม” เดรโก้ถามกลับอย่างสับสนในอารมณ์ของผู้นำทางคนนี้เสียจริงๆ

                “ ก็เพราะมันกำลังเคลื่อนตัวยังไงล่ะ” พีทที่ไม่ได้เห็นแต่สัมผัสได้ด้วยเสียงของงูตัวนั้นเอ่ย “ มันเหนื่อยแรงมากไม่น่าจะทำอะไรเราได้หรอก”

                “ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ดี เราไปกันต่อเถอะ” ไซต์สะกิดเพื่อให้คนนำทางเดินทางต่อ

                “ เข้าใจแล้ว” สิ้นคำแวมป์ก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีกครั้งโดยไม่คิดจะหันกลับเข้ามาในห้องนี้อีกแต่ทว่า

โครม! เสียงหินของถ้ำหล่นลงมากระทบกับพื้นเหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนตัว

                “ วิ่ง” แวมป์ตะโกนแล้ววิ่งนำหน้าไปในความมืดโดยที่มือของไซต์ยังคงจับติดแน่นเช่นเดียวกับเดรโก้ พีทและมิวส์

                “ ไหนบอกว่ามันจะไม่ทำอะไรไงทำไมถึงได้พากันวิ่งอย่างนี้” เดรโก้เอ่ย

                “ เออใช่ตัวนั้นมันไม่มีอะไร แต่อีกตัวนึงนี่สิกำลังหิวเลย” พีทเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ รู้อะไรมั้ยฉันพยายามมองหาแววตาของมันแล้วแต่มันไม่มี”

                “ ว่าไงนะ ไม่มีตา” เดรโก้ย้ำคำที่ชายหนุ่มพูดอีกครั้ง “ แสดงว่าถึงเป็นงูที่พี่ควบคุมได้แต่พี่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีตาเหรอ”

                “ ใช่น่ะสิ แล้วจะให้ทำไงดีล่ะ” มิวส์ถามเพราะตนอยู่รั้งท้ายสุดแล้วรู้สึกได้ถึงสิ่งที่กำลังวิ่งตามมาเพราะมันช่างใหญ่เหลือเกินใหญ่เสียจนพื้นอุโมงค์สั่นสะเทือนไปหมด

                “ หรือว่าจะสู้” เดรโก้เสนอ

                “ จะบ้าเหรอ เหวอ!” แวมป์เบรกกะทันหันทำให้คนที่วิ่งตามมาชนต่อกันอย่างเป็นลูกโซ่ไซต์ที่ตัวเล็กที่สุดถูกอัดเข้าอย่างจังจึงเอ่ยอย่างหัวเสีย

                “ อะไรอีกเนี่ยหยุดทำไมมันตามมาข้างหลังน่ะ”

                “ มันก็อยู่ข้างหน้าด้วยครับ” มิวส์ตอบ

                “ อะไรนะมีอีกตัวเหรอ” เดรโก้เอ่ย “ รวมสามตัวแล้วนะเนี่ยเอาไงสู้ไม่สู้”

                “ ไม่ต้องสู้ เราแค่ต้องการตัวล่อแล้วคนที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ก็คือนาย” สายตาทุกคู่แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็เพ่งไปยังชายที่ถูกเลือกที่กำลังยืนทำหน้าตกใจกับสิ่งที่แวมป์เสนอ “ เอาไงฉันให้นายตัดสินใจว่าจะตายหมู่โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือนายจะเสี่ยงแล้วพวกฉันคอยสู้ด้วย” เขาเอ่ยอย่างเร่งเร้า “ นายต้องเลือกแล้ว”

                “ ได้” สิ้นคำบอลเพลิงสีสว่างทำให้แสงเจิดจ้าไปทั่วห้อง “ ตามมาเลย”

 งูทั้งสองที่จับความผิดปกติของอุณหภูมิห้องที่เปลี่ยนไปพุ่งตัวเข้าหามังกรหนุ่มอย่างทันควัน

                “ ตามให้ทันสิ” ว่าแล้วมังกรน้อยก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปอีกเส้นทางหนึ่งเพื่อให้แวมป์พาคนที่เหลือออกไปก่อนเพราะยิ่งคนเยอะก็ยิ่งเรื่องแยะ

                “ เดรโก้รอหน่อยนะฉันจะกลับมาช่วยนายเอง” สิ้นคำแวมป์ก็พาทั้งหมดวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต

ภายในอุโมงค์อันมืดมืดมิด ฝีเท้าของคนนำทางวิ่งไปทางไหนคนที่มองไม่เห็นก็ต้องเคลื่อนที่ตามไปทางนั้นถึงแม้ว่าการตามหาปลายอุโมงค์ในครั้งนี้เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรก็ตาม มันอยู่ที่ไหน ร่างกายของพวกเขาอ่อนแรงเหลือเกิน อากาศที่อบอ้าวทำให้ร่างกายที่บาดเจ็บอยู่แล้วยิ่งอ่อนแรงลงทุกที แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะนอกจากต้องฝืนกัดฟันวิ่งต่อไปและต่อไป จู่ๆก็มีแสงจุดหนึ่งริบหรี่ราวกับแสงจากเปลวเทียนที่กำลังจะดับเต็มทีผุดขึ้นมาตรงหน้าถึงมันจะเล็กสักเพียงไรแต่อย่างน้อยมันก็คือแสงความอบอุ่นในใจ ความหวังใกล้เข้ามาเต็มทีแต่ก็คงมีความสุขได้ไม่มากเท่าไหร่นักเพราะคนที่เสียสละให้พวกเขามาอยู่ที่จุดนี้ได้คงกำลังวิ่งไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง

                “ วิ่งตามแสงนั้นไปนะครับผมจะกลับไปช่วยเดรโก้” แวมป์หยุดลงแล้วหันกลับมาเอ่ยกับทั้งสามแต่ดูเหมือนแววตาของคนที่เขากำลังสนทนาอยู่ด้วยนั้นปฏิเสธคำพูดเขาเหลือเกิน “ ไม่มีทางเลือกอื่นครับถ้าผมไม่กลับมาในครึ่งชั่วโมงให้ไปกันต่อเลยเพราะคนที่ต้องไปต่อในครั้งนี้ไม่ใช่ผมกับเดรโก้แต่เป็นพีทและคุณสองคนต้องไปดูแล”

                “ เข้าใจแล้วยังไงฉันก็หวังว่าเราจะได้ไปปกป้องพีทพร้อมกันนะเพราะเราคือทีมแยกกันไปคงไม่เป็นทีม” ไซต์เอ่ยก่อนจะกลั้นใจพาสองคนนั้นมุ่งตรงไปยังแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่เห็นรำไร



“ ตามมาให้ทันสิเจ้างูประหลาด” เดรโก้ที่ยังคงวิ่งและพ่นคำด่าทอกับงูรูปร่างพิลึก อ่านไม่ผิดหรอกเพราะงูที่เดรโก้กำลังวิ่งหนีอยู่จะว่าเป็นงูผสมกับตัวอะไรดีล่ะตรงปลายหัวมีขนฟูฟ่องเหมือนหัวของสิงโตแต่จะว่าไปเหมือนกับมันกำลังไปโชว์การแสดงตามละครสัตว์มากกว่าและมันคงจะตลกหากไม่มีเขี้ยวแหลมยาวราวกับงาช้างที่ไล่ฟังเข้าไปในตัวของมังกรหนุ่ม “ เหวอ!” เขาร้องเสียงหลงเมื่อกำลังเห็นเขี้ยวโง้งเฉียดบั้นท้ายของตัวเองไป “ เอาเขี้ยวที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดออกไปจาหกก้นของฉัน “ สิ้นคำเขาก็ขว้างเปลวเพลิงในมือไปที่ด้านหลัง “ เจ๋ง”

 เปลวเพลิงที่ขว้างจากเดรโก้เผาปลอกคอสิงโตนุ่มสวยของงูตัวที่ไล่ตามมาแต่ก็ยังคงเหลืออีกหนึ่งตัวที่ตามมาอย่างไม่ลดละ

                “ โอ๊ย ! ตามอะไรกันหนักหนาเนี่ย ไม่เห็นเพื่อนแกหรือไงว่าโดนอะไรถ้าไม่อยากเป็นอย่างนั้นก็หยุดตามได้แล้ว” เขาวิ่งไปบ่นไปโดยไม่คิดจะหันกลับไปด้านหลังเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปลวไปที่แผดเผางูตัวแรกไป

 บริเวณที่โดนไฟเผาค่อยกลับกลายเป็นเหล็กกล้าเงามันวาว ส่วนที่เป็นปลอกคอหนานุ่มกลับกลายเป็นแท่งหนาวเหล็กคมกริบมันวาว

                “ เฮ้ย!” เขาอุทานออกมาอย่างตกใจ “เกือบไปแล้วไหมล่ะ” ที่ชายหนุ่มจำเป็นจะต้องเบรกฝีเท้าที่กำลังสาววิ่งมาด้วยความเร็วสูงนั้นก็เป็นเพราะว่าเบื้องหน้าของเขาคือเหวสูงชัน แน่นอนเขามาถึงทางตันเสียแล้ว “ เอาไงดีวะ”

                “ ฉันมาช่วยแล้ว” เสียงแห่งความหวังลอยเข้ามาในโสตประสาทที่กำลังทำงานได้ไม่ค่อยดีนักด้วยความเหนื่อยที่วิ่งมานาน

                “ แล้วไอ้ที่ว่ามาแล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ มองไม่เห็นเลยเนี่ยหรือว่าผมกำลังหลอน ใช่เรากำลังหลอนแน่ๆเพราะเขาว่ากันว่าคนที่กำลังจะตายมากจะได้ยินหรือเห็นภาพหลอน” สติของมังกรหนุ่มก็แตกกระเจิงเพิ่มขึ้นเมื่อ “ อะไรของมันอีกวะเนี่ย” ร่างวิวัฒนาการของงูที่โดนเผาไปกำลังจะมาถึงพร้อมกับอีกตัวที่ยังคงไล่ตามเขาอยู่

                “ บินไปก่อนไปอยู่ตรงเหวนั่นก่อน” เสียงของแวมป์ยังคงจะโกนสนทนามาเป็นระลอกๆ “ เชื่อสิว่ามันได้ผล”

  สิ้นคำของพี่ชายคนสนิทเดรโก้ก็ถลาตัวไปในอากาศก่อนจะล่อนขึ้นไปชิดกับผนังของอุโมงค์ซึ่งเป็นเวลาเดียวที่งูสองตัวมาถึงพอดีเป๊ะ

                “ เกือบไปแล้วไหมล่ะ” เขาถอนหายใจทั้งๆที่อากาศยังเข้าไปไม่ทั่วปอดด้วยซ้ำ “ เอาไงต่อ จะให้ห้อยต่องแต่งอยู่อีกนานมั้ยแล้วพี่อยู่ตรงไหนเนี่ย” เดรโก้ตะโกนหาตนเสียง

                “ เออน่าทนแป๊บเดียวฉันอยู่แถวๆนี้แหละ”  เสียงของแวมป์ตะโกนกลับมา

                “ เร็วนะพี่มันจ้องจับผมกินอยู่แล้วเนี่ย” ที่เขาตะโกนกลับไม่ผิดหรอกเพราะถึงแม้ตัวมันจะอยู่ที่ปลายของหน้าผาแต่ด้วยความพยายามเพราะลำตัวที่ยาวของพวกมันที่กำลังพุ่งเขี้ยวแหลมคมเข้ามาหาเดรโก้อย่างไม่ขาดสาย

                “ ฟังนะถึงแม้ตอนนี้ถ้านายดับไฟลงตัวของนายก็ยังคงร้อนอยู่ใช่ไหมมันก็คงรู้ว่านายอยู่ไหนแต่ถ้ามีอะไรที่ร้อนกว่าเป็นตัวล่อล่ะก็มันก็จะสนใจนายน้อยลงจังหวะนี้แหละให้ดีดตัวไถลตามลำตามของตัวที่เป็นคนคอฟูๆลงมาฉันจะรออยู่ตรงนี้แล้วจะพานายวิ่งไปเองเพราะเรื่องนี้ฉันไวอยู่แล้ว”

                “ แน่ล่ะพี่ ผมเข้าใจว่าพี่วิ่งไวจริงแต่แผนก่อนหน้านี้ผมทำเองคนเดียวล้วนๆ” ชายหนุ่มบ่นอุบ “ แล้วจะเอาอะไรเป็นตัวล่อล่ะเนี่ย”

                “ เสื้อนอกนายไงเผาๆไปก่อนแล้วโยนลงเหวไปให้มันก้มมองแล้วก็โป๊ะเชะ!”

                “ ง่ายจังเลยเนอะ โป๊ะเชะเลยเหรอพี่ไม่มาอยู่จุดนี้ไม่รู้หรอกว่ามันเสียวแค่ไหนอีกอย่างเสื้อนอกผมก็แพงเพิ่งซื้อมาเองจะให้เผาเลยเหรอ”

                “ จะไม่เผาก็ได้นะนายก็ห้อยต่องแต่งอยู่อย่างนี้แหละ” แวมป์เอ่ยอย่างเสียไม่ได้ “ เดี๋ยวซื้อให้เลยก็ได้เอ้าถ้ารอดกลับไปได้นะ”

  ชายหนุ่มยิ้มแก้มปริก่อนจะหวนคิดถึงคำตบท้ายของพี่ชาย

                “ แหมปากมงคลจริง” สิ้นคำเสื้อยีนส์ที่เจ้าตัวเพิ่งจะถอยมาใส่เมื่อก่อนที่จะเข้ามาในองค์กรก็ถูกถอดมาอย่ในกำมือ “ จำคำพูดด้วยนะว่าจะซื้อให้ใหม่น่ะ”

  สิ้นคำเปลวไฟก็ลุกโชนบนเสื้อในมือของเดรโก้และแน่นอนว่ามันก็เป็นสิ่งที่เร้ายั่วยวนอสรพิษตรงหน้าได้ไม่น้อยเลย

                “ เอาเลย”

 สิ้นคำของแวมป์เดรโก้ก็ทิ้งเสื้อยีนส์ตัวโปรดที่กำลังลุกไหม้ลงไปในเหวลึกและก็เป็นไปตามคาดว่าสัตว์สองตัวที่อยู่ตรงหน้าพยายามจะโน้มตัวตามอุณหภูมิที่สูงโดยไม่สนคนที่กำลังลอยเหนือหัวเลยแม้แต่น้อย

 เดรโก้ค่อยดิ่งตัวไถลลงมาตามแนวรอยยาวของสันหลังเลื่อมที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเจ้าตัวขนฟู

 ด้วยอุณหภูมิที่สูงภายในตัวของเดรโก้จึงทำให้ร่างวิวัฒนากรของอีกตัวพุ่งฉกไปอย่างจังระหว่างที่เดรโก้เคลื่อนตัวมาถึงกลางหลัง

                “ มานี่” แวมป์พุ่งตัวไปยังเดรโก้ด้วยความเร็วก่อนจะมาหยุดนิ่งตั้งหลัก” อยู่นิ่งๆนะอุณหภูมิในตัวฉันจะกลบร่างกายที่ร้อนของนาย”

                “ แล้วทำไมไม่รีบวิ่งไปล่ะ จะรออะไรอีก” เดรโก้ถามอย่างไม่เข้าใจในความคิดของแวมไพร์หนุ่มเลยแม้แต่น้อย

                “ ถ้าเราวิ่งไปตอนนี้มันก็จะตามเราไปแล้วถ้ามันตามเราไปกว่าจะถึงทางออกเราเสร็จมันแน่เพราะตัวนายเองก็ยังเรียกร้องมันอยู่”

                “ เข้าใจแล้วตอนนี้รอให้ผมเย็นก่อนใช่มั้ย”

 และแล้วความสงบก็กลับมาอีกครั้งเมื่ออสรพิษตรงหน้าเริ่มสงบลงและค่อยๆเลื้อยผ่านทั้งคู่ไปอย่างช้าๆ

“ ตอนนี้ล่ะจับแน่นๆนะ” สิ้นคำร่างของแวมป์ก็เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วราวกับแรงลม

 จุดแสงริบหรี่เล็กๆตรงหน้าค่อยๆขยายขึ้นเรื่อยๆเมื่อฝีเท้าของแวมป์เคลื่อนตัวเข้าหาแต่แล้วร่างทั้งคู่ก็ค่อยๆโดนบางอย่างดูดลงสู่พื้นด้านล่างอย่างเร็ว

                “ พี่พีท พี่มิวส์ ไซต์ นี่อะไรกัน” เดรโก้เอ่ยทันทีที่แสงสว่างกระทบดวงตา “ แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเมื่อกี้เหมือนผมกับพี่แวมป์โดนดูดเลยแล้วตอนนี้พี่แวมป์อยู่ไหน”

                “ นายทับฉันอยู่เนี่ยลุกไปเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้เด็กบ้าหนักจะตาย” แวมป์ที่รองรับน้ำหนักเดรโก้บ่นอย่างเสียไม่ได้ “ ว่าแต่ในแผนที่บอกมั้ยว่าที่นี่คือที่ไหน”

                สิ้นคำของแวมป์มิวส์ก็กางแผนที่ออกจึงปรากฏออกมาเป็นรูปภูเขาตั้งตระหง่านเป็นรอยยาวแล้วเขียนว่า

 “ ในแผนที่เขียนไว้ว่าหุบเขากระจก” มิวส์เอ่ย

 คำตอบของคำถามที่แวมป์ถามทำให้สร้างความประหลาดใจกับทีมเดินทางเป็นอย่างมากเพราะขนาดพีทที่กำลังเช็คอาวุธอยู่ถึงกับต้องวางอาวุธเพื่อที่จะมาดู

                “ แล้วอะไรมันคือหุบเขากระจกล่ะครับ เพราะตรงหน้าของเราตอนนี้ก็เป็นหินธรรมดานี่” พีทเอ่ย

                “ ถ้าอยากรู้พรุ่งนี้เราจะเข้าไป ตอนนี้เราไปเตรียมอาหารให้ที เดี๋ยวพวกฉันจะไปหาฟืนมาก่อไฟให้ไม่อย่างนั้นหนาวตายแน่ยิ่งอยู่ใกล้ป่าใกล้เขาอย่างนี้ด้วย” ไซต์สั่ง

                “ ครับ” พีทรับคำก่อนจะหันหลังให้กับภูเขาที่เรียกกันว่า ‘หุบเขากระจก'

คอมเม้นพูดคุยติชมกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่9 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-04-2020 18:18:07
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่10 26/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 26-04-2020 02:05:57
บทที่สิบ หุบเขากระจก

   อากาศในยามใกล้รุ่งช่างหนาวเหน็บจนทำให้ร่างกายแทบกลายเป็นน้ำแข็ง พีทลืมตาขึ้นมาท่ามกลางท้องฟ้าที่พระจันทร์ใกล้จะลาลับเพื่อเปิดทางให้พระอาทิตย์ขึ้นมาเป็นสัญญานการรับกับวันใหม่ ดวงตาสีทรายกระพริบเพื่อให้ปรับเข้ากับแสงของกองไฟตรงหน้าที่มีแวมป์นั่งปิ้งขนมปังกระเทียมส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทำให้ชายหนุ่มแทบอดใจไม่ไหวเพราะกลิ่นมันช่างเย้ายวนเหลือเกิน

                “ ทำไมตื่นเร็วนักล่ะ ผลัดนี้ต้องเป็นของเดรโก้ไม่ใช่เหรอ ? ทำไมนายถึงได้มานั่งปิ้งขนมปังจนปลุกฉันขึ้นมาอย่างนี้ล่ะ” พีทถามด้วยความสงสัย “ หรือว่ามันปวดหลังนอนไม่สบายตัวแน่ๆเลยขอโทษนะ ที่พามาลำบากด้วยอย่างนี้” เขาก้มหน้าเพื่อหลบแววตาที่อ่อนแอของตนเอง

                “ จะมาดราม่าอะไรเนี่ยฉันก็แค่นอนไม่หลับ” แวมป์เอ่ยพลางยื่นถ้วยกาแฟสีดำปี๋ให้กับชายหนุ่ม “ อีกอย่างนึงนะเราเป็นทีมเดียวกันลำบงลำบากอะไรกันคิดมาก รู้อะไรมั้ยตอนที่ฉันถ่ายหนังเหนื่อยกว่านี้อีก แค่นี้สบายมาก”

                “ ขอบใจนะ สำหรับทุกเรื่อง กาแฟนี่ก็ด้วย อุ่นขึ้นเยอะเลย”

                “ ถ้านายยังขอบคุณฉันอีกล่ะก็ฉันจะกลับล่ะนะ” แวมป์เอ่ยติดตลก “ ฉันว่าคนที่นายควรจะขอบคุณจริงๆนะควรจะเป็นคุณมิวส์มากกว่าเพราะจริงๆแล้วเขาไม่ควรมาเสี่ยงอันตรายอย่างนี้กับพวกเราด้วยซ้ำ แต่เขาก็มาเพราะว่าเขา”

                “ ขนมปังไหม้แล้วครับ” เสียงของมิวส์ที่ลุกขึ้นมาขัดสิ่งที่แวมป์กำลังจะเอ่ยเพราะเขานอนฟังการสนทนามาสักพักแล้ว “ ขอกาแฟหน่อยได้ไหมครับคุณแวมป์” มิวส์ทำเสียงแข็งเพื่อพยายามส่งสันญาณว่าไม่ควรบอกในสิ่งที่เขากำลังจะพูด

                “ นี่ขนมปังหอมฉุยกำลังน่ากินเชียวลองดูสิพีท” เขายื่นขนมปังกระเทียมที่สีคล้ำจนแทบไหม้มาให้ชายหนุ่ม “ กินไปก่อนนะฉันจะไปปลุกไซต์กับเดรโก้เสียหน่อย”

                ความเงียบงันเข้ามาปกคลุมรอบกองไฟที่มีเพียงสองหนุ่มนั่งอยู่จนทำให้ใครบางคนถึงกับอึดอัดจึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

                “ แผลที่หัวคุณเป็นยังไงบ้างครับ หายดีหรือยัง? หนาวไหมคะ? หิวหรือเปล่า?” พีทรัวคำถามออกไปอย่างประหม่าจนชายหนุ่มตรงหน้าอมยิ้มในความไม่เป็นตัวเองของอีกฝ่าย “ หัวเราะอะไรเหรอ? ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ?”

