พิมพ์หน้านี้ - Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ambiguous95 ที่ 18-11-2019 20:16:31

หัวข้อ: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-11-2019 20:16:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ


5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก



เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตจนอายุสามสิบโดยไม่เคยมีความรักมาก่อน
จู่ๆวันหนึ่ง -- ก็มีใครไม่รู้เข้ามาและสอนให้เขารู้ว่าความรักมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาคิด


twitter: @ambiguous90
facebook: https://www.facebook.com/msambiguous23

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก


Story by : Ms.Ambiguous

♡´・ᴗ・`♡
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [Intro] 18/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-11-2019 20:18:29
Intro [PART1/2]


อริสโตเติลกล่าวไว้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม
สัตว์สังคม – ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์หากขาดความรักเสียหน่อย

ผมชื่อสิปปกร เป็นลูกคนเล็กของบ้าน ผมมีพี่สาว มีพ่อแม่ และมีครอบครัวแตก ๆ ที่คอยหล่อเลี้ยงให้เติบโตจนอายุสามสิบ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะผมมีพ่อเฮงซวยที่ไม่เอาไหน มีแม่ชอบใช้อารมณ์ที่มักทำให้เรื่องทุกอย่างบานปลาย หรือมีพี่สาวใจแตกที่หนีไปอยู่กับแฟนตั้งแต่อายุสิบแปด แถมญาติรอบตัวก็มีแต่เรื่องคาวๆ คนนั้นหย่ากับเมีย คนนี้ผัวมีชู้ คนโน้นท้องไม่มีพ่อ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผมกลายเป็นคนไม่ศรัทธาในความรัก ไม่แม้แต่จะเชื่อเลยด้วยซ้ำ

“ความรักมันไม่มีอยู่จริงหรอก มีแค่เรื่องของผลประโยชน์”

ผมเคยพูดประโยคนี้ให้ติณณภพ เพื่อนสนิทคนเดียวในโลกทึม ๆของผมฟังระหว่างสูบบุหรี่ด้วยกันในห้องน้ำของโรงเรียน แม้จะเคยถูกแม่ตีหลายหนเพราะได้กลิ่นบุหรี่ติดเสื้อนักเรียนกลับบ้าน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรห้ามสิปปกรไม่ให้ทำตัวขบถต่อโลกใบนี้ได้

“ถ้าไม่มีจริง พี่มึงจะหนีไปอยู่กับแฟนทำไมวะ”

ติณณภพถามพลางจรดบุหรี่ที่ริมฝีปาก ผมแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อได้ยินแบบนั้น เหตุผลที่ยายพี่บ้านั่นทำก็คงมีแค่ไม่กี่อย่าง หนึ่งคือผู้ชายรวย สองคือรำคาญเสียงบ่นของพ่อกับแม่ และสาม – ติดใจรสชาติบนเตียงของแฟนก็เท่านั้น

“ได้ยินมาว่าผู้ชายมีเงินเยอะ บ้านก็หลังใหญ่ น้ำหนึ่งคงอยากอยู่แบบสบายๆ ล่ะมั้ง” ผมพึมพำเมื่อนึกถึงพี่สาวที่หนีไปอยู่กับแฟนเมื่อปีก่อนและไม่ยอมติดต่อกลับมาอีกเลย “ปวดหัวจะบ้า สร้างแต่ปัญหาเหมือนพ่อไม่มีผิด”
“พี่น้ำอาจจะรักผู้ชายคนนั้นจริงๆ ก็ได้” ติณแย้ง “เคยได้ยินไหมว่าความรักทำให้คนตาบอด”
“นอกจากจะตาบอดแล้วยังทำให้สมองฝ่อด้วย”
“มึงก็มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”
“มองตามความเป็นจริงต่างหาก” ผมพ่นควันบุหรี่ขึ้นไปในอากาศ “มึงนับนิ้วเลย ไม่เกินปีนี้ เดี๋ยวน้ำหนึ่งก็กลับมา”

ติณส่ายหัวพลันเพราะยังเชื่อว่าความรักมีอยู่จริง ไม่มีใครคิดว่าสิ่งที่นายสิปปกรพูดในวันนั้นจะกลายเป็นจริงในอีกแปดเดือนให้หลัง ในที่สุดน้ำหนึ่งก็ยอมกลับบ้านด้วยสภาพน้ำตานองหน้า ร้องห่มร้องไห้เหมือนจะขาดใจเมื่อเล่าถึงแฟนหนุ่มที่เคยรักหมดหัวใจให้เราฟัง ทั้งพ่อและแม่ไม่ดุด่าหรือต่อว่าอะไรสักคำเมื่อเห็นน้ำหนึ่งหัวใจสลาย คงมีผมคนเดียวที่ยืนกอดอกสมน้ำหน้าพี่สาวตัวดีอยู่ข้างหลัง

“ฟังพี่นะ ผู้ชายมันไว้ใจไม่ได้” น้ำหนึ่งพร่ำเพ้อให้ฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพื่อย้ำถึงความเฮงซวย หลังจากทะเลาะกับผู้ชายจนโดนตบเลือดกบปาก ดูเหมือนว่าน้ำหนึ่งจะเริ่มมีสติคิดได้เสียที “ตอนนี้พี่เชื่อแกแล้ว ความรักมันไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่เรื่องเหลวไหล เป็นแค่ของชั่วคราวอย่างที่แกว่า”

ตอนนั้นผมทำเพียงพยักหน้ารับหงึก ๆเพราะรู้ว่าพี่สาวไม่มีทางหลาบจำกับความรัก เธอพูดแบบนี้มาเป็นสิบหนแล้วแต่ก็ยังออกไปเดตไม่เคยเว้นช่วงอย่างปากว่า ทุกอย่างวนเวียนเหมือนฤดูกาล เธอจะออกจากบ้านเพื่อไปเดตด้วยใบหน้าแดงเรื่อแค่หนึ่งเดือน ยิ้มกว้างอย่างมีความสุขสามถึงสี่เดือนหรืออาจจะนานเกือบปี ก่อนที่สีหน้าของเธอจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอมทุกข์ และร้องห่มร้องไห้เพราะต้องเลิกรากันไปในที่สุด

ผมเฝ้ามองความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยปัญหาของพ่อ แม่ พี่สาว และญาติ ๆ มาโดยตลอด ยิ่งเห็นชีวิตรักของน้ำหนึ่งก็ยิ่งมั่นใจว่าความรักที่พี่สาวใฝ่หานั้นไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง น้ำหนึ่งไม่เคยมีความสุขที่เที่ยงแท้ถาวร เธอยิ้มออกแค่บางช่วง และน่าเสียดายที่มันต้องจบลงด้วยน้ำตาทุกหน แม้จะเปลี่ยนแฟนมาแล้วเกือบสิบคนทว่าพี่สาวของผมก็ยังไม่เข็ดหลาบ เพราะเธอจะเอาแต่วิ่งไขว่คว้าตามหาสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดใจทุกครั้งเสมอเมื่อมีโอกาส

“แค่รักฉันคนเดียวมันยากนักเหรอ รักกันและกันเหมือนณเดชน์ญาญ่าน่ะ มันไม่มีจริงหรือไง!” น้ำหนึ่งที่กำลังเมามายถามนายสิปปกรที่เพิ่งกลับจากมหาลัยด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหัวใจสลายเป็นรอบที่ร้อย “ทำไมไม่ตอบล่ะ แกเรียนหนังสือมานี่!”
“ไม่รู้ มหา’ลัยไม่ได้สอนเรื่องนี้”
“งั้นก็ไปลงเรียนเสียสิ! ลงเรียน! แล้วมาตอบพี่ว่าความรักคืออะไร!”
“ติงต๊องเหรอยายน้ำเน่า”

ผมบ่นกระปอดกระแปดพลางย่อตัวลงเก็บกวาดโต๊ะที่มีแต่กระป๋องเบียร์วางเกลื่อน ไม่รู้ว่าเมาจริงหรือเมาดิบ แอลกอฮอล์แค่นี้ไม่น่าจะสั่นคลอนยายพี่สาวกร้านโลกของผมได้

“ความรักไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับเราหรอก”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า --” ผมพูด ก่อนจะต้องหอบหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เมื่อประคองน้ำหนึ่งที่ตัวหนักเหมือนหมูเพื่อพาเข้านอน “ไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนตายเพราะไม่มีแฟน”
“แล้วไง”
“เพราะฉะนั้นพี่ก็เลิกร้องไห้เหมือนพ่อตายเสียที แค่ผู้ชายไม่รัก ไม่ได้หมายความว่าชีวิตพี่จะบัดซบไปมากกว่านี้เสียหน่อย”
“แต่พี่รักเขานะ” น้ำหนึ่งปล่อยโฮ “แกไม่เคยมีแฟน แกไม่เข้าใจ”
“ใช่ ไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจด้วย” ผมพูดเสียงเบาราวกับบอกตัวเอง “เห็นสภาพพี่กับแม่แล้วขอเป็นโสดไปจนตายดีกว่า”

บางทีมันก็เหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายที่ทั้งแม่ พี่สาว ครอบครัว และคนรอบตัวของผมไม่มีใครประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงานเลย ลุงกับป้าหย่ากัน อากลายเป็นหม้าย พ่อกับแม่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ถึงจะไม่รู้สึกอะไรต่อกันแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังคงอยู่ร่วมกันเพราะสถานะทางสังคม เหตุผลพวกนี้มีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ผมไม่เชื่อในความรัก อาจเพราะไม่เคยได้สัมผัสถึงมันเลยก็เป็นได้ แม้ตอนนี้พ่อกับแม่จะยังอยู่ด้วยกัน แต่ความรักอย่างที่ใคร ๆ ว่ากลับไม่เคยอยู่ในบ้านของเราเลยสักหน แม่ก็ยังคงเป็นแม่ที่อารมณ์ร้อนและชอบด่าพ่อ พ่อก็ยังคงเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน ดีแต่ทำตัวหมาหยอกไก่กับลูกจ้างสาว ๆ ที่ทำงานไปวัน ๆ ส่วนน้ำหนึ่งก็ยังคงเป็นพี่สาวที่เห็นความสำคัญของผู้ชายนอกบ้านมากกว่าในบ้าน

สิ่งที่ผมบอกพี่สาวในคืนที่เธอเมาหัวราน้ำคือความรู้สึกแท้จริงในใจของผมตอนอายุยี่สิบ ผมเติบโตมาในครอบครัวแตก ๆ ที่พ่อกับแม่มีปากเสียงกันแทบทุกวัน บ้านไม่เคยเป็นบ้านราวกับเราอยู่กลางทะเลที่ไม่รู้ว่าวันนี้จะดีหรือร้าย บางทีเราก็พูดกันดี ๆ แต่หลายทีเราก็ขึ้นเสียงใส่กัน ในที่สุดพ่อกับแม่ก็ทำให้น้ำหนึ่งที่เปราะบางกว่าใครแหลกสลายเป็นคนแรก ส่วนนายสิปปกรนั้นยังคงปลอดภัย เพราะมีระบบความคิดป้องกันตัวเองจากเรื่องแย่ ๆ จนทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมมันขวางโลก แต่อย่างน้อยการขวางโลกของผมก็นับเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้ผมคิดว่าผมไม่เคยมีปมในใจ หรือรู้สึกว่าตัวเองขาดเหมือนน้ำหนึ่งเลยสักครั้ง

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดมาตลอดยี่สิบปี จนกระทั่งได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง ชายผู้มีรูปร่างสูงโปร่งที่เข้ามาเปลี่ยนทัศนคติต่อความรักของผมไปตลอดกาล ถ้าหากโลกนี้มียาวิเศษหรือไทม์แมชชีนหรืออะไรก็ตามที่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ – ผมจะเปลี่ยนจากการออกไปต่อกันข้างนอกกับผู้ชายคนนั้นเป็นการเอาขวดเหล้าทุบหัวมัน ทุบหัวเพื่อนของมันด้วยที่พาเรามาเจอกัน และไม่ขอทำความรู้จักเลยจะดีกว่า






ย้อนกลับไปเกือบสิบปีก่อน ช่วงที่ผมกำลังเป็นนักศึกษาคณะอักษรศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครปฐม ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กเนิร์ดคงแก่เรียนที่มีหนังสือติดมือตลอดเวลา ผมเผ้าปรกหน้าจนต้องใช้ที่คาดผมและมีฉายาเล่นๆ ว่า “แอนตี้แฟนของเจน” เพียงเพราะเคยอภิปรายงานเขียน เจน ออสเตน  ในคาบวรรณกรรมอังกฤษว่า

คลิเช
น่าเบื่อ
ยังคงวนเวียนในโลกของความเพ้อฝัน

ในขณะที่ทุกคนต่างยกย่องว่า เจน ออสเตน คือนักเขียนที่กล้ายืนหยัดในการแสดงจุดยืนเพื่อนหญิงพลังหญิงที่สุดคนหนึ่งแต่ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่เธอเขียนออกมาไม่ได้สะท้อนหรือชวนให้ตั้งคำถามเท่างานของนักเขียนสตรีคนอื่นที่เราเคยอ่าน ผมไม่ได้หมายความว่างานของเจนไม่ดีหรอกนะ ผมแค่มองว่ามันเข้าคอนเซ็ปต์ของนิยายรักมากกว่างานสนับสนุนเฟมินิสต์หรืองานเขียนเสียดสีประชดประชันสังคมชายเป็นใหญ่ งานของเจนวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆและเรื่องซุบซิบของผู้หญิงชนชั้นกลางกับชนชั้นสูงในยุคสมัยต้นศตวรรษที่สิบแปดของอังกฤษ อีกทั้งในตอนจบของนิยายเรื่อง Price and Prejudice อลิซาเบธ เบนเน็ต  ที่ถูกเขียนบรรยายว่าเย่อหยิ่งในเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองก็ได้ลงเอยกับมิสเตอร์ดาร์ซี  ไม่ผิดจากที่คาดหมายเท่าไหร่

บ่ายวันศุกร์ในคาบเรียนวรรณกรรมอังกฤษ นักศึกษาปีสองของคณะอักษรศาสตร์ต่างถกเถียงกันอย่างเข้มข้นว่านิยายของเจน ออสเตนนั้นสนับสนุนสิทธิสตรีในแง่ไหนบ้าง ซึ่งความเห็นที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ของผมก็มักจะสร้างแรงปะทะในห้องเรียนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับลูกรักของอาจารย์ภาควิชาภาษาอังกฤษอย่างพีรพัฒน์ หรือ “หมูพี” ซึ่งลงความเห็นว่าผมนั้นอ่านหนังสือไม่แตกฉานพอที่จะเข้าใจถึงนัยยะแฝงของเจน ออสเตน

เราเขม่นกันอยู่บ่อยครั้ง และเพื่อนๆ ส่วนใหญ่มักจะเอนเอียงไปทางฝั่งหมูพีเพียงเพราะคิดว่าหากอาจารย์หยิบงานเขียนของเจน ออสเตนมาสอนก็ต้องแปลว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอะไรบางอย่าง ขืนคิดต่างออกไปจากที่หมูพีว่า พวกเขาต้องกลายเป็นไอ้โง่ที่อ่านหนังสือไม่แตกเหมือนนายสิปปกรแน่ๆ

 “งานเขียนของเจนไม่ได้เป็นแค่นิยายรักน้ำเน่าอย่างที่สองว่าหรอกนะ เพราะค่านิยมสมัยนั้นบีบบังคับให้ผู้หญิงต้องหาสามีรวยๆ เพื่อความอยู่รอดก็ไม่แปลกที่งานเขียนถึงวนแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพราะคุณค่าของผู้หญิงผูกกับการแต่งงาน แม่ของอลิซาเบธถึงวุ่นวายกับการหาคู่หมั้นให้ลูกสาวตลอดทั้งเรื่อง เราว่าเจนทำได้ดีมากที่เล่าเรื่องส่วนนี้ด้วย มันทำให้คนอ่านเห็นว่าสมัยนั้นผู้หญิงต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักเพื่อครอบครัว
แต่อลิซาเบธไม่ใช่คนประเภทนั้น เธอยอมสู้เพื่อให้ได้เลือกคู่ครองด้วยตัวเอง ไม่ยอมจำนนต่อค่านิยมที่บีบบังคับให้ผู้หญิงแต่งงานกับใครก็ตามที่แค่ฐานะดีมีชาติตระกูล การที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้าต่อต้านเพื่อสิทธิเลือกคู่ครองของตัวเองนี่มันคลิเชตรงไหน”
“พีเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เราไม่ได้จะดีเฟนด์   ว่างานของออสเตนไม่สนับสนุนผู้หญิงนะ อาจารย์ถามว่าอ่านแล้วรู้สึกยังไง เราก็แค่บอกว่างานเขียนของออสเตนมันคลิเช มันโอเวอร์เรต  มันไม่ได้แหวกแนวหรือชวนตั้งคำถามถึงสิทธิสตรีอะไรขนาดนั้นเพราะสุดท้ายตัวละครที่ออสเตนเขียนให้มีคาแรกเตอร์หยิ่งในศักดิ์ศรีก็ตกหลุมรักมิสเตอร์ดาร์ซีผู้ร่ำรวยและมาจากตระกูลชั้นสูงอยู่ดี คืออีกมุมนึงมันก็ดู ว้าว! ตัวละครเอกเป็นขบถต่อต้านความคิดเก่าๆแล้วเลือกทำตามหัวใจตัวเอง แต่พออ่านๆไปกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ชวนประทับใจซึ่งถามว่ามันผิดขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่หรอก ไม่ผิด มันไม่ได้ผิดอะไร งานเขียนมันก็ลางเนื้อชอบลางยา พีอาจจะชอบแต่เราไม่ชอบก็ไม่เสียหายนี่ เราแค่มองว่ามันออกจะอวยเกินจริงไปหน่อยเมื่อพีพูดว่า Price and Prejudice คือสุดยอดนิยายเฟมินิสต์เมื่อเทียบกับนิยายเรื่องอื่นที่พวกเรากำลังดิสคัส6 กัน
เราว่าเรื่องนี้คือนิยายรักธรรมดาที่สะท้อนความเป็นมนุษย์มากกว่าอย่างการอยากได้คู่ครองดี ๆ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ใคร ๆ ก็อยากแต่งงานกับคนมีฐานะ คนหน้าตาดี คนมีการศึกษาชาติตระกูลดีทั้งนั้น การถูกจัดจ์8 เป็นนิยายรักไม่ใช่เรื่องแย่เลย Price and Prejudice ไม่จำเป็นต้องถูกยกยอว่าเป็นงานเขียนเฟมินิสต์เท่านั้นถึงจะมีคุณค่า เรามองว่าการรักใครสักคนโดยมีเงื่อนไขอะไรสักอย่างไม่ใช่เรื่องต้องรู้สึกแย่ คนเราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความรักด้วยการคบกับคนที่ไม่ใช่สเปค อย่างการที่พีพยายามดีเฟนด์4ว่าอลิซาเบธไม่ได้ตกหลุมรักมิสเตอร์ดาร์ซีเพราะเขาหล่อ เขารวย เขามาจากตระกูลผู้ดี เราว่ามันไร้สาระนะ ไม่เห็นจำเป็นต้องแก้ตัวเลยว่าเราชอบคนหล่อ คนรวย เราชอบคนที่ทำให้ชีวิตเราไม่ลำบาก พีมองว่าสิ่งพวกนี้ไม่สำคัญจริง ๆ เหรอ ถ้าไม่สำคัญ พีจะคบกับพี่อู๋เอกแจปไปทำไม ทำไมไม่เลือกพี่โต้ที่ตามจีบตั้งแต่งานเปิดบ้านล่ะ ไม่ใช่เพราะพี่โต้หล่อน้อยกว่าพี่อู๋และไม่มีรถขับเหรอ พีถึงไม่เลือกเขา”

เพื่อน ๆ ในคลาสสูดปากเมื่อเราปะทะคารมกัน ส่วนพีรพัฒน์นั้นก็เริ่มอึกอักหน้าแดง เวลาเราเถียงกันหนักๆหมูพีจะเรียกชื่อจริงของผมแทนสองซึ่งเป็นชื่อเล่น เขามักพูดว่าคุณสิปปกร คุณสิปปกรครับ จนบางทีผมก็กวนโมโหกลับด้วยการเรียกชื่อจริงของเขาเช่นกัน

“เราว่างานเขียนของเจนมันดีแหละ มันก็โอเค อ่านเรื่อยๆ ฆ่าเวลาตบยุงรอรถตู้กลับบ้านได้ ก็เหมือนอาหารผสมผงนัวตามประสานิยายรักน่ะ พระเอกนางเอกไม่ได้รักกันในตอนแรกแต่สุดท้ายก็ลงเอยเคียงคู่กันอยู่ดี เหมือนละครสมัยนี้ที่นางเอกจนแต่มีพระเอกรวย ๆ มาจีบ มีพ่อแง่แม่งอนตามประสา สุดท้ายนางเอกก็ไม่ได้เด็ดเดี่ยวหรือเย่อหยิ่งอะไรขนาดนั้น พีลองตั้งสติคิดดูอีกรอบแล้วกันนะเผื่อจะเข้าใจที่เราสื่อ เราไม่ได้บอกว่างานของเจนไม่ดี เราว่ามันก็ดีตามแบบนิยายรักคลิเชธรรมดาทั่วไปแค่นั้น”

พูดจบ ผมก็นั่งลงด้วยอินเนอร์พับไมค์ ติณณภพที่นั่งเรียนอยู่ข้าง ๆ ได้แต่หัวเราะจนตัวงอเมื่อเพื่อน ๆ ในห้องและอาจารย์ต่างฮือฮาให้กับการโต้เถียงครั้งที่ร้อยของเรา อาจารย์สอนวรรณกรรมต่างพูดกันว่าคลาสไหนที่มีสิปปกรกับพีรพัฒน์ คลาสนั้นการวิจารณ์วรรณกรรมจะสนุกขึ้นเป็นเท่าตัวเพราะฝีปากและทัศนคติที่มองต่างกัน ผมรู้ดีกว่าตัวเองไม่ใช่ที่รักของเพื่อนเท่าไหร่แต่หลายครั้งมันก็ทนอยู่เฉยไม่ได้เวลาได้ยินหมูพีเอาแต่พูดอะไรส่งๆ ตามบทวิจารณ์ นี่คือวิชาวรรณกรรม เรามีสิทธิ์วิจารณ์และออกความเห็นตามที่ตัวเองคิดไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องก๊อปปี้เพสต์ความคิดของคนอื่น ทำไมต้องตอบตามแพตเทิร์นเดิมๆ ด้วย ในเมื่ออาจารย์ไม่ได้จับเราขังกรงและบังคับให้คิดเหมือนกันเสียหน่อย

 ทุกคนเรียกสิ่งที่ผมพูด เรียกความคิดและการแสดงทัศนคติของผมว่าเป็นการทำตัวขบถต่อโลกโดยไม่มีเหตุผล เพื่อน ๆ ต่างคิดว่านายสิปปกรเป็นพวกวันนาบีอยากแตกต่างแต่จริงๆ แล้วมันก็แค่ความเห็นอย่างหนึ่งในมุมมองของนักอ่านเท่านั้น ดังนั้นตลอดเวลาที่เรียนคณะอักษรศาสตร์ผมมักจะมีโอกาสปะทะฝีปากกับหมูพีเสมอ เราเห็นต่างกันในทุกเรื่อง เราเป็นคู่แข่งที่ไม่ยอมซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ลึกๆ ที่เราไม่สามารถญาติดีกันได้อาจเป็นเพราะผมเห็นบางอย่างในตัวของหมูพี มันจึงเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากโคจรเข้าใกล้ ไม่อยากเกี่ยวข้องหรือเสวนาใดๆ เพราะสำหรับผมนั้น พีรพัฒน์จัดอยู่ในกลุ่มพวกวายร้าย เขาชอบหักหน้าและหยามเหยียดน้ำใจคนอื่นด้วยความมั่นใจเกินต้านของตัวเอง ใบหน้าของหมูพีมักจะเชิดขึ้นเมื่ออยู่กับคนที่ต่ำต้อยกว่าเช่นสิปปกร แต่เขาจะไม่ทำตัวร้ายกาจเมื่อต้องอยู่ใกล้ติณณภพเพราะรู้ว่าติณเป็นคนฉลาดและน่าเชื่อถือในสายตาอาจารย์ขนาดไหน สำหรับผม พีรพัฒน์ก็แค่พวกสวยแต่รูปจูบไม่หอม ผมอยากขย้อนเอาข้าวหน้าเป็ดออกมาเวลาได้ยินคนอวยพีรพัฒน์กับคู่รักรุ่นพี่สุดหล่อของเขา

ในเอกภาษาอังกฤษคงมีแค่ผมเท่านั้นที่ไม่ค่อยถูกกับกลุ่มของหมูพี เราเป็นคู่แข่งที่ไม่สูสีกัน ไม่ใกล้เคียงเลยด้วยเพราะพีรพัฒน์ทำได้ดีในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การวางตัว การเป็นจุดสนใจของทุกคนเวลาเดินทอดน่องในคณะ ไหนจะแฟนหนุ่มที่น่าอิจฉาของหมูพีอีก ผมไม่ได้พาล ผมแค่ไม่ชอบความปลอมเปลือกของพีรพัฒน์เวลาอวดเรื่องความรักเท่านั้นเอง คนอย่างหมูพีน่าเวทนาจะตาย คนที่บอกใครต่อใครว่าความรักเกิดขึ้นโดยไม่มีข้อแม้ทั้ง ๆ ที่ตัวเองตั้งเงื่อนไขไว้มากมายน่ะ ไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือ

หากถามว่าทำไมผมถึงรู้เรื่องส่วนตัวของพีรพัฒน์กับแฟนรุ่นพี่ขนาดนี้
นั่นก็เพราะห้องของพี่อู๋เอกแจ้ป – อยู่ติดกับห้องของผมไง!

ดังนั้นผมจึงได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของคู่รักน่าปวดหัวคู่นี้แทบจะทุกช่วงเวลา บางทีผมก็อยากจับเข่าคุยกับพี่อู๋ว่ามันเป็นยังไง ไหนเล่าให้ฟังหน่อยว่าผีตัวไหนบังตาให้ตกหลุมรักพีรพัฒน์ แต่ทำเป็นเล่นไป สองคนนี้เขารักกันจริงๆ จนสัมผัสได้ ต่อให้บางวันจะทะเลาะกันจนห้องแทบแตกหรือบางคืนก็เอากันจนเตียงแทบพัง แต่หากบอกว่าพี่อู๋ไม่รักหมูพี แอนตี้พีรพัฒน์ตัวพ่ออย่างผมก็จะขอเถียงแทนว่าไม่ใช่อะ สองคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นคู่เวรของกันและกันจริง ๆ

หากคุณถามต่อว่าทำไมผมต้องเล่าถึงเพื่อนร่วมรุ่นเสียยาวยืด นั่นก็เพราะคู่อู๋หมูพี – คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้ผมมีอคติกับความรัก ทั้งสองคนสมบูรณ์แบบมาก พวกเขาคือคนที่มีความเพียบพร้อมในตัวเองอยู่แล้วมาพบกัน และรักกัน และร่วมรักกัน และทะเลาะกัน และตบตีกันวนเวียนไปไม่จบไม่สิ้น ผมเคยคิดว่าปัจจัยสำคัญของความรักคงเป็นรูปร่างหน้าตาและฐานะ คนหน้าตาดีมักจะมีตัวเลือกเยอะ พวกเขาสามารถเลือกคนดีๆ เข้ามาในชีวิตได้มากกว่าใครทว่าคู่อู๋หมูพีก็พิสูจน์ให้ผมเห็นว่าไม่จริงเสมอไป

แม้แต่คนที่บูชาความรักอย่างพีรพัฒน์ยังเจ็บปวดกับมันเลย

หลัง ๆ เขาร้องไห้ตาบวมมาเรียนจนผมเวทนาไม่อยากชวนทะเลาะก็เลยปล่อยผ่านเวลา หมูพีพูดอะไรโง่ ๆ ในคลาส ความรักนี่รุนแรงกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ ช่วงที่ดีมันก็ดีอยู่หรอกแต่หากวันไหนแย่หรือมีปัญหา ผมไม่เคยเห็นพีรพัฒน์อยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนตอนเป็นโสดสักวัน นั่นทำให้ผมแขยงความรักขึ้นมาเป็นสองเท่าเพราะในสายตาของผม พี่อู๋ก็เป็นคนดีใช้ได้ เขาช่วยเลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดเบียดจักรยานให้ผม เขามีน้ำใจ ยิ้มเก่ง เป็นรุ่นพี่ที่ใคร ๆ ก็ชอบ ผมว่าเขาเป็นไทป์ชายในฝันของหลาย ๆ คน พี่อู๋น่าจะมีความสุขกับความรักแต่ก็ไม่ใช่

ขนาดคนที่มีตัวเลือกมากมายยังไม่มีโอกาสได้เจอรักดีๆ แล้วคนธรรมดาอย่างสิปปกรจะมีโอกาสได้สัมผัสกับคำว่ารักยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก

“เป็นอะไรวะ มึงนั่งมองหมูพีมาเกือบสิบนาทีแล้ว” ติณถาม ผมจึงหลุดจากภวังค์ของตัวเองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ความสัมพันธ์คู่อู๋หมูพีอยู่ในใจ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นหมูพีตาบวมมาเรียนอีกแล้วก็เลยสงสัยว่าถ้าความรักมันทำให้ทุกข์ใจขนาดนั้น ทำไมไม่เลิกกับพี่อู๋ไปให้มันจบๆ จะอดทนต่อไปเพื่ออะไรวะ ในเมื่อตีกันก็บ่อย หนวกหูฉิบหาย คนไม่ได้หลับได้นอน”
“ทำไม มึงรอเสียบพี่อู๋เหรอ”
“เสียบกลางหัวพ่อมึงเถอะ”

ผมแค่นหัวเราะ เมื่ออ่านถึงตรงนี้ คุณคงรู้แล้วว่ารสนิยมทางเพศของผมเป็นยังไง ผมไม่ได้ชอบผู้หญิง ทุกคนในเอกก็รู้ว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่ที่นี่ไม่มีใครสนใจว่าคุณชอบเพศอะไร คุณจะรักใครเป็นเรื่องของคุณ ดังนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องปิดและไม่จำเป็นต้องเปิดเผยว่าตัวเองแอบปลื้มใครเหมือนกัน

“มึงนี่นะ – อย่างกับแฟนพันธุ์แท้ รู้ทุกเรื่องของอู๋หมูพี”
“จะไม่รู้ได้ไง ทะเลาะกันเสียงดังจะตาย” ผมบ่นอุบอิบพลางเก็บของลงกระเป๋า หมดไปอีกหนึ่งคาบของวิชาภาษาศาสตร์ เราเดินลงบันไดแทนที่จะต่อแถวรอลิฟต์ไปยังชั้นล่างและตรงดิ่งไปตรอกมะเร็งเพื่อสูบบุหรี่แก้เซ็ง “มึงเขียนเอสเสของอาจารย์กัณอเนกหรือยัง”
“ยัง”
“รีบเถอะไอ้ห่า ส่งอาทิตย์หน้าแล้ว”

ผมเคาะบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนและขอให้ติณณภพช่วยจุดไฟแช็กให้ เราสองคนยืนพ่นควันอยู่ตรงโต๊ะหินอ่อนโดยไม่สนสายตาใคร พอบุหรี่ใกล้หมด ผมก็โยนทิ้งบนพื้นและใช้เท้าเหยียบ จากนั้นจึงหยิบก้นบุหรี่สั้นๆ เก็บใส่ถุงซิปล็อกใบเล็กที่พกติดตัวเอาไว้ ติณหัวเราะทันทีเมื่อเห็นผมยังคงหมกมุ่นกับการเก็บสถิติว่าปีนี้สูบบุหรี่ไปทั้งหมดกี่มวน

“กูถามจริงๆ นะ เพื่ออะไรวะ”
“มึงไม่มีงานอดิเรกที่อยากทำบ้างเหรอ” ผมถาม
“มี แต่คงไม่ใช่การเก็บก้นบุหรี่แน่ๆ” ติณหัวเราะเยาะ “แม่มึงเลิกเซ้าซี้ให้หยุดสูบหรือยัง”
“ยัง ก็พูดทุกวันนั่นแหละ”
“มึงไม่มีความคิดอยากเลิกบุหรี่เพื่อแม่เรอะ”
“ทำไมกูต้องเลิกด้วย ปอดก็ปอดกู แถมเวลาเจอเรื่องเหี้ยๆ แม่ไม่เคยมารับรู้มาแชร์อะไรกับกูเลย มีแค่กูกับน้องหรี่เท่านั้นที่ช่วยเยียวยากันและกัน”
“แหม น้องหรี่” ติณดับบุหรี่ด้วยการบี้กับโต๊ะหินอ่อนก่อนจะโยนใส่กระถางต้นไม้ใกล้ ๆ “ไม่แน่นะ ในอนาคตมึงอาจจะเจอใครสักคนที่ทำให้อยากเลิกบุหรี่เพื่อเขาก็ได้”
“ไม่มีทาง กูไม่น่าจะรักใครเท่ารักตัวเอง”
“กูจะรอดูก็แล้วกัน ชอบจริงๆ คนปากดี”

ติณณภพมองและยิ้มขำ เราหัวเราะให้กับบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างสูบบุหรี่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับหอไปเขียนเอสเสส่งอาจารย์ หลังวันที่คุยกันตรงตรอกมะเร็ง ผมก็ยังไม่เจอใครที่ทำให้อยากเลิกบุหรี่เลยสักคน นอกจากเรียนหนังสือและเฝ้ามองความสัมพันธ์อันเว้าแหว่งของคนรอบตัวจนกระทั่งเรียนจบเทอมสุดท้าย ผมจึงเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือการออกไปเที่ยวร้านเหล้า

ผมเป็นคนสูบบุหรี่แต่ไม่ได้หมายความว่าจะชอบดื่มเหล้า มันมีข้อยกเว้นบางอย่างเสมอสำหรับการดำเนินชีวิต แต่วันนั้นเป็นโอกาสพิเศษเพราะพีรพัฒน์เพื่อนรักเพื่อนร้ายถึงขนาดเดินมาชวนให้ไปดื่มกับเพื่อน ๆ ทุกคนในเอกด้วยตัวเอง ผมจำได้ว่าวิชาสุดท้ายที่ปลดปล่อยสิปปกรให้หลุดพ้นจากระบอบการศึกษาคือวิชา English for Tourism ผมกับติณกำลังยืนบ่นเพราะจำชื่อเรียกพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ไม่ได้ พีรพัฒน์ก็เดินสะเหล่อเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานใส หมอนั่นแตะแขนติณณภพเบาๆ และเอ่ยชวนเราให้ไปดื่มอำลาด้วยกันก่อนที่จะต้องแยกย้ายไปทำงานทำการตามประสาชนชั้นกลางไม่มีอันจะแดก

“สัญญาสงบศึก” หมูพียิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าเรียบตึงของผมที่ไม่รู้ว่าควรยิ้มรับหรือทำตัวยังไง “ถึงเราจะไม่ชอบขี้หน้าแกเท่าไหร่ แต่ก็อยากให้ไปฉลองเรียนจบด้วยกันนะ”

เป็นคำชวนที่จริงใจและน่าถีบให้หงายหลังจริงๆ ผมคิด ทว่าไม่ได้ตอบรับคำชวนนั้นในทันที ผมต้องการเวลาเพิ่มสักหน่อย ผมอยากคิดเยอะๆ ก่อนรับปากใครสักคนว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมที่พวกเขาเชื้อเชิญแต่ติณณภพกลับบอกผมว่าไม่ต้องคิดมาก

“ครั้งหนึ่งในชีวิต” มันพูดขณะก้มหน้าก้มตาเก็บของใส่กระเป๋า “อีกอย่างมึงอาจจะได้เจอพี่อู๋อีกครั้งด้วย รุ่นพี่ที่มึงแอบปลื้มไง ไม่คิดถึงเขาเหรอ”
“บ้า นั่นผัวหมูพีนะ พูดแบบนี้เดี๋ยวใครผ่านมาได้ยินแล้วเอาไปฟ้องก็แย่สิ”

เราหัวเราะให้กับการประชดประชันของกันและกัน ติณชอบแซวผมว่าเป็นแฟนคลับพี่อู๋เพราะมักจะรู้ทุกเรื่องก่อนใคร ผมไม่ได้ชอบพี่อู๋ถึงขนาดอยากได้หรอก ก็แค่รู้สึกประทับใจตามประสามนุษย์ทั่วไปเท่านั้น หากต้องบรรยายความดีของพี่อู๋ก็คงเหมือนนิยายรักของเจน ออสเตน พี่อู๋แสนดีถึงขนาดนั้นเลย ผมยอมรับว่าแอบปลื้มเขา แต่หากมีโอกาสได้ไปไกลกว่านั้นก็ขอปฏิเสธเพราะผมไม่ชอบคนขี้เมา

หลังจากคิดทบทวนประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ในที่สุดผมก็บอกติณณภพว่าโอเค คืนนี้สามทุ่มเราไปเลี้ยงส่งกับเพื่อน ๆ เอกภาษาอังกฤษเป็นครั้งสุดท้ายกันเถอะ





Part 2 ต่อข้างล่างเลยฮับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [Intro] 18/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-11-2019 20:21:40
Intro [PART 2/2]


ผมประหม่าจนเหงื่อตกเมื่อเดินทางถึงร้านเหล้าพร้อมติณณภพ ในขณะที่ทุกคนแปะมือไฮไฟว์เพื่อนสนิทและเชื้อเชิญให้นั่งบนเก้าอี้ตัวถัดไป พวกเขากลับถามผมด้วยน้ำเสียงหยอกล้อว่าลมอะไรหอบมา คิดยังไงถึงโผล่มา ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างสิปปกรจะมาที่นี่ หวังว่าเราจะไม่เปิดเวทีโต้วาทีระหว่างสิปปกรกับพีรพัฒน์ในร้านเหล้านะ

“บ้า พวกมึงเห็นกูเป็นคนยังไงวะ”

ผมบ่นอุบอิบ เพราะในสายตาของทุกคน – สิปปกรก็แค่เด็กแว่นที่หมกมุ่นอยู่กับการดูหนัง การอ่านหนังสือและการเขียนบทวิจารณ์ ไม่เคยออกไปไหน ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมอะไร หรือแม้แต่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนในคณะก็ไม่เคย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้เปิดโลกด้วยตาของตัวเอง และนี่คือครั้งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ ความรัก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตขอสิปปกรมาก่อน

มันไม่ได้จู่โจมเหมือนผีในหนังสยองขวัญ ไม่ได้พุ่งเข้าใส่เหมือนตำรวจไล่จับอาชญากร แต่มันค่อยๆคืบคลานเข้ามาในช่วงเวลาที่ผมไม่ทันเตรียมใจ ไม่ได้ระแวงคิดว่ามันสามารถต่อยอดไปเป็นความรัก เพราะทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้น ณ ขณะนั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย ธรรมดา เหมือนเรื่องประจำวันทั่วไปที่นายสิปปกรมักจะพบเจอ

“รสชาติเป็นไง?”
“ขม”
“นี่ผสมโคล่าเยอะแล้วนะ” ติณณภพย่นหน้าเมื่อเห็นผมเอาแต่รินน้ำอัดลมลงในแก้วเพื่อกลบรสชาติขมๆของแอลกอฮอล์
“ไม่เห็นอร่อย”
“เขาไม่ได้กินเหล้าเอาอร่อย แต่กินเอาบรรยากาศต่างหาก”
“ยังไง?”
“มึงดูรอบตัวสิ เห็นไหมว่าเพื่อนเขาสนุกกันขนาดไหน?”
“แต่กูไม่สนุก”
“แล้ว? มึงไม่สนุก มึงก็เลยนั่งทำหน้าเป็นตูดแบบนี้เนี่ยนะ?” ติณมองค้อนพลางดันแก้วเหล้าของตัวเองมาตรงหน้า “ดื่มให้พอกรึ่มๆ ความรู้สึกตอนนั้นแม่งโคตรใช่ มึงจะสนุกกับทุกอย่างถ้าเริ่มเมา”
“แล้วใครจะขับรถกลับหอ?”
“กูไง” มันจิ๊ปากขัดใจ “แดกๆไปเหอะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ก่อนเรียนจบก็แล้วกัน ลูกผู้ชายอย่างน้อยต้องเคยเมาซักครั้งสิวะ”

ผมไม่ค่อยชอบใจกับความคิดนี้เท่าไหร่ มันจำเป็นด้วยเหรอที่เกิดเป็นผู้ชายมีไข่แล้วต้องเคยเมาหัวราน้ำซักครั้ง เป็นผู้หญิงไม่มีสิทธิ์เมาหรือไง ผมไม่ได้ถามคำถามนี้กลางวงเหล้าเพราะรู้ว่ามันเสียบรรยากาศ แต่สำหรับผมแล้วการเมาไม่ใช่เรื่องสนุกซักนิด วันไหนที่ไอ้ติณเมา วันนั้นคือนรกบนดิน เพื่อนสนิทของผมจะโทรมาก่อกวนดึกๆดื่นๆ บางทีก็อ้วกใส่รองเท้า บางทีก็ร้องไห้ฟูมฟาย และแน่นอนว่าผมไม่อยากตกอยู่ในสภาพนั้น ไม่อยากเมาเป็นหมา ไม่อยากแสดงความกักขฬะออกมาให้เพื่อนๆเห็น แม้ใครต่อใครจะพูดว่าแอลกอฮอล์เกิดมาคู่กับผู้ชาย (และมนุษย์ทุกเพศ) แต่คนอย่างสิปปกรจะไม่มีวันทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มน้ำขมๆจนเมาปลิ้นแบบนั้นเด็ดขาด

ส่วนการสูบบุหรี่ไม่เรียกว่าทำร้ายตัวเองนะ
เรียกว่ากิจกรรมคลายเครียดยามว่างในตรอกมะเร็งจ้า

ผมกวาดสายตามองรอบร้านด้วยความเบื่อหน่าย น่าเสียดายที่วันนี้พี่อู๋ไม่มา ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นว่าหลังเรียนจบเขาเป็นยังไงบ้าง ในวงเหล้าที่มีเพื่อนๆเอกอังกฤษประมาณสิบกว่าคน พีรพัฒน์เป็นคนเดียวที่โดดเด่นกว่าใครด้วยรอยยิ้มน่ารัก หมอนั่นคงเมาแล้ว ใบหน้าแดงเรื่อและน้ำเสียงอ้อแอ้เวลาอวดผัวให้คนอื่นฟังกำลังฟ้องว่าเจ้าตัวเมาขนาดไหน ผมได้แต่แอบเบะปากพลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “พี่อู๋”


ในขณะที่พีรพัฒน์เจื้อยแจ้วว่าความสัมพันธ์ของตนเองดียังไง คงมีผมคนเดียวที่รู้ว่ามันก็ไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้นหรอก ตั้งแต่พี่อู๋เรียนจบและย้ายออกไป ผมไม่มีโอกาสรับรู้ข่าวคราวความเป็นไปของคู่รักคู่นี้อีกเลย เดาเอาว่าคงตบๆตีๆดีๆเลิกๆเหมือนที่เคยเป็นมา หากที่หมูพีเล่าให้เพื่อนฟังคือเรื่องจริงก็โอเค ขอให้ดีเสมอต้นเสมอปลายแบบนี้ตลอดไปแล้วกัน ผมจะรอดูว่าคู่รักนรกแตกนี่จะคบกันได้นานซักกี่ปีเชียว

“มึงเหมือนอกหักอ่ะ” ติณณภพแซว
“อกหักอะไร กูไม่ได้ชอบพี่เขา”
“เออ ดีแล้ว”

ไอ้ติณยิ้มขำและหันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นต่อ เกือบชั่วโมงที่นั่งในวงเหล้าและผลัดกันเล่าเรื่องเก่าๆทำให้ผมนึกถึงความเครียดช่วงต้องเลือกเอกโท พอมองย้อนกลับไปก็ตลกดีที่ตอนนั้นเราคิดว่าหากพลาดเอกอิ๊งคงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่พอเรียนจนถึงปีสี่ – ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ เอกภาษาอังกฤษไม่ใช่โลก มันอาจฟังดูดีที่ได้บอกใครๆว่าจบเอกนี้มาแต่เอาเข้าจริง มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าเพื่อนคนอื่นเลย เผลอๆบางคนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาโทอาจจะเก่งกว่าพวกเราด้วยซ้ำ แถมอาจารย์ก็คอยตอกย้ำว่าเรามันโง่ขนาดไหนในจักรวาลเรื่อยๆจนวันสุดท้าย ท่ามกลางกองหนังสือมากมายที่ต้องอ่านตลอดสี่ปี ท่ามกลางทฤษฎีที่เราคิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองเจ๋งและเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง มันเทียบไม่ได้กับโลกแห่งความเป็นจริงที่กำลังเผชิญอยู่เลย

ผมดื่มโคล่าผสมเหล้าเรื่อยๆขณะฟังเพื่อนๆนินทาอาจารย์ส่งท้าย สมองกำลังประมวลว่าจะผละตัวออกจากกิจกรรมนี้ยังไงดี จู่ๆเก้าอี้ว่างข้างๆก็ถูกขยับโดยใครบางคน

“ไง”

เสียงแหบๆของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นเรียกให้ต้องเงยหน้ามอง ชายแปลกหน้าที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนฉีกยิ้มหวานให้ด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนคนเริ่มเมานิดหน่อย ผมไม่ตอบรับคำทักทายนั้นเพราะคิดว่าหมอนี่คงเมา เมาแล้วจำคนผิดถึงได้เดินมานั่งข้างๆเหมือนเราเป็นเพื่อนมาก่อน ผมจึงไม่ทักทายกลับ นอกจากล้วงหยิบเกมนินเทนโด้ที่พกติดตัวขึ้นมาเล่นหน้าตาเฉย

“ชื่ออะไร?”
“ถามทำไม?”

บทสนทนาชวนคุยทำให้ต้องมองและขยับตัวออกห่างจากผู้ชายแปลกหน้าเมื่ออีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆ ไอ้ติณที่เริ่มเมามาซักระยะเอ่ยปากทักทายก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกของหมูพีที่เรียกให้ชายคนนั้นไปนั่งข้างๆกัน แต่เขาปฏิเสธ บอกว่านั่งนี่ก็ได้เพราะไอ้ติณนั่งอยู่ด้วย พีรพัฒน์จึงไม่ว่าอะไรนอกจากโบกมือยิ้มๆราวกับสนิทกันมานาน

“เล่นบอยแอดวานซ์ด้วยเหรอ? เราก็มีเหมือนกันนะ แต่เป็นสีแดง ส่วนของนายสีเงิน”
“แล้ว?”
“เปล่า ก็แค่อยากคุย” หมอนั่นยิ้ม “ร้านเหล้าไม่สนุกเหรอ?”
“อืม ไม่ค่อยชอบ”
“มันค่อนข้างเสียงดัง นายไม่น่าจะชอบ”

ผมเงียบ นึกสงสัยเหมือนกันว่ามันรู้ได้ยังไงว่านายสิปปกรไม่ชอบร้านเหล้าแต่ได้ไม่ตอบอะไรอีกนอกจากก้มหน้าก้มตาเล่นเกมต่อ ทั้งๆที่ผมตัดจบบทสนทนาแล้ว แต่ชายคนนั้นกลับไม่ยอมลุกไปไหนเสียที และเพื่อนๆของเราก็ไม่ว่าอะไรด้วยที่หมอนี่เข้ามาร่วมวงเหล้า เปิดโซดา หยิบเฟรนช์ฟรายส์ที่เราต้องหารกันขึ้นมากินหน้าตาเฉย ผมใช้เท้าสะกิดไอ้ติณใต้โต๊ะเพื่อถามว่าหมอนี่เป็นใคร แต่ไอ้เพื่อนเวร – กลับไม่เข้าใจสัญญาณขอความช่วยเหลือนี้

“ฮาร์เวสต์มูน? เราชอบเกมนี้นะ เราเคยเล่นจนได้แต่งงานกับป็อปปูริด้วย คนที่หัวสีชมพูน่ะ น่ารักมาก เสียดายที่แผ่นเกมดันเจ๊งไปก่อนเราก็เลย --”
“นี่” ผมที่เริ่มหมดความอดทนตัดสินใจเงยหน้าทันทีเมื่อรู้สึกรำคาญ “โอเค ต้องการอะไร? และมานั่งกับเราทำไม?”
“ชื่อ”
“ชื่อ?”
“ชื่อของนายอ่ะ” หมอนั่นยิ้ม “ชื่ออะไร?”

นั่นคือการทำความรู้จักครั้งแรกของเรา และหลังจากนั้นชายแปลกหน้าที่ดูไฮเปอร์กว่านักศึกษาทั่วไปก็เอาแต่ชวนผมคุยเกี่ยวกับเกม ทีแรกผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้างเพราะไม่ชอบคุยกับคนไม่รู้จัก ทว่าหลังจากถามคำตอบคำอยู่หลายนาที หมอนั่นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่าการตัดสินใจก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนของตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน

การไปร้านเหล้าครั้งแรก การดื่มเหล้าครั้งแรก และการพูดคุยกับชายแปลกหน้าครั้งแรกโดยไม่รู้จักชื่อนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างที่เคยคิด ผมพูดคุยกับชายคนนั้นเป็นชั่วโมงๆ เล่นเกมไปด้วย คุยไปด้วย ดื่มเหล้าไปด้วยจนเริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าอาการเส้นตื้นที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้เรียกว่าความเมาหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าทุกอย่างกลายเป็นเรื่องตลก มุกโง่ๆ เพลงโง่ๆ แม้แต่หน้าของชายคนนี้ก็ยังทำให้ผมหัวเราะออกมาได้

ตลอดเวลาที่คุยกัน คู่สนทนาไม่เคยหลบตาเลย เราจ้องหน้ากันโดยไม่รู้สึกเคอะเขิน เราหัวเราะและยิ้มร่าเหมือนเด็กมัธยมที่เจอเพื่อนกลุ่มเดียวกัน มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ผมรู้สึกผ่อนคลาย เพราะนอกจากเสียงเพลงหนักๆไม่เข้าหูแล้ว บางทีชายแปลกหน้าคนนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้บรรยากาศในร้านเหล้าสนุกขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า

“จะไม่ถามชื่อเราหน่อยเหรอ?”
“ไม่ล่ะ ถ้าอยากบอกเดี๋ยวคงพูดเอง”
“ถ้าเราไม่บอกล่ะ?” ชายคนนั้นยิ้มกริ่ม
“ก็เรื่องของนาย” ผมแค่นหัวเราะ “เราคุยกันโดยไม่ต้องรู้จักชื่อก็ได้ มันไม่จำเป็น”
“ไม่เสียดายเหรอ?”
“เสียดายอะไร?”
“ถ้าเราไม่ได้เจอกันอีกล่ะ? นายจะไม่เสียดายเหรอ?”

ผมนิ่งเงียบเมื่อได้ยินแบบนั้นก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่และเหลือบมองใบหน้าของชายไร้ชื่อที่เอาแต่นั่งอมยิ้มพลางนึกทบทวนถึงคำถามที่เพิ่งได้ยิน

ถ้าเราไม่ได้เจอกันอีกงั้นเหรอ?

“เอางี้ไหม? หลังร้านปิด เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน”
“ไม่ได้ เราต้องขับรถกลับหอให้ติณ”
“ไอ้ติณไม่ว่าอะไรหรอก มันก็เป็นเพื่อนสนิทเราเหมือนกัน”
“มั่ว ไอ้ติณมีเราเป็นเพื่อนสนิทแค่คนเดียว” ผมย่นหน้า “งั้นก็บอกมาสิว่านายชื่ออะไร? เราจะไปถามไอ้ติณว่ารู้จักนายไหม”
“เราไม่บอกจนกว่านายจะอยากรู้เอง”
“งั้นรอไปเถอะ เราไม่สนใจเรื่องแบบนั้นหรอก” ผมพึมพำพลางยกแก้วเหล้ามาหมุนเล่น “บางทีมันอาจเป็นมิตรภาพชั่วคราวก็ได้ ใครจะรู้”
“หมายความว่าไง?”
“ก็หมายความว่า -- เราอาจจะคุยถูกคอเฉพาะตอนนี้ หลังจากนี้เราอาจจะเข้ากันไม่ได้ นายอาจจะไม่ชอบเรา เราอาจจะไม่ชอบนาย ดังนั้นมันควรจบในร้านเหล้า จบที่โต๊ะนี้ และจบด้วยเหล้าแก้วนี้”
“ทำไมมันมีแต่คำว่า อาจจะ นายนี่คาดการณ์เก่งชะมัด”

แล้วเราก็ชนแก้วกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดๆ ชายคนนั้นยังคงยิ้มกริ่มอย่างถูกใจเมื่อเห็นผมเอาแต่หัวเราะให้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัว น่าแปลกที่ตอนแรกเราต่างคนต่างมากับเพื่อนของตัวเองและผมไม่มีแม้แต่ท่าทีสนใจผู้ชายคนนี้ ทว่าหลังจากเสียงเพลงในร้านจบลง กลับมีแค่เราสองคนเท่านั้นที่เดินออกมาด้วยกันโดยไม่มีเพื่อนตามมาซักคน

“ชื่อเราก็ยังไม่รู้ ทำไมถึงกล้าไปกับคนแปลกหน้า?”
“ก็แค่ไปหาอะไรกิน ทำไมต้องระวัง?” ผมพูดในขณะก้าวเท้าฉับๆหลบแอ่งน้ำขังตามท้องถนนที่มีเหล่านักศึกษาเดินพลุกพล่าน “ไอ้ติณบอกว่ารู้จักนาย ตอนที่เราถามว่า ไปกินลูกชิ้นทอดลุงอุ๋ยกับไอ้นี่ได้ไหม? มันก็ไม่ได้ว่าอะไร อีกอย่างถ้าเรากลายเป็นศพหรือหาไม่เจอ ยังไงทุกคนก็รู้ว่าใครคือคนร้าย”
“นายนี่ตลกดีจัง เราชอบ”

นายนี่ตลกดีจัง เราชอบ

เราชอบ

ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำว่า เราชอบ ซึ่งไม่เคยมีใครพูดกับผมแบบนี้มาก่อน มุมปากกระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เพราะรู้สึกว่ามันพิลึกจริงๆที่เราคุยกันด้วยประโยคแบบนี้ ระหว่างที่กำลังเดินเตร่ตรงดิ่งไปร้านรถเข็นขายลูกชิ้นทอดที่อยู่ไม่ไกลเพื่อทานไส้กรอกแป้งหรือลูกชิ้นแป้งซักไม้สองไม้ จู่ๆคนปากหนักอย่างนายสิปปกรก็ตัดสินใจพูดขึ้นมาว่า --

“เราชื่อสอง สอง เอกอิ๊ง สองที่เป็นแอนตี้แฟนของเจน”
“อ่าฮะ?” เขาหันมามองและเอาแต่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ “ยินดีที่ได้รู้จักนะสอง”
“อืม”

ผมขานรับพลางสอดมือลงในกระเป๋าเสื้อฮู้ด

“ยินดีที่ได้รู้จัก”




TBC


_______________


#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีวันจันทร์ค่ะ  :hao5:

กลับมาพบกันอีกครั้งทุกวันจันทร์สองทุ่มเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเรื่องราวของน้องสองผู้ไม่เชื่อในความรักนะคะ แฮร่



ก่อนอื่นเลยเรามีเรื่องอยากบอกทุกคน นิยายเรื่องนี้เคยเป็นแฟนฟิคที่เขียนไปได้แค่สามตอนมาก่อนค่ะ ยังไม่จบเลย ยังเดินเรื่องไม่ถึงไหน และปิดเรื่องไปตั้งแต่ปี 60 ก็เกือบสองปีแล้ว แต่เราเสียดายเส้นเรื่องที่เคยคิดไว้ก็เลยนำกลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง มีการปรับแต่งให้อิงกับประเทศไทยมากขึ้นจนมีส่วนที่ต่างจากเมื่อก่อนค่อนข้างเยอะเลยค่ะ หากนักอ่านรู้สึกไม่สะดวกใจหรือไม่ชอบในส่วนนี้ เราเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของคุณนะคะ อันนี้อยากแจ้งให้ทราบเฉยๆ ไม่อยากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเขียนจนจบก็เลยคิดว่าบอกก่อนดีกว่า เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายนะคะ ขอบคุณค่ะ;-;



ส่วนกำหนดอัปนิยายเรื่องนี้คือทุกวันจันทร์สองทุ่มเช่นเคยค่า อาจจะมีคลาดเคลื่อนบ้าง แต่จะพยายามรักษาวินัยเอาไว้นะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านตั้งแต่น้องก้องจนถึงเรื่องนี้ พบกันใหม่จันทร์หน้า มาดูกันว่าชีวิตหลังได้รู้จักคนใหม่ๆของสองจะเป็นยังไงบ้าง รอติดตามพร้อมกันนะคะ :3  :mew1:

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [Intro] 18/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-11-2019 20:47:19
 :pig4:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [Intro] 18/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-11-2019 23:35:30
แค่อินโทรก็รู้ว่าน้องสองต้องแซ่บแน่ ๆ
เสี่ยอู๋มาแค่ชื่อ แต่อดีตก็ไม่เบาเหมือนกันนะฮะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [Intro] 18/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 19-11-2019 13:03:44
ติดใจงานเขียนของคุณนักเขียนมากค่ะ เลยมาตามอ่านต่อ อิอิ
 ชื่อ หมูพี โผล่มาทีไรเรานี่ชอบเรียก หมีพู ทุกที :laugh: หมูอู๋ฮอตมาตั้งแต่สมัยเรียนเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [Intro] 18/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-11-2019 22:36:04
เห็นหมูพียังรักกับพี่อู๋ก็รู้สึกเศร้าใจ คู่เวรคู่กรรมกันจริงๆค่ะ ดูท่าหมูพีจะดูมีบทบาทเยอะในเรื่องนี้ ตามค่าา
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [1] 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 25-11-2019 19:53:17
1 [PART 1/2]

ชวินทร์ เรียนเอกประวัติศาสตร์ โทภาษาอังกฤษ เขาเป็นลูกชายของตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ดีเก่า พ่อเป็นผู้พิพากษา ส่วนแม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย วินเป็นผู้ชายขี้เล่นที่ทำตัวเลื่อนลอยแต่ฉลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาจบคณะอักษรศาสตร์ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งปีเดียวกับผม เราได้ถ่ายรูปรับปริญญาด้วยกันหลายใบราวกับเป็นเพื่อนที่เรียนเอกเดียวกัน ทั้งๆที่ผมจบเอกภาษาอังกฤษ และมีติณณภพเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวเท่านั้น

ความสัมพันธ์ของผมกับวินเริ่มจากความเป็นเพื่อน เพื่อนสนิท คนพิเศษ ก่อนจะมาหยุดตรงที่ไม่มีสถานะเพราะผมไม่รู้ว่าควรเรียกมันว่ายังไง  มันเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆเติบโตขึ้นเรื่อยๆเหมือนเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้ที่ถูกหว่านเอาไว้ในหัวใจด้านชาของนายสิปปกรตั้งแต่แรกเจอ ทุกอย่างเติบโตช้าๆ ทั้งความรู้สึกฝังลึก ความสนิทสนม ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผมมีให้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เริ่มจากจุดเล็กๆอย่างเพื่อนที่ค่อยๆเรียนรู้เรื่องราวของกันและกันผ่านทางข้อความ ก่อนจะพัฒนาเป็นการโทรศัพท์หากัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน และย้ายออกมาอยู่คอนโดด้วยกันหลังเรียนจบในที่สุด

“ต่อไปนี้ที่นี่จะเป็นบ้านของเรา” ชวินทร์พูดหลังจากช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดห้องนอนของเราสองคนเรียบร้อย “เราจะอยู่ทำวิทยานิพนธ์ที่นี่ระหว่างรอสองกลับจากทำงานทุกวันเลย ดีไหม?”

ทั้งๆที่มันก็แค่การย้ายมาอยู่ด้วยกัน แต่ชวินทร์กลับทำให้มันประหลาดในความรู้สึกของผมเสียอย่างนั้น เราใช้ทุกอย่างร่วมกัน ทั้งเตียง ทั้งครัว ทั้งห้องน้ำห้องนั่งเล่น ตู้เสื้อผ้าเราก็แค่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ไม่มีเตียงนอนเดี่ยวสำหรับสิปปกร เช่นเดียวกับไม่มีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับชวินทร์ เราใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดเหมือนเป็นครอบครัว ครอบครัวที่มีกันแค่สองคน เหมือนพ่อกับแม่ตอนแต่งงานใหม่ๆ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองคนเดียวไหม แต่ถ้าน้ำหนึ่งรู้เข้า ยายนั่นต้องตีความไปไกลกว่าที่ผมจะจินตนาการได้แน่ๆ

“เดือนนี้มีงานเยอะไหม?”

ชวินทร์ถามพลางถือวิสาสะหยิบสมุดแพลนเนอร์ของผมไปอ่าน หลังเรียนจบ เพื่อนๆทุกคนต่างพุ่งเป้าหมายไปที่การเป็นมนุษย์เงินเดือนแต่ไม่ใช่สำหรับคนอย่างสิปปกร ครึ่งปีแรกผมให้โอกาสตัวเองทำงานออฟฟิศก็จริง แต่เมื่อรู้ว่าไลฟ์สไตล์และความชอบส่วนตัวไม่ค่อยเข้ากับระบอบของบริษัทเท่าไหร่ก็ผันตัวมาเป็นฟรีแลนซ์รับจ้างไปเรื่อย สวนทางกับเพื่อนๆที่เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นลูกน้อง หรืออีกความหมายหนึ่งคือเป็นส่วนล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ดังนั้นเวลาว่างในแต่ละเดือนจึงไม่ค่อยแน่นอนเพราะขึ้นอยู่กับลูกค้าและงานในช่วงนั้นล้วนๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่เพื่อนสนิทหยิบตารางงานส่วนตัวไปเช็กแบบนี้ ปกติชวินทร์ชอบหาเวลาว่างเพื่อออกไปเที่ยวด้วยกันอยู่แล้ว

“ประชุมโปรเจ็คแปลนิยายเรื่องใหม่วันศุกร์นี้?”
“อืม อยากไปไหนล่ะ?”
“ดูหนัง” ชวินทร์ตอบยิ้มๆพลางหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองที่เปิดหน้าเว็บรีวิวหนังทิ้งเอาไว้มาให้ดู
“หนังอวกาศอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ? จะไม่ไปดูด้วยกันเหรอ?”
“ไปสิ เราเคยขัดใจเผด็จการแบบวินได้ที่ไหน” ผมแกล้งบ่นอุบอิบและดึงสมุดแพลนเนอร์ของตัวเองกลับมาถือ “จะไปวันศุกร์เลยเหรอ?”
“ใช่ รอบค่ำๆ”
“ทำไมชอบดูหนังรอบค่ำ? คราวก่อนกว่าหนังจะจบก็เกือบเที่ยงคืน”
“คนมันน้อยดี”
“แล้วทำไมต้องคนน้อย?”
“เราชอบความเป็นส่วนตัว” ชวินทร์ว่า “เหมือนได้ดูหนังกับสองแค่สองคน”
“ไร้สาระ”

นายสิปปกรยิ้มขำแต่ไม่ได้เก็บคำพูดนั้นมาคิด ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกครั้งที่ชวินทร์ชวนไปเที่ยว ผมมักจะแอบรู้สึกตื่นเต้นอยู่ลึกๆ ไม่แน่ใจว่าอาการตื่นเต้นนี่คืออะไร แต่ก็พยายามคิดว่าแค่ตื่นเต้นที่จะได้ออกนอกบ้าน ไม่ใช่เพราะได้ไปกับชวินทร์ ไม่ใช่เพราะได้ออกเดท -- เที่ยวเตร่ด้วยกันสองต่อสอง นั่นสิ แล้วมันเพราะอะไรกัน อะไรที่ทำให้คนอย่างสิปปกรรู้สึกไม่มั่นใจในความเชื่อของตัวเองขนาดนี้




มันไม่ใช่การมาดูหนังแบบเพื่อน ไม่ใช่การพักผ่อนหลังจากทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ชวินทร์กำลังทำให้ผมสับสนอีกครั้งหลังจากที่เราเพิ่งมีจูบแรกกันไปเมื่อซักครู่ ใช่ วินจูบผม จูบในโรงหนังระหว่างที่หนังกำลังฉาย ฉากยานอวกาศน่าตื่นตาตื่นใจพวกนั้นไม่ได้ทำให้นายสิปปกรประทับใจเท่ากับจูบอุ่นๆที่หมอนั่นมอบให้ซักนิด

นั่นคือครั้งแรกที่ผมหลับตาและอยู่นิ่งๆ เผยอริมฝีปากให้อีกฝ่ายสอดลิ้นเข้ามารุกล้ำโดยไม่ขัดขืน และนับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนทุกอย่างที่เคยขาดหายถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์ มันยากที่จะให้บัณฑิตอักษรศาสตร์อย่างผมบรรยายเป็นคำพูด ยากเกินกว่าจะหาคำเปรียบใดเพื่อเล่าให้เห็นภาพถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าจูบของเราเป็นยังไงนอกจากยอมรับว่าผมอยากอยู่กับชวินทร์ อยากจูบผู้ชายคนนี้อีกครั้ง แม้ว่ามันจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นน้ำหนึ่งก็ตาม

“เราชอบสองนะ” ชวินทร์พูดทั้งๆที่ปากยังแนบชิดติดกับปากผม “สองชอบเราไหม?”

ผมไม่ได้ตอบนอกจากจ้องตาของผู้ชายที่เจอกันในร้านเหล้าด้วยความสับสนอย่างบอกไม่ถูก แสงวูบวาบจากจอภาพยนตร์เผยให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ชัดเท่าไหร่ และผมก็จำไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรบ้าง นอกจากยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วเราก็จูบกันอีกครั้ง

ชวินทร์คือจูบแรกของผม – จูบแรกกับผู้ชายที่ทำให้อะไรๆมันชัดขึ้นโดยไม่ต้องสงสัยอีก ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าตัวเองเป็นเกย์ และการกระทำของเขานั้นอุกอาจจนผมตกอยู่ในสภาวะเสียอาการ ไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคยเป็น ผมนึกว่าหากถึงเวลา การจูบกันคงเป็นกิจกรรมที่จั๊กจี๋ชวนขยะแขยง ทว่าผมกลับไม่รังเกียจลิ้นของวินตอนมันสอดอยู่ในปาก หนำซ้ำผมยังชอบเขา – ชอบเวลาที่เราจูบกัน ชอบสิ่งที่เราทำกันจนเริ่มลังเลไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนหัวแข็งอย่างสิปปกร

เพราะนับแต่วันนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทั้งความรู้สึก ทั้งความคิดของผมต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของน้ำหนึ่งแล้ว เวลาเราชอบใครซักคนมันเป็นแบบนี้นี่เอง แน่นอนว่าตั้งแต่วินาทีที่ผมยื่นหน้าไปจูบผู้ชายคนนั้น พันธะที่เกี่ยวรั้งให้จมปลักอยู่กับความรักก็เกิดขึ้นเรียบร้อย มันเป็นเหมือนเชือกที่ค่อยๆรัดให้ผมผูกติดกับชวินทร์โดยไม่รู้ตัว ยิ่งเวลาผ่านไป เชือกที่มองไม่เห็นก็ค่อยๆรัดแน่นขึ้น – แน่นขึ้นจนผนวกวินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่รู้ไหมว่ามีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ครั้งนี้ด้วย

ชวินทร์ไม่เคยขอผมเป็นแฟน

และผมมันโง่เองที่ไม่เคยทวงถาม หรืออยากนิยามสิ่งที่เรากำลังทำด้วยกัน ทั้งการจูบบนโซฟา นอนกอดกัน สัมผัสร่างกายของกันและกันโดยที่ผมเองก็ยินยอมสมัครใจ ในเมื่อมันเป็นความรู้สึกดีที่ได้อยู่กับคนที่ชอบ บางครั้งความรักก็ไม่ต้องการอะไรมากอย่างที่เคยคิดไว้ ผมคิดแค่วันนี้เราอยู่ด้วยกัน ชวินทร์กอดผม เราจูบกัน เรามีเซ็กส์กันตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย วินเคยถามเกี่ยวกับเรื่องนี้สองสามครั้งว่าผมโอเคไหมที่ต้องเป็นฝ่ายรับ และเมื่อผมยืนยันว่าไม่ได้ซีเรียสเรื่องโพซิชั่นของเซ็กส์ ทุกอย่างก็เลยดำเนินไปตามแบบที่มันควรจะเป็น

 ความสัมพันธ์ของเราไม่มีเคยมีชื่อเรียก สิปปกรไม่ใช่แฟนของชวินทร์ และไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์แบบไหน ผมรู้แค่ว่าตัวเองเหมือนน้ำหนึ่งมากเข้าไปทุกที ยิ่งวันเวลาผ่านไป สิ่งที่เคยคิดว่าถาวรก็เริ่มแปรเปลี่ยน ทั้งๆที่ผมคิดว่าความรักของเราไม่เหมือนของน้ำหนึ่ง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ลงเอยเหมือนพี่สาวไม่มีผิด ผมกลายเป็นคนขี้หึงเพียงแค่ติดต่อชวินทร์ไม่ได้ หรือแค่รู้ว่าหมอนั่นต้องออกไปทานข้าวกับเพื่อนผู้หญิง หรือแค่วินให้ความสำคัญผมน้อยลง ความไม่พอใจเล็กๆก็ก่อตัวขึ้นจนเราทะเลาะกันทุกครั้ง

“หึงไม่เข้าเรื่องน่า” ชวินทร์ว่าอย่างนั้นพลางตวัดตามองผมที่ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ยอมพูดจากันดีๆ “ตอนนี้วิทยานิพนธ์เราใกล้เสร็จแล้ว เลิกคิดมากเถอะ”

ทั้งๆที่มันไม่มีสถานะ ไม่มีการระบุว่าเราเป็นอะไรกัน แต่ผมกลับรู้สึกว่าชวินทร์เป็นของผม ระยะเวลาเกือบสองปีที่อยู่ด้วยกัน เราไม่เคยพูดถึงอนาคตเลย ผมไม่คิดไกลเพราะรู้สึกว่าที่เป็นอยู่มันดีเกินกว่าจะนึกกังวลอะไร ในขณะที่ชวินทร์ไม่พูดเพราะหมอนั่นมีเรื่องมากมายให้ทำเกินกว่าจะสนใจเรื่องไร้สาระอย่าง ความสัมพันธ์ของเรา ดังนั้นตอนที่ทุกอย่างเริ่มขมวดกันแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงตัดสินใจหันหน้าไปปรึกษาติณณภพ เพื่อนสนิทที่รับรู้และเข้าใจความกลัวของผมมากที่สุด

“ลมอะไรหอบมา?”

ไอ้ติณเอ่ยทักทายเมื่อกระดิ่งร้านหนังสือดังขึ้นในจังหวะที่ผมดันประตูกระจกเข้าไป ชายหนุ่มผิวแทนผู้เป็นเจ้าของกิจการส่งยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้เจอเพื่อนสนิทที่หายหน้าหายตาไปเกือบเดือน

“ลมผีห่า”
“ห่าวินอีกล่ะสิ?”
“เออ”

ผมขานรับพลางเดินตรงดิ่งไปยังโซนคาเฟ่ของร้านหนังสือ แม้ว่าติณจะเป็นเจ้าของร้าน แต่ผมเองก็มีส่วนในการออกแบบและจัดโปรโมชั่นประจำเดือนเหมือนกัน

“คราวนี้อะไรอีก?”
“มันจะไปเรียนปริญญาเอกเมืองนอก”
“จริงจัง? แต่มันเพิ่งจบโทไม่ใช่เหรอ?”
“เออ มันบอกว่าแม่อยากให้ไป” ผมเล่าให้เพื่อนฟังด้วยความหงุดหงิดเมื่อคิดถึงชายหนุ่มที่กำลังเคร่งเครียดกับการเตรียมเอกสาร “กูบอกให้มันลองหางานทำดูซักปีสองปี ถ้าคิดว่าอยากเรียนต่อจริงๆก็ค่อยตัดสินใจ แต่มันดื้อจะไปให้ได้”
“แล้วมึงล่ะ?”
“ไม่รู้”
“หมายความว่าไง?”
“ก็ตามที่พูดนั่นแหละ” ผมระบายลมหายใจพลางเอนตัวลงบนเก้าอี้นวมด้วยความเหนื่อยล้า “มันบอกว่าพ่อกับแม่อยากให้เรียนจบปริญญาเอกก่อนแล้วค่อยทำงาน”
“แล้วคอนโดที่อยู่ด้วยกันล่ะ?”
“ไม่รู้”
“มึงรู้อะไรบ้างเนี่ย?”
“ถ้ารู้ กูจะแบกหน้ามาหามึงไหมไอ้ติณ?” ผมพูดอย่างหงุดหงิด “กูรู้สึกว่าตัวเองกำลังงี่เง่าเหมือนน้ำหนึ่งมากขึ้นทุกที”
“มึงเหมือนพี่น้ำหนึ่งตั้งแต่วันที่โทรมาหากูเรื่องจูบแล้ว” ติณว่าพลางเดินไปยังเคานท์เตอร์เครื่องดื่มก่อนจะสั่งชาเขียวเย็นให้เพื่อนสนิทที่กำลังหัวร้อน “มึงกำลังมีความรัก”
“กูรู้ และโคตรหงุดหงิดตัวเองเลยที่ปล่อยให้เรื่องพวกนี้มาทำให้กูประสาทเสีย มึงรู้ไหมทุกวันนี้กูเครียดแค่ไหน กูออกจากห้องไปทำงานแบบระแวงเพราะไม่รู้มันจะคุยกับผู้หญิงคนไหนบ้าง ทั้งๆที่มันบอกกูแล้วว่าเป็นเพื่อนกัน แต่กูก็ยังไม่สบายใจ”
“ทำไม? มันแสดงพฤติกรรมผีๆอะไรออกมา?”
“ก็หลายอย่าง กูแค่รู้สึกตอนนี้ทุกอย่างเป็นข้ออ้าง มันไม่ได้อยากไปเรียนต่อ แต่มันแค่หาทางลงเพื่อที่กูจะได้ไม่กลายเป็นผีบ้าเหมือนน้ำหนึ่ง”
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าวันหนึ่งความสัมพันธ์แบบไร้สถานะที่มึงเคยพอใจนักหนาจะย้อนกลับมาทำร้ายมึงเอง? กูเตือนมึงแล้วใช่ไหมสอง?”
“กูรู้” ผมตอบเสียงสั่น ขอบตาร้อนผ่าวไปหมดเมื่อในหัวจินตนาการไกลถึงขนาดที่เราอาจจะต้องแยกกันจริงๆ “เราอยู่กันมาได้ตั้งสองปี ทำไมจะอยู่ต่อไปไม่ได้วะ?”

ติณณภพไม่ได้ตอบคำถาม หากแต่เสิร์ฟชาเขียวเย็นลงบนโต๊ะตรงหน้าของคนที่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เจ้าของร้านหนังสือย้ายตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้นวมที่อยู่ถัดไปก่อนจะลูบไหล่เมื่อผมเริ่มใช้สองมือปิดหน้า พยายามห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้

“ร้องออกมาเถอะ อย่างน้อยมึงจะได้หายอึดอัด”
“กูไม่อยากเป็นแบบนี้เลยว่ะติณ”
“กูเข้าใจ”
“รู้ไหมวันเกิดกู มันไม่ทำอะไรให้เลยซักอย่าง ทั้งๆที่กูพยายามไม่คาดหวังแต่สุดท้ายกูก็ร้องไห้เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ” ผมบอกเพื่อน “กูอยู่ของกูดีๆ กูเคยเข้มแข็งกว่านี้ ถ้ามันไม่คิดจะอยู่กับกูตลอดไปแล้ววันนั้นมันจูบกูทำไมวะ?”
“ตอนนั้นมันอาจจะชอบมึงไง แต่ตอนนี้ความรู้สึกเปลี่ยนไปแล้ว”
“กูทำอะไรผิดนักหนา?” ผมถามเพื่อนพลางใช้หลังมือกดเบ้าตาเพื่อห้ามไม่ให้ความอ่อนแอของตัวเองไหลผ่านแก้มเด็ดขาด “มันบอกกูว่าจะไม่ทำให้กูผิดหวังเหมือนที่แม่กับน้ำหนึ่งเคยเจอ แต่สุดท้ายก็ -- แม่งเอ๊ย”
“เออน่า อย่าเพิ่งคิดไกล มันอาจจะแค่เหนื่อยกับวิทยานิพนธ์ก็ได้”
“กูรู้สึกเหมือนมันกำลังจะไป กูคิดว่ามันมีเรื่องในใจแต่ไม่ยอมบอกกู หลังๆมันแทบไม่เอากับกูเลยด้วยซ้ำ”

ผมระบายความเสียใจให้ติณณภพฟังอย่างเจ็บช้ำ อีกหนึ่งสัญญาณที่ชัดที่สุดหากคนของเรากำลังจะไปก็คือความห่างเหินของเรื่องบนเตียง หลายเดือนแล้วที่เราไม่ได้มีอะไรกัน ในขณะที่ผมพยายามเข้าหา ชวินทร์กลับตีตัวออกห่าง ไม่อยากสัมผัสผมเหมือนเมื่อก่อน แค่คิดเรื่องนี้ก็อยากร้องไห้จะแย่ ผมนึกโทษตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่ปล่อยให้ชวินทร์เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตมากเกินไป ทั้งๆที่ตอนแรกผมไม่เชื่อในความรัก ไม่คิดว่าเซ็กส์แบบไร้สถานะจะทำให้เสียความเป็นตัวเองขนาดนี้ แต่เพราะผมใจง่ายเหมือนน้ำหนึ่ง เพราะจูบนั้น ไอ้สิปปกรหน้าโง่ถึงต้องทรมานกับความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกที่กำลังจะจบลงในอนาคตอันใกล้แบบนี้

“มึงอยากเลิกกับมันไหม?”
“เลิกอะไร? ในเมื่อทุกวันนี้กูเป็นใครในชีวิตมันกูยังไม่รู้เลย”
“งั้นมึงทำอะไรก็ได้ที่มึงสบายใจ” ติณณภพแนะนำ “ย้ายมาอยู่กับกูที่ร้านก็ได้ ชั้นสามยังพอมีห้องว่าง อย่างน้อยมึงก็ไม่ต้องเจอหน้ามัน ไม่ต้องทนเห็นพฤติกรรมห่าๆแบบนั้นอีก”

ผมพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะยอมเอามือออกจากใบหน้า ผมหันไปหาเพื่อนสนิทที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วงก่อนจะพูดขอบคุณเบาๆ เพราะถ้าหากไม่มีความช่วยเหลือของติณณภพแล้ว ป่านนี้ผมอาจจะหนีเตลิดไปที่ไหนก็ได้

“ติณ”
“อะไร?”
“กูจะตายไหม?” ผมถาม น่าตลกที่มันเป็นคำถามเดียวกันกับที่น้ำหนึ่งเคยถามเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด ไม่คิดเลยว่าวันนี้มันจะหลุดมาจากปากของผมเสียเอง “กูจะเจ็บจนตายไหม?”
“ไม่เคยมีใครตายเพราะความรัก” ติณณภพว่า “มันเจ็บเจียนตาย แต่สุดท้ายมึงจะไม่ตาย”
“งั้นให้กูตายห่าไปเลยดีกว่า”
“จะรีบตายไปไหนวะ บางทีมันอาจจะมีใครอีกคนที่เกิดมาเพื่อคู่กับมึงแทนไอ้วินก็ได้”

ผมไม่ตอบเพราะไม่เชื่อเรื่องความรักบ้าบออะไรนี่อีกแล้ว แม้ความสัมพันธ์ของผมกับชวินทร์จะยังไม่จบ แต่ผมก็ไม่ใช่คนโง่ที่ไม่รู้ว่าทางตันกำลังรอเราอยู่ ดังนั้นตอนที่ติณณภพเสนอให้ย้ายมาอยู่ร้านแทนที่จะเป็นคอนโดหลังนั้น ผมจึงไม่ปฏิเสธนอกจากรีบนั่งรถไฟฟ้าเพื่อไปเก็บกระเป๋า และโชคดีที่ชวินทร์ยังอยู่ที่นั่น ผมก็เลยได้มีโอกาสถามถึงสถานะไร้ชื่อเรียกนี่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะแยกจากกัน พร้อมกับรอยแผลที่ฝังลึกเอาไว้ในใจของสิปปกรไปตลอดกาล




 วันนั้นฝนตกหนัก ผมวิ่งลงจากรถแท็กซี่ตัวเปียกซ่กแต่ก็ไม่รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนนอกจากอยากไขประตูเข้าไปในห้องเพื่อจัดการความข้องใจนี่ให้จบๆ ชวินทร์ยืนอยู่ตรงบานประตูระเบียงราวกับกำลังรอผมอยู่ เราสบตากันชั่วครู่ เขาก็พูดขึ้นมาว่า

“เราตัดสินใจได้แล้ว เราจะไปเรียนต่อ”
“อืม”

ผมขานรับในลำคอราวกับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ไม่ถามถึงอนาคตของเราเพราะรู้ดีว่ามันคงจบลงตั้งแต่วินาทีนี้ ทั้งๆที่มันก็แค่การไปเรียนต่อ เราน่าจะยังสามารถคุยกันหรือประคับประคองความสัมพันธ์นี้ไปเรื่อยๆได้ แต่ผมกลับรู้ดีว่าชวินทร์ไม่มีทางทำแบบนั้นเพราะพ่อกับแม่ของหมอนั่นแสดงออกชัดเจนตั้งแต่แรกว่าไม่พอใจที่ลูกชายของตัวเองเป็นเกย์ และย้ายมาอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับสิปปกรผู้ไม่มีงานประจำ

ชวินทร์พยายามยกเหตุผลร้อยแปดมาอธิบาย หมอนั่นเอาแต่พูดว่าตัวเองมีอนาคตไกลและไม่อยากให้ความสัมพันธ์ค้างคาของเราทำให้เสียสมาธิกับการเรียน ผมแค่นยิ้มเมื่อวินพูดถึงสถานะของเรา หลังจากที่ฟังไอ้ลูกแหง่ที่ชีวิตทำห่าอะไรไม่เป็นนอกจากพึ่งพาพ่อแม่พูดพล่ามว่าทำไมเราถึงคบกันไม่ได้ ผมจึงถามต่อว่าตลอดสองปีที่ผ่านมา สิปปกรเป็นอะไรในชีวิตของชวินทร์กันแน่

“สองเป็นเพื่อน -- เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา”

เพื่อนที่ดีที่สุด?
เพื่อนประเภทไหนเอากันวะ ไอ้สัส

คำแก้ตัวโง่ๆจากปากของชวินทร์ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด มันมีแต่คำโกหก คำพูดสวยหรูเพื่อให้ตัวเองกับครอบครัวดูดีก็เท่านั้น ต่อให้ชวินทร์จะพูดว่าทุกอย่างคือความจำเป็น เราต้องเลิกกันเพราะเขาจะไปเรียนต่อ และสิปปกรไม่สามารถตามติดหมอนั่นไปทุกที่ได้ แต่ลึกๆในใจเราต่างรู้ดีกว่ามันก็แค่เรื่องตอแหล ชวินทร์ก็แค่ทำให้มันจบแบบสวยๆ เพราะถ้าหากผมเสียใจจนสติแตกเหมือนวันนั้นเมื่อไหร่ คอนโดนี้ได้ลุกเป็นไฟแน่

น่าแปลกที่ตอนนั้นผมไม่มีน้ำตาซักหยด ไม่มีคำด่าทอหรือคำพูดสาดเสียเทเสีย หรือการขุดเรื่องเก่าๆมาทะเลาะเหมือนเช่นทุกที สิ่งที่ผมทำคือยิ้มและแสดงความยินดีว่าขอให้ชวินทร์ประสบความสำเร็จ แล้วเก็บกระเป๋าเตรียมย้ายไปอยู่กับติณณภพ

“สอง”

ชวินทร์เรียกเมื่อผมขนของทุกอย่างมาถึงหน้าประตู ผมมองใบหน้าขี้เล่นซุกซนของคนคุ้นเคยเป็นครั้งสุดท้าย หยดน้ำตาเริ่มคลอเบ้าเมื่อคิดได้ว่าหลังจากนี้เราอาจจะไม่ได้โคจรมาพบกันอีก วินกำลังจะไปอังกฤษ และผมก็ต้องไปตามทางของตัวเอง เราปล่อยให้ความเงียบโรยตัวอยู่รอบกาย ไม่มีแม้แต่คำอำลาหรือกอดสุดท้าย มีแค่เสียงฟ้าร้องเท่านั้นที่ทำให้บรรยากาศตึงเครียดมากกว่าปกติ หลังจากสบตากันอยู่นาน ชวินทร์ก็พูดขึ้นมาว่า --

“ขอคีย์การ์ดคืนด้วย”


สัส




5 ปีต่อมา
บางบัวทอง นนทบุรี


[อีเมลแนะนำเรื่องปรับสำนวนน่ะ ได้เปิดอ่านหรือยัง?]
“ครับ ผมดูคร่าวๆแล้ว”

ผมกรอกเสียงลงในสาย มือขวาสัมผัสหน้าจอแท็บเล็ตด้วยความคล่องแคล่วเพื่ออ่านตัวอย่างนิยายที่ได้รับมอบหมายก่อนจะเอี้ยวตัวเพื่อดูปฏิทินด้านหลัง

[สามเดือนได้ไหม?]
“สี่เดือนเถอะครับ มันหนาเกือบสี่ร้อยหน้า แบคกราวน์ก็เยอะ ผมกลัวแปลไม่ทัน”
[ปกติสองแปลเร็วจะตาย พี่ก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะปิดไวเสียอีก]
“ผมทำงานเร็วก็จริงแต่อยากเผื่อเวลาไว้ตรวจแก้ก่อนส่งให้พี่ด้วยอ่ะ” ผมบอกพี่ดาวซึ่งเป็นบรรณธิการที่ทำงานกันมาหลายครั้ง “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ส่งสัญญามาได้เลย ผมเซ็นแล้วจะส่งกลับไปให้นะครับ”
[โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ให้เด็กไปส่งให้]
“ครับ ขอบคุณครับพี่ดาว สวัสดีครับ”

หลังวางสาย สิปปกรวัยสามสิบก็บิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้าบนเก้าอี้ทำงานที่อยู่บนชั้นสามของร้านหนังสือ กู้ด รี้ดดิ้ง ซึ่งมีติณณภพเป็นเจ้าของ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ถาวร คอยรับงานแปลอิสระไปพร้อมกับช่วยดูแลร้านหนังสือที่เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะเจ้าของหนุ่มไฟแรงผันไปทำด้านบริหารงานเต็มตัว ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับที่ซุกหัวนอน ผมจึงอาสาช่วยดูแลร้าน และคิดอีเวนท์ใหม่ๆตอบสนองความต้องการของนักอ่านอีกทาง

ถ้าถามว่าสิปปกรช่วงอายุสามสิบต่างจากตอนอายุยี่สิบสี่อย่างไร ผมก็คงให้คำตอบโดยชัดๆไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่น้ำหนึ่งกับติณชอบพูดบ่อยๆว่าผมกลายเป็นหนอนหนังสือที่วันๆไม่คิดจะทำอะไรนอกจากขลุกตัวอยู่ในร้าน ทำงานแปล และเขียนบทความเท่านั้น ซึ่งสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง ตอนอายุยี่สิบสี่ ผมก็เป็นนักอ่านที่หาหนังสืออ่านไปเรื่อยอยู่แล้ว แต่เพราะช่วงนั้นดันโง่ไปทุ่มเทให้กับสิ่งไร้สาระที่เรียกว่าความรัก มันจึงเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เสียความเป็นตัวเองไป แต่โชคดีที่ยังได้มันกลับคืนมา

“จดหมายของมึง”

ติณณภพที่ไม่รู้ว่ามาถึงร้านตั้งแต่เมื่อไหร่พูดขึ้นพลางโยนซองกระดาษลงบนโต๊ะทำงาน รูปร่างกำยำมีกล้ามเนื้อคงเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันได้ว่าติณแข็งแรงขึ้น ในขณะที่นายสิปปกรยังคงตัวเท่าเดิม ผอมแห้งเก้งก้างแต่ลงพุง สวมแว่นสายตาหนาๆ และหมดเงินไปกับการซื้อหนังสืออย่างบ้าคลั่งเท่านั้น

“จะไม่กลับไปเยี่ยมแม่หน่อยเหรอ?”
“คงไม่ รำคาญพ่อกับแม่ เถียงกันไม่หยุด”
ติณณภพหัวเราะ “ก็ตามใจ แล้วนิยายที่พี่ดาวจะให้มึงแปลล่ะ? ตกลงมึงผ่านไหม หรือคนอื่นได้ไป?”
“ผ่าน กูอาจจะกลายเป็นผีเฝ้าร้านมึงอีกซักพัก”
“ตามใจเถอะ ทุกวันนี้ลูกน้องกูเห็นมึงเป็นเจ้าของร้านมากกว่ากูอีก”

ผมหัวเราะขำเพราะตั้งแต่ย้ายออกจากคอนโด ผมก็ปิดกั้นตัวเองด้วยการจมดิ่งในห้องพักเล็กๆบนชั้นสามของร้าน กู้ด รี้ดดิ้ง แทนที่จะกลับบ้าน ผมไม่อยากทำให้ทุกคนไม่สบายใจที่เห็นผมร้องไห้เหมือนน้ำหนึ่ง ใช่ ร้องเป็นคนบ้า หลังโดนทวงคีย์การ์ดแทนที่จะเป็นอ้อมกอดอำลา ผมก็ร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง โวยวายถึงความเจ็บช้ำให้ติณฟังนานหลายชั่วโมง ดื่มจนเมากลิ้ง ร้องกลางสายฝนเพราะรู้สึกหดหู่จนอยากตัวเปียก แต่พอผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ผมก็เข้าใจโลกมากขึ้น ความรักมันเป็นเรื่องของผลประโยชน์จริงๆอย่างที่เคยคิดไว้ ชวินทร์ได้นอนกับผมฟรีๆ ส่วนผมก็ได้พักฟรีในคอนโดหรูกลางเมืองเกือบสองปี ถือว่าวินๆกันไป

หลังจากวันนั้น สิ่งที่ช่วยเยียวยาหัวใจที่เต็มไปด้วยรอยแผลก็มีแค่กองหนังสือ ผมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังด้วยการงดเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่เป็นเดือนๆโดยมีไอ้ติณทำหน้าที่ส่งข่าวให้รับรู้ น้ำหนึ่งมาหาผมที่ร้านหลายครั้งเมื่อรู้ว่าน้องชายที่เคยแข็งกระด้างกลายเป็นบ้าเพราะความรัก แต่น่าแปลกที่พี่สาวตัวดีกลับไม่ซ้ำเติมซักคำ แถมยังกอดและลูบหัวอย่างเข้าอกเข้าใจจนผมขนลุกเพราะปกติเราสองคนพี่น้องไม่เคยแสดงความรักกันเลย

“ฉันเข้าใจแกนะ ความรักมันก็เหี้ยแบบนี้แหละ”
“อย่ามาพูดว่าเข้าใจถ้าพี่ยังเปลี่ยนแฟนอยู่แบบนี้”

ผมนึกสงสัยจริงๆว่าอะไรทำให้น้ำหนึ่งไม่รู้จักเข็ดจักจำ สำหรับผม ชวินทร์คือเรื่องที่แย่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ประสบการณ์ครั้งเดียวกับความรักถือว่าเกินพอแล้ว ทว่าน้ำหนึ่งที่อกหักมาเป็นสิบๆหนยังคงออกตามหาผู้ชายในฝันที่รักเธออย่างไม่มีข้อแม้ และในที่สุดน้ำหนึ่งก็ได้แต่งงานกับพนักงานธนาคารคนหนึ่งซึ่งเพิ่งทำความรู้จักได้ไม่กี่เดือนเพราะท้องป่อง

เยี่ยม...เยี่ยมไปเลยน้ำหนึ่ง แม่คงดีใจที่พี่ขยันสร้างความปวดหัวได้มากขนาดนี้

เรื่องของชวินทร์ไม่เคยมาถึงหูผมอีกเลยตั้งแต่วันที่ย้ายออก ไม่มีใครรู้ว่าหมอนั่นไปไหน ชะตากรรมเป็นยังไง ยังเป็นลูกแหง่ที่เรียนหนังสือเรื่อยๆตามที่แม่สั่งเหมือนเดิมหรือเปล่า ผมคิดว่าห้าปีคงนานมากพอที่จะทำให้รู้สึกเฉยๆเมื่อได้ยินชื่อคนรักเก่า ผมคงไม่เจ็บปวดหรือโกรธแค้นเมื่อต้องพูดถึงผู้ชายคนนั้น ทว่าซองสีขาวและกระดาษมีกลิ่นหอมอ่อนๆที่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คงไม่ใช่การ์ดงานศพกำลังทำให้มือของผมสั่น และทำให้ผมโกรธจนแทบคลั่งเมื่ออ่านข้อความบนการ์ด

ปาลิตา ♡ ชวินทร์


ไอ้ -- เหี้ยเอ๊ย







Part 2 ต่อข้างล่างเช่นเคยนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [Intro] 18/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 25-11-2019 19:55:13
1 [PART 1/2]


ถึงจะสบถคำหยาบแบบนั้น แต่สุดท้าย -- ผมก็มาร่วมงานจนได้

ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้างานกับติณณภพ ผมเองก็อายุไม่ใช่น้อยๆ มีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนหลายหนแต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ทำให้ประหม่าได้มากขนาดนี้ เราสองคนสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูตามเดรสโค้ดที่บ่าวสาวกำหนดไว้เป๊ะๆ น่าแปลกที่งานเสียเงินแบบนี้ ทำไมต้องจุกจิกวุ่นวายกับเสื้อผ้าหน้าผมของแขกที่เอาเงินใส่ซองมาประเคนถึงที่ด้วย ผมหงุดหงิดขัดใจเพราะไม่ชอบสีชมพู แต่ไม่มีอะไรน่าหงุดหงิดเท่ากับการเห็นหน้าชวินทร์อีกครั้งในรอบห้าปี ผมพยายามทำตัวเองให้ปกติที่สุดด้วยการไม่แสดงสีหน้าว่าเจ็บช้ำแค่ไหนเมื่อต้องมองบ่าวสาวที่ยืนถ่ายรูปร่วมกัน แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะใบหน้าของชวินทร์ยังคงมองมาเหมือนวันแรกที่เรารู้จักกัน และเป็นภาพหลอนติดหัวซ้ำๆคอยตอกย้ำว่าชวินทร์ไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว

“ไง”
“อืม” ผมขานรับคำทักทายสั้นๆ “สบายดีนะ?”
“สบายดีสิ สองล่ะ?”
“สบายดี”
“แล้วนี่มีงานประจำหรือยัง?”

เสือกอะไรกับชีวิตกูล่ะไอ้เหี้ย

“อ๋อ ยัง ก็เป็นฟรีแลนซ์เหมือนเดิม”

ชวินทร์พยักหน้ายิ้มๆ แต่ผมรู้ว่าในสมองคงวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตสิปปกรเหมือนพ่อแม่ของเขาแน่ๆ นอกจากจะไม่ปลื้มที่ลูกชายเป็นเกย์แล้ว คุณพ่อคุณแม่ผู้สูงส่งเป็นชนชั้นอีลีทก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่นายสิปปกรไม่มีงานประจำ ซึ่งผมพยายามแล้ว ผมพยายามพาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบริษัทเอกชนแล้วนะ เพียงแค่มันไม่ใช่ตัวตนของผม มันไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับชีวิตหนอนหนังสืออย่างสิปปกร ดังนั้นผมจึงเลือกเดินเส้นทางนักแปล ตราบใดที่วงการหนังสือในประเทศไทยไม่ตายสนิท นักแปลอย่างผมก็คงไม่อดตาย คงมีเงินเข้ามาเรื่อยๆให้พอซื้อข้าวกินก็แล้วกัน

ผมบ่นในใจขณะยืนถ่ายรูปกันสี่คนหน้าแบ็คดร็อป เรายืนให้ช่างภาพกดชัตเตอร์สองครั้งก่อนจะทักทายกันตามประสาเพื่อน ชวินทร์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าดีใจมากที่ได้เห็นหน้าผมอีกครั้งโดยไม่แคร์สายตาคุณพ่อคุณแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง เรามีโอกาสจับมือกันสั้นๆด้วย มือของชวินทร์นั้นเย็นเยียบ ในขณะที่มือของผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“ดีใจนะที่สองมา”
“อืม”
“ไปนั่งด้านในสิ เราจัดโต๊ะเอาแล้ว ไม่ว่ากันนะถ้าต้องนั่งกับพวกหมูพี”
“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ --”

ไอ้เวร

นอกจากเทกูแล้ว ยังจะให้กูไปนั่งฟังหมูพีอวดชีวิตดีๆของตัวเองกับผัวอีกเหรอ

ผมอยากจะต่อท้ายประโยคใจแทบขาดแต่ก็ทำไม่ได้นอกจากเดินตามติณณภพเข้าไปด้านใน บรรยากาศงานก็เหมือนงานแต่งทั่วไปแค่หรูขึ้นมาอีกระดับ มันอบอวลด้วยความรัก มีนักร้องดังๆมาร่วมร้องเพลงอวยพรเหมือนอย่างที่เคยเห็นในอินเตอร์เน็ต ผมทอดสายตามองไอ้ชวินทร์ที่ทำเหมือนทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นด้วยความแค้นใจ ทั้งๆที่ผมเจ็บแทบตาย แต่มันเสือกร่อนการ์ดมาให้ร่วมงานหน้าตาเฉย ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเลยทำไมถึงกล้าส่งการ์ดมาให้ผมร่วมยินดีอีก

แหม – หน้าด้านไม่มีใครเกิน แต่ผมจะสอนให้ไอ้ชวินทร์รู้ว่าคนอย่างสิปปกรใจกล้าหน้าด้านกว่าที่มันคิด ถ้ากล้าส่งการ์ดมาให้ ผมก็กล้ามาร่วมงาน แต่ซองที่หย่อนลงในกล่องมีแค่ธนบัตรมูลค่ายี่สิบบาทเพียงใบเดียว ผมจะแสดงความยินดีกับมันด้วยเงินจำนวนแค่นี้ น้อยกว่าที่เคยใส่ซองทอดกฐินวัดแถวบ้าน น้อยยิ่งกว่าบริจาคให้หมาจรจัดตามมูลนิธิ เพราะคนอย่างชวินทร์ – แม่งไม่สมควรได้รับสิ่งดีๆจากสิปปกรอีก

“จะไปไหน?” ติณณภพถามเมื่อจู่ๆผมก็ลุกพรวดทั้งๆที่นักร้องรูปหล่อกำลังขับร้องบทเพลงอวยพรให้ความรักของทั้งคู่ยืนยาว “อีกนิดก็เลิกแล้ว ไหนมึงบอกว่าโอเคไงวะ?”
“กูแค่จะไปเข้าห้องน้ำ”
“รีบไปรีบมา”

ผมเดินผ่านแขกเหรื่อหน้างาน ผ่านบริกรที่กำลังเสิร์ฟอาหารกันอย่างวุ่นวายเพื่อตรงดิ่งเข้าห้องน้ำ ที่ต้องไปห้องน้ำก็เพื่อสงบสติอารมณ์ไม่ให้เป็นคนคลั่งจนพังงานแต่งงานราคาหลักแสนของชวินทร์ให้พินาศเหมือนตัวร้ายในละคร จังหวะที่กำลังเท้าแขนกับเคาน์เตอร์ล้างมือหน้ากระจก คนที่ผมไม่ค่อยอยากพบเท่าไหร่ก็เดินเข้ามาในห้องน้ำพอดี

“สองเหรอ?”

พีรพัฒน์ยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นผมจ้องเงาตัวเองตาเขม็ง ผมจำเป็นต้องดึงสติกลับมาให้เร็วที่สุดเพื่อตั้งรับบุคคลอันตรายคนนี้ เราส่งยิ้มให้กันและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาคู่กัดที่ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรียนจบ หมูพีเปลี่ยนไปเยอะมาก เขาไม่ใช่คนน่ารักสดใสเหมือนสมัยเรียน เขาดูแก่ขึ้น เริ่มมีริ้วรอยและแววตาเศร้าหมองไม่ร่าเริงเหมือนเคย ผมได้แต่นึกสงสัยว่าเข้าช่วงมรสุมตบตีกับผัวหรือไงถึงได้ปล่อยตัวเองให้ผอมจนหน้าตอบเหมือนคนป่วยขนาดนี้ แต่ผมยังมีมารยาทพอที่จะไม่ถามจึงได้แต่เล่นเกมถามตอบตามแพทเทิร์นเดิมๆ

“เป็นไงบ้าง? ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่?”

หมูพีถามเป็นฝ่ายเริ่มเกมก่อน หลังเรียนจบ คุณไม่สามารถเลี่ยงคำถามนี้ได้เลยเพราะใครๆต่างอยากรู้ว่าเส้นทางชีวิตของคุณประสบความสำเร็จตามสูตรในกระทู้พันทิปหรือไม่ ผมได้แต่ยิ้มฝืนๆตอบหมูพีไปว่าเป็นฟรีแลนซ์ และโกหกนิดหน่อยเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำเพื่อไม่ให้ดูน่าสมเพชในสายตาของเพื่อนคนเก่งที่ยืนตรงหน้า หากว่ากันตามตรง ผมคือคนตกมาตรฐานเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในขณะที่คนอื่นได้เงินเดือนเกือบครึ่งแสนและเริ่มมีบ้านมีรถเป็นของตัวเอง สิปปกรกลับอาศัยอยู่บนชั้นสามในร้านหนังสือของเพื่อนสนิท เงินเดือนไม่แน่นอน แต่ก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้รอดไปเรื่อยๆได้

“แล้วพีล่ะ? ทำอะไรอยู่? พี่อู๋ไม่มาด้วยเหรอวันนี้?”

พีรพัฒน์หน้าเสียเมื่อผมพูดถึงพี่อู๋ แววตาของเขาเศร้าอย่างเห็นได้ชัดจนเดาได้ว่าคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น และมันก็จริงอย่างที่คิด หมูพีเลิกกับพี่อู๋แล้ว ตอนแรกพีไม่บอกว่าทำไม แต่เมื่อถึงจุดที่ทนความคับข้องใจไม่ไหวเขาก็เล่าให้ฟังว่าที่เลิกกันเพราะคนรักของเขานอกใจ ไปคว้าเด็กกำพร้าจากฝั่งธนมาอยู่ด้วยจนความสัมพันธ์ไปต่อไม่ได้

“เด็กกำพร้า? บ้าเหรอ พี่อู๋คิดอะไรอยู่วะ?”

ผมแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อพีรพัฒน์ด้วยการตำหนิพี่โชนในโลกของสิปปกร จริงๆผมแอบคิดเหมือนกันว่าทั้งคู่ไปไม่รอดหรอก แต่ไม่นึกว่าจะคบกันนานขนาดนี้ เกือบสิบปีเลยนะที่พวกเขาคบกันและอยู่กินกันเป็นผัวเมีย ระยะเวลาตั้งสิบปียังเลิกได้ นับประสาอะไรกับชีวิตรักของชวินทร์และสิปปกร ความรักนี่ไม่คงทนถาวรอย่างที่คิดเลยจริงๆ

“แต่คนเราต้องมูฟออนต่อไปนะเว้ย” ผมบีบมือพีรพัฒน์ครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกัน พอไม่ได้เป็นคู่แข่งในห้องเรียนก็ไม่มีเหตุผลต้องเกลียดหมูพีอีก “แกเป็นคนเก่งและน่ารัก วันนึงแกต้องเจอคนที่รักแกมากแน่ๆ”

พูดถึงตรงนี้ – หมูพีก็เศร้ากว่าเดิม ผมเป็นประเภทรับมือกับความเศร้าของคนอื่นไม่ได้จึงทำเพียงยืนฟัง (หรืออีกความหมายคือเสือก) เรื่องของพวกเขาทั้งสองคนเงียบๆ ถ้าสิ่งที่หมูพีเล่าคือเรื่องจริง พี่อู๋ที่เป็นไอดอลในดวงใจของผมนี่ใจร้ายใช่เล่น นอกจากจะมองข้ามความปรารถนาดีที่หมูพีมอบให้แล้วยังนอกใจไปคว้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาอยู่ด้วยอีก เราพูดคุยกันนิดหน่อยเพราะหมูพีไม่ใช่ประเภทด่าผัวให้คนไม่ค่อยสนิทฟัง ดังนั้นหลังจบการเล่าคร่าวๆว่าเลิกกันทำไม ผมก็ถามหมูพีต่อว่าชีวิตเป็นไงบ้าง ทำงานที่ไหน ซื้อบ้านซื้อรถหรือยัง

สรุป -- ผมเองก็ขี้เสือกไม่ต่างจากคนอื่นเลยว่ะ

“เรากำลังจะไปอเมริกา” พีรพัฒน์ยิ้มบาง “เราว่าเราอยู่ไทยไม่ได้แล้วล่ะ อีกซักพักเลยกว่าจะทำใจยอมรับได้ เอ้อ – เราว่าจะถามแต่ก็เกรงใจ แต่ไหนๆก็คุยกันเยอะแล้วงั้นถามเลยดีกว่า สองไม่รู้สึกอะไรเหรอถึงมางานแต่งของวินได้?”
“มันนานจนลืมไปแล้วว่าเคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”
“เก่งจัง เราอยากเข้มแข็งให้ได้ซักครึ่งนึงของสองบ้าง” หมูพีพึมพำ “แต่แค่คิดว่าต้องไปงานแต่งพี่อู๋ เราก็อยากตายแล้ว”
“ก็อย่าคิดสิ พี่อู๋คงไม่แต่งงานเร็วๆนี้หรอก”
“ใครจะไปรู้ เขารักไอ้เด็กนั่นหัวปักหัวปำจะตาย”
“บ้าเหรอ เด็กคนนั้นเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด พี่อู๋เองก็เป็นผู้ใหญ่ เขาไม่น่าโง่ถึงขนาดจัดงานแต่งกับเด็กหรอกมั้ง จัดไปก็มีแต่คนด่า เขาคงฉลาดพอที่รู้ว่าควรแต่งตอนไหน --” ผมเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองปากเสียที่พูดราวกับว่าในอนาคตพี่อู๋กับเด็กกำพร้าคนนั้นจะได้แต่งงานกันจริงๆงั้นแหละ “อย่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดเลยพี ไม่แน่สองคนนั้นอาจจะไปไม่รอดก็ได้”
“เราหวังว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไม่มีใครทนพี่อู๋ได้หรอก สันดานเสียขนาดนั้น”

แต่แกก็ใช่ย่อยเหมือนกันน้าหมูพี –

“สองนั่งโต๊ะเดียวกับเราใช่ไหม? ไปที่โต๊ะกันเถอะ คงได้เวลาตัดเค้กแล้ว”

พีรพัฒน์ชวน ผมจึงพยักหน้าและเดินกลับโต๊ะ คิดว่าคงไม่โกรธหรือหงุดหงิดอารมณ์เสียหากได้พูดคุยกับเพื่อนๆสมัยเรียนอีกครั้งทว่าผมคิดผิด การนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนหกคนที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางมนุษย์เงินเดือนและธุรกิจส่วนตัวเป็นอะไรที่กดดันมาก ลึกๆผมรู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่ได้เกิดมาในครอบครัวพื้นฐานดี พ่อกับแม่ไม่รวยถึงขนาดดาวน์รถให้ทันทีหลังเรียนจบ ไม่มีเงินสนับสนุนช่วยเหลือตอนว่างงาน หรืออนุญาตให้มีแก็ปเยียร์ไปเวิร์คแอนด์ทราเวลเหมือนใครๆ สิ่งที่ผมทำหลังเรียนจบคือเริ่มหางานทันที ผมต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองเพราะที่บ้านไม่สามารถซัพพอร์ตช่วยเหลือตรงนี้ได้ในขณะที่เพื่อนๆส่วนใหญ่ล้มบนฟูก แม้แต่ติณณภพเพื่อนสนิทก็เปิดร้านขายหนังสือและกลายเป็นเจ้าของร้านไฟแรงได้เพราะพ่อแม่มีเงินทุนให้ยืม สวนทางกับสิปปกรที่ไม่มีอะไรเลยซักอย่างนอกจากบ้านสองชั้นซึ่งยังผ่อนไม่หมดของพ่อกับแม่ รถเก๋งที่อายุการใช้งานหลายปีหนึ่งคัน และเงินเก็บที่มีไม่ถึงสามหมื่นบาทเท่านั้น

“เดี๋ยวเดือนหน้าก็ต้องตามบอสไปอินโดด้วย แม่ง โคตรเซ็งเลยว่ะ อยากไปญี่ปุ่นมากกว่า เห็นพวกเอกญี่ปุ่นบินตามนายบ่อยๆแล้วโคตรอิจฉา รู้อย่างเรียนญี่ปุ่นก็ดี”

เพื่อนร่วมเอกคนหนึ่งบ่นเซ็งๆโดยมีทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนนายสิปปกรที่ไปไกลสุดแค่หัวหินได้แต่คิดในใจว่ามีโอกาสเยอะว่าคนอื่นมันดีแค่ไหนแล้ว ได้ไปเมืองนอก ได้ตำแหน่ง ได้เงินเดือนเฉียดแสน แถมปลายปีมีโบนัสให้อีก ไม่รู้จะบ่นทำไมกับแค่ได้ไปอินโดนีเซีย ถ้าเป็นผมคงเตรียมกระเป๋าล่วงหน้าเป็นเดือนเพราะตื่นเต้นที่จะได้ก้าวเท้าออกจากประเทศไทยเหมือนคนอื่นเขาบ้าง

“แล้วสองล่ะทำอะไรอยู่? เป็นฟรีแลนซ์สบายแน่เลย ไม่ต้องทำงานตามรูทีน*”

สบายกับผีสิ –

ในยุคที่ทุกคนคิดว่าฟรีแลนซ์เป็นอาชีพที่มีอิสระทางการเงินและเวลา น้อยคนที่จะรู้ว่าความยืดหยุ่นก็ทำร้ายเราเหมือนกัน หลายครั้งที่ลูกค้านักศึกษาเอางานด่วนมาให้แปลและขอก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ผมต้องหลังขดหลังแข็ง ถ่างตาแปลเปเปอร์วิชาการตั้งสิบกว่าหน้าให้เสร็จภายในเวลาไม่ถึงสิบชั่วโมง มันไม่อิสระสุดๆอย่างที่ใครคิด ผมไม่สามารถจัดตารางตามใจตัวเองได้หากมีงานร้อนเข้ามาจริงๆ ซึ่งบางครั้งมันก็ต้องยอมแลก เพราะถ้าปฏิเสธบ่อยๆเราจะเสียคอนเนคชั่นจนทำให้ขาดรายได้ไป ดังนั้นเพื่อเงินผมจึงต้องฝืนสังขารหลายครั้ง แต่ไม่มีใครเห็นช่วงที่ผมหัวหมุนทำงานหรอก ทุกคนคิดแค่ว่ามันสบาย รายได้ดี อาชีพอิสระที่ใครๆก็ทำได้ เออ – ถ้าใครๆก็ทำได้ งั้นลองมาทำดูสิ แล้วจะรู้ว่าฟรีแลนซ์ไม่สบายอย่างที่คิด

“ว่าแต่ร้านมึงเป็นไงวะติณ? เห็นวันก่อนมีคลิปสัมภาษณ์มึงในเฟสบุ๊กด้วย ดังระเบิดไปเลยเพื่อนกู สุดยอดจริงๆ สมแล้วที่จบอักษร”
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก จริงๆร้านกูไม่มีอะไรเลยถ้าไม่ได้ไอ้สองช่วยคิดอีเว้นท์โปรโมทให้ อย่างวันก่อนที่ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ก็ไอเดียไอ้สอง กูแค่ดูเรื่องการตลาดกับบัญชีแต่คนต้นคิดคือไอ้สองล้วนๆ” ติณยกความดีความชอบให้ผมทั้งๆที่ไม่จำเป็นอีกแล้ว
“ไม่หรอก ถ้าเจ้าของร้านไม่เก่งยังไงมันก็เจ๊งอยู่ดี”

แต่สปอร์ตไลท์ก็ไม่เคยส่องมาถึงสิปปกรอีกเช่นเคย

ผมอึดอัดทุกครั้งที่ใครต่อใครเข้ามาแสดงความยินดีกับติณณภพเรื่องร้านกู้ด รี้ดดิ้ง แม้ติณจะบอกตลอดว่าแผนการโปรโมตส่วนใหญ่มาจากผม มาจากนายสิปปกรคนที่ไม่มีงานประจำ แต่ทุกคนจะพูดว่า ไม่หรอก ไม่จริงน่า ร้านได้ดิบได้ดีเพราะความเก่งกาจของติณคนเดียว มันน่าเจ็บใจจริงๆที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยมีใครมองเห็นศักยภาพในตัวผม ถึงไม่มีใครสนใจ ใช่ว่าผมจะแค้นฝังลึกถึงขนาดไม่อยากช่วยเพื่อนทำงานในร้านต่อ ยังไงไอ้ติณก็ดีกับผมมากในฐานะเพื่อนสนิท และเพื่อตอบแทนสำหรับน้ำใจที่หยิบยื่นให้กันมาเสมอ ผมจึงไม่ลังเลหากต้องวางแผนโปรโมทกู้ด รี้ดดิ้งต่อไปเรื่อยๆ เพราะร้านหนังสือร้านนี้เป็นเหมือนของรักของผมเหมือนกัน

หลังคุยเรื่องร้านหนังสือจบ พวกเขาก็ย้ายสปอร์ตไลท์ไปที่คนอื่นๆ ผมว่างานแต่งงานของชวินทร์เหมือนงานเลี้ยงพบปะอวดชีวิตมากกว่า ทุกคนต่างพูดแต่ด้านดีๆของตัวเองแม้กระทั่งผมก็เช่นกัน ไม่มีใครผลัดกันเล่าว่าตัวเองพบเจอความเฮงซวยอะไรบ้าง มีแค่อวดบ้านอวดรถ อวดงาน อวดผัว อวดครอบครัว พูดแต่สิ่งดีๆน่าอิจฉาจนวนกลับไปที่หมูพีอีกครั้ง ผมว่าปีนี้คงเป็นปีชงของพี เพราะปกติเขาชอบอวดชีวิตตัวเองให้เพื่อนทุกคนหมั่นไส้ทว่าคราวนี้กลับไม่มีเรื่องอะไรจะพูดเนื่องจากเพิ่งเลิกกับแฟน และเรื่องราวแสนเศร้านั้นกระฉ่อนทั่วเฟสบุ๊กยิ่งกว่าข่าวดาราเลิกกันเสียอีก แหงสิ – มาสค็อตคู่รักร่วมเพศของคณะอักษรแตกหักทั้งที จะให้เงียบๆจากกันไปอย่างธรรมดาได้ไง ต้องผสมโรงซักนิด ต้องด่ากันซักหน่อย ผมล่ะอยากให้พี่อู๋โผล่เข้ามาตอนนี้จริงๆ เขาคงหน้าซีดแน่ๆถ้าได้ยินว่าเพื่อนของแฟนเก่าพูดถึงเขายังไงบ้าง

“ไม่เป็นไรเนอะพี เดี๋ยวไปอเมริกาก็หาผัวฝรั่งดีๆซักคน” มิ้นเพื่อนรักเอนตัวไปกอดหมูพีแล้วลูบหัวเบาๆ “อยู่นู่นอ่ะดีแล้ว พักใจนะมึง หายเจ็บเมื่อไหร่ก็กลับมา”

มิ้นพูดเหมือนหมูพีหนีไปอกหักที่ชลบุรีงั้นแหละ แต่ว่าไม่ได้ เพราะสำหรับเพื่อนกลุ่มนี้การไปเมืองนอกไม่ใช่เรื่องยากเลย นี่แหละนะชีวิตชนชั้นปกครอง อกหักอยากพักใจก็ย้ายประเทศได้ ส่วนชนชั้นกลางอย่างผมน่ะเหรอ อกหักเมื่อไหร่ มากสุดก็ทำได้แค่ย้ายจังหวัด มึงหักอกกูที่กรุงเทพใช่ไหม ได้ กูย้ายมาอยู่นนทบุรีเลย เป็นไงล่ะ ไกลเหมือนกัน มูฟออนได้เหมือนกันโดยไม่ต้องบินไกลถึงอเมริกา

“เสียบเลย”
“อะไร?” ผมเงี่ยหูฟังไอ้ติณที่โน้มตัวมากระซิบใกล้ๆ
“โอกาสมึงมาถึงแล้ว เสียบเลย พี่อู๋กำลังเปลี่ยวไม่มีใครพอดี”
“เสียบเหี้ยอะไร มึงรู้หรือยังว่าเขาเอาเด็กกำพร้ามาเลี้ยงในบ้าน?”
“รู้ แต่ก็แค่รับมาเลี้ยงหรือเปล่า? กูได้ยินว่าน้องชายพี่อู๋ฆ่าตัวตายเมื่อปีก่อน คงเอามาเลี้ยงแทนน้องแหละ ไม่น่าจะมีอะไร”
“คิดเองเออเองเก่งจังเลยนะมึงอ่ะ”

ผมเบะปากใส่ติณ แต่ยอมรับว่าลึกๆก็เริ่มคิดถึงคนในฝันที่ทำได้แค่ฝันเหมือนกัน ผมไม่ได้ชอบพี่อู๋ถึงขนาดอยากได้เป็นแฟนหรืออยากมีตัวตนในชีวิตของเขาขนาดนั้น พี่อู๋ก็แค่พี่โชนในโลกส่วนตัวของผม ต่างกันที่เขาจะไม่มีวันเป็นความจริงเพราะผมต้องการเก็บพี่อู๋ไว้ปลื้มอยู่อย่างนั้น ไม่อยากทำลายภาพจำดีๆที่เคยมีต่อเขา แม้ว่าตอนนี้หมูพีจะสาปส่งพี่อู๋จนผมระแคะระคายก็เถอะ แต่ให้เข้าไปแทรกกลางคงเป็นไปไม่ได้ พี่อู๋ควรเป็นแค่คนในฝัน ไม่ควรออกมาเพ่นพ่านเป็นขี้เมาหรือขี้เอาในชีวิตจริงของสิปปกรเด็ดขาด

 บทสนทนาเริ่มติดลมมากขึ้นเมื่ออาหารทยอยเสิร์ฟ พวกเราแทบไม่สนใจบ่าวสาวในงานเลยเพราะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนๆน่าสนใจมากกว่าเยอะ ทุกคนอาจจะเมินเฉยชวินทร์ได้เพราะเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ แต่สำหรับแฟนเก่าอย่างผมแล้วการต้องเห็นคนที่เราเคยรักได้ลงเอยกับคนอื่นมันเจ็บปวดใจแทบบ้า ขอบตาร้อนผ่าวไปหมดแค่เห็นพรีเซนเทชั่นแต่งงานของทั้งสองคน ในขณะที่ชวินทร์หันไปส่งยิ้มให้ภรรยา เขาจะจำได้บ้างไหมว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมองกันด้วยแววตาแบบนั้น ผมไม่แปลกใจที่วินแต่งงานกับผู้หญิงเพราะรู้ว่าเขาไม่ใช่เกย์ เขาเป็นไบเซ็กส์ชวลที่อยากลองคบผู้ชายดูซักครั้ง และจังหวะนั้นนายสิปปกรก็แค่ผ่านมาพอดี เราก็แค่คุยกันถูกคอ แค่รู้สึกอยากอยู่ด้วยกันในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อชวินทร์ใช้ชีวิตไปซักระยะก็ตกตะกอนได้ว่าจริงๆแล้วเป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร

ชวินทร์แค่อยากเป็นผู้ชายธรรมดา

เขาอยากมีชีวิตตามสูตรสำเร็จของสังคม เขาอยากเรียนจบปริญญาเอก มีงานประจำดีๆ แต่งงานกับผู้หญิงตระกูลใหญ่โตซักคน จากนั้นก็มีลูก เฝ้ามองเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่และเข้าสู่วัยเกษียณโดยมีความสำเร็จของลูกๆเป็นเครื่องปลอบประโลมจิตใจวนไป ชวินทร์ใฝ่หาชีวิตแบบนี้ในขณะที่สิปปกรไม่สามารถให้เขาได้ นอกจากจะไม่มีมดลูกแล้ว ทัศนคติในการดำรงชีวิตของเราก็ต่างกัน ไม่แปลกที่ชวินทร์ไม่อยากเสียเวลาคบกับผมต่อ และก็ไม่แปลกที่ผมจะเสียใจ หรือรู้สึกรับไม่ได้เมื่อต้องคิดถึงเรื่องราวของเราอีกครั้ง

“จะไปไหนอีกวะ?”

ติณณภพถามเมื่อผมลุกขึ้นพรวดพราดอีกหน คราวนี้ผมไม่ต้องการไปห้องน้ำแล้ว การล้างหน้าและจ้องตาตัวเองในกระจกไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ผมคิดถึงแค่น้องหรี่ในกระเป๋ากางเกง ในเวลาเฮงซวยแบบนี้จะหนีไปไหนพ้นถ้าไม่ใช้บุหรี่เป็นตัวช่วย

“เออ รีบไปรีบมาก็แล้วกัน”

ผมพยักหน้ารับและก้าวเท้าออกจากห้องเลี้ยงตรงดิ่งไปยังชั้นล่างของโรงแรมอย่างรวดเร็ว หลังจากเดินออกมาไกลจากความวุ่นวายได้พอสมควร ผมก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เสียงไฟดัง แชะ! ขึ้นหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิมเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผลอหยิบไฟแช็กอันเก่ามาใช้

“ถ้าไม่รังเกียจ ยืมของผมก็ได้นะครับ”

เสียงผู้ชายเรียกให้ผมที่กำลังหัวเสียต้องหมุนตัวมอง ชายแปลกหน้าในชุดสูทสีกรมท่าชวนให้ประหลาดใจนิดหน่อยเพราะตอนแรกที่เดินมาแถวนี้ไม่มีวี่แววของแขกเลยซักคน ผมขานรับเบาๆในลำคอเป็นการตอบรับคำเชิญก่อนจะรับไฟแช็กมาจุดแล้วเริ่มอัดควันเข้าปอดตามที่ต้องการ ไม่ว่าหมอนี่จะเป็นใครหรือมาจากไหน แค่หยิบยื่นน้ำใจด้วยการจุดบุหรี่ให้ก็ถือว่าเป็นคนดีใช้ได้

“ผมเห็นหน้าคุณดูเครียดๆ” ชายแปลกหน้าชวนคุย “มางานแต่งเพื่อนเหรอครับ?”
“ไม่เชิงเพื่อนครับ มันค่อนข้างอธิบายยาก”

ผมตอบพลางพ่นควันขึ้นไปบนอากาศ แม้จะงุนงงนิดหน่อยว่าหมอนั่นจะสาระแนอะไรกับสีหน้าของคนอกหัก แต่เห็นแก่ไฟแช็กที่ทำให้ได้สูบบุหรี่แก้เซ็ง ผมจะปล่อยผ่านไปก็แล้วกัน

“เป็นคนรู้จักฝ่ายไหนของบ่าวสาวเหรอครับ?”
“เจ้าบ่าวครับ”
“คุณคงเป็นเพื่อนเขา”
“เปล่าครับ” ผมเหยียดยิ้ม “เป็นแฟนเก่า”
“แฟน?”
“ครับ เราเคยเดทกัน ก็แค่สองสามปี ไม่นานหรอก”

ชายแปลกหน้าอ้าปากค้างทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ไม่กี่วินาทีเขาก็ยิ้มกว้าง แสดงรอยยิ้มออกมาราวกับได้ยินข่าวดีนักหนา ผมงุนงงไม่เข้าใจสีหน้าและท่าทางนั้น คิดเอาเองว่าหมอนี่อาจจะเป็นใครซักคนที่ชังน้ำหน้าชวินทร์ ถึงจะไม่อยากรื้อฟื้นถึงความทรงจำเก่าๆที่ทำให้คิดมาก แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้แขกในงานซักคนรู้ว่าชวินทร์เป็นไบ มันเคยนอนกับผมตั้งหลายหน แถมยังเป็นลูกแหง่ติดแม่ที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรเพื่อตัวเองด้วย

“คุณล่ะ?” ผมถามบ้าง ชายคนนั้นชี้นิ้วงงๆมาที่ตัวเองก่อนจะยิ้มราวกับกำลังรอให้ถามกลับอยู่นานแล้ว
“ผมเป็นแฟนเก่าเจ้าสาวครับ”
“ดีครับ ดี”

ผมหัวเราะจนผู้ชายคนนั้นหลุดยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล แม้จะไม่รู้จักชื่อแซ่แต่เราก็ยืนคุยกันเป็นวรรคเป็นเวร เราคุยกันเรื่องอาหารในงาน คุยเรื่องชุดเจ้าสาวที่ใส่แล้วดูป่องๆเหมือนท้องโต คุยเรื่องพรีเซนเทชั่นที่เปิดในงานว่าเป็นจริงกี่เปอร์เซ็นต์ ตอแหลกี่เปอร์เซ็นต์ เราคุยสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอให้บุหรี่มอด หลังจากที่มาลโบโร่หมดไปหนึ่งมวน ผมก็หยิบมวนที่สองขึ้นมาจุดด้วยไฟแช็กของคนแปลกหน้า แล้วเราก็คุยต่อโดยไม่สนเลยว่าบ่าวสาวจะคิดอย่างไรถ้าหากไม่เห็นเราในงาน

“เอาหน่อยไหม?” ผมถามพลางล้วงซองบุหรี่ออกมาให้เพื่อนใหม่ที่เอาแต่ยืนมองผมสูบทว่ากลับไม่มีของตัวเองซักมวน “ย้อมใจ สบายปอด”
“ผมไม่สูบบุหรี่ครับ”
“แล้วคุณพกไฟแช็กทำไม?”
“พกเผื่อไว้เฉยๆ เผื่อเจอคนสูบหนักแบบคุณ”
“ก็ไม่หนักเท่าไหร่หรอก นิดหน่อยเอง”
“แต่ปากคุณไม่เหมือนคนสูบบุหรี่เลย”
“จริงเหรอ? ทำไมล่ะ?”
“ปากคุณสีแดง” หมอนั่นว่าพลางใช้นิ้วแตะปากตัวเองเบาๆ “แดงกว่าผมอีก”

ผมยู่ปากก่อนจะส่ายหน้าไปมาเพราะไม่เข้าใจว่าเรื่องสีปากมาอยู่ในหัวข้อสนทนาได้ยังไง หลังจากที่บุหรี่มวนที่สองหมดลง โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นเบาๆเป็นสัญญาณเตือนว่าผมควรรีบกลับเข้าร่วมงานก่อนที่ติณณภพจะหัวเสียเพราะบทสนทนาโอ้อวดบนโต๊ะอาหารแน่ๆ

“อ่า เพื่อนผมโทรตามแล้ว”
“น่าเสียดายจัง” ชายคนนั้นพึมพำ ผมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความงงว่ามันมีอะไรน่าเสียดายนอกจากการไม่ได้ชกปากไอ้ชวินทร์กลางงานแต่งอีกงั้นเหรอ
“เสียดายอะไรครับ?”
“เราคุยกันตั้งนาน แต่คุณไม่ยอมบอกชื่อตัวเองเลย”
“ทำไมต้องบอกด้วยล่ะ?”

ผมหัวเราะพลางหยิบกระดาษทิชชู่มาห่อก้นบุหรี่เพื่อเก็บกลับบ้าน คนแปลกหน้ามองพฤติกรรมประหลาดของนายสิปปกรจนผมต้องยักไหล่และบอกเขาว่าไม่มีอะไร ผมแค่คนเพี้ยนๆที่มีงานอดิเรกพิลึกนิดหน่อย ผมสะสมก้นบุหรี่ที่ตัวเองสูบน่ะ

“มันไม่สำคัญหรอก” ผมย้ำเขาอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าอย่าใส่ใจพฤติกรรมนี้เลย มันเป็นเรื่องส่วนตัว
“คุณจะไม่บอกชื่อตัวเองจริงๆเหรอ?”
“คุณนี่ประหลาดจริง เอาแต่เซ้าซี้ขอชื่อผมแต่ไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร”
“งั้นผมแนะนำตัวเองก่อนก็ได้ ผมชื่อภูนะครับ ภูที่สะกดด้วยภอสำเภา ไม่ใช่พอพาน” หมอนั่นว่าก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมา “ขอเบอร์โทรศัพท์ของคุณหน่อยได้ไหมครับ?”
“เอาไปทำไม?”
“เผื่ออยากชวนไปกินข้าว”

ผมร้อง ฮะ? ด้วยความแปลกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกชายแปลกหน้าขอเบอร์ ผมยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเกือบนาทีก่อนจะยอมบอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองไปด้วยความงุนงงเพราะโดนคะยั้นคะยอ

“คุณชื่ออะไรครับ?”
“ผมเหรอ?” ผมชี้นิ้วหาตัวเอง “ผมชื่อสอง”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคุณสอง” ชายชื่อภูยิ้มกว้างเป็นเด็กๆเมื่อตอนนี้ได้ทั้งเบอร์โทรศัพท์และรู้จักชื่อของกันและกัน “ผมขอโทรหาคุณสองได้ไหม?”
“ได้สิ แต่ --”
“ปกติคุณทำงานกี่โมงครับ?”
“ผมเป็นฟรีแลนซ์ครับ ผมทำงานที่บ้าน เฮ้ เดี๋ยวสิ --”
“พรุ่งนี้เก้าโมง ผมจะโทรหานะครับ”

ภูพูดทิ้งท้ายก่อนจะโบกมือลาแล้วรีบก้าวเท้าฉับๆกลับเข้าไปในโรงแรม ทิ้งให้ผมยืนงงว่าไอ้มนุษย์ประหลาดเมื่อครู่นั้นคือใคร เชื่อถือได้มากแค่ไหน จะใช่ขายตรงหรือไม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผลอให้เบอร์โทรศัพท์คนแปลกหน้าไปหน้าตาเฉย ปีนี้ทั้งปีผมโดนเพื่อนหลอกไปฟังเรื่อง passive income มาแล้วตั้งสองหน และจะไม่ยอมให้หนที่สามเกิดขึ้นอีกโดยเด็ดขาด

Rrrr

[ไอ้ห่า! จะตัดเค้กแล้วรีบมา!]
“ไอ้ติณ”
[อะไร?]

ผมพูดเว้นวรรคพลางก้าวเท้ากลับเข้าไปในล็อบบี้โรงแรม ระหว่างที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะกลัวโดนชวนไปทำขายตรง ภูที่คิดว่าน่าจะหายไปนานแล้วก็โบกไม้โบกมือให้ผมอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ดูยังไงก็ตีความได้ว่า “มาทำธุรกิจด้วยกันเถอะนะจ๊ะ” เท่านั้น

[เรียกแล้วไม่พูด เป็นห่าอะไรอีกล่ะ]
“มึง”
[อะไร?]

 
“กูว่ากูเจอคนบ้าว่ะ”




TBC


------------------------------------

สวัสดีวันจันทร์ค่ะ ❤
พบกันอีกเช่นเคยนะคะสำหรับวันจันทร์หรรษา นี่เป็นจันทร์สุดท้ายก่อนจะเข้าสู่เดือนธันวาแล้วค่ะ อีกนิดเดียวก็สิ้นปีแล้ว อยากให้ถึงธันวาเร็วๆจัง เราชอบเดือนนั้นมากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนสุดแสนจะน่ารักอีกเช่นเคยนะคะ พอเริ่มเรื่องใหม่ก็ต้องนับหนึ่งใหม่เสมอค่ะ แต่ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ ดีใจที่มีกลุ่มนักอ่านน่ารักๆอย่างพวกคุณจริงๆค่ะ ขอให้มีความสุขตลอดสัปดาห์นี้ และพบกันใหม่จันทร์หน้ากับเรื่องราวของสองและคนขายประกัน 5555555555555555555 บ๊ายบายค่า ❤
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [1] 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 25-11-2019 22:31:28
คนเรามันก็ต้องมีประสบการณ์ไม่ดีกับความรักสักครั้งสองครั้งแหละ
อยู่ที่ใครจะรับมือได้ดีกว่ากัน
สองก็เนื้อหอมไม่เบานะ มีหนุ่มเข้าหาอีกแล้ว
อย่ากลัวที่จะรัก พุ่งชนไปเลย

ปล.คิดถึงนักเขียนอีกคนชื่อคุณlykra ใช้ฉากมหาลัยนี้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [1] 25/11/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 25-11-2019 23:12:48
คนเราเนี่ยนะฟังความข้างเดียว ก็ตัดสินเขาแล้ว ผสมโรงด่าเขาแล้ว สงสารพี่อู๋ โดนคนอื่นมองเป็นคนที่แย่ไปเลยทั้งที่จริงแล้วใครจะรู้ว่าพี่อู๋ถูกกระทำมาแค่ใหน น่าสงสารแค่ใหน เลิกได้ก็ดีนังหมีพูเนี่ย อุตส่าห์แอบเห็นใจแล้วแท้ๆ  :katai1:
ป.ล.เปิดตัวพระเอกแล้วใช่มั้ยคะะ 555 ภูคนแปลก ออกมาฉากเดียวแต่ดาเมจแรงมาก
ส่วนวินนี่ก็จิตใจทำด้วยอะไรกล้ามากที่จะร่อนการ์ดมาหาสอง
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-12-2019 21:53:41
2 [PART 1/3]


2


แฟนเก่าก็เหมือนเสี้ยนที่ตำอยู่ในเนื้อ เป็นหนามแหลมๆกวนใจทุกครั้งเวลาสัมผัสหรือเผลอแตะมันโดยไม่รู้ตัว หากปล่อยเสี้ยนให้ฝังในเนื้อไว้ซักพักเราอาจคุ้นชินจนเกือบลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่ง ไอ้เสี้ยน เฮงซวยนี่มันทำให้คุณเจ็บแสบมากแค่ไหน ดังนั้นทางเดียวที่จะหลุดพ้นคือต้องดึงเสี้ยนออก ต่อให้ต้องคว้านเนื้อ หรือเข้าผ่าตัดใหญ่ถึงขั้นดมยาสลบ ผมก็จะเอาเสี้ยนบ้านี่ออก ผมจะเอาชวินทร์ออกไปจากชีวิตเพราะตอนนี้ –

ผมกลายเป็นน้ำหนึ่งสาขาสองอีกแล้ว

เมื่อคืนหลังเสร็จพิธีการ ติณณภพขับรถไปส่งที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง เราล่ำลากันด้วยถ้อยคำสั้นๆเป็นการทวงบทความที่ต้องอัปเดตก่อนพรุ่งนี้ตอนค่ำ ผมพยักหน้าและให้สัญญาว่าจะอัปตรงเวลาแน่นอน สิปปกรไม่ทำให้งานเสียหรอก ต่อให้ชอกช้ำจะเป็นจะตายก็ไม่มีวันทิ้งงานตัวเองเด็ดขาด ติณณภพหัวเราะขำเมื่อเห็นท่าทีหงอยเหงาของสิปปกรก่อนจะเปลี่ยนใจไม่กลับบ้านตอนนี้ แต่เอ่ยปากชวนให้ดื่มด้วยกันในโซนคาเฟ่ชั้นหนึ่งของร้าน

“น่า นิดเดียว”

ติณว่าพลางเปิดประตูหน้าร้านพร้อมกับควานหาสวิตช์ไฟตรงผนัง มันสั่งให้ผมเปิดแอร์และทำตัวตามสบายก่อนจะหายหัวไปยังชั้นสองซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัวของคุณเจ้าของร้านแล้วกลับมาพร้อมเหล้าหนึ่งขวด แก้วสองใบ ส่วนโซดาและน้ำแข็งมีอยู่ตรงชั้นหนึ่งของร้าน

“แพงไปหรือเปล่าวะ?”
“ไม่หรอก” ติณณภพว่าพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “มึงอาจจะต้องการยาชา”
“ยาชาเหี้ยอะไรอยู่ในขวดเหล้า”
“ใช่ เหล้านี่แหละที่จะทำให้มึงหายเจ็บไปซักพักนึง” ติณยิ้มมุมปาก “แต่แค่คืนเดียวนะ เพราะพรุ่งนี้มึงต้องตื่นขึ้นมาปวดตุบๆที่หัวใจต่อ”
“มึงควรเขียนหนังสือขายนะ เดี๋ยวนี้พวกเรื่องสั้นเจ็บๆคันๆที่ชอบประชดประชันผู้ชายขายดีเป็นบ้า ดูสิ ติดเบสท์เซลเลอร์ตั้งสองสามเล่ม”
“ทำไมวะ? มึงไม่ชอบเหรอ? มึงเองก็เคยตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นนี่”
“เลิกคือเลิก ทำไมต้องพูดมาก ต้องร่ายยาวว่ามึงเจ็บปวดอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยวะ” ผมแค่นหัวเราะในลำคอ ไม่ปฏิเสธคำชวนเมื่อติณยื่นแก้วเหล้ามาตรงหน้า “พวกมนุษย์นี่ยังไง ชอบตอกย้ำแผลของตัวเองด้วยหนังสือพวกนั้นเหลือเกิน”
“พูดเหมือนเคยอ่าน”
“แหงสิ เบสท์เซลเลอร์ของร้าน กูก็ต้องอ่านเพื่อเอามาจัดอีเวนท์หรือเปล่า”
“นี่ขนาดมึงไม่ชอบแต่วันนั้นลูกค้ายังแน่นร้าน แถมหนังสือทั้งสองเล่มก็หมดเกลี้ยง พลังของการอวยจริงๆ” ไอ้ติณเอ่ยปากชม
“อวยห่าอะไรล่ะ กูแค่ตัดคำโปรยเจ็บๆในเรื่องมาเรียกลูกค้าเท่านั้นแหละ อะไรที่เกี่ยวกับความรัก มนุษย์จะอ่อนไหวมากกว่าปกติเสมอ”
“เพราะความรักคือส่วนหนึ่งของการมีชีวิตไง” ติณว่า “แต่บางคนมันก็ไม่รู้ตัว ไม่เคยรู้เหี้ยอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองเลย”
“กูพูดจริงๆนะติณ มึงควรเขียนหนังสือขาย มันต้องรุ่งกว่าการเป็นเจ้าของกู้ด รี้ดดิ้งแน่ๆ”

ผมหัวเราะก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ รสชาติขมปร่าของแอลกอฮอล์ยังคงไม่น่าประทับใจเหมือนเคย ปกติผมไม่ใช่คนชอบดื่มเพราะรู้ว่าอาการแฮงค์ตอนเช้านั้นทรมานขนาดนั้น ผมมักจะปวดหัวคลื่นไส้ บางทีก็ท้องเสียทั้งๆที่ไม่ได้กินอะไรผิดสำแดง ทว่าคืนนี้ผมกลับกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้ว ยอมดื่มของเหลวที่ตัวเองไม่ชอบเพราะหวังผลข้างเคียงของแอลกอฮอล์ หวังว่ามันจะทำให้ลืมความเสียใจชั่วครู่ชั่วยาม ส่วนพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาเป็นยังไงก็ช่างเถอะ แค่ผ่านคืนเฮงซวยนี้ไปได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

เมื่อเริ่มเข้าสู่แก้วที่สามก็เริ่มชาสมใจอยาก ผมลืมทุกอย่างชั่วขณะ ลืมว่าเพิ่งกลับจากงานแต่งของชวินทร์ ลืมว่าเคยรู้สึกแย่กับบทสนทนาที่เกิดบนโต๊ะอาหารขนาดไหน ผมปรับทุกข์ให้ติณฟังถึงชีวิตตกมาตรฐานของตัวเอง ในขณะที่เพื่อนทุกคนต่างได้ดิบได้ดี ทำไมผมจึงเป็นคนเดียวที่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนพวกเขา ติณบอกว่าคนเรามีเส้นทางที่ต่างกันออกไป ถึงเพื่อนคนอื่นจะไปได้ดีในสายอาชีพที่ตัวเองเลือก แต่หากถามมันว่าใครมีพรสวรรค์ด้านการแปลมากที่สุดในรุ่นของ ติณณภพก็จะตอบว่าคนคนนั้นคือสิปปกร

“มึงเก่งมากๆแล้วสอง มึงเก่งที่สุดในรุ่นเราแล้ว”

ติณรินเหล้าให้อีกแก้วพร้อมกับรับฟังผมพร่ำเพ้ออะไรไม่รู้ไร้สาระ ปกติผมไม่ใช่คนชอบพูดเรื่องแบบนี้ แต่พอคนเราเมา มันก็มันจะพรั่งพรูสิ่งที่ติดค้างในใจออกมาโดยไม่ไตร่ตรอง คืนนั้นผมจำไม่ได้เลยว่าพูดอะไรกับติณบ้าง จำได้แค่ว่าร้องไห้เยอะมาก พร่ำเพ้อพรรณนาเหมือนน้ำหนึ่งว่าเสียใจแค่ไหนที่คนสวมชุดสีขาวในงานแต่งงานไม่ใช่ตัวเอง แถมยังเพ้อไปเรื่อย เล่าเรื่องส่วนตัวที่ไม่เคยบอกใครให้ติณฟังด้วยความเจ็บช้ำ ผมบ่นน้ำหนึ่ง บ่นพ่อกับแม่ บ่นถึงความสัมพันธ์ห่าเหวที่ไม่มีอะไรดีนอกจากการอยู่ด้วยกันเพื่อหลอกยายน้ำหนึ่งว่าบ้านของเรายังอบอุ่นดี

“ความสัมพันธ์แม่งเหี้ย” ผมสูดน้ำมูกเมื่อนึกถึงตอนนอนกอดชวินทร์บนเตียงหลังใหญ่ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสินสอดของทั้งคู่ไปแล้ว “แต่เหี้ยกว่าคือไอ้ลูกแหง่วิน กูอุตส่าห์ไม่นึกถึงมันแล้ว เสือกสาระแนส่งการ์ดเชิญมา”
“แล้วมึงไปทำไม?”
“เพราะกูคิดถึงมันไง!”

บางทีผมก็คิดว่าติณณภพโกหกเพราะเหล้าไม่ใช่ยาชาที่ดีเท่าไหร่ เอาเป็นว่าคืนนั้นผมเจ็บเจียนตาย เจ็บเหมือนคืนที่ความสัมพันธ์ไร้สถานะจบลงไม่มีผิด ผมรู้ตัวว่าตะโกนเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดก่อนที่ทุกอย่างจะหมุนคว้าง และกลายเป็นยิ่งกว่าเข็มแหลมๆนับพันเล่มที่คอยทิ่มแทงเนื้อหนังเมื่อตื่นนอนในเช้าวันถัดมาเพราะเสียงเพลงที่เปิดคลอในร้านหนังสือ


A long, long time ago
(ครั้งหนึ่งเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว)
On graduation day
(ในวันจบการศึกษา)
You handed me your book
(เธอส่งสมุดของเธอมาให้)
I signed this way
(ฉันจึงเขียนลงไปว่า)
Roses are red, my love
(ดอกกุหลาบสีแดง)
Violets are blue
(ดอกไวโอเล็ตสีม่วง)
Sugar is sweet, my love
(ที่รัก น้ำตาลนั้นหวานก็จริง)
But not as sweet as you.
(แต่ไม่หวานเท่าคุณหรอก)


เพลงของ บ็อบบี้ วินตัน รบกวนโสตประสาทแต่เช้า ส่วนผมนอนแผ่หลาบนเตียงไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอยู่นาน ตาเหม่อมองเพดาน ฟังเพลงโปรดที่ทำให้หวนนึกถึงวันเก่าๆไปเรื่อยๆ แม้ลำคอจะแห้งผากและตีบตันไปด้วยก้อนเหนียวๆของความรู้สึก แต่ผมก็ยังนอนนิ่งอยู่ท่าเดิมเพื่อฟังเพลงนี้ให้จบ


Then I went far away
(หลังจากนั้นฉันก็เดินทางไปไกลแสนไกล)
And you found someone new
(และเธอได้พบคนใหม่)
I read your letter, dear
(ฉันได้อ่านจดหมายของเธอนะที่รัก)
And I wrote back to you
(และก็เขียนตอบเธอไปว่า)
Roses are red, my love
(ดอกกุหลาบสีแดง)
Violets are blue
(ดอกไวโอเล็ตสีม่วง)
Sugar is sweet, my love
(ส่วนน้ำตาลนั้นหวาน ที่รัก)
Good luck, may god bless you
(หวังว่าเธอจะโชคดี ขอพระเจ้าอวยพร)


ถ้าไม่ติดว่าแฮงค์ ผมอยากจะเดินลงไปชั้นล่างแล้วตบหัวไอ้ติณโทษฐานที่จงใจเปิดเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่ชวินทร์เคยเขียนบางส่วนของเนื้อร้องให้ผมในวันรับปริญญา ภาพดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่กับการ์ดยังคงเด่นชัดในความทรงจำ ผมแทบสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ สีแดงสดของกุหลาบ และเศษเสี้ยวความทรงจำที่ฉายเด่นชัดไม่ได้ถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา

“ผีห่าอะไรแต่เช้า”

ผมพึมพำเมื่อเพลงพิเศษจบลงก่อนจะตามมาด้วยเพลงอะคูสติกที่ร้านชอบเปิดเป็นประจำ ติณณภพแกล้งกันชัดๆ ปกติเสียงจากร้านหนังสือไม่เคยดังขึ้นมาถึงชั้นสาม แต่เพลง Roses are red นั้นกลับดังเป็นพิเศษก่อนที่ระดับความดังของเสียงจะลดลงเมื่อเริ่มเล่นเพลงถัดไป

“จักรยานมึงล้อแบนแน่” ผมพูดลอดไรฟัน “รอกูหายแฮงค์ก่อนเถอะ จะถอดล้อไปขายซาเล้ง ไอ้เพื่อนเหี้ย”

นายสิปปกรในวัยขึ้นเลขสามถอนหายใจยาวก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งและเดินไปริมหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่เริ่มเทตัวลงมา ผมชอบความหนาว ชอบมากพอๆกับเพลงแนวโอลดี้โกลด์ดี้และนิยายของนักเขียนสตรีที่ชื่อมาร์กาเร็ต ไม่ว่าจะเป็น เมอเกอริต ดูราส มาร์กาเร็ต แอ็ดวูด มาร์กาเร็ต มาซซานตินี คิดดูสิว่าผมชอบฝนมากแค่ไหน ความชอบนั้นมากพอๆกับที่สรรเสริญนักเขียนสตรีทั้งสามคน ผมตกหลุมรักฤดูฝนมากกว่าที่ใครจะคาดเดาได้

หลังยืนทำตัวหว่องๆอยู่ริมหน้าต่างอยู่นาน ผมก็ถือผ้าขนหนูเข้าห้องอาบน้ำเพื่อโกนหนวด แปรงฟัน และทำกิจวัตรประจำวันโดยไม่รีบร้อน ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อย ดังนั้นผมจึงยืนนิ่ง ปล่อยให้สายน้ำอุ่นๆจากฝักบัวนวดตัวนานเกือบครึ่งชั่วโมง ทุกครั้งที่มีเรื่องเครียดหรือเรื่องไม่สบายใจ ผมจะเปิดน้ำแรงๆและเร่งอุณหภูมิให้ร้อนมากๆเพราะมันช่วยผ่อนคลายได้ดี ผมเคยคิดจะซื้ออ่างอาบน้ำอยู่สองสามหนเมื่อติณณภพอนุญาต แต่ความคิดนั้นต้องเก็บพับไปเมื่อเงินส่วนหนึ่งที่เพิ่งได้เป็นค่าลิขสิทธิ์งานแปลถูกแบ่งเอาไปช่วยจุนเจือที่บ้าน

“พ่อน่ะ เอาเงินไปลงทุนซื้อของมาขายแต่ดันขายไม่ค่อยดี” แม่บอกผ่านทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “อันที่จริงพ่อก็ไม่ได้เรียกร้องหรอกแต่แม่สงสาร อายุจะหกสิบแล้วดันมีหนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งก้อน”
“แล้วไง?”

ผมถามอย่างขอไปทีเพราะรู้ว่าหลังจากนี้แม่จะพูดอะไร แม่จะขอให้ผมช่วยพ่อด้วยการออกเงินใช้หนี้ให้ แม้พ่อสัญญาว่าจะผ่อนต่อด้วยเงินเดือนตัวเองโดยไม่ทำให้ที่บ้านเดือดร้อน แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าการช่วยคนที่ฝันอย่างแรงกล้าว่าอยากเป็นนายตัวเองแต่สอบตกเรื่องกลยุทธทางธุรกิจคือทางเลือกที่ดี

“แม่แน่ใจเหรอว่าพ่อจะหยุดอยู่แค่นี้? สองพูดกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำ อย่าทำ มันเป็นธุรกิจขายตรง มันไม่ใช่ซื้อมาขายไปแต่ต้องหาเครือข่ายถึงจะอยู่รอด สองพูดจนเหนื่อยแล้ว เตือนก็แล้วแต่พ่อไม่ฟัง มาตอนนี้แม่จะให้สองช่วยใช้หนี้ แม่ไม่สงสารสองบ้างเหรอ?”

แม่เงียบ ไม่ได้ตอบคำยอกย้อนของผมอย่างเช่นทุกที ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนปากร้าย แต่ทุกอย่างที่พูดก็เพราะน้อยใจที่ต้องคอยตามล้างตามเช็ดหนี้สินที่เกิดจากเรื่องไร้สาระอย่างธุรกิจขายตรง ผู้ชายที่หยิบจับอะไรก็เจ๊งไม่เป็นท่า แถมยังใช้เงินเหมือนกระดาษแบบนั้นไม่ควรเริ่มธุรกิจเลยด้วยซ้ำ พ่อฟังพวกไลฟ์โค้ชมากเกินไป ไอ้พวกนั้นมันก็ขายฝันว่าเราต้องเป็นนายตัวเอง ต้องทำธุรกิจของตัวเองถึงจะรวย แล้วมันมีซักกี่เปอร์เซ็นต์เชียวที่อยู่รอดเกินสองปี ยิ่งธุรกิจขายตรงที่ต้องหาลูกข่ายด้วยแล้ว คนที่พูดจาหว่านล้อมใครไม่เป็นแบบพ่อจะหาสมาชิกมาจากไหนนอกจากแม่ น้ำหนึ่ง และผมเท่านั้น

“บางทีสองก็น้อยใจนะที่พ่อกับแม่ไม่ฟังสองเลย พอขาดทุน ติดลบเมื่อไหร่ก็โทรมาขอให้ช่วยเหมือนสองไม่ต้องกินต้องใช้”
“ก็น้ำหนึ่งไม่มีงานทำ มันต้องเลี้ยงลูกอยู่กับผัว แต่สองตัวคนเดียว บ้านก็ไม่ต้องเช่า สองไม่มีภาระ --”
“ไม่มีอะไรล่ะ อยู่ร้านไอ้ติณก็ใช่ว่าจะอยู่ฟรี ค่าน้ำค่าไฟค่าเน็ตสองก็ต้องช่วยจ่ายนะแม่!”

ผมโวยวายเสียงดัง เป็นอีกครั้งที่เราทะเลาะกันเรื่องนี้เพราะพ่อกับแม่ไม่เคยคิดว่าผมต้องใช้ชีวิตของตัวเองบ้างเลย ต่อให้ผมไม่มีแฟน ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกให้เป็นบ่วงผูกคอ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมสามารถจุนเจือทุกคนได้นะ

“งั้นก็ไม่เป็นไร ไม่มีก็ไม่มี เดี๋ยวแม่กู้มาจ่ายให้พ่อมึงเอง”

แล้วแม่ก็วางสายไป ทิ้งให้ผมรู้สึกผิดที่ทำให้แม่ต้องเป็นหนี้เพราะความไม่เอาไหนของพ่ออีกครั้ง ตั้งแต่เรียนจบมา แทนที่พ่อจะคิดได้ว่าควรใช้ชีวิตให้สบายที่สุดแทนการสร้างหนี้ แต่พ่อกลับทำให้ผมต้องแบ่งเงินไปช่วยร่วมแสนแล้ว หลายต่อหลายครั้งที่ผมโมโหและโกรธจนร้องไห้ ทว่าคำว่าครอบครัวมันค้ำคอจนพูดไม่ได้เหมือนน้ำท่วมปาก กว่าผมจะเรียนจบปริญญา พ่อกับแม่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดเหมือนกัน ยิ่งลูกสาวคนโตไม่เอาไหน เรียนก็ไม่จบ แถมยังท้องป่องกลับบ้านจนพึ่งพาไม่ได้ ทุกคนถึงได้เอาความหวังมาลงที่ผมซึ่งได้รับโอกาสทางการศึกษามากกว่าใคร ถ้าผมมีเงินหรือมีรายรับเดือนละแสน แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องขี้ปะติ๋วมากๆ แต่ตอนนี้ผมเองก็เดือดร้อน ในสภาพเศรษฐกิจที่บริหารโดยรัฐบาลเฮงซวยแบบนี้จะเอาตัวเองให้รอดยังเหนื่อย นี่ยังมีหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อเพิ่มมาอีก จะให้ผมเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกันได้ยังไง
ผมกับแม่ไม่ได้คุยกันอีกเลยประมาณหนึ่งสัปดาห์ มีแค่พ่อที่โทรมาหาเพื่อบอกว่าไม่ต้องช่วยหรอก มันเป็นความผิดของพ่อเองที่ประมาท หลงไปกับคำพูดกล่อมประสาทของพวกไลฟ์โค้ชหลอกแดก พ่อเอาแต่โทษตัวเองเหมือนสำนึกผิดจนผมรู้สึกแย่ สุดท้ายก็ตกลงรับปากว่าจะใช้หนี้ก้อนนี้ให้ แต่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ หากคราวหน้ามีอีกผมจะไม่ช่วยเพราะถือว่าเตือนแล้ว

“แกนี่มันลูกบังเกิดเกล้าของพ่อแม่จริงๆ”

น้ำหนึ่งว่า ซึ่งผมก็คิดเหมือนกัน เราสามคนพ่อแม่ลูกอาจจะมีการปะทะฝีปากกันบ้างทว่าสุดท้ายผมจะอ่อนข้อให้และมอบทุกอย่างที่มีให้พ่อกับแม่ ผมบอกตัวเองว่านี่คือครั้งสุดท้ายมาสองหนแล้ว หวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆที่ต้องแบ่งเงินส่วนตัวไปใช้หนี้ให้ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นผมคงแก่ตัวไปแบบไม่มีเงินเก็บแน่ๆ

ผมคิดนั่นคิดนี่เรื่อยเปื่อยระหว่างปล่อยให้น้ำร้อนไหลผ่านร่างกาย จากเรื่องของชวินทร์ก็กลายเป็นเรื่องอ่างอาบน้ำ เรื่องหนี้จากธุรกิจขายตรงของพ่อ เรื่องชีวิตอาภัพของแม่และน้ำหนึ่ง จนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“ใครอีกวะ?”

ผมขมวดคิ้วสงสัยก่อนจะปิดฝักบัวแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวมาคลุมช่วงเอว สองขาก้าวเดินออกจากห้องน้ำอย่างไม่เร่งรีบราวกับรู้อยู่แล้วว่าใครโทรมา และเมื่อเห็นหน้าจอสมาร์ทโฟนที่กำลังสว่างวาบ ผมก็ถอนหายใจเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาไม่ใช่ใครแต่เป็น --

ตี๋ขายตรง(ห้ามรับ!!!!)

ผมปล่อยให้โทรศัพท์ดังแบบนั้นอีกสี่ห้าสายโดยไม่สนใจจะกดรับนอกจากยืนเช็ดผมอยู่หน้ากระจกด้วย เสียงริงโทนมาริมบายังคงดังแบบนั้นไปเรื่อยๆเกือบห้านาทีก่อนที่โทรศัพท์จะเงียบลงอย่างที่ควรจะ --

Rrrrr

 ผมหน้าหงิกทันทีเมื่อริงโทนดังขึ้นอีกครั้งจนเผลอกระแทกโรลออนบนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างหัวเสีย ผมสไลด์หน้าจออย่างรวดเร็วพร้อมกับกรอกเสียงลงไปว่า “ฮัลโหล!” แล้วก็ต้องชะงักเมื่อปลายสายกลับร้องห่มร้องไห้แทนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวให้ไปขายผงซักฟอกด้วยกันอย่างเช่นทุกที

“อะไรของพี่เนี่ยน้ำหนึ่ง?”

