พิมพ์หน้านี้ - __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kinsang ที่ 06-12-2019 19:59:49

หัวข้อ: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 06-12-2019 19:59:49
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53572.0)
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54065.0)
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58861.0)
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61182.0)
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64766.0)
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64895.0)
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67428.0)
เหนือลิขิต [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69628.0)


เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53650.0)
★  อยากบอกว่าชอบเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62434.0)
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62866.0)


======================


เหนือกาล

ผมเคยฝันร้าย
เป็นช่วงเวลายาวนานติดต่อกันนับปี
ทว่าเมื่อคืนฝันร้ายของผมมันกลับ...หายไป


#เหนือกาล



หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหนึ่ง__[06/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-12-2019 20:06:08
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่องของแฝดอีกคนมาแล้ว
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหนึ่ง__[06/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 06-12-2019 20:11:04

กาลครั้งหนึ่ง


            ผมเคยฝันร้าย เป็นช่วงเวลายาวนานติดต่อกันนับปี ทว่าเมื่อคืนฝันร้ายของผมมันกลับ... หายไปแล้ว

            ตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยความสดใสที่ได้นอนเต็มอิ่ม แต่แล้วกลับต้องมานั่งงงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทำไมถึงได้หลับสนิทยันเช้าโดยไม่ฝันอะไรทั้งสิ้น ปกติเวลานอนคนเดียวผมต้องโดนฝันร้ายเล่นงานจนสะดุ้งตื่นกลางดึกทุกที มันแปลกประหลาดจนเกิดเป็นความสงสัยทำให้ต้องมาคิดย้อนกลับไปว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่

            เกิดอะไรขึ้นกับความฝันของผม

            หยิบมือถือขึ้นมากดดูไลน์ที่คุยกับพี่ชายฝาแฝดเมื่อคืนแล้วหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน เป็นการคุยกันสั้นๆ ที่อีกฝ่ายดูไร้เยื้อไยกับผมเสียเหลือเกิน ทั้งที่ปกติถ้ายกประเด็นนี้ขึ้นมาคุยลิขิตมันไม่เคยเมินผมขนาดนี้มาก่อน และไม่มีทางที่มันจะปล่อยให้ผมนอนคนเดียวอย่างเมื่อคืนแน่นอน

            ‘คืนนี้กูไม่กลับนะ ค้างห้องพุด’

            ‘อะไรวะ จะปล่อยให้กูนอนคนเดียวเหรอ’

            ‘หัดนอนคนเดียวได้แล้วมึงน่ะ’

            พิมพ์มาแค่นี้แล้วมันก็ไม่ตอบอะไรกลับมาอีกเลย ขนาดโทรไปตื๊อก็ยังไม่รับ

            สิ่งที่น่าแปลกอีกอย่างคือทำไมพุดตานแฟนของลิขิตถึงไม่ไล่ให้ไอ้พี่ชายฝาแฝดกลับมาหาผม ทั้งที่รู้ว่าผมมีอาการประหลาดที่ชอบฝันร้ายเวลานอนคนเดียว ปกติพุดตานไม่เคยยอมให้ลิขิตค้างด้วยแท้ๆ แต่ทำไมครั้งนี้ทุกคนถึงได้ทำเหมือนกับว่าลืมเรื่องเรื่องฝันร้ายของผมไป เมินเฉยเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่เคยรับรู้มาก่อน แล้วก็ดันลืมได้ถูกจังหวะเสียด้วย เพราะเมื่อคืนฝันร้ายไม่ได้มาเยี่ยมเยือนผมจริงๆ

            ทุกอย่างมันดูแปลกและน่าข้องใจไปเสียหมด

            ขณะที่กำลังนั่งตบตีกับความคิดตัวเองโทรศัพท์ในมือก็แผดเสียงร้องดังลั่น เป็นเหนือลิขิต พี่ชายฝาแฝดของผมที่โทรมาหา แต่ถึงจะขึ้นชื่อว่าแฝดหน้าตาของพวกเรากลับไม่ได้เหมือนกันเท่าไรนัก แถมพี่ชายที่เกิดก่อนแค่ไม่กี่นาทีอย่างมันยังตัวเตี้ยกว่าผมอีก แม้จะแค่สองเซนต์ก็เถอะ

            [ไง นึกว่ากลัวผีจนนอนไม่หลับไปแล้ว]

            "ผีห่าอะไรล่ะ แล้วยังไง เมื่อคืนพุดไม่ไล่มึงกลับเหรอวะ"

            [แล้วทำไมต้องไล่] เสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยถามผ่านมาตามสาย ดูเหมือนว่ามันจะกำลังงง ผมเองก็งงกับมันเหมือนกัน

            "ปกติไม่เห็นพุดให้มึงนอน"

            [ก็มึงไงตัวงอแง]

            "กูเหรอ"

            [เออ]

            มันตอบกลับมาน้ำเสียงนักแน่น กลายเป็นว่ายิ่งคุยกลับยิ่งทำให้งงมากกว่าเดิม ผมเนี่ยนะไปงอแงอะไรกับแฟนลิขิตมันนัก ปกติพุดตานออกจะเป็นคนดีเข้าใจหัวอกเพื่อนมนุษย์ด้วยกันตลอด ขนาดไม่รู้สาเหตุของฝันร้ายบ้าๆ ของผม พุดตานยังไม่เคยจี้ถาม แค่เห็นท่าทางเป็นห่วงเป็นใยที่ลิขิตมันแสดงออกต่อผมบ่อยๆ ก็เข้าอกเข้าใจ ไม่เคยต้องรอให้ผมงอแงใส่ มีแต่ไอ้ลิขิตนั่นแหละที่งอแงแล้วโดนแฟนไล่กลับมาห้องทุกที

            [แล้วมึงจะกลับบ้านเลยมั้ย]

            "ว่าจะกลับพรุ่งนี้เย็นๆ ต้องเข้ามอไปเคลียร์งานก่อน แล้วมึงอ่ะ"

            ปิดเทอมแล้วก็ได้เวลากลับไปอยู่บ้านยาวๆ ให้พ่อแม่หายคิดถึง แต่กับเราสองพี่น้องแล้วเวลาเดือนนิดๆ คงอยู่บ้านจริงๆ แค่ไม่กี่วัน ลิขิตติดแฟน ผมก็เป็นพวกธุระเยอะ ไม่ว่าจะงานที่มหา'ลัย งานสังสรรค์บ้างประปราย รวมถึงภารกิจประจำสัปดาห์ที่ผมตั้งใจว่าจะเลื่อนมาเป็นภารกิจรายวันถ้าทำได้

            [ยังไม่แน่ใจ เดี๋ยวดูอีกที]

            "ติดแฟนไม่อยากกลับบ้านว่างั้น"

            [พุดตานจะกลับบ้านสวน กูเลยคิดอยู่ว่าจะเอาไงดี]

            บ้านสวนที่ลิขิตมันพูดถึงคือมรดกจากปู่ที่ตอนนี้อาพิทักษ์เป็นคนดูแลอยู่ เป็นสถานที่ที่ตอนปิดเทอมสมัยประถมพ่อพาพวกเราไปเล่นบ่อยๆ ส่วนพุดตานเป็นหนึ่งในลูกของคนงานในสวน เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ตอนนี้กลายมาเป็นแฟนพี่ชายผมเรียบร้อย แถมมันยังหลงมากด้วย

            "ก็เลยจะไปอยู่ด้วยกันทั้งเดือนว่างั้น"

            [ความคิดดี]

            "มึงคิดจริงดิ"

            [ไปอยู่จริงกูคงโดนโอนให้ไปเป็นลูกอาพิทักษ์เลย อยู่สวนไปเลยยาวๆ]

            "มึงน่าจะชอบ"

            [เอาที่ไหนมาชอบ เปิดเทอมเดี๋ยวพุดก็กลับมามั้ยวะ แล้วกูจะไปอยู่สวนเพื่อ] มันบ่นใส่อารมณ์ เป็นเรื่องของพุดตานทีไรต้องจริงจังตลอด ทีก่อนเป็นแฟนล่ะตีกันได้ทุกวัน

            "แล้ววันนี้มึงจะกลับห้องมั้ย" ผมชวนเปลี่ยนเรื่องก่อนมันจะออกทะเลไปไกลกว่านี้

            [เดี๋ยวกูกลับเย็นนี้ งั้นแค่นี้นะ]

            "เฮ้ย เดี๋ยวดิ เดี๋ยวๆ" หมดเรื่องที่อยากพูดลิขิตมันก็ตั้งท่าจะวางสายหนีผมทันที ใจคอไอ้พี่ชายคนนี้มันจะไม่ถามถึงอาการฝันร้ายของผมเลยเหรอวะ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นหัวข้อสนทนาประจำวันของเราเลยด้วยซ้ำ หรือมันจะลืมจริงๆ

            [อะไรอีก]

            "เมื่อคืนกูไม่ฝันร้ายแล้วนะ โคตรแปลกเลย ทั้งที่นอนคนเดียว"

            [ฝันร้ายอะไรวะ]

            "ถามจริง!" ลิขิตมันทำผมโมโหจนอยากจะด่า แต่ผมก็เลือกที่จะหยุดปากเอาไว้แค่นี้แล้วกลิ่นคำว่า ‘ไอ้สัด’ ที่ตั้งใจจะพ่นใส่มันลงคอไปก่อน ลองคิดๆ ดูแล้วเรื่องนี้ต้องมันมีอะไรไม่ชอบมาพากล น้ำเสียงมันไม่เหมือนคนที่กำลังแกล้งกัน อีกอย่างไอ้ลิขิตไม่ใช่คนที่ชอบล้อเล่นไปเรื่อยด้วย

            [มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะ ทำตัวแปลกๆ] หลังจากที่เหมือนคุยกันคนละเรื่องอยู่สักพักน้ำเสียงมันก็เริ่มฟังดูเป็นห่วงผมขึ้นมา

            "เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร"

            [อย่าคิดมากดิวะ ห้องนี้ก็อยู่กันมาเป็นปีแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย เวลามึงทิ้งกูให้นอนคนเดียวกูยังไม่ว่าอะไร หรือมีแมวมาอีก]

            ดูเหมือนว่าลิขิตมันจะยังคิดว่าผมกลัวผี ซึ่งจริงๆ ผมก็ไม่ได้ถูกกับเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่ก็ไม่ได้กลัวจนนอนคนเดียวไม่ได้ พูดไปพูดมาแล้วก็ลามไปถึงเรื่องที่ผมชอบออกไปสงสรรค์กับเพื่อนฝูงแล้วทิ้งให้มันอยู่ห้องคนเดียวอีก เรื่องนี้ผมยอมรับ ที่ผ่านมามันก็ไม่เคยว่าอะไร แล้วก็เรื่องสุดท้ายที่ว่ามีแมวมาหา มันคงหมายถึงเมื่อบางครั้งที่เคยมีแมวมาร้องที่ระเบียง ผมกลัวแมว เลยใช้ชีวิตได้ไม่ค่อยปกติสุข ส่วนลิขิตมันชอบแมวแต่ดันชอบแมว ผมก็ห่วงมันด้วยกลัวว่าจะไปคว้าแมวมาเล่นจนเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้หายห่วง มีแฟนเหมือนแมวขนาดนั้นมันคงไม่อยากเล่นแมวตัวอื่นอีกแล้วมั้ง

            "ไม่มีแมวตัวไหนมาทั้งนั้นอ่ะ"

            [แล้วสรุปมึงเป็นอะไรวะ]

            "กูแค่จะบอกว่าเมื่อคืนกูนอนหลับสบายมาก แค่นี้แหละ ไปนอนกอดแมวของมึงต่อไป"

            พูดจบผมก็วางสาย คราวนี้เป็นลิขิตที่ตามตื๊อผมบ้างเพราะมันยังไม่หายคาใจเลยไลน์มาหารัวๆ ผมก็ได้แต่ตอบมันไปว่าสบายดี เพิ่งตื่นเลยเบลอๆ เพราะถึงแม้จะคุยกันไปยืดยาวมันก็จำไม่ได้อยู่ดีว่าผมต้องฝันร้ายทุกคืนเวลานอนคนเดียว ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้อาจจะมีบางคืนที่เวลานอนด้วยกันลิขิตมันแอบหนีออกไปกลางดึกตอนผมไม่รู้ตัวแล้วไม่ฝัน ต่างกับเมื่อคืนที่ถึงแม้จะรู้ตัวว่าอยู่คนเดียวผมก็ไม่ฝันอะไรเลย

            ไม่ฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายครั้งอดีตที่ผมเป็นหนึ่งในต้นเหตุ



            ฝันร้ายที่หายไปทำให้สมองของผมทำงานหนักทั้งวัน ตอนจดจ่อกับงานยังพอมีสมาธิอยู่บ้าง แต่ถ้าเผลอเมื่อไรก็มักจะนึกถึงเหตุผลที่ทำให้ฝันร้ายของผมหายไปเสมอ ลองถามไอ้ลิขิตเพิ่มก็ไม่ค่อยได้เรื่อง พอนานเข้าก็เหม่อบ่อยจนเพื่อนทัก ออกมาจากแล็ปอีกทีแบตเตอรี่สมองก็ขึ้นขีดแดง

            เพื่อนที่คณะไม่มีใครรู้ว่าผมมีอากรฝันร้ายที่ทำยังไงก็รักษาไม่หายแม้จะไปพบแพทย์มาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งที่ผมนอนคนเดียวจะเริ่มฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต เหตุการณ์ที่ผมเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้คนสำคัญของผมไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้ เป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่ผมอยากลืมแต่มันกลับฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ผมรู้ว่าต่อให้พยายามยังไงก็ไม่มีทางลืมได้ แต่เมื่อไม่ฝันถึง ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังจะเลือนหายไปจากความทรงจำผมในไม่ช้านี้

            ขับรถออกจากมหาวิทยาลัยผมก็แวะศูนย์อาหารทางผ่านหอเจ้าประจำ โดยปกติถ้าไม่ไปสังสรรค์ต่อกับเพื่อนที่ไหน ผมจะเป็นคนซื้อข้าวเย็นกลับไปกินกับพี่ชายฝาแฝด แวะซื้อที่นี่บ้างร้านข้าวใกล้หอบ้าง แต่หลังจากพุดตานได้หอใหม่แล้วย้ายออกไปหลังจากมาอาศัยอยู่ด้วยกันร่วมเดือนลิขิตมันก็ไม่ค่อยอยู่ติดห้องเท่าไร ขยันเทียวไปหาไม่ก็พาพุดตานมาที่ห้อง ช่วงนี้ผมเลยต้องกินข้าวเย็นคนเดียวเป็นประจำ

            "เอาคะน้าหมูกรอบครับป้า"

            "สามเลยมั้ย"

            "วันนี้กล่องเดียวครับ"

            "โดนพี่ชายทิ้งอีกแล้วเหรอ"

            "ประจำนั่นแหละครับมันน่ะ"

            ป้าแกยิ้มให้ ผมถอยมานั่งรอที่โต๊ะหน้าร้าน หยิบมือถือขึ้นมาตอบไลน์ลิขิตที่ส่งมาก่อนหน้านี้ วันนี้มันก็ไม่กลับห้องอีกแล้ว ทั้งที่เพิ่งคุยกันเมื่อเช้าว่าเย็นนี้จะกลับ

            ‘ไหนว่าจะกลับวะ กลับห้องมานอนกับน้องบ้างเถอะ กู...’

            "เหี้ย!" พิมพ์ยังไม่ทันจบประโยคอยู่ๆ ก็มีแก้วน้ำโคล่าตกมาบนโต๊ะที่ผมนั่ง เพราะนั่งเอาหลังพิงโต๊ะไว้มันเลยเปื้อนหลังผมเต็มๆ

            "เฮ้ย! ขอโทษนะครับ มันหลุดมือ"

            ผมไม่ใช่คนชอบโวยวายในที่สาธารณะ แต่สายตากับสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างมากก็ทำให้คู่กรณีชะงัก หยุดท่าทีกระวนกระวายเป็นยืนสงบนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ กลับเป็นใจผมเองที่อยู่ๆ ก็อ่อนยวบลง

            เพราะคนคนนี้...มันไม่น่าจะเป็นไปได้

            "ผมขอโทษนะครับ คือมีแค่ผ้าเช็ดหน้า" คนตรงหน้าค่อยๆ ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้พร้อมกับเอ่ยบอกด้วยเสียงขาดๆ หายๆ อย่างหวาดกลัว ขณะที่ผมกำลังสับสนอย่างหนัก

            คนคนนี้ดูภายนอกแล้วเหมือนกับพุดตานอย่างกับฝาแฝด แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือขี้แมลงวันตรงแก้มซ้าย กับแววตาซุกซนคู่นั้น ผมเคยเจอกับเขาแล้วเมื่อปีก่อนในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ยืนทำหน้าสำนึกผิดพร้อมยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ซึ่งเหมือนกับตอนนั้นจะเกิดขึ้นได้อีก เพราะคนคนนั้นที่ผมรู้จักเขาไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้ได้

            มันไม่มีทางเป็นไปได้

            "ผมขอโทษจริงๆ นะครับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ แก้วมันหลุดมือ ก็เลย..."

            "ดื้อ"

            "ครับ? ผมเหรอ" เขาถามพร้อมกับชี้หน้าตัวเอง

            เห็นท่าทางที่คนตรงหน้าแสดงออกยิ่งทำให้สับสนว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่

            ไอ้ดื้อเป็นชื่อที่ผมใช้เรียกคนคนนั้นที่คล้ายกับเขา หากเขาจำผมได้คงทักทายกันแบบคนรู้จักกันไปนานแล้ว จึงสรุปได้ว่าเขาไม่ใช่ไอ้ดื้อ และเราไม่รู้จักกัน แต่ความรู้สึกของผมกลับไม่ได้บอกแบบนั้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็ด้วย

            "แค่ทำน้ำหกใส่เองอ่ะ อย่าโกรธกันเลยนะ นี่ผ้าเช็ดหน้านะครับ ยังไงก็ขอโทษอีกที"

            หลังจากเราเงียบใส่กันต่างฝ่ายต่างก็มีท่าทีที่สับสน พอเริ่มตั้งสติได้เขาก็รัวใส่ผมก่อนวางผ้าเช็ดหน้าไว้บนโต๊ะแล้วหันหลังเดินจากไป

            "เดี๋ยว!"

            "น้องกาล คะน้าหมูกรอบได้แล้วนะ" กำลังจะเดินตามไปป้าร้านข้าวก็เรียกพอดี

            มองคนที่เดินออกไปสลับกับร้านป้าก่อนตัดสินใจเดินไปเอาข้าวก่อน จ่ายเงินเสร็จกำลังจะพุ่งตัวออกไปเขาคนนั้นก็ขึ้นแท็กซี่หายไปแล้ว

            สุดท้ายก็ตามไม่ทัน

            ผมยืนเคว้งคว้างอยู่กับถุงข้าวกล่อง ได้ยินเสียงป้าร้านข้าวถามถึงเสื้อที่เปียกโคล่าไปครึ่งตัวแต่สมองมันเบลอจนลืมตอบคำถาม ทำเพียงหันไปยิ้มให้แล้วเดินกลับไปขึ้นรถ

            เกิดคำถามมากมายที่ผมตอบกับตัวเองไม่ได้สักอย่าง ฝันร้ายหายไปเพราะอะไร ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ใช่ไอ้ดื้อของผมหรือเปล่า หรือจะเป็นแค่คนหน้าคล้าย เหมือนที่พุดตานเองก็คล้ายกับไอ้ดื้อจนน่าตกใจ รวมถึงเหตุการณ์ที่เหมือนกับตอนที่ผมเจอไอ้ดื้อครั้งแรกแป๊ะๆ นี้อีก มันพอจะบอกอะไรได้บ้างว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม

            แล้วไอ้เหตุการณ์บ้าๆ ทั้งหลายนี้ มันต้องการอะไรจากผมกัน

           

            เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้านี้ลิขิตมันเพิ่งไลน์มาบอกว่าไม่กลับห้อง แต่พอผมมาถึงกลับเจอมันนั่งหน้าสลอนอยู่กับพุดตานที่โซฟา พี่ชายฝาแฝดหันมายิ้มให้ เห็นแบบนี้แล้วผมชักจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ

            "ไหนบอกไม่กลับ"

            "กูเปลี่ยนใจละ" มันมองผมโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม แต่ด้วยความเป็นฝาแฝดหรือความสนิทสนมก็ตามแต่ จากสายตาที่ผมอ่านได้เหมือนมันอยากจะบอกว่าที่กลับมาก็เพราะเป็นห่วง

            ผมวางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะ หันมองพุดตานที่ยิ้มให้ แล้วหน้าของใครบางคนก็ซ้อนทับขึ้นมา ครั้งแรกที่ได้เจอพุดตานอีกครั้งผมยังจำได้ดี ความคล้ายกันจนเกือบจะเหมือนคนเดียวกันทำเอาผมกับลิขิตอึ้งไปชั่วขณะ แต่มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ คนบนโลกนี้หน้าเหมือนกันเยอะแยะไป แต่จะมีคนที่เหมือนกันขนาดนั้นได้ถึงสามคนเลยเหรอ

            "จ้องซะ กูรู้ว่าสเป็กเราน่ะเหมือนกัน แต่อย่าได้คิด" ลิขิตดักขึ้นมาแบบทีเล่นทีจริง แต่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ผมเลยเผลอตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรออกไป

            "คิดห่าอะไรล่ะ กูก็มีไอ้ดื้ออยู่แล้วมั้ย"

            "แซวเล่นมั้ยวะ แค่นี้โมโห แล้วไอ้ดื้อนี่ใคร หรือมึงแอบมีแฟนไม่บอกกู"

            คำถามของลิขิตทำให้ความหงุดหงิดของผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ แต่ผมไม่อยากโวยวาย ไม่เคยโวยวายใส่มันด้วย เวลาโกรธเราจะคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่า มันเองก็ดูเหมือนจะจับบรรยากาศไม่ดีที่ออกมาจากตัวผมได้ พุดตานเองก็ด้วย

            "เรากลับก่อนดีกว่า"

            "มึงกินข้าวไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูลงไปส่งพุดก่อน"

            พุดตานยิ้มให้ผมอีกรอบก่อนเดินตามลิขิตออกจากห้อง แปลกที่วันนี้มันไม่ทำตัวงอแงเหมือนทุกทีเวลาแฟนจะกลับหอ แต่ที่แปลกกว่าคงเป็นความบ้าบอของสิ่งต่างๆ ที่ผมเจอมาตลอดทั้งวัน และถ้ายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ไอ้เรื่องบ้าๆ นี้ต้องทำให้ผมเครียดจนเสียสติแน่ๆ



            ลิขิตกลับขึ้นมาหลังจากหายไปไม่กี่นาที คะน้าหมูกรอบที่ซื้อมายังอยู่ในกล่องเหมือนเดิม ผมนั่งรอมันที่โซฟา มองผ้าเช็ดหน้าที่คู่กรณีที่ร้านข้าวให้ไว้ เสื้อที่ถูกโคล่าหกใส่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยน

            "สรุปเป็นอะไรวะ แปลกๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะมึง"

            "กูแปลกเหรอวะ"

            "เออดิ"

            "กูก็คิดว่ามึงแปลกเหมือนกัน ทุกอย่างแม่งแปลกไปหมด กูสับสนไปหมดแล้วไอ้เหี้ย" ผมเหนื่อย เหนื่อยมากจนไม่อยากจะคิดอะไรแล้ว แต่สมองมันกลับหยุดคิดไม่ได้เลย

            ลิขิตนั่งลงข้างผม สีหน้ามันดูจริงจังขึ้นมา เรานิ่งกันไปหลายนาทีท่ามกลางความตึงเครียด กระทั่งลิขิตเป็นฝ่ายเอ่ยขอออกมาก่อน

            "เล่าให้กูฟังหน่อย ทุกอย่างที่แปลกไปสำหรับมึง"

            หลังจากนี้คือการเปิดใจ ผมเล่าทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตวันนี้สับสนให้ลิขิตฟัง ตั้งแต่เรื่องฝันร้ายที่มันคิดว่าผมกลัวผี รวมถึงคนที่หน้าเหมือนไอ้ดื้อกับเหตุการณ์ที่เหมือนกับตอนผมเจอไอ้ดื้อครั้งแรก หน้าตาของพุดตานกับไอ้ดื้อที่เหมือนกันจนนึกว่าเป็นฝาแฝด แล้วมันก็ยืนยันหนักแน่นว่าไม่รู้เรื่องฝันร้ายของผม และไม่รู้จักไอ้ดื้อของผมทั้งที่มันควรรู้จัก

            ฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลิขิตมันก็ยิ้มบางๆ เป็นการแสดงออกที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเล็กๆ มันจะเชื่อผมมั้ย หรือคิดว่าผมเป็นบ้าไปแล้ว จะคิดว่าผมแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมาหลอกมันหรือเปล่า แต่ก่อนที่ผมจะคิดไปเองมากกว่านี้มันก็พูดในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจออกมาอีกครั้ง

            "เวลาของมึงคงมาถึงแล้วมั้ง"

            "เวลาอะไรของมึง"

            "ของมึงต่างหาก มึงจำเรื่องที่ปู่เคยเล่าให้ฟังได้มั้ย ที่กูเคยถามมึงก่อนหน้านี้"

            ยิ่งฟังผมก็ยิ่งสับสน เวลาของผมกับเรื่องเล่าของปู่งั้นเหรอ ลิขิตมันอยากจะบอกอะไรกันแน่

            "มึงจะบอกอะไรวะ พูดมาให้ชัดๆ เลยดีกว่า"

            "เรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต"

            "เออใช่ มันเป็นเรื่องประหลาดของกู มึงก็จะว่ากูประหลาดด้วยใช่มั้ย"

            "กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น มึงลองนึกดีๆ ก่อน ตอนนี้มึงอาจจะเหนื่อยเลยยังคิดอะไรไม่ออกหรือลืมไป แต่ลองนึกดูดีๆ ว่าตอนเด็กๆ ปู่เคยบอกอะไรกับพวกเรา" มันบอกอย่างใจเย็น ปล่อยให้ผมลองใช้ความคิดอีกครั้ง

            ตอนเป็นเด็กปู่เคยเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้พวกผมฟังหลายอย่าง สอนเรื่องต่างๆ ก็เยอะ มีทั้งเรื่องที่จำได้และลืมไปบ้าง แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องแปลกประหลาดในชีวิต พอลองนึกดูดีๆ ปู่เองก็เคยเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน มันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวเราเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม มีบางอย่างผิดแปลกไปและต้องทำมันให้ถูกต้อง และเราจะได้สิ่งที่พิเศษที่สุดกลับคืนมา ถ้าถามว่าชีวิตของผมวันนี้แปลกพอแล้วหรือยัง มันก็แปลก แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมคิดไว้ทั้งหมดเป็นความจริง

            "ไง พอจะคิดออกยัง" ถามขึ้นมาหลังจากให้เวลาผมคิด สีหน้าลิขิตมันดูสนุกจนผมนึกหมั่นไส้

            "ก็พอนึกอะไรออก แต่มึงทำหน้าเหมือนรู้อะไรเลยว่ะ"

            "สำหรับเรื่องของมึงกูไม่รู้หรอก"

            "หมายความว่ายังไงวะ"

            "มึงต้องเผชิญกับมันและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แต่ปรึกษากูได้ตลอดนะ"

            "พูดเหมือนเคยผ่านมาแล้วก็"

            "ก็ใช่"

            "ถามจริง"

            "เออ เรื่องของกูมันจบแล้ว ต่อจากนี้ก็ถึงเวลาของมึง เรื่องราวของมึงกำลังจะเริ่มขึ้น"

            "ขอรายละเอียดกว่านี้" บอกตามตรงว่าผมโคตรงง ลิขิตมันเคยผ่านเรื่องแปลกๆ ที่ว่ามาแล้ว แต่ทั้งที่ผมก็อยู่กับมันตลอดเวลาแล้วทำไมผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร

            "มึงเคยจำได้นะกาล แต่ตอนนี้มึงลืมไปหมดแล้ว เหมือนที่กูลืมเรื่องไอ้ดื้อของมึงล่ะมั้ง"

            "มันจะเป็นไปได้ไงวะ"

            "เดี๋ยวมึงก็รู้เอง กูบอกได้แค่ว่ามันเป็นเรื่องดี อีกอย่าง มึงคือเหนือกาล เหนือ-กาล"

            "กูรู้ชื่อตัวเอง จะย้ำทำไม"

            "ย้ำให้มึงจำขึ้นใจเฉยๆ"

            ผมกำลังเครียด แต่เหมือนลิขิตมันกำลังสนุก

            ผมพยายามถามต่อแต่ลิขิตมันไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่ม ย้ำแค่ว่าผมต้องหาทางเองแต่ปรึกษามันได้ตลอด จะช่วยเต็มที่เท่าที่ช่วยได้ แต่เรื่องที่มันช่วยผมได้ดีที่สุดคือการเล่าทุกอย่างให้ผมฟังอย่างละเอียดไม่ใช่หรือไง พอถามกลับเอาแต่ยิ้มบอกให้ผมหาทางแก้ด้วยตัวเอง

            หลังจากพยายามเค้นถามอยู่นาน ตะล่อมเท่าไรก็ไร้คำตอบสุดท้ายผมเลยเป็นฝ่ายยอมแพ้ พยายามจะเชื่อว่ามันต้องเป็นเรื่องดี ถ้าไม่จบด้วยการที่ผมเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกตายเสียก่อน

            บางทีเรื่องนี้มันอาจจะเป็นแค่ฝันร้าย เป็นฝันซ้อนฝันที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

            "วันนี้ต้องให้กูนอนเป็นเพื่อนมั้ย" มันถามตอนผมเดินหนีเข้าห้อง

            "ไม่ต้อง"

            "แล้วนั่นเสื้อไปโดนอะไรมาวะ"

            "เสือก"

            "เอ้า! นี่กูถามดีๆ นะ แล้วข้าวจะกินมั้ย"

            ปัง!

            "ถ้าไม่กินกูกินนะ" ได้ยินเสียงมันตะโกนบอกหลังประตูปิดลง

            เออ จะกินก็กินไป วันนี้ผมขอหงุดหงิดใส่มันหนึ่งวัน โทษฐานที่ไม่ยอมพูดอะไรให้มันชัดเจน


tbc


หลังจากเหนือลิขิตจบไป ก็ถึงเวลาของเหนือกาลแล้ววววว
เรื่องนี้เนื้อหาจะเครียดกว่าของลิขิตนิดนึงนะคะ แค่นี้ดเดียว
ยังไงก็ฝากแฝดน้องคนนี้ด้วยน้า
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหนึ่ง__[06/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-12-2019 20:53:31
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหนือ-กาล

ความพิเศษ คงเป็นเรื่องการเดินทางข้ามเวลามั้งสินะ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหนึ่ง__[06/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-12-2019 22:35:36
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหนึ่ง__[06/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 07-12-2019 02:42:33
เกี่ยวกับเวลาแน่ๆ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสอง__[14/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 14-12-2019 19:45:00

กาลครั้งสอง


            คืนที่สองแล้วที่ผมไม่ฝันถึงเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น แต่ก็ใช่ว่าคืนที่ผ่านมาจะได้นอนเต็มอิ่ม ในหัวผมเอาแต่คิดถึงเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน รวมถึงเรื่องราวความแปลกประหลาดในชีวิตที่ได้ฟังมา ซึ่งไม่มีคำตอบไหนช่วยคลายความสงสัยที่ผมมีอยู่ได้อย่างชัดเจน

            หลังจากนอนคิดอยู่หลายตลบผมก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าเรื่องแปลกประหลาดครั้งนี้อาจเป็นการที่ผมได้กลับมาเจอไอ้ดื้ออีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นใหม่ ได้ทำความรู้จักกันใหม่ และอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับชื่อของผมเพราะลิขิตมันพยายามย้ำอยู่เมื่อวาน

            เหนือกาล

            ย้อนอดีตข้ามกาลเวลา ในเมื่อมันคือเรื่องราวสุดแปลกประหลาดก็ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ปฏิทินยังบอกวันเวลาปัจจุบันไม่ได้ลดหรือเพิ่มไปไหน จะว่าสมองผมกระทบกระเทือนจนจำวันผิดก็ไม่ใช่อีก แต่ถ้าเครียดจนคิดอะไรไม่ออกอันนี้ก็ไม่แน่

            แต่สารภาพตามตรงว่าผมไม่ค่อยอยากเชื่อเรื่องราวประหลาดที่ลิขิตมันเล่าให้ฟังนัก แม้จะจำได้แล้วว่าตอนเด็กๆ เคยได้ยินปู่เล่าให้ฟังอยู่บ้าง แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆ น่ะเหรอ

            คนที่นอนติดเตียงมาแรมปี อยู่ๆ จะกลับมาใช้ชีวิตปกติได้จริงๆ งั้นเหรอ

            ด้วยความข้องใจหลังเสร็จงานที่มหาวิทยาลัยแทนที่จะรีบกลับบ้านผมขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง มันเป็นสถานที่ที่ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมก็ยังแวะมา มาทุกวันหยุด มาเพื่อพบกับใครบางคนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างคนปกติได้ คนที่ไม่สามารถพูดคุยและทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกันได้อีกแล้ว

            เด็กดื้อที่ชื่อเอิร์ธ

            ผมจอดรถที่หน้ารั้ว กดกริ่งไม่นานก็มีคนชะเง้อมองจากประตูบ้าน เธอเดินเข้ามาหา จนอยู่ในระยะการสนทนาผมจึงรีบยกมือไหว้และเอ่ยทักทาย

            "สวัสดีครับแม่"

            "สวัสดีจ้ะ มาหาใครเหรอ"

            คำถามจากอีกฝ่ายทำเอาชะงัก ทั้งที่ทำใจมาบ้างแล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้ แต่อีกใจกลับยังคิดว่าเรื่องราวบ้าๆ ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความจริง มันคือความผิดพลาด และไม่ใช่ว่าผมกดกริ่งบ้านผิดหลังแน่ๆ ที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักผม

            "มาหาเอิร์ธครับ"

            "เพื่อนที่มหา'ลัยเหรอ"

            "ครับ"

            สายตาแม่มองผมอย่างไม่ไว้ใจนัก หากจะอิงตามเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ครั้งแรกที่ผมเจอไอ้ดื้อคือตอนน้องอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งมันก็ผ่านมาครบปีพอดี ถ้าหากเรื่องราวได้ดำเนินไปตามปกติไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้ไอ้ดื้อต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ตอนนี้น้องต้องเรียนอยู่ปีสอง ซึ่งมันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ

            "เอิร์ธยังไม่กลับเลยจ้ะ ไม่ได้โทรคุยกันเหรอ"

            "ก็...คุยครับ เห็นบอกว่ากำลังกลับบ้านสักพักแล้ว ผมก็เลยนึกว่าถึงแล้ว" โกหกออกไปคำโต คิดว่าจะเนียน แต่สีหน้าแม่ดูไม่ค่อยเชื่อ

            "แม่ไม่คุ้นหน้าเราเลย"

            "เอ่อ...คือ" โดนทักมาแบบนี้แล้วผมควรจะแก้ตัวยังไง

            "แม่!"

            ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาข้อแก้ตัวเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น ผมกับแม่หันไปมองพร้อมกัน คนที่กำลังเดินตรงมาหาก็ชะงักเท้าไว้ทันที

            ผมเองก็ลืมคิดไป มาเจอหน้ากันจังๆ แบบนี้จากที่ผมควรจะได้คำตอบที่ชัดเจนและสบายใจขึ้น อาจจะกลายเป็นว่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าเดิมก็ได้

            ไอ้ดื้อก้าวขาข้างหนึ่งถอยหลังตั้งท่าจะวิ่งหนี มันไม่เหมือนกับการพบกันครั้งที่สองของเราในอดีต แต่ถ้าเป็นท่าทางกับสีหน้าหวาดกลัวเล็กๆ นั่นล่ะก็ใช่ เพราะเจอผมทำหน้าโหดตอนทำน้ำหกใส่ครั้งนั้นไอ้ดื้อเลยเหมือนเด็กที่กลัวผมไปเลย

            "นี่มาเอาเรื่องกันถึงบ้านเลยเหรอ แค่ทำน้ำหกใส่เองนะ สะกดรอยตามหรือว่ายังไง แสดงว่าแอบตามมาตั้งแต่เมื่อวานเลยใช่มั้ย เหี้ยเอ๊ย! แม่งจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!"

            พูดมาก ขี้โวยวาย ชอบเล่นใหญ่ ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

            ผมไอ้แต่ยืนอ้าปากมองไอ้ดื้อชี้หน้าโยนคำถามใส่เป็นชุด หน้าตาขึงขังพร้อมสู้ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่เด็กตัวกระเปี๊ยก ปากดื้อๆ ขยับพูดไม่หยุด จมูกรั้นๆ นั้นยิ่งทำให้ดูน่ามันเขี้ยวเข้าไปใหญ่ ผิดกับคนเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ร่างกายซูบผอมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง เสียงเจื้อยแจ้วที่ไม่ได้ยินมานานทำขอบตาผมร้อนผ่าว

            คิดถึงชะมัด

            "อย่าเงียบดิวะ"

            "สรุปหนูเป็นใครเนี่ย"

            ทั้งแม่ทั้งลูกเริ่มเค้นผม ใจอยากจะอยู่ตรงนี้ให้นานอีกสักหน่อย แต่สมองที่ถูกใช้งานหนักมานานหลายชั่วโมงมันคิดไม่ทันว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไงเลยต้องยอมแพ้

            "ไม่มีอะไรครับ"

            บอกแล้วกลับขึ้นรถขับออกมา ผ่านเด็กดื้อที่จ้องตามหน้าตาพร้อมมีเรื่องทั้งที่ไม่เคยสู้ได้แท้ๆ เป็นคนปากเก่งแต่ก็มักจะยอมให้ผมตลอด เป็นคนกล้าและขี้โวยวายแต่กลับกลัวด้านนิ่งๆ ของผม เป็นคนที่เหมือนจะแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ แต่ไม่ใช่ เป็นเด็กดื้อที่ในอดีตผมทำให้เขาต้องเจ็บปวดและช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย

            มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ผมยอมปักใจเชื่อข้อสันนิษฐานของตัวเองไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์หลังจากได้พบกันครั้งที่สอง

            เด็กคนนี้คือเอิร์ธ คือไอ้ดื้อคนในอดีตของผมจริงๆ



            ผมขับรถกลับบ้าน ระหว่างการเดินทางมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเปกัน ความเครียดและสับสนลดลงบ้างแล้ว แทนที่ด้วยความสุขอันน้อยนิดที่แทรกเข้ามาเมื่อลองคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น ทุกวันผมเฝ้าภาวนาให้ไอ้ดื้อกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเหมือนเดิม แล้วความฝันนั้นก็เป็นจริง ไม่มีเรื่องราวมหัศจรรย์ไหนบนโลกที่จะทำให้ผมดีใจได้เท่านี้ อาจจะน่าเสียดายไปสักหน่อยที่ทุกอย่างย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง แต่การทำให้เราสองคนกลับมารักกันอีกไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากคือการรักษามันเอาไว้ต่างหาก

            ในกรณีที่ความรู้สึกของไอ้ดื้อยังคงเหมือนเดิม

            เปิดประตูลงจากรถแม่ก็เดินเข้ามาสวมกอด ผมกอดตอบแน่น หอมแก้มแม่อีกหนึ่งที ในช่วงเวลาที่หนักหน่วงแบบนี้ยังมีครอบครัวที่อยู่ข้างผมเสมอ

            "ไปกินข้าวไป แม่ทำกับข้าวไว้ให้เยอะเลย" แม่บอกแล้วเดินกอดเอวผมพาเข้าบ้าน

            บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวหลายอย่างที่แม่ทำเตรียมไว้ให้ ความจริงพ่อกับแม่ตั้งใจจะรอผมกลับมาก่อนแล้วกินพร้อมกัน แต่ด้วยการจราจรแสนโหดร้ายของเมืองหลวงเลยไม่อยากให้รอ ตอนผมออกมาจากบ้านไอ้ดื้อก็หกโมงกว่าแล้ว เจอรถติดเข้าไปอีก กว่าจะถึงก็ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว

            "พี่ชายเราเขาไม่คิดจะกลับบ้านบ้างเหรอ" แม่ถามหาลูกชายคนโตหลังจากนั่งมองผมกินข้าวจนเกือบหมด มันได้คุยกับแม่บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

            "มันไม่ได้บอกแม่เหรอ"

            "เห็นแต่บอกว่าจะกลับบ้านสวน"

            "งั้นเดี๋ยวก็คงแวะมา ช่วงนี้มันโคตรติดพุดตานเลย"

            "ลิขิตก็บอกว่ากาลน่ะติดเพื่อน ไม่ชอบนอนห้อง" ตั้งใจจะฟ้องเรื่องไอ้ลิขิตติดแฟนแต่กลับโดนดักทางซะงั้น เพิ่งรู้ว่ามันก็ขี้ฟ้องเหมือนกัน

            "เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ออกแล้วแม่ แค่เรียนก็เหนื่อยแล้ว"

            "แล้วที่บอกจะมาคุยกับพ่อด้วยนี่เรื่องอะไร บอกแม่ได้มั้ย"

            ผมเป็นคนที่คุยกับแม่บ่อยอยู่แล้ว มีปัญหาอะไรจะบอกตลอด แต่ไอ้เรื่องประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นผมยังไม่ได้บอกแม่สักคำ เคยโทรหาพ่อจะปรึกษาครั้งเดียว พอเห็นว่าไหนๆ ก็ปิดเทอมแล้วพ่อเลยบอกให้กลับมาคุยกันที่บ้าน และก็คงเป็นพ่อเองที่หลุดปากบอกแม่ไปว่าผมกำลังมีปัญหาชีวิต

            "จริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน" แต่กับปัญหานี้น่ะ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน

            "มันยังไงหืม"

            "ลิขิตมันบอกว่าให้ถามพ่อ"

            "เรื่องของลูกผู้ชายงั้นสิ"

            "ก็คงประมาณนั้นมั้งครับ" บอกตรงๆ ผมก็สับสน เรื่องนี้บอกใครได้บ้างก็ไม่รู้ ไอ้พี่ชายที่ทำตัวเหมือนเคยผ่านเรื่องบ้าๆ นี้มาแล้วก็ไม่ยอมบอกรายละเอียด จากที่คุยกันลิขิตมันเอ่ยแค่ชื่อปู่กับพ่อ ผมเลยไม่รู้ว่าควรจะบอกแม่เรื่องนี้ดีหรือเปล่า

            "ทำไม มีแฟนแล้วเหรอ"

            "ยังหรอกแม่ แต่เร็วๆ นี้อาจจะมี"

            "แสดงว่ากำลังจีบใครอยู่ใช่มั้ย"

            ผมฉีกยิ้ม ทำเป็นกั๊กไปอย่างนั้นให้แม่ตื่นเต้นเล่นๆ ผมไม่เคยพาใครเข้าบ้าน ตั้งแต่เข้ามหา'ลัยก็เที่ยวเล่นไปเรื่อยไม่เคยคบใครจริงจัง เรื่องของไอ้ดื้อครอบครัวไม่เคยได้รับรู้ มันคือความผิดที่ผมไม่กล้าสารภาพ

            "ถ้ามีอย่าลืมพามาให้แม่รู้จักบ้างนะ" แม่ยิ้มให้ และผมไม่ปฏิเสธคำขอนี้

            "ครับ"

            จบมื้ออาหารผมก็ช่วยแม่ยกจานไปเก็บ ก่อนจะโดนไล่ออกมาตอนแม่จะล้างจาน ทิ้งตัวบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นได้แป๊บเดียวพ่อที่น่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เดินลงบันไดมาพอดี

            พ่อเดินมานั่งข้างผม ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ทำเหมือนกับว่ารู้ปัญหาของผมแล้วยังไงยังงั้น ก็หน้าผมมันเคร่งเครียดขนาดนี้นี่นะ มีแต่คนรอบข้างผมนี่แหละที่ยังดูสบายใจ

            "ยิ้มขนาดนี้พ่อพูดมาให้หมดเลยดีกว่าว่ามันยังไง"

            ทั้งพ่อทั้งลิขิตต่างทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องทำอะไรตอนจบมันก็จะออกมาสวยงามอยู่ดี ผิดกับผมที่เครียดจนเหมือนแก่ขึ้นไปอีกสามสิบปี เดินไปส่องกระจกดูอีกทีผมอาจจะขาวทั้งหัวแล้วก็ได้

            "เรื่องของกาลพ่อจะไปรู้ได้ไง"

            "พูดงี้พ่อไม่ต้องให้ผมกลับมาคุยที่บ้านก็ได้นะ" ผมทำเป็นหงุดหงิดซึ่งพ่อก็รู้นั่นแหละว่ามันคือการแสดงถึงยังยิ้มได้อยู่

            "ใจเย็นๆ พ่อแค่อยากให้กาลกลับบ้าน" แล้วพ่อก็เปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงออกมา ทำให้ผมอยากลับบ้านโดยการเอาเรื่องแปลกประหลาดนั้นมาล่อ

            "แล้วสรุปว่าไอ้เรื่องแปลกประหลาดนี่มันคือยังไงอ่ะพ่อ ลิขิตมันบอกพอเรื่องของมันจบเรื่องของผมก็จะเริ่มขึ้น ต้องทำสิ่งผิดให้ถูกต้อง" ผมยิงตรงเข้าประเด็น ฟังแล้วสีหน้าพ่อไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด

            "ก็อย่างที่ลิขิตบอกนั่นแหละ"

            "มันไม่ได้บอกอะไรกาลเลยนะ"

            "กาลต้องหาด้วยตัวเอง"

            "ตอนนี้เครียดจนเหมือนเส้นเลือดในสมองจะแตกแล้วครับ"

            "มันไม่ยากขนาดนั้นหรอก" พ่อยังคงบอกด้วยยิ้ม

            "แล้วผมต้องแก้มันยังไง"

            "พ่อไม่รู้หรอก"

            "อ้าว"

            "มันเป็นเรื่องของกาล ก็มีแค่กาลเท่านั้นที่รู้"

            "งั้นเดี๋ยวกาลเล่าให้พ่อฟัง"

            "ไม่ต้องเล่าหรอก ถึงเล่าไปพ่อก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี"

            ให้มันได้อย่างนี้สิ

            ยอมรับว่าผมไม่ได้รู้สึกว่ามันหมดหนทาง ในหัวพอจะมีวิธีการอยู่บ้างว่าจะรับมือและแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้ยังไง แต่ผมแค่ต้องการกำลังใจ ต้องการความเชื่อมั่นว่ามันจะสำเร็จและผ่านไปด้วยดี ผมไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงคนเดียว ไม่อยากเผชิญกับเรื่องเลวร้ายนั้นอีกแล้ว

            "อย่าทำหน้าเครียด ลูกคือเหนือกาลนะ ลูกพ่อเก่งอยู่แล้ว" พ่อพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบอะไร รอยยิ้มยังคงแต้มอยู่บนริมฝีปาก คล้ายกับต้องการยืนยันว่าคำพูดเมื่อครู่คือความจริง

            "เหนือกาลคนเก่งก็เครียดเป็นนะครับ"

            "งั้นไหนลองเล่ามาซิ" สุดท้ายพ่อก็ยอม

            ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องฝันร้ายที่หายไป พูดถึงคนคนหนึ่งที่ปัจจุบันไม่มีทางใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ แต่กลับได้มาเจอกันอีกครั้งในฐานะคนไม่รู้จัก เหตุการณ์มันเหมือนกับครั้งแรกที่ได้รู้จักกัน แต่เขาคนนั้นจำผมไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่มีใครจำผมได้ และคนที่เกี่ยวข้องกับผมก็ไม่มีใครจำเขาได้เช่นกัน

            "พ่อเคยรู้จักเขามั้ย"

            "ไม่ครับ"

            "ถ้าอย่างนั้นจบเรื่องแล้วอย่าลืมพาเขามาทำความรู้จักกับพ่อนะ"

            คำตอบจากพ่อมีเพียงเท่านี้ก่อนเราจะปิดประเด็น พ่อไม่ตอบอะไรอีก เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่เข้ามาพอดี ทั้งคู่เริ่มจดจ่อกับสิ่งน่าสนใจในจอทีวี ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

            คิดไปคิดมาแล้วเรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ก็คือโอกาสครั้งที่สองของผม จะผิดหรือถูก เรื่องราวจะดำเนินเหมือนครั้งก่อนไหมผมไม่รู้ แต่ครั้งนี้ทุกอย่างต้องจบลงด้วยดี ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้อีกเลย

           

            ทิ้งตัวลงบนเตียงตอนตาใกล้จะปิดผมถึงได้หยิบมือถือมาตอบไลน์ลิขิต พิมพ์กลับไปสั้นๆ ว่า ‘อยู่บ้านแล้ว’ ก่อนปิดไฟนอน แต่หลับตาได้ไม่ถึงนาทีเสียงเรียกเข้าก็ดัง

            เป็นใครไม่ต้องเดาให้เสียเวลา

            "ว่า"

            [ถามไปตั้งแต่เย็น]

            "ก็ตอบแล้วนี่ไง"

            [ตอนจะห้าทุ่มแล้วเนี่ยนะ โทรก็ไม่รับ ดีนะแม่บอกกูก่อน]

            "กูบอกมึงไปแล้วไงว่าจะกลับบ้าน"

            [แต่ติดต่อไม่ได้ กูก็ห่วงมั้ย ช่วงนี้มึงยิ่งเครียดๆ อยู่]

            "ขอโทษๆ ปลอดภัยดี"

            [แล้วได้คุยกับพ่อยัง]

            "คุยแล้ว"

            [พ่อว่าไง]

            "ก็บอกเหมือนมึงอ่ะ"

            [แล้วมึงโอเคขึ้นยัง ยังเครียดอยู่ปะวะ]

            "ก็เออ ดีขึ้นมั้ง ก็ดีขึ้นนิดนึง" อย่างน้อยก็ไม่เครียดและสับสนเท่าเมื่อวาน

            [มันจะผ่านไปด้วยดีเชื่อกู มึงอาจจะต้องขอบคุณก็ได้ที่เกิดเรื่องแบบนี้ แม้เรื่องของกูมันจะไม่ค่อยน่าให้อภัยนักก็เถอะ แต่กูก็คิดว่าดีแล้ว อย่างน้อยมันก็ทำให้กูมองเห็นสิ่งรอบตัวมากขึ้น]

            "พูดซะกูอยากรู้เลย"

            [กูบอกไปแล้วไงว่ามึงเคยรู้ แต่ลืมเองว่ะช่วยไม่ได้]

            "ก็เล่าให้กูฟังอีกรอบไม่ได้เหรอวะ"

            [ไม่ว่ะ เสือกลืมเอง]

            "เออ ไอ้สัด"

            ปลายสายหัวเราะกลับมา ดูมีความสุขเสียเหลือเกิน

            "แล้วนี่มึงอยู่ไหน"

            [อยู่ห้องดิ]

            "กับพุดตาน"

            [ก็รู้นี่หว่า]

            "ไม่กลับบ้านจริงอ่ะ"

            [เดี๋ยวกลับ]

            "เออๆ ไปนอนไป กูก็จะนอนแล้ว"

            [อย่าเครียดนะมึง]

            "เออ"

            ผมชิงวางสายก่อน ซุกหน้าลงกับหมอนและหยุดคิดทุกเรื่องที่ชวนให้ปวดหัว

            จากนี้ต่อไปฝันร้ายจะไม่กลับมา มันดีแล้ว เป็นเรื่องราวแปลกประหลาดที่มาพร้อมกับเรื่องดีๆ

            เป็นโอกาสที่จะทวงคืนฝันดีของผมกลับมา



            ได้กลับมาอยู่บ้านช่วงปิดเทอมยาวๆ ทั้งที ใจอยากนอนตื่นสายๆ แต่ร่างกายไม่ปฏิบัติตาม แม้ไม่ฝันร้ายก็ใช่ว่าจะได้นอนเต็มอิ่ม เพราะสมองทำงานไม่หยุด เอาแต่คิดนั่นคิดนี่สุดท้ายก็เก็บไปฝันอยู่ดี ฝันเป็นเรื่องเป็นราวที่ดูเละเทะไปหน่อย ผสมปนเปกันจนปะติดปะต่อไม่ถูกว่าเรื่องมันควรเป็นยังไง แต่สิ่งที่ผมจำได้แม่นคือในความฝันนั้นมีไอ้ดื้ออยู่ด้วย เป็นไอ้ดื้อที่ยังสุขภาพแข็งแรงดี

            เดินลงมาข้างล่างก็เจอพ่อกำลังเตรียมตัวไปทำงาน แม่กำลังตากผ้าอยู่หลังบ้าน ได้กลิ่นไอของความเป็นครอบครัวลอยมานิดๆ หลายเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ตื่นนอนแต่เช้าตอนอยู่บ้านแบบนี้

            "ตื่นเช้าเชียว" พ่อทัก ในมือถือกระเป๋ากับกุญแจรถเตรียมพร้อม

            "เมื่อคืนกาลนอนเร็วมั้ง"

            "แม่ทำต้มจืดไว้ มีน้ำเต้าหู้ด้วย พ่อไปทำงานแล้วนะ"

            "ครับ"

            พ่อโบกมือให้ก่อนเดินออกจากบ้านไป

            เช้าในวันที่ไม่มีเรียนแบบนี้ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไร ทิ้งตัวลงบนโซฟาเปิดข่าวเช้าดู ช่วงนี้ก็มีแต่เรื่องเครียดๆ ไม่จรรโลงใจสักนัก จดจ่ออยู่กับข่าวได้พักเดียวก็กลับมาจมอยู่กับความคิดตัวเองอีกครั้ง

            ชีวิตผมตอนนี้ก็เหมือนถูกนำเรื่องในอดีตมาฉายซ้ำ แต่เรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตัวละครหลักอย่างผม ซึ่งได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เดินเรื่องตามรูปแบบเดิมและเปลี่ยนตอนจบใหม่

            รายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นผมยังจำได้ ครั้งแรกที่ได้เจอ และครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุย แม้ระหว่างทางจะเลือนรางไปบ้างก็ตาม

            ครั้งแรกผมกับไอ้ดื้อเจอกันที่ร้านข้าว ส่วนครั้งที่สองคือหลังจากนั้นสองวัน ณ สถานที่เดิม แม้อยากจะเลือกเส้นทางที่แตกต่าง แต่ผมยังไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับจุดเริ่มต้นมันถึงจะออกมาดีที่สุด ซึ่งการเดินตามบทเดิมก่อนมันก็คงไม่แย่นัก จับทางได้แล้วจึงค่อยเริ่มเดินด้วยตัวเอง



            ตอนเย็นผมขับรถมาที่ร้านข้าวร้านเดิม สั่งข้าวตามสั่งป้าร้านประจำนั่งกินที่ร้าน ผมจำได้แม่นว่าครั้งที่สองที่เราได้เจอกันเป็นยังไง เพราะมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมองเด็กคนนี้ใหม่ แม้ละครบทใหม่นี้ความประทับที่ไอ้ดื้อมีต่อผมอาจจะเปลี่ยนไปจากการที่ผมบุกไปหาถึงบ้านก็เถอะ

            กินข้าวไปผมก็คอยมองรอบข้างไป ความจริงผมก็ไม่ค่อยมั่นใจนักว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า ตอนนั้นเราพบกันด้วยความบังเอิญอีกครั้ง และผมไม่ได้นั่งกินข้าวรออยู่แบบนี้ บางทีการที่ผมมาปรากฏตัวแบบนี้มันอาจจะดูจงใจเกินไป

            ขณะที่กำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ คนที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามาในระยะสายตา เราสบตากัน อีกฝ่ายชะงักไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เดินตรงมาหาด้วยท่าทางที่ยังดูลังเล

            ปัจจุบันยังคงเหมือนในอดีต

            ไอ้ดื้อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม สายตาคู่นั้นดูล่อกแล่ก แต่ยังคงไว้ซึ่งความซุกซนที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว เอกลักษณ์ที่ตอนนี้ยังถูกซ่อนเอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าผม

            "เรื่องวันนั้นอ่ะ ขอโทษนะ" พูดเข้าประเด็นโดยไม่มีการเกริ่นนำแต่อย่างใด มันยังเหมือนเดิม ไอ้ดื้อเป็นฝ่ายเข้ามาขอโทษผม

            "อืม"

            "แต่เราก็ไม่คิดนะเว้ยว่านายจะโกรธถึงขั้นตามไปที่บ้านเราอ่ะ วันนี้เราเลยอยากมาเคลียร์ คือถ้าวันนั้นนายทำอะไรแม่เราขึ้นมา..."

            "เดี๋ยวก่อน" ผมต้องรีบเบรกก่อนคนตรงหน้าจะจินตนาการเป็นเรื่องเป็นราวไปไกลกว่านี้

            "เราซีเรียสนะ มีอะไรก็มาลงที่เรา อย่าไปยุ่งกับแม่เรา"

            "ก็บอกว่าเดี๋ยวไง"

            "นายต้องการอะไรว่ามาเลย เคลียร์ให้มันจบๆ ไป"

            เอาล่ะ ผมรู้แล้วว่าปัจจุบันกับอดีตนั้นมันต่างกันยังไง ตอนนั้นไอ้ดื้อเข้ามาขอโทษผม เราคุยกันและเริ่มทำความรู้จักกัน แต่ครั้งนี้เหมือนผมกำลังถูกลูกหมาตัวเท่าข้อเท้าท้าต่อย มันเป็นความผิดผมก็จริงที่ทำให้ไอ้ดื้อมีความคิดแบบนี้ แต่ใจเย็นหน่อยเถอะไอ้หนู

            "นั่งก่อนมั้ย คุยกันก่อน" ผมดึงเก้าอี้พลาสติกออกให้พร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญ

            ไอ้ดื้อดูลังเล อีกฝ่ายยังไม่ไว้ใจผมข้อนี้เข้าใจดี เราเล่นจ้องตากันอยู่สักพัก พอรู้ว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ อีกฝ่ายถึงได้ยอมนั่ง

            "นี่ผ้าเช็ดหน้า ขอบคุณมาก" เมื่อรู้ตัวว่าต้องเป็นฝ่ายยอมอ่อนให้ก่อนผมก็เริ่มผูกมิตร ใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ไม่ขึงขังเหมือนอดีต ยื่นผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายทิ้งไว้คืนให้

            เด็กดื้อตรงหน้ารับไป เหลือบตามองผมแล้วยัดใส่กระเป๋าลวกๆ และก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดฉากพูดเรื่องผิดๆ ในจินตนาการออกมาอีกรอบผมก็ชิงอธิบายออกมาก่อน

            "เรื่องที่ทำน้ำหกใส่วันนั้นไม่ติดใจอะไรนะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ ขอโทษแล้วก็จบๆ กันไป ส่วนที่ตามไปที่บ้าน อันนี้อาจจะเชื่อยากหน่อย คือเราน่ะ เอ่อ หมายถึงนายน่ะ หน้าตาคล้ายคนที่พี่ เอ้ย! คล้ายคนที่เรารู้จัก เลยแอบตามไป"

            สีหน้าคนฟังบอกชัดว่าไม่เชื่อ เหตุผลของผมยังไม่เนียนพอ บวกกับการใช้สรรพนามแปลกๆ อีก เพราะมันติดปากเลยเผลอพูดไปแบบนั้น

            "คล้ายคนที่รู้จักเหรอ"

            "ใช่ คล้ายจนเหมือนเป็นพี่น้องกันเลย อยากเจอมั้ยล่ะ" เรื่องนี้ผมไม่ได้โกหก เพราะพุดตานกับไอ้ดื้อหน้าเหมือนกันมากกว่าฝาแฝดอย่างผมกับลิขิตเสียอีก

            "เหมือนกำลังโดนล่อลวง"

            "เฮ้ย ไม่ใช่ แค่อยากยืนยันเฉยๆ"

            "แล้วนายรู้ชื่อเราได้ไง แถมเมื่อกี้แทนตัวเองว่าพี่" อยู่ๆ คู่สนทนาก็เปลี่ยนน้ำเสียง สีหน้าและแววตาจริงจังขึ้น

            เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดข้อแก้ตัวมา แม้จะรู้อนาคต รู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่การรู้ชื่อคนที่เพิ่งเจอกันย่อมเป็นเรื่องแปลกในสายตาอีกฝ่าย จะโกหกไปว่าเพราะพุดตานเป็นน้องก็ไม่ได้ ในอนาคตยังไงสองคนนี้อาจมีโอกาสได้เจอกัน สุดท้ายต้องโดนจับได้อยู่ดี ผมไม่อยากให้เราต้องมีเรื่องบาดหมางใจกันตั้งแต่ตอนนี้แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม ต้องเคลียร์ให้สบายใจหมดทุกเรื่อง

            จังหวะที่กำลังคิดหาข้อแก้ตัวผมก็เหลือบไปเห็นพวงกุญแจที่ห้อยอยู่ตรงกระเป๋าอีกฝ่ายพอดี แม่ไอ้ดื้อคงเล่าให้ฟังหมดแล้วว่าผมถามถึงตอนไปหาที่บ้าน และเหตุผลที่ทำให้ผมรู้ชื่อเด็กดื้อคนนี้ได้นั้นก็เพราะคำที่อยู่บนพวกกุญแจ โชคดีแค่ไหนที่น้องมันใช้กระเป๋าใบเดิม

            "เดาเอา น่าจะชื่อเดียวกับพวงกุญแจ"

            เจ้าของพวงกุญแจรีบคว้ามันมาดู ก่อนจ้องกลับมาเหมือนผมเป็นโรคจิตยังไงยังงั้น

            "ส่วนที่แทนตัวเองว่าพี่เพราะนายหน้าเด็ก แล้วจริงๆ นายเรียนอยู่ปีไหน"

            "ปีหนึ่ง"

            คำตอบที่ได้ฟังชวนให้ชะงัก เวลาผ่านมาเกือบปีแล้วแต่ไอ้ดื้อยังเรียนอยู่ปีหนึ่งเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรก แสดงว่าเวลาของผมยังเดินไปตามปกติ แต่เวลาของอีกฝ่ายได้ย้อนกลับสู่อดีต

            "งั้นก็น้องจริงๆ เราชื่อเหนือกาล หรือเรียกพี่กาลก็ได้ อยู่ปีสาม เราเรียนที่ไหน" หลังจากตั้งสติได้ผมก็ใช้โอกาสนี้แนะนำตัว

            "เอยู"

            "มอเดียวกัน"

            "ครับ" ไอ้ดื้อยังใช้สายตาเหมือนมองสิ่งแปลกประหลาดสักอย่างมองผม ต่างจากสายตาในอดีตที่ค่อนข้างดูหวาดกลัวผมมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่าครั้งก่อนล่ะมั้ง

            "จะมาซื้อข้าวใช่มั้ย"

            "อืม"

            "งั้นเดี๋ยวพี่เลี้ยง ขอโทษที่ทำให้ตกใจ"

            "ไม่เป็นไรครับ ถือว่าหายกันก็ได้" รีบปฏิเสธ พอรู้ว่าเป็นรุ่นพี่ก็พูดเพราะขึ้นมาทันที

            "งั้นก็แล้วแต่"

            "เคลียร์แล้วนะครับ งั้นผมไปก่อนนะ"

            ผมพยักหน้าให้ ไม่รั้งเอาไว้เพราะรู้ว่ายังไงเราต้องได้เจอกันอีก

            ไอ้ดื้อลุกขึ้นยืน เหลือบมองกันด้วยสายตาไม่ไว้วางใจอีกครั้ง ผมส่งยิ้มกลับไปให้ อีกฝ่ายนิ่งไปชั่วครู่แถมไม่ยอมยิ้มตอบ เบนสายตามองทางอื่น ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินหนีไป

            แล้วเจอกันใหม่นะเด็กดื้อ


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสอง__[14/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-12-2019 10:43:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสอง__[14/12/62]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 16-12-2019 00:15:40
ยังไงกันนะ  :ling2:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 11-01-2020 20:33:43

กาลครั้งสาม


            ปิดเทอมแล้วผมก็กลับมาอยู่บ้านทำตัวเป็นลูกชายที่ดี ส่วนลิขิตพี่ชายผู้ไม่เอาไหนนั้นหนีพาแฟนกลับบ้านสวนไปแล้วแต่ช่วงบ่าย ยังดีที่มันอุตส่าห์แวะมาบ้านก่อน แต่ที่ไม่ดีคือมันเอารถผมไป แม้ความจริงแล้วรถคันนั้นที่บ้านซื้อไว้ให้ใช้ด้วยกันก็เถอะ แต่เพราะก่อนหน้านี้ลิขิตไม่ยอมขับ มันเลยกลายเป็นรถของผมมาตลอด

            ตั้งแต่เริ่มคบกับพุดตานลิขิตมันก็หัดขับรถอย่างจริงจังทั้งที่เมื่อก่อนเอาแต่บ่นว่าขี้เกียจ เหตุผลข้อเดียวที่มันบอกคือจะได้พาแมวไปเที่ยว หรือก็คือพาพุดตานกลับบ้านสวนได้บ่อยๆ นั่นแหละ เห็นว่าพ่อจะซื้อรถคันใหม่ให้มันด้วย ซึ่งก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องแย่งกันใช้

            "กาล ไปซื้อของเข้าบ้านกัน"

            แล้วการที่ลิขิตมันเอารถผมไปก็ทำให้เกิดความลำบากขึ้นมาก็ตอนนี้ เมื่อคุณหญิงแม่เกิดอยากจะซื้อของใช้เข้าบ้านขึ้นมา

            "ไปไงอ่ะแม่ ไม่มีรถ"

            "แท็กซี่ไง บิ๊กซีอยู่แค่นี้"

            "ลำบากอ่ะ"

            "ไปช่วยแม่หิ้วหน่อย อย่างอแง" เห็นผมทำหน้างอหน่อยแม่ก็รีบดักทันที ปฏิเสธไม่ได้เลยแบบนี้

            ผมทำเป็นลีลา ปกติแม่จะนั่งแท็กซี่ไปซื้อของคนเดียวอยู่แล้ว แต่พอลองนึกดูอีกที...

            ปิดเทอม

            ไปซื้อของกับแม่

            ที่ล็อกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป...