                “ คุณไม่ได้พูดอะไรผิดหรอกครับ ผมก็แค่สงสัยว่าทำไมเช้านี้คุณถึงได้มีแต่คำถาม ไม่มีประโยคสนทนาอื่นบ้างเลย คิดว่าผมเป็นนักโทษเหรอถึงได้ถามมากมายขนาดนี้” มิวส์พูดอย่างไม่จริงจังอะไรมากแต่คนฟังนี่สิ

                “ ก็ได้ถ้าคุณไม่ชอบให้ผมถาม ให้ผมคุยด้วยผมก็จะไม่คุย” พีททิ้งให้มิวส์นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่หน้ากองไฟแล้วตัวเขาเองก็แสร้งไปจัดเตรียมของลงกระเป๋าด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์เสียเท่าไหร่นัก

                “ ผมไปแป๊บเดียวทำไมพี่พีทถึงได้เป็นอย่างนั้นล่ะครับ” แวมป์ถามอย่างแซวๆ

                “ จะอะไรอีกล่ะ นอกจากพี่มิวส์ของเราพูดอะไรไม่เข้าหูพ่อหนุ่มตาหวานพี่ชายผมอีกล่ะสิ” เดรโก้พูดพลางยัดขนมปังกระเทียมชิ้นโตเข้าปากแล้วตามด้วยกาแฟที่กำลังควันโชยออกมาพร้อมกลิ่นที่หอมฉุยแต่ความร้อนนั้นก็ไม่ทำให้ลูกครึ่งมังกรอย่างเขาสะทกสะท้านได้เพราะรวดเดียวกาแฟก็ไหลตามขนมปังเข้าไปจนหมดแก้เสียแล้ว

                “ นี่แน่ะ” แวมป์ฟาดมือหนาลงไปที่ท้ายทอยของชายหนุ่ม “ ไม่ช่วยแล้วยังเป็นพวกตลกบริโภคอีก”

                “ อะไรเนี่ย ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ด้วยเนี่ย” เขาบ่นแล้วคว้าขนมปังสองชิ้นสุดท้ายในจานมาหวังจะใส่ปากแต่ก็

                “ อันนี้ของไซต์” แวมป์กระชากขนมปังที่กำลังเข้าปากเดรโก้อย่างรวดเร็ว “ นายไปกินอาหารกระป๋องในกระเป๋าไปเพราะเห็นไซต์บ่นๆว่ามันไม่อร่อยถูกปากเขา”

                “ อะไรกัน ทำไมผมต้องกินของไม่อร่อยด้วยล่ะลำเอียงจริงๆ” เดรโก้เดินตุปั๊ดตุป๊อดอย่างงอนๆไปที่กระเป๋าแล้วคว้าซุปข้าวโพดที่แสนเย็นและจืดสนิทเปิดแล้วเทเข้าปากรวดเดียวแล้วรีบเคี้ยวอย่างเสียไม่ได้

                “ เมื่อไหร่มันจะโตนะ” ไซต์ทิ้งตัวลงนั่งที่โขดหินพร้อมกับยัดขนมปังเข้าปากแต่ก็ยังอดวิจารณ์น้องชายคนเล็กของบ้าน

                “ เอาน่ะครับ เรารอดกันมาได้ก็เพราะเขาเลยนะครับ แล้วอีกอย่างผมคิดว่าเด็กคนนี้กำลังเก็บบางอย่าง บางอย่างที่แสนเจ็บปวดไว้ข้างใน แล้วเลือกที่จะเปิดเผยความสนุกสนานออกมาก็เท่านั้น” มิวส์เอ่ยแล้วลุกจากวงสนทนาไปช่วยเดรโก้ที่กำลังยัดอุปกรณ์การนอนลงกระเป๋า “ มาพี่ช่วย”

                “ แน่ใจเหรอว่าจะมาช่วยผมไม่ได้มา” ยังไม่ทันสิ้นคำพูดขนมปังกระเทียมในส่วนของมิวส์ก็ยัดเข้าที่ปากของชายหนุ่มผู้พูดไม่หยุดไปหนึ่งอัน “ พี่เอานี่มาเผื่อด้วยเผื่อนายจะได้ไม่พูดเยอะเกินไป เก็บแรงไว้เดินทางเหอะ”

  แสงของดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องเข้ามาภายในร่มไม้อันเป็นที่พักพิงของกลุ่มการเดินทางเพื่อตามหา เนตรแห่งมนตรา เป็นสันญาณว่าควรออกเดินทางได้แล้ว

                “ เฮ้อ ! ได้สัมผัสพื้นที่เป็นปกติและแสงสว่างที่มองเห็นทุกอย่างสักที” เดรโก้ที่เดินตามหลังใกล้ๆพีทที่เหมือนจะพยายามปลีกตัวจากมิวส์เอ่ยขึ้น “ นึกว่าจะได้อยู่แต่ในที่ที่มองไม่เห็นอย่างเดียวเสียแล้วนะเนี่ย ว่ามั้ยพี่พีท” ชายหนุ่มหันไปถามพีทที่เดินไม่พูดไม่จาตั้งแต่ออกจากที่พักมา พร้อมทั้งสายตาของบุตรแห่งเมดูซ่าพิฆาตที่มองไปยังมิวส์อย่างเอาเรื่อง “ พี่พีท ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่าเนี่ย”

                “ ว่าไงนะ เมื่อกี้พี่ไม่ทันได้ฟัง” พีทที่หลุดจากภวังค์หันกลับมาคุยกับคนถาม อย่างไร้ซึ่งคำตอบเพราะจะให้ตอบได้ยังไงตัวเขาไม่เคยสนใจคำพูดของเดรโก้เลยแม้แต่น้อยก็ในเมื่อสิ่งที่เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือคนคนนั้น

                “ ผมว่าพี่อยากพูดกับใครก็ไปคุยกับคนนั้นเถอะนะผมไปเดินข้างหน้ากับพี่แวมป์ดีกว่า”

 สถานการณ์ประหม่าของพีทเข้ามาเยือนอีกแล้ว ชายหนุ่มรีบเดินจ้ำตามเดรโก้โดยไม่เหลียวกันไปมองมิวส์เลยแม้แต่น้อยเพราะกลัวเหลือเกินกลัวใจตัวเองเหลือเกิน

                “ ไม่คิดจะคุยกับผมเลยหรือไงวันนี้” เสียงเงียบฉี่ ไม่มีวี่แววของคำตอบ “ คุณเป็นอะไรของคุณเนี่ยมีอะไรก็พูดได้ไหมอย่ามาเงียบแบบนี้มันอึดอัดนะรู้มั้ย” มิวส์พูดอย่างเหลือดอดเพราะเขาเองก็สังเกตเห็นสายตาของพีทที่จ้องมาตลอดทางได้สักพักแล้ว

                “ สองคนนั้นมีอะไรหรือเปล่า เราต้องรีบนะหยุดกันทำไม”

                “ ไม่มีอะไรครับไปต่อเลย” พีทรีบวิ่งตามมาสมทบข้างหน้าแต่มือหนาคว้าแขนของเขาไว้ “ มีอะไร เขารีบกันอยูไม่รู้หรือไงตอนนี้เรากำลังถ่วงอยู่นะ”

                “ ใช่ถ่วงแน่ถ้าไม่รีบๆเคลียร์ให้มันจบตอนนี้” มิวส์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมครับ” เขาหันไปยังไซต์ที่ยืนทำหน้าปลงตก

                “ แป๊บเดียวนะ” เขาพูดอย่างเสียไม่ได้พราะหากไม่อนุญาตต้องมีปัญหากับการเดินทางอย่างแน่นอน “ โอ๊ยทำไมมีแต่เรื่องเนี่ย”

                “ มีอะไรพูดมาตรงๆเลยได้ไหม” มิวส์เปิดการสนทนาทันทีที่แยกออกมาเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา

                “ ไม่ได้เป็นอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรจะคุยด้วย อีกอย่างพวกนั้นกำลังรอเราอยู่” พีทพูดพลางเดินเร่งฝีเท้าเดินออกห่างจากชายหนุ่ม

                “ หยุดทำตัวเป็นเด็กๆได้ไหม มีอะไรก็พูดออกมาสิ” มิวส์เริ่มเหลืออด “ ผมมีอะไรก็พูดออกไปเกือบทั้งหมดถึงสิ่งที่ไม่พูดผมก็แสดงออกอย่างชัดเจนหรือจะให้พูดว่าเอ่อ” เขาเริ่มตะกุกตะกักเล็กน้อยเมื่อจะเอ่ยบางคำ “ ผมรักคุณ เข้าใจมั้ยว่าผมรักคุณ แล้วคุณล่ะเคยเห็นผมอยู่ในสายตาบ้างไหม บางครั้งก็ดูว่าใช่ในบางทีก็ไม่ใช่ผมสับสนไปหมดแล้วนะ”

 คำพูดของคนตรงหน้าทำให้บุตรแห่งเมดูซ่ายืนนิ่งราวกับถูกไฟฟ้าช็อตเพราะร่างกายชาไปทั่วทั้งร่างแล้ว

                “ คุณไม่เข้าใจหรอก ไม่เข้าใจหรอกว่ามันรักกันไม่ได้” เขาปล่อยโฮออกมาอย่างเสียไม่ได้ “ แค่คุณมาเดือดร้อนเพราะผมอย่างนี้มันก็ดูเห็นแก่ตัวมากเกินพอแล้ว” เขากลั้นสิ่งที่กำลังไหลรินไม่ให้ออกมาแล้วพยายามสบตา “ ฟังผมนะ หยุดเรื่องไว้แค่นี้เถอะ แล้วไม่ต้องพยายามหรอกนะเพราะมันเป็นไปไม่ได้ เพราะผมต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบแค่ชิ้นแรกยังเดินทางไม่ถึงไหนเลย คุณก็มาเจ็บตัวเพราะผมอีกอย่างถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาล่ะใครจะรับผิดชอบ ผมเหรอ !” น้ำใสๆเริ่มไหลอีกครั้ง “ คงไม่ไหวหรอก ผมคงเห็นคุณเป็นอะไรไม่ได้ ขอร้องล่ะนะออกไปจากชีวิตของผมซะ ส่วนการเดินทางครั้งนี้คุณก็ไม่ต้องไปต่อหรอกกลับไปเถอะนะ”

                “ คุณหยุดสั่งโน่นสั่งนี่ได้ไหม” มิวส์เอื้อมไปเช็ดน้ำตาชายหนุ่มตรงหน้า “ ต่อให้คุณไล่ผมแค่ไหนผมก็ไม่ไปหรอกเพราะในเมื่อใจของผมมันรักคุณแล้ว ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงผมพร้อม พร้อมที่จะรับผลนั้นแม้ว่ามันอาจถึงตายก็ตามเพราะอย่างน้อยผมก็ตายเพราะได้ปกป้องคนที่ผมรัก” เขาเลื่อนปลายนิ้วมาเชยคางให้นัยน์ตาสีทรายมาสบตากับตัวเอง “ เข้าใจไหม? แล้วอย่าบอกให้ผมไปไหนอีกเพราะผมจะไม่ไป ถ้ากลัวผมเป็นอะไรไปคุณก็อย่าทิ้งผมไปไหนสิอยู่กับผมอยู่ใกล้ๆผม เพราะผมก็อยากอยู่ใกล้ๆคุณ”

                “ ไม่”

 ยังไม่ทันจบบทสนทนาของทั้งคู่แผ่นดินที่เคยนิ่งปกติกลับสั่นราวกับเจ้าเข้าก็ไม่ปาน ต้นไม้ที่เคยให้ร่มเงากำลังจะเปลี่ยนรูปทรง ทั้งคู่พากันจับมือวิ่งไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆอย่างเร่งรีบเพราะดูเหมือนว่าป่าที่เคยสงบกำลังมีการเปลี่ยนแปลง ต้นไม้ที่คุ้นตากลับกลายเป็นป่าทึบไล่หลังมาอย่างไม่ลดละ

                “ วิ่งเร็วต้นไม้กำลังจะกลืนพวกเราแล้ว วิ่ง!” เขาตะโกนอย่างสุดเสียง

                “ เหวอ!” เดรโก้ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นต้นไม้บีบเข้าหากันไล่หลังสองคนนั้นมา แผ่นดินที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามากเหมือนกำลังมีการบดทับซ้อนขึ้น “ อะไรวะเพิ่งได้พัก วิ่งอีกแล้วเหรอ”

                “ อย่าบ่นมาก ไปเร็ว !” สิ้นคำแวมป์ก็จับไซต์และเดรโก้มาไว้ในมือแล้ววิ่งอย่างคิดชีวิตโดยมีมิวส์และพีทตามมาข้างหลัง

                “ มันหยุดแล้ว” มิวส์เอ่ยหลังจากเท้าก้าวมาสัมผัสกับพื้นเรียบชัน

                “ มันไม่ได้หยุดหรอก มันแค่ต้อนเรามา” ไซต์เอ่ย “ดูป้ายโน่นสิ” เขาชี้ไปยังป้ายไม้เก่าๆที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่เขียนว่า

 ‘หุบเขากระจกฉันมีชีวิตที่ไม่มีชีวิตฉันโตเมื่อฉันไม่โต’

                “ อะไรอีกวะเนี่ย” เดรโก้บ่นผสมหอบเมื่อมองท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับดับมืดสนิท ที่ๆเคยมีพระอาทิตย์กลับกลายเป็นดวงจันทร์ “ เมื่อกี้ยังสว่างมืดอีกแล้วขอความสมดุลหน่อยได้ไหมเนี่ย”

 ไฟในมือของเดรโก้จุดขึ้นมาเพื่อส่องสว่างเพื่อเดินทางต่อไปข้างหน้าเพราะหากพักตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาเสียเวลาฟรีไปเกือบหนึ่งวันเต็มเลยทีเดียว

                “ แวมป์ลองมองไปรอบๆทีซิว่าการที่เดรโก้จุดไฟอย่างนี้ปลอกภัยแน่หรือเปล่า” ไซต์สั่ง “ ส่วนนายดับไฟก่อนฉันไม่อย่างให้ซ้ำอีหรอบเดิม เข้าใจด้วยคนแก่เหนื่อยเว้ย !”

 แสงสว่างจากมือของเดรโก้ดับลงทำให้ความหนาวเหน็บและเยือกเย็นของความมืดก็กลับมาเยือนอีกครั้ง

                “ เห็นอะไรมั้ยพี่ถ้าไม่เห็นผมจะได้จุดไฟ รู้มั้ยว่ามันเย็นจนขนลุกไปทั้งตัวแล้ว” เดรโก้บ่นอุบกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะตอนนี้ที่พูดก็มีควันลอยออกจากปากมาเป็นระลอกๆ

                “ ไม่มีอะไรเลยนายจุดไปเถอะ” แวมป์หันมาสั่ง” ดูสิมีคนหนาวจนอยู่ห่างหันไม่ได้เลย” ชายหนุ่มเปรยสายตาไปยังพีทกับมิวส์ที่กุมมือกันอย่างเหนี่ยวแน่น

                “ พูดอะไรของนาย” พีทแหวใส่ก่อนจะคลายมือของตนที่จับแน่นกับมือมิวส์ออก

                “ ครับผมคงตาฝาดไปครับ” แวมป์ตั้งใจออกเสียงประชดสุดชีวิต “ แล้วจะเดินไปไหนน่ะ”

                “ ฉันหนาวฉันจะไปอยู่กับเดรโก้” พีทที่เดินจ้ำไม่รอใครหันมาตอบ “ แล้วนายมีปัญหาอะไรหรือเปล่าล่ะ จ้องจับผิดฉันจริงๆเลย”

                “ ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะ มีแต่นายนั่นแหละที่ร้อนตัวอยู่คนเดียว” แวมป์เถียง

                “ ขออยู่ด้วยนะเดรโก้ฉันหนาวๆยังไงก็ไม่รู้” พีทแสร้งเปลี่ยนคนคุยทันทีที่โดนแวมป์จับผิด แต่ก็คงคิดผิดเพราะคนที่พูดได้ทุกสถานการณ์อย่างเดรโก้น่ะเหรอที่จะยอมให้เรื่องสนุกๆจบลงได้ง่ายๆ

                “ สงสัยพี่จะไม่สบายจริงๆแล้วล่ะ” เดรโก้ทำท่าทางเป็นห่วง “ เพราะหน้าพี่แดงเป็นสตรอเบอร์รีเลย” สิ้นเสียงของน้องเล็กของบ้านหน้าของชายหนุ่มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนกับว่าตอนนี้หลายเป็นเป้านิ่งไปแล้ว

                “ พอๆหยุดเล่นกันได้แล้ว” ไซต์ที่อาวุโสสุดกล่าวทำให้พีทเดินก้าวเข้าไปชิดคนที่คิดว่าจะช่วยเธอได้ “ ดูสิพีทมันเขินตายอยู่แล้วนะ”

                “ ไซต์ทำไมคุณพูดแบบนี้ล่ะ ฉันคิดว่าจะเข้าข้างฉันหรือห้ามพวกนั้นเสียอีกแต่นี่อะไรคล้อยตามกันได้” เขาบ่นอุบ

                “ ก็จะให้ทำไงได้ล่ะ เดินทางอย่างนี้มันก็เครียดพออยู่แล้วถ้าจะให้ห้ามศึกสนุกๆอย่างนี้ มีหวังมันต้องน่าเบื่อไปตลอดทางแน่เลย” เขาให้เหตุผล “ นายก็ควรยอมรับได้แล้วนะว่าเขินจนหน้าแดงแล้ว”

พีทกระแทกเท้าลงบนพื้นอย่างหงุดหงิดที่ไม่สามารถเถียงอะไรได้ หงุดหงิดที่ตอบโต้อะไรได้เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะเรื่องที่เขาพูดกันทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงยังไงล่ะ เขินจริง หน้าแดงจริง แต่ที่เขาไม่พอใจมากๆตอนนี้คือทำไมคนที่เป็นต้นเหตุของการโดนล้อครั้งนี้ไม่ช่วยอะไรเลยได้แต่ยืนยิ้มอยู่ได้

                “ หยุดก่อนครับ !” แวมป์ตะโกน

                “ อะไรของนายอีกล่ะ” พีท ที่หลุดจากภวังค์เอ่ยถาม

                “ ดูนั่น” แวมป์เอ่ยพลางชี้ไปยังต้นไม่ที่มีรอยกรีดของมีดไซต์ขีดอยู่เป็นการแสดงว่าพวกเขาได้เคยเดินผ่านทางนี้มาแล้ว “ ผมคิดว่าเรากลับมาที่เดิม”

                “ พี่กำลังจะบอกว่าเราหลงอย่างนั้นเหรอ” เดรโก้เอ่ย “ ว่าแล้วไงทำมันไม่มีตัวอะไรออกมาขัดขวาง ทำไมมันดูโล่งๆจังที่แท้ก็ เฮ้อ” เดรโก้ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าเพราะเขาเดินกันมาสักพักหนึ่งแล้ว

                “ ก็ไม่ได้เชิงหลงหรอกก็แค่เดินวนกลับมาที่เดิม” มิวส์พยายามปลอบใจ

                “ คำพูดพี่ทำให้ผมดีใจขึ้นมากเลยนะ” ชายหนุ่มเบนหน้าหนีอย่างอ่อนล้า “ แล้วจะเอาไงต่อดีไซต์”

                “ คือเอ่อคือ” ที่พึ่งสุดท้ายอึกอักจะด้วยความประหม่าหรือแรงกดดันจากสายตาทุกคู่หรืออะไรก็ตามแต่คำตอบที่ได้คือ “ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไงต่อไป เพราะเพิ่งเคยมาลุยอะไรที่ต้องใช้สมองอย่างนี้ปกติลุยอย่างเดียวฮันเตอร์เป็นสมอง ขอโทษนะ” ไซต์เอ่ยอย่างอ่อนใจไม่แพ้คนอื่นๆ

                “ เอาน่ามันต้องมีทางออกถ้าเหนื่อยก็พักก่อน มีแรงค่อยเดินต่ออีกอย่างที่นี่ก็มืดมากลำพังไฟจากเดรโก้อย่างเดียวคงไม่พอเพราะพลังจะสูญเสียไปฟรีๆ” แวมป์เอ่ยเพราะรู้ดีว่าขีดจำกัดของพลังในตัวพวกเขามีไม่ค่อยคงที่นักเพราะไม่ได้สายเลือดมาร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มอย่างพวกปีศาจที่บุกโจมตี

                “ อย่างนั้นเดี๋ยวใช้แสงจากไฟฉายของผมก่อนก็ได้” มิวส์ล้วงเข้าไปในกระเป๋าอย่างเร่งรีบ

                “ มีแล้วทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกล่ะ ปล่อยให้ผมปล่อยแสงอยู่ได้” คนที่กำลังหมดแรงหันหน้ามาถาม

                “ เออโทษทีพอดีเพิ่งนึกออก” เขายิ้มแหยๆตอบกลับ

 ก่อนที่ไซต์จะเอ่ยต่อ “ จะให้คิดเรื่องอื่นออกได้ยังไงเพราะก่อนหน้านี้มัวแต่”

                “ เอาล่ะๆจะใช้อะไรก็ใช้เถอะ” พีทพูดตัดบทก่อนจะหันไปสั่งให้คนที่ยืนยิ้ม “ ยิ้มอะไรอยู่ล่ะเอาไฟฉายออกมาสิเดรโก้ไม่ไหวแล้วนะ”

                “คะ..ครับ” คนโดนสั่งตอบอย่างตะกุกตะกักก่อนจะเปิดกระบอกไฟฉายแล้วส่งให้แวมป์ที่เป็นผู้นำทาง

 แสงไฟจากกระบอกไฟฉายสาดส่องไปเป็นบริเวณกว้างทำให้พวกเขาค้นพบว่าสิ่งที่พวกเขาคิดว่ากำลังเดินวนไปมาซ้ำที่เดิมนั้นหาได้เป็นจริงไม่เพราะที่จริงแล้วเขาเดินเวียนไปมาบนทางตรงธรรมดาเท่านั้น

                “ ทำไมรอยเท้าเรามันหันหน้ามันชี้ไปทางที่เราเดินล่ะทั้งๆที่มันควรจะชี้ไปทางโน้นไม่ใช่เหรอ?” เดรโก้พูดออกมาพลางชี้ไปทางตรงหน้าเพื่อหวังว่าสิ่งที่ตนพูดออกไปนั้นจะมีใครใจดีหรือมีความรู้ตอบคำถามได้แต่ก็หาเป็นอย่างที่เขาคิดไม่เพราะสิ่งที่เขาได้กลับมามีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านและความเงียบฉี่ของทั้งหมด

                “ เอาอย่างไงต่อล่ะคราวนี้มีใครจะเสนออะไรหรือเปล่าเรากำลังเสียเวลาเสียแรงเดินกันฟรีๆนะ” พีทเอ่ยเนือยๆเพราะทั้งแรงกายแรงใจของเขาเองก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว

                “ เอาอย่างนี้แล้วกันเราพักกันแถวๆนี้ก่อนจะเอายังไงก็เดี๋ยวค่อยกันคิดค่อยกันช่วยแก้ไขปัญหา” ไซต์ที่ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดเสนอ

 และก็ถือว่าคำสั่งของไซต์เองเป็นที่สิ้นสุดเพราะตอนนี้กองไฟสีแดงเพลิงถูกจุดขึ้นเพื่อให้ไออุ่นและป้องกันอันตรายได้วางอยู่ใจกลางวงสนทนาที่เต็มไปด้วยความเงียบและดูจากสีหน้าของแต่ละคนที่ที่เต็มไปด้วยความสงสัยประกอบกับเสียงลมถอนหายใจที่ผลัดกันพ่นออกมาอย่างไม่ขาดสาย