ผมถามด้วยความตกใจ ตั้งท่าจะเอ่ยปากรัวคำถามใส่พี่สาวว่าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา แต่เสียงร้องหวีดแหลมแสบหูของเด็กก็ทำให้ตัดสินใจพับเก็บคำพูดนั้นลงคอ
 
“พี่จะเป็นบ้าตายแล้วสอง เปเปอร์ไข้ขึ้นสูงมาก ร้องทั้งคืนไม่ยอมนอนเลย”
“บอกผัวพี่สิ”
“พี่ปั๊ปไม่อยู่ เขาไปฉะเชิงเทราตั้งแต่วานซืน” น้ำหนึ่งบอกเสียงสั่น มันทั้งแหบทั้งแห้งจนสันนิษฐานได้ว่าน้ำหนึ่งคงยังไม่ได้นอน “วันนี้แกว่างไหม? ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนพี่หน่อย พี่ดูแลเปเปอร์คนเดียวไม่ได้”
“แต่วันนี้สองมีนัด --”
“สอง”
 
พี่สาวอ้อนวอน ผมเงียบชั่วครู่ ไม่ได้นิ่งเพราะตกใจในน้ำเสียงสั่นพร่าเต็มไปด้วยความกลัว แต่เพราะกำลังชั่งน้ำหนักว่าระหว่างลูกค้าที่ต้องดีลงานในเดือนหน้ากับสุขภาพของหลานชายที่อยู่ในภาวะวิกฤติ อะไรสำคัญกว่ากัน

“โอเค เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” ผมกรอกเสียงลงในสาย “เดี๋ยวจะนั่งรถไฟฟ้าไปบ้านพี่ แล้วเราค่อยไปโรงพยาบาลพร้อมกัน”





Part 2 ข้างล่างเลยคับผม  :hao5:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-12-2019 21:55:17
2 [PART 2/3]


จริงอยู่ที่ผมชอบอากาศเย็นแต่คงไม่ใช่สำหรับวันนี้ แอ่งน้ำขังริมถนนทำให้ขากางเกงยีนส์เปียก รองเท้าผ้าใบก็เปียก แม้แต่เสื้อยืดที่สวมอยู่ก็เปียกทว่าผมไม่มีอารมณ์ใส่ใจ น้ำหนึ่งบอกคร่าวๆมาก่อนแล้วว่าเปเปอร์อาการไม่ค่อยดี แต่พอเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วมันแย่ยิ่งกว่านั้น ผมคิดว่าหลานอาจจะต้องแอดมิทในโรงพยาบาล น้ำหนึ่งน่าจะต้องรับภาระหนัก และผมต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวจนกว่าสามีของเธอจะกลับมา

แม้ผมกับเปเปอร์ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีหรือสนิทสนมเท่าไหร่ แต่ผมก็เต็มใจดูแลหลานอย่างไม่อิดออด เราหอบข้าวของไปโรงพยาบาลโดยตกลงกันว่าผมจะช่วยอุ้มหลานให้ ส่วนน้ำหนึ่งถือกระเป๋าเครื่องใช้และสมุดจดบันทึกเพราะต้องทำเรื่องติดต่อแผนกต่างๆ

“เดี๋ยวต้องยื่นบัตรใบนี้” น้ำหนึ่งพึมพำ “เปอร์มีประกันธนาคารของพี่ปั๊บ”

 ผมฟังพี่สาวพูดเสียงเบาในลำคอพร้อมกับอุ้มเจ้าก้อนด้วยเป้เด็กด้านหน้า ผมกอดหลานเอาไว้แนบอก ใช้แผ่นหลังของตัวเองกันละอองฝนไม่ให้กระเซ็นโดนตัวระหว่างรอแท็กซี่ที่เรียกผ่านแอป ขณะนั่งรถไปโรงพยาบาล ผมเริ่มมีความคิดว่าน่าจะหัดขับรถตั้งแต่วันนี้เพื่อดูแลน้ำหนึ่งกับหลานเวลาไม่สบาย ผมมักจะลอยล่องอยู่ในจินตนาการว่าตัวเองมีเหมือนเพื่อนคนอื่นทุกครั้งที่อยู่เงียบๆ วาดฝันและคาดคะเนถึงเรื่องต่างๆที่ยังไม่เกิดขึ้นในโลกส่วนตัวจนติดเป็นนิสัย เมื่อรถแท็กซี่ค่อยๆชะลอความเร็วจนหยุดนิ่งตรงหน้าทางเข้าอาคารของโรงพยาบาล ความคิดเรื่องซื้อรถก็หายไปจากหัวทันทีเพราะมีเรื่องอื่นที่ต้องทำมากกว่าใคร่ครวญว่าจะซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกแบบไหนให้ครอบครัว

เปเปอร์เริ่มไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าที่ควรเมื่อรู้ว่าเราไม่ได้อยู่บ้าน เขาร้องจนหน้าแดงเพราะทรมานจากอาการป่วย ไม่ว่าจะพยายามกล่อมให้นอน หรือแม้แต่น้ำหนึ่งที่เป็นแม่ก็ไม่สามารถทำให้เขาหยุดร้องได้ กว่าเปเปอร์จะกลับสู่สภาวะปกติก็หลังจากที่พยาบาลพ่นยาให้ แล้วหลานชายตัวน้อยก็ไม่แผดเสียงอีกเลย 

“เก่งจังเลย” น้ำหนึ่งจูบกระหม่อมลูกที่นั่งตาแป๋วบนตักของผมโดยมีหน้ากากออกซิเจนครอบอยู่ พอหายใจสะดวกขึ้น เปเปอร์ก็เริ่มสงบลงและมองคุณน้ากับแม่ด้วยความสนใจใคร่รู้ตามประสา “อยู่กับน้าสองก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปจ่ายเงินแล้วจะรีบมา”

ตอนนี้น้ำหนึ่งโตขึ้นมาก เธอเป็นคนละคนกับพี่สาวขี้แยที่เอาแต่ร้องหาความรักเมื่อหลายปีก่อน เธอกลายเป็นคุณแม่ที่ต้องดูแลลูกเพียงลำพังแต่กลับไม่แสดงความเงอะงะงุ่มง่ามออกมาซักนิด น้ำหนึ่งทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว เธอติดต่อพยาบาล พบหมอ และถามวิธีดูแลลูกชายอย่างละเอียดยิบราวกับกลัวว่าจะขาดตกบกพร่องอะไรไป

ผมได้แต่มองพี่สาวด้วยความรู้สึกต่างจากเดิม นึกชื่นชมความรักของคนเป็นแม่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง เปลี่ยนผู้หญิงรักสนุกให้อยู่ติดบ้าน เปลี่ยนคนใจร้อนให้กลายเป็นอ่อนโยน แม้จะอ่อนโยนกับแค่ลูกตัวเองก็เถอะ ถ้าหากมีใครถามผมว่าความรักที่แท้จริงคืออะไร ผมก็คงตอบแค่ว่าความรักของแม่ เพราะนอกจากสายสัมพันธ์ของแม่และลูกแล้ว ความสัมพันธ์อื่นๆแม่งห่วยแตกสิ้นดี

โชคดีที่หลังพ่นยา เปเปอร์ก็อาการดีขึ้นจนหมออนุญาตให้กลับไปพักต่อที่บ้านได้ น้ำหนึ่งดูโล่งใจเมื่อได้ยินว่าไม่ต้องแอดมิทที่โรงพยาบาลเพราะเธอคงสู้ค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลเอกชนไม่ไหว(แม้ว่าจะมีประกันสุขภาพก็เถอะ) หลังออกจากห้องตรวจ น้ำหนึ่งฝากให้ผมช่วยอุ้มหลานเพื่อไปทำเรื่องจ่ายเงินและรับยา ผมพยักหน้าด้วยความเต็มใจแล้วบอกพี่สาวว่าไม่ต้องกังวล ผมจะรออยู่ตรงตรงทางเดินระหว่างอาคารเพื่อเลี่ยงเครื่องปรับอากาศเย็นๆและดูแลเปอร์เอง

พอน้ำหนึ่งไปทำธุระ หลานตัวน้อยที่อยู่เพียงลำพังกับคุณน้าก็เริ่มลืมตามองสำรวจสิ่งรอบข้าง ดวงตากลมๆเบิกขึ้นมองคนแปลกหน้าที่กำลังอุ้มตัวเองอยู่ ผมมือสั่นอย่างห้ามไม่ได้เพราะคิดว่าอีกไม่กี่วินาทีเจ้าเด็กอ่อนแอคนนี้จะต้องแหกปากร้อง ต้องแผดเสียงแหลมๆดังลั่นไปทั่วทางเดิน แต่ผิดคาด เปเปอร์แค่อ้าปากหาว แล้วก็กวาดตามองรอบๆต่อ ไม่ได้กรีดร้องหาแม่อย่างที่คิด

“ดีมากเปเปอร์” ผมเอ่ยชม “เพราะถ้าเปอร์ร้อง น้าจะวางเปอร์ไว้ในถังขยะในโรงพยาบาลแล้วเดินหนีกลับบ้าน”

ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไหร่ แต่เปเปอร์คือข้อยกเว้น ผมเดินวนไปวนมาตรงทางเชื่อมระหว่างอาคาร แขนซ้ายโอบรัดเป้อุ้ม ส่วนแขนขวาก็ตบหลังเปเปอร์เบาๆเพื่อกล่อมนอน ผมโยกตัวไปพร้อมกับเหม่อมองนอกหน้าต่าง เริ่มหวนคิดถึงเรื่องของตัวเองอีกครั้งเมื่อได้อยู่คนเดียว

“อ้าว คุณสอง สวัสดีครับ”

เสียงปริศนาดึงผมกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่ดูคุ้นตายืนอยู่ไม่ไกลนัก ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหนแต่คนตรงหน้ากลับทำเหมือนว่าเรารู้จักกันเสียอย่างนั้น

“เอ่อ -- ครับ?”
“ผมเกือบจำคุณไม่ได้เพราะแว่น”
“อ๋อ ปกติผมใส่แว่นอยู่แล้วครับ มีบ้างที่ไม่ใส่ แต่ก็ไม่บ่อย”

ผมตอบงงๆเพราะจำได้ว่าไม่มีคนรู้จักคนไหนทักเรื่องแว่นสายตา แถมยังพูดไปยิ้มไปเหมือนคนอารมณ์ดีแบบนี้ คิ้วของผมขมวดมุ่นโดยอัติโนมัติ มือหนึ่งก็ตบเป้อุ้มไปพร้อมกับพยายามนึกว่าเคยเจอคนประหลาดนี่ที่ไหนหรือเปล่า

“คุณ -- จำผมไม่ได้เหรอครับ?”
“จำได้ครับ ขอโทษที พอดีผมนอนน้อยไปหน่อย ก็เลยเบลอๆ”

ขอโทษนะ ต่อให้นอนสิบสองชั่วโมง ผมก็อยากโพล่งถามออกไปว่า --
มึงเป็นใครวะ?

“เจ้าตัวเล็กไม่สบายเหรอครับ? คนสวยหรือคนหล่อเนี่ย?”
 
คนแปลกหน้าถามด้วยเสียงสองเหมือนเวลาที่ทาสหยอกล้อกับลูกแมว ผมค่อนข้างประหลาดใจกับคำที่หมอนั่นใช้เรียกเด็กนิดหน่อย คนสวยหรือคนหล่อเนี่ยนะ? พิลึกคน

“ใส่ชุดสีชมพูแบบนี้ต้องเป็นคนสวยแน่เลย”
“เป็นผู้ชายครับ”
“อ่า อย่างนั้นเหรอ” หมอนั่นหัวเราะแหะๆ “แต่ผู้ชายที่ใส่สีชมพูแล้วดูดีก็มีนะครับ คุณสองไง คุณสองใส่สีชมพูแล้วหล่อมากเลย”

 ถ้ามุขเสี่ยวพวกนี้หลุดออกมาจากปากของคนที่ชอบ ผมคงเขินน่าดู แต่เพราะมันมาจากปากของชายแปลกหน้าที่จำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน ทุกอย่างก็เลยกลายเป็นความอึดอัดกับบรรยากาศกระอักกระอ่วน แม้จะเผลอชักสีหน้าแต่หมอนั่นก็ยังคงยิ้มหวานราวกับว่าไม่รู้สึกกระดากปากกับมุขเสี่ยวๆของตัวเองซักนิด

“สุดหล่อของคุณชื่ออะไรครับ?”
“เปเปอร์ครับ”
“แล้ววันนี้เปเปอร์เป็นอะไรครับ?”
“เป็นหวัดครับ แค่พ่นยาก็ดีขึ้น” ผมตอบ รู้สึกโล่งอกที่อีกฝ่ายถามคำถามทั่วไปแทนที่จะเจาะจงเรื่องของเขา “คุณล่ะ?”
“ผมมาเยี่ยมลูกค้าครับ”

ผมพยักหน้ารับส่งๆก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำว่า ลูกค้า ผมว่าผมจำได้แล้วว่าหมอนี่คือใครเมื่อภาพมืดๆมัวๆในงานแต่งงานของชวินทร์ค่อยๆลอยมาซ้อนทับคนตรงหน้า ผู้ชายตัวที่สูงพอๆกับผมซึ่งน่าจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซ็นต้นๆ คนที่มาพร้อมไฟแช็กและรอยยิ้มประหลาดๆ

อ๋อ คนบ้า

สาเหตุที่นึกไม่ออกในทันทีเพราะเมื่อคืนชายแปลกหน้าเซ็ทผมเปิดหน้าผาก ทว่าวันนี้กลับปล่อยผมลงมาเป็นธรรมชาติ แถมยังสวมเสื้อยืดแขนยาวลำลองแบบสบายๆก็เลยดูเด็กกว่าวัยจนจำแทบไม่ได้ ผมไม่ได้เว่อร์นะ แต่ผู้ชายคนนี้ดูเด็กลงเป็นสิบปีเพราะผมหน้าม้าจริงๆ!

“บ่ายวันนี้คุณสองว่างไหมครับ?”
“ไม่ว่าง! เอ่อ -- คือผมต้องดูแลหลานน่ะครับ คงไม่สะดวก”

ผมปรับคำพูดให้ซอฟต์ลงพร้อมกับพยายามเดินหนีเมื่อคิดได้ว่าหมอนี่ต้องชวนไปหาอะไรทาน ชวนคุยเรื่องงานอดิเรกและพูดเรื่องเงินเดือนก่อนจะเอ่ยปากถามตรงๆว่า --

อยากมีอิสรภาพทางการเงินไหมครับ?

“งั้นไม่เป็นไรครับ ไว้โอกาสหน้าก็ได้” หมอนั่นยิ้ม เป็นรอยยิ้มเจื่อนๆที่แสดงออกชัดเจนว่าผิดหวังกับคำปฏิเสธขนาดไหน “พรุ่งนี้ผมขออนุญาตโทรหาคุณสองใหม่อีกครั้งได้ไหมครับ? พอดีวันนี้เมื่อเช้าผมโทรไปแล้วแต่คุณไม่ได้รับ --”
“ไม่ได้ครับ หลานผมต้องพักผ่อน”
“ถ้างั้นขอไลน์ --”
“ผมไม่ค่อยเล่นโซเชียลครับ ปกติเป็นคนไม่พกโทรศัพท์”
“แต่ --”
“ขอตัวก่อนนะครับ พอดีหลานผมต้องนอนกลางวันแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งนะครับ” ชายแปลกหน้าพูดรั้งด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เขาเดินมาขวางไม่ให้เราหนีไปไหน “ผมมีรถ มันสะดวกกว่าเรียกแท็กซี่นะ”
“ผมก็ขับรถมาครับ” ผมโกหก “อีกอย่างพี่สาวผมรออยู่ ผมต้องรีบไป”
“งั้นขอเดินไปส่งหน้าประตู --”
“สอง!”

เสียงคุ้นหูที่ติดอยู่ในโสตประสาทเรียกให้เราสองคนต้องหันมอง ชวินทร์กำลังยืนอยู่อีกฟากของทางเชื่อมอาคารพร้อมกับภรรยาคนสวย สีหน้าของเจ้าสาวป้ายแดงเจื่อนลงนิดหน่อยเมื่อเห็นคนรักเก่าของเธออีกครั้ง เธอพยายามฉุดมือสามีให้เดินไปด้วยกันอีกทางทว่าชวินทร์ก็ปล่อยมือเธอแล้วเดินมาหาผมอย่างรวดเร็ว

“ทำไมถึงมาโรงพยาบาลล่ะ?” ชวินทร์ถาม ดวงตาขี้เล่นซุกซนที่เคยมองอย่างหลงใหลเอาแต่สำรวจไปทั่วก่อนจะหยุดที่เป้อุ้มเด็ก “นี่ -- ลูกของสองเหรอ?”

ผมไม่ได้ตอบคำถามของอดีตคนรักเก่าเพราะสีหน้าและอารมณ์ของชวินทร์กำลังทำให้สับสน มันมีแต่ความเป็นห่วงเป็นใย มีแต่ความกังวลออกนอกหน้าจนผมเริ่มสงสัยว่าภรรยาคนสวยจะรู้หรือเปล่าว่าเราเคยเป็นอะไรกัน

“เราสบายดี วินล่ะมาทำอะไรที่นี่? ป่วยเหรอ?”
“คือว่า --”

ชวินทร์อ้ำๆอึ้งๆพลางเหลือบมองภรรยาที่กำลังเดินตามด้านหลัง เธอส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสท้องตัวเองเบาๆ มันเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่ต้องตีความอะไรมากมาย และนั่นทำให้ผมเริ่มคิดว่าไอ้เหี้ยวินกำลังหาเรื่องชวนผมไปทัวร์นรกแน่ๆ เมียท้องป่องขนาดนี้ ยังจะทำสายตาอาลัยอาวรณ์อะไรอีก ส้นตีนจริงๆ

“หวัดดีภู” แฟนของวินยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความแข็งกร้าวอย่างบอกไม่ถูก “ไม่คิดเลยว่าจะเจอที่นี่”
“ไง เนเน่”

ภูขายตรงตอบแฟนเก่าตัวเองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ผมนึกไม่ออกเลยว่าเราทั้งสี่กำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ชวินทร์แสดงออกว่ายังอาลัยอาวรณ์ต่อผม ในขณะที่ภูกับเนเน่ก็ดูท่าทางว่าจะจบไม่สวย ความอึดอัดเริ่มแผ่ออกมาจากตัวของว่าที่คุณแม่ราวกับเธอไม่พอใจที่เจอคนรักเก่าที่นี่และเห็นว่าสามีของตัวเองแสดงความสนิทสนมกับเพื่อนเก่าออกนอกหน้า
 
“สองยังไม่ตอบเราเลย” ชวินทร์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เด็กคนนี้คือลูกของสอง --”
“ใช่” ผมโกหกหน้าตาย “นี่ลูกเราเอง ชื่อเปเปอร์”
“เป็นไปไม่ได้ สองจะมีลูกได้ไงในเมื่อสองเป็นเกย์”

ทีมึงยังมีลูกได้เลย ทำไมกูจะมีบ้างไม่ได้ล่ะไอ้เหี้ย

“แล้วเนเน่ล่ะมาทำอะไรที่นี่?”

ภูที่พูดแทรกขึ้นมากะทันหันโดยไขว้สองมือไว้ด้านหลัง เขาโยกตัวไปมาด้วยท่าทีสบายๆผิดกับพวกเราที่กำลังน้ำท่วมปากเพราะไม่สามารถพูดเรื่องราวทั้งหมดได้

“เราท้อง” เนเน่ยิ้มหวาน “เรากำลังจะเป็นแม่คน”
“ยินดีกับว่าที่คุณแม่มือใหม่ด้วยนะ”

ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าเนเน่ท้อง แน่สิ ชุดเจ้าสาวเมื่อคืนใช่ว่าจะพรางหน้าท้องนูนๆได้หมดจด ผมกับคนชื่อภูรู้อยู่แล้วว่าต้องป่องแน่ๆถึงได้จัดงานแต่ง แต่พอได้ยินกับหูตัวเองว่าชวินทร์กำลังจะมีลูก หนามที่ตำอกก็เริ่มออกฤทธิ์จนน้ำตาคลอ

“แล้ว -- ใครเป็นแม่เด็กเหรอ?”
“สำคัญด้วยหรือไง?”
 
ผมพูดเสียงเรียบ พยายามปรับน้ำเสียงเหมือนไม่มีอะไรต้องแคร์ ทว่าทุกคำที่พูดออกมานั้นประชดประชดเหมือนน้ำหนึ่งไม่มีผิด

“ขอตัวก่อนนะ ถึงเวลากินนมของเปเปอร์แล้ว”

ผมอยากจะเดินจากไปเงียบๆพร้อมกับหลานที่นอนลืมตาแป๋วราวกับกำลังแอบฟังเรื่องของผู้ใหญ่ ทว่าชวินทร์ก็รั้งไว้ด้วยข้อเสนอเหมือนคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ไปรอที่ล็อบบี้เถอะ เดี๋ยวเนเน่ตรวจเสร็จเราจะขับรถไปส่ง”
“คงไม่ต้องหรอกครับ คุณสองขับรถมา”
“คุณจะไปรู้อะไร” ชวินทร์แย้งคำพูดของภู “สองจะเอารถมาได้ไงในเมื่อเขาขับไม่เป็น”
“อ้าว ทำไมคุณหลอกผมได้หน้าตาเฉยแบบนี้ล่ะ?”
“ผมแค่ไม่อยากรบกวนคุณ” ผมพยายามเลือกคำตอบที่ถนอมน้ำใจที่สุด เพราะขืนพูดว่าไม่อยากรู้จักพวกขายตรงก็เกรงว่าจะเสียมารยาทเกินไปนิด
“แต่ผมเต็มใจไปส่งเอง คุณไม่ควรคิดมากเลย” 
“คุณไม่ต้องทำงานหรือไงถึงได้ว่างมารับส่งคนอื่นแบบนี้?”

เป็นชวินทร์ที่พูดเสียงขุ่น ใบหน้าเริ่มบูดบึ้งแสดงความไม่พอใจชัดเจน บรรยากาศตอนนี้มันแปลกๆเหมือนในละครที่มีผู้ชายสองคนมะรุมมะตุ้มเอาใจนางเอง ถามว่าผมรู้สึกสวยมากไหมที่มีคนแย่งกันขนาดนี้ ขอบอกเลยว่าไม่ ผมไม่รู้สึกดีเลยที่ชวินทร์ทำเหมือนมีเยื่อใยทั้งๆที่มันหายหัวไปตั้งห้าปี แถมเราก็จบกันไม่สวย ไม่รู้มันเอาอะไรมาอาลัยอาวรณ์เพราะวินก็ไม่ได้รักผมจนแทบบ้าขนาดนั้น ยิ่งตอนนี้วินมีเนเน่แล้ว มีลูกที่กำลังจะเกิดมาด้วย ที่มันทำตัวยื้อๆแย่งๆเข้าหาผมแบบนี้เดาได้ทางเดียว

ชวินทร์ – คิดอยากฟันผมฟรีๆอีกล่ะสิท่า ไอ้บ้ากาม

“ผมเปิดคลินิกเป็นของตัวเองครับ ก็เลยพอมีเวลาเหลือ”
“งั้นคุณควรจะเอาเวลาว่างไปทุ่มเทให้กับการดูแลคนไข้ดีกว่านะครับ”
“แน่นอนครับว่าถ้าเป็นเวลางานผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ แต่นี่คือเวลาพัก ผมคิดว่าผมมีอิสระที่จะใช้มันยังไงก็ได้”

ภูพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนไม่รู้สึกรู้สากับคำประชดประชันนั่นจนผมนึกสงสัยว่าจะมีใครยิ้มเก่งได้เท่าหมอนี่หรือเปล่า ริมฝีปากคลี่กว้างอย่างเป็นมิตรก็จริงทว่าผมกลับเห็นแววตาท้าท้ายเล็กๆ มันเป็นแววตาที่ใช้มองคนที่ตัวเองเหม็นขี้หน้า ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่าไอ้ผู้ชายสองคนนี้มันเป็นอะไร สาระแนนักนะกับเรื่องส่วนตัวของสิปปกรเนี่ย

“คุณเป็นหมอที่ดูว่างจังเลยนะ” ชวินทร์ค่อนแขวะ “ผมมีเพื่อนเป็นหมอเก่งๆหลายคน ไม่มีใครว่างไปรับส่งคนอื่นเหมือนคุณซักนิด”
“ครับ ผมคงเป็นหมอที่ไม่เหมือนหมอ แต่ผมรักษาเก่งมากนะ” ภูพูดอวดตัวเองเป็นครั้งแรก เขาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาก่อนจะส่งนามบัตรให้ “เชิญคุณชวินทร์ได้ตลอดเวลาเลยนะครับ คลินิกของผมเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีแพทย์เวรคอยสลับกันทำหน้าที่ตลอด รับรองว่าไม่มีใครเหนื่อยจนวินิจฉัยพลาดแน่นอน”

ทั้งๆที่ภูก็พูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรุนแรงและแข็งกร้าวอยู่ในประโยคที่อีกฝ่ายพูด เหมือนภูกับวินกำลังทำสงครามประสาทกันด้วยคำพูด ไม่มีคำหยาบคาย ไม่มีการใส่อารมณ์ แต่ทุกอย่างเชือดเฉือดชนิดที่สูสีกันจนตัดสินไม่ได้ว่าใครคือผู้ชนะในศึกปะทะฝีปากครั้งนี้ แม้จะประหลาดใจปนสลดนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าสมัยนี้หมอก็เริ่มหันมาทำธุรกิจขายตรงแทนที่จะรักษาคนไข้ในโรงพยาบาล แต่ความคิดทุกอย่างก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบเห็นนามบัตรของภูชัดๆ

Smiling Lion Clinic

เปิด 24 ชั่วโมงโดยทีมสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
รักษาสัตว์ ทำหมัน ฉีดวัคซีน ขูดหินปูน ตรวจเลือด เอ็กเรย์
**บริการรับฝากสัตว์เลี้ยง**


ก็เป็นคลินิกที่เหมาะสมกับวินดีว่ะ

ผมพยายามกลั้นขำทว่าไม่สามารถเก็บสีหน้าเอาไว้ได้เมื่อนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายชวนแฟนเก่าของผมไปรักษาที่คลินิก ชวินทร์กำนามบัตรของภูแน่น เนื้อตัวสั่นเทาเพราะความโกรธเมื่อรู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้กับสัตวแพทย์ยิ้มแฉ่งคนนี้

“ไม่ได้รักษาแค่หมาแมวนะครับ เหี้ยก็รักษาได้ครับ แต่ไม่รักษาคนเหี้ยนะ อันนั้นเกินเยียวยา”

ไอ้หมอนี่มันปากดีชะมัด

“ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ถ้าเป็นคุณวิน ผมจะลดราคาให้พิเศษ” ภูขยิบตาหนึ่งครั้งก่อนจะเดินถอยหลังมาหยุดยืนข้างผมแล้วบอกลาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ด้วยน้ำเสียงสุภาพ “งั้นขอตัวก่อนนะครับ พอดีต้องรีบไปส่งคุณสองกับเป็ปเปอร์”
“เปเปอร์ครับ” ผมแก้ชื่อหลาน
“ครับ นั่นแหละครับ”
 
ผมที่ได้แต่กลั้นขำ ไม่ปฏิเสธข้อเสนออีกนอกเดินเคียงข้างสัตวแพทย์ฝีปากร้ายไปยังตึกผู้ป่วย ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายซื่อๆที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนนี้จะสามารถพูดคำร้ายกาจที่ทำให้ด็อกเตอร์ชวินทร์ผู้เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งหน้าสั่นได้

“คุณปากจัดเป็นบ้า” ผมหัวเราะพลางเอี้ยวตัวมองสองสามีภรรยาที่กำลังยืนหน้าบูดอยู่อีกฟากของทางเดิน ผมเห็นเนเน่เสยผมด้วยความหงุดหงิดก่อนจะฟาดชวินทร์หลายหนด้วยความโมโห “ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณเป็นหมอหมา”
“ผมไม่ได้รักษาแค่หมานะครับ เม่นแคระผมก็รักษาได้” ภูยิ้มเมื่อเห็นว่าตัวเองสามารถทำให้คนข้างๆอารมณ์ดีขึ้น “มาเถอะครับ ให้ผมไปส่งคุณที่บ้านนะ”
“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรครับ คิดเสียว่าผมพาลูกชายคุณไปส่ง เปเปอร์จะได้ไม่โดนฝนด้วย”
“เปอร์ไม่ใช่ลูกของผมหรอกครับ” ผมหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงสีหน้าของทุกคนตอนที่เขาโกหกเรื่องลูก “เปอร์เป็นลูกของพี่สาวผม เป็นหลานแท้ๆ”
“อ้าว คุณหลอกผมอีกแล้วเหรอครับ?”
“ผมไม่ได้หลอกคุณ ผมหลอกวิน” ผมอธิบาย “ไม่เห็นคุณจะสนใจเลยว่าเปเปอร์เป็นอะไรกับผม คงมีแค่คนประสาทแบบชวินทร์เท่านั้นแหละ”
“เขาดูหงุดหงิดมากที่เห็นเราสองคนคุยกัน” ภูว่า “จริงๆเขาแค่ประสาทเสียเพราะเห็นผมพยายามตามตื๊อคุณ”
“เหมือนหมาหวงก้าง”
“ครับ หมาหวงก้าง” สัตว์แพทย์หนุ่มอมยิ้ม “ถ้าผมเป็นเขาก็คงหวงเหมือนกัน”
“คุณว่าอะไรนะครับ?” ผมถามเพราะได้ยินไม่ค่อยชัดเนื่องจากเสียงประกาศประชาสัมพันธ์ดังขึ้นพร้อมกันกับช่วงที่อีกฝ่ายพูดพอดี
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

รอยยิ้มของภูทำให้ผมเลือกที่จะไม่ซักไซ้ถามต่อนอกจากเดินไปหาน้ำหนึ่งตรงจุดรับยา ผมแนะนำให้พี่สาวรู้จักภูโดยบอกว่าเป็นเพื่อนกันเพราะขี้เกียจเล่าให้ฟังว่าจริงๆแล้วเรารู้จักกันได้ยังไง ภูทักทายน้ำหนึ่งตามมารยาทก่อนจะเสนอตัวว่ามีรถและอยากขับไปส่งเราที่บ้าน พี่สาวของผมตาลุกวาวทันทีเมื่อรู้ว่าเพื่อนใหม่คนนี้อาสาไปส่งถึงที่โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอเลย

“ขอบคุณมากนะคะ” น้ำหนึ่งยิ้มพร้อมกับผงกหัวลงแสดงความขอบคุณ “ไม่เห็นสองเคยเล่าเลยว่ามีเพื่อนใจดีขนาดนี้”
“ด้วยความยินดีครับ พอดีผมว่าง ได้ยินว่าพวกคุณจะนั่งแท็กซี่กลับก็กลัวว่าจะลำบาก” ภูพูดขณะเดินนำเราไปยังทางออก “รถผมจอดอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวผมขับรถมารับนะครับ อย่าเดินออกมาเลย เดี๋ยวเปเปอร์โดนฝน”

สัตวแพทย์หนุ่มฉีกยิ้มหวานอีกครั้งก่อนจะใช้มือบังศีรษะแล้ววิ่งออกไปกลางสายฝนโดยไม่ฟังเสียงค้านของน้ำหนึ่งที่พยายามควานหาร่มพับในกระเป๋าตัวเอง ผมมองแผ่นหลังของเพื่อนใหม่เมื่อเสื้อยืดแขนยาวสีเทาเปลี่ยนสีเป็นเข้มเพราะเม็ดฝนเริ่มเทตัวลงหนักขึ้นเรื่อยๆจนเปียกชุ่ม ระหว่างที่กำลังมองภู น้ำหนึ่งก็ใช้ศอกกระทุ้งแขนผมเบาๆเมื่อเห็นว่านายสิปปกรกำลังใจลอยอีกครั้ง

“ดีจังเนอะ”
“อะไรล่ะ?” ผมเหล่ตามองพี่สาว
“ที่เพื่อนแกจะขับรถไปส่งเราไง ไม่ต้องจ่ายค่าแท็กซี่อีกหลายร้อย”

ผมแค่นหัวเราะในลำคอและส่ายหน้า ไม่พูดอะไรมากแต่ยายน้ำหนึ่งไม่จบง่ายๆ

“เพื่อนแน่เหรอ?”
“แน่สิ ถามทำไม?”
“ไม่เคยได้ยินแกเล่าให้ฟังเลยว่ามีเพื่อนใจดีขนาดนี้” น้ำหนึ่งมองอย่างมีเลศนัย
“ไร้สาระ ถ้าไอ้ติณมา มันก็คงอาสาไปส่งเหมือนกัน” ผมกรอกตา “แล้วพี่ปั๊ปจะกลับเมื่อไหร่?”
“คงอาทิตย์หน้า”
“ลูกป่วยขนาดนี้ ลางานไม่ได้เหรอ? จะปล่อยให้เมียเลี้ยงลูกคนเดียวหรือไง? เห็นแก่ตัวเป็นบ้า”
“ช่างเถอะ เปอร์ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”

น้ำหนึ่งตัดบทด้วยสีหน้าเรียบนิ่งจนผมเริ่มสงสัยว่าพี่สาวมีเรื่องที่ไม่ได้เล่าหรือเปล่า ผมสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับน้ำหนึ่ง เธอขี้บ่นและขี้โวยวายอย่างกับอะไรดี ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงบ่นน้อยใจสามี คงงอแงร้องไห้โทรมาระบายว่าทำไมพี่ปั๊ปถึงเห็นงานสำคัญกว่าลูก ทว่าความเงียบในตอนนี้เริ่มทำให้ผมไม่สบายใจ

“ที่บ้านไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก แกอ่ะห่วงตัวเองเถอะ ทำงานแทบตายไม่ได้กินได้ใช้เพื่อตัวเองเท่าไหร่เลย”

พี่สาวตอบไม่ตรงคำถาม เธอยิ้มบางแล้วรีบเดินไปที่รถเอสยูวีสีขาวซึ่งจอดตรงทางเข้าอย่างรวดเร็ว ภูที่เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนก้าวลงจากรถเพื่อช่วยเปิดประตูให้เราพร้อมกับเคลียร์พื้นที่ให้น้ำหนึ่งได้วางกระเป๋า ผมเพิ่งสังเกตว่าในพาหนะกว้างใหญ่ขนาดห้าที่นั่งมีคาร์ซีทสำหรับเด็กวางอยู่ ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจขณะวางหลานชายลงบนคาร์ซีทเพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน

“เปเปอร์ใช้ได้ครับ” ภูว่าพลางโยนข้าวของส่วนตัวของตนเองไปไว้เบาะหลังจนผมรู้สึกเกรงใจที่ทำให้อีกฝ่ายต้องวุ่นวายขนาดนี้ “ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ทำความสะอาดรถ คราวหน้าผมจะดูดฝุ่นให้เรียบร้อยก่อน”

ผมอยากปฏิเสธ อยากตัดเยื่อใยด้วยการบอกว่าชาตินี้จะไม่ยอมเจอพวกขายตรงอีก แต่เพราะความมีน้ำใจของภูทำให้ผมเปลี่ยนจากคำพูดร้ายกาจเป็นคำขอบคุณด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ภูชะงักไปโดยที่ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสัตวแพทย์หนุ่มถึงนิ่งค้างและเอาแต่จ้องหน้ากันแบบนี้

“ด้วยความยินดีครับ”

ภูตอบ และนั่นคือบทสนทนาสุดท้ายของเราหลังจากอีกฝ่ายเดินอ้อมไปนั่งประจำที่แล้วขับรถไปส่งผมกับน้ำหนึ่งถึงคอนโด



Part 3 ข้างล่างเลยค่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-12-2019 21:56:47
2 [PART 3/3]

เราสี่คนเดินทางถึงคอนโดของน้ำหนึ่งในอีกชั่วโมงถัดมา ผมคิดว่าภูอาจจะแค่ส่งข้างล่างทว่าเขาก็แสดงความมีน้ำใจอีกครั้งด้วยการช่วยเราแบกข้าวของไปถึงประตูห้อง พี่สาวของผมเชิญเพื่อนใหม่ให้ทานมื้อเที่ยงด้วยกันเพื่อแทนคำขอบคุณ แถมยังอนุญาตให้ภูใช้ห้องน้ำระหว่างรอเธออบแห้งเสื้อของเขาด้วย

“อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ”
 
น้ำหนึ่งเอ่ยปากชวนหลังป้อนยาและกล่อมเปเปอร์เข้านอนเรียบร้อย คำพูดของพี่สาวทำให้ผมหน้าบึ้งทันทีเมื่อภูรีบตอบรับด้วยความยินดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงกินอะไรไม่ลงและทำได้แค่จ้องหน้าชายหนุ่มที่ตักข้าวเข้าปากคำโตพร้อมกับชมฝีมือการทำอาหารจนน้ำหนึ่งตัวลอย

“คุณก็พูดเว่อร์ ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาใจพี่ผมขนาดนี้เลย”
“ผมเปล่าเว่อร์เสียหน่อย กับข้าวพี่น้ำหนึ่งอร่อยจริงๆนะครับ”

ผมอยากจะเบ้ปากเป็นรูปตีนเมื่อได้ยินคำว่า พี่น้ำหนึ่ง ชักรู้สึกหมั่นไส้ไอ้หมอนี่ขึ้นมานิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายสวมบทเป็นเพื่อนได้เนียนเกินไป ผมแอบมองสำรวจเพื่อนใหม่เงียบๆ มองใบหน้า มองจมูก มองริมฝีปาก มองสันกราม ก่อนจะเลื่อนไปมองใบหูเพื่อดูโหงวเฮ้งว่าหน้าตาเหมือนคนเชื่อไม่ได้ในตำราหรือเปล่า แต่นอกจากใบหน้าแล้ว ผมก็ไม่เห็นความผิดปกติในตัวของอีกฝ่ายเลย

ภู (ที่ชื่อจริงคืออะไรก็ไม่รู้) เป็นคนเฟรนลี่ที่มีมารยาทมากๆ หมอนั่นรู้วิธีเข้าหาผู้ใหญ่ รู้วิธีพูดจาเอาใจคนที่แก่กว่าด้วยคำพูดรื่นหู แถมยังแสดงสีหน้าท่าทางได้อย่างแยบยลจนดูไม่ออกว่ามาขายตรงหรือผูกมิตร บางทีนี่อาจจะเป็นก้าวแรกของงานขาย หมอนี่ต้องตีซี้น้ำหนึ่งเพื่อชวนไปลงทุนอะไรซักอย่างเหมือนที่เคยได้ยินจากไอ้ตี๋แน่ๆ

มันคืออะไรนะ -- การทำพอร์ตแบบมืออาชีพ? ช่างเหอะ อะไรซักอย่าง

“คุณสองมองหน้าผมแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อลืมตัวว่าเผลอจ้องหน้าภูนานเกินไป สัตวแพทย์หนุ่มเอียงคอทำหน้าแบ๊วแบบไม่เกรงใจอายุราวกับว่าสงสัยว่ามองเหี้ยอะไรนักหนา ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วคีบผัดผักวางบนชามข้าวของผมแทน

“อยากทานผัดผักใช่ไหม?” ภูอมยิ้ม “เดี๋ยวผมตักให้นะ”
“ผมไม่กินผัก”

เพล้ง!

เสียงเศษหน้ากับเสียงหัวเราะของน้ำหนึ่งดังขึ้นพร้อมกัน หลังจากนั้นผมต้องนั่งกลอกตาฟังพี่สาวเล่าเรื่องส่วนตัวของน้องชายให้เพื่อนใหม่ฟังจนหมดเปลือก

“เงียบเถอะน้ำหนึ่ง จะไปเล่าให้เขาฟังทำไม?”

ผมพูดอย่างหงุดหงิดแต่ภูกลับกระตือรือร้นจะฟังให้ได้ มื้อเที่ยงของเราก็เลยจบลงตรงที่หมอนั่นรู้ทุกอย่างว่าผมกินหรือไม่กินอะไรราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัวอีกคน
 
เราทานอาหารพร้อมกับคุยเล่นจนเสื้อของภูแห้งพอดี น้ำหนึ่งจึงไล่ผมกลับร้านเมื่อเห็นน้องชายหาวปากกว้างแสดงความง่วงออกมา ถึงจะอยากกลับไปบนเตียงของตัวเองแค่ไหนทว่าผมก็ไม่แน่ใจว่าพี่สาวจะดูแลหลานคนเดียวไหวหรือเปล่า น้ำหนึ่งยืนยันว่าทุกอย่างโอเคดี และถ้ามีปัญหา เธอสัญญาว่าจะโทรหาผมทันที

“ถ้าเปเปอร์ไม่สบายกลางดึกหรือมีเรื่องฉุกเฉิน โทรหาผมนะครับ” ภูพูดพร้อมกับส่งนามบัตรของตัวเองให้ “ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมเป็นเพื่อนคุณสอง อะไรที่ช่วยได้ก็ยินดีช่วย”

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรำคาญที่สุดคือการแสดงความเกรงใจของมนุษย์ คนหนึ่งหยิบยื่น ส่วนอีกคนจะบอกปฏิเสธ ทั้งสองคนจะดื้อดึงกันไปมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งน้ำใจอีกครู่ใหญ่ๆ ดังนั้นผมจึงตัดบทด้วยการพูดว่า

“ขอบคุณครับ เผื่อน้ำหนึ่งมีอะไร ผมสัญญาว่าจะโทรหาคุณ” แล้วฉุดข้อมือภูให้เดินไปด้วยกันแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาแข่งกันแสดงความเกรงอกเกรงใจตรงโถงทางเดิน

“ไอ้สอง! ความเกรงใจเป็นมารยาทของผู้ดีนะ!”

น้ำหนึ่งแว้ดเสียงดังเมื่อถูกผมรวบรัดทุกอย่างโดยไม่ไว้หน้าแขก ใบหน้าบึ้งตึงด้วยความไม่ชอบใจที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าน้องชายตัวดีก็ขวางโลกไปเสียทุกเรื่อง

“แต่ผมยังไม่ได้บอกลาพี่น้ำหนึ่งเลยนะ --”
“บาย ยายน้ำเน่า! เดี๋ยวโทรหาเย็นนี้!” ผมหันไปตะโกนเสียงดังแล้วจ้องหน้าภูที่เอาแต่ยืนอึ้งค้าง “ผมแค่ทำให้ทุกอย่างจบเร็วๆ คุณแปลกใจอะไร?”
“ยังไง?”
“รู้ไหมว่าการที่คุณยื่นนามบัตรให้น้ำหนึ่งมันทำให้เราเสียเวลาแค่ไหน พี่สาวผมต้องบอกปฏิเสธคุณด้วยความเกรงใจ และคุณก็จะยัดเยียดให้น้ำหนึ่งรับมันไปแม้ว่าคุณเองก็รู้ว่าเธอดีใจแทบบ้าที่มีคนหยิบยื่นน้ำใจให้ขนาดนี้ กว่ายายนั่นจะยอมรับและปั้นหน้าเกรงอกเกรงใจเสร็จก็คงกินเวลาเกือบห้านาที เพราะฉะนั้นผมเลยให้น้ำหนึ่งรับบัตรของคุณไปให้จบๆเพื่อที่พิธีการอันยืดเยื้อของการรักษาหน้าจะได้จบไวๆ แต่แน่นอนว่าหลังจากนี้เราจะไม่รบกวนคุณอีก สำหรับวันนี้ขอบคุณมากครับ ลาก่อน”

ผมรัวไฟแล่บ สัตวแพทย์ยิ้มหวานได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆเมื่อโดนแรพใส่ ผมรีบใช้โอกาสนี้เดินหนีภูที่ยังคงหน้ามึนอยู่ข้างรถเอสยูวีเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสนอตัวไปส่งที่ร้านหนังสือ ผมไม่อยากให้หมอนี่รู้ว่าพักอยู่ที่ไหน ไม่อยากให้ความเกรงใจทำให้ภูได้โอกาสเข้าถึงผมมากกว่าเดิม

“เดี๋ยวสิครับ! ให้ผมไปส่งคุณสองนะ!” ภูตะโกนเสียงดังพร้อมกับเริ่มวิ่งตาม แม้ผมจะพยายามก้าวให้ไวขึ้นเพราะไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับหมอนี่อีกแต่ภูก็ตามทันจนได้
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะกลับเอง”
“ได้ยังไงล่ะ ฝนจะตกอีกแล้วนะ คุณเห็นไหม?” ภูพูดพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้า “ให้ผมไปส่งคุณที่บ้านนะครับ”
“ไม่เอาครับ ขอบคุณ”
“อย่าเกรงใจเลย ผมยินดีไปส่งคุณจริงๆนะ”

กูไม่ได้เกรงใจโว้ย! กูหนีมึง! ไอ้ฟาย!

“ในเมื่อคุณบอกว่าเบื่อวิธีการรักษาหน้าแบบยืดเยื้อ ผมคิดว่าคุณก็ไม่ควรปฏิเสธผมนะ”

ภูเถียงหน้าตาย ผมหยุดเดินก่อนจะหมุนตัวไปมองอีกฝ่ายที่เริ่มยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นผมหันกลับมา
 
“ผมไม่ได้รักษาหน้า แต่ผมหมายความตามนั้นจริงๆ”
“ทำไมคุณถึงตีตัวออกห่างกับผมจัง นี่ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า?”

ภูถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ผมเกือบจะสงสารแล้วถ้าไม่ติดว่าต้องใจแข็งเพราะกลัววัฏจักรขายตรงทำชีวิตผมพัง พ่อเป็นหนี้ตั้งหลายหมื่นจนผ่อนไม่ไหว ของที่ซื้อไว้ก็ค้างสต็อกอยู่อย่างนั้นเพราะขายไม่ได้ ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับวงจรนี้อีก ผมไม่อยากเดือดร้อนเพราะธุรกิจของใคร เพราะฉะนั้นต่อให้ภูดีกับผมและพี่สาวแค่ไหน แต่ถ้าเขาขายตรง ผมก็ไม่อยากนับเขาเป็นเพื่อน

“ผมสิต้องเป็นฝ่ายถาม ทำไมคุณต้องวอแวผมด้วย?”
“เพราะผมอยากรู้จักคุณ”
“แค่นั้น?”
“ใช่ครับ” ภูยิ้ม อาจจะเป็นครั้งที่ร้อยของวันที่หมอนี่ยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับไม่ซ้ำกันเลย “ถ้าคุณสองยอมขึ้นรถ ผมสัญญาว่าจะบอกเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากรู้จักคุณ”
“ถ้าผมปฏิเสธล่ะ?”

ผมยืนทิ้งสะโพกและกอดอกมองภูด้วยท่าทางเอาเรื่อง ผมคิดว่าตัวเองต้องเป็นผู้ชนะในศึกปะทะฝีปากอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าฝนเม็ดใหญ่เริ่มเทตัวลงมาอีกครั้งจนเสื้อผ้าของเราต่างเปียกชุ่มด้วยกันทั้งคู่ ภูรีบก้าวเท้ามาหาพร้อมกับพยายามยกมือบังฝนให้ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อฝนตกห่าใหญ่ขนาดนี้ และเรายืนอยู่ด้านนอกที่ไม่มีแม้แต่หลังคาหรือที่ร่มให้หลบเลย

“คราวนี้ผมหวังว่าคุณสองจะไม่ปฏิเสธคำชวนนะ” ภูยิ้มกว้างด้วยท่าทางดี๊ด๊า แม้ว่าเสื้อจะเปียกอีกครั้งแต่สัตวแพทย์หนุ่มกลับไม่หงุดหงิด “ให้ผมไปส่งคุณเถอะครับ”





 ห่าเหว คือคำพูดติดปากของนายสิปปกร และวันนี้ผมก็สบถคำหยาบนี่ในใจมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งโดยเฉพาะตอนที่ฝนเทลงมาจนเปียกซ่กไปทั้งตัวแบบนี้

“หนาวไหมครับ?”

ภูถามพลางปรับแอร์ในรถให้เบาขึ้น ผมส่ายหน้า สองมือกระชับผ้าห่มผืนหนาที่โอบรอบตัวเอาไว้แน่นก่อนจะจามอีกรอบ

“ฮัดชิ่ว!”
“Bless you”
“Thank you”

ผมประหลาดใจที่ภูรู้จักธรรมเนียมนี้ด้วยจึงถามเขาว่าเคยไปต่างประเทศมาหรือเปล่า ภูก็เฉลยว่าเขาเคยไปเที่ยวสั้นๆก็เลยพอจะรู้ธรรมเนียมหลายอย่างที่ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือ น่าตลกที่เราสองคนผลัดกันพูดประโยคนี้เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจาม เราพูดมันซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบเพราะอากาศเย็นๆเริ่มทำให้รู้สึกคันจมูกนิดหน่อย

“คุณพกผ้าห่มติดรถเสมอเลยเหรอ?”
“ครับ เผื่อฉุกเฉิน ผมเคยโดนฝนจนไม่สบายก็เลยต้องมีเผื่อไว้เช็ดตัว”
“แล้วแบบนี้คุณจะไม่เป็นไรเหรอ โดนฝนตั้งหลายรอบ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแข็งแรงดี”
 
ภูยิ้มอีกครั้งก่อนจะจามเสียงดัง ฮัดชิ่ว! ผมจึงรีบพูดต่อว่า

“Bless you”
“Thank you”

เรามองหน้ากันแล้วหลุดหัวเราะ เห็นทีว่าวันนี้กว่าจะถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้งเราคงได้ผลัดกันพูดไดอะล็อกนี้เดิมๆอีกสองสามหน ฝนตกทำให้การจราจรในนนทบุรีค่อนข้างติดขัดกว่าปกติ น่าแปลกที่ตอนแรกผมคิดว่าการนั่งรถมากับเพื่อนใหม่คือเรื่องที่น่าอึดอัดใจ แต่ภูก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายด้วยการพูดว่า Bless you เมื่อเขาจาม และหลังจากนั้นเราก็ไม่หยุดคุยเลย

“เมื่อวานคุณบอกว่าเป็นฟรีแลนซ์” ภูเปลี่ยนเรื่อง “คุณทำงานอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ผมเป็นนักแปลครับ แปลหนังสือ แปลเอกสาร นานๆทีก็มีไปเป็นติวเตอร์รับจ้างบ้างขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหนมีงานอะไรให้ทำ”
“แบบนี้ก็ดีสิครับ” ภูยิ้มกว้าง “ปกติคุณทำงานกี่ชั่วโมงครับ? มีเวลาเข้างานที่แน่นอนเหมือนผมไหม?”

นั่นไง ถามเรื่องเวลาทำงานแบบนี้ –

“ผมทำงานทั้งวันทั้งคืนครับ ยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลา” ผมตอบด้วยน้ำเสียงโอเว่อร์ “ตื่นนอนผมก็แปล ก่อนนอนผมก็แปล ชีวิตผมขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย งานแน่นจริงๆ มีเงินใช้เยอะด้วย ไม่ต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม”
“คุณเก่งจัง”
“แน่นอนครับ ไม่ต้องเล่นหุ้นผมก็มีเงินมากพอที่จะกินบุฟเฟ่ทุกวัน” ผมโอ้อวด เรื่องที่โม้น่ะไม่เป็นความจริงเลยซักนิด “ผมคงไม่ทำงานเพิ่มแล้ว ผมรวย”
“น่าอิจฉาจัง ผมยังไม่รวยเลย”
“อีกหน่อยคุณอาจจะรวย ถ้าคุณเลิกทำธุรกิจแบบนั้น”
“คุณหมายถึงคลินิกของผมเหรอครับ?”
“เปล่าครับ ผมหมายถึงงานอย่างอื่นน่ะ” ผมยิ้มหวาน พยายามส่งสายตาเป็นนัยๆให้ภูรู้ตัวว่าขายตรงไม่สามารถทำอะไรนายสิปปกรได้ “รู้ไหมครับว่าที่คุณทำอยู่มันไม่มั่นคง”
“ใช่ครับ มันมีปัจจัยหลายอย่าง ช่วงที่ทำแรกๆก็ไม่มีลูกค้าเหมือนกัน แต่อยู่ได้เพราะลูกค้าเก่าของเพื่อนพ่อ คลินิกนี้ผมเซ้งต่อมาอีกที”
“คุณคงพูดไม่เก่งล่ะมั้งลูกค้าถึงไม่หลงเชื่อ”
“หมายถึงผมปากเสียเหรอครับ?”
“เปล่าครับ ผมแค่บอกว่า -- คุณภูอาจจะยังพูดไม่เก่ง ฝึกไปเรื่อยๆนะครับ ผมเชื่อว่าวันหลังต้องมีลูกค้ามากกว่านี้แน่ๆ”

แต่ -- ไม่ -- ใช่ -- กู

“คุณสองสะดวกช่วงไหนบ้างครับ? ผมอยากชวนคุณสองไปทานข้าวด้วยกันซักมื้อ”
“ไม่สะดวกครับ ผมไม่ว่าง”
“ถ้างั้นผมอยากขอเวลาสั้นๆ พรุ่งนี้เก้าโมง --”
“ผมคงนอนอยู่”
“ถ้า --”
“จริงๆนะ ผมไม่ว่างเลย” ผมตัดบท “น่าเสียดายจัง นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมรบกวนคุณ คุณเป็นคนดีนะภู แต่เราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”

ภูเงียบทันทีเมื่อเจอมุกไม่ว่างชนิดที่ไม่เปิดช่องว่างให้ได้ซักไซ้ถามต่อ บรรยากาศในรถเงียบลงจนเราเริ่มอึดอัด สีหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มของภูราบนิ่ง สัตวแพทย์หนุ่มไม่ชวนคุยหรือเล่นมุกตลกอะไรอีกนอกจากมองการจราจรที่แออัดอยู่เบื้องหน้า

“คุณสองไม่ชอบผมเหรอครับ?”
“ครับ?” ผมขานตอบแบบงงๆ
“ผมทำอะไรให้คุณสองไม่ชอบหรือเปล่า?”
“ก็ --” ผมอ้ำอึ้ง ตากลอกไปมาด้วยความลังเลเพราะไม่รู้ว่าควรพูดยังไงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายช้ำใจกับความจริงที่ว่าผมไม่อยากติดต่อกับพวกขายตรง
“วันนี้ที่เจอกันคุณสองก็ทำเป็นไม่รู้จัก” ภูพูดเสียงเรียบ “ผมเผลอทำให้คุณสองรู้สึกแย่ตอนไหนหรือเปล่า?”
“คุณภูไม่ได้ทำอะไรหรอก เป็นผมเองที่แสดงออกแบบนั้นเพราะ --”

ผมเว้นวรรค เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการพูดออกไปตรงๆคือทางเลือกที่ดีหรือไม่ ผมไม่อยากหักน้ำใจภูที่อุตส่าห์เป็นธุระช่วยไปรับไปส่งผมกับน้ำหนึ่ง แต่ผมเองก็ไม่อยากให้ภูรุกล้ำความเป็นส่วนตัวเพื่อชวนไปทำธุรกิจเหมือนกัน

“โอเค เพราะคุณสองไม่ชอบผม”
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
“งั้นแบบไหนล่ะครับ?”

ภูถาม ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังท้ายรถยนต์สีขาวแทนที่จะเป็นใบหน้าของผมเหมือนอย่างเคย ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว ความเงียบก็เลยแผ่ขยายไปทั่วห้องโดยสารจนแทบได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของตัวเอง หลังจากนั่งชั่งใจอยู่นาน ผมคิดว่าควรพูดอย่างจริงจังเพื่อที่ภูจะได้ไม่เข้าใจผิด และผมจะได้ไม่ต้องอึดอัดกับการตามตื๊อของอีกฝ่ายแบบนี้

“คือ -- ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ ผมไม่อยากสนิทกับคุณ”

ผมตอบ ภูหน้าเจื่อนทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป สัตวแพทย์หนุ่มที่เคยฉีกยิ้มสดใสร่าเริงดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดจนต้องรีบอธิบายเพิ่ม

“ฟังนะ ผมรู้ว่าคุณภูกำลังทำงานอะไร แต่อย่างที่บอก ตอนนี้ผมไม่ต้องการรายได้เสริมหรือสนใจครอบครัวนักลงทุนอะไรนั่นด้วย ผมสบายดี ผมมีเงินพอใช้ จริงอยู่ที่มันไม่ได้มีงานทุกเดือนแต่ผมก็ค่อนข้างพอใจกับชีวิตตัวเองในตอนนี้ อีกอย่างผมเจอคนที่ทำงานแบบคุณมาแล้วหลายคน ไม่มีใครรวยเหมือนหัวหน้าเครือข่ายหรอก ทุกคนก็แค่ลิ่วล้อทางผ่านให้มันเหยียบเท่านั้น ผมขอเตือนเลยนะว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันไม่มั่นคง เคยคิดบ้างไหมว่าการลงทุนกับสินค้าแบบนามธรรม ลงทุนไปกับธุรกิจที่ไม่มีสินค้าจริงๆมันคือความเสี่ยง คุณกำลังเล่นกับไฟนะภู! ทำไมคุณถึงโง่ -- หัวอ่อนจนเอาเงินของตัวเองไปให้ใครก็ไม่รู้ที่บอกว่าจะช่วยแนะวิธีลงทุนให้ คุณกำลังเสียเงินให้กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อย่าคิดว่าเงินปันผลไม่กี่หมื่นบาทจะเป็นก้าวสำคัญทำให้คุณมีเงินเป็นล้าน ผมจะบอกอะไรให้ คุณจะได้แค่หมื่นเดียว หลังจากนั้นจะมีแต่เสียกับเสีย หรือบางทีคุณอาจไม่ได้อะไรเลยนอกจากประกาศของทางการที่แนะนำให้คุณไปแจ้งความเพราะถูกโกงเงิน!”
“เดี๋ยว --”
“พูดตรงๆนะครับว่าผมซึ้งใจและนับถือในความดีของคุณมากๆ”

ผมพูดอย่างจริงจังและหันไปมองภูเพื่อแสดงออกตรงๆว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

“แต่อย่าพยายามทำดีกับผมเพื่อหาลูกค้าเพิ่มเลย ถ้าให้เลือก ผมขอไม่สนิทกับคุณดีกว่า ไม่ใช่ว่าผมดูถูกงานนักลงทุนอะไรนะครับ ผมแค่ไม่อยากเอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องแบบนี้อีกแล้ว แค่ธุรกิจขายตรงของพ่อคนเดียวผมก็ตามใช้หนี้ไม่ไหว ผมเหนื่อย ผมไม่อยากรับโทรศัพท์จากคุณที่พยายามขอเวลาไปทานข้าวแล้วคุยเรื่องเงิน ไม่อยากฟังคำโน้มน้าวให้ไปทำพอร์ตอสังหาแบบไม่ใช้เงินตัวเอง คุณอาจจะคิดว่างานของคุณนี่ช่างสุดยอดไปเลย แต่คุณภู ขายตรงคือการหลอกลวงนะ! คุณจะใช้วาทศิลป์กับคำนำหน้าอย่างสัตวแพทย์หาเครือข่ายไม่ได้! ห่าเหว! ผมพูดมันออกมาหมดแล้ว ทั้งๆที่ผมไม่อยากทำร้ายน้ำใจคุณ แต่ -- แต่ผมไม่อยากยุ่งกับขายตรง ขอโทษนะครับ”
“คือ --”
“ถึงคุณจะบอกว่าไม่ชวนผมไปลงทุน แต่อีกหน่อยคุณคงหาเรื่องมากวนใจผมแน่ๆ อย่างเช่นผมวางแผนทางการเงินยังไง อยากรวยก่อนเกษียณไหม อยากมีบีเอ็มขับเหมือนคุณหรือเปล่า โทษทีนะภู ผมชอบชีวิตเส็งเคร็งแบบนี้ของตัวเองมาก ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ เรื่องเงินฝากผมจัดการได้ ผมออมเงิน --”
“คุณสองครับ”
“ครับ?”
“ผมไม่ได้ทำธุรกิจขายตรงครับ”

เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าสิ่งที่พูดไปช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน ผมหอบหายใจนิดหน่อยเพราะเผลอแรปยาวเป็นนาทีชนิดที่ไม่ได้หยุดพัก ตอนนี้สมองแบล๊งไปหมดเมื่อภูหันมาขมวดคิ้วด้วยท่าทีงุนงงราวกับไม่เข้าใจว่าไอ้สิปปกรกำลังพูดถึงอะไร

“ผมไม่ได้ขายของครับ ผมเป็นแค่สัตวแพทย์” ภูตอบ “แต่ที่ร้านก็มีขายพวกอุปกรณ์กับอาหารสัตว์เหมือนกัน แบบนั้นเรียกว่าขายตรงไหมครับ?”
“งั้นตอนนี้คุณทำงานอะไรบ้าง? ผมหมายถึงงานที่ทำแล้วได้เงิน ทุกงานที่ไม่ใช่แค่รักษาสัตว์”
“ไม่มีครับ ผมเป็นแค่สัตวแพทย์อย่างเดียว”
“พูดจริง?”
“จริงสิครับ” ภูยิ้ม “อย่างที่บอกไปว่าผมมีคลินิกของตัวเอง มีเพื่อนหมออีกหลายคนที่ทำงานด้วยกัน”
“แล้ว -- แล้วทำไมคุณถึงเอาแต่ถามตารางเวลาของผมล่ะ?”
“เพราะผมอยากโทรหาคุณสองตอนที่คุณว่างจริงๆ อย่างแปดโมงเช้าจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ถ้าคุณสองว่างช่วงนี้เหมือนกัน ผมก็แค่อยากโทรไป”
“ทำไมคุณต้องพยายามโทรหาผมด้วย?”
“คนเราจะมีซักกี่เหตุผลที่ต้องโทรศัพท์หากันเหรอครับ?” ภูหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อรู้ว่าจริงๆแล้วผมก็แค่เข้าใจผิด
“แล้วเรื่องลูกค้าวันนี้ล่ะ? ไหนจะที่คุณถามเรื่องงาน --”
“เพราะผมไม่รู้ว่าฟรีแลนซ์ทำงานกันยังไง ผมแค่อยากแน่ใจว่าแปดโมงจะไม่เช้าเกินไปเผื่อว่าคุณสองนอนไม่เป็นเวลา ส่วนลูกค้าเป็นเจ้าของน้องพุดเดิ้ลที่ป่วยเป็นโรคไตครับ มันเป็นโรคเรื้อรัง ผมก็แค่มาเยี่ยมเพราะป้าเขาเป็นลูกค้าประจำที่พาหมามารักษาบ่อยๆ”
“แค่นั้น?”
“ครับ แค่นั้น” สัตวแพทย์หนุ่มพยักหน้า “ทีนี้ถึงตาผมถามคุณสองบ้างแล้ว ทำไมวันนี้คุณถึงทำเป็นไม่รู้จักตอนที่เจอกันตรงทางเชื่อมอาคารล่ะครับ?”
“ผมเปล่าเสียหน่อย” ผมตอบเสียงอู้อี้ “ผม -- ผมแค่จำคุณไม่ได้”
“คุณจำไม่ได้เหรอครับ?”
“ใช่ เมื่อคืนมันมืดมาก ผมจำอะไรไม่ได้หรอก ตื่นมาก็แฮงค์ ผมไม่มีอารมณ์นึกหน้าใครทั้งนั้น อีกอย่างคุณเอาหน้าม้าลงด้วย แบบนี้ --” ผมพูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบ ภูพยักหน้ารับยิ้มๆเมื่อผมใช้นิ้วสางผมตัวเองลงมาเป็นหน้าม้าบ้าง “หน้าคุณก็เลยเด็กกว่าเมื่อคืนเยอะมาก แถมยังสวมเสื้อยืดอีก ผมจำไม่ได้หรอก”
“เหมือนคุณสองกำลังชมผมทางอ้อมเลย”
“ผมไม่ได้จะแก้ตัวนะ แต่หน้าคุณเด็กมากจริงๆ คุณอายุเท่าไหร่เหรอ?”
“คิดว่าไงครับ?”
“ไม่รู้สิ คุณบอกว่าเป็นแฟนเก่าของเมียวิน น่าจะซัก -- ยี่สิบเก้า? เท่าผมไหม?”
“ผมอายุยี่สิบหกครับ เพิ่งยี่สิบหกเมื่อต้นเดือน”
“ใช้ชีวิตให้คุ้มนะ พอคุณย่างสามสิบเมื่อไหร่ คุณจะรู้สึกแก่เหมือนผม”
“คุณสองไม่เห็นแก่เลย”
“แก่สิ เห็นตีนกาผมไหม?” ผมบ่นพลางชี้หางตาตัวเอง “ยิ้มทีไร โดนล้อทุกที”
“ถ้าผมสัญญาว่าจะไม่ล้อ คุณสองจะยิ้มให้ผมเห็นบ่อยๆได้ไหมครับ?”
“ฝันไปเถอะ ผมไม่ยิ้มหรอก แม่บอกว่าผมเป็นเสือยิ้มยาก”
“แต่ผมว่าไม่จริงนะ” ภูแย้ง “วันนี้คุณสองยิ้มตั้งหลายครั้ง เมื่อกี๊คุณก็ยิ้ม ตอนนี้คุณก็ -- ยิ้มอยู่เหมือนกัน”

ผมไม่รู้จะปรับสีหน้ายังไงดีเมื่อภูเอาแต่หันมาจ้องตาแบบนี้ แม้ตอนแรกผมคิดว่าการนั่งรถกลับบ้านช่างยาวนานเหลือเกิน แต่พอได้ปรับความเข้าใจกันเวลาก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว และกว่าจะรู้ตัวอีกที รถเอสยูวีสีสาวก็จอดหน้าร้านกู้ด รี้ดดิ้งเสียแล้ว
 
“ขอบคุณครับ” ผมปลดเข็มขัดนิรภัย ตั้งท่าจะส่งคืนผ้าห่มที่ห่อตัวแต่ภูก็ใช้สองมือจับมันเอาไว้แน่น
“ไม่ต้องคืนหรอกครับ ถึงฝนจะหยุดตกแล้วแต่ข้างนอกอากาศหนาวมากเลยนะ” ภูยิ้มพลางพยักเพยิดไปทางหน้าต่างเพื่อให้เห็นบานกระจกของร้านหนังสือมีไอน้ำเกาะหนากว่าปกติ “รีบเข้าร้านเถอะครับ เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะ”
“สั่งเหมือนผมเป็นเด็ก ผมแก่กว่าคุณเกือบห้าปีเลยนะ ให้ตายเถอะ” ผมยู่ปาก “ขอบคุณที่เป็นธุระรับส่งผมกับพี่สาวนะครับ”

ภูนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับ

“ทีแรกคุณสองบึ้งตึงกับผมเพราะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นนักลงทุน แต่พอเราได้คุยกัน คุณสองน่ารักกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย” ภูเอ่ยชม “ผมอยากทำความรู้จักกับคุณสองอีกครั้ง เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมครับ?”

ผมเงียบเพราะไม่เข้าใจว่าภูกำลังสื่อถึงอะไรในเมื่อวันนี้เราตัวติดกันแทบตลอดทั้งวัน  แม้จะยังงุนงง แต่พอสัตวแพทย์หนุ่มยื่นมือมาข้างหน้า ผมก็ยื่นมือไปจับโดยอัตโนมัติทันที

“ผมชื่อภูครับ” เพื่อนใหม่ยิ้มกว้างพร้อมกับบีบมือของผมเบาๆ
“ผมสองครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณสอง”
“เช่นกันครับ”

เรายิ้มกว้างออกมาพร้อมกันเมื่อรู้สึกว่าการทำความรู้จักใหม่อีกครั้งดูตลกเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเริ่มรู้สึกเป็นเคอะเขินแปลกๆ หลังจากนั่งหัวเราะสักพัก ผมจึงขอตัวกลับไปพักผ่อน วันนี้เปียกมานานจนกางเกงในเปื่อยแล้ว ผมต้องการเสื้อผ้าอุ่นๆและเตรียมตัวแปลงานที่ค้างไว้ให้เสร็จเรียบร้อย

“บายภู”
“บ๊ายบายครับ”

ผมโบกมือและเปิดประตูลงจากรถ ลมหนาวที่พัดฉิวมาปะทะร่างกายทำให้ตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ผมกระชับผ่าห่มของภูเอาไว้แน่น สองมือโอบรัดตัวเองเอาไว้ราวกับมันจะช่วยคลายความหนาวได้ เหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงประตูร้านหนังสือทว่าสัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงบนแก้มเรียกให้ผมต้องหยุดเดิน

ฝนตกอีกแล้ว ความเย็นของน้ำฝนตรงใบหน้าเรียกให้ต้องเช็ดออก จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นแล้วพบว่าฝนห่าใหญ่กำลังจะเทตัวลงมา ผมอมยิ้มเมื่อคิดว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว หลังจากนี้ผมคงใช้แอร์น้อยลง ประหยัดค่าไฟมากขึ้น คงได้นอนฟังเสียงฝนกระทบหลังคาเปาะแปะจนหลับทุกคืนอีกครั้ง ผมชอบฤดูฝน ชอบตอนที่ฝนตกหนัก แม้ว่ามันจะทำให้หน้าเสื้อผ้าอับชื้นเพราะไม่ตากแดด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมหลงใหลฤดูเหงาๆและกลิ่นอายของมันมากแค่ไหน

Rrrr

แรงสั่นของสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงฉุดให้ตื่นจากภวังค์ ผมล้วงหยิบมันออกมาก่อนจะกดรับอย่างรวดเร็วด้วยความลืมตัว ทันทีกรอกเสียงลงไปในสายว่า “ฮัลโหลครับ” ก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าใครโทรมา

 “อย่ายืนตากฝนสิครับ เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”

เป็นภูนั่นเอง ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองบีเอ็มดับเบิลยูที่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขับออกไปแต่อย่างใด
 
“มีอะไรหรือเปล่าภู?”
“ผมลืมบอกเหตุผลว่าทำไมผมถึงตามวอแวคุณสองไม่เลิก อยากรู้ไหมครับว่าทำไม?

ยังไม่ทันได้ตอบว่าอยากรู้เหตุผลนั่นหรือไม่ เอสยูวีคันนั้นก็ค่อยๆลดกระจกลงจนสามารถมองเห็นคนขับได้ชัดเจน ภูอมยิ้มเมื่อรู้ว่าผมมองเห็นข้างใน เราสบตากันเงียบๆโดยไม่พูดอะไร มีเพียงแค่เสียงลมหายใจเท่านั้นที่ดังขึ้นในสาย คำพูดทุกอย่างถูกพับเก็บลงลำคอเมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นดูจริงจังมากกว่าปกติแค่ไหน แววตาของภูอ่อนลง มันอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มที่กำลังคลุมตัวในตอนนี้

“ผมชอบคุณสอง”

ภูพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น รอยยิ้มขวยเขินเหมือนเด็กน้อยฉายบนใบหน้าจนผมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังล้อเล่น

“หลังจากนี้ช่วยเมมเบอร์ผมเอาไว้ในเครื่องของคุณสองด้วยนะครับ”

TBC





___________________



#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก



สวัสดีวันจันทร์ที่แสนจะไม่น่ารักค่ะ :(

เจบบบบบบบบบบ ไปหมดทั้งตัวแล้วตอนนี้ อยากนอนมากๆเลยแต่ใจมันว้าวุ่น คิดถึงแต่สัญญาที่ให้ไว้กับทุกคนก็เลยแวะมาอัปซักหน่อย ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่คอยซัพพอร์ตกันมาเสมอนะคะ ความสุขเล็กๆที่ยังพอยิ้มได้คือการได้อ่านข้อความจากทุกคนนี่แหละค่ะ :)
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-12-2019 23:07:56
ภูมาแบบนี้เป็นเราก็คงต้องโดดลงหลุม(รัก)อีกรอบล่ะนะ ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเจออะไรก็ตาม
ก็นะ มาแนวอบอุ่น เอื้อเฟื้อซะขนาดนี้ ช่างหัวอดีตมันเถอะ เลทอิทบี

ปล.อยากท้วงนิดนึงค่ะ น้องของแม่น่าจะเรียกว่าน้านะคะ
ส่วนอานั้น เป็นน้องของพ่อ ดังนั้น สองควรเป็นน้าของเปเปอร์
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-12-2019 23:46:35
 o13
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 03-12-2019 19:28:09
ยาวสะใจ ภูน่ารักจังงง  :o8:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 03-12-2019 20:52:49
ฟินมากกกกกกก
พ่อพระเอกช่างดีเหลือเกินนนนน
ติดตาต่อนะค้าา
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 11-12-2019 18:59:33
รออ่านต่ออยู่นะครับ   :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 13-12-2019 00:42:50
 :z13: จันทร์นี้ไม่มาหรอคะ รอน้าาา
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [2] 2/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 13-12-2019 07:45:31
กดบวกดั๊กกี้ครับ ==> 104+1=105  :katai3:
ชื่อเรื่องน่าสนใจเลยต้องขอเข้ามาดูซักหน่อยว่าเรื่องราวมันอะไรยังไง ใครกันที่ไม่เชื่อในความรัก
ยังไงอ่านจบแล้วจะมาเม้นนะครับผม  :z2:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 16-12-2019 21:04:36
3 [PART 1/3]


3


มันไม่เหมือนในละครที่เวลามีคนบอกชอบแล้วจะได้ยินเพลงรักซึ้งๆดังคลอประกอบ ไม่มีการจ้องกันด้วยแววตาหวานเชื่อม หรือท่าทีขวยเขินเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายให้ความสนใจและแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าอยากจะทำยังไงต่อไปกับความสัมพันธ์ ไม่ – มันไม่มีอะไรอย่างนั้น โดยเฉพาะตอนที่คุณได้ยินประโยคสารภาพรักจากคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง

“คุณไม่ได้ชอบผมหรอกครับ”

ผมยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มของความดีใจ ไม่ใช่รอยยิ้มของอาการถ่อมตัวยามที่ใครเอ่ยปากบอกว่าชอบเรานักหนา มันเป็นรอยยิ้มสงสารปนเวทนาในความรู้น้อยของชายหนุ่มที่เพิ่มเริ่มต้นชีวิตผู้ใหญ่ ผมจ้องหน้าภูที่ยังคงยิ้มร่าอีกประมาณไม่กี่วินาทีก่อนจะตัดกำลังใจเขาด้วยการบอกว่า

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าจริงๆแล้วคุณคิดยังไง แต่ผมอยากให้คุณคิดดีๆก่อนพูด เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นเหมือนสมัยเด็กๆ”
“ผมนึกอยู่แล้วว่าคุณสองต้องพูดแบบนี้”

ภูยิ้มอีกครั้งราวกับรู้ทัน แต่เชื่อผมเถอะว่าเขาไม่รู้อะไรหรอก

“ผมแค่รู้สึกว่าเราเข้ากันได้”
“เมื่อไหร่กันที่ผมทำให้คุณคิดแบบนั้น?”
“ในงานแต่งของเนเน่กับพี่วิน” ภูบอก “ตอนที่คุณสองสูบบุหรี่และเรามีโอกาสได้คุยกัน”
“คุณจะทึกทักเอาบทสนทนาสั้นๆไม่กี่นาทีมาเป็นความมั่นใจไม่ได้ นั่นไม่ใช่ตัวตนทั้งหมดของผม”
“แล้วตัวตนของคุณสองมันเป็นแบบไหนกันล่ะครับ?”

ผมนิ่งเงียบไป ไม่ใช่ว่าอึ้งเพราะต้องครุ่นคิดเหมือนคนอื่นว่าตัวเองเป็นคนยังไง แต่ผมรู้ดีว่าภูจะพูดอะไรหลังจากนี้ เขาอาจจะแกล้งทำเป็นต่อบทสนทนาอีกซักสองสามประโยคและขอโอกาสได้ทำความรู้จักกับตัวตนของนายสิปปกร ซึ่งบอกแล้วไงว่าผมแก่กว่าเขาตั้งกี่ปี มาแนวนี้มีเหรอที่ผมจะรู้ไม่ทัน ดังนั้นผมจึงบอกภูไปว่า

“ไม่ต้องขอโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันหรอก ที่ผมพูดแบบนี้เพราะหวังดีกับคุณ ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ มองหาคนที่เติมเต็มคุณได้ดีกว่าผมเถอะ ผมพอแล้วกับความรัก ผมไม่อยากผูกมัดกับใคร”
“ที่คุณสองพูดแบบนี้เพราะคุณไม่ชอบผม หรือเพราะคุณไม่อยากมีความรักจริงๆ?”
“ก็ต้องเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว”
“งั้นแบบนี้ คุณต้องยิ่งให้โอกาสผมได้ทำความรู้จักคุณเลย”
“ทำไม?”
“ผมอยากให้คุณรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เข้ามาเพื่อทำให้คุณเสียใจเหมือนพี่วิน ถึงผมจะเด็กกว่าคุณหลายปี แต่ผมรู้ว่าความรักดีๆมันเป็นยังไง”

ผมหลุดหัวเราะเมื่อเด็กอายุยี่สิบหกบอกคนอายุสามสิบว่ารู้จักความรักดีๆ

 “เอาเป็นว่าผมจะไม่กดดันคุณสองแน่นอนครับ ขอแค่คุณสองเมมเบอร์โทรศัพท์ของผมไว้ในเครื่อง และยอมตอบข้อความของผมบ้างวันละครั้งก็ยังดี”

ผมไม่ได้รับปาก ไม่ส่งสัญญาณใดๆนอกจากมองรอยยิ้มของชายชื่อภูจนกระทั่งเขาขับรถออกไป มันไม่ใช่ความรู้สึกน่าประทับใจหรือน่าปลาบปลื้มอะไรจนต้องเก็บมาคิด เพราะผมมั่นใจว่าในระยะเวลาไม่กี่เดือน เรื่องราวในวันนี้คงกลายเป็นเรื่องในวงเหล้าของภูที่เจ้าตัวนำไปเล่าติดตลกว่าครั้งหนึ่งเคยจีบเกย์แก่ๆที่ไม่เชื่อในความรัก แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมให้มันจบลงแบบนั้นก็เลยตั้งใจลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไป และเดินเข้าร้านหนังสือซึ่งวันนี้มีติณณภพมาเฝ้าร้านพอดี

“ไปไหนมา?”
“พาเปเปอร์ไปหาหมอ” ผมตอบเพื่อนก่อนจะเดินไปช่วยเด็กในร้านจัดเรียงอันดับเบสเซลเลอร์ประจำสัปดาห์นี้
“เมื่อกี๊กูเห็นบีเอ็มใครก็ไม่รู้จอดหน้าร้าน มึงมากับใคร?”
“คนที่เพิ่งเจอเมื่อวาน”
“ที่ไหน?”
“งานแต่งวิน” ผมถอนหายใจ “แฟนเก่าเนเน่ เมียวินอ่ะ”
“ผู้ชายเหรอ?”
“อืม”

ติณขมวดคิ้วมองพร้อมกับหรี่ตาลง ผมที่กำลังง่วนกับการแปะป้ายอันดับจึงเงยหน้าจากกองหนังสือและถามเพื่อนว่าทำไม มีอะไร มีคนมาส่งแล้วมันจะทำไม

“เปล๊า” ติณณภพยักไหล่ “ไหนมึงบอกว่าไม่ชอบคนขายตรงไง?”
“เขาไม่ได้ขายตรง เขาเป็นหมอหมา”
“แล้วเปเปอร์เป็นไงบ้าง?”
“ก็ดีขึ้น คงไม่เป็นไรมาก น้ำหนึ่งน่าจะดูแลได้ เออ – ว่าแต่ มึงรู้หรือเปล่าว่าเนเน่ท้อง”
“ไม่เห็นแปลก ถ้าไม่ท้อง มีเหรอคนอย่างไอ้วินจะยอมแต่งงานด้วย” ติณหัวเราะในลำคอเหมือนขำปนสมเพช “มึงโอเคยัง?”
“โอเคอะไร?”
“เรื่องวิน”
“มันผ่านมานานจนกูไม่รู้สึกขนาดนั้นแล้ว”

ผมเหยียดยิ้มบอกเพื่อนทั้งๆที่ไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดเท่าไหร่ จริงอยู่ที่ต่อให้หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีวันกลับไปหรือยุ่งย่ามกับสามีของคนอื่น แต่บางครั้งในใจ ระหว่างที่ไม่มีอะไรทำ หรือชั่ววูบหนึ่งของความคิดที่เกิดขึ้นในสมองเพียงเสี้ยววินาที ผมยังคงตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ที่จบแบบครึ่งๆกลางๆเสมอ

“เอ้อ – กูมีเรื่องจะบอก ศุกร์หน้าเอกอิ๊งนัดรวมรุ่นที่ร้านแถวทองหล่อ มึงอยากไปไหม?”
“มึงไปหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็คงไปแหละมั้ง” ติณดูไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ “แต่บอกในไลน์แล้วว่าอาจจะไปกับมึง”
“ได้ กูยังไม่รับปากนะ ขอดูก่อนว่าจะมีงานเข้ามาหรือเปล่า”
“นอกจากแปลหนังสือแล้วมึงยังมีงานอื่นอีกเหรอ?”
“ไม่มี” ผมถอนหายใจ “เดี๋ยวนี้งานแปลหายาก ตัดราคาแย่งลูกค้ากันให้วุ่น วงการแปลจะชิบหายกันหมดแล้ว”

ผมบ่นติดตลก แต่จริงๆไม่ตลกเพราะยอดงานแปลตกฮวบฮาบอย่างมีนัยยะสำคัญมาหลายปี รายได้ที่ควรเข้ากระเป๋าก็น้อยลงเรื่อยๆจนเคยเครียดอยู่พักใหญ่ว่าจะเอาเงินที่ไหนใช้ จะเอาอะไรกิน ดีว่าผมได้งานแปลหนังสือจากพี่ดาวมาบ้าง ไม่งั้นคงเครียดตาย ขาดรายได้เกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์แบบนี้มีหวังต้องกลับเข้าสู่วงจรชีวิตมนุษย์เงินเดือนอีกครั้งแน่ๆ

เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่ผมจะปลีกตัวขึ้นไปทำงานแปลต่อในห้อง ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ติณฟัง ไม่ได้บอกว่าเจ้าของบีเอ็มดับเบิลยูที่มาส่งหน้าร้านหนังสือคือใคร และเราคุยอะไรกันบ้าง ผมยังคงไม่เชื่อบทสนทนาที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่เพราะมองไม่เห็นความเป็นไปได้ ผมหลุดหัวเราะออกมาด้วยซ้ำเมื่อนึกถึงคำพูดของภูที่ว่า –

“ผมชอบคุณ”

ผมเหยียดยิ้มมุมปาก ไม่ได้ตั้งใจคิดถึงภู แต่ในหัวยังคงสลัดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆเอาไว้ไม่ได้ หากเรามีโอกาสได้คุยกันอีกหน่อย ภูก็คงเข้าใจเองว่าการไม่รักใครน่ะดีที่สุดแล้ว

เรื่องของภูหายไปจากหัวเมื่อเริ่มทำงานได้ซักระยะ ผมจมเจ่าอยู่ในโลกของตัวอักษรและการเรียงร้อยถ้อยคำอยู่นานเกือบชั่วโมงจนกระทั่งโทรศัพท์มือถือสั่นถึงได้เงยหน้ามองนาฬิกา อีกไม่กี่นาทีก็จะห้าโมงเย็นแล้ว คงเป็นติณณภพส่งไลน์มาถามว่าจะกินอะไร ทว่าเบอร์โทรเข้าไม่ได้เป็นชื่อของติณ แต่เป็นเบอร์ใหม่ที่ไม่เคยเมมไว้ในเครื่อง

“ฮัลโหล ครับ”
[คุณสองใช่ไหมครับ?]
“ครับ ใครครับ?”

ผมถามพลางใช้นิ้วขยายไฟล์หนังสือโดยไม่ทันเอะใจ ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆว่าภูเองครับ

“อ๋อ – ว่าไงภู”
[คุณสองยังไม่เมมเบอร์ผมอีกเหรอ?]
“ยังเลย ผมกำลังยุ่งๆอยู่น่ะ” ผมตอบตามตรง “เดี๋ยวจะเมมแล้วล่ะ”
[ขอบคุณนะครับ]
“โทรมามีธุระอะไรด่วนหรือเปล่าเนี่ย?”
[ผมอยากชวนคุณสองไปทานข้าวพรุ่งนี้]
“พรุ่งนี้?”

ผมเลิกคิ้วพร้อมกับเปิดปฏิทิน เพราะลึกๆไม่ค่อยอยากเจอภูก็เลยบอกปฏิเสธเขาไป เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่ร่าเริงเหมือนสุนัขพันธุ์โกลเด้นจ๋อยซึมอีกครั้งก่อนจะตอบเสียงอ่อยว่าไม่เป็นไร

“เป็นหมอหมาไม่ต้องเฝ้าคลินิกหรือไง?”
[ผมทำงานเป็นกะครับ นอกนั้นให้คุณสองได้หมดเลย]

แหวะ – ผมจะอยากได้เวลาของคนอื่นทำไมกัน

“ผมไม่ว่างจริงๆภู ไว้โอกาสหน้านะ”
[โอกาสหน้าของคุณสองคือช่วงไหนเหรอครับ?]
“ก็ – วันที่ผมว่างไง”
[เราจะได้เจอกันอีกจริงๆใช่ไหม?]

ผมไม่กล้ารับปากภูว่ามันจะเกิดขึ้น วันที่นายสิปปกรว่างเพื่อออกไปทานข้าวกับเขาต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะผมรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนประเภทนัดเป็นนัดสำเร็จเท่าไหร่ หลายต่อหลายครั้งนัดที่ไม่เป็นการเป็นงานมักถูกยกเลิกกะทันหันเพราะผมไม่อยากไป เหตุผลของการยกเลิกนัดมันก็ส้นตีนแบบนี้แหละ ผมไม่อยากโกหกภู แต่ก็ไม่อยากหักน้ำใจของเขาเหมือนกัน

“ถ้าผมว่าง เราไปกินข้าวกันก็ได้”
[เย้! ขอบคุณครับ] ภูดีใจออกนอกหน้าจนผมงงว่ามันจะดีใจอะไรกันนักกันหนา แค่กินข้าวด้วยกันมันต่อยอดความสัมพันธ์อะไรไม่ได้หรอก [ไลน์ของคุณสองคือเบอร์โทรนี้ใช่ไหมครับ?]
“ครับ เบอร์นี้แหละ”
[ผมขอแอดไลน์นะ]
“ตามสบาย”

ผมส่ายหน้าเอือมระอา ไม่มีความขวยเขินเหมือนตอนแรกที่ถูกภูตามตื๊อเสียเท่าไหร่ เราคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่ผมจะขอวางสายเพื่อทำงานต่อ หลังจากนั้นก็ไลน์สั่งติณให้ซื้อข้าวมาเผื่อด้วย ถึงเวลาก็ลงไปกิน กินและบ่นเรื่องที่บ้านให้เพื่อนฟังว่าพ่อบังเกิดเกล้าสร้างปัญหาอะไรไว้บ้างก่อนจะตบท้ายด้วยการบอกติณณภพว่าผมอิจฉามันมากแค่ไหน คนที่ไม่ต้องตามใช้หนี้ให้พ่อแม่น่ะ – โชคดีที่สุดเลย

“มึงก็ช่วยเท่าที่ไหวสิ ที่เหลือให้พ่อเขาหามาใช้เองบ้าง”
“กูก็อยากทำแบบนั้นนะ แต่พอนึกว่าพ่อแม่ลำบากส่งกูเรียนจนจบมันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ว่ะ ถึงจะชอบสร้างปัญหาให้ปวดหัวแต่เขาก็เป็นพ่อที่ดีนะ”

ผมถอนหายใจ ไม่รู้จะอธิบายความสัมพันธ์ที่มีต่อพ่อยังไง ผมรักพ่อแต่ก็โกรธพ่อที่หัวอ่อน หลงเชื่อคำพูดของพวกหัวหน้าเครือข่ายจนเป็นหนี้ตั้งหลายหมื่น ผมเข้าใจเหตุผลที่พ่ออยากรวย ผมรู้ว่าพ่อกลัวว่าหลังเกษียณแล้วต้องแบมือขอเงินลูกใช้ไปจนตายเพราะไม่มีเงินเก็บ พ่อจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มีรายรับสองทางจะไม่ได้รบกวนลูกชายอีก ซึ่งผมก็เคยบอกพ่อแล้วไงว่าผมไม่ทิ้งพ่อกับแม่หรอก แต่ความกลัวของคนแก่ใกล้เกษียณมันซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ

“แล้วพี่น้ำว่าไง?”
“น้ำหนึ่งไม่ว่าอะไร ไม่รู้ทะเลาะกับพี่ปั๊ปหรือเปล่า”
“เขาอาจจะไม่ได้มีปัญหากันก็ได้ มึงอ่ะคิดมาก” ติณยกช้อนชี้หน้านายสิปปกรที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงข้าม ผมเบะปากและแค่นหัวเราะ
“มึงเชื่อกูเถอะว่าไม่นานหรอก”
“ทำไม?”
“ยายน้ำเน่าเลิกกับผัวแน่” ผมถอนหายใจ “ถึงตอนนั้นกูจะทำยังไงดีวะ?”
“อย่าคิดในสิ่งที่ยังไม่เกิดเลย มึงเนี่ยชอบเอาอนาคตมาใส่หัวให้เครียดอยู่เรื่อย”
“แต่ถ้าน้ำหนึ่งเลิกกับพี่ปั๊ปจริงๆ --”
“ไอ้สอง” ติณวางช้อนลงแล้วจ้องหน้าผม “ให้มันเกิดขึ้นจริงเถอะแล้วค่อยว่ากัน”

ผมทำปากขมุบขมิบล้อเลียนไอ้ติณก่อนจะก้มหน้ากินข้าวจนหมดจาน หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเองโดยไม่พูดเรื่องนี้อีก ติณอยู่ร้านถึงดึกเพื่อเช็กสต็อกและดูตารางโปรโมตหนังสืออาทิตย์หน้าว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง ส่วนนายสิปปกรกลับขึ้นไปแปลงานต่อบนชั้นสามของร้านกู้ดรี้ดดิ้ง

แต่ไหนแต่ไรผมเป็นคนเครียดง่ายเพราะฐานะทางบ้านไม่แน่นอน หน้าที่การงานของพ่อกับแม่ไม่ได้มั่นคงอะไร แถมพี่สาวตัวดีก็ไม่มีงานมีการทำนอกจากอยู่บ้านเลี้ยงลูก ดังนั้นเรื่องครอบครัวจึงมักเป็นเรื่องแรกและเรื่องใหญ่เสมอในชีวิตของสิปปกร อย่างตอนนี้ – แค่คิดว่าน้ำหนึ่งจะเป็นหม้าย ผมก็เริ่มเครียดจนหมดอารมณ์ทำงาน มันตื้อตันไปหมดเพราะไม่รู้ว่าหากพี่สาวต้องหย่าจริงๆ ค่าใช้จ่ายในการดูแลเปเปอร์จะตกมาที่ใคร แน่นอนว่าน้ำหนึ่งคงไม่มีกำลังเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเองเร็วๆนี้ อาจเป็นหน้าที่ของน้าสองหรือไม่ก็คุณตาคุณยายต้องส่งเสียเลี้ยงดูหลานไปพลางๆจนกว่าน้ำหนึ่งจะตั้งตัวได้ แต่พี่สาวของผมไม่ใช่ประเภทถึกทนสู้งาน พนันได้เลยว่าอีกหน่อยยายน้ำหนึ่งคงเปลี่ยนงานบ่อย นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ชอบ ทีตอนพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือล่ะไม่เรียน มาตอนนี้จะบ่นไหมนะว่าตัวเองหางานลำบากเพราะไม่มีวุฒิการศึกษา ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด พอเครียดก็ต้องหาทางระบายออกเป็นบุหรี่ซักมวน

พอคิดได้ดังนั้น ผมจึงพักงานที่ทำอยู่เพื่อให้ตัวเองได้ผ่อนคลายกับนิโคตินซักหน่อย ติณณภพไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่ในร้าน ดังนั้นผมจึงต้องเดินไปหลังร้านที่มีแอ่งน้ำขังตั้งแต่ช่วงกลางวัน ใช้ไฟแช็คอันใหม่แกะกล่องเพื่อจุดบุหรี่และอัดเข้าปอดจนฉ่ำ ผมคิดถึงภูอีกครั้งเมื่อก้มมองไฟแช็คในมือตัวเอง เวลาประมาณนี้ของเมื่อวาน เรายืนคุยกันในโรงแรมที่จัดงานแต่งงานของแฟนเก่า ถ้าตอนนี้เรามีโอกาสอยู่ด้วยกัน ท็อปปิคในบทสนทนาจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรนะ ผมนึกถึงสิ่งที่ภูสนใจใครรู้ไม่ออกเลย

Rrrrr

โทรศัพท์สั่น ผมจึงต้องล้วงหยิบจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดู เป็นภูนั่นเอง เขาส่งสติ๊กเกอร์รูปหมาคอร์กี้มาให้ ผมหลุดหัวเราะขำและส่งสติ๊กเกอร์หมีบราวน์กลับไป

[ทำอะไรอยู่คับ]

“ดูดหรี่”

[มวนที่เท่าไหร่ของวันนี้อ่ะ?]

“มวนแรก” ผมใช้ปลายนิ้วเคาะบุหรี่แล้วพิมพ์ตอบ ซักพักภูก็ส่งข้อความมาราวกับกำลังรอนายสิปปกรอยู่พอดี

[สูบบุหรี่มันอร่อยเหรอคับ?]

ผมหัวเราะขำ หนึ่งขำคำว่าคับของภู เพราะมันคล้ายคลึงกับเสียงลงท้ายเวลาเขาพูดไม่มีผิด สองผมขำการเลือกใช้คำของเขา บุหรี่อร่อยเหรอ? มันไม่อร่อยหรอก ของแบบนี้จะอร่อยได้ยังไง มันฉีกใส่ปากแล้วเคี้ยวแดกได้ที่ไหนล่ะปั๊ดโถ่เอ๊ย

“อยากลองสูบหรือเปล่า?”

[ไม่เอาคับ แม่ผมเป็นมะเร็ง]

“เสียใจด้วยนะ”

[อ๋อ แม่ผมยังไม่ตาย ตอนนี้หมอบอกว่าแม่หายแล้วคับ ตรวจเจอเร็วก็เลยหายไว]

ไอ้เด็กนี่ --

[มะรืนนี้คุณสองว่างเป่าคับ?]

“ทำไมต้องพิมพ์เป่าคับ ทำไมไม่พิมพ์เปล่าครับให้มันถูกๆฮะ?”

[มะรืนนี้คุณสองว่างหรือเปล่าครับ]

“ไม่ว่างครับ” ผมหัวเราะจนไหล่สั่น ได้แกล้งเด็กนี่มันสนุกจริงๆ “ทำไม?”

[จะชวนไปดูหนัง]

“ทำงานทำการบ้างเถอะคุณ”

[ทำงานอยู่แล้วคับ ชวนไปดูหนังนอกเวลางาน]

ไม่รู้ว่าภูเป็นคนซื่อหรือกวนตีน แต่ผมขอจัดไว้ในหมวดกวนตีนก่อน

[ว่าไง ไปมั้ยคับ]

“อย่าเร่งดิ ถ้าทำให้อึดอัดผมไม่คุยด้วยแล้วนะ”

ภูส่งสติ๊กเกอร์หน้าร้องไห้มาให้

ตามด้วยสติ๊กเกอร์คนหมดแรง

สติ๊กเกอร์วิญญาณหลุดจากร่าง

และสติ๊กเกอร์หัวใจสลาย

แหม – น่าสงสารจริงๆเลย

“ผมแปลหนังสืออยู่ ไม่ค่อยมีเวลา แต่เร็วๆนี้ผมคงออกนอกบ้านไปซื้อหนังสือ”

[ที่ไหนคับ?]

“คิโนะ”

[อ๋อ คิโนะคูกิมิยะ]

“ไปเล่นตรงนู้นนะ”

จากตอนแรกคิดว่าคุยสองสามประโยคแล้วจะชิ่งไม่ตอบ แต่ภูเป็นคนตลกกว่าที่คิดไว้จนเผลอคุยด้วยอยู่นาน หลังบุหรี่มวนแรกหมดลง ผมก็เดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อหยิบทิชชู่มาห่อก้นบุหรี่เก็บไว้เป็นที่ระลึก สวนทางกับติณณภพที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดเกี่ยวกับอีเว้นต์โปรโมทหนังสือสัปดาห์หน้าพอดี

“สอง มึงมานี่หน่อยสิ”

ผมจึงจำใจต้องบอกลาภูโดยบอกสั้นๆแค่ว่างานเข้า ภูส่งสติ๊กเกอร์งอแงต่ออีกนิดหน่อยก่อนจะถามทิ้งท้ายว่าเมมเบอร์เขาหรือยัง เมื่อผมไม่ตอบ ภูก็รัวถามสลับกับส่งสติ๊กเกอร์ปัญญาอ่อนมาว่าเมมเบอร์ผมหรือยัง

“ว่า? มีอะไร?”

ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงและเดินเข้าไปหาติณณภพ ดูเหมือนว่าเราคงต้องเปลี่ยนหนังสือที่ใช้สำหรับงานเสวนาในวันเสาร์ถัดไป ปกติติณไม่มีปัญหากับแผนที่ผมวางไว้เลย คราวนี้คงขัดใจมันจริงๆถึงเรียกมาคุยและหาทางออกร่วมกันเพราะติณคิดว่า Lord of the flies หรือวัยเยาว์อันสิ้นสูญ ของ วิลเลียม โกลดิง ดูจะไม่ค่อยเข้ากับเล่มอื่นๆเท่าไหร่

“มึงดูแต่ละเรื่องที่มึงเลือกมานะ Little Women การผจญภัยของทอม ซอว์เยอร์ ยักษ์ใจดี ปีเตอร์แพน ลอร์ดน้อยฟอนเติ้ลรอย แล้วจู่ๆก็กระโดดมา Lord of the files มึงใช้เกณฑ์อะไรเนี่ย?”
“วรรณกรรมเยาวชนคลาสสิคไง กูแค่อยากให้ทุกคนรู้จักเรื่องนี้ด้วย อาจจะดาร์คหน่อยแต่มันดีนะ สะท้อนให้เห็นว่าสันดานดิบมนุษย์น่ากลัวขนาดไหน ไม่ต้องให้โตจนเป็นผู้ใหญ่ก็เหี้ยมได้โดยสัญชาติญาณ” ผมอธิบายเพิ่ม
“แต่มึงต้องดูด้วยว่าธีมเรื่องมันไม่เข้ากับเล่มอื่นที่เลือกมา” ติณยกหนังสือจะเขกหัวผม “กูว่าย้าย Lord of the files ไปหมวดดาร์คดีกว่า อาจจะเป็นเดือนหน้าก็ได้ แล้วค่อยหาเรื่องอื่นๆที่โทนเดียวกันมารวมกลุ่ม”
“Animal Farm ด้วยไหม กึ่งๆอยู่นะ”
“งั้นเราอาจจะเปลี่ยนชื่องานเป็นหนังสือที่เผด็จการไม่แนะนำ”
“มึงว่ามันอ่านเองหรือเปล่าวะ? กูว่าคงจ้างตาสีตาสาให้ไปสรุปมามากกว่าถึงพ่นออกมาได้ว่าแอนิมอล ฟาร์มไม่เกี่ยวกับการเมือง” ผมหัวเราะปนสมเพช “เราควรทำอีเว้นต์นี้ด้วยนะ เอาลงตารางเลย”
“จะทำเดือนไหน? แล้วเชิญใครมา?”
“เดือนธันวา วันรัฐธรรมนูญ”
“มึงไม่รู้เหรอว่าบริษัทเอกชนบางที่ไม่หยุดวันรัฐธรรมนูญ” คราวนี้ติณใช้หนังสือเคาะหัวผมจริงๆ “ค่อยคิดก็แล้วกัน ทำอันนี้ให้เสร็จก่อน อย่าลืมโทรไปคอนเฟิร์มวิทยากรด้วยนะ เดี๋ยวเขาไม่มาล่ะวงแตก ไม่มีคนเริ่มงาน”

ผมบ่นอุบอิบว่ารู้แล้วก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกรอบ คราวนี้เป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้เมมเอาไว้ ผมจึงหลุดขำออกมาจนติณณภพถามว่าใครโทรมา

“คนบ้า”
“คนที่มึงเจอเมื่อวานอ่ะนะ?”
“เออ คนนั้นแหละ”

ผมยิ้มโดยไม่รู้ตัว มือสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายและเอ่ยทักทายภู

“อะไรอีก? บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวเมมเอง ผมไม่ลืมหรอกน่า”

[สอง]

เสียงผู้ชายปลายสายไม่ใช่ภู แต่เป็นเสียงคุ้นเคยที่ผมได้ทุกวันเมื่อหลายปีก่อน มันคือเสียงของชวินทร์

[นี่วินนะ]

“อืม”

[วันศุกร์นี้ – อยากไปกินข้าวกันไหม?]



PART 2 ต่อข้างล่างเลยค่า  :hao5:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 16-12-2019 21:06:17
3 [PART 2/3]

ผมเคยรักชวินทร์มากก็จริง แต่ศีลธรรมในตัวผมไม่ได้ตกต่ำถึงขนาดตอบรับคำชวนนั้น ชวินทร์มีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เธอกำลังท้องลูกของเขา ดังนั้นการพบกันของเราจึงไม่ควรเกิดขึ้นไม่ว่าจะรูปแบบใดอีก ผมตอบปฏิเสธชวินทร์ในทันที เขาเงียบหายไปแต่กลับแอดไลน์มาเพื่อชวนคุยอยู่เรื่อยๆ พฤติกรรมของชวินทร์กำลังทำให้ผมไม่ชอบตัวเอง ผมรู้ว่าควรทำยังไง แต่เพราะผมไม่หนักแน่นพอที่จะตอกกลับด้วยถ้อยคำรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน เรื่องก็เลยยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้นจนอยู่นานเป็นเดือน

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ติณฟัง และเราเห็นตรงกันว่าไม่ควรติดต่อชวินทร์อีก แต่คนอย่างชวินทร์ไม่ใช่พวกถอดใจยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นวันที่เอกอิ๊งนัดรวมรุ่นที่ร้านอาหารแถวทองหล่อ ชวินทร์ก็ปรากฎตัวขึ้นท่ามกลางความงุนงงของทุกคนว่ามันมาทำไม ไม่มีใครรับเชิญแล้วเสนอหน้ามาถึงร้านได้ยังไง

“เอ่อ – งั้นวินนั่งหัวโต๊ะละกันเนอะ น้องคะ ขอเก้าอี้เพิ่มอีกตัวค่ะ”

ผมกับติณมองหน้ากันด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ส่วนชวินทร์ตีมึน นั่งลงทานอาหารและร่วมบทสนทนากับพวกเราอย่างเป็นกันเอง มันควรเป็นนัดเลี้ยงรุ่นที่สนุกกว่านี้ ผมควรได้มีช่วงเวลาแอบเบะปากใส่หมูพีหรือได้แชร์เรื่องเฮงซวยของตัวเองให้เพื่อนๆฟังบ้าง แต่เพราะชวินทร์นั่งอยู่ด้วย ผมจึงไม่อยากพูดอะไรเท่าไหร่นัก ผมไม่อยากให้วินรู้ความเป็นไปตั้งแต่เลิกกับมันเมื่อห้าปีก่อน ไม่อยากเปิดช่องว่างให้วินพยายามเข้าหา แต่เขาก็ได้จังหวะโอกาส แกล้งโพล่งเรื่องเปเปอร์ขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร

“พูดถึงไข้หวัดใหญ่ วันก่อนเราเจอสองกับลูกที่โรงพยาบาลด้วย”
“อะไรนะ?” แพมที่เป็นนักการทูตดูช็อคกับคำบอกเล่าของวินมาก “อีสอง มึงมีเมียแล้วเหรอ? มีเมื่อไหร่?”
“ตกใจอะไร? กูจะมีลูกมีเมียไม่ได้หรือไง?”
“กูคิดว่ามึงเป็นเกย์ มึงกับวินก็เคย – เคยคบกับไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ แต่วินมันก็แต่งงานมีเมียมีลูกได้เหมือนกัน ไม่เห็นแปลก” ผมยักไหล่และเลือกที่จะโกหกตามน้ำแทนการพูดความจริง
“ไหนเอารูปลูกมาดูหน่อย”
“ไม่มี กูไม่ค่อยถ่ายรูปลูก” ผมอ้อมแอ้มตอบ ในใจก็มีแต่คำว่าฉิบหาย ฉิบหายเพราะในโทรศัพท์มีแต่รูปไร้สาระ ภาพถ่ายของเปเปอร์แทบไม่มีซักใบ
“โม้ละอีสอง ตอนกูคลอดลูกคนแรก กูถ่ายเก็บวันละเป็นร้อย ลูกขี้แตกกูก็ยังถ่ายไว้”

เพื่อนคนอื่นต่างส่งเสียงว่าใช่ ใช่ พร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย ความกดดันนั้นแผ่ซ่านมาถึงผมที่พยายามโกหกหน้าตายจนแทบอยู่เฉยไม่ได้ ส่วนชวินทร์นั่งยิ้มมุมปาก มันคงมั่นใจว่าเปเปอร์ไม่ใช่ลูกชายของผมแน่ๆ ไอ้ห่าเอ๊ย ความผิดของมึงวันนี้มีสามกระทงแล้วชวินทร์ หนึ่งคือมึงเกิดมาบนโลกใบนี้ สองคือมึงเสนอหน้ามาที่ร้านโดยไม่มีคนชวน สาม – มึงปั่นให้เพื่อนๆจับผิดเรื่องลูกกูทั้งๆที่จะมีลูกหรือไม่มีมันไม่ใช่ธุระอะไรของใครเลย

“พวกมึงเชื่อเถอะ ลูกไอ้สองจริงๆ” ติณณภพเป็นคนกอบกู้สถานการณ์อีกตามเคย “สองมันเลิกกับเมียแล้วก็เลยไม่ค่อยอยากพูดถึง มึงอย่าไปจี้ใจดำมันนักเลย”
“จริงเหรอสอง?”

หมูพีถามด้วยสีหน้าสงสารปนเวทนา ต่อให้อยากปฏิเสธว่าไม่จริงแค่ไหน ผมก็ต้องแสร้งปั้นหน้าตึงและตอบว่าใช่ ทั้งๆที่ในใจอยากเอาจานสเต็กฟาดหน้าไอ้เหี้ยวินซักเปรี้ยง โทษฐานสาระแนนักนะกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

“คราวหน้าสองพาลูกมาด้วยนะ เราอยากเจอหน้าหลาน”

แล้วเทวดาตัวน้อยพีรพัฒน์ก็จบเรื่องนี้อย่างสวยงามพร้อมกับคำเห็นด้วยของทุกคน ส่วนสิปปกรน่ะเหรอ ได้แต่นั่งหน้าแดงเพราะความโกรธอยู่นาน ชวินทร์เหลือบมองผมและยิ้มมุมปาก ก่อนจะเตะขาผมใต้โต๊ะเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อเหมือนที่เราเคยทำสมัยยังอยู่ด้วยกัน แต่ผมไม่ได้อยู่ในโหมดอารมณ์อ่อนไหวเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว ผมจึงยกเท้าถีบเก้าอี้กลับจนชวินทร์ตัวปลิวออกจากโต๊ะอาหารท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนๆ

“สอง”

ติณเตือนสติผมที่กำลังจ้องหน้าวินอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนมันแกล้งทำเป็นไม่ทุกข์ร้อนก่อนจะบอกเพื่อนๆไปว่าไม่มีอะไรหรอก มันทำสปาเก็ตตี้หก ก็เลยกระถดตัวหนีออกจากโต๊ะเพราะกลัวเปื้อนเสื้อ ผมมั่นใจว่าเพื่อนๆในเอกไม่ใช่คนโง่ ทุกคนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นและเริ่มแสดงท่าทีกระอักกระอ่วนออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงรังสีจากนายสิปปกร ผมจ้องหน้าวินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่อโดยไม่พูดหรือเล่าอะไรให้เพื่อนๆฟังอีก

บนโต๊ะอาหารที่หมูพีเคยเป็นดาวเด่นกลับเงียบสนิท ผมรู้ว่าเพื่อนๆไม่ค่อยจะเอนจอยกับนัดเลี้ยงรุ่นครั้งนี้แล้ว ซึ่งมันอาจส่งผลถึงนัดคราวหน้าที่พวกเราคงอยากมารวมตัวกันน้อยลงเพราะบรรยากาศเหมือนอยู่ในสงคราม ผมจัดการสเต็กในจานจนเกลี้ยงก่อนจะลุกขึ้นยืน ติณณภพรีบถามทันทีว่าจะไปไหน ผมจึงตอบไปว่าสูบบุหรี่ พร้อมกับหยิบทิชชู่ติดมือไปด้วยหนึ่งแผ่นเพื่อห่อก้นบุหรี่กลับบ้าน

“สูบบุหรี่ได้ที่ไหนบ้างครับ?”

ผมถามบริกร เขาชี้ไปยังลานจอดรถก่อนจะขอให้เดินไปสูบไกลๆหน่อยเพราะกลิ่นอาจลอยเข้าครัวทำอาหาร ผมตอบสั้นๆแค่ครับและเดินออกไป ทิ้งความน่าอึดอัดใจบนโต๊ะอาหารไว้เบื้องหลังและใช้เวลาส่วนตัวนี้ไปกับบุหรี่ซักมวน

“สอง”

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าใครคือเจ้าของเสียงทุเรศนี้ ผมก็ยังหันหลังกลับไปมอง ชวินทร์ยืนหน้านิ่งอยู่ไม่ไกลก่อนจะเดินเข้ามาหาด้วยแววตาจริงจังยิ่งกว่าตอนอยู่ในร้าน ผมไม่ให้ความสนใจนอกจากอัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่และระบายมันขึ้นบนฟ้า หมอกสีเทากับกลิ่นนิโคตินลอยฟุ้งไปทั่วเมื่อเราอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง แต่ชวินทร์ยังไม่พูดอะไร

“ตามมาทำไม?”
“มีเรื่องอยากคุยด้วย”
ผมแค่นหัวเราะ “อยากคุยอะไรตอนนี้ วันที่กูเข้าไปเก็บของ ไม่เห็นมึงจะพูดเหี้ยอะไรนอกจากแก้ตัว”

ผมพูดคำหยาบเพราะเริ่มโมโห แต่ก็ยังพอควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอแสดงอารมณ์มากไปกว่านี้ได้ ผมนึกสงสัยจริงๆว่าในเมื่อเราต่างคนต่างไปกันมาตั้งห้าปีกว่าแล้ว ทำไมชวินทร์ถึงพยายามกลับเข้ามาทำให้สับสนอีกครั้งทั้งๆที่ตัวเองก็กำลังจะเริ่มต้นใหม่ เขาแต่งงาน มีภรรยา มีลูกที่อยู่ในท้องของเธอแท้ๆ แต่ติดต่อหาคู่ขาเก่าที่เป็นเกย์อีกทำไม คนกระจอกสำหรับครอบครัวด็อกเตอร์ผู้ทรงเกียรติมีค่าอะไรให้ต้องหวนกลับมางั้นเหรอ

“ก็ตอนนั้นเรายังเด็กด้วยกันทั้งคู่” ชวินทร์เสียงอ่อน “เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำกับสองมันเหี้ยเกินไป แต่เราแค่อยากเคลียร์เรื่องที่ค้างคาให้จบ”

คำพูดของวินทำให้ผมเงียบชั่วอึดใจ และเริ่มคิดถึงความรู้สึกติดค้างที่อยู่ในใจของเรา

“เอางี้ – เราไปหาที่เงียบๆคุยกันดีไหม?” วินเอ่ยชวน “สองจะได้รู้เหตุผลที่เราต้องเลิกกันไง”

ไม่รู้ว่าผมเป็นบ้าอะไรกับคำว่าค้างคานักหนา ดังนั้นตอนที่ชวินทร์ชวนออกไปต่อข้างนอกเพื่อคุยเรื่องคั่งค้างของเรา ผมจึงตอบตกลงในที่สุด





ชวินทร์พาผมไปร้านประจำที่เราเคยมาดื่มด้วยกัน ต้องเป็นวันที่พิเศษสุดๆเท่านั้นถึงจะได้มาที่นี่เพราะราคาค่อนข้างแพงสำหรับนักแปลฟรีแลนซ์ที่รายรับไม่ค่อยแน่นอน การกลับมาของเราครั้งนี้ต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง บริกรที่เคยซี้กับชวินทร์ไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว เราจึงกลายเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาสองคนที่แวะมาดื่มร่วมกัน ไม่ใช่คนรักกันเหมือนคราวก่อน วินเลือกโต๊ะเดิมที่เราเคยนั่งตอนฉลองวันเกิด เขาสั่งไวน์กับชีสให้โดยที่ผมไม่ได้ร้องขอ เมื่อบริกรเสิร์ฟทุกอย่างลงบนโต๊ะ ผมก็จ้องตาวินเพื่อให้สัญญาณเขาอธิบายโดยไม่แตะต้องอาหารซักคำ

“สองสบายดีนะ”

เราเริ่มจากบทสนทนาทั่วไป ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบตามประสาคนไม่ได้พบกันนาน ผมเล่าเรื่องของตัวเองไม่มาก นอกนั้นก็เป็นวินที่ซักถามว่าชีวิตของสิปปกรมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

ผมเล่าให้วินฟังคร่าวๆว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไร ผมไม่ได้กระจอกเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ได้งานจากสำนักพิมพ์ประจำและทำเงินได้เยอะแยะ ผมไม่ใช่แค่คนแปลเอกสารโนเนมในวงการอีกแล้ว เดี๋ยวนี้บนชั้นหนังสือยังมีชื่อของผมเขียนไว้บนหน้าปก

“สิปปกร แปล”

ผมอวดด้วยความภาคภูมิใจและอยากเอาชนะ แต่วินก็ไม่ได้แสดงอาการหมั่นไส้หรืออยากข่มผมให้รู้สึกแย่เหมือนเมื่อก่อน เขาถามถึงปัจจุบันว่าผมมีโปรแกรมแปล CAT Tools หรือยัง เมื่อผมตอบว่ายังไม่อยากซื้อเพราะราคาแพงเกินไป ชวินทร์ก็หลุดหัวเราะเยาะ

“สองนี่ยังฟุ่มเฟือยเหมือนเดิมเลยนะ ชอบเอาเงินซื้อของที่ไม่จำเป็นอยู่เรื่อย จริงๆไม่จำเป็นต้องใช้ไอโฟนก็ได้ เอาเงินซื้อมือถือไปซื้อโปรแกรมแปลน่าจะมีประโยชน์มากกว่า”

เสือกอีกแล้วนะไอ้เหี้ย

ผมมุมปากกระตุกแต่ไม่ได้ตอบโต้ด้วยคำพูดที่อยู่ในหัว สำหรับผม ราคาของโปรแกรมนั่นไม่ได้เอื้อมถึงง่ายๆแถมลูกค้าไม่ได้รีเควสให้ใช้บ่อยๆ หากซื้อโปรแกรมมาจริงๆ เรทค่าจ้างก็ต้องปรับขึ้นไม่อย่างนั้นทุนจะจม และอย่างที่ทุกคนก็รู้ว่าวงการนี้ห้ำหั่นกันด้วยการตัดราคา แค่แพงกว่าคำละ 0.2 สตางค์ลูกค้าก็พร้อมเทแล้ว แต่เหตุผลหลักที่ไม่ซื้อคืองานของผมเกี่ยวกับวรรณกรรม

การแปลวรรณกรรมแทบจะพึ่งพาโปรแกรมพวกนี้ไม่ได้ทั้งหมด บางอย่างมันแปลทื่อเกินไปซึ่งการแปลหนังสือต้องเลือกคำและมีความสละสลวยมากกว่านั้น อีกอย่างเมื่อเก็บเงินได้ตามเป้า มันก็มีเรื่องอื่นที่จำเป็นกว่าเข้ามาเสมอ ไหนจะพ่อ ไหนจะน้ำหนึ่ง และค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ผมต้องรับผิดชอบตัวเองอีก ชีวิตของผมไม่มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ตเหมือนชวินทร์หรอกนะ ดังนั้นการพูดว่าซื้อไอโฟนทำไม เอาไปใช้อย่างอื่นดีกว่าคือโคตรเสือกเลย สาระแนนัก มึงไม่เป็นกูจะมาเข้าใจอะไร โปรแกรมพวก CAT Tools มันโทรหาบก.ได้ไหม มันติดต่อลูกค้า หรือมีระบบปฏิบัติการที่โคตรเสถียรอย่าง ios ไหม ไอ้ควายเอ๊ย อยากด่าแม่ง

“เริ่มเก็บเงินตั้งแต่ตอนนี้เลยนะจะได้ซื้อโปรแกรมมาใช้ เพื่อนเราหลายคนยืนยันว่ามันดีกว่าแปลเองจริงๆ ราคาแค่สองสามหมื่น เก็บเงินไม่กี่เดือนก็ซื้อได้แล้ว”
“แต่เราไม่ได้ตัวคนเดียว เราเองก็มีภาระต้องดูแลเหมือนกัน”
“พ่อกับแม่ยังไม่เลิกเป็นปลิงอีกเหรอ?”
“ก็พ่อแม่เราลำบากส่งเราเรียน ที่หนี้เขาเยอะก็เพราะเก็บเงินให้เรา”
“ที่ผ่านมาสองก็น่าจะให้คืนไปเยอะพอสมควรแล้วนี่ ลองบอกพ่อกับแม่สิว่าขอไม่ส่งเงินได้ไหม สองเองก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนกัน หรือไม่ก็ประหยัดให้มากกว่านี้จะได้มีเงินเก็บ”
 “จะเอาที่ไหนมาประหยัด แค่ค่ารถไฟฟ้าไปกลับก็เกือบร้อยแล้ว”
“ไม่มีเงินก็นั่งรถเมล์สิ”
“รถเมล์มันมาไม่ค่อยตรงเวลา บางทีเราต้องไปสาทร ไปอ่อนนุช ใช้รถไฟฟ้ามันสะดวกกว่า” ผมเริ่มกลอกตา
“ก็ออกให้ไวกว่าเดิม เผื่อเวลาเยอะๆหน่อยจะได้ไม่สาย วันก่อนเราเห็นสองอัปสเตตัสบ่นเรื่องค่าเดินทางในกรุงเทพแพง มันก็แพงหมดนั่นแหละ อีกอย่างมันหลายทางให้เลือก สองควรเลือกทางที่เหมาะกับตัวเองสิ”

ตายห่า – นี่กูเคยนอนกับสลิ่มเหรอวะ

“แต่รถไฟฟ้าเนี่ย มันเป็นขนส่งสาธารณะ มันไม่ควรราคาแพงหรือเปล่า?”
“ไม่เห็นแพงเลย ซับเวย์นิวยอร์กแพงกว่านี้อีก”
“แล้วค่าแรงอเมริกามันเท่าไหร่ สามร้อยเท่าเมืองไทยไหม? แค่ค่าครองชีพก็ไม่เท่ากันแล้ว อย่าเสือกพูดเลยว่าราคาไม่แพง มีโอกาสมากกว่าคนอื่นในประเทศตั้งกี่สิบล้านคนแล้ว อย่าทำตัว ignorance ไปหน่อยเลยวิน สวัสดิการบางอย่างมันก็เริ่มต้นที่ตัวเองไม่ได้ รถเมล์มาช้า มาไม่ตรงเวลา จอดไม่ตรงป้าย ไม่จอดรับผู้โดยสารเนี่ยมันความผิดประชาชนเหรอ ประชาชนสามารถรวมตัวกดดันคนขับได้ไหมล่ะ ประชาชนต้องร่วมกันบริจาคเงินเพื่อซื้อรถใหม่ด้วยไหมล่ะ งั้นจะเก็บภาษีไปทำไม ถ้ารัฐไม่คิดแก้ปัญหา แล้วเรามีรัฐบาลไปเพื่ออะไร เพื่อให้มันพล่ามเรื่องโง่ๆอย่างเลี้ยงวัวที่โรงเรียนเด็กๆจะได้ดื่มนมทุกเช้าเหรอ ประเทศไหนมีนายกส้นตีนขนาดนั้นก็ตายห่ากันพอดี”

ชวินทร์เงียบไป เขาดูเคืองและเสียหน้าที่โดนผมรัวใส่เป็นปืนกลไม่ยั้ง เราต่างนั่งหันหน้าไปคนละทางเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เมื่อก่อนตอนเราอยู่ด้วยกัน วินไม่ได้เป็นถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าการไปอเมริกาทำให้โลกของชวินทร์เปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ผมขอตัดสินเอาว่าเป็นโลกเหี้ยๆที่มีมายาคติว่าจนเพราะขี้เกียจ จนเพราะไม่ขยัน จนแล้วต้องเจียม ส่วนรัฐบาลไม่มีหน้าที่อะไรทั้งนั้นนอกจากจับคนเห็นต่างเข้าคุกและบังคับให้เป็นบุคคลสูญหาย

“พูดเรื่องของเราต่อเถอะ”

ผมบอกชวินทร์เพื่อให้กลับเข้าประเด็นเสียที เขาแกว่งแก้วไวน์ในมือแล้วยกขึ้นจิบด้วยท่าทางเก๊กๆแบบปลอมเปลือกก่อนจะถอนหายใจ

“งั้นเราขอโทษสองอย่างเป็นทางการเลยก็แล้วกันนะ ขอโทษที่ทิ้งสองไปในวันนั้น สองไม่ได้ทำอะไรผิด เราเหี้ยเองที่ไม่ให้สถานะกับสอง”

ชวินทร์พูด แต่ไม่ยอมบอกเหตุผลว่าทำไม ผมเดาเอาว่าก็คงหมดรักแล้วนั่นแหละถึงอยากแยกย้ายกันไป ไม่งั้นคงไม่ให้ผมเก็บเสื้อผ้าย้ายออกทันทีหรอก ผมนั่งฟังวินพูดอยู่นานเพราะคิดว่าเขาคงอธิบายหรือสารภาพความรู้สึกตอนนั้น ทว่ามันไม่มีอะไรเลย นอกจากการคุยโวโอ้อวดถึงชีวิตแสนสุขสันต์ต่างประเทศโดยไม่มีพันธะผูกมัดอีก ผมรู้สึกแย่จริงๆที่โดนหลอกให้มาฟังเรื่องราวโม้เหม็นของคนเหี้ย ดังนั้นตอนที่วินเริ่มเล่าว่าเจอกับเนเน่ยังไง ผมก็หลุดหัวเราะและถามเขาว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ค้างคาในใจของเราเลยนี่

“เกี่ยวสิ เพราะเนเน่ทำให้เรารู้ว่าจริงๆแล้ว – เราชอบอยู่กับใครมากกว่า”

คำพูดของชวินทร์ไม่ได้ทำให้หัวใจของนายสิปปกรพองโต หนำซ้ำกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อได้ยินประโยคกำกวมที่พูดราวกับว่ายังมีใจและคิดถึงผมอยู่เสมอ ผมได้แต่ฟังวินร่ายข้อเสียเมื่อต้องคบกับเนเน่เป็นร้อยข้อ เช่นเวลาไปไหนมาไหน เนเน่ไม่เคยหารค่าใช้จ่าย วินต้องเป็นฝ่ายออกเองตลอด แถมยังขี้หึงชนิดที่หาเรื่องมาทะเลาะกันได้ทุกวี่ทุกวันจนวินเบื่อ  ชวินทร์ออกตัวว่าเขาเป็นประเภทชอบอะไรแฟร์ๆ แต่เมื่อเป็นแฟนของเนเน่แล้วรู้สึกว่าถูกคาดหวังให้เป็นสุภาพบุรุษตลอดเวลาในขณะที่ตอนคบกับสิปปกร ผมไม่เคยเอาเปรียบวินที่รวยกว่าเลยซักครั้ง ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้มีเงิน ออกจะกระเบียดกระเสียนด้วยซ้ำ

“มันอึดอัดมากเลยนะที่เวลาไปดินเนอร์กันก็ต้องเป็นคนจ่ายทั้งหมด แม้กระทั่งค่าทิปเรายังต้องจ่ายเองครั้งละสิบยี่สิบเหรียญ”

ส่วนตัวผมมองว่ามันก็ไม่ใช่ความผิดของชวินทร์เสียทีเดียว เขาเป็นประเภทไม่ชอบถูกใครเอาเปรียบอยู่แล้วก็เลยไม่พอใจเวลาต้องจ่ายส่วนที่ตัวเองไม่ได้รับประโยชน์ ผมได้แต่ฟังวินพล่ามความเห็นแก่ตัวของตัวเองอยู่นานจนกระทั่งพูดถึงลูก ชวินทร์สารภาพกับผมเป็นคนแรกว่าเขาไม่เคยอยากให้มีวันนี้เลย

“ถ้าเลือกได้ เราไม่อยากแต่งงาน” วินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรารู้สึกว่าคนที่เข้ากับเราที่สุดก็คือสอง”
“แล้วไงต่อ?”
“ไม่รู้สิ เราคิดหนักเหมือนกัน”
“เนเน่รู้เรื่องของเราไหม?”
“รู้” ชวินทร์ถอนหายใจ “แต่ตอนนั้นเนเน่ท้องแล้ว ต่อให้รับไม่ได้ที่เราเคยเอาผู้ชาย มันก็ถอยกลับไปตั้งหลักไม่ได้เพราะลูกกำลังจะเกิดมา”
“งั้นคำตอบมันก็ค่อนข้างเคลียร์แล้วนะว่าวินควรทำยังไงต่อไป” ผมพูดเสียงเรียบ “ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น และเป็นพ่อที่ดีของลูก”
“แต่เราไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือกับผู้หญิงที่เราไม่ได้รัก เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เด็กเกิดมา”

ถึงตรงนี้แล้วผมพูดอะไรไม่ออก รู้สึกจุกที่ชวินทร์มีความคิดเห็นแก่ตัว ไม่อยากมีลูกมันไม่ผิดหรอก แต่ในเมื่อเด็กมาแล้วจะให้ทำยังไง จะไปทำแท้งก็ได้ถ้าแม่เด็กเขายินยอมหรือเห็นด้วยว่าไม่พร้อมให้เด็กเกิดมา แต่ถ้าเห็นแก่ตัวไม่อยากมีคนเดียวแล้วพาลคือมึงเหี้ยแล้ว ตอนเอาก็เอากันสองคน พอมีเด็กเพิ่มขึ้นมาจากการกระทำตัวเองกลับวิ่งหนีไม่ยอมรับ พยายามผลักภาระไปให้ผู้หญิงอยู่ฝ่ายเดียว อันนี้เรียกเหี้ย ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าชวินทร์เป็นคนเหี้ย

“ถ้าอย่างนั้นวินจะเอายังไง?”

ชวินทร์นิ่งเงียบไปราวกับไม่กล้าพูด เขาเกริ่นเรื่องงานแต่งที่เพิ่งจบไปได้ไม่กี่เดือนก่อนจะเริ่มอ้อมแอ้มว่ายังไงก็หย่าไม่ได้หรอก ไม่ได้เด็ดขาดเพราะพ่อกับแม่ชอบเนเน่มาก ถ้าหย่ากันมีหวังชวินทร์คงไม่ได้รับมรดกหลายๆอย่างแน่ๆ ผมฟังแล้วก็ได้แต่สมเพชสิ่งที่อยู่ในหัวของผู้ชายคนนี้ ผมบอกวินให้พูดความจริงมาเถอะ สิ่งที่คิดอยู่ในใจ สิ่งที่ต้องการในตอนนี้ ชวินทร์เอื้อมมือมากุมมือผมก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?”

ได้ –

ได้ก็เหี้ยแล้ว

ผมสะบัดมือของวินออกแล้วจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ ชวินทร์เลวเกินไปและเหี้ยเกินไปสำหรับผู้ชายวัยสามสิบที่แต่งงานมีภรรยาแล้ว แต่กลับขอคืนดีกับแฟนเก่าอีกครั้งทั้งๆที่ลูกกำลังจะคลอดอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พอเห็นสีหน้าของผม ชวินทร์ก็พยายามโน้มน้าวด้วยคำว่ารักอีกครั้ง มันพล่ามบ้าบออะไรก็ไม่รู้เกี่ยวกับการค้นพบความรู้สึกตัวเองและพยายามรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆเพราะหวังว่าผมจะใจอ่อน

“คxx เหอะ ไอ้เหี้ย”

ผมสาดไวน์ในแก้วใส่หน้าชวินทร์เมื่ออีกฝ่ายพูดว่าถ้าผมไม่อยากรู้สึกผิด เรามาเป็น Friend with benefits กันเหมือนเมื่อก่อนก็ได้

“มึงมีความเป็นมนุษย์บ้างเถอะนะ กูขอเลยล่ะ อย่างน้อยศีลธรรมในใจมึงไม่ควรต่ำตมขนาดนี้นะวิน”

ผมเริ่มขึ้นเสียงจนทุกคนในร้านหันมอง แต่ตอนนั้นมันโกรธจนไม่สนใจใครแล้ว ผมรู้แค่ว่าต้องด่า ต้องด่าไอ้คนเหี้ยให้มันอับอายไม่งั้นคงนอนไม่หลับ สารพัดถ้อยคำหยาบคายดูหมิ่นชวินทร์หลุดจากปากไม่หยุด ผมด่าวิน ตำหนิที่มันใจหมาถึงขนาดจะนอกใจเมียที่กำลังอุ้มท้องลูกตัวเอง มีเรื่องมากมายให้ด่าชวินทร์จนนึกไม่ออก จำได้ว่าคำสุดท้ายก่อนเราจะจากกันไปจนวันตาย ผมบอกชวินทร์ว่า

“คนอย่างมึงนะ อย่าหวังว่าจะมีความรักดีๆเลย แม้แต่ความรักจากลูกมึงก็จะไม่มีวันได้ เพราะพ่อเฮงซวยแบบมึงมันไม่คู่ควรกับคำว่าครอบครัว!”

ผมทิ้งท้ายและรีบเดินออกจากร้าน จังหวะนั้นมันโมโหจนทนเห็นหน้าชวินทร์ไม่ได้ ต้องหนีไปให้ไกลเพราะหนึ่ง ผมไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในร้าน และสอง – ผมไม่อยากช่วยชวินทร์หารค่าไวน์ ผมอยากให้มันอกแตกตายที่ต้องจ่ายมือส่งท้ายนี้คนเดียว



PART 3 ข้างล่างเลยคับผม  :mew1:

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 16-12-2019 21:07:54
3 [PART 3/3]

ไม่รู้ว่าใครจะอกแตกตายก่อนกันระหว่างชวินทร์ที่ต้องจ่ายค่าไวน์คนเดียว หรือผม – ที่เพิ่งได้ยินเต็มสองหูว่าอีกฝ่ายความสัมพันธ์ของเรามีสถานะแค่ Friend with Benefits เท่านั้น

ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้อีกเลย แต่พอได้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยคบกับคนเฮงซวยขนาดนี้ เคยเสียใจ เคยร้องไห้จะเป็นจะตายให้กับคนเหี้ยๆ มันก็อดแค้นไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยอมให้มันตลอดจนแทบไม่เหลือความเป็นตัวเองอย่างตอนนี้ แทนที่จะดีใจที่ได้หลุดพ้น ผมกลับรู้สึกแย่ที่รู้ตัวว่าเสียเวลาไปกับความสัมพันธ์ที่ไม่เหลือความรู้สึกดีๆให้คิดถึง ผมเหมือนโดนหลอกใช้ สุดท้ายก็เป็นได้แค่ของตายที่อยากมีเซ็กส์เมื่อไหร่ก็ใช้คำหวานหลอกล่อ ไม่มีวันได้สถานะถูกต้องเหมือนคนทั่วไป เป็นได้แค่เพื่อนเอาเท่านั้น

ผมจำได้ว่าโกรธมากจนเดินสะเปะสะปะไปเรื่อย ไม่ได้สนใจหาทางกลับร้านกู้ด รี้ดดิ้งเพราะมัวแต่นึกโมโหอยู่คนเดียว ผมเดินปาดน้ำตาขณะลัดเลาะบนฟุตปาธ พอเดินจนเหงื่อชุ่มก็รู้สึกเกลียดตัวเองเป็นสองเท่าที่ไม่เดินไปทางรถไฟฟ้า แต่ย้อนศรไปไหนก็ไม่รู้ซึ่งคงต้องเรียกใช้บริการแท็กซี่อีกแน่ๆ

Rrrrr

ในตอนที่เคว้งคว้างไม่รู้จะทำยังไงต่อไป โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นอีกครั้ง มีข้อความต่อว่าจากชวินทร์มากมายที่ยังไม่ได้อ่านแต่ผมไม่ให้ความสนใจ ผมหวังว่าคงเป็นติณณภพที่โทรถามว่าอยู่ไหน จะมารับกลับบ้าน ทว่าเบอร์ที่แสดงบนหน้าจอกลับเป็นภู

[สวัสดีคับ]

ภูล้อเลียนตัวเองด้วยการออกเสียงคับแทนที่จะเป็นครับ ถ้าเขาโทรมาก่อนที่เรื่องเฮงซวยพวกนี้จะเกิด ผมคงหลุดหัวเราะไปแล้ว แต่เพราะผมกำลังอารมณ์ไม่ดีและหงุดหงิดเหมือนหมีกินผึ้งที่พร้อมจะแหกปากตะโกนด่าโคตรเหง้าของชวินทร์ ผมจึงถามภูว่ามีธุระอะไร

[คุณสองอยู่ไหนเนี่ย?] ภูถามด้วยน้ำเสียงจ๋อยๆเมื่อโดนดุ
“ทองหล่อ”
[ใกล้คลินิกผมเลยอ่ะ! แวะมาเที่ยวบ้านผมไหมครับ? ผมเลี้ยงหมาคอร์กี้ด้วยนะ]
“ไม่ไป”

ผมปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“แต่ถ้าคุณว่าง จะออกไปกินเหล้าด้วยกันก็ได้นะ”





แถวทองหล่อมีร้านวัยรุ่นชื่อดังอยู่ร้านหนึ่ง ภูเองก็เคยชอบมาที่นี่กับเพื่อนบ่อยๆจึงดีใจออกนอกหน้าเมื่อมีโอกาสได้ดื่มเหล้ากับผมเป็นครั้งแรก

ตั้งแต่รู้จักกันวันนั้น นอกจากข้อความในไลน์และสายโทรศัพท์ ผมไม่เคยเปิดโอกาสให้ภูได้ใช้เวลาร่วมกันอีกเลย ผมบอกภูเสมอว่าไม่ว่างเพราะไม่อยากให้ความหวังลมๆแล้งๆกับเด็ก แต่วันนี้ผมเจอเรื่องเฮงซวยจึงไม่ปฏิเสธเมื่อภูติดต่อมา

บรรยากาศในร้านไม่ใช่สิ่งที่ชอบ ผมไม่ชอบร้านเหล้าที่ต้องยืนเบียดเสียดไม่มีเก้าอี้ ไม่ชอบเสียงเพลงอึกทึกครึกโครมจนแทบไม่ได้ยินเสียงคนคุยกัน แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยกันอยู่แล้ว ผมมาเพื่อดื่มเหล้า ภูจะพูดอะไรก็ช่างเขาเถอะ ผมไม่สนใจฟังหรอก

“ปกติคอแข็งไหมครับ?”

ภูตะโกนถามเกี่ยวกับอะไรซักอย่าง ผมพยักหน้ารับส่งๆโดยไม่รู้อะไรก่อนจะดื่มเหล้าที่เด็กเสิร์ฟชงให้จนหมดแก้ว เราแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยเพราะผมกำลังอยู่ในภาวะที่เสียใจจนไม่สามารถเรียบเรียงได้ ภูเองคงรับรู้ถึงอาการนี้ เขาแสดงออกว่าเป็นห่วงและอยากรับฟัง แต่ผมกลับบอกภูว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้ายังอยากคุยกันต่อก็อย่ายุ่งกับผมนักเลย

ผมมันปากเสีย ผมรู้ตัว ผมชอบทำให้คนอื่นเสียใจเพราะคำพูดร้ายๆ ผมก็รู้ตัว แต่พออยู่ในภาวะที่เสียใจมากๆและไม่เหลือคนที่ไว้ใจได้ ผมยิ่งไม่อยากเล่าหรือระบายอะไรให้ฟังนอกจากดื่มจนกว่าจะเมา ผมบอกภูว่าค่าเหล้ามื้อนี้เดี๋ยวเราหารกัน น่าจะตกคนละพันกว่าเพราะภูสั่งชีวาสมากิน แต่ช่างเถอะ เท่าไหร่ก็จ่ายได้ ขอให้ผมได้หลั่งน้ำตาหรือระบายความเสียใจออกจากอกซักหน่อยก็เป็นพอ

“คุณสองไม่พูดเลย” ภูพยายามชวนคุย “เครียดเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“เรื่องคนเหี้ย”
“ผมเหี้ยเหรอ?”
“ไม่ใช่คุณหรอก” ผมกัดกระพุ้งแก้มก่อนจะกระดกเหล้าอีกแก้ว “คนเหี้ยที่บอกว่าผมมันฟุ่มเฟือยเพราะเอาเงินไปซื้อไอโฟนแทนที่จะซื้อโปรแกรมแปล”
“ไม่ได้ฟุ่มเฟือยหรอก ก็โทรศัพท์มันสำคัญกว่าจริงๆ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีโทรศัพท์จะติดต่องานยังไงล่ะ ยิ่งคุณสองเป็นฟรีแลนซ์ยิ่งจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ติดต่อลูกค้านะ”

ผมมองหน้าภู เขาดูจริงจังกับคำพูดตัวเองมากจนผมเผลอเริงร่าไปครู่หนึ่งเพราะได้เจอคนที่มีความคิดเหมือนๆกัน

“ไอ้เหี้ยนั่นมันหาว่าผมไม่ประหยัด มันบอกว่าถ้าไม่มีเงินก็นั่งรถเมล์สิ จะนั่งรถไฟฟ้าทำไม”
“ก็รถไฟฟ้ามันประหยัดเวลามากกว่า อะไรที่ใช้เงินซื้อได้ก็ซื้อไปเถอะครับ ซื้อเวลาก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกันเพราะคุณสองสามารถเอาไปต่อยอดอย่างอื่นได้อีกเยอะ”

ผมประทับใจในคำพูดของภูมาก มันทัช มันกินใจ มันทำให้รู้สึกดีเพราะอย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้กลวงโบ๋เหมือนไอ้เหี้ยชวินทร์ ดังนั้นตอนที่เริ่มคุยกันถูกคอ ผมก็ขยับเข้าไปใกล้ภูจนตัวเราแนบชิดติดกัน เสียงเพลงในผับทำให้เราต้องตะเบ็งเสียงคุยข้างหู ผมเอนซบภูโดยไม่รู้ตัวขณะที่พูดคุยเรื่องห่าเหวทั่วไปรอบตัว ภูกำลังทำให้ผมประทับใจด้วยการบอกว่าสิ่งที่นายสิปปกรทำตอนนี้ไม่ใช่การตัดสินใจพลาดหรือการทำอะไรไม่คิด เพราะผมคิดดีแล้ว ผมวางแผนมาดีแล้ว ผมทำดีที่สุดในแบบของตัวเองแล้ว ไม่ต้องไปสนใจฟังหมาเห่าหรอก ว่าแต่พี่วินใช่ไหมที่พูดกับคุณสองแบบนี้

“ใช่”

ผมตอบสั้นๆและเริ่มซบหน้าลงบนไหล่ของภูเมื่อดื่มเหล้าเกินเจ็ดแก้ว

“เหมือนที่ผ่านมา – มันไม่เคยมีความหมายกับวินเลยว่ะ”

ผมเริ่มร้องไห้ แต่ดีใจที่ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาเสียทีเพราะขืนไม่ร้องตอนนี้ ผมคงอยู่ในโหมดตรอมใจไปอีกหลายวัน

“ผมไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าหามันก่อนเลยนะ มันทำแบบนี้ทำไมวะ”
 
ผมพรั่งพรูอะไรอีกหลายอย่างออกมาโดยไม่อดทนอดกลั้นอีก ผมคิดว่าภูจะตกใจที่เห็นผมร้องไห้ทว่าเขากลับมีสติมากกว่าเยอะ ในร้านเหล้าที่วัยรุ่นเปล่งเสียงร้องเพลงเศร้าตามนักร้อง ภูโอบเอวของผมและคอยปลอบใจด้วยการรับฟังโดยไม่ตัดสินกัน ผมจำไม่ได้ว่าเล่าอะไรให้ภูฟังบ้าง จำได้แค่ว่าสัมผัสจากเขามันดีและอบอุ่นมากจนอยากเล่าให้ฟังอีกเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะภูเป็นคนอ่อนโยนหรือเพราะแอลกอฮอล์ในเหล้าที่ทำให้เราเริ่มถึงเนื้อถึงตัวกันมากขึ้น ในที่สุดเราก็กอดกันกลม ผมใช้โอกาสนี้ปล่อยตัวเองไปกับชายแปลกหน้าจนกระทั่งเหล้าพร่องไปเกือบครึ่งขวด ภาพจึงตัดและดับสนิท ผมจำอะไรไม่ได้อีกเลย





ผมตื่นอีกครั้งในห้องนอนของคนอื่น ตอนลืมตาแล้วเห็นโคมไฟสวยๆห้อยจากเพดานแทนที่จะเป็นหลอดไฟนีออน ผมก็ต่างสว่าง สร่างเมาในทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง

สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือผมอยู่ที่ไหน เมื่อวานจำได้ว่าไปผับกับภู จำได้ว่าโดนวัยรุ่นโต๊ะข้างๆเบียดเพราะที่ไม่พอ จำได้ว่าเราคุยกันถูกคอมากและผมก็ร้องไห้ แต่จำไม่ได้ว่ามานอนบนเตียงนี้ได้ยังไง ผมประมวลผลความทรงจำไม่ได้ก็จริงแต่ไม่โง่พอที่จะไม่รู้ลำดับเหตุการณ์เป็นยังไง เดาได้ว่าห้องนี้คงเป็นห้องของภู ต้องเป็นห้องภูแน่ๆ เพราะห้องไอ้ติณไม่สะอาดขนาดนี้ ห้องติณณภพมีหนังสือกองอยู่ทั่วทุกมุมห้อง ทั้งรกและอับตามประสาหนุ่มโสดรักสันโดษ เมื่อเหลือบมองรอบตัวแล้วเห็นกรอบรูปสุนัขคอร์กี้ ผมยิ่งมั่นใจทันทีว่าห้องนี้ต้องเป็นของภูแน่ๆ

“ไอ้ห่าเอ๊ย”

ผมก่นด่าและตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเองเปลือยเปล่า ไม่ได้สวมเสื้อผ้ายกเว้นกางเกงใน ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนนางเอกในละครที่ตื่นขึ้นมาในห้องพระเอก กลับกันตรงที่ภูไม่ใช่พระเอก เขาเป็นคนแปลกหน้าที่รู้จักกันได้ไม่กี่เดือนแต่ผมกลับนอนแก้ผ้าบนเตียงของเขา เมื่อหันมองทางขวามือแล้วเห็นภูนอนถอดเสื้ออยู่ข้างๆ ผม – รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตายยังไงก็ไม่รู้

วินาทีนั้นมันไม่เหลือเรื่องอะไรให้ต้องคิดอีกแล้ว ผมกระโจนลุกจากเตียงเพื่อหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่วางพาดบนเก้าอี้มาสวม เสียงสวบสาบทำให้ภูรู้สึกตัวตื่น เขาเอามือตบๆที่ว่างข้างๆก่อนจะปรือตามองเมื่อพบว่านายสิปปกรไม่ได้นอนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว

“อ้าว – ทำไมคุณสองตื่นไวจัง”

ภูยิ้ม แต่ผมกลับเกลียดรอยยิ้มนั้นจนอยากถุยน้ำลายใส่หน้าเพราะมั่นใจว่ามันต้องเกินเลยแน่ๆ พอเห็นท่าทางรีบร้อนของผม ภูก็ลุกขึ้นนั่งและถามว่าหิวไหม จะกินอะไรดี เดี๋ยวเขาจะพาไปกินของอร่อยนอกบ้าน

“หยุด – ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”

ผมชี้หน้าภูด้วยความโมโห

“อย่ายุ่งกับผมอีก คุณแม่งก็เหี้ยไม่ต่างอะไรกับวินเลย”
“ฮะ?”
“นี่ค่าเหล้า” ผมควักเงินออกจากกระเป๋ามาหนึ่งพันแล้วปาใส่หน้าภู “แล้วไม่ต้องติดต่อมาอีก ผมขยะแขยงคุณ”

ผมทิ้งท้ายด้วยประโยคสุดแสนจะคลาสสิคเหมือนนางเอกแล้วรีบเดินหนีออกจากห้องไป เสียงตะโกนเรียกของภูหยุดยั้งอะไรไม่ได้เพราะผมอับอายเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองเพิ่งมีความสัมพันธ์ข้ามคืนกับชายที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ระหว่างทางลงบันไดไปชั้นหนึ่งของคลินิก ผมเห็นหมาคอร์กี้ตัวเท่าควายยืมยิ้มหวานเพราะคิดว่าเจ้านายของมันลงมา ผมเดินหลีกมันแต่ก็ถูกพลังคอร์กี้สกัดกั้นเอาไว้จนเสียเวลาหลายวินาที

“อ้าว เพื่อนหมอภูตื่นแล้วเหรอคะ? อยากทานอะไรคะเดี๋ยวส้มให้เด็กไปซื้อให้”
“ผมไม่ใช่เพื่อนเขาครับ”
“แต่เมื่อคืน --”
“บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ไง!”

ผมกลายเป็นคนโมโหร้ายและไม่สุภาพขึ้นมากะทันหัน จังหวะนั้นไม่มีเวลาให้อธิบายหรือพูดดีกับใครแล้วเพราะภูกำลังวิ่งตามมา ผมสลัดตัวเองให้หลุดจากคอร์กี้ยักษ์และรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากคลินิกรักษาสัตว์ ทันทีที่มีแท็กซี่ผ่านมา ผมก็รีบกระโดดขึ้นรถไม่คิดชีวิตโดยมีภูตะโกนตามหลังว่า –

“คุณสอง!! ค่าเหล้าพันสามครับ!!!!”



TBC


__________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก


สวัสดีค่ะ วันจันทร์หรรษาที่ยังคงบริหารเวลาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่สัปดาห์นี้พาสองกับน้องภูมาพบทุกคนตามสัญญาแล้วค่ะ ต้องขอโทษจริงๆที่รักษาเวลาไม่ได้เลย หวังว่าจะมีคนรอคุณสองกับน้องภูอยู่นะคะ ;-;

ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากมายที่ทุกคนส่งมาให้เราผ่านทางคอมเม้นต์ แฮชแท็ก และแฟนอาร์ตนะคะ จริงๆวันนี้ต้องลงแฟนอาร์ตของคุณเมเปิ้ลด้วยค่ะแต่จัดหน้าไม่ทันแล้ว แง เอาเป็นว่าสัปดาห์หน้าจะพยายามมีวินัยมากกว่านี้ ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ ช่วงนี้เริ่มงานใหม่ก็จะโดนว่าเยอะหน่อย แค่ได้อ่านคอมเม้นต์จากทุกคน ก็แฮปปี้มากๆจนไม่รู้จะพูดยังไงเลยค่ะ พวกคุณคือความสุขที่สุดในชีวิตของคนกระจอกอย่างเรานะคะ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันจนถึงตอนนี้ ฝากติดตามนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่า ;-;
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-12-2019 21:40:46
วิบากกรรมของสองยังไม่หมดสินะ
วินเอาอะไรคิดวะเรื่องจะกลับมารีเทิร์นเนี่ย ปลวกมาก
ก็รู้ว่าเสียใจ คิดมาก แต่เหล้าไม่ใช่ทางออกนะสองนะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 18-12-2019 00:00:06
 :monkeysad: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 18-12-2019 10:56:56
ไอโฟนเป็นเรื่องของรสนิยม
ความชอบส่วนตัว​
ราคาแพงแต่ผ่อนได้​
แต่อย่างไรก็ดี​
แอนดรอยด์​ ก็ถูกกว่า
และมีความเสถียร​ไม่เลวร้าย
อีกทั้งยังถ่ายรูป​สวยด้วยนะจ๊ะ
555

บทล่าสุดนี้​ ทำให้อนุมาน​ได้ว่า
ลักษณะนิสัยของคุณสองนั้น
นางมีความเยอะและมโนเก่งมาก

ส่วนตัวรู้สึกว่า​ มีความย้อนแย้งเล็กน้อ​ย กับสภาวะปัจจุบัน​ ในยุคที่คนอ่านหนังสือแบบเปเปอร์น้อยลง
แต่ร้านกู๊ด รีดดิ้ง​ ยังมีผลประกอบการที่ดี​ ทั้งที่ร้านเชนสโตร์​ต่างๆ​ ปรับตัวเล็กลงเรื่อยๆ​ คงไว้แต่สาขาที่มียอดขายดี
ปัจจุบัน​ เชลฟ์นิยายและวรรณกรรมต่างประเทศ​ ถูกเบียดให้กับนิยายออนไล์ที่นำมาตีพิมพ์​ และแนวไลฟ์โค้ชชิ่ง​ ในแง่ของนิยายเรื่องนี้​ อาจเป็นไปได้ว่า ร้านหนังสือแห่งนี้​จับตลาดบน​ เป็นตัวแทนต่อสู้กับภาวะดิจิตอล​ดิสรัปชั่น​ ด้วยการยืนหยัดคงสภาพร้านหนังสือในดวงใจเอาไว้​ได้​ เรียกกระแสกลุ่ม​นอสตาเจีย

สมกับที่ปูมาว่า​ ติณมีแบ็คดี​
ธุรกิจนี้​ ไม่รักจริง​ ไม่รวยจริงอยู่ยาก

นิยายเขียนได้จิกกัดดี สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-12-2019 11:40:38
วงวารคุณสองอ่ะ วินก็คือเป็นสลิ่มไม่พอนะ ยังเป็นคนแบบนี้อีกหมดคำพูด ชีวิตคุณสองละครมากนะคะ เมาแล้วตื่นมาบนเตียงกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จัก ไม่สำรวจตัวเองสักนิด ใจเย็นก่อนนนน เอ็นดูน้องภูมากค่ะ 555555555555555
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [3] 16/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 19-12-2019 00:17:14
สองมันอาจไม่มีอะไรก็ได้ ไม่ฟังอะไรเลยตื่นมาโวยวายอย่างเดียว
ส่วนอิวินนี่ไม่รู้จะด่าเป็นภาษาอะไรแล้ว เห็นแก่ตัวชิบเป๋ง

ป.ล.น้อนนภู ตั้ลล้าคค
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [4] 23/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 23-12-2019 20:05:42
4 [PART 1/2]

4

มันไม่เหมือนในนิยายที่คุณตื่นมาบนเตียงของคนแปลกหน้าแล้วเสียใจเพราะเสียพรหมจรรย์ให้กับผู้ชาย ผมไม่มีความรู้สึกนั้นเพราะหนึ่งผมไม่ซิงแล้ว และสอง สิ่งที่น่ากังวลกว่าการเสียตัว คือเราไม่รู้ว่าไอ้ผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งมีอะไรกันเมื่อคืนมันมีเชื้อเฮชไอวีหรือเปล่า

ผมรู้จักภูน้อยมาก ไลฟ์สไตล์เขาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ต่อให้เบื้องหน้าเขาคือสัตวแพทย์ใจดีที่ดูสะอาดสะอ้าน แต่ใครจะรู้ว่าลับหลังเขาอาจเป็นแอคเค่อในทวิตเตอร์ อาจมีเซ็กส์แบบวันไนต์แสตนด์แบบไม่เลือกก็ได้ หรือร้ายกว่านั้นเขาอาจเลือดบวก ถ้าภูเลือดบวกจริง – ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองที่ออกไปดื่มกับเขาแน่ๆ

แท็กซี่สีชมพูจอดหน้าร้านกู้ดรี้ดดิ้งตอนเจ็ดโมงกว่าๆ ผมจ่ายเงินค่าโดยสารและรีบเปิดประตูร้านเพื่อขึ้นไปสงบสติอารมณ์ในห้องตัวเอง ตอนนั้นผมไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องอะไรเลย นอกจากเปิดอินเทอร์เน็ตเพื่อดูว่าต้องทำยังไงหากเผลอมีอะไรกับคนที่มีเชื้อเฮชไอวี ยิ่งอ่านก็ยิ่งเครียดเพราะไม่รู้ว่าภูใช้ถุงไหม การคาดคะเนมันไม่สนุกเลยซักนิด ผมเครียดจนอยากอาเจียนเมื่อเริ่มนึกไกลว่าภูอาจจะมีเชื้อ แล้วผมก็อาเจียนออกมาจริงๆเมื่อคิดว่าผลตรวจเลือดของสิปปกรอาจจะออกมาเป็นบวกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

อาการใจสั่นและเหงื่อตกกำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น ผมได้แต่นอนน้ำตาซึมอยู่บนเตียง เครียดและวิตกกังวลเกินกว่าจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋าเป้ เช้าวันนั้นคือหนึ่งในวันที่แย่ที่สุดตั้งแต่เกิดมา ผมนอนร้องไห้อยู่คนเดียวจนผล็อยหลับ ประมาณเที่ยงก็ได้ยินเสียงเคาะประตูก่อนที่ติณณภพจะเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงและใช้มือตีต้นแขนเพื่อปลุกให้มาคุยกันเดี๋ยวนี้

“หายหัวไปไหนมาถึงไม่กลับร้าน”

ผมงัวเงียเพราะนอนไม่พอ เมื่อเห็นติณณภพยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างเตียง ผมก็ถอนหายใจใส่และขอร้องไม่ให้มันด่าอะไรอีกเพราะลำพังเรื่องที่เจอก็หนักหนามากพอแล้ว

“ว่าไง? ไปไหนมา”
“มึงรู้แล้วก็อย่าด่ากูนะ” ผมใช้นิ้วนวดขมับ ในขณะที่ติณณภพไม่รับปาก “เมื่อคืนกูนอนกับภู”
“ไหนว่าไม่ชอบหมอหมานั่นไง แล้วทำไมถึงไปค้างบ้านมัน?”
“ก็ไม่ได้ชอบหรอก เรื่องมันยาว”

ผมไม่รู้จะเริ่มเล่ายังไงจริงๆ ตั้งแต่ออกจากร้านโดยบอกติณสั้นๆว่าเดี๋ยวกลับเอง ลากยาวไปจนถึงบทสนทนาเฮงซวยในร้านขายไวน์ จากนั้นก็ประชดชีวิตด้วยการไปผับกับภูทั้งๆที่ปกติก็ไม่ค่อยดื่มอยู่แล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจเมาขนาดนั้น คิดแค่ว่ากรึ่มๆพอให้โบกแท็กซี่กลับร้านได้ แต่ปรากฎว่าผมไปจบบนเตียงของภู และรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นเพราะไม่รู้ว่าภูใช้ถุงยางไหม

ติณที่ได้ฟังเรื่องทุกอย่างจบถึงกับอ้าปากค้างไปเลย แน่นอนว่าผมไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายที่เสียตัว แต่ผมเครียดจนไม่รู้จะพูดยังไงเพราะมันไปไกลกว่าที่คิดเอาไว้มาก พอเห็นสีหน้าทุกข์ระทมถึงขีดสุดของผม ติณณภพก็นั่งลงบนเตียงและถามว่าโอเคไหม

“ไอ้เหี้ย กูไม่โอเค” ผมตอบเพื่อนเสียงสั่นเครือ เป็นอีกครั้งในชีวิตที่ผมกลัวจนตัวสั่นและมือเย็นไปหมด “ถ้ากูติดโรคจริงๆจะทำยังไงดีวะ? พ่อกับแม่จะว่ายังไง น้ำหนึ่งจะว่ายังไง”

มันมีเรื่องให้คิดมากมายเต็มไปหมด ไม่ใช่แค่ติดเชื้อแล้วกินยาก็จบ แต่ผมเป็นห่วงความรู้สึกของคนในครอบครัวด้วยว่าพวกเขาจะคิดยังไง เราไม่เคยพูดกันตรงๆ ผมไม่เคย come out กับที่บ้านทว่าทุกคนก็คงแอบสงสัยว่าสิปปกรอาจจะไม่ใช่ชายแท้ ดังนั้นผมจึงกลัวมากๆเพราะหากติดเชื้อจริงจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปยังไง คนที่บ้านจะรับได้ไหม แล้วเราจะอยู่กันยังไงหากสิปปกรเป็นเกย์และต้องรับยาต้านไวรัสตลอดชีวิต

ความเครียดและกังวลค่อยๆบีบให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ในที่สุดผมก็เริ่มร้องไห้ แต่เป็นการร้องไห้ที่ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนคนหัวใจสลายขนาดนั้น ติณณภพนั่งปลอบใจผมอยู่พักใหญ่เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ ติณแนะนำว่าทางที่ดีเราควรถามภูตรงๆว่าได้ป้องกันไหม อย่างน้อยถ้ามีถุงยาง – เราก็น่าจะลดความเสี่ยงลงได้บ้าง

“โทรหามันเลย” ติณสนับสนุน “โทรถามมันตรงๆนี่แหละว่าทำอะไรไปบ้าง อย่างน้อยเราจะได้คิดออกว่าควรทำยังไงต่อ”

ถึงตอนนี้แล้ว ต่อให้ไม่อยากรับรู้ว่าเกิดเรื่องห่าเหวแบบไหนบ้างมันก็จำเป็นต้องรู้ ผมชี้นิ้วขอให้ติณช่วยหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าให้หน่อย เมื่อมีโอกาสได้เช็กดูอีกครั้งก็เห็นมิสคอลจากภูเกือบสิบสาย ติณณภพบอกว่าเป็นสัญญาณที่ดีเพราะภูคงพยายามอธิบาย แต่ผมกลับคิดว่าภูไม่ได้อธิบายอะไรหรอก มันโทรมาทวงค่าเหล้าอีกสามร้อยที่ติดค้างต่างหาก

ผมมือสั่นตอนกดปุ่มโทรออก ต้องทนฟังเสียงรอสายอยู่นานกว่าเจ้าของโทรศัพท์จะกดรับ ตอนที่ภูกรอกเสียงอู้อี้ว่า ฮัลโหล ผมรู้สึกจุกอกไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นิ่งเงียบอยู่นานจนภูต้องพูดฮัลโหลๆอีกสองสามครั้งก่อนที่ผมจะโพล่งออกไป

“เมื่อคืนผมจำไม่ได้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรู้นะว่าคุณทำอะไรลงไป”
[ผมทำอะไรอ่ะ?]
“ถึงขนาดนี้แล้วยังจะแกล้งไร้เดียงสาอีกเหรอ?” ผมถาม เริ่มรู้สึกไม่พอใจนิดๆที่ภูพูดราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด “ผมจะไม่พูดเรื่องนั้นอีก ผมแค่อยากรู้อย่างเดียว --”
[คุณสองครับ รออีกซักแป๊ปได้ไหมครับ เดี๋ยวผมโทรกลับ]
“มาคุยให้มันจบๆไม่ได้เหรอ จะยืดเยื้อทำไมอีก?”
[ผมกำลังยุ่งอยู่] ภูพยายามอธิบาย [แต่ถ้าเรื่องค่าเหล้า ผมพูดเล่นนะครับ ไม่ต้องคืนส่วนต่างหรอกเพราะคุณสองดื่มไม่หมด เหล้าผมก็ฝากไว้ที่ร้าน ไว้เราไปกินด้วยกันอีก --]
“ยังจะหวังให้กูไปกับมึงอีกเหรอไอ้เหี้ย!!!”

