พิมพ์หน้านี้ - ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: larza ที่ 27-11-2019 20:09:23

หัวข้อ: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 27-11-2019 20:09:23
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*********************************************
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 27-11-2019 20:10:29
อ้างถึง
นิยายเรื่องนี้แปลงมาจากเรื่องสั้น เอามาขยายเป็นเรื่องยาวค่ะ

เรื่องนี้ไม่มีคนนะคะ นายเอกเป็นหอยชักตีน พระเอกเป็นหมึกสาย


บทนำ

คุณเคยสงสัยบ้างหรือเปล่าว่าโลกนี้พิศวงแค่ไหน


ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่ฆ่าไม่ตายอาศัยอยู่ในอวกาศได้ สัตว์ที่สามารถเปลี่ยนสีผิวตัวเอง


หรือมนุษย์


ว่ากันตามตรง ผมคิดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่พิศวงที่สุดแล้ว ถ้าคุณไปบอกมนุษย์ว่าพวกเขาเป็นสัตว์ พวกเขาจะโกรธ กระฟัดกระเฟียดแล้วเถียงกลับว่าตนเองไม่ใช่สัตว์ทั่วไป แต่พวกเขาเป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่าสัตว์ตัวอื่นๆ


แล้วพวกเขาเอาอะไรมาวัดถึงความประเสริฐของตนเองล่ะ


พวกเขาวัดจากที่ตนเองฉลาดกว่าสัตว์ตัวอื่น แต่แท้จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากสัตว์อื่นคือการมีจินตนาการ พวกเราไม่สามารถคิดในสิ่งที่ไม่มีบนโลกได้ แต่มนุษย์สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงหรือเกี่ยวข้องกันได้ เช่น ภาษาหรือตำนาน นิทานต่างๆ


ผมถึงได้บอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่น่าพิศวง แต่ดูเหมือนว่าโลกจะมีเรื่องพิศวงมากกว่านั้น อย่างเช่นเรื่องราวที่ผมพบเจอเป็นต้น


เหตุการณ์พิศวงที่ว่านั้นคือผมได้ยินเสียงความคิดของมนุษย์


ทีแรกผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ผมได้ยินเสียงของมนุษย์ แล้วก็คิดว่าสัตว์ตัวอื่นๆ ได้ยินเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินแบบผม พวกเขาไม่รู้เรื่องความเป็นไปของโลก พวกเขาแค่ใช้ชีวิต ผสมพันธุ์ จากนั้นก็ตายจากไปโดยที่ไม่ตั้งคำถามอะไรกับโลกใบนี้ การที่ผมได้ยินเสียงความคิดมนุษย์ ทำให้สามารถซึมซับความรู้ต่างๆ ผ่านทางการอ่านใจ


ผมเข้าใจภาษา วิทยาการและความเป็นไปของโลก ผมยอมรับว่าการซึมซับเสียงความคิดของมนุษย์นานๆ เข้า เลยทำให้ผมมีความคิดของมนุษย์บางส่วน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยเข้าใจความคิดของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง


อย่างว่า ผมเลยคิดว่ามนุษย์ซับซ้อนเพราะผมไม่เคยเข้าใจพวกเขา


ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นผมที่ได้ยินเสียง แต่คงไม่มีใครให้คำตอบได้


ได้ยินแล้วอย่างไร ผมก็ทำอะไรกับโลกใบนี้ไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อตัวผมเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในท้องทะเลที่กว้างใหญ่ เหนือจากท้องทะเลขึ้นไปก็ยังมีแผ่นดินที่สุดลูกหูลูกตา ขนาดมนุษย์ที่ตัวใหญ่กว่าผมก็ยังหาคำตอบในเรื่องบางเรื่องไม่ได้


ผมเลยคิดแค่ว่าใช้ชีวิตแบบอยู่กินไปวันๆ ก็พอ เอาตัวเองให้รอดก่อน


ผมโผล่หัวออกมาจากเปลือกเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็น จากนั้นก็เดินเตาะแตะไปตามพื้นโคลน ตามทางที่ย่ำผ่านมีรอยเท้าเป็นทางยาว


ระหว่างทางผมก็มองหาสาหร่ายหรือซากสัตว์อะไรก็ตามที่พอจะกินได้ เมื่อเห็นว่าตรงบริเวณนั้นมีสาหร่ายอยู่ที่พื้น ผมก็รีบใช้งวงหรือตีนคลานไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว


ในสายตาสัตว์ตัวอื่น พวกเขากำลังเห็นผมกำลังคลานกระดึ้บๆ ด้วยความเร็วระดับหอยทาก แต่สำหรับผมคือความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว


สารภาพนะว่าผมไม่รู้หรอกว่าหอยทากหน้าตาเป็นยังไง แต่แค่ลองใช้คำเปรียบเปรยแบบมนุษย์ดู


เมื่อมาถึงตรงจุดที่มีอาหาร ผมก็ใช้งวงดูดสาหร่ายเข้าปาก อันที่จริงถึงมนุษย์จะเรียกอวัยวะส่วนที่ผมใช้เคลื่อนไหวว่าตีน แต่ความจริงมันคือปากที่มีติ่งแหลมยื่นออกมา ผมเลยใช้ปากในการเคลื่อนไหวแล้วก็กินด้วย


โชคดีมากที่วันนี้ผมหาอาหารเจอได้เร็ว พักหลังมานี้อุณหภูมิในทะเลเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก ผมรู้สึกได้ว่าในทะเลร้อนขึ้นเหมือนเดินอยู่ในเปลวไฟ บางวันผมก็หาอะไรกินไม่ได้ ครั้งไหนที่ดีหน่อยผมก็หาอาหารได้ไวอย่างวันนี้


ระหว่างที่กำลังใช้งวงดูดอาหารเข้าปาก ผมก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวใกล้ๆ แน่นอนว่าวิวัฒนาการในการมองเห็นของหอยไม่ได้ดีเท่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ดังนั้นตาของพวกเราจึงแตกต่างจากมนุษย์


มนุษย์มีตาไว้มองสิ่งของรอบตัว พวกเขาสามารถเห็นสิ่งของเป็นรูปร่าง แต่ผมมองไม่เห็นขนาดนั้น อย่างน้อยก็รู้แค่ความเข้มของแสง


ภาพตรงหน้ามืดลงไปเล็กน้อย ผมไม่อยากจะเดาว่าอะไรเข้ามาใกล้เลยรีบหดตัวเข้าไปในเปลือกหอยก่อน ช่วงเวลาที่ทุกอย่างเงียบลง ผมรู้สึกกลัวจนได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังอื้ออึงในเปลือก


ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตบางอย่างก็คืบคลานเข้ามาในเปลือกหอย


ผมอยากตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงบุ๋งๆ แล้วหดตัวให้เล็กลงในเปลือก ทั้งที่แทบจะหดตัวให้เล็กกว่านี้ไม่ได้แล้ว อันที่จริงถ้าผมพุ่งทะลุออกไปนอกเปลือกแล้วหนีได้ก็คงทำไปเรียบร้อย


มันเลื้อยเข้ามาด้านใน ก่อนขยับไปมาราวกับควานหา ผมจ้องมองการเคลื่อนไหวนั้น ขณะประเมินว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าคืออะไร


ผมคิดไว้ในทางเลวร้ายสองอย่าง อย่างแรกคือนิ้วคน อย่างที่สองคือหนวดปลาหมึก


แต่ถ้ามันเข้ามาได้ลึกขนาดนี้ผมว่า..


ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไร มันก็พุ่งเข้ามารัดตัวผมหนึบ สัมผัสตะปุ่มตะป่ำและเป็นเมือกขนาดนี้ คงไม่ต้องทายแล้วว่าเป็นอะไร


ผมพยายามขืนตัวเองออกจากหนวดสุดชีวิต ขณะที่มันดึงผมออกมาจากเปลือกอย่างง่ายดายโดยที่แทบไม่ได้ใช้แรงอะไรเลยด้วยซ้ำ


ดูเหมือนว่าหมึกตรงหน้าผมน่าจะเป็นสายพันธุ์หมึกสาย ผมขืนตัวอย่างไร้ประโยชน์ ขณะที่มันใช้หนวดรั้งเข้ามาใกล้ปากพร้อมอ้าเรียบร้อย


ถึงจะรู้ว่าตนเองเป็นสัตว์ที่มีชนชั้นต่ำสุดในระบบนิเวศน์ ทุกวันต้องใช้ชีวิตแบบที่จะตายได้ตลอดเวลา แต่เมื่อความตายมาเยือนตรงหน้าจริงๆ ผมก็คิดอะไรไม่ออก มีแต่ความกลัวเต็มไปหมด


ผมเสียดายที่ตนเองยังไม่ทันที่จะได้ใช้ชีวิตมากกว่านี้ น่าเสียดายที่ผมอายุไม่ยืนยาว ทำอะไรก็ไม่ได้นอกจากรอเป็นอาหารให้กับสัตว์ตัวอื่น


ไม่รู้ว่าผมตายแล้วจะไปอยู่สวรรค์แบบที่มนุษย์เชื่อหรือเปล่า แต่ผมยังไม่ทันได้ทำความดีอะไรสักอย่างนอกจากเก็บกวาดซากสัตว์ที่ตายบนพื้น แบบนี้ผมจะได้ไปสวรรค์ไหม


ช่วงเวลานั้นทุกอย่างดูเชื่องช้าไปเสียหมด อยู่ๆ หมึกตรงหน้าผมก็ชะงัก แล้วมันก็ใช้หนวดยกตัวผมขึ้นมาดู


ผมนิ่งไป ลืมที่จะขัดขืนหรือหนีไปเสียสนิท คืออะไร ผมไม่เข้าใจ พิจารณาขนาดอาหารก่อนกินเหรอ


ระหว่างที่ผมกำลังงง หนวดปลาหมึกหนึบหนับก็ยัดผมใส่กลับเข้าไปในเปลือกเหมือนเดิม


จากที่เพิ่งรำลึกความหลังก่อนตายเสร็จ พอไม่ถูกกินผมถึงกับงงจนทำอะไรไม่ถูก เหมือนเตรียมใจตายมาแล้ว แต่ดันไม่ตายเสียอย่างนั้น


ผมรวบรวมความกล้า ขยับตัวออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอก ทว่าปลายเปลือกหอยกลับมืดทึบ เหมือนถูกอะไรบางอย่างอุดเอาไว้


ผมลองใช้งวงหรือตีนจิ้มๆ บางอย่างที่ว่า มันขยับตัวเล็กน้อย มีพื้นผิวขรุขระ และลื่นๆ


เหมือนจะเป็นหนวดปลาหมึก..?


ผมหดตัวกลับเข้าที่เดิมอย่างรวดเร็ว จากที่เตรียมใจตายไว้ ตอนนี้มีแต่ความงงเต็มไปหมด


มันจะทำอะไรกับผมกันแน่?


-----------------

[TALK]

หอยมีตาหรือเปล่า? แน่นอนว่ามีค่ะ แต่ไม่สามารถเห็นเป็นรูปร่างได้ เห็นแค่ความเข้มของแสงเท่านั้น อย่างหอยเชอร์รี่เองก็มีดวงตาร้อยกว่าดวง ดวงตาของมันจะมีลักษณะเป็นจุดกลมรอบๆ

หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 27-11-2019 20:23:50
คิดถึงเรื่องนี้มากกกกกกกก :katai4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 27-11-2019 20:29:34
หื้ออออ ใช่ที่ลงไปตรงเรื่องสั้นปะคะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 27-11-2019 20:38:53
หื้ออออ ใช่ที่ลงไปตรงเรื่องสั้นปะคะ  :katai5:

ใช่ค่ะ แต่เอามาเขียนเป็นเรื่องยาว
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 27-11-2019 22:33:03
 :katai2-1:

กังวลแค่ตอนจบนี่ล่ะ :V เอื้อก
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 27-11-2019 22:33:58
ตามมาจากเรื่องสั้นจ้า   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-11-2019 22:51:18
ในที่สุดก็ได้อ่านเรื่องยาวสักที ติดตามค่าา  :hao5:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 28-11-2019 01:53:03
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: monalism ที่ 28-11-2019 02:56:13
มาเป็นเรื่องยาวแล้ววววววววววว //กินหมึกย่างระหว่างรอตอนต่อไป  :call:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 28-11-2019 06:07:35
เย้ๆดีใจมากๆที่มีเรืองยาวแล้วติดตามนะคะ :L1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 28-11-2019 06:50:55
มาเป็นเรื่องยาวแล้ววววววววววววว
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่1) (27/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 29-11-2019 21:02:13
บทที่1

ผมออกไปไหนไม่ได้สักระยะแล้ว รูของเปลือกหอยถูกปิดทึบจนด้านในมืดสนิท หลายครั้งที่พอสะกิดๆ ดู หนวดปลาหมึกก็แง้มออกเล็กน้อย แต่ช่องก็แคบเกินกว่าจะหนีออกไปได้อยู่ดี


ระหว่างนั้นผมเลยลองใช้วิธีสงบจิตใจดู คิดเอาไว้แล้วว่าโอกาสตายมีถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ ผมเลยลองรำลึกความหลังแบบที่มนุษย์ใช้ แต่นอกจากเรื่องอาหารที่กิน ผมก็นึกอะไรไม่ออกสักอย่าง


ดูเหมือนว่าผมจะถูกพาไปที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เดาไม่ยากหรอก น่าจะเป็นรังของมัน ส่วนจุดประสงค์ที่พาไปจะมีอะไรได้อีกนอกจากเอาไปเป็นเสบียง


ผมขดตัวในเปลือกหอยนานเท่าไรก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แสงเข้ามาด้านใน ผมยืดตัวเล็กน้อย ก่อนจะชะโงกออกไปดูข้างนอก


สภาพแวดล้อมด้านนอกปิดทึบ ด้านบนน่าจะเป็นผนัง ดูจากสภาพแวดล้อมคร่าวๆ แล้วน่าจะเป็นโพรงหรือรูที่หมึกใช้อยู่อาศัย


ตอนนี้ปลาหมึกที่ลักพาตัวผมมาหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเดินสำรวจโพรงแคบ โชคดีที่รอบๆ ไม่มีเปลือกหอยหรือเนื้อหอยที่ตายแล้วอยู่บริเวณนี้


ผมจำได้ว่าพวกหมึกสายไม่มีพฤติกรรมชอบกักตุนอาหารนี่ แล้วมันเอาผมมาขังไว้ที่นี่ทำไม


พอเดินสำรวจรอบๆ จนเบื่อ ผมเลยอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรสักระยะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มออกแรงขุดพื้นด้านล่าง


ปกติผมหรือหอยชักตีนจะชอบขุดพื้นโคลนปนทราย จากนั้นก็ฝังตัวลงกับพื้นด้านล่าง อย่างน้อยการอาศัยในพื้นโคลนก็ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย


หรือผมจะฝังตัวอยู่ในพื้นแล้วรอจนกว่าหมึกจะเลิกสนใจผมดี


แต่ผมก็ออกไปจากที่นี่เองไม่ได้ ตอนแรกผมลองพยายามเดินขึ้นแล้ว แต่ก็พบว่าเปลือกหอยด้านหลังหนักเกินไป และทางด้านหน้าก็ลาดชันมาก กลายเป็นว่าผมโดนเปลือกหอยถ่วงแล้วกลิ้งตกลงมาที่พื้นทรายในสภาพโคลนเปื้อนแฉะทั้งตัว


หรืออีกทางหนึ่งคือขุดใต้ดินแล้วหนีทะลุออกไปอีกฝั่ง


แต่ผมไม่คิดว่านั่นจะเป็นวิธีที่ฉลาดเท่าไร หมึกสายเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก เห็นมนุษย์บอกว่ามันเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่ฉลาดที่สุดในโลก ดังนั้นผมว่าคงไม่รอด เผลอๆ ถูกจับได้ตั้งแต่ขุดวันแรก


ผมขุดดินไปขณะที่คิดไปด้วย เมื่อลึกพอแล้ว ผมก็เคลื่อนตัวแล้วฝังตัวเองลงไปในพื้นโคลนปนทราย จากนั้นก็อยู่นิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน


ผ่านไปสักพัก หนวดปลาหมึกก็โอบล้อมรอบตัวผมก่อนจะดึงขึ้นมาจากผืนทรายที่อุตส่าห์ขุดตั้งนาน ผมมองจุดที่เพิ่งขุดด้วยสายตาละห้อย ขณะที่มันวางผมลงกับพื้น


ตอนที่หมึกวางผมลง ผมรู้สึกได้ว่าข้างๆ มีอะไรบางอย่างอยู่ด้วย เหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิต? ผมยื่นเท้าไปเขี่ย ก่อนจะพบว่าวัตถุด้านข้างแข็งพอสมควร


เปลือกหอย..?


ผมสันนิษฐานว่าแบบนั้น แต่ที่จริงก็ไม่แน่ใจนักหรอก จนกระทั่งปลาหมึกมันคว้าสิ่งมีชีวิตด้านข้างผมไปแล้วกินให้ดูต่อหน้าต่อตา


ผมตกใจ รู้สึกเหมือนกำลังดูหนังสดฆาตกรกินเนื้อ แถมสัตว์ที่มันกินตรงหน้าดันเป็นประเภทเดียวกับผมด้วย ผมรีบถอยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหลบไปอยู่ที่มุมแคบๆ ในโพรง รู้สึกเสียววาบราวกับถูกจับจ้องว่าจะเป็นเหยื่อรายต่อไป


พอมันกินไปสองคำก็ใช้หนวดยื่นมาให้


ผมอยากจะตะโกนดังๆ ว่า "ช่วยด้วย" แต่เสียดายที่ผมส่งเสียงอะไรไม่ได้นอกจากบุ๋งๆ แล้วมองเนื้อหอยที่มันยื่นมาอย่างไร้ความรู้สึก


มันยื่นเนื้อหอยมา แล้วเขี่ยๆ ตรงหน้าผม


คืออะไร..? ผมไม่เข้าใจจนลืมกลัวไปพักใหญ่ ดูจากท่าทางแล้วคิดว่ามันน่าจะหมายถึงให้ผมกิน


แต่คือมันเป็นเนื้อหอยไง


หอยชักตีนตัวอื่นอาจจะกินเนื้อหอยด้วยกันเองมั้ง แต่ผมไม่กินหรอก พอนึกว่าตัวเองกำลังกินหอยทั้งที่เป็นหอยแล้วก็รู้สึกสยองเหมือนกัน แม้ว่าหอยพวกนั้นจะไม่มีชีวิตก็ตาม


พอมันเห็นว่าผมไม่กิน เลยเอากลับไปกินต่อ ผมตัวแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าควรจะขยับตัวไปไหน ในใจท่องบทสวดวนสามรอบเผื่อจะได้เข้าพบพระเจ้า คิดไว้แล้วว่าอย่างไรตัวเองก็น่าจะเป็นรายต่อไปแน่นอน


แต่หลังจากที่กินเสร็จ มันก็ออกไปโดยที่ไม่เหลียวแลผมอีกเลย


ผมงงจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนงง ในเมื่อทำใจไว้แล้วว่าถูกกินแน่นอน แต่พอไม่ถูกกินขึ้นมาเลยกลายเป็นไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ


จะหนีไปไหนก็ไปไม่ได้ ถึงยังไงผมก็ต้องรอมันกลับมาอยู่ดี


ผมรอมันกลับมาด้วยความหวาดระแวง ขณะที่พยายามขุดดินต่อจากตรงที่ขุดไว้เมื่อครู่ บางทีถ้าผมขุดซ้ำรอยเดิม มันอาจจะไม่ทันสังเกตก็ได้


ผมคิดว่าอย่างน้อยตนเองก็น่าจะมีชีวิตรอดไปอีกสักพัก ดูจากสถานการณ์แล้วมันคงยังไม่กินผมตอนนี้ แต่จะเก็บไว้ใช้เป็นเสบียงกินวันถัดไปหรือเปล่าก็อีกเรื่อง


ดังนั้นผมต้องรีบขุดดินให้ได้วันละมากๆ แล้วหนีออกไปให้เร็วที่สุด


--------------------------



[Talk]



ปกติหอยชักตีนจะชอบฝังตัวอยู่ในโคลนค่ะ เวลาออกมาหาอะไรกินถึงมาเดินเล่น แล้วปกติน้องจะชอบกินซากสัตว์เป็นหลัก แต่ก็กินซากพืชนะ

ป.ล.เราเพิ่งเห็นว่ารันเลขบทผิด จะแก้หัวกระทู้ทีหลังค่ะ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnanana21 ที่ 29-11-2019 21:15:04
มาเป็นเรื่อง​ยาวแล้วเย้ๆๆ
ทำไ​ม​ชั้นต้องมาฟินกับอะไรแบบเน้
เอ็นดู​น้อง​หอยเหลือเกิน​แม่
ว่าแต่เขาจะมีบทสนทนา​กันบ้างไหมคะ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 29-11-2019 21:17:13
เอ็นดูน้องจัง
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-11-2019 22:00:01
น้องเป็นรักแรกพบของพี่หมึกสายหรืออย่างไร.. :hao3:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 29-11-2019 22:13:35
กรี๊ดเลยมาเป็นเรื่องยาวแล้วว  :o8: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 29-11-2019 22:41:05
แสนเอ็นดูน้องหอย ไม่รู้ว่าเขาตกหลุมรัก 5555555555
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 30-11-2019 15:52:46
ตามมาจากเรื่องสั้น เป็นเอ็นดูน้องงงงง รอนะคะ :-[
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 30-11-2019 16:09:56
เอ็นดูน้องหอยมากๆ เจ้าปลาหมึกก็คือเอาเนื้อหอยให้หอยกินขำ55555 :L1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 30-11-2019 16:35:54
เอ็นดูววน้องหอย พี่หมึกตกหลุกรักแรกพบน้อง โอ้ยย หาหอยมาเขี่ยๆให้น้องกิน น้องไม่กินได้แต่ยืนงงในโพรงหมึก :laugh:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (29/11/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Peterpanmama ที่ 01-12-2019 00:13:29
น้องหอยพี่หมึกเป็นเรื่องยาวแล้ว
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 20-12-2019 04:41:03
บทที่2

ผมเริ่มขุดดินได้ถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนที่ต้องขุดทั้งหมดแล้ว


ช่วงหลังมานี้เหมือนว่าปลาหมึกที่จับตัวผมมาจะเริ่มเรียนรู้มากขึ้น วันแรกๆ เขาเอาพวกเนื้อหอยมาให้ผมอยู่ประมาณสองถึงสามครั้ง แต่ผมก็ยังคงเมินหน้าหนีไม่ยอมกิน แม้ว่าจะหิวแทบตายก็ตามที


พอเขาเห็นว่าผมไม่ยอมกินเนื้อหอยที่เอามาให้ เขาก็เลยเปลี่ยนอาหารที่เอามาให้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลาหมึกที่ทุกวันนี้ผมก็ยังคงสงสัยว่าเขาไปเอามาจากไหน เนื้อหอยพันธุ์อื่นๆ จนมาลงเอยที่สาหร่ายกับซากพันธุ์ปลาอะไรสักอย่าง


ผมรับรู้ว่าปลาหมึกเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก แต่นึกไม่ออกว่ามันฉลาดขนาดไหนจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเขาสังเกตพฤติกรรมของผมอยู่ตลอดเวลา แล้วเขาก็พยายามปรับพฤติกรรมตนเองให้เข้ากับตัวผมจนหลังๆ ผมเริ่มไม่ได้รู้สึกแย่หรือระแวงกับการที่ต้องอยู่ในนี้ตลอดเวลาแล้ว


ผมไม่ใช่สัตว์ที่ฉลาดเหมือนพวกปลาหมึก เพียงแต่ผมแค่ได้เรียนรู้จากมนุษย์ แล้วผมก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมของปลาหมึกเท่าไรนัก ผมเลยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร หรือพฤติกรรมของเขาต้องการแสดงออกถึงอะไร


ด้วยสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ผมเลยยังรู้สึกระแวงกลัวตายอยู่บ้างบางส่วน ผมตัดสินใจเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องของเขา แล้วย่อตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาขุดดินต่อ


ระหว่างที่ขุดดินนั้นผมก็พยายามสังเกตกระแสน้ำตลอดเวลา เนื่องจากปลาหมึกมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ ดังนั้นเวลาที่มันเข้ามาในถ้ำ ผมจะรู้สึกได้ถึงกระแสน้ำที่เคลื่อนที่แรงกว่าปกติ พอรู้สึกได้ว่ากระแสน้ำแรงขึ้นเมื่อไร ผมจะรีบโผล่หัวขึ้นมาจากดินที่กำลังขุด แล้วแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรนอกจากเอาตัวจุ่มในดินเฉยๆ


ขุดไปได้สักพัก กระแสน้ำก็กระเพื่อมไหวเล็กน้อย ผมรีบโผล่หัวขึ้นมาจากดินที่กำลังขุดแล้วตะกายขึ้นมาด้านบนอย่างรวดเร็ว


จังหวะที่โผล่ขึ้นมาด้านบน เป็นเวลาเดียวกับที่ปลาหมึกกลับมาที่ถ้ำพอดี ผมแสร้งทำเป็นเหมือนว่าตนเองกำลังเขี่ยอะไรบนพื้นกินเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย


เขาใช้หนวดพันรอบตัวผมก่อนจะดึงเข้าไปใกล้อย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ผมรีบขดตัวเข้าหากันในเปลือกหอยเพราะความระแวง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากดึงเข้าไปใกล้ๆ


แล้วก็กอด


ผมงงจนลืมความรู้สึกกลัวตายไปพักหนึ่ง ก่อนจะโผล่หน้าออกมาจากเปลือกหอย ดูเหมือนว่าเขาแค่กอดผมจริงๆ ไม่ได้สอดหนวดเข้ามาด้านในเพื่อจะดึงออกไปกิน


จากนั้นปลาหมึกก็นิ่งไปเลย


ผมลองใช้เท้าหรือปากเขี่ยๆ กับหนวดปลาหมึกดู มันแน่นิ่ง ไม่ขยับตัวไปไหนเหมือนตาย แต่ผมรู้ว่ามันยังไม่ตายหรอก ดูเหมือนว่ามันแค่หลับไปเสียมากกว่า


ปกติแล้วปลาหมึกเป็นสัตว์ที่แม้นอนหลับก็ยังค่อนข้างตื่นตัวและระวังภัยต่อสิ่งแวดล้อม ทุกๆ ประมาณสิบห้านาทีมันจะกวาดหนวดไปรอบๆ เพื่อตรวจดูสภาพแวดล้อมรอบตัว ดังนั้นผมเลยคาดไม่ถึงว่าเขาเอาตัวผมเข้าไปกอดเหมือนเป็นหมอนข้างหรืออะไรทำนองนี้


ผมพยายามขยับตัว แต่ก็ไปไหนไม่ได้นอกจากติดแหง่กอยู่ในอ้อมกอดของปลาหมึก บางครั้งผมก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของอีกฝ่ายค่อนข้างประหลาดจากหมึกทั่วไป การกระทำของมันแตกต่างจากสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากมนุษย์มาก


ดังนั้นผมเลยค่อนข้างสนใจเขานิดหน่อย ถ้ามีเวลาก็อยากลองศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของปลาหมึกมากกว่านี้ แต่พอคิดว่าอนาคตจะโดนจับเข้าไปอยู่ในปากปลาหมึกตอนไหนก็ไม่รู้ ผมก็หายอยากรู้ทันที


ผมขดตัวอยู่ในเปลือกหอยแบบเหนื่อยๆ แล้วนั่งนับเวลารอเพื่อให้ครบสิบห้านาทีเสียสักที


…………………………………


……………..