               “ ไม่ทราบว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมมีแต่เสียงถอนหายใจกันอย่างนี้? แล้วนี่ไม่ไปตามหาถ้ำกอร์กอนกันแล้วหรือไงถึงได้มานั่งอู้กันแบบนี้? นี่ฉันถามอยู่นะทำไมไม่มีใครสนใจเลยล่ะ” เสียงเจื้อยแจ้วของงูหนุ่มดังออกมาจากสร้อยคอของชายหนุ่ม

                “ โอ๊ย ! ตื่นมาก็มีแต่คำถามเลยนะ” พีทบ่นใส่สร้อยคอที่ห้อยอยู่ก่อนจะค่อยๆปลดมันออกจากคอแล้ววางลงบนพื้นจึงทำให้เจ้าของต้นเสียงออกมามีรูปร่างอีกครั้ง “ หลับไปนานจนไม่รู้เลยสินะว่าอะไรเป็นอะไร”

                “ แล้วไอ้ที่ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นมันคืออะไรกันล่ะ” แจ็คถามอย่างไม่เข้าใจ

                “ พี่พีทผมว่าเอางูพี่ไปปิ้งหรือผัดเผ็ดเลยดีมั้ยเนี่ยถามอยู่นั่นแหละ” เดรโก้ที่กำลังใช้ความคิดอยู่เอ่ยอย่างเหลืออดเพราะเสียงแหลมๆของแจ็คแทรกเข้าไปในโสตปราสาทของเขาจนแทบไม่มีสมาธิเลย

                “ นายจะเอาอะไรกับงูล่ะ” แวมป์หันมาห้ามทัพก่อนที่จะมีสงครามน้ำลายเกิดขึ้นเพราะหากเป็นเช่นนั้นตรงที่นั่งอยู่คงจะเสียงดังไม่น้อย

                “ ฉันก็แค่ถามนี่นายก็ตอบฉันดีๆไม่ได้เหรออย่าลืมสิว่าตระกูลฉันเคยเป็นงูเก่างูแก่ของเทพีเมดูซ่านะ” งูหนุ่มชูคออย่างภาคภูมิใจ

                “ แล้วไอ้ที่ว่ารู้น่ะรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ” ไซต์ที่อยู่ห่างออกไปถามด้วยน้ำเสียงเรียบเป็นการปรามงูหนุ่มไปในตัว

                “ ใจเย็นๆหน่อยสิ เพิ่งฟื้นนะเนี่ย” งูหนุ่มหันไปค่อนขอดคนที่เร่งเร้า

                “ จะให้ใจเย็นได้ยังไงล่ะเดินจนปวดขาแล้วเนี่ย” เดรโก้พูด “ เอาไงจะรู้ไม่รู้”

                “ รู้จ้ะรู้” พอแจ็คเห็นว่าไม่ควรเล่นต่อเพราะอาจโดนทุกคนรุมเอาได้ “ คือที่นี่มีชื่อ ว่าหุบเขากระจกก็เพราะว่าทุกอย่างที่นี่มันตรงกันข้ามกับความเป็นจริงอย่างตอนนี้กลางคืนแสดงว่าข้างนอกกลางวัน อะไรเป็นทางเข้านั่นคือทางออก”

                “ ไม่อำกันเล่นใช่มั้ย” แวมป์ถามอย่างไม่แน่ใจเพราะกลัวว่าแจ็คจะหยอกอีก

                “ จะอำไปทำไมกันล่ะ ฉันก็จริงจังเป็นเหมือนกันนะ” งูหนุ่มทำเสียงเข้มใส่ก่อนจะพูดต่อ “ ยังมีอีกอย่างนะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามอย่าวิ่งหนีเด็ดขาดเพราะจะเป็นการวิ่งเข้าหา”

                “ นายกำลังจะบอกว่าถ้ามีตัวอะไรโผล่ออกมาให้วิ่งเข้าหามันเลยเหรอ” เดรโก้เอ่ยอย่างกล้าๆกลัว

                “ ใช่ ฉันช่วยได้เท่านี้แหละเพราะถ้าเจออย่างอื่นฉันคงไม่รู้อีกแล้วเพราะบริวารของเทพีจะรับผิดชอบแค่ในส่วนของตัวเอง”

                “ หมายความว่าถ้าพ้นจากไอ้หุบเขาบ้านี่ไปแล้วนายก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วเหรอ” พีทถามอย่างไม่เข้าใจเสียเท่าไหร่

                “ ใช่” แจ็คจำใจตอบไปตามไปตามความจริงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

                “ เข้าใจแล้ว อย่างนั้นวันนี้ก็พักกันตรงนี้แหละพรุ่งนี้เราจะเดินทางต่อเพราะไม่ว่าข้างหน้าจะเจออะไรเราต้องไปที่ถ้ำกอร์กอนแล้วเอาดวงตาของแม่เจ้ามาให้ได้” ไซต์เอ่ยก่อนจะเดินตรงไปยังพุ่มไม้ใกล้แล้วล้มตัวนอนลง

               ทันทีที่แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นทุกคนในทีมก็เตรียมจัดแจงสัมภาระเดินทางกันอย่างรวดเร็วเว้นเสียแต่หนุ่มน้อยเจ้าปัญหาอย่างเดรโก้

                “ เฮ้ ! น้ำเราใกล้จะหมดแล้วนะผมว่าจะไปกรอกเสียหน่อย”

                “ นายอยู่เกาะกลุ่มกันไว้นี่แหละเดี๋ยวถ้าหลงมันจะเสียเวลา” แวมป์เอ่ยเตือน “ ส่วนเรื่องน้ำเอาไว้ไปหาข้างหน้าก็ได้เพราะในกระเป๋าฉันเหลืออีกสองขวดน่าจะพอประทังไปได้ก่อน” เดรโก้เดินกลับเข้ามารวมกลุ่มอย่างจำยอม

                “ ถ้าทางออกมันอยู่ทางที่แจ็คบอกจริงน่าจะไปทางนี้ครับ” มิวส์ชี้ไปทางที่พวกเขาเคยเดินผ่านมา

                “ คอยดูนะถ้าหลงขึ้นมาฉันจะ” ยังไม่ทันทีเดรโก้บ่นจบแวมป์ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วสาดสายตาออกไป

                “ มีอะไรหรือเปล่า” ไซต์ถามอย่างสงสัยเพราะว่าท่าทีของแวมป์เป็นอย่างนี้ทีไรมักจะเจอเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดี

                “ ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตรงมาที่เรา”

                “ แล้วไอ้อะไรบางอย่างของนายมันคืออะไร ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ล่ะ” พีทถามพลางก้มลงหยิบปืนที่เอว

                “ ฉันไม่แน่ใจมันเคลื่อนที่เร็วมาก” แวมป์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

                “ ให้มันได้อย่างนี้สิ ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกอีกแล้ว” ไซต์เอ่ยอย่างเสียไม่ได้

                “ พุ่งเข้าใส่เลยอย่าคิดวิ่งหนีเชียว” เสียงของแจ็คเอ่ยเตือน

                “ อะ…เออ วิ่งเข้าใส่ก็เข้าใส่” เดรโก้อย่างไม่ค่อยมั่นใจนักแต่สายตาก็ยังคงจับจ้องยังด้านหน้าอย่างไม่ลดละ

 ความเงียบเข้ามาในกลุ่มของพีทอีกครั้งเพราะทุกสายตาจับจ้องไปยังสิ่งที่กำลังมาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ

                “ เตรียมตัว” แวมป์ให้สัญญาณ “ 1”

 เสียงลมหายใจของทั้งห้าพ่นยาวออกมา

                “2”

 เหงื่อที่ไหลรินออกมาด้วยความกังวลหยดลงอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่ลดละ

                “ วิ่ง” สิ้นเสียงของแวมป์ทั้งหมดวิ่งเข้าใส่แขกใหม่ที่มาเยือนที่มีลำตัวสูงมากกว่าตึกสิบชั้นซึ่งพร้อมจะจับพวกเขาขยี้อย่างไม่มีชิ้นดี แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คิดเพราะเมื่อยิ่งวิ่งเข้าหาปีศาจตัวนั้นกลับยิ่งไกลออกไป





ฝากด้วยน้าาาาาาาถ้าไม่ถูกจริตยังไงติชมกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่10 26/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-04-2020 20:25:44
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่11 6/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 06-05-2020 00:59:18
บทที่สิบเอ็ด ทะเลทรายกับฉี่แซนด์ซอย

   “ พ้นแล้ว” ทันทีที่ก้าวผ่านเขตป้ายทางเข้าออกมาแสงที่เคยสว่างก็พลันมืดมิดโดยฉับพลัน อากาศที่เคยร้อนกลับหนาวเย็นขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 แวมป์ทอดสายตาไปโดยรอบท่ามกลางความมืดเขาพบแต่เพียงความว่างเปล่า ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆมีเพียงผืนทรายที่ทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตาและนั่นก็ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีเลยว่าที่นี่คือทะเลทราย

                “ ทุกคนอย่าดื่ม” เขาหันกลับไปสั่งทั้งสี่ที่กำลังจะยกขวดน้ำดื่มเพื่อดับกระหาย “ เอาแค่จิบพอเพราะผมคิดว่าเรากำลังอยู่ในเขตทะเลทรายครับ ซึ่งน้ำที่เรามีอยู่ควรเก็บไว้ในยามจำเป็นมากที่สุด”

                “ ทะเลทรายเหรอทำไมมันหนาวอย่างนี้ล่ะ” พีทถามอย่างไม่เข้าใจ

                “ คือคุณพีทครับทะเลทรายในตอนกลางวันจะร้อนจัดจนแทบอยู่ไม่ได้ และในทางกลับกันกลางคืนก็จะหนาวจัดเป็นธรรมดาครับ” มิวส์อธิบายให้ฟังอย่างฉะฉาน

                “ เอาแล้วไง ผมบอกแล้วว่าน้ำจะหมดเป็นไง” เดรโก้หัวเสียที่คนในกลุ่มไม่ฟังเรื่องที่ตัวเองเสนอ

                “ เอาเป็นว่าฉันขอโทษก็แล้วกันที่ไม่ฟังนาย” แวมป์ใช้น้ำเสียงเย็นเรียบเพื่อดับอารมณ์ร้อนของชายหนุ่ม

                “ ไม่เป็นไร ทีหลังก็ฟังผมบ้างก็แล้วกัน” เดรโก้ตอบกลับอย่างเย็นลง “แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ”

                “ นั่นไงปัญหาโลกแตกอีกแล้ว” พีทเอ่ยอย่างเหลืออดเพราะเขาเองก็คิดจะถามคำถามนี้เหมือนกัน

                “ เอาอย่างนี้แล้วกันเราจะเดินกันไปเรื่อยๆเพราะกลางคืนน่าจะมีโอเอซิส(แหล่งน้ำในทะเลทราย)เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

                “ ตกลงตามนี้” มิวส์รับคำก่อนจะคว้ากระเป๋าที่สะพายอยู่มาเปิดเอาไฟฉายส่งให้ทุกคนอย่างเร่งรีบ

                “ แวมป์นำไป” ไซต์เอ่ย “ ส่วนที่เหลืออยู่ตรงกลาง ฉันจะดูข้างหลังให้เองอีกอย่างนะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามอย่าแตกกลุ่มเพราะพวกนายไม่มีวันรู้ได้หรอกว่ามีหลายคนที่จบชีวิตลงด้วยการเดินทะเลทรายตอนกลางคืน”

                “ ทำไมเหรอคะ”

                “ ก็มันเป็นเวลาหากินของพวกสัตว์ที่อยู่ใต้ดินไง” ไซต์ไม่ว่าเปล่าเขายกไฟฉายส่องไปยังรูแมงป่องขนาดมหึมาที่มีสมาชิกในรังกำลังเดินออกจากรังเป็นพรวน “นี่ยังน้อยนะอย่าได้ร่วงลงไปในรังมันเชียว”

                “ โห ! พูดซะไม่กล้าเดินต่อเลยนะครับ” เดรโก้ที่อยู่หน้าไซต์เอ่ย

                “ ฉันก็แค่พูดให้ระวังตัว ไม่ได้พูดให้เสียกำลังใจเพราะไม่ว่ายังไงเราจะไม่หยุดเดินอีกเนื่องจากเราเสียเวลามานานมากแล้ว” เสียงคนแคระพูดอย่างจริงจังทำให้หนุ่มไฟแรงอย่างเดรโก้ต้องเงียบไป

 ทั้งหมดเดินท่ามกลางอากาศหนาวโดยมีแสงส่องสว่างจากไฟฉายไปเรื่อยๆจนกระทั่งแสงแดดที่เจิดจ้าพร้อมกับความร้อนมาตอนรับในยามเช้าทำให้ทั้งห้าถึงกับต้องถอดเสื้อคลุมออก

                “ โหร้อนตับจะแตกตาย น้ำลายก็แทบกลืนไม่ลงคอแล้วนะครับเนี่ย เมื่อไหร่เราจะหยุดเดิน”

                “ นี่เดรโก้มันก็สมควรร้อนอยู่หรอกนายเล่นใส่ดำมาทั้งชุดมันก็ดูดแสงสิ อีกอย่างนึงนะมันจะไม่เหนื่อยขนาดนี้ถ้านายหยุดพูดบ้าง” แวมป์ที่เดินอย่างไม่รู้สึกรู้สาเอ่ยกลับ

                “พี่ก็พูดได้สิพี่ไม่ได้ต้องการน้ำอย่างพวกเรานี่”

                “ เอาน่าอย่าเถียงกันเลยพักก่อนนะฉันไม่ไหวแล้วอีกอย่างเรายังไม่ได้กินน้ำมาตั้งแต่ตอนออกมาจากเขาแล้วนะแวมป์” พีทเอ่ยอย่างเพลียแรงเพราะพลังที่เคยมีหายไปตั้งแต่สู้กับแอสดีอุสแล้ว

                “ ก็ได้แต่ฉันอยากให้แค่จิบนะ” แวมป์เตือน

                “ รู้แล้วน่า ย้ำจริง” เดรโก้พูดแล้วยกขวดน้ำเทลงปากอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะมากเกินไป “ แหม่ สดชื่นจริงแม้จะไม่สุดๆก็ตาม”

                “ไหนเอามาบ้าง” พีทคว้าขวดน้ำจากเดรโก้มาอย่างกระหาย “ เฮ้อ…อ ไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนเลยถ้าได้ล้างหน้าล่ะก็”

                “ อย่าแม้แต่จะคิดเชียว” แวมป์เตือน

                “ แหมแค่คิดนิดๆหน่อยๆน่าฉันก็รู้น่าว่าสถานการณ์อย่างนี้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ” พีทเอ่ยติดตลก

                “ ฉันว่านายจะอยู่กับเดรโก้มากไปแล้วนะเริ่มติดนิสัยมาแล้วเนี่ย”

                “ อ้าว พี่แวมป์ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะผมนั่งของผมอยู่เฉยๆนะเนี่ย” เดรโก้ที่นั่งเช็ดเหงื่อหันมาโวยวาย

                “ พอกันทั้งหมดนี่แหละ” ไซต์เอ่ยท้วง “ นอกจากฉันกับคุณมิวส์แล้วมีใครที่ปกติบ้างไหมเนี่ย คนนึงก็ชอบแกล้งอีกสองคนนึงก็ขี้บ่นขี้งอน เฮ้อชีวิตฉันอย่างกับพาเด็กอนุบาลหมีน้อยมาทัศนศึกษา” คำพูดของผู้อาวุโสทำเอาแวมป์เสียความมั่นใจไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยอย่างตัดรอน

                “ แหมคุณก็พูดเกินไปผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ที่ผ่านมาผมก็ช่วยมาตลอด”

                “ โอเคๆ เอาเป็นว่าเราเดินต่อกันเถอะนะ” มิวส์ตัดบทเพราะถ้านานกว่านี้น้ำที่ดื่มไปเมื่อครู่คงหมดไปกับการคุยเสียแล้ว

 กลางหาดทรายสีทองที่แทบจะหาร่มเงาของต้นไม้ไม่ได้เลยเพราะในนี้มีเพียงต้นกระบองเพชรที่แซมผิวทรายขึ้นมาและดูว่าจะเป็นไม้ชนิดเดียวที่อยู่บริเวณนี้เสียด้วย ทำให้ทั้งห้ายังคงต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินผ่าทะเลทรายไปให้ได้เพราะน้ำในขวดที่มีอยู่ก็ใกล้จะหมดเต็มที แหล่งน้ำที่จะเอามาแก้กระหายก็ดูจะหาได้ยากเสียเหลือเกิน

                “ เห็นอะไรบ้างหรือยังแวมป์” ไซต์ที่อยู่ข้างหลังเอ่ยถาม

                “ ยังเลยผมเห็นแต่ทรายกับทรายแล้วคุณล่ะลองเพ่งกระแสจิตหาแหล่งน้ำทีสิ”

                “ จะให้หายังไงล่ะสมาธิแทบจะไม่มีอยู่แล้ว แดดนี่ก็แรงเกินกว่าคนแก่อย่างฉันจะรับไหว” ไซต์ส่ายหัวให้กับสังขารของตัวเอง “ ลองบินดูซิเดรโก้

                “ ผมเหรอ” ชายหนุ่มชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างตกใจ “ ก็ได้ๆ” สิ้นคำเดรโก้ก็ถอยหลังกรูดเพื่อสร้างแรงส่งให้กับตัวเองเพื่อจะให้บินขึ้นไป

                “ ระวัง” พีทร้องตะโกนอย่างสุดเสียงเพราะตรงบริเวณที่เดรโก้ถอยไปกำลังยุบตัวลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอีกทั้งยังมีแมงป่องนับร้อยกำลังตะเกียกตะกายขึ้นมา

                “ เดรโก้บิน” แวมป์เอ่ยเตือน

                “ ไม่ไหวพี่แรงส่งไม่พอ” เขาตอบกลับอย่างตระหนกเพราะตอนนี้ตัวเขาแทบจะร่วงลงไปในอ่างที่เต็มไปด้วยแมงป่องอยู่แล้ว

                “ ฉันเคยดูหนังมาครับ สัตว์พวกนี้มันกลัวไฟเราต้องจุดไฟใส่มันครับ” พีทเอ่ยอย่างมั่นใจ “เดรโก้เอามันเลย”

                “ จะเผายังไงพี่พลังผมจะหมดอยู่แล้วแค่ประคองตัวเองยังไม่รอดเลย…ย” สิ้นเสียงเดรโก้ก็ร่วงลงมาแล้วก็พยายามประคองกลับมาจุดที่ปลอดภัยเหมือนเดิม “ จะทำอะ เหวอ..อ ไร กอ..ก็ ด่วนเลย”

                “ มีไฟแก๊สหรือเปล่าครับ” เขาหันกลับไปถามชายหนุ่มทั้งสาม

                “ ไม่มีหรอกฉันเกลียดไฟ” แวมป์ตอบอย่างรวดเร็ว

                “ ไม่มีเหมือนกันฉันมีแต่ปืนนี่แหละ”

                “ ผมไม่มีครับผมไม่สูบบุหรี่”

                “ ให้มันได้อย่างนี้สิในกระเป๋าแดนไม่ได้ใส่มาเลยหรือไง” พีทเอ่ยอย่างมีสติที่สุด

                “ เออใช่เหมือนผมเคยเห็น” พอนึกออกมิวส์ก็เปิดกระเป๋าออกแต่ก็พบว่า “ มันคงร่วงไปตอนที่เราวิ่งกันที่หุบเขาแล้วล่ะ”

                 “ จะเอาไงก็เอาไม่ไหวแล้ว” เดรโก้ไม่เอ่ยเปล่าเลือดของเขาเริ่มไหลออกจากจมูกแล้ว

                “ ไซต์ฉันขอยืมปืนหน่อย” พีทเอ่ยพร้อมทั้งหยิบปืนของตัวเองขึ้นมาด้วย

                “ เราควรเอาไว้เวลาสำคัญนะ เพราะกระสุนสลายเนื้อเยื่อมีจำกัด” ไซต์เอ่ยอย่างลังเล

                “ แล้วชีวิตเดรโก้ไม่สำคัญหรือไง เขาเข้ามาเสี่ยงเพื่อช่วยองค์กร ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาตายที่นี่แน่ๆ” พีทเอ่ยออกมาอย่างเหลืออดก่อนจะระดมยิงกระสุนสลายเนื้อเยื่อใส่เข้าไปยังใจกลางของหลุมเมื่อลูกใสๆสัมผัสกับผืนทรายจนแตกน้ำที่บรรจุภายในก็กระจายเป็นวงกว้างทำให้แมงป่องค่อยๆหายไปอย่างรวดเร็ว “ สำเร็จ” หญิงสาวกระโดตัวลอยด้วยความดีใจ

                “ ไม่ ไหว แล้ว “ สิ้นคำเดรโก้ก็ร่วงดิ่งสู่พสุธาแวมป์วิ่งเขาไปรับด้วยความรวดเร็ว

                “ เก่งมากไอ้น้องชาย” แวมป์เอ่ยก่อนจะแบกเดรโก้ขึ้นมาไว้บนหลังของตัวเองไซต์ได้แต่มองตามอย่างสำนึกผิด

                “ เราพักกันก่อนดีมั้ยฉันว่าเดรโก้มันต้องการน้ำนะ” ไซต์เอ่ยเตือนหลังจากที่เดินมาเป็นเวลานาน “ เอาส่วนของฉันไปก็ได้”

                “ ได้ๆ ขอบคุณครับ” แวมป์รับน้ำมาก่อนจะวางเดรโลงกับพื้น “ เดรโก้”

                “…” เงียบ

                “เดรโก้”

                “…” ยังคงเงียบ

                “ ฉันเรียกนายเนี่ยได้ยินหรือเปล่า” แวมป์เขย่าเพื่อเรียกสติน้องสุดท้อง

                “ คนกำลังหลับสบาย ปลุกไวจังเลยนะครับ” น้ำเสียงยียวนของชายหนุ่มทำให้คนที่รอฟังถึงกับยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบาน

                “ มานอนอะไรที่นี่เล่าต้องกลับไปนอนที่องค์กรด้วยกันสิรับรองฉันจะทำแผลให้เบามือเลย” พีทเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลนองออกมา

                “ อย่าร้องสิพี่เปลืองน้ำ” เดรโก้ยียวน

                “ พูดได้อย่างนี้แสดงว่าหายแล้วล่ะสิ” มิวส์เอ่ยอย่างใจชื้นเพราะไม่ดินยินเสียงเดรโก้มาซักพักหนึ่งแล้ว

                “ เอาเป็นว่าคืนนี้เราพักดื่นน้ำดื่มท่าแล้วนอนกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน เดรโก้แข็งแรงเมื่อไหร่เราจะเดินทางกันต่อ หรือใครว่ายังไง?” ไซต์ที่ยืนยิ้มอยู่ห่างๆเอ่ยขึ้น

                “ มันจะไม่เสียเวลาเหรอครับตอนนี้ผมก็ไหวนะครับ” เดรโก้พยายามจะลุกตั้งตัวแต่ก็ล้มลง