ผมเผลอขึ้นเสียงด้วยความโมโหเมื่อได้ยินภูทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ต่อให้มันเป็นแค่เซ็กส์ก็จริง แต่เซ็กส์ที่เกิดขึ้นโดยความไม่สมัครใจไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ ต่อให้ผมเป็นผู้ชายไม่มีมดลูก ไม่ท้อง แต่ผมมีสิทธิ์ไม่พอใจและเอาเรื่องอีกฝ่ายได้เหมือนกัน

[คุณโกรธอะไรผมเนี่ย?] ภูถามเสียงเครียด [ถ้าเป็นเรื่องซีเรียส ไว้เราคุยกันทีหลังนะครับ ตอนนี้มือผมไม่ว่าง]
“คุยให้มันจบๆเถอะ”

เพราะเราไม่เห็นสีหน้าของกันและกันจึงไม่รู้ว่าภูคิดยังไง ผมได้ยินเสียงโลหะกระทบกันเป็นแบคกราวน์ประกอบ ภูคงกำลังจัดของหรือทำอะไรซักอย่างที่ไม่สะดวกคุยตอนนี้ แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าเขาจะว่างคุยหรือไม่ เรื่องของเราต้องจบตอนนี้ จบเดี๋ยวนี้ เพราะหลังวางสายผมจะตัดขาดจากภู เราจะไม่ติดต่อกันอีกไม่ว่าจะคอขาดบาดตายแค่ไหนก็ตาม

[งั้นคุณสองมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ?]

ภูถามด้วยน้ำเสียงติดออกจะเหนื่อยหน่าย ราวกับเบื่อความดื้อรั้นในตัวผมนักหนา เสี้ยววินาทีที่ต้องถามคำถามนั้นออกไป จู่ๆผมก็เริ่มลังเลและคิดว่าไม่อยากรับรู้เรื่องนี้เลย ไม่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ความห่าเหวเมื่อคืนที่ภูทำกับผมเป็นแบบไหน ผมจะได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยจากเขาหรือเปล่า มันทั้งสับสนและหวาดกลัว แต่ติณก็พยักหน้าให้สัญญาณว่าถามซักทีเถอะ เราจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นต่อ

“เมื่อคืน – คุณใช้ถุงไหม?”
[ถุง?] ภูทำเสียงงุนงงเหมือนไม่เข้าใจ [ถุงอะไรครับ?]
“ถุงนั้นแหละ ที่คุณต้องใช้ทุกครั้ง”
[คุณสองไม่ได้อ้วกนะครับ ผมก็เลยไม่ต้องใช้ถุง]

ฟังถึงตรงนี้แล้วผมแทบกัดลิ้นตาย เหตุผลส้นตีนอะไรของมัน ไม่อ้วกแปลว่าไม่ใช้ถุงก็ได้เหรอ แค่ไม่อาเจียนใส่หัวมันแปลว่าจะสดก็ได้เหรอ ผมต้องซวยขนาดไหนที่มีผัวเก่าเป็นสลิ่ม ส่วนผัวใหม่ที่ถูกยัดเยียดก็แสนโง่จนคุยไม่รู้เรื่อง

“ภู ผมถามจริงๆ คุณใช้ถุงไหม? ถ้าไม่ใช้ – คุณมีเชื้อหรือเปล่า?”
[ถุงอะไรเหรอครับคุณสอง? แล้วเชื้อนี่เชื้ออะไร?]
“อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย พวกฉวยโอกาสแบบคุณต้องรู้อยู่แล้วว่าผมหมายถึงอะไร”

ภูยังคงไม่เข้าใจ แต่เริ่มมีท่าทีลังเลเมื่อตอบคำถามซึ่งภูดูจะไม่ยอมรับง่ายๆ เขาเริ่มบ่ายเบี่ยงเมื่อรู้ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร ภูอึกอักและไม่สบายใจ เขาบอกว่าจะคุยทีหลังซึ่งผมไม่อยากรออีกแล้ว ผมไม่อยากรอคำตอบหรืออะไรทั้งนั้น ภูใส่ถุงยางไหม และเขามีเชื้อเฮชไอวีไหม เขาต้อง – ตอบ – เดี๋ยว – นี้!

[คุณสองครับ เดี๋ยวผมทำหมันแมวเสร็จแล้วจะโทรกลับ]

ภูเริ่มขอร้อง แต่ผมมองมันเป็นข้ออ้างเพื่อคิดคำสวยๆหรูๆมาแก้ตัวไม่ให้โดนด่ามากกว่านี้ พออีกฝ่ายเฉไฉไม่ตอบ ผมก็เริ่มโมโหจนเผลอขึ้นเสียงใส่เพราะมันถึงขีดสุดแล้ว ในขณะที่ผมจะเป็นจะตายเพราะไม่รู้ว่าเซ็กส์เมื่อคืนมีการป้องกันไหม ภูกลับเอาแต่พูดว่าทำหมันแมว ทำหมันแมวอยู่นั่นแหละ ใช่ ตอนนี้มึงน่ะทำหมันแล้ว แต่ถ้ายังไม่ตอบตรงๆ กูนี่แหละจะทำหมันมึง!

“ผมแค่อยากรู้ว่าเมื่อคืนตอนคุณเอาผมคุณใส่ถุงยางไหม ตอบแค่นี้มันจะไปยากอะไรนักหนาวะก็พูดมาตรงๆสิ!”

ผมโพล่งออกไปด้วยความโมโหจนแทบหน้ามืดเพราะไม่เข้าใจว่ามันทำไมนักหนา พูดตรงๆแค่นี้มันยากหรือไง ผมคิดว่าปฏิกิริยาจากภูคงเป็นคำขอโทษหรืออะไรซักอย่างที่น่าจะทำให้ใจเย็นมากขึ้น ทว่าภูกลับไม่ทำสิ่งเหล่านั้นเพราะผู้ช่วยที่อยู่ในห้องผ่าตัดได้ตอบสนองประโยคของผมด้วยเสียงสูดลมหายใจเข้าแบบช็อคๆ ตอนนั้นผมถึงรู้ว่าภูไม่ได้อยู่คนเดียว เสียงอู้อี้คงเป็นเพราะเขาพูดผ่านหน้ากากอนามัย และเขาคงเปิดสปีคเกอร์ เพราะสองมือกำลังง่วนอยู่กับการตัดไข่แมว

[ผมไม่ได้ใส่ครับ] ภูพูดเสียงขรึม ถึงตรงนี้ผมก็เครียดจนอยากตายแล้ว [ผมไม่ใส่ถุงยาง เพราะผมไม่ได้ทำอะไรคุณสอง]

ผมกับติณณภพมองหน้ากันอัตโนมัติ เราอ้าปากเหวอค้างทั้งคู่เพราะไม่คิดว่าคำตอบของภูจะเป็นแบบนี้ ผมเริ่มเป็นฝ่ายอ้ำอึ้ง กระอักกระอ่วนที่จะถามต่อเมื่อรู้ว่าคนที่ได้ยินบทสนทนานี้ไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่ยังมีผู้ช่วยในห้องผ่าตัดและน้องแมวที่กำลังจะเสียไข่นอนฟังอยู่ด้วย

[ที่คุณสองไม่ใส่เสื้อก็เพราะผมถอดให้ ผมกลัวคุณสองอ้วกเพราะคุณถามหาชักโครกตั้งแต่ยังไม่ออกจากร้าน ส่วนกางเกงคุณสองถอดเองเพราะมันคับ คุณบ่นว่ากินเยอะเกินไปจนติดกระดุมไม่ได้ คุณบ่นว่าตัวเองอ้วน]
“แล้ว – แล้วทำไมตอนผมตื่น คุณถึงแก้ผ้านอนล่ะ?”
[ผมไม่ได้แก้ผ้า ผมใส่กางเกงขายาวอยู่ ผมชอบถอดเสื้อนอนประจำอยู่แล้ว]
“พูดจริงเหรอ?” ผมถาม
[จริงครับ] ภูยืนยันด้วยน้ำเสียงเย็นชา [อีกอย่างคุณสองก็น่าจะรู้นะครับว่าเกย์อย่างเราๆน่ะมันไม่ได้สปาร์คแล้วเอากันง่ายๆ และผมไม่ใช่คนประเภทนั้นด้วย ถ้าคุณไม่ชอบผม ผมก็ไม่ฝืนดันทุรังหรอก ผมเองก็มีศักดิ์ศรี ผมเลือกได้เหมือนกัน]

โอเค – ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเป็นความผิดของตัวเองที่โวยวายเกินไปหน่อย ผมอยากขอโทษภูที่ปรักปรำและกล่าวหาราวกับภูเป็นคนไม่ดี เป็นไอ้ขี้เอาที่ชอบมอมเหล้าแล้วพาไปฟันถึงห้อง ผมเริ่มคิดคำพูดมากมายเพื่อขอโทษแต่ภูไม่ให้โอกาส เขาถามว่ามีอะไรจะถามอีกไหม ถ้าไม่มีเขาขอตัวไปทำหมันแมวต่อ วันนี้เขาได้ตัดไข่แมวแล้ว ต่อไปก็คงถึงเวลาตัดใจ

“ภู --” ผมเรียกชื่อเขา แต่ยังไม่รู้จะพูดอะไร “ขอโทษนะที่เข้าใจผิด ผมแค่ตกใจที่ตื่นมาแล้วเราอยู่ในสภาพนั้นด้วยกันทั้งคู่”
[ไม่เป็นไรครับ]
“งั้น – เดี๋ยวผมโอนค่าเหล้าที่ขาดอีกสามร้อยให้นะ”
[ไม่ต้องหรอกครับ]
“เอาเลขที่บัญชีมาเถอะ เดี๋ยวผมโอนคืนให้”
[ผมบอกว่าไม่เป็นไรไง แต่ถ้าคุณไม่อยากติดค้างกับคนแปลกหน้าอย่างผมอีกก็พร้อมเพย์ตามเบอร์โทรศัพท์ได้เลย แค่นี้นะครับ]

เด็ดขาด เย็นชา และไร้เยื่อใยราวกับไม่ใช่เจ้าหมาโกลเด้นที่กระดิกหางง้อนายสิปปกรอีกต่อไป จริงๆผมควรดีใจที่รู้ว่าภูไม่ได้ล่วงเกินหรือฉกฉวยโอกาสอย่างที่คิด แต่พอนึกถึงความโวยวายไปก่อนของตัวเองก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ เมื่อกี๊เขาไม่ว่าง ภูบอกผมแล้วว่าไม่ว่าง ถ้าเป็นไปได้เราค่อยคุยกันน่าจะดีกว่า แต่ก็เป็นผมอีกครั้งที่ใจร้อนและเอาแต่ใจจนเผลอพูดอะไรออกไปให้ภูเสียหน้า ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับผู้ช่วยเป็นยังไงบ้าง ต่อให้สนิทกันแค่ไหน ภูก็คงไม่ลากเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ฟังหรอก ดังนั้นสิ่งที่นายสิปปกรพ่นออกไปคือการขายภูชัดๆ ไม่แปลกที่เขาจะโกรธ และผมก็รู้สึกไม่ดีกับตัวเองด้วย

“เหี้ยแล้วไหมล่ะมึง ไอ้สอง”

ติณณภพบุ้ยปากมองหน้าผมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าก่อนหน้านี้มันไม่ได้ปริปากเสี้ยมให้ผมพาลภูเลย

“ใจร้อนตลอด”
“ก็มึงไม่ใช่เหรอที่บอกให้กูถามมันอ่ะ!”
“ก็ใช่ไง! กูคิดว่ามึงมั่นใจว่าโดนเอาแน่ๆเลยแนะนำไปแบบนั้น! รู้งี้กูถามมึงแต่แรกดีกว่าว่าเจ็บตูดไหม ไม่ใช่ไม่เจ็บก็คิดเองเออเองเล่นใหญ่ไปไกล แต่ช่างเถอะ ไหนๆมึงก็ไม่ได้ชอบหมอหมานั่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คิดซะว่าตัดคนที่ไม่ใช่ออกไปอีกหนึ่งก็แล้วกันนะ”

ติณรัวใส่เป็นชุด ส่วนผมได้แต่นั่งเหวอเพราะไม่รู้จะเริ่มโต้แย้งตรงไหน ใช่ – ผมใจร้อน ผมไม่ทันสำรวจตัวเองก็ทึกทักเอาว่าภูแน่ๆ เป็นภูแน่ๆที่ล่วงเกินผม ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไร ทำไมเราถึงอยู่ในสภาพนั้นด้วยกันทั้งคู่ล่ะ ผู้ชายสองคนนอนแก้ผ้าบนเตียงคงไม่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่ได้สนิทคุ้นเคยกันมานานหรอก ผมไม่มีสติจะเช็กตัวเองว่าเจ็บไหม มีร่องรอยอะไรหรือเปล่า แต่ไหนแต่ไรผมก็เชื่อฝังใจอยู่แล้วว่าคงไม่มีใครเข้าหาคนอย่างนายสิปปกรแบบไม่หวังผล ต่อให้ไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีชื่อเสียงมากพอจะให้ความช่วยเหลือใครในทางนั้น แต่คงมีคนบางกลุ่มที่หวังเข้ามาเพื่อแลกกับเซ็กส์สนุกๆครั้งคราวแน่ๆ ผมแค่กลัวว่าภูจะเป็นเหมือนคนกลุ่มนั้นที่ผมระแวง ผมกลัวว่าภูจะเหมือนชวินทร์ที่เข้ามาหลอกฟันฟรีๆโดยไม่ให้สถานะหรือความชัดเจนอะไรเลย

เมื่อติณณภพออกจากห้อง ผมก็รีบลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อสำรวจตัวเอง โอเค – ผมไม่เจ็บ ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรลุกล้ำเข้ามา เนื้อตัวของผมไม่มีรอยดูด ผิวยังคงแห้งลอกเป็นขุยตามประสาคนไม่ค่อยดูแลตัวเองเหมือนเดิม สั้นๆคือภูไม่ได้ทำอะไรจริงๆอย่างที่เขาว่า เขาแค่พานายสิปปกรไปนอน ที่ถอดเสื้อให้ก็เพราะกลัวว่าผมจะอ้วกแตกจนเลอะแล้วจะไม่มีเสื้อใส่กลับบ้าน ส่วนกางเกง –

ผมใช้มือจับๆตรงกระดุมและดึงรอบเอวว่ามันยืดได้เท่าไหร่ ปรากฎว่ากางเกงยีนตัวนี้มันเล็กกว่าทุกตัวที่ผมใส่ประจำ พอถอดออกและดูป้ายข้างหลังถึงรู้ว่ามันคือกางเกงที่เคยใส่สมัยเรียนเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว ตอนนี้นายสิปปกรก็แค่อ้วนขึ้นจากสมัยที่เป็นแอนตี้แฟนของเจน ปกติผมไม่หยิบกางเกงตัวนี้มาใส่เลย แต่เมื่อวานคงพลาดจริงๆเพราะโดนติณเร่งให้อาบน้ำแต่งตัวเร็วๆ พอนึกย้อนถึงตรงนี้ก็จำได้ทันทีว่าตอนนั่งรถ ผมบอกติณณภพว่าวันนี้คงกินอะไรได้ไม่มากเพราะกางเกงคับ

ห่าเหว –

ผมนึกคำหยาบออกแค่คำเดียวจริงๆ

นี่กูด่ากราดใส่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ขนาดนั้นเลยเหรอวะ

นึกๆไปก็สงสารภูที่พยายามอธิบายแต่ผมโกรธเกินกว่าจะรับฟังและคุยกันด้วยเหตุผล ผมอยากโทรกลับไปหาภูอีกครั้งเพื่อขอโทษแต่อาจจะเว้นระยะเวลาให้เขาตัดไข่แมวอีกซักหน่อย หรือไม่ก็โทรตอนที่เขาอยู่คนเดียวเพื่อปรับความเข้าใจกัน ผมไม่ได้แคร์อะไรภูหรอกนะ สาบานได้เลย ผมแค่รู้สึกผิดที่ด่ากราดเขาเหมือนคนบ้าและทำให้อับอายขายขี้หน้าเท่านั้น เอาไว้หลังสี่โมงผมจะโทรกลับหาเขาอีกที ผมจะขอโทษภูดีๆแต่คงไม่อะไรกับเขามาก เพราะอย่างที่ติณณภพพูด ยังไงผมก็ไม่ได้ชอบภูอยู่แล้ว จะคิดมากไปทำไม ดีเสียอีกที่เขาจะได้เลิกวอแวผม ภูจะได้รู้ว่าผมมันประสาทแดกไม่คู่ควรกับใครตั้งแต่แรก หวังว่าเขาจะคิดได้และถอดใจยอมแพ้ให้กับคนเหี้ยอย่างสิปปกรซักทีนะ





ผมบอกตัวเองว่าหลังสี่โมงจะโทรไป ซึ่งผมก็โทรไปจริงๆ แต่เป็นผู้ช่วยเขารับสายตลอดจนถึงห้าโมงเย็น ดังนั้นเมื่อไม่รู้จะติดต่อทางไหนได้อีก ผมจึงนั่งรถไฟฟ้าไปหาเขาที่โรงพยาบาลสัตว์แถวทองหล่อเพื่อขอโทษด้วยตัวเองเพราะไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เหี้ยในสายตาของเด็กอายุยี่สิบหก

ตอนนั่งรถไฟฟ้ามาจากบางใหญ่ ผมไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือตื่นเต้นจนมือไม้สั่นเมื่อนึกว่ากำลังนั่งรถไฟไปหาคนที่เพิ่งชี้หน้าด่าเขาเมื่อเช้า แต่พอเดินมาเรื่อยๆจนเห็นตัวตึกของโรงพยาบาล ผมก็ใจเต้นกระวนกระวาย สุดท้ายได้แต่เดินผ่านไปมาหน้าร้านไม่ยอมแวะเข้าไปจนรปภ.เฝ้าลานจอดรถต้องเอ่ยปากถามว่ามีอะไรหรือเปล่า

“ผมแวะมาหาหมอภูครับ”
“อ๋อ น้องหมอภูเหรอ?” ลุงยามชะโงกหน้าดูในลาดจอดรถ “ยังอยู่คลินิกนะ รถจอดอยู่นั่นไง สีขาวๆ”

ผมชะเง้อตามจนเห็นบีเอ็มดับเบิ้ลยูของเขาจอดอยู่ในสุด โอเค ผมรู้แล้วว่าภูอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้จะหาโอกาสเข้าไปยังไงดีเพราะไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย ผมหมายถึงสัตว์เลี้ยงน่ะ เวลามาคลินิกรักษาสัตว์ เราก็ต้องมีสัตว์หรือมีเรื่องอยากปรึกษาสัตวแพทย์ใช่ไหม แต่ผมไม่มีอะไรเลยนอกจากหมาในปากของตัวเอง ยังไม่ทันที่จะห้ามลุงยามไม่ให้โทรติดต่อข้างใน ลุงก็ยกหูโทรศัพท์แล้วถามพนักงานหน้าเคานท์เตอร์ว่าน้องหมอภูอยู่ไหน

“มีคนมาหาน้องหมอแน่ะ เดี๋ยวพี่ให้เขาเดินเข้าไปเลยนะ”

หลังวางสาย ลุงยามก็ยิ้มและผายมือให้ผมเดินเข้าไปข้างใน ห่าเอ๊ย ผมคิด ในหัวมีแต่คำว่าห่าเหว ห่าเหว ห่าเหวในทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปในอาคาร ผมผลักประตูบานกระจกแล้วก็ได้พบกับผู้ช่วยกำลังยืนจัดเอกสารอยู่ ข้างเธอคือภูที่กำลังแนะนำเจ้าของน้องแมวถึงวิธีดูแลหลังทำหมัน เมื่อเขาเหลือบเห็นผมยืนอยู่ข้างหลัง จากสีหน้ายิ้มๆก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ดูไม่แฮปปี้ที่ได้เจอกันเหมือนอย่างเคย

ผมยืนรอจนกระทั่งเจ้าของหิ้วน้องแมวออกไป เหลือแค่เราสามคนยืนมองหน้ากันตรงเคานท์เตอร์ใหญ่ ผมโบกมือให้ภูแก้เก้อเพราะอึดอัดจนไม่รู้จะทำตัวยังไง ภูมองผมแค่ปราดเดียวก็โพล่งถามขึ้นมาว่า

“ไม่เห็นคุณลูกค้าพาสัตว์เลี้ยงมาเลย งั้นมีธุระอะไรที่โรงพยาบาลสัตว์เหรอครับ?”

ภูดูยียวนกวนประสาท แต่เข้าใจได้ว่าเขาคงโกรธที่โดนด่ากราดแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมขนาดนั้น ผมยิ้มแบบฝืนๆให้ภูทั้งๆที่ในใจอยากสกายคิกจะแย่ กว่าจะทำใจมาถึงนี่ได้มันลำบากรู้ไหม ค่ารถไฟฟ้าก็แพง แต่ผมยังมาหาคุณก็เพราะผมแคร์ไงว่าคุณจะรู้สึกยังไง

“มีเรื่องอะไรอยากให้ผมช่วยเหรอครับ?”

ภูประชดไม่เลิก เขาเหมือนเด็กมัธยมกวนตีนมากกว่าเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์แล้ว ผมได้แต่มองหน้าภูด้วยความรู้สึกอยากจะทุบซักเปรี้ยงโทษฐานที่ทำให้เรื่องมันยาก แต่เพราะสำนึกได้แล้วว่าทำภูเสียหน้าแค่ไหนจึงต้องข่มอารมณ์อยากทุบเอาไว้ก่อน ภูหายโกรธเมื่อไหร่ค่อยจัดการไอ้เด็กนี่ต่อ เราน่าจะมีเรื่องให้คุยกันอีกเยอะเลย

“ผมจะมาขอโทษคุณ”
“เรื่องอะไรครับ?”
“เรื่องเมื่อเช้า”

ผมพูดและมองหน้าเขา สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากำลังเคลื่อนไหวอยู่

มันคือหาง

ตอนนี้ภูกลับมาเป็นเจ้าหมาโกลเด้นที่หน้านิ่งแต่กระดิกหางรัวด้วยความดีใจ ผมแปลกใจจริงๆที่มองภูเป็นหมาไปได้ยังไง ยิ่งตอนที่มุมปากของเขาแอบยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า “มาขอโทษ” ผมยิ่งรู้สึกว่าภูกำลังกระดิกหางส่ายตูดสุดฤทธิ์ที่เห็นนายสิปปกรขี้โวยวายเดินทางมาง้อถึงที่

“คุณไม่รับโทรศัพท์”
“ผมยุ่งอยู่”
“ไหนคุณบอกว่าเลิกงานสี่โมงไง?”
“คุณสองจำได้ด้วยเหรอ? ผมนึกว่าคุณสองจะจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับคนแปลกหน้าเสียอีก”

ปากก็ประชดประชัน แต่หน้าเนี่ยกระตุกเลยน้า อยากยิ้มก็ยิ้มออกมาเถอะ ผมไม่ล้อเลียนหรอก

ผมไม่ได้พูดกับภูแบบนั้นเพราะรู้ว่าเขาคงต้องการเวลาเล่นบทคนใจแข็งอีกนิดหน่อย แต่อย่างน้อยผมก็ได้ทำสิ่งที่ตัวเองควรทำแล้วนั่นคือการเอ่ยปากขอโทษใจร้อนและไม่ยอมรับฟัง ขอโทษที่กล่าวหาว่าเขาเป็นคนไม่ดี ขอโทษที่เหมารวมว่าภูก็แค่พวกอยากเอาฟรีไม่มีสถานะเหมือนชวินทร์ เมื่อขอโทษภูในสิ่งที่ทำผิดพลาดไปทั้งหมดแล้วก็เป็นอันจบ เขาจะให้อภัยหรือไม่ให้เป็นเรื่องส่วนตัวของภู ดังนั้นผมจึงยักไหล่เมื่อภูทำเป็นไม่สนใจและเอาแต่ง่วนกับการจัดเอกสารใส่แฟ้ม ผมอยากบอกภูให้เลิกทำแบบนี้เสียทีเถอะ ถ้าไม่มีอะไรทำก็เงยหน้ามาคุยกันดีๆ อย่าทำเป็นยุ่งเลย ผมไม่โง่นะ

“แล้วก็นี่ – ค่าเหล้าที่ผมจ่ายไม่ครบ” ผมวางเงินสามร้อยบาทลงบนโต๊ะ เจ้าโกลเด้นภูมองธนบัตรสีแดงแต่ยังไม่หยิบทันที “ถือว่าเราไม่ติดค้างกันแล้วนะ”

ผมแค่นหัวเราะเหมือนประชด เขายังคงง่วนกับการดึงประวัติของน้องแมวไร้ไข่ไปวางตรงนั้นแล้วหยิบคูปองส่วนลดอาหารมาวางตรงนี้ ผมเหลือบมองอาการของเขาอีกครู่เดียวก็ขอตัวกลับเพราะเหนื่อยจะต้องเห็นประวัติน้องแมวโดนย้ายไปย้ายมา ซึ่งผมตั้งใจกลับจริงๆ ไม่ได้จะเล่นตัวหรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงเลย แต่ยอมรับว่าตอนที่ได้ยินเสียงภูตะโกนว่า เดี๋ยวครับคุณสอง! ผมเผลอหลุดยิ้มมุมปากอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อหันกลับไปมองเขา ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มที่เป็นซิกเนเจอร์ของภูอยู่บนใบหน้าอีกครั้ง

“คุณสองมาง้อผมเหรอ?”
“อืม” ผมยักคิ้วด้วยใบหน้านิ่งๆ เจ้าโกลเด้นภูยิ่งกระดิกหางด้วยความดีใจยกใหญ่
“ขอโทษแค่นี้เองเหรอ? มาถึงทองหล่อเพื่อขอโทษกับคืนเงินเท่านั้นเหรอ?”
“ใช่สิ คุณคาดหวังว่าผมจะมาถึงนี่ทำไมล่ะ ผมก็มีงานมีการต้องทำนะ”
“แล้ววันนี้คุณสองต้องทำอะไรอีกครับ?”
“แปลหนังสือต่อ ผมเป็นฟรีแลนซ์นะ คุณลืมแล้วหรือไง?”
“ผมไม่ลืมเรื่องของคุณสองหรอก” ภูยิ้ม “ไหนๆคุณสองก็รู้สึกผิดแล้ว ไถ่โทษให้ผมอีกซักเรื่องจะได้ไหมครับ?”
“ได้คืบแล้วจะเอาศอกเหรอคุณน่ะ”

ผมมองหน้าภูด้วยความเซ็งเพราะรู้สึกว่ามันมีเลศนัย อีกซักพักเขาต้องเอ่ยปากชวนออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันแน่ๆและมันก็เป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ภูชวนผมไปดูหนังด้วยกัน

“ที่ไหนล่ะ?”
“คุณภูอยากดูที่ไหนล่ะครับ?”
“เวสเกต”
“ไกลเกินไป” ภูส่ายหน้าไม่เอาด้วย “เทอร์มินอลก็ได้ครับ ก่อนดูหนังเราแวะกินข้าวกันหน่อย กินเสร็จก็เดินเล่นรอย่อยซักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเข้าโรงหนัง”
“คุณรออาหารย่อยหรือไม่อยากยืนตอนเพลงสรรเสริญกันแน่?”

ภูอมยิ้มไม่พูดอะไร ผมยืนรอเขาขึ้นไปเปลี่ยนเสื้ออยู่พักใหญ่ก่อนจะนั่งรถไปเทอร์มินอลด้วยกัน



ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยคับผม  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [4] 23/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 23-12-2019 20:07:24
4 [PART 2/2]


ผมถามภูว่าจะกินอะไร แต่เขาก็ถามย้อนกลับว่าผมล่ะอยากกินอะไร ถามกันซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ตั้งแต่ขึ้นรถจนกระทั่งได้ที่จอด ในที่สุดภูก็บอกว่ากินฟู้ดคอร์ทเถอะ ถึงจะกินอาหารคนละประเภทแต่ยังไงก็ได้นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน

“ตกลงคุณจะดูเรื่องอะไรล่ะ?”
“ผมให้คุณสองเลือก”
“ผมไม่มีหนังที่อยากดูเลย คุณเลือกเถอะ ผมอะไรก็ได้”

ภูตอบตกลงและกดจองตั๋วหนังผ่านทางแอปพลิเคชั่นระหว่างเดินไปชั้นห้าเพื่อหาอะไรทาน ฟู้ดคอร์ทที่นี่ราคาไม่แพงเลย ผมค่อนข้างประทับใจเมื่อเงยหน้ามองราคาแล้วเห็นว่ามันน่ารักเสียจนอยากย้ายมาอาศัยอยู่แถวนี้จะได้ฝากท้องบ่อยๆ ผมสั่งบะหมี่หมูต้มยำมากิน ส่วนภูสั่งข้าวขาหมู ในจานของเขามีหนังเด้งดึ๋งฉ่ำน้ำดูน่ากิน ผมเหลือบมองไขมันก้อนโตด้วยความสงสัยจนภูต้องเอ่ยปากชวนให้กินด้วยกัน

“คุณกินเถอะ ผมอายุเยอะแล้ว เนื้อขาวพวกนี้ไม่ดีเท่าไหร่”

ผมตอบตามตรง แต่ภูคิดว่านิดๆหน่อยๆแค่คำสองคำไม่เป็นไรก็เลยแบ่งให้ผมได้กินขาหมูด้วย ระหว่างทานข้าวเราคุยกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป ภูเล่าให้ฟังว่าทำไมวันนี้ถึงต้องเลิกงานดึกแล้วก็ถามต่อว่าผมล่ะเป็นยังไงบ้าง ทำงานเหนื่อยไหม เมื่อเช้าแฮงก์หรือเปล่าเพราะภูตื่นมาก็ปวดหัวนิดหน่อย ผมจึงไล่ตอบแต่ละคำถามด้วยคำสั้นๆว่า ก็เรื่อยๆ ไม่ และไม่

“เมื่อคืนคุณสองร้องไห้เยอะ --”
“รู้แล้ว ไม่ต้องพูดมาก” ผมใช้ช้อนตักน้ำซุปเข้าปาก “อันนี้ก็อร่อยนะ คุณลองชิมดูสิ”
“ผมไม่กินเผ็ดอ่ะ”
“พูดจริง?”
“จริงครับ” ภูบอกจ๋อยๆพลางเหลือบมองน้ำซุปสีแดงเข้มเพราะพริกเผา “แค่ดูคุณสองกินก็รู้แล้วครับว่าอร่อย คุณสองกินเยอะๆนะ ไม่ต้องแบ่งผม อ่ะ – ขาหมูอีกชิ้น”
“เฮ้ย คุณกินไปเถอะ เด็กกำลังโตมาแบ่งให้คนแก่ๆกินทำไม”
“ผมไม่เด็กแล้วนะ” ภูส่งยิ้มให้อีกครั้ง “คุณสองเองก็ยังไม่แก่ ถ้าอายุสามสิบคือแก่แล้วแม่ผมเรียกว่าอะไรดีล่ะ”

ผมหัวเราะให้กับคำพูดคำจาของเจ้าเด็กนี่ ภูเป็นคนช่างพูด เขาพูดไปเรื่อย พูดเก่ง และไม่พูดเรื่องน่าเบื่อหรือถามคำถามที่คู่สนทนาไม่อยากตอบ ดังนั้นตอนกินข้าวเราจึงไม่รู้สึกอึดอัดเลย มีเรื่องมากมายให้คุยให้ถามไถ่เยอะแยะไปหมดอย่างเรื่องตัดไข่แมว เรื่องมหาวิทยาลัยที่ภูเรียนจบมา เรื่องส่วนตัวอย่างแฟนคนแรก – ภูเล่าให้ผมฟังว่าเขาเคยมีช่วงเวลาที่น่าสับสนและกดดันมากๆด้วย

“ผมคิดว่าตัวเองเป็นชายแท้มาตลอด แต่คบกับผู้หญิงกี่คนๆก็ไม่ค่อยเต็มที่เลย”

ภูแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้ฟัง เขาเล่าว่าก่อนหน้านี้ก็เคยคบกับผู้หญิงจริงจังประมาณสองสามคน เคยมีเซ็กส์กับผู้หญิงด้วยแต่กลับไม่เคยถูกเติมเต็ม ถามว่ารักไหมก็รัก แต่มันไม่ใช่ความรักในแบบที่พ่อรักแม่ มันเป็นความรักแปลกๆที่ภูเองก็ไม่เข้าใจ เขาคิดว่าคงเป็นความผิดของตัวเองที่รักใครได้ไม่นาน ทว่าตอนเรียนปีสาม – ภูมีโอกาสคุยกับรุ่นพี่ที่จบไปหลายปีแล้วรู้สึกดีมากจนสับสนอยู่พักใหญ่ แต่เขาก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เพราะรุ่นพี่คอยเป็นกำลังใจให้ น่าเศร้าที่พวกเขาคบกันได้ไม่นานก็เลิกเพราะยังมีหลายๆอย่างที่เข้ากันไม่ได้ หลังจากนั้นภูก็เจอเนเน่

“ผมเกือบคิดว่าตัวเองเป็นชายแท้อีกครั้งเพราะเนเน่เลยนะ” ภูบอก “แต่ลึกๆผมก็รู้ตัวเองว่าเป็นยังไง สุดท้ายมันก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี”

ภูเล่าอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา ผมนึกอยากรู้จริงๆว่ารุ่นพี่ที่ช่วยให้ภูผ่านช่วงเวลาสับสนไปได้นั้นเลิกกันด้วยเหตุผลอะไร ผมหมายความว่า – ภูก็โอเคใช้ได้ เขาคุยสนุก เขาเฟรนด์ลี่และขี้เล่น เขาเป็นคนตลกและยิ้มเก่ง ใครบ้างล่ะจะไม่ชอบภู เขาเป็นเด็กน่ารักขนาดนี้

“คุณเคยมีอะไรกับผู้ชายไหมล่ะ?”
“เคยครับ” ภูดูเหนียมอายนิดหน่อย “คุณสองก็ --”
“จะเหลือเหรอ?” ผมแค่นหัวเราะเมื่อเห็นเด็กเขินจนหน้าแดง “แล้วแฟนคนล่าสุดของคุณคือเมื่อไหร่ล่ะ?”
“เนเน่ครับ”
“อ้าว หลังจากเนเน่ก็ไม่มีใครอีกเลยเหรอ?” ผมถามด้วยความประหลาดใจ นึกสงสัยจริงๆว่าคนแบบภูน่ะเหรอจะว่างนาน
“ผมไม่ค่อยได้เจอใครเลย ถึงเจอก็คุยแล้วไม่ถูกคอเหมือนคุยกับคุณสอง”
“เราเคยคุยกันถูกคอด้วยหรือไง?”
“ก็ตอนนี้ไงครับ” ภูฉีกยิ้มอีกครั้ง “เห็นไหมว่ากินข้าวกับผมไม่อึดอัดหรอกนะ ทีหลังคุณสองต้องมาเที่ยวกับผมบ่อยๆนะครับ เราจะได้มีช่วงเวลาคุณภาพด้วยกัน”

ผมหลุดหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินภูพูดแบบนี้ ไอ้เด็กนี่มันร้ายกว่าที่คิด เจ้าหมาโกลเด้นที่ชอบกระดิกหางดีใจเวลาเจอหน้ากันมันไม่อยู่เฉยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมบอกภูว่าถ้าคิดว่าลากคนอย่างผมออกจากบ้านได้ก็เอาสิ พอเปิดทางให้แบบนี้ก็ยิ่งได้ใจ ภูเอาแต่บอกว่าอยากจะพาสิปปกรไปลองเที่ยวที่นั่นที่นี่เพราะรู้ว่าผมไม่ค่อยไปไหน วันๆอยู่แต่ที่ร้าน แปลงาน ขายหนังสือ แม้แต่เอเชียทีคที่เคยฮิตมากๆยังไม่เคยไปเหยียบเลย

หลังกินทุกอย่างจนเกลี้ยงแม้กระทั่งผักดองในข้าวขาหมู เราก็เดินไปโรงหนังด้วยกัน ผมเสนอตัวจ่ายค่าตั๋วเพื่อไถ่โทษอีกครั้งที่ทำให้เขาขายหน้าแต่ภูปฏิเสธ ดังนั้นเราจึงหารครึ่งทั้งค่าตั๋วและค่าป็อปคอร์น ระหว่างยืนรอน้ำอัดลม ผมก็ถามภูว่าคนที่ทำงานรู้เรื่องนี้ไหม เขายิ้มและพยักหน้า พวกหมอด้วยกันรู้ ผู้ช่วยคนนั้นก็รู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ลุงยามกับลูกค้าไม่รู้

“ถ้ามีคนถามผมก็คงบอกตรงๆแหละครับว่าชอบผู้ชาย”

ภูยิ้ม (อีกแล้ว) วันๆนึงเขายิ้มกี่ครั้งกันนะ มีแค่ช่วงที่เราบึ้งตึงใส่กันเท่านั้นล่ะมั้งที่เจ้าโกลเด้นภูไม่สดใสร่าเริงเหมือนเคย พอเห็นเขากลับมายิ้มได้อีกครั้งก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ภูเป็นคนประเภทที่ผมไม่อยากทำให้เขาต้องรู้สึกแย่เลย เขาควรยิ้มกว้างๆ ยิ้มจนตาหยี ยิ้มและหยอกล้อเหมือนเด็กแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะคนอย่างภูคือพลังงานบวกที่ควรมีไว้ติดตัว เขาไม่ควรพบเจอเรื่องเศร้าๆหรือเรื่องเฮงซวยเหมือนนายสิปปกรเลยซักนิด

เรายืนรอจนกระทั่งแน่ใจว่าโฆษณาหมดแล้วจึงเดินเข้าโรงหนัง ที่นั่งแถวดีไม่มีใครนอกจากเราสองคน ผมทิ้งตัวนั่งทางฝั่งขวาของภูและเริ่มกินป็อปคอร์น หนังที่กำลังจะดูคือเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความยาวกี่นาที ก็แค่ตามมาดูเป็นเพื่อน ทั้งหมดที่ทำไม่ใช่เพราะรู้สึกอะไรด้วยหรอกนะ ผมก็แค่อยากไถ่บาป ไม่อยากติดค้างภูอีกก็เท่านั้นเอง

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป นายสิปปกรที่ไม่เคยเอนจอยกับสิ่งใดๆนอกจากหนังสือก็เริ่มม่อยหลับ ผมนั่งสัปหงกอยู่สองสามครั้งระหว่างจอภาพยนตร์ฉายภาพเคลื่อนไหวเป็นแสงวูบวาบสว่างตา ภูเองก็คงสัมผัสได้ว่าผมกู่ไม่กลับแล้ว เขาเอนตัวมาทางขวานิดหน่อยเพื่อให้ผมได้ซบไหล่ แต่ขอโทษเถอะ ผมจะเอนไปซบภูให้เมื่อยคอทำไม ผมบอกเขาว่าไม่ต้องหรอก ดูหนังไปเถอะ แล้วก็เอนตัวนอนต่อหน้าตาเฉย

“ไม่โรแมนติคเลยอ่ะ” ภูตัดพ้อ “คุณสองต้องเอนซบผมสิ”
“ไร้สาระ”

ผมงึมงำและหลับจนกระทั่งหนังจบ ภูเป็นคนปลุกก่อนจะบอกว่ามันดึกมากแล้ว เดี๋ยวเขาจะขับรถไปส่งนายสิปปกรขี้เซาที่ร้าน ผมถามย้ำอีกครั้งว่าส่งตรงไหนนะ

“ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งไงครับ”
“แต่มันไกลนะภู ส่งตรงรถไฟฟ้าก็ได้ ผมนั่งวินหน่อยเดียวก็ถึงร้านแล้ว”
“ได้ไง มันอันตราย ถ้าปล่อยให้คุณสองกลับเองผมคงนอนไม่หลับอ่ะ ไปด้วยกันนี่แหละครับ เดี๋ยวผมไปส่งนะ”

ภูบอกและเดินนำไปที่รถ ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะเอาจริงๆก็ไม่ค่อยอยากเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเท่าไหร่ หนึ่งเพราะมันแพง สองเพราะผมรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากก้าวขาเดินไกลๆอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงตอบตกลงเมื่อภูบอกว่าจะไปส่งถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้ง

“เดี๋ยวถึงร้านแล้วอย่าเพิ่งกลับนะ ผมมีของจะให้”

ผมบอกภู เขายิ้มกว้างและกระดิกหางแรงกว่าเดิมอีกเมื่อได้รับคำเชื้อเชิญให้เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัว ช้าก่อนไอ้หนู – คำเชิญนี้ใช้ได้เฉพาะชั้นหนึ่งของร้านหนังสือเท่านั้นแหละ เพราะพื้นที่ตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปเป็นพื้นที่ลับ นอกจากผม ติณณภพ และเด็กทำความสะอาดแล้วก็ไม่มีใครสามารถขึ้นไปได้ทั้งนั้น ยกเว้นครอบครัวของผมและคนที่ติณไว้ใจเท่านั้น

ตลอดทางนั่งรถกลับบ้าน เรามีบทสนทนาดีๆร่วมกันเหมือนเคย คราวนี้ภูไม่เล่าเรื่องตัวเองแต่ปล่อยให้ผมได้ระบายความหงุดหงิดโมโหจากไลน์ของชวินทร์บ้าง ผมเล่าให้ภูฟังอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเมื่อวานเราคุยอะไรกัน วินพูดว่ายังไง และล่าสุดที่มันไลน์มาด่ามีใจความว่ายังไงบ้าง ผมอ่านให้ภูฟังว่าชวินทร์พูดว่า ‘เพราะสองเป็นแบบนี้ไง เราถึงไม่อยากชัดเจนกับสอง’ ภูดูหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกว่าคนที่ส้นตีนที่สุดในความสัมพันธ์เฮงซวยนี้มันมีอยู่คนเดียวแหละ นั่นก็คือไอ้เหี้ยพี่วิน

“คุณสองบล็อกๆมันไปเถอะครับ คนอุบาทว์แบบนั้นอย่าไปให้ราคามันอีกเลย”

ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่ยังไม่อยากบล็อกเพราะรอโอกาสด่ากลับไม่ให้มันพล่ามอยู่ฝ่ายเดียว ผมเล่าให้ภูฟังอีกนิดหน่อยก่อนเขาจะถามว่าขออีกซักเรื่องได้ไหม ถือว่าเป็นการไถ่โทษครั้งสุดท้ายที่ผมต้องทำให้เขา

“ได้คืบแล้วจะเอาศอกจริงๆนะคุณเนี่ย”

ผมบ่นและเริ่มรำคาญเพราะไถ่โทษมาตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว นึกสงสัยว่าทำไมการไถ่โทษนี้ถึงไม่จบไม่สิ้นเสียที ภูเห็นสีหน้าของผมจึงให้สัญญาว่าครั้งสุดท้ายจริงๆ หลังจากนี้เขาจะไม่หยิบเรื่องนี้มาต่อรองอะไรอีก

“คุณจะให้ผมทำอะไรล่ะ?”
“พิมพ์ด่าไอ้เหี้ยพี่วินว่า คxx แล้วบล็อกไลน์มันครับ”

ผมอ้าปากเหวอ ช็อคนิดหน่อยที่ภูก็ไม่ได้หน่อมแน้มแสนนุ่มนวลอะไรขนาดนั้น ผมถามย้ำอีกครั้งว่าจะให้พิมพ์คำที่ขึ้นต้นด้วยค.ควายจริงๆเหรอ ภูบอกว่าใช่ ผมควรด่าชวินทร์แรงๆเป็นครั้งสุดท้าย ปิดด้วยคำว่า คxx แล้วบล็อกเลย

ผมลังเลนิดหน่อย แต่ก็ทำตามภูเพราะรำคาญกับแฟนเก่าที่คอยรังควาญเหมือนผีขอส่วนบุญ ผมอาจไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรงเหมือนที่ภูแนะนำ แต่ปิดท้ายด้วยคำว่า คxx ตามที่เขาบอกไว้เป๊ะๆ หลังบล็อกชวินทร์ไปก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ ป่านนี้ไอ้เหี้ยวินคงเต้นเป็นเจ้าเข้าแล้วเพราะผมไม่มีวันเห็นข้อความหรือคำด่าจากมันอีก พอคิดแบบนี้ผมก็หันหน้าไปหาภูและเริ่มหัวเราะ เราสะใจกับการร่วมด่าคนเฮงซวยที่อยากกลับมาเอาแฟนเก่าทั้งๆที่เมียกำลังท้องอยู่ บทสนทนาที่เคยคิดว่าน่าเบื่อกลับกลายเป็นมีสีสันโดยไม่รู้ตัว ภูทำให้ผมสบายใจและโล่งใจไปในคราวเดียวกัน ช่วงเวลาแสนสั้นไม่กี่ชั่วโมงของเราทำให้ผมเริ่มมีความคิดว่าบางที –

การมีภูอยู่ในชีวิตก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าเรามาถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลาผ่านไปไวจนผมเสียดายที่มันต้องจบลง แต่ภูบอกว่าไม่เป็นไร เขาจะไลน์มาหาและชวนสิปปกรออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ผมย้ำเขาอีกครั้งว่าผมไม่ใช่คนไปไหนมาไหนง่ายๆ พยายามหน่อยล่ะ อย่าเพิ่งเบื่อก็แล้วกัน

เราเดินหัวเราะด้วยกันจนถึงทางเข้าหน้าร้าน ไฟสีเหลืองนวลจากบานหน้าต่างชวนให้เอะใจว่ามันมีอะไรแปลกๆ ปกติสองทุ่มครึ่งร้านก็ปิดแล้ว แต่นี่ห้าทุ่มกว่าทำไมไฟยังติดอยู่ จะบอกว่าพนักงานลืมปิดไฟคงเป็นไปไม่ได้ หรือว่าติณยังอยู่ร้าน? ชิบหายละ – ถ้าไอ้ติณอยู่ร้านแล้วเห็นผมเดินควงภูเข้ามาข้างใน มีหวังโดนถลึงตามองแน่ๆ

เมื่อเดินถึงประตูร้าน ผมก็ยิ่งประหลาดใจเพราะมันไม่ได้ล็อค ในร้านมีคนอยู่จริงๆและยังอยู่ชั้นล่างด้วยเพราะผมเห็นเงาของคนสองคนกำลังเดินมาทางนี้ ผมบอกภูว่าให้รอข้างหลังก่อน ผมต้องบอกติณก่อนว่าภูแค่รอข้างล่างเฉยๆเพราะผมมีขนมจะแบ่งให้เขากิน ทว่าเมื่อเห็นเต็มตาว่าสองคนที่อยู่ในร้านคือใครและมีสภาพแบบไหน ผมก็ได้แต่ยืนอ้าปากค้างจนภูต้องเดินมาหา แล้วเราก็ยืนอึ้งด้วยกันทั้งคู่โดยไม่มีคำพูดอะไรหลุดจากปาก

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะสอง?”

ติณณภพถามด้วยความไม่พอใจสุดขีด มันเหลือบมองภูแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะกลับมาจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องเพราะปกติแล้วผมไม่เคยไม่รับโทรศัพท์เลย ไม่เคยปล่อยให้ใครต้องรอหรือปิดเสียงเลยซักครั้ง แต่เมื่อกี๊ผมไปดูหนังกับภูก็เลยเปิดไนต์โหมดเอาไว้ และเรามีเรื่องให้คุยกันเยอะมากจนลืมสนิท ผมไม่ได้อธิบายติณเรื่องนี้เพราะมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือน้ำหนึ่งต่างหาก

น้ำหนึ่งมาหาผมถึงที่นี่พร้อมเปเปอร์ – ในสภาพสะบักสะบอมเหมือนคนถูกซ้อม

“ไอ้เหี้ยปั๊ปทำเหรอ?”

ผมถามแต่พี่สาวไม่ตอบ เธอมองผมสลับกับมองภูอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าผมอ่านแววตาของน้ำหนึ่งพลาดไปหรือไม่ ผมสัมผัสได้ว่าพี่สาวผิดหวังในตัวผมมาก น้ำหนึ่งโกรธและเสียใจเมื่อเห็นว่าผมกลับร้านโดยพาภูมาด้วย

“พี่โทรหาแกเป็นสิบๆสาย แต่แกไม่รับ”
“ขอโทษ พอดีเมื่อกี๊ดูหนังอยู่ก็เลยไม่ได้ยิน”
“อีกแล้วเหรอสอง?” น้ำหนึ่งพูดประโยคนี้ด้วยเสียงสั่นเครือก่อนที่เธอจะร้องไห้ “แกไม่รับสายพี่เพราะติดผู้ชายอีกแล้วเหรอ?”

ผมมองหน้าพี่สาวโดยไม่พูดอะไร นี่คือครั้งที่สองที่น้ำหนึ่งตอกย้ำว่าผมมันเห็นแก่ตัวแค่ไหนที่มัวแต่ไปมีความสุขกับผู้ชายแล้วปล่อยให้พี่ต้องเผชิญเรื่องเฮงซวยอีกครั้งเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อน



TBC

__________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ วันจันทร์หรรษาสัปดาห์นี้มาช้าหน่อยนะคะเพราะเลิกงานตั้งหกโมงแน่ะ

นิยายเรื่องนี้เข้าสู่ตอนที่ห้าแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ ชอบกันมั้ยเอ่ย? ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง สามารถติชมได้ตลอดในทุกช่องทางนะคะ ทุกฟี้ดแบคและทุกกำลังใจจะถูกนำมาปรับปรุงและผลักดันเพื่อให้เราเขียนสิ่งที่ดีกว่าเดิมออกมาแน่นอนค่ะ

ขอบคุณนักอ่านผู้น่ารักทุกคนที่ยังคงติดตามกันอย่างเหนียวแน่น ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่มีให้กันมาเสมอนะคะ การเริ่มใหม่มันยาก แต่พอคิดว่าเอาน่า อย่างน้อยก็มีคนรออยู่ มีคนชอบ เราก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งกัน เราจะตั้งใจเขียนและมีวินัยแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ รักนะคะ ดีใจที่เราได้มีโอกาสรู้จักกันผ่านตัวอักษรจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [4] 23/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-12-2019 21:05:22
อ้าว อิยัยพี่ผีบ้านี่ มีปัญหาทีไรน้องก็ต้องเป็นกระโถนรองรับหรือไง
ปวดหัวแทนสองแล้วเนี่ย เรื่องตัวเองก็พึ่งเคลียร์แหม่บ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะจบจริงไหม
ครอบครัวตัวดีมาอีกแระ จะให้สองแบกรับคนทั้งบ้านเลยหรือไง
ทุกคนมีสิทธิที่จะเริ่มต้นใหม่และมีความสุขเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [4] 23/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-12-2019 00:13:32
สองเนี่ยเป็นคนใจร้อนจริงๆ ว่าแล้วเชียวคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่
ส่วนน้ำหนึ่งนี่ ปวดกะบาลกับนางจริงๆ :angry2: โตป่านนี้แล้วยังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้อีก เกิดอะไรขึ้นก็กระทบน้องทุกที

เรามีความรู้สึกว่าเราชอบติณเพื่อนของสอง 55555 เราว่าอย่างน้อยๆเรื่องดีๆในชีวิตสองคือการมีเพื่อนที่ดีอย่างติณ เขาดูมีสติกว่าสอง แบบว่าใจเย็นกว่า เป็นเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้าง ช่วยเหลือหรือคอยเตือนสติสองได้
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [4] 23/12/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-01-2020 21:52:40
ความสัมพันธ์จะว่าก้าวหน้าก็ใช่นะคะ อ่านแล้วหดหู่ที่เรายังต้องทนอยู่ในประเทศที่มีรบ.แบบนี้ ไหนจะผู้คนสลิ่มรอบตัวอีก เป็นท้อค่ะ อยากไปแค่ไหนก็ไปไม่ได้  :ling3:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [5] 06/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 06-01-2020 20:24:42
5 [PART1/3]


5


เรื่องมันเกิดเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งย้ายไปอยู่กับชวินทร์ได้ไม่นาน และเราเริ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนลืมเรื่องรอบตัวไปชั่วขณะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมไม่สนใจอะไรเลยนอกจากวิน ผมไม่คิดจะหางานใกล้บ้าน ไม่คิดถึงพ่อกับแม่และพี่สาวที่เคยอยู่ด้วยกันมาตลอดยี่สิบกว่าปี ผมสนุกกับการปลีกแยกออกไปทดลองใช้ชีวิตของตัวเองจนกระทั่งน้ำหนึ่งโทรมาบอกว่าเธอท้อง

“ท้อง?!” ผมเผลอตะโกนเสียงดังจนวินที่กำลังเขียนวิทยานิพนธ์ต้องเหลียวหลังกลับมามอง “ท้องกับใคร?!”

วินาทีนั้นผมเอาแต่ตำหนิพี่สาวว่าปล่อยให้ท้องได้ยังไง น้ำหนึ่งไม่ยอมเล่านอกจากถามว่าจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี เพราะแฟนคนปัจจุบันในตอนนั้นไม่พร้อมมีลูก แต่น้ำหนึ่งก็รักตัวอ่อนในครรภ์ซึ่งมีอายุแค่หกสัปดาห์มากๆจนไม่อยากไปทำแท้ง

“แล้วใครจะเลี้ยงลูก? คิดบ้างไหมว่าเลี้ยงเด็กต้องใช้เงินเยอะ พี่เองก็ไม่มีงานทำ ผัวก็เพิ่งจะผ่านโปร จะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงเด็ก?”

ผมไม่อยากเป็นคนไม่ดีเลย แต่คำแนะนำอย่างเดียวที่มอบให้พี่สาวคือการทำแท้ง อย่างน้อยตอนนี้น้ำหนึ่งควรโฟกัสที่ตัวเองกับแฟนก่อน เพราะถ้าฝืนดันทุรังปล่อยให้เด็กเกิดมา ผมว่าความซวยจะไม่ได้ตกอยู่ที่สองผัวเมีย แต่ผมและพ่อกับแม่อาจจะต้องร่วมรับผิดชอบสิ่งที่น้ำหนึ่งทำด้วย

แน่นอนว่าพี่สาวของผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่ น้ำหนึ่งโกรธถึงขนาดด่าด้วยคำหยาบเมื่อบอกว่าจะหาคลินิกดีๆที่ไว้ใจได้และพาไปทำแท้ง ผมยังจำน้ำเสียงของเธอได้ว่าเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อว่าที่คุณน้าพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้หลานเกิดมา ก่อนจะปิดท้ายด้วยการพูดว่าน้ำหนึ่งคือแม่ แม่เป็นคนตัดสินใจว่าลูกจะอยู่หรือไป ดังนั้นหากพูดสิ่งดีๆออกมาไม่ได้ก็ควรหุบปาก ไม่ใช่แนะนำให้แม่ฆ่าลูกแบบนี้

“พี่ไม่เข้าใจเหรอว่าการมีเด็กคือภาระ แล้วพี่จะมีปัญญาเลี้ยงลูกเหรอ? ต่อให้บอกว่าเลี้ยงเองก็เถอะ ในเมื่อพ่อแม่มันไม่เอาถ่านขนาดนี้ ยังไงเด็กก็ต้องใช้เงินสองอยู่ดี!”

ยอมรับก็ได้ว่าคำพูดที่พูดไปตอนนั้นค่อนข้างแรงและทำร้ายน้ำใจพี่สาวมากๆ ผมไม่เพียงแค่เหยียดหยามเธอเรื่องการศึกษา หากแต่ตอกย้ำและดูถูกว่าคนอย่างน้ำหนึ่งกับแฟนคงไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงเด็กให้ได้ดีอีกด้วย ผมไม่อยากใช้คำพูดใจร้ายแบบนั้นกับคนในครอบครัวเลย แต่น้ำหนึ่งเป็นประเภทไม่โดนตำหนิก็ไม่ค่อยจะรู้สำนึก แถมชอบใช้ชีวิตเพ้อฝันเหมือนพวกสก๊อยแว๊นในเฟสอีก

ถึงเปนลูกที่แย่ แต่จะเปนแม่ที่ดี

นี่คือสเตตัสที่น้ำหนึ่งโพสต์หลังวางสายจากน้องชาย ผมอ่านแล้วได้แต่หัวเราะเพราะมั่นใจว่าในอนาคตน้ำหนึ่งคงได้รู้สึกรู้สาแน่ๆว่าการเป็นแม่ไม่ใช่แค่เบ่งคลอดออกมา แต่มันมีภาระ มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบต่างๆที่ต้องแบกรับเยอะกว่าที่คิดไว้ ผมได้แต่หวังว่าหลังหลานคลอด น้ำหนึ่งจะสำนึกได้และเลิกทำตัวเลื่อนลอยไม่เอาไหน ทว่าวันนั้นกลับไม่เคยเกิดขึ้น

เพราะน้ำหนึ่งแท้ง – เมื่ออายุครรภ์ประมาณสิบหกสัปดาห์

มันมีสัญญาณเตือนมาก่อนแล้วแต่ผมไม่ได้สนใจพี่สาว น้ำหนึ่งเองก็ยังโกรธที่ผมเสนอให้เธอไปทำแท้งจึงไม่ค่อยอัปเดตเรื่องราวอะไรให้ฟังนอกจากขอร้องไม่ให้บอกพ่อกับแม่

“ช่วงนี้พ่อไปซ่อมเครื่องจักรที่สระบุรีบ่อยมาก แม่ก็ทำโอทุกวัน อย่าเอาเรื่องพี่ไปทำให้พ่อกับแม่ปวดหัวนะ”

น้ำหนึ่งแชทมาหาผมแบบนี้ แต่ผมรู้ดีว่าสิ่งที่น้ำหนึ่งกลัวไม่ใช่พ่อกับแม่จะลำบาก เธอกลัวถูกตำหนิต่อว่าที่ทำอะไรก็ไม่เคยจะประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันต่างหาก แถมยังทำให้พ่อแม่เสียหน้าตลอดทั้งเรียนไม่จบจนกระทั่งท้องก่อนแต่ง ผมว่าพ่อกับแม่น่าจะเดาอนาคตของน้ำหนึ่งออกตั้งแต่สมัยเรียนเพียงแค่ไม่ได้ปรามาสเธอตรงๆ แต่ในเมื่อพี่สาวขอร้อง ผมจึงให้สัญญาว่าจะไม่บอกใคร และผมก็ไม่บอกใครจริงๆจนกระทั่งน้ำหนึ่งแท้ง

วันที่เกิดเรื่องเป็นวันเสาร์ ผมจำได้แม่นว่าวันเสาร์เพราะเป็นวันที่ชวินทร์ชวนไปออกเดตแบบจัดเต็มครั้งแรก เรามีนัดดินเนอร์กันที่ภัตตาคารบนดาดฟ้า เราดื่มไวน์และทานอาหารแพงๆเพื่อฉลองให้กับอะไรซักอย่างที่ผมจำไม่ได้ มันเป็นวันที่ผมมีความสุขมากเพราะได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับชวินทร์ เราดื่มจนเมากรึ่มและจูบกัน เรามีอะไรกันจนห้องนอนเละเทะไปหมดเพราะเซ็กส์ที่ค่อนข้างร้อนแรง หลังจบกิจกรรม ผมจำได้ว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กว่ามีใครส่งงานมาให้ไหม หรือลูกค้าที่เพิ่งส่งงานให้เมื่อตอนเย็นมีคอมเม้นต์ปรับแก้อะไรหรือเปล่าซึ่งไม่มีข้อความของใครเลยนอกจากน้ำหนึ่งที่พิมพ์มาสั้นๆว่าปวดท้อง

“กินยาสิ”

ผมคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะพลิกตัวตะแคงเพื่อจูบชวินทร์และนัวเนียกันอีกพักใหญ่ น้ำหนึ่งส่งข้อความมาอีก เธอขอให้ไปอยู่เป็นเพื่อนหน่อย

“ผัวไม่อยู่เหรอ?”

ผมพิมพ์ห้วนๆไม่ใส่ใจเพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่ารออยู่

“ไม่ไหวก็ให้ผัวพาไปหาหมอ ตอนนี้สองไม่ว่าง”

คำว่าไม่ว่างของผมไม่ได้หมายถึงเรื่องงาน แต่ผมกำลังไม่ว่างเพราะง่วนอยู่กับการเล้าโลมชวินทร์เพื่อเริ่มเซ็กส์รอบที่สอง ผมจำได้ว่าโทรศัพท์สั่นอยู่หลายครั้งเพราะน้ำหนึ่งโทรมา ผมเห็นแล้วว่าเป็นพี่สาวแต่ไม่ได้สนใจเพราะกำลังใช้ปากปรนเปรอชวินทร์อยู่ คืนนั้นเรามีเซ็กส์ที่ร้อนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ผมมีความสุขมากและสนุกกับมันมากจนเพิกเฉยโทรศัพท์ที่ดังเกือบยี่สิบสายจากพี่สาว เมื่อเราเสร็จรอบที่สามจนแทบหมดแรง ผมถึงคว้าโทรศัพท์มาเปิดดูข้อความอีกครั้งและก็ต้องตกใจเมื่อน้ำหนึ่งถ่ายรูปก้อนเลือดเปื้อนกางเกงในมาให้ดู

“อยู่ไหน?”

ผมถามแต่น้ำหนึ่งไม่ตอบ เธอไม่อ่านอะไรอีกเลยหลังส่งข้อความยาวเหยียดว่าปวดท้องและผิดหวังแค่ไหนที่น้องชายไม่ใส่ใจ คืนนั้นผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบเพียงกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือไปอพาร์ทเม้นต์ของน้ำหนึ่งเพราะกลัวว่าพี่สาวจะเป็นอะไรไปจริงๆ และเมื่อเดินทางมาถึง ผมก็พบว่าทุกอย่างสายไปแล้ว น้ำหนึ่งแท้ง เลือดออกเลอะพื้นห้องน้ำเหมือนคนมีประจำเดือน ตอนที่ผมกับยามพังประตูเข้าไปข้างใน ผมเห็นน้ำหนึ่งนั่งหน้าซีดร้องไห้อยู่คนเดียว ไม่มีวี่แววของพ่อเด็กหรือใครเลย

“สอง”

พี่สาวเรียกผมด้วยน้ำเสียงหัวใจสลาย

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์?” 

ผมไม่รู้จะบอกพี่สาวยังไง รู้แค่ว่าเสียใจจนไม่อาจปั้นหน้าเป็นคนเย็นชาได้อีก ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรเลยนอกจากพาน้ำหนึ่งไปโรงพยาบาล แม้เจ้าหน้าที่มูลนิธิจะบอกว่าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดค่อนข้างแพงก็ไม่สนใจเพราะอยากให้พี่สาวได้รับการรักษาเร็วที่สุด คืนนั้นน้ำหนึ่งต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อรอขูดมดลูกพรุ่งนี้ ผมเพิ่งรู้ตอนหลังว่าน้ำหนึ่งมีปัญหากับแฟนมาซักพักแล้ว เธออยู่คนเดียว ส่วนแฟนไปค้างที่อื่นและไม่กลับห้องเลย พอรู้แบบนี้ผมก็ยิ่งโกรธตัวเองที่พูดกับพี่ไม่ดี ผมเสียใจที่ทิ้งน้ำหนึ่งให้เจอเรื่องหนักๆเพียงลำพัง ทว่าสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมนั้นไม่ใช่ตอนที่หมอเดินมาบอกว่าน้ำหนึ่งแท้ง แต่เป็นตอนที่น้ำหนึ่งนอนร้องไห้บนเตียงพร้อมกับกล่าวโทษว่าเป็นเพราะผม เพราะผมไม่รับโทรศัพท์ ผมใจร้ายใจดำที่ไม่มาอยู่กับเธอ น้ำหนึ่งถึงต้องเสียลูกไป

“ฉันก็รู้ว่าตัวเองไม่ใช่พี่สาวที่ดีเท่าไหร่” น้ำหนึ่งกัดฟันกรอดเหมือนโกรธจัด “แต่แกจะรักจะห่วงฉันในฐานะน้องชายบ้างไม่ได้เหรอ”

ผมพูดไม่ออกเมื่อได้ยินแบบนั้น น้ำหนึ่งที่กำลังเศร้าเสียใจกับการจากไปของทารกอายุสิบสองสัปดาห์กลับเอาแต่เอ่ยปากโทษว่าเป็นความผิดของผมทั้งหมด แม้กระทั่งตอนที่หมอเดินเข้ามาในห้องเพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำหนึ่งก็ปิดกั้นไม่ยอมรับฟัง เธอท่องฝังหัวว่าถ้าผมไปหาเธอเร็วกว่านั้น ถ้าผมเสนอตัวพาเธอไปโรงพยาบาล น้ำหนึ่งก็คงไม่แท้ง เธอก็คงไม่เสียลูกไป แต่เพราะผมเกลียดลูกของเธอ ผมเกลียดหลาน ไม่อยากให้หลานลืมตาดูโลกตั้งแต่แรกก็เลยทอดทิ้งน้ำหนึ่งให้เจอเรื่องนี้เพียงลำพัง ผมกลายเป็นน้องชายนิสัยไม่ดี น้องชายใจร้ายที่เกลียดชังหลานตัวเองถึงขนาดไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ ผมกลายเป็นคนผิด – โดยที่น้ำหนึ่งไม่สำนึกเลยว่าสิ่งที่ผมช่วยพี่สาวในคืนนั้นมันตีมูลค่าเป็นเงินตั้งเท่าไหร่

ค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่ถูกๆ ยิ่งน้ำหนึ่งไม่เคยทำประกันชีวิต ไม่เคยทำงานจ่ายค่าประกันสังคมก็เลยไม่มีสวัสดิการช่วยเหลือในส่วนนี้ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งว่าหากไม่สะดวก คุณหมอสามารถเขียนใบส่งตัวให้น้ำหนึ่งไปขูดมดลูกที่โรงพยาบาลรัฐได้ ตอนนั้นผมหนักใจมากเพราะไม่รู้จะทำยังไง สงสารพี่สาวแต่ตัวเองก็ไม่ได้มีเงินมากมายสำหรับจ่ายเงินค่าขูดมดลูกและค่าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน ผมเครียดจนคิดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้เพื่อทบทวนว่าควรเลือกทางไหน สุดท้ายผมก็ตัดสินใจให้น้ำหนึ่งขูดมดลูกที่นี่ ไหนๆก็มาแล้ว ผมไม่อยากให้พี่สาวเดินทางไปๆมาๆอีกก็เลยเอ่ยปากขอยืมเงินก้อนจากติณเพื่อจ่ายค่ารักษาส่วนนี้ก่อน ซึ่งการเลือกทางนี้ไม่เคยได้รับคำขอบคุณจากน้ำหนึ่งเลย เธอไม่เคยขอบคุณหรือขอโทษที่ทำให้ผมเสียเงินหลายหมื่นเป็นค่ารักษาพยาบาล น้ำหนึ่งจำแค่ว่าผมไม่รับสายเธอ ผมอ่านข้อความแต่ไม่สนใจเพราะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับผู้ชาย

“ทำไมไม่บอกว่าเลิกกันแล้ว ทำไมไม่เล่าให้ฟังว่าต้องอยู่คนเดียว?”

ผมถามน้ำหนึ่งด้วยความเสียใจไม่แพ้กัน อย่างน้อยถ้าน้ำหนึ่งเล่า มีเหรอที่ผมจะใจร้ายใจดำถึงขนาดไล่ให้ไปหายากินเอง ที่พูดไปตอนนั้นก็คิดว่าแฟนของน้ำหนึ่งอยู่ด้วย ผมคิดว่าเขายังคงอยู่ด้วยกันเป็นผัวเมีย คอยช่วยกันดูแลกันตามอย่างที่พี่สาวพูดมาตลอด แต่วันที่พักฟื้นในโรงพยาบาล น้ำหนึ่งถึงเล่าให้ฟังว่ามันจบแล้ว เธออยู่คนเดียวเกือบเดือนและรอคอยว่าเมื่อไหร่ผมจะติดต่อมา แต่ผมก็ไม่เคยไปเยี่ยมเธอ

“ช่วงนี้งานเยอะ ลูกค้าก็เร่งจะเอาให้ได้ สองไม่มีเวลาไปหาพี่จริงๆ”

ผมบอกด้วยความรู้สึกผิด แต่น้ำหนึ่งดูจะไม่พอใจกับคำอธิบายนี้เท่าไหร่ เธอถามกลับว่าเรื่องงานแน่เหรอ เป็นเรื่องงานจริงเหรอ ไม่ใช่ว่ากำลังมีความสุขกับใครหรอกใช่ไหม ผมทำตัวไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าน้ำหนึ่งจับได้ยังไง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นเฟสบุ๊ก น้ำหนึ่งคงเห็นชวินทร์แท็กผมในเฟสบุ๊กแน่ๆ

“ชีวิตแกนี่ดีจังเลยเนอะ” น้ำหนึ่งพึมพำเหมือนประชดขณะเหม่อออกไปนอกหน้าต่างของโรงพยาบาล “เป็นผู้ชายตัวคนเดียว ไม่เห็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย”

ผมพูดไม่ออก มันจุกอกจนพูดไม่ออกเมื่อได้ยินน้ำหนึ่งพูดว่า ‘ไม่เห็นต้องรับผิดชอบอะไรเลย’ ผมนึกอยากตอกหน้าเธอว่าไม่ต้องรับผิดชอบจริงเหรอ งั้นค่ารักษาพยาบาล ค่าขูดมดลูกที่ต้องจ่ายเป็นหมื่นนี่ขอไม่จ่ายได้ไหม ผมสามารถเดินตัวปลิวออกจากห้องนี่โดยไม่ต้องจ่ายค่ายาค่าแท็กซี่ให้พี่ได้ไหมล่ะ มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากพูด ผมอยากจะพูดออกไปเพื่อบอกพี่สาวว่าคนที่ไม่ต้องรับผิดชอบอย่างผมมีค่าใช้จ่ายของใครที่ต้องแบกรับบ้าง แต่พอเห็นสีหน้าที่ทุกข์ระทมของแม่ที่เพิ่งเสียลูกแล้วมันก็พูดไม่ได้ ผมไม่อยากทำให้น้ำหนึ่งเจ็บช้ำน้ำใจจึงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเอง ก้มหน้าก้มตาหาเงินใช้หนี้ที่หยิบยืมมาจากติณณภพ และฝังกลบเรื่องนี้ให้เป็นแค่อดีตแสนเลือนรางที่ไม่เคยถูกพูดถึงอีกเลย


 ❤


ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วจนกระทั่งน้ำหนึ่งหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้งในวันที่เธอมีปัญหากับคนรัก ครั้งแรกที่ได้ยิน ผมแสดงสีหน้าไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไงที่พี่สาวตัดพ้อต่อว่าราวกับผมเป็นน้องชายเฮงซวยที่ไม่เคยเป็นปกป้องดูแลเธอ ไม่รู้ว่าจะเสียใจหรือโกรธ หรือควรใช้คำพูดแรงๆประชดประชันกลับไปเพื่อเอาคืนให้สาแก่ใจ แต่พอเห็นสภาพน้ำหนึ่งที่ช้ำไปทั้งตัว ใบหน้ามีแต่รอยเขียว ปากแตกจนเลือดซิบ ผมก็พูดอะไรไม่ออกอีกครั้งเพราะสงสารพี่สาวเกินกว่าจะซ้ำเติม

“ไปโรงพยาบาลไหมครับ?”

เป็นภูที่พูดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงและท่าทางกระวนกระวาย ผมได้แต่มองภูแล้วรู้สึกแย่กับตัวเองอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์มันซ้ำรอยเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อนไม่มีผิด เพียงแค่เปลี่ยนจากชวินทร์เป็นภู เปลี่ยนจากเซ็กส์เป็นการดูหนังด้วยกัน และเปลี่ยนผมที่เคยตกใจกับเรื่องทำนองนี้เป็นความเคยชิน ผมชินแล้วที่น้ำหนึ่งกลับมาขอความช่วยเหลือในสภาพนี้ ชินแล้วกับคำประชดประชันจากปากพี่สาวราวกับไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากน้องชาย ผมชินกับเหตุการณ์พวกนี้ก็จริง แต่ยังคงห้ามตัวเองไม่ให้คิดมากไม่ได้

“ไม่ต้องหรอก” ผมบอกภูด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าเต็มทน “คุณกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
“แต่ผมอยากให้พี่น้ำหนึ่งไปหาหมอ --”
“ผมจัดการเองได้ ผมเป็นน้องชายเขา ผมรู้ว่าต้องทำยังไง”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนหัวเสีย ภูจ๋อยลงทันตาเมื่อถูกดุ เขามองสลับผมกับน้ำหนึ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะขอตัวกลับโดยไม่ลืมบอกว่าถ้ามีอะไรให้ช่วย ติดต่อเขาได้เสมอ

“ติณก็อยู่ที่นี่ ไม่เป็นไรหรอก”

ผมบอกและโบกมือลาเจ้าโกลเด้นภู เขายกมือไหว้สวัสดีทุกคนก่อนจะค่อยๆเดินถอยหลังออกจากร้านราวกับรอว่าเราคนใดคนหนึ่งจะขอให้เขาอยู่ต่อ ทว่าเราสามคนกลับไม่พูดอะไร ผมเองก็ไม่ได้เอ่ยปากรั้งภูเพราะอยากเคลียร์ปัญหานี้ส่วนตัว จนกระทั่งรถบีเอ็มดับเบิลยูขับออกไป เราสามคนจึงหันมามองหน้ากัน ผมมองติณก่อนจะมองน้ำหนึ่งที่กำลังอุ้มเปเปอร์แนบอกและถามพี่สาวว่าเกิดอะไรขึ้น

“มันมีเมียน้อย”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่เปเปอร์เกิดได้ไม่กี่เดือน”

น้ำหนึ่งเริ่มร้องไห้ ส่วนผมได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน เราสองคนไม่ใช่พี่น้องที่สนิทกันขนาดจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังอีกแล้ว ยิ่งเมื่อก่อนผมเคยค่อนแขวะชีวิตของพี่สาวว่าเฮงซวย ห่วยแตก และไม่เอาไหน น้ำหนึ่งยิ่งไม่อยากเล่าชีวิตของตัวเองเพื่อให้ผมได้วิจารณ์หรือตำหนิติเตียนอะไรอีก

“แล้วจะเอายังไงต่อไป จะหย่าไหม?”

ผมพยายามทำน้ำเสียงราบเรียบใจเย็นเพราะไม่อยากเป็นไฟสุมอกพี่สาวให้มอดไหม้ ผมรู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะออกมาเป็นยังไง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผิดหวังหรือโดนทำร้ายจากคนรัก น้ำหนึ่งคนโง่ไม่เคยเป็นฝ่ายหักดิบขอเลิกก่อนเลย ทว่าไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้

“พี่จะหย่ากับมัน”
“พูดจริง?”
“จริง” น้ำหนึ่งยืนยันเสียงหนักแน่น “พี่จะหย่ากับมัน แต่จะไม่เซ็นใบหย่าเฉยๆหรอกนะ จะฟ้องให้มันจ่ายค่าเลี้ยงดูเปเปอร์จนกว่าจะเรียนจบปริญญาตรีด้วย”
“คิดว่าคนอย่างไอ้เหี้ยปั๊ปมันมีปัญญาส่งเสียลูกหรือไง?” ผมหยามเหยียดพี่เขย
“ก็ดีกว่าปล่อยให้มันไปสุขสบายกันสองคนไม่ใช่เหรอ?” น้ำหนึ่งถามเสียงแข็ง เพียงเสี้ยววินาทีจริงๆที่พี่สาวของผมเปลี่ยนจากคนอ่อนแอเป็นแข็งกร้าวที่ไม่ขอยอมจำนนอีกต่อไป
“งั้นคิดหรือยังว่าถ้าเลิกกันแล้วจะไปอยู่ที่ไหน?”

ผมถาม น้ำหนึ่งเงียบพักใหญ่เพราะให้คำตอบไม่ได้ เราต่างรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงคนที่ต้องแบกรับภาระของสองแม่ลูกคงต้องเป็นสิปปกรคนเดิม เพียงแค่ตอนนี้ผมมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่สามารถช่วยพี่สาวได้ หนึ่งคือผมไม่ได้เช่าห้องอยู่เอง ที่นี่คือร้านของติณณภพ มีห้องว่างสำหรับแขกเพียงห้องเดียว ส่วนห้องอื่นๆเป็นห้องใช้งานที่ติณเข้าๆออกๆตลอด สอง ผมกำลังเริ่มแปลหนังสือเรื่องใหม่ กว่าจะได้รับเงินก้อนก็คงอีกหกเจ็ดเดือนข้างหน้า นั่นหมายความว่าตอนนี้เราสามคนใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้าย ผมล้มไม่ได้ ผมไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองว่างโดยไม่รับงานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเราจะอดตายกันหมด

“ให้พี่น้ำหนึ่งอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ห้องมึงก็พอมีที่ไม่ใช่เหรอสอง?”

ติณณภพหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อีกตามเคย ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ติณก็เป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยเราสองคนพี่น้องในช่วงตกอับถึงที่สุดเสมอ ผมเกรงใจติณ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอรับความช่วยเหลืออีกครั้ง ผมให้สัญญากับติณว่าจะรีบหาทางออกเรื่องนี้ไวๆ อย่างน้อยหลังน้ำหนึ่งเข้าไปเก็บของที่คอนโดพี่เขย ผมจะเริ่มคิดจริงจังว่าจะส่งพี่สาวไปอยู่ที่ไหน เพราะน้ำหนึ่งและเปเปอร์จะอยู่ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งตลอดไปไม่ได้ นี่คือร้านหนังสือไม่ใช่สถานสงเคราะห์ การมากินอยู่ย่อมทำให้ติณมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นผมจะให้การอยู่ร้านเป็นทางออกสุดท้าย ต่อให้ต้องจ่ายเงินก้อนเป็นค่าตั้งตัวให้น้ำหนึ่งก็ยอม

หลังคุยกันว่าจะทำยังไงต่อ ติณณภพก็เป็นธุระพาน้ำหนึ่งไปตรวจร่างกายและขอใบรับรองแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อเก็บเป็นหลักฐาน ผมถ่ายรูปร่องรอยทุกอย่างไว้เยอะมากเพื่อการนี้ จริงๆผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากระบวนการฟ้องหย่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหน จำได้แค่ว่าหากมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นควรเก็บหลักฐานเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบตีสอง เราทุกคนเหนื่อยมากจนไม่มีกะจิตกะใจคิดถึงอะไรนอกจากตรงดิ่งไปห้องนอนของตัวเอง คืนนี้ติณณภพต้องค้างที่ร้านเพราะขับรถกลับบ้านไม่ไหว ส่วนผมปลีกตัวขึ้นห้องก่อนใครเพื่อเตรียมที่นอนให้พี่สาวและหลานที่หลับสนิทในเป้อุ้ม

“โห – นี่สภาพห้องแกเหรอ?”

น้ำหนึ่งบ่นอุบเมื่อเดินเข้ามาในโลกส่วนตัวของสิปปกร ห้องของผมไม่ได้แคบถึงขนาดอยู่กันสองคนแล้วอึดอัด แต่ก็ไม่ได้กว้างเพราะแทบทุกตารางนิ้วมีหนังสือวางกองเต็มไปหมด พวกสายชาร์ตก็พันรุงรังจนแยกไม่ออกว่าสำหรับชาร์ตอะไรบ้าง ส่วนโต๊ะทำงานไม่ต้องพูดถึง มีแต่เอกสารที่ผมปริ๊นท์ออกมาเพื่อแปลและหนังสืออ้างอิงต่างๆที่ใช้ในงานเท่านั้น

“ผ้าปูที่นอนไม่ได้ซักหลายเดือนแล้ว ฝนตก ไม่มีเวลา”
“ทำไมไม่ซื้อสำรองซักสองสามชุดล่ะ?”
“มันแพง ไอ้ที่ขายถูกๆก็นอนไม่ค่อยสบาย” ผมตอบตามตรง “อีกอย่างสองไม่ได้ซีเรียสเรื่องผ้าปูด้วย ตอนไหนซักก็ปล่อยมันโล้นแบบนั้นแหละ”
“แกอย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย สุขอนามัยก็สำคัญนะ”

น้ำหนึ่งบ่นพลางทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นอับจากผ้านวม ผมนึกอยากตอกกลับพี่สาวผู้เคร่งครัดในอนามัยเหลือเกินว่าที่ต้องขี้เหนียวขนาดนี้ก็เพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนพร้อมจะประเคนปัญหาเข้ามาให้ มีเหรอผมจะยอมใช้ผ้าปูที่นอนชุดเดียวไม่เคยซื้อเพิ่มแบบนี้

“เดี๋ยววันไหนกลับไปเอาของที่บ้าน พี่จะให้ผ้าปูที่นอนนะ แกจะได้มีเปลี่ยน”

ผมพยักหน้ารับส่งๆขณะมองน้ำหนึ่งวางเปเปอร์ลงบนเตียง เธอปลีกตัวไปอาบน้ำและขอให้ช่วยดูลูกชายไม่ให้กลิ้งตกจากที่นอน เมื่อพี่สาวหายไปทำธุระส่วนตัว ผมจึงมีโอกาสได้ขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเต็มที่

ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับโลกของผม

โลกที่สิปปกรที่เคยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวกำลังถูกรุกล้ำโดยพี่สาวและหลานชายอย่างเลี่ยงไม่ได้ การขอมาอาศัยด้วยครั้งนี้จะต้องสร้างปัญหาและทำให้เราขัดแย้งกันอีกหลายครั้งแน่นอน ผมกำลังนึกอยู่ว่าหากเตียงถูกทั้งสองคนยึดไป ผมจะย้ายไปนอนส่วนไหนในห้องนี้ดี ผมมีเตียงหลังเดียว มีหมอนใบเดียว หมอนข้างและผ้าห่มผืนเดียว ไม่มีเครื่องนอนสำรองเก็บไว้ในห้องนี้เลย พอเริ่มตระหนักได้ว่าคืนนี้คงต้องลำบากนอนบนพื้นแข็งๆ ผมก็เริ่มหงุดหงิดหัวเสียและโมโห ผมโกรธทุกอย่างที่ทำให้ชีวิตของตัวเองต้องเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้ ผมโกรธไอ้เหี้ยพี่ปั๊ปที่ทุบตีพี่สาว โกรธน้ำหนึ่งที่โง่งมงายในความรักถึงขนาดไม่ยอมปริปากเล่าจนเรื่องบานปลาย มันน่าโมโหและทำให้อารมณ์เสียจนเริ่มเก็บอาการไม่ได้ เมื่อน้ำหนึ่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็บอกแค่ว่าให้เธอพักผ่อน ผมจะลงไปคุยกับติณณภพข้างล่าง

“สอง”

เสียงน้ำหนึ่งเรียกให้กลับไปมอง เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง

“ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่มีแก พี่คงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้”

เชื่อไหมว่าแค่คำขอบคุณแสนสั้นและเรียบง่าย ทำให้ความโมโหหายไปหมด ผมโกรธน้ำหนึ่งไม่ลงและเริ่มคิดว่าเราสองคนก็มีกันแค่นี้ เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถนำภาระทุกอย่างไปขอความช่วยเหลือจากพ่อกับแม่ได้ มีแค่เราเท่านั้นที่จะช่วยกันให้ผ่านเรื่องเฮงซวยทั้งหมดไปด้วยกัน ผมมองหน้าพี่สาวที่ร้องไห้ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ไม่ได้เดินเข้าไปสวมกอดหรือบอกเธอว่าไม่เป็นไร ผมบอกน้ำหนึ่งแค่ว่านอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตัดสินใจว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน ที่แน่ๆ – พี่จะอยู่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งไม่ได้

“แต่ติณก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“ติณไม่พูด ไม่ได้แปลว่าไม่คิด” ผมบอก “อีกอย่างถ้าพี่มาอยู่ ค่าน้ำค่าไฟก็คงเพิ่มขึ้น”
“พี่จ่ายส่วนต่างให้ก็ได้”
“คนไม่เคยทำงานประจำแบบพี่จะหาเงินจากไหนมาจ่ายเหรอ?” ผมแขวะพี่สาวอีกครั้งอย่างลืมตัว “ยังไงพี่ก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ สองมีทางให้พี่เลือกคือยอมจ่ายค่าเช่าหอเองหรือจะกลับไปอยู่บ้านที่บางพลีกับพ่อแม่”
“พี่ไม่อยากอยู่บางพลี”
“ทำไม? บ้านก็ออกจะใหญ่ พ่อสร้างใหญ่ขนาดนั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่คงไปไหนไม่รอด ต้องซมซานกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่อยู่ดี”

น้ำหนึ่งหน้างอไม่สบอารมณ์ แต่เธอเถียงไม่ออกเพราะนี่คือเรื่องจริง พ่อของผมกู้เงินสร้างบ้านใหม่เกือบสองล้านเพื่อให้เราได้อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ พ่อคงรู้อยู่แล้วว่าลูกชายขวางโลกอย่างสิปปกรคงไม่กลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่แน่ๆ มีแค่ลูกสาวเท่านั้นที่น่าจะกลับไปและคงไม่ได้กลับคนเดียวต้องหอบหิ้วลูกไปอยู่ด้วยแน่นอน ถือว่าพ่อมองการณ์ไกลเก่งกว่าที่คิดไว้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบ้านหลังนั้นที่เคยคิดว่าเกินกำลังครอบครัวไปหน่อยกลายเป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การส่งพี่สาวไปอยู่ด้วย

“แกก็รู้ว่าแม่ขี้บ่น”
“ขี้บ่นก็ต้องทน เพราะพี่ไม่มีเงิน” ผมตอบด้วยความเย็นชา “แต่จะกลับไปเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน เคลียร์กับไอ้เหี้ยปั๊ปให้รู้เรื่องก่อน แน่ใจนะว่าจะหย่า?”
“แน่ใจสิ พี่เก็บหลักฐานที่มันคุยกับอีเมียน้อยไว้หมดแล้ว”
“ดีมาก หลังจากนี้เราคงต้องจ้างทนาย”

เมื่อพูดถึงทนาย ผมก็รู้สึกวูบโหวงเพราะคิดได้ว่าค่าใช้จ่ายต้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแน่ๆ

“ค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลัง”
“แล้วนี่แกจะออกไปไหนอีก?”
“สูบบุหรี่” ผมสารภาพความจริง น้ำหนึ่งชักสีหน้าไม่พอใจทันที
“เลิกสูบซักทีได้ไหม? แกอยากเป็นมะเร็งปอดตายเหมือนตาเหรอ?”
“ตายได้ก็ดี เหนื่อยชิบหายแล้วกับชีวิตห่าเหวนี่”

ผมบ่นอุบอิบและเดินออกจากห้อง ตรงดิ่งไปหลังร้านเพื่อสูบบุหรี่ซักม้วนจะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น ทว่าคืนนั้นมันไม่ได้หยุดแค่มวนเดียว ต้องใช้บุหรี่มากถึงสองเพื่อดับความกระวนกระวายในใจของผมให้สงบลง


ขอโทษนะคะที่อัปเดตช้ากว่าช่องทางอื่นๆ พอดีไปกินข้าวค่ะเลยลืมเวลา
พาร์ท 2 ต่อด้านล่างเลยคับผม  :hao5:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [5] 06/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 06-01-2020 20:26:19
5 [PART2/3]


น้ำหนึ่งบอกว่าจะไม่กลับบ้านเร็วๆนี้เพราะอยากให้แผลบนตัวจางลงหน่อย ไม่งั้นพ่อกับแม่ได้หัวใจวายตายแน่ๆถ้าเห็นลูกสาวกลายเป็นกระสอบทรายให้ผัวซ้อมจนน่วม

การมีอยู่ของน้ำหนึ่งในห้องส่วนตัวของสิปปกรทำให้ผมแทบเสียสติทุกวัน ผมเสียความเป็นส่วนตัว เสียเวลาทำงานเพราะต้องหอบหิ้วเอกสารลงมาทำงานที่คาเฟ่ชั้นหนึ่งแทนที่จะเป็นห้องนอนตัวเอง ผมจำเป็นต้องเคลียร์โต๊ะให้น้ำหนึ่งวางของใช้ของลูก ต้องเบียดเสื้อผ้าในตู้ให้พี่สาวและหลาน ต้องสละเครื่องนอนและเตียงให้เพื่อที่พวกเขาจะได้พักผ่อนสบาย ส่วนตัวเองก็ลำบากลงมานอนบนโซฟา แต่ที่แย่กว่านั้นคือน้ำหนึ่งห้ามผมสูบบุหรี่โดยให้เหตุผลว่าควันอาจเป็นอันตรายกับปอดของเปเปอร์ได้

“เมื่อไหร่แกจะเลิกสูบบุหรี่ซักที บอกแล้วไงว่ามันไม่ดี”
“สองสูบมาตั้งนานแล้ว พี่นั่นแหละย้ายเข้ามาเบียดเบียนสอง แล้วยังจะห้ามไม่ให้สูบบุหรี่อีกเหรอ?”

ผมโพล่งออกไปตามตรงเมื่อรู้สึกอึดอัดเหลือทน ลำพังการเสียสละอื่นๆยังพอข่มใจไม่ให้คิดมากได้ แต่การห้ามสูบบุหรี่เหมือนการฆ่าผมทั้งเป็น ในจังหวะชีวิตที่แสนจะห่าเหวขนาดนี้ ผมไม่มีที่พึ่งอื่นใดที่สร้างความสบายใจได้เร็วและราคาถูกเท่าบุหรี่เลย น้ำหนึ่งคงไม่คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าจะเข้าไปเก็บของแล้วเตรียมตัวกลับบ้านที่บางพลี แต่ผมมีเรื่องมากมายให้กังวลเต็มไปหมด ไหนจะค่าทนาย ไหนจะต้องอธิบายพ่อกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เผลอๆผมอาจต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเปเปอร์เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินมากพอสำหรับชีวิตน้อยๆ เมื่อเปเปอร์โตขึ้นก็ต้องเข้าโรงเรียน ผมที่เป็นน้าคงทำใจปล่อยหลานไปเรียนโรงเรียนรัฐปลายแถวไม่ได้ คงต้องส่งเข้าโรงเรียนเอกชนสังคมดีๆเพราะอยากให้หลานเป็นประชากรมีคุณภาพ

เมื่อรวบรวมความคิดทั้งหมดเป็นก้อนเดียวกัน ผมก็นึกสงสัยว่าเปเปอร์มันเป็นลูกใครกันแน่ ทำไมเกย์อายุสามสิบที่แม้แต่คนรักก็ไม่มีถึงต้องนั่งเครียดจนผมหงอกเพราะไม่รู้จะส่งเสียเลี้ยงดูพี่สาวและหลานยังไง พ่อกับแม่ก็ใกล้เกษียณแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงสามปีเท่านั้นที่ทั้งสองจะยังได้เงินเดือน แต่เงินเดือนที่ได้หักลบค่าผ่อนบ้านค่าใช้จ่ายต่างๆก็เหลือไม่ถึงหมื่น ทำไมเราต้องกระเบียดกระเสียรขนาดนี้เพื่อยายตัวปัญหาด้วย อย่างน้อยๆถ้าน้ำหนึ่งมีวุฒิการศึกษาติดตัวหรือขยันทำมาหากินกว่านี้ เราก็คงไม่ต้องเดือดร้อนเพราะเธอซ้ำซากไปมา

ผมเหลือบมองน้ำหนึ่งที่กำลังให้นมลูกบนเตียง ความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่คงน่าประทับใจสำหรับเธอมาก แต่สำหรับผม มันเป็นภาพที่น่าสงสารปนเวทนา แม่ที่เจ็บไปทั้งตัวเพราะโดนผัวทุบกำลังปลอบลูกที่ร้องไห้โยเยโดยบอกว่าพ่อไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร แม่จะเลี้ยงลูกเอง ผมกัดฟันโดยไม่รู้ตัว เริ่มโมโหปนอยากตอกกลับว่าเธอน่ะเหรอจะเลี้ยงลูก คนอย่างเธอจะไปเอาเงินจากไหนถ้าไม่ใช่ขอน้องชายและพ่อกับแม่

“พี่คิดหรือยังว่าจะทำอะไรต่อ?”
“กลับบ้านไง”
“หมายถึงจะทำมาหาแดกอะไรเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงลูก”

ผมใช้คำพูดที่รุนแรงขึ้นเพื่อบอกพี่สาวเป็นนัยว่าเรากำลังคุยเรื่องจริงจัง น้ำหนึ่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะสารภาพตรงๆว่าไม่รู้ เธอยังไม่ได้วางแผนเรื่องอนาคต คิดแค่ว่ากลับบ้านยังไงไม่ให้พ่อกับแม่โวยวายหากได้เห็นลูกสาวในสภาพนี้

“พี่รู้ใช่ไหมว่าสองไม่ได้มีเงินขนาดจะส่งเสียเลี้ยงพี่กับเปอร์ตลอดไป”
“รู้” น้ำหนึ่งตอบเสียงจ๋อย “แต่แกตัวคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ภาระอะไรก็ไม่มี”
“แล้วสองไม่ต้องกินต้องใช้ ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ติณเหรอ?” ผมกอดอกถามด้วยความไม่พอใจ “ไม่รู้แหละ สองทำได้แค่นี้ ต่อไปเป็นเรื่องของพี่แล้วกัน”
“พี่ก็ไม่ได้พึ่งแกตลอดเวลาไหม? ก็แค่ช่วงนี้ --”
“ยกนิ้วขึ้นมานับเลยนะ ไอ้คำว่า ‘ก็แค่ช่วงนี้’ ของพี่น่ะมันกี่ครั้งแล้ว”

ผมเริ่มไม่สบอารมณ์จนไม่อยากคุยต่อ ทว่าน้ำหนึ่งก็มีเรื่องแก้ตัวให้ตัวเองเยอะเหลือเกิน จังหวะที่เธอกำลังอ้าปากจะเถียง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงไลน์

“จากภูอีกล่ะสิ”
“แล้วมันสำคัญยังไง?”

ผมถามพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา เป็นภูจริงๆด้วย เขาส่งข้อความมาว่า [ทำไรอยู่คับ]

“ยิ้มทำไม?”
“อะไร? ไม่ได้ยิ้ม”

ผมปฏิเสธก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้อง น้ำหนึ่งตะโกนไล่หลังสั่งให้เลิกสูบบุหรี่เพราะลูกชายของเธออาจได้รับพิษจากนิโคตินของคุณน้า ผมเมินเฉยคำสั่งนั้นแล้วรีบลงไปชั้นหนึ่งเพื่อทำงานต่อ ในร้านกู้ด รี้ดดิ้งตอนสิบโมงเช้าของวันธรรมดา ลูกค้าไม่เยอะอย่างที่คาด ผมจึงมีอิสระในการเดินไปเดินมาและใช้โต๊ะคาเฟ่ทำงาน ติณณภพยืนอยู่แถวโต๊ะชงเครื่องดื่มกับบาริสต้าคนใหม่ที่เพิ่งจ้างมาด้วยเงินเดือนสองหมื่นกว่า ผมเห็นทั้งสองคนคุยกันเรื่องกาแฟถูกคอจนไม่สนสิ่งรอบข้างจึงกลับมานั่งทำงานของตัวเองต่อ 

“ทำงาน” ผมตอบภู
[วันนี้เลิกงานกี่โมงคับ]
“ไม่มีเวลาเลิกงาน ฟรีแลนซ์มันก็ต้องทำตลอดนั่นแหละ”

ผมตอบและวางโทรศัพท์เพื่อกลับไปจดจ่อกับหนังสือที่กำลังแปลต่อ เมื่อวานพี่ดาวเพิ่งโทรมาขอดูบทที่สี่แต่ผมกลับไม่มีอะไรอัปเดตให้พี่ดาวเลย ผมบอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆเพราะเรื่องส่วนตัวเยอะมาก พี่ดาวแสดงความเห็นอกเห็นใจด้วยตอบว่า อ๋อ ค่ะ ถึงจะยุ่งแต่อย่าลืมกำหนดเดิมที่เราวางแผนกันไว้นะคะ หนังสือต้องวางขายปีหน้า ช้าไม่ได้นะสอง

ได้ครับพี่ดาว

ผมตอบแค่นั้นทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปิดเล่มให้ทันยังไง ห้องนอนส่วนตัวที่เคยมีไว้ทำงานก็ต้องยกให้พี่ ตัวเองหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังมาอยู่คาเฟ่ชั้นล่าง วันไหนลูกค้าเยอะต้องเก็บของเคลียร์พื้นที่ให้ลูกค้าใช้ พอร้านปิดก็อยากพักผ่อนขึ้นไปนอนข้างบนแต่หลานดันแหกปากร้องไม่หยุด เปเปอร์ไม่ค่อยน่ารักกับผมเท่าไหร่ ราวกับแกเกลียดที่ได้เห็นน้าใจร้ายอยู่ใกล้ๆจึงร้องโยเยไม่ยอมให้เข้าห้อง น้ำหนึ่งบอกว่าเปเปอร์เหม็นบุหรี่ เพราะฉะนั้นถ้าน้าสองเลิกบุหรี่ไม่ได้ก็อย่าเข้าห้องเลย

แต่นั่นมันห้องกูหรือเปล่าวะ

ผมสบถด้วยความหงุดหงิดถึงขีดสุด ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตในตอนนี้แล้ว ผมเครียดจนเผลอยีหัวตัวเองอยู่นาน ติณณภพจึงเดินเข้ามาหาเพราะเห็นว่าช่วงนี้สิปปกรอารมณ์ไม่ดี หงอกก็เริ่มเยอะ แถมสูบบุหรี่หนักจนกลายเป็นกลิ่นประจำตัวแล้ว

“งานแปลถึงไหนละ?”

ติณแกล้งถาม ผมรู้ว่าติณพยายามช่วยไม่ให้เครียดแต่ทำไงได้ เรื่องที่เจออยู่ตอนนี้มันไม่สามารถปล่อยวางได้หรอก พี่สาวกับผัวก็เคลียร์ไม่ลงตัว ไหนจะเรื่องเงินเลี้ยงดู เรื่องทนาย เรื่องกลับไปอยู่บ้านอีก มันเยอะมากจนอยากเลิกคิดทุกอย่างแล้วออกไปสูบบุหรี่อีกซักซอง

“ได้นอนบ้างหรือเปล่าเนี่ย?”
“ไม่ค่อย” ผมตอบตามตรง “กูจะไปส่งน้ำหนึ่งกลับบ้านวันศุกร์นี้”
“ดีแล้ว ส่งพี่น้ำกลับบ้านเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” ติณบอก เมื่อเห็นสีหน้าเหวอๆของผมมันก็รีบอธิบายต่อ “กูหมายถึงมึงจะได้ห้องนอนส่วนตัวกลับมาไง คิมบอกว่ามึงลงมานอนโซฟาทุกวันเลย ไม่ปวดหลังเหรอ?”
“ปวดสิ” ผมบ่นกระปอดกระแปด จริงอยากบ่นอีกยกใหญ่แต่มันเหนื่อยจนไม่อยากจะเรียบเรียงคำพูดอะไรอีกแล้ว
“ทำไมมึงไม่บอกตั้งแต่แรกว่านอนกับพี่น้ำไม่ได้ กูจะได้ให้กุญแจห้องนอนไว้ มึงเข้าไปนอนได้เลย ไม่ต้องลงมานอนบนโซฟาอีกนะ”
“ไม่เอากูเกรงใจ”

ผมบอกเพื่อนและส่งกุญแจคืน แต่ติณก็ยังยืนยันคำพูดตัวเองด้วยการบอกว่าไม่เป็นไร มันให้ผมนอนเพราะยังไงติณก็ไม่ได้ค่อยค้างที่นี่เท่าไหร่

“ทิ้งไว้ให้ว่างเฉยๆทำไม มึงนอนเถอะ เปิดแอร์นอนก็ได้” ติณย้ำอีกครั้งและยัดกุญแจใส่มือของผม “ตกลงวันศุกร์มึงจะไปส่งพี่น้ำยังไง?”
“แท็กซี่มั้ง”
“โห ตั้งเจ็ดสิบแปดสิบโล ค่าแท็กซี่แพงนะ” ติณขมวดคิ้วด้วยท่าทีเสียดาย “เอางี้ เดี๋ยวกูไปส่ง”
“พอเหอะติณ กูเกรงใจมึงจะแย่ ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมามีแต่รบกวนมึงอยู่เรื่อย”
“ก็เพื่อนมีไว้ช่วยกันในเวลาแบบนี้หรือเปล่าวะ?”
“มันบ่อยเกินไปไง” ผมยกนิ้วขึ้นนวดขมับ “ขอโทษนะมึง ถ้ากูดูแลครอบครัวตัวเองดีกว่านี้คงไม่ต้องรบกวนมึงบ่อยๆ”
“เอาน่า สมัยเรียนมึงก็ช่วยกูตั้งเยอะ อย่างร้านตอนนี้ก็คงไม่ดังถ้าไม่มีมึงคิดคอนเท้นต์โปรโมตให้”
“เพราะมึงเก่งหรอกถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้”
“กูไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่โชคดีที่มีทุนจากบ้านและโชคดีที่มีเพื่อนสนิทเป็นหนอนหนังสือ มึงก็รู้ว่าหน้าร้านไม่ได้ขายดิบขายดี ออนไลน์ต่างหากที่ทำยอดได้มาก แถมส่วนใหญ่ก็ตามมาจากบทความและพอดแคสต์ที่มึงคิดสคริปต์ให้ไง”

ผมยิ้ม รู้สึกดีที่อย่างน้อยในช่วงเวลาเฮงซวยยังมีคำพูดปลอบใจจากติณณภพที่ทำให้มีแรงอยากทำงานต่อไปบ้าง

“เดี๋ยววันศุกร์เราไปเก็บของที่บ้านพี่น้ำด้วยกันแล้วค่อยไปบางพลีนะ”

ติณณภพรับปากให้สัญญา ผมที่ซาบซึ้งกับน้ำใจประเสริฐของเพื่อนจนไม่รู้จะขอบคุณยังไงนอกจากบอกว่าจะตั้งใจเขียนบทความของร้านให้ดีที่สุด ผมจะทำให้กู้ดรี้ดดิ้งเป็นร้านหนังสืออันดับหนึ่งของประเทศเลยคอยดู ติณยิ้มขำแล้วตบไหล่ผมเบาๆก่อนจะเดินกลับไปดูแลความเรียบร้อยของร้าน ส่วนผมนั่งทำงานแปลต่อโดยมีภูคอยส่งข้อความชวนคุยตลอดช่วงบ่าย





นอกจากติณณภพที่รู้เรื่องราวทั้งหมด ก็มีภูที่รู้ว่าผมกำลังเจอเรื่องเฮงซวยอะไรบ้าง

เราคุยกันทุกวัน ด้วยบทสนทนาแสนเรียบง่ายและธรรมดาที่ไม่มีการปรุงแต่ง หากช่วงไหนไม่มีลูกค้า ภูมักจะทักมาชวนคุยและถ่ายรูปคอร์กี้ของตัวเองมาอวดจนผมเคยชินกับการได้รับข้อความจากเขา แต่เราไม่เคยนัดเจอกันอีกเลยนับจากวันที่ไปดูหนังด้วยกัน ภูเอ่ยปากชวนผมนะ เขาเสนอตัวว่าจะมาหาถึงบางบัวทองแต่ผมปฏิเสธไป ในสถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้ผมไม่ค่อยอยากเจอใครเท่าไหร่ ยิ่งน้ำหนึ่งยังอาศัยอยู่ในร้านกับลูก ผมยิ่งไม่อยากออกไปเที่ยวไหนเพราะเบื่อจะต้องฟังคำประชดประชันจากพี่สาว

[ออกไปแค่แป๊ปเดียวก็ไม่ได้เหรอคับ?]
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวน้ำหนึ่งหาว่าผมเห็นแก่ตัวอีก”
[แต่คุณสองก็ต้องมีชีวิตของตัวเองเหมือนกันนะ]

ผมอ่านข้อความของภูแต่ไม่ได้ตอบเพราะรู้สึกว่ามันพูดง่ายทำยาก ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเรามันก็ประหลาดมาตั้งแต่แรกโดยที่ผมไม่รู้เลยว่ากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง พ่อกับแม่เลี้ยงลูกพลาดตรงไหน น้ำหนึ่งถึงกลายเป็นคนไม่เอาถ่านที่หนังสือหนังหาก็เรียนไม่จบ แถมหนี้สินยังล้นตัวราวกับเราเป็นชนชั้นกลางผู้ทะเยอทะยานขึ้นเป็นอีลีททั้งๆที่บ้านเราไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ เราไม่เคยไปต่างประเทศ ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ราคาแพงเหมือนคนอื่น แม้แต่ตอนเรียน ผมต้องซื้อหนังสือฉบับก็อปปี้จากร้านถ่ายเอกสารในคณะเพราะไม่มีเงินจ่ายค่านิยายถูกลิขสิทธิ์สำหรับเรียนวิชาวรรณกรรม ชีวิตของเราสี่คนเรียบง่ายและจืดจางเหมือนคนส่วนใหญ่ในสังคม น้ำหนึ่งก็ไม่เคยถูกสปอยล์ด้วยของสวยๆแพงๆ แต่เธอกลายเป็นพวกโหยหาความรักความสนใจตลอดเวลาทั้งๆที่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งเธอ ผมนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเรา มันผิดพลาดตรงไหน เผื่อเราจะยังพอมีหนทางแก้ไขได้บ้าง

[คุณสองอยู่ร้านมั้ยคับ]
“อยู่”
[หลับตาก่อนครับ มีคนกำลังจะไปส่งของขวัญให้คุณสอง]
“ของขวัญอะไร?”

ผมพิมพ์อย่างรวดเร็วแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ตั้งใจโฟกัสงานแปลที่ยังคั่งค้างก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีคนโน้มตัวมากระซิบข้างหูจากด้านหลังว่า “จ๊ะเอ๋!” ผมตอบสนองอัตโนมัติด้วยการเหวี่ยงมือฟาดแก้มของคนแปลกหน้าดังเพี๊ยะ! จนเสียงดังลั่นร้าน ภูร้องโอ๊ยพร้อมกับยกมือกุมแก้ม สีหน้าเจ็บปวดรวดร้าวเพราะโดนผมตบโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ตีผมทำไมอ่ะ!” เจ้าโกลเด้นภูตัดพ้อ
“ใครใช้ให้โผล่มาด้านหลังแบบนี้ล่ะ!”

ผมแหวแต่ก็ลุกขึ้นไปหา ไม่ได้ปลอบภูด้วยการจับแก้มและดูว่าเขาเจ็บตรงไหนหรือเปล่า แค่กอดอกมองและหัวเราะร่วนเท่านั้น ส่วนภูหน้าบึ้งเสียใจ เขาคงเจ็บจริงๆเพราะโดนฟาดเต็มแรง เสียงตบก็ดังเสียจนเด็กในร้านสูดปาก แถมลูกค้ายังเหลียวมองอีก

“วันนี้ไม่ทำงานเหรอ?”
“อ๋อ วันหยุดประจำเดือนครับ ร้านปิด”
“แล้วมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ?”
“อยากเจอคุณสอง”

ผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง นึกขำที่ตัวเองไม่รู้สึกเขินอายกับประโยคชวนคิดของอีกฝ่ายเลย ส่วนเจ้าโกลเด้นภูกระดิกหางด้วยความร่าเริง ตาเป็นประกายวิบวับเพราะคิดว่าสิปปกรคงหวั่นไหวจะแย่กับคำว่า ‘อยากเจอ’

“ภู ผมถามจริงๆ คุณมาทำไม?”
“ผมอยากเจอคุณสองไง”
“เอาดีๆ”
“ผมคิดถึงคุณสอง”

โอเค – ไอ้ประโยคนี้แหละที่ทำให้ผมเริ่มเสียอาการ

“ผมรู้ว่าคุณสองงานยุ่งแล้วก็เครียดจนไม่อยากออกไปไหน ผมเลยมาที่ร้าน อย่างน้อยพี่น้ำหนึ่งคงหาเรื่องว่าคุณสองไม่ได้เพราะผมมาหาเอง ผมซื้อของมาฝากด้วยนะ”

ภูยิ้มกว้างแล้วผายมือไปโต๊ะยาวด้านหลังที่มีไว้สำหรับลูกค้า ตอนนี้เต็มไปด้วยของกินและผลไม้ราวกับมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ผมตำหนิภูเรื่องซื้อของมามากเกินไป เขาเองก็ต้องกินต้องใช้ อย่าเอาเงินมาทิ้งไว้กับคนแปลกหน้าเลย

“คุยกับทุกวันยังแปลกหน้าอีกเหรอ?” ภูบ่นเหมือนน้อยใจ ผมจึงบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก
“ผมแค่อึดอัดที่จะต้องรับความหวังดีจากคุณ คุณก็รู้ว่าผมไม่มีอะไรจะให้คุณหรอกนะ ผมมีแต่ตัวกับภาระ คงให้ประโยชน์คุณไม่ได้หรอก”
“คนเราคบกันใช่ว่าจะต้องมีแต่เรื่องผลประโยชน์เสียหน่อย”
“ถ้าไม่มีผลประโยชน์ คนเราจะคบกันทำไมล่ะ” ผมถามย้อน “อย่างตอนนี้ที่คุณทำดีกับผมก็เพราะหวังผลเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”
“ผมไม่ได้หวังอะไรจากคุณสองหรอก เงินก็มีแล้ว ผมไม่อยากได้”
“หมายถึงความสัมพันธ์ไง”

ผมพูดตรงๆ ภูถึงกับเหวอไปเลยเมื่อโดนจี้ใจดำ แม้ว่าคนอย่างสิปปกรไม่สามารถให้อะไรที่เป็นรูปธรรมแก่ภูได้ แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมให้เขาได้แน่ๆนั่นก็คือความรู้สึกและเซ็กส์

“คุณจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอภู? คิดดูอีกทีดีไหม? ผมไม่มีอะไรเหมาะกับคุณเลยนะ ทั้งหน้าตาการศึกษา ทั้งฐานะและภาระต่างๆ ผมเป็นคนนั้นที่คุณตามหาไม่ได้หรอก”

ตอนที่พูดออกไป ผมสงสารภูเมื่อเห็นสีหน้าของเขาค่อยๆเจื่อนลงจนไม่เหลือรอยยิ้มสดใสราวกับพระอาทิตย์อีก ผมแค่อยากย้ำเตือนภูอีกครั้งว่านายสิปปกรคนที่เขาตามตื๊อมันไม่มีอะไรดีเลย อีกหน่อยถ้าเราเรียนรู้กันไป ภูคงรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ทุ่มเทเวลาให้กับคนอย่างผม แต่ดูเหมือนว่าภูจะไม่คิดแบบเดียวกัน

“ผมไม่สนหรอกว่าคุณสองจะรวยหรือจน จะจบจากที่ไหน หน้าที่การงานเป็นยังไง ฐานะที่บ้านรวยหรือเปล่า” ภูตอบโต้เป็นชุด “ผมรู้แค่ว่าผมถูกชะตากับคุณ ผมอยากคุยกับคุณ ผมอยากให้เรามีโอกาสคบกันดูซักครั้งเพราะผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครมานานมากแล้ว คุณสองคือคนพิเศษที่ทำให้หัวใจของผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผมมีความสุขที่ได้รู้จักคุณ หรือคุณสองจะบอกว่าตอนคุยกับผม คุณสองไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน?”
“รู้สึกแบบไหนล่ะ?”
“ก็ – อยากคุยอีกเรื่อยๆ อยากทักไปหา อยากเจอ --”
“ผมไม่มีความรู้สึกอะไรแบบนั้นหรอกนะ” ผมพูดตามตรง “ภู ชีวิตผมมันวุ่นวายเกินกว่าจะมีใคร แค่พี่สาวคนเดียวก็ทำผมเวียนหัวจะแย่แล้ว”
“เพราะแบบนั้นคุณยิ่งต้องมีผมไง” ภูกลับมายิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อนายสิปปกรเปิดช่องว่างให้ “ผมไม่ได้มาเพื่อเป็นภาระคุณ ผมมาเพื่อช่วยคุณ”
“ถ้าเรื่องเงินล่ะก็ไม่ต้องนะ ขอบใจมาก ผมไม่ใช่ประเภทยืมเงินคนไปทั่ว”
“ไม่ใช่แบบนั้น ผมมาเพื่อเป็นกำลังใจให้คุณสองต่างหาก”

เจ้าโกลเด้นภูกลับมากระดิกหางด้วยหน้าตาชื่นบาน ส่วนผมยืนมองรอยยิ้มสว่างไสวที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่รู้จะพูดอะไรอีก

“ผมว่าคุณสองน่าจะลองมีความรักดูนะ ก็แค่อยากให้คุณเก็บไปคิดน่ะ – มันไม่ได้แย่อย่างที่คุณกลัวหรอก”

ผมนิ่งเงียบขณะเก็บคำพูดของภูมาคิด มันไม่ได้แย่อย่างที่กลัวก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคู่จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจเสียหน่อย ผมน่ะ – เข็ดขยาดมามากพอแล้วกับสถานะที่เรียกว่าคนรัก ผมรู้สึกว่าตัวเองมีภาระที่ต้องจัดการมากเกินไปจนไม่อยากเปิดใจให้ใครเข้ามาทำให้เสียใจอีก และวันนี้ก็มีเจ้าหมาโกลเด้นตัวหนึ่งเดินบุ่มบ่ามเข้ามา กระดิกหางชวนเล่นและคลอเคลียเพื่อขอให้เปิดใจ ผมได้แต่ยืมมองภูผู้มีดวงตาประกายสิบวับอยู่หลายวินาทีก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่อยากพูดเรื่องความรักอะไรอีกแล้ว มันเหนื่อย

“เรากินข้าวกันดีกว่านะ ผมซื้อบะหมี่มาฝากพี่น้ำหนึ่งด้วย เราจะกินกันตรงไหนดี?”
“ในครัว” ผมปิดแล็ปท็อปและช่วยภูถือถุงกับข้าวไปหลังร้าน “พวกอาหารมีกลิ่นกินหน้าร้านไม่ได้เด็ดขาด กลิ่นมันรบกวนลูกค้า”
“โอเคครับ คุณสองเรียกพี่น้ำหนึ่งมาด้วยสิ จะได้กินพร้อมกัน”
“ไม่รู้ว่าเปเปอร์นอนอยู่หรือเปล่า” ผมบอก “เดี๋ยวขึ้นไปดูก่อนนะ”

โชคดีที่เปเปอร์ยังไม่หลับ น้ำหนึ่งจึงลงมากินมื้อเที่ยงกับเราได้ ผมไม่อธิบายพี่สาวว่าทำไมภูถึงมาอยู่ที่ร้านและหอบหิ้วเอาของกินมากมายมาฝาก เดาเอาว่าน้ำหนึ่งคงจะรู้อยู่แล้วหากไม่ไร้เดียงสาจนเกินไป นับว่ายังดีที่เธอไม่เอ่ยปากแซวให้บรรยากาศระหว่างเราอึดอัดมากกว่านี้ ดังนั้นมื้อเที่ยงของภูกับพี่สาวและหลานชายของผมจึงผ่านไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัดอะไร

“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพี่เก็บเอง ภูไปอยู่กับสองเถอะ”

น้ำหนึ่งเอ่ยปากห้ามเมื่อภูตั้งท่าจะช่วยเก็บจาน เจ้าหมาโกลเด้นหันกลับมามองผมราวกับไม่แน่ใจว่าเขาสามารถปล่อยให้น้ำหนึ่งล้างจานคนเดียวหรือไม่ เมื่อเห็นผมพยักหน้า เขาก็เข้าใจและค่อยๆเดินตามผมที่อุ้มเปเปอร์ออกไปหน้าร้าน

“ร้องเก่ง” ผมบ่นเมื่อหลานชายตัวดีเริ่มอ้าปากแผดเสียงลั่น “เดี๋ยวพากลับไปคืนแม่เลยดีไหม”
“ให้ผมลองอุ้มหน่อยได้ไหมครับ?”
“อุ้มเป็นเหรอ?”
“เป็นครับ เห็นอย่างนี้ผมก็เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนนะ”

ภูยิ้มพร้อมกับปรบมือแปะๆเป็นเชิงเรียกให้เปเปอร์ไปหา แต่หลานผมเพิ่งจะอายุได้ไม่ถึงปี เขาคงเดินไปได้หรอกนะถ้าไม่มีคุณน้าคอยประเคนส่งให้ถึงมือ ผมไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อเปเปอร์อยู่ในอ้อมอกของคนแปลกหน้าแล้วจะมีปาฏิหารย์ประหลาดที่ทำให้เด็กอายุไม่กี่เดือนหยุดร้องทันทีราวกับถูกชะตา ดังนั้นเมื่อภูได้อุ้มเปเปอร์เต็มไม้เต็มมือครั้งแรก เจ้าหลานชายก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังด้วยการเบะปากและแผดเสียงร้องลั่นจนทุกคนในร้านหันมอง

“เสียงดีจังเลยครับคนหล่อ เราไปดูรถกันดีกว่า เนอะๆ”

ภูเริ่มใช้เสียงสองคุยกับเปเปอร์ ส่วนผมรีบเดินตามเพราะกลัวว่าเขาจะทำหลานหล่น แต่ภูเลี้ยงเด็กได้ดีกว่าที่คิดไว้ พอได้ยืนริมกระจกร้านและเห็นรถข้างนอกที่วิ่งผ่านไปมา เปเปอร์ก็หยุดร้องและเริ่มใช้สายตามองสิ่งรอบตัวอย่างสนอกสนใจ ผมไม่คิดมาก่อนเลยว่าภูจะรู้วิธีเบี่ยงเบนเด็กให้หยุดร้องไห้ด้วย

“สารภาพมานะว่าคุณเคยมีลูกใช่ไหม?”



ต่อ Part 3 ข้างล่างเลยค่า :katai2-1:

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [5] 06/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 06-01-2020 20:27:25
5 [PART 3/3]


ผมแกล้งถามแต่ภูไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ เขาบอกแค่ว่าคลุกคลีกับเด็กมานานก็เลยรู้ว่าควรรับมือยังไง

“เปเปอร์คงไม่ได้เจอใครเท่าไหร่ใช่ไหมครับถึงกลัวคน” ภูเริ่มชวนคุยอีกครั้ง “ถ้าพาไปข้างนอกบ่อยๆก็คงเริ่มคุ้นบ้าง แต่ผมว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ พี่น้ำหนึ่งจะได้สบายใจด้วยเพราะเปเปอร์ไม่ไปกับคนแปลกหน้าง่ายๆ”
“เขามีกันสองคนแม่ลูกก็ไม่รู้จะเจอคนอื่นที่ไหน”
“อ้าว – พี่น้ำหนึ่งไม่ได้ย้ายมาอยู่กับคุณสองถาวรเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก เดี๋ยวเย็นนี้ผมต้องพาน้ำหนึ่งไปเก็บของที่บ้านผัวแล้วพาไปส่งบ้านของพ่อกับแม่ ผมว่าให้น้ำหนึ่งอยู่ที่นั่นน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้มีคนที่รักเด็กจริงๆช่วยดูแล”
“คุณสองไม่ชอบเด็กเหรอ?”
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่”
“แต่ผมไม่เด็กนะ คุณสองชอบไหม?”

ไอ้บ้า

ผมมุมปากกระตุก ไม่รู้จะยิ้มหรือขำกับคำเต๊าะไปเรื่อยของเจ้าโกลเด้นตัวนี้ดี แต่ผมก็ไม่ได้ตอบสนองประโยคนั้นด้วยการแสดงออกว่าขวยเขินอะไรนอกจากแค่นหัวเราะ

“บ้านพ่อแม่ของคุณสองอยู่ไหนเหรอครับ?”
“บางพลี”
“โห --” ภูทำเสียงอึ้งๆ “ไม่ไกลเลย ผมนึกว่าอยู่ต่างจังหวัดเสียอีก”
“ตอนคุณร้องโห ผมนึกว่าคุณจะบอกว่าไกล” ผมชักจะอยากมะเหงกไอ้เด็กนี่แล้ว
“ก็มันไม่ไกลอย่างที่คิดนี่นา ว่าแต่ใครไปส่งครับ? จะนั่งแท็กซี่ไปเหรอ?”
“เปล่า ติณไปส่งน่ะ”
“แต่พรุ่งนี้ที่ร้านมีงานด้วย ถ้าต้องไปส่งพี่น้ำหนึ่งแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?”
“คุณรู้ได้ไงว่าพรุ่งนี้ร้านเรามีอีเว้นท์?”
“ก็ผมฟอลแอคเคานท์ของร้านอยู่” ภูพูดด้วยใบหน้าซื่อๆ “นี่ไง – เขียนไว้ว่างานเปิดตัวหนังสือใหม่ของอดีตนักโทษการเมืองที่อยู่ในเรือนจำนานถึงสองปีด้วยเหตุผลส้นตีนของรัฐบาลพลเอก --”
“นี่ ผมไม่ได้เขียนว่าเหตุผลส้นตีนลงในนั้นนะ”
“ล้อเล่นครับ” เจ้าโกลเด้นภูยิ้มหวานแฉ่งเมื่อได้แกล้ง “พรุ่งนี้คนน่าจะเยอะ ผมว่าพี่ติณควรอยู่ร้านเพื่อเตรียมงานนะ อาจจะมีนักข่าวมาด้วย”

ผมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลึกๆก็เห็นด้วยกับภูที่ว่าติณณภพควรอยู่เฝ้าร้านแทนที่จะเป็นธุระขับรถพาพี่สาวของเพื่อนกลับบ้านที่บางพลี แต่พอคิดว่าต้องนั่งแท็กซี่ไปเองมันก็เซ็งนิดหน่อยเพราะค่าแท็กซี่คงหลายร้อยแน่ๆ ภูที่เห็นผมยืนหน้าเครียดอยู่จึงได้โอกาสทำคะแนนครั้งใหญ่ เขารีบเสนอตัวว่าไหนๆพี่ติณก็ไม่สะดวกไปส่งแล้ว ทำไมไม่ให้เขาทำหน้าที่นั้นแทน

“คุณจะบ้าเหรอ? หาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยทำไม?” ผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไหร่ “เดี๋ยวผมกับน้ำหนึ่งไปเองก็ได้ บางพลีไม่ได้ไกลขนาดนั้น”
“ไม่ไกลแต่ลำบากนะครับ”
“นั่งแท็กซี่จะลำบากอะไร”
“ไม่ลำบากหรอกแต่ค่าแท็กซี่มันแพงไง”
“เออน่า มันเป็นค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้นี่นา” ผมบ่นพลางมองหน้าหลานที่อยู่ในอ้อมกอดของภู “ผมเลือกไม่จ่ายได้ที่ไหน พี่สาวกับหลานตัวเองแท้ๆ”
“งั้นก็ให้ผมขับรถไปส่ง”
“บอกว่าไม่เอาไง”
“ทำไมคุณสองไม่หัดรับน้ำใจจากคนอื่นบ้างล่ะครับ? คนเขาเต็มใจเสนอตัวมอบความช่วยเหลือให้ คุณสองก็แค่ขอบคุณแล้วรับมันไป ไม่เห็นยากเลย”
“ผมไม่อยากติดหนี้คุณ”
“ต่อให้พี่ติณไปส่ง ยังไงคุณก็ติดหนี้เขาเหมือนกัน”
“ก็ติณเป็นเพื่อนสนิทผม อีกอย่างเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน ผมช่วยติณทำร้านมานาน”
“ถ้าคุณสองเกรงใจนัก จ่ายค่าน้ำมันรถให้ผมก็ได้ เอางี้ – ผมคิดเรทเดียวกับแท็กซี่เลยเป็นไง แต่ไม่คิดค่าขึ้นสามสิบห้าบาท”
“แบบนั้นผมนั่งแท็กซี่ไปเองดีกว่า”
“แต่ถ้าไปกับผม คุณสองจะแวะที่ไหนก่อนกลับบ้านก็ได้นะ แท็กซี่มันทำให้คุณได้หรือเปล่าล่ะ? นอกจากลงแล้วต้องเรียกคันใหม่ก็ไม่เห็นเหมือนรถส่วนตัวเลย แถมต้องจ่ายเงินสามสิบห้าบาทตั้งสองสามครั้งกว่าจะถึงบ้าน เพราะฉะนั้นไปรถผมเถอะ ค่าน้ำมันผมคิดไม่แพงหรอก เอาเรทในปั๊มน้ำมันตอนนี้เลยก็ได้ ตกลงตามนี้นะ โอเค เปเปอร์ดีใจมั้ยครับจะได้นั่งรถพี่ภูอีกแล้ว เอ๊ะ – เป็นพี่ภูหรือน้าภูดีนะ น้าภูดีกว่า เปเปอร์มีน้าสองแล้วก็ต้องมีน้าภูด้วย ดีใจไหมครับเปเปอร์ หนูมีน้าตั้งสองคนเลยน้า ดีใจมากๆเลยใช่ไหม เย้ๆ”

เย้ – พ่อง

 ผมได้แต่มองภูพูดเองเออเองอยู่คนเดียว เขาสรุปเสร็จสรรพว่าจะทำยังไงเพื่อให้การไปส่งน้ำหนึ่งที่บ้านไม่ถือว่าเราติดหนี้บุญคุณกัน ผมลังเลอยู่นาน ใจหนึ่งก็ไม่อยากรบกวนภูเพราะไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น แต่อีกใจก็รู้สึกว่าการรับน้ำใจจากคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างที่ภูว่า มันเหมือนการต่อสู้เล็กๆในใจที่ไม่รู้ว่าควรเลือกทางไหน สุดท้ายผมก็ตัดสินใจรบกวนภูให้เป็นธุระพาพี่สาวกับหลานไปส่งที่บ้าน ส่วนติณณภพควรอยู่เฝ้าร้านจริงๆอย่างที่เขาว่าเพราะงานกิจกรรมพรุ่งนี้ค่อนข้างสุ่มเสี่ยงพอสมควร ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคนของรัฐบาลยังจับตาดูนักเขียนที่มาเปิดตัวหนังสือที่ร้านของเราหรือไม่ เอาเป็นว่าติณควรอยู่ที่นี่ ใช้เวลาติดต่อประสานงานหรือคิดแผนสำรองหากเราโดนรวบคาร้านจริงๆจะได้มีทางออก

น้ำหนึ่งดูโอเคเมื่อรู้ว่าภูจะเป็นคนไปส่ง บ่ายวันนั้นภูจึงต้องรออยู่ที่ร้านซักพักเพื่อให้ผมแปลงานด่วนที่เพิ่งเข้ามาให้เสร็จ เขาเป็นผู้รอที่ดี เป็นลูกค้าผู้น่ารักที่ไม่ยืนอ่านฟรีในร้านแต่ซื้อหนังสือติดไม้ติดมือมาแกะอ่านข้างๆ เล่มที่เขาเลือกอ่านคือหนังสือที่ผมแปลไว้เมื่อสองปีก่อน ผมเหลือบมองและจู่ๆก็เริ่มคิดได้ว่าสิ่งที่น่ากังวลตอนนี้ไม่ใช่เรื่องบุญคุณอย่างที่ภูว่าหรอก

แต่เป็นพ่อกับแม่ที่รออยู่ที่บ้านต่างหาก

ถ้าจู่ๆได้เจอภู พ่อกับแม่จะว่ายังไงนะ ผมควรแนะนำเจ้าโกลเด้นตัวนี้กับพวกเขาว่าอะไรดี เป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เป็นรุ่นน้องที่คุ้นเคยกัน หรือควรระบุสถานะไหนเพื่อที่พ่อกับแม่จะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจเมื่อเห็นผมมีผู้ชายเข้ามาวนเวียนในชีวิต ตั้งแต่สมัยชวินทร์ พ่อกับแม่ไม่เคยรู้ว่าผมคบกับใครหรือใช้ชีวิตโลดโผนแบบไหน มีแค่น้ำหนึ่งเท่านั้นที่รู้ว่าครั้งหนึ่งน้องชายเคยตกหลุมรักหัวปักหัวปำ เคยไปเดทกับผู้ชาย เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งตามประสาคนมีความรัก ดังนั้นเมื่อคิดว่ากำลังจะพาภูเข้าบ้าน และเจ้าโกลเด้นตัวนี้ต้องหาทางทำคะแนนเอาชนะใจพ่อกับแม่แน่ๆ มันก็อดกังวลใจไม่ได้จนเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายนานไปหน่อย

“คุณสองมองหน้าผมทำไมครับ?”

ผมไม่ตอบนอกจากขมวดคิ้วและกัดปาก ปวดหัวกับเรื่องแบบนี้เป็นบ้า เอาเป็นว่าผมจะโกหกว่าภูเป็นคนขับแกร๊บก็แล้วกัน เดี๋ยวค่อยเตี๊ยมเขาให้สงบปากสงบคำเอาไว้ ห้ามทำแต้มกับพ่อแม่ผมเด็ดขาด ผมไม่อยากให้ทั้งสองคนผิดหวังมากไปกว่านี้อีกแล้ว



TBC

________________________

#แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีวันจันทร์แรกของปี 2020 ค่ะ

เหมือนไม่ได้เจอทุกคนนาน คิดถึงนะคะ ยังคงแอบอ่านกำลังใจน่ารักๆจากพวกคุณเสมอ
หวังว่าทุกคนจะมีช่วงเวลาที่ดีและมีความสุขนะคะ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนจากทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นต์ แฮชแท็ก โดเนท หรือข้อความบอกรักผ่านทางไดเร็กเมสเซจทวิตเตอร์ ขอบคุณจากใจเลยค่ะ ขอฝากคุณสองและเจ้าโกลเด้นภูไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ เพราะในอนาคต คุณสองต้องเจอเรื่องหนักกว่านี้เยอะเลยค่ะ แฮร่

**ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันจันทร์หรรษา**
เนื่องจากช่วงนี้เรามีงานประจำแล้ว และบางสัปดาห์ บริษัทก็เลิกงานหกโมงและมีวันหยุดแค่วันเดียวทำให้เวลาพักผ่อนของเราน้อยลงมากๆ เราสัญญาว่าจะพยายามรักษาวันจันทร์หรรษานี้เอาไว้ ถ้ามีสัปดาห์ไหนหายไปต้องขออภัยจริงๆนะคะ หมุนงานไม่ทันค่ะ เพราะงานเขียนที่รอต่อคิวมันเยอะมากๆเลย แต่จะพยายามลงไม่ให้ขาดตอนค่ะ ไม่ใช่แค่นักอ่านเท่านั้นที่อยากอ่าน นักเขียนอย่างเราก็รอฟี้ดแบคจากทุกคนเหมือนกันค่ะ กำลังใจอย่างเดียวในชีวิตของเรา ขอบคุณมากๆนะคะที่สนับสนุนกันมาเสมอจนถึงตอนนี้

ด้วยรัก

Ms.Ambiguous
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [5] 06/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-01-2020 21:25:24
เรื่องครอบครัวของสองน่าปวดหัวจริง แต่เพราะสองเป็นคนที่ปรี๊ดง่ายด้วยแหละ
ถ้าลองหายใจเข้าลึก ๆ แล้วนับหนึ่งถึงร้อยดู ทุกปัญหามีทางออกเสมอ
ค่อย ๆ แก้ไปทีละอย่างสองอย่าง
โลกยังไม่ถล่มในวันนี้พรุ่งนี้ ชีวิตยังเดินหน้าไปได้
วันนี้น้ำหนึ่งอาจเป็นปัญหา เป็นภาระ วันหน้าอาจเป็นที่พึ่งของครอบครัวก็ได้ ใครจะไปรู้
กับภูถึงจะยังไม่คิดอะไร แต่เวลานี้สองลำบาก ภูเสนอความช่วยเหลือ ก็คว้าไว้ก่อนเถอะ
ถ้าหยิ่งแล้วลำบากก็อย่าหยิ่งนักเลย
ป้าล่ะสงสารสองมากเลยนะ อะไรที่เป็นความสุขก็ทำ ๆ ไปเถอะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [5] 06/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-01-2020 02:34:34
ปวดกะบาลกับครอบครัวสองจริงๆ แค่อ่านยังเครียดเลย แล้วสองก็ไม่ใช่คนที่ใจเย็นด้วยสิ  :z3: เหนื่อยแทนสองเลย ในอนาคตต้องเจอหนักกว่านี้อีกหรออ ตายๆๆ

น้องภูยังน่าเอ็นดูววเหมือนเดิม
ส่วนเรานั้น...แอบรักติณอยู่นะจ๊ะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 40% 27/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 27-01-2020 19:57:44
6

ผมยังคงคิดว่าการให้ภูเป็นคนขับรถพาน้ำหนึ่งกับลูกไปส่งบ้านที่บางพลีไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่ แต่พอลองคิดสิ่งที่เขาพูดแล้ว ผมว่าบางครั้งการรับน้ำใจจากเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายเหมือนกัน

เราออกจากร้านกู้ดรี้ดดิ้งตอนประมาณบ่ายสี่โมง ผมหงุดหงิดนิดหน่อยที่น้ำหนึ่งอืดอาดยืดยาดจนต้องออกจากบ้านเวลานี้ กว่าจะถึงบางนาบ้านของเธอก็คงใกล้ห้าโมงเย็น ช่วงนั้นรถติดบรรลัย ผมไม่อยากจินตนาการเลยว่ากว่าเราจะคลานถึงบางพลีต้องใช้เวลากี่ชั่วโมง เผลอๆผมคงได้กลับมาพักผ่อนที่ร้านเที่ยงคืน ไหนจะภูที่ต้องกลับทองหล่ออีก แค่คิดก็เครียดแล้ว แต่เจ้าโกลเด้นภูกลับบอกว่าไม่เป็นไรอยู่นั่นแหละ เขาเต็มใจช่วยเราสองคนจริงๆ

“ช่วงโปรโมชั่นหรือเปล่าเนี่ย?” ผมแกล้งแซวภูไปแบบนั้น แต่เจ้าตัวกลับยิ้มมุมปากและขยิบตาเหมือนผู้ชายเจ้าชู้
“โปรหรือไม่โปรก็ต้องลองคบกันดูนะครับ”
“โอ๊ย เหม็น!”

น้ำหนึ่งที่นั่งเบาะหลังพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่จริงจังนัก ยายพี่สาวตัวดีทำสีหน้าเหม็นเบื่อกลิ่นอายความรักทั้งๆที่ระหว่างเรายังไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้น ผมกลอกตาและหันกลับไปมองถนนเหมือนเดิม อีกไม่กี่กิโลก็ถึงคอนโดของน้ำหนึ่งแล้ว ผมหวังว่าเธอจะรีบเคลียร์ของไวๆและรีบไปบางพลี ไม่งั้นเราต้องเสียเวลาบนถนนอีกสองสามชั่วโมงเป็นอย่างต่ำแน่ๆ

“ว่าแต่ทำไมรถภูถึงมีคาร์ซีทล่ะ?”
“อ๋อ --”
“อย่าบอกนะว่ามีลูกแล้ว? ถ้ามีลูกมีเมียแล้วยังคิดจะมาจีบสองพี่ไม่ยอมหรอกนะ”

น้ำหนึ่งพูดติดตลกเหมือนเย้าแหย่ ส่วนผมได้แต่เหลือบมองภูเพราะสงสัยมาพักใหญ่แล้วว่าทักษะการดูแลเด็กของเขามันไม่ธรรมดา อยู่ในชั้นต้องคลุกคลีกับเด็กพอสมควรถึงจะมีคาร์ซีทในรถ และเด็กคนนั้นคงรุ่นเดียวกับเปเปอร์เพราะคาร์ซีทไม่ได้ใหญ่เท่ารุ่นที่ผลิตเพื่อเด็กโต บรรยากาศในรถสะดุดลงครู่หนึ่งเมื่อเราคุยกันเรื่องนี้ ในที่สุดภูก็บอกว่าเป็นของหลาน เขามีหลานสาวอายุขวบกว่า เป็นลูกของน้องสาว

“น้องสาวทำงานอะไรล่ะ?”
“ไม่ได้ทำงานครับ กำลังต่อโทที่อังกฤษ”
“โห ดีจังเลยเนอะ ความฝันสองเหมือนกันนะเนี่ย ไอ้เรียนต่อโทที่เมืองนอกน่ะ ช่วงหนึ่งถึงขนาดเก็บเงินเป็นก้อนๆไม่ยอมกินไม่ยอมใช้ ไม่รู้ตอนนี้ยังอยากเรียนหรือเปล่าถึงไม่ยอมเจียดเงินซื้อผ้าปูที่นอน มีชุดเดียวก็ใช้วนอยู่นั่นแหละ”
“แล้วมันทำไม? ห้องก็ห้องสอง ถ้าสองไม่เดือดร้อนพี่จะยุ่งอะไรด้วย”

ผมปรามน้ำหนึ่งเพราะรู้สึกว่าเธอชักจะพูดมากเกินไปหน่อย ผมประหยัดเพื่อเรียนต่อที่ไหนกัน โดนสูบเลือดเนื้อเรื่อยๆอยู่อย่างนี้ไงถึงมีความคิดว่าผ้าปูที่นอนเป็นของฟุ่มเฟือย

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”

น้ำหนึ่งกอดอกและหันมองหน้าต่าง เราเงียบอยู่อย่างนั้นพักใหญ่จนกระทั่งถึงคอนโดของพี่สาวตัวดี เราสี่คนลงจากรถและตรงดิ่งขึ้นห้องทันทีเพื่อรีบทำเวลา ผมคิดว่าไอ้เหี้ยปั๊ปไม่อยู่ห้อง มันน่าจะออกไปทำงานเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปเราก็พบกับห้องรกๆและสามีของน้ำหนึ่งนั่งดูถ่ายทอดสดฟุตบอลสบายใจอยู่หน้าทีวี

“กลับมาแล้วเหรออีตัวดี?”

เป็นบรรยากาศที่โคตรแย่จนบรรยายไม่ได้ น้ำหนึ่งได้แค่มองสามีที่ทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่สนใจว่าเธอหอบหิ้วลูกกลับบ้านมาเก็บของย้ายไปอยู่ที่อื่น สามีภรรยาต่างเมินเฉยซึ่งกันและกันราวกับหมดรักต่อกันแล้ว น้ำหนึ่งไม่ตอบโต้นอกจากส่งเปเปอร์ให้ผมอุ้มเพื่อที่เธอจะได้เข้าไปเก็บของ แต่พออยู่ในอ้อมกอดของคุณน้า เจ้าหลานชายตัวดีก็ร้องไห้จนผมต้องส่งต่อให้ภูเพราะจะช่วยน้ำหนึ่งแพ็คกระเป๋าอีกแรง ไอ้เหี้ยปั๊บ – จากตอนแรกที่ไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือโมโหอะไร พอเห็นลูกชายอยู่ในการดูแลของคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว จู่ๆเลือดรักลูกมันขึ้นหน้าถึงขนาดเดินกระย่องกระแย่งมาแย่งเปเปอร์จากภูไปอุ้มเอง

“อย่ายุ่งกับลูกกู”
 
มันว่าภูด้วยคำหยาบคาย ผมมองพี่เขยแค่ปราดเดียวก็เมินหน้าหนี รู้สึกขยะแขยงผู้ชายใจหมาถึงขนาดทำร้ายตบตีเมียตัวเองเป็นกระสอบทราย ผมจึงดึงแขนภูให้เดินไปด้วยกันในห้องนอนของน้ำหนึ่งแทน เราง่วนอยู่กับการแพ็คกระเป๋าและเก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทีแรกไอ้เหี้ยปั๊ปที่นั่งกอดนั่งหอมเปเปอร์บนโซฟายังคงเงียบไม่พูดอะไร พอเริ่มได้ยินเสียงรื้อข้าวของถี่ขึ้น มันก็ตะโกนเสียงดังว่า

“มาก็มาแต่ตัว ไปก็ไปแต่ตัว อย่าเอาของๆกูไปเด็ดขาด”
“พูดอย่างกับกูอยากได้นักแหละ ของจากผู้ชายเหี้ยๆแบบมึงน่ะ เอาไปก็เสนียดบ้าน ของกาลกินี!”
“อีหนึ่ง!”

ไอ้เหี้ยปั๊ปลุกขึ้นปรี่เข้ามาหาเราพวกเราแต่ภูก็รีบเอาตัวมาแทรกไม่ให้มันเข้าใกล้ผมกับน้ำหนึ่งมากกว่านี้ พวกเขาจ้องหน้ากันแต่ยังไม่ลงไม้ลงมือ ภูดูนิ่งและเยือกเย็นว่าที่เคยเป็นมากจนดูเหมือนเป็นคนละคน จากนั้นไอ้เหี้ยปั๊ปก็ค่อยๆถอยกลับไปนั่งบนโซฟาเหมือนเดิม ไม่ได้ลงไม้ลงมือหรือทำอะไรเราทั้งนั้น

โอเค ผมยอมรับว่าวินาทีที่พี่เขยแสดงท่าทีคุกคาม ผมกลัวมากจนทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน แต่การตอบสนองอัตโนมัติของภูก็ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้างนิดหน่อย อย่างน้อยเราก็ไม่ได้มีกันสองคนพี่น้อง เรายังมีภูที่พอจะให้ความช่วยเหลือได้หากไอ้เหี้ยปั๊ปเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ

“เก็บให้ไวแล้วไสหัวไปเลยนะ”

ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้สามีที่เคยบอกว่ารักภรรยานักหนาเป็นได้ถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขามีปัญหาอะไร น้ำหนึ่งทำให้ปั๊ปไม่พอใจตรงไหนถึงไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา ระหว่างที่กำลังยัดๆเสื้อผ้าลงถุงพลาสติกใส่ของใบใหญ่ ผมก็ใช้ศอกกระทุ้งน้ำหนึ่งให้เงยหน้าขึ้นมาคุย

“ตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูกับมันให้จบๆเถอะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
“พี่ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะเอายังไง”
“อยู่เฉยๆตั้งกี่วันทำไมไม่คิดจะวางแผนชีวิตตัวเองฮะ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงโมโห “ไปตกลงกับมันก่อนเลย คุยกันให้เรียบร้อย สองไม่จ่ายแทนให้หรอกนะ สองเองก็ไม่มีเงินเหมือนกัน”

น้ำหนึ่งถอนหายใจเซ็งๆและฝากให้ผมกับภูช่วยเก็บของให้หน่อย ส่วนเธอมีธุระต้องออกไปสะสางกับผัวเก่าที่นั่งอุ้มลูกบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เมื่อพี่สาวไม่อยู่แล้ว ผมก็หลุดแสดงท่าทีเหนื่อยหนายออกมาให้ภูเห็น

“อย่าเครียดเลยครับ ทุกปัญหามีทางออกนะ”
“คุณก็พูดง่าย ลองเป็นผมดูซักวันไหมล่ะ แล้วจะรู้ว่าไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะมันห่าเหวแค่ไหน”
“ทำไมผมจะไม่เข้าใจ น้องสาวผมก็ท้องแล้วต้องเลิกกับแฟนเหมือนกัน”

ผมหันหน้าไปมองภูที่พับเสื้อผ้าเปเปอร์ลงกระเป๋าอย่างตั้งใจ ผิดกับน้าแท้ๆของเขาที่เจออะไรก็ซุกๆยัดๆให้พื้นที่เต็มไว้ก่อน

“น้องผมท้องตอนเทอมสุดท้ายของปีสี่ครับ” ภูเริ่มเล่า “ท้องกับลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นในมหา’ลัย”
“แล้วทำยังไงกันล่ะ?”
“ตอนแรกก็คิดว่าน้องคงเอาตัวรอดได้เพราะแฟนก็ใช่ว่าจะจน ผมคิดมาตลอดว่าคนมีเงินคงไม่มีปัญหาหรือต้องคิดอะไรมากหากมีเด็กเพิ่มขึ้นมาอีกคน แต่นั่นแหละครับ จิตสำนึกของคนเรามันไม่เท่ากัน สุดท้ายก็เลิกกันไป แถมเป็นการเลิกที่ไม่มีความรับผิดชอบด้วย ไอ้เด็กเหี้ยนั่นไม่จ่ายอะไรซักอย่างแม้กระทั่งค่าผ่าคลอด”
“น้องคุณก็เลยต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวใช่ไหม?”
“หึ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอะไรล่ะครับ” ภูแค่นยิ้มเหมือนเยาะเย้ยน้องสาวตัวเองอยู่นิดๆ “แม่เด็กก็อายุยังน้อย เห็นเพื่อนได้ใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นก็อยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง สุดท้ายสอบชิงทุนไปอังกฤษได้ก็ทิ้งลูกไว้ให้ที่บ้านเลี้ยงนี่แหละ”
“หลานคุณชื่ออะไรเหรอ?”

พอถามถึงตรงนี้ ภูก็ยิ้มหวานออกมาทันที เขาส่ายหางไปมาอย่างร่าเริงเมื่อผมให้ความสนใจครอบครัวของเขา

“พีชครับ” เขายิ้มกว้างกว่าเดิมขณะเปิดรูปหลานสาวในโทรศัพท์ให้ดู “ชื่อน้องพีช”
“น่ารักนะเนี่ย”
“ขอบคุณนะครับ จริงๆผมก็รู้ตัวแหละว่าเป็นคนน่ารัก แต่คุณสองชมแบบนี้ก็เขินอ่ะ”

เฮ้อ

ผมส่ายหน้าเอือมระอาแล้วกลับไปจัดของต่อ ในห้องนี้ยังเหลืออะไรอีกบ้างนะที่เป็นทรัพย์สมบัติของน้ำหนึ่ง นอกจากเสื้อผ้าและของใช้ของเปเปอร์ก็คงไม่มีอย่างอื่นเพิ่มเติม ดังนั้นผมกับภูจึงช่วยกันหอบหิ้วถุงพลาสติกใส่ของเหมือนในสำเพ็งใบใหญ่ลงไปเก็บที่รถก่อน ตอนเราเดินผ่านสองคนผัวเมีย ทั้งคู่นั่งคุยที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางเคร่งเครียดไม่ส่อเค้าว่าจะทะเลาะกันรุนแรง แต่เมื่อเรากลับมาอีกครั้ง เสียงด่าทอต่อว่าและเสียงร้องไห้จ้าของเปเปอร์ก็ฟ้องว่าในห้องเกิดอะไรขึ้น ไอ้เหี้ยปั๊ปมันต้องตีน้ำหนึ่งแน่ๆ แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่กังวลด้วยเพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นพี่เขยใช้มือจิกผมน้ำหนึ่งจนฟูยุ่งและเอาแต่แหกปากด่าเธอเหมือนหมูเหมือนหมา

“มึงปล่อยพี่กูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

ผมปรี่เข้าไปตามสัญชาติญาณ พยายามใช้เล็บจิกมือไอ้เหี้ยปั๊ปเพื่อให้มันปล่อยน้ำหนึ่งจนกลายเป็นความชุลมุนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผละตัวออกมาได้มันผลักอกผมอย่างแรงจนล้มก้นจ้ำเบ้า ผมได้ยินเสียงน้ำหนึ่งกรี๊ดและพยายามเข้าไปทุบตีผัวเฮงซวยโทษฐานทำร้ายน้องชาย มันคือความโกลาหลขนานหนักเหมือนหมากัดกัน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภูเข้ามาจัดการไม่ให้ไอ้เหี้ยปั๊ปทำร้ายเราได้ยังไง รู้ตัวอีกทีผมก็เห็นเจ้าโกลเด้นที่เคยสดใสร่าเริงเหมือนเด็กยืนประจันหน้ากับพี่เขยเฮงซวยแล้ว

“อย่าเสือกเรื่องผัวเมีย! หลบไป!” มันผลักไหล่ภูและเดินปรี่จะเข้ามาหาเรื่องเราอีกรอบ ทว่าภูก็ใช้ร่างกายของตัวเองต้านเอาไว้ “กูบอกให้หลบไป!”
“พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนเหรอว่าอย่าเป็นผู้ชายอย่าตบตีผู้หญิง?”
“มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอกว่าอีนั่นมันร้ายแค่ไหน!” ไอ้เหี้ยปั๊ปขึ้นเสียงพลางตีอกตัวเอง “รู้ไหมมึงทำกูเจ็บแสบแค่ไหนอีน้ำ มึงคิดว่าส่งเรื่องร้องเรียนผู้จัดการแล้วจะทำอะไรกูได้เหรอ?! คิดว่าพักงานแค่นี้จะทำให้กูกลัวหรือไง?!”
“ทำไมจะไม่ได้? กูจะจ้างทนายฟ้องหย่า กูจะทำให้มึงหมดตัวไม่เหลือเงินไปเสพสุขกับอีนั่นอีกเลยมึงคอยดูสิ!”
“น้ำหน้าอย่างมึงน่ะเหรอจะจ้างทนาย” ไอ้เหี้ยปั๊ปเดินปรี่เข้ามาเฉดหัวน้ำหนึ่งอย่างแรงจนหน้าหัน ผมรีบดึงตัวพี่สาวมาไว้ด้านหลังและผลักมัน “ตัวภาระแบบมึงที่ดีแต่สูบเลือดสูบเนื้อพ่อแม่และน้องชายอย่างมึงน่ะเหรอจะฟ้องหย่ากู ถุ้ย! มึงทำไม่ได้หรอก น้ำหน้าอย่างมึงน่ะ มากสุดก็ได้แค่หอบผ้ากลับบ้านไปชุบตัวหาเหยื่อใหม่เท่านั้นแหละ! คนเหี้ยอะไรโตขนาดนี้แล้วยังงอมืองอตีนขอเงินน้องชายอยู่ได้ หน้าไม่อาย!”
“เสือกอะไรกับครอบครัวกูล่ะ? พี่กูจะหาเงินได้หรือไม่ได้แล้วมันทำไม?!” ผมที่เหลืออดเหลือทนกับพี่เขยสันดานเสียพูดขึ้นมาบ้าง “มันเดือดร้อนมึงตรงไหนในเมื่อกูไม่เห็นมึงทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวเลยนอกจากจ่ายค่าเช่าห้อง! คาร์ซีทกูก็เป็นคนซื้อให้หลาน ค่านมค่าแพมเพิร์สบางเดือนเป็นเงินกูด้วยซ้ำ! ตอนลูกป่วยมึงก็ไม่มีความเห็นใจ ต้องให้พี่กูหอบหิ้วไปโรงพยาบาลกันสองคนแม่ลูก! พ่อแบบมึงน่ะทำอะไรบ้างนอกจากควงเมียน้อยในที่ทำงาน กูไม่เห็นมึงจะทำเหี้ยอะไรซักอย่างยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกเหรอไอ้เหี้ยปั๊ป!”

ปึ้ก!

ผมโดนซัดหน้าจังๆหนึ่งหมัด หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ผมก็ได้ยินเสียง ปึ้ก! เป็นหนที่สอง แต่คราวนี้ผมไม่ได้เจ็บตัวเพิ่มแล้ว เพราะคนที่เจ็บตัวคือไอ้เหี้ยปั๊ป ผมเพิ่งรู้ว่าเสียงปึ้ก!ที่ตามมาด้วยความรุนแรงครั้งใหญ่เกิดจากฝีมือของภู เขาปรี่เข้าไปทุบและกระทืบให้เหี้ยปั๊ปจนหมอบลงกับพื้น สีหน้าของเจ้าโกลเด้นไม่ตลกอีกแล้ว แววตาของเขาแข็งกร้าวและโมโหมากราวกับสามารถฆ่าไอ้เหี้ยปั๊ปให้ตายคาตีนได้ ภูลงแรงอยู่นานเกือบนาทีจนกระทั่งนิติของคอนโดเข้ามาห้าม พวกเขาถึงหลุดจากกัน ยามเข้าไปดูแลพี่เขยที่นอนฟุบอยู่บนพื้น ส่วนภูถูกผมกับนิติคอนโดรั้งตัวเอาไว้ไม่อย่างนั้นวันนี้ต้องมีคนได้เข้าไอซียูแน่ๆ

“กูจะแจ้งตำรวจ!” ไอ้เหี้ยปั๊ปที่เลือดกบปากตวาดกร้าว ลำพังจะยืนยังทำไม่ได้แต่เสือกปากเก่ง “มึงเจอกูแน่อีน้ำ! ต่อให้ทำอะไรมึงไม่ได้ แต่อย่าลืมนะว่ากูสามารถฟ้องศาลเอาไอ้เปอร์มาเลี้ยงได้ถ้าแม่อย่างมึงไม่มีปัญญาแม้กระทั่งจะหาเงิน!!!!”
“รอคุยกันในศาลเดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะได้สิทธิ์ดูแลเปเปอร์ แต่หลังจากถ้านี้มึงทำร้ายพี่น้ำกับสองอีก กูจะยันมึงให้ตายคาตีนเลยคอยดู”

ภูพูดทิ้งท้ายขณะใช้มือรีดเสื้อที่สวมอยู่สองสามที เขาไม่ปรี่เข้าไปยกตีนยันหน้าไอ้เหี้ยปั๊ปอีกซักเปรี้ยงเมื่อได้ยินคำด่าต่อท้ายตามมาอีกเป็นพรวน เราช่วยกันเก็บข้าวของลงไปข้างล่าง น้ำหนึ่งรีบเข้าไปอุ้มเปเปอร์ราวกับกลัวว่าลูกชายจะถูกพรากจากอก ส่วนผมกับภูเดินตามหลังพร้อมกับนิติคอนโดโดยปล่อยให้พี่ยามดูไอ้เหี้ยปั๊ปไม่ให้มันลุกขึ้นตามมาทำร้ายเราอีก

หลังจากผ่านเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายมาเมื่อครู่ เราสองคนพี่น้องกอดกันแน่นโดยไม่พูดอะไร ผมไม่ร้องไห้แม้จะเจ็บตัวและเจ็บใจที่ต้องเห็นพี่สาวตกอยู่ในสภาพนี้ เมื่อบานประตูลิฟต์เปิดออก นิติคอนโดก็บอกว่าหากต้องการหลักฐานเพิ่มเติมให้ติดต่อมาได้ตลอด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกบ้านร้องเรียนว่าไอ้เหี้ยปั๊ปทุบตีเมียปางตาย ครั้งหนึ่งน้ำหนึ่งก็เคยหอบลูกหนีหน้าลิฟต์ในสภาพเลือดกบปากมาแล้ว โชคดีที่กล้องวงจรปิดเก็บภาพเอาไว้ได้หลายหน หากมีเรื่องต้องฟ้องร้องจริงๆ ไอ้เหี้ยปั๊ปดิ้นไม่หลุดแน่

“เดี๋ยวสอง” จู่ๆน้ำหนึ่งก็หยุดเดินและหันหน้ามาหาเรากะทันหัน “สองกับภูเอาเปเปอร์ไปรอที่รถก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”
“จะไปไหน?” ผมถามเมื่อเห็นพี่สาวเดินกลับเข้าไปในล็อบบี้ด้านหลัง เมื่อรู้ว่าน้ำหนึ่งคิดอะไรผมก็รีบดึงแขนเอาไว้ไม่ให้ไป “อย่าขึ้นไปเลย พอได้แล้ว จบกันแค่นี้เถอะ!”
“พี่ลืมของ”
“ลืมอะไรก็ช่างเถอะ เดี๋ยวสองซื้อใหม่ให้ คาร์ซีทสองก็ซื้อใหม่ได้ ไม่ต้องไปทวงเอาจากไอ้เหี้ยปั๊ปอีก อย่าไปยุ่งกับมัน”
“ไม่ใช่! พี่ลืมผ้าปูที่นอน! ผ้าปูที่นอนที่จะให้สองไง!” คำตอบของน้ำหนึ่งทำเอาผมอึ้งจนพูดไม่ออก “แกจะทนใช้ผ้าปูที่นอนผืนเดียวตลอดไปไม่ได้ แกต้องมีสำรองไว้ใช้”
“เออน่า ช่างมันเถอะ เดี๋ยวสองซื้อเอง”
“แกจะแบ่งเงินจากไหนมาซื้อ? แค่ตอนนี้ก็กรอบจะแย่เพราะพี่กับเปอร์ไม่ใช่เหรอ? รอตรงนี้นี่แหละ พี่ไปแป๊ปเดียวไม่นานหรอก ยามก็อยู่ข้างบน”
“บอกว่าไม่ต้องกลับไปไง!”