ด้วยความมุ่งมั่นในการขุด สุดท้ายผมก็สามารถขุดจนทะลุออกมาอีกฝั่งได้


ผมไม่รู้ว่าใช้เวลานานแค่ไหน แต่ก็รู้สึกว่านานอยู่เมื่อเทียบกับเวลาทั่วๆ ไป ตอนที่ออกมาอีกฝั่งได้ ผมก็รีบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว


แต่หนีไปได้ไม่ไกล ผมก็เดินชนเข้ากับอะไรบางอย่างพอดี ดีที่ผมไม่ได้เดินเร็วมากจนชนกับมันแล้วทำให้เปลือกหอยแตกหรือกระทบกระเทือน ผมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเห็นสิ่งของบางอย่างที่แปลกตา


ภาพข้างหน้าผมเป็นวัตถุที่ค่อนข้างใส แสงสามารถทะลุผ่านลงมาได้ แต่กลับมีความแข็ง ผมลองไล่นึกถึงความเป็นไปได้ในหัว ดูเหมือนว่าวัตถุข้างหน้าผมน่าจะเป็นแก้ว


แล้วข้างในขวดแก้วนั้นก็มีอะไรบางอย่างอยู่


จากความเข้มของแสง ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเต่า ผมยื่นเท้าออกไปเขี่ยๆ เพื่อยืนยันความคิดของตน แล้วก็พบว่าตนเองไม่น่าจะคิดผิดจริงๆ มันเป็นแก้วที่มีเต่าอยู่ในนั้น และดูเหมือนว่าขวดแก้วนี้น่าจะหนักพอสมควรด้วย


ผมลองพยายามเอาตัวดันเพื่อให้ขวดแก้วล้ม แต่แรงอันน้อยนิดก็ไม่สามารถทำให้มันเขยื้อนได้ ผมนั่งคิดอย่างท้อแท้ แม้ว่าจะสื่อสารกับเต่าที่อยู่ด้านในไม่ได้ แต่การถูกขังอยู่ในขวดแก้วมันคือการทรมานอย่างหนึ่ง


ไปไหนไม่ได้ต้องอยู่ในขวดแก้วจนอดตาย แค่คิดผมก็รู้สึกแย่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าทำไมมนุษย์ถึงใจร้ายจับมันขังแล้วปล่อยให้มันอดตายแบบนี้


ถ้าผมมีแรงเยอะกว่านี้ก็คงผลักให้ขวดแก้วล้มได้ แต่น่าเสียดายที่ผมไม่มีเรี่ยวแรงหรือพละกำลังเลย ระหว่างที่กำลังชั่งใจคิดว่าควรจะทำอย่างไร ภาพด้านหลังก็มืดลง


ผมขยับตัวไปดูด้วยความระแวงเพราะคิดว่าเป็นสัตว์จำพวกนักล่าที่เข้ามาใกล้ ซึ่งสิ่งที่คิดก็ไม่ได้ต่างจากที่เห็นเท่าไรนัก เบื้องหน้าผมเป็นปลาหมึกขนาดยักษ์ ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ขยับตัวไปไหน มันก็คว้าตัวผมเข้าไปกอด


ผมลดความระแวงและหวาดกลัวลงเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าปลาหมึกตัวเดียวกับที่เอาผมไปนอนกอดและคอยให้อาหารบ่อยๆ ผมพยายามขยับตัวออก แต่มันกลับใช้หนวดรัดแน่นขึ้นเหมือนไม่อยากให้ผมไปไหน


ทำไงดี


ผมรู้สึกอับจนหนทางจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร สุดท้ายเลยปล่อยให้เขากอดจนพอใจ พอปลาหมึกมีท่าทีเหมือนว่าจะพาผมกลับรัง ผมก็รีบขัดขืนแล้วเดินเตาะแตะไปที่ขวดแก้วตรงหน้า


แวบแรกเขาดูมีท่าทีงุนงงเล็กน้อย แต่พอเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในโหลแก้ว เขาก็เหมือนเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ เขาใช้หนวดปลาหมึกสัมผัสไปรอบๆ ตามขวดแก้ว ก่อนจะเลื้อยไปที่ฝาของมัน


ผมลืมไปเสียสนิทว่าขวดแก้วมันมีฝาปิดด้วย จากที่ดีใจกลับกลายเป็นความกลุ้มใจอีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าเขาจะสามารถเปิดฝาออกได้หรือเปล่า แน่นอนว่าผมรู้วิธีเปิดฝาขวดแก้วจากมนุษย์ แต่กับปลาหมึกที่ไม่เคยเจอของแบบนี้ ผมไม่แน่ใจเลยว่ามันจะสามารถเปิดออกได้


เขาใช้หนวดสัมผัสรอบๆ ฝาขวดแก้วเหมือนกำลังตรวจดู ก่อนจะพยายามดึงออก แน่นอนว่านั่นเป็นการกระที่สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง


มันเป็นขวดแก้วแบบหมุนเกลียว ต้องออกแรงบิดถึงสามารถเปิดขวดแก้วได้ ผมกลุ้มใจจนไม่รู้จะทำยังไง สื่อสารกับอีกฝ่ายก็ไม่ได้ สาธิตวิธีการก็ไม่ได้ ได้แต่หวังพึ่งรอให้อีกฝ่ายเปิดออกด้วยตนเองอย่างเดียว


แม้ว่าจะสิ้นหวังไปแล้ว แต่ลึกๆ ส่วนหนึ่งผมก็คาดหวังให้ปลาหมึกสามารถเปิดออกได้ ในเมื่อมนุษย์บอกว่าปลาหมึกเป็นสัตว์ที่ฉลาด ดังนั้นผมเลยได้แต่หวังว่ามันจะสามารถเปิดออกได้ในที่สุด


เมื่อปลาหมึกรู้ว่าการดึงออกไม่สามารถเปิดขวดแก้วได้ มันก็เริ่มสัมผัสตามฝาขวดแก้วอีกครั้งราวกับกำลังสำรวจ ผมจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความลุ้นระทึก ใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุดปลาหมึกมันก็ใช้หนวดของตนจับแล้วหมุนเปิดฝาขวดแก้วได้ในที่สุด


ผมอยากจะร้องว่า เย้ ดังๆ แต่สิ่งแรกที่ผมทำคือการรีบเคลื่อนที่ตรงไปยังฝาขวดแก้วที่ถูกเปิดออก เต่าที่อยู่ด้านในนั้นคลานออกมาอย่างเชื่องช้า ท่าทางของมันดูอิดโรยและอ่อนแรงเหมือนไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน แต่เมื่อออกมาได้มันก็คลานไปตามพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หายไปโดยเหลือเพียงร่องรอยทิ้งไว้เท่านั้น


ตอนแรกผมดีใจที่ช่วยเต่าออกมาได้ แต่เมื่อได้เห็นลักษณะและขนาดของมันดีๆ แล้วผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา


ลักษณะของเต่าค่อนข้างตัวเล็ก ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจจะเป็นลูกเต่า แต่เมื่อดูลักษณะการเคลื่อนที่ของมันแล้ว ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเต่าบกมากกว่าเต่าทะเล


แน่นอนว่าที่นี่คือทะเล ผมไม่คิดว่าเต่าบกจะสามารถอาศัยอยู่ในทะเลได้ ถึงตอนนี้จะช่วยออกมาได้ แต่อีกไม่กี่วันมันก็ต้องตายอยู่ดีเพราะไม่สามารถปรับตัวได้


ผมคิดว่าโหลแก้วพวกนั้นน่าจะมาจากที่มนุษย์เอาเต่าไปใส่เพื่อให้ทำบุญปล่อยปลาหรือปล่อยเต่า แต่ทำขวดแก้วหล่นลงมาในทะเล ที่น่าเศร้าคือพวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ ว่าควรปล่อยเต่าตัวนี้บนบก


ผมรู้สึกโกรธ ขณะเดียวกันก็หดหู่เพราะรู้สึกสงสารเต่าตัวนั้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมไม่เข้าใจมนุษย์ว่าสุดท้ายแล้วการปล่อยเต่าพวกนี้จะทำให้ได้บุญเพิ่มขึ้นจริงหรือ ในเมื่อมันก็ต้องตายเหมือนกัน


ตอนนั้นผมไม่มีเรี่ยวแรงจะไปไหนด้วยซ้ำ ได้แต่ปล่อยให้เขาพาร่างของผมกลับรังแบบเงียบๆ กับข้อสงสัยที่รู้ว่าถึงอย่างไรก็คงไม่ได้รับคำตอบ


----------------------------------------------



(Talk)



ใช้แท็ก #น้องหอยอย่ากลัวพี่ นะคะ



++เต่ามีสามประเภท เต่าบก เต่าน้ำจืด และเต่าทะเลค่ะ แยกจากรูปลักษณ์ภายนอก



++ปลาหมึกจะตื่นทุกๆ15นาที เป็นสัตว์ที่ค่อนข้างระวังตัวสูงค่ะ



++ปลาหมึกสามารถเปิดขวดได้จริงๆนะคะ มีคลิปด้วย แต่ต้องขอเวลาหาก่อน






หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-12-2019 05:55:47
 :pig4:
 :katai2-1:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 20-12-2019 14:26:30
สงสารน้องเต่า  :sad11:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-12-2019 19:26:32
แง้สงสารน้อง
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 20-12-2019 22:22:34
 :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 21-12-2019 00:45:15
สงสารน้องเต่าาา  :hao5:
น้องหอยฮา แอบขุดรูพอหมึกมาก็ทำเนียน 555
อ่านเรื่องนี้แล้วไม่อยากกินอาหารทะเลเลยค่ะ เอ็นดูน้องๆ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 21-12-2019 23:05:09
นิยายสนุก น่ารัก  ให้ข้อคิด
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 21-12-2019 23:31:36
เรีื่องนีี้น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 24-12-2019 03:00:29
น่ารัก ชอบตั้งแต่เป็นเรื่องสั้น อยากรู้ว่าพี่หมึกสายไปสะดุดตีน เอ๊ย! สะดุดตาอะไรน้องหอยชักตีนเข้าถึงได้อุ้มน้องกลับมาเลี้ยงที่บ้าน :man1: :man1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnanana21 ที่ 12-01-2020 14:24:23
นี่มันนิยาย​รักษ์​โลก​นี่น่า

เอ็นดู​น้อง​หอย​
อยาก​ได้​ยินความคิด​ของ​พี่​หมึก​บ้าง​ค่ะ​
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่2) (20/12/62) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 17-01-2020 02:32:52
บทที่3

หลังจากที่เขารู้ว่าผมแอบหนีไปด้านนอก เขาก็พาผมออกมาเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ





เอาจริงผมไม่ได้อยากออกมาเที่ยวขนาดนั้น ตอนแรกที่ลงทุนขุดดินจนมาถึงข้างนอกได้เพราะอยากหนีล้วนๆ แล้วหลังจากนั้นเขาก็ดูจะจับจ้องพฤติกรรมผมเป็นพิเศษเหมือนกลัวว่าจะหนีไปอีก





แต่ความจริงผมก็ไม่ได้คิดหนีแล้ว อยู่เฉยๆ ก็มีปลาหมึกเอาอาหารมาให้ ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายออกไปโดนนักล่าไล่กิน อย่างน้อยชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้แย่





ตอนที่อยู่ในถ้ำเบื่อๆ ผมก็ขุดดินเล่นหรือไม่ก็ใช้เท้าวาดรูป พอปลาหมึกใกล้มา ผมก็จะใช้เท้าลบๆ พื้นอย่างรวดเร็ว





ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากให้เขาเห็น แต่ผมรู้สึกไม่ดีเวลาที่คนอื่นเห็นรูปที่ตัวเองวาด





ผมขีดเขียนอย่างใจลอย ไม่รู้ว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อไร พอผมกำลังจะใช้เท้าลบ เขาก็รั้งตัวผมเอาไว้





ปลาหมึกยื่นหน้ามาดูสิ่งที่ผมขีดเขียนบนพื้นเหมือนสนใจ ผมเลยอยู่นิ่งๆ ไม่ขยับตัว





รูปที่ผมวาดเป็นรูปปลาหมึก แน่นอนว่าผมอยากวาดตัวเอง แต่เพราะไม่รู้ว่าหน้าตาตนเองเป็นยังไง ผมเลยวาดเขาแทน





แต่รูปที่ออกมาก็ไม่ได้วาดรู้เรื่องหรือสวยเท่าไร ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่เข้าใจ ผมเลยเฉยๆ ไม่ได้มีท่าทีลนลานอะไรตอนที่เขาเห็นรูปที่ผมวาด





จากนั้นปลาหมึกก็ใช้หนวดเขี่ยบนพื้น





ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะลบ แต่เปล่า อีกฝ่ายใช้หนวดขีดเขียนอะไรบางอย่างบนพื้นอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยละออกมา





ผมมองด้วยความสนใจ แต่ก็มองไม่ออกเลยขยับตัวถอยหลังมา จากนั้นถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายวาดอะไร





ผม?





เดี๋ยว





ผมงงจนพูดไม่ออก พอเห็นแล้วคิดว่าน่าจะใช่ตนเองจริงๆ ก็นิ่งไปพักใหญ่





ปลาหมึกวาดรูปได้???





ผมเพิ่งรู้ว่าปลาหมึกก็วาดรูปเป็น แต่เหมือนผมจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ผมเลยถอยออกมาดูแบบงงๆ แล้วก็เดินไปเดินมา





เหมือนปลาหมึกจะเข้าใจผิดว่าผมอยากดูแบบชัดๆ เขาเลยใช้หนวดรัดตัวผมแล้วก็ยกให้สูงขึ้น





แวบแรกที่ร่างกายลอยขึ้นจากพื้น ผมขดตัวเข้าไปในเปลือกหอยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อรู้สึกได้ว่าเปลือกหอยไม่ได้กระทบกระเทือนกับพื้น ผมเลยชะโงกหน้าออกมาดู





เมื่อดูจนพอใจแล้ว ผมเลยใช้ขาเขี่ยเข้าที่หนวด จากนั้นเขาถึงยอมปล่อยผมลงบนพื้น ผมเดินเตาะแตะไปที่ตรงนั้นแล้วใช้เท้าลบสิ่งที่ตนเองวาด





ผมไม่คิดว่าเขาจะวาดรูปตัวผมหรอก สัตว์ไม่สามารถวาดรูปได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงมีภาษาเหมือนมนุษย์แล้ว





นี่คือข้อแตกต่างอีกอย่างของมนุษย์กับสัตว์ ผมสามารถวาดรูปได้ก็จริง แต่ไม่สามารถวาดสิ่งที่ไม่เคยเห็นหรือสิ่งที่อยู่ในจินตนาการ สิ่งที่สามารถวาดได้มีแค่ภาพที่เคยเห็นเท่านั้น





มันเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาอย่างหนึ่ง ระหว่างที่กำลังใช้เท้าลบภาพบนพื้น ปลาหมึกก็ใช้หนวดดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่น แล้วขยับตัวหลบมาที่ด้านในส่วนลึกของโพรง





ผมงุนงง อยากจะถามว่ามีอะไร แต่นึกขึ้นมาก่อนว่าตัวเองพูดไม่ได้ แล้วปลาหมึกก็พูดไม่ได้ด้วย ผมเลยอยู่นิ่งๆ ไปก่อนเพื่อรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป





'น้ำขุ่นชะมัด'





ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินเสียงในหัวดังขึ้น พอมองออกไปข้างนอกก็ไม่เห็นอะไร แต่รู้สึกได้ถึงกระแสน้ำที่เคลื่อนไหวและกระเพื่อมอย่างรุนแรง





พอมีมนุษย์เข้ามาใกล้ ผมจะได้ยินเสียงความคิดของพวกเขา วิธีนี้ทำให้ผมรอดตายมาได้ตลอด





โชคยังดีที่เสียงนี้เบา แสดงว่าไม่ได้อยู่ใกล้มาก แต่ก็ไม่ไกลจากพวกเราเท่าไร ผมรู้สึกกลัวเลยขดตัวเข้าไปหลบอยู่ในเปลือกหอย





เหมือนปลาหมึกจะรู้สึกว่าผมกลัว เขาเลยแหย่หนวดปลาหมึกเข้ามาด้านในเปลือกหอยแล้วเขี่ยกับจิ้มราวกับจะแสดงความเป็นห่วง





ผมรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ เลยยื่นเท้าเขี่ยตอบ หนวดปลาหมึกถึงหดกลับไปในที่สุด





เหมือนกับว่าเขาพอใจแล้ว ปลาหมึกเลยไม่ได้แหย่หนวดเข้ามาด้านในอีก





ผมขดตัวนิ่งๆ รอให้มนุษย์จากไปจนไม่ได้ยินเสียงความคิด จากนั้นจึงค่อยโผล่หัวออกมา





ตอนที่โผล่หัวออกมาจากเปลือกหอย ผมเพิ่งเห็นว่าปลาหมึกยังกอดเอาไว้อยู่





ผมรออยู่สักพัก พอไม่เห็นว่าเขาจะขยับไปไหน ผมเลยยื่นเท้าไปสะกิด เขาถึงคลายหนวดออก





ผมเดินเตาะแตะไปบนพื้นโคลน ทว่าเดินไปได้ไม่ไกล ปลาหมึกก็คว้าตัวผมเอาไว้แล้วพาว่ายขึ้นไปด้านบน





สงสัยมันคิดว่าผมอยากจะออกไปเที่ยวข้างนอก ผมอยู่เฉยๆ แต่เริ่มมาขัดขืนอย่างจริงจังตอนที่มันว่ายพาขึ้นสู่เหนือน้ำด้านบน





ผมกลัวบนบกมากที่สุด การอ่านใจมนุษย์ได้ทำให้ผมรับรู้ว่าด้านบนมีสิ่งมีชีวิตอันตรายอยู่เพียบ และยิ่งรู้ว่ามนุษย์อาศัยอยู่บนบกเป็นหลัก ผมก็ยิ่งไม่อยากขึ้นไป





มนุษย์มองพวกเราเป็นแค่หนึ่งในอาหารจำนวนมาก โดยหลักแล้วมนุษย์กินแทบทุกอย่าง ผมยังนึกอยู่เลยว่ามีสัตว์ตัวไหนกินมนุษย์เป็นหลักบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่มี





แน่นอนว่าผมที่ขัดขืนแบบจริงจังสู้แรงปลาหมึกไม่ได้ เขาดูไม่สะทกสะท้านอะไร เหมือนจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าผมพยายามขัดขืนอยู่





ไอ้บ้านี่





สงสัยที่มนุษย์บอกว่าปลาหมึกฉลาดจะไม่ใช่เรื่องจริง แค่อ่านความรู้สึกผม เขายังอ่านไม่ออกเลย





ผมขดตัวในเปลือกหอยด้วยท่าทีเซื่องซึม คิดเอาไว้แล้วว่าบนบกต้องเป็นสถานที่โหดร้ายเหมือนนรกถึงได้มีสัตว์อันตรายเต็มไปหมด





ถ้าขึ้นไปด้านบนแล้วจะเอาชีวิตรอดยังไงดี ผมคิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ อีกนิดเดียวก็จะพ้นผืนน้ำแล้ว--





ทว่าภาพด้านบนกลับเป็นภาพที่ผิดจากที่คาดไว้





ภาพตรงหน้าเป็นผืนทรายและต้นไม้ที่ขึ้นสูง เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นพระอาทิตย์และท้องฟ้า





ดวงตาผมไม่ได้ดีเท่ามนุษย์ แต่ก็รู้สึกได้ว่าภาพตรงหน้าสวยและงดงามมาก ดูไม่น่ากลัวเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก





แต่ก็น่ากลัวอยู่ดี





มันน่ากลัวเพราะเป็นสถานที่ที่ผมไม่รู้จัก ผมขดตัวเข้าไปในเปลือกหอยเพราะหวาดระแวงกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ขณะพยายามเขี่ยเท้าเพื่อเป็นเชิงบอกให้เขาว่ากลับเถอะ





แต่ปลาหมึกก็ไม่รู้ความนัยที่ผมอยากสื่อแม้แต่น้อย พวกเราอยู่กันต่ออีกสักพักท่ามกลางความหวาดระแวงของผม จากนั้นจึงค่อยกลับลงไปสู่ท้องทะเลเหมือนเดิม





มันโชคดีที่เป็นครั้งแรกของพวกเรา แต่ไม่เกิดเรื่องอะไรก็เท่านั้น





ถึงเหนือน้ำขึ้นไปจะอันตราย ทว่าผมก็รู้สึกว่ามันเป็นภาพที่งดงามมากจริงๆ





-------------------------









[Talk]


เตือนไว้ก่อนว่าเรื่องนี้มีเรทนะคะ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 17-01-2020 06:55:19
เปนหอยยังแซ่บ เรทมาเลยค่ะ ชอบบบบ 555+
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 17-01-2020 11:22:36
น้องๆจะเรทกันยังไง? รอ..ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ   :hao6:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 17-01-2020 12:48:17
 :จ้อบจัง1: รอ....เรท
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Peterpanmama ที่ 17-01-2020 23:10:27
ปูเสื่อรอเลยจ้า
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-01-2020 02:01:33
เรื่องนี้น่ารักมากจริงๆ ยิ่งนึกภาพตามยิ่งไม่อยากกินเลย 555 จะมีพาร์ทของพี่หมึกบ้างมั้ยนะ อยากรู้จังว่าพี่หมึกคิดอะไรบ้าง
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 19-01-2020 01:36:01
หอยกลับปลาหมึกน่าสนใจ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnanana21 ที่ 20-01-2020 21:13:02
น่ารัก​ น่ารัก​ น่ารัก​เต็มไปหมด
รอเรทนะคะ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 21-01-2020 13:18:09
น้องหอยกับพี่หมึกจะเรทททททททททททททท อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-01-2020 18:27:53
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่3) (17/1/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 06-02-2020 02:26:43
บทที่4

เมื่อได้เคยลองขึ้นไปเหนือน้ำครั้งหนึ่ง ความหวาดกลัวที่มีมาตลอดก็ลดลง พอมีครั้งแรกจึงมีครั้งที่สองและครั้งที่สามตามมา แล้วความกลัวที่มีมาตลอดก็หายไปไหนไม่รู้

แต่ผมก็ยังไม่กล้าขึ้นบนบก ผมทำเพียงแค่ขึ้นไปเหนือน้ำ จากนั้นก็กลับลงมาข้างล่างเหมือนคนขี้ขลาด เพราะสัญชาตญาณสอนให้ผมระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

ช่วงพักหลังมานี้ปลาหมึกไม่ได้พาผมไปไหนอีก เขามีท่าทีกระสับกระส่ายแปลกๆ จากนั้นก็มีพฤติกรรมแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด

จากที่ปล่อยให้ผมอยู่อย่างอิสระ แล้วออกไปหาอาหาร เขากลับจับจ้องผมอยู่ในโพรงเงียบๆ แทบจะไม่กะพริบตา ราวกับกลัวว่าหากละสายตาแวบเดียว ผมก็จะหายไปต่อหน้าเขา

ความรู้สึกนี้ทำให้ผมหนาววูบวาบแปลกๆ ถึงกับต้องพยายามขุดดินเพื่อหลบซ่อนสายตาของเขา แต่ปลาหมึกก็จะพยายามขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วใช้หนวดหนึบๆ นัวเนียใส่

นี่มันอะไร ผมงงมาก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือแย่อย่างที่คิด เลยปล่อยให้เขาใช้หนวดนัวเนียต่อไป

จากนั้นเขาก็เข้ามากอด แล้วใช้หนวดสอดเข้ามาด้านในรู

ผมตัวแข็งค้าง ยังไม่ทันหายงงว่ามันคืออะไร ผมก็ใช้เท้าแหย่กลับเพราะคิดว่าเขาคงอยากเล่นด้วย แต่มันกลับคว้าตัวผมเอาไว้แน่น

ความรู้สึกที่มีหนวดตะปุ่มตะป่ำและเมือกสัมผัสทำให้ผมสะดุ้ง พยายามขดตัว แต่เขากลับสอดอะไรบางอย่างเข้ามาด้านในเพิ่มอีกอย่าง

เดี๋ยว

หนวดปลาหมึกดึงร่างของผมออกมาจากเปลือกหอย หนวดอันหนึ่งกอดรัดผมเอาไว้แบบไม่แน่นนัก ขณะที่อีกหนวดพยายามเย้าแหย่ด้วยการถูไถไปมาบนตัวผม

ผมขดตัวหลบด้วยความจั๊กจี้ แต่หนวดนั้นยังคงตามรังควานไม่หยุด มันถูไถไปมาบนตัวผม ผมเลยใช้เท้าเขี่ยหนวดนั้นกลับ

ความหนึบที่หนวดปลาหมึกทำให้ผมรู้สึกเคลิ้มหน่อยๆ จนไม่ได้ดิ้นหนีอีก ผมเขี่ยที่หนวดนั้นจนมันบิดไปมาเหมือนกำลังเขินอาย

จากนั้นหนวดปลาหมึกที่ถูไถผมก็หลุดออกมา

ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ตอนที่เห็นหนวดปลาหมึกเส้นนั้นหลุดออกมาผมถึงกับแตกตื่น กระวนกระวายพยายามเอาหนวดเส้นนั้นกลับไปต่อ แต่ต่อยังไงก็ไม่ติด

แทนที่ปลาหมึกจะลนลานกับท่าทีของผม มันกลับยัดหนวดปลาหมึกเส้นยักษ์ที่หลุดออกมาใส่เท้าผม

หนวดปลาหมึกเส้นใหญ่นั้นติดหนึบกับร่างจนผมต้องพยายามดันมันออก แล้วก็จ้องมองหนวดที่อยู่บนพื้นสลับกับหนวดที่ขาดออก

เหมือนเคยได้ยินว่าถ้าหนวดปลาหมึกขาดเมื่อไร มันจะงอกเส้นใหม่ได้ แต่ทำไมมันถึงไม่เห็นจะงอกหรือเพราะต้องใช้เวลานานกว่านี้หน่อย

ผมใช้เท้าดึงหนวดปลาหมึกอันนั้นเข้ามากอด เหมือนเขาจะให้หนวดอันนี้กับผม?