                “ อย่าดื้อ สั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ” ไซต์ตีหน้าเข้มใส่ทำเอาเดรโก้ต้องจำยอมที่จะทำตามทุกคนได้แต่มองทั้คู่ตีหน้าใส่กันเพราะรู้ดีว่าไซต์ไม่ใช่คนเผด็จการอะไรเพียงแต่เขาแสดงออกไม่เก่งก็เท่านั้น

 มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่11 6/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 06-05-2020 01:00:04
ต่อ
แอลเดินวนไปเวียนมามาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินภายในองค์กรด้วยสีหน้าที่กังวล เพราะคนที่อยู่ข้างในห้องนั้นคือโซฟีที่เปรียบเสมือนแม่ของเธอเอง

                “ ใจเย็นๆก่อนนะยังไงตอนนี้ก็ถึงมือหมอแล้วแม่โซฟีคงไม่เป็นอะไรหรอก แล้วอีกไม่นานหมอก็จะออกมาบอกข่าวดีแล้วล่ะ” เกรทที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คว้าข้อมือของชายหนุ่มมาบีบด้วยความเป็นห่วงเพราะตั้งแต่ไปที่โบสถ์กลับมาวันนั้นแอลแทบไม่ได้ทานอะไรเข้าไปเลย

                “ จะให้เย็นได้ยังไงล่ะครับแม่ก็นอนป่วยอยู่ในห้องฉุกเฉินอาการโคม่าแล้วไหนจะเมนี่ที่หายตัวไป พีทก็ต้องไปทำอะไรที่เสี่ยงอันตราย สองคนเป็นเหมือนน้องแท้ๆของฉันเลยนะครับ” แอลโผกอดเกรทก่อนพรั่งพรูน้ำตาออกมาอย่างเสียไม่ได้

                “ ใจเย็นๆนะ นายยังมีพี่อีกคนไง เราตกลงกันเป็นพี่น้องกันแล้วนะจำไม่ได้เหรอ” เกรทลูบผมของเขาอย่างเบามือ “ แล้วพี่ก็มั่นใจว่าพวกฮันเตอร์ต้องตามหาน้องสาวของเราเจออย่างแน่นอน”

                “ ฉันก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” เขาออกจากอ้อมกอดก่อนจะเช็ดน้ำตาแล้วนั่งอย่างสงบลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

                “ ต้องอย่างนี้สิน้องฉัน” เกรทส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่นก่อนจะหันไปสนใจกับคนที่มาใหม่ “ อ้าว ! เป็นอย่าไงบ้างเจอหรือเปล่าแล้วคนอื่นๆล่ะ”

                “ ยังไม่เจอเลยครับตอนนี้คนอื่นๆกำลังเร่งตามหาอยู่แต่ก็เหมือนจะไม่มีร่องรอยอะไรเลย ตอนนี้เราได้แต่ภาวนาครับ” เฮนรี่กลั้นใจตอบไปตรงเพราะรู้ว่าแอลที่รอฟังข้างๆคนถามนั้นเป็นคนฉลาดถึงโกหกยังไงก็โดนจับได้อยู่ดี

                “ ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวก็หาเจอ” เกรทหันไปปลอบเพราะตอนนี้คนข้างๆเริ่มซึมอีกแล้ว

                “ เอาเป็นว่าฉันสัญญานะว่าจะตามให้เมนี่ให้เจอ ส่วนนายก็ดูแลตัวเองบ้างโทรมไปตั้งเยอะแล้วถ้าน้องเธอกลับมาจะจำไม่ได้นะ” เฮนรี่พูดติดตลกหญิงสาวพยายามฝืนยิมตอบเพื่อให้คนพูดสบายใจ

                “ หมอออกมาแล้ว” เกรทที่นั่งอยู่ริมสุดเอ่ยก่อนจะประคองแอลตรงไปยังประตูที่หมอกำลังเดินมา

                “ แม่ของผมเป็นยังไงบ้างครับ ปลอดภัยดีใช่หรือเปล่า” แอลถามออกไปอย่างมีความหวังและคำถามนั้นทำให้คนตอบลำบากใจเสียเหลือเกิน

                “ คือทางเราต้องแสดงความเสียใจด้วยนะครับคนไข้เสียชีวิตแล้ว แต่ทางเราก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว แต่เนื่องจากอวัยวะภายในของคนไข้เหมือนโดนพิษอะไรบางอย่างซึ่งทางการแพทย์ของเราเพิ่งเคยตรวจเจอเป็นครั้งแรก และเหมือนว่าพิษจะกระจายตัวอย่างรวดเร็วจึงทำให้คนไข้เสียชีวิตครับ” พีทย์หนุ่มก้มหน้าตอบไปตามความเป็นจริง “ หมดหน้าที่ผมแล้วผมขอตัวก่อนนะครับหากถ้าจะเข้าไปลาศพเป็นครั้งสุดท้ายกรุณาใส่ชุดป้องกันเชื้อด้วยนครับเพราะพิษที่อยู่ในร่างกายของผู้ตายยังไม่สลายตัว”

 แอลที่ได้ฟังก็ถึงกับเข่าอ่อนภายในใจยังคงวนเวียนนึกคิดถึงภาพเก่าๆที่เคยทำร่วมกับโซฟีมา ไม่ว่าจะเรื่องทุกข์เรื่องสุขแม่เพียงคนเดียวของเขาก็อยู่เคียงข้างเสมอและจนวันนี้ตอนนี้โซฟีก็ลาไปจากโลกด้วยเหตุเพราะเขาเป็นพวกเลือดผสม

                “ ทำไมพี่เกรท คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คนที่ทำดีมาโดยตลอดอย่างคุณแม่ต้องมาตายจากไปล่ะครับ”

                “ ใจเย็นๆนะเดี๋ยวแม่ที่มองลงมาจากข้างบนจะไม่มีความสุข” เกรทปลอบ

                “ ฉันเข้าใจเรื่องการสูญเสียเหมือนกัน ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่ของฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไงและตอนนี้สิ่งที่เราทำได้คือต้องร่วมมือกันหยุดบัลเซบับให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจมีคนบริสุทธิ์ตายไปเยอะกว่านี้” เฮนรี่ทิ้งตัวลงข้างๆก่อนจะพูดต่อ “ ตอนนี้นายจะร้องไห้ก็ร้องให้พอ แล้วหลังจากนี้ต้องเข้มแข็งถ้าหากว่าพีทหรือเมนี่กลับมานายก็เหมือนเสาหลักและที่พึ่งทางใจสองคนนั้นนะ”

 สิ้นคำพูดของเฮนรี่แอลก็ร้องไห้ออกมาอย่างเต็มที่จนกระทั่งถึงจุดที่พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว เขาลุกเดินตรงไปยังห้องที่ศพของแม่โซฟีนอนหลับใหลอย่างไม่มีวันที่จะฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว มือเรียวยาวประกบก้มลงกราบที่ฝ่าเท้าของผู้มีพระคุณก่อนจะโอบกอดอย่างไม่รักเกียจใดๆ

                “ แม่หลับให้สบายนะครับ ผมจะเป็นคนดูแลน้องๆและโบสถ์เองครับ”

                “ ขออนุญาตนะครับ” พยาบาลสาวในชุดสีขาวเดินเข้ามาภายในห้องที่เต็มไปด้วยความเศร้า “ คือทางเราพบจดหมายซองนี้ในตอนที่เอาคุณโซฟีมาส่งครับ” เขายื่นซองสีขาวที่เกือบถูกเผาไปเพราะเปลวเพลิงและจมกองเลือด

 แอลรับซองมาเพ่งพิจารณาก่อนจะค่อยๆบรรจงแกะซองสีขามออกอย่างเบามือเพราะมันช่างดูบอบบางเสียเหลือเกิน

                “ ลายมือของแม่นี่” เขาอุทานขึ้นทันทีที่เห็นลายมืออันคุ้นตา

           “ แม่เริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่โทรชวนให้ลูกมารับพีทมันแล้ว เพราะแม่รู้มาโดยตลอดว่าลูกสองคนเป็นอะไรแต่แม่ไม่คิดว่าเรื่องมันจะอันตรายได้มากถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านี้คนที่มาบริจาคให้กับโบสถ์ของเราบ่อยๆเขาบอกว่าต้องการตัวลูกทั้งสองคนหากไม่ยอมจะไม่บริจาคมาให้อีก แต่แม่เห็นว่าเงินไม่สำคัญอีกแล้วเพราะทั้งสองคนคือลูกของแม่แม่จึงเลือกที่จะส่งพีทออกไปให้ห่างจากที่นี่จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาแล้วทำทีเป็นว่าจะขอเข้ามาชมโรงเรียนแต่พวกมันกลับจับตัวของเมนี่ไปแล้วบอกว่า…”

            “ มันขาดครับทำยังไงดีละช่วงตรงนี้หายไปเกือบหมดเลยแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะหาเมนี่ได้ที่ไหน” แอลเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ก่อนจะก้มอ่านต่อ

            “ แม่อยากให้ทั้งสองคนดูแลกันดีๆและก็ไม่ได้หวังว่าจะกลับมาดูแลที่โบสถ์หรอกนะเพราะแม่รู้ดีว่าภารกิจของคนอย่างลูกเป็นยังไงเพราะแม่ก็เคยมีเพื่อนที่ชื่อฮันเตอร์เขาเองก็เป็นแบบเดียวกับลูก ถ้าแม่เป็นอะไรไปหลังจากนี้ไปบอกเขาด้วยว่าแม่ยังคงไม่ลืมที่เขาสัญญาและจะจดจำตลอดไป….โซฟี”

            “ แม่รู้จักฮันเตอร์ด้วยอย่างนั้นเหรอ ?” เขาตั้งคำถามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ แล้วทำไมไม่บอกเรา”

            “ เราอาจจะไม่ได้ถามก็ได้นะหรือบางครั้งการที่เรารู้เรื่องราวทั้งหมดก็ใช่ว่าจะดีเสมอไปหรอก” เกรทบอก

            “ เราออกจากที่นี่กันก่อนดีกว่านะ แล้วเอาจดหมายไปให้ฮันเตอร์กันส่วนเรื่องพิธีศพของแม่โซฟีทางโรงบยาบาลจะจัดการให้เพราะเราคงมารวมกลุ่มกับมนุษย์นานๆไม่ได้เพราะตราบใดที่พีทไม่ได้ดวงตามาใส่ในจารึกพวกมันก็จะมารังควานเราไม่หยุดแน่” เฮนรี่เอ่ยก่อนจะนำทั้งสองออกไปจากห้อง

            “ แอลไปก่อนนะครับแม่ไม่ต้องห่วงนะ แอลจะดูแลน้องอย่างดีเอง”



“ แม่” พีทลุกตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ

                “ มีอะไรหรือเปล่า” แวมป์ที่เฝ้ายามถามอย่างเป็นห่วงเพราะสีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีเอาเสียเลยเพราะทั้งๆที่อากาศหนาวกลับยังมีเหงื่อเม็ดโตผลุดบนหน้าอย่างน่าประหลาด

                “ ก็แค่ฝันร้ายน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เขาตอบแบบขอไปทีก่อนจะทิ้งตัวลงนอนต่อแต่นัยน์ตาสีทรายกลับหลับไม่ลงเลยด้วยซ้ำเพราะมันกลับเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เพิ่งฝันไปในความฝันเห็นโซฟีที่เดินไปไกลแสนไกลแล้วจางหายไป จิตใจที่อ่อนล้าจาการเดินทางเริ่มอ่อนไหวลงเพราะสมองที่ว่างเปล่ากลับเริ่มคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา “ แม่จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ”เขาหลับตาลงในขณะที่อีกคนกำลังลุกขึ้นจากห้วงนิทรา

 ไม่รอให้แสงสว่างออกไซต์ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเวรเพื่อให้แวมป์ไปพักผ่อนเพราะยังไม่ได้นอนมาทั้งคืนเนื่องจากต้องคอยดูแลเดรโก้ด้วย

                “ นายไปนอนเถอะเดี๋ยวฉันจะเฝ้าต่อเอง” ไซต์เดินมาเปลี่ยนแวมป์ที่นั่งจวนจะหลับ

 แวมป์ไม่รอให้เขาพูดซ้ำเพราะร่างกายของเขาตอนนี้ช่างอ่อนล้าเสียเหลือเกิน

                “ นอนสิ้นฤทธิ์เชียวนะ” ไซต์มองคนที่นอนหลับข้างๆอย่างเพ่งพินิจแต่ก็ต้องกลับมาอยู่ในสภาพหน้านิ่งเหมือนเดิมเมื่อคนที่หลับอยู่เริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นมา

                “ นี่คุณนั่งเฝ้าผมเหรอ” เดรโก้ถามด้วยความสงสัย

                “ ฉันก็แค่มาเปลี่ยนแวมป์มันก็เท่านั้น ว่าแต่นายเถอะหายดีหรือยัง?” ไซต์เบี่ยงประเด็นทันที

                “ ก็โอเคขึ้นแล้วนะครับว่าแต่ตอนนั้นพี่แวมป์เอาน้ำมาจากไหนนะเพราะส่วนของผมก็หมดไปแล้วนี่” เด็กหนุ่มถามด้วยอาการอยากรู้แบบสุดฤทธิ์

                “…”

                “ จะมีของใครซะอีกล่ะนอกจากของคุณไซต์ไง” มิวส์ตอบแทนคนที่นั่งเงียบไม่พูดอะไร “ รู้อะไรมั้ยว่าเขาเป็นห่วงนายมากเลยรู้หรือเปล่า”

                “ แหม ห่วงกันก็บอกตรงๆสิครับ” เดรโก้เล่นหน้าเล่นตาใส่ “ แล้วนี่จะมานั่งตีหน้ายักษ์ทำไมกัน”

                “ ไม่ได้ตีหน้ายักษ์เว้ย ที่ไม่อยากใจดีมันจะเสียการปกครอง” ไซต์เอ่ยอย่างจำยอม “ เพราะจริงๆแล้วฉันก็เป็นคนใจดีเหมือนกันนะ”

                “ รู้แล้วล่ะครับ เพราะระหว่างทางคุณยังมาเล่นกับพวกเราเลย” เดรโก้ยียวน “สงสัยตอนนั้นจะแอ๊บไม่อยู่”

                “ เห็นมั้ยล่ะพูดยังไม่ทันขาดคำมันแทบจะเล่นหัวอยู่แล้ว” ไซต์หันมาตัดพ้อกับมิวส์อย่างไม่จริงจัง

                “ เดี๋ยวคุณมิวส์อยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฉันจะไปดูโอเอซิสสักหน่อยเหมือนว่าเราอยู่ใกล้แล้วล่ะรู้สึกว่าพื้นแถวนี้มันชื้นๆ” ไซต์เอ่ยพลางหยิบขวดน้ำติดมือไป “ ส่วนนายก็อย่าไปกวนใจคุณมิวส์เขาล่ะ” ไซต์ไม่วายหันมากำชับก่อนจะเดินออกไป

 เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เดรโก้จึงเอ่ยถามเรื่องหัวใจของชายหนุ่มทันที

                “ พี่กับพี่พีทเป็นยังไงบ้าง”

                “ ก็น่าจะดีขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพีทจะสนใจแต่เรื่องการเดินทางมากกว่าแต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่เข้าใจเพราะถ้าจะให้เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานมันก็ไม่เหมาะอยู่แล้ว” มิวส์ตอบก่อนจะเหลียวไปมองคนที่กำลังหลับอยู่ “ รู้อะไรไหมว่าคนที่ข้างนอกแข็งแรงบางครั้งข้างในไม่ได้แข็งแกร่งหรอกนะ”

                “ ผมรู้ครับเพราะ..” เดรโก้ชะงักไปสักครู่ก่อนจะพูดต่อ “ ช่างมันเถอะ ว่าแต่ตอนนี้เราอยู่ไหนกันแล้วครับผมคิดว่าเราน่าจะมาไกลแล้ว”

                “ ตอนนี้เรากำลังอยู่ใจกลางทะเลทรายนะเท่าที่ดูในแผนที่”  และเพื่อความแน่ใจเขาจึงเดินไปหยิบแผนที่ในกระเป๋าออกมา กางเพื่อดูเส้นทางที่จะเดินต่อ

                “ ทำไมในนี้มันเขียนว่าบ้านแซนด์ซอยด์ล่ะครับ” เดรโก้ถามอย่างประหลาดใจเพราะสิ่งเห็นกลับไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสียแล้ว

                “ แซนด์ซอยด์เหรอ?” หนุ่มตาดีที่นอนไม่ค่อยหลับอยู่ถึงกับทวนซ้ำชื่อที่เดรโก้พูด

                “ พี่แวมป์รู้จักด้วยเหรอครับ?” เดรโก้ถาม

                “ รู้สิแต่ก็ไม่แน่ใจและไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงเพราะแม่พี่เคยเล่าให้ฟังคิดว่าเป็นแต่ตำนานเท่านั้นนะเนี่ย” แวมป์ทำสีหน้าที่ตื่นสุดขั้วทำให้คนฟังเริ่มใจไม่ดีอีกเสียแล้ว เพราะถ้าชายหนุ่มมีสีหน้าอย่างนี้เมื่อไหร่ความอันตรายมักจะมาเยือน

                “ แล้วไอ้ที่พูดถึงเนี่ยมันคืออะไร” มิวส์ถามอย่างสนใจพร้อมกับส่องไฟฉายไปยังแผนที่อีกครั้ง

 แวมป์ขยับเข้ามาใกล้บริเวณแผนที่ก่อนจะใช้สายตาวิเคราะห์อย่างเร่งรีบ

                “ ดูเหมือนตอนนี้เราจะอยู่ใจกลางบ้านของมันเลยนะ” เขาเอ่ย “ เราควรรีบออกจากที่นี่”

                “ ทำไมเหรอครับ” เดรโก้ถาม

                “ จะอะไรซะอีกล่ะ ตามตำนานกล่าวไว้ว่าหากมีสิ่งใดเข้ามาในเขตของแซนด์ซอยด์มันจะถือว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของมัน อีกอย่างนึงนะถ้าเราไปสัมผัสกับมือของมันเข้าเราก็จะกลายเป็นทรายผสมอยู่กับทรายที่นี่น่ะสิ”

                “ ไปปลุกพีทแล้ว” แวมป์หันไปสั่งมิวส์ “ แล้วไซต์ล่ะ”

                “ ไซต์บอกจะออกไปตามหาน้ำน่ะ”
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่11 6/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 06-05-2020 01:00:32
อ้าก….

  เสียงของไซต์ดังฝ่าความเงียบเข้ามาทำให้คนที่กำลังเตรียมเก็บของต้องผละทุกสิ่งแล้ววิ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุทันที

                “ ไซต์ ! อยู่ไหนตอบด้วย” แวมป์ตะโกนพลางกวาดสายตาฝ่าความมือไป “ ไซต์ ได้ยินหรือเปล่า”

                “ เอาไงดีครับพี่แวมป์” เดรโก้หันไปถามและทำท่าเตรียมพร้อมที่จะรับคำสั่ง

                “ รีบหาเขาให้เจอ ด่วนที่สุด”

                “ แวมป์ฉันว่านายควรดูนี่” มิวส์และพีทวิ่งตามมาสมทบอย่างรวดเร็ว

  มิวส์ชี้ไปยังแผนที่ซึ่งปรากฏเป้นรอยเท้าสี่คู่นั่นก็คือพวกเขาและไม่ไกลออกทางซ้ายมีรอยเท้าหนึ่งคู่และไม่ไกลไปทางขวาก็มีอีกหนึ่งคู่

                “ แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าควรไปทางไหนซ้ายหรือขวา” เดรโก้เอ่ยอย่างสับสน

                “ เอาอย่างนี้ดีมั้ยเราแยกกันไปแล้วเอาพลุในกระเป๋าของแดนไปคนละกระบอกถ้าใครเจอไซต์แล้วให้ชักตรงปลายเชือกเพื่อแสดงสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้เพราะถ้าคนที่ชักส่งสัญญาณอีกฝั่งจะได้รู้ว่าควรวิ่งให้เร็วที่สุด”

                “ ง่ายดีเนอะถ้าสมมุติว่าไปถึงพร้อมๆกันล่ะ” เดรโก้ถามเพราะเรี่ยวแรงในการใช้พลังตอนนี้มีจำกัดเลือเกิน

                “ แผนสองไง”

                “ เจ๋งไปเลยพี่พีทมีแผนสำรองด้วย”

                “ วิ่งให้เร็วที่สุดไม่ต้องเปลืองพลังพิเศษด้วย” เขาตอบอย่างหน้าตาย “เอานี่ไปฉันจะไปกับคุณมิวส์ส่วนนายไปกับแวมป์เราจะกลับกันมาเจอกันที่นี่” เขาปักไม้ไว้เพื่อป็นสัญลักษณ์ “ โชคดี”

 ทั้งสี่แยกกันออกเป็นสองฝั่งและเดินทางไปยังจุดหมายอย่างไม่มีใครทราบได้ว่าข้างหน้าคืออะไรเพราะทั้งสองฝั่งมีความน่าจะเป็นอย่างเท่าเทียมกันในการเจอปีศาจหรือไซต์

                “ เมื่อเช้าผมไม่หน้าปล่อยให้ไซต์ไปคนเดียวเลย” เดรโก้เอ่ยอย่างสำนึกผิด

                “ เอาน่าไม่มีใครรู้สักหน่อยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” แวมป์ปลอบใจน้องสุดท้อง “ แล้วว่าแต่เมื่อเช้าจำได้ไหมว่าไซต์เดินไปทางไหน”

                “ ทำไมเหรอพี่กลัวเหรอครับ” เดรโก้แซว

                “ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แค่อยากรู้ว่าต้องเตรียมพร้อมแค่ไหนในการวิ่ง” แวมป์ตอบทีเล่นทีจริง

                “ เห็นบอกว่าไปทางที่มันชื้นๆน่ะครับ”

                “ ค่อยโล่งใจหน่อย” แวมป์ถอนหายใจออกมาเฮือกโตทำให้คนอยู่ข้างๆใจชื้นขึ้นมาด้วย

                “ พี่พูดแบบนี้แสดงว่าเราจะไม่เจอใช่ไหมครับ” เดรโก้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะอย่างน้อยฝ่ายเข้าก็ไม่ใช่ฝ่ายวิ่ง

                “ เปล่าแค่โล่งใจว่าเรามีโอกาสสูงกว่าพวกนั้นที่ต้องวิ่ง”

                “ อ้าว ! แล้วจะโล่งไปเพื่ออะไรล่ะ” เขาหันมาบ่นใส่ “ ไอ้เราก็นึกว่าจะได้อยู่อย่างสงบๆบ้างอะไรบ้าง”

                “ เอาแน่มันก็แค่สันนิษฐาน”



“ ไหวมั้ยเหนื่อยหรือเปล่า” พีทหันมาถามมิวส์ที่เดินไปข้างๆ

                “ ไหวอยู่แล้ว คุณนั่นแหละไหวมั้ยเห็นเดินจ้ำเอาจ้ำเอามานานแล้วไม่เมื่อยบ้างเหรอ” เขาถามกลับด้วยแววตาเป็นห่วง

                “ ไม่หรอกผมไหว อีกอย่างผมจะต้องทำให้คนที่มาเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยที่สุด หากมีใครเป็นอะไรไปรับรองผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาด” เขาตอบกลับอย่างจริงจังแล้วขาคู่งามยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ

                “ เดี๋ยวนะหยุดก่อน” มิวส์เอ่ยพลางก้มลงจับทรายที่พื้นขึ้นมา

                “ มีอะไรหรือเปล่า?”