ผมเผลอขึ้นเสียงดังใส่พี่สาว เรามองหน้ากันด้วยความรู้สึกเสียใจจนพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่น้ำหนึ่งจะร้องไห้ออกมา ตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วที่ถูกทุบตีเหมือนหมูเหมือนหมา ผมยังไม่เห็นน้ำตาของพี่สาวซักหยด แต่น้ำหนึ่งกลับร้องไห้แค่เพราะโดนผมตวาดเสียงดัง ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่เสียใจ ผมแค่รู้สึกว่าผ้าปูที่นอนหลักพันไม่สำคัญเท่าชีวิตของน้ำหนึ่งหรอก

“ก็แค่ผ้าปูที่นอน”
“มันไม่ใช่แค่ผ้าปูที่นอน แต่มันเป็นของที่พี่ตั้งใจจะให้แก สอง แกเข้าใจไหมว่าชีวิตพี่ให้อะไรแกไม่ได้หรอกนอกจากผ้าปูที่นอนที่ซื้อเก็บเอาไว้ --”
“ซื้อเก็บเอาไว้หรือจับฉลากได้มา?”
“จับฉลากได้” เธอตอบเสียงอ่อย “แต่มันก็เป็นของพี่หรือเปล่า?! ทำไม? ถึงจะฟรีแต่มันก็ยี่ห้อดีนะเว้ย!”
“เออ! พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ช่างมันเถอะ สองซื้อเองก็ได้”
“แกไม่ซื้อหรอก อย่าคิดว่าพี่สาวแกไม่รู้ทันนะ คนขี้เหนียวอย่างแกน่ะไม่มีวันจ่ายเงินเป็นพันซื้อผ้าปูนิ่มๆดีๆหรอก”
“เดี๋ยวซื้อเอง ไม่ต้องห่วง”
“แต่ยี่ห้อนี้มันไม่เหมือนยี่ห้อทั่วไป มันทอด้วยสามร้อยหกสิบเส้นผสมซิลค์นะเว้ย มันดีมากจริงๆนะ ผืนละตั้งสามสี่พัน พี่ยังไม่เคยแกะออกมาลองใช้เลย”
“จะทอกี่เส้นก็ช่างเถอะ ยังไงก็นอนหลับเหมือนกัน แล้วนี่ไปจับฉลากที่ไหนมาถึงได้ของแพงขนาดนี้ฮะ? ไปตีเนียนเข้าสมาคมคุณหญิงคุณนายอีกล่ะสิ? ทำไมคนพวกนั้นถึงดูไม่ออกนะว่าพี่น่ะไม่มีตังค์”

ผมบ่นพลางโอบไหล่น้ำหนึ่งให้เดินไปที่รถด้วยกัน ก่อนกลับเราไม่ลืมขอบคุณนิติบุคคลก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นรถ น้ำหนึ่งวางเปเปอร์ที่ยังคงร้องไห้ในคาร์ซีท ส่วนผมกับภูนั่งประจำที่ด้านหน้าโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก ผมรออยู่ครู่หนึ่งเพราะอยากรู้ว่าภูคิดยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาสมเพชเวทนาครอบครัวของผมไหมที่ต้องเจอเรื่องประหลาดที่คนอย่างภูไม่น่าจะเคยสัมผัส ทว่าภูกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย เขาไม่ออกความเห็น ไม่ว่าอะไร ไม่บอกว่าคิดยังไงจนกระทั่งขับรถถึงบ้านของพ่อกับแม่ที่บางพลี

TBC

__________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

ไม่เคยอยากมาแบบ % เลย แต่ขอซักครั้งนะคะ อยากเยียวยาตัวเองด้วยนิยายบ้าง ขอโทษที่หายไปนานและมาน้อย แต่จะพยายามมาต่อให้เร็วที่สุดค่ะ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนเหมือนอย่างเคย ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกันไปนะคะ ครั้งนี้ต้องขอโทษจริงๆค่ะ ;-;

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 40% 27/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-01-2020 20:28:22
คนที่อยู่กับเราแม้ในยามวิกฤตต้องกอดไว้ให้แน่น
หวังว่าน้ำหนึ่งจะเข็ดหลาบนะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 40% 27/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-01-2020 22:38:05
โอ้โห โคตรดี

คือมันดีมากจริง ๆ เขียนดีมาก

จากฟรีแลนซ์ ณ บางใหญ่ (ที่เข้าใจดีว่าค่ารถไฟฟ้ามันแพง ฮือ)
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 40% 27/01/2020
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 28-01-2020 15:12:11
เขียนดีมากเลย แถมรู้สึกอินเพราะเป็นประเด็นที่รีเลทกับชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะประเด็นสังคม ค่านิยม การเมือง ความรักความรู้สึก ความรับผิดชอบต่อครอบครัว โอยย ถูกใจมากๆ

ปล.อยู่แถวบางบัวทองเหมือนกัน เข้าใจอารมณ์เวลาเข้าเมืองที ค่ารถแพ๊งแพง - -

ติดตามน้า สู้ๆจ้า
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 100% 13/02/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 13-02-2020 22:09:53
6 PART 2/3

พ่อกับแม่รู้อยู่แล้วว่าเราจะมา แต่ผมไม่นึกว่าทั้งสองคนจะตื่นเต้นขนาดนี้

ตอนที่รถของภูค่อยๆชะลอตัวเมื่อเข้าใกล้เขตรั้วบ้าน ผมเห็นตาลุงคนหนึ่งซึ่งไม่สวมเสื้อยืนเกาะรั้วเหล็กราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง จังหวะที่แสงไฟสีขาวมีออร่าตามประสารถคนรวยค่อยๆอาบไล้ใบหน้า พ่อก็หรี่ตาลงและเพ่งมองมาด้วยความสงสัย เมื่อเห็นลูกชายหัวแข็งเดินลงจากรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู พ่อถึงกับทำตาโตด้วยท่าทางตื่นเต้น

“รถใครวะน่ะ!” พ่อยิ้มร่าเมื่อเห็นรถยี่ห้อในดวงใจจอดอยู่ตรงหน้า เราต่างรู้ว่าความฝันสูงสุดของพ่อคือการมีบีเอ็มดับเบิ้ลยูซักคัน แต่เพราะมันไกลเกินฝัน พ่อจึงมีแค่อัลติสสีบรอนซ์เงินเท่านั้น “โห – อย่าบอกนะว่ารถสอง?”
“ตลกแล้วพ่อ หน้าอย่างสองเหรอจะมีเงิน” ผมแค่นหัวเราะและช่วยตาลุงเปลือยท่อนบนเข็นรั้วเหล็กเพื่อเปิดทางให้ภูขับเข้าไปจอดด้านใน “แม่ล่ะ?”
“ทำกับข้าวอยู่ในครัวแน่ะ”
“ทำไว้เยอะหรือเปล่า?”
“ก็เยอะนะ” พ่อพูดพลางปิดประตูรั้ว “ว่าแต่ใครมาส่ง? ติณเหรอ? รถใหม่เหรอเนี่ย เถ้าแก่ติณเปลี่ยนรถแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่ติณหรอก”

ผมตอบอ้อมแอ้มก่อนจะถอนหายใจ ยังคิดไม่ออกว่าจะอธิบายยังไงว่าภูคือใคร จะบอกว่าเป็นรุ่นน้องที่คณะก็ไม่ใช่เพราะผมจบอักษร ส่วนเขาจบสัตวแพทย์ จะบอกว่าเป็นคนที่ตามตื๊อก็ไม่ได้เพราะบ้านเราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ดังนั้นผมจึงบอกปัดๆไปว่าเพื่อน ภูเป็นเพื่อนที่มีน้ำใจมาส่งน้ำหนึ่งกับเปเปอร์ที่บ้าน

“งั้นชวนเพื่อนกินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ แม่เตรียมกับข้าวไว้เยอะแยะ แกงส้มของโปรดสองก็มี”
“เพื่อนคนนี้ไม่กินเผ็ด” ผมบอก “ไม่เป็นไร เดี๋ยวสองทอดไข่เจียวให้เขาเอง”
“ยังเด็กอยู่หรือไงฮะถึงไม่กินเผ็ดน่ะ”

พ่อบ่นทีเล่นทีจริง ส่วนผมได้แต่คิดในใจว่า เออ มันเด็ก เจ้าโกลเด้นภูมันเด็กอย่างที่พ่อคิดจริงๆนั่นแหละ ทั้งๆที่อายุเราห่างกันแค่สี่ปีกว่า แต่ความคิดและทัศนคติของภูยังคงสดใสเหมือนเด็กจบใหม่ที่ไม่เคยทำงาน ทุกอย่างรอบตัวเป็นมิตรเหมือนฝูงสัตว์ของสโนว์ไวท์ แม้กระทั่งเวลาพูดคุยก็ยังยิ้มเหมือนเด็กไม่มีพิษมีภัยคิดร้ายกับใคร คงมีแค่เมื่อครู่นี้แหละที่ทำให้ภูดูเป็นผู้ชายที่โตกว่าอายุ ผมยังคงจำใบหน้าโมโหของเขาตอนกระทืบไอ้เหี้ยปั๊ปได้ดี และหวังว่าในอนาคตจะไม่เห็นสีหน้าแบบนี้ของภูอีกไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

“พ่อ --”

เสียงน้ำหนึ่งเรียกให้ตาลุงเปลือยท่อนบนหลุดจากบทสนทนาของผม ทันทีที่เห็นลูกสาวร้องไห้ พ่อก็โผเข้ากอดและปลอบน้ำหนึ่งเหมือนเธอยังเด็ก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นภาพนี้ แต่มันเป็นครั้งที่สิบหรือยี่สิบในความทรงจำ ภาพของน้ำหนึ่งร้องไห้โซซัดโซเซมาขอให้พ่อช่วย เมื่อก่อนก็มีแค่ตัวคนเดียว ส่วนวันนี้เพิ่มลูกชายเข้ามาอีกหนึ่ง ภาพในความทรงจำของผมจึงถูกบันทึกใหม่โดยมีเปเปอร์อยู่ในอ้อมกอดของพ่อด้วย

 “ช่างมันนะ น้ำไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ กลับบ้านมาอยู่กับพ่อกับแม่นี่แหละ ใครไม่รักเราก็ช่างมันเถอะนะ น้ำยังมีพ่อแม่ มีสอง มี --”

บลา บลา บลา

ผมไม่ได้เข้าร่วมอ้อมกอดประโลมจิตใจของพ่อลูกนอกจากเดินผ่านทั้งสองคนไปช่วยภูยกของ สีหน้าของภูยังคงราบเรียบอยู่แต่ไม่ได้บึ้งตึงเหมือนคนโมโหจัดเหมือนก่อนหน้า จังหวะที่เข้าไปช่วยเขายกกระเป๋า ภูก็เงยหน้าจ้องผมอยู่พักใหญ่จนต้องถามว่ามีอะไร

“คุณสองเจ็บไหมครับ?”
“นิดหน่อย ช่างมันเถอะ”

ผมตอบปัดๆขณะลากกระเป๋าใบใหญ่เข้าบ้าน ภูสะพายเป้และหิ้วฟูกนอนของเปเปอร์มาเต็มสองมือ แม่ที่ได้ยินเสียงเอะอะหน้าบ้านจึงรีบเดินออกจากครัว พอเห็นว่าบ้านของเราไม่ได้มีแค่เราสี่คนเหมือนอย่างเคย แม่ก็ชะงักไปพักหนึ่ง

“สวัสดีค้าบ” ภูยิ้มหวานและยกมือไหว้อย่างนอบน้อมจนแม่ถึงกับงง “คุณแม่ของคุณสองเหรอครับ? หน้าเด็กจังเลยอ่ะ ภูนึกว่าพี่สาวอีกคนซะอีก”

ตอแหล!!!!!
แม่กูหน้าเหี่ยวขนาดนี้ยังมองว่าเป็นพี่สาวยายน้ำเน่าได้ยังไง!

 “อุ๊ย” แม่โบกมือปัดๆด้วยท่าทีเขินอาย ส่วนผมได้แต่กลอกตาเดินหนี รำคาญจริงๆเลยไอ้พวกขี้ประจบ “หนูเป็นเพื่อนของน้ำหนึ่งเหรอจ๊ะ?”
“อ๋อเปล่าครับ ผมเป็น --”
“แม่ หวัดดี” ผมรีบพูดแทรก “มีอะไรกินบ้างอ่ะวันนี้?”
“เยอะแยะ มีแกงส้มของโปรดสองด้วยนะ”
“มีกับข้าวที่ไม่เผ็ดบ้างหรือเปล่า?”
“มีแค่ปลาทอด ทำไม? สองจะกินอะไร?”
“เปล่า เพื่อนสองคนนี้เขาไม่กินเผ็ด” ผมบุ้ยปากไปทางเจ้าโกลเด้นภูที่กระดิกหางอย่างร่าเริงเมื่อรู้ว่าผมจำได้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบทานอะไร “เอาไงอ่ะคุณ จะกินอะไร?”
“ผมกินได้ทุกอย่างครับ แกงส้มผมก็กินได้”

ผมแค่นหัวเราะพลางส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้าครัวเพื่อเจียวไข่ให้ภูพิเศษคนเดียว เจ้าโกลเด้นภูคงทำตัวไม่ถูกจึงเดินตามมาถึงด้านใน เขาอาสาช่วยตอกไข่และปรุงรสให้ ส่วนผมก็ยืนหน้ามันตั้งกระทะอยู่หน้าเตา พอน้ำมันร้อนได้ที่จึงเทไข่ที่ภูเจียวไว้ลงกระทะ กลิ่นหอมอบอวลทั่วบ้านเมื่อไข่ค่อยๆฟูฟ่องเป็นแผ่นใหญ่จนไม่เห็นน้ำมันด้านล่าง ผมยืนเท้าสะเอวเจียวไข่ด้วยท่าทางซังกะตาย ส่วนภูถือจานด้วยท่าทางระริกระรี้เหมือนหมารอกินข้าวไม่มีผิด

“ดีใจจังเลยอ่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“คุณสองจำได้ด้วยว่าผมไม่กินเผ็ด” เจ้าภูทำหน้าซาบซึ้งน้ำตาจะไหล ส่วนผมส่ายหน้าเซ็งๆเพราะไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก “แถมวันนี้ผมจะได้กินไข่เจียวฝีมือคุณสองด้วย”
“อย่าเว่อร์” ผมบอกพลางตักไข่ขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน “อยู่กินข้าวซักพักแล้วค่อยกลับนะ คุณไม่ต้องไปส่งถึงบางบัวทองหรอก ส่งที่รถไฟฟ้าก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ วิ่งทางด่วนกาญจนาแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว”
“อย่าทำให้ผมรู้สึกผิดมากไปกว่านี้เลย แค่คุณต้องเห็นสภาพแย่ๆของครอบครัวของผมก็น่าอายจะตายอยู่แล้ว นี่ยังจะให้ไปส่งถึงร้านอีก ไม่เอาหรอก ไม่ต้องดีกับผมขนาดนี้ก็ได้”

ผมพึมพำเหมือนพูดคนเดียวมากกว่าพูดกับภู และประโยคนั้นก็ถูกกลืนหายไปเมื่อไข่เจียวสีเหลืองอมน้ำมันถูกวางบนจาน ผมถามภูว่าปกติแล้วชอบกินไข่เจียวกับซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศทว่าเจ้าหมาโกลเด้นไม่ยอมตอบเสียทีจนต้องหมุนตัวกลับไปมอง แล้วผมก็เห็นภูยืนจ้องกลับมาด้วยสีหน้าจริงจังอีกครั้ง

“ไหนบอกว่าจะไม่คิดมากไง?”
“มันก็ต้องคิดอยู่แล้ว ผมคิดมากเพราะว่าผมแคร์คุณหรอกนะ ขับรถไปกลับก็ตั้งเป็นร้อยโล ผมอยากให้คุณพักผ่อนสบายๆ ไม่อยากให้คุณเหนื่อยเพราะปัญหาส่วนตัวของผมไง”
เจ้าโกลเด้นภูยิ้มเมื่อได้ยินผมหลุดปากพูดคำที่ไม่น่าพูดที่สุดออกไป “คุณสองแคร์ผมจริงเหรอครับ?”
“จริงสิ” ผมเริ่มเลิกลั่กพลางพยักเพยิดไปทางโต๊ะวางเครื่องปรุง “ตกลงยังไง? จะเอาซอสพริก ซอสมะเขือหรือน้ำจิ้มไก่?”
“ซอสพริกครับ”

ผมขานตอบว่าโอเคและเทซอสพริกใส่ถ้วยใบเล็กให้ภู เราเดินไปที่โต๊ะกินข้าวซึ่งมีแม่กับพ่อกำลังช่วยจัดวางอาหารอยู่บนโต๊ะ ส่วนน้ำหนึ่งนั่งให้นมเปเปอร์อยู่หน้าทีวี ดังนั้นเราจึงคุยเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอหลานชายกินนมจนอิ่ม แน่นอนว่าบทสนทนาคงเป็นเรื่องอื่นไม่ได้นอกจากเรื่องของภู

“เป็นเพื่อนสองเหรอ?”

แม่ถามยิ้มๆพลางส่งจานข้าวให้ภู เจ้าโกลเด้นรีบพยักหน้าและตอบว่า ใช่คับ ใช่คับ ภูเป็นเพื่อนของคุณสองเอง

“แล้วเจอกับน้ำหนึ่งได้ยังไง ไม่เห็นน้ำเล่าให้แม่ฟังเลย”
“เจอกันที่โรงพยาบาลครับ พี่น้ำพาเปเปอร์ไปหาหมอ ผมไปเยี่ยมลูกค้าก็เลยบังเอิญพบกันพอดี”

ฟังถึงตรงนี้แม่ก็ยิ้มและพยักหน้ารับ ส่วนพ่อดูเคร่งเครียดกว่าปกติราวกับไม่ค่อยชอบบทสนทนาตอนนี้เท่าไหร่ ผมเองก็ไม่อยากอธิบายมาก อยากให้พ่อกับแม่คิดว่าภูเป็นแค่เพื่อนธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษจนกระทั่งพ่อกระโดดเข้าร่วมบทสนทนาและเริ่มซักไซ้ถามภูเหมือนฝ่ายบุคคลซักประวัติผู้สัมภาษณ์งาน

อายุเท่าไหร่ จบจากมหาวิทยาลัยไหน ตอนนี้ทำอาชีพอะไรทำไมถึงมีบีเอ็มขับ พอรู้ว่าภูเป็นสัตวแพทย์และมีคลินิกส่วนตัวที่ทองหล่อก็ถามใหญ่เลยว่าคลินิกของใคร มรดกต่อจากพ่อแม่หรือเป็นเศรษฐีใหม่ที่มีเงินซื้อตึกแถวนั้น แล้วคลินิกที่ทำอยู่เนี่ยมีหมอกี่คน ผู้ช่วยกี่คน ลูกค้าเยอะไหม ขาดทุนไหม ใกล้เจ๊งหรือยัง พ่อถามคำถามไร้มารยาทจนต้องรีบเบรกไว้ ผมขมวดคิ้วมองหน้าพ่อด้วยความไม่พอใจ ต่อให้ภูจะดูเหมือนคนเฟรนด์ลี่ไม่คิดอะไรแต่พ่อก็ไม่ควรถามคำถามส่วนตัวแบบนั้น

“ยังไม่เข็ดอีกเหรอ? ที่ผ่านมาเราปล่อยปละละเลยไม่สนใจไง น้ำหนึ่งถึงเจอแต่ผู้ชายห่วยๆ”
“แล้วผัวพี่น้ำมันเกี่ยวอะไรกับภู?” ผมถามด้วยความไม่พอใจ 
“แหม ตอนไอ้ปั๊ปเข้าบ้านใหม่ๆก็แบบนี้แหละ ยิ้มหวานมาแต่ไกล สุดท้ายเป็นไงล่ะ ลูกมันก็ไม่เลี้ยงแถมยังซ้อมเมียอีก”
“นั่นไอ้เหี้ยปั๊ป นี่ภู มันเอามาเทียบกันไม่ได้”

ผมคงชักสีหน้าหงุดหงิดเกินไป ภูถึงรีบวางมือลงบนหน้าขาและส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร เขาพยายามส่งสายตาบอกให้ใจเย็นๆและอย่าถือโทษโกรธพ่อ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจอยู่ดี สถานการณ์บนโต๊ะอาหารเริ่มไม่ค่อยดีจนกระทั่งน้ำหนึ่งอุ้มเปเปอร์มาร่วมโต๊ะกับเรา ยายพี่สาวตัวดีอุ้มลูกพาดไหล่ไปพร้อมกับตบหลังเรอพลางมองหน้าเราสี่คนด้วยท่าทางงุนงงว่าทำไมดูกระอักกระอ่วนใจจนผิดสังเกต

“มีอะไรกัน?” น้ำหนึ่งถามพร้อมกับลากจานข้าวเข้ามาใกล้ตัว
“สองมันโกรธพ่อที่พ่อถามภูเยอะไปหน่อย” แม่ตอบ “น้ำ แม่พูดจริงๆนะ แม่ไม่เคยว่า ไม่เคยห้ามน้ำเลยเวลาน้ำจะรักใครชอบใคร แต่หลังจากนี้ก็ดูให้มันดีๆหน่อยแล้วกันว่าผู้ชายมันดีแต่เปลือกเหมือนไอ้ปั๊ปหรือเปล่า จะเลือกผัวก็ดูที่มันดีด้วย อย่าเห็นแก่หน้าตาให้มันมากนัก ผัวหล่อแต่เฮงซวยก็ไม่มีความสุขเท่าผัวรวยหรอก”
“แม่!” ผมปรามแม่ รู้สึกอับอายขายขี้หน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“หรือมันไม่จริง?”
“ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับภูเลย!”
“โอ๊ย! จะทะเลาะกันไปทำไมเนี่ย ภูไม่ได้สนใจน้ำหรอก นู่น – เขาสนใจลูกชายพ่อกับแม่ต่างหาก”

น้ำหนึ่งส่ายหน้าหน่ายๆและเริ่มตักอาหารใส่จาน ยายพี่สาวตัวดีกินแกงส้มชะอมทอดอย่างสบายอกสบายใจในขณะที่เราสี่คนนั่งมองหน้ากันในความเงียบ ผมแกล้งเหลือบมองทางภูเพราะอยากรู้ว่าเขาแสดงสีหน้ายังไงออกมา แล้วก็เห็นเพียงรอยยิ้มกว้างอวดฟันขาวกับใบหน้าไร้เดียงสา เขาดูตื่นเต้นเมื่อกำลังรอคำตอบว่าพ่อกับแม่จะคิดยังไง ส่วนผมได้แต่นั่งช็อคพูดไม่ออกเพราะความปากไวของยายน้ำเน่า

“พูดอะไรของน้ำ?” พ่อถามเสียงขรึม ไม่มีท่าทีตาลุงขี้โม้เหมือนก่อนหน้าเลยซักนิด “ที่บอกว่าสนใจลูกชายน่ะคืออะไร?”
“นั่นสิ สนใจลูกชายหมายความว่ายังไง?” แม่รีบผสมโรง
“น้ำหนึ่ง --” ผมพยายามเบรกยายปากมาก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันแล้ว
“ภูเขาเป็นแฟนคลับสองน่ะแม่” น้ำหนึ่งพูดทั้งๆที่ข้าวยังเต็มปาก “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแต่เห็นคอยตามป้วนเปี้ยนสองมาพักใหญ่แล้ว ใช่ไหมภู? ตามจีบสองอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”

ทุกสายตาหันกลับไปจับจ้องเจ้าโกลเด้นที่นั่งกระดิกหางรอซีนอยู่นาน ผมรีบหรี่ตา กดดันภูทางอ้อมเป็นนัยไม่ให้เขาพูดเรื่องที่มีแค่เราเท่านั้นที่รู้เพราะพ่อกับแม่ไม่เคยรับรู้ว่าตัวตนของผมเป็นยังไง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยเปิดอกคุยกัน พ่อกับแม่ก็ไม่รู้เรื่องของชวินทร์ ดังนั้นอย่าหวังเลยว่าทั้งสองคนจะพออกพอใจที่มีผู้ชายมาตามตื๊อลูกชาย เผลอๆพ่อคงรับไม่ได้จนต้องตะเพิดไล่ภูกลับบ้านทันทีแน่ๆ แต่ผิดคาดเมื่อภูบอกพ่อกับแม่ของผมว่า

“ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมกับคุณสองเราเป็นเพื่อนกันครับ”
“เพื่อนไม่จริงหรือเปล่า?”
“ยายน้ำเน่า” ผมเรียกพี่สาวเสียงแข็งเพื่อขอให้เธอหยุด อย่างน้อยน้ำหนึ่งควรรู้ว่าบ้านของเรายังไม่พร้อมทำใจยอมรับเรื่องนี้
“เพื่อนจริงเหรอ?”

พ่อถามจริงจัง เมื่อภูพยักหน้ายิ้มและบอกว่าจริงครับ แค่เพื่อนกันครับ เพื่อนที่บังเอิญคุยกันถูกคอ พ่อก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก แต่สีหน้าของพ่อกลับทำให้ผมเสียใจพอสมควรเมื่อรู้ว่าพ่อยังไม่ได้เตรียมใจเพื่อรับรู้เรื่องนี้

“สรุปว่าไม่ได้ตามจีบน้ำใช่ไหม?” แม่ถามเพื่อความชัวร์อีกครั้งจนภูต้องพยักหน้ายืนยันอีกหลายหน “เฮ้อ แล้วไป ก็สงสัยอยู่ว่าภูอายุยังน้อย จะรับแม่หม้ายลูกติดได้จริงๆเหรอ”

แล้วบทสนทนาก็เงียบ การแนะนำตัวครั้งแรกของภูกับพ่อแม่ของผมถือว่าจบลงตรงคำว่าเพื่อน ภูไม่แสดงออกว่าเขากำลังสนใจสิปปกรอย่างที่น้ำหนึ่งพยายามพูดเปิดทาง แต่เขาทำตัวตามปกติราวกับเราเป็นแค่เพื่อนจริงๆ เพื่อนที่หวังดีต่อกันถึงขนาดยอมสละเวลาขับรถมาส่งเราสามคนถึงบางพลี เขาทานข้าวและเอ่ยชมแม่ว่าทำอาหารอร่อย เขากินไข่เจียวกับซอสพริกจนเกลี้ยงจานและทำคะแนนด้วยการขอเติมข้าวอีก เขาฝืนกินแกงส้มชะอมทั้งๆที่ไม่ชอบ และเอาแต่ชวนพ่อคุยเกี่ยวกับเรื่องรถไม่หยุดไม่หย่อนจนบรรยากาศน่าอึดอัดหายไป เขาทำให้พ่อกับแม่เชื่อว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันจริงๆ ส่วนผมน่ะเหรอ?

ผม – ไม่รู้สึกว่าภูคือเพื่อนแม้แต่นิดเดียว

ภูไม่เหมือนชวินทร์ เขาไม่ได้เข้าหาผมด้วยสถานะเพื่อน ไม่ได้ตีซี้หรือชวนคุยในฐานะเพื่อนกันเหมือนความสัมพันธ์อื่นๆที่เริ่มต้นมาจากตรงนั้น แต่เขาเปิดเผยและตรงไปตรงมา เขายอมรับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือการจีบ คือการเอาชนะใจ คือการพยายามทำให้ผมรู้สึกดีกับเขา ดังนั้นตอนที่บอกทุกคนในครอบครัวว่าภูเป็นเพื่อน ลึกๆในใจของผมกลับมีคำคัดค้านเล็กๆที่บอกตัวเองว่าไม่ใช่ สถานะของเรามันไม่เคยเป็นเพื่อน ซึ่งอาจจะจบลงตรงที่คำว่าเพื่อนหากผมเห็นว่าเราไปต่อด้วยกันไม่ได้จริงๆ

หลังอาหารเย็นจบลง พ่อก็ปิดท้ายด้วยการขายของค้างสต็อกจากธุรกิจหมื่นล้านของตัวเองให้กับภู ผมได้แต่นั่งกุมขมับและอับอายเมื่อพ่อหยิบแผ่นพับรายการสินค้ามาขายภูที่นั่งกระดิกหางยิ้มรับไม่แสดงท่าทีอึดอัดเลย ผมอายจะแย่ อายที่พ่อกับแม่ชอบทำอะไรไม่รู้เวลา บางทีผมกับภูยังคงมีกำแพงต่อกันอยู่ ผมยังไม่สนิทใจถึงขนาดเปิดเปลือยความดิบของครอบครัวตัวเองให้ใครรู้ ดังนั้นตอนที่เจ้าโกลเด้นบอกพ่อว่าสนใจซื้อน้ำยาถูพื้นไปใช้ที่คลินิกสามขวด ผมก็รีบเบรกเขาไว้และบอกว่าอย่าทำแบบนี้แค่เพราะรักษามารยาท อย่ายอมเสียเงินให้คนอื่นแค่เพราะเกรงใจ คุณควรเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้นะ

“เปล่านะ ก็คลินิกผมต้องถูพื้นบ่อยจริงๆ” เจ้าภูอ้างด้วยสีหน้าซื่อๆ “ไหนๆพ่อก็มีของเหลือเยอะ เก็บไว้ไม่รู้จะขายใคร ยังไงให้ผมลองซื้อไปใช้ดีกว่า ถ้าใช้ดีผมจะได้กลับมาอุดหนุนพ่อเรื่อยๆไง”
“ไปซื้อในห้างก็ได้”
“นี่ๆ ไอ้สอง อย่ามาทำตัวขัดลาภคนจะรวย” พ่อจิ๊ปากและชักสีหน้าไม่พอใจ แต่พอหันไปคุยกับภู พ่อก็ยิ้มหวานและพูดจาไพเราะสมกับเป็นพ่อค้า “งั้นเดี๋ยวพ่อแถมยาสีฟันหนึ่งหลอดนะ ภูลองใช้ดูก่อน ถ้าชอบก็บอกพ่อ”
“ทำไม? พ่อจะยกสต็อกที่ค้างเก็บให้ภูหรือไง?”
“ขายสิ!” พ่อแว้ดเสียงดัง แล้วก็หันไปยิ้มอ่อนโยนให้ภูอีก สรุปแล้วลูกชายบ้านนี้คือใครกันแน่ ผมหรือภู ทำไมพ่อดูสองมาตรฐานจัง “งั้นเดี๋ยวพ่อเอาใส่ถุงให้นะ”

เจ้าภูพยักหน้ารับและเตรียมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจ่าย ผมรีบเบรกเขาไว้ด้วยการบอกว่าไม่ต้อง ภูไม่ต้องจ่ายเงินอะไรทั้งนั้นเพราะลำพังขับรถมาส่งถึงบ้านก็รู้สึกขอบคุณมากๆแล้ว แต่ภูกลับไม่ยอม

“คุณสองไม่เห็นหน้าพ่อเหรอครับ? เห็นไหมว่าพ่อดีใจมากเลยนะที่ขายของได้”

ภูพูดให้คิดตาม ขณะเหลือบมองพ่อกับแม่ที่ช่วยกันหาถุงพลาสติกดีๆสวยๆใส่น้ำยาถูพื้นให้ลูกค้าคนล่าสุด ผมก็เพิ่งสังเกตว่าพ่อตื่นเต้นแค่ไหนกับการขายน้ำยาถูพื้นได้สามขวดในราคาไม่ถึงห้าร้อยบาท

“เป็นความสุขของเขา อย่าขัดเขาเลยนะครับ”

ผมเงียบและยอมรับฟังภู ผมมองพ่อที่ร่าเริงผิดปกติด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก มันคือความสุขเล็กๆของพ่อจริงๆอย่างที่ภูว่า ผมเริ่มเข้าใจนิดหน่อยว่าสิ่งที่พ่อทำทั้งหมดไม่ใช่แค่การฝันเพ้อพกอยากรวยเป็นเศรษฐีหมื่นล้านในพริบตา พ่อก็แค่อยากมีเงินเล็กๆน้อยๆเป็นรายได้เสริมเงินเดือน หลังผ่านความล้มเหลวมามากมาย เมื่อสินค้าค้างสต็อกขายออกแม้จะเป็นเพียงน้ำยาถูพื้นแค่สามขวด แต่มันก็สร้างความสุขให้พ่อชนิดที่ผมเองยังสัมผัสได้

ผมทอดสายตามองพ่อทอนเงินให้ภู ฟังเขาพูดถึงสรรพคุณสินค้าของตัวเองอย่างละเอียดด้วยความจริงจังและตั้งใจอยู่นาน หลังจากเก็บเงินของภูเข้ากระเป๋า ผมจึงบอกพ่อว่าผงซักฟอกที่ร้านหมดแล้ว พ่อพอจะมีขายไหม ผมอยากลองใช้ของที่พ่อเป็นตัวแทนจำหน่ายบ้าง

“มีสิ” พ่อยิ้มกว้างกว่าเดิม “ของพ่อมันดีมากเลยนะสอง ซักแล้วไม่เหม็นอับถึงจะตากในที่ร่ม ฝนตกอากาศชื้นก็ไม่อับ สองเอาไปใช้ดูก่อนก็ได้ ถ้าชอบจริงๆค่อยมาเอาไป พ่อให้”
“โอ๊ย ของซื้อของขาย อย่าเล่นตัวเลยพ่อ จะได้มีเงินไว้ใช้”

ผมโบกมือปัดและพยายามตื๊อให้พ่อค้ายอมขายของเสียที แต่พ่อก็ยังยืนยันอยู่นั่นแหละว่าไม่ขาย ไม่ขาย กับสองพ่อจะขายได้ยังไง สองให้ครอบครัวมาตั้งเท่าไหร่ ผงซักฟอกถุงสองถุงพ่อให้ลูกได้อยู่แล้ว

“พ่อให้สองมากกว่าที่สองให้ทุกคนเสียอีก”

ผมพูดและยิ้ม เราพ่อลูกมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่พ่อจะเดินหายไปหลังบ้านและกลับมาพร้อมผงซักฟอกถุงใหญ่สองถุง

“งั้นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งก็แล้วกันนะ ถุงละหนึ่งร้อยห้าสิบบาท ขอเป็นเงินสด งดเชื่อเบื่อทวง ไม่รับบัตรแต่พร้อมเพย์ได้ ว่าไง? จะจ่ายยังไงดีล่ะ?”






ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยนะคะ

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 100% 13/02/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 13-02-2020 22:13:54
6 [100%] Part 2/3


ภูนั่งเล่นที่บ้านของผมจนถึงสี่ทุ่ม ก่อนกลับแม่ก็ไปสอยมะม่วงเขียวเสวยหน้าบ้านให้เขาอีกถุงใหญ่เพื่อตอบแทนน้ำใจที่อุตส่าห์ขับรถมาไกลถึงที่นี่ เจ้าโกลเด้นกระดิกหางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้รับมะม่วงเป็นของแถม

“ผมชอบมะม่วงมากครับ” ภูบอกแม่ของผมและยิ้มจนตาหยี “ชอบมากครับ”
“ถ้าชอบก็บอกนะ เดี๋ยวแม่ฝากสองไปให้”

แม่บอกขณะเปิดประตูรั้วเตรียมส่งเราสองคนกลับบางบัวทอง ก่อนขึ้นรถ พ่อด้อมๆมองๆบีเอ็มดับเบิ้ลยูของภูด้วยแววตาเป็นประกาย พอเจ้าโกลเด้นเห็นพ่อสนใจก็เอ่ยปากเชื้อเชิญให้เขาลองขับอยู่พักใหญ่ ผมรู้สึกว่าภูทำเกินไปแล้ว เขาใจดีกับคนอย่างพวกเราเกินไปทว่าพ่อกลับไม่คิดแบบนั้น พ่อรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้ด้วยการลองขึ้นไปนั่งจับพวงมาลัยและเอาแต่ลูบๆคลำๆอยู่นั่นแหละจนผมต้องไล่ลงจากรถ

“มันโก้จริงๆเว้ยเฮ้ย” พ่อยิ้มด้วยท่าทางชอบใจ ส่วนผมเหนื่อยหน่ายที่ครอบครัวของเรายังคงทำตัวประหลาดอยู่เรื่อย
“พ่อจะลองขับดูไหมครับ? ขับไปเซเว่นหน้าปากซอยแล้วกลับก็ได้นะครับ”
“พอ! ไม่ต้องเลย”

ผมห้ามทั้งสองคนก่อนที่จะพากันเตลิดไปไกลกว่านี้ เรายกมือไหว้ลาพ่อกับแม่และขับรถออกจากบางพลีตอนสี่ทุ่มกว่าๆ บนรถที่เหลือแค่เราสองคน ภูไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เลย เขาเปิดเพลงฟังด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ แถมยังขับรถด้วยมือเดียวและฮัมเพลงตลอดทาง

“ดึกขนาดนี้คุณจะถึงบ้านกี่โมงเนี่ย?” ผมชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเกินไป เจ้าโกลเด้นเลิกคิ้วและหันมามองหน้า
“ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณสองห่วงตัวเองเถอะ พรุ่งนี้ก็มีอีเว้นท์ที่ร้านไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ แต่พูดกันตามตรงนะ ผมแทบไม่มีประโยชน์เวลาจัดงานเลย” ผมเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้ให้ภูฟัง “ไอ้ติณมันก็เก่งจนคุมทุกอย่างได้แล้ว พักหลังผมไม่ต้องอยู่ร้านก็ไม่เป็นไร เหมือนบทบาทมันค่อยๆจางลงน่ะ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เพราะติณพูดถึงผมในแง่ดีตลอด”
“พี่ติณนี่เป็นเพื่อนที่ดีเนอะ”
“อืม ดีมาก” ผมพึมพำ “วันนี้ขอโทษนะที่ทำให้คุณตกใจ”
“เรื่องอะไรครับ?”
“เรื่องผัวพี่น้ำแล้วก็ครอบครัวของผม” ผมบอกเขา “คุณคงอึ้งน่าดูที่จู่ๆก็โดนขายตรง”
“ไม่หรอก ทำไมต้องตกใจล่ะในเมื่อพ่อกับแม่คุณสองน่ารักจะตาย”
“แหม อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้ว่าคุณพยายามทำแต้มอยู่” ผมหลุดหัวเราะ “แต่ขอบคุณมากนะที่ไม่บอกพ่อกับแม่ตรงๆ”
“เห็นแบบนี้ผมก็อ่านบรรยากาศออกนะครับ”
“เก่งมากเจ้าภู ขอให้วางตัวเก่งแบบนี้ตลอดไป”
“แล้วคุณสองเคยคิดจะบอกพ่อกับแม่บ้างไหมครับ?”

ผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่เพราะจริงๆแล้วไม่เคยคิดเลย

“ผมว่าไม่ต้องบอกก็ได้นะ เอาที่คุณสองสบายใจที่สุดดีกว่า” ภูแสดงความเห็น “อีกอย่างคุณก็ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตลอดเวลา เรื่องของเราเก็บเป็นความลับที่มีแค่เราก็ได้ครับ”
“กล้าพูดนะว่าเรื่องของเรา”
“หรือว่าไม่จริง?” เจ้าโกลเด้นจีบปากจีบคอ “นี่ถ้าไม่ชอบก็ไม่ทำให้ถึงขนาดนี้หรอกนะจะบอกให้”
“ผมต้องเขินไหม?”
“เขินสิ ก็ผมเพิ่งบอกชอบคุณสองอีกครั้งผ่านประโยคนั้นไง” ภูอมยิ้มจนแก้มยกขึ้นเป็นซาลาเปา “งั้นพรุ่งนี้คุณสองไม่ต้องอยู่ร้านก็ได้ใช่ไหม?”
“ใช่”
“งั้น – คืนนี้ --” ภูหันหน้ามาหาและยิ้มอย่างมีเลศนัย “ไปดูเน็ตฟลิกซ์ที่ห้องของผมไหมครับ?”

ทำไมผมต้องไปห้องของภู ในเมื่อผมเองก็แชร์เน็ตฟลิกซ์กับติณและเพื่อนเอกอิ๊งอีกสองคนอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงปฏิเสธเจ้าโกลเด้นทันทีเมื่ออีกฝ่ายหาเรื่องหลอกให้ผมไปนอนค้างเป็นเพื่อน ภูไม่งอแงถามว่าทำไม ทำไมไม่ไปอย่างที่คิดไว้ เขาขานตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆว่าไม่เป็นไร เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้

“คุณสองชอบหมาไหมครับ?”
“ผมเฉยๆกับสัตว์เลี้ยง ทำไม?”
“ที่บ้านผมมีหมาคอร์กี้ตัวนึงชื่อชานม”

ภูพูดถึงเจ้าคอร์กี้ของตัวเองอีกแล้ว ผมจึงตอบไปว่ารู้แล้ว รู้ว่าคุณมีคอร์กี้ แต่ไม่รู้ว่าคุณพูดถึงเจ้าชานมหมายักษ์ขึ้นมาทำไม

“ชานมบอกว่าอยากเจอคุณสองอีกอ่ะ”
“ตอแหล”
“เฮ้ย ชานมพูดจริงๆนะ” เจ้าภูยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณสองไม่รู้เหรอว่าหมาผมพูดได้”
“บ้า หมาที่ไหนจะพูดได้”
“แต่ชานมพูดได้จริงๆ”
“อย่ามาโกหก”
“จริง! จริง!” ภูเน้นน้ำเสียงมากกว่าเดิม “ผมท้าให้คุณมาพิสูจน์เลยว่าชานมพูดได้ และมันบ่นคิดถึงคุณสองมาหลายเดือนแล้ว”
“หมาที่ไหนจะพูดได้ ตลก!”
“จริง!”
“ไม่เชื่อ!”
“ไม่เชื่อก็ต้องมาพิสูจน์!” ไอ้หมาโกลเด้นมันท้าผม “ไหนๆพรุ่งนี้คุณสองก็ไม่มีธุระด่วน ทำไมไม่มานอนเล่นที่ห้องผมล่ะ?”
“ใครจะโง่ไปห้องคุณวะ!”
“ทำไม?” ภูเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ แหม ตอแหล เป็นสัตวแพทย์ที่ตอแหลเก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ
“แล้วคุณจะอยากให้ผมไปบ้านคุณทำไม?”
“ผมเหงา”
“เหงาอะไรอีก? วันๆก็อยู่คนเดียวไม่ใช่เรอะ?”
“ก็ได้ ผมพูดความจริงก็ได้ ผมไม่อยากให้คุณสองอยู่คนเดียวต่างหาก” ภูยอมเฉลยข้อสงสัยทั้งหมดเมื่อรถขับถึงทางออกตรงบางแค “ผมว่าวันนี้มันหนักเกินไป ผมกลัวคุณสองอยู่คนเดียวแล้วจะเครียด”
“ผมไม่เครียดหรอก ผมเข้มแข็งกว่าที่คุณคิด”
“ตอนนี้พูดได้ แต่อยู่คนเดียวเมื่อไหร่คุณสองคงคิดมากแน่ๆ” ผมหันมองภูครู่หนึ่ง คิดหนักเหมือนกันว่าควรตอบรับคำเชิญชวนของเขาดีไหมเพราะกลับร้านไปอยู่คนเดียวก็คงเฉาตายเหมือนที่ภูว่า “คืนเดียวเอง ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”
“ผมไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามา”
“ใส่ของผมก็ได้” ภูยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าผมกำลังเปลี่ยนใจ “ว่าไงครับ? ไปไหม? Sleep with me free breakfast”
“no sex”
“sure”
“deal”

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น แต่เมื่อภูรับปากว่าจะเป็นเพียงการค้างคืนตามประสาเพื่อนเท่านั้น ผมก็ตอบตกลงทันที



ภูแนะนำชานมว่าเป็นลูกชายคนเดียวของเขา ชานมคือสุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่ตัวใหญ่เท่าควายแต่ชอบคิดว่าตัวเองเป็นตัวเล็กตัวน้อยของพ่อ ทันทีที่ภูเปิดประตูบ้านเข้าไป ชานมจะวิ่งหมุนวนรอบตัวของเขา กระโดดไปมาอย่างเริงร่าเพื่อขอให้ภูอุ้ม และภูก็บ้าจี้อุ้มสุนัขที่ตัวใหญ่เท่าควายจริงๆ เขาทั้งกอดทั้งหอมชานมเหมือนตุ๊กตา ส่วนผมได้แต่จามฮัดชิ่วอยู่หลายหนเพราะขนที่ปลิวฟุ้งของชานมกระตุ้นภูมิแพ้จนกำเริบ

“คุณสองแพ้ขนหมาเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก แต่ขนมันฟุ้งจนเข้าจมูกน่ะ” ผมตอบและจามอีกครั้ง “ช่างเถอะ ปกติชานมไม่ได้นอนบนเตียงกับคุณใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ชานมนอนในคอก” ภูบอกพลางเปิดประตูห้องนอนของตัวเองซึ่งเผยให้เห็นคอกหมาขนาดใหญ่กั้นอยู่ตรงมุมห้อง “จริงๆผมก็อยากให้นมนอนบนเตียงนะ แต่นมขนร่วงอ่ะ บางทีทาครีมเสร็จใหม่ๆ ขนก็ติดเต็มหน้าเลย”

ผมนึกขอบคุณสวรรค์ที่เจ้าหมาตัวเขื่องนี่ไม่มีกรรมสิทธิ์บนเตียง ไม่อย่างนั้นผมคงนอนไม่เป็นสุขแน่ แค่จินตนาการว่าต้องหนุนหมอนที่มีแต่ขนหมาประปรายอยู่เต็มใบก็คันยุบยิบแล้ว เมื่อเดินเข้ามาในห้องพร้อมกันทั้งคนทั้งหมา ภูก็ถามผมว่าอยากทำอะไร

อยากทำอะไรงั้นเหรอ?

“ห้องคุณมีอะไรให้เล่นบ้างล่ะ?”

ผมถามกลับ แล้วเราก็ชวนคุยถึงงานอดิเรกมากมายที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่มีจุดสิ้นสุด ภูเปิดสมาร์ททีวีให้ดู เผยรายการโปรดในเน็ตฟลิกซ์ที่เซฟเก็บไว้แต่ยังไม่มีโอกาสดู ผมกดรีโมตไปเรื่อยเพื่อดูว่าในลิสต์ของเขามีหนังเรื่องโปรดของผมบ้างไหม แล้วก็เจอ Modern Family

มันคือซีรี่ส์อเมริกันที่ผมรัก เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ที่ดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ มันคือเรื่องราวของครอบครัวอเมริกันสามครอบครัว มีพริตเช็ตต์คนพ่อที่แต่งงานใหม่กับแม่หม้ายลูกติดหุ่นบั้นท้ายดินระเบิดชาวเม็กซิโก มีพริตเช็ตต์คนพี่ที่แต่งงานใหม่กับนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์ที่มองโลกในแง่ดีอย่างเหลือเชื่อและมีลูกกับเขาสามคน และพริตเช็ตต์คนเล็กซึ่งเป็นเกย์ เขาแต่งงานกับเกย์ซึ่งออกสาวไม่แพ้ตัวเองและอุปการะเด็กชาวเวียดนามหนึ่งคนชื่อลิลลี่

“ผมชอบเรื่องนี้มาก” ผมบอกภู “คุณดูด้วยเหรอ?”
“ดูสิครับ ผมไม่นึกว่าคุณสองจะชอบเรื่องนี้นะเนี่ย”

ภูยิ้มและทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียง เขาหยิบรีโมตเพื่อเลื่อนดูเรื่องอื่นซึ่งคล้ายกับรายการโปรดของผมหลายเรื่อง เราคุยกันเรื่องหนังอยู่พักใหญ่ก่อนจะกระโดดไปเรื่องหนักสือบนชั้นวาง ภูไม่ใช่นักอ่านตัวยง เขามีแค่หนังสือคำคมสั้นๆกับภาพประสอบสี่สีแบบที่ผมไม่ชอบ ถัดจากนั้นก็เป็นหนังสือที่ผมเคยแปลให้สำนักพิมพ์

“ช่วยผมทำมาหากินเหรอ?”

ผมแซวก่อนจะหยิบเล่มหนึ่งที่เคยแปลไว้ออกมาจากตู้ สภาพของหนังสือยังดูใหม่อยู่เลย เดาเอาว่าภูคงเพิ่งซื้อและน่าจะยังไม่เปิดอ่านจริงๆจังๆเหมือนหนังสือคำคมพวกนั้นที่มีรอยยับตรงขอบพับของหน้าปก เจ้าภูก้มหน้ายิ้ม ดูขวยเขินเมื่อถูกจับได้ เขาบอกว่าอยากสนับสนุนทุกอย่างที่ผมทำ ไม่ว่าสิปปกรจะทำอะไร ภูก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่คอยให้กำลังใจตลอดไป

“ให้มันจริงเถอะ” ผมว่าพลางแค่นหัวเราะก่อนที่สายตาจะเหลือบเห็นนินเทนโด้เก่าๆเครื่องหนึ่งวางอยู่บนชั้นวาง “คุณเล่นเกมด้วยเหรอ?”

บทสนทนาจากหนังสือจึงกระโดดไปที่เกม ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นกี่โมงแล้ว รู้แค่ว่าชานมเดินกลับไปนอนในคอกของตัวเองโดยไม่ต้องมีใครสั่ง ผมกับภูนั่งสุมหัวกันตรงปลายเตียง เราคุยกันเรื่องตลับเกมเก่าๆที่หาซื้อไม่ได้ คุยกันเรื่องโปเกม่อนภาคต่างๆที่เคยพยายามเล่นแทบตายเพื่อพิชิตด่านสุดท้ายก่อนจะมาจบที่ฮาร์เวสต์มูน เกมที่ผมรักมากที่สุด

เราสองคนมีความสนใจคล้ายกันในหลายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้คล้ายถึงขนาดเหมือนเป็นแฝดอีกคน แต่ยอมรับว่ารสนิยมของภูทำให้ผมสนุกเมื่อต้องคุยกับเขา ไม่ว่าจะหนังในเน็ตฟลิกซ์ จะเกม จะหนังสือหรืองานอดิเรกที่เจ้าตัวชอบ เราก็มีหัวข้อมาพูดต่อจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร เมื่อเหลือบมองนาฬิกาและเห็นว่าเที่ยงคืนแล้ว ผมจึงบอกให้ภูไปอาบน้ำเพราะพรุ่งนี้เขาต้องเปิดคลินิกแต่เช้า ไม่งั้นจะเพลียจนตื่นไม่ไหว

“แค่มีคุณสองนอนข้างๆผมก็ไม่อยากตื่นแล้ว”
“พอเถอะ ไปอาบน้ำเลย หยุดพูดอะไรเลี่ยนๆเสียที”

ผมตัดบทก่อนจะสไลด์ตัวลงไปนั่งบนพื้นหน้าทีวี ชานมหมายักษ์ที่เฝ้าจังหวะนี้อยู่นานแล้วก็วิ่งส่ายก้นมาหาและเอาคางเกยขาอย่างออดอ้อน ผมไม่เคยใกล้ชิดกับหมาคอร์กี้ขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้ว่ามันตัวใหญ่และหนักถึงขนาดภูยังอุ้มไม่ค่อยจะไหว ผมเองก็ไม่ใช่คนรักสัตว์เท่าไหร่จึงไม่สนใจสายตาใสซื่อของมัน เจ้าชานมเห็นแบบนั้นจึงพยายามใช้ปากดันแขนผมเพื่อขอให้ลูบตัวมันหน่อย

“เหมือนกันทั้งหมาทั้งเจ้าของ”

ผมบ่นแต่ก็ลูบตัวของมัน ขนชานมนุ่มมาก ภูคงดูแลมันอย่างดีขนถึงได้ฟูนุ่มเหมือนขนมปัง ผมกับชานมมีช่วงเวลาดีๆด้วยกันจนกระทั่งภูอาบน้ำเสร็จ เขาเปิดประตูออกมาในสภาพสวมเพียงแค่กางเกงขายาว ส่วนท่อนบนไม่มีอะไรปกปิดเลย ผมจึงถามเขาว่าที่บ้านไม่มีเสื้อใส่เหรอ

“ผมขี้ร้อนอ่ะ ผมไม่ใส่เสื้อนอนตั้งแต่ประถมแล้ว”

ภูบอกพลางเดินเข้ามาใกล้ ผมไม่อยากเป็นคนโรคจิตที่เอาแต่จ้องรูปร่างของเขาจนตาไม่กระพริบหรอกนะ แต่สงสัยจริงๆว่าไอ้เจ้าหมาโกลเด้นเอาเวลาไหนไปออกกำลังกาย เท่าที่จำได้เขาเป็นผู้ชายที่ชื่นชอบข้าวขาหมู ชอบกินของทอดและน้ำอัดลมยิ่งกว่าอะไร แล้วทำไมหุ่นเขาถึงลีนเหมือนคนสุขภาพดี โอเค มันอาจจะไม่มีกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ แต่นึกออกไหมว่ามันไม่มีส่วนเกินจนดูพลุ้ย มันดูสมส่วนไปหมด ทั้งหน้าอก และหัวไหล่ –

“คุณสองก็ไปอาบน้ำสิครับ เราจะได้นอนดูหนังกัน”

เสียงพูดของภูทำให้หลุดจากการวิจารณ์หุ่นของเขา เรามองหน้ากันไม่กี่วิก่อนที่ผมจะรับผ้าขนหนูผืนใหม่จากภูและเดินเข้าห้องน้ำงงๆ ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำให้ภูดูดีไม่ใช่เพราะกรรมพันธุ์จากพ่อและแม่ของเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะกระปุกสกินแคร์ที่วางเกลื่อนหน้าเคาน์เตอร์ต่างหาก อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้รู้ในวันนี้คือเจ้าโกลเด้นเป็นผู้ชายเจ้าสำอาง แม้แต่ครีมอาบน้ำเขายังเลือกแบบมีกลิ่นและให้ความชุ่มชื้นกับผิวซึ่งสวนทางกับนายสิปปกรเป็นบ้า ผมไม่แคร์หรอกว่าสบู่ก้อนนั้นหอมไหม ไม่สนด้วยว่ามันทำให้ผิวแห้งหรือเปล่า ขอแค่ราคาถูกและล้างเอาคราบไคลออกได้ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว ดังนั้นตอนที่ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ครีมอาบน้ำของภูยี่ห้อไหนดี ผมจึงเลือกเอาจากสีที่ชอบซึ่งก็คือสีฟ้าซึ่งกลิ่นไม่ได้ใกล้เคียงกับอะไรที่ทำให้นึกถึงสีฟ้าเลย

ผมใช้เวลาในห้องน้ำหรูนานกว่าปกติเพราะมันสบายเหมือนอยู่ในโรงแรม ฝักบัวของเขาไม่เหมือนที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง มันใหญ่ชนิดที่ไม่ต้องคอยดึงมารดตัวใกล้ๆ ความแรงของน้ำก็ไม่มากไปจนเจ็บผิว แถมเครื่องทำน้ำอุ่นก็อุณหภูมิคงที่ ไม่สวิงจนร้อนเกินไปหรือเย็นไม่ได้ดั่งใจ ห้องน้ำของภูทำให้ผมมีความสุขกับการอาบน้ำขึ้นมานิดหน่อย และเมื่อถึงขั้นตอนที่ต้องล้างหน้า อาการเจ็บบนแก้มซ้ายก็ทำให้หวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

มันคือความเจ็บปวดจากการถูกฟาด ไม่ใช่แผลสดที่สามารถใส่เบตาดีนหรือทายาฆ่าเชื้อได้ ดังนั้นผมจึงพยายามเบามือกับส่วนนั้นและอาบน้ำจนเสร็จ แต่เมื่อนุ่งผ้าขนหนูเรียบร้อยเตรียมจะออกจากห้องน้ำ จู่ๆผมก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้หยิบเสื้อผ้าเข้ามา

“ภู”
“ค้าบ” เจ้าโกลเด้นขานรับทันทีราวกับรออยู่ก่อนแล้ว “คุณสองลืมเอาเสื้อเข้าไป เดี๋ยวผมส่งให้นะ”

ไม่ต้องรอแง้มประตูให้เขาสอดมือเข้ามาลับๆล่อๆ แต่ผมเปิดออกเต็มที่โดยไม่อายรูปร่างไม่สมส่วนของตัวเอง ภูที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำถึงกับผงะไปเลยเพราะไม่คิดว่าผมจะเปิดประตูทันทีทันใด ผมรับเอาเสื้อผ้าจากเขามาถือและปิดประตูใส่ ก่อนจะเดินออกไปเจอเขาในสภาพที่แต่งตัวพร้อมนอน

“เราตัวเท่ากันเลยเนอะ” ผมเปิดบทสนทนาอีกครั้งพลางขยับคอเสื้อยืดและเดินไปตากผ้าเช็ดตัวบนราวไม้ ส่วนเจ้าโกลเด้นกำลังนั่งลูบก้นชานมอยู่หน้าทีวีในสภาพเปลือยท่อนบน “ทำไมยังไม่นอน?”
“รอคุณสองอยู่ครับ” ภูตอบก่อนจะก้มหน้าลงหอมแก้มชานมฟอดใหญ่
“ไหนบอกว่าชานมพูดได้ไง? ไม่เห็นมันจะพูดได้ซักคำ”
“คุณสองนี่ซื่อจัง หมาที่ไหนมันจะพูดได้ โดนหลอกแล้วนะเราน่ะ” เจ้าภูหัวเราะใหญ่ ผมจึงหยิบหมอนข้างที่วางบนเตียงมาฟาดหัวเขาเบาๆ “ไปชานม ไปนอนได้แล้ว”

ภูชี้นิ้วไปที่กรง เจ้าคอร์กี้ตัวเท่าควายทำเป็นอิดออดอยู่พักใหญ่ ไล่ยังไงก็ไม่ยอมเข้านอนง่ายๆจนภูต้องเริ่มทำเสียงแข็ง หลังส่งสายตาดุๆและพูดด้วยน้ำเสียงราบตึงอยู่ไม่กี่วินาที ชานมก็เดินคอตก ส่ายก้นปุยๆของตัวเองกลับเข้าไปในคอกแต่โดยดี ภูจึงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อลงกลอนเอาไว้ให้เรียบร้อย ไม่งั้นชานมอาจจะพังประตูคอกกั้นออกมากลางดึกได้

“นอนกันเถอะครับ คุณสองน่าจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

ภูพูดยิ้มๆก่อนจะเงียบไป ผมจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเขาว่ามีอะไร เจ้าโกลเด้นจึงค่อยๆยกมือขึ้นแตะแก้มขวาที่เริ่มมีรอยแดงช้ำของผมด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

“เจ็บไหมครับ?”
“เจ็บสิ”
“ผมขอโทษนะที่ปกป้องคุณสองไม่ได้”
“พระเอกละครมาก”

ผมหลุดหัวเราะออกมา ไม่โกรธภูเลยซักนิดที่ช่วยผมช้าไปหน่อยนึงถึงโดนฟาดเปรี้ยงใหญ่ เพราะหลังจากนั้นภูก็ปกป้องผมกับพี่สาวเอาไว้ได้ ถ้าไม่มีภู ป่านนี้เราสองคนพี่น้องรวมถึงเปเปอร์น่าจะแย่กว่านี้

“ผมโกรธมากเลยนะตอนเห็นคุณสองโดนต่อย”
“รู้แล้ว ไม่งั้นคุณจะเข้าไปกระทืบไอ้เหี้ยปั๊ปขนาดนั้นเลยเหรอ”

ผมตบต้นแขนนุ่มนิ่มของเขาก่อนจะถือวิสาสะขึ้นบนที่นอน เตียงขนาดใหญ่ที่ผู้ชายสองคนนอนข้างกันได้สบายๆมีหมอนวางเต็มไปหมด ภูช่วยจัดหมอนและสะบัดผ้าห่มให้ เราแชร์ผ้านวมร่วมกันก่อนที่ไฟในห้องจะหรี่ลงโดยที่ภูไม่ต้องเดินไปถึงสวิตช์ไฟ

“โคตรดี” ผมเอ่ยชมจากใจ “ผมชอบเทคโนโลยีอะไรแบบนี้มากเลยนะ เคยคิดจะซื้อหลอดไฟที่ควบคุมผ่านแอปมาใช้แต่ก็ไม่รู้จะซื้อยี่ห้ออะไร”
“ไว้วันหลังเราไปซื้อด้วยกันนะครับ ผมจะแนะนำยี่ห้อดีๆให้”

เจ้าภูพูดก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา เขาเปลี่ยนสีไฟในห้องผ่านแอปพลิเคชั่นจากสีขาวเป็นสีเหลืองนวล และลดความสว่างลงจนเป็นไฟสลัวเหมาะแก่การดูหนังผ่านจอทีวีห้าสิบห้านิ้ว

“ดูอะไรดีนะ”

ภูพึมพำเสียงเบาจนฟังดูเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าคุยกับผม เขาเลื่อนเปิดรายการโปรดในเน็ตฟลิกซ์ไปมาอยู่หลายหนเพื่อเลือกหนังที่เราทั้งคู่อยากดู ภูหันมาถามเพื่อขอความเห็นว่าคืนนี้เราจะดูอะไรกันนี้ แต่ผมไม่มีไอเดียเลย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างวุ่นก็เลยหมดความสนใจดูซีรี่ส์หรือหนังที่ต้องใช้เวลานาน ดังนั้นภูจึงบอกว่าดูการ์ตูนจิบลิกันเถอะ

ผมเคยได้ยินการ์ตูนจิบลิมานาน รู้จักแม้กระทั่งโทโทโร่เพื่อนรักซึ่งเป็นฟิกเกอร์ในตู้กระจกของภูแต่ไม่เคยดูจริงๆจังๆซักครั้ง ดังนั้นวันนี้ภูจึงเปิดโลกของผมด้วยดีวีดีจากค่ายจิบลิหนึ่งเรื่อง ผมถามเขาว่าเราจะดูเรื่องอะไร ใช่เรื่องยอดฮิตที่เคยเป็นกระแสอย่างโทโทโร่หรือไม่ ภูกลับส่ายหน้าและบอกว่าเขาอยากดูแม่มดน้อยกิกิอีกซักรอบ

“แม่มดน้อยกิกิ?”

ผมถามเพราะไม่เคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้มาก่อน เมื่อภูส่งกล่องดีวีดีที่มีหน้าปกเด็กหญิงผมสั้นคาดโบว์สีแดง สวมชุดสีดำกำลังขี่ไม้กวาดก็ได้แต่ส่งเสียงร้องอ๋อทั้งๆที่ไม่รู้จัก ภูบอกว่าปกติก่อนนอนเขาจะไม่ค่อยดูหนังที่ต้องคิดเยอะหรือมีฉากแอคชั่นเร้าใจ เขาชอบดูอะไรที่มันเรียบง่าย ไม่โหวกเหวกโวยวาย และแม่มดน้อยกิกิเป็นหนึ่งในการ์ตูนเรื่องโปรดตลอดกาลสำหรับภู

“ทำไมล่ะ?” ผมถามขณะที่เจ้าโกลเด้นกระโดดกลับขึ้นมานอนข้างๆ เขากดรีโมตเพื่อสั่งให้เล่นวีดีโออัตโนมัติ และเราก็เอนหลังนอนดูอนิเมะด้วยกัน
“เพราะบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนกิกิ” เขาตอบ “เราทุกคนล้วนเคยเป็นกิกิด้วยกันทั้งนั้น”
“คำคมใหม่เหรอ?”

เจ้าภูยิ้มแฉ่งด้วยท่าทีอายๆเมื่อถูกแซว เขาพยายามแก้เก้อด้วยการเชิญชวนดูภาพยนตร์การ์ตูนลายเส้นเด็กๆด้วยกันแทนที่จะถามถึงคำอธิบายของคำคม ผมหัวเราะหึในลำคอเมื่อภูทำตัวไม่ถูก และเมื่อหนังเริ่มเล่นไปได้ซักครู่ ผมก็เข้าใจถึงสิ่งที่ภูพยายามจะสื่อในทันที

กิกิเป็นแม่มดน้อยอายุเพียงสิบสามปี มีธรรมเนียมปฏิบัติมายาวนานว่าหากแม่มดอายุสิบสามปีเมื่อไหร่ จะต้องออกเดินทางไปยังเมืองอื่นเพื่อฝึกฝนตัวเองเป็นเวลาหนึ่งปี วันหนึ่งขณะที่นอนฟังวิทยุของพ่อกลางทุ่งหญ้า จู่ๆกิกิก็ตัดสินใจว่าจะออกเดินทางในคืนนี้ทันทีเมื่อได้ยินพยากรณ์อากาศบอกว่าท้องฟ้าจะแจ่มใส เธอวิ่งไปบอกพ่อกับแม่อย่างร่าเริงว่าเธอจะออกเดินทางแล้ว เธอกับแมวดำที่ชื่อจิจิพร้อมจะออกไปฝึกฝนเป็นแม่มดตามธรรมเนียมแล้ว

กิกิทำให้ผมนึกถึงช่วงแรกที่เรียนปริญญาตรีใหม่ๆ ตอนนั้นผมเหมือนเธอในทุกมิติ ผมตื่นเต้นและกระตือรือร้นเมื่อคิดว่าหลังจากนี้ต้องยืนให้ได้ด้วยสองขาของตัวเอง แต่พอเริ่มออกไปได้ซักพัก กิกิก็เรียนรู้ว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด และคนจากโลกภายนอกก็ไม่ได้ใจดีกับเธอเหมือนคนในครอบครัว เช่นเดียวกับผมที่มีประสบการณ์ด้วยตัวเองจากการทำงานออฟฟิศ ประสบการณ์นั้นทำให้ผมตัดสินใจหันหลังให้กับงานประจำและเลือกทำสิ่งที่สบายใจกว่า มันคือการ์ตูนที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเด็ก แม่มดน้อยกิกิแฝงนัยยะบางอย่างเอาไว้ผ่านการเล่าเรื่องจนผมเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในนั้น

ครั้งหนึ่ง เราทุกคนล้วนเคยเป็นแม่มดน้อยกิกิด้วยกันทั้งนั้น

คำกล่าวของภูดูเป็นจริงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ครั้งหนึ่งเราเคยสดใสและกระตือรือร้นกับการได้ออกไปเริ่มต้นใหม่ ครั้งหนึ่งเราเคยตั้งใจกับงานที่ได้รับมอบหมายมากๆแต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดให้เรียนรู้เช่นเดียวกันกับการส่งของครั้งแรกของกิกิ ผมรู้สึกเข้าถึงภาพยนตร์เรื่องนี้จนนึกขอบคุณภูที่แนะนำโลกใบใหม่ให้รู้จัก ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยสนใจการ์ตูนจิบลิเลย หนึ่งเพราะภาพมันไม่คม เส้นไม่สวยเว่อร์วังเหมือนเกมญี่ปุ่นที่เคยเห็น แต่สิ่งที่จับใจของผู้ชมคือเนื้อเรื่องและความหมายแฝงต่างหาก ผมไม่อาจสถาปนาตัวเองเป็นแฟนคลับจิบลิเช่นเดียวกับภูเพียงเพราะแค่ได้ดูแม่มดน้อยกิกิ แต่หากมีโอกาสได้ดูเรื่องอื่นๆของจิบลิ ผมเองก็จะไม่พลาดเช่นกัน

 ผมจำไม่ค่อยได้ว่าเนื้อเรื่องดำเนินถึงตอนไหน เพราะภาพยนตร์จิบลิค่อนข้างเนิบนาบและไม่มีฉากกระตุ้นอะไรให้ชวนตื่นเต้นจนต้องถ่างตาดูตลอดเวลา ดังนั้นจังหวะหนึ่งที่เคลิ้มๆจะหลับ จู่ๆผมก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ค่อยๆล่วงเกินเข้ามา




ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 100% 13/02/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 13-02-2020 22:16:27
6 [100%] 3/3


เป็นภูนั่นเอง เขากำลังขึ้นคร่อมผมจากข้างบนและก้มมองด้วยสายตาราวกับตัวเองเป็นพระเจ้าของโลกใบนี้ ผมถามเขาว่าจะทำอะไรแต่ภูไม่ตอบ เขาแค่มองอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นลูบหัวผมและเอ่ยปากชมว่าวันนี้ผมเก่งมาก ผมเข้มแข็งและกล้าหาญมากที่ปกป้องน้ำหนึ่งกับหลานเอาไว้ได้

“พูดอะไรน่ะ --”

ผมถามด้วยความงุนงง ในขณะเดียวกันก็เอียงหน้าอิงแอบกับฝ่ามืออุ่นๆของภูที่สัมผัสแก้มของผมอย่างทนุถนอม มันไม่เจ็บอีกแล้ว โหนกแก้มที่เคยปวดตุบเมื่อก่อนหน้ากลับไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ ภูลูบไล้ใบหน้าผมอย่างแผ่วเบาแค่ชั่วครู่ก่อนจะใช้นิ้วแตะริมฝีปากของผมและเริ่มพูดว่าผมดูดีแค่ไหนในเสื้อของเขา

“จริงเหรอ?”

ผมถามด้วยความดีใจปนขวยเขิน เพราะปกติแล้วไม่มีใครเคยชมสไตล์การแต่งตัวของสิปปกรมาก่อนเลย นอกจากคำพูดโกหกเพื่อให้กำลังใจจากติณ คงมีแค่ภูคนเดียวที่บอกว่าผมหล่อ ผมน่ารัก ผมเป็นผู้ชายที่เขาชอบ ภูยังบอกอีกว่าเขาชอบผมตอนใส่แว่น ชอบตาสองชั้นหลบในของผมมากๆ ชอบทุกอย่างที่เป็นสิปปกร ภูไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว หากแต่ปากก็พร่ำเพ้อความในใจที่มีถึงผม ส่วนมือก็พยายามสัมผัสส่วนใต้ร่มผ้าอยู่เรื่อยๆจนผมต้องเป็นฝ่ายถอดออกเอง

มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว ผมจำได้แค่ว่าวินาทีที่ภูเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ความต้องการมากมายที่ไม่เคยปลดปล่อยกับใครก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ผมสัมผัสภูไปทั่วด้วยความหลงใหล ผมเอ่ยปากชมหุ่นของเขา ผมบอกภูว่าชอบเขามานานแล้ว ชอบที่ภูเป็นสุภาพบุรุษและเอาเก่ง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรู้เรื่องส่วนตัวของเขาได้ยังไง แต่ตอนนั้นผมมั่นใจมากว่าภูต้องเอาเก่งแน่ๆเพราะสัมผัสที่ทั้งร้อนและนุ่มนวลในเวลาเดียวกันกำลังทำให้ผมละลายช้าๆ

จิตสำนึกและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่อยู่ในหัวของเราเลย ผมจูบภู จูบเขาอยู่นานจนกระทั่งเราตื่นตัวด้วยกันทั้งคู่ รู้ตัวอีกทีเราก็เปลือยเปล่าเสียแล้ว ผมถือวิสาสะมองสำรวจร่างกายของภูด้วยความหื่นกระหาย ไม่เคยรู้สึกต้องการมากขนาดนี้มาก่อนเลย ภูดูดีมากเมื่อไม่มีเสื้อผ้า ผมชอบผิวนุ่มนิ่มมีกลิ่นหอมของเขา ชอบหน้าอก ชอบแขนขา ชอบทุกอย่างที่เป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของภู ผมจำได้ว่าเราต่างพร่ำบอกกันและกันว่าชอบอีกฝ่ายตรงไหน ภูบอกว่าเขาชอบผมและชื่นชมผมมาก เขาอิจฉาที่ผมเป็นคนเก่งซึ่งดูแลทุกคนในครอบครัวได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เขาพูดชมพร้อมกับพรมจูบไปทั่วใบหน้า ในขณะเดียวกันผมก็ใช้ลิ้นเลียไปตามร่างกายเนียนนุ่มของเขา ผิวขาวเหมือนนม กลิ่นหอมเหมือนขนมเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ ผมบอกภูว่าผมรักเขา ผมอยากเอากับเขา ถ้าภูไม่ว่าอะไรเรามามีเซ็กส์กันเถอะ

“ผมโคตรรักสองเลย” ภูบอกโดยไม่เรียกผมว่าคุณอีกแล้ว “เรามาเป็นแฟนกันเถอะ แต่งงานกันเถอะนะ ผมจะอยู่กับสองไปจนแก่ จะรักแค่สองคนเดียว”

เป็นคำพูดที่โคตรบ้าซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับบริบทที่เรากำลังแสดงออก แต่ผมก็ตอบตกลงและเริ่มเล้าโลมภูเรื่อยๆจนเขาอ่อนระทวย ผมจำได้ว่าตัวเองเคยใช้ปากเก่งแค่ไหน และเมื่อออรัลให้เขา ภูก็ร้องเสียงหลงครวญครางจะเป็นจะตายและเอ่ยชมผมอีกครั้งว่าสองเก่ง สองเก่งมาก ไอ้วินมันโง่จริงๆที่ทิ้งสองไป มันโง่มากที่ไม่เลือกสอง

“ใช่” ผมแลบลิ้นเลียส่วนปลายของเขา ภูตัวสั่นเกร็งแต่ยังไม่เสร็จ “คุณรักผมจริงเหรอภู?”
“จริงสิ ภูรักสอง ภูรักสองมากๆเลย”

ผมรู้สึกถูกเติมเต็มโดยไม่ต้องสอดใส่ หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉากลับพองโตอย่างเป็นสุขเพียงแค่ได้ยินคำว่ารักจากใครซักคน ภูบอกรักผมอีกหลายครั้ง เขาถนอมผมอย่างดี สัมผัสด้วยความอ่อนโยนผิดกับที่ชวินทร์เคยทำ เขาเติมเต็มผมทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วยเซ็กส์กับคำว่ารัก น่าแปลกที่ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายผิดกับสมัยที่เคยมีอะไรกับชวินทร์ ผมสามารถขึ้นคร่อมและยัดเอาของภูเข้าไปทั้งแท่งได้ในรวดเดียว ความรู้สึกเสียวก็ไม่ได้น้อยหน้าเมื่อเทียบกับหลายปีก่อนด้วยซ้ำ ผมรู้สึกสนุกและมีความสุขมากจนต้องหลับตาพริ้ม แต่เมื่อเห็นสีหน้ายั่วๆของภู ผมก็ต้องปรือตามองอีกครั้งเพราะไม่อยากละสายตาจากใบหน้าแสนงดงามของเขา

“สองแน่นจัง ภูชอบก้นของสองมากเลย”

ภูพูดด้วยน้ำเสียงติดออกจะแหบเล็กน้อย ผมหัวใจพองโตราวกับโดนบอกรักซ้ำอีกครั้ง มันทั้งเขินและรู้สึกดีเมื่อมีเซ็กส์กับคนที่เรารักและเขาก็เห็นคุณค่าในตัวเราเหมือนๆกัน ผมถามภูซ้ำอีกครั้งว่าเขารักผมไหม รักผมจริงๆใช่ไหม ผมหล่อไหม ภูชอบผมไหม ชอบผมมากๆใช่ไหม แล้วตัวผมเป็นยังไง เอาเก่งไหม เอามันไหม เอาสนุกไหม เอากันแล้วคุณรักผมมากกว่าเดิมไหม คุณจะไม่หลอกฟันแล้วทิ้งผมไปเหมือนชวินทร์ใช่ไหม

“สองเก่งมาก ผมชอบสองที่สุด”
“แม้ว่าผมจะไม่หล่อ?”
“สองหล่อมาก ผมชอบสองมาก”

ผมยิ้มกว้างก่อนจะต้องหลับตาเพราะความเสียวที่วิ่งปราดมาจนถึงหน้าท้อง ความรู้สึกดีมากมายพุ่งทะลักออกจากตัวผมเหมือนเขื่อนแตก ภูเอาแต่พูดว่าชอบ ชอบ ชอบสองมากๆ สองเก่ง สองดีที่สุด ภูรักสองมาก ภูรักสองจริงๆ รักสองตลอดไป

“อย่าหลอกกันนะ” ผมพูดเสียงแผ่วราวกระซิบเมื่อภูเริ่มกระแทกเข้าออกรุนแรงเกินไป “นี่ – สาบานสิว่าคุณจะไม่ทิ้งผม”

ภูไม่ให้สัญญา เขาไม่รับปากตามที่ขอทั้งๆที่ผมเซ้าซี้ถามอย่างนั้นอยู่หลายหน จู่ๆคำว่ารักทั้งหมดก็ถูกกลืนหายไปเมื่อเซ็กส์ดำเนินไปได้ซักระยะ ภูมีความสุขกับร่างกายของผมมาก เขาตีก้นของผม กัดผม ดูดคอผมจนเจ็บ เขาเอาผมด้วยความพึงพอใจอย่างสุขสมโดยไม่พูดอะไรอีกราวกับรำคาญที่ผมถามซ้ำไปมา เมื่อเราสอดประสานกันจนถึงจุดหนึ่ง จู่ๆภูก็เริ่มตัวกระตุกและกอดรัดผมเอาไว้แน่น คราวนี้ผมถามเขาว่าภูรักสองไหม

“รักสิ รักสองมากเลย”

เขาตอบและปลดปล่อยทิ้งเอาไว้ในตัวของผม ในขณะที่ภูเสร็จไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองครั้ง ผมยังคงค้างเติ่งไม่ถึงฝั่งฝันเสียที ผมนอนกางขาให้ภูเอาอยู่อย่างนั้นนานมาก นานจนจำไม่ได้ว่าเราพลิกตัวกันกี่ครั้ง สอดใส่กันกี่ท่า ผมรู้แค่ว่าภูมีความสุขและเติมเต็มอะไรบางอย่างในใจของนายสิปปกรได้เยอะมาก ช่วงสุดท้ายที่เขายกขาของผมพาดบ่า และตะบี้ตะบันกระแทกเข้ามาไม่ยั้งจนผมเสียวแทบขาดใจ จู่ๆภูก็พูดขึ้นมาว่า

“สองมีดีแค่นี้แหละ”
“อะไรเหรอ?”
“เอาเฉยๆแก้ขัดคงพอได้ ถ้าให้คบเป็นแฟนก็ไม่ไหวหรอก ไม่เห็นมีอะไรน่ารักเลย ห่วยแตก”

แล้วเขาก็เสร็จอีกครั้งในตัวของผม ส่วนนายสิปปกรหัวใจวูบไหวเหมือนตกจากหน้าผาสูงหลายพันฟุต กลิ้งหล่นกระแทกกับโขดหินจนเนื้อตัวเหวอะหวะไปด้วยแผลก่อนจะตายคาที่เมื่อร่างกระแทกกับพื้นด้านล่าง ตายสนิทโดยมีสายตาเย็นชาของภูมองมาจากหน้าผาด้วยความสมเพช

และผมก็ตื่น




ผมตื่นนอนอีกครั้งในห้องของภู ทีวีและเครื่องเล่นดีวีดีถูกตั้งเวลาให้ปิดไปนานแล้ว ส่วนเจ้าโกลเด้นนอนอ้าปากน้ำลายยืดอยู่ข้างๆ ไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยหอบเหมือนคนเพิ่งเสร็จเรื่องอย่างว่าซักนิด ผมยังคงสวมชุดนอนของเขาอยู่ เนื้อตัวปกติดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บตรงนั้น แต่เจ็บที่หัวใจนิดหน่อยเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อครู่เพราะมันเหมือนจริงเกินไป ทั้งน้ำเสียงและการกระทำ ทั้งความรู้สึกที่วิ่งปราดในตอนนั้นและหลักฐานเป็นของเหลวตรงเป้ากางเกงที่ฟ้องว่าฝันถึงเรื่องลามกกำลังทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมอับอายที่ตัวเองคิดล่วงเกินกับภู แต่อีกด้านหนึ่งก็เศร้าที่แม้แต่ในความฝัน ภูเองไม่ได้รักผมเหมือนกัน

เป็นการตื่นนอนที่แย่และห่าเหวสำหรับอีกหนึ่งวัน ผมนั่งถอนหายใจเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ดิ่งหนักไปมากกว่านี้เมื่อหวนคิดถึงความฝัน ผมไม่ได้นั่งนึกว่าในนั้นเราเอากันด้วยท่าไหนบ้าง แต่ผมกำลังนึกว่าภูในความฝันพูดอะไรบ้าง ทั้งๆที่มันก็แค่ความฝัน ผมไม่ควรจริงจังทว่าความรู้สึกปวดร้าวจากคำพูดหยามเหยียดนั้นกัดกินจนขาดวิ่น ผมไม่สามารถอดทนรอคุยกับภูตอนเขาตื่นได้จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิม หยิบบ็อกเซอร์ของภูที่เปื้อนน้ำตัวเองใส่กระเป๋าเพื่อนำไปซักที่บ้าน ผมเดินผ่านคอกของชานมที่กำลังส่ายก้นไปมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นเพื่อนของเจ้านายเดินเฉียดเข้ามาใกล้ แต่ผมก็เมินเฉยสายตาวิงวอนของมัน ผมเมินเฉยต่อทุกอย่างและรีบพาตัวเองกลับร้านกู้ด รี้ดดิ้งโดยไม่เอ่ยคำอำลาใดๆกับภู


TBC

_________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [6] 100% 13/02/2020
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 15-02-2020 09:09:25
สองควรพบจิตแพทย์



ครอบครัวสองควรพบจิตแพทย์



ภูหนูควรถอยออกมาจากสองนะลูก



ถ้าหนูไม่คิดอะไรจิงจังกนุต้องถอยออกมา



สองเอ๋ยตั้งสติหน่อยเถอะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [7] 02/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-03-2020 21:23:56
7



7

ผมกลับถึงร้านก่อนหกโมงเช้า ตอนที่เปิดประตูเข้าไป ผมเจอติณนอนหลับลึกอยู่บนโซฟา ร้านกู้ด รี้ดดิ้งถูกปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่สำหรับงานเสวนาเปิดตัวหนังสือเรียบร้อย โต๊ะไม้โอ๊คตัวใหญ่ราคาเหยียบแสนถูกย้ายไปวางชิดกำแพง เหลือเพียงเก้าอี้ที่จัดวางเป็นแถวรอต้อนรับแขกและสื่อมวลชน แม้จะพยายามเดินให้เบาที่สุดเพราะไม่อยากปลุกเพื่อนแต่ติณก็ประสาทสัมผัสไวอย่างน่าเหลือเชื่อ มันลืมตาทันทีที่ผมไขกุญแจเข้าไป และลุกขึ้นนั่งเมื่อผมเดินเข้ามาในร้านเรียบร้อยแล้ว

คำแรกที่เพื่อนสนิทเอ่ยทักทายไม่ใช่ประโยคคำถามว่าหายหัวไปไหนมา ทำไมไม่อยู่เฝ้าร้านเมื่อคืน แต่ติณถามถึงรอยช้ำบนแก้มที่เริ่มสีเข้มขึ้นด้วยความตกใจปนสงสัย ปกติผมไม่ใช่พวกชอบต่อยตีกับใคร ออกจะขี้ขลาดในบางโอกาสด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเห็นรอยช้ำใหญ่ตรงโหนกแก้ม ติณจึงชี้นิ้วและถามทันที

“ไอ้เหี้ยปั๊ปต่อยกู”

ผมตอบโดยไม่จำเป็นต้องโกหก พอรู้ถึงที่มาของรอยช้ำ ติณณภพก็ซักไซ้เอาความว่าเรื่องมันเป็นมายังไง เกิดอะไรขึ้น ไปทำยังไงถึงโดนต่อยชนหน้าช้ำขนาดนี้ ผมจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ติณฟัง และแน่นอนว่าคำแนะนำจากมันก็คือไปแจ้งความลงบันทึกประจำวัน เตรียมหาทนายเพื่อฟ้องเอาผิดไอ้เหี้ยปั๊บ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร เพียงแค่ว่ามันติดขัดนิดหน่อย ผมไม่มั่นใจว่าค่าใช้จ่ายของการเอาผิดคนเหี้ยอยู่ที่กี่หมื่นบาท

“ไม่มีจะยืมกูก่อน ยืมได้ ไม่ต้องคิดมาก”

ติณพูดแบบนี้เสมอโดยไม่สนว่าผมลำบากใจขนาดไหน มันไม่ใช่การหยิบยืมกันครั้งแรก แต่มันเป็นครั้งที่สี่หรือห้าที่ผมขอยืมเงินก้อนจากติณเพื่อตามล้างตามเช็ดปัญหาให้คนในครอบครัว ถึงครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้แต่ผมไม่อยากเป็นจอมรีดไถเพื่อนจึงปฏิเสธน้ำใจของติณโดยบอกว่าจะลองจัดการด้วยตัวเองก่อน หากไม่ไหวจริงๆ ผมจะบอกติณคนแรกแน่นอน เราจบเรื่องทนายฟ้องหย่าไว้แค่นั้นก่อนจะตามด้วยหัวข้อเมื่อคืนไปไหนมา ผมโกหกมันว่านอนค้างบ้านพ่อ

“ภูไม่ได้มาส่งเหรอ?”
“ไม่ ภูกลับก่อน”
“แล้วนี่มึงมายังไง?”
“แท็กซี่” ผมตอบได้เต็มปากเพราะเมื่อเช้าผมมาแท็กซี่จริงๆ “กูไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ เดี๋ยวลงมาช่วย”

ติณพยักหน้าและเดินกลับไปนอนต่อ ส่วนผมรีบขึ้นบันไดกลับห้องตัวเองโดยมีกางเกงบ็อกเซอร์ของภูอยู่ในกระเป๋า พอได้อยู่ในโลกส่วนตัวอีกครั้ง ผมก็ปลดปล่อยความหนักอึ้งทั้งหลายด้วยการระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนนี้ปัญหามันไม่ได้มีแค่เรื่องทนายฟ้องหย่าหรือเอาผิดไอ้เหี้ยปั๊ปข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่มันมีเรื่องของภู เรื่องของสัตวแพทย์ผู้มีรอยยิ้มสดใสเหมือนพระอาทิตย์คนนั้น เรื่องของภูติดในหัวจนหยุดคิดไม่ได้

มีคนบอกว่าความฝันคือจิตใต้สำนึกที่อยู่ในตัวของเรา งั้นฝันเมื่อคืนคือส่วนความคิดหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของผมหรือเปล่านะ?

ผมไม่ได้มีเซ็กส์กับใครมานานหลายปีแล้ว มีบ้างบางครั้งที่คิดถึงเรื่องเก่าๆของตัวเองกับชวินทร์ มีบ้างบางครั้งที่ผมปล่อยให้ตัวเองสนุกกับจินตนาการหมกมุ่นที่ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้ แต่ความฝันเมื่อเช้ามันน่ากลัวเกินไป เพราะในความฝัน ผมเปิดเปลือยความเป็นตัวเองออกมาผ่านทางบทสนทนา ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่านอกจากเซ็กส์แล้ว สิ่งที่คนอย่างสิปปกรต้องการคือการยอมรับ คือความรัก คือสิ่งที่ผมไม่อยากยอมรับว่าโหยหาแต่ลึกๆในใจต้องการสิ่งเหล่านั้นจากใครซักคน

ผมไม่ใช่คนหล่อ ไม่ใช่พิมพ์นิยมของเกย์ในประเทศนี้ ผมจึงไม่เคยเป็นที่สนใจ ไม่เคยมีใครเข้าหาเพราะปราการแรกของความสัมพันธ์ไม่ชวนดึงดูดเอาเสียเลย ผมเป็นเพียงผู้ชายผอมแห้งจืดชืดธรรมดา หน้าตาก็งั้นๆ ฐานะทางบ้านก็ค่อนข้างขัดสนจนไม่อาจเรียกตัวเองว่าชนชั้นกลาง ผมเชื่อมาตลอดว่าตัวเองไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ยังคงแอบหวังว่าวันหนึ่งจะมีความรักดีๆเข้ามาเช่นเดียวกับที่ฝันเมื่อคืน ผมเอาแต่ถามย้ำซ้ำๆอยู่นั่นว่าภูรักผมไหม แม้ว่าเราจะร่วมรักกันสุดเหวี่ยงแค่ไหน ผมก็ยังคงถามคำถามเดิมว่าเขารักผมจริงๆใช่ไหม เขาจะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม

มันเกือบดีแล้ว จริงๆนะ – ความฝันเมื่อคืนเกือบจะจบอย่างสมบูรณ์แบบจนกระทั่งได้ยินประโยคสุดท้ายที่ภูพูดไว้ก่อนผมตื่น มันคือฝันร้าย คือสิ่งที่ผมกลัว คือความกังวลจนทำให้ไม่อาจฝืนตัวเองรอพูดคุยกับภูตอนตื่นนอนได้ ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดเวลาที่อาบน้ำ แม้แต่ตอนแต่งตัวหน้ากระจก ผมยังคงกลัวความฝันที่เกิดขึ้นราวกับหยิบเอาปมด้อยในใจมาล้อเล่น ผมหมกมุ่นกับความฝันนี้มากเกินไปจนกระทั่งได้ยินเสียงโทรศัพท์ เป็นภูนั่นเอง เขาคงตกใจที่จู่ๆก็ตื่นมาไม่เจอนายสิปปกร ผมมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง มองมันสั่นและนิ่งไปอยู่สองสามครั้งก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่านข้อความ

[คุณตำรวจคับ มีโจรขโมยบ็อกเซอร์ผม!!!]

เขาพิมพ์ติดตลกและแซวว่าสิปปกรเป็นซินเดอเรลลาที่ต้องรีบกลับบ้านก่อนเที่ยงคืน เมื่อผมเมินเฉยอ่านแต่ไม่ตอบ ภูก็เริ่มเคร่งเครียดเพราะไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร นั่นสิ – ผมเป็นอะไร แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ ผมรู้แค่ว่าจู่ๆก็ขลาดกลัวว่าวันหนึ่งจะเผลอมีความรู้สึกดีๆให้ภู และกลัวว่าปลายทางของมันอาจจะลงเอยเหมือนความรักของคนรอบตัวที่เป็นตัวอย่างให้เห็น

“ติณโทรตามให้กลับมาช่วยร้าน”

ผมตัดสินใจโกหกภูเพราะไม่อยากทำร้ายน้ำใจเจ้าโกลเด้น

“ผมเห็นคุณนอนอยู่ แถมคุณต้องตื่นเช้ามาเฝ้าคลินิกด้วย”
[ไม่เห็นเป็นไร ผมขับรถไปส่งก็ได้]
“ผมอยากให้คุณนอน คุณเหนื่อยมามากแล้ว”
[เหนื่อยอะไร ผมเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง]

ภูส่งสติ๊กเกอร์เจ้าหมาคอร์กี้หน้าบูดมาให้ ผมอมยิ้มเมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาของเรามันเป็นไปโดยธรรมชาติ ผมไม่จำเป็นต้องประดิดประดอยคิดคำดีๆมาตอบภู แต่หลายๆครั้งก็ต้องโกหกเพื่อรักษาน้ำใจไม่ให้เขาเจ็บเกินไป ผมคุยกับภูอีกพักใหญ่ก่อนจะโกหกเขาว่าต้องไปแล้ว ถึงเวลาต้องลงไปเปิดร้านแล้ว ภูดูหงอยเหงาเมื่อผมต้องไปจริงๆ เขาขอโทรหาผมหนึ่งนาทีเพื่อฟังเสียง แต่ผมปฏิเสธ

“ติณเร่งแล้ว” ผมโกหกทั้งๆที่รู้สึกแย่ “ไว้คุยกันคืนนี้ได้ไหม?”
[สัญญานะว่าจะโทรมา]
“จ้า”

ผมหลุดหัวเราะเมื่อเห็นสติ๊กเกอร์คอร์กี้ตาแป๋วแสดงสีหน้าคาดหวัง ไม่รู้หรอกว่าคืนนี้จะกล้าโทรหาเขาไหม ได้แต่หวังว่าหลังจบวันนี้ไป เรื่องทุกอย่างที่แบกไว้บนบ่าจะมีทางออกให้พอหายใจได้คล่องคอบ้าง

หลังคุยกับภูเสร็จผมก็ลงไปด้านล่างของร้าน ติณตื่นนอนแล้ว มันอาบน้ำแต่งตัวเสียหล่อพร้อมต้อนรับแขกและผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่กำลังจะเดินทางมาถึงในไม่ช้า เราไม่ได้คุยอะไรมากนักนอกจากแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมแค่ดูแลความเรียบร้อยและเช็กสต็อกหนังสือที่เข้ามาส่ง เมื่อคนเริ่มแน่นขนัดขึ้น ผมก็หอบตัวเองไปนั่งทำงานในห้องครัวด้านหลัง ตอบอีเมลลูกค้าที่สอบถามเกี่ยวกับหนังสือบ้าง ติดต่อสำนักพิมพ์เกี่ยวกับหนังสือที่จะวางขายเดือนถัดไปบ้าง การมีงานทำช่วยให้ผมคิดถึงภูน้อยลงก็จริง แต่พอทำงานได้ซักพัก ร่างกายก็เรียกร้องให้ออกไปอัดนิโคตินเข้าปอดบ้าง ไม่งั้นคงได้เป็นประสาทแดกตาย

ด้านหน้าของร้านยังคงถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเสวนา ส่วนด้านหลังเป็นลานกว้างที่มีแค่สิปปกรยืนสูบบุหรี่คนเดียว ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะสูบมวนเดียวและกลับเข้าไปทำงานต่อ แต่หนึ่งมวนไม่เคยพอสำหรับช่วงเวลาแบบนี้ ผมยืนสูบบุหรี่อยู่นานเกือบสิบนาที อัดเข้าปอดสลับกับพ่นควันขึ้นฟ้าอย่างเหม่อลอยเพราะครุ่นคิดว่าจะทำยังไงต่อไป ระหว่างที่กำลังใช้ปลายเท้าเตะเศษกรวดบนพื้น ชายแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้น เขาแต่งตัวภูมิฐานแตกต่างจากลูกค้าในร้านหนังสือ ผมจึงเหลือบมองเขาเป็นเชิงถามว่าต้องการอะไร

“ตรงนี้สูบบุหรี่ได้ใช่ไหมครับ?”

ผมไม่ตอบนอกจากชูบุหรี่ที่คีบอยู่ให้เขาดู ชายแปลกหน้ายิ้มและเอ่ยปากขอไฟแช็ก แน่นอนว่าในวงของผู้ชายสูบบุหรี่ เราสามารถแชร์ให้กันได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ดังนั้นพื้นที่หลังร้านที่เคยมีแค่สิปปกรก็มีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

ตอนแรกเราต่างคนต่างสูบโดยไม่พูดอะไร หลังจากนั้นเขาจึงชวนผมคุยเกี่ยวกับบุหรี่ที่สูบอยู่ ผมสูบยี่ห้อไหน ของนำเข้าไหม กลิ่นเป็นยังไง เย็นปอดหรือเปล่า ผมตอบคำถามเขาไปเรื่อยโดยไม่คิดอะไร เราจึงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความชื่นชอบของนิโคตินยี่ห้อโปรดกันนานหลายนาที เมื่อบทสนทนาดำเนินถึงจุดหนึ่งผมจึงเอ่ยปากถามว่าเขาชื่ออะไร และมาทำอะไรที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง

“ชื่อบูมครับ เป็นทนาย”

ผมร้องอ๋อก่อนจะรู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือทนาย บูมเป็นทนายในสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง วันนี้เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมงานเสวนาของนักโทษการเมืองซึ่งกำลังพูดบรรยายในร้าน แต่บรรยากาศน่าเบื่อเกินไป มันหดหู่ที่ต้องฟังซ้ำๆว่ารัฐบาลประเทศนี้ปฏิบัติต่อประชาชนได้ทุเรศและไร้มนุษยธรรมแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงถามติณว่ามีที่ไหนที่พอสูบบุหรี่ได้บ้าง และเดินมาหลังร้านจนได้พบกับผม

“ดีใจที่คุณบูมมาร่วมงานที่ร้านนะครับ” ผมพูด ตาเป็นประกายโดยไม่ต้องมองกระจกให้เสียเวลา “คือคุณบูมครับ พอดีผมมีปัญหาอยากปรึกษานิดหน่อย --”
“ได้ครับ นาทีละร้อยนะครับ”

ผมเหวอไปครู่หนึ่งจนกระทั่งบูมหัวเราะ เขาบอกว่าล้อเล่นและยิ้มกว้างเมื่อผมบอกว่าขอปรึกษาเรื่องการฟ้องหย่าและคดีทำร้ายร่างกาย คุณบูมไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดเพิกเฉยต่อรอยช้ำบนแก้ม เขาแนะนำว่าควรไปโรงพยาบาลเพื่อขอใบรับรองแพทย์และแจ้งความเพราะคดีทำร้ายร่างกายเป็นคดีอาญา ยอมความไม่ได้

“มันมีแค่รอยช้ำ ผมว่ายังไงก็จบที่ไกล่เกลี่ย อัยการไม่น่าจะสั่งฟ้องแน่นอนเพราะมันเสียเวลา อย่างมากก็รอลงอาญาและเสียค่าปรับแหละครับ” คุณบูมบอก “ส่วนพี่สาวของคุณสองเคยไปหาหมอแล้วใช่ไหม?”
“ครับ ไปมาแล้ว เมื่อเช้าพ่อบอกว่าจะพาพี่ไปแจ้งความ”
“ดีเลยครับ ยิ่งมีหลักฐานมากแค่ไหน เรายิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้น ยิ่งเคสนอกใจและซ้อมเมียด้วยเนี่ยยังไงก็ชนะ ศาลท่านไม่เข้าข้างคนเหี้ยหรอกครับ”
“เหรอครับ” ผมรู้สึกโล่งใจนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น “เอ้อ คุณบูมครับ ค่าทนายฟ้องหย่านี่ปกติเขาคิดกันกี่บาทเหรอครับ?”
“แล้วแต่ตกลงครับ ขึ้นอยู่กับทนายล้วนๆ ส่วนใหญ่ประมาณสองหมื่นขึ้นไป แต่บางคนก็เรียกห้าหมื่น --”
“โห” ผมเบิกตากว้าง “ห้าหมื่น?”
“มันไม่ใช่เรทราคานี้ทุกคนหรอกนะ หมื่นเดียวก็มี ขึ้นอยู่กับว่าทนายจะเรียกเท่าไหร่ หรือถ้าหาทนายไม่ได้จริงๆลองติดต่อสำนักงานอัยการประจำจังหวัดดูนะครับ ที่นั่นมีทนายอาสาคอยให้คำแนะนำ”

ผมจดสิ่งที่เพิ่งได้รู้จากคุณบูมลงโทรศัพท์และขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เราไม่พูดถึงเรื่องคดีความอีกเลยราวกับเป็นหัวข้อต้องห้าม ผมไม่แปลกใจที่คุณบูมไม่เสนอตัวให้ความช่วยเหลือเพราะนี่คือชีวิตจริง ราคาของความรู้มีมูลค่าจนไม่อาจหยิบยื่นให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันได้ฟรีๆ แค่คำแนะนำว่าผมควรติดต่อใครและสามารถหาทนายที่เรียกค่าว่าความไม่แพงได้จากไหนก็นับว่าน้ำใจประเสริฐมากแล้ว

เราสูบบุหรี่ด้วยกันอีกหน่อยจนหมดมวน เมื่อไม่เหลือเรื่องที่ต้องอุดอู้อยู่หลังร้าน คุณบูมก็จากไปโดยไม่ได้ทิ้งท้ายเป็นพิเศษ ผมนั่งบนเก้าอี้หัวล้านเก่าๆพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อนึกได้ว่าพ่อควรรู้เรื่องนี้ ผมจึงไลน์บอกพ่อว่าเราต้องทำยังไงกับน้ำหนึ่งต่อไป

[พาไปแจ้งความแล้ว] พ่อบอก [ทนายก็หาได้แล้ว]
“ใคร?”
[ลูกของเพื่อน]
“ค่าว่าความเท่าไหร่?”
[หมื่นเดียว] พ่อพิมพ์เพิ่มเติม [ไม่ต้องห่วง พ่อจ่ายได้]
“หาเงินจากไหนมาจ่าย?”

ผมถามแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ พ่อส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนหัวเราะแหะๆและเกาท้ายทอยมาให้ ผมสงสัยถึงขนาดต้องโทรศัพท์ไปถามว่าหาเงินมาจากไหน พ่อดูอึกอักไม่อยากตอบ แต่สุดท้ายก็สารภาพว่าพ่อแอบขับแกร๊บคาร์ได้สองเดือนกว่าแล้ว

[หลังเลิกงานก็ไปวิ่งรับลูกค้า เงินดีนะสอง พ่อเคยได้วันละเจ็ดร้อยแน่ะ]
“แม่รู้ไหมว่าพ่อขับแกร๊บ?”
[ไม่รู้ ไม่อยากบอก เดี๋ยวก็บ่นอีกว่าขับทำไมให้เหนื่อย]
“ก็ใช่ไง ทำงานกว่าจะเลิกก็ห้าโมงแล้ว พ่อจะออกไปขับรถทำไมเนี่ย? ยิ่งบางพลีคนไม่ค่อยใช้แกร๊บก็ต้องเข้ากรุงเทพ แล้วกลับบ้านเที่ยงคืนตีหนึ่งทุกวันไม่เหนื่อยเหรอ?”
[ไม่เห็นเหนื่อย สนุกจะตาย] พ่อดูจะไม่ใส่ใจกับความเป็นห่วงของผมเลย [สองก็รู้ว่าพ่อชอบขับรถ]
“รู้ แต่สองไม่อยากให้พ่อขับ มันเหนื่อย สองอยากให้พ่อนอนพักอยู่บ้าน จะดูทีวี จะเล่นเน็ตอะไรก็ทำไปเถอะ หาเรื่องให้ตัวเองเหนื่อยทำไม?”
[แต่ถ้าไม่ขับ เราจะหาเงินจากไหน น้ำหนึ่งกลับมาอยู่บ้านแล้ว อีกหน่อยเปเปอร์โตจนเข้าโรงเรียนได้ก็ต้องใช้เงินอีก]
“ก็เรื่องของมัน ให้มันดิ้นรนเอง ลูกมัน ชีวิตมัน”
[เดี๋ยวน้ำหนึ่งมีปัญหา สองก็ใจอ่อนช่วยมันอยู่ดี]
“สองจัดการเอง พ่อไม่ต้องห่วง” ผมเริ่มหงุดหงิดโมโหที่พ่อพูดไม่รู้เรื่อง “เลิกเลยนะ ไม่ต้องขับแกร๊บแล้ว เงินไม่พอใช้ก็บอก เดี๋ยวสองโอนให้”
[เอ๊ะ! ไอ้นี่ ตัวเองยังเอาไม่ค่อยจะรอด ยังมีหน้ามาห้ามคนอื่นทำงานหาเงินอีกเหรอ?]
“ก็พ่อแก่แล้ว”
[แก่แล้วยังไง? แก่แต่ไม่รวยมันก็ต้องดิ้นรนต่อไปจนกว่าจะตายนั่นแหละ ถ้าบ้านเราเป็นข้าราชการก็ว่าไปอย่าง ยังพอมีเงินบำนาญให้กินให้ใช้บ้าง แต่เราไม่มีอะไรเลย ถ้าพ่อไม่เริ่มทำอะไรซักอย่างตอนนี้มันจะหนักที่สองคนเดียว สองว่ามันยุติธรรมเหรอ? พ่อแม่มีลูกสองคนแต่กลับเลี้ยงคนโตให้เป็นผู้เป็นคนไม่ได้ สุดท้ายน้องต้องแบกบ้านอยู่คนเดียว สองไม่น้อยใจจริงๆเหรอ?]

ผมเงียบอยู่พักใหญ่ ไม่รู้จะตอบอะไรจึงได้แต่ปล่อยให้บทสนทนาของเราเว้นช่วงซักระยะ ผมไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับครอบครัวหรอกนะ แต่ยอมรับว่ามีบ้างบางครั้งที่รู้สึกว่าทำไมผมต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นด้วย ลำพังพ่อกับแม่ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไม – ทำไมผมถึงต้องดูแลน้ำหนึ่ง ทำไมเงินที่ได้จากการทำงานแทบตายถึงไม่เคยเหลือเก็บ ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันผ่อนบ้านดาวน์รถ ผมกลับไม่มีทรัพย์สินเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

“ช่างมันเถอะ” ผมบอกพ่อ “ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกนะ ไม่พูดยังดีเสียกว่า”

พ่อคงรู้สึกผิดที่สะกิดปมในใจของลูกชาย ดังนั้นเราจึงวางสายด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง จากที่ตั้งใจว่าจะกลับไปตอบเมลลูกค้า ก็เปลี่ยนเป็นหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน ช่วงนี้ผมสูบบุหรี่หนักมาก ก้นบุหรี่ที่เก็บสะสมไว้เริ่มล้นกล่องเหล็กจนปิดฝาลำบาก ผมว่าความเครียดแปรผันตรงกับจำนวนของมวนบุหรี่ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงได้เป็นมะเร็งปอดตายแน่ๆ

ผมปลีกวิเวกคนเดียวอยู่หลังร้านนานเกือบสี่สิบนาที ยืนสูบบุหรี่พลางเช็กเรตติ้งทางโทรศัพท์ว่าผู้คนพูดถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้งยังไงบ้าง ผมดีใจที่เห็นหลายๆคนเริ่มให้ความสนใจกับคดีที่ไม่เป็นธรรมนี้ ไม่ควรมีใครต้องคิดคุกเพียงเพราะวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ไม่ควรมีใครต้องตายเพียงเพราะต่อต้านเผด็จการเหมือนจิตร ภูมิศักดิ์ ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่รู้จักเขาไหม บางทีผมน่าจะปรึกษาติณเรื่องเขียนบทความถึงจิตร ภูมิศักดิ์ ผมอยากเล่าเรื่องของผู้ชายคนนี้ให้กลุ่มผู้สนับสนุนเผด็จการฟังและถามพวกเขาว่าเคยรู้บางไหมว่ามีนักกิจกรรมที่กี่คนต้องตายเพียงเพราะเป็นปากเสียงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม แต่ทำได้แค่คิดเท่านั้นเพราะติณคงไม่อนุญาต

“เราก็ต้องเซ็นเซอร์ตัวเองด้วย” ติณเคยพูดครั้งหนึ่งตอนสูบบุหรี่ด้วยกัน “มันไม่คุ้มหรอก การเผยแพร่บทความแล้วต้องติดคุก ยังไงกูก็มองว่ามันไม่คุ้ม”
“แต่มึงยังจัดอีเว้นต์ให้นักโทษการเมืองมาพูดที่ร้านได้เลย”
“ใช่ไง เพราะเขาเป็นคนพูด กูไม่ได้พูด มันไม่เหมือนกับการเขียนบนความบนเว็ปไซต์ของร้าน ไม่เหมือนกับพอดแคสต์ที่เผยแพร่ในนามกู้ด รี้ดดิ้ง”

ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ

“สอง มึงก็รู้ว่ามันไม่คุ้มหรอก แสดงออกเท่าที่เราทำได้เถอะ อย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยงให้ตัวเองต้องเข้าคุกต้องตายเลย พ่อแม่พี่มึงจะรู้สึกยังไงถ้ามึงติดคุกเพราะวิจารณ์รัฐบาล”

ก็จริง – ถ้าผมติดคุก ใครจะเลี้ยงยายน้ำเน่ากับเปเปอร์

การมีภาระ มีคนอยู่เบื้องหลังนี่มันลำบากชะมัด ผมเลิกคิดเรื่องเครียดๆก่อนจะเก็บก้นบุหรี่ใส่ตลับและเดินกลับเข้าไปทำงานต่อ




วันนี้ค่อนข้างยุ่งสำหรับเราทุกคนในร้านกู้ด รี้ดดิ้ง หลังจบกิจกรรมเสวนา พนักงานในร้านก็เดินมาบอกด้วยความตื่นเต้นว่าติณกำลังให้สัมภาษณ์กับแอดมินเพจเฟสบุ๊กชื่อดัง ผมพยักหน้าแกนๆแบบขอไปทีเพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยตั้งแต่กู้ด รี้ดดิ้งเริ่มได้รับความนิยม ผมไม่ค่อยสนใจว่าติณให้สัมภาษณ์กับใคร ลำพังแค่เรื่องที่ต้องโฟกัสก็เยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ดังนั้นผมจึงอุดอู้อยู่ในห้องครัวที่ร้อนอบอ้าวถึงบ่ายสามโดยไม่กินหรือดื่มอะไรนอกจากน้ำเปล่า กว่าจะรู้ว่าท้องร้องหิวข้าวก็เป็นตอนที่ติณเดินเข้ามาพร้อมข้าวสองกล่องและนั่งกินด้วยกัน

เราคุยเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับกิจกรรมในวันนี้ซึ่งไม่มีอะไรพิเศษ ตำรวจนอกเครื่องแบบมานั่งฟังด้วยก็จริงแต่ทุกอย่างสงบดี ไม่มีใครถูกจับ และงานก็จบลงอย่างราบรื่นตามที่ติณณภพหวังไว้ ผมพยักหน้าฟังเพื่อนไปเรื่อยระหว่างกินข้าวผัดรวมมิตร น่าแปลกที่สมาธิของผมกลับจดจ่ออยู่ที่โทรศัพท์มากกว่าจะเป็นติณเพราะวันนี้ทั้งวัน -- เจ้าโกลเด้นภูไม่ติดต่อมาหาผมเลย

“เหม่ออะไร?”
“เปล่า” ผมตอบพลางคายหางกุ้งไว้ในถาดโฟม “กำลังคิดเรื่องแอดมินร้าน ตกลงมึงจะจ้างคนใหม่เมื่อไหร่?”
“ลังเลอยู่ว่าจะเอายังไง มึงทำไหวหรือเปล่าล่ะ? ถ้ามึงพอทำได้ กูว่าจ่ายเงินจ้างมึงน่าจะดีกว่าจ้างคนอื่น แต่ตามใจมึงก็แล้วกัน กูรู้ว่างานตอบลูกค้ามันจุกจิก มันต้องเฝ้าจอทั้งวัน”
“นั่นสิ ช่วยเป็นครั้งคราวน่ะได้ แต่ถ้าทำเป็นงานประจำคงไม่ได้จริงๆว่ะ กูต้องแปลงานส่งพี่ดาวด้วย” ผมตอบพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งสติ๊กเกอร์หาเจ้าโกลเด้นภู แต่เขาไม่อ่าน
“ตกลงเรื่องพี่น้ำถึงไหนแล้ว?”
“พ่อหาทนายได้แล้ว” ผมเริ่มตอบแบบขอไปทีเพราะมีเรื่องอื่นให้คิด “วันนี้มึงจะไปไหนต่อไหม?”
“ไม่ไป คงรอจนร้านเลิกก็กลับบ้านเลย หรือมึงอยากไปไหน?”
“ไม่ว่ะ”
“ดีแล้ว อยู่ติดร้านบ้างเถอะมึง พักหลังออกเที่ยวข้างนอกบ่อยนะ”

ผมแกล้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเก็บกล่องข้าวไปทิ้งถังขยะ เรานั่งคุยกันอีกแค่นิดหน่อยก็แยกย้ายเพราะติณต้องไปกำกับพนักงานให้จัดร้านกลับมาเป็นเหมือนเดิม ส่วนผมก็หอบโน้ตบุ๊กขึ้นห้องตัวเองเพื่อแปลหนังสือให้พี่ดาวต่อ ทำงานได้ซักพักก็รู้สึกล้าๆจนต้องปิดโน้ตบุ๊กเพื่อนอนกลางวันซักงีบ แต่ก่อนหลับ ผมยังไม่ลืมส่งข้อความไปหาภูอีกครั้ง แกล้งถามเขาว่าว่างเมื่อไหร่จะโทรไปหาทว่าภูก็ไม่ตอบ ผมคิดว่าเขาคงยุ่งก็เลยเลิกสนใจ แต่พอตื่นอีกทีตอนหกโมงก็ยังไม่มีข้อความจากเขา ผมจึงเริ่มกังวลว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ปกติผมไม่ค่อยโทรหาภู ไม่เคยเลยซักครั้งหากไม่มีธุระจำเป็นหรือเรื่องคอขาดบาดตาย แต่วันนี้มันผิดวิสัยของเจ้าโกลเด้นเกินไป จริงอยู่ที่ภูมีวันยุ่งๆ มีวันต้องผ่าตัด ทำหมัน วันที่จับโทรศัพท์ไม่ได้ แต่หลังสี่โมงเย็นมันไม่ใช่เวรของเขาแล้ว ปกติภูจะตอบผมทันทีที่เพื่อนสัตวแพทย์ของเขามาเปลี่ยนกะ ทำไมวันนี้เขาถึงไม่ตอบข้อความ ผมสงสัยและพยายามหาคำตอบด้วยการโทรไป สามสายแรกไม่มีคนรับ สายที่สี่ถึงเป็นเสียงของผู้ช่วยส่วนตัวของภู

“ครับ หมอภูยุ่งอยู่เหรอครับ?” ผมถาม
“เอ่อ – หมอภูงานเข้านิดหน่อยค่ะ” เธออ้อมแอ้มตอบ ผมได้ยินเสียงโวยวายของใครซักคนเล็ดลอดมาตามสายปนกับเสียงร้องไห้ “หมาลูกค้าตายน่ะค่ะ”
“เหรอครับ?”
“ค่ะ แล้วลูกค้าจะเอาเรื่องหมอภู” เธอพูดเว้นวรรคก่อนจะตามมาด้วยเสียงของตกแตกดังเพล้ง! “แค่นี้ก่อนนะคะ”

เธอตัดสายไป ส่วนผมพูดอะไรไม่ออก รู้แค่ว่าเจ้าโกลเด้นต้องรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แน่ๆ ผมเป็นห่วงภู พราะเสียงโวยวายที่ได้ยินมันดังและฟังดูรุนแรงจนเป็นห่วงสภาพจิตใจเขา จริงอยู่ที่ภูไม่ใช่เด็กแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่ผมเป็นห่วงความรู้สึกเขามากกว่าว่าเป็นยังไงบ้าง ผมพยายามติดต่อภูอีกหลายครั้งทว่ายังไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย มีแต่ผู้ช่วยที่คอยรับสายและตอบอ้อมๆว่าไม่สะดวกคุยตอนนี้ ผมจึงไลน์ไปหาภูอีกอีกครั้ง แกล้งถามเขาว่าอยากออกไปกินอะไรด้วยกันไหม ภูที่อ่านแล้วไม่ตอบนานหลายชั่วโมงก็พิมพ์กลับมาว่า

[วันนี้ภูไม่ว่าง ไว้วันหลังนะคับ]

และส่งสติ๊กเกอร์คอร์กี้หน้ายิ้มมาให้

ผมไม่รู้หรอกนะว่าการตายของหมาตัวนั้นเป็นเพราะเขาหรือไม่ แต่ผมคิดว่าภูไม่ควรโดนตะคอกใส่หน้าหรือทำลายข้าวของในคลินิกอย่างนั้น เขาดีเกินไป และสุภาพเกินไปที่จะรับมือกับคนที่ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ยิ่งเห็นว่าภูไม่ค่อยร่าเริงแม้จะชวนไปกินข้าว ผมก็ยิ่งร้อนใจ แต่อาการร้อนใจของผมไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปแบบของการรัวไลน์ไปเซ้าซี้ ผมเป็นคนตัดสินใจไว ในเมื่อเป็นห่วงเขามากก็แค่หยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์เพื่อออกจากร้าน นั่งรถไฟฟ้าไปหาภูถึงคลินิกที่ทองหล่อทันที







TBC





_______________________________



#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก





สวัสดีค่ะ แฮร่ ตอนแรกว่าจะไม่อัปแต่มันอดใจไม่ไหวเพราะคิดถึงทุกคนมากๆ ขอแวะเวียนนำคุณสองและน้องภูมาเสิร์ฟก่อนนอนนะคะ ฝันดีค่า :3

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [7] 02/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 02-03-2020 23:21:36
คิดถึงสองกับเจ้าโกลเด้นสุดๆ ดีใจมากๆที่นิยายที่เราอ่านมีการพูดถึงจิตรด้วย ชอบการสอดแทรกเอาเรื่องการเมืองเข้ามาในนิยายมากๆ ฝันของสองก็เรียลมากกกอ่านแล้วทั้งเขินทั้งเศร้า หวังว่าสองจะไม่ต้องเข้าสมาคมกอลิลล่าเหมือนก้องนะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [7] 02/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-03-2020 21:43:19
เห็นใจสอง
เราเข้าใจเลย อยากมีคนรัก มีความรักดี ๆ แต่ในชีวิตก็มีหลายสิ่งให้กังวลและรับผิดชอบจนไม่รู้จะหาพื้นที่ไหนให้คนที่จะเข้ามา
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [8] 09/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 09-03-2020 20:09:10
8 [PART 1/2]


8


ผมคาดหวังอะไรจากการไปหาภูกะทันหันเหรอ?
คำตอบคือคาดหวังว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้น ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะจูบกันหรืออะไรทำนองนั้น

ไม่เลย – ผมไม่คิดอะไรอย่างนั้น

จนกระทั่งตอนที่เรานอนด้วยกันบนเตียง ภูพลิกตัวตะแคงมาหาผม พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังและเปี่ยมด้วยประกายบางอย่างในแววตา วินาทีที่เรามองหน้ากัน ราวกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง ราวกับว่าภูถามผ่านทางสายตาว่าเราควรจะจูบกันหน่อยไหม ในตอนที่บรรยากาศเป็นใจ ตอนที่เรารู้สึกดีต่อกัน เราควรจะจูบกันซักครั้งหรือเปล่า เมื่อภูโน้มหน้าเข้ามาใกล้ และผมไม่ได้ผลักไสหรือขอให้ภูหยุดการกระทำที่อาจทำให้ท้องไส้ของผมปั่นป่วน จูบแรกของเราจึงเกิดขึ้น เนิ่นนานเกือบนาทีและเลยเถิดเป็นเซ็กส์ที่ทำให้ผมต้องนอนเหม่อเพราะไม่รู้ตัวว่าตัดสินใจถูกต้องหรือไม่ที่มีอะไรกับเขา

ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมออกจากร้านกู้ด รี้ดดิ้งและขึ้นเอ็มอาร์ที ผมใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนานกว่าจะถึงร้านของภู ผู้ช่วยของเขาออกกะไปแล้ว เหลือแค่ผู้ช่วยกะดึกที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไหร่ ทันทีที่เห็นผมผลักประตูเข้าไปในสภาพเหงื่อชุ่ม เขาก็ถามทันทีว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า เขาอาจจะคิดว่าผมมาปรึกษาเรื่องฉีดยาคุมหมา หรือไม่ก็ถามถึงยาหยอดเห็บหมัดให้สัตว์เลี้ยงแสนรักที่บ้าน ทว่าสิ่งที่ผมถามถึงคือหมอภู เจ้าหมาโกลเด้นของผม

“หมอภูเหรอครับ?” เขาทวนคำพูดก่อนหันไปมองหลังร้าน “หมอภูออกกะแล้ว ตอนนี้เป็นกะของหมอจ๋อมแจ๋ม ปรึกษาหมอจ๋อมแจ๋มได้นะครับ”
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้มาปรึกษาเรื่องสัตว์” ผมหอบหายใจ “ผมมาหาเขา”
“หาหมอภูน่ะเหรอ?”
“ครับ”
“ซักครู่ครับ”

ผู้ช่วยคนนั้นบอกก่อนจะยกหูโทรศัพท์ เมื่อภูรับสาย เขาก็ถามว่าผมชื่ออะไร มาติดต่อเรื่องอะไร

“หมอภูครับ เขาชื่อคุณสองครับ ครับ ใช่ครับ”

ผมยืนกดดันผู้ช่วยทางสายตา ลุ้นใจแทบขาดว่าภูจะว่ายังไงหากรู้ว่าผมมาที่นี่เพื่อเจอเขาโดยเฉพาะ และเมื่อผู้ช่วยวางสาย เขาก็บอกให้รอหน้าคลินิกซักพัก เดี๋ยวหมอภูลงมาครับ

“ขอบคุณครับ”

ผมตอบตามมารยาทและเดินกลับไปนั่งพักเหนื่อยที่โซฟา ผมรออยู่นานเกือบสิบนาทีกว่าภูจะค่อยๆโผล่หน้ามาจากประตูบานเลื่อนด้านหลังและกวักมือเรียกเหมือนเรียกวินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหาเขา นี่คือการพบกันครั้งที่สองของเราในรอบยี่สิบสี่ชั่วโมง

“ทำไมถึงมาหาผมตอนนี้?” ภูถามขณะเดินขึ้นบันไดไปห้องนอนของเขา ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของชานมเดินย่ำอยู่ไม่ไกล
“ว่าจะชวนไปกินข้าว”
“ที่ไหนครับ?”
“ไม่รู้สิ แล้วแต่คุณเลย”

ผมบอกและเดินตามเขาจนถึงห้องนอน ชานมส่ายก้นดุ๊กดิ๊กไปมาราวกับรออยู่ก่อนแล้ว เจ้าหมายักษ์กระโดดเกาะขาผมแน่นเหมือนตุ๊กแกแสดงท่าทีดีใจมากที่ได้เจอนายสิปปกรอีกแม้ว่าเราจะเพิ่งเจอกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน มันดีใจออกนอกหน้าจนภูต้องดุเสียงดังเพราะเล็บของชานมข่วนขาผมเป็นรอย

“ผมยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

ภูบอกเมื่อเราเดินเข้ามาในห้องนอน เจ้าชานมยังคงวิ่งวนรอบขาเราอยู่พักใหญ่ก่อนจะคาบบอลมาวางไว้แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของ พอได้เห็นภูจากตรงนี้ ผมจึงรู้ในทันทีว่าเขายังคงรู้สึกไม่ดี ตาของภูแดงจนช้ำเหมือนคนเพิ่งหยุดร้องไห้ ขนตายังเปียกอยู่ และปลายจมูกก็แดงจัด ภูทำเป็นวุ่นวายกับการพับผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนผมที่ยืนอยู่หลังเขากำลังครุ่นคิดหาถ้อยคำปลอบใจอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดคำให้กำลังใจอะไรนอกจากแตะหลังของเขาและลูบเบาๆ

“พี่ส้มบอกคุณสองเหรอ?” ภูพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ผมเป็นแบบนี้ไม่นานหรอก วันสองวันเดี๋ยวก็ร่าเริงเหมือนเดิม คุณสองอย่าเพิ่งเบื่อกันนะ”
“ผมไม่เบื่อคุณหรอก ผมเป็นห่วงคุณ” ผมบอกเขา “ภู ผมพูดจริงๆนะ ผมเป็นห่วงคุณ”
“ขอบคุณครับ แต่ผมโอเค”

เจ้าโกลเด้นที่เคยร่าเริงหันมาฝืนยิ้ม น้ำตาที่แห้งไปซักพักกลับมาเอ่อล้นจนไหลอาบแก้มหนึ่งหยด ภูรีบใช้นิ้วปาดมันออกอย่างรวดเร็วราวกับอายที่จะให้ผมเห็นตัวตนของเขาในมุมนี้

“คุณเล่าให้ผมฟังได้นะ”
“ถ้าผมเล่าแล้วคุณสองจะมองว่าผมเป็นหมอที่ไม่ได้เรื่องเหมือนเจ้าของหมาตัวนั้นไหม?”
“ผมไม่ตัดสินใครจากคำพูดคนอื่นหรอก อีกอย่างที่ผมมาถึงนี่ก็เพราะเป็นห่วงคุณ ผมมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อน ไม่ได้มาเพื่อบอกว่าคุณเป็นหมอที่ดีหรือหมอที่ไม่ดี”

ริมฝีปากของภูสั่นอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาไหลมากเรื่อยๆจนเปียกชุ่ม คราวนี้ต่อให้ยกนิ้วขึ้นมาปาดก็ยังหลงเหลือร่องรอยอยู่เต็มสองแก้ม ผมช่วยภูที่พยายามปกปิดความอ่อนแอของตัวเองด้วยการเช็ดน้ำตาให้ ผมบอกเขาว่าไม่เป็นไร พูดมาเถอะ ผมไม่ตัดสินเขาเหมือนเจ้าของหมาตัวนั้นหรอก ภูเม้มปากแน่นก่อนจะค่อยๆนั่งบนปลายเตียง ส่วนผมยืนอยู่ตรงหน้าเขาในระดับที่ศีรษะของภูอยู่ตรงท้องของผมพอดี

“จริงๆหมาตัวนั้นจะไม่ตาย ถ้าเจ้าของใส่ใจมันมากกว่านี้”

ภูเริ่มเล่าเป็นครั้งแรกว่าวันนี้ภูต้องผ่ามดลูกหมาพันธุ์คอลลี่อายุประมาณแปดปี ผมนึกภาพไม่ออกว่าคอลลี่หน้าตาเป็นยังไง แต่เดาเอาว่าต้องแพงมากแน่ๆเพราะภูบอกว่าตัวนี้มาจากฟาร์มต่างประเทศ ก่อนผ่าตัด ภูทำตามขั้นตอนทุกอย่าง เขาสั่งเจ้าให้หมางดน้ำงดอาหาร แถมอธิบายกระบวนการและแนะนำให้เจ้าของสุนัขตรวจเลือด ซึ่งเจ้าของปฏิเสธเพราะหมาเคยวางยาสลบตอนขูดหินปูนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เจ้าของมั่นใจว่ามันไม่แพ้ยาสลบแน่ๆจึงบอกภูว่าไม่ต้องตรวจเลือด ให้ตัดมดลูกที่อักเสบทิ้งอย่างเดียว

“แต่เราไม่ได้ตรวจเลือดหมาเพื่อเช็กว่ามันจะแพ้ยาสลบหรือไม่แพ้ เราตรวจเลือดเพื่อดูค่าตับค่าไต ดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ดูว่าหมาแข็งแรงดีไหม มีภาวะเสี่ยงอะไรที่ต้องเฝ้าระวังไหม มันไม่เกี่ยวกับแพ้ไม่แพ้เลย”
“แล้วคุณอธิบายเจ้าของหรือเปล่าว่าทำไมถึงควรตรวจ?”
“บอกแล้ว แต่เขาไม่ฟัง เขามั่นใจว่าหมาเขาแข็งแรงดี ผมก็เลยไม่เซ้าซี้อะไรอีก ไม่ให้ตรวจก็ไม่เป็นไรแต่ต้องเซ็นเอกสารยินยอมด้วยว่าปฏิเสธให้ตรวจเลือด เขาก็เซ็น เขาติ๊กในช่องด้วยว่าได้ฟังคำอธิบายจากสัตวแพทย์แล้วแต่ไม่ให้ตรวจ”
“งั้นปัญหาคืออะไรล่ะ? หมาแพ้ยาสลบเหรอ?”
“เปล่าครับ หมาไม่ได้แพ้ยาสลบ” เล่าถึงตรงนี้ภูก็เริ่มเสียงสั่นและร้องไห้ “มันตายเพราะอาหาร อุดหลอดลม”
“ฮะ?”
“ก็ที่ผมบอกให้อดน้ำอดอาหารก่อนผ่าตัดไง คือแบบนี้นะคุณสอง การวางยาสลบหมา ยามันจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว หลอดอาหารเป็นกล้ามเนื้อเหมือนกันก็เลยคลายตัวด้วย ถ้าหมามีอาหารหรือน้ำอยู่ในท้อง มันอาจจะไหลย้อนไปอุดหลอดลมได้ ซึ่งเคสของตัวนี้ซวยตรงที่เจ้าของไม่ได้อยู่กับหมาตลอดเวลาก็เลยไม่รู้ว่าตอนเช้าก่อนมาผ่าตัด หมามันกินอะไรเข้าไปบ้าง เขาบอกผมว่าอดน้ำอดอาหารมาแล้ว เซ็นในใบยินยอมรับรองด้วยว่าไม่ได้ให้หมากินอะไรมาจริงๆ แต่พอหมาหยุดหายใจ ผมก็เลยลองคีบดูว่าอะไรอุดในหลอดลมหรือเปล่า ปรากฏว่าเป็นไส้กรอก! ไส้กรอกเกือบสิบชิ้น ไอ้เหี้ย!!! มึงให้หมากินไส้กรอกทั้งๆที่กูกำชับไม่ให้แดกอะไรก่อนผ่าตัดเนี่ยนะ?!!!”

ภูตะคอกถามราวกับว่าเจ้าของหมาอยู่ตรงหน้า เขาโมโหและแค้นใจมากถึงขนาดร้องไห้โฮ ผมกดหัวภูที่กำลังสติแตกลงบนหน้าท้องตัวเองและลูบหัวเขา ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นยิ่งเข้าใจความหงุดหงิดโมโหของเขาดี ภูทำตามหน้าที่ถูกต้องทุกอย่าง แต่หมากลับต้องตายด้วยสาเหตุโง่ๆอย่างไส้กรอกอุดหลอดลม

“หมาตัวนี้มันไม่ควรตายเลยคุณสอง มันไม่น่าตายเลยอ่ะ แต่มันก็ตายเพราะความไม่ใส่ใจของเจ้าของห่วยๆ!” ภูกอดเอวของผมเอาไว้แน่นขณะร้องไห้ “ที่เจ็บใจกว่าคือตอนโทรไปแจ้งว่าหมาตาย มันพาพวกมารุมผมถึงร้าน ยืนด่าผมต่อหน้าลูกค้า ด่าเสียๆหายๆ ด่าไปอัดคลิปไปเหมือนผมทำอะไรผิด ผมพยายามอธิบายแล้วว่าหมามึงตายเพราะไส้กรอกไม่ได้ตายเพราะกูแต่ไม่มีใครฟัง จนพี่ส้มต้องเปิดคลิปตอนคีบเศษไส้กรอกออกมานั่นแหละถึงจะหุบปากแล้วโทรศัพท์ไปถามแม่มันว่าเมื่อเช้าให้กินอะไรหรือเปล่า พอรู้ว่าแม่มันให้ไส้กรอกก็รีบอุ้มหมากลับบ้านไม่ขอโทษซักคำ”
“ก่อนไปพวกมันทำอะไรคุณไหม? ผมได้ยินเสียงของหล่นลงมาแตกด้วย”
“ไม่ มันไม่ได้ทำอะไรผมหรอก มันแค่ยกมือชี้หน้าแต่ดันไปโดนแจกัน”
“คุณไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
“ไม่” ภูสูดน้ำมูก เขาคงเริ่มหายใจไม่ออก ผมจึงใช้ปลายเสื้อตัวเองเช็ดน้ำมูกให้ “แต่วันนี้เหี้ยมาก ผมโกรธจนต้องแอบไปร้องไห้ในห้องน้ำ ทั้งโกรธทั้งอายที่โดนด่าตอนลูกค้าอยู่หลายคน ตั้งแต่เรียนจบมาไม่เคยเจอเรื่องเหี้ยอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ทำไมคนพวกนั้นมันพูดดีๆไม่เป็น ลำพังหมาตายก็เฟลแล้ว ยังยกพวกมารุมด่าอีก ผมทำอะไรผิดอ่ะคุณสอง คุณบอกหน่อยสิว่าผมทำอะไรผิด”

ผมมันคนห่วยแตกที่ให้กำลังใจใครไม่เป็นนอกจากกอดอีกฝ่ายไว้แน่นๆ ฟังเสียงร้องไห้อย่างตั้งใจ และแสดงออกให้เจ้าโกลเด้นรู้ว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยวลำพัง แต่ยังมีผมคอยปลอบอยู่ทั้งคน ผมจำไม่ได้ว่าใช้เวลาตรงนั้นกับภูนานแค่ไหน รู้แต่ว่ามันนานมากพอจนสัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจที่อาจเทียบเท่าอาการหัวใจสลายได้ สิ่งที่ภูเสียใจที่สุดไม่ใช่เพราะโดนเจ้าของหมาเฮงซวยพวกนั้นรุมด่าหรือข่มขู่ให้ตกใจ แต่ภูเสียใจที่หมาตัวนั้นต้องตายเพราะไส้กรอก เขาเสียใจที่สัตว์ตายเพราะความไม่เอาใจใส่ของเจ้าของ เรื่องโดนด่าไม่ใช่ประเด็นเลย ตัวการหลักที่ทำให้ภูร้องไห้อยู่ตอนนี้คือการตายของหมาตัวนั้นต่างหาก

“ภู คุณอย่าโทษตัวเองเลย หมาตัวนั้นไม่ได้ตายเพราะคุณหรอก คุณจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันกินอะไรมา ในเมื่อเจ้าของบอกว่าอดน้ำอดอาหารแล้วคุณก็ต้องเชื่อเขา ฟังผมนะ มันไม่ใช่ความผิดคุณ ไม่ใช่เลย คุณทำดีที่สุดแล้ว”

ผมพูดได้แค่นั้นและเงียบไปพักใหญ่ สมองพยายามรีดเค้นนึกเอาคำปลอบใจที่เคยพบเจอในหนังสือแต่กลับพูดอะไรไม่ออก ผมได้แต่ขอโทษภูในใจที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้ นอกจากเสียสละเสื้อให้เขาสั่งน้ำมูก สิปปกรก็ไม่มีทางอื่นเพื่อช่วยเยียวยาความเสียใจของเขาอีก เวลาล่วงเลยเป็นนาทีที่ภูกอดเอวของผม ซบหน้าลงบนพุงและร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆจนหมดแรง ในที่สุดภูก็เข้มแข็งได้โดยไม่ต้องมีคำพูดดสวยหรูจากผม เขาค่อยๆเงยหน้ามองสิปปกรที่ยังคงอนุญาตให้ใช้เสื้อยืดเป็นผ้าเช็ดน้ำมูก พอสายตาของเราประสานกัน ภูก็บอกว่าเขาร้องไม่ออกเพราะเสียงท้องร้องของผมเลยนะ

“อืม ดีใจนะที่เสียงท้องร้องมันทำให้คุณหายเศร้าได้”

ผมแกล้งเขกหัวเขาหนึ่งทีก่อนจะผละตัวออก พอเห็นคราบน้ำมูกเปื้อนเป็นดวงๆบนเสื้อตัวเองแล้วมันก็รู้สึกแหยงๆนิดนึง ภูคงอ่านสีหน้าออกจึงเอ่ยปากให้ยืมเสื้อผ้าใส่ก่อน ผมนึกในใจว่ายืมอีกแล้ว มาบ้านเขาที่ไรต้องหยิบเอาเสื้อผ้าของเขามาใส่เหมือนเป็นของตัวเองทุกที พอเปลี่ยนเสื้อเสร็จผมก็หันไปหาเจ้าโกลเด้นที่อุ้มชานมขึ้นมากอดแนบอก ภูคลอเคลียเจ้าหมายักษ์อยู่พักใหญ่ก่อนจะเงยหน้ามองผมและพูดว่าไปกินข้าวต้มกันเถอะ




ร้านข้าวต้มที่ภูมาพาไม่ใช่ร้านอาหารริมทาง มันคือร้านข้าวต้มเก่าแก่ซึ่งไม่ได้ขายข้าวต้มหมูปั้น ข้าวต้มไก่ฉีก หรือข้าวโจ๊กธรรมดาทั่วไป แต่มันคือภัตตาคารขนาดย่อมที่ขายข้าวต้มที่กินคู่กับกับข้าวต่างหาก

ตอนเปิดเมนูแล้วเห็นราคา ผมแอบเหงื่อตกเพราะรู้สึกว่ามันแรงเกินไป กุ้งทอดกระเทียมจานละสองร้อย ผัดผักบุ้งจานละแปดสิบ หมูสับปลาเค็มจานละร้อยห้าสิบ ที่ราคาถูกอย่างเดียวคือข้าวต้มหนึ่งถ้วยไม่มีอะไรปรุงแต่ง ผมรู้สึกกังวลแปลกๆหากต้องเห็นราคาและสั่งอาหารพวกนี้ก็เลยผลักหน้าที่ให้เป็นของภู เขาอยากกินอะไรก็กิน บิลมาเมื่อไหร่ค่อยหารกัน

“ร้านนี้พ่อชอบพาผมกับน้องมากินประจำ” ภูพูดเมื่อกุ้งทอดกระเทียมจานแรกถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ เขาตักมันใส่จานตัวเองและเริ่มใช้ช้อนส้อมแกะหางกุ้ง “คุณสองชอบกินข้าวต้มไหมครับ?”
“ผมกินได้ทั้งนั้นแหละ”

ถ้าราคาไม่แรงขนาดนี้ –

“หมูกรอบร้านนี้อร่อยมาก ผมสั่งมาแล้ว เดี๋ยวคุณสองลองชิมนะ” เขาพูดก่อนจะตักกุ้งที่แกะหางออกเรียบร้อยมาวางบนจานของสิปปกร
“ให้ผมทำไม?”
“ผมอยากให้คุณสองกินง่ายๆ”
“นี่ แค่หางกุ้ง ผมแกะเองได้น่า” ผมส่ายหน้าแต่ก็กินกุ้งที่ภูแกะให้ หากถามว่ารสชาติเป็นยังไง ผมก็คงตอบว่ารสชาติเหมือนกุ้ง
“อร่อยไหมครับ?”
“อืม อร่อย” เมื่อผมตอบ เจ้าโกลเด้นที่เคยเศร้าก็ยิ้มร่าด้วยท่าทางดีใจ “คุณก็กินบ้างเถอะ อย่ามัวแต่แกะกุ้งทำคะแนน มันไม่ได้ผลหรอกนะ”
“ผมไม่ได้แกะกุ้งเพื่อเอาใจคุณสอง ผมแกะเพราะอยากให้คุณสองกินง่ายๆ กินอย่างมีความสุขที่สุดต่างหาก”

เจ้าภูย่นจมูกก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ เขาปล่อยให้ผมนั่งหัวเราะหึในลำคอเพราะรู้ทัน ทำไมจะไม่รู้ว่าการแกะหางกุ้งคือการทำคะแนน ครั้งหนึ่งชวินทร์ก็เคยแกะอาหารให้ผมทาน มันแกะแค่ช่วงโปรเท่านั้นแหละ พออยู่กันไปได้ซักเดือนสองเดือนก็เลิกแกะ แถมยังแย่งส่วนของผมไปกินอีกต่างหาก แต่ภูกลับไม่เหมือนชวินทร์ เขาแกะกุ้งให้ผมกินมากกว่าแกะให้ตัวเอง เช่นกุ้งในจานมีทั้งหมดเจ็ดตัว เขาจะให้ผมห้าตัวและกินเองแค่สอง แม้กระทั่งหมูกรอบที่บอกว่าชอบนักชอบหนา เขาจะเลือกส่วนดีๆที่มีทั้งเนื้อทั้งหนังให้ผมทาน ผมบอกภูซ้ำเป็นครั้งที่สองว่าไม่ต้องแบ่งให้ผมกินเยอะ เรามากินด้วยกัน เราหารบิลกัน ภูควรได้กินเท่าๆกับผม

“มันเป็นความสุขของผมที่ได้ตักอาหารให้คนที่ตัวเองชอบ” ภูพูดออกมาหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ได้แค่หัวเราะในลำคออีกครั้ง แม้จะหน้าร้อนนิดหน่อยตรงคำว่าชอบ “เดี๋ยวกินเสร็จจะกลับร้านเลยไหมครับ?”
“คงเป็นอย่างนั้นแหละ ถามทำไม?”
“เปล่าครับ” ภูพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่เป็นความเศร้าจอมปลอมที่มองจากดาวอังคารก็ดูออกว่าตอแหล “ผมแค่อยากให้คุณสองค้างกับผมอีกซักคืน”
“จะให้ผมนอนบ้านคุณสองคืนติดเลยเหรอ? ไม่อึดอัดหรือไง?”
“ไม่อ่ะ คุณสองอึดอัดเหรอ?”
“ไม่ได้อึดอัด แค่ไม่สะดวก” ผมตอบตามตรง “ผมยืมเสื้อผ้าคุณมาตั้งกี่ครั้งแล้ว เมื่อเช้าก็ยังไม่ได้ซักคืนเลย”
“อ๋อ บ็อกเซอร์ตัวนั้น ตัวโปรดผมเลยนะ ใส่บ่อยมากจนขอบยุ่ย”

ไม่ได้ถามโว้ย!

“ว่าแต่ทำไมคุณสองถึงเอาบ็อกเซอร์ผมไปซักตัวเดียวอ่ะ?”
“มันแปลกตรงไหน?”
“แปลกที่คุณคืนชุดนอนแต่เอาบ็อกเซอร์ผมไปไง” ภูตอบ “คุณสองทำมันเลอะเหรอ?”

ผมเหวอพักหนึ่งก่อนจะรีบทำสีหน้าให้เป็นปกติ บอกภูเรียบๆว่าไม่ได้เลอะ ผมแค่อยากซักบ็อกเซอร์ให้เพราะมันสัมผัสส่วนนั้นของผมโดยตรง พอได้ยินภูก็หัวเราะดังลั่นและบอกว่าเขาไม่รังเกียจหรอก ไม่อยู่แล้ว มันก็เป็นร่างกายของมนุษย์เหมือนๆกัน อีกอย่างเขาไม่มีวันรังเกียจสิปปกรเด็ดขาด

“ถ้าคุณรู้ว่ามันเลอะอะไรคุณคงไม่พูดแบบนี้”
“มันเลอะอะไรเหรอครับ?”
“เปล่า” ผมเกลียดตัวเองที่ปากไวเป็นบ้า “อย่าถามมากได้ไหม? ถ้าจะให้ผมค้างด้วยอีกคืนก็รีบๆกินรีบๆกลับ ผมง่วงแล้ว!”

ผมแกล้งเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ส่วนเจ้าโกลเด้นแสนซื่อรีบใช้ช้อนตักข้าวต้มเข้าปากแบบไม่คิดชีวิต เขารีบกินเกินไปจนข้าวร้อนๆลวกปากถึงขนาดต้องหยุดกินพักใหญ่ ผมได้แต่นั่งขำให้กับความเด็กของภูในใจและแกะกุ้งให้เขาทานอีกตัว





[PART 2 ต่อด้านล่างเลยคับ]  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [8] 09/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 09-03-2020 20:10:31
8 [PART 2/2]


“ชานมดีใจใหญ่เลย คืนนี้มีคนมาค้างที่ห้องชานมด้วย!”

ภูเอ่ยเสียงใสขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ชานมก้นใหญ่ส่ายตูดดุ๊กดิ๊กด้วยความดีใจที่เห็นว่าเจ้าของกลับมาร่าเริงแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ส่วนผมที่เดินตามหลังได้แต่แอบกังวลเพราะกลัวว่าคืนนี้จะทำบ็อกเซอร์ของภูเลอะอีกหรือเปล่า โดยปกติผมไม่เคยฝันเปียกติดต่อกันสองคืน หวังว่าทฤษฎีนี้จะยังใช้ได้อยู่ ไม่อยากนั้นผมคงไม่มีหน้ากลับมาเหยียบห้องนอนของเจ้าโกลเด้นอีก

คืนนี้ต่างจากคืนก่อนตรงที่มันมีความพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น ภูเดินไปเปิดตู้เก็บของในห้องน้ำ หยิบเอาที่แขวนแปรงสีฟันตัวการ์ตูนออกมาสองลายเพื่อถามว่าผมชอบแบบไหนมากกว่าระหว่างริลัคคุมะกับตุ๊กตาวัวนม แน่นอนว่าต้องเป็นริลัคคุมะอยู่แล้ว ดังนั้นภูจึงแกะที่แขวนแปรงสีฟันออกจากพลาสติกและแปะตัวดูดสุญญากาศบนกระจกห้องน้ำทันที

“ตัวนี้คือที่แขวนแปรงของคุณสองนะ”

ผมได้แต่เลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบนกระจกห้องน้ำมีตุ๊กตาแขวนแปรงสองตัว ตัวหนึ่งเป็นตุ๊กตาหมูซึ่งไว้สำหรับแขวนแปรงของเขา ส่วนริลัคคุมะเป็นที่แขวนแปรงของผม
 
“ไม่ต้องแกะก็ได้ เสียดายของ” ผมบ่น “แปรงผมจะวางตรงไหนก็ได้ ในแก้วน้ำก็ได้ ไม่เห็นต้องแกะตุ๊กตาแพงๆนี่มาแขวนเลย”
“ได้ไง? ต่อไปเวลาคุณสองมา คุณสองจะได้หยิบแปรงสะดวก จะก้มๆเงยๆล้วงหาหน้ากระจกอยู่ทำไม ก็แปะไว้ข้างกันนี่แหละ หมูของผม หมีของคุณสอง”
“คุณนี่นะ --” ผมส่ายหน้า “ต่อไปไม่ต้องยกผ้าเช็ดตัวให้ผมด้วยหรือไง”

ผมพูดโดยไม่คิดอะไร แต่เจ้าโกลเด้นก็เดินออกไปตรงระเบียงและกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่ผมใช้เมื่อวาน ผมเบิกตากว้างมองเจ้าโกลเด้นเดินถือผ้าเข้ามาใกล้ พอถามว่าทำไมไม่โยนใส่ตะกร้าเตรียมซัก จะเอาไปแขวนตากข้างนอกทำไม ภูก็ตอบหน้าตาเฉยว่า

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณสองต้องมาอีก”

และยิ้มหวานจนตาหยี

“มาค้างที่นี่บ่อยๆนะครับ ชานมดีใจมากที่คุณสองมา”
“ชานมหรือใครกันแน่ที่ดีใจ?”
“ผมเองแหละที่ดีใจมากเวลาคุณสองมา” ภูยิ้มเขิน “ไปอาบน้ำดีกว่า วันนี้เราจะดูอะไรกันดี?”
“คุณอยากดูอะไรล่ะ?”
“อยากดูจิบลิอีกแต่คราวนี้เป็นเรื่องใหม่ คุณสองเคยได้ยินหนังเรื่อง Spirited Away ไหม?”
 “ไม่”
“งั้นคืนนี้ดูเรื่องนี้นะ สนุกกว่าแม่มดกิกิที่เราดูเมื่อคืนอีก”

 ภูบอกก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ เหลือเพียงผมกับชานมที่นอนกัดลูกบอลเสียงดังปี๊บๆอยู่บนเบาะ เมื่อได้อยู่เพียงลำพังในโลกส่วนตัวของภู ผมถือวิสาสะใช้โอกาสนี้สำรวจความเป็นตัวตนของเขาผ่านทางข้าวของเครื่องใช้ ภูมีตู้กระจกโชว์โมเดลตู้ใหญ่ ในนั้นมีตุ๊กตาอะไรไม่รู้วางอัดแน่นเต็มไปหมด มันไม่ใช่กันดั้ม ไม่ใช่ฟิกเกอร์ผู้หญิงสวยๆ แต่เป็นโมเดลตัวการ์ตูนน่ารักปะปนกันไป มีโตโตโร่มากกว่ายี่สิบตัวในหลายๆอิริยาบถวางอยู่ด้วย ภูดูเป็นคนชอบของกุ๊กกิ๊กน่ารัก เขามีความเป็นเด็กในขณะเดียวกันก็มีมุมผู้ใหญ่อยู่ในตัว ผมถือวิสาสะไล่สายตาเพื่อมองสำรวจฟิกเกอร์ในตู้โชว์ของเขา นับในใจคร่าวๆว่าอย่างต่ำในตู้นี้ต้องเกือบร้อยตัวแน่ๆ

ผมครุ่นคิดก่อนจะหันมองสิ่งต่างๆที่จัดวางอยู่ในห้องนอน ตรงปลายเตียงมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นวางอยู่ คูณรู้ไหมว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยี่ห้อที่เขามีราคาอยู่ที่หลักหมื่น เป็นราคาที่ผมกัดฟันซื้อไม่ได้เพราะมันสูงเกินไป นอกจากนี้ในห้องยังมีเครื่องฟอกอากาศ มีเครื่องพ่นไอน้ำที่ให้กลิ่นหอมวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง นอกจากนี้ยังมีน้ำมันหอมระเหยหลายกลิ่นหลายยี่ห้อวางอยู่ในถาดพลาสติก แล็ปท็อปส่วนตัวของเขาคือแม็คบุ๊ก แถมด้วยไอแพด ไอพอด ไอโฟน เอียร์พอดแยกอีกต่างหาก ผมได้แต่มองของใช้ในห้องของภูแล้วรู้สึกท้อใจยังไงไม่รู้ ความเป็นอยู่ของเรามันคนละชั้น ราวกับเรามาจากคนละโลก คนละสังคมอย่างไรอย่างนั้น ภูไปหาเงินมาจากไหนนะ ในขณะที่เขาเด็กกว่าผมสี่ปีและเพิ่มเริ่มทำงานได้ไม่เท่าไหร่ ทำไมเขาถึงมีของเล่น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงที่ผมยังไม่มีปัญญาครอบครองเยอะแยะมากมายขนาดนี้

“คุณสองจะอาบน้ำเลยไหมครับ?”

ผมสะดุ้งเมื่อภูออกจากห้องน้ำไม่ให้สุ้มให้เสียง เขาเปลือยท่อนบนเหมือนเดิม สวมกางเกงขายาวตัวเดียวกับเมื่อวาน ผมมองหน้าเขาไม่กี่วินาทีก็ตอบว่าอาบเลย คืนนี้จะได้เข้านอนไวๆเพราะพรุ่งนี้ภูต้องตื่นแต่เช้าเตรียมเฝ้าร้านอีก

“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะเจอคุณสองไหม?” ภูถามแกมหยอกเหมือนไม่คิดอะไร
“เจอสิ ทำไมจะไม่เจอ” ผมตอบเขา แต่ภูก็ไม่ได้แสดงออกว่าโล่งใจเท่าไหร่ “ผมอาบน้ำก่อนนะ”
“นี่เสื้อกับกางเกง และก็บ็อกเซอร์ครับ”
“ขอบคุณ”
“อย่าขโมยบ็อกเซอร์ผมอีกนะ”
“รู้แล้วน่า”

ผมยกมือจะเขกหัวเจ้าโกลเด้นขี้แซวแล้วรีบเข้าไปอาบน้ำ บนเคาน์เตอร์หน้ากระจก มียาสีฟันที่พ่อแถมให้วางอยู่ในแก้วพลาสติก ผมหยิบแปรงของตัวเองจากที่แขวนตุ๊กตาริลัคคุมะ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการทำความสะอาดตัวก็เสร็จเรียบร้อย ผมออกจากห้องน้ำในชุดนอนของภูเป็นคืนที่สอง เปิดประตูออกมาก็เจอภูเกาพุงให้ชานมไปพร้อมกับกดรีโมตทีวี

“หอมมาถึงนี่เลย” ภูพูดขึ้นเมื่อผมเดินผ่านหน้าเขาเพื่อตากผ้าเช็ดตัวนอกระเบียง
“อย่าเว่อร์ ผมก็ใช้สบู่ยี่ห้อเดียวกับคุณนั่นแหละ”

ผมส่ายหน้าเอือมระอาให้ความปากหวานของภูก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นข้างเขา เจ้าชานมเห็นเหยื่อรายใหม่ก็ผละตัวออกจากเจ้าของ เอาหัวมาเกยตักผมอย่างออดอ้อนราวกับขอให้ลูบหัวหน่อย เกาพุงก็ได้ ยังไงก็ได้ แต่ช่วยให้ความสนใจชานมเยอะๆเพราะนมชอบเป็นที่รัก

“คอร์กี้มันอ้วนแบบนี้ทุกตัวเหรอภู?”
“จริงๆก็ประมาณนี้แหละครับ คอร์กี้ไม่ใช่หมาพันธุ์เล็กนะคุณสอง มันแค่เตี้ย”
“น่ารักดี”

ผมยิ้มพลางยีขนฟูนุ่มของชานม ปล่อยภูใช้เวลาไปกับการเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองเขาเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบแปลกๆ เมื่อเราสบตากัน ผมถึงรู้ว่าภูจ้องอยู่ก่อนแล้ว เขามองผมราวกับมีเรื่องมากมายให้คิดด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าที่ควร

“แก้มคุณสองช้ำน่ากลัวมาก”
“อืม ช่างมันเถอะ”
“ตกลงคุณสองไปแจ้งความหรือยังครับ?”
“ยัง”

ผมตอบและบอกภูว่าคงไม่แจ้งแล้ว เจ้าโกลเด้นไม่สบายใจที่จู่ๆสิปปกรก็ปล่อยให้ไอ้ปั๊ปต่อยฟรีโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ผมจึงต้องเบรกเขาไว้ด้วยการบอกว่าถ้าแจ้งความให้ไอ้ปั๊ปมาเคลียร์ที่สถานีตำรวจ ภูอาจจะโดนข้อหาหนักกว่าที่มันโดนก็ได้นะ เพราะภูซ้อมไอ้เหี้ยปั๊ปจนเลือดกบปากขนาดนั้น หนักกว่ามันที่ต่อยผมจนแก้มช้ำเป็นไหนๆ

“แล้วยังไงล่ะ ผมทำเพื่อปกป้องคุณสอง ปกป้องพี่น้ำ ปกป้องเปเปอร์ไง” ภูขมวดคิ้วไม่พอใจที่ผมถอดใจง่ายๆ “พรุ่งนี้ไปแจ้งความนะ ต่อให้ผมอาจจะโดนหางเลขก็ช่างมันเถอะ”
“ปล่อยให้เรื่องเงียบไม่ได้เหรอภู?”
“ไม่ได้หรอก มันทำคุณสองเจ็บขนาดนี้จะให้ปล่อยผ่านได้ไง”

ผมซึ้งในน้ำใจของภูยังไงไม่รู้ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมขี้เกียจไปเดินเรื่องให้ยุ่งยาก ไหนจะต้องไปโรงพยาบาล ต้องไปสถานีตำรวจ ต้องเจอไอ้เหี้ยปั๊ปวันไกล่เกลี่ยอีก มันเยอะจนผมไม่อยากยุ่งอะไรด้วยแล้ว อยากให้มันจบตรงนี้ ถ้าไม่ติดว่าเราเองก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังสำหรับเลี้ยงเปเปอร์ให้มีอนาคตดีๆ ไอ้เรื่องฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงดูก็คงไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน

“ผมพาไปก็ได้นะ ถ้าคุณสองไม่สะดวกเดินทาง”
“อย่าเลยภู คุณทำงานเถอะ เดี๋ยวผมไปเอง” ผมบอกแต่ภูไม่ค่อยเชื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าโกลเด้นไม่เชื่อถือคำพูดของผม นี่เรารู้จักกันนานขนาดนั้นแล้วเหรอ “โอเค ผมจะไปแจ้งความ เดี๋ยวถ่ายรูปมาให้คุณดูด้วย ตกลงไหม?”
“ผมไปด้วย”
“ว่างมากเหรอ?”
“ครับ ว่างทั้งนั้นแหละ อะไรที่เกี่ยวกับคุณสองน่ะ”

ผมไปต่อไม่ถูกอีกครั้งด้วยคำพูดของเขา เป็นอีกครั้งที่ภูทำให้ผมคิดว่าตัวเองสำคัญ เป็นใครซักคนที่เขาห่วงจนเสนอตัวดูแลและให้ความช่วยเหลือซึ่งผมเองก็เคยได้รับความรู้สึกนี้จากคนใกล้ตัวบ้าง ไม่ว่าจะจากพ่อแม่ น้ำหนึ่ง หรือจากติณ แต่ภูกำลังทำให้มันพิเศษกว่าด้วยการใส่ใจ เขาไม่ได้กังวลแค่เรื่องแก้มช้ำๆของผม แต่ยังถามถึงคดีความของน้ำหนึ่งอีกด้วย

“ผมมีเพื่อนเป็นทนาย ถ้าคุณสองไม่ไหวหรือไม่รู้จะติดต่อใคร บอกผมได้นะ”
“คุณดีกับผมเกินไปแล้วภู”
“ถ้าคุณสองคิดว่าผมดี แล้วเมื่อไหร่คุณสองจะเปิดใจล่ะครับ?” ภูถามยิ้มๆ ส่วนผมยิ้มไม่ออก ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรเพราะไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกัน
“ดูหนังกันเถอะ”

ผมตัดบทเอาดื้อๆและลุกขึ้นไปนอนบนเตียง ภูดูงุนงงแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาต้อนชานมเข้าคอกก่อนจะเดินไปเปิดเครื่องทำความชื้นข้างหัวเตียง กลิ่นพีชหอมอ่อนๆชวนผ่อนคลายทำให้บรรยากาศน่าพักผ่อนเพิ่มขึ้นมาอีกร้อยเท่า ผมไม่เคยรู้สึกสบายขนาดนี้มาก่อนเลย ที่นอนของภูทั้งนุ่มและแน่น แอร์เย็นเฉียบไม่ได้ทำให้หนาวจนตัวสั่นเพราะผ้านวมผืนหน้าให้ความอบอุ่นได้ดีเยี่ยม ผมทิ้งน้ำหนักลงบนหมอน รู้สึกล่องลอยราวกับอยู่ในโรงแรมห้าดาวผิดกับห้องนอนในร้านกู้ด รี้ดดิ้ง มันสบายจนเกือบเคลิ้มหลับ ถ้าไม่ติดว่ารับปากจะดูหนังกับเขา ผมคงหลับคาเตียงโดยไม่สนใจอะไรไปแล้ว

อนิเมะที่ภูเปิดก่อนนอนคืนนี้ชื่อว่า Spirited Away ภูพูดย้ำนักหนาว่าสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนผมก็ได้แต่ปรือตามองจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ตรงปลายเตียง เรื่องนี้สนุกว่าแม่มดกิกิอย่างที่ภูว่า จากตอนแรกที่ง่วงๆก็ตาสว่างเพราะการผจญภัยของจิฮิโระมันชวนตื่นเต้นมากกว่า ภูบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังรางวัล เป็นหนังที่เขาชอบมากๆถึงขนาดมีฟิกเกอร์ผีไร้หน้าเป็นสิบตัวในตู้โชว์

“ผมเชื่อแล้วว่าคุณชอบ ผมเห็นผีไร้หน้าเยอะพอๆกับโตโตโร่”
“โตโตโร่ผมซื้อเพราะมันน่ารัก แต่เนื้อเรื่องไม่สนุกขนาดนั้นหรอก ออกจะน่าเบื่อนิดหน่อยสำหรับผมนะ” ภูพูดขณะที่ตายังมองโทรทัศน์ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมาก”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“Howl's Moving Castle” ภูตอบ “เสียดายที่ฉบับแปลหมดเกลี้ยงแล้ว”
“ของสำนักพิมพ์มติชนใช่ไหม?”
“คุณสองรู้จักเหรอครับ? ที่ร้านพี่ติณมีขายไหม?”
“เคยมี แต่ขายหมดไปพักใหญ่แล้วล่ะ” ผมหาวออกมาหวอดใหญ่ “คุณก็ซื้อฉบับอิ๊งมาอ่านสิ ที่คิโนะคูนิยะยังมีขายอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษขนาดจะอ่านนิยายได้น่ะสิครับ”

ผมมองภู มองสีหน้าเสียดายของเขาด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าโกลเด้นยังบ่นต่อไปว่าเขาชอบเรื่องนั้นมาก ชอบมากๆ มีคนรีวิวว่าในหนังสือไม่เหมือนกับอนิเมะ ภูอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง มันสนุกกว่าที่เคยดูไหม ภูอยากจะรู้จริงๆแต่คงไม่มีโอกาสเพราะเขาไม่เก่งภาษาอังกฤษถึงขนาดจะแปลได้ทั้งเล่ม

“เดี๋ยวแปลให้ เอาไหมล่ะ?”
“ได้เหรอครับ?”
“ได้สิ” เจ้าโกลเด้นกระดิกหากดีใจยกใหญ่ แต่ผมก็เบรกความดีใจของเขาด้วยการอธิบายเพิ่มเติมว่า “ผมไม่แปลออกมาเป็นหน้าๆให้คุณหรอกนะ ผมจะอ่านแล้วแปลเลย คุณต้องมีเวลาฟังด้วย ตกลงไหมล่ะ?”
“ตกลงอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ตกลงล่ะครับ”
“คุณชอบเรื่องนั้นมากเลยหรือไง?”
“ชอบก็ส่วนนึง แต่ที่ดีใจคือผมจะได้มีโอกาสอยู่กับคุณสองมากกว่านี้ต่างหาก” ภูเฉลยคำตอบที่ผมคาดไม่ถึง “เพราะถ้าคุณสองต้องอ่านและแปลให้ฟัง เท่ากับว่าเราก็จะได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น คุณสองจะมาค้างห้องผมถี่ขึ้นใช่ไหมครับ?”
“ไม่รับปากนะ บางวันผมก็ต้องช่วยติณดูร้าน” ผมตอบตามตรง “อีกอย่างนะ ผมสงสัยจริงๆว่าทำไมคุณถึงดีใจนักหนาเวลาผมมาค้างที่นี่ คนส่วนใหญ่เขาไม่ชอบหรอกนะเวลาแขกมานอนเบียดบนเตียง นี่ผมทั้งเอาเสื้อผ้าคุณมาใส่ เอาบ็อกเซอร์กลับไปซัก ผมเอาเปรียบคุณขนาดนี้ คุณยังจะต้อนรับให้ผมมาบ่อยๆอีกเหรอ?”
“ไม่เห็นแปลกเลย มันคือความชอบที่ผมมีให้คุณสองไง”
“ตาบอดนะคุณน่ะ”
“ตาถึงล่ะสิไม่ว่า” ภูย่นจมูกเมื่อผมดูถูกรสนิยมของเขา “คุณสองน่ะมีเสน่ห์มากๆเลยรู้ตัวไหม ยิ่งคุณสองใส่แว่นด้วย ผมยิ่งชอบ”
“ชอบคนใส่แว่นเหรอ?”
“ใช่” เจ้าโกลเด้นพยักหน้ารับ “ผมน่ะ ชอบคุณสองจริงๆนะ”
“ชอบผมแล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“จะจีบให้ติด แล้วก็คบกัน”
“เราคบกันแล้วได้อะไรเหรอภู คุณจะมีความสุขขึ้นหรือไง?” ผมถามตามตรง
“แน่นอนสิครับ” ภูตอบ “ไม่ใช่แค่ผมนะที่จะมีความสุข คุณสองเองก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน”
“แต่ผม --” ผมอ้ำอึ้ง อยากพูดว่าเข็ดขยาดกับความรัก แต่จู่ๆก็กลัวว่าหากพูดแบบนั้นออกไป ภูคงเสียใจน่าดู “แต่ผมไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ”
“ผมก็ไม่ใช่คนดี”

ภูตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง เขามองมาที่ผมด้วยแววตาหลากหลายความหมาย มันเป็นประกายวิบวับเหมือนเด็กไร้เดียงสาต่อความรัก เด็กที่ไม่คาดหวังสิ่งอื่นใดนอกจากการตอบรับของคนที่ตัวเองชอบ

“ผมไม่เป็นสลิ่มด้วยนะ”

ผมหลุดหัวเราะก๊าก ไอ้หมาบ้า พูดออกมาในบรรยากาศแบบนี้ได้ยังไง มันขัดมู้ดแอนด์โทนของการบอกชอบนะรู้ไหมเนี่ย

“คุณสองให้โอกาสผมนะ ผมจะดูแลคุณอย่างดี ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจเหมือนคนอื่นที่ผ่านมา”

ภูให้สัญญาและปล่อยให้บรรยากาศนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ หัวใจของผมเต้นโครมครามแทบไม่เป็นจังหวะเพราะรู้สึกว่าการบอกชอบครั้งนี้มันจริงจังที่สุดตั้งแต่เราคุยกันมา ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อว่าจะมีผู้ชายดีๆแบบภูเข้ามาในชีวิต ไม่อยากเชื่อว่าจะได้พบกับคนที่บอกว่าชอบผม ชอบใบหน้าแป้นๆของผม ชอบที่ผมสวมแว่นหนาเตอะเหมือนเด็กเนิร์ดและเอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ทั้งวี่ทั้ง ชอบผม – แม้ว่าครอบครัวผมจะฐานะไม่ค่อยดีและมีแต่เรื่อง ทุกอย่างมันดูเหลือเชื่อเหมือนฝัน เหมือนความฝันเมื่อคืนไม่มีผิด เหมือนตอนที่เขากระซิบบอกว่าชอบผมและหลังจากนั้นก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ ใช้แววตาแสนหวานในการทำให้ผมหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ริมฝีปากเราจะค่อยๆแตะกัน หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความฝัน

ผมกับภูจูบกันจริงๆ

คนเราถ้าไม่รู้สึกดีต่อกันก็คงไม่จูบกันหรอก ผมเชื่อแบบนี้เสมอจนกระทั่งยอมให้ภูได้ครอบครองริมฝีปากที่ไม่เคยมอบให้ใครนอกจากชวินทร์ จูบของภูทำให้ผมนึกถึงความเป็นเด็กซื่อและไร้เดียงสา เขาจูบไม่เป็น ราวกับห่างเหินการจูบมาเนิ่นนานอย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดเมื่อถึงจุดที่เราต้องผละตัวออก ผมบอกภูว่าการจูบแบบนี้ทำให้ผมเจ็บ เขาต้องดูดริมฝีปากเบาๆ ไม่ใช่ขบเม้ม อย่าออกแรงมากจนเกินไปแต่ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ

“ผมใช้ลิ้นได้ไหม?”
“ได้สิ” ผมตอบพลางถอดแว่นสายตาออก แม้จะรู้สึกกระดากอายแปลกๆแต่ความต้องการที่จะลิ้มลองภูมีมากกว่า “มานี่สิ เดี๋ยวผมจูบคุณ แล้วคุณลองทำตามนะ”

ผมน่าจะหยุดตัวเองตั้งแต่ตรงนั้น น่าจะคิดได้ว่าการจูบกันสามารถนำพาไปถึงเซ็กส์ที่ไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน เพราะผมมัวแต่ลุ่มหลงในตัวภู มัวแต่รู้สึกดียามที่เราดูดดึงกันอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบากว่าก่อนหน้า ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายขึ้นคร่อมภูก่อน สองมือไล้สัมผัสไปทั่วหน้าอกเขาของด้วยความหลงใหลเหมือนในความฝัน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าชอบภูมาก ชอบร่างกายของเขา ชอบหุ่นและผิวของเขาจนหยุดลูบไม่ได้ สิ่งหนึ่งในตัวเราทั้งคู่ได้ถูกจุดขึ้นมาแล้ว และมันจะดำเนินต่อไปไม่หยุดจนกว่าจะเราจะเสร็จสม ดังนั้นหลังใช้ปลายนิ้วหยอกล้อหน้าอกกับภูจนเขาเริ่มเปล่งเสียงแห่งความรู้สึกดี ภูก็พลิกตัวผมกลับมาอยู่ด้านล่างและขออนุญาตถอดเสื้อ

“ไม่ต้องขอหรอก”

ผมพูดพลางถอดทุกอย่างจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ หมดซึ่งความยับยั้งชั่งใจ ชั่วโมงนั้นเราทั้งคู่ไม่มีใครห้ามใจตัวเองซักคน ผมไม่ได้คิดว่ามันจะเลยเถิดจนถึงขนาดสอดใส่เพราะไม่ได้เตรียมตัวมา ภูเองก็ไม่มีเจลหล่อลื่นและถุงยาง ดังนั้นเซ็กส์ครั้งแรกของเราจึงจบลงที่จูบและการใช้มือช่วยเท่านั้น

ผมไม่สามารถบรรยายอะไรได้มากนักเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมือนฝันไปเหล่านั้น ครั้งแรกของเขาเป็นเพียงการสัมผัสภายนอก ผมใช้มือช่วยภู ในขณะที่เขาก็จูบผมไปพร้อมกับล้วงมือเข้ามาในบ็อกเซอร์ เราต่างรูดดึงให้กันและกันตามอารมณ์ที่พุ่งทะยาน ผมพรมจูบไปทั่วลำคอของภู สูดเอากลิ่นหอมของครีมอาบน้ำเข้าเต็มปอดด้วยความหลงใหล ตอนแรกอะไรๆก็ดูเคลิบเคลิ้มชวนฝันจนกระทั่งภูเริ่มใช้ริมฝีปากดูดผิวของผม เริ่มใช้ฟัน เริ่มออกแรงบีบตามเนื้อตัวของผมแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมถึงเริ่มสงสัยว่า –

ภูเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงตอนมีเซ็กส์หรือเปล่า?