            "ก็ได้ครับ"

            ครั้งนี้ผมต้องไป ยังไงก็ต้องไป ทำไมตอนแรกถึงลืมไปได้กันนะ



            ยี่สิบนาทีต่อมาผมกับแม่ก็มาเดินอยู่ในบิ๊กซีสาขาใกล้บ้าน ทำหน้าที่ลูกชายที่ดีเข็นรถตามคุณหญิงแม่ ถูกถามอะไรก็เออออไปด้วยหมด เพราะปกติผมไม่ค่อยรู้เรื่องของใช้ในบ้านสักเท่าไร มีอะไรก็ใช้อันนั้น ส่วนของใช้ที่หอผมมักจะไปซื้อกับลิขิตช่วงวันหยุด โดยเน้นของลดราคาหรือไม่ก็ของที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้วเป็นหลัก

            ขาเดินตามแม่แต่ในหัวกำลังนึกถึงลำดับเหตุการณ์ในอดีต ครั้งที่สามที่ผมได้เจอไอ้ดื้อคือตอนออกมาซื้อของกับแม่ เทียบแล้วก็คงเป็นตอนนี้ เป็นอีกครั้งที่เราจะได้เจอกันโดยบังเอิญ

            "กาลไปดูมาม่านะแม่"

            "หยิบเผื่อลิขิตด้วยนะ"

            "ครับ"

            ทิ้งรถเข็นไว้กับแม่ที่โซนเครื่องปรุงแล้วผมก็เดินมาล็อกข้างๆ ที่มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อวางเรียงราย ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในล็อกก็เห็นผู้ชายหน้าดื้อยืนเลือกของอยู่ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นมา

            เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแล้วกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

            ผมเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ ทำทีเป็นเลือกซื้อของของตัวเอง ต่างกันเพียงในอดีตผมไม่ได้สนใจว่าคนที่เลือกของอยู่ก่อนเป็นใคร ส่วนครั้งนี้ผมรู้ เพียงแต่ทำเป็นไม่สนใจ

            ยื่นมือไปหยิบยำยำรสหมูสับซองสีเขียวที่อยู่ตรงหน้าคนข้างๆ มาถือไว้ก็ถูกมองตาม ผมทำทีเป็นหันไปสบตา ก่อนจะแสร้งตกใจให้เหมือนกับที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่

            "เฮ้ย! พี่"

            "น้องเอิร์ธ"

            ไอ้ดื้อชะงักค้างทันทีเมื่อผมเรียกชื่อ เหมือนตอนนั้นแป๊ะ ผมเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายคงไม่ชิน อยู่ๆ ก็ไปเรียกเขาว่าน้องทั้งที่ไม่กี่วันก่อนยังจะตีกันอยู่เลย

            "เรียกน้องเลยนะ"

            "ก็เป็นน้องไม่ใช่เหรอ"

            "เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้ครับ"

            "เรียกน้องนี่แหละเหมาะดี" มันเหมาะจริงๆ ผมไม่ได้แกล้งพูดหยอด แม้ในอดีตที่เรียกไปแบบนั้นเพราะอยากแกล้งจริงๆ ก็เถอะ เป็นนิสัยของคนที่ชอบหว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นไปเรื่อย

            ไอ้ดื้อทำหน้าแปลกๆ ใส่ผมก่อนจะหลบหน้า จะว่าไม่ชอบใจก็ไม่ใช่ หรือจะบอกว่าชอบที่เรียกแบบนั้นก็ไม่ใช่อีก เป็นสีหน้าที่ตัวผมในอดีตเริ่มมองออกว่าอีกฝ่ายอยากสื่อความรู้สึกแบบไหน

            "พี่ก็มาซื้อของเหรอ"

            "ใช่"

            "บ้านอยู่แถวนี้?"

            "ก็ใช่"

            "งี้ก็ตามไปที่บ้านได้อ่ะดิ ผมจะได้ไม่ระแวงที่พี่รู้บ้านผมคนเดียว"

            "ไปได้นะ"

            "ใครจะไป" ก่อนหน้านี้ล่ะเก่ง ทีแบบนี้ล่ะเริ่มปฏิเสธซะเร็วเชียว

            หากถามว่าผมคนเก่าที่ดูเป็นคนน่ากลัวในสายตาไอ้ดื้อหยอกกันเล่นแบบนี้บ่อยไหน คำตอบคือถ้าเป็นตอนอารมณ์ดีผมก็เล่นได้หมด ไม่อย่างนั้นน้องคงไม่กล้าทำตัวแสบสันใส่ผมจนได้ฉายานี้มา

            ดื้อเก่ง แต่ก็เป็นเด็กดีเก่ง

            มือหยิบของแต่สายตาไม่ยอมละจากคนข้างๆ ตัวผมในอดีตเวลาอยู่กับไอ้ดื้อไม่ค่อยได้ทำตัวอ่อนโยนนัก กับปัจจุบันผมก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น ไม่อยากหลุดจากความเป็นตัวเองจนเกินไป แต่จะใส่ใจและอ่อนโยนให้มากกว่าที่ผ่านมา

            มองคนที่ทำทีเป็นเลือกของไม่ยอมมองหน้ากันแม้กระทั่งตอนคุยแล้วอยากดึงเข้ามากอดให้หายคิดถึง แต่สำหรับคนที่เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ยังรู้จักกันไม่ดีพอ การกระทำแบบนั้นย่อมไม่เหมาะสม

            ปล่อยให้เงียบเสียนานเพราะผมมัวเอาแต่มองไอ้ดื้อเลยเหล่มองกลับบ้าง ไล่สายตาตั้งแต่หน้าลงมาจบที่ของในมือผม

            "พี่มาซื้อของคนเดียวเหรอ"

            "เปล่า มาเป็นเพื่อนแม่ เอิร์ธล่ะ"

            "มาคนเดียวครับ"

            "มาตุนเสบียงหรือไง" เดาจากตะกร้าที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งมีแต่ของกินทั้งนั้น

            "ประมาณนั้น"

            "แต่บ้านเราไม่ได้อยู่แถวนี้นี่"

            "มาปาร์ตี้บ้านเพื่อน"

            "แล้วเพื่อนล่ะ"

            "ผมทางผ่านเลยแวะซื้อ"

            "แล้วกลับยังไง เอารถมาเหรอ"

            "เดี๋ยวเพื่อนมารับ พี่นี่ก็ถามเก่งเนอะ" ว่าผมนะแต่ไม่ยอมหันหน้ามามอง

            "ก็อยากรู้ไง"

            หากเป็นเมื่อก่อนโดนว่าแบบนี้ผมคงดุกลับ แต่เป็นเพราะคนพูดคือคนที่กำลังสนใจ ประเด็นเล็กน้อยเหล่านี้จึงถูกมองข้าม แม้คำว่ากำลังสนใจของตัวผมในอดีตกับปัจจุบันจะต่างกันอยู่มากก็ตาม

            สนใจที่แปลว่าอยากได้มาแก้เบื่อ กับสนใจที่แปลว่าอยากได้มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

            "ว่าแต่สายปาร์ตี้เหรอเรา" แต่ก่อนผมก็สายนี้ แต่เป็นปาร์ตี้คนละอย่างกับน้อง

            วิธีดึงความสนใจได้ผลเมื่อไอ้ดื้อหันมามองผมหน้าสลับกับของในตะกร้าตัวเอง มีแต่ของกินน่ารักๆ ทั้งนั้น

            "มั้งครับ ปาร์ตี้ขนมกับมาม่า"

            "ชอบหมูสับเหรอ" เห็นซองสีเหลืองในมือที่ถือค้างไว้ตั้งแต่ผมเดินมาเลยถาม หยิบรสเดียวกันกับผมแต่คนละยี่ห้อ

            "ครับ"

            "ไม่ลองของยำยำ อร่อยนะ"

            "เคยลองแล้ว แต่ชอบอันนี้มากกว่า"

            "อันนี้ออกจะเข้มข้น"

            "ลิ้นใครลิ้นมันดิพี่" ไอ้ดื้อก็คือไอ้ดื้อ ความแสบไม่เคยเป็นลองใคร เถียงแต่ไม่ยอมมองหน้าเหมือนเคย

            "ก็แล้วแต่"

            รอบนี้ผมยอมให้ ไอ้ดื้ออมยิ้ม วางมาม่ารสหมูสับแพ็กหกซองใส่ตะกร้า เลือกของที่ล็อกนี้เสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมไปไหน

            เราสบตากัน เหมือนน้องจะรอให้ผมเลือกของเสร็จแล้วเดินไปก่อน แต่ผมยังไม่อยากไปไหน ยังอยากอยู่ด้วยกันตรงนี้ แม้จะจำรายละเอียดเกี่ยวกับบทสนทนาในอดีตได้ไม่ค่อยแม่นเท่าไร แต่ตอนนั้นเราคุยกันเยอะกว่านี้

            "จริงๆ ผมก็คุ้นหน้าพี่อยู่นะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว เหมือนเคยเห็นที่ไหน"

            คำบอกเล่าที่เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผมเริ่มใจเต้น จะว่าไปก็พอคุ้นกับประโยคนี้ขึ้นมาบ้าง ในใจผมแอบคิดไปแล้วว่าไอ้ดื้ออาจจะจำผมได้หรือเปล่า ผมอยากให้น้องจำตัวผมได้ แต่ไม่อยากให้น้องจำเหตุการณ์เลวร้ายนั้นได้ ซึ่งมันเป็นความคิดที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว

            "เรียนมอเดียวกันคงเคยเดินสวนกันมั้ง" แกล้งเดาออกไปทั้งที่รู้ว่ามันไม่จริง

            "เออใช่ เพจมอเคยลงรูปพี่" อีกคนก็เล่นตามน้ำ พูดออกมาเสียงดัง ทำหน้าดีใจแถมยังยิ้มกว้าง

            ผมมองรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วในใจมันก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมา นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้ ดวงตาที่เปล่งประกาย สายตาคู่นั้นที่มองผมพร้อมกับรอยยิ้มที่มอบให้

            "ก็พี่มันคนดังน่ะนะ"

            "ไม่ถ่อมตัวหน่อยเหรอครับ"

            "คนเราต้องหัดรู้จักยอมรับความจริง"

            "เพิ่งรู้ว่าพี่เป็นคนแบบนี้"

            "ก็แบบนี้แหละ แล้วเราคิดว่าพี่เป็นคนแบบไหน"

            ไอ้ดื้อตอบ แต่ผมไม่ได้ยินว่าน้องพูดว่าอะไร มันเป็นเสียงพึมพำที่เบามาก คล้ายกับอีกฝ่ายอยากกระซิบบอกใครสักคนที่ไม่ใช่ผม

            "อะไรนะ"

            "หล่อคร้าบ เป็นคนหล่อ" ตอบแล้วหันหน้าหนี จะใช่คำตอบเดียวกับที่พูดก่อนหน้านี้หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่พอถูกชมแม้อีกฝ่ายอาจจะอยากกวนประสาทกันมากกว่ามันก็อดยิ้มไม่ได้

            ยื่นมือออกไปหวังจะลูบหัวคนที่เพิ่งเบือนหน้าหนีกัน ผมรู้ดีว่าตอนนี้คนคนนี้รู้สึกยังไง ทุกการกระทำที่แสดงออก ทั้งสายตาและคำพูด การพบเจอกันครั้งที่สามคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้น ความรู้สึกที่ครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มเข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่กล้าสบตา

            "กาล"

            มือที่ยื่นออกไปชะงักก่อนดึงกลับ ผมหันไปมองแม่ที่เข็นรถผ่านมา ก่อนหันกลับไปมองคนข้างๆ ที่เผลอหันมาสบตากันก่อนอีกฝ่ายจะเบือนหนีอีกครั้ง

            "พี่ไปก่อนนะ"

            "ครับ"

            วางมือลงบนผมสีช็อกโกแลตอย่างอดไม่ไหว ไอ้ดื้อรีบหันกลับมามอง ผมยิ้มให้ ก่อนจะเดินจากมา

            "เพื่อนเหรอ" แม่ถามถึงทันทีเมื่อผมกลับไปหา วางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับแต่คนละยี่ห้อกับเด็กดื้อลงในรถก่อนจะตอบ

            "รุ่นน้องครับ"

            "หน้าคล้ายพุดตานมากเลย เมื่อกี้แม่ตกใจนึกว่าพุดตาน" แม่มองตามไอ้ดื้อที่เดินออกไปอีกฝั่ง

            "แสบกว่าพุดตานเยอะครับคนนี้"

            "วันหลังลองพามาเจอกันสิ"

            "ไว้กาลจะลองชวนครับ"



            ผมกำลังนอนคิดว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นยังไง มนุษย์เราไม่สามารถจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตได้ทั้งหมด กับช่วงเวลาที่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในอนาคตจึงทำให้มันยิ่งดูเลือนราง แต่ก็ใช่ว่าจะจางหายไปทั้งหมดเสียทีเดียว

            หลังจากบังเอิญเจอกันที่ห้างเมื่อตอนกลางวันแล้วจากนั้นเป็นยังไงต่อ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออก

            นอนเล่นมือถือเข้าทุกโซเชียลมีเดีย ไล่ดูรายชื่อเพื่อนและคนที่ติดตามไว้ รวมถึงเบอร์มือถือ ทว่าทุกช่องทางติดต่อของไอ้ดื้อที่เคยมีกลับหายไปหมด ทุกอย่างหวนกลับสู่จุดเริ่มต้น

            แม้ช่องทางติดต่อเหล่านั้นจะหายไปแต่ผมยังจำได้ ทั้งชื่อ ไอดี กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คิดถึงช่องทางเหล่านี้สักเท่าไร พอเครียดแล้วเหมือนสมองมันตันไปหมด แค่คิดว่าจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยังไง จากนี้จะทำยังไงต่อก็รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดทุกที

            กดพิมพ์ตัวอักษรที่ทำได้ขึ้นใจลงไปในช่องค้นหาของเฟซบุ๊ก ในอดีตนั้นไอ้ดื้อเป็นฝ่ายขอเป็นเพื่อนผมก่อน แต่ในเมื่อนี่คือการเริ่มต้นใหม่ จึงไม่จำเป็นที่เรื่องราวจะต้องดำเนินไปตามแบบแผนเดิม และผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

            ชื่อของคนที่กำลังค้นหาโชว์ขึ้นแม้จะยังพิมพ์ไม่ครบทุกตัว นิ้วจิ้มไปที่ชื่อพร้อมกับแจ้งเตือนจากอีกแอปที่เด้งขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน

            maearth started following you

            นิ้วเลื่อนจากชื่อที่กำลังค้นหาไปจิ้มที่แจ้งเตือนแบบอัตโนมัติ ใจผมเริ่มเต้นแรง ความทรงจำที่เลือนรางเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด

            ผมกดติดตามกลับทันที ไล่ดูโพสต์ทั้งหมดที่มีแค่สิบกว่ารูป ส่วนใหญ่เป็นรูปวิวตอนไปเที่ยว ซึ่งผมเคยเห็นมันมาหมดแล้ว

            กดที่รูปสองทีหัวใจใต้โพสต์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ผมไล่กดไลค์ทุกรูป แจ้งเตือนอีกฝ่ายไปในตัวว่าผมกำลังจะจู่โจม จากนั้นก็กดเข้าข้อความส่วนตัว แต่ยังไม่ทันได้พิมพ์อะไรลงไปก็ถูกไอ้ดื้อตัดหน้าพิมพ์ส่งมาหาเสียก่อน

            'ไม่รู้เลยว่าส่อง'

            'ก็อยากให้รู้ไงว่าส่อง'

            'พี่แม่งน่ากลัวว่ะ'

            มาแล้วสำนวนแบบไอ้ดื้อ ต่อหน้าล่ะพูดเพราะ พอไม่เจอหน้าล่ะเก่งขึ้นมาเลย

            'แม่งเลยนะ'

            'ก็น่ากลัวจริง'

            'เป็นเด็กดีหน่อยดิ'

            'ทำไมผมต้องดีกับพี่อ่ะ'

            อ่านแล้วก็เผลอยิ้ม ไม่โกรธ ไม่มีความขุ่นเคืองเล็กๆ ไม่เหมือนในอดีตที่ถ้าหากคนเด็กกว่าไม่เชื่อฟังผมจะดุทันที ตอนนี้ผมมีความสุขมากจริงๆ ผ่านมาเป็นปีที่เราไม่ได้คุยกัน สำหรับคนที่ชีวิตเหมือนถูกรีเซ็ตใหม่ย่อมจำไม่ได้ แต่สำหรับผม คล้ายกับความทรมานที่แบกไว้มานานมันกำลังค่อยๆ สลายไป

            'แล้วมาฟอลพี่ทำไม'

            'มือไปโดน'

            'เหรอ'

            'ใช่'

            'แต่พี่ตั้งใจฟอลนะ ทุกรูปที่ไลค์ก็ด้วย'

            เว้นจังหวะเพื่อรอผลตอบรับ แต่อีกคนกลับเงียบไปเสียอย่างนั้น

            ผมชักจะรู้สึกเมื่อยปากขึ้นมานิดๆ เพราะหุบยิ้มไม่ได้ เมื่อครั้งอดีตผมออกจะหงุดหงิดเล็กๆ ตอนได้คุย ไอ้ดื้อยั่วโมโหกวนให้ผมอารมณ์เสียได้สำเร็จ แล้วก็แปลกที่ผมดันอยากเอาคืน ทั้งที่จะเลิกคุยไปก็ได้ เป็นเด็กดื้อที่ผมอยากปราบพยศ แต่กลายเป็นผมที่โดนปราบซะเองในตอนสุดท้าย

            'เงียบ'

            'ก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้วไง'

            'ให้จริง'

            รู้ว่าโกหก ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรจะคุยหรือไม่อยากคุย สำหรับไอ้ดื้อเจอผมพุ่งเข้าใส่ขนาดนี้ไม่มีทางที่จะไม่เขิน ไม่อย่างนั้นคงกล้าสบตาผมตรงๆ แล้ว

            'พี่ว่างเหรอ'

            'แล้วเราไม่ว่างเหรอ'

            'กวนอ่ะ'

            'ไม่กวนๆ'

            'หมายถึงกวนตีนเว้ย'

            จากที่ยิ้มเฉยๆ กลายเป็นหัวเราะ อีกฝ่ายเองก็น่าจะกำลังยิ้มแก้มแตกอยู่เหมือนกัน

            'พรุ่งนี้จะทำอะไร มีแผนไปไหนมั้ย'

            'ถามทำไมอ่ะ'

            'ก็แค่อยากรู้'

            'นัดเพื่อนไว้'

            'ที่ไหน'

            'พี่จะอยากรู้ไปทำไม'

            'ก็แค่อยากรู้ไง'

            'ไม่บอก'

            'โอเค'

            ไม่บอกก็ไม่บอก เพราะถึงไม่บอกผมก็รู้อยู่แล้วว่าพรุ่งนี้ไอ้ดื้อจะไปไหน

            'แล้วเจอกัน'

            '?'

            ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก รู้ด้วยว่าไอ้ดื้อไม่มีทางถามต่อเพราะยังอยู่ในช่วงวางฟอร์ม อยากรู้ให้ตายแต่ต้องทำเป็นนิ่งเอาไว้ก่อน แสดงความรู้สึกออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ได้ แต่ไม่ควรมากเกินความจำเป็น



tbc


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kratai_rabbit ที่ 11-01-2020 20:55:08
ติดตามมค่าา :mew1:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 11-01-2020 23:37:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

เรื่องของกาลต้องน่ารักแน่ๆ...ถึงจะมีแววมาม่านิดนึงก็เถอะ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-01-2020 18:54:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

แหม่...อาคุณแม่

แค่เห็นหน้า(ว่าที่)ลูกสะใภ้   

ก็บอกให้ลูกชายพาไปดูตัวที่บ้านเลยนะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-01-2020 21:39:13
รอติดตามค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสาม__[11/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 13-01-2020 01:31:38
อยากรู้จุดเปลี่ยนเลย TT
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 18-01-2020 21:24:50

กาลครั้งสี่


          ที่บอกว่า 'แล้วเจอกัน' ผมไม่ได้พูดเล่น สยามสแควร์วันชั้นสี่ เวลาบ่ายสามนิดๆ ไอ้ดื้อกับเพื่อนอีกสามคนกำลังเพลิดเพลินกับอาหารที่ไม่รู้ว่าเป็นมื้อไหนของวัน ผมยืนอยู่หน้าร้าน มองไม่เห็นหรอกว่าข้างในมีใครอยู่บ้าง แต่ที่รู้เพราะความทรงจำในอดีตบอกมา

          ในสถานการณ์นี้เมื่อราวๆ หนึ่งปีที่แล้วผมไม่ได้ยืนอยู่ที่นี่ ตอนนั้นยังไม่มีความพิศวาสเด็กดื้อคนนี้มากมายนัก เป็นคนประเภทหล่อไม่ชอบเลือก ทักมาก็คุย ไอ้ดื้อเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ผมสนใจเลยยอมคุย แต่ก็เลิกนิสัยแบบนั้นไปนานแล้ว

          หลังจากรู้ช่องทางติดต่อกันผมมักจะถูกอีกฝ่ายทักมาชวนคุยบ่อยๆ แต่จะเรียกว่าคุยก็ไม่ถูกนัก ต้องบอกว่าไอ้ดื้อชอบมาเล่าเรื่องต่างๆ หรือมาอวดนั่นอวดนี่กับผมถึงจะถูก เป็นคนที่ในแชตค่อนข้างเก่งต่างกับตัวจริง ผมก็ตอบกลับไปตามประสาหนุ่มฮอตมารยาทดี ความรู้สึกตอนนั้นคุยกับไอ้เด็กนี่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไร เรื่องที่นัดเจอเพื่อนวันนี้อีกฝ่ายก็เอามาเล่าให้ฟังเหมือนกัน

          ผมไม่รู้ว่าไอ้ดื้อกับเพื่อนนั่งโต๊ะไหน จะให้เดินเข้าไปมองหามันก็จะดูโรคจิตเกินไปหน่อย จึงเลือกที่จะยืนรออยู่ด้านนอกแทน นานเข้าหน่อยเลยลองทักไปหาเล่นๆ

          'อยู่ไหน'

          นิสัยไอ้ดื้อไม่ค่อยชอบเล่นมือถือเวลาอยู่กับเพื่อน ทักไปก็ไม่รู้ว่าจะตอบมั้ย แต่จังหวะที่ผมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอประตูร้านก็เปิดออกพอดี

          ริมฝีปากยกยิ้มอัตโนมัติ ไอ้ดื้อมองผมตาค้าง แต่เพื่อนอีกสามคนที่มาด้วยกันดูเหมือนจะอึ้งกว่า

          "อ้าว น้องเอิร์ธ" ทักด้วยเสียงสองจากระยะห่างหลายเมตร ถ้าไอ้ลิขิตได้ยินมันต้องด่าผมตอแหลแน่ๆ

          ทั้งกลุ่มหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เป็นกลุ่มที่ผมไม่คุ้นหน้าใครสักคน เพื่อนสนิทของไอ้ดื้อที่ผมพอจะรู้จักไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเวลาของไอ้ดื้อย้อนกลับ เลยมีแค่น้องที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตเป็นเด็กปีหนึ่งอีกรอบ และเพื่อนทุกคนที่อยู่ที่นี่คือคนที่เรื่องราวแปลกประหลาดเลือกมาใส่ความทรงจำใหม่ให้

          เพราะอีกฝ่ายมัวแต่ลีลาผมเลยเดินเข้าไปหา ทั้งกลุ่มยกมือไหว้ทักทายคงเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนนี้ ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ทุกคนจะรู้จักผม ถ้าไม่ใช่เพราะผมดัง ก็คงมาจากเด็กดื้อหนึ่งเดียวที่ไม่ได้ยักมือไหว้คนนี้

          "พี่กาลมาทำอะไร" ถามไปคิ้วขมวดไป เสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำ

          "ก็หามาเอิร์ธไง"

          "มาหา... ได้ไง" เจ้าเด็กตรงหน้างงหนัก กลุ่มเพื่อนข้างหลังยิ่งงงกว่า คงอยากหันไปซุบซิบกันเต็มแก่แต่ทำไม่ได้

          "ก็เมื่อวานบอกแล้วไงว่าเจอกัน"

          "พี่ตามมาเหรอ"

          "ไม่ได้บอกสถานที่ใครจะตามมาถูก"

          "แล้วรู้ได้ไง"

          เครื่องหมายคำถามแปะอยู่กลางหน้าผากคู่สนทนา ไอ้ดื้อขมวดคิ้วไม่เลิก มองผมด้วยสายตาหวาดระแวงคล้ายกับตอนที่ผมบุกไปหาที่บ้าน ทั้งตลก ทั้งน่าเอ็นดู

          "ก็แค่บังเอิญ"

          บอกแล้วยังทำหน้าไม่เชื่อ แต่ไม่เชื่อก็ถูกแล้ว เพราะเรื่องไอ้เรื่องประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญเลยสักนิด

          "ไม่เชื่อเหรอ"

          "เชื่อก็ได้"

          "พี่นัดเพื่อนแถวนี้ เดินเล่นรอมัน แล้วก็มาเจอเรานี่ไง"

          ไอ้ดื้อพยักหน้ารับ แต่จะยอมเชื่อจริงหรือเปล่าผมไม่รู้

          ใจอยากประวิงเวลาเพื่ออยู่ด้วยกันให้นานอีกสักนิด แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะผิดสังเกต ถ้าไอ้ดื้อไม่ได้มากับเพื่อนผมคงลักพาตัวไปเดินเล่นด้วยกันแล้ว ส่วนตอนนี้คงต้องปล่อยตัวไปก่อน แค่มาป่วนพอเป็นพิธี

          "งั้นพี่ไปก่อนนะ" ยิ้มบอกลาแล้วเดินจากมา

          ผมไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลัง ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายบอกลากลับ แต่ก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าเหตุการณ์หลังจากผมเดินออกมาแล้วจะเป็นยังไง

          หากจำลองเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นฉากหนึ่งในหนังรัก อยู่ๆ รุ่นพี่สุดหล่อคนดังที่เพื่อนแอบชอบก็เข้ามาคุยกับเพื่อนคุณอย่างสนิทสนม ในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิทคุณจะทำยังไง ถ้าเป็นผู้หญิงคงพากันกรี๊ด กับผู้ชายแล้วอาจไม่ได้แสดงออกมากมายอะไร แต่ไม่ว่าจะหญิงหรือชายคงโดนเพื่อนซักจนขาวไม่ต่างกันว่าแอบไปทำความรู้จักกันตอนไหน

          ผมรอเวลาที่ไอ้ดื้อจะมาโวยวายในแชตอย่างใจจดใจจ่อเลย



          ‘สรุปแอบตามมาจริงๆ ใช่มั้ย’

          อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังไอ้ดื้อก็ทักมา หรืออาจจะตอบคำถามที่ผมถามไว้ก่อนหน้านี้ แต่เป็นการตอบด้วยคำถามอีกที

          ‘ใครตาม’

          ‘ยอมรับมา ทักมาก่อนแล้วก็เจออยู่หน้าร้าน จะให้คิดว่าไง’

          ‘ก็ไม่ต้องคิดอะไร’

          ‘ผมจริงจังนะพี่กาล พี่ทำตัวเหมือนสตอล์กเกอร์อ่ะ’

          ‘ขนาดนั้นเลย’

          ‘ยังต้องให้บอกอีกเหรอ’

          จริงๆ ไม่ต้องบอกผมก็รู้ตัว เล่นตามขนาดนี้ใครไม่รู้สึกตัวก็แปลกแล้ว

          ‘ตอนนี้อยู่ไหน แยกกับเพื่อนแล้วเหรอ’

          ผมเลือกที่จะไม่ตอบ หมายถึงยังไม่ตอบในตอนนี้

          ‘แยกแล้ว พี่ตอบคำถามเมื่อกี้ของผมก่อน’

          ‘กลับหรือยัง’

          ‘กำลังจะกลับ พี่จะไม่ตอบผมจริงดิ’

          ‘อยากรู้ก็มาหาดิ อยู่สตาบัค’

          ‘ได้’

          ผมวางมือถือบนโต๊ะมองความวุ่นวายด้านนอกผ่านกระจกร้าน นึกเอ็นดูเด็กดื้อที่ตอบตกลงทันทีแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะความสงสัยทำให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

          ไม่กี่นาทีต่อมาผู้ชายผิวขาวหน้าตาดื้อๆ ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในร้าน ผมยกมือให้พร้อมรอยยิ้ม อีกฝ่ายหันมามองก่อนเดินหน้าตึงเข้ามาหา จะยิ้มทักทายกันสักหน่อยก็ไม่ได้

          "ไหนพี่บอกนัดเพื่อน" ยังไม่ทันนั่งก็ยิงคำถามใส่ผมเลย

          "กลับกันไปหมดแล้ว"

          "จริงจัง"

          "นั่งก่อนมั้ย"

          ลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงตามคำบอก มองผมแล้วทำหน้าระแวงไม่เลิกแต่ก็ยังยอมมาหา มันทำตัวขัดแย้งกันนักนะไอ้เด็กคนนี้

          "กินอะไรมั้ย พี่เลี้ยง"

          "ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมซื้อเอง" พูดจบก็ลุกออกไป กลับมาอีกทีพร้อมชาเขียวปั่น

          มองคนตรงหน้าเปิดฝาแก้วตักวิปครีมกินปากผมก็ยกยิ้มอัตโนมัติ มันคิดถึง ทุกสีหน้าท่าทางและการกระทำ แม้จะผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝันที่เรากลับมาพูดคุยกันได้แบบนี้

          "ชอบชาเขียวเหรอ" ถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเครื่องดื่มต้องชาเชียวเท่านั้น

          "ก็ชอบ เออ พี่ตอบผมเลย ตามมาจริงดิ" เปิดประเด็นเรื่องอื่นได้ไม่ทันไรไอ้ดื้อก็ดึงกลับเข้าเรื่องที่รีบหามาผมทั้งที่กำลังจะกลับบ้านแล้ว

          "ก็บอกว่าไม่ได้ตาม"

          "ใครจะไปเชื่อ จะบอกว่าบังเอิญ?"

          "เราบังเอิญเจอกันกี่ครั้งแล้ว" ผมถามแล้วยิ้มให้ เด็กดื้อที่กำลังจะอ้าปากเถียงก็หลบสายตา แพ้ขนาดนี้เลยนะรอยยิ้มกับสายตาของผม

          "ก็เมื่อวานพี่บอกเจอกัน แล้ววันนี้ดันเจอจริง จะให้คิดว่าไง"

          "บังเอิญนั่นแหละบังเอิญ"

          ไอ้ดื้อยังใช้สายตาไม่ไว้ใจมองผมขณะปิดฝาแก้ว ทำตัวเหมือนจะต่อต้านแต่ไม่เคยผลักไสกันจริงๆ จังๆ สักครั้ง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีต

          "แล้วถ้าพี่อยากเจอจริงๆ ไม่ได้หรือไง"

          "แบบนั้นน่ากลัวนะ"

          ผมหัวเราะ ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายมีความคิดแบบนี้ แต่ทุกอย่างที่ทำลงไปเป็นเพราะผมอยากทำ อยากสร้างเรื่องราวแบบใหม่ที่คิดว่าดีกว่าเดิม อยากเป็นฝ่ายสารภาพรักก่อนบ้าง อยากรีบเข้าหาและมอบความรู้สึกต่างๆ ที่เก็บมาตลอดเกือบหนึ่งปีให้ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าการขยับสถานะของเราตอนนี้มันยังเร็วไป

          ไอ้ดื้อเหลือบมองผมหลายครั้ง น่าหวั่นใจอยู่บ้างที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรเพราะผมไม่ได้เลือกที่จะเดินตามเนื้อเรื่องเดิม แต่การเขียนเรื่องราวใหม่ขึ้นมามันก็น่าสนุกกว่าเป็นไหนๆ แทนที่จะมัวแต่กังวลกับอดีต สู้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดดีกว่า

          "เนี่ย ทำตัวแบบนี้จะคิดว่าพี่ชอบผมแล้วนะ" พูดโดยที่ไม่ยอมมองหน้า แต่กล้าพูดขนาดนี้ความหวาดกลัวที่มีต่อผมคงลดลงเยอะแล้วสินะ

          ในอดีตคำพูดแบบนี้ไม่เคยออกมาจากปากไอ้ดื้อเลยสักครั้ง ประโยคเดียวที่ผมมักถูกถามซ้ำๆ คือ ‘พี่ชอบผมบ้างหรือยัง’ แต่ผมไม่สามารถให้คำตอบได้

          กลับกันการที่ไอ้ดื้อกล้าถามออกมาแบบนี้คือการแสดงออกถึงสัญญาณที่ดี และมันทำให้ผมอารมณ์ดีมากๆ มากจนไม่อยากบังคับริมฝีปากที่ทำท่าจะยกยิ้มตลอดเวลาให้กลับมาเหยียดตรง แต่ถ้าปล่อยให้ยิ้มค้างนานๆ เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็นบ้าเอา

          "แล้วชอบไม่ได้เหรอ"

          "ผมไม่เล่นนะ" สวนกลับมาทันที รู้ว่าไม่เล่น ผมก็ไม่คิดจะเล่นเหมือนกัน

          "ตอนนี้ก็คุยๆ กันไปก่อนแล้วกัน"

          "ฮะ"

          "ฮะอะไร"

          "คือแบบไหนอะไรยังไง" ทำหน้างงหนักถามกลับมา ผมคงรุกเร็วเกินไป

          "มีแฟนหรือยัง"

          ไอ้ดื้อส่ายหน้าตอบ ทำหน้านิ่งจ้องกลับมาแต่หูแดงแป๊ด

          "เหมือนกัน"



          เราออกจากร้านอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา บทสนทนาที่ชวนให้ใจเต้นจบลงเพียงเท่านั้นเมื่อไอ้ดื้อไม่ถามอะไรผมต่อ คล้ายกับต่างคนต่างรู้และปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึกที่ควรจะเป็น

          จากสตาร์บัคส์เดินมานิดเดียวก็ถึงสถานีรถไฟฟ้า เราขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน ผมลงสุดสายและต้องต่อรถอีกหลายต่อ ส่วนไอ้ดื้อลงระหว่างทาง

          ช่วงเย็นของวันหยุดแบบนี้ในขบวนรถนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้คน ผมเดินนำไอ้ดื้อเข้ามาด้านในจะได้ไม่ขวางทางคนอื่น จับห่วงไว้คนละอันหันหน้าเข้าหากัน

          "พรุ่งนี้ว่างมั้ย"

          "ก็ว่าง ทำไมอ่ะ"

          "จะชวนไปกินข้าว"

          "ต้องเจอกันทุกวันเลยเหรอ"

          "ไม่อยากเจอ?"

          "เปล่า" ตอบแล้วหลบตา คนชอบสบตาคู่สนทนาอย่างผมก็พยายามจ้องเข้าไปสิ

          "เดี๋ยวไป..." เกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าจะไปรับ ลืมไปว่าลิขิตมันเอารถไปใช้ แล้วเมื่อไรจะกลับมาก็ไม่รู้ คนขยันออกจากบ้านอย่างผมก็ลำบากไปสิ

          "วันจันทร์ได้มั้ย ออกจากบ้านทุกวันแม่บ่น"

          วันนี้วันเสาร์ ถ้างั้นจะเว้นให้วันอาทิตย์หยุดอยู่บ้านหนึ่งวันก็ได้

          "ได้ดิ"

          "โอเค เจอกันที่ไหนดี"

          "เดี๋ยวพี่นัดอีกทีแล้วกัน"

          "ครับ"

          เวลาที่รถใช้วิ่งผ่านสองสถานีช่างแสนสั้น ผมยิ้มให้ยกมือโบกลา ไอ้ดื้อยิ้มตอบ โบกมือกลับแบบเขินๆ ก่อนหันหลังเดินไปที่ประตู ก้าวออกไปโดยไม่หันมามองกันอีก แล้วประตูรถไฟฟ้าก็ปิดลง

         

          กว่าผมจะถึงบ้านท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี พิมพ์บอกใครบางคนที่ไม่ได้คุยกันอีกเลยตั้งแต่แยกกันบนรถไฟฟ้าว่าถึงบ้านแล้ว นับแล้วมันก็แค่ประมาณสองชั่วโมง แต่ห่างกันแค่นี้ก็ทำให้ผมคิดถึงได้ เมื่อไรจะกอดเด็กดื้อได้สักทีก็ไม่รู้

          กินมื้อเย็นที่แม่ทำไว้เสร็จเรียบร้อยผมก็ขึ้นห้องนอน นั่งพิงหัวเตียงเล่นมือถือรอคนมาตอบแชต จะว่าไปยังไม่ได้ขอไลน์กับเฟซบุ๊กเลย แม้ความจริงไม่จำเป็นต้องขอเพราะผมจำได้ แต่ถ้าแอดไปเลยจะโดนมองน่ากลัวอีกมั้ย ประเด็นนี้ค่อนข้างน่าคิด

          งั้นเอาไว้ขอก่อนค่อยแอดไปก็แล้วกัน

          มือถือสั่นพร้อมกับแจ้งเตือนจากแอปสีเขียวที่เด้งมาด้านบนทำผมดีใจเก้อนึกว่าคนที่รอตอบกลับมา ที่ไหนได้ดันเป็นคำทักทายจากพี่ชายฝาแฝด อีกอย่างผมยังไม่มีไลน์ไอ้ดื้อเลย จะคิดว่าน้องไปหาไลน์ผมมาได้แล้วแอดมาก็ไม่มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน ในเมื่อตอนนี้คุยกันทางไอจีมันสะดวกกว่า

          ‘เป็นไงบ้าง หายเครียดยัง’

          ‘ก็ดี วันนี้ก็ไปเจอกันมา’

          ‘เรื่องแปลกประหลาดของมึงอ่ะเหรอ’

          ‘ก็เออดิ’

          ‘โอเคใช่มั้ย’

          ‘มั้งนะ’

          ‘ทำไมมั้ง‘

          ‘ก็มันเพิ่งเริ่มต้น กูยังไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง’

          ‘เดี๋ยวมันจะค่อยๆ ดีขึ้น เชื่อกู’

          ผมเชื่ออยู่แล้วเพราะยังไงลิขิตมันก็เป็นผู้มีประสบการณ์ตรง แต่จะดีกว่านี้ถ้ามันยอมเล่ารายละเอียดเรื่องของมันให้ผมฟังบ้าง ถึงมันจะบอกว่าผมเคยจำได้ก็เถอะ และจะยิ่งดีกว่านี้ถ้าไอ้ดื้อตอบข้อความผมสักที

          ‘ที่บ้านสวนเป็นไง’

          ‘สนุกดี แต่มาแต่ละทีไม่เคยได้กินผลไม้ดีๆ เลยว่ะ มีแต่กล้วย’

          ‘มึงไปผิดช่วงเอง’

          ‘แต่ได้อยู่กับพุดกูก็มีความสุขละ’

          พิมพ์บอกไม่พอมันยังส่งรูปมาให้ผมอิจฉาเล่นๆ ด้วย พุดตานยิ้มกว้างอยู่กับน้องโบตั๋น ติดเสี้ยวหน้าลิขิตมาด้วยนิดหน่อย ท่าทางมีความสุขกันดี เห็นแล้วก็นึกถึงเด็กดื้อของตัวเอง อีกไม่นานผมกับเอิร์ธคงได้ถ่ายรูปด้วยกันแบบนี้บ้าง

          ‘มึงจะกลับวันไหน’

          คิดถึงรถเลยต้องถาม กับคนที่ขับรถไปไหนมาไหนตลอดอย่างผมพอไม่มีรถแล้วมันโคตรลำบาก

          ‘วันศุกร์หน้า’

          ‘พุดกลับด้วยมั้ย’

          ‘ไม่ๆ กูกลับคนเดียว’

          ‘เออดี รีบๆ กลับมากูอยากใช้รถ มึงเอาไปก็ไปจอดไว้เฉยๆ ปะ น่าจะทิ้งไว้ให้กู’

          ‘กูก็ขับพาพุดกับน้องโบไปเที่ยวอยู่นะ’

          กำลังจะพิมพ์ตอบกลับไปว่า ‘กูก็อยากขับรถพาไอ้ดื้อไปเที่ยวเหมือนกัน’ แต่พอเห็นชื่อคนที่รอแจ้งเตือนขึ้นมาก็เปลี่ยนใจ เถียงกับมันไปเดี๋ยวยาวเลยตอบกลับไปแค่ว่า ‘เออ’ เป็นอันจบการสนทนาของเราสองพี่น้อง

          ออกจากไลน์รีบกดเข้าข้อความส่วนตัวในไอจี เป็นการตอบกลับที่คงความกล้าหาญไม่เหมือนเวลาอยู่ต่อหน้า ที่แม้แต่สบตาตรงๆ ยังทำไม่ได้

          ‘ต้องรายงานด้วยเหรอ’

          ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนหรือถามให้เข้าใจตรงกันเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคต แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า

          ‘ทำอะไรอยู่ ทำไมเพิ่งตอบ กลับถึงบ้านแล้วใช่มั้ย’

          ‘มาเป็นชุดเลย กลับถึงนานแล้ว พอดีเล่นเกมอยู่’

          ประโยคที่พิมพ์ตอบกลับมาอาจจะดูเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ดื้อกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ

          ‘เกมอะไร’

          ‘พับจี เล่นด้วยกันมั้ย’

          ‘ไม่อ่ะ’

          ไอ้ดื้อยังชอบเล่นเกมเหมือนเดิม ส่วนผมก็ยังเป็นคนที่เล่นเกมไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม เคยลองแล้วแต่ไม่รอดเลยล้มเลิกมันไปซะให้สิ้นเรื่อง

          ‘งั้นไปก่อนนะเพื่อนรออยู่ ดึกๆ เดี๋ยวมาคุย ถ้าพี่กาลไม่หลับก่อน’

          ‘ครับ’

          ถ้าบอกว่าดึกรับรองว่าผมหลับก่อนทุกที ในอดีตผมไม่เคยใส่ใจและไม่เคยคิดจะรอ ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนไล่ตามตลอด แต่ครั้งนี้ผมจะเป็นฝ่ายไล่ตามเอง

          กดเข้าหน้าโฮมเห็นสตอรี่ของคนที่เพิ่งคุยกันก็กดเข้าไปดู เวลาขึ้นว่าเพิ่งลงเมื่อหนึ่งนาทีที่แล้ว เป็นภาพแชตที่ไม่เห็นรูปโปรไฟล์กับชื่อของคู่สนทนา แต่บทสนทนานี้ผมรู้ดีว่าเป็นของใคร

          ‘มีคนมารายงานตัว’

          กล้าอวดคนอื่นแล้วสินะ เรื่องของผมคนนี้ที่ในอดีตไม่เคยได้อวดใคร


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 18-01-2020 21:46:10
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-01-2020 00:54:13
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสี่__[18/01/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-01-2020 02:19:25
เอาใจช่วยพี่กาล
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 02-02-2020 19:36:10

กาลครั้งห้า


            ในอดีตผมไม่เคยนัดไอ้ดื้อออกมากินข้าว ไม่ค่อยได้ชวนออกไปไหนด้วยกัน มักจะเป็นอีกฝ่ายมากกว่าที่เอ่ยปาก แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นเปลี่ยนไปอย่างมาก กับอนาคตที่ผมไม่คิดจะวางแผนการเดินระหว่างทางเอาไว้ ปล่อยให้ใจทำในสิ่งที่ต้องการแต่นั่นต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมกับสถานะปัจจุบันของเรา

            การนัดเจอกันแบบส่วนตัวครั้งแรก หรือจะเรียกว่าเดทครั้งแรกของเราก็ได้ มันไม่ได้ดูยิ่งใหญ่หรือหรูหราอะไรนัก ผมให้ไอ้ดื้อเป็นคนเลือกร้าน แล้วดูน้องมันเลือกมา แต่จะว่าไปก็เหมาะกับเราทั้งคู่ดี

            ศูนย์อาหารเจ้าประจำของผม หรือก็คือร้านที่เราเจอกันครั้งแรก

            "พี่กาลจะกินอะไร"

            เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากกับการเลือกเมนูจากหนึ่งในสิบร้านไม่ต่างกับเวลายืนเลือกของกินในเซเว่น แต่ร้านประจำของผมก็มีแค่ไม่กี่ร้าน ถ้าหากเป็นไอ้ดื้อคนในอดีตน้องต้องเดาถูกแน่ๆ ว่าผมอยากกินอะไร

            "ตามสั่งมั้ง คงคะน้าหมูกรอบ เอิร์ธจะกินอะไร"

            "ผมอยากกิน..."

            "ข้าวมันไก่ทอด" แย่งตอบเพราะอยากอวดให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมน่ะรู้ใจเขาขนาดไหน

            ไอ้ดื้อทำตาโตใส่ ผมยักคิ้วกลับไปให้ สำหรับศูนย์อาหารที่นี่เมนูโปรดของน้องคือข้าวมันไก่ทอด โดยเฉพาะน้ำซุปที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ชอบถึงขนาดพูดให้ผมฟังทุกครั้งที่แวะมากิน

            "พี่รู้ได้ไง"

            "เคยเห็นซื้อ"

            "เห็นด้วยเหรอ เราเคยเจอกันที่นี่แค่สองครั้งเองนะ"

            "จำได้ด้วยว่าเจอกันกี่ครั้ง"

            "ก็แล้วทำไมจะจำไม่ได้"

            "พี่ก็เลยจำได้เหมือนกันไง" ผมยิ้มให้ โมเมเอาว่าประโยคก่อนหน้านี้ของไอ้ดื้อคือความใส่ใจ แม้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อยากจำยังไงก็ต้องจำได้อยู่ดีก็เถอะ

            "ไม่เห็นจะเกี่ยว" พึมพำแล้วหลบตา เมื่อไรกันที่ไอ้ดื้อเริ่มกล้าสบตาผมตรงๆ ถ้าเป็นในอดีต ก็คงหลังจากคืนนั้นล่ะมั้ง

            "เกี่ยวดิ ปกติเราก็มาที่นี่กันประจำ ต้องมีเจอกันบ้าง" แกล้งพูดให้อีกฝ่ายร้อนตัวเล่นๆ

            "หรือว่าพี่เป็นสตอล์กเกอร์จริงๆ เจอผมที่นี่บ่อยๆ แล้วก็ตามไปที่บ้าน ที่รู้ชื่อก็เพราะสืบข้อมูลมาแล้วอย่างดี น่ากลัวอ่ะ" แม้จะทำหน้าเลิ่กลั่กแต่ไอ้ดื้อก็ยังแก้ตัวได้

            "ไปกันใหญ่แล้ว แค่เดาเฉยๆ"

            "ก็พี่พูดให้คิด"

            "งั้นพี่ถามบ้าง ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเห็นพี่บ้างเหรอ"

            "แล้วพี่เคยเห็นผมมั้ยล่ะ"

            "ไม่"

            "ผมก็เหมือนกัน"

            "โอเค"

            ผมไม่ตื๊อต่อเพราะรู้นิสัยอีกฝ่ายดี ถ้าไม่อยากบอกให้ตายยังไงก็ไม่ยอมบอก ผมไม่รู้ว่าความทรงจำก่อนเจอกันถูกเขียนใหม่ให้เป็นยังไง แต่ในอดีต วันนั้นที่เราเจอกัน ไม่ใช่วันแรกที่ไอ้ดื้อรู้จักผม

            "งั้นเราแยกกันไปซื้อแล้วมานั่งโต๊ะนี้นะ"

            ผมนัดแนะ ไอ้ดื้อพยักหน้ารับ ก่อนเราจะแยกกันไปยังร้านโปรดของตัวเอง



            การได้นั่งมองคนที่รักกินข้าวเป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมมีความสุข นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นไอ้ดื้อดูเจริญอาหารขนาดนี้ ปากที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ สีหน้ามีความสุขตอนได้ซดน้ำซุป เห็นแล้วผมอยากจะเหมาข้าวมันไก่ให้ทั้งร้าน

            "กินข้าวมันไก่บ่อยๆ ไม่เบื่อเหรอ"

            ได้ยินคำถามคนที่กำลังมุ่งมั่นกับการแบ่งสัดส่วนไก่กับข้าวให้พอดีคำก็เงยหน้าขึ้นมอง

            "รู้ได้ไงว่ากินบ่อย"

            "เดาเอา" ก็แต่ก่อนเห็นบอกว่ากินทุกอาทิตย์ขนาดนั้น

            "ไม่เบื่อ มันอร่อยนะ พี่กาลยังไม่เคยกินเหรอ"

            "ไม่อ่ะ"

            "งั้นคราวหน้าต้องลอง"

            "ได้ครับ" ไม่จำเป็นต้องขยายความเพิ่ม หมายความว่าครั้งหน้าเราจะมากินข้าวมันไก่ด้วยกัน

            "แล้วปกติพี่กินแต่ตามสั่งเหรอ"

            "ไม่อ่ะ ก็เปลี่ยนบ้าง บางที่ก็ซื้อไปฝากลิขิตมันด้วย"

            "ลิขิต?" ทำเป็นเลิกคิ้วทำหน้าสงสัย

            "พี่ชายฝาแฝด"

            "อ๋อ พี่เหนือ เคยเห็นในเพจ ในไอจีพี่กาลก็มี แต่หน้าตาไม่เห็นเหมือนกัน" ข้ออ้างที่ว่ารู้จักจากเพจมอยังถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ถึงขั้นเรียกลิขิตว่าพี่เหนือเนี่ย

            "เรียกมันว่าพี่เหนือ แล้วไม่เรียกพี่ว่าน้องเหนือบ้างล่ะ" อีกหนึ่งเรื่องแปลกในมหา'ลัยคือเพื่อนจะเรียกผมกับลิขิตว่าเหนือ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการสับสนเลยใส่พี่กับน้องนำหน้า กลายเป็นพี่เหนือกับน้องเหนือ ทั้งที่เรียกว่าลิขิตกับกาลน่าจะง่ายกว่าแท้ๆ

            "เรียกได้เหรอ"

            "ก็แล้วแต่"

            เหลือบตามองแล้วก้มหน้า ตักน้ำซุปกินแล้วอมยิ้ม ทำหน้าแบบนี้ต้องวางแผนร้ายไว้ในใจแล้วแน่ๆ เป็นเด็กดื้อที่ทำเป็นกลัวแต่ในอดีตกลับเรียกผมว่าน้องเหนือตั้งหลายครั้ง พอโดนดุก็ทำเป็นหงอ

            "เอิร์ธ หอพี่อยู่แถวๆ นี้ ว่าจะแวะไปเอาของ ไปด้วยกันหน่อยดิ" เห็นข้าวในจานใกล้หมดผมก็ชวน หลังจากกินข้าวเสร็จเรายังไม่ได้คุยกันว่าจะทำอะไรต่อ แต่ผมน่ะมีแผนอยู่ในใจ

            "ทำไมผมต้องไปอ่ะ"

            "ไปด้วยกันหน่อย เพิ่งเจอกันเอง จะกลับแล้วเหรอ"

            "ก็เปล่า"

            "งั้นไปนะ"

            "จะล่อลวงกันจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย"

            "คิดไปนู่น"

            "เอ้า! ก็อยู่ๆ มาชวนไปหอ พี่กาลโคตรน่ากลัวเลยรู้ตัวเปล่า ตอนไปที่บ้านก็ครั้งนึงละ" เด็กดื้อเริ่มแผงฤทธิ์ เวลาเถียงเนี่ยไม่กลัวที่จะสบตาผมเลย

            "น่ากลัวแต่เราก็ยอมออกมาด้วยอ่ะนะ"

            "ก็..." เถียงไม่ออกเพราะคือความจริง

            "ไปเถอะพี่ไม่ทำอะไรหรอก เสร็จแล้วไปสวนกัน"

            "สวนเหรอ"

            "ใกล้ๆ หอมีสวนสาธารณะ ไปนั่งเล่นกัน" บอกแล้วว่าผมวางแผนมา วันนี้จะกักตัวไว้ทั้งวันเลย

            "แล้วจะกลับกี่โมงอ่ะ"

            "ห้าหกโมงก็ได้ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปส่ง" ชีวิตตอนไม่มีรถขับมันก็ลำบากแบบนี้ คิดแล้วก็อยากให้พ่อออกรถคันใหม่ให้พรุ่งนี้เลย คันเก่าก็ยกให้ลิขิตมันไป

            คนตรงหน้าแอบขำ ต้องเป็นเรื่องที่ผมบอกจะนั่งแท็กซี่ไปส่งแน่ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าตกลง

           

            จากศูนย์อาหารมาหอผมใช้เวลาไม่กี่นาที จ่ายค่าแท็กซี่ลงรถได้ไม่กี่ก้าวคนที่เดินข้างๆ ก็สะกิด เงยหน้าจากกระเป๋าที่กำลังค้นคีย์การ์ดหันไปมองก็เห็นแบงค์ยี่สิบสองใบยื่นมาให้

            "ค่าแท็กซี่"

            "ไม่เอาอ่ะ"

            "หารกันดิ"

            "ไม่เป็นไร"

            "เอาไปเลย ทอนด้วยห้าบาท" ยัดเงินใส่มือผมแล้วสรุปเอาเอง นิสัยที่ต้องหารทุกอย่างไม่ยอมให้ผมเลี้ยงฝ่ายเดียวยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

            ผมยัดแบงค์ยี่สิบสองใบใส่กระเป๋าไว้ลวกๆ แล้วหยิบเหรียญห้าทอนให้ ได้เงินทอนแล้วก็ยิ้มพอใจ เป็นอีกหนึ่งมุมเล็กๆ ที่ผมชอบ

            สแกนคีย์การ์ดเปิดประตูรอให้ไอ้ดื้อเดินเข้ามาแต่น้องกลับยืนนิ่ง มันยังไงอีก ยังกลัวผมล่อลวงอยู่หรือไง

            "เดี๋ยวผมรอตรงนี้ก็ได้ เอาของแป๊บเดียวใช่มั้ย"

            "ไม่แป๊บอ่ะ น่าจะสักพัก"

            "รอได้"

            "ขึ้นมาด้วยกัน"

            "จะดีเหรอ"

            ดูพูดจาเข้า ผมว่ามันเริ่มกวนตีนแล้ว ไหนจะสีหน้าท่าทางเหมือนคนเขินอายนั่นอีก ใช่คนเดียวกับไอ้คนที่กลัวผมล่อลวงก่อนหน้านี้แน่เหรอ

            "เร็ว" ผมเร่ง ยังไงก็อยากให้ขึ้นไปด้วยกัน ได้กลับมาสถานที่ที่ในอดีตได้มาบ่อยๆ เผื่อจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งของความทรงจำที่คุ้นชินขึ้นมาบ้าง

            ก็แค่เศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ผมยังหวัง

            ไอ้ดื้อยอมเดินเข้ามา พอมายืนข้างกันแบบนี้แล้วโคตรรู้สึกมันเขี้ยว อยากจะยีผมสีช็อกโกแลตที่เสียฟูจนเหมือนไม้กวาดนี้สักที แต่ก่อนจะได้ลงมือทำอะไรประตูลิฟต์ก็เปิดออก

            ห้องผมอยู่ชั้นสาม ไขกุญแจเข้ามาข้างในเปิดไฟแล้วหันไปดูปฏิกิริยาคนที่พามาด้วย ไอ้ดื้อยังยืนอยู่ตรงประตู กวาดตามองรอบห้องไม่กล้าขยับไปไหนโดยที่ผมยังไม่ได้สั่ง

            "ห้องกว้างจัง"

            "ถอดรองเท้าไว้ตรงนั้นแหละ เข้ามาดิ" พยักพเยิดบอก ผมวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะหน้าประตู ก่อนเดินไปเปิดตู้ครัวกับตู้เย็นว่ามีของกินอะไรเหลืออยู่บ้าง

            ก้มลงเปิดตู้ปุ๊บก็มีเสียงขัดหูดังให้ได้ยิน เป็นนิสัยเสียของไอ้ดื้อที่ในอดีตโดนผมดุอยู่บ่อยๆ

            "อย่าเดินลากเท้า"

            แล้วเสียงนั้นก็หยุดลงทันที

            ผมหันกลับไปมอง ไอ้ดื้อหยุดอยู่ข้างโซฟา มองผมเหมือนเด็กที่ทำอะไรไม่ถูก เหมือนในอดีตตอนมาห้องผมครั้งแรกไม่มีผิด เกรงใจ ไม่รู้จะยืนจะนั่งตรงไหน ยิ่งโดนดุยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่

            "นั่งเลย เปิดทีวีก่อนก็ได้"

            หลังจากได้รับคำอนุญาตก็หย่อนตัวนั่งบนโซฟา และทำการมองสำรวจห้องอีกครั้ง

            เห็นแขกเริ่มผ่อนคลายผมก็ค้นของในตู้ต่อ หยิบขนมปังมาดูวันหมดอายุ  เปิดตู้หาแยม ช็อกโกแลต ไส้กรอกที่ซื้อเอาไว้ ไข่ก็ยังมีเหลือ ขาดก็แค่ผักแต่ไม่เป็นไร

            ขนทุกอย่างที่มีอยู่ในตู้มาวางบนโต๊ะ ไอ้ดื้อก็ขมวดคิ้วมองตาม

            "พี่กาลเอาออกมาทำอะไรอ่ะ"

            "ของที่จะเอาไปนั่งเล่นด้วย"

            "ของกินเนี่ยนะ เพิ่งกินกันมา"

            "ว่าจะทำแซนวิชพกไปด้วย"

            "ไปซื้อขนมเอาไม่ง่ายกว่าเหรอ กว่าจะทำเสร็จ"

            "ทำแซนวิชมันยากตรงไหน"

            "พี่กาลทำอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ"

            ผมยิ้มให้ ไม่รู้ซะแล้วว่าฝีมือการทำอาหารของผมร้ายกาจขนาดไหน ถ้าได้ลองแล้วจะติดใจ แม้ครั้งนี้จะเป็นแค่แซนวิชง่ายๆ ก็เถอะ

            "ต้องลอง"

            ไอ้ดื้อมองของบนโต๊ะแล้วยิ้มแปลกๆ ตอนนี้น้องอาจจะยังไม่เชื่อใจ ที่ผ่านผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้เสียด้วย แต่หลังจากนี้รับรองได้เลยว่าไอ้ดื้อต้องติดใจฝีมือการทำอาหารของผมอย่างแน่นอน

            "มาช่วยกันทำเร็ว" ดึงแขนให้ลุกมาช่วยกัน แต่สายตาน้องยังมองวัตถุดิบบนโต๊ะอย่างไม่ไว้ใจ

            ผมผละออกไปหยิบเครื่องปิ้งขนมปังมาเสียบปลั๊ก เตรียมจานกับพายสำหรับทาแยมมาให้ ใจอยากจะลองทำแซนวิชที่มันอลังการอยู่เหมือนกัน แต่วัตถุดิบที่มีไม่เอื้ออำนวย

            "อยากกินไส้อะไรจัดการเลย"

            "เอาจริงดิ"

            "จริง"

            "จะกินได้ใช่มั้ย" บอกด้วยน้ำเสียงติดระแวง เปิดถุงหยิบขนมปังออกมาหนึ่งแผ่น ถือไว้ในมือแล้วถึงได้หาวันหมดอายุข้างถุง เช็กจนพอใจแล้วก็มาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่วัตถุดิบอย่างอื่นต่อ

            "จะใช้อะไรหยิบได้เลย" ผมปิ้งขนมปังไปแล้วสองแผ่น ไอ้ดื้อยังลังเลอยู่เลย

            ในบรรดาของกินผมรู้ว่าข้าวมันไก่คือเมนูโปรดของไอ้ดื้อ แต่กับแซนวิชผมไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายชอบกินอะไร ไม่เคยเห็นตอนกินและไม่เคยพูดถึงมาก่อน

            "ผมไม่เก่งเรื่องในครัวอ่ะ" แต่สำหรับเรื่องนี้ผมพอจะรู้อยู่

            "แค่แซนวิช ทาเนยทาแยมก็จบ"

            "แต่อยากกินทูน่า"

            "ก็ใส่เลย"

            "มันใส่ได้เลยเหรอ"

            "อืม ตักใส่เลย"

            มองคนข้างๆ ตักทูน่าทาบนขนมปังด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แล้วผมก็ยิ้มค้าง ไม่ว่าไอ้ดื้อจะทำอะไร จะแสดงสีหน้าแบบไหน อาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ผมกลับมีความสุขมากที่ได้เห็น

            "มันจะกินได้ใช่มั้ย" วางแผ่นแรกลงบนจาน แม้จะยังดูกังวล แต่แววตาซุกซนนั่นดูสนุกกับสิ่งที่กำลังทำขึ้นมาบ้างแล้ว

            "กินไม่ได้ก็ทิ้ง"

            "เสียดาย"

            "งั้นก็กินให้หมด"

            "ก็เยอะไปอีกอ่ะ แล้วพี่นึกยังไงมาชวนทำแซนวิชเนี่ย เอ้ยไม่ดิ หลอกมาต่างหาก"

            "พูดบ่อยขนาดนี้อยากโดนหลอกจริงๆ ใช่มั้ย"

            "ไม่เอา อย่าเลย"

            แปลกที่ครั้งนี้ไอ้ดื้อไม่หลบตา มีรอยยิ้มบางๆ มอบให้ แต่ทำใจกล้าได้เพียงไม่กี่วินาทีก็หันหน้าหนีเหมือนเดิม

            การเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ไม่มีทางหลอกกันอีกเด็ดขาด ไม่อยากทำให้เสียใจอีกแล้ว อยากก้มลงกระซิบบอกประโยคนี้ที่ข้างหูให้มั่นใจ

            "แล้วอยู่ๆ ทำไมพี่อยากทำแซนวิชอ่ะ แค่จะเอาไปปิกนิกอ่ะนะ ดูเป็นกิจกรรมที่เหมาะกับอากาศประเทศไทยมาก" ด้วยความเป็นคนช่างถามช่างพูด ปล่อยให้ห้องเงียบได้ไม่นานไอ้ดื้อก็ชวนคุยต่อ

            "ปิดเทอมไง ไม่ค่อยได้อยู่ห้อง ของมันจะหมุดอายุ นึกได้เลยคิดว่าทำไปนั่งกินที่สวนน่าจะดี"

            "นึกว่ากินข้าวไม่อิ่ม"

            "มันก็แค่ขนม ถึงอิ่มก็ยังกินได้อยู่ดี"

            "แล้วจะใส่อะไรไป"

            คำถามนี้ทำให้ผมฉุกคิด กล่องหรือตะกร้าน่ารักๆ ที่จะใส่ให้ดูดีแน่นอนว่าไม่มี ปกติทำเสร็จก็กินเลย ที่พอจะใส่ไปได้ก็มีแค่...

            "เอาจริงดิ" ไอ้ดื้อถามแล้วขำ มองภาชนะที่เราจะใส่แซนวิชไปด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

            "ก็มีแค่นี้ ปกติมันก็ทำหน้าที่ใช้ใส่ของอยู่แล้ว"

            รับของจากมือผมไปแล้วทำการสำรวจความสะอาด ไอ้ดื้อเหล่มองมา ผมเลยยิ้มหวานให้ แม้รูปโฉมไม่สวยงามแต่รับรองใช้งานได้แน่นอน

            "หมดราคาเลย" ไอ้ดื้อก็คือไอ้ดื้อ ยามไม่สบตามักจะเก่งเสมอ

            "บ่นเก่ง"

            ก็แค่ถุงพลาสติกธรรมดา วางแซนวิชเรียงไว้สวยๆ แล้วถือดีๆ ก็โอเคแล้ว

           

            เกิดมาจนอายุยี่สิบเอ็ดปีไม่เคยมีความคิดว่าอยากมาปิกนิกกับคนที่ชอบ แต่หลังจากเรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตบ้าๆ นี้เกิดขึ้นผมก็เริ่มวางแผน คิดถึงสิ่งที่ทำแล้วน่าจะเกิดความทรงจำดีๆ มากขึ้น ทำให้ตอนนี้เรามานั่งอยู่ในสวนสาธารณะใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยกัน กับถุงก๊อบแก๊บที่ใส่แซนวิชทำเอง

            เป็นความรู้สึกดีแบบแปลกๆ

            หากจะถามหาความโรแมนติกท่ามกลางบรรยากาศร้อนจนแสบผิวของประเทศไทยแล้วบอกได้เลยว่าไม่มี ใต้ร่มไม้ร่มรื่นก็จริง แต่แทนที่จะเหมือนคู่เดทที่มาปิกนิกกัน ผมกลับรู้สึกว่าเราเหมือนเพื่อนที่มานั่งปรับทุกข์กันมากกว่า เมื่อเห็นคนข้างๆ กัดแซนวิชด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

            "ไม่สนุกเหรอ" รู้อยู่แล้วแต่ก็อยากถาม

            "นั่งเฉยๆ จะให้สนุกยังไงอ่ะพี่"

            "เออเนอะ ไปเดินห้างน่าจะดีกว่า"

            "แต่มันก็ได้บรรยากาศอีกแบบนะ ผมยังไม่เคยมานั่งเล่นแบบนี้เลย"

            "แต่ดูเหมือนเราเบื่อ"

            "ไม่ใช่ว่าเบื่อ แค่ง่วงมากกว่า มันเย็นอ่ะ ลมปะทะหน้าบ่อยๆ แล้วตาจะปิด"

            "เย็นเหรอออกจะร้อน"

            "ก็ผมเย็นไง"

            "นี่มันฤดูหนาวนี่หว่าลืมไป" เดือนธันวาคมปีนี้ร้อนไม่ต่างจากช่วงกลางปีนัก

            ไอ้ดื้อกินแซนวิชจนหมดชิ้น ปัดเศษขนมปังที่ติดตามมือ ยืดสองขาไปข้างหน้า เอนตัวไปด้านหลังแล้วใช้สองแขนค้ำเอาไว้

            "อยากนอนเลย"

            "หนุนได้ไม่ว่า"

            "ไม่เอาอ่ะ" ปฏิเสธทันทีแล้วกลับมานั่งท่าเดิม

            "ต้องอยู่กันแค่สองคนใช่มั้ย"

            "อะไร"

            "เปล่า"

            เหลือบมองแบบจับผิดแต่ก็ทำได้เท่านั้น แค่ผมยิ้มให้ก็ยอมแพ้หลบตากันแล้ว

            นิสัยอีกอย่างของไอ้ดื้อคือไม่ชอบแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นหรือในที่สาธารณะ ไม่มีความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงความเป็นเจ้าของ กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลของความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของเรา ทำให้ในอดีตน้องไม่กล้าที่จะอวดผมกับใคร แต่นั่นก็อาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยก็ได้

            "เอิร์ธ"

            เจ้าของชื่อหันมา เราสบตากันได้ชั่วครู่ก่อนอีกฝ่ายจะหันหนีตามระเบียบ

            "เรียกทำไม"

            "ครั้งหน้ามาด้วยกันอีกนะ เดี๋ยวทำเมนูอร่อยๆ ให้กิน"

            "มานั่งเล่นที่สวนอ่ะนะ"

            "ไม่ดิ ไปที่หอ"

            ยังไม่มีคำตอบกลับมา ผมไม่เร่งเร้า ปล่อยให้สายลมเย็นๆ พัดผ่านไปช้าๆ ระหว่างรอเวลาคู่สนทนาตอบกลับ จะตกลงหรือปฏิเสธผมไม่คิดมาก เพราะยังไงก็จะตื๊อให้ครั้งหน้ายอมมาด้วยกันอีกอยู่ดี

            แต่สำหรับไอ้ดื้อน่ะ ไม่เคยปฏิเสธคำชวนของผมได้อย่างเด็ดขาดเลยสักครั้ง

            "ครับ"

           

            ผมนั่งแท็กซี่ไปส่งที่บ้านตามสัญญา ไม่ได้เข้าไปทักทายคุณแม่ แต่ฝากให้ลูกชายไปแก้ข่าวให้แล้วว่ารุ่นพี่สุดหล่อคนนี้เป็นใคร ครั้งหน้าจะมาพร้อมของฝากและเข้าไปทักทายแน่นอน

            เพราะการจราจรอันแสนโหดร้ายในช่วงเวลาเลิกงานของมนุษย์เงินเดือนกว่าผมจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นค่ำมืด อาบน้ำอาบท่าทิ้งตัวลงนอน อยากทักไปหาคนที่คิดถึงก็โดนดักไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นว่านัดเพื่อนเล่นเกม เลยได้แต่ส่องไอจีแบบเหงาๆ

            จะว่าไปไอ้ดื้อติดเกมกว่าแต่ก่อนหรือเปล่า

            กดดูสตอรี่ของคนที่คิดถึงซึ่งลงไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ มองรูปไร้แคปชันใดๆ แต่แท็กชื่อตัวเล็กๆ เอาไว้แล้วยิ้มกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนตัดสินใจกดโพสต์สตอรี่นี้ลงไอจีตัวเอง

            รูปถุงแซนวิชกากๆ บนหญ้าสีเขียว



tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 02-02-2020 19:57:40
รุกจีบน้องแล้วใช่ป่าวววว
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-02-2020 19:58:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าวววววว  ลิขิตกับกาล หน้าไม่เหมือนกันเหรอ?
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-02-2020 03:05:55
เอาใหม่นะกาล
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งห้า__[02/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 09-02-2020 09:31:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 09-02-2020 18:13:19

กาลครั้งหก


            ผืนหญ้าสีเขียว มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่คล้ายทะเลสาบอยู่ด้านหน้าของบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์ที่ตั้งอยู่บนเนิน เสียงสายลม เสียงนกร้อง และเสียงเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นดังอยู่รอบตัว ภาพที่เห็นคล้ายจะชัดเจนแต่ผมกลับมองไม่เห็นหน้าใครสักคน ยกเว้นก็แต่คุณปู่ที่กำลังส่งยิ้มมาให้

            ผมก้มลงมองมือตัวเองก่อนมองรอบตัวอีกครั้ง ที่นี่คือบ้านสวน สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำวัยเด็กของผม กับตัวผมที่กลายเป็นเด็กอีกครั้ง และคุณปู่ที่ไม่น่าจะยืนอยู่ต่อหน้าผมแบบนี้ได้

            "ปู่ครับ" เรียกพลางก้าวเข้าไปหา

            ปู่ยังยืนอยู่ที่เดิม ทว่าภาพที่ผมเห็นกลับค่อยๆ จางลง รอยยิ้มบนใบหน้าที่แสนใจดีนั้นยังคงมอบให้กัน

            "กาล หลานต้องระวังทุกการกระทำของหลานนะ"

            "การกระทำอะไรครับ"

            ผมในวัยเด็กไม่เข้าใจ ปู่ไม่ตอบอะไร ฉากบ้านสวนค่อยๆ เปลี่ยนไปเหลือเพียงความมืด ทิ้งผมไว้กับความสงสัยในใจก่อนท่านจะหายไปต่อหน้าต่อตา

            ลืมตาขึ้น ตื่นจากฝันที่ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย แสงแดดยามเช้าพอจะทำให้ห้องมืดๆ มีแสงสว่างขึ้นมาได้บ้างแม้จะมีผ้าม่านสีเข้มบดบัง ยันตัวลุกขึ้นขยับไปกดปิดแอร์ที่ทำให้อุณหภูมิห้องเย็นเฉียบ บรรยากาศแบบนี้ควรนอนต่ออีกสักนิด แต่เพราะความฝันแปลกๆ ทำให้หลับอีกไม่ลง

            เจ็ดโมงนับว่าเช้ามากทีเดียวสำหรับวันหยุดของผม ลุกจากที่นอนพับผ้าห่มวางไว้เรียบร้อย เปิดผ้าม่านดูวิถีชีวิตยามเช้าของคนละแวกเดียวกัน เห็นแม่วางของใส่บาตรไว้หน้าบ้านแล้วอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกอยากจะทำบุญขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

            ฝันเห็นปู่มาหาขนาดนี้ แถมยังเตือนให้ระวังการกระทำอีก มันต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ

            เข้าห้องน้ำแปรงฟันล้างหน้าแล้วรีบลงไปหาแม่หน้าบ้าน คุณหญิงแม่ทำหน้าตกใจใหญ่ที่เห็นลูกชายตื่นเช้า ไม่พอยังจะขอใส่บาตรด้วยอีก

            "แปลกนะเนี่ย ปกติไม่เคยเห็นอยากใส่บาตร"

            "กาลตื่นแล้วไง เปิดม่านเห็นแม่เตรียมของมาพอดี"

            "งั้นเฝ้าไว้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปเตรียมของมาเพิ่ม"

            "ครับ"

            โดนมองจับผิดอยู่เสี้ยววินาทีแต่ไม่โดนซักอะไรเพิ่ม ก่อนแม่จะเดินเข้าไปในบ้าน

            ตั้งแต่มีอาการฝันร้ายผมไม่เคยฝันถึงเรื่องอื่นเลยจนกระทั่งมันหายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน จะนับว่าครั้งนี้เป็นฝันเรื่องใหม่ในรอบปีก็ไม่ผิด แต่กลับเป็นฝันที่คลุมเครือ ไม่มีแววของฝันดีเลยสักนิด

            ผมไม่แน่ใจว่าที่ปู่มาหาในฝันแบบนี้ต้องการอะไร ที่ว่าให้ระวังการกระทำคือเรื่องไหน จะหมายถึงเรื่องแปลกประหลาดในชีวิตที่กำลังเกิดขึ้นหรือเปล่า พอคิดโยงเข้าเรื่องนี้ก็เริ่มจะเครียดขึ้นมา

            สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันไม่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอถึงได้มาเตือน



            'ฝันบ้าอะไรวะเนี่ย'

            กดเข้าเฟซบุ๊กโพสต์ของคนที่กำลังคิดถึงก็ขึ้นมาให้เห็นเป็นอันแรก ข้อความนี้ถูกโพสต์เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปกติผมคงเข้าไปแซว คนเราจะฝันคืนเดียวกันย่อมไม่แปลก แต่สำหรับผมทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ต้องคิดเอาไว้ว่าเสมอมันต้องมีอะไรผิดแปลกไปแน่ๆ

            ด้วยความอยากรู้เรื่องความฝันของไอ้ดื้อเลยกดโทรหา อาจเพราะกำลังถือโทรศัพท์อยู่ปลายสายถึงได้กดรับตั้งแต่เสียงสัญญาณดังครั้งแรก

            [ตกใจ โทรมาซะเช้าเลย มีอะไรครับ] ไม่ต้องทักทายอะไรมากไอ้ดื้อก็ถามเข้าประเด็น

            "โทรหาเฉยๆ ไม่ได้เหรอ"

            [มันแปลกอ่ะ ถึงขั้นโทรมาต้องมีเรื่องด่วน] แล้วก็เดาถูกซะด้วย

            "อืม เห็นโพสต์เฟซว่าฝัน"

            [อ๋อ แค่เรื่องนี้อ่ะนะ]

            "เรื่องนี้แหละ อยากรู้"

            [ไม่เล่าได้มั้ย]

            เล่นปฏิเสธกันแบบนี้ผมว่าความฝันนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่อาจจะเชื่อมโยงกับความฝันของผมก็ได้ ยิ่งไม่อยากเล่ายิ่งน่าสงสัย หรือว่ามันจะเป็นฝันร้าย

            "มันร้ายแรงเหรอ"

            [ก็เปล่า แค่มันเป็นฝันแปลกๆ]

            "เล่าให้พี่ฟังไม่ได้เหรอ"

            [ทำไมพี่กาลต้องอยากรู้อ่ะ]

            "แล้วพี่อยากรู้เรื่องของเอิร์ธไม่ได้เหรอครับ"

            ปลายสายเงียบไปยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วง กลัวว่าสิ่งที่ผมพยายามจะเปลี่ยนมันจะกลับมา เพราะไม่อย่างนั้นปู่คงไม่มาเตือน

            [ก็...ฝันถึงพี่กาล]

            "พี่เหรอ"

            [ครับ ฝันว่าเคยรู้จักพี่กาล แค่นี้แหละ]

            สำหรับคนอื่นฝันว่าเคยรู้จักกันนั้นไม่แปลก แต่มันแปลกเพราะเราดันเคยรู้จักกันจริงๆ เมื่อหนึ่งปีก่อน

            "แค่นี้ แล้วทำไมถึงขั้นต้องโพสต์ว่าฝันบ้าอะไรวะเนี่ยด้วยล่ะ ไม่อยากฝันถึงพี่เหรอ"

            [เปล่า]

            ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าในความฝันนั้นต้องมีอะไรมากกว่านั้น

            "แล้วยังไงต่อ"

            [ทำไมพี่กาลต้องอยากรู้ขนาดนี้]

            "เมื่อคืนพี่ก็ฝันถึงเรา แต่มันเป็นเรื่องไม่ค่อยดี"

            [ฝันว่าอะไร]

            การหลอกล่อได้ผล ฝันถึงไอ้ดื้อคือเรื่องโกหก แต่ถ้าจะคิดให้มันเชื่อมโยงกันก็ทำได้ อีกอย่างเรื่องไม่ค่อยดีที่บอกไปนั้นผมคิดว่ามันอาจจะเป็นความจริง

            "เอิร์ธเล่ามาก่อนแล้วพี่จะบอก"

            [หลอกถามกันหรือเปล่า]

            "แค่เป็นห่วง"

            อีกครั้งที่ปลายสายเงียบ หลอกกันจริง แต่ก็เพราะเป็นห่วงจริงๆ ถ้าหากเรื่องมันเชื่อมโยงกันจริงรู้ล่วงหน้าก่อนจะได้หาทางรับมือและแก้ไขได้ทัน

            "ถ้าไม่อยากเล่างั้นให้พี่เดามั้ย" ลองเสนอทางเลือก ผมคิดว่าพอจะเดาออก และถ้าหากมันถูกต้องก็จะช่วยย้ำสิ่งที่ผมคิดไว้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

            [จะเดาถูกได้ไง]

            "แค่ลองดู"

            บางทีความฝันนั้นอาจจะเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจริงๆ ก็ได้

            "ในฝันเอิร์ธชอบพี่ ใช่มั้ย"

            [ก็ใช่ ทำไมเดาถูก]

            "เพราะมันดูไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไรมั้ง"

            [โหพี่กาล]

            "หรือไม่จริง"

            [ไม่จริง เพราะตอนนั้นพี่กาลไม่ได้ชอบผม]

            อยากจะต่อประโยคหลังให้ว่า 'แต่ตอนนี้รักมาเลยนะ' ทว่าในหัวผมกำลังสนใจความเป็นจริงในความฝันนั้นจนไม่ได้พูดออกไป แต่ถึงไม่พูดมันก็คือการยอมรับอยู่ดีว่าตอนนี้เรารู้สึกดีต่อกันทั้งคู่

            "แล้วเรื่องอื่นล่ะ"

            [หมายถึง?]

            "รายละเอียดอื่นๆ อย่างเช่นเอิร์ธรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่ได้ชอบ หรือสารภาพรักแล้วโดนปฏิเสธ"

            [มันเป็นความรู้สึกในฝันมากกว่า จะพูดยังไงดี รู้แค่ว่าไม่รัก พี่กาลไม่ได้สารภาพอะไร ผมก็ไม่ได้สารภาพตรงๆ แต่เราเอ่อ...หมายถึงการกระทำมัน...] เกริ่นมาให้ผมอยากรู้แล้วก็เงียบ

            บอกตามตรงว่าผมก็เดาไม่ค่อยออกหรอกว่าไอ้ดื้อจะฝันถึงฉากไหน แล้วการกระทำที่ไม่กล้าพูดออกมานั้นคืออะไร มีหลายอย่างที่ผมเคยทำไว้ทั้งเรื่องดีและไม่ดี เรื่องที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจอีกฝ่ายก็เยอะ ถ้าจะไม่รู้สึกถึงความรักของผมก็ไม่แปลก

            "อย่าเงียบดิ"

            [ไม่ได้เงียบ]

            "ก็ไม่ยอมเล่าต่อ"

            [จบแล้วไง]

            "อย่ามาหลอก เมื่อกี้จะพูดอะไร การกระทำมันทำไม พี่ทำอะไรเรา"

            [ไม่มีอะไร]

            "เอิร์ธ"

            ยิ่งปิดไม่ยอมพูดยิ่งชักเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากบังคับให้ลำบากใจมากกว่านี้ ผมควรทำยังไงดี กลัวว่าความฝันของไอ้ดื้อจะเป็นลางบอกเหตุสักอย่างเหมือนกัน เพราะไม่อย่างนั้นปู่คงไม่มาหาผมแล้วบอกให้ระวังการกระทำ

            [ไม่มีอะไรหรอกพี่กาล ก็แค่ความฝัน]

            "มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีใช่มั้ย พี่ทำอะไรให้เอิร์ธร้องไห้หรือเปล่า"

            [ไม่ใช่ แต่ถึงพี่ทำจริงมันก็แค่ความฝันไง ผมยังไม่เคยร้องไห้เพราะพี่กาลเลย กังวลเพราะฝันของพี่เหรอ เล่าให้ฟังบ้างสิ]

            "พี่ฝันว่าทำไม่ดีกับเอิร์ธ มันเป็นสาเหตุที่ทำให้เอิร์ธไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ พี่กลัวว่าเราจะฝันแบบนี้เหมือนกัน" เรื่องจริงที่กลายเป็นฝันร้ายของผม ผมไม่อยากให้ไอ้ดื้อฝันถึงเรื่องราวแบบนี้ ไม่อยากให้ใครต้องเจ็บปวดอีกแล้ว

            [มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอครับ]

            "มันน่ากลัว น่ากลัวมากๆ" อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจโดนควักออกไปจากอก อยากบุกไปหาคนที่กำลังคุยด้วยมันเสียตอนนี้แล้วคว้าตัวมากอดไว้แน่นๆ ความทรงจำที่เลวร้ายครั้งนั้น บาดแผลและเลือด ดวงตาที่ปิดสนิท เสียงที่ไม่ได้ยินอีกเลยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มีเพียงหยดน้ำตาที่ไม่สามารถทดแทนหรือเรียกคืนสิ่งที่เสียไปกลับมาได้

            น้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง

            [พี่กาล]

            "ครับ"

            [มันไม่มีอะไรจริงๆ นะ]

            "ครับ พี่เข้าใจแล้ว"

            ผมเลือกที่จะเลิกตื๊อ เลิกคิดเรื่องในอดีตและตั้งมั่นกับปัจจุบัน ถ้าไม่ทำผิดซ้ำสองเรื่องเลวร้ายนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีก ยังไงตอนนี้ผมก็ระวังการกระทำของตัวเองอยู่แล้ว

            "เรากินข้าวหรือยัง"

            [พี่กาล]

            "ครับ"

            [มันก็แค่เรื่องน่าอาย อย่าคิดมากนะ]

            ผมรู้ว่าไอ้ดื้อเองก็ห่วงถึงได้พยายามบอกกันซ้ำๆ แต่ก็คล้ายกับน้องอยากจะทดสอบระดับเชาว์ปัญญาผม พอก่อนหน้านี้เดาถูกก็ให้มาแค่คีย์เวิร์ดสั้นๆ ที่ยากจะนึกออก

            จากที่ตั้งใจว่าจะชวนคุยเรื่องอื่นก็ต้องกลับมาคิดมากเรื่องความฝันของอีกฝ่ายอีกครั้ง

            มันก็แค่ ‘เรื่องน่าอาย’ หมายถึงผมอาย หรือไอ้ดื้ออาย ตลอดเวลาที่เคยอยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีตอนไหนเลยที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าอาย อาจจะเพราะในอดีตไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายอายล่ะก็พอจะนึกออกอยู่บ้าง เป็นความอายที่เกิดเพียงแค่ครั้งแรกและครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นเรื่องปกติของเรา

            "อ๋อ"

            [อ๋ออะไร รู้เหรอว่าหมายถึงอะไร]

            "ก็ไม่ยอมบอกรายละเอียดพี่ก็คิดของพี่เดาเองนี่แหละ"

            [คิดอะไร]

            "บอกดีมั้ยน้า"

            [น้องเหนือครับ บอกมา]

            "น้องเหนือเลยนะ" ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงดุ แต่ตอนนี้กลับชอบที่ได้ยินคำนี้

            [บอกมาเลยเร็วๆ]

            "พี่แค่เดาไงไม่รู้จะถูกหรือเปล่า"

            [พี่กาลอย่าเล่นตัวเยอะ]

            "ไม่เรียกน้องเหนือแล้วเหรอ"

            [น้องเหนือๆๆๆๆ] แต่แบบนี้เขาเรียกว่ากวนประสาท

            "พอครับน้องเอิร์ธ"

            ไอ้ดื้อเงียบตามที่บอก เงียบสนิทเหมือนสายตัด ผมยิ้มให้กับความว่านอนสอนง่ายแบบกวนๆ นี้ ก่อนจะตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากฟัง

            "จริงๆ พี่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายนะ มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนย่อมมีความต้องการกันทั้งนั้น"

            ปลายสายยังคงเงียบ เป็นการยืนยันคำตอบว่า ‘เรื่องน่าอาย’ ในความฝันนั้นผมสามารถเดาหมายความของมันได้ถูกต้อง

            ครั้งแรกที่เรามีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว เพิ่งเข้าสัปดาห์ที่สองที่ผมกับไอ้ดื้อได้ทำความรู้จักกัน หากนับตามเวลาปัจจุบันก็ใกล้เคียงกับช่วงเวลานี้พอดี ตอนนั้นผมเป็นคนเอ่ยปากขอ เมื่ออีกฝ่ายไม่ขัดขืนคืนนั้นจึงจบลงที่เตียง สำหรับผมมันก็แค่เรื่องธรรมดาทั่วไป ไม่รู้สึกหรือพิศวาสอะไรเป็นพิเศษ ผิดกับอีกฝ่ายที่มีความต้องการอยู่ในใจ แต่ไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย

            การที่ไอ้ดื้อฝันถึงความสัมพันธ์ครั้งก่อนของเราผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก จริงอยู่ที่ผมอยากให้น้องจำกันได้ แต่ถ้าเป็นความทรงจำที่ทำให้ต้องเจ็บปวดแบบนี้ให้มันหายไปตลอดกาลเลยยังจะดีเสียกว่า

            "ฝันเรื่องทะลึ่งนะเรา" เอ่ยแซวเพราะอยากผลักบรรยากาศเศร้าๆ ในใจออกไป

            [ทะลึ่งอะไรเล่า ไหนบอกเรื่องธรรมชาติไง]

            "ก็เราพูดเองว่ามันน่าอาย"

            [อยู่ๆ ก็ฝันแบบนั้นมันก็อายไง เราเพิ่งรู้จักกันเอง]

            "ไม่เห็นเกี่ยวเลยว่าต้องรู้จักกันนานแค่ไหน"

            [เออเนอะ เพราะเจอกันแค่ไม่กี่วันพี่กาลยังชอบผมเลย]

            "ต่อหน้ากล้าพูดให้ได้แบบนี้นะ"

            ไอ้ดื้อหัวเราะ ผมเองก็ไม่ปฏิเสธ แม้คำว่าชอบของผมจะใช้เวลานานมากกว่าสี่วันหลายเท่าก็ตาม

            [ไม่กล้าหรอก]

            "เรื่องนั้นน่ะเราก็อย่าไปคิดมากนะ มันก็แค่ความฝัน"

            [บอกตัวเองเถอะ]

            ผมหัวเราะกลับไปบ้าง โดนฤทธิ์ไอ้ดื้อเข้าอีกแล้ว แต่ก็จริงที่ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนคิดมากอยู่ฝ่ายเดียว

            "แต่ถ้าฝันประมาณนี้อีกต้องมาเล่าให้ฟังนะรู้มั้ย"

            [ต้องเล่าด้วยเหรอ ไม่คิดว่าผมจะอายบ้างเหรอถ้าเกิดฝันแบบนี้บ่อยๆ อ่ะ]

            หลุดหัวเราะไปอีกรอบ ผมผิดเองที่พูดไม่เคลียร์และทำให้เข้าใจผิด

            "ไม่ได้เจาะจงเรื่องนั้น หมายถึงว่าถ้าฝันถึงพี่อีกมาเล่าให้ฟังด้วย"

            [อืม แต่คงไม่ฝันบ่อยๆ หรอกมั้ง] ตอบกลับมาเสียงเบาจนเหมือนกระซิบ อยากฝันถึงกันหรือเปล่าผมไม่คิดมาก แต่ถ้าฝันแล้วทำให้ไอ้ดื้อต้องรู้สึกแย่ก็อย่าฝันถึงกันเลยจะดีกว่า

            "ยังไม่ตอบเลยกินข้าวหรือยัง" อยากชวนเปลี่ยนประเด็นจากเรื่องเครียดๆ เลยพาย้อนกลับไปยังคำถามที่ผมถามค้างไว้ก่อนหน้านี้

            [กินแล้ว พี่กาลอ่ะ]

            "กินแล้ว วันนี้ตื่นเช้า ได้ใส่บาตรด้วย"

            [จะว่าไปไม่ได้ใส่บาตรนานแล้วเหมือนกัน]

            "งั้นพรุ่งนี้ไปทำบุญกันมั้ย" ได้โอกาสผมก็หาเรื่องชวนออกไปไหนมาไหนด้วยกัน ไปวัดทำบุญก็ดูเป็นความคิดที่เข้าท่าดี

            [ทำบุญด้วยก็ดีเหมือนกัน]

            "เสร็จแล้วก็กินข้าวดูหนังต่อเลย"

            [คนมันมีแผน]

            "หรือไม่อยากไป"

            [เปล่าครับ จะไปพรุ่งนี้เหรอ]

            "หรือมีนัดแล้ว"

            [ก็เปล่าอีก กี่โมงอ่ะ]

            "เก้าโมงดีมั้ย เสร็จแล้วห้างคงเปิดพอดี เดี๋ยวพี่ไปรับ"

            [จะนั่งแท็กซี่มารับเหรอ]

            "เออว่ะลืม ตอนนี้ไม่มีรถ"

            ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ผ่านมาตามสาย ผมก็ลืมไปว่าลิขิตมันยังไม่กลับมา

            [งั้นเจอกันที่วัดเลยก็ได้]

            "โอเคครับ"

            เราคุยรายละเอียดเรื่องเวลาและสถานที่กันอีกนิดหน่อยก่อนวางสาย ผมรู้สึกสบายใจขึ้นที่ได้เปิดใจคุยกัน แต่กับเนื้อหาของความฝันนั้นไม่มีความสบายใจใดๆ เลย เชื่อว่าเมื่อมีครั้งแรก ยังไงก็ต้องมีครั้งที่สอง ไอ้ดื้อต้องฝันถึงเรื่องราวที่เหมือนกับอดีตของเราอีกแน่

            เพิ่งจะหายเครียดไปไม่กี่วันเช้าวันนี้ก็ทำให้ผมกลับมาเครียดอีกครั้ง ไหนลิขิตมันบอกว่าเรื่องราวแปลกประหลาดนี้จะจบลงด้วยดี แต่ทำไมตอนนี้เหมือนมันจะยากขึ้นยังไงก็ไม่รู้



tbc.


สองเหนือหน้าไม่เหมือนกันค่ะ
เพราะคนที่หน้าเหมือนเป็นพุดตานกับน้องเอิร์ธแทน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-02-2020 20:09:32
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ.....คุณปู่มาเข้าฝันทำไม? 
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 10-02-2020 03:00:17
ให้ระวังการกระทำต่อจากนี้เหรอ
แต่เหนือกาลไวมากเลยน้าาาาาาา อาทิตย์เดียวเอง
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งหก__[09/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 10-02-2020 18:24:16
 :katai1: เป็นเครียดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเจ็ด__[10/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 10-02-2020 22:42:56
กาลครั้งเจ็ด


                ผมมาถึงก่อนเวลานัดสิบห้านาที แต่ไอ้ดื้อมาเร็วกว่า ลงจากรถแท็กซี่ก็เห็นน้องยืนก้มหน้าก้มตากดมือถือไม่มองใคร เครื่องในกระเป๋ากางเกงผมก็สั่นถี่ๆ เหมือนกัน

                เดินไปยืนตรงหน้าคนที่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากที่เจอกันครั้งก่อน ตัวผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร แค่ลองนับวันดูในใจก็พอนึกออก

                "สีม่วงเหรอ" ถามออกไปเมื่ออีกฝ่ายละสายตาจากหน้าจอเงยขึ้นมามอง

                "ม่วงอมชมพูต่างหาก"

                "ทำสีผมอะไรก็ดูเหมาะไปหมดเลยเนอะ"

                "อันนี้ชมใช่มั้ย"

                "ชมดิ" พอเปลี่ยนจากสีช็อกโกแลตมาเป็นสีนี้ทำให้คนตรงหน้ายิ่งดูน่ารักมากขึ้น ดูนุ่มนิ่มเหมือนสายไหม เห็นแล้วอยากลองชิมดูว่าจะหวานสักแค่ไหน

                "แต่พี่กาลทำสีอะไรก็เข้าเหมือนกันนะ" ผมเองก็เปลี่ยนสีผมบ่อย แต่ยังไม่เคยลองโทนสีชมพูมาก่อน

                "หรือว่าจะลองทำสีนี้บ้างดี"

                "ไม่เอาดิ อย่าตาม"

                "ไม่ทำหรอก ผมเป็นไม้กวาดหมดแล้วเนี่ย" ยีผมคนตรงหน้าเล่นก่อนจะโดนปัดออก ทั้งสากทั้งแข็งไม่มีความนุ่มลื่นเลยแม้แต่นิด เปลี่ยนสีบ่อยแต่ไม่ค่อยจะดูแล

                "พูดเวอร์ว่ะ"

                "บำรุงมันบ้างผมน่ะ"

                "รู้แล้ว ชวนมาทำบุญไม่ใช่เหรอ ไปดิ" เถียงไม่ได้ก็พาเปลี่ยนเรื่อง ทำหน้านิ่งเดินนำหน้า แล้วก็หันกลับมามองกันว่าได้เดินตามไปหรือเปล่า

                เปลี่ยนสีผมแล้วน่ารักขึ้น แต่ก็ยังดื้อเก่งเหมือนเดิม



                เพราะไม่ใช่วัดดังแถมยังเป็นวันธรรมดาทั้งวัดเลยเหมือนมีแค่เราสองคน ถอดรองเท้าไว้ด้านหน้าอุโบสถ หยอดกล่องบริจาคหยิบดอกไม้ธูปเทียนไว้พระ แล้วชวนกันถวายสังฆทาน พระท่านพรมน้ำมนต์และผูกสายสิญจน์ให้ที่ข้อมือ

                ผมถอยกลับมานั่งข้างหลังระหว่างรอพระท่านผูกสายสิญจน์ให้ไอ้ดื้อ นึกลุ้นอยู่ในใจว่าจะโดนทักอะไรบ้างหรือเปล่า หลวงพ่อจะรู้มั้ยว่ามีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับเราสองคน แต่สุดท้ายท่านก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองแล้วยิ้มให้เท่านั้น

                เราออกจากอุโบสถเดินไปยังริมน้ำที่มีท่าให้อาหารปลา ไอ้ดื้อมองหน้าผมอยู่หลายรอบ มือจับสายสิญจน์เล่น ดูเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ

                "คิดอะไรอยู่"

                คนถูกถามหันมามองแล้วเลิกคิ้วถามกลับ

                "เราอ่ะเป็นอะไร เห็นมองพี่หลายรอบแล้ว"

                "ไม่รู้เหมือนกัน มันโหวงๆ แปลกๆ"

                "ยังไง"

                "อธิบายไม่ถูก"

                ได้ฟังแบบนี้ผมก็ชักรู้สึกวูบโหวงในใจขึ้นมาบ้าง เข้าวัดทำบุญก็ไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นได้สินะ

                "เรื่องฝันหรือเปล่า"

                "ผมก็ไม่รู้"

                "เมื่อคืนได้ฝันอีกมั้ย"

                "ไม่ฝัน" ส่ายหน้าตอบเบาๆ

                "ถ้างั้นคงไม่มีอะไรหรอก"

                บอกไปอย่างนั้นแต่ใจผมกลับไม่ได้เห็นด้วย เรื่องความฝันก่อนหน้านี้เป็นผมเองที่กังวลจนถึงขั้นออกปากชวนให้มาทำบุญด้วยกัน ตอนคุยกันเมื่อวานไอ้ดื้อยังเห็นเป็นแค่เรื่องขำขัน แต่เวลานี้กลับเป็นฝ่ายกังวลขึ้นมาแทน

                ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีเหตุผลอะไรที่อยู่ๆ ทำให้ไอ้ดื้อรู้สึกไม่ดีขึ้นมา หลวงพ่อก็ไม่ทักหรือพูดอะไร จะบอกว่าเป็นเพราะสายสิญจน์ก็ไม่น่าใช่ แม้แต่คนรู้สึกยังอธิบายไม่ได้ผมก็หมดปัญญาจะเค้นให้ได้ความ

                "ถ้ามีอะไรต้องบอกพี่รู้มั้ย เรื่องฝันด้วย" ก็ทำได้แค่ย้ำไปเรื่อยๆ เท่านั้น

                "รู้แล้ว ย้ำบ่อย"

                "ก็ห่วง"

                "ยังไม่ได้เป็นอะไรเลยเนี่ย จะมาห่วงทำไม"

                "ไม่ได้เป็นอะไรก็ห่วง ไม่อยากห่วงตอนมันเกิดอะไรขึ้นมาแล้วจริงๆ"

                "พี่กาลคิดมากว่ะ" ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งใส่แล้วเดินหนี แต่เพราะผมจ้องหน้าอยู่ตลอดเลยสังเกตเห็นว่าไอ้ดื้อแอบยิ้มก่อนจะเดินหนีไป

                วัดนี้อยู่ติดคลอง จึงมีศาลาเล็กๆ สำหรับให้อาหารปลา ด้านหน้ามีอาหารที่ตักแบ่งใส่ถังเล็กๆ ไว้ขาย ซื้อแล้วผมก็หิ้วเข้าไปหาไอ้ดื้อที่ยืนรออยู่ตรงริมน้ำ

                เราทำการยึดศาลาเมื่อไม่เห็นผู้ใจบุญคนอื่นๆ ความจริงแล้วตรงนี้มันเป็นเหมือนโป๊ะเรือเล็กๆ มากกว่า มีท่าที่ทำจากไม้ยื่นออกไปริมน้ำนิดหน่อย หันมองด้านหลังเพื่อเช็กอีกรอบว่าไม่มีใครมาเพิ่มก็ชวนกันนั่งลงจับจองพื้นที่ด้านหน้าสุด วางถังอาหารไว้ตรงกลาง มองปลาสลวยที่ว่ายกระจายกันอยู่ ก่อนจะกอบอาหารแล้วหว่านออกไป

                "โยนไปไกลๆ ดิ" ผมต้องโยกตัวหลบตอนปลาสวายฝูงใหญ่เข้ามารุมกินอาหารจนน้ำกระเด็นมาโดน ไอ้คนที่โปรยอาหารเมื่อกี้ก็เอาแต่ขำ

                "ปลาไปรุมตรงพี่กาลเต็มเลย"

                "ก็เราโยนมาทางพี่นี่หว่า นี่แกล้งใช่มั้ย"

                "เปล่า จะโยนให้มันกระจายๆ แต่หลุดมือ"

                "น่าเชื่อตายเหอะ"

                ไอ้ดื้อขำคิกคักไม่หยุด ถ้าเป็นเมื่อปีก่อนคงโดนผมดุจนหงอย แต่จะว่าไปในอดีตเราไม่เคยได้ทำอะไรแบบนี้ด้วยกันเลยสักครั้ง เดือนกว่าๆ ที่ได้รู้จักกันนั้นแสนสั้น และผมก็ใช้มันให้หมดไปอย่างเปล่าประโยชน์ กว่าจะรู้ตัวอีกทีทุกอย่างก็สายเกินแก้

                "โยนไปไกลๆ เลย เดี๋ยวมันก็กระโดดมางับ" ผมบอกอีกรอบ กำอาหารจากถังแล้วเหวี่ยงไปไกลๆ ให้เด็กมันดู

                "ปลาสวายไม่ใช่จระเข้"

                "แต่ตัวใหญ่กว่าขาเราอีก"

                "เวอร์มาก ขาผมก็ใหญ่เถอะ" ค้านอย่างไม่ยอมแพ้ ชันขาขวาขึ้นแล้วตีน่องที่อยู่ใต้กางเกงยีนให้ผมดู แต่ไม่ว่าจะดูยังไงก็เล็กนิดเดียว

                "เล็ก"

                "โอ้โห หยามมาก" กลับไปนั่งขัดสมาธิเหมือนเดิม กำอาหารปลาแล้วขว้างออกไปเหมือนระบายความโกรธ

                "คิดไปถึงไหน"

                "หมายถึงขาไง"

                "ก็เล็กจริง เอวก็แค่นี้" ผมดึงเสื้อโอเวอร์ไซซ์ที่อีกฝ่ายใส่จนแนบกับลำตัว ไอ้ดื้อเป็นคนรูปร่างเล็ก ซิกแพคก็ไม่มี มีแต่พุงกะทิน้อยๆ

                "ไม่แค่นี้ ซักผ้าได้เลยเถอะ"

                "อะไรซักผ้าได้"

                ผมทำหน้างงใส่ ไอ้ดื้อยิ้มเหมือนผู้ชนะ เล่นมุกอะไรทำไมผมไม่เข้าใจ

                "หน้าท้องพี่กาลซักผ้าได้เปล่า"

                "ใครจะเอาหน้าท้องไปซักผ้าบ้าปะ แต่ถ้าซิกแพคน่ะมี"

                "อย่ามาโม้ ตัวเองก็ผอมเถอะ"

                "ผอมก็ใช่ว่าจะไม่มี" ยักคิ้วให้อย่างคนเหนือกว่า

                พวกเราน่ะต่างเคยเห็นร่างกายของกันและกันมาหมดแล้ว ถ้าความทรงจำของไอ้ดื้อไม่หายไปน่าจะจำได้ดี แต่ถึงจะลืมไป สักวันเดี๋ยวก็จะได้รู้เอง

                "อยากเห็นมั้ยเดี๋ยวให้ดู"

                "จะทำอะไรเกรงใจหน่อย ที่นี่วัดนะ" ทำตัวเป็นคุณครูชี้นิ้วสอน

                "ใครบอกจะเปิดให้ดูที่นี่"

                "ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากดู" แล้วก็ปฏิเสธกันดื้อๆ แบบนี้เลย

                เพราะยังเช้าอากาศจึงยังไม่ร้อนมาก ได้ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกอยู่ริมน้ำยิ่งทำให้บรรยากาศเย็นสบาย ผมหยิบอาหารปลาจากในถังทีละน้อยแล้วหว่านให้ไปเรื่อยๆ สลับกับชวนคนข้างๆ คุย เงียบบ้างเสียงดังบ้าง เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ผมรู้สึกดีจนไม่อยากลุกออกไปไหน จนกระทั่ง...

                ได้ยินเสียงท้องร้องจากเด็กดื้อแถวนี้

                เราหันมาสบตากันก่อนไอ้ดื้อจะค่อยๆ หันหน้าหนีไปทางอื่น ผมเกือบหลุดขำตอนเห็นหูแดงๆ ของคนที่กำลังทำเป็นไม่สนใจแล้วโยนอาหารให้ปลาต่อไปเรื่อยๆ

                "ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ"

                "ยังอ่ะ" ตอบโดยไม่ยอมหันมามอง ก็แค่ท้องร้อง มันจะเขินอะไรขนาดนั้น

                "งั้นไปกินข้าวกัน" ผมเองก็ยังไม่ได้กิน ตรงหน้าวัดมีร้านขายข้าวแกงอยู่ กินเสร็จแล้วค่อยไปเดินห้างฯ กันต่อ

                ไอ้ดื้อยกถังที่ยังเหลืออาหารปลาอยู่นิดหน่อยเทจนเกลี้ยงแล้วลุกขึ้นทันที เชื่อแล้วว่าหิวมากจริงๆ

                ผมลุกขึ้นตาม หมุนตัวกลับไปก็เห็นคนที่ลุกไปก่อนหน้านี้นั่งยองๆ หันหลังให้ระหว่างทางเดินกลับเข้าศาลา ถังอาหารปลาวางอยู่ข้างตัว ได้ยินไอ้ดื้อพูดเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้ ทำให้ผมเห็นเสี้ยวหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่โดนนั่งบังเอาไว้ตอนแรก

                "พี่กาลดูดิ น่ารักมากเลย เมื่อกี้มันเข้ามาอ้อน" บอกเฉยๆ ไม่พอยังขยับตัวออกให้ผมเห็นมันชัดๆ เจ้าสิ่งมีชีวิตขนเหี้ยนสีเทาจ้องมาที่ผม แล้วขนทั้งตัวก็พากันพร้อมใจลุกขึ้นยืน

                "แมว" บอกเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ขาขยับก้าวถอยหลังอัตโนมัติ มึงอย่าเกิดเข้ามาเด็ดขาดนะไอ้สัตว์หน้าขน อย่าเข้ามา!

                "ก็แมวไง เนี่ยอ้อนอีกแล้ว"

                เห็นไอ้แมวตัวนั้นเอาหัวไปถูขาไอ้ดื้อผมก็ขนลุกอีกรอบ รีบหน้าหนีแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใจอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ แต่โป๊ะเล็กๆ นี้แค่ไอ้ดื้อนั่งขวางอยู่ตรงกลางก็เกือบเต็มแล้ว

                "ไปแล้วนะ"

                ได้ยินเสียงไอ้ดื้อที่น่าจะบอกลาแมว ผมยังมองวิวรอบข้างเพราะรู้ดีว่าถ้าเผลอไปสบตากับไอ้แมวตัวนั้นอีกรอบต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ ที่ตรงนี้มันอันตราย จะกรี๊ดแล้วปลดปล่อยพลังทั้งหมดเหมือนตอนอยู่กับลิขิตสองคนก็ไม่ได้ด้วย

                "มาดิพี่กาล ยืนทำไร"

                ผมก้าวไปข้างหน้าโดยไม่มองพื้น ไม่รู้ไอ้แมวตัวนั้นมันไปหรือยัง แต่พอก้าวที่สองเท่าขาก็ไปชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ใจน่ะรับรู้ว่ามันต้องเป็นไอ้ตัวที่ไม่อยากเห็นแน่ๆ แต่ตาดันเผลอเหลือบไปมองเสียอย่างนั้น

                "เมี้ยว"

                "เมี้ยวแม่มึงเซ่!" เกินกว่าจะควบคุมอาการตกใจของตัวเองได้ ผมก้าวถอยหลัง แล้วก็ไม่ได้ลืมด้วยว่าด้านหลังนั้นเป็นอะไร

                แต่จะให้ตั้งตัวตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้ว

                "พี่กาล!"

                ตู้ม!        

               

                เหตุการณ์ที่ทำเอาทุกคนในบริเวณนั้นแตกตื่นผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้ว ไอ้ดื้อนั่งทำหน้าเครียดอยู่ตรงหน้าผมที่มีผ้าขนหนูห่อตัวอยู่ ต้องขอบคุณหลวงพ่อที่เอามาให้ ลุงคนขายอาหารปลาที่มาช่วยดึงผมขึ้นจากน้ำก็กลับไปนั่งเฝ้าถังอาหารปลาของแกแล้ว

                ผมว่ายน้ำเป็น ตกน้ำแค่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอันตรายอยู่ดี ปลาสวายที่รุมกินอาหารอยู่ก่อนหน้านี้ถึงกับวงแตก ไอ้ดื้อวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา แต่ไอ้แมวตัวต้นเหตุน่ะหายไปไหนไม่รู้ ซึ่งก็ดีแล้วที่มันไม่นึกเป็นห่วงเป็นใยเข้ามาดูอาการผมอีกตัว

                "โอเคยัง" ไอ้ดื้อถามหน้าเครียด มองผมไม่ละสายตาตั้งแต่ขึ้นมาจากน้ำ

                "โอเคดิ ไม่ได้เป็นไรสักหน่อย"

                "เป็นดิพี่กาล ผมยังใจหายอยู่เลยเนี่ย"

                "โอ๋ๆ นะครับ ขวัญเอ๋ยขวัญมา" ยกมือหวังจะลูบหัวปลอบ แต่ดันโดนโยกหัวหลบซะนี่

                "ไม่ต้องมาจับเลย สกปรก" เป็นงั้นไป

                "แค่นี้รังเกียจ"

                "หายหนาวยัง ไปล้างตัวกัน" พยักหน้าชวน ที่จริงไอ้ดื้อชวนผมจะตั้งแต่ขึ้นมาจากน้ำแล้ว แต่พอบอกไปว่าหนาวน้องเลยให้นั่งพักก่อน ผ้าขนหนูที่ได้จากหลวงพ่อมาก็ช่วยได้เยอะ

                "ไปดิ"

                ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากศาลาริมน้ำนัก พอเริ่มสายแดดก็เริ่มแรง เลยต้องเดินหลบไปตามเงาของต้นไม้ มีลมพัดมาเป็นระยะ ล้างตัวเสร็จมายืนตากแดดไม่กี่นาทีเสื้อผ้าคงแห้ง ส่วนผมน่าจะโดนย่างจนสุกพร้อมรับประทานได้เลย

                "พี่กาล"

                หันไปมองคนเรียกที่เดินอยู่ข้างกัน ไอ้ดื้อยังทำหน้าเครียดไม่เลิก

                "หรือที่ผมรู้สึกโหวงๆ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพี่จะตกน้ำวะ"

                "ทำไมคิดงั้น"

                "ไม่รู้ อาจจะเป็นลางบอกเหตุ"

                สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้จะเชื่อไว้ก็ไม่เสียหาย ไอ้ดื้อรู้สึกไม่ดี แล้วหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับผมจริงๆ แต่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผมตกน้ำเป็นเพราะไอ้แมวตัวนั้นต่างหาก

                "เออยังไม่ได้ถามเลย แล้วทำไมอยู่ๆ ก็ถอยหลังลงน้ำอ่ะ ด่าแมวด้วย"

                กลัวแมว เป็นความจริงที่ผมไม่ค่อยอยากเล่าให้ใครฟังนัก ตอนมัธยมคนที่รู้เรื่องนี้มีแค่กลุ่มเพื่อนสนิท แต่พอขึ้นมหา'ลัยมันกลับถูกกระจายอย่างรวดเร็วจนทุกคนเขารู้กันหมดว่าสองพี่น้องเหนือไม่ถูกกับแมว คนพี่แพ้ ส่วนคนน้องกลัว

                "พี่กลัวแมว"

                "จริงดิ" ทำตาโตถามกลับ เหมือนในอดีตไม่มีผิด

                "ไม่งั้นจะถอยหลังลงคลองทำไม"

                "แล้วทำไมไม่บอก จะได้จับมันไปไว้ที่อื่น"

                "ก็ไม่คิดว่ามันจะเดินเข้ามาหา"

                "ทำเป็นเก๊กมากกว่า"

                "ก็เออ" อันนี้ยอมรับ กลัวสิ่งมีชีวิตที่คนอื่นคิดว่าน่ารักมันแปลกไง ได้เริ่มต้นใหม่ก็อยากทำให้มันดูเท่ๆ บ้าง แต่รู้ตัวแล้วว่าไม่รอด

                "สมน้ำหน้าดีมั้ยอ่ะ มาๆ เดี๋ยวราดน้ำให้" ไอ้ดื้อเดินนำเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้วกวักมือเรียก

                ห้องน้ำวัดนี้ค่อนข้างสะอาด มีห้องน้ำสามห้อง ห้องอาบน้ำอีกสองห้อง ผมพาดผ้าขนหนูไว้บนกำแพง ยืนนิ่งๆ ให้ไอ้ดื้อตักน้ำราดให้ ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ถอดเสื้อออกมาขยี้อีกที

                บิดเสื้อจนหมาดแล้วสลัดแรงๆ ใจอยากจะถอดกางเกงออกมาซักด้วยแต่เกรงว่าถ้าใส่กางเกงในตัวเดียวในวัดมันจะเสียมารยาทเกินไปหน่อย แต่ถ้าแค่ถอดออกมาบิดไม่น่าจะเป็นอะไร

                "ไหนบอกมีซิกแพค" ถูกทักตอนกำลังถอดเข็มขัด โดนเด็กแอบมองโดยไม่รู้ตัว

                "ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายมันเลยไม่ชัด"

                "พี่กาลขี้โม้ว่ะ"

                "เราอ่ะแอบดู"

                "ไม่ได้แอบเลย มาถอดต่อหน้าเอง แล้วเรื่องชุดจะเอาไงครับ จะรอตากให้แห้งก่อนเหรอ ลองไปยืมเสื้อหลวงพ่อมั้ย เผื่อมีให้ยืม"

                "จะให้พี่ใส่สบงเหรอ"

                "แล้วแต่เลย งั้นก็อยู่เปียกๆ แบบนี้ไปนี่แหละ" แหย่เล่นนิดหน่อยโดนทำหน้าจริงจังใส่ซะงั้น

                "คงกลับไปเปลี่ยนที่หอก่อน" ฝากเสื้อให้ไอ้ดื้อถือแล้วถอดกางเกงออกมาบิด แต่เพราะมันเป็นยีนเลยบิดโคตรยาก

                "จะกลับเลยเหรอ"

                "แค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเฉยๆ ยังไม่ปล่อยให้กลับบ้านหรอก" บอกแล้วยิ้มให้หนึ่งที วันนี้มีแผนยึดตัวไว้ทั้งวัน แม้จะกลัวแมวจนตกน้ำคลองก็ไม่มีทางยกเลิกแผนการเด็ดขาด

                ไอ้ดื้อไม่ว่าอะไร พอผมใส่กางเกงเสร็จก็ยื่นเสื้อมาให้ รีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วพาเด็กไปหาข้าวกินดีกว่า ป่านนี้หิวจนกินวัวได้ทั้งตัวแล้วมั้ง หรือว่าจะกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับหอดี

                "กินข้าวก่อนมั้ย"

                "ตกใจจนลืมหิวหมดแล้ว แต่พอทักก็เริ่มหิวอีกละ"

                "ยังไง"

                "พี่กาลกลับไปอาบน้ำก่อนเหอะ เดี๋ยวซื้อขนมกินไปก่อนก็ได้ เสร็จค่อยกินทีเดียว"

                เป็นอันตกลงตามนี้

                ผมเอาผ้าขนหนูไปคืนหลวงพ่อ ตอนแรกเสนอจะเอาไปซักให้แต่ท่านบอกว่าไม่เป็นไร ขอบคุณร่ำลาท่านแล้วก็เดินมาโบกแท็กซี่หน้าวัด ใจกลัวว่าแท็กซี่จะไม่รับเพราะตัวผมเปียก แต่เดินฝ่าแดดแค่ไม่กี่เมตรเสื้อผ้าหมาดๆ ก็เริ่มแห้งจนดูไม่ผิดสังเกตอะไร

                สุดยอดไปเลยแดดประเทศไทย



               
----------ต่อด้านล่าง-------------

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเจ็ด__[10/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 10-02-2020 22:43:21


                พาไอ้ดื้อแวะเซเว่นหน้าหอก่อนขึ้นมาบนห้อง ปล่อยแขกให้เพลิดเพลินกับอาหารว่าง ส่วนผมก็รีบอาบน้ำ ได้ฟอกสบู่แล้วรู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะ

                พันผ้าขนหนูเดินออกมาจากห้องน้ำ คนที่กำลังกดมือถืออยู่ก็หันมามอง แย้มรอยยิ้มแสนดื้อ ก่อนหันมือถือมาทางผม

                "จะทำอะไร"

                "ถ่ายรูปไง"

                "จะเก็บไว้ดูเหรอ"

                "จะเอาไปขาย"

                "กล้าเหรอ" เปลี่ยนเป้าหมายจากประตูห้องนอนเดินเข้าไปหาเด็กดื้อแทน เอิร์ธยังไม่ยอมลดมือถือลง ขณะที่รอยยิ้มค่อยๆ หายไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นหวาดระแวง

                มือถือถูกเก็บลงเมื่อผมนั่งที่โซฟา ใช้แขนข้างหนึ่งค้ำไว้สร้างเป็นกรงขังไม่ให้อีกฝ่ายหนีแล้วโน้มตัวลงไปหา เด็กดื้อก็ดูเหมือนจะหมดฤทธิ์ทันที

                "ไม่ถ่ายแล้วเหรอ"

                "พี่กาลอย่าแกล้ง"

                "ไม่ได้แกล้ง แค่เดินมาให้ถ่ายใกล้ๆ" บอกด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเรียบนิ่ง อีกฝ่ายไม่กล้าเถียงอะไรอีก ไอ้ดื้อน่ะกลัวผมโหมดนี้ที่สุด

                "ไม่ชอบเหรอ"

                "หืม?"

                "ถ้าพี่กาลไม่ชอบก็บอก จะได้ไม่ทำ"

                "ยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่ชอบ"

                "แสดงว่าแกล้งจริงๆ" เมื่อกี้ไอ้ดื้อคงคิดว่าผมไม่ชอบใจจริงๆ

                "ไม่ได้แกล้ง"

                ถ้าหากไม่ได้อยู่ในท่าที่เสียเปรียบไอ้ดื้อคงโวยวายใส่ผมไปแล้ว แต่ที่ไม่ยอมโวยวายเพราะหนีไม่ได้ นั่งตัวลีบติดพนักโซฟาซะขนาดนั้น ถ้าจะหนีต้องถีบผมอออกอย่างเดียว ซึ่งน้องมันไม่มีทางทำอยู่แล้ว

                "งั้นรีบลุกไปใส่เสื้อผ้าเลย"

                "แล้วถ้าไม่ไปล่ะ"

                "ไปเถอะ รู้สึกเหมือนหัวใจจะวายแล้ว"

                ในที่สุดก็ยอมสารภาพ

                "คิดอะไรลามกอ่ะดิ" ผมขยับเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเราเกือบชนกัน เห็นปากดื้อๆ อยู่ตรงหน้าแล้วอยากจะจูบให้หายคิดถึง

                "พี่กาล" เรียกเสียงอ่อน ส่งสารว่าขอยอมแพ้ แต่ผมยังไม่อยากปล่อย

                "หน้าแดงหมดแล้ว"

                "ก็เออ พี่เล่นแบบนี้มันก็นึกถึงความฝันตอนนั้นไง แถมยังอยู่ในห้องพี่กาลอีก"

                "อ๋อ ที่นี่คือสถานที่เกิดเหตุนี่เอง"

                "เข้าใจก็ลุกออกไปเลย" ไอ้ดื้อผลักไหล่ผมออก มันเบาจนไม่สามารถเพิ่มระยะห่างระหว่างเราได้

                เพราะเหตุการณ์แบบนั้นเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ภายในห้องที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง มันคิดถึงจนอยากได้มาครอบครองอีกครั้งเร็วๆ อยากบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าความรู้สึกที่มีให้ตอนนี้มันมากแค่ไหน แต่ ณ เวลานี้ยังเร็วเกินไปผมรู้ดี

                ฝังจมูกลงบนแก้มข้างขวาที่ยังแดงปลั่งก่อนผละออกมา ยกยิ้มให้คนที่มองค้อนใส่ได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็หลบตาก่อนเดินเข้าห้องนอน จะได้แต่งตัวแล้วพาเด็กดื้อไปกินข้าวสักที

                เมื่อกี้น่ะผมห้ามใจตัวเองแล้ว แต่ทนได้เท่านี้จริงๆ

               

                กว่าจะออกจากห้องก็ได้เวลาห้างฯ เปิด จัดบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างมื้อใหญ่ คนที่กำลังหิวโซจัดการทั้งหมูและเนื้อหมดไปหลายถาดในเวลาอันรวดเร็ว ตามด้วยไอศกรีมอีกหลายถ้วยเป็นของหวานตบท้าย

                เป็นคนที่กินบุฟเฟ่ต์ได้คุ้มจริงๆ

                "อิ่มมากอ่ะ" ทำตาปรือนั่งเลื่อยไปกับเก้าอี้ เห็นไอ้ดื้อเจริญอาหารแบบนี้แล้วผมเป็นปลื้ม คล้ายกับว่าภาพคนป่วยตัวผอมแห้งนอนติดเตียงกำลังค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผม

                "สั่งอะไรเพิ่มอีกมั้ย

                "กินไม่ไหวแล้ว พี่กาลอ่ะอิ่มเปล่า ย่างให้อย่างเดียวเลย"

                "แค่เห็นเรากินพี่ก็อิ่มแล้ว"

                "ไม่ได้ปะแบบนั้น" ดันตัวขึ้นนั่งตัวตรงแล้วทำหน้าจริงจังใส่

                "อิ่มแล้ว พี่ก็กินเยอะเถอะ"

                "แล้วจะไปไหนต่อ"

                "อยากทำอะไรต่ออ่ะ"

                "ง่วงแล้วอยากนอน"

                "งั้นกลับหอพี่มั้ย"

                "ไม่เอาอ่ะ" รีบปฏิเสธทันทีเหมือนคิดคำตอบมาจากบ้าน

                "ก็ไหนว่าอยากนอน"

                "หมายถึงอยากนอนที่บ้าน"

                "อยากกลับบ้านแล้วเหรอ"

                "ก็..." เหลือบมองผมแล้วก็ไม่ยอมตอบ

                ผมไม่ห้ามหรอกถ้าไอ้ดื้ออยากกลับบ้านจริงๆ ก็เล่นนัดเจอกันแต่เช้าจะอยากกลับบ้านเร็วก็ไม่แปลก แต่ใจผมยังไม่อยากให้กลับ ยังอยากใช้เวลาด้วยกันอีกนานๆ

                "ไปนอนเล่นห้องพี่กาลก่อนก็ได้" แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมประหลาดใจ

                "ไหนบอกไม่อยากไป"

                "พี่กาลทำหน้าแบบขอร้องให้อยู่ต่ออ่ะ"

                "พี่ทำตอนไหน"

                "เมื่อกี้เลย" เด็กดื้อเริ่มแผลงฤทธิ์ กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ยอมรับเลยว่าเมื่อกี้ทำสีหน้าแบบนั้นไปจริงๆ

                "แน่ใจนะ"

                "อย่าทำให้ลังเลดิ"

                "รู้งี้สั่งอะไรมากินที่ห้องดีกว่า จะได้ไม่ต้องออกมา"

                "ทำเหมือนห้องตัวเองอยู่ไกลอ่ะ แค่สิบนาทีเอง"

                ผมไม่ตอบอะไร ยิ้มให้เด็กดื้อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนหยิบมือถือขึ้นมา

                "จ่ายตังค์กัน มันต้องไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ใช่มั้ย ไปกันพี่กาล" แต่ยังไม่ทันได้กดอะไรไอ้ดื้อก็คว้ากระเป๋ากับบิลค่าอาหารเดินไปที่เคาน์เตอร์ ผมเลยต้องยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงไว้แล้วรีบเดินตามไป

                เหมือนเลี้ยงเด็กจริงๆ เดี๋ยวหิวเดี๋ยวง่วง กินเสร็จก็ต้องพาไปนอนกลางวัน



                กลับมาถึงห้องผมอีกครั้งตอนเที่ยงกว่า เพียงครั้งที่สามที่ได้มาไอ้ดื้อก็ดูจะเคยชินกับห้องของผมแล้ว เลิกนิสัยเดินลากเท้า ถอดรองเท้าได้ก็ทิ้งตัวบนโซฟา แล้วก็ทำท่าจะหลับมันซะตรงนั้น

                "เข้าไปนอนในห้องดิ"

                ไอ้ดือมองไปที่ประตูห้องแต่ไม่ยอมขยับ น้องมันรู้อยู่แล้วว่าห้องผมห้องไหน

                "นอนนี่แหละ"

                "มันไม่สบาย"

                "นอนได้"

                ไม่อยากยืนเถียงให้เสียเวลา ผมเข้าไปล็อกตัวเด็กดื้อแล้วลากเข้าห้องนอน มีการต่อต้านขัดขืนบ้าง แต่ไอ้ดื้อน่ะสู้แรงผมไม่ได้หรอก

                พาเข้ามาในห้องได้ก็ปล่อยตัว เดินไปปิดประตูห้อง เปิดแอร์ ถอดกระเป๋าวางบนโต๊ะก่อนปีนขึ้นเตียง เอนหลังพิงหัวเตียง ตบที่ว่างข้างๆ เรียกคนที่นั่งยืนนิ่งให้มาหา ก่อนหน้านี้ที่ตรงนี้เคยเป็นของไอ้ลิขิตพี่ชายผม แต่ตอนนี้มันกำลังจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว

                "มาเร็ว"

                เรียกอีกรอบไอ้ดื้อถึงยอมขึ้นเดินมา แล้วก็มานั่งมองหน้าผมไม่ยอมนอน

                "นอนดิ"

                "พี่กาลก็จะนอนเหรอ"

                "ก็คงงั้น เรานอนแล้วจะให้พี่ทำอะไร"

                "เปล่า"

                "นอนเป็นเพื่อนเฉยๆ นี่แหละไม่ทำอะไรหรอก"

                ไอ้ดื้อไม่พูดอะไรต่อ ยอมเอนตัวลงนอน กลายเป็นจุดทิ้งสายตาของผม น้องมันพยายามหลับตา แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีก็ลืมตาขึ้นมาจ้องกัน

                "ไหนพี่กาลบอกว่าจะนอน"

                "เราก็นอนไปดิ เดี๋ยวพี่ค่อยนอน"

                "แต่พี่กาลเล่นจ้องขนาดนี้ใครจะไปหลับลง"

                "อ้าว รู้สึกด้วยเหรอ"

                "ไม่รู้สึกก็บ้าแล้ว"

                ผมอาจจะตั้งใจมองไปนิดน้องมันถึงรู้ตัว ก็ในเมื่อมีสิ่งน่ามองอยู่ตรงหน้าขนาดนี้จะให้ผมสนใจอย่างอื่นได้ยังไง

                "นอนเถอะ" ช่วยเกลี่ยผมหน้าม้าที่ไม่เป็นทรงให้ เราสบตากันชั่วครู่ก่อนไอ้ดื้อจะหันหนี พลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ผม

                ไร้การพูดคุยต่อจากนี้ ผมยังคงนั่งมองไอ้ดื้ออยู่อย่างนั้น เด็กน้อยหลับตาพริ้ม ขยับตัวยุกยิกอยู่พักหนึ่งก่อนจะนิ่งไป จังหวะการหายใจคงที่ ผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีเด็กดื้อก็ดูเหมือนจะหลับสนิท

                เวลาไอ้ดื้อหลับมันโคตรน่าเอ็นดู มองแล้วเหมือนลูกหมาที่เวลาตื่นก็จะวิ่งซนไปทั่ว พอเล่นเหนื่อยแล้วก็ขดตัวหลับ ดูไร้พิษสง ไร้กำแพงป้องกัน เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ผมรู้สึกสบายใจยามได้มองอีกฝ่ายขณะนอนหลับ เพราะผมสามารถปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาได้ ไม่ใช่คนที่กำลังหลับไปตลอดกาล

                ใช้เพียงสายตาเก็บภาพตรงหน้าอยู่สักพักในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องหยิบมือถือมาถ่ายรูป กดเข้าไอจีตั้งใจจะเพิ่มลงในสตอรี่อวดพี่ชายที่กำลังมีความสุขอยู่ที่บ้านสวนบ้าง แต่ก็สะดุดกับสตอรี่อันใหม่ของคนที่กำลังหลับอยู่เสียก่อน

                แอบไปลงอะไรไว้ตอนไหน

                กดเข้าไปดูเจอเพียงคำถามสั้นๆ บนพื้นหลังที่ขาวที่ชวนให้ยิ้ม คำถามนี้ตั้งใจถามใครไม่ต้องเดาให้ยากเลย

                'หอมใช่มั้ย'

                ถูกถามมาถ้าไม่ตอบกลับไปนับว่าเสียมารยาทอย่างมาก

                ความตั้งใจที่จะลงรูปคนหลับถูกพับเก็บ ผมพิมพ์คำตอบลงไปแทน คำตอบที่มีเพียงหนึ่งเดียว

                'หอมมากครับ'



                เฝ้าเด็กหลับได้ไม่นานผมก็หลับตาม ตื่นอีกทีตอนบ่ายสาม ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ชวนกันกลับบ้าน ก่อนจะเย็นเกินไปจนรถติด

                เราเรียกแท็กซี่มารับที่หน้าหอ บ้านไอ้ดื้ออยู่ไม่ไกลจากหอผมมากนัก อีกฝ่ายไม่ได้ล่ำลาอะไรกันพิเศษก่อนลงจากรถที่หน้าบ้าน มีเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้นที่มอบให้

                แท็กซี่ขับออกมาจากบ้านไอ้ดื้อได้ไม่ไกลแจ้งเตือนจากข้อความส่วนตัวในไอจีก็เด้งขึ้นมา ผมกำลังคุยกับลิขิตอยู่พอดี อ่านจากแจ้งเตือนที่โชว์แล้วเกือบหลุดหัวเราะ

                'ไม่ต้องตอบก็ได้!!'

                ผมเลิกสนใจลิขิตแล้วเข้าไปอ่านข้อความของไอ้ดื้อแทน เป็นคนถามเองแท้ๆ แต่พอตอบกลับดันเขินซะงั้น เก่งไม่จริงนี่หว่า

                'ตอบไปแล้ว แค่นี้เขิน'

                'ไม่ได้เขิน'

                'เหรอ'

                'ก็แค่หอมแก้ม'

                'งั้นต่อไปจะหอมทุกครั้งที่เจอเลย'

                'ได้'

                คำตอบไม่ต่างจากที่ผมคิดเท่าไร ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เรียกเอิร์ธว่าไอ้ดื้อ ไม่อย่างนั้นเมื่อครั้งอดีตเราคงไม่มีความสัมพันธ์ทางกายลึกซึ้งกันเร็วขนาดนั้น

                ผมชวนเปลี่ยนเรื่องคุย อยากเปิดเผยตัวตน อยากให้อีกฝ่ายได้รู้จักกันมากขึ้น ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์โดยไม่ข้ามขั้น ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าความสัมพันธ์ที่เป็นไปแบบนั้นมันไม่ดี แต่เพราะในอดีตผมเคยทำให้มันจบไม่สวย ฉะนั้นออกห่างจากความสัมพันธ์แบบนั้นย่อมดีกว่า


tbc.


จากนี้จะอัพสัปดาห์ละสองตอนนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเจ็ด__[10/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-02-2020 23:10:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเจ็ด__[10/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 12-02-2020 01:05:49
 :กอด1: ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเจ็ด__[10/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 12-02-2020 07:33:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเจ็ด__[10/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 14-02-2020 00:38:58
ระวังตัวดีมาก
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งแปด__[16/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-02-2020 19:40:39

กาลครั้งแปด



            ‘มาห้องพี่มั้ย เดี๋ยวทำอะไรให้กิน’

            เพราะข้อความที่ส่งไปชวนเมื่อวาน ทำให้วันนี้ไอ้ดื้อกลับมาเยือนห้องผมอีกครั้ง

            กำลังจะก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่สามแล้วหลังจากที่เราได้เริ่มทำความรู้จักกันใหม่ เป็นการสานความสัมพันธ์ที่แสนราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวา ลองนับครั้งที่ได้เจอกันดูแล้ว ห้องผมก็ดูจะเป็นสถานที่ยอดนิยมไม่ต่างจากในอดีต เพราะไม่ว่าจะนัดกันไปไหนก็มักจะกลับมาตายรังที่นี่ทุกครั้ง

            วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ออกจากบ้านแวะห้างฯ ซื้อวัตถุดิบก่อนมาหอ ตั้งแต่ปิดเทอมผมยังไม่ได้ลงมือทำอาหารเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง ล่าสุดที่ทำคือแซนวิชง่ายๆ ตอนพาไอ้ดื้อมาห้องครั้งแรก ตอนนั้นโม้ไปด้วยว่าทำอาหารเป็น จนวันนี้ได้เวลาที่ต้องพิสูจน์

            บ่ายโมงตามเวลานัดไอ้ดื้อก็มาถึง ก่อนหน้านี้ผมเสนอว่าจะไปรับ แต่พอบอกไปว่าจะนั่งแท็กซี่ไปก็โดนปฏิเสธทันที สุดท้ายเลยตกลงกันว่าต่างคนต่างมา เป็นแบบนี้แล้วผมยิ่งคิดถึงรถที่ลิขิตมันเอาไป เพราะไม่มีรถโอกาสที่จะได้สร้างความทรงจำเวลาได้ไปส่งไอ้ดื้อที่บ้านเลยหายไปด้วย แม้ในอดีตความทรงจำแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลยก็ตาม

            "ให้ช่วยอะไรมั้ย" ไอ้ดื้อเพิ่งมาถึง วางของเสร็จก็เดินเข้ามาถามตอนผมกำลังจัดโต๊ะพอดี

            "ไปนั่งรอไป"

            "น่ากินนะเนี่ย"

            "เหมือนที่ส่งมาให้ดูมั้ย"

            "เหมือน"

            ข้าวไข่ข้นกุ้งเป็นเมนูที่ไอ้ดื้อขอมา ตอนผมทักไปอีกฝ่ายก็ตื่นเต้นรีบตอบตกลง พอถามว่าอยากกินอะไรก็เสนอเมนูนี้มา โดยให้เหตุผลว่าเห็นเพื่อนโพสต์ในเฟซบุ๊กแล้วอยากกินตาม

            "ของพี่กับของเพื่อนอันไหนน่ากินกว่ากัน"

            "ถ้าตอบไม่ถูกใจจะอดกินมั้ย"

            "อันนี้ก็ไม่รู้" ผมยักไหล่ คนที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่เมื่อครู่เลยรีบยิ้มกว้างให้

            "ของพี่กาลอยู่แล้ว"

            "รู้เลยว่ากลัวอดกิน"

            "ยังไงก็ต้องได้กินอยู่แล้วมั้ยอ่ะมาหาถึงที่ขนาดนี้ แต่เมื่อกี้ชมแค่หน้าตานะ รสชาติต้องรอชิมก่อน" พูดไปยิ้มไปแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

            "ถ้าลงก็แท็กมาด้วย"

            ไอ้ดื้อเหลือบมองแล้วไม่ตอบอะไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนกดถ่าย เปลี่ยนอยู่หลายมุมจนผมเคลียร์ของในครัวเสร็จ ถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้แล้วเชิญนั่ง อีกฝ่ายถึงได้ยอมวางมือถือเปลี่ยนมาจับช้อนส้อมแทน

            สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดสำหรับคนทำอาหารคือปฏิกิริยาตอบรับจากคนกิน มือผมจับช้อนแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่คนตรงหน้า ไอ้ดื้อเองก็รู้ว่าผมกำลังรออะไรถึงได้ทำตัวลีลาตักกินโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไหนจะสีหน้านิ่งๆ นั่นอีก

            "จะไม่วิจารณ์หน่อยเหรอ" สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน

            "อร่อยดี"

            "แค่นี้"

            "ผมไม่ใช่นักวิจารณ์อาหารนะครับ จะให้วิจารณ์เยอะๆ เป็นเรื่องเป็นราวได้ไง บอกได้แค่อร่อยกับไม่อร่อยแค่นี้แหละ" กวนไม่หยุดเลยไอ้เด็กคนนี้

            "แล้วชอบไม่ชอบ"

            "ชอบดิ ทุกอย่างที่พี่กาลทำให้ก็ชอบหมดนั่นแหละ" สบตาได้ครู่เดียวก็ก้มหน้าเขี่ยข้าวในจาน ยังเก่งไม่จริงเหมือนเดิม

            คำว่าชอบคำเดียวแค่นี้ก็สามารถทำให้ผมยิ้มแก้มแตก เป็นความทรงจำดีๆ ที่ครั้งอดีตผมไม่เคยนึกอยากทำ จนสงสัยว่าเพราะอะไรกันนะ ทั้งที่ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันคนตรงหน้าผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แล้วทำไมถึงไม่รักให้เร็วกว่านี้ ทำไมถึงได้รู้สึกตัวเมื่อสาย ทำไมถึงไม่เคยสร้างเรื่องราวดีๆ เก็บไว้ในความทรงจำบ้าง

            "พี่กาล"

            ผมสบตาคนเรียกเพื่อถามกลับ รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนหน้าดื้อๆ เมื่อครู่นี้หายไป มือที่จับช้อนส้อมก็หยุดขยับ

            "เป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็ทำหน้าเศร้า"

            "เปล่า" ผมปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ไม่คิดว่าแค่นึกถึงความผิดพลาดในอดีตชั่วขณะจะเผลอแสดงสีหน้าออกไปแบบนั้น

            "ถามได้มั้ยว่าคิดอะไรอยู่" น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

            เรื่องที่ไอ้ดื้ออยากรู้ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอก แต่มันเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถบอกได้ ถึงบอกไปก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมเชื่อ

            "ช่วงนี้ฝันอะไรแปลกๆ อีกมั้ย" เรื่องเป็นกังวลที่ผมพอจะนึกออกในตอนนี้ก็มีแค่เรื่องเดียว

            "ไม่นะ ก็บอกแล้วไงครับว่าถ้าฝันจะบอก"

            "อืม"

            "ทำไมอยู่ๆ คิดเรื่องนี้"

            "เพราะที่ห้องนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุมั้ง"

            "โหพี่กาล รอบที่แล้วก็มาดันไม่คิด มาคิดอะไรตอนนี้"

            "ลืม"

            "ได้เหรอ"

            "ได้มั้ง ได้ดิ"

            เจอผมถามเองตอบเองไอ้ดื้อก็ส่ายหน้าใส่แล้วเริ่มกินต่อ พยายามทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับบทสนทนาก่อนหน้านี้แต่กลับซ่อนหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงนั่นไม่ได้ เรื่องความฝันนั้นแม้จะพูดถึงโดยไม่ได้ลงรายละเอียดก็ชวนให้รู้สึกเขินทุกที ผมว่าน้องต้องคิดบ้างล่ะว่ามีสิทธิ์ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบในฝันขึ้นได้

            หลังจากกินกันจนเกลี้ยงเราก็ช่วยกันเคลียร์โต๊ะ ผมเก็บจาน ไอ้ดื้อเก็บแก้ว แล้วก็ไม่รู้ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ชอบมีปัญหากับแก้วน้ำนัก เจอกันครั้งแรกทำหกใส่ผม ส่วนรอบนี้ทำหกใส่ตัวเอง โชคดีที่แก้วไม่แตก

            "ไม่ระวัง"

            "ขอโทษ มือปัดโดนอ่ะ" บอกหน้าง้ำหน้างอรับผ้าจากผมไปเช็ดโต๊ะ แก้วที่หกเหลือน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แถมยังเป็นโคล่าเหมือนวันนั้นด้วย แก้วล้มตรงขอบโต๊ะตอนไอ้ดื้อเอื้อมมาหยิบแก้วผมแล้วตอนดึงมือกลับดันชนแก้วตัวเอง น้ำทั้งหมดเลยหกใส่เจ้าของแก้วที่ยังนั่งอยู่เต็มๆ

            "วางไว้เลยเดี๋ยวพี่เก็บเอง ไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยนไป"

            "เสื้อผ้าที่ไหนอ่ะ"

            "เปิดหาในตู้เอา หยิบมาใส่ได้ทุกตัวนั่นแหละ"

            "ห้องพี่กาลเหรอ"

            "ก็ห้องพี่ไง หรืออยากเข้าห้องลิขิต"

            "ไม่ใช่ หมายถึงเจ้าของห้องต้องเข้าไปด้วยดิครับ ใครจะกล้าเข้าไปค้นคนเดียว"

            "อนุญาตแล้วนี่ไง เข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่ตามเข้าไป" บอกไว้แค่นี้ก่อนยกของทั้งหมดไปวางไว้ในอ่างล้างจาน หันกลับมาอีกทีไอ้ดื้อยังนั่งอยู่ที่เดิม

            ไม่รู้เกรงใจผมหรือเพราะกลัวอะไรกันแน่ ทั้งที่คราวก่อนก็เคยมานอนกลางวันแล้วแท้ๆ

            เข้ามาในห้องแล้วไอ้ดื้อก็เอาแต่ยืนหลบหลังผม ทำตัวเป็นเด็กดีไม่แตะข้าวของอะไรสักอย่าง ผมเปิดตู้เสื้อผ้าหาชุดที่น้องพอจะใส่ได้ ขนาดตัวเราไม่ได้ต่างกันมาก แต่เอวไอ้ดื้อน่าจะเล็กกว่าผมอยู่พอสมควร

            "ใส่กางเกงวอร์มก็ได้นะ" เสียงจากข้างหลังทักขึ้นตอนผมเปิดเจอกางเกงวอร์มอาดิดาสสีดำ

            "เสื้อตัวนี้แล้วกัน" ผมหยิบเสื้อยืดสีขาวอีกตัวออกมาให้

            "ถ้างั้นอาบน้ำเลยได้มั้ย มันเหนียวอ่ะ"

            "ตามสบายเลย"

            ผมเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พับวางไว้บนชั้นด้านบนลงมา แต่ผ้าผืนนี้ดันเกี่ยวกล่องบางอย่างลงมาด้วย เราก้มลงมองพร้อมกัน เห็นกล่องสีเทาที่ไม่ได้ใช้บริการมันมาพักใหญ่แล้วก็เผลอถอนหายใจออกมา ช่างเลือกจังหวะการตกได้ดีจริงๆ

            ก้มลงเก็บกล่องถุงยางโยนกลับเข้าไปในตู้ ผมจำไม่ได้ว่าทำไมถึงเก็บมันไว้บนนั้น อาจจะเป็นช่วงที่ต้องเก็บของตอนขี้เกียจ เห็นตรงไหนว่างก็ยัดๆ เอาไว้ อีกอย่างไอ้กล่องนี้ผมยังไม่เคยเปิดใช้เลยสักครั้ง ซื้อเก็บไว้ตอนไปเที่ยว แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้ไปต่อที่ไหนกับใคร เป็นแบบนี้มาเกือบปีได้แล้ว

            "ปกติเขาเก็บถุงยางไว้ในตู้เสื้อผ้ากันเหรอ" ไม่รู้ว่าถามจริงหรือเล่น ไอ้ดื้อยังทิ้งสายตาไว้ยังกล่องสีเทาที่ผมโยนเข้าตู้ไปเมื่อครู่นี้ เป็นสายตาที่ผมเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ออก

            "ปกติเราเก็บที่ไหนล่ะ"

            "หัวเตียง ไม่ก็กระเป๋าสตางค์มั้ง"

            "พกเหมือนกันเหรอ"

            "เปล่า"

            "พี่ไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว"

            "เหรอ"

            "ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ"

            "จริงๆ มันก็คงไม่แปลกสำหรับพี่"

            "ทำไมคิดแบบนี้"

            ในอดีตชื่อเสียงผมไม่ค่อยดีนัก เที่ยวบ่อย คุยกับคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ไอ้ดื้อเองก็น่าจะรู้ดี แต่คงไม่รู้ว่าผมเลิกนิสัยแบบนั้นมานานแล้ว

            "พี่ทำอะไรให้เราไม่เชื่อใจเหรอ"

            "เปล่าครับ ขอโทษ" ตอบกลับมาเสียงอ่อย

            ผมปิดตู้เสื้อผ้า มองคนที่เอาแต่หลบตา ไม่อยากให้ความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้นระหว่างเรา คิดอะไรอยู่ในใจ ไม่พอใจหรือขุ่นเคืองกันตรงไหน เคลียร์ให้รู้เรื่องไปเลยย่อมดีกว่า

            "เอิร์ธ"

            "ครับ"

            "คิดอะไรอยู่บอกพี่ได้มั้ย"

            "เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไร"

            "เอิร์ธ"

            "ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ พี่กาลจะทำอะไรมันก็สิทธิ์ของพี่นั่นแหละ จะนอนกับใครผมก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม"

            "เราคิดว่าพี่นอนกับคนอื่นเหรอ"

            "ไม่งั้นจะพกถุงยางไว้ทำไมล่ะครับ"

            อาการแบบนี้เรียกว่าหวง หวงแบบคนที่ตีตราตัวเองไว้ว่าเป็นคนไม่มีสิทธิ์แต่ก็ยังจะหวง ผมดีใจนะที่โดนหวง แต่ครั้งนี้ไอ้ดื้อดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย เห็นๆ อยู่ว่ากล่องมันยังไม่ได้เปิดใช้ เที่ยวกลางคืนผมก็ไม่ได้ออก ตามเด็กดื้อต้อยๆ ทั้งวัน ทักไปคุยสามเวลาหลังอาหาร จะเอาเวลาไหนไปนอนกับคนอื่น

            "พี่แค่ซื้อเก็บไว้ไง ยังไม่ได้ใช้"

            "แต่ก็ตั้งใจจะใช้"

            "ก็ใช่ ไม่คิดว่าพี่อยากใช้กับเราบ้างเหรอ"

            คนที่กำลังจะอ้างปากเถียงต่อเงียบกริบทันที ใจผมไม่ได้อยากพูดแบบนี้ แต่มันอดไม่ไหวจริงๆ

            "เราชอบพี่มั้ย"

            "ถามทำไม"

            "ตอบ"

            "ก็...ชอบ"

            "งั้นเป็นแฟนกันมั้ย"

            "เดี๋ยวพี่"

            ไม่ใช่แค่ไอ้ดื้อที่ตกใจ ผมยังตกใจตัวเองที่ถามออกไปแบบนั้น เพราะถูกกระตุ้นด้วยคำว่า ‘สิทธิ์’ ที่ไอ้ดื้อยกมาพูดก่อนหน้านี้ และเกิดความกลัวที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่ถูกรักเหมือนในอดีตอีกครั้ง

            "เอิร์ธชอบพี่ พี่ก็ชอบเอิร์ธ ก็คบกันไปเลย"

            "แต่เราเพิ่งรู้จักกัน"

            "เวลามันไม่สำคัญเลยเอิร์ธ"

            "พี่ยังรู้จักผมไม่ดีพอหรอก เชื่อสิ"

            "พี่รู้จักเอิร์ธมากกว่าที่เอิร์ธคิดอีก" ผมไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ แต่บรรยากาศตอนนี้มันดูเหมือนกับว่าเรากำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

            "พี่จะมารู้จักผมดีได้ไง"

            เป็นคำถามที่ผมไม่สามารถตอบให้อีกฝ่ายฟังได้ แต่พอถูกถามแบบนี้อยู่ๆ มันก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา เพราะผมรู้ รู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับคนตรงหน้า มันอึดอัดที่ไม่สามารถบอกสิ่งที่อยากบอกออกไปได้ แม้กระทั่งคำว่าชอบยังถูกมองว่าเร็วไปด้วยซ้ำ

            "ไปอาบน้ำเถอะ" ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ก่อนดันหลังให้น้องเดินออกจากห้อง ฝืนคุยตอนอารมณ์ไม่ปกติไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา

            บรรยากาศดีๆ ที่สร้างไว้มันพังหมดแล้ว

           

            ประตูห้องน้ำเปิดออกตอนผมล้างจานเสร็จพอดี เวลาหลายนาทีช่วยให้ใจเย็นลงและคิดทบทวนอะไรได้บ้าง เราเงียบใส่กันชั่วครู่ ก่อนผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอก

            "เอาเสื้อผ้าใส่ตะกร้าไว้ก็ได้ เดี๋ยวพี่ซักให้"

            "ผมเอากลับบ้านดีกว่า ส่วนชุดนี้เดี๋ยวซักแล้วเอามาคืน"

            "ทิ้งไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวก็ได้กลับมาใส่"

            ไอ้ดื้อขมวดคิ้วใส่ ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำเมื่อยังหาข้อตกลงเรื่องชุดไม่ได้ ผมเลยต้องช่วยขยายความให้เข้าใจกว่าเดิม

            "ทิ้งชุดไว้ที่นี่บ้างก็ได้ ต่อไปคงได้มาบ่อยๆ"

            "ใครจะมาบ่อยๆ"

            "ใส่ไว้ในตะกร้าเลย" ผมบุ้ยปากออกคำสั่ง

            สุดท้ายคนที่ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมในทีแรกก็โยนชุดลงตะกร้าผ้า ทำเป็นถามกลับว่า 'ใครจะมาบ่อยๆ' ขนาดเจอกันแค่สองอาทิตย์ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ไอ้ดื้อมาห้องผม แม้จะไม่ได้มานอนค้างก็ตาม

            "คุยกันหน่อยมั้ย" เอ่ยถามออกไป อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ

            เราเดินมาจากคนละฝั่งห้องแล้วหยุดที่โซฟา นั่งลงแล้วปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบสักพัก ผมกำลังคิดว่าควรจะเริ่มพูดยังไง ผมอยากรู้ความคิดของไอ้ดื้อ อยากเข้าใจทุกอย่าง อยากอธิบายในส่วนที่น้องกำลังเข้าใจผิด แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือมากแค่ไหน

            ดูเหมือนจะเป็นคนเปิดเผย แต่กับบางเรื่องกลับเก็บเอาไว้ในใจเก่งนัก

            "พี่ขอโทษ"

            "ผมก็ขอโทษเหมือนกัน"

            "บอกพี่มาตามตรงเลยนะ ตอนนี้เอิร์ธคิดว่าพี่แค่คุยเล่นๆ กับเอิร์ธหรือเปล่า" ผมไม่ได้โกรธ แต่น้ำเสียงนิ่งๆ ที่ใช้ถามกลับเปลี่ยนสีหน้าของเด็กดื้อข้างๆ ให้หงอได้

            "ก็คิดนิดหน่อย"

            "ทำไมถึงคิดแบบนั้น เพราะแค่เห็นถุงยาง"

            "ไม่ใช่ แต่ด้วยความเป็นพี่กาลไง พี่ดังนะ หลายคนก็ชอบพี่ แล้วทำไมพี่ถึงมาคุยกับผมล่ะ พี่อาจจะคุยเล่นกับทุกคนก็ได้ พอคิดว่าพี่คงพาคนอื่นๆ มานอนที่ห้องนี้ด้วยมันก็เลย..." ไอ้ดื้อไม่พูดต่อ แต่ความรู้สึกนั้นเดาได้ไม่ยากนัก ความรู้สึกที่รู้ว่าคนที่ชอบพาใครอีกคนมานอนที่ห้อง เป็นผมก็คงจุกเอาเรื่องเหมือนกัน

            "ไปขุดประวัติพี่มาเหรอ"

            "ไม่ต้องขุดก็พอจะรู้อยู่ ใครๆ ก็พูดกัน"

            "เอิร์ธฟังนะ ชื่อเสียงพี่อาจจะไม่ค่อยดี แต่ตั้งแต่ที่เราเจอกันพี่ดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ"

            ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ เพราะมันไม่มีอยู่แล้วเรื่องเหลวไหลทั้งหลายที่ผมเคยทำ แต่อดีตที่สร้างไว้ย่อมไม่เปลี่ยน ใครๆ เขาก็พูดกันว่าเหนือกาลน่ะเจ้าชู้ชอบเที่ยว ต่างกับเหนือลิขิตคนพี่ที่ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น

            "หรือเพราะความฝัน"

            รอบนี้ไอ้ดื้อไม่รีบแย้ง นั่งก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่อย่างนั้น

            "คิดว่าพี่จะเป็นเหมือนในฝันเราใช่มั้ย เพราะมันดูเหมือนตัวตนจริงๆ ของพี่มากกว่า"

            "ครับ ก็คิด" ในฝันน้องบอกว่าผมไม่รัก เจอข่าวลือไม่ดีกับไอ้กล่องถุงยางที่ตกมาไม่รู้เวล่ำเวลานั่นเข้าไปคงไขว้เขว

            "มันก็แค่ความฝันนะเอิร์ธ" เป็นประโยคที่ผมรู้สึกกระดากปากที่สุดเมื่อพูดมัน อยู่ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง กลัวความฝันที่เคยเป็นความจริง

            "ไม่รู้ดิ ผมรู้สึกเหมือนมันเป็นฝันบอกเหตุ"

            "ยังไง"

            เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มพูดคุยที่ไอ้ดื้อเงยหน้าขึ้นมาสบตา แววตาคู่นั้นสั่นไหว ดูหวาดกลัวไม่ต่างจากผม

            "ที่จริงก่อนเจอพี่กาลผมก็ฝัน ฝันว่าเจอพี่ที่ร้านข้าว ผมทำน้ำหกใส่ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ พอมาฝันถึงพี่แบบนี้อีกครั้ง ผมก็คิดว่ามันมีสิทธิ์เป็นจริงได้ไม่ใช่เหรอ"

            "ทำไมถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟัง" ผมเกือบเผลอขึ้นเสียง เมื่อสิ่งที่กลัวอาจจะกำลังเกิดขึ้นจริงๆ

            ฝันร้ายของผมไม่ได้หายไป มันแค่เปลี่ยนเป้าหมาย ย้ายไปหาคนที่เหมือนเพิ่งตื่นจากความตาย เรื่องที่ผมต้องแก้ไขในครั้งนี้มันไม่ง่ายเลย

            คิ้วผมขมวดแน่น รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าเครียดแค่ไหน เด็กดื้อตรงหน้าก็ไม่ต่างกันนัก

            "ที่ไม่บอกเพราะผมไม่เชื่อไง พี่กาลคนที่ผมเจอกับในความฝันไม่เห็นเหมือนกันเลยสักนิด มันก็แค่ความฝัน ผมพยายามคิดตามที่พี่เคยบอก แต่มันก็ยังเชื่อไม่สนิทใจอยู่ดี"

            ผมจับมือไอ้ดื้อเอาไว้ อยากมอบทั้งกำลังใจและหากำลังใจให้ตัวเอง การเปลี่ยนความคิดคนเป็นเรื่องยาก ความเชื่อใจต่างแลกมาด้วยการพิสูจน์ แต่สำหรับบางคน แม้จะพิสูจน์ยังไงก็อาจจะไม่ได้รับความเชื่อใจกลับมา

            "เชื่อต่อไปว่ามันเป็นแค่ความฝัน เพราะเรื่องจริงพี่จะเป็นคนทำให้เราเชื่อแบบสนิทใจเอง"

            ริมฝีปากที่เคยเหยียดตรงมอบรอยยิ้มบางๆ กลับมาเมื่อผมยิ้มให้ ผมบีบมืออีกฝ่ายแน่น แม้จะยากแค่ไหนก็จะพิสูจน์ ไม่มีทางที่เรื่องราวครั้งใหม่นี้จะจบลงเหมือนเดิมอีกแน่ คนคนนี้ไม่ใช่เหนือกาลที่รู้ใจตัวเองเมื่อสาย ไม่ใช่เด็กดื้อคนที่รักข้างเดียวอีกต่อไป

            "แต่จริงๆ พี่กาลไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้นะ ผมเป็นคนเข้ามาเอง ผม..."

            "รู้ใช่มั้ยว่าไม่ใช่เอิร์ธคนเดียวที่รู้สึก" ก่อนที่ไอ้เด็กดื้อจอมคิดมากจะพูดมากไปกว่านี้ผมก็ขัดขึ้น ขยับเข้าไปใกล้แล้วถามย้ำอีกครั้งในสิ่งที่เคยถามไปแล้ว

            "รู้"

            "ถ้ารู้ก็อย่าพูดแบบนี้อีก เราเป็นฝ่ายเดินเข้าหากัน ไม่ใช่เอิร์ธเดินเข้าหาพี่ฝ่ายเดียว เข้าใจใช่มั้ย"

            "เข้าใจแล้ว" บอกแล้วน้องก็ดันตัวผมออก

            "ไอ้ดื้อเอ้ย" เห็นหน้าดื้อๆ แล้วนึกมันเขี้ยวจนอดไม่ไหวต้องยีผมสีเทาเล่น แต่ผมแข็งกระด้างเป็นบ้า

            "พี่กาล" ไอ้ดื้อยอมให้เล่นผมจนพอใจก่อนจะเรียก เห็นหูที่กลายเป็นสีแดงแล้วแสดงว่าตั้งใจจะพูดอะไรที่ทำให้ตัวเองเขินอีกแน่ๆ

            "อะไร"

            "ไม่เอาอ่ะ ไม่พูดดีกว่า"

            "เฮ้ย ได้ไง บอกมา" ผมดึงไหล่คนที่หันหลังหนีให้หันหน้ากลับมา เล่นมาทำให้อยากรู้แล้วแบบนี้ไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก

            "ไม่มีอะไร"

            "เอิร์ธ"

            "ไม่พูดแล้ว"

            ไอ้ดื้อลุกหนี ผมเลยดึงตัวกลับมานั่งตักแล้วล็อกเอาไว้ แต่ถึงลุกหนีได้ยังไงก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดี เพราะที่นี่มันห้องผม

            "เมื่อกี้จะพูดอะไร"

            "ไม่อยากบอกแล้ว"

            "บอกมา" ถามดีๆ ไม่ยอมบอกก็ต้องใช้กำลัง ผมจับแขนไอ้ดื้อไพล่หลังแล้วกดลงกับโซฟา ก้มตัวตาลงไปแล้วพูดข้างหู อยากจะงับแก้มสักทีสองที แต่ได้แค่งับหูแบบเฉียดๆ เพราะน้องมันดิ้น

            "บอกแล้วๆ" ต่อสู้กันจนเริ่มเหนื่อยไอ้ดื้อก็ยอมแพ้ ผมปล่อยตัวให้น้องกลับมานั่งดีๆ ช่วยจัดผมเผ้าที่กระเซิงไปหมด

            "บอกมาเลยเร็วๆ"

            "ก็แค่จะบอกว่าพี่กาลน่ะมีสิทธิ์ในตัวผมนะ แล้วก็ถุงยางอ่ะ" พูดมาถึงต้องนี้แล้วก็เงียบ ผมก็ลุ้นตาม

            "ถุงยางทำไม"

            "ที่บอกว่าอยากใช้กับผม"

            "..."

            "อนุญาตให้ใช้ได้นะ"

            ไม่ได้แปลกใจที่สุดแต่ก็ทำเอาช็อกไปชั่วครู่ ไม่ว่าจะเอิร์ธในอดีตหรือปัจจุบันยังไงก็คือคนเดียวกัน คนที่ยอมให้ผมได้ทุกอย่าง เพียงแต่เอิร์ธคนในอดีตไม่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ก็เท่านั้น

            "เนี่ย ไม่น่าพูดเลย" โวยวายแล้วก็ทำท่างอแงปิดหน้าปิดตา มันไม่ทันแล้วไอ้ดื้อเอ๊ย

            ผมไม่แซวเอาแต่นั่งขำ ไม่อยากทำตัวเหมือนคนอยากได้แม้ความจริงจะคิดถึงจนอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากคนคนนี้ก็ตาม



tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งแปด__[16/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-02-2020 20:50:28
 :pig4: :pig4: :pig4:

สิ่งที่ไอ้ดื้อฝัน  มันคือเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตก่อนที่เหนือกาลจะย้อนเวลากลับมาหรือเปล่า?
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งแปด__[16/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 17-02-2020 22:20:19
 :katai1: โอ้ยยยยยยย...เครียดเด้
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเก้า__[18/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 18-02-2020 07:38:12

กาลครั้งเก้า


                ขิลิตกลับมาแล้ว ถึงบ้านตอนฟ้ามืดของเมื่อวาน ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ทุ่มกว่าเลยไม่รู้เรื่อง รู้อีกทีก็ตอนตื่นลงไปกินข้าวเช้า เห็นของฝากวางกองอยู่เต็มโต๊ะ แต่ก็ดีใจไม่เท่าตอนเห็นรถตัวเองจอดอยู่ ในที่สุดก็ได้ลูกรักกลับคืนสู่อ้อมอกสักที

                เรื่องนี้ต้องรีบอวด

                ‘อยากไปเที่ยวไหนมั้ยครับน้อง’

                ถ่ายรูปลูกรักส่งให้คนที่อยากไปรับไปส่งมานานแต่ไม่มีโอกาส ไอ้ดื้อเงียบหายยังไม่มีท่าทีว่าจะตอบกลับมาแสดงว่ายังไม่ตื่น

                วันนี้เป็นวันอาทิตย์ นานแล้วที่ครอบครัวเราไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ลิขิตที่เพิ่งกลับมาก็เอาแต่พูดเรื่องที่บ้านสวน ผมเลยบ่นเรื่องที่ไม่มีรถใช้บ้าง สุดท้ายเลยปิดประเด็นบนโต๊ะอาหารว่าพ่อกับแม่จะพาลิขิตไปดูรถวันนี้ ส่วนผมก็ใช้ลูกรักคันเดิมต่อไป

                สิ้นสุดช่วงเวลาของครอบครัวกับมื้อเช้าผมก็ขึ้นห้อง ตั้งใจว่าจะเปิดหนังดูระหว่างรอไอ้ดื้อตอบ แต่ยังไม่ทันเลือกหนังได้แจ้งเตือนก็ดัง

                ‘ได้รถคืนแล้วเหรอ ดีใจด้วย’

                ผมหยิบมือถือมาอ่านแล้วกระโดดขึ้นเตียง นอกจากข้อความตอบกลับแล้วไอ้ดื้อยังรัวเลขห้ามาอีกหลายตัว ดีใจกับผมได้จริงใจมาก

                ‘ลิขิตมันกลับมาเมื่อคืน วันนี้พ่อจะพามันไปดูรถใหม่แล้ว อยากไปเที่ยวไหนมั้ย อยากขับรถไปรับ’

                ‘จะให้ไปเที่ยวไหนอีก’

                ‘ไปไหนก็ได้ อยากขับรถ ไม่ได้ขับนานเดี๋ยวลืม’

                ‘อะไรมันจะขนาดนั้นพี่กาล’

                แล้วไอ้ดื้อก็รัวเลขห้ามาไม่เลิก

                จริงอยู่ที่ผมอาจจะเวอร์เกินไปหน่อย แต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่มีรถใช้สำหรับคนที่ขับรถไปไหนมาไหนตลอดอย่างผมเนี่ยมันโคตรลำบาก ที่สำคัญเลยคือไปรับไปส่งไอ้ดื้อไม่ได้

                ‘ไปเถอะ อยากเจอ’

                ‘ออกทุกวันเลย แม่ไม่ว่าเหรอ’

                ‘โตแล้วครับ เราก็โตแล้วแม่ไม่ว่าหรอก’

                ‘สรุปแทนกันเฉย’

                ‘เอิร์ธไม่อยากเจอพี่เหรอ’

                ‘เปล่าครับ’

                ‘งั้นก็คิดมาเลยว่าอยากไปไหน’

                แทนที่จะได้ชื่อสถานที่กลับได้เลขห้ารัวมาเต็มหน้าแชตอีกรอบ มันจะขำอะไรขนาดนั้น ก็แค่คนเห่อรถคันเก่าอยากพาไปเที่ยวเนี่ย

                ‘อยากไปคาเฟ่แมว’

                ‘ถามจริงๆ เลยนะ’

                แกล้งแน่ๆ ไม่ต้องสืบ รู้ว่าผมกลัวแมวแต่ดันอยากไปคาเฟ่แมว รู้ว่าผมไม่มีทางไปแน่ๆ เลยเสนอมา ไอ้เด็กนี่มันแสบใช่เล่นที่ไหน

                ‘ผมชอบแมวมากเลยนะรู้เปล่า’

                ‘เพิ่งรู้นี่แหละ’

                ถ้าไม่ได้แกล้งกันอีกรอบถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่ผมได้รู้ ในอดีตเราไม่เคยพูดถึงเรื่องสัตว์เลี้ยง ผมไม่เคยเห็นไอ้ดื้ออยู่กับสัตว์เลย พวกหมาแมวก็ไม่เคยเห็นเข้าไปเล่น เพราะงั้นเลยไม่รู้ว่าที่บอกว่าชอบแมวเนี่ยแค่อยากแกล้งผมเล่นหรือชอบจริงๆ

                ‘แต่ถ้าอยากไปพี่ไปส่งหน้าร้านก็ได้’

                เป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ที่ไอ้ดื้อรัวเลขห้ากลับมา ผมว่าน้องน่าจะยิ้มกับความอยากขับรถของผมจริงๆ ไม่ใช่พิมพ์ห้าแต่หน้านิ่ง

                ‘อยากขับรถขนาดนั้นเลยเหรอ’

                ‘อยากพาเด็กไปเที่ยว’

                ‘งั้นไปไหนดี อยุธยามั้ย นั่งรถไฟ แล้วไปเช่าจักรยาน’

                ‘แล้วพี่จะได้ขับรถตรงไหน’

                ไอ้ดื้อดูจะชอบใจที่ได้แหย่ผมเล่น ผมเองก็เต็มใจเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะให้อีกฝ่ายเหมือนกัน นึกแล้วก็อยากโทรไปคุย อยากรู้ว่าจะหัวเราะจริงมั้ย อยากได้ยินเสียงแหลมๆ เวลาน้องหัวเราะดังๆ

                ‘โทรไปนะ’

                บอกแล้วก็กดโทร และเสียงแรกที่ผมได้ยินก็คือเสียงหัวเราะที่อยากฟัง เสียงที่ในอดีตน้อยครั้งจะได้ยิน

                "หัวเราะเหนื่อยมั้ย"

                [จะขาดใจเพราะพี่กาลเลยเนี่ย เหมือนเด็กเห่อของเลย]

                "ก็แค่อยากขับรถ"

                [งั้นไปทริปแบบไปเช้าเย็นกลับมั้ย พัทยา นครนายก]

                "ไกลไป"

                [เอ้า ไหนบอกอยากขับรถไง พี่กาลสับสนอะไรกับตัวเองหรือเปล่า]

                "เอาใกล้ๆ หน่อย" มันสายแล้วผมขี้เกียจเตรียมตัว อย่างน้อยก็ต้องวางแผนว่าจะไปไหนอะไรยังไงบ้าง วันอาทิตย์คนออกเที่ยวเยอะ ขากลับเข้าเมืองรถติดแน่ๆ

                [งั้นอยู่บ้านเถอะ]

                "ก็ได้นะ พี่ชอบทำกิจกรรมที่บ้าน"

                [แล้วจะได้ขับรถเหรอ]

                "งั้นไปห้องพี่แล้วกัน"

                ไอ้ดื้อหัวเราะอีกรอบ มันเป็นแผนแบบไม่เนียนของผมที่จะชวนอีกฝ่ายไปใช้เวลาด้วยกันที่หอ หรือไม่ก็อยู่ด้วยกันที่ไหนสักที่ กินข้าวดูหนัง ทำอะไรง่ายๆ และใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปจนหมดวัน

                [เออพี่กาล พรุ่งนี้เพื่อนนัดกินเหล้านะ ฉลองปีใหม่ บอกเฉยๆ] เรื่องเก่ายังไม่ทันได้ข้อสรุปไอ้ดื้อก็เปิดประเด็นใหม่เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เป็นประโยคบอกเล่าที่ทำเอายิ้มกว้าง เห็นทั้งความดื้อและความน่ารักที่สื่อผ่านมาในประโยคนี้

                "ยังไม่ปีใหม่เลย"

                [ก็กินก่อนหนึ่งวัน วันปีใหม่ต้องอยู่กับครอบครัวไง]

                "แล้วไปยังไง พี่ไปส่งมั้ย"

                [ไม่เป็นไรครับ ใกล้ๆ]

                "ขากลับล่ะ นอนที่ไหน อยู่ดึกหรือเปล่า"

                [มาเป็นชุดเลย]

                "ก็ห่วง รำคาญมั้ย"

                [ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย อาจจะนอนบ้านเพื่อนมั้งนะ ถ้ากลับไม่ไหว]

                "พี่ไปรับได้นะ"

                [จะไปเฝ้าเหรอ]

                "ให้ไปมั้ยล่ะ"

                [อย่าเลย]

                "ถ้างั้นขากลับเดี๋ยวพี่ไปรับ"

                [ตามใจพี่กาลเลย]

                ไอ้ดื้อตอนแอลกอฮอล์เข้าปากค่อนข้างน่าห่วง จากที่แสบอยู่แล้วความแสบจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ความกล้าก็เช่นกัน

                "กลับกี่โมงก็บอกนะ"

                [ครับ แล้วเดี๋ยวนี้พี่กาลไม่ไปเที่ยวบ้างเหรอ]

                "นานๆ ที ปีสามงานเยอะ"

                [ฉลองปีใหม่อ่ะ]

                "เพื่อนยังไม่นัดเลย ถ้าไปเฝ้าเด็กก็น่าไปอยู่"

                [อย่ามาเลย หวง]

                "แต่ถึงไปก็ไม่พาใครกลับมาด้วยหรอก จริงๆ"

                ช่วงสัปดาห์ที่สองที่รู้จักกันผมเจอน้องที่ร้านเหล้า เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงเลยง่ายต่อการต่อรอง จากนั้นความสัมพันธ์ที่ผมให้ค่าอีกฝ่ายเพียงแค่ร่างกายก็เริ่มต้นขึ้น ครั้งนี้ผมเลยไม่อยากให้มันจบเหมือนเดิม และจะไม่ปล่อยให้น้องมีความคิดเหมือนในอดีตเด็ดขาด

                "สรุปวันนี้ไม่อยากเจอพี่จริงดิ" จบช่วงโฆษณาผมก็ดึงกลับมาที่ประเด็นเดิม

                [ขี้เกียจออกอ่ะ]

                "เดี๋ยวไปรับไง"

                [ขี้เกียจอาบน้ำด้วย]

                "มันจะขี้เกียจอะไรขนาดนั้น"

                [ก็มันคือวันอาทิตย์]

                จะเถียงว่าปิดเทอมก็เท่ากับว่ามีวันหยุดทุกวันก็ไม่ได้เพราะผมชวนไอ้ดื้อออกจากบ้านแทบทุกวัน อีกฝ่ายอยากพักแต่ผมอยากเจอ แล้วก็จะเจอให้ได้ด้วย

                "งั้นขอไปเล่นที่บ้านได้มั้ย"

                [จะมาจริงอ่ะ]

                "ให้ไปมั้ยล่ะ"

                ปลายสายเงียบไปคงจะคิดหนักน่าดู วันอาทิตย์แบบนี้แม่น้องคงอยู่บ้าน แถมความประทับใจแรกที่มีต่อผมน่าจะติดลบซะด้วย แต่วันนั้นผมฝ่ายไอ้ดื้อไปแก้ตัวให้แล้ว คิดว่าแม่น่าจะเข้าใจว่าผมมาดี

                [จะมาก็แล้วแต่พี่กาลเลย]

                ละแล้วก็ได้คำตอบที่ผมไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน

                "อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเจอกันครับ"



                ปิดคอมฯ คว้ากระลงมาข้างล่างก็เจอลิขิตนั่งอยู่หน้าทีวีแต่ตามองจอมือถือ มันหันมองตอนผมเดินไปหยิบกุญแจรถ ละความสนใจจากมือถือชั่วครู่แล้วโยนคำถามมาให้

                "จะไปไหนวะ"

                "ไปหาเอิรธ์"

                "เรื่องแปลกประหลาดของมึงอ่ะนะ"

                "อืม"

                ถ้าคนอื่นได้ยินคำว่าเรื่องแปลกประหลาดคงรู้สึกไม่ดีนัก แต่เหมือนบ้านเราจะใช้คำนี้กันจนชินไปแล้ว เพราะเรื่องแปลกประหลาดที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่คือปัญหาที่ต้องแก้ไขให้มันดีขึ้นเท่านั้น

                "พามาบ้านดิ"

                "เดี๋ยวกูก็พามาเองแหละ ทีมึงยังไม่พาพุดมาบ้านเลย"

                "ก่อนไปบ้านสวนก็พามาแล้วไง"

                "พ่อไม่อยู่ไม่นับ" แถมมันยังพามาไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

                "เออ เร็วๆ นี้แหละ"

                หลังจากคุยกับพ่อผมก็พอเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของเรื่องนั้นคืออะไร พ่อเคยบอกให้พาเรื่องแปลกประลาดของผมมาหาพ่อถ้ามันจบลงแล้ว ลิขิตก็พูดแบบเดียวกันอีก บวกกับเหตุการณ์ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ สรุปก็คือแม่เองก็เคยเป็นเรื่องแปลกประหลาดของพ่อ ส่วนพุดตานก็คือเรื่องแปลกประหลาดของลิขิต สิ่งที่ต้องแก้ไขมาพร้อมคู่ชีวิต

                "อยากเห็นหน้าเด็กมึงว่ะ" มันพูดต่อ

                ตอนเห็นหน้าพุดตานครั้งแรกผมโคตรตกใจ ลิขิตเองก็ตกใจไม่ต่างกันเพราะมันเคยเจอไอ้ดื้อมาก่อน แต่ด้วยเรื่องราวประหลาดบ้าๆ นี้กลับทำให้มันลืม

                "ก็เหมือนพุดนั่นแหละ เหมือนกว่าฝาแฝดอย่างเราอีก"

                "คนที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่หน้าเหมือนกันก็มีเยอะแยะ"

                "แล้วก็ดันมาเป็นแฟนมึงกับกูด้วยนะ"

                "พูดงี้ ได้เป็นแล้วเหรอแฟน"

                "เดี๋ยวก็เป็น"

                ลิขิตยิ้มขำ ผมอยากจำได้จริงๆ ว่าเรื่องระหว่างมันกับพุดตานเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่มันก็ปิดปากเงียบไม่ยอมเล่า ในความทรงจำที่ผมมีอยู่เรื่องราวของคู่นี้ดูเหมือนคู่รักปกติทั่วไป ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ

                "หรือรอเรื่องมึงจบก่อนดีวะ แล้วพามาพร้อมกัน"

                "จะพามาก็มาพา กูยังไม่รู้เลยมันจะจบเมื่อไร"

                "ประเด็นนี้โคตรเข้าใจ เพราะตอนนั้นกูงงมาก"

                "เพราะงั้นมึงควรเล่าเรื่องของมึงให้กูฟังอย่างละเอียดไง จะได้เอามาเป็นแนวทาง"

                "ถ้าเรื่องมันอยากให้มึงรู้ความทรงจำมึงคงไม่หายไปหรอก อีกอย่างกว่ากูจะหาทางแก้ได้แม่งโคตรลำบาก พ่อกับอาพิทักษ์ไม่มีใครบอกรายละเอียดกับกูสักคน เพราะงั้นมึงก็สู้ๆ นะ"

                "ขอบใจ" ทำหน้าประชดใส่มันแต่ผมก็เข้าใจมันนะ ถ้าอยากให้จำได้อะไรบางอย่างคงไม่ทำให้ผมลืม เพราะเรื่องในอดีตของผมกับไอ้ดื้อก็ไม่มีใครจำได้นอกจากผม

                "แล้วมึงจะกลับมากี่โมง"

                "ยังไม่รู้ว่ะ แล้วพ่อกับแม่อ่ะ"

                "อยู่หลังบ้าน"

                "งั้นฝากบอกด้วยแล้วกัน"

                "บอกว่ามึงไปหาแฟน"

                "เออ จะบอกว่าไงก็บอกไปเถอะ ไปละ"

                มันยกมือทำสัญลักษณ์โอเคผมก็เดินออกมา กดปลดล็อกรถแล้วปากมันก็ยิ้มขึ้นมาเอง ดีใจที่ได้รถกลับมา แต่ดีใจมากกว่าที่จะขับรถไปหาไอ้ดื้อที่บ้านสักที

               

                ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้ดื้อถึงยอมให้ผมมาหาที่บ้านง่ายนัก คำตอบคือพ่อกับแม่น้องไปหาญาติที่อยุธยา กว่าจะกลับมาถึงคงดึกๆ ทิ้งลูกชายแสนขี้เกียจให้อยู่เฝ้าบ้าน เพราะเจ้าตัวนั่นแหละที่ไม่อยากไปเอง

                ระหว่างขับรถมาผมเตรียมใจไว้แล้วกับการเจอหน้าพ่อแม่อีกฝ่าย มารู้แบบนี้มันก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ถ้าให้คุยกันตรงๆ ผมเองก็ไม่มีปัญหา พร้อมนำเสนอตัวเองว่าผมคนนี้พร้อมจะดูแลลูกชายของพ่อกับแม่แค่ไหน

                "แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่ทีแรกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน"

                "บอกก็ไม่สนุกดิ" ตอบด้วยรอยยิ้มแสนร้ายกาจ เพราะแบบนี้ไงถึงได้เป็นไอ้เด็กดื้อ

                "พี่ก็กังวลไปดิ"

                "กังวลทำไม ผมเคยบอกแม่เรื่องพี่แล้ว ก็เข้าใจแล้วว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหา'ลัย แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ"

                "บอกไปแค่นั้นเองเหรอ"

                "แล้วอยากให้บอกว่ายังไง"

                "เป็นรุ่นพี่ที่เอิร์ธชอบด้วยครับแม่ ต้องบอกแบบนี้"

                "งั้นพี่กาลคงไม่ได้มาบ้านนี้อีกเลย" รู้ใจตัวเองแล้วไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ชอบหรือโวยวายแก้เขินกลบเกลื่อน เป็นความซื่อตรงของไอ้ดื้อที่ผมรับรู้มาตลอด

                "แม่หวงขนาดนั้นเลย"

                "ก็ขนาดนั้นแหละ"

                "ขี้โม้ว่ะ" ยีผมสีม่วงอมชมพูด้วยความมันเขี้ยว

                เรื่องนี้โกหกผมไม่ได้หรอก แม่ไอ้ดื้อไม่ใช่คนขี้หวงไร้เหตุผลและปิดกั้นขนาดนั้น หลังเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นที่ผมสามารถมาหาน้องที่บ้านได้ทุกสัปดาห์เพราะแม่รับรู้ทุกอย่างว่าผมเป็นใครอยู่ในสถานะไหน เพียงแต่ตอนนี้ทุกเรื่องราวมันถูกลบออกไปจากความทรงจำหมดแล้ว

                เราปักหลักกันอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่น ภายในบ้านดูต่างออกไปจากครั้งล่าสุดที่ผมมาเมื่อเกือบสามสัปดาห์ก่อน พื้นที่เล็กๆ ติดหน้าต่างด้านขวามือ มันเคยถูกกั้นเป็นห้องผู้ป่วย บนเตียงที่มีร่างผอมแห้งนอนไม่ได้สติ ภาพที่สร้างความทุกข์ทรมานให้ผมนั้นยังติดตา

                "พี่กาลไม่อยากเปลี่ยนสีผมบ้างเหรอ" คำถามจากคนข้างๆ เรียกให้ผมละสายตาจากที่ตรงนั้น ไอ้ดื้อกำลังจัดทรงผมที่ผมยีจนยุ่งให้เข้าที่ แววตาช่างสงสัยนั้นมองมาที่ผม

                "ไม่รู้จะทำสีอะไร" ตอบพลางเหลือบตามองหน้าม้าสีน้ำตาลที่ยาวจนต้องปัดไปด้านข้าง นานแล้วที่ไม่ได้เปลี่ยนสีผม

                "ลองทำสีสว่างๆ ดิ บลอนด์ทอง"

                "เคยทำแล้ว"

                "งั้นสีชมพู"

                "ต้องกัดสีผมอีก กลัวผมเสียจนร่วงหมดหัวเหมือนเด็กแถวนี้" มองคนหัวม่วงข้างๆ ที่ผมเหมือนไม่ใช่ของจริง

                "เวอร์ไปพี่กาล บำรุงมันอยู่เถอะ ไม่นุ่มขึ้นบ้างเหรอ"

                "ไม่" ตอบจากใจจริง เคยสากยังไงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

                "งั้นก็ช่างมันเถอะ" ตอบปัดแบบไม่สนใจก่อนจะเปิดเข้าไอจีของผม เลื่อนดูรูปเก่าๆ ที่ลงไว้ สีผมก็มีหลากหลายเฉดสีให้ดูเช่นกัน

                "ยังไม่เคยทำสีชมพูเลยนี่" แล้วไอ้ดื้อก็พาวนกลับมาที่สีชมพู

                "พักเรื่องสีผมก่อนเถอะ แล้วนี่ไม่มีอย่างอื่นให้ทำเหรอ" ผมชวนเปลี่ยนเรื่อง เห็นรีโมตวางอยู่ข้างๆ เลยหยิบขึ้นมากดเปลี่ยนช่องทีวีที่เปิดทิ้งไว้

                "พี่กาลอยากทำอะไรอ่ะ"

                "ไม่รู้"

                "วันหยุดก็ต้องนอนแหละ" ไอ้ดื้อเลิกสนใจเรื่องสีผม กดล็อกมือถือวางไว้ข้างตัว เปลี่ยนมามองผมที่กำลังไล่กดเปลี่ยนช่องหาสิ่งน่าสนใจดูไปเรื่อยๆ

                "เราจะนอนอย่างเดียวไม่ได้หรือเปล่า"

                กับประโยคที่เพิ่งพูดออกไปตัวผมไม่ได้คิดอะไร แค่อยากบอกว่าเราควรหากิจกรรมอย่างอื่นทำนอกจากการนอก แต่เพราะไอ้ดื้อมองแปลกๆ มันก็เอยอดคิดถึงเรื่องลึกซึ้งขึ้นมาไม่ได้

                "พี่หมายถึงดูหนัง ทำกับข้าว ทำสวน เราคิดอะไร"

                "เปล่า"

                "ไม่คิดเลยเนอะ คนที่เคยบอกว่าใช้ถุงยางกับผมได้เนี่ย"

                "จำเก่ง" แยกเขี้ยวใส่ผมแล้วหันหน้าหนี เป็นประโยคที่ผมจำได้ขึ้นใจสุดๆ ไปเลย

                "สรุปจะทำอะไร" แล้วผมก็ย้อนกลับมาที่คำถาม

                "ผมขี้เกียจอ่ะ อยากอยู่เฉยๆ ไม่ก็นอน พี่กาลอยากทำอะไรก็ทำไปเลย ดูหนังก็ได้ ทำกับข้าวเล่นก็ได้ ในตู้เย็นน่าจะพอมีของให้ทำอยู่"

                "ใครมันจะบ้าทำกับข้าวเล่น"

                "ก็เสนอไง"

                "งั้นเอิร์ธก็ไปนอนเถอะ"

                "เอ้า แล้วพี่กาลอ่ะ"

                "จริงๆ ก็แค่อยากมาอยู่ด้วยเฉยๆ"

                เด็กดื้อข้างๆ หลบตาแล้วอมยิ้ม แม้จะรู้สึกเลี่ยนตัวเองหน่อยๆ แต่เป็นปกติของผมอยู่แล้วที่จะพูดอะไรทำนองนี้กับชอบที่ชอบ อยากให้อีกฝ่ายรับรู้และมั่นใจในตัวผม

                "ถ้าผมหนีไปนอนพี่กาลจะไม่เบื่อเอาเหรอ" ถามแล้วหันมาสบตาแล้วก็เบือนหนีอย่างรวดเร็ว

                "อยู่ด้วยกันพี่ไม่เบื่อหรอก นอนกลางวันที่ห้องพี่ก็เคยมาแล้วไง ได้เปลี่ยนสถานที่บ้างก็ดี"

                "พอพูดแบบนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่ง่วงแล้ว โดนจ้องตอนนอนหลับไม่ลงแน่ๆ"

                หลังจากปล่อยให้ไอ้ดื้อหัวเราะใส่มาตั้งแต่เช้าตอนนี้ถึงตาผมหัวเราะบ้าง เรื่องที่ผมพอจะเอาคืนได้ก็มีแค่ทำให้อีกฝ่ายเขินจนหน้าแดงหูแดงแค่นั้น เขินกันมายาวๆ ตั้งแต่ประเด็น ‘นอนอย่างเดียวไม่ได้’ ก่อนหน้านี้

                "เอิร์ธ"

                "ครับ"

                สารภาพตามตรงว่าทนไม่ไหว ผมขยับเข้าใกล้กว่าเดิมตอนน้องหันมาตอบ หน้าเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนติเมตร อีกฝ่ายไม่ขยับหนี เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยกลัว ไม่เคยต่อต้าน ไม่ตั้งรับก็พุ่งเข้าชน เป็นนิสัยที่ชวนติดอกติดใจตั้งแต่อดีต

                จูบแรกหลังจากได้ทำความรู้จักกันอีกครั้ง รสสัมผัสที่คุ้นเคยยิ่งชวนให้โหยหา คิดถึงจนเกินจะควบคุม การตอบรับที่รู้ใจชวนให้สติยิ่งล่องลอย ไม่อาจหยุดสัมผัส ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านเลยไป

                "พี่กาล"

                มีจังหวะให้พักหายใจสติผมก็ถูกดึงกลับคืนมา ริมฝีปากเรายังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง ในตำแหน่งท่าทางที่ชวนให้สานต่อ

                ผมกดจูบเบาๆ อีกทีก่อนลุกขึ้นนั่ง ดึงมืออกจากเสื้อคนที่กำลังดันตัวลุกขึ้นตาม เสียงเรียกนั้นผมรู้ดีว่าไอ้ดื้อไม่ได้ห้าม มันเป็นเพียงคำที่พูดออกมาตามอารมณ์ ชื่อของผมที่อีกฝ่ายชอบเรียกยามเราร่วมรักกัน

                "อายุแค่นี้ก็เอาแค่นี้ไปก่อนแล้วกัน" พูดดักไว้ก่อนกลัวไอ้ดื้อคิดมาก ผมไม่ได้อยากหยุด แต่ด้วยสถานที่กับเวลามันยังไม่สมควร

                "อายุแค่นี้อะไร สิบเก้าแล้วเถอะ" เด็กดื้อขยับปากมุบมิบเถียงไม่เลิก ทั้งเจ่อทั้งแดงลอยเด่นอยู่ตรงหน้าจนอยากจะจับจูบอีกสักรอบ

                "ไปนอนกลางวันไป"

                "นอนไม่หลับแล้ว"

                "เดี๋ยวพาไปนอน"

                กดปิดทีวีล็อกตัวเจ้าของบ้านพาขึ้นห้องนอน ผมทำเป็นไม่รู้ทางบังคับให้ไอ้ดื้อบอก เข้าห้องมาได้ก็เปิดแอร์ปิดไฟ เด็กขี้เกียจอยากนอนกลางวันก็ให้นอน ปากบ่นว่าจะนอนหลับได้ไงแต่ผมชวนคุยได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็หลับปุ๋ย ปล่อยให้ผมพูดคนเดียวอยู่นานสองนอน

                ลูบผมสีม่วงอมชมพูที่สากเหมือนไม้กวาดดอกหญ้าเล่นไปพลางมองหน้าคนหลับไปพลาง ขนาดตอนหลับยังดูดื้อ เป็นเด็กดื้อที่มีความน่ารักเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกอุ่นใจที่มีอยู่ตอนนี้ มันบอกได้ว่าผมไม่ต้องการสิ่งอื่นแล้วจริงๆ นอกจากการมีคนคนนี้อยู่ข้างๆ

                ขอเพียงแค่ตื่นขึ้นมาในทุกเช้ายังได้ยินเสียงหัวเราะ ยังได้เห็นรอยยิ้ม ยังสามารถพูดคุยกันได้

                ขอให้ฝันร้ายเป็นเพียงฝันร้าย ขอเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว


tbc.


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเก้า__[18/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-02-2020 19:19:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเก้า__[18/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 19-02-2020 07:02:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเก้า__[18/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-02-2020 03:05:10
ไม่ใช่แค่กาลที่เปลี่ยน  :hao5:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบ__[23/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 23-02-2020 17:58:48
กาลครั้งสิบ



'ถึงร้านแล้วนะ'

ผมรีบกดเข้าไปดูเมื่อเห็นแจ้งเตือนเด้งบนหน้าจอ เด็กดื้อรายงานตัวตามที่ผมขอ จากนั้นก็แค่รอเวลาที่อีกฝ่ายจะโทรให้ไปรับตามที่ตกลงกันไว้ ระหว่างรอผมนอนฟังเพลงเฝ้าไอจีสลับกับเฟซบุ๊กเผื่อว่าจะมีการอัพเดตสถานการณ์บ้าง แต่ไทม์ไลน์ไอ้ดื้อกลับเงียบกริบเหมือนกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ที่บ้าน

ส่องไอ้ดื้อไม่ได้ก็เข้าไปส่องเพื่อนน้องแทน ผมสุ่มเอาจากคนที่เคยเจอที่อีกฝ่ายติดตามไว้ เพื่อนคนหนึ่งลงไอจีสตอรี่ถ่ายบรรยากาศรอบโต๊ะไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เห็นเอิร์ธติดเข้ามาในเฟรมเสี้ยววินาที มือจับแก้วตามองเวที คล้ายกำลังดื่มด่ำกับเสียงเพลง ละความสนใจจากผู้คนรอบตัวที่กำลังโยกตัวไปตามจังหวะดนตรี

กดแคปรูปในสตอรี่นั้นไว้แล้วส่งไลน์ไปหา ถามสั้นๆ ว่าเมาหรือยัง ไม่ได้อยากก่อกวนช่วงเวลาผ่อนคลาย แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าอยู่รอเฉยๆ แล้วมันเหงา

พูดถึงร้านเหล้ากับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ดื้อแล้วต้องย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นเพิ่งเริ่มเข้าสัปดาห์ที่สองที่เรารู้จักกัน ผมเจอไอ้ดื้อกับเพื่อนที่ร้านนี้ อีกฝ่ายในสายตาผมเป็นเพียงไอ้เด็กแสบคนหนึ่ง โต๊ะเราอยู่ไม่ห่างกันนัก หันไปทีไรก็บังเอิญสบตาตลอด แล้วอีกฝ่ายก็หันหนีทันที ทำให้ผมนึกสนุกและอยากรู้ว่าไอ้เด็กที่ชอบผมคนนี้จะให้ในสิ่งที่ผมต้องการได้สักแค่ไหน

เริ่มดึก แต่ละคนเริ่มเมาได้ที่ ผมไม่ได้ดื่มเยอะเพราะต้องขับรถกลับเอง และอีกหนึ่งแผนการในหัวที่อยากพาใครสักคนกลับห้องด้วยกัน

จังหวะเหมาะเห็นเป้าหมายลุกไปเข้าห้องน้ำผมก็ตามไป ยืนรออยู่ข้างหน้า เจรจาไม่นานแผนที่วางไว้ก็สำเร็จลุล่วง ผมพาไอ้ดื้อกลับไปด้วยกัน และคืนนั้นก็เป็นครั้งแรกของเรา เรื่องราวที่ไอ้ดื้อฝันถึงเมื่อหลายวันก่อน เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน

มือถือในมือที่สั่นเพราะแจ้งเตือนดึงให้ผมหลุดจากความคิด ไอ้ดื้อตอบกลับมา พิมพ์ผิดและแก้มาหลายครั้งจนอดคิดไม่ได้ว่าต้องเมาแล้วแน่ๆ

‘ไหนว่าไม่เมา’

‘ไม่ได้เมาขนาดนั้น มันมืด’

‘แสงหน้าจอมันก็สว่างมั้ย’

‘งั้นเมานิดนึงก็ได้’

มันเขี้ยว คิดแต่ไม่ได้พิมพ์ตอบกลับไป

ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ความแสบของไอ้เด็กคนนี้จะเพิ่มขึ้นเวลาเมา ไม่ว่าจะคำพูดคำจาหรือท่าทาง เป็นความแสบที่มาพร้อมความน่ารัก หรือจะบอกว่าเพราะชอบไปแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็มองว่ามันน่ารักไปหมดก็ได้

‘ไปกินต่อไป’

‘ไม่อยากคุยด้วยแล้วเหรอ’

‘เดี๋ยวกวนไง’

‘ยังไม่ได้บอกเลยว่ากวน’

‘อย่าอ้อน ไม่งั้นจะไปรับกลับตอนนี้เลย’

‘อ้อนตรงไหนเนี่ย’

‘พรุ่งนี้สร่างแล้วค่อยกลับมาอ่านที่เราพิมพ์มา’

‘อ่านตอนนี้ก็รู้ว่าไม่ได้อ้อน’

‘ครับๆ จะกลับเมื่อไรก็บอก’

‘กลับเลยได้มั้ย’

เอาล่ะ ผมเตรียมลุกขึ้นไปคว้ากุญแจรถแล้ว ดูจากการคุยน่าจะกำลังมึนได้ที่ ใจผมไม่อยากให้น้องเมามากจนครองสติตัวเองไม่อยู่

‘จะกลับจริงมั้ย พี่จะได้ออกเลย’

‘มาเลยก็ได้ครับ อยากเจอพี่กาลแล้ว’

ไอ้เจอแน่ๆ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงผมถึงร้านแน่นอน



ผมมาถึงร้านสายกว่าที่ตั้งใจไว้เกือบสิบนาทีเพราะต้องตอบคำถามแม่ที่ยังนั่งดูละครอยู่ที่ห้องนั่งเล่น โดนบ่นมานิดหน่อยแต่ไม่โดนห้ามอะไร ไม่ได้สัญญาว่าจะกลับบ้าน แถวนี้ใกล้หอผม ไปส่งไอ้ดื้อแล้วกลับไปนอนที่ห้องเลยมันสะดวกกว่า

กดเข้าไลน์ส่งข้อความบอกไอ้ดื้อโดยที่ยังไม่ลงจากรถเพราะไม่อยากเดินเข้าไปหาในร้านทำตัวให้เป็นจุดสนใจ แม้เพื่อนๆ น้องจะรู้ว่าเรากำลังคุยกันอยู่ก็ตาม

‘ถึงแล้ว ให้พี่รอตรงไหน’

‘รอหน้าร้านได้มั้ย เดี๋ยวเดินออกไปหา’

‘ครับ’

เปิดประตูลงจากรถเมื่อได้คำตอบ ผมยืนหลบมุมอยู่ข้างทางเข้า ก้มมองมือถือสลับกับมองคนที่เดินเข้าออก กระทั่งหันไปสบตากับใครคนหนึ่ง

“กาลลล” เสียงแหลมเสียดหูของพี่รหัสดังขึ้นก่อนจะพาตัวเองเดินเข้ามาหาพร้อมกลุ่มเพื่อน พี่ณดาตรงเข้ามากอดแขนผม ตาเยิ้มอารมณ์ดีดูท่าแล้วน่าจะกำลังเมาได้ที่

“เมาแล้วนะพี่ จะกลับกันแล้วเหรอครับ” ผมปล่อยให้พี่ณดาแปะตัวไว้กับผมอยู่อย่างนั้นด้วยความเคยชิน เราเป็นแค่พี่น้องกันไม่มีอะไรเกินเลย เพราะคุณพี่เธอเพิ่งอกหักจากพี่ชายฝาแฝดผมมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหนุ่มๆ ต่อแถวรอคุยอีกเพียบ

“กำลังจะไปต่อ กาลไปด้วยกันมั้ย แล้วนี่มากับใคร เพิ่งมาเหรอ ทำไมไม่เห็นบอกพี่เลย”

“เพิ่งมาครับ มารับคนเฉยๆ”

“รับใคร ไหนๆ แอบมีแฟนไม่บอกพี่เหรอ” พี่ณดายกนิ้วชี้หน้าจนมันจะจิ้มตาผมอยู่รอมร่อ เพื่อความปลอดภัยเลยต้องจับมือออกมา คุณพี่เธอขยับขาทีเท้าก็พลิกเลยต้องช่วยประคองไว้ แล้วก็ดันใส่ส้นสูงมาอีก

“ยังไม่ใช่แฟนครับ”

“งั้นแสดงว่าอนาคตแฟน ไหนอยู่ไหน พี่อยากเห็นหน้า” ผละออกจากตัวผมออกไปชะเง้อมองรอบๆ จนเพื่อนพี่ณดาต้องเข้ามาช่วยพยุง

“พากลับมั้ยพี่ ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว” บอกกับกลุ่มเพื่อนพี่ณดาที่ผมสนิทด้วยระดับหนึ่ง

“ก็ว่าจะพามันกลับนี่แหละ เมาอยู่คนเดียว งั้นพวกพี่ไปก่อนนะ”

“ครับ”

“บ๊ายบายนะกาล”

“ครับ”

ยิ้มให้พี่รหัสที่หันมาโบกมือให้ก่อนจะยอมให้เพื่อนลากไปอย่างว่าง่าย พี่ณดาเป็นประเภทเมาแล้วไม่ดื้อ แต่ถ้าไม่มีคนดูแลก็มีสิทธิ์ที่จะโดนใครสักคนหิ้วไปได้ง่ายๆ

ยืนมองจนกลุ่มพี่รหัสเดินลับสายตาไปก็กลับมาชะเง้อหาคนที่กำลังรอ ตั้งใจจะส่งไลน์ไปถามอีกรอบก็เห็นคนผมม่วงอมชมพูหน้ามึนๆ เดินเข้ามาในสายตา

“เมามั้ยเนี่ย” ถามพลางยกมือขึ้นแตะแก้ม

“แค่นี้สบาย”

“แก้มแดงหมดแล้ว”

“อืม”

“ออกมาคนเดียวเหรอ เพื่อนกลับกันหรือยัง”

“เพื่อนออกมาส่งเมื่อกี้เดินกลับไปแล้ว ส่วนคนอื่นยังไม่กลับ”

ผมมองตามทางที่ไอ้ดื้อพยักพเยิดไปแต่ไม่เจอใคร คงเป็นใครสักคนในกลุ่มเพื่อนที่เจอเมื่อวันนั้น

“แล้วเราอยากกลับจริงๆ ใช่มั้ย”

“ก็เรียกมารับขนาดนี้แล้วนะพี่กาล แต่เอาจริงก็เริ่มไม่ค่อยอยากกลับแล้ว”

“ไหงงั้น”

ไอ้ดื้อไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้าผม ไหน ไอ้คนน่ารักตอนคุยไลน์ก่อนหน้านี้มันหายไปไหนแล้ว

“กลับเถอะ” ไม่ตอบว่าอยากอยู่ต่อหรือเปล่าผมก็วาดแขนโอบไหล่พาเดินไปด้วยกัน แต่ถ้าบอกมาชัดๆ ว่าอยากอยู่ต่อผมก็จะรอ

เปิดประตูให้คนเมาเข้าไปนั่ง คาดเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อนเดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับ ไอ้ดื้อเอนหัวพิงเบาะแล้วหลับตา ดูเมากว่าที่คิดแล้วก็เงียบกว่าที่ควรจะเป็น

“ไหวมั้ยเนี่ย” ถามตอนกำลังเลี้ยวรถออก ไอ้ดื้อลืมตาหันมามอง

“บอกแล้วไงว่าสบาย”

“เหรอ”

ยิ้มให้เด็กอวดเก่งที่สภาพดูต่างจากคำพูด รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา ซึ่งไม่น่าจะใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ

“หลับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วปลุก”

“ไม่กลับบ้านได้มั้ยพี่กาล"

ผมเหลือบมองคนเมา สายตาที่มองกลับมานั้นเว้าวอน

“ทำไมล่ะ”

“บอกแม่ไว้แล้วว่าจะไม่กลับ”

“แต่ก็กลับบ้านได้นี่ ถ้าไม่กลับแล้วจะไปไหน”

“ไปนอนห้องพี่กาลได้มั้ยครับ”

หันมองคนพูดที่ยังมองกันด้วยสายตาแบบเดิมก่อนจะกลับไปโฟกัสถนนตรงหน้า เพราะเมาคงเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่น่าจะมีอีกสาเหตุซึ่งผมไม่รู้ที่ทำให้ไอ้ดื้อเอ่ยปากขอออกมา บรรยากาศกับสถานการณ์เริ่มคลับคล้ายคลับคลากับอดีต เว้นแต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันตอนนี้ที่ต่างออกไป

ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ตกลงกันชัดเจนว่าปลายทางคือที่ไหน ผมเข้าใจมาตลอดว่าที่ไอ้ดื้อยอมให้มารับเพราะอยากกลับไปนอนบ้าน หรืออาจจะเป็นเพราะทนความวอแวของผมไม่ไหว แต่เรื่องจะไปค้างด้วยกันที่ห้องนั้นผมไม่เคยคิดไว้จริงๆ ไม่ว่าจะต่างคนต่างนอน หรือมีกิจกรรมทำด้วยกันก่อนนอนก็ตาม

“ไม่ตอบ” เงียบนานจนโดนทวงคำตอบ

“มันก็ได้อยู่”

“พูดเหมือนไม่อยากให้ไป”

“ไม่ใช่แบบนั้น"

"ความจริง..."

ผมเหลือบมองเพราะคำพูดที่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร ไอ้ดื้อเงียบไป กำลังจะถามกลับน้องก็ช่วยขยายคำพูดก่อนหน้านี้ให้พอดี

“อยากให้พี่กาลใช้ถุงยางกับผมนะ”

“เอิร์ธ” ผมกำพวงมาลัยแน่น หนึ่งเหตุผลที่ผมไม่อยากพาไอ้ดื้อกลับห้องด้วยกันตอนเมาเพราะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้

“หรือว่าพี่กาลไม่อยาก”

“เมามากแล้วนะเรา”

“ไม่ได้เมาขนาดนั้น"

"แล้วอยู่ๆ ทำไมพูดเรื่องนี้"

"ผมเคยบอกไปแล้วไงว่าถุงยางน่ะใช้กับผมได้”

“จำได้ครับ”

“ผมชอบพี่กาลมากนะ ชอบมานานแล้วด้วย”

“รู้ครับ”

“รู้ได้ไงอ่ะ ไม่เคยบอกซักหน่อย”

“กวนตีนเหรอ”

ไอ้ดื้อหัวเราะคิกคักชอบใจจนผมชักจะเดาอารมณ์ไม่ถูก

รูปประโยคที่ออกมาจากปากไอ้ดื้อชักจะคล้ายกับอดีตเข้าไปทุกที วันนั้นตอนขึ้นรถกลับมาด้วยกันอีกฝ่ายสารภาพทุกอย่างออกมาหมดเปลือก เอิร์ธรู้จักผมมาก่อนเพราะเจอกันที่ร้านข้าวบ่อยๆ รวมถึงรู้จักจากเพจมหาวิทยาลัย รู้ทุกช่องทางในโซเชีลยต่างๆ แต่กดเลิกติดตามและเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างทำให้เหมือนกับว่าเราเพิ่งรู้จักกันจริงๆ สารภาพไปจนถึงวันแรกที่ทำน้ำหกใส่ผม มันเป็นอุบัติเหตุจริง ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะมัวแต่เดินเล่นมือถือ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเห็นผมนั่งอยู่ใกล้ๆ เลยตกใจ

"พี่กาล ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง" และน้องก็พูดมันออกมา เรื่องราวที่ผมพอจะรู้อยู่แล้ว

ในอดีตผมฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความรู้สึกเฉยเมย รับรู้เพียงแค่ว่าเด็กคนนี้เป็นแฟนคลับคนหนึ่ง ได้ลองสักครั้งแล้วก็คงจบกัน แต่กลับไม่ใช่ จบครั้งแรกผมไม่ตื๊อต่อ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเสนอให้ เสพติดจนกลายเป็นผูกพันในที่สุด

ผมฟังไอ้ดื้อพูดเจื้อยแจ้วเล่าความจริงเกี่ยวกับการพบเจอกันครั้งนี้ให้ฟัง มันต่างออกไปจากอดีตเล็กน้อย เพราะผมเป็นฝ่ายเริ่มติดตามอีกฝ่ายก่อน และความรู้สึกของเราตรงกัน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว

เมื่อเล่าจบคำขอที่ใจผมไม่อยากปฏิเสธก็ถูกเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“คืนนี้ให้ผมนอนกับพี่กาลนะครับ”

แล้วเส้นทางที่ผมอยากมุ่งหน้าไปในตอนแรกก็เปลี่ยนไป



‘จงระวังการกระทำของตัวเองไว้ให้ดี’ ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ปู่อยากเตือนในความฝันครั้งนั้นคืออะไร

ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างอยากมอบให้กันมันเอ่อล้นจนไม่สามารถเก็บเอาไว้ ความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงก็เกิดขึ้นในที่สุด

มันคือความผิดของผมเองที่ไม่อาจหักห้ามใจ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้รีบเร่งจนปฏิเสธไม่ได้ ยังพอมีเวลาให้คิดไตร่ตรอง แต่เมื่อถูกเอ่ยปากขออีกครั้งความอดทนที่มีก็มลายหายไปไม่มีเหลือ

อยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้ อยากสัมผัสให้ลึกซึ้งกว่าเคย มันคือความรู้สึกในใจที่ผมพยายามข่มไว้มาตลอด

สิ้นชื่อเหนือกาลคนเจ้าชู้เมื่อถูกเด็กดื้อคล้องคอไปจูบ ตอบสนองทุกการสัมผัส ผละออกจากปากแต่ยังคลอเคลียไม่ห่าง แก้ม หู คอ และหน้าผาก กดจูบอย่างลุ่มหลงรักใคร่ กับคนคนนี้ผมสามารถยอมให้ได้หมดแล้วไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม

ช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นอุ้มในท่าเจ้าหญิงเดินเข้าห้อง วางลงบนเตียงแล้วต่างฝ่ายต่างช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของกันและกันออก ท่วงท่าและสัมผัสชวนให้นึกถึงบรรยากาศครั้งเก่า อดยอมรับไม่ได้ว่าในอดีตนั้นชื่นชอบ ไอ้เด็กคนนี้มันช่างรู้งาน ไม่ว่าจะทำอะไรให้ก็ถูกใจไปเสียหมด

เมื่อเป็นฝ่ายถูกเอ่ยปากขอ ตัวผมก็แทบจะไร้บทบาท ไม่อาจต่อกรคำขอของคนเมาที่ยังมีสติ ยอมทุกอย่างยอมไปเสียหมด เหมือนลูกหมาที่ไม่ว่าเจ้าของจะจูงไปไหนก็ส่ายหางเดินตามไป

“เดี๋ยวผมทำให้”

สองมือจับเอวเล็กๆ ที่กำลังขยับอยู่บนตัว รู้สึกยังไงก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างเปิดเผย ยิ่งช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งสูงตาม มือไม้ไม่เคยอยู่สุข จับตรงนั้นลูบตรงนี้ จนทนไม่ไหวต้องขยับสะโพกตาม ขอขัดใจเด็กดื้อสักหน่อยคงไม่ว่ากัน

“พี่กาล” ไอ้ดื้อโน้มตัวมาด้านหน้าใช้สองแขนค้ำไหล่ผมไว้ เสียงที่เจ้าตัวไม่เคยพยายามกลั้นมันไว้ดังให้ได้ยินตลอดการเคลื่อนไหวร่างกาย

เสียงที่ผมชอบฟัง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีตที่ผ่านมา

ไอ้ดื้อโน้มตัวมาด้านหน้าคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ ผมเลยจับเอวน้องแน่นกว่าเดิมขณะขยับสะโพกตามความต้องการที่เพิ่มสูง คนด้านบนหลับตาแน่น บางจังหวะกัดริมฝีปากสลับกับครางให้ได้ยิน มันคล้ายกับครั้งแรกของเราผมจำมันได้ดี สีหน้าที่ผมถูกใจ

“พี่กาล” ชื่อผมถูกเรียกออกมาอีกครั้งก่อนคนด้านบนจะหลั่งออกมาเต็มหน้าท้อง เลยจำใจต้องหยุดเคลื่อนไหวให้อีกฝ่ายได้พักหายใจหายคอ

ผมจับที่ส่วนนั้นของไอ้ดื้อแล้วรีดเค้นออกมา คนถูกกระทำก็นั่งหูแดงหน้าแดงแต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร มองหน้าแล้วก็หลบตา พยายามใช้สองมือกันสิ่งที่ตัวเองปล่อยออกมาเอาไว้ ซึ่งมันกำลังจะไหลลงสู่ที่นอน

“มีทิชชูมั้ย เช็ดก่อนเดี๋ยวเปื้อนที่นอน” บอกเสียงอ้อมแอ้ม จนอยากจะแกล้งอีกซักที

“อยู่บนโต๊ะ” ผมชี้บอก คนที่นั่งทับผมอยู่ก็ค่อยๆ ดันตัวลุกไปหยิบทิชชูมา

ใจอยากจะต่อให้จบๆ เพราะผมยังค้างคาแต่ไอ้ดื้อกลับดูไม่สบายใจที่จะทำให้เตียงผมเลอะเลยต้องปล่อยให้น้องทำความสะอาดไปก่อน เช็ดเสร็จแบบลวกๆ ผมก็คว้าทิชชูโยนลงข้างเตียง เอาไว้เก็บทำความสะอาดทีเดียวตอนเช้า

ยอมตามใจให้ไอ้ดื้ออยู่ด้านบนไปแล้วคราวนี้ผมขอควบคุมเองบ้าง สลับตำแหน่งให้หลังอีกฝ่ายติดพื้น ปากจูบส่วนมือสาละวนอยู่ที่ส่วนล่าง ละจากปากลงมาที่คอ แวะทักทายติ่งไตบนหน้าอกทั้งสองข้างก่อนกลับขึ้นไปชิมรสจูบที่ชอบพร้อมกับการสอดใส่

เริ่มด้วยจังหวะเนิบนาบแล้วเพิ่มตามอารมณ์ ไอ้ดื้อยังคงทำให้ผมสุขใจได้ทุกครั้งที่สัมผัส ลุ่มหลงแบบถอนตัวไม่ขึ้นและไม่คิดจะปฏิเสธ จบคืนแรกกับการเริ่มต้นใหม่ของเราด้วยความรู้สึกที่ดีและเติมเต็มกว่าเดิม

“พี่กาล”

และฟังเสียงที่ผมชอบมากที่สุดในค่ำคืนนี้



ตั้งแต่ลิขิตมันเริ่มติดพุดตานล่ะมั้งที่ผมตื่นมาทุกเช้าแล้วไม่มีคนนอนข้างๆ ผ่านมาสักพักแล้วที่ผมลืมความรู้สึกของการมีใครสักคนอยู่ข้างกันในยามเช้า ตื่นมาด้วยความรู้สึกสบายใจที่เมื่อคืนไม่ต้องฝันร้าย เป็นบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึง

แม้จะบอกว่าคิดถึงแต่ไม่ได้ความหมายว่าผมกำลังคิดถึงพี่ชายฝาแฝดที่แค่มานอนร่วมเตียงให้ผมรู้สึกสบายใจยามนอนหลับ มันเป็นความคิดถึงที่ในอดีตผมไม่ค่อยได้สัมผัส ผมไม่เคยกอด ไม่เคยแอบมองหน้าคู่นอนที่กำลังหลับในยามเช้า ไม่เคยรู้สึกอยากจูบที่หน้าผากแล้วบอกอรุณสวัสดิ์ ไม่เคยยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายสบตากลับมา

เรานอนมองตากันโดยไม่มีใครพูดอะไร ไอ้ดื้อไม่ได้ยืมแขนผมหนุน เรานอนหมอนใครหมอนมัน ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับระยะห่างอันน้อยนิด และแขนที่ผมวางพาดเอวอีกฝ่ายอยู่

“อย่าจ้องดิ” แล้วไอ้ดื้อก็เป็นฝ่ายแพ้ทนอยู่เงียบๆ ไม่ไหว

“แล้วจะให้พี่ทำอะไร”

“ลุกไปอาบน้ำ”

“ไล่เจ้าของห้องได้ไง”

“งั้นผมไปอาบก่อน”

“เดี๋ยวค่อยอาบก็ได้ เมื่อคืนพี่เช็ดตัวให้แล้วไง” กระชับกอดยกขาก่ายล็อกคนที่ทำท่าจะลุกหนีเอาไว้

“ปล่อยก่อนก็ได้พี่กาล ไม่หนีไปไหนหรอก” บอกโดยไม่ดิ้นไม่ขัดขืน ผมเลยกระชับกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด

“อยากกอด”

“ก็กอดอยู่นี่ไง”

“กอดแบบเมื่อคืน” ยิ้มให้เพราะอยากแซวให้เด็กมันเขินแต่ก็ตามสไตล์ไอ้ดื้อ หน้าแดงหูแดงแต่ยังทำเป็นนิ่ง

“วันหลังเถอะครับ”

ได้ฟังคำตอบแล้วชักมันเขี้ยว อยากจะชวนไปอาบน้ำด้วยกันแต่ถ้าทำแบบนั้นคงอาบไม่เสร็จกันสักที

“พี่กาล”

“ครับ”

“เรื่องความฝันอ่ะ”

“เมื่อคืนฝันอีกเหรอ”

“ไม่ใช่ฟังก่อนดิ”

ผมต้องรีบปิดปากหยุดคำถามต่างๆ ที่พรั่งพรูเข้ามาในหัว คำว่าความฝันเหมือนเป็นคำต้องห้ามสำหรับผมไปแล้ว

“พี่กาลจำความฝันที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้มั้ย”

“จำได้ดิ”

“อืม นั่นแหละ ในฝันเป็นครั้งแรกที่เรานอนด้วยกัน แต่กับความจริงอ่ะมันไม่เหมือนกันเลย”

“เพราะพี่ก็ชอบเราไง” ในอดีตผมไม่ใช่คนที่บอกชอบใครง่ายๆ กับไอ้ดื้อผมยังไม่เคยบอกน้องสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย

“แต่ในความฝันไม่ได้ชอบไง”

"เพราะงั้นก็เลยยิ่งต้องบอกไง"

"ครับ ตอนนี้ก็รู้แล้วไง"

อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปบีบจมูกรั้นๆ หนึ่งที ไอ้ดื้อยู่หน้าใส่ ก่อนจะพูดต่อ

“ก็นั่นแหละ ผมแค่อยากจะบอกว่า ในฝันพี่กาลไม่กอดผมเลย ตื่นมาต่างคนก็ต่างแยกย้ายแต่ตอนนี้ที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นพี่อยู่ข้างๆ ผมมีความสุขมากเลยนะ”

“ทำไมพูดจาน่ารักขนาดนี้วะ”

“น่ารักอะไรเล่า” พูดแล้วปัดมือผมที่กำลังจะแอบจับแก้ม เด็กดื้อไม่ยอมให้ผมได้ทำอะไรตามใจอีกแล้ว

“แค่นี้หวง”

“อย่าดึงมันเจ็บ”

“แต่หอมได้”

“ก็ไม่เคยว่า”

“พูดเองนะ”

“ก็ยอมให้ขนาดนี้แล้วอ่ะพี่กาล”

ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เขินหูแดงไม่หายแต่ก็ยังจะพูด ถ้าเกิดทนไม่ไหวอยากกอดอีกขึ้นมาจริงๆ ต้องโทษไอ้ดื้อคนเดียวเลย

“ไปอาบน้ำไป”

ผมปล่อยตัวคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ ไอ้ดื้อลุกจากเตียงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนที่ใช้เมื่อคืนแล้วออกจากห้องนอนไป

พลิกตัวคว้ามือถือมากดดูเวลา เก้าโมงกว่าแล้วท้องก็เริ่มหิว ลุกขึ้นจากเตียงหยิบเสื้อยืดในตู้มาใส่เดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นดูว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง มีอะไรพอจะทำเป็นมื้อเช้าของเราได้หรือเปล่า

ความสุขที่ผมได้รับตอนนี้มากจนแทบสำลัก ริมฝีปากหุบยิ้มไม่ได้ขณะหยิบจับเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มีความสุขมากจนเหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน มีความสุขมากเกินไปจนกลัวว่ามันอาจจะหายไปในสักวัน

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยินดี เพราะถ้าหากว่ามันคือความฝัน อย่างน้อยก็เป็นฝันดี ไม่ใช่ฝันร้ายที่ผมต้องเผชิญเสมอมา



tbc



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบ__[23/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 23-02-2020 19:07:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบ__[23/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-02-2020 21:51:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

เหตุการณ์ที่เกิดนี้  สอดคล้องกับคำเตือนของปู่หรือเปล่าอ่ะ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเอ็ด__[28/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 28-02-2020 18:23:37

กาลครั้งสิบเอ็ด



                สระน้ำหน้าบ้าน จานขนมที่วางบนโต๊ะ และบุคคลที่จากไปแล้ว

                ผมมองภาพที่เห็นอย่างใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านสวน นั่งเล่นอยู่ชานบ้านกับจานขนมที่ป้าบุหงาน่าจะเตรียมมาให้ และปู่ บุคคลที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้ได้ซึ่งนั่งอยู่ข้างกัน มองผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หากแต่สายตาคู่นั้นดูกังวล

                มันเป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างน่าอึดอัดนิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร หรือทำอะไรกันอยู่ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่บ้านสวน และทำไมปู่ถึงนั่งอยู่ตรงนี้

                “ปู่ครับ”

                “ปู่เคยเตือนหลานแล้วให้ระวัง”

                ผมหยุดความคิดต่างๆ ที่กำลังตีกันในหัว แล้วเริ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่ปู่บอกแทน เรื่องที่เคยเตือน ปู่เคยเตือนผมเรื่องอะไรกัน

                “หมายถึงเรื่องอะไรครับ”

                “เราไม่สามารถรู้ความคิดของคนอื่นได้ ฉะนั้นจงระวังคนรอบข้าง ระวังการกระทำของตัวเองให้ดี อย่าทำให้คนที่รักเสียใจ”

                “ครับ” ผมขมวดคิ้วถามเสียงสูงกลับไป แต่ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาอีก

                เรายังนั่งกันอยู่ที่เดิมโดยไม่มีใครพูดอะไร ความอึดอัดที่มีก่อนหน้านี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมถาม ทำไมถึงนั่งบื้อทั้งที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ปู่พูดมา ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ มันเนิ่นนานจนรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเราเริ่มดีขึ้น กำลังจะอ้าปากถาม แต่แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป

                ภาพสีดำหายไปกลายเป็นแสงสว่างเข้ามาแทนที่เมื่อผมลืมตา ถอนหายใจเบาๆ กับความฝันอันแสนงงงวย ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ผมก็ฝันถึงปู่อีกครั้ง กับการมาตอกย้ำคำเตือนจากความฝันครั้งที่แล้ว จนชักสงสัยว่าผมทำอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นเหรอ

                ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มทบทวนการกระทำของตัวเองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘คนที่รัก’ ที่ปู่พูดถึงแน่นอนว่าคือไอ้ดื้อ แล้วผมทำอะไรให้น้องเสียใจงั้นเหรอ เรื่องถุงยางก็เคลียร์แล้ว หรือเพราะเรื่องเมื่อคืนก่อน

                หยิบมือถือขึ้นมากดส่งไลน์เมื่อรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี สัปดาห์ที่แล้วผมฝันถึงปู่ ไอ้ดื้อเองก็ฝันถึงเรื่องในอดีต ในเมื่อครั้งนี้ผมฝันอีกครั้ง ไอ้ดื้อก็ต้องฝันเหมือนกัน ฝันครั้งที่สามเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น

                ‘เมื่อคืนฝันอะไรมั้ย’

                เวลาที่กดส่งขึ้นเก้าโมงสามนาที ผมรอคำตอบอยู่สักพัก เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาเลยเข้าเฟซบุ๊กส่องไอจีเผื่อน้องจะมาบ่นอะไรบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่มี

                กดล็อกมือถือวางไว้บนเตียงออกไปล้างหน้าแปรงฟัน ตอนเดินออกจากห้องน้ำเจอลิขิตออกมาจากห้องของมันพอดี เดินก้มหน้ากดโทรศัพท์ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากกำลังคุยกับพุดตาน

                “มึง”

                “ว่า” เงยหน้าขึ้นมาตอบ มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

                “ตอนเกิดเรื่องของมึงอ่ะ ปู่มาเข้าฝันมึงบ้างมั้ย” เป็นเรื่องที่ชวนให้สงสัย ก่อนหน้านี้ลิขิตพูดแค่ว่าเรื่องราวประหลาดพวกนี้ปู่เป็นคนเล่าให้ฟังและผมเองก็รู้เรื่องดี ส่วนเรื่องความฝันไม่เคยพูดถึง แต่ถ้าปู่มาบอกผม ก็น่าจะบอกเราทั้งคู่

                “ไม่นะ ทำไม ปู่มาหามึงเหรอ”

                “อืม ในฝัน”

                “ปู่ว่าไง” มันเก็บมือถือ สีหน้าดูจริงจังขึ้นมา

                “มาเตือน กูเลยสงสัยว่าปู่จะเคยมาบอกมึงเหมือนกันมั้ย”

                “ตอนนั้นไม่มีใครเตือนอะไรกูสักคน มีแต่พ่อที่บอกว่าเรื่องมันจะจบด้วยดี”

                “แล้วทำไมปู่ถึงมาเตือนกูวะ หรือว่ากูทำอะไรผิด”

                “ตอนนี้สถานการณ์มันดูไม่ดีเหรอ”

                “ก็ไม่” ผมยังนึกไม่ออกว่าเรามีเรื่องผิดใจอะไรกันอีก ไอ้ดื้อกำลังคิดอะไร แล้วคนรอบข้างผมกำลังทำอะไร ทุกอย่างที่ผมรับรู้ไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย

                “งั้นก็อย่างเพิ่งเครียด”

                “เครียดไปแล้วว่ะ กูนึกไม่ออกว่าทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า”

                “งั้นก็ลองนึกดูใหม่ดีๆ ว่ามึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่า หรือถ้าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรก็ถามคนที่มึงคิดว่าเขาน่าจะรู้”

                “เขาจะตอบเหรอวะ”

                “ก็ต้องลองก่อนมั้ย”

                “เออๆ”

                “มันต้องจบด้วยดี เชื่อกู” ลิขิตยังคงบอกแบบเดิม มันตบไหล่ผมเบาๆ ส่งกำลังใจตามประสาพี่ชาย

                “อืม”

                “กินข้าวกัน” พูดจบมันก็กอดคอผมพาเดินลงไปข้างล่างด้วยกัน



                ‘ทักมาเหมือนรู้ล่วงหน้า’

                กลับขึ้นมาบนห้องหยิบมือถือมาดูก็เจอคำตอบของคำถามที่ผมถามไอ้ดื้อไปก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจนก็จริง แต่ก็เดาได้ไม่ยาก

                ผมกดโทรหาเพราะคิดว่ามันคือเรื่องสำคัญ สัญญาณครั้งแรกดังยังไม่ทันจบปลายสายก็รับ

                [ถึงกับโทรมาเลย]

                “อยากคุย”

                [พี่กาลดูเครียดมากเลยเรื่องความฝัน] ไอ้ดื้อตรงเข้าประเด็นโดยไม่รอให้ผมเปิดก่อน

                “เรื่องฝันก็เครียด แต่ไม่คิดว่าพี่โทรหาเพราะอยากได้ยินเสียงบ้างเหรอ”

                [ไม่ต้องมาจีบ] นึกภาพเด็กดื้อทำปากมุบมิบบ่นแล้วชวนให้ยิ้ม แต่อารมณ์ดีได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องเข้าโหมดซีเรียสต่อ

                “แล้วเมื่อคืนฝันว่าอะไร”

                [พี่กาลลองเดาดู]

                “ทำไมต้องให้พี่เดา”

                [ไม่รู้ดิ มันมีความรู้สึกว่าพี่กาลต้องรู้ยังไงไม่รู้ ครั้งที่แล้วก็เดาถูก]

                “แต่ครั้งที่แล้วเราใบ้พี่มาก่อนนะ”

                [ถ้างั้นทำไมพี่กาลถึงรู้ล่ะว่าผมจะฝัน]

                ทุกประโยคที่ไอ้ดื้อถามผมรับรู้ได้ถึงความหวาดระแวงจากอีกฝ่าย มันให้ความรู้สึกคล้ายความสัมพันธ์เมื่อครั้งก่อน ความรู้สึกที่น้องมีต่อผม ไม่เชื่อใจ ไม่มั่นคง แต่ไม่คิดจะทำอะไร ไม่คิดอยากจะไขว่คว้ามาเป็นของตัวเอง มองดู และจงรักภักดีอยู่ฝ่ายเดียว

                “พี่แค่ถามว่าเราฝันมั้ย ไม่ได้รู้ว่าเราจะฝัน”

                [แต่ก็ทักมาเหมือนรู้ไง ครั้งนี้ผมไม่ได้โพสต์เฟซด้วย ไม่ได้บอกใครเลย]

                “โอเคครับโอเค” ผมยอมแพ้ไม่ดื้อแถต่อ

                [เล่ามา]

                “เอิร์ธจำได้มั้ยว่าครั้งที่แล้วพี่ก็ฝัน”

                [จำได้]

                “ครั้งนี้พี่ก็ฝันอีก ก็เลยคิดว่าเราน่าจะฝันเหมือนกันแค่นั้น”

                [จริงๆ เหรอ]

                “หมายถึงยังไง”

                [แค่นี้จริงๆ เหรอ]

                “ไม่เชื่อพี่เหรอ”

                [ผมเองก็ไม่รู้]

                ผมเข้าใจความสับสนที่เกิดขึ้น หากจะให้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ไอ้ดื้อคงไม่เชื่อ และผมไม่รู้ว่ามันจะทำให้ปัจจุบันของเราเปลี่ยนแปลงไปอีกหรือเปล่า

                [แล้วพี่กาลฝันว่าอะไร]

                "เหมือนครั้งที่แล้ว" และผมก็เลือกที่จะไม่พูดความจริงเหมือนเดิม

                [เรื่องที่ผมไม่สามารถใช้ชีวิตแบบปกติได้น่ะเหรอ]

                "ใช่ครับ"

                [มันเป็นยังไงเหรอพี่กาล บอกผมเพิ่มอีกนิดได้มั้ย พี่กาลทำอะไร แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น]

                "พี่ก็ไม่รู้ มันน่ากลัว" ผมไม่กล้าเล่า ไม่อยากบอกว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เพราะยังไงไอ้ดื้อก็คงฝันถึงมันในสักวัน

                [พี่กาลครับ]

                "พี่เห็นเอิร์ธนอนอยู่บนเตียง ยังหายใจได้ แต่ไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว" ผมเลือกที่จะตอบเพียงเท่านี้

                มีเพียงความเงียบที่ได้ยิน ผมไม่สามารถเดาได้เลยว่าไอ้ดื้อกำลังคิดอะไรอยู่กับฝันร้ายที่ผมบอกออกไป

                "เอิร์ธ"

                [ครับ ฟังอยู่]

                "โอเคใช่มั้ย"

                [โอเคดิ มันก็แค่ความฝัน เขาว่าฝันร้ายมักจะกลายเป็นดี ผมว่าพี่กาลน่าจะคิดมากไปกว่าดี ยิ่งเป็นคนเครียดง่ายๆ อยู่]

                "ก็คงงั้น เพราะห่วงเรา"

                [ผมไม่เป็นอะไรหรอก]

                “พี่บอกไปแล้ว ตาเอิร์ธเล่าความฝันตัวเองบ้าง เคยสัญญากันไว้แล้วไงว่าถ้าฝันอีกจะเล่าให้พี่ฟัง”

                [รู้แล้วครับ ไม่ต้องทวงสัญญาก็ได้]

                “พี่จะไม่ขัดแล้วนะ เล่ายาวๆ มาเลย”

                ผมเงียบรอปลายสายพร้อม เหมือนได้ยินเสียงบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ แต่คงไม่พ้นบ่นผมนั่นแหละ

                [ฝันว่าพี่กาลนอกใจ]

                บอกมาแค่นี้แล้วก็เงียบ ผมยังรอฟังเรื่องราวต่อจากนั้นตามที่บอกไป แต่กลายเป็นว่าเราต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กันเสียอย่างนั้น

                [ไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ]

                “ก็บอกแล้วไงว่าจะเงียบฟัง”

                [ตกใจมั้ย]

                “ขอฟังเรื่องทั้งหมดก่อน เล่าต่อดิ”

                ผมไม่แปลกใจเลยกับความฝันครั้งนี้ เพราะมันตรงกับสิ่งที่ผมเดาเอาไว้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันตรงกับความเป็นจริงในอดีตต่างหาก แม้คำพูดที่ไอ้ดื้อเลือกใช้มันจะผิดไปสักหน่อย เพราะในเมื่อเราไม่ได้เป็นแฟนกัน จะเรียกว่าผมนอกใจคงไม่ได้

                [จริงๆ จะเรียกว่านอกใจได้มั้ยไม่รู้ มันเหมือนเป็นความฝันที่ต่อเนื่องกับครั้งที่แล้ว พี่กาลได้ผม แล้วก็แปลกที่เป็นตอนกลับจากร้านเหล้าพอดีเหมือนกันอีก ผมรักพี่ แต่พี่ไม่รักผม ได้แล้วคบแบบทิ้งๆ ขว้างๆ มันอาจจะผิดที่ผมเองด้วยที่เลือกจะยืนตรงนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ไม่รัก แต่ผมดันรักพี่มากเลยยอม]

                “มันก็แค่ความฝัน” ผมได้แต่บอกย้ำคำเดิมที่พูดออกไปแล้วไม่รู้กี่รอบ บอกเพื่อหนีความจริงที่ตามมาหลอกหลอนในรูปแบบความฝัน บอกเพื่อให้อีกคนไม่คิดหลงเชื่อ

                [แต่พี่ดันเครียดกว่าผมอีก]

                “ต้องเครียดดิ ครั้งก่อนเราก็เชื่อว่ามันคือฝันบอกเหตุ"

                [ก็มันดันตรงไง]

                "ตอนนี้พี่ไม่ใช่คนแบบนั้นแล้วนะ”

                [แต่อดีตเป็น]

                "เอิร์ธ" ใจผมมันหวิวๆ ยังไงไม่รู้ ยิ่งปู่มาเตือนยิ่งรู้สึกไม่ดี

                [อืม ผมรู้ เพราะพี่ได้ผมแล้วแต่ก็ยังติดต่อมาหาแบบนี้ไง ไม่ใช่ให้ผมตามตื๊ออยู่ฝ่ายเดียว]

                “อย่าเบื่อพี่ก่อนแล้วกัน”

                [ถ้าเบื่อคงเบื่อไปนานแล้ว]

                ก็คงจะจริงอย่างที่ไอ้ดื้อว่า เพราะตั้งแต่ได้รู้จักกันอีกครั้งผมก็ตามอีกฝ่ายต้อยๆ นัดให้ออกมาเจอกันแทบทุกวัน ถ้าจะเบื่อ ก็คงเป็นน้องนั่นแหละที่เบื่อผม ถึงผมจะเป็นฝ่ายถูกชอบก่อนก็เถอะ

                [แล้วแบบนี้ต้องไปทำบุญกันอีกมั้ย หรือต้องให้หมอดูทำนายฝันให้หรือเปล่า]

                “คิดว่าไม่น่าจะช่วยอะไร”

                ตั้งแต่ไปทำบุญรอบที่แล้วผมว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ซ้ำยังซวยกว่าเดิมอีก ไหนจะตกน้ำเพราะกลัวแมว โดนเข้าใจผิดเรื่องถุงยาง แล้วมาได้กันทั้งที่คิดว่าจะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ซึ่งทุกอย่างที่ว่ามานั้นบาปบุญไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้อง มันเกิดขึ้นเพราะตัวผมเองล้วนๆ การกระทำของผมที่ปู่อยากให้ระวัง ผมคิดว่าเรื่องที่ปู่อยากเตือนก็คงเป็นเรื่องพวกนี้

                “ไปหาได้มั้ย ตอนนี้”

                [ปีใหม่แล้วอยู่กับครอบครัวบ้าง]

                เมื่อคืนเป็นวันสิ้นปี เป็นปีที่ผมไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนแต่อยู่บ้านฉลองกับครอบครัวแทน และเป็นปีแรกที่ผมได้นับถอยหลับขึ้นปีใหม่กับไอ้ดื้อ แม้จะเป็นทางโทรศัพท์ก็ตาม

                “อยากเจอ”

                [วันนี้ไปวัดกับที่บ้านไง เมื่อคืนบอกไปแล้ว]

                “กลับบ่ายใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปหาก็ได้ อยากเจอจริงๆ”

                [ทำไมงอแง]

                “อยากเจอครับ"

                ปลายสายเงียบไปคล้ายจะทนกับความงอแงเอาแต่ใจของผมไม่ไหว แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ดื้อไม่มีทางรำคาญผมหรอก

                [ก็ได้ครับ ยังไงเดี๋ยวผมบอกอีกทีนะ]



                เรานัดเจอกันที่สยาม ใช้วันหยุดไปกับการกินข้าวดูหนังเหมือนคนอื่นๆ ไอ้ดื้อเช่าพระให้ผมเป็นของขวัญปีใหม่ บอกว่าองค์นี้พุทธคุณเด่นด้านป้องกันภูติผีปีศาจ แถมยังอวยพรให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ไอ้เด็กนี้มันคิดว่าผมโดนวิญญาณร้ายตามรังควานอยู่หรือไง

                ผมเองก็มีของขวัญให้น้อง แอบมาเดินหาซื้อก่อนเวลานัด เพราะกล่องค่อนข้างใหญ่เลยเอามาเก็บไว้ในรถ กินข้าวเสร็จตอนทุ่มกว่า ออกปากขอไปส่งที่บ้าน ขึ้นรถแล้วก็เอี้ยวตัวไปหยิบของขวัญที่เบาะหลังยื่นให้

                "อะไรอ่ะ หูแมว ของเล่นเหรอ"

                "ลองแกะดู"

                ไอ้ดื้อดูตื่นเต้นและงงงวยไปพร้อมๆ กันขณะแกะกล่องของขวัญ เจ้าสิ่งนี้คือหูแมววัดอารมณ์ที่บังเอิญเจอเข้าที่ loft มันน่ารักและน่าจะเข้ากับอีกฝ่ายดีผมเลยซื้อมา ความจริงก็มีเป้าหมายอยู่ในใจนิดหน่อย

                "ลองใส่ดูดิ"

                "ต้องใส่ตอนนี้เลยเหรอ"

                "อยากเห็น ซื้อถ่านมาให้ด้วย"

                "เตรียมพร้อมมาก"

                "มา เดี๋ยวช่วย"

                ผมแกะถ่านใส่ประกอบนู่นนี่ไอ้ดื้อก็หยิบคู่มือมาอ่าน ก่อนจะวางไว้เหมือนเดิมเมื่อเห็นว่ามันเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องห่วง ผมอ่านรีวิวศึกษามาแล้วเรียบร้อย

                "มันใช้ทำอะไรอ่ะ"

                "เป็นหูแมวขยับได้ ใช้วัดอารมณ์ได้ด้วย"

                "จะแอบจับผิดกันเหรอ"

                "ไม่ใช่ มันน่ารักเลยซื้อมา"

                ผมช่วยใส่หูแมวให้ มันหมุนหนึ่งรอบก่อนหูข้างหนึ่งจะพับลงแสดงการปรับค่าให้ตรงกับคลื่นสมอง จากนั้นหูทั้งสองข้างก็พับลง ส่วนคนใส่ก็น่ารักอย่างที่ผมคิดไว้

                "หูขยับออกอ่ะ กำลังสนใจอะไรอยู่เหรอ" ถามเพื่อยืนยันว่าอารมณ์จริงๆ กับสิ่งที่หูแมวแสดงนั้นตรงกัน

                "สนใจมันนี่แหละ ไม่เคยเห็นอ่ะ"

                ไอ้ดื้อขยับตัวมาส่องกระมองหลัง หันซ้ายหันขวาส่องแต่ละข้างหูแมวก็ยิ่งขยับ เป็นมุมน่ารักๆ ที่ผมไม่เคยเห็นจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้

                "เออ แล้วแบบนี้พี่กาลไม่กลัวเหรอ" อยู่ๆ ก็หันขวับมาถาม

                "แมวปลอมอ่ะกลัวทำไม"

                "ก็แมวนะ ดูดิ หูกระดิกได้ด้วย"

                "แต่แมวตัวนี้น่ารักไง กลัวไม่ลง"

                "แมวตัวอื่นก็น่ารักเถอะ" หูทั้งสองข้างกระดิกขึ้นลงบอกว่าคนใส่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

                "คิดอะไรอยู่น่ะเรา"

                "คิดว่าทำไมพี่กาลปากหวานจัง"

                "จะไม่พูดนะว่าเคยชิมมาแล้ว"

                เด็กดื้อแยกเขี้ยวใส่ ทำให้ผมนึกภาพออกเลยที่ลิขิตมันเคยบอกว่าพุดตานชอบแยกเขี้ยวใส่แล้วร้องเงี้ยวๆ น่ารักเหมือนแมวมันเป็นยังไง ถ้าแมวทุกตัวบนโลกน่ารักเหมือนแมวที่ชื่อเอิร์ธตัวนี้ผมไม่มีทางกลัวแน่

                "ถึงบ้านค่อยถอดนะ"

                "ไม่..."

                แรงสั่นจากแจ้งเตือนดึงความสนใจเราทั้งคู่ให้หันมองมือถือของผมที่วางอยู่หน้าเกียร์ แอพสีเขียวขึ้นข้อความจากพี่รหัสผมที่ชอบทักมาคุยเป็นปกติ แต่เพราะตอนนี้อยู่กับคนสำคัญผมเลยเลือกที่จะยังไม่ตอบ

                "เมื่อกี้เอิร์ธว่าอะไรนะ"

                "ถอดนะ"

                "อย่างเพิ่งถอดดิ ใส่จนถึงบ้านไม่ได้เหรอ"

                "มันหนัก"

                หูแมวกระดิกขึ้นลงไม่หยุด แต่ถึงไม่มีเจ้านี้ช่วยบอกอารมณ์อีกฝ่ายก็สังเกตได้ว่าไม่ปกติ ถามคำตอบคำ บรรยากาศชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมา

                ไอ้ดื้อจะถอดหูแมวออกแต่ผมรวบมือทั้งสองมากุมไว้ อยู่ๆ ก็เป็นอะไรขึ้นมา ไม่พอใจหรือระแวงอะไรกันอีก

                "เอิร์ธเป็นอะไรครับ คิดมากอะไรอยู่บอกพี่ได้มั้ย มีอะไรที่พี่ทำให้ไม่พอใจหรือเปล่า"

                คนตรงหน้าหลบตา สูดลมหายใจเข้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออก หูแมวยังคงขยับขึ้นลง

                "กับพี่ณดานี่สนิทกันขนาดไหนเหรอ" หันกลับมาสบตาอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม เฉลยทุกคำตอบที่ผมสงสัย

                "เพราะคนนี้เหรอ"

                "คนนี้แหละ"

                ไม่แปลกถ้าคนที่ไม่รู้จักผมกับพี่ณดามองแล้วจะเข้าใจผิด พี่ณดาเป็นพี่รหัสผมและเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง เราค่อนข้างสนิทกัน เล่นถึงเนื้อถึงตัวกันได้ แต่ก็เป็นแค่พี่น้องไม่มีอะไรเกินเลย ในเมื่อคุณพี่เธอมีคนคุยในสต็อกเยอะแยะขนาดนั้น มีบ้างที่ถูกเชียร์แต่เราทั้งคู่ไม่สามารถข้ามเส้นความเป็นพี่น้องไปได้ แล้วก็เป็นความผิดของผมเองที่ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิด และไม่เคยได้อธิบายให้ไอ้ดื้อฟัง

                "ไปเห็นมาจากที่ไหนทำไมคิดมาก ปิดเทอมพี่แทบไม่ได้เจอพี่ณดาเลย แล้วเรารู้จักพี่ณดาได้ไง" พอจะเดาได้แต่ก็อยากถาม ในอดีตไอ้ดื้อรู้จักพี่ณดาได้ยังไง ตอนนี้ก็คงไม่ต่าง

                "ในเพจมอก็เคยลงรูปคู่ไง คนก็เชียร์กันเยอะแยะ"

                "แค่นั้นเหรอ"

                "ไม่ใช่แค่นั้นดิ"

                "อ๋อ" ผมแกล้งลาวเสียงยาว นอกจากสาเหตุที่อีกฝ่ายบอกมาก็พอจะนึกได้อีกข้อ เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ที่ผมไม่เคยคิดกังวล

                "อย่าอ๋อแล้วเงียบดิ"

                "ขอโทษที่ถึงเนื้อถึงตัวกันเกินไป แต่พี่ณดาเมาไงตอนนั้น ไม่รู้ว่าเราก็เห็น"

                "ก็เลยไม่บอกเหรอ"

                "ก็เพราะไม่รู้ไงเลยไม่ได้บอก พี่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ระหว่างพี่กับพี่ณดามันคือเรื่องปกติ ไม่มีอะไรต้องคิดมาก"

                "ถึงเนื้อถึงตัวกันได้ขนาดนั้นไม่ให้คิดมากได้ไง"

                "แค่สนิทกันเฉยๆ"

                "แต่คนเห็นคิดมากไง"

                "คนเห็นที่ชื่อเอิร์ธ อ๋อ" ผมอ๋ออีกรอบทำเอาไอ้ดื้อกดตามองต่ำอย่างไม่ไว้ใจ หูแมวที่ใส่อยู่ก็ขยับไม่หยุด

                "อ๋ออะไรอีก"

                "เพราะงั้นคืนนั้นถึงได้อยากมาห้องพี่ใช่มั้ย"

                "รู้ตัวช้าจริง" ตอบแล้วหลบตา ทำเป็นเมินใส่เพราะเขิน หูที่เริ่มแดงนั่นไม่เคยปิดความรู้สึกของเจ้าของมันได้เลย

                "มานี่มา" ผมรั้งไอ้ดื้อให้เข้ามาหาแต่มันก็ออกจะทุลักทุเลไปนิด กอดไว้จากด้านหลังแล้วกดจมูกที่ขมับไปหนึ่งที

                เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ถึงสาเหตุทำให้เรื่องมันกลับไปคลับคล้ายคลับคลากับอดีต เพราะอยากรั้งไว้ไอ้ดื้อเลยยอมให้ผมมาเรื่อยๆ แม้จะรั้งได้เพียงร่างกายก็ยังยินยอมที่จะทำ

                "ตอนนี้พี่มีแค่เอิร์ธนะ มีแค่เอิร์ธคนเดียวจริงๆ อย่าคิดมากอีกได้มั้ย อย่าไปเชื่อความฝัน อย่าไปเชื่อคนอื่น เชื่อแค่พี่คนเดียวก็พอ ได้มั้ยครับ"

                "รู้แล้ว"

                ผมถอดหูแมวแสนเกะกะนี้ออกก่อนกดจูบที่ขมับอีกครั้งแล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น ไอ้ดื้อเอนหลังมาพิง ตอบรับคำขอโดยการจับมือผมที่กำลังโอบกอดเอาไว้ ก่อนพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

                "ตอนนั้นผมกลัวนะ เพราะความฝันด้วย เพราะเมาด้วยมั้งอารมณ์มันเลยอ่อนไหวเป็นพิเศษ แต่ก็ยอมให้พี่เอง ไม่โทษใครหรอก ถึงโดนฟันแล้วทิ้งก็ไม่คิดโทษใคร"

                "ใครจะไปทิ้ง"

                "แค่พูดถึงเฉยๆ รักนะถึงยอม อะไรแบบนี้" พูดอ้อมแอ้มเสียงเบา ก้มหน้าหนีเหมือนไม่อยากให้ผมเห็นหน้าตอนพูด

                "ไม่มีทาง"

                "รักหรือหลง"

                "อาจจะทั้งสองมั้ง"

                "เหมือนกัน แล้วแบบนี้พอจะรั้งไว้ได้มั้ย"

                "หืม" ผมก้มหน้าไปหา ที่ถามซ้ำไม่ใช่ว่าได้ยินไม่ชัด แต่อยากฟังคำถามให้แน่ใจอีกที

                "เรื่องคืนก่อนพอจะรั้งให้พี่กาลไม่ไปไหนได้มั้ยครับ"

                ฟังคำถามอีกรอบแล้วผมอยากจะจับคนให้อ้อมกอดใส่ปากเคี้ยวๆ กลืนให้รู้แล้วรู้รอด ประเด็นก่อนหน้านี้อาจจะมีส่วนที่ทำให้คำถามนี้หลุดออกมา แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงแล้ว ถามแบบนี้เพราะอยากจะอ้อนกันมากกว่า

                "ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว แต่พอทำแล้วกลายเป็นไปไหนไม่รอดไปเลย"

                "หลงกันนี่หว่า"

                "ไม่เถียง"

                ไม่ปฏิเสธ แล้วก็ไม่อยากปล่อยออกจากอ้อมกอดง่ายๆ ด้วย ไหนๆ ก็หลงขนาดนี้แล้ว ขอฟัดให้หายมันเขี้ยวก่อนส่งกลับบ้านสักหน่อยก็แล้วกัน


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเอ็ด__[28/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 28-02-2020 20:00:49
 :katai1: ใบ้ที จะจบด้วยดีใช่ป่าว
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเอ็ด__[28/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2020 23:30:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเอ็ด__[28/02/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-03-2020 03:06:18
อ่ยยยยย เครียด  :katai1:
ปู่เตือนเรื่องอะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสอง__[02/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 02-03-2020 21:17:57

กาลครั้งสิบสอง


            คล้ายกับไอ้เรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้กำลังเล่นตลก ผมจำได้แม่นว่าอาทิตย์นี้เป็นช่วงสัปดาห์ที่หนักหน่วงที่สุด ทั้งเรื่องความเจ้าชู้ของผม รวมถึงเรื่องน่าปวดหัวของไอ้ดื้อด้วย ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในลู่ทาง ความฝันที่เหมือนลางบอกเหตุกับเรื่องพี่ณดาก็เพิ่งเคลียร์ แต่ทำไมผมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วยก็ไม่รู้

            อุตส่าห์หนีมาถึงสุพรรณบุรีก็ยังจะเจอ...

            "พี่กาลก็มาดูควายเหมือนกันเหรอครับ"

            คนข้างๆ ผมกำลังกลั้นขำสุดกำลัง ขณะที่ผมกำลังนึกโทษทุกสรรพสิ่งที่บันดาลให้ผมต้องมาเจอกิ๊กเก่าที่เคยคบแล้วทิ้งที่นี่ ที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย จังหวัดสุพรรณบุรี

            "ครับ" ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแม้อีกฝ่ายดูจะไม่อยากผูกมิตรกับผมสักนัก เพราะเราจบกันไม่ค่อยสวยเท่าไร

            "กับควายตัวใหม่เหรอครับ"

            "แรงไปแล้วฟาร์"

            ผมหันมองปฏิกิริยาคนข้างๆ จากที่ยิ้มๆ เมื่อกี้ไอ้ดื้อก็เปลี่ยนมาจ้องอดีตกิ๊กเก่าผมเขม็ง โดนพาดพิงทั้งที่ไม่รู้จักกันแบบนี้เป็นใครก็คงเคือง แต่ผมไม่อยากให้มีเรื่อง นิสัยจาฟาร์เป็นคนแรงๆ เจ้าคิดเจ้าแค้น ถึงได้กัดผมไม่ปล่อยทั้งที่เลิกติดต่อกันมาเกือบปีแล้ว

            "แสดงว่าคุณก็เป็นควายตัวเก่าใช่มั้ยครับ" เด็กดื้อเริ่มแผลงฤทธิ์ ถ้าเป็นคนเจียมตัวเมื่อปีก่อนไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่ๆ

            "ไปเถอะ โชว์จะเริ่มแล้ว" ผมคว้าแขนไอ้ดื้อลากเข้าไปในลานแสดงควายด้วยกันก่อนจะเกิดศึกครั้งใหญ่

            อุตส่าห์พามาเที่ยวช่วงปีใหม่เพื่อเก็บความทรงจำดีๆ มาดูน้องควายน่ารักๆ แต่ดันมาเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดซะงั้น ได้แต่พนมมือขอพรหลวงพ่อในใจ ช่วยปกป้องลูกกับไอ้ดื้อจากปีศาจร้ายที่ชื่อจาฟาร์ด้วยเถอะ

            "ทำไมพี่กาลปล่อยให้โดนด่าแบบนั้นอ่ะ" เดินหนีจากอดีตกิ๊กเก่าผมมาได้นิดเดียวก็โดนยิงคำถามใส่

            "ฟาร์มันแรง ถ้าพี่แรงกลับบ้านควายพังแน่" เพราะเมื่อก่อนเราต่างแรงใส่กันทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร ทำให้ทุกอย่างมันระเบิดจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี ไอ้ดื้อเองก็เคยรู้

            "แฟนเก่าเหรอ หรือคนคุย"

            "คนคุย"

            "แสดงว่าช่วงนั้นคุยหลายคนเลยอ่ะดิ"

            "ยอมรับครับ"

            "เหมือนในฝันผม"

            "ไม่เอาไปโยงกับความฝันแล้วได้มั้ย ตอนนี้พี่มีเราคนเดียว"

            "รู้แล้วครับ" หันมายิ้มให้ก่อนนั่งลงจับจองที่สำหรับชมการแสดง

            เหมือนกับผมกำลังถูกอีกฝ่ายคุมเกม หลอกให้พูดในสิ่งที่อยากฟัง และยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แต่เมื่อรักไปแล้วไม่ว่าอะไรผมก็ยินดีทำ ขอแค่ยังเชื่อใจกันอยู่ก็พอ

            ควายช่างน่ารักและแสนรู้ การแสดงก็สนุกและน่าประทับใจ แต่เพราะคนที่นั่งเยื้องไปไม่ไกล แม้พยายามไม่สนใจ สมาธิที่จดจ่ออยู่กับน้องควายก็มักหลุดโฟกัสทุกที

            "สนใจน้องควายหน่อย" ผมพยายามจึงความสนใจไอ้ดื้อกลับมา

            "ควายตัวเก่าก็น่าสนใจ"

            "ไม่เอาดิเอิร์ธ"

            "ก็เขามองผมก่อนอ่ะ"

            "เราก็ไม่ต้องไปสนใจ"

            "นัดต่อยเลยมั้ยจะได้จบๆ"

            "อย่ามีเรื่องเลยขอร้อง"

            "กำลังพยายาม" ไอ้ดื้อยอมละสายตาจากจาฟาร์พอให้ผมได้อุ่นใจขึ้นมาบ้าง

            การแสดงจบลงช่วงเวลาที่น่าสนุกกว่าก็มาถึง ไอ้ดื้อคว้าแขนผมชวนไปขี่ควาย จังหวะไล่เลี่ยที่จาฟาร์กับเพื่อนเดินมาพอดี ผมกำลังจะขืนแรงรั้งเด็กดื้อไว้แต่คนที่เดินนำหน้าก็หยุดก้าวแล้วหันมาบอกกัน

            "รอเขาไปก่อนค่อยขี่ก็ได้"

            ถ้าไม่เกรงใจน้องควายก็อยากจะหอมแก้มเด็กดีหวานออกสื่อให้อดีตคนคุยได้เห็น แต่คาดว่าหากทำอย่างนั้นคงโดนหมั่นไส้หนักกว่าเก่า ดีไม่ดีโดนตามราวีทั้งวันเที่ยวไม่สนุกกันพอดี

            เพื่อนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เราจึงเลือกถ่ายรูปกับน้องควายผู้แสนน่ารักระหว่างรอจาฟาร์และผองเพื่อนออกไปจากลานแสดง



            ได้ทั้งขี่ควาย นั่งควายเทียมเกวียนไอ้ดื้อก็ดูอารมณ์ดีขึ้นเยอะ เราไปต่อกันที่คาเฟ่ที่มีชื่อว่า ‘กินแฟ ดูฟาย’ เป็นร้านที่สามารถกินกาแฟและดูน้องควายอาบน้ำไปพร้อมๆ กัน

            อากาศร้อนในหน้าหนาวบวกกับกลิ่นโคลนสาบควาย ฟังแล้วอาจจะดูแย่แต่บรรยากาศกลับดีกว่าที่คิด

            ลาเต้ ชาเขียว และลูกชิ้นทอด มีเปลตาข่ายยื่นออกมาคล้ายกับที่มัลดีฟแต่เปลี่ยนจากน้ำทะเลเป็นสระน้ำสีขุ่นให้นั่งเล่น ผ่อนคลายไปกับการดูน้องควายว่ายน้ำ พร้อมบริการพิเศษที่สามารถให้อาหารน้องควายได้ด้วย

            ไม่รู้ว่าจาฟาร์กับกลุ่มเพื่อนหายไปไหนแต่ก็ดีแล้วที่พวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ เด็กดื้อที่ชมน้องควายว่านักรักไม่หยุดปากเลยยิ่งอารมณ์ดี คว้าหญ้ามาโบกๆ ควายทั้งฝูงก็พร้อมใจกันว่ายมาหา

            "พี่กาล หรือจริงๆ แล้วควายเป็นสัตว์น้ำ" สะกิดยิกๆ ชี้ให้ผมดู ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยที่ได้เห็นเจ้าสัตว์บกตัวใหญ่ที่ชื่นชอบการแช่น้ำ

            "ควายมันชอบน้ำ"

            "ดูดิน่ารัก เขามันใหญ่มากอ่ะ"

            "ครับ น่ารัก" น่ารักทั้งควายทั้งคนให้อาหาร

            ไอ้ดื้อเล่นกับควายส่วนผมถ่ายรูปคนกับควายอีกที หญ้าหมดคนก็กลับมากินของว่างที่ซื้อไว้ ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนผ่อนคลายที่ผมว่ามันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ คิดไม่ผิดเลยที่ชวนมา

            "พี่กาล"

            หันไปมองคนเรียก ไอ้ดื้อนั่งขัดสมาธิหันหน้ามาหา คล้ายกับมีเรื่องจริงจังอยากคุยด้วย

            "ถามได้มั้ยอ่ะ ว่าทำไมคนนั้นเขาถึงดูเกลียดพี่กาลขนาดนั้น คุยหลายคนต้องโกรธแหละอันนี้เข้าใจ แต่น่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้โกรธจนไม่อยากอภัยด้วยหรือเปล่า อันนี้เดาเฉยๆ ไม่ได้จะว่าหรือจับผิดนะ จะไม่ตอบก็ได้ แต่ก็อยากรู้" ถามเองลนเอง แต่สายตาเป็นประกายอยากรู้นั้นไม่สั่นไหวเลยตั้งแต่เริ่มพูดจนจบประโยค

            "เพราะดันไปคุยซ้อนกับเพื่อนฟาร์ด้วยไง" มันไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากเล่าแต่ก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง

            "แบบนั้นกลุ่มแตกดิ"

            "ก็ทำนองนั้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นกลุ่มแตก พี่ไม่รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกันไง ตอนคุยกับฟาร์ไม่ได้จะปิดบังแต่ก็ไม่ได้เปิดตัว ก็ตามสไตล์พี่อ่ะคุยไปเรื่อยๆ ไม่ได้จริงจัง"

            "ตอนนั้นพี่กาลคุยกี่คน"

            ผมมองเข้าไปในแววตาของคนถาม กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วจะทำให้ความเชื่อใจที่มีต่อผมลดลงอีกหรือเปล่า เพราะตอนนั้นผมไม่ได้คุยแค่จาฟาร์กับเพื่อน แต่ยังมีเด็กดื้อที่ชื่อเอิร์ธด้วยอีกคน

            "แค่สองคนนั้นแหละ" สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่บอกความจริง

            "แล้วความแตกได้ไง"

            "เล่าไปแล้วจะเกลียดพี่มั้ย"

            "มันร้ายแรงเหรอ"

            "ก็เปล่า ไม่ขนาดนั้น"

            "ที่มายืนอยู่จุดนี้ก็ใช่ว่าผมไม่รู้จักพี่กาลมาก่อนนะ ก็เพราะยอมรับไง เรื่องในอดีตไม่เก็บมาคิดใส่ใจหรอก"

            "แต่ก็หวั่นไหวเพราะความฝันกับพี่รหัส"

            "ก็ไม่ได้คิดว่าเก่งกล้าสามารถจนปราบพยศคนเจ้าชู้ได้สักหน่อย"

            "พี่เลิกเจ้าชู้ตั้งนานแล้วเถอะ"

            "แต่ก็ทำให้ผมระแวงจนต้องเอาตัวเข้าแลกนี่ไง"

            "เอิร์ธ" ผมลากเสียงยาวเรียกชื่อเด็กดื้อเมื่อโดนเล่นงาน ส่วนคนที่กำลังอารมณ์ดีนั้นยิ้มตาปิด

            "ถ้าพี่กาลลำบากใจไม่ต้องเล่าก็ได้นะ"

            "เพราะได้กับพี่นี่แหละ"

            ไอ้ดื้อเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอีกรอบเมื่อผมตอบ ตอนนั้นมันเป็นช่วงที่ชีวิตผมค่อนข้างวุ่นวาย คุยกับจาฟาร์ได้ไม่ถึงเดือนไอ้ดื้อก็เข้ามาในชีวิต เก็บน้องเอาไว้โดยที่ไม่บอกให้ใครรู้ ถัดมาอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อนของจาฟาร์ก็เข้ามา ไอ้ดื้อเป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่างแต่ก็ยังยอมอยู่ในที่ของตัวเองเงียบๆ ความสัมพันธ์ที่ผมไม่คิดจริงจังดำเนินต่อไปจนกระทั่งจาฟาร์รู้เรื่องเพื่อนของตัวเอง

            "เพื่อนฟาร์เอาไปคุยว่าได้นอนกับพี่ก็เลย..." ละไว้ในฐานที่น่าจะเข้าใจ

            คนฟังพยักหน้ารับ หยิบชาเขียวขึ้นมาดูดก่อนขยับหันหน้าไปมองฝูงควายที่กำลังว่ายน้ำเล่นสบายใจ แต่เป็นผมเองที่เริ่มไม่สบายใจแล้ว

            "คิดมากอีกมั้ยเนี่ย"

            "เปล่า"

            "เลิกแล้วจริงๆ นะนิสัยแบบนั้น"

            "บอกกันรอบที่ร้อยแล้วพี่กาล" หันมาหัวเราะใส่เบาๆ แต่เบาใจไม่ได้ เด็กคนนี้มันเก็บความรู้สึกที่ไม่อยากแสดงออกเก่งนัก

            นั่งมองฝูงควายที่ดูจะอยู่ดีกินดี มีน้ำให้ว่ายเล่น มีคนคอยให้อาหารแล้วนึกอิจฉาที่ชีวิตผมต้องมาเจอเรื่องน่าปวดหัวแบบนี้ จะมีทางไหนอีกบ้างที่จะทำให้ไอ้ดื้อเชื่อใจผม อาจไม่ต้องเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่ไว้ใจว่าผมจะไม่มีทางออกนอกลู่นอกทางอีก ผมต้องทำยังไง

            "เอิร์ธ"

            เจ้าของชื่อหันมามอง สิ่งที่ผมจะพูดออกไปอาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่สุด แต่มันคือสถานะที่ผมไม่เคยได้มอบให้ใคร

            "เป็นแฟนพี่นะ"

            "พี่กาล มันเร็วไป" คำตอบไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้ เพราะมันเป็นคำตอบเดียวกับตอนที่ผมขอไอ้ดื้อเป็นแฟนครั้งแรก

            "จะบอกว่าเรายังไม่รู้จักกันดีพอเหรอ"

            "หรือไม่ใช่ พี่รู้จักผมยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ"

            ผมไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายเลย อยากรั้งไม่ให้ไปแต่กลับไม่ยอมขยับสถานะ มันเร็วไป ใช่ ก็แค่สองอาทิตย์กว่า แต่สำหรับผมมันนานเกินพอแล้ว

            "แล้วถ้ามากกว่าหนึ่งเดือนเราจะยอมตอบตกลงมั้ย"

            คนฟังขมวดคิ้วใส่ ในเมื่อห่วงเรื่องเวลานักผมจะยอมสารภาพก็ได้

            "ไม่ใช่แค่เอิร์ธหรอกที่ตกหลุมรักก่อน"

            "ยังไง"

            "ไปร้านข้าวบ่อยขนาดนั้นคิดว่าพี่จะไม่เห็นเราจริงๆ เหรอ ไม่งั้นคงไม่รู้หรอกว่าเด็กแถวนี้ชอบกินข้าวมันไก่"

            "เดี๋ยวนะ แล้วทำไมตอนนั้นบอกไม่เคยเจอ" ไอ้ดื้อเบิกตากว้างถามกลับ

            "เราก็หลอกพี่เหมือนกัน เพราะงั้นก็หายกันนะ"

            ตอนนั้นเราต่างโกหกกันว่าไม่เคยเจอกันมาก่อน จนไอ้ดื้อมาสารภาพหมดเปลืองตอนเมาว่าแอบชอบผมมานานแค่ไหน

            "จริงดิ แอบมองเหรอ งั้นที่บอกว่ารู้จักชื่อจากพวงกุญแจก็โกหกอ่ะดิ" ถามรัวหน้าตาตื่น เราใจคงเต้นแรงไม่ต่างกัน ทั้งคนสารภาพและคนฟัง

            "ประมาณนั้น"

            "แล้วที่ตามไปบ้าน"

            "เพราะคิดว่าไหนๆ ก็เป็นโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกันแล้วไง"

            "แล้วทำไมตอนนั้นไม่พูดความจริงอ่ะ" ขยับตัวเข้ามาใกล้เหมือนอยากได้ยินคำตอบชัดๆ

            "เพราะเป็นคนหล่อมีฟอร์ม เป็นอดีตผู้ชายเจ้าชู้ เลยไม่อยากตกหลุมรักใครก่อน"

            "ได้เหรอพี่กาล"

            ได้ไม่ได้ก็ทำให้เด็กดื้อยิ้มออก เรื่องที่ผมพูดไปอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเพราะมันคือความจริงที่พอจะปรับแต่งให้อีกฝ่ายเชื่อได้ การโกหกซ้ำๆ ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ แต่การโพล่งออกไปว่าความฝันที่อีกฝ่ายฝันถึงคือเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตหรือคุณคือคนใกล้ตายที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ผมว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดี

            "พี่มองเอิร์ธมานานแล้วนะ มองโดยไม่คิดว่าจะชอบ แต่ก็ดันชอบขึ้นมาจริงๆ แม้ตอนนั้นจะยังทำตัวเหลวไหลอยู่ก็เถอะ"

            "แบบพี่กาลน่ะเหรอ แค่มองก็ชอบ..."

            "งั้นก็ลองถามตัวเราเองว่าทำไมถึงชอบพี่ คำตอบมันคงไม่ต่างกันนักหรอก"

            จุดเริ่มต้นความชอบของผมไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้ก็จริง แต่ถ้าคนมันจะรัก ถึงไม่เคยคุย แค่เห็นเขาในสายตาทุกวันมันก็รัก คนอย่างผมก็ไม่มีข้อยกเว้น

            "เป็นแฟนกันนะ" ถามย้ำอีกรอบ ไอ้ดื้อสบตาผมนิ่งจนกลัวว่าคำตอบจะออกมาเหมือนเดิม กระทั่งริมฝีปากคู่นั้นค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา

            "ครับ"

            ให้ควายทั้งฝูงเป็นพยาน ในที่สุดเด็กดื้อก็ยอมตอบตกลงเป็นแฟนผมสักที



            ออกจากคาเฟ่ก็สวนกับกลุ่มของจาฟาร์พอดี ต่างฝ่ายต่างจ้องกันคล้ายอยากหาเรื่อง ผมจับมือไอ้ดื้อไว้แน่น เราเดินสวนกันโดยไม่มีใครพูดหรือเอ่ยทักอะไร ลงสะพานมาได้ผมก็โล่งใจ ขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่นึกแค้นแล้วผลักเราตกสระให้ไปเล่นน้ำเป็นเพื่อนควายซะก่อน

            เพราะตื่นช้ากว่าจะออกจากบ้านก็เที่ยงกว่า แผนเที่ยวที่วางกันไว้เลยล่มไม่เป็นท่า บึงฉวากกับตลาดสามชุกร้อยปีถูกตัดออกจากทริป มุ่งหน้าตรงสู่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยเสร็จแล้วตีรถกลับเข้าเมือง ได้แวะร้านเอกชัยซื้อสาลี่กลับไปเป็นของฝากอีกนิดหน่อย

            ส่งไอ้ดื้อแล้วผมก็ตรงกลับบ้าน เจอลิขิตมันนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาก็เดินไปทิ้งตัวข้างๆ พ่อน่าจะยังไม่กลับ ส่วนแม่น่าจะกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว

            "หน้าบานเป็นจานข้าวหมา"

            "เป็นอย่างอื่นได้มั้ยไอ้สัด"

            ลิขิตมันมองผมตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว สาเหตุนั้นไม่ต้องเดา เมื่อควายทั้งฝูงได้เป็นพยาน ผมก็ได้ป่าวประกาศให้ผู้ติดตามทุกคนได้รับรู้หมดแล้ว

            "เร็วจัดเลยนะ"

            "คนมันหล่อก็งี้"

            "โรแมนติกมั้ยวะขอเป็นแฟนที่คาเฟ่ควาย เผื่อกูชวนพุดไปเที่ยวบ้าง"

            "ก็ดีนะมึง บรรยากาศโคตรดี น้องควายน่ารัก"

            "คนมันกำลังอินเลิฟอ่ะนะ อะไรก็ดีไปหมด"

            ผ่านความทรมานมาเป็นปีมันต้องดีอยู่แล้ว ผมคนใหม่กับความรักครั้งเก่า ผลตอบรับที่ออกมาไม่แย่นัก หลายคนพอจะเดาได้เพราะเราแท็กหากันในไอจีบ่อยๆ บ้างยินดีบ้างครหาว่าเราจะคบกันได้นานสักเท่าไร แต่มันก็เป็นแค่ความคิดของคนนอก ความสัมพันธ์จะสั้นหรือยาวผมกับไอ้ดื้อจะกำหนดมันเอง

            "แล้วไง สรุปเรื่องของมึงจบแล้วเหรอตกลงคบกันแบบนี้"

            "กูไม่รู้ว่ะ"

            ผมยังไม่รู้สึกเลยว่ามันจะจบลง แค่ทำในสิ่งที่พอทำได้ก็เท่านั้น หากเรื่องราวครั้งนี้คือการแก้ไข้สิ่งผิด สิ่งที่ผมควรทำให้ถูกต้องคือไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก ผ่านมันไปได้เมื่อไรเรื่องนี้ก็คงจะจบ ผมคิดแบบนั้น แต่เหมือนยิ่งพยายามวิ่งหนีไอ้เรื่องแปลกประหลาดนี้กลับพยายามลากผมเข้าไปหาสิ่งผิดพลาดในอดีตตลอด

            "แต่ก็เป็นแฟนกันแล้วนะ แบบนี้มันดีแล้วไม่ใช่เหรอ"

            "ก็ดี แต่กูว่ามันยังไม่จบง่ายๆ หรอก กูยังผ่านปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้เลย"

            "มันคงใช้เวลาซักเดือนนึงล่ะมั้ง"

            "ทำไมวะ" ผมหันนขวับไปมองมัน ไม่ใช่เพราะผมอยากรู้ แต่เป็นเพราะผมเองก็คิดว่ามันคงจบราวๆ นั้นเหมือนกัน

            "เพราะเรื่องของกูกับพุดก็ใช้เวลาประมาณนั้น นี่กูบอกมึงเยอะมากเลยนะเนี่ย"

            "เออเนอะ บอกโคตรเยอะเลย เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากๆ ต้องขอบคุณมึงจริงๆ ว่ะ"

            "ไม่เป็นไรมึง พี่น้องกัน มีอะไรช่วยๆ กัน"

            เรายิ้มให้กัน ต่างฝ่ายก็ต่างกวนประสาทใส่กัน แต่ผมรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของมันนะ ไม่งั้นคงไม่ถามไถ่กันตลอด

            น่ารักรองจากไอ้ดื้อก็คือพี่ชายผมเอง


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสอง__[02/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-03-2020 22:54:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสอง__[02/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 03-03-2020 01:58:00
เรื่องที่จะทำให้เอิร์ธเป็นเจ้าชายนิทรารึป่าว  :ling2:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสอง__[02/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 03-03-2020 07:49:02
เรื่องความสนิทกับณดาคือเรื่องที่ปู่มาเตือนใช่ไหม หวังว่าจะไม่มีมาม่ามากกว่านี้นะ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสอง__[02/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 03-03-2020 14:57:44
 :katai1: :katai1: :katai1:  ประสาทจะกินแล้วววววว
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสาม__[05/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 05-03-2020 21:33:46

กาลครั้งสิบสาม


                ตั้งแต่เรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตเกิดขึ้นผมก็เป็นเด็กดีทำตัวอยู่ในลู่ในทางตลอด ไม่สังสรรค์ไม่ออกเที่ยว เพื่อนชวนก็ปฏิเสธเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่สำหรับไอ้ดื้อนั้น

                ‘วันนี้ไปกินเหล้านะ วันเกิดเพื่อน บอกเฉยๆ’

                ได้บอกแบบนี้กับผมเป็นรอบที่สองแล้ว

                แม้จะขยับสถานะมาเป็นแฟนผมก็ไม่ห้ามไม่ตีกรอบ อ่านไลน์ที่อีกฝ่ายส่งมาแล้วคิดว่าช่วงเวลานี้ในอดีตมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ช่วงสัปดาห์ที่สามนอกจากเรื่องน่าปวดหัวของจาฟาร์กับเพื่อนแล้วยังมีอีกเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิด เป็นชนวนเหตุของเรื่องราวแย่ๆ และผมมั่นใจว่ามันต้องเข้ามาปั่นป่วนชีวิตผมเหมือนเดิม

                ‘ร้านไหน’

                ‘ร้านเดิมครับ’

                ‘ไปยังไง’

                ‘แท็กซี่แหละ ใกล้ๆ’

                ‘กี่โมง’

                ‘ไปสองทุ่ม กลับยังไม่รู้’

                ‘ระวังตัวนะ’

                ‘รู้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ไปกับเพื่อน’

                จะไปกับใครผมก็ห่วง ในตอนนั้นช่วงนี้เป็นเวลาแห่งความอ่อนไหวเมื่อหลายๆ ปัญหาเข้ามารุมเร้า อาการหึงหวงของผมเริ่มแสดงชัดทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมกลายเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย ใช้อารมณ์จัดการกับปัญหา พูดจาไม่คิดจนส่งผลแย่ๆ ตามมา แล้วระเบิดทุกอย่างใส่คนที่ไม่มีความผิดใดๆ

                ‘ถึงร้านแล้วบอกพี่ด้วยนะ’

                ‘ครับ จะรายงานทั้งไปทั้งกลับเลย’

                ‘อย่าเมามากนะ ถ้าไม่ไหวก็บอก’

                ‘โอเค’

                ผมยิ้มให้กับคำธรรมดาๆ ที่แสนน่ารัก ตอนพิมพ์อีกฝ่ายต้องทำหน้าดื้อใส่มือถืออยู่แน่ๆ

                เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่ออีกนิดหน่อยก่อนแยกย้าย ออกจากไลน์ไอ้ดื้อก็กดเข้าไลน์กลุ่มเพื่อน แค่พิมพ์ไปว่า ‘วันนี้ไปร้านเดิมกันมั้ยพวกมึง’ ก็ได้การตอบรับเป็นอย่างดี ตกลงกันเรียบร้อยที่ร้านประจำตอนสองทุ่ม เสร็จแล้วก็กลับเข้าไลน์ไอ้ดื้ออีกรอบเพื่อบอกข่าว

                 ‘เพื่อนพี่มันเพิ่งนัดเหมือนกัน ยังไงเดี๋ยวพี่ไปรับแล้วไปพร้อมกันเลยนะ’

               

                ถึงจะบอกว่าเพื่อนนัดแต่มีหรือที่ไอ้ดื้อจะไม่รู้ทัน ไลน์ตอบรับโดยไม่ว่าอะไร แต่ตอนไปรับยิ้มกรุ้มกริ่มมาตั้งแต่หน้าบ้าน ขึ้นรถได้ก็แซวผมทันที

                "ขี้หวง"

                "ก็มีให้หวง"

                "ถ้าเพื่อนรู้ว่าพี่กาลไปเฝ้ามันแซวแน่ๆ" ได้ข่าวว่าตอนเพื่อนรู้ว่าคบกันก็โดนแซวหนักอยู่เหมือนกัน

                "ก็บอกไปว่าพี่มากับเพื่อน บังเอิญเจอ"

                "มันคงเชื่อกันหรอก"

                "ไม่เชื่อก็ปล่อยเขา พี่ไปได้กินนานแล้วด้วยไง จังหวะมันได้พอดี"

                "เออเนอะ ตั้งแต่ปิดเทอมยังไม่เห็นพี่กาลไปเที่ยวไหนเลย แต่ก่อนออกทุกวัน"

                ไม่ใช่ทุกวันแต่ก็ไม่แก้ตัว ให้มันรู้ไปเลยว่าผมปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นขนาดไหน เรียนหนักก็ต้องพัก กลัวคนเป็นห่วงนักก็ต้องเลิกพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง

                สองทุ่มกว่าเราก็มาถึงร้าน ย้ำเด็กดื้ออีกครั้งว่าให้ระวังตัวอีกฝ่ายก็รับปากแข็งขัน เดินเข้าร้านพร้อมกันแต่แยกไปนั่งคนละมุม ยังดีที่โต๊ะพวกผมไม่ไกลจากโต๊ะกลุ่มน้องมาก พอให้สังเกตสถานการณ์ได้ มีอะไรฉุกเฉินจะได้รีบพุ่งเข้าชาร์ต

                "ที่แท้แม่งก็มาเฝ้าแฟนว่ะ"

                แม้ไม่รู้จุดประสงค์ที่ผมชวนในทีแรกแต่เมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามากับใครเพื่อนๆ ก็รู้ความตั้งใจของผมทันที แน่นอนว่าต้องโดนแซว

                "สิ้นลายแล้วน้องเหนือกู"

                "ยังไม่ได้เค้นเลยว่าคนนี้ไปเจอที่ไหน ทำไมพวกกูไม่เคยเจอ เห็นแท็กกันในไอจีนึกว่าจะเล่นๆ สรุปคบเฉย"

                "กูไปส่องมาละ ศิลป์กรรมปีหนึ่ง เอกออกแบบ"

                ผมได้แต่ส่ายหน้ากับคำแซวของพวกมัน ยกแก้วขึ้นจิบขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่โต๊ะไอ้ดื้อ

                สถานการณ์ยังปกติ

                "จะไม่เล่าให้พวกกูฟังจริงดิว่าไปเจอได้ไง"

                "เจอกันที่ร้านข้าวแถวหอกู"

                "ปกติหิ้วจากร้านเหล้า เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปหิ้วจากร้านข้าวนะครับ"

                "หิ้วก็เหี้ยละ"

                พวกมันหัวเราะชอบใจ ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่เพื่อนแซวนัก เป็นคนยอมรับความจริงเสมอ เพราะถ้าเรื่องไหนไม่มีมูลคงไม่มีใครเอามาพูด

                "แล้วยังไงต่อวะ ไปถูกใจกันได้ไง ขอแบบละเอียดๆ"

                ผมยังคงโดนซักอย่างต่อเนื่อง ก็เล่าไปตามที่พอจะพูดได้ ในอดีตกลุ่มเพื่อนผมไม่มีใครรู้เรื่องไอ้ดื้อเพราะผมไม่เคยพูด และน้องเองก็ไม่เคยป่าวประกาศว่ามีความสัมพันธ์กับผมยังไง รวมถึงเรื่องราวที่กลายเป็นฝันร้ายของผมพวกมันก็ไม่รู้ว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้อง

                "กูขอไปชนแก้วซักครั้งได้มั้ยวะ ทำไมน้องเหนือของพวกกูชอบได้เพราะแค่เห็นบ่อยๆ เนี่ย" พวกมันไม่ยอมเลิกใส่ใจเรื่องไอ้ดื้อง่ายๆ ทำท่าจะลุกไปหาจริงๆ จนผมต้องรีบดึงมันกลับมา

                "อย่าเยอะไอ้สัด"

                "แต่แฟนมึงหน้าเหมือนแฟนพี่เหนือเลยนะ" ห้ามคนหนึ่งได้อีกคนก็เปิดประเด็นต่อ

                "เออใช่ กูว่าจะทักเหมือนกัน เหมือนแฝดกันมากกว่าพวกมึงอีก ต่างแค่สีผม"

                "เหมือนแฟนไอ้พี่เหนือจะรุ่นเดียวกันปะวะ แต่เรียนคนละมอ"

                ผมปล่อยให้พวกมันถกกันเรื่องแฟนของเราสองพี่น้องต่อไป คอยตอบเมื่อถูกถาม หันมองโต๊ะไอ้ดื้อเป็นระยะเพื่อสังเกตการณ์ มีบ้างที่บังเอิญสบตากันพอดีเด็กดื้อก็ฉีกยิ้มให้

                สถานการณ์ยังปกติ

               

                ยิ่งดึกยิ่งครึกครื้น แอลกอฮอล์ในร่างายเพิ่มสูงขึ้นความกล้าหาญก็เพิ่มขึ้นตาม ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ผมเห็นทุกเหมือนจะปกติแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะรู้ถึงได้เลือกที่จะตามมาเฝ้า เมื่อได้เวลาสัตว์กินเนื้อก็เริ่มออกล่า ตัวผมในอดีตเองก็เคยเป็นแบบนั้นถึงได้รู้ดี

                "มึงๆ โต๊ะนู้นมองตั้งนานละ" โดนเพื่อนสะกิดบอกแต่ผมรู้ตัวตั้งนานแล้ว

                "กูมีแฟนแล้วเผื่อมึงลืม"

                "ไม่ลืมจ้า ลองทักเผื่อน้องเหนือสนใจเฉยๆ"

                "ไอ้ส้นตีน"

                โดนด่าไปมันก็หัวเราะชอบใจ แล้วไม่วุ่นวายกับผมเรื่องนี้อีก

                ผมยังคอยมองไปทางโต๊ะไอ้ดื้อเป็นระยะ และแล้วผู้ล่าคนนั้นก็ผ่านเข้ามาในสายตา ผมจำเขาได้ดี บุคคลที่ช่วยกระตุ้นความหึงหวงของผม ครั้งนี้เขาก็ยังคงทำหน้าที่นั้น แต่ผมรู้ทันหมดแล้ว

                เหตุการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับในอดีต และผมไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะโผล่มาจริงๆ เพียงเดาจากระยะเวลาและความน่าจะเป็นเท่านั้น

                ผู้ชายคนนั้นชื่อแฮม เรียนคณะวิทยาศาสตร์ อยู่ปีเดียวกับผม ครั้งอดีตมันรู้จักเพื่อนในกลุ่มไอ้ดื้ด แต่แปลกที่แม้ในตอนนี้เพื่อนไอ้ดื้อไม่ใช่กลุ่มเดิมมันก็ยังเข้ามาวอแวคนของผมได้อยู่

                ด้วยเจตนารมณ์อันชัดเจนว่าต้องการอะไรไม่ต่างจากครั้งก่อนมองแค่ปราดเดียวผมก็รู้ หากเป็นในอดีตผมจะไม่ติดใจกับการกระทำของไอ้แฮมเลย แต่เมื่อตอนนี้ไอ้ดื้อมีแฟนแล้วมันกลับยังคิดที่จะทำแบบนี้อยู่ จะอ้างว่าไม่รู้ว่าผมกับเอิร์ธคบกันแล้วก็ไม่น่าใช่ นอกเสียจากว่าเรื่องราวแปลกประหลาดจะสร้างความทรงจำใหม่ให้มัน

                เด็กดื้อที่โดนจู่โจมหันมาส่งสายตาให้ผมตลอด คล้ายกับต้องการเช็กว่าผมยังโอเคมั้ย คิดมากอะไรหรือเปล่า ไอ้ดื้อยังคงทำตัวเป็นเด็กดีไม่เล่นกับอีกฝ่ายจึงทำให้ผมเบาใจ ทำเพียงนั่งสังเกตการณ์ต่อไปอย่างสงบ พร้อมกับทีมงานที่ช่วยสอดส่องอีกแรง

                "ไอ้นั่นมันเข้าไปคุยกับแฟนมึงไม่ใช่เหรอวะ"

                "เออ เห็นแล้ว"

                "แล้วจะปล่อยไว้งี้เหรอ"

                "ก็แค่คุย น้องมันไม่ยุ่งหรอก กูไม่อยากเข้าไปเดี๋ยวมีประเด็น"

                พวกมันรู้ดีว่าตอนผมโกรธเป็นยังไง ยิ่งกับไอ้คนนั้นที่พอจะรู้นิสัยอยู่บ้าง ถ้าพุ่งเข้าไปหาตรงๆ ไม่มีใครยอมถอยง่ายๆ แน่

                ปล่อยให้ถูกวอแวได้ไม่เท่าไรไอ้ดื้อก็เดินออกมาจากโต๊ะ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง พอเพื่อนๆ พยักหน้ารับถึงได้ผละออกมา ทุกคนต่างมองตาม มันคนนั้นก็ด้วย

                ริมฝีปากผมยกยิ้มทันทีเมื่อมั่นใจในเส้นทางที่อีกฝ่ายกำลังเดินมา นั่งรอยกแก้วขึ้นจิบเงียบๆ เพียงชั่วอึดใจเด็กดื้อก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า กลุ่มเพื่อนผมหยุดการเคลื่อนไหว ทิ้งสายตาไว้ยังคนที่เพิ่งมาถึงอย่างพร้อมเพรียง

                "ว่าไงครับ" ผมวางแก้วลงเปลี่ยนไปคว้ามือไอ้ดื้อมาจับแทน

                "อยากมาหาเฉยๆ นั่งด้วยได้มั้ยครับ"

                พวกมันรีบขยับที่ทางก่อนผายมือเชิญให้ไอ้ดื้อนั่งลงข้างผม น้องยิ้มขอบคุณไอ้พวกขี้หลีก็รีบยิ้มกว้างกลับไปให้ทันที

                ผมมองกลับไปที่โต๊ะไอ้ดื้อ กับเพื่อนๆ น้องเราค้อมหน้าพยักหน้าทักทายกันพอเป็นพิธีเมื่อบังเอิญสบตากันเข้าพอดี ส่วนมันคนนั้นดูเหมือนจะกลับโต๊ะตัวเองไปแล้ว

                "กินอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวพี่ชงให้" เพื่อนผมถามพลางมองหาแก้ว น้ำเสียงที่ใช้ถามเบิกบานจนน่าหมั่นไส้

                "ไม่เป็นไรครับ"

                "กินแก้วพี่ก็ได้" ผมเลื่อนแก้วไปให้ ไอ้ดื้อแค่ยิ้ม ไม่แตะต้องอะไรสักอย่าง

                ปกติถ้ามีใครมาหาผมที่โต๊ะพวกมันจะทำตัววุ่นวายพูดกันไม่หยุดปาก แต่พอเป็นไอ้ดื้อกลับไม่มีใครแซวอะไรสักคน อาจจะเป็นเพราะระดับความจริงจังที่ผมแสดงออกต่อคนคุยแต่ละคนแตกต่างกันก็ได้ อีกอย่างไอ้ดื้อเป็นแฟนไม่ใช่คนคุย

                "พี่กาล" เห็นว่าเพื่อนผมเลิกสนใจไอ้ดื้อก็เรียก

                "ครับ"

                "เมื่อกี้เห็นใช่มั้ย" ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ทั้งที่เสียงเพลงก็ไม่ได้ดังขนาดนั้น

                "ที่มีคนมาคุยน่ะเหรอ"

                "อืม เห็นจ้องซะ"

                "ก็หวง"

                "แล้วไม่ไปหาอ่ะ"

                "ไม่อยากทำตัวมีปัญหาไง"

                "แต่สายตาอาฆาตมาก"

                "ขนาดนั้นเลย" นึกภาพตามแล้วผมก็ขำตัวเอง แค่มองเฉยๆ สายตาผมมันดูปองร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ

                "เลยเดินมาหานี่ไง เลี่ยงพี่แฮมด้วย ตอนแรกจะไปเข้าห้องน้ำแต่กลัวพี่กาลไม่ตามไป แล้วพี่แฮมตามไปแทน"

                "มันวอแวขนาดนั้นเลยเหรอ"

                "คนเมาอ่ะ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง"

                "ชื่อแฮมเหรอ มันเป็นใคร" แกล้งถามออกไป

                "ใช่ เรียนมอเดียวกันนี่แหละ อยู่คณะวิทย์ ปีเดียวกับพี่กาล เพื่อนในกลุ่มรู้จักก็เลยพอรู้จักด้วย"

                "คุยอะไรกันไปบ้าง"

                "ชวนชนแก้ว ชวนคุย จะจีบอ่ะดูออก พี่มันก็รู้นะว่าผมมีแฟนแต่ดูไม่สนใจไม่รู้เพราะเมาหรือเปล่าเลยเดินหนีออกมา" ขยับปากมุบมิบฟ้อง หน้าดื้อจนอยากจูบโชว์เพื่อนสักที

                ยีผมสีม่วงอมชมพูที่แข็งเหมือนไม้กวาดจนยุ่งแล้วกดจูบที่ขยับไปหนึ่งที คนที่ไม่ชอบให้แสดงความรักในที่สาธารณะถลึงตาใส่รีบขยับตัวออกห่าง แต่เพื่อนผมมันไม่สนใจหรอก กับคนอื่นมากกว่านี้ก็เคยทำต่อหน้าพวกมันมากแล้ว

                "ขอบคุณนะครับ"

                "ขอบคุณอะไร" คนฟังทำหน้างง

                "ขอบคุณที่น่ารัก"

                ไอ้ดื้อยู่หน้าใส่ ไอ้คนที่นั่งใกล้ผมได้ยินมันก็ทำท่าเหมือนจะอ้วก มันทำไมนัก คนอย่างผมจะพูดจาหวานๆ กับแฟนไม่ได้เลยหรือไง

                "ไปห้องน้ำมั้ย เมื่อกี้เห็นบอกว่าจะไป"

                "แค่จะหนีเฉยๆ"

                "งั้นไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย" ลุกจากโต๊ะแล้วคว้ามือให้เดินมาด้วยกันโดยไม่รอคำอนุญาต เพื่อนผมมันรีบโบกมือให้ เพราะไปห้องน้ำไม่จำเป็นต้องไปปลดทุกข์อย่างเดียว

                ผมพาไอ้ดื้อเข้าห้องด้านในที่ยังว่าง ปิดประตูแล้วก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบ คนที่รู้ชะตากรรมตัวเองอยู่แล้วไม่ต่อต้าน ซ้ำยังให้ความร่วมมืออย่างดี จูบๆ พักๆ อยู่หลายรอบ

                "กลับห้องเลยได้มั้ย" รั้งตัวเข้ามากอด กระซิบถามตอนคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม พอเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกายไปได้ประมาณหนึ่งแล้วโดนกระตุ้นต่อร่ายกายก็ยิ่งตื่นตัว

                "มันทนไม่ไหวขนาดนั้นเลยเหรอ"

                "ครับ ทนไม่ไหวกลัวจะไม่ถึงห้อง"

                "พี่กาลลล" ไอ้ดื้อลากเสียงยาวเหมือนจะรับไม่ได้แต่กลับหัวเราะ

                "นะครับ"

                "ขอกลับไปบอกเพื่อนก่อนได้มั้ย"

                "เดินไปเดินมาทำไม ในเมื่อเรามีไลน์"

                คนในอ้อมกอดยอมแพ้ กดจูบที่ริมฝีปากแรงๆ อีกหนึ่งทีผมถึงปล่อยตัวแต่ยังจับมือไว้ไม่ให้ห่างไปไหน กลับมาถึงรถแล้วถึงได้ส่งไลน์บอกเพื่อนๆ ว่าขอตัวกลับก่อน



                ตลอดทางที่ขับรถกลับห้องไอ้ดื้อหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังไม่หยุด หรืออาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อ่อนๆ เจ้าตัวเลยเล่นมุกเองตบเองแล้วหัวเราะเสียงดังอยู่คนเดียว เวลาที่ริมฝีปากแสนดื้อขยับไปมาช่างน่ามันเขี้ยว อดไม่ไหวเลยต้องดึงมาจุ๊บทุกครั้งที่ติดไฟแดง

                เพราะไอ้ดื้อบ่นหิวเราเลยแวะเซเว่นข้างหอกันก่อนขึ้นห้อง ภาพในหัวผมที่คิดว่าปิดประตูห้องเราปุ๊บจะพุ่งเข้าหากันด้วยความร้อนแรงเป็นอันต้องสลาย กลายเป็นนั่งจิบเบียร์กระป๋องมองอีกคนซดมาม่าคัพรสหมูสับด้วยความหิวโหยแทน

                "ไปอาบน้ำก่อนไป" เห็นไอ้ดื้อวางถ้วยมาม่าที่กินจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำลงบนโต๊ะผมก็ออกคำสั่ง แต่เด็กดื้อก็ขยันเถียง

                "เขาบอกห้ามอาบน้ำหลังกินเสร็จ ต้องรอครึ่งชั่วโมง"

                "แค่มาม่าถ้วยเดียว ไปอาบเลยอย่าลีลา"

                "ไม่อาบก็ได้นะ ขี้เกียจแล้วอ่ะ"

                "ให้เวลากินตั้งหลายนาทีอาบน้ำให้หอมๆ หน่อย"

                "แล้วตอนนี้ไม่หอมเหรอ" ทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียง มันน่าจับกดโซฟาตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

                "หรือจะอาบด้วยกัน"

                "ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบที่แคบ"

                "งั้นก็รีบลุกเลยถ้าไม่อยากโดนจับอาบน้ำ"

                คำขู่ได้ผลเมื่อเด็กดื้อยอมทำยอมที่บอก แต่ก็ไม่วายทำหน้างอแงใส่ก่อนเดินเข้าห้องนอนผมไปหยิบผ้าขนหนู ตอนเดินออกมาจากห้องก็ถอดเสื้อโชว์แถมยังทำหน้าทะเล้นใส่อีก พอทำท่าจะลุกไปหาก็รีบหนีเข้าห้องน้ำไป ตอนมีแอลกอฮอล์ในร่างกายแล้วกล้าหาญชาญชัยจริงๆ เด็กคนนี้

                กินเบียร์จนหมดกระป๋องผมก็เก็บของเตรียมเสื้อผ้าที่ไม่น่าจะได้ใส่ให้ไอ้ดื้อระหว่างรอ ออกมาจากห้องอีกทีก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังถี่ๆ จากมือถือของน้องที่วางอยู่บนโต๊ะเลยเดินเข้าไปดู

                ‘เอิร์ธกลับแล้วเหรอครับ ทำไมกลับไวจัง คืนนี้ฝันดีนะครับ’

                ผมอ่านข้อความที่แสดงอยู่ในใจก่อนหน้าจอจะดับ คนมันอยากได้ก็จะเอาให้ได้ แม้จะรู้ว่ามีแฟนแล้วก็ยังไม่สนใจ เพื่อนน้องก็อีกคน ทำตัวเหมือนไม่รู้ว่าไอ้แฮมมันเข้าหาด้วยจุดประสงค์อะไร

                ใจอยากจะบล็อกมันซะให้สิ้นเรื่องแต่ผมไม่มีรหัสเข้าเครื่องน้อง ยังเว้นระยะห่างให้ความเป็นส่วนตัวและไม่เคยคิดจะก้าวก่าย เพราะตัวไอ้ดื้อเองก็ไม่เคยทำให้ผมคิดระแวงใจ มีแต่ตัวผมและคนอื่นทั้งนั้นที่ขยันสร้างเรื่อง ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน

                และเชื่อเถอะว่าไม่ว่าผมจะพยายามผลักทุกคนที่พยายามเข้าหาไอ้ดื้อออกยังไง เรื่องราวสุดแปลกประหลาดที่ผมกำลังเผชิญก็จะดึงสิ่งเหล่านั้นกลับเข้ามาอยู่ดี

                กลับเข้าห้องนอน ถอดเสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวก่อนเดินไปยืนหน้าห้องน้ำ ยกมือเคาะไปสองครั้งเสียงน้ำก็หยุด พร้อมกับคนข้างในที่ตะโกนกลับมา

                "แป๊บนึงยังไม่เสร็จ"

                "เปิดประตู"

                "ยังไม่เสร็จไงพี่กาล"

                "เดี๋ยวช่วยให้เสร็จเอง"

                "หมายถึงยังอาบไม่เสร็จโว้ย"

                "นั่นแหละ เดี๋ยวช่วยอาบ"

                "ไม่ต้อง"

                "อย่าให้พี่ต้องไขกุญแจเข้าไปนะ"

                "ทำไมนิสัยไม่ดีแบบนี้"

                "เร็วครับ"

                เปิดตูห้องน้ำแง้มออกเล็กน้อยก่อนไอ้ดื้อจะโผล่แค่ช่วงหัวกับไหล่ออกมาให้เห็น ทำหน้าบึ้งคิ้วขมวดแน่น ที่หูยังมีฟองติดอยู่

                "เป็นบ้าอะไรเอ่ยพี่กาล"

                "พี่อาบด้วย"

                "ไม่เอา"

                "อายอะไรเล่า อดทนมานานแล้วเนี่ยจะได้ไม่เสียเวลา"

                ผมดันประตูเข้าไปโดยไม่ฟังคำคัดค้านอะไรอีก ตอนแรกก็คิดว่าจะรอ แต่พอเห็นไอ้แฮมนั่นไลน์มาหาความอดทนก็หมดลง อยากตีตราจองอีกครั้ง อยากทำทุกอย่างให้มันรับรู้ว่าไอ้ดื้อคือคนของใคร ส่งคลิปค่ำคืนสุดพิเศษที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ไปให้มันดูได้มั้ยจะได้ตัดใจเลิกวุ่นวายสักที

                มือหนึ่งถอดผ้าขนหนูพาดราว อีกมือรั้งเอวเล็กๆ ที่มีพุงน้อยๆ ให้เข้ามาหา คนที่ตอนแรกไม่อยากให้เข้ามาก็ยกแขนคล้องคอรั้งผมเข้าไปจูบ

                บางที...คนที่ร้ายกาจที่สุดในเรื่องอาจจะเป็นเด็กดื้อคนนี้ก็ได้


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสาม__[05/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 05-03-2020 23:18:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสาม__[05/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-03-2020 03:09:06
เอาล่ะจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสาม__[05/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 08-03-2020 12:07:22
 :katai1: ยังไงอีกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสี่__[08/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 08-03-2020 19:22:56

กาลครั้งสิบสี่


                ทุกครั้งที่มาเจอกันผมมักจะเป็นฝ่ายนัดหรือออกปากชวน แต่หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันหนึ่งวันไอ้ดื้อก็นัดให้ออกมาเจอกันที่คาเฟ่ใกล้หอ ผมมาถึงก่อนเวลานัดไม่กี่นาที เลือกโต๊ะได้ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้าน ทั้งพนักงานและลูกค้ามองตามเมื่อเห็นผู้ชายผมสีม่วงอมชมพูเดินเข้ามา เป็นคนที่เด่นสะดุดตาที่ไม่ใช่แค่สีผม แต่รวมถึงรอยยิ้มที่มอบให้ผมด้วยที่ทำให้ทำใครต่อใครไม่อาจละสายตาไปได้

                ไอ้ดื้อนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มกว้างให้อีกที วันนี้ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

                "เดินเข้ามาคนมองทั้งร้าน" ผมบอก อีกฝ่ายเองก็น่าจะรู้ตัว

                "สงสัยสีผมเด่นเกินไป"

                "น่ารักเกินไปด้วย"

                "ขยันจีบจังเลยพี่กาล"

                "แม้จะคบกันแล้วเราแต่ก็ต้องขยับจีบไม่รู้เหรอ"

                "เบื่อคนเจ้าชู้จริงๆ" พูดจบก็ลุกเดินหนีไปสั่งของที่เคาน์เตอร์

                ผมส่ายหน้าใส่ยิ้มๆ จะเรียกให้มาฟังคำอธิบายก่อนก็ไม่ทัน รู้ว่าไอ้ดื้อแค่พูดเล่น ไม่งั้นคงไม่ยิ้มก่อนลุกออกไป

                สีหน้าเด็กดื้อยังคงสดใสเมื่อกลับมาที่โต๊ะ รอครู่เดียวชาเขียวปั่นกับเค้กเรดเวลเวดก็มาเสิร์ฟ ไอ้ดื้อหยิบส้อมแล้วตักเค้กใส่ปากทันที

                วันนี้เราไม่มีโปรแกรมอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพียงวันธรรมดาที่อยากใช้เวลาด้วยกัน จะว่าไปในอดีตผมกับไอ้ดื้อไม่เคยมาสถานที่แบบนี้เลย ทุกครั้งที่เจอกันหากไม่ใช้ห้องผมก็เป็นร้านเหล้า

                "พี่กาล" เรียกตอนตักเค้กคำแรกเข้าปาก พูดไปเคี้ยวไปจนต้องดุ

                "กลืนก่อนแล้วค่อยพูด"

                "ไม่ตัดหน่อยเหรอ ยาวจนจะมัดได้แล้ว"

                ไม่คุยเรื่องสีผมก็เป็นเรื่องทรงผม พอโดนทักเลยต้องเหลือบตามองปลายผมหน้าม้าที่ยาวเลยหางตามานิดหน่อย ด้านหลังก็ยาวพอจะรวบเป็นจุกเล็กๆ ได้

                "แบบนี้ไม่ดีเหรอ"

                "เปล่า"

                "กะว่าจะตัดก่อนเปิดเทอม"

                "ดีแล้ว"

                "ทำไมอ่ะ อยากให้พี่ตัดผมเหรอ"

                "พอผมยาวแล้วเท่เกินไป ยิ่งเวลาเสยผมนะ..." บอกด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเว้นท้ายประโยคไว้ให้ผมเติมคำเอาเอง

                "หล่อสุดๆ ไปเลยใช่มั้ย"

                "นั่นแหละ" ยังคงบอกด้วยสีหน้าแบบเดิม มันก็ขี้หวงเอาเรื่องเหมือนกันนะไอ้เด็กคนนี้

                "เออใช่ ไอ้คนนั้นยังทักมาหาเราอยู่มั้ย" เหลือบไปเห็นมือถือที่วางอยู่ข้างจานเค้กก็นึกขึ้นได้ ผมบอกไอ้ดื้อไปตั้งแต่คืนนั้นแล้วว่าเห็นแชต น้องก็บล็อกให้เพื่อความสบายใจ แต่นอกจากไลน์แล้วยังมีอีกหลายช่องทางให้ตามได้เลยลองถามดู

                "พี่แฮมเหรอ"

                "อืม มันนั่นแหละ"

                "ทักเฟซมาเมื่อวาน แต่ผมยังไม่ได้ตอบ"

                "บล็อกไปเลย"

                "จริงๆ เป็นเพื่อนกันมาก่อนหน้านี้ด้วยแต่ผมไม่รู้ จะให้บล็อกเลยเหรอ มันจะไม่แบบ..."

                ผมเข้าใจในสิ่งที่ไอ้ดื้ออยากสื่อ คนเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนอยู่ๆ ก็บล็อกทั้งที่อีกฝ่ายแค่อยากเข้ามาทำความรู้จักมันก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย แต่ถ้ามันจะเข้ามาโดยไม่หวังผลอะไรผมก็จะยอมอยู่หรอก

                "หรืออยากคุย"

                "ไม่ใช่ พี่กาลอย่างเพิ่งโกรธดิ" คนกลัวผมโหมดนิ่งดูหงอทันมาขึ้นมา

                "ไม่ได้โกรธ แค่ถาม"

                "ไม่ได้อยากคุยครับ"

                "งั้นก็บล็อก"

                "แต่ผมไม่คิดจะคุยอยู่แล้วไง"

                "งั้นยิ่งต้องบล็อก"

                ทำหน้างอแงใส่แต่ก็ยอมเปิดแชตที่ไอ้แฮมนั่นส่งมาให้แล้วกดบล็อกให้ดู

                "ไอจีฟอลกันมั้ย

                "ฟอลครับ"

                "บล็อกให้หมดเลย"

                "หวงอะไรขนาดนี้" พึมพำเบาๆ แต่ผมดันได้ยิน

                "ไม่ต้องบ่นเลย"

                ไอ้ดื้อเงยขึ้นมายู่หน้าใส่ กดบล็อกทุกช่องทางแล้วโชว์ให้ดู แค่นี้ผมก็สบายใจ อย่างน้อยก็ตัดช่องทางติดต่อไปได้ แต่ถ้ามันจะมีความมุมานะมาหาถึงที่ก็ลองดู

                หมดปัญหากวนใจเราก็กลับมามีความสุขกับของกิน ผมนั่งมองไอ้ดื้อกินเค้ก กินไปก็พูดไป ขยันหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่า เห็นภาพตรงหน้าแล้วก็นึกถึงอดีต ผมที่นั่งฟัง กับเด็กดื้อที่พูดไม่หยุด แล้วก็ทำให้ผมย้อนกลับไปคิดอีกว่าทำไมตอนนั้นผมถึงฟังอย่างสงบ ทั้งที่ไม่ใช่คนที่ชอบให้คนอื่นมาพูดเรื่องของตัวเองให้ฟังอยู่ฝ่ายเดียวแท้ๆ มันเป็นเรื่องที่ตอนนี้ผมเพิ่งจะเริ่มเข้าใจ

                บางทีผมอาจจะไม่ได้เริ่มชอบคนตรงหน้าเพราะถูกกระตุ้นให้หวง แต่ชอบเพราะเสียงเจื้อยแจ้วที่ได้ฟังเกือบทุกวันมากกว่า

                หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราก็ชวนกันกลับ เดินออกจากร้านได้ไม่กี่ก้าวอารมณ์ดีๆ ของผมก็ดิ่งลงวูบเมื่อเห็นคนที่ไม่อยากเห็นหน้าเดินตรงมา มันยิ้มกว้างสบตาทักทายคนที่ยืนอยู่ข้างผม แต่ผมไม่ได้หันไปมองว่าไอ้ดื้อกำลังทำหน้ายังไง

                "อ้าว จะกลับแล้วเหรอ" ไอ้แฮมเดินเข้ามาทักเอิร์ธเหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ เด็กดื้อหันมาสบตาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เพราะสีหน้าผมเองแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์แค่ไหน

                "ครับ"

                "ทำไมรีบกลับจัง"

                "ก็กินเสร็จแล้วอ่ะครับ" ตอบพลางเหลือบมามองผม ดูจากสีหน้าก็พอเดาได้ กลัวโดนผมดุ แต่ก็ไม่อยากพูดจาทำร้ายจิตใจอีกคน

                "พี่เห็นเอิร์ธลงสตอรี่ เค้กน่ากินดี"

                "อ๋อ ครับ พี่มาคนเดียวเหรอ" สถานการณ์ดูอึดอัดแต่ไอ้ดื้อก็ยังอุตส่าห์ชวนอีกฝ่ายคุย

                "ใช่ พี่ว่าจะมาหาเอิร์ธนี่แหละ"

                "อ่า...ครับ เออใช่ นี่พี่กาลแฟนผมเอง ที่บอกไปวันนั้น" รีบผายมือแนะนำหลังจากปล่อยให้ผมยืนเงียบอยู่พักใหญ่

                "รู้จักๆ ว่าแต่นายไม่ได้คบกับพี่ณดาอยู่เหรอ เห็นเขาพูดกัน" คนมันมาเพื่อหาเรื่องคงยากที่จะคุยกันดีๆ แต่ผมยังใจเย็นพอ

                "พี่ณดาเป็นแค่พี่รหัสผมครับ ช่วยทำความเข้าใจใหม่ด้วย"

                "แต่วันนั้นผมยังเห็นนัวกันที่ร้านเหล้าอยู่เลย"

                "วันไหนล่ะครับ กี่โมง เพราะผมจำไม่ได้ว่าเคยทำแบบที่คุณพูด"

                "ผ่านมาแค่ไม่กี่วันจำไม่ได้แล้วเหรอครับ"

                "พี่แฮมพอเถอะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่กาลเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว"

                "แล้วเอิร์ธก็เชื่อเหรอ" ไอ้แฮมหันไปขมวดคิ้วใส่ไอ้ดื้อแทน ขณะที่ผมกำลังเรียบเรียงเรื่องราวว่ามีสิ่งที่ผมยังไม่รู้อยู่หรือเปล่า

                "ใช่ ผมเชื่อ"

                "แต่นิสัยมันเป็นยังไงเอิร์ธก็รู้ เพื่อนๆ เอิร์ธก็บอกไม่ใช่เหรอ"

                "นั่นมันก็เรื่องของผม พี่แฮมเลิกมาวุ่นวายกับผมได้แล้ว ผมรักพี่กาล ถึงพี่พยายามไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ" พูดจบก็เดินหนี ไอ้แฮมทำท่าจะเดินตามไปแต่ผมคว้าไหล่มันเอาไว้

                ผมไม่ได้พูดอะไร เราแค่จ้องหน้ากันอย่างไม่ยอมก่อนมันจะปัดมือผมทิ้งแล้วหันหลังเดินกลับทางเดิม ก่อนขึ้นรถขับออกไป

                จากที่ไม่สบอารมณ์กลายเป็นว้าวุ่นและสับสน เกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ บทสนทนาที่เหมือนต่างฝ่ายต่างรู้เรื่องของกันและกันดีแบบนั้น ทั้งที่ไอ้ดื้อกับไอ้แฮมน่าจะเพิ่งรู้จักและได้คุยกันไม่นาน เรื่องนี้มันเคยเกิดขึ้นครั้งอดีตหรือเป็นบททดสอบใหม่ของผมกันแน่ ยังมีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้อีกบ้าง

                ไอ้ดื้อยืนรอผมอยู่ที่รถ อีกฝ่ายทำหน้าเป็นกังวลใส่ ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ผมไล่ขึ้นรถก่อน เพราะดูเหมือนเราน่าจะมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันหลายเรื่อง

                "ไหนว่าบล็อกแล้ว ทำไมมันยังเห็นสตอรี่แล้วตามมา" เริ่มถามจากเรื่องแรกที่สงสัย

                "เห็นก่อนจะบล็อก"

                "แล้วเรื่องที่ร้านเหล้า มันไม่ได้หมายถึงเมื่อวันก่อนใช่มั้ย" ผมจำได้ว่าเจอไอ้แฮมครั้งเดียวเมื่อวันก่อน ซึ่งเป็นวันที่มันไม่น่าจะเห็นผม และเป็นวันที่พี่ณดาไม่อยู่

                "พี่แฮมหมายถึงก่อนปีใหม่ ที่พี่กาลอยู่กับพี่ณดาหน้าร้าน"

                "วันนั้นมันก็ไปด้วยเหรอ"

                "ครับ พี่เขาเป็นคนเดินออกมาส่งผม"

                "แล้วไหนบอกเพื่อนมาส่ง" ถามเสียงแข็งจนอีกฝ่ายหลบตา

                "เพราะ...ตอบแบบนั้นมันง่ายกว่า" ตอบกลับมาเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

                ผมรู้ไอ้ดื้อกำลังกลัว มันมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยดุ มากกว่าในอดีตที่ผมเคยทำเมินเฉยใส่ ผมกำลังโมโหไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ โมโหที่เหมือนมันกำลังจะดีขึ้นแต่กลับไม่ใช่เลย

                "ผมขอโทษ ไม่ได้คิดจะโกหก"

                "รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร"

                "อย่างที่เคยบอก เรารู้จักกันนานแล้ว พี่แฮมรู้จักกับเพื่อนผม แต่ไม่ได้สนิท"

                "งั้นเปลี่ยนคำถาม เริ่มคุยกันตั้งแต่เมื่อไร"

                "พี่กาล ผมไม่ได้คุยกับพี่เขา"

                "ใครกันแน่ที่ควรระแวง"

                ผมไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย ทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ ปั่นหัว สถานการณ์ถูกชักจูงให้กลับไปเหมือนกับเหตุการณ์ในอดีต หึงหวง ไม่ไว้ใจ จนนำไปสู่เรื่องราวเลวร้ายที่จะตามมา ผมรู้และเข้าใจทุกอย่าง แต่กลับควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติไม่ได้ เพราะรักมากถึงได้รู้สึกมากขนาดนี้

                "พี่กาลฟังนะ"

                ไอ้ดื้อคว้ามือผมไปจับไว้ มองกันด้วยสายตาที่มีความกล้าอยู่น้อยนิดหากแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ

                "ผมรู้จักกับพี่แฮมนานแล้วก็จริง แต่พี่มันเพิ่งแสดงตัวว่าชอบเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมบอกไปแล้วว่าผมชอบพี่ โดนเป่าหูมาก็เยอะเรื่องนิสัยของพี่ บวกกับหลายๆ เรื่องที่เจอมันก็เลยเกิดระแวงบ้าง ที่ไม่เคยบอกเพราะพี่มันไม่เคยแสดงตัว เลยปล่อยผ่าน คิดว่าจะจบแต่ก็ไม่ พอเราคบกันพี่มันก็เริ่มมาวุ่นวายอีก" ขอบตาแดง เสียงพูดขาดหายเป็นบางช่วง ไอ้ดื้อไม่ได้ร้องไห้ น้องมันเข้มแข็งพอ ผิดกับใจผมที่อ่อนยวบตั้งแต่โดนอีกฝ่ายคว้ามือไปจับ

                ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไป ไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง ไม่ได้รู้สึกว่าโดนหักหลังเพราะเข้าใจทุกอย่างดี ไอ้ดื้อเองก็พิสูจน์แล้วว่าน้องมันแคร์ผมแค่ไหน

                "พี่กาลไม่เงียบได้มั้ย สงสัยตรงไหน ไม่เข้าใจอะไรถามผมมา พี่กาลรู้มั้ยว่าการที่คนที่เราชอบก็ชอบเราเหมือนกันมันโคตรเหมือนฝันเลย มันเร็วนะ ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันโคตรเร็ว แต่ผมไม่ยอมให้มันจบลงง่ายๆ หรอก ไม่ยอมปล่อยพี่กาลไปง่ายๆ แน่"

                "ไปบ้านพี่กัน"

                "ครับ?"

                "ไปหาพ่อกับแม่พี่"

                ไอ้ดื้อคงปรับอารมณ์ไม่ทันที่อยู่ๆ ก็ชวนออกไปแบบนั้น ผมกำลังคิดหาวิธีรับมือ ถ้ามันจะบังคับให้เรื่องต้องจบลงแบบเดิมก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้สิ่งที่เป็นตรงข้ามกับอดีต ทำให้อันตรายอยู่ห่างจากไอ้ดื้อที่สุด และทำให้มีคนรู้เรื่องของเราให้มากที่สุด

                "ทำไมอยู่ๆ ถึง..."

                "เพราะพี่ก็จะไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆ เหมือนกัน"

               

                ถอยรถเข้าจอดที่ประจำ ดับเครื่องยนต์ หันมองคนข้างๆ ที่ดูจะเงียบลงตั้งแต่ผมขับรถออกมาจากร้าน

                "ตื่นเต้นเหรอ"

                "ตื่นเต้นดิ ไม่มีของติดไม้ติดมือมาฝากด้วย"

                "ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปกัน" ยิ้มให้กำลังใจก่อนลงจากรถ

                วันอาทิตย์ช่วงปิดเทอมแบบนี้ครอบครัวผมอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมไลน์บอกลิขิตไปแล้วว่าจะพาใครมาด้วย ฝากมันบอกพ่อกับแม่ไว้ตอนเห็นไอ้ดื้อเดินเข้าไปจะได้ไม่ตกใจ ผมว่าพวกท่านคงตื่นเต้นกันน่าดู ทั้งพ่อที่ไอ้เจอเรื่องแปลกประหลาดของผม กับแม่ที่อยากเห็นแฟนของผม

                ลิขิตเป็นคนมาเปิดประตูรั้วให้ ลงจากรถแล้วมันก็เข้ามาตบบ่าทักทาย ผมรู้ว่ามันตั้งใจจะแซวแต่พอได้เห็นไอ้ดื้อชัดๆ ในระยะประชิดพี่ชายผมมันก็อึ้งไปเลย

                "พี่เหนือหวัดดีครับ"

                "สวัสดีครับ"

                ปฏิกิริยาพี่ชายผมโคตรตลก ลิขิตมันยกมือรับไหว้ จ้องไอ้ดื้อตาค้าง เชื่อเลยว่าถ้าไม่ใช่ผมสีม่วงอมชมพูมันต้องคิดว่าพุดตานกลับมาจากบ้านสวนแล้วแน่ๆ

                "พ่อกับแม่อ่ะ" ถามดูเพราะยังไม่เห็นวี่แวว ปกติน่าจะออกมาต้อนรับแล้ว

                "แว้นมอไซค์ไปตลาด แม่บอกว่ากาลพาแฟนมาบ้านทั้งทีต้องต้อนรับดีๆ หน่อย ว่าแต่มึงอ่ะตัดหน้ากู" มันเล่าระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าบ้าน

                "ตัดหน้าอะไร มึงไม่ยอมพาพุดมาเอง" ครั้งที่ลิขิตมันพาพุดตานก็เหมือนแค่แวะมาเฉยๆ ยังไม่ทันได้เจอพ่อเลย

                "ถ้ามาเจอกันบังเทิงแน่ๆ"

                "กูก็ว่างั้น"

                เราสองพี่น้องหันมองไอ้ดื้อพร้อมกัน ทำเอาคนที่ตกเป็นเป้าสายตาทำตัวไม่ถูกแล้วส่งยิ้มแหยๆ มาให้

                "ตามสบายเลยนะเอิร์ธ พ่อแม่พี่ไม่ดุ สงสัยอะไรถามไอ้กาล"

                "ครับ"

                "เออใช่ เอิร์ธจำได้มั้ยที่พี่เคยบอกว่ามีคนที่หน้าเหมือนเรามากๆ อยู่คนหนึ่ง" เป็นการกลับมาพบกันครั้งที่สามถ้าผมจำไม่ผิด ข้ออ้างที่ผมใช้แก้ตัวที่เผลอเรียกอีกฝ่ายว่าน้อง

                "จำได้"

                "คนนั้นชื่อพุดตานเป็นแฟนลิขิตมัน ถ้าครั้งค่อยนัดมาเจอพร้อมกันคงสนุกดี"

                "เหมือนขนาดนั้นเลยเหรอ"

                "ก็ประมาณนี้" ลิขิตมันเปิดรูปพุดตานในมือถือให้ไอ้ดื้อดู เห็นแล้วก็ทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ

                "หรือผมจะมีพี่น้องวะ"

                "ต่างกันแค่สีผมเอง"

                "จริงด้วยพี่"

                กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อไอ้ดื้อขอดูรูปอื่นๆ ของพุดตาน เราปักหลักกันที่โซฟา คุยกันเรื่องความเหมือนของทั้งคู่ หนักเข้าก็เริ่มขิงแฟนตัวเอง คุยไปคุยมาจบด้วยการที่ลิขิตมันวิดีโอคอลไปหาพุดตาน สองคนที่เหมือนพี่น้องที่พลัดพรากจากกันก็ตื่นเต้นยกใหญ่ คุยกันถูกคอจนดูเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมานาน ทั้งพี่ชายผมแล้วก็แฟนมัน

                โหวกเหวกโวยวายกันอยู่ที่โซฟาพักใหญ่จนพุดตานขอตัวไปช่วยงานแม่ถึงได้วางสาย พ่อกับแม่เองก็กลับมาจากตลาดพอดี แล้วก็พากันทำหน้าอึ้งเหมือนไอ้ลิขิตตอนเห็นหน้าไอ้ดื้อครั้งแรก

                "คนที่แม่เจอที่ห้างตอนนั้น" แม่ผมจำได้ ยิ้มกว้างให้ไอ้ดื้อก่อนหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

                "อะไรแม่"

                "ก็ไหนตอนนั้นบอกว่าเป็นรุ่นน้อง"

                "ก็ตอนนั้นเป็นรุ่นน้องแต่ตอนนี้เป็นแฟนแล้วไง"

                "ตามสบายนะลูก รอแม่ทำกับข้าวแป๊บนึงเดี๋ยวมากินข้าวเย็นกัน" ได้คำตอบที่พอใจก็หันไปยิ้มกว้างใส่ไอ้ดื้ออีกรอบ

                "ให้ผมช่วยมั้ยครับ"

                "ไม่เป็นไรลูก อยู่เล่นกับแฝดนั่นแหละ" พูดจบแม่ก็ผมหอบของหนีเข้าครัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

                เห็นแม่อารมณ์ดีขนาดนี้พ่อผมเองก็ไม่ต่างกันเพียงแต่เก็บอาการเก่งกว่า หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีก็เอาแต่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองไอ้ดื้อด้วยความเอ็นดู พ่อผมไม่ใช่คนคุยเก่ง ชวนคุยได้นิดหน่อย ถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้หมดแล้วก็หนีไปช่วยแม่ในครัว ผมเลยชวนไอ้ดื้อขึ้นไปบนห้องทิ้งให้ลิขิตมันนอนดูทีวีอยู่คนเดียว

                ปิดประตูกดล็อกแล้วก็ดึงตัวเด็กดื้อเข้ามากอด เห็นทำตัวร่าเริงแต่ไม่รู้ว่าในใจนั้นหายตกใจกับท่าทางนิ่งเฉยก่อนหน้านี้ของผมหรือยัง

                ไอ้ดื้อกอดตอบ ซุกหน้าลงที่ไหล่ผมได้ไม่นานนักก็ผละออก มองกันตาละห้อยอย่างคนมีความผิดติดตัว แม้ผมจะไม่ได้โกรธน้องมันจริงๆ ก็เถอะ

                "พี่กาล ผมยังไม่ได้บอกอะไรพี่อีกอย่างเลย"

                หัวคิ้วที่คลายไปนานแล้วเริ่มมุ่นเข้าหากันอีกครั้ง ตกใจเรื่องที่เพิ่งรู้ว่าไอ้แฮมนั่นตามจีบไอ้ดื้อมานานแล้วไม่พอ ยังมีเรื่องอะไรให้ตกใจอีก

                "ว่ามา จะได้จัดการทีเดียว"

                "อย่าทำหน้านิ่งดิ รู้ป้ะว่าพี่กาลโคตรน่ากลัว"

                "รู้ครับ"

                "ไม่กล้าพูดเลยเนี่ย"

                "แต่ถ้าไม่พูดจะทำให้กลัวยิ่งกว่านี้อีก"

                ผมไม่ได้ขู่ ที่บอกว่าจะจัดการไม่ได้หมายถึงเด็กดื้อคนนี้ แต่หมายถึงไอ้ปัญหาบ้าบอที่กำลังเกิดขึ้น ถ้ามันจะดึงให้ผมกลับสู่อดีตนัก ก็จะขอข้ามด่านไปจัดการบอสตัวสุดท้ายให้มันจบๆ ไป

                "ว่าไงครับ มีอะไรจะสารภาพ" ออกปากทวงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดสักที

                คนในอ้อมกอดมองผมแล้วทำตาปริบๆ ใส่ มันโคตรจะน่ารัก ยิ่งผมเป็นสีม่วงอมชมพูแบบนี้ยิ่งเหมือนสายไหม อยากจับกินซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่ต้องวางฟอร์มทำนิ่งไว้ก่อน

                เจ้าสายไหมขยับเข้ามาใกล้ แตะปากตัวเองกับปากผมเบาๆ แล้วผละออก ยิ้มง้ออย่างที่น้อยครั้งจะเห็น รวมถึงสายตาที่เหมือนลูกแมวนี้ด้วย

                "ขอโทษนะครับ ผมยังไม่ได้ขอโทษพี่เลยที่ไม่ได้บอกเรื่องพี่แฮม"

                "อืม" พยักหน้ารับพยายามคุมเสียงให้นิ่ง ไม่เคยโกรธน้องเรื่องไอ้แฮม แต่ขอโกรธให้ง้อเรื่องที่ทำให้คิ้วขมวดนึกว่าจะมีเรื่องอะไรมาทำให้ตกใจก็แล้วกัน

                "แค่อืมเองเหรอ"

                "อืม"

                "หายโกรธนะ นะครับ"

                ผมต้องพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถเมื่อไอ้ดื้อพยายามง้อด้วยการทำหน้าตาน่ารักใส่ เดี๋ยวยิ้มตาปิด เดี๋ยวทำแก้มป่อง เดี๋ยวทำปากจู๋ หนักเข้าก็ทำมินิฮาร์ตส่งให้กันรัวๆ ไม่พอมุดตัวออกจากอ้อมกอดผมไปทำท่าซารางเฮโยให้อีก ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เพิ่งจะเคยเห็นน้องมันดีดขนาดนี้

                "ไอ้ดื้อเอ้ย!"

                ความอดทนของผมหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ก้าวเข้าไปประชิดก่อนช้อนตัวเด็กดื้อโยนขึ้นเตียงแล้วกระโดดตามไปทับทันที มันเขี้ยวมาพักใหญ่แล้วขอฟัดให้หายคันเขี้ยวสักครั้งครึ่งชั่วโมง มื้อนี้กินของหวานก่อนของคาวแม่คงไม่ว่ากัน



                ลิขิตเป็นคนขึ้นมาเรียกหลังจกแม่ทำมื้อเย็นเสร็จ เราไม่ได้ทำอะไรเกินเลยแค่กอดรัดฟัดเหวี่ยง ฟัดแก้มนุ่มกับจูบปากดื้อๆ จนช้ำแค่นั้น หลังจากจัดผมเผ้ากับเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วถึงได้ตามลงไปข้างล่าง

                บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยร้อยยิ้มและเสียงพูดคุย ในครอบครัวผมนั้นแบ่งนิสัยคนออกเป็นสองแบบ ผมกับแม่จะช่างพูด ส่วนลิขิตกับพ่อจะค่อนข้างเงียบกว่า บวกไอ้ดื้อที่คุยเก่งเข้าไปอีกคนเลยยิ่งครึกครื้น แม่ผมก็เม้าท์ลูกชายเก่งจนต้องคอยเบรก เดี๋ยวภาพพจน์ดีๆ ที่มีอยู่น้อยอยู่แล้วจะลดลงไปอีก

                เราล่ำลากันหลังจบมื้ออาหาร พ่อกับแม่ยิ้มกว้างตอนโบกมือลา ผมขับรถไปส่งไอ้ดื้อที่บ้านก่อนจะดึกดื่นค่ำมืด เป็นอีกหนึ่งวันที่มีเรื่องแย่ๆ เข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นวันที่ดี กับความทรงจำดีๆ ครั้งใหม่ที่เราได้สร้างด้วยกัน



tbc.


เป็นกำลังใจให้เจ้ากาลด้วยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสี่__[08/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-03-2020 21:51:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสี่__[08/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-03-2020 22:00:57
พี่กาลพาแฟนเข้าบ้านแซงไปก่อนแล้ว พี่เหนือรีบพาพุดตานเข้าบ้านด้วยนะ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบสี่__[08/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-03-2020 00:56:47
อยากให้พุดตาลอยู่พร้อมกันนน
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบห้า__[12/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 12-03-2020 21:29:29

กาลครั้งสิบห้า


                อีกครั้งที่ปู่มาหาผมในความฝัน

                ยังคงเป็นภาพบ้านสวนที่ผมเห็น อาจจะเป็นเพราะมันคือสถานที่เดียวที่ปู่เคยอาศัยอยู่ และเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เราได้พบกันบ่อยๆ เราเดินอยู่ข้างกันริมสระน้ำในคืนที่มองเห็นดาวเต็มฟ้า หากแต่ไร้ใครคนอื่น

                เราไม่ได้พูดคุยเพียงเดินข้างกันไปเงียบๆ ในใจผมอยากรู้ว่าครั้งนี้ปู่จะเตือนอะไรแต่ก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป คล้ายกับรู้อยู่แล้วว่าปู่จะต้องพูดมันออกมาในไม่ช้า

                จากฝั่งสวนเราเดินเลาะริมสระจนมาถึงบ้านใหญ่ ปู่หันมาหาผม ไม่มีรอยยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะยอมพูดมันออกมาในที่สุด

                "ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ปู่จะมาหาหลานแล้วก็ได้"

                "ครับ"

                ผมรู้ดีว่าเรื่องราวใกล้จะจบลงเต็มที สัปดาห์สุดท้ายแห่งบททดสอบ หากผมสามารถผ่านพ้นมันไปได้ ทุกอย่างก็จะจบลง

                "หลานจงระวังตัวเอาไว้"

                "ผมเหรอครับ"

                "ดูแลตัวเองให้ดีๆ"

                "ครับ" เกิดคำถามมากมายแต่ตัวผมในความฝันกลับตอบออกไปเพียงแค่นั้น ก่อนปู่และบ้านสวนจะสลายหายไป

                ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าจากมือถือที่วางอยู่ข้างหมอน คว้ามันมาดูพลางบิดขี้เกียจไปด้วย ลืมตามองชื่อที่โชว์อยู่ แล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าวันนี้ไม่ใช่วันสบายๆ ของผมแน่ๆ

                หรือจะพูดให้ถูก ทั้งสัปดาห์เลยด้วยซ้ำที่ไม่ใช่วันสบายๆ ของผม

                "ว่าไงครับ" กดรับพร้อมทักทาย ตอนนี้เพิ่งจะเลยเก้าโมงมาแค่ไม่กี่นาที

                [พี่กาล]

                "ครับ"

                [ผมฝันอีกแล้ว]

                เป็นไปตามที่ผมคิดเอาไว้ เข้าสู่สัปดาห์ที่สี่ กับความฝันครั้งที่สี่ เหตุการณ์เลวร้ายที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราในอดีตจบลง

                "ฝันว่าไง"

                [มันดูคล้ายกับตอนนี้ยังไงก็ไม่รู้ มีคนมาจีบผมแล้วพี่กาลก็หึง เราทะเลาะกัน ผมหนีออกมา ในความรู้สึกตอนนั้นเหมือนอยากจะทำอะไรสักอย่าง ผมนัดเจอกับใครบางคน แล้วก็ถูกซ้อม จากนั้นก็ตื่น]

                รอบนี้ไอ้ดื้อยอมเล่าออกมาโดยไม่ขอให้ผมเดาก่อน น้ำเสียงของอีกฝ่ายฟังดูเคร่งเครียด พูดไปต้องทำคิ้วขมวดไปอยู่แน่ๆ

                "คนที่มาจีบในฝันใช่ไอ้แฮมมั้ย"

                [ผมไม่รู้ ไม่แน่ใจ]

                "คนที่นัดเจอก็ไม่รู้เหมือนกันเหรอ"

                [ครับ]

                ความฝันครั้งนี้มีแต่ความไม่ชัดเจนเหมือนกับไอ้เรื่องราวบ้าๆ นี้ไม่อยากให้ผมรู้ว่าแท้จริงแล้วไอ้ดื้อรู้สึกยังไงในตอนนั้น

                ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าไอ้ดื้อนัดเจอกับใครหลังจากทะเลาะกัน ผมไล่น้อง แล้วอีกฝ่ายก็ยอมเดินออกไปง่ายๆ โดยไม่พูดอะไร ทำให้ผมคิดไปเองว่าเหตุผลที่เด็กดื้อหนีไปนั้นเพราะอยากจบความสัมพันธ์กับคนอย่างผมแล้วจริงๆ ทุกอย่างจบลงด้วยความคลุมเครือ ผมรู้ว่าใครเป็นคนทำ ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน แต่ไม่มีหลักฐานมากพอที่จะมัดตัว สุดท้ายคนผิดก็ยังลอยนวล จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเกลียดมันมาจนถึงทุกวันนี้

                "แล้วเราเชื่อมั้ยว่ามันจะเกิดขึ้น"

                [ผมไม่เชื่อ ไม่อยากเชื่อ]

                "มันก็แค่ความฝัน" ที่ผมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกครั้งเป็นอันขาด

                [แต่ว่าพี่กาล]

                "มีรายละเอียดอื่นที่จะเล่าอีกมั้ย" หลังจากไอ้ดื้อโดนซ้อมปางตายทุกอย่างก็สิ้นสุด แต่ผมอยากรู้ว่าก่อนหน้านั้นมีอะไรเกิดขึ้นมั้ย บางเรื่องที่ผมอาจจะยังไม่รู้

                [ผมรู้สึกไม่ดีเลย ในฝันผมโดนซ้อมก็จริง แต่ในความรู้สึกมันเหมือนไม่ใช่ผม แต่เป็นพี่กาลที่กำลังจะหายไป] เสียงที่พูดเบาลงเรื่อยๆ ผมไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกเมื่อได้ฟัง แต่เมื่อลองนึกย้อนไปถึงคำเตือนของปู่ บางทีอาจจะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นก็ได้

                "พี่ไม่หายไปไหนหรอก"

                [ผมรู้ว่ามันก็แค่ความฝัน แต่ไม่รู้สิ อยากให้พี่กาลระวังตัวมากกว่านี้ได้มั้ย ความฝันของเรามันอาจจะบอกอะไรบางอย่าง]

                "ไม่มีใครทำอะไรพี่ได้หรอกเอิร์ธ"

                [สัญญาได้มั้ยว่าพี่กาลจะระวังตัว]

                "เอิร์ธสิที่ต้องระวังตัว ฝันน่ากลัวแบบนี้"

                [สัญญากับเอิร์ธนะครับ นะ]

                เหมือนเครื่องผมช็อตหลังจากได้ยินไอ้ดื้อแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นทั้งที่ไม่เคยพูดมาก่อน

                [น้องเหนือสัญญากับพี่เอิร์ธนะครับ]

                "เอาใหญ่เลยนะ"

                [ผมจริงจังนะ ต่อจากนี้พี่กาลต้องระวังตัว]

                "เข้าใจแล้วครับ สัญญา"

                ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับผม คิดๆ ดูแล้วหรือนี่อาจจะเป็นบทลงโทษตัวผมในอดีต เมื่อไอ้ดื้อกลับมา คนที่ต้องหายไปอาจจะเป็นผมก็ได้

                [พี่กาลว่าผมควรไปหาหมอดูมั้ย]

                "ไปทำไม" หัวคิ้วผมวิ่งเข้าหากัน อยู่ๆ ทำไมถามถึงเรื่องนี้

                [มันแปลกไง ผมฝันแบบนี้มาสี่รอบแล้ว และทุกอย่างมันก็เกี่ยวกับพี่กาล ถ้าไม่ใช่ฝันบอกเหตุก็อาจจะเป็นโชคชะตาหรืออะไรสักอย่าง ไปหาหมอดูหรือพระอาจารย์เก่งๆ อาจจะช่วยได้ก็ได้ มันแย่ขึ้นทุกครั้งเลยพี่กาล ผมไม่อยากฝันแบบนี้แล้ว]

                "คิดมากน่า มันไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นมีอะไร" พระอาจารย์เก่งแค่ไหนก็คงช่วยไม่ได้หรอก

                [แต่มันคิดไปแล้ว ไม่สบายใจเลย]

                "เดี๋ยวมันก็จบแล้ว ฝันร้ายของเราน่ะ"

                [ทำไมถึงคิดแบบนั้น]

                "เพราะพี่รู้สึกว่ามันกำลังจะจบลง"

                [แต่ว่า...]

                "เชื่อพี่นะ ได้มั้ย พี่สัญญากับเราแล้วว่าจะระวังตัว งั้นคราวนี้ขอให้เราเชื่อพี่ สัญญาว่ามันจะจบลงแน่ๆ"

                ไม่มีคำตอบกลับมา คงไม่มีใครอยากสัญญากับความรู้สึกที่เชื่อถืออะไรไม่ได้

                "สัญญานะ"

                [ก็ได้ครับ...พี่กาลแป๊บนึงนะ]

                "ครับ"

                ไอ้ดื้อตอบรับยังไม่ทันจบคำดีก็ขอเวลานอก ผมถือสายค้างไว้ ได้ยินเสียงกุกกักตึงตังไม่แน่ใจว่าปลายสายกำลังทำอะไรอยู่ ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงคนคุยกันก่อนสายจะตัดไป

                เสียงนั้นที่ผมจำได้ดี

                ผมเตรียมกดโทรกลับ ใจที่สงบนิ่งก่อนหน้านี้เหมือนถูกสุมไฟ มันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ตัดสาย เสียงของไอ้นั่นที่ได้ยินมันดังมาจากไหน ร้อนใจจนต้องลุกขึ้นหยิบกุญแจรถ แต่ก่อนจะได้ยกมือถือขึ้นแนบหูแจ้งเตือนจากไลน์ก็เด้งขึ้นมา

                'พี่กาลมาหาหน่อย พี่แฮมมาหาที่บ้าน'

                'อย่าให้มันเข้าบ้านนะ'

                ไอ้ดื้อไม่อ่าน ผมโทรกลับก็ไม่มีคนรับ เลยรีบยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงวิ่งลงไปข้างล่าง

                ถ้าคนของผมเป็นอะไรไปล่ะก็ ผมไม่เอามันไว้แน่

                ระหว่างทางผมพยายามโทรหาไอ้ดื้อตลอดแต่ไม่มีคนรับสาย กระทั่งเลี้ยวรถออกจากซอยมาได้ไม่ไกลปลายสายก็รับ

                "ทำไมเพิ่งรับ"

                [พี่กาลออกมาหรือยัง]

                "พี่กำลังไป"

                [อย่าขับรถเร็วนะ ระวังด้วย] แม้ไอ้ดื้อจะพยายามพูดให้เหมือนปกติ แต่เสียงลมหายใจที่ดังมาให้ได้ยินตลอดไม่ช่วยให้ผมเบาใจได้เลย คำถามที่ถามไปก่อนหน้านี้ก็ไม่ยอมตอบ

                "มันทำอะไรเราหรือเปล่า ทำไมไม่รับสาย"

                [พี่แฮมกลับไปแล้ว ตอนนี้ผมโอเค]

                "แน่นะ" บอกเลยว่าผมไม่เชื่อ

                [ครับ]

                "รออีกแป๊บนะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง"

                [พี่กาลขับรถระวังๆ นะ ไม่ต้องรีบ]

                "ไม่ต้องวางสายนะ"

                [พี่กาลขับรถเถอะ ผมรอนะ] พูดจบก็ชิงตัดสายทิ้ง

                มันดื้อจริงๆ ไอ้เด็กคนนี้



                ครึ่งชั่วโมงตามที่บอกผมก็มาถึงบ้านไอ้ดื้อ เจ้าของบ้านเดินมาเปิดประตูให้ โดยที่ไม่เห็นวี่แววของคนที่บอกว่ามาหาก่อนหน้านี้

                ก้าวลงจากรถไอ้ดื้อก็เดินมารอรับ น้องยิ้มให้ก่อนจะหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นหน้านิ่งๆ ของผม

                ก็อยากจะยิ้มตอบอยู่หรอก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ปากมันไม่ยอมยกขึ้นเลย

                พอไม่ยิ้มก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมจูงมือไอ้ดื้อเข้าบ้าน ยังไม่อยากรีบถามแม้ในใจจะร้อนรน เห็นตามร่างกายอีกฝ่ายไม่มีร่องรอยอะไรก็พอเบาใจได้เปราะหนึ่ง

                เรานั่งลงที่โซฟา ไอ้ดื้อยังคงพยายามยิ้มให้ขณะที่บีบมือผมเอาไว้แน่น

                "โอเคแน่ใช่มั้ย สรุปว่ามันมาทำอะไร แล้วมันไปไหนแล้ว"

                "กลับไปแล้ว"

                ฟังคำตอบขณะที่สายตากวาดมองรอบบ้าน ก่อนจะกลับมาหยุดที่มือถือของไอ้ดื้อซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

                "ทำไมหน้าจอแตกขนาดนั้น" แม้จะเป็นแค่ฟิล์มกระกันรอย แต่ผมจำได้ว่าหน้าจอมือถือไอ้ดื้อไม่ได้แตกเยอะขนาดนี้

                "มันหล่นตอนคุยกัน"

                "เล่ามา" ผมบอกอย่างใจเย็น

                "พี่กาลได้ยินใช่มั้ยที่ผมลงไปคุยกับพี่แฮม ตอนนั้นที่ยังไม่ได้วางสาย"

                "ได้ยินไม่ชัดเท่าไร" รู้แค่ว่าเป็นเสียงของใคร บอกว่ามีเรื่องอยากคุยเรื่อง แล้วสายก็ตัด

                "พี่แฮมตื๊อจะเข้าบ้าน ผมเลยวางสาย"

                "ที่จริงไม่ควรวาง"

                "มันถือลำบากไง" เถียงแบบคนดื้อแต่ทำหน้าหงอย ยังบีบมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

                "แล้วยังไง"

                "ก็เลยพิมพ์บอกพี่กาลแล้วก็เปิดประตูให้ ผมเองก็อยากคุยให้รู้เรื่องเหมือนกัน"

                "แสดงว่าไม่เห็นที่พี่บอกใช่มั้ย"

                "เพิ่งเห็นหลังจากหน้าจอแตกแล้วนี่แหละ"

                "มันทำอะไร"

                "ต้องบอกว่าผมทำพี่มันมากกว่า"

                ตั้งแต่เริ่มคุยกันมาหัวคิ้วผมยังไม่ถอยห่างออกจากกันเลย ไอ้ดื้อเม้มปากมองมาที่ผม ขอบตาแดงคล้ายจะร้องไห้

                "คือยังไง เอิร์ธทำอะไรมัน"

                "พี่แฮมมันเห็นที่ผมพิมพ์ไปเลยปัดมือถือผมตกพื้น แล้วก็ด่าพี่กาล พี่มันบอกผมโง่ ผมก็เถียงกลับ พี่มันจะพุ่งเข้ามาหาผมอ่ะ เลยหยิบไม้กวาดฟาดหัวไปหนึ่งที แตกมั้ยไม่รู้ ผมก็ขู่ไปว่าถ้าทำอะไรจะแจ้งตำรวจ พี่มันเลยกลับไป แต่คนที่จะโดนตำรวจจับมันคือผมหรือเปล่าพี่ ไปทำร้ายร่างกายพี่มันแบบนั้น"

                สัมผัสได้ถึงความกลัวและตื่นตระหนกที่ออกมาจากคำพูด ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยไอ้ดื้อก็ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำ ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อยที่ใกล้จะร้องไห้เต็มที

                เรื่องนี้แบบนี้มันเคยเกิดขึ้นในอดีตหรือเปล่าผมไม่รู้เลย แต่ถ้ามันเคยเกิดขึ้น แสดงว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุการณ์นั้นมันเลวร้ายกว่าที่ผมคิด

                "เราแค่ป้องกันตัว"

                "ผมจะโดนเอาคืนมั้ย"

                "พี่ไม่ยอมให้มันทำอะไรเอิร์ธหรอก" เลื่อนมือลงมาที่แก้ม เช็ดน้ำใสๆ ที่เอ่ออยู่ขอบตา บอกด้วยสายตามุ่งมั่นให้เด็กดื้อเชื่อใจ

                "แต่พี่มันขู่ผมนะ บอกว่าพี่ไม่ยอมง่ายๆ แน่"

                "พี่ก็ไม่ยอมมันง่ายๆ เหมือนกัน"

                "ไม่ตลกเลยนะพี่กาล" คว้ามือผมที่คลอเคลียอยู่ตรงแก้มมาจับไว้ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมองกัน

                "แล้วใครว่าพี่ตลก"

                "ไม่อยากให้มีเรื่อง"

                "ก็ถ้ามันไม่เริ่มก่อน"

                "ผมสิเป็นฝ่ายเริ่ม"

                "ถ้าเป็นเรื่องที่เราทำร้ายมันเพื่อป้องกันตัวพี่ไม่นับ แต่ถ้ามันคิดจะทำอะไรเราอีกพี่ไม่เอาไว้แน่"

                หากเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริงอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไอ้ดื้อโดนซ้อมจนปางตายในวันนั้น เมาบวกโทสะทำให้คนขาดสติ แต่มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด

                "ต่อไปนี้ห้ามอยู่ห่างจากพี่ ถ้ามันพยายามติดต่อมาอีกต้องรีบบอกโอเคมั้ย"

                คนตรงหน้าพยักหน้ารับเบาๆ

                ยื่นมือไปยีผมเสียสีแสนสะดุดตาหนึ่งที โจมตีกลับไปได้ทั้งที่อยู่ในอาการตกใจก็นับว่าแสบใช้ได้ อย่างน้อยน้องก็ยังรู้จักป้องกันตัว แต่สุดท้ายก็ตื่นตระหนกกลัวจนมานั่งตัวสั่นเป็นลูกแมวแบบนี้

                "พี่กาลว่ามันจะเกี่ยวกับความฝันของผมมั้ย"

                "ถ้าคิดว่าเกี่ยว เราก็ต้องระวังตัวให้มากๆ เหมือนกัน"

                "พี่กาลว่ามันจะเป็นฝันบอกเหตุจริงๆ มั้ย"

                "ก็อาจจะใช่ แต่ที่ผ่านมามันก็ไม่ตรงไม่ใช่เหรอ ถ้ามันคือฝันบอกเหตุจริง เราก็แค่แก้ไขมันเท่านั้นเอง"

                ผมไม่อยากบอกว่ามันเป็นแค่ความฝันอีกแล้ว หากมันจะทำให้ไอ้ดื้อระวังตัวมากขึ้นและเลือกทางเดินที่แตกต่างจากฝันร้ายนั้น หลีกเลี่ยงมันให้มากที่สุดไม่ว่าจะถูกชักจูงให้เดินตามไปยังไงก็ตาม

                "แล้วก็อย่าลืมบอกแม่ด้วยนะ" เรื่องนี้จำเป็นที่ผู้ใหญ่ต้องรู้ ผมเองก็จะบอกฝั่งครอบครัวผมเหมือนกัน

                "ต้องบอกด้วยเหรอ"

                "ต้องบอก ถ้ามันมาอีกจะทำไง บอกให้รู้กันไว้จะได้ช่วยกันดูแล หรือไม่ก็แจ้งตำรวจไปเลย" ผมว่าข้อสุดท้ายก็เป็นความคิดที่ดี แต่ไอ้ดื้อไม่ยอม

                "เดี๋ยวผมบอกแม่ แต่อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลย"

                "ไม่ต้องไปห่วงมันเลย"

                "มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้นไงพี่กาล ผมว่าคุยๆ กันก่อนได้ แจ้งตำรวจไปเสียอนาคตได้เลยนะ ยังไงก็คนเคยรู้จักกัน"

                ผมถอนหายใจออกมากับความใจดีของไอ้ดื้อ นิสัยที่ไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อน แม้ตัวเองจะต้องทนเจ็บปวดก็ตาม

                "ถ้างั้นพี่จะเป็นคนคุยกับมันเอง"

                "แต่ผมเป็นคนก่อเรื่องนะ"

                "ไม่มีแต่ จากนี้ห้ามเข้าใกล้มันอีก โอเคมั้ย"

                แม้ไม่อยากตกลงแต่ก็ต้องพยักหน้ารับ จากนี้ผมจะไม่ยอมให้ไอ้แฮมได้เจอไอ้ดื้ออีกแล้ว ไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม จนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ จนกว่าวันนั้นจะผ่านพ้นไป

                "งั้นวันนี้เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อนจนกว่าแม่จะกลับ โอเคมั้ย"

                เด็กดื้อพยักหน้ารับ เรียกมาหาขนาดนี้แล้วยังไงก็ต้องให้อยู่

                พูดคุยจนเริ่มสบายใจขึ้นเราก็ชวนกันกินข้าวเช้าในเวลาใกล้เที่ยง แม่น้องทำผัดกะเพราะปลาหมึกไว้ให้ ปริมาณเยอะจนเหมือนรู้ว่าจะมีคนมาหาที่บ้าน

                เราใช้เวลาเรื่อยเปื่อยอยู่ด้วยกันทั้งวัน ผมบอกเรื่องที่เกิดขึ้นในกลุ่มไลน์ครอบครัว ฝากเพื่อนๆ ช่วยส่องความเคลื่อนไหวไอ้แฮมเพราะผมโดนบล๊อกทุกช่องทางเป็นที่เรียบร้อย หาพวกให้เยอะที่สุด ประกาศให้รู้กันไปเลยว่าเป็นศัตรูกับใคร

                ในเมื่อยืนอยู่ในสถานะที่ชัดเจนขนาดนี้แล้วมันยังกัดไม่ปล่อยก็มาลองดูกันสักตั้ง


tbc.


มีใครพอเดาเรื่องในอดีตออกแล้วบ้างเอ่ย เหลืออีกห้าตอนก็จะจบแล้วค่ะ
แล้วก็วันนี้ปกพี่น้องเหนือออกแล้ววว เริ่มจำหน่ายวันที่ 25 มี.ค. นี้ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบห้า__[12/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-03-2020 22:32:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบหก__[15/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 15-03-2020 21:31:40

กาลครั้งสิบหก


                ตั้งแต่เกิดเรื่องที่บ้านไอ้ดื้อเมื่อวันก่อนผมก็ตามติดน้องแจเหมือนเป็นปรสิต เช้าไปหาที่บ้าน อยู่เป็นเพื่อนจนแม่กลับมา หรือไม่ก็รับมาเที่ยว พาไปเดินเล่นเดินข้าวดูหนังก่อนจบลงที่หอผมอย่างเช่นวันนี้

                หลังจากก่อเรื่องวันนั้นไอ้แฮมเองก็เงียบไป มันน่าโมโหที่ผมไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลยแม้เรื่องราวเหล่านี้อาจจะเคยเกิดขึ้นในอดีตมาแล้ว ผมไม่รู้ว่าไอ้ดื้อไปทำอะไรมา ไม่รู้ว่าไอ้แฮมมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ เพราะผู้ต้องสงสัยให้การปฏิเสธทุกกรณี มันเมาและไม่รู้เห็นเรื่องเราที่เกิดขึ้น แต่กลับเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด ไม่มีพยานหลักฐาน สุดท้ายก็เอาผิดใครไม่ได้

                ผมสะดุ้งเบาๆ เมื่อความเย็นสัมผัสที่หน้าผาก เงยขึ้นมองเด็กดื้อที่ยืนอยู่ตรงหน้า เลิกคิ้วเป็นเชิงถามกับกระป๋องเบียร์ที่ส่ายไปมาอยู่ตรงหน้าผม

                "เอาหน่อยมั้ย คลายเครียด"

                รับมาเปิดแล้วยกขึ้นจิบ ไอ้ดื้อนั่งลงข้างผมบนโซฟา ในมือถือเครื่องดื่มชนิดเดียวกัน

                "พี่กาลอยากฟังเรื่องของพี่แฮมมั้ย"

                "เรื่องแบบไหนล่ะ"

                "นิสัยมั้ง"

                "แล้วทำไมถึงอยากเล่าให้พี่ฟัง"

                "เผื่อพี่กาลจะเลิกคิดมากไง เพราะที่จริงพี่มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร"

                ไม่เลวร้าย แต่ครั้งก่อนก็ทำเอาเกือบปางตายมาแล้ว ปางตายที่เหมือนกับตายทั้งเป็น

                ผมไม่ตอบ ไม่ได้อยากฟังขนาดนั้น ไม่อยากรู้ว่าเมื่อก่อนมันทำความดีอะไรเอาไว้ไอ้ดื้อถึงยังเชื่อใจ ถ้ารู้ว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองในอดีตยังจะกล้าพูดแบบนี้อยู่หรือเปล่า

                "รู้ว่าไม่ชอบอ่ะแหละ แต่พี่กาลลองคิดดูนะ พี่แฮมมันมาหา แค่พี่มันจะแย่งมือถือไม่ให้ผมคุยกับพี่ ผมก็คว้าไม้กวาดฟาดหัวพี่มันไปแล้ว ไม่รู้ใครน่ากลัวกว่ากันเนอะ"

                "ยังจะมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก"

                "หรือไม่จริง"

                ก็จริง จริงที่สุด ไม่งั้นผมคงไม่เรียกว่าไอ้ดื้อ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ถึงจะแสบแค่ไหนก็อันตรายอยู่ดี

                "แล้วคนที่ซ้อมเอิร์ธในความฝัน ไม่คิดว่าเป็นมันหรือไง"

                "อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ หน้าก็ไม่เห็น ชื่อก็ไม่รู้ แถมในฝันยังกลับรู้สึกห่วงพี่กาลมากกว่าตัวเองอีก พอเมื่อวันก่อนเกิดเรื่องก็พอรู้เรื่องเลย กลัวพี่กาลไปมีเรื่องกับพี่แฮม"

                "ก็น่ามีอยู่"

                "ไม่เอาดิ โตๆ กันแล้ว ไม่ตีกัน"

                ก็จริง ผมไม่เถียง โตๆ กันแล้วจะตีกันไปเพื่ออะไร แต่พอมองหน้าเด็กดื้อที่สั่งสอนกันแล้วมันก็นึกมันเขี้ยวขึ้นมา มองกันตาแป๋ว เหยียดยิ้มเร็วๆ หนึ่งทีก่อนยกกระป๋องในมือขึ้นดื่ม

                มือผมจิ้มไปที่เอวคนข้างๆ ก็สะดุ้งสุดตัว เบียร์ที่อยู่ในปากพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง มันตรงมาหาผม ในระยะที่ไม่สามารถหลบพ้นได้

                "พี่กาล" รีบวางกระป๋องเบียร์ลงบนพื้น เรียกแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น แม้ผมจะทำหน้านิ่งแค่ไหนก็ดูไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยสักนิด

                ใครมันจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ ไอ้ดื้อจะหันมาพ่นเบียร์ใส่หน้าผม อย่างกับวางแผนรับมือมาเป็นอย่างดี

                "ไอ้ดื้อเอ๊ย" วางกระป๋องในมือบนโต๊ะข้างๆ ก่อนพุ่งเข้าหาคนที่ยังหัวเราะไม่เลิก

                สองแขนกดเด็กดื้อในนอนราบไปกับโซฟาก่อนตามไปทาบทับ น้องยังหัวเราะไม่เลิก ช่วยเช็ดเบียร์ที่ตัวเองพ่นออกมาบนหน้าผมให้

                "จะรับผิดชอบยังไง"

                "รับผิดชอบอะไรเล่า"

                "ก็พ่นเบียร์ใส่หน้าพี่เนี่ย"

                "พี่กาลแกล้งผมก่อนนะ ก็รู้ว่าบ้าจี้มาจิ้มเอวทำไม"

                "งั้นก็หายกัน"

                ฝังจมูกลงบนแก้ม เลื่อนลงมากดจูบที่คอ ปล่อยมือจากสองแขนที่ล็อกไว้ สอดเข้าใต้เสื้อยืดที่คนใต้ร่างใส่ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงไขกุญแจก่อนประตูจะเปิดออก

                เด็กดื้อรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผมหันหลังกลับไปมอง สบตากับพี่ชายฝาแฝดที่เซ่อซ่าเปิดประตูเข้ามาด้วยบรรยากาศที่ชวนให้ทำอะไรไม่ถูก

                "มึงมาทำไมเนี่ย" ผมเป็นฝ่ายทักออกไปก่อน

                "ที่นี่ก็ห้องกูมั้ยอ่ะ"

                "กาลก็อยู่เหรอ" พุดตานเดินตามเข้ามาข้างในแล้วยิ้มทักทาย ก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นคนหัวม่วงอมชมพูที่นั่งอยู่ข้างผม

                "หวัดดีครับ" ไอ้ดื้อเอ่ยทักทายผู้มาใหม่ด้วยอาการขัดเขิน พุดตานคงไม่เห็น แต่ขิลิตมันต้องเห็นแน่ๆ ว่าก่อนหน้านี้พวกผมกำลังทำอะไรกันอยู่

                "กูนึกว่ามึงจะอยู่บ้านน้องเลยพาพุดมานี่" ลิขิตบอก มันวางกระเป๋าบนโต๊ะข้างกระป๋องเบียร์ของผม ยืนเท้าโต๊ะมองเหมือนผมเป็นฝ่ายผิดที่จู๋จี๋กับแฟนในห้องของตัวเอง

                "กูก็เหมือนมึงอ่ะ"

                พี่ชายผมยักไหล่ ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความก็พอเข้าใจ ผมพาไอ้ดื้อมาที่นี่ทำไม จุดประสงค์ของมันก็ไม่ต่าง

                ก็แค่อยากใช้เวลาอยู่กับแฟนแบบเงียบๆ กันสองต่อสอง

                ที่ลิขิตมันมันโผล่มาเวลานี้เพราะเพิ่งไปรับพุดตานกลับจากบ้านสวน ออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า บอกว่าจะกลับวันนี้แต่ไม่ได้ระบุเวลากลับที่แน่นอน ต่างคนต่างไม่บอกสุดท้ายเลยมาจบลงที่เดียวกัน

                "แล้วนี่นึกยังไงกันกินเบียร์ตอนนี้" ลิขิตถามพลางบุ้ยปากไปที่กระป๋องเบียร์ของผม

                "จะกินตอนไหนก็ได้เปล่าวะ ที่ไหนมีกฎห้าม"

                "กวนตีนอีก ปกติมึงไม่กินเวลานี้ไง"

                "เออ ก็แค่อยาก คลายเครียดด้วย"

                "งั้นกูกินด้วย เก็บของแป๊บ" พูดจบลิขิตมันก็กวักมือชวนพุดตานเอาของเข้าไปเก็บในห้อง ส่วนไอ้ดื้อก็เอาแต่ยิ้มมองตามแฟนพี่ชายผมไม่วางตา

                "เหมือนเห็นตัวเองในอีกเวอร์ชันเลย" พุดตานเดินเข้าห้องไปแล้วถึงได้กันมากระซิบกระซาบ

                "เป็นเวอร์ชันน่ารัก"

                "จริง น่ารักอ่ะ"

                "ส่วนคนนี้เวอร์ชันดื้อ"

                "ดื้อตรงไหนเนี่ย ออกจะเป็นเด็กดี"

                อยากจะพุ่งเข้าไปฝังจมูกบนแก้มเด็กดื้อขี้อ้างอีกสักรอบแต่คนในห้องก็ออกมาพอดี จะคิดจะทำอะไรก็ไม่สะดวกเลยให้ตาย

                "ตั้งวงๆ" ลิขิตโบกมือเป็นสัญญาณให้เคลียร์พื้นที่

                ผมกับไอ้ดื้อย้ายลงมานั่งข้างล่าง พุดเตรียมกับแกล้ม ลิขิตไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นมาเพิ่ม เริ่มกันตั้งแต่บ่ายแบบนี้ต้องมีคนได้ลงไปซื้อของเพิ่มแน่

                "เล่นกันมั้ย บังเอิญหยิบติดมือมา" พุดตานวางตลับไพ่ลงกลางวง ชวนให้สงสัยว่าไปหยิบติดมือมาได้ไง

                "ของใคร"

                "ไอ้แม็ก เมื่อคืนมีอำลากันนิดหน่อย" ลิขิตมันช่วยตอบคำถามของผม

                "เล่นกันสามคนเหรอวะ"

                "มีลูกอาพิทักษ์ด้วย กลับมาอยู่บ้านกันได้สักพักแล้ว"

                "แล้วไง เล่นกินตังค์เหรอ กูไม่มีนะ" ผมถามต่อ อีกอย่างไม่ค่อยถูกกับการเล่นเสี่ยงดวงเท่าไร

                "ไม่มึง เอาแบบที่พวกกูเล่นเมื่อคืน ให้ชื่อว่า เล่นไพ่ ใฝ่เรื่องเธอ"

                ฟังไอ้ขิลิตพูดจบผมกับไอ้ดื้อก็พากันขมวดคิ้ว ใครมันคิดชื่อ แค่ได้ยินก็รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ฟังแล้วมันดูเหมือนคนขี้เสือกยังไงชอบกล

                "กติกาง่ายๆ เล่นป๊อกเด้ง ใครป๊อกจะถูกขอให้เล่าเรื่องอะไรก็ได้ ถ้ามึงป๊อก คนที่เหลือจะขอให้มึงเล่าเรื่องของมึงตามหัวข้อที่ขอ ก็คือมึงต้องเล่าสามเรื่อง สมมติกูขอเรื่องแมว มึงก็ต้องเล่าเรื่องมึงที่เกี่ยวกับแมว อย่างเช่นมึงกลัวแมวมากอะไรแบบนั้น"

                "แทนที่คนป๊อกจะได้ขอ"

                "เออน่า แบบนี้น่าสนุกกว่า"

                "จะมีหัวข้อพิเรนทร์ๆ มั้ยวะ"

                "อันนี้ก็แล้วแต่คนถาม"

                "เราโอเคมั้ย" ถามเด็กดื้อที่นั่งข้างๆ ฟังลิขิตอธิบายไปก็อ้าปากค้างพยักหน้ารับตามไปด้วย

                "โอเคครับ"

                ลิขิตเป็นเจ้ามือ สับไพ่แจกรอบวงแล้วต่างคนก็ต่างลุ้นไพ่ของตัวเอง ผมหยิบไพ่ที่เจ้ามือแจกให้ขึ้นมาเปิดก่อนแอบเหล่คนข้างๆ แต่ไอ้ดื้อไหวตัวทันเลยหันมาค้อนใส่

                ผมแค่ 4 แต้ม ยังไงก็รอด

                "มีใครขอเพิ่มมั้ย"

                "ผมๆ" เด็กดื้อข้างๆ ยกมือ

                ผมแอบมองตอนไอ้ดื้อโน้มตัวไปหยิบไพ่ที่ลิขิตมันจ่ายมาไม่ถึง แต่อีกฝ่ายก็ถือไพ่ซะแนบอกจนมองอะไรไม่เห็น

                เมื่อไม่มีใครขอจั่วเพิ่มก็ได้เวลาเปิดไพ่ เจ้ามือห้าแต้ม พุดตานบอด ส่วนไอ้ดื้อได้สี่เท่ากับผม

                "ลิขิตป๊อกห้า" พุดตานพูดกลั้วหัวเราะ เพิ่งเคยได้ยินก็วันนี้ไอ้ป๊อกห้าเนี่ย

                "ตานี้ไม่นับดิ" เจ้ามือรวบไพ่เก็บ สรุปตานี้รอดตัวกันไป

                 เกมดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สลับกับการพูดคุย เพราะทุกคนหลีกเลี่ยงการได้ป๊อกผ่านไปสามรอบก็ยังไม่ได้ผู้โชคดีสักที แต่เล่นแบบนี้ก็สนุกแบบแปลกๆ ดีเหมือนกัน

                ไพ่สองใบวางอยู่ตรงหน้า เปิดดูเป็นเลขห้ากับเลขสาม ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าได้ป๊อกแล้วจะถูกขออะไร เพราะฉะนั้นเลยไม่ขอไพ่เพิ่ม

                "ป๊อกแปด" วางให้ทั้งวงเห็นกันไปเลย

                "เหมือนมึงอยากโดนอ่ะ"

                "ก็เออไง"

                ลิขิตรวบไพ่ไปเก็บ ทำหน้าครุ่นคิดว่าจะถามอะไรผมดี แต่คนที่ขอออกมาคนแรกคือพุดตาน

                "เหนือลิขิต"

                "เอ้า!" เจ้าของชื่ออุทานเสียงดัง หันมองแฟนตัวเองที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่

                มันใช้ถามแบบนี้ได้ด้วยสินะ พุดตานนี่ก็ร้ายใช่เล่น

                "เหนือลิขิต..."

                "มันต้องเกี่ยวกับตัวมึงด้วยนะ" พี่ชายผมมันรีบขัด ร้อนตัวเหมือนคนมีความผิด กลัวว่าผมจะพูดเรื่องน่าอายหรือไง

                "เออ เหนือลิขิตกับเหนือกาลเป็นสองพี่น้อง วิ่งเล่นในบ้านสวน ลิขิตมีแฟนชื่อพุดตานคนดี๊คนดี" ผมร้องใส่ทำนองชิปกับเดลที่ออกจะประหลาดไปหน่อย ทำเอาหัวเราะกันทั้งวง

                "อะไรของมึงเนี่ย"

                "กูพูดเรื่องดีๆ ให้มึงนะเนี่ย"

                "งั้นกูต่อ เอาเป็น...พุดตาน" ลิขิตมันเอาคืนบ้าง สรุปตานี้ที่ผมโดนลงโทษแทบไม่มีผลอะไรเลย เหมือนพวกมันอยากจะจีบกันมากกว่า

                "ถ้าจะจีบกันก็ไปคุยกันสองคน" ผมไล่

                "เร็วๆ" แล้วก็โดนมันเร่งกลับ

                "เหนือลิขิตกับพุดตานเป็นเพื่อนสมัยเด็ก แต่โตมาพุดตานดันโดนพี่ชายเหนือกาลคาบไปแดกซะงั้น"

                "สรุปลิขิตเป็นหมาเหรอ"

                "ได้เลยนะแมว"

                คนเป็นแฟนกันเขาก็หยอกกันเล่น คาดโทษกันไว้ก่อนค่อยจัดการทีเดียวคืนนี้

                "ตาเอิร์ธๆ"

                ไอ้ดื้อยิ้มให้พุดตานจนตาปิดก่อนหันมาหาผม เห็นทำหน้าร้ายกาจแบบนี้ทำเอาผมหวั่นใจ กลัวว่าจะถูกถามอะไรที่คาดไม่ถึง

                "เหนือกาล"

                แต่สิ่งที่ขอกลับเป็นสิ่งที่ผมสามารถตอบได้อย่างง่ายดายที่สุด

                "คนที่รักเอิร์ธหมดหัวใจ"

                ลิขิตกับพุดตานทำหน้าเหมือนสำลักความหวาน ส่วนคนถามนั้นหันหน้าหนีแล้วปิดปากเงียบ แต่หูแดงๆ นั้นไม่สามารถปกปิดความเขินอายเอาไว้ได้

                เรื่องที่ไอ้ดื้อไม่ชอบแสดงความรักต่อหน้าคนอื่นนั้นผมรู้และจำได้ดี รู้ด้วยว่าที่น้องขอคำนี้มาเพราะอยากแกล้ง แต่การแสดงความรักต่อหน้าคนในครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องแย่เลย

                เกมยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ความจริงมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไรกับการพูดเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราให้คนอื่นฟัง ผมชอบเกมนี้นะ แม้บางเรื่องที่พูดกันจะเหมือนเรื่องแต่งไปบ้าง แต่การได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงหรือคิดยังไงเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกถามก็ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นทีละนิด

                "เพื่อน"

                รอบนี้ไอ้ดื้อเป็นผู้โชคร้าย คำขอแรกมาจากพุดตาน

                "ในกลุ่มมีสี่คน ผมมีเพื่อนไม่ค่อยเยอะ จริงๆ แล้วชอบอยู่กับตัวเองมากกว่า"

                "เหมือนพี่เลย"

                "พวกนิสัยแมว"

                พุดตานหันไปแยกเขี้ยวใส่ลิขิตเมื่อโดนขัด เป็นแมวสมกับที่ลิขิตมันว่า ที่สำคัญคือเป็นแมวมีเจ้าของแล้วทั้งคู่ ไอ้ดื้อเองก็ช่วยยืนยันอีกเสียง

                "ช่วงนี้ก็ติดเจ้าของด้วยครับ" พูดเองแล้วก็ยิ้มเขินเอง ไม่กล้าหันมาสบตาผมด้วย

                "หรือเจ้าของติดแมวอ่ะ ไอ้ข่าวว่าช่วงนี้ตามเขาต้อยๆ" พุดตานเล่นงานผมเข้าแล้ว แต่ไอ้ลิขิตก็เข้าข่ายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมจะคิดซะว่าพุดตานพูดถึงแฟนตัวเอง

                "มึงเหรอลิขิต"

                "มึงนั่นแหละ"

                เราสองพี่น้องโยนกันไปมาจนพุดตานต้องยกมือห้ามแล้วเชิญคนต่อไปให้ถามวักอย่างกับไอ้ดื้อ ก่อนจะคุยกันออกทะเลาไปไกลกว่านี้

                "สีผม" คำขอที่สองจากลิขิต

                "ผมเป็นคนชอบเปลี่ยนสีผมนะ ตอนเด็กชอบดูอนิเมะด้วย เลยอยากลองทำหลายๆ สี อยากรู้ว่าคนจริงๆ ทำสีผมแบบนั้นด้วยจะเป็นยังไง แต่เปิดเทอมคงจะกลับมาทำสีเข้มๆ"

                "ผมเสียหมด"

                "ก็หัวผมอ่ะ" ไอ้ดื้อหันมาเถียงผมทันที ว่าไม่ได้เลยเรื่องผมเนี่ย

                "อย่าเพิ่งตีกันๆ กาล ตามึงอ่ะ"

                ผมมองหน้าเด็กดื้ออย่างครุ่นคิด อยากจะขอคำว่าเหนือกาลให้น้องตอบแบบเดียวกัน แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ คำตอบอาจจะเป็นคนเจ้าชู้คุยไม่เลือกอะไรเทือกๆ นั้นแทน เพราะฉะนั้นเลยต้องขออะไรที่มันแคบลงหน่อย

                "อาหารฝีมือเหนือกาล"

                "เคยกินหนึ่งครั้ง อร่อยดี อยากกินอีกครับ"

                "มาอยู่ด้วยกันมั้ยจะทำให้กินทุกวันเลย"

                "ได้ข่าวว่าบ้านน้องก็อยู่ใกล้ๆ มอ แถมอยู่กับแม่พ่อ" พี่ชายผมแม่งก็ขยันขัดเหลือเกิน

                "แต่เอาจริงนะ มึงย้ายไปอยู่กับพุดถาวรเลยก็ได้ เทียวไปเทียวมากันทุกวันมันก็เหนื่อย"

                "เรื่องนี้กูก็คิดอยู่"

                ฝันร้ายผมก็หายไปแล้ว และมันคงหายไปแบบถาวรหากเรื่องนี้จบลง ถ้าครั้งนี้ลิขิตมันอยากย้ายไปอยู่กับพุดตานจริงๆ ผมไม่ขัดเลย จะได้เกลี่ยกล่อมให้ไอ้ดื้อมาอยู่ด้วยกันบ้าง แต่รายนี้น่าจะยาก ลักพาตัวมานอนด้วยเป็นรายคืนไปน่าจะสะดวกกว่า

                เราพักยกเรื่องไพ่เมื่อการย้ายหอเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด นั่งฟังลิขิตกับพุดตานเถียงกันเรื่องระยะทางเลยตั้งใจจะถามคนข้างๆ ว่ามีความคิดอยากจะย้ายมาอยู่ด้วยกันบ้างมั้ย แต่ความสนใจของผมก็ถูกดึงไปที่แจ้งเตือนจากแอพสีเขียวเสียก่อน

                ‘มันลงเมื่อสิบนาทีก่อน’

                ผมคว้ามือถือขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เปิดอ่านข้อความและรูปจากเพื่อนที่ฝากมันดูความเคลื่อนของไอ้แฮม

                รูปที่มันลงในไอจีเป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งที่เห็นเพียงด้านหลัง รูปขาวดำที่ผมมองแล้วรู้ได้ทันทีว่าคนในรูปคือใคร เสื้อผ้าชุดนี้มันแอบคงถ่ายที่ร้านเหล้าเมื่อสัปดาห์ก่อน กับแคปชันที่เป็นอีโมรูปมือที่จับกัน

                การปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่คิดว่าหากพ้นช่วงเวลาเดียวกับอดีตไปแล้วเรื่องราวคงจบเหมือนจะกลายเป็นความคิดที่ผิด แน่นอนว่าเรื่องประหลาดบ้าๆ นี่คงทำทุกวิธีทางให้เหตุการณ์เลวร้ายแบบในอดีตเกิดขึ้น แต่การที่ผมรับมือโดยการกักขังไอ้ดื้อไว้ไม่ให้ออกไปเจอใคร เวลาผ่านไปก็จริง แต่เรื่องจะจบลงแน่ๆ งั้นเหรอ

                ไอ้แฮมคงไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น

                แล้วถ้าเป็นแบบนั้นผมควรจะทำยังไง

                กักขังไอ้ดื้อแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือออกไปเคลียร์ให้มันจบ

                ‘ฝากมึงตามต่อหน่อย หรือถ้านัดมันให้กูได้จะดีมาก’

                ‘มึงจะทำอะไรวะ’

                ‘แค่คุย หรือถ้ามึงบอกให้มันอันบล็อกกูสักทางได้จะดีมาก’

                ทางที่ง่ายที่สุดในการติดต่อไอ้แฮมคือผ่านทางไอ้ดื้อ แต่ผมไม่อยากให้น้องรู้เรื่องนี้ เลยต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากขึ้นมานิดหน่อย

                ‘เออๆ เดี๋ยวลองดู มึงก็ระวังตัวด้วย มีอะไรบอกพวกกู’

                ‘ขอบใจมากมึง’

                กดน้ำก่อนเดินออกมา นั่งลงข้างไอ้ดื้อที่หันมาฟ้องว่าลิขิตกับพุดตานยังตกลงกันเรื่องหอไม่ได้ กับรอยยิ้มที่ทำให้มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็น

                ผมต้องปกป้องรอยยิ้มนี้เอาไว้

                ต้องทำให้ได้



tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบหก__[15/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-03-2020 21:51:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบหก__[15/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-03-2020 02:24:49
กาลจะโดนทำร้ายแทนใช่มั้ย  :ling3:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบหก__[15/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-03-2020 21:09:44
เป็นห่วงกาลเลย แฮมมันไม่น่าไว้ใจ
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเจ็ด__20/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-03-2020 18:46:32

กาลครั้งสิบเจ็ด


                คำขอเป็นผลสำเร็จเมื่อไอ้แฮมยอมอันบล็อกผมและเป็นฝ่ายทักมาหา เราคุยกันได้ไม่กี่ประโยคก่อนจบลงด้วยการนัดเจอเพื่อพูดคุยกันเมื่อมันปฏิเสธการคุยผ่านแชต การนัดเจอกันครั้งนี้อาจจะมีกับดักหรือแผนการร้ายซ่อนอยู่ แต่ผมกลับคิดว่าออกมาคุยกันต่อหน้าก็ดีเหมือนกัน จะได้เคลียร์ให้มันจบๆ ไป

                "ไม่ให้กูเข้าไปเป็นเพื่อนแน่นะ" กำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปยังร้านที่นัดหมาย ไอ้พี่ชายที่ขอตามผมมาด้วยก็ถามย้ำอีกรอบ

                "คนเยอะแยะมึง ไม่เป็นไรหรอก"

                "ถ้ามีอะไรมึงรีบโทรหากูเลยนะ"

                "ทราบแล้วครับ"

                เราตกลงกันว่าจะนัดเจอกันแบบส่วนตัว เพื่อความปลอดภัยผมเลือกร้านกาแฟกลางห้างฯ ดัง ถ้ามันจะเล่นตุกติกหรือคิดทำร้ายผม อย่างน้อยก็ยังมีพยานและคนที่น่าจะพอมีน้ำใจช่วยเหลือกันได้

                "กูรอแถวๆ นี้นะ"

                "เออ"

                ลิขิตเดินแยกไปอีกทางเมื่อผมตอบรับ เลยเวลานัดมาแล้วสามนาที ไม่มีแจ้งเตือนจากอีกฝ่ายผมจึงเดินเข้าร้าน แล้วก็เห็นมันนั่งกดมือถืออยู่ที่โต๊ะริมกระจก

                มาตรงเวลาดี

                เลื่อนเก้าอี้โดยไม่ทักทายอะไร ไอ้แฮมเงยหน้าขึ้นมอง มันคว่ำมือถือลงบนโต๊ะ ข้างๆ กันมีแก้วกาแฟวางอยู่

                "เอิร์ธรู้มั้ยว่ามึงมาเจอกู" มันเปิดประเด็นด้วยคำถามที่น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

                ผมไม่ได้บอกไอ้ดื้อเพราะไม่อยากให้น้องมาเจอมัน ขืนบอกไปต้องโดนตื๊อขอตามมาด้วยแน่ๆ ปฏิเสธไปดีไม่ดีอีกฝ่ายอาจจะแอบตามมา

                "ไม่เกี่ยวกับมึง"

                "เกี่ยวดิ เพราะกูจะคุยเรื่องน้อง"

                "แต่กูไม่อยากให้เกี่ยว"

                มันมองผมด้วยสายตาหงุดหงิด ผมเองก็ไม่ต่าง ไอ้แฮมอาจจะติดต่อไอ้ดื้อไม่ได้แต่มันรู้จักเพื่อนน้องหลายคน ถ้าเพื่อนรู้ ไอ้ดื้อก็มีสิทธิ์รู้ แต่ถ้ารู้หลังจากผมเคลียร์ทุกอย่างกับมันจบแล้วคงไม่เป็นไร

                "กูอยากให้มึงเลิกยุ่งกับเอิร์ธ"

                "ของ่ายไปหรือเปล่าวะ น้องเป็นแฟนกู"

                "แฟนคนที่เท่าไรของมึงล่ะ"

                ผมโคตรรำคาญคำถามแบบนี้จากมัน เพราะต่อให้อธิบายยังไงมันก็คงไม่มีทางเข้าใจ คนมันอคติจ้องแต่จะจับผิด ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า

                "กูโคตรเกลียดมึงเลยกาล" มันบอกโดยไม่รอฟังคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้จากผม

                "ขอบใจที่บอกตรงๆ"

                "ทำไมเอิร์ธต้องชอบคนอย่างมึงด้วยวะ"

                "มันเป็นความรู้สึกของน้อง มึงห้ามไม่ได้หรอก"

                "คนเหี้ยๆ แบบมึงอ่ะนะ"

                ผมพยายามใจเย็น หันมองทางอื่นเพื่อสงบสติอารมณ์ ผมต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนแบบนี้เห็นด้วยเหรอ คนที่ในอดีตทำกล้าร้ายน้องขนาดนั้น เป็นอีกสิ่งที่ผมไม่เข้าใจว่ามันทำไปทำไม ทั้งที่ปากบอกว่าชอบน้องขนาดนั้น แต่กับคนเมาไม่ว่อะไรก็คงเกิดขึ้นได้

                "มึงควรมองคนหลายๆ ด้านมากกว่าจะติดสินจากมุมเดียวที่มึงเห็น ซึ่งนิสัยที่มึงเกลียดมันเป็นแค่อดีตของกู"

                "ไม่ต้องมาสอนกู"

                "กูแค่บอก อยากให้มึงเข้าใจ ทำไมไม่เชื่อใจเอิร์ธวะ"

                "กูเชื่อใจเอิร์ธแต่ไม่เชื่อใจมึง คิดว่ามึงจะกลับตัวได้จริงๆ เหรอวะ กับพี่คนสวยคนนั้นเป็นยังไงล่ะ หลอกเอิร์ธว่าเป็นแค่พี่น้อง จริงๆ แอบไปเอากันหรือเปล่าก็ไม่รู้"

                "มึงควรหยุดกล่าวหาคนอื่น" ผมกำหมัดแน่นอย่างข่มอารมณ์ สะกดจิตตัวเองเอาไว้ไม่ให้ลุกขึ้นไปต่อยหน้ามันให้หายโมโห

                ไอ้แฮมยกกาแฟขึ้นดื่มขณะที่สายตายังจับจ้องมาที่ผม คล้ายกับอยากสังเกตทุกการกระทำของคู่สนทนา แม้ทุกคำพูดของผมจะเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวามันก็ตาม

                "ที่กูอยากคุยกับมึงเพราะอยากปรับความเข้าใจ อยากให้มึงเปิดใจมากกว่านี้"

                มันวางแก้วกาแฟลง ปฏิเสธทางสีหน้าชัดเจนว่าไม่อาจเปลี่ยนความคิดตัวเองได้ เพราะเป้าหมายของมันคือสิ่งเดียวกับที่ผมกำลังทำอยู่

                ในเมื่อผมอยากให้มันเปิดใจและยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ดื้อ มันเองก็มาเพื่อทำให้ผมตัดใจจากไอ้ดื้อเหมือนกัน

                "กูชอบเอิร์ธมาตั้งแต่น้องเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ แล้วมึงเป็นใครวะ ไอ้เจ้าชู้ที่คุยกับคนอื่นไปทั่ว คั่วไปเรื่อยทั้งผู้หญิงผู้ชาย ตัวมึงมีค่ากับน้องขนาดนั้นเลยเหรอ สันดานน่ะมันแก้ไม่หายภายในเวลาสั้นๆ หรอก"

                เหมือนถูกตัวตนในอดีตตบหน้าจนชา ผมไม่คิดจะเถียง มันคือสิ่งที่เคยเป็นความจริง สันดานย่อมแก้ไม่หายภายในเวลาอันนั้น ซึ่งผมใช้เวลาแก้มันและปรับปรุงตัวมานานนับปี เพียงแต่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถบอกให้ใครต่อใครรับรู้ได้

                โดยเฉพาะคนที่ไม่ยอมเปิดใจรับฟังอะไรเลย

                "กูจะแย่งเอิร์ธมาจากมึง" เก้าอี้เลื่อนออกก่อนคนที่เพิ่งพูดจบจะลุกออกไปโดยที่ผมไม่ทันได้รั้งเอาไว้

                มองแก้วกาแฟที่เหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่ต่างกับการสนทนาเมื่อครู่นี้ ไม่มีข้อสรุป ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา

                ทุกอย่างช่างสูญเปล่า

                หันมองออกไปนอกกระจก ไอ้แฮมหายไปกับผู้คนที่เดินสวนกันไปมา ผมไม่รู้เลยว่ามันคนก่อนชอบไอ้ดื้อมากขนาดนี้หรือเปล่า ตอนที่รู้เรื่องของผมกับน้องแล้วอยากขัดขวางขนาดนี้มั้ย มุมมองที่เคยรับรู้มีเพียงของตัวผมคนเดียว ไม่เคยนึกถึงเลยว่าน้องปกป้องผมยังไงจากการว่าร้ายของคนอื่น และปกป้องตัวเองจากการคุกคามของไอ้แฮมได้ยังไง

                อดีตคือความลับ ไม่มีใครรู้เห็นเรื่องของเรา แม้กระทั่งไอ้แฮมที่เดินหน้าจีบไอ้ดื้อแบบสุดตัว ขณะที่น้องพยายามถอยหนี และผมผู้ที่ยืนอยู่ในเงามืดของการวิ่งไล่จับครั้งนี้ หากในอดีตไอ้แฮมรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา ก็น่าคิดว่าบทสรุปจะออกมาเป็นแบบไหน เรื่องเลวร้ายนั้นอาจจะเกิดขึ้น หรือมันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาอยู่แล้ว

                ทุกอย่างนั้นยุ่งยากไม่ยอมจบลงง่ายๆ อย่างที่ผมคิด และอดีตเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาทำร้ายกันได้เสมอ



                ผมออกจากร้านตามหลังไอ้แฮมไม่นาน ในหัวยังคงคิดไม่ตกว่าควรจะทำยังไงให้ปัญหามันจบลงก่อนวันนั้นจะมาถึง แต่ดูเหมือนว่าไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดนี้จะไม่ยอมให้ผมทำได้สำเร็จ

                กำลังจะโทรหาลิขิตเพื่อเรียกมันกลับบ้านก็ดันสะดุดตาที่ใครบางคนเสียก่อน เขากำลังเดินตรงไปที่บันไดเลื่อน แต่เมื่อหันมาเห็นผมอีกฝ่ายก็ชะงัก ท่าทางดูลังเลแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนทิศทางเดินมายังจุดที่ผมยืนอยู่

                เพื่อนตัวสูงของไอ้ดื้อในอดีต ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อปอนด์

                "สวัสดีครับพี่กาล" น้องมันยกมือไหว้ เป็นการทักทายกันครั้งแรกที่ชวนให้แปลกใจ

                "สวัสดีครับ"

                ผมจำได้ว่าเราไม่เคยคุยกันมาก่อน ในอดีตอีกฝ่ายเองก็ไม่เคยรู้ว่าผมเกี่ยวข้องกับไอ้ดื้อยังไง ที่ผมรู้จักเพราะไอ้ดื้อเคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้น้องมันไม่ใช่เพื่อนไอ้ดื้อแล้ว ถ้างั้นมีเหตุผลอะไรอยู่ๆ ถึงได้เข้ามาทักผม

                "ผมขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย"

                "ครับ?"

                "เรื่องเอิร์ธน่ะครับ"

               

                แค่ได้ยินชื่อไอ้ดื้อผมก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเล ปอนด์เป็นคนเคยรู้จักก็ใช่ว่าจะถูกตัดออกจากชีวิตไอ้ดื้อเสียทีเดียว บางทีทั้งคู่อาจจะยังติดต่อกันอยู่โดยที่ผมไม่รู้ก็ได้

                มุมเล็กๆ หน้าร้านกาแฟถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับพูดคุยเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะเข้าไปนั่งข้างใน ปอนด์ขอรบกวนเวลาผมไม่เกินสิบนาที มีเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง จากนั้นผมต้องตัดสินใจเองว่าควรจะทำยังไงต่อไป

                "ผมเป็นพี่รหัสเอิร์ธนะเผื่อพี่ยังไม่รู้"

                "อ๋อ ครับ" และใช่ ผมยังไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ จากเพื่อนขยับไปเป็นพี่รหัส

                "ผมรู้เรื่องที่เอิร์ธมันเอาไม้กวาดฟาดพี่แฮมแล้วนะ"

                "ครับ" ทำได้เพียงพยักหน้ารับ เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนรู้จักของไอ้ดื้อจะรู้เรื่อง

                "แต่ที่ผมอยากบอกคือเรื่องเกี่ยวกับพี่แฮม"

                "ทำไมเหรอครับ" ทั้งอยากรู้และหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าปัญหาครั้งนี้มันจะมีเรื่องวุ่นวายมากเกินไปแล้ว

                "พี่แฮมมันชอบเอิร์ธมานานแล้วครับ เรื่องนี้พี่กาลคงรู้ดีอยู่แล้ว เพื่อนทุกคนรู้หมด ตัวเอิร์ธเองก็รู้แม้พี่แฮมจะไม่เคยบอก แต่เอิร์ธมันไม่ชอบพี่แฮม แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่ามันชอบพี่กาลตั้งแต่ตอนไหน"

                "ครับ"

                "ที่ทำอยากบอกคือพี่แฮมคอยดูแลเอิร์ธมันมาตลอด พอโดนทำร้ายแบบนั้นก็เลยเสียใจมาก และพี่เขาก็คิดว่าต้นเหตุมาจากพี่กาล"

                "ซึ่งมันไม่ใช่"

                "ครับ คนอื่นๆ ไม่มีปัญหาเลยที่เอิร์ธมันคบกับพี่ เพราะมันเองก็ดูมีความสุขดี แต่ผมอยากเตือนพี่เรื่องพี่แฮม"

                ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แม้จะยังมีเรื่องที่สงสัยเต็มหัวไปหมด น้องมันจะรู้มั้ยว่าก่อนหน้านี้ผมเพิ่งนัดเจอกับใครมา แล้วการที่เรามาเจอกันที่นี่เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจกันแน่ ในเมื่อทุกคนก็ดูจะรู้จักและเชื่อมโยงกันหมดแบบนี้

                "พี่แฮมคงไม่หยุดรังควานง่ายๆ ผมอยากให้พี่ระวังตัว เอิร์ธก็ด้วย"

                "ก็พอจะเดาได้อยู่ ขอบคุณที่มาเตือนครับ"

                "ครับ งั้นผมไปก่อนนะ พอดีว่านัดเพื่อนไว้"

                "ครับ"

                ปอนด์ยิ้มให้ผมก่อนเดินจากไป คล้ายจะหวังดี ทว่าความรู้สึกที่สื่ออกมากลับมีแต่บรรยากาศด้านลบ เป็นแบบนี้แล้วผมควรคิดยังไงกับการสนทนาเมื่อครู่นี้

                ทุกการพบเจอกันในวันนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยงั้นเหรอ



                ผมพิมพ์บอกลิขิตไปว่าเจอกันที่ลานจอดรถก่อนตัดสินใจเดินตามไอ้น้องปอนด์ไป เพราะตัวน้องมันสูงเลยมองหาได้ไม่ยาก เว้นระยะห่างพอสมควรไม่ให้คนที่ดูระวังตัวจับได้

                ลงบันไดเลื่อนมาจนถึงชั้นหนึ่งไอ้เด็กตัวสูงก็เดินตรงไปที่ทางออก ก่อนแยกกันน้องมันบอกผมว่านัดเพื่อนเอาไว้ ไม่รู้มันไปนัดกันที่ตรงไหน เพราะเดินออกประตูห้างฯ ก็เจอป้ายรถเมล์แล้ว

                เป้าหมายที่ผมสะกดรอยตามหันมองด้านหลังทุกห้าก้าวที่เดินกระทั่งออกประตู ผมออกจากหลังเสาก้าวยาวๆ ตามไป เพื่อหลบที่หลังเสาอีกต้น เป็นประสบการณ์ลุ้นระทึกที่ไม่คิดว่าจะได้ทดลองทำมาก่อน

                คำว่านัดเพื่อนของไอ้น้องปอนด์อาจจะเป็นการนัดเพื่อไปที่ไหนสักแห่งเมื่อน้องมันขึ้นรถคันหนึ่งไป แต่ดันเป็นคันที่ผมจำได้แม่นเสียอย่างนั้น

                รถคันเดียวกับที่ไอ้แฮมขับมาหาไอ้ดื้อที่คาเฟ่

                ยิ่งใกล้วันนั้นในอดีตยิ่งมีเรื่องให้ลุ้นเต็มไปหมด



                แวะไปส่งลิขิตที่หอพุดตานก่อนตรงไปหาไอ้ดื้อที่บ้าน ผมบอกเหตุผลที่มาช้าไปตั้งแต่เมื่อวาน โดยอ้างว่าต้องพาพี่ชายไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เพื่อน และได้เตี๊ยมกับลิขิตไว้เรียบร้อยกันพลาด แต่ไอ้ดื้อไม่ใช่คนขี้สงสัยในเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น น้องเข้าใจและไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม

                กว่าจะมาถึงก็เลยเที่ยงมาแล้วสามชั่วโมง ผมซื้อขนมมาตุนถึงใหญ่ เราขนขึ้นไปกินบนห้องและเปิดหนังดูไปด้วย กิจกรรมธรรมดาๆ ในวันธรรมดาๆ ของเรา

                "เออใช่ วันนี้พี่เจอพี่รหัสเราที่ชื่อปอนด์ด้วย" ผมชิงสารภาพระหว่างดูหนังทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ถาม เผื่อว่าพี่น้องเขาจะคุยกันแล้วเอาเรื่องผมมาพูดให้ฟัง

                "รู้จักกันด้วยเหรอ" ทำหน้าสงสัยถามกลับมา

                "ก็พี่รหัสเราอ่ะเข้ามาทัก ก็รู้จักตอนนั้น"

                "แล้วพี่ปอนด์ไปทำอะไรอ่ะ"

                "เห็นบอกนัดเพื่อน"

                "พวกพี่มุนล่ะมั้ง" ว่าพลางทำคิ้วขมวดหยิบมือถือขึ้นมาดู

                "คุยกับพี่รหัสบ่อยมั้ยเรา"

                "ก็คงไม่บ่อยเท่าพี่กาลหรอก"

                "ไม่ต้องแซวก็ได้"

                ไอ้ดื้อหันมองผมแล้วอมยิ้มก่อนจะหันกลับไปสนใจหน้าจอมือถือ จะว่าไปแล้วช่วงนี้ผมก็ไม่ได้คุยกับพี่ณดาเหมือนกัน หลังจากคุณพี่เธอมาแสดงความยินดีที่มีแฟนก็เงียบหายไปเลย

                "ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้คุยเท่าไร" ตอบคำถามก่อนกดล็อกมือถือวางไว้เหมือนเดิม

                "ปอนด์นี่เป็นคนยังไงเหรอ"

                "ก็ดีครับ พี่เขาก็ช่วยอะไรหลายๆ เรื่อง"

                "ก็ดีแล้ว"

                "แต่จริงๆ ตอนนี้ทะเลาะกันอยู่" บอกแล้วก็ทำหน้าเศร้า

                "ทำไมเป็นงั้น"

                "เรื่องพี่แฮมนั่นแหละ พวกพี่มันก็รู้จักกันคงไปเล่าให้ฟังกันหมดแล้ว พี่ปอนด์ผมทำเกินไป อธิบายเหตุผลให้ฟังไปแล้วนะ แต่ก็ไม่เข้าใจกัน ตอนนี้เลยทะเลาะกันอยู่"

                "ตั้งแต่เมื่อไร"

                "ก็ตั้งแต่วันนั้นนั่นแหละ"

                "ไม่เห็นบอกพี่"

                "แค่นี้พี่กาลก็เครียดแล้วอ่ะ ไม่อยากเอาอะไรไปใส่หัวอีก"

                "แล้วก็เครียดอยู่คนเดียว" นิสัยที่ชอบเก็บบางเรื่องไว้กับตัวคนเดียวไม่เคยเปลี่ยนเลย

                "แต่เดี๋ยวก็ดีกัน ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก"

                "รีบๆ ไปเคลียร์กันให้เข้าใจเลย"

                "รู้แล้วครับ"

                ยีหัวไม้กวาดไปหนึ่งทีก่อนเราจะกลับไปสนใจหน้าจอทีวีต่อ แม้ในหัวผมจะไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังฉายอยู่เลยก็ตาม

                เมื่อปีก่อน ตั้งแต่ไอ้ดื้อออกจากโรงพยาบาลกลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน ทั้งที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแต่นับครั้งได้เลยที่ปอนด์แวะเวียนมาเยี่ยม จริงอยู่ที่ความแน่นฟ้อนของสายสัมพันธ์ย่อมลดลงไปตามกาลเวลา จนสุดท้ายเหลือเพียงผมคนเดียวที่คอยเทียวไปหา แต่คนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนเส้นความสัมพันธ์มันควรยาวกว่านั้นไม่ใช่เหรอ

                บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต อาจจะมีอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้



tbc.


เรื่องใกล้จะคลี่คลายแล้ว หรือจะซับซ้อนกว่าเดิม
เหลืออีกสามตอนจะจบแล้วค่า มาให้กำลังใจน้องเหนือกัน
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเจ็ด__20/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-03-2020 19:55:09
 :pig4: :pig4: :pig4:

ปอนด์ชอบแฮม หรือเปล่า?

เผลอ ๆ ตัวร้ายของเรื่อง  อาจเป็นปอนด์ไม่ใช่แฮม
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเจ็ด__20/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-03-2020 18:12:29
มีประเด็นความซับซ้อน ไม่ให้เคลียร์กันง่ายๆหรอก
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเจ็ด__20/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-03-2020 02:17:35
สองคนนี้เกี่ยวกันยังไง มีอะไรลับหลังเจ้าดื้อบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบแปด__22/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 22-03-2020 18:41:01

กาลครั้งสิบแปด



                สุดท้ายเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงวันสิ้นสุด โดยที่ผมไม่สามารถแก้ไขหรือหยุดยั้งมันเอาไว้ก่อนได้

                ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าวันที่เท่าไรของเราคือวันสุดท้ายเมื่อครั้งอดีต แต่ที่สามารถยืนยันให้ชัดเจนได้คือความรู้สึก มันบอกผมว่าอย่างนั้น ความรู้สึกวูบโหวงในใจที่เหมือนกับว่ากำลังจะมีบางอย่างหายไป

                เรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ สุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยดีอย่างที่ทุกคนคอยพร่ำบอกผมจริงๆ น่ะเหรอ

                วันนี้ผมพาไอ้ดื้อมาที่บ้านเพื่อลดความเสี่ยงทุกช่องทาง ออกให้ห่างจากหอพักสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์กาลเลวร้ายในอดีต เราอยู่ด้วยกันสองคนที่นั่น ทะเลาะกัน และผมก็ไล่น้องออกไป แต่วันนี้ที่บ้านผม มีทั้งแม่ ลิขิตและพุดตาน ผมไม่มีทางปล่อยไอ้ดื้อออกไปไหนง่ายๆ เด็ดขาด

                ที่บ้านเราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น กินขนม ดูหนัง สลับกับพูดคุย ผมพยายามไม่เครียด ไม่อยากทำให้ไอ้ดื้อสงสัยแล้วเครียดตามไปด้วย เพราะแค่นี้น้องมันก็ตั้งคำถามกับผมอยู่ทุกวัน

                "เราต้องหลบแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไรอ่ะพี่กาล"

                "จนกว่าไอ้แฮมมันจะยอมตัดใจล่ะมั้ง ทำไมอ่ะ เบื่อที่จะอยู่กับพี่แล้วเหรอ"

                "ไม่ใช่ แค่มันดูลำบาก บางทีอาจจะไม่ได้มีอะไรน่าห่วงขนาดนั้นก็ได้ หรือยังห่วงเรื่องที่ผมฝันอยู่"

                "ก็ส่วนหนึ่ง"

                "มันไม่เป็นจริงหรอก"

                "ก็กันไว้ก่อน"

                "พี่แฮมมันไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอกเชื่อสิ"

                ผมคงยอมเชื่อถ้าเรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง วันใดวันหนึ่ง คนที่เคยคิดว่ารู้จักดี อาจจะกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาเลยก็ได้

                "ขอสังเกตการอีกวันแล้วกัน"

                "จริงๆ ผมให้เพื่อนคอยส่องความเคลื่อนไหวพี่แฮมให้อยู่นะ ก็ไม่เห็นว่าพี่มันจะทำอะไรเลย"

                ฟังยังไม่ทันจบประโยคดีคนที่มีเรื่องปิดบังอย่างผมก็เกิดอาการลุกลี้ลุกลนอยู่ภายใน เพื่อนคนไหนกันที่ไอ้ดื้อไปขอให้ช่วย แล้วเพื่อนคนนั้นจะรู้มั้ยว่าเมื่อวานไอ้แฮมมันไปไหนและทำอะไร

                "โกรธเหรอ" เห็นผมเงียบไอ้ดื้อก็ยื่นหน้าเข้ามาถาม"

                "เรื่อง"

                "ที่บอกไปเมื่อกี้ไง แค่ให้เพื่อนส่องให้เฉยๆ นะ ผมไม่ได้คุยกับพี่แฮมมันเลย"

                "ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

                "ก็เห็นเงียบ"

                "แค่คิดอะไรอยู่เฉยๆ"

                "คิดอะไรครับ"

                หันไปจ้องตาเด็กดื้อที่มองกันตาแป๋ว ผมแค่กำลังคิดอยู่ว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร คิดแล้วก็นึกไปถึงอดีตเพื่อนที่ตอนนี้กลายเป็นพี่รหัส ในสถานการณ์ตอนนี้ไม่รู้จะไว้ใจใครได้สักแค่ไหน

                "คิดว่าถ้าไอ้แฮมเลิกรังควานเราจริงๆ ก็คงดี"

                "เพราะงั้นเราเลยต้องคุยกันให้รู้เรื่องไง"

                "คุยกับมันน่ะเหรอ"

                "ก็ใช่ไงครับ"

                "ไม่มีประโยชน์หรอก" ได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

                ไอ้ดื้อหรี่ตามองกันเพราะคำพูดของผมมันชวนให้สงสัย รอให้ผ่านวันนี้ไปก่อนแล้วผมจะยอมบอกทุกอย่างเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง จะเล่าให้หมดว่าไอ้คนที่อยากคุยทำความเข้าใจด้วยนักหนามันหัวแข็งขนาดไหน

                "หยุดจ้องเลย" จิ้มหน้าผากคนยื่นหน้าเข้ามาให้ออกห่าง ไอ้ดื้อทำหน้าขัดใจ ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ

                "ยังไม่ได้ลองคุยเลย"

                รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผมไม่อยากคุยเรื่องไอ้แฮมวันนี้เลยจริงๆ

                "ก็ได้ครับ"

                แต่สุดท้ายก็ต้องยอม

                "จะไปคุยกับพี่แฮมตรงๆ แล้วใช่มั้ย"

                "พรุ่งนี้ค่อยคุยโอเคมั้ย วันนี้อยู่กับพี่ก่อน นะครับ"

                เด็กดื้ออมยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับ มองซ้ายมองขวาก่อนขยับเข้ามาหอมแก้มแล้วลุกออกไปเมื่อได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เดินไปหาพุดตานที่ถูกลิขิตชวนออกไปให้อาหารปลาที่สระน้ำเล็กๆ ในสวนหน้าบ้าน

                ผมเชื่อว่าถ้าผ่านวันนี้ไปได้ปัญหาทุกอย่างจะจบ ความทรงจำของผู้เกี่ยวข้องจะถูกปรับแต่งใหม่เหมือนอย่างที่ลิขิตเคยบอก หากเป็นอย่างนั้นจริง สัญญาที่ให้กันไว้เมื่อครู่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป

               

                ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว และใกล้จะถึงเวลานั้นในอดีตแล้วเช่นกัน

                ผมกับไอ้ดื้อขลุกตัวอยู่บนห้องนอน กินข้าวเสร็จก็ง่วงหลับไปตั้งแต่บ่ายสอง เด็กดื้อที่อยู่ในวัยกำลังโตซุกหน้าอยู่กับหมอนไม่มีท่าทีว่าจะยอมตื่นง่ายๆ ไม่รู้ไปอดนอนมาจากไหนนัก

                มันดีแล้วที่ไอ้ดื้อหลับยาวอยู่แบบนี้ แต่ก็เหมือนไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดนี้ไม่เป็นใจ สุดท้ายแล้วเจ้าหญิงนิทราก็ตื่นจากการหลับใหล โดยที่เจ้าชายไม่จำเป็นต้องจุมพิต และตื่นก่อนเวลาที่เจ้าชายอยากจะให้เป็น

                ไอ้ดื้อคว้ามือถือมาดูเวลาเป็นอันดับแรกเมื่อลืมตา ก่อนจะรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง

                "ห้าโมงกว่าแล้วอ่ะ"

                "แค่ห้าโมง นอนต่อก็ได้"

                "พอแล้ว เดี๋ยวกลางคืนนอนไม่หลับ"

                ผมช่วยจัดผมไม้กวาดของคนที่ปฏิเสธคำเชิญชวนให้เข้าที่เข้าทาง ขณะที่อีกฝ่ายยังพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด

                "ผมกลับเลยดีมั้ย ถ้ากลับตอนนี้น่าจะถึงบ้านพร้อมแม่พอดี"

                "ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนเหรอ"

                "ข้าวกลางวันยังไม่ย่อยเลยพี่กาล กินปุ๊บนอนปั๊บ ดีที่ไม่เป็นกรดไหลย้อน ไม่งั้นปวดท้องทรมานอีก"

                "บ่นเก่ง"

                "พูดให้ฟังเฉยๆ" แล้วก็เถียงเก่งด้วย

                "ครับๆ แล้วยังไม่หิวจริงอ่ะ"

                "จริงๆ ก็เริ่มหิวนิดหน่อย"

                "งั้นรอกินข้าวเย็นก่อนเดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านโอเคมั้ย"

                ไอ้ดื้อทำหน้าคิดหนัก ลักพาตัวมาอยู่ด้วยกันทั้งวันแล้วน้องคงอยากกลับไปใช้เวลากับแม่บ้าง แต่ยังไงผมก็อยากให้มันผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อน ถ้าค้างด้วยกันได้ยิ่งดี หรือไม่ก็ให้ผมไปค้างที่บ้านน้องแทน ทำทุกวิธีทางเพื่อกักตัวน้องเอาไว้

                "ไม่ดึกมากหรอก" บอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังตัดสินใจไม่ได้สักที

                "ก็ได้ครับ"

                ดึงแก้มนิ่มๆ ที่เหมือนจะบวมจากการตื่นนอนแทนคำชม ไอ้ดื้อเลยโน้มตัวเข้ามาหา ใช้ปลายจมูกจิ้มแก้มผมหนึ่งทีก่อนผละออก

                "ไปล้างหน้าก่อนนะ" น้องบอกก่อนหยิบมือถือลุกขึ้นจากเตียง

                "เสร็จแล้วตามลงไปข้างล่างเลยนะ เดี๋ยวพี่ไปดูก่อนว่าแม่ทำอะไรไว้ให้กิน"

                ไอ้ดื้อพยักหน้ารับก่อนออกจากห้องไป



                ยิ่งใกล้เวลานั้นผมก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ดี ลงมาจากห้องนอนได้เกือบสิบนาทีแล้วกลับยังไม่เห็นวี่แววของเด็กดื้อว่าจะตามลงมา สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปดู

                ผมแวะดูที่ห้องน้ำไม่เห็นใครเลยเดินกลับเข้าห้องนอน ไอ้ดื้อนั่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาก็ละสายตาจากมือถือในมือเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยแววตาและสีหน้าที่ดูเปลี่ยนไป

                "ทำไมยังไม่ลงไปอีก เป็นอะไรหรือเปล่า" ก้าวไปยืนตรงหน้าพร้อมเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ในใจผมยังคงรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ

                "เมื่อวานพี่กาลไปเจอพี่แฮมมาเหรอ" แล้วคำถามที่น่าจะเป็นต้นเหตุสีหน้าบึ้งตึงของคนตรงหน้าก็ถูกถามออกมา

                ผมไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ก็ไม่ได้ตอบออกไปในทันที เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ นี้มันกำลังเล่นงานผม เพราะฉะนั้นก่อนจะตอบอะไรออกไปต้องคิดให้ดีๆ ผมไม่อยากทะเลาะกับน้องให้เป็นสาเหตุที่จะเกิดเรื่องเดิมซ้ำรอยอีกครั้ง

                "พี่กาล"

                "ครับ ไปเจอมา แค่คุยอะไรกันนิดหน่อย"

                "แล้วทำไมไม่บอกผม"

                "พี่แค่ไม่อยากให้เราเป็นห่วง"

                "แล้วมารู้ทีหลังแบบนี้ผมไม่ห่วงกว่าเดิมเหรอ"

                "มันไม่มีอะไรต้องห่วงเลยเอิร์ธ"

                "พี่กาลคิดว่าพี่ห่วงผมเป็นคนเดียวเหรอ พี่ไม่ยอมให้ผมคุยกับพี่แฮมแต่พี่กลับแอบไปนัดเจอกันโดยไม่บอกผมเนี่ยนะ"

                "ใจเย็นก่อนได้มั้ย" ผมพยายามพูดอย่างใจเย็นเพราะรู้ว่าไอ้ดื้อกำลังอารมณ์ไม่ดี แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมฟังกันง่ายๆ

                เพราะอะไรที่ทำให้เด็กดีของผมดูดื้อร้นถึงเพียงนี้ เพราะผมที่โกหก หรือเพราะเรื่องราวแปลกประหลาดที่พยายามดึงเราเข้าสู่ปัญหาเดิมๆ กันแน่

                "แล้วเราไปรู้เรื่องนี้จากไหน มันบอกเหรอ"

                "สำคัญด้วยเหรอ"

                "เอิร์ธ พี่ขอร้องเลยนะ ไม่อยากทะเลาะ"

                "แต่ก็ทำทั้งที่รู้ว่าต้องทะเลาะกันแน่ๆ"

                "พี่ผิด พี่ขอโทษ แค่อยากไปเคลียร์ อยากคุยให้มันรู้เรื่อง ไม่ได้อยากปิดบัง แล้วก็ไม่ได้อยากทะเลาะกับเราด้วย"

                "งั้นก็แสดงว่าคุยกันไม่รู้เรื่องใช่มั้ย ผมถึงยังต้องมาติดแหง็กอยู่กับพี่แบบนี้"

                "อย่าประชดได้มั้ย"

                คำพูดของไอ้ดื้อรุนแรงจนผมรู้สึกปวดหนึบที่ใจ 'ติดแหง็ก' มันเหมือนกับว่าการที่ต้องมาอยู่กับผมแบบนี้น้องไม่ได้เต็มใจเลย หรือจะพูดในอีกความหมายคือไม่ได้อยากอยู่ด้วยกัน

                "ความฝันบ้าบอ" ไอ้ดื้อพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง

                จุดเริ่มต้นของเรื่องราวบ้าๆ นี้เกิดขึ้นจากความฝัน ฝันร้ายของผมหายไปกลายเป็นไอ้ดื้อที่ฝันถึงเรื่องราวในอดีตแทน ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ใจมันก็อดหงุดหงิดไม่ได้

                เรื่องที่เกิดขึ้นมันโคตรบ้าบอ

                "ลงไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวแม่รอ" ผมเลือกที่จะตัดบทเพื่อยุติการทะเลาะ รอให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน ถ้าหากอดีตเลวร้ายครั้งนั้นเปลี่ยนไป จะโดนโกรธหรือถูกโยนอารมณ์ใส่แค่ไหนผมก็ยอม

                ไอ้ดื้อไม่ตอบอะไรแล้วเดินสวนผมออกจากห้องไป ผมอยากรู้นักว่าน้องรู้เรื่องได้ยังไง คนที่บอกไม่น่าใช่ไอ้แฮมเพราะถูกบล็อกทุกช่องทางไปแล้ว คนที่รู้เรื่องที่ผมรู้และน้องรู้จักก็เหลือแค่ลิขิตกับปอนด์ ซึ่งตัดพี่ชายผมออกไปได้เลย เพราะคนที่ไม่น่าไว้ใจที่สุดก็คือพี่รหัสของไอ้ดื้อ คนที่บอกเจ้าตัวบอกว่ากำลังทะเลาะกันอยู่

                หันมองนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้หกโมงเย็นความทรงจำให้อดีตก็เริ่มชัดเจนขึ้นมาทุกที เสียงที่ตอบโต้กันด้วยอารมณ์ภายในห้องสี่เหลี่ยมหยุดลง คนหนึ่งไล่ อีกคนก้าวออกจากห้อง แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็สายเกินแก้

                แต่ด้วยความแปลกประหลาดของครอบครัวผม ด้วยชื่อของผม ปัจจุบันกำลังจะถูกเขียนขึ้นใหม่ ทว่าผมกลับไม่ได้รู้สึกโล่งใจขึ้นเลย

                ตามลงมาข้างล่างเจอแค่ลิขิตกับพุดตานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แม่ยังเตรียมอะไรอยู่นิดหน่อย ไร้วี่แววของเด็กดื้อที่ลงมาก่อนหน้านี้

                "เอิร์ธอ่ะ"

                "เห็นบอกว่าจะออกไปเดินเล่น" ลิขิตตอบ

                "เดินเล่นที่ไหนวะ"

                "แถวบ้านนี่แหละมั้ง มีอะไรหรือเปล่าวะ"

                "เดี๋ยวกูออกไปดูก่อนนะ" ผมก้าวออกจากบ้านอย่างรีบร้อนโดยไม่คิดจะตอบคำถาม

                ปล่อยไอ้ดื้อไปแล้ว ปล่อยไปทั้งที่รู้ว่าเวลานี้ไม่สมควร

                'ไม่ใช่หรอก' ผมพยายามบอกตัวเองขณะเดินหาไอ้ดื้อรอบๆ บ้าน น้องก็แค่ออกมาเดินเล่นไม่ได้หนีไปไหน แต่ทำไมถึงได้หาไม่เจอ เวลาแค่ไม่กี่นาทีจะเดินไปได้ไกลแค่ไหนกัน

                "เอิร์ธ อยู่ไหน"

                ความหวั่นวิตกเริ่มก่อตัวมากขึ้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ผมวิ่งกลับเข้าบ้าน คว้ากุญแจรถแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากใคร

                หากเรื่องราวแปลกหลาดนี้กำลังดึงเราให้กลับสู่อดีต จุดหมายที่ไอ้ดื้อมุ่งไป เรื่องราวที่กำลังจะเกิด ยังไงก็ต้องเป็นสถานที่เดียวกัน

                ในใจร้อนรนจนเหมือนจะควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่ได้ รีบร้อนขาดสติถึงขั้นลืมหยิบมือถือติดตัวมา รวมทั้งกระเป๋าสตางค์หรือสิ่งของจำเป็นอื่นๆ แต่ถ้าหากยังรีรอ ทุกอย่างก็อาจจะสายเกินแก้

                แม้จะเป็นเหนือกาล แต่คงไม่มีโอกาสครั้งที่สามให้แก้ตัว

                เส้นทางที่มุ่งหน้าไปชัดเจนในความทรงจำ เลี้ยวรถเข้าซอยที่เป็นชุมชน ที่พักอาศัยของมันอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก สองข้างทางมีร้านขายของสลับกับหอพักตลอดแนว ด้านบนมีถนนเส้นใหญ่พาดผ่าน ทำให้แม้จะมีไฟติดตามรายทางแต่สถานที่แห่งนี้กลับดูเหมือนอยู่ใต้พื้นดิน

                ผมเลี้ยวรถเข้าจอดยังพื้นที่ว่างข้างสนามบอลคอนกรีตขนาดเล็ก ไม่ไกลกันนักมีหอพักและร้านเหล้า สถานที่ที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะปลอดภัย เป็นอีกคำถามที่ผมสงสัยว่าทำไมไอ้ดื้อถึงได้กล้ามาที่แบบนี้ตอนมืดๆ คนเดียว

                เพราะมีคนที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างนั้นน่ะเหรอ

                ลงรถเดินไปยังร้านที่อยู่ข้างหอพัก กลุ่มไอ้แฮมอยู่ที่นั่น แต่แปลกที่ทุกอย่างกลับยังดุปกติดี

                กวาดสายตามองหาไอ้ดื้อที่ควรจะอยู่ที่นี่ กระทั่งสายตาสบเข้ากับตัวการของปัญหาเมื่อครั้งอดีต รวมถึงใครอีกคนที่ผมไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ด้วย แต่กลับไร้วี่แววของคนที่ตามหา

                ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ในร้าน แต่เป็นไอ้แฮมที่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัยก่อนจะเป็นฝ่ายเดินมาหาผมแทน ดูจากสภาพแล้วมันคงกำลังเมาได้ที่

                "เอิร์ธอยู่ไหน" ผมชิงถามออกไปก่อน ไม่เห็นตัวใช่ว่าคนที่ถามถึงจะไม่มา ถ้าเป็นผมที่มาถึงก่อนก็คงดี

                "กูจะไปรู้มั้ย"

                "น้องมาหามึง"

                "เอิร์ธไม่ได้มาหากู"

                ผมไม่ได้มีธุระกับไอ้แฮม สิ่งที่ตั้งใจไว้คือมาตามตัวไอ้ดื้อกลับเท่านั้น ซึ่งถ้าน้องไม่ได้อยู่ที่นี่จริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องคุยกับมันอีก

                "เดี๋ยวดิวะ" มันเรียกตอนผมกำลังจะหันหลังให้ ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะกลับ แค่จะไปหาที่สังเกตการณ์ ผมยังไม่วางใจว่าไอ้ดื้อไม่ได้มาที่นี่จริงๆ

                "อะไร"

                "มึงออกมาตามหาเอิร์ธเหรอ"

                ผมไม่ได้ตอบ ไม่อยากเล่าหรือพูดเรื่องโกหกให้คนอย่างมันฟัง แต่ปากคนเมามักจะชอบหาเรื่อง

                "ไม่ตอบแสดงว่าจริง เอิร์ธอาจจะหนีมึงไปแล้วก็ได้ใครจะรู้ ทำไมวะ สันดานเดิมมันออกเหรอ"

                "กูจะคิดซะว่ามึงเมา"

                "ถึงไม่เมากูก็จะพูด เอิร์ธเห็นสันดานมึงแล้วล่ะสิถึงได้หนีไป ถ้าดูแลไม่ได้ก็ปล่อยน้องออกมา กูมีปัญญาดูแลแทนมึง"

                "ถามน้องหรือยังว่าอยากให้มึงดูแลมั้ย"

                มันแสยะยิ้มใส่ผม เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเมากับเลยตัดสินใจเดินออกมาทั้งอย่างนั้น โดยมีเสียงไอ้แฮมตะโกนด่าไล่หลัง

                เดินห่างออกมาจากร้านก็นึกโมโหตัวเองที่ใจร้อนจนลืมทุกสิ่ง ถ้ามีมือถือยังพอโทรเช็กได้ว่าไอ้ดื้ออยู่ที่ไหน หรือไม่ก็ติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ แต่ตอนนี้ทำได้แค่หงุดหงิดตัวเองเท่านั้น

                เดินผ่านซอยมืดๆ ก่อนถึงที่จอดรถก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีคนเดินตาม ผมหันหลังกลับไปมอง เป็นผู้ชายสองคนที่ไม่คุ้นหน้า คงเป็นคนที่อยู่แถวนี้

                จะว่าไปในร้านนั้นไอ้ปอนด์พี่รหัสของไอ้ดื้อก็นั่งอยู่ด้วย ผมไม่แปลกใจแต่ยังคงสงสัยว่าสรุปแล้วเรื่องเลวร้ายในอดีตมีใครรู้เห็นบ้างกันแน่ จะเป็นฝีมือไอ้แฮมคนเดียวจริงๆ น่ะเหรอ

                ขณะที่กำลังคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆ ไหล่ผมก็ถูกสะกิด เมื่อหันไปหมัดหลุนๆ ก็กระแทกเข้าที่หน้า ความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมา ยังไม่ทันได้มองคู่กรณีให้ชัดๆ อีกสองหมัดก็ตามเข้าที่หน้าและท้องจนเซล้มลง

                ผมพยายามมองว่าไอ้คนที่มันเข้ามาเล่นงานผมเป็นใคร พวกมันมากันสองคนซึ่งความจริงก็เดาได้ไม่ยาก แต่เหตุผลที่มันทำแบบนี้เป็นเพราะอะไรกัน

                ก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืนได้ผมก็โดนพวกมันลากเข้ามาในซอย โดนต่อยอีกหลายหมัดจนยากเกินจะเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เรี่ยวแรงที่เคยมีถูกดึงออกไปด้วยหมัดและเท้า พยายามขัดขืนเท่าที่จะพอมีแรงแต่ก็ไร้ผล

                หมัดที่หนึ่งและสองเข้าที่หน้า หมัดที่สามโจมตีที่ท้อง ลากเข้ามาในซอยได้พวกมันก็รุมกระทืบผมแบบไม่ยั้งมือยั้งตีน

                เจ็บหนักจนชา ผมอาจจะตายก็ได้ถ้าพวกมันเตะอัดผมอีกสักครั้ง ตาพร่าเลือนเปลือกตาหนักจนลืมขึ้นแทบไม่ไหว หูอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร ผิวหน้ารู้สึกเหนอะหนะ เหม็นกลิ่นคาวเลือดตัวเอง

                ความรู้สึกตอนถูกซ้อนเจียนตายมันเป็นแบบนี้เองสินะ ความรู้สึกของไอ้ดื้อในตอนนั้น

                สรุปแล้วไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ นี้มันคือโอกาสครั้งที่สองของผม หรือเวรกรรมที่ผมต้องชดใช้กันแน่

                น่าตลกชะมัด แต่เป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกเลยสักนิด

                "สรุปให้เอาไงต่อ" เสียงของหนึ่งในนั้นแว่วเข้าหูพอให้ผมจับคำได้

                "ถามไอ้ปอนด์ดิ มันจะมายังเนี่ย"

                "นั่นไง เดินมาแล้ว"

                เปลือกตาผมปิดลงเมื่อคำพูดของใครสักคนสิ้นสุด

                ไอ้ปอนด์งั้นเหรอ เป็นชื่อนี้จริงๆ งั้นเหรอ หูผมไม่ได้เพี้ยนไปเองใช่มั้ย

                "จะให้เอาไงต่อ"

                "ทิ้งไว้แบบนี้แหละ" แล้วเสียงที่ผมเคยได้ยินที่ไหนสักที่ก็ดังให้ได้ยิน

                "จะไม่ตายใช่มั้ยวะ"

                "แค่นี้คงไม่ตายหรอก"

                ใครสักคนคงกำลังใช้เท้าเขี่ยผม แต่เปลือกตามันหนักจนไร้เรี่ยวแรงจะเปิดขึ้นดูว่ามันคือใคร

                "แล้วมึงจะไม่โดนอะไรใช่มั้ย"

                "ถ้ามันไม่รู้ว่ากูคือใครก็คงไม่"

                "โกรธเกลียดอะไรขนาดนั้นวะ"

                "ไม่ใช่เรื่องของมึง"

                สิ้นเสียงบางอย่างก็กระแทกเข้าที่หน้าผมอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป



tbc.


มีคนเดาถูกด้วย แต่ปอนด์กับแฮมจะมีซัมติงกันหรือเปล่านั้นตอนหน้ามีเฉลยค่ะ
อีกสองตอนจะจบแล้ว มาเอาใจช่วยเหนือกาลของเรากันค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบแปด__[22/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-03-2020 18:50:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอตอนต่อไป

สงสัยต้องมีย้อนเวลาครั้งที่ 3 แล้วเรื่องราวก็จะ  happy ending
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบแปด__[22/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 23-03-2020 02:24:06
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเก้า__[25/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 25-03-2020 17:36:57

กาลครั้งสิบเก้า


                เจ็บปวดระบมไปทุกส่วน มันร้าวไปหมดจนไม่อยากขยับ ไม่อยากรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วหลับไปอีกครั้ง แต่ผมคงนอนนานเกินไปร่างกายถึงได้ปฏิเสธคำขอ

                ผมลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด รอจนตาปรับการมองเห็นได้ถึงได้เห็นว่ามีคนนอนอยู่บนโซฟาข้างเตียง ผมยังรู้สึกมึนงง อยากถามออกไปเหมือนกันว่าที่นี่ที่ไหน แต่ความเจ็บปวดที่กำลังเล่นงานร่างกายอยู่ได้ตอบในสิ่งที่ผมอยากรู้แล้ว

                ขอบคุณที่ผมยังสามารถตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง

                เส้นผมยาวๆ ที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมาบอกให้ผมรู้ว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือใคร ผมพยายามจะส่งเสียงเรียก ทว่าลำคอนั้นแห้งผาก มันรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะเค้นแรงให้มากกว่านี้

                ขณะที่หัวกำลังปวดตุบๆ ประตูห้องก็เปิดออก มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ผมมองไม่ออกว่าเขาเป็นใครเลยพยายามเพ่งมอง ก่อนไฟในห้องจะถูกเปิดทำให้ผมต้องหลับตาลงอีกครั้ง

                "กาลฟื้นแล้วเหรอลูก" เสียงของพ่อเอ่ยถามแต่มันยากเกินที่จะลืมตา ผมขยับมือบอกเป็นสัญญาณ แล้วทันใดนั้นภายในห้องก็เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที



                หลังจากหมอเข้ามาตรวจอาการผมก็หลับไปอีกรอบ ตื่นอีกทีสิบเอ็ดโมง ตอนที่พ่อเห็นว่าผมฟื้นแล้วเล่นตะโกนเรียกหมอซะเสียงดังลั่นทั้งที่เขามีปุ่มให้กดเรียกพยาบาล แม่เองก็ตกใจตื่น ไม่กี่วินาที่ต่อมาหมอกับพยาบาลก็เข้ามาล้อมเตียงผม แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอน

                ตื่นขึ้นมาอีกทีเป็นลิขิตที่นั่งอยู่บนโซฟา มันหลับแบบหมดสภาพ คิดว่าหลังจากผมถูกหามส่งโรงพยาบาลทุกคนคงเหนื่อยกันน่าดู เป็นห่วงจนไม่ได้หลับได้นอน ไอ้ดื้อเองป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง

                เห็นพี่ชายกำลังหลับผมเลยไม่อยากกวน เปลี่ยนมาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ทุกอย่างจะดูเลือนรางก็ตามที แต่เหมือนว่าโชคชะตาจะยังไม่อยากให้ผมใช้ความคิด เพราะอยู่ๆ ลิขิตมันก็สัปหงกจนสะดุ้งตื่นแล้วหันมาสบตากับผม ไอ้พี่ชายเบิกตากว้างก่อนจะคว้าสายกดมากดเรียกพยาบาลก่อนจะได้ทักทายผมเสียอีก

                การตรวจเช็กอีกครั้งผ่านพ้นไปไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ลิขิตกลับเข้ามาในห้องหลังจากขอตัวออกไปโทรหาพ่อกับแม่เพื่อบอกอาการของผม เมื่อกลับเข้ามามันก็นั่งลงข้างเตียง รอยยิ้มโล่งใจปรากฏบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้านั้น

                "กูนึกว่าจะกลายเป็นลูกคนเดียวซะแล้ว"

                "ปากเสียไอ้สัด"

                คนโดนว่าหัวเราะ มันคือการแสดงออกถึงความดีใจที่ผมยังไม่จากมันไปไหน

                "เดี๋ยวแม่มาตอนบ่ายนะ ส่วนพ่อมาหลังเลิกงาน"

                "มึงมาเฝ้ากูเมื่อเช้าเหรอ"

                "เออ แม่โทรหาก็ตาสว่างเลย แต่พอมาถึงมึงก็หลับไปแล้ว เลยให้พ่อกับแม่กลับไปพัก"

                ผมพยักหน้ารับ ใจกำลังนึกถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามลิขิตมันก็บอกขึ้นมาเองอย่างกับรู้ความคิดของผม

                "ส่วนเอิร์ธน่าจะมาตอนบ่ายเหมือนกัน"

                "น้องสบายดีใช่มั้ยวะ"

                "เออ สบายดี แต่จะไม่สบายเพราะอยู่ๆ มึงก็ขับรถออกจากบ้านไปแล้วดันโดนซ้อมจนปางตายนี่แหละ มึงออกไปทำไมวะ ตอนนี้กูยังไม่เข้าใจเลย" มันบ่นยาวเหยียด การติดสินใจของผมทำให้คนรอบข้างลำบากไปด้วย แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้

                "ใครเป็นคนพากูมาโรงบาลวะ"

                "ให้เดา"

                "เอิร์ธเหรอ"

                "เออ"

                ลำดับเหตุการณ์ที่ชวนสงสัยทำให้ผมรู้สึกปวดหัวหนักกว่าเดิม คิ้วขมวดหน้าตาเหยเก พี่ชายแสนดีที่จับสังเกตได้เลยยื่นข้อเสนอบางอย่างออกมา

                "เอางี้ กูจะเล่าเรื่องฝั่งกูให้ฟังก่อน แล้วมึงค่อยเล่าว่าออกไปเจอพวกมันทำไม"

                ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ เมื่อผมตอบตกลง จากนั้นลิขิตมันก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่ผมไม่รู้ให้ฟัง

                "ที่มึงกลับขึ้นไปบนห้องแล้วลงมาถามกูว่าเอิร์ธไปไหน พอกูบอกว่าเอิร์ธออกไปเดินเล่นมึงก็ตามออกไปใช่มั้ย แต่แค่แป๊บเดียวมึงก็กลับเข้ามาแล้วขับรถออกไป กูถามอะไรก็ไม่ตอบ งงกันทั้งบ้าน เอิร์ธก็งง"

                "เดี๋ยว เอิร์ธอยู่ในบ้านเหรอ" ผมรีบเบรกก่อนมันจะได้เล่าต่อ

                "เออไง"

                "แต่มึงบอกน้องออกไปเดินเล่น"

                "ก็เอิร์ธบอกกูว่าแบบนั้น แต่พอมึงขับรถออกไปน้องก็ออกมาจากห้องน้ำ คือยังไม่ได้ออกไปไหน"

                "แม่งเอ๊ย" ผมล่ะอยากเอาหัวโขกกำแพง เพราะความใจร้อนทำให้ผมโง่จนลืมตรวจสอบสิ่งต่างๆ ให้รอบคอบ หรือเป็นเพราะเรื่องแปลกประหลาดที่ทำให้ผมเป็นแบบนั้น

                "ไหนๆ ก็ขัดแล้วงั้นก็ตอบมาเลยว่ามึงขับรถออกไปทำไม" มันขมวดคิ้วถาม

                "เพราะเรื่องแปลกประหลาด ที่จริงวันนั้นเป็นวันที่กูรู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างกำลังจะจบ มันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกูถึงได้พาน้องมาอยู่ด้วยกัน มาอยู่ในสายตามึงกับแม่ ตอนกูขึ้นไปตามน้องเราเถียงกันนิดหน่อย กูปล่อยให้น้องคลาดสายตา กูคิดว่าน้องหนีไปแล้ว กลัวว่าเรื่องร้ายๆ ในอดีตจะเกิดขึ้นอีกเลยรีบตามน้องออกไป"

                "ทั้งที่ไม่รู้ว่าน้องออกไปจริงๆ หรือเปล่า"

                "อดีตมันชี้นำกูไงลิขิต กูเลยตัดสินใจแบบนั้น"

                ลิขิตพยักหน้ารับอย่างเข้าใจไม่ได้ว่ากล่าวอะไรผมเพิ่ม มันเองก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้ย่อมเข้าใจความรู้สึกผมดี แม้เรื่องราวอาจจะต่างกันก็ตาม

                "แล้วยังไงต่อ" ผมทวงให้มันเล่าต่อ

                "พอมึงขับรถออกไปทุกคนก็งง พวกกูวิ่งตามออกไปดูแต่ก็ไม่รู้ว่ามึงจะไปที่ไหน ลองโทรหาก็ไม่รับ จนกูเห็นมือถือมึงวางอยู่บนโซฟา จะขับรถตามไปก็ไม่ทัน กูทักไปหาเพื่อนมึงแต่ไม่มีใครรู้เรื่องซักคน จนเพื่อนเอิร์ธทักมาถึงได้รู้ว่ามึงไปหาไอ้แฮม แล้วก็โดนซ้อมจนมีสภาพแบบนี้"

                "เพื่อนน้องเหรอวะ"

                "จริงๆ กูก็ไม่รู้แค่เดาเอา เอิร์ธบอกแค่ว่ามึงอยู่ที่ไหน"

                "ที่นั่นไม่มีเพื่อนน้องกูจำได้ แล้วคนที่ซ้อมกูก็ไม่ใช่ไอ้แฮม"

                "เออ พวกกูรู้ เอิร์ธจัดการหมดแล้ว"

                "เอิร์ธเหรอวะ" อีกครั้งที่ผมถามด้วยความแปลกใจ

                "ก็พี่รหัสน้องไงที่ซ้อมมึง"

                "ไอ้ปอนด์"

                "เออ ไอ้นั่นแหละ ตอนไปถึงพวกมันยังนั่งกันอยู่ที่ร้านครบแก๊ง ใครสักคนในกลุ่มเป็นคนคอยบอกเอิร์ธ ตั้งแต่เห็นมึงไปโผล่ที่ร้าน เห็นพวกไอ้ปอนด์เดินตามมึงไป พอกลับมาก็หัวเราะคิกคักไม่รู้เกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า ตอนไปถึงเอิร์ธก็เข้าไปคุยดีๆ นะ แต่ไอ้ปอนด์แม่งยั่วโมโหบอกมึงน่าจะตายไปแล้วเลยเกือบมีเรื่อง"

                "พวกมึงไปกันกี่คนวะ ไม่กลัวหรือไง" เห็นสิ่งที่มันทำกับผมแล้วก็หวั่นใจขึ้นมา แม้พี่ชายผมจะยังดูปลอดภัยดีก็เถอะ

                "สามคนรวมพุดตาน จริงๆ กูก็กลัวนะ แต่คนคอยรายงานช่วยกดกันอีกแรง ไอ้แฮมก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนฝั่ง แม่งเมาหรือยังไงไม่รู้ โวยวายใหญ่ว่าไอ้ปอนด์ทำอะไรมึง แบบมันมีสิทธิ์ฆ่ามึงได้คนเดียวอะไรแบบนี้"

                อยากจะหัวเราะแต่ก็รู้สึกปวดตามร่างกาย อยู่ๆ ไอ้คนที่เคยร้ายกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไอ้เรื่องราวสุดแปลกประหลาดนี้มันเล่นงานผมหนักหน่วงเสียจริง

                "แล้วไงต่อ"

                "พวกไอ้ปอนด์เลยจะหนี มีกันสามคนมั้ง อีกสองคนไม่ใช่เด็กมอเรา พวกไอ้แฮมเลยช่วยจับไว้ คนที่คอยรายงานเอิร์ธเลยพาพวกกูเดินออกมาหามึง เห็นรถจอดอยู่เลยช่วยกันหาใกล้ๆ แล้วก็เจอมึงนอนอยู่ในซอย ใจกูแม่งร่วงไปอยู่ตาตุ่ม มือสั่นไปหมด เอิร์ธยิ่งแล้วใหญ่ มือสั่นเสียงสั่น เรียกมึงไปน้ำตาไหลไป พามาส่งโรงบาลแล้วก็นั่งเฝ้าหน้าห้องฉุกเฉินไม่ยอมไปไหน จนอาการมึงปลอดภัยย้ายมาห้องพักฟื้นแล้วถึงได้ยอมกลับบ้าน มึงหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ เลย"

                ผมนึกภาพไอ้ดื้อออกว่าเป็นยังไง มันเหมือนกับภาพซ้อนทับของผมในอดีต ในหัวหนักอึ้งทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนหัวใจถูกควักออกไป ทั้งตื่นตระหนกและเหม่อลอยตอนรู้ข่าว

                "แล้วพวกไอ้ปอนด์..."

                "ส่งให้ตำรวจจัดการไปแล้ว เดี๋ยวตำรวจจะมาสอบปากคำมึงด้วยนะ"

                ได้แต่พยักหน้ารับ

                แม้เรื่องราวบทใหม่จะจบไม่เหมือนเดิม ผมปกป้องไอ้ดื้อไว้ได้ แต่คนที่ถูกทำร้ายจิตใจมากที่สุดยังคงเป็นน้องอยู่ดี

                "แล้วทำไมไอ้ปอนด์มันถึงเล่นงานมึงวะ"

                "กูเองก็ไม่รู้" ยังเป็นเรื่องที่ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ในอดีตตัวละครนี้แทบจะไร้บทบาท หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้รู้จักคนรอบตัวไอ้ดื้อเท่าที่ควร ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดกับน้องยังไง และไม่เคยคิดสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตัวเองเหมือนกัน

                "ไหงเป็นงั้น"

                "กูคงไปทำอะไรให้มันเกลียดโดยไม่รู้ตัวมั้ง อาจจะเป็นเรื่องในอดีต ตัวกูตอนนั้นก็ใช่ว่าจะดีเท่าไร"

                "แต่มึงเป็นน้องที่ดีสำหรับกูนะ โคตรดีใจเลยที่มึงไม่เป็นอะไร"

                "กูก็ดีใจเหมือนกัน"

                บทสนทนาอันเคร่งเครียดของเราจบเพียงเท่านี้ ลิขิตรินน้ำให้ผมดื่ม ใกล้เที่ยงพยายามก็เอาข้าวกับยามาให้ มันช่วยป้อนทั้งที่มือผมยังใช้การได้ดี โดยให้เหตุผลว่าอยากดูแลผมบ้างตอบแทนที่เคยที่ทำอาหารให้กินแม้จะนานๆ ครั้ง



                ประตูห้องเปิดออกอีกครั้งตอนบายโมงกว่า คนที่ผมอยากเจอที่สุดในตอนนี้เดินเข้ามาพร้อมผลไม้ที่น่าจะเป็นของเยี่ยม และรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูบโทรม

                ตอนนี้ลิขิตไม่ได้อยู่ในห้อง มันบอกจะลงไปซื้อกาแฟ โดยบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่าใครจะมา

                ของเยี่ยมถูกวางไว้บนโต๊ะ ไอ้ดื้อลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง รอยยิ้มบางๆ ยังคงแต่งแต้มบนใบหน้า ขณะที่สายตาไม่ละจากกันไปไหน

                "ยังเจ็บตรงไหนอยู่มั้ยครับ"

                "เจ็บตรงนี้" ผมแตะที่หัวใจเพื่อตอบคำถาม

                "ผมก็เหมือนกัน"

                มือผมถูกดึงปกุมไว้ รอยยิ้มก่อนหน้านี้หายไป ไอ้ดื้อแนบหน้าลงกับมือผมก่อนเอ่ยโทษตัวเองออกมา

                "ขอโทษนะพี่กาล เพราะผม..."

                "เพราะมันต่างหาก"

                "เพราะมันเป็นพี่รหัสผม"

                "เพราะปอนด์ ไม่ใช่เพราะเอิร์ธ" หรือจะบอกว่าเพราะเรื่องราวสุดประหลาดในชีวิตผมก็ได้ อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมมีโอกาสแก้ตัว และขอบคุณตัวผมเองที่ยังไม่ตาย

                "ครับ ยอมก็ได้"

                ผมปล่อยให้ไอ้ดื้อจับมือผมไว้อย่างนั้น เราบีบมือกันเบาๆ คล้ายกับต้องการบอกอีกคนว่าอย่าจากกันไปไหน ต่อจากนี้ขออย่าให้มีเรื่องที่ต้องทุกข์ใจแบบนี้อีก

                "พี่เหนือเล่าให้ผมฟังหมดแล้วนะ ทำไมตอนนั้นถึงได้คิดว่าผมจะไปหาพี่แฮมล่ะ"

                "ก็ใครจะไปคิดว่าเราจะเข้าห้องน้ำ"

                "ตอบไม่ตรงคำถาม" ไอ้ดื้อทำหน้าจริงจังใส่

                ลิขิตมันคงไม่รู้จะอ้างถึงเรื่องราวแปลกประหลาดของพวกเรายังไงเลยปัดให้น้องมาถามผมเอง

                "เพราะความฝัน เพราะกลัวว่ามันจะเกิดขึ้น เราเถียงกันด้วยแล้วพี่ก็หาเอิร์ธไปเจอ เลยคิดไปเองว่าเราจะไปหาไอ้แฮม เพื่อไปเคลียร์อะไรทำนองนั้น" มันเป็นคำให้การที่ไอ้แฮมบอกไว้ในอดีต เอิร์ธไปหามันเพราะมีเรื่องอยากจะคุยด้วย แต่กลับจบด้วยการทำร้ายร่างกายซึ่งมันพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา

                "แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง"

                ไอ้ดื้อมองผมด้วยแววตาเศร้าสร้อย ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายในสิ่งที่อีกฝ่ายบอกนัก ในเมื่อความฝันนั้นไม่เป็นจริง ทำไมถึงได้บอกว่ามันเกิดขึ้น

                "พี่กาลจำที่ผมเคยบอกตอนเล่าเรื่องความฝันให้ฟังได้มั้ย ความรู้สึกที่เหมือนว่าพี่กาลจะหายไป ผมกลัวจริงๆ นะ"

                ผมจำได้แต่ไม่ได้ใส่ใจ เพราะใจผมห่วงเรื่องของเด็กดื้อมากกว่าจะคิดถึงเรื่องตัวเอง

                "ที่ผมบอกว่ามันเกิดขึ้นจริงคือความรู้สึกของผม ความจริงแล้วในฝันอาจจะไม่ใช่ผม แต่เป็นพี่กาลก็ได้"

                'ไม่ใช่หรอก' ผมเถียงอยู่ในใจ ในฝันนั้นเป็นไอ้ดื้อจริงๆ ส่วนความรู้สึกที่ว่านั้น ปัญหาคงอยากจะเตือนเรา เหมือนอย่างที่ปู่มาเตือนผม

                "ถ้าพี่หายไปจริงๆ ผมจะทำยังไงดี"

                "ตอนนี้พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไงครับ"

                ไอ้ดื้อกำลังพยายามกลั้นน้ำตา ผมเข้าใจดีว่าช่วงเวลาแบบนี้มันแย่แค่ไหน ในหัวเอาแต่นึกถึงสาเหตุแล้วโทษตัวเองอยู่ซ้ำๆ ตกอยู่ในวังวนของความทรมาน แม้ในตอนนี้ผมจะไม่เป็นอะไร แต่บาดแผลบนตัวผมยังตอกย้ำอีกฝ่ายให้คิดอยู่ดี

                "ร้องไห้ก็ได้นะ"

                "ร้องจนน้ำตาจะหมดแล้ว" ถึงไอ้ดื้อจะบอกอย่างนั้นแต่น้ำตาก็ไหลออกมา เป็นเด็กดื้อที่ขี้แยกว่าที่คิด

                ผมเช็ดน้ำตาให้ สิ่งยิ้มเพื่อบอกให้อีกฝ่ายทำตาม ก่อนจะได้รอยยิ้มอาบน้ำตากลับมาคืนมา เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นความสุขเล็กๆ ซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น

                "เอิร์ธเล่าเรื่องปอนด์ให้พี่ฟังได้มั้ย" เอ่ยขอในสิ่งเดียวที่ยังสงสัย

                "มันโดนตำรวจจับไปแล้ว"

                "ไม่ใช่เรื่องนี้ดิ หมายถึงเหตุผลที่มันซ้อมพี่"

                "เพราะเมา และเพราะเกลียด" บอกเหตุผลข้อสองที่เสียงแผ่ว ไอ้ดื้อยังกุมมือผมไว้แน่น แต่ผมไม่เป็นไร ก็แค่ฟังเหตุผลที่ถูกเกลียดมันคงไม่เลวร้ายนักหรอก

                "เล่ามาเถอะ"

                "พี่สาวของพี่ปอนด์เป็นหนึ่งในคนที่พี่กาลเคยคบแล้วทิ้ง"

                บอกแค่นี้ผมก็พอเข้าใจ หลายคนชอบผม อีกหลายคนก็เกลียดผมเหมือนกัน ทุกครั้งที่ตัดสินใจสานสัมพันธ์กับใครผมจะขีดเส้นไว้ชัดเจน แต่บางคนก็ไม่ได้อยากยืนอยู่แค่เส้นกั้นตรงนั้น

                "พี่มันชื่อปิ๋ม"

                "จำได้"

                "พี่ปอนด์ไม่ชอบที่มีกาลคบคนไปทั่ว ทั้งผู้ชายผู้ชายไม่เลือก พอพี่มันรู้ว่าผมชอบพี่เหมือนกันก็ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ มันเคยเตือนว่าพี่กาลไม่ใช่คนนิสัยดี แต่กับพี่กาลคนที่ผมได้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่คนแบบนั้นผมเลยไม่เชื่อ นอกจากนั้นพี่มันก็ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรให้ผมสงสัยเลย เรื่องพี่สาวมันผมเองก็เพิ่งรู้เพราะพี่แฮมเล่าให้ฟัง"

                "เกลียดถึงขนาดต้องทำร้ายกันเลยนะ"

                "พี่ปอนด์มันรักพี่ปิ๋มมันมากนะพี่กาล ตอนที่โดนพี่ทิ้งได้ข่าวว่าเฮิร์ทอยู่เป็นเดือน ไหนจะโดนพี่แฮมเป่าหูมาตลอดอีก เพราะเมาด้วยเลยทำลงไปโดยไม่ทันคิด แต่ยังไงการทำร้ายคนอื่นจนปางตายมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี"

                ความรู้สึกของไอ้ดื้อคงสับสนปนเปน่าดู คนหนึ่งก็แฟน คนหนึ่งก็พี่รหัส เข้าใจแต่เข้าข้างไม่ได้เพราะผิดก็ต้องว่าไปตามผิด หากผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้คงเครียดจนป่วยไปแล้วแน่ๆ

                "ว่าแต่เราไปคุยกับไอ้แฮมมันด้วยเหรอ"

                "ก็ต้องคุยดิ พี่แฮมก็มาเยี่ยมพี่กาลนะ"

                "แต่มันบอกใครห้ามฆ่าพี่เพราะมันจะฆ่าเอง"

                "คนเมาก็พูดไปงั้นแหละ พี่แฮมมันไม่กล้าทำอะไรหรอก ขนาดผมเอาไม้กวาดฟาดหัวพี่มันยังไม่ทำอะไรผมเลย"

                "ก็ไม่แน่หรอกคนเมา" เพราะถ้าหากมันเป็นคนดีจริงเรื่องในอดีตคงไม่เกิด

                "อคติอ่ะ"

                "ก็ใช่ไง เพราะพี่กับมันเป็นศัตรูกัน"

                ไอ้ดื้อส่ายหน้าใส่ ปล่อยมือผมหันไปหยิบส้มมาปลอก จากนั้นไม่นานแม่กับลิขิตแล้วก็พุดตานก็มาพอดี

                คำว่า 'อดติ' ที่ไอ้ดื้อบอกยังดังก้องอยู่ในหัวผม ไอ้แฮมอาจจะเป็นคนดีจริง แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นเปลี่ยนคนได้มานักต่อนัก หากในอดีตถ้าไม่ใช่ไอ้แฮมที่ทำ แล้วจะเป็นใครไปได้อีก



                ความฝันกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งเมื่อรัตติกาลมาถึง มันพาผมกลับมายังสถานที่อันคุ้นเคยในความฝันครั้งเก่า ความจริงผมไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันเกิดเหตุ แต่ตามมาหลังจากได้ยินคำบอกเล่า รวมถึงเหตุการณ์ที่ผมฝันถึง มันเป็นเพียงจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมา จำลองเหตุการณ์เองขึ้นในหัวว่าวันนั้นไอ้ดื้อถูกกระทำยังไงจากคำบอกเล่าของผู้คน แล้วมันก็กลายเป็นภาพความโหดร้ายที่กลายเป็นความฝันของผมตลอดมา

                และในคืนนี้หลายอย่างดูไม่ต่างจากฝันร้ายที่หายไปของผมนัก ชวนให้สงสัยว่ามันจะกลับมาเล่นงานผมอีกแล้วงั้นหรือ ทั้งที่เรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตน่าจะจบลงไปแล้ว

                ระหว่างที่ผมกำลังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความฝันของตัวเองอยู่อีกฝั่งของถนน รถแท็กซี่คนหนึ่งก็ขับมาเทียบหน้าร้านเหล้าที่ผมเพิ่งบุกไปหาไอ้แฮมมาเมื่อวันก่อน ไอ้ดื้อลงมาจากแท็กซี่คนนั้นก่อนเดินเข้าไปในร้าน แล้วอยู่ๆ ภาพรอบตัวผมก็เปลี่ยนไป

                "พี่แฮม"

                "มานั่งก่อนๆ"

                ผมเข้ามาอยู่ในร้านเหล้า ยืนอยู่ข้างโต๊ะแต่เหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็น มองไอ้ดื้อที่ขมวดคิ้วแน่นขณะคุยกับไอ้แฮมที่กำลังเมาได้ที่ การสนทนาจึงเป็นไปอย่างไม่ค้อยราบรื่นนัก

                ไอ้ดื้อพยายามจะคุยกับไอ้แฮมเพื่อขอให้อีกฝ่ายตัดใจและเลิกเข้ามาวุ่นวาย น้องไม่ได้พูดถึงผมสักคำเพราะเรื่องของเรายังเป็นแค่ความสัมพันธ์ลับๆ ในตอนนั้น แต่เป็นไอ้แฮมที่พูดชื่อผมออกมา แล้วการพูดคุยก็ดูจะเลวร้ายลงเมื่อมันประกาศชัดเจนว่าเกลียดขี้หน้าผม ไอ้ดื้อยังคงพยายามปกป้อง แต่ในเมื่อคนมันเกลียดคำด่าว่าเสียๆ หายๆ เลยหลุดออกมาทุกครั้งที่ได้ยินชื่อผม

                คงเพราะหมดความอดทนไอ้ดื้อถึงได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะคุยด้วย ลุกขึ้นเดินไปยังอีกโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลกัน โต๊ะที่ไอ้ปอนด์นั่งอยู่ คนที่ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อในอดีตอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย

                ผมเดินตามไปยืนข้างๆ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนอื่นๆ ที่นั่งร่วมโต๊ะ ทั้งโต๊ะมีไอ้ปอนด์คนเดียวที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนน้องแต่กลับไม่ใช่คนเดียวในโต๊ะที่ผมรู้จัก เพราะไอ้สองคนที่ผมซ้อมก็นั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกัน

                "เรื่องมึงกับไอ้กาลสรุปยังไง"

                "มึงเป็นคนบอกพี่แฮมเหรอ แล้วรู้เรื่องกูกับพี่กาลไอ้ไง"

                "ตอนไปกินเหล้าเดินออกไปด้วยกันขนาดนั้นกูคงไม่เห็นมั้ง แล้วไง มันยังเก็บมึงไว้เล่นอยู่อีกเหรอ"

                "ไม่พูดแบบนี้ได้มั้ยวะ"

                "ทำไม หรือรับไม่ได้ บอกไว้ก่อนเลยนะว่ากูโคตรเกลียดมันเลย"

                "ทำไมวะ"

                "เพราะแม่งเลวไง"

                ไอ้ดื้อไม่ตอบและไม่ได้แก้ตัวอะไรให้ผม มันคือความจริงที่น้องยอมรับและยอมยืนอยู่ในความสัมพันธ์นั้น เป็นความจริงที่ผมเองก็ไม่อาจปฏิเสธเช่นกัน

                "กูขอเตือนนะ มึงเลิกยุ่งกับมันเถอะ"

                "ขอเวลาอีกนิดได้มั้ยวะ กูรักเขาไปแล้วว่ะ"

                ไอ้ปอนด์แสยะยิ้มด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ยืนแก้วให้คนที่นั่งข้างๆ เติมเบียร์ให้ เป็นจังหวะที่ผมเพิ่งได้สังเกตว่าไอ้ชั่วสองคนนั้นมันกำลังมองไอ้ดื้อด้วยสายตาแบบไหน สายตาที่น่าขยะแขยง

                "มันไม่ได้รักมึงจริงเหรอ สันดานมันใครๆ ก็รู้"

                "แต่กูรู้สึกเหมือนเขากำลังรักจะรักกูนะ" พูดเบาๆ ไร้ซึ่งความมั่นใจ เป็นประโยคที่ชวนให้หัวเราะสำหรับคนฟัง

                "มึงฝันอยู่เหรอ"

                "กูรู้สึกแบบนั้นจริงๆ"

                "งั้นก็แล้วแต่มึงเถอะ"

                คนฟังดูไม่ค่อยพอใจนัก ไอ้ดื้อเองก็เหมือนจะจับบรรยากาศได้จึงเลือกที่จะบอกลาแล้วเดินออกมา

                ผมหันหลังกลับตั้งใจจะเดินตามไอ้ดื้ออกไป แต่กลับได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจเข้าเสียใจก่อนจึงหยุดฟังอยู่ที่เดิม

                "คนนั้นแฟนคนที่มึงเกลียดเหรอ"

                "งั้นมั้ง"

                "ดูนึกอะไรดีๆ ออก ถ้ามึงอยากจะเอาคืนไอ้ห่านั่น"

                "ยังไง"

                "เพื่อนมึงก็น่าสนใจดี"

                "ถ้าไอ้เหี้ยนั่นมันรักเพื่อนมึง ของรักของหวงโดนทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องมีรู้สึกกันบ้าง"

                "ไอ้สัดนั่นเพื่อนกู"

                "แต่กูอยากได้ว่ะ"

                ไอ้ปอนด์ไม่ได้ห้ามตอนที่ไอ้ชั่วสองคนลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากร้าน บทสนทนาที่ได้ฟังชวนให้โมโหแต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะร้องห้ามหรือเอาตัวไปขวางพวกมันเอาไว้ ทำได้เพียงเดินตามไปดูว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เท่านั้น

                ไอ้ดื้อออกมายืนรอรถอยู่จุดเดิมที่ลงรถ แต่เมื่อเห็นไอ้ชั่วสองคนนั้นเดินมาน้องกลับเดินหนี ห่างออกมาจากจุดที่มีผู้คนทั้งที่ไม่ควรทำแบบนั้น น้องก้าวเร็วๆ คงตั้งใจจะเดินออกไปที่ถนนใหญ่ แต่เมื่อผ่านหน้าซอยมืดก็ถูกพวกมันรั้งตัวเอาไว้ได้ทัน

                พวกมันสองคนเอ่ยขอแสดงความต้องการออกไปตรงๆ แต่เมื่อไอ้ดื้อขัดขืนมันก็ปิดปากช่วยกันลากน้องเข้าไปในซอย ผมรีบตามเข้าไปแม้จะรู้ว่าทำอะไรกับความฝันครั้งนี้ไม่ได้ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสิ่งที่พวกมันกำลังทำ

                ไอ้ดื้อถูกจบกดลงกับพื้น พวกมันพยายามจะคุกคามแต่เมื่อเหยื่อดิ้นรนจนน่าหงุดหงิดจึงเปลี่ยนเป็นการทำร้ายร่างกายแทน สิ่งของใกล้มือถูกนำมาใช้เป็นอาวุธ คนหนึ่งกระทืบ อีกคนใช้ก้อนหินที่อยู่แถวนั้นมาทุ่มใส่ โหดร้ายจนผมทนไม่ได้ วิ่งพุ่งเข้าไปหาแต่ผ่านเลยมาเหมือนสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

                เป็นเรื่องง่ายที่ผู้คนทำร้ายกัน แต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจว่าเพราะเหตุใด

                เมื่อเหยื่อแน่นิ่งพวกมันก็ทิ้งอาวุธแล้ววิ่งหนีลึกเข้าในซอย ผมยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยจิตใจที่เหม่อลอย ก่อนสติที่ใกล้เลือนหายจะกลับมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผม เขามองคนที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก

                เมื่อคนคนนั้นทรุดลงข้างไอ้ดื้อผมถึงได้เห็นหน้าเขาชัดๆ มือคู่นั้นสั่นเทา ไม่กล้าแตะใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เขาหันมองก้อนหินที่ใช้เป็นอาวุธก่อนหยิบมันขึ้นมา พึมพำกับตัวเองว่าใครคือคนที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้

                "พี่แฮมทำอะไร"

                ก้อนหินร่วงจากมือเจ้าของชื่อเมื่อเสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง ไอ้ปอนด์เดินนำเข้ามาก่อนจะทำหน้าตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า รวมถึงคนอื่นๆ ที่ตามเข้ามาทีหลังก็ดูตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

                "พี่ทำเอิร์ธเหรอ"

                "ไม่ใช่พี่"

                ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา ไอ้ปอนด์เข้ามาดูไอ้ดื้อด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นแต่เสียงที่ผมได้ยินนั้นเบาลงเรื่อยๆ ก่อนภาพตรงหน้าจะหายไป

                ผมเดาไม่ถูกว่าจริงๆ ไอ้ปอนด์รู้สึกยังไงเมื่อเห็นเพื่อนสนิทตัวเองอยู่ในสภาพนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือไอ้แฮมบริสุทธิ์อย่างที่มันยืนยันจริงๆ



tbc.


เฉลยแล้ว ตอนหน้าจบแล้ววว และหนังสือก็วางขายแล้ววว
ขอบคุณทุกคนที่ตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ รักมากๆ
เจอกันตอนจบค่า

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเก้า__[25/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-03-2020 20:05:27
มีตัวร้ายตัวลับตัวซวย ครบถ้วน
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเก้า__[25/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-03-2020 22:08:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ ... ไอ้แฮมเลยกลายเป็นจำเลยสังคม  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลยในอดีต

ในอดีต  ไอ้ปอนด์ก็ไม่ได้เป็นผู้ร้าย  แต่ก็อาจเรียกได้ว่ารู้เห็นเป็นใจ เพราะเจือกไม่ห้าม   
แต่ปัจจุบันไอ้ปอนด์เป็นผู้ร้ายเต็ม ๆ ไร้ข้อกังขา

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเก้า__[25/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 26-03-2020 02:05:43
โอ้โห น้องโดนขนาดนี้เลยหรอ  :katai1:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบเก้า__[25/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 26-03-2020 08:31:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 28-03-2020 18:38:43

กาลครั้งสุดท้าย


                แม้จะต้องนอนโรงพยาบาลยาวหลายวันแต่ความเหงาไม่สามารถทำอะไรผมได้เมื่อเพื่อนๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเยี่ยมเยียนกันตลอด ทั้งเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนไอ้ลิขิต พี่ณดา รวมถึงไอ้แฮมที่มาหาผมพร้อมของเยี่ยมและประกาศศักดาว่าจะเป็นศัตรูกับผมต่อไป

                ความฝันในคืนวันนั้นทำให้ผมต้องมองไอ้แฮมใหม่ ผมเชื่อว่ามันคือความจริงที่เรื่องราวแปลกประหลาดอยากให้ผมเห็น คล้ายกับการบอกลา ทิ้งทวนให้กับบทสุดท้ายของเรื่องราวครั้งใหม่ กับสิ่งที่ผมเข้าใจผิดมาโดยตลอด

                หากลองคิดให้ลึกสักนิด เหมือนกับว่าไอ้ดื้อเองก็พยายามบอกผมมาตลอดว่าใครคือผู้บริสุทธิ์ คนขี้ขลาดดีแต่ปากอย่างไอ้แฮมจะไปกล้าทำอะไรน้องได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่โดนไม้กวาดตีหัวจนแตกแล้วหนีไปอย่างนั้น

                ถึงแม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะจบลงที่ผมเดินเฉียดเข้าใกล้ความตาย แต่ผมกลับดีใจที่การพยายามครั้งนี้ช่วยได้ทั้งไอ้ดื้อ และทวงความบริสุทธิ์กลับมาให้ไอ้แฮมได้ในเวลาเดียวกัน

                แต่ก็อย่างว่าไป ถึงผมจะหายโกรธก็ใช่ว่าไอ้แฮมจะยอมญาติดีด้วย มันยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ชอบขี้หน้าผม เกลียดสันดานเดิมๆ ของผมที่มันเชื่อฝังใจว่าแก้ยังไงก็คงไม่หาย

                "กูจะคอยจับตาดู ถ้ามึงทำเอิร์ธเสียใจเมื่อไรกูไม่เอาไว้แน่"

                ตอนฟังมันพูดประโยคนี้ผมเพียงยิ้มให้ นับถือในความตั้งมั่นของมันแต่ผมไม่อยากสัญญากับเรื่องในอนาคต เรื่องที่ทำให้เสียใจย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ไม่มีวันใช่เหตุผลของการนอกใจอย่างแน่นอน

                และคำว่า 'ขอโทษ' กับ 'ขอบคุณ' จึงเป็นเพียงสองคำที่ผมบอกกับไอ้แฮมไป



                อีกไม่กี่วันจะเปิดเทอม ร่างกายผมแข็งแรงดีแล้ว ออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักที่บ้านตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน และยังมีเรื่องคดีความให้ต้องเคลียร์ต่อ ทำร้ายร่างกายเป็นกฎหมายอาญายอมความไม่ได้ แต่ถึงยอมความได้ผมก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด คนที่เป็นตัวการทั้งเรื่องในอดีตและปัจจุบันสมควรที่จะได้รับโทษเสียที

                ถึงแม้จะกลับมาพักที่บ้านแล้ว ตัวผมเองก็รู้สึกแข็งแรงสบายดีแต่ครอบครัวยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เพราะรอยฟกช้ำซึ่งเป็นหลักฐานว่าผมไปโดนอะไรมายังหลงเหลือตามใบหน้าและร่างกาย โชคดีที่ไม่มีกระดูกส่วนไหนแตกหัก อวัยวะภายในไม่ได้รับความเสียหาย อาจจะเป็นเพราะตอนพวกมันซ้อมผมใช้แค่มือกับเท้า ไม่ได้ใช้ก้อนหินทุบตีอย่างที่ไอ้ดื้อถูกกระทำ

                วันนี้ลิขิตไม่อยู่บ้าน ออกไปหาพุดตานตั้งแต่ช่วงสาย พ่อไปทำงานเหลือแม่ที่อยู่ดูแลผม กับผู้ช่วยอีกคนที่มาหากันที่บ้านก่อนจะถึงเวลาเคารพธงชาติเสียอีก

                ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลไอ้ดื้อก็มาหาผมที่บ้านทุกวัน มาถึงเช้าบ้างสายบ้าง ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันก่อนจะกลับช่วงเย็นๆ ชวนให้ผมรู้สึกอึดอัดนิดๆ ที่เป็นฝ่ายถูกดูแลทั้งที่ตั้งใจว่าอยากเป็นฝ่ายดูแลอีกฝ่ายมากกว่า การถูกดูแลใช่ว่ามันไม่ดี แต่ผมเองก็ห่วงน้อง กลัวว่าจะเทียวไปเทียวมานั่งแท็กซี่มาเองแล้วจะเหนื่อย แม้ช่วงที่อยู่กับผมจะมีเวลาได้นอนกลางวันอย่างเต็มอิ่มก็เถอะ

                วันนี้เองก็เช่นกัน

                พอบ่ายคล้อยลูกแมวก็เริ่มง่วง นอนขดตัวทำตาปรือเล่นมือถืออยู่ข้างผม ชวนให้รู้สึกอยากลูบผมสีม่วงอมชมพูที่ตอนนี้สีหลุดออกกลายเป็นม่วงอ่อนๆ หรือชมพูอ่อนๆ ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่ผมไม้กวาดนี้ยังแข็งกระด้างไม่เปลี่ยนแปลง

                พูดถึงแมว เมื่อพิจารณาหน้าตาดื้อๆ ที่เหมือนพุดตานอย่างกับแฝดแล้วผมเองก็คิดว่าไอ้ดื้อคล้ายแมวอยู่เหมือนกัน อย่างกับเรื่องตลกที่ชีวิตเราสองพี่น้องถูกกีดกันออกจากแมวด้วยคำว่ากลัวกับแพ้ แต่สุดท้ายเรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ดันส่งแมวในรูปแบบของมนุษย์มาให้เราสองคนอยู่ดี

                เรื่องแปลกประหลาดบ้าๆ ที่จะเรียกว่าพรหมลิขิตก็ได้

                เกลี่ยผมหน้าม้าที่ปรกหน้าออกก่อนแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนที่ซุกอยู่ใกล้อก ไอ้ดื้อเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าง่วงเหงาหาวนอน ก่อนจะขยับตัวเองขึ้นมาแล้วจูบผมตอบที่ริมฝีปาก

                วางมือลงบนเอวอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะผอมลงนิดหน่อยช่วงที่ผมเข้าโรงพยาบาล ลูกแมวที่กำลังง่วงซุกตัวเข้าแนบชิดกว่าเดิม เราประโคมจูบกันอย่างไม่รู้เบื่อ แตะริมฝีปากหยอกเย้า จูบๆ พักๆ จนลืมนับเวลาที่ล่วงเลย แม้ไม่อยากให้ไอ้ดื้อผอมไปมากกว่านี้แต่ผมกลับไม่อยากเลิกจูบอีกฝ่ายเลย

                ได้ยินมาว่าจูบหนึ่งนาทีช่วยเผาผลาญพลังงานได้ยี่สิบหกแคลอรี่เลยทีเดียว

                "เหนื่อย"

                ซึ่งการดีพคิสมันกินพลังงานจริงๆ

                ไอ้ดื้อผละหนีซุกหน้าลงที่อกผมหลังจากโดนจูบจนปากช้ำ บอกออกมาคำเดียวสั้นๆ ที่ชวนให้ยิ้ม แต่เอาจริงผมก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะเด็กดื้อคนนี้เองก็ร้ายใช่เล่น

                "พี่กาล"

                "ครับ" ตอบรับคำเรียกอู้อี้ของเด็กในอ้อมกอด ไอ้ดื้อเงยหน้าขึ้นมอง ใช้สายตาออดอ้อนมองกัน

                "มีเรื่องสงสัย ถามได้มั้ย"

                "ไม่เห็นต้องถามก่อนเลย"

                "เผื่อไม่อยากตอบ"

                "งั้นก็ไม่ต้องถามหรอก"

                พอเจอสวนกลับก็ทำหน้างอแงใส่ ผมหยิบมือถือที่ไอ้ดื้อวางทิ้งไว้ตรงกลางระหว่างเราออก ก่อนกระชับกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด

                "ไหนจะถามว่าอะไรครับ"

                "ทำไมพี่กาลถึงเลิกเจ้าชู้อ่ะ" คนถามกะพริบตาปริบๆ ผมเองก็ไม่คิดว่าอยู่ๆ ไอ้ดื้อจะถามเรื่องนี้ ใจคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องความฝันอะไรแบบนั้นมากกว่า

                "ไม่รู้จริงๆ เหรอ"

                "ไม่เชื่อหรอกว่าเพราะผม" ไอ้ดื้อพูดดักทาง ขนาดเป็นแฟนกันได้สักพักแล้วน้องยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย มันน่าดุนัก

                "เพราะไอ้เด็กหัวไม้กวาดคนนี้นี่แหละ"

                จิ้มหน้าผากไปหนึ่งทีไอ้ดื้อก็ทำหน้าง้ำหน้างอใส่ ทุ่มให้ขนาดนี้ รักขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกว่าผมเปลี่ยนนิสัยเพราะใครมันน่าน้อยใจนัก ทั้งที่ได้เป็นตัวจริงหนึ่งเดียวของพี่เหนือกาลคนฮอตแล้วแท้ๆ

                "เลิกคุยกับคนอื่นไปทั่วเพราะแค่เจอผมที่ร้านข้าวจริงๆ อ่ะเหรอ"

                "แล้วไม่ได้เหรอ"

                "ไม่รู้ดิ พี่กาลเคยบอกแล้ว แต่มันก็..."

                "ไม่น่าเชื่อ"

                "เปล่า แค่ยังสงสัยนิดหน่อยเฉยๆ"

                "มันก็คงเชื่อยากนั่นแหละ คนเคยเที่ยว คบไปทั่ว คุยไปเรื่อย อยู่ๆ ก็เลิกนิสัยแบบนั้นดื้อๆ แล้วมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่ที่จริงพี่เลิกนิสัยแบบนั้นตั้งแต่ปีสองแล้วนะ"

                "ก่อนเจอผมอีกเหรอ"

                "จะว่างั้นก็ได้" ถ้าหากหมายถึงก่อนจะได้กลับมาเจอกันใหม่อีกครั้ง

                "แต่ตอนผมเข้ามาเรียนแล้วยังได้ยินเขาพูดกันว่าพี่กาลเจ้าชู้อยู่เลยนะ"

                "ก็ไม่ได้มีใครมารู้กับพี่นี่ว่าตอนนี้พี่เป็นยังไง เปลี่ยนไปยังไงบ้าง" เรื่องที่ผมไปเยี่ยมไอ้ดื้อทุกสัปดาห์มีแค่ครอบครัวน้องกับลิขิตที่รู้ หลังจากเกิดเรื่องผมเองก็ไม่ได้เลิกเที่ยวแบบเด็ดขาด เพียงแต่ไม่เคยคุยเพื่อสานต่อกับใคร นอกจากพี่ณดาที่สนิทกันจนทำใครๆ เข้าใจผิด

                "แล้วไม่คิดจะแก้ข่าวบ้างเหรอ"

                "ให้ไปพูดว่า ‘ผมเลิกเจ้าชู้แล้วนะครับ’ แบบนี้น่ะเหรอ"

                ไอ้ดื้อทำหน้าคิดตามก่อนจะส่ายหน้าบอกยอมแพ้เพราะไม่รู้จะให้ผมแก้ข่าวเรื่องความเจ้าชู้ยังไงเหมือนกัน น้องไม่ได้อยากให้ผมป่าวประกาศ แต่ก็คิดวิธีดีๆ ไม่ออก

                "ทุกคนเข้าใจไปแบบนั้นเพราะสิ่งที่พี่เคยทำมันฟ้อง เพราะงั้นตอนนี้ก็ให้พวกเขาเห็นจากสิ่งที่พี่ทำแล้วทำความเข้าใจใหม่เองคงดีกว่า"

                ใครจะพูดอะไรจะนินทาอะไรผมไม่สนใจแล้ว แค่เรื่องทุกอย่างจบด้วยดี แค่ได้ไอ้ดื้อกลับมาอยู่ข้างกัน ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำให้อีกฝ่าย ได้สร้างความทรงจำดีๆ ขึ้นมาด้วยกันใหม่ แค่นั้นก็พอ

                "อยากฟังนิทานก่อนนอนมั้ย" ถามออกไปเพราะเห็นหน้าไอ้ดื้อใกล้หลับเต็มที

                "นิทานก่อนนอนกลางวันอ่ะนะ"

                ผมพยักหน้าให้ มันคือนิทานที่มีเราสองคนเป็นตัวละครหลัก ผมอยากเล่ามันมานานแล้ว ในเมื่อเรื่องราวบทใหม่จบบริบูรณ์ด้วยดี เรื่องจริงที่คล้ายกับความฝันเหล่านั้น ก็คงเป็นแค่เรื่องแต่งที่เอาไว้เสริมสร้างจินตนาการก่อนนอนได้

                "จะเล่าเรื่องอะไร"

                "เรื่องของคนเคยเจ้าชู้คนหนึ่ง"

                คนฟังอมยิ้ม ขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อมองหน้ากันให้ชัดๆ ก่อนเรื่องราวที่ทุกคนลืมเลือนจะถูกพูดถึงอีกครั้ง

                "กาลครั้งสุดท้าย..."

                "ทำไมเป็นครั้งสุดท้าย" เด็กดื้อถามขัดขึ้นมา คิ้วขมวดด้วยความสงสัย

                "เพราะเรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก"

                สีหน้าสงสัยหายไปแทนที่ด้วยรอยยิ้ม ผมเริ่มเล่านิทานก่อนนอนกลางวันใหม่อีกครั้ง เรื่องราวของอดีตผู้ชายเจ้าชู้คนหนึ่ง เขาได้เจอกับชายหนุ่มรุ่นน้องที่ร้านข้าวเจ้าประจำ ความประทับใจแรกของทั้งคู่เริ่มต้นไม่ดีเท่าไร จุดจบของเรื่องเองก็เช่นกัน

                "ความฝันของผม..." ไอ้ดื้อเอ่ยเสียงแผ่ว มันคือความฝันทั้งสี่ครั้งของอีกฝ่ายที่ผมหยิบยกมาเล่า

                "และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคนนั้นเลิกเจ้าชู้ตลอดกาล"

                "จับมายำกันแบบนี้ก็ได้เหรอพี่กาล"

                "ได้แหละ"

                "เข้าใจคิด" คนฟังนิทานของผมหัวเราะเบาๆ แม้มันจะเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นยังไงสำหรับคนฟังก็คงเชื่อได้ยากอยู่ดี

                แต่บอกไปหมดแล้วนะ เหตุผลที่เลิกเจ้าชู้ของผม

                คนในอ้อมกอดหลับตาลงหลังจากฟังนิทานจบ เกลี่ยผมแข็งเหมือนไม้กวาดที่ปรกหน้าผากออกก่อนจูบที่บอกทิวาสวัสดิ์

                "ฝันดี...ไอ้ดื้อ"

                กับฝันร้ายที่จากไปอย่างถาวร



End


จบแล้วกับการแก้ไขอดีตของเหนือกาล แอบสั้นไปนิสต้องขออภัย แฮ่
ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้
ตอนเขียนเรื่องนี้เป็นอะไรที่เราค่อนข้างเครียดและอ่านทวนหลายรอบมาก
เพราะต้องเล่นกับเวลาทำให้เราคิดและเปลี่ยนบทไปมาว่าควรเอายังไงดี บางช่วงก็ตันคิดอะไรไม่ออก
แบบนั้นเวลาไม่ได้ แบบนี้มันก็แปลกอีก จนสุดท้ายเลือกเส้นทางนี้เพราะคิดว่าเหมาะกับเรื่องที่สุด
หวังว่าทุกคนจะสนุกกับเรื่องราวของเหนือกาลกับไอ้ดื้อนะคะ
เรื่องนี้เริ่มจำหน่ายแล้วพร้อมกับเหนือลิขิต (แอบโปรโมตอีกรอบ) มีใครซื้อแล้วบ้างเอ่ย
ส่วนอีบุ๊กจะเริ่มบายวันที่ 1 เมษายนนะคะ อีกไม่กี่วันแล้ว
แล้วเจอกันใหม่เรื่องหน้า ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเสมอมาค่ะ รัก

หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-03-2020 18:48:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-03-2020 03:31:29
จบลงด้วยดี  :katai2-1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 10-02-2023 15:38:53
น่ารัก ทั้งสองเรื่อง้ลยครับ