                “ เมื่อเช้าไซต์บอกว่าโอเอซิสอยู่แถวๆนี้เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความชื้นและนี่ก็ชื้นเหมือนกัน” มิวส์บี้ทรายไปมาพร้อมกับมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง

                “ ดีเลยอย่างนั้นเราไปกันต่อไซต์อยู่ไปไม่ไกลเราแล้ว”



“ เดรโก้หยุดก่อน” แวมป์คว้าไหล่ของน้องเล็กไว้อย่างรวดเร็ว

                “ มีอะไรอีกครับพี่หรือว่าพี่เห็นมันแล้ว” น้องชายคนเล็กสอดสายตาไปมาอย่างประหม่า

                “ เปล่า” แวมป์ปฏิเสธ “ เมื่อเช้านายบอกว่าไซต์ออกตามหาโอเอซิสเพราะความชื้นใช่มั้ย”

                “ ครับ” เดรโก้พยักหน้าพร้อมกับคำตอบ

                “ แสดงว่าเราใกล้เจอเขาแล้วล่ะ” แวมป์เอ่ยพลางหยิบทรายมาให้น้องเล็กดู “ ดูสิทรายยังชื้นๆอยู่เลยไม่ผิดแน่เราต้องเป็นฝ่ายที่เจอไซต์อย่างแน่นอน”

                “ ว่าแต่ทำไมทรายพี่มีกลิ่นแปลกๆด้วยล่ะครับกลิ่นมันคล้ายๆกับพวก เอ่อ…อ “ เขาอ้ำอึ้งแต่สายตาของแวมป์ทำให้ต้องพูดออกมา “ ฉี่”

                “ นายจะบ้าเหรอมันคงเป็นฉี่ของไซต์ล่ะมั้งคิดมาก” แวมป์เอ่ย “ เดี๋ยวนายช่วยกันมองหานะเพราะนี่ก็ใกล้สว่างแล้วตานาย คงมองเห็นบ้างแหละ”

 เดรโก้รับปากอย่างรวดเร็วพร้อมกับสอดส่องสายตาอีกครั้งและยิ่งเดินไปข้างหน้าเท่าไหร่ความชื้นในทรายก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณมากเท่านั้น

                “ ไซต์ต้องอยู่แถวนี้แน่ๆเลย” ขาทั้งสองข้างของทั้งคู่เริ่มซึมตัวลงไปในทรายเรื่อยๆ

                “ ฉันว่าไม่ใช่แล้ว นี่คือห้องน้ำของแซนด์ซอยด์แน่นอนวิ่งเร็วเดรโก้” แวมป์ตะโกนพลางยกขาและเร่งความเร็วเพื่อออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วเพราะสายตาอันกว้างไกลของเขากำลังเห็นมนุษย์ทรายยักษ์ที่สูงกว่าตึกสี่ชั้นกำลังยืนปลดทุกข์อย่างสบายใจอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่นัก

                “ ไหนบอกไม่ใช่ฉี่ไงเป็นไงล่ะอาบซะท่วมตัวเชียว”

                “ นายจะบ่นเอาอะไรเล่าวิ่งต่อไป มันกำลังตามเรามา” แวมป์เอ่ยพลางมองไปข้างหลัง มนุษย์ทรายเจ้าของฉี่กำลังลังตามมาติดๆ

                “ วิ่ง วิ่ง วิ่งอีกแล้วมีมีเดิน เดินบ้างหรือไง” เดรโก้บ่นไปหอบไป “ แล้วพี่จะเอาไงต่อเนี่ย

                “ ไปรวมกับพวกนั้นก่อน” แวมป์ตอบพร้อมกับสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่มีหยุด



“ ไซต์ทำไมคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ” พีทก้มลงคุยกับไซต์ที่นั่งแช่อยู่ในน้ำ

                “ คือขาของฉันเป็นตะคริวน่ะเดินไปไม่ไหวเลยนั่งพักเสียหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเคลิ้มหลับไปได้” ชายแคระเอ่ยอย่างสำนึกผิด

                “ เอาเถอะไหนๆก็ไหนแล้วกรอกน้ำใส่ขวดไว้แล้วกันเดี๋ยวฉันจะจุดพลุเป็นสัญญาณให้พวกนั้นก่อน” พีทคว้าแท่งไฟอันยาวออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกระชายปลายเชือกด้านล่างอย่างรวดเร็วทำให้ลำแสงสีเขียวลอยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องกัมปนาท

                “ เรากลับไปรวมกลุ่มกับพวกนั้นกันเถอะ” พีทหันมาพยุงไซต์ที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้น

                “ เดี๋ยวเงียบก่อนซิ” ไซต์สั่ง “ มีบางอย่างกำลังมุ่งตรงมาทางนี้วางฉันลง” ไม่รอให้ทั้งคู่ทำตามไซต์ก็สะบัดมือทั้งสองคนออกก่อนจะชักอาวุธออกมา “ เตรียมพร้อมให้ดีถ้ามีอะไรโผล่มาให้ได้ยิงเลย”

 ทั้งหมดจ้องปลายอาวุธไปตามทางเดียวกับไซต์แต่ทว่า

                “ อย่ายิงเราเอง อย่ายิงเราเอง” เสียงของแวมป์ตะโกนนำภาพมา

                “ มันอาจเป็นกับดัก เล็งปลายปืนไว้จนกว่าจะเห็นตัว” ไซต์ยังคงไม่ยอมลดระดับการโจมตีลงแต่อย่างใด

                “ หลบไปถ้าไม่หลบเราชนแน่” เสียงเดรแหลมนำตัวของเขามา “ หลบ……บ”

โครม!

 ทั้งสองพุ่งชนเข้าอย่างจังกับไซต์มิวส์และพีท

                “ โหน้ำเต็มไปหมดเลยของดื่มนิดนึงนะ”

                “ อย่าดื่มเยอะล่ะเราต้องวิ่งต่อ” แวมป์เอ่ยเตือน

                “ หนีอะไรกันมาเนี่ย” พีทถามอย่างสงสัย “ แล้วไปโดนอะไรมาเหม็นฉึ่งเชียว”

                “ เรื่องมันยาวเอาเป็นว่าตอนนี้เราหนีกันก่อนดีกว่า” เดรโก้เอ่ยหลังจากตักตวงความชุ่มฉ่ำไปเรียบร้อยแล้ว

                “ หนีอะไรล่ะ” ทั้งสามถามพร้อมกัน

                “ โน่นไง” แวมป์และเดรโก้ก็ประสานเสียงตอบอย่างไม่แพ้กัน

                “ เหวอ!” ทั้งหมดประสานเสียงพร้อมกันก่อนจะวิ่งไปอย่างไม่ลดละ

                “ มันใกล้มาแล้วยิงเลยไซต์” พีทตะโกนสั่ง

                “อย่ายิงเชียว” แวมป์เตือน

                “ ไม่ทันแล้ว” สิ้นเสียงกระสุนขนาดมหึมาพุ่งตรงไปยังแซนด์ซอยด์ที่กำลังวิ่งตรงมายังพวกเขากระสุนพุ่งผ่านลำตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

 บุ๊บ! เสียงกระสุนสลายเนื้อเยื่อแล้วแตกตัวแต่ทว่ามนุษย์ทรายกลับไม่แตกตาม ไม่เพียงเท่านั้นร่างที่เคยใหญ่กลับขยายใหญ่ขึ้นไปมากกว่าเดิม

                “ บอกแล้วเป็นไงมันกำลังกลืนพลังเข้าไปเป็นพลังของตัวเอง” แวมป์เตือน

                “ มันหายไปแล้ว…ว” เดรโก้ไม่ทันพูดจบพ้นทรายบริเวณที่วิ่งอยู่ก็ยุบตัวลงไป

                “ ทรายดูด” มิวส์เอ่ย

                “ ไม่ใช่หรอกมันเป็นอีกร่างนึงของมันเท่านั้น” แวมป์ตอบ

                “ ช่วยให้เย็นใจขึ้นมากเลยนะครับคำตอบพี่แต่ละอย่างเนี่ย” เดรโก้เอ่ยพร้อมกับดิ้นไปมาอย่างกระเสือกกระสน “ ตอบสิพี่ไม่ไหวแล้วนะ”

                “ เออคิดอยู่อย่าเร่งสิ” แวมป์ตอบ

                “ ไซต์คุณหายตัวได้ใช่มั้ย” พีทถาม

                “ ใช่”

                “ เอาอย่างนี้คุณมองต้นกระบองเพชรที่อยู่ไกลที่สุดไว้สักต้นหนึ่งแล้วเราจะหายตัวไปที่นั่นกัน”

                “ ได้เลยเกาะฉันไว้แน่นๆนะการหายตัวครั้งแรกอาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้แต่”

                “ ไม่ต้องสาธยายหรอก ไม่ใช่เวลาไปเลย” เดรโก้ขัด

                “ ไปก็ไป”

ตุ๊บ ! ทั้งหมดร่วงลงบริเวณไม่ไกลสักเท่าไหร่จากที่เคยอยู่

                “ ทำมาไกลได้แค่นี้ล่ะฉันบอกให้มองไกลๆไง” พีทถามอย่างรนลาน

                “ พอดีฉันสายตาสั้นน่ะ”

                “ เจริญล่ะ เอายังไงต่อดี” พีทถามคนอื่นบ้าง

                “ เอาอย่างนี้มั้ยเมื่อเช้าเท่าที่ผมดูแผนที่จากตรงนี้จนถึงทางออกไม่น่าจะไกลมากแต่ถ้าเราวิ่งไปตามทางมันอาจจับเราได้”

                “ นี่คุณหมายความว่าจะให้เราบินไปอย่างนั้นเหรอ” พีทถามอย่างคิดไม่ถึงกับเรื่องที่มิวส์เสนอ

                 “ ใช่เราจะบินไป” มิวส์ยิ้มให้ก่อนจะหันไปหาหนุ่มนักร่อน “ นายคิดว่าแบกพวกเราไหวมั้ย”

                “ น่าจะได้นะครับถ้าไปไม่ไกลมาก” เดรโก้ตอบอย่างไม่มันใจเสียเท่าไหร่แต่ก็ต้องเร่งการ่อนเพราะมันใกล้เข้ามาอีกแล้ว

                “ เอาเลยเดรโก้” สิ้นคำของพีทเดรโก้ก็ตั้งหลักทะยานขั้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะโฉบมาจับทีละคนเพื่อต่อกันเป็นสายยาว

                “ วู้ว….ว” ไม่ได้บินอย่างนี้มานานแล้ว แดดข้างบนนี่แรงใช้ได้เลยนะแต่ผมมั่นใจว่าไฟในตัวผมแรงกว่า”

                “ บินให้สูงกว่านี้หน่อย มันจะจับฉันถึงอยู่แล้วเนี่ย” ไซต์ที่อยู่ล่างสุดตะโกนสั่งเพราะแซนด์ซอยด์พยายามตะครุบขาเขาอยู่

                “ นี่เดรโก้อย่าฉวัดเฉวียนมากนักสิฉันมึนหัวว…เห้ย!” พีทที่เกาะคนแรกถึงกับกรีดร้องเพราะน้องสุดท้องไม่ฟังเธอเลย

                “ กรี๊ดได้แต่ห้ามปล่อยมือนะ” แวมป์เอ่ยแซวเพราะหากปล่อย ทั้งหมดก็จะร่วงอย่างพร้อมเพียงกันแน่นอน

                “ มุมจากข้างบนนี่ก็สวยเหมือนกันนะ” มิวส์พูดพลางอิ่มเอิบกับท้องฟ้าที่มีไอแดดร้อนปะทะเข้าที่หน้าสลับไปมากับลมเย็นๆ “ อยากอยู่บนนี้นานๆจัง”

                “ คงไม่ได้หรอกพี่เดี๋ยวผมจะร่อนลงแล้ว มีหมู่บ้านอะไรอยู่ข้างหน้าไม่รู้ อีกอย่างผมก็เริ่มหมดแรงด้วย”

 ไม่ว่าเปล่านักร่อนหนุ่มก็ลดระดับลงบนยังพื้นหญ้านุ่มบริเวณป้ายที่เขียนบอกไว้บอกผู้มาเยือนว่า

‘เมืองหุ่นขี้ผึ้ง’

  ยินดีต้อนรับแขกผู้มาเยือน ขอขอบคุณท่านที่ยังมีลมหายใจแล้วยังสนใจมาดูพวกเราที่ไร้ลมหายใจ

            “ แน่ใจนะป้ายเชิญชวนแค่อ่านก็ชวนขนลุกแล้ว” พีทเอ่ย

            “ เราเข้าไปกันเถอะในแผนที่บอกว่าเราต้องผ่านหมู่บ้านนี้ไปกัน”

            “ ยินดีต้อนรับ” ทันทีที่เดินผ่านเสียงนิรนามก็เอ่ยต้อนรับทันที

           “ขอให้ออกไปอย่างมีลมหายใจ”
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 14-05-2020 01:28:11
บทที่สิบสอง หมู่บ้านหุ่นขี้ผึ้ง

               ดูแล้วแสงสว่างจากที่นี่เหมือนจะไม่ได้มาจากท้องฟ้าเพราะเมื่อมองไปข้างบนมีเพียงโคมไฟระย้าห้อยลงมาก็เท่านั้นที่ส่องสว่างออกมา อากาศภายในนี้ก็ไม่ร้อนเท่าข้างนอกอาจเพราะต้องรักษาอุณหภูมิไม่ให้สูงจนเกินไปเพื่อไม่ให้ขี้ผึ้งที่เหมือนเป็นโครงสร้างสำคัญของเมืองนี้ต้องละลายไป

                “ เจ๋งวะ” เดรโก้เดินผ่าใจกลางซอยที่แต่ละบ้านมีรูปลักษณ์ต่างกันไปเพราะบางหลังตกแต่งตามสมัยกรีก บางหลังก็เป็นแนวสยองขวัญชวนขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

                “ ทำไมมันเงียบๆจัง ไม่มีคนเลยหรือไง” ไซต์เริ่มสงสัยกับความผิดปกติของสถานที่ ที่ไม่ควรตั้งอยู่ใจกลางทางไปถ้ำกอร์กอนเลยด้วยซ้ำ

                “ หรือว่านี่จะเป็นกับดัก” แวมป์เสนอความคิดเห็นเพราะอะไรที่นิ่งๆมักจะน่ากลัวและเกิดสิ่งที่เกินคาดคิดเสมอ “ นายสองคนว่าไง” เขาหันไปถามพีทและมิวส์ที่เดินตามมา

                “ แล้วมาถามฉันสองคนจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ ลองไปถามเดรโก้สิเห็นเดาถูกตลอด” พีทชี้ไปทางชายหนุ่มที่กำลังสนใจงานศิลปะชิ้นใหม่อยู่

                “ เดินดีอกดีใจขนาดนั้นคงไม่ต้องถามแล้วมั้ง” แวมป์ส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะตะโกนเรียกเดรโก้ที่กำลังเอานิ้วจิ้มลงบนนิ้วของหุ่นนักล่าแวมไพร์ “ มานี่ก่อน”

                “ โห่! พี่เรียกรวมเร็วจังพี่น่าจะได้เห็นนะที่นี่มีแต่ของเจ๋งๆทั้งนั้นเลยผมว่าคนปั้นต้องมีฝีมือมากแน่ๆเพราะสมจริงสุดๆ ดูอย่างนักล่าแวมไพร์โน่นสิเนียนมากๆ” เขาชี้นิ้วไปยังหุ่นที่เล่นด้วยเมื่อครู่

               “ เออ” แวมป์กลืนน้ำลายลงคออย่างเสียวสันหลังเพราะหุ่นนั้นเหมือนกับว่าจ้องมาที่เขายังไงก็ไม่รู้

                “ ถ้าที่นี่เป็นเมืองจริงเราไปเดินช่วยกันหาชาวบ้านดีกว่ามั้ย” ไซต์เสนอ

                “ ดีเลยครับผมก็อย่างล้างไอ้ฉี่เหม็นๆออกไปจากตัวเสียที จริงมั้ยพี่แวมป์” เดรโก้เดินมาเกาะไหล่แวมไพร์หนุ่ม “ หรือพี่จะทนเหม็นฉี่อยู่อย่างนี้ครับ”

                “ เหมือนนายจะไม่มีความเครียดเลยสินะ” พีทถามอย่างยียวนเพราะเห็นน้องชายคนเล็กของบ้านดูร่าเริงเหลือเกินตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาที่นี่

                “ จะไม่ให้ร่าเริงได้ยังไงล่ะพี่ เพราะที่ผ่านมาเจอแต่อะไรก็ไม่รู้ลำบากจะตายแต่ดูนี่สิที่นี่มันสวรรค์ชัดๆแอร์เอย น้ำเอยผมว่าดีไม่ดีมีที่พักกับอาหารให้เราด้วยเชื่อผมเถอะ”

                “ ขอให้เป็นอย่างนั้นจริงเถอะ” พีทตอบอย่างขอไปทีเพราะตัวเธอเองคิดว่าคงไม่มีอะไรสบายๆอยู่ระหว่างการเดินทางอันแสนโหดนี้แน่นอนแต่ก็ไม่ได้อยากตัดแรงใจเดรโก้ไหร่จึงได้แค่เตือนไป “ นายก็อย่าไปคึกคะนองให้มากนักล่ะอยู่รวมๆกันไว้เดี๋ยวจะหลงเสียเวลาหากันอีก”

                “ ครับสั่งจริงๆเลยคุณพ่อ” เดรโก้หันมาเล่นหูเล่นตาใส่ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างไม่มีคำว่าเหน็ดเหนื่อยเหมือนตอนที่เดินทางผ่านทะเลทรายมา

                 “ นั่นไงร้านอาหาร” แวมป์ชี้ไปทางซ้ายสุดของซอยที่ทุกคนไม่อาจมองเห็นได้ “ อีกไม่ไกลมากก็น่าจะถึง” เขาตอบเพราะเห็นทุกคนต่างชะโงกมองไปอย่างมีความหวัง

                “ ผมว่าแล้ว ถ้าพี่แวมป์เห็นเป็นต้องเดินขาลากทุกที” เดรโก้เหมือนจะบ่นๆแต่ก็ “ แต่ก็ดีเลยเห็นว่าป้ายที่ชี้ไปทางนี้มีการจำลองห้องทรมาน บ้านนางไม้แล้วก็ยุคนักล่ามนุษย์หมาป่าด้วยจะได้รู้เสียทีว่าถ้าเฮียเราแปลงกายแล้วจะเป็นยังไง”

                “ นี่เดรโก้เราไม่ได้มาเที่ยวหรือทัศนศึกษานะ จะได้มาอยากแวะโน่นแวะนี่” ไซต์เอ่ยปราม

                “ ก็แค่ดูผ่านๆนี่นาไม่ได้จะเข้าไปเสียหน่อยแค่นี้ก็ทำเป็นบ่นไปได้” สิ้นคำมังกรน้อยก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

                “ ดูมัน พูดแล้วมันฟังซะที่ไหนล่ะเนี่ย” ไซต์อดโมโหในความไม่รู้จักโตของเด็กหนุ่มไม่ได้

                “ ใช่ครับสาบานได้ว่ามันบรรลุนิติภาวะแล้ว” พีทมองตามหลังอย่างหนักใจ

                “ ปล่อยเขาไปเถอะครับ เราก็เดินตามไปเดรโก้คงไม่ไปไหนไกลหรอก” มิวส์แสดงความคิดเห็นบ้างแต่ก็

                “ คุณนี่เองที่ชอบให้ท้ายจนเสียคน”

                “ เปล่านะครับผมก็แค่”

                “ เอาล่ะๆ ไปกันต่อได้แล้วเดี๋ยวเจ้านั่นก็ไปเถรไถลไปไกลหรอก” ไซต์เอ่ยเตือนก่อนจะเดินนำหน้าไปอย่างไม่ลดละด้วยความเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างหน้า

                ระหว่างทางเดินทั้งสองข้างมีห้องมากมากแล้วแต่ละห้องล้วนตกแต่งอย่างแตกต่างกันดูอย่างห้องที่พีทจะสนใจเป็นพิเศษก็คือห้องที่เต็มไปด้วยตัวการ์ตูนมากมายที่หลายๆครั้งเขาอยากได้เป็นเจ้าของ

                “ น่ารักจัง” เขาสบถเบาๆแต่แววตาของคนพูดนั้นสดใสเหลือเกิน

                “ อยากได้เหรอครับ”

                “ เปล่า” เขาเดินหน้าแดงหนีไปทันที

เส้นทางระหว่างทางเดินไปยังร้านอาหารที่อยู่ข้างหน้านั้นอยู่ไกลจากที่พวกเขาอยู่ไปประมาณสี่กิโลเมตรได้ แต่ความเมื่อยล้าของแต่ละคนนั้นกลับยิ่งทวีคูณระยะทางให้เหมือนไกลออกไปเรื่อยๆโดยเฉพาะหนุ่มน้อยอย่างเดรโก้ที่เหมือนจะสนุกสนานในช่วงแรกในตอนนี้นั่งไม่เป็นท่าอยู่ที่ฟุตบาทข้างถนน

                “ อ้าว ไหนล่ะรีบไม่ใช่เหรอ อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้วนะ จะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” พีทที่เดินตามมาจากข้างหลังตบไหล่น้องชายที่นั่งอย่างหมดสภาพ

                “ ผมนั่งรอพวกพี่นั่นแหละเดินช้ากันจริงๆเลย”

                “ เหรอ !” แวมป์ที่เดินมาสมทบพร้อมกับไซต์ลากเสียงยาวเหยียด

                “ คร้าบ” แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน

                “ เอาล่ะๆ จะมานั่งเถียงกันอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ไม่กินข้าว ไม่ล้างตัวกันแล้วเหรอ” ไซต์เอ่ยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเดรโก้ “ อย่างนั้นฉันก็นั่งตรงนี้แหละ”

  ทันทีที่ไซต์ทิ้งตัวลงเดรโก้ก็เด้งตัวขึ้นมาทันทีราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

                “ ไปสิครับ จะมานั่งอะไรกันตรงนี้ล่ะถ้าคุณเมื่อยเดี๋ยวผมจะแบกไปเอง”

                “ ไม่เป็นไรฉันน่ะแข็งแรงอยู่แล้ว ที่นั่งก็อยากฟังว่าจะคุยอีกนานมั้ย”

                “ อ๋อคนแก่ประชด”