เพราะการดูดดึงของเขาต่างจากของผมที่แค่พรมจูบอย่างนุ่มนวลสลับกับใช้ลิ้น ภูดูดคอของผมด้วยความรุนแรงเหมือนจูบกันในทีแรก เขาดูดดึงด้วยปลายลิ้นและใช้ฟันขบเม้มจนเป็นรอย มือซ้ายที่เคยปรนเปรอให้ผมถูกยกขึ้นมาบีบข้อมือ ภูบีบแรงจนผมเจ็บ เจ็บเหมือนเนื้อจะแหลกคามือของเขายามที่ภูออกแรงมากขึ้น ผมเริ่มสังเกตว่ายิ่งเขารู้สึกดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งส่งต่อความรู้สึกนั้นเป็นความรุนแรง จุดหนึ่งที่เริ่มทนไม่ไหวกับความเจ็บทางกายภาพ ผมจึงสะบัดหน้าออกจากจูบของเขาและบอกว่า

“ผมเจ็บ!”

ภูชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของผม เขาดูอึ้ง ตกใจปนสับสนราวกับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ภูค่อยๆมองมือของตัวเองที่บีบรัดข้อมือของผมแน่น รอยเจ็บตรงคอยังคงปวดตุบเพราะแรงดูดที่ภูทิ้งเอาไว้ ผมหอบหายใจและมองหน้าเขา มองภูที่สติหลุดไปแล้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆใช้สองมือประคองแก้มของภูเอาไว้

“ทำเบาๆ โอเคไหม?”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณตื่นเต้น” ผมลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของเขา “ทำเบาๆนะ ผมเจ็บ ผมเจ็บจริงๆ อย่าดูดคอผมเลย”
“ขอโทษครับ” ภูเสียงสั่นดูขลาดกลัว “ผมทำคุณสองเจ็บมากไหม?”
“ไม่” ผมปลอบใจและดึงหน้าภูเข้ามาจูบอีกครั้ง “ทำต่อให้เสร็จเถอะ”

แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ภูก็ยังลังเล ไม่กล้าแตะตัวผมอีก

“มาเถอะ ผมจะเสร็จแล้ว คุณก็จะเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่”
“มาเถอะ เร็วเข้า” ผมเร่งเร้า “ไม่ต้องคิดมาก มันไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก”

ผมเอ่ยปากร้องขอ ภูค่อยๆกลับมามีสติและเราเริ่มมีเซ็กส์กันใหม่อีกครั้ง คราวนี้ภูนุ่มนวลมากขึ้น เขาอ่อนโยน แต่แววตากลับไม่ลุ่มหลงเมื่อช่วงแรกที่ทำให้ผมเจ็บตัว มันเกือบพังแล้ว ตอนแรกภูจะหยุดแล้ว แต่ผมก็โน้มน้าวให้เขากลับมาใหม่ด้วยการใช้ลิ้นหยอกล้อหน้าอกของเขา เราผลัดกันใช้มือจนผมใกล้ถึงฝั่งฝันเต็มที ภูแข็งตัวเต็มที่ เขาเริ่มเบ้หน้า ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนคนเป็นภูมิแพ้ เมื่อถึงจุดหนึ่งของอารมณ์ ภูเสร็จก่อนผมไม่กี่วินาที หลังจากนั้นก็ถึงคราวของผมบ้าง เรานอนกอดกันอยู่บนเตียงโดยที่มือต่างเปื้อนของเหลวจากอีกฝ่าย ภูหอบหนักมากจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาหอบแต่ก็ยังพรมจูบบนหน้าผากของผม

“ภูไม่ได้ตั้งใจทำสองเจ็บ ภูชอบสองจริงๆ” ภูพูดด้วยน้ำเสียงขาดห้วง สรรนามที่เราใช้แทนกันเริ่มเปลี่ยนไป “สองเกลียดภูไหม?”
“ไม่หรอก คิดมาก” ผมตอบทั้งๆที่ยังเหนื่อยไม่แพ้กัน “ผมไม่เกลียดคุณแค่เพราะคุณดูดคอผมหรอกนะ”

เรานอนหอบกันในสภาพที่ภูขึ้นคร่อมผม เขาซบหน้าลงบนซอกคอและไม่พูดอะไรอีกนอกจากหอบอยู่อีกพักใหญ่ ภูใช้เวลานานจึงจะกลับมาหายในเป็นปกติ เขาค่อยๆปล่อยมือจากส่วนนั้นของผมและเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบเอาทิชชู่เปียกออกมาเช็ดทำความสะอาดมือของตัวเองและมือของผมที่ยังคงนอนหลับตาอยู่ข้างๆ

“ล้างตัวไหมครับ?”
“คุณล้างก่อนเลย เดี๋ยวผมจัดการเอง”

ผมบอกเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่ได้มองตาเขา ไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกระทั่งภูปิดประตูห้องน้ำ เสียงฝักบัวห่าใหญ่ดังขึ้นเมื่อเจ้าของห้องอาบน้ำใหม่อีกครั้ง แต่นั่นไม่สำคัญเท่าความสับสนและกังวลใจของผมในตอนนี้

เรามีเซ็กส์กันแล้ว
เราต่างเอาตัวเองไปผูกมัดอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว

ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่เพราะผมไม่ใช่พวกที่แยกแยะเซ็กส์กับความรู้สึกออกจากกันได้ ผมพยายามเรียกมันว่าการเผลอตัวเผลอใจไปกับบรรยากาศแต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ ผมคงรู้สึกชอบภูเหมือนกัน ผมคงแอบปลื้มเขามากถึงได้ตะกละตะกลามกับร่างกายของเขาขนาดนั้น นี่ไม่ใช่นิสัยผมเลย ผมจะไม่มีอะไรกับคนที่ไม่ใช่แฟน แต่พอเป็นภู ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างง่ายดายและจบอย่างเรียบง่ายจนอดกังวลไม่ได้ว่าหากมีครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สองและสามต้องตามมาแน่ๆ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น –

สถานะของเราจะเป็นอะไรกันนะ?

ผมครุ่นคิดกับตัวเองจนกระทั่งภูออกจากห้องน้ำ เขาอาบน้ำใหม่จริงๆด้วย เจ้าโกลเด้นภูที่โคตรเซ็กซี่ยืนเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก ทันทีที่เปิดประตูออกมาเขาก็ถามว่าจะอาบน้ำใหม่ไหม ผมตอบไปว่าอาบสิ และเดินหนีเขาเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ

ให้ตายเถอะ – อยากต่อยหน้าตัวเองชะมัด

มันคงไม่เป็นไรเลยถ้าไม่เผลอตัวเผลอใจขนาดนั้น อย่างน้อยถ้าเรายังไม่มีอะไรกันก็ยังพอมีเส้นคั่นบางๆไม่ให้เลยเถิดไกลกว่านี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผมคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับมัน ดังนั้นหลังแสร้งทำเป็นอาบน้ำนานเกือบสิบนาที ผมก็เปิดประตูออกไป ภูยังคงนั่งอยู่ปลายเตียง มองมาที่ผมด้วยแววตารู้สึกผิดมากกว่าจะเคอะเขินดีใจที่เรามีอะไรกัน ผมเดินไปหาเขาและถามว่าทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น เสียใจที่เรามีอะไรกันเหรอ

“เปล่าหรอกครับ” ภูตอบก่อนจะมองคอของผม “ผมทำสันดานไม่ดีอีกแล้ว”
“คุณหมายถึงนี่เหรอ?” ผมชูข้อมือที่มีรอยแดงของนิ้วภูชัดเจน “ช่างมันเถอะ ไม่เจ็บเท่าไหร่”
“แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี”
“จะคิดมากทำไม? เรามีความสุขด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ?” ผมเชยคางเจ้าโกลเด้นให้สบตากัน ภูยังคงเศร้าแปลกๆ ทำไมเขาถึงจริงจังกับเรื่องนี้มากจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นปัญหาอะไร “หรือคุณไม่ชอบ?”
“ชอบครับ อยากทำอีก”
“พอ!” ผมเขกหัวเขา “นอนเถอะ คุณต้องทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”

ผมถามพลางเดินกลับไปประจำที่ตัวเอง รู้สึกเพลียชอบกลเมื่อได้ล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆที่มีผ้านวมอุ่นๆคอยโอบกอดอีกชั้น อนิเมชั่นจิบลิคืนนี้ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย เราทั้งคู่ไม่มีใครสนใจฟังชื่อจริงของฮาคุเลยซักนิด ภูกับผมต่างนอนเงียบกันคนละฝั่งของเตียง ภูเงียบเพราะอะไรไม่รู้ แต่ผมเงียบเพราะกังวล กลัวว่าจะตกหลุมรักภูมากกว่าไปนี้

“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะเจอคุณสองไหม?”
“คุณกังวลเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ?”

ผมหัวเราะขำและหันไปมองหน้าเขา เจ้าโกลเด้นไม่ได้ล้อเล่นเหมือนคราวก่อนอีกแล้ว เขามองผมด้วยสายตาจริงจังราวกับอยากได้คำสัญญาว่าพรุ่งนี้ผมจะตื่นนอนพร้อมเขา จะไม่หนีกลับก่อนเหมือนที่ทำมาตลอดสองครั้ง

“พรุ่งนี้ผมจะอยู่กินข้าวเช้ากับคุณด้วย พอใจหรือยัง?”

ภูยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ เขาบอกว่าจะสั่งนั่นสั่งนี่มาให้กินแต่ผมไม่ค่อยสนใจ ผมปล่อยให้ภูพูดต่อไปจนกระทั่งผล็อยหลับโดยไม่รู้ตัว คืนที่สามของการนอนบ้านภู ผมไม่ได้ฝันถึงเรื่องอย่างว่าอีกแล้ว แต่ผมฝันว่าได้ย้อนกลับไปในงานแต่งงานของชวินทร์ และในความฝันนั้น ผมเห็นภูยืนยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกๆเหมือนคนโรคจิต แต่มันก็แค่ความฝัน เพราะตื่นขึ้นมา ผมยังเห็นภูเป็นเจ้าโกลเด้นแสนซื่อเหมือนเดิม



TBC

________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะวันจันทร์หรรษา หลังจากเบี้ยวอยู่หลายครั้งในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอกับทุกคนอีกแล้วนะคะ หวังว่าพวกคุณจะมีความสุขและสนุกกับนิยายเรื่องนี้ ขอขอบพระคุณทุกการสนับสนุน กำลังใจ และความรักทุกรูปแบบที่มอบให้นะคะ เงินโดเนททุกบาททุกสตางค์ ถูกนำไปซื้อนมสดบราวน์ชูก้าร์เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันเสมอ ขอให้เป็นสัปดาห์ที่ดีของทุกคนเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [8] 09/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-03-2020 22:19:43
โอ้โห ระแวงค่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

สองจะไม่ต้องเจอความบัดซบในรูปของความรุนแรงอีกใช่ไหม
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [8] 09/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-03-2020 01:15:53
ฝันแต่ละอย่างของสอง ไม่ต้องเป็นจริงก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [8] 09/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Windtofree ที่ 10-03-2020 01:56:02
ดราม่าต่อไปมั้ยนิ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [8] 09/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: kapook743 ที่ 11-03-2020 03:16:04
ชอบความภูในโหมดแบบรุนแรง(เอะเราคิดแบบนี้นี่โรคจิตหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [9] 30/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 30-03-2020 20:08:52
9 [PART 1/2]

9

ช่วงนี้ผมเจ็บคอ เจ็บและไอแห้งเหมือนมีเสมหะ แต่อาการไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นหวัดหรือป่วยหนักเหมือนช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด

ผมตื่นนอนบนเตียงของตัวเองในอีกหลายวันถัดมาหลังจากมีอะไรกับภู เชื่อไหมว่าผมไม่เคยลืมเลย ไม่เคยลืมสัมผัส หรือริมฝีปากของเขาที่ได้ลิ้มลองอีกหลายครั้งนับจากวันนั้น ภูเป็นเหมือนของหวานหลังอาหารหลัก เพื่อความปลอดภัยของหัวใจ ผมจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับเขาไม่ให้เราได้ล้ำเส้นไปไกลกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันผมก็คิดถึงเขา และอยากใช้เวลากับเขาทุกวันทว่าต้องหักห้ามใจตัวเองเอาไว้ ผมไม่อยากรักภู ไม่อยากให้ชีวิตตัวเองยุ่งเกี่ยวกับสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆอีกเพราะครอบครัวของผมก็วุ่นวายชิบหายแล้ว

[สอง ไอ้ปั๊ปมันขอไกล่เกลี่ย] พ่อโทรหาผมตั้งแต่เช้าเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ [แม่กับน้ำหนึ่งคิดว่าไปต่อรองกันก่อน ถ้ามันทุเรศหรือไม่ไหวจริงๆถึงจะจ้างทนาย สองว่ายังไง?]
“สองไม่ให้คุยกับมัน ไปคุยกันที่ศาล อยากคุยดีๆอะไรตอนนี้”
[พ่อก็คิดเหมือนกัน] พ่อตอบด้วยน้ำเสียงดีใจที่เรามีความเห็นตรงกัน [เรื่องเงินน่ะ --]
“เดี๋ยวสองโอนให้”
[ไม่ใช่ พ่อจะบอกว่าเดี๋ยวพ่อจ่ายเอง]
“ไปหาเงินจากไหน? ขับแกร๊บอีกล่ะสิ?” พ่อนิ่งเงียบไปนานจนผมถอนหายใจ “จะขับทำไม? สองพูดกี่ครั้งแล้วว่าอย่าไปให้เหนื่อย ขับรถวนในกรุงเทพทั้งวันสนุกเหรอ?”
[ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ แบมือขอเงินลูกใช้ทุกเดือน]
“สองก็ส่งให้พ่อตั้งแต่เรียนจบอยู่แล้ว ส่งต่อไปเรื่อยๆมันจะเป็นไร ถามจริงเถอะ พ่อเงินเดือนเท่าไหร่กันแน่? แก่จนใกล้จะเกษียณแล้วสองยังไม่รู้เงินเดือนของพ่อเลยนะว่าได้เท่าไหร่?”

คราวนี้พ่อนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ ผมนึกสงสัยจริงๆว่าเงินเดือนของพ่อแม่ทำไมถึงเป็นความลับสำหรับลูก มีอยู่เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่ยอมบอกกัน คงกลัวว่าถ้าผมรู้ตัวเลขแล้วจะสงสัยว่าทำไมบ้านเราถึงไม่พอใช้ ทำยังไงๆก็ไม่ค่อยจะมีเงินเหลือสำหรับซื้อของทางใจ แม้แต่เครื่องฟอกอากาศในห้องเปเปอร์ ผมยังต้องเป็นคนซื้อให้หลาน ส่วนตัวเองยังไม่มีใช้เลย

[แล้วจะมาบ้านอีกเมื่อไหร่?]
“คงไม่ไปเร็วๆนี้ สองไม่ว่าง” ผมถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นอีเมลจากพี่ดาว “แค่นี้ก่อนนะพ่อ สองต้องทำงาน”
[ดูแลตัวเองด้วยนะ พ่อดูในแอปเมื่อเช้า นนทบุรีค่าฝุ่นเยอะมาก]

อ้อ – ผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมถึงเจ็บคอ

“ไม่ต้องห่วงสอง ห่วงตัวเองเถอะ ทำงานใกล้เครื่องจักรมลพิษเยอะกว่านั่งในร้านหนังสืออีก”
[ซื้อเครื่องฟอกอากาศไว้ในห้องตัวเองบ้าง]
“คำสั่งเหรอ?”
[ใช่] พ่อบอก [รักสุขภาพตัวเองบ้างนะสอง บุหรี่ก็ให้มันน้อยๆหน่อย พ่อปีนี้พ่อสูบไม่ถึงสามร้อยมวนแล้วนะ]
“เก่งครับ เก่งมาก” ผมแกล้งประชดและหัวเราะ จากเมื่อก่อนที่ทำสถิติเล่นๆว่าเราสองคนใครสูบบุหรี่มากกว่า ตอนนี้กลายเป็นว่าพ่อบลัฟผมเรื่องสูบน้อยลงแล้ว “พ่อควรเลิกตั้งนานแล้ว ให้สองสูบคนเดียวพอ”
[เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตายหรอก]
“เออ ตายๆไปเถอะ ถึงไม่ตายเพราะมะเร็งก็ต้องตายเพราะอย่างอื่นอยู่แล้ว เรามันมีเงินสำรองฉุกเฉินกันซะที่ไหน เกิดใครเป็นอะไรขึ้นมาซักคนได้ล้มกันหมดบ้าน”
[เอ๊ะ! ไอ้นี่! คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง กูไม่คุยกับมึงแล้ว เสียสุขภาพจิต]

พ่อตัดสายด้วยความโมโห จบกันบทสนทนาพ่อลูกผูกพันแต่ผมไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ปกติบ้านเราเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมเป็นคนปากไม่ดี พูดจาไม่ค่อยเข้าหู คุยได้นิดหน่อยก็ต้องวางสายประจำ ดังนั้นการถูกพ่อตัดสายจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ผมไม่สนใจว่าพ่อจะโกรธแค่เพราะพูดว่ายังไงเราก็ต้องตายอยู่ดี มันคือสัจธรรมและความจริงบนโลกใบนี้ไม่ใช่หรือไง

หลังวางสายจากพ่อได้ไม่นาน ผมก็ต้องหอบหิ้วตัวเองลงไปทำงานชั้นล่างของกู้ด รี้ดดิ้ง บริเวณโซนขายหนังสือมีเครื่องฟอกอากาศตัวใหญ่ประมาณสองตัว ติณณภพซื้อมาใช้เพื่อคุณภาพชีวิตของลูกค้าและพนักงาน รวมถึงเพื่อนกาฝากที่นับวันไม่ค่อยจะอยู่เฝ้าร้านอย่างผมด้วย ดังนั้นหากอยากมีอากาศดีๆที่พอหายใจหายคอได้เต็มปอดในยุคที่รัฐบาลเมินเฉยกับสุขภาพของประชาชน ผมก็จำเป็นต้องนั่งทำงานข้างล่างทั้งวัน

“ตื่นสายเหรอทำไมเพิ่งลงมา?”

ติณเอ่ยถามเมื่อเห็นผมเดินกระเซอะกระเซิงหอบแล็ปท็อปเต็มสองแขน พอวางของบนโต๊ะตัวใหญ่เรียบร้อยก็ถอนหายใจ และบ่นให้เพื่อนฟังว่าหายใจไม่ออก

“กลางคืนร้านปิดก็ยกขึ้นไปใช้ซักตัวสิ”
“เครื่องใหญ่เท่าควาย กูจะยกขึ้นยกลงยังไงไหว” ผมบ่นอีกแต่ก็คิดว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปคงได้ทำตามที่ติณว่าแน่ๆ
“ช่วงนี้ไม่เห็นหน้าเลยนะ”
“มีธุระข้างนอก” ผมตอบโดยไม่มองตาเพื่อน “ไปคุยกับพี่ดาวบ้าง เดินเล่นบ้าง มึงก็รู้ว่ากูชอบเดินร้านหนังสือ”
“แล้วที่นั่งอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ร้านหนังสือหรือไง?” ติณถามย้อนก่อนจะวางไอแพดลงบนโต๊ะ “มึงจะไปไหนกูไม่ว่านะ แต่ขอร้องช่วยกลับมาค้างที่ร้านด้วย”
“เออน่า ร้านนี้ก็เหมือนบ้านกูนั่นแหละ ไม่ค้างที่ร้านจะให้ไปค้างที่ไหน”

ผมพูดลอยๆ  แล้วก็คิดถึงภูขึ้นมาอีกครั้ง ผมไม่จำเป็นต้องแบกเครื่องฟอกอากาศขึ้นลงเลยหากไปค้างที่ห้องของเขา ผมแทบไม่ต้องเตรียมอะไรซักอย่างแม้กระทั่งชุดนอนเพราะภูจัดหาไว้ให้เสมอ หรือช่วงนี้ผมจะแอบหนีไปนอนบ้านภูตามคำรบเร้าดีนะ เขาเอาแต่บ่นว่าอยากให้ไปหาบ่อยๆ แต่ก็แอบกลัวว่าหากอยู่กับเขาสองต่อสองจนชินจะยิ่งเป็นอันตรายกับหัวใจตัวเองเหมือนกัน

“สอง”
“หืม?”
“มึงมีความรักเหรอ?”
“ไม่มี” ผมตอบเสียงเรียบก่อนจะมองหน้าเพื่อน แสร้งทำเป็นพิมพ์อะไรยุ่งๆในเวิร์ดนิดหน่อยทั้งๆที่รู้สึกว่าตัวเองเก็บอาการได้ไม่เต็มที่ “ถามทำไม?”
“เด็กในร้านมันลือกันว่ามีคนตามจีบมึง”
“ใครมันจะโง่มาจีบกู”
“หึ” ติณแค่นหัวเราะและจ้องผม “มึงจะรักใครชอบใครกูไม่ว่า แต่รักตัวเองให้มากๆ อย่าทุ่มหมดหน้าตัก อย่ารักใครจนหน้ามืดตามัวอีกนะ”
“เออน่า กูไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสาเหมือนตอนนั้นซะหน่อย”
“จะเด็กไม่เด็กมันไม่เกี่ยวหรอก ความรักทำคนเจ็บเจียนตายมาแล้วตั้งกี่คน”
“คมมาก”
“กูพูดจริงๆนะสอง” น้ำเสียงของติณขึงขัง ไม่มีท่าทีล้อเล่นเหมือนก่อนหน้าอีก “จำคำกูไว้นะ ถ้าคนที่คุยอยู่ตอนนี้ทำมึงเสียใจครั้งเดียวจะลองให้อภัยมันก่อนก็ได้ แต่ถ้ามีครั้งที่สอง มึงต้องเริ่มคิดแล้วว่ามึงสมควรเจอเรื่องแบบนี้ไหม แต่ถ้ามีครั้งที่สาม --”
“กูจะเลิกกับมันโดยที่ไม่ต้องให้มึงเป็นห่วงเลย”
“แสดงว่ามีคนคุยอยู่จริงๆด้วย”
“ก็ – อืม” ผมยอมรับอย่างจำนน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกติณอีกต่อไป “สัตวแพทย์คนนั้นที่ชอบมาร้านเราบ่อยๆ”
“อ้อ” ติณพยักหน้า “ดูเด็กกว่ามึงเยอะเลยนะ”
“อายุยี่สิบหกเอง ไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น”
“แต่หน้าเด็กมาก”
“ภูเป็นพวกดูแลตัวเอง” ผมหัวเราะพลางนึกถึงสกินแคร์ราคาแพงที่วางแน่นบนเคาน์เตอร์ห้องน้ำบ้านเขา
“ชื่ออะไรนะ? หมอหมาคนนั้น --”
“ภู” ผมตอบ “ชื่อภู ไม่ได้เป็นแค่หมอรักษาหมานะ เม่นแคระก็รักษาได้”
“อวดผัวมาก”
“บ้า ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเลย”
“อีกแล้วเหรอ? คบกันแบบไม่มีสถานะอีกแล้วเหรอ? ไม่รู้จักเข็ดจักจำ” ติณส่ายหน้าเอือมระอาก่อนจะลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวก็เจ็บปางตายเหมือนสมัยไอ้ชวินทร์”
“ถ้าเราไม่มีสถานะก็ไม่เจ็บหรือเปล่าวะ? ก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่ารู้สึกมากไปกว่านี้สิ”
“แสดงว่าไม่เข็ดไม่จำ ชอบเหรอกับอะไรคลุมเครือ?”
“เปล่า” ผมตอบและเงียบไปพักใหญ่ “กูแค่รู้สึกว่ากูไม่พร้อมจะมีใครว่ะ”
“มึงยังรักไอ้วินอยู่เหรอ?”
“ไม่ใช่ กูหมายถึง – มึงดูสภาพกูสิ ที่ซุกหัวนอนของตัวเองยังไม่มี พ่อแม่พี่ก็ขยันสร้างปัญหามาให้ เงินเก็บก้อนใหญ่ยังไม่มีเลย แถมต้องทำงานหัวฟูหาเงินหมุนตัวเป็นเกลียว เอาเงินไปตามล้างตามเช็ดปัญหาที่ไม่ได้ก่อ แล้วแบบนี้กูจะเอาเวลาที่ไหนใส่ใจภูวะ? อีกอย่าง ฐานะเราต่างกันเกินไป กูว่ายังไงก็ไม่รอด เหมือนกูกับวินไง”
“มีเศรษฐีกี่ล้านคนที่บังเอิญได้แฟนจน คนพวกนั้นสถานะห่างกว่ามึงกับหมอหมาอีกไอ้ห่า คิดมาก มึงคุยกับภูก่อนเถอะแล้วค่อยมานั่งถอนหายใจ”
“ไม่เคยคุย ไม่อยากคุย” ผมตอบโดยพยายามทำตัวปกติเพื่อให้ติณคิดว่าผมไม่แคร์ ไม่แคร์จริงๆกับการคบกันแบบไม่มีคำเรียก “แบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
“แบบนี้คืออะไร? คุยกัน ชอบกัน อยู่ด้วยกัน เอากัน แต่ไม่มีสถานะ?”

เมื่อผมพยักหน้า ติณก็แค่นหัวเราะและใช้มือโยกหัวของผมเบาๆหนึ่งที

“มึงทำไม่ได้หรอกสอง มึงโหยหาความรักมากกว่าที่มึงคิด”

ติณณภพเดินจากไป เหลือเพียงผมที่นั่งทำงานหน้าคอมพร้อมกับคิดถึงคำพูดของเพื่อน ผมน่ะเหรอโหยหาความรัก? ไม่จริงหรอก ผมไม่ต้องการความรักขนาดนั้น สิ่งที่ผมต้องการคือเงินซักก้อนเพื่อจ่ายเป็นค่าทนายให้ยายพี่สาวตัวดีต่างหาก ผมไม่ต้องการความรักนอกจากงานที่ทำให้มีกินมีใช้ไปจนแก่หรือไม่ก็มากพอที่จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในบ้านบางแค ผมไม่ต้องการความรัก นอกจากมิตรภาพดีๆที่พอให้หัวใจกระชุ่มกระชวยและมีความสุขเล็กๆบ้างเท่านั้น

ผมไม่ต้องการความรัก

เพราะผม – ไม่อยากเสียใจเพราะการเลิกราอีกแล้ว




ภูบ่นว่าคิดถึงผม เขาพูดออกมาหน้าตาเฉยระหว่างที่เรากำลังคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ เจ้าโกลเด้นเปิดบทสนทนาว่าสวัสดีครับ ยุ่งไหมครับ กินข้าวหรือยังครับ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการพูดว่าคิดถึงสอง ภูคิดถึงสองจังเลย

“คิดถึงอะไร เราก็คุยกันทุกวันอยู่แล้วนี่”

ผมตอบขณะที่ตาจ้องจอแล็ปท็อป รู้สึกปวดหัวตั้งแต่เช้าเพราะไม่รู้จะแปลเนื้อหาตอนที่ยี่สิบหกยังไง ผมแก้แล้วแก้อีก แก้ทั้งวัน แก้จนเหนื่อยแต่ก็ยังไม่ถูกใจเพราะการแปลนิยายต้องใช้ความละเอียดอ่อนมากกว่าแปลบทความทั่วไป ต้องคิดหาคำและเรียบเรียงใหม่โดยที่ใจความต้องครบ ไม่ขาด ไม่เกิน ไม่มีเพิ่มเติมใส่ไข่ลงไปในต้นฉบับ พอใช้สมองหนักๆมันก็เริ่มล้า จึงตัดสินใจปิดคอมและทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแข็งๆของตัวเองเพื่อหนีความเครียด

[มาหาภูหน่อยได้ไหม? ภูจ่ายค่ารถให้ก็ได้]

เจ้าโกลเด้นถามเสียงอ่อน ผมเหลือบมองนาฬิกา บ่ายสามแล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงภูถึงจะเลิกงานซึ่งหลังๆมานี้เขาเลิกไม่ค่อยเป็นเวลา ผมจึงถามภูว่าที่บอกให้ไปหาหมายความว่ายังไง

[ภูอยากให้สองมาค้างที่บ้านอีก]
“อาทิตย์ก่อนก็ไปนอนเป็นเพื่อนแล้วนี่”
[แต่ภูอยากให้มาอีก]
“อะไรนักหนา ไม่หนวกหูเสียงกรนของผมหรือไง?”
[ภูก็กรนเหมือนกัน] เจ้าโกลเด้นงอแงและเริ่มพูดเสียงยานคางเหมือนเด็กขี้อ้อน [มาหาภูหน่อยเรววว]
“ไม่เอา ไม่ไป”
[งั้นเดี๋ยวขับรถไปรับก็ได้]
“อย่ามานะ ไอ้ติณอยู่ร้าน วันก่อนมันเพิ่งบอกว่าจะไปไหนก็ได้แต่ต้องกลับมานอนที่ร้านทุกคืน”
[พี่ติณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามสอง สองจะไปไหนจะนอนที่ไหนก็เรื่องของสองสิ หรือพี่ติณเขาไม่ชอบภู?]
“เกี่ยวสิ ไอ้ติณมันจ้างผมเฝ้าร้าน ถ้าผมไปนอนบ้านคุณทุกคืนก็มาเปิดร้านไม่ทัน ไหนจะต้องเช็กสต็อก เช็กของ บรีฟพนักงาน ต้องสแตนบายเผื่อลูกค้าถามหาหนังสืออีก”
[ร้านพี่ติณเปิดสายจะตาย ออกจากบ้านภูตอนเจ็ดโมงก็ทัน]
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก”

ผมตอบภูพลางนึกถึงปัญหาจริงๆของการเดินทางไปมาระหว่างทองหล่อกับบางบัวทอง การต้องตื่นเช้าหรือพักผ่อนน้อยลงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเพราะผมทำบ่อย สิ่งที่ทำให้กังวลและคิดหนักคือค่ารถไฟฟ้าไปกลับต่างหาก

[ถ้าภูไปรับ สองจะยอมมาไหม?]
“จะขับรถไปกลับทำไมให้เปลือง? เสาร์อาทิตย์แถวเวสเกตรถติดนะเผื่อคุณไม่รู้”
[ถ้าข้ออ้างของการไปหาสองไม่ได้คือรถติด ชาตินี้เราก็ไม่ต้องเจอกันแล้วแหละ]

ดูมันประชด

[ตกลงจะมาไหมครับ?]
“ไป”
[แค่นั้นแหละ] ภูตอบด้วยน้ำเสียงสดใสจนผมเดาได้เลยว่าเขาต้องกระดิกหางจนตูดสั่นเพราะดีใจอยู่แน่ๆ [งั้นเดี๋ยวค่ำๆภูไปรับสองนะ ก่อนกลับบ้านเราหาอะไรอร่อยๆกินกัน]
“อืม โอเค”
[เจอกันคับ]
“คับ”

ผมวางสายและถอนหายใจ แพ้ลูกตื๊อของภูอีกจนได้ เขาเป็นเหมือนลูกหมาสำหรับผม ไม่ว่าจะทำอะไร จะพูดจะจาก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหมด ผมนึกสงสัยจริงๆว่าคนอย่างภูหลุดรอดมาเจอคนห่วยๆแบบสิปปกรได้ยัง ผู้ชายแบบเขาน่าจะลงเอยกับคนดีๆซักคน ใครก็ตามที่หน้าที่การงานดีกว่านี้ ดูดีกว่านี้ รสนิยมดีกว่านี้ ใครก็ตามที่มีเงินนั่งรถไฟฟ้าเพื่อไปเจอเขาทุกวัน หรือมีรถขับไปค้างกับเขาโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ผมพยายามนึกหาทางที่เราจะเจอกันบ่อยขึ้นแต่ก็ไม่มีอะไรเป็นไปได้ ภูไม่สามารถย้ายมาอยู่กับผมเพราะต้องเฝ้าคลินิก ส่วนผม – ก็ไม่สามารถไปค้างกับเขาทุกคืนเหมือนสมัยคบกับชวินทร์เพราะกู้ด รี้ดดิ้ง ติณอุตส่าห์ให้โอกาสผมมีส่วนร่วมในความสำเร็จนี้ด้วยทั้งที ผมเองก็ไม่อยากสละทุกอย่างและทุ่มหมดหน้าตักเพื่อใครอีกเหมือนกัน

ผมนอนกลางวันประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลงไปดูหน้าร้าน วันหยุดแบบนี้ลูกค้าจะมากเป็นพิเศษ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ผู้ชายมีบ้างประปรายแต่ไม่เยอะเท่าไหร่ ผมเดินสำรวจทั่วร้าน มองหาเศษขยะหรืออะไรก็ตามที่อาจทำให้กู้ด รี้ดดิ้งดูสกปรกเพื่อนำไปทิ้ง แสงตอนบ่ายที่ลอดผ่านกระจกทำให้บรรยากาศในร้านกลายเป็นโทนสีส้ม มันดูอบอุ่นและเหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือดีๆซักเล่มสมกับคอนเส็ปต์ที่ติณณภพวาดไว้ เมื่อเดินตรวจตราความเรียบร้อยจนทั่วก็กลับมานั่งที่โต๊ะตัวใหญ่ ติณกำลังอ่านอะไรซักอย่างจากแมคบุ๊ค เราจึงมีโอกาสคุยกันสั้นๆเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวอีกเล็กน้อยซึ่งรวมถึงเรื่องที่จะไปค้างบ้านภูคืนนี้ด้วย

“จะกลับเมื่อไหร่? กลับกี่โมง?”
“พรุ่งนี้เจ็ดโมงถึงร้าน”

ติณเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าส่งๆราวกับตัดรำคาญ เมื่อได้รับอนุญาต ผมก็ปลีกตัวไปหยิบแล็ปท็อปลงมาทำงานข้างล่างต่อ ยิ่งใกล้เวลาปิดร้านคนยิ่งน้อยลงเต็มที ผมบอกน้องพนักงานให้เริ่มทำความสะอาด น้องบาริสต้าทยอยล้างแก้วที่ใช้ชงกาแฟ ส่วนติณกับผมยังคงนั่งทำงานข้างกันเหมือนเดิมโดยไม่มีใครพูดอะไร

ประมาณทุ่มครึ่ง ภูมาถึงร้านกู้ดรี้ดดิ้ง เขาผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีเหมือนเคย ไม่อยากยอมรับเลยว่าตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเขา ผมรู้สึกดีใจแปลกๆ ไอ้ความเหนื่อยล้าทั้งวันเพราะนึกคำแปลไม่ออกกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ผมอารมณ์ดีขึ้นมากะทันหันเพียงเพราะได้เจอเขา พลังของความชอบนี่มันน่ากลัวจริงๆ

“สอง พรุ่งนี้มึงอย่าลืมจัดอันดับหนังสือขายดีด้วยนะ”
“โอเค” ผมรับปาก “กูไปก่อนนะ”
“อืม บาย”

ผมโบกมือลาติณณภพและหมุนตัวเดินไปที่รถพร้อมภู เราเดินเคียงข้างกันเหมือนเพื่อนสนิทธรรมดา ภูไม่ได้แสดงออกว่าความสัมพันธ์ของเรามีอะไรที่พิเศษมากกว่านั้น หรือพยายามแตะเนื้อต้องตัวผมเพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทั้งๆที่ไม่มีสถานะ เขายังคงเป็นเจ้าโกลเด้นที่ร่าเริงสดใสเหมือนเคย ส่งยิ้มและพูดคุยหยอกล้อจนกระทั่งถึงรถ เมื่อเปิดประตู ผมก็เห็นชานมนั่งส่ายตูดดุ๊กดิ๊กอยู่เบาะหลัง ส่งเสียงงี๊ดง๊าดดีใจที่ได้พบกับสิปปกรอีกครั้ง

“ทำไมพาชานมมาด้วย?”
“อ๋อ – พอดีภูว่าจะพาสองไปกินข้าว”
“กินที่ไหน?” ผมถามขณะนั่งประจำที่ คาดเข็ดขัดนิรภัยเสร็จเรียบร้อยจึงหันไปมองหน้าภูซึ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง “ร้านไหนให้หมาเข้าไปเหรอ?”
“ไม่ใช่ร้านอาหารหรอกครับ”

ภูตอบเสียงอ่อย

“ภูจะพาสองไปกินข้าวที่บ้าน แต่ไม่ใช่คลินิกนะ เป็นบ้านของแม่”




พาร์ท 2 ต่อข้างล่างเลยคับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [9] 30/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 30-03-2020 20:10:20
9 [PART 2/2]


วันนี้ผมแต่งตัวดีไหม?
ไม่ –
ทรงผมดูดีหรือเปล่า?
ก็ไม่ –

“ทำไมต้องเป็นวันนี้?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แม่เพิ่งโทรมาบอก” เจ้าโกลเด้นตอบเรียบๆ “แต่สองไม่ต้องกังวลหรอก แค่กินข้าวแล้วก็กลับไปนอนที่คลินิกเหมือนเดิม”
“คุณไม่ถามผมซักคำเลยเหรอว่าอยากเจอแม่คุณไหม?”

ภูเงียบพักใหญ่ สีหน้าเขาดูตึงๆ เดาอารมณ์ไม่ได้ว่าโกรธหรือเห็นด้วยกับคำค้านของผม แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ภูก็ยืนยันว่าคืนนี้เราต้องไปกินข้าวที่บ้านแม่ของเขา

“ภูนึกว่าสองจะดีใจที่ภูพาสองไปแนะนำให้แม่รู้จัก”
“แล้วคุณจะแนะนำผมในสถานะอะไรล่ะ? เพื่อนงั้นเหรอ?”
“แม่รู้แล้วว่าสองมาค้างกับภูบ่อย แม่น่าจะพอเดาได้”
“คุณเล่าทุกเรื่องให้แม่ฟังหรือไง?”
“เปล่าหรอก” ภูตอบด้วยสีหน้าเซ็งๆ “แม่ก็เห็นทุกอย่างนั่นแหละ”
“จากที่ไหน?”
“กล้องวงจรปิด”

ผมขมวดคิ้วมุ่น ประหลาดใจจริงๆเมื่อรู้ว่าบนโลกนี้มีแม่ที่สอดส่องดูพฤติกรรมของลูกชายผ่านทางกล้องวงจรปิดด้วย

“แม่รู้ไหมว่าคุณเป็นเกย์?”
“รู้ครับ”
“แม่โอเคเหรอถ้าคุณพาผมเข้าบ้าน?”

เป็นคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ ภูไม่พูดอะไรอีกเลยนอกจากขับรถจนกระทั่งถึงหมู่บ้านบนถนนกาญจนาภิเษก หมู่บ้านที่นี่ไม่เหมือนหมู่บ้านทั่วไป เป็นหมู่บ้านของคนมีสตางค์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวด หากคุณจะเข้าหมู่บ้าน คุณต้องแลกบัตรประชาชน รวมถึงเอกสารแนบเพื่อให้ลูกบ้านปั๊มตรายางเพื่อยืนยันว่าคุณติดต่อผู้อยู่อาศัยจริงๆ แต่เพราะมีคีย์การ์ด เราจึงสามารถใช้เลนซ้ายเพื่อเข้าหมู่บ้านได้ทันทีโดยไม่ต้องต่อคิวยาวรอแลกบัตร

หมู่บ้านที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านธรรมดา บ้านทุกหลังไม่เหมือนกัน ไม่มีหลังไหนเหมือนกัน ไม่มีบ้านแฝด ราวกับหมู่บ้านนี้ขายแต่ที่ดินผืนใหญ่ ส่วนตัวบ้านจะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับความประสงค์ของลูกบ้านล้วนๆ ผมสามารถยืนยันด้วยคำพูดว่านี่คือหมู่บ้านของคนอีกระดับที่อยู่สูงกว่าผม บ้านทุกหลังมีสนามหญ้า มีอาคารจอดรถที่กว้างพออย่างน้อยสองคัน สไตล์บ้านมีทุกแบบตั้งแต่มูจิไปถึงบ้านทรงลิเกที่เห็นตามละครจักรๆวงศ์ๆ ภูพาผมเปิดโลกใบใหม่ด้วยการย่างกรายเข้ามาที่นี่ ตลอดทางมุ่งไปยังบ้านของคุณแม่รายล้อมด้วยต้นไม้สวยๆที่ผ่านการตัดแต่งมาอย่างดี มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ราวกับเป็นทะเลสาปกลางหมู่บ้าน มีพื้นที่ออกกำลังกายส่วนกลาง มีสนามเด็กเล่น มีสวนดอกไม้ ที่สำคัญ ถนนทุกเส้นในหมู่บ้านปูยางมะตอยอย่างดีและตีเส้นเนียนกริบยิ่งกว่าถนนในกรุงเทพมหานครเสียอีก

“ดูบ้านหลังนี้สิ” ผมชวนภูคุยระหว่างรถของเขาจอดเตรียมตัวจะเลี้ยวซ้าย “ใหญ่ขนาดนี้น่าจะอยู่ได้กันเจ็ดแปดคน”
“ไม่เยอะขนาดนั้นหรอกครับ ส่วนใหญ่อยู่กันครอบครัวเดียว แต่บ้านผมเยอะเพราะมีแม่ มีพีช แล้วก็ป้าแก้วที่เป็นแม่บ้าน แอนที่เป็นพี่เลี้ยงของพีช ถ้าแพรเรียนจบก็คงกลับมาอยู่ที่บ้านด้วย”
“พ่อคุณล่ะ?”
“แยกกันอยู่ครับ”

ภูตอบแค่นั้น และผมไม่คิดสงสัยหรืออยากถามอะไรอีกจึงเปลี่ยนบทสนทนา บ้านทุกหลังในหมู่บ้านนี้ต้องราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่ๆ ทั้งเนื้อที่ ทั้งสไตล์และความใหญ่โตโออ่า เผลอๆบางหลังน่าจะยี่สิบล้านขึ้นไปด้วยซ้ำ ผมชักสงสัยว่าบ้านของภูจะใหญ่เหมือนบ้านที่เราขับรถผ่านหรือไม่ และเมื่อรถจอดหน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง ผมก็หายข้องใจว่าทำไมสัตวแพทย์ที่เพิ่งเรียนจบถึงมีบีเอ็มดับเบิ้ลยูขับ และมีคลินิกตั้งอยู่ใจกลางทองหล่อเป็นของตัวเอง

“พ่อแม่คุณทำอาชีพอะไรเนี่ย?”

ผมแกล้งถามพลางมองประตูรั้วที่ค่อยๆเลื่อนเปิดอัตโนมัติ ภูขับรถเข้าไปจอดในโรงรถด้านในที่มีรถยุโรปจอดอยู่สองคัน เอาล่ะ – ผมไม่อยากก้าวเท้าลงจากรถเลย รู้สึกแปลกแยกยังไงไม่รู้เมื่อเห็นว่าที่นี่ต่างจากพื้นฐานของผมขนาดไหน มันหรูและดูไกลตัวจนกังวลว่าจะสามารถทำตัวกลมกลืนกับครอบครัวของเขาได้หรือไม่ ภูเองคงรู้ว่าผมไม่สบายใจกับระยะห่างของกำพืดเรา เขาเหยียดแขนมาจับมือผม และพูดอย่างจริงจังว่า

“ที่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของภูหรอก คลินิกต่างหากที่เป็นโลกของภูจริงๆ”

ผมมองหน้าเขา จู่ๆก็รู้สึกว่าภูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่คิดเอาไว้ เขาดูเข้าใจโลก เข้าใจถึงความกังวลของผมที่มีอยู่ตอนนี้ เขาพูดดักคอล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ผมคิดมากหากได้พบกับครอบครัวที่ดูห่างกันเกินไป เขาบอกให้สบายใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาคือตอนอยู่คลินิก ดังนั้นหากสิปปกรมีความสุขเมื่อไปที่นั่นก็หมายความว่าเราเข้ากันได้

“กินข้าวเสร็จไปนอนบ้านภูนะ”

เจ้าโกลเด้นพูดทิ้งท้ายก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ อุ้มเอาชานมที่กำลังดีดได้ที่วางลงพื้นหินหน้าบ้าน คอร์กี้ยักษ์กระโดดไปมาอย่างร่าเริงต่างจากเราสิ้นเชิง ชานมวิ่งไปไกลถึงสวนหน้าบ้าน จัดการปล่อยทุกข์กองเบ้อเริ่มไว้เป็นของที่ระลึกว่ามันเคยมาที่นี่ก่อนจะวิ่งกลับมาหาเราและเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน

บ้านของภูหลังใหญ่กว่าของผมหลายเท่า ทุกอย่างจัดเรียงสวยงาม มีแชนเดอเรียตรงโถงทางเข้า กลิ่นในบ้านสะอาดสะอ้านไม่เหม็นอับเหมือนบ้านของสิปปกร การแบ่งพื้นที่ใช้สอยก็เป็นระเบียบ ห้องนั่งเล่นมีไว้เพื่อนั่งเล่น และห้องครัวก็แยกออกจากกันกับห้องทานข้าว ราวกับหลุดเข้าไปในโลกใบใหม่ ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจปนตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะได้พบกับคุณแม่ของเขา

“น้องภู มาแล้วเหรอคะ?”

แม่บ้านที่ชื่อป้าแก้วยิ้มรับ เธอยกมือไหว้สวัสดีตามมารยาทก่อนจะวางสลิปเปอร์ลงบนพื้นเป็นเชิงบอกให้เราเปลี่ยนรองเท้า

“คุณพิมพ์รออยู่ข้างในค่ะ”
“ครับ”

ภูยิ้ม ดูเกร็งๆเมื่อต้องเดินเข้าไปข้างในที่ไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไร ทีแรกเขาเดินเคียงข้างกันโดยมีชานมเดินส่ายตูดตามอยู่ไม่ห่าง พอเดินเข้าไปได้ซักพักก็เจอกับห้องๆหนึ่งที่ไม่มีประตู มีเสียงโทรทัศน์ดังเล็ดลอดมาจากข้างใน ผมเดาเอาว่านี่ต้องเป็นห้องดูหนังหรือห้องอะไรซักอย่างที่มีไว้เพื่อสมาคมแน่ๆ

“สวัสดีครับแม่”

ภูเรียกผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งดูทีวีบนโซฟากำมะหยี่สีเบจ สุภาพสตรีที่แต่งกายดูดีเหมือนคุณหญิงคุณนายในพารากอนรีบหันหน้ามา เมื่อเห็นลูกชาย เธอก็ยิ้มและรับไหว้ด้วยท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวาน บ่งบอกถึงการถูกอบรมบ่มเพาะมาอย่างดีซึ่งต่างจากพ่อกับแม่ของผมลิบลับ

“มาแล้วเหรอ?”

แม่ของภูถามพลางตวัดตามองด้านหลัง เมื่อเห็นนายสิปกรในเสื้อยืดกางเกงขายาวแบบง่ายๆ เธอก็ใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็วโดยพยายามไม่ทำให้รู้สึกแย่ แต่ไม่ว่ายังไง คุณไม่มีทางรู้สึกเฉยๆกับสายตาจากคนข้างบนที่มองเราอย่างดูแคลนหรอก

“สวัสดีครับ” ผมทำใจดีสู้เสือด้วยการยกมือไหว้ “ชื่อสองครับ เป็นเพื่อนภู”
“อ๋อ คนนี้นี่เองที่เดินเข้าเดินออกคลินิก เป็นเพื่อนที่ไปค้างบ้านภูบ่อยเนอะ” เธอหัวเราะและพูดเชือดเฉือนด้วยน้ำเสียงนิ่มๆตามประสาผู้ดี  “มาเถอะ กินข้าวกัน แม่ให้แก้วเตรียมกับข้าวไว้เต็มเลย”

คุณแม่โอบเอวลูกชายให้เดินไปที่ห้องครัว ส่วนผมเดินตามหลังโดยมีชานมวิ่งเล่นไปมาด้วยความตื่นเต้น เจ้าคอร์กี้ยักษ์ดูไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่เท่าไหร่ มันวิ่งไปตรงนั้นทีตรงนี้ทีแถมเอาจมูกเปียกๆดันเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่พบเห็นอีก มันวุ่นวายจนแม่ของภูต้องหันมาดุเสียงแข็งและถามลูกชายว่าเอาหมามาด้วยทำไม ขนมันปลิวฟุ้งติดข้าวของเครื่องใช้ขนาดนี้ แก้วก็ลำบากเช็ดกันเหนื่อยพอดี

“ชานมดื้อจะมา”

ภูตอบเสียงอ่อยก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่งข้างๆ เมนูบนโต๊ะอาหารไม่ได้เว่อร์วังอะไรมากมายอย่างที่คิด ไม่มีปลากะพงทอดตัวใหญ่ กุ้งแม่น้ำ หอยเชลอบชีสหรืออะไรทำนองนั้น ส่วนใหญ่มีแต่กับข้าวจืดๆอย่างแกงจืด ไข่เจียว หมูสามชั้นทอด และไก่นึ่งน้ำปลาที่มีน่องสองชิ้น ปีก และสะโพกอีกสอง

“กินเยอะๆนะ ไก่นึ่งน้ำปลาที่ภูชอบไง”

คนเป็นแม่ยิ้มและมองลูกชายด้วยความเอ็นดู ส่วนผมกลายเป็นธาตุอากาศตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอใช้สายตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เรานั่งรอไม่นาน ป้าแก้วที่เป็นแม่บ้านก็เดินออกจากครัว เธอตัวลีบแบนและมือสั่นเล็กน้อยเมื่อต้องถือโถข้าวใบใหญ่และคอยตักให้ผมกับภู ผมไม่ใช้โอกาสนี้เปิดบทสนทนาเพื่อทำคะแนนใดๆเพราะ First impression ระหว่างเราไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ และผมไม่แคร์ด้วยว่าแม่ของภูจะคิดยังไง ไม่ชอบก็ไม่ต้องชอบ ผมเองก็ไม่ชอบลักษณะการใช้สายตาของเธอเหมือนกัน

“สองกินนี่ดูนะ อร่อยมาก” ภูตักน่องไก่นึ่งน้ำปลาให้ผมและยิ้ม ยังไม่ทันทีน่องไก่จะวางลงบนข้าวสวยร้อนๆ คุณแม่ของเขาก็ขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
“แหม ตัวเองยังไม่ทันจะได้กินก็ยกน่องไก่ให้เขาเลยนะ” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบ “สองอาจจะไม่รู้ แต่ภูชอบกินน่องไก่มาก ถ้าไม่ใช่น่องเขาก็ไม่กินหรอก”
“ครับ” ผมยิ้มตอบก่อนจะบอกให้ภูเก็บน่องไว้กินเอง เจ้าโกลเด้นส่ายหน้าพลางพยักเพยิดไปที่จานไก่นึ่งน้ำปลา
“มีตั้งสองน่อง เราแบ่งกันกินก็ได้”
“ถ้าเรากินกันหมด แล้วแม่คุณล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ น้าไม่กินอาหารมื้อดึก” เธอยิ้ม ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เราสามคนมีแต่ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม ไม่หยุด แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากการเสแสร้งแกล้งแสดงทั้งนั้น
“งั้นไม่เกรงใจแล้วนะ”

ผมยิ้ม อีกครั้ง และใช้ช้อนตักน่องไก่ใส่ปาก ภูมองผมด้วยแววตาวิบวับเป็นประกาย เขาคาดหวังว่าสิปปกรจะชอบเมนูโปรดของเขาเหมือนทุกครั้งที่เราไปกินข้าวด้วยกัน เนื้อสัมผัสของไก่ก็ยังคงเป็นไก่อยู่วันยังค่ำ เพิ่มเติมคือรสชาติเค็มๆของน้ำปลาและความหวานเล็กน้อยของน้ำตาลปี๊ป เมื่อกินหมดคำ ผมก็ยิ้มเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้และบอกภูว่าอร่อยมากเลย

“ถ้าสองชอบ วันหลังภูทำให้กินที่คลินิกก็ได้นะ”
“เรียกเขาสองเฉยๆไม่เป็นไรเหรอภู” คุณแม่ของเขาเตือนลูกชาย “ดูๆแล้วสองก็ไม่น่าจะใช่คนรุ่นเดียวกับภูนะ”
“ผมจะสามสิบเอ็ดแล้วครับ”
“อ้อ --”

เธอเว้นวรรคไป แสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจเท่าไหร่ที่อายุเราห่างกันขนาดนี้ อันที่จริงอายุอาจจะไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือหน้าผมต่างหาก ขอโทษนะที่หน้าแก่ ดูโตกว่าลูกชายคุณแม่จนเหมือนอาจารย์ที่ปรึกษามากกว่าเป็นเพื่อน

“ตอนนี้ทำงานอะไรล่ะ?”

และนี่คือจุดเริ่มต้นของพิธีกรรมของการสัมภาษณ์ชีวิตส่วนตัวเหมือนคราวที่ภูไปบ้านของพ่อแม่ผมไม่มีผิด แม่ของภูถามทุกอย่างเท่าที่คนเป็นแม่จะอยากรู้ ทำงานที่ไหน อายุเท่าไหร่ อยู่แถวไหน อ้อ – ร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งเหรอ เป็นร้านของเธอเหรอสอง เมื่อรู้ว่าเป็นร้านของติณณภพ สีหน้าประหลาดใจที่แฝงไปด้วยความชื่นชมก็หายวับ เพราะสิปปกรไม่มีความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากงานแปลที่วางขายในร้านหนังสือ แต่ละเล่มก็ไม่ได้ดังหรือขายดิบขายดีอะไรด้วย แน่นอนเมื่อเริ่มพูดถึงอาชีพการงาน ต้องมีการพูดถึงรายได้ เธอเริ่มถามว่าแปลหนังสือได้เท่าไหร่ แบ่งจ่ายยังไง แล้วงานฟรีแลนซ์ที่บอกว่าทำประจำน่ะ ได้เงินเยอะมากไหม

“ถ้าขยันก็ได้เดือนละสามสี่หมื่นครับ”

ผมพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ ถ้าคุณขยันจริงๆและมีคอนเนคชั่นมากพอ ถ้าคุณมีงานเข้าสม่ำเสมอและลูกค้าไม่งี่เง่า ไม่งก ไม่มีทัศนคติมองงานแปลเป็นของง่ายๆไม่น่าจะคิดราคาแพง คุณทำได้แน่นอนถ้าสำนักพิมพ์ที่คุณดีลงานอยู่จ่ายเงินตรงเวลาและเขียนสัญญาที่เป็นธรรม ยังไงนักแปลก็ไม่อดตายหรอก ถ้าไม่โดนคนในวงการหั่นราคาตัดหน้าเพื่อแย่งงาน ซึ่งหลังๆเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก นักแปลหน้าใหม่ที่อ้างว่าตัวเองยังไม่ “เก๋า” มากพอที่จะรับเงินในเรตราคานักแปลอาชีพ มักจะคิดราคาถูกกว่าความเป็นจริงเกือบเท่าตัวแล้วก็ได้งานนั้นไป แถมยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้ลูกค้าคิดว่านี่ไง งานแปลไม่เห็นต้องแพงเลย ต่อไปพวกเขาก็จะกดราคาวงการแปลเรื่อยๆ จากที่เคยได้หน้าละห้าร้อยก็เหลือหน้าละร้อยยี่สิบ โดยอ้างเหตุผลว่าเคยจ้างคนอื่นมาแค่นี้ ห้าร้อยน่ะแพงไปไม่มีใครจ้างหรอกนะ

ใช่ครับ แต่คุณภาพของงานแปลก็ตามราคา เพราะฉะนั้นถ้าได้งานคุณภาพระดับ google translate ไปก็อย่าคร่ำครวญนะ

ผมถูกสัมภาษณ์เรื่อยๆเหมือนมาสมัครงานที่นี่ ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งชีวิตส่วนตัวเริ่มถูกเค้นให้พูดออกมาโดยไม่เต็มใจ สีหน้าของผมคงดูอึดอัดหรือไม่ก็ขมขื่นจนแทบอ้วกล่ะมั้งภูถึงเบรคแม่ของตัวเองด้วยการบ่นเรื่องคลินิกตอนนี้ ผมเพิ่งรู้ว่าเบื้องหลังของการเปิดคลินิกรักษาสัตว์ไม่ได้สวยหรูเหมือนตัวอาคารเลย ภูกำลังเจอปัญหาบัญชีใกล้ติดลบเพราะค่าใช้จ่ายมากเกินไป คลินิกของเขาเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง รับเคสต่อวันได้เยอะขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างสัตวแพทย์และผู้ช่วยกะกลางคืน เมื่อลองเฉลี่ยเคสในแต่ละวัน ภูพบว่าเคสกลางคืนมีน้อยและไม่ค่อยได้กำไรเท่าไหร่ เขาคิดหนักมากว่าควรทำยังไง แม่ของเขาจึงเสนอความคิดเห็นว่า

“ก็เลิกจ้างสิ ”

และยิ้มหวาน

“เราต้องตัดบางอย่างทิ้งเพื่อให้ตัวเองรอดนะภู”

ผมไม่แปลกใจที่คุณแม่ของเขาจะมีความคิดแบบนี้ เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจยังไงก็ต้องลดค่าใช้จ่ายหากกิจการไปไม่รอด แต่สำหรับภู การเลิกจ้างหมอจ๋อมแจ๋มกะกลางคืนคงเป็นปมในใจเขาไปอีกนาน หมอจ๋อมแจ๋มเพิ่งจะเรียนจบ บ้านไม่ได้รวย กำลังอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวและมีภาระต้องส่งเสียเหมือนผม ภูเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังหลายหนว่าไม่รู้จะทำยังไง เพราะหากย้ายหมอจ๋อมแจ๋มมาเป็นกะกลางวัน จำนวนหมอก็ยังมีเยอะกว่าเคสอยู่ดีซึ่งผมมั่นใจว่าภูไม่มีทางเลิกจ้างหมอจ๋อมแจ๋ม เขาคงฝืนดันทุรังต่อไปอีกซักพัก หากบัญชีเริ่มติดลบเมื่อไหร่ เขาคงต้องตัดใจปรับโครงสร้างของคลินิกอย่างจริงจัง

“แล้วนี่ยังร้องไห้เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกหรือเปล่า?”
“ไม่แล้วครับ”
“ดีมาก” คุณแม่ชื่นชมลูกชาย “จำไว้นะว่าเป็นผู้ชายอย่าร้องไห้ให้ใครเห็น โดยเฉพาะเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างหมาตายเนี่ย ไม่ควรร้องนะ มันไร้สาระ เก็บน้ำตาไว้ตอนโดนทิ้งดีกว่า”

ผมรับไม่ได้กับคำพูดของคุณแม่จนต้องเผลอกลอกตา การเป็นคนอ่อนไหวง่ายไม่ใช่เรื่องผิดและไม่ได้สงวนสิทธิ์ไว้สำหรับผู้หญิงเสียหน่อย ทำไมภูจะร้องไห้ไม่ได้ ทำไมเขาจะเสียใจไม่ได้ที่หมาตัวหนึ่งต้องตายเพราะมีเจ้าของโง่ ผมเริ่มรู้สึกว่าระยะห่างของเราเพิ่มขึ้นทีละนิดๆทุกครั้งที่คุณแม่ของภูพูดอะไรออกมา ไม่ว่าจะการแสดงความเห็นเรื่องคลินิกหรือการติลูกชายว่าเหยาะแหยะอ่อนแอจนเกินไป ผมไม่ชอบถึงขั้นรู้สึกว่าไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว

“ไข่เจียวก็อร่อยนะสอง”

ภูตักไข่เจียวฝีมือแม่บ้านให้ผม มันเป็นไข่เจียวหนาๆนุ่มๆอัดแน่นไปด้วยกุ้งสับ แน่นอนเรื่องรสชาติต้องอร่อยสมกับเป็นแม่บ้านของคนรวยอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้อาหารมื้อนี้กร่อยคือบทสนทนาของคุณแม่ต่างหาก

เพราะนี่ไม่ใช่การแนะนำให้แม่รู้จักอย่างที่ภูพูดไว้

มันคือการพาผมมาให้แม่สแกนก่อนว่าสิปปกรเหมาะสมกับลูกชายของเธอหรือไม่ แม้ว่าเราจะอายุเยอะและไม่สามารถแต่งงานจดทะเบียนสมรสได้เหมือนคู่รักชายหญิง แต่แม่ของภู – ก็ยังใช้สายตาและคำถามคอยปอกเปลือกเพื่อเลือกเอาเนื้อแท้ของผมออกมา ซึ่งผมไม่มีอะไรจะให้คุณนายผู้สูงส่งนอกจากการทานข้าวเหมือนคนกล้ำกลืนฝืนทน ภูเองก็ดูฝืนๆ เราทั้งคู่รู้สึกล้มเหลวกับการมาบ้านเพื่อแนะนำให้คุณแม่รู้จักจนผมตั้งปณิธานว่าหลังจากนี้เราจะคุยกันอย่างจริงจัง ถ้าหากภูอยากให้ผมไปค้างที่คลินิก เขาต้องเปลี่ยนรหัสผ่านไม่ให้คุณแม่ของเขาดูกล้องวงจรปิดในร้านอีก

บทสนทนากร่อยๆยังคงดำเนินต่อไป แม่ของภูเป็นฝ่ายพูดกับลูกชายมากกว่าจะคุยกับผม แหงล่ะ คุณสมบัติของสิปปกรไม่ผ่านนี่ เธอก็เหมือนแม่ของชวินทร์ที่โทรมาแว๊ดใส่เมื่อรู้ว่าเราแชร์ห้องอยู่ด้วยกัน บางที – ผมนึกสงสัยจริงๆนะ ต้องดีกว่านี้อีกแค่ไหน ต้องประกอบอาชีพอะไรถึงจะเป็นที่ยอมรับของครอบครัวคนที่ผมรู้สึกดีด้วย จริงอยู่ที่คนเราคบกันมันไม่เกี่ยวกับแม่ไม่ปลื้มหรืออะไรทำนองนั้น แต่ถ้าคนที่คุณชอบดันเป็นเด็กน้อยของแม่เหมือนชวินทร์ เป็นลูกแหง่ที่ไม่กล้าแม้แต่จะยืนหยัดเพื่อคนที่ตัวเองรัก ยังไงความเห็นของแม่ก็ต้องมีอิทธิพลกับความสัมพันธ์แน่นอน เพียงแค่อาจจะไม่เด่นชัดในตอนนี้ แต่ผมมั่นใจว่าถ้าภูเป็นคนประเภทเดียวกับชวินทร์ ยังไงเราก็ต้องเลิกกันแน่นอน

แล้วแบบนี้ – ผมควรจะลองเสี่ยงเพื่อเสียใจในอนาคตอยู่อีกเหรอ?

ผมเริ่มเขี่ยข้าวในจาน ไม่สนุกกับการทำความรู้จักอีกด้านของภูเลยซักนิด เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ เขาไม่ใช่เจ้าโกลเด้นขี้อ้อนแสนร่าเริง หากแต่เป็นลูกชายที่ดูเกรงกลัวกับการโดนตำหนิจนตัวหดเหลือนิดเดียว ผมอึดอัดกับบรรยากาศมากๆจนอยากจะลุกขึ้นและชวนภูกลับคลินิก ผมอยากบอกเขาว่าช่างมันเถอะ ช่างหัวคำพูดคุณแม่ของคุณเถอะ แค่นี้คุณก็เก่งมากแล้ว คุณเก่งมากแล้วภู ผมอยากพูดกับเขาแบบนั้นทว่ายังไม่ทันได้เปล่งเสียงอะไรออกไป ใครบางคนก็เดินเข้ามาด้านหลังและถือวิสาสะตบหัวภูอย่างแรง

“โอ๊ย!”

ภูร้องโอดโอยพร้อมกับกุมหัวตัวเอง เขาดูเจ็บปวดมากจนผมตกใจ ต้องรีบหันไปมองว่าใครมันบังอาจทำร้ายเจ้าโกลเด้นจนหน้าคว่ำ แต่เมื่อเห็นหน้าของคนมารยาททรามที่เพิ่งมาเยือน ผมก็ได้แต่อึ้ง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเพราะผู้ชายที่ยืนตรงหน้าคล้ายคลึงกับคนที่ผมรู้จักมาก ทั้งส่วนสูงและเค้าโครงรูปหน้า ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ทุกอย่างถอดแบบมาจากเขาเป๊ะๆจนผมขนลุก เมื่อเราสบตากัน เขาก็มองและยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มเหมือนสุภาพสตรีที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ

“ภีม! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ภีม – คือชื่อของเขา

ภีมคือผู้ชายที่หน้าตาเหมือนภูราวกับออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพี่หรือเป็นน้องของเจ้าโกลเด้น แต่ที่แน่ๆ -- ผมมั่นใจว่าเขาคือแฝด

แฝดอีกคนที่ภูไม่เคยพูดถึงหรือเล่าอะไรให้ฟังเลย




TBC


________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ 21 วันที่หายไป มีใครคิดถึงนิยายเรื่องนี้มั้ยคะ?

ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ดีขึ้นเลย ขอให้ทุกคนดูแลตัวเอง รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ ใครที่กำลังเจอวิกฤตเรื่องงาน ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ขอให้มีทางออก ถ้าหากอยากได้ความช่วยเหลือให้เราช่วยรีทวีตหรือไม่ว่าอะไรก็ตาม ทักดีเอ็มมาได้เสมอนะคะ เรายินดีช่วยทุกคนเลยค่ะ

ขอให้มีความสุขและมีหัวใจที่ร่าเริงอยู่เสมอ

แล้วพบกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [9] 30/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 30-03-2020 21:50:57
ที่โผล่มาก็น่าจะตัวปัญหาอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [9] 30/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-04-2020 21:55:47
รู้สึกหน่วง อึดอัด คุณสื่ออกมาได้ดีมากเลย

คุณทำให้เราระแวงภู เขาดูดีจนเกินจริง

แต่ก็แพลมอะไรออกมาเรื่อย ๆ ทั้งความรุนแรง ทั้งฝาแฝด/พี่หรือน้อง

ระแวงค่ะ ฮ่าๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [9] 30/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-04-2020 15:35:40
โอ๊ยยย สนุกจัง ตกลงจะมาดีมาร้ายกันนะ เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [9] 30/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 11-04-2020 01:29:36
มันอึนๆจริงๆนั้นแหละ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [9] 30/03/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 13-04-2020 00:56:46
ภูเหมือนจะมีปมเรื่องที่บ้านเยอะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [10] 21/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 21-04-2020 19:52:56
10 [PART1/2]


10


ภีมเป็นพี่ชายฝาแฝดของภู เขาสูงพอๆกับภู รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับภู แต่รอยยิ้ม แววตา รวมไปถึงท่าทางและคำพูดจาไม่เหมือนภู

ภีมปรากฏตัวในเสื้อยืดสบายๆกับกางเกงยีนสีซีด ไหล่ข้างหนึ่งสะพายเป้สีดำ ทรงผมตัดแต่งมาอย่างดีจนดูเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยมากกว่าจะเป็นชายอายุยี่สิบหก หากเทียบว่าใครหน้าเด็กกว่ากัน ผมก็คงตอบว่าภู ใครดูสดใสร่าเริงกว่ากัน แน่นอนว่าคำตอบก็ยังคงเป็นภู สิ่งเดียวที่ภีมเหนือกว่าคือการเป็นลูกรัก คุณแม่ก็คงรักภูเหมือนกัน แต่วิธีแสดงออกต่างจากตอนอยู่กับภีมโดยสิ้นเชิง

ผมเดาว่าภีมคงทำงานไกลมาก นานๆถึงจะมีโอกาสกลับบ้านซักหนเพราะคุณแม่ทั้งกอดทั้งหอมด้วยความรักใคร่ ผิดกับภูที่แค่เดินโอบไหล่และรับไหว้สวัสดี ไม่มีการสัมผัสหรือแสดงออกถึงความรักมากกว่านั้น ผมนั่งมองสองแม่ลูกโอบกอดอยู่พักใหญ่ก่อนที่ภีมจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับภู เขาโยนกระเป๋าลงบนพื้นและยีขนชานมจนปลิวฟุ้งไปทั่วบ้าน แต่คุณแม่กลับไม่ดุด่าต่อว่าเขาซักทำที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเลอะขนหมา

“แฟนใหม่ภูเหรอ?” ภีมถามคำถามไม่สมควรกับเรา ผมไม่ได้หันมองหน้าภูหรือปฏิเสธว่าเราไม่ใช่แฟนกันนอกจากยิ้มและเงียบแทนคำตอบเท่านั้น “คบกันมานานหรือยัง?”
“ภีม” คุณแม่ปรามเรียบๆ ท่านเองก็ไม่ได้อยากรับรู้รายละเอียดในความสัมพันธ์ของเราเท่าไหร่ “กินข้าวก่อนสิ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

ภีมเอียงคอพร้อมกับทำหน้าน่ารัก เขาเหมือนภูแม้กระทั่งรู้วิธีปั้นหน้าให้ออกมาน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของคนที่พบเห็น บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวอึดอัดยิ่งกว่าเดิมเมื่อภีมปรากฏตัวขึ้น คุณแม่ไม่ชวนเราสองคนคุยอีกเลย ไม่เลย ไม่มีแม้กระทั่งบทสนทนาซักถามประวัติเหมือนก่อนหน้า ความสนใจทุกอย่างพุ่งเป้าไปที่ภีม พุ่งตรงไปหาชายหนุ่มที่เดินทางไกลมาเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวแทนที่จะเป็นภู ผมเหลือบมองเจ้าโกลเด้นที่นั่งอยู่ข้างๆเพราะอยากรู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไง ทว่าภูดูนิ่งสงบและเยือกเย็นกว่าที่คิดไว้ ราวกับเขาเคยชินแล้วที่บรรยากาศในบ้านเป็นแบบนี้ เขาชินชาเสียแล้วกับการเห็นแม่โอ๋ภีมมากกว่าถึงขนาดตักน่องไก่ชิ้นสุดท้ายให้ลูกชายคนโต แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเพิ่งพูดเองว่าภูชอบเนื้อส่วนน่องที่สุด ถ้าไม่ใช่น่อง ภูก็ไม่ค่อยอยากจะกิน

“ไก่นึ่งน้ำปลาที่ภีมชอบ”

สรุปแล้วใครชอบเมนูนี้กันแน่

ผมนึกสงสัยแต่ไม่คิดเอ่ยปากถามให้เสียบรรยากาศ เมื่อน่องไก่ชิ้นสุดท้ายถูกยกให้เป็นของพี่ชาย ผมจึงตัดแบ่งจากของตัวเองให้ภู เขาก้มมองจานข้าวก่อนจะเงยหน้าและส่งยิ้มหวานที่ติดออกจะเศร้าเล็กน้อยมาให้

“ภีมก็รู้จักสองเอาไว้นะ เขาเป็นนักแปล” คุณแม่แนะนำผมให้ลูกชายคนโตรู้จัก
“แปลหนังสือหรือซับไตเติ้ลเหรอครับ?”
“ส่วนใหญ่เป็นหนังสือครับ”
“อ๋อ”

ภีมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ดูตื่นเต้นกับอาชีพนักแปลเท่าไหร่ หลังจากนั้นบทสนทนาไม่มีอะไรพิเศษเลย มีเพียงการแลกเปลี่ยนเรื่องราวของแม่กับลูกชายที่ต้องทำงานไกลบ้านเท่านั้น คุณแม่ไม่ได้โอ้อวดว่าภีมประกอบอาชีพอะไร แต่เธออาศัยการถามตอบเพื่อเล่าเรื่องตัวเองกลายๆ ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าภีมป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่ภาคอีสาน เขาไม่ได้กลับบ้านเป็นปีดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การปรากฎตัวของเขาสร้างความชื่นชมยินดีให้กับแม่มากกว่าภูซึ่งทำงานอยู่ทองหล่อ การตอบคำถามของภีมทำให้ผมรู้ว่าเขาจบจากมหาวิทยาลัยอะไร เขาเป็นนักเรียนแพทย์ที่มีประวัติการศึกษาน่าภาคภูมิใจแค่ไหน ผมรู้เรื่องของภีม แต่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมัยเรียนมัธยม ภูจบจากโรงเรียนของรัฐที่ต้องตัดผมเกรียน หรือโรงเรียนเอกชนที่ยังพอให้เสรีภาพกับอนาคตของชาติอยู่บ้าง

“ถึงว่าช่วงนี้เห็นอัปสเตตัสเพ้อเจ้อบ่อยๆ ที่แท้ก็มีความรัก”

บรรยากาศอึดอัดทำให้ภีมพุ่งเป้ากลับมาที่น้องชายซึ่งนั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม ภูเงยหน้าจากน่องไก่ที่ผมแบ่งให้และเลิกคิ้วมองพี่ชายด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

“อะไร สเตตัสอะไรเหรอภีม?”
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ไอ้ภีมมันปากมาก” ภูขมวดคิ้วหงุดหงิด
“สเตตัสอะไรทำไมแม่ไม่เห็น ภูบล็อกเฟสบุ๊กแม่เหรอ?”
“ภูไม่ได้บล็อก”
“แค่ซ่อนสถานะ” ภีมแซวก่อนจะหัวเราะร่วน “แม่อย่าว่าภู เดี๋ยวมันร้องไห้อีก”
“เออ แล้วทำไม? กูขี้ร้องแล้วมันหนักหัวมึงเหรอ?”
“หยุด! ทะเลาะกัน เดี๋ยวนี้เลย!”

คุณแม่พูดพลางจับแขนของลูกชายทั้งสองคน เธอทำด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับเคยชินมานับสิบปี ภีมแลบลิ้นใส่ภูเมื่อถูกแม่ห้าม พวกเขากำลังทำตัวเหมือนเด็ก

“แม่เหนื่อยแล้วนะ” เธอพูดเสียงแข็งและแสดงท่าทีไม่พอใจชัดเจนเมื่อลูกแฝดทะเลาะกันกลางโต๊ะอาหาร แถมยังเถียงกันต่อหน้า ‘แขก’ ที่ถูกรับเชิญมาด้วยความไม่เต็มใจ “เมื่อไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่เสียที”

สงครามระหว่างลูกชายจบลงแค่นั้น ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทานข้าวของตัวเองจนเกลี้ยงโดยไม่มีการต่อล้อต่อเถียงหรือล้อเลียนกันอีก





ผมอยากสูบบุหรี่ซักมวน

ผมอยากสูบบุหรี่ มีแต่ความคิดอยากสูบบุหรี่หลังมื้ออาหารที่น่าอึดอัดจบลง

ป้าแม่บ้านยกจานชามไปเก็บแล้ว เหลือแค่ภีมกับภูที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก แฝดสองคนไม่ค่อยพูดกันเท่าไหร่นอกจากหมกมุ่นกับสมาร์ทโฟนของตัวเอง ส่วนผมนั่งข้างภูด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที นั่งถามตัวเองในใจเป็นพันครั้งว่ามาทำอะไรที่นี่ มันสำคัญด้วยเหรอกับการต้องรู้จักคุณแม่ของเขา หากผมบอกว่าไม่ได้คาดหวังถึงความผูกพันขนาดนั้น ภูจะโกรธไหม แต่นี่คือความจริงสำหรับคนชายขอบอย่างพวกเรา แม้กระทั่งการจดทะเบียนสมรสยังทำไม่ได้ ผมไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมารู้จักคุณแม่ของเขาเลย ยังไงเราก็ไม่ได้แต่งงานกัน ไม่มีวันได้แต่งงานกัน ผมว่าเราควรคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกครั้งก่อนที่ภูจะทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้

“พีชนอนแล้วเหรอ?” ภีมถามภูที่กำลั่งนอนเกาพุงให้ชานมอยู่ข้างๆ พอมองจากมุมนี้ ผมรู้สึกราวกับว่าในห้องนี้มีภูสองคน ภูที่ดูมีความสุขมากๆกับภูที่เหนื่อยหน่ายมากๆ
“นอนแล้ว”
“ถึงว่า ไม่เห็นแม่อุ้มมาอวด” ภีมพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันหน้ามาหาผม “คุณสองเคยเจอพีชไหม?”
“ไม่เคยครับ”
“อ้าว ไอ้ภู มึงไม่เคยพาเขามาที่บ้านเลยเหรอ?”
“พามาครั้งแรก”
“ช้ามาก”
“ก็เพิ่งคุยกันไม่กี่เดือน”
“ไม่ใช่ กูหมายถึง แม่อ่ะ รู้เรื่องมึงช้ามาก”

สองพี่น้องมองหน้าและหัวเราะอย่างรู้กัน ถือเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าจริงๆพวกเขาไม่ได้เกลียดกันอย่างที่คิดหรอก มีบ้างที่ภูอาจรู้สึกไม่พอใจกับการเลือกปฏิบัติของแม่ แต่หากมองโดยภาพรวมแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้แย่เท่าไหร่ เหมือนคู่แฝดทั่วไปบนโลกใบนี้ คู่แฝดที่เกิดมาเพื่อเป็นพี่น้องและคู่แข่งของกันและกันโดยไม่เต็มใจ

“แม่ว่ายังไง?”
“ไม่ว่าอะไร” ภูตอบ “ยังไม่ชินอีกเหรอ?”
“ก็คนก่อนหน้าเป็นผู้หญิง กูนึกว่ามึงกลับใจแล้ว ตกลงมึงเป็นอะไรกันแน่?”

คำว่าเป็นอะไรคือการถามแบบนัยแฝง ภีมกำลังถามภูว่าเขานิยามตัวเองว่าเป็นตัวอะไร ผมรู้จากภูแล้วว่าเขาเคยคบทั้งผู้หญิงและชาย ก่อนหน้านี้คนที่เขาพามาเจอคุณแม่คงเป็นผู้หญิงมาตลอดจนครอบครัวของเขาแอบหวังว่าภูจะไม่ใช่เกย์จริงๆ แต่แล้วความฝันก็พังทลายเมื่อภูพาผมมาที่บ้านเพื่อรายงานให้แม่ทราบว่าลูกชายของคุณแม่กำลังคุยกับเกย์อายุสามสิบคนนี้อยู่

“กูเป็นอะไรแล้วมันทำไม?”
“ก็ไม่ทำไม แม่ก็คงบอกมึงว่าจะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่เป็นคนดี”
“ทำไมต้องเป็นคนดี? เป็นคนธรรมดาที่มีดีบ้างเลวบ้างไม่ได้หรือไง” ผมโพล่งออกไปขณะที่กำลังเกาคางให้ชานม  “การบอกว่าลูกจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วเป็นอะไรก็ได้ขอแค่เป็นคนดีเนี่ย มันเหมือนเป็นคำปลอบใจของพ่อแม่ที่รับไม่ได้ ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ถึงจะเป็นเกย์ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยลูกฉันก็เป็นคนดี”
“มันไม่ถูกตรงไหนล่ะครับ?”
“ไม่ถูกสิครับ ลองเป็นคุณเดินไปบอกแม่ว่าชอบผู้หญิง แม่จะร้องไห้และพูดว่าชอบผู้หญิงก็ไม่เป็นไรขอแค่เป็นคนดี หรือเปล่าล่ะครับ? คุณว่ามันไม่แปลกๆเหรอที่พ่อแม่ตั้งเงื่อนไขแบบนี้ขึ้นมาเฉพาะกับลูกชอบที่ชอบเพศเดียวกัน”
“มันก็แค่คำปลอบใจพ่อแม่ หรือคุณมองว่าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ผิดหวังที่ลูกเป็นเกย์?”
“การเป็นเกย์มันน่าผิดหวังขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”

ผมถามภีมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณหมอผู้ซึ่งมีหน้าตาเหมือนชายที่ผมชอบกำลังมองตรงมาด้วยแววตาไม่เป็นมิตรเหมือนช่วงแรกที่พบกัน

“บางครั้งผมก็สงสัยจริงๆนะว่ารสนิยมความชอบส่วนตัวของเรามันกลายเป็นเรื่องที่ผิดในสังคมบิดเบี้ยวแบบนี้ได้ยังไง”
“พ่อแม่มีลูกชาย ใครๆก็หวังจะให้แต่งงานมีหลานทั้งนั้นแหละครับ หรือพ่อแม่คุณไม่หวัง?”
“แต่ลูกไม่ใช่ตัวแทนของพ่อแม่ครับ ลูกก็เป็นคน มีสิทธิ์ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองเหมือนกัน ลูกไม่ใช่หุ่นเชิด ไม่ใช่ร่างโคลน ไม่ใช่ชีวิตที่สองของพ่อแม่ที่ปั้นขึ้นมาเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง”
“คุณจะพูดแบบนั้นก็ได้ แต่กว่าคุณจะโตจนรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย มันต้องใช้เงินพ่อเงินแม่ เขาก็เลี้ยงดูฟูมฟักคุณด้วยความคาดหวัง ทำไมเขาจะผิดหวังไม่ได้?”
“ผิดหวังได้ครับ แต่อย่าลืมนะว่าเราไม่เคยขอให้ตัวเองเกิดมา” ผมตอบคุณหมอภีมตามตรง “ทำไมการเป็นลูกถึงต้องแบกความคาดหวังมากมายขนาดนั้น แม้กระทั่งเป็นตัวของตัวเองก็ยังไม่ได้เลยเหรอครับ?”
“คุณอยากจะเป็นอะไร พ่อแม่คุณคิดยังไงนั่นเป็นเรื่องของคุณครับ แต่สำหรับครอบครัวเรามันน่าผิดหวัง”

ได้ยินแบบนี้แล้วผมโมโหแทนภูจนเลือดขึ้นหน้า นึกอยากยกตีนถีบภีมตกโซฟาให้มันรู้แล้วรู้รอด พูดออกมาต่อหน้าภูได้ยังไงว่าการเป็นเกย์คือเรื่องน่าผิดหวัง ภีมเคยคิดบ้างไหมว่าภูจะรู้สึกยังไง เขาจะเสียใจแค่ไหนเมื่อพี่ชายฝาแฝดยอมรับตรงๆว่าพ่อแม่และทุกคนผิดหวังในตัวของเขาแค่เพราะเป็นเกย์

“อีกเรื่องนะ คุณคิดว่าภูชอบคุณจริงๆเหรอ?”

ภีมถามด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ใช่การประชดแดกดันเพื่อให้ผมโกรธหรือเจ็บใจอย่างที่คิด น่าแปลกที่เมื่อประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของคนที่มีใบหน้าคล้ายภู ผมกลับรู้สึกกลัวและเจ็บปวดยังไงไม่รู้

“ภูคบผู้หญิงกี่คน คบผู้ชายกี่คน คุณเคยรู้หรือเปล่า?”
“เสือก” ภูปาหมอนอิงใส่หน้าภีม “หุบปากไปเลยมึงอ่ะ ถ้ากลับบ้านมาพูดแต่เรื่องหมาๆก็ไม่ต้องมา”
“กูกลับมาหาแม่ ไม่ได้มาหามึง” ภีมปาหมอนกลับแต่มันพลาดไปโดนชานม เจ้าคอร์กี้ยักษ์ที่สะดุ้งตกใจจนตัวหดยิ่งทำให้ภูโกรธขึ้นไปอีก
“เลิกเสือกเรื่องกูซักที!” ภูปากลับ คราวนี้เขาใช้สองมือทุ่มหมอนไปที่หน้าภีมอย่างจงใจ และหมอนใบนั้นก็ถูกโยนกลับมาใหม่ด้วยความแรงไม่แพ้กัน
“กูไม่ได้อยากเสือก! มึงนั่นแหละทำให้แม่เครียดจนความดันขึ้น!”
“กูจะเป็นตัวอะไรมันก็เรื่องของกู!”
“กล้าพูดว่าเรื่องของมึงทั้งๆที่คลินิกรักษาหมาเป็นเงินของแม่เหรอ?!” ภีมปากลับ คราวนี้พวกเขาเลิกเล่นสงครามหมอนแต่เป็นการจู่โจมอย่างถึงเนื้อถึงตัว “มึงน่ะดีแต่ทำให้แม่ปวดหัว! แม่เครียดเพราะมึงตั้งเท่าไหร่! นี่ยังไม่รู้ตัวเหรอว่าแม่ประชด แม่ไม่ได้จะให้มึงพาแฟนที่เป็นเกย์เข้าบ้านจริงๆ!”
“กูก็ไม่ได้อยากทำให้แม่ช้ำใจ! แม่นั่นแหละดูกล้องวงจรปิดในร้านกูทำไม?!”
“เพราะแม่เป็นห่วงมึงไง! วันก่อนมึงปัดแจกันใส่เจ้าของหมาที่มาโวยเรื่องหมาตาย วันหน้ามึงจะทำอะไรอีกไม่มีใครรู้ แม่ถึงต้องดูพฤติกรรมมึงไง!”

ภีมพูดอย่างเหลืออดและดึงผมของภู พวกเขาตีกันแต่ไม่ได้ต่อยกัน ก็แค่ลงไม้ลงมือเป็นการรัดคอและทุบหลังเท่านั้น ผมที่นั่งอยู่ข้างภูถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นภูสองคนตีกันเอง พวกเขาด่าทอและตบตีราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนอายุยี่สิบหก แต่ผมไม่ได้ไร้สติถึงขนาดที่จะไม่ห้าม ดังนั้นเมื่อภีมได้โอกาสใช้แขนรัดคอของภู ผมก็ฟาดต้นแขนเขาและสั่งให้ปล่อยภูเดี๋ยวนี้

มันไม่ขำเลยนะ ผู้ชายสองคนทะเลาะกันถึงขนาดลงไม้ลงมือเพราะเถียงกันว่าใครทำให้แม่เจ็บปวดมากกว่ากัน สถานการณ์มันตึงเครียดและน่าตกใจ ขนาดชานมยังวิ่งกระวนกระวายและเห่าเสียงดังเมื่อเห็นเจ้าของถูกทำร้าย ทั้งคู่ฟัดกันได้ไม่ถึงนาที คุณแม่ที่อยู่ข้างบนก็รีบวิ่งลงบันไดมาและตวาดใส่ลูกทั้งสองคน

“ภีม! อย่าทำน้อง! แม่บอกว่าอย่าทำน้องไง!”

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เป็นพยานในเหตุการณ์นี้ ผมไม่อยากเชื่อว่าพวกเขายังคงทำตัวเป็นเด็กและใช้ความรุนแรงแทนที่จะคุยกันด้วยเหตุผล ผมรู้ว่าภีมก็คงมีมุมอิจฉาภูบ้างเหมือนกัน ไม่งั้นเขาคงไม่พูดเรื่องที่แม่ทุ่มเงินเซ้งคลินิกให้ภูหลักล้าน ในขณะที่ตัวเขาต้องเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ในชนบท ไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเพราะภูไม่เอาไหน ภีมถึงต้องทำหน้าที่นั้นแทนน้องชายฝาแฝดที่ไม่เอาเรื่องเอาราว

“ทะเลาะกันเรื่องอะไร!”

คุณแม่ถามด้วยความโมโห อย่างน้อยในเวลาที่พวกเขาทะเลาะกัน คุณแม่ก็ไม่ได้เข้าข้างภีมเสียทีเดียว เธอรู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งๆที่เพิ่งลงจากชั้นสอง ราวกับความรุนแรงของทั้งสองคนมักจะเริ่มต้นเพราะคนเดียว

“ไอ้ภูมันดีแต่ทำให้แม่เครียด” ภีมใส่อารมณ์เต็มที่ก่อนจะหันมามองผม “แม่น่าจะพูดตรงๆได้แล้วว่าแม่ไม่ชอบที่มันเป็นเกย์!”
“ภีม”

คุณแม่พูดเสียงเรียบ แววตาไม่พอใจชัดเจนเมื่อลูกชายคนโตพยายามบีบบังคับให้เธอยอมรับต่อหน้าผมว่าไม่ปลื้มที่ลูกชายของตนเองกำลังคุยกับผู้ชายด้วยกัน

“แม่ผิดหวังที่ภูเป็นเกย์จริงๆเหรอ?”
“ภู เราค่อยคุยกันวันหลังที่มีแค่เราดีกว่าไหม?”
“แม่ตอบภูมาก่อน” ลูกชายคนเล็กสะบัดแขนจากแม่ “ไหนแม่บอกว่าไม่เป็นไรไง ไหนแม่บอกว่าภูจะรักใครก็ได้แต่ต้องแนะนำให้แม่รู้จักด้วย”
“ก็ใช่ไงภู แม่ไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกชอบผู้ชาย”
“แม่ไม่ว่าอะไร แต่ความดันแม่ขึ้นทุกคืนตั้งแต่รู้ว่ามึงพาผู้ชายไปค้างที่คลินิก”
“พอซักทีเถอะภีม! จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา!”

คุณแม่ตะโกนอย่างเหลืออด ผมรู้ในทันทีว่าภูกำลังจะร้องไห้ ริมฝีปากของเขาสั่น ดวงตาเริ่มแวววาวเพราะน้ำตา เขามองหน้าแม่ด้วยความโกรธและผิดหวังจนสัมผัสได้ ภูมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะพรั่งพรูความในใจออกมา เขาตัดพ้อถามแม่ว่าเขาทำอะไรผิดนักหนา ทำไมการใช้ชีวิตของภูถึงทำให้แม่ความดันขึ้นทั้งๆที่สิ่งที่ภูเป็นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย ในขณะที่แพรท้องป่องกลับบ้าน แม่ยังไม่พูดว่าผิดหวังซักคำ ตอนแพรทิ้งพีชให้แม่เลี้ยง แม่ก็ไม่ว่าอะไรแถมยังส่งไปเรียนเมืองนอกอีก แต่ทำไมพอเป็นภู ทำไม – แม่ถึงไม่กล้าปฏิเสธว่าแม่ไม่ได้ผิดหวัง หรือจริงๆแล้วแม่ก็เป็นอย่างที่ภีมว่า แม่ไม่พอใจที่ภูชอบผู้ชาย ถ้าไม่พอใจแล้วจะโกหกว่ารับได้ทำไม

“ภู แม่รู้ว่าภูโกรธ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะ”
“ภูไม่อยากคุยกับแม่แล้ว”
“ภู” เธอเรียกลูกคนรองด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ภู กลับมาก่อน”

ภูลุกขึ้นหนีไปทางประตูใหญ่โดยมีชานมวิ่งตามหลังเราไปติดๆ ผมได้ยินเสียงสูดน้ำมูกฟุดฟิดขณะที่ภูก้มตัวลงสวมรองเท้า เมื่อเห็นผมตามทัน เขาก็พูดว่ากลับกันเถอะ ภูไม่น่าพาสองมาที่นี่เลย รู้แบบนี้จะไม่พามาตั้งแต่แรก

ตอนที่ได้ยินแบบนั้น – ผมเจ็บปวดจริงๆนะเพราะไม่รู้ว่าความหมายแฝงของประโยคเหล่านั้นคืออะไร ไม่น่าพาสองมาที่นี่ หมายถึงไม่น่าพาผมมารับรู้ความไม่ลงรอยของครอบครัว หรือไม่น่าพาผมมาเพราะการปรากฎตัวของเกย์วัยสามสิบทำให้คุณแม่เครียด ผมเสียใจที่ต้องรับรู้เรื่องพวกนี้ และผมอยากกอดภู อยากปลอบใจเขาแต่ยังไม่มีโอกาสเหมาะสม

“ภู! ภู!”

คุณแม่เรียกเสียงดังขณะที่เรากำลังเปิดประตูรถและอุ้มชานมลงบนเบาะ ภูล็อครถอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าคุณแม่กับพี่ชายเดินใกล้เข้ามาทุกที เขารีบถอยรถเพื่อขับกลับบ้านทว่าไปไหนไม่ได้เพราะประตูรั้วไม่เปิด

“ภู! มาคุยกับแม่ก่อน!”

คุณแม่ทุบกระจกปึงปังจนภูเครียด เขากำพวงมาลัยแน่นด้วยแววตาแข็งกร้าวไม่สบอารมณ์ ภูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนผมกลัวและทำอะไรไม่ได้นอกจากเอื้อมมือไปลูบแขนเขา

“ผมรู้ว่าคุณโกรธ ผมเข้าใจ เพราะผมเองก็โกรธเหมือนกัน” ผมเปลี่ยนจากลูบแขนที่กำพวงมาลัยจนเกร็งแน่นมาเป็นลูบต้นขาของภูเบาๆ “ไม่อยากคุยกับแม่วันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่คุณต้องบอกแม่นะว่าขอคุยวันหลัง แม่จะได้ไม่ต้องเคาะรถกดดันคุณแบบนี้”
“แม่ไม่ฟังหรอก”
“เดี๋ยวผมคุยกับแม่คุณให้ รออยู่ตรงนี้และอย่าขับรถชนประตูล่ะ”

ผมพูดทีเล่นทีจริง แต่รู้ว่าภูทำจริงแน่หากคุณแม่ยังทุบกระจกปึงปังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมจึงปลอดล็อคประตูจากฝั่งตัวเองและลงไปคุยกับเธอ คุณแม่ที่สีหน้าดูเครียดจนเก็บอาการไม่มิดรีบตวัดตามองด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้ภูไม่เห็น จึงไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเสแสร้งแกล้งทำอีก ผมไม่รู้ควรวางตัวยังไงก็เลยทำตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรสามารถทำให้คุณแม่ที่กำลังร้อนใจสงบลงได้

“ช่วยพูดกับภูให้ลงจากรถหน่อย”
“คุณแม่ครับ --”
“ฉันไม่ใช่แม่เธอ!”

ผมหน้าชาตัวชาจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอย่างนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงสติกลับมาและบอกเธอว่ายังไงก็แล้วแต่ วันนี้ภูไม่อยากคุยกับคุณอีกแล้ว คุณต้องปล่อยให้เขากลับไปสงบสติอารมณ์ที่บ้าน เรื่องอื่นค่อยคุยกันวันหลัง

“ภู ภูครับ ภูลงมาคุยกับแม่ก่อน แม่ไม่ได้ลำเอียงรักภูน้อยกว่าใครนะ แม่ก็รักภูเหมือนที่รักภีมกับแพร” เธอพูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ “ภู ลงมาคุยกับแม่เร็ว อย่ากลับบ้านทั้งๆที่ยังโกรธกันแบบนี้”

ผมจนปัญญาเพราะไม่อยู่ในสถานะที่คุณแม่ของภูจะฟังคำแนะนำ ดังนั้นคนที่เกลี้ยกล่อมให้คุณแม่ยอมปล่อยภูกลับบ้านจึงเป็นภีม เขาเดินมาสวมกอดแม่จากด้านหลังและกระซิบกันเบาๆข้างหู ผมแอบได้ยินภีมขอให้แม่ปล่อยภูกลับบ้านไปก่อน เพราะหากคุยกันตอนนี้ภูอาจจะใช้อารมณ์จนเรื่องบานปลายได้

อีกอย่าง –

เราควรคุยกันในครอบครัวมากกว่า

พอฟังถึงตรงนี้ผมก็เบือนหน้าหนี รู้ในทันทีว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการสำหรับคนบ้านนี้ยังไงชอบกล ภีมกอดคุณแม่อยู่พักใหญ่ก่อนที่เธอจะสงบลงและเลิกเคาะกระจกรถเหมือนคนบ้า คุณแม่บอกภูว่ากลับบ้านไปอาบน้ำพักผ่อนให้สบายตัว แล้ววันหลังเราค่อยคุยกันนะ

“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”

ผมยกมือไหว้สวัสดีคุณแม่เมื่อประตูรั้วค่อยๆเปิดอัตโนมัติ เธอรับไหว้แบบขอไปที สายตายังคงจ้องภูอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรถของลูกชายขับออกไปจนสุดสายตา ผมมองภาพภีมกอดแม่ผ่านทางกระจกมองข้างจนกระทั่งเราเลี้ยวออกสู่ถนนหลักของหมู่บ้าน ภูที่แหลกสลายจึงจอดข้างทางและร้องไห้ออกมา

ผมไม่อยากพูดอะไรในตอนนี้ ไม่อยากยกคำพูดสวยหรูหรือคำคมมาสอนใจภูนอกจากกอดเขาที่กำลังร้องสะอึกสะอื้นจนตัวสั่น ชานมที่เห็นเจ้านายปล่อยโฮได้แต่ส่งเสียงงี๊ดง๊าดอยู่ด้านหลัง มันกระวนกระวายพอสมควรเมื่อเห็นภูร้องไห้ แต่ในเวลาแบบนี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดภูแน่นๆและบอกว่าไม่เป็นไร

“ผมเอง – ก็ไม่ใช่ความภูมิใจของพ่อกับแม่เหมือนกัน”

ผมบอกภูเมื่อเขาร้องไห้ไปได้ซักพักหนึ่ง

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจให้มันออกมาเป็นแบบนี้ --”
“ภูไม่น่าพาสองมาที่นี่เลย”

เขาพูดประโยคนี้ออกมาอีกแล้ว ผมได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมนะ ทำไม ทำไมเขาถึงวนเวียนพูดแต่ประโยคนี้ อะไรคือใจความหลักที่ภูต้องการจะสื่อกันแน่

“บางทีความสัมพันธ์ที่มีแค่เราที่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว”
“อืม”

ผมเห็นด้วย ความสัมพันธ์ที่รู้กันสองคนมันดีที่สุดแล้ว ยิ่งเราบอกคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรับรู้ถึงความไม่พอใจเล็กๆจากพวกเขา ดังนั้นการไม่บอกให้ใครรู้น่ะดีที่สุดเลย แม้คนอื่นจะถามว่าทำแบบนี้ถือเป็นการไม่ให้เกียรติครอบครัวหรือไม่ ผมก็จะยืนยันว่าถ้าพ่อแม่รู้แล้วเรื่องบานปลายแบบนี้

สู้ไม่บอกตั้งแต่แรกยังดีเสียกว่า

“สิ่งที่เราเป็นมันผิดมากเลยเหรอสอง?”
“ไม่ผิดหรอก” ผมตอบภูเสียงแผ่ว “ที่ผิดคือคนอื่นต่างหาก พวกเขาแค่ยอมรับมันไม่ได้แล้วก็เอาปัญหาของพวกเขามาลงที่เรา”

ผมกอดภูที่กำลังอ่อนไหวเป็นพิเศษพร้อมกับลูบหลังเขา ผมรู้ว่าภูรักแม่มาก เขารักแม่แต่ก็ต้องการการยอมรับจากแม่เช่นกัน เมื่อรู้ว่าจริงๆแล้วแม่ไม่ได้เปิดกว้างหรือรับได้อย่างที่พูด เขาก็หัวใจสลาย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็สามารถหัวใจสลายได้หากคนที่เขารักไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น

“ภู – ผมว่านะ บางที” ผมเกริ่นในขณะที่สวมกอดภูเอาไว้แน่น รู้สึกลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายผมก็พูดเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องจริง “บางทีปัญหามันไม่ใช่เพราะเป็นเกย์หรอก”
“หมายความว่าไง?”
“บางที – แม่ของคุณอาจจะยอมรับแฟนของคุณก็ได้ หากเขาคนนั้นเป็นใครซักคนที่ดีกว่านี้ --”
“สองหมายความว่าไง?”
“ผมหมายถึง แม่คงอยากให้คุณคบกับคนดีๆ คบกับคนที่คู่ควรมากกว่านี้ คนที่ดีกว่าผม ไม่แน่นะถ้าคุณมีแฟนที่ดีถูกใจแม่ทุกอย่าง แม่อาจจะไม่ต่อต้านและยอมรับคุณกับแฟนก็ได้”
“แต่ภูไม่รักใครนอกจากสอง”

ภูพูดแค่นั้นและเงียบไป

“ภูรักสองจริงๆนะ”

ผมน้ำตาคลอ บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไง ภูพูดออกมาว่าเขารักผมแม้ว่าเราจะยังไม่มีสถานะชัดเจน ผมได้แค่ถอนหายใจและกอดภู รู้สึกว่าเรื่องของเรามันยากกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ เรามีหลายอย่างที่ต่างกันเกินไป ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตของภูได้ ในขณะเดียวกันผมก็รู้ตัวว่าชอบเขา ผมชอบเขามากๆ แต่ไม่อยากเจ็บหากเราไปด้วยกันไม่ได้

“ภูอยากให้แม่รับได้ที่เป็นเกย์ก็ส่วนหนึ่ง แต่แม่ต้องรับผู้ชายที่ภูรักด้วย” เจ้าโกลเด้นกระซิบบอกผมก่อนจะผละตัวออก “สองรักภูไหม?”

ผมไม่ตอบนอกจากมองหน้าเขา มองดวงตาแดงช้ำ มองริมฝีปากบวมเจ่อเพราะเจ้าตัวขบปากแน่นอยู่หลายวินาที ผมไม่ตอบภูว่ารักเขาหรือไม่ ไม่ให้คำตอบอะไรทั้งนั้นนอกจากเช็ดน้ำตาออกจากแก้มและจูบเขาเบาๆ เราจูบกันอย่างอ่อนโยนในรถที่จอดริมถนนอยู่ครู่เดียว แค่ครู่เดียวก็ผละตัวออก ผมมองหน้าภูอีกครั้ง พยายามจ้องเข้าไปในตาของเขาเพื่อให้ภูเห็นว่ามันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกแบบไหน

“กลับบ้านกันเถอะ” ผมลูบแก้มเจ้าโกลเด้นเบาๆ “คืนนี้ผมจะแปล Howl’s moving castle ให้ฟัง”

ต่อ Part 2 ข้างล่างเลยค่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [10] 21/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 21-04-2020 19:54:10
10 [PART2/2]


เราถึงคลินิกตอนสี่ทุ่ม ภูดูเหนื่อยและเพลียเพราะหมดพลังไปกับการร้องไห้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแรงอุ้มเจ้าหมายักษ์ขึ้นไปถึงห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบน เราสองคนอยู่ในห้องโดยไม่พูดอะไรอีก ภูเก็บแผ่นรองฉี่ของชานมไปทิ้งข้างล่าง เหลือผมกับหมาอ้วนที่เดินส่ายตูดไปมารอบห้องโดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

“อะไรอีกนม?”

ผมก้มมองหน้าขาตัวเองเมื่อชานมเอาคางมาเกย เจ้าหมาตาแป๋วกระพริบตาปริบๆสองสามทีอย่างออดอ้อน แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันต้องการอะไร

“นม ภูร้องไห้บ่อยไหม?”

ชานมไม่ตอบ เพราะมันพูดไม่ได้เหมือนที่ภูเคยหลอกให้มาค้างที่ห้อง มันนอนเกยคางอยู่อย่างนั้นจนอดใจไม่ไหว ต้องยกมือขึ้นยีขนนุ่มๆหนาๆด้วยความมันเขี้ยว ผมแกล้งคุยเสียงสองกับชานมอยู่นานจนกระทั่งภูกลับเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นผมกอดชานมเหมือนเป็นลูกตัวเอง เขาก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

“ไม่คิดว่าสองจะรักชานมนะเนี่ย ตอนแรกๆที่มาค้างที่นี่ สองดูแขยงชานมมาก”
“ใครน่ารักผมก็รักหมด”
“อย่างนี้สองก็ต้องรักภูมากเลยสิ เพราะภูน่ารัก”
“แหวะ จะอ้วก” ผมหลุดหัวเราะ “ไปอาบน้ำสิ อาบน้ำเสร็จก็พักผ่อน คืนนี้ผมจะอ่านหนังสือให้ฟัง”
“สองอยากอาบน้ำพร้อมภูไหม?”
“ฝันไปเถอะ”

ผมตอบโดยไม่มองหน้าเขา รู้สึกหน้าร้อนชอบกลเมื่อเราพูดถึงเรื่องแนวนี้ ภูอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ หลังจากนั้นก็เปลือยท่อนบนออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กเหมือนเช่นทุกที เขาเดินมานั่งตรงปลายเตียงข้างๆนายสิปปกรตัวเน่าที่กำลังอ่าน Howl’s moving castle

“เดี๋ยวผมขออาบน้ำก่อนแล้วจะอ่านให้ฟัง”
“สองซื้อเองเหรอ?”
“ใช่สิ” ผมตอบพลางพลิกปกหลังให้ภูดู มันยังมีบาร์โค้ดของร้านหนังสือคิโนะคูนิยะและราคาติดอยู่เลย “วันก่อนผมไปคุยงานแถวสยาม”
“ซื้อเพราะภูบอกว่าอยากอ่านเหรอ?”
“ใช่”
“น่ารักจัง” ภูยิ้มจนตาหยี “สองรีบไปอาบน้ำเร็ว เราจะได้อ่านหนังสือด้วยกัน”

ผมพยักหน้าและทิ้งภูให้เล่นกับชานมในห้อง ส่วนตัวเองก็ย้ายไปยืนแปรงฟันหน้ากระจก เตรียมอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวให้หอมก่อนกระโดดขึ้นเตียงของเขา เมื่อเดินออกมาผมเห็นภูก้มอ่านเนื้อหาด้านในอย่างตั้งใจ เขาบอกว่าอ่านออกทุกคำแต่ไม่รู้ความหมายว่ามันคืออะไร ผมจึงเดินเข้าไปใกล้และทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ บอกว่าแปลไม่ออกก็ไม่เป็นไร ผมจะแปลให้เอง

“อาจจะไม่เป๊ะเท่าไหร่เพราะอ่านไปแปลไป คุณก็จับแต่ใจความแล้วกัน”

ผมบอกเจ้าโกลเด้นที่กำลังจ้องหนังสือตาเป็นประกาย เขาดูสนอกสนใจมากเมื่อผมเปิดหนังสือหน้าแรกและเริ่มแปลทีละประโยคให้ฟัง การอ่านไปแปลไปยากกว่าแปลหนังสือเยอะ อย่างน้อยแปลหนังสือยังสามารถเกลาภาษาหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อแปลความหมายออกมาให้ตรงได้ แต่การอ่านแล้วแปลเลยมันยากตรงที่เราไม่มีเวลาทำอย่างนั้น ผมจะรีบอ่านในใจและประมวลผลอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความสละสลวยของภาษา แต่เนื้อหาครบถ้วนพอเข้าใจได้ ผมกังวลว่าภูจะมองว่าผมเป็นนักแปลกระจอกหรือไม่ เมื่อเห็นเขาดูตั้งอกตั้งใจ ฟังสิ่งที่ผมแปลอย่างดีแล้วก็รู้สึกมีความสุขแปลกๆ ภูทำให้ผมภูมิใจในตัวเองขึ้นมานิดนึง

“ในเมืองแห่งหนึ่งชื่ออินการี เมืองที่รองเท้าบูทเซเว่นลีกและเสื้อคลุมล่องหนมีอยู่จริง การเป็นลูกคนโตในบรรดาพี่น้องสามคนถือเป็นเรื่องค่อนข้างโชคร้าย --”
“รองเท้าบูทเซเว่นลีกคืออะไร?”
“นั่นสิ อาจจะต้องกูเกิ้ลดู” ผมตอบตามตรงและเปิดโทรศัพท์หาความหมายของรองเท้าบูทเซเว่นลีก มันมีเขียนไว้ว่ารองเท้าวิเศษที่ก้าวได้ครั้งละเจ็ดโยชน์ “ของวิเศษน่ะ เมืองนี้มีเวทมนตร์”

ภูพยักหน้าเข้าใจ เราจึงปิดโทรศัพท์และเริ่มอ่านย่อหน้าถัดไป โซฟี แฮตเตอร์เป็นลูกสาวคนโตในบรรดาพี่น้องสามคน พออ่านถึงตรงนี้ภูก็ถามย้ำอีกครั้งว่ากี่คนนะ

“สามคน”
“แต่ในอนิเมะไม่เห็นพูดเลยว่ามีน้องสาวสามคน” ภูย่นหน้า “ไหนสองอ่านต่อเร็ว ภูอยากรู้ว่ามีอะไรไม่เหมือนกันอีกบ้าง”

ผมหัวเราะและอ่านเรื่องราวของโซฟี แฮตเตอร์ต่อ เธอเป็นพี่สาวคนโตในครอบครัวช่างทำหมวก แม่ของโซฟีตายเมื่อเธออายุสองขวบ ส่วนน้องสาวของเธอที่ชื่อเล็ตตี้อายุเพียงหนึ่งขวบเท่านั้น จากนั้นพ่อของเธอก็แต่งงานกับผู้ช่วยที่อายุน้อยที่สุดในร้าน เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยและมีผมสีบรอนด์ เธอชื่อแฟนนี หลังจากนั้นไม่นานแฟนนีก็ให้กำเนิดลูกสาวคนที่สามชื่อมาร์ธา น้องสาวคนเล็กอาจทำให้โซฟีและเล็ตตี้ดูเป็นพี่สาวที่หน้าตาขี้เหร่ แต่ในความเป็นจริงทั้งสามคนเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามมากๆ –

ผมแปลเนื้อหาในหนังสือไปเรื่อยโดยไม่มีจุดหมายว่าต้องแปลถึงหน้าไหน เห็นภูมีความสุขกับการได้ฟังสิ่งที่ผมแปลก็ทำให้อยากแปลต่อจนกว่าเขาจะง่วงหรือขอให้พอ เราสองคนนั่งเบียดกันตรงปลายเตียง ภูยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทุกครั้งที่ผมพลิกหน้ากระดาษเพื่ออ่านตอนถัดไป ตอนแรกใบหน้าของเรายังพอมีระยะห่างอยู่บ้าง แต่พออ่านไปได้ถึงบทที่สองซึ่งเป็นตอนที่โซฟีเพิ่งรู้ว่าน้องสาวของเธอสลับตัวกัน เจ้าโกลเด้นก็เอาคางมาเกยไหล่และพ่นลมหายใจร้อนๆตรงกกหู

“นี่ – นั่งให้มันดีๆ” ผมเตือนก่อนจะดึงแขนของภูให้นั่งหลังตรง แต่ไอ้หมานี่มันร้ายกว่าที่คิด เขาไม่ยอมผละตัวออก แถมยังพรมจูบเบาๆจนผมขนลุกทั้งตัว
“ตัวหอมจัง”
“อย่าเว่อร์ ผมก็ใช้สบู่ขวดเดียวกับคุณ” ผมตอบพลางแกะมือปลาหมึกที่เริ่มโอบเอวเอาไว้หลวมๆ “ภู --”
“ว่าไงครับ?”

แหม มีครับด้วย

“อ่านต่อสิสอง ภูฟังอยู่”

เจ้าโกลเด้นพูดทั้งๆที่ยังจูบคอของผมซ้ำไปซ้ำมา ผมรู้ทันทีว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นเพราะเราทั้งคู่ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา เราก้าวผ่านเส้นกั้นบางๆของคำว่าเพื่อนตั้งแต่คราวก่อนที่มีอะไรกันภายนอกแล้ว แต่ผมยังไม่แน่ใจในตัวเองว่าพร้อมที่จะมีเซ็กส์กับเขาอีกครั้งหรือไม่ ดังนั้นผมจึงอ่านต่อไป อ่านและแปลไปพร้อมกับมือของภูที่เริ่มสอดเข้ามาใต้เสื้อ

ภูซุกซนเหมือนเดิมไม่มีผิด เขาลูบหน้าท้องที่ลงพุงของผม ลูบด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาไปจนถึงหน้าอก การแปลสะดุดลงเมื่อเขาเริ่มสะกิดและเด็ดดึงเบาๆ ผมเบือนหน้าหนีเมื่อภูค่อยๆจูบไล่จากต้นคอขึ้นมาเรื่อยๆ เขาจงใจพ่นลมร้อนใส่หูและจูบแก้มของผม ก่อนที่เราจะหันหน้ามาจูบกันอีกครั้งโดยไม่มีการขัดขืนอีก

ผมไม่อยากเล่นตัว ไม่เคยอยากเล่นตัวเมื่อเรามีความต้องการด้วยกันทั้งคู่

หนังสือ Howl’s moving castle หล่นจากมือเมื่อภูรุกแรงขึ้น เขาพยายามทำให้นุ่มนวลที่สุด แต่ในความนุ่มนวลที่สุดก็ยังมีความรุนแรงที่ทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย เราจูบกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่ภูจะถอนริมฝีปากออก เขามองหน้าผม มองและยกหลังมือขึ้นมาไล้แก้มซ้ายอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆถอดแว่นสายตาของผมออก เราต่างหอบหายใจหนักด้วยกันทั้งคู่และโผเข้าหากันใหม่ราวกับริมฝีปากของเราเป็นแม่เหล็ก ผมรู้ในทันทีว่าเราต้องมีเซ็กส์กันแน่ๆ แต่ผมไม่ได้เตรียมพร้อมมา ดังนั้นตอนที่เราเกือบเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงแกล้งถามภูว่าเขามีถุงยางไหม ถ้าไม่มีถุงยาง ผมไม่ต่อนะ

“มีครับ” ภูตอบและจูบอีกครั้ง “เจลก็มี”
“ซื้อมาเมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่วันที่เรามีอะไรกัน ภูซื้อเก็บไว้ตลอดเลย”

ผมควรดีใจไหมที่ได้ยินแบบนี้

“ภู – เดี๋ยว เรายังต้องคุยกัน เราต้องคุยก่อนเอากัน”

ผมใช้มือยันอกของภูก่อนที่เขาจะทำอะไรมากไปกว่านี้ ทีแรกภูก็ดูงุนงงที่ถูกขอให้หยุดกะทันหัน แต่ดูเหมือนเขาจะคิดได้เมื่อเราจ้องตากันนานกว่าปกติ ราวกับรู้อยู่แก่ใจว่าคำถามในหัวตอนนี้คืออะไรเพียงแค่ไม่กล้าพูดออกมา ใช่ ผมกำลังสื่อสารกับภูทางสายตาว่าใครเป็นใครในความสัมพันธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

“สอง” ภูเรียกชื่อผมเสียงเรียบ ดูจริงจังและหวั่นใจในคราวเดียว “ภูไม่รับนะ”

สีหน้าของเจ้าโกเด้นดูกังวลจนปิดไม่มิด ฝ่ามือที่สัมผัสหน้าอกของเขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วผิดปกติ ภูเครียดจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขามองหน้าผมด้วยสายตาเว้าวอนจนเผลอหลุดยิ้มออกมา

“ภู” ผมเรียกชื่อเขาและยกมือลูบแก้มเจ้าโกลเด้นอย่างแผ่วเบา “ผมก็ไม่รุกเหมือนกัน”
“เฮ้อ” ภูถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาดูโล่งและมีความสุขมากเมื่อผมบอกรสนิยมบนเตียงของตัวเอง “ภูเครียดมากเลยตอนที่สองเงียบไป ภูกลัวสองเป็นรุก”
“ผมว่าเราเคยคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะ”
“ไม่ สองไม่เคยพูดว่าสองเป็นรุกหรือรับ สองบอกแค่ว่าสองเคยมีอะไรกับผู้ชาย”
“ทำไมถึงดีใจขนาดนั้นที่รู้ว่าผมเป็นรับ?”
“เพราะภูชอบสองมาก แต่ภูไม่อยากเป็นรับ” เจ้าโกลเด้นตอบตามตรง “มันเจ็บ ภูไม่ชอบเลย”
“ใช่ มันเจ็บ แต่มันก็รู้สึกดีนะ” ผมเห็นด้วย “งั้นตกลง –”
“ได้ไหม?”

ผมพูดไม่ออก รู้ว่าภูกำลังขออะไรแต่มันยากที่จะตอบตอนนี้ว่าได้หรือไม่ได้ ยังมีหลายอย่างที่ผมไม่มั่นใจในตัวภู หนึ่งคือรอยกัดที่เขาฝากไว้คราวก่อนยังเป็นฝันร้าย สองคือผมกลัวว่าจะได้รับรู้อีกด้านที่ไม่เคยเห็น ผมกลัวว่าภูจะเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง กลัวว่าจะเสียใจหากเขาทำให้ผมเจ็บตัวตอนที่เรามีเซ็กส์กัน

“ได้ แต่มีข้อแม้อยู่สองข้อ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับจ้องตาภู “อย่ากัดผมอีก ถ้าผมบอกให้หยุด คุณต้องหยุด”

ภูไม่รับปากว่าทำได้หรือไม่ เขาดูเครียดและกังวลก่อนจะยอมตอบตกลงในที่สุดว่าเขาจะไม่กัดอีก เขาจะไม่บีบหรือรัดจนเป็นรอยเหมือนคราวนั้น เมื่อได้ยินคำสัญญาผมก็โล่งใจเปราะหนึ่ง

“ถ้าคุณกัดผม ผมจะไม่ให้ทำต่อ และถ้าคุณขืนใจผม เราจบกัน” ผมขู่ “เข้าใจไหม?”
“เข้าใจ”
“ผมถามว่าเข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ!” ภูตอบเสียงหนักแน่น “ภูจะไม่กัดสองอีก!”
“โอเค งั้น – ขอผมไปเตรียมตัวก่อน”
“ให้ภูช่วยไหม?”
“ไม่ต้อง!”

ผมแว้ดใส่เจ้าโกลเด้นที่กำลังกระดิกหางรัวด้วยความดีใจสุดขีดเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามันจะได้รับอนุญาติให้ทำอะไร

“รออยู่ตรงนี้จนกว่าผมจะเตรียมตัวเสร็จ”





TBC


_________________________


#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

ห่างหายกันไปหลายวันมากๆ คิดถึงน้องภูมั้ยคะ :D
เราเองก็คิดถึงนักอ่านทุกคนมากๆเลย พอไม่ได้อัปนิยายก็รู้สึกห่อเหี่ยวเหมือนกัน ตอนหน้ามาตรงเวลาแน่นอนคับผม เพราะเขียนใกล้เสร็จแล้วแต่ขอเวลาตัดสินใจก่อนนะคะ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนที่สุดแสนจะน่ารักเช่นเคย หวังว่าคุณจะรักนิยายเรื่องนี้ไม่มากก็น้อยนะคะ ❤
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [10] 21/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-04-2020 21:48:56
ภูต้องไม่ระบายความอัดอั้นด้วยเซ็กส์รุนแรงนะ

ระแวงจริง ๆ นะ เรารู้สึกว่าไม่อยากให้สองต้องเจ็บปวดทั้งกายและใจ ชีวิตสองไม่ง่ายเลย แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตใครจะไม่เจ็บปวดเลย ไม่มีหรอก
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [10] 21/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 22-04-2020 22:55:29
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [10] 21/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 23-04-2020 20:32:12
กัดกรุบๆบางทีก็ มีอารมณ์นะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [11] 27/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 27-04-2020 19:59:57
11 [PART1/2]


11


ผมสวนล้างเสร็จแล้วแต่ไม่กล้าออกจากห้องน้ำเพราะตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำตัวยังไง แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดประตูออกไปเพื่อพบกว่าภูกำลังนั่งอยู่ที่เดิม มือหนึ่งกุมเป้ากางเกงแน่น อีกมือวางค้ำที่นอนเอาไว้ราวกับรอการปรากฎตัวของผม ส่วนชานมที่อาจจะก่อกวนเราต่อทำอะไรๆถูกจับใส่คอกเรียบร้อย

“ไหนล่ะถุงยาง?”

ผมแกล้งถามขณะเดินเข้าไปใกล้ นึกอยากให้ระยะห่างจากห้องน้ำกับเตียงมากกว่านี้เพราะกังวลว่าเซ็กส์ที่ต้องสอดใส่ครั้งแรกมันจะออกมาในรูปแบบไหน พอถามเรื่องถุงยาง ภูก็ยิ้มกว้างและยื่นกล่องกระดาษมาให้

“เจลล่ะ?”
“อยู่นี่”
“โอเค” ผมพึมพำและทิ้งตัวนั่งลงข้างเขา “เคยรุกใช่ไหม?”
“ผมเคยหมดแล้ว”
“โอเค วันนี้ผมมีเวลาเตรียมตัวไม่นาน มันอาจจะเลอะ --”
“ไม่เป็นไรครับ” ภูยิ้มและจูบแก้มของผม “แค่นี้ก็ดีมากๆแล้ว”

ผมยิ้มจนปากแทบฉีกเพราะไม่เคยมีใครพูดแบบนี้มาก่อน แม้แต่ชวินทร์ที่เป็นคู่นอนคนแรกก็ไม่เคยพูดว่าไม่เป็นไรหากมันจะเลอะหรือเปื้อน มีเพียงภูเท่านั้นที่เข้าอกเข้าใจถึงความกังวลของคนต้องรับในตอนนี้ เรามองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนที่ภูจะค่อยๆบรรจง ถอดแว่นสายตาของผมออกไป แน่นอนผมยังมองเห็นใบหน้าของเขาอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ชัดเจนใส่แจ๋วเหมือนตอนสวมแว่น ภูจ้องหน้าผมนานมากราวกับมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา ผมจึงถามเขาว่ามองอะไร

“สองน่าจะสายตาสั้นมาก พอถอดแว่นถึงเห็นว่าจริงๆแล้วสองไม่ได้ตาตี่” ภูยิ้ม “ตื่นเต้นจัง ภูจะพยายามทำเบาๆนะ”

ภูให้สัญญา และผมก็เชื่อในทีแรกที่บอกว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นอีก เซ็กส์ครั้งที่สองของเราจึงเริ่มต้นอย่างเนิบช้าโดยไม่มีการตะบี้ตะบันเอาแต่ใจ ภูค่อยๆทำให้เคลิบเคลิ้มด้วยจูบแสนหวานและการสัมผัสภายนอก เราโอบกอดกันด้วยแขนทั้งสองข้างก่อนจะค่อยๆเอนราบลงบนเตียง ภูคร่อมอยู่บนตัวผม ใช้ริมฝีปากอุ่นร้อนให้เป็นประโยชน์ด้วยการโลมเลียจนตัวอ่อนระทวยไปหมด เราช่วยกันถอดเสื้อผ้าและกางเกงจนเปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ก่อนที่ภูจะถือโอกาสตอนเผลอด้วยการรวบมือทั้งสองข้างของผมไว้เหนือหัว

“สอง” ภูกระซิบเสียงพร่า “ภูอยากมัดมือสอง”
“อะไรนะ?”
“ภูสัญญาว่าไม่เจ็บ ภูจะมัดหลวมๆ”
“ทำไมต้องมัด?”

ผมขมวดคิ้วงุนงง ไม่ยอมให้เขาได้ทำตามอำเภอใจโดยง่าย ภูหน้าเสียเมื่อเห็นว่าผมไม่เล่นด้วย เขาเลียริมฝีปากก่อนจะสารภาพว่าเขาชอบเห็นคู่นอนอยู่ในภาวะจำยอม ภูอยากเห็นผมหมดทางสู้ตอนที่เรามีอะไรกัน เขาอยากทำให้ผมต้องการสุดขีดแต่ไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองได้ เขาอยากให้เซ็กส์ของเราออกมาในรูปแบบนั้น

“ขอแค่ครั้งเดียว ถ้าสองเจ็บ สองไม่ชอบ ภูจะหยุดทันที”

ผมลังเลและไม่แน่ใจ รู้สึกกลัวเหมือนกันเพราะคราวก่อนโดนภูกัดคอจนเป็นรอยช้ำอยู่นาน ภูเป็นคนอ่อนไหวและจิตใจดีก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่ารสนิยมบนเตียงของเขาจะไม่รุนแรง แต่หากตัดสินจากการกระทำเพียงครั้งเดียวก็ดูใจร้ายเกินไป ดังนั้นผมจึงบอกภูว่า โอเค จะมัดก็มัด แต่ถ้าผมสั่งให้หยุด เขาต้องหยุดทันที

ภูยิ้มร่าด้วยความดีใจที่ได้รับโอกาส เขาจึงใช้เสื้อยืดมัดข้อมือของผมเอาไว้หลวมๆ มันไม่ได้รัดแน่นจนชาหรืออึดอัดเลย ก็แค่รัดไว้เพื่อไม่ให้ผมใช้แขนต่อต้านเท่านั้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยสมใจ ภูก็ยิ้มกว้างและบอกว่าจะไม่ทำให้เจ็บแม้แต่นิดเดียว

ผมเชื่อใจภู ในทีแรก แค่คิดว่าภูสมควรได้รับโอกาสและเราควรทำความรู้จักกับอีกด้านของกันและกันมากกว่านี้อีกหน่อย ดังนั้นตอนที่แขนทั้งสองถูกมัดไพล่หลัง ภูก็ทำให้ตื่นเต้นด้วยการโน้มหน้าเข้ามาใกล้แต่ไม่ทำอะไรมากไปกว่าหายใจรดแก้ม เขานิ่งค้างอยู่นานราวกับหลงใหลในความจืดชืดของสิปปกรนักหนาก่อนที่ริมฝีปากอุ่นนุ่มจะประทับลงมา และทำให้ผมละลายด้วยการดูดดึงและโลมเลีย

ภูดูชอบใจเมื่อเห็นว่าผมขัดขืนอะไรไม่ได้เลย ทุกครั้งเมื่อเขาใช้ลิ้นหยอกล้อ ผมก็ทำอะไรไม่ได้อีกนอกจากหอบหายใจและแอ่นอกสู้ บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ภูชอบ เขาชอบเห็นผมทรมานโดยขัดขืนหรือตอบโต้ไม่ได้ ผมไม่สามารถสู้ภูได้นอกจากจูบเขาให้หนักขึ้น ใช้ลิ้นให้แรงขึ้นจนเริ่มปวดหนึบตรงริมฝีปาก และเมื่อการโลมเลียของภูไปถึงจุดหนึ่งที่เราเริ่มทนไม่ได้ เขาก็หยิบเจลหล่อลื่นขึ้นมา บีบเจลลงบนนิ้วและค่อยๆเตรียมความพร้อมให้

ภูไม่ใช่คนเอาแต่ใจ เขาไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะยัดๆใส่ๆเข้ามาโดยไม่เตรียมความพร้อม เขารู้ว่าต้องทำแบบไหนถึงจะไม่เจ็บ รู้ว่านวดวนยังไงถึงจะรู้สึกดี ภูสามารถทำให้ผมตัวเกร็งได้เพียงแค่งอปลายนิ้วเล็กน้อยยามสอดใส่เข้ามาข้างใน ยิ่งร้องครางเสียงต่ำราวกับทรมาน ภูก็จะยิ่งนวดหนักขึ้นก่อนจะค่อยๆเพิ่มจำนวนทีละนิดๆจนเป็นสามนิ้ว เขาเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนต้องร้องขอให้หยุดไว้แค่นั้นก่อน มันรุนแรงเกินไป ผมไม่ได้เจ็บ แต่ความเสียวที่เกิดจากการกระทำของเขามันมากจนเกือบเสร็จอยู่รอมร่อ และถ้าเสร็จไวเกินไปก็หมายความว่าเวลาที่เราจะสนุกร่วมกันต้องจบลงอย่างน่าเสียดาย

“ภู --” ผมร้องเสียงแหลมเมื่อท้องน้อยเกร็งจนแทบเป็นตะคริว “ภู – โอ๊ย --”

ผมครางเหมือนคนหมดทางสู้เพราะถูกมัดมือไว้ ผมไม่สามารถโอบกอด หรือลูบไล้ตัวของภูได้นอกจากดิ้นทุรนทุรายยามที่นิ้วของเขาขยับคว้านอยู่ภายใน พอเห็นผมครางหวีดหวิวแทบทนไม่ได้ ภูจะยิ้มมุมปาก เขาดูสะใจมากที่เห็นผมทรมานจนต้องร้องขอให้หยุดพักเพราะรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ไหว มันไม่เจ็บปวดอย่างที่กลัว แต่มันมากเกินไป มันมากเกินไปสำหรับการถูกจู่โจมจากหลายๆทางพร้อมกัน ในขณะที่นิ้วของภูกวาดวนในตัว ลิ้นของภูก็แทรกเข้ามาในโพรงปาก ไล่ต้อนจนแทบหมดลมด้วยจูบที่ร้อนแรงเกินต้าน มือที่ว่างอยู่ของเขาก็เด็ดดึงหน้าอกจนต้องดิ้นพล่าน ผมรู้แล้วว่าทำไมภูถึงมัดมือของผม เขาต้องการให้ผมไร้ทางสู้ เขาอยากให้ผมทรมานและขอความเมตตาจากเขา ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกินจะทนไหว ผมก็หลุดปากบอกภูว่าช่วยใส่เข้ามา -- ใส่เข้ามาในตัวของผม อย่ารออีกเลย

“ใส่เข้ามาเถอะ ขอล่ะ” ผมอ้อนวอนเสียงสั่น “ใส่เข้ามาเสียที!”

ภูตื่นเต้นจนตัวสั่นเมื่อเห็นผมหอบแทบขาดใจ สีหน้าของผมในตอนนี้คงบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ผิวหนังร้อนเห่อไปทุกส่วนยามที่เขาลูบไล้สัมผัสอย่างหลงใหล ภูยกยิ้มเหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหญ่ เขาโน้มตัวลงมาจูบอีกครั้ง สวมถุงยางให้ดูด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นก็พูดว่า

“สองไม่น่าทำแบบนี้เลย”
“ทำอะไร?” ผมหอบแฮ่กพลางปรือตามองเขา แววตาของภูเปลี่ยนไป มันเป็นประกายลุกวาวแปลกๆ
“ทำไมต้องทำตัวน่าเอาขนาดนี้ด้วยวะ”

เขาพูดก่อนจะค่อยๆแทรกส่วนนั้นเข้ามา เขาไม่ได้ใส่เข้ามาจนมิด แต่เริ่มจากส่วนหัวและค่อยๆดันจนสุดเมื่อคิดว่าสิปปกรน่าจะพร้อมแล้ว ผมแทบกลั้นหายใจเพราะความจุก มันทั้งจุก ทั้งตึงและเจ็บจนครางไม่ออก ผมพูดอะไรไม่ออกนอกจากหยุดหายใจและอ้าปากค้างเท่านั้น สีหน้าของภูตอนที่ได้เข้ามาทั้งตัวดูสุขสมมาก เขากัดกรามจนเห็นเป็นสันชัดเจน เสียงหอบหายใจของเราหนักหน่วงไม่แพ้ แถมภูยังตัวสั่นแรงกว่าผมที่เป็นฝ่ายถูกกระทำเสียอีก

“ภูแช่ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวสองเจ็บ”

ภูรู้ เขารู้แม้กระทั่งไม่ควรขยับทันทีเมื่อสอดใส่ เขารู้ว่าไม่ควรทำเร็วและแรงเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่เจ็บปวดอะไรมากมายแต่ก็ถือว่าเจ็บอยู่ดี ผมปากสั่นไปหมดเมื่อสัมผัสได้ว่าส่วนหนึ่งของภูอยู่ในตัวผมแล้ว ร่างกายของสิปปกรที่ห่างหายเรื่องอย่างว่าหลายปีกำลังโอบรัดภูเอาไว้แน่นจนเจ้าตัวต้องเบ้หน้า คราวนี้ภูดูทรมานกว่าผมเสียอีก เขายึดหัวไหล่ของผมเอาไว้แน่น ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนคราวก่อน แรงบีบตรงหัวไหล่เพิ่มขึ้นตามอารมณ์ที่พุ่งทะยานของภู ยิ่งเขารู้สึกดีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งบีบหัวไหล่ของผมแรงเท่านั้น

“ภู ผมเจ็บ”

ผมบอกเขาที่กำลังหลับตาแน่น แต่ภูไม่ตอบสนองจนต้องออกแรงดิ้นให้เขาลืมตามาดูว่ามือของเขากำลังสร้างรอยช้ำบนหัวไหล่ของผม

“ขอโทษ ภูเสียวจนจะแตกแต่ยังไม่ได้ขยับเลย” ภูดูเขินอายและยอมคลายมือตรงหัวไหล่ “ทำไมสองแน่นจัง”
“ก็เราเตรียมตัวกันมาน้อย” ผมตอบเจ้าโกลเด้นที่กำลังทำหน้าเสียวแทบขาดใจด้วยความเอ็นดู “อั้นไหวไหม? ไม่ไหวก็ปล่อยเถอะ”
“แต่ภูอยากขยับก่อนแล้วค่อยแตก”
“ขยับสิ” ผมบอกแล้วก็รู้สึกวูบโหวงเมื่อภูค่อยๆถอนตัวออกจนสุดความยาว และใส่กลับเข้ามาอีกครั้งอย่างเนิบนาบ “คุณนี่แม่ง --”

มันทุลักทุเลในทีแรก ภูต้องคอยหยุดเติมเจลหล่อลื่นเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ผมเจ็บจนเกินไป เมื่อเราเริ่มปรับจูนกันได้ ความรู้สึกดีก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามความเร็ว แน่นอนว่าผมไม่ได้เสียวขาดใจร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนที่เคยมีอะไรกับชวินทร์ ร่างกายของผมยังต้องการการปรับตัวอีกพักใหญ่ถึงจะเริ่มรู้สึกดีกับภูที่กำลังขยับเข้าออกทีละนิด ภูทำด้วยความใจเย็น ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและใช้มือช่วยผมไปด้วย ในขณะที่ตัวสิปปกรสั่นตามจังหวะกระแทกและครางเสียงต่ำ ภูก็ใช้แขนอีกข้างช้อนหลังผมเอาไว้ราวกับรู้ว่าการนอนทับมือมันเจ็บแค่ไหน เราอยู่ในท่วงท่าของการโอบกอดไปพร้อมกับมีเซ็กส์ มันคือท่วงท่าที่ผมชอบเพราะถูกคนที่ตัวเองชอบสัมผัสด้วยความรักใคร่ ภูทั้งจูบ ทั้งลูบหัว ทั้งใช้มือรูด และมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่เสียวจนแทบขาดใจของเขา เราจูบกันอยู่พักใหญ่ ในห้องไม่มีเสียงอื่นแทรกเลยนอกจากเสียงเนื้อกระทบกันและเสียงจูบของเรา ผมยังไม่ถึงจุดที่อยากปลดปล่อยก็จริงแต่ดูเหมือนว่าภูกำลังจะเสร็จเต็มทีแล้ว

“สอง --”

ภูเรียกชื่อผมเสียงสั่น หลังจากนั้นเขาก็เลิกช้อนหลังเปลี่ยนมาเป็นใช้มือลูบไล้ตามผิวหนังชื้นเหงื่อแทน ภูลูบไปเรื่อยๆตั้งแต่ริมฝีปากจนถึงลำคอ ผมเห็นเขาเอียงหน้ามองสิปปกรที่กำลังเสียวแทบขาดใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่ภูจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไปตามผิวหนัง ไล้ไปเรื่อยเปื่อยไม่เจาะจงว่าอยากสัมผัสตรงไหนเป็นพิเศษ ตั้งแต่แก้ม ปาก คาง ไปจนถึงหน้าอก ภูสัมผัสด้วยความทนุถนอมก่อนจะค่อยๆสอดนิ้วของมาในโพรงปาก ผมรีบแลบลิ้นเลียนิ้วของเขาราวกับเป็นไอศกรีมด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนคนตายอดตายยาก พอนิ้วของเขาเปียก ภูก็ดึงกลับและเริ่มวางมือลงบนคอของผม

ตราบใดที่ภูไม่บีบ มันก็ไม่เป็นไร ผมไม่ว่าอะไรเมื่อภูใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้กดขากรรไกรให้เงยหน้าสบตากัน ตัวของเรากระเด้งกระดอนเพราะแรงกระแทกด้วยกันทั้งคู่ พอเวลาผ่านไปซักพัก อะไรบางอย่างก็เริ่มเปลี่ยน ภูไม่สนใจสิ่งอื่นนอกจากจ้องหน้าผมเหมือนหลุดไปอีกโลกหนึ่ง ก่อนที่เขาจะค่อยๆออกแรงบีบ แต่มันไม่ใช่การบีบคอที่จงใจทำให้ขาดอากาศหายใจ มันคือการบีบเพื่อทำให้เราเงยหน้าสบตากัน บีบเพื่อบังคับให้ผมจ้องหน้าเขาเพียงคนเดียว มองภูเพียงคนเดียวขณะที่เขาเริ่มกระแทกแรงขึ้นจนผมเริ่มจุก

“โอ๊ย!”

ผมหลุดอุทานออกมาเมื่อภูสวนเข้ามาแรงเกินไป มันไม่ใช่การขยับที่นุ่มนวลเหมือนตอนแรก แต่เป็นกลายเป็นการกระแทกกระทั้นเอาสะใจจนจุกมากกว่า มือที่เคยบีบคอของผมก็เริ่มออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการบีบเพื่อไม่ให้หลบสายตาก็เปลี่ยนเป็นแรงบีบที่ทำให้หายใจได้น้อยลง ในที่สุดผมก็เปล่งเสียงร้องออกไปไม่ได้นอกจากอึกอักในลำคอและออกแรงดิ้นเพื่อส่งสัญญาณเตือนว่าผมกลัว ผมกลัวจริงๆเพราะไม่รู้ว่าภูจะเพิ่มแรงบีบมากกว่านี้ไหม เขาจะเผลอฆ่าผมโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า วินาทีนั้นมันไม่มีความรู้สึกดีเหลือแล้วนอกจากกลัวตายเท่านั้น

“ภู!” ผมเค้นเสียงเพื่อเรียกเขา “ภู! อย่า!”

ภูปล่อยมือออกจากคอของผม เขาหยุดขยับเอาดื้อๆโดยไม่สนเลยว่าจังหวะจะสะดุดหรือทำให้เสียอารมณ์ เราสองคนมองหน้ากันในความเงียบ ผมนอนหอบและไอใต้ร่างของเขา ส่วนภูที่เหงื่อไหลท่วมตัวจ้องผมอยู่ครู่ใหญ่ราวกับเพิ่งคิดได้ว่าทำแรงเกินไป เขาดูช็อก สับสน และสติหลุดในคราวเดียวกัน เขาตื่นกลัวเหมือนคราวก่อนไม่มีผิด

“ภูขอโทษ” เขาละล่ำละลักพูดเหมือนวันนั้นอีกแล้ว สีหน้าแตกตื่นจนเก็บอาการเอาไว้ไม่มิด “เจ็บไหม?”

ผมไม่ตอบนอกจากมองหน้าเขา รู้สึกกลัวจนแทบร้องไห้เพราะเมื่อครู่ภูดูกู่ไม่กลับจริงๆ เขาไม่ใช่พวกชอบใช้ความรุนแรงประเภทตบตีอย่างที่คิด แต่ภูชอบหลุดเหมือนหายไปอีกโลกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ราวกับเขาหนีไปใช้เวลากับโลกในหัวของตัวเอง โลกที่สิปปกรเข้าไม่ถึง โลกที่ไม่รู้ว่าผมคือตัวอะไรในจินตนาการของเขา

“ภูหยุดก่อนก็ได้”

เขาพูดเสียงสั่น แต่ผมไม่ว่าอะไรนอกจากสั่งให้เขาแก้มัดที่ข้อมือเดี๋ยวนี้ เมื่อเป็นอิสระจากภู ผมก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเพราะอย่างน้อยถ้าหากภูหลุดอีก ผมยังพอมีมือไว้ตอบโต้ได้

“พอแค่นี้นะ” ภูเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน ผมบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องหยุดก็ได้แค่อย่าทำแบบเมื่อกี๊อีก
“ผมหายใจไม่ออก”
“ขอโทษ” ภูตอบและไม่แตะตัวของผมอีกเลย “ภูจะไม่ทำแล้ว”

ภูดูอับอายและรู้สึกผิดจริงๆ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตากันจนต้องใช้นิ้วเชยคางเพื่อไม่ให้ภูเบือนหน้าหนี ผมไม่ซักไซ้เอาความอะไรตอนนี้เพราะเข้าใจว่าภูเองก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่ตำหนิภู ไม่ต่อว่าที่ทำให้กลัวจนหมดอารมณ์ ผมไม่ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากลูบหัวของเขาเบาๆ

“ภู” ผมเรียกชื่อและใช้หลังมือลูบแก้มของเขา “ภู มองผมสิ”

ภูยังคงไม่มองในทีแรก เขาเสหน้าไปทางอื่นและเบนสายตาหนีราวกับอายที่จะต้องพูดคุยกันตรงๆ เขาดื้อไม่ยอมทำตามคำขออยู่นานจนผมลุกขึ้นนั่ง ภูจึงต้องถอนตัวออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดเราก็ปิดฉากเซ็กส์แบบสอดใส่ครั้งแรกโดยไม่มีใครเสร็จซักคน

“ภู”

ผมเรียกและสวมกอดเขาเบาๆ

“เป็นอะไร?”

ภูฝืนแกล้งทำเป็นเงียบได้ไม่นานก็กอดตอบ เขาซบหน้าลงบนไหล่ของผมและเริ่มร้องไห้ ไม่ได้ฟูมฟายเสียงดังเหมือนก่อนหน้า ก็แค่กอดแน่นและปล่อยให้น้ำตาไหลเรื่อยๆเท่านั้น

“ภูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้” เขาพูดเสียงแผ่วเหมือนอาย “ภูรู้ว่าตัวเองโรคจิตแต่มันหยุดไม่ได้”
“ทำไมถึงคิดว่าตัวเองโรคจิตล่ะ?”
“เพราะภูชอบทำแรงๆ” เขายอมสารภาพแล้ว “ภูไม่ได้อยากชอบแบบนี้แต่มันเป็นของมันเอง รู้ตัวอีกทีภูก็ชอบกัดชอบบีบตอนมีอะไรกันไปแล้ว ภูรู้ว่าสองต้องไม่ชอบแต่ไม่นึกว่าจะทำแรงขนาดนี้ สองคงกลัวภูมาก สองกลัวภูมากเลยใช่ไหม?”
“กลัวสิ ผมกลัวเพราะคุณไม่บอกก่อนไงว่าคุณชอบทำอะไร อย่างน้อยถ้าคุณบอก เราจะได้คุยกันตั้งแต่แรกว่าเราทำได้มากแค่ไหน” ผมลูบต้นแขนของภูเบาๆ “คุณจับคอผมได้ คุณบีบเบาๆได้ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะ เมื่อกี๊ผมแค่ตกใจเพราะคุณไม่บอกกันก่อน แต่ถามว่าคุณบีบแรงถึงขนาดจะให้ผมตายไหม ก็ไม่ มันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น”
“แต่สองก็ไม่ชอบอยู่ดี”
“แล้วไง? เราเพิ่งเอากันครั้งแรก จะให้ชอบทุกอย่างทันทีเลยเหรอ?” ผมถามภู “คุณก็เคยอยู่สถานะเดียวกับผม คุณน่าจะรู้ว่ากว่าเราจะจูนกันได้มันต้องใช้เวลา”
“แต่ภูโรคจิตนะ”
“ภู คุณไม่ได้โรคจิต มันคือรสนิยม”
“ทำไมมันจะไม่ใช่โรคจิต? เคยมีใครทำกับสองแบบนี้เหรอ? พี่วินเคยกัดสองไหม? เขาเคยบีบคอสองไหม? มีแต่คนโรคจิตเท่านั้นที่ทำ คนดีๆเขาไม่ทำกับคนที่ตัวเองรักแบบนี้หรอก”
“ฟังนะ ถ้าผมโอเคมันก็ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องผิดที่คุณชอบกัดหรือชอบบีบ คุณไม่เห็นต้องอายหรือรู้สึกแย่ที่ชอบเซ็กส์แนวนี้ ขอแค่บอกกันก่อนซักคำว่าคุณชอบและอยากทำอะไร”

ผมลูบแก้มเจ้าโกลเด้น เขาช้อนตามองด้วยแววตาเซื่องซึมเหมือนหมาจ๋อยจนอดดึงปลายจมูกของเขาไม่ได้

“ผมจะบอกความลับให้ จริงๆแล้วผมชอบโรลเพลย์มากเลยนะ”
“โรลเพลย์เหรอ?”
“ใช่ พวกสวมบทบาทน่ะ” ผมพูดด้วยท่าทางสบายๆเพื่อให้ภูเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอายเมื่อเราต้องเปิดเปลือยรสนิยมของตัวเอง “บางทีผมก็ไม่อยากเป็นสอง ผมอยากเป็นคนอื่นที่ชาตินี้คงไม่มีวันได้เป็น”
“เช่นอะไรครับ?”
“อีหนูของแดดดี้”

ผมพยายามไม่อาย แต่จริงๆก็อายเมื่อต้องสารภาพต่อหน้าภูว่ามีแฟนตาซีในหัวยังไง มันเป็นโรลเพลย์ที่ผมกับชวินทร์เคยเล่นด้วยกันและเป็นโรลเพลย์ที่เราเล่นบ่อยที่สุดด้วย ผมแค่อยาก – เป็นเด็กน้อยในสายตาของใครซักคน อยากให้คนคนนั้นรักและเอ็นดูผมเหมือนอีหนูตัวน้อยน่ารัก ขี้ยั่วและน่าเอา ภูนิ่งเงียบไปพักใหญ่เมื่อรู้ว่าผมชอบแนวไหน ก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้ม แววตาเป็นประกายเหมือนเด็กได้พูดเรื่องที่ตัวเองเข้าใจ

“ภูเป็นแดดดี้ได้นะ”
“หน้าคุณเด็กกว่าผมตั้งเยอะ บางทีคุณนั่นแหละต้องเป็นอีหนู”
“ภูเป็นอีหนูก็ได้ถ้าสองอยากให้เป็น” เขายิ้มกว้างได้เป็นครั้งแรก “สองชอบอะไรอีกไหม?”
“ก็ – ไม่มีอะไรพิเศษ ผมชอบใช้ไวเบรเตอร์ ผมชอบให้เลียหน้าอก ชอบให้มองหน้าตอนเอา เอาไปจูบไปยิ่งดี” ผมตอบและเริ่มเบนสายตาไปทางอื่นเพราะเขิน ส่วนภูก็นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร “แต่ที่คุณโน้มหน้าลงมาจุ๊บหัวเมื่อกี๊ ผมก็ชอบนะ”
“ภูก็ชอบเหมือนกัน แล้วมีอะไรที่สองไม่ชอบไหม?”
“ไม่ชอบให้กัดเพราะมันเจ็บ ไม่ชอบให้บังคับถ้าไม่มีอารมณ์ ไม่ชอบให้ตบหน้าเพราะผมเคยโดนชวินทร์ตบตอนมีเซ็กส์”
“มันตบสองทำไม?” เขาถามอย่างเอาเรื่องเพราะคิดว่าชวินทร์ใช้ความรุนแรง แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
“ก็แค่ลองอะไรใหม่ๆน่ะ ลองให้รู้ไงว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วคุณล่ะ?”

ภูนิ่งเพราะคิดหนักอยู่พักใหญ่ เขาดูลังเลที่จะพูดแต่ผมก็ให้กำลังใจด้วยการบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าเราอยากมีเซ็กส์กันครั้งต่อไป เราควรพูดสิ่งที่ตัวเองชอบและไม่ชอบ สิ่งที่อีกฝ่ายทำได้และทำไม่ได้ เราควรตกลงกันตั้งแต่ต้นจะได้ไม่มีใครตกใจจนต้องหยุดกะทันหันแบบนี้อีก

“ภูชอบกัด แล้วก็ชอบบีบตอนที่เสียวมากๆ” เขาตอบเสียงแผ่ว “มันเป็นอารมณ์ประมาณมันเขี้ยว อยากจับ อยากบีบ ภูรู้สึกเหมือนสองเป็นไดฟูกุไส้ถั่วแดง”
“ทำไมต้องไส้ถั่วแดง”
“เพราะภูชอบไดฟูกุไส้ถั่วแดงที่สุด” ภูยิ้มจนตาหยี “มันนุ่มๆยืดๆ หอมๆ อ้อ -- ภูชอบมัดด้วย ภูชอบทำให้อีกฝ่ายเสียวมากจนทนไม่ได้ ต้องดิ้นๆๆเหมือนจะตาย ชอบเห็นเขามีความสุข อยากทำให้เขาอยากมากๆ อยากให้เขาเสร็จแบบเสียวที่สุดจนลืมไม่ลง แล้วก็แตกเพราะภู แตกแบบเยอะๆเลย เสียวจนตัวเกร็งๆงอๆเหมือนในหนัง”
“เพราะอย่างนั้นคุณถึงมัดมือผมใช่ไหม?”
“ใช่ แต่ภูจะไม่มัดถ้าสองไม่ชอบ”
“มัดได้ ถ้าไม่ได้มัดแน่นจนเป็นรอยก็โอเค ผมบอกแล้วไงว่าขอแค่ไม่เจ็บและบอกกันก่อน”
“เรื่องบีบล่ะ?”
“ก็ – ได้มั้ง แต่อย่าแรงเกินไป อย่าใช้เล็บ”
“ดูดคอ --”
“ไม่ได้” ผมตอบอย่างจริงจัง “คุณต้องเข้าใจนะว่าผมทำงานที่ร้าน ผมต้องเจอคน เจอเพื่อน เจอลูกค้า ผมจะมีรอยบนคอไม่ได้ มันน่าเกลียด”

ภูจ๋อยเมื่อโดนปฎิเสธคำขอเรื่องรอยกัด แต่เขาจ๋อยได้ไม่นานเราก็เริ่มต้นคุยกันใหม่ด้วยบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากขึ้น ผมอธิบายให้ภูฟังว่าสิ่งที่เขาชอบไม่ได้เรียกว่าโรคจิต มันไม่ใช่อาการโรคจิตแต่เป็นรสนิยม และภูสามารถมีความสุขกับเซ็กส์ที่ตัวเองชอบได้หากคู่นอนของเขาตกลงและยินยอม อย่างผมในตอนนี้ก็โอเคหากเขาจะบีบคอบ้าง(แต่ต้องไม่แน่นเกินไป) หรืออยากตีก้นผมซักหน่อย อยากมัดมือ อยากใช้ผ้าปิดตาก็ยังพอรับไหว เราแลกเปลี่ยนข้อตกลงของกันและกันจนกระทั่งถึงเรื่องโรลเพลย์ จู่ๆภูก็พูดขึ้นมาว่าเขาอยากลองเป็นคุณหมอ

“แล้วคุณจะให้ผมเป็นอะไร? เป็นหมาเหรอ?” ผมถามติดตลก ภูส่านหน้าและโยกตัวไปมาเพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ได้อยากให้ผมเป็นหมา แต่ท่าหมาน่ะโอเคเพราะเขาเองก็ชอบ
“เป็นคนไข้สิ” ภูตีมือผมเบาๆโทษฐานพูดเลอะเทอะ “ภูใช้เซ็กส์ทอยได้ไหม?”
“ได้”
“แส้?”
“ไม่ได้ เพราะมันเจ็บ”
“โอเค ถามไปงั้นแหละ ภูไม่ชอบตีใคร” เขายิ้มกว้าง “สองไม่รังเกียจภูใช่ไหม?”
“ถ้ารังเกียจ ผมจะนั่งแก้ผ้าต่อหน้าคุณแบบนี้เหรอ?”

ภูทำหน้าซาบซึ้งเหมือนจะร้องไห้ เขาดึงมือของสิปปกรไปกุมตรงหน้าอกพร้อมกับเขย่าเบาๆ ผมได้แต่มองอาการของเจ้าโกลเด้นด้วยความขำปนเอ็นดู ไม่รู้เขาต้องอยู่กับความคิดที่ว่าตัวเองเป็นโรคจิตมากี่ปีแล้ว คู่นอนก่อนหน้าเคยด่าทอเขาบ้างไหม ผมเองก็สงสัยแต่ไม่อยากถามให้เสียบรรยากาศ

“สองดีกับภูจังเลยอ่ะ”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย แค่พูดเฉยๆ” ผมบีบมือเขาตอบ “ทีนี้เลิกเงียบไม่คุยกับผมซักทีนะ เวลามีอะไรผมอยากให้คุณพูดตรงๆ อย่าเงียบ ถ้าเงียบเราจะไม่เข้าใจกัน”
“ก็ภูอาย กลัวโดนสองด่าว่าโรคจิต กลัวสองจะเลิกยุ่งกับภูเพราะไม่ชอบ”
“ไม่มีอะไรถูกใจตั้งแต่แรกหรอกภู เราก็เอากันครั้งแรก ค่อยๆเรียนรู้กันไป” ผมยิ้มและยีหัวเจ้าโกลเด้นที่นั่งจ๋อยอยู่ตรงข้าม เขาไม่ร้องไห้อีกแล้ว สีหน้าเริ่มดูดีขึ้นจนเกือบเหมือนเป็นปกติ “สรุปวันนี้จะต่อหรือพอแค่นี้?”
“ให้สองตัดสินใจ ภูยังไงก็ได้”

เรามองหน้ากันเพราะไม่รู้จะว่าควรตัดสินใจยังไง เมื่อครู่ก็หมดอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่จนต้องจับเข่าคุยอยู่นานหลายนาที สุดท้ายผมก็ไม่ตอบนอกจากค่อยๆเลื่อนมือลงไปข้างล่าง กอบกุมเจ้าภูน้อยที่อ่อนตัวและค่อยๆขยับรูดเบาๆ ภูเริ่มเบ้หน้าเมื่อบางอย่างในตัวเราจุดติดอีกครั้ง ไม่ต้องพูดว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะทันทีที่ภูแข็งตัวเต็มที่ เขาก็จ้องหน้าผมและยิ้มมุมปาก จากนั้นเราก็มีเริ่มต้นมีเซ็กส์กันใหม่อีกครั้ง




ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยคับ  :mew1:

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [11] 28/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 27-04-2020 20:01:34
11 [PART2/2]

โอกาสแก้ตัวของภูไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่เพอร์เฟ็คถึงขนาดต้องจดลงสมุดบันทึกว่าเขาเอาเก่งจนแทบลืมหายใจ ของแบบนี้มันสอนกันได้เรื่อยๆ วันนี้อาจจะยังไม่เก่ง แต่ครั้งที่สองหรือสาม หรือสี่ ผมว่าภูต้องทำได้ดีกว่าครั้งแรกแน่นอน

“สองน้ำเยอะ”
“พูดมาก”

ผมตีแขนเขาขณะหลับตา รู้สึกเหนื่อยใจแทบขาดกับเซ็กส์ที่เพิ่งจบลงได้ไม่นาน มันคงไม่เหนื่อยขนาดนี้ถ้านอนเฉยๆให้เขาทำ แต่เมื่อกี๊ผมขึ้นให้ภู ผมหมดแรงไปกับการย่อตัวขึ้นลงเพื่อให้ภูเสร็จสมใจ และคราวหน้าผมจะไม่ขึ้นให้เขาอีกแล้วเพราะมันเหนื่อย เหนื่อยจนขยับตัวแทบไม่ได้ ทำได้แค่นอนหอบอยู่อย่างนี้

“สองจะอาบน้ำกับภูไหม?”
“อาบได้ แต่ไม่ต่อรอบสองในห้องน้ำนะ”
“ทำไมอ่ะ?”
“คุณไม่เหนื่อย แต่ผมเหนื่อย!” ผมตวาดเขา เจ้าโกลเด้นที่กลับมาเป็นเด็กขี้เล่นได้แต่นอนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ “จะอาบไม่อาบ? งั้นผมลุกก่อนนะ”

ผมตอบและลุกพรวด ไม่เล่นเนื้อเล่นตัวอะไรทั้งนั้นเพราะเพลียจะแย่ ตอนนี้ผมแค่อยากอาบน้ำล้างตัวให้สะอาด อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวเข้านอนเพราะเหนื่อยกับกิจกรรมที่เพิ่งจบลงเมื่อครู่ ภูรีบเดินตามเข้ามาในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เรามีเวลาอีกครู่ใหญ่สำหรับการอาบน้ำด้วยกันใต้ฝักบัว ผมผมบอกเขาว่าเราควรล้างเหงื่อบนหัวเสียหน่อย ภูก็บีบยาสระผมใส่มือและช่วยสระผมให้

มันไม่มีกิจกรรมทะลึ่งลามกอื่นๆเลย นอกจากผลัดกันสระผมเราก็ไม่ได้ทำอะไรอีก อย่างที่บอกว่าเซ็กส์เป็นกิจกรรมใช้แรงมากกว่าที่คิดไว้ มันเหนื่อยและเพลียถึงขนาดไม่สามารถต่อก๊อกสองภายในสิบนาทีได้ ดังนั้นวันนี้เราจึงจบกันที่เสร็จคนละหนึ่งรอบ ผลัดกันสระผมและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ภูก็เรียกมานั่งใกล้ๆและเป่าผมให้

ไม่เคยมีใครไดร์ผมให้นายสิปปกรมาก่อน ภูคือคนแรกที่เป็นห่วงว่าการนอนทั้งๆที่หัวเปียกจะทำให้เป็นหวัด เราใช้เวลาสิบนาทีไปกับการไดร์ผม และเมื่อทุกอย่างสะอาดเรียบร้อยพร้อมเข้านอน ภูก็เปิดเครื่องทำความชื้นกลิ่นยูคาลิปตัส ไฟในห้องค่อยๆหรี่ลงก่อนจะดับสนิท เรานอนห่างกันบนเตียง ไม่มีการโอบกอดหรือดึงอีกฝ่ายเข้าไปนอนแอบอกและพูดถ้อยคำหวานซึ้ง ภูแค่ถามว่าเจ็บมากไหม และเมื่อผมตอบว่าเจ็บ เขาก็เปิดไฟและเปิดตู้ยาเพื่อหาพาราเซตามอนให้สิปปกรกิน

“ผมทนได้”
“อย่าทนเลย” ภูตอบด้วยเสียงงุ้งงิ้ง เขาดูขี้อ้อนมากกว่าเดิมเสียอีก “พรุ่งนี้สองจะกินอะไร เดี๋ยวภูฝากพี่ส้มให้ซื้อเข้ามา”
“อะไรก็ได้” ผมตอบก่อนจะทานยา “นอนเถอะ พรุ่งนี้คุณต้องตื่นเช้า”

ภูยิ้มและพยักหน้ารับ เราเห็นพ้องต้องกันว่าควรนอน ควรพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้มีเรื่องต้องสะสางอีกเพียบ หลังปิดไฟไปได้ซักพัก ภูก็ผล็อยหลับอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงผมที่ยังคงนอนลืมตาท่ามกลางความมืดเพราะความคิดสับสนในหัว ไม่รู้จะเอายังไงกับตัวเองต่อไป

เซ็กส์ของเราเหมือนเดจาวู

เหมือนตอนที่ผมมีอะไรกับชวินทร์ครั้งแรก เหมือนจุดเริ่มต้นของความเสียใจเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นไอ้เหี้ยนั่นก็แสนดีเหมือนภู มันถนอม มันเอาใจ มันพูดดีด้วยเพราะยังเห่ออยู่ แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกก็จบลง พอคิดถึงเรื่องนี้มันก็อดกังวลไม่ได้เพราะผมตกบ่วงของความรักอีกแล้ว ทั้งๆที่สาบานกับตัวเองว่าจะไม่รักใครแท้ๆ ทำไมภูต้องเข้ามาทำให้วกวนอยู่กับเหตุการณ์เดิมๆด้วย

ผมคิดต่างๆนานาว่าจะทำยังไงกับเรื่องของเราต่อไป จะปล่อยให้เป็น Friend with Benefits แบบไม่ผูกมัดดีไหมก็ไม่มีคำตอบ ผมไม่สามารถจัดการความกังวลเหล่านั้นได้จนกระทั่งนึกถึงบุหรี่

วันนี้ – ผมเพิ่งจะสูบบุหรี่แค่มวนเดียว ตอนนี้ผมอยากสูบอีกซักสองมวนเพราะหวังว่าความว้าวุ่นในใจจะหายไป ดังนั้นผมจึงค่อยๆลุกจากเตียงอย่างระมัดระวัง คว้าเอาบุหรี่กับไฟแช็คติดตัวลงไปข้างล่าง ผู้ช่วยกะกลางคืนกำลังจัดเรียงอาหารสัตว์บนชั้นขายของ พอเห็นเพื่อนของหมอภูเดินลงมากลางดึกจึงถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม

“พอดีว่าผมอยากสูบบุหรี่” ผมบอกเขาพลางชี้ไปที่ลานจอดรถเป็นเชิงขออนุญาต เขากลับบอกว่าจริงๆแล้วหมอภูไม่ให้สูบบุหรี่ในคลินิก “แม้กระทั่งลานจอดรถเหรอ?”
“ครับ” คำตอบของเขาทำเอาผมเซ็งไปพักหนึ่ง “แต่ถ้าจะแอบสูบก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าได้นะ ที่นั่นหมอโต้งก็ขึ้นไปบ่อยๆเหมือนกัน”
“ผมจะขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ยังไงครับ?”
“ใช้กุญแจดอกนี้” ผู้ช่วยตอบพลางหยิบกุญแจหนึ่งดอกออกมาจากลิ้นชัก “สูบเสร็จแล้วอย่าทิ้งก้นบุหรี่ไว้ข้างบนและช่วยล็อคประตูด้วยให้เหมือนเดิมด้วยนะครับ”

ผมขอบคุณผู้ช่วยตามมารยาท ระหว่างเดินขึ้นบันไดไปชั้นดาดฟ้าก็หยิบทิชชู่ติดมือไปด้วยสองแผ่นเพื่อห่อก้นบุหรี่ กว่าจะเดินถึงดาดฟ้าก็เล่นเอาหอบ ผมแทบหมดอารมณ์ถึงขนาดต้องนั่งพักบนเก้าอี้พลาสติกเสียหน่อย โชคดีที่อากาศข้างบนเย็นและลมพัดแรง อย่างน้อยคืนนี้สถานที่สูบบุหรี่ก่อนนอนก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

บุหรี่หนึ่งมวนถูกจุดในความมืด บนดาดฟ้าชั้นห้าไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าเลยนอกจากราวตากผ้าขนาดใหญ่หลายราว มีผ้าขนหนูและเสื้อยูนิฟอร์มคลินิกตากแน่นจนเต็ม พอเห็นว่าเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นชุดที่ภูต้องสวมทุกวัน ผมก็ค่อยๆขยับตัวไปสูบบุหรี่อีกด้านเพราะกลัวกลิ่นจะติดเสื้อผ้าของเขา เมื่อได้ทำเลเหมาะๆสำหรับครุ่นคิดเพียงลำพัง ผมก็ยกบุหรี่จรดริมฝีปาก สูดเอานิโคตินที่ชื่นชอบเข้าปอดเต็มที่ และเริ่มคิดถึงความสัมพันธ์ของเรา

ติณณภพเคยถามว่าทำไมต้องทำให้มันยาก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เชื่อว่าใครหลายๆคนน่าจะเคยเป็น เราน่าจะเคยมีความคิดคล้ายๆกัน ความคิดที่ว่าคนที่ดีพร้อมขนาดนั้นจะลดตัวมาชอบเราได้ยังไง

เพราะผมไม่มีอะไรดีเลย

หน้าตา การศึกษา ชาติตระกูล ครอบครัว ฐานะทางสังคม ไม่มีอะไรดีซักอย่าง ผมไม่เหมือนติณณภพที่เก่งกาจถึงขนาดบริหารกิจการได้ ผมไม่เหมือนหมูพีที่มีเสน่ห์เหลือล้นและเป็นที่รักใคร่ของใครๆ ดังนั้นตอนที่ภูเข้ามาก็อดระแวงไม่ได้ว่านี่คือกับดักหรือเปล่า มันคือเกมโชว์ในโทรทัศน์ที่หลอกหลวงผู้ร่วมรายการหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้อีกเดือนสองเดือน เมื่อผมรักภูหัวปักหัวปำจนทำใจห่างเขาไม่ได้ ใครบางก็โผล่เข้ามาและบอกว่า จ๊ะเอ๋! โดนหลอกแล้ว ใครจะมาชอบคนอย่างมึง! หรืออะไรทำนองนั้น ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์จะไม่เกิดขึ้นจริง เพราะผมคงไม่สามารถรับมือกับภาวะอกหักในวัยขึ้นเลขสามได้อีกแล้ว

บุหรี่มวนแรกมอดไปครึ่งมวน ควันสีเทาลอยฟุ้งไปพร้อมลมที่พัดผ่านใบหน้า ขณะที่กำลังอยู่ในโลกของความกังวล ภูก็เปิดประตูดาดฟ้าออกมา เขาดูโล่งใจเมื่อเห็นว่าสิปปกรกำลังสูบบุหรี่แทนที่จะหนีกลับบ้านอย่างที่ชอบทำ เจ้าโกลเด้นตัวยักษ์แสนน่ารักเดินยิ้มร่ามาทางนี้ แต่ผมก็เบรคเขาไว้ด้วยการบอกว่าไม่ต้องเข้ามา

“ทำไม?”
“สูบบุหรี่อยู่” ผมตอบก่อนจะพ่นลมหายใจออกที่มีแต่ควันพิษออกมา “ไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมก็กลับไปนอน”

ผมเคยเล่าให้ใครฟังไหมว่าภูดื้อ ดังนั้นประโยคไล่ให้ไปนอนจึงใช้ไม่ได้ผล ภูเดินสาวเท้าเข้ามาใกล้และสวมกอดจากด้านหลัง เขาซุกหน้าลงบนไหล่อย่างออดอ้อนก่อนจะบอกให้ลงไปนอนได้แล้ว ภูง่วง

“อย่าเข้ามาใกล้ เหม็นบุหรี่”
“ไม่เป็นไร” ภูตอบพร้อมกับเอนซบเหมือนลิง “สองขึ้นมาทำอะไรบนนี้?”
“สูบบุหรี่ไง?”
“มีเรื่องเครียดเหรอ?”
“เปล่า” ผมโกหกก่อนจะดับบุหรี่ทั้งๆที่ยังสูบไม่หมดมวนเพราะกลัวว่าควันพวกนี้จะทำให้ภูป่วย
“สูบเสร็จแล้วเหรอ?”
“ยัง แต่ต้องเลิกเพราะคุณเข้ามาป้วนเปี้ยนแบบนี้ไง”
“ทำไมไม่สูบให้หมด?”
“บุหรี่มันไม่ดี ไม่อยากให้คุณสูดหายใจเอาควันเข้าไป”
“ถ้าไม่ดีจะสูบทำไม?” ภูถามพลางหยิบบุหรี่ของผมออกมาจากซอง “ภูอยากลองสูบบ้าง”
“ไม่สูบน่ะดีแล้ว ไม่เปลืองเงิน” ผมหยิบเอาบุหรี่กลับมาเก็บ ไม่ยอมให้เจ้าโกลเด้นได้แตะต้องของพวกนี้อีก “ทำไมยังไม่นอน?”
“ภูหลับแล้ว แต่พอจะกอดสองก็หายสองไม่เจอ”
“ไม่ใช่ว่ากลัวผมหนีกลับบ้านเหรอ?”
“ใช่” ภูหัวเราะคิกคัก “กลัวสองไม่ชอบ”
“ไม่ชอบอะไร?”
“ที่เราทำกันเมื่อกี๊” เรานิ่งเงียบด้วยกันทั้งคู่ ไม่รู้จริงๆว่าควรพูดอะไร “สองชอบไหม?”
“ชอบ”
“ภูแก้ตัวได้ดีเลยใช่ไหม??”
“อืม” ผมตอบพลางนึกถึงเซ็กส์ที่เพิ่งจบลงเมื่อครู่
“เราจะทำกันอีกเมื่อไหร่ดี?”
“หมกมุ่นอะไรขนาดนั้น”

ผมหัวเราะขำพลางหยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมา ไม่ได้จุดสูบในทันทีเพราะตั้งใจรอให้ภูลงไปก่อนถึงจะเริ่มสูบอีกครั้ง แต่ผ่านไปเกือบนาทีเขาก็ยังไม่ลงไปนอน ยืนอยู่ข้างสิปปกรอย่างนั้นเหมือนชานมเฝ้าเจ้าของไม่มีผิด

“สอง”
“ว่า?” ผมขานตอบแบบไม่ใส่ใจ
“เป็นแฟนกันไหม?”

ภูพูดประโยคที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดในตอนนี้ออกมาแล้ว พูดโดยไม่มีอาการเคอะเขินหรือหวั่นใจอะไรทั้งนั้น ราวกับประโยคเมื่อครู่เป็นเพียงประโยคคำถามธรรมดาที่ไม่ต้องกังวลว่าคู่สนทนาจะตอบอะไร ผมจ้องหน้าภู นึกอยากรู้จริงๆว่าเขาเขินอายหรือกดดันบ้างไหม แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นสีหน้าของชายหนุ่มที่กำลังมีความสุขเล็กๆ ภูอมยิ้มบาง ดวงตามองมาที่ผมโดยไม่กดดันหรือคาดหวัง ราวกับเขาได้เผื่อใจเอาไว้แล้วว่าคำตอบอาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาอยากให้เป็น

“คุณว่าเป็นแฟนหรือไม่เป็นแฟนมันต่างกันตรงไหน?”
“ต่างสิ” ภูตอบและเปลี่ยนมายืนพิงกำแพงด้วยกัน เขาเอามือไพล่หลังและโยกตัวเล็กน้อยแก้เก้อ “สองไม่อยากให้มันชัดเจนเหรอ?”

ผมไม่ตอบ และไม่คิดจะตอบด้วยเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วตัวเองรู้สึกยังไง ไม่ใช่ว่าไม่ชอบภูหรือหวงความโสด ผมแค่รู้สึกว่าระหว่างเรามันเปราะบางมากจนอาจพังได้ทุกเมื่อ เราสองคนมีเรื่องที่ต้องกังวลมากเกินไป และอย่างที่ใครๆก็รู้ว่าความสัมพันธ์ตอนอายุขึ้นเลขสามไม่ใช่เรื่องง่าย เราไม่สามารถพูดได้ว่าแค่รักกันมันก็พอเหมือนสมัยเรียน เรามีครอบครัว มีคนรอบข้างที่ต้องดูแล มีหลายอย่างที่ต้องโฟกัสมากกว่าความรัก ดังนั้นผมจึงอยากให้ตัวเองเจ็บน้อยที่สุดด้วยการไม่รู้สึกดีกับใคร และบางทีการไม่มีสถานะอาจจะทำให้รู้สึกผูกพันน้อยก็ได้

“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ดีเหรอ?”
“ดี แต่ภูอยากให้มันชัดเจนกว่านี้”
“ผมว่าก็ชัดเจนแล้วนะ”
“เหรอ? ถ้าภีมกับแม่ถามว่าเราเป็นอะไรกัน สองจะตอบว่ายังไง?”
“เป็นเพื่อนไง”
“เพื่อนเขาเอากันเหรอสอง? ถ้าเพื่อนเอากันได้ สองเอากับพี่ติณด้วยไหม?”

ภูตอบด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มประชดประชันเหมือนคนกำลังเก็บซ่อนความผิดหวังสุดชีวิต ต่างจากรอยยิ้มในตอนแรกที่ดูพร้อมรับฟังเหตุผลทุกอย่าง ทว่าเมื่อผลลัพธ์ออกมาไม่ได้ดั่งใจ ภูก็เก็บอาการเอาไว้ไม่มิด

“อย่ากดดันได้ไหม?” ผมขอร้องเขาตามตรง “ผมขอเวลาอีกหน่อย”
“อีกนานแค่ไหน?”
“อาจจะเดือนหรือปี --”
“สองไม่ได้ชอบภูเหมือนกันหรอกเหรอ?” ภูมองมาด้วยสีหน้าราบเรียบ ไม่เหลือเค้าของเจ้าโกลเด้นแสนร่าเริงอีกแล้ว “ภูคิดว่าเรารู้สึกเหมือนกัน”
“ถ้าไม่ชอบผมจะเอากับคุณเหรอ?”
“งั้นทำไมเราไม่เป็นแฟนกัน?”
“เพราะผมไม่รู้ว่าเราจะคบกันทำไม คุณลองตอบหน่อยสิว่าเราจะคบกันแล้วทำยังไงต่อ เราแต่งงานกันได้เหรอ? เราจดทะเบียนสมรสได้เหรอ? มันไม่มีปลายทางให้เราเลยภู ยังไงเราก็ไม่มีวันได้ทำอะไรอย่างนั้นอยู่แล้ว อีกอย่าง – คำพูดของภีมทำให้ผมคิด”
“คิดอะไร?”
“ใครจะไปรู้ อนาคตคุณอาจจะเปลี่ยนใจอยากมีลูกแล้วทิ้งผมไปคบผู้หญิงก็ได้ คุณเคยคบผู้หญิงมากกว่าคบผู้ชายอีก”
“สอง ภูรู้ตัวเองแล้วว่าชอบอะไร ภูจะเปลี่ยนใจไปเอาผู้หญิงได้ยังไง”
“ใครจะไปรู้ วินยังทำได้เลย”
“แต่ภูไม่ใช่พี่วิน!” ภูตะโกนใส่หน้าผมเหมือนเก็บกด เขามองมาด้วยแววตาผิดหวังสุดขีดเมื่อเราพูดถึงเรื่องนี้ “ทำไมถึงเอาผู้ชายเหี้ยๆคนเดียวมาตัดโอกาสของคนที่รักสองล่ะ?”
“เพราะผมไม่อยากเสียใจอีกแล้วไง!” 

ผมเริ่มขึ้นเสียงใส่ภูบ้าง เขาดูตกใจเพราะเราไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน เราไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ลงรอยกันและนี่คือครั้งแรกที่ผมแสดงให้ภูเห็นว่าเวลาสิปปกรไม่พอใจนั้นเป็นยังไง ซึ่งดูเหมือนมันจะออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะภูเริ่มทำหน้าอยากร้องไห้อีกแล้ว

“อย่าร้องได้ไหม?”
“รำคาญเหรอ?”
“ไม่ใช่ ผมไม่ชอบเห็นคุณร้องไห้”

ผมตอบและเดินเข้าไปหาภู เราต้องหยุดเรื่องที่โต้เถียงกันเอาไว้ก่อนเพราะวันนี้ภูเจ็บมามากพอแล้ว ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาอีกไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

“ภู – ไม่เอาแบบนี้สิ”
“ที่ไม่คบกับภูเพราะสองไม่ชอบภูใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” ผมดึงภูเข้ามากอด “ผมแค่ยังไม่พร้อม”
“ทั้งๆที่ภูอยากชัดเจนกับสอง แต่สองก็ปฏิเสธตลอด”
“ภู มันไม่ใช่ความผิดคุณเลย ผมแค่ไม่อยากเสียใจอีก” ผมผละตัวออก ยอมรับว่าหนักใจมากเมื่อเห็นเขาร้องไห้แค่เพราะผมไม่ตอบรับคำขอ “พูดไปคุณคงไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้ตอนไม่มีคุณ ชีวิตผมมันก็ดีอยู่แล้ว”
“ดีกว่าตอนที่มีภูอีกเหรอ?”
 “มันดีคนละแบบ” ผมเงียบเพื่อครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง “ผมมีเรื่องให้โฟกัสเยอะมากจนกลัวว่าผมอาจจะละเลยคุณไป --”
“หมายความว่าไง?”
“คุณก็รู้ว่าครอบครัวผมมีปัญหา”
“ครอบครัวภูก็มีปัญหาเหมือนกัน”
“ไม่ แต่ของผมเป็นเรื่องเงินๆทองๆ มันลำบากกว่าที่คิดเยอะ” ผมพยายามอธิบายให้ภูเข้าใจ “บางทีผมก็รู้สึกว่ามันยาก ผมมีเรื่องให้ปวดหัวมากพอแล้ว ถ้ามีเรื่องของคุณเพิ่มเข้ามาอีก ผมกลัวว่ามันจะหนักเกินไป”
“ภูไม่ได้จะเข้ามาเป็นภาระ ภูเข้ามาเพื่อเป็นกำลังใจให้สอง”
“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผมแค่กลัวว่าผมจะรักคุณ และถ้าผมรักคุณจริงๆ ผมต้องเสียใจมากแน่ๆถ้าเราเลิกกัน”
“เราก็อย่าเลิกกันสิ”

ผมมองหน้าภู รู้สึกว่าความคิดหลายๆอย่างของเขายังไร้เดียงสาอยู่มาก เขาเป็นประเภทไม่เคยเผื่อใจไว้ให้ความผิดหวังเลย ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ หรือแม้กระทั่งเรื่องความรัก ภูยังคงมองโลกในแง่บวกซึ่งสวนทางกับผมอย่างสิ้นเชิง

“ให้โอกาสภูนะสอง” เขาพูดอย่างจริงจังและบีบมือผมแน่น “ภูจะไม่ทำให้สองเสียใจ ภูจะรักสองและชัดเจนกับสองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

อึดอัด

ผมมองหน้าภูด้วยความรู้สึกอึดอัด เขากำลังกดดันให้ตอบตกลงโดยไม่เต็มใจ เขากำลังบีบให้ผมตกอยู่ในสถานะผูกมัดที่อาจนำพาความทุกข์ใจมาให้ ในขณะที่ภูกระตือรือร้นขอโอกาสอย่างมีความหวัง ผมกลับยืนเฉย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

“รอก่อนนะ” ผมตัดสินใจบอกภูตามตรง “ผมขอให้คำตอบคุณสิ้นเดือนนี้”
“จริงเหรอ?”
“อืม” ผมยิ้มและบีบมือของภู “ทีนี้เลิกร้องไห้ได้หรือยัง?”
“หยุดร้องแล้ว”
“ดีมาก รู้เอาไว้นะว่าผมไม่ชอบน้ำตาของคุณเลยซักนิด”

ผมยกนิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้ภูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะไล่ให้ไปนอน แต่เจ้าโกลเด้นยังคงดึงดันที่จะอยู่เป็นเพื่อนตอนสูบบุหรี่ ดังนั้นผมจึงไม่เกรงใจเขา หยิบเอาบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาสูบเงียบๆ ส่วนภูเอนหลังพิงกำแพงอยู่ข้างๆ อมยิ้มมองสิปปกรสูบบุหรี่ด้วยสีหน้ามีความสุขเต็มเปี่ยม เราส่งยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนที่ภูจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เราจูบกันโดยมีกลิ่นบุหรี่เคล้าอยู่ในปาก






 เมื่อคืนหลังสูบบุหรี่เสร็จเราก็เข้านอนพร้อมกัน ภูถอดเสื้อนอนเหมือนเดิม ส่วนผมหลับสนิทข้างๆเขาจนถึงเช้า ประมาณหกโมงผมได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ทีแรกคิดว่าเป็นของภูก็เลยไม่สนใจ แต่พอฟังดูดีๆกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่เสียงนาฬิกา มันคือเสียงโทรศัพท์ของผมเอง

Tinn is calling

เป็นติณณภพที่โทรมาตั้งแต่เช้า ผมงัวเงียกดรับสายโดยไม่คิดอะไร คิดว่าติณน่าจะโทรมาฝากร้านหรือไม่ก็กำชับให้ดูอันดับ Best Seller ใหม่ ทว่าเมื่อได้ยินเสียงแข็งๆของติณ ผมจึงเอะใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดี

[มึงอยู่ไหน?]
“บ้านภู”

ผมตอบก่อนจะลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังงัวเงีย เอี้ยวตัวดูว่าภูตื่นหรือยัง แต่เห็นเขายังนอนกอดหมอนข้างอยู่ก็เลยพยายามพูดเสียงเบาๆ

[รีบมา]
“ทำไมวะ?”
[ร้านโดนงัด]

คำตอบของติณทำเอาผมตาสว่าง

[กลับมาดูร้านเดี๋ยวนี้เลย]

TBC

____________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ วันจันทร์หรรษาสัปดาห์นี้ไม่เบี้ยวแล้วนะคะ กลับมาพบกับคุณสองน้องภูอีกเช่นเคยในคืนวันจันทร์ค่ะ <3

ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆเช่นเคยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคอมเม้นท์ แฮชแท็ก หรือยอดโดเนท เราได้รับความรักจากทุกคนจนอิ่มแปล้เลย ขอให้ทุกคนดูแลรักษาสุขภาพ อย่าเจ็บอย่าป่วย และมีความสุขทุกวันเลยน้า
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [11] 28/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-04-2020 22:33:19
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [11] 28/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 27-04-2020 22:35:05
ร้านโดนงัดต่อไปคงไม่ได้คบกันแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [11] 28/04/2020
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-04-2020 17:37:40
มันเรียลมากกกกกก

อย่างน้อยก็สบายใจไปเปราะหนึ่งว่า ภูไม่ได้เป็นพวกใช้ความรุนแรง แบบทุบตีเมื่ออารมณ์เสีย

แต่เราโคตรเข้าใจสองเลย ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นอ้ะ  สารพัดสิ่งมาก

ดีมากที่สองไม่อยู่ที่ร้านตอนโดนงัด สองอยู่คนเดียวอันตราย
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [12] 18/05/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-05-2020 21:50:35
12[PART 1/2]


ผมเคยเล่าให้ฟังไหมว่ากู้ด รี้ดดิ้งคือความภาคภูมิใจของผม

ผมเคยบอกไหมว่าในบรรดาสิ่งที่ทำมาทั้งหมด การได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดูแลกู้ด รี้ดดิ้งคือสิ่งที่สิปปกรภาคภูมิใจมากที่สุด แม้ว่าทุกครั้งที่ร้านได้ตีพิมพ์ลงนิตยสาร ได้ลงบทความบนอินเทอร์เน็ต หรือมีนักข่าวมาขอสัมภาษณ์ติณณภพโดยไม่เคยมีใบหน้าหรือชื่อของสิปปกรปรากฎอยู่บนสื่อเหล่านั้น ผมก็ยังคงภาคภูมิใจและรักกู้ด รี้ดดิ้ง มากพอๆกับติณ

ดังนั้นตอนที่ได้ยินว่ากู้ด รี้ดดิ้งโดนงัด ผมจึงรู้สึกผิดและหัวใจสลาย ผมไม่ได้กังวลว่าตัวเองจะถูกตำหนิหรือต่อว่า มีแค่ความรู้สึกเป็นห่วงร้านเท่านั้น ระหว่างทางที่นั่งแท็กซี่กลับร้าน ในหัวครุ่นคิดต่างๆนานาว่าร้านจะอยู่ในสภาพไหน กระจกแตกไหม ประตูโดนงัดจนหลุดทั้งบานเลยไหม แล้วหนังสือในร้านเป็นยังไงบ้าง โดนรื้อ โดนทำลาย โดนเหยียบย่ำโดยคนที่ไม่เห็นคุณค่าของมันหรือไม่ เมื่อแท็กซี่จอดลงหน้าร้านซึ่งเปิดไฟว่างไสวยิ่งกว่าครั้งไหน ผมก็ได้พบกับติณณภพที่กำลังยืนหน้าเครียด ทอดสายตามองร้านด้วยสายตาไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งนั้น

“เป็นไงบ้างวะ?”

คำถามของผมเรียกให้ทุกคนหันมอง ติณยืนไหล่ตกพิงเคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่มซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยมีเครื่องชงกาแฟสองหัววางอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เครื่องชงกาแฟนราคาหลักแสนที่ติณยอมจ่ายเพื่อช่วยพยุงยอดขายของร้านถูกขโมยไปแล้ว

ผมอยากถามรายละเอียดมากกว่านี้ อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่กลับนึกคำพูดไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะถามติณว่าโจรเข้ามาทางไหน มันงัดประตูหน้าร้าน ประตูหลัง หรือแอบปีนจากฝ้าเพดานของชั้นสามที่เรายังไม่ได้ซ่อม ทุกคนในร้านช่วยกันตรวจสอบว่ามีอะไรหายไปบ้าง พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงอย่างเครื่องฟอกอากาศก็หายไป เครื่องคิดเงินก็หายไป พัดลม ไมโครเวฟที่อยู่ในครัว ทุกอย่างที่มันพอจะขนได้มันเอาไปหมด ส่วนบรรดาหนังสือที่เรารักยังปลอดภัยดี หนังสือที่วางเรียงบนชั้นอย่างเป็นระเบียบบ่งบอกไอ้โจรโง่นั่นมันคงไม่สนใจการอ่าน แต่เพื่อความแน่ใจ ผมจะลองนับสต็อกดูอีกที 

“มึงไปเช็กห้องตัวเองเถอะว่ามีอะไรหายบ้าง”

ติณณภพพูดเรียบๆ ไม่แสดงอาการโกรธที่ร้านโดนงัดในคืนที่สิปปกรไม่อยู่ แน่นอนว่าเราเดินขึ้นบันไดพร้อมกันด้วยบรรยากาศอึมครึม ผมเดินตามหลังติณที่ปลีกตัวไปเช็กห้องตัวเองบนชั้นสอง ส่วนสิปปกรเดินขึ้นไปชั้นสามเพื่อดูว่าห้องรกๆเน่าๆที่ไม่มีสมบัติสำคัญยังอยู่ดีหรือไม่ ซากบานประตูที่โดนงัดจนล็อคหลุดฟ้องว่าห้องนี้คงไม่พ้นถูกรื้อ ทันทีที่เปิดไฟ ผมก็แทบลมจับเพราะโดนค้นจริงๆอย่างที่คิดไว้ ข้าวของกระจุยกระจาย จากที่เคยรกก็รกยิ่งกว่าเดิมเพราะทุกอย่างถูกรื้อออกไปหมด ผมพยายามนึกว่าสมบัติสำคัญของตัวเองมีอะไรบ้างแต่ก็นึกออกแค่แล็ปท็อปกับไอแพดซึ่งนำติดตัวไปบ้านภูด้วยเมื่อคืน ดังนั้นเครื่องมือสำคัญที่ใช้หาเงินของสิปปกรยังคงปลอดภัย

ผมเดินลงบันไดไปหาติณที่ชั้น ไม่อาจพูดได้ว่าโชคดีที่อาทิตย์ก่อนติณเปลี่ยนกลอนเป็นดิจิตอลล็อค พวกโจรก็เลยเข้าห้องของติณไม่ได้นอกจากทิ้งร่องรอยไว้ตรงขอบประตู เมื่อเปิดเข้าไปเห็นเพื่อนสนิทยืนมองเตียงด้วยสีหน้าว่างเปล่า ผมจึงถือโอกาสนี้ถามติณณภพว่าเกิดอะไรขึ้น

“มีคนงัดร้าน ก็อย่างที่มึงเห็น”

ติณตอบแบบขอไปที ไม่ได้หงุดหงิดโมโหหรือพาลใส่ผม มันดูอึนๆเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เหมือนคนโดนต่อยเต็มแรงจนมึนและไม่รู้จะทำยังไงต่อไป

“กล้องหน้าร้านจับภาพได้ไหม?”
“ยังไม่ได้ดู”
“แจ้งตำรวจหรือยัง?”
“แจ้งแล้ว แต่ยังไม่มา”

เราเงียบใส่กันเมื่อติณณภพพูดจบ เวลานี้สิปปกรไม่สมควรปริปากพูดอะไรออกไปทั้งนั้น เราต่างรู้กันว่าเรื่องพวกนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นหากผมนอนที่ร้านเมื่อคืน อย่างน้อยถ้าเปิดไฟทิ้งไว้บนชั้นสาม โจรมันจะได้รู้ว่ามีคนเฝ้าร้านตลอดและไม่กล้างัดเข้ามา หรือไม่ถ้ามันงัดเข้ามาแล้วเจอผม ของในร้านอาจจะไม่หายเยอะขนาดนี้ก็ได้

“กูขอโทษ”

ผมเสียใจจริงๆจึงพูดประโยคนั้นออกไป ไม่ได้คาดหวังว่าติณจะตอบกลับว่าไม่เป็นไร หรือบอกว่าอย่าโทษตัวเอง แต่ความเงียบและบรรยากาศแบบนี้ทำให้เจ็บปวดยังไงไม่รู้

“กูไม่น่าทิ้งร้านไปเลย”
“อืม”

ติณณภพเดินออกจากห้องเมื่อพนักงานคนหนึ่งตะโกนเรียก เราไม่พูดเรื่องนี้กันอีก ติณไม่เคยบอกว่าคิดยังไงนอกจากปล่อยให้สิปปกรโทษตัวเอง ผมยังคงโทษตัวเองเสมอเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น หากย้อนเวลาได้ ผมจะไม่ทิ้งร้านไปค้างกับภู ผมจะไม่ทิ้งกู้ด รี้ดดิ้งที่ผมรัก จะไม่ยอมให้เหตุการณ์นี้กระทบความสัมพันธ์ของผมกับติณณภพเด็ดขาด




ช่วงสายตำรวจมาที่ร้านเพื่อเก็บหลักฐาน ติณณภพถึงกับนั่งใบ้เมื่อเราทุกคนช่วยกันลิสต์ว่ามีอะไรหายไปบ้าง หลักๆที่ทำให้ติณลมจับน่าจะเป็นเครื่องชงกาแฟที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่กี่เดือน ยังไม่ทันจะถอนทุนคืนก็โดนขโมยเสียแล้ว พนักงานในร้านต่างอยู่ในภาวะเครียดจนไม่มีใครอยากพูดอะไร และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่พวกเราต้องหารือกัน ติณณภพก็ถามว่าใครออกจากร้านเป็นคนสุดท้าย

ซึ่งสิปปกรไม่มีเอี่ยวใดๆกับหัวข้อสนทนานี้

ผมออกจากกู้ด รี้ดดิ้งเป็นคนแรกในบรรดาพวกเรา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจที่ไม่ใช่สาเหตุหรือตัวการที่ทำให้ร้านโดนยกเค้า พนักงานต่างเรียงลำดับไทม์ไลน์ตัวเองอย่างเคร่งเครียด พวกเขาพยายามยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ออกจากร้านคนสุดท้าย พวกเขาไม่รู้ว่าโดยเนื้อแท้ติณณภพเป็นคนยังไง หลังจากสูญเสียทรัพย์สินหลายแสนบาท เขาจะยังคงเป็นเจ้านายที่ใจดีและเมตตาลูกน้องทุกคนหรือไม่ ทว่าเมื่อการถกเถียงดำเนินไปโดยชักจะเริ่มมีอารมณ์เข้ามาปะปน ติณจึงพูดว่าใครกลับคนสุดท้ายก็ไม่สำคัญหรอก ร้านโดนงัดไปแล้ว เลิกเถียงกันแล้วช่วยกันเคลียร์พื้นที่รับลูกค้าดีกว่า

“ยังจะเปิดร้านต่ออีกเหรอ ไม่มีอารมณ์อยากทำอะไรแล้ว”

คิมที่ดูหงุดหงิดอารมณ์เสียกว่าใครพูดขึ้น เราทุกคนต่างหยุดมองพนักงานประจำเพราะอยากรู้ว่าเจ้าตัวหมายความว่ายังไง คิมดูอึกอักไปครู่หนึ่ง ราวกับเพิ่งรู้ว่าตัวเองเพิ่งพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกมา

“ขอโทษครับ ผมแค่หงุดหงิด”
“หงุดหงิดอะไร?” ติณถามเสียงเรียบ
“หงุดหงิดที่ร้านโดนงัด” คิมตอบเซ็งๆแล้วตวัดสายตามองมาที่นายสิปปกร “ถ้าเมื่อคืนพี่สองค้างที่นี่ ร้านเราก็คงไม่โดนงัด”

ผมฟังประโยคนั้นแล้วไม่รู้จะพูดอะไร มันจุกและตื้อตันจนไม่สามารถคิดหาคำแก้ตัวได้ ผมหวังว่าใครซักคนในหมู่พวกเราจะพูดขึ้นมาว่าอย่าโทษพี่สอง อย่าพูดอย่างนั้น อย่าบอกว่าเป็นความผิดของใคร ทว่ากลับไม่มีใครปกป้องผมแม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างติณณภพ ติณแค่มองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะเดินจากไป เราแยกย้ายกันไปให้ข้อมูลกับตำรวจโดยไม่มีใครแก้ต่างให้ผมเลย




สามวันผ่านไป เพื่อนๆและลูกค้าเริ่มรู้แล้วว่ากู้ด รี้ดดิ้งโดนงัด สิ่งแรกที่พวกเขาถามคือ

สองไปไหน?

ไอ้สองไปไหน ไอ้สองอยู่ไหน สองไม่อยู่ร้านเหรอ สองไม่ได้เฝ้าร้านเหรอ สองไม่ได้เป็นคนปิดร้านเหรอ สองไปไหน สองไปไหน สองไปอยู่กับใคร ทำไมไม่เฝ้าร้าน สองไปหาใคร สองทิ้งร้านทำไม สองไปไหน สองทำไมไม่เฝ้าร้าน สอง – สอง –

“สอง”

เสียงของติณณภพเรียกให้ผมต้องเลิกเล่นเฟสบุ๊กชั่วคราว บนไทม์ไลน์ของเพื่อนๆมีแต่คำถามตามหาตัวนายสิปปกรกันให้วุ่น สวนทางกับโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่มีใครเรียกชื่อผมเลยนอกจากติณ

“ว่า?”
“มาคุยกันหน่อยสิ”

ผมพยักหน้าแล้วเดินเพื่อนขึ้นไปบนชั้นสอง ในห้องนอนของเพื่อนสนิทคือห้องประชุมส่วนตัวของเราที่ไม่มีพนักงานคนอื่นเข้ามาข้องเกี่ยว ติณปิดประตูเมื่อผมเดินเข้าไปด้านใน เรานั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ติดกันด้วยท่าทางเคร่งเครียดไม่สบายใจทั้งคู่ก่อนที่ติณจะเริ่มคุยกับผมตามตรง

“ไม่ต้องไปฟังไอ้คิมมาก มึงก็รู้ว่ามันปากไม่ดี”
“อืม แล้วมึงคิดยังไง?”
“เรื่องอะไร?”
“มึงโกรธกูไหม?”

ผมถามตามตรง เราจ้องกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่ติณจะตัดบทด้วยการชวนคุยเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า ผมรู้ในทันทีว่าติณโกรธ แค่ไม่อยากพูดมันออกมา

“เครื่องชงกาแฟไม่มีแล้ว เราอาจจะต้องหารายได้จากทางอื่นมาพยุงร้าน”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนแบ่งจากการขายหนังสือจริงๆนั้นน้อยมากจนแทบไม่สามารถพยุงกิจการกู้ด รี้ดดิ้งเอาไว้ได้ ดังนั้นติณณภพต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อให้ร้านอยู่รอดในยุคที่ผู้คนไม่ค่อยเดินทางมาร้านหนังสือ เริ่มแรกเราขายเครื่องดื่ม พอขายดีก็อัปเกรดเครื่องไม้เครื่องมือให้มีมาตรฐานเพื่อกินกำไรจากกาแฟมากขึ้น แต่ตอนนี้ตัวทำเงินหลักเข้าหน้าร้านกู้ด รี้ดดิ้งหายไปแล้ว นั่นหมายความว่าเราต้องเร่งหารายได้ทางอื่นเข้ามาก่อนที่ร้านจะเริ่มขาดทุน 

“เครื่องเขียนที่มึงเคยบอกว่าอยากให้กูรับมาขายต้องลงทุนเยอะไหม?”

ผมดีใจที่ไอเดียของตัวเองกลายเป็นที่สนใจของติณ แน่นอนว่าร้านหนังสือที่ขายเครื่องเขียนนั้นมีเกร่อจนแทบเป็นซิกเนอเจอร์ แต่สิ่งที่ผมพยายามเสนอติณมาตลอดคือขายในสิ่งที่หาซื้อทั่วไปไม่ได้ เครื่องเขียนไม่ได้มีแค่ปากกา ดินสอ ยางลบ หรือไฮไลท์ แต่ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งอย่างเทปลายการ์ตูน โปสการ์ด สมุดโน้ตแฮนด์เมดอาร์ตๆที่มีชิ้นเดียวในโลก หรือสติ๊กเกอร์มาร์คกิ้งสีสวยๆซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ผมบอกติณว่าเราอาจจะรับงานจากนักวาดอิสระมาวางขายที่ร้านด้วยเพื่อดึงลูกค้าให้เสียเงินมากขึ้น บางคนอาจมาแล้วไม่ได้หนังสือก็จริง แต่พวกเขาอาจสนใจโปสการ์ด งานอาร์ตสวยๆ รวมไปถึงกระเป๋าผ้าที่กำลังเป็นเทรนด์ฮิตตอนนี้ด้วย

“มึงช่วยกูดูเรื่องนี้ได้ไหม?”

ติณถาม ผมจึงตอบรับด้วยความดีใจทันทีว่าได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ผมเคยทำอะไรมาตั้งเยอะตั้งแยะเพื่อกู้ด รี้ดดิ้ง ทำไมจะทำต่อไปไม่ได้ ยิ่งหลังจากร้านเจอเรื่องแย่ๆมากมายเพราะความเห็นแก่ตัวของผม แค่ไม่โดนเตะก้นออกจากที่นี่ก็ถือว่าบุญหัวแล้ว

“ตำรวจบอกว่าคนร้ายน่าจะเป็นพวกติดยาแถวนี้แหละ”
“กูว่าไม่กี่วันก็คงจับได้ เห็นหน้าชัดขนาดนั้น” ผมปลอบใจเพื่อนสนิท
“อืม ถ้าจับได้ก็ดี” ติณพึมพำ “แล้วมึงจะเอายังไงต่อไป?”
“เรื่องอะไร?”
“กู้ด รี้ดดิ้งไง” ติณมองหน้าผม “มึงจะยังอยู่ที่ร้านไหม?”
“อยู่สิ” ผมยืนยันอีกครั้ง
“มึงแน่ใจนะว่าจะไม่ย้ายไปอยู่กับหมอหมา”
“ทำไมกูต้องย้ายไปอยู่กับภูด้วย?”
“มึงคบกับมันอยู่ไม่ใช่หรือไง?”
“ยังไม่ได้คบ”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนติณคงหัวเราะเยาะ คงแซวผมเรื่องที่ชอบทำอะไรคลุมเครือไม่มีสถานะ ทว่าวันนี้ติณกลับจริงจังกว่าเดิมเยอะมาก ราวกับการที่ผมจะเป็นแฟนกับใครหรือไม่เป็นอะไรกับใคร กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับเรา

“มึงถามทำไม?”
“เผื่อมึงเปลี่ยนใจอยากย้ายไปอยู่กับหมอหมา กูจะได้หาคนใหม่”
“คนใหม่อะไร? มึงจะจ้างใครมาแทนที่กูเหรอ?”

ผมถามติดตลก แต่เราต่างรู้ว่ามันไม่ตลกเมื่อมีกู้ด รี้ดดิ้งเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมกับติณต้องคุยกันจริงจังและทำเรื่องงานให้ชัดเจนเสียทีผมมีหน้าที่อะไร ตำแหน่งอะไร คอยซัพพอร์ตร้านยังไง ผมคือฟรีแลนซ์ที่ติณจ้างให้เขียนบทความบนเว็บไซต์และคิดสคริปต์พอดแคส ผมคือคนคิดว่าเราจะสื่อสารกับนักอ่านผ่านทางช่องทางไหน เราจะโพสต์อะไร โปรโมตอะไรในแต่ละช่วงเวลา ถึงอย่างนั้นหน้าที่หลักของผมก็ไม่ใช่นักการตลาดที่คอยคิดกลยุทธ์ให้กับร้านอยู่ดี

พอมานั่งพิจารณาดูแล้วเราทำงานกันจับฉ่ายมาก ดูเหมือนว่าสิปปกรจะเป็นเรี่ยวแรงสำคัญแต่สุดท้ายภาระหน้าที่และขอบเขตความรับผิดชอบกลับไม่ชัดเจนมากพอ ดังนั้นตอนที่ร้านโดนงัด ติณถึงไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็นความผิดของผม เพราะเราไม่เคยตกลงกันว่าสิปปกรต้องเฝ้าร้านตลอดไป ติณณภพให้ผมอาศัยอยู่ที่กู้ด รี้ดดิ้งในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ยามเฝ้าร้าน และเพื่อนมีสิทธิ์ที่จะไปไหนมาไหนก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ผมกลับทึกทักเอาเองว่าการได้อยู่ร้านหมายความว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น หากเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างช่วยดูแลหน้าร้าน ทำความสะอาด แนะนำหนังสือให้ลูกค้า หรืออะไรทำนองนั้นก็คงไม่มีปัญหา

แต่ร้านโดนยกเค้าเสียหายไปเกือบสองแสนบาท
คนที่ลำพังเงินใช้ส่วนตัวยังไม่เหลือเฟืออย่างสิปปกร มันจะไปรับผิดชอบอะไรได้   

“มึงโกรธกูใช่ไหมติณ?” ผมถามตามตรง ติณณภพเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธและบอกว่าไม่ได้โกรธ มันไม่โกรธ แต่มันเสียใจ
“พอเกิดเรื่องกูก็คิดตลอด พยายามโทษคนอื่นทั้งๆที่ร้านโดนงัดเพราะความหละหลวมของกูเองที่ไม่ติดสัญญาณกันขโมย” ติณถอนหายใจ “มันไม่ใช่ความผิดมึงหรอกสอง กูไม่ได้จ้างมึงให้เฝ้าร้านตั้งแต่แรก กูให้มึงอยู่ที่นี่เพราะมึงเป็นเพื่อนกู แต่พออยู่ไปนานๆ กูก็เริ่มชินจนคิดไปเองว่ามึงต้องเฝ้าร้าน มึงต้องรับผิดชอบร้าน ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่หน้าที่มึงเลย”
“กูเต็มใจเฝ้าร้านเองแหละ มึงไม่ต้องคิดมากนะ ต่อไปนี้กูจะอยู่ที่ร้านทุกคืน”
“มึงทำไม่ได้หรอกสอง” ภูเหยียดยิ้มราวกับจะเยาะเย้ย “มึงเปลี่ยนไปเหมือนตอนคบกับไอ้วินไม่มีผิด”

ผมนิ่ง ไม่รู้จะตอบกลับยังไงเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดแบบนี้ ตอนที่สิปปกรมีความรักมันแย่มากเลยงั้นเหรอ ทั้งๆที่ผมเองก็พยายามบาลานซ์ชีวิตตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว ผมรู้สึกดีกับภูและยอมรับว่าหลายครั้งอยากจะไปค้างบ้านเขาบ่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ไม่เคยทิ้งกู้ด รี้ดดิ้ง ผมยังคงอัปบทความทุกสัปดาห์ ยังคงส่งสคริปต์พอดแคสให้ติณ ยังคงสรรหาสิ่งต่างๆเพื่อพยุงให้กู้ด รี้ดดิ้งอยู่รอด ทำไมตอนที่ร้านโดนงัดในคืนที่ผมขอเวลาไปใช้ชีวิตส่วนตัว ทุกคนถึงพูดราวกับว่าสิปปกรที่มีความรักนั้นแย่จริงๆ

“เอาเถอะ กูติดต่อให้ช่างมาติดสัญญาณกันขโมยแล้ว จะเพิ่มกล้องวงจรปิดในร้านด้วย ชั้นสามหน้าห้องมึงก็จะมีตัวนึงนะ” ติณลุกขึ้นยืนเมื่อพูดจบ เขาตัดบทเข้าเรื่องร้านโดยไม่อธิบายต่อว่าสิปปกรตอนมีความรักมันแย่ยังไง “ไปทำงานต่อเถอะ ช่วงนี้มีงานไหม?”
“ก็พอมีบ้าง”
“ดีแล้ว”

ติณตบไหล่ผมก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องนอน เป็นสัญญาณเชิญให้สิปปกรออกไปได้แล้ว ผมเดินออกจากห้องของติณด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก บทสนทนาเมื่อครู่ไม่มีการตำหนิหรือกล่าวโทษเลยซักคำเดียว ติณยังคงเป็นเพื่อนที่รักษาหน้าของผมเอาไว้เสมอ แม้ว่าเพื่อนๆในเฟสบุ๊กจะพยายามฟลัดคอมเม้นต์ถามว่าสองไปไหน ติณก็แค่ตอบว่ายังอยู่ ปลอดภัยดีและไม่ตอบคำถามอื่นๆเพื่อปิดช่องไม่ให้ทุกคนรุมทึ้งผม การกระทำของติณณภพยิ่งทำให้รู้สึกผิดจนพูดไม่ออก ผมโกรธตัวเองที่กล้ามีความสุขมากเกินไป ดังนั้นผมจึงตั้งปณิธานว่าจะไม่เห็นความสำคัญของใครมากไปกว่าติณณภพและกู้ด รี้ดดิ้งอีก




คุณเคยนอนไม่หลับเพราะกังวลไหม เคยตื่นทุกชั่วโมงเพราะระแวงว่าโจรจะกลับเข้ามายกเค้าหรือเปล่า ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเจอกับอาการนี้จนกระทั่งโจรบุกเข้ามาในร้าน และหลังจากวันนั้น ไม่มีคืนไหนที่ผมนอนหลับสนิทเลย

ผมตื่นเกือบทุกชั่วโมง บางทีก็สองหรือสามชั่วโมงที่ต้องรู้สึกตัวตื่นมาพร้อมกับอาการหัวใจเต้นรัว ตอนที่แนบหน้าลงบนหมอน ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักราวกับกำลังดูหนังสยองขวัญ หลังจากนอนฟังเสียงนั้นซักพักผมก็จะรีบลุกขึ้นนั่ง เดินลงไปชั้นหนึ่งของร้านเพื่อเช็กประตูหน้า ประตูหลัง เช็กหน้าต่างทุกบานและดูกล้องวงจรปิดว่าช่วงที่เผลอหลับมีใครแอบเข้ามาในร้านหรือเปล่า แม้สัญญาณกันขโมยจะถูกติดตั้งแล้วแต่ความกังวลเป็นห่วงร้านกลับไม่ได้ลดน้อยลง ในที่สุดผมจึงตัดสินใจหอบหมอนและผ้าห่มมานอนบนโซฟาชั้นล่าง เปิดไฟให้สว่างโดยหวังว่าหากโจรคิดจะกลับเข้ามา มันต้องเจอสิปปกรก่อนที่จะได้อะไรกลับไป

ติณณภพเองก็อยู่ที่ร้านด้วย ติณไม่กลับไปค้างที่บ้านอีกเลยหลังจากคืนนั้นเช่นกัน ผมเดาเอาว่ามันเองก็คงอยู่ในช่วงฝันร้ายจนไม่กล้านอน หลายครั้งที่เราบังเอิญเจอกันชั้นล่างเพราะต่างลงมาเช็กประตูด้วยกันทั้งคู่ ตอนแรกเราแค่บังเอิญเจอ หลังๆติณเจอผมนอนบนโซฟาเฝ้าร้านเหมือนยาม มันถามว่ามาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ขึ้นไปนอนให้ดีๆ ผมจึงบอกเพื่อนตามตรง

“กูเป็นห่วงร้าน”

ติณเงียบไปก่อนจะหัวเราะ บอกว่าโจรคงไม่โง่กลับมาอีกแล้วเพราะรู้ว่าเราแจ้งความ อีกอย่างสื่อก็ตีข่าวร้านกู้ด รี้ดดิ้งถูกงัดเสียขนาดนั้น มันคงไม่กลับมาซ้ำสองให้โดนจับหรอก

“ไปนอนในห้องเถอะ” ติณสั่ง
“ไม่เป็นไร กูนอนตรงนี้แหละ”

ผมตอบตามตรง เพราะถึงกลับไปนอนบนเตียงมันก็ยังกังวลอยู่ดี ติณณภพเห็นผมดื้อด้านจะนอนบนโซฟาก็ปล่อยเลยตามเลย ก่อนกลับขึ้นชั้นสอง ติณก็เปิดแอร์ให้ แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร ผมนอนพัดลมได้ จะเปิดทำไมให้เปลืองไฟ

“ไม่อยากให้เปลืองไฟก็ขึ้นไปนอนข้างบน” ติณว่า แต่ไม่ได้บังคับกัน “เลิกพะว้าพะวงได้แล้วสอง มันผ่านมาหลายวันแล้ว”

คำปลอบใจที่เราใช้บอกตัวเองไม่ช่วยให้ความกังวลลดลง ผมพยักหน้าและส่งยิ้มให้ติณณภพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นบันได กลับไปนอนในห้องชั้นสองดังเดิม เมื่อได้อยู่คนเดียวอีกครั้งผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กข้อความ ล่าสุดที่คุยกับภูคือตอนสี่ทุ่ม ภูส่งสติ๊กเกอร์คอร์กี้มาให้ และพิมพ์คำว่าคิดถึง ฝันดีคับเป็นข้อความสุดท้ายของวัน

ภูรู้แล้วว่าร้านโดนงัด เขารู้ในทันทีว่าเราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันซักพักเพราะความจำเป็นบางอย่าง เช้าวันนั้นที่ผมรีบออกจากบ้านของเขา ภูพยายามโทรหาเพราะกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจ รับไม่ได้ที่เขาชอบความรุนแรงขณะมีเซ็กส์ ผมยังจำน้ำเสียงสั่นเครือได้ดี ภูพล่ามยาวมากเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา เขากลัวและกังวลจริงๆเมื่อคิดว่าความสัมพันธ์ของเราอาจจะไม่ได้ไปต่อ และเมื่อผมบอกว่ากู้ด รี้ดดิ้งโดนงัด ภูก็ถอนหายใจโล่งอกและพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า

“ดีนะที่เมื่อคืนสองมาค้างบ้านภู”

เขาพูดแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉย ในขณะที่ทุกคนพยายามถามติณณภพว่าผมไปไหน ผมอยู่ที่ไหน ผมทิ้งร้านได้ยังไง กลับมีแค่ภูคนเดียวที่แสดงอาการดีใจที่คืนนั้นผมไม่ได้ค้างที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง

“ถ้าโจรพวกนั้นเข้ามาตอนสองอยู่แล้วทำอะไรสองนะ ภูต้องเป็นบ้าตายแน่ๆเลย แค่คิดก็ปวดใจแล้ว ดีจริงๆที่สองอยู่กับภู”

คำพูดซื่อๆแสนเรียบง่ายของภูทำผมร้องไห้อยู่พักใหญ่ ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้แม้กระทั่งตัวผมเอง ไม่มีใครคิดอีกมุมว่าหากโจรเข้ามาตอนสิปปกรอยู่มันจะทำอะไรบ้าง ทุกคนคิดแค่ว่าถ้าสองอยู่โจรคงไม่เข้ามา แต่ไม่มีใครคิดถึงกรณีร้ายแรงหากผมสู้กับโจรไม่ได้ ผมถูกทำร้ายจนบาดเจ็บถึงตายหรือไม่ก็พิการ ไม่มีใครคิดถึงจุดนั้น ไม่มีใครพูดว่าโชคดีจังเลยที่สิปปกรปลอดภัย มีแค่ภูคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ ผมยังพอมีความสำคัญสำหรับใครคนนึงอยู่บ้าง

“แล้วแบบนี้ – สองก็มาหาภูไม่ได้ใช่ไหม?”
“อืม” ผมตอบ “ก็คงอีกพักใหญ่”

เราต่างเงียบใส่กันเมื่อพูดถึงตรงนี้ ภูดูซึมลงถนัดตาพอรู้ว่าสิปปกรจะไม่ได้ไปค้างที่ห้องของเขาอีก ความสัมพันธ์ของเรากำลังจะเริ่มพัฒนาไปอีกขั้นแท้ๆ แต่พอเราเริ่มมีโอกาสเรียนรู้และใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น จู่ๆมันก็มีเรื่องให้ทุกอย่างต้องหยุดไว้แค่นั้น กลายเป็นความสัมพันธ์ออนไลน์ที่มีแค่โทรหาและวิดิโอคอล ไม่ค่อยได้พบเจอหรือกินข้าวด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน

“ภูไปหาสองได้นะ”
“อย่าเลย คุณจะเหนื่อยเปล่าๆ”

ผมห้ามทันทีเพราะลำพังเลิกงานก็สี่โมงเย็นแล้ว หากขับรถจากทองหล่อมาบางบัวทองคงเหนื่อยหน้าดู อีกอย่างพรุ่งนี้เขาต้องทำงานแต่เช้า ต้องรับลูกค้า ต้องผ่าตัด ต้องทำงานที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย มันคงไม่ดีหากสัตวแพทย์อดหลับอดนอนจนวินิจฉัยพลาด ผมจึงบอกภูว่าไม่ต้องมา ไม่ต้องมาหา เพราะผมอยู่คนเดียวได้ ผมสบายดี

“แต่ภูคิดถึงสอง”

คำพูดของเจ้าโกลเด้นยังคงทำให้หัวใจของผมอ่อนยวบเสมอ

“สองไม่คิดถึงภูเหรอ?”
“อืม” ผมตอบ “แต่ทำไงได้ ผมต้องดูร้าน”
“ภูก็ต้องเฝ้าคลินิกเหมือนกัน”
“อืม เรานี่มีเรื่องเหมือนกันหลายอย่างเลยเนอะ”

ผมหัวเราะ ภูก็หัวเราะ เราต่างเข้าใจพันธะของการทำงานดี ดังนั้นภูจึงไม่งอแงเอาแต่ใจหรือขอร้องให้ผมไปค้างที่บ้านของเขาอีก ภูไม่ห้ามหรือเรียกร้องอะไรเลยนอกจากชวนคุยตามปกติ คิดถึงก็บอก กินอะไรก็ส่งรูปมาหา บางครั้งผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองโดนสอดแนมหรือเปล่า ช่วงที่รู้สึกหดหู่เพราะเสียใจที่ร้านถูกงัด ภูจะชอบโทรมาขัดจังหวะและพูดเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งผมลืมความรู้สึกแย่ๆไปเอง

ภูไม่เคยบอกว่าจะมาหาเมื่อไหร่ ไม่เคยให้สัญญาอะไรทั้งนั้นจนผมคิดว่าเราอาจจะต้องห่างกันแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าบรรยากาศในร้านจะดีขึ้น ทว่าเช้าวันพุธที่ผมตื่นเร็วกว่าปกติ จังหวะที่เลื่อนประตูเหล็กม้วนของร้านขึ้น  ผมก็ได้พบกับเจ้าโกลเด้นที่ยืนยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าพร้อมข้าวและน้ำเต้าหู้

“สองเปิดประตูพอดีเลย”

ภูยิ้มกว้างจนตาหยี แสดงออกว่าดีใจมากที่ได้เห็นสิปปกรในสภาพเมาขี้ตามาเปิดประตูร้าน ส่วนผมเองก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เจอหน้าภูอีกครั้งในรอบหลายวัน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตอนนี้ ต้องเป็นตอนที่ผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันและสวมเสื้อนอนเก่าเหมือนผ้าขี้ริ้วด้วย

“ทำไมมาเช้าจัง?”
“ก็จะได้มีเวลาอยู่กับสองทั้งวันไง” ภูตอบซื่อๆ “ภูคิดถึงสองมากเลยนะ”

ผมยิ้ม ไม่รู้จะตอบอะไรนอกจากยิ้มเพราะดีใจที่เจ้าก้อนพลังงานบวกอุตส่าห์เดินทางมาหาแต่เช้าเพื่อจะได้เจอกัน ภูไม่เคยได้ยินคำว่าคิดถึงจากผมหรอก เขาไม่เคยรู้ว่าผมเองก็อยากเจอเจ้าโกลเด้นแสนร่าเริงนี้ขนาดไหน ดังนั้นตอนที่เห็นภูยืนอยู่ตรงหน้า ผมจึงดีใจและมีความสุขมากในรอบสัปดาห์

“บอกก่อนนะว่าติณอยู่ร้าน”
“ดีนะที่ภูซื้อข้าวมาสามห่อ”
“นี่ ผมไม่ได้กลัวข้าวไม่พอ ผมหมายถึงคุณควรระวังตัวไว้”
“ทำไม? นอกจากโทษสองแล้ว พี่ติณยังโทษภูด้วยเหรอ?”
“เปล่าหรอก” ผมตอบปัดๆและเปิดประตูให้ภูเข้ามาด้านใน “แค่จะบอกคุณว่าคุณขึ้นข้างบนไม่ได้นะ มีแค่ผมกับติณเท่านั้นที่ขึ้นไปได้”
“โอเค!”
ภูตอบอย่างว่าง่าย หนึ่งวันที่เราได้ใช้เวลาร่วมกันในร้านหนังสือจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง



ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยนะคับ :hao5:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [12] 18/05/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 18-05-2020 21:52:30
12 [PART2/2]


ผมอาบน้ำแต่งตัวและรีบลงมาชั้นล่างก่อนใคร ติณณภพยังไม่ตื่น ส่วนภูนั่งเล่นเกมโทรศัพท์อยู่บนโซฟา เราสองคนจึงย้ายไปกินข้าวเช้าด้วยกันในครัว ภูสั่งข้าวมันไก่เนื้อน่องอย่างที่ตัวเองชอบ ส่วนผมเป็นข้าวมันไก่ธรรมดา พิเศษไข่ยางมะตูมและปิดท้ายด้วยน้ำเต้าหู้หนึ่งถุง

นี่คือมื้อเช้าที่ดีที่สุดในสัปดาห์นี้ ผมอิ่มอาหารและอิ่มใจที่ได้เห็นภูนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ตรงหน้า เรากินข้าวจนเกลี้ยงก่อนจะช่วยกันล้างจาน พอแปดโมง พนักงานก็เริ่มทยอยเดินทางมาถึงร้าน แน่นอนว่าบรรยากาศระหว่างสองกับพนักงานทุกคนเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น และเมื่อพวกเขาได้พบกับภู ทุกอย่างก็ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม

“มาทำไมวะ?”

คิม ที่เป็นพนักงานหน้าร้านบ่นกับน้องบาริสต้าโดยไม่มีเจตนาจะให้เราได้ยิน แต่ผมกับภูได้ยินเต็มสองหู สีหน้าของเจ้าโกลเด้นเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง แววตาไม่สบอารมณ์เหมือนโกรธที่โดนพวกเขาเอ่ยพาดพิง แต่ผมก็ขอร้องให้เขาไม่ถือสาด้วยการเขย่าแขนเบาๆ เปล่าประโยชน์ที่จะปะทะคารมกับคนในร้าน เผลอๆติณจะยิ่งมองภูไม่ดี และอาจทำให้เรื่องของเรายากขึ้นกว่านี้ก็ได้

ช่วงสายติณถึงเพิ่งลงมาจากชั้นสอง พอเห็นภูกำลังช่วยผมจัดอันดับเบสท์ เซลเลอร์ประจำสัปดาห์ก็เก็บสีหน้าประหลาดใจเอาไว้ไม่มิด และอย่างที่ทุกคนรู้ว่าภูเป็นคนเฟรนด์ลี่แค่ไหน เขารีบยกมือไหว้ติณอย่างนอบน้อมด้วยรอยยิ้มแจ่มใส แถมยังบอกอีกว่าซื้อข้าวมันไก่กับน้ำเต้าหู้มาฝาก ถ้าพี่ติณหิวก็กินได้เลยครับ

“ขอบใจนะ”

ติณตอบก่อนจะหันมามองผมเป็นเชิงขอคำอธิบาย ผมไม่รู้จะเริ่มยังเลยแก้เก้อด้วยการบอกว่าวันนี้วันหยุดประจำร้าน ภูก็เลยแวะมาเยี่ยม

“เหรอ”

ติณตอบสั้นๆก่อนจะหายไปกินข้าวมันไก่ในครัว ปล่อยให้ผมกับภูได้ใช้เวลาร่วมกันต่อไปโดยมีสายตาสอดส่องของพนักงาน ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการปรากฏตัวของภูเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ แน่นอนว่ามันดีกับหัวใจของสิปปกร แต่สำหรับติณณภพที่เป็นเจ้าของร้านซึ่งถูกยกเค้าหมาดๆอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ เผลอๆพนักงานก็ไม่แฮปปี้ด้วยที่คนนอกเข้ามาป้วนเปี้ยนในร้าน คอยหยิบนั่นจับนี่ ทำตัวเป็นหมาแสนซนอย่างร่าเริง ผมเริ่มไม่สบายใจอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของทุกคน แค่อยากมีความสุขกับคนที่ตัวเองชอบยังทำไม่ได้เลย

“สอง”
“ว่า?”
“ไม่ไปไหนบ้างเหรอ?” ภูถาม
“ไม่”

ผมตอบก่อนจะถอนหายใจ สิปปกรสามารถไปไหนได้อีกเหรอ หลังจากวันนั้นก็แทบจะโดนกดดันให้อยู่ร้านตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ต่อให้ติณจะไม่ว่าอะไรแต่ผมไม่มีกะจิตกะใจอยากไปไหนอยู่ดี

“ภูว่าแล้วเชียว สองดูไม่มีความสุขเลย อยู่แต่ที่ร้านมันอุดอู้”
“อืม แต่คุณก็มาหาผมแล้วนี่ไง”
“โอ้ พูดเหมือนสองดีใจที่ภูมาเลย”
“ดีใจสิ” ผมหยิบไม้ขนไก่ขึ้นมาปัดฝุ่นบนโต๊ะ พยามหนีไอ้ลูกหมาที่กระดิกหางเดินตามติดด้วยสีหน้าปลาบปลื้มสุดขีด “นี่ – อย่าให้มันออกนอกหน้านักนะ”
“งั้นภูค้างที่ร้านกับสองได้ไหม?”

มือที่กำลังปัดฝุ่นหยุดชะงัก ผมหันมองภูทันทีเมื่อได้ยินประโยคร้องขอของเจ้าโกลเด้น ไม่ได้หรอก ผมตอบ ร้านนี้เป็นของติณ ต่อให้ชั้นสามเป็นห้องส่วนตัวของสิปปกร แต่การจะพาใครเข้ามาก็ต้องขออนุญาตติณณภพอยู่ดี

“พี่ติณไม่ว่าอะไรหรอก เขาต้องดีใจสิที่มีคนมาช่วยเฝ้าร้าน”
“งั้นก็ลองขอดู”
“อย่าประมาทลูกอ้อนภูเชียวนะ” ไอ้ลูกหมายิ้มอวด “คืนนี้ภูต้องได้นอนกับสองแน่ๆ”
“คราวหน้าเถอะ ห้องผมไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่มให้”
“ภูเอามาแล้ว”

ไอ้นี่มันร้ายจริงแฮะ

“ภูขอพี่ติณได้ไหม?”

ผมยักไหล่และไม่ว่าอะไร ถ้ากล้าขอก็ลองดู เจ้าโกลเด้นยิ้มหวานด้วยความดีใจ วันๆนึงภูยิ้มได้ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ปากก็เจื้อยแจ้วถามไปเรื่อยว่างานแต่ละวันของสิปปกรมีอะไรบ้าง ถ้าไม่นับงานแปล ผมมีภาระหน้าที่อะไรต้องรับผิดชอบบ้าง

“วันนี้สำนักพิมพ์จะมาส่งหนังสือ” ผมบอกภูเมื่อเหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนัง ได้เวลาเปิดร้านแล้ว แต่ลูกค้าจะยังไม่มาช่วงนี้ “จริงๆมันก็ไม่มีอะไรมากหรอก น้องๆในร้านทำได้”
“ปกติสองสั่งเครื่องดื่มในร้านไหม?”
“มีบ้าง แต่ไม่บ่อย” ผมกระซิบ “มันไม่ได้อร่อยขนาดนั้น”
“เหรอ? สองชอบกินอะไรล่ะ?”
“ผมชอบสตาร์บัคส์” ผมตอบ “แต่กินบ่อยๆไม่ได้หรอกนะ เงินเดือนเท่าฝาตีนแมว”

เราหัวเราะให้กับคำเปรียบเปรยที่พูดขึ้นเอาเอง เมื่องานช่วงเช้าหมดลงผมก็มีเวลาส่วนตัวสำหรับการทำงานแปลของตัวเอง ตอนนี้งานแปลที่เคยรับจากพี่ดาวเสร็จแล้ว เหลือแค่งานแปลจิปาถะที่รับมาเป็นจ็อบๆซึ่งยังคงแปลไม่เสร็จ แต่เร็วๆนี้อาจจะได้แปลนิยายเรื่องใหม่ด้วย เราใช้เวลาช่วงเช้านั่งข้างกันในร้านกู้ด รี้ดดิ้ง  ภูที่ไม่มีอะไรทำก็ได้แต่เดินเตร่ไปมาในร้าน หยิบหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้มาพลิกอ่าน พอไม่รู้จะอ่านอะไรก็เดินกลับมานอนฟุบบนโต๊ะข้างๆ ส่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาให้อยู่นั่นแหละ

“เชือกรองเท้าหลุดแน่ะภู”

ผมบอกแต่เจ้าโกลเด้นก็ไม่สนใจ แถมยังอวดเก่ง บอกว่าเชือกรองเท้าหลุดก็ไม่เป็นไร เขาไม่เคยสะดุดเชือกล้มเลยซักครั้ง

“เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”

ผมบ่นแต่ไม่ใส่ใจ คิดว่าภูคงไม่ไปซุ่มซ่ามสะดุดล้มที่ไหนก็เลยปล่อยผ่าน แต่เห็นเชือกยาวเฟื้อยไม่มัดเป็นโบว์แล้วมันหงุดหงิดจนต้องใช้มือสะกิดให้เขายกขาขึ้นมา

“วางขาบนนี้” ผมตบตักตัวเอง ภูยอมทำตามงงๆแล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเมื่อผมผูกเชือกรองเท้าให้ใหม่ทั้งสองข้าง “เดี๋ยวไปสะดุดล้มหน้าคว่ำใส่หนังสือจะเป็นเรื่อง”
“ผูกเชือกรองเท้าให้แล้ว เมื่อไหร่จะผูกใจไว้กับภูบ้าง”
“แหวะ จะอ้วก” ผมทำท่าโก่งคออยากอาเจียน เจ้าโกลเด้นถึงกับเบ้หน้า น้อยใจที่ผมไม่รับมุกซะงั้น “ถ้าเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ จะกลับบ้านก่อนก็ได้นะ”
“บอกแล้วไงว่าภูมาค้างกับสอง ทำไมชอบไล่อยู่เรื่อย”
“แค่เสนอความเห็น” ผมแย้งก่อนจะเงยหน้ามองกระจกที่อยู่ด้านข้างของร้าน ดูเหมือนว่ารถจากสำนักพิมพ์มาส่งหนังสือแล้ว “เบื่อไหม?”
“ทำไม?”
“มาช่วยผมจัดหนังสือหน่อยสิ”

ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้ง เรามีโปรแกรมที่ติณณภพซื้อไว้เพื่อจัดการสต็อกหนังสือโดยเฉพาะ มันคือโปรแกรม Inventory management ที่ช่วยให้เราเช็กสต็อกง่ายขึ้น วันนี้รับหนังสือเข้ามากี่เรื่อง หมวดไหน ราคาเท่าไหร่ วางหน้าร้านเท่าไหร่ เก็บในห้องสต็อกเท่าไหร่ ขายออนไลน์ไปเท่าไหร่ ทุกอย่างสามารถเรียกดูได้ในโปรแกรมนี้ทั้งหมด ตอนที่อธิบายให้ภูฟัง สีหน้าและแววตาของเขาดูประหลาดใจมากที่ร้านหนังสือของเราใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการ ภูยังบอกอีกว่าเขานึกว่าจัดหนังสือหมายถึงแกะออกมานับ จดลงในโปรแกรมไมโครซอฟทเอ็กเซลแล้วบวกลบคร่าวๆเสียอีก

“ช่วงแรกน่ะใช่ แต่พอร้านขายได้เยอะขึ้น ต้องสต็อกของมากขึ้น มันก็ต้องพัฒนา”

ผมตอบพลางสาธิตให้ภูดูว่าเวลาลูกค้าซื้อหนังสือจากร้าน ตัวเลขในระบบจะตัดอัตโนมัติว่าเหลือจำนวนเท่าไหร่ อย่างเรื่องนี้ของมูราคามิ – เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน จำนวนที่วางขายหน้าร้านลดจากสามเล่มเหลือสองเล่ม ส่วนในคลังก็เหลือสองเล่มเช่นกัน แสดงว่าเรื่องนี้ขายใกล้หมดแล้ว และหน้าเว็บไซต์ของร้านจะมีตัวอักษรสีแดงกำกับเอาไว้เพื่อแจ้งลูกค้าว่าสต็อกเหลือน้อยเต็มที

“สองเคยอ่านเล่มนี้หรือเปล่า?”
“เคยสิ” ผมตอบ “ผมอ่านงานของมูราคามิแล้วง่วง มันก็แล้วแต่คนชอบ”
“สองมีนักเขียนที่ชอบไหม?”
“มี ต้องมีอยู่แล้ว ผมชอบงานของนักเขียนที่ชื่อมาร์กาเร็ต” ผมหยุดคิดไปพักหนึ่ง “มาร์เกอริต ดูราส มาร์กาเร็ต แอ็ตวูด มาร์กาเร็ต มาซซานตินี เรื่องตลกคืออะไรรู้ไหม? นักเขียนทั้งสามคนชื่อมาร์กาเร็ตเหมือนกันแต่มาจากคนละประเทศ ดูราสเป็นคนฝรั่งเศส มาซซานตินีเป็นคนอิตาลี แอ็ตวูดเป็นคนแคนาดา พอมาคิดดูแล้วตลกดีเนอะ ผมชอบงานของนักเขียนที่ชื่อมาร์กาเร็ตถึงสามคนเลย!”
“โห จริงเหรอ” ภูยิ้ม แววตาของเขาเป็นประกายเมื่อผมเล่าความสนใจของตัวเองให้เขาฟัง “ที่ร้านมีขายไหม?”
“มีสิ แต่มีแค่งานของแอ็ตวูด กับมาซซานตินีนะ งานของดูราสเรื่องที่ผมชอบมันเก่ามากจนไม่มีใครตีพิมพ์ซ้ำแล้ว”

ผมตอบพลางเดินนำภูไปที่ชั้นหนังสือ เรื่องเล่าของสาวรับใช้ที่เขียนโดยแอ็ตวูด อย่าไปไหนที่เขียนโดยมาซซานตินี และโรคแห่งความตายโดยดูราสถูกหยิบออกจากชั้น

“อ่านยากไหม?” ภูถามพลางหยิบทั้งสามเล่มมาถือ ผมพิจารณาถึงหนังสือในมือของเขาแล้วก็ตอบว่าค่อนข้าง “ถ้าภูอ่านไม่เข้าใจ ภูถามสองได้ไหม?”
“ได้สิ ถามได้ตลอดเลย” ผมยิ้ม “ในบรรดาหนังสือที่คุณถืออยู่ เรื่องที่ผมชอบที่สุดคือเรื่องอย่าไปไหน”
“ของสำนักพิมพ์กำมะหยี่เหรอ?”
“ใช่ คุณนันธวรรณ์ ชาญประเสริฐเป็นคนแปล ผมชอบงานแปลทุกเรื่องของเขาเลยนะ แปลจากภาษาอิตาลี คุณรู้จักไหม? สำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือเรื่องวิธีเดินทางกับแซลมอนไง ที่เคยดังมากๆอยู่ช่วงหนึ่งนะ”
“ภูเคยเห็นหน้าปกแต่ยังไม่เคยอ่าน”
“ลองอ่านดูนะ ไม่ต้องซื้อหรอก ยืมของผมก็ได้”
“สองมีหนังสือเป็นของตัวเองด้วยเหรอ?” ภูถามด้วยสีหน้าตลกๆราวกับตกใจอะไรนักหนา เขาบอกว่ากินอยู่ในร้านหนังสือไม่เห็นจำเป็นต้องซื้อเลย
“เล่มไหนที่ผมชอบ ผมก็ซื้อเก็บไว้เป็นสมบัติของตัวเอง”
“พี่ติณขายราคาทุนหรือเปล่า?”
“ทุน” ผมยิ้มขำ “ติณใจดีกับผมเสมอแหละ”

ภูยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่ค่อยร่าเริงหรือดีใจเหมือนตอนเราคุยกัน สรุปวันนี้ผมขายหนังสือให้ภูได้ถึงสามเล่ม แม้จะบอกว่าไม่ต้องซื้อแต่เจ้าโกลเด้นก็ยืนยันว่าอยากอ่าน เขาอยากรู้ว่าโลกของสิปปกรเป็นยังไงบ้าง

“แต่ผมแนะนำให้คุณอ่านเรื่องอย่าไปไหนจริงๆนะ” ผมพูดย้ำอีกครั้งเมื่อเรากลับมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน “เหมือนละครน้ำเน่า แต่ผมเศร้าทุกครั้งที่อ่าน คนเราเวลาตกหลุมรักน่ะ มักจะรักตัวเองน้อยลงเสมอ หรือไม่ก็ไม่รักตัวเองอีกเลย”
“ตอนสองมีความรัก สองเป็นเหมือนอิตาเลียไหม?” ภูถามคำถามที่ทำให้ผมหยุดคิดไปพักใหญ่
“ไม่ ผมไม่บูชาความรักขนาดนั้นหรอก อิตาเลียเป็นผู้หญิงที่บูชาความรักแบบถวายหัวมาก มากจนบางครั้งผมก็สงสัยว่าทำไมถึงไม่รักตัวเอง” ผมพูดต่อ “แต่ผมพอจะเข้าใจนะ ก็อิตาเลียไม่เคยถูกรักนี่”

เรื่องนี้ทำให้บทสนทนากร่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมกับภูต่างนั่งเงียบในโลกส่วนตัวของตัวเองโดยไม่พูดอะไรอีก ราวกับนึกขึ้นได้ว่าเรายังมีเรื่องติดค้างกันอยู่หนึ่งอย่าง

สัปดาห์หน้าคือสัปดาห์สุดท้ายของเดือนแล้ว

ถึงกำหนดที่ต้องให้คำตอบภูว่าความสัมพันธ์ของเราจะถูกนิยามว่าอะไร ผมยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจริงๆแล้วตัวเองต้องการให้มันออกมาในรูปแบบไหน ผมยังนึกไม่ออกหากเราคบกัน อนาคตมันจะเป็นยังไง เราจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เราจะมีความสุขมากขึ้นหรือเปล่า ยิ่งตอนนี้ผมมีปัญหารุมเร้าที่ทำให้คิดเรื่องภูไม่ได้ ผมยิ่งไม่มั่นใจว่าการฝืนดันทุรังรับรักเขานั้นจะเป็นการทำร้ายภูทางอ้อมหรือไม่ ดังนั้นตอนที่เจ้าโกลเด้นหันหน้ามาหา ส่งยิ้มแสนน่ารักที่ทำให้หัวใจของสิปปกรพองโต ตอนนั้นผมถึงสำนึกได้ว่า

ผมเองก็ไม่อยากเสียภูไปเหมือนกัน




ไม่รู้คุยกันยังไง จู่ๆติณณภพก็อนุญาตให้ภูค้างที่ร้านได้ เป็นการค้างโดยไม่มีข้อแม้ว่าต้องห้ามทำอย่างนั้น ห้ามทำอย่างนี้ ติณแค่พูดว่าจะค้างก็ค้าง เป็นอันจบ เจ้าโกลเด้นถึงได้เดินหอบหิ้วหมอนและเครื่องนอนเข้ามาในห้องของสิปปกรจนได้

ผมอับอายมากเมื่อต้องเปิดเปลือยโลกของตัวเองให้ภูเห็น ห้องนอนที่ไม่ได้กว้างขวางอะไร อัดแน่นไปด้วยหนังสือแทบทุกมุมแทนที่จะเป็นพื้นที่โล่งๆ วางตกแต่งด้วยของสวยงาม แม้แต่ผ้าปูที่นอนก็ยังเป็นผืนเก่าที่ไม่ได้เปลี่ยน มันทั้งสกปรกและดูโทรมจนอยากจะไล่ภูกลับบ้าน ไม่ยอมให้ค้างด้วยกัน แต่เจ้าโกลเด้นกลับไม่ทำให้รู้สึกแย่ด้วยการดูแคลนความโสมมของห้องนี้ เขาแกะผ้าปูที่เพิ่งซักหอมๆออกจากถุง บรรจงเปลี่ยนให้อย่างดีก่อนจะบอกว่าผ้าปูผืนนี้เขายกให้ เขาตั้งใจยกให้ สิปปกรสามารถเก็บไว้ได้เลย

“นี่ ผมไม่ได้จนขนาดนั้น เดี๋ยวผมซื้อเองก็ได้” ผมตอบทีเล่นทีจริงแต่ก็แอบดีใจที่ภูจำได้ว่าผมกำลังขาดแคลนผ้าปูที่นอน “คุณจะอาบน้ำก่อนไหม?”
“สองอาบก่อนก็ได้”

ภูตอบ ผมจึงพยักหน้ารับและเดินเข้าไปอาบน้ำ ตลอดเวลาที่ได้อยู่คนเดียว ผมรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างไรชอบกลเมื่อเปรียบเทียบสภาพห้องตัวเองกับภู ผมอายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมถึงไม่มีปัญญาทำห้องนอนให้น่านอนเหมือนคนอื่นเขาบ้าง คิดไปคิดก็ยิ่งอับอายจนแทบไม่อยากออกจากห้องน้ำไปเจอหน้าภูเลย ผมไม่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับห้องคับแคบและสกปรก เขาจะหายใจออกไหมหากต้องนอนในห้องที่ไม่มีเครื่องฟอกอากาศ ไฟก็สลัวไม่เหมาะกับการทำงาน เรียกได้ว่าสภาพความเป็นอยู่ของเรามันสวนทางกันชนิดที่ผมเองก็กังวลว่าภูจะคิดยังไง แต่เมื่อเปิดประตูออกไปเห็นเขาจัดนั่นจัดนี่จนห้องกลับมาเป็นระเบียบอีกครั้ง ผมถึงกับอึ้งไปเลย

“ภูไม่ได้อยากยุ่งนะ ภูแค่ช่วยเฉยๆ”

เขาตอบยิ้มๆและก้มหน้าก้มตาจัดของต่อไป ภูเป็นคนเจ้าระเบียบกว่าที่คิดไว้ ใช้เวลาไม่กี่นาทีห้องของสิปปกรก็ดูสะอาดขึ้นมาทันตาเห็น เจ้าโกลเด้นยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจตรงปลายเตียง เขาตบมือแปะๆแล้วพูดว่าขอตัวไปอาบน้ำก่อน สองอย่าเพิ่งนอนนะ ห้ามหลับนะ ภูมีเรื่องอยากคุยด้วยเยอะแยะเลย

ผมตอบตกลงและให้เวลาภูไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นก็เปิดแอร์ฆ่าเวลาโดยหวังว่าห้องจะเย็นสบายสำหรับคนขี้ร้อนอย่างเขา เมื่ออาบน้ำเสร็จ ภูก็เดินออกจากห้องน้ำในสภาพเปลือยท่อนบนเหมือนเดิม เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมจนหมาดแล้วเดินมานั่งเบียดผมตรงปลายเตียงเพื่อดูว่าสิปปกรกำลังทำอะไร

“ผมว่าจะอ่าน Howl’s moving castle ให้คุณฟังต่อ”

ผมพูด ส่วนภูไม่ได้ว่าอะไร เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เหมือนคราวนั้นที่ผมนั่งแปลให้ฟังที่บ้าน กลิ่นสบู่ราคาถูกไม่ได้ทำให้ตัวเขาหอมน้อยลง ภูยังคงเป็นเจ้าหมาขี้อ้อนที่เอาคางเกยไหล่และฟังผมแปลนิยาย เมื่ออ่านไปจนถึงจุดหนึ่ง ภูก็เริ่มสวมกอดจากด้านหลังเหมือนวันนั้นอีก ผมคิดว่าพวกเราอาจจะเลยเถิดถึงขั้นมีเซ็กส์กันแต่ภูกลับไม่ทำอะไร เขาไม่ได้สอดมือเข้ามา ไม่จับ หรือทำรุ่มร่ามกับร่างกายของผม เขาแค่สวมกอดเอาไว้แน่นๆ และพูดขึ้นมาว่า

“ภูดีใจนะที่วันนี้สองยังแข็งแรงและปลอดภัย”

เขาพูดและเงียบไปพักใหญ่

“ใครจะพูดยังไงก็ช่าง รู้เอาไว้นะว่าภูเป็นห่วงสอง ภูรักสองมากๆเลยนะ”

ผมไม่รู้จะพูดยังไงเมื่อได้ยินประโยคนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผลอร้องไห้ออกมาเพราะเหลืออดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในขณะที่ทุกคนกล่าวโทษผม ไม่ให้อภัยผมที่ทิ้งร้านไปในคืนนั้น กลับมีภูคนเดียวที่คอยย้ำเสมอว่าเขาดีใจแค่ไหนที่สิปปกรปลอดภัย เขาคือคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เป็นคนที่กอดผมตอนเศร้าเสียใจเพราะถูกทุกคนหันหลังให้ ภูกำลังทำให้ผมรักเขามากขึ้นอีกแล้ว

“ภู”
“ครับ?”
“ขอบคุณนะ”

ผมเอี้ยวหน้าไปหอมแก้มเขาอย่างแผ่วเบา นึกอยากบอกว่ารักเขาแต่กลับคิดว่าเวลานี้ยังไม่เหมาะ ดังนั้นมันจึงจบลงตรงที่ภูยิ้มหวานและไม่พูดอะไรอีก เราย้ายไปนอนอ่านหนังสือด้วยกันบนเตียง ผมอ่านไปได้สิบกว่าหน้าก็ผล็อยหลับไม่ทันตั้งตัว มือที่เคยถือหนังสือวางราบบนหน้าท้องของภู ตื่นมาอีกทีก็พบว่าเจ้าโกลเด้นจัดแจงถอดแว่นและห่มผ้าให้เรียบร้อย มันคือการนอนหลับที่เต็มอิ่มที่สุดตั้งแต่เกิดเรื่องเพราะผมหลับในอ้อมกอดของภู หลับโดยไม่รู้เลยว่าใครบางคนกำลังรอคำฟังคำบอกรักจากผมอยู่ และคำว่ารักที่เขารอ – น่าจะยังไม่หลุดจากปากของสิปปกรเร็วๆนี้แน่นอน


TBC

_____________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

ขอโทษนะคะที่มาช้ามากๆเลย เรามีเวลาน้อยนิดที่จะเขียนนิยายและอัปเดตให้ทุกคน ต้องขอโทษจริงๆนะคะ หากพบคำผิดสามารถแจ้งได้น้า จะรีบแก้ไขให้เมื่อมีเวลาค่า ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกเช่นเคย ขอให้ทุกคนนอนหลับฝันดีนะคะ
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [12] 18/05/2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 19-05-2020 11:27:02
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [12] 18/05/2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-05-2020 16:56:03
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [13] 50% 03/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 03-06-2020 19:59:51
13 [50%]


ผมรู้จักภูมากน้อยแค่ไหนเหรอ?
ผม – รู้แค่ว่าภูเป็นสัตวแพทย์

เขาคือลูกชายคนกลางที่มีพี่ชายฝาแฝดและน้องสาว มีหลานสาวชื่อน้องพีชซึ่งเรายังไม่มีโอกาสเจอกัน ภูมีคลินิกส่วนตัวอยู่แถวทองหล่อ เป็นคลินิกที่คุณแม่เซ้งกิจการต่อจากเพื่อนของพ่อที่เป็นสัตวแพทย์เช่นเดียวกับลูกชายคนรอง ผมไม่เคยเจอคุณพ่อของภู เพราะเขาไม่เคยแนะนำหรือกล่าวถึงว่าพ่อของตัวเองอยู่ที่ไหน ส่วนพี่ชายฝาแฝดก็ไม่มีโอกาสได้พบกันอีกนับจากวันนั้น รวมถึงคุณแม่ของเขาที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ปลื้มคนคุยของลูกชายเท่าไรนัก ผมจึงรู้แค่ว่าสมาชิกในครอบครัวของภูมีใคร คุณแม่และพี่ชายของเขามองความสัมพันธ์ของเรายังไง ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย ผมยังไม่รู้

หากถามถึงนิสัยส่วนตัว ผมคงพูดได้ว่าภูเป็นคนดี เขาฉลาด เขาวางตัวเป็น เขาอ่านบรรยากาศออก ภูไม่เป็นสลิ่มแต่เราไม่เคยถกกันจริงๆจังๆเรื่องนี้เพราะการเมืองเหมาะที่จะคุยกับติณณภพมากกว่าภู ส่วนนิสัยอื่นๆคือยิ้มเก่งและมีความเป็นเด็กสูงมาก ภูเป็นหมาโกลเด้นสำหรับผม เป็นหมาโกลเด้นตัวโตที่ร่าเริงสดใสในขณะเดียวกันก็อ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ ภูขี้ร้อง เขายอมรับด้วยตัวเองว่ามักจะร้องไห้เวลาผิดหวัง โกรธ หรือไม่ได้ดั่งใจ ผมได้ยินจากครอบครัวของเขามาว่าภูชอบทำลายข้าวของบางครั้งแต่ผมยังไม่เคยเห็นกับตา

เขาชอบ – กัด เวลาเรามีเซ็กส์กัน ภูชอบเป็นฝ่ายควบคุมเสมอ เขาเป็นประเภทชอบให้คู่นอนชมว่าเอาเก่ง ชอบให้ผมร้องจะเป็นจะตายเหมือนทรมานนักหนาแม้ว่ามันจะไม่เท่าไหร่ ภูเป็นคนประเภทนั้น เป็นเจ้าลูกหมาที่อยากได้ยินคำว่า Good Boy!  และเป็นประเภทไม่คิดเล็กคิดน้อยเมื่อต้องช่วยเหลือสิปปกรไม่ว่าจะเรื่องอะไร ทั้งการแบ่งของดีๆให้ใช้ หรือการซื้อของที่ไม่จำเป็น ภูไม่เคยคิดเงินผมเลย

ไม่ว่าจะซื้ออะไรมาฝาก เป็นข้าว เป็นน้ำ เป็นของใช้เล็กๆน้อยๆ เป็นของขวัญที่เขาบังเอิญไปเที่ยวและอยากซื้อมาให้ เป็นของที่ไม่มีความสลักสำคัญใดๆนอกจากเห็นแล้วคิดถึงจึงซื้อมาฝาก ครั้งหนึ่งภูเคยซื้อบุหรี่นอกให้ผมหนึ่งซอง เป็นยี่ห้อที่ผมไม่เคยสูบและไม่เคยลองมาก่อน วันนั้นเขานำมาให้พร้อมไฟแช็กหนึ่งแท่ง ภูเป็นคนเดียวที่ไม่เคยสั่งให้ผมเลิกบุหรี่

“อร่อยไหม?”

ภูถามและยิ้มกว้างหลังปล่อยให้ผมทดลองสูบไปได้เพียงนิดเดียว ผมหลุดขำและถามว่าบุหรี่อะไรอร่อย คุณนี่ไร้เดียงสาเสียจริง

ตอนนั้นเรายืนคุยกันบนดาดฟ้าของคลินิก อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งกว่าวันไหนๆ แต่ภูยังคงขึ้นมาข้างบนเพื่อรอสิปปกรสูบบุหรี่โดยบอกว่าไม่อยากจากผมแม้แต่วินาทีเดียว

“ที่ไม่อยากให้ตามมาเพราะไม่อยากให้คุณดมควันบุหรี่”
“ก็รีบสูบให้เสร็จไวๆแล้วไปนอนกัน”
“รีบสูบก็เสียของสิ” ผมตอบพลางอัดควันเข้าปอดอีกเฮือก พยายามหันหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ควันย้อนกลับไปทำร้ายภู “ถ้าแม่คุณรู้เรื่องนี้ ผมโดนด่าแน่”

แม่ของเขายังคงสอดส่องพฤติกรรมของเราผ่านทางกล้องวงจรปิดอยู่ไหม?

ผมไม่รู้ และไม่อยากรู้ด้วยเพราะภูเองก็ไม่ใช่คนประเภทกล้าแข็งข้อกับคุณแม่เท่าไหร่ เดาเอาว่าบนดาดฟ้าคงไม่มีกล้อง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าจูบและคลอเคลียผมเหมือนเราเป็นคู่รักกันมาแต่ชาติปางไหน ความทรงจำในคืนที่สูบบุหรี่ยังคงเด่นชัด เป็นภาพจำสีฟ้าอมเทาที่ผมไม่เคยลืม และยังคงนึกถึงเสมอเมื่อสูบบุหรี่ตอนกลางคืน

นี่คือภูที่ผมรู้จัก คือผู้ชายที่กำลังหลับบนเตียงในห้องโกโรโกโสของสิปปกร ผมนึกย้อนถึงเรื่องราวมากมายที่เราผ่านมาด้วยกัน ไม่ได้มีอุปสรรคยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็เป็นความทรงจำดีๆที่ทำให้ยิ้มได้ทุกครั้งเมื่อระลึกถึง ผมพลิกตัวนอนตะแคงพร้อมกับลูบหัวภู ภายใต้แสงไฟสลัวจากนอกหน้าต่าง ผมมองเห็นภูแค่เลือนรางแต่ยังพอเห็นความไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่น่าทะนุถนอม ขนาดตอนขมวดคิ้วเพราะรำคาญสัมผัส ภูยังน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของสิปปกรเหมือนเดิม ผมเริ่มคิดหนักว่าจะทำยังไงกับความสัมพันธ์ของเราดี ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกถึงเวลาต้องจบแล้ว ผมต้องให้คำตอบภูว่าเพื่อนหรือแฟนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ แต่ยังไม่มั่นใจกับความคิดของตัวเองเลย

“ภู”
“อืม”

เขาครางในลำคอด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ภูรับรู้ว่าถูกเรียกแต่ไม่ยอมลืมตา แถมยังขยับตัวเข้ามาหาเพื่ออิงแอบผมอย่างออดอ้อนอีก

“คุณจริงจังกับเรื่องของเรามากแค่ไหน?”
“หืม?” ภูยกหัวขึ้นจากหมอนเพื่อมองหน้าผม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนต่อ “สองถามทำไม?”
“ตอบมาก่อน”
“จริงจังสิ สองถามทำไม?” เขาหาวฟอดใหญ่ทั้งๆที่ยังหลับตา “กี่โมงแล้ว?”
“ตีห้า”
“ยังมีเวลานอน”
“คุณอยากนอนต่อเหรอ?”
“อืม” ภูขานตอบแบบขอไปที พอเป็นเรื่องนอนทีไร เจ้าโกลเด้นมักจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ “ภูค่อยตอบพรุ่งนี้นะ”

ผมยอมแพ้ต่อใบหน้าง่วงงุนของเขา ไม่เซ้าซี้รบกวนอีกนอกจากลูบหัวภูและห่มผ้าให้ ถ้าหากภูตื่นตอนนี้ เขาอาจจะได้ฟังคำตอบที่ทำให้อารมณ์ดีไปทั้งวัน แต่เพราะภูไม่ยอมตื่นมาฟังความรู้สึกของผมในเช้าวันนั้น เขาจึงจำเป็นต้องรอต่อไปอีกหน่อย ซึ่งน่าเสียดายที่ความมั่นใจของผมมีระยะเวลาไม่นาน ดังนั้นหลังตื่นนอน ผมจึงไม่ถามภูอีก ไม่พูดถึงเรื่องนี้ และแกล้งทำเป็นลืมตลอดสัปดาห์






เช้าวันถัดมาของการค้างคืนที่กู้ด รี้ดดิ้ง เจ้าโกลเด้นงอแงด้วยการบอกว่าไม่อยากไปทำงาน

“โตได้แล้ว”

ผมบอกเขา พลางช่วยพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้ภู ไม่รู้ว่าอาการหน้างุ้มหน้างอนี่เพราะอยากได้ความสนใจหรือไม่อยากไปทำงานกันแน่ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

“ไม่คิดถึงชานมหรือไง? คุณทิ้งนมมานอนกับผมแบบนี้ ไม่สงสารนมเหรอ?”
“ชานมอยู่ดีกินดี จะห่วงมันทำไม” ภูทิ้งตัวนั่งบนปลายเตียงและเริ่มแกว่งขาไปมา “ภูว่าสองควรย้ายไปอยู่คลินิกกับภูนะ”
“ไปไม่ได้หรอก ผมมีงานต้องทำ”
“แต่สองทำงานผ่านคอม สองจะทำที่ไหนก็ได้ ถ้าคลินิกข้างล่างมันวุ่นวายเกินไป สองก็ทำในห้องนอน ตอนเที่ยงค่อยลงมากินข้าวกับภู ส่วนตอนเย็นเราก็ไปเที่ยวกัน”
“ตื่นเถอะ คุณก็รู้ว่าผมไม่มีวันทิ้งกู้ด รี้ดดิ้งหรอก” ผมดับความฝันของเขา “ไว้เราค่อยเจอกันใหม่วันหลัง”
“แต่สัปดาห์ละวันมันน้อยเกินไป”
“ผมรู้” ผมบอกเจ้าโกลเด้นที่กำลังหูลู่หางตก “เรายังวิดีโอคอลหากันได้”
“แต่เรากอดกันไม่ได้”

ผมรู้

ผมอยากตอบภูแบบนั้น แต่กลัวว่าการยอมรับความรู้สึกตัวเองจะยิ่งทำให้เรื่องมันยาก หากผมบอกว่า ใช่ มันแย่มาก การไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อนทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะตาย เชื่อไหมว่าภูคงไม่หยุดโน้มน้าวให้ย้ายไปอยู่คลินิกด้วยกัน เขาคงพูดเรื่องนี้ทั้งวันและทั้งคืน เซ้าซี้ให้สิปปกรหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ด้วยโดยไม่คิดถึงความเสี่ยงเลย และความเสี่ยงที่ว่านั่น – คือโอกาสที่เราต้องเลิกกัน

ผมพยายามไม่ผูกใจกับภูมากจนเกินไป ไม่อยากค้างกับเขาบ่อย ไม่อยากกลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสามของเจ้าโกลเด้น อย่างที่ใครๆรู้ พอคนเราอยู่ด้วยกัน อะไรอะไร ที่ถูกซ่อนไว้ก็มักจะแสดงออกมาให้เห็น ผมกลัวว่าหากปล่อยให้ความสัมพันธ์เดินหน้าเร็วเกินไป มันอาจจะจบเร็วเกินไปโดยไม่ทันได้ปรับตัว ดังนั้นผมจึงยื้อความคืบหน้าเอาไว้ ไม่ให้มันเป็นไปตามใจของภู แต่ก็ไม่ฝืนความต้องการของเราทั้งคู่เช่นเดียวกัน

หกโมงสิบห้านาที เราเดินลงบันไดไปทานข้าวในห้องครัวซึ่งผมเตรียมเอาไว้แล้ว ปกติผมไม่ค่อยปั่นจักรยานไปตลาด แต่กลัวภูหิวข้าวจึงรีบตื่นก่อนเขา ยืมจักรยานของติณเพื่อปั่นไปซื้อข้าวเหนียวไก่ทอดมาให้ แน่นอนว่าส่วนของภูต้องเป็นน่องไก่ น่องไก่ชิ้นโตๆเนื้อแน่นๆและกระเทียมเจียว ของติณณภพเป็นเนื้อหน้าอก ส่วนผมกินได้ทั้งนั้น แต่หากความว่าชอบส่วนไหนเป็นพิเศษก็คงตอบว่าน่องเหมือนภู

“ซื้อมาเยอะจัง” 
“มีโอวัลตินเย็นด้วยนะ” ผมตอบพลางเปิดตู้เย็น หยิบเอาเครื่องดื่มที่หวานแสบไส้มาวางตรงหน้าเจ้าโกลเด้น “กินเยอะๆแล้วรีบไปทำงาน เดี๋ยวสาย”
“ทำไมมีหน้าอกตั้งสองชิ้น? สองชอบอกไก่เหรอ?”
“ของติณ” ผมบอกภูก่อนจะแบ่งไก่ทอดส่วนของเพื่อนสนิทใส่จาน “ทำไมมองอย่างนั้น?”
“ภูอยากกินอกไก่”
“จะแย่งไอ้ติณทำไม ผมซื้อน่องมาให้ตั้งหลายชิ้น” ผมแย้งแต่ภูยังดื้อรั้นจะเอาอกไก่ทอดของติณให้ได้ “ก็ได้ คุณเอาอกไก่ของติณไป แต่ต้องแลกกับน่องของคุณนะ”

ภูอึกอักแต่ตอบตกลง เช้าวันนั้นติณณภพจึงได้กินอกไก่แค่ชิ้นเดียว ส่วนภูได้กินทั้งน่องและอกไก่สมใจอยาก เรานั่งทานมื้อเช้าด้วยกันในครัว ผมเท้าคางมองภูกัดน่องไก่ทอดและเคี้ยวข้าวเหนียวจนแก้มตุ่ย นึกสงสัยว่าทำไมเจ้าโกลเด้นจะทำอะไรก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหมด เขาทำให้ผมชื่นใจด้วยการกินอย่างเอร็ดอร่อย กินจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือข้าวเหนียวแม้แต่เม็ดเดียว เมื่อถามเขาว่าอิ่มไหม ภูก็หยักหน้ายิ้มและตอบว่าอิ่มคับ

“ไปทำงานได้แล้ว”

ผมพูดเมื่อเห็นภูไม่ยอมขยับตัวไปไหน เอาแต่นั่งแผ่พุงกลมๆบนเก้าอี้ทานข้าวเหมือนคนขี้เกียจ พอเราสบตากัน ภูก็ทำหน้าอ้อนแล้วกวักมือให้เดินเข้าไปใกล้เพื่อที่จะกอดเอวของผมและเกริ่นเรื่องไปอยู่ที่คลินิกด้วยกันอีกครั้ง

“แม่คุณต้องไม่ชอบความคิดนี้แน่”

แล้วเราก็เงียบเมื่อพูดถึงคุณแม่ของภูขึ้นมา

“ภูว่าจะเลิกทำงานที่คลินิกของแม่”
“หมายความว่าไง? นั่นไม่ใช่คลินิกของคุณเหรอ?”
“ภูไม่รู้จะพูดยังไง แม่เซ้งคลินิกมาจากเพื่อนของพ่อแล้วเปิดร้านให้ ตอนนี้แม่ลองให้ภูบริหารเองแต่จริงๆแล้วร้านเป็นชื่อแม่”
“ก็เท่ากับว่าแม่จ้างคุณทำงานที่คลินิกงั้นสิ”
“ใช่ สองก็รู้ว่าภูบริหารไม่เก่ง อีกหน่อยแม่คงไม่ให้ภูบริหาร คงให้รักษาอย่างเดียวแล้วจ่ายเป็นเงินเดือนเหมือนหมอคนอื่น ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ภูไปทำคลินิกอื่นก็ได้ ยังไงก็เหมือนกัน”
“แม่คุณจะยอมเหรอภู?”
“ไม่รู้ แต่ภูอยากมีอิสระบ้าง” ภูตอบเสียงเรียบ “ทำไมคนอื่นอยู่กับแฟนได้แล้วภูอยู่ไม่ได้ล่ะ?”
“ปัญหามันไม่ใช่เพราะคุณมีแฟนหรอกภู” ผมลูบแก้มของเจ้าโกลเด้นเบาๆ “ปัญหาคือผมต่างหาก”
“ยังไง?”
“แม่คุณคงอยากให้คุณคบใครที่ดีกว่านี้”
“เชื่อภูเถอะ บนโลกนี้ไม่มีใครเปิดใจให้ภูเท่าสองอีกแล้ว”

ผมหลุดหัวเราะเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก่อนจะมานึกเอะใจในภายหลังกับคำว่าเปิดใจให้ ทำไมจะไม่มีใครเปิดใจให้ภูล่ะ เขาน่ารัก เขาเป็นเด็กดี เป็นคนที่ร่าเริงแจ่มใสและยิ้มเก่งขนาดนี้ ใครบ้างล่ะจะไม่ชอบเขา มีใครได้ใกล้ชิดภูแล้วไม่ตกหลุมภูด้วยเหรอ

“ไปทำงานได้แล้ว” ผมตัดบทเมื่อเห็นว่าใกล้เจ็ดโมงเช้าเต็มที “ถึงแล้วโทรมานะ”

ภูพยักหน้ารับและสวมกอดผม เราเดินออกจากห้องครัวตรงดิ่งไปที่รถ ผมมองภูโยนกระเป๋าใส่เบาะหลังและกอดกันอีกครั้ง จู่ๆภูก็พูดขึ้นมาว่าอยากให้ตำรวจจับโจรได้ไวๆ ติณณภพจะได้ปล่อยสิปปกรให้เป็นอิสระเสียที

“ติณไม่ใจร้ายกับผมเหมือนทุกคนหรอก” ผมยิ้ม
“ถ้าพี่ติณไม่ใจร้าย เขาคงปรามลูกน้องไม่ให้พูดจากวนส้นตีนกับสองแล้ว”
“คิมเป็นคนปากหมา บางครั้งมันก็พูดอะไรหมาๆกับติณเหมือนกัน คุณอย่าใส่ใจเลย”

ผมลูบไหล่เจ้าโกลเด้นที่ยืนหน้าบูดเป็นตูด พยายามทำให้ภูยิ้มแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ภูจริงจังกับเรื่องของสิปปกรมากเกินไป

“จริงๆนะสอง สองควรจะมีที่ที่อยู่แล้วสบายใจ” ภูรวบมือที่ของผมไปกุมแน่น “ภูถึงอยากให้สองไปอยู่ด้วยที่คลินิก อย่างน้อยที่นั่นก็ไม่มีใครแขวะสอง”
“ปัญหามันไม่ใช่โดนแขวะหรอก มันเป็นเพราะผมเอง คนอย่างผมไปอยู่ที่ไหน อยู่กับใครก็มีแต่ปัญหา”
“ไม่โทษตัวเองได้ไหม? เข้าข้างตัวเองบ้างไม่ได้เลยเหรอสอง?”

ผมไม่รู้จะตอบอะไรในเมื่อมันไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้

“ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมไม่คิดอะไร” ผมบีบมือเขาตอบ “แต่ขอบใจนะที่เป็นห่วง”
“ถ้าอยู่ที่นี่แล้วไม่สบายใจ เราไปอยู่ด้วยกันนะ คลินิกของภูพร้อมต้อนรับสองเสมอ”
“ผมรู้ว่าคุณชอบให้ไปค้างด้วยเพราะหวังผลใช่ไหม?”
“เปล่าเสียหน่อย” เจ้าโกลเด้นหน้ามุ่ยหนักกว่าเดิม “พี่ติณเลิกพาลสองเมื่อไหร่ มาค้างที่คลินิกภูอีกนะ”
“อืม” ผมยิ้มและลูบแก้มเขา “ดูแลตัวเองด้วย”
“รู้แล้ว สองก็พักผ่อนเยอะๆ เมื่อคืนสองดูเหนื่อยมากเลย”
“สั่งมากจริงๆ คุณเนี่ย เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมถึงกล้าสอนคนกร้านโลกอย่างผม”

ภูน่ารักจนต้องหยิกแก้มหนึ่งครั้ง เราบอกลากันตรงลานจอดรถของกู้ด รี้ดดิ้ง ผมโบกมือบ๊ายบายภูและย้ำให้โทรหาเมื่อถึงคลินิก เจ้าโกลเด้นลดกระจกลงเพื่อโบกมือลาเป็นหนสุดท้าย แล้วบีเอ็มดับเบิ้ลยูของเขาก็จากไป ไม่กลับมาหาผมอีกตลอดทั้งสัปดาห์

ผมยืนมองรถของภูขับออกไปจนสุดสายตา รู้สึกเหงาชะมัดเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอภูอีกเร็วๆนี้ แต่ทำยังไงได้ ในเมื่อความผิดยังติดตัวอยู่ ตราบใดที่คนร้ายยังลอยนวล ผมก็คงไปหาภูตามอำเภอใจไม่ได้ พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ผมก็เริ่มรู้สึกหมดหวังกับความสัมพันธ์ของเรา

“ภูกลับแล้วเหรอ?”

ผมหมุนตัวไปมองต้นเสียง ติณณภพในสภาพหัวยุ่งหัวฟูกับชุดนอนสีเทากำลังยืนหาวอยู่ด้านหลัง

“ไปกินข้าวสิ กูซื้อไก่ทอดมาให้”
“เห็นแล้ว” ติณตอบ “ซื้อน่องมาทำไมเยอะแยะ ทีอกไก่กูล่ะมีแค่ชิ้นเดียว ไอ้หมอหมานั่นเป็นตัวแดกน่องหรือไง”

ผมหัวเราะก่อนจะบอกว่าใช่ ภูชอบกินน่องไก่มาก แต่ไม่ได้บอกติณว่าผมยกหน้าอกหนึ่งชิ้นให้ภู

“สรุปถึงไหนแล้ว?”
“เรื่องอะไร? ร้านเหรอ?”
“มึงกับหมอหมา” ติณว่าพลางเดินไปเปิดประตูเหล็กม้วนหน้าร้าน “ชอบมันไหมล่ะ?”
“ชอบ” ผมไม่โกหกความรู้สึกของตัวเองอีก “ชอบมาก”
“ชอบจนยกอกไก่ให้มันเลยใช่ไหม?”
“ก็แลกกับน่องแล้วไง อย่าบอกนะว่ามึงน้อยใจที่กูเอาอกให้ภู?”

ติณไม่ตอบนอกจากเหลือบมองและยิ้มมุมปาก ผมไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคิดเห็นยังไงกับความสัมพันธ์ของเรา ดังนั้นตอนที่ยอมรับกับเพื่อว่าชอบเจ้าโกลเด้นภูมาก ผมจึงหวังว่าติณจะสนับสนุนให้ผมเดินหน้า หรือไม่ก็พูดอะไรดีๆออกมา ทว่าติณกลับไม่พูดอะไรนอกจากวุ่นวายกับการเตรียมตัวเปิดร้าน ส่วนผมกลับขึ้นห้องของตัวเองตามเดิมและไม่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับภูให้ติณฟังอีกเลย


50%

_______________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ วันพุธหรรษาเฉพาะกิจที่ไม่ควรเรียกว่าหรรษา มาน้อยที่สุดตั้งแต่เคยอัปนิยายมา แต่ว่ามานะ ;-;

จริงๆเราเขียนไป 8 พันกว่าคำแล้วค่ะ แต่พอกลับมาอ่านมันก็ยังไม่ค่อยถูกใจ ไม่อยากตัดเรื่องนั้นสลับเรื่องนี้เข้ามาใส่จนไทม์ไลน์ยุ่ง ก็เลยอยากจะขอเวลาแก้ไขและเกลาเนื้อเรื่องอีกซักนิดนะคะ ต้องขอโทษทุกคนจริงๆค่ะที่ปล่อยให้รอนาน แทบจะกลายเป็นนิยายรายเดือน แถมเนื้อหายังสั้นลงอีก เราขอโทษจริงๆนะคะ TT ไม่ว่ายังไงเราก็ยังอยากขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ให้ฟี้ดแบคและขอบคุณสำหรับโดเนท ขอบคุณนะคะที่เป็นนักอ่านที่น่ารักเสมอมา เราสัญญาว่าจะทำเรื่องนี้ออกมาให้ดีที่สุด โปรดอย่าลืมนิยายเรื่องนี้ และอยู่ด้วยกันจนจบเลยนะคะ ;-;
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [13] 50% 03/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-06-2020 20:42:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [13] 50% 03/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 03-06-2020 22:22:12
อย่าบอกนะว่าติณก็ชอบสองด้วย
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [13] 50% 03/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: psychological ที่ 03-06-2020 23:08:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [13] 100% 15/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 15-06-2020 22:30:40
13 [100%] PART 1/2


น้ำหนึ่งหย่ากับไอ้เหี้ยปั๊ปวันนี้ ผมดีใจมากที่รู้ว่าปัญหาคาราคาซังของพี่สาวและหลานชายกำลังจะจบ หวังว่าหลังจากนี้เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสียที

พ่อลางานเพื่อพาน้ำหนึ่งไปสำนักงานอำเภอ ส่วนแม่ลางานเพื่อดูแลเปเปอร์ที่บ้าน เราเห็นตรงกันว่าจะไม่ยอมให้ไอ้เหี้ยปั๊ปมีส่วนร่วมใดๆกับชีวิตของน้ำหนึ่งและเปเปอร์อีก ดังนั้นการหย่าครั้งนี้ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่น้ำหนึ่งและผัวเฮงซวยจะได้เจอหน้ากัน เช้าวันนี้น้ำหนึ่งจึงแต่งตัวสวยกว่าปกติ เธอแต่งหน้าและทาลิปสติกสีแดงราวกับฉลองเอาชัยเพื่อล้างซวย น้ำหนึ่งสวมรองเท้าส้นสูงราคาแพงที่เคยซื้อสะสมไว้ สะพายกระเป๋าหนังเทียมสีครีมด้วยความมั่นใจ และก้าวเท้าลงจากรถเก๋งด้วยมาดคุณนายโดยมีพ่อและน้องชายเป็นตัวประกอบเดินตามอยู่ข้างหลัง

“ดูมัน มีความสุขจนออกนอกหน้า” พ่อบ่นยิ้มๆ ผมเองก็ยิ้มที่เห็นว่าพี่สาวเข้มแข็งขึ้นแค่ไหน “ไม่อยู่เฝ้าร้าน ติณไม่ว่าเหรอ?”
“ไม่ว่า ถ้ามาหาพ่อยังไงมันก็ไม่ว่า”

ผมตอบพลางนึกถึงเพื่อนสนิท หากมาหาพ่อแม่ ติณณภพไม่เคยว่าเลย ไม่เคยขัดขวางหรือแสดงอาการไม่พอใจเมื่อรู้ว่าผมจะไม่อยู่เฝ้าร้าน แต่หากคนที่ไปหาคือภูเมื่อไหร่ บรรยากาศน่าอึดอัดจะแผ่ซ่านออกมาจากทันที ราวกับว่าติณหมายหัวภูเอาไว้ว่าเป็นตัวปัญหา ภูคือคนที่ทำให้สิปปกรสนใจร้านน้อยลงและควรหาทางกีดกัน ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองคนเดียวหรือไม่ แต่ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่บางคำพูดและการกระทำของติณทำให้ผมคิดว่าเพื่อนสนิทไม่ชอบเจ้าโกลเด้น

“ทำธุระเสร็จก็อย่าเพิ่งกลับนะ อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน”

ผมพยักหน้า ให้สัญญากับพ่อว่าจะกินข้าวเย็นที่บ้านก่อนกลับร้านกู้ด รี้ดดิ้ง เมื่อเราเดินเข้าไปในที่ทำการอำเภอก็เจอไอ้เหี้ยปั๊ปรออยู่ก่อนแล้ว มันนั่งไหล่ตก ดูกระจอกงอกง่อยผิดจากวันที่ต่อยผมจนแก้มช้ำ หลังศาลตัดสินให้เมียน้อยจ่ายเงินชดเชยหกหลัก ผมเดาอนาคตของไอ้เหี้ยปั๊ปกับหญิงชู้ได้เลยว่าจะเป็นยังไง คงระหองระแหงแตกหักเพราะต้องทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อจ่ายค่าชดเชยตามศาลสั่ง ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นไม่มีเงินฝากมากมายในบัญชีแต่ถ้าเธอมีรถเป็นชื่อของตัวเอง ศาลก็จะสั่งยึดรถ ถ้าเธอมีเงินเดือน ศาลก็สั่งอายัดส่วนที่เกินสองหมื่นบาทมาชดใช้จนได้

คดีฟ้องหย่าของน้ำหนึ่งเปิดโลกของเรามาก เราเคยคิดว่าการไปศาลต้องยุ่งยากวุ่นวายและไม่ได้เรื่องได้ราว ปรากฎว่าศาลท่านไม่เมตตาคนชั่วอย่างที่คุณบูม ทนายที่เคยสูบบุหรี่ด้วยกันว่าไว้ อย่างน้อยการตัดสินใจของเราถูกต้อง เราคิดถูกจริงๆที่ยอมจ่ายเงินค่าทนายเพื่อทวงคืนสิ่งที่เราควรได้จากไอ้เหี้ยปั๊ปกับชู้ วันนี้น้ำหนึ่งจะได้เป็นอิสระแล้ว เธอจะมีเงินหนึ่งก้อน(ที่ยังไม่ได้รับในตอนนี้)สำหรับเลี้ยงดูเปเปอร์และเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที แต่สำหรับผมและครอบครัว เราเห็นด้วยว่าเงินก้อนนั้นไม่สำคัญเท่าการได้เห็นน้ำหนึ่งมีความสุข อย่างน้อยเราก็สบายใจที่รู้ว่าพี่น้ำไม่ได้ถูกทำร้าย เธออาศัยอยู่บ้านกับพ่อแม่อย่างปลอดภัยและสบายดี แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะเริ่มเยอะขึ้นจนต้องตัดของฟุ่มเฟือยหลายอย่าง แต่เราก็ดีใจที่ครอบครัวของเราปลอดภัย ไม่ถูกใครทุบทีเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างที่เป็นมาอีก

ใบหย่าของน้ำหนึ่ง มีข้อความสลักไว้สามข้อ หนึ่งคือมารดามีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว สองคือการตกลงเรื่องค่าเลี้ยงดูจนกระทั่งเปเปอร์จบปริญญาตรี สามคือการตกลงร่วมกันของสินสมรส น้ำหนึ่งไม่เรียกร้องขอส่วนแบ่งเพราะเธอไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆในการสร้างเนื้อสร้างตัว และทางครอบครัวของเราก็เห็นตรงกันว่าไม่อยากได้สมบัติของใคร นอกจากเงินชดเชยค่าเลี้ยงดูที่เปเปอร์สมควรได้รับ เราก็ไม่อยากข้องเกี่ยวหรือเห็นไอ้เหี้ยปั๊ปในชีวิตของน้ำหนึ่งกับลูกอีก ดังนั้นเงื่อนไขของการหย่ามีเพียงสามข้อ ซึ่งไอ้เหี้ยปั๊ปจะทำตามที่พูดไว้ได้หรือไม่ก็ไม่รู้ เรารู้แค่ว่าหากมันเบี้ยวคงได้พบกันอีกครั้งที่ศาลในอนาคต

การจดทะเบียนหย่านั้นรวดเร็วและไม่ซับซ้อนอย่างที่ใครหลายคนคิด มันจบลงอย่างง่ายดายเหมือนความสัมพันธ์ ต่างจากตอนเริ่มต้นที่เราต้องใช้เวลาและความรู้สึกมากมายเพื่อทำให้มันเป็นรูปเป็นร่าง หลังทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินทางกลับ ไอ้เหี้ยปั๊ปไม่ยกมือไหว้หรือบอกลา มันลุกจากเก้าอี้และขับรถกลับโดยไม่ถามถึงเปเปอร์เลยซักคำ ส่วนเราสามคนเดินตรงไปที่รถเงียบๆโดยไม่พูดอะไรอีก ทันทีที่ขึ้นรถ น้ำหนึ่งก็ถอดรองเท้าส้นสูงออก เธอปล่อยมวยผม นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ซักพักจึงเริ่มร้องไห้

ผมและพ่อไม่มีใครตำหนิที่น้ำหนึ่งร้องไห้ เราไม่ดุด่าเธอแค่เพราะเสียใจที่ต้องหย่ากับสามี เราเข้าใจดีว่าการเลิกรานั้นเจ็บปวดมากแค่ไหน และน้ำหนึ่งทำดีที่สุดแล้วในแบบของตัวเอง ต่อให้พี่สาวจะเป็นพวกบูชาความรักขนาดยอมพลีกายถวายหัว แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่หมดความอดทน น้ำหนึ่งก็ตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและลูกด้วยการหย่า แม้ว่าตอนสืบพยานเธอจะยังคงร้องไห้เพียงเพราะเห็นไอ้เหี้ยปั๊ปควงผู้หญิงคนนั้นมาด้วย แต่น้ำหนึ่งก็ไม่ได้ฟูมฟายขอกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก นี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจในพี่สาวมาก หลังจากไขว่คว้าหาความรักมานานสามสิบกว่าปี ในที่สุดน้ำหนึ่งก็ได้เรียนรู้ที่จะรักตัวเองเสียที




เราแวะตลาดก่อนกลับบ้าน พ่อชวนเราซื้อซูชิจากแฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่นเพื่อฉลองอิสรภาพให้น้ำหนึ่ง ซูชิราคาเริ่มต้นที่คำละยี่สิบบาทจัดอยู่ในหมวดอาหารมื้อพิเศษสำหรับครอบครัวของเรา นานๆทีพ่อกับแม่ถึงจะซื้อกิน หรือไม่ก็ต้องเป็นผมซื้อไปฝากเท่านั้นทุกคนถึงจะได้ลิ้มรสปลาส้มแสนอร่อย ซูชิจึงเป็นสัญลักษณ์วันพิเศษของครอบครัวเราไปโดยปริยาย และวันนี้คงเป็นวันที่พ่อต้องการให้มันพิเศษมากๆถึงยอมจ่ายเงินหลายร้อยเพื่อซื้ออาหารญี่ปุ่นให้พวกเราทุกคน แน่นอนว่าพ่อไม่ได้จ่ายหรอก ผมยอมให้พ่อจ่ายเงินไปก่อน ปล่อยให้เขาภูมิใจกับการได้ใช้เงินตัวเองซื้อของกินแพงๆให้ครอบครัว หลังจากนั้นเมื่อพ่อหลับสนิท ผมก็จะโอนเงินคืนให้พ่อโดยไม่บอกว่าค่าอะไร พอเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย พ่อจะไม่ปฏิเสธเพราะคิดว่าเป็นค่านม ค่าแพมเพิร์สเปเปอร์ ผมไม่เคยปล่อยให้พ่อกับแม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจนขัดสนอยู่แล้ว ผมไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่คิดจะทอดทิ้งตราบใดที่ยังพอหาเงินเพื่อจุนเจือทุกคนได้

เราถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย พอเห็นรถเก๋งเข้าเข้าเขตรั้วบ้าน แม่ก็รีบอุ้มเปเปอร์มารอต้อนรับเรา หลานชายที่ไม่ได้เจอกันนานดูไม่ต่างจากครั้งล่าสุดเท่าไหร่ นอกจากผมดกดำขึ้นและตัวยาวขึ้น ผมก็ไม่เห็นว่าเปเปอร์จะมีอะไรเปลี่ยนนอกจากพูดคำว่า ห่า ได้

“เด็กบ้าอะไรพูดคำหยาบได้ก่อนคำว่าแม่”

ผมบ่นติดตลก เปเปอร์ส่งยิ้มหวานและเริ่มดิ้นเมื่อเห็นน้ำหนึ่งเดินหิ้วรองเท้าส้นสูงมาแต่ไกล เจ้าตัวเล็กอ้าปากกว้าง ส่งเสียง หะ หะ หะ อยู่สองสามครั้งก่อนจะเปล่งเสียงดังลั่นว่า ห่า

“พ่อพูดหยาบให้หลานได้ยินล่ะสิ ตัวอย่างไม่ดีของเด็กและเยาวชน”

ผมแกล้งว่า ตาลุงหัวล้านรีบยกมือแจกมะเหงก พ่อน่ะเหรอจะพูดหยาบให้หลานได้ยิน มีแต่คุณน้าปากหมาเท่านั้นแหละที่เอาแต่พูดว่าห่าเหว ห่าเหว จนหลานมันติดใจ พูดไม่หยุดปากยันวันนี้

“คืนนี้นอนบ้านได้ไหม?” แม่ถาม “นอนที่นี่ซักคืนแล้วค่อยกลับ”
“ไม่ได้หรอก ไม่มีคนเฝ้าร้าน”
“ใจคอจะให้เพื่อนกลับบ้านมานอนกับพ่อกับแม่บ้างไม่ได้หรือไง ถ้าร้านต้องมีคนเฝ้าทั้งวันทั้งคืนทำไมไม่จ้างยาม”

แม่เริ่มประชดแดกดัน เพราะเรื่องคราวก่อนที่โจรงัดร้านทำเอาบ้านเราปั่นป่วนกันยกใหญ่ พ่อถึงขั้นยื่นคำขาด ไม่ยอมให้ผมกลับไปนอนเฝ้าร้านเพราะกลัวโจรกลับมาฆ่าปาดคอสิปปกรจริงๆ แต่ผมคงย้ายมาอยู่บ้านถาวรไม่ได้หรอก ที่นี่มีคนพลุกพล่านมากเกินไป มีเสียงร้องของเด็ก มีเสียงพูดคุยโวยวายของพ่อกับแม่ ไหนจะห้องนอนส่วนตัวที่ไม่ได้กว้างขวางเท่าพื้นที่ทำงานในร้านกู้ด รี้ดดิ้ง ดังนั้นตัดข้อนี้ทิ้งเลย ย้ายไปอยู่คลินิกของภูยังน่าเป็นไปได้มากกว่า

เราสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงหน้าทีวี แม่ดูดีใจเป็นพิเศษเมื่อได้กินซูชิชิ้นใหญ่อย่างที่ตัวเองชอบ แม่ชอบข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาแซลม่อนมาก มากพอๆกับซูหน้าไข่หวาน พ่อชอบแซลม่อนเบิร์นมากกว่า ชอบถึงขนาดที่กินได้เป็นสิบๆคำไม่รู้จักอิ่ม ส่วนผมกับน้ำหนึ่งอยู่ลัทธิแซลม่อนดิบ พอเริ่มอิ่มเราก็จะวางส่วนที่เหลือทิ้งไว้ เครื่องจักรกำจัดอาหารอย่างพ่อจะคอยตามกินทุกชิ้นจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือให้แม่บ่นเสียดายแม้แต่คำเดียว

หลังกินเสร็จ พ่อกับผมนั่งตากพัดลมหน้าทีวี ส่วนน้ำหนึ่งและแม่รีบกุลีกุจอเช็ดโต๊ะทำความสะอาด บ่ายวันนั้นผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเล่นโทรศัพท์ ในขณะที่แม่กับน้ำหนึ่งวุ่นวายกับการทำงานบ้านและเลี้ยงหลาน พ่อกับผมทำเพียงนั่งๆนอนๆบนโซฟาเหมือนคนขี้เกียจ บรรยากาศในบ้านเหมือนเดิมไม่มีผิด ผู้ชายไม่เคยต้องทำอะไร ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของผู้หญิงที่ต้องทำความสะอาด จัดเตรียมอาหาร และอำนวยความสะดวกให้หัวหน้าครอบครัวเท่านั้น

ตกบ่าย เราพากันไปเดินตลาดใกล้บ้าน วันนี้พ่อบ่นอยากกินปิ้งย่าง เราห้าคน(เปเปอร์อยู่ในเป้อุ้มของน้ำหนึ่ง) จึงยืนเรียงแถวหน้าร้านขายวัตถุดิบสำหรับหมูกระทะ

“กิโลละหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าบาทจ้า” แม่ค้าตะโกนขายของพลางส่งถุงพลาสติกให้เราคนละใบ “คละได้นะจ๊ะ คละได้ทุกอย่างเลย แถมผักและน้ำซุปให้ฟรี”

เชื่อไหมว่าพลังความหิวทำให้พ่อต้องจ่ายเงินซื้อหมู ซื้อปลาหมึกและของกินเล่นอื่นๆตั้งห้าร้อยกว่าบาท แต่พ่อก็ยังดูมีความสุขแม้เงินสดจะเริ่มร่อยหรอจนต้องหยิบยืมจากลูกชาย วันนั้นเราได้ของกินกลับบ้านเยอะมาก พ่อยังคงทำตัวฟุ่มเฟือยเสมอหากเป็นเรื่องอาหารของลูก น้ำหนึ่งที่เคยร้องไห้จนตาบวมเริ่มยิ้มออกเมื่อพ่อชวนเราแวะร้านแผงลอยที่ขายของสวยๆ พ่อรู้ว่าลูกสาวชอบกิ๊บมากไหนก็เลยเอ่ยปากยืมเงินผมอีกยี่สิบบาทเพื่อซื้อกิ๊บให้น้ำหนึ่ง

“เปเปอร์เอาไหม?”

ผมแกล้งพูด เจ้าหมูอ้วนในเป้อุ้มของน้ำหนึ่งก็แผดเสียงร้องลั่น สะบัดแขนขาไปมาแสดงท่าทีอยากได้กิ๊บเต็มที่ เห็นแบบนั้นเราก็หัวเราะออกมาให้กับความไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราวของเปเปอร์ ผมจึงติดกิ๊บให้หลานแต่ก็โดนพ่อแว้ดเสียงดัง สั่งห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้นเพราะเปเปอร์เป็นเด็กผู้ชาย

“เป็นผู้ชายแล้วไง? ชอบของสวยๆไม่ได้เหรอ?”

ผมถลึงตามอง ไม่อยากให้พ่อส่งต่อค่านิยมนี้ในบ้านเลย ของสวยๆน่ารักๆไม่ได้สงวนไว้ให้ผู้หญิงเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ชอบกิ๊บติดผมได้ เปเปอร์ก็ติดกิ๊บได้หากเขาชอบ และผมจะสนับสนุนให้หลานทำสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่สนค่านิยมล้าหลังนั่นด้วย

“เด็กผู้ชายที่ไหนติดกิ๊บ?!”
“ทำไมจะติดไม่ได้? มีแต่คนหัวล้านเท่านั้นแหละที่ติดกิ๊บไม่ได้!”
“อย่าทะเลาะกันได้ไหม อายแม่ค้า”

แม่พูดแก้เก้อและยิ้มเจื่อน เราต่างรู้ว่าถ้าพ่อกับลูกชายเริ่มเถียงกันเมื่อไหร่ เราทั้งคู่ไม่เคยพูดกันเบาๆ มีแต่ส่งเสียงดังโวยวาย กระทืบเท้าไม่พอใจเหมือนเด็กเก็บอารมณ์ไม่อยู่

“สอง อย่าแกล้งหลานสิ กิ๊บติดผมมันหนักนะ เอาไปติดหัวเปอร์เดี๋ยวเปอร์ก็เจ็บหรอก”

แม่แกล้งเอ็ดเพื่อให้เราผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ ผมส่งกิ๊บคืนให้น้ำหนึ่งและเดินหนี เบื่อจะคุย เบื่อจะถกเถียงให้เกิดปัญญา บางคนมันก็น่าปล่อยให้ตายไปพร้อมกับชุดความคิดโบราณคร่ำครึนั่นแหละ แต่ผมไม่อยากให้พ่อเป็นคนหัวทึบเพราะสงสารเปเปอร์ ผมอยากให้หลานเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับเขามากกว่านี้ อยากให้เปเปอร์มีคุณตาที่สนับสนุนเขาไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรมากกว่ามีคุณตาไดโนเสาร์ที่วิ่งตามโลกไม่ทัน

เรากลับบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวกันทุกคน น้ำหนึ่งที่เป็นแม่ไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องนี้ แต่ก็พอดูออกว่าเธอเองไม่ค่อยจะพอใจ เรามีโอกาสได้คุยกันในภายหลังว่าเธอคิดยังไง น้ำหนึ่งจึงขอร้องให้ผมเลิกยัดเยียดอะไรก็ตามที่ไม่เหมาะสำหรับ “เด็กผู้ชาย” ให้หลานเสียที

“พี่เข้าใจว่าแกหัวสมัยใหม่ แต่ยังไงหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากเห็นลูกเติบโตเป็นคนปกติตามเพศสภาพ” น้ำหนึ่งพูดออกมาเรียบๆ ไม่คิดถึงความรู้สึกของน้องชายที่เป็นเกย์ของตัวเองเลย “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมคนถึงเป็นเกย์กันเยอะขึ้น แต่ถ้าตัดไฟแต่ต้นลมได้ก็น่าจะดีกว่า เพราะฉะนั้นแกอย่าเอาของสวยๆงามๆ หรือของอะไรที่จะทำให้เปเปอร์เป็นแต๋วมาเล่นกับหลานเลย แกก็รู้ว่าพ่อไม่ชอบ พี่เองก็ไม่ชอบ --”
“หมายความว่าถ้าเปเปอร์เป็นเกย์จริงๆ พี่น้ำจะไม่รักเปอร์เหรอ?”
“รักสิ” น้ำหนึ่งตอบเสียงหนักแน่น “เป็นอะไรก็รักทั้งนั้น แต่ถ้าเลือกได้ก็ขอให้เปเปอร์ไม่เป็นตุ๊ด”

เดาสีหน้าของผมออกไหม คุณพอจะเดาความรู้สึกของผมในตอนนี้ได้ใช่ไหม เพราะอย่างนั้นผมถึงได้พูดตลอดไงว่าบ้านไม่ใช่เซฟโซนสำหรับทุกคน




พ่อบอกว่าจะมาส่งที่ร้านแต่ผมปฏิเสธ ผมขอให้ไปส่งที่สถานีสำโรงเพราะไม่อยากอยู่กับครอบครัวที่สรรหาเรื่องมาทำให้ช้ำใจไม่หยุดหย่อน

ผมนั่งบนเก้าอี้ข้างสุภาพสตรีคนหนึ่งที่เพิ่งเลิกงาน เธอฆ่าเวลาด้วยการเล่นโทรศัพท์มือถือ ส่วนผมฆ่าเวลาด้วยการคิดว่าต้องใช้เวลาอีกกี่นาที ต้องเปลี่ยนสถานีอีกกี่สายกว่าจะถึงร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง การไม่มีรถยนต์ส่วนตัวมันก็ยุ่งยากแบบนี้ ถ้าผมมีรถขับเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน แค่ขึ้นทางด่วนกาญจนาภิเษกก็วิ่งยาวถึงบางบัวทองแล้ว แต่เพราะราคาของความสะดวกสบายมีมูลค่าหลายแสนบาท ผมจึงต้องใช้บริการรถสาธารณะที่แพงหูฉี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ ผมก็จะนึกสรรหาเหตุผลที่ไม่ทำให้เจ็บใจมากนักมาปลอบตัวเอง

มีรถไม่ดีหรอก ค่าดูแลบำรุงรักษาเยอะแยะ ค่าน้ำมัน ค่าประกัน ค่าพรบ.ที่ต้องต่อตลอดอายุการใช้งาน มีรถไม่ดีหรอก มันเบียดเบียนที่จอดลูกค้าร้านกู้ด รี้ดดิ้ง อาจจะทำให้ร้านของเรารองรับลูกค้าได้น้อยลงหรือไม่มีใครอยากมาเพราะหาที่จอดรถลำบาก มีรถไม่ดีหรอก ไม่งั้นผมคงเตร็ดเตร่ไปไหนตามใจโดยไม่ต้องคิดหนัก ผมอาจไปโผล่ที่หัวหินหรือเชียงใหม่เวลาเศร้า และทุกการเดินทางมีค่าใช้จ่ายอย่างคาดไม่ถึง เพราะฉะนั้นไม่มีรถน่ะดีแล้ว ไม่มีน่ะดีแล้ว ผมสะกดจิตตัวเองเพื่อไม่ให้น้อยเนื้อต่ำใจไปมากกว่านี้ เพื่อไม่ให้เจ็บใจที่เงินส่วนใหญ่ต้องจุนเจือทางบ้านจนไม่มีโอกาสได้สร้างเนื้อสร้างตัว ผมหลอกตัวเอง – ว่าไม่เป็นไรหรอก มีรถไม่เห็นจะดีตรงไหน นั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าก็ได้ ยังไงก็ถึงปลายทางเหมือนกัน

ผมเหม่ออยู่อย่างนั้นขณะรถไฟฟ้าวิ่งผ่านไปหลายสถานี ทุกชานชาลาที่จอดจะมีบิลบอร์ดโฆษณาคอนโดมีเนียมเต็มไปหมด ทำเลดี เริ่มต้นที่หนึ่งจุดหกล้านบ้าน หนึ่งจุดเก้าล้านบ้าน สองล้านห้าแสนสำหรับห้องยี่สิบกว่าตารางเมตร ราคาของอสังหาริมทรัพย์มีหลายระดับไปจนถึงหลักสิบล้าน เริ่มต้นสิบสองล้านในย่านใจกลางเมือง สามสิบล้านสำหรับคอนโดสองชั้น ดูเหมือนว่าช่วงนี้คอนโดกำลังเป็นที่นิยม แม้แต่เพื่อนๆในเฟสบุ๊กก็เริ่มโพสต์เกี่ยวกับการรีโนเวทคอนโดและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ผมหยุดอ่านป้ายบิลบอร์ดป้ายหนึ่งตรงชานชาลา มันเขียนไว้ว่าเริ่มต้นหนึ่งจุดสองล้านบาท(พร้อมเครื่องหมายดอกจันเล็กๆ)สำหรับห้องขนาดยี่สิบห้าตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอยครบครัน อยู่ใกล้โรงพยาบาลแต่เป็นชานเมืองกรุงเทพ

ราวกับภาพโฆษณามีมนต์สะกดบางอย่าง ผมมองรูปอาคารก่อสร้างสูงยี่สิบสองชั้น มองรูปถ่ายห้องตัวอย่างพลางคิดกับตัวเองว่าพอมีทางเป็นไปได้ไหมที่จะหาเงินหนึ่งล้านสองแสนบาทเพื่อซื้อคอนโดเป็นของตัวเองซักห้อง ยิ่งเห็นคำว่ามีส่วนลดสามแสนบาทก็ยิ่งตาลุกวาว ส่วนลดตั้งสามแสนบาทเลยนะ ถึงขนาดห้องจะเล็กไปหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผมคงไม่อยู่กับใคร ผมคงอยู่คนเดียวอย่างนี้ไปจนตาย จึงไม่ต้องคิดหนักเหมือนคนอื่นๆเลยว่าหากแต่งงานจะต้องย้ายออกไหม มีลูกจะทำยังไง สิ่งเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของสิปปกร ไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะผมเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตคนเดียวอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยหากจะต้องอยู่คนเดียวไปจนวันตาย ผมก็อยากได้เซฟโซนซึ่งเป็นของตัวเองซักที่

ทุกวันนี้เซฟโซนของผมคือห้องนอนส่วนตัวบนชั้นสามของร้านกู้ด รี้ดดิ้ง ซึ่งการอยู่ที่นั่นไม่รับประกันว่าจะอาศัยอยู่ได้ตลอดไป ไม่แน่อีกสิบปีข้างหน้าติณอาจจะปิดร้าน หรือปล่อยให้เช่าเพราะกิจการไปต่อไม่ได้ และการอาศัยอยู่ที่นั่นก็มีราคาที่ต้องจ่าย มีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัว ผมต้องเฝ้าร้านทุกคืนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และหากมีอะไรเกิดขึ้นเหมือนคืนที่โจรงัดร้านก็ต้องตกเป็นจำเลยสังคมก่อนเพียงเพราะอาศัยอยู่ฟรี

ผมยืนมองป้ายโฆษณาอีกหลายนาที นึกครุ่นคิดว่าทำยังไงนะถึงจะสามารถมีเซฟโซนของตัวเองได้ซักแห่ง บางทีอาจจะต้องมองหาคอนโดมือสอง หรือคอนโดทำเลไม่ดีเท่าไหร่จะได้ไม่แพงจนเกินไป แต่พอคิดเรื่องนี้ทีไร มันก็คำถามผุดขึ้นมาในหัวตลอด ต้องทำงานหนักแค่ไหน ต้องหาเงินต่อเดือนให้ได้เท่าไหร่ถึงจะซื้อคอนโดได้ เพื่อนคนหนึ่งในเฟสบุ๊กเคยสอนให้เก็บเงิน หัดเล่นหุ้นแล้วเก็บเงิน ลงทุนซื้อโปรแกรม Cat Tools เพื่อรับงานแปลมากขึ้น ทำยังไงก็ได้ให้เงิน

ใช่ ทำยังไงก็ได้ให้ได้เงิน แต่การซื้อ Cat Tools ก็ใช้เงิน หัดเล่นหุ้นก็ต้องใช้เงิน การสมัครสมาชิกรายปีเว็บไซต์งานแปลจากต่างประเทศก็ต้องใช้เงิน ทุกอย่างเป็นเงินไปหมด แล้วคนที่ไม่มีเงินตั้งต้นอย่างสิปปกรจะทำอะไรได้ คนที่เรียนจบก็ต้องกลายเป็นเดอะแบกของบ้านทันที มันจะเอาเงินจากไหนไปลงทุนเพื่อต่อยอดให้ตัวเองได้

บางทีคงเป็นความขี้แพ้ของตัวผมเองที่ไม่สามารถประสบความสำเร็จเหมือนเพื่อนคนอื่น ผมเลิกมองป้ายโฆษณาและพับเก็บความฝัน ยังไงชาตินี้ก็ไม่มีวันซื้อรถหรือคอนโดเป็นชื่อของตัวเองได้ ขอแค่ทุกวันที่มีชีวิตอยู่ไม่ห่าเหวจนเกินไป ขอแค่วันนี้ พรุ่งนี้หรืออนาคตข้างหน้า ผมไม่ต้องประสบพบเจอชะตากรรมกันน่าสังเวชอีกก็พอแล้ว

ผมแตะบัตรออกจากสถานีอโศก กำลังมุ่งหน้าไปที่สถานีสุขุมวิทเพื่อนั่งเอ็มอาร์ทีกลับบางบัวทอง จู่ๆตอนนั้นเองภูก็โทรมา ก่อนหน้านี้เขาไลน์มาสองสามข้อความแต่ผมไม่ได้ตอบ ผมไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาเช็กเพราะกำลังจ้องโฆษณาขายคอนโดอยู่ ทันทีที่กดรับสาย ภูก็ถามเสียงใสว่าอยู่ไหน ถึงไหนแล้ว พ่อมาส่งหรือเปล่า

“ผมอยู่สุขุมวิท”
[จริงเหรอ! มาเจอกันก่อนสิ เดี๋ยวค่ำๆภูไปส่ง]
“ไม่ต้องหรอก ดึกมากแล้ว ผมไม่อยากกวนคุณ”
[ภูยังไม่ได้กินข้าวเลย เรามาเจอกันหน่อยนะ เดี๋ยวภูไปรับที่บีทีเอสก็ได้ มากินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับ ชานมบ่นคิดถึงสองทั้งวันเลย]
“มีซักครั้งไหมที่คุณจะไม่อ้างหมาและพูดว่าคิดถึงผม?”
[ชั่ยๆ ภูเองแหละที่คิดถึงสอง อยากกินข้าวกับสองมาก สองมาเจอภูหน่อยสิ]

ผมหลุดอมยิ้มเมื่อได้ยินภูพูดแบบนั้น เดาสีหน้าออกเลยว่าเขาต้องกำลังย่นจมูก ทำหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูตามฉบับของเขา ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรไปเจอเจ้าโกลเด้นดีไหมแต่สุดท้ายก็ตอบตกลง เพราะผมเองก็คิดถึงภูเหมือนกัน

[เดี๋ยวภูขับรถออกไปรับตอนนี้เลย เจอกันคับ]


ต่อpart 2 ข้างล่างเลยคับ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [13] 100% 15/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 15-06-2020 22:33:06
13 [100%] PART 2/2


ภูมารับผมจริงๆด้วย เขาส่งยิ้มหวานผ่านกระจกรถทันทีที่เห็นผมรออยู่ริมฟุตปาธ เราทักทายกันด้วยคำว่า “ไง” และส่งยิ้มให้ ทันทีที่ผมปิดประตูรถ ภูก็เปิดไฟเลี้ยวเตรียมออกสู่ถนนหลัก เขาถามผมว่าหิวไหม อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมจึงตอบเขาว่าไม่มี

“อะไรก็ได้ ตามใจคุณเถอะ”

ผมตอบและหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง การจราจรช่วงสองทุ่มก็ยังคงหนาแน่นแต่ยังพอเคลื่อนตัวได้ ภูคงเห็นว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติจึงเอ่ยปากถามทันที แต่ผมโกหกเขาไปว่าไม่มีอะไร ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่รู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางเฉยๆ

“จริงเหรอ?” เขาพึมพำอยู่คนเดียว “ภูเห็นหน้าสองดูเศร้าๆ”
“ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ใช่ ปกติเวลาเจอกัน สองจะดีใจมากกว่านี้” เขาตอบ ผมไม่ยักรู้เลยว่าแสดงอาการแบบนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “มีอะไรไม่สบายใจ สองเล่าให้ภูฟังได้นะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ผมปฏิเสธอีกครั้ง รู้สึกเหนื่อยขึ้นมากะทันหันเมื่อคิดว่าต้องเล่าความฝันลมๆแล้งๆของชายวัยสามสิบให้ภูฟัง “หิวข้าวไหม?”
“หิว”
“หาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะ”

ผมเอนหัวพิงกระจกและไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้ภูขับรถต่อไปโดยไม่ซักไซ้ถามเอาความจนน่ารำคาญ หลังขับวนไปพักใหญ่เราก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าอยากกินอะไร สุดท้ายภูก็ขับรถกลับคลินิก เราตกลงว่าจะทำมื้อเย็นง่ายๆทานด้วยกัน ซึ่งมื้อเย็นง่ายๆสำหรับภู – คือสปาเก็ตตี้

“มีวัตถุดิบเยอะขนาดนี้ คุณจะพาผมออกไปหากินข้างนอกทำไม?”

ผมยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวพลางมองเจ้าโกลเด้นเตรียมอาหาร เขาหยิบเส้นสปาเก็ตตี้ออกมาจากตู้เก็บของและวัตถุดิบอื่นๆออกมาจากตู้เย็น ผมบอกภูว่าผมทำอาหารฝรั่งไม่เป็น เจ้าโกลเด้นจึงยิ้มหวานและพูดว่าไม่เป็นไร แค่ยืนให้กำลังใจเฉยๆก็พอแล้ว

ภูทำอาหารด้วยความคล่องแคล่ว ผมได้แต่ยืนมองเขาลวกเส้น ใส่เกลือ ตั้งกระทะผัดเบคอน หยิบเครื่องปรุงอื่นๆออกมาปรุงรสด้วยท่าทางเหมือนผู้เชี่ยวชาญ ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น แค่สิบนาที สปาเก็ตตี้เบคอนกระเทียม(ไม่มีพริก)ก็เสร็จพร้อมเสิร์ฟสำหรับเราสองคน

“ไม่อร่อยให้เตะปาก” ภูยิ้มอวดฟันขาว “ถ้าสองชอบเผ็ดจะใส่พริกเพิ่มก็ได้นะ”

ผมเชื่อใจในฝีมือของเจ้าโกลเด้นจึงไม่ได้ปรุงอะไรเพิ่ม สปาเก็ตตี้ฝีมือภูรสชาติไม่เลว มันอร่อย แต่ก็ไม่ได้อร่อยถึงขั้นสายรุ้งออกจากปาก เรียกว่ารสชาติเกินคาดสำหรับการทำอาหารโดยใช้วัตถุดิบธรรมดาจะดีกว่า ภูแทบไม่มีเครื่องปรุงพิเศษเลยนอกจากเบคอน เกลือ กระเทียม และเส้นสปาเก็ตตี้ แต่กลับทำออกมาได้ดีจนเราสองคนกินเกลี้ยงจาน หลังทานเสร็จผมอาสาล้างจานให้ ส่วนภูปลีกตัวออกไปคุยกับผู้ชาย จากนั้นจึงกลับเข้ามาโดยมีชานมเดินตูดส่ายอยู่ข้างหลัง

“ไปไหนมาชานม”

ผมแกล้งเรียก เจ้าหมาตัวยักษ์เงยหน้ามองก่อนจะนั่งลงแล้วยกขาหน้าขึ้นหนึ่งข้างราวกับกำลังยกมือไหว้ทักทาย เจ้าหมาตัวอ้วนฟูหน้าหวานทำให้ผมยิ้มได้จากใจอีกครั้ง หลังจากเจอคำพูดแย่ๆจากครอบครัวและจมเจ่าอยู่กับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเอง ในที่สุดผมก็ค้นพบว่าอีกสถานที่และคนที่เป็นเซฟโซนสำหรับผมคือใคร

“สองร้องไห้เหรอ?”
“เปล่านี่” ผมตอบตามตรงเพราะไม่ได้ร้องไห้จริงๆ ก็แค่แอบน้ำตาซึมตอนที่ยืนดูป้ายโฆษณาคอนโดในสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น “วันนี้ทำงานเหนื่อยไหม?”
“เหนื่อย แต่ไม่เหนื่อยเท่าสองหรอก ภูไม่ได้ออกไปไหนเลย” เจ้าโกลเด้นตอบ “วันนี้มีแมวหางขาดแอดมิทด้วย เป็นแมวจรจัด สองอยากดูไหม?”
“ภาพสยองขนาดนั้นผมไม่กล้าดูหรอก” ผมย่นหน้าใส่เขา “คุณเคลียร์เรื่องกล้องแล้วเหรอ? แม่คุณจะว่าไหมถ้ารู้ว่าคุณพาผมมากินข้าวที่คลินิก?”
“ยังเลย ตอนแรกภูคิดเหมือนกันว่าจะเปลี่ยนกล้อง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เปลี่ยน ภูไม่สนใจแล้วว่าแม่จะดูหรือไม่ดูเพราะยังไงภูก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง ภูตามใจแม่ทุกเรื่องไม่ได้หรอก”

เจ้าโกลเด้นพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง เขาดูโตขึ้นจากวันที่เราไปบ้านคุณแม่มากๆจนอดชื่นชมไม่ได้ ภูของผมไม่ใช่ลูกแหงของแม่อย่างที่คิด ในที่สุดเขาก็กล้าทำตามความต้องการของตัวเองเสียที ส่วนผมที่เคยปากดีกับภีมในวันนั้นกลับได้แต่ใบ้กินเมื่อพ่อแม่และพี่สาวเป็นฝ่ายแสดงออกว่ารังเกียจเกย์ และไม่อยากเห็นเปเปอร์โตไปผิดเพศเหมือนน้าชายขนาดไหน น่าแปลกที่เราเผชิญปัญหาเดียวกันแท้ๆแต่ผมไม่สามารถรับมือกับครอบครัวของตัวเองได้ ผมที่เคยปลอบและให้กำลังใจภู กลับไม่สามารถโต้แย้งหรือเถียงครอบครัวได้เหมือนที่เถียงพี่ชายของภู

อาการผิดหวังจนเรียกได้ว่าช้ำใจของผมคงเด่นชัดมาก ภูถึงไม่พูดเรื่องตลกอื่นๆนอกจากเดินเข้ามาใกล้และจับมือของผม

“สองเป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาถามด้วยน้ำเสียงกังวล “เหนื่อยเหรอ? ไหวไหม? เล่าให้ภูฟังได้นะ”

ผมอยากร้องไห้แทบบ้า อยากร้องไห้และโวยวายด่าทอความห่าเหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง ผมอยากระบายกับใครซักคนถึงความไม่ยุติธรรมของชีวิตขนาดไหน ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำไมผมต้องแบกรับภาระต่างๆมากมายขนาดนี้ ผมเหนื่อยกับการที่มอบทุกอย่างที่ตัวเองมีให้ครอบครัวแต่ยังคงก้าวข้ามเรื่องเกย์ไปไม่ได้ เหนื่อยที่เสียโอกาสและอะไรไปหลายๆอย่างแต่ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากทุกคนในบ้านเสียที พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผมช้ำใจแค่ไหน ตอนที่ได้แต่ยืนอ่านป้ายโฆษณาคอนโด ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมต้องทิ้งความฝัน ทิ้งอะไรไปหลายๆอย่างเพื่อครอบครัว แต่กลับไม่ได้อะไรตอบแทนเลยแม้กระทั่งความเข้าอกเข้าใจ บางทีผมก็เหนื่อยจริงๆนะ ผมไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันเพื่อใครกัน

ภูมองมาด้วยความเป็นห่วง เขาดูกังวลและไม่สบายใจแต่ก็ไม่ได้บีบคั้นขอให้เล่า ผมน้ำตาคลอปริ่มจะร้องไห้อยู่รอมร่อแต่สุดท้ายก็ฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อไปได้ ผมแสร้งยิ้มและบอกภูว่าไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ – อยากซื้อคอนโด แต่ซื้อไม่ได้หรอกนะ เพราะธนาคารไม่ค่อยอนุมัติเงินกู้ให้ฟรีแลนซ์

“ทำไมล่ะ?”
“เพราะฟรีแลนซ์รายรับไม่แน่นอน”

ผมค่อยๆอธิบายให้ภูฟัง แม้ว่ารายรับต่อปีจะมากพอถึงขั้นต้องเสียภาษี แต่เงินก็ไม่ได้เข้าสม่ำเสมอทุกเดือนเหมือนมนุษย์เงินเดือน ยิ่งช่วงไหนรับแปลหนังสือ ช่วงนั้นผมแทบจะไม่มีเวลารับงานแปลยิบย่อยอื่นๆเลย นั่นหมายความว่าช่วงสามสี่เดือนนั้นผมต้องกินเงินเก็บสะสมในบัญชี กว่าจะได้เงินก้อนใหญ่อีกทีก็เป็นตอนที่หนังสือวางขายไปแล้วซึ่งใช้เวลานานถึงหกหรือเจ็ดเดือน มันนานเกินไปและดูไม่มั่นคง ผมไม่โกรธหรอกนะหากธนาคารจะปฏิเสธให้เงินกู้เพราะเครดิตผมก็ไม่ค่อยดีจริงๆ แม้แต่เงินออมทรัพย์ในบัญชียังมีไม่ถึงห้าหมื่นเลย

“ทำไมจู่ๆสองถึงอยากซื้อคอนโด?”

“เพราะผม – อยากมีเซฟโซนเป็นของตัวเอง” ผมตอบเจ้าโกลเด้น แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น “ผมแค่อยากมีบ้าน ไม่ต้องเป็นบ้านก็ได้ คอนโดห้องเล็กๆที่เป็นของผมก็ได้”
“แล้วสองจะทำยังไงกับร้านกู้ด รี้ดดิ้ง?”
“ผมคงอยู่ที่นั่นตลอดไปไม่ได้หรอก”
“นั่นสิ” ภูเห็นด้วย “สองอยากได้ราคาประมาณเท่าไหร่?”
“ผมยังไม่คิดไกลขนาดนั้นเพราะยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้” ผมแค่นหัวเราะ “ช่างเถอะ ผมแค่เพ้อเจ้อน่ะ เดี๋ยวไม่กี่วันก็ลืม”

ภูมองหน้าผมโดยไม่พูดอะไร เขาไม่ได้แสดงออกว่าขำหรือเห็นด้วยว่าอีกไม่กี่วันเรื่องนี้ก็คงเลือนหายไปจากสมองของสิปปกร เราใช้เวลาในครัวด้วยกันอีกไม่กี่นาทีก่อนที่ภูจะชวนผมขึ้นไปเล่นบนห้อง ทีแรกผมปฏิเสธเพราะเห็นว่าดึกมากแล้ว ผมอยากรีบกลับร้านก่อนที่ติณจะโทรตามแต่สายตาเว้าวอนของภูกลับทำให้ผมเปลี่ยนใจ ดังนั้นเราจึงชวนกันขึ้นไปพักผ่อนบนห้องส่วนตัวของเจ้าโกลเด้น ชานมเองก็อยากไปด้วย มันวิ่งวนรอบขาของผมราวกับส่งสัญญาณขอให้อุ้มหน่อย อุ้มชานมหน่อย ดังนั้นผมจึงต้องแบกหมูขนฟูที่หนักเกือบสิบห้ากิโลไปจนถึงห้องนอน ส่วนภูเดินตัวปลิวยิ้มร่าสบายใจ เขาดูมีความสุขที่เราได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“แค่ครึ่งชั่วโมงนะ”

ผมบอก เจ้าโกลเด้นพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ผมเชื่อว่าเขาไม่เข้าใจ เดี๋ยวพอเวลาผ่านไปภูก็จะงอแงขอรบเร้าให้ค้างด้วยกันซักคืนแน่ๆ ผิดคาดตรงที่คืนนี้ภูเอาแต่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ปล่อยให้ผมกับชานมนั่งเล่นโยนลูกบอลกันบนพื้นนานเกือบครึ่งชั่วโมงจนใกล้หมดเวลาของเรา พอเห็นว่าเขาไม่ค่อยสนใจ ผมจึงขอตัวกลับและเน้นย้ำว่าไม่ต้องไปส่ง ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น แค่ได้กินข้าวกับคุณก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจนะ

“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งกลับ ภูติดต่อพี่จิ๊บได้แล้ว” เจ้าโกลเด้นลุกพรวดพราดจากเตียงเมื่อผมเตรียมจะเปิดประตูห้อง “พี่จิ๊บทำแผนกสินเชื่อของธนาคาร สองน่าจะลองคุยกับเขาดูนะ”
“ไปแอบคุยตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ผมเบิกตากว้าง ยอมรับว่าประหลาดใจมากเมื่อภูกวักมือเรียกให้ไปหาและโชว์หน้าจอแชทให้ดู คนที่ชื่อจิ๊บตอบกลับมาว่า โอเค ให้คุณสองทักพี่มาได้เลยค่ะ ส่วนประโยคด้านบนที่ภูส่งไป เขาพิมพ์ว่าเพื่อนสนิทของภูเป็นฟรีแลนซ์อยากได้คอนโดมาก พี่จิ๊บช่วยภูหน่อยนะคับ แต่นอกเหนือจากประโยคน่ารักๆของเจ้าโกลเด้น ผมเพิ่งเห็นว่าเขาดองข้อความไว้เยอะมาก ตัวเลขแสดงข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่านทำเอาผมจี๊ดไปถึงสมอง อยากกดเคลียร์ข้อความที่ค้างอยู่ทั้งหมดจะได้ไม่รกหูรกตา

“ภูอยากช่วยสองแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ภูไม่เคยซื้อบ้านซื้อรถมาก่อน” เจ้าโกลเด้นฉีกยิ้มหวานและแชร์คอนแทคของคุณจิ๊บให้ทางไลน์ “สองลองคุยกับพี่จิ๊บดูนะ พี่จิ๊บบอกว่าธนาคารเขาก็ปล่อยให้ฟรีแลนซ์หลายคน อาจจะยุ่งยากเรื่องเอกสารนิดหน่อยแต่โอกาสกู้ผ่านก็พอมี”

ผมพูดไม่ออกเลย ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากก้มหน้ามองภูที่ยังคงนอนยิ้มแฉ่งบนเตียง มันเป็นความรู้สึกท่วมท้นที่ไม่สามารถบรรยายได้ ในขณะที่ผมดับฝันของตัวเองเพราะปักใจเชื่อว่าธนาคารไม่มีวันปล่อยกู้ให้ฟรีแลนซ์อย่างสิปปกร ภูกลับพยายามติดต่อคนรู้จักเพื่อสานฝันของผมให้เป็นจริง เขาทำโดยไม่พูดหรือสอนให้ออมเงินเพื่อซื้อสดเหมือนคนอื่นเลย ภูแค่หาทางที่พอเป็นไปได้ให้แต่ก็ไม่รับปากว่าจะช่วยจนกู้ผ่านเพราะเรื่องพวกนั้นเป็นหน้าที่ของธนาคารที่ต้องพิจารณา แต่สำหรับผม แค่รู้ว่าภูใส่ใจและไม่เหยียบย่ำความฝันเพ้อเจ้อก็มีความสุขมากแล้ว

“นี่ – คุณน่ะ ทำให้ผมประหลาดใจอยู่เรื่อยเลย” ผมบอกภูก่อนจะเลื่อนมือไปลูบแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา “ผมไม่ได้ฝันไกลถึงขนาดธนาคารอนุมัติหรอกนะ แต่ผมดีใจมากที่คุณไม่หยามเหยียดความฝันของผม”
“สองไม่อยากอยู่ที่กู้ด รี้ดดิ้งแล้วเหรอ?”
“ไม่เชิงไม่อยาก” ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ภูรีบกระถดตัวเข้ามาใกล้และหนุนตักของผมแทนหมอน “ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองห่วยแตกชะมัด”
“ทำไมล่ะ”
“เพื่อนของผมที่อายุเท่ากันซื้อบ้านซื้อรถกันแล้ว ผมกลับไม่มีอะไรซักอย่าง”
“เหมือนภูเลย” เจ้าโกลเด้นยิ้ม “ภูก็ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง แม่ซื้อให้ทั้งนั้น”
“แม่ซื้อให้ก็ยังดีกว่าไม่มีจะใช้นะ” ผมย่นหน้า นึกหมั่นไส้ภูขึ้นมากะทันหันแต่เขากลับส่ายหน้าและบอกเล่ามุมมองของตัวเองให้ฟัง
“เวลาแม่โกรธ แม่ชอบยึดของที่เคยซื้อให้ภู” เขาว่า “แม่เคยยึดรถตอนภูคบกับแฟนคนแรกที่เป็นผู้ชาย”
“แล้วคุณทำยังไง?”
“ไม่ทำยังไง พี่เขาเป็นคนรับส่งภูเหมือนเดิม ก็เราเป็นแฟนกันนี่” ภูเล่าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงออกว่าหวนคิดถึงความหลังแต่อย่างใด “พอรู้ว่าภูเลิกกับเขา แม่ก็ซื้อรถที่ใช้อยู่ตอนนี้ให้”
“บีเอ็มน่ะเหรอ?”
“อืม เป็นของขวัญรวมยอดหลังเรียนจบและของรางวัลที่เลิกคบผู้ชาย”

เราเงียบไปครู่ใหญ่ ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากรับฟังเรื่องราวจากปากภูเท่านั้น หลายครั้งที่ผมคิดว่าภูนี่ช่างโชคดีเสียจริงที่มีแม่คอยซัพพอร์ตทุกอย่าง พอได้รู้ว่าสิ่งที่แม่มอบให้นั้นมีเงื่อนไขและสามารถยึดกลับเมื่อไหร่ก็ได้ ผมก็รู้สึกว่าภูคงไม่มีความสุขเท่าไหร่นักหรอก

“อีกหน่อยแม่อาจจะยึดคลินิกถ้าภูทำตัวขัดใจอีก”
“งั้นคุณก็อย่าขัดใจแม่สิ เป็นภูที่น่ารักของแม่ไปตลอด แค่นี้คุณก็ไม่ต้องลำบากแล้ว”
“ถ้าภูบอกว่าแม่อยากให้เราเลิกกัน สองจะยังอยากให้ภูเป็นเด็กดีของแม่อยู่ไหม?”

ในที่สุดภูก็ยอมรับแล้ว เขายอมรับกับผมเองว่าคุณแม่ของเขาไม่ปลื้มสิปปกรจริงๆด้วย สิ่งที่ทำให้ผมจุกไม่ใช่เพราะได้รู้ความจริงจากปากของเขาหรอก ผมพูดไม่ออกเพราะรู้ว่าภูต้องเลือกต่างหาก ยิ่งเห็นสีหน้าของเจ้าโกลเด้นที่ดูเศร้าและสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน ผมก็ยิ่งกลัวว่าวันหนึ่งเขาจะเลือกแม่มากกว่าผม กลัวว่าจะต้องผิดหวังอีกครั้ง กลัวยิ่งกว่าการไม่มีเงินซื้อคอนโดเป็นของตัวเองเสียอีก

“ภูเหมือนคนโดนตัดแขนขา ถ้าไม่มีเงินแม่ ภูเองก็คงไม่ต่างจากจ๋อมแจ๋มที่ยังสร้างตัวไม่ได้ คงต้องนั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวัน”
“แล้วคุณคิดยังไงล่ะ?”
“ภูกลัวลำบากเหมือนกันนะ แต่ --”

เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เป็นช่วงจังหวะแสนสั้นที่ทำให้ผมเจ็บหัวใจเหมือนจะตาย ได้แต่ภาวนาไม่ให้เขาหลุดประโยคที่น่ากลัวนั่นออกมา ขอให้ภูไม่พูดว่าเขาจำเป็นต้องตามใจแม่ ขอร้อง ผมภาวนา ตอนที่อะไรๆกำลังไปได้ดี และผมต้องให้คำตอบภูวันนี้ว่าสถานะของเราจะเป็นไปในทิศทางไหน ผมไม่อยากได้ยินคำปฏิเสธที่บอกว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้เพราะคุณแม่ไม่อยากให้ลูกชายลดตัวมาคบกับคนอย่างสิปปกร

“แต่ถ้าต้องตามใจแม่ไปทุกเรื่อง แบบนั้นมันก็ไม่ใช่ชีวิตของภูสิ” ภูพูดออกมาในที่สุด
“ถ้าวันนึงแม่ของคุณยึดรถกับคลินิกไป คุณจะไม่เสียใจจริงๆเหรอที่ดึงดันมาคบกับคนอย่างผม?”
“ก็อาจจะเสียใจ”

เจ้าโกลเด้นยอมรับตามตรง ผมดีใจนะที่เขาไม่โกหกกัน

“แต่ทำยังไงได้ล่ะ ภูเบื่อกับการที่ต้องใช้ชีวิตตามคำสั่งแม่แล้ว สองเข้าใจไหมว่าภูแค่อยากมีความรัก การมีความรักมันไม่ได้ทำร้ายใครไม่ใช่หรือไง” เจ้าโกลเด้นยิ้มบางจนอดไม่ได้ที่จะต้องลูบหัวเบาๆ ภูจะรู้ตัวไหมนะว่าผมภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหน “ถึงตอนนั้นแล้วภูไม่มีสมบัติอะไร สองอย่าทิ้งภูไปนะ”
“ใครจะทิ้งคุณได้ล่ะ เด็กโง่ ผมเองก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน” ผมดึงปลายจมูกเขา ภูทำทีเป็นว่ารำคาญก่อนจะดึงมือของผมไปกุมแน่น “นี่ – ภู”
“คับ?”
“คุณยังรอคำตอบจากผมอยู่ไหม?” ผมถามและจูบมือของเขา “ผมให้เวลาคุณตัดสินใจอีกห้านาที คุณจะไม่เปลี่ยนใจใช่ --”
“แต่งคับ!”
“ไม่ใช่โว้ย!”

ผมดึงแก้มเจ้าโกลเด้นจนยืด ภูทำผมเสียอาการอีกแล้ว แต่ไม่ว่าจะโดนจู่โจมด้วยคำพูดอีกกี่ครั้ง ความรู้สึกหัวใจพองโตราวกับตกหลุมรักครั้งแรกก็ยังเกิดขึ้นกับสิปปกรเสมอ
 
“สองจะให้คำตอบภูตอนนี้เลยเหรอ?”
“อืม”
“ดีจัง” ภูยิ้มหวาน “สรุป – สองอยากเป็นแฟนกับภูไหม?”
“อืม”
“อืมนี่คืออยากหรือไม่อยาก?” เขาแกล้งเหย้าแหย่อยู่นั่นแหละ ผมจึงเขกหัวเจ้าโกลเด้นอีกโป๊ก
“ถามมากจะไม่พูดแล้วนะ”
“ก็ได้ ก็ได้”

ภูลูบหัวตัวเองป้อยๆก่อนจะลุกขึ้นนั่ง เราจ้องตากันด้วยรอยยิ้มที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ผมคงเคยบอกคุณแล้วว่าภูมีรอยยิ้มมากมายหลายแบบไม่ซ้ำกัน และรอยยิ้มที่กำลังฉายบนใบหน้าของเขาตอนนี้เป็นอีกรอยยิ้มหนึ่งซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจสุดขีดราวกับฝันเป็นจริง ผมจะไม่มีวันลืมเลยว่าครั้งหนึ่งเคยมีผู้ชายคนหนึ่งส่งยิ้มที่น่ารักที่สุดให้สิปปกรด้วย

“นี่ – ภู”
“ครับ?”
“สัญญากันได้ไหม? หากวันหนึ่งคุณหมดรักผมแล้ว ผมอยากให้คุณพูดออกมาตรงๆ อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอเหมือนที่ชวินทร์เคยทำกับผมได้ไหม?”
“เพิ่งจะคบกันไม่ถึงนาที สองข้ามไปตอนเลิกกันแล้วเหรอ?”
“รับปากก่อนสิ” ผมพูดอย่างจริงจัง “ผมล้มเหลวมาหลายเรื่องแล้ว ขอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว --”
“สอง” ภูเรียกผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ภูจะบอกสองเป็นคนแรกเลย”
“ขอบใจนะ”

ผมพูดเสียงแผ่วเบา ไม่รู้สึกตื้นตันอะไรนักหรอก การสั่งเสียล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่เราต้องเลิกกันมันไม่ได้สร้างความสบายใจอย่างที่คิด ภูคงจับอารมณ์นั้นได้จึงค่อยๆเลื่อนมือมากอบกุมผม เรามองหน้ากันอีกพักใหญ่ก่อนที่เจ้าโกลเด้นตัวโตจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เขามอบจุมพิตแสนหวานที่ทำผมอบอุ่นไปทั้งหัวใจเพื่อฉลองก้าวแรกของความสัมพันธ์ของเรา






คืนนี้ผมไม่ได้กลับร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง ผมโกหกติณว่าแม่ขอให้ค้างที่บางพลี และเพื่อนสนิทดูจะเชื่อคำพูดของสิปปกรง่ายๆโดยไม่ซักไซ้เอาความอะไรเลย

ผมเองก็อยากกลับไปค้างที่ร้านเหมือนกันถ้าไม่ติดว่าเหนื่อยจนแทบเดินไม่ไหว ภูไม่ได้ใช้ความรุนแรงถึงขั้นเจ็บเนื้อเจ็บตัวก็แค่เหนื่อยเพราะสังขารไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยก่อนเท่านั้น ภูเองคงรู้ข้อจำกัดนี้ดีถึงได้เอาอกเอาใจด้วยการบีบนวดต้นขาหลังเราอาบน้ำล้างตัวเสร็จเรียบร้อย สภาพของผมในตอนนี้ก็คือนอนคว่ำหน้าบนเตียงนุ่มๆ เล่นโทรศัพท์ด้วยความสบายใจโดยมีลูกหมาคอยบีบนวดไม่หยุด

“สองเล่นเฟสบุ๊กอยู่เหรอ?”
“อืม”
“รับแอดภูหน่อยสิ” เจ้าโกลเด้นตัดพ้อ ผมเลิกคิ้วงุนงงเพราะไม่รู้ว่าเขาเคยส่งคำขอมาเมื่อไหร่ “ภูส่งไปนานแล้ว”
“ตอนไหน?”

ผมส่งโทรศัพท์ให้ภูเช็กว่ามันไม่มีแจ้งเตือนจริงๆ เขาถึงกับเลิกนวดและเปิดไปที่หน้าเฟสบุ๊กของตัวเอง ผมเพิ่งเห็นปุ่ม confirm สีน้ำเงินเข้มเด่นหราอยู่กลางโปรไฟล์ แต่สาบานเลย – ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ถ้าภูแอดมาผมต้องจำได้สิว่าเป็นเขา เพราะเขาใช้ชื่อจริง รูปจริง แสดงรายละเอียดทุกอย่างตรงกับข้อมูลจริง ไม่มีเหตุผลที่ต้องไม่รับคำขอของภูเลย

“คุณแอดมาเมื่อไหร่?”
“หลายเดือนแล้ว”
“ผมต้องจำได้สิเพราะเราคุยกันมาตั้งนาน” ผมค้านหัวชนฝา รู้สึกแปลกๆที่ไม่คุ้นเฟสบุ๊กของภู “คุณแอดมาก่อนที่เราจะเจอกันหรือเปล่า?”
“ไม่นะ ภูแอดหลังเราคุยกันได้ซักพัก” เจ้าโกลเด้นยังคงยืนยันคำพูดของตัวเอง แต่ผมไม่ค่อยเชื่อ “สองรับแอดภูเร็ว”
“ทำไม? คุณคิดจะทำอะไร?”
“ภูอยากขึ้นสเตตัสว่า In a relationship” เขาพูดไปเขินไปจนหูแดง ผมจึงเท้าคางมองเจ้าลูกหมาตัวโตด้วยความเอ็นดู “แล้วก็ -- แท็กสอง”
“โห น่ารักจัง แต่คุณแท็กผมไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ?”
“พ่อกับแม่ผมยังไม่รู้เรื่องนี้” ผมตอบภูเรียบๆ “ฟังดูงี่เง่าเนอะ คุณรับได้ไหม?”
“ได้สิ ก็แค่สถานะในเฟสบุ๊ก มันไม่สำคัญหรอก” เจ้าโกลเด้นพูดเสียงจ๋อย “แต่สองจะบอกพี่ติณเรื่องของเราใช่ไหม?”
“ถ้ามันถามก็บอก ทำไม?”
“เปล่าหรอก ภูแค่อยากให้เขารู้ไว้ว่าเราเป็นแฟนกัน”
“อ่าฮะ?”

ผมเลิกคิ้วขอคำอธิบาย แต่ภูไม่ตอบอะไรอีกนอกจากหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาเปลี่ยนสถานะในเฟสบุ๊ก ผมมองเจ้าลูกหมาขี้อวดกดอัปเดตสเตตัสอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไล่ให้เขาไปนอน พรุ่งนี้ภูต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน ผมเองก็ต้องรีบกลับร้านกู้ด รี้ดดิ้งเหมือนกัน

“ปิดไฟได้แล้ว”

ผมดึงผ้าห่มมาคลุมโปง ภูที่นอนอยู่ข้างๆยอมเก็บโทรศัพท์และหรี่ไฟตามคำขอ กลิ่นหอมอ่อมๆของยูคาลิปตัสทำให้เคลิ้มหลับได้ไวกว่าปกติ การได้นอนบนที่นอนดีๆ มีกลิ่นหอมสะอาดและได้เข้านอนพร้อมกับคนรักช่วยให้เรื่องราวห่าเหวที่เคยช้ำใจกลายเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ คืนนี้ภูทำได้ค่อนข้างดี เขาทำให้ผมมีความสุขและลืมความเจ็บปวดจากเรื่องส่วนตัวไปชั่วขณะ ผมคิดเอาเองว่าความสัมพันธ์ของเราคงไม่เฮงซวยเหมือนความสัมพันธ์สมัยที่คบกับชวินทร์นักหรอก คิดเอาเองว่ามันจะต้องไปได้ด้วยดี ผมคิดเอาเอง – ว่านี่อาจจะเป็นรักสุดท้ายในชีวิตของสิปปกร คิดเข้าข้างตัวเองโดยที่ไม่รู้เลยว่าเรื่องของเรามันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะความสัมพันธ์ที่มีคนนอกเข้ามาเกี่ยวไม่เคยราบรื่นหรือสมหวังดังปรารถนาเลยซักราย



TBC


__________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ มาดึกมากเลย ขอโทษนะคะ ;-; มีหลายอย่างที่อยากจะพูด เราคิดมาตลอดเลยว่าถ้ามีเวลาเยอะว่านี้ นิยายก็คงออกมาละเมียดละไมและมีคำผิดน้อยกว่านี้ ไม่มีคำพูดจะแก้ตัวเลยนอกจากอยากขอโทษทุกคนที่มาช้าและไม่สม่ำเสมอ มาไม่ตรงเวลา แถมไม่ค่อยได้พรูฟละเอียดเท่าเมื่อก่อน เราอยากจะทุ่มเทงานเขียนให้มากกว่านี้ค่ะ ขอโทษจากใจจริงเลยนะคะ เราเองก็คิดถึงทุกคนมากๆ และซาบซึ้งกับกำลังใจที่ทุกคนมอบให้เสมอ หากพบเจอคำผิด สามารถทักได้นะคะ เราจะกลับมาแก้เมื่อมีเวลาค่ะ ขอให้คืนนี้ทุกคนนอนหลับฝันดี ฝากติดตามคุณสองน้องภูไปจนจบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ TT
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [13] 100% 15/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-06-2020 22:50:51
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [14] 28/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 28-06-2020 19:55:25
14 [PART 1/2]




ผมบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าเหมือนฝันไป

ทุกอย่างล่องลอยชวนฝัน มีแค่ผมและภูเท่านั้นที่อยู่ในห้วงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น เราจ้องหน้ากันด้วยความลุ่มหลง จูบกันจนริมฝีปากแทบช้ำเพราะโหยหากันและกันแทบบ้า ผมว่าช่วงนี้คือช่วงที่หอมหวานที่สุดของความสัมพันธ์ ความรักทำให้ผมมองข้ามทุกอย่างจนไม่อาจปฏิเสธสายตาเว้าวอนยามภูขอมัดข้อมือและข้อเท้า ไม่ปฏิเสธริมฝีปากแสนหวานของชายที่ทำให้สิปปกรกลายเป็นคนคลั่งรักยามเขาโลมเลียไปทั่ว ผมไม่ปฏิเสธ – ช่วงเวลาที่เขาเสือกไสกายอย่างเอาแต่ใจจนจุก ไม่ปฏิเสธอะไรทั้งนั้นเพียงเพราะอยากเห็นภูที่ผมรักมีความสุขและสนุกกับช่วงเวลานี้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ภูทำให้หัวใจของผมพอโตด้วยการยืนยัรว่าเขามีความสุขหลังเราเสร็จสมด้วยกันบนเตียงใหญ่ ผมถามเขาว่าอะไรที่ทำให้คุณมีความสุข เพราะผมยอมให้คุณมัดมือมัดเท้า หรือเพราะเซ็กส์เอาแต่ใจที่คุณเป็นฝ่ายมอบให้ ภูยิ้มและบอกว่าเขามีความสุขเพราะผมยอมเปิดใจให้ความสัมพันธ์ของเราไปต่อต่างหาก

“วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบของเรา” เขาพูดขณะที่เรานอนกอดก่ายกัน ปลายนิ้วของเขาเกลี่ยเส้นผมของสิปปกรอย่างอ้อยอิ่ง “สองชอบที่เราทำกันเมื่อกี๊ไหม?” ภูถามคำถามเดิมๆราวกับไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง
“มันก็ดี แต่ --”
“แต่อะไรเหรอ?”
“ถ้าคุณเบามือกับผมมากกว่านี้อีกซักนิดน่าจะดี” ผมบอกภูตามตรง “เมื่อกี๊ผมรู้สึกเหมือนโดนกระโดดทับ”
“ทำไมสองไม่บอกตั้งแต่ตอนนั้น?”
“เพราะผมเห็นว่าคุณกำลังมีความสุข”
“ไม่เกี่ยวกันสิ สองควรพูดทันทีถ้ารู้สึกเจ็บ แต่ครั้งนี้มันเจ็บมากเลยเหรอ?”
“มากกว่าทุกที แต่ยังพอทนได้” ผมลูบหัวของภู ไล้นิ้วไปตามแก้มสีแดงของชายหนุ่มที่กำลังอยู่ในห้วงรักหัวปักหัวปำด้วยความรักใคร่ “เราน่าจะมี safe words นะ ถ้าผมพูดคำนี้เมื่อไหร่ คุณต้องหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่”
“งั้นเหรอ” ภูพึมพำ “เช่นคำว่าอะไร?”
“ชานมดีไหม?”

โฮ่ง!

มีใครบางตัวตอบสนองชื่อของตัวเองด้วยการเปล่งเสียง เราสองคนมองชานมที่นั่งตาละห้อยอยู่ในคอกกั้นแล้วหัวเราะร่วน ไม่ได้หรอก ไม่ได้ เราเห็นตรงกันว่า safe words จะเป็นคำว่าชานมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นตอนที่ผมตะโกนว่าชานม! ชานม! เจ้าคอร์กี้ยักษ์ต้องแหกคอกมาวุ่นวายกับกิจกรรมของเราแน่ๆ

“ช่างเถอะ ค่อยคิด”

เจ้าโกลเด้นภูพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เขาจูบผมอย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออกแล้วเสนอตัวว่าอยากนวดให้

“สองบ่นว่าเมื่อยขา นอนคว่ำสิ ภูจะนวดให้”

ผมทำตามคำแนะนำด้วยการปล่อยให้ภูบีบนวดตามอำเภอใจ เขานวดไม่เป็นหรอก ก็แค่ใช้มือนุ่มๆขยำต้นขาที่มีแต่เซลลูไลท์ของสิปปกรเท่านั้น ผมนอนอย่างสบายใจโดยมีชายที่ผมรักคอยบีบนวดไม่หยุด บทสนทนาระหว่างนั้นเป็นเรื่องทั่วไปก่อนจะเข้าเรื่องโซเชียลเน็ตเวิร์ก ผมเพิ่งนึกได้ว่าเราไม่เคยทำความรู้จักกันในโลกออนไลน์เลย ผมไม่เคยเห็นอีกด้านของภูและแทบไม่รู้ว่าไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเขาเป็นยังไง ดังนั้นวันถัดมาที่ฝนตกตั้งแต่เช้าตรู่ ผมจึงเอื้อมตัวหยิบโทรศัพท์มือถือจากโต๊ะข้างเตียงและเข้าเฟสบุ๊กเพื่อส่องโปรไฟล์ของสัตวแพทย์ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ข้างๆ

รูปโปรไฟล์ของภูเป็นรูปตอนที่เขากำลังยิ้มหวานโดยฉากหลังเป็นคลินิก ผมเดาเอาว่าช่างภาพผู้บันทึกความน่ารักของภูคงเป็นผู้ช่วยหรือไม่ก็เพื่อนหมอด้วยกัน เมื่อลองไล่ดูสิ่งที่ภูโพสต์ ผมก็ไม่เห็นว่าไทม์ไลน์ของเขาต่างอะไรกับของเพื่อนๆที่ฐานะการเงินค่อนข้างดี มีรูปไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง อัปรูปของกินอร่อยๆราคาแพงบ้าง บ่นเพ้อเจ้อไปเรื่อยตามประสาชนชั้นกลางค่อนไปทางบนที่ไม่มีเรื่องปากท้องให้ต้องกังวล โดยรวมยังไม่เห็นทัศนคติแปลกๆเพราะภูไม่ค่อยแชร์ข่าวการเมืองถี่ๆเหมือนผมกับติณณภพ

Phu
รถติดตรงนี้มาชั่วโมงกว่าแล้ว ฟังเพลงจนเบื่อแล้วนะ -_-  #กรุงเทพเมืองเทพสร้าง

คุณเห็นไหมว่าภูมีอารมณ์ขันขนาดไหน เขาใช้อีโมติค่อนเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจด้วย

Phu
คิดถึงวันนั้นเนอะ วันที่แม่เป็นเจ้ามือ ^^

ผมเลื่อนดูรูปในสเตตัส เป็นภาพของสามคนพี่น้องนั่งทานซูชิในร้านสไตล์ญี่ปุ่น มันไม่ใช่ร้านอาหารแฟรนไชส์อย่างที่พ่อแวะซื้อให้เราในตลาด แต่เป็นร้านที่ได้บรรยากาศญี่ปุ่นแท้ๆและคงเป็นประเภทโอมากาเสะแบบที่บูม ธริศรเคยรีวิวในยูทูบ ในรูปนั้นผมเห็นแพร น้องสาวของภูเป็นครั้งแรก เธอหน้าคล้ายคุณแม่มากกว่าภีมและภู แต่ก็มีแก้มเหมือนๆกันทั้งสี่คน บ้านนี้หน้าเหมือนกันทั้งบ้าน ถ้าไม่นับภีมกับภูที่เป็นแฝดกัน ผมว่าดีเอ็นเอของคุณแม่ค่อนข้างแรง ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ถอดแบบออกมาเหมือนๆกันขนาดนี้

รูปถัดมาที่ผมเลื่อนเจอเป็นร้านกู้ด รี้ดดิ้ง เขาน่าจะถ่ายช่วงเย็นซึ่งบรรยากาศในร้านกลายเป็นสีส้มอุ่น จุดโฟกัสของรูปคือโต๊ะมีหนังสือที่วางซ้อนกันหลายเล่ม มีมือของใครบางคนอยู่ในภาพถ่าย เป็นแค่เป็นมือที่มีเส้นเลือดขึ้นชัดเจนดูยังไงก็เป็นมือของผู้ชาย

Phu
ชอบบรรยากาศในร้านหนังสือมาก #goodreading

Jeera: มือใคร?
Phu: ไม่บอก!!!
Mintra: ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เมื่อไหร่
Phu: ชอบนานแล้วแต่เขาไม่รู้
Jeera: @Mintra เขารู้แต่ไม่สน
Phu: @Jeera เสือกกกกกกกกกก

ผมอมยิ้ม เพราะมือที่เพื่อนๆของภูถามถึง คือมือของผมเอง

ดูเหมือนว่าภูพูดถึงผมมาซักพัก มีหลายสเตตัสที่ทำให้ผมคิดว่าน่าจะเป็นการกล่าวถึงสิปปกรเช่น คืนนี้จะอ่านอย่าไปไหน วันนี้ไปหากำลังใจที่ร้านหนังสือ มีสเตตัสหนึ่งเป็นรูปตั๋วหนังที่เราดูด้วยกัน ภูเขียนแคปชั่นว่า คุณเค้านอนในโรงหนังอ่า 5555 แต่ยังคงไม่มีรูปของผมแบบชัดๆบนหน้าไทม์ไลน์ ผมเลื่อนอ่านเรื่อยๆจนกระทั่งเจอสเตตัสที่แอบอ้างเจ้าคอร์กี้ยักษ์ด้วย

Phu
ชานมบ่นคิดถึงคุณลุงคนนึงมากๆ ลุงเค้าไม่มาหานมหลายวันแล้ว TT –

มึงว่าใครลุง? ตื่นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ

ผมอยากฟาดภูซักเพี๊ยะ อยากดึงแก้มเขาให้ยืดเหมือนไดฟูกุโทษฐานที่กล่าวหาว่าสิปปกรเป็นลุง ผมเพิ่งจะอายุได้ไม่เท่าไหร่ ทำไมถึงกล้าเรียกกันว่าลุง คำนี้ถือเป็นคำต้องห้ามสำหรับผม ไม่มีผู้ชายวัยสามสิบต้นๆหลงใหลได้ปลื้มกับคำนี้นักหรอก ผมพลิกตัวหันไปหาภู เขายังคงหลับสนิทและไม่ชอบให้ใครยุ่มย่ามเวลานอนเหมือนเคย ดังนั้นตอนที่ผมถือวิสาสะลูบหัวเขา ภูก็ฉวยมือของผมไปกอดแทนหมอนข้างและพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียว่า

“นอน”

สั้น เรียบง่าย และแฝงไปด้วยความไม่พึงพอใจเล็กน้อย ผมอมยิ้มให้กับชายผู้เป็นที่รักก่อนจะปล่อยให้เขาพักผ่อนตามเดิม มือข้างหนึ่งกลายเป็นหมอนให้เขากอด ส่วนอีกข้างก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อทำความรู้จักกับอีกด้านที่ไม่เคยเห็น โดยรวมแล้วสไตล์ของภูไม่มีอะไรน่าขัดใจ ภูเป็นผู้ชายธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่โก้เก๋ตามประสาคนมีสตางค์ เขาแชร์บทความของบีบีซีในบางครั้งแต่ก็ไม่มีมูฟเมนต์อะไรพิเศษ ผมจึงเลื่อนกลับขึ้นไปอ่านคอมเม้นต์ในสเตตัสล่าสุด มีคนกดถูกใจหลายร้อยคนและมีคอมเม้นต์จากเพื่อนๆประมาณสี่สิบข้อความ

Phu is in a relationship

ภูคงเป็นที่รักของเพื่อนๆมากถึงมีคนฝากข้อความและแซวเขาเยอะขนาดนี้ ส่วนใหญ่จะถามว่าผู้โชคดีเพศอะไร เมื่อเพื่อนคนหนึ่งของเขามาเฉลยว่าครั้งนี้เป็นผู้ชาย ความอยากรู้อยากเห็นของคนนอกก็พรั่งพรูออกมาผ่านตัวอักษร เขาคนนั้นคือใคร ชื่ออะไร ใช่หนุ่มร้านหนังสือที่ตามจีบหรือเปล่า ใช่คนที่อัปสเตตัสเพ้อเจ้อถึงเขาบ่อยๆหรือเปล่า ใช่เจ้าของมือในร้านหนังสือหรือเปล่า พวกเขาอยากรู้ว่าภูเลือกใคร พวกเขาสนใจว่าแฟนของภูมีโปรไฟล์ดีสมกับเขาหรือไม่ แต่ไม่มีใครให้คำตอบแม้กระทั่งพี่ชายฝาแฝดของเขามาแสดงความคิดเห็น ภีมแค่กดถูกใจและคอมเม้นต์สั้นๆว่า

Peem: แม่นั่งยิ้มแล้ว คราวนี้ยึดอะไรดีน้า

มีคนกดถูกใจคอมเม้นต์นี้ยี่สิบสามคน

ผมว่าเพื่อนๆของภูคงรู้เรื่องนี้กันพอสมควร การแสดงความคิดเห็นและถามถึงผู้ชายคนนั้นยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งผมเห็นคอมเม้นต์จากผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อคลิ๊กดูโปรไฟล์จึงรู้ว่าเธอคือแพร

Parinyaphat: คนนั้นเหรอ?
Peem: @Parinyaphat น่าจะคนนั้นแหละ
Parinyaphat: ทำไมไม่แท็กเค้าไปเลยอ่า ละตอนนี้แม่มือจีบยัง 5555
Peem: @Parinyaphat ไม่รู้ รอแม่ตื่นมาเจอสเตตัสอันนี้ก่อน

เหมือนมีพายุฝนก่อขึ้นในใจ ราวกับความสุขชั่วครู่ยามเมื่อคืนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความกังวล ผมเริ่มไม่สบายใจเมื่อคิดว่าภูอาจจะเปลี่ยนใจหากคุณแม่จัดการเขาขั้นเด็ดขาด พวกเขาจะทะเลาะกันหรือมีปากเสียงกันถึงขั้นตัดแม่ตัดลูกเพราะคนอย่างสิปปกรหรือเปล่านะ ความว้าวุ่นใจเพราะครอบครัวคนอื่นกำลังกัดกินความสุขของผมทีละนิด ผมวางโทรศัพท์ลงและมองหน้าภู ถ้าหากเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมจะทำใจยอมรับได้ไหมว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับในสังคมของเขา สังคมที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงโฟกัสว่าคนรักของภูเพศอะไรมากกว่าการเคารพสิทธิ์ส่วนบุคคล พอคิดแบบนั้นผมก็ปวดท้องเพราะกลัวว่าจะไม่ถูกรักจนรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนเปราะบางเหมือนแก้ว

ผมเมินเฉยคอมเม้นต์จากครอบครัวของภูและเลือกอ่านความเห็นจากเพื่อนๆคนอื่นเพราะอยากรู้ว่าทุกคนคิดยังไง ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือคาดเดาสารพัดว่าความรักครั้งนี้ของภูมีจู๋หรือมีจิ๋ม บางคนเล่นมุกเสี่ยว บางคนแซวเกินขอบเขต บางคนพูดเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ

Teepakorn: ไหนคลิป

เขาพูดถึงอะไร ผมไม่รู้แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก นอกนั้นก็มีสาวๆมาแซว ผมเห็นชื่อเฟสบุ๊กของเนเน่กดถูกใจสเตตัสแต่ไม่ได้คอมเม้นต์อะไร ทุกคนไม่ได้เข้ามาเพื่อก่อกวนหรือใช้คำพูดชวนน่าอึดอัดเพียงอย่างเดียว คนดีๆก็พอมี อาจจะไม่เยอะแต่ถือว่าภูก็มีเพื่อนที่เคร่งเรื่องมารยาทอยู่บ้าง

Yuwanich: ดีใจด้วยจ้า โสดมานาน เลิกบ่นว่าเหงาให้พี่ฟังซักที XD
Nattapong: คบกับใครคับหลานภู
Roongtawan: ยินดีด้วยนะ :) ขอให้มีความสุขมากๆกับรักครั้งนี้

“สองดูอะไรเหรอ?”

เสียงงัวเงียของภูทำผมตกใจจนโทรศัพท์หล่นใส่หน้า เจ้าโกลเด้นหัวเราะในลำคอแล้วดึงผมเข้าไปกอดก่อนจะจูบเบาๆตรงหน้าผาก

“ดูหนังโป๊เหรอ?”
“ใครจะหมกมุ่นเหมือนคุณ” ผมค้อน แต่ก็ยอมนอนให้ภูกอดอยู่อย่างนั้น “ภู” เขาขานรับงัวเงียเหมือนยังตื่นไม่เต็มที่ ผมจึงเรียกอีกครั้งเพื่อให้ภูลืมตา “สเตตัสคุณเมื่อคืนน่ะ”
“อื้อ”
“มีคนมาคอนเม้นต์เยอะแยะเลยนะ” ภูหัวเราะอีกครั้งด้วยท่าทีออกจะภูมิใจเล็กน้อย 
“อื้อ” เขาขานตอบสั้นๆ “สองจะเปลี่ยนสเตตัสเหมือนกันใช่ไหม?”

ผมไม่ตอบเพราะคำตอบคือไม่ ผมจะไม่อัปสเตตัสใดๆในเฟสบุ๊กเพื่อป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่าสิปปกรกำลังคบหาดูใจอยู่กับใครบางคน ผมจะไม่ทำแบบนั้นเพราะพ่อแม่ต้องรุมทึ้งอย่างเอาเป็นเอาตายแน่ๆว่ามันเป็นใคร พ่อกับแม่อาจจะมีความหวังนิดหน่อยว่าแฟนของผมอาจเป็นผู้หญิง ส่วนน้ำหนึ่งรู้อยู่แล้วว่าเขาคือใคร เพียงแค่จะปากสว่างเหมือนวันก่อนหรือไม่ก็ยากที่จะคาดเดา

“ไม่เป็นไร ไว้สองพร้อมเมื่อไหร่ค่อยอัปก็ได้” พูดจบก็หาวปากกว้าง ส่งเสียงคำรามเหมือนสิงโตเจ้าป่าทั้งๆที่เป็นแค่ลูกหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ “แล้วอย่าลืมแท็กภูนะ”

ผมพยักหน้าให้สัญญา เป็นคำสัญญาที่เลื่อนลอยเพราะไม่ว่ายังไงก็มองไม่เห็นทางที่จะได้เปิดเผยคนรักของตัวเองให้ครอบครัวรู้เลย






ความฝันที่จะมีคอนโดของตัวเองถูกพับเก็บถาวรเมื่อคุณจิ๊บพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเครดิตทางการเงินของสิปปกรไม่มีความมั่นคง

ผมมีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงจนต้องเสียภาษีขั้นต่ำก็จริงแต่ไม่ได้มากพอถึงขั้นน่าไว้วางใจ ที่น่ากังวลคือเงินออมในบัญชีออมทรัพย์ซึ่งมีอยู่ไม่กี่หมื่นนั้นไม่ใช่เงินเย็น วันนี้ผมมีเงินก้อนนี้แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่มีเพราะต้องถอนไปซื้อของจำเป็น อีกอย่างผมไม่เคยมีบัตรเครดิต ดังนั้นประวัติการผ่อนชำระของจึงไม่เคยปรากฎในธนาคารเลย ปกติผมซื้อทุกอย่างด้วยเงินสด ทั้งโทรศัพท์มือถือ ไอแพด เครื่องฟอกอากาศ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์อิเกียก็ซื้อด้วยเงินสดล้วนๆ ไม่มีผ่อนชำระ ไม่มีการหยิบยืมจากคนรอบข้างและขอทยอยผ่อนวันหลัง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเงินออมทรัพย์ของผมถึงมีอยู่น้อยนิดและไม่ใช่เงินเพื่อการออม มันคือเงินสำหรับการดำรงชีวิตล้วนๆ ไม่มีการวางแผนทางการเงินอะไรทั้งสิ้น

“อีกอย่างที่จิ๊บกังวลคือคุณสองอาจจะมีช่วงที่ผ่อนไม่ไหว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจแต่ก็ไม่ไว้หน้า
“มันพอจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยเหรอครับ?”
“จริงๆมันก็พอเป็นไปได้ค่ะ อาจจะต้องลดสเปคของที่อยู่อาศัยลง หรือไม่ก็ลองสมัครบัตรเครดิตเพื่อผ่อนของซักชิ้นดูนะคะ” คุณจิ๊บแนะนำ แต่ผมนึกไม่ออกว่าตัวเองมีความจำเป็นต้องซื้ออะไร “หรือหากคุณสองเจอโครงการที่สนใจเมื่อไหร่ ลองติดต่อจิ๊บใหม่อีกครั้งก็ได้ค่ะ เงื่อนไขการผ่อนและการดาวน์ของแต่ละโครงการไม่เหมือนกัน”

ผมจำนนต่อความไม่เอาไหนของตัวเอง ได้แต่บอกคุณจิ๊บแค่ว่าขอบคุณที่แนะนำและจะติดต่อไปใหม่ในภายหลัง “หาก” มีกำลังมากพอที่จะสานฝัน หลังจบการสนทนาผมคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะไม้โอ๊ค ตรงข้ามกันคือติณณภพที่กำลังนั่งเช็กพอดแคสท์ซึ่งเตรียมเผยแพร่คืนนี้ เขาเงยหน้ามองผมและถามว่าทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น

“เปล่าหรอก เบื่อฝนตก” ผมตอบแบบขอไปทีก่อนจะเปิดแลปท็อปเพื่อเตรียมทำงานแปลต่อ
“มึงชอบบรรยากาศตอนฝนตกจะตาย”
“รู้ดี”

ผมยิ้มมุมปาก ลังเลนิดหน่อยว่าควรเล่าให้เพื่อนสนิทฟังหรือไม่แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกติณถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ แววตาของติณณภพต่างจากของภูโดยสิ้นเชิง เขารับฟังอย่างตั้งใจแต่ไม่มีความกระตือรือร้นใดๆในสีหน้าและท่าทาง เมื่อผมเล่าบทสนทนากับเจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคารจบ ติณก็นั่งหลังตรง ตามองมาที่ผมแล้วถามว่านึกยังไงถึงอยากซื้อคอนโด

“เพราะหมอหมานั่นเป่าหูมึงเหรอ?”
“เปล่า เพราะกูอยากมีเซฟโซนเป็นของตัวเอง” ผมตอบและเล่าอาการแขยงเกย์ของพ่อให้เพื่อนสนิทฟัง “มันคงจะดีถ้ากูมีบ้านที่เป็นของตัวเองจริงๆ”

ติณณภพเงียบไปพักใหญ่ราวกับมีเรื่องที่อยากพูดติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก เขาเอนตัวพิงเก้าอี้และถามคำถามเดียวกับคุณจิ๊บ เพิ่มเติมมาอีกหนึ่งข้อคือผมมีรายได้ทางที่สองเผื่อกรณีที่หางานแปลไม่ได้หรือไม่ ผมตอบติณตามตรงว่าไม่ เพราะงานแปลไม่ได้หายากขนาดนั้น จริงอยู่ที่มันลดลงแต่ผมยังมีงานจากสำนักพิมพ์เข้ามาเรื่อยๆ

“ถ้าวันนึงสำนักพิมพ์ไม่จ้างมึงล่ะ? มึงมีเงินผ่อนไหม?”
“มีสิ กูมีเงินสำรอง น่าจะพอขายผ้าเอาหน้ารอดได้ซักเดือนสองเดือน”
“แล้วถ้าพ่อหรือแม่ป่วยกะทันหันหรือมีเรื่องต้องใช้เงิน มึงสามารถผ่อนคอนโดไปพร้อมกับซัพพอร์ทที่บ้านได้ไหม?”

ติณถามคำถามที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน เป็นคำถามหมัดฮุกทำเอาจุกจนเบลอไปชั่วขณะ ผมตอบติณว่าอาจจะพอไหวแต่ก็ไม่รู้ว่าสามารถทำได้อย่างที่ปากพูดหรือเปล่า

“มึงไม่อยากอยู่ที่กู้ด รี้ดดิ้งแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น กูรักร้านจะตายมึงก็รู้” ผมหัวเราะเบาๆ แม่ง – เป็นการหัวเราะที่เฝื่อนจนดูเสแสร้ง “กูแค่อยากมีอะไรเป็นของตัวเองซักชิ้น”
“กูเข้าใจ” ติณขานรับ “แล้วหมอหมาว่าไง?”
“ภูไม่ว่าอะไร ก็แค่ให้ไลน์พี่จิ๊บมาคุย”
“มันขายฝันมึงอีกแล้ว”
“ไม่ดีเหรอ?”
“ไม่ดีเลย กูอยากให้มึงอยู่ในโลกของความเป็นจริงมากกว่า” ติณพูดทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อบาริสต้าเรียกหา “กูไม่ได้บอกว่ามึงไม่มีวันซื้อคอนโดได้นะ กูแค่หมายความว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ อาจจะไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ไม่ได้แปลว่ามึงเป็นเจ้าของคอนโดไม่ได้”
“เหรอ”
“อืม ฟังหมอหมาได้ แต่ต้องฟังเสียงความจริงด้วยนะ”

ติณใช้หนังสือเคาะหัวผมเบาๆก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมจมเจ่าอยู่กับอารมณ์เศร้าหมองที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้


ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [14] 28/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 28-06-2020 19:56:45
14 [PART 2/2]


ความฝันที่จะมีคอนโดของตัวเองถูกพับเก็บถาวรเมื่อคุณจิ๊บพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าเครดิตทางการเงินของสิปปกรไม่มีความมั่นคง

ผมมีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงจนต้องเสียภาษีขั้นต่ำก็จริงแต่ไม่ได้มากพอถึงขั้นน่าไว้วางใจ ที่น่ากังวลคือเงินออมในบัญชีออมทรัพย์ซึ่งมีอยู่ไม่กี่หมื่นนั้นไม่ใช่เงินเย็น วันนี้ผมมีเงินก้อนนี้แต่พรุ่งนี้อาจจะไม่มีเพราะต้องถอนไปซื้อของจำเป็น อีกอย่างผมไม่เคยมีบัตรเครดิต ดังนั้นประวัติการผ่อนชำระของจึงไม่เคยปรากฎในธนาคารเลย ปกติผมซื้อทุกอย่างด้วยเงินสด ทั้งโทรศัพท์มือถือ ไอแพด เครื่องฟอกอากาศ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์อิเกียก็ซื้อด้วยเงินสดล้วนๆ ไม่มีผ่อนชำระ ไม่มีการหยิบยืมจากคนรอบข้างและขอทยอยผ่อนวันหลัง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเงินออมทรัพย์ของผมถึงมีอยู่น้อยนิดและไม่ใช่เงินเพื่อการออม มันคือเงินสำหรับการดำรงชีวิตล้วนๆ ไม่มีการวางแผนทางการเงินอะไรทั้งสิ้น

“อีกอย่างที่จิ๊บกังวลคือคุณสองอาจจะมีช่วงที่ผ่อนไม่ไหว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจแต่ก็ไม่ไว้หน้า
“มันพอจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยเหรอครับ?”
“จริงๆมันก็พอเป็นไปได้ค่ะ อาจจะต้องลดสเปคของที่อยู่อาศัยลง หรือไม่ก็ลองสมัครบัตรเครดิตเพื่อผ่อนของซักชิ้นดูนะคะ” คุณจิ๊บแนะนำ แต่ผมนึกไม่ออกว่าตัวเองมีความจำเป็นต้องซื้ออะไร “หรือหากคุณสองเจอโครงการที่สนใจเมื่อไหร่ ลองติดต่อจิ๊บใหม่อีกครั้งก็ได้ค่ะ เงื่อนไขการผ่อนและการดาวน์ของแต่ละโครงการไม่เหมือนกัน”

ผมจำนนต่อความไม่เอาไหนของตัวเอง ได้แต่บอกคุณจิ๊บแค่ว่าขอบคุณที่แนะนำและจะติดต่อไปใหม่ในภายหลัง “หาก” มีกำลังมากพอที่จะสานฝัน หลังจบการสนทนาผมคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะไม้โอ๊ค ตรงข้ามกันคือติณณภพที่กำลังนั่งเช็กพอดแคสท์ซึ่งเตรียมเผยแพร่คืนนี้ เขาเงยหน้ามองผมและถามว่าทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น

“เปล่าหรอก เบื่อฝนตก” ผมตอบแบบขอไปทีก่อนจะเปิดแลปท็อปเพื่อเตรียมทำงานแปลต่อ
“มึงชอบบรรยากาศตอนฝนตกจะตาย”
“รู้ดี”

ผมยิ้มมุมปาก ลังเลนิดหน่อยว่าควรเล่าให้เพื่อนสนิทฟังหรือไม่แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกติณถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ แววตาของติณณภพต่างจากของภูโดยสิ้นเชิง เขารับฟังอย่างตั้งใจแต่ไม่มีความกระตือรือร้นใดๆในสีหน้าและท่าทาง เมื่อผมเล่าบทสนทนากับเจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคารจบ ติณก็นั่งหลังตรง ตามองมาที่ผมแล้วถามว่านึกยังไงถึงอยากซื้อคอนโด

“เพราะหมอหมานั่นเป่าหูมึงเหรอ?”
“เปล่า เพราะกูอยากมีเซฟโซนเป็นของตัวเอง” ผมตอบและเล่าอาการแขยงเกย์ของพ่อให้เพื่อนสนิทฟัง “มันคงจะดีถ้ากูมีบ้านที่เป็นของตัวเองจริงๆ”

ติณณภพเงียบไปพักใหญ่ราวกับมีเรื่องที่อยากพูดติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก เขาเอนตัวพิงเก้าอี้และถามคำถามเดียวกับคุณจิ๊บ เพิ่มเติมมาอีกหนึ่งข้อคือผมมีรายได้ทางที่สองเผื่อกรณีที่หางานแปลไม่ได้หรือไม่ ผมตอบติณตามตรงว่าไม่ เพราะงานแปลไม่ได้หายากขนาดนั้น จริงอยู่ที่มันลดลงแต่ผมยังมีงานจากสำนักพิมพ์เข้ามาเรื่อยๆ

“ถ้าวันนึงสำนักพิมพ์ไม่จ้างมึงล่ะ? มึงมีเงินผ่อนไหม?”
“มีสิ กูมีเงินสำรอง น่าจะพอขายผ้าเอาหน้ารอดได้ซักเดือนสองเดือน”
“แล้วถ้าพ่อหรือแม่ป่วยกะทันหันหรือมีเรื่องต้องใช้เงิน มึงสามารถผ่อนคอนโดไปพร้อมกับซัพพอร์ทที่บ้านได้ไหม?”

ติณถามคำถามที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน เป็นคำถามหมัดฮุกทำเอาจุกจนเบลอไปชั่วขณะ ผมตอบติณว่าอาจจะพอไหวแต่ก็ไม่รู้ว่าสามารถทำได้อย่างที่ปากพูดหรือเปล่า

“มึงไม่อยากอยู่ที่กู้ด รี้ดดิ้งแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น กูรักร้านจะตายมึงก็รู้” ผมหัวเราะเบาๆ แม่ง – เป็นการหัวเราะที่เฝื่อนจนดูเสแสร้ง “กูแค่อยากมีอะไรเป็นของตัวเองซักชิ้น”
“กูเข้าใจ” ติณขานรับ “แล้วหมอหมาว่าไง?”
“ภูไม่ว่าอะไร ก็แค่ให้ไลน์พี่จิ๊บมาคุย”
“มันขายฝันมึงอีกแล้ว”
“ไม่ดีเหรอ?”
“ไม่ดีเลย กูอยากให้มึงอยู่ในโลกของความเป็นจริงมากกว่า” ติณพูดทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อบาริสต้าเรียกหา “กูไม่ได้บอกว่ามึงไม่มีวันซื้อคอนโดได้นะ กูแค่หมายความว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ อาจจะไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ไม่ได้แปลว่ามึงเป็นเจ้าของคอนโดไม่ได้”
“เหรอ”
“อืม ฟังหมอหมาได้ แต่ต้องฟังเสียงความจริงด้วยนะ”

ติณใช้หนังสือเคาะหัวผมเบาๆก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมจมเจ่าอยู่กับอารมณ์เศร้าหมองที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้




ความจริงที่ว่าติณณภพไม่ชอบภูและภูเองก็ไม่ชอบเขายังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ผมคิดว่ามันอาจจะพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง

หลายๆครั้งอาการหน้างุ้มหน้างอของภูเกิดขึ้นเพราะผมเล่าเรื่องที่คุยกับติณให้ฟัง เขามักจะแสดงออกว่าไม่ชอบที่ติณพูดแบบนั้น แต่พอเจอหน้ากันพวกเขาก็พูดจากันปกติดี ติณไม่ได้เขม่นภูเรื่องที่ขายฝันให้สิปปกรจนเพ้อไปหลายวัน ส่วนภูเองก็ไม่แสดงอาการอะไรให้ติณไม่พอใจ แต่คนเรามีเซนส์ในเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว เพียงแค่ไม่รู้สาเหตุว่าทำไม บางทีอาจเป็นเพราะภูสปอยล์ผมมากเกินไปก็ได้

เวลาล่วงเลยหลายสัปดาห์ เรื่องคอนโดก็หายไปจากสมองราวกับไม่เคยมีอยู่เพราะผมมีเรื่องมากมายที่ต้องทำเหลือเกิน เครื่องเขียนที่สั่งไว้มาส่งแล้ว ผมกับติณวุ่นวายอยู่กับการจัดร้านใหม่เพื่อแยกระหว่างโซนขายหนังสือกับเครื่องเขียนออกจากกัน การมีอยู่ของมันทำให้ร้านหนังสือไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเคย แต่นี่คือความจริงอันโหดร้าย ความจริงที่ว่าร้านหนังสืออิสระไม่สามารถอยู่ได้เพราะขายหนังสือเพียงอย่างเดียว เราต้องดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อหารายได้เสริมมาพยุงกิจการให้อยู่รอด สัปดาห์แรกของการวางขายเครื่องเขียน ติณณภพเรียกผมไปคุยที่ห้องเพื่อบอกว่าไอเดียของสิปปกรเพิ่มกำไรให้ร้านถึงห้าพันบาทภายในหนึ่งสัปดาห์

“ไม่ได้ขายดีแบบเทน้ำเทท่า แต่ขายได้เรื่อยๆ” ติณดูพออกพอใจกับตัวเลขที่พนักงานบัญชีสรุปให้ “แล้วของที่มึงบอกว่าจะเอามาขายร่วมกับเครื่องเขียนคืออะไรนะ?”
“โปสการ์ดกับกระเป๋าผ้า” ผมบอกเขา ไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าไอเดียนี้จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือเปล่า ติณพยักหน้าพลางครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ โปสการ์ดคงเป็นเรื่องที่น่าลงทุนพอสมควร แต่กระเป๋าผ้านั้น –
“เอาแค่โปสการ์ดก่อนก็แล้วกัน” ติณตัดสินใจแล้ว “ช่วงนี้มึงเป็นไงบ้าง?”
“อะไรคือเป็นไงบ้าง?”
“งานแปลยังมีเข้ามาเรื่อยๆใช่ไหม?”
“อืม” ผมขานในลำคอ เริ่มคิดถึงความฝันที่หล่นหายของตัวเองอีกครั้ง “เดือนหน้าอาจจะได้แปลหนังสือเรื่องใหม่ ยังไม่ได้เซ็นสัญญาหรอกนะ อยู่ในช่วงคัดเลือกน่ะ กูเพิ่งส่งตัวอย่างแปลให้สำนักพิมพ์พิจารณา”
“ดีแล้ว ขอให้รวยๆเฮงๆ โด่งดังไวๆ” ติณยิ้มหน้าบานด้วยแววตาเป็นประกาย “กับหมอหมา --”

เสียงโทรศัพท์ขัดจังหวะ ติณณภพจึงเอื้อมตัวหยิบสมาร์ทโฟนบนโต๊ะแล้วกดรับสาย ผมไม่รู่ว่าปลายสายคือใครแต่เดาเอาว่าน่าจะเป็นข่าวดีมากๆจนเจ้าของร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งไม่สามารถเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ได้ ติณเอาแต่พูดว่าจริงเหรอครับ ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆเลยครับ จะไปเดี๋ยวนี้เลยครับ และวางสาย หลังวางสายเขาก็ตะโกนเสียงดังออกมาด้วยความดีใจว่าตำรวจจับโจรงัดร้านได้แล้ว ของบางชิ้นถูกขายออนไลน์ แต่เครื่องทำกาแฟหลักแสนยังอยู่ที่บ้านโจรเพราะมันไม่รู้จะปล่อยให้ใคร

ชั่ววินาทีนั้น ผมยิ้มกว้างออกมาด้วยความรู้สึกโล่งอกเป็นครั้งแรก เราสองคนกระโดดโลดเต้นในห้องนอนเหมือนสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน เปล่งเสียงร้องด้วยความยินดีเมื่อรู้ว่าเราอาจจะได้เครื่องทำกาแฟราคามหาโหดคืน หลายเดือนที่ผ่านมาเราต่างร้อนรุ่มกลุ้มใจกันมาก ลำพังเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นยังพอเก็บเงินซื้อคืนได้ มีเพียงแค่เครื่องทำกาแฟสองหัวเท่านั้นที่ติณณภพซื้อใหม่ไม่ไหว

“ไปโรงพักเป็นเพื่อนกูหน่อย”

ติณณภพขอร้อง ผมตอบทันทีว่าได้สิ แน่นอน เราจะไปโรงพักด้วยกัน วันนี้เป็นอีกวันที่ยุ่งวุ่นวายแต่โดยภาพรวมถือว่าเป็นวันที่ดี ติณและผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุขแถมยังพูดคุยด้วยความผ่อนคลายมากขึ้น กำแพงแก้วหายไปแล้ว ความโกรธของติณจางลงไปแล้ว เรากลายเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่มีเรื่องหรือเข็มตำในใจเหมือนเคย หลังเสร็จธุระที่สถานีตำรวจ ติณณภพถามว่าควรซื้ออะไรไปฉลองที่ร้านซักหน่อยดีไหม ผมไม่มีความเห็นอื่นจึงเสนอพิซซ่า เพราะพิซซ่าเป็นอาหารราคาประหยัดสำหรับปาร์ตี้

“มึงไม่ชอบพิซซ่า” ติณพูดขึ้นขณะขับรถกลับร้านกู้ด รี้ดดิ้ง “กินสิ่งที่อยากกินเถอะ”
“ไม่มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษ”
“งั้นเหรอ” เขาพึมพำและเงียบไป “ไก่ทอดไหม?”
“ถ้าทุกคนที่ร้านโอเค กูก็โอเค”
“งั้นไก่ทอดแล้วกัน”
 
ติณยิ้มก่อนจะหยิบโทรศัพท์โทรหาพนักงานที่เฝ้ากู้ด รี้ดดิ้ง พวกเราทุกคนตื่นเต้นและดีใจมากๆเมื่อวันนี้เจ้านายจะถือโอกาสฉลองล้างซวยด้วยการสั่งอาหารมาเลี้ยง น้ำเสียงของพนักงานทุกคนมีแต่ความยินดีราวกับเราเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ พวกเขาเสนอตัวออกไปซื้อน้ำอัดลมและน้ำแข็ง เตรียมจัดแจงร้านเพื่อฉลองหลังเลิกงาน เมื่อวางสาย ติณณภพก็หันมายิ้มอีกครั้งด้วยแววตาที่เปี่ยมประกายในรอบหลายเดือน

“คราวนี้เราสองคนก็จะได้เลิกเป็นผีเฝ้าร้านเสียที” เขาหัวเราะขำ “กูกับมึงไม่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกันนานแค่ไหนแล้ววะ?”
“ไม่รู้สิ” ผมยิ้ม “ปกติเราก็ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้ว”
“ก็จริง” ติณพยักหน้า “เราน่าจะจัดทริปไปไหนซักที่ที่ไกลๆ ไปทะเล ไปเที่ยวภาคเหนือ ไปร้านอาหารอร่อยๆต่างจังหวัด” เขาเริ่มวาดทริปในหัวของตัวเอง “คงจะดีถ้าได้พักซักหน่อยหลังเจอเรื่องเครียดๆมานาน”
“นั่นสิ” ผมตอบได้แค่นั้น
“จะชวนใครไปบ้าง?”

ผมหันมองเพื่อนสนิทเป็นเชิงถามว่าเอาจริงเหรอ เราจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกันจริงๆงั้นเหรอ เมื่อเห็นติณณภพไม่แย้งอะไร ผมจึงตอบไปว่าไม่รู้เหมือนกัน ผมเป็นคนเพื่อนน้อย นอกจากติณกับภูก็ไม่รู้สึกสนิทกับใครอีก

“มึงกับหมอหมาถึงไหนแล้ว” ติณณภพถามตรงๆโดยไม่อ้อมค้อม “เป็นแฟนกันหรือยัง?”

ผมไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทคาดหวังที่จะได้ยินคำตอบแบบไหน ผมยังกังวลอยู่ว่าหากพูดความจริงออกไปติณอาจจะไม่ชอบภูมากขึ้น หรือไม่ก็การกระทำเล็กๆน้อยๆที่เกิดจากความผิดพลาดของผมอาจทำให้เพื่อนสนิทระแคะระคายมากกว่าเดิม ชั่วขณะหนึ่งผมลังเลที่จะบอก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดความจริงออกไปเพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ ติณณภพก็คือคนที่ผมไว้ใจมากที่สุดเสมอ

 “คบกันแล้ว”

ผมตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับอับอายที่ต้องพูดมันออกมา ติณณภพยังคงนั่งหลังตรงในท่าขับรถ ตาจ้องมาที่ผมครู่หนึ่งก่อนที่ริมฝีปากจะคลี่ยิ้ม 

“กูจะไม่ทำให้ร้านเสียหาย”
“ไม่หรอก ไม่เกี่ยวกัน” ติณพูด “มึงก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง”
“งั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“หมายความว่าหลังจากนี้ถ้ากูไปหาภูบ่อยๆ มึงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
“กูไม่ได้ล่ามโซ่มึงเอาไว้นี่” เขาหัวเราะเสียงดังลั่น และถามว่าทำไมถึงคิดว่าติณณภพจะต้องไม่พอใจหากสิปปกรไปค้างที่คลินิกของคนรักด้วย “ไปสิ”
“ไปไม่บ่อยหรอก อาจจะอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง”
“สาบานทีเถอะว่าไอ้หมอหมาไม่ใช่ตัวยุให้มึงซื้อคอนโดเพื่อเป็นรังรัก?”
“เปล่าหรอก” ผมพึมพำและมองวิวนอกกระจกรถ “กูก็ไม่คิดจะอยู่กับภูเหมือนอยู่กับชวินทร์”
“ทำไม?”
“ยิ่งรู้จักมากก็ยิ่งรักน้อยลง” ผมตอบ “บางทีถ้าเราอยู่ด้วยกัน ภูอาจจะไม่ชอบอะไรบางอย่างในตัวกูก็ได้ หรือไม่กูอาจจะรู้อะไรๆแล้วรับไม่ได้ก็ได้”
“เรื่องอะไรๆคือเรื่องอะไร?”
“ไม่รู้สิ ภูดู – ความลับเยอะ”
“หมายถึงมีกิ๊กเหรอ?”
“ไม่แน่” ผมเหยียดยิ้มพลางนึกถึงเพื่อนๆที่คอมเม้นต์ในสเตตัสคืนก่อน ในบรรดาคนที่มาร่วมแสดงความยินดี อาจจะมีกิ๊กของภูรวมอยู่ก็ได้
“ไม่ดีเหรอ? ยิ่งรู้ข้อเสียเร็วก็ยิ่งตัดใจง่าย”
“แต่กับคนนี้กูไม่อยากเลิก” เราสองคนเงียบใส่กันครู่ใหญ่ “ภูดีมาก ดีเกินไป ดีจนไม่รู้ว่าต้องตายอีกกี่ชาติถึงจะได้เจอผู้ชายแบบนี้ ภูน่ารักมากจนกูอายตัวเอง”
“ไม่เห็นน่ารัก เบ้าหน้าก็งั้นๆ”
“มองในมุมของมึงเขาก็เป็นแค่หมอหมา แต่ในมุมของกู ภูเหมือนหมาโกลเด้นตัวใหญ่ที่ขี้อ้อนมากๆ มึงลองคิดภาพตามดูนะ ไม่ว่าจะเจอหน้ากันอีกกี่ครั้ง ภูก็จะยิ้มด้วยรอยยิ้มแบบนั้น แล้วก็กระดิกหางสายก้นเพราะดีใจที่เราได้เจอกัน”
“ชอบมันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็ – อืม ชอบแหละ” ผมยอมรับตามตรง “ภูเป็นคนน่ารักที่สุดเท่าที่กูเคยเจอ”

ติณขานรับในลำคอและหันไปจดจ่อกับการขัดรถต่อ ส่วนผมรู้สึกโล่งราวกับได้สารภาพบาป ทั้งๆที่การบอกเพื่อนสนิทว่ากำลังอยู่ในห้วงรักกับใครซักคนนั้นไม่ควรคิดหนักถึงขั้นรู้สึกเหมือนมีหินถ่วงอยู่ในอก ผมคงใช้ชีวิตโดยรับฟังคำแนะนำจากติณมานานเกินไป หรือไม่ก็อยู่อย่างสะดวกสบายเพราะได้รับการช่วยเหลือจากเขามามากจนเกรงใจ ดังนั้นตอนที่ได้เห็นกับตาว่าติณณภพไม่มีปัญหาหากสิปปกรจะมีความรัก ผมก็รู้สึกว่าตัวเองได้ก้าวข้ามกำแพงไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว

“อย่ากลายเป็นเหมือนตอนรักชวินทร์อีกนะ” จู่ๆติณณภพก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “อย่าคลั่งรักแบบนั้น อย่าลดคุณค่าของตัวเองด้วยการคิดว่ามึงไม่ดีพอที่จะรักใคร”
“กูตอนมีความรักมันดูแย่มากเลยหรือไง?”
“ไม่ได้แย่หรอก มึงรับมือกับอาการอกหักได้ไม่ดีเท่าไหร่เพราะมึงไม่เคยรักตัวเองเลย เวลาผิดหวังจากความรักทีไรมึงมักจะโทษตัวเองก่อนทั้งๆที่บางครั้งความรักมันก็แค่ใช่กับไม่ใช่ ในเมื่อเข้ากันไม่ได้ก็ต้องเลิก แค่นั้นเอง ไม่ใช่ความผิดของใคร” ติณว่า “กูไม่ว่าหรอกนะถ้ามึงจะมีแฟนใหม่ แค่ไม่อยากเห็นมึงนั่งทำงานทั้งน้ำตาอีกเท่านั้นแหละ”
“เออน่า” ผมพึมพำและเหยียดยิ้ม “ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ มึงจะปลอบใจกูเหมือนสมัยคบกับชวินทร์ไหม?”

ติณณภพเลิกคิ้วประหลาดใจก่อนจะหัวเราะ “แน่นอน” เขายืนยัน “ก็ต้องปลอบใจอยู่แล้ว” ติณหันหลับไปมองถนนดังเดิม ระหว่างทางกลับบ้านที่มีแค่เพียงเพลงจากคลื่นวิทยุ เราสองคนไม่พูดอะไรอีกนอกจากใช้เวลาช่วงนั้นไปกับการครุ่นคิดอยู่ในโลกของตนเอง





TBC


____________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก


สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ รอวันจันทร์หรรษาไม่ไหวเพราะสัปดาห์นี้เราเลิกงานหกโมง ขอมาพบกับทุกคนก่อนกำหนดนะคะ

หลังจากนี้เราจะปรับลดจำนวนคำต่อตอนให้เหลือประมาณ 3000-5000 คำเพื่อที่จะได้มาเร็วขึ้น และเนื้อหาไม่ยาวจนเกินไป ขอขอบคุณทุกคนจากใจจริงค่ะที่ติดตามและสนับสนุนเรามาโดยตลอด หลายสัปดาห์มานี้เรามีแต่เรื่องที่ไม่ค่อยสบายใจ แต่ทุกครั้งก็จะพยายามคิดถึงนิยายและกำลังใจจากทุกคนเพื่อให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ ทุกคนช่วยชีวิตเราไว้ ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่ติดตามอ่านเรื่องนี้รวมถึงมอบความรักเป็นฟี้ดแบคและโดเนทให้คนอย่างเรา เราเองพูดไม่เก่ง แต่รู้สึกขอบคุณจากใจจริงค่ะ

หากคุณนักอ่านมีข้อติชมหรืออยากให้ปรับปรุงอะไร สามารถคอมเม้นต์หรือ dm มาแจ้งได้เสมอนะคะ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะโกรธเลยค่ะ เรายินดีปรับปรุงเพื่อให้งานเขียนออกมาดีที่สุด มันอาจจะมีช่วงที่สะดุดหรือตะกุกตะกักบ้าง แต่เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้นิยายที่เราเขียนมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และสร้างความสุขให้ทุกคนได้มากที่สุดค่ะ ขอบคุณที่ติดตามกันมาเสมอนะคะ ขอให้คุณมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงค่ะ

ปล. คุณสองจองคิว commission ปกแล้วค่ะ ไม่ว่ายังไงเราก็ตั้งใจไว้ว่าอยากรวมเล่มนิยายเรื่องนี้ รอติดตามรายละเอียดพร้อมกันปลายปีนะคะ

ด้วยรัก
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [14] 28/06/2020
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 09-07-2020 23:56:09
สนุก
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [15] 27/07/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 27-07-2020 20:45:53
17 [PART 1/3]


คุณไม่รู้หรอกว่าผมคลั่งรักได้มากแค่ไหน ที่บอกว่าเจ็บปวดจนเข็ดขยาดความรักเพราะชวินทร์น่ะ ไม่สามารถทำให้อาการคลั่งรักของผมลดน้อยลงเมื่อคนคนนั้นคือภู

ผมไม่ได้คลั่งรักออกอาการ ไม่ถึงขนาดโพสต์ต์รูปภูลงโซเชียลมีเดียอวดใคร คุณไม่เข้าใจว่าอาการคลั่งรักหลบในมันเป็นยังไง มันคืออาการอยากอยู่ใกล้ชายผู้เป็นที่รักตลอดเวลาแต่ไม่เคยบอกเขา ทุกวินาทีที่หายใจเข้าออกก็มีเพียงเขาแต่ไม่พูดให้อีกฝ่ายได้ยิน แม้กระทั่งทัศนคติต่อชีวิตก็เปลี่ยนไป ไม่มีอนาคตอื่นใดจะดีไปกว่าการที่เราได้ครองคู่ด้วยกันอีกแล้ว ผมรักภู ผมคิดถึงภู ผมอยากกอดภู ผมอยากให้เราตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกันทุกเช้า อยากให้เขากระซิบบอกรักซ้ำไปซ้ำมายามที่เราร่วมรักกันสุดเหวี่ยง ผมอยากกอดรัดเขาให้จมอก อยากหอมแก้มเนียนใสของเขาจนช้ำ อยากลูบหัว จุมพิตบนหน้าผาก บอกราตรีสวัสดิ์และห่มผ้าให้ ผมอยากบอกภูใจแทบขาดว่าเขาเป็นเหมือนกล่องดวงใจของผม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะล้มเหลวในชีวิตอีกกี่ครั้ง ขอแค่มีภูอยู่ด้วย ความสุขชั่วชีวิตของผมก็คงยืนนานราวกับนิรันดร์

ความรักมันน่ากลัวอย่างนี้นี่เอง หลายเดือนก่อนคุณอาจจะบอกว่าตัวเองไม่พร้อมมีใคร แต่ไม่กี่สัปดาห์ถัดมาคุณก็เต็มใจโอบรับคนๆหนึ่งเข้ามาในชีวิตโดยไม่มีเหตุผล จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมยอมเปิดใจคือเรื่องคอนโดมีเนียม ผม – ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใดเลย ไม่ต้องการเงินทองสนับสนุนเพื่อสานฝันให้เป็นจริง ผมแค่ต้องการใครซักคนที่ไม่เหยียบย่ำความฝัน ไม่หัวเราะเยาะเย้ยเมื่อผมบอกว่าต้องการหรืออยากครอบครองอะไร และในเมื่อคนคนนั้นคือภู มีเหตุผลอะไรที่จะไม่โอบกอดผู้ชายคนนี้เอาไว้ด้วยความรัก จริงไหม?

เราไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อย ประมาณสามวันต่อสัปดาห์คือค่าเฉลี่ยที่ผมและภูได้ค้างร่วมกัน เราจะสลับไปหากันตลอด ภูจะขับรถมาจอดรอแถวบีทีเอสโดยไม่เคยปล่อยให้ผมเดินเท้าหรือนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปถึงคลินิก บ่ายวันหนึ่งที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ภูแนะนำผมให้รู้จักกับแมวจรที่เขาเคยเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน

“น้องแมวดำยังหาบ้านไม่ได้เลย” ภูบ่นพึมพำหน้ากรงพลางทอดสายตามองแมวหางด้วนที่กำลังเลียขนตัวเอง “ภูรับเลี้ยงไม่ได้หรอกนะ ชานมไม่ชอบแมวน่ะ” เขาพูดราวกับรู้ว่าผมกำลังจะเสนอความเห็นยังไง
“ผมไม่ได้บอกให้คุณเลี้ยงเสียหน่อย”
เขายิ้ม “แล้วไป เวลามีเคสแบบนี้ทีไร คนอื่นชอบบอกให้หมอรับเลี้ยงเองทุกที”
“นั่นสินะ พวกเขาคงคิดว่าการรับเลี้ยงสัตว์เพิ่มอีกซักตัวคงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของคุณหมอร่วงหรอก”
“อืม แต่พวกเขาลืมนึกไปว่าหมอเองก็ต้องกินต้องใช้ พื้นที่คลินิกก็มีจำกัด แถมหมาแมวใช่ว่าจะอายุสั้นสองสามปีก็ตายเสียหน่อย จะเลี้ยงในอ่างเหมือนปลาทองก็ไม่ได้ แมวมันชอบวิ่งเล่นเหมือนคนนั่นแหละ”

ภูมองหางกุดอย่างจนปัญญา แมวอาภัพตัวนี้แข็งแรงดีแล้วแต่ยังไม่มีใครแสดงตัวเป็นเจ้าของ ไม่มีใครประสงค์จะรับมันไปเลี้ยงด้วย มันจึงนอนแกร่วในกรงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยไม่ออกไปไหน เจ้าแมวดำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความอัปมงคลก็แสนเจียมตัว ไม่เคยเปล่งเสียงร้องขอออกนอกกรงเลยซักครั้ง มันเลียขนทำความสะอาดตัวเอง กะพริบตามองและหันหัวตามเมื่อสิ่งมีชีวิตเดินผ่านหน้ากรง จากนั้นก็นอน กิน ทำความสะอาดตัวเอง นอน กิน และทำความสะอาดตัวเอง วนเวียนอยู่อย่างนั้น ผมมองเจ้าแมวดำแล้วจู่ๆก็คิดถึงตัวเอง แมวสีดำหน้าตาธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจ เวลาหาบ้านมักจะเป็นตัวสุดท้ายที่ถูกเลือก หรือไม่ก็ไม่ถูกเลือก

“ถ้าผมมีคอนโดเป็นของตัวเอง ผมคงเลี้ยงมัน” ผมย่อตัวลงหน้ากรง หางกุดหยุดเลียขนและเงยหน้ามอง ดวงตาของมันเป็นสีดำวาวเหมือนเม็ดลำไย มันมองเราสองคนครู่ใหญ่ก่อนจะกลับไปง่วนกับการทำความสะอาดตัวเองต่อ “ตัวผู้หรือตัวเมีย?”
“ตัวเมีย” ภูตอบ
“มันควรมีชื่อเล่นนะ” ผมใช้นิ้วเคาะกรง เจ้าแมวหยุดเลียขน ปรายตามองด้วยความไม่ชอบใจเมื่อพื้นที่ส่วนตัวแคบๆของมันกำลังถูกรุกราน “ชื่ออะไรดีล่ะ?”
“จิจิ”
“แมวของแม่มดน้อยคนนั้นสินะ” ผมส่ายหน้า “มีชื่อที่ดีกว่านี้ไหม?”
“มาร์กาเร็ต”
“โอ้ – มาร์กาเร็ตคนไหนดีล่ะ?” ผมเย้าแหย่ เพราะรู้ว่าภูจำนามสกุลนักเขียนคนโปรดของผมไม่ได้แน่ๆ
“มาร์กาเร็ต ป๊อปคอร์น”
“แมวตัวนี้คงอร่อยน่าดู แมวรสช็อกโกแลต” ผมหัวเราะก่อนจะถ่ายรูปมาร์กาเร็ตที่กำลังใช้ตาลำไยจ้องเราด้วยความสนใจใคร่รู้ “ติณน่าจะชอบแมว” ผมส่งรูปมาร์กาเร็ตให้ติณ “ถ้าติณอนุญาตให้เลี้ยง บางทีมาร์กาเร็ตคงเป็นของผม”
“จริงเหรอ?” ภูยิ้มด้วยความดีใจ “สองเป็นทาสแมวเหรอ?”
“เปล่าหรอก ผมเป็นทาสคุณ ผมเป็นทาสที่ถูกมัดบนเตียง”
“ไม่จริง” ชายผู้เป็นที่รักย่นหน้า “ภูต่างหากที่เป็นทาสสอง เป็นทาสรักของสอง”
“เหรอ? ว่ายังไงล่ะเจ้าทาส วันนี้จะมัดเจ้านายของตัวเองจนขึ้นรอยอีกหรือเปล่าล่ะ?”
“ขึ้นอยู่กับว่าเจ้านายทำตัวแบบไหน” ภูพูดเสียงเบาลงและโน้มตัวเข้ามาใกล้ “เจ้านายดื้อไหมครับ?”
“ไม่ดื้อครับ” ผมกระซิบบอก “เจ้าทาสล่ะ?”
“ทาสก็ไม่ดื้อครับ ทาสรักแค่เจ้านายคนเดียว”
“ขนลุก เราเลิกกระซิบกระซาบหรือทำตัวแบบนี้ต่อหน้ามาร์กาเร็ตเถอะ เดี๋ยวมันใจแตก” เราหัวเราะจังหวะเดียวกับที่ติณส่งข้อความมาพอดี “ดูเหมือนว่าจะมีคนชอบมาร์กาเร็ตนะ ติณถามว่าจะเลี้ยงที่ไหน” ผมครุ่นคิดและพิมพ์ตอบกลับไป “ก็ร้านหนังสือไง ไอ้เบื๊อก”
“พิมพ์แบบนั้นมาร์กาเร็ตได้เป็นแมวจรตลอดไปแน่ๆ”
“ติณไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอก ผมรู้” ผมลุกขึ้นยืน มาร์กาเร็ตช้อนตามองเรา มันไม่อยากให้เราทิ้งมันไปแต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงร้องใดๆ “หรือมันเป็นแมวใบ้?”
“ไม่นะ พี่ส้มเคยได้ยินมันร้องอยู่สองสามครั้ง” ภูยืนยันว่ามาร์กาเร็ตไม่ใช่แมวพิกลพิการอะไรนอกจากหางขาด “ไปกันเถอะ”

ภูโอบไหล่ผมให้เดินออกไปโถงหน้าคลินิก จังหวะที่หมุนตัว มือซุกซนของเจ้าโกลเด้นก็ค่อยๆลูบผ่านหลังไปถึงสะโพกก่อนจะบีบก้นผมเต็มแรง เพี๊ยะ! ผมตีมือของภูและถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง

“ถ้าแม่คุณเห็นจะว่ายังไง”
“ช่วยไม่ได้ ก็อยากแอบดูกล้องเอง”

เขาส่งยิ้มกวนประสาท ดูไม่เกรงกลัวกับคำพูดของภีมที่แซวว่าคุณแม่จะยึดของภูทีละชิ้น ทีละชิ้น แต่จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่พบว่าของรักของเขาหายไป พวกอุปกรณ์ไอทียังอยู่ครบ คลินิกดูปกติดี หมอจ๋อมแจ๋มยังไม่โดนไล่ออก บีเอ็มดับเบิลยูที่คุณแม่ซื้อให้เป็นของขวัญหลังเลิกกับแฟนผู้ชายก็ยังจอดอยู่หน้าร้าน

“บางทีมันอาจเป็นช่วงลมสงบก่อนพายุมา” ผมเคยเตือนภูเมื่อเขาพูดอย่างย่ามใจว่าคุณแม่ไม่กล้าทำอะไรหลังเหตุการณ์ระเบิดอารมณ์คืนก่อน “แม่คุณอาจจะกำลังนับถอยหลัง หรือไม่ก็แค่รอเวลา”
“สองคิดมากเกินไปหรือเปล่า บางทีแม่คงปลงเพราะยังไงภูก็ไม่มีวันกลับไปคบกับผู้หญิงให้แม่ชื่นใจหรอก”
“คุณไม่สนใจผู้หญิงแล้วจริงเหรอ?”
“จริงสิ”

ภูยืนยัน ส่วนผมไม่แน่ใจนักเพราะในโซเชียลมีเดียของภูยังคงมีรูปแฟนเก่าทุกคนที่เป็นผู้หญิงอยู่ เขาไม่เคยลบและไม่เคยพูดว่าจะลบ ผมเองก็ไม่อยากถามหรือบีบบังคับให้ภูลบความทรงจำกับพวกเธอเหล่านั้น มันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเก็บรูปถ่ายเอาไว้ แม้ว่าบางครั้งบางทีผมอยากให้รูปตัวเองแทนที่รูปของพวกเธอ อยากให้ภาพที่อยู่ในเฟสบุ๊กเป็นภาพของผมบ้าง แต่ผมไม่เคยร้องขอให้เขาทำอะไรอย่างนั้น

“จริงๆนะภู ผมไม่อยากให้คุณท้าทายแม่เลย” ผมบอกเขา “ถ้าแม่คุณเอาจริงขึ้นมาจะว่ายังไง”
“ก็ดีสิ” ภูยิ้ม คราวนี้เป็นรอยยิ้มของเด็กอวดดี “อยากรู้จังว่าแม่จะยึดอะไรเป็นอย่างแรก”

ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา ภูอาจหลงคิดว่าความรักสามารถทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่มันไม่จริงเสมอไปตราบใดที่มนุษย์ยังต้องกินข้าวและจ่ายเงินเพื่อปัจจัยสี่ทุกวัน การดำรงชีวิตมีรายละเอียดยิบย่อยกว่านั้นมาก มากเกินกว่าเขาจะเข้าใจ

คนเราอยู่ได้หากปราศจากความรัก แต่อยู่ไม่ได้หากไม่มีเงิน

ยิ่งคนที่ไม่เคยพบความลำบากอย่างภูไม่มีทางรู้หรอกว่าการมีเงินไม่พอใช้แต่ละเดือนมันน่ากลัวแค่ไหน เขาไม่เข้าใจว่าการไม่มีรถยนต์ส่วนตัวนั้นน่าสะพรึงเพียงใด ระบบขนส่งสาธารณะของไทยเฮงซวยถึงขั้นทำให้คนเข้มแข็งร้องไห้เพราะแค้นใจมาแล้วหลายคน ภูไม่รู้หรอก – เพราะเขาไม่เคยต้องสัมผัสชีวิตอย่างนั้น และหากแม่ของเขายึดสิ่งอำนวยความสะดวกคืนจริงๆ ภูคงยอมใช้ชีวิตจำกัดจำเขี่ยอย่างผมไม่ได้ เขาเติบโตมาดีเกินไป ถูกเลี้ยงดูมาดีเกินกว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออีกหลายสิบปีด้วยความยากลำบากกับผู้ชายที่ไม่มีอนาคต ผมเดาได้เลยว่าความสัมพันธ์ของเราต้องจบลงแน่หากคุณแม่ของเขาเริ่มยึดจริงๆ และผมก็ต้องเสียใจจนกลายเป็นบ้าเพราะว่าผมรักเขามาก รักจนยอมทุกอย่าง รักจนคิดไม่ออกว่าจะอยู่ต่อไปยังไงถ้าชีวิตนี้ไม่มีภู หากวันนั้นมาถึง ผมจะสามารถกลับมาเป็นสิปปกรคนเดิมที่ไม่แยแสต่อความรักเหมือนเมื่อก่อนได้ไหมนะ? ผมไม่อยากจินตนาการถึงมันเลย




ผมไม่ได้คลั่งรักในทันทีทันใดหรอกนะ อาการคลั่งรักมันก่อตัวขึ้นช้าๆทุกนาทีโดยไม่ทันรู้ตัวเลยต่างหาก ภูแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมผ่านการใช้เวลาร่วมกันจนเคยชิน เขากลายเป็นอวัยวะชิ้นที่สามสิบสามซึ่งผมมอบความสำคัญให้มากกว่าหัวใจ เขาคือความรัก ความฝัน และอนาคตของผม

ภูเข้ามาอย่างแนบเนียน ค่อยๆหยั่งรากของความสัมพันธ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกเลยตั้งแต่มีเขา วันเวลาไม่น่าเบื่อเหมือนเคยเพราะการมีอยู่ของภู เขาแสดงออกเต็มที่ว่ารักและลุ่มหลงในสิปปกรจนโงหัวไม่ขึ้น และยังสามารถทำให้ผมเห็นว่าเราสองคนคลั่งรักกันได้มากแค่ไหน เราโหยหากันราวกับอีกฝ่ายคือสารเสพติด ถ้าไม่ได้คุย ไม่ได้เห็นหน้าผ่านวิดีโอคอลแล้วจะรู้สึกทุรนทุราย ถ้าไม่ได้กอดกัน จูบกัน หรือร่วมรักกันนานจนเกินไปเราทั้งคู่ต้องตายเพราะอาการขาดรัก ผมมั่นใจว่าเราจะตายจริงๆถ้าไม่ได้เจอกัน ดังนั้นเราจึงพยายามหาเวลาอยู่ด้วยกันให้บ่อยที่สุด ถ้าไม่ค้างที่คลินิกของภู ก็เป็นชั้นสามบนร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งซึ่งติณณภพอนุญาตให้เขาอยู่ที่นี่ชั่วครั้งชั่วคราว

หลายเดือนที่ผ่านมา ผมกลายเป็นสิปปกรที่มีความสุขมากขึ้นเพราะได้รับความรักและการเอาใจใส่ เราเข้ากันได้ดีมากในทุกเรื่องรวมถึงเซ็กส์ ภูทำ foreplay ออกมาได้ดี เขาให้เวลากับการเล้าโลมมากกว่าขั้นตอนอื่นตามที่ผมร้องขอ ภูใส่ใจในจุดนี้ ผมจึงตอบสนองเขาด้วยการตามใจเต็มที่หากมันไม่หนักหนาจนเกินไป นอกจากนี้เราต่างชื่นชอบแฟนตาซีและโรลเพลย์ที่เล่นกันไม่ซ้ำแบบ เรามีโลกที่อยู่กันเพียงลำพังสองคน โลกที่ผมสามารถเป็นกะหรี่ได้โดยไม่ถูกใครตัดสิน และภูก็ชอบมากจนเอ่ยปากขอให้เล่นบทบาทนี้บ่อยๆ บางครั้งผมก็เป็นอีหนู และบางที – ภูก็เป็นอีหนูของคุณสองเหมือนกัน

สิ่งที่ทำให้ผมหลงภูจนหัวปักหัวปำไม่ใช่เพราะเขาเอาเก่งหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ หากว่ากันตามตรง ภูยังมีหลายจุดที่ต้องปรับปรุงด้วยซ้ำ ภูต้องมัดให้หลวมกว่านี้ ต้องระมัดระวังไม่ให้เชือกหรือกุญแจมือเสียดสีเนื้อของผมจนได้แผล เขาต้องจำให้ขึ้นใจว่าจะไม่ยัดของเล่นหลายชิ้นเข้ามาในตัวผมรวดเดียวเพราะมันเจ็บ และจะไม่แตกใกล้ตาของผมเพราะหากน้ำของเขาเข้าตา มันจะทำให้แสบจนลืมตาแทบไม่ขึ้น เรามีหลายสิ่งอย่างที่กำลังเรียนรู้และพยายามปรับตัวเข้าหากันภายใต้เงื่อนไขสำคัญที่สุดคือ – เซ็กส์ต้องได้รับการยินยอมจากเราทั้งคู่

ผมต้องโอเคกับสิ่งที่ภูร้องขอ และเขาต้องยอมรับกติกาที่ว่าจะหยุดทุกการกระทำเมื่อผมพูด safe words แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดคือการดูแลหลังเซ็กส์ ภูจะกอดผม หอมแก้มผม และขอบคุณสำหรับเซ็กส์ยอดเยี่ยมที่สามารถเติมเต็มคนเอาแต่ใจอย่างเขาได้ไม่มีที่ติ ภูจะบอกรักและกล่าวถ้อยคำหวานซึ้งอีกนับร้อยว่าเขาชอบสิปปกรมากแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครเข้าใจเขา ไม่มีใครสามารถตอบสนองความต้องการและสัญชาตญาณดิบของเขาได้เท่ากับผมอีกแล้ว

“คุณชอบไหม?”

เขาโพล่งถามในคืนหนึ่งที่เราอยู่ด้วยกันบนชั้นสามของร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง ชอบอะไรล่ะ ผมถามกลับ เจ้าโกลเด้นแสนน่ารักยิ้มหวานก่อนจะปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าในชุดเสื้อครอปโชว์เอวกับกางเกงยีนสั้นกุด ขาของภูเรียวยาว เข่าขาวอมชมพูเหมือนผิวเด็ก รูปร่างสมส่วนเข้ากันกับเสื้อผ้าน้อยชิ้น ดูน่าโอบกอด น่าทะนุถนอม น่าสัมผัสและรัดให้จมอก ให้ตาย – ใครมันซื้อชุดนี้ให้คุณ ใครมันสั่งสอนให้คุณแต่งตัวแบบนี้กันนะภู

“ชอบไหมครับ?” เขาถามอีก ผมไม่ตอบนอกจากยิ้มด้วยความพึงใจ มองใบหน้าและรูปร่างชวนหลงใหลค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ผมที่กำลังนั่งบนเก้าอี้ทำงาน “ตอบหน่อยสิครับที่รัก”
“ชอบ” ผมจุมพิตตรงริมฝีปากและเริ่มสอดมือเข้าไปใต้ร่มผ้า กล้ามเนื้อของเขางดงามราวกับรูปปั้น กล้ามเนื้อที่เจ้าตัวทุ่มเทออกกำลังกายและคุมอาหารกำลังทำให้ผมคลั่ง “วันนี้มาแปลก”
“เหรอ” ภูงึมงำ “อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูน่ะ ชอบไหม? ชอบชุดที่ภูใส่ไหม?”
“ชอบสิ ผมชอบ” ผมพูดเสียงแผ่วเหมือนคนกำลังเพ้อ ภูคือผู้ชายคนเดียวในโลกที่สวมเสื้อผ้าแบบนี้แล้วไม่ทุเรศสายตา “ไม่มัดแล้วเหรอ?”
“ไม่” เขายิ้ม แลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองช้าๆ “วันนี้ผมจะเป็นเด็กดีของคุณ”
“อ่า --” ผมนึกขึ้นได้เมื่อเขาเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเอง “วันนี้น้องภูจะเป็นอีหนูให้ผมเหรอ?”
“ครับ” น้องภูกะพริบตา ดูเชื่องช้าและหวานเชื่อมราวกับมีน้ำตาลเคลือบ “วันนี้คุณสองอยากทำอะไรกับน้องภูครับ?”
“คุณสองจะไม่ทำอะไรน้องภูครับ คุณสองต้องทำงานส่งลูกค้า”
“พูดจริง?” เขามุ่ยหน้า อีหนูของผมจากไปแล้ว
“จริงครับ” ผมหอมแก้มภูแล้วหันกลับไปทำงานต่อ “ยังเหลืออีกเยอะเลย ให้คุณสองทำงานก่อนนะ”
“แต่วันนี้ภูอุตส่าห์มาค้างด้วยนะ”
“ผมรู้ ผมรู้ครับที่รัก” สุดที่รักของผมแก้มแดงเมื่อได้ยินสรรพนามที่ใช้เรียกเขา “ผมขอโทษแต่งานนี้ด่วนมาก และลูกค้าก็ยอมจ่ายแพงด้วย” ผมใช้มือประคองสองแก้มอย่างทะนุถนอม ภูงอนอยู่แค่ไม่กี่วินาที จากนั้นเขาก็ยอมสบตากันและพึมพำสั้นๆว่า
“เข้าใจแล้ว” ภูหอมแก้มผมก่อนจะเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กลายเป็นภูตัวน้อยในชุดนอนตัวโคร่ง ไม่เหลือเค้าโครงดาวยั่วซักนิด “พรุ่งนี้หลังภูเลิกงานที่คลินิก เราไปดูหนังกันนะ”
“ได้สิ”

ผมให้สัญญาและบอกราตรีสวัสดิ์ ชายที่ผมรักนอนคลุมโปงบนเตียง เขาเล่นโทรศัพท์อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหลับไปโดยไม่มีใครนอนข้างๆ โถ่ – ภูที่น่าสงสาร เขาอุตส่าห์รีบขับรถจากคลินิกมาหาผมที่ร้านหนังสือเพราะหวังว่าเราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน น่าเสียดายที่วันนี้ผมมอบอะไรให้ภูไม่ได้เลย แม้กระทั่งดินเนอร์ดีๆซักมื้อก็ให้เขาไม่ได้เพราะงานด่วนที่เพิ่งได้รับเมื่อตอนบ่าย หากผมแปลเสร็จก่อนเจ็ดโมงเช้า ผมจะได้ค่าตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วยชนิดที่ทำให้ชื่นใจไปอีกหลายวัน หลังได้เงิน ผมจะเก็บสะสมไว้เพื่อประกอบความฝันของตัวเองให้เป็นรูปเป็นร่าง

ทุกอย่างที่ผมทุ่มเทในตอนนี้ ก็เพื่อคุณหรอกนะที่รัก

เพื่อที่จะได้ทานอาหารดีๆร่วมกันกับคุณ ได้เดินเล่นในห้างไฮเอนด์ด้วยกันกับคุณ ผมจึงทำงานหนักเพื่อไม่ให้คุณต้องอับอายขายขี้หน้าที่มีแฟนแก่รายได้ต่ำ ที่รัก คุณเชื่อไหมว่าอีกหน่อยผมจะมีคอนโดเป็นของตัวเอง ผมจะทำให้ห้องนั่นเป็นรังรักของเรา เป็นที่ของเรา เป็นที่ที่คุณไม่ต้องระแวงว่าจะถูกใครแอบมองผ่านกล้องวงจรปิด ที่ที่ผมสามารถเปล่งเสียงครางได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่าติณณภพที่นอนอยู่ชั้นล่างจะได้ยิน อีกหน่อยผมจะดาวน์รถยนต์เพื่อขับไปหาคุณที่ทองหล่อ พาคุณไปเที่ยวต่างจังหวัด เมื่ออะไรๆพร้อมมากกว่านี้ เราซื้อบ้านกันนะที่รัก บ้านขนาดกลางซักหลังแถวชานเมืองที่ไม่ห่างไกลความเจริญและไม่ไกลจากคลินิกของคุณ เราจะซื้อบ้านเมื่อพ.ร.บ.นั่นผ่าน เราจะกู้บ้านร่วมกันและสร้างครอบครัวของเราโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครแย่งเอาสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกัน อาจฟังดูเหมือนผมวาดฝันไว้ใหญ่เกินตัว แต่เชื่อเถอะว่าความรักที่ผมมีให้คุณมันมากกว่านั้น รู้เอาไว้นะที่รัก ว่าผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณ ผมรักคุณจากใจจริง และจะทำทุกอย่างเพื่ออยู่กับคุณตลอดไป รอวันที่ความฝันของผมกลายเป็นจริงได้เลย – ภูผู้เป็นที่รักของผม


ต่อพาร์ท2 ข้างล่างเลยค่ะ :mew2:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [15] 27/07/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 27-07-2020 20:47:30
17 [PART2/3]

คุณรู้ไหมว่าคนรอบตัวบอกว่าเราเหมือนคู่ข้าวใหม่ปลามัน พวกเขาบอกว่าเราเหมือนคู่รักที่เพิ่งจดทะเบียนสมรสเมื่อหกเดือนก่อน ผมและภูเหมือนคู่สามีที่เพิ่งกลับจากฮันนีมูนหลังจบพิธีแต่งงานริมทะเล แม้แต่ติณณภพที่ไม่ค่อยสนใจถึงกับพูดว่าอาการคลั่งรักหลบในหายไปแล้ว เหลือเพียงแค่เราสองคนที่บ้าคลั่งในกันและกันเท่านั้น

ไม่เพียงแค่ภูที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของสิปปกร แต่ผมเองก็ได้ย่างเท้าเข้าสู่โลกและสังคมใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสเช่นเดียวกัน ภูทำให้ผมอยากเป็นสองในเวอร์ชันที่ดีขึ้น อยากเป็นสองที่ภูสามารถควงไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องอับอาย ผมจึงเปลี่ยนแปลงตัวเองเยอะมากเพื่อที่จะได้ “กลมกลืน” กับภูมากที่สุด ตอนนี้ผมเลิกสวมรองเท้าแตะไปข้างนอกกับภูแล้ว ผมไม่สวมกางเกงยีนเก่าๆเหมือนสมัยเฝ้าร้านกู้ด รี้ดดิ้ง ผมหันมาซื้อเสื้อผ้ามียี่ห้อ สวมรองเท้าหนังแทนรองเท้าผ้าใบเน่าๆ ผมยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพียงเพราะกลัวว่าภูจะอับอายหากต้องพาแฟนไปพบปะเพื่อนฝูง แม้ว่าภูจะไม่เคยพูดเรื่องนี้ ไม่เคยขอร้องให้ผมแต่งตัวดูดี แต่ผมก็ยังกังวลจนต้องถามเขาทุกครั้งก่อนออกจากร้านว่าวันนี้เราจะไปไหนกันบ้าง

ภูพาผมไปทุกที่ แต่ละที่ที่เขาไปก็จะมีแต่คนในระดับสังคมที่ชีวิตประจำวันไม่ได้เฉียดใกล้สิปปกรเท่าไหร่ ทั้งการพาชานมไปว่ายน้ำในสระที่มีแต่สุนัขราคาแพง การพาไปพบปะเพื่อนสมัยเรียนของเขาในร้านอาหารย่านทองหล่อ รวมถึงพาไปดินเนอร์มื้อพิเศษบนรูฟท็อปบาร์ ภูทำให้ผมได้รู้จักกับโลกของชนชั้นบนอีกครั้ง เผลอๆอาจจะได้เห็นสิ่งใหม่มากกว่าสมัยคบกับชวินทร์เสียอีก คนที่ผมพบเจอล้วนแต่งตัวสวยหล่อ ใช้สมาร์ทโฟนและข้าวของราคาแพง กระเป๋าใบละเป็นแสนคือเรื่องธรรมดา พวกเขาพูดคุยกันแต่เรื่องเที่ยวต่างประเทศ เรื่องหุ้น เรื่องการลงทุน และเงินๆทองๆที่ผมไม่เข้าใจ พวกเขาสามารถพล่ามได้เป็นชั่วโมงว่าเศรษฐกิจไทยจะไปในทิศทางไหน อสังหาฯจะราคาพุ่งหรือดิ่งลงเหวในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อนคนหนึ่งของภูบอกให้ผมอดทนรออีกหน่อยเพราะราคาคอนโดแถวทองหล่อที่ไม่ไกลจากคลินิกของเขาน่าจะดิ่งลงเหลือแปดหลักต้นๆ

แปดหลักต้นๆ –

ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติในประเทศนี้ ผมก็ไม่มีวันได้สัมผัสเงินก้อนนั้นหรอก

ผมได้แต่ยิ้ม ส่วนภูไม่พูดอะไร เขาไม่ได้บอกเพื่อนว่าผมเป็นแค่นักแปลกระจอกที่มีภาระต้องเลี้ยงดูอีกสี่ชีวิต ภูไม่บอกเพื่อนคนเก่งว่าแฟนของเขาต่ำต้อยด้อยกว่าเขาแค่ไหน คุณคงสงสัยว่าเพื่อนๆของภูไม่ระแคะระคายความเป็นสิปปกรหรือไง พวกเขาไม่รู้สึกได้ถึงความแปลกแยกของผมเมื่อต้องอยู่เคียงข้างภูงั้นเหรอ ผมคงต้องยอมรับว่าหลายๆครั้งเพื่อนของภูก็มองผมด้วยสายตาดูแคลน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีใครในบรรดาพวกเขาสามารถข่มผมได้คือหนังสือ

เพื่อนๆของภูล้วนอ่านหนังสือเป็นงานอดิเรก

พวกเขามีเงิน มีเวลาที่จะเข้าถึงงานเขียนดีๆหลายชิ้น พวกเขาเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องเรียนคณะอักษรศาสตร์เหมือนผม ดังนั้นเพื่อนๆส่วนใหญ่จึงมีโอกาสได้อ่านงาน(ที่เขาว่า)ดีและดังในหมวดต่างๆ หลายครั้งที่ผมได้ร่วมบทสนทนา ผมเพิ่งรู้ว่าในสายตาของบางคน พวกเขาเห็นหนังสือเป็นเครื่องมือแสดงออกถึงความฉลาด

ผมมองว่าการพูดคุยวรรณกรรมไม่ควรไปในทางอวดภูมิว่าฉันรู้จักนักเขียนคนนี้ ฉันรู้จักงานที่มีชื่อเสียง หรือไม่ก็งานดีๆที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป เพื่อนของภูหลายคนประเมินสิปปกรด้วยอะไรทำนองนี้อยู่บ่อยครั้งเมื่อรู้ว่าผมจบอักษรศาสตร์ สองรู้จักเรื่องนี้ไหม รู้จักนักเขียนคนนั้นไหม คิดยังไงกับเรื่องนี้ คิดยังไงกับเรื่องนั้น คุณว่ามันมีคุณค่าในแง่ไหน คุณคิดยังไงกับมัน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราอ่านหนังสือแล้วต้องคิด วิเคราะห์ แยกแยะ คุณไม่สามารถอ่านเอาสนุกเฉยๆได้หรือไง ใครมันกำหนดเรื่องนี้ขึ้นมา

“ผมว่า – เราว่า – มันดีมาก มันยอดมาก ลึกซึ้งมาก คาสึโอะ อิชิงุโระ เป็นนักเขียนที่ดีมาก เขาคู่ควรกับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมจริงๆ Never let me go คืองานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา โศกนาฏกรรมที่เศร้าสลดและอบอุ่นใจไปพร้อมกัน แต่ก็จะมีบางคนที่อ่านแล้วตีไม่แตกว่าอิชิงุโระต้องการสื่ออะไร บางคนบอกว่าอ่านแล้วไม่อิน อ่านแล้วเหมือนไดอารี่เด็กมัธยมที่ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่ได้ใกล้เคียงนิยายวิทยาศาสตร์แต่เป็นนิยายรัก”

เขาหัวเราะ เป็นน้ำเสียงของการเยาะเย้ยมากกว่าขบขัน

“ถ้ามองจากสายตาของคนที่ชอบอ่านนิยายน้ำเน่า ไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่รักงานเขียนเรื่องนี้ของอิชิงุโระ บางคนบอกว่าบรรยายเยอะจนน่าเบื่อ คนพวกนั้นคงไม่เข้าใจความงดงามของภาษา”
“เหมือนกันเลย!”

ผมโพล่งออกไป เพื่อนของภูคิดว่าผมเห็นด้วยกับความคิดของเขา แต่เปล่า ผมแค่เห็นด้วยว่าบางส่วนบางตอนของหนังสือมันก็ชวนง่วงเสียเลยเกิน ความตรงไปตรงมาของผมทำเอาภูหัวเราะร่วน

“ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี มันดีในแบบของมัน ดีสำหรับใครหลายๆคน แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เท่าเรื่องอื่นๆหรอกนะ ผมว่ามันคือนิยายที่ทำให้เราได้ขบคิดว่าหากวันหนึ่งโลกยอมรับให้มีการโคลนนิ่งมนุษย์จริง เราจะปล่อยให้แคธีและคนอื่นๆได้ใช้ชีวิตในฐานะ ‘มนุษย์’ หรือเป็นแค่อวัยวะสำรองที่ไม่มีสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง เพราะอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นด้วยที่จะจัดเรื่องนี้เข้าหมวดวิทยาศาสตร์เพราะตัวเรื่องไม่ได้ลงรายละเอียดการโคลนนิ่งเท่าไหร่ ส่วนเรื่องการบรรยายที่ยาวติดกันเป็นหน้า ไม่แน่ใจว่าคุณยังจำเนื้อหาได้ไหม ตอนที่แคธีเล่าย้อนไปถึงสมัยเรียน”
“อือฮึ”
“ผมหลับตั้งแต่สามบทแรก” ภูหัวเราะขำใหญ่ “แต่โครงเรื่องดีนะ มันชวนให้ตั้งคำถาม แต่หลักๆผมชอบความรักของแคธีกับทอมมี ผมไม่รู้สึกรำคาญรักสามเส้าอะไรนั่นเลย ผมกลับเข้าใจพวกเขาเสียด้วยซ้ำ”

เพื่อนของภูยิ้มบาง แต่เป็นรอยยิ้มเหมือนคนเสียหน้าเมื่อผมไม่คล้อยตามคำวิจารณ์ของเขา ฟังนะ ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการไม่อินหนังสือชื่อดังของนักเขียนชื่อดังเป็นเรื่องธรรมดา คุณไม่จำเป็นต้องชอบงานเขียนทุกชิ้นที่คนทั้งโลกอวยว่าดีนักดีหนา งานเขียนก็เหมือนอาหารที่คุณกินนั่นล่ะ คุณอาจจะชอบแนวนี้ สไตล์นี้ ใครใคร่กินอะไรก็สุดแท้แล้วแต่จะเลือก ไม่มีผิดถูกสำหรับความชอบส่วนบุคคล และต่อให้คุณอ่านเรื่องความรักของเจน แอร์ แล้วหงุดหงิดฉิบหายก็ไม่ใช่เรื่องผิด เหมือนที่ผมเคยเป็นแอนตี้ แฟนของเจนตอนสมัยเรียน มันไม่ได้แปลว่าคุณไม่ฉลาดหรือคุณรสนิยมไม่ดี คุณก็แค่ไม่ชอบมัน ไม่ชอบไม่ได้หมายความว่าคุณคือไอ้โง่ของจักรวาลเสียหน่อย

“ผมเองก็มีหลายเรื่องที่ชอบและไม่ชอบ อย่างเด็กคนนี้ชอบ Howl’s moving castle มาก แต่ผมอ่านแล้วเฉยมาก” ผมยกมือขึ้นโยกหัวภู เขาเอนตัวมาซบไหล่ของผมอย่างออดอ้อน เขากลายเป็นเด็กคนนี้ในบทสนทนา
“กูขอให้สองอ่านให้ฟังตลอดเลย” ภูพูดอวดด้วยความภูมิใจ “แปลจากอังกฤษเป็นไทยแบบหน้าต่อหน้า หาแฟนเป็นนักแปลสิ มึงจะไม่ลำบากเรื่องอยากอ่านนิยายแต่อ่านไม่ออก”
“เว่อร์แล้ว ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก”

ผมใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของเขา เราหัวเราะให้กันอย่างเข้าขา สมกับเป็นคนคลั่งรักสองคนที่ได้คบกัน ภูดูชื่นชอบเวลาได้ฟังผมคุยกับเพื่อนๆของเขาเรื่องหนังสือเป็นพิเศษ เขามักจะเท้าคางมอง พยักหน้ารับเรื่อยๆเหมือนเข้าใจ บางครั้งก็ส่งเสียงในลำคอ บางครั้งก็หลุดยิ้มราวกับผมคือความภาคภูมิใจส่วนตัวของภู และทุกครั้งเมื่อบทสนทนาของเราเข้าช่วงท้าย ผมจะย้ำกับทุกคนเสมอว่าหนังสือควรเป็นเรื่องทั่วไปที่ใครๆสามารถคุยได้ ตาสีตาสา คนหาเช้ากินค่ำ พนักงานรายวันที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำแค่สามร้อยก็สมควรได้รับโอกาสเข้าถึงหนังสือดีๆซักเล่ม ผมยืนยันว่าการอ่านหนังสือไม่ควรเป็นงานอดิเรกของคนมีเงิน

“ถ้าขึ้นค่าแรง เจ้าของธุรกิจก็พังกันหมดสิ” เพื่อนของภูหัวเราะเยาะเมื่อผมพูดว่าหนังสือในประเทศเราราคาแพงเกินไป “คุณสองจะทำยังไงเพื่อให้หนังสือถูกลงล่ะ? จะเรียกร้องขอให้รัฐเว้นภาษีอะไรอีก?”
“มันใช่หน้าที่ผมที่ต้องนึกหาคำตอบให้รัฐบาลเหรอครับ ถ้าผมต้องคิดขนาดนั้นนะ เราจะมีรัฐบาลไว้เป็นตุ๊กตาม้าลายประดับศาลเจ้าเหรอ เรื่องบางเรื่องมันไม่สามารถทำได้ในภาคประชาชน เราจำเป็นต้องมีรัฐบาลดีๆคอยสนับสนุนให้เราได้เข้าถึงสิ่งดีๆอย่างการศึกษาขั้นพื้นฐานและหนังสือเป็นต้น”

ผมยิ้มขณะตอบคำถามเพื่อนของภูแบบเดียวกับที่เคยตอบชวินทร์ เพียงแค่สุภาพมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเพราะบางครั้งการถกเถียงกับกลุ่มคนผู้ไม่เชื่อเรื่องสิทธิ์ที่เราควรได้รับจากรัฐก็ไม่สามารถพูดด้วยอารมณ์ได้ พวกเขาบอกว่าคนเราควรพูดคุยด้วยความสุภาพอย่างปัญญาชน โดยไม่ควรมีเรื่องของอารมณ์มาเกี่ยว

เปราะบางเหลือเกิน

พวกเขากล้าสั่งให้เราข่มความโกรธทั้งๆที่ระบอบมันเอารัดเอาเปรียบจนเราจนต้องอยู่กันด้วยคุณภาพย่ำแย่ขนาดนี้ พวกเขาเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องของเราโดยการโฟกัสแค่โทนเสียงที่ใช้พูดคุยถึงปัญหา มันหมายความว่ายังไงเหรอ? ผมต้องหมอบกราบพลเอกทั้งหลายที่เข้ามาเล่นการเมืองให้รับฟังปัญหา ต้องพูดจาสุภาพ ต้องเรียกร้องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานเพื่อขอร้องให้รัฐบาลเจียดงบประมาณที่แบ่งให้กองทัพมาช่วยเหลือประชาชนใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมก็เห็นว่าปัญญาชนโง่ๆมันสมควรโดนด่าจริงๆนั่นแหละ

“เผื่อคุณไม่รู้นะว่าการ provide*(จัดหา) สวัสดิการดีๆ คุณภาพชีวิตดีๆเป็นหน้าที่ของรัฐ ไม่มีประชาชนคนไหนต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่ออัปเกรดตัวเองจนหอบแดกขนาดนี้ คุณไม่รู้สึกว่ามันทุเรศเหรอ ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะ คุณว่ามันยุติธรรมกับเราทุกคนจริงๆเหรอ?”
 
เพื่อนของภูยิ้มพลางหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ ผมรู้ในทันทีว่าหมอนี่ไม่ชอบขี้หน้าผมจะแย่แต่ก็ต้องฝืนทำเป็นนั่งคุยต่อไปจนกระทั่งเพื่อนคนอื่นเดินทางมาถึง หลังจากนั้นเราจะปลีกตัวไปอยู่กันคนละมุม เขาจะไม่ยุ่มย่ามกับสิปปกรจอมขวางโลกอีก มีแค่ภูที่เดินข้างและคอยชวนผมคุยจนเหมือนเรามาเดทกันลำพังสองคน และทุกครั้งเมื่อกลับถึงห้อง ผมก็จะนึกขยาดการต้องออกไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อนของภูเข้าไส้ อาการต่อต้านในใจมันก็เผลอแสดงออกมาให้เขาเห็น ภูจึงเดินมากอดผมจากด้านหลัง เขาเกยคางลงบนไหล่อย่างออดอ้อนและขอร้องไม่ให้เก็บคำพูดของเพื่อนๆมาคิด

“คอนโดห้องละแปดล้านต้นๆเอง พูดออกมาได้ เฮงซวย” ผมแค่นหัวเราะ “คราวหลังคุณจะไปเจอเพื่อนก็ไปเถอะ ผมไม่รู้พาผมไปให้อับอายทำไม”
“ใครอาย? สองอายเหรอ?”
“เปล่า คุณนั่นล่ะที่จะอาย”
“ทำไมภูต้องอาย? ภูภูมิใจจะตายที่มีสองเป็นแฟน” เขายิ้มและจูบท้ายทอยของผม “ภูนึกว่าสองอยากให้พาไปเจอเพื่อนเสียอีก”
“เจอได้ แต่นานๆทีเถอะ บางครั้งบางทีผมก็แค่อยากไปเที่ยวไม่ได้อยากถกปัญหาเชิงโครงสร้างกับใคร ผมไม่อยากเป็นเครื่องจักรด่ารัฐบาลต่อหน้าเพื่อนของคุณ”
“แต่ภูชอบฟังเวลาสองพูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างนะ”
“ทำไม?”
“สองดูมีเสน่ห์มาก” เขาว่า “ตอนนั้นแววตาของสองจะแข็งขึ้นมาหน่อยนึง เวลาเพื่อนของภูพูดอะไรโง่ๆออกมา สองก็จะตบกลับเบาๆโดยไม่ต้องใช้คำหยาบ แล้วพวกมันก็จะหน้าหงาย เกลียดสองฉิบหายแต่เถียงอะไรไม่ได้ เพราะเรื่องที่สองพูดคือความจริง”
“คุณชอบเห็นผมทุบสลิ่มหรือไง?”
“ชอบม๊าก” ภูเน้นเสียง “เป็นสองในเวอร์ชันที่ภูชอบที่สุดเลย”
“ทำไมล่ะ?”
“สองจะดูมีความมั่นใจมากกว่าปกติ เหมือนจู่ๆสองก็ลุกพรวดขึ้นมาตอบโต้อะไรบางอย่างที่ไม่ยุติธรรม ดูเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ” เขาตอบ “ภูชอบสองที่เป็นสองจริงๆนะ ชอบที่สองเป็นแบบนี้ ชอบความคิด ชอบคำพูด เพราะงั้นหลังจากนี้ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อภูก็ได้ สองเป็นสองเหมือนเดิมนั่นแหละดีที่สุดแล้ว”

ผมหมุนตัวกลับไปหาเขา รู้สึกประหลาดใจที่ภูรู้เรื่องนี้ เจ้าโกลเด้นตัวน้อยแสนน่ารักส่งยิ้มบางมาให้ เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยหน้ามาที่ปรกตาออกให้ผมก่อนจะบอกว่าเขาสังเกตมานานแล้ว สังเกตมาซักระยะว่าผมกังวลกับรูปร่างหน้าตา ผมอายที่จะต้องถอดเสื้อโชว์พุงกะทิของตัวเองต่อหน้าเขา(ยกเว้นตอนเอา) อายที่สวมเสื้อยืดตัวเดิมๆกับกางเกงยีนและรองเท้าแตะเวลาไปไหนมาไหน ภูยกมือขึ้นลูบแก้มของผม แก้มที่มีรอยสิวประปรายและรูขุมขนกว้าง ภูบอกว่าเขาไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอกนะ ไม่สนใจเลยว่าผมจะแต่งตัวยังไงเพราะช่วงแรกที่เขาจีบผม เขาก็ชอบสิปปกรในแบบที่เป็นอยู่แล้ว

“เชื่อเถอะว่าสองมีเสน่ห์มาก” แววตาของภูทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนและตัวชาชั่วขณะ เขากำลังทำให้หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนวัยรุ่นกับรักครั้งแรก “ไม่ต้องฝืนตัวเองเพื่อภูหรอก ถ้าสองไม่ชอบไปเจอเพื่อนของภู สองไม่ต้องไปก็ได้ ที่ภูพาสองไปเจอทุกคนเพราะไม่อยากให้สองคิดว่าภูไม่ชัดเจน”
“ผมไม่น้อยใจหรอก ไม่น้อยใจซักนิด” ผมบีบแก้มของเขาด้วยความมันเขี้ยว รู้สึกโล่งใจที่เราได้คุยกันจริงๆจังๆเสียที “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีมากแล้วภู ผมไม่ได้ต้องการให้คุณถือโทรโข่งเพื่อประกาศเรื่องของเราเลย”
“เพราะสองชอบความเป็นส่วนตัวสินะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ผมแค่ไม่รู้ว่าจะบอกคนอื่นทำไม”
“ไม่เคยมีโมเม้นต์อยากอวดผัวบ้างเหรอ?”
“มีใครอิจฉาผมด้วยหรือไง?”

นั่นไม่จริง นั่นไม่ใช่ความจริงเลย ผมอยากอวดให้โลกรู้จะแย่ว่าแฟนของผมน่ารักขนาดไหน อยากจะทำป้ายไวนิลผืนใหญ่แขวนหน้าร้านกู้ด รี้ดดิ้งเสียด้วยซ้ำไป แต่ที่ผมไม่เคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อกับแม่ ผมยังไม่พร้อมตอนนี้ แม้อายุจะสามสิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าพร้อม ทุกครั้งที่คิดว่าต้อง come out เหงื่อก็ออกท่วมตัว มือไม้สั่น หัวใจเต้นเร็วเหมือนจะเป็นลม ผมไม่อยากให้วันนั้นมาถึงเลย ผมเคยอยากให้พ่อแม่ตายไปพร้อมกับความคิดที่ว่าลูกชายเป็นคนรักสันโดษมากกว่ารู้ว่าผมเป็นเกย์เสียด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่คนใกล้ตัวถามว่าพ่อแม่ไม่สงสัยบ้างหรือไงเพราะพฤติกรรมบางอย่างมันฟ้องว่าสิปปกรไม่เหมือนชายแท้ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง บางทีพ่อกับแม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวังที่ว่าตราบใดที่ลูกไม่สารภาพย่อมหมายความว่าลูกไม่ได้เป็นเกย์ ถึงน้ำหนึ่งจะรู้เรื่องนี้มาซักพักใหญ่แต่พี่สาวของผมรักพ่อแม่เกินกว่าจะพูดความจริง ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เคยมีคำตอบ ผมไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อไหร่คือจังหวะที่ดี บางทีมันอาจไม่มีวันนั้นด้วยซ้ำ อาจไม่มีวันที่ผมได้บอกความจริงกับครอบครัว แต่ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไรเพราะการมีอยู่ของผมไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อใครเท่าไหร่ ผมหวังแค่ว่าตัวเองจะมีความรักที่ดีและชีวิตที่ดี หวังแค่ว่าจะได้ครองคู่กับภูและอยู่ด้วยกันจนแก่ ผมหวัง – หวังจากใจจริงว่าจะไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดพรากเราจากกัน ผมอยากให้รักของเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เพราะความรักของภูคือสิ่งเดียว คือความสุขเดียวที่สามารถเยียวยาชีวิตแตกๆและไม่แน่นอนของสิปปกรได้


ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยค่ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [15] 27/07/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 27-07-2020 20:49:46
17 [PART 3/3]


ผมเดินลงไปชั้นล่างของร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง ที่นั่น บนโต๊ะไม้โอ๊คตัวใหญ่ซึ่งติณณภพกำลังนั่งทำงานมีมาร์กาเร็ตนั่งทับกระดาษและมองมาที่ผมด้วยแววตาเย่อหยิ่งตามประสาเจ้าหญิงแมว ผมตรงดิ่งไปลูบหัวของมัน มาร์กาเร็ตเบือนหน้าหนีก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะ เดินหายไปมุมอับลับสายตาราวกับรำคาญผมนักหนา ติณณภพเงยหน้าจากไอแพดก่อนจะมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“แต่งตัวแบบนี้จะไปไหน?”
“กินข้าวกับภู” ผมตอบและลากเก้าอี้มานั่งข้างเพื่อนสนิท “วันนี้วันครบรอบ”
“ร้อยวัน?”
“ควาย” ผมยกมือจะตบปากติณ “ครบรอบหนึ่งปี”
“เร็วจัง” มันพึมพำและกลับไปสนใจงานต่อ “ขอให้รักกันนานๆ”
“ขอบใจ”

ผมตอบ ใช้เวลาครู่ใหญ่ไปกับการนั่งในร้านหนังสือระหว่างรอภูขับรถมารับ หนึ่งปีที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนไปบ้างเหรอ ถ้าคุณถามถึงทรัพย์สินก็คงบอกได้แค่ว่าไม่เปลี่ยน ไม่มีอะไรเปลี่ยน ผมยังไม่ซื้อโปรแกรม Trados ยังไม่มีเงินดาวน์คอนโดเป็นของตัวเอง ไม่ได้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ผมยังอยู่ที่ร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งเหมือนเดิม รับงานแปลหนังสือและงานแปลจิปาถะอื่นๆเหมือนเดิม เงินเดือนพอใช้แบบจำกัดจำเขี่ยและมีคุณภาพชีวิตปานกลางเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีภูเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากหาเงินเป็นกอบเป็นกำเพื่อเริ่มสร้างอนาคตไปด้วยกัน

วันครบรอบหนึ่งปีมาถึงเร็วกว่าที่คิด ผมจำวันครบรอบของเราไม่ได้ถ้าภูไม่พูดขึ้นมา เขาน้อยใจเมื่อรู้ว่าผมละเลยวันสำคัญของเรา ผมจึงต้องสารภาพกับภูตามตรงว่าผมไม่เคยจำวันที่เราคบกันเลย มันปุบปับและไม่มีการวางแผน จู่ๆผมก็โพล่งขอเขาเป็นแฟนในคืนที่ช้ำใจเพราะไม่สามารถซื้อคอนโดเป็นของตัวเองได้ ภูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เขางอนผมอยู่พักใหญ่ก่อนจะกลับมาอีกครั้งด้วยการสั่งแกมบังคับว่าต้องทำตัวให้ว่าง เพราะคืนวันครบรอบเราจะไปดินเนอร์ด้วยกันและค้างที่โรงแรมหรูแทนที่จะเป็นชั้นสามของร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง

ภูบอกว่าเขาอยากมอบของขวัญเป็นดินเนอร์ดีๆที่รูฟท็อป บาร์ เขาไม่พูดอะไรมากกว่านั้นนอกจากบอกว่าจะพาผมไปสัมผัสกับวันคืนแสนพิเศษที่ลืมไม่ลง ดังนั้นวันครบรอบของเราจึงมีวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงเทพมหานครเป็นฉากหลัง บนโต๊ะมีอาหารเมนูนานาชาติและไวน์ราคาแพงที่คนอย่างสิปปกรไม่มีโอกาสได้ทานในชีวิตประจำวัน หลังดื่มกินจนเริ่มอิ่ม นักไวโอลินคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมบริกร เขาถือช่อดอกกุหลาบสีแดงและการ์ดที่เขียนด้วยลายมือยึกยือว่า

ขอบคุณครับสำหรับหนึ่งปีที่ผ่านมา หวังว่าปีหน้าและอีกหลายปีหลังจากนี้ ภูจะมีสองเสมอไปนะครับ รักสองมากๆ
ภู

ผู้คนในร้านเหลียวมองเราด้วยความอิจฉา สุภาพสตรีท่านหนึ่งแอบถ่ายคลิปตอนที่ภูรับช่อดอกกุหลาบจากบริกรแล้วส่งให้ผม เสียงกระซิบกระซาบทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าชายผู้ร่ำรวยความรักและเงินทองจนน่าอิจฉา บรรยากาศช่วงเวลานั้นเหมือนมีสปอตไลท์หลายตัวส่องมาทางนี้ ส่องมาหาสิปปกรผู้โชคดีที่มีคนรักทุ่มเททำเซอร์ไพรส์ได้ออกมาน่าจดจำและน่าประทับใจ เมื่อบริกรเดินจากไป ผู้คนเริ่มกลับไปสนใจอาหารในจานของตัวเอง ภูก็ยื่นของขวัญให้ผมหนึ่งชิ้นเป็นซองจดหมายขนาดปกติ ในนั้นคือตั๋วเครื่องบินที่พิมพ์ออกมาจากหน้าอีเมลและบันทึกการจองที่พักโรงแรมหรูชื่อดังในภูเก็ต

“เราจะไปภูเก็ตกันเหรอ?”

ผมถามและพลิกอ่านรายละเอียดในใบจองต่างๆ ไม่ผิดแน่ ตั๋วเครื่องบินมีชื่อของผม ที่พักในโรงแรมระบุไว้ว่าแขกจำนวนสองคน เรากำลังจะได้ไปภูเก็ตช่วงสิ้นปีนี้ ผมดีใจจนเก็บสีหน้าและอาการไม่อยู่ การนั่งเครื่องบินมันเป็นยังไงเหรอ ท้องฟ้าจากตรงนั้นจะสวยเหมือนที่มองจากบนพื้นดินไหม ผมยิ้มแก้มแทบปริเมื่อรู้ว่าเราจะได้ใช้ช่วงเวลาดีๆด้วยกัน แต่พอนึกได้ว่าต้องมอบของขวัญชิ้นพิเศษให้ภู จู่ๆผมกลับรู้สึกอายขึ้นมา

“ขอเป็นวันหลังนะ” ผมบอกภู เจ้าโกลเด้นเลิกคิ้วงุนงงไม่เข้าใจเพราะเขารู้อยู่ว่าผมซื้อของขวัญเตรียมไว้นานแล้ว
“ทำไมล่ะ?”
“อยากซื้อให้ใหม่”
“ไม่ต้องหรอก สองซื้ออะไรมาภูก็ชอบทั้งนั้น”

เขาให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มน่ารักเหมือนเคย แววตาของเด็กคนนั้นฉายแววตื่นเต้นจนผมเสียความมั่นใจมากกว่าเดิม ผมกลัวว่าหากเขาแกะห่อของขวัญ ความสดใสในแววตาคู่นั้นจะหายไปเพียงเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่ของมีราคา

“ก็ได้ ถ้าคุณไม่ชอบก็บอกตรงๆนะ ผมจะซื้อให้ใหม่”

ผมพูดพลางหยิบของขวัญออกมาจากถุง ของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษราคาหลักสิบดูไม่เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้ แต่ภูก็ยังแสดงออกว่าดีใจจนต้องรีบฉวยของขวัญนั้นมาถือไว้ด้วยสองมือของตัวเอง เขาค่อยๆบรรจงแกะกระดาษอย่างระมัดระวัง และเมื่อเห็นฟิกเกอร์พ่อมดฮาวล์ โซฟี และมาร์เคิล ภูก็ยิ้มกว้างจนตาปิด

“สอง!” เขาร้องด้วยความดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่น “ภูชอบมาก!” เขาพูดย้ำอีกครั้งพร้อมกับกอดกล่องฟิกเกอร์เอาไว้แนบอก “สองรู้ใจภูที่สุดเลย!”
“ดีใจที่คุณชอบนะ”

ผมยิ้ม เป็นรอยยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้เพราะกลัวภูจับได้ว่าฟิกเกอร์ที่เขากอดอยู่นั้นไม่ใช่ของถูกลิขสิทธิ์ ผมเจอมันในอีเบย์เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่เห็นก็คิดแค่ว่ามันน่ารักดี ภูอาจจะชอบ ผมเพิ่งรู้ไม่กี่วันนี้เองว่าอีเบย์ไม่ได้ขายของแท้เสมอไป และฟิกเกอร์ที่ภูชอบใจนักหนานั้นอาจเป็นของเลียนแบบที่คุณภาพไม่ดี ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นมัน

“ไม่ต้องซื้อใหม่นะ ภูชอบมาก” เจ้าโกลเด้นลูบคลำกล่องด้วยความตื่นเต้น “พรุ่งนี้ตอนกลับถึงบ้าน ภูจะวางฟิกเกอร์ที่สองซื้อให้บนชั้นเลย”

ผมเท้าคางมองภู มองเจ้าโกลเด้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งการ์ดที่ทำด้วยตัวเองให้เขา ภูรับไปอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็ยิ้มจนแก้มแทบปริ เขาเงยหน้ามองผมก่อนจะบอกว่าวันนี้ในปีถัดไป เรามาฉลองวันครบรอบด้วยกันนะ

“อืม” ผมพยักหน้า “อีกสิบปีต่อจากนี้ ผมก็ยังอยากฉลองวันครบรอบกับคุณเหมือนกัน”

เรากุมมือกันบนโต๊ะโดยไม่สนสายตาของใคร ภูของผมงดงามเหลือเกินเมื่อมองจากตรงนี้ ท่ามกลางคนสวยหล่อที่แต่งตัวมาดินเนอร์ ผมไม่เห็นใครจะสวยเทียบเท่าภูได้ เขาคือชายหนุ่มผู้สดใสร่าเริงและมีหัวใจที่อ่อนโยน เขาใจดีกับสิปปกรผู้ด้อยกว่าเสมอโดยไม่มีข้อแม้ เมื่อบรรยากาศแห่งความรักนำพาเราไป ผมเผลอหลุดปากบอกภูว่ารักเขามากแค่ไหนผ่านทางคำพูดและแววตา เมื่อภูบีบมือตอบกลับมาและบอกว่ารักสิปปกรเช่นกัน พายุของความรักก็ทำให้ผมมั่นใจถึงขนาดที่หากต้องตายแทนเขา ผมก็ยินดีรับความตายนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย




วันครบรอบผ่านพ้นไปแล้ว เสื้อผ้าของเราวางเกลื่อนกองบนพื้นพรมในห้องสวีทของโรงแรม หลังดินเนอร์ที่รูฟท็อป บาร์จบลง ภูสั่งแชมเปญอีกหนึ่งขวดเพื่อดื่มกับผมในอ่างจากุซซี เรามีช่วงเวลาที่วิเศษและบ้าระห่ำในเวลาเดียวกัน ผมยังจำจูบรสแชมเปญในปากได้ จำได้ทุกสัมผัสที่ภูมอบให้ จำได้แม้กระทั่งโรลเพลย์ที่ผมเป็นนักศึกษาขายบริการผู้อาภัพที่ต้องการเงินจำนวนมากไปรักษาแมวหางด้วนชื่อมาร์กาเร็ต

“คุณต้องการแบบไหนเหรอครับ?”

ผมแกล้งทำเป็นเหนียมอายเมื่อคุณภูถาม ผ้าขนหนูสีขาวค่อยๆร่นลงไปกองตรงข้อเท้า ผมเดินข้ามมันไปหาภูที่นั่งตรงปลายเตียงในสภาพเปลือยเปล่า ส่วนกลางของพวกเราชูชันด้วยกันทั้งคู่

“คุณจะมัดผมไหมครับ?” ผมแกล้งถามและปรายตาไปยังปลอกข้อมือที่ทำจากหนังซึ่งวางอยู่บนพื้น “ผมเจ็บนะครับ มันเจ็บมากเลย”
“ผมสัญญาว่าจะเบามือ” ภูจุมพิตตรงกรามของผม “คุณจะเจ็บแค่แป๊บเดียว”

ภูให้สัญญา แต่ผมรู้ว่าความทรมานปนสุขสมนั้นยาวนานกว่าคำพูดของเขาเสมอ หลังเซ็กส์ที่เจ็บปวดและเร่าร้อนจบลง ผมนอนคว่ำหน้าบนเตียงในสภาพเหงื่อท่วม ภูที่เหนื่อยไม่แพ้กันค่อยๆถอนตัวออก เขาถอดถุงยางอนามัยและทิ้งตัวลงนอนข้างๆ หลังจากนั้นก็ดึงผมไปจูบจนแทบหมดลม ผมดิ้นในอ้อมกอดของเขา บอกเขาว่าพอแล้ว พอได้แล้ว ผมเหนื่อย ผมเสร็จจนไม่มีอะไรจะออกมาอีกแล้ว

“ภูชอบสองตอนไม่มีทางสู้จัง” เขาพูดขึ้นมา “ชอบตอนที่สองหมดแรงและทำอะไรไม่ได้นอกจากขอร้องให้ภูหยุดทำ”

ผมไม่ดุด่าเขาที่พูดจาเหมือนคนเห็นแก่ตัว เพราะนี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่ภูบอกตรงๆว่าเขาชอบเห็นผมสิ้นสภาพที่จะขัดขืนหรือต่อต้าน ผมมองว่ามันเป็นรสนิยมส่วนตัวที่พอรับได้ ตราบใดที่ภูยังเอาใจใส่ผมเหมือนเดิม ยังคงดูแลและรักผมมากเหมือนวันแรกที่เราคบกัน ไม่ว่ารสนิยมบนเตียงเขาจะพิลึกหรือประหลาดมากแค่ไหน ผมก็ยอมรับได้เมื่อแลกกับการได้รับความรักเป็นสิ่งตอบแทน

“ไหวไหม?”

ภูถามอีกครั้งเมื่อเห็นผมเงียบไปนาน ผมพยักหน้าแล้วค่อยๆลุกขึ้นนั่ง รู้สึกหมดพลังไปกับเซ็กส์เมื่อครู่จนแทบไม่มีแรงจะเดินเข้าห้องน้ำ ภูเห็นผมดูเหนื่อยผิดปกติก็ไม่ค่อยสบายใจ เขาถามซ้ำๆว่าเมื่อกี๊แรงเกินไปใช่ไหม แรงเกินไปใช่หรือเปล่า ทำไมสองถึงดูเหนื่อยขนาดนี้

“มันก็แค่เหนื่อย ไม่ต้องตกใจหรอก” ผมบอกและลุกขึ้นยืน พยายามทำให้ภูเห็นว่าจริงๆแล้วผมแข็งแรงดี ไม่ได้จะตายอย่างที่เขากลัว  “ไปอาบน้ำแล้วนอนกันเถอะ ผมอยากนอนกอดคุณเฉยๆบ้าง”

ภูตอบตกลง เราช่วยกันอาบน้ำใหม่อีกครั้งและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้านอน ภูไม่กวนผมด้วยการปลุกเร้าเพื่อให้เรามีเซ็กส์ร่วมกันอีกเลย เขากลายเป็นภูที่นุ่มนวลอ่อนหวาน คอยถามว่าเจ็บไหม อยากได้ยาแก้ปวดไหม อยากได้แผ่นร้อนหรือครีมคลายกล้ามเนื้อไหม

“ไม่ ไม่เป็นไร คุณนอนเถอะ ผมสบายดี”

ผมตบหมอนเรียกให้ภูลงมานอนข้างกัน เขาลังเล แต่ก็ค่อยๆล้มตัวลงนอนตามคำขอ ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เขา อิงแอบกับร่างกายกำยำของภูซึ่งโอบแขนกอดรัดสิปปกรเอาไว้หลวมๆ เขาใช้มือลูบหลังผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบหัว ผมกอดภูตอบ เรานอนแนบชิดกันอยู่อย่างนั้นตามประสาคู่รักที่เพิ่งเสร็จสิ้นพิธีกรรมฉลองวันครบรอบ ภูบอกรักผมซ้ำอีกครั้งโดยเลี่ยงการจูบตรงริมฝีปากเพราะเมื่อครู่เขาเผลอกัดผมจนได้เลือด

“ภูรักสองมากนะ” เขาย้ำ “รักสองจริงๆนะ”
“ผมก็รักคุณเหมือนกันภู”

ผมกระซิบบอก และเผลอหลับในอ้อมแขนของเขาโดยไม่รู้ตัว





ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตอนตื่นนอน รู้สึกปวดเมื่อยเล็กน้อยยามขยับคอและไหล่ ลมหายใจร้อนผ่าวผิดจากวันที่ผ่านๆมา ผมรู้ในทันทีว่าตัวเองป่วย อาจจะเป็นหวัดหรือไม่ก็เพราะอดหลับอดนอนปั่นงานหลายสัปดาห์จนภูมิคุ้มกันลดลง ดังนั้นเช้าวันแรงหลังวันครบรอบหนึ่งปี ผมฉลองความสัมพันธ์ดีๆของเราด้วยยาแก้ปวดหนึ่งเม็ดที่พกติดกระเป๋าสตางค์

ภูยังคงหลับสนิทอยู่ข้างๆ สีหน้าและท่าทางดูไร้เดียงสาเหมือนเช่นทุกคืน ผมโน้มตัวไปหอมแก้มเขา ไม่ได้ปลุกหรือรบกวนการนอนเพราะรู้ว่าเขาเองก็เหนื่อยจากกิจกรรมเมื่อคืน ผมนอนพักเอาแรงได้ซักพักก็ลุกขึ้นยืน ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่า ท้องฟ้าในกรุงเทพมหานครเป็นสีฟ้าอมเทาเพราะเมฆฝน ผมแง้มผ้าม่านตรงกระจกใหญ่เพื่อทอดสายตามองความวุ่นวายข้างล่าง พวกมนุษย์เงินเดือนออกจากบ้านไปทำงาน ส่วนผมและภูนอนกกกอดกันที่นี่ จะออกเดินทางอีกครั้งหลังเที่ยงตามแผนที่วางไว้

ความทรงจำเมื่อคืนเป็นเหมือนฝันไป ผมยังจดจำบรรยากาศหวานซึ้งที่เกิดขึ้นในร้านอาหารรูฟท็อป บาร์ได้เป็นอย่างดี ช่อดอกกุหลาบสีแดงวางอยู่บนโต๊ะ ซองจดหมายและกล่องฟิกเกอร์ก็วางกองรวมตรงนั้นด้วย ผมเดินกระย่องกระแย่งเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือมาเช็กข้อความ มีอีเมลจากลูกค้าต่างประเทศสองฉบับ อีเมลสั่งแก้สำนวนการแปลจากพี่ดาวหนึ่งฉบับ และแจ้งเตือนเมสเซนเจอร์ในเฟสบุ๊กซึ่งผมยังไม่สนใจเปิดอ่านตอนนี้

ผมเช็กทุกแอปพลิเคชันตามกิจวัตรประจำวัน เช่นวันนี้ทวิตเตอร์มีอะไร นายกรัฐมนตรีพูดจาหมาไม่แดกอีกหรือไม่ ผมจะใช้เวลาช่วงเช้าอัปเดตข่าวสารรอบตัวเสมอ หลังจากนั้นผมจะเข้าเฟสบุ๊กเพื่อสาระแนเรื่องของเพื่อนๆ ผมไล่อ่านไทม์ไลน์เรื่อยเปื่อยจนกระทั่งเห็นรูปของตัวเองบนสเตตัสของภู เป็นรูปที่ผมก้มมองดอกกุหลาบในมือด้วยแววตาซาบซึ้งจนปิดซ่อนไม่มิด

วันนี้ครบรอบหนึ่งปี นึกย้อนไปวันแรกที่เริ่มจีบแล้วขำ เป็นคนที่จีบยากที่สุดตั้งแต่เคยจีบมาเลย แต่ก็เป็นคนที่รักมากที่สุดตั้งแต่เคยรักมาเหมือนกัน Happy Anniversary ครับ   

“เด็กบ้า” ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่ออ่านข้อความนั้นจบ “จะทำให้รักไปถึงไหน”

ผมเลื่อนอ่านคอมเม้นต์ใต้โพสต์เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนๆคิดยังไง ส่วนใหญ่เป็นข้อความลักษณะแซวกันมากกว่าจิกกัดหรือตั้งคำถามเหมือนรอบแรก เปิดตัวแล้วว่ะ ตัวจริงมาว่ะ  ผมพยายามหาคอมเม้นต์ของภีมและแพรแต่ก็ไม่พบ พวกเขาไม่ได้กดถูกใจรูปภาพ ไม่ได้แสดงความเห็น ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยเมื่อครอบครัวของภูไม่พูดอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา

ผมเป็นกังวล ผมกลัว แต่รู้สึกว่าเร็วเกินไปที่จะตัดสินครอบครัวของเขาในตอนนี้ ผมพยายามไล่ความรู้สึกคิดลบนั้นออกไปด้วยการอัปเดตสเตตัสถึงภูบ้าง ผมซ่อนการมองเห็นจากพ่อแม่และน้ำหนึ่ง รูปที่เห็นหน้าไม่ชัดของภู ผมเขียนแคปชั่นสั้นๆว่า Happy Anniversary Kub หลังจากนั้นไม่กี่นาที ติณณภพก็มากดถูกใจแต่ไม่ได้คอมเม้นต์อะไร

 นี่เป็นอีกก้าวของการขยับขอบเขตที่เราสามารถพูดถึงกันได้บนโซเชียลมีเดีย ผมดีใจที่หลังจากเราคบกันมาหนึ่งปี ผมก็มีความกล้ามากพอที่จะลงรูปของภูและกล่าวถึงเขาบนไทม์ไลน์ของตัวเอง ผมหวังว่าหลังจากนี้เราจะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและสบายใจที่จะกล่าวถึงกันมากขึ้น หลังจากหมดเรื่องสนใจในเฟสบุ๊ก ผมก็กดออกจากแอพพลิเคชั่นเพื่อเช็กข้อความ ชื่อและรูปโปรไฟล์แสดงตัวว่าเธอคือใคร แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือการเปิดประโยคของเธอ

สวัสดีค่ะ พี่สอง เนเน่เองนะคะ
เนเน่แฟนเก่าภู
ตอนนี้พี่สองคบกับภูเหรอคะ

ผมอ่านข้อความของเธอจบแล้วไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง จึงตอบกลับไปแบบสุภาพและเป็นกลางว่าครับ ผมคบกับภู เนเน่กดอ่านในทันที เครื่องหมายจุดไข่ปลาแสดงตรงฝั่งซ้ายของกล่องข้อความ เธอคงกำลังพิมพ์ๆลบๆราวกับต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อขัดเกลาสิ่งที่พูด หลังจากอดทนรอสองนาที เนเน่ก็พิมพ์ตอบกลับมา

พี่สองรู้ใช่ไหมคะว่าภูขี้เอาและชอบใช้ความรุนแรง

ผมตอบกลับไปว่า ผมทราบ และย้ำเธอว่าผมไม่มีปัญหากับรสนิยมของเขาเพื่อดักคอหากเนเน่ต้องการบ่อนความสัมพันธ์ของเราด้วยการพูดเรื่องทำนองนั้น แต่สุดท้ายเนเน่ก็ไม่ได้พูด เธอตอบค่อนข้างช้าและใช้เวลานาน พิมพ์ๆลบๆอยู่อย่างนั้นไม่เข้าเรื่องเสียทีจนผมต้องถามว่ามีอะไรหรือเปล่า ทักกันมาหาแบบนี้คงไม่ใช่เพราะจะบอกว่าภูซาดิสม์ใช่ไหม

พี่สองเล่นทวิตเตอร์มั้ยคะ
เล่นครับ
พี่สองรู้มั้ยคะว่าภูมีแอคทวิต
ไม่ทราบครับ

แล้วเครื่องหมายไข่ปลาก็กะพริบอยู่อย่างนั้นอีกนาน ผมเริ่มรู้สึกร้อนรนและว้าวุ่นใจกับข้อความของเนเน่ จู่ๆเธอก็เกริ่นถึงทวิตเตอร์ซึ่งไม่น่าจะใช้เรื่องดี ผมเองก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขั้นไม่รู้ว่าทวิตเตอร์เป็นแพลตฟอร์มมีไว้ทำอะไรบ้าง ทวิตเตอร์ไม่ได้มีเพื่อแสดงความคิดเห็นอย่างเดียว ไม่ได้มีไว้ใช้ติดแฮชแท็กด่ารัฐบาลหรือบ่นขิงบ่นข่าชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังมีผู้ใช้อีกกลุ่มที่ยึดแพลตฟอร์มนี้เป็นช่องทางเผยแพร่คลิปโป๊ ผมหวังว่าความกังวลในตอนนี้จะไม่ใช่เรื่องจริง ผมกลัวว่าภูจะเป็นแอคประเภทที่ลงคลิปตัวเองกับแฟน ผมกลัวว่าหากกดเข้าไปดูแล้วจะเห็นตัวเองตอนถูกเอาเผยแพร่ในช่องทางนั้น

เนเน่หายไปนานจนผมงุ่นง่าน ผมเริ่มเดินวนไปมารอบโต๊ะริมหน้าต่าง มือหนึ่งกัดเล็บ อีกมือเช็กโทรศัพท์ทุกวินาที หลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่ เนเน่ก็ส่งรูปแคปแอคทวิตเตอร์มาให้ รูปโปรไฟล์ไม่ได้เห็นหน้าภูชัดๆ เห็นเพียงเขายืนหันหลังริมชายหาด ดูไม่ออกด้วยซ้ำว่านี่คือภู

อันนี้แอคของภูค่ะ
Sent a photo
อันนี้แอคของแฟนเก่าภูค่ะ

แอคของแฟนเก่าเกี่ยวอะไรครับ?

จริงๆเรื่องมันผ่านมานานแล้ว
แต่เน่คิดว่าพี่สองควรจะรู้เอาไว้

รู้อะไรครับ

แฟนเก่าของภูเปิดกลุ่มขายคลิป
เขาเคยส่งคลิปภูให้เน่ดูด้วย
พี่สองก็ระวังคลิปตัวเองหลุดเข้าไปในกลุ่มแบบไม่รู้ตัวนะคะ

TBC

______________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก


สวัสดีค่ะ เราหายไปนานมากเลย เวลาชีวิตจริงมีเรื่องเฮงซวย *เฮ้อ เราเขียนไม่ค่อยออกเลยค่ะ หมดแรงจะใช้ชีวิตจัง แต่ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่ยังรอกันเสมอมา เราอ่านคอมเม้นต์บ่อยมาก เวลาเข้ามาอ่านก็จะมีแรงใจอยากเขียนเพื่อคุณอีกครั้ง ขอบคุณสำหรับความรักและโดเนทที่มอบให้กันมาเสมอนะคะ วันก่อนเราแอบเห็นพวกคุณบอกต่อนิยายเรื่องนี้บนทวิตเตอร์ด้วย ฮือ ขอบคุณมากๆเลยน้า ดีใจจังเลยค่ะ ดีใจจริงๆนะคะที่มีคนชื่นชอบจนต้องบอกต่อ  ;-;  อย่างที่เคยบอกไปว่าเรากังวลกับนิยายเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ออกจะกังวลเกินไปด้วยซ้ำ แต่ได้อ่านข้อความและฟี้ดแบคจากทุกคนแล้วหัวใจชุ่มชื้นดีจัง เรามีวันที่ดีเพราะพวกคุณเลยจริงๆนะคะ หวังว่าคุณจะมีความสุข อย่าเจ็บอย่าป่วย และอย่าพบเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจเหมือนเราในตอนนี้นะคะ


หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [15] 27/07/2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-07-2020 23:57:35
 o13
 :3123:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [15] 27/07/2020
เริ่มหัวข้อโดย: manarina ที่ 01-08-2020 21:06:38
กอดๆ นะคะ
กอดๆ สองด้วย
อย่าทำร้ายสองเลยนะภู ขอร้องง
 :katai1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [16] 25/08/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 25-08-2020 21:42:20
16 [PART1/2]


TW: เนื้อหาตอนนี้มีการกล่าวถึงฉากร่วมเพศโดยไม่เต็มใจและความรุนแรง ผู้อ่านที่มีความเสี่ยงต่อการ trigger โปรดหลีกเลี่ยงเนื้อหาตอนนี้นะคะ



ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคืออะไร ผมควรควรถามหาคลิปนั้น หรือเริ่มขุดคุ้ยทวิตเตอร์ของภูกับแฟนเก่า ผมไม่เคยลนลานขนาดนี้มาก่อน อาการใจหวิวเหมือนจะเป็นลมทำให้ต้องนั่งในท่ากุมขมับ ความเครียดอัดแน่นจนหัวแทบระเบิด ผมกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่รู้ตัว กัดแรงจนแผลเก่าที่ภูทิ้งไว้เริ่มปริ ผมเจ็บและกลัว แต่ผมก็หยุดอาการตัวสั่นไม่ได้

เน่หาคลิปภูไม่เจอแล้ว
แต่ลองสุ่มทักไปหาคนในกลุ่มดูนะคะ
บอกว่าอยากได้คลิปน้องภูสัตวแพทย์

“ตื่นแล้วเหรอที่รัก”

ผมรีบคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเมื่อถูกสวมกอดจากข้างหลัง ภูซบหน้าลงบนบ่าอย่างออดอ้อน หอมแก้มและลูบหัวด้วยความรักใคร่ อาการไม่รู้ไม่ชี้ของภูกำลังทำให้ผมแตกสลายช้าๆ

“ตื่นนานหรือยัง ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ” เขายิ้ม
“ฝนตกน่ะ” ผมตอบไม่ตรงคำถาม พยายามสุดความสามารถเพื่อข่มเสียงไม่ให้สั่นหรือแสดงท่าทีให้ภูสงสัย “คุณก็รู้ว่า --”
“สองชอบฝน ภูจำได้” เขายิ้มหวานและจุมพิตหน้าผากของผมอีกครั้ง “ยังปวดอยู่ไหม”
“ไม่ ไม่ปวดแล้ว” ผมฝืนยิ้ม “เช็กเอาท์เร็วกว่าเดิมได้ไหม”
“ทำไมเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ผมต้องรีบกลับไปทำงาน”
“งานร้านหรืองานส่วนตัว”
“งานส่วนตัว เป็นงานแปลส่วนตัว” ผมนั่งให้เขากอดและหอมอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับตัวไปไหน สีหน้าของผมคงดูกังวลมาก ภูจึงผละตัวออกมาเพื่อยืนจ้อง
“สองดูไม่โอเคเลย”
“ไม่มีอะไร”
“โกหกอีกแล้ว ไหนว่าจะไม่มีความลับระหว่างเราไง”
“ใช่”

ผมอยากถามภูว่าแล้วคุณล่ะมีความลับอะไรที่ยังไม่บอก แต่มันพูดไม่ออกนอกจากมองหน้าภู ผมจ้องมองเข้าไปในแววตาเพื่อเค้นเอาความลับดำมืดออกมา แต่ไม่มี มันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย มันว่างเปล่าจนน่ากลัว คุณเคยมองหน้าคนที่คุณรักแล้วรู้สึกกลัวไหม จู่ๆก็นึกสงสัยว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เขาคือคนรักของเราจริงๆเหรอ ในบรรดาถ้อยคำบอกรักหวานซึ้งที่คุณพูดนั้นมีความจริงอยู่เท่าไหร่กัน หรือมันไม่เคยมี หรือคุณไม่ได้รักผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมเป็นแค่นักแสดงทำเงินให้คุณจากคลิปโป๊เท่านั้น

“ทะเลาะกับพ่อหรือเปล่า”
“อืม” ผมโกหก “พ่ออีกแล้ว”
“เล่าให้ภูฟังได้นะ รู้ใช่ไหมว่าภูอยู่ตรงนี้เสมอ”

เหรอ
ทำไมคุณไม่เล่าเรื่องคลิปให้ผมฟังบ้างล่ะ

“ก็เรื่องทั่วไป ไม่มีอะไรหรอก” ผมหลับตาเมื่อภูใช้มือลูบหน้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสจากเขายิ่งทำให้ผมกลัวจนอยากร้องไห้ “ไว้ผมจะเล่าให้ฟังวันหลัง”
“ได้เลยครับ” เขาหอมแก้มของผมอีกครั้ง “งั้นเดี๋ยวภูไปส่งนะ อยากกินอะไรก่อนกลับบ้านไหม?”
“ไม่”
“แต่ภูหิว ภูอยากกินข้าวเช้ากับสองก่อน”
“วันนี้ฝนตกหนักมากเลยภู”
“แล้วยังไงครับ?”
“รถติด” ผมบอกเขาพร้อมกับดึงมือของภูมาจูบ “ผมมีงานด่วนที่ต้องเคลียร์จริงๆ แต่คุณรู้ใช่ไหมว่าที่ผมทำงานหนักขนาดนี้ก็เพื่อเรานะ”

ภูยิ้ม เขาแพ้คำว่าเพื่อเรา คำว่าเพื่อเราที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้ทำงานหนัก ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมยกคำนี้มาอ้าง ภูจะเลิกก้าวก่ายทุกอย่างที่ผมกำลังทำอยู่โดยไม่ตั้งข้อสงสัย

“ก็ได้” ภูตอบ “เก็บของกันเถอะ เดี๋ยวภูไปส่ง”

ผมขอบคุณและมองแผ่นหลังภูที่เดินหายไปในห้องน้ำ เมื่อพ้นสายตาของเขา ผมก็เปิดอ่านข้อความ เนเน่ผู้ประสงค์ดีส่งภาพแคปสกรีนจากทวิตเตอร์มาให้ รูปนั้นคือภูตอนกำลังมีเซ็กซ์กับชายสวมหน้ากาก ผมอยากขอร้องให้เธอปล่อยผมอยู่คนเดียวเพื่อเรียบเรียงความคิดซักพักแต่โทรศัพท์ยังคงสั่นไม่หยุด ภาพพวกนั้นถูกส่งเข้ามาเรื่อยๆไม่ขาดสาย โอเค ผมรู้แล้ว ผมเห็นแล้วว่าแฟนผมเคยลงคลิปตัวเองในทวิตเตอร์ หยุดเสียที หยุดส่งมาเสียที ขอร้อง พอเถอะ เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว เลิกส่งภาพแฟนของผมมีอะไรกับชายคนอื่นมาให้ดูได้แล้ว ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดีของคุณแล้ว ไปให้พ้น

โทรศัพท์สั่นอีกไม่กี่วินาทีก็นิ่งไป ผมคลิ๊กดูภาพเปลือยของชายที่ตัวเองรักในอิริยาบถต่างๆ ทั้งคู่สวมหน้ากากเพื่อปกปิดตัวตนระหว่างมีเซ็กซ์ แต่ใครบ้างจะจำริมฝีปากและคางของคนที่ตัวเองรักไม่ได้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือภู คำบรรยายแต่ละภาพก็บ่งบอกถึงความเป็นภู หมอหมาน่าเอา หมอหมาตูดแน่น หมอหมาชอบท่าหมา ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นภูร่วมรักกับใคร ผมขอร้องให้เนเน่เลิกส่งรูปพวกนั้น ผมพิมพ์บอกเธอ ผมพูดอย่างสุภาพเพื่อให้เธอหยุด แต่เนเน่กลายเป็นหุ่นยนต์ที่บังคับตัวเองไม่ได้ เธอยังคงส่งรูปมาราวกับผมเป็นฝ่ายร้องขอ แต่ละรูปเริ่มทำร้ายจิตใจผมหนักขึ้นเรื่อยๆจนอยากร้องไห้ ล่าสุดเป็นรูปภูมีเซ็กซ์กับผู้ชายตัวใหญ่อีกสองคน

ภูชอบหมู่
พี่สองรู้เรื่องนี้มั้ย

ไม่ – ไม่รู้

เธอแนบหลักฐาน ภูกำลังมีเซ็กซ์กับคนหนึ่ง ส่วนอีกคนบีบปากของเขาให้รับเอาส่วนนั้นเข้าไป ใบหน้าของภูเปื้อนของเหลว เขาหลับตาปี๋ หากรูปภาพมีเสียง ผมคงได้ยินเสียงภูโก่งคออาเจียน

เจอคลิปแล้วค่ะ

ผมคลิ๊กลิ้งค์เพื่อดูวิดีโอ ในคลิปมีผู้ชายสองคนกำลังง่วนอยู่กับการเสพสุขจากภู ทุกคนสวมหน้ากาก แต่ผมก็รู้ว่าภูคือคนไหน เขาคือคนที่โดนตบจนหน้าหัน โดนบีบปากบังคับให้กลืนส่วนนั้น โดนจิกหัวและถ่มน้ำลายรดหน้า ส่วนอีกคนที่กำลังตักตวงจากเขาเป็นยิ่งว่าปีศาจ มันโถมแรงทั้งหมดใส่ภูไปพร้อมกับทุบตีเขา มันตบภูจนแก้มแดงเป็นปื้น เมื่อภูพยายามยกแขนปัดป่าย มันก็ต่อยท้องภูจนตัวงอ ผมได้ยินเสียงภูร้องโอดโอยเหมือนสัตว์บาดเจ็บ เขาครวญคราง ร้องเสียงแผ่วขอชีวิต ผมเห็นภูน้ำตาไหลแต่ไม่มีใครหยุด พวกมันสนุกกับภู มันทำร้ายภู พอเสร็จกิจก็เอาเท้าเหยียบหัวภูและหัวเราะลั่น มันทำเหมือนภูไม่มีชีวิตจิตใจ ย่ำยีภูราวกับเขาไม่ใช่คน ผมดูเซ็กซ์เทปของชายที่ตัวเองรักทั้งน้ำตา มันคือน้ำตาของความโกรธแค้นและเจ็บช้ำ ผมเจ็บหน้าอก น้ำตาไหลพรากเหมือนของรักของหวงถูกทำลาย ไอ้สัตว์นรกตัวไหนทำกับภูแบบนี้ ไอ้เหี้ยตัวไหนมันทำกับคนที่ผมรักแบบนี้!!!!

แกร๊กก!!!!!!!!!!!

โทรศัพท์ของผมถูกแย่งไปจากมือ มันถูกเหวี่ยงใส่ผนังจนได้ยินเสียงแตก ผมหันมองภูที่ไม่รู้โผล่มาเมื่อไหร่ด้วยความตกใจ เขาก้มมองผมที่นั่งบนเก้าอี้ ริมฝีปากสั่นราวกับกำลังข่มความโกรธสุดชีวิต

“ไปเอามาจากไหน!!!” ภูตะคอกเสียงดังจนผมกลัว เขากลายเป็นคนอื่นที่ผมไม่รู้จัก “ตอบมาสิวะว่าไปเอาคลิปนั่นมาจากไหน!!!!!”

ผมกลัวภูในตอนนี้มากกว่าอะไรทั้งหมด ผมกลัวภูที่สีหน้าบิดเบี้ยวและเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโกรธ เขาตะคอกใส่หน้าผม เขาออกแรงบีบต้นแขนของผมจนเจ็บ ความโกรธของเขาทำให้ผมกลัว บางครั้งความโกรธของภูก็รุนแรงราวกับสามารถฆ่าคนให้ตายได้ วูบหนึ่งผมกลัวถูกฆ่า ผมกลัวว่าเขาจะพลั้งมือทุบตีหรือทำร้ายผมจริงๆ พอคิดแบบนั้นผมร้องไห้ออกมาจนภูทำตัวไม่ถูก เขาตกใจเพราะไม่คิดว่าผมจะปล่อยโฮต่อหน้าเขา ภูจึงเลิกเขย่าตัวของผมแล้วเดินหนีไปอีกด้าน เขาหายใจแรงและดูงุ่นง่านยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ภูเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องที่มีเสียงร้องไห้ของผมดังคลอเสียงฝน ฟ้าร้องเหมือนจะถล่ม ส่วนภูงึมงำพูดคนเดียวไม่เป็นภาษา จากนั้นเขาก็ใช้มือปัดของทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะ ขวดแชมเปญฉลองวันครบรอบกลิ้งหล่นไปอีกทาง ฟิกเกอร์ที่ผมให้เป็นของขวัญร่วงกระเด็นหายไปที่ไหนซักแห่ง กลีบกุหลาบจากช่อดอกไม้ที่ภูซื้อให้ปลิวว่อน กลายเป็นขยะสกปรกบนพื้นพรม

“รู้ไหมว่าภูใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะลืม” ภูหันมามองผม แววตาของเขามีแต่ความเจ็บปวดและอับอาย “สองจะให้ภูทำยังไง” เขาถามก่อนจะทรุดตัวนั่งลงและร้องไห้ “ถ้าภูพูดความจริง สองจะไม่ทิ้งภูไปใช่ไหม”
ผมส่ายหน้า “ถ้าคุณอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมให้สัญญาและเดินไปสวมกอดเขา คุณไม่รู้หรอกว่าการมองคนที่ตัวเองรักหัวใจสลายต่อหน้าต่อตามันเจ็บปวดแค่ไหน เรากอดกันและร้องไห้ด้วยกันทั้งคู่ ผมเองก็เจ็บปวดและต้องการคำอธิบายไม่ต่างจากภู แต่ผมทนเห็นภูแตกสลายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะทิ้งตัวเองและโอบกอดเขาเอาไว้ เพราะความรู้สึกของผมไม่สำคัญเท่าความรู้สึกของภู

“ภู” ผมย่อตัวลงตรงหน้าและลูบหัวเขา “ภู คุณอย่าร้องไห้เลย ผมขอโทษ” ผมขอโทษโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรผิด ภูสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของผม ร้องเหมือนเด็กเล็กที่แผดเสียงจ้าและครวญครางด้วยความความเจ็บปวด ภูที่กำลังเสียใจกอดผมแน่น เขาพึมพำข้างหูของผม จับใจความได้ว่าอย่าทิ้งภูไป เขาพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ขอร้องไม่ให้ผมทิ้งเขาไป

“ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลยภู ผมแค่ต้องการคำยืนยัน” ผมบอกเขา “ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเอาคลิปของเราไปขายไหม ผมอยากรู้แค่นั้น” ภูยังคงร้องไห้อยู่ ผมจึงใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้
“ภูไม่เคยอัดคลิปของเรา” เขาตอบและมองหน้าผมตรงๆ “ถ้าภูอัด สองต้องรู้สิ สองเห็นตลอดว่าภูทำอะไร” เขาตัดพ้อราวกับเป็นความผิดของผมที่ไม่เชื่อใจกัน “ใครเป็นคนส่งคลิปนั้นมาให้สอง”
“อย่ารู้เลย”
“ใคร”
“เนเน่” ผมตอบเสียงแผ่ว ภูในอ้อมกอดของผมเริ่มตัวเกร็ง ผมรู้ในทันทีว่าความโกรธเริ่มมากกว่าความเศร้าแล้ว “เนเน่แค่จะบอกให้ผมระวังคลิปหลุด เธอบอกว่าแฟนเก่าคุณขายคลิป”
“ใช่”
“คุณรู้ไหมว่าเขาขายคลิปของคุณ”
“รู้” ภูตอบ เขาเบนสายตาไปทางอื่นราวกับไม่อยากยอมรับความจริง “ภูยอมให้เขาทำแบบนั้นเอง”
“ทำไมล่ะภู” ผมโอบกอดภูไว้ในขณะที่ตัวเองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เพราะภูไม่มีเงินไง!” ภูร้องไห้ “แม่ยึดทุกอย่างไปหมดเพราะโกรธที่ภูเป็นเกย์ แม่ไม่ส่งเงินให้ภูซักบาทเดียว ค่าเทอมภูก็ต้องหามาจ่ายเอง สองคิดว่าคนอย่างภูจะทำอะไรได้ ขายคลิปคือทางที่หาเงินได้เร็วและเยอะที่สุดแล้ว”
“แฟนเก่าของคุณบังคับให้คุณทำแบบนี้ใช่ไหม”
“ไม่ เราแค่เห็นตรงกันว่ามันจำเป็นต้องทำ”

ภูหันกลับมามองผม เขาเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิดต่อบาปและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกับเรื่องราวในอดีต แม้ว่าผมจะไม่ใช่พระเจ้าที่สามารถชี้ขาดได้ว่าใครเป็นคนดีหรือคนเลว แต่ภูก็ยังมองมาราวกับขอให้ผมยกโทษให้สำหรับสิ่งที่เขาเคยทำ

“ตอนนั้นเราต้องจ่ายเช่าห้อง พี่เขาก็มีภาระเป็นของตัวเอง เขาช่วยภูจ่ายทุกอย่างไม่ไหว ไหนจะค่าเทอม ค่ากิน ค่าชีทเรียน ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเป็นหมื่น สองน่าจะเข้าใจดีว่าเวลาหมุนเงินไม่ทันเป็นยังไง คนเรามีทางเลือกชีวิตไม่มากหรอกนะ” ผมหน้าชานิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น รู้สึกอับอายที่ตัวเองคือสัญลักษณ์ของคำว่าหมุนเงินไม่ทันแทนที่จะเป็นอะไรดีๆซักอย่างที่น่าภาคภูมิใจ “พี่เขาบอกว่าใส่หน้ากากแล้วคงไม่เป็นไร ไม่มีใครรู้หรอกว่านั่นคือเรา ภูเห็นว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว มันจำเป็นต้องทำ ตอนแรกมีแค่คลิปของภูกับพี่เขา มันขายดีมาก เคยขายได้สัปดาห์ละหมื่นด้วย พอแอคเคานท์เริ่มมีคนติดตามเยอะก็เริ่มมีรีเควส ขอให้ทำแบบนั้น ขอให้ทำแบบนี้”
“เหมือนที่คุณเคยขอผมใช่ไหม”
“ใช่ แต่หนักกว่านั้นเยอะ” ภูยิ้มเยาะให้ตัวเอง “ภูเจอมาหมดแล้ว ทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ สองลองไล่มาสิว่ามีอะไรบ้าง ภูพูดได้ว่าภูผ่านมาแล้วทั้งหมด แต่ภูไม่ชอบเซ็กซ์ที่จำเป็นต้องทำ ภูอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป เรามีอารมณ์เมื่อไหร่ก็ค่อยอัด เราอยากเล่นแบบไหนก็ค่อยทำแบบนั้นออกมาขาย แต่ช่วงนั้นพี่เขาเพิ่งดาวน์มอเตอร์ไซค์คันใหม่เพราะอยากขับรถไปรับไปส่งภู” ภูเงียบอีกครั้ง “ภูห้ามเขาไม่ได้หรอก ในเมื่อเขาบอกว่าทำเพื่อภู ภูก็ต้องยอมอัดคลิปบ่อยขึ้นเพื่อให้เรามีเงินพอดีใช้”
“แม่คุณรู้เรื่องนี้ไหม เรื่องที่คุณไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม”
“รู้ รู้สิ แต่ภูจะทำอะไรได้ สองก็รู้ว่าเวลาแม่โกรธ แม่ใจร้ายมากเลยนะ แม่เอาทุกอย่างไปจากภูจริงๆ ที่บอกว่าทุกอย่างคือทุกอย่าง” ภูเงยหน้ามองผมและฝืนยิ้ม “คลิปที่สองเห็น คือคลิปสุดท้ายของภู ตอนนั้นพี่เขาบอกว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็เลยชวนไปบ้านของเพื่อน” ผมนิ่งคิด “ภูไม่เอะใจเพราะนึกว่าเขาคงขอยืมห้องไว้ถ่ายเหมือนคราวก่อนๆแต่มันไม่ใช่ เพราะเขา – เขาให้เพื่อนมาแจมด้วย”
“เขาไม่ได้บอกแต่แรกเหรอ”
“ไม่” ภูส่ายหน้า “เขาไม่บอกว่าจะให้เพื่อนมาถ่ายด้วยจนเราไปถึงบ้านหลังนั้น ภูบอกเขาว่าภูไม่โอเค ภูไม่อยากมีอะไรกับคนที่ภูไม่ได้รัก แต่พี่เขาบอกว่าถ้าไม่ทำอะไรใหม่ๆคนก็จะเบื่อ สุดท้ายเราก็จะไม่มีเงิน ถ้าภูไม่ยอม ภูจะไม่มีเงินเรียนต่อ ภูอาจจะต้องดรอปหรือไม่ก็เลิกกับเขาแล้วกลับไปขอเงินแม่”

ไอ้สัตว์นรก

“ตอนนั้นภูรักเขามาก เขาเป็นคนเดียวที่ยอมรับสิ่งที่ภูเป็น ภูไม่อยากเสียเขาไปก็เลยยอม แต่พอถ่ายไปได้ซักพัก ภูรู้สึกว่ามันไม่ใช่” ภูเริ่มตัวสั่น “ภูบอกเขาว่าภูกลัว ภูไม่อยากถ่าย แต่เขาไม่ยอม เขาขู่ภู เขาใช้กำลังกับภู แล้วก็เป็นอย่างที่สองเห็น นั่นแหละคือสิ่งที่เขาทำกับภู” ภูปล่อยโฮออกมา “แม้แต่ตอนถ่ายเสร็จ เขาปล่อยให้เพื่อนเหยียบหัวภูจนเจ็บ ภูบอกเขาให้เอาเท้าออกไป แต่เขาก็ยังเหยียบต่อ ภูถึงรู้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้รักภู เขาเห็นภูเป็นแค่ตัวทำเงิน”
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว พอแล้ว คุณไม่ต้องคิดถึงมันอีกแล้ว” ผมดึงภูเข้ามากอด ชายที่ผมรักร้องไห้อย่างน่าสงสารในอกของผม “แม่ของคุณรู้เรื่องคลิปไหม” ภูพยักหน้าแทนคำตอบ “แม่ว่ายังไง แม่พาคุณไปแจ้งความไหม”
“ไม่” ภูบอก “แม่ร้องไห้ ภูเดาว่าแม่คงอาย แม่ไม่ได้เสียใจที่ภูเจ็บตัวหรอก แม่คงอายที่ต้องบอกตำรวจว่าลูกชายเป็นคนเดินเข้าบ้านหลังนั้นเอง ภูยอมให้พวกมันถ่ายคลิปเอง แล้วแบบนี้จะเอาผิดใครได้”
“ไม่เลยภู แม้ว่าคุณจะเป็นคนเดินทางไปที่นั่นเอง คุณยอมตอบตกลงในตอนแรก แต่เมื่อทำไปซักพักแล้วคุณไม่โอเค คุณมีสิทธิ์ปฏิเสธและพวกเขาต้องหยุด” ผมอธิบายให้ภูเข้าใจ “คุณไม่ได้สมยอม ภู นั่นไม่เรียกว่าสมยอม คุณขอให้มันหยุดแล้วแต่มันไม่หยุดนั่นคือการบังคับขืนใจ ตำรวจต้องเอาผิดพวกมันได้สิเพราะคุณไม่ยินยอม”
“ถ้าภูไม่ขายคลิปตั้งแต่แรก ภูก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้” ผมส่ายหน้ารัว และยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าไม่ใช่
“ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรเจอเรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ฟังนะ – มันไม่ใช่ความผิดคุณเลย คุณจะอัดคลิปขายหรือคุณจะมีอะไรกับใครกี่คนก็ไม่ใช่ความผิดของคุณ ไอ้พวกสัตว์นรกนั่นต่างหากที่เป็นคนผิด”
“แต่ในประเทศที่คนถามเหยื่อว่าไปทำอะไรถึงโดนข่มขืน สองว่าจะมีใครเชื่อสิ่งที่ภูพูดไหม” คำถามของภูยิ่งทำให้ผมอยากร้องไห้ “ภูเป็นผู้ชาย ใครจะเชื่อว่าผู้ชายถูกข่มขืน”

เราสองคนกอดกันร้องไห้บนพื้นพรม ภูร้องไห้เพราะเจ็บปวดกับอดีตที่ไม่อยากจำ ส่วนผมร้องไห้เพราะโกรธแค้นกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา ผมโกรธความอยุติธรรมในประเทศนี้ โกรธที่ไม่มีใครมองว่าภูคือเหยื่อเพียงเพราะเขาเป็นเกย์ เกย์ที่ขายเซ็กซ์เทปและเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง สังคมแปะป้ายภูว่าสำส่อน พวกเขามองว่าภูสมควรโดนเพราะอยากพาตัวเองเข้าไปเสี่ยง นี่เป็นความคิดที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัส แต่สิ่งที่ทำให้ผมเกลียดจนถึงกระดูกคือคุณแม่ของภู

แม่ที่บอกว่ารักลูกนักหนา แต่ก็ทอดทิ้งลูกง่ายๆเพียงเพราะเขาเป็นเกย์

หากมีโอกาส ผมคงตบหน้าเธอ คงด่าเธอด้วยคำหยาบคาย แกรักลูกประสาอะไรถึงผลักไสภู แม้ตอนที่ภูโดนข่มเหง แกก็ยังเลือกรักษาหน้ามากกว่าปกป้องลูกทั้งๆที่ตัวเองมีเงินถุงเงินถัง จะยัดใต้โต๊ะให้ตำรวจขยันทำงานหน่อยก็ย่อมได้ แต่นังแม่คนนี้กลับไม่ทำ นังสารเลว ผมก่นด่าเธอ แกฆ่าลูกชายด้วยมือของตัวเองแล้วยังจะทิ้งเขาให้เจอเรื่องอุบาทว์แบบนี้คนเดียวอีกเหรอ แกน่าจะไปทำหมันซะ แกไม่ควรเป็นแม่คน แกไม่สมควรได้รับความรักจากภูเลยด้วยซ้ำ อีแม่เหี้ย

“สอง”
“ว่าไง”
“สองจะไม่ทิ้งภูไปใช่ไหม” ภูเงยหน้ามองผม แววตาของเขามีความกลัวมากกว่าความหวังเสียอีก “พอรู้ความจริงแล้ว สองรังเกียจภูไหม”
“ไม่” ผมยืนยันด้วยคำพูด “ทำไมผมต้องรู้สึกอย่างนั้น”
“ภูกลัวสองรังเกียจที่ภูเคยขายคลิป ภูเคยโดน --”
“ผมไม่คิดว่าการขายคลิปเป็นเรื่องน่ารังเกียจ และผมคงไม่เลิกรักคุณเพียงเพราะเรื่องพวกนี้หรอกนะ” ผมรีบตัดบทและแกล้งดึงปลายจมูกของเขา “มากอดกัน” ผมบอก ภูรีบกางแขนโอบรอบเอวของผมเอาไว้แน่น “ผมรักคุณ”
“ภูก็รักสอง”

ผมหวังว่าคำบอกรักจะช่วยเยียวยาบาดแผลในหัวใจของภู ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้สึกที่ถ่ายทอดไปถึงเขาจะช่วยให้ภูเจ็บปวดน้อย น่าเศร้าที่มันคงไม่มากพอที่จะทำให้ภูกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม เขาเอาแต่นั่งหลังงองุ้มตรงปลายเตียง ดวงตาแดงช้ำเหม่อมองเศษกลีบดอกกุหลาบที่ร่วงบนพื้น เขาเมินเฉยผมที่กำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีของชิ้นไหนถูกทิ้งไว้ในห้อง เราก็ออกเดินทางกลับคลินิก



พาร์ท 2 ต่อข้างล่างเลยคับผม  :hao5:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [16] 25/08/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 25-08-2020 21:45:20
16 [PART 2/2]


เราสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก แต่ภูก็โพล่งขึ้นมาระหว่างขับรถกลับบ้านว่าภีมเป็นคนช่วยเขา “ภีมมาหาแล้วก็รีบพาภูย้ายออกจากห้องนั้น” เขาพึมพำเหมือนพูดคนเดียว “ภีมให้เงินภู หาหอให้ใหม่ แล้วก็ให้ยืมรถขับ” เขาเล่าต่อไป ผมฟังเงียบๆไม่แสดงความเห็น ระหว่างที่ภูเล่าเรื่องออกมาโดยไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวด ผมก็หันไปมองหน้าเขา

“ภีมเป็นพี่ชายที่ดี” ผมเอ่ยปากชม
“อืม” ภูยิ้ม “แต่บางทีก็ปากไม่ดี”

เขาหยุดเรื่องเล่าเอาไว้แค่นั้นอยู่ครู่ใหญ่ เนิ่นนานหลายนาทีกว่าที่ภูจะเปิดปากพูดอีกครั้ง รถเลี้ยวเข้าไปในลานจอดของคลินิก ผมสะพายกระเป๋าและเก็บของลงจากรถ ส่วนภูเดินตัวเปล่า เขาเหม่อลอยเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และผมก็ไม่ว่าอะไรหากจะต้องแบกสัมภาระทุกอย่างรวมถึงช่อดอกกุหลาบคนเดียว เราเดินผ่านพี่ส้มที่กำลังง่วนกับการคิดเงินลูกค้า ผ่านเพื่อนหมอคนหนึ่งเอ่ยทักทายภูแต่เขาทำเป็นไม่ได้ยิน แม้แต่ตอนที่ชานมวิ่งกระโดดไปมาด้วยความดีใจ ภูก็เมินเฉย เขารีบขึ้นห้องไปพักผ่อน ส่วนผมวุ่นวายกับการแบกทั้งสัมภาระและอุ้มเจ้าหมายักษ์ขึ้นข้างบน

ภูล้มตัวนอนลงทันที เขาปิดม่าน ไม่คิดจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ ผมวางชานมลงบนพื้นและลงบันไดไปขนของขึ้นมาอีกรอบ กลับขึ้นมาก็เห็นภูนอนคลุมโปงไม่พูดกับใคร แม้ชานมจะใช้เกยหัวตรงขอบเตียงและส่งเสียงร้องหงุงหงิงเรียนพ่ออย่างออดอ้อน แต่วินาทีนี้ไม่มีใครช่วยภูได้ เขากลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พังไปแล้ว

“มานี่สินม”

ผมเรียกเจ้าหมาอ้วน ชานมเล่นกับผมแค่ครู่เดียวก็วิ่งไปหาภูอีก มันนั่งเรียบร้อย ยกขาก่ายเตียงเรียกภูให้หันมาทักทายแต่เจ้าตัวดูจะไม่สนใจ ภูพลิกตัวหนี พูดห้วนๆแค่ว่าอย่ายุ่งแล้วก็เงียบไป ผมมองภูอย่างอับจนหนทาง ไม่รู้จริงๆว่าต้องทำยังไงภูถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม บางทีความรักคงไม่พอ ผมอาจต้องทำอะไรมากกว่านี้ แต่ผมนึกไม่ออกเลยว่าคนอย่างสิปปกรจะทำอะไรได้ สุดท้ายผมก็ต้องปล่อยภูไว้แบบนั้นแล้วลุกไปจัดการเคลียร์ข้าวของให้เข้าที่ ผมซักผ้าและจัดเรียงของขวัญวันครบรอบบนชั้นวาง กล่องฟิกเกอร์ราคาถูกบุบบิ่นจนไร้ราคา ส่วนช่อดอกกุหลาบวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ผมง่วนอยู่กับการเคลียร์ห้องและเก็บแผ่นรองฉี่ของชานมไปทิ้ง กลับมาอีกทีภูก็หลับสนิทเสียแล้ว ผมใช้โอกาสนี้เช็กข้อความจากโทรศัพท์ เนเน่ออนไลน์อยู่ เธอคงรอดูปฏิกิริยาของผมว่าจะพูดยังไงกับเรื่องนี้ ผมรัวนิ้วลงบนหน้าจอที่ร้าวเป็นทางยาว ผมไม่ได้ติดฟิล์มกระจก นั่นหมายความว่ารอยแตกเกิดขึ้นกับตัวเครื่อง ผมเสียดายนิดหน่อยเพราะเพิ่งซื้อได้ไม่นาน แต่จะให้ตำหนิภูก็ทำไม่ลงเหมือนกัน

ผมคุยกับภูแล้ว
ค่ะ
ภูแก้ตัวว่าไงคะ
ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ
แต่คิดว่าไม่จำเป็น
ไม่ต้องส่งมาอีก


ผมกดบล็อกเนเน่ทันทีที่พิมพ์จบแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอน ความเหนื่อยล้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนทำเอาผมแทบหมดแรงจะยืน ผมเดินเซไปตรงปลายเตียง นั่งหลังงองุ้มในท่าเดียวกับภูเมื่อเช้าไม่มีผิด ชานมรีบวิ่งอย่างร่าเริงมาหาผมพร้อมลูกบอล

“ภูนอนอยู่ ไว้เล่นวันหลังนะ”

ผมบอก แต่ชานมเป็นหมา ชานมจะไปเข้าใจอะไร ผมจึงลูบหัวมันสองสามทีและเมินเฉย ชานมที่น่าสงสารนั่งรออยู่นานกว่าจะตัดใจยอมแพ้ มันเดินคอตกกลับไปนอนบนฟูกของตัวเองและมองสลับไปมาระหว่างผมกับภู ในห้องนอนของเราไม่มีเสียงรบกวนนอกจากเสียงรถที่วิ่งผ่านคลินิก ผมเอื้อมตัวไปหยิบช่อดอกกุหลาบมาถือและนั่งมองอยู่อย่างนั้น ไม่ทำสิ่งอื่นเลยนอกจากชื่นชมความงดงามของมัน สวยมาก ผมพูดกับตัวเอง สวย สวย เป็นช่อดอกไม้ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับ แม้ดอกจะช้ำและกลีบร่วงหล่นจนดูตลกแต่มันก็ยังสวย มันสวยเพราะเป็นดอกไม้ที่ได้รับจากภู มันสวยเพราะเป็นหนึ่งในของขวัญวันครบรอบของเรา ผมใช้ปลายนิ้วสัมผัสกลีบดอกอย่างแผ่วเบา มันร่วงติดมือโดยไม่ได้ตั้งใจ ยิ่งจับมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งร่วง ผมจึงตระหนักได้ว่าผมไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย ผมไม่สามารถทำให้ดอกกุหลาบนี้กลับมาบานสะพรั่งหรือรีดกระดาษห่อให้กลับมาเรียบดังเดิม ทำได้เพียงแค่โอบกอดมันเอาไว้แนบอก ชื่นชมความงดงามของมันในโลกส่วนตัว แม้ว่าอีกหน่อยดอกกุหลาบช่อนี้จะเหี่ยว มันจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแห้งกรอบจนกลายเป็นผง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ยืนยันว่าจะเก็บดอกไม้ช่อนี้เอาไว้ ผมจะเก็บมันไว้ในห้องนอนรกๆโกโรโกโส ห้องที่ไม่มีสิ่งใดสวยงามน่าพิสมัยซักชิ้นนั่นล่ะ ผมจะวางดอกไม้ช่อนี้ไว้บนตู้หนังสือที่เรียงรายด้วยผลงานแปลที่แสนภาคภูมิใจ และเมื่อใครถามถึงที่มาที่ไป ผมก็จะยิ้มและตอบพวกเขาว่า

“ดอกไม้ช่อนี้มาจากคนที่ผมรัก”

มาจากชายที่ผมรักสุดหัวใจ มาจากชายที่ทำให้โลกของผมสดใสเมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา ผมกอดช่อดอกไม้เอาไว้แนบอกอีกครั้งและเริ่มร้องไห้ ผมหวังว่าเมื่อภูตื่นขึ้นมา เขาจะรู้ว่าชีวิตของเขานับจากวินาทีนี้จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ภูควรรู้ไว้ว่ามีใครคนหนึ่งรักเขามากกว่ารักตัวเอง ผมหวังว่าเขาจะรู้ หวังว่าภูจะรู้ หวังว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงความรักจากคนไร้ประโยชน์ที่รอเขาตื่นอยู่ตรงนี้ หวังว่าความรักนั้นจะเพียงพอสำหรับการเยียวยาและโอบกอดภูเอาไว้ไม่ให้จมดิ่งในห้วงความทุกข์ หากโชคไม่ดี – หากความรักของผมไม่เป็นที่เพียงพอสำหรับเขา คนที่บุบสลายก่อนดอกกุหลาบช่อนี้อาจเป็นสิปปกร อาจเป็นผมที่แห้งเหี่ยวและตายทั้งเป็น เพราะผมไม่มีอะไรจะให้ภูนอกจากความรักและชีวิตที่เหลือของตัวเองอีกแล้ว



TBC

____________________


#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะพี่สาว แง้นๆๆ นิยายรายเดือนมาเสิร์ฟแล้วค่า 555555555555555555555555555555555555555555555555555
คิดถึงนะคะ ไม่พบกันนานเกือบเดือนเลย ต้องขออภัยจริงๆค่ะ ;-; ช่วงนี้เนื้อหาก็จะหน่วงๆหน่อย ช่วยเป็นกำลังใจให้กันจนกว่าเรื่องราวของทั้งสองคนจะถึงจุดสิ้นสุดด้วยนะคะ ขอบคุณค่า  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [16] 25/08/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-08-2020 13:18:55
สงสารภูและเกลียดแม่ภู ทำไมถึงได้หน้าบางขนาดนี้ ทำไมไม่ทำอะไรเพื่อลูกเลย ลูกตัวเองโดนทำถึงขนาดนี้เพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะตัวแม่เองเป็นคนทำให้ภูหมดทางออกถึงได้โดนทำถึงขนาดนี้ ชีวิตของลูกก็ต้องให้ลูกเลือกเอง เราให้ได้แค่ชีวิต ส่วนตัวเขาจะไปทำอะไรกับชีวิตตัวเองเราที่เป็นแม่คงทำได้แค่ดูแลอยู่ห่าง และเป็นกำลังใจให้เมื่อลูกต้องการ ไม่ใช่ไปซ้ำเติมให้ลูกต้องไปทำอะไรแบบนี้แล้วโดนคนอื่นข่มเหงแบบนี้
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [16] 25/08/2020
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 31-08-2020 01:21:50
เบื้องหลังรอยยิ้มของภู
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [17] 08/09/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 08-09-2020 21:38:34
17 [PART 1/2]


ผมรู้สึกราวกับว่าภูของผมได้จากไปแล้ว เขาจากไปในเช้าหลังวันครบรอบหนึ่งปีของเรา ส่วนภูที่เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ตรงปลายเตียงคือคนหน้าเหมือนภูที่ไม่มีวิญญาณของภู

สุดที่รักของผมไม่ยิ้มอีกเลยหลังระเบิดอารมณ์ในเช้าวันนั้น ใบหน้าของเขาราบเรียบ เฉยชา ดูหมดอาลัยตายอยากแม้ว่าผมจะอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ผมโทรศัพท์หาติณณภพตั้งแต่เมื่อวาน ขออนุญาตลากิจหนึ่งสัปดาห์เพื่ออยู่ดูแลสุดที่รักซึ่งกำลังซึมกะทือไร้ชีวิตชีวา ตอนนี้เขาดูเหมือนช่อดอกกุหลาบไม่สมประกอบของผม

“จะไม่กลับร้านก็ได้ แต่ต้องมีงานส่งนะ” ติณว่า ผมให้สัญญาและรับปากอย่างดีว่าสคริปต์พอดแคสต์ประจำสัปดาห์จะเสร็จตามกำหนดเวลา แม้ว่าตอนนี้สมองจะไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องของสุดที่รักก็ตาม “เป็นอะไรอีกล่ะ หมอหมางอแงไม่ให้กลับเหรอ”
“เปล่าหรอก” ผมอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไร “เดี๋ยวกูกลับอาทิตย์หน้า”
“ตามใจ”

ติณณภพดูอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่เป็นภาวะฉุนเฉียวที่ยังพอพูดคุยกันได้ ผมจึงกดตัดสายและสูบบุหรี่ต่อ ระหว่างสุดที่รักกำลังบังคับตัวเองให้ทำงาน ผมก็ปลีกตัวขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจด้วยการอัดนิโคตินเข้าปอด ผมคงมีความสุขมากกว่านี้หากสุดที่รักส่งยิ้มหรือแสดงอารมณ์อย่างมนุษย์ออกมาบ้าง ทีแรกผมคิดว่าการเห็นภูร้องไห้นานเป็นชั่วโมงคือเรื่องที่บีบคั้นที่สุดและรุนแรงจนเกือบเรียกได้ว่าหัวใจสลาย แต่การเห็นเขาไร้อารมณ์ต่างหากที่รุนแรงกว่านั้นหลายเท่า ผมอาจตายได้หากภูยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ผมคงตายจริงๆหากสุดที่รักของผมไม่กลับมาอีกแล้ว ผมอัดบุหรี่เข้าปอดอีกหนึ่งครั้ง บี้ก้นที่เหลือกับขอบกำแพง ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ผมเดินลงบันไดไปหาภูซึ่งอยู่ชั้นล่าง

ทุกย่างก้าวที่เดินลงไปพบสุดที่รัก ผมเอาแต่ครุ่นคิดว่ามีสิ่งใดบ้างที่อาจทำให้ภูรู้สึกดีขึ้น จู่ๆผมก็นึกถึงทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดของติณณภพ บางทีภูอาจรู้สึกดีขึ้นหากได้เอาเท้าแช่น้ำทะเล ได้นั่งฟังเสียงคลื่นหรือกินอาหารอร่อยๆด้วยกันริมหาด แต่แล้วผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมากะทันหันเมื่อนึกได้ว่าผมขับรถไม่เป็น ผมไม่มีรถยนต์ส่วนตัว และไม่มีเงินมากพอจะดาวน์รถในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ถึงจะไม่มีรถก็ช่างเพราะผมมีภูเป็นคนขับ ผมยินดีจ่ายค่าพักโรงแรมเต็มที่เพื่อให้สุดที่รักได้พักผ่อนหย่อนใจ แต่เมื่อลงมาเห็นสีหน้าเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ผมจึงสำนึกได้ว่าภูไม่สามารถขับรถได้ในเวลานี้ เขาไม่ควรออกไปไหน และดูท่าว่าจะไม่อยากไปไหน ภูไม่บอกเลยว่าเขาต้องการหรืออยากกินดื่มอะไร วันๆภูเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง

ชานมก็อยู่ที่นั่น มันคงไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงได้เดินตามภูต้อยๆราวกับอยากง้อขอคืนดี ผมเรียกชื่อมัน ชานมรีบหยุดเดินตามภูและวิ่งก้นส่ายมาหาทางนี้ “นมไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก” ผมหอมหัวมันหนึ่งฟอดและเกาคอด้วยความรักใคร่ “ภูกำลังเสียใจ ภูไม่ได้โกรธนมเลย” เป็นครั้งแรกที่ผมอยากได้วุ้นแปลภาษา หากสามารถคุยกับชานมได้ ผมก็คงบอกชานมไม่ให้กระวนกระวายจนเกินไป “เดี๋ยวภูก็กลับมา” ผมกระซิบบอกมัน “เราต้องให้เวลาภูเยอะๆนะนม”

ผมบอกชานมเหมือนที่บอกตัวเอง คงจะดีไม่น้อยหากสุดที่รักของผมตอบสนองต่อสิ่งเร้าบ้าง ทุกวันนี้เขาเหมือนซากศพเดินได้ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่มีสีหน้าท่าทีของความเสียใจ ไม่เหลือเค้าโครงของภูคนเดิมที่เคยรู้จัก แต่เขายังคงเป็นภูที่ผมรักเสมอไม่เคยเปลี่ยน ตลอดสามวันที่ผ่านมา ผมได้แต่เฝ้ามองภูเดินไปตรงนั้นที ตรงนี้ที เขาทำกิจวัตรตามปกติ เข้าคลินิก จ่ายยา ยกเว้นงานหัตถการที่ต้องใช้สมาธิ สัตวแพทย์อีกคนเป็นผู้รับผิดชอบส่วนนี้แทนภู อาการเหมือนคนป่วยทางใจของเขาทำให้ทุกคนสงสัยว่าความสัมพันธ์ของเราเริ่มส่อเค้าจะล่มเหมือนเรือไททานิคหรือไม่ แต่พวกเขาไม่มั่นใจเพราะผมยังคงอยู่ที่ร้าน และภูก็ไม่ได้มีท่าทีขับไสไล่ส่งผมอย่างออกหน้าออกตา ผมอยู่ที่นี่กับภูแต่เขามองไม่เห็น การไม่มีตัวตนในสายตาของคนที่เรารักกำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น ผมรักภู ผมเป็นห่วงภู แม้เขาจะบอกว่าตัวเองสกปรกและแหลกเหลวแต่ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้น ผมให้ทุกอย่างแก่ภูเท่าที่จะให้เขาได้ แต่การให้มีขีดจำกัด เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ทนไม่ไหว ผมก็เผลอร้องไห้ต่อหน้าเขาเพราะภูปฏิเสธที่จะทานมื้อเย็น เขาเมินเฉยผมที่อุตส่าห์สั่งอาหารราคาแพงจากภัตตาคาร แถมยังเตรียมใส่จานสวยงามรอทานด้วยกันกับเขา แต่ภูกลับไม่สนใจ เขาไม่แคร์เลยว่าผมหน้าเสียแค่ไหนตอนที่ภูบอกว่าไม่อยากกิน ผมเดินตามหลังเขาไปติดๆถึงห้องนอน เมื่อเราอยู่ด้วยการสองต่อสอง ผมก็ระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมา

“ผมรู้ว่าคุณเศร้า คุณเสียใจ แต่คุณจะทำเหมือนผมไม่สำคัญไม่ได้นะภู” ผมฟูมฟายไปพร้อมกับทุบอกตัวเอง “ผมอยู่ตรงนี้ ผมรอคุณมาตลอด ทำไมคุณถึงไม่ยอมให้ผมกอดคุณ ทำไมคุณถึงผลักไสผมออกไป คุณไม่เห็นความรักของผมเลยเหรอ”

ผมไม่รู้จริงๆว่าเราต้องแตกสลายอีกกี่ครั้ง ต้องให้พูดย้ำอีกกี่ครั้งว่าผมรักภูโดยไม่มีข้อแม้ หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่เชื่อเนเน่ ผมจะบล็อคเธอตั้งแต่ทีแรกและไม่ดูคลิปบ้าๆพวกนั้นต่อหน้าภู ทั้งๆที่ผมควรเป็นฝ่ายเสียใจ ผมควรได้รับคำปลอบใจจากใครซักคนทว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนี้เพื่อผมเลย ไม่มี ผมต้องเยียวยาตัวเองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมต้องทำใจยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งเงื่อนไข ผมต้องพยายามเข้มแข็งเพื่อที่จะโอบกอดและบอกภูว่าเขาจะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง แต่ภูกลับหนีผมไป เขาหนีไปที่ไหนซักแห่งซึ่งผมตามหาเขาไม่เจอ

“คุณจะให้ผมทำยังไง คุณจะให้ผมทำยังไง” ผมถามเขา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง “หากผมมีรถ ผมคงพาคุณไปทะเล ผมจะพาคุณไปพักผ่อนต่างจังหวัดเพื่อให้คุณลืมเรื่องเฮงซวยพวกนั้น เราจะหนีไปพักใจที่ไหนไกลๆกันสองคน หนีไปใช้ชีวิตข้างนอกโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร ผมอยากพาคุณไปจากตรงนี้แต่ทำไม่ได้เพราะผมไม่มีเงิน” ผมร้องไห้โฮ “แต่ผมทำดีที่สุดแล้ว ผมพยายามแล้วเพื่อไม่ให้คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง ผมไม่กลับร้านเพื่ออยู่กับคุณ ผมอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคุณ เพื่อออกไปซื้ออาหารอร่อยๆให้คุณกิน คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนอย่างผมจะทำอะไรได้อีกนอกจากรักคุณและรักคุณเท่านั้น ผมทำมากกว่านี้ไม่ได้หรอก แต่ผมสาบานเลยว่าหากผมมีเงินมากพอ ผมคงพาคุณไปเที่ยวโดยไม่ลังเล แต่อย่างน้อยๆนะ อย่างน้อยที่สุดเลยนะภู คุณไม่ควรเมินเฉยต่อการมีอยู่ของผมขนาดนี้ หรือคุณเห็นว่าผมไม่สำคัญ คุณถึงทำเหมือนผมไม่มีตัวตนในสายตา”

ภูมองผมด้วยแววตาเหม่อลอย เขาดูมีคำพูดมากมายที่อยากพูดแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรหลุดจากปากของเขา มีเพียงผมคนเดียวที่ร้องไห้เหมือนคนบ้า ผมขึ้นเสียงและโวยวายจนหมดแรง จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งร้องไห้บนพื้น ผมใช้หลังมือเช็ดน้ำตา เสียงคร่ำครวญดังอยู่ในลำคอไม่เงียบแม้แต่วินาทีเดียว ชานมเริ่มกระวนกระวายจนแสดงอาการประหลาด มันย่ำเท้าไปมาและเริ่มเอาหัวดุนแขนผม ชานมคิดว่าผมทำร้ายตัวเองแต่เปล่าเลย ผมแค่จิกดึงเส้นผมเพื่อลดอาการปวดตุบ ผมปวดหัวเรื้อรังและเหนื่อยเกินกว่าจะลุกขึ้นไปหยิบยา ผมเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนภูเดินเข้ามาหา เขาย่อตัวลงตรงหน้าและสวมกอดผมเอาไว้แน่น

“ขอโทษนะสอง แต่ภูไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตแล้ว” เขาเสียงสั่นก่อนจะร้องไห้ “ภูคิดทุกวันว่าจะทำยังไง แต่ภูคิดไม่ออก ภูไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะลืม บางทีภูก็อยากตายไปให้มันจบๆ ภูไม่อยากคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว”
“คุณไม่อยากอยู่กับผมหรือไง คุณจะทิ้งผมไปไหนเหรอภู” ผมกอดเขาตอบ เราสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของกันและกัน จู่ๆวินาทีนั้นภูก็กลับมาจากการเดินทางไกล เขาดูเหนื่อยล้าและเปราะบางเหลือเกิน “ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะแกล้งทำเป็นลืม ผมเข้าใจดีทุกอย่าง แต่ผมไม่ชอบเลยที่คุณคิดจะหนีผมไปด้วยวิธีแบบนั้น คุณจะทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวจริงๆเหรอ คุณไม่สงสารผมบ้างเลยเหรอ”
“แต่ภูอาย” เขาร้องไห้ “สองไม่อายเหรอถ้าทุกคนรู้ว่าภูโดนข่มขืน”
“พูดอะไรอย่างนั้น! ใครจะรู้ก็ช่างมัน ผมไม่สนใจเลยซักนิด” ผมผละตัวออกและบรรจงเช็ดน้ำตาให้สุดที่รักอย่างแผ่วเบา “คุณจะสนใจคนรอบตัวผมทำไม สนใจแค่ผมสิ ในเมื่อผมรักคุณ ผมยินดีร่วมหัวจมท้ายกับคุณ ทำไมคุณต้องคิดไกลว่าผมจะอับอายขายขี้หน้ากับเรื่องนั้น ภู – คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมรักคุณมากแค่ไหน จะให้ทิ้งคุณไปน่ะเหรอ ไม่มีวันหรอก! ผมรักคุณมากกว่าที่คุณรู้เสียอีก”
“แต่ถ้าวันหนึ่ง พ่อแม่ของสองรู้เรื่องนี้ล่ะ”

ผมสะอึกเมื่อได้ยินคำถามนั้น ส่วนภูยังคงมองมาด้วยแววตาคาดหวังว่าผมจะพูดบางอย่างออกมา แต่ผมก็ไม่ได้พูดถ้อยคำใดออกไปจนกระทั่งภูบีบมือผมแรงขึ้น เขากำลังจะปล่อยโฮอีกครั้งหากผมไม่ทำอะไรซักอย่าง

“ผมจะยังรักคุณเหมือนเดิม” ผมให้สาบาน “คุณกังวลเรื่องพ่อกับแม่ทำไม ผมไม่ได้อยู่ในสถานะต้องง้อครอบครัว พวกเขาต่างหากที่พึ่งพาผม”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ! ผมไม่โกหกคุณหรอก” ผมยิ้มทั้งน้ำตา “เล่าให้ผมฟังหน่อยว่าคุณคิดอะไรอยู่ บอกให้ผมรู้ถึงความกลัวของคุณหน่อย เราจะได้เข้าใจตรงกันไง”

เรานั่งขัดสมาธิด้วยกันบนพื้น ภูยังคงร้องไห้ขณะพรั่งพรูเอาความเศร้า ความกังวล และความกลัวออกมาไม่ขาดสาย ชานมที่เคยเอาหัวมาเกยหน้าขาของผมย้ายก้นไปประจบสอพลอเจ้านายตัวเอง ภูสารภาพความในใจออกมาพร้อมกับลูกหัวชานม สุดที่รักของผมกลัวและกังวลว่าคลิปนั่นจะกระทบหน้าที่การงานของเขา กลัวว่าเพื่อนหมอ ลูกจ้าง ลูกค้า และคนรอบตัวของผมจะรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยขายคลิปโป๊ตัวเองบนอินเทอร์เน็ต เขากลัวว่าผมจะอับอายขายขี้หน้าจนไม่สามารถคบกับเขาต่อไปได้ ภูกลัวติณณภพรู้เรื่องนี้และหาทางขัดขวางไม่ให้เราอยู่ด้วยกัน

“ติณเป็นเพื่อนสนิทของผมก็จริง แต่ติณไม่ใช่เจ้าชีวิต” ผมบอกภู “คุณลืมเรื่องของติณไปเถอะ มันไม่เกี่ยวกับคุณเลย ไม่เกี่ยวกับเรา” ความไม่พอใจฉายชัดบนใบหน้า ภูขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนที่ผมพูดว่าไม่เกี่ยวกับเขา “ทำไม คุณโกรธที่ผมพูดถึงติณเหรอ” ผมถาม แต่ภูไม่ตอบ เขากุมมือของผมแน่นและเลิกกล่าวถึงเรื่องราวอัดอั้นตันใจของตัวเอง

เรานั่งท่านั้นอยู่นาน นั่งขัดสมาธิไปพร้อมกับประสานมือกันโดยมีชานมเอาหัวเกยทับอีกทอดหนึ่ง เรากำลังอยู่ในช่วงสงบสติอารมณ์ หลังจากระเบิดเสียงร้องไห้และความอัดอั้นตันใจออกมาเป็นน้ำตาและคำพูด เราก็ใช้เวลาเงียบๆไปกับการนั่งอยู่ด้วยกันซักพัก ผมรู้ว่าภูกลับมาแล้วเมื่อเขาเริ่มเกลี่ยนิ้วบนหลังมือของผม หยดน้ำตาแห้งเหือดทิ้งร่องรอยเป็นดวงตาแดงช้ำ โถ่ – ภูผู้น่าสงสาร ผมเอื้อมตัวหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าให้ภู แก้มของเขาร้อนเห่อเหมือนคนเป็นไข้ ผมเดาเอาว่าคงเป็นพลังงานตกค้างจากการปลดปล่อยอารมณ์มากกว่า เรานั่งอยู่ตรงนั้นอีกไม่กี่วินาที จู่ๆภูก็บอกรักผม

“ผมก็รักคุณ” ผมยิ้มหวาน “ผมรักคุณมากนะภู”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่มีประโยคหวานซึ้งอื่นใดทำให้หัวใจของเราได้รับการเยียวยาเท่าคำว่ารัก ภูปล่อยมือจากผมแล้วเลื่อนมาสัมผัสแก้ม เรารู้ในทันทีว่าเหตุการณ์ต่อไปคืออะไร และยิ่งมั่นใจว่ามันต้องเกิดขึ้นเมื่อภูโน้มตัวลงมาจุมพิต เขาเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีโรลเพลย์พิเศษ วันนี้เขาคือภูผู้บอบช้ำจากเรื่องราวในอดีต ส่วนผมคือสองผู้ไม่มีอะไรดีนอกจากรักภูมากกว่าใคร หากร่างกายของผมสามารถเยียวยาความเจ็บช้ำในใจให้เขาได้ ผมก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ภูลืมเรื่องราวทั้งหมดไปเสีย

“ถ้าเราจะมีอะไรกัน คุณต้องเอาชานมไปเก็บ” ผมเบี่ยงหน้าออกจากภูเมื่อชานมเริ่มกระโดดเกาะไหล่และเลียแก้มของผมจนเปียก “เอาไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย”

ภูหัวเราะ เขาจูบหน้าผากผมแล้วอุ้มชานมด้วยสองมือ เจ้าหมายักษ์ตาเหลือกเพราะรู้ว่าตัวเองต้องกลับไปอยู่ในคอกและคงไม่ได้ออกมาเล่นกับเราจนกว่าอะไรๆจะเสร็จ ภูรีบปิดม่านกั้น ตอนนี้เราตัดขาดจากเจ้าตัวป่วนโดยสมบูรณ์แล้ว ในห้องนอนที่มีแค่เรา ผมกับภูจ้องหน้ากันในความเงียบ

“คิดถึงผมแค่คนเดียว” ผมบอกเขาเมื่อแววตาของภูอ่อนลง เขากำลังครุ่นคิดหรือหวนนึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องดี “ตอนนี้คุณมีแค่ผมนะ”

ภูยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสร่าเริงอย่างที่ควรเป็น เขาเดินเข้ามาหาผมที่นั่งรอตรงปลายเตียงและลูบหัวของผมเบาๆ

“ในหัวของภูก็มีแค่สองนั่นแหละ” มือของภูเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ เขาจงใจไล้ปลายนิ้วบนคอของผมก่อนจะไปหยุดที่หน้าอก “ภูถอดให้ดีไหม” เมื่อได้รับคำอนุญาตเป็นรอยยิ้ม ภูก็ใช้นิ้วปลดกระดุมเสื้อของผมด้วยความชำนาญ ผมรู้ในทันทีว่าได้ปลุกสัตว์ป่าตัวหนึ่งเข้าให้แล้ว



PART 2 ต่อด้านล่างนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [17] 08/09/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 08-09-2020 21:40:30
17 [PART 2/2]

ผมนอนคว่ำหน้าบนเตียง เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อจากการบอกรักกันเมื่อครู่ ผมรู้สึกปวดมากกว่าปกติเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร

“ภูรักสอง” ภูกระซิบข้างหูหลังกระแทกกระทั้นอย่างเอาแต่ใจมาหลายนาที “ภูรักสองที่สุดเลย” เสียงเขาแหบพร่า ฟังดูก้ำกึ่งระหว่างยั่วยวนกับเหนื่อยจนหอบแดก ผมมั่นใจว่าคงเป็นความเหนื่อยมากกว่า เรานอนจูบกันอีกหน่อยก่อนที่ภูจะผละหน้าออก เขาจ้องมองผมด้วยแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่ มือข้างหนึ่งของเขาเกลี่ยผมหน้าม้าปรกตาออกให้อย่างแผ่วเบา เรานอนมองตากันอยู่อย่างนั้นไม่กี่นาทีก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายโผกอดเขา

ภูยังคงเหนื่อยอยู่ เขากอดผมเอาไว้แน่นขณะที่ยังหายใจแรง เรากอดก่ายกันบนเตียงจนตัวแห้งจากนั้นจึงชวนกันไปอาบน้ำและทานข้าวที่ถูกทิ้งจนเย็นชืด สีหน้าของภูดูดีขึ้นมานิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับสดใสเหมือนก่อนหน้า ผมดีใจที่ตอนนี้ภูกลับมาแล้ว แม้ว่าการกลับมาของเขาจะไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

เรายืนแปรงฟันด้วยกันหน้ากระจกหลังทานอาหารเสร็จ จากนั้นก็ส่งชานมเข้านอนและขึ้นเตียง ผมหยิบผ้านวมผืนใหญ่มาคลุมร่างของเรา ส่วนภูย้ายศีรษะมาซบตรงซอกคอของผม เขาขอให้อ่านหนังสือให้ฟังเหมือนเช่นทุกที

“คุณอยากฟังเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องอะไรก็ได้ของมาร์กาเร็ต”
“มันคงไม่สนุกสำหรับคุณหรอกนะ”

ผมว่าพลางเอื้อมตัวรื้อหนังสือในลิ้นชักใต้เตียง ภูยกลิ้นชักส่วนนี้ให้เป็นกรุสมบัติส่วนตัวของผมซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่หนังสือ ผมพยายามหาว่ามีหนังสือของมาร์กาเร็ตซักคนหลงอยู่ในลิ้นชักนี่หรือไม่ แล้วผมก็พบว่านอกจากเรื่องอย่าไปไหนที่ภูอุดหนุนด้วยตัวเอง ยังมีเรื่องคนรักจากโคลองของมาร์เกอริต ดูราส

“มาร์กาเร็ตคนไหน?”
“มาร์กาเร็ตคนฝรั่งเศส” ผมตอบพลางกระถดตัวกลับไปนอนให้ภูนอนซบไหล่ “อันที่จริงต้องออกเสียงว่ามาร์เกอริต”

ผมบอกเขา ในมือมีหนังสือปกเหลืองเล่มบาง นี่ไม่ใช่หนังสือต้นฉบับของสำนักพิมพ์ มันคือฉบับก็อปปี้ที่ผมถ่ายเอกสารเก็บไว้ตอนเรียนปีสาม ผมบังเอิญเจอหนังสือเรื่องนี้จากชั้นที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน จำได้ว่าปกของมันเก่ารุ่ย หน้าปกตัวจริงขาดไปแล้ว เหลือเพียงปกกระดาษแข็งสีน้ำเงินเข้มที่หอสมุดทำขึ้นใหม่เท่านั้น บ่ายวันพฤหัสหลังเลิกเรียนวิชานวนิยายเอกอังกฤษ ผมกับติณนั่งรื้อหาหนังสือน่าอ่านด้วยกัน วันนั้นติณถูกใจงานเขียนเก่าๆของนักเขียนญี่ปุ่น ส่วนผมได้รู้จักกับมาร์เกอริตครั้งแรกผ่านทางหนังสือเรื่องนี้ ผมจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ จำได้แค่ว่าอ่านจบแล้วผมรู้สึกเหมือนกำลังนอนแช่ในแอ่งน้ำขังอยู่ที่ไหนซักแห่ง มันเย็นเยือก บาดลึก และไม่สมหวัง ผมชอบงานเขียนโศกนาฎกรรม

“คุณแน่ใจนะว่าอยากฟังเรื่องนี้”
“ใช่” ภูยืนยัน เขาขยับหมอนให้เข้าที่เพื่อนอนฟังผมอ่านหนังสือด้วยใจจดจ่อ “จบเศร้าอีกแล้วเหรอ”
“อืม ตัวเอกไม่ได้อยู่ด้วยกันในตอนจบ” ผมตอบ “อยากเปลี่ยนเรื่องไหม”
“ไม่ เอาเรื่องนี้แหละ”
“คุณไม่กลัวฝันร้ายเหรอ มันไม่ค่อย – จะพูดยังไงดีละ จรรโลงใจน่ะ”
“ฝันร้ายก็ไม่กลัว เพราะภูมีสองอยู่ด้วยแล้วไง” ภูยิ้มหวาน เขาดึงมือของผมไปจุมพิตและเอนตัวซบไหล่อย่างออดอ้อน ภูตัวน้อยของผมกลับมาแล้ว “อ่านให้ภูฟังหน่อยนะ”
ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงหมกมุ่นกับนักเขียนที่ผมชื่นชอบนักหนา ผมเองก็เคยบอกภูไปแล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องชอบทุกอย่างที่ผมสนใจหรอก เราไม่ต้องอ่านหนังสือแนวเดียวกันทุกเล่มก็ได้ แต่ภูยังคงรบเร้าขอให้ผมพาเขาไปทำความรู้จักกับโลกส่วนตัวของตัวเองเสมอ แน่นอนว่าผมตามใจภู ไม่ว่าอะไรที่ภูร้องขอ ผมยินยอมที่จะให้เขาโดยไม่มีเงื่อนไข ดังนั้นคืนนี้ผมจึงอ่านคนรักจากโคลองให้ภูฟัง หนังสือเรื่องนี้เคยทำเป็นภาพยนตร์ในปี 1992 พวกเขายกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อีโรติคที่ดีที่สุดแห่งยุค ติณณภพเองก็เคยดูหนังและชื่นชอบพอสมควร ส่วนผมชอบหนังสือมากกว่า ผมชอบการบรรยายชีวิตขัดสนของคนฝรั่งเศสที่เกิดในเวียดนาม ชอบการที่ดูราสพูดถึงความรักของแม่ที่มีต่อพี่ชายมากกว่าลูกคนอื่นในบ้าน และความเกลียดชังที่เธอมีต่อพี่ชาย ในขณะเดียวกันเธอก็ใช้เวลาแรกรุ่นไปกับการรักลูกเศรษฐีชาวจีนซึ่งไม่อาจปฏิเสธคู่ครองที่มารดาเลือกให้ ผมจำตอนหน้าสุดท้ายของเรื่องนี้ไม่ได้ มันผ่านมานานหลายปีจนอาจลืมรายละเอียดพวกนี้ แต่ผมไม่เคยลืมความรู้สึกจับใจยามซึมซับถ้อยคำของมาร์เกอริต ดูราสเลย

การเขียนหนังสือไม่ใช่อะไรอื่นนอกไปเสียจากเพื่อที่จะซ่อนเร้นตัวตนอันแท้จริง แล้วสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองเป็นอะไรขึ้นมาแล้วทำให้มีคนมาอ่าน –

ภูขยับตัวเล็กน้อยเมื่อผมอ่านถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาปรือปรอยใกล้หลับเต็มทน แต่ก็ยังฝืนฟังสิ่งที่ผมอ่านโดยไม่ยอมนอน ผมเลื่อนริมฝีปากไปจุมพิตบนหน้าผากของเขา “นอนเถอะ นอนก็ได้หากคุณง่วง” แต่ภูยังคงไม่ยอมแพ้ เขาหอมแก้มของผมกลับและยืนยันว่าจะฟังต่อไป

บนเรือข้ามฟาก ใกล้ๆกับรถประจำทาง รถลีมูซีนสีดำคันใหญ่จอดอยู่ มีคนขับสวมเครื่องแบบผ้าฝ้ายขาว ใช่ มันคือรถบรรทุกศพคันใหญ่ในหนังสือหลายๆเล่มของฉัน รถยนต์คันนี้ยี่ห้อมอริส-เลอง-ขอ เล ดูเอาเถิด... แม้แต่รถแลนเซียสีดำของสถานทูตฝรั่งเศสในกัลกัตตาก็ยังมิได้ปรากฎในวรรณคดีเลย
 
ผมเพลิดเพลินกับการอ่านจนไม่ดูเวลา กว่าจะรู้ตัวอีกทีภูก็หลับโดยพิงไหล่ของผมเสียแล้ว ผมจึงรู้ว่าภูไม่ได้อยากฟังหรืออยากรู้อะไรเกี่ยวกับโลกของผมนักหรอก เขาก็แค่ต้องการคนกล่อมนอนที่อ่านอะไรซักอย่างซึ่งตัวเองไม่เข้าใจต่างหาก สุดที่รักของผมนอนคอพับไม่รู้เรื่อง ผมต้องค่อยๆปรับท่านอนเพื่อให้ภูหลับสบายไม่อย่างนั้นเขาจะเมื่อยคอ ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าภูหลับสนิท เขาตัวอ่อนปวกเปียกยามที่ผมดึงผ้านวมมาห่มให้ ดวงตาของเขาหลับพริ้ม แพขนตายาวเรียงเป็นระเบียบยิ่งทำให้เขาดูงดงามแม้กระทั่งตอนหลับ ผมจูบหน้าผากของภูอีกหนึ่งครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปทำงาน

หากไม่มีงานที่ต้องทำ ผมคงล้มตัวลงนอนเคียงข้างภูเหมือนเช่นทุกคืน แต่หลายวันที่ผ่านมานี้ผมเสียเวลาไปกับการตามหาภูจนแทบไม่เป็นอันทำงาน กล่องข้อความมีอีเมลแจ้งเตือนจากพี่ดาวและอีเมลติดต่อเสนองานจากเว็บไซต์รับงานแปลต่างประเทศ เดาว่านายจ้างคงหายเกลี้ยงเพราะไม่ได้ตอบอีเมลใครซักฉบับ ผมจึงต้องใช้เวลาช่วงดึกไล่ตอบอีเมลและเริ่มทำงาน ผมเพลียและปวดหลังแต่ก็ทิ้งงานไม่ได้ซักงานเดียว สมองของผมตื้อตันและอ่อนล้าเกินกว่าจะสรรหาไอเดียพอดแคสต์ พอสลับกลับไปทำงานแปล ตาทั้งสองข้างก็พร่ามัวจนมองหน้าจอไม่ชัด ผมนึกคำแปลสวยๆไม่ออก คิดอะไรไม่ออกนอกจากนั่งหาวและใช้กำปั้นทุบหลังตัวเอง พรุ่งนี้ผมจะรีบไปร้านขายยาเพื่อซื้อแผ่นแปะร้อนบรรเทาอาการปวดกับครีมร้อนนวดคลายกล้ามเนื้อซักหลอด หลังจากนั้นก็ขอให้ภูช่วยนวดให้ พอเริ่มดีขึ้นผมก็กลับไปเคลียร์งานทั้งหมดก่อนจะติดแบล็คลิสต์จากบรรดานายจ้าง นี่คือแผนคร่าวๆสำหรับวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้ –

ผมปิดแล็บท็อปก่อนจะเดินสะโหลสะเหลกลับไปที่เตียงนอน สุดที่รักของผมหลับสนิทแล้ว เขาพลิกตัวมาสวมกอดผมเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงยวบข้างเตียง ผมกอดเขาตอบไปพร้อมกับลูบหลังของสุดที่รักอย่างแผ่วเบา ภูหลับตาพริ้มในอ้อมกอดของผม เขาดูบอบบางและน่าทะนุถนอมเหมือนเทวดาตัวน้อยยามหลับ ขณะที่จ้องมองเขา ผมก็ได้ภาวนาว่าหลังจากนี้ภูจะไม่ต้องพบเจอเรื่องที่ทำให้เสียใจอีก หรืออย่างน้อยถ้าเขาต้องเจอเรื่องไม่ดีก็ขอให้ผมเป็นคนแบกรับความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้เพียงผู้เดียวเพราะประสบการณ์ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้สอนให้รู้ว่าไม่มีอะไรจะเจ็บปวดไปกว่าการที่เห็นสุดที่รักของเราร้องไห้อีกแล้ว


 


เราตื่นนอนเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ตอนตื่น ภูบิดขี้เกียจด้วยท่าทางพิสดารจนผมไม่แน่ใจว่าเขาสามารถงอแขนและบิดหลังโดยกระดูกไม่หักได้ยังไง ผมปรือตามองภูที่ส่งเสียงในลำคอ เขายังดูอ่อนแรงและเพลียราวกับการพักผ่อนเมื่อคืนไม่ช่วยอะไร แต่เมื่อเห็นผมกำลังจ้องอยู่ ภูก็ยิ้มหวานและกระถดตัวเข้ามาใกล้

“ตื่นแล้วคับ” ภูรายงานด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย เก่งนักละกับการขยันทำตัวน่ารักให้ผมหลงจนโงหัวไม่ขึ้น “อยากจูบสองจัง”
“ไปแปรงฟันก่อน” ผมตอบและหลับตาต่อ “ไม่แปรงฟันไม่ให้จูบนะ”
“ได้ แต่เมื่อคืนสองอ่านจบไหม ภูง่วงมาก หลับไปตอนไหนยังไม่รู้เลย”
“ไม่จบหรอก พอคุณหลับผมก็ลุกไปทำงาน”
“งานอะไร”
“งานแปลสิ คุณลืมแล้วเหรอว่าผมเป็นฟรีแลนซ์” ผมแกล้งตีเขา “ไปอาบน้ำได้แล้ว คุณต้องทำงานนะ”
“ไม่อยากทำงานเลยอ่ะ”
“ผมก็ไม่อยากทำ”
“งั้นเราเลิกทำงานกันเถอะ”
“ไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน ผมยังมีครอบครัวที่ต้องส่งเสียอยู่นะ”

ผมตอบ แล้วสมองก็คิดถึงงาน วันนี้มีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะไปหมด ผมต้องกลับไปแปลงานค้าง ต้องตอบอีเมลของพี่ดาวและเกลางานแปลบางบทเสียใหม่ ต้องคิดสคริปต์พอดแคสต์ส่งติณณภพให้ทันเวลา ต้องโอนเงินประจำเดือนให้พ่อกับแม่ โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์เพื่อเป็นเงินสำรองให้เปเปอร์ ต้องจ่ายค่าโทรศัพท์และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ต้อง – ต้อง – ต้องทำอะไรอีกนะ ผมจะลุกขึ้นนั่งไปพร้อมกับนึกให้ออกว่าต้องทำอะไร อ้อ แน่ละ สิ่งแรกที่ต้องทำทุกครั้งหลังตื่นนอนในห้องของภูคือการเก็บอึของชานม

ภูหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ ส่วนผมเปิดม่านทักทายเจ้าหมายักษ์ที่ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กอย่างเริงร่า ผมลูบหัวชานมก่อนจะเปิดกรงให้มันออกมาวิ่งเล่น แผ่นรองฉี่เปียกไปครึ่งเดียว สามารถใช้ต่อได้แต่ก็ไม่ควรวางไว้ในห้องนอน ข้างชามน้ำมีอึก้อนมหึมาวางอยู่ ผมถอนหายใจเฮือกและเดินไปหยิบทิชชู่ เก็บสิ่งปฏิกูลของชานมลงถุงพลาสติก จากนั้นก็ใช่ทิชชู่เปียกเช็ดพื้นตามด้วยเดทตอล เรียบร้อย คอกของชานมสะอาดแล้ว เจ้าหมายักษ์วิ่งวนไปมาด้วยความดีใจเพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะได้กินมื้อเช้าแสนอร่อย ผมนำแผ่นรองฉี่ลงไปข้างล่างพร้อมกับอุ้มเจ้าหมายักษ์ไปด้วย พี่ส้มมาถึงร้านเร็วกว่าเวลาทำงานเช่นเคย เธอทักทายผมและถามถึงภู

“อาบน้ำอยู่ครับ” ผมบอกเธอ “เดี๋ยวก็ลงมา”
“ช่วงนี้หมอภูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ดูเครียดๆ”
“อ้อ –” ผมเปล่งเสียงในลำคอ แต่ไม่บอกความจริงกับพี่ส้ม “ไม่มีอะไรหรอกครับ ธรรมดาของเขาแหละ”
“เหรอคะ”

พี่ส้มยิ้มแหย เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผมจึงเดินกลับขึ้นห้องโดยไม่สรรหาบทสนทนามาผูกมิตรอีก เมื่อเปิดประตูเข้าไปผมก็เห็นภูนั่งอยู่ตรงปลายเตียง เขากำลังแกะกล่องฟิกเกอร์ผิดลิขสิทธิ์ที่ผมเป็นคนซื้อให้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ว้าว น่ารักจัง” ภูพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขากลับมาเป็นคนเดิมที่ผมตามหาแล้ว “จะวางไว้ตรงไหนดีนะ” เขาพึมพำและหมกมุ่นกับการสรรหาที่วางฟิกเกอร์ของฮาวล์ โซฟี และมาร์เคิล ผมปล่อยให้เขาใช้เวลาอยู่กับตัวเองจึงเดินไปแปรงฟัน จากนั้นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวลงไปทานมื้อเช้ากับภู

หมอจ๋อมแจ๋มก็อยู่ในครัวเมื่อเราลงไปด้านล่าง เธอยกมือไหว้ผมและรายงานให้ภูฟังว่าเมื่อคืนมีเคสกี่เคส มีเคสหนักไหม มีสัตว์ตัวไหนต้องดูแลเป็นพิเศษระหว่างวันหรือเปล่า ภูพยักหน้าหงึกหงักขณะฉีกอาหารซองให้ชานม ส่วนผมวุ่นวายอยู่กับการชงไมโลและปิ้งขนมปัง หลังจากฟังหมอจ๋อมแจ๋มสรุปเคสแล้วผมก็เล็งเห็นว่ากะกลางคืนไม่ค่อยมีเคสเท่าไหร่ หากแม่ของภูรู้ข้อมูลนี้ ผมเดาเอาว่ากะกลางคืนน่าจะโดนยุบเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

“มาร์กาเร็ตเป็นไงบ้างคะพี่สอง”
“สบายดีครับ ติณเลี้ยงอย่างดี” ผมยิ้มพลางวางแก้วไมโลร้อนตรงหน้าภู เสียงเคี้ยวอาหารยับๆของชานมดังเป็นแบคกราวน์บทสนทนาของเรา “มาร์กาเร็ตเป็นมาสคอตของร้านกู้ด รี้ดดิ้งไปแล้วด้วย”
“โชคดีจังเลยเนอะที่มาร์กาเร็ตได้อยู่กับคนใจดีแบบพี่ติณ”

ผมยิ้มและไม่พูดอะไร ติณเป็นคนใจดีจริงๆตามที่เธอว่า บางครั้งก็ใจกว้างอย่างเหลือเชื่อ เราสามคนนั่งทานอาหารเช้าด้วยกันในครัว หมอจ๋อมแจ๋มจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่าภูซึ่งเอาแต่นั่งกินขนมปังและซดไมโลจนหมดแก้ว หลังถึงเวลาออกกะ หมอจ๋อมแจ๋มก็สะพายกระเป๋าข้างและเดินออกจากคลินิกไป ภูถอนหายใจโล่งอกราวกับมีเรื่องให้กังวลนักหนา เมื่อผมถามว่าเขามีปัญหาอะไรกับหมอจ๋อมแจ๋ม ภูก็บอกว่าไม่มี เขาไม่มีปัญหากับจ๋อมแจ๋ม เขาแค่ไม่อยากทำงาน

“ทำเถอะ อย่างน้อยคุณก็ยังพอมีเวลาพักช่วงที่ไม่มีเคสนะ”
“แต่ภูอยากนอนเฉยๆ”
“เหรอ”
“นอนกอดสองเฉยๆ”
“อ้อนอะไรขนาดนั้น คุณอยากได้อะไรล่ะ”
“เปล่าหรอก ภูแค่ – กลัว” เขาสารภาพจากใจจริง “ภูกลัวสองเปลี่ยนใจ”
“ไร้สาระมาก” ผมหัวเราะแต่ภูไม่ขำ เขาจริงจังมากเมื่อเราคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง “คุณเป็นอะไรไหนลองบอกผมหน่อยสิ” ผมตบตักเรียกให้ภูมาหา เขานั่งคร่อมผมโดยหันหน้าเข้าหากัน สีหน้าเศร้าสร้อยของภูทำให้ผมรู้สึกไม่ดี “ทำไมถึงคิดว่าผมจะเปลี่ยนใจอีกล่ะ”
“ไม่เคยมีใครรับได้เลย ตอนแรกก็บอกว่าไม่เป็นไรแต่สุดท้ายก็ขอเลิก บางทีภูก็สงสัยว่ามันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อะไรน่ารังเกียจ ผมไม่เห็นว่ามันจะน่ารังเกียจตรงไหน” ผมพูดตามตรง “ผมไม่แคร์เรื่องพวกนั้นหรอกนะ ไม่สนใจเลยซักนิด ผมสนใจแค่คุณในปัจจุบันมากกว่า” ผมลูบหัวของภูเบาๆ เขายังคงไม่มั่นใจในคำพูดของผมเท่าไหร่ “นี่ ถ้าผมเปลี่ยนใจ ผมคงไม่ขอติณค้างกับคุณอาทิตย์นึงหรอกนะ”
“แต่ภูก็ยังรู้สึกว่าตัวเองสกปรกอยู่ดี”
“ไม่จริงเลย คุณไม่สกปรกเลยซักนิด” ผมดึงมือของภูมาจูบ “มือคุณหอมจะตาย” ผมยิ้มแหย่ ภูเริ่มแก้มแดงเป็นมะเขือเทศ “ตัวคุณก็หอมนะ” ผมพูดแล้วแกล้งยื่นหน้าเข้าไปดมซอกคอของเขา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงของภูทำให้ผมสดชื่นกว่าเดิม “แก้มคุณก็หอม ยื่นหน้ามาสิ ผมจะหอมแก้มคุณ”

ภูหัวเราะแต่ก็ยื่นแก้มมาให้ ผมหอมเขาอย่างรวดเร็ว หอมแก้ม หอมหน้าผาก และจูบริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา เรามองตากันโดยไม่พูดอะไร วินาทีนั้นภูหน้าแดงแจ๋ แก้มเปล่งปลั่งเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายผู้งดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องฝรั่งเศส บางทีเขาก็กลายเป็นอะไรบางอย่างที่น่ารักจนผมอยากกลืนลงท้อง บางครั้งเขาก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ทำตัวรุ่มร่าม มือของภูเริ่มอยู่ไม่สุขอีกแล้ว ผมตีมือเขาเพื่อเตือนว่านี่คือห้องครัว ห้องครัวไม่ใช่สถานที่ที่เราจะมานั่งล้วงกันอย่างนี้ เมื่อภูยอมหยุดมือที่ซุกซนของเขาไว้ตรงขอบกางเกง  ผมจึงหยิกแก้มเจ้าตัวยุ่งและไล่เขาให้ไปทำงาน

“ย้ายมาอยู่กับภูได้ไหม” เขาอ้อนเสียงหวาน “สองย้ายมาอยู่กับภู ส่วนกลางวันก็ไปอยู่ร้านพี่ติณเหมือนเดิม”
“ผมเหนื่อยเดินทาง”
“เดี๋ยวภูรับส่งเอง”
“อย่าเลย รถมันติด” ผมลูบแก้มเขา รู้สึกหนักใจทุกครั้งที่ต้องคุยกันเรื่องนี้ “ภู ผมรักคุณนะ ผมรักคุณจริงๆ”
“ภูรู้ แต่ภูก็อยากให้เราอยู่ด้วยกัน”
“ผมก็อยากอยู่กับคุณ แต่ผมทิ้งร้านกู้ด รี้ดดิ้งไม่ได้”
“เพราะพี่ติณขอไว้เหรอ”
“เปล่า” ผมส่ายหน้า “เพราะกู้ด รี้ดดิ้งคือความภูมิใจของผม”

ภูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจดีว่าผมรักร้านหนังสือนั่นขนาดไหน ผมผูกพันกับมันมานานเกินกว่าจะยอมตัดใจลดบทบาทตัวเองลง และภูก็รับรู้มาเสมอ เขาอาจจะรู้ถึงกระทั่งหากผมต้องเลือกระหว่างภูกับกู้ด รี้ดดิ้ง ผมอาจจะเลือกกู้ด รี้ดดิ้ง

“แล้วซักวันเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
“ยังไง” ภูถาม เขาเองก็คงมองไม่เห็นอนาคต “ถ้าภูยังต้องทำงานที่นี่ และสองก็ต้องเฝ้าร้านที่นนฯ เราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“ผมจะหาทาง ผมสัญญา” ผมสอดประสานมือทั้งสองข้างกับภู เขาก้มลงมองมือของเราและเงยหน้าจ้องตาผม “วันนั้นเราจะมีบ้านซักหลัง บ้านที่เป็นของเรา บ้านเล็กๆมีพื้นที่สำหรับชานม มีห้องนอนใหญ่สำหรับวางตู้โชว์ฟิกเกอร์ที่คุณชอบ มีชั้นหนังสือสะสมของผม เราจะอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนั้น วันหยุดก็จะออกไปเที่ยวกัน พาชานมไปว่ายน้ำ ไปทะเล ไปต่างจังหวัด ไปที่ที่เราอยากไป”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ ผมถึงทำงานเอาเป็นเอาตายเพื่อเก็บเงินไง” ผมโกหก เพราะต่อให้ทำงานจนสายตัวแทบขาดก็ไม่มีวันซื้อบ้านได้ซักหลัง แต่ผมใช้คำหวานหลอกล่อภูเพื่อให้เขายอมปล่อยผมไปทำสิ่งที่ควรจะทำ “ทีนี้ลุกขึ้นไปทำงานเก็บเงินเพื่อความฝันของเรากันนะ ถ้าเราช่วยกัน วันหนึ่งเราต้องซื้อบ้านด้วยกันได้แน่ๆ”
“สองจะอยู่แถวนี้ใช่ไหม”
“ใช่สิ ผมก็จะนั่งอยู่ชั้นล่างนี่ล่ะ ไม่ไปไหนหรอก” ผมยิ้มและโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของเขา “ผมมีเวลาเฝ้าคุณทั้งวัน”

ภูหัวเราะคิกคัก เขาดูชอบใจเมื่อผมพูดอะไรชวนจั๊กจี๋แบบนั้นออกมา เรานั่งกอดกันบนเก้าอี้ในครัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ภูจะผละตัวออก เขายื่นหน้ามาจูบผม และบอกรัก จูบผมซ้ำอีกครั้งและบอกว่าจะไปทำงาน แต่เขาก็ยื่นหน้าเขามาจูบอีกจนผมต้องตีต้นแขนเขา พอได้แล้ว! ผมบอกทั้งๆที่ยังหัวเราะ หน้าของเราทั้งคู่ร้อนผ่าวและแดงเห่อ เราผลักตัวออกจากกันเมื่อถึงเวลาทำงาน ผมช่วยภูจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกจากห้องครัว ตรงนั้น ตรงด้านหน้าของคลินิกซึ่งเป็นที่รับแขก มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งยืนหันหลังอยู่ ข้างเธอคือพี่เลี้ยงเด็กที่มีเด็กอยู่ในเป้อุ้ม เด็กคนนั้นสวมชุดสีชมพูหวาน ดวงตาของเธอใสเหมือนลูกแก้ว เมื่อเธอเห็นภู เธอก็ร้องเรียกด้วยความดีใจราวกับไม่ได้พบกันมานาน

“แม่” ภูยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องครัว ผมหยุดยืนข้างภูโดยอัตโนมัติ สุภาพสตรีคนนั้นหมุนตัวกลับมามองเราทั้งคู่ เธอปรายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและมองลูกชาย “แม่มาทำไมแต่เช้า”
“แม่มาดูว่าภูเปลี่ยนคลินิกของแม่เป็นอะไร” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มเดียวกับภู แต่เยือกเย็นและดูน่าเกรงขามกว่าลูกชายหลายเท่า “แม่ไม่คิดเลยนะว่าภูทำได้ถึงขนาดนี้ ภูกล้าเปลี่ยนคลินิกรักษาสัตว์ของแม่เป็นโรงแรมเหรอ” เธอถามติดตลก ส่วนผมหน้าชา พูดไม่ออก ผมรู้ในทันทีว่าความสัมพันธ์ของเราอาจไม่ราบรื่นเหมือนที่วาดฝันไว้อีกแล้ว



TBC

________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก


ว้าวซ่า ตาฝากหรือเปล่าเนี่ย แต่มาจริงๆนะคะ เพราะความรักและฟี้ดแบคจากทุกคนทำให้เรารีบมาต่ออย่างไวเลยค่ะ TT

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และแฮชแท็กนะคะ หลายครั้งเรากังขากับฝีมือของตัวเองมากจนอยากถอดใจยอมแพ้หลายครั้งแต่เพราะคอมเม้นต์และแฮชแท็กทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย ยังมีคนชอบเรื่องนี้อยู่นะ มีคนชอบเรื่องราวของคุณสองและน้องภูจริงๆ ถึงจะไม่เป็นที่นิยมเท่าน้องก้องแต่ก็มีคนรักและรอเรื่องนี้อยู่ เพราะแบบนั้นตอนล่าสุดถึงได้มีออกมาเรื่อยๆก็เพราะกำลังใจดีๆจากพวกคุณทุกคนเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ เรารักพวกคุณนะ เรารู้สึกขอบคุณจริงๆ เราไม่มีอะไรจะตอบแทนความรักของพวกคุณนอกจากเขียนตอนใหม่ออกมาเรื่อยๆ หวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันจนสุดท้ายเลยน้า ฝากติดตามเรื่องราวของคุณสองและน้องภูหลังจากนี้จนถึงตอนจบด้วยนะคะ


ปล. ตอนนี้รายชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญใกล้เป็นจริงแล้วค่ะ ขอเรียนเชิญทุกคนร่วมแสดงพลังของเราผ่านทางการลงชื่อเพื่อยุติการสืบทอดอำนาจของคสช.ด้วยกันนะคะ อนาคตของเราอยู่ในมือของทุกคน หนึ่งเสียงของคุณมีค่าและมีความหมายมาก ร่วมสร้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไปพร้อมกันนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติมและจุดตั้งโต๊ะรับรายชื่อตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ: https://50000con.ilaw.or.th/    ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ ขอให้มีวันที่ดีค่ะ

หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [17] 08/09/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-09-2020 16:26:07
เรื่องนี้ต้องจบแบบแฮปปี้นะคะ ไม่อยากให้พวกเขาทั้งคู่ต้องแยกกันเลย พี่สองกับน้องภูต้องอยู่ด้วยกัน พวกเขาเกิดมาเพื่อกันและกันนะ ส่วนคุณแม่เปิดใจให้กว้างหน่อยเถอะ ที่ภูต้องมีแผลใจ ต้องโดนข่มขืนแบบนี้้มันเป็นคุณแม่บีบบังคับน้องไม่ใช่เหรอค่ะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอค่ะคุณแม่
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [17] 08/09/2020
เริ่มหัวข้อโดย: manarina ที่ 13-09-2020 17:51:28
ฝนเพิ่งจะซา ตื่นมามรสุมเข้าทับ...จะผ่านไปยังไงน้อ

ป.ล. พี่คะะ
อยากบอกพี่ว่า งานของพี่มีลายเซ็นอยู่ในนั้น แล้วมันก็พิเศษ มันมีกลิ่นของความจริง มีกลิ่นของความลำบากที่คนอ่านอย่างหนูคงคิดและเขียนอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ ต้องขอบคุณเพื่อนที่แนะนำเรื่องของก้องให้หนูอ่าน หนูถึงได้สัมผัสอะไรแบบนี้ เชื่อมั้ยคะ ตอนอ่านแล้วแบบเริ่มเอ๊ะ ว่าพี่เป็นคนเขียน(เป็นคนไม่ค่อยจำนามปากกาค่ะ แหะ) หนูดีใจมากกก จะเรื่องนั้นหรือเรื่องนี้ มันจะมีจุดที่หนูอ่านแล้วเดาไม่ถูกเลยว่าพวกเขาจะเจออะไร จะเรียนรู้อะไร จะผ่านไปยังไง มันมีคุณค่ามากๆ นะคะ ตัวละครในเรื่องที่พี่เขียนเหมือนเขาเป็นคนจริงๆ เหมือนเรากำลังแอบดูชีวิตคนอยู่จริงๆ มันสุดยอดมากๆ เลยนะคะ ขอบคุณที่เขียนนะคะ ❤️
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-11-2020 21:54:05
18 [PART 1/3]

วันนี้ผมทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า ผมก้าวเท้าผิดข้าง หรือเผลอทำไม่ดีกับใคร ทำไมเวรกรรมถึงมาในรูปแบบคุณแม่ของแฟนซึ่งยืนมองผมด้วยแววตาหยามเหยียดตั้งแต่เช้า

“ถ้ารุ่งโผล่มาที่นี่อีกคน แม่คงนึกว่าเป็นซ่อง”
“แม่!” ภูตะโกนเสียงแข็ง ส่วนผมเริ่มสงสัยว่ารุ่งคือใคร “แม่มีธุระอะไรก็พูดมาเลย จะประชดประชันให้ได้อะไร!”
“อะไรกันภู แม่ก็มาคลินิกบ่อยๆอยู่แล้ว ทำไมต้องทำตัวไม่น่ารักด้วย”
“ภูไม่น่ารักยังไง”
“ส่องกระจกดูตัวเองตอนนี้สิ ดูสีหน้า ฟังน้ำเสียงที่ภูใช้กับแม่ ถ้าภูคิดว่ามันคือพฤติกรรมปกติแม่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

ไม่จริง

ภูเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เวลาเขาโกรธหรือโมโห ผมมักจะเห็นสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจและได้ยินน้ำเสียงที่เจือไปด้วยอารมณ์เสมอ บางครั้งเขาก็กำหมัดเหมือนพร้อมจะต่อยใคร บางครั้งเขาก็ขบกราม บางครั้งก็สบถคำหยาบตามประสามนุษย์ที่มีน้ำโห หากภูโกรธจนฟิวส์ขาดจริงๆเขาจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายเหมือนที่เคยทำกับไอ้เหี้ยปั๊ป แล้วเธอเอาอะไรมาพูดว่าภูไม่ปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออาการปกติของภูด้วยซ้ำ ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของภูจริงเหรอถึงไม่รู้ลักษณะท่าทางของลูกชายตอนไม่สบอารมณ์ และท่าทีของเธอทำให้ผมปวดหัวแทบบ้าเมื่อต้องเป็นประจักษ์พยานของการทะเลาะระหว่างแม่ลูกอีกครั้ง มันน่าอึดอัด น่าเบื่อ ชวนให้เสียอารมณ์จนต้องยืนหลับตาเพื่อหนีภาพตรงหน้า ผมไม่รู้จะทำยังไง ถ้าหายตัวไปจากตรงนี้ได้เสียตอนนี้ก็คงดี

“หลับตาทำไม” คุณแม่ของภูทัก ผมจึงต้องลืมตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภูที่กำลังปะทะคารมกับแม่ทุ่มความสนใจทั้งหมดมาที่ผมอีกครั้ง สุดที่รักจับแขนของผมและถามด้วยความเป็นห่วง
“สองหน้ามืดเหรอ”
“เปล่า ผมแค่ – คิดว่าจะขึ้นไปเก็บของ”
“ไปไหน”
“กลับร้าน”
“แต่สองบอกว่าจะอยู่กับภูต่ออีกหน่อย”
“ผมว่าตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่ คุณคุยกับแม่เถอะ”
“สอง”

ผมหนักใจเพราะไม่รู้จะทำยังไง รักภูก็รัก อยากอยู่ข้างเขาก็อยาก แต่คุณแม่ส่งสายตาเป็นนัยว่าต้องการให้ผมไปจากตรงนี้จะแย่ ผมไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากพาตัวเองออกไปให้ไกลเพื่อปล่อยให้สองแม่ลูกเถียงกันจนกว่าจะพอใจ พวกเขาอยากคุยอะไรก็คุย ผมเหนื่อยแล้ว ผมไม่อยากเป็นพยานในเหตุการณ์อีกแล้ว

“ผมจะโทรหาคุณตอนเย็น”

ผมตัดสินใจแกะมือของภูออก แต่สุดที่รักดื้อรั้นด้วยการไม่ยอมให้ผมกลับขึ้นไปเก็บของ เขากอดแขนของผมเอาไว้แน่น ใช่ กอดผมต่อหน้าคุณแม่ของเขาซึ่งมองเราตาเขม็งนั่นล่ะ ภูกำลังทำให้คุณแม่ของเขาเกลียดสิปปกรมากกว่าเดิม

“ภู คุณก็รู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดี”
“ภูคิดมาดีแล้ว ถ้ามีใครซักคนที่ภูต้องแคร์ คนนั้นก็คือสอง”
“เหรอ” คุณแม่พูดแทรก “แล้วสองของภูรู้หรือยังล่ะ เรื่องของรุ่ง”
“สองรู้แล้ว!!! และสองก็เข้าใจภูมากกว่าที่แม่ที่เป็นแม่แท้ๆด้วย!!!!!”

นาฬิกาหยุดเดิน พี่ส้มปล่อยมือจากแฟ้มเอกสารที่ถืออยู่ น้องพีชซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงแผดเสียงร้องจ้า ชานมครางหงิงและรีบเดินมาหลบหลังของผม เราทุกคนแทบหยุดหายใจเมื่อภูตวาดคุณแม่เสียงดังลั่นร้าน เราต่างรู้ดีว่าภูเป็นคนโมโหร้าย แต่ไม่มีซักครั้งที่เขาจะขึ้นเสียงใส่คุณแม่ต่อหน้าคนอื่น

“ทีนี้เธอรู้หรือยังว่าทำไมฉันถึงไม่ชอบเธอ” คุณแม่ปรายตามองผม หลังจากหลบเลี่ยงการปะทะคารมกับแฟนของลูกชาย ในที่สุดเธอก็กล่าวโทษผมเสียที “เธอทำให้ภูก้าวร้าว”
“ภูไม่ได้ก้าวร้าว!”
“ส่องกระจกดูตัวเองบ้างเถอะภู ดูสีหน้าของตัวเองตอนนี้หน่อยว่ากำลังมองแม่ด้วยสายตาแบบไหน แล้วจะให้แม่สบายใจได้ยังไงในเมื่อภูกลายเป็นแบบนี้”

คุณแม่ยังคงใจเย็นอย่างเหลือเชื่อ เธอไม่ตะคอกใส่ภู ไม่โวยวายหรือกรีดร้องที่ภูแสดงอาการต่อต้านอย่างออกหน้าออกตา เธอทำให้ทุกคนมองภูในแง่ลบโดยไม่ต้องพูดขยายความอะไรเลย ส่วนผมคือสาหตุที่ทำให้หมอภูกลายเป็นลูกชายที่ไม่น่ารักสำหรับแม่ พวกเขาต้องคิดว่าเพราะผม ภูถึงกล้าขึ้นเสียงใส่แม่ เพราะผมเป็นแฟนที่คอยให้ท้ายในเรื่องแย่ๆ หมอภูที่เคยสุภาพและมีมารยาทถึงได้มองแม่ตัวเองตาขวาง และเริ่มแสดงอาการฮึดฮัดขัดใจ

“จะไม่ให้ภูโมโหได้ยังไง แม่จงใจพูดถึงคนอื่นเพื่อให้สองเข้าใจผิด”
“แม่คิดว่าสองของภูควรรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“แม่รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม่ทำให้ภูสงสัยว่าแม่รักภูจริงหรือเปล่า”
“ทำไมถึงคิดว่าแม่ไม่รักภูล่ะ”
“เพราะถ้าแม่รักภูจริง แม่จะไม่พูดถึงคนอื่น” ภูพูดเสียงแข็ง “ตอนภูคบกับเนเน่ แม่แทบไม่เคยเอ่ยชื่อคนอื่นเลย แต่พอเป็นสอง ทำไมแม่ต้องป่าวประกาศทุกเรื่องให้แฟนของภูรู้ แม่คิดอะไรอยู่เหรอ แม่คิดว่าถ้าสองรู้ สองจะเลิกคบกับภูงั้นเหรอ”
“แล้วภูจะเลิกกับสองไหมล่ะ”
“ไม่เลิก”

ภูตอบและสอดประสานมือกับผม เราเหมือนอยู่ในฉากละครที่พระเอกแสดงความรักมั่นคงต่อนางเอก ผิดกันที่ผมไม่ใช่นางเอก ผมคือตัวร้ายในสายตาของแม่พระเอกต่างหาก

“ภูมั่นใจแล้วว่าภูเป็นเกย์ ต่อให้เราเลิกกันภูก็คงไม่มีวันกลับไปคบกับผู้หญิงแล้วมีลูกให้แม่หรอก ถามจริงเถอะ แม่เคยกดดันภีมขนาดนี้ไหม แม่เคยบอกภีมกับแพรไหมว่าอีกหน่อยต้องหาคนดีๆแล้วแต่งงานเป็นครอบครัว แล้วก็รีบมีหลานให้แม่เลี้ยง อ้อ – แม่ไม่ต้องพูดกับแพรหรอก เพราะมันท้องป่องกลับบ้านให้แม่เลี้ยงพีชสมใจอยากแล้วไง”

คุณแม่จ้องเราเขม็ง ตอนนี้เป็นเธอเองที่ข่มความโกรธเอาไว้ไม่มิด เนื้อตัวของเธอสั่นเทา ริมฝีปากขบแน่นราวกับพยายามกลั้นถ้อยคำมุ่งร้ายสุดชีวิต ผมไม่นึกเลยว่าภูจะกล้าพูดกับคุณแม่ขนาดนี้ เขากล้ามากกว่าที่ผมคิด และการพูดความจริงไม่ช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้นเลย

“ภูจะลองดีกับแม่เหรอ”
“ภูไม่ได้จะลองดี ภูคุยกับแม่หลายครั้งแล้วแต่แม่ไม่เข้าใจ”
“เพราะแม่หวังดีกับภูไง”
“ถ้าแม่หวังดีจริง แม่ต้องปล่อยให้ภูกับสองคบกันสิ เพราะภูรักเขา”
“จะให้แม่ปล่อยภูไปลำบากเหรอ ภูพูดเหมือนแฟนของภูดูแลภูได้อย่างนั้นแหละ ขนาดตัวเขาเองยังต้องอาศัยอยู่ร้านหนังสือของเพื่อนเลย แล้วเขาจะดูแลภูของแม่ได้ยังไง”

ไม่ว่าเมื่อไหร่ การไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเองก็คือแผลใจขนาดใหญ่สำหรับผม มันคือปมด้อย คือความพ่ายแพ้เจ็บใจที่พยายามหลีกเลี่ยงและไม่ยอมรับความจริงมาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองกระจอก ผมรู้ดีแต่ก็ยังฝืนดันทุรังจะคบกับภู ผมรู้ว่าเราต่างกันสุดขั้วแต่ผมรักเขาจริงๆนะ ทำไมผมถึงไม่มีสิทธิ์รักและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับภูแค่เพราะไม่มีเงินมากเท่าที่คุณแม่คาดหวัง ในเมื่อผมสัญญาแล้วว่าจะขยับฐานะให้ดีกว่านี้ จะหาเงินให้ได้มากกว่านี้เพื่อให้ทัดเทียมเสมอเขา ทำไมถึงไม่ให้เวลาผมตั้งตัวบ้าง

“ผมว่าคุณคุยกับแม่เถอะ”

สุดที่รักหน้าเสียเมื่อผมตัดบทเรื่องของเราไว้แค่นั้นแล้วเดินขึ้นบันได ที่ห้องนอน ผมเลือกเก็บแล็ปท็อปกับไอแพดลงกระเป๋า มือหนึ่งถือช่อดอกกุหลาบ ส่วนพวกเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆถูกทิ้งไว้ที่นี่เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องกลับรังรักเพื่อมากกกอดสุดที่รักอีกแน่ๆ เมื่อเดินลงไปชั้นล่างของร้านก็ไม่เจอภูเสียแล้ว พี่ส้มบุ้ยปากไปทางห้องพักแพทย์เพื่อบอกเป็นนัยว่าสองแม่ลูกกำลังโต้เถียงกันยกใหญ่ ลูกค้าคนหนึ่งอุ้มหมาพุดเดิ้ลเข้ามาในร้านพอดี เมื่อเห็นว่าบรรยากาศอึดอัดชอบกล เธอก็ถามอ้อมๆว่ามีสัตวแพทย์พร้อมฉีดวัคซีนประจำปีให้ลูกชายของเธอหรือไม่

“น้องชื่ออะไรคะ รบกวนขอเบอร์โทรศัพท์เจ้าของน้องด้วยค่ะ”

พี่ส้มทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนผมผู้ไม่มีบทบาทใดๆในคลินิกจึงต้องออกมาแต่โดยดี เมื่อชานมเห็นผมหอบข้าวของเตรียมเปิดประตูออกจากร้านก็รีบวิ่งมาพันแข้งพันขา มันไม่ยอมให้ไป มันกำลังทำหน้าที่ของตัวเองราวกับโดนพ่อภูสั่งเอาไว้

“นม ตามมาไม่ได้นะ” ผมย่อตัวลงนั่งและลูบหัวมัน เจ้าหมายักษ์ดูจะไม่เข้าใจอะไรเสียเลย “ไว้เจอกันใหม่วันหลัง อยู่กับพ่อภูก่อนนะ”

ชานมร้องหงิงและรีบวิ่งไปดักที่ประตู มันจ้องบานกระจกเขม็งและเตรียมพร้อมจะพุ่งออกไปข้างนอกทันทีที่มีใครผลักประตู ผมเรียกพี่ส้มให้อุ้มชานมไปเก็บหลังร้านแต่เธอกำลังวุ่นอยู่กับลูกค้า ผมจึงต้องขอร้องให้พี่เลี้ยงน้องพีชดึงปลอกคอของชานมเอาไว้ เพื่อที่ผมจะได้จากไปตามความต้องการของทุกคน และชานมจะได้ไม่หลุดออกจากร้านด้วย

“ไม่ใช่หน้าที่ค่ะ”

เธอตอบอย่างถือตัวเหมือนคุณแม่ของภู ผมมองเธอและใช้สายตาถามเป็นนัยว่าจะเอาแบบนี้เหรอ จะปฏิบัติต่อผมด้วยท่าทีแย่ๆเหมือนเจ้านายของตัวเองอย่างนั้นหรอกเหรอ เธอมองตอบโดยไม่เกรงกลัวราวกับได้รับอนุญาตให้ทำตัวเย็นชาใส่ผมได้ เรามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ ผมจึงอุ้มชานมไปขังในคอกหลังร้านด้วยตัวเองและเดินออกจากคลินิก
 



ผมกลับถึงกู้ด รี้ดดิ้งในอีกชั่วโมงถัดมา ติณณภพยังคงนั่งเฝ้าร้านเมื่อผมผลักบานประตูเข้าไป เขากำลังอุ้มมาร์กาเร็ตในท่าอุ้มเด็กทารก เจ้าแมวหางกุดแสนเย่อหยิ่งนอนนิ่งให้ติณโอบกอดอย่างรักใคร่ ไม่ว่าติณจะพูดอะไร มาร์กาเร็ตก็ตอบรับคำพูดของติณด้วยการร้องเหมียว! เหมียว! เสียงเบาเหมือนแมวเชื่อง แต่เมื่อผมปรากฏตัวขึ้น มันก็รีบดีดตัวออกจากอ้อมกอดของติณและยืดตัวบิดขี้เกียจบนโต๊ะ ดวงตาสีเหลืองของมันมองผมอย่างหยามเหยียด แม้แต่มาร์กาเร็ตเองก็ไม่ชอบผมเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ

“ไหนว่าจะกลับอาทิตย์หน้า” ติณถามขณะที่ผมวางช่อดอกกุหลาบไม่สมประกอบลงบนโต๊ะ “หมอหมาซื้อให้เหรอ” เขามองมันด้วยความสงสัยเพราะดอกกุหลาบช่อนี้ดูไม่สวยงามสมกับเป็นของขวัญวันครบรอบเท่าไหร่ “ไอ้หมอหมาให้ดอกไม้แบบนี้กับมึงจริงๆเหรอ ทำไมดูหรอมแหรมจัง”
“ซื้อมาหลายวันก็ต้องเหี่ยวเป็นธรรมดา”
“เหรอ ทำไมถึงกลับเร็วล่ะ”
“แม่ภูมาที่คลินิก”
“อ้อ” ติณขานรับเหมือนไม่ใส่ใจ “แล้วยังไงต่อ”
“กูก็ต้องออกมาสิ แม่เขาไม่อยากให้อยู่”
“ไอ้หมอหมาไม่ปกป้องมึงบ้างเหรอ”
“ภูจะทำอะไรได้ นั่นคลินิกแม่เขา” ผมแค่นหัวเราะ เป็นการหัวเราะเยาะตัวเองที่กระจอกจนคุณแม่ของสุดที่รักไม่ยอมรับ “ร้านเป็นไง”
“ปกติดี”
“อืม” ผมขานตอบพลางหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาวางบนโต๊ะ ติณที่เห็นรอยร้าวขนาดใหญ่ถึงกับเอ่ยปากทัก “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก มันหลุดมือน่ะ” ผมโกหก ไม่อยากบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าหน้าจอโทรศัพท์ที่หวงนักหวงหนาแตกเพราะอะไร
“มึงไม่ได้ติดฟิล์มกระจกนี่”
“ใช่”
“เสียดาย” ติณย่นคิ้ว “เปลี่ยนจอก็หลายพันอยู่เหมือนกัน”
“ทำไงได้ล่ะ” ผมพึมพำ “งานยังไม่เสร็จนะ เดี๋ยวทำต่อตอนนี้เลย”
“กูรู้อยู่แล้ว” ติณตอบก่อนจะดึงมาร์กาเร็ตไปอุ้มอีกครั้ง แต่คราวนี้เจ้าหางกุดแสนเย็นชาไม่ยอมง่ายๆ มันกระโดดหนีติณแล้ววิ่งไปหลังชั้นหนังสือ แม้แต่มาร์กาเร็ตก็ไม่อยากอยู่ข้างผม “อยู่กับแฟนทั้งวันจะมีสมาธิทำงานได้ยังไง เนอะ”

ติณพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมนั่งทำงานเพียงลำพังจนถึงตอนเย็น




Part 2 ต่อข้างล่างเลยคับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-11-2020 21:56:04
18 [PART 2/3]

 ฝนตกอีกหนักอีกแล้ว บรรยากาศในร้านหนังสือหนาวจัดจนต้องปิดแอร์หนึ่งเครื่องเพื่อไม่ให้หนาวจนเกินไป ผมยังคงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ ข้างผมคือมาร์กาเร็ตซึ่งกำลังนอนเลียขนตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง กระดิ่งตรงปลอกคอส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งทุกครั้งเมื่อมันขยับตัว ผมกับมาร์กาเร็ตนั่งด้วยกันมาครู่หนึ่งแล้ว ข้อสันนิษฐานที่ว่ามันเกลียดผมคงไม่ใช่ความจริง มาร์กาเร็ตไม่ได้เกลียดผม มันเกลียดเสื้อผ้าที่มีกลิ่นของชานมต่างหาก

จนถึงตอนนี้ผมยังคงเฝ้าคิดถึงภูทุกลมหายใจเข้าออก ผมคิดถึงเขา ผมอยากกลับไปอยู่กับเขาแต่ทำไม่ได้ ทำไมสุดที่รักถึงไม่ตอบข้อความเลย ทำไมคุณหายไปไม่ติดต่อมา ผมเป็นกังวลจนต้องหยิบโทรศัพท์มาเช็กทุกห้านาที หยิบแล้ววางอยู่อย่างนั้น หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่อย่างนั้นจนติณณภพรำคาญ ติณคงรู้ว่าผมกับภูมีปัญหากันแต่ไม่เอ่ยปากถาม เขาเว้นระยะห่างเพื่อให้ผมสบายใจเรื่องความสัมพันธ์เสมอ

ผมรอภู รอข้อความหรือสายโทรศัพท์จากเขาจนกระทั่งร้านปิดแต่ไม่มีวี่แวว หรือคุณแม่ของเขายื่นคำขาดให้เราต้องเลิกกันจริงๆ ถ้าหากคุณแม่ทำแบบนั้น คุณน่าจะติดต่อกลับมาหน่อยนะ น่าจะบอกผมซักคำว่าคุณเลือกทางไหน คุณยังอยากจับมือของผมหรืออยากกลับไปเป็นภูเด็กดีของคุณแม่ พูดมาเถอะ ผมรับได้ทั้งนั้นขอแค่อย่าทิ้งกันไว้กลางทางเลย หัวใจของผมเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ใกล้ตายทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผมอาจจะตายจริงๆก็ได้หากภูไม่ทำให้มันชัดเจน ผมเฝ้ารอเขาจนทุกคนแยกย้ายกลับ ร้านปิดแล้ว คืนนี้ติณกลับไปค้างที่บ้านกับแม่ ส่วนผมนั่งทำงานคนเดียวที่ชั้นหนึ่งกับมาร์กาเร็ตซึ่งไม่ทำอย่างอื่นนอกจากนอนแผ่บนโต๊ะ เราต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเองจนกระทั่งมีเสียงทุบประตูดังขึ้น

ปึง!!

 มาร์กาเร็ตผงกหัวตามสัญชาติญาณ มันกระโดดลงจากโต๊ะและวิ่งไปดูหน้าประตูร้านเพราะความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็เดินถอยห่างออกมาแล้วหนีหายไปทางชั้นหนังสือ

ปึง!!!!

เสียงทุบดังขึ้นอีกครั้ง ผมใจไม่ดีเพราะกลัวว่าจะเป็นพวกขี้เมาซึ่งชอบเดินเตร่อยู่แถวนี้ ก่อนไปถึงประตู ผมคว้าเอาร่มของติณมาถือไว้ หากมันพังเข้ามาเราคงได้เห็นดีกัน มือที่กอบกุมร่มสั่นเพราะความกลัว ผมกลืนน้ำลายขณะขยับเข้าไปเรื่อยๆจนถึงบานประตู และเมื่อเผชิญหน้ากับแขกผู้ไม่ได้รับเชิญผมก็ตกใจจนต้องร้องออกมา

“ภู!!”

สุดที่รักของผมตัวเปียกซกเพราะน้ำฝน เส้นผมแนบไปตามใบหน้า หยดน้ำไหลตั้งแต่หน้าผากจนถึงปลายคาง ผมรีบเปิดประตูให้ภูเข้ามาข้างใน เขายังสวมชุดคลินิกอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองอย่างที่เคยทำประจำ

“เกิดอะไรขึ้น”

ผมถาม แต่ภูไม่ตอบ เขาดูเหนื่อยล้าจนแทบไม่อยากขยับตัวนอกจากยืนเฉยๆ ผมเปิดประตูและลากเขาเข้ามาข้างใน สุดที่รักยังคงยืนตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนไปไหนจนผมต้องเป็นฝ่ายพาเขาขึ้นไปชั้นสาม

“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”

ผมบอกแต่ภูก็ไม่ตอบสนองต่อคำขอเสียที เขาเหมือนคนหัวใจสลายอีกแล้ว ภูเอาแต่ยืนนิ่งและไม่พูดไม่จาจนผมต้องเป็นคนช่วยถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำให้เขา ผมเปิดเครื่องทำน้ำอุ่น ยกฝักบัวรดตัวของภูอย่างเร่งรีบ ผิวของเขาเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ผมจึงต้องรีบอาบน้ำสระผมให้สุดที่รักก่อนที่เขาจะไม่สบาย จากนั้นก็เป็นผมอีกที่หาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เป่าผมให้ ตอนนี้ผิวของภูเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อย ผมจึงใช้ผ้านวมห่อตัวเขาอีกชั้นเพื่อความมั่นใจว่าภูจะไม่หนาวจนเกินไป

“หิวไหม” ผมถามขณะไดร์ผมให้ภู “คุณทานข้าวมาหรือยัง”
“ยัง”
“เดี๋ยวผมทำอะไรให้กินนะ”

ผมดันไหล่สุดที่รักให้ลงไปทานอาหารด้วยกันในครัวและอุ่นข้าวผัดที่ซื้อไว้เมื่อตอนเย็น ข้าวผัดกล่องนี้เป็นส่วนของผม แต่เพื่อภูที่กำลังหิวโหย ผมยินดียกให้โดยไม่สนว่าตัวเองจะหิวโซแค่ไหน ผมจัดจานอาหารเสร็จแล้วแต่ภูยังคงไม่พูดอะไร ผมจึงเอื้อมตัวไปจับมือของเขาเพื่อบอกว่ายังมีใครคนหนึ่งรับฟังอยู่ตรงนี้เสมอ

“กินข้าวหน่อยเถอะ คุณหิวไม่ใช่เหรอ” ผมคะยั้นคะยอแต่ภูยังไม่ยอมจับช้อนเสียที “ภู” ผมเรียกสุดที่รักด้วยความเป็นห่วง “ใจคอคุณจะไม่คุยกับผมหน่อยเหรอ”

ภูเบนสายตามาหาผม ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนคนเพิ่งร้องไห้มาหมาดๆ ผมอดทนรอเขาอย่างใจเย็นไปพร้อมกับบีบมือและบอกภูว่าไม่เป็นไร คุณยังมีผมอยู่ทั้งคน

“สอง”
“ว่าไง”
“ชานมไม่อยู่แล้ว”
“ทำไม ชานมเป็นอะไร”
“แม่เอาชานมไปแล้ว” ภูเริ่มสะอื้น “แม่เอาชานมไปแล้ว”

แล้วภูก็แผดเสียงร้องไห้จ้ายิ่งกว่าเช้าหลังวันครบรอบของเรา เสียงของเขาเสียดแทงเข้ากลางหัวใจของผมจนเจ็บ ยิ่งสุดที่รักร้องไห้เหมือนจะขาดใจก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเขาที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อดูแลชานม ผมคงไม่สามารถบอกภูให้ทำใจเพราะหมาตัวนั้นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงธรรมดา แต่ชานมคือเพื่อน คือครอบครัว คือสิ่งมีชีวิตที่เยียวยาหัวใจของภู ผมรู้สึกโกรธเหลือเกินเมื่อรู้ว่าคุณแม่ตั้งเงื่อนไขให้ภูมารับชานมกลับไปได้หากจ่ายเงินสดให้เธอหกหมื่นบาทซึ่งเป็นค่าตัวที่เธอซื้อชานมจากฟาร์ม

ทำแบบนี้เพื่ออะไรอีแม่เหี้ย

ทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร เพื่อเอาชนะลูกชาย เพื่อย่ำยีหัวใจของลูกชาย เพื่อทำลายความรู้สึกของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้นหรอกหรือ อีแม่เหี้ย ผมก่นด่าเธอโดยไม่ออกเสียง และอยากทำมากกว่าก่นด่าเมื่อรู้ว่าเธอยึดเอาทุกอย่างไปจากภูจริงๆ ทุกอย่างที่ภูได้รับเป็นของขวัญจากคุณแม่ ทั้งรถ ทั้งโทรศัพท์มือถือ ทั้งบัตรเครดิต เธอเปลี่ยนตารางทำงานในคลินิกทั้งหมดโดยอ้างว่าลูกชายคนเล็กไม่เอาไหน เธอจึงต้องเข้ามาบริหารก่อนที่กิจการจะเจ๊งไม่เป็นท่า ภูโดนลดเงินเดือนหลายหมื่น ส่วนหมอจ๋อมแจ๋มอาจจะโดนเลิกจ้างหากเธอมาทำงานตามตารางใหม่ไม่ได้ แถมคลินิกที่เคยอาศัยอยู่ฟรีก็ต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละสามหมื่นบาท อีแม่เหี้ยตัดขาดภูโดยสมบูรณ์ เธอบีบภูให้ต้องย้ายออกจากคลินิก บีบให้เขายอมจำนนและตัดใจจากผม แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการยึดชานมไป ภูบอกว่าแม่สั่งให้คนขับรถอุ้มชานมไประหว่างที่เขาเย็บแผลอยู่ ออกมาอีกทีพี่ส้มถึงบอกว่าชานมไม่อยู่แล้ว

“ภูไม่เอาอย่างอื่นก็ได้ ภูขอแค่ชานมคืน” สุดที่รักฟูมฟายจนตัวแดง เขาทั้งหอบทั้งสะอื้นอย่างน่าสงสาร “ภูอยากได้ชานมคืน”

ผมเจ็บปวดหัวใจจนไม่รู้จะพูดยังไง จู่ๆก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะช่วยเหลือสุดที่รักให้ได้ชานมกลับมา หากผมมีเงิน – หากผมมีเงินซักก้อน ผมคงไม่ลังเลที่จะกดเงินสดเพื่อไถ่ชานมกลับมาให้ภู แต่ตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลย ผมมีเงินเก็บเพียงเล็กน้อยที่ต้องสำรองเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผมไม่สามารถช่วยอะไรสุดที่รักได้

“เราช่วยกันหาทางจะพาชานมกลับมา” ผมลูบแผ่นหลังของเขา “คุณไม่ต้องกังวลนะ พรุ่งนี้ผมจะหาเงินมาให้”

ผมให้สัญญาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาเงินหกหมื่นมาจากไหน และภูเองก็เศร้าเสียใจเกินกว่าจะเรียบเรียงว่าเขามีเงินติดตัวเท่าไหร่ นอกจากบัตรเครดิตที่คุณแม่ยึดไป ภูน่าจะมีเงินเก็บส่วนตัวไว้บ้างไม่มากก็น้อย ผมเฝ้ารอด้วยความอดทน รอว่าเมื่อไหร่ภูจะพร้อมคุยกันจริงจังว่าเราควรทำยังไงต่อไปแต่กลับไม่ได้อะไร เวลาล่วงเลยจนถึงสี่ทุ่ม ผมปิดไฟชั้นล่างและบอกลามาร์กาเร็ตเพื่อกลับไปนอนกกกอดสุดที่รัก จังหวะที่เปิดประตูห้องนอนบนชั้นสาม ผมพบว่าภูหลับสนิทด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

โถ – คนดี

คุณคงเหนื่อยและเจ็บปวดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นใช่ไหม แต่รู้เอาไว้นะว่าผมจะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณโดยไม่มีข้อแม้ ผมจะไม่มีวันทอดทิ้งคุณและสิ่งที่คุณรัก ผมจะไม่ทำให้คุณต้องทนตรอมตรมอยู่กับความทุกข์เหมือนอย่างตอนนี้ พรุ่งนี้เช้า ทันทีที่คนรู้จักของผมตื่นนอน ผมจะหยิบยืมเงินจากพวกเขาและพาชานมกลับมาหาคุณให้ได้



 


ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิผิดปกติของภูตอนหกโมงเช้า ทันทีที่รู้ว่าสุดที่รักไม่สบายก็รีบปั่นจักรยานฝ่าฝนเพื่อไปซื้ออาหารและยา เมื่อกลับมาถึงผมก็รีบปลุกให้เขาตื่นมาทานยาลดไข้ แถมยังต้องคะยั้นคะยอให้ภูทานโจ๊กรองท้องแต่ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าไหร่ เขางอแง หงุดหงิด และงุ่นง่านเพราะพิษไข้ ภูหลับตาแน่นไปพร้อมกับเพ้อหาชานม เขาขอร้องให้ผมช่วยพาชานมกลับมา

“ผมรู้ ผมรู้” ผมบีบมือของเขาก่อนจะป้อนโจ๊กให้อีกคำ “กินข้าวก่อนนะ ไข้ลงเมื่อไหร่เราค่อยคุยกันเรื่องชานม”

ภูดื้อรั้นกว่าปกติหลายเท่าและอ่อนแรงจนน่ากังวล ผมต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติในการพูดคุยกับเขา ขอร้องให้เขาทานยา ขอให้เขาถอดเสื้อผ้าเพื่อเช็ดตัว แต่ภูไม่ยอมทำอะไรเลย เขาเอาแต่กอดซบผมและร้องไห้ “อยู่ด้วยกันได้ไหม” เขาร้องขอ “อยู่กับภูก่อนได้ไหม” ภูอ้อนเสียงสั่นจนหัวใจของผมอ่อนยวบ ผมวางชามโจ๊กไว้บนโต๊ะแล้วปีนกลับขึ้นไปบนเตียงเพื่อนอนกอดเขา ผมกอดสุดที่รักที่ตัวร้อนเพราะพิษไข้ ภูร้องไห้ถามผมว่าจะทำยังไงดี เขากลับคลินิกไม่ได้และไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป ภูไม่เหลืออะไรเลยทั้งรถ ทั้งโทรศัพท์ หน้าที่การงานในคลินิกก็คงจบสิ้นแล้วเหมือนกัน

“ภูคิดถึงนม” เขากอดผมแน่น “สอง ภูคิดถึงนม”
“ผมรู้” ผมตอบสุดที่รักได้แค่นั้น “ผมรู้ ผมจะพานมกลับมาหาคุณ”

ผมลูบหลังภูจนกระทั่งเขาผล็อยหลับอีกครั้ง เปลือกตาของเขาไม่เคยแห้งเลย มันเปียกชื้นเพราะน้ำตาตลอดเวลาตั้งแต่เขามาที่นี่ ผมเจ็บใจจริงๆที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองภูร้องไห้ หากผมมีเงินมากกว่านี้ หากผมรวยกว่านี้อีกซักนิดก็คงขับรถไปหาคุณแม่ที่บ้าน เอาเงินฟาดหน้าเธอ ด่าทอเธอแล้วก็พาชานมกลับมา แต่ในชีวิตจริงผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะมีเงินไม่พอ เงินที่มีอยู่ก็เป็นเงินสำหรับใช้จ่ายไม่ใช่เงินเก็บ ความรู้สึกอับจนปัญญานี้กดดันผมมากเพราะไม่รู้จะหันไปหาใคร คงมีเพียงไม่กี่คนที่ยินยอมให้คนกระจอกอย่างสิปปกรยืมเงิน และคงไม่ใช่พ่อกับแม่ เพราะทั้งสองคนก็มีภาระอย่างน้ำหนึ่งและลูกต้องดูแลอยู่แล้ว

ผมนอนกอดภูจนถึงเวลาเปิดร้าน ผมถอนหายใจและผละตัวออกอย่างระมัดระวังเพราะกลัวเขาตื่น เมื่อเช็กว่าสุดที่รักหลับสนิทดี ผมจึงเดินลงไปชั้นล่างซึ่งมาร์กาเร็ตกำลังนั่งรออยู่ มันตำหนิด้วยสายตาโทษฐานที่ลงมาช้าเพราะตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้ามาชั่วโมงกว่าแล้ว ถ้ามาร์กาเร็ตพูดได้ มันคงวิ่งแจ้นไปฟ้องติณณภพแน่ๆ

“เอ้า กินซะ”

ผมเทอาหารเม็ดใส่ชามและไปจัดการธุระของตัวเอง พนักงานกู้ด รี้ดดิ้งเริ่มทยอยเดินทางมาถึงร้าน ส่วนติณมาถึงเป็นคนสุดท้าย ตัวเขาเปียกซ่กเพราะวิ่งฝ่าฝนจากลานจอดรถโดยไม่มีร่ม ประโยคแรกที่เราคุยกันคือเรื่องสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจ จากนั้นก็คุยเรื่องอาหารเช้า เรื่องยอดขายที่ไปได้ค่อนข้างดี ผมทำเพียงแค่ขานตอบเป็นระยะๆ เมื่อมีโอกาสได้อยู่เพียงลำพังสองคน ผมจึงประชิดตัวเพื่อนสนิทเพื่อคุยธุระส่วนตัว

“ติณ” ผมเรียก “ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“เรื่องอะไร”
“กูมีเรื่องอยากรบกวน คือ – คืออย่างนี้นะ” ผมอ้ำอึ้ง จู่ๆก็รู้สึกกระดากอาย “พอดีว่าตอนนี้กูจำเป็นต้องใช้เงินด่วน มากๆ กูเลยอยากจะขอร้อง –”

ติณละสายตาจากโทรศัพท์ เขามองหน้าผมด้วยแววตาเคร่งขรึมเจือความเป็นห่วง ติณณภพซักไซ้เอาความว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อป่วยเหรอ น้ำหนึ่งต้องใช้เงินเหรอ ผมไม่อยากโกหกติณจึงสารภาพความจริงทั้งหมด ผมบอกเพื่อนว่าตอนนี้เรากำลังมีปัญหาอะไร เราที่ว่านั่นคือผมกับสุดที่รัก และผมต้องการเงินอีกประมาณสามหมื่นเพื่อไปรับหมาตัวนั้นกลับมา

“มึงบ้าไปแล้วเหรอ!” ติณโกรธมากเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาถึงกับคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง “เพื่อหมาตัวเดียวเนี่ยนะ!”
“แต่ภูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีชานม เขารักหมาตัวนั้นจริงๆนะ”

ผมพูดเสียงสั่นเหมือนคนจะร้องไห้ ติณอาจไม่เข้าใจว่าเราผูกพันกับเจ้าหมาอ้วนแค่ไหน ชานมไม่ใช่หมาคอร์กี้ธรรมดาแต่เป็นลูกชายของภู เป็นครอบครัวที่อยู่กับภูตลอดเวลา ผมทำใจปล่อยให้ภูอยู่อย่างหัวใจสลายไม่ได้หรอก อาการตรอมใจของสุดที่รักมีแต่จะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น ผมจึงขอร้องอ้อนวอนขอให้ติณเข้าใจ แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง จะโน้มน้าวหรือแสดงความเจ็บปวดออกมาแค่ไหน เพื่อนสนิทกลับไม่เห็นด้วย

“มันไม่ใช่เรื่องของมึงไงสอง หมาตัวนั้นไม่ใช่ของมึง ทำไมมึงต้องวิ่งหาเงินเพื่อไปเอามันกลับมา!”

ติณเสียงแข็งและแสดงท่าทีไม่พอใจ ยิ่งรู้ว่าตอนนี้ภูอยู่ชั้นสามก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ผมรู้ตัวดีว่าทำผิดโดยไม่มีข้อแก้ตัว และผมจะไม่แก้ตัวด้วยนอกจากยกมือไหว้ขอโทษเพื่อนสนิท ผมบอกติณว่าขอโทษ ขอโทษจริงๆที่เกิดเรื่องแบบนี้ มันปุบปับกะทันหันไม่ทันตั้งตัวและเราไม่มีที่ไป นอกจากชั้นสามของกู้ด รี้ดดิ้งแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าจะพาภูไปอยู่ที่ไหนเพราะเพื่อนกระจอกๆคนนี้ไม่มีเงินมากพอจะซื้อคอนโดหรือบ้านเป็นของตัวเอง

“ติณ กูขอร้อง กูสัญญาว่าจะคืนภายในสามเดือน”

ผมให้สัญญาเหมือนคราวก่อนที่หยิบยืมเงินจากติณจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้ำหนึ่ง ทว่าคราวนี้ติณไม่ยอมใจอ่อน เขายืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการนำเงินหกหมื่นไปไถ่ชานม เพราะต่อให้เราได้เจ้าหมาอ้วนกลับมาก็ไม่ได้แปลว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะจบ ไหนจะค่าอาหาร ค่าแผ่นรองฉี่ ไหนจะพื้นที่สำหรับเลี้ยงหมาอีก ติณยืนยันเสียงแข็งว่ากู้ด รี้ดดิ้งไม่พร้อมเลี้ยงสัตว์เพิ่มเพราะมาร์กาเร็ตไม่ชอบหมา อีกอย่างพื้นที่ในร้านนี้มีไว้ให้เพื่อนสนิทของติณเท่านั้น แน่นอนว่าคนรักของเพื่อนสนิทไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขนี้ด้วย

ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินคำขาดจากติณ ผมจนตรอกแล้ว ผมไม่มีทางไปแล้ว ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นนอกจากพาชานมกลับมาหาภู ไม่อย่างนั้นสุดที่รักของผมจะตรอมใจตาย เขาต้องตายแน่ๆหากไม่มีหมาตัวนั้น ผมมือสั่นไปหมดขณะยกมือไหว้ขอร้องติณ ผมให้สัญญาว่าจะหาเงินมาคืน จะให้ดอกเบี้ยเพิ่ม และจะหาจุดกึ่งกลางที่เราสามคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ ติณไม่ยอมฟังคำขอของผมด้วยซ้ำ พอเป็นเรื่องของภู คำขอร้องอ้อนวอนก็ไม่มีความหมายเลย ติณณภพตัดเยื่อใยด้วยการบอกว่าถ้าภูจะตายเพราะขาดหมาตัวนั้นก็กลับไปอยู่กับแม่เถอะ

“แต่ภูเป็นแฟนกูนะติณ” ผมพูดอย่างจนปัญญา “ถ้าภูกลับไปหาแม่ กูจะอยู่ยังไง มึงก็รู้ว่ากูรักเขา กูรักผู้ชายคนนี้จริงๆนะ”

ติณขมวดคิ้วมุ่นขณะที่มองผมด้วยสายตาเหมือนรำคาญ เขาเสหน้าไปทางอื่นก่อนจะพ่นลมหายใจยาว ยังคงไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องเงิน และความเงียบนั้นก็ทำให้ผมกับติณอยู่ในช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ผมยืนน้ำตาไหลเงียบๆ ส่วนติณขมวดคิ้วมุ่นเหมือนคิดหนัก เมื่อผมยกมือไหว้ขอร้องและทำท่าจะคุกเข่า ติณก็รีบห้ามด้วยการรวบมือของผมลง

“อย่าทำอย่างนี้”

ติณพูดเสียงแข็งและเงียบไปพักใหญ่ เราอยู่ในบรรยากาศแตกหักซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระยะยาว ผมได้แต่อ้อนวอนเพื่อนสนิทผ่านทางสายตา ละทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างโดยไม่สนว่าติณจะสมเพชเวทนาแค่ไหน ผมไม่แคร์หรอกว่าใครจะมองยังไง ผมสนใจแค่ว่าภูจะอยู่ต่อไปยังไงเท่านั้น

“นี่คือครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่กูจะให้มึงยืมเงินเพื่อไอ้หมอเหี้ยนั่น”

คำพูดของติณไม่น่ารักแต่ผมไม่ถือโทษโกรธเขา ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับเขย่ามือของเพื่อนสนิท ผมขอบคุณติณซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งและให้สัญญาว่าภายในสามเดือนข้างหน้าเขาจะได้รับเงินคืน ต่อให้ต้องทำงานจนตายคาโต๊ะ ผมก็ยินยอมรับผลของการกระทำโดยไม่ลังเล

เงินสามหมื่นบาทถูกโอนเข้าบัญชีของผมในอีกไม่กี่นาทีถัดมา ความรู้สึกหนักอึ้งสูญหายในพริบตา ผมโล่งอกมากเมื่อเห็นว่าเรามีเงินมากพอสำหรับไถ่ชานมกลับมาแล้ว หลังจากสุดที่รักตื่นนอนและฟื้นจากพิษไข้ เขาต้องดีใจแน่ๆหากรู้ว่าแฟนกระจอกๆอย่างผมก็ยังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้เป็นอย่างดี

“พอเป็นเรื่องความรัก มึงไม่เคยรอเลยสอง”

ติณพูดเสียงเรียบเมื่อเห็นอาการดีอกดีใจอย่างออกหน้าออกตา ผมหันไปหาเพื่อนโดยไม่รู้จะตอบโต้คำกล่าวหานั้นยังไง ใช่ เมื่อเป็นเรื่องของความรัก ไม่ว่าอะไรก็เร่งด่วนไปเสียหมด ผมไม่สามารถอดทนรอได้เพราะทุกวินาทีคือความทรมานของภู และผมทนเห็นแก้วตาดวงใจอยู่อย่างตรอมตรมไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

“ติณ ขอบใจมากนะ” ผมยกมือไหว้ “ขอบใจมึงมากๆ กูสัญญาว่าจะรีบคืนให้เร็วที่สุด”
“มึงจะทำยังไงต่อไป”
“ไม่รู้” ผมตอบตามตรง “คงเอาชานมกลับมาก่อน”
“จำไว้นะว่าร้านนี้มีที่ว่างสำหรับมึง แต่ไม่ใช่สำหรับหมอหมากับหมาของมัน” ติณพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ผมรู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้เต็มใจจะให้ยืมเงินเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่นึกว่าจะพูดตรงขนาดนี้ “สอง ความรักที่ต้องเหนื่อยขนาดนี้มันดีกับมึงจริงๆเหรอ”
“ติณ –”
“ถึงขนาดต้องยืมเงินเป็นหลายหมื่นเพื่อเด็กเอาแต่ใจอย่างมัน กูว่ามึงคิดให้ดีๆเถอะว่าคนแบบนี้มันน่าฝากชีวิตด้วยหรือเปล่า อีกหน่อยมึงไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อใจมันจนตายเหรอ สอง ฟังนะ – ถ้าไอ้หมอหมานั่นมันรักมึงจริง มันจะไม่พร่ำเพ้อหาหมาตัวละหกหมื่นทั้งๆที่รู้ว่ามึงไม่มีเงินหรอก”

ติณจ้องหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่ แววตาของเขาเจือไปด้วยความผิดหวังที่สิปปกรกลายเป็นคนคลั่งรักอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง ติณกำลังทำให้ผมตั้งคำถามว่าสิปปกรตอนมีความรักมันผิดมากเลยเหรอ ผมแค่ทนเห็นภูอยู่อย่างตรอมใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เขาโดนความทรงจำแย่ๆหลอกหลอน โดนคุณแม่ยึดรถ ยึดข้าวของ แถมตกงาน และต้องย้ายออกจากบ้านที่เคยเป็นเซฟโซนอีก สุดที่รักของผมเสียทุกอย่างในวันเดียว จะไม่ให้ผมดิ้นรนพาชานมกลับมาได้ยังไงในเมื่อหมาตัวนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของเขา เป็นครอบครัวเรา สิ่งที่ผมทำไม่ใช่เรื่องเกินตัวเลยด้วยซ้ำ

“ติณ มึงไม่เคยรักใคร มึงไม่เข้าใจหรอก”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่เคยรักใคร”
“ถ้ามึงรักใครซักคน มึงจะเข้าใจความรู้สึกที่ว่าเราทนเห็นเขาทรมานไม่ได้ แม้แต่วินาทีเดียวก็ทนไม่ได้” ผมบอกเพื่อนสนิท
“ทำไมกูจะไม่รู้” ติณแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์พร้อมกับลุกขึ้นยืน “มึงคิดว่าตัวเองมีความรักอยู่คนเดียวเหรอ คนทั้งโลกเขาก็เคยมีความรัก เคยรักใครซักคนทั้งนั้นแหละ เพียงแต่เขาไม่ทุ่มจนตัวตายเหมือนมึง”

ติณพูดทิ้งท้ายและเดินจากไป ตลอดทั้งวันเราไม่คุยกันอีกเลย ไม่ใช่เรา แต่เป็นติณ ติณไม่เฉียดใกล้ ไม่เข้าหา และเลี่ยงที่จะคุยกับผมจนพนักงานสังเกตได้ เราไม่แทบไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน มีบ้างทีเถียงกันเล็กๆน้อยๆแต่สุดท้ายเราก็คืนดีกันในวันถัดไป ผมไม่อาจรู้เลยว่าอาการเมินเฉยของติณเป็นเพราะโกรธที่ผมยืมเงิน โกรธที่ภูยังนอนอยู่บนชั้นสาม หรือโกรธทุกเรื่องรวมกัน ผมตั้งใจว่าจะรอให้ทุกอย่างลงตัวแล้วขอโทษติณอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันถึงเที่ยงวันก็มีโทรศัพท์จากคนแปลกหน้าโทรเข้าเครื่องของผม

“ขอสายคุณสองค่ะ”

เธอพูดอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เป็นความนุ่มนวลเด็ดขาดที่ไม่สามารถเดาได้ว่าคือน้ำเสียงของใคร ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง บางทีเบอร์แปลกหน้าไม่คุ้นตานี้อาจเป็นเบอร์ของลูกค้า ผมจึงบอกเธอว่าสองกำลังพูดอยู่ ไม่ทราบว่าปลายสายคือใครครับ แต่เธอไม่แนะนำตัว เธอพูดต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ผมมีโอกาสถามต่อ

“ขอสายภูค่ะ”
“จากใครครับ”

ผมตกใจเมื่อปลายสายถามหาสุดที่รัก ผู้หญิงคนนี้คือใคร ไม่น่าจะใช่คุณแม่เพราะเสียงของเธอไม่แก่และดูห้วนตึงเหมือนตอนคุยกัน น้ำเสียงฟังดูเหมือนคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ผมเดาไม่ออกเลยว่าเธอคือใคร เธอคือเนเน่ คือเพื่อนของภู หรือเธอคือใครถึงได้ถามหาสุดที่รักของผมผ่านทางเบอร์นี้

“นั่นใครครับ”
“แพรค่ะ”

เธอตอบในที่สุด ผมตกใจมากเมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือน้องสาวแท้ๆของสุดที่รัก

“รบกวนขอสายภูด้วยค่ะ”


หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: ambiguous95 ที่ 02-11-2020 21:59:22
18 [PART 3/3]

ภูไม่เคยบอกว่าแพรกลับมาแล้ว ภูไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง ดังนั้นตอนที่รู้ว่าแพรอยู่ที่บ้านของคุณมาและกำลังรอภูกลับมาก็ทำเอารู้สึกแย่ไปพักใหญ่

ผมปล่อยให้สุดที่รักคุยกับครอบครัวเพียงลำพัง หัวข้อที่พวกเขาพูดกันอาจมีเรื่องของผมและอนาคตของเราอยู่ด้วย เกือบสิบห้านาทีที่ภูคุยกับแพรในห้องนอน ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าน้องสาวของเขาโทรมาเพื่อโน้มน้าวให้ภูเปลี่ยนใจหรือแค่โทรมาอัปเดตว่าคุณแม่มีแผนอะไร ผมไม่อาจรู้เลยว่าแพรคิดเห็นยังไง เธอมองว่าผมเป็นคนรักของภูหรือเป็นแค่คนคั่นเวลาขำๆที่พี่ชายไม่ได้จริงจังมาก หากเขาจนตรอกและลำบากอย่างสุดทนก็อาจจะทิ้งผมไปได้ทุกเมื่อ ผมนั่งรออย่างกระวนกระวายอยู่ครู่ใหญ่หน้าห้องนอน เมื่อได้ยินเสียงภูตะโกนเรียกจึงเดินเข้าไป

“สอง”

ภูเรียกผมเสียงแหบ เขาดูหมดแรงยิ่งกว่าตอนตื่นนอนเสียอีก ผมยื่นมือไปจับมือของสุดที่รักแล้วทิ้งตัวนั่งข้างเตียง ผิวของเขาร้อนกว่าปกติ ริมฝีปากแดงจัด ผมใช้ฝ่ามือสัมผัสใบหน้าของเขาด้วยความเป็นห่วง หลังคุยเรื่องนี้เสร็จ ผมจะเช็ดตัวให้เขา

“ผมหาเงินได้แล้ว เราไปรับชานมด้วยกันนะ”

ผมพูดอย่างมีความหวัง และหวังว่าภูจะดีใจหรือแสดงอาการร่าเริงซักเล็กน้อย ทว่าภูกลับส่ายหน้ารัว เขานอนกลับตาและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ท่าทางของเขาทำให้ผมขลาดกลัวว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องไปรับชานมอีกแล้ว เพราะภูจะกลับบ้านตามคำขอร้องของแพร

“ไม่ต้อง”ภูซบหน้าลงบนฝ่ามือของผม
“ทำไมล่ะ”
“ภูคุยกับแพรแล้ว เราจะเอาชานมกลับมาโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาท” ภูหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรง “ภูจะกลับไปที่บ้าน ไปเก็บของทุกอย่างกลับมา แล้วเรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันนะ”
“จริงเหรอ” ผมถาม รู้สึกอยากร้องไห้เมื่อรู้ว่าสุดที่รักเลือกผมแทนที่จะเป็นคุณแม่ “คุณคิดดีแล้วเหรอที่จะมาลำบากกับผม”
“คิดดีแล้ว” ภูยิ้ม เขาสอดประสานมือของผมเอาไว้แน่น ส่วนผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวจนต้องร้องไห้ออกมาจริงๆ “เรียกแท็กซี่เลย”
“คุณตัวร้อนขนาดนี้ เราไปวันหลังดีไหม”
“ต้องวันนี้เพราะแม่ไม่อยู่บ้าน แม่ไปวัดที่สระบุรี”

ภูลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดผ้านวมออกก่อนจะมองหน้าผมซึ่งไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ผมยืนกรานว่าจะไม่ไป เราจะไม่ฝ่าฝนออกไปรับชานมตอนที่คุณป่วย ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา ผมคงโกรธตัวเองไปจนวันตาย

“ภู คุณไม่สบาย และข้างนอกก็ฝนตกหนักมาก”
“ไปเก็บของแป๊ปเดียวค่อยกลับมานอนต่อก็ได้”
“ภู”
“สอง” สุดที่รักจ้องตาของผม เขาบีบมือทั้งสองข้างแน่นและขอร้องให้ผมตามใจซักหนึ่งเรื่อง “เรียกแท็กซี่เลย”
 
ผมไม่อยากใจอ่อน แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดียวของสุดที่รัก ผมจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่มาที่ร้าน แน่นอนว่าเราต้องบอกความจริงกับคนขับว่าเรากำลังจะไปรับหมามาด้วย เป็นหมาขนยาวตัวใหญ่ที่อาจทำให้รถของพวกเขาเหม็นสาบและมีแต่ขนซึ่งโดนปฏิเสธไปตามระเบียบ ผมกระวนกระวายว้าวุ่นจนติณต้องเอ่ยปากถาม ผมจึงเล่าให้เพื่อนสนิทด้วยความตื่นเต้นว่าน้องสาวของภูตกลงจะช่วยเรา แต่ไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมมาเลยเพราะพวกเขาไม่อยากรับหมา ติณได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ยืนนิ่งไม่พูดอะไร เมื่อเห็นว่าผมหาแท็กซี่ไม่ได้เสียทีจึงบอกว่าจะพาเราไปรับชานมเอง

“จริงเหรอ” ผมถามด้วยความดีใจ “จริงเหรอติณ”
“เออ” เขาตอบห้วนๆ “รีบตามมา”

ผมกลับขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อช่วยภูแต่งตัว ผมสวมหมวกและเสื้อแจ็คเก็ตให้เขา ก่อนออกจากร้านผมให้ภูทานยาลดไข้ครั้งที่สองก่อนจะขึ้นรถไปพร้อมกับติณ บรรยากาศบนรถไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ติณเงียบสนิท ส่วนผมกับภูคุยกันด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบกันสองคน ภูรู้แล้วว่าเราอยู่ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งไม่ได้ เขาดูหนักใจแต่ไม่ออกความเห็นอะไรเพราะอ่อนเพลีย ภูเอาแต่ซบกระจกหน้าต่างในขณะที่ผมแปะแผ่นเจลลดไข้บนหน้าผากของเขา เราคุยกันว่าหลังรับชานมกลับมาจะคิดเรื่องอนาคตอีกครั้งในภายหลัง

เราเดินทางจนถึงบ้านของคุณแม่ ประตูรั้วยังคงปิดสนิทจนดูไม่ออกว่าหลังประตูมีใครอยู่ข้างใน ระหว่างที่นั่งรอภูโทรศัพท์คุยกับแพร จู่ๆประตูบ้านก็เปิดออกให้ติณณภพขับเข้าไปจอดด้านใน เราสามคนลงจากรถไปเจอแพรที่กำลังอุ้มน้องพีชอยู่ เจ้าหลานสาวหน้าตาหงุดหงิดโมโหเพราะโดนรบกวนเวลานอน ยิ่งเห็นคนแปลกหน้าสองคนเธอก็ยิ่งหัวเสียจนต้องซบหน้าลงบนไหล่ของแม่เพื่อหลบเลี่ยงสายตา

“ไม่สบายเหรอ”

แพรถามด้วยสีหน้าตื่นๆ เธอมองผมอย่างตำหนิเมื่อรู้ว่าภูยังไม่ได้ไปหาหมอ ผมไม่รู้จะอธิบายเธอยังไงว่าปกติชีวิตของสิปปกรไม่ได้เข้าโรงพยาบาลง่ายขนาดนั้น เรารักษาตัวเองก่อนจะไปพบหมอ การไปโรงพยาบาลคือทางเลือกสุดท้ายเมื่อยาจากเภสัชกรไม่ได้ผลหรืออาการมันสาหัสจนใกล้ตาย แต่แพรคงคิดว่าผมไม่ใส่ใจภูมากพอถึงปล่อยให้เขาทานยาเอง

“ไหนนม”

ภูถาม แพรจึงบุ้ยปากไปด้านหลัง ชานมหมาอ้วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้ด้วยความดีใจ เมื่อเห็นภูยืนอยู่ตรงหน้ามันก็กระโดดพุ่งใส่จนเขาเซล้ม ชานมดีใจมากที่ได้เจอเราอีกครั้ง มันส่งเสียงร้องหงิงๆและวิ่งรอบเราเป็นวงกลม ภูเองก็มีความสุขที่ได้กอดเจ้าหมาอ้วนเช่นกัน เขากอดชานมแน่นจนมันตาเหลือก ทั้งกอดทั้งหอมและบอกว่าจะพาไปอยู่ด้วยกัน

“โทรศัพท์” แพรพูดขัดเมื่อเห็นเราหมกมุ่นอยู่กับชานมจนหลงลืมเธอ กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกส่งมาให้ติณ ผมจึงรีบรับมันมาถือแทน “พวกไอแพด โน้ตบุ๊กก็อยู่ในนี้ทั้งหมด ส่วนสายชาร์จหาไม่เจอ ค่อยซื้อใหม่ก็แล้วกัน”
“สายชาร์จอยู่ที่คลินิก”
“เหรอ” แพรตอบเหมือนไม่ใส่ใจแต่ผมดูออกว่าเธอเป็นห่วงพี่ชายมาก เธอมองภูด้วยสายตาไม่สบายใจก่อนจะมองหน้าผม “พาภูไปหาหมอด้วยนะคะ ภูไม่ค่อยแข็งแรง”
“ครับ”

ผมรู้สึกตัวหดเล็กเมื่อได้คุยกับน้องสาวของสุดที่รัก แพรไม่ได้ใจร้ายอย่างออกหน้าเหมือนคุณแม่ แต่ผมสัมผัสได้ว่าความประทับใจแรกพบของเราไม่ดีเท่าที่ควร เธอคงโกรธที่ผมไม่พาภูไปโรงพยาบาล และอาจจะกำลังกังขากับอนาคตของเราสองคนซึ่งดูร่อแร่พิกลพิการ ผมมีคำพูดหลายอย่างที่อยากบอกแพรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้บอก เราจากกันโดยแพรยกมือไหว้ผมแบบขอไปที สีหน้าไม่ได้พอใจนักเมื่อเราสามคนพบกัน ที่เธอยอมให้เราเข้ามารับชานมและคืนโทรศัพท์ให้คงเป็นเพราะเธอรักพี่ชายมากจนยอมปล่อยให้ภูเลือกทางเดินของตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าแพรไม่ได้ปล่อยโดยสมบูรณ์หรอก เธอคงจับตารอวันที่เราเลิกกันเหมือนคุณแม่เพราะเชื่อว่าคนกระจอกอย่างผมไม่มีทางดูแลพี่ชายของเธอได้ดีเท่าที่ควร

“ขอบใจมากแพร” ภูยิ้มหวาน เขาเริ่มหอบอย่างเห็นได้ชัด
“ไปหาโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย!”
“รู้แล้ว เดี๋ยวไปเอง” ภูตอบ “อยากกอดนะแต่กลัวพีชติดหวัด”
“ไม่ต้อง!”
ภูหัวเราะ “งั้นไปแล้วนะ ไว้คุยกัน”

แพรมองเราสามคนขึ้นรถจนกระทั่งประตูรั้วปิดสนิท ทันทีที่ออกจากหมู่บ้าน ภูก็ขอร้องให้ติณขับวนไปที่คลินิกเพื่อเก็บของส่วนตัวอื่นๆ ผมนึกว่าติณจะแสดงท่าทีหงุดหงิดขัดใจเพราะถูกสั่งทว่าเพื่อนของผมกลับไม่พูดอะไร ติณพาเราไปถึงคลินิกและจอดรอในรถอย่างในเย็น เขาสั่งให้เรารีบเก็บของและรีบกลับก่อนที่ติณจะกินหัวชานมเพราะรำคาญเจ้าหมาอ้วน

เราสองคนรีบเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว พี่ส้มดีใจมากเมื่อเห็นว่าภูกลับมาที่ร้าน แต่พอเห็นผมเดินตามมาด้านหลัง รอยยิ้มดีใจของเธอก็หดน้อยลงจนกลายเป็นยิ้มเจื่อน ทุกคนที่คลินิกคิดว่าภูจะกลับมาทำงานที่นี่แต่เปล่าเลย เราแค่มาเก็บของ เราไม่มีเวลาอำลาใครหรือบอกว่าหลังจากนี้จะทำอะไร เราช่วยกันโกยทุกอย่างใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เสื้อผ้าที่จำเป็น รองเท้า ชุดชั้นใน ของใช้อื่นๆในห้องน้ำ ที่แขวนแปรงสีฟันของเรา ผมอัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าแล้วรูดซิป หันกลับไปอีกทีก็เห็นภูกำลังหยิบฟิกเกอร์ใส่ถุงพลาสติกอย่างรีบร้อน

“ภูไม่จ่ายเงินซื้อใหม่หรอกนะ ของรักของภู”

เขาพูดติดตลก ผมไม่ว่าอะไรนอกจากรีบเข้าไปช่วยโกยตุ๊กตาพวกนั้นลงถุง ทั้งฟิกเกอร์ที่ผมซื้อให้และของรักชิ้นอื่น เราช่วยกันเก็บไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็หอบหิ้วลงมาอย่างทุลักทุเล ภูดูเหนื่อยเหมือนจะเป็นลมจนผมต้องสั่งให้เขาเดินตัวเปล่า ผมไล่ภูให้ลงไปคุยกับทุกคนข้างล่างเพื่ออำลาและยอมวิ่งขึ้นลงสามครั้งเพื่อขนของทั้งหมด ผมแบกทุกอย่างไปที่รถคนเดียวเพราะภูไม่ไหวแล้ว ลำพังแค่เดินโดยไม่หอบเขายังทำไม่ได้เลย

“หมอภูคิดดีแล้วเหรอคะ” ผมได้ยินเสียงพี่ส้มคุยกับสุดที่รัก เธอเหลือบมองผมแล้วหันกลับไปหาภู “เขาไม่มีอะไรเลย หลังจากนี้ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดนะ”

ผมอยากใส่ใจแต่ไม่มีเวลาเพราะกำลังวุ่นกับการขนสัมภาระขึ้นรถ กว่าจะขนหมดก็เล่นเอาเหงื่อท่วม ตัวของผมเปียกเหงื่อและฝนจนแยกไม่ออก ความเปียกปอนนั้นทำเอาหนาวจนตัวสั่นเมื่อกลับเข้าไปด้านในคลินิก ที่นั่น ผมเห็นภูกำลังปลดกรอบรูปจากผนัง มันคือใบรับรองจากสัตวแพทยสภา ภูบอกทุกคนว่าเขาไม่ใช่สัตวแพทย์ของ Smiling Lion อีกต่อไปแล้ว

“มึงจริงจังเหรอภู” เพื่อนหมอคนหนึ่งถามสุดที่รักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นผม เขาก็หลุบตาลง เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งหัวจิตหัวใจของคนฟัง “ยังไงก็แล้วแต่ โชคดีนะมึง”

พวกเขาโบกมือลา พี่ส้มได้กอดอำลาภูเป็นครั้งสุดท้าย เธอน้ำตาคลอเพราะใจหายที่หลังจากนี้จะไม่ได้เจอชานมและหมอภูอีกแล้ว ผมมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหม่นเศร้าไม่แพ้กัน ผมกำลังกลัวอนาคตที่มองไม่เห็นเพราะไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เราจะเป็นยังไง ภูที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคุณแม่จะพอใจกับคุณภาพชีวิตแบบสิปปกรหรือเปล่า เขาอยู่ได้จริงๆเหรอหากผมไม่มีอะไรจะมอบให้นอกจากความรัก

“ไปแล้วนะ มีอะไรไลน์มาก็ได้”

ภูโบกมือลา เขาไม่ได้เศร้าหนักหรือดูเสียใจกับทางเลือกนี้ซักนิด อาจเป็นเพราะพิษไข้กำลังทำให้เขามึนอยู่หน่อยๆ ภูหอบหนักขึ้นเมื่อเราฝ่าฝนมาถึงรถซึ่งติณณภพกำลังรออยู่ ตอนเปิดประตูแล้วเห็นว่าติณแอบใช้นิ้วจิ้มหูชานม เราหลุดยิ้มออกมาทันที

“ชานมน่ารักใช่ไหมครับ” ภูพูดขณะขึ้นไปนั่งเบาะหลังข้างเจ้าหมาอ้วน ส่วนผมย้ายมานั่งเบาะหน้ากับติณ “ชานมเป็นเด็กดีนะ”
“เด็กดีแล้วไง มาร์กาเร็ตไม่ชอบหมา”

ติณพูดห้วนๆไม่มีเยื่อใยแล้วออกรถ เรามุ่งหน้ากลับร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งทันที บรรยากาศในรถไม่อึดอัดเท่าขามาเพราะชานม มันทิ้งตัวนั่งข้างภู เอาหัวซบอย่างออดอ้อนและเริ่มไสตัวไปกับเบาะ ขนของมันปลิวฟุ้งไปทั่วจนผมกลัวว่าติณจะไม่พอใจ ผมจึงบอกเพื่อนสนิทว่าหลังเสร็จเรื่องนี้เมื่อไหร่จะจ่ายค่าน้ำมันและค่าล้างรถให้เป็นการตอบแทน ผมตั้งใจว่าจะคุยกับติณเรื่องที่อยู่ของเราสองคนทว่าเสียงโก่งคอจากด้านหลังดึงความสนใจไปทั้งหมด ภูอาเจียนเอาโจ๊กเมื่อเช้าออกมาจนเลอะใส่ชานม เขาโก่งคอจนตัวงอ หน้าแดงก่ำและน้ำตาไหล ภูอ้วกเอาอาหารออกมาจนหมดจากนั้นก็นั่งร้องไห้เงียบๆ ภูเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือด้วยการบอกว่าไม่ไหวแล้ว

“ติณ ไปโรงพยาบาลเลย!”

ผมบอกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ส่วนติณณภพไม่พูดอะไร เขาดูหงุดหงิดที่รถเปื้อนขนหมาและอาเจียน แต่สุดท้ายติณก็ช่วยเหลือเราด้วยการพาภูไปส่งที่โรงพยาบาล




ผมไม่รู้เลยว่าภูท้องเสีย อาจเพราะผมไม่ได้เฝ้าเขาตลอดเวลาถึงไม่รู้ว่าภูปวดท้องและเข้าห้องน้ำมาหลายรอบแล้ว การอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปก็เป็นหนึ่งในอาการของอาหารเป็นพิษ คุณหมอให้ภูแอทมิดเพื่อเฝ้าระวังหนึ่งคืน ดังนั้นเราสองคนจึงต้องพักในห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนแทนที่จะเป็นชั้นสามของร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง

ผมคอยเฝ้าภูไม่ห่าง ผมอยู่ข้างเขาตอนที่พยาบาลแทงเข็มให้น้ำเกลือ แม้แต่ตอนที่เขาเจ็บ ภูยังไม่สามารถร้องโวยวายหรือแสดงความเจ็บปวดได้มากนัก ภูเอาแต่นอนหลับตาเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง เขาลุกไปเข้าห้องน้ำหลายครั้งและหลับยาวจนถึงช่วงเย็น ผมใช้เวลาตอนเขาหลับโทรหาติณเพื่อเช็กว่าชานมเป็นยังไงบ้าง ผมกังวลว่าติณอาจจะเกลียดผมกับภูมากกว่าเดิมเพราะเราสร้างปัญหาให้เขามากจนเกินไป แต่เมื่อติณถ่ายวิดีโอชานมตอนวิ่งเล่นกับพนักงานในร้าน ข้างๆมีชามอาหารเม็ดที่ยังคงมีป้ายราคาแปะอยู่ก็ใจชื้น ติณยังคงมีหัวใจที่เมตตาต่อคนอื่นเสมอ

“หมอมาเป็นไงบ้าง”

ติณถาม ผมจึงเล่าอาการคร่าวๆของสุดที่รักให้เขาฟัง ติณไม่แสดงความเห็นอะไรมากนักนอกจากเป็นฝ่ายรับฟังอย่างเคย ผมถือโอกาสนี้ขอบคุณและขอโทษติณอีกครั้ง ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากติณณภพ ผมคิดไม่ออกเลยว่าเราจะกลับเข้าไปรับชานมได้ยังไง

“กูโอนเงินคืนแล้วนะ ค่าล้างรถค่าน้ำมันก็อยู่ในนั้น” ผมบอกติณ “ขอบใจมาก ถ้าไม่มีมึงกูคงแย่แน่ๆ” ผมย้ำเป็นหนที่สามจนติณรำคาญ มันขอร้องให้เลิกพูดถึงเรื่องวันนี้เสียที เราเงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่งราวกับอยากลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ติณก็ยังคงเป็นติณคนเดิม ติณคือเพื่อนที่ไม่เคยโกรธหรือทะเลาะกับสิปปกรข้ามวันเลยซักครั้ง

“ติณ”
“อืม”
“ที่เราคุยกันวันนี้น่ะ ที่มึงบอกว่ารู้ได้ไงว่าไม่เคยรักใคร” ผมเกริ่น “มึงมีคนคุยอยู่เหรอวะ”
“เปล่านี่”
“อ้าว”
“กูพูดรวมๆ” ติณตอบ “ทำไม มึงติดใจอะไร”
“เปล่าหรอก” ผมยิ้มขำ “กูแค่สงสัยว่าใครคือผู้โชคดีที่ได้หัวใจของมึงไป”
“พอเหอะ จะอ้วก อย่ามาพูดจาอะไรน้ำเน่า” ผมแทบเห็นสีหน้าติณเลย เขาคงกำลังเบ้ปากและโก่งคออยากอาเจียน “ไปเฝ้าหมอหมาเถอะ เดี๋ยวตื่นมาก็เพ้อเจ้อร้องหาสอง สอง สองอีก”
“เออ ขอบใจมากนะสำหรับเรื่องวันนี้” ผมบอกเพื่อนอีกครั้ง “รักมึงนะติณ”
“กูไม่รักมึง!”

เราหัวเราะก่อนจะวางสาย ผมหันกลับไปมองภูที่กำลังหลับอยู่ ใบหน้าไร้เดียงสาของเขาดูอิดโรยและอ่อนแรง ผมรู้สึกไม่ดีเลยเมื่อต้องมอบใบหน้าเหนื่อยล้าของสุดที่รักบนเตียงคนไข้ โชคดีที่ภูมีประกันชีวิต ผมจึงไม่ต้องเตรียมเงินก้อนใหญ่เหมือนที่เคยช่วยน้ำหนึ่ง แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็ทำให้ผมกังขาในตัวเองเหมือนกันว่าจะสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ของเราให้เหมือนกับที่วาดฝันเอาไว้ได้ไหม ผมกังวลไปหมดจนข่มตาหลับไม่ลง และกังวลมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าเราสามคนจะไปอยู่ที่ไหนหากกู้ด รี้ดดิ้งไม่เหมาะกับเรา

ผมคิดหนักจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ยังคงหาทางออกไม่ได้เพราะสุดที่รักกำลังหลับพักผ่อน ผมได้แต่นอนเล่นอินเทอร์เน็ตและไลน์คุยกับติณบนโซฟา จากนั้นก็ผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าสะสมตลอดทั้งวัน ช่วงหนึ่งที่ไม่แน่ใจตื่นหรือฝัน ผมได้ยินภูเรียกสอง! สอง! ด้วยความหวาดกลัว ผมลืมตาโพลงกลางความมืด ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อแยกให้ออกว่าเสียงนั้นคืออุปทานหรือเรื่องจริงเพราะมันเบามาก เมื่อได้ยินภูเปล่งเสียงเรียกสอง! อีกครั้ง ผมจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างเตียง ผมจับมือของภูเอาไว้แน่นและถามเขาว่ามีอะไร

“ภูนึกว่าภูอยู่คนเดียว”

ผมเปิดไฟหัวเตียงเพื่อดูหน้าของสุดที่รักชัดๆ เขาดูแตกตื่นและขลาดกลัวมากในเวลาเดียวกัน เหงื่อผุดตามกรอบหน้าจนต้องหยิบผ้าชุบน้ำมาช่วยเช็ดให้ ไข้ลงแล้ว สีหน้าของเขาเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย ผมคิดว่าอาการตัวสั่นตอนนี้คงเป็นเพราะตกใจที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครนอกจากห้องมืดๆเท่านั้น

“ผมก็อยู่กับคุณไง ผมนอนบนโซฟา”
“นอนด้วยกัน”
“ที่ไหน”
“บนเตียง” ภูตอบและกระถดตัวให้ผมปีนขึ้นไป “นอนกับภูนะ”

ผมปฏิเสธในทีแรกแต่เพราะสายตาอ้อนวอนของเจ้าหมาป่วย ผมจึงใจอ่อนยอมขึ้นไปนอนเบียดด้วยกันบนเตียง มันไม่ได้โรแมนติคเหมือนในละครหรอกนะ เตียงแคบๆที่มีร่างของผู้ชายของคนเบียดแน่นเป็นปลากระป๋อง แต่เราก็ขยับจนหาท่าที่สบายที่สุดจนได้ ภูสวมกอดเอวของผมและซบหน้าอย่างออดอ้อนทันที ผมจึงใช้มือลูบหัวของเขาอย่างแผ่วเบา เรานอนกอดกันในความเงียบครู่ใหญ่ก่อนจะคุยเรื่องทั่วไปที่ไม่มีอนาคตของเรามาเกี่ยว

“นี่ ภู”
“หืม”
“คุณคิดดีแล้วใช่ไหม”
“เรื่องอะไร”
“ที่ทิ้งทุกอย่างมาอยู่กับผม” ผมหันหน้าไปหาสุดที่รัก เขาเองก็กำลังมองมาที่ผมเหมือนกัน “คุณรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้คุณคงจะลำบากมาก”
“ลำบากอะไรกัน ไม่ลำบากหรอก” ภูตอบพึมพำ “สองไม่ดีใจเหรอ”
“ดีใจสิ ผมไม่คิดว่าคุณจะเลือกผม”
“ต้องเป็นสองอยู่แล้ว ต้องเป็นสองเท่านั้น” ภูหัวเราะ “บนโลกนี้ – ก็มีแค่สองคนเดียวนั่นแหละที่ภูอยากอยู่ด้วยตลอดไป”

เราสอดประสานมือกัน ผมจุมพิตลงบนหน้าผากของสุดที่รักและเอนหัวลงซบเขา ภูของผมช่างเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นกับเส้นทางครั้งนี้เหลือเกิน เขาดับเครื่องชนและเลือกสิปปกรผู้ซึ่งไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนของตัวเอง ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเรา แต่เมื่อเห็นว่าภูไม่ได้เสียใจหรือรู้สึกแย่ที่เลือกทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอยู่ด้วยกัน ความกังวลนั้นก็เบาบาง กลายเป็นสิ่งไม่สลักสำคัญเท่ากับปัจจุบันที่เราได้นอนข้างกันอย่างเช่นคืนนี้ แม้ว่าจะเป็นเตียงผู้ป่วยแคบๆที่มีเสาน้ำเกลือวางอยู่ด้านซ้าย แต่เราก็มีความสุขกับการกกกอดกันใต้ผ้าห่มโดยไม่สนว่าใครจะเข้ามาเห็น

“ผมรักคุณมากจริงๆนะ คุณรู้ใช่ไหม”
“รู้ ภูก็รักสองเหมือนกัน” ภูหอมแก้มของผม “สองว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง”

ผมนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำถามจากสุดที่รัก เราจะเป็นยังไงงั้นเหรอ ไม่รู้หรอก ผมไม่รู้ ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าเราจะเป็นยังไง เอาเป็นว่าขอให้คุณรักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรง รีบออกจากโรงพยาบาลและกลับไปอยู่ด้วยกันในห้องแคบๆบนชั้นสาม จากนั้นเราค่อยวางแผนกันว่าจะทำยังไงต่อไป คุณจะหางานใหม่ จะทำประกอบอาชีพอะไรก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่รู้ไหมว่าผมไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว

“เพราะแค่มีคุณ ผมก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว”

ผมนอนอมยิ้มขณะคลอเคลียตรงแก้มของสุดที่รัก ภูเงียบไปพักหนึ่งราวกับกำลังใช้สมาธิ จากนั้นเขาจึงถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนคนกวนส้นเท้าว่า

“ภูแค่ถามว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไร”
“ผมได้ยินว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง”
“ไม่ ภูถามว่าเราจะกินอะไร”
“จริงเหรอ”
“จริง” เขายืนยัน “สองคิดอะไรเนี่ย”

สุดที่รักยู่ปากได้น่ารักน่าหมั่นไส้ ผมจึงแกล้งงับแก้มของเขาเบาๆแล้วนอนกอดภูเอาไว้แน่น คืนนั้นเราไม่ได้นอนด้วยกันบนเตียงผู้ป่วยเพราะมันอึดอัดเกินไป ผมย้ายไปหลับบนโซฟา ส่วนภูนอนพักผ่อนบนเตียงจนถึงเช้า เมื่อเราตื่นมาพบหน้ากันอีกครั้งตอนพระอาทิตย์ขึ้น เราก็บอกรักกันด้วยการจูบกันบนเตียงผู้ป่วย หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องให้เหนื่อยอีกเยอะแต่ผมไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไปแล้ว
 


TBC


_____________________


#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ ขอโทษที่มากลางดึกและหายไปนานเกือบสองเดือนเลยนะคะ ด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้เราไม่สามารถเขียนนิยายได้เท่าเมื่อก่อน แต่จะยังรักษาสัญญาเหมือนเดิมนั่นคือเราจะเขียนเรื่องนี้ให้จบและมาต่อให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ ;-;

ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่ทุกคนแวะเวียนมามอบให้ไม่ขาดสายเลยนะคะ เราอ่านแล้ว เราชอบมาก เรามีความสุขมากเลยค่ะที่คุณนักอ่านบอกว่างานเขียนของเรามีลายเซ็นอยู่ในนั้น  :hao5: จริงๆก็แอบกังวลว่าหายไปนานคนอ่านจะลืมกันไหม แต่ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้เขียนให้คุณอ่านก็มีความสุขมากแล้ว ฝากเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ช่วงนี้ฝนตกสลับแดดออก รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ รักพวกคุณทุกคนมากๆเลยค่ะ

ปล. มีคำผิดท้วงได้นะคะ เรากลัวทุกคนจะรอนานเลยรีบอัปก่อน หลังเลิกงานพรุ่งนี้จะเช็กอีกครั้งน้า ;-;
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-11-2020 19:01:09
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Nuu_nl ที่ 16-12-2020 23:31:26
รอคุณเพื่อนติณเปิดตัว แอบเชียร์นานแล้ว
หัวข้อ: Re: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Sunset and Eeyore ที่ 17-01-2023 12:18:55
บีบหัวใจมาก ตอนนี้ใกล้จะได้เลือกตั้งแล้ว ความหวังที่คุณนักเขียนจะกลับมาอัพต่อก็ขออย่าให้จางหายนะคะ