แต่เพื่ออะไรกัน..

ผมงงไปหมด ท่าทีที่เปลี่ยนไปทำให้ผมกระสับกระส่าย เขาเอาผมใส่เข้าไปในเปลือกหอยเหมือนเดิม ก่อนที่จะเอาหนวดปลาหมึกอันที่หลุดนั้นยัดเข้าไปในเปลือกหอยด้วย

จากนั้นเขาก็ดึงตัวผมเข้ามากอด แล้วหลับไป ปล่อยให้ผมงงกับการกระทำของเขาจนไม่ได้ขยับตัวไปไหน

แล้วหลังจากวันนั้น ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป

………...

…..

ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากที่เขาสละหนวดชิ้นหนึ่งให้กับผม พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

จากที่เคยออกไปหาอาหารแล้วเอากลับมาให้ บางครั้งเขาก็ลืมเอามาให้ผม ผ่านไปนานวันเข้า ปลาหมึกก็มองผมแบบงงๆ เหมือนไม่มีความทรงจำในหัว

ผมงงกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเขา หนวดชิ้นนั้นยังคงอยู่กับผม ตอนที่แตะแล้วเปิดดูข้างใน ผมเหมือนจะเห็นว่ามีอะไรบางอย่างออกมาด้วย แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

พอเห็นว่าพฤติกรรมอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ผมก็พยายามเอาหนวดชิ้นนั้นไปติดคืนให้ แต่มันติดไม่อยู่ แถมบริเวณที่หนวดขาดก็ไม่มีทีท่าว่าจะงอกขึ้นมา

ถ้าผมเป็นมนุษย์ก็คงดี อย่างน้อยผมจะได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ผ่านไปนานวัน ปลาหมึกก็เริ่มออกไปหาอาหารแล้วไม่กลับมาอีกหลายวัน เขาแทบไม่แตะต้องตัวผมเหมือนก่อน ซ้ำยังดูมีท่าทีล่องลอยแปลกๆ

ผมกำลังตงิดใจ ไม่ใช่ว่าหนวดตรงนั้นที่ขาดออกไปคือส่วนสมองใช่ไหม

เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร นานวันเข้าปลาหมึกก็มีท่าทีแปลกไปจนผมกระวนกระวาย สุดท้ายด้วยความที่ทนไม่ได้ ผมเลยคิดว่าตนเองควรจะขึ้นบก

บางทีถ้าขึ้นบก ผมอาจจะได้ข้อมูลมาว่าทำไมปลาหมึกจึงมีพฤติกรรมแปลกไป แต่ปัญหาคือผมต้องเข้าไปใกล้มนุษย์มากพอที่จะสามารถอ่านความคิดอีกฝ่ายได้ แถมไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะรู้เรื่องของปลาหมึกเสียด้วย

เพียงแค่คิดผมก็เริ่มกลัวขึ้นมา

ความใคร่รู้สลับกับความกลัวเหวี่ยงไปมาในหัว หลังจากใช้ความคิดพักใหญ่ ผมก็ตัดสินใจได้ว่าจะลองขึ้นบนดูสักครั้ง

ถ้าผมหลบซ่อนในดิน มนุษย์ไม่น่าจะเห็น พวกเขาไม่ให้เวลาหรือสนใจสิ่งมีชีวิตที่เล็กจิ๋วแบบผมหรอก ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะกิน

ผมทิ้งหนวดอันนั้นไว้ในโพรง จากนั้นก็เดินต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนจากพื้นโคลนเพื่อขึ้นมาสู่บนบก ยิ่งเห็นแสงสว่างใกล้มากเท่าไร ผมก็ยิ่งขุดดินเพื่อหลบด้วยความกลัวมากเท่านั้น

ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรืออย่างไร ขณะที่ผมกำลังขึ้นไป ผมก็ได้ยินเสียงของมนุษย์สองคนคุยกัน

แน่นอนว่าผมฟังบทสนทนาของพวกเขารู้เรื่อง คลับคล้ายกับว่าสมองผมเชื่อมกับสมองของพวกเขา เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ผมก็พยายามค้นหาข้อมูลจากในสมองนั้น

สองคนนี้ดูเหมือนว่าจะทำงานเกี่ยวกับพวกสัตว์น้ำหรือนิเวศพอดี ผมรู้สึกว่าตนเองโชคดีมาก จากนั้นก็แอบดูข้อมูลในสมอง

พอดูจนเสร็จแล้ว ผมก็พบว่าตนเองไม่น่ารู้เลย

เดี๋ยวก่อน ผมงง สรุปที่หมอนั่นทำกับผมด้วยการเอาปลาหมึกมาแหย่ๆ นี่คือการผสมพันธุ์เหรอ แล้ว...แล้ว… ผมขดตัวเข้าในเปลือกหอย ไม่รู้ทำไมถึงอับอายแปลกๆ ยิ่งรู้ว่าหนวดปลาหมึกที่เขาสละทิ้งมาให้คืออะไร ผมก็ยิ่งอายจนพูดไม่ออก

ประเด็นคือผมแม่งนอนกอดอิหนวดอันนั้นแทบทั้งวันทั้งคืนด้วย ..

ไม่ได้การล่ะ ผมชักเครียด ขณะที่คิดว่าตัวเองต้องรีบกลับไปรั้งปลาหมึกเอาไว้เป็นการเร่งด่วน ร่างของผมก็ลอยหวือขึ้นเหนือน้ำทันที

พวกมนุษย์จ้องมองผม ก่อนจะพูดคุยกัน "นี่ไง ได้ตัวอย่างงานวิจัยแล้ว"

งานวิจัยอะไร.. ผมขดตัวหนีเข้าไปในเปลือกหอยด้วยความกลัว จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยอะไรบางอย่างกันต่อ ก่อนจะโยนผมลงไปในถังน้ำ

จากนั้นผมก็ถูกพาตัวไปในที่ไกลแสนไกล ที่ที่แม้แต่ตนเองยังไม่รู้จักด้วยซ้ำไป

ความทรงจำต่อจากนั้นค่อนข้างติดขัด ขาดหายและไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกที ผมก็พบว่าตนเองอยู่ในโลกที่ไม่รู้จักเสียแล้ว

---------

[Talk]

ตอนนี้สั้นแบบไม่มีข้อแก้ตัวจริงๆค่ะ คือมันเขียนยากมากกกกกกก

ตอนหน้าจะเริ่มเปลี่ยนแนวเรื่องแล้วนะคะ

ป.ล.เวลาหมึกผสมพันธุ์ มันจะแจกไอ้นั่นให้ตัวเมียค่ะ อารมณ์แบบสลัดทิ้งเลยแล้วคาไว้ในนั้น เราเรียกอวัยวะส่วนนั้นว่าhectocotylus

ป.ล.2 รอดูเฉลยตอนหน้านะคะว่าทำไมปลาหมึกถึงเปลี่ยนไป

หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 06-02-2020 06:21:50
'เปลี่ยนแนวเรื่อง'

ไม่น่าไว้ใจอย่างรุนแรงงงง
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 06-02-2020 12:26:16
เปลี่ยนแนวเรื่อง?
แกงกะทิหอยจุ๊บ?
ผัดพริกปลาหมึก?
#แนวTriller
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 06-02-2020 17:15:10
น้องหอยเป็นคน แน่ๆ !!!
ไม่งั้นจะเรทยังไง ฮ่าๆๆๆ
Welcome to my world จ่ะ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-02-2020 17:27:10
อะไรคือเปลี่ยนแนวเรื่อง...รอลุ้นจ้า  :call:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 06-02-2020 17:30:23
หูย ลุ้นอ่ะว่าต่อไปจะเป็นยังไง นักเขียนสู้ๆนะ ตามอ่านอยู่จ้า  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 06-02-2020 23:22:09
จะเป็นอย่างไงต่อ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 06-02-2020 23:58:43
น้องหอยถูกจับไปแล้ว หมึกจะทำยังไงละเนี้ยะ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-02-2020 00:11:21
น้องถูกจับไปแล้ววว  :ling1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: jaja-jj ที่ 07-02-2020 00:57:01
เปลี่ยนแนวเรื่องรืออัลไลลลลลล ทำไมพี่หมึกเปลี่ยนปัยยยยยย. ถ้าน้องหอยกลายเป็นหอยผัดเผ็ดจะเครียดและเลิกกินหอยผัดเผ๊ดไปครึ่งปี ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 09-02-2020 22:37:27
น้องงงงงง น้องโดนหิ้วใส่กระป๋องไปแล้วววพี่หมึก!

จะเปลี่ยนแนวอัลไรรรร ลุ้นมากกกก น้องในร่างใหม่ หรือจะจับน้องผัดเผ็ด  :katai5:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่4) (6/2/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 09-03-2020 04:33:48
บทที่5

ปลาหมึกหลังจากผสมพันธุ์ มันจำความจำเสื่อมแล้วตายลง

นั่นเป็นข้อมูลที่ผมเพิ่งรับรู้หลังถูกจับตัวมา จากนั้นผมก็โดนโยนเข้าบ่อเพาะเลี้ยง พวกมนุษย์เฝ้าดูพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของผม แล้วก็คอยจดบันทีกตลอดเวลา

หลังจากจดบันทึกได้สักพัก ประมาณสองหรือสามวัน พวกเขาก็โยนหอยตัวเมียลงมา

แน่นอนว่าผมไม่มีอารมณ์จะผสมพันธุ์เพราะมัวแต่กังวลเรื่องของปลาหมึก ผมเลยเดินเตาะแตะในถังไฟเบอร์กลาสแบบกระวนกระวาย

สุดท้ายพอพวกมนุษย์เห็นผมไม่ยอมผสมพันธุ์สักทีแม้ว่าจะผ่านไปเป็นสัปดาห์ พวกเขาก็ระบายน้ำออกในถัง

จะทำอะไร..

ผมงง แล้วสักพักเขาก็ปล่อยน้ำเข้ามาด้านใน เหมือนจะคุยกันว่าเพื่อกระตุ้นให้ผมผสมพันธุ์อะไรสักอย่าง ผมเลยทำเป็นยืนอยู่นิ่งๆ เหมือนว่าป่วยหรือใกล้ตายแล้ว พวกมนุษย์จะได้เลิกยุ่งแล้วปล่อยผมไปสักที

ปรากฎว่าพอเห็นผมยืนนิ่งเหมือนใกล้ตาย พวกมนุษย์ก็คุยกันว่าจะจับผมไปปิ้งกินดีไหม

ชิบหาย

ผมเริ่มคิดแล้วว่าอย่างน้อยๆ ตัวเองก็ควรเดินหรือเคลื่อนไหวอะไรบ้างสักอย่าง แต่ก็ได้แค่คิด ยังไม่ทันได้เริ่มทำอะไร พวกมนุษย์ก็ใส่สารอะไรบางอย่างลงมาในน้ำ ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร แต่หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเคลื่อนไหวหรือเดินไม่ออกจริงๆ แล้วก็อยู่นิ่งๆ

จากนั้นภาพทุกอย่างก็ดับลง

…………………………..

……………

ตอนที่ตื่นขึ้นมา ผมก็พบว่าตนเองมาอยู่ที่อื่นแล้ว

ผมคงจะไม่รู้สึกอะไร หากว่าของในสภานที่นี้ไม่ได้มีขนาดเล็กลงจากที่เคยรู้สึกได้ ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อกวาดตามองรอบๆ ดูเหมือนว่าที่นี่น่าจะเป็นแกลอรี่หรือทางเดินที่เอาไว้โชว์งานศิลปะแบบที่พวกมนุษย์ชอบดูกัน

แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

ผมเดินไปตามทางแบบงงๆ ทางข้างหน้ามืดมากจนผมไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ผมเลยหยุดเดินหลังจากเดินมาได้สักพักแล้วหันมามองภาพข้างทางแทน

ตอนนั้นผมถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามันมีอะไรปกติ

ผมมองภาพศิลปะที่อยู่บนผนังทางเดิน จากนั้นผมก็แปลกใจที่พบว่าตนเองสามารถมองเห็น ‘สี’ และสิ่งของได้แบบที่ไม่ใช่เป็นแค่เงาตะคุ่มๆ อีกต่อไป

“อะไรน่ะ”

ผมหลุดอุทานออกไป ก่อนจะเงียบลงเมื่อเพิ่งรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ

เดี๋ยว แล้วทำไมผมพูดได้???

ผมงงจนยืนนิ่งไปพักใหญ่ พอก้มลงมองก็พบว่าตัวเองยังเป็นหอยเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนว่าขนาดตัวผมจะใหญ่ขึ้น ขนาดเกือบเทียบเท่ามนุษย์ได้ ผมลากตัวเองมายืนที่หน้างานศิลป์ชิ้นหนึ่ง มันเป็นรูปของสถานที่ที่ผมไม่รู้จัก ด้านในภาพนั้นมีสีเขียวและน้ำสีฟ้า งดงามชนิดที่ว่าแทบจะละสายตาไม่ได้

มีความเป็นไปได้สองทางว่าทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ข้อแรกคือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความฝัน ข้อที่สองคือผมโดนพวกมนุษย์รมยาอะไรไม่รู้จนเห็นภาพหลอน

แต่ปกติเราสามารถฝันเห็นในสิ่งที่ตนเองไม่เคยเห็นได้ด้วยหรือไง

ผมยื่นมือออกไปสัมผัสที่กรอบรูปนั้น จากนั้นถึงเพิ่งสังเกตว่าตัวเองมีมือด้วย มือคล้ายกับมนุษย์อีกต่างหาก ผมรีบชักมือกลับมาดู แล้วก็ละสายตากลับมามองที่รูปนั้นอีกครั้ง

"สวยไหม" เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้นด้านหลัง "มันคือทุ่งหญ้ากับทะเลสาป เป็นภาพบนบกน่ะ"

ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบหันไปมองด้านหลัง จากนั้นถึงได้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ด้านหลังผมเป็นนก

แต่มันไม่ใช่นกธรรมดา มันเป็นนกที่มีขนาดใหญ่มาก ขนของมันเป็นสีขาวสะอาดทั้งตัวยกเว้นดวงตาที่ดำสนิท

น่าแปลกที่ผมรับรู้ได้ทันทีว่ามันคือนกพิราบ

ทั้งชีวิตขึ้นบกแค่สามหรือสี่ครั้ง ผมยังไม่มีโอกาสได้เห็นนกด้วยซ้ำ

เหมือนกับที่ผมรู้ได้ทันทีว่าสีบนภาพเป็นสีเขียวกับสีฟ้า ทั้งที่ไม่เคยเห็นสีมาก่อน

"ที่นี่คือที่ไหน.." ผมเอ่ยถาม จากนั้นจึงขยับตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย "คือผมฝันหรือ"

"ไม่ใช่ความฝัน" นกพิราบตัวนั้นว่าก่อนจะใช้ปีกคว้าตะเกียงที่แขวนอยู่ติดผนังขึ้นมาถือ "ตามมา เดี๋ยวฉันพาออกไปจากที่นี่"

ผมงุนงง แต่ก็เดินตามไปแต่โดยดี รอบข้างผมเต็มไปด้วยกำแพงที่ขนาบกันยาวจนไม่เห็นทางออก บรรยากาศวังเวงและมืดสนิทจนแทบไม่ได้ยินเสียงของอะไรเลย

ผมเหลียวมองข้างทาง จากนั้นจึงได้เห็นว่ารูปภาพที่แขวนอยู่บนกำแพงนั้นก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากรูปแรกที่เป็นทุ่งหญ้า ภาพที่สองก็เริ่มมีสิ่งมีชีวิต มีมนุษย์ ภาพต่อๆ ไปก็เป็นภาพของมนุษย์ที่กำลังสร้างบ้านขึ้นมาจากไม้

"มันคือวิวัฒนาการมนุษย์หรือ" ผมถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

"มันคือภาพเหตุการณ์ในอดีตน่ะ" นกพิราบนั้นว่า ก่อนจะเหลือบตามามองทางเขา "เธอรู้จักคำว่าวิวัฒนาการจากไหน"

ผมชั่งใจเล็กน้อยก่อนเอ่ย "..จากความคิดมนุษย์"

"มีสัตว์น้อยตัวที่อ่านความคิดมนุษย์ได้" นกพิราบว่าก่อนเดินอย่างเร่งรีบ ท่าทางเหมือนจะบินแล้วด้วยซ้ำ "รีบไปกันเถอะ ถ้าอยู่ที่นั่นเธอจะกลายเป็นคนพิเศษทันที"

ผมรีบคว้าปีกนั่นเอาไว้ "เดี๋ยว ไปไหน--"

"ไปยูโทเปียน่ะ"

ผมเคยได้ยินคำว่ายูโทเปียมาก่อน มันคือสถานที่ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้รับสิทธิที่พิเศษเหนือใคร แต่สถานที่พวกนั้นเป็นความฝัน

หรือบางทีมันเป็นแค่ชื่อเมืองเฉยๆ

"แล้วที่นี่คือที่ไหน" ผมเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแม้ว่าจะยังมีสิ่งที่คาใจ ตอนนี้ผมอยากรู้คำตอบของข้อนี้มากกว่า

"มันคือเส้นเวลา เป็นสถานที่ที่เข้ามาได้เมื่อตายแล้ว"

"เหมือนโลกหลังความตาย? "

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ไม่ใช่ทีเดียว" นกพิราบว่าก่อนจะส่งเสียงในลำคอ "เหมือนตรงที่เข้ามาได้ตอนตายแล้ว"

ผมตายแล้ว?

น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเสมือนว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่มีแม้แต่ความเศร้า เสียใจหรือคะนึงหาด้วยซ้ำ

"แล้วจากนี้จะเป็นยังไงต่อ" ผมถามด้วยน้ำเสียงงุนงง "ไปสวรรค์หรือ"

"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ไม่ใช่สวรรค์ในแบบที่เธอรู้จักจากมนุษย์หรอก" ทันทีที่เอ่ยจบ นกพิราบก็เดินช้าลงเมื่อเห็นรูปหนึ่ง ผมเหลือบตามองตาม จากนั้นถึงเห็นว่าเป็นภาพโลกที่ถูกน้ำท่วมจนไม่เหลืออะไรเลย "ใกล้จะถึงแล้ว มีสัตว์ตัวไหนที่อยากเป็นหรือเปล่า"

ผมงุนงง "หมายถึงอะไร"

"ที่โลกใหม่นี้เธอจะเป็นสัตว์ตัวไหนก็ได้ที่อยากเป็น" นกพิราบว่าก่อนจะชะงักฝีเท้าเมื่อถึงรูปหนึ่ง มันเป็นรูปที่ไม่ต่างจากรูปแรกสุดที่ผมเห็น แต่เขียวชะอุ่มและมีสัตว์อาศัยอยู่เต็มไปหมด

และในภาพนั้นก็ไม่มีมนุษย์เลยแม้แต่คนเดียว

"เป็นได้ทุกอย่างเลย? "

"ใช่"

ผมชั่งใจคิดเล็กน้อย "แล้วเป็นมนุษย์ได้ไหม"

นกพิราบเงียบไปเล็กน้อย วูบหนึ่งผมเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของมัน ทั้งที่สีหน้าของอีกฝ่ายแทบจะไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ

"ได้สิ" นกพิราบว่าก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ผม มันก้มหน้าลงแล้วหยิบกระจกในกระเป๋าขึ้นมาแล้วยื่นให้ผมดู "แบบนี้ได้หรือเปล่า"

เงาบนกระจกนั้นสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าของมนุษย์เพศชาย ผมเดาไม่ถูกว่าอายุของร่างที่ผมใช้นั้นอายุเท่าไร แต่ดวงตาของผมเป็นสีเขียวอมฟ้าคล้ายกับน้ำทะเล เรือนผมสีดำสนิท ด้านหลังถักเปียยาว

ผมเผลอเลื่อนมือขึ้นมาจับใบหน้าของตนเองโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็เลื่อนไปจับผมด้านหลัง ความรู้สึกประหลาดใจทำให้ผมสัมผัสใบหน้าของตนเองด้วยความตื่นเต้นเหมือนกับได้พบของเล่นใหม่

"ร่างนี้อายุเท่าไร"

"อายุยี่สิบเอ็ด" นกพิราบว่าขณะที่ยังคงถือกระจกค้างไว้ "ชอบร่างนี้หรือเปล่า"

"ชอบสิ" ผมรีบตอบ จากนั้นจึงรับรู้ว่าโทนเสียงของตนเองแปลกไปเล็กน้อย "ถ้าไปอยู่ที่โลกนั้น ผมจะตายได้ไหม"

"ตายได้ถ้าต้องการความตาย" มันว่าก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย "ชอบก็ดีแล้ว แต่ถ้าเลือกเป็นมนุษย์จะต้องผ่านการทดสอบความเป็นมนุษย์ก่อนนะ ถึงสามารถออกไปใช้ชีวิตในโลกนั้นได้"

"แบบทดสอบความเป็นมนุษย์? "

"มันคือแบบทดสอบว่าคนนั้นมีความเป็นมนุษย์พอหรือเปล่า ถ้าไม่มีความเป็นมนุษย์พอ จะถูกฝึกเพิ่มจนกว่าจะมีความเป็นมนุษย์"

"เพื่ออะไร" ผมไม่เข้าใจเท่าไร "สุดท้ายแล้วพวกเราก็เป็นสัตว์อยู่ดี ไม่มีทางเข้าใจมนุษย์จริงๆ หรอก"

"มันเป็นกฎน่ะ" นกพิราบว่าก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อ "ตามมาสิ ห้องทดสอบอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หรอก"

กฎอะไร ตายไปแล้วทำไมถึงยังมีกฎระเบียบในโลกหลังความตายอีก ผมเดินตามไปทั้งที่ยังคงมีคำถามหลายอย่างค้างคาในหัว

"ที่ผ่านมามีสัตว์อยากเป็นมนุษย์เยอะไหม"

"มีไม่กี่ตัว จากล้านตัว มีสัตว์อยากเป็นมนุษย์แค่ตัวเดียว"

"ทำไมล่ะ"

นกพิราบยักไหล่ "พวกเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ส่วนมากก็เลือกเป็นในสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นทั้งนั้น"

"ที่โลกนั้นไม่มีมนุษย์เลยหรือ"

"ไม่มี" นกพิราบว่าจากนั้นก็หยุดยืนอยู่ที่รูปหนึ่ง มันเป็นรูปคล้ายกับห้องทำงานที่มนุษย์ชอบใช้ ผมเหลือบตามองเข้าไปด้านใน ขณะกำลังงงว่าต้องทำอะไร อีกฝ่ายก็พูดย้ำ "เข้าไปสิ"

"เข้ายังไง? "

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรเพิ่ม ร่างของผมก็ถูกผลักเข้าไปหารูปภาพทันที ผมรีบหลับตาอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวว่าร่างกายตนเองจะชนเข้ากับผนัง

ทว่าแทนที่จะชน ร่างผมกลับกลิ้งลงไปบนพื้นที่เย็นเยียบ ขณะที่พยายามลุกขึ้นยืน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

"อ้าว" อีกฝ่ายเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแบบที่ผมมักจะได้ยินจากมนุษย์บ่อยๆ "ยินดีต้อนรับ"

ผมเงยหน้าขึ้น จากนั้นถึงได้เห็นว่าร่างที่อยู่ตรงหน้าผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์แบบมนุษย์ เรือนผมสีแดง ที่ใบหน้านั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

ไม่ต่างจากมนุษย์เลย

อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน ดูเหมือนว่าร่างตรงข้ามนั้นจะสูงเท่าผม เขาเดินเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงตรงหน้า ทันใดนั้นผมก็รีบขยับตัวถอยหลังเล็กน้อย

อย่างว่า ถึงผมจะกลายเป็นมนุษย์แล้ว แต่ผมก็ยังคงกลัวมนุษย์อยู่ดี

"ฉันชื่อเซีย" อีกฝ่ายว่าทั้งๆ ที่ยังคงยิ้ม ก่อนจะยื่นมือมาให้ "ยินดีที่ได้รู้จัก"