  ป๊อก ! มือของชายร่างเตี้ยเคาะที่กลางลำแข้งของเดรโก้อย่างจัง

                “ เพื่อนเล่นหรือไงไปได้แล้ว” แล้วก็ทำหน้านิ่งเดินไปอย่างมาสนคนข้างหลังเลย

 ทันทีที่ก้าวมาถึงหน้าร้านที่เขียนว่า ‘ร้านอาหารและสปา’ ทั้งห้าก็ยังไม่เห็นสิ่งมีชีวิตแม้สักคนเดียวอีกทั้งหน้าร้านก็ยังดูเหมือนไม่เปิดทำการแต่กลับมีป้ายเขียนไว้ที่หน้าประตูว่า ‘เปิด’

                “ เอาไงจะเข้าไปกันหรือเปล่า” พีทถามอย่างระแวดระวังแบบสุดเพราะบรรยากาศภายนอกบวกกับสภาพหน้าร้านที่เต็มไปด้วยเศษดินและไยแมงมุมที่ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด

                “ มาถึงขนาดนี้ก็ต้องเข้าแล้วล่ะครับ” เดรโก้เอ่ยก่อนจะดันประตูกระจกที่มีม่านดำปิดทึบออกทำให้กระดิ่งสั่นไหวส่งเสียงให้พนักงานร่างใหญ่ในชุดสีขาวภายในร้านกล่าวต้อนรับ

                “ สวัสดีครับไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ” ชายอ้วนวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่หลังเคาท์เตอร์ที่มีขวดเครื่องดื่มมากมายหลายประเภทล้อมตัวอยู่เอ่ยขึ้น

                “ ซักครู่นะครับ” เดรโก้เอ่ยก่อนจะปิดประตูลง

                “ นายคุยกับใครน่ะ ทำไมพวกเราไม่ได้ยินอะไรเลย” พีทถามพร้อมกับพยายามมองผ่านผ้าม่านที่กระจกด้วยความสงสัย

                “ ก็คุยกับเจ้าของร้านสิพี่” เดรโก้ตอบด้วยท่าทางตื่นเต้น “ ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสวรรค์ของเราระหว่างเดินทางแล้วล่ะ”

                “ เจ้าของร้านเหรอทำไมเราไม่ได้ยินอะไรเลยล่ะ” แวมป์เอ่ยอย่างจับผิด

                “ เอาน่าเข้าไปก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวก็จะได้รู้กันไปเลยว่าใครหูดีหูไม่ดี” เดรโก้ไม่ว่าเปล่าแขนยาวของเขาก็ดันประตูเข้าไปด้วยทำให้กระดิ่งภายในร้านดังขึ้นอีกครั้ง

                “ สวัสดีครับไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้หรือเปล่าครับ” ชายคนเดิมเอ่ยทักทายด้วยคำพูดเดิมอย่างคล่องปาก

                “ คนนี้ไงครับที่ผมคุยด้วยเมื่อกี้นี้ ไม่เชื่อก็ถามพี่เขาได้เลย”

                “ ครับ เมื่อสักครู่น้องชายคนนี้เขาคุยกับผมครับ” ไม่ทันมีใครถามเขาก็ตอบเพื่อขยายความคำพูดของเดรโก้อย่างรวดเร็ว “ ก่อนอื่นผมต้องสวัสดีอีกครั้งนะครับผมชื่อซันไชน์เป็นคนดูแลร้านและความเรียบร้อยของร้านในวันนี้ ส่วนพนักงานคนนั้นชื่อโซอี้มีอะไรก็เรียกใช้เขาได้เลยนะครับ” ซันไชน์อธิบายอย่างคล่องปากก่อนจะยกมือเรียกชายหนุ่มผิวเข้มนัยน์ตาไร้ความรู้สึกผิดจากปากที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลามาทางพวกเขา

                “ สวัสดีครับ ผมโซอี้ครับยินดีรับใช้ทุกท่านครับ” เสียงเจื้อยแจ้วที่แสดงถึงความร่าเริงเอ่ยทักอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินนำทางไปยังโต๊ะตัวยาวที่เหมาะสำหรับทั้งห้าคนซึ่งตั้งอยู่ที่มุมด้านในสุดของร้าน “ มีอะไรกดกริ่งตรงนี้ได้เลยนะครับ” เขาชี้ไปยังกระดิ่งสีทองที่ตั้งอยู่ใกล้แจกันดอกไม้ “ เดี๋ยวผมไปเก็บจานก่อนแล้วอีกสักพักจะมารับเมนูนะครับ”

                “ ที่นี่บริการดีจริงๆเลยแฮะ” เดรโก้พูดพร้อมกับเอนตัวไปตามโซฟาแสนนุ่มที่เขาไม่ได้เจอมานาน

                “ ฉันว่ามันแปลกๆนะ”

                “ แปลกยังไงของนาย” พีทหันหน้าไปถามแวมป์ที่มองไปมาตลอดตั้งแต่เข้ามาในร้าน

                “ เธอลองคิดดูสิว่าคนที่นี่เหมือนไม่มีชีวิตเลยแววตาก็แปลกๆตั้งแต่เข้ามาแล้ว”

                “ แต่ฉันว่าเราควรสั่งอะไรได้แล้วนะเพราะคนที่พวกนายพูดถึงกำลังเดินมาแล้ว” ไซต์เอ่ยก่อนที่โซอี้จะเดินมาพร้อมกับสมุดจดเมนูสีชมพูหวานแหวว

                “ ไม่ทราบว่าจะสั่งอาหารเลยมั้ยครับ”

                “ ครับ” เดรโก้ดีดตัวขึ้นมาทันที “ ผมขอสั่งเมนูที่เด็ดที่สุดของที่นี่ครับ”

                “ รอสักครู่นะครับ” โซอี้เอ่ยเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องครัว

                “ เดี๋ยวนะเมื่อกี้นายสั่งอะไรไปนะ” พีทที่กำลังอ่านเมนูถามอย่างตกใจ

                “ สั่งเมนูเด็ดสุดของร้านไงล่ะ”

                “ มีไรหรือเปล่าครับ” มิวส์ที่นั่งข้างๆเอ่ยอย่างสนใจ

                “ ดูนี่” พีทยกเมนูไปกลางโต๊ะทุกคนต้องตกใจกับเมนูเด็ด

เมนูเด็ด

รายการ                      ขนาด                        ราคา*ตามค่าของเงินที่มีอยู่

ขี้ผึ้งลาวา              เล็ก/กลาง/ใหญ่             50/120/150

แผ่นขี้ผึ้งราดซอส                                                 ต่อชิ้น

-        น้ำผึ้ง                                                   25

-        นมผึ้งข้น                                             25

-        คาลาเมล                                           35

เครื่องดื่ม

ขี้ผึ้งอุ่น                                               70



   “ แล้วจะกินกันได้ไหมเนี่ย” เดรโก้เอ่ย

  ไม่นานเมนูที่เดรโก้สั่งไปแบบไม่คิดก็ถูกนำมาเสิร์ฟลงบนที่โต๊ะ

                “ นี่คือขี้ผึ้งลาวา เป็นสูตรของทางร้านเราเลยนะครับ” โซอี้ผายมือไปยังจานใบเล็กที่วางขี้ผึ้งก้อนกลมแผ่นบางที่สอดแทรกขี้ผึ้งเหลวเหนียวข้นไว้ภายใน “ เสิร์ฟพร้อมกับนี่เลย ขี้ผึ้งอุ่นๆกลิ่นกุหลาบซึ่งร้านเราก็เลี้ยงเองกับมือเลย”

                “ ขอบคุณครับ แล้วไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ” เดรโก้ถามเจื่อนๆโดยที่คนอื่นต่างนั่งจ้องอาหารที่อยู่บนโต๊ะอย่างไม่สามารถกินมันลงได้

                “ มีสิครับ” เขายกแผ่นขี้ผึ้งที่คล้ายคลึงกับแผ่นแคร็กเกอร์บางเฉียบที่มาพร้อมกับซอสครบเซ็ต “ ผมไม่รู้ว่าคุณต้องการซอสอะไรเลยเอามาให้ครบเลยหวังว่าคงไม่ว่าอะไรนะครับ”

                “ เอ่อมีพวก เอ่อ…อ”

                “ อะไรครับ”

                “ เมนูที่มนุษย์เขากินกันน่ะ” ไซต์ที่นั่งหัวโต๊ะเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม

                “ พว..กคุณเป็นมนุษย์เหรอครับ แล้วมาทำอะไรที่นี่” โซอี้ถามอย่างสนใจพร้อมกับสีหน้าที่ตระหนกอย่างสุดกู่

                “ โซอี้ ! งานในครัวมีอีกมากนะ” หน้าของโซอี้สลดลงด้วยเสียงอันโหดเหี้ยมของเจ้าของร้าน

                “ ต้องขอโทษแทนลูกน้องผมหน่อยนะครับ มันไม่ค่อยเต็มน่ะครับ” ซันไชน์ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาอย่างเป็นมิตร “ ไม่ทราบว่าต้องการอะไรเพิ่มเหรอครับ”

                “ อาหารมนุษย์น่ะ” เดรโก้เอ่ย

                “ ได้ครับทางร้านเรามีแต่อาจจะไม่ค่อยอร่อยถูกปากนะครับ”

                “ เอามาเลยครับพวกเรากินได้” เดรโก้เอ่ยอย่างมีความหวัง “ ส่วนอันนี้เอาคืนได้หรือเปล่าครับ”

                “ ไม่ได้ครับถือว่าสั่งมาแล้วทางร้านเราขอคิดเงินรวมด้วยนะครับ” ซันไชน์ส่งยิ้มให้ก่อนจะหายตัวไปในห้องครัวทันที

                “ เป็นไงล่ะ สั่งอะไรไม่คิด เงินที่มีจะพอหรือเปล่าก็ไม่รู้” แวมป์ที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น

                “ เรื่องเงินไม่พอไม่น่าหนักใจเท่ากับท่าทางตกใจของโซอี้เมื่อสักครู่นะครับ” มิวส์กระซิบราวกับว่ามีคนกำลังแอบฟังอยู่

                “ ทำไมนายสงสัยอะไรเหรอ” พีทที่นั่งข้างๆถามแต่

                “ เปล่าครับ” มิวส์ตัดบทสนทนาแต่ไม่ใช่เพราะพีทถามแต่เป็นซันไชน์ที่ยกถาดอาหารมาเสิร์ฟ

                “ มาแล้วครับ” เขาเอ่ยพร้อมกับยกจานแซนวิชวางลงบนโต๊ะ

                “ อ้าว! แล้วโซอี้ไปไหนเสียล่ะครับ” แวมป์ถามเชิงจับผิด

                “ อ๋อเจ้านั่นมันล้างจานอยู่ในครัวน่ะครับไม่ต้องไปสนใจหรอก” ซันไชน์เริ่มชักสีหน้าเพราะแววตาของแวมป์ช่างบ่งบอกเหลือเกินว่าไม่ไว้ใจ “ คุณมีอะไรจะใช้มันหรือเปล่าครับ”

                “ อ๋อเปล่าครับ ไม่มีอะไร พี่ผมเขาเป็นคนช่างสงสัยแบบนี้แหละ ไม่มีอะไรครับ” เดรโก้ที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่คุกรุ่นตอบแทนพร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องเสร็จสรรพ “ นี่ทีเห็นเขียนไว้หน้าร้านว่าที่นี่มีสปาด้วยใช่มั้ยครับหลังจากเราอิ่มแล้วอยากลองบ้างจังเลยครับ”

                “ ครับที่นี่เป็นสปาและศูนย์รวมความงามอย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็นการหล่อขี้ผึ้งเพื่อขึ้นโครงหน้าใหม่ หรือว่าจะเป็นทำแบบเฉพาะส่วนก็ได้นะครับเห็นว่าช่วงนี้จมูกแบบคุณคนนี้กำลังเป็นที่นิยมเลย” เขาหันไปพูดกับแวมป์ที่นั่งจับผิดอยู่ “ สนใจมั้ยล่ะครับ”

                “ คงไม่หรอกครับพวกเราแค่แวะมาหาอะไรใส่ท้องเฉยๆไม่ได้มาทำอย่างอื่นเพราะมีอย่างอื่นที่ต้องทำต่อครับ”

                “ โธ่! พี่มิวส์ก็”

                “ ขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับที่ถามโน่นถามนี่ตอนนี้เราไม่กวนคุณแล้วล่ะไปทำงานของคุณต่อได้เลยครับ”

                “ ครับ” ซันไชน์ตอบสั้นๆก่อนจะเดินหายไปในห้องครัว

                “ ฉันว่าที่นี่เริ่มน่าขนลุกแล้วล่ะเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” พีทกรอกตามองไปมาก่อนจะเอ่ยต่อ “ แล้วไอ้แซนวิชนี่ก็ไม่ต้องกินหรอกนะใส่กระเป๋าแล้วเอาไปทิ้งข้างนอกเถอะ”

                “ ฉันก็ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน” ไซต์เอ่ยก่อนจะยัดแซนวิชต้องสงสัยลงกระเป๋าไปอย่างรวดเร็วผิดไปจาก

                “ คิดมาก” เดรโก้กัดแซนวิชชิ้นโตเข้าปากไปอย่างมีความสุข “ อะไรวะเนี่ย” เขาเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่มาอย่างรวดเร็วก่อนจะคายบางอย่างออกมา

                “ นิ้วนี่” พีทเอ่ยอย่างกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

                “ ของใครล่ะ” มิวส์เอ่ย

                “ ยังจะถามอีกหนีเร็ว” ทั้งหมดลุกออกจากโต๊ะอย่างไม่รีรอ

                “ จะไปไหนกันเหรอครับ” ซันไชน์เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมผ้าปิดจมูกที่คาดบนใบหน้ามาอย่างเตรียมพร้อม

                “ เราอิ่มแล้วกำลังกลับคิดเงินด้วย” เดรโก้ใจแข็งตอบกลับไป

                “ สำหรับพวกเรากันเองนั้นเราจะคิดเป็นเงิน ส่วนมนุษย์อย่างพวกแกแล้วถ้าเข้ามาในร้านก็เป็นเพียงสินค้าของร้านนี้เท่านั้น” แววตาที่เคยใจดีหายไปอย่างรวดเร็ว “ พวกแกเป็นสินค้าของฉันแล้วตอนนี้ก็มีคนซื้อพวกแกแล้วเสียด้วยสิ” เสียงของชายร่างโตหัวเราะอย่างสะใจกับผลงานตัวเอง

                “ ใครเป็นสินค้าของแกกัน”

                “ ใจเย็นก่อนพีท” แวมป์สะกิดให้ชายหนุ่มใจร้อนตั้งสติ “ เรามาเจรจากันดีๆกันเถอะเพราะเราก็ไม่อยากทำร้ายท่าน”

                “ ปากดีไปเถอะบุตรแห่งแวมไพร์”

                “ นายรู้ได้ยังไง”

                “ ฉันรู้ตั้งแต่พวกแกก้าวเข้ามาในเมืองนี้แล้ว” ซันไชน์กดปุ่มที่มือ “ หลับให้สบายนะ”

  สิ้นคำกลิ่นของดอกไม้ก็โพยพุ่งออกมาจากช่องแอร์ภายในร้านจนตลบอบอวลร้าน

                “ ควันพิษอย่าหายใจนะ” ไซต์เอ่ยเตือน

                “ หาทางออกเร็ว” แวมป์ที่สายตาดีสุดควานไปหาทางออกแต่ก็พบว่า “ มันล็อค”

                “ ทำไงดีไม่ไหวแล้วนะ”

                “ ไม่ต้องหนีหรอกสูดกลิ่นดอกไม้ของฉันแล้วหลับให้สบายดีกว่า” เสียงของผู้กระทำเอ่ยอย่างสะใจกับผลงาน

                “ ไม่ไหวแล้ว”

 ตุ๊บ ! ร่างของเดรโก้ร่วงสู่พสุธาทันทีมิวส์ที่อยูด้านหลังทำได้เพียงตบหน้าเพื่อเรียกสติเท่านั้นแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะตอนนี้เดรโก้ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว

 ความอดทนย่อมมีขีดจำกัดเช่นเดียวกับการกลั้นหายใจของทั้งห้าที่ไม่สามารถจะทนกับการขาดออกซิเจนได้

หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 14-05-2020 01:28:50
ต่อ


                “ ม..ไม่”

 ตุ๊บ! เสียงสุดท้ายที่มาจากแวมไพร์หนุ่มที่ร่วงตามเพื่อนๆไปทำให้ซันไชน์ที่ยืนมองผลงานแล้วยิ้มแทบจะหุบไม่ลงเลยเพราะราคาของพวกเลือดผสมมักได้ราคาดีเสมอ

   กลิ่นดอกไม้และดินลอยเข้ามาเตะจมูกชายหนุ่มทำให้สดชื่นขึ้นราวกับว่าได้เกิดใหม่เพราะทันทีที่เดรโก้ลืมตาขึ้นมาท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆที่เหมือนจะเพิ่งผ่านพ้นฝนตกมาก็ไม่ปาน ชายหนุ่มกระพริบตาเพื่อปรับให้เข้าแสงสว่างที่เข้ามาก่อนจะลุกอย่างโซซัดโซเซเพราะสมองยังคงเมากับกลิ่นดอกไม้ของซันไชน์ที่เพิ่งดูดเข้าไป

                “ ใช่แล้ว ไอ้ซันไชน์ฉันไม่น่าหลงเชื่อแกเลย” เดรโก้ตบฉาดที่ขาตัวเองอย่างเจ็บใจก่อนที่จะก้าวขาออกไปยังประตูที่อยู่ไม่ไกลจากเขาเลย

                “จะรีบไปไหนจ้ะพ่อหนุ่ม” น้ำเสียงอ่อนหวานดังผ่านพุ่มไม้ด้านหลังของเขามา

                “ ใครน่ะ” เดรโก้ตะโกนตอบกลับ

                “ ทำไมเจ้าคุยกับสตรีอย่างข้าแข็งกร้านนักเล่าพ่อหนุ่ม” เสียงหลังพุ่มไม้เอ่ยอย่างตัดพ้อแต่ก็ไม่ได้ทำให้เดรโก้สนใจเลยแม้แต่น้อย

                “ ถ้ายังไม่ตอบฉันก็ไม่ขอคุยด้วย” เดรโก้หันหลังแล้วเดินไปที่ประตูแล้วบิดลูกบิดทันที “ ล็อค”

                “ ฮ่าๆๆๆ พ่อหนุ่ม ฉันเป็นสาวคนเดียวจะให้เปิดประตูต้อนรับใครที่ไหนได้เล่า”

                “ เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

                “ จะรีบไปไหนล่ะพ่อหนุ่ม” สิ้นเสียงร่างของหญิงสาวทรวดทรงสง่างามก็เดินฝ่าบรรดาแมกไม้ออกมาอย่างสง่างามราวกับนางเอกในละครย้อนยุคเพราะใบหน้าของเจ้าเธอช่างดูสดใจยิ่งได้จมูกที่เป็นสันกับริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มแล้วใครได้เห็นเป็นต้องหลงชอบอย่างแน่นอน “ ไม่ได้ยินหรือฉันถามเจ้าว่าจะรีบไปไหน”

                “ คือว่าผมจะไปตามหาเพื่อนครับ ไม่ทราบว่าคุณเห็นบ้างหรือเปล่า” เดรโก้เอ่ยอย่างตาเป็นประกาย

                “ ข้าไม่เห็นใครทั้งนั้นเพราะตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้าอยากมองมาสิมาหาข้า” สาวปริศนาเอ่ยอย่างออดอ้อน

                “ ไม่ได้หรอกผมต้องไปหาเพื่อน” เดรโก้สะบัดใบหน้าสวยงามออกจากความคิด

                “ ไม่เคยมีใครหันหลังให้กับข้ามาก่อน แล้วเหตุใดเล่าเจ้าถึงได้มาหันหลังให้ข้าเช่นนี้ข้าไม่งามพอหรือ”

                “ เปล่าครับแต่ตอนนี้ผมต้องไปตามหาเพื่อนของผมก่อน”

                “ อย่าไปคิดมากนักเลยปลดปล่อยไปตามที่เจ้าอยากให้เป็นเถิด” ดวงตาคู่งามจดจ้องมายังชายหนุ่มก่อนที่จมูกของเดรโก้จะได้กลิ่นเบาๆของดอกกุหลาบ “ มาอยู่กับข้าเถอะนะ”

                “ ครับ” เดรโก้เอ่ยราวกับต้องมนต์สะกดก่อนจะเดินตามไปอย่างว่าง่าย



กลิ่นฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วห้องแต่ก็ยังไม่น่าสะอิดสะเอียนเท่ากับกลิ่นคาวของเลือดที่คละคุ้งไปทั่วห้องที่มากกว่าเพราะทันทีที่พีทตื่นจากควันพิษของซันไชน์ก็แทบจะอาเจียนกับภาพที่ตนเห็น

                “ คุณมิวส์ ตื่น” เขาสะกิดชายหนุ่มที่หลับใหลไม่ได้สติด้านข้าง “ คุณมิวส์”

                “ ครับ” มิวส์ตอบหลังจากตื่นจากฝันดี “ คุณพีทมานอนต่อเถอะครับ”

                “ มันใช่เวลามั้ยเนี่ย” เขาแหวใส่ทันทีก่อนจะปล่อยฝ่ามือลงไปกลางหน้าชายหนุ่มอย่างสุดแรง “ ตื่นได้หรือยัง”

                “ โอ๊ย! ปลุกดีๆหน่อยก็ไม่ได้” มิวส์ลุกมาลูบที่หน้าที่มีรอยแดงเป็นฝ่ามือ

                “ เรียกแล้วแต่นายมัวแต่พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้”

                “ แล้วผมพูดเรื่องอะไรล่ะครับ” คำถามนี้ทำให้พีทหน้าแดงกล่ำแต่ก็ต้องหยุดลงเพราะมันไม่ใช่เวลา “ ดูโน่น” พีทชี้ไปทางเครื่องมือแปลกประหลาดที่ตั้งเกลื่อนกลาดห้องไปหมดมันจะไม่สร้างความน่าขนลุกเลยถ้าเครื่องมือเหล่านั้นไม่มีเศษเนื้อเศษเลือดติดอยู่ด้วย “ อี๋” เขาแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อหันไปเจอเครื่องบางอย่างที่มีร่างของมนุษย์โดนแหวกเอาเครื่องในออกมากองไว้กับพื้น

                “ ผมว่าเราหาทางออกจากที่นี่กันเถอะ”

                “ แล้วนายรู้ทางออกเหรอ” พีทถามอย่างสับสนเพราะตอนนี้มีสามประตูที่เธอเห็น

                “ เราจะค่อยๆไปเปิดทีละประตูครับผมว่าต้องมีสักทางที่เป็นทางออก” มิวส์เสนอ

                “ ตกลงครับ แต่บอกได้เลยว่าฉันจะไม่แยกเพราะอย่างน้อยไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นผมก็อยู่ข้างๆคุณ”

                “ ครับ” มิวส์ส่งยิ้มให้ก่อนจะเดินไปยังประตูบานแรกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขาซักเท่าไหร่ “ เปิดแล้วนะครับ”

                “ อืม” พีทก้มลงหยิบมีดที่เหน็บกับรองเท้าขึ้นมาเพื่อตั้งรับกับสิ่งที่อยู่หลังประตู

  เอี๊ย…..ดเสียงบานประตูดังตามแรงของมิวส์ที่พยายามต้านแรงเสียดทานจนกระทั่ง

                “ เดี๋ยวครับ อย่าเปิด” พีทที่ตั้งรับส่งสัญญาณ

 โครม! สิ่งที่อยู่หลังประตูทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว

                “ ศพ” พีทเอ่ยพลางบีบจมูกไว้เพราะสิ่งที่เห็นตอนนี้คือร่างซึ่งไร้วิญญาณที่โดนกระทำอย่างทารุณบางศพไม่มีขา บางศพไม่มีแขนหรือไม่ก็ทั้งสอง “ ใครกันที่ทำอย่างนี้”

                “ ไม่ทราบเหมือนกันครับแล้วผมก็คิดว่าเราไม่จำเป็นจะต้องไปทำความรู้จักกับเขาคนนั้นหรอก” มิวส์ลากพีทไปยังประตูอีกบานทันที “ เดินเร็วๆครับ”

                “ รู้แล้วน่า คุณแหละระวังตัวเองดีๆเถอะ”

                “ ครับไม่ต้องห่วงผมหรอก” มิวส์หันมาส่งยิ้มให้ก่อนจะค่อยๆเปิดประตูบานตรงหน้า “ มันล็อค”

                “ หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าบวกเครื่องบรรณาการของข้า” เสียงแข็งกร้านโผล่มาจากประตูบานที่สาม

                “ เอาไงดีล่ะมันมันจะมาแล้ว” พีทถามอย่างเร่งเร้า

                “ เอาอย่างนี้เราไปนอนกองรวมกับศพพวกนั้นดีกว่านะครับ”

                “ นอนกับศพเนี่ยนะ” พีทถามย้ำคำสั่งของชายหนุ่ม

                “ ครับ” ไม่ว่าเปล่ามิวส์ก็ลากร่างบางมานอนลงแล้วเอาศพที่มีน้ำเหลืองและเศษเนื้อเน่ามาทับไว้ก่อนจะมาทำแบบเดียวกันกับตัวของเขาเอง

 

“ ผมว่าเราต้องหาทางออกให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ” แวมป์เอ่ยหลังจากที่เดินสำรวจมาสักพัก

                “ ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ” ไซต์เอ่ยพลางมองพระจันท์ที่ใกล้เต็มดวงแหล่มิเต็มแหล่เพราะป้ายที่พวกเขาผ่านมามันเขียนว่าหมู่บ้านนักล่าหมาป่า “ ถ้าถึงขนาดต้องตั้งเป็นหมู่บ้านขนาดนี้พวกมันต้องมีไม่ใช่น้อยๆเลย”

                “ ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะคุณว่าไหม” แวมป์มองไปมาอย่างสงสัยกับบรรยากาศรอบตัว

                “ แปลกยังไง”

                “ ก็ตั้งแต่เข้ามาในเมืองเราไม่เคยเจอคนเลยสักคนสัตว์เลี้ยงยังแทบไม่มีนอกเสียจากว่าเปิดประตูเข้าไป”

                “ เหมือนอยู่คนละโลกงั้นเหรอ” ไซต์เสริม

                “ อืม” แวมป์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้าที่แทบไม่มีดวงดาวเพราะรัศมีของแสงจากดวงจันท์หลบหมด “ เคยได้ยินนิทานเรื่องบ้านหุ่นขี้ผึ้งมั้ยครับ”

                “ มันใช่เวลามาเล่านิทานตอนนี้มั้ยเนี่ยไปเร็วเราต้องไปหาที่หลบ” ไซต์เอยอย่างเร่งเร้าเพราะก้อนเมฆก้อนสุดท้ายที่บดบังดวงจันท์เอาไว้กำลังค่อนๆลอยตัวออกไปแล้ว

                “ ฟังก่อนนะครับผมผมว่าคนที่เราเห็นในร้านเมื่อครู่นี้น่าจะเป็นคนที่แม่ผมเคยเล่าให้ผมฟังตอนเด็กๆ” แวมป์ยังคงยืนกรานที่จะเล่าให้คนตรงหน้าฟัง “ ถ้าเดาไม่ผิดซันไชน์น่าจะเป็นคนปั้นหุ่นทั้งหลายขึ้นมาแล้วเกิดพลาดตอนร่ายคาถาหุ่นพวกนี้จึงโหดร้ายผิดไปจากของคนอื่น”

                “ แล้วยังไงล่ะ” ไซต์ถามเพราะที่เขาเล่ามาไม่เห็นมีทางไหนเป็นประโยชน์กับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย

                “ ไม่ว่าเวทย์จะมีพลังมากแค่ไหนย่อมมีจุดอ่อน ไม่เช่นนั้นซันไชน์จะคุมบรรดาหุ่นขี้ผึ้งพวกนี้ได้เหรอ”

                “ อย่าอ้อมค้อมได้ไหม ตอนนี้มันถึงเวลาล่าแล้วนะ”

 โบร๋ว…ว เสียงสัญญาณการออกล่าของบรรดาหมาป่าดังขึ้นทำให้ขนสันหลังของทั้งคู่ถึงลุกตั้งชูชันขึ้นมาเลยทีเดียว

                “ คุณขึ้นไปบนต้นไม้ก่อนผมขอลองอะไรบางอย่างก่อน ถ้าเกิดพลาดผมขอให้คุณหนีให้เร็วที่สุด” แวมป์หันไปสั่งไซต์ที่ทำท่าพร้อมตั้งรบ

                “ จะให้ฉันทิ้งนายเนี่ยนะไม่มีทาง”

                “ ผมไม่ใช่คนที่จะเอาดวงตาเมดูซ่านะครับ คนที่เราต้องดูแลในตอนนี้คือพีท” แวมป์เอ่ย “ แล้วผมมั่นใจกับสิ่งที่ผมตัดสินใจขอร้องล่ะคุณไปซ่อนตัวก่อน”

                “ ได้ฉันจะระวังหลังไว้ให้ แต่นายเองก็ระวังตัวด้วยล่ะ”

บรรยากาศในค่ำคืนแห่งการล่านั้นเย็นเฉียบเหลือเกินเพราะยิ่งแสงจันท์สว่างไสวเท่าไหร่ความน่าสะพรึงกลัวยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นมากเท่านั้น

 แกรก..ก เสียงท่อนไม้และใบไม้แห้งดังก้องไปทุกทิศทุกทางทำให้ไซต์ที่อยู่บนต้นไม้ไม่สามารถเลือกเล็งปืนไปทางใดได้เลยผิดกับแวมป์ที่ยืนสบายๆราวกับว่าอยู่สวนที่มีแต่แมกไม้ก็ไม่ปาน

                “ มันยืนล่อให้พวกมันออกมาตะครุบหรือยังไงวะ” ไซต์บ่นอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำของคนข้างล่าง

 บรู๋ว….ว เสียงหอนของสิ่งที่พร้อมขย้ำพวกเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วดูเหมือนว่าจำนวนพวกมันก็เพิ่มขึ้นมากด้วยเพราะเสียงฝีเท้าและเสียงประสานการหอนนั้นดังขึ้นๆ

                “ จะทำอะไรก็ทำซักทีสิยืนเฉยๆอยู่ได้”

  ซวบ ! ซวบ!  เสียงพุ่มไม้ด้านหน้าของแวมป์สั่นไหวทำให้ไซต์เตรียมเล็งไปยังพุ่มไม้นั้นทันที

 แฮร่! หมาป่าตัวขนาดมหึมากระโจนใส่ร่างแวมป์อย่างรวดเร็วแต่ทว่า

                “ ทะ..ลุนายทำได้ยังไงทำไมหมาป่ามันทะลุผ่านตัวนายได้” ไซต์เอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาเพราะไม่ว่าหมาป่าสักกี่ตัวที่กระโจนเข้าหาแวมป์กลับทะลุผ่านไปราวกับว่าแวมป์เป็นเพียงอากาศเท่านั้น

                “ อย่าเพิ่งลงมานายต้องตั้งสติก่อน” แวมป์ตะโกนบอกคนแคระที่กำลังปืนลงจากต้นไม้ “ คิดว่าพวกมันไม่มีมันก็จะไม่มีเพราะไอ้พวกนี้มันต้องการแค่อารมณ์ร่วมจากพวกเราหากเราไม่มีมันก็ทำอะไรไม่ได้

                “ ตกลง” ไซต์ปีนกลับขึ้นไปตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง

ตุ๊บ!

 เมื่อร่างเล็กทิ้งตัวลงบนพื้นหมาป่าที่โจมตีแวมป์อยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที

                “ ไปเถอะ” ไซต์เดินผ่านบรรดาอสุรกายไปราวกับว่าเป็นอากาศ “ ว่าแต่ไปไหนก่อนเราไม่รู้เลยนะว่ามันเอาตัวพวกนั้นไปไว้ที่ไหน”

                “ เราไม่รู้แต่แผนที่รู้” แวมป์ยิ้มอย่างมีความหวังแต่ก็ต้องดับมอดลงเมื่อไซต์เอ่ย

                “ เราไม่มีแผนที่กระเป๋าเราโดนขโมยไป”

                “ เอาอย่างนี้นายนึกถึงร้านหรือหน้าไอ้ซันไชน์ได้มั้ย?”

                “ แน่นอน ใครจะไปลืมไอ้คนที่ทำกับพวกเราได้” ไซต์เอ่ยอย่างเคียดแค้น

                “ อย่างนั้นนึกถึงมันให้ดีๆแล้วนายก็พาฉันหายตัวไป”

                “ ตกลง” ไซต์หลับตาลงก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากห้องหุ่นนี้

ตุ๊บ!

   ทันทีที่ร่างของทั้งสองตกลงมาซันไชน์ที่กำลังเตรียมรื้อกระเป๋าของพวกเขาอยู่ถึงกับผงะเพราะไม่คิดว่าจะมีใครรอดออกมาได้

                “ มาได้ไงวะเนี่ย”

                “ นายรู้จักเราน้อยไปเสียแล้วล่ะ” ไซต์เอ่ยก่อนจะกระชากกระเป๋าในมือของซันไชน์ออกมาอย่างรวดเร็ว

                “ นายก็รู้จักฉันน้อยเกินไปเหมือนกัน” เขาพูดกลั้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

                “ ระวังตัวด้วย” ไซต์กระซิบ

                แวมป์จ้องไปรอบตัวเพราะตอนนี้เขาถูกล้อมไปด้วยบรรดาซอมบี้ที่ไม่เคยมีอยู่ที่นี่มาก่อนล้อมรอบ

                “ ดีนะท่านแอสโมดีอุสฉลาดเลยมีแผนสำรองมาให้ข้า”

                “ แอสโมดีอุสเหรอ?” แวมป์ทวนสิ่งที่ซันไชน์เอ่ย

                “ เออสิวะบอกไปแล้วยังจะถามอีก”

เพล้ง !

                “ โซอี้” แวมป์ตะโกนอย่างตกใจเมื่อคนที่เขาไม่ไว้ใจฟาดขวดไวน์ลงบนกลางหัวของซันไชน์

                “ พวกนายรีบหนีไปเถอะทางนี้ฉันจะเป็นคนถ่วงเวลาไว้เอง” โซอี้เอ่ยอย่างเร่งเร้า

                “ ทำไมไม่หนีไปด้วยกันล่ะ”

                “ ฉันออกไปจากที่นี่ไม่ได้เพราะวิญญาณฉันถูกกักขังไว้ที่นี่พวกนายไปกันเถอะ”

                “ ขอบใจนะ” ไซต์คว้าร่างแวมป์ที่มองผู้มีบุญคุณอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ตุ๊บ ! ร่างทั้งสองปรากฏอย่างรวดเร็วที่บริเวณซอยทางเข้าของร้านอาหาร

                “ ทำไมเราต้องทิ้งโซอี้เขามาช่วยเรานะ” แวมป์ถามเพราะอดเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างหลังไม่ได้

                “ นายอย่าลืมสิว่าตอนนี้เรามาทำอะไรแล้วอะไรสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพื่อนร่วมทีมเราหรอกเหรอตอนนี้เดรโก้ พีทแล้วก็มิวส์กำลังรอเราไปช่วยอยู่นะฉันสัญญาว่าถ้าพวกนั้นปลอดภัยเราจะกลับไปช่วยโซอี้” ไซต์ยื่นมือไปทำพันธสัญญา “ แต่ตอนนี้นายต้องหาก่อนว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหน”

                แวมป์เร่งค้นกระเป๋าที่แย่งคืนมาจากซันไชน์อย่างเร่งรีบก่อนจะคว้าแผนที่ออกมากาง

                “ ห้องทรมานกับห้องนางไม้เหรอ” แวมป์หันมาทางไซต์เพราะต้องการความคิดเห็นจากผู้มีประสบการณ์

                “ เอาอย่างนี้ฉันจะหายตัวไปส่งนายที่ห้องของพีทแล้วฉันจะไปดูเดรโก้เอง” ไซต์เอ่ยอย่างเด็ดขาดโดยไม่ต้องรอถามความคิดเห็นของแวมป์แต่อย่างใด

                “ ตกลงตามนี้”

  ร่างของทั้งคู่ก็ลอยมาหล่นในห้องที่เต็มไปด้วยคาวเลือดและซากศพเน่าที่บรรดาหุ่นขี้ผึ้งของซันไชน์ทำไว้กับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเพราะโดยปกติแล้วระหว่างทางไปทำกอร์กอนนั้นไม่มีเมืองนี้อยู่เลย

                “ ใครน่ะ” นักฆ่าที่โดนเย็บบริเวณดวงเอ่อยถามอย่างโหดเหี้ยมหร้อมกับฟาดขวานไปมาอย่างดุดัน “ ฉันถามว่าใครหูหนวกเหรอ” ปากที่ผ่านที่ยับเยินเพราะผ่านการเคยเย็บเอ่ยอย่างไม่หยุดหย่อนพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดราวกับสุนัขกำลังหาอาหาร “ ไม่ใช่แกใช่มั้ยซันไชน์ กลิ่นไม่คุ้นเลยหรือว่าเปลี่ยนน้ำหอมใหม่” เขาหัวเราะร่า “ เอาน่าไม่ว่าใครก็ช่างรอเมียข้ากลับมาก่อนจะได้รู้สักทีว่าใครมา”

                “ นายหาทางตามตัวพีทไปนะเดี๋ยวฉันไปช่วยเดรโก้ก่อน” ไซต์กระซิบที่ข้างหูของแวมป์ก่อนจะหายตัวไป

                “ เอาไงดีวะนั่นมันศพจริงหรือหุ่นขี้ผึ้งเนี่ย” แวมป์เอ่ยอย่างลังเลใจเพราะหากเป็นเพียงหุ่นขี้ผึ้งเขาสามารถผ่านมันไปได้ง่ายดายแน่หากว่าไม่ใช่ก็เท่ากับเขายอมให้มันฟันฟรีอย่างนั้นเหรอ “ ต้องมีทางสิคิดสิโว้ย”

                “ โวยวายอะไรนักหนาไอ้บอด” เสียงของหญิงสาวที่เข้ามาใหม่ทำให้แวมป์ถึงกับซ่อนตัวแทบไม่ทันเพราะดวงตาที่แทบจะถลนออกมาสอดส่องมองรอบๆอย่างจับผิดเพราะสีท่าของสามีเปลี่ยนไป “ อ้าว ! ฉันถามยังไม่ตอบอีกหรือว่าซันไชน์มันแอบมาเย็บปากแกอีกแล้วหรือไง”

                “ เปล่าฉันแค่กำลังดมกลิ่นอยู่ว่าคนที่ซันไชน์มันเอามาให้จัดการอยู่ไหนแล้วยังมีคนที่เข้ามาใหม่ด้วยนะแกลองดูซิว่ามันใช่ซันไชน์หรือเปล่า”

                “ ตั้งแต่ฉันเข้ามายังไม่เห็นอะไรเลยจมูกแกไม่ดีหรือเปล่า” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยกลับแต่ก็ต้องถูกนิ้วที่เปื้อนเลือดของสามีกระแทกมาที่หน้า “ ทำอะไรของแกน่ะฉันเพิ่งจะเปลี่ยนตามานะเดี๋ยวก็บอดอีกหรอก”

                “ แกมันปากดีไง จมูกก็ไม่มียังจะมาหาว่าข้าจมูกเสียอีก”

                “ เออเอาน่าถ้ามันมีอยู่จริงข้าก็ต้องเห็นแกลองดมไปเรื่อยๆเดี๋ยวฉันจะคอยมองให้เอง” ทั้งสองจับมือกันโดยมีดวงตาของภรรยาที่ไม่มีจมูกคอยมองส่วนสามีก็เดินรุดหน้ามายังกลิ่นแปลกใหม่ที่กำลังซ่อนตัวอย่างไม่รีรอ

                “ เอาวะเป็นไงเป็นกัน” แวมป์คว้ากริชที่เคยอยากจะลองใช้มานานออกมาแต่ที่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าไม่รู้กำลังที่แท้จริงของมัน” เขาพุ่งตัวใส่ทั้งคู่ที่กำลังเดินไปมา

                “ กริชอาคมอย่างนั้นเหรอ” คนที่สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่เพิ่งเกิดภายในห้องเอ่ยอย่างตระหนก “ แกเป็นใคร”

                “ ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอกเอาตัวเพื่อนฉันไปไว้ที่ไหน” เสียงของแวมป์ทำให้คนที่นอนจมกองศพมีความหวังขึ้นมาจึงค่อยๆลุกแล้วแสดงตัวหลังจากที่ซ่อนมานาน

                “ แวมป์เราอยู่นี่” พีทตะโกนอย่างดีใจ

                “ อยู่นี่เองเหรอหาตั้งนานไอ้หนู” นักฆ่าที่เหมือนจะสนใจแวมป์เมื่อครู่ปาขวานเล่มโตไปยังต้นเสียงอย่ารวดเร็ว

                “ ระวัง !” มิวส์กระโดดปัดตัวของพีทไปได้อย่างหวุดหวิด “ เป็นอะไรหรือเปล่า”

                “ ผมไม่เป็นไรครับไปกันเถอะ” เขาคว้าแขนของชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายวิ่งไปหาแวมป์ทันที

                “ ถ้ามันปาอะไรใส่ไม่ต้องไปหลบมันนะมันเป็นหุ่นขี้ผึ้งต้องคำสาปยิ่งเรากลัวมันยิ่งมีพลัง” แวมป์ตะโกนบอกคนที่กำลังกล้าๆกลัวๆ

                “ ไอ้หนุ่มแกคิดเหรอว่าทุกสิ่งที่อยู่ในนี้เป็นขี้ผึ้งหมดน่ะ” เจ้าของห้องเอ่ยอย่างมีเลศนัย

                “ อย่าไปฟังมันรีบๆวิ่งมาเร็วเข้าฉันจะไปพังประตูรอ”

                “ ไปเร็ว!” มิวส์วิ่งฝ่าความกลัวมายังแวมป์ก่อนจะหลุดออกจากห้องออกมาเสียงคำรามของสิ่งที่อยู่ข้างในก็ค่อยๆเลือนหายไปในที่สุด

                “ ตามมาเราต้องไปช่วยเดรโก้ตอนนี้ไซต์นำไปก่อนแล้ว” แวมป์หันมาบอกทั้งสองที่กำลังปัดเศษเนื้อเน่าของเหยื่อที่เคยโดนหลอกมาที่นี่ออก

 ทั้งสามพากันวิ่งตรงไปยังห้องนางไม้ซึ่งเป็นที่อยู่ของเดรโก้และไซต์อย่างกระหืดกระหอบแต่ทำไมเส้นทางที่จะไปมันดูไกลเหลือเกิน

                “ นายพาเราหลงหรือเปล่า” มิวส์ที่วิ่งตามมาถามเพราะพวกเขาควรจะถึงได้แล้วเนื่องจากห้องนางไม่ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับทางที่ที่พวกเขามา

                “ แอสโมดีอุส” เสียงงูหนุ่มที่ห้อยคอของพีทเอ่ย

                “ แอสโมดีอุสเหรอแจ็ค” พีทถามย้ำเพื่อความมั่นใจทันทีเพราะคนที่แจ็คกำลังพูดถึงไม่น่าตามมาที่นี่ได้

                “ ไม่ใช่ตัวมันหรอกน่าจะเป็นมนต์ของมันมากกว่านะ”

                “ ถ้าอย่างนั้นก็ได้เลย” พีทหลับตาลงเพื่อตั้งสติอีกครั้งก่อนจะค่อยๆลืมตาเพ่งสายตาฝ่ามนต์ของศัตรูจนทำให้พบว่าสิ่งที่พวกเขาวิ่งหานั้นอยู่ใกล้เพียงไม่กี่ก้าว “ ทางนั้น”

                “ ตามมา” มิวส์หันไปบอกแวมป์ที่กำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                “ เปิดเลยห้องนี้แหละ” พีทหยุดลงที่หน้าประตูที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า

                “ มันล็อค”

                “ พังเข้าไปเลยครับ” แวมป์กระแทกเข้ากับประตูด้วยแรงทั้งหมดที่มีอยู่สลับไปมากับมิวส์

                “ พอเถอะไม่ขยับเลย” พีทที่คอยมองอยู่บอกทั้งคู่

                “ แล้วจะให้ทำยังไง” แวมป์บ่นอย่างจนปัญญา

                “ นายเคยบอกใช่มั้ยว่าเมืองทั้งเมืองนี้ถูกสร้างมาจากขี้ผึ้ง” แวมป์พยักหน้าเป็นการตอบ “ อย่างนั้นเราก็ใช้ไฟมาลนไงเดี๋ยวมันก็อ่อนเองแหละ”

                “ แต่เราไม่มีไฟ ปืนก็อยู่ที่ไซต์ตอนนี้ก็มีแค่กริชนี่แหละ”

                “ แต่เรามีพลุนี่จำได้ไหมมันใช้การดึงตรงปลายเท่านั้นก็จะสร้างประกายไปได้แล้วถ้าเราหันหน้าไปทางประตูความร้อนน่าจะทำให้มันอ่อนตัวลงบ้านตอนนั้นแหละ นายก็เอากริชของนายแทงผ่านแล้วปลดล็อคมาเลย”

                “ พูดเหมือนง่ายนะ ตอนทำผลจะออกมาเป็นยังไงกันล่ะ”

                “แต่ยังไงก็ของลองสักตั้งแล้วกัน” มิวส์ที่ชี้ทางเลือกสุดท้ายเอ่ยอย่างมีความหวัง

 แวมป์จดจ้องกับบริเวณที่มิวส์กำลังจุดพลุไฟเพราะหากพลาดโอกาสสุดท้ายที่มีก็จะหายไปทันที

หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: SAILOM ที่ 14-05-2020 01:29:12
ต่อ