ผมงุนงง แต่คิดว่านี่คงเป็นหนึ่งในการทดสอบล่ะมั้งเลยยื่นมือไปจับ จังหวะที่สบตากันนั้น ผมถึงเห็นว่านัยน์ตาอีกฝ่ายเป็นสีแดง

ดูเหมือนว่าดวงตานี้น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คนตรงหน้าแตกต่างจากมนุษย์ที่ผมรู้จัก เพราะมนุษย์ปกติไม่มีทางมีดวงตาสีแดง

ระหว่างที่ผมกำลังใช้ความคิด เซียก็ผละมือออก จากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นยืน แม้กระทั่งท่าเดิน การแสดงออกและอารมณ์ยังดูเหมือนมนุษย์เลย

ผมลุกขึ้นยืนแบบงงๆ รู้สึกว่าแข้งขาอ่อนแรงไปหมด แต่ก็พยายามลากเท้าเดินมาจนถึงเก้าอี้ที่ตรงข้ามกับโต๊ะจนได้

"คุณเองก็เป็นสัตว์หรือ"

"ประมาณนั้น" อีกฝ่ายว่าขณะนั่งลงที่เก้าอี้เลื่อน จากนั้นก็ลากล้อเข้ามาใกล้โต๊ะ "แต่นายคงไม่รู้จักหรอก ฉันอยู่มานานแล้ว"

"นานแค่ไหน"

"ก่อนมนุษย์จะเกิด"

นานมาก ผมกะพริบตา ในหัวนึกได้อยู่แค่สัตว์ไม่กี่ประเภท "คุณเป็นไดโนเสาร์หรือ"

เซียหลุดหัวเราะ "เปล่า ฉันเป็นสัตว์น้ำน่ะ"

"แล้วคุณเป็นสัตว์อะไร"

"อันที่จริงที่นี่มีกฎห้ามถามว่าเคยเป็นสัตว์อะไรมาก่อน" เซียว่า ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาหมุน ท่าทางดูเป็นกันเองจนผมลดความรู้สึกตึงเครียดลง "แต่บอกนายเป็นกรณีพิเศษก็ได้ ฉันเคยเป็นฉลามน่ะ"

"ตอนนี้ก็ยังมีฉลาม"

"แต่ไม่ใช่เป็นพันธุ์ที่มีอยู่ตอนนี้" เซียแย้ง "พวกเราสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว"

ในหัวผมนึกถึงฉลามเผ่าพันธุ์หนึ่งทันที ได้ยินมาว่ามันเป็นฉลามพันธุ์ที่ตัวใหญ่ที่สุด แต่ข้อมูลเกี่ยวกับมันก็มีไม่มากเท่าไรเพราะมันเป็นสัตว์ที่สูญพันธ์ไปนานแล้ว แม้แต่มนุษย์ก็ยังรู้จักชื่อของมันไม่กี่คน

ผมพยายามเค้นความทรงจำ จำไม่ได้ว่าฉลามพันธุ์นั้นมีชื่อว่าอะไร แต่รู้สึกว่าชื่อจำค่อนข้างยาก

"คุณดูไม่ค่อยดุร้ายเท่าไร"

"โดยปกติก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนดุร้ายตั้งแต่แรกหรอก" เซียว่าขณะวางปากกาลง จากนั้นก็ค้นกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ "พวกเราแค่ทำเพื่อความอยู่รอดเรียกว่าสัญชาตญาณก็ได้มั้ง”

ผมเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณจะให้ผมทดสอบอะไร”

“ไม่เชิงทดสอบหรอก” ทันทีที่เซียเอ่ยจบ มือก็หยิบกระดาษขึ้นมาวางบนโต๊ะ “มันคือการประเมินน่ะ พร้อมจะเริ่มการทดสอบหรือยัง”

“แล้วถ้าผมประเมินไม่ผ่าน..”

“ก็กลับไปเป็นสัตว์เหมือนเดิม”

นี่มันกฎเกณฑ์อะไรกัน ผมกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ก้มหน้ามองในกระดาษ สลับกับมองเซียที่กำลังยกยิ้ม “พร้อมหรือยัง”

ผมส่ายหน้า

“งั้นมาเริ่มกันเถอะ”

ผมจ้องมองเซียแบบแทบจะไม่กะพริบตา รู้ว่าเขาเข้าใจความหมายของการส่ายหน้าแน่ๆ แต่อีกฝ่ายจงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะถามผมทำไมถ้าไม่อยากให้เวลาเตรียมตัว

แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่ายังไงผมก็เลือกอะไรไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

----------------------------------------



[Talk]



อย่างที่เคยบอกทุกคนว่าเนื้อหาตอนนี้จะพลิกจากตอนก่อนที่ผ่านมามากๆ เลยลังเลอยู่นานว่าจะอัพตอนนี้ดีไหม เพราะพลิกแนวจนกลัวคนอ่านเท555555

อ่านแล้วรู้สึกยังไงคอมเมนต์ได้นะคะ กังวลกับตอนนี้มาก หรือถ้าอ่านแล้วสงสัยตรงไหนถามได้ค่ะ

ยังไงน้องหอยก็จะเป็นน้องหอยไปจนจบเรื่อง ข้างในยังเป็นสัตว์เหมือนเดิม เดี๋ยวอ่านตอนหน้าก็เฉลยอะไรหลายๆ อย่างเอง





เกร็ดความรู้

-หลังหมึกผสมพันธุ์กับหมึกตัวเมีย ไอ้นั่นจะหลุดแล้วก็กลายเป็นความจำเสื่อม จากนั้นก็จะอายุสั้นลงอย่างรวดเร็วและตายค่ะ

-ถังไฟเบอร์กลาสเป็นถังที่ไว้เพาะเลี้ยงหอยชักตีน ปกติเวลาต้องการกระตุ้นการสืบพันธุ์ก็จะทำการปล่อยน้ำเข้าน้ำออกบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้หอยชักตีนตัวผู้อยากสืบพันธุ์
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่5) (9/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 09-03-2020 06:24:30
มันช่างลุ้นมากนะเนี่ย 5555

แต่พ่อปลาหมึกนี่ อืม.....แปลกๆ

มาไวๆน้าค้า
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่5) (9/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 09-03-2020 06:27:37
ตายซะงั้น
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่5) (9/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 09-03-2020 22:47:45
เกินคาดไปมาก..กกกกก แต่ตามอ่านต่อ ไม่เทแน่นวล เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่5) (9/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: jaja-jj ที่ 09-03-2020 23:00:52
ทำไมชีวิตน้องหมึกมันดราม่าขนาดนี้ ฮือออออ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่5) (9/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 11-03-2020 16:13:56
น้องหอย จะอัพเกรดเป็นมนุษย์แล้วว
ว่าแต่พี่หมึกอยู่ไหน? ตายแล้วจะอัพเกรดเหมือนน้องไหม เมื่อไหร่จะเจอกัน พี่หมึกจะจำน้องหอยได้ไหม หรือลืมแล้วลืมเลย แง้งง รอลุ้น :hao5:

เป็นกำลังใจให้นะคะ คือถ้าเป็นเรื่องยาว จะเป็นแค่น้องหอยกับพี่หมึกใต้ท้องทะเลไปเรื่อยๆ ก็คงไปต่อไม่ได้
ถึงจะอยู่ในร่างมนุษย์ข้างในก็คือน้องหอยอยู่ดี ประเด็นสำคัญถ้ายังเป็นหมึก มันเศร้าเด้อ ผสมพันธ์เสร็จความจำเสื่อมแล้วตายเนี่ย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่5) (9/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-03-2020 03:36:07
น้องหอยได้ไปดีแล้ว พี่หมึกน่าสงสาร แล้วเป็นมนุษย์จะจำอะไรได้มั้ยนะ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่5) (9/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 13-03-2020 04:02:49
บทที่6

พอได้ยินว่าการทดสอบผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว

ผมไม่รู้หรอกว่าการทดสอบคืออะไร แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่ค่อยชอบมันเท่าไร ทุกครั้งที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องการทดสอบในหัวของมนุษย์ มักจะเป็นความคิดแง่ลบเป็นต้นว่า ไม่อยากทำหรือเครียดเป็นต้น

ดังนั้นผมเลยกลัวมาก แต่พอถึงเวลาจริงเซียกลับเหมือนแค่นั่งถามคำถามผมไปเรื่อยๆ หรือถ้าจะเรียกให้ถูกคือเป็นการพูดคุยสนทนากันธรรมดาๆ มากกว่า

“นายอ่านใจมนุษย์ได้นี่เอง” เซียว่าขณะที่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ แววตาแสดงความสนใจอย่างเห็นได้ชัด “มีสัตว์น้อยตัวที่ทำแบบนั้นได้ ตัวไหนที่มีความสามารถพิเศษนั้นก็จะกลายเป็นที่รู้จักในพวกมนุษย์ อย่างเช่น หมาที่คาบใบไม้มาแลกกับอาหารน่ะ”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วย?”

“มีสิ” ทันทีที่เซียเอ่ยจบก็ค้นหนังสือพิมพ์แล้วส่งให้เขาดู “นี่ไง”

ผมรับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาดูถึงได้เห็นว่าบนหน้าหนังสือเป็นภาษาของมนุษย์ แล้วก็เป็นเรื่องของมนุษย์ด้วย แต่มันเก่ามากแล้ว น่าแปลกที่ผมสามารถอ่านภาษาของมนุษย์ออกทั้งที่ไม่เคยเรียนวิธีการอ่านตัวอักษรด้วยซ้ำ ผมเลื่อนสายตาไปมองวันที่ จากนั้นจึงได้เห็นว่ามันเป็นปีบนโลกที่ผมอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้

“ทำไมฉันถึงอ่านออก”

“ที่โลกนี้ไม่มีข้อจำกัดด้านภาษาแต่แรกแล้ว” เซียพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ไม่มีใครรู้ว่าทำไม แต่เราอ่านได้ทุกภาษาของมนุษย์ ไม่ว่าสื่อสารกันด้วยภาษาไหน เราก็เข้าใจเหมือนกันหมด”

แปลกดี ผมหยุดคิดตามคำพูดของเซีย จากนั้นก็คิดว่าคงเพราะมนุษย์ใช้ภาษาในการสื่อสาร แต่สัตว์ใช้สัญญะในการสื่อสารหรือเปล่านะ

พอหยุดคิดแล้วมองใบหน้าของเซียอีกรอบ ผมถึงเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มอีกฝ่าย บางครั้งการยิ้ม สีหน้าหรือท่าทางของเซียทำให้ผมนึกถึงจิ้งจอกหรืออะไรแบบนี้มากกว่าฉลาม ถ้าไม่รู้คำตอบจากปากเจ้าตัว ผมคงเดาว่าเขาเป็นจิ้งจอกไปแล้ว

“แล้วทำไมที่นี่ถึงมีกฎห้ามถามสัตว์ที่เคยเป็นมาก่อนล่ะ”

“มันคือการเหมารวมน่ะ” เซียเอ่ยขึ้น จากนั้นก็เว้นจังหวะครู่ใหญ่แล้วค่อยพูดต่อ “ถ้าฉันไม่บอกว่าเป็นฉลาม นายคิดว่าฉันจะเป็นอะไร”

“จิ้งจอก..?”

“แล้วทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

นั่นสิ ทำไมก็ไม่รู้ เพราะว่าคำพูดกับท่าทางของเซียดูเจ้าเล่ห์หรือเปล่านะ ผมกะพริบตาปริบๆ “เพราะว่านายดูเจ้าเล่ห์..”

“พอรู้ว่าใครเป็นอะไรมาก่อน เราจะเกิดอคติต่ออีกฝ่ายทันที” ทันทีที่เอ่ยจบ เซียก็หยุดเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วค้นหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ ส่งให้ “อย่างเช่นถ้าฉันรู้ว่านายเป็นสลอท ฉันก็จะคิดว่านายขี้เกียจ พอคิดแบบนี้แล้วก็จะเกิดการแบ่งแยกกันแล้วก็เกิดสงครามเหมือนมนุษย์”

ผมคิดว่าคำพูดของเซียค่อนข้างเกินจริงไปหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า ผมเคยได้ยินจากความคิดของมนุษย์ในหัวว่ามีสงครามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอดีต แต่ไม่เคยได้รู้จริงๆ ว่าตกลงแล้วมันเกิดสงครามขึ้นเพราะอะไร

พอเหลือบตามองหนังสือที่เซียส่งมาให้ ผมถึงเห็นว่ามันเป็นหนังสือที่เล่าเกี่ยวกับสงครามของมนุษย์ ผมเปิดอ่านผ่านๆ รู้สึกว่าเยอะมากจนอ่านแค่วันเดียวไม่น่าจบ

แต่ยิ่งเปิดอ่านผ่านๆ มากเท่าไรผมก็ยิ่งคิดตาม ดูเหมือนว่าคำพูดของเซียน่าจะเป็นเรื่องจริง มนุษย์เริ่มทำสงครามกันตั้งแต่ตอนที่มีการตั้งชื่อดินแดนหรือชนชาติของตนเอง พอเปิดอ่านไปสักพักผมถึงปิดหนังสือ แล้วเอ่ยถามในประเด็นอื่นต่อ

“สัตว์ทุกตัวจะได้มาที่นี่หมดหรือเปล่า”

“ส่วนมากก็มาหมดนะ” เซียเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่บางตัวก็ไม่อยากมาที่นี่เพราะเหนื่อยที่จะปรับตัว ไม่ก็เหนื่อยที่จะมีชีวิตรอด”

“คือฉันอยากหาสัตว์ที่ตนเองรู้จัก มันจะมีโอกาสเป็นไปได้หรือเปล่า”

ตอนที่พูดประโยคนี้ ในหัวผมก็นึกถึงปลาหมึกไปด้วย ผมอยากรู้ความเป็นไปของเขาจะแย่แล้ว ถ้าเจอกันในโลกนี้อีกครั้งก็คงดี ผมอยากสื่อสารได้ อยากรู้มานานแล้วว่าเขาคิดเกี่ยวกับผมอย่างไร

“โดยปกติสัตว์ที่รู้จักกันในโลกนั้นจะมาเจอกันในโลกนี้อยู่แล้ว แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าทำไม” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดไปสักพัก “แต่พอนายมาอยู่ที่โลกนี้ ทุกคนจะเป็นสัตว์ที่ตัวเองต้องการ เลยมีโอกาสหากันเจอจริงๆ น้อยมาก”

แสดงว่าอย่างน้อยผมก็มีโอกาสได้เจอกับเขาที่นี่ใช่ไหมนะ ผมถอนหายใจเฮือกรู้สึกว่าภาระในอกเบาลงไปหนึ่งอย่าง

"ว่าแต่นายมีชื่อหรือยัง"

"ชื่อ? "

"มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไว้ใช้สร้างความเป็นตัวตนของตนเอง" ทันทีที่เซียเอ่ยจบก็เลื่อนกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา "หรือถ้านายยังเลือกไม่ได้ ฉันมีชื่อให้นะ"

ผมก้มมองกระดาษแผ่นหนึ่ง สายตากวาดมองข้อความในนั้น ถึงได้เห็นว่ามันเป็นชื่อที่มนุษย์ใช้กัน

ที่จริงผมยังไม่ได้คิดเรื่องชื่อ ไม่มีชื่ออะไรเป็นพิเศษที่ชอบเลยด้วย ผมกะพริบตา หยุดคิดสักพัก "ชื่อโนอาดีไหม"

"นายเป็นคนใช้ชื่อ นายจะมาถามความเห็นฉันทำไม"

"ก็ปกติเห็นมนุษย์ดูใช้เวลากับการตั้งชื่อนานมาก"

"แต่เราไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย มีชื่อเรียกก็พอแล้ว" เซียพูดค้างไว้สักพัก "นายนี่มีความเป็นมนุษย์สูงดีนะ"

ฟังจากน้ำเสียงของเซียแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ "เป็นคำชมหรือคำด่า"

"ทั้งคู่มั้ง มนุษย์เข้าใจยากจะตาย บางครั้งมนุษย์ยังไม่เข้าใจกันเองเลย"

ในเมื่อเป็นได้ทั้งคู่ งั้นผมคิดไว้ก่อนว่าน่าจะเป็นคำชม "แสดงว่าฉันผ่านการทดสอบใช่ไหม"

"อย่าเรียกการทดสอบเลย" พอพูดมาถึงตรงนี้เซียก็หลุดหัวเราะ "ปกติก็ผ่านกันหมดอยู่แล้ว ความเป็นมนุษย์มีเกณฑ์วัดที่ไหน ขนาดมนุษย์แต่ละคนยังให้ความหมายไม่เหมือนกัน"

สรุปว่าผมกดดันไปเองตั้งแต่ต้น ผมกะพริบตา เริ่มอยากรู้คำตอบของคำถามข้อนี้ขึ้นมาอย่างจริงจัง "แล้วความเป็นมนุษย์ในมุมมองนายคืออะไร"

"คืออิสระในการหาความสุขมั้ง" เซียตอบผมแบบที่ไม่เหมือนคำตอบเท่าไร ฟังแล้วผมไม่เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม "เพราะปกติมนุษย์ชอบแสวงหาความสุข ส่วนพวกเราทำเพื่อเอาชีวิตรอด ตรงนี้อาจจะเป็นจุดที่แตกต่างระหว่างเรากับมนุษย์"

ผมงง รู้สึกเข้าใจและก็ไม่เข้าใจไปพร้อมๆ กัน เลยตัดสินใจเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน "ว่าแต่ฉันจะไปอาศัยอยู่ที่ไหน แล้วพวกเรื่องเงิน.."

"แล้วนายอยากได้บ้านแบบไหนล่ะ? "

………………….

………...

เซียพาผมออกมานอกห้องทำงาน ตอนที่ออกมาข้างนอกผมถึงได้เห็นว่าโลกข้างนอกจริงๆ เป็นยังไง

ที่โลกนี้แตกต่างจากโลกมนุษย์มาก อาคารแต่ละหลังไม่สูงเท่าไรนัก ที่นี่มักจะเป็นอาคารชั้นเดียวมากกว่าตึกสูงอย่างที่มนุษย์ชอบทำ

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นถึงเพิ่งเห็นว่าสัตว์ส่วนมากที่เดินข้างทางมักจะเป็นพวกกึ่งคนกึ่งสัตว์มากกว่า พวกเขาแทบไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เลยเพราะส่วนใหญ่ก็สวมเสื้อผ้ากันหมด

ระหว่างทางที่เดินพวกเขามองมาทางพวกเราด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้หลายคน ผมรู้สึกแปลกๆ กับการโดนจับจ้องขนาดนี้ ปกติแล้วถ้าถูกคุกคามขนาดนี้ผมจะหดตัวเองเข้าไปในเปลือกหอย แต่ตอนนี้ตัวเองไม่มีเปลือกหอยแล้ว ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร

"ปกติมนุษย์ไม่มีอะไรปกปิดร่างกายเลยเหรอ"

เซียที่กำลังพาผมเดินชมเมืองก็กวาดตามองตั้งแต่หัวจดเท้า "นายก็ใส่เสื้อผ้าอยู่ไม่ใช่หรือไง"

"ก็ใช่ แต่มันไม่ปลอดภัย"

เซียกลอกตาไปรอบๆ “งั้นลองซื้อพวกเสื้อฮู้ดหรือหมวกอะไรแบบนี้ดีไหม”

ผมยังไม่ทันตอบว่าไอเดียของเขาดีหรือไม่ดี เขาก็พาผมเข้าไปในร้านแล้ว ไม่รู้ว่าจะถามทำไมถ้าตั้งใจไม่ขอความเห็นตั้งแต่แรก ผมกวาดตามองรอบๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เลยเลือกซื้อหมวกแก็ปมา

แน่นอนว่าผมไม่มีเงินหรอก ตอนที่เซียเห็นราคาถึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แล้วอย่าลืมเอาเงินมาคืนฉันด้วยล่ะ”

ตอนที่ซื้อของเสร็จแล้วเดินออกมาจากร้าน ผมหยิบหมวกขึ้นมาใส่แล้วถึงพูดขึ้นลอยๆ “ปกติแล้วยูโทเปียมีเงินด้วยหรือ”

“ถ้าที่โลกมนุษย์ก็ไม่มี แต่โลกนี้มีเพื่อจูงใจให้สัตว์ทำงาน” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดเดิน “ถึงแล้ว ไปเลือกงานกับลงทะเบียนกัน”

สถานที่ที่เซียพามาหน้าตาเหมือนกับอาคารอื่นๆ ในละแวกนี้ อย่างเดียวที่แตกต่างจากอาคารอื่นมีแค่ป้ายชื่อที่ระบุว่าสำนักงานศูนย์กลางเท่านั้น ผมเดินตามเข้าไปแบบงงๆ ก่อนจะเห็นว่ามีปลาหมึกนั่งจุมปุ้กอยู่บนเก้าอี้

ผมยืนนิ่งด้วยความงุนงงไปสักพักหนึ่ง จากนั้นถึงเพิ่งรู้สึกว่าหมึกตัวนี้หน้าตาเหมือนกับปลาหมึกตัวที่ผมเคยเจอเลย

ถึงจะรู้ว่าไม่ควรคิดเองเออเองไปก่อน แต่ผมก็หันไปมองเซียที่ยืนอยู่ด้านข้างทันที “ปลาหมึกที่นั่งตรงนั้นทำงานมานานหรือยัง”

เซียมองผมสลับกับหมึกตัวที่นั่งอยู่ “คิดว่าน่าจะเพิ่งมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ก่อนมั้ง”

“ฉันทำงานที่นี่ได้ไหม”

ผมคิดแค่ว่าถ้าทำงานในศูนย์นี้ อย่างน้อยก็น่าจะพอหาโอกาสใกล้ชิดกับปลาหมึกมากขึ้น ถึงผมจะไม่รู้ว่าโลกที่แล้วปลาหมึกตัวที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นปลาหมึกเดียวกันหรือเปล่า แต่ถึงไม่ใช่ การทำงานที่นี่ก็น่าจะเพิ่มโอกาสในการเจอเขามากขึ้น เพราะที่นี่จะต้องพบเจอกับสัตว์ทุกชนิด

“อะไรนะ” เซียพูดกับผมเหมือนไม่เชื่อหู “นายอยากทำงานที่นี่หรือ คิดดีแล้วใช่ไหม”

“ทำไม”

“ปกติไม่ค่อยมีสัตว์ตัวไหนอยากทำงานที่นี่” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เบาเสียงลง “อะไรทำให้นายอยากทำงานที่นี่กัน”

“ก็แค่รู้สึกว่าน่าจะได้เจอกับสัตว์เยอะดี”

เซียมองหน้าผมเหมือนจะบอกว่าบ้าหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้พูดตรงๆ อีกฝ่ายเบือนสายตามองไปทางอื่น “เอาที่นายเลือกแล้วสบายใจล่ะกัน”

“ทำงานที่นี่ไม่ดีหรือ”

“ถ้านายทำงานตรงนี้ นายจะเจอสัตว์มากมาย แล้วก็ต้องนั่งนิ่งๆ ในนี้ทั้งวัน แต่สัตว์หลายตัวไม่ชอบอยู่ร่วมกับสัตว์ตัวอื่น และไม่ชอบนั่งเฉยๆ ไม่ค่อยได้ขยับตัว” พอพูดมาถึงตรงนี้เซียก็หยุด “แต่งานที่นี่ให้เงินเดือนเยอะสุดในบรรดางานทั้งหมด”

“สัตว์ตัวอื่นไม่ได้เลือกงานที่เงินหรือ”

“ปกติเลือกเพราะความสบายใจหรือความคุ้นชินมากกว่า” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ อีกฝ่ายก็เดินนำมาที่เคาน์เตอร์ “เซธ หมอนี่จะทำงานที่นี่แน่ะ”

เซธหรือปลาหมึกหันมามองทางผม ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกมองก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาแล้วลองยิ้มแบบที่มนุษย์ชอบทำกันเวลาทักทายกับคนอื่น “สวัสดี ฉันโนอา”

“สวัสดี” เซธว่าก่อนจะยื่นหนวดปลาหมึกอันหนึ่งมาให้ผมเหมือนเป็นการทักทาย น้ำเสียงของเขาค่อนข้างทุ้ม “คนนี้มาใหม่หรือ”

“ใช่ เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เอง” เซียพูดขึ้นมาก่อนโดยไม่รอให้ผมได้ตอบ

“เลือกเป็นมนุษย์ตั้งแต่แรกเลย” ปลาหมึกพูดขณะเลื่อนสายตามามองที่ผม “แปลกดี”

ผมจับหนวดปลาหมึกอันนั้นเพื่อเป็นการทักทาย ความรู้สึกหนึบหนับทำให้ผมเริ่มคิดถึงเขาคิดมาแบบจริงจัง จากนั้นผมก็ปล่อยมือออก ที่แท้ความรู้สึกของการได้สัมผัสสัตว์ตัวอื่นได้ก็ดีแบบนี้นี่เอง

“แล้วที่นี่มีตำแหน่งอะไรเหลือบ้าง” ผมพูดขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเงียบจนเกินไป เซธใช้หนวดปลาหมึกเคลื่อนที่ไปยังคอมพิวเตอร์ที่วางไว้อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็เลื่อนจอดูตำแหน่งงานที่เหลือ

“เหลือแค่งานต้อนรับ”

“เอางานนั้นก็ได้” ผมว่า ขณะที่เซธเลื่อนกระดาษใบหนึ่งมาให้ผมกรอกข้อมูลส่วนตัว ยังไม่ทันที่จะได้กรอก เซียก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“โนอา นายอยากได้บ้านแบบไหน”

“มีบ้านแบบไหนบ้าง?”

“หลักๆ จะมีบ้านบนบกกับใกล้น้ำ” เซียเอ่ย ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้แล้วหยิบกระดาษเคลือบแผ่นหนึ่งขึ้นมา “ปกติสัตว์น้ำสามารถหายใจบนบกของโลกนี้ได้ก็จริง แต่สัตว์น้ำบางตัวก็ยังชอบที่จะอยู่ใกล้น้ำ หรือถ้านายเลือกบ้านบนบก ก็จะมีสภาพแวดล้อมหลายอย่างให้เลือกเช่นอยู่ที่สูงหรืออยู่ในที่มืด”

“สัตว์ตัวอื่นเลือกตัวไหนกัน”

“ปกติก็เลือกบนบกแล้วก็ที่ราบกันเป็นส่วนใหญ่”

“งั้นเอาอันนั้นนะ”

เซียเงียบไป ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังอึ้งอยู่หรือว่าอะไร “ตอนแรกฉันนึกว่านายเป็นสัตว์น้ำเสียอีก ตกลงว่าไม่ใช่หรือ”

“นายรู้ได้ยังไง”

“พออยู่ไปนานๆ ก็จะเริ่มแยกออกน่ะ” พอเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ฉันคิดว่าพอเดาได้ด้วยว่านายคืออะไร”

“ที่นี่มีกฎห้ามถามไม่ใช่หรือ” ผมทวนความจำเขา

“ก็ไม่ได้ถามนี่ แค่เดาเฉยๆ” เซียว่าก่อนจะวางกระดาษในมือลง “ฝากเขาด้วยล่ะเซธ สอนเรื่องโลกนี้ให้เขาทีนะ”

หลังจากเอ่ยจบเซียก็เดินไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ผมรีบละสายตาจากกระดาษที่กำลังกรอกทันที “เดี๋ยว จะไปแล้วหรือ”

“ใช่ ก็หมดหน้าที่ฉันแล้ว” เซียว่า ก่อนจะผลักประตูออกไป “แต่ถ้าอยากมาหาหรือมีอะไรสงสัยก็แวะมาหาได้”

หลังจากที่เอ่ยจบเซียก็เดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามองอีก ผมกะพริบตาก่อนจะยื่นใบข้อมูลที่เพิ่งกรอกเสร็จให้อีกฝ่าย

เซธใช้หนวดรับข้อมูลของผมไป ก่อนคีย์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องคิดมากหรอก เซียก็เป็นแบบนั้นแหละ”

เป็นแบบนี้หมายถึงแบบไหน ผมคิดในใจแต่ไม่ได้พูด เท้าก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย เริ่มลังเลว่าควรจะหาที่นั่งดีๆ “ฉันต้องทำงานวันนี้เลยหรือเปล่า”

“ยังไม่ต้องทำงานวันนี้หรอก รออีกสักสามวันแล้วค่อยเริ่มงานก็ได้” เซธพูดขณะที่ยังคงใช้หนวดปลาหมึกจิ้มแป้นพิมพ์ขนาดใหญ่ไปด้วย “มานั่งตรงนี้ก็ได้ จะได้เลือกแบบบ้านถนัด”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาใช้หนวดปลาหมึกชี้ สายตาก็มองไปรอบๆ อาจจะเพราะว่าเซธเริ่มเห็นท่าทางประหม่าของผมเลยเอ่ยขึ้นมาเพื่อสร้างความคุ้นเคย “ฉันเซธนะ นายชื่ออะไร”

“โนอา” ผมพูด ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ อาจจะเพราะได้นั่งใกล้กับปลาหมึกที่หน้าตาคล้ายตัวเดียวกับที่เคยเจอมั้ง ผมเลยรู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “ทำไมนายถึงมาเลือกทำงานนี้ล่ะ”

“เพราะได้เจอสัตว์เยอะน่ะ” พอพูดมาถึงตรงนี้เซธก็เงียบไป ท่าทางดูเหมือนจะหงอยลงอย่างบอกไม่ถูก “ตอนอยู่ที่โลกนั้นฉันอายุสั้นมาก ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยก็ตายก่อน”

ไม่คิดว่าจะเจอสัตว์ที่มีความคิดคล้ายผมด้วย ผมขยับตัวชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่อีกฝ่ายทำอยู่ด้วยความสนใจ แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้มากเพราะความกลัวบางอย่างที่มีต่อสัตว์นักล่ายังคงอยู่ “ทำอะไรน่ะ”

“กรอกข้อมูล” พอเซธพูดจบ อีกฝ่ายก็ใช้หนวดเลื่อนหนังสือรวมแบบบ้านให้ดู “เลือกบ้านสิ อันนี้คือบ้านที่ยังว่างอยู่”

ผมเปิดหนังสือรวมรูปแบบบ้านผ่านๆ บ้านที่อยู่ในนี้สวยแทบทุกหลังเลย แถมมีหลายสภาพภูมิแวดล้อมให้เลือกต่างหาก “บ้านพวกนี้คือฟรีหรือ”

“ว่ากันตามตรงก็ไม่ฟรี บ้านพวกนี้ก็ได้จากการหักเงินเดือนเราไปสร้างบ้านกับพัฒนาสภาพแวดล้อมเมืองต่อ”

ผมส่งเสียงอืมในลำคอ จากนั้นก็ชี้ที่บ้านหลังหนึ่งในสมุด “บ้านหลังนี้ยังว่างอยู่ใช่ไหม”

เซธหันหัวมามอง จากนั้นก็มองผมสลับกับภาพของบ้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“แน่ใจนะว่าจะเอาบ้านหลังนี้”

-------------------------------------------------



(Talk)

ตอนแรกว่าจะเขียนให้ถึงตอนทำงาน แต่ปรากฎยาวไปเลยขอตัดตอนก่อน

ป.ล.ทำไมคนอ่านเหมือนจะเชียร์เซียให้เป็นพระเอก55555
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 13-03-2020 07:45:30
หืมมมมม มนุษย์กับหมึก..... ล้ำไปอี๊กกกก....
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 13-03-2020 08:35:46
 :mew6:แฟนตาซีมากกกกกก

รอลุ้นต่อไป แต่ว่าแต่ละตอนสั้นจัง T3T
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 13-03-2020 12:41:04
ตะไมเรารู้สึกว่าเซธ ไม่ใช่พี่หมึก แต่แค่เป็นปลาหมึกเหมือนกันเฉยๆ :hao5:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืืnanana21 ที่ 13-03-2020 21:54:53
บ้านหลังนั้นมีอะไรเหรอ

มาต่อเร็ว​ ๆ​ นะคะสนุก​มาก​เลย​
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-03-2020 22:42:05
ใช่พี่ปลาหมึกรึเปล่า???   :katai1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 14-03-2020 22:49:10
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 22-04-2020 00:54:38
บทที่7

ตอนที่ผมแวะมาดูทำเลบ้าน ผมถึงเพิ่งรู้ว่าปกติแล้วบ้านหลังนี้สัตว์ไม่ค่อยชอบกัน อย่างแรกคือมันเป็นบ้านที่มีรูปทรงคล้ายกับบ้านของมนุษย์ ไม่ค่อยกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม แล้วก็โดดเด่นสะดุดตามากเกินไป สัตว์ตัวอื่นเลยไม่เลือกเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่ออยู่ในบ้านที่โดดเด่นขนาดนี้

ผมเลือกบ้านหลังนี้เพราะรู้สึกแค่ว่ามันสวย มันเป็นบ้านสองชั้นที่ค่อนข้างดี ผมคิดว่ามนุษย์น่าจะชอบก็เลยเลือกมา อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองเหมือนมนุษย์มากขึ้น

แต่ความจริงผมไม่เหมือนมนุษย์หรอก

คืนนั้นผมสำรวจเดินรอบบ้านเพื่อจดจำว่าส่วนไหนเอาไว้ทำอะไรบ้าง ตอนนั้นถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบ้านหลังนี้มีเตียงสองอัน และข้าวของหลายๆ อย่างก็ดูเหมือนบ้านที่ไม่ได้มีไว้ให้แค่คนเดียวอาศัย

ความจริงมันอาจจะเป็นบ้านสำหรับสองคน แต่ผมงงจังว่าสัตว์ที่ไหนจะยอมอยู่ร่วมกับสัตว์ตัวอื่นที่ตนเองไม่รู้จัก

ไม่รู้ว่าใครเป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้ แต่ผมว่าคนออกแบบคงเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเองแน่ๆ

เช้าวันถัดมามาถึงอย่างรวดเร็วเพราะผมมัวแต่เดินสำรวจรอบบ้านจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ฉะนั้นตอนที่ได้ยินเสียงกดกริ่งผมถึงกับสะดุ้ง

ความจริงคือผมเพิ่งจะล้มตัวลงนอน แล้วเสียงกดกริ่งก็ดังพอดี

ผมลากเท้าเดินลงไปเปิดประตูด้านล่าง รู้สึกง่วงจนปวดหัวตุบๆ ทำไมร่างกายของมนุษย์ถึงได้เหนื่อยง่ายแบบนี้นะ

เมื่อมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ผมก็กะพริบตา จากนั้นก็ยืนงงไปอยู่พักใหญ่

ว่าแต่ประตูเปิดยังไง

ตอนที่เข้ามาในบ้านหลังนี้ เซธเป็นคนมาส่งและเปิดประตูให้ แล้วตอนเข้ามาในบ้านหลังนี้ครั้งแรก ผมก็พบว่าทุกประตูถูกเปิดออกตั้งแต่แรกแล้ว ผมเลยไม่ได้สนใจเรื่องประตูเลย

ผมยืนเหงื่อแตกพลั่กๆ จากนั้นก็ย่อตัวลง สำรวจมองลูกบิด จากนั้นก็พยายามเค้นสมองจากความทรงจำส่วนลึกที่สุด

ดูเหมือนว่าผมต้องเสียบอะไรบางอย่างเข้าไปในรูตรงกลางลูกบิดหรือเปล่านะ.. แต่ทำไมลูกบิดอันนี้ถึงไม่มีรูตรงกลางลูกบิด แต่กลับมาปุ่มอะไรบางอย่างแทน

ผมลองกดตรงปุ่มลูกบิดที่ยุบตัวลงจนมันเด้งแล้วส่งเสียงดังกึก

แต่ประตูก็ยังคงไม่เปิดอยู่ดี

คราวนี้ผมเลยพยายามดึงลูกบิดออกมา แต่ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก หลังจากดึงจนเหนื่อย ผมก็เริ่มสงสารคนที่รออยู่อีกฟากหนึ่งของประตูแทน หลังจากได้ยินเสียงกดกริ่งซ้ำอีกครั้งผมเลยเคาะประตูกลับไปแรงๆ เผื่อว่าคนที่แวะมาจะได้ยิน

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจผมได้ พอเคาะกลับไปแรงๆ สักสองสามครั้ง ประตูก็ถูกเปิดออกพอดี

เซียยืนอยู่ที่ด้านหน้าของประตู ยอมรับว่าแวบหนึ่งผมผิดหวังนิดหน่อยที่เปิดประตูออกมาแล้วไม่ใช่เซธ อีกฝ่ายกวาดตามองสภาพที่เหงื่อแตกพลั่กของผมแล้วถาม “ทำอะไรอยู่น่ะ”

“เปิดประตูไม่เป็น”

“ไม่ได้เรียนเรื่องนี้จากมนุษย์หรือไง”

ความจริงก็เรียน แต่ผมรู้สึกว่ายุ่งยากชะมัด ต้องหาอะไรมาใส่แล้วทำอะไรอีกก็ไม่รู้ อีกอย่างผมรู้สึกว่าเรื่องมันค่อนข้างใกล้ตัวผมไปหน่อย ผมเลยไม่ได้เก็บมาจำใส่ใจ

“ลืมไปแล้ว”

เซียไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายยื่นถุงที่ใส่ของบางอย่างให้ “ปิดประตูบ้าน เสียบกุญแจแล้วก็หมุน เดี๋ยวเราจะออกไปเที่ยวกัน”

ผมรับของในถุงมา จากนั้นถึงเห็นว่าของด้านในเป็นขนมปังกรอบแบบที่มนุษย์ชอบกิน รู้สึกว่ามันน่าจะชื่อบิสกิต ผมหยิบขึ้นมากินคำหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไร ผมเลยยัดมันกลับใส่เข้าไปในถุง แล้วลองพยายามหยิบกุญแจขึ้นมาเสียบเพื่อปิดประตูตามที่เซียบอก

ตอนที่ผมล็อคประตูเสร็จ เซียก็ลองหมุนลูกบิดเหมือนเขาไม่ไว้ใจ พอเห็นว่าประตูถูกล็อคจริงๆ แล้ว เซียถึงยอมเดินออกมา

………………………..

………………..

ทีแรกเซียบอกว่าจะพาผมมาเที่ยว แต่จริงๆ เหมือนเป็นวิธีการเรียนรู้การใช้ชีวิตที่นี่มากกว่า

เพราะผมรู้อะไรหลายอย่างมาจากมนุษย์แล้ว เซียเลยไม่ได้สอนอะไรมาก เพราะระบบของที่นี่เหมือนกับของมนุษย์ทั้งหมดเลย เช่นเรื่องเงิน การใช้จ่ายหรือภาษีต่างๆ เป็นต้น

มีบ้างบางกฎที่โลกมนุษย์ไม่มี แต่โดยรวมก็ไม่ค่อยมีอะไรต่างกันมากเท่าไร

“บิสกิตไม่อร่อยหรือ”

เซียพูดขึ้นขัดห้วงความคิด ผมชะงักเล็กน้อย ในมือยังคงถือถุงบิสกิตที่อีกฝ่ายเอามาให้ แต่ผมเพิ่งแตะไปแค่ชิ้นเดียวหลังจากเดินจนจะครบรอบเมืองอยู่แล้ว

ความจริงแล้วผมต้องตอบว่าไม่อร่อยหรือเปล่านะ แต่ว่าถ้าพูดความจริงไปน่าจะทำให้เซียเสียใจ ผมละล้าละลัง รู้สึกว่าไม่อยากโกหก แต่ก็ไม่อยากพูดความจริง

ปกติแล้วการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แต่ถ้าพูดความจริงออกไปก็น่าจะไม่ดีเหมือนกัน

“ไม่อร่อยจริงๆ ด้วย” เซียว่าหลังจากสังเกตมองใบหน้าของผม จากนั้นก็หยุดไปสักพักหนึ่ง “ทำหน้าอมทุกข์ทำไม ไม่อร่อยก็พูดสิ”

“ปกติมนุษย์อมทุกข์ได้ด้วยเหรอ” ผมถามเพราะรู้สึกสงสัยในประเด็นนี้มากกว่า “คายยังไง”

แวบหนึ่งเซียทำหน้าเหมือนสำลักอากาศ แต่แล้วอีกฝ่ายก็เบือนหน้าหนี แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดสั่นนิดหน่อย “คำเปรียบเปรยน่ะ คายไม่ได้หรอก”

ผมรู้สึกได้ว่าเซียกำลังหัวเราะ แต่พยายามกลั้นหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

“ไม่ได้โกรธใช่ไหม”

เซียพยายามหยุดหัวเราะ ก่อนจะตอบกลับมา “โกรธทำไม”

“เปล่า ก็แค่คิดว่าพูดความจริงไปน่าจะไม่ชอบ”

“มีแต่มนุษย์มั้งที่คิดมากกับเรื่องแค่นี้” พอพูดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็หยุดเล็กน้อย สายตามองไปทางร้านที่อยู่ข้างทาง “อย่างพวกมารยาทน่ะ”

ผมอดมองตามสายตาของอีกฝ่ายไม่ได้ จากนั้นถึงได้เห็นว่าร้านที่เซียมองคือร้านขายของทั่วไป แน่นอนว่ามันไม่แตกต่างอะไรจากร้านอื่นๆ เสียเท่าไรนัก

แต่ผมเอะใจกับของที่อยู่ด้านในมากกว่า

ผมรั้งแขนเสื้อเซียเอาไว้ให้อีกฝ่ายหยุดเดิน สายตาก็ยังคงจ้องมองของที่อยู่ด้านในร้าน

“นั่นอะไร”

เซียหยุดตามแรงดึงของผม ก่อนจะมองตาม “อะไร”

“อันนั้นน่ะ”

เซียมองตามที่ผมชี้ จากนั้นก็กะพริบตาถี่ๆ “ไม่รู้จักเหรอ นี่นายอ่านใจมนุษย์ได้จริงหรือเปล่าเนี่ย”

“ก็ไม่ได้แปลว่ารู้จักทุกอย่างสักหน่อย” ผมแย้ง “มีแค่คำอธิบายอย่างเดียวในหัว แต่ไม่มีภาพให้เห็นมันนึกตามยากนะ”

“มันคือเต็นท์น่ะ”

เต็นท์? ผมนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยขึ้น “ที่มนุษย์พกไว้เดินป่าหรือ”

“ประมาณนั้น”

“เหมือนเปลือกเลย” ผมพูดขึ้นลอยๆ “อยากได้”

ตอนแรกผมตั้งใจจะพูดเต็มๆ ว่าเหมือนเปลือกหอย แต่คิดอีกทีไม่บอกเซียว่าเป็นสัตว์อะไรน่าจะดีกว่า

คู่สนทนาเลิกคิ้ว สีหน้าดูงุนงงกับสิ่งที่ผมพูด “จะเอาไปทำอะไรล่ะ”

“เอาไปวางในบ้าน”

“ทำไม”

“ก็อยู่ในบ้านมันรู้สึกไม่ปลอดภัย”

“ไม่ปลอดภัยยังไง”

ผมเลิกลั่ก อยากจะบอกว่าบ้านมันมีขนาดใหญ่มากเกินไป ความรู้สึกเหมือนเลือกเปลือกหอยที่ขนาดใหญ่กว่าตัวเองมาสิบเท่า แต่ไม่แน่ใจว่าพูดออกไปจะดีหรือเปล่า

“ก็มันขนาดใหญ่เกินไป”

“เปลี่ยนบ้านไหม”

จริงๆ ต่อให้เปลี่ยนบ้านผมก็ไม่น่าจะรู้สึกดีขึ้น ผมรู้สึกพะว้าพะวง ไม่รู้ว่าตนเองกำลังกลัวอะไร บางทีอาจจะเพราะผมกำลังติดนิสัยตอนที่ยังเป็นสัตว์ เวลาอยู่ในร่างมนุษย์ที่ผิวเนื้อนุ่มนิ่ม ไม่มีเกราะกำบังอะไรนอกจากเสื้อผ้า ผมก็รู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัยเลย

“ไม่ดีกว่า”

“ฉันซื้อให้ก็ได้นะ ถ้าอยากได้จริงๆ” เซียพูดขึ้นในที่สุดหลังจากที่เห็นท่าทีของผม “ยังไงฉันก็เป็นผู้ดูแลนาย ถ้าสบายใจที่จะทำอะไรก็ทำเถอะ”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรกลับไป เซียก็เดินตรงเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตา อีกฝ่ายก็ออกมาพร้อมกับชุดเต็นท์ที่ผมมองในตอนแรก

จากนั้นเซียก็ยัดเต็นท์ใส่มือผม ผมจับสายของเต็นท์ขึ้นมาเพื่อหิ้ว จากนั้นถึงคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อยก็ควรขอบคุณสักหน่อย

“ขอบคุณมาก” ผมว่า “เอาไว้ถ้าเงินออกแล้วเดี๋ยวมาคืน”

“ไม่เป็นไร ฉันรวยอยู่แล้ว ไม่ต้องคืนหรอก”

ผมเงียบกริบ รู้สึกว่าตัวเองควรจะตื้อมากกว่านี้หน่อยเหมือนที่พวกมนุษย์ชอบทำ แต่ในเมื่อพวกเราเป็นสัตว์ทั้งคู่ ผมถึงรู้ว่าความหมายตามที่ประโยคนั้นพูดจริงๆ ไม่ได้มีความนัยแฝงเหมือนที่มนุษย์ชอบแกล้งทำเป็นปฏิเสธทีแรกแล้วค่อยรับ

เผลอๆ ถ้าพูดซ้ำรอบที่สองจะรำคาญเสียเปล่าๆ ผมเลยเดินตามเซียไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

………………………………….

………………….

เพราะยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เซียเลยพาผมแวะที่ร้านอาหารเมื่อเข้าสู่เวลาสาย ในร้านที่อีกฝ่ายพาเข้าไปนั้นมีอยู่ไม่กี่โต๊ะ ผมกวาดตามองรอบเดียว รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อเข้ามาอยู่ในร้านอาหารเพราะไม่เคยเข้ามาก่อน

พนักงานที่ออกมาต้อนรับพวกเราเป็นกระต่ายดำ แวบแรกกระต่ายตัวนั้นเหมือนจะพูดต้อนรับ แต่ก็เปลี่ยนไปพูดอย่างอื่นแทน “อ้าว เซียเองหรือ”

“ขอโทษล่ะกันที่ทำให้ผิดหวัง”

“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” กระต่ายหัวเราะ ก่อนจะผายมือไปที่โต๊ะด้านในสุด “ตรงนั้นนั่งได้”

เซียเดินตรงเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านในสุดของร้านทันที เมื่อผมเดินตามมานั่ง กระต่ายก็แจกเมนูให้พวกเรา ผมเปิดเมนูออกมา รู้สึกว่าตาลายจนเลือกไม่ถูก

ดูเหมือนเซียก็รู้ดี อีกฝ่ายเลยพูดขึ้นมา

“ปกตินายกินเนื้อหรือเปล่า”

“ที่นี่มีเนื้อสัตว์ขายด้วยหรือ”

“เป็นเนื้อที่ปลูกจากพืชน่ะ ไม่ใช่เนื้อสัตว์จริงๆ หรอก”

ผมทวนคำซ้ำ ขณะที่พยายามนึกภาพตาม “เนื้อที่ปลูกจากพืช?”

“ก็ต้นไม้ที่งอกผลออกมาเป็นเนื้อ”

“..บนโลกมนุษย์มีของแบบนั้นด้วยหรือ”

“มีในช่วงยุคหลัง” พอพูดมาถึงตรงนี้เซียก็เร่งผมอีกรอบ “ตกลงว่ากินเนื้อไหม”

“กิน”

“งั้นเอากุ้งกับปลาอย่างละจานนะแมรี่”

พอกระต่ายดำเก็บเมนูแล้วเดินออกไป ผมก็ถามเรื่องที่ค้างคาอยู่เมื่อครู่ทันที “หมายความว่ายังไงที่ว่ามีในยุคหลัง”

“ที่นายอยู่เป็นโลกในอนาคตอีกหลายพันปีถัดไปแล้ว”

ผมกะพริบตา “หมายความว่าไง”

“โลกมันมีหลายไทม์ไลน์น่ะ แต่ละไทม์ไลน์ก็จะมีโลกของตนเองที่มีวิวัฒนาการของสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตไม่เหมือนโลกอื่น ที่นายอยู่ก็เป็นโลกหนึ่ง แต่เป็นโลกที่ไกลจากโลกที่นายอยู่มาอีกหลายพันปี ถ้านึกไม่ออกลองคิดถึงตอนที่นายเข้ามาที่นี่ครั้งแรกก็ได้”

ตอนที่ผมเข้ามาที่นี่ครั้งแรกหรือ.. ผมย้อนคิด จากนั้นถึงจำได้ว่ามันมีรูปภาพที่แขวนอยู่บนผนังเต็มไปหมด แสดงว่ารูปพวกนั้นเป็นภาพของไทม์ไลน์แต่ละโลกนั่นเอง

“เพราะแบบนี้โลกนี้ถึงไม่มีมนุษย์หรือ”

ตอนแรกผมนึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์ สรุปว่าเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น

“ที่นี่เป็นโลกหลังความตายสำหรับสัตว์เท่านั้น” เมื่อเซียพูดมาถึงตรงนี้ก็เงียบไปพักหนึ่ง “ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอก รู้แค่ว่าที่นี่เป็นโลกหลังความตายและไกลจากโลกที่อยู่มาหลายพันปีก็พอ”

“แล้วฉันจะตายในโลกนี้ได้ไหม”

“ตายได้ถ้าต้องการที่จะตาย”

ผมรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่แปลกดี “ยังไง”

“ที่โลกนี้เราจะกำหนดเวลาตายของตนเองได้” เซียว่า “แต่จะไม่สามารถมีลูกหรือสืบพันธุ์ได้”

ผมตั้งใจจะถามอะไรบางอย่างต่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ แมรี่ก็โผล่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ผมสะดุ้งเฮือก ขณะที่กระต่ายนั้นยิ้มให้ผม ก่อนหันไปมองเซีย

“ฉันต้องเก็บตังที่นายใช่ไหม”

“ตามนั้น”

แมรี่เดินออกไปแล้ว ผมเลยจ้องมองอาหารในจาน จานของผมน่าจะเป็นกุ้งเผา ผมเกือบจะหยิบขึ้นมากินตามนิสัยเก่า จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าปกติแล้วต้องใช้ส้อมกับมีดในการกิน

“อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร”

ผมเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของเซียพูดขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“อะไร”

“เรื่องที่ว่าโลกมีหลายไทม์ไลน์” เซียว่า จากนั้นก็หยุดไปราวกับเพิ่งคิดอะไรได้ “เออ แต่ถึงนายพูดไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก สัตว์ตัวอื่นไม่เข้าใจที่นายพูดอยู่ดี”

“ทำไม”

“เพราะปกติแล้วสัตว์ไม่มีจินตนาการ พวกนั้นไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่นายพูดหรอก”

ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ ที่ผมเข้าใจคำพูดของเซียเพราะได้ยินความคิดของมนุษย์มามาก ดังนั้นจึงสามารถทำความเข้าใจกับเรื่องแบบนี้ได้ทันที

“แสดงว่านายก็อ่านใจมนุษย์ได้”

“ใช่”

เซียยอมรับออกมาง่ายๆ แต่ก็ไม่ต่างจากที่คาดเดาไว้เท่าไร ผมเลยไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมาก

“แล้วปกติพวกสัตว์ที่อยู่ในโลกนี้ไม่สงสัยพวกสิ่งมีชีวิตหรือพืชที่ตนเองไม่เคยเห็นเลยหรือ”

ผมคิดว่ามันออกจะประหลาดไปสักหน่อย ถึงสัตว์ที่อยู่ที่นี่จะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่จะเป็นไปได้หรือที่สัตว์พวกนั้นไม่ตั้งคำถามหรือสงสัยอะไรเลย

“ไม่เคย” เซียหัวเราะเล็กน้อย “นี่แหละข้อแตกต่างของพวกเรากับมนุษย์”

ผมเงียบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เลยเปลี่ยนอิริยาบทกลับมากินอาหารต่อ

ไม่รู้ว่าทำไม แต่คำพูดของเซียถึงติดอยู่ในหัวผมไม่ยอมไปไหนสักที

----------------------------------------------------


มีบทต่อไปด้วยนะคะ


หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่6) (13/3/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 22-04-2020 00:55:29
บทที่8

หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ เซียก็มาส่งผมที่บ้านพร้อมกับกำชับวิธีการเปิดประตูให้

เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้านแล้ว ผมก็เดินตรงเข้าไปด้านใน กระเป๋าเต็นท์ที่ถืออยู่ในมือตกลงบนพื้นทันที ผมย่อตัวลง จากนั้นก็เริ่มลองแกะเต็นท์ที่พับอยู่ออกมา

เมื่อสายที่รัดเต็นท์อยู่ถูกดึงออกจนหมด เต็นท์ก็กางออกมาทันที ผมจ้องมองตรงรอยต่อของผ้า ก่อนจะใช้มือข้างที่ถนัดเลิกขึ้น

อย่างที่คิดไว้ อยู่ข้างในแล้วอุ่นกว่าจริงๆ ด้วย

ผมรีบมุดเข้าไปด้านใน ขดตัวอยู่ในนั้น รู้สึกว่าสบายกว่านอนบนเตียงในบ้านหลังใหญ่เสียอีก

เพราะด้านในอุ่นสบายมาก ผมเลยกลิ้งตัวอยู่ในเต็นท์สักพักจนผล็อยหลับไป

……………..

…….

ช่วงนี้ผมยังมีเวลาใช้ชีวิตอยู่บ้างก่อนจะเริ่มทำงานแบบมนุษย์

ในเมืองนี้มีอะไรหลายอย่างสนุกกว่าที่คิดไว้ตอนแรก ตอนเช้าตรู่ผมก็รีบออกไปด้านนอกเพื่อซื้ออาหารมากิน

อาหารที่ผมซื้อมากินจากร้านขายอาหารด้านข้างคือปะการัง ผมล้วงปะการังขึ้นมาจากถุงก่อนจะแทะกิน

รสชาติของปะการังค่อนข้างกรอบแล้วก็มีรสเค็มนิดๆ เพราะรู้สึกว่าอร่อยดี ผมเลยนั่งกินจนหมดที่ม้านั่ง จากนั้นก็เดินวกกลับเข้าไปซื้ออีกรอบเผื่อสำหรับมื้ออื่นๆ ด้วย

ระหว่างที่เดินออกมาจากร้านนั้น ผมก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมา พอหันไปมองตาม ผมถึงเห็นว่าเซธกับเซียกำลังวิ่งมาทางนี้

"โนอา จับให้หน่อย!" เสียงของเซธดังขึ้น ผมกะพริบตา ขณะที่กำลังจะถามว่าอะไร ผมก็เห็นอะไรบางอย่างวิ่งผ่านหน้าไปทันที

โดยสัญชาตญาณ ผมเลยขยับตัวเข้าไปขวางเอาไว้ ร่างของอีกฝ่ายกระแทกจนผมล้มลงไปนอนที่พื้น ขณะที่ร่างของอีกฝ่ายคร่อมอยู่บนร่างของผม

สิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้คือ หนัก

จากนั้นสิ่งที่เห็นต่อมาก็ทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

คนที่คร่อมทับร่างของผมเป็นหอยชักตีนตัวขนาดใหญ่ สูงจนเกือบจะเท่าคนได้ ผมนอนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ขณะที่เซียกับเซธวิ่งเข้ามาช่วยประคองให้หอยชักตีนลุกขึ้นยืนดีๆ

"เจ็บหรือเปล่า?" เซธหันมาถามผมก่อนจะยื่นหนวดปลาหมึกมาให้จับ ผมรีบคว้าเอาไว้เพื่อพยูงตัวขึ้น แล้วหันไปมองหอยชักตีนขนาดยักษ์ที่กำลังคุยกับเซียอยู่

"ใครน่ะ?"

ผมเอ่ยปากถาม ไม่รู้ว่าสายตาตนเองเผลอมองไปทางนั้นตั้งแต่เมื่อไร

"คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่น่ะ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหานิดหน่อย"

"ปัญหา?"

"ลองถามเซียดู" เซธว่าก่อนจะขยับตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย "ฝากบอกเซียด้วยว่าฉันกลับก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบฉัน"

อืม ผมว่ามันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่นะ หมึกสายกับหอยชักตีนเป็นผู้ล่ากับเหยื่อนี่

ผมพยักหน้าให้เซธ พอเซธเดินจากไป ผมเลยสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้เซีย

ยังไม่ทันที่จะได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เซียก็หันขวับมาทางผม แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี "จริงด้วย นายช่วยดูแลแลนซ์ให้หน่อยนะ"

หะ

ผมยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูด เซียก็ดึงตัวผมเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบาลงว่า "ช่วยหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะเจอเรื่องไม่ดีมาน่ะ เดี๋ยวฉันจะให้ค่าตอบแทน"

"แล้วทำไมต้องฉัน"

จริงๆ ผมตัวคนเดียวยังไม่รอดเลย จะไปดูแลใครได้

"เพราะเขาเสนอเงื่อนไขน่ะสิว่าจะไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้นยกเว้นบ้านนาย"

"เขา?"

"หอยชักตีนตัวนั้นไง"

ผมเหลือบตาไปมอง จากนั้นก็กะพริบตาถี่ๆ

"ใช่เหรอ"

"ใช่สิ เดี๋ยวฉันมีธุระต้องรีบไปทำต่อ เดี๋ยวอีกสองสามวันฉันจะหาคนอื่นมาดูแลแทน ระหว่างนี้ก็ฝากนายด้วยนะ"

"เฮ้ย" ผมรีบท้วง แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เซียก็รีบวิ่งสวนไปแล้ว ท่าทางดูรีบร้อนมากจนผมงุนงงว่าอีกฝ่ายไปไหน

แต่ยังไงก็คงปล่อยอีกฝ่ายไว้ตรงนี้คนเดียวไม่ได้

ผมสาวเท้าเกินเข้าไปใกล้ สายตาอดสำรวจเปลือกหอยไม่ได้ รู้สึกว่าลายของมันสวย งดงามและเป็นเอกลักษณ์มาก

อีกฝ่ายจ้องมองผม เหมือนรับรู้ได้ว่าผมมองเขาอยู่ ผมเลยกระแอมแล้วเบือนสายตาลงมาเพราะรู้สึกเสียมารยาท

"แลนซ์ใช่ไหม" ผมว่า ก่อนจะยื่นมือให้เขา "ฉันโนอานะ"

แลนซ์จ้องมองมือผมแบบงงๆ ท่าทีนั้นทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าปกติมารยาทแบบนี้มีแค่มนุษย์ที่ทำ ฉะนั้นสัตว์ทั่วไปจะไม่รู้จัก

ผมเลยรีบลดมือลง รู้สึกกระดากอายขึ้นมานิดหน่อย แต่แลนซ์กลับก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วเอาปลายเปลือกหอยชนเข้ากับมือของผม

หือ

ผมงุนงงกับการกระทำของเขา เลยรีบชักมือออก แวบหนึ่งผมรู้สึกได้ถึงความผิดหวัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า

"ถ้าอย่างนั้นมาบ้านฉันก่อนก็ได้" ผมว่าเพราะไม่รู้จะพาไปไหน แถมผมก็อยากเอาของไปเก็บที่บ้านด้วย "เดี๋ยวฉันซื้ออะไรให้กิน"

อีกฝ่ายนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรต่อผมเลยนอกจากการขยับเปลือกหอย ผมถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายตอบรับ

ผมถอนหายใจ ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านก็แอบด่าเซียไปตลอดทาง

…………………

…….
 
ดูเหมือนว่าแลนซ์เป็นคนที่ไม่ชอบพูดเท่าไร

แลนซ์แทบไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทางที่ผมแนะนำสถานที่ในบ้าน ขนาดสีหน้ายังนิ่งเฉยจนผมเริ่มหวั่นๆ แล้วว่าทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่ชอบหรือเปล่า

ในบ้านหลังนี้มีห้องนอนสองห้อง ฉะนั้นผมกับเขาจึงแยกกันอยู่ได้ ตอนที่พามาส่งถึงห้อง แลนซ์ก็จ้องมองผมตาไม่กะพริบ

"เอ่อ" ผมกระแอมเล็กน้อย อยู่ๆ ก็เริ่มคิดคำถามที่อยากถามขึ้นมาได้ "ทำไมถึงอยากมาอยู่บ้านฉันล่ะ"

"ฉัน?" แลนซ์ทวนคำ "เปล่านี่"

เอ้า

แสดงว่าเซียหลอกผมใช่ไหม ผมนิ่วหน้า เริ่มอยากบีบแก้มเซียขึ้นมาตงิดๆ

"อยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันซื้อมาให้" ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ไม่พูดถึงประเด็นเดิมต่อ

ความจริงตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว ผมว่าควรจะออกไปซื้ออะไรสักหน่อย แล้วค่อยกลับมาอีกที

"อะไรก็ได้"

"งั้นนายอยู่ในบ้านไปก่อน เดี๋ยวฉันกลับมา"

พอพูดจบผมก็รีบเดินออกมา เพื่อที่จะให้เวลาแลนซ์ได้สำรวจบ้านบ้าง

…………….

………

ดูเหมิอนว่าแลนซ์ต้องพักที่บ้านผมสักพัก

เพราะเป็นสัตว์ที่ไม่สามารถอ่านใจมนุษย์ได้เหมือนผมกับเซีย ดังนั้นต้องใช้เวลาสอนเรื่องทั่วไปอยู่นาน ทีแรกผมเริ่มจากการสอนเปิดประตูก่อน แล้วจากนั้นก็เริ่มสอนการดูเวลา

แลนซ์ตั้งใจฟังผมมาก อีกฝ่ายฟังแค่รอบเดียวก็พอจะทำตามได้แล้ว

ขณะที่ผมกำลังเดินรอบบ้านแล้วคิดว่าควรจะสอนอะไรต่อดีนั้น แลนซ์ก็ใช้เท้าเขี่ยแขนผม

ผมหันหลังกลับไปเพราะนึกว่ามีอะไร แต่กลับได้เห็นแลนซ์ยืนนิ่งแทน

"แลนซ์?"

ผมเรียกสติเขา

"ทำไมถึงเลือกเป็นมนุษย์ล่ะ" แลนซ์ถามขึ้น ขณะที่เท้าของเขายังแตะกับแขนผม "ก่อนหน้านี้นายเคยเป็นหอยชักตีนไม่ใช่หรือ"

เฮ้ย

เดี๋ยวนะ ผมกะพริบตา จำไม่ได้เลยว่าเคยไปบอกอีกฝ่ายตอนไหน เหมือนผมจะไม่ได้บอกอะไรด้วยซ้ำ

"รู้ได้ยังไง"

"ฉันอ่านใจสัตว์ได้"

ฮะ

ผมกะพริบตา จากนั้นก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เดาแม่นขนาดนี้

น่าแปลกที่ผมอ่านใจมนุษย์ได้ แต่อ่านใจสัตว์ไม่เคยได้เลย

"อ่านใจฉันแล้วได้อะไรไปไหม"

"ได้รู้แค่ว่านายเคยเป็นใคร" แลนซ์ตอบผม "แล้วนายก็กำลังตามหาปลาหมึกตัวหนึ่งอยู่"

ผมอึกอักนิดหน่อย "ก็ใช่"

"แล้วเจอหรือยัง"

"ไม่แน่ใจ"

แลนซ์ดูไม่แปลกใจ "ก็ที่นี่มันกว้าง"

ผมเปลี่ยนเรื่องทันที เพราะนึกสิ่งที่สงสัยขึ้นมาได้ "แล้วฉันยังต้องสอนนายเปิดอุปกรณ์ต่างๆ อยู่อีกไหม"

"อันที่จริงไม่ต้องก็ได้"

งั้นผมก็ไม่สอนล่ะ "สงสัยอะไรก็ถามแล้วกัน"

"นายอยู่มานานแค่ไหน" แลนซ์ถามขึ้น "ตอนที่แตะตัวกัน นายรู้เยอะมาก"

"ไม่กี่วันนี้เอง"

"นายคงอ่านใจมนุษย์ได้"

"ใช่"

แลนซ์ดูไม่ค่อยแปลกใจแล้ว อีกฝ่ายเดินตามผมก่อนจะหันไปทางชั้นหนังสือที่วางเรียงกัน

"นายซื้อหรือ"

"เปล่า ฉันไม่ได้ซื้อ"

แลนซ์เดินตรงไปชั้นหนังสือด้วยท่าทีสนใจ ก่อนจะเปิดดู

"ฉันอ่านออกด้วย"

ผมชะโงกหน้ามอง "มันเป็นภาษากลางที่นี่"

ปกติที่นี่จะมีภาษากลางอยู่ ไม่ว่าสัตว์ตัวไหนก็ใช้ภาษาเดียวกัน แม้จะไม่เคยเรียน แต่ก็เข้าใจได้

"แปลก" แลนซ์ว่า จากนั้นก็ปิดหนังสือ แล้วหันมาเดินตามผมต่อ

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงครั้งแรกที่เจอกันได้ ผมลังเลไปสักพักก่อนพูดขึ้น "ทำไมตอนแรกนายถึงวิ่งหนีล่ะ"

แวบหนึ่งนั้นผมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกไป

ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนกำลังนึก หรือไม่ก็ไม่อยากตอบ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไหนกันแน่

--------------

ตัวละครหลักครบแล้วค่ะ 555555555 น้ำตาจะไหล




หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (อัพบทที่7-8) (22/4/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-04-2020 08:45:12
มาอ่านอีกทีน้องเป็นคนกันหมดแล้วอ้าวๆๆ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (อัพบทที่7-8) (22/4/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 22-04-2020 10:30:53
ครบแล้วนี่คือหมึกโผล่มาในโลกนี้หรือยัง
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (อัพบทที่7-8) (22/4/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-04-2020 14:16:12
พี่หมึกคือตัวใหนละเนี่ยย
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (อัพบทที่7-8) (22/4/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-04-2020 21:17:03
เดาไม่ถูกเลย..ยยยยยยย   :hao4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (อัพบทที่7-8) (22/4/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-04-2020 21:43:04
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (อัพบทที่7-8) (22/4/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 22-04-2020 23:07:34
หรือว่า...พี่หมึกมาเกิดเป็นหอยชักตีน เพื่อตามหาน้องหอยใช่มั้ยย
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (อัพบทที่7-8) (22/4/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 20-06-2020 00:12:01
บทที่9

ท่ามกลางความเงียบนั้น แลนซ์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ





"เพราะฉันไม่ชอบหมึก"





เหตุผลเดียวกับที่ผมคิดจริงๆ ด้วย





ผมเลิกแปลกใจ ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นอะไรมาก่อน แต่การอยู่ในรูปร่างแบบนั้น ก็ไม่น่าจะถูกชะตากับสัตว์ที่เป็นนักล่าตนเองเท่าไร





ถึงเซธจะดูเหมือนไม่กินสัตว์ตัวไหนก็เถอะ





“ปกติเซธไม่ทำร้ายใครนะ”





“ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องทำร้าย แต่แค่ไม่ชอบ”





“แค่ไม่ชอบเฉยๆ เหรอ”





แลนซ์ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่ามีท่าทีที่ไม่อยากจะพูดถึง จากนั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจไปที่อย่างอื่นแทน “นั่นคืออะไร”





“เอ่อ..มันคือต้นไม้” ผมพูดก่อนจะกระแอมเล็กน้อย นี่เป็นต้นไม้ที่ผมได้มาจากเซธตั้งแต่วันแรก เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไรเลยเสียเวลาอ่านหนังสือแล้วหาวิธีปลูกอยู่นาน “ลองออกไปดูด้วยกันไหม”





“เดินนำไป”





ผมเดินตรงไปที่ระเบียง มือรีบเปิดบานกระจกอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าแลนซ์ที่เดินตามหลังมาจะหน้าชนกระจกเหมือนกับผมวันแรกๆ





เพราะขนาดตัวของแลนซ์ค่อนข้างใหญ่ ผมเลยกลัวว่าจะติดประตู แต่ดูเหมือนว่าบ้านหลังนี้ได้รับการออกแบบมาดีพอสมควร เพราะตั้งใจออกแบบมาให้สัตว์ขนาดใหญ่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้





ผมขยับตัวมายืนด้านข้าง ขณะที่แลนซ์จ้องมองต้นไม้ในกระถาง จากนั้นก็พูดขึ้นลอยๆ “มีต้นไม้หน้าตาแบบนี้ด้วยหรือ”





ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ที่ให้ผลเป็นเนื้อ ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นเนื้ออะไรแล้วต่างกันยังไงเพราะไม่เคยเห็น แต่ฟังจากที่เซธพูดเอาเลยทำให้ผมรู้ว่ามันคือต้นเนื้อวัว





ดูเหมือนว่าเซธจะอยู่ที่นี่มานานแล้วถึงได้รอบรู้เรื่องต่างๆ ผมหยุดคิดเรื่องของเซธเมื่อแลนซ์หันมามองก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ





“นี่คือวิทยาการที่คนในโลกนี้คิดขึ้นหรือ? ”





ผมมองตามสายตาของแลนซ์ จากนั้นจึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่น “เปล่า ของที่โลกมนุษย์น่ะ”





“โลกมนุษย์มีของแบบนี้เสียที่ไหน”





เอ๊ะ





ไหนเซียบอกว่าสัตว์จะไม่ตั้งคำถามไม่ใช่หรือไง! ตกลงหมอนั่นพูดอะไรที่เป็นความจริงออกมาจากปากบ้าง ตั้งแต่เดินมาด้วยกันจนถึงตอนนี้ ผมเห็นแลนซ์เอาแต่มองสิ่งต่างๆ แล้วก็ตั้งคำถามไม่หยุดเลย





แล้วจะตอบว่ายังไงดี ในเมื่อเซียไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกไปด้วย





ผมเลิ่กลั่กเพราะไม่รู้ว่าจะพูดออกไปยังไง ขณะที่ในใจก็รู้สึกโชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้อ่านใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปด้วย





แลนซ์มองท่าทีของผมสลับกับต้นไม้แล้วพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ





“แสดงว่าโลกที่เราอยู่นี่เป็นโลกในอนาคตใช่ไหม”





ทำไมหมอนี่ถึงเข้าใจคำว่าอนาคต





ผมชั่งใจนิดหนึ่งก่อนถาม “นายอ่านใจมนุษย์ได้งั้นเหรอ”





แต่ไหนเซียบอกว่าสัตว์ที่อ่านใจมนุษย์ได้มีน้อยมากไง แล้วทำไมรอบตัวผมถึงมีแต่สัตว์ที่อ่านใจมนุษย์ได้เต็มไปหมด





แลนซ์ขยับเปลือกหอยก่อนตอบ “ฉันอ่านไม่ได้”





แล้วทำไมแลนซ์ถึงเข้าใจเรื่องพวกนี้





นี่คือคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว ปกติแล้วเรื่องเวลาอดีต อนาคต ปัจจุบันเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นมาเอง มันไม่ใช่ความคิดที่อยู่ในสัตว์ ฉะนั้นถ้าไม่ได้รับอิทธิพลความคิดจากมนุษย์แล้วจะได้มาจากไหน





ผมกำลังคิดจะถามต่อ แต่ก็รู้สึกว่าถ้าถามมากกว่านี้จะก้าวล่วงเรื่องอดีตของอีกฝ่ายหรือเปล่า ปกติแล้วโลกนี้มีกฎว่าห้ามถามเกี่ยวกับอดีตหรือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ





เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะล่วงเกินอดีตอีกฝ่ายหรือเปล่า ผมเลยตัดสินใจไม่ถามออกไป แล้วเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่นแทน





“ว่าแต่นายเลือกงานเอาไว้หรือยัง”





“งานอะไร”





ดูทรงแบบนี้แล้วยังไม่น่าได้เลือก





“ถ้าอยู่ที่นี่ทุกคนจะต้องทำงานน่ะ” ผมอธิบายอย่างใจเย็น “ตัวอย่างงานก็เช่น เอ่อ…”





อยู่ๆ ผมก็นึกไม่ออกกะทันหันว่าที่นี่มีงานอะไรบ้าง





“เอางานที่นายทำล่ะกัน”





“ได้” ผมตอบรับไปก่อนจะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยว นายรู้ด้วยหรือว่าฉันทำงานอะไร”





“ไม่รู้”





ผมกะพริบตาปริบๆ





“แล้วนายจะมาเลือกงานเดียวกับฉันทำไม”





“อยู่บ้านเดียวกัน ถ้าไปทำงานที่เดียวกันก็น่าจะสะดวกกว่า”





ผมหยุดคิดแล้วก็พบว่าคำตอบของอีกฝ่ายถือว่ามีเหตุผลอยู่ “แต่ฉันทำงานเป็นฝ่ายต้อนรับ นายอาจจะไม่ชอบ”





“มันเป็นงานเกี่ยวกับอะไร”





“ก็ทำงานต้อนรับ” ผมตอบออกไปสั้นๆ ก่อนจะอธิบายเพิ่ม “คือคอยต้อนรับคนที่เข้ามาติดต่อ แล้วก็อาจจะมีช่วยดำเนินการส่งเอกสารอะไรแบบนี้”





“ฟังดูเป็นงานที่น่าเบื่อมาก”





โคตรตรง ตรงจนผมอึ้งไปพักใหญ่ แต่ปกติพวกสัตว์ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมแค่รับอิทธิพลความคิดของมนุษย์มากเกินไปมากกว่า





“บอกแล้วว่านายไม่น่าชอบ”





“ไม่ชอบแต่ก็จะทำอยู่ดี” แลนซ์ว่าก่อนจะเดินเตาะแตะกลับเข้ามาข้างในบ้าน “ไปกินอาหารกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”





ผมถอนหายใจ ไม่แน่ใจว่าเพราะเหนื่อยหรืออะไรกันแน่ มือก็ปิดประตูระเบียงแล้วเดินตามกลับเข้าไปข้างในบ้านตามอีกฝ่าย





……………………………………………….





……………………………





เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างแล้ว แลนซ์ก็เดินตรงเข้าไปที่มุมหนึ่งของบ้าน ผมเลยรีบเดินตามไปก่อนจะทักท้วง





“ตรงนั้นไม่ใช่ห้องกินอาหารนะ”





“รู้แล้ว ฉันแค่เดินมาเพราะอยากถามนายว่ามันคืออะไรเฉยๆ ”





ผมมองตามทิศทางที่แลนซ์หันไปหา ก่อนจะเห็นว่ามันคือห้องครัวที่ผมไม่กล้าแตะนั่นเอง “มันเป็นห้องครัว อันที่นายมองอยู่มันคือกระทะ”





“มีไว้ทำอะไร”





“ทำอาหาร”





“ทำให้ฉันกินหน่อย”





“นายอยากเห็นบ้านไฟไหม้เหรอ”





“แค่ทำอาหารทำไมบ้านถึงไฟไหม้”





“.....”





ผมรู้สึกปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา ในหัวกำลังคิดอยู่ว่าจะเริ่มอธิบายยังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ สุดท้ายผมเลยตัดบทอีกฝ่ายแทน “ฉันทำไม่เป็น อย่าเสี่ยงทำเลย ไปกินอาหารที่ฉันซื้อมาเถอะ”





“อุ้มฉันไปหน่อย”





“เดินเองสิ”





“ตัวมันหนัก เวลาเดินเองแล้วมันช้า”





ผมมองขนาดของหอยแล้วเริ่มเครียด ไม่รู้ว่าตัวเองจะอุ้มไหวหรือเปล่า ขนาดของมันอีกนิดก็เกือบจะเท่าตัวคนอยู่แล้ว ขณะที่เท้าทั้งสองข้างกำลังจะเดินตรงเข้าไปหาหอยที่อยู่ตรงนั้น แต่อีกฝ่ายกลับเดินสวนผมมาก่อนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ





“ล้อเล่นน่ะ ไม่ต้องช่วยหรอกถ้าจะทำหน้าอย่างนั้น”





ผมยืนเอ๋อไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลุดทำสีหน้าแบบไหนออกไป แต่ก็ถอนหายใจรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวันแล้วเดินตามอีกฝ่ายออกไปข้างนอกห้องครัว





อะไรของหมอนี่ เดาใจยากจัง





……………………………………….





…………………………





ตอนแรกผมนึกว่าอยู่กับแลนซ์จะแย่ เพราะอีกฝ่ายดูเอาแต่ใจมาก แต่พออยู่ไปสักวันสองวันก็รู้สึกว่าไม่ได้แย่เท่าที่คิด





ช่วงนี้ผมยังไม่ต้องไปทำงานเลยอ่านหนังสืออยู่บ้าน แลนซ์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ยังไม่ต้องทำงานเช่นกันเลยอ่านหนังสืออยู่บ้านเหมือนกับผม อีกฝ่ายมีความชอบคล้ายผมหลายอย่าง ไม่ว่าจะของที่ชอบกิน สิ่งที่ชอบทำหรือหนังสือที่ชอบอ่าน





อยู่กันแค่ไม่กี่วันแต่กลับรู้สึกสนิทเหมือนอยู่มาด้วยกันหลายวัน





ผมกะพริบตาปริบๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้องจนรู้สึกแสบตา สายตาจับจ้องมองเพดานอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง





เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว ผมถึงลุกขึ้นไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า





พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินออกมาข้างนอก ผมถึงเห็นว่าแลนซ์นั่งอยู่บนเก้าอี้ก่อนอยู่แล้ว ด้วยความที่ตัวของเขาค่อนข้างใหญ่เลยไม่สามารถนั่งเก้าอี้แบบมีพนักพิงได้ ต้องนั่งเก้าอี้กลมแบบไม่มีพนักแทน





เป็นหอยสบายอย่างตรงที่ไม่ต้องใส่เสื้อผ้า แต่ถ้าเป็นมนุษย์ ผมจะรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ควรหาเสื้อผ้าใส่ แม้จะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น





“ออกไปหาอะไรกินกัน”





มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะต้องออกไปหาอะไรกินตอนเช้าเพราะทำอาหารไม่เป็น เช้านี้ก็เหมือนกับวันที่ผ่านมา ผมพยักหน้าก่อนจะรอเขาเดินออกมานอกบ้าน จากนั้นจึงค่อยเดินออกมาล็อคประตู





ผมควานหากุญแจในกระเป๋า หลังจากที่ปิดประตูบ้านเสร็จแล้วและเสียบกุญแจเข้าไปในรู อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆ





“อะไรทำให้นายเลือกที่จะเป็นมนุษย์งั้นหรือ”





ผมนิ่งไปสักพัก เพราะว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายถามเหมือนกัน





“อาจจะเพราะได้ยินสิ่งที่มนุษย์คิดมาตลอดมั้ง เลยรู้สึกว่าน่าสนใจ”





“คงจะจริงเพราะฉันก็รู้สึกว่านายน่าสนใจเหมือนกัน”





……





ฮะ





“ฉันไม่ใช่มนุษย์จริงๆ สักหน่อย”





“ก็ให้ความรู้สึกคล้ายอยู่” แลนซ์ตอบผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนที่เพิ่งพูดไปเป็นเรื่องธรรมดาๆ “แล้วเป็นมนุษย์ให้ความรู้สึกยังไงบ้าง”





“ก็ดี อย่างน้อยฉันก็ได้ทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำมาตลอด”





“ฉันเริ่มอยากเป็นมนุษย์บ้างแล้วสิ”





ผมหัวเราะ ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะรีบไขกุญแจแล้วใส่ลงกระเป๋าเพื่อออกไปหาอะไรกิน





อย่างน้อยๆ ในช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ผมต้องเดินออกไปหาร้านอื่นหรือสำรวจในพื้นที่ที่ไม่เคยไป เผื่อว่าจะมีโอกาสเจอกับเขามากขึ้น





------------------------------------



กลับมาแล้วค่ะ หายไปนานมากๆ เพราะติดสอบและอะไรหลายๆอย่างจนไม่ว่างเลย



หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่9) (20/6/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 20-06-2020 00:38:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่9) (20/6/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 20-06-2020 15:32:31
สับสนว่านางใช่พี่หมึกไหม
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่9) (20/6/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 20-06-2020 21:29:01
แลนซ์ก้อ...น่าสนใจ ดูมีลับลมคมในชอบกล   o2
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่9) (20/6/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: squall ที่ 04-07-2020 22:53:48
ตอนเป็นเรื่องสั้นก็ว่าสนุกแล้วนะคะ พอเป็นเรื่องยาว แล้วแหวกมาเป็นแนวใหม่เราก็ว่ามันน่าสนใจดี ดูมีอะไรใหม่ๆดีค่ะ น่าติดตามมาก
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่9) (20/6/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-07-2020 23:22:50
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่9) (20/6/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 09-07-2020 09:22:59
เชียร์แลนซ์
อาจชอบโนอาตอนโน้น เลยอยากเป็นหอยชนิดเดียวกัน เพื่อจะได้เรียนรู้โนอาก็เป็นได้
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่9) (20/6/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 30-08-2020 04:52:02
บทที่10

หลังจากอยู่ด้วยกันสักวันหรือสองวันกับแลนซ์ เซียก็ส่งจดหมายมาหาผม

เนื้อหาใจความในจดหมายนั้นสั้นๆ เขาเขียนไว้แค่ว่า 'อนุญาตให้เลื่อนวันที่เข้างานวันแรกเป็นวันเดียวกับแลนซ์ได้'

ความจริงผมจะต้องไปทำงานพรุ่งนี้อยู่แล้ว แลนซ์ที่มาทีหลังนั้นจึงต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆ ไปอีกหลายวัน ตอนแรกผมยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ทว่าพอรู้แบบนี้ก็สบายใจขึ้น

ผมหยุดคิดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เป็นแลนซ์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร อีกฝ่ายวางจานลงตรงหน้าผม ก่อนจะวางจานที่ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งกิน

พอกินอาหารแช่แข็งกับอาหารด้านนอกไปได้สักสามหรือสี่มื้อ ในที่สุดแลนซ์ก็ทนไม่ไหว อีกฝ่ายขลุกตัวอยู่กับหนังสือทำอาหารทั้งวัน แล้วลุกขึ้นมาทำอาหารให้ผมกิน

ผมกินอาหารแช่แข็งมาเกือบจะสัปดาห์ติดยังไม่พูดอะไร แต่พอเห็นแลนซ์ที่ดูกะตือรือร้นขนาดนั้น ผมก็เลยไม่กล้าขัดขวาง แต่ในมือถือถังดับเพลิงไว้แล้ว เผื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจริงๆ

ผมไม่คิดว่าแลนซ์จะทำไฟไหม้จริงๆ หรอก แต่แค่เผื่อไว้เฉยๆ ไง

ผมกินอาหารขณะที่เหลือบขึ้นมองอีกฝ่าย พลันรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย

ความจริงผมยังมีปัญหาที่กลุ้มใจนิดหน่อย

ดูเหมือนว่าแลนซ์จะไม่ชอบปลาหมึกหรือเซธเท่าไรนัก ผมเลยยังนึกไม่ออกว่าถ้าเกิดทำงานร่วมกันขึ้นมาจะเอายังไงดี

ไม่รู้ว่าปัญหานี้มีใครฉุกคิดขึ้นมาได้หรือยัง เหมือนจะยังไม่มี

"แลนซ์เกลียดปลาหมึกขนาดไหนหรือ"

ผมเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่กินอาหาร พยายามไม่มองภาพที่หอยใช้งวงดูดอาหารเข้าปาก

เมื่อก่อนวิธีกินผมแย่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

"แบบไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้"

"นี่นายรู้หรือยังว่าเซธทำงานที่เดียวกับฉัน"

"..."

เงียบ

ผมวางส้อมลง มาสภาพแบบนี้ไม่น่าจะรู้แน่ๆ

"แล้วแบบนี้จะเอายังไงดี"

"ไม่รู้เหมือนกัน"

ผมกุมขมับ จากนั้นก็ลองพยายามคิดวิธีอื่น แต่ก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี

หรือควรจะลองถามเซีย

หมอนั่นอยู่มานานมาก น่าจะรู้อะไรมากกว่าผม เผลอๆ อาจจะเคยเจอปัญหานี้มาแล้วด้วยซ้ำ

"เปลี่ยนงานได้ไหม"

"หา"

"นายกับฉัน พวกเราเปลี่ยนไปทำงานอื่น"

"แล้วจะทำอะไร"

"ไม่รู้สิ"

ผมถอนหายใจ ถึงข้อเสนอของแลนซ์จะน่าสนใจ แต่ผมไม่คิดว่าจะมีงานอื่นที่ดีกว่างานนี้

แน่นอนว่าผมยังไม่ลืมจุดประสงค์แรกว่าทำไมตนเองถึงเลือกทำงานนี้ ที่ผมเลือกทำงานนี้ตั้งแต่แรกก็เพื่อจะได้เจอกับสัตว์เยอะๆ

"ฉันกำลังตามหาสัตว์หนึ่งอยู่"

"ปลาหมึกใช่ไหม ฉันรู้แล้ว"

เขาย้ำ จากนั้นผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาเผลออ่านใจผมไปครั้งหนึ่ง

"ใช่ ฉะนั้นฉันเลยเลือกงานนี้จะได้เจอสัตว์เยอะๆ"

แลนซ์เงียบไป "เขาสำคัญกับนายขนาดนั้นเลยหรือ"

"ใช่"

"เป็นตัวที่กินนายก่อนตายเลยอยากจะฆ่าล้างแค้นหรือเปล่า"

"....." อะไรทำให้หมอนี่คิดแบบนี้วะ ผมงุนงงไปพักหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่า อืม ไม่น่าแปลก เพราะโดยธรรมชาติปลาหมึกถือว่าเป็นนักล่าของหอย "เปล่า เขาเป็นเพื่อนฉัน"

"ปลาหมึกกับหอยน่ะนะ" ท่าทางของแลนซ์เหมือนจะไม่เชื่อผม "แล้วไปทำแบบไหนถึงเป็นเพื่อนกันได้"

ผมก็ยังไม่แน่ใจเลย

ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมปลาหมึกถึงเลือกที่จะไว้ชีวิตผมแล้วพากลับมาเลี้ยง พอลองคิดถึงเหตุผลกับพฤติกรรมของเขาแล้วผมก็รู้สึกขนลุกนิดหน่อย

หรือความจริงเขาจะชอบผม

"เขาน่าจะชอบฉันมั้ง"

"ชอบเพราะรสชาติตัวนายอร่อยล่ะสิ"

เห็นท่าทางแลนซ์ดูเงียบๆ วันแรก ผมไม่คิดเลยว่าผ่านมาไม่กี่วันเขาจะกวนประสาทเก่งขนาดนี้ แต่น้ำเสียงของแลนซ์เหมือนไม่ได้ตั้งใจ ต่างกับเซียที่รู้สึกได้ชัดเจนว่าจงใจพูด

"เปล่า..คือชอบในแง่แบบนั้นน่ะ"

แลนซ์เงียบไปสักพักหนึ่ง "จริงหรือ"

"ฉันไม่ได้โกหก"

ท่าทางของอีกฝ่ายดูประหลาดใจมากจนพูดไม่ออกไปอีกพักใหญ่ "อืม แปลกดี ทั้งที่คนละสายพันธุ์น่ะนะ"

ผมไม่พูดอะไรอีกนอกจากพยักหน้ารับเฉยๆ

“แสดงว่านายชอบปลาหมึกใช่ไหม”

พอเจอคำถามนี้ผมถึงกับตั้งตัวไม่ถูกไปสักพักใหญ่ พอลองไตร่ตรองดูดีๆ แล้วผมก็พบว่าตัวเองไม่ได้ชอบปลาหมึกทุกตัว แค่รู้สึกว่าชอบเขาเป็นพิเศษมากกว่า

“อาจจะ”

ผมตอบแบบคลุมเครือเพราะยังให้คำตอบกับเรื่องนี้ไม่ได้ จากนั้นในหัวก็หวนคิดถึงเรื่องงานว่าควรจะเอาอย่างไรต่อดี

ดูเหมือนว่าผมต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเซียอย่างจริงจัง แต่พอจะไปหา ผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่รู้ที่อยู่ของอีกฝ่ายสักหน่อย

ที่ผ่านมาเซียเป็นคนมาหาผมตลอด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ผมก็ชะงักเล็กน้อย ในหัวพลันนึกถึงจดหมายที่เขาส่งมา ทว่าเมื่อเดินไปหยิบซองจดหมายขึ้นมาดู ด้านหน้ากลับไม่มีเขียนที่อยู่ มีแค่ชื่อเท่านั้น

หรือควรจะไปถามเซธดี

หมอนั่นทำงานพวกทะเบียนควบด้วย อย่างน้อยก็น่าจะรู้ที่อยู่เซีย...

"มาเปิดร้านขายขนมด้วยกันไหม"

"หะ?"

ผมหยุดคิด ขณะที่จ้องมองเขาด้วยความงุนงงกับความคิดกะทันหันของเขา

"ร้านขายขนมไง นายจะได้เจอสัตว์เยอะๆ"

ผมคิดว่าไอเดียนี้ก็ไม่แย่ แต่ที่นี่เปิดร้านขายของเองได้ด้วยหรือ

"เรื่องนั้น.."

"เดี๋ยวฉันจะลองถามเซียให้" แลนซ์เอ่ยจบก็ลุกขึ้น "รอที่นี่นะ"

ผมพยักหน้ารับแบบงงๆ ขณะที่มองแลนซ์เดินออกไปที่หน้าประตู จากนั้นในหัวก็เพิ่งนึกถึงความจริงบางอย่างขึ้นมาได้

ว่าแต่แลนซ์รู้ด้วยหรือว่าบ้านเซียอยู่ที่ไหน

………………………

…………….

หลังจากที่แลนซ์ออกไป ผมก็วุ่นวายอยู่กับการอ่านหนังสือ ในหัวก็คิดถึงเรื่องที่เขาเสนอไม่หยุด

ผมคิดว่าการเปิดร้านขนมก็ดูเป็นไอเดียที่ดี แต่ผมก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย ถ้าย้ายไปทำงานในร้านอาหาร แสดงว่าต่อจากนี้ผมน่าจะได้เจอเซธน้อยลง

แต่ก็คงดีกว่าการนั่งเฉยๆ

ผมใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือจนเพิ่งรู้ว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว เกือบจะพระอาทิตย์ลับฟ้าเสียด้วยซ้ำ ผมเดินไปที่ตู้เย็นแล้วแกะอาหารแช่แข็งออกมาเวฟ

ทำไมแลนซ์ไปนานขนาดนี้

หมอนั่นมันรู้ทางกลับบ้านจริงๆ ใช่ไหม

ผมกินอาหารในเย็นวันนั้นด้วยความกระวนกระวาย จนเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ดึกจนแทบจะเลยเวลานอนผมอยู่แล้ว แต่แลนซ์ก็ยังไม่กลับมาสักที

ผมผุดลุกขึ้นจากเตียง จริงๆ ผมอาบน้ำเปลี่ยนชุดพร้อมนอนเรียบร้อย แต่ยังนอนไม่หลับเพราะมัวแต่กังวล

ถ้าเข็มยาวชี้เลขหกเมื่อไรแล้วแลนซ์ยังไม่กลับมา ผมตัดสินใจแล้วว่าจะออกไปด้านนอก เพราะผมไม่แน่ใจว่าแลนซ์จะกลับบ้านถูกหรือเปล่า เขาเพิ่งย้ายมาที่นี่ได้ไม่กี่วันด้วย

ผมนั่งรออย่างอดทน สายตาจ้องมองนาฬิกาสลับกับประตู เข็มยาวชี้เลขหกแล้ว แต่แลนซ์ยังไม่กลับมา

ผมทนรอไม่ไหวเลยหยิบเสื้อนอกมาสวมทับ เท้ารีบเดินตรงไปทางประตูอย่าวรวดเร็ว ทว่าพอเปิดประตูออกไป ผมก็ชะงักทันที

ที่ฝั่งตรงข้ามของประตูมีปลาหมึกขนาดยักษ์ยืนอยู่ ใหญ่จนเกือบจะเท่าตัวของผมเสียด้วยซ้ำ ผมผงะจนเผลอก้าวเท้าถอยไปด้านหลัง สายตาจ้องมองปลาหมึกตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ดูเหมือนว่าจะเป็นหมึกสาย

ผมกะพริบตาถี่ๆ คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมาผิดบ้าน ถ้าเกิดแลนซ์กลับมาแล้วเห็นเข้าน่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร ผมกลัวว่าแลนซ์จะตกใจจนเป็นลมเมื่อได้เห็นหมึกสายตัวใหญ่ที่หน้าบ้าน

"ขอโทษนะครับ มาบ้านผิดหลังหรือเปล่--"

ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยจบ ปลาหมึกตัวนั้นก็ใช้หนวดของมันเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วแล้วใช้หนวดคว้าตัวผมเข้าไปสวมกอด ผมสะดุ้งจนเกือบทำอะไรไม่ถูก พอตั้งสติได้ผมก็รีบผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว

“ทำอะไรของคุ--”

“ฉันเอง” เสียงที่เอ่ยขึ้นนั้นทำให้ผมที่กำลังขัดขืนเปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นก็เป็นค่อยๆ เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าราวกับจะพิจารณา

“แลนซ์..?”

“ใช่”

เดี๋ยวนะ ผมประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ “ก่อนไปฉันยังเห็นนายเป็นหอย..”

“ฉันไปเปลี่ยนมา”

“มันเปลี่ยนได้ด้วยรึไง”

“ฉันไปถามวิธีจากเซียมา วุ่นวายอยู่นานเลยกลับบ้านดึก”

ผมเพิ่งรู้ว่ามันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นได้ด้วย แต่การที่ได้เห็นเขาในร่างปลาหมึกก็ผิดคาดอยู่ดี บนโลกนี้สัตว์ตัวสุดท้ายที่อยากจะเป็นปลาหมึกก็น่าจะเป็นแลนซ์นี่แหละ

“ทำไมถึงเป็นปลาหมึก..”

“เพราะนายชอบ”

“ฮะ” ผมอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อหู “เพราะเหตุผลแค่นี้น่ะนะ”

“ก็นายชอบปลาหมึก” แลนซ์อธิบายอย่างใจเย็น “ต่อจากนี้จะอยู่ด้วยกันแล้ว ฉันก็จะเปลี่ยนไปแบบที่นายชอบดีกว่า”

ผมคาดไม่ถึงกับคำตอบอีกฝ่าย เห็นแลนซ์ดูมีท่าทีเหมือนไม่ค่อยใส่ใจหรือสนใจผมเท่าไรนัก ไม่คิดว่าเขาจะถึงกับลงทุนยอมเป็นในสิ่งที่ตัวเองเกลียดเพื่อผม “ก็ดีใจอยู่หรอก แต่ในเมื่อนายไม่ชอบ นายก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อฉัน”

“เปลี่ยนไม่ได้แล้ว”

“ยังไง?”

“ถ้าจะเปลี่ยนต้องรออีกหนึ่งเดือน”

“....” ผมพูดไม่ออกไปพักใหญ่ สุดท้ายเลยยื่นมือออกไปลูบเข้าที่หนวดของเขาเบาๆ เพื่อปลอบประโลม “งั้นช่างมันเถอะนะ ไว้รออีกหนึ่งเดือนค่อยไปเปลี่ยนกลับก็ได้”

แลนซ์จ้องมายังทางผม แต่ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ผมพูดเลย เหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างมากกว่า

“นายยิ้ม?”

“หือ” ผมชะงักเล็กน้อย จากนั้นพอเลื่อนมือขึ้นมาแตะบนใบหน้าและปากของตนเองถึงเพิ่งสังเกตว่าตนเองยิ้มจริงๆ ด้วย แต่ไม่ใช่การยิ้มอย่างเป็นมารยาทเพื่อการทักทายอย่างที่เคยทำ เพราะไม่รู้ว่าใบหน้าของตนเองเวลายิ้มเป็นอย่างไร ผมเลยเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่นด้วยความอับอาย “เอ่อ โทษที เผลอตัวไปหน่อย”

แต่แลนซ์กลับไม่ได้สนใจคำขอโทษของผม อีกฝ่ายใช้หนวดแตะเข้าที่ริมฝีปาก จากนั้นก็จับยึดใบหน้าของผมเอาไว้ให้หันกลับมา “หันหน้าหนีทำไม เวลานายยิ้มก็ดูดีออก”

มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่สัตว์จะพูดสิ่งที่ตนเองคิดออกมา ตรงไปตรงมาต่างกับมนุษย์ ทว่าในความตรงไปตรงมานั้นกลับทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือผลักให้หนวดอีกฝ่ายถอยห่างออกไป

“ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนั้นก็ได้”

แลนซ์ยอมถอยห่างออกไปและละหนวดปลาหมึกลง ผมถึงค่อยหายใจสะดวกขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกอับอายเกินกว่าจะอยู่ที่นี่แล้วยืนจ้องหน้าเขาสองต่อสองอยู่ดี ผมเลยเบือนหน้าหนีแล้วแสร้งทำเป็นง่วงนอนแล้ว

“ฉันง่วงแล้ว ราตรีสวัสดิ์”

พอเอ่ยจบผมก็รีบก้าวเท้าออกมาเร็วๆ โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองเขาที่ยืนอยู่อีกเลย

----------------------------------------



[Talk]



สวัสดีค่ะกลับมาแล้วหลังหายไปเกือบเดือน เรามาอัพตอนต่อแล้วนะคะ > < ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่10) (30/8/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 30-08-2020 06:53:46
แลนซ์แปลกไป แต่เพราะอะไร??

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่นะค้า
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่10) (30/8/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-08-2020 10:31:43
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่10) (30/8/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Dangdang ที่ 15-11-2020 23:05:09
 อยากให้น้องหอยรู้เร็วๆจังเลยว่าแลนซ์เป็นใครมาก่อน
รอตอนต่อไปนะจ๊ะ :mc4:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่10) (30/8/63) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 12-01-2021 00:25:31
บทที่11


หลังจากนั้นผมกับแลนซ์วางแพลนจะเปิดร้านด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าก่อนจะเปิดร้าน สถานที่ที่ตั้งร้านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

 

 

ปกติเวลาเลือกซื้อที่ ทุกคนต้องแวะมาที่ทำการทั้งนั้น สีหน้าของแลนซ์ดูเหนื่อยหน่ายมากเมื่อพบว่าตนเองต้องไปหาเซธเพื่อทำการดูสถานที่เปิดร้าน

 

 

"ถ้าไม่อยากไปขนาดนั้น ไม่ต้องไปก็ได้นะ"

 

 

"ก็ว่างั้นแหละ" แลนซ์ว่า พลางเหลือบตาขึ้นมามอง ก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อย คงเพราะเห็นว่าน้ำเสียงกับสีหน้าของผมอารมณ์ดีจนจับสังเกตได้ "ดีใจที่ฉันไม่ได้ไปด้วย? "

 

 

"นิดหน่อย แต่จริงๆ ดีใจที่จะได้เจอเซธ"

 

 

สีหน้าแลนซ์ดูบูดบึ้งขึ้นมาทันที ท่าทีเหมือนเด็กเอาแต่ใจ "เปลี่ยนใจล่ะ ฉันไปดีกว่า"

 

 

"ไหนนายบอกไม่ชอบเซธไม่ใช่หรือไง"

 

 

"ไม่ชอบที่ไหน ไม่มี"

 

 

ผมเลิกคิ้ว ตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เพราะสีหน้ากับน้ำเสียงแลนซ์ดูหงุดหงิดแปลกๆ เลยเปลี่ยนประเด็นที่พูดคุยกันไปเรื่องอื่น

 

 

“ตอนนี้ฉันมีสถานที่ที่เล็งไว้สองที่” ผมเกริ่น จากนั้นก็เอ่ยต่อไป “คือใกล้สถานที่ทำการกับบริเวณพลาซ่า นายมีที่อื่นจะเสนอเพิ่มไหม”

 

 

“เลือกที่พลาซ่าสิ” แลนซ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วราวกับแทบจะไม่ได้เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ “แถวนั้นคนเยอะกว่า จะไปเปิดแถวสถานที่ทำการทำไม”

 

 

ผมอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อถูกเขาจี้ตรงๆ แบบนี้ หลังจากชั่งใจเพื่อหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองอยู่ครู่หนึ่งผมจึงตอบเขา “แถวที่ทำการมีคนเยอะระดับหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไปเปิดแถวนั้นจะหาลูกค้าประจำง่ายกว่า ตรงสถานที่ทำการส่วนมากจะมีแต่พวกลูกค้าหน้าใหม่”

 

 

“จริงๆ คือนายอยากเจอเซธ”

 

 

“ก็ถูก..”

 

 

“งั้นไปเปิดที่พลาซ่า” แลนซ์สรุปให้อย่างรวดเร็ว “ถ้านายอยากขายของก็ต้องเน้นที่ลูกค้าเยอะ ไม่ใช่เปิดเพราะอยากเจอหน้าคนที่นายชอบ”

 

 

ใบหน้าผมร้อนขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่แลนซ์พูดเป็นความจริงจนเถียงไม่ออก “เอาตามนั้นก็ได้ ตกลงว่าเราจะไปเปิดที่พลาซ่า”

 

 

พอแลนซ์ได้ยินคำพูดของผม อีกฝ่ายก็ดูมีสีหน้าพึงพอใจขึ้น “แล้วคิดไว้หรือยังว่าอยากจะทำอะไรบ้าง”

 

 

“ลองสำรวจรอบๆ พลาซ่ามาแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีสัตว์หลายชนิดปะปนกัน” ผมพูดขึ้นหลังจากลองไปสังเกตมาวันก่อน “อาจจะทำขนมสักสามชนิด แต่ต้องมีหลายรสสำหรับสัตว์แต่ละประเภท เช่นคุ๊กกี้หญ้า ขนมปังไข่ เค้กหน้าเนื้อ”

 

 

“อาจจะไม่ดี” แลนซ์ออกความเห็น “พวกเราไม่เคยกินของหวานกันอยู่แล้ว ถ้าเน้นการทำของหวานมากเกินไป อาจจะไม่มีใครซื้อ”

 

 

“หรือควรจะทำเป็นขนมปังหน้าต่างๆ แทน? ”

 

 

“ทำเป็นขนมปังหน้าต่างๆ ก็น่าสนใจ” แลนซ์ว่า “พวกคุ๊กกี้ก็ดี แต่เค้กไม่ควรทำเพราะว่ารสชาติจัดเกินไปสำหรับสัตว์แบบเรา”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเอาพวกบิสกิตมาแทนเค้กก็ได้” ทันทีที่เอ่ยจบ ผมก็ก้มหน้าลงแล้วหยิบกระดาษกับดินสอมาจดบันทึกความคิดเอาไว้ “ตอนนี้มีสามเมนูแล้ว อีกสองเมนูฉันยังนึกไม่ออก”

 

 

“อีกเมนูเอาเป็นทาร์ตผลไม้ดีไหม” แลนซ์พูดขึ้นขณะยกหนวดขึ้นมาสัมผัสใบหน้าตนเอง แม้ว่าจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมอง แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาจ้องผมแทบจะตาไม่กะพริบ “แค่สี่เมนูก่อนก็ได้ จะได้ดูผลตอบรับของลูกค้าก่อน”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวมาเริ่มคิดกันว่าต้องซื้อวัตถุดิบอะไรบ้าง” ผมว่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นถึงเห็นว่าแลนซ์จ้องผมแทบจะไม่ละสายตาไปไหน จนผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่า? ”

 

 

“ไม่มีอะไร” แลนซ์ละสายตาไปมองทางอื่น ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้น “เดี๋ยวฉันช่วยค้นหนังสือให้ว่าเราต้องซื้อวัตถุดิบอะไรบ้าง แล้วจะใส่ส่วนผสมยังไง”

 

 

ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกได้ว่าแลนซ์จงใจเบี่ยงประเด็น แต่ในเมื่อเขาไม่อยากพูด ผมก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ถาม ไม่อย่างนั้นพอคาดคั้นมากเข้าบรรยากาศตอนอยู่ร่วมกันจะอึดอัดเกินไป

 

 

……………………………………

 

 

…………………….

 

 

ช่วงเวลาที่นั่งคิดและวางแผนเรื่องส่วนผสมกับวัตถุดิบกันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนุกและตื่นเต้นมาก ผมไม่เคยใช้สมองคิดเรื่องไหนเยอะๆ มาก่อน ฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องแรกที่ผมวางแผนจะทำอะไรอย่างจริงจัง

 

 

พอวางแผนได้แล้วว่าจะซื้อวัตถุดิบจากที่ไหนและตั้งราคาคร่าวๆ ที่เท่าไร ผมก็นึกถึงปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

 

 

ปัญหาก็คือผมกับแลนซ์ ไม่มีใครทำอาหารเป็นสักคน

 

 

ฉะนั้นพวกเราเลยต้องมาเรียนวิธีการใช้เตาอบและเครื่องครัวเป็นอย่างแรก โดยมีแลนซ์ยืนอ่านคู่มืออยู่ข้างๆ ส่วนผมทดลองทำตามที่เขาบอก

 

 

“ใส่ยีสต์ลงไปในแป้งด้วย” แลนซ์ว่า ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือ ผมพยักหน้ารับก่อนจะผสมทุกอย่างให้เข้ากัน แล้วเอานมสดที่ผสมไข่ไก่กับน้ำตาลทรายใส่ลงในส่วนผสมแป้ง

 

 

เนื่องจากว่าผมกับแลนซ์จะเป็นคนทดลองเสี่ยงตายชิมอาหารสองคนแรก ฉะนั้นขนมปังที่ผมกับแลนซ์ทดลองทำจึงเป็นรสที่เราสองคนชื่นชอบ นั่นคือรสเนื้อ พอผสมทุกอย่างเข้ากันแล้ว ผมก็เริ่มแบ่งแป้งออกเป็นก้อนๆ ทาเนย แล้วใส่ถาดก่อนนำเข้าไปอบ

 

 

แลนซ์ช่วยปิดประตูเตาอบ ก่อนจะตั้งค่าไฟแล้วเปิดให้เครื่องทำงาน

 

 

เพราะว่าทำเป็นขนมปังแบน ผมเลยต้องเอาออกมาพลิกกลับด้านก่อนจะอบต่ออีกรอบ เมื่อเสร็จแล้วผมเลยดึงถาดออกมาด้วยความลุ้นระทึกว่าขนมปังที่ออกมาจะรสชาติเป็นยังไง ถึงผมจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับการทำครั้งแรก แต่อย่างน้อยก็แอบหวังว่ามันน่าจะพอกินได้แล้วก็มีรสชาติไม่ทุเรศเกินไปจนต้องคายทิ้ง

 

 

แลนซ์เป็นคนแรกที่หยิบไปชิมก่อน ผมเหลือบสายตาไปมองเขา สีหน้าของแลนซ์นิ่งเฉยมากจนผมไม่แน่ใจว่ามันแย่จนแสดงสีหน้าไม่ออกหรือเปล่า ผมเลยหยิบมากิน ขณะที่ภาวนาให้รสชาติพอกินได้

 

 

ทว่าพอลองชิมแล้วกลับผิดคาด ผมนึกว่าจะแย่ แต่ดันออกมาดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก

 

 

“ก็อร่อยนี่” ผมออกความเห็นหลังจากลองกิน “แล้วทำไมนายทำสีหน้าแบบนั้น”

 

 

“แบบไหน”

 

 

“แบบที่นายทำอยู่นี่ไง”

 

 

แลนซ์เลิกคิ้ว ก่อนจะเคี้ยวขนมปังจนหมดก้อน “กำลังแปลกใจที่มันออกมาดีกว่าที่คิด เลยไม่รู้จะแสดงสีหน้าแบบไหนดี”

 

 

เหตุผลของแลนซ์ประหลาดมาก แต่พอลองนึกดูว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์มาก่อน คงไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไร ผมเลยพยักหน้ารับเฉยๆ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นทำตามสูตรนี้ก็ได้ งั้นเดี๋ยวมาทดลองทำเมนูอื่นกัน”

 

 

พอลองทำเมนูแรกแล้ว รสชาติไม่แย่อย่างที่คิดเอาไว้ ผมกับแลนซ์ก็เริ่มมีกำลังใจในการทำเมนูอื่นๆ ต่อ อาจจะเพราะกำลังใจดี ไม่ก็ฝีมือในการทำของผมไม่แย่ ดังนั้นเมนูอื่นๆ จึงออกมาดีเกินกว่าที่คาดหมายไว้เหมือนกัน

 

 

หลังจากทดลองทำหลายๆ สูตรเพื่อเป็นที่พอใจแล้ว ผมกับแลนซ์ก็ช่วยกันจดสูตรที่อร่อยที่สุดลงไปในกระดาษเพื่อที่จะได้เอาไว้ใช้สำหรับเปิดร้าน รวมถึงต้องคำนวนพวกวัตถุดิบและจำนวนที่จะทำในแต่ละวันด้วย

 

 

คืนนั้นผมเข้านอนไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกับการเลือกซื้อวัตถุดิบในวันพรุ่งนี้จนนอนไม่หลับทั้งคืน

 

 

…………………………………………….

 

 

………………………….

 

 

“ตื่นเช้าผิดปกตินะ”

 

 

แลนซ์ทักขึ้นเมื่อเห็นว่าผมนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะมีขนมปังที่ผมกับเขาทำด้วยกันไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเก็บเอาไว้ในตู้เย็น

 

 

“ยังไม่ได้นอนต่างหาก”

 

 

“แล้วทำอะไรถึงยังไม่นอน” แลนซ์ว่าก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ ผม มืออีกฝ่ายก็ยื่นเข้ามาจับที่ข้างแก้ม “ได้ยินมาว่าปกติเวลามนุษย์อดนอนแล้วขอบตาจะดำ ขอบตานายก็ดำจริงๆ นั่นแหละ”

 

 

ผมกะพริบตา รู้สึกแปลกๆ กับท่าทีที่ใกล้ชิดและเข้ามาใกล้จนผิดวิสัยขนาดนี้ ผมเลยปัดมือของเขาออก “ก็ตื่นเต้นที่จะได้ไปซื้อของจนนอนไม่หลับ”

 

 

แลนซ์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมละมือออก “ทำเหมือนไม่เคยซื้อ ตอนทดลองทำวัตถุดิบก็เคยไปซื้อมาแล้ว”

 

 

“รอบนี้มันไม่เหมือนกัน”

 

 

นอกจากจะไปซื้อวัตถุดิบแล้ว ผมยังต้องไปซื้อของสำหรับตกแต่งร้านอีก เช่น พวกชั้นวางขนมปัง ถาดใส่ขนมปัง ตะกร้า ถึงแม้ว่าจะมีสถานที่ให้ใช้ แต่ด้านในสถานที่แทบจะว่างเปล่า ของต่างๆ ต้องหาซื้อเอาเอง

 

 

โชคดีที่มีจำนวนเงินตั้งต้นสำหรับคนที่เพิ่งเกิดใหม่ในโลกนี้เยอะมากจนเพียงพอที่จะทำธุรกิจแบบเล็กๆ ได้สบาย ผมกับแลนซ์เลยไม่ค่อยลำบากเรื่องเงินเท่าไรนัก แต่เพื่อความระมัดระวังก็เลยกะจำนวนขนมปังที่ทำวันแรกเอาไว้น้อยๆ แล้วก็ตั้งใจว่าอาจจะทำซุ้มให้ชิมฟรีก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะจากที่ลองไปสังเกตมา ผมเพิ่งเห็นว่าแม้จะมีร้านขนมปังมากมายตามทางเดิน แต่ไม่มีร้านไหนทำขนมหวานขายเลย

 

 

การตัดสินใจลงทุนทำขนมหวานจึงเป็นเรื่องที่ใหม่มากและไม่มีใครลองทำมาก่อน ดังนั้นโอกาสไปไม่รอดจึงสูงมาก ผมกับแลนซ์เลยตัดสินใจว่าจะทำขนมปังไว้ในอัตราส่วนที่เยอะ ส่วนพวกขนมอย่างคุ๊กกี้ บิสกิต ทาร์ตผลไม้ ผมทำในจำนวนที่น้อยลงมากว่าแทนเพื่อดูผลตอบรับของคนซื้อก่อน

 

 

“รสชาติอาหารที่นายทำออกมาโอเคอยู่แล้ว” แลนซ์พูดให้กำลังใจ “ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น”

 

 

“ขอบใจ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย จากนั้นจึงพึ่งคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่แลนซ์หัวเราะ “ว่าแต่นายเริ่มแสดงสีหน้าเป็นแล้วหรือ”

 

 

แลนซ์นิ่งไปราวกับกำลังไตร่ตรองในสิ่งที่ผมพูด จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วตอบด้วยน้ำเสียงทื่อ “อย่าล้อได้ไหม”

 

 

แวบหนึ่งผมเห็นว่าใบหน้าของเขาแดงขึ้นนิดหน่อย ความจริงผมตั้งใจจะทักถามด้วยความหวังดี ไม่ได้ตั้งใจล้ออะไรเลย สัตว์บางตัวที่เพิ่งมาอาศัยอยู่ที่นี่แรกๆ แทบจะแสดงอารมณ์ไม่ได้เลย แต่เมื่ออยู่ไปสักระยะหนึ่งจะเริ่มแสดงอารมณ์และมีสีหน้ามากขึ้น

 

 

บางทีมันอาจจะเกิดจากการที่สัตว์ทุกตัวสามารถสื่อสารด้วยระดับภาษาที่ซับซ้อนมากขึ้น

 

 

“ไม่ได้ล้อ ก็แค่ถามเฉยๆ ” ผมว่าจากนั้นเลยหยอกเขาไปทีหนึ่ง “เขินหรือไง”

 

 

“ฉันยังแสดงอารมณ์ไม่ค่อยเก่ง” แลนซ์ตอบแต่ไม่ตรงประเด็นกับสิ่งที่ผมถาม “ถ้านายชอบ..ฉันจะพยายามแสดงอารมณ์ให้มากขึ้น”

 

 

“เอาตามที่นายสะดวกเถอะ” ผมตอบกลับ “เป็นตัวของตัวเองดีกว่า ไม่ต้องมาตามเอาใจฉันหรอก”

 

 

แลนซ์ไม่ได้โต้ตอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก “ออกไปซื้อของสำหรับเตรียมเปิดร้านกันเถอะ”

 

 

เมื่อเห็นว่าเขาปัดตกประเด็นนี้ไป ผมเลยไม่พูดถึงอีกจากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะหยอกเพิ่มอีกนิดหน่อย

 

 

ตอนแรกที่มาอยู่ด้วยกันผมยังคิดว่าเขาไม่น่าคบหาหรือเข้าใกล้อยู่เลย ทว่าพออยู่ด้วยกันนานๆ ผมก็เริ่มรู้สึกเอ็นดูเขาขึ้นมาบ้าง

 

 

--------------------------------------------------------

 

มือแลนซ์ในตอนนี้ = หนวด

 
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่11) (12/1/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 15-01-2021 23:54:06
ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่11) (12/1/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Blue ที่ 28-02-2021 06:42:36
  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่11) (12/1/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-03-2021 20:57:10
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่11) (12/1/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 07-03-2021 23:38:59
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่11) (12/1/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: larza ที่ 10-03-2021 03:05:10
บทที่12

ราคาวัตถุดิบต่างๆ มีราคาแพงกว่าที่คิดไว้ พอมาหักลบกับต้นทุนแล้วก็เหลือกำไรอยู่ไม่เท่าไร หลังจากเครียดเรื่องนี้อยู่เป็นวัน ผมเลยตัดสินใจว่าจะไปถามถึงเซธเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาที่ศูนย์ทำการ ผมกลับเจอคนที่ตนเองตามหาอยู่พอดี

เซียยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังจะคุยอะไรบางอย่างกับม้าที่กำลังเดินเล่นอยู่ในศูนย์ทำการพอดี ผมเลยเดินมานั่งที่เก้าอี้ รอจนเขาคุยธุระเสร็จแล้วค่อยเดินเข้าไป

อีกฝ่ายหันมามองผมเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าผมมีธุระ จากนั้นก็เอ่ยทักโดยที่ไม่ต้องให้เรียก “มีอะไรหรือเปล่า”

“จะถามเรื่องวัตถุดิบว่าหาซื้อถูกๆ จากไหนได้บ้าง..”

“ลองถามแมรี่ดูสิ” เซียตอบกลับ “เธอเปิดร้านอาหารอยู่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าฉันนะ”

“แต่นายอยู่ที่นี่มานานแล้ว”

“ก็ใช่ แต่ฉันไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าร้านไหนขายถูก” เซียว่าพลางยักไหล่ “เอาไว้ถ้าฉันเป็นหัวหน้ากรมเก็บภาษีแล้วไม่รู้ นายค่อยด่าฉันก็แล้วกัน”

ผมเกือบหลุดขำ แต่พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ก่อน “จะว่าไปฉันขอช่องทางการติดต่อได้ไหม”

“มีกระดาษไหม ฉันจะจดให้”

“ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์เหรอ”

“มันคืออะไร” เซียถามกลับด้วยสีหน้างุนงง

“เอ่อ” ผมอึ้งไปสักพักหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เซียฟังอย่างไรดี เท่าที่ผมจำได้จากการอ่านใจของมนุษย์ ผมรู้แค่ว่ามันเป็นอุปกรณ์ในการสื่อสารเท่านั้น แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไรหรือทำงานยังไง ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนคำถาม “ที่นี่เขาติดต่อกันยังไง”

“ปกติที่นี่จะติดต่อกันด้วยวิธีเขียนจดหมายแล้วให้สัตว์ที่เป็นนกทำงานส่งจดหมาย” เซียตอบก่อนจะหันไปด้านหลัง “เซธ ขอกระดาษหน่อย”

เซธใช้หนวดปลาหมึกหยิบกระดาษกับปากกาก่อนจะส่งให้เซียเขียน อีกฝ่ายรับกระดาษกับปากกามาแล้วเริ่มจดที่อยู่ของตนเอง “จะว่าไปสัตว์ที่ตัวติดไปกับนายไปไหนแล้วล่ะ”

“หมายถึงแลนซ์เหรอ”

“ใช่”

“ไม่อยากมาก็เลยนอนอยู่บ้าน”

ผมไม่อยากพูดตรงๆ ว่าเขาไม่อยากมาเจอเซธ ผมเลยตัดปัญหาเปลี่ยนไปใช้คำอื่นแทน เซียพยักหน้าดูเหมือนไม่ใคร่สนใจเท่าไร

“ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สักพักแล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี” ผมไม่รู้ว่าจะออกความเห็นอย่างไรเลยพูดไปสั้นๆ แค่นั้น "จะว่าไปตอนนี้ร้านของแมรี่ยังเปิดอยู่ใช่ไหม"

………………

………

ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ผมกับแลนซ์ก็มาที่ตลาดขายส่งด้วยกัน ผมเพิ่งรู้ว่ามันมีตลาดสำหรับคนที่ต้องการซื้อของจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากตลาดปลีกที่เหมาะแก่การซื้อของแค่ไม่กี่ชิ้นแล้วมีราคาแพงกว่า

ผมเข้าไปถามราคาแต่ละร้าน มีหลายร้านที่ขายพวกวัตถุดิบการทำอาหาร ตอนที่เดินมาจนเกือบจะสุดตลาด แลนซ์ก็เอ่ยขึ้นลอยๆ

"นายไม่สงสัยอะไรบ้างเหรอ"

ผมชะงัก "สงสัยอะไร"

"สังเกตหรือเปล่าว่าที่นี่มีเจ้าของร้านที่ชื่อซ้ำกันเยอะ"

ผมไม่เคยคิด แต่พอย้อนกลับมาคิดแล้วก็เหมือนจะจริง พวกสัตว์ที่ขายอาหารและเครื่องใช้ส่วนมากจะเป็นแมวหรือไม่ก็หมา อาจจะเพราะพวกนี้เคยชินกับอาหารและของใช้ของมนุษย์เลยมองว่าการทำงานในสิ่งที่ตนเองรู้จักหรือคุ้นเคยน่าจะดีกว่า

"เอ่อ ก็ซ้ำกันไม่กี่ร้าน"

"มีร้านชื่อโบ้กับเหมียวรวมกันหกร้านแล้วมั้ง" แลนซ์ว่าขณะกวาดตามอง จากนั้นก็เห็นป้ายร้านที่ชื่อ 'เหมียว7' "สงสัยพวกมนุษย์ชอบตั้งชื่อแบบนี้ให้หมากับแมว"

ปกติแล้วชื่อร้านจะตั้งตามชื่อเจ้าของร้าน เพื่อกันสับสนเลยมีการใส่เลขเข้าไปจะได้ไม่งงว่าร้านของใคร

ผมพยักหน้ารับแบบไม่ใส่ใจคำพูดอีกฝ่ายเท่าไรนัก เท้าเดินไปตามทางพลางกวาดสายตามอง บนถนนนั้นคราคร่ำไปด้วยสัตว์จำนวนมากที่เดินขวักไขว่ บางตัวก็เหลือบมองมาทางผมด้วยสายตาแปลกประหลาดแล้วละสายตาออกไปอย่างรวดเร็ว นั่นคงเป็นเพราะว่าที่นี่มีมนุษย์น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

แม้จะออกมาข้างนอกบ่อย แต่ผมก็แทบไม่เคยเห็นใครเป็นมนุษย์อีกเลยนอกจากผมกับเซีย ผมหยุดใจลอยเมื่อพบกับเป้าหมาย เมื่อมองจนมั่นใจว่าใช่แน่ๆ แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปในร้านนั้นอย่างรวดเร็ว

เจ้าของร้านเป็นยีราฟที่ลำคอค่อนข้างยาว เมื่อผมเดินเข้ามาในร้าน เธอก็เห็นจากระยะไกลทันที

“อยากได้อะไรจ๊ะ”

ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วยิ้มทักทายกลับเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าเสียมารยาทจนเกินไป “ผมอยากได้แป้ง ไข่กับพวกวัตถุดิบในการทำขนมครับ”

ผมไม่อยากพูดว่าเงยจนปวดคอ แต่ก็ปวดคอจริงๆ นั่นแหละ

“ปกติพวกวัตถุทำขนมไม่มีคนซื้อเท่าไร เลยมีจำนวนในสต็อกค่อนข้างน้อย” ยีราฟว่าพลางก้มหน้ามองผม จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านที่มีการจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ “ตามมานี่สิ เดี๋ยวพาไป”

ผมเดินตามเข้าไปในร้าน ส่วนมากองค์ประกอบของอาคารถูกสร้างขึ้นจากไม้เป็นหลัก ฉะนั้นเมื่อก้าวเท้าลงบนพื้นไม้ เสียงฝีเท้าจึงดังก้องไปรอบๆ กลิ่นไม้ที่อยู่ในร้านนี้ค่อนข้างให้ความรู้สึกประหลาดพอสมควร

“ชอบไหม ฉันตั้งใจออกแบบให้เป็นไม้ทั้งร้านเลย”

ปกติแล้วสัตว์บกจะค่อนข้างชอบกลิ่นของไม้เพราะการอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นจะค่อนข้างรู้สึกสงบ ดังนั้นอาคารหลายที่จึงสร้างขึ้นจากไม้ แต่ก็มีผสมปนกับวัสดุก่อสร้างอื่นบ้าง แม้แต่บ้านของผม พื้นบางส่วนยังถูกปูด้วยกระเบื้องเลย

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นอาคารที่เป็นไม้ล้วนจริงๆ

ขนาดเป็นสัตว์น้ำที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับไม้ยังอดทึ่งไม่ได้เลย ผมขยับยิ้มจนตาหยี “ชอบครับ”

“โนอา”

นี่เป็นครั้งแรกที่แลนซ์เรียกชื่อผม ด้วยความไม่คุ้นชินผมเลยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“มีอะไร?”

“เปล่า”

“....”

ผมถอนหายใจก่อนจะกวาดสายตามองรอบร้านเหมือนเดิม ขณะที่เท้าทั้งสองข้างยังคงก้าวตามเจ้าของร้านไปข้างหน้า แต่จงใจลดเสียงพูดคุยให้เบาลง “นายกวนฉันหรือ”

“เปล่า”

“แล้วเมื่อกี้เรียกชื่อฉันมีอะไร”

“เปล่า”

ผมปวดหัวตุบๆ “นายกวนประสาทฉัน”

คราวนี้แลนซ์เลยเงียบไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ท่าทางของอีกฝ่ายเหมือนมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดกับผม แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา

เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมเลยซื้อวัตถุดิบอย่างรวดเร็วแล้วออกจากร้าน ส่วนของทั้งหมดก็ให้ปลาหมึกยักษ์ที่ตามติดมาข้างหลังเป็นผู้ถือ

ไม่รู้ว่าจะนับเป็นความโชคดีดีไหม เพราะแลนซ์เป็นปลาหมึกยักษ์ที่มีหนวดหลายหนวด ไม่ว่าผมจะซื้อของไปกี่ร้าน อีกฝ่ายก็จะใช้หนวดเกี่ยวถุงสินค้าแล้วเดินตามติดผมเหมือนบอดี้การ์ดอะไรทำนองนั้น

ด้วยความที่พวกเราทั้งสองคนเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่จะไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอ รอบข้างจึงมองพวกเราแทบจะตลอดทาง แม้แต่แลนซ์ที่ดูไม่ค่อยสนใจรอบข้าง วันๆ เอาแต่จ้องมองผม ไม่รู้ว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือจ้องหน้าหาเรื่อง ในที่สุดก็รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้วเช่นเดียวกัน

“ที่นี่ไม่มีสัตว์น้ำสักตัว”

เรื่องนี้ผมก็สงสัยเหมือนกัน ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้มาผมไม่เคยเจอสัตว์น้ำตัวไหนเลยนอกจากแลนซ์กับเซธ

“พวกเขาอาจจะมีแหล่งที่อยู่เฉพาะ”

“ก็คงเป็นแบบนั้น” แลนซ์ตอบเหมือนจะเห็นด้วย “มิน่าทำไมถึงถูกจ้องตลอด”

“รู้สึกตัวด้วย?”

“โดนหลายคนจ้องขนาดนั้นฉันก็ต้องรู้สึกสิ”

ผมหัวเราะ “นึกว่าเอาแต่จ้องหน้าฉันจนไม่ทันสังเกตรอบตัว”

“ฉันไม่ได้จ้องนาย” แลนซ์รีบแก้ตัว จากนั้นก็เงียบเสียงลงเล็กน้อยราวกับในหัวกำลังใช้ความคิด ผ่านไปสักพักใหญ่จึงเห็นด้วยกับผม “นั่นสิ..ทำไมฉันถึงเอาแต่จ้องนายกันนะ”

ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร เรื่องถูกจ้องอะไรนั่นผมก็แค่แซวแลนซ์ไปแบบนั้น ไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับเรื่องนี้เลย แต่เรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจไม่หายคือเหตุการณ์เมื่อครู่ต่างหาก

“ว่าแต่เมื่อกี้นายเรียกชื่อฉันทำไม”

แลนซ์เหมือนจะไม่คาดคิดว่าผมจะถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก ปลาหมึกยักษ์เลยนิ่งไปสักพักใหญ่ ก่อนเอ่ยออกมาว่า “ไม่รู้เหมือนกัน”

“.....”

“ก็แค่อยากเรียกชื่อนายเฉยๆ ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ”

“แต่นายไม่เคยเรียกชื่อฉัน”

“นายอยากฟังเหตุผลจริงๆหรือ”

พูดหย่อนไว้ขนาดนี้ผมก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงตอบอย่างรวดเร็ว “อยาก”

“ไม่รู้ทำไม..” แลนซ์พูดด้วยเสียงที่เบาลง ขณะใช้หนวดปลาหมึกเคลื่อนที่มาอยู่ใกล้ๆ กับผม “แต่ฉันเรียกชื่อนายเพราะอยากให้นายหันมามองฉัน แค่นั้นแหละ”

----------------------------------------------

หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Sorrowkung ที่ 11-03-2021 16:45:55
หรือแลนซ์จะเป็นหมึกสายตัวนั้น?
หัวข้อ: Re: ผมเป็นหอย ส่วนเขาเป็นหมึก (บทที่12) (10/3/64) ++++++
เริ่มหัวข้อโดย: Dangdang ที่ 06-12-2021 00:11:03
รอจ้ามาต่อหน่อย