 โบ้ม ! แล้วก็เป็นไปตามคาดเพราะบริเวณที่พลุลอยไปโดนค่อยๆย้อยลงมาแวมป์ก็ไม่รอช้าเช่นกัน เขาค่อยๆดันกริชไปอย่างสุดแรงแม้บรรดาหยดขี้ผึ้งจะไหลหยดมาโดนผิวขาวจนเปลี่ยนไปเป็นสีแดงแล้วก็ตาม

                “ สำเร็จ” พีทมองความคิดของชายข้างๆอย่างดีใจก่อนจะถลาเข้าไปยังห้องที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์

                “ มาช่วยเดรโก้ตรงนี้ก่อน” ไซต์ที่หลบอยู่หลังขอนไม้กวักมือเรียก

                “ แล้วเดรโก้อยู่ไหนครับ” พีทถาม

                “ โน่น” ไซต์ชี้ไปยังร่างที่โดนแขวนตรึงไว้กับเถาวัลย์ทั้งแขนทั้งขา

                “ ทำไงกันดีล่ะ เดรโก้ก็ไม่ได้สติด้วยจะบอกยังไงถ้าทะเล่อทะล่าเข้าไปช่วยเท่ากับว่าเราก็ต้องคิดว่ามันมีตัวตนอีก”

                “ รอบคอบมากแวมป์” พีทสนับสนุน “แต่เราก็ยอมให้เดรโก้มาห้อยอยู่อย่างนี้ไม่ได้นะเพราะไอ้เส้นที่ค่อยๆห้อยลงมามันกำลังจะพันตัวเดรโก้อยู่แล้ว”

                “ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ”

                “ เอาอย่างนี้ดีมั้ยฉันจะไปตัดเถาวัลย์เองส่วนนายกับคุณมิวส์ไปรอเป็นกำลังสำรองตรงนี้ เผื่อมีอะไรพลาดส่วนไซต์ให้จ้องช่วงที่เดรโก้กำลังร่วงรีบหายตัวไปรับแล้วกลับมาตรงนี้เพราะถ้าร่วงลงไปข้างล่างตายแน่เพราะมีแต่หนามเต็มไปหมด”

                “ มันจะไม่เสี่ยงเกินไปเหรอ”

                “ แล้วมีอะไรที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะถ้าไม่มีคุณก็อยู่กับแวมป์ตรงนี้” พีทหันมาถามเสร็จก็ค่อยๆไต่ไปตามต้นไม้รอบๆก่อนจะก้มลงคว้ามีดสั้นที่ขามาสี่เล่ม

 ฉับ ! เส้นแรกที่ตรึงไว้ที่ขาหลุดออกซึ่งมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของบางอย่างด้วย

                “ ใครมาทำกับข้าแบบนี้” ต้นไม้ที่อยู่รอบๆเริ่มเคลื่อนตัวเขาพยายามคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องไม่จริงและผลที่ออกมากลับไม่เป็นอย่างที่คลาดเพราะเขาปาทะลุผ่านเถาวัลย์ไปอย่างน่าเสียดายทั้งๆที่ควรจะตัดมันขาดในฉับเดียว “ อะไรวะเนี่ย”

                “ ทำไมพีทช้าอย่างนี้ล่ะ” ไซต์ที่จองไปยังเดรโก้ที่ห้อยต่องแต่งเหมือนเดิมเพราะเถาวัลย์เพิ่งหลุดไปเพียงเส้นเดียวเท่านั้น

                “ กล้าๆหน่อยสิพีทตั้งสติมันมีอยู่จริงมันมีอยู่จริง” เขาพยายามหลอกตัวเองอีกครั้งแล้วปาไปอีกครั้งแล้วเมื่อมีดตัดไปอีกเส้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย “ อีกสองสินะ” เขาเล็งไปยังเส้นที่ผูกติดกับแขน

  ฉับ ! เมื่อเส้นที่แขนข้างซ้ายขาดห้องทั้งห้องก็สั่นไหวไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างทรมาน

                “ เหล่าบริวารข้า จงหามาว่าใครทำกับข้าอย่างนี้” สิ้นคำของเสียงหญิงสาวบรรดาเหล่าแมกไม้ก็ขยับเลื้อยไปมาราวกับว่ามีชีวิต

                “ อันสุดท้ายแล้ว” เขาปามีดไปหวังว่าจะโดนให้ขาดแต่กลับโดนปัดออกด้วยรากไม้ที่โผล่มาจากส่วนก็ไม่อาจทราบได้

                “ จับได้แล้ว มีชายหนุ่มจอมจุ้นอยู่ในนี้นี่เอง” เสียงที่กรีดร้องเมื่อครู่กลับกลายมาเป็นเยือกเย็น “ เจ้ารู้มั้ยข้าเจ็บเพียงไร”

                “…” พีทค่อยๆไต่ลงจากจุดเดิมอย่างช้าๆ

                “ เงียบแสดงว่าไม่รู้สินะอย่างนั้นฉันจะทำให้ดู”

                “ โอ๊ย” หนามที่อยู่ด้านใต้เดรโก้พุ่งตรงมารัดพีทอย่างรวดเร็ว “ ปล่อยนะ โอ๊ย!” ยิ่งเขาดิ้นมากเท่าไหร่หนามที่พันอยู่ก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปอีกเลือดของพีทค่อยๆซึมผ่านออกมาช้าๆ

                “ หอมจริงๆเลือดของเมดูซ่าเนี่ย” เจ้าของผลงานเอ่ยชม “ อ้า….ก!”

                “ เป็นไงล่ะเจ็บใช่มั้ย ปล่อยแฟนฉันเดี๋ยวนี้นะเว้ย” มิวส์คว้ามีดในกระเป๋าปาไปยังเถาวัลย์ที่พันเดรโก้เส้นสุดท้าย  จนขาดสะบั้น

 ไซต์ที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่หายตัวไปรบร่างของชายหนุ่มที่กำลังดิ่งลงสู่พสุธาอย่างรวดเร็ว

                “ เรียบร้อย” ไซต์ส่งสัญญาณว่าได้พาเดรโก้ออกไปเรียบร้อยแล้ว

                “ พีทสำเร็จแล้ว คิดสิคิดว่ามันไม่มี” แวมป์ตะโกนไปอย่างสุดแรงเพราะตอนนี้ตัวของพีทเต็มไปด้วยเลือด

                “ ไม่ได้ฉันเจ็บ ฉันคิดไม่ได้จริงๆ” พีทตอบกลับอย่างหมดแรง

                “ ฮ่าๆๆไม่มีใครหรอกที่มีสมาธิระหว่างที่ใกล้จะตาย”

                “ แล้วถ้าเป็นนี่ล่ะ” ไซต์ยิงปืนนัดสุดท้ายใส่ไปยังใจกลางของต้นไม้ทำให้ปืนสลายโมเลกุลค่อยๆกัดซึมทุกอย่างที่มันสัมผัสเสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างทรมานจนทำให้ลืมไปว่ากำลังพีทอยู่

                “ พีท” มิวส์วิ่งไปรับชายหนุ่มแล้วค่อยๆเช็ดเลือดออกอย่างเบามือ “ ปลอดภัยแล้วนะ”

                “ ขอบคุณนะ”

                “ รีบไปกันเถอะ” แวมป์ที่วิ่งเข้ามาประคองอีกข้างเอ่ยขึ้น

 เมื่อออกมาจากห้องก็พบว่าซอมบี้นับสิบยืนเรียงรายพร้อมที่จะต่อสู้อยู่โดยมีซันไชน์ยืนคุมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

                “ กล้าดียังไงมาพังเมืองของข้า !” เขาตะโกนฝ่าบรรดาซอมบี้เข้ามา “ แกรู้มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกแก” เขาเหวี่ยงร่างที่แหลกแทบไม่เป็นชิ้นดีของโซอี้มายังทั้งห้า “ มัน ต้อง ตาย”

                “ เอาไงดีเราสู้ไม่ไหวหรอกนะ” แวมป์ที่ประคองพีทอยู่ถามไซต์ที่แบกเดรโก้อยู่เช่นกัน

                “ จับฉันเราจะออกไปจากตรงนี้ก่อน”

                “ ได้”

 ฟึบ ! ทันทีที่ร่างของทั้งหมดหายไปซันไชน์ก็โห่ร้องมาด้วยความโมโห ก่อนจะสั่งให้กองกำลังไปดักที่หลังหมู่บ้านเพราะรู้ดีว่าถ้าทั้งห้าจะไปถ้ำกอร์กอนยังไงก็ต้องผ่านทางนี้อยู่ดี

 ตุ๊บ ! ไซต์พาทั้งหมดมายังปากทางเข้าหมู่บ้านซึ่งตอนนี้เงียบสงบเพราะไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้ว

                “ ทำไมนายไม่พาเราไปทางออกเลยล่ะ”

                “ ฉันมั่นใจว่าพวกมันต้องไปดักเราแน่ๆแล้วยิ่งตอนนี้เดรโก้ก็ยังสลบอยู่เราสู้ไม่ไหวหรอก”

                “ เดรโก้” แวมป์เขย่าร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ “ เดรโก้”

                “ มามีความสุขกันนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มขณะที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่

                “ มีความซงมีความสุขอะไรกันเล่า แหกตาตื่นมาดูรอบๆก่อนว่าคนอื่นเป็นห่วงอยู่” พีทที่เช็ดแผลอยู่อดโมโหไม่ได้

                “ พี่แวมม์ ไซต์ ทุกคนมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับแล้วพี่พีทไปโดนอะไรมาทำไมถึงได้เลือดขนาดนี้”

                “ เออช่างมัน ฟื้นมาก็ดีแล้วจะได้เดินทางกันต่อ” ไซต์เอ่ยอย่างตัดบท

                “ จะไปไหนล่ะครับ”

                “ สะพานข้ามไปถ้ำกอร์กอนไง”

ทั้งห้าหายตัวมาปรากฏอยู่ไม่ห่างจากจุดที่ซันไชน์กับเหล่าซอมบี้รออยู่ กลิ่นของเหล่าบรรดาศพเน่าที่ยืนเรียงรายถูกพัดผ่านมาตามสายลมอย่างน่าสะอิดสะเอียนแต่ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของทั้งห้าที่เอาแต่จ้องมองกองทัพศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยยิ่งชายร่างอ้วนที่เดรโก้เคียดแค้นนักเคียดแค้นหนากำลังเดินขึ้นไปโชว์หัวเหม่งสั่งการ ยิ่งทำให้พวกเขาสนใจที่จะฟังมากขึ้นแต่ก็ได้แค่ค่อยๆแกะปากที่ค่อยๆขยับเท่านั้น

                “ เอาไงดี ไม่ได้ยินเลย” แวมป์หันมาขอคำปรึกษาหลังจากที่ทุกคนเอาแต่เงียบ

                “ พีทปลดฉันออกมา”

                “ ใช่สิเราใช้แจ็คได้” สาวนัยน์ตาสีทรายแทบจะกระชากสร้อยที่ห้อยอยู่ออกมาอย่างรวดเร็ว “ เอารายละเอียดให้มากที่สุดนะ”

  สิ้นคำสั่งของเจ้านายแจ็ตก็ค่อยๆย่อร่างจากงูที่ตัวเล็กแทบจะกลายเป็นพยาธิตัวตืดแล้วค่อยๆเลื้อยผ่านพื้นต่างระดับลงไปยังจุดหมาย

 เมื่อไปถึงงูน้อยก็แทรกเข้าไปยังกางเกงขายาวของซอมบี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด พร้อมทั้งบึ่งหูฟังรายละเอียดต่างๆอย่างตั้งใจแล้วเมื่อชายร่างหนาย้ายหัวเหม่งลงมาจากจุดสนทนาเขาก็ค่อยๆเลื้อยกับมารายงานทันที

                “ ว่าไงบ้าง” พีทอุ้มแจ็คที่กลับสภาพมาอยู่ในร่างเดิมมาไว้ในมือ

                “ มันบอกว่าต้องจับพวกเราให้ได้ก่อนที่พวกเราจะก้าวข้าวสะพานไปยังถ้ำกอร์กอน”

                “ ทำไมล่ะนายรู้หรือเปล่า”

                “ เพราะถ้าพวกมันเข้าไปร่างจะสลายเพราะซอมบี้ถูกสร้างมาด้วยเวทมนต์ส่วนซันไชน์นั้นก็ไม่สามารถจะออกไปจากเมืองนี้ได้ด้วยเพราะอายุของตัวมันเองน่ะไม่ต่ำกว่าร้อยสองร้อยปีได้แล้วมั้งที่อยู่ได้ก็เพราะเวทย์มนต์ของเมืองนี้แหละ” งูหนุ่มแจง

                “ ขอบคุณมากจ้ะเข้าไปพักผ่อนต่อนะเผื่อข้างหน้าจะใช้บริการใหม่”

                แล้วร่างของแจ็คก็กลายมาเป็นสร้อยคอสวมที่คอของพีทดังเดิม

                “ ถ้าเป็นอย่างที่แจ็คพูดจริงๆหากไม่มีเมืองนี้ไอ้ซันไชน์นั่นก็อยู่ไม่ได้ใช่หรือเปล่า” เดรโก้ถามความคิดเห็นเพราะในใจตอนนี้เคียดแค้นชายหัวเหม่งนั่นเป็นไหนๆที่มาทำลายความฝันที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มของตัวเขา

                “ แต่จะทำยังไงหมดเมืองมันไม่ใช่เล็กๆเลยนะ” ไซต์ถามกลับเพราะไม่อยากให้อารมณ์ผลีผลามของหนุ่มเลือดร้อนมาทำลายทุกอย่างลง

                “ ฉันเห็นด้วยกับเดรโก้นะ” แวมป์มองหน้าไปที่น้องชายซึ่งยิ้มอย่างมีความสุขที่มีคนเห็นด้วยกับความคิดของตนเอง “ แต่ไม่ต้องทำลายทั้งเมืองหรอกเอาแค่ล่อพวกมันไปตามหานายจนพวกเรามีทางที่จะวิ่งไปที่สะพานก็พอแล้วเพราะมันคงทนอยู่นิ่งๆไม่ได้หรอกถ้ามันรู้ว่ากำลังมีคนทำลายความเป็นอมตะของมันอยู่จริงมั้ย”

                “ ได้เลยพี่ ไม่เสียใจเลยที่ยกย่องให้พี่เป็นไอดอลในการใช้ชีวิตของผม” เดรโก้บีบไม้บีบมือก่อนจะวิ่งออกจากวงไปอย่างรวดเร็ว

                “ จะไม่นัดมันหน่อยหรือไงเดี๋ยวก็สร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีกหรอก”

                “ลองเชื่อใจมันดูสักครั้งก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรเพราะเดรโก้ที่เราเห็นอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้” แวมป์เอ่ยอย่างยิ้มก่อนจะหันมาใจจดใจจ่อกับปฏิกิริยาของซันไชน์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 ตู้มมมม!เสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาททำให้ซันไชน์ที่ยืนตั้งหน้าตั้งตารอทั้งห้าต้องหันมาสนใจกับแสงไปและเสียงที่เกิดขึ้นบริเวณใจกลางเมือง

                “ ไฟไหม้ ใครมาทำกับเมืองของฉันแบบนี้” เป็นไปตามคาดยิ่งเมืองไฟไหม้เท่าไหร่ร่างกายของซันไชน์ก็ค่อยๆมีควันลอยออกมา

 ซันไชน์สั่งให้ซอมบี้กลุ่มใหญ่วิ่งตามเขาไปบริเวณที่เกิดควันไปทิ้งไว้เพียงสองสามตัวเท่านั้นที่เฝ้าทางออกของหมู่บ้านอยู่

                “ สำเร็จ” พีทที่มองอยู่เอ่ยอย่างดีใจ

                “ ไปเร็ว” ไซต์จับมือทั้งสามก่อนจะหายตัวไปโผล่ที่ทางออก

                แวมป์คว้ากริชในกระเป๋าออกมาจัดการเชือดที่คอของซอมบี้อย่างรวดเร็วเรียกได้ว่าเร็วจนไม่มีเสียงกรีดร้องหรือการต่อสู้ใดๆเลยดีกว่า

                “ ต่อไปเราก็รอ” แวมป์เอ่ยพลางมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยประกายไฟสีแดงฉานที่ออกมาจากมือน้องชาย

“ หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” ซันไชน์ไม่เอ่ยเปล่าแต่เขาปาเสียมที่อยู่ในมือขึ้นไปใส่ชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าทะเล้นอยู่กาลงอากาศ

                “ นี่สำหรับอาหารมื้อพิสดารของฉัน” เปลวไฟสีแดงเพลิงลุกโชติช่วงขึ้นมาจากมือทั้งสองข้างก่อนที่เดรโก้จะบรรจงปั้นมันเป็นลูกกลมๆขนาดมหึมาแล้วขว้างลงไปยังร้านอาหารที่เขาเคยโดนหลอกเข้าไป “ นี่ก็สำหรับพลังที่ฉันเสียให้กับหุ่นขี้ผึ้งที่แสนอัปลักษณ์ของแก “ บอลลูกที่สองพุ่งไปใส่ห้องนางไม้อย่างรวดเร็ว

                “ แกไอ้เด็กบ้า” ซันไชน์ตะโกนใส่อย่างบ้าคลั่ง

                “ นี่ของแถมนะลุง” เดรโก้เขวี้ยงบอลไปมากลางวงซอมบี้ด้านล่าง ทำเอาศพเดินได้ดิ้นพล่านๆอย่างไม่เป็นท่า “ โชคดีลุงหวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีก” สิ้นคำมังกรน้องก็ร่อนกลับไปยังท้ายหมู่บ้านอย่างเร่งรีบสายตาทั้งสองสอดส่องเพื่อหาจุดลงจอดเพื่อที่จะได้ลงไปสมทบทั้งสี่ที่ยืนโบกไม้โบกมือด้านล่างแต่กลับไม่มีพื้นที่ที่สมดุลได้เลยเพราะด้านล่างมีเพียงก้อนหินใหญ่โตสลับไปมา “ เดี๋ยวผมข้ามไปเจอกันฝั่งโน้นเลยนะลงจอดไม่ได้จริงๆ” เขาโฉบลงไปบอกคนที่ยืนรอด้านล่าง

                “ ลงมาเถอะค่อยๆลงเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะมีอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสะพานอยู่ไหน” แวมป์ตะโกนเชิงปรามเจ้าหนุ่มเลือดร้อนที่ดูจะสนุกเกินเหตุ

                “ โอเคอย่างนั้นหลบหน่อย” เดรโก้โฉบผ่านหัวของพวกเขาไปอย่างฉิวเฉียดก่อนจะค่อยๆร่อนลงบริเวณพื้นที่ราบที่สุด

ตุ๊บ!

                “ โอยย” เสียงโอดครวญจากปากของชายหนุ่มทำให้คนที่รอลุ้นอย่างทั้งสี่วิ่งมาดูแทบไม่ทันเลยทีเดียว

                “ แหมลงจอดซะสวยงามเลยนะ” พีทที่มาถึงก่อนจับยกร่างของเดรโก้ที่มีฝุ่นจับเต็มตัวขึ้นมา

                “ แล้วเอาไงต่อครับ” เดรโก้หันมาถามทั้งสี่เพราะคิดว่าน่าจะมีแผนต่อไป

  มิวส์หยิบแผนที่ออกมา ‘ฉันมีเมื่อฉันไม่มี’ ข้อความใหม่ค่อยๆปรากฏขึ้นมายังหน้ากระดาษพร้อมกับกองทัพซอมบี้ที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้มั้งห้าได้แต่พิจารณาป้ายไม้เก่าๆตรงหน้าที่เขียนว่าทางเข้าแต่กลับไม่มีสะพานที่จะเดินไปแม้แต่น้อยส่วนอีกฝั่งเป็นสะพานไม้เก่าๆที่ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเป็นทางเข้าจริงๆ

                “ พวกมันใกล้เข้ามาแล้วนะ จะทำอะไรก็รีบทำเถอะครับ” มิวส์เร่งเร้าเพราะรอยเท้าในแผนที่กลุ่มใหญ่กำลังมุ่งตรงมาอย่างไมมีทีท่าว่าจะหยุด

                “ เอาอย่างนี้ผมจะบินข้ามไปก่อนถ้าใช่ไม่ยังไงจะมาบอก” เดรโก้ไม่รอฟังคำท้วงติงแต่อย่างใดร่างหนาวิ่งตรงไปยังหน้าผาที่สูงชันหวังว่าจะร่อนแล้วลองสำรวจแต่

 ปั้ง! ร่างของเดรโก้กระเด็นออกมาไม่เป็นท่า บริเวณที่สัมผัสกับอากาศบริเวณนั้นก็ไหม้เป็นแถบๆ

                “บาเรีย” ไซต์มองอากาศเปล่าๆอย่างพินิจก่อนจะปาหินไปใส่อีกครั้ง “ บาเรียไฟฟ้าที่มีใครสักคนสร้างเอาไว้และน่าจะมีสักจุดนี่แหละที่ไม่มีไอ้ไฟฟ้าพวกนี้”

                “ แล้วตรงไหนล่ะครับตอนนี้พวกนั้นใกล้เขามาแล้วล่ะ”

                “ ในแผนที่นั้นมันเขียนว่าฉันมีเมื่อฉันไม่มีใช่หรือเปล่า” พีทหันมาถามมิวส์เพื่อเสริมความมั่นใจ “ ถ้าเราลองหลับตามันก็จะไม่มีใช่มั้ย”

                “ พี่จะให้หลับตาแล้วเดินตกเหวเหรออูยย!”

                “ ใช่แล้วไอ้น้องชายเดี๋ยวพี่ขอลองก่อน” ไม่ว่าเปล่าพีทก็ค่อยๆหลับตาสีทรายลงแล้วค่อยๆก้าวผ่านไปยังจุดที่เขียนว่าทางเข้าแล้วทันทีที่ขางคู่งามเหยียบลงบนอากาศบริเวณนั้นก็พบว่า

                “ สะพาน” คนที่เดินตามถึงกับตะลึงกับสิ่งที่ตัวเอง

 เห็นเดรโก้ก้าวขึ้นไปเหยียบสะพานที่พีทก้าวผ่านแต่ทว่า “ ทำไมมันเหยียบไม่ได้ล่ะ”

                “ นายต้องหลับตาก่อน” มิวส์สะกิดก่อนจะดันน้องชายที่หลับตาพริ้มซึ่งกำลังทำท่ากล้าๆกลัวขึ้นไปยังบนสะพาน

                “ หยุดเดี๋ยวนี้นะเว้ย” เสียงของซันไชน์ตะโกนไล่หลังมาซึ่งทำทั้งห้าเร่งฝีเท้ามากขึ้นก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆหายไป

ทั้งห้ายังคงต้องหลับตาเดินต่อไปด้านหน้าที่แทบไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรู้แต่เพียงว่าเมื่อลืมตาสะพานที่เคยเหยียบอยู่จะหายไปทันที



สวัสดีค่ะตอนนี้การเดินทางตามหาเนตรแห่งมนตราเดินทางมาจะพบกับปลายทางเเล้ว คอมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: THE HALF BLOOD PROJECT บทที่12 14/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-11-2021 20:06:27
 :pig4:
 :3123: