พิมพ์หน้านี้ - (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Savahale ที่ 15-11-2019 20:56:13

หัวข้อ: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 15-11-2019 20:56:13
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************














...














รอยรักศักดาเดช

Theme : Yaoi / โรแมนติก / ดราม่า / ย้อนยุค






ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ ลูกชายเพียงคนเดียวของเสี่ยใหญ่เจ้าของกิจการรถสิบล้อในจังหวัด ได้เดินทางกลับบ้านเกิด หลังถูกส่งตัวไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่จบมัธยมปลาย เขาใช้เวลาศึกษาต่อและเริ่มต้นชีวิตที่นั่นยาวนานถึงสิบปี จนในที่สุด เขาก็ได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดเมื่ออายุครบ 28 ปีบริบูรณ์




หากแต่การกลับมาในครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับเพื่อนเก่าอย่าง กันต์ธร ณรงค์กร ที่บัดนี้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลในหมู่บ้าน และเข้ามาหาเรื่องเขาและคนรักตั้งแต่วันแรกที่กลับไทย คำถามเกิดขึ้นมากมายต่อความเป็นเพื่อนของพวกเขา และยังรวมไปถึงปัญหาระหว่างตระกูลที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปีของพวกเขาด้วย




เมฆที่ตั้งเค้ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ถึงวันที่พายุจะเผยตัวตนออกมา การกลับมาของภพตะวันครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ชีวิตที่สุขสงบของเขาเปลี่ยนไป ยังเปรียบเสมือนการพรากลมหายใจของเขาไปถึงสองครั้ง และหากว่าเขาพลาดเพียงนิดเดียว บนโลกใบนี้ คงหลงเหลือไว้เพียงชื่อเขาเท่านั้น


















 :pig2:



ฝากติดตามกันด้วยนะคะทุกคน

:L2:








รอยเลือดแห่งรัตติกาลนคร 
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70773.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70773.0)

(END) รัตติกาลนคร The couple series [อัคนี & ภาสกร]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70850.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70850.0)

รัตติกาลนคร The Couple Series [เพลิงพระพาย & ไออุ่น]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71052.0 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71052.0)


 :3123:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับ (15/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 15-11-2019 21:06:51

บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับ


 

 

 

 

 

 

ภายในห้องทำงานอันโอ่โถงที่ประดับตกแต่งไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้เนื้อดีมากมาย ตั้งแต่พื้นไม้ขัดมันเงา โต๊ะทำงานทรงรีอันทันสมัย รวมไปถึงแหย่งไม้สักอย่างดีที่มีฟูกสีน้ำตาลปูรองสำหรับนั่งผ่อนคลายอารมณ์ ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าเกลี้ยงเกลา สวมเสื้อโปโลสีเขียวกางเกงขาสั้น กับแว่นตาสี่เหลี่ยมกรอบบาง หัวคิ้วเขาพุ่งเข้าหากันด้วยเจ้าตัวกำลังเพ่งพินิจกระดาษสีคล้ำมากมายในมือ

 




“ทำอะไรอยู่ธร?”




“ตรวจรายชื่อพวกลูกหนี้น่ะแม่”




“พอก่อนเถอะ มากินอะไรสักหน่อย แม่ทำสาคูของโปรดลูกมาให้”




“ขอบคุณครับแม่”




 




ชายหนุ่มผิวขาววัย 28 ปี วางกระดาษสีคล้ำในมือลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมายังโต๊ะไม้ตัวยาวความสูงเลยเข่าเพียงคืบที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ซึ่งมารดาเขาได้นั่งคอยอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในมุมนั้นเรียบร้อยแล้ว มารดาผู้มีรอยยิ้มพิมพ์ใจให้ใครต่อใครที่พบเห็นได้รู้สึกเบาใจและปลอดภัยเมื่อเข้าใกล้ หากแต่ยิ้มที่ใครต่อใครพบนั้น กลับแฝงไปด้วยความเศร้ามากมาย ที่มีเพียงกันต์ธรเท่านั้นที่ล่วงรู้

 







เจ้าของห้องทำงานตักสาคูของโปรดเข้าปากพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี รสชาติแสนอร่อยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง กันต์ธรจ้องมองมารดาที่มีรอยยิ้มเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้เขาขื่นขมอยู่ในใจไม่น้อย ไม่ใช่เพียงมารดาเขาเท่านั้นที่มีเพียงรอยยิ้มจอมปลอมฉาบบนใบหน้า จิตใจภายใต้เงานี้ของเขาเอง ก็แตกสลายไม่มีชิ้นดี ไม่ต่างอะไรกับมารดาของเขามาอย่างเนิ่นนานเช่นเดียวกัน

 







ภายใต้หลังคาบ้านหลังใหญ่อันมีพร้อมไปเสียทุกอย่างนี้ ไม่มีชีวิตใดเลย ที่จะอยู่อย่างเป็นสุขจริงแท้ได้สักวัน ความเศร้าหมองนั้นซุกซ่อน กัดกิน และค่อยๆ เข้าปกคลุมเสมือนเมฆหมอกก็ไม่ปาน รอเพียงเวลาที่ใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้ จะหมดแรงที่จะอดทนต่อไปก็เพียงเท่านั้น

 

 

 




“นายครับนาย…!”

 




สาคูรสดียังไม่ทันได้หมดชาม ชายร่างใหญ่ผิวกายคล้ำแดดในเสื้อยืดแขนกุดสีขาว ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามายังหน้าห้องที่ไม่ได้ปิดประตู แล้วตะโกนโวยวายเข้ามาเสียงดัง ขัดเจ้าบ้านทั้งสองที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่ในความมืดหม่นของบรรยากาศขึ้นมา

 

 

 




“มีอะไร?”




 

ผู้ถูกเรียกว่านาย เพียงเหลือบมองแวบเดียว รอยยิ้มที่ส่งให้มารดาเมื่อครู่ก็มลายหายไปจนหมดสิ้น หากแต่เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของลูกน้องต่อจากนั้น รอยยิ้มนั้นก็กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง และนั่น หาใช่รอยยิ้มแบบเดียวกับตอนแรกไม่ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้กระทั่งผู้เป็นมารดายังรู้สึกหวาดผวา จนต้องเบือนหน้าหนี

 




“มันกลับมาแล้วครับ”




“เป็นข่าวที่ดีจริงๆ เตรียมรถให้ฉันด้วย”

 

 

 




“ใครกลับมาหรือลูก?”




“ลูกหนี้คนสำคัญน่ะแม่ ธรไปเตรียมต้อนรับมันก่อนนะ…วันนี้สาคูของแม่อร่อยที่สุดเลย”

 




บัดนี้เจ้าบ้านอารมณ์ดีขึ้นมากจริงๆ ด้วยลูกหนี้คนสำคัญปรากฏตัว และเป็นหน้าที่เขา ที่ต้องทำการต้อนรับ ‘ลูกหนี้คนสำคัญ’ อย่างสมเกียรติที่สุด กันต์ธรลุกขึ้นแล้วตรงไปหยิบกระเป๋าหนังสีดำใบยาวมาพาดไว้บนบ่า แล้วตรงมาหอมแก้มมารดาหนึ่งครั้งด้วยแววตาลุกวาวกว่าคราวไหนๆ จากนั้นจึงรีบเดินลงไปพร้อมกับสมุนคนสนิทที่นำข่าวดีมากแจ้งเขาเมื่อครู่

 

 




‘สิบปีแล้วสินะ ในที่สุด…มันก็กลับมาจ่ายหนี้ฉันเสียที’

 

 




เจ้าบ้านสั่งบางอย่างกับลูกน้องที่ยืนเฝ้าหน้าบ้านกว่าสิบชีวิต ก่อนที่รถคันหรูจะเข้ามาจอดเทียบด้านหน้าเขา มีเพียงเจ้าหนี้สุดโหดและผู้นั่งฝั่งคนขับเท่านั้นที่ออกไปพร้อมกัน คนที่เหลือหลังจากได้ฟังคำสั่ง ต่างก็แยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อ และสิ่งหนึ่งที่ทุกคนรับรู้เมื่อครู่คือ พวกเขาได้พบกับรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดจากผู้เป็นนาย

 







“มันอยู่ไหน?”




“ไอ้พันธุ์เจอมันที่สนามบินประมาณสิบห้านาทีที่แล้วครับ”




“แกรู้นะ ว่าจะเจอมันที่ไหน”




“ครับนาย”

 

 

 







รถยนต์คันหรูขับเลียบออกไปตามทาง ผ่านบ้านเรือนมากมายไปเรื่อยๆ จนที่อยู่อาศัยของคนในละแวกนั้นเริ่มบางตาไป ปรากฏเป็นคันนาและป่าไผ่แทน สารถีขับต่อไปอีกเพียงครู่ คันเร่งก็ค่อยๆ ถูกผ่อนลงจนรถหยุดลงในที่สุด

 







รถคันหรูจอดในที่ลับตาใกล้กับป่าทึบ กันต์ธรเพียงรอเวลาเท่านั้น รอเวลาให้รถยนต์ที่มีลูกหนี้ของเขาอาศัยมาได้ขับผ่านเส้นทางนี้ และเขาจะได้เริ่มการต้อนรับเพื่อนรักกลับบ้านเสียที

 







เจ้าพ่อในชุมชนอันห่างไกลนั่งรอเพียงไม่นาน รถคันที่เขาเฝ้ารอก็ขับมาให้เห็นได้ไกลๆ และสายตาอันเฉียบคมของกันต์ธรไม่เคยมองพลาด เขาตะโกนออกคำสั่งให้สารถีส่วนตัวเหยียบคันเร่งออกจากจุดนั้นในทันที เพื่อขับตามรถคันที่กำลังจะขับผ่านหน้าเขาไป

 










"ฮึฮึ คิดถึงฉันไหมภีม? "

 




กันต์ธรกำลังไล่ตามรถคันหนึ่งที่ขับด้วยความเร็วปกติเพื่อความปลอดภัย เขาไม่ปล่อยเวลาให้นานเกินไป เพื่อยับยั้งไม่ให้รถคันนั้นแล่นไปถึงย่านชุมชนได้เสียก่อน นายใหญ่สั่งคนรถให้ขับแซงรถคันหน้าขึ้นไปแล้วจอดขวางเอาไว้อย่างอุกอาจกลางถนน

 

 

 







เอี๊ยด!!!

 




เสียงยางรถของบ้านภพตะวัน บดขยี้ถนนอย่างรุนแรง เมื่อจู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับแซง แล้วปาดหน้าขวางทางเอาไว้ ทั้งคนขับและเจ้านายทั้งสองที่นั่งด้านหลัง ต่างตกใจไม่แพ้กันกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น

 







“เกิดอะไรขึ้นคะลุงบุญ?”




“คือว่า..”

 




ลุงบุญยังไม่ทันได้ตอบคำถามคุณสาลี่ที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง ดวงตาสองคู่ก็มองเห็นว่าด้านหน้ามีรถคันหนึ่งจอดขวางทางพวกเขาอยู่

 







“รถใครหรือครับ ลุงบุญรู้จักหรือเปล่า?”




“รถบ้านณรงค์กรครับคุณหนู”

 




คนขับรถประจำตระกูลวงศ์วรรธน์มีท่าทางหวาดกลัว เมื่อเอ่ยชื่อเจ้าของรถคันหรูที่จอดขวางทางไว้ หากแต่คนด้านหลังไม่ทันไม่สังเกตเห็นสีหน้านั้นของคนขับแต่อย่างใด ภพตะวันเพียงประหลาดใจและเริ่มมีท่าทีตื่นเต้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่านั่นคือนามสกุลของเพื่อนเก่าที่เคยสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งมาก่อน

 







“บ้านธรหรือครับ?”




“ครับคุณหนู”







“ไม่ได้เจอธรนานมาก คุณพ่อคงบอกเขาว่าผมกลับมาแล้ว”

 




“คุณหนูอย่าลงไปครับ!”


 




นายบุญเอ่ยห้ามเสียงดังจนคนที่กำลังจะเปิดประตูรถลงไปทักทายเพื่อนเก่าต้องหยุดชะงักในทันที ภพตะวันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องห้ามเขา แต่สีหน้าหวั่นวิตกของคนขับรถที่ฉายให้เขาเห็นในบัดนี้ ก็ทำให้มือที่กำลังจะเปิดออกไปนั้นหลุดออกจากมือจับประตูรถได้ในที่สุด

 










“ลุงบุญ?”







“ผมจะลงไปคุยเอง คุณหนูทั้งสองคอยบนรถเถอะครับ”

 




คนขับรถประจำตระกูลเปิดประตูเพื่อลงไปเจรจากับผู้ไม่หวังดีที่จอดรถขวางเส้นทางไว้ และเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ประตูรถอีกคันได้เปิดออก และชายสองคนบนนั้นเดินลงมาพอดี

 




“ช่วยหลีกทางให้พวกเราด้วยครับ”




“อะไรกันลุงบุญ คนเคยๆ กันทั้งนั้น เพื่อนรักกลับมาทั้งที ผมก็แค่อยากมาต้อนรับ ให้สมน้ำสมเนื้อหน่อย”




“พวกคุณถอยไปดีกว่าครับ”







“เห้ย! ภีม! ลงมาทักทายเพื่อนหน่อยสิวะ!”


 




นายบุญและชายร่างยักษ์สองคน ยื้อแย่งกันอยู่พักใหญ่ สารถีบ้านวงศ์วรรธน์พยายามใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังไม่ให้กันต์ธรมองเข้าไปในรถได้ชัดเจนมากนัก จนเจ้าพ่อคนดังเริ่มหงุดหงิดเข้าให้แล้ว

 










“ลงมาสิวะ มัวหดหัวอยู่ได้!”

 




มือขวาคนสนิทเมื่อเห็นผู้เป็นนายเริ่มอารมณ์ไม่ดี จึงได้รีบจับรวบแขนของนายบุญแล้วล็อกเอาไว้ จากนั้นกันต์ธรจึงได้เดินเข้าใกล้กับจุดที่ภพตะวันนั่งอยู่บนรถ

 




ด้านภพตะวันที่ไม่เข้าใจแต่แรกว่านายบุญห้ามตนไว้ทำไม เมื่อเห็นเพื่อนรักวัยเด็กเดินมาหาถึงที่ จึงลงจากรถพร้อมรอยยิ้มยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง

 

 

 




รอยยิ้มที่กันต์ธรเกลียดเสียยิ่งกว่าสิ่งใด




รอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ




รอยยิ้มที่คนอย่างเขา ไม่ได้มีประดับบนใบหน้ามานานร่วมสิบปีได้แล้ว

 

 

 







“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะธร”




“สิบปี”




“นายดูเปลี่ยนไปมาก แต่ฉันก็ยังจำนายได้อยู่ดี”




“ฮึ…ฉันควรต้องซาบซึ้งไหม”




“ฉันดีใจที่นายมาต้อนรับฉันนะ ไว้เราไปคุยกันที่บ้านฉันต่อไหม?”




“ฉันมีที่ ที่ดีกว่าบ้านนายในการคุยกันอีกนะ”

 




ภพตะวันไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนรักวัยเด็กพูด หากแต่ถ้านั่นเป็นความต้องการของเพื่อน เขาก็ยินดีตอบตกลง เว้นเสียแต่ว่าด้านหลังรถเขาบัดนี้ มีสุภาพสตรีอีกคนที่เดินทางกลับเมืองไทยมาพร้อมกับเขา นั่งอยู่ด้วย

 




“ฉันก็อยากไปกับนายนะ แต่เกรงว่าสาลี่จะอยากกลับบ้านเธอมากกว่า”




“สาลี่?”




“คู่หมั้นของฉันน่ะ ไว้คราวหน้าฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก”




“งั้นเหรอ...แต่ฉันว่า ถ้าได้รู้จักเสียวันนี้ คงจะเป็นบุญหัวไม่น้อย”

 




ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้กล่าวอะไรต่อ ก็มีรถหรูอีกสองคันขับเข้ามาจอดขนาบข้าง ปิดทางเอาไว้ทั้งหน้าและหลังของทั้งห้าชีวิต และโดยไม่รอช้า ชายฉกรรจ์สี่คนย่างสามขุมลงจากรถ ตรงมายังจุดที่เพื่อนรักวัยเด็กสนทนากันอยู่เมื่อครู่

 







“นี่มันอะไร? พวกคุณเป็นใคร?”




“ไม่ต้องตกใจภีม พวกนี้เป็นคนของฉันเอง…ของขวัญต้อนรับนายกลับบ้านไง”

 







เมื่อคำพูดพร้อมรอยยิ้มเหยียดของชายหนุ่มในชุดเสื้อโปโลสีเขียวจบลง กันต์ธรก็ได้ส่งสัญญาณมือบางอย่างไปให้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจทั้งสี่คน และจากนั้นชายสี่คนก็พุ่งตรงเข้าหาชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทาทันที

 

 

 

 




ชายสองคนล็อกแขนทั้งสองข้างของภพตะวันไว้ด้านหลัง จากนั้นมือหนักก็กดไหล่ให้ชายโชคร้ายคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนที่ชายฉกรรจ์อีกคน จะยกเท้าขึ้น แล้วฟาดเข้าเต็มใบหน้าหล่อเหลานั้น เพียงครั้งเดียว โลหิตสีแดงสดก็พวยพุ่งกระจายออกมาโดยรอบในทันที

 




ชายคนเดิมไม่หยุดลงเพียงเท่านั้น เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งให้พรรคพวก จากนั้นร่างที่ถูกล็อก ก็ถูกปล่อยให้เซล้มลงไปกองกับพื้นดินลูกรัง จากนั้นแปดเท้าก็รุมแจกโชคให้คนบนพื้นอย่างไม่มีการออมแรง

 




สาวสวยด้านในรถที่เห็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งหมด เร่งลงจากรถหวังเข้าช่วยเหลือว่าที่สามีในอนาคต แต่ข้อมือน้อยๆ นั้นกลับถูกชายเสื้อโปโลเขียวจับล็อกเอาไว้แน่น และไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เธอก็ไม่อาจสู้กับแรงจากกล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีของกันต์ธรได้เลย

 







“ปล่อยฉันนะ! เอามือสกปรกๆ ก็นายออกไป!!!”




“ภีม!!! นี่! ...ทำร้ายเขาทำไม เขาเป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง!?!”

 




“เพื่อนเหรอ? ...มันบอกเธออย่างงั้นเหรอ? แต่จะว่าไป เธอนี่ก็สวยสมกับที่มันเลือกจริงๆ เลยนะ คุณสาลี่”

 




ชายหนุ่งร่างสูงเอ่ยวาจาล่วงล้ำไปพลาง ใช้สายตาจาบจ้วงไปพลางอย่างไม่เกรงใจ และเขาได้รับกลับมาเพียงความเกลียดชังอย่างเปิดเผยของสาวสวยเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กันต์ธรรู้สึกอะไรได้เลย

 







นายใหญ่คนสำคัญที่มีสีหน้าหงุดหงิด มีแววตาที่เปลี่ยนไปเมื่อไล่มองไปยังหญิงสาวในมือ และพบว่าเธอช่างงดงามอย่างที่หาได้ยากในชุมชนของเขา

 







“ภีม!”




“คุณหนู!”

 




กันต์ธรที่เห็นสภาพอันน่าสังเวชของภพตะวันจนรู้สึกพอใจ สั่งให้ลูกน้องเขาหยุด ก่อนที่ภพตะวันจะสลบไปเสียก่อน เขายังไม่พอใจที่จะให้ชายคนนี้ตายเร็วมากนัก เพราะความสนุกและการรำลึกความหลังกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

 




ทุกคนล่าถอยออกมาและพร้อมกลับขึ้นรถ แต่ก่อนที่กันต์ธรจะได้ออกจากจุดเกิดเหตุไป เขาได้เดินมานั่งลงข้างๆ เพื่อนเก่า แล้วกระซิบคำพูดแสนเย็นชาไปยังภพตะวัน

 







“ไงภีม ชอบไหม...นี่กูอุตส่าจัดชุดพิเศษเพื่อมึงเลยนะ ถือเป็นการต้อนรับ สายเลือดชั่วๆ อย่างมึงกลับมาไง ฮึฮึฮึ”

 

 

 

 




เมื่อเย้ยหยันจนพอใจ กันต์ธรก็ลุกขึ้นยืนพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นด้วยความสะใจ เรียกเสียงหัวเราะของลูกน้องอีกหลายคนที่กำลังนั่งรอเจ้านายบนรถ ให้ลอยมาร่วมวงความสนุกที่ได้กระทำลงไปเมื่อครู่ เสียงหัวเราะที่แทรกซึมเข้าสู่โสตประสาทของภพตะวันได้เพียงครึ่งเดียว ด้วยหูอีกข้างของเขานั้นได้ดับสนิทลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

 









​...





















-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับ (15/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 15-11-2019 23:33:40
 :pig2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับ (15/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 00:00:47
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 2 : จำฉันให้ดี (16/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 16-11-2019 20:03:35

บทที่ 2 : จำฉันให้ดี

 

 

 

 

 








 

"ภีม!?! "

 




 

"สวัสดีครับคุณพ่อ สวัสดีครับคุณแม่"

 




 

ภพตะวันประนมมือสวัสดีบิดาและมารดาที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพิเศษด้วยความยากลำบาก สิบปีที่ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้พบหน้าลูกชายสุดที่รัก แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้ง กลับกลายเป็นได้เห็นใบหน้าและร่างกายนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลบวมช้ำ ซ้ำยังต้องนอนโรงพยาบาลด้วยอีก

 





 
 

"บุญบอกพ่อหมดแล้วนะ พ่อจะแจ้งความจับมัน"




 

"ผมไม่เป็นอะไรมากแล้ว พ่อปล่อยธรไปเถอะนะครับ"




 

"ทำไมล่ะภีม ลูกเจ็บหนักขนาดนี้เลยนะ"





 
 

"ธรเคยเป็นเพื่อนรักผมนะครับ เขาคงกำลังเข้าใจอะไรผิดสักอย่าง ถึงได้ทำแบบนี้"

 





 
 

สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยเข้าใจถึงเหตุผลจากการกระทำของกันต์ธรเป็นอย่างดี สิบปีที่ลูกชายคนดีของเขาไม่อยู่ มีเรื่องราวเลวร้ายมากมายเกิดขึ้น และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาไม่อยากให้ภพตะวันเดินทางกลับบ้านเกิดมาสักเท่าไหร่

 




 




 

ไม่มีใครบอกความจริงให้ภพตะวันรับรู้ ว่าเหตุใดกันต์ธรถึงกลายเป็นนักเลงหัวไม้ไปได้ และไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องปรับความเข้าใจกับเพื่อนวัยเด็กด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเสี่ยงเจ็บตัวอีกกี่ครั้งก็ตาม

 




 

 

ขณะที่ภพตะวันกำลังพูดคุยกับบิดามารดาอยู่นั้นเอง ก็มีหญิงสาวหน้าตาท่าทางงดงามคนหนึ่งเปิดประตูเข้าห้องมา เธอยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ในห้องด้วยความนอบน้อมพร้อมรอยยิ้ม...คุณสาลี่ หลานสาวคนรอง ของตระกูลผู้สูงศักดิ์ ที่ภพตะวันเคยเล่าให้พ่อกับแม่เขาได้ฟังอยู่บ่อยๆ ทางจดหมาย





 
 

 

"สาลี่ นี่พ่อแม่ภีม"




 

"สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณป้า"





 
 

 

วาจาชดช้อยเป็นที่ถูกอกถูกใจเสี่ยใหญ่เจ้าของธุรกิจรถสิบล้อของจังหวัดเสียยิ่งกว่าสิ่งใด หลังจากได้พูดคุยกับว่าที่สะใภ้ไม่นาน ข้อมูลต่างๆ มากมายของลูกชายพวกเขาระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ ก็ไหลเข้าสู่ระบบความจำของท่านทั้งคู่เป็นที่เรียบร้อย





 
 

"แม่คิดไว้ว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับภีมกลับบ้านวันมะรืน แต่ดูท่าแล้วน่าจะต้องเลื่อนออกไปเป็นอาทิตย์หน้าซะแล้ว"

 




 

 




 

เจ๊ใหญ่คู่บารมีเจ้าของธุรกิจสิบล้อมองไปยังลูกชายบนเตียงผู้ป่วย เธอได้รับรอยยิ้มน้อยๆ กลับมาและคนไข้ก็ก้มหน้าลงไปด้วยเจ้าตัวนั้น ไม่ได้สนับสนุนเรื่องงานเลี้ยงที่สิ้นเปลืองนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความตั้งใจของบิดามารดาได้

 




 

"หลังจากภีมออกจากโรงพยาบาล หนูจะไปช่วยจัดงานที่บ้านนะคะคุณป้า"




 

"ขอบใจจ้ะ ป้าก็ไม่อยากรบกวนหนูสาลี่หรอกนะ แต่ดูท่าว่าหนูสาลี่จะรู้ใจตาภีมมากที่สุดแล้วตอนนี้"




 

"ไม่รบกวนเลยค่ะ หนูยินดีมาก"




 

 

 

ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ปรนนิบัติว่าที่สามีในอนาคตอย่างดีระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลสามวัน จนกระทั่งภพตะวันได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ เธอก็ยังแวะเวียนไปดูแลเขาที่บ้านวงศ์วรรธน์ ทั้งยังช่วยงานตกแต่งในส่วนจัดเลี้ยงที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า





 
 





 
"หนูว่าเราเปลี่ยนผ้าม่าน ให้เป็นสีแดงเลือดนกขลิบทองจะเข้ามากกว่านะคะ"




 

"จริงด้วย แม่ก็คิดว่าน่าจะดีเหมือนกัน"




 

 

 

สตรีสองท่านที่ออกความเห็นเรื่องม่านประดับครุ่นคิดกันอยู่เนิ่นนาน เมื่อตกลงใจได้เป็นที่เรียบร้อย เจ้าบ้านก็ให้นายบุญช่วยขับรถไปส่งท่านหญิงที่ตลาด เพื่อเลือกผ้ามาทำม่านประดับในห้องโถงรับรองแขก





 




 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

"ลุงบุญรอหนูตรงนี้ก็ได้ค่ะ หนูเข้าไปครู่เดียว"




 

"ครับคุณหนู"




 

 

 

ท่านหญิงเดินเลือกซื้อสินค้ามากมายในตลาดอยู่พักหนึ่ง ก็มาหยุดอยู่บริเวณหน้าร้านผ้าชื่อดัง เธอขอให้คนขับรถยืนรออยู่ที่หน้าร้านก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปเลือกผ้าด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข




 

 

เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายร่างใหญ่สามคน เดินทางมาเก็บหนี้จากเจ้าของร้านขายผ้าแห่งนี้พอดิบพอดี เจ้าหนี้มองเห็นคนขับรถประจำตระกูลวงศ์วรรธน์ ใบหน้าก็ประดับรอยยิ้มชั่วร้ายในทันที กันต์ธรต์เดินเข้าไปหานายบุญและเริ่มหาเรื่อง

 




 




 

"หวัดดีลุง มาซื้อผ้าเหรอ? "




 

 

"คุณธร!"





 

 

"อะไร ทำหน้าตกใจอย่างกับเห็นผี"




 

 

 




 

เสี่ยธรประหลาดใจที่นายบุญตกใจมากเป็นพิเศษ เจ้าตัวจึงได้มองเข้าไปในร้าน และได้พบกับหญิงสาวคนเดิมที่พึ่งได้เจอเมื่อไม่กี่วันก่อน ความงามที่ทำให้เขาตกตะลึงได้...คู่หมั้นของเพื่อนรักเขา

 




 

 

 

 

 

 





 




 
 

"คุณเข้าไปไม่ได้นะ! "





 

 

"ทำไม? ฉันจะไปทวงหนี้ มีปัญหาอะไรเหรอครับลุง? "





 
 

 

กันต์ธรกับแว่นบาง หนีบสมุดปกสีสันสดใสไว้ใต้รักแร้ พร้อมขนาบข้างด้วยลูกสมุนซ้ายขวา เดินเข้าใกล้นายบุญจนหน้าแทบติดกัน





 
 

 

"มีปัญหาอะไร ก็คุยกับไอ้ศักดิ์ไปก่อนนะลุง ฮ่าฮ่าฮ่า"


 




 

 

ว่าแล้ว คนที่เดินขนาบข้างด้านขวาของกันต์ธรก็เดินเข้าใกล้นายบุญมากขึ้นอีก จากนั้นเจ้าตัวก็กันคนเฝ้าหน้าร้านให้ถอยห่างออกจากทางเดิน เพื่อเปิดทางให้นายใหญ่เดินเข้าร้านไปได้สะดวก เด็กจัดของหน้าร้านเมื่อเห็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลทวงหนี้ ก็กุลีกุจอวิ่งเข้าหลังร้านแจ้งข่าวให้เจ้าของร้านทราบในทันที

 

 

 





 
 

 

 

 

ความวุ่นวายเกิดขึ้นทุกย่างก้าวที่กันต์ธรเดินเข้าไป พนักงานในร้านเริ่มก้มหน้าก้มตาลงและมือไม้สั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ จนเขาเดินไปถึงโต๊ะคิดเงินและตบลงไปเสียงดัง เรียกให้คนในละแวกนั้นสะดุ้งตัวโยนกันเป็นแถบๆ

 





 




 
 

"เจ๊สาวอยู่ไหม?"

 




 

"อ...อยู อยู่จ้ะ เดี๋ยวฉันไปตามให้นะ"


 




 

"อือ"

 




 

กันต์ธรนั่งลงบนเก้าอี้หมุนทรงกลมอย่างสบายใจ ไม่ทันที่เด็กคิดเงินจะเดินเข้าไปตาม เจ้าของร้านขายผ้านามว่า 'เจ๊สาว' ก็เดินออกมาพร้อมใบหน้าตึงเครียด เด็กในร้านที่ทำงานอยู่ในมุมต่างๆ ปิดปากเงียบกริบแทบได้ยินเสียงลมหายใจ กันต์ธรวางสมุดที่หนีบมาด้วยลงบนโต๊ะตัวเดิมแล้วเปิดหน้าที่มีชื่อเจ๊สาวเขียนติดไว้อยู่

 




 




 

 

"รอบนี้จะจ่ายทบต้นทบดอกเลยก็ได้นะเจ๊ ต้นจะได้ลดๆ ลงไปบ้าง"

 




 

"เสี่ยธร ฉัน...ยังไม่มี..."

 





 




 
 

ปึง!


 





 
 

 

"ไม่มีอะไร ก็เห็นลูกค้าเต็มร้าน!!! "





 
 

"ฉันขอเวลาอีกสักวันสองวันเถอะนะ วันนี้ฉันต้องจ่ายค่าเช่าที่แล้ว ถ้าไม่ให้เขาวันนี้เขาจะไล่ฉันออกจากที่ตรงนี้แล้วนะ ขอร้องล่ะเสี่ย"

 




 

 

เจ๊สาวน้ำตาคลอเบ้ายกมือขึ้นท่วมหัว

 




 

 

"แต่ถ้าไม่จ่ายฉันวันนี้ นิ้วก้อยเจ๊จะหายไปอีกข้างนะ"




 

"ฉันขอร้องนะเสี่ย ฉันขออีกสักวันสองวันเถอะ"




 

"สามวันก่อนเจ๊ก็ขอแบบนี้ ลืมแล้วเหรอ? "

 





 
 

กันต์ธรที่ได้รับคำตอบจากเจ้าของร้านพยักหน้าหนึ่งทีให้กับชายที่ยืนอยู่ด้านหลัง จากนั้นชายคนนั้นก็เดินอ้อมเข้าไปด้านในเครื่องคิดเงินประชิดตัวเจ้าของร้าน โดยเริ่มมีเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของทั้งตัวเจ๊สาว และพนักงานในร้านบางคนที่ยังคงจดจำความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อนได้

 





 




 
เจ้าหนี้ผู้โด่งดังไม่เคยปราณีใคร ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สตรี หรือคนชรา หากขึ้นชื่อว่าติดหนี้เขาแล้วเบี้ยวไม่จ่ายล่ะก็ เจ้าตัวก็มีวิธีมากมายที่จะขับไล่ขวัญและกำลังใจของลูกหนี้ให้หนีกระเจิงได้เป็นอย่างดี โดยสำหรับเจ๊สาวนั้น ได้ผัดผ่อนมาหลายงวดจนกันต์ธรต้องออกมาตามทวงเอง รอบนี้ จึงถึงเวลาที่เขาจะต้องรับของขัดดอกเป็นนิ้วก้อยอีกนิ้วของเจ้าของร้านผ้าไปแล้ว

 




 




 

มีดคมกริบถูกชักออกจากฝักโดยมือของกันต์ธร เจ๊สาวถูกนายพันธุ์จับล็อกคอและข้อมือเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นมืออีกข้างก็ดึงนิ้วก้อยที่เหลือเพียงนิ้วเดียวของเจ๊สาววางไว้บนโต๊ะเพื่อให้เจ้านายตัดได้ถนัดมือ

 




 




 

 

 

"อย่าาา!! เสี่ย! ฉันขอร้อง...อย่าทำฉันเลย ฮือ เสี่ยธร!! ฉันจะหามาให้ อย่าทำฉันเลย!!! "





 
 

 

 

เสียงกรีดร้องดังลั่นร้าน พร้อมเสียงร้องไห้ระงมจากหลายมุมของร้านที่ปลุกบรรยากาศให้น่าวังเวงเสียยิ่งกว่าเพลงในงานศพ

 

 





 




 
 

"ฮึฮึฮึ"

 




 

 

 

"อย่าทำฉัน!! อย่า!!!! "





 








 

"หยุดได้แล้ว! "

 




 

 

 

กึก





 
 

 

มีดที่กำลังจะสับลงไปบนนิ้วเรียวขาวชะงักค้างไว้บนอากาศ เมื่อเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งเอ่ยห้ามเอาไว้ เสียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่กันต์ธรลอบมองมาแต่แรก เมื่อหันไปหา ก็พบว่าเธอจ้องมองกันต์ธรด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยวอย่างไม่กะพริบ

 

"อย่ามายุ่งดีกว่านะคุณผู้หญิง มันไม่ใช่เรื่องของเธอ"




 

"เท่าไหร่? "

 




 

"ว่าไงนะ"




 





 
"นิ้วที่นายกำลังจะตัด...มีราคาเท่าไหร่? "





 




 
 

"ฉันคิดไม่แพงหรอก สักห้าพันเป็นไง"




 

 

เมื่อได้ฟังราคาสุดสูงนั้นที่คนทั่วไปไม่มีทางมีพกในกระเป๋าเงิน ท่านหญิงก็ก้มลงแล้วควักเงินจำนวนห้าพันบาทออกจากกระเป๋าถือแล้ววางลงบนโต๊ะใกล้ๆ กับที่มือของเจ๊สาวถูกล็อกเอาไว้ แต่ถึงอย่างไร ถ้ายังไม่มีคำสั่งจากกันต์ธร นายพันธุ์ก็ยังคงไม่ปล่อยเจ้าของร้านให้หลุดออกจากการจับกุมไปได้อยู่ดี

 

 




 

"ปล่อยได้รึยัง"

 




 

"ไอ้พันธุ์ ปล่อยมัน!"

 




 

เจ้าหนี้หยิบเงินขึ้นแล้วนับ เมื่อเห็นว่าครบก็ได้ออกคำสั่งให้ลูกน้อง แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม

 





 




 
 

"ระวังนะคุณสาลี่...ใจดีมากๆ เวลาผิดหวังขึ้นมาจะเอาชีวิตไม่รอด ฮึฮึฮึ"

 




 

กันต์ธรพร้อมลูกสมุนเดินออกไปแล้ว เจ๊สาวยกมือขอบคุณท่านหญิงอย่างไม่ยอมเอาลงทั้งน้ำตา คราวก่อนที่ร้านไม่ได้มีนางฟ้ามาโปรดเช่นวันนี้ จึงได้เกิดเหตุการณ์เลือดนองขึ้น สาหัสและรุนแรงเกินไป จนพนักงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์และหวาดกลัวขอลาออกก็มี

 





 




 
 

 

 

 

 

 

 





 
 

"นายดูอารมณ์ดีนะครับ ผมเห็นยิ้มตั้งแต่ออกจากตลาดแล้ว"




 

"ไอ้ภีมมันหาเมียแบบนี้มาจากไหนวะ สวยไม่พอ ใจเด็ดอีกต่างหาก"

 




 

"นายก็ลองถามมันดูสิครับ...ผมได้ข่าวมาว่าอีกสามวัน บ้านวงศ์วรรธน์จะมีงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายกลับบ้าน"





 
 

"มึงนี่ข่าวไวจริงๆ เลยนะไอ้พันธุ์ สมแล้วที่เป็นแหล่งข่าวให้กู"




 

"มากันแทบทั้งจังหวัด ผมว่างานนี้นายต้องไปร่วมแล้วล่ะครับ"

 




 




 

"กูไปแน่ คิดถึงมันใจจะขาดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า"

 




 




 




 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

----------------------------------------------

 

 

 

 

 




 

“ภีม?”

 




 

“…”





 
 

“ไม่เป็นไรนะ ฉันมีหนังสือการ์ตูนเพียบเลย มีเกมให้ภีมเล่นด้วย ภีมไม่ร้องไห้นะ”

 




 

 

ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ เด็กชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อายุ 13 ปี ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่บิดาไม่มารับที่โรงเรียน เขารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมากจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ด้านเพื่อนรักอย่างกันต์ธรที่ไม่เคยปลอบใจใครมาก่อน ทำได้เพียงเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนและแผ่นเกมกดมากมายมาวางไว้ตรงหน้าของเด็กชายผู้กำลังร่ำไห้

 

 

 




 

“อยู่ด้วยกันไม่ดีเหรอภีม นายไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ…ฉันอยากอยู่กับนายนะ”


 




 

“อึก ขอบใจนะธร”


 




 

ว่าแล้ว ดวงใจอันต้องการที่พึ่งของภพตะวัน ได้สั่งร่างกายให้โผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังหาทางปลอบประโลมเขาเข้าเต็มแรงโดยที่กันต์ธรไม่ทันได้ตั้งตัว บัดนี้หัวใจของเด็กน้อยเต้นระส่ำไม่ยอมหยุด เด็กชายกันต์ธรรู้สึกหายใจไม่ทันและอยากลุกขึ้นเต้นเป็นร้อยเป็นพันครั้งตามจังหวะหัวใจซะเหลือเกิน

 




 




 

 

 

 

----------------------------------------------

 

 




 




 

 

 

ภาพวันวานของเด็กแว่นสองคนที่เล่นด้วยกัน นอนด้วยกัน แวบผ่านเข้ามาในมโนความคิด เขาอยากจะลืมมันไปให้หมด แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน บางสิ่งฝังลึกเกินกว่าที่มนุษย์เรา จะสามารถขุดมันออกจากจิตใต้สำนึกไปได้ ภาพของภพตะวัน เด็กชายที่กันต์ธรคอยปลอบโยนในวันนั้นก็เช่นเดียวกัน

 




 

ภาพที่นักเลงหัวไม้เช่นกันต์ธรไม่เคยลืม หากแต่สำหรับภพตะวันนั้น ภาพเหล่านั้นอาจไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำอีกเลยก็เป็นได้ แม้จะพยายามยิ้มร้ายขึ้นมา เพื่อลบล้างความรู้สึกเก่าๆ เท่าไหร่ แต่เพียงคนเดียวที่รู้ว่ามันไม่อาจหายไปได้ก็คือตัวของกันต์ธรเอง

 

 

 

 























​-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------











ขอบคุณ คุณ Chompoo reangkarn และคุณ  AkuaPink

สำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:





 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:




หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 2 : จำฉันให้ดี (16/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-11-2019 21:34:37
 :pig4:
ติดตามค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 2 : จำฉันให้ดี (16/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 16-11-2019 21:44:05
เหตุผลอะไรที่ทำให้อีกคนร้ายขนาดนี้
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 3 : คุณรังสรรค์วิทยาลัย (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 17-11-2019 21:42:08
 
บทที่ 3 : คุณรังสรรค์วิทยาลัย
















คุณรังสรรค์วิทยาลัย (คุ-นะ-รัง-สัน-วิด-ทะ-ยา-ไล)  โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ สถานที่ร่ำเรียนอันโด่งดังและงดงามวิจิตรตระการตา โรงเรียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องการเข้าศึกษา ที่ยากยิ่งกว่าสิ่งใด เพียงสองวิธีที่จะทำให้สามารถเข้าเรียน ณ สถานศึกษาแห่งนี้ได้








คือหนึ่ง การสอบแข่งขันด้วยข้อสอบที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุดในประเทศ และสอง การจับฉลากเข้าเรียน สำหรับเด็กที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่การศึกษา








ความตั้งใจของใครหลายคนที่เพียรพยายามอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำเพื่อสอบเข้ายังสถานที่สุดพิเศษนี้ ไม่สามารถซึมลึกเข้าถึงความรู้สึกของ กันต์ธร ณรงค์กร ได้แต่อย่างใด เขาคือลูกชายคนเดียวของเสี่ยใหญ่ เจ้าของธุรกิจบริการ การขนส่งชื่อดังในจังหวัด และมีบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร








สิ่งที่เขารักที่จะทำมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น คือหนังสือการ์ตูนและเกมกด เด็กชายที่เข้าเรียนด้วยการจับฉลากดั่งนอนลอยมาเหนือเมฆ เขาไม่เคยรู้จักกับคำว่าความพยายาม หรือตั้งใจเพื่อให้ได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาก่อนในชีวิต กระทั่งเปิดเทอมวันแรกมาถึงเช่นวันนี้ แม้ว่าใครหลายคนจะตื่นเต้นมากสักเพียงใด สำหรับกันต์ธรแล้ว มันก็เป็นเพียงวันที่แสนน่าเบื่อวันหนึ่งเท่านั้น








“รู้รึยังว่าห้องอยู่ตึกไหน?”







“ยังอ่ะ พ่อกลับก่อนเลย เดี๋ยวธรเดินหาเอา”








เด็กชายผิวขาวกับแว่นสายตาขอบดำ ที่เปิดเทอมสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในวันนี้เป็นวันแรก เขาไม่รู้จักใครมาก่อน เพื่อนเก่าที่เรียนประถมด้วยกันมา ก็แทบไม่ได้ติดต่อหรือถามไถ่ใครเอาไว้ ภาพพ่อแม่ของใครหลายคนจูงมือลูกหลานเพื่อเข้าไปส่งให้ถึงยังโต๊ะเรียน ไม่ได้ทำให้กันต์ธรรู้สึกประหม่าขึ้นมาแต่อย่างใด








เด็กชายตัวเล็กหน้าตาน่ารัก ผิดกับลักษณะนิสัยโดยสิ้นเชิง เขาไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และก็ไม่คิดที่จะเข้าใกล้เรื่องยุ่งยากเช่นกัน













“เลิกเรียนแล้วพ่อมารับนะ”







“ธรเดินกลับก็ได้นะพ่อ บ้านอยู่แค่นี้เอง”







“เถอะน่า เลิกแล้วมายืนรอพ่อตรงนี้เข้าใจไหม”







“ครับ สวัสดีครับพ่อ”









เด็กชายเดินห่างจากรถยนต์ของบิดาเข้าไปภายในโรงเรียน แม้ว่าเขาจะจับฉลากเข้าเรียนที่นี่ได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะได้ถูกคัดเข้าห้องเด็กหัวกะทิ และถึงอย่างไร นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่กันต์ธรกังวลใจใดๆ อยู่แล้ว








ชื่อของเขาถูกคละเข้าห้องเด็กทั่วไปและถูกสลับรายชื่อไปอยู่ถึงห้อง 14 ด้วยกัน โดยที่เขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนวันเปิดเทอมลุงของเขาได้มาเยี่ยมครอบครัวเขาที่บ้าน แต่ครอบครัวของคุณลุงนั้น บ้านอยู่ไกลโรงเรียนหลายสิบกิโล ทำให้ลูกชายของบ้านนั้น ต้องใช้วิธีสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน นอกจากเด็กคนนั้นจะสอบติดแล้ว คะแนนของเขายังสูงติดอันดับต้นๆ ของโรงเรียน และถูกจัดเข้าห้องเด็กหัวกะทิหรือห้อง 1 อีกด้วย








ญาติห่างๆ ที่กันต์ธรแทบจำหน้าไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้พบกันมานานหลายปี แต่ก็ยังจำชื่อได้ดีเพราะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่แบเบาะ ภพตะวัน วงศ์วรรธน์








เด็กชายกันต์ธรไม่ได้คิดสนใจญาติของเขาคนนี้มากมายนัก และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ห้องเรียนของพวกเขาทั้งคู่ก็อยู่ห่างกันมากโข ต่อให้มีการเข้าแถวรวมระดับชั้น ก็คงไม่มีทางได้พบหน้ากัน เพราะห้องเรียนห้องหนึ่งก็มีนักเรียนถึงห้าสิบหกสิบคน
















ปึก









“โอ๊ย!”









“เดินยังไงของเธอ”







“นายเป็นคนมาชนเราก่อนนะ”







“ใครบอกว่าเราชนเธอ มีใครเห็นเหรอ?”









ภาพเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับคำว่าทะเลาะวิวาท เกิดขึ้นใกล้กับจุดที่กันต์ธรเดินผ่านไปไม่ถึงสิบก้าว เขาเห็นหมดทุกอย่างตั้งแต่ที่เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง เดินมาอยู่บนทางเดินดีๆ แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเด็กชายสามคนเดินมาชนเข้าอย่างจัง เมื่อเด็กผู้หญิงไม่ยอม ฝั่งเด็กชายทั้งสามก็มีท่าทีว่าจะหาเรื่องต่อไม่หยุด








สิ่งที่กันต์ธรเฝ้าภาวนาและหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ชีวิตเขาต้องการเพียงความสงบและส่วนตัวเท่านั้น เขาเองก็เป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ จะทำตัวเป็นคนดีศรีสังคมก็คงจะถูกหาเรื่องตามเป็นแน่ ทั้งที่เฝ้าบอกตัวเองว่าให้เดินผ่านไปทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย แต่ขาเล็กๆ สองข้างนั้น กลับไม่ฟังความ จิตใต้สำนึกนำเขาเข้าไปขวางเด็กชายสามคนที่เริ่มเดินเข้าหาเด็กหญิงคนนั้น














“อย่าแกล้งผู้หญิงได้ป่ะ”







“แล้วนายเป็นใคร มายุ่งไรด้วย”







“เราชื่อธร อยู่ ม.1/14 และเราไม่ชอบที่นายหาเรื่องผู้หญิง”







“กระจอกว่ะ ตัวเล็กอย่างกับลูกหมา ยังกล้ามาขวางอีก”







“รอเดี๋ยว เราขอคุยกับเธอแปป”









ขณะที่เด็กชายทั้งสามเริ่มตีวงล้อมกันต์ธรอยู่นั้น เขาก็ขอเวลานอกสักครู่ แล้วหันไปคุยกับเด็กหญิงที่ไม่ได้มีท่าทีว่ากลัวเด็กชายกลุ่มนี้เลยสักนิด













“นี่เธอ…ขอโทษนายพวกนี้ไปเถอะ พึ่งเปิดเทอมวันแรกอย่ามีเรื่องกันเลย”







“นายธร นายก็เห็นว่าไอ้อ้วนนั่นเดินชนเราก่อน จะให้เราขอโทษได้ไง?”







“ไอ้อ้วน…?”







“ก็ขอโทษไปเถอะ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องมีราวกัน”







“ไม่! เราไม่ผิด เราไม่ขอโทษหรอก”







“เมื่อกี้เธอเรียกใครว่าไอ้อ้วนนะ!?!”







“นายใจเย็นๆ ก่อนได้ป่ะ ก็นายอ้วนจริงๆ จะโกรธอะไร?”







“ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย!!!”









หัวโจกของกลุ่มเด็กชายทั้งสาม ที่มีลักษณะท้วมกว่าคนอื่นง้างกำปั้นขึ้นบนอากาศหวังชกเข้าให้เต็มหน้าของเด็กชายปากมอมที่ไม่เกรงกลัวต่อดินฟ้าอากาศใดๆ




















ปี๊ด!!!! ปี๊ดๆๆๆๆๆๆ








สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี และเสียงพูดคุยที่แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนั้น ใกล้มีเรื่องกันเข้าไปทุกที ได้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนใครบางคนที่พบเห็นตั้งแต่ต้น ได้รีบไปตามคุณครูเวรมาช่วยห้ามไว้ได้ทัน









“เด็กๆ ทะเลาะอะไรกัน”







“นายคนนี้เดินชนเพื่อนผู้หญิงครับ แต่เขาไม่ยอมขอโทษ”









เป็นเด็กอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณครูฟัง ผู้สงบศึกจึงได้บอกให้กลุ่มอันธพาลสามชายขอโทษเด็กหญิง แม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยอมเอ่ยคำขอโทษออกไปแต่โดยดีทุกอย่างจึงได้สงบลง และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเข้าห้องเรียนได้ในที่สุด














“มายุ่งอะไรด้วยก็ไม่รู้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”







“เราก็ไม่ได้อยากมายุ่งหรอก มันมาของมันเอง”







“อะไรมา”







“ขา”







“ฮะฮะ นายนี่ประหลาดชะมัด”







“อือ ใครๆ ก็บอกแบบนั้น เราชื่อธรนะ อยู่ ม.1/14”







“จำได้น่า เมื่อกี้นายบอกพวกนั้นไปแล้ว ไม่กลัวพวกมันตามมาเอาคืนเหรอ?”







“ไม่กลัวอ่ะ มาก็มาดิ สู้ไม่ได้ก็แค่เจ็บตัว เดี๋ยวก็หาย”







“นายนี่ แปลกจริงด้วย…เราชื่อเลี้ยง อยู่ ม.1/8 ยินดีที่ได้รู้จักนะธร”







“อื้ม ยินดีที่ได้รู้จัก ดูเธอไม่กลัวพวกนั้นเลยนี่นะ”







“ก็ไม่กลัวน่ะสิ เอาจริงๆ พวกนั้นสู้เราไม่ได้หรอก บ้านเราเป็นค่ายมวย”







“โห วันหลังสอนเราบ้างนะ”









แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่บัดนี้กันต์ธรได้พบกับเพื่อนคนแรกในโรงเรียนของเขาแล้ว เด็กหญิงนามว่าเลี้ยง ผู้ไม่กลัวภัยพาลใดๆ ด้วยมีครอบครัวคอยสนับสนุน เลี้ยงช่วยกันต์ธรเดินหาจนพบกับห้องเรียนของเขาที่อยู่ตึกเดียวกันกับเธอ










เด็กชายเดินเข้าห้องเรียนไป ก็พบว่าบัดนี้มีคนนั่งจองไปเกือบหมดแล้ว เด็กชายมองไปยังที่นั่งสองที่ด้วยกันที่ยังว่าง หนึ่งคือโต๊ะหน้าสุดกลางห้อง กับอีกที่คือหลังห้องถัดริมหน้าต่างติดทางเดิน








ไม่ต้องคิดให้มากความ กันต์ธรเดินไปนั่งข้างเด็กชายหน้าตาเรียบร้อยคนหนึ่ง สวมแว่นทรงเหลี่ยมคล้ายกับเขา











“ตรงนี้มีใครนั่งไหม เรานั่งได้เปล่า”







“ไม่มีอ่ะ นั่งได้”







“เราชื่อกันต์ธรนะ ชื่อเล่นชื่อธร นายชื่ออะไรเหรอ?”







“เราวินาวิน เรียกวินก็ได้”







“ชื่อเพราะจัง”







“จริงดิ คนอื่นชอบบอกว่าเหมือนผู้หญิง”







“ก็เหมือนอยู่นะ แต่ก็เพราะด้วย”










กันต์ธรเอ่ยออกไปและลอบมองคนข้างกายเป็นพักๆ ชายคนนี้เมื่อได้มองตรงๆแล้ว มีผิวพรรณขาวเนียนอมชมพูเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าคนขาวๆ เช่นเขา พอได้มาใกล้กับชายคนนี้แล้ว เขาดูด้อยลงไปทันที ทั้งดวงตากลมโตใสนั้นที่คล้ายกับมีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดเวลา น่ารักแบบสุดๆ ปากก็เป็นกระจับสีชมพูสด จมูกก็โด่งกว่าเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป เรียกได้ว่าสวยสมชื่อ มากกว่าหล่อเหลาแบบเด็กชายทั่วไปจริงๆ














“นายมองเราทำไม?”







“เราเปล่า”







“เปล่าอะไร เราเห็นนายมองหน้าเรานานแล้วนะ”







“ก็…นายสวย เหมือนชื่อเลย”







“หะ?”










กันต์ธรไม่เอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้น เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างประหลาดที่ได้นั่งใกล้กับชายน่ารักคนนี้ และก็ตามคาด การได้นั่งข้างกันในวันแรก เด็กทั้งสองก็จะกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย กันต์ธรพบว่าวินาวินนั้นเป็นมนุษย์เก็บตัว เรียกได้ว่าไม่สุงสิงกับใครหรือแทบไม่เข้าไปเล่นกับเพื่อนคนไหนเลย แต่ถึงอย่างนั้น กันต์ธรก็รู้สึกเข้ากันได้ดีกับวินาวินเป็นอย่างมากด้วยนิสัยใกล้เคียงกัน














“เย็นนี้กลับบ้านยังไงเหรอนายวิน”







“เดินกลับน่ะ บ้านเราอยู่ไม่ไกล ไปทางห้าแยก”







“จริงดิ บ้านเราก็ไปทางนั้น กลับด้วยกันไหม เย็นนี้พ่อเรามารับ”







“ไม่ล่ะ เราชอบเดินไปคนเดียว”







“แต่เราว่ามันอันตรายนะ เราเป็นห่วง”







“อะไรของนาย ไม่ต้องมาห่วงเรา”







“นะ กลับกับเราเหอะ”










“ไม่”










ไม่ว่ากันต์ธรจะพยายามพูดอย่างไร วินาวินก็ไม่มีทีท่าที่จะยอมกลับบ้านด้วย และด้วยวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ในชั้นเรียนเกือบทุกวิชาจึงมีเพียงการแนะนำตัวและทำความรู้จักกันกับเพื่อนร่วมชั้นและครูผู้สอนเท่านั้น เมื่อทุกคาบเรียนจบลง กันต์ธรก็เดินออกไปรอบิดาที่หน้าโรงเรียนก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง









เด็กชายตัวเล็กเดินไปยืนรอบิดาได้ไม่ถึงห้านาที กลุ่มเด็กชายหน้าตาคุ้นเคยก็เดินเข้ามาแล้วล้อมเขาไว้ในวง














“ไปด้วยกันหน่อยสิ นายธร”







“ไปไหน?”










เป็นกลุ่มเด็กชายสามคนกับเมื่อเช้านี้ที่เดินเข้ามา โดยยังไม่ทันที่กันต์ธรจะตอบรับหรือปฏิเสธ เด็กชายในกลุ่มสองคนก็ล็อกแขนน้อยๆ ของกันต์ธรไว้ แล้วลากให้เดินตามไปยังโรงไม้ใกล้สนามบอล














“นายไม่ควรมายุ่งกับเรื่องคนอื่น และไม่ควรมาเรียกคนอื่นว่าไอ้อ้วนด้วย”














ผลั๊วะ!








หมัดที่ถูกง้างทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าพุ่งเข้าเต็มหน้าของเด็กชาย กันต์ธรไม่เคยถูกต่อยหรือทำร้ายร่างกายมาก่อน เขาจุกหนักกับหมัดของเด็กท้วม เด็กกลุ่มนั้นปล่อยเขาไว้สักครู่บนพื้น จนสีหน้าของกันต์ธรกลับมาเป็นปกติ ก็ปล่อยหมัดใส่อีกไม่ยั้ง














“ถอนคำพูดซะ”







“เรื่องอะไร?”







“ที่นายว่าเราอ้วน”







“ไม่ล่ะ…เราไม่ชอบโกหก”












ผลั๊วะ!







เด็กชายตัวเล็กที่มีผิวกายขาวนวลเริ่มสำลักโลหิตออกทางปากและจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมเอ่ยขอโทษหรือถอนคำพูดดังที่หัวโจกกลุ่มสามชายบอกให้ทำ
















ก่อก แก่ก…ก่อก แก่ก









“นั่นใคร!?!”







“…”







“พวกนายไปเอาตัวมันมา”










ในขณะที่เด็กกลุ่มนั้นรุมกระทืบกันต์ธรอยู่ บริเวณพุ่มไม้พุ่งหนึ่งใกล้ๆ กับบริเวณนั้น ก็เกิดสั่นไหวขึ้นมา หัวโจกสั่งลูกน้องไปจับตัวคนที่ซ่อนหลังพุ่งไม้ออกมา ปรากฏเป็นใบหน้าขาวใสเดียวกับที่กันต์ธรนั่งมองมาทั้งวัน














“วิน?”







“นี่ใคร แฟนนายเหรอ?”







“เปล่า เพื่อนห้องเดียวกัน”









ว่าแล้วเด็กชายที่มีใบหน้าน่ารักก็ถูกนำตัวมาไว้ใกล้กับกันต์ธร หัวโจกของแก๊งสามชายนิ่งงันไปเมื่อได้เห็นหน้าของวินาวินใกล้ๆ เขาจ้องมองผู้มาใหม่อย่างไม่วางตา ความนิ่งงันของหัวหน้าแก๊งที่เกิดขึ้น เริ่มทำให้คนที่เหลือทำตัวไม่ถูก














“ให้ทำไงกับนายคนนี้จ้าว?”







“…”









“ปล่อยเขาไปนะ! จะตี ก็ตีฉันคนเดียว อย่าทำอะไรเขา เขาไม่รู้เรื่องด้วย”









“นายชื่ออะไร?”









เป็นหัวโจกของแก๊งสามชาย ที่เอ่ยถามชื่อของเด็กชายหน้าตาน่ารักก่อนที่คนอื่นๆ จะทันได้ลงไม้ลงมือ













“…วิน”







“วิน?”







“จ้าว ให้ทำยังไงกับมันดี”








“พวกนายสองคนอัดนายธรให้เละ ส่วนนายวินฉันจัดการเอง”











ว่าแล้วจ้าววายุก็เดินไปคว้าแขนเล็กๆ เอาไว้แน่น เขากระชากวินาวินออกไปทางหน้าโรงเรียน ปล่อยให้ลูกน้องอีกสองคนรุมกระทืบกันต์ธรต่อไป










“นายจะพาเราไปไหน!?! ปล่อยนะ!”







“…”







“ปล่อยแขนเรา เราเจ็บ”










เด็กท้วมหัวหน้าแก๊งสามชายคลายมือออกจากแขนขาว แล้วก้มลงมองรอยแดงที่ขึ้นเป็นแผ่นบริเวณแขนเนียนขาวอมชมพูนั้น เขาไม่พูดสิ่งใดออกมาอีก เพียงปล่อยวินาวินไว้บริเวณป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน แล้วเดินกลับเข้าไปสมทบกับพรรคพวกที่กำลังจัดการกับกันต์ธรอยู่ แต่ก่อนที่เด็กชายจะเดินกลับเข้าไป ก็มีเสียงเล็กๆ เรียกขึ้น















“นาย…”







“…”







“นายชื่ออะไร?”
















“จ้าววายุ…ห้อง 16”
  ​
   





































​-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------










ขอบคุณคอมเม้นจากคุณ AkuaPink และคุณ bun ด้วยนะคะ  :กอด1:

มาลุ้นกันต่อนะคะ


 :L2: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 3 : คุณรังสรรค์วิทยาลัย (17/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-11-2019 14:41:19
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 4 : ความประทับใจของเด็กชายผู้พ่ายแพ้ (18/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 18-11-2019 19:14:21
 
บทที่ 4 : ความประทับใจของเด็กชายผู้พ่ายแพ้

























ในขณะที่จ้าววายุพาวินาวินออกไปหน้าโรงเรียน สองสมุนของจ้าววายุซึ่งมีนามว่า ฟ้าและดิน ก็ยังคงต่อยตีกันต์ธรไม่หยุด ด้านกันต์ธรเองที่รู้ดีว่าไม่อาจสู้ได้แต่แรก ยอมเป็นกระสอบทรายให้เด็กชายทั้งสองคนรุมกระทืบจนกว่าจะพอใจ









“นายธร ทำไมถึงไม่ยอมขอโทษจ้าวไปดีดี นายจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”







“อั่ก…เราไม่ชอบโกหก”







“จ้าววายุเป็นลูกชายของคุณลุงขุนพล นายไม่กลัวตายเหรอ?”







“เราไม่รู้จักลุงขุนพลหรอก อยากต่อยตีเราก็เชิญเลย”







กันต์ธรนอนหอบหายใจคุยกับเด็กชายทั้งสองที่ดูท่าว่าจะเริ่มหมดแรงไปบ้างแล้ว












“พวกนายทำอะไรกันน่ะ!?!”








“ใครมาอีกล่ะ?”








“ทำร้ายเพื่อนทำไม?”









หลังจากเด็กชายสองคนเริ่มหมดแรงเพียงครู่เดียว ก็ปรากฏมีร่างของเด็กชายตัวสูงอีกคนหนึ่ง วิ่งเข้ามาช่วยห้ามเท้าทั้งสองที่ยังคงส่งตรงลงยังเสื้อนักเรียนตัวใหม่ของกันต์ธร เมื่อเด็กชายฟ้าและเด็กชายดิน เห็นว่าเด็กชายผู้มาใหม่คนนี้ ค่อนข้างตัวสูงกว่าพวกเขาทั้งคู่ ฟ้าและดินจึงยอมหยุดแล้วถอยกรูกันออกไป

















“นายไหมไหว ฉันพาไปห้องพยาบาลนะ”







“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ใครอนุญาตให้นายพานายธรไป?”







“ที่นี่ในโรงเรียนนะจ้าว นายจะทำร้ายเพื่อนได้ยังไง”








“ไม่ใช่เรื่องของนาย…ภีม อย่ามายุ่งดีกว่า”







“ไม่ยุ่งไม่ได้ นายคนนี้ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของนายนะจ้าว”








“มันเรียกฉันว่าไอ้อ้วน”














“แล้วมันผิดตรงไหนเหรอ ก็นายอ้วนจริงๆ”














“หุบปาก!!!!”




















ผลั๊วะ!!









โดยที่ไม่ทันตั้งตัว หมัดลุ้นๆ ของจ้าววายุ ก็พุ่งเข้าเต็มดั้งของเด็กชายผู้มาใหม่ และเพียงหมัดเดียว เด็กชายคนนั้นก็ลงไปนอนกองเคียงข้างกับกันต์ธรในทันที
















“แฮก แฮก”









“นายมายุ่งทำไม เจ็บตัวเลยเห็นไหม”









“ฉันอยากช่วยนะ”









“นายสู้พวกนั้นไหวเหรอ?”









“ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะลองดู”











ว่าแล้ว เด็กชายผู้มาใหม่ก็ยันตัวลุกขึ้นเตรียมพร้อมเข้าเผชิญหน้ากับจ้าววายุและพวกพ้อง หมัดแรกพุ่งออกไปหวังให้ปะทะเข้าเต็มหน้าจ้าววายุ...แต่กลับไม่เป็นไปตามนั้น เด็กชายตัวสูงจึงโดนอีกหนึ่งหมัดจากจ้าววายุสวนกลับจนทรุดลงไปกองข้างๆ กับกันต์ธรอีกครั้ง และครั้งนี้จ้าววายุไม่รอช้าที่จะตามลงมาต่อยเข้ากับใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกหลายหมัด จนนายภีมผู้โชคร้ายเริ่มมึนเบลอและฟุบลงไปกองอย่างหมดสภาพ















เมื่อเห็นว่าเด็กชายสองคนที่ถูกอัดไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก แก๊งสามชายจึงได้รีบหนีออกจากบริเวณนั้น ด้านกันต์ธรที่ถูกซ้อมก่อนหน้าแต่ก็ไม่ได้ถูกต่อยรุนแรงเท่าชายอีกคนที่เข้ามายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ชะเง้อมองเด็กชายที่นอนใบหน้าอาบเลือดหลับตาพริ้ม

















“ตายรึยัง?”









“…ย…ยัง”









“นายชื่อภีมเหรอ?”









“อื้ม จำฉันได้แล้วเหรอ”















“จำอะไร? ฉันได้ยินไอ้อ้วนเรียกนายเมื่อกี้”









“ฉันภีมไง ญาตินาย”









“ญาติ?”









“ภพตะวัน”










“ภีม ภพตะวัน…อ๋อ ลูกลุงเตี๋ยวเหรอ”










“ใช่”









“ขอบใจมากนะภีมที่พยายามช่วย ถึงจะไม่สำเร็จก็เถอะ”
















“สำเร็จสิ”










“ยังไง?”
















“อย่างน้อยก็ทำให้ธรไม่ต้องรู้สึกเหงาที่ถูกซ้อมอยู่คนเดียว”










“ฮ่าๆ จริงด้วยสินะ”











กันต์ธรที่มีบาดแผลอยู่เต็มใบหน้าและลำตัวหัวเราะร่าออกมาอย่างอารมณ์ดี วันนั้นเขาได้พบเพื่อนใหม่ถึงสามคน ตั้งแต่ เลี้ยง ไพรรำพึง สาวห้าวประจำห้อง ม.1/8 รวมไปถึง วินาวิน เจริญนัจกร คนน่ารักที่นั่งข้างเขาทั้งวัน และล่าสุด ก็คือญาติห่างๆ ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ เด็กหัวกะทิ ห้อง 1










กลุ่มเด็กมัธยมที่ไม่ได้เข้ากันแต่อย่างใด แต่ก็มารู้จักกันได้ ผ่านคนคนเดียว…กันต์ธร










คุณลักษณะพิเศษที่เจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามี คือการรวมคนให้เป็นกลุ่มก้อน และเป็นผู้นำโดยที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องพยายามอะไรแม้สักนิด
























เวลาผ่านไปร่วมเดือนตั้งแต่วันแรกที่กันต์ธรพบเพื่อนใหม่ทั้งสาม บัดนี้พวกเขาทั้งหมดได้มานั่งรวมกันบริเวณโรงอาหารของโรงเรียน เพื่อทบทวนบทเรียนวิชาภาษาไทยสุดโหดร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย









“วันนี้กลับบ้านด้วยกันไหมวิน?”








“ไม่ล่ะ”









และไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือน วินาวินก็ไม่เคยยอมเดินกลับบ้านกับใครสักคนที่ชวนเขา รวมไปถึงกันต์ธร เพื่อนรักของเขาด้วย เพียงครู่หลังปิดหน้าหนังสือลง วินาวินกับเลี้ยงก็ขอตัวแยกออกไป วินาวินนั้นเดินกลับบ้านทุกวัน ส่วนเลี้ยงต้องตรงไปยังห้องนาฏศิลป์เพื่อรอน้องชายของเธอซ้อมดนตรีไทยจนเสร็จและกลับพร้อมกัน
















“แล้วภีมล่ะ กลับเลยไหม?”







“วันนี้พ่อมารับเย็นหน่อยเพราะติดธุระ ธรกลับก่อนเลยก็ได้นะ”







“ภีมกลับด้วยกันไหม เดี๋ยวฉันให้พ่อไปส่ง”







“ไม่เป็นไรธร พ่อธรคงไม่อยากไปส่งฉันเท่าไหร่หรอก”







“แต่ธรอยากไปส่งภีมนะ”









กันต์ธรจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของภพตะวัน ตั้งแต่วันที่เด็กชายมาร่วมทุกข์กับเขาในวันนั้น กันต์ธรก็ไม่อาจหยุดคิดถึงใบหน้าที่นอนจมกองเลือดกับเขาวันนั้นได้เลย ชายผู้ไม่สนใจโลกเช่นกันต์ธร กลับมีสิ่งใหม่ที่สนใจนอกจากการ์ตูนและเกมเข้าให้แล้ว นั่นก็คือ ภพตะวัน ญาติห่างๆ สุดสมบูรณ์แบบของเขาคนนี้









และแม้ว่าบิดาของพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ด้วยสัญชาตญาณเบื้องลึก พวกเขารู้ดีว่า บิดาของพวกเขาไม่ชอบหน้ากันเท่าไรนัก แต่กันต์ธรกลับชอบหน้าภพตะวันเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจ้องมองในทุกวันเลยทีเดียว
















“ธรก็รีบโตไวไวสิ จะได้ขับรถไปส่งฉันได้”







“ฉันสัญญานะ ว่าโตมาแล้วฉันจะปกป้องภีมเอง”







“…ทำไมล่ะ คราวแล้วฉันน่าสงสารมากเลยใช่ไหม ฮ่าๆ”








“ก็ใช่น่ะสิ”









เด็กชายตัวเล็กอ้าปากหัวเราะลั่น จากนั้นเจ้าตัวก็ลุกขึ้นจากม้านั่งตัวยาว แล้วเปลี่ยนมานั่งข้างภพตะวันแทน กันต์ธรชอบอยู่ใกล้ๆ กับชายตัวสูงคนนี้ เพราะอยู่ใกล้ทีไรจะได้กลิ่นหอมและไอเย็นส่งมาให้ทุกที













“มีอะไรเหรอธร?”







“เปล่า”







“แล้วย้ายมานั่งตรงนี้ทำไม?”







“อยากนั่งใกล้ๆ ภีม อยู่ใกล้ๆ แล้วเย็นอะไรไม่รู้”







“จริงดิ ไหนลองจับดูดิ”









ภพตะวันที่มีสีหน้าประหลาดใจ คว้ามือของกันต์ธรไปกุมไว้ด้วยสองมือ นิ่งงันไปสักครู่ ก็ผละมือเด็กชายตัวเล็กออก















“ไม่เห็นรู้สึกเลย”







“รู้สึกอยู่นะ มาลองดูอีกที”









กันต์ธรคว้ามือข้างหนึ่งของภพตะวันขึ้นกุมไว้บ้างแล้วสอดประสานนิ้วของตนเข้ากับมือของภพตะวัน จากนั้นก็ค้างไว้อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย









“ทำอะไรธร ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย”







“ฉันรู้สึก…จับไว้แบบนี้แหละ เย็นดี”







“จริงเหรอ เอางั้นก็ได้”









เด็กชายตัวสูงไม่เข้าใจว่ากันต์ธรรู้สึกอะไร แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าขาวๆ นั้นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ภพตะวันรู้ได้ว่า ฝั่งนั้นคงรู้สึกดีกับไอเย็นจากมือของเขาจริงๆ จึงได้ปล่อยให้มือประสานกันอยู่อย่างนั้น แล้วใช้มืออีกข้างกางหน้าหนังสือของตัวเองอีกรอบเพื่อรอเวลา









กันต์ธรไม่ยอมลุกไปไหน และไม่ยอมปล่อยมือที่จับกับภพตะวันไว้แน่น จนได้เวลานัดหมายที่บิดาของภพตะวันจะมารับ เขาจึงขอให้กันต์ธรปล่อยมือเพื่อเก็บกระเป๋า เด็กชายยอมคลายมือออกด้วยใบหน้าสุดเสียดาย จนหนังสือถูกเก็บเข้ากระเป๋าหมดแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน









ระหว่างทางเดินไปหน้าโรงเรียน จะมีทางลัดที่ผ่านหน้าห้องนาฏศิลป์ เด็กชายทั้งสองใช้ทางนั้นสัญจรอยู่เป็นประจำ โดยที่บริเวณนั้นจะเป็นช่องเล็กๆ ที่มีตึกสองตึกบดบัง ทำให้แทบไม่มีแสงลอดผ่านเข้ามาในทางนี้มากนั้น















“ภีม”








“หืม?”








“ขอจับมือหน่อยได้ป่าว”









“…”















“นะ”









“เอาสิ”









เมื่อได้รับเสียงอนุญาต กันต์ธรก็รีบคว้ามือคนข้างๆ มากุมเอาไว้แน่นแล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไป ในขณะนั้นเองเด็กชายทั้งสองก็พบกับเพื่อนที่ลุกจากโต๊ะมาเกือบชั่วโมง ยังนั่งรอน้องชายซ้อมดนตรีไทยอยู่แถวๆ หน้าห้องนาฏศิลป์ จึงได้เอ่ยทักขึ้น



















“ยังไม่กลับอีกเหรอเลี้ยง?”








“อืม อาโปยังซ้อมไม่เสร็จเลย”








“ให้เราอยู่เป็นเพื่อนไหม นี่ก็เย็นแล้ว อันตรายนะ”








“ไม่เป็นไร พวกนายกลับไปเถอะ แล้วนี่คือ?”









เลี้ยงชี้ไปที่มือของเด็กชายทั้งสองที่กุมกันเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ กันต์ธรนั้นก้มหน้างุดลงไปโดยที่ยังประสานมือกับภพตะวันอยู่

















“ธรบอกว่ามือฉันเย็น เลยขอจับไว้”








“เย็นจริงเหรอ?”









ว่าแล้วเลี้ยงก็ลุกจากที่นั่งมาแล้วดึงมือของภพตะวันมากุมเอาไว้บ้าง นิ่งงันเช่นนั้นเพียงครู่ก็ปล่อยมือออกแล้วฉายแววตาสงสัยอีกรอบ










“อืม ก็เย็นอยู่ล่ะมั้งนะ”








“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”








“งั้นพวกเราไปก่อนนะเลี้ยง กลับบ้านดีดีล่ะ”








“บาย”










ภพตะวันโบกมือลาเพื่อนนักเรียนหญิงไปแล้ว ด้านกันต์ธรก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเดินต่อไป ผ่านที่นั่งสาธารณะใต้ร่มไม้ใหญ่ โดยมีสายตาของเด็กและผู้ปกครองคนอื่นๆ มองดูสองเด็กชายที่เดินกุมมือกันกลับบ้าน

















“พี่น้องคู่นั้นน่ารักดีนะ”








“นั่นสิ หน้าตาก็เหมือนกันด้วย”










เด็กชายทั้งสองเดินมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนแล้ว แต่รออีกพักใหญ่ ก็ยังไม่พบว่าบิดาของภพตะวันจะเดินทางมารับแต่อย่างใด เด็กชายตัวสูงจึงปล่อยมือจากกันต์ธรแล้วหยิบเหรียญไปหยอดตู้โทรศัพท์เพื่อโทรหาบิดา

















“มีอะไรเหรอภีม?”








“พ่อฉันยังมาไม่ได้ เขาให้ฉันรอก่อน ฉันเลยบอกเขาว่าจะไปรอที่บ้านนาย”








“งั้นก็ดีเลยสิ”












กันต์ธรแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจน เขายิ้มจนหน้าบาน และไม่รอช้าที่จะคว้ามือของภพตะวันไปกุมไว้อีกครั้ง จากนั้นเจ้าตัวจึงพาเพื่อนรักเดินลัดเลาะเพื่อกลับบ้านของเขาที่อยู่ห่างจากโรงเรียนไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร ใช้เวลาเพียงสิบห้านาที เด็กชายทั้งสองก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ของเสี่ยเจ้าของธุรกิจรถสิบล้อแล้ว

















“ภีมนอนบ้านฉันก็ได้นะ พรุ่งนี้ก็เดินไปโรงเรียนด้วยกัน”









“…”









“ภีม?”









“…”









“ไม่เป็นไรนะ ฉันมีหนังสือการ์ตูนเพียบเลย มีเกมให้ภีมเล่นด้วย ภีมไม่ร้องไห้นะ”










ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ เด็กชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อายุ 13 ปี ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่บิดาไม่มารับที่โรงเรียน เขารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมากจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ด้านเพื่อนรักอย่างกันต์ธรที่ไม่เคยปลอบใจใครมาก่อน ทำได้เพียงเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนและแผ่นเกมกดมากมายมาวางไว้ตรงหน้าของเด็กชายผู้กำลังร่ำไห้
















“อยู่ด้วยกันไม่ดีเหรอภีม นายไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ…ฉันอยากอยู่กับนายนะ”









“อึก ขอบใจนะธร”










ว่าแล้ว ดวงใจอันต้องการที่พึ่งของภพตะวัน ได้สั่งร่างกายให้โผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังหาทางปลอบประโลมเขาเข้าเต็มแรงโดยที่กันต์ธรไม่ทันได้ตั้งตัว บัดนี้หัวใจของเด็กน้อยเต้นระส่ำไม่ยอมหยุด เด็กชายกันต์ธรรู้สึกหายใจไม่ทันและอยากลุกขึ้นเต้นเป็นร้อยเป็นพันครั้งตามจังหวะหัวใจซะเหลือเกิน












กันต์ธรสูดลมหายใจเข้าออกอย่างเต็มปอดอยู่สักพัก และเมื่อตั้งสติได้ เด็กชายเจ้าของบ้านก็ได้พยายามยับยั้งความลิงโลกในใจแล้วกอดตอบภพตะวันเพื่อปลอบใจ ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่กันต์ธรก็ยิ่งได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากชายคนนี้มากขึ้นเท่านั้น และบัดนี้ เขาอยู่ใกล้ชิดกับภพตะวันเพียงหนึ่งมิลลิเมตร












ระหว่างที่เด็กชายยังคงร้องไห้ไม่หยุด กันต์ธรก็ใช้จังหวะนั้น กดจมูกลงไปบนไหล่ที่กำลังสั่นเทาน้อยๆ นั้นเพื่อสูดดมความหอม ที่มาจากทั้งน้ำยาปรับผ้านุ่มและกลิ่นกายของภพตะวันเอง โดยที่ภพตะวันนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย



















































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------












คุณ AkuaPink ขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ ^^

 :L2: :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


  ​
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน (19/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 19-11-2019 20:55:12
 
บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน














กาลเวลายิ่งล่วงเลย ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของภพตะวันและกันต์ธรนั้น ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ภพตะวันมาค้างที่บ้านใกล้โรงเรียนหลังนี้ของกันต์ธร 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จนทั้งคู่ขึ้นมัธยมปลาย ด้านภพตะวันนั้นหัวดีมาแต่เด็ก เขาเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และยังได้อยู่ห้องต้นๆ เช่นเคย ด้านกันต์ธรนั้น แม้ไม่ตั้งใจเรียนสายวิทย์คณิต แต่บิดาเขาก็ไม่อาจทนไหวกับความน้อยหน้าญาติคนอื่น จึงได้ใช้เส้นสาย ลากลูกชายเพียงคนเดียวให้เข้าเรียนสายเดียวกับภพตะวัน







กันธรต์แอบค้านอยู่เพียงในใจ เขาไม่ได้รักเรียนเช่นเพื่อนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ชอบมีปัญหายุ่งยากกับคนในครอบครัวเช่นกัน จึงได้ตกลงทำตามสิ่งที่บิดาต้องการ แม้ว่าสมองของเขาจะไม่สามารถรับรู้บทเรียนได้เต็มรูปแบบ แม้กระนั้น โชคของกันต์ธรก็ยังพอมีอยู่มาก เมื่อเขามีเพื่อนรักเช่นภพตะวัน เลี้ยง และวินาวิน เพื่อนรักทั้งกลุ่มของเชาเรียนดีและเรียนต่อสายเคร่งเครียดนี้กันหมด








“โคตรงงเลย ข้อนี้ต้องใช้สูตรอะไรนะภีม?”






“ไหน? นายเปิดหนังสือหน้า 14 ดิ มีโจทย์แบบเดียวกันนี้เลย แค่เปลี่ยนตัวเลข ลองทำตามตัวอย่างดู เดี๋ยวก็ได้เอง”






“นายจำเลขหน้าได้ไง หนังสือมีตั้งร้อยสองร้อยหน้า”






“ฉันก็พึ่งเรียนมาวันนี้เหมือนกัน เลยจำได้”






“ฉลาดก็พูดมาตรงๆ”






“รีบทำการบ้านเถอะ ฉันเริ่มง่วงแล้วนะ”






“นายก็นอนก่อนเลย ฉันน่าจะอีกนาน”






“อือ ตามใจนาย”








เป็นอีกคืนที่เด็กชายตัวสูงมาอาศัยชายคาของเพื่อนรักพักพิง ภพตะวันเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงของกันต์ธร เขามาที่นี่บ่อยจนแทบจะกลายเป็นเตียงนอนหลังที่สองของเขาไปแล้ว และใช้เวลาเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มที่มีคาบเรียนพลศึกษาเป็นวิชาสุดท้ายของวัน ก็หมดสติสลบไสลลงไป ปล่อยให้กันต์ธรพลิกหน้ากระดาษไปมาด้วยสีหน้าเคร่งตึงเพียงลำพัง เด็กหนุ่มเจ้าของห้อง ใช้เวลาหลายชั่วโมงกับโจทย์คณิตศาสตร์เพียงข้อเดียว

















“เฮ้อ ทำไมมันยากแบบนี้วะ! ?!”






“…”






“นั่นก็หลับไม่รู้เรื่องไปละ ฉันก็ไปนอนบ้างดีกว่า”








กันต์ธรลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตรงไปปิดไฟ จากนั้นก็เดินขึ้นไปนอนบนเตียงเบียดตัวเข้ากับภพตะวันที่นอนกลางเตียงอย่างสบายตัว เมื่อก่อนตอนมาอยู่ด้วยใหม่ๆ เตียง 3 ฟุตนี้ก็พอดีกับเด็กชายตัวเล็กสองคนอยู่หรอก แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่มัธยมปลายแล้ว แถมทั้งภพตะวันและเขาเองก็ตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้นอนอย่างไรก็ไม่พ้นต้องเบียดกันไปอย่างนั้น
















“ภีม ขยับไปหน่อยดิ…ภีม”






“…”






“ไม่ขยับ โดนฉันลักหลับไม่รู้ด้วยนะ”








ไม่ว่ากันต์ธรจะพยายามเบียดตัวลงนอนอย่างไร เขาก็ไม่พ้นขอบเตียงอยู่ดี และไม่ว่าจะขู่ภพตะวันไปขนาดไหน ก็ดูทางนั้นจะยังไม่ได้สติเช่นกัน กันต์ธรที่ไม่ได้มีความอดทนสูงมาก เริ่มลงมือทำบางสิ่งที่เขาข่มขู่เอาไว้เมื่อครู่








เด็กหนุ่มคร่อมตัวลงบนร่างของภพตะวันที่หลับไม่รู้เรื่อง แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าของตนเองลงไป แตะสัมผัสแผ่วเบาเบาลงบนปากของเพื่อนรักด้วยปากของเขาเอง จากนั้นจึงค่อยๆ ไล่เลียแล้วดูดกลืนอย่างช้าๆ ด้วยกลัวคนหลับใหลจะตื่นขึ้นมากลางคัน แล้วเขาจะอดลิ้มรสชาติอันหอมหวานนี้












ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ที่กันต์ธรจะแอบลักจูบเพื่อนรักหลังจากเขาหลับสนิทไปแล้ว มารู้ตัวอีกที ก็ไม่อาจหยุดการกระทำของตนเองลงได้ และมันยิ่งรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ ก็เพียงลองแตะแผ่วเบาลงบนริมฝีปากนั้นก็ทำให้เด็กน้อยหลับฝันดีไปทั้งคืนแล้ว แต่ยิ่งโตความต้องการเขาก็มากขึ้นตามอายุ ระยะนี้จึงทั้งดูด ทั้งไล่เลียริมฝีปากนั้นอย่างข่มใจ













“ภีม…ฉันเตือนอีกแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ขยับไปฉันจะทำมากกว่านี้แล้วนะ”







“…”








แม้จะขู่ไปเช่นนั้น กันต์ธรก็ไม่ได้มีความกล้ามากพอที่จะแตะต้องภพตะวันจนเจ้าตัวรู้สึกตัวขึ้นมาได้ เขาสอดแขนลงใต้ศีรษะของภพตะวันแล้วดันตัวให้ขยับไป จากนั้นก็นอนตะแคงกอดภพตะวันไว้ในอ้อมแขนแน่น
















‘ทำอะไรของมึงวะไอ้ธร’





เสียงกระซิบแผ่วเบาที่กันต์ธรเฝ้าถามตัวเองทุกครั้ง หลังลอบทำบางสิ่งกับคนที่กำลังนิทราในอ้อมแขน เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองว่าต้องการสิ่งใดจากภพตะวันกันแน่ อาจเป็นเพราะด้วยช่วงวัยของเขาที่กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นวัยรุ่นเต็มตัว หรือเพราะว่าภพตะวันนั้น น่ารักในสายตาเขามานานมากแล้วก็ไม่ทราบได้

























“เมื่อคืนนายกอดฉันอีกแล้วนะ”






“ก็ฉันบอกให้นายขยับแล้ว แต่นายไม่ยอมขยับ จะให้ฉันทำไง?”







เด็กหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่ พักหลังมานี้ภพตะวันมักตื่นมาในอ้อมแขนของกันต์ธรทุกเช้า และเขารู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะมันสร้างความรู้สึกประหลาดให้เขา รวมทั้งอวัยวะบางส่วนที่ขยายตัวทุกเช้าของกันต์ธรก็มาสัมผัสร่างกายเขา ให้ต้องรู้สึกได้ทุกวัน












“งั้นวันหลังฉันนอนพื้นก็ได้”







“ก็ตามใจ”







“วันนี้กลับด้วยกันป่ะ?”







“อือ ตอนเย็นเจอกันที่เดิม”







“เจอกัน”










สองหนุ่มแยกจากกันไปแล้ว ด้วยความที่เขาทั้งคู่อยู่ห้องที่ห่างกันพอสมควร ทำให้ตึกเรียนของพวกเขาอยู่คนละชั้น และถ้าวันไหนภพตะวันจะไปค้างบ้านของกันต์ธร เขาจะนัดเจอกันบริเวณหน้าโรงเรียนตอนหกโมงเย็น เพื่อเดินกลับบ้านพร้อมกัน























“กว่าจะเสด็จได้นะไอ้ภีม”






“มีไรแต่เช้า?”






“ขอลอกการบ้านหน่อย”






“เอาจริงดิ นายเก่งกว่าฉันอีกนะปราณ ทำไมไม่ทำการบ้านเอง”






“ก็ฉันขี้เกียจใช้สมองอันชาญฉลาดคิดนี่ มันเปลืองพลังงาน”






“อือ เอาไป”







ภพตะวันหยิบสมุดการบ้านในกระเป๋าแล้วโยนให้ปราณ เพื่อนสนิทในห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิด จนคนอัจฉริยะประจำห้องต้องเอ่ยทักขึ้น












“หน้าหงิกมาแต่เช้านี่รู้เลยนะ”






“รู้อะไร?”






“โดนไอ้ธรกอดอีกแล้วอาดิ”






“อือ”






“ไม่ชอบแล้วไปนอนบ้านมันทำไม”






“ฉันนอนบ้านธรมา 4-5 ปีแล้วนะ แล้วเราก็เป็นญาติกัน”






“ญาติห่างๆ”






“อือ”






“ก็บอกมันไปตรงๆ ว่าห้ามกอด”






“บอกแล้ว แต่เตียงเขาเล็กลงจริงๆ นั่นแหละ”






“แล้วนายเคยรู้สึกตัวบ้างไหม ตอนมารวบนายไปกอดอ่ะ”






“ไม่ ฉันหลับตลอด”






“ทีนี้ตอนมันขึ้นเตียงมาจะกอดนาย นายก็บอกมันดิ แล้วก็ผลักมันออก”






“ก็เพราะฉันหลับสนิทไง ไม่งั้นใครจะไปยอมวะ”






“อยากรู้ไหมล่ะ?”






“ยังไง?”






“ก็ถ้าอยากรู้ว่าเอารวบนายไปกอดตอนไหน ก็ลองแกล้งทำเป็นหลับดูดิ พอมันจะดึงไปกอดก็ผลักมันออกเลย คราวหน้ามันก็จะได้ไม่กล้าทำอีก”









ภพตะวันที่ได้รับคำแนะนำจากปราณนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคิดว่าหากทำเช่นนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ครั้งถัดไปกันต์ธรจะไม่กล้ากอดเขาอีก เมื่อคิดได้ดังนั้นสีหน้าหงุดหงิดก็หายไป แล้วกลับมาพูดคุยกับเพื่อนเช่นปกติตามเดิม







เสียงออดวิชาสุดท้ายดังขึ้นและภพตะวันไม่รอช้าที่จะเดินไปโรงอาหารเพื่อทำการบ้านให้เสร็จให้หมด ตั้งแต่เขารู้จักกับกันต์ธร เขาก็ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ที่ว่า หนังสือการ์ตูนนั้นสนุกแค่ไหน หลังกลับไปถึงบ้านกันต์ธร ภพตะวันก็จะอ่านแต่หนังสือการ์ตูนโดยที่ไม่แตะงานหรือการบ้านใดๆ อีกเลย




















“ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมวิชาสุขศึกษาต้องมีการบ้านด้วย”






“ทุกวิชาก็ต้องมีทั้งนั้น เพื่อให้นายได้ทบทวนบทเรียน”






“ฉันก็ลอกจากหนังสือมาใส่ในสมุดอยู่ดี”






“ฉันว่าเขาก็ต้องการให้นายทำแค่นั้นแหละ อย่างน้อยก็เป็นการท่องจำอีกรอบ”










“ภีม จิ้งจอกเก้าหางเล่มใหม่ออกแล้วนะ ฉันว่าพรุ่งนี้จะแวะไปดูก่อนกลับบ้าน ไปด้วยกันป่ะ?”









“จริงดิ! ไปอยู่แล้ว”








การ์ตูนเรื่องโปรดของภพตะวัน ที่เขาพึ่งค้นพบความสนุกและเก็บสะสมทุกเล่มไว้ในตู้ที่บ้าน และอีกหนึ่งชุดที่ถูกเก็บไว้ที่บ้านกันต์ธร การ์ตูนที่ภพตะวันรอเล่มใหม่ออกด้วยการอ่านเล่มเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่มีเบื่อ












“ฉันรีบนอนดีกว่า ตื่นเต้นชะมัด พรุ่งนี้จะได้อ่านเล่มใหม่แล้ว”








“นายจะรีบนอนไปไหน เออภีม ถ้าไม่อยากถูกฉันนอนกอดก็ขยับไปชิดๆ ริมหน่อย ฉันนอนไม่ได้ ไม่งั้นฉันคงได้ลงไปนอนบนพื้นจริงๆ แน่”







“อืม รู้ละ”







ภพตะวันหลับไปแล้ว และหลังจากนั้นอีกเพียงไม่นานกันต์ธรก็ปิดไฟแล้วลงไปนอนบนเตียงตามเพื่อนรัก และคืนนี้ ภพตะวันก็ยังคงนอนกลางเตียงอยู่เช่นเคย













“ภีม…บอกให้ไปนอนติดๆ ริมไง ฉันจะนอนยังไงเนี่ย ภีม”







ชายผิวขาวตัวสูงถูกเขย่าร่างอยู่หลายที แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาสนใจคำพูดของกันต์ธรเลยสักนิด และนั่นดีแล้วสำหรับกันต์ธร เพราะวันนี้เขามีสิ่งหนึ่งที่อยากทำเป็นพิเศษ








กันต์ธรคร่อมตัวลงบนตัวภพตะวันเช่นทุกวัน แล้วเริ่มทำดังเช่นที่ทำมาทุกวัน แต่วันนี้ ทุกอย่างกลับไม่ได้หยุดลงเพียงแค่ที่ผ่านมา เด็กหนุ่มเจ้าของเตียงค่อยๆ สอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดสีขาวของภพตะวัน ลูบไล้ไปตามหน้าท้องอันแบนราบแล้วค่อยๆ ลากขึ้นบนเรื่อยๆ จนหยุดตรงยอดอกที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นิ้วหัวแม่โป้งและนิ้วชี้สะกิดและบิดเขี่ยบริเวณนั้นไปมาพร้อมลมหายใจที่เข้าออกอย่างรุนแรง ส่งผลให้คนที่แกล้งนอนหลับต้องลืมตาฝ่าความมืดขึ้นมาแล้วดึงมือกันต์ธรออก















“นายทำอะไรน่ะธร! ?!”















“ภีม!!!”









กันต์ธรที่กำลังเคลิบเคลิ้มและหลงลืมตน ตกใจอย่างหนักที่ภพตะวันรู้สึกตัว เขาเผลอทำสิ่งที่เจ้าตัวก็ไม่ทันนึกคิด หากแต่เป็นความต้องการของจิตใต้สำนึก ที่บงการเขาแทน เจ้าของเตียงเล็กกดไหล่ของภพตะวันเอาไว้แล้วประกบปากของตนลงไป และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาส่งลิ้นร้อนเข้าไปทักทายกับลิ้นของภพตะวันในโพรงปากนั้น ในขณะที่อีกฝ่ายมีสติ















“อื้อ!!!”










เสียงเอ่ยห้ามที่ถูกสกัดกั้นรวมทั้งร่างกายที่ดิ้นไปมา ไม่สามารถหยุดลิ้นร้อนของกันต์ธรได้ เขายังคงกวาดต้อนลิ้นของภพตะวันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งยังพยายามดูดกลืนความหอมหวานทั้งหมดนั้นอย่างตะกละตะกลาม










“อืม…”








จูบเสียงดังยังคงมีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนคนถูกชักนำเริ่มนิ่งงันลงและหลงเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบอันเผ็ดร้อนของกันต์ธร เจ้าของห้องที่รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากยอมผละออกเมื่อภพตะวันนิ่งไป เด็กหนุ่มผู้ถูกจู่โจมลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสสุดวาบหวามใจได้หายไป กันต์ธรมองดวงตาคู่นั้นของคนใต้ร่างอย่างนิ่งงันแล้วเอ่ยแผ่วเบา










“...ขอโทษ”






“บ้าไปแล้วเหรอธร นายจูบฉันทำไม”






“ฉันอยากลอง…วันนี้มีคนเอาวีดีอมาให้ฉันดู”






“นายเลยมาลองกันฉันเนี่ยนะ”






“อือ รู้สึกดีอย่างที่คิดไว้เลย นายล่ะภีม รู้สึกดีไหม?”






“ฉ…ฉันไม่รู้”






“ฉันว่านายก็รู้สึกดีนะ ฉันขอลองอีกหน่อยได้ป่ะ”






“แบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอธร”






“นายจะกลัวอะไร เราเป็นเพื่อนกัน โตมาด้วยกัน ทำแบบนี้ก็รู้สึกดีด้วยกันไม่ใช่เหรอ”






“ของแบบนี้มันต้องเก็บไว้ทำกับแฟนนะ”






“ก็รอนายมีแฟนก่อนค่อยไปทำกับแฟนดิ ตอนนี้ก็ทำกับฉันไปก่อน ไม่เห็นจะเสียหายอะไร”














กันต์ธรที่ให้เหตุผลไปลอบมองใบหน้าของภพตะวันในความมืดอยู่สักพัก ก็เห็นว่าฝั่งนั้นไม่ได้ว่าอะไร จึงได้โน้มหน้าลงประกบจูบอีกครั้ง และคราวนี้ภพตะวันก็ยินยอมแต่โดยดี ซ้ำยังลองส่งลิ้นของตัวเองเข้ามาในโพรงปากของกันต์ธรด้วยเช่นกัน








ยิ่งลึกล้ำอารมณ์ของเด็กหนุ่มทั้งสองยิ่งรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดกันต์ธรนั้น รู้สึกสุขสมเป็นอย่างมากกับการได้จูบแบบดูดดื่มเช่นนี้กับภพตะวัน


















“อืม”








ทั้งละมุนและหอมหวาน สัมผัสทางกายที่ให้ความรู้สึกดีอันเหลือล้น ทำให้เขาทั้งคู่ไม่อาจหยุดยั้งการทำสิ่งนี้ต่อกันได้ และคล้ายกับว่าเริ่มเสพติดจนโหยหากันมากขึ้นทุกวัน



















“รอแปป ฉันเก็บของก่อน”







สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม 6 จำเป็นต้องเดินเรียน และระหว่างเปลี่ยนวิชาเรียน นักเรียนทุกคนจะมีช่วงเวลาเดินเพื่อย้ายห้องประมาณสิบนาทีเศษ กันต์ธรและภพตะวันจะมีตารางเรียนของกันและกันอยู่ในมือ และรู้ว่าหากมีวิชาใดที่เรียนตึกเดียวกัน ไม่คนใดคนหนึ่งก็จะเดินมาหาที่ห้องแล้วเดินไปยังห้องน้ำชายด้วยกันเป็นประจำ
















“อืมมมม”











แฮก แฮก












“วันนี้เดินมาหาฉันเองเลยเหรอภีม?”








“อืม...ฉันอยากทำ”







“ฉันก็เหมือนกัน”









รสจูบแสนเผ็ดร้อนไม่อาจรอคอยได้แม้แต่วินาทีเดียว เด็กหนุ่มสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันในห้องน้ำ ต่างส่งจูบอันร้อนแรงให้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร และจะมีบางวัน ที่ภพตะวันไม่อาจอดรนทนรอกันต์ธรมาตามได้ไหว จึงเป็นเขาเองที่เดินไปจูงมือเพื่อนรักมามอบรสรักให้กันจนกว่าจะพอใจด้วยกันทั้งคู่














“คืนนี้นอนบ้านฉันไหม?”






“เย็นนี้พ่อฉันจะมารับ น่าจะไม่ได้ไปนอนบ้านนานสองสามวัน”






“แล้วฉันจะทำยังไง ฉันจะทนไหวเหรอภีม?”






“ฉันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ถึงได้รีบไปตามนายมานี่ไง”












































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------












หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน (19/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 19-11-2019 21:34:32
โดนพ่อรู้แล้วจับแยกกันหรือเปล่า แต่เหตุผลที่ทำให้เกียจกันจนต้องมาทำร้ายกันนี่คืออะไร
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน (19/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-11-2019 21:39:37
 :pig4:
:3123:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน (19/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 19-11-2019 22:49:55
 :pig4: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน (19/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 19-11-2019 23:20:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน (19/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 20-11-2019 10:05:12
เรื่องราวมันเป็นมายังไงบ้างละนี่ รักกันมากมาก่อน ทำไมปัจจุบันถึงได้กลายไปเป็นแบบนี้ได้ โอ้วววว ความรู้สึกลึกๆในใจจะยอมรับและเปิดเผยมันออกตอนไหน รอจะไม่ไหวแล้วค่ะ สนุกอ่ะสนุก ชอบค่ะ ชอบอีกแล้วง่ะ อยากอ่านต่อ 5555
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน (19/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 20-11-2019 22:12:50
ตัดแบบนี้ มันจะใจร้ายมากเกินไปไหมมมม
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 6 : รอยสัมผัสสุดอ่อนไหว (21/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 21-11-2019 07:36:21
บทที่ 6 : รอยสัมผัสสุดอ่อนไหว




























"ภีม ขอลอกการบ้านหน่อย"









"..."











ภพตะวันเดินเข้าห้องเรียนมาในตอนเช้า วันนี้เขามาเช้ากว่าทุกวัน เนื่องจากบิดาของเขามาส่งเอง และเขาไม่ได้ไปนอนบ้านของกันต์ธรมาร่วมสัปดาห์แล้ว รวมทั้งกันต์ธรที่ถูกวินาวินดึงตัวเข้าร่วมกิจกรรมของห้อง ทำให้ภพตะวันแทบไม่ได้เห็นหน้าหรือทำเรื่องบางเรื่องที่พวกเขาทำกันเป็นประจำเลย เจ้าตัวจึงได้เดินหน้าหยิกเข้าห้องเรียนมาแต่เช้า ด้วยเมื่อคืนนอนไม่หลับ เพราะเอาแต่คิดถึงใบหน้าของกันต์ธร และเมื่อมาถึงห้องเรียนก็เป็นเช่นทุกวันที่ปราณจะขอลอกการบ้าน











ชายหนุ่มตัวสูงผิวขาวหยิบสมุดในกระเป๋าแล้วยื่นให้เพื่อนรักไม่พูดไม่จา และนั่นก็มากพอที่ปราณจะรู้ได้แล้วว่าเพื่อนเขากำลังอารมณ์ไม่ดีสุดๆ

















"ทำหน้าอย่างกับเบื่อโลก"









"อือ"









"ธรมันไม่มาหาอาดิ"









"ธรช่วยวินจัดงานวันครบรอบสถาปนาโรงเรียน"









"นายเลยเหงา? "









"เปล่า! "









"หลอกใครภีม นี่ฉัน...ปราณนะ"









"ฉันรู้ว่านายฉลาด งั้นบอกทีว่าทำไงให้หาย? "









"...ฮึฮึ"










ปราณหัวเราะอย่างมีเลศนัยอยู่สองที เขาก็ก้มเปิดกระเป๋าของตัวเองที่ปกติจะว่างเปล่า เพราะสมุดหนังสือทุกอย่างเขาเอายัดใส่ใต้โต๊ะเรียนไว้หมดแล้ว แต่วันนี้ในกระเป๋าเป้ใบนั้นกลับมีหนังสือปกบางเล่มหนึ่ง ถูกปราณหยิบออกมา

















"อะไร? "









"แก้เหงา"









"หะ? "










หนังสือปกขาวถูกภพตะวันกางออก ด้านในปรากฏเป็นภาพหญิงสาวหลายคนนุ่งน้อยห่มน้อยและกระทำบางสิ่งที่ภพตะวันไม่เคยเห็น แต่เขาก็พอเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนี้คืออะไร

















"นายพกของแบบนี้มาโรงเรียนได้ยังไงปราณ เดี๋ยวก็ถูกฝ่ายปกครองเรียกหรอก"









"ก็รู้กันแค่ฉันกับนายไง ถ้าฉันโดนเรียก ก็โทษนายได้เลย"









"ฉันไม่เอาอ่ะ"









"เก็บไว้ภีม รับรองช่วยได้ เวลานายเหงาๆ ขึ้นมา"









"เอาของนายคืนไปเหอะ ฉันไม่อยากได้"









"เห้ยๆๆๆ ไปไปเข้าแถวแล้ว ไม่เอาก็ไม่เอาดิ"









"อือ เก็บไปเลย"










"ภีม ฉันรีบ เหลืออีกหลายข้อยังไม่เสร็จ นายไปเข้าแถวก่อนเลย เดี๋ยวฉันรีบทำนี่แปป"









"อือ รีบตามมาละกัน"










ด้วยความที่ปราณนั้นต้องลอกการบ้านของภีมก่อนออกไปเข้าแถวทุกวัน ทำให้เขาค่อนข้างชำนาญและรู้วิธีหลบหลีกคุณครูฝ่ายปกครองที่จะเดินมาสำรวจความเรียบร้อยเป็นอย่างดี ภพตะวันเดินออกไปก่อนแล้ว และปล่อยให้เซียนนักลอกเริ่มลงมือเขียนสมุดของตนเองต่อ

















หลังเข้าแถวเคารพธงชาติเรียบร้อย ภพตะวันก็เข้าเรียนตามปกติ และวันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันหนึ่งที่หลังเลิกเรียนแล้ว กันต์ธรก็ตรงดิ่งไปทำกิจกรรมกับวินาวินทันที


























เด็กหนุ่มตัวสูงนั่งรอบิดามารับตรงจุดเดิมที่เขามารอทุกวัน แต่วันนี้เขานั่งรอบิดาเกือบสองชั่วโมงจนท้องฟ้ามืดลงไปแล้ว บิดาเขาก็ยังไม่มารับ ไม่ว่าจะพยายามโทรหาอย่างไร ก็ไม่มีใครรับสายเช่นกัน










"ภีม? "










"...ธร"










"ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก? "
















อึก









เมื่อถูกคนที่เขาไม่ได้พบหน้ามาร่วมอาทิตย์ถามเข้าอย่างนั้น น้ำตาหยดแรกก็ร่วงลงมาทันที หลายครั้งที่ภพตะวันถูกบิดาทิ้งไว้จนค่ำมืดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่เขาเรียนประถมก็เช่นกัน ระยะทางสิบกิโลเมตรกับเด็กชายประถมที่ต้องอดทนเดินกลับบ้านทั้งน้ำตา ความเจ็บปวดอันฝังใจ รอยแผลที่หากถูกคนใกล้ชิดสะกิดเอาเพียงนิดเดียว น้ำตาแห่งความเจ็บปวดก็พร้อมหลั่งรินออกมาได้ทุกเมื่อ












"ลุงเตี๋ยวยังไม่มารับเหรอ? "









"อือ"









"ไปรอบ้านฉันไหม ฉันกำลังจะเดินกลับ"









"ไม่ล่ะ ฉันรอตรงนี้แหละ"











กันต์ธรที่พักผ่อนน้อยมาหลายวันมีใบหน้าและร่างกายที่ซูบผอมกว่าเก่า แต่ภพตะวันก็ไม่ทันได้สังเกต ด้วยบริเวณนั้นมืดลงแล้ว และมีเพียงไฟสลัวริมถนนสาดมาเท่านั้น เด็กหนุ่มผู้ถูกเพื่อนข้างๆ ชักจูงเข้าช่วยงานใหญ่ของโรงเรียนที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้นอกจากจะพักผ่อนน้อยแล้ว ยังต้องกลับบ้านดึกแทบทุกวันอีกด้วย


















"ไปเหอะ ไปรอบ้านฉัน"











กันต์ธรโค้งตัวลงคว้ามือของภพตะวันมากุมไว้ แต่ก็ถูกมือนุ่มอันคุ้นชินนั้นสะบัดทิ้ง เขาไม่เข้าใจว่าภพตะวันเป็นอะไร แต่ก็พอรู้ว่าบัดนี้เพื่อนรักกำลังเศร้าและน้อยใจบิดาเป็นอย่างมาก กันต์ธรจึงเอื้อมมือไปคว้ามือของภพตะวันไว้อีกครั้ง และคราวนี้แม้ภพตะวันจะพยายามสะบัดออก ก็ไม่สามารถหลุดจากการเกาะกุมได้ เพราะกันต์ธรจับไว้แน่นยิ่งกว่าคีมล็อก


















"นายเป็นอะไรภีม? "









"ปล่อยมือฉัน"










"ฉันจับมือนายมา 5 ปี และฉันจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หรอก! "










"ฉันไม่ไปกับนาย! "









"ฉันก็อยากบอกนายเหมือนกัน ว่าฉันไม่อยากจูบนายโชว์คนแถวนี้สักเท่าไหร่หรอก แต่ถ้านายไม่ยอมลุกขึ้นมาดีดี ฉันทำแน่"









"ธร! "












"ฉันต้องการนายขนาดไหน ไม่รู้เลยเหรอ"









"ไม่ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น"












"1"










"ฉันไม่ไปกับนายหรอก"










"2"











"ฉ...ฉัน"











"3"











กันต์ธรโน้มตัวลงไปแล้ว และทันใดนั้นภพตะวันก็ดีดตัวขึ้นมาได้ทัน และสุดท้าย เขาก็ต้องยอมเดินกลับบ้านกับกันต์ธรจนได้ แม้ทางเดินกลับบ้านจะมืดมิดเพียงใด แต่มือที่จับจูงกันอยู่นั้น ก็เรียกความอบอุ่นและปลอดภัยให้เด็กหนุ่มทั้งสองต้องสัมผัสความรู้สึกเดียวกันได้ ระยะทางที่ใช้เวลาสิบถึงสิบห้านาที ดูใกล้ไปถนัดตา เมื่อพวกเขาได้เดินเคียงข้างกัน


















"ปล่อยได้แล้วธร เดี๋ยวพ่อนายมาเห็นนายจับมือผู้ชายนะ"









"พ่อไม่อยู่อ่ะ"


















ปึง!












"อื้อ! "










ประตูบ้านถูกปิดลงดังลั่นและกันต์ธรกดไหล่ภพตะวันติดกับประตูก่อนโน้มใบหน้าลงมากะทันหัน แต่สองแขนของชายตัวสูงก็ดันกันต์ธรเอาไว้ได้ทัน



















"นายจะทำอะไรธร!?! "










"ขอจูบหน่อยนะ"










"นายจะบ้ารึไง! นี่หน้าบ้านนะ"









"ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่มีใครอยู่"









"ไม่ ห้ามทำนะ ถ้าไม่ใช่ห้องนอนนาย ฉันไม่ทำด้วยหรอก"









"ทำไมล่ะภีม ฉันทนมาตั้งหลายวัน นายไม่คิดถึงฉันบ้างเลยเหรอ? "










"ไม่! ปล่อย! "











กันต์ธรคลายมือออกจากไหล่ด้วยแววตาสุดเสียดาย ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน ทำให้ความเข้าใจกันระหว่างคนสองคนเริ่มหดหายไป โดยเฉพาะความรู้สึกของชายร่างสูงในตอนนี้ที่กันต์ธรไม่อาจอ่านใจได้เลย ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น เจ้าของบ้านเพียงเดินเข้าไปในครัวแล้วเริ่มลงมือทำอาหารเย็นอย่างง่าย โดยที่ภพตะวันยิ่งนิ่งอยู่ที่เดิมสักพักก็เดินเข้าไปช่วยเพื่อนในห้องครัว


















"ทำอะไรกินอ่ะ? "









"ไข่เจียว"










กันต์ธรยังคงพยายามเค้นสมองคิดว่าเขาได้ทำอะไรที่ไม่ถูกใจเพื่อนไปแน่ๆ และเมื่อเจ้าตัวเผลอจมกับความคิดของตนเองเช่นนั้น จึงได้เริ่มเข้าสู่โลกภายในของตัวเอง ภพตะวันที่เห็นท่าทีของเจ้าของบ้านเปลี่ยนไปก็เริ่มถามหนักขึ้นเรื่อยๆ


















"ข้าวล่ะ? "









"ในตู้เย็น มีที่หุงไว้แล้วเหลืออยู่"









"อือ"











คนทอดไข่ยังคงนิ่งคิด จนไข่เจียวหอมฉุยสุกและถูกจัดขึ้นโต๊ะ เด็กหนุ่มทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันมากมายนัก เพียงรับประทานมื้อเย็นแสนอร่อยตรงหน้าอย่างเงียบเชียบเท่านั้น และเมื่อทุกอย่างเกลี้ยงจนหมดภพตะวันก็รับหน้าที่ในการล้างจานและเก็บกวาด



















"ฉันขึ้นไปทำการบ้านก่อนนะ"









"อือ วิชาไรอ่ะ? "









"ฟิสิกส์"









"อือ ฝากหิ้วกระเป๋าฉันขึ้นไปด้วย"









"อืม"









"นายจะลอกฉันก็ได้นะ เราน่าจะเรียนกับครูคนเดียวกัน"









"ฉันจะลองทำเองดูก่อนแล้วกัน"











กันต์ธรเอ่ยไว้เพียงเท่านั้นแล้วเดินกลับขึ้นห้องนอนส่วนตัวของเขาไป เตียงนอนสามฟุตที่กว้างเกินไปเมื่อไม่มีภพตะวันในอ้อมกอด กันต์ธรพยายามบอกให้เขาเข้าใจ แต่ดูท่าว่า นอกจากภพตะวันที่ไม่เข้าใจแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน ว่าทำไมเขาจึงต้องการนอนกอดภพตะวันมากมายนัก มากกว่าที่อยากกอดเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงหรือวินาวินก็ตาม











เจ้าของบ้านจัดการอาบน้ำและเริ่มลงมือทำการบ้านโดยที่ไม่คิดเรื่องของใครบางคนอีก จนกระทั่งแขกผู้มาเยือนเก็บกวาดทุกอย่างด้านล่างจนเสร็จสิ้นหมดทุกอย่าง จึงได้เดินขึ้นมาในห้องนอนที่เขามาบ่อยเสียอย่างกับเป็นบ้านหลังที่สอง


















แอด...

















"ธร นายทำอะไร? "









"ก็ฉันคิดไม่ออก นายบอกว่าลอกนายได้"









"แล้วนั่นสมุดอะไร? "











ภพตะวันเปิดประตูห้องเข้ามาด้านในและพบว่าบัดนี้กระเป๋าของเขาถูกเปิดค้นโดยเจ้าของห้อง และสมุดเล่มหนึ่งที่เจ้าของกระเป๋าจำได้ว่าไม่ใช่ของเขาอย่างแน่นอน ก็เปิดกางอยู่ในมือของกันต์ธร เจ้าตัวพยายามพับสมุดเล่มนั้นลง โดยใช้นิ้วชี้คั่นหน้าที่พึ่งอ่านไปเมื่อครู่ไว้




















"ฉันเจอในกระเป๋านาย แฮก แฮก"









"นายเป็นอะไร? "









"ฉัน ฉัน..."











แขกผู้มาเยือนคว้าดึงสมุดในมือกันต์ธรมาเปิดดู และพบว่านั่นคือเล่มเดียวกับที่ปราณเพื่อนสนิทเขาให้ไว้เมื่อตอนเช้า แต่เมื่อเช้าเขาเอาคืนปราณไปแล้ว ทำไมมันจึงมาอยู่ในกระเป๋าของเขาได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยทั้งๆ ที่เปิดกระเป๋าอยู่ทั้งวันที่โรงเรียน















อึก









"นายมีหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอภีม? "










เด็กหนุ่มหน้าขาวกับแว่นตาดำมีสีหน้าแดงก่ำ รวมทั้งมือสองข้างและใบหูที่ขึ้นสีแดงระเรื่อให้สังเกตเห็นได้ชัด ภพตะวันไม่กล้ามองใบหน้านั้นของกันต์ธรตรงๆ เพราะนั่นเริ่มทำให้เขามือไม้สั่นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน


















"ปราณมันแกล้งฉัน เอามาใส่ไว้อาดิ"









"ฉันขอยืมหน่อยได้ป่ะ"









"อะไร! นายชอบดูภาพลามกแบบนี้ด้วยเหรอ? "









"ฉันจะสิบแปดแล้วนะภีม ยังไม่เคยลองสัมผัสผู้หญิงตัวเป็นๆ เลย"









"นายคิดว่าฉันเคยรึไง"









"แล้วนายไม่อยากลองเหรอ? "









"ฉัน..."









"ฉันรู้ว่านายก็แอบทำเหมือนกัน จะอายทำไม ยังไงเราก็เพื่อนกันอยู่แล้ว"









"ฉันไม่ได้อาย แล้วทำไมนายต้องมารู้เรื่องอะไรของฉันด้วยล่ะ? "











"งั้นถ้าไม่อาย ก็ถอดดิ"









"หะ? "









"ฉันอยากเห็น"









"เห็นอะไร ฉันก็เป็นผู้ชายเหมือนนายนะธร"









"ก็นายไม่ให้ฉันยืมไอ้เล่มนั้น ฉันก็ขอดูนายแทนแล้วกัน...ได้ไหมล่ะ? "









"งั้นเอาไปเลย เอาไปคืนไอ้ปราณมันด้วย"











ภพตะวันที่เริ่มมีใบหน้าขึ้นสี เหลือบมองไปทางอื่นตลอดเวลา จากนั้นก็ยื่นของในมือให้เพื่อนเขาไป เพื่อจัดการกับบางส่วนใต้ร่มผ้าที่เริ่มขยับขยายดันกางเกงบอลออกมาให้เริ่มจับสังเกตได้แล้ว

















วืด...















กันต์ธรไม่ได้เอื้อมมือไปหยิบหนังสือ แต่เขาคว้าข้อมือของภพตะวันเอาไว้แล้วดึงให้เพื่อนรักที่แสนคิดถึง ให้ล้มตัวลงนั่งบนตักเขา จากนั้นก็ประกบปากลงไปกับวงปากแดงหวานฉ่ำที่แสนคิดถึง โดยที่มือก็เริ่มแตะต้องยังส่วนแข็งร้อนภายใต้กางเกงของตนไปด้วย

























**********เซนเซอร์******ค่ำคืนอันหวานฉ่ำ************




































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:










ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ bun , คุณ AkuaPink ,  คุณ Chompoo reangkarn
คุณ cavalli  , คุณ blove  และคุณ smmikie  ด้วยนะคะ


 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4:


มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^ ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งค่าทุกท่าน  :pig4: :call:








 :กอด1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 7 : เปิดใจ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 22-11-2019 08:27:07
บทที่ 7 : เปิดใจ




















‘…หวานละมุนดุจดั่งสายไหมสีชมพูอ่อน’







คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุด สำหรับคู่เพื่อนรักเช่นภพตะวันและกันต์ธรในขณะนี้ หลังจากวันวานอันหวานฉ่ำ ทั้งคู่ก็แทบไม่ห่างกันอีกเลย จะมีเพียงช่วงเวลาเรียนเท่านั้นที่พวกเขาจำใจต้องแยกกัน









สองหนุ่มนัดกันมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อทานอาหารเช้าร่วมกันที่โรงอาหาร ก่อนแยกกันไปเข้าแถว จากนั้นกลางวัน กันต์ธรก็จะเดินไปหาภพตะวันที่ห้องแล้วพากันไปนั่งกินข้าวสองคนในมุมเดิมทุกวัน และเมื่อตกเย็นที่กันต์ธรต้องไปช่วยงานกิจกรรมโรงเรียนต่อ เขาก็จะเดินไปหาภพตะวันก่อน แล้วจูงมือกันไปยังที่ที่กันต์ธรต้องช่วยงานเพื่อนร่วมชั้น









“นั่งทำการบ้านตรงนี้นายมีสมาธิไหมภีม?”







“ฉันทำได้”







“อืม ขอบใจนะที่มานั่งเป็นเพื่อนฉัน อีกไม่กี่วันก็จบแล้วล่ะ”







“นายมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกละกัน”







“มีแน่ วันนี้นายโทรบอกลุงเตี๋ยวรึยัง?”







“บอกแล้ว ฉันให้พ่อมารับสองทุ่มที่หน้าโรงเรียน”







“อือ งั้นนายทำการบ้านไป ฉันไปช่วยวินก่อน”










กันต์ธรส่งยิ้มละมุนให้ชายตัวสูงหนึ่งที ก่อนเดินไปนั่งลงบนพื้นซีเมนต์ที่เต็มไปด้วยกองเศษกระดาษหลากสี งานวันนี้ของกันต์ธรคือเขาต้องนั่งตัดกระดาษตามลายต่างๆ ที่ถูกร่างไว้ แล้วทากาวติดกันเป็นช่อใหญ่ๆ เพื่อนำไปประดับยังซุ้มหน้าโรงเรียน โดยข้างๆ มีวินาวินและเลี้ยงที่ทำงานคล้ายๆ กันอยู่ก่อนหน้า










เพื่อนรักอีกสองคนที่แทบไม่ได้คุยกับกันต์ธรมาหลายวัน ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องลับๆ ของสองหนุ่ม แม้จะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันและค่อนข้างรู้ลึก แต่ก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันต์ธรแต่อย่างใด โดยเฉพาะวินาวิน ที่แม้บ้านจะใกล้กับกันต์ธร แต่ก็ยังไม่ยอมเดินกลับบ้านพร้อมเขาสักทีแม้จะผ่านมายาวนานถึงหกปีแล้วก็ตาม












“ธร ถ้าทำส่วนของนายเสร็จแล้วมาแบ่งของฉันไปหน่อยนะ วันนี้อาโปไม่ค่อยสบายฉันต้องกลับไวหน่อย”







“ได้ดิ แล้วอาโปเป็นไรมากป่ะ”









กันต์ธรที่ได้ฟังดังนั้นก็หันหน้าไปมองอาโป น้องชายของเลี้ยงที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปจากภพตะวัน เด็กชายนั่งนิ่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะอาการน่าเป็นห่วง









“เป็นไข้มาสองสามวันแล้ว เมื่อกี้พึ่งกินยาไปฉันเลยให้นั่งรอตรงนั้น”







“เลี้ยงกลับเลยก็ได้นะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันทำเอง”







“ไหวเหรอธร เดี๋ยวจะไม่ทันวันงานเอานะ”







“เดี๋ยวให้ภีมมาช่วยก็ได้ เลี้ยงพาอาโปกลับไปนอนเหอะ”







“เอาจริงดิ นายกล้าให้ภีมช่วยเหรอ”







“ทำไมล่ะ?”







“ก็เห็นนายคอยเอาใจเขาตลอด จะกล้าใช้เขาเหรอ”







“กล้าดิ ฉันกับภีมเป็นเพื่อนกัน เอาใจอะไร ไม่มีหรอก”







“เพื่อน?”







“อือ”







“ฉันเห็นพวกนายจูงมือกันไปห้องน้ำทุกวัน วันละสามเวลา เพื่อนแบบไหนธร?”







“เพื่อนจริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”







“แล้วภีมคิดว่านายเป็นแค่เพื่อนป่ะ?”







“แหงสิ จะลองไปถามเขาก็ได้นะ”







“อืมๆ เพื่อนก็เพื่อน ถ้านายกล้าวานเขาก็ลองดู งั้นฉันพาอาโปกลับก่อนแล้วนะ”







“ให้ฉันเดินไปส่งไหม ดูท่าทางอาโปไม่ค่อยดีเลย”







“น่าจะไหวอยู่ อาจง่วงเพราะพึ่งกินยาไป”









ว่าแล้ว เลี้ยงก็ลุกขึ้นไปเก็บกระเป๋าแล้วเดินไปประคองน้องชายให้ลุกเดิน ด้านกันต์ธรก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขาบอกกับวินาวินว่าจะไปตามภพตะวันให้มาช่วย แต่จะขอไปซื้อขนมมากินก่อน จากนั้นก็จูงมือภพตะวันหายลับไปในความมืด ตามหลังเลี้ยงและน้องชายไปในทางเดียวกัน


















“การบ้านเสร็จรึยังภีม?”







“เสร็จแล้ว…เลี้ยงกลับแล้วเหรอ”







“อือ อาโปไม่ค่อยสบาย ฉันเลยให้กลับก่อน ถ้านายยังไม่ได้ทำอะไร มาช่วยทำส่วนของเลี้ยงหน่อยได้ป่าว”







“ได้ดิ จะให้ฉันช่วยแล้วพาฉันมานี่ทำไมธร?”










ภพตะวันและกันต์ธรเดินเลียบไปตามถนนในโรงเรียนที่มีเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟทรงสูงตามข้างทาง เส้นทางที่จะนำพวกเขาไปยังลานกว้างที่มีรถเข็นขายของกินมากมายให้เลือกซื้อ กันต์ธรจะหาช่วงเวลาพัก เดินมาหาอะไรกินแถวนี้เป็นประจำ














“ฉันหิวนี่”







“แต่ถ้านายไม่รีบให้ฉันไปช่วย เดี๋ยวสองทุ่มพ่อฉันจะมารับแล้วนะ”







“ฉันขอซื้อแปปเดียวเอง นี่ทุ่มกว่าอยู่ ให้นายช่วยสักแปปก็พอแล้ว”











เมื่อเดินมาถึงตลาดนัดขนาดย่อม กันต์ธรก็ซื้อลูกชิ้นปิ้งสองไม้ราดน้ำจิ้มมาเรียบร้อย เขาพยายามแบ่งให้ภพตะวันกินด้วยกัน แต่ทางนั้นมีท่าทีอยากรีบไปช่วยงานเขาเสียมากกว่าอยากกินลูกชิ้นในมือ















“ภีม”







“หะ?”







“ฉันขอ 10 นาที”








“เดี๋ยวฉันช่วยงานไม่ทันนะ”







“ทันสิ เชื่อฉัน”










ให้ความมั่นใจเพื่อนรักไปอย่างนั้น มือของกันต์ธรก็คว้ามือภพตะวันไปประสานไว้แล้วนำเขาไปยังห้องน้ำใกล้ๆ กับลานสำหรับช่วยงานกิจกรรมโรงเรียนทันที









ลูกชิ้นสองไม้ถูกวางไว้บนอ่างล้างหน้าใกล้ๆ นั้น ก่อนที่ภพตะวันจะถูกกันต์ธรกระชากเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูลงกลอน









“อือออ ธร!”








ร่างของภพตะวันถูกกดเข้ากับผนังด้านหนึ่ง แล้วตามมาด้วยจมูกและปากของกันต์ธรที่ประทับลงบริเวณต้นคอ ไล่เลียและสูดดมหนักๆ ด้วยลมหายใจเข้าออกที่รุนแรง
















“ภีม..”









“อื้อ!”









นิ้วมือทั้งคู่สอดประสานกันอีกครั้ง รวมทั้งปากเล็กๆ นั้นที่ครอบเข้าหากันอย่างดุเดือด แม้รสจูบนี้จะถูกมอบให้กันวันละ 3-4 ครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้การสัมผัสครั้งถัดไป ลดความกระหายของอารมณ์เขาทั้งคู่ลงได้เลย















“แฮก เมื่อไหร่จะมานอนบ้านฉันสักที”







“ช่วงนี้ฉันกลับดึก พ่อเลยมารับได้ทุกวัน”







“งั้นถ้างานโรงเรียนจบ นายก็มานอนบ้านฉันได้แล้วใช่ป่ะ”







“อือ”







“ปิดเทอมมาอยู่กับฉันเลยได้ไหม”







“นายไม่ไปติวสอบเข้ามหาลัยเหรอธร?”







“ฉันอยากให้นายติวให้มากกว่า”









ประโยคสนทนาสุดธรรมดา กลับไม่ธรรมดาสำหรับเด็กหนุ่มที่ทาบทาบกันอยู่ในขณะนี้ เพราะทุกครั้งที่กันต์ธรถามเสร็จ เขาจะไม่เพียงรอให้ภพตะวันตอบ แต่จะมอบจูบแสนนุ่มนวล ประทับลงไปบนแก้มใส ปลายจมูก หน้าผากมน รวมไปถึงแตะแผ่วเบาครั้งแล้วครั้งเล่าไปบนปากสีแดงที่เขาหลงใหลนั้นด้วย














“แต่ฉันต้องไปติวนะธร”







“งั้นฉันไปด้วย”







“อืมม…”









กันต์ธรยังคงวนเวียนอยู่กับใบหน้าแสนงดงามนั้นไม่หยุด เขาสอดแขนเข้าไปด้านหลังของภพตะวันแล้วประคองร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอดแล้วกดหน้าหลงกับเสื้อนักเรียนที่หอมฉุยไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยที่มือทั้งสองข้างก็ลูบวนไปตามแผ่นหลังของภพตะวัน















“ธร…”







“นายไปไหน ฉันก็จะไปด้วย”








“ฉันก็อยากให้นายอยู่กับฉันตลอดเหมือนกัน แต่พวกเราเล่นทำแบบนี้กันวันละสามสี่ครั้งเลยนะ ฉันกลัวมีคนจับได้”







“ไม่เห็นเป็นไร ยังไงเราก็เพื่อนกัน”







“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ฉันจะมีแฟนได้สักทีล่ะ”




















ตึก ตึก…ตึก ตึก







“นายอยากมีแฟนเหรอภีม?”









ประโยคบอกเล่าแสนทั่วไปที่ทำให้หัวใจกันต์ธรเต้นแรงผิดจังหวะ ประโยคที่คล้ายกับบีบหัวใจอันหวานฉ่ำให้หดตัวลงเหมือนถูกกักขังในกล่องขนาดเล็ก ความรู้สึกหงุดหงิดที่ก่อตัวอย่างช้าๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับไม่อาจหยุดมือที่เผลอบีบหัวไหล่ของเพื่อนรักไปได้
















“ธร…ฉันเจ็บ”








“นายอยากมีแฟนเหรอ?”









น้ำเสียงที่อยู่ๆ ก็สั่นเครือปนความนิ่งสงบที่เจ้าตัวพยายามเค้นออกมาจากดวงใจอันถูกบีบรัด














“อือ”







“อยู่กับฉันไม่ดีเหรอ อยู่ด้วยกันแบบนี้”








“ก็อย่างที่นายว่า พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ สักวันทั้งฉันทั้งนาย ก็ต้องมีแฟนแล้วก็แต่งงาน”







“นายจะแต่งงานเหรอภีม?”







“ใช่สิ แบบที่คนทั่วไปเขาทำกัน”













“ฮึฮึ”








เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา ที่กันต์ธรค้นพบบางอย่างในใจ บางอย่างที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา จากคำพูดไม่คิดของภพตะวัน บางอย่างที่แม้แต่ตัวกันต์ธรเองก็ไม่เคยรู้ว่ามีสิงอยู่ในตัวเขา เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าชิดริมหูของภพตะวันแล้วไล่เลียจนฝั่งนั้นเผลอร้องครางออกมา แล้วกระซิบออกไปอย่างใกล้ที่สุด



















“จำใส่สมองของนายไว้นะภีม ปากนาย เป็นของฉัน ใบหน้านาย เป็นของฉัน ร่างกายนาย…เป็นของฉัน ความรู้สึกทั้งหมดของนาย เป็นของฉัน…จะไม่มีใครทำให้นายพอใจได้อีกบนโลกใบนี้ นอกจากฉัน”











“ธร…”








ประโยคที่เปล่งออกมา นิ่งตรงดั่งวาจาสิทธิ์ มันไม่เพียงสะกดคนฟังให้นิ่งค้างไป แต่กลับสะกดคนเอื้อนเอ่ยเอาไว้ด้วย ประโยคที่จมลับหายไปในส่วนลึกของคนทั้งคู่ ประโยคที่กันต์ธรเองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น








ยิ่งจับจองอีกฝ่ายด้วยคำพูดรุนแรงเท่าไหร่ มือทั้งสองก็ลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ ที่เจ้าตัวจับจองเอาไว้มากขึ้นเท่านั้น กันต์ธรบีบขยำก้อนกลมใต้กางเกงสีดำอย่างแรงและไม่ว่าภพตะวันจะพยายามใช้มือดึงสองมือของเพื่อนรักออกอย่างไรก็ไม่เป็นผล
















“ธร พอแล้ว”








“…”








“ธร…ปล่อย!”













“จะห้ามทำไม!?! นายก็ชอบไม่ใช่เหรอ?”










“นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย!”









“พูดความจริงออกมาสิภีม ว่านายชอบขนาดไหน เวลาฉันขยำก้นนาย พูด!!!”









“ธร…ธรใจเย็นๆ ก่อนนะ”










“พูดออกมาภีม พูดออกมา!!!”












“ธร…อึก”








เพื่อนรักที่ภพตะวันใช้ชีวิตอยู่ร่วมมาถึงหกปีเต็ม กับชายที่กำลังล็อกร่างเขาไว้ตอนนี้ ใช่คนเดียวกันจริงหรือ? สีหน้าและแววตาที่เขามองอยู่ตอนนี้ช่างน่าหวาดกลัวอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ภพตะวันที่เริ่มหวาดกลัวชายแปลกหน้าเผลอสะอื้นไห้ออกมาแผ่วเบา















เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร และเขาไม่อยากเสียเพื่อนรักของเขาไปเลย เขาทำอะไรให้กันต์ธรไม่พอใจอย่างนั้นหรือ












“ภีม…”








“…”









“ฉันขอโทษ”












ด้านกันต์ธรที่หน้ามืดไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าภพตะวันเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอออกมาก็กลับมาได้สติอีกครั้ง เขาชะงักค้างไปครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจในตัวเอง แล้วปล่อยร่างที่เขาล็อกเอาไว้ให้เป็นอิสระ
















“ฉันขอโทษนะภีม เมื่อกี้ฉัน…”







“นายอยากรู้จริงๆ เหรอธร”








“ภีม…”







“ฮือออ…”









ร่างที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ โผเข้ากอดกันต์ธรเอาไว้แน่น แล้วซบหน้าลงไปบนอกของชายที่ตัวเตี้ยกว่าเขา สองแขนรัดรอบเอวแล้วร่ำไห้ต่อ ด้านคนต้นเหตุทำได้เพียงกอดตอบแล้วลูบศีรษะมนๆ นั้นอย่างพยายามปลอบประโลม

















“ฉัน…ชอบมากเลย”









“ภีม”










“ฉันอยากอยู่กับนายตลอดเวลา อยากจูบ อยากกอดนายตลอดเวลาเลย…ฮืออ อึก แต่ฉันกลัวธร ฉันกลัว ฉันกลัวจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”










“ภีม…ฉันขอโทษ”









“นายบอกกับฉันว่าเราเป็นเพื่อนกัน นายบอกกับทุกคนว่าเราเป็นเพื่อนกัน แล้วนายไม่กลัวบ้างเหรอ ว่าถ้าวันนึงพวกเรามีแฟนกันขึ้นมาจริงๆ เราจะหยุดทำแบบนี้กันไม่ได้”










“กลัวสิภีม…ฉันก็กลัวเหมือนกัน”









“แค่คิดว่านายมีแฟน ฉันก็อยากหยุดเรื่องนี้เร็วๆ แล้ว”









“ทำไมล่ะ?”









“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันอยากร้องไห้ทุกทีเลย เวลาที่คิดว่านายจะไปทำแบบนี้กับคนอื่น”









“ภีม…ฉันก็เหมือนกัน ฉันหงุดหงิดมาก เวลาที่นายบอกว่าจะมีแฟนแล้วใช่ชีวิตปกติ”










“มันคืออะไรธร บอกฉันที”









“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันภีม ฉันไม่รู้…ไม่มีใครรู้ ฉันแค่อยากอยู่กับนาย ใกล้ๆ นาย อยากกอดนาย อยากจูบนาย อยากทำอะไรลามกๆ กับนายตลอดเวลา แล้วก็อยากให้เวลามันหยุดลงแค่ตรงนี้”









“ฉันก็เหมือนกัน…ธร ฉันอยากหยุดเวลาไว้แค่นี้”










น้ำตาไม่ได้ไหลลงมาจากเพียงภพตะวันฝ่ายเดียวอีกต่อไป ด้านเพื่อนรักเช่นกันต์ธรก็มีน้ำตาที่ไหลรินออกมาเช่นเดียวกัน ช่วงเวลาเพียงสิบนาทีที่กันต์ธรขอไว้ ไม่ได้มีอยู่จริง เด็กหนุ่มทั้งสองที่พึ่งเปิดใจให้กันไปหมาดๆ เพียรส่งรสจูบประทับลงไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพยายามปลอบประโลมกันและกัน และไม่เพียงสิบนาทีแสนสั้นที่ไม่เพียงพอ แม้จะผ่านไปร่วมชั่วโมงแล้ว แต่หน้าผากมนทั้งสองนั้นก็ยังคงสัมผัสเข้าหากันตลอดเวลา จนกันต์ธรต้องเป็นฝ่ายหยุดใจลงก่อนเพื่อกลับไปทำหน้าที่ ที่ค้างไว้ของเขาต่อ















ค่ำคืนนั้น บิดาของภพตะวันมารอที่หน้าโรงเรียนเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม และกันต์ธรเองก็ไม่ได้กลับบ้านตามเวลาที่ควรได้กลับ เนื่องจากเขาต้องทำส่วนที่เหลือของตนเองและส่วนของเลี้ยงที่เขาอาสารับทำ แม้กระนั้น วินาวินที่ทำงานของตัวเองเสร็จก่อนก็ยังไม่ได้รีบกลับบ้านในทันที เขายังคงอยู่ช่วงกันต์ธรจนเสร็จงานทุกส่วนลง และวันนั้นเอง ที่วินาวินได้เดินกลับบ้านพร้อมกับกันต์ธรเป็นครั้งแรก





















“ทะเลาะกับภีมเหรอ?”








“หืม?”








“เมื่อกี้เห็นพวกนายตาแดง เหมือนร้องไห้มา”









“อือ เข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ”









“แต่ก็ดีกันแล้วใช่ป่ะ”








“น่าจะดีแล้วนะ”








“งั้นก็ดี”
















“วิน”







“ว่าไง?”








“นายเคยมีแฟนป่ะ”








“ถามทำไม?”









“ฉันแค่อยากรู้ว่าเป็นแฟนเนี่ย ต้องรู้สึกยังไง”









“แล้วนายรู้สึกยังไงกับภีมล่ะ”









“หืม…ฉันกับภีมเป็นเพื่อนกัน”









“เหรอ…งั้นก็ลองฟังแล้วคิดตามดู ว่านายรู้สึกกับภีมแค่เพื่อนหรืออยากได้เขาเป็นแฟน ถ้าถามฉันว่าเป็นแฟนต้องรู้สึกยังไง ก็คง…ต้องหวงตลอดเวลา หวงหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งรอยยิ้ม”










“อันนั้นเกินไปหน่อยมั้งวิน”









“นายเคยสังเกตใจตัวเองเวลาคนที่นายชอบยิ้มให้คนอื่นไหมล่ะ ถ้าจุกๆ ในใจขึ้นมา ก็นั่นแหละ หวง”









“แล้วไงต่อ”











“…ก็ต้องอยากเห็นหน้าเขาตลอดเวลา อยากเห็นเขายิ้มมากกว่าร้องไห้ อยากซื้อของดีๆ ให้เขากิน แลกได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความสุขสบายของนาย เพื่อให้เขามีความสุข แล้วก็ นายจะรู้สึกอยากให้โลกทั้งใบ มันมีแค่นายกับเขา ตลอดไป”










“แบบนี้คือความรักเหรอ?”









“ส่วนมากก็ใช่ จริงๆ ก็แล้วแต่คนด้วย”








“แล้วนายว่า…ฉันกับภีม?”










“หมาหน้าโรงเรียนยังดูออกเลยธร ว่าพวกนายคบกันอยู่ คนปกติที่ไหนเดินจูงมือกันเข้าห้องน้ำวันละสามสี่รอบ เลิกเรียนก็ไม่ยอมกลับบ้าน มานั่งทำการบ้านเฝ้านายตลอด แถมยังมีตารางสอนของอีกฝ่ายพกติดตัวตลอดเวลาอีก?”











“ฉันต้องขอภีมเป็นแฟนไหม?”







“นายนี่มัน โคตรซื่อบื้อเลยว่ะ”








“ก็ฉันไม่รู้ว่าภีมคิดยังไง”








“ถามตรงๆ เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เขาเคยอ้อนนายไหม?”








“อ้อน? ยังไง?”









“แบบอยู่ๆ ก็เข้ามากอด เข้ามาหอม ซื้อของที่นายชอบมาให้กิน อะไรแบบเนี้ย”









“ก็…มีนะ”








“ลองคิดดู ว่าที่ผ่านๆ มาเขาทำอะไรให้นายบ้าง อะไรที่แบบ ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบ แต่เขาก็ยอมทำเพื่อนาย ประมาณนั้น”









“…”









“ฉันไปล่ะ บ้านฉันแยกไปทางนี้”








“อาหะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะวิน”















“อือ…จะทำอะไรก็รีบทำนะธร เดี๋ยวก็เข้ามหาลัยละ อย่างนายคงตามภีมไปได้ไม่ไกลหรอก ยิ่งโง่ๆ อยู่”








“ขอบใจที่ชม เหอะๆ”


























































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------



















:L1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 7 : เปิดใจ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-11-2019 14:16:45
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 7 : เปิดใจ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-11-2019 15:27:47
ช่วงสับสน ต่างคนต่างก็งงๆของความรู้สึกในความสัมพันธ์ ก็นะ ป๊อบปี้เลิฟ 555 แต่ธรก็รู้ตัวแล้ว จะยังไงต่อละเนี้ย รอตอนต่อไปเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 8 : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี (23/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 23-11-2019 09:46:11
บทที่ 8 : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี
















หลังจบงานสถาปนาของโรงเรียนไปได้ไม่นาน ก็ถึงฤดูกาลสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ต้องเริ่มวางแผนเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น เช่นเดียวกันกับภพตะวันและกันต์ธรที่ได้ทำการตกลงกันอย่างลับๆ ว่า จะสอบเข้ามหาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน แล้วจากนั้นก็จะย้ายออกไปอยู่ด้วยกันดังใจปรารถนา








และเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการได้ กันต์ธรจำเป็นต้องเรียนพิเศษกับคนรัก? ที่ยังไม่ได้มีการตกลงกันแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สามารถสอบเข้าที่เดียวกับภพตะวันได้เป็นแน่








ด้วยความที่ว่า การเรียนไม่ใช่สิ่งที่กันต์ธรถนัดมากนัก เขาจึงต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการสู้กับใจตนเอง แต่ก็ถือว่ายังโชคดีมาก ที่ตลอดระยะเวลาที่เขาเรียนพิเศษนี้ ภพตะวันจะมาค้างบ้านเขาเพื่อสะดวกในการไปเรียนพิเศษตลอดสามเดือน















“ธร..”






“หืม?”






“พอแล้ว”






“ทำไมล่ะ”






“ฉันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง”








กันต์ธรที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งนุ่มนิ่มบนพื้น มีร่างของภพตะวันนั่งทับอยู่ โดยที่เด็กหนุ่มกางหนังสือวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก แล้วพยายามดึงสมาธิให้จดจ่อกับบทเรียนตรงหน้า แม้ว่ารอบเอวจะมีแขนของกันต์ธรโอบรอบอยู่ก็ตาม







ปากและจมูกนั้นของเจ้าของห้อง กดลงทุกส่วนที่ลากผ่านได้ ทั้งมือก็ลูบไล้ไปมาบริเวณต้นขาเนียนนุ่มที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวบางเกือบชิดขาหนีบ













จุ๊บ!







“ธร…”






“หืม?”






“หยุดลูบก่อนได้ไหม อืออ”






“ยังไม่จบบทเลย ภีมจะอ่านให้ฟังไม่ใช่เหรอ”






“อืม หยุดลูบฉันก่อนนะ”










ว่าแล้วมือของภพตะวันก็หยุดมือของคนด้านล่างเอาไว้ได้สำเร็จตรงบริเวณขอบกางเกงตัวน้อยนั้น กันต์ธรวางคางลงบนไหล่ของเพื่อนรัก แล้วตั้งใจฟังภพตะวันอ่านบทเรียนวิชาสังคมศึกษาอย่างตั้งใจ?












“ธร…”






“หืม?”






“พ…พอ พอแล้ว อืออ”









กันต์ธรที่คล้ายกับจะยอมหยุดไปเมื่อครู่ เริ่มลากมือไปมาตามร่างเนียนนุ่มอีกครั้ง หลังจากภพตะวันอ่านต่อไปได้เพียงสามบรรทัด คราวนี้ เขาสอดมือเข้าไปในเสื้อยืดคอกลมสีขาวของเพื่อนรัก แล้วเริ่มกดวนบริเวณยอดอกสีแดงสดนั้นหลายที ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ดึงแล้วบิดส่วนนั้นเล่นไปมาอย่างได้ใจ










“นายไม่อยากสอบติดเหรอธร”






“อยากสิ แต่ตอนนี้อยากทำอย่างอื่นด้วย”






“ตั้งใจเรียนก่อนนะ เดี๋ยวให้ทำเต็มที่เลย”






“จริงอ่ะ?”






“อือ”






“ภีมกลัวฉันสอบไม่ติดขนาดนั้นเลยเหรอ?”






“อืมม”






“อยากอยู่กับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”






“อือ”










“จุ๊บ!”







“…ฉันอยากอยู่กับนาย”










“โอเค ฉันยอมแพ้แล้ว จะตั้งใจละ”









กันต์ธรที่กำลังเคลิบเคลิ้มยอมหยุดทุกการกระทำลง แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือดังที่เจ้าตัวได้ว่าไว้ และนั้นเผยให้เขาได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของภพตะวัน มันน่ารักเสียจนเขาอยากพับหนังสือเก็บแล้วกระโจนเข้าใส่ขย้ำให้หนำใจ แต่ก็หาได้สามารถไม่ เมื่อบัดนี้ เขาจำเป็นต้องตั้งใจเรียนเพื่อนสอบเข้าคณะเดียวกับภพตะวันให้ได้เสียก่อน
















“อ้าว เด็กๆ …มามา วันนี้มีของโปรดของทุกคนเลยนะ”






มารดาของกันต์ธรนั้นสุดแสนใจดี เธอจะเตรียมอาหารเย็นสุดพิเศษที่แต่ละคนชื่นชอบเพื่อเติมพลังให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองที่ใช้สมองอย่างหนักในช่วงนี้ รวมทั้งบิดาของกันต์ธรที่แม้จะไม่ถูกโลกกับบิดาของภพตะวัน แต่ก็ยังต้อนรับขับสู้ญาติห่างๆ ที่เป็นเพื่อนสนิทของกันต์ธรคนนี้มาตลอดหกปีเต็ม








“กินเสร็จแล้วแม่ฝากเก็บทีนะเด็กๆ เดี๋ยวคืนนี้พ่อกับแม่ต้องรีบนอน พรุ่งนี้มีธุระกันแต่เช้าเลย”






“ได้ครับ”






“อ่อ แล้วก็มีบัวลอยสามสีในหม้อนะ ดึกๆ ถ้าหิวก็ลงมาอุ่นกินกันเอาเองนะจ๊ะ”






“คร๊าบบบ”









เจ้าของบ้านทั้งสองเดินขึ้นห้องส่วนตัวไปเป็นที่เรียบร้อย ปล่อยให้เด็กหนุ่มสองคนที่เหลือ เก็บล้างทำความสะอาดเช่นทุกวัน






“ฉันว่ายังไงคืนนี้ก็ดึกแน่ เราอุ่นบัวลอยขึ้นไปไว้เลยดีไหม จะได้ไม่ต้องลงมาอีก”






“อือ เอาสิ ภีมอุ่นเลย เดี๋ยวฉันล้างจานเอง”









บัวลอยในน้ำกะทิหอมฉุยถูกตักใส่ถ้วยเล็กๆ สองใบแล้ววางในถาด ของหวานอันน่าละมุนลิ้นที่กันต์ธรเดินเข้ามาดูแล้วก็อดใจไม่ไหวอยากลองชิมเสียตรงนั้น แต่ถึงอย่างนั้นภพตะวันก็ยังไม่ยอมให้เขาได้กิน ด้วยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวดึกมาไม่มีอะไรรองท้อง














“ฉันมีภีมอยู่ทั้งคน หิวขึ้นมาก็กินภีมเอาก็ได้”






“ธร!”






“โธ่ภีม ก็บัวลอยมันน่ากิน ฉันขอชิมหน่อยไม่ได้เหรอ”






“เฮ้ออ อ่ะ ให้คำเดียวนะ”









ว่าแล้วภพตะวันก็ยื่นช้อนให้เพื่อนรักด้วยใจอ่อนกับใบหน้าทะเล้นนั้น แต่คนอยากกินกลับไม่ยอมรับมันเอาไว้












“ภีมป้อนหน่อยดิ”






“ธร นายจะบ้าเหรอ เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้าหรอก”






“พ่อกับแม่นอนไปแล้วน่า กลัวอะไร”










ไม่ว่าอย่างไร กันต์ธรก็ไม่ยอมกินเองอยู่อย่างนั้น และก็ไม่ยอมปล่อยเพื่อนรักให้ขึ้นไปอ่านหนังสือได้ด้วย จนกว่าจะป้อนบัวลอยให้จนเจ้าตัวพอใจ









สุดท้ายภพตะวันก็ต้องใจอ่อนแล้วค่อยๆ ตักบัวลอยสามสีด้วยช้อนในมือแล้วยื่นให้กันต์ธร












“อ่ะ! อ้าปาก”






“ป้อนด้วยปากสิ”






“ธร!”






“เร็วๆ ฉันอยากขึ้นไปอ่านหนังสือต่อแล้วนะ”











“…”




ภพตะวันมีสีหน้าเอือมระอาอย่างมาก แต่สุดท้ายก็ยอมส่งบัวลอยในช้อนเดิมนั้นเข้าปากตัวเอง แล้วเดินเข้าใกล้กันต์ธร และฝั่งเจ้าของบ้านที่เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า สองมือจับศีรษะของเพื่อนรักแล้วประกบจูบดูดเอาบัวลอยสามสีในปากของภพตะวันมาเข้าปากตัวเองด้วยลิ้นที่ส่งไปรับมา แล้วเคี้ยวอย่างอร่อยพร้อมกัน แม้ว่าปากทั้งคู่จะยังประกบกันอยู่











อืมม












รสหวานที่กันต์ธรสัมผัสอยู่นี้ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะน้ำกะทิในบัวลอย หรือเพราะลิ้นน้อยๆ ของภพตะวันกันแน่ แม้ว่าบัวลอยในปากทั้งคู่จะถูกกลืนลงคอจนหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเกี่ยวตวัดดูดกลืนลิ้นของอีกฝ่ายไว้ดังเช่นขนมหวานเลิศรสอยู่เนิ่นนาน













“…อืมม”






“ภีม…ไปต่อกันข้างบนเถอะ ฉันอยากจับมากกว่านี้แล้ว”






“นายจะเอาแต่ใจมากเกินไปแล้วนะธร”






“ใช่เลย อยากทำมากกว่าเอาใจอีก เพราะอยากเอาอย่างอื่นด้วย”






“ธร!”










เด็กหนุ่มสองคนหยิบถ้วยบัวลอยสามสีในถาดขึ้นในมือคนละใบ และมืออีกข้างก็จับจูงกับขึ้นห้องไปเช่นทุกวัน














หากแต่วันนี้มีบางสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงกำลังยืนมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ทั้งหมดอยู่










บิดาของกันต์ธร ที่ลืมของไว้ในห้องนั่งเล่น มองเห็นทุกอย่างชัดเจนเต็มสองตา























สองเพื่อนรักสุดหวานละมุนคล้ายกับยังไม่รู้ตัวว่าถูกจับได้เข้าให้แล้ว สองวันถัดมาบิดาของภพตะวันโทรมาบอกให้เขาเก็บเสื้อผ้ากลับบ้าน และจะมารับในอีกสิบนาทีโดยไม่บอกเหตุผล ด้านภพตะวันไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของบิดาได้ แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยอมทำตาม เช่นเดียวกันกันต์ธรที่ถูกบิดาของเขาเรียกไปคุยนานหลายชั่วโมง








ความรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบ้านหลังนี้ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เมื่อบิดาของเขาบอกว่ารับรู้หมดทุกสิ่งและผิดหวังในตัวลูกชายเป็นอย่างมาก ระหว่างนั้นเขาได้ติดต่อไปหาญาติที่อยู่อเมริกา เพื่อจัดหามหาวิทยาลัยให้กับกันต์ธรเป็นที่เรียบร้อย และเด็กหนุ่มต้องเดินทางภายในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า














“ธร…ฉันรู้สึกเหมือนพ่อจะ…”






“รู้เรื่องของเรา”






“ธร…?”






“เขาจะส่งฉันไปอเมริกา”






“…”











ภพตะวันและกันต์ธร เด็กหนุ่มสองคนที่มีสีหน้าเศร้าหมองไม่ต่างกัน ยืนกอดกันอยู่ในห้องน้ำโรงเรียนสอนพิเศษ ภพตะวันเริ่มสะอื้นไห้ออกมาก่อนเป็นอันดับแรก และพยายามดันตัวเข้าหากันต์ธรอย่างหนัก เช่นเดียวกับกันต์ธรที่เครียดมาหลายวันก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ทั้งยังพยายามสูดดมกลิ่นของภพตะวันไปพร้อมๆ กันด้วย










“ภีมไปกับฉันได้ไหม?”






“ธร…”






“ขอพ่อไปเรียนต่อที่นู่น ไม่ต้องบอกก็ได้ว่าไปกับฉัน เราไปอยู่นู่นด้วยกัน”






“ธร…พ่อฉัน จะส่งฉันไปอังกฤษเหมือนกัน”






“ว่าไงนะ!?!”






“พวกเขาคุยกันธร”






“พ่อนายบอกเหรอ?”






“เปล่า เขาไม่ได้บอกฉันตรงๆ แต่ฉันรู้สึกได้”






“ทำไงดี ฉันจะทำไงดี ภีม ฉันจะทำไงดี”










กันต์ธรเริ่มมีอาการร้อนรนอย่างหนัก เช่นเดียวกันกับคนที่กอดเขาไว้แน่นก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยอาการร้อนรนไม่ต่างกัน










“ฉันก็ไปอเมริกาก่อน แล้วค่อยทำเรื่องย้ายไปหานายแบบนี้จะเป็นไปได้ไหม?”






“ธร…”






“หรือนายจะทำเรื่องย้ายมาหาฉัน”






“ธร…ธร…”







“งั้นฉันจะลองหาวิธีเรื่องโอนย้ายมหาลัยดูนะ”












“ฉันว่าเราจบเรื่องนี้กันดีกว่านะ”






“…นายหมายความว่าไง?”






“ฮือ ฉันหมายความว่า เราเลิกทำแบบนี้เถอะ”







“ภีม?”







“ยังไม่สุดท้ายเรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้ที่บ้านพวกเราจับได้แล้วนะธร พวกเขาไม่ปล่อยให้เราคบกันหรอก”






“ฉันไม่เลิก”






“ธร…”






“หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่เลิก”






“แต่…”






“ไม่มีแต่! ฉัน ไม่ เลิก!”






“แล้วนายจะทำยังไง? ฉันต้องไปเดือนหน้าแล้วนะธร”






“ฉันจะไปอังกฤษกับนาย”






“พ่อนายไม่ยอมแน่”






“ฉันจะไปคุยกับเขาอีกที ยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยนายไปแน่ๆ”






“ธร”






“นายล่ะภีม จะยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ งี้เลยเหรอ? ใจร้ายจังนะ เอะอะก็เลิกๆ”










“ฉัน…ฉันเปล่า ฉันไม่ได้อยากเลิกนะธร! แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไง”










ภพตะวันกอดเพื่อนรักไว้แน่นอีกครั้งแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างไม่หยุด มือที่ลูบหลังกันต์ธรสั่นเทาอย่างหนักจนเจ้าตัวสัมผัสได้ ความทุกข์ทรมานใจแห่งความพลัดพรากที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาแล้ว และคราวนี้ทางออกที่ดีที่สุด ก็คล้ายดั่งประตูที่ถูกปิดตายไร้ซึ่งกุญแจชนิดใดจะไขเปิดได้








แผนการมากมายถูกลอบคิดขึ้นโดยสองหนุ่มที่กำลังหัวใจสลาย แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่าก็คล้ายกับว่าจะมองออกในทุกสิ่งที่ลูกชายของพวกเขาคิดเอาไว้












เด็กชายภพตะวันที่ถูกบิดาทอดทิ้งประจำหลังเลิกเรียน บัดนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะเมื่อหมดเวลาเรียนพิเศษแล้วเดินออกมาที่ถนน ภพตะวันก็จะพบกับรถยนต์ของบิดาที่จอดรออยู่ด้านหน้าในทุกวัน เช่นเดียวกันกันต์ธรที่ถูกกำชับอย่างหนักให้กลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียน ทำให้พวกเขามีเวลาเพียงไม่กี่นาทีในหนึ่งวันที่จะได้พบกันและทำในสิ่งที่ใจต้องการ













ยิ่งนับวัน ความต้องการในใจก็โถมเข้าใส่คนทั้งคู่หนักขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งกำหนดการเดินทางที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ ก็จะมีขึ้นในอีกเพียงสองสัปดาห์ข้างหน้า แม้กันต์ธรจะร้องขอบิดาเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่จะเดินทางไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อังกฤษแทน แต่นั่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะบิดาเขารู้อยู่เต็มหัวใจว่าเขากำลังจะตามไปอยู่กับภพตะวัน















‘ฉันคิดถึงนาย’






‘ธร…ฉันก็เหมือนกัน’






‘ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ ฉันกำลังเริ่มหาท…’












ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด










ในคืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่ม กันต์ธรก็ตัดสินใจใช้โทรศัพท์บ้านโทรเข้าบ้านภพตะวัน และพูดคุยกันยาวเหยียด แต่แล้วสายก็ถูกตัดไป และไม่ว่าจะพยายามต่อสายกลับไปอีกกี่ครั้ง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกเลย










เด็กหนุ่มเดินลงไปด้านล่างและพบว่าบิดาของเขายืนอยู่ที่โทรศัพท์อีกเครื่องในห้องนั่งเล่น ชายสูงวัยมองมาที่เขาด้วยดวงตาอาฆาตรุนแรง ทั้งมารดาที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ก้มหน้าคล้ายกับกำลังสะกดอารมณ์เศร้าหมองในใจอยู่














“ผมรักภีม! พ่อมายุ่งอะไร!?!”








“ยังมีหน้ามาพูดอีกนะไอ้ธร! ดูสภาพตัวแกเองบ้าง ฉันเลี้ยงแกมาให้เป็นพวกผิดเพศเหรอ!?! ห๊ะ!!!”









“พ่อ!!!!”











“เลิกติดต่อมันไปเลยนะ ไอ้ลูกชายบ้านนั้นน่ะ!!! ถ้ายังไม่รู้อะไร ฉันก็จะบอกให้ เผื่อแกจะฉลาดขึ้น! พ่อมันโกงฉันจนบ้านเราจะล้มละลายอยู่แล้ว แกยังมีหน้ามาบอกว่ารักลูกชายมันอีกเหรอ!!! ไอ้ลูกอกตัญญู!!!”








“พ่อ…”






อึก











“กลับขึ้นห้องแกไปซะ!! แล้วเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย ฉันเปลี่ยนใจแล้ว แกต้องไปขึ้นเครื่องวันมะรืน”









“แต่ว่า พ่อ”











“ไม่มีแต่!!!! ไป!!!!!!”










เสียงตะคอกลูกชายดังสนั่นไปทั่วบริเวณ กันต์ธรร้องไห้โฮดวงตาแดงก่ำ แต่ถึงอย่างนั้น บิดาเขาก็ยังคงตวาดออกมาเรื่อยๆ จนเด็กหนุ่มไม่อาจทนได้ไหวกับคำดูถูกเหยียดหยามสารพัดกับความรักของเขา กันต์ธรวิ่งกลับเข้าห้องของตัวเองแล้วฟุบหน้าร้องไห้กับหมอนอย่างบ้าคลั่ง















ดวงใจบอบช้ำหนัก อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เด็กหนุ่มมีคำถามมากมายที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เขาทั้งเจ็บปวด และกดดันติดกันมาหลายวันตั้งแต่ที่ต้องแยกกับภพตะวัน และวันนี้ทุกอย่างมันถึงที่สุดแล้ว ความรุนแรงจากบิดาที่เขาได้รับเมื่อสักครู่ สั่งให้ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านต้องปืนหน้าต่างห้องตัวเองออกมาด้านนอก








เด็กหนุ่มย่องเบาไปยังโรงจอดรถแล้วเร่งเครื่องจักรยานยนต์ออกรั้วบ้านไปโดยที่มีสายตาของเจ้าของบ้านทั้งสองเฝ้ามองอยู่














“ธร…”






“ปล่อยมันไป ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันจะไปไหนได้!”










กันต์ธรมีเพียงจุดหมายเดียวที่ต้องการไป แต่เขาจำไม่ได้แล้วว่า บ้านหลังนั้นที่มีคนในดวงใจอาศัยอยู่ อยู่ที่ไหน เด็กหนุ่มขี่รถฝ่าความมืดไปตามถนนสองเลนส์ ผ่านป่ามืดและจุดเปลี่ยวสุดอันตราย ลึกไปเรื่อยๆ ด้วยจิตใต้สำนึกสั่งการออกมา เท่าที่ความทรงจำสมัยเด็กจะยังคงมีอยู่









เขาขี่รถไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด จนเจอเข้ากับตู้โทรศัพท์สาธารณะข้างทางในที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง กดโทรออกไปยังเบอร์บ้านของภพตะวันที่จำได้ขึ้นใจ และเพียงไม่นานเส้นทางไปบ้านหลังนั้นก็ถูกบอกเล่า โดยมารดาของภพตะวัน











“ธรจะมาหาภีมเหรอลูก?”






“ครับ ผมไปได้ไหม”






“ธร…แม่พูดตามตรงนะ แม่อยากให้ลูกชายของแม่มีชีวิตแบบคนปกติทั่วไป”







“…”













“แต่พอแม่เห็นหน้าภีมแล้ว แม่ก็ทำใจไม่ได้เลย ภีมเอาแต่ร้องไห้ทุกวัน…ถ้าธรอยากมาก็มาเถอะ แม่จะออกไปรอเปิดประตูให้”









“ขอบคุณนะครับ”
































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------





 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:





ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ AkuaPink และ คุณ blove มากๆเลยนะคะ  :กอด1: :L1: :L1:

ลุ้นกันต่อแบบยาวๆนะคะ เรื่องนี้เราเขียนจบแล้วนะคะ กะว่าจะลงทุกวันจนจบเลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้เราด้วยน้าทุกคนนนน // รักกกก   :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4:




หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 7 : เปิดใจ (22/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 23-11-2019 12:40:51
รอดูจุดเปลี่ยนของความโกรธที่รุนแรงนี้
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 8 : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี (23/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 23-11-2019 16:33:07
จุดแตกหักรอบแรกป่าวเนี่ย ยังจะมีจุดพีดกว่านี้อีกใช่ไหม?


*รบกวนคนเขียน ช่วยลดบรรทัดให้ชิดกันกว่านี้หน่อยได้ไหม? อ่านทีไรนึกว่าจบทุกที มันห่างกันเยอะอ่ะ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 8 : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี (23/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 24-11-2019 18:50:13
เรื่องน่าสนใจมากเลยยนน เราจะคอยติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 9 : ตอกสลักลงกลางใจ (25/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 25-11-2019 08:08:43
บทที่ 10 : ตอกสลักลงกลางใจ













รถจักรยานยนต์ถูกขี่มาไกลถึงสิบกิโลโดยเด็กหนุ่มอายุ 18 ปี เขาฝ่าดงอันตรายที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้และความสลัวจากท้องถนนมาจนถึงบ้านหลังใหญ่ในชุมชนแห่งหนึ่ง บ้านที่เขาเคยมาเมื่อตอนที่ยังจำความแทบไม่ได้ และหากว่าเจ้าของบ้านไม่บอกทางไว้ให้ กันต์ธรคงไม่มีโอกาสมาถึงที่นี่ได้โดยสวัสดิภาพเป็นแน่




ไม่ต้องรอนานให้เสียวสันหลังกับความอันตรายแห่งรัตติกาลไปมากกว่านี้ เจ้าของบ้านผู้มีใบหน้างดงามที่ได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ก็ได้เดินออกมาเปิดประตูรั้วแล้วเชิญแขกอายุน้อยให้เข้ามาในบ้าน…บ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ราคาแพง




“สวัสดีครับป้าบัว”


“สวัสดีจ้ะธร”


“ผมขอรบกวนไม่นาน แล้วจะรีบไปนะครับ ลุงเตี๋ยวรู้ไหมครับว่าผมมา?”


“พี่เตี๋ยวนอนแล้ว ธรไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้จะค้างกับภีมก็ได้ ป้าไม่ว่าอะไร”


“ผม…”


“ภีมไปนอนบ้านธรมาตั้งหลายปี ธรมานอนที่นี่บ้างไม่เป็นไรหรอก”


“ขอบคุณนะครับ”



กันต์ธรที่ได้รับความเห็นใจจากผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง หลังจากที่มันเหือดแห้งไปแล้วก่อนเข้าบ้านมา เขาพยายามเช็ดมันออกเพื่อไม่ให้ใครได้พบกับความอ่อนแอของเขามากนัก





จนเมื่อเขาเดินขึ้นด้านบน เคาะประตูห้องของภพตะวัน และเจ้าของห้องเปิดประตูออกมานั่นแหละ กันต์ธรก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ไม่ใช่เพียงเขาที่พยายามกลั้นใจไม่ปล่อยให้ร่างกายและจิตใจต้องจมดิ่งไปมากกว่าที่เป็นอยู่




“ธร…!?!”


“ภีม…ฉันขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?”



ใบหน้าของภพตะวันที่กันต์ธรแสนหลงใหล ดำคล้ำลงไปทั้งผิวพรรณและใต้ดวงตา ความทุกข์ที่ฉายออกมาจากแววตาอย่างปิดไม่มิดนั้นก็ด้วย เจ้าของห้องเปิดประตูให้อ้ากว้างขึ้นแล้วปล่อยให้แขกเดินผ่านตัวเขาเข้าไปด้านใน ก่อนที่เจ้าของห้องจะปิดประตูแล้วเดินตามเข้าไป





“นายมานี่ได้ไง?”


“ป้าบัวบอกทาง”


“แม่เหรอ?”


“อือ แม่ภีมใจดีมากเลยนะ”


“แล้วพ่อรู้ไหมว่าธรมา?”


“ป้าบัวบอกว่าไม่รู้ ลุงเตี๋ยวหลับไปแล้ว”


“แล้วพ่อนายล่ะ?”


“ฉันออกมาเลย ไม่ได้บอกพ่อ”


“ธร…”




ภพตะวันน้ำตาไหลพรากโผเข้ากอดกันต์ธรไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มสองคนสะอื้นไห้ในอ้อมกอดของกันและกันอยู่เนิ่นนาน ด้วยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ ทั้งยังความพลัดพรากที่ประชิดพวกเขาเข้ามาทุกที




เจ้าของห้องที่ร้องไห้จนใจเริ่มเบาหวิว ดันกายออกแล้วใช้นิ้วนวลเนียนนั้นปาดเช็ดน้ำตาให้กันต์ธรอย่างแผ่วเบา แต่ไม่ว่าจะพยายามปาดมันออกอย่างไร เพื่อนรักก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ลงไปได้เลย




“ฉันอยากอยู่กับนายนะภีม”


“นายคุยกับพ่อนายรึยัง ที่จะขอไปอังกฤษ”


“ฉันขอแล้ว พ่อด่าฉันแรงมากเลยภีม ฮือ”


ภาวะจุกในอกจากการถูกดุด่ารุนแรงอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน สร้างความสะเทือนใจให้กับกันต์ธรได้จนนาทีนี้ เขาสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวดในอ้อมกอดของภพตะวันอีกครั้ง เดาไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า หากถูกคนในครอบครัวล่วงรู้ความลับนี้เข้า คงถูกด่าว่าอย่างรุนแรง แต่พอโดนเข้าจริง เจ้าตัวกลับไม่สามารถทำใจยอมรับฟังคำปรามาสสุดเผ็ดร้อนเหล่านั้นได้เลย




“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงดีธร ฉันนึกไม่ออกเลย”


“ฉันจะแอบย้ายไปเอง ขอเวลาฉันสักปีนะภีม แล้วฉันจะรีบไปหานายที่อังกฤษ”


“ถ้ามันง่ายแบบที่นายว่าก็ดีน่ะสิ”


“ถึงมันจะยาก ฉันก็จะพยายาม…ฉันสัญญา”



กันต์ธรเอื้อมกุมมือของภพตะวันเอาไว้ดังเช่นที่เขาทำมาตลอดหกปีเศษ เด็กหนุ่มเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้คนในดวงใจแล้วประทับรอยจูบสุดแสนเจ็บปวดเจียนขาดใจนั้นลงไปบนปากสีแดงที่บัดนี้แห้งกรัง แขกผู้มาใหม่ไล่เลียปากนั้นให้เริ่มชุ่มชื้นขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อย ก็ส่งลิ้นไล่เลียดูดกลืนคราบน้ำตาบนใบหน้าของภพตะวันต่อ จนเจ้าตัวรู้สึกพอใจในการได้ปลอบประโลมชายผู้งดงามในครั้งนี้





“คืนนี้ฉันนอนด้วยได้ไหม?”


“นี่มันดึกมากแล้วนะธร ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยนายกลับหรอก”


“ภีม…พ่อเลื่อนกำหนดการของฉันเป็นวันมะรืนแล้วนะ”





“ฮือ…ธร”




น้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งไปเมื่อครู่กลับมาอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ไม่ว่าเจ้าของห้องจะพยายามเบียดตัวเข้าใกล้ชิดกันต์ธรมากเพียงใด นั่นก็ไม่อาจแทนความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีได้เลย







“ภีม”


“…”


“ฉันทำได้ไหม?”




“ธร…”



“ฉันสัญญาว่าจะไม่เกินเลยจนนายต้องเจ็บปวด…ได้ไหมภีม?”

ภพตะวันหลับตาร้องไห้ด้วยเข้าใจสิ่งที่กันต์ธรพยายามร้องขอมาโดยตลอด ใช่ว่าเขาจะไม่อยากถูกเพื่อนรักกอดอย่างลึกซึ้งเสียเมื่อไหร่ แต่หากว่าเหตุการณ์ดำเนินไปถึงขั้นนั้นแล้วล่ะก็ ความเจ็บปวดใจที่เกิดอยู่นี้ ก็จะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณขึ้นไปอีก






“นายจะไปวันมะรืนแล้วนะ ไม่สงสารฉันบ้างเหรอ ถ้าเราทำแบบนั้นกันน่ะ”


“เราโตกันแล้วนะภีม ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องรับผิดชอบนายอยู่แล้ว”




“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันแค่ไม่อยากรู้สึกถึงนายตลอดเวลา”


“…แต่ฉันอยากรู้สึกถึงนายตลอดเวลา”


“นายก็เอาแต่ใจแบบนี้อยู่เรื่อย…เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอธร?”





“ใช่ เราเป็นเพื่อนกัน”





แขกผู้ฝ่าดงอันตรายมาไกลสิบกิโล ดึงภพตะวันมาโอบกอดอีกครั้ง และคราวนี้เขาเริ่มสอดมือเข้าไปใต้เสื้อนอนของเจ้าของห้องเป็นที่เรียบร้อย มือนั้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเรียบเนียนแล้วค่อยๆ เคลื่อนลงจนถึงขอบกางเกงนอนผ้าไหมลายเดียวกับเสื้อ ก่อนจะสอดมือเข้าไปแล้วออกแรงบีบแล้วปล่อย ครั้งแล้วครั้งเล่า กับก้อนกลมนุ่มมือนั้น








“อือ…ธร”



“ฉันสัญญา จะไม่เกินเลยจนนายต้องทุกข์ใจ…ได้ไหมภีม”


“นายจะทำยังไง? ทำเป็นเหรอ?”


“พูดตรงๆ ฉันก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ไม่รู้ขั้นตอนอะไรเลย ก็แค่จะขอลองทำต่อจากที่เราทำกันอยู่บ่อยๆ แค่นั้นเอง”



“ฉันก็เป็นผู้ชายแท้ๆ ไม่ได้นุ่มนิ่มแบบเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ นายแน่ใจเหรอว่าชอบจริงๆ”









“ฉันไม่ได้ชอบ…ฉันรัก”







“ธร…”







“เป็นแฟนกันนะภีม”








“ฮะฮะ มาขออะไรตอนนี้ อยู่ด้วยกันมาตั้งห้าหกปีไม่ยักกะขอ”


“ก็มั่นใจมาได้สักพักละ ว่าจะขอหลังฉันสอบติดคณะเดียวกับนายได้ ฉันพลาดเอง ไม่น่าทำแบบนั้นกับนายในครัวเลย”


“ฉัน…จะตกลงเป็นแฟนนายก็ได้ ถ้านายย้ายมาหาฉันที่อังกฤษได้จริงๆ”


“ทำไมไม่เป็นตอนนี้เลยอ่ะ?”


“เป็นไม่ได้”


“ทำไม…นายไม่รักฉันบ้างเลยเหรอภีม?”


“ฉันไม่รู้…แค่อยากมั่นใจกว่านี้ ว่านายจะไม่ทิ้งฉัน”


“ฉันไม่มีวันทิ้งนาย”


“มั่นใจจังนะธร โลกนี้มีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่พวกเรายังไม่รู้ บางทีพอนายไปอยู่นู่นอาจมีใครที่ทำให้นายรู้สึกดีกว่าฉันก็ได้นะ”





“ฉันมั่นใจ ไม่ว่าร้ายหรือดีที่กำลังจะผ่านเข้ามา หัวใจฉันจะมีแค่นายเพียงคนเดียวตลอดไป”





“ธร…นาย”





ภพตะวันไม่สามารถมองหน้าเพื่อนรักได้อีกต่อไป ด้วยเขินอายสุดขีด ร่างกายเด็กหนุ่มสั่นเทาอย่างหนักจนเสียอาการไปเป็นที่เรียบร้อย พัฒนาการในการหยอดของกันต์ธรมีมากขึ้นทุกวันอย่างที่เจ้าตัวจะรู้สึกตัวบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ด้านคนที่ถูกหยอดนั้น ไม่อาจทนไหวกับคำพูดหวานเจี๊ยบมดขึ้นนั้นได้อีก




เจ้าของห้องผละออกจากอ้อมกอดของเพื่อนรักแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงหกฟุต แล้วคลุมโปงเอาไว้มิดด้วยใจสั่นอย่างรุนแรง ทั้งใบหน้าและร่างกายก็ร้อนผ่าวอย่างไม่อาจหยุดยั้ง น้ำตาที่ไหลมาหลายวันของทั้งคู่ เหือดแห้งไปหมดแล้ว เมื่อได้รับไอเย็นอันหวานเจี๊ยบนั้นเข้ามาแทนที่




กันต์ธรที่พูดเองเออเอง เริ่มระลึกได้ในสิ่งที่เขาใช้ใจพูดออกไปเมื่อครู่ โดยที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองของสมอง เจ้าตัวจึงเริ่มมีใบหน้าขึ้นสีไม่ต่างกัน รอยยิ้มกว้างฉายออกมาจากภายใน ภพตะวันที่เขินอายในวันนี้ น่ารักขึ้นกว่าที่เขาพบมาตลอดหลายเท่าตัว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เพื่อนรักไปฝึกความน่ารักมาจากที่ไหน แต่แขกเช่นกันต์ธรไม่อาจข่มใจทนต่อไปได้ไหวอีกแล้ว





เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนข้างก้อนบางอย่างที่ขดอยู่บนเตียง แล้วรวบเจ้าก้อนนั้นมาไว้ในอ้อมแขน พร่ำคำหวานต่อไม่หยุด พร้อมลมหายใจที่รินรดรุนแรง จนคนที่กำลังซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มนั้นรู้สึกได้






“นายจะให้ฉันกอดนายนอนแบบนี้ทั้งคืนจริงดิภีม ไม่สงสารฉันเหรอ ฉันอยากจูบนายใจจะขาดแล้วนะ”


“…”


“ภีม…ฉัน ฉัน….”


“…”







“…ธร?”


กันต์ธรส่งเสียงประหลาดออกมาครู่หนึ่งก็นิ่งเงียบไปไม่ไหวติงใดๆ อีก จนคนที่กำลังเขินอายจนม้วนเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา ดักแด้น้อยค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากผ้าห่มผืนหนาชะโงกไปยังชายหนุ่มผู้ใช้วงแขนโอบรัดร่างดักแด้น้อยอยู่ และพบว่ากันต์ธรหลับตานิ่งไปจนน่าเป็นห่วง






“ธร…นายเป็นอะไร?”


“…”





“ธร!”



เจ้าดักแด้ดันตัวออกจากเปลือกเรียบร้อยแล้ว แล้วเคลื่อนกายเข้าใกล้กับใครบางคนที่คล้ายหมดสติไป มือนุ่มจับสัมผัสใบหน้าของกันต์ธรเอาไว้แล้วลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา เขาใกล้ชิดกับชายคนนี้มาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่เคยได้ทันสังเกตอย่างจริงจังว่าใบหน้านี้นั้น ช่างให้ความรู้สึกที่น่ารักน่าใคร่มากมายถึงเพียงใด







ภพตะวันบรรจงจูบลงไปบนแก้มใสของเด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่าเขา แล้วลากไปยังปลายจมูก ประทับลงบนหน้าผาก ปลายคาง และเปลือกตาที่ปิดลงอยู่ในตอนนี้



“ธร…เป็นอะไร”




น้ำเสียงแผ่วเบาเล็กแหลมที่น่ารักน่าชังไม่ต่างจากใบหน้าของคนเอื้อนเอ่ยเลยสักนิด เขายังคงลูบไล้ใบหน้าที่คุ้นชินพร้อมส่งเสียงและแววตาสุดหวานจ๋อยไปยังกันต์ธร แม้จะไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลยก็ตาม อารมณ์หวานๆ ที่คล้ายกับใส่ฟิลเตอร์หัวใจสีชมพูโดยรอบเช่นนี้ พึ่งเคยเกิดขึ้นกับใจของภพตะวันครั้งนี้เป็นครั้งแรก






“ธร…”


“…”












“…ฉันรักนาย”










พรึบ


“ฮะฮะ”


เปลือกตาที่แสร้งปิดมาได้พักใหญ่ เบิกโพลงขึ้นทันทีที่จบคำพูดแสนแผ่วเบาและหวานละมุนนั้น ส่งให้เจ้าของเตียงมีเสียงคิกคักในลำคออย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นท่าทางสุดประหลาดของกันต์ธรในตอนนี้





“นายว่าไงนะ?”



กันต์ธรถามออกไปด้วยดวงตาเบิกโพลงเช่นเมื่อครู่ด้วยคิดว่าตนเพียงหูฟาดไป แต่คำยืนยันที่ได้รับกลับมาพร้อมรอยยิ้มและรอยจูบนั้น ยืนยันได้เต็มร้อยว่าเขาได้ยินไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ใจปรารถนาจะได้ยิน














“ฉันรักนาย”





“ภีม…”



“ทำหน้าตลกชะมัด ฮะฮะ”



แม้จะหัวเราะแผ่วเบา แต่เจ้าของห้องก็ไม่กล้าจ้องมองใบหน้าเพื่อนรักได้อย่างตรงๆ อีกต่อไป กันต์ธรดึงมือน้อยๆ ของภพตะวันขึ้นมาแล้วทาบลงบนอกข้างซ้ายของเขา เสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำสูบฉีดโลหิตรุนแรง เรียกเลือดฝาดให้ฉาบไล้บนใบหน้าของภพตะวันให้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าทวีคูณ…เสียงหัวใจที่ภพตะวันคิดมาตลอดว่าแสนไพเราะเหนือสิ่งอื่นใด










“โคตรดีใจเลย”



“อือ..”



“จริงๆ นะ”


“รู้แล้วน่า”





กันต์ธรที่เลือดสูบฉีดอย่างหนักไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขาดันตัวลุกขึ้นแล้วคร่อมทับร่างของภพตะวันที่นอนยิ้มอยู่เอาไว้ มือขาวลูบเสยผมที่ปรกใบหน้าของเจ้าของห้องออกอย่างแผ่วเบา แล้วประทับรอยจูบลงไปทุกส่วนอย่างรักใคร่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มส่งลิ้นเข้าไปในโพรงปากของเพื่อนรักแล้วกวาดต้อนเอาทุกสัมผัสสุดหอมหวานกลืนกลับเข้ามาในกายและใจของเขา ให้มันประทับตราตรึงลงไปอย่างไม่มีวันลืมเลือนด้วยความตั้งใจของเขาเอง












*****เซ็นเซอร์*****ค่ำคืนอันหวานฉ่ำ*****























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------
    ​




 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:








ขอบคุณ คุณ bunคุณ smmikie  และ คุณ singalone มากๆเลยนะคะ สำหรับคอมเม้นท์  :กอด1:


มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^ เราขยับบรรทัดให้แล้วนะคะ มีอะไรแนะนำตรงไหนบอกเราได้นะ

ขอบคุณมากค่าาา  :pig4: :pig4: :pig4: :L2:




หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 9 : ตอกสลักลงกลางใจ (25/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-11-2019 11:18:26
 :pig4:
 :3123: :L2: :L1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 9 : ตอกสลักลงกลางใจ (25/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-11-2019 17:50:50
รักกันมากขนาดนี้ มันต้องกลับมาต่อติดละน๊า อิอิ  :z2:  รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะยังไงดีกับอุปสรรคนี้  :n1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 10 : เมฆฝนที่เริ่มก่อตัว (26/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 26-11-2019 19:41:12
บทที่ 10 : เมฆฝนที่เริ่มก่อตัว























“ฮัลโหลแม่ สวัสดีครับ”



“ธร…”




กันต์ธรที่เดินทางไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่อเมริกาครบหนึ่งปีเต็ม วันนี้ เขาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากบ้านเกิด โดยที่มารดาได้โทรมาแจ้งข่าวเรื่องให้เขาทำเรื่องย้ายกลับไทยโดยเร็วที่สุดด้วยเหตุผลบางอย่างของครอบครัว







เด็กหนุ่มที่เริ่มคุ้นชินกับวัฒนธรรมต่างแดน ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งใดใดต่อความต้องการของบิดาเขาได้ หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ มารดาก็โทรกลับมาเร่งเขาให้เดินทางกลับบ้านเกิดอีกครั้ง และนั่นทำให้อีกสัปดาห์ต่อมากันต์ธรได้ตีตั๋วกลับในทันที






ข้อตกลงที่ได้ให้กันไว้ระหว่างภพตะวันและกันต์ธร คือเมื่อกันต์ธรเรียนจบ จะย้ายไปอยู่ที่อังกฤษกับเพื่อนรัก และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นด้วยกันโดยไม่ต้องรู้สึกผิดใดใดอีกต่อไป หากแต่เมื่อแผนการถูกเปลี่ยนแปลงกะทันหัน กันต์ธรที่รีบร้อน ทำได้เพียงส่งจดหมายฉบับเดียวไปให้ภพตะวัน จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปอีกเลย เพราะ…










“แม่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”



เด็กหนุ่มใกล้วัย 20 ปี เดินเข้าบ้านตัวเองด้วยดวงใจวูบไหว ของภายในบ้านหายไปเกือบหมด หลงเหลือไว้เพียงพื้นที่โล่งให้กันต์ธรได้มองเห็น และเสื่อลายขวางที่ถูกปูไว้บนพื้นกับเบาะรองนั่งเก่าๆ



มันเกิดอะไรขึ้น?



คำถามมากมายที่เจ้าของบ้านอายุน้อยต้องการคำตอบมากที่สุดในตอนนี้ หากแต่เขากลับไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา มีเพียงน้ำตาของมารดาที่เอ่อคลอแล้วโผเข้ากอดลูกชายสะอื้นไห้ตัวโยนอย่างเนิ่นนาน ความรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ ไม่สามารถเอ่ยตอบใดใดลูกชายได้ในตอนนี้





เมื่อปลอบโยนมารดาได้พักใหญ่ เขาก็ขอเดินสำรวจรอบบ้านให้หายสงสัยเสียหน่อย เด็กหนุ่มเดินไปยังห้องครัว ห้องนั่งเล่น และอีกหลายห้องที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ไม่หลงเหลืออุปกรณ์เครื่องใช้หรือของตกแต่งใดให้ได้มองเห็นถึงความร่ำรวยและมั่งมีของผู้อยู่อาศัยได้อีกแล้ว







ดวงใจชาวาบตกลงไปถึงปลายเท้า กันต์ธรเดินขึ้นชั้นสองของตัวบ้าน แล้วค่อยๆ ก้าวไปยังห้องส่วนตัวที่ไม่ห่างจากบันไดมากนัก เขาใช้มือผลักเข้าไปด้านใน และบัดนี้ เตียงเล็กๆ ที่เขาใช้นอนตั้งแต่จำความได้ ได้มลายหายไปจากห้องนอนเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีเพียงของใช้ส่วนตัวของเขาบางส่วนเท่านั้นที่วางกองอยู่กับพื้น ทั้งชั้นวางชั้นโชว์ของ หายไปเกลี้ยงห้อง





และที่มากไปกว่านั้น หนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาและภพตะวัน รวมทั้งเกมกดที่เขารักและหวงแหนยิ่งสิ่งใด ก็หายไปเกือบหมด











“แม่!!!!!”





เด็กหนุ่มวิ่งลงบันไดเสียงดัง ในอกที่ออกอาการชาเมื่อครู่ เต้นกระหน่ำรุนแรงขึ้น ด้วยของสำคัญได้หายไปเกือบหมดทุกอย่าง เขาลงมาและเห็นมารดานั่งอยู่บนเสื่อตัวเดียวในห้อง จ้องมองมาที่เขา





“ของธรอ่ะ!?! การ์ตูนธรหายไปไหนหมด แม่!!!!!”





กันต์ธรร้อนรนหนัก จุกแน่นไปหมดจนไม่อาจหยุดยั้งน้ำตาแห่งคำถามมากมายที่เกิดขึ้นได้ เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ ระยะเวลาเพียงปีกว่าเท่านั้น ทำให้สิ่งต่างๆ ที่นี่เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?





“ธร…ใจเย็นๆ ก่อนนะลูก”





มารดาที่นั่งนิ่ง สะอื้นไห้อีกครั้ง เธอไม่สามารถบอกเล่าใดใดได้ทั้งหมดในตอนนี้ ด้วยตนนั้นก็ยากเหลือเกินกับการรับมือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น



















ตระกูลณรงค์กร เจ้าของธุรกิจรถสิบล้อชื่อดังในจังหวัด บัดนี้ไม่หลงเหลืออำนาจบารมีใดให้น่านับถืออีกต่อไป เด็กหนุ่มวิ่งออกจากบ้านเมื่อได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ จากมารดา เขาวิ่ง วิ่งไป และวิ่งไปเรื่อยๆ จนโผล่พ้นละแวกบ้าน วิ่งต่อไปทางโรงเรียนที่เขาเดินไปเรียนเป็นประจำหกปี แล้วเลยไปอีกเกือบหนึ่งกิโลเมตร






จนถึงชุมชนแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปตามทางเดินที่เกรอะกรังไปด้วยเศษดิน หิน ทราย ที่เกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เดินเข้าลึกไปเรื่อยๆ กระทั่งได้พบกับบ้านไม้หลังด้านในสุดที่มารดาได้บอกไว้ ใครต่อใครที่เขาเดินผ่านมามองหน้าเขาด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร เช่นเดียวกับคนเฝ้าประตูตัวใหญ่สองคน และคนอีกกลุ่มที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะหินอ่อนใกล้ๆ กับบ้านไม้หลังนั้น







“ไอ้หนู มาหาใคร?”




หน้าตาท่าทีขึงขังถูกส่งมาถามเด็กหนุ่ม พร้อมมือหนาที่กันแขกเอาไว้ไม่ให้พุ่งตัวเข้าไปในบ้านได้





“มาหาพ่อเต่า”



“ลูกไอ้เต่าหรอกเหรอ?”



สรรพนามหยาบโลนที่กันต์ธรไม่เคยคิดที่จะเรียกใครมาก่อนในชีวิต ถูกใช้กับชื่อบิดาของเขา นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ต่อความยาวกับชายผู้มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวคนนี้ เขาเดินเข้าไปด้านในเมื่อมือที่กั้นไว้เมื่อครู่ลดลง





สมาชิกชายหญิง ดูดีมีราศีไปจนถึงผู้ไม่มีสิ่งใดประดับกาย บ้างยืนยิ้ม บ้างคิ้วตกสลับยืนปะปนกันเต็มบริเวณ เด็กหนุ่มผู้เข้ามาใหม่มองหาบิดาเขาอยู่เพียงครู่ ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ซึ่งบัดนี้ได้ต่างออกไปจากเมื่อก่อนมาก แม้จะพึ่งแยกกันมาเป็นเวลาเพียงปีกว่า











“พ่อ!!!! ธรขอคุยด้วยหน่อย”




กันต์ธรเดินไปตบเบาๆ เข้าที่บริเวณท่อนแขนของบิดา ที่บัดนี้กำลังมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างหนักอยู่ในวงไฮโล





“ไอ้ธร!! มานี่ได้ไง!?!”




เมื่อบิดาเห็นลูกชาย ก็ตกใจหุบยิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขากระซิบกับคนในวงพนันครู่หนึ่ง แล้วลากแขนลูกชายให้เดินออกไปคุยกันด้านนอก ผ่านผู้คุ้มกันประตูคนเดิมเมื่อครู่ แล้วห่างออกไปบริเวณริมคลองหลังบ้าน








“มาทำไม!?!”



“พ่อเอาการ์ตูนธรไปขายทำไม!!!!?!”



“อะไรของแกวะ มาถึงก็ตะคอกฉันเลย!!! แกเห็นสภาพบ้านเราไหม อะไรขายได้ฉันก็ต้องขาย! ไม่งั้นจะเอาอะไรมากิน มาเลี้ยงแม่แก ห๊ะ!!!”





“ตังก็ไม่มี แล้วมาบ่อนทำไม!!!!”

















เพลี๊ยะ!!!!!




ฝ่ามือหนักๆ กระทบใบหน้าขาวเนียนของเด็กหนุ่มเข้าเต็มๆ แว่นตาคู่ใจกระเด็นหลุดตกลงบนพื้นใกล้ๆ กับบริเวณนั้น จนเจ้าตัวต้องรีบก้มลงควานหา ระหว่างนั้นเองที่บิดาเขาย่อตัวลงแล้วเริ่มพูดจาด่าทอต่อไปอีก







“เพราะมีลูกโง่! แบบนี้ไง ฉันถึงได้หมดตัว ยังมีหน้ามาถามอีก ว่ามานี่ทำไม!! ที่นี่ดีที่สุดแล้ว เงินทุกบาททุกสตางค์ฉันเอามาต่อยอด ไม่รู้อะไรยังมีหน้ามาอวดดีอีก ไอ้เด็กเวร!!!!”








“…”




ลูกชายที่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นครั้งแรก สวมแว่นสายตากลับเข้าที่เดิมพร้อมน้ำตา เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว จึงได้วิ่งหนีกลับบ้านตัวเองไป










ความร้าวฉานที่นายเต่า อดีตเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำคัญอย่างมหาศาลโยนให้เป็นความผิดของคนตระกูลวงศ์วรรธน์ พี่ชายของตนเองที่ฮุบกิจการทุกอย่างไป จนเขาหลงเหลือเพียงแต่ชื่อ และสิ่งเดียวที่ทำให้ชายผู้เลยวัยกลางคน สามารถตื่นเช้าขึ้นมาใช้ชีวิตต่อได้ คือการได้นำหนี้ที่ตนสร้างไว้มากมาย มาต่อยอดเพื่อสร้างหนี้ของตนให้มากขึ้นไปอีก






และไม่มีใครเลยบนโลกใบนี้ ที่จะห้ามปรามชายผู้ถูกผีพนันเข้าสิงเต็มรูปแบบคนนี้ได้









เด็กหนุ่มอนาคตไกลที่กำลังเริ่มออกเดินทางเพื่อชีวิตที่มั่นคงในอนาคต กลับต้องยุติทุกอย่างลง ด้วยไม่มีสิ่งใดสนับสนุนเขาอีกแล้วในชีวิต จากเมืองนอกเมืองนาสู่ชุมชนอันเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและการใช้ชีวิตที่ผิดรูปแบบของคนในครอบครัว เหตุการณ์ที่กันต์ธรไม่เคยนึกฝัน ว่าจะเกิดขึ้นจริงกับชีวิตเขา






ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลณรงค์กร ไม่เฝ้าคอยถามอีกต่อไปว่าบัดนี้เกิดอะไรขึ้น ไม่เฝ้าจับผิดผู้ใดหรือพยายามหยุดบิดาเขาอีกต่อไป เขาตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นนักเรียนนักศึกษาของตนเอาไว้ แล้วเริ่มเดินสายหางานทำด้วยวุฒิการศึกษาชั้น ม.6

















เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คาด เด็กหนุ่มผู้ได้รับความสะดวกสบายมาตั้งแต่เด็ก ไม่สามารถโหมงานหนักอย่างที่ใครๆ เข้าใจ เขาเริ่มต้นด้วยกันรับถั่วมาเดินขายตามท้องตลาด เคาะไปตามบ้านหลังต่างๆ ในย่านคันคลองแสนหดหู่ รายได้ที่สุดแสนน้อยนิดจนแทบมองไม่เห็นกำไร ไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้ใจ กันต์ธรเริ่มมองหางานใหม่ๆ จากสถานที่ ที่เขาต้องเดินผ่านในทุกวัน เขาขอไปช่วยงานขนท่อนไม้ในปางของพ่อเลี้ยงคนหนึ่งในชุมชน แต่สุดท้ายแล้ว ก็ถูกกลั่นแกล้งสารพัดจากคนงานรุ่นเก่า จนเด็กหนุ่มทนไม่ไหวจึงได้ขอเดินออกมา






“ธร วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก?”




“…สนุกดีแม่”





เด็กชายขายาวตัวผอมที่พึ่งผ่านการทำงานที่ใช้ร่างกายอย่างหนักมา ยิ้มขื่นให้มารดาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยหยดน้ำตาแห่งความอิดโรย นอกจากจะเหนื่อยกายแล้ว เขายังไม่เคยโดนดูถูกเหยียดหยามมากมายเท่านี้มาก่อนเลย แม้แต่คนที่เขาเคยคิดว่าอยู่ระดับล่างกว่าเขามากๆ เช่นคนงานขนท่อนซุง บัดนี้ก็สามารถกดหัวเขาให้จมดินลงได้ โลกใบนี้ช่างโหดร้ายเสียจนกันต์ธรอยากลาลับไปเสียไวไว






“อันนี้ค่ากับข้าวของพรุ่งนี้นะแม่ แม่ซ่อนไว้ดีดีนะ ธรจะหามาให้เพิ่ม แม่รอก่อนนะ”






กันต์ธรพูดปนสะอื้นไห้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าเงินทองเป็นของมีค่ามากมายเท่าช่วงเวลานี้มาก่อน และแม้ว่าเขาจะเหนื่อยยากสักปานใด ก็ยังคล้ายกับว่าจะไม่เพียงพอสำหรับเลี้ยงปากท้องของคนในครอบครัวได้เลย








“เงินที่ธรให้ไว้เมื่อวาน แม่รีบเอาไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่เลยนะ ก่อนที่พ่อจะมาเจอ”



“อึก…ธร”



“แม่?”





“ฮืออ ไม่เหลือแล้ว เงินที่ลูกให้มาเมื่อวาน พ่อเขาเอาไปบ่อนหมดแล้ว”




มารดาปล่อยโฮด้วยสุดจะกลั้น เงินอันน้อยนิดที่ทุกคนในครอบครัวกระเบียดกระเสียรอย่างหนักเพื่อให้มีไว้สำหรับกินข้าว ถูกแย่งชิงเอาไปต่อยอด? ด้วยฝีมือของบิดาที่ไม่คิดจะทำมาหากินสุจริตแต่อย่างใด








กันต์ธรที่พึ่งผ่านงานหนักมาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าจนหมด บัดนี้ดวงตาของเด็กหนุ่มฉายความรุนแรงขึ้นมาจนมารดาเริ่มเป็นห่วง เธอไม่เคยเห็นดวงตาอาฆาตแค้นเช่นนี้ของลูกชายมาก่อน เขาไม่รอให้มารดาได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มอีก สองขานั้นก็ก้าวออกประตูบ้านไปดังปึงปัง







โทสะที่ปะทุหนักของเด็กหนุ่ม ตามเขาไปทุกที่ที่เขาเหยียบย่าง กันต์ธรตรงดิ่งไปยังบ้านไม้หลังเดิม ที่พักหลังเขาได้เดินทางไปบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ด้วยบิดาถูกกักตัวเอาไว้บ้างเมื่อไม่มีเงินขัดดอก แต่ครั้งนี้ เขาจะต้องจัดการบางอย่างให้มันเด็ดขาดไปเสียที




ทั้งความอิดโรยที่ติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน ความเจ็บปวดใจในทุกๆ ทาง ไร้ซึ่งทางออกใดให้เขาได้เลือกอีก















‘ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมัน!!! ไอ้พวกคนจั_ไรบ้านวงศ์วรรธน์ พวกมึงต้องไม่ตายดี!!!’









ประโยคฝังใจที่ตลอดระยะเวลาตั้งแต่กันต์ธรกลับมาอยู่บ้าน เขาได้ยินในทุกวัน บิดาเขากล่าวโทษตระกูลของพี่ชาย ที่บัดนี้ ร่ำรวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว ในคราวแรก กันต์ธรไม่ได้นึกสงสัยหรือเชื่อคำที่บิดาเขาละเมอเผลอพูดในตอนมึนเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์







แต่พักหลังมานี้ หลังจากที่เด็กหนุ่มได้เดินทางไปทำงานแบกหามหลายต่อหลายที่ เขาก็ค้นพบว่าบ้านวงศ์วรรธน์นั้น รวยเอาๆ ผิดกับครอบครัวเขาราวฟ้ากับเหว







คำพูดที่เริ่มแทรกซึมเข้ามาในใจและความเชื่อของกันต์ธรมากขึ้นทุกวัน มันสั่งสมและทำให้เขาเริ่มมองหาจุดเชื่อมโยงในสิ่งที่บิดาเขาได้บอกกล่าวเอาไว้ กับความจริงที่กำลังเกิดขึ้น










































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------















ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ AkuaPink และ คุณ blove ด้วยนะคะ ^____^

มาลุ้นกันต่อค่า  :กอด1: :L2: :L2: :L2:



 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:





    ​
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 10 : เมฆฝนที่เริ่มก่อตัว (26/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 26-11-2019 21:54:30
มันเป็นเพราะพ่อติดพนันมากกว่าไหม ถ้าตั้งใจทำงานบ้านก็ไม่ต้องอับจนขนาดนี้
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 10 : เมฆฝนที่เริ่มก่อตัว (26/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-11-2019 09:53:44
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 10 : เมฆฝนที่เริ่มก่อตัว (26/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-11-2019 13:04:26
ตรรกะพ่อของธรป่วยมาก โดนโกงจริงไหมต้องสืบอีกที แต่โดนโกงแล้วควรจะหาทางเอาคืนหรือทำงาน นี่ไรเข้าบ่อน มัวแต่นั่งโทษคนอื่น ส่งต่อความเกลียดชังสู่ลูก อะไรของครอบครัวนี้เนี้ย รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะยังไงต่อ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 11 : ประดับทอง (28/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 28-11-2019 16:06:46
บทที่ 11 : ประดับทอง



























“ไอ้ธร พ่อมึงติดหนี้ของวันนี้สามพัน!!! จะจ่ายนายกูมาดีดีหรือจะให้ลากตัวมันลงนรก!?!!!”



“พวกมึงอยากทำอะไรก็เชิญ อย่ามายุ่งกับแม่กู ไสหัวกลับไปซะ!”



“นายกูสั่งมา ถ้ามึงไม่จ่าย ให้เอาตัวแม่มึงกลับไปกับพวกกูด้วย”



หลังจากวันที่กันต์ธรตัดสินใจเดินเข้าไปในบ่อนเพื่อพูดคุยกับบิดาเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็ไม่วายถูกทำร้ายร่างกายอีก จากนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะยุติความช่วยเหลือใดใดที่มีต่อบิดาเขาทั้งหมด หลายครั้งที่เจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้ถึงที่บ้าน วันนี้ก็เช่นกัน หนี้ที่ทบทั้งต้นทั้งดอก บานปลายกลายเป็นดงดอกเห็ด แต่บิดาเขาก็ยังไม่วายนำเงินที่กันต์ธรหามาได้อย่างยากลำบากไปต่อยอดเรื่อยๆ





และวันนี้ นายใหญ่ของบ่อนที่บิดาเขาเป็นขาประจำ ไม่ยอมหยุดง่ายๆ อีกแล้ว ชายร่างใหญ่หลายคนที่กันต์ธรเริ่มคุ้นเคย ยกพวกเดินทางมาถึงบ้านณรงค์กรและจับตัวมารดาเขาเอาไว้ตามคำสั่งที่ได้รับมา






“พวกมึงปล่อยแม่กู!!!!”


“มึงก็จ่ายหนี้ของวันนี้มาสิ!!!”


“ปล่อยแม่กู แล้วกูจะไปจ่ายหนี้ให้นายพวกมึงเอง”



เด็กชายผอมก้างกับแว่นหนาเตอะ ไม่มีอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่กันต์ธรเริ่มต้นปากกัดตีนถีบเพื่อให้มีชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ได้ ระยะเวลาก็ล่วงเลยมาได้ปีเศษ บัดนี้เขามีร่างกายกำยำล่ำสันดั่งผู้ใช้แรงงานหนัก ผิวขาวเนียนละเอียดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหายวับไป เหลือไว้เพียงกล้ามเนื้อสีแทนจากความกร้านแดด แววตาสดใสเช่นเด็กน้อยในวันวาน ถูกกลบฝังลึกลงในจิตใจส่วนที่ถูกปิดตาย





สิ่งที่กันต์ธรมีมาแต่ก่อนเก่า สิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจ ความไม่เกรงกลัวสิ่งใดฉายชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ตามกาลเวลา นอกจากนั้น ความเคียดแค้นจากคำพูดของบิดาที่เขาเริ่มเสาะหาความจริง ก็กระจ่างชัดจนเขามั่นใจแล้วว่า นั่นคือความจริงทั้งหมด เขากำลังรอคอยเวลาที่จะเอาคืนคนที่พรากทุกความสุข ทุกสิ่งอย่างของเขาไปเพียงเท่านั้น





ชายหนุ่มเดินไปยังบ่อนที่เขาไปเป็นประจำพร้อมกับกลุ่มนักเลงร่างใหญ่หลายคน หากแต่กันต์ธรกลับรู้สึกถึงความสบายๆ ในบรรยากาศที่ได้ยืนใกล้ชิดกับคนพวกนี้เสียมากกว่าความรู้สึกหวาดกลัวใดใด











...










ก๊อก ก๊อก ก๊อก




“ขออนุญาตครับนาย ลูกไอ้เต่าเอาหนี้มาจ่ายครับ”



“อือ ให้เขาเข้ามา”



ชายวัย 35 ปี ผู้มีผิวกายขาวเนียนละเอียด ไว้ผมรองทรงสีดำขลับ ขับใบหน้านั้นให้กระจ่างสว่างขึ้นกว่าคนทั่วไป นั่งอยู่กลางห้องด้านในของบ้านไม้หลังนั้น ท่วงท่าและการแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ช่างไม่เข้ากันแต่อย่างใดกับสภาพการเป็นเจ้าของบ่อนและสถานที่สุดเสื่อมโทรมแห่งนี้





กันต์ธรพึ่งมีโอกาสได้เข้าพบกับเจ้าของบ่อนเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกประหลาดใจอยู่ลึกๆ กับตัวเอง เมื่อเขาไม่อาจละสายตาจากความขาวเนียนละเอียดของร่างที่นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะกว้างนั้นได้เลย หัวใจซ้ำเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสีแดงเริ่มลามไปตามโครงหน้าและใบหู กันต์ธรได้รับเพียงใบหน้านิ่งๆ จากเจ้าของสถานที่ส่งตอบกลับมาเท่านั้น






“อ…เอ่อ”


“ลูกลุงเต่าเหรอ?”


“ครับ”


“วันนี้พ่อนายติดหนี้ฉันเพิ่มอีกสามพัน กับหนี้เก่าอีกแสนสอง ฉันเลยจำเป็นต้องให้ลูกน้องพาตัวแม่นายมา”



จำนวนเงินมหาศาลสะกดกันต์ธรให้นิ่งงันอยู่กับที่ ด้วยในใจกำลังประมวลผลรายได้ของตนเองอยู่ ต่อให้เขาทำงานทั้งชีวิตจนแก่ตาย ก็ยังไม่เห็นหนทางที่จะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาคืนเจ้าของบ่อนได้เลย








“ผมขอจ่ายขัดดอกไปห้าร้อยก่อนได้ไหม ผมยังไม่มีเงินมากขนาดนั้นมาให้คุณตอนนี้หรอก”


“พูดตามตรง ฉันเองก็เห็นใจนายนะ พ่อนายก่อหนี้เอาไว้แท้ๆ แต่นายกลับต้องมารับภาระ”


“ครับ ผมผิดเองที่เลือกเกิดไม่ได้”


กันต์ธรยังไม่สามารถห้ามสายตาตัวเองให้หยุดจ้องมองเจ้าของสถานที่ด้วยแววตาเช่นเมื่อครู่ได้ และฝ่ายนั้นก็เริ่มมองกลับมาในแบบเดียวกัน สายตาที่นิ่งสงบมองลูกหนี้เขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วสบมองดวงตาของกันต์ธรอีกรอบ







“ตอนนี้นายทำงานอะไรอยู่?”


“ตัดไม้ให้พ่อเลี้ยงสนครับ”


“พ่อเลี้ยงสน?”


“ครับ “


“เหนื่อยเลยสิ กับคนเคยสบายอย่างนาย”


“ผมชินแล้ว”


“อยากลองมาช่วยงานฉันดูไหมล่ะ?”


“…”


“ทำงานใช้หนี้ ถ้าทำได้ดี ฉันมีเงินเดือนให้ใช้ต่างหากด้วย”




“คุณจะให้ผมทำอะไร?”


“แบบไอ้พวกที่ไปบ้านนายวันนี้…ทวงหนี้ให้ฉัน”



ข้อเสนองานใหม่ ที่กันต์ธรตอบรับอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เขาผ่านความลำบากมามากเกือบครบทุกรูปแบบ โดนดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นาๆ สารพัด ทั้งไอความทุกข์ระทมที่ปกคลุมทุกอณูในรั้วบ้าน ช่วงเวลาเช่นนี้ เขาไม่มีสิทธิแม้สักนิดที่จะเลือกงาน และยิ่งโอกาสลดหนี้พร้อมได้เงินใช้ไปในตัวเช่นนี้ ก็ไม่ได้มีมาบ่อยนัก





และที่สำคัญ…เจ้าของบ่อนนั้น ก็งดงามเสียจนเขาต้องเก็บไปฝันเลยทีเดียว











...










กันต์ธรเริ่มต้นเรียนรู้การรีดเงินง่ายๆ จากพวกลูกหนี้ที่จ่ายเป็นประจำไม่มีเบี้ยว แล้วเพิ่มระดับความยากให้มากขึ้น กับลูกหนี้ที่มีกลวิธีหลบหลีกต่างๆ นาๆ เขาได้รับการเรียนรู้จากคำบอกเล่าและปฏิบัติงานจริง สิ่งที่ใครหลายคนสบประมาทชายหนุ่มเอาไว้ มลายหายไปกับสายลม เมื่อชายหนุ่มผู้กำยำคนนี้ ทำงานออกมาได้ดีเสียจนสามารถเผยรอยยิ้มของเจ้านายออกมาได้ รอยยิ้มแรกที่เขาได้เห็น กันต์ธรไม่สามารถลืมเลือนได้เลยว่ามันงดงามเพียงใด




รอยยิ้มที่ทาบทับลงไปให้เขาได้มองเห็นใบหน้าของใครบางคน คนที่เคยอยู่ในอ้อมกอดของเขามาตลอดหลายปี คนที่เป็นทายาทของตระกูลหยาบช้าและจอมปลอม คนผู้ทำลายทุกสิ่งของเขาให้ต้องมาจมกับความเลวร้ายเช่นทุกวันนี้




ในคราวแรกเขาไม่ได้มีจิตคิดมุ่งร้ายต่อภพตะวันแต่อย่างใด จนบัดนี้แม้จะพยายามเกลียดแค้นสักเพียงไหน เขาก็ยังคงมีความทรงจำต่อภพตะวันหลงเหลืออยู่มากมาย








และก็เป็นใบหน้านั้นของคนที่เขาเคยรักเช่นกัน ที่ฉายขึ้นมาทุกครั้ง ตอนที่เขาถูกบิดาทุบตี มารดาถูกข่มขู่ให้ต้องร้องไห้แทบตลอดเวลา เขาไม่ควรไปหลงรักทายาทของบ้านนั้นเต็มหัวใจเช่นนี้เลย คราวใดที่นึกถึง กันต์ธรก็จะแผ่รังสีแห่งความเกลียดชังออกมาด้วยเช่นเดียวกัน








ชายหนุ่มผู้แข็งแรงจึงไม่อยากที่จะนึกถึงภพตะวันมากมายนัก ให้ต้องเจ็บปวดที่ใจของเขาเอง












“เก่งใช้ได้เลยนะ ลุงแหวนเป็นลูกหนี้ที่ฉันปวดหัวด้วยที่สุดเลย นายทำยังไงลุงแกถึงยอมจ่ายล่ะ?”



“ผมขออนุญาตไม่บอกนะครับ”



“ไม่คิดว่านี่เป็นคำสั่งหรอกเหรอ?”



“ถ้าผมบอก แล้วคุณไปบอกให้ลูกน้องคนอื่นทำตาม ผมก็ไม่สำคัญกับคุณแล้วสิครับ”







นายประดับทอง เจ้าของบ่อนสุดงดงาม หรี่ตาจ้องมองกันต์ธรด้วยรอยยิ้ม ด้วยคำพูดเมื่อครู่นั้น ดูลุ่มลึกกว่าสิ่งที่คนทั่วไปจะเข้าใจไปได้มาก จากวันนั้นมา ประดับทองจึงลดงานให้กันต์ธรเป็นการตามทวงหนี้เฉพาะลูกหนี้คนสำคัญและโจทย์ยากๆ เท่านั้น




ชายหนุ่มทายาทตระกูลณรงค์กรผู้ตกอับ กลายมาเป็นบอดิการ์ดคนสำคัญให้กับเสี่ยประดับทองเต็มเวลาหลังจากนั้นไม่นาน และนั่นทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษที่ช่วยให้บิดาของเขาสามารถผลาญเหรียญในบ่อนได้มากเท่าที่ต้องการ




“พรุ่งนี้ฉันจะไปคุยกับพ่อเลี้ยงสน”


“ครับ ผมจะเตรียมคนไปให้”


“ไม่ต้อง นายไปกับฉันแค่คนเดียวพอ”





กันต์ธรคล้ายว่าจะหลงมัวเมาในความงามของประดับทองอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากแต่ความหวังของชายหนุ่มกลับห่างไกลออกไปทุกที เมื่อประดับทองเดินทางไปพบเจ้านายเก่าของเขา เช่นพ่อเลี้ยงสน ที่อายุอานามเฉียดหกสิบปีได้ เกือบทุกสัปดาห์ในระยะหลังมานี้






และในที่สุด ความใกล้ชิดที่มากล้นระหว่างกันต์ธรและประดับทอง ก็ทำให้เขาล่วงรู้ความลับของนายใหญ่ที่ว่า ประดับทองและพ่อเลี้ยงสนนั้น เป็นคนรักกันมานานร่วมสิบห้าปีได้ เนื่องจากสมัยที่ประดับทองเป็นวัยรุ่น เขาอยู่ในความดูแลของพ่อเลี้ยงสน และไม่ทราบว่าดูแลกันอีท่าไหน สุดท้ายจึงได้ดูแลกระทั่งหัวใจของกันและกันด้วย













แต่แล้ววันหนึ่ง ก็คล้ายกับว่าโชคชะตาจะเข้าข้างกันต์ธรที่บัดนี้อายุเข้าปีที่ 22 แล้ว เขาอยู่ช่วยงามประดับทองมาเกือบ 2 ปีเต็ม ในวันนั้น ประดับทองมีน้ำตาให้เขาได้เห็นเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เชยชมความงามที่เฝ้ามองมาตลอดสองปี




ประดับทองออกคำสั่งให้ชายหนุ่มโอบกอดและมอบความอบอุ่นให้ ด้วยบัดนี้อยู่ในช่วงขมขื่นจากความไม่เข้าใจกันกับพ่อเลี้ยงสน คำสั่งที่กันต์ธรไม่เคยกระทำมาก่อนในชีวิต การหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก มันทำให้เขาตื่นเต้นใจแทบขาด ก่อนหน้านี้สมาชิกในแก๊งทวงหนี้เคยพาเขาไปเที่ยวสาวตามสถานที่อโคจรอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนดึงดูดใจกันต์ธรได้มากเท่าครั้งนี้




การปรนเปรอที่เขาได้รับมาตลอดตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม การปรนเปรอที่ปะปนไปด้วยกลิ่นอายของความรัก ไม่ได้ต่างจากการปรนเปรอทางกายกับร่างงดงามนี้มากเท่าไหร่นัก…เขาพยายามบอกตัวเองให้รู้สึกเช่นนั้น










“คุณแน่ใจหรือครับ?”


“นายไม่อยากทำเหรอ? ฉันดูออกนะว่านายคิดอะไร”






กันต์ธรที่หยุดการกระทำกลางอากาศ ได้รับแววตารู้ทันส่งมา จากนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะหยุดอีกเลย ชายหนุ่มไม่รู้ตัวว่าเขากำลังทำอะไร หรือสมองกำลังนึกถึงใครอยู่ หากแต่ว่า สัมผัสนุ่มละมุนและหอมหวานเช่นนี้ เขาไม่ได้แตะต้องมานานจนเกือบลืมไปหมดแล้ว









เขาโอบกอดประดับทองอย่างหนักหน่วงในทุกครั้ง ดังเช่นความต้องการของชายหนุ่มทั่วไปจะพึงมีได้ หลายครั้งที่ประดับทองไม่ได้สั่ง แต่กันต์ธรกลับเป็นฝ่ายเข้าหาเองด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า ที่มีมากขึ้น และมากขึ้นทุกที






และทุกครั้งหลังจบธุระส่วนตัวระหว่างเจ้านายและลูกน้อง ประดับทองจะมีคำถามส่งตรงไปยังกันต์ธรเช่นทุกวัน







‘นายกำลังคิดถึงใครอยู่งั้นเหรอ?’





คำถามที่กันต์ธรไม่สามารถตอบออกไปได้ เขาไม่รู้สึกตัว ว่าจิตใจล่องลอยไปถึงใคร







หรือบางที เขาอาจจะรู้สึกตัว…แต่ไม่กล้าที่จะยอมรับก็เท่านั้น




















    ​


















-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------










ขอบคุณ คุณ bun , คุณ AkuaPink และ คุณ blove มากๆเลยนะคะสำหรับคอมเม้นท์ ^^


มาลุ้นกันต่อค่ะ พ่อคุณธรจะสำแดงฤทธิ์อะไรอีก อิอิ  :กอด1:




 :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1: :L1:



หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 11 : ประดับทอง (28/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-11-2019 17:56:42
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 11 : ประดับทอง (28/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-11-2019 19:00:30
อ้าวๆ ยังไงๆ 555 เออเหตุการณ์ก่อนที่จะได้เจอกันอีกนี่มันต่างก็โชกโชนจริงๆ 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 12 : รอการกลับมา (29/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 29-11-2019 16:16:01
บทที่ 12 : รอการกลับมา





















“ไงป้า กำลังจะไปไหน?”



“ธ…ธร ฉ…ฉันกำลังจะ…ไปตลาด”



“รีบไปทำไมล่ะ อยู่คุยกันก่อนสิ ฮึฮึฮึ”



กันต์ธร ณรงค์กร หัวหน้ากลุ่มทวงหนี้ผู้หล่อเหลา ภายใต้สังกัดของเสี่ยประดับทอง เจ้าของบ่อนชื่อดังอายุน้อย เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในสายงานเดียวกัน ชายหนุ่มวัย 25 ปี คลุกคลีและซึมซับทุกพฤติกรรมความก้าวร้าวจากอันธพาลรุ่นเก่า ปลูกฝังลงจิตใต้สำนึกของเขายาวนานเกือบ 5 ปีเต็ม





และบัดนี้ กันต์ธร เด็กน้อยแสนใจดีคนนั้น ได้กลายเป็นปีศาจร้ายที่ใครต่อใครต่างพากันหวาดกลัวเพียงได้ยินชื่อ ทั้งตัวเขาเองก็สัมผัสได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ ทำให้เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเองซะเหลือเกิน






สมุดปกอ่อนถูกกางออกบนโต๊ะไม้สีคล้ำ ที่ตั้งอยู่ภายในบ้านไม้หลังเล็กมุงสังกะสี หญิงชาวบ้านอายุเลยวัยกลางคนไปได้พักใหญ่ กุลีกุจอเตรียมออกจากบ้าน ก่อนถึงเวลาที่กันต์ธรจะมาเยือนเป็นประจำ และนั่นทำให้หัวหน้ากลุ่มทวงหนี้ ต้องออกมาดักคอยเร็วขึ้นทุกวันเช่นกัน








“จ่ายมาเหอะ จะได้ไม่ด้วนไปอีกข้าง”


“ฉ…ฉันไม่มีจริงๆ นะ”



สีหน้าแห่งความทุกข์ระทมของหญิงสูงวัย ไม่ได้มีผลสะกิดต่อมความรู้สึกสงสารใดใดของชายหนุ่มได้สักนิด เขาเดินเข้าใกล้แล้วกระชากแขนข้างขวาของเธอขึ้นมา จ้องมองไปยังมือที่มีนิ้วมือเหลือเพียงสามนิ้ว





เสียงกรีดร้องดังลั่นซอย เมื่อนิ้วที่สามได้ถูกตัดออกในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว บ้านไม้มุงสังกะสีอีกหลายหลัง ปิดประตูหน้าต่างแล้วเงียบเสียงไปสนิท ด้วยเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดครั้งแล้วครั้งเล่ากับลูกหนี้ของประดับทองนั้น เป็นการลงทัณฑ์อย่างหนักโดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น




ความโหดเหี้ยมเป็นที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งจังหวัด แต่ก็ไม่วายยังคงมีคนกล้าลองดีติดหนี้เสี่ยประดับทองอยู่ไม่ขาดสาย ลูกหนี้หลายคน ชิงปลิดชีพตัวเองก่อนที่การทรมานจากกันต์ธรจะเดินทางไปถึง และนั่นย่อมไม่ใช่ผลดีกับเจ้าหนี้เช่นประดับทอง




ความรุนแรงที่หนักข้อขึ้นทุกวันของกันต์ธร เริ่มทำให้เจ้านายเช่นประดับทอง รู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะนั่น ยังรวมไปถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเรื่องราวลึกซึ้งของพวกเขาบนเตียงด้วย
















“พอแล้ว! ฉันเจ็บ!!! พอ!!!!!”





หัวหน้าหน่วยทวงหนี้โถมกายเข้าใส่เสี่ยหน้าใสมานานร่วมชั่วโมงแล้ว สารพัดท่าในการร่วมเสพสมถูกงัดออกมาใช้อย่างไม่ซ้ำกัน ทั้งยังรวมไปถึงมือทั้งสองที่หยาบกร้านของกันต์ธร ก็บีบเข้าที่บริเวณลำคอขาวนั้นอย่างแรง และมันแรงขึ้นเรื่อยๆ จนประดับทองแทบขาดอากาศหายใจเอาเสียจริงๆ ในคราวหนึ่ง









“ฉันบอกให้พอ!!!”









กริ๊ก!







เสียงตวาดลั่นดังขึ้นสนั่นห้องส่วนตัวอันมิดชิด พร้อมปืนกระบอกเล็กพอดีมือก็ถูกยกขึ้นแล้วจ่อเข้ากลางศีรษะของชายหนุ่มจ้าวตัณหาด้านบน







“ฮึฮึ”





เสียงหัวเราะที่ประดับทองคุ้นชินและดวงตาหรี่ปรือที่ถูกส่งมาให้ ช่างน่าหวาดกลัว ชายหนุ่มไม่หยุดการกระทำของตนเองลง เพียงมีปืนกระบอกเล็กจ่อศีรษะ ทั้งยังกระทำการใดใดที่รุนแรงขึ้นอีกจากเมื่อครู่ ด้วยบัดนี้ อารมณ์ได้ถูกพัดพาให้ตื่นเต้นหนักกว่าเก่าเป็นเท่าทวี






ร่างประดับทองในวัยเกือบ 40 ปี ถูกย่ำยีอย่างหนัก ไม่ต่างกับการถูกชายฉกรรจ์หลายสิบคนรุมทำร้าย




เรื่องราวสุดเผ็ดร้อนนี้ ไม่อาจหลบหลีกสายตาของพ่อเลี้ยงสน คนรักของประดับทองไปได้ คำสั่งเด็ดขาดให้จัดการชายหนุ่มวัย 25 ผู้เต็มไปด้วยความรุนแรงจึงถูกส่งตรงออกมา และมันถึงเวลาแล้วที่ประดับทองจะต้องยุติความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปไกล ระหว่างเขาและชู้รักอายุน้อยคนนี้







“ผมไม่เลิก!”



“ฉันไม่ได้ถาม”



“เรื่องวันก่อนผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”



“ใช่ เพราะถ้านายตั้งใจ ฉันคงตายไปแล้ว”




“ผมขอร้อง ผมรักคุณนะ”



“นายไม่ได้รักฉัน…ธร นายแค่กำลังใช้ฉันระบายอารมณ์”



“ผมเปล่า”





“งั้นตอบมาสิ ว่าตอนนอนกับฉัน นายคิดถึงใคร!?! …นายทำงานให้ฉันมานานนะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ นายใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันนาย ห๊ะ ธร!?!”







“ผมไม่รู้”




คำตอบในใจที่ฉายชัด ถูกความกลัวบดบังเอาไว้ ไม่ให้ชายหนุ่มกล้าเอ่ยมันออกไป เขาไม่กล้าบอกให้ใครได้ล่วงรู้ ว่าเขาใช้ร่างของประดับทองเพื่อเป็นตัวแทนของคนคนหนึ่งที่เขาไม่อยากนึกถึงมากที่สุด ยิ่งนึกยิ่งเจ็บอยู่ข้างใน ความรุนแรงทางใจและการทำร้ายทางร่างกายที่เขาได้รับมาตลอด ตั้งแต่ที่ชีวิตดิ่งลงเหว สุมไฟแค้นในใจเขาที่มีต่อภพตะวันและครอบครัวหนักขึ้นเรื่อยๆ




เขาอยากทำร้าย อยากทำลาย อยากทำให้คนที่ไม่ได้มารับรู้เรื่องอะไรด้วยเลย ได้รับรู้และเข้าใจบ้าง ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นสาหัสขนาดไหน ทั้งๆ ที่ปากก็บอกว่าอยากอยู่ด้วยกัน อยากเคียงข้างกัน แต่ก็ทำร้ายเขาได้สารพัด ทั้งเจ้าตัว ทั้งครอบครัว





กันต์ธรผู้ไม่ได้รับการใส่ใจในความรู้สึก คิดกล่าวโทษทุกคนในชีวิต และมีเพียงสองทางเท่านั้น ที่เขาจะสามารถระบายความเจ็บปวดนั้นออกมาได้ คือหนึ่ง การระบายความโหดร้ายในใจกับบรรดาลูกหนี้ และสอง การหลับนอนกับประดับทองอย่างบ้าคลั่ง








“นายตั้งใจทำงานให้ฉันมาตลอดนะธร ฉันต้องขอบใจมาก แต่ฉันว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะปล่อยนายไป…ฉันจะถือว่านาย ใช้หนี้ฉันครบหมดแล้ว จากนี้พวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”





“คุณไล่ผมออก เพราะเขาสั่งมาสินะครับ?”



“…ใช่”




คำตอบสั้นๆ แต่ทว่าแสนเจ็บปวด คำสุดท้ายที่เจ้านายผู้งดงามได้บอกกับเขา มันทำให้เขาจำฝังใจอย่างไม่มีวันลืม และแม้ว่าจะมีอาการจุกอยู่ในอกสักเท่าไหร่ เขาก็ยังคงรู้สึกขอบคุณประดับทองอย่างมากล้น ที่ได้ชี้ช่องทางชีวิตและความสามารถของเขาให้ตัวเขาเองได้รับรู้ ทั้งยังช่วยให้เขาได้รับความสุขทางกายอยู่เป็นประจำตลอดหลายปีที่ผ่านมา






หนี้ก้อนโตที่ถูกหักล้าง และอำนาจเงินทองที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และครอบครัวของเขากลับมาเชิดหน้าชูตาและร่ำรวยได้ไม่ต่างจากเดิม





เพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไป คือความสุขของคนภายใต้ชายคาตระกูลณรงค์กร บิดาที่ติดหนี้ไม่เลิก ยังคงก่อหนี้หนัก แต่ถึงอย่างนั้น ประดับทองผู้ขึ้นชื่อว่าเคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับกันต์ธร ก็ยังคงให้สิทธิ์เขาได้เล่นการพนันเท่าที่ใจต้องการ ด้านมารดาผู้อดทนมาตลอด แม้จะมีข้าวของเงินทองกองเป็นภูเขา แต่ด้วยงานที่ลูกชายทำนั้น เรียกได้ว่ายืนอยู่บนกองทุกข์ของผู้อื่น ทำให้เธอไม่อาจมีรอยยิ้มสดใสฉาบไล้บนใบหน้าได้เช่นก่อนเก่า







“ธร วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอลูก?”



“เค้าไล่ธรออกแล้วแม่”



“คุณประดับทองน่ะเหรอ?”



“ครับ”



“มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า?”



“แฟนเค้าหวงอ่ะ”



“…แล้วธรจะทำยังไงต่อ”



“ไม่รู้เหมือนกัน ขอธรคิดสักสองสามวันนะ”



“ไม่เป็นไรนะธร แม่ว่าก็ดีเหมือนกัน ลูกจะได้พักบ้าง นานมากแล้วที่แม่ไม่เห็นธรได้พักเลย”



“ธรทำเพื่อแม่นะ”



“แม่รู้…ขอบใจธรมากนะลูก”













กันต์ธร กลายเป็น ’เสี่ยธร’ ที่ใครๆ ต่างพากันยกมือไหว้ ด้วยหลังจากนอนคิดอยู่สองถึงสามสัปดาห์ เขาก็เริ่มออกค้นหาชายผู้มีกำลังวังชาดีมากลุ่มหนึ่ง เพื่อมารับหน้าที่เป็นลูกน้องในการทวงหนี้ให้กับเขา เสี่ยธรทำธุรกิจทุกรูปแบบที่ได้รับการเรียนรู้มาจากประดับทอง ทั้งเปิดบ่อน ปล่อยเงินกู้ รีดค่าคุ้มครอง




เขาไม่จำเป็นต้องออกไปคุยงานเอง หรือใช้แรงตัวเองให้เหนื่อยอีกต่อไป เขาเพียงนั่งควบคุมให้ทุกสิ่งอยู่ในสายตาในบ้านของตัวเองเท่านั้น เรียกได้ว่า เขากำลังพยายามดันตัวเองให้เป็นประดับทองคนที่สองก็ว่าได้




และตั้งแต่ที่กันต์ธร กลายร่างเป็น เสี่ยธร เขาก็มีจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวในการมีชีวิต






คือ…รอการกลับมาของลูกหนี้คนสำคัญของเขา






























‘ถึง กันต์ธร ณรงค์กร

สวัสดีธร ฉันไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้ของฉัน จะส่งไปถึงนายไหม
ฉันเขียนถึงนายไปกี่ฉบับแล้ว ฉันเองยังจำไม่ได้
และคิดว่านี่คงเป็นฉบับสุดท้ายแล้วนะ ที่ฉันจะส่งไป
ฉันอยากให้นายย้ายมา เหมือนที่เราสัญญากันไว้นะธร
ฉันยังรอนายอยู่นี่นะ
งานของฉันตอนนี้ก็ไปได้สวย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ถ้านายย้ายมา ฉันจะลองคุยกับหัวหน้าให้
เขาใจดีแล้วก็ช่วยเหลือฉันหลายอย่าง…’





ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่บัดนี้เข้าทำงานในบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ เขายังคงส่งจดหมายหลายร้อยฉบับไปยังที่อยู่เดิม ที่ใช้ติดต่อกับเพื่อนรักของเขา แม้ว่า จะไม่มีจดหมายตอบกลับส่งมาให้เขาเป็นเวลาห้าปีเศษแล้วก็ตาม ชีวิตที่สุขสบาย การปรับตัวที่เข้าที่เข้าทาง ไม่ได้ลดปริมาณความคิดถึงที่เขามีต่อกันต์ธรไปได้เลยสักนิด




ชายหนุ่มหน้าใสวัยขบเผาะ ยังคงมีรักเดียวอยู่ในดวงใจ และเฝ้ารอวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง กับเด็กหนุ่มผู้ให้คำมั่นสัญญากับเขาเอาไว้




แต่นี่ก็นานเกินไปแล้ว และภพตะวันก็ท้อแท้หนักมากขึ้นทุกวัน กระดาษบางแผ่นที่เขาส่งไป มีสภาพยับย่นเป็นหย่อมๆ ด้วยน้ำตาเจ้าตัวได้หยดลงกระทบแผ่นกระดาษ ภพตะวันจะรอจนมันแห้งสนิทก่อนแล้วจึงพับใส่ซอง เพื่อส่งออกไป




เช่นเดียวกับจดหมายฉบับสุดท้ายฉบับนี้ ที่มีรอยยับย่นเกือบทั่วทั้งแผ่น ชายหนุ่มผู้เติบโตขึ้น สง่างามขึ้นมาก ทั้งสรีระภายนอกและท่าทางการวางตัวที่นอบน้อม เขาโบกกระดาษเปื้อนน้ำตาในมือไปมาจนแห้งสนิท จึงปิดใส่ซอง จ่าหน้าเป็นที่อยู่เดิมในอเมริกาของกันต์ธร





ชายหนุ่มหน้าตาดีเดินคอตกออกจากอพาร์ทเมนท์สุดหรูส่วนตัว หรือนี่จะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับคำว่า  ‘ดวงใจใกล้สลาย’ ของเขากันนะ









ปึก!



“โอ๊ย”



“ขอโทษครับ!”




ด้วยจิตใจอันเหม่อลอยไปถึงใครบางคนอย่างหนัก ทำให้ชายหนุ่มเผลอชนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งตรงทางเดิน เขาลืมตัวไปสนิทว่าเมื่อครู่เผลอพูดภาษาไทยออกไป และนั่น ก็ทำให้หญิงสาวคนนั้น ที่กลับมายืนตรงได้อีกครั้ง ต้องนิ่งชะงักไปแล้วเอาแต่จ้องหน้าเขาไม่วางตา




“คุณ…เป็นคนไทยเหรอคะ?”



“อ่า…เอ่อ ครับ เมื่อกี้ ผมขอโทษด้วยนะครับ”



“ไม่เป็นไรค่ะ โชคดีที่คุณช่วยรับไว้ทัน”



การพบกันครั้งแรก ของคนไทยสองคนที่มีนิสัยใจคอสุภาพเรียบร้อยและหน้าที่การงานดี และที่สำคัญ พวกเขายังโสดด้วยกันทั้งคู่ ความใกล้เคียงที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร และนั่น ทำให้พวกเขาเข้ากันได้ดีในเวลาอันสั้น





ช่องว่างของส่วนลึกที่ภพตะวันคอยมอบมันให้กับคนไกลที่ไม่มีการติดต่อมานานหลายปี ค่อยๆ ถูกเติมเต็มและแทรกซึมเข้ามา ด้วยหลานสาวตระกูลผู้ดี ที่เขาพึ่งพบว่า เธอเป็นคนจังหวัดเดียวกันกับเขา และนั่นยิ่งช่วยกระชับสัมพันธ์ของพวกเขาให้มากขึ้นไปอีก





ภพตะวันไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร ไม่ว่าชายหรือหญิง ตั้งแต่แยกกับกันต์ธร




และในวันนั้น ที่อากาศเย็นเขาปกคลุมทั่วพื้นที่ ภายในอพาร์ทเม้นท์แสนอบอุ่นริมถนนชื่อดังในลอนดอน ภพตะวันได้รับความอบอุ่นแรกจากเรือนร่างของอิสตรี ความลึกล้ำที่เขาไม่เคยได้รับสัมผัสมาก่อนในชีวิตนี้ มันช่างหอมหวานและยั่วยวนจนเขาไม่อาจข่มใจ หลังจากนั้น คนทั้งคู่จึงได้ตกลงปลงใจเกี่ยวก้อยเป็นเจ้าของซึ่งกันและกันในที่สุด













...


















Savahale Talk : ก็คือ ต่างคนต่างรออ่ะเนอะ แงงง ทำไมเขียนเองเศร้าเองงี้ไม่รู้ T___T
    ​













-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------










ขอบคุณ คุณ AkuaPink และ คุณ blove สำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ  :mew1:


มาลุ้นกันต่อค่า ^^




 :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 12 : รอการกลับมา (29/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 29-11-2019 21:17:52
คนนึงรอคอยแบบหมดหวัง แต่อีกคนรอคอยด้วยความแค้น หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 12 : รอการกลับมา (29/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 29-11-2019 23:21:50
ต่างคน ต่างรอ ต่างกันอยุ่คนละมุม
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 12 : รอการกลับมา (29/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 30-11-2019 03:43:30
ต่างตนต่างรอแบบเข้าใจผิดๆ รอแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย จดหมายก็ส่งไม่ถึงไม่ได้รับอีกคนก็ไม่รู้ พอไม่รู้ก็ฟาดงวงฟาดงา คือไปคนละทางเลย จะบรรจบพอเข้าใจกันตอนไหนละเนี้ย โอ๊ยยยย กลุ้มแทน 555555 สนุกๆ รอรอตอนต่อไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 13 : เผชิญหน้าอีกครั้ง (30/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 30-11-2019 20:48:48
บทที่ 13 : เผชิญหน้าอีกครั้ง
















“เชิญด้านในเลยนะคะ”



เจ้าของบ้านสูงวัยทั้งสอง ต่างพากันเดินไปทั่วบริเวณซุ้มประตูทางเข้าบ้าน งานเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาของลูกชายเพียงคนเดียว ของเสี่ยเจ้าของธุรกิจรถสิบล้อยักษ์ใหญ่ในจังหวัด ไม่อาจจัดให้น้อยหน้าใครได้ แขกเหรื่อชนชั้นผู้ลากมากดี ถูกเชิญมาร่วมงานกันแทบทั้งจังหวัด ทำให้ผู้จัดงานต้องคอยเดินต้อนรับและตรวจตราความเรียบร้อยอย่างไม่ได้พักผ่อน



นอกจากเจ้าบ้านผู้อาวุโสของบ้านแล้ว ยังมีอีกหนึ่งชายหนึ่งหญิง ผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทางที่แสนสง่างาม คอยต้อนรับและบริการคนในงานอยู่ไม่ห่างกัน บ้านหลังใหญ่ของตระกูลวงศ์วรรธน์ ถูกประดับประดาไปด้วยม่านเนื้อดีและไฟประดับสีต่างๆ ที่ตัดให้เข้ากันกับบรรยากาศ




ทั้งวงดนตรีชื่อดัง ก็ถูกจ้างมาเล่นเพลงแสนรื่นหูตลอดค่ำคืนนี้ เรียกรอยยิ้มของแขกและผู้จัดงานได้เป็นอย่างดี หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนับจากนี้ จะได้เวลาที่นายเตี๋ยว ผู้เป็นเจ้าของบ้าน จะขึ้นไปประกาศเปิดงานบนเวทีพร้อมลูกชายอย่างเป็นทางการ แขกที่เดินเข้างานมาแล้ว เริ่มทยอยกันไปนั่งตามเลขโต๊ะที่เขียนไว้ในบัตรเชิญ









“ตื่นเต้นไหมลูก? วันนี้ภีมหล่อมากเลยนะ”



เสียงมารดาสั่นเครือเล็กน้อย ถามหาความตื่นเต้นจากลูกชาย ทั้งที่ตนเองนั้นกำลังตื่นเต้นกว่ามากอย่างออกหน้าออกตา





“ครับ…”



“เดี๋ยวพอไฟเปิด ภีมเดินออกไปยืนข้างพ่อเลยนะ”



“ครับ…”



“แล้วก็พูดที่ลูกเตรียมมา ท่องมาแล้วใช่ไหม?”



“ครับคุณแม่”



“ดีมาก ถ้าอย่างงั้น ภีมเดินไปหาพ่อที่ข้างเวทีเลยนะ เดี๋ยวแม่จัดการทางนี้เอง”



“ได้ครับ”





ภพตะวันหวีผมเลียบแปล้ กับชุดสูทเนื้อดีสีชมพูอ่อน ซ่อนใบหน้าสุดเบื่อหน่ายเอาไว้ข้างใน เขาไม่ได้สนับสนุนงานเลี้ยงที่สิ้นเปลืองนี้มาแต่แรก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่ทุกคนตั้งใจจัดขึ้นมาให้ ชายหนุ่มหันหลังพร้อมเดินไปหาบิดาที่บัดนี้เดินไปรออยู่ใกล้ๆ กับเวทีเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บทพูดที่เขาและสาลี่คิดมาด้วยกันทั้งคืน ก็จะได้ประกาศออกสื่ออย่างเป็นทางการ














“ภีม!!!!!”




เสียงทุ้มตะโกนลั่นบริเวณหน้าซุ้มประตูทางเข้างาน เรียกให้คนที่ยืนบริเวณนั้นทั้งหมดหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน รวมทั้งเจ้าของงานที่กำลังจะเดินไปเตรียมตัวข้างเวที ภพตะวันหันมาจ้องค้างกับแขกคนสำคัญ บุรุษผู้ทำให้งานเลี้ยงของภพตะวัน ต้องเลื่อนเวลาจัดงานออกมาเป็นสัปดาห์ เพื่อให้เขานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจนร่างกายหายดีก่อน





ชายผู้มอบบาทาอันหนักหน่วงให้ร่างกายเขา ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันในรอบสิบปี
















ตึกตึกตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




“กันต์ ธร!”





มารดาของภพตะวันมีท่าทางตกใจอย่างหนัก เมื่อแขกได้ไม่รับเชิญโผล่มา เธอหันไปหาลูกชายแล้วหันกลับมามองหน้าแขก ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งคู่กำลังยืนจ้องหน้ากัน








“สวัสดีครับป้าบัว…สงสัยว่าบัตรเชิญที่ฝากเอาไปให้ผมจะหายนะครับ มันเลยไปไม่ถึงมือผม แต่ไม่เป็นไรนะครับ ยังไงผมก็มาแล้ว”




เสี่ยธรในชุดสูทดำน้ำตาลยกมือไหว้มารดาของเพื่อนรัก และไม่รอช้าเดินผ่านหน้าหญิงสูงวัยไปทางที่ภพตะวันยืนอยู่ เจ้าของงานยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทั้งหัวใจก็ยังคงเต้นแรงเช่นเคย แม้ก่อนหน้านี้เขาจะพึ่งถูกคนของกันต์ธรรุมซ้อมอย่างหนักมาก็ตาม








“นายไม่ได้บัตรเชิญเหรอ?”



“อือ สงสัยมีคนทำหล่น”



“เดี๋ยวฉันต้องขึ้นไปเปิดงานกับพ่อก่อน แล้วจะลงมาคุยด้วยนะ”



“ภีม…”






แขกคนพิเศษเดินเข้าไปด้านในงานพร้อมภพตะวัน และก่อนที่เจ้าของงานจะเดินแยกไปขึ้นเวที แขนเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือหนาอันแข็งแรง







“หืม?”



กันต์ธรเคลื่อนมือจากท่อนแขนภพตะวัน เคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ไปจนถึงบริเวณท่อนเอวในชุดสูทตัวหนา ก่อนจะโอบเอาไว้ให้ภพตะวันเข้ามาประชิดตัวกับเขา ด้านภพตะวันที่ใจสั่นก่อนหน้านี้ เริ่มสั่นหนักขึ้นไปอีก ดั่งกลองชุดที่กำลังตีรัวในจังหวะสุดมัน เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเพื่อนเก่า และพบว่ามันยังคงเดิมแบบที่เขาเคยมอง




แต่นั่นกลับเป็นเพียงวูบเดียวเท่านั้น แววตาดวงนั้นแปลเปลี่ยนไปจากนั้นคล้ายกับเป็นคนละคนจนภพตะวันประหลาดใจ เขาเดาเอาเพียงว่า กันต์ธรคงกำลังเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับเขาอยู่เท่านั้น






“ธร…ถ้าเรื่องอาทิตย์ก่อนที่นายพาคนมารุมทำร้ายฉัน ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันรู้ว่านายไม่ได้ตั้งใจ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายอีกเยอะเลย รอฉันเดี๋ยวนึงนะ”






ภพตะวันกล่าวเพียงเท่านั้น ก็โผตัวเข้ากอดเพื่อนรักไว้แน่นอย่างคิดถึง จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินขึ้นบันไดตรงเวทีไปเพื่อรอให้ไฟบนเวทีสว่างขึ้นตามคำบอกเล่าของมารดา






ปล่อยให้เสี่ยธรผู้กร้านโลกยืนตะลึงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเพียงลำพัง เขาตั้งใจมางานนี้ เพื่อเป้าประสงค์เดียว คือการยั่วยุและแก้แค้น หากแต่สิ่งที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ กลับลบล้างทุกความตั้งใจอันเลวร้ายของเขาไปจนสิ้น กันต์ธรไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกฟูฟ่องในอกนี้ได้เลย อ้อมกอดแสนอบอุ่นที่เขาคิดถึง นานมากแล้วที่ไม่ได้สัมผัส






อึก




‘เจ็บชะมัด…’






กันต์ธรทาบมือลงบนอกข้างซ้ายที่คล้ายกับมีไม้แหลมเสียบแทงเข้าตรงกลางก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจ ใบหน้าชาวาบและขึงตึงอย่างไม่อาจห้ามปราม เขาอึดอัดและหายใจไม่ออก ชายหนุ่มผู้มีประสงค์ร้าย เดินหันหลังออกมาตามริมทางในความมืด เขาอยากแก้แค้น อยากทำลาย แต่สิ่งแรกที่เขาต้องทำ คือต้องจัดการสลัดอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่นี้ให้หลุดก่อน







เสี่ยใหญ่แห่งชุมชนเดินวนไปยังโต๊ะยาวที่มีเครื่องดื่มสีสันสดใสมากมายตั้งอยู่ เขาเลือกหยิบแก้วบนโต๊ะนั้นมาหนึ่งใบ แล้วกระดกลงคออย่างรวดเร็ว น้ำรสหวานที่ฝาดบริเวณปลายลิ้น ไม่สามารถช่วยให้สมองที่ถูกกดทับของเขารู้สึกดีได้แต่อย่างใด เขาจึงลิ้มลองมันเสียแทบทุกชนิดที่ตั้งเอาไว้บริเวณนั้น จนในที่สุด อารมณ์และความรู้สึกก็สามารถกลับมาเป็นปกติดังเช่นในทุกๆ วันของเขาได้






สายตาคมเหลือบมองไปทั่วบริเวณงาน และในตอนนี้ก็ยังคงเป็นภพตะวันที่กำลังกล่าวอยู่บนเวทีมาได้พักใหญ่ ใบหน้าแสนหล่อเหลานั้น กันต์ธรจำได้ไม่มีวันลืมแม้แต่สักเสี้ยววินาทีของลมหายใจ มันตราตรึงอยู่ในใจเขามาตลอดแม้เขากำลังกกกอดร่างกายของใครอื่นอยู่ก็ตาม ใบหน้าที่เขาจ้องมองได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ แต่กลับอยากเบื่อ และอยากให้ตนเองรู้สึกเกลียดชังเสียมากกว่าหลงใหลเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้





ความมึนเบลอจากการผสมปนเปกันของแอลกอฮอล์หลายชนิด เริ่มส่งผลให้สมองของเขามีความคิดที่ลึกซึ้งกับคนบนเวทีหนักขึ้นเรื่อยๆ และก่อนที่เขาจะห้ามตัวเองไม่ไหวแล้วไปฉุดเจ้าของงานลงมากอดไว้แนบอก เจ้าตัวตัดสินใจหลบสายตาแล้วเปลี่ยนไปมองทางอื่นแทน




โต๊ะที่ตั้งไม่ห่างจากหน้าเวที มีหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาเริ่มคุ้นเคยนั่งอยู่ เธอจ้องมองชายบนเวทีอย่างไม่วางตาด้วยรอยยิ้มละมุน เธอปรบมือทุกครั้งที่ประโยคของคนบนเวทีนั้นซึ้งกินใจ ไม่มีสิ่งใดดึงความสนใจของเธอไปได้เลยแม้แต่น้อย



และนั่น ทำให้เสี่ยธรคนดัง เผยรอยยิ้มร้ายออกมาได้อีกครั้ง













“ขอโทษนะครับคุณสาลี่ พอดีในครัวมีปัญหานิดหน่อยครับ รบกวนมาช่วยดูสักนิดได้ไหมครับ?”




พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเดินเข้าแจ้งข่าวกับหญิงสาวที่กำลังยิ้มและตั้งใจฟังสิ่งที่ภพตะวันกล่าวอยู่บนเวที เธอหันมาพยักหน้าแล้วเดินตามพนักงานคนนั้นออกมาจนถึงในครัว ที่บัดนี้เงียบสนิท ด้วยคนงานต่างพากันแอบไปดูเจ้านายพูดบนเวทีกันหมด




เมื่อไม่พบว่ามีใครอยู่ในนั้น รวมถึงพนักงานคนเดิมอยู่ๆ ก็หายตัววับไปเสียอย่างนั้น ท่านหญิงผู้เลอโฉม จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องครัวเพื่อกลับไปนั่งที่โต๊ะ แต่ก่อนที่จะทันได้ก้าวเท้าพ้นขอบประตู ก็มีเสียงหนึ่งเรียกเธอเอาไว้









“คุณสาลี่…”



เงาคนที่หลบอยู่หลังตู้ค่อยๆ โผล่ออกมา และปรากฏใบหน้าหนุ่มผู้ทวงหนี้โหดคนเดิมกับที่เธอพบในตลาด และเป็นคนเดียวกับที่สั่งลูกน้องรุมถวายบาทาให้คู่หมั้นของเธอ เขาคนนั้นจ้องมองเธอดั่งอสรพิษจ้องเหยื่อ ปากค่อยๆ อ้าออกแล้วลิ้นก็แลบเลียไปทั่ววงปากคล้ายกำลังหิวอย่างน่าสยดสยอง






“นาย…!”




“ฮึฮึฮึ”



“ต้องการอะไร!?!”



“ยืนนิ่งๆ ดีกว่านะคุณคนสวย จะได้ไม่ต้องมีรูบนหน้าท้อง”




เสี่ยธรค่อยๆ เดินเข้าใกล้หญิงสาวพร้อมมีดปลายแหลมเล่มเล็กในมือ เขาจ้องหน้าเธอไม่วางตาแล้วค่อยๆ ทำจมูกฟุดฟิดสูดดมไปรอบบริเวณนั้น







“เธอนี่ ทั้งสวยทั้งหอมเลยนะ ฉันว่าเราไปคุยกันแบบส่วนตัวกว่านี้ดีกว่า”



“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย!”



“หรือเธออยากให้ฉันไปคุยกับภีมแทนดีล่ะ เธอนี่…ช่างไม่รู้อะไรซะจริงๆ เลยนะ มากับฉันดีดี จะได้ต้องมีใครเจ็บตัว”












ค่ำคืนนั้น หลังจากที่ภพตะวันเดินลงมาจากการกล่าวต้อนรับแขกเป็นเวลานาน เขาก็ไม่พบหน้ากันต์ธรและคู่หมั้นของเขาอีกเลยตลอดทั้งคืน และไม่ว่าไปตามถามจากใคร ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าหายไปไหน กระทั่งวันถัดมานั่นล่ะ คู่หมั้นของเขาจึงเดินทางมาหาเขาที่บ้านด้วยสีหน้าเศร้าหมองออกไป



เธอทำทุกอย่างเป็นปกติ แต่คนรักที่คบหากันมา กว่า 3 ปี ย่อมมองออกอย่างแน่นอน แต่ด้วยภพตะวันไม่ใช่คนที่ต้องเค้นเอาความจริงจากใครให้ต้องรู้สึกอัดอึด เขาจึงได้ไม่ถามอะไรเธอออกไปให้มากมายนัก และจากวันนั้นมา คู่หมั้นของเขา ก็หายตัวไปไร้การติดต่อใดใดกลับมาอีก


























“ภีม แม่ไม่เห็นหนูสาลี่มาหลายวันแล้วนะ ทะเลาะอะไรกันรึเปล่า?”



“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าสาลี่เป็นอะไร วันก่อนที่มาก็ดูเธอซึมๆ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรเธอไป”



“แม่ว่าไปเยี่ยมเธอที่บ้านดูหน่อยไหมภีม”



“ครับ ผมจะไปดูพรุ่งนี้”



“ทำไมลูกไม่ไปวันนี้เลยล่ะ นี่ก็กำลังจะออกบ้านไม่ใช่เหรอ?”



“พอดีวันนี้ผมตั้งใจว่าจะไปเที่ยวหาธรครับ”









!!!




“ภีม แม่ว่าอย่าพึ่งไปดีไหม วันนี้ไปหาหนูสาลี่ก่อนดีกว่านะ”




“คุณแม่มีอะไรกับธรรึเปล่าครับ ตั้งแต่วันก่อนแล้วที่ธรมางาน ก็ดูคุณแม่ท่าทางแปลกๆ”



“ภีม…ฟังแม่ดีดีนะ ตอนนี้กันต์ธรเพื่อนลูก…ไม่ใช่คนที่ลูกเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว”




คุณนายบ้านวงศ์วรรธน์เก็บงำความลับระหว่างสองตระกูลเอาไว้ และตั้งใจว่า จะเก็บมันไว้ตลอดไป เมื่อเวลาล่วงเลยไปยาวนานถึงสิบปี และลูกชายของเธอ บัดนี้ก็มีคู่หมั้นคู่หมายที่เพียบพร้อมแล้ว เธอภาวนามาตลอดให้ภพตะวัน ลืมเรื่องราวเก่าๆ ระหว่างเพื่อนรักของเขาซะ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้น






จนสุดท้าย ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ ก็ได้ถูกเล่าให้ลูกชายเพียงคนเดียวได้ฟัง






“มิน่า ธรถึงพาคนมาทำร้ายผม”



“รู้แบบนี้แล้ว เลิกไปยุ่งกับคนบ้านนั้นเถอะนะภีม ก่อนที่แม่จะหัวใจวายตายไปซะก่อน”



“…”



“ได้ไหมลูก?”



“ครับ…ผมจะไม่ไปยุ่งกับเขาอีก”





ภพตะวันนั่งนึกภาพตามเรื่องราวที่เขาได้รับฟังจากมารดาอยู่ครู่หนึ่ง ในอกก็เกิดเจ็บปวดขึ้นมาเสียอย่างนั้น จดหมายทั้งหมดที่เขาตั้งใจส่งไปให้กันต์ธร ไม่เคยถึงกันต์ธรเลยสักฉบับ และในขณะที่เขาไม่ได้อยู่นี้ กันต์ธรก็พบกับความโหดร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพังมาโดยตลอด เมื่อนึกได้เช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มทายาทตระกูลวงศ์วรรธน์ก็ไม่อาจหยุดความเจ็บปวดภายในลงได้เลย




เขาอยากไปหา อยากไปขอโทษ อยากไปปลอบโยน คนที่เขาเคยสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกัน แต่เขากลับไม่ได้อยู่ที่นั่น วันที่โลกใบนี้หยิบยื่นความโหดร้ายให้กับเพื่อนรักของเขา





ภพตะวันเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบ เขาเดินห่างตัวบ้านไปเรื่อยๆ จนพบเข้ากับรถประจำทางสาธารณะสภาพใกล้ผุพัง ชายหนุ่มผู้แต่งกายเนี้ยบโดยสารรถคันนั้นเข้าไปในตัวเมือง เพื่อไปกล่าวขอโทษให้หายรู้สึกผิดต่อกันต์ธร ณรงค์กร




บ้านใหญ่หลังเดิมที่เขาอาศัยเป็นบ้านหลังที่สองสมัยเรียนชั้นมัธยม เขาจำมันได้ดี ซึ่งบัดนี้ได้มีการปรับปรุงและตกแต่งเพิ่มเติมด้วยไม้เนื้อดีแทบทั้งหลัง ชายหนุ่มเดินไปกดกริ่งเพียงไม่นาน เจ้าบ้านที่แสนคุ้นหน้าคุ้นตาก็ออกมาเปิดประตูให้









“สวัสดีครับคุณน้า”




“ภีม?”




“ธรอยู่ไหมครับ?”




“อ..อยู่ อยู่จ้ะ ภีมกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”




“ผมกลับมาได้เกือบเดือนแล้วครับ ผมนึกว่าธรบอกคุณน้าแล้ว”




“อ่า…ธรน่าจะบอกแล้ว แต่น้าลืมเอง ภีมเข้ามาก่อนสิ”




“ขอบคุณครับ”





แขกผู้มาเยือนยิ้มแย้มดังเช่นเด็กน้อยอีกครั้ง เขาตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้เดินเข้าไปด้านใน ภพตะวันทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวแล้วนั่งมองการตกแต่งรูปแบบใหม่ไปรอบๆ เพียงครู่ก็มีน้ำและขนมมาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ นั้น





...







“ภีม”




“ธร…”





เสี่ยธรเดินตาขวางออกมาจากห้องทำงาน เมื่อมารดาเข้าไปแจ้งว่ามีคนมาหา ช่วงนี้งานเขายุ่งมากเป็นพิเศษ ด้วยใกล้เทศกาล และใครหลายคนมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินกันมากกว่าปกติ เสี่ยธรจึงต้องตรวจสอบประวัติและวางแผนสำหรับรับมือ หากว่าถูกเบี้ยวหนี้




เมื่อเสี่ยเจ้าของบ้านเห็นว่าใครมาหา สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะไปแกล้งภพตะวันที่บ้านเสียหน่อย แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่า เจ้าตัวมานั่งยิ้มลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านของเขาเองเป็นที่เรียบร้อย







“นายมีธุระอะไร?”



“ฉัน…อยากมาคุยด้วยหน่อย ตั้งแต่กลับมาฉันยังไม่ได้คุยกับนายเลย”



“งั้นตามมาสิ”







“ไปไหนเหรอ?”



“ตามมาเดี๋ยวก็รู้”








ความสนุกของกันต์ธรกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาไม่สามารถหุบรอยยิ้มชั่วร้ายของตนลงได้เลย และอดใจไม่ไหวแล้ว ที่จะเอาคืนทายาทตระกูลผู้ดีจอมปลอมให้สมใจอยาก
    ​

























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------








ขอบคุณ คุณ bun , คุณ smmikie  และ คุณ blove สำหรับคอมเม้นท์มากๆเลยนะคะ  :pig4: :กอด1:


เค้าเจอกันแล้วนะคะ แงงงง คุณภีมจะเจออะไรบ้าง มาลุ้นกันต่อในบทถัดไปนะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งค่า :pig4: :pig4: :pig4:



 :L1: :L1: :L1:  :L1: :L1:



หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 13 : เผชิญหน้าอีกครั้ง (30/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 30-11-2019 21:49:49
ต่อจากนี้ภีมจะต้องเจ็บช้ำอีกหรือเปล่า จะโดนกระทำอะไรบ้าง คู่มั่นก็หายไปแล้ว
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 13 : เผชิญหน้าอีกครั้ง (30/11/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-12-2019 03:22:14
เอาคืนแล้วตัวเองก็อย่าเสียใจกับการกระทำของตัวเองละธร หึหึ!! อิอิ!! รอตอนต่อไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 14 : สูญสิ้นสิ่งสำคัญ (02/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 02-12-2019 10:17:59
บทที่ 14 : สูญสิ้นสิ่งสำคัญ




















แขกผู้มาเยือนฉายสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเพื่อนรักเดินนำตนอ้อมไปอีกทางของบ้าน แล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยหน้าต่างไม้สีน้ำตาล ภายในประดับตกแต่งไปด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่







“มานั่งนี่สิ”



กันต์ธรเดินไปหยุดบริเวณเก้าอี้ตัวใหญ่เนื้อดีสำหรับนั่งทำงาน ที่ใครเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกได้ในทันทีว่า เบาะรองนั่งนั้น ต้องนุ่มมากเป็นแน่ ภพตะวันที่เดินตามเข้ามามองหน้าเพื่อนรักแล้วยิ้มตอบ จากนั้นเจ้าตัวก็เดินไปนั่งลงบนบัลลังก์ส่วนตัวของกันต์ธร ที่นอกจากเจ้าของแล้ว ยังไม่เคยมีใครได้นั่งทับรอยเขาเลยแม้แต่คนเดียว








“โต๊ะทำงานนายเหรอ?”



“อือ นั่งรอฉันตรงนี้เดี๋ยว ฉันไปเอาขนมมาให้”




เจ้าของห้องทำงานเดินออกจากห้องไปแล้ว ปล่อยทิ้งไว้เพียงแขกผู้มาเยือน ภพตะวันยังคงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่ได้แตะเอกสารใดๆ บนโต๊ะที่ยังวางกระจัดกระจายอยู่ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ ห้องทำงานแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และกินพื้นที่ของบ้านไปหลายตารางวา





ตั้งแต่ภพตะวันก้าวเข้าบ้านหลังนี้มา หัวใจที่กระเพื่อมอยู่ด้วยความตื่นเต้น ยังไม่หยุดกระเพื่อมลงเลย

















“นัดกันดีดี อย่าให้พลาด”



“ครับนาย!”




เจ้าของบ้านที่เดินออกจากห้องส่วนตัวมา ไม่ได้เดินเข้าห้องครัวหรือเรียกแม่บ้านแต่อย่างใด เขาเดินออกมาหาลูกน้องกลุ่มหนึ่งข้างนอกตัวบ้าน แล้วสั่งการบางอย่างไปโดยที่เจ้าตัวยังไม่หุบยิ้ม หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการแล้วล่ะก็ ความแค้นที่สั่งสมมาตลอดสิบปี คงได้สะสางลงเสียที ทุกอย่างจะได้จบลง ไม่ต้องค้างคาใจใดใดกันอีก





ชายฉกรรจ์สามถึงสี่นาย กระจายตัวกันออกแยกย้ายตามคำสั่ง เมื่อจัดการธุระสำคัญเรียบร้อย กันต์ธรจึงได้เดินเข้าห้องครัวแล้วจัดการนำน้ำและขนมมาจัดวางในถาดเพื่อนำไปเสิร์ฟให้แขกผู้ทรงเกียรติด้วยตัวเอง เขาเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานและพบว่าเพื่อนรักยังคงนั่งอยู่ในจุดเดิม และยังคงส่งยิ้มมาให้เขาไม่ขาด







สายตาที่แสนน่าชังดึงดูดให้เจ้าของห้องต้องวางถาดลงบนโต๊ะทำงาน ทับเอกสารสำคัญหลายใบของตัวเอง แล้วอ้อมมายืนด้านหลังของเก้าอี้หมุนเนื้อดีตัวนั้น เขาจับเบาะหลังของเก้าอี้แล้วหมุนให้ภพตะวันหันหน้ามาหาเขา จากนั้นเจ้าตัวก็โน้มตัวลง สองมือจับที่บริเวณพนักวางแขนและคร่อมตัวลง ขังภพตะวันไว้ในเบาะนุ่มนั้น จนคนที่นั่งเก้าอี้แทบจะแทรกจมเข้าไปในเบาะ






“นายจะคุยอะไรนะ?”




“ฉัน…”





ลมหายใจที่เป่ารดใกล้เข้ามาทุกที มันเริ่มละลายสติของภพตะวันให้ค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงก้มหน้าแล้วเบียดตัวเข้ากับเบาะ คำพูดที่คิดไว้หายสาบสูญไปกับอารมณ์วาบหวามของตนเองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้






“หืม...ภีมว่าไงนะ ฉันไม่ได้ยินเลย?”






เจ้าของห้องแตะปลายจมูกลงบริเวณใบหูของภพตะวันแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่ต่างกับหัวใจ







“ฉัน…นาย…”












ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ






“…ฉันขอโทษนะธร”



“…”



และแล้ว คำพูดที่กันต์ธรไม่อยากได้ยินมากที่สุดก็ถูกเปล่งออกมา เขาหยุดทุกการกระทำของตนลง แล้วยืดตัวขึ้นยืนตรงต่อหน้าภพตะวัน ความรู้สึกอุ่นละมุนเมื่อครู่หายวับไปพร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด






“ขอโทษอะไร?”



“ตอนนั้น…ที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วย”




ภพตะวันเอ่ยคำขอโทษอย่างตรงไปตรงมาทั้งน้ำเสียงและแววตา การกระทำที่มีผลรุนแรงส่งไปยังกันต์ธรให้ต้องรู้สึกหนักขึ้นกว่าเก่า ผู้ฟังกำลังออกอาการสั่นด้วยในอกจุกตันไปหมดและอีกนิดเดียว ความกดดันทั้งหมดก็จะปะทุออกมาเป็นความอ่อนแอ ที่เรียกว่าน้ำตา หากแต่เจ้าของกลับไม่ต้องการให้น้ำใสไหลออกมาต่อหน้าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เขา ชายหนุ่มเดินหันหลังออกจากห้องไป และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ความอัดอั้นใจร่วงหล่นรดลงมาอาบไล้บนใบหน้าพอดี








“ธร…”







“กลับบ้านไปซะภีม!”







กันต์ธรเดินหนีออกห่างไปยังห้องรับแขกที่อยู่ไม่ไกลนักโดยไม่หันกลับมามองคนที่วิ่งตามหลังมาและเรียกเขาเอาไว้ ด้วยสิ่งที่ภพตะวันอยากพูดนั้น ยังมีอีกมากมาย







“นายโกรธฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอธร? แม่เล่าให้ฉันฟังแล้วนะ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับบ้านนาย ฉันรู้ว่านายเจ็บปวด แต่ขอร้อง…”









กึก




“…นายไม่รู้หรอก!!!”





ชายหนุ่มคนเดิมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อครู่ บัดนี้หันมาสบตากับภพตะวันด้วยดวงตาแดงก่ำฉายแววอาฆาตรุนแรง ทั้งน้ำเสียงที่ตวาดกลับมาก็ดุเดือดเสียจนภพตะวันถึงกับนิ่งชะงักไปด้วยตกใจอย่างหนัก





“อยากรู้ไหม ว่ามันเป็นยังไง ถ้านายอยากรู้…พรุ่งนี้สองทุ่มก็มาที่นี่อีกทีสิ แล้วนายจะได้รู้”





กันต์ธรยังคงมีสายตาคมแค้นส่งมา ดวงตานั้นเบิกโพลงและน้ำตาไหลออกมาเป็นสายโดยที่เจ้าตัวไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย กรามหนาขบเข้าหากันอย่างข่มอารมณ์อัดอั้นในอก อีกเพียงนิดเดียว หากภพตะวันยังไม่หยุดลอยหน้าลอยตาใกล้ๆ เขาก็พร้อมเต็มที่ ที่จะส่งมือหนาไปบีบคอคนตรงหน้าให้ขาดใจตายเสียตรงนี้







ภพตะวันผู้มาเยือนไม่อาจเอ่ยคำใดออกไปได้อีก ด้วยเขาไม่รู้ว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นใคร หากแต่สิ่งที่ส่งตรงมายังเขา…ช่างน่าหวาดกลัว





ชายคนนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้ ทั้งที่ดวงตากำลังปลดปล่อยน้ำตาแห่งความทรมาน เขาไม่อาจทนอยู่ใกล้กับคนคนนี้ได้อีก หนุ่มผู้มาเยือน ตัดสินใจเดินถอยหลังห่างจากชายผู้นั้นไป พร้อมกับมือที่กุมบริเวณกลางอก




ความเจ็บปวดที่ถูกส่งมา ทำให้ภพตะวันที่โดยสารรถประจำทางกลับบ้านมีน้ำตาตลอดทาง เขายังคงจมเข้าไปอยู่ในโลกที่กันต์ธรถ่ายทอดมาให้เมื่อสักครู่ แม้ไม่สามารถย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ที่เพื่อนรักของเขาเคยพบเจอมาได้ แต่นั่นก็คงจะเจ็บปวดเกินขีดจำกัดที่คนคนหนึ่งจะรับมือได้ไหวเป็นแน่





ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัวไปหมด กระทั่งคู่หมั้นที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายวัน เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงตั้งแต่หัวค่ำ แต่กลับไม่สามารถข่มตาให้หลับสนิทลงได้ จิตใจยังคงวนเวียนคิดหาทางออกให้กับบาดแผลในใจของเขาและกันต์ธรตลอดทั้งคืน โดยที่มารู้สึกตัวอีกที แสงแดดก็สาดลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว


















“ภีม เมื่อวานไปหาหนูสาลี่มาเหรอลูก?”




“ป่าวครับ”




“อ่าว แล้วไปไหนมาล่ะ? แม่เห็นภีมไม่อยู่”




“…”




“ภีม?”




“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวไปนอนพักก่อนนะครับ”




ภพตะวันลงมาทานอาหารเช้ากับครอบครัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แม้จะบังคับให้ฝืนยิ้มออกไปอย่างไร คราวนี้ก็ยากเกินไปที่จะแสร้งทำ ปากบางนั้นไม่อยากขยับหรือเอื้อนเอ่ยกับผู้ใด เขาเพียงต้องการนอนจมความคิดโดยลำพังเท่านั้น










‘อยากรู้ไหม ว่ามันเป็นยังไง ถ้านายอยากรู้…พรุ่งนี้สองทุ่มก็มาที่นี่อีกทีสิ แล้วนายจะได้รู้’




คำพูดสุดท้ายที่กันต์ธรบอกกับเข้าไว้เมื่อวาน และอีกไม่กี่ชั่วโมงจากนี้ เวลานัดของเขาก็จะมาถึง ยิ่งใกล้เวลาที่เขาจะออกไปพบเพื่อนรักมากเท่าไหร่ หัวใจที่นิ่งเฉยของเขาก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเท่านั้น เขาไม่รู้ว่ากันต์ธรนัดเขาไปทำไม แต่คราวนี้เขาจะต้องแก้ไขทุกอย่างให้มันดีขึ้นให้ได้ ภพตะวันยิ้มออกมาได้อีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแต่งตัวในชุดสุภาพ






เขาเดินไปหยิบกุญแจรถยนต์แล้วขับออกไปเพียงลำพัง ตอนเวลาประมาณสองทุ่ม ช่วงเวลาที่คนในบ้านกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องนันทนาการร่วมกัน




เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่า การออกไปพบกับเพื่อนเก่าครั้งนี้ อาจไม่ได้กลับมาที่บ้านอีก บางสิ่งบางอย่างตะโกนบอกกับเขาว่า ชายที่เขาพบเมื่อวาน ไม่ใช่กันต์ธรคนเดียวกับที่เขาเคยบอกรักอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร สายใยความผูกพันที่ผูกเขากับชายคนนั้นเอาไว้ ก็ไม่อาจมีสิ่งใด ตัดมันให้ขาดลงได้เลย




รถยนต์คันหรูขับเลียบไปตามทางเพื่อเข้าไปยังตัวเมือง ใจก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่เด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่าเขา หนีออกจากบ้านและขี่รถจักรยานยนต์คันเก่า ฝ่าดงความมืดไปไกลถึงสิบกิโล เพื่อไปพบเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกทางกัน แม้นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนานแล้ว แต่ความประทับใจก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของภพตะวันได้เลย





ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งไปพร้อมกับเหม่อลอยนึกถึงหน้าของใครบางคนไป








แต่แล้ว…






...เท้าที่เหยียบคันเร่ง ก็ต้องยกขึ้นแตะเบรกอย่างกะทันหัน...












เอี๊ยดดดดดดดดดด!!!!











โครม!!!!!!!!








หัวใจภพตะวันเต้นแรงขึ้นจนมันแทบทะลุทรวงอกออกมา การเบรกกะทันหันเมื่อครู่ทำให้รถของเขาเสียหลักและพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนหน้ากระโปรงยุบไปครึ่งหนึ่ง








แฮก แฮก แฮก




ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าออกรุนแรงเพื่อระงับอาการสั่นเทาทั้งร่างของตนเอาไว้ เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น? เขาเห็นว่ามีรถอีกคันหนึ่งพุ่งตรงมาในถนนเลนส์ของเขา และมันพุ่งตรงพร้อมเข้าปะทะกับรถของเขาอย่างเต็มที่





แล้วรถคันนั้นปลอดภัยดีไหม?




เมื่อเรียกสติกลับมาได้เพียงครึ่ง เจ้าของรถยนต์หน้าใสก็ถอดเข็มขัดนิรภัยของตนออก แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าลงมาจากรถทั้งที่ร่างยังมีอาการสั่นเทาอยู่







เขามองไปรอบๆ และพบว่าบริเวณนี้คือจุดเปลี่ยวร้าง สองริมทางคือป่าไม้มืดครึ้ม มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถของเขาที่กะพริบแผ่วๆ อยู่เท่านั้นที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นรถคันเมื่อครู่ได้




ภพตะวันเดินเข้าใกล้กับรถคันนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยเรียกใดๆ ออกมา ด้วยยังตกตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย เขาเดินเข้าใกล้จะเกือบถึงประตูของรถอีกคันและไม่นาน ประตูรถยนต์ทั้งสี่ด้านของรถคันนั้นก็ถูกเปิดออกพร้อมกันจากด้านใน ปรากฏเป็นเงาบุรุษรูปร่างสูงใหญ่พร้อมของบางอย่างในมือที่ลักษณะคล้ายอาวุธ






ความสิ้นสติที่คงค้างในใจเมื่อครู่ ถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึงจากสัญญาณเตือนภัยในสมอง มันขึ้นสีแดงกะพริบรุนแรงจนภพตะวันเริ่มเดินถอยหลัง และวิ่งหนีเข้าไปในพงหญ้าที่ขึ้นสูงใกล้ๆ กับรถของเขาที่จอดนิ่งสนิทจมกับต้นไม้อยู่





ขาสองข้างพุ่งไปข้างหน้าอัตโนมัติ มันจ้ำอ้าวหนีคนกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อกระต่ายน้อยรู้ตัว ชายทั้งสี่ที่ลงจากรถก็วิ่งตามมาไม่ช้ากว่ากันสักเท่าไร




กำลังขาที่ฝึกฝนติดกันมาเป็นเวลานาน สามารถวิ่งตามภพตะวันได้ทันเพียงไม่กี่อึดใจ เหยื่อผู้โชคร้ายหวาดกลัวอย่างหนัก วิ่งหนีไปด้วยร้องไห้ไปด้วย ช่างเป็นภาพที่น่าเห็นใจอย่างถึงที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น ชายฉกรรจ์ที่วิ่งเร็วที่สุดในกลุ่มก็ยังคงกระโจนตัวรวบกระต่ายน้อยเอาไว้อย่างไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดใด












“อย่า!!! ปล่อยนะ!!!!!”





เมื่อรวบตัวภพตะวันเอาไว้ได้ ชายคนเดิมก็ใช้ผ้าคลุมศีรษะสีดำ ครอบลงไปจนภาพตรงหน้าของเจ้ากระต่ายมืดมิด แต่ถึงอย่างนั้น เจ้ากระต่ายที่มีสัญญาณเตือนภัยร้องลั่นในหัว ก็ไม่ยอมแพ้ลงโดยง่าย เขาทั้งเตะทั้งต่อยออกไปทั้งที่ถูกคลุมหัวอยู่





และแล้ว ก็มีหนึ่งหมัด ที่เสยตรงเข้าปลายคางของผู้ไม่หวังดีเข้าเต็มๆ ภพตะวันไม่รอช้า เมื่อกายเป็นอิสระ เขาก็ออกแรงวิ่งต่อไปโดยที่ยังมีผ้าคลุมศีรษะคลุมอยู่ วิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสูง และวิ่งต่อไปอีกอย่างไม่คิดชีวิต ไม่คิดว่าจะชนเข้ากับสิ่งใด พร้อมกับมือที่พยายามดึงผ้าคลุมศีรษะนั้นให้หลุดออกไปด้วยพร้อมกัน






เขาวิ่ง และวิ่ง จนเสียงที่ไล่ตามหลังมา ค่อยๆ เงียบลงไป และผ้าสีดำก็กำลังจะหลุดออกเช่นกัน













ปึก!



เมื่อผ้าคลุมร่วงลงพื้น จมูกของภพตะวันก็ชนเข้ากับแผงอกหนาของใครบางคนเข้าเต็มแรง แรงนั้นสะท้อนกลับจนเจ้าตัวคนชนเซถลาแทบล้มลงไปกองกับพื้น แต่แล้วแขนของชายคนเดิมที่ถูกชน ก็คว้าภพตะวันเอาไว้ได้ทัน แม้ว่าสายตาจะยังพร่าเบลออยู่จากอาการตกใจ แต่หูก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เรียกชื่อของเขา และนั่นทำให้ภพตะวันที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากเงื้อมมือคนเถื่อน ได้เบาใจลงจนต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง














“ภีม! ....ภีม!”






“ธร!?!!!! ฮืออออ….”










“ภีม…นายหนีอะไรมา?”




“ฮืออ ธร…”




ภพตะวันคล้ายกับหมดแรงไปอย่างกะทันหัน ขาเขาพับลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และทำอะไรอยู่กันนะ? ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ลืมขึ้นมาได้ ด้านกันต์ธรทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างเพื่อน แล้วค่อยๆ ประคองภพตะวันให้ยืนขึ้นอีกครั้ง







“กลัวเหรอภีม? นายกลัวรึเปล่า?”




ชายหนุ่มผู้วิ่งหนีความตายพยักหน้าหงึกหงักหัวแทบหลุด แล้วกอดเพื่อนรักเอาไว้แน่น กันต์ธรประคองภพตะวันให้ลุกขึ้น แล้วเดินต่อมาอีกครั้งครู่ ก็โผล่พ้นเจอขอบถนนอีกฝั่ง และรถของกันต์ธรจอดอยู่ไม่ห่างจากบริเวณนั้นมากนัก







“ไม่เป็นไรแล้วนะภีม เดี๋ยวฉันพาไปส่งบ้านนะ”




อีกเพียงไม่กี่ก้าว สองเพื่อนรักก็จะเดินถึงประตูรถยนต์ของกันต์ธร แต่แล้ว ก็มีรถคันหนึ่งซึ่งขับผ่านหน้าพวกเขาไปเมื่อครู่ วกรถวนกลับมา และไม่รอช้าเปิดประตูออกมาพร้อมกับไม้หน้าสามในมือ







“ธร…!”



ภพตะวันและกันต์ธรกุมมือกันไว้แน่น ในคราวแรกเป็นมือของภพตะวันเพียงฝ่ายเดียวที่สั่นเทาอย่างหนัก หากแต่บัดนี้ มือของเสี่ยธร ก็เริ่มออกแรงสั่นน้อยๆ บ้างแล้ว






“ไง….เสี่ยธร มาทำอะไรแถวนี้?”



หนึ่งในสามของชายหน้าโหดเอ่ยทักขึ้น และได้รับสายตาดุดันส่งกลับไปอย่างไม่คิดยอมแพ้ เขาปล่อยมือจากภพตะวันแล้วใช้ตัวบังเพื่อนรักเอาไว้ด้านหลัง ตั้งท่าพร้อมพุ่งเข้าชนกับกลุ่มคู่แข่งทางการค้า








“ถ้าพวกมึงยังอยากหายใจ! มุดรูไหนออกมา ไสหัวกลับเข้าไปเลย!”






“ปากดีนักนะไอ้ธร! เก่งแต่ปากมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นเอาตัวรอดได้สักที!”








“อย่างน้อยกูก็ยืนเอง ไม่ได้มัวแต่หลบหลังลูกน้อยอย่างมึง!!”




“นั่นสิ งั้นคราวนี้กูจัดถวายให้มึงเองหนึ่งชุดเลยแล้วกัน”





ชายสามคนผู้มาใหม่ ไม่รอให้กันต์ธรได้เบ่งบารมีต่อจากนั้น ทุกคนพุ่งตัวเข้าใส่กันต์ธรที่มีภพตะวันยืนหลบอยู่ด้านหลัง ไม่ว่าเมื่อไหร่ หากได้สู้กันอย่างตัวต่อตัวแล้วล่ะก็ กันต์ธรก็ไม่เคยเอาชนะ ‘จ้าววายุ’ ที่บัดนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มรีดค่าคุ้มครองอีกฝั่งของเมืองได้เลย








และที่ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้กันต์ธรมีชายอีกคนที่เขาห่วงใย ยืนอยู่ด้วยกันตรงนั้น สติและสมาธิที่สั่งสมมานานหลายปี หายไปจนหมดสิ้น เพียงลูกน้องคนหนึ่งของจ้าววายุ เดินเข้าใกล้ภพตะวัน














ปัก!!!!






“ธร!!!”





ด้วยความที่เอาแต่มองไปยังอีกคนที่กำลังจะหมดท่า ไม้หน้าสามในมือคู่อริ จึงฟาดลงเต็มๆ กลางศีรษะของเสี่ยธร และในทันที โลหิตสีแดงขุ่นก็รินรดลงมาตามรอยแตกร้าวของศีรษะ เข่าทั้งสองข้างของอันธพาลรุ่นใหญ่ทรุดลง แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดจบ ไม้หน้าสามอันเดิม ฟาดลงมาอีกครั้งบริเวณแผ่นหลังของเสี่ยเคราะห์ร้าย และเพียงไม่นาน ร่างทั้งร่างของกันต์ธร ก็ฟุบลงกองกับพื้นถนน ดวงตาเขาเหลือกขึ้นมองไปยังภพตะวัน พร้อมกับมือสั่นเทาที่พยายามจะคว้าคนตรงหน้าเอาไว้







“ธร…!!!”




ภพตะวันที่สติหลุดหลายรอบในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นั่งพับเพียงลงบนพื้นถนน ในขณะที่ชายคนเดิมกับเมื่อครู่ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ มือหนาของจ้าววายุ ลูบลงจับที่ปลายคางของภพตะวันให้ใบหน้านั้นค่อยๆ เงยขึ้นสบมองตน






สีหน้าและแววตาแห่งความหวาดกลัว ช่างงดงามและตรึงใจจ้าววายุเหนือสิ่งอื่นใด โจรหนุ่มแทบลืมหายใจเมื่อได้มอง เขาจำไม่ได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร แต่ทว่า ความงดงามที่ได้พบเจอในบัดนี้ ทำให้เขาไม่อาจหยุดความคิดอันชั่วร้ายลงไปได้






เขาสั่งให้สมุนซ้ายขวาพาภพตะวันขึ้นรถและกลับบ้านไปด้วย แต่ยังไม่ทันที่กลุ่มคู่อริจะได้ทำการใดใด ชายฉกรรจ์ 4 คนที่วิ่งไล่หลังภพตะวันมาเมื่อครู่ ก็เดินมาถึงยังจุดที่กันต์ธรนอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ ชายสองกลุ่มมองหน้ากันด้วยความเคียดแค้นสุดใจ





และนั่น ก็เป็นภาพสุดท้ายที่ภพตะวันจำความได้
















...














“แม่…?”




“ฟื้นแล้วเหรอภีม”




“ผม…มาอยู่นี่ได้ไงครับ?”



ภพตะวันมองไปรอบๆ ก็พบกับมารดา บิดา และคู่หมั้นคนสวยของเขา ก้มลงมองร่างกายก็พบว่าบัดนี้ตนเองนอนอยู่บนเตียงขาว ที่คล้ายกับเตียงเดิมที่ได้นอนเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน สมองประมวลผลอย่างหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็นึกไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น และเขามาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร









“คนบ้านณรงค์กรเจอลูกกับกันต์ธรที่ริมถนน”



“ธร…?”



“ลูกไปอยู่นั่นได้ยังไงภีม?”





“ธร…ธรล่ะครับ? คุณแม่! ธรล่ะ!?!!”




“…พักอยู่อีกห้อง”




เมื่อได้ฟังดังนั้น ผู้ป่วยที่มีรอยฟกช้ำตามร่างกายก็กระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปยังห้องพักของคนในความคิดอย่างรวดเร็ว เขาภาวนาให้กันต์ธรปลอดภัยจากการถูกทำร้าย ในขณะที่วิ่งออกไป ใจก็เต้นแรงด้วยความกังวล




ประตูห้องพักผู้ป่วยที่ไม่ห่างจากภพตะวันถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ภายในพบมารดาของกันต์ธร และแพทย์ที่กำลังส่องไฟฉายเข้าไปในดวงตาของกันต์ธรอยู่ ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนเตียง แล้วมองมายังแขกที่เข้าห้องผู้ป่วยพิเศษมาโดยไม่ได้เคาะประตู










“ธร…ไม่เป็นไรใช่ไหม!?!”





คนที่นั่งอยู่บนเตียง มีท่าทีปกติดีกว่าที่คาด ภพตะวันจึงเบาใจและลดความเร็วในการเดินของตัวเองลง หันไปยกมือสวัสดีมารดาของกันต์ธรและคุณหมอได้ จากนั้นก็เดินเข้าใกล้เพื่อนรักด้วยรอยยิ้มอย่างโล่งอก เขาเอื้อมมือไปกุมมือกันต์ธรเอาไว้ ด้านกันต์ธรก็จับมือตอบแล้วมองหน้าภพตะวันด้วยรอยยิ้มมึนงง ก่อนจะเอ่ยกับแขกผู้มาเยี่ยมอย่างแผ่วเบาว่า















...













“…คุณเป็นใคร?”
    ​



























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------







ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ bun  และ คุณ blove  :กอด1: :pig4: :pig4:


มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^ ว่าคุณภีมกับคุณธร ใครจะโดนหนักกว่ากัน 5555555






 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 14 : สูญสิ้นสิ่งสำคัญ (02/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-12-2019 11:05:29
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 14 : สูญสิ้นสิ่งสำคัญ (02/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 02-12-2019 22:41:23
อ้าวกลายเป็นธรความจำเสื่อม แต่นิสัยนี่จะเปลี่ยนไปด้วยไหม จะกลับมาดีเหมือนเดิม หรือโหดเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 14 : สูญสิ้นสิ่งสำคัญ (02/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 05-12-2019 21:36:48
ห๊ะะะ เรื่องนี้มันพีคเกินไปแล้วนะคะะะ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 15 : รู้สึกว่ารัก (08/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 08-12-2019 14:26:38
บทที่ 15 : รู้สึกว่ารัก














“ธร…?”



“ภีมมาทางนี้กับน้าหน่อยได้ไหม”



ภพตะวันที่เดินเข้ามากุมมือกันต์ธรเอาไว้เริ่มแสดงสีหน้าไม่ดีให้ทุกคนได้เห็น มารดาผู้ป่วยเจ้าของห้องจึงได้เรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวใกล้ๆ กับหน้าห้องน้ำ และบอกเล่าอาการสาหัสที่กันต์ธรได้รับ ด้วยศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุทะเลาะวิวาทเมื่อคืนที่ผ่านมา หลายคนและหลายเหตุการณ์ในชีวิต จึงได้หล่นหายไปจากความทรงจำของเขา หนึ่งในนั้น รวมไปถึงภพตะวันเพื่อนรักด้วย และผู้ป่วยจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลไปอีกสักระยะ เพื่อรอดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนใดเกิดขึ้นอีกหรือไม่








ในเบื้องต้นจากการวินิจฉัย แม้ว่าความทรงจำจะขาดหายไป แต่ผู้ป่วยก็ยังสามารถลุกขึ้นนั่งได้ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีด้านการรักษา



ชายหนุ่มผู้ผ่านค่ำคืนอันโหดร้าย มองไปยังคนที่นั่งมองมาจากเตียงกว้าง บัดนี้บุรุษในชุดขาวได้เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และดวงตาที่ภพตะวันได้มองเห็นจากเพื่อนรักของเขาในตอนนี้ ฉายเพียงภาพความว่างเปล่าระคนสงสัย และนั่นก็ดีแล้ว…ดีกว่าแววตาระทมทุกข์ที่เขาได้รับมาจากกันต์ธรเมื่อวันก่อนเสียอีก








“ผมจะช่วยดูแลธรเองนะครับ”



ดวงใจและร่างกายของภพตะวันที่พึ่งถูกถ่ายโอนบาดแผลมาหมาดๆ เริ่มยิ้มออกมาได้จากภายใน อย่างน้อยในตอนนี้ กันต์ธรก็ไม่ต้องเจ็บปวดกับความทรงจำอันโหดร้ายที่ผ่านมาของเจ้าตัว ภพตะวันกุมมือของมารดาเพื่อนรักเอาไว้แน่น และเอ่ยคำพูดปลอบโยนแสนนุ่มนวลนั้นออกมาจากใจ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ เพราะคนที่นั่งมองเขาอยู่บนเตียงนั้น



…คือคนสำคัญที่สุดของเขา












จากวันนั้นตลอดหนึ่งสัปดาห์ ภพตะวันที่ได้รับบาดเจ็บเพียงแผลถลอกก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งหัวใจอันเจ็บปวดของเขาก็ด้วย เขามาดูแลกันต์ธรที่ห้องผู้ป่วยพิเศษนี้ในทุกวันตั้งแต่เช้าตรู่ โดยมีลูกน้องคนสนิทของกันต์ธรเวียนกันมานอนเฝ้าเจ้านายในตอนกลางคืน



ภพตะวันจะตั้งใจทำอาหารเช้าสำหรับผู้ป่วยตามคำแนะนำของแพทย์มาให้กันต์ธรด้วยตัวเองในทุกวัน และทุกครั้งที่เขาได้ลงมือเคี่ยวข้าวต้มร้อนๆ ให้กับเพื่อนรัก หัวใจของเขาจะพองฟูและอิ่มสุขเป็นอย่างมาก เมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เขาก็จะจัดแจงนำอาหารทั้งหมดใส่ถ้วยชามแล้วดูแลเช็ดตัวคนป่วยที่ยังคงหลับอยู่ให้สะอาดเท่าที่จะสามารถทำได้




อาการข้างเคียงที่มารดาของกันต์ธรเป็นห่วง มีเพียงอาการวิงเวียนและปวดศีรษะเป็นพักๆ เท่านั้น และอาจรวมไปถึงการเดินแล้วเกิดตัวเอียงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง








“อรุณสวัสดิ์…ภีม”



“อรุณสวัสดิ์ธร”



ชายแปลกหน้าที่กันต์ธรจำไม่ได้อีกแล้วว่าเขาคือใคร สตรีวัยชราท่านนั้นบอกกับเขาว่าชายคนนั้นชื่อ ‘ภีม’ และเป็นเพื่อนรักสมัยที่ยังเรียนหนังสือของเขา ทุกเช้าที่เขาตื่นมา เขาจะได้พบหน้าภีมเป็นคนแรก และนั่นก็ทำให้เขาอยากที่จะเอ่ยคำทักทายยามเช้าต่อชายคนนั้นในทุกวัน





กันต์ธรไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เมื่อลืมตาแล้วได้พบหน้าของภีมเป็นคนแรก เช้าวันนั้นของเขาจะสดใสมาก บางสิ่งที่อบอุ่นสะท้อนอยู่ภายในและนั่นทำให้หัวใจเขาต้องเต้นแรงกว่าที่เป็น แม้ว่าเขาจะรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง แต่หน้าใสๆ นั้นก็กลบฝังทุกความทรมานกายไปได้หมด








“วันนี้ฉันทำข้าวต้มหมูสับมาให้ด้วยนะ อยากลองลุกไปนั่งกินตรงนั้นดูไหม?”






บุรุษพยาบาลในบทบาทสมมติชี้ไปยังชุดรับแขกที่ประกอบไปด้วยโต๊ะไม้และเก้าอี้สองตัว บริเวณริมหน้าต่างมุมหนึ่งของห้องพักพิเศษนี้ กันต์ธรพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ถูกประคองให้ลุกขึ้นเดิน แม้จะมีอาการเดินเอียงอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะมือของเขามีอีกมือหนึ่งของชายผู้น่ารักเกาะกุมช่วยเหลือเอาไว้ตลอดเวลา





เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงโต๊ะ ชามใบใหญ่ตรงหน้าที่ถูกครอบฝาปิดเอาไว้ก็ถูกเปิดออก กลิ่นหอมฉุยและไอร้อนโชยออกมาจากข้าวต้มสุดน่ากิน ภพตะวันหยิบช้อนในตะกร้าหวายใกล้ๆ ออกมาแล้วคนให้เข้ากันสักครู่ ก่อนตักขึ้นเป่า แล้วยื่นไปใกล้ๆ กับปากของผู้ป่วย







“…”




“ธร…?”






กันต์ธรไม่ยอมเปิดปากรับข้าวต้ม เขาเอาแต่นั่งจ้องหน้าภพตะวันตาไม่กะพริบ หัวคิ้วทั้งสองพุ่งเข้าหากันอย่างลืมตัว ด้วยบัดนี้เขารู้สึกปวดจี๊ดตรงขมับศีรษะด้านหนึ่ง







“ธรเป็นอะไร? ปวดหัวเหรอ?”




“ฉัน…คุ้นๆ”




“คุ้นอะไร!?! “




เมื่อได้ฟังดังนั้น ภพตะวันก็มีดวงตาลุกวาวขึ้นมา เขารอฟังคำตอบอย่างตื่นเต้น ด้วยกันต์ธรคล้ายกำลังนึกเหตุการณ์บางอย่างออก








“จำไม่ได้…”



สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดหนักขึ้นด้วยมันคุ้นซะเหลือเกิน แต่กลับนึกไม่ออก พร้อมกับศีรษะบริเวณเดิมก็ปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ ภพตะวันที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเรียกหมอให้เข้ามาช่วยดูอาการ













“ธรบอกผมว่าคุ้นๆ ครับ เหมือนเขาจะเริ่มนึกออกบ้างแล้ว”



“เมื่อวานตอนบ่าย ธรก็ปวดหัวแบบนี้ แล้วก็บอกน้าว่าคุ้นๆ เหมือนกัน…หมอบอกว่า ความทรงจำของธรจะค่อยๆ กลับมาตามการรักษาและระยะเวลา”



“อีกนานไหมครับ ถึงจะกลับบ้านได้”



“จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าแผลภายนอกหายดีหมดนั่นล่ะ”



“แล้ว…อาเต่าล่ะครับ ได้มาเยี่ยมธรบ้างไหม?”



“…ไม่จ้ะ”





คำถามที่ถูกถามออกไป ทำให้สีหน้าของมารดากันต์ธรเริ่มฉายแววอึดอัด ภพตะวันจึงไม่คิดถามสิ่งใดต่อไปอีก เขาไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่นกับเธอมากไปกว่าอาการและการดูแลกันต์ธร แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถมองออกได้ว่า มารดาของเพื่อนรักคงกำลังระทมย่างหนักอยู่เป็นแน่





เพียงไม่กี่สัปดาห์ถัดมา บาดแผลจากการแตกร้าวที่ภายนอกก็สมานเข้าหากันเป็นที่เรียบร้อย ผู้ป่วยได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ทั้งความทรงจำก่อนเก่าก็ค่อยๆ ฉายออกมาทีละเล็กทีละน้อยจนใครต่อใครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กันต์ธรฟื้นตัวได้ไวกว่าคนไข้รายอื่นมาก





ในขณะเดียวกับที่เสี่ยธรผู้ทรงอิทธิพลกำลังบาดเจ็บสาหัสอยู่นี้ โลกแห่งความวุ่นวายภาพนอกก็ก่อตัวร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อข่าวว่ากันต์ธรความจำเสื่อมแพร่สะพัดออกไป และทั้งอริศัตรู คู่พันธมิตรต่างเริ่มวางแผนและหาช่องทางในการโกยประโยชน์จากจุดอ่อนของกันต์ธร









“ไสหัวออกไปจากหน้าบ้านกู! ไอ้ศักดิ์ ไล่มันออกไป!!!!!”





นายเต่าที่พึ่งกลับจากบ่อน พบว่ามีชายร่างใหญ่หลายคนมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่บริเวณหน้าบ้านตนเอง จึงใช้ให้ลูกน้องของกันต์ธรไปช่วยจัดการ และหลายต่อหลายครั้งที่นายเต่าต้องออกโรงเอง กับกลุ่มคนที่พยายามขอเข้ามาในบ้านณรงค์กรเพื่อหาผลประโยชน์




และยังโชคดีอยู่มาก ที่นายศักดิ์และนายพันธุ์ สมุนซ้ายขวาของกันต์ธร เรียกได้ว่าเก่งฉกาจและจงรักภักดีต่อเจ้านายเหนือสิ่งอื่นใด สถานการณ์จึงไม่ย่ำแย่ลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่




“อาเต่าสวัสดีครับ”



“…”



ภพตะวันเดินทางมาถึงบ้านณรงค์กรพอดีกับเหตุการณ์ไล่บี้คนออกจากหน้าบ้านของนายเต่าเมื่อครู่ ยกมือสวัสดีทักทายเจ้าของบ้าน แต่กลับถูกญาติห่างๆ ของตนเชิดหน้าใส่แล้วเสมองไปทางอื่น มีเพียงคุณนายของเจ้าของบ้านเท่านั้น ที่เดินออกมาต้อนรับและยิ้มให้




จากนั้นแขกคนสำคัญก็เดินไปหากันต์ธรที่บัดนี้ยังไม่ตื่นในห้องนอนส่วนตัวที่ภพตะวันคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาเดินเข้าห้องไปโดยที่ไม่ได้เคาะประตูแบบนี้ทุกวัน และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่กันต์ธรยังคงนอนหลับสนิทบนเตียง แขกที่มาถึงเริ่มจัดการกับของบางชิ้นที่ถูกวางไว้ระเกะระกะบนพื้น และจัดห้องให้กับกันต์ธรตามปกติ จนเจ้าของห้องลืมตาขึ้นมา และพบกับ  ‘ภีมของเขา’ เป็นคนแรกของวันเช่นเคย








“อรุณสวัสดิ์ภีม”



“อรุณสวัสดิ์ธร…วันนี้อยากลงไปกินข้าวข้างล่างหรือกินในห้องดี?”




“ลงไปกินข้างล่างก็ได้ ภีมล่ะกินรึยัง?”




“ฉันกินมาแล้ว”




ภพตะวันถามเพื่อนรักของเขาทุกวันว่าอยากทานข้าวที่ไหน จากนั้นก็เดินไปประคองกันต์ธรลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปส่งที่หน้าห้องน้ำ และก่อนที่กันต์ธรจะเดินเข้าห้องน้ำ ภพตะวันจะมีหน้าที่ช่วยถอดชุดนอนให้เขาด้วย




เมื่อผ้าทุกชิ้นหลุดร่วงออกจากกายจนหมด ภพตะวันก็จะปล่อยให้กันต์ธรเดินเข้าห้องน้ำไปเองเพียงลำพัง หากแต่วันนี้เขากลับไม่เดินเข้าไป และยังคว้าข้อมือของผู้ช่วยพยาบาลเขาไว้ด้วยอีก ภพตะวันหันมามองหน้าด้วยความสงสัยและเริ่มคิดไปว่า กันต์ธรอาจกำลังเวียนหัวอยู่ จึงได้ช่วยประคองเขาเข้าไปด้านในห้องน้ำ








“นายไหวไหมธร? เวียนหัวเหรอ? ให้ฉันเช็ดตัวให้ไหม?”



“อือ…เวียนหัว แต่มันเหนียวตัวอยากอาบน้ำมากกว่า…ภีมอาบให้หน่อยดิ”






“อ่า…ได้”



ภพตะวันตอบด้วยสีหน้าเก้อเขิน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มีหน้าที่ดูแลกันต์ธรอย่างเต็มรูปแบบอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้สำหรับเขาเล็กน้อยมาก ผู้ดูแลพากันต์ธรไปนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งใต้ฝักบัว จากนั้นก็เริ่มปรับระดับน้ำให้แรงพอดีแล้วค่อยๆ รดลงบริเวณขาของเพื่อนรัก แล้วเปลี่ยนจุดไปเรื่อยๆ ให้ผู้ป่วยค่อยๆ ปรับระดับอุณหภูมิของร่างกายได้ จนสายตาของผู้ช่วยได้เลื่อนไปถึงบางจุดของกันต์ธร ที่ยังคงยืนตรงเคารพธงชาติในตอนเช้าอยู่ เช่นเดียวกับหนุ่มวัยเจริญพันธุ์คนอื่นทั่วไป




มือนุ่มลูบไล้ไปตามร่างกายกำยำที่มีสีขาวนวลไม่ต่างจากเขามากนัก ด้วยตั้งแต่กันต์ธรผันตัวมาเป็นนายใหญ่ เขาก็อยู่ในบ้านเป็นส่วนมาก ทั้งอาหารการกินฝีมือมารดาก็แสนจะวิจิตรบรรจง ผิวกายแดงคล้ำเช่นก่อนเก่าสมัยโหมงานหนัก จึงได้คืนสภาพเป็นเนื้อแท้ดั้งเดิมที่เจ้าตัวเป็นอยู่ หากแต่สิ่งที่แถมกลับมานั้น คือมัดกล้ามและความแข็งแรงที่หาได้ยากจากคนทั่วไปในชุมชน




กระทั่งภพตะวันเองที่เคยมีส่วนสูงที่มากกว่า บัดนี้ก็เทียบไม่ติดอีกแล้ว เขายังคงใช้มือเปล่าลูบไล้ผ่านสายน้ำที่รินรดลงบนกายบึกบึนสมส่วนนั้น ใจก็สั่นไปพร้อมๆ กับกายส่วนต่างๆ ที่พาดมือผ่านไป ภพตะวันผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษสุดผู้ดี กลับไม่อาจทนข่มใจกับความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นนี้ได้ แม้ว่าจะแยกจากกันมาอย่างเนิ่นนาน และเจ้าตัวก็มีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตนแล้วก็ตาม ภพตะวันก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเช่นกันว่า เขามีบางสิ่งบางอย่างในสมองที่กำลังคิดสกปรกกับร่างขาวเนียนและกำยำตรงหน้านี้








“ภีม”




“ห..หะ?”




“นายเป็นอะไร…ทำไมหน้าแดง”








“…เปล่า ธร ตรงนั้น ให้ฉันช่วยไหม?”



ชายหน้าแดงถามออกไปพร้อมกับที่เจ้าตัวเผลอกัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างลืมตัว สายตาจับจ้องไปยังจุดรวมสายตานั้นอย่างไม่ตั้งใจ ภาพที่กันต์ธรไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับภพตะวัน แต่ที่แน่ใจกับตัวเองคือ เขาอยากจัดการกับจุดอ่อนไหวส่วนตัวที่กำลังคับพองอยู่นี้ ด้วยปากแดงๆ นั้นที่ขบเข้าหากันของชายตรงหน้าซะเหลือเกิน





“ภีมใจดีกับฉันมากเลยนะ”




เจ้าของห้องที่เริ่มออกอาการหายใจหอบถี่ไม่รอช้า เขาเอื้อมมือขึ้นแล้วกดไหล่ภพตะวันให้ย่อตัวนั่งลงบนพื้นแม้จะยังมีอาการเวียนศีรษะอยู่ก็ตาม จากนั้นก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างของตนที่กำลังเต้นตุบๆ ตั้งตรงใกล้กับปลายจมูกของภพตะวันพอดิบพอดี





แม้จะอยากปฏิเสธแทบขาดใจ แต่ภพตะวันก็ไม่รอช้าที่จะช่วยเหลือเพื่อนให้พ้นจากความอึดอัด เขาครอบปากลงไปแล้วจัดการเจ้าสิ่งนั้นอย่างเคอะเขินในทีแรก จากนั้นเพียงไม่นาน ความเคยชินกับสิ่งที่เคยทำมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ก็เริ่มเวียนกลับเข้ามาให้เขาย้อนนึกได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป จนความเคอะเขินนั้นหายกลายเป็นความชำนาญการที่เข้ามาแทน





การอาบน้ำสุดแปลกใหม่ที่กันต์ธรไม่เคยพบเจอ แต่กับบางสัมผัสที่เขาได้รับ กลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ยิ่งความรู้สึกนั้นถูกกระตุ้นรุนแรงขึ้นเท่าไหร่ จิตเบื้องลึกของเขาก็ยิ่งคุ้นชินหนักขึ้น หนักขึ้น และเขาต้องการคำตอบเป็นอย่างมาก ว่าสิ่งที่รู้สึกคุ้นชินของเขากับภพตะวันนี้ เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อนหรือไม่










เมื่อช่วยเพื่อนรักอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แขกผู้ตั้งใจมาดูแลกันต์ธรก็พาเขาลงมาทานข้าวด้านล่าง ขณะที่เจ้าของบ้านตักอาหารเข้าปากนั้น เขาไม่รู้รสชาติของมันเลยสักนิด สายตาเขา เอาแต่จ้องมองไปยังชายอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามและกำลังก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างอยู่




ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมาและได้พบกับเพื่อนเก่าคนนี้ กันต์ธรก็รู้สึกแปลกๆ กับคนๆ นี้มาโดยตลอด ยิ่งได้อยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกแปลก ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็อยากอยู่ใกล้ อยากเห็นหน้าตลอดเวลา อยากได้ยินเสียง อยากพูดคุย




และตอนนี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์การช่วยเหลือเมื่อครู่มา กันต์ธรก็อยากทำอย่างอื่นมากกว่าแค่อยู่ใกล้ๆ กับ  ‘ภีมของเขา’ เข้าให้แล้ว

































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:










ขอบคุณ คุณ AkuaPink , คุณ bun และ คุณ singalone ด้วยนะคะสำหรับคอมเม้นท์  :mew1:


มาลุ้นๆกันต่อนะคะ ขอบคุณมากค่า  :L2: :L2: :L1: :L1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



    ​
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 15 : รู้สึกว่ารัก (08/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 08-12-2019 19:42:59
นี่ขนาดจำไม่ได้นะ ถ้าจำได้ขึ้นมาจะขนาดไหนว่าแต่ทำไมพ่อของธร ยอมให้ภีมเข้าบ้านทั้งที่ไม่ชอบครบครัวของภีม
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 15 : รู้สึกว่ารัก (08/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 08-12-2019 20:19:09
ความจำเสื่อม แต่รักฉันฝังลึกในใจ คลับคล้ายคลับคา ว่ารักๆเธอนะ 55555 เสี่ยธรจะจำได้เมื่อไหร่ละเนี้ย ดีนะภีมยังได้มาดูแล รอตอนต่อไปเลยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 16 : The bitter hug (11/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 11-12-2019 12:31:59
ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ bun และ คุณ blove ด้วยนะคะ  :กอด1:

มาลุ้นๆกันต่อค่าาา  :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




 :mew1:







...








บทที่ 16 : The bitter hug



















แม้จะจำไม่ได้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาเคยทำอะไรกันไว้บ้าง แต่ลึกๆ แล้วกันต์ธรก็มั่นใจว่า คงไม่ธรรมดาเป็นแน่ หลังมื้ออาหารเช้า ภพตะวัน กันต์ธรและมารดาของเขา ก็เดินทางออกไปพบแพทย์ตามนัด แล้วกลับมายังบ้านณรงค์กรในช่วงบ่ายแก่ๆ





“พักผ่อนนะธร ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันกลับล่ะ”



“ภีม”



“หืม?”



“นายเคยนอนที่นี่ใช่ไหม?”



“…ทำไมอยู่ๆ ถึงถามล่ะ”



“ฉันรู้สึกแปลกๆ ตลอดเลยเวลานายอยู่ใกล้ฉัน เราเคยนอนด้วยกันเหรอ?”




“อืม…ฉันนอนบ้านนายมา 6 ปี ตั้งแต่ ม.1”



“แล้วเรา…เป็นอะไรกัน?”



“เราเป็นเพื่อนกันธร”



“แล้วทำไม…นายถึงเคยทำแบบนั้นให้ฉัน”




“แบบไหน?”



“แบบเมื่อเช้า”








“…เพราะฉันอยากทำ”








ภพตะวันตอบออกไปพร้อมอมยิ้มรสขม เขาไม่เคยลืมกันต์ธรได้เลยสักวันตั้งแต่ที่แยกกัน หากเขาล่วงรู้ก่อนหน้านี้ ว่ากันต์ธรถูกเรียกกลับไทยกะทันหัน เขาก็พร้อมที่จะเดินทางกลับมาเพื่ออยู่เคียงข้างดังที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ยิ่งได้มาอยู่ดูแลเพื่อนรักที่กำลังป่วยในทุกวันร่วมเดือนเช่นนี้ ความรู้สึกที่ท่วมท้นยิ่งไม่อาจปกปิดได้




หากเป็นเมื่อก่อนตอนพวกเขายังเด็ก คราวใดที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันลำพังมากขนาดนี้ กันต์ธรก็จะหาสารพัดวิธีมาล่วงเกินและเอาเปรียบเขา จนเป็นเขาเองที่เผลอเสพติดไปอย่างไม่อาจเลิกให้หายขาดได้ แต่กันต์ธรคนนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาลืมเลือนไปหมดกระทั่งความเอาแต่ใจของตนเอง และภพตะวัน ก็ยังไม่สามารถห้ามใจให้เลิกได้ขาดกับสารเสพติดชนิดนั้นไปได้





แขกผู้ตั้งใจมาดูแลเพื่อนรัก ไม่สามารถทนแบกรับความรู้สึกละอายในใจของตนได้ไหวอีกต่อไป เขาเดินออกมาเพื่อกลับบ้านของตนในทันที




ความรู้สึกผิดและเส้นขนานที่เรียกว่าความสุขสมตบตีกันอยู่ภายใน ภพตะวันที่กลับบ้านมา เก็บตัวอยู่ในห้องนอนจนตะวันตกดิน เขาปล่อยให้สมองนึกคิดอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน และในที่สุดก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองที่ว่า





บัดนี้ เขาคงไม่อาจอยู่ดูแลกันต์ธรได้อีก ด้วยดวงใจเขาเรียกร้องต้องการความรัก และร่างกายก็กำลังลดระดับความยับยั้งชั่งใจลงเรื่อยๆ จนน่าเป็นห่วง ภพตะวันผู้คงไว้ซึ่งความดี ตกลงกับตนเองว่าจะไม่ขอตักตวงความสุขใส่ตัวอย่างเอาเปรียบเพื่อนรักที่กำลังป่วยและจำอะไรไม่ได้อีกต่อไป




เย็นวันนั้นเขาลงมาทานข้าวช่วงหัวค่ำพร้อมครอบครัว และพบว่าคู่หมั้นคนสวยได้เดินทางมาร่วมรับประทานมื้อค่ำตามคำเชิญของมารดาเขา ภพตะวันที่ต้องการยุติความรู้สึกชั่วร้ายในใจ ชวนคู่หมั้นของเขาไปเยี่ยมกันต์ธรด้วยกันในวันพรุ่งนี้ แม้หญิงสาวจะมีหน้าตาหวั่นวิตก แต่เธอก็ยังตกปากรับคำภพตะวันอยู่ดี

























“สวัสดีครับคุณน้า ธรตื่นหรือยังครับ”



“ยังจ้ะ วันนี้ภีมไม่ขึ้นไปหาธรเหรอ?”



“พอดีวันนี้ผมพาสาลี่ คู่หมั้นของผมมาเยี่ยมธรด้วยครับ”




หญิงสาวแสนสวยยกมือสวัสดีและเริ่มพูดคุยอย่างนุ่มนวลกันคุณนายเจ้าของบ้าน วันนี้เป็นวันแรกที่กันต์ธรตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบกับคนปลุกที่คุ้นเคย เขาชำระร่างกายและเดินลงมาด้านล่างอย่างทุลักทุเลด้วยอาการเดินเอียงที่ยังไม่หายไป และพบว่าคนที่เขาคิดถึง ได้นั่งรอเขาอยู่ในห้องรับแขก โดยข้างๆ กันนั้น มีหญิงสาวที่เขาไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย







ภาพความลำบากของคนป่วยทำให้ภพตะวันเริ่มรู้สึกอึดอัดในใจ ด้วยความเคยชินที่ต้องดูแลกันต์ธรในทุกวัน พอเห็นว่าผู้สูญเสียความทรงจำมีท่าทางที่ลำบากเขาก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้ง่ายๆ …แต่ก็ต้องทน ด้วยวันนี้เขาตั้งใจมาเพื่อยุติความชั่วร้ายในใจตน






“อรุณสวัสดิ์ธร…”




“อรุณสวัสดิ์ภีม…ทำไมวันนี้นายไม่ขึ้นไปปลุกฉันล่ะ?”




“วันนี้ฉันมาคุยธุระ…นี่สาลี่ คู่หมั้นฉัน”



“คู่หมั้น? ฉันนึกว่าเรา…”






“เรา? เราเป็นเพื่อนกันไงธร นายลืมอีกแล้วเหรอ”



“แต่ว่า…ฉันไม่เข้าใจ”



“ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันคงไม่ได้มาดูแลนายแล้วนะ ฉันมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ…เพราะงั้น…”




“…”




“ธร…”




“…ฉันขอคุยด้วยหน่อย”




“ได้สิ…นายว่ามาเลย”




“แบบส่วนตัว…ไปคุยกันในห้องฉัน”




“นายพูดตรงนี้เลยก็ได้นะ ฉันกับสาลี่เป็นคนรักกัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”








“ไป คุย ใน ห้อง ฉัน!!!”




คำตวาดดังสนั่นลั่นบ้านหลังใหญ่ ครั้งแรกที่คนความจำเสื่อมเผลอระเบิดโทสะออกมาอย่างลืมตัว คล้ายกับว่ากันต์ธรคนเดิมจะเริ่มออกอาละวาดอีกครั้งหนึ่งแล้ว ดวงตานั้นเบิกโพลงเช่นเดียวกับที่มารดาและภพตะวันเคยเห็น รวมทั้งหญิงสาวคนสวยที่มีใบหน้าซีดเผือดตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้







เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ภพตะวันจึงได้พยักหน้าและลุกขึ้นยืนพร้อมเดินตามกันต์ธรขึ้นชั้นบนของตัวบ้านไป ภพตะวันเดินเข้าใกล้กันต์ธรแล้วประคองเขาเอาไว้อย่างห่วงใย เพราะหลังจากระเบิดอารมณ์เมื่อครู่ เจ้าตัวก็เซไปทำท่าคล้ายจะล้ม สองหนุ่มจึงเดินขึ้นบันไดไปอย่างยากลำบาก






และก่อนที่กันต์ธรจะเดินถึงบันไดขั้นที่ห้า เขาก็หันกลับไปยังโซฟาที่มีหญิงสาวคนสวยนั่งอยู่





“ฉันจะคุยกับภีม คนอื่นที่ไม่เกี่ยวกลับไปซะ!!”




คำสั่งที่เหมือนพูดออกมาลอยๆ ทำให้หญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่แต่แรกค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วยกมือไหว้เพื่อขอตัวลากลับกับคุณนายเจ้าของบ้าน ภพตะวันที่เห็นดังนั้นก็พร้อมเบี่ยงตัวกลับลงไปหาคู่หมั้น แต่กลับถูกแขนแข็งแรงของกันต์ธรจับไว้แน่น และคนที่บอกกับเขาว่าเวียนหัวมาตลอด บัดนี้กลับกระชากแขนเขาให้เดินตามขึ้นไปด้านบนดั่งคนไร้โรคภัยใดใด











ปัง!




กริ๊ก!







“ธร…นายจำได้แล้วเหรอ?”



“จำอะไรได้? ฉันแค่ไม่ชอบคู่หมั้นนาย!”




“ถึงนายจะไม่ชอบ ยังไงเธอก็เป็นคนรักของฉันนะ”




“เลิกกับเธอซะ”




“อะไรของนาย? ทำไมฉันต้องเลิก!?!”




“ฉันไม่ชอบ”




“นายก็พูดแต่ว่าไม่ชอบไม่ชอบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย เธอจะแต่งเข้าบ้านฉัน ไม่ใช่บ้านนาย!”




“เลิกกับเธอซะ เพราะนายต้องอยู่กับฉัน ไม่ใช่กับเธอ”




“ทำไมฉันต้องอยู่กับนายด้วย”





“จำใส่สมองของนายไว้นะภีม ปากนาย เป็นของฉัน ใบหน้านาย เป็นของฉัน ร่างกายนาย…เป็นของฉัน ความรู้สึกทั้งหมดของนาย เป็นของฉัน…จะไม่มีใครทำให้นายพอใจได้อีกบนโลกใบนี้ นอกจากฉัน”





“ธร…นี่นาย?”




ภพตะวันที่มีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน เปลี่ยนมาฉายแววประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ประโยคๆหนึ่งที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินก็ถูกเอ่ยขึ้นจากคนๆ เดิม






ภาพบางภาพในห้องน้ำโรงเรียนแห่งหนึ่งในช่วงหัวค่ำ แวบเข้ามาและเติมเต็มความทรงจำบางส่วนของกันต์ธรเข้าให้แล้ว และบางสิ่งบางอย่างร้องบอกกับเขาให้ระลึกขึ้นได้ว่า ชายตรงหน้านี้หอมหวานมากเพียงใด








“ธร…!”




“…”




“นายจะทำอะไร?”





ความอยากรู้ประดังเข้ามาในความรู้สึก หากว่าเป็นเช่นภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่ กันต์ธรก็ต้องการพิสูจน์มันให้ถึงที่สุดโดยที่เส้นความยับยั้งชั่งใจของเขานั้นกำลังหย่อนลงเรื่อยๆ ขาสองข้างเดินเข้าหาเพื่อนรักด้วยท่าทางขึงขัง และเมื่อประชิดถึงตัว เขาก็จับหัวไหล่ทั้งสองข้างของภพตะวันแล้วบีบเอาไว้แน่น ดวงตาสองคู่สบกัน หนึ่งนั้นไม่เข้าใจและเริ่มหวาดกลัว ส่วนอีกหนึ่งนั้นเกิดความต้องการมหาศาลในทุกอณูที่โลหิตของเขาแล่นผ่าน













ปึง!




“โอ๊ย!”





ชายเจ้าของห้องผู้แข็งแกร่งและสูญเสียความทรงจำ ดึงตัวภพตะวันขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วโยนลงบนเตียงอย่างแรงด้วยอาการขาดสติ ทั้งความหอมหวานที่เขาเริ่มจำได้ และความทรยศหักหลังที่พาคู่หมั้นคู่หมายมาเหยียบถึงในบ้าน ตีรวนปนเปกันไปหมด สิ่งที่จิตใต้สำนึกสั่งการกับเขาในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว คือ ‘ภีมของเขา’ ต้องเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น






กันต์ธรไม่รอช้า เมื่อแขกผู้มาเยือนยังไม่ทันได้ตั้งตัวจากการที่ร่างกระแทกกับเตียงเมื่อครู่ ร่างกายแข็งแรงก็ขึ้นคร่อมทับแล้วขังภพตะวันไว้ใต้ร่างหนาของเขา เขายังคงโมโหเป็นอย่างมากกับความคิดในหัวที่แล่นตัดสลับกันไปมา แล้วก็พึ่งพบว่า ชายที่นอนอยู่เบื้องล่างเขานี้ ช่างงดงามเสียนี่กระไร











อึก







“ธร…”




น้ำเสียงที่เรียกนั้นสั่นเครือ ลากลามไปยังแววตาที่สั่นระริก ภพตะวันไม่กล้าจ้องมองใบหน้าของเพื่อนรักที่บัดนี้เอาแต่จ้องเขาอย่างพร้อมรับประทานสุดใจ นิ้วมือของคนไม่สบายลากไล้ไปตามข้างแก้มนวลเนียนนั้น ไปจนถึงปลายคาง มือหนาจับเอาไว้แล้วออกแรงส่งให้ภพตะวันหันกลับมาจ้องตากับเขา







“ฮึฮึ”



สายตาที่แม้จะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กันต์ธรมอง ก็ยังสามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย สายตาที่สารภาพมาอย่างเต็มร้อย ว่ารักเขาแบบสุดหัวใจ สายตาที่ภพตะวันต้องการหลบซ่อนเอาไว้ ด้วยรู้สึกอับอายต่อตัวเองเป็นอย่างมาก




“รักฉันขนาดนั้นเลยเหรอภีม ปรนนิบัติฉันดีกว่าคนในบ้านฉันอีก แถมยังตามใจฉันไปซะหมด ถามจริงๆ เถอะ รักฉันขนาดนี้ แล้วไปหมั้นกับคนอื่นทำไม? หรือเพราะว่าฉันไม่ได้รักนาย? โทษทีนะ แต่ฉันจำไม่ได้”





กันต์ธรคล้ายกับละเมอพูดบางสิ่งออกมาอย่างไม่ทันได้ไตร่ตรอง เขากำลังวุ่นวายอยู่กับวงหน้าแสนสวยของคนที่ถูกเขาคร่อมทับเอาไว้อยู่ เจ้าตัวใช้นิ้วโป้งลูบไล้ไปตามวงปากแดงๆ นั้นก่อนจะพยายามส่งมันเข้าไปในโพรงปากของภพตะวันและดุนดันเล่นกับลิ้นน้อยๆ








“…เพราะนายไม่ตอบจดหมายฉันเลย มีแต่ฉันที่เขียนถึงนายอยู่คนเดียวตั้งหลายปี”




“จดหมาย?”




“อือ”




“นายส่งไปไหน? ทำไมไม่ส่งมาบ้านฉัน”




“ฉันนึกว่านายยังอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่านายกลับมานานแล้ว”




“ที่ไหน?”



“อเมริกา”



“…?”




“นายจำได้ไหมว่าเคยไปอยู่ที่นั่น”




ชายผู้กำลังลูบไล้บริเวณศีรษะของภพตะวันเพียงส่ายหัวไปมา เขานึกอะไรแทบไม่ออกเลย นึกออกอยู่เรื่องเดียว…คือคนตรงหน้าเขาทำไมถึงได้น่ารักน่าใคร่ได้ถึงเพียงนี้ กันต์ธรไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขากดปากลงหนักๆ บนหน้าผากที่ลูบไล้เมื่อครู่ไปหนึ่งที แล้วนิ่งค้างไว้เพื่อสูดดมความหอมบริเวณนั้นเข้าลึกเต็มปอด






ความใกล้ชิดตั้งแต่เมื่อครู่ เริ่มทำให้ภพตะวันที่หวาดกลัวมีหัวใจเต้นแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ควร กันต์ธรเอาแต่ประทับรอยจูบไปอีกครั้งและอีกครั้งบริเวณหน้าผากนั้น จนคนถูกกระทำเริ่มมีอาการเขินอายจนหน้าแดงหูแดง










“จูบได้ไหม?”




“…ไม่”







“ทำไมล่ะ?”




เจ้าของห้องเอ่ยถามแผ่วเบาด้วยลมหายใจรุนแรง และได้รับคำตอบแผ่วเบาพร้อมลมหายใจลำบากของภพตะวันตอบกลับมาเช่นกัน อารมณ์บางอย่างปะทุขึ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่สำนึกผิดชอบชั่วดีในใจของภพตะวันก็ยังคงทำงานอยู่









“ฉันมีคนรักอยู่แล้ว”




“นายรักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าฉันเหรอ?”



“…”




“ฉันจะบอกให้ก็ได้…นายไม่ได้รักเธอหรอก นายแค่เหงาเพราะคิดถึงฉัน”




ว่าแล้วชายผู้คิดเองเออเอง ก็ไม่ปล่อยให้ภพตะวันได้ปริปากโต้แย้งใดใดออกมาได้อีก เจ้าของห้องครอบปากลงประกบจูบอย่างดูดดื่มกับเพื่อนรัก บางอย่างในใจร้องลั่นตะโกนบอกว่านี่คือสิ่งที่เขานั้นรอคอยมาอย่างยาวนาน รสชาติหวานเจี๊ยบดุจดั่งสายไหมสีชมพู หลอกให้หลงใหลจนลุ่มหลงอย่างโงหัวไม่ขึ้น









‘อืมม..’




ลิ้นร้อนจากร่างด้านบนบดแทรกลงไปในวงปากสุดน่ารัก และกวาดต้อนไปตามโพรงปากดูดกลืนทุกสิ่งที่สัมผัสโดนได้มาไว้กับตัว ช่วงชิงลมหายใจร้อนๆ ของภพตะวันอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระวัดรัดพันอย่างโหยหาซึ่งกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร








ภพตะวันที่อดกลั้นมาตลอดหลายวันตั้งแต่ได้ใกล้ชิดกับคนสำคัญในดวงใจ กอบโกยเอาความรู้สึกนี้เข้าหาตัวเช่นเดียวกัน เขาคิดถึงคนๆ นี้มากยิ่งกว่าสิ่งใด คิดถึงเด็กหนุ่มแสนใจดีและเป็นที่พึ่ง คิดถึงเด็กชายที่คอยกุมมือและปลอบโยนเขาเอาไว้ในวันที่อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ






มือนั้นเอื้อมไปกุมกับมือของกันต์ธรเอาไว้ ดังเช่นที่เขาเคยได้รับมาตลอด และมืออีกข้างก็โอบขึ้นรอบลำคอของคนด้านบนให้วงปากและร่างกายนั้น บดเบียดแนบชิดลงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้










“จุ๊บ…ฮ่า”




“…”




“ภีม…ร้องไห้ทำไม?”









“อึก…ฉันคิดถึงนาย”






จุ๊บ




“ฉันก็อยู่นี่แล้วไง”




กันต์ธรที่ได้ฟังคำบอกเล่าแสนหวาน ดึงมือที่กุมกันไว้นั้นขึ้นประทับรอยจูบพร้อมส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มไปให้




“แล้วนายจำได้เหรอ ว่ารักฉันรึเปล่า?”






“…”




“จำไม่ได้สินะ”




ภพตะวันผู้น่าสงสารปล่อยน้ำตาให้อาบใบหน้าหนักขึ้นกว่าเก่า เมื่อคำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงความว่างเปล่า กันต์ธรตอบอะไรเขาไม่ได้ ด้วยเจ้าตัวจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่หยุดอยู่ที่เดิมกับเมื่อสิบปีที่แล้ว แม้จะดูเหมือนว่าเขาสามารถเดินต่อไปได้ไกล แต่นั่นกลับไม่ใช่เลย






“ลุกเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”





ชายหนุ่มผู้มีน้ำตานองหน้าดันแผงอกของชายที่เริ่มเข้าสู้สภาวะเหม่อลอยให้ลุกออกไป และนั่นก็แสนง่ายดาย เมื่อชายคนนั้นเริ่มจมเข้าไปในความคิดของตนเองอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ภพตะวันจะทันได้ลุกไปไกล แขนขาวๆ ก็ถูกดึงรวบกลับมาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้งจนภพตะวันล้มลงบนตักกว้างดังเช่นที่เขาเคยนั่งมาก่อน








“ให้ฉันลอง แล้วฉันจะบอก…ว่ารักนายไหม”




























--------เซ็นเซอร์----------ค่ำคืนอันหวานฉ่ำ-------




















-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------








 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:








หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 16 : The bitter hug (11/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 11-12-2019 22:27:04
มีขอลองก่อนอีก มันใช่สิ่งที่ต้องลองไหม ถ้ายังนึกไม่ออก
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 17 : ลำนำรักกลางทุ่ง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 13-12-2019 13:00:39
ขอบคุณคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ bun  :กอด1:

^^ เสี่ยแกจะจำได้เมื่อไหร่ มาลุ้นกันต่อค่า  :mew1:



 :L2: :pig4: :pig4: :pig4:









...

















บทที่ 17 : ลำนำรักกลางทุ่ง

















คำถามที่ค้างคา ได้รับคำตอบเข้ามาในใจเมื่อช่วงเวลาหวานฉ่ำได้ผ่านพ้นไป และบัดนี้ร่างกายอันหอมหวานนั้น ก็กำลังนั่งอยู่บนตักของเขา ภพตะวันช่วยให้สมองที่มักมีอาการวิงเวียนและตีบตัน ปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ



กันต์ธรสนใจห้องทำงานของเขามากเป็นพิเศษ แม้จะจำไม่ได้ว่าห้องนี้มีไว้ใช้ทำงานอะไร แต่ตอนนี้ เขาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้สุดนุ่มที่หมุนได้ของตัวเองแล้ว โดยที่บนตัก มีร่างของภพตะวันผู้แสนน่ารักนั่งทับอยู่ แขนแข็งแรงของเจ้าบ้านโอบรอบเอวนั้นไว้แน่น ปลายจมูกก็กดลงสัมผัสกับแผ่นหลังของคนด้านบนเป็นระยะๆ อย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล







“ธร…ที่ฉันบอกว่ามีธุระ ฉันมีธุระจริงๆ นะ”



“ธุระอะไร…”



“ฉันกลับมาอยู่บ้านมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้ไปช่วยงานพ่อที่อู่เลย พ่อก็ถามฉันทุกวันว่าเมื่อไหร่จะไปช่วย…แล้วตอนนี้นายก็อาการดีขึ้นมาก ฉันก็เลยคิดว่าจะไปช่วยพ่อซะหน่อย”



เจ้าของอาการที่ภพตะวันว่าดีขึ้นมากนั้น ยังคงไม่หยุดลูบไล้ไปตามต้นขาและหน้าท้องของเขาเลยตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องทำงานแห่งนี้ กระดาษสีคล้ำบนโต๊ะตรงหน้าดูเหมือนไม่สามารถดึงดูดความสนใจให้กับเจ้าของที่สูญเสียความทรงจำไปได้







“นายก็บอกพ่อนายไปสิ ว่ามาดูแลฉันอยู่”



“พ่อเตี๋ยวรู้อยู่แล้วว่านายป่วย แต่นี่มันหลายเดือนแล้วนะธรที่ฉันเอาแต่อยู่กับนาย ฉันอยากไปช่วยพ่อฉันบ้าง”




“…งั้นก็แล้วแต่นาย”



กันต์ธรที่เอาแต่วุ่นอยู่กับแผ่นหลังหอมฉุยส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจเล็กน้อย เขาจะทำอะไรได้อย่างไร เมื่อสิ่งที่เขาได้รับจากภพตะวันอยู่นี้ ก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นทั้งหมดของคนน่ารักคนนี้แล้ว และแม้ว่าเขาจะแสดงอาการว่าน้อยใจไปมากเท่าไหร่ ภพตะวันที่แสนน่ารัก ก็ยังคงยิ้มออกมาแล้วหอมแก้มเขาไปหลายที เพียงเท่านี้ เขาก็ยอมได้หมดทุกอย่างแล้ว














เช้าวันถัดมากันต์ธรไม่ได้พบหน้าของคนในดวงใจ มันทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไร เขาก็ต้องอดทนและหาอะไรทำเพื่อไม่ให้คนในใจต้องอึดอัดมากจนเกินไป เจ้าตัวเดินเข้าห้องทำงานที่คราวก่อนมีคนน่ารักนั่งอยู่บนตัก ทำให้เขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างใดเลย หากแต่วันนี้ เอกสารและแฟ้มสีน้ำตาลเข้มมากมาย กลับสามารถดึงดูดเขาให้หยิบออกมาอ่านและเริ่มเรียนรู้ทำความเข้าใจ จนเขาได้รู้ว่าเขานั้น คือเจ้าของแก๊งทวงหนี้โหดอันเลื่องชื่อ รวมทั้งธุรกิจดำมืดอีกหลายอย่างที่เคยได้ลองทำมา เขาค้นแฟ้มข้อมูลในห้องมาอ่านไปเรื่อยๆ จนพบเข้ากับแฟ้มๆ หนึ่งซึ่งมีการจดตัวเลขจำนวนเงินและรายชื่อของงานที่ทำ โดยหน้าปกของแฟ้มเขียนเอาไว้ว่า  ‘คุณประดับทอง’






‘คุณประดับทอง?’



‘…’



‘…ใคร?’























ภพตะวันเมื่อเข้าช่วยงานบิดาอย่างเต็มตัว เขาก็สามารถหาโอกาสไปเยี่ยมกันต์ธรได้เพียงสัปดาห์ละสองครั้ง หากแต่เป็นสองครั้งที่มาถึงไวมาก ด้วยเวลาที่เขาจมเข้าไปในความตั้งใจกับการทำงาน เวลาจะผ่านไปเร็วเสมือนเพียงก้มหน้าลงไปแล้วเงยหน้าขึ้นมาหนึ่งที ก็หมดวันไปเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับช่วงเวลาที่ได้ถ่ายทอดความหวานละมุนกับกันต์ธร ก็แสนสั้นไม่ต่างกัน เขาอยากจะอยู่ใกล้ๆ คนสำคัญให้นานกว่านี้ จึงได้ลองชักชวนกันต์ธรมาเยี่ยมชมที่อู่รถสิบล้อของครอบครัวเขาดูสักครั้ง




กันต์ธรที่มีอาการหงุดหงิดหนักขึ้นทุกวัน ด้วยไม่เคยรู้สึกพอใจช่วงเวลาที่ภพตะวันมีให้มาตั้งแต่ต้น เขายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะตามมาดูขั้นตอนการทำงานของภพตะวันที่น่ารักของเขา





ทายาทตระกูลวงศ์วรรธน์จะขับรถออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพื่อมารับเพื่อนรักไปเยี่ยมชมอู่รถของเขาที่อยู่ห่างออกไปทางบ้านของภพตะวันประมาณ 5 กิโลเมตร






เมื่อกันต์ธรเดินทางมาถึงอู่รถของบ้านภพตะวันในวันแรก เขาทำได้เพียงเดินตามและยืนมองดูสิ่งที่เพื่อนรักของเขาทำ โดยภพตะวันจะเดินสำรวจความเรียบร้อยโดยรอบ ตรวจสอบรถคันที่เอาเข้าซ่อมว่าส่วนไหนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนเพิ่มเติมหรือไม่ จากนั้นเจ้าตัวก็จะเดินเข้าไปในห้องเล็กๆ ด้านข้างแล้วเริ่มตรวจสอบตารางการเดินรถ และจำนวนลูกค้าที่จ้างงานในแต่ละวันด้วยตัวเอง







ตั้งแต่ครั้งแรกที่กันต์ธรได้มาเยี่ยมเยือนอู่รถแห่งนี้ เขาก็ติดภพตะวันแจอย่างไม่ยอมถอย เขาขอมาที่อู่แห่งนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ และชื่นชอบที่จะเรียนรู้การประกอบช่วงล่างของตัวรถมากเหนือสิ่งอื่นใด







“ธร…มากินข้าวเถอะ”



“เดี๋ยวฉันไป ขอดูตรงนี้อีกหน่อย!”



กันต์ธรตะโกนกลับไปให้เจ้าของอู่รถที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าสำนักงานขนาดย่อม ภพตะวันยิ้มออกมาแทบตลอดเวลาตั้งแต่มีกันต์ธรมาอยู่ใกล้ๆ เขาสละเวลานอนของตัวเอง ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ตี 4 เพื่อเรียนรู้และทำอาหารที่กันต์ธรชอบ แล้วนำมาให้เจ้าตัวรับประทานในช่วงเช้าและกลางวันในทุกวัน










“วันนี้บ่ายๆ รถจะเริ่มโล่งแล้วเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ฉันมีที่ที่นึงที่ชอบไปตอนเด็กๆ นายอยากไปด้วยกันไหม?”




“ฉันอยากไปทุกที่ที่ภีมอยู่…”




“อือ…ฉันก็เหมือนกัน”




สองหนุ่มนั่งพักทานข้าวกันตรงบริเวณม้านั่งตัวยาวใกล้ๆ กับโรงจอดรถ ภพตะวันที่ยังไม่ได้หุบยิ้มมานาน ยังคงก้มหน้าก้มตาอมยิ้มต่อไปแม้ว่าในปากจะยังคงเคี้ยวข้าวไปด้วย






…รสชาติแกงเขียวหวานไก่ที่มีความเผ็ดร้อนกลมกล่อง กลับให้ความรู้สึกหวานเจี๊ยบดั่งน้ำตาลหกใส่ทั้งขวดโหลปานนั้น










กันต์ธรนั้นตั้งใจเรียนรู้การซ่อมบำรุงช่วงล่างมาได้ระยะหนึ่ง และเขาเริ่มมีความชำนาญจนเด็กในอู่ต้องยกนิ้วให้ เขาไม่เพียงเรียนรู้และทำงานได้ดี ทั้งยังมีความรับผิดชอบและใส่ใจกับเรื่องคิวรถในอู่อีกด้วย เขาจะรอจนรถทุกคันแล่นออกจนหมดก่อนในทุกวัน จึงได้เดินกลับเข้าไปหาภพตะวันที่ด้านใน





ช่วงบ่ายแก่ๆ ที่รถวิ่งออกจากอู่จนหมด และรถที่หมดเวรจอดนิ่งสนิททุกคัน ภพตะวันก็พาเพื่อนรักของเขาขับรถออกไปในสถานที่ที่เขาได้บอกเอาไว้เมื่อช่วงกลางวัน รถยนต์วิ่งลัดเลาะไปตามทุ่งนาอันสดใสได้เพียงไม่นานก็จอดยังบริเวณริมขอบถนนแห่งหนึ่ง







ภพตะวันเดินลงมาจากรถ แล้วจูงมือเพื่อนรักให้เดินตามกันไป ชายสองคนเดินเลาะขอบคันนาลึกเข้าไปด้านใน โดยภาพด้านซ้ายขวาคือทุ่งนาสีเขียวที่มีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ เดินไปจนถึงใต้ต้นไม้ใหญ่กลางทุ่ง ที่นั่น มีศาลาไม้สภาพเก่าตั้งอยู่










“ถึงแล้ว…”



“ว้าว…”




บรรยากาศโดยรอบในช่วงบ่ายแก่ๆ เช่นนี้ เรียกได้ว่าโปร่งและโล่งสบายเป็นอย่างมาก ลมเย็นพัดโชยมาแทบตลอดเวลา ทั้งความเขียวชอุ่มทุกองศาที่สายตาเหลือบไปมอง และชายตรงหน้า…ที่งดงามกว่าวิวและบรรยากาศใดใดในที่นี้







“ไม่ค่อยได้เห็นใช่ไหมล่ะ คนบ้านในเมือง”




“อืมม…สบายใจจัง”




กันต์ธรหลับตาพริ้มปล่อยให้ลมเย็นพัดกระทบใบหน้าและผิวกาย กลิ่นอายธรรมชาติที่เขาแทบไม่ได้สัมผัส ด้วยเจ้าตัวนั้นจมอยู่กับความเครียดตลอดเวลาจากภาระหน้าที่การงานมาตลอดหลายปี






ระหว่างที่เสี่ยธรกำลังดื่มด่ำกับความเบาสบายในจิตวิญญาณอยู่นั้น ก็มีสายตาคู่หนึ่งมองไปที่เขาตลอดเวลา รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้ากันต์ธร ส่งมายังภพตะวันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เจ้าของสถานที่ยิ้มตามภาพนั้นด้วยแก้มแดงปลั่ง จากนั้นจึงได้ขยับตัวเข้าใกล้ แล้วโอบกอดคนที่กำลังสุขใจอยู่ในขณะนี้เอาไว้










“…ฉันรักนายนะธร”




“…”




วาจาหวานล้ำกับแววตาที่ฉายชัดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ สะกดกันต์ธรที่พึ่งลืมตาขึ้นมาให้นิ่งค้างไป เขาเอื้อมไปจับข้อมือของภพตะวันเอาไว้แล้วเคลื่อนกายออกจากอ้อมกอด ก่อนจะนำมือนุ่มนิ่มนั้นมาวางไว้บนเอวทั้งสองข้างแทนเพื่อให้เขาสามารถจ้องมองดวงตาอิ่มเอิบนั้นได้อย่างชัดเจน เขาโน้มกายลงประทับรอยจูบแผ่วเบาบนหน้าผากกว้างอย่างรักใคร่ แล้วรวบตัวภพตะวันเอาไว้ในอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา














ครืนนน…





ครืนนน…






ซ่า!!!






เพียงครู่เดียวหลังจากอากาศปลอดโปร่งสดใส ท้องฟ้าก็ร้องคำรามดังขึ้น พร้อมเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมาอย่างกะทันหัน ชายสองคนที่กอดกันแน่นค่อยๆ ก้าวห่างออกจากกันและเดินไปอยู่ใต้ศาลาจุดที่ไม่โดนฝนสาด








“…เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลยแท้ๆ”




“นายโดนฝนไหมธร?”




“ฉันไม่เป็นไร ภีมมายืนใกล้ๆ ฉันนี่”




กันต์ธรเริ่มหงุดหงิดกับฟ้าฝนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาคว้าเอาภพตะวันมากอดไว้ในอ้อมแขนเพื่อไม่ให้เจ้าตัวโดนละอองฝน แต่ไม่ว่าอย่างไร ฝนที่ตกลงมาก็หนักเกินกว่าศาลาไม้หลังเก่านี้จะต้านทานได้ไหว ชายหนุ่มทั้งสองถูกฝนสาดใส่ให้ต้องเปียกปอนในบางส่วนของเครื่องแต่งกาย








ทั้งเสื้อยืดตัวบางที่ภพตะวันใส่นั่นก็ด้วย แม้เขาจะกอดเอาไว้แน่นแทบสิงร่างกันและกันเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถหลบเม็ดฝนที่สาดเข้ามาได้เลย และภพตะวันก็เริ่มเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำเข้าให้แล้ว









‘อา…เซ็กซี่จัง’





แม้จะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงภัยทางธรรมชาติเช่นขณะนี้ กันต์ธรก็ยังคงไม่อาจหยุดลวนลามชายอีกคนทางสายตาไปได้ เขาเอาแต่จ้องมองจุดนุ่มนิ่มสีชมพูสองข้างที่เปียกแนบติดกับเสื้อตัวบางนั้นของภพตะวัน น่ารักน่าชังเสียจนเผลอเคลื่อนมือไปสัมผัสเข้าจนได้








“ธร…!”



“…โทษที”




เมื่อถูกดุเสียงเข้มขึ้นมา เขาจึงผละมือออกอย่างสุดแสนเสียดาย แล้วรวบร่างภพตะวันมากอดเอาไว้แทน





ความใกล้ชิดระดับลมหายใจรดต้นคอ และการถูกแตะต้องส่วนอ่อนไหวเมื่อครู่ เริ่มทำให้ภพตะวันรู้สึกอ่อนแรง ใจเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างไม่อาจพูดบอกออกไป ทำได้เพียงกอดตอบกันต์ธรแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขาแอบประทับรอยจูบลงไปบนซอกคอขาวของกันต์ธรอยู่หลายที จนคนถูกกระทำรู้สึกตัว








“อย่ายั่วนะภีม! ฉันยังไม่อยากให้คนแถวนี้เห็นหนังสดของพวกเรานะ”




“ฮะฮะ…”



“ยังจะหัวเราะอีก”




กันต์ธรที่เอ่ยเสียงเข้มทำขึงขังเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอส่งกลับมา เจ้าตัวดันคนอารมณ์ดีออกจากอ้อมกอดแล้วประคองศีรษะมาประกบจูบอย่างดูดดื่มแทน









“อืมมม…”




ปากหนากดลงดุนดันดูดกลืนลิ้นสีแดงนุ่มนิ่มน่ารักของภพตะวันอย่างแรงกลางสายฝนที่สาดกระเซ็นเข้ามา เขาประคองร่างบางเอาไว้ในวงแขน ด้วยบัดนี้ภพตะวันคล้ายคลึงกับคนที่หมดแรง ด้วยฤทธิ์จูบสุดชำนาญของชายผู้นำทาง มือสากข้างหนึ่งสอดลูบไล้ไปตามแผ่นหลังใต้เสื้อบางอันเปียกชุ่มตัวนั้น แล้วค่อยๆ เคลื่อนมือลงจนถึงก้อนกลมนุ่มมือสุดโปรดของเขา บีบขย้ำอย่างมันเขี้ยวไปเต็มแรงไม่หยุด





“อืออ…”




เมื่อกวาดต้อนความหอมหวานจากวงปากสุดน่ารักของภพตะวันจนเป็นที่พอใจแล้ว บุรุษร่างหนาก็ไล่เลียดูดกลืนไปตามซอกคอขาว ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงบีบเฟ้นลงไปในจุดเดิมกับเมื่อครู่ ด้านคนหมดแรงทำได้เพียงใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอของชายสติหลุดเอาไว้ พร้อมลูบไล้ไปตามเส้นผมนุ่มมือนั้นอย่างระบายอารมณ์สุดหวาดเสียวที่เกิดขึ้นกับร่างกายอยู่นี้








‘จุ๊บ! จุ๊บ! จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆ’




กันต์ธรยังคงลากไล้ลิ้นร้อนไปตามส่วนต่างๆ ของภพตะวันอย่างไม่หยุด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี ใจก็นึกไปไกลถึงวันนั้น ที่เขาได้พลอดรักกันอย่างเต็มรูปแบบ หากแต่วันนี้คงไม่สะดวก แม้บรรยากาศจะสุดแสนเป็นใจก็ตาม






“ธร…”



“อืมม…”




“ธร…”




“หืม…?”




“ฝนหยุดแล้วนะธร กลับกันเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”




ภพตะวันเอ่ยขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่ฝนตก และบัดนี้ฝนได้หยุดลงไปแล้ว แต่กันต์ธรก็ยังคงจูบวนอยู่บนหน้าอกของคนน่ารักไม่หยุด จนมือน้อยๆ นั้นต้องดันหน้าชายผู้กำลังกลืนกินบางสิ่งบางอย่างให้หลุดออกมา










“ยังไม่อิ่มเลย ขออีกนิดนะ”




“นายไม่อยากให้ใครมาเห็นไม่ใช่เหรอ ฝนหยุดแล้วนะ เดี๋ยวมีคนมาเห็นหรอก”




“…”





กันต์ธรเงยหน้าขึ้นมองซ้ายมองขวา และพบว่าบัดนี้ฝนหยุดลงแล้ว และแสงสว่างก็ฉายขึ้นมาให้มองเห็นรอบข้างเด่นชัดอีกครั้ง เขาจึงรีบดึงเสื้อภพตะวันลงเพื่อปกปิดของสงวนที่เขาหวงแหนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด









“แถวนี้มีใครไหม? นี่ที่ของนายรึเปล่า?”




“อืม ที่ของพ่อฉันเอง มีคนเฝ้าที่อยู่สองคน”




“มีใครเห็นเราไหมเมื่อกี้?”




“ไม่มีหรอก นายทำหน้าตลกชะมัด…ฮะฮะ”





ภพตะวันหัวเราะคิกคักออกมาอีกแล้ว วันนี้เขาหัวเราะกับเรื่องเล็กน้อยของกันต์ธรกี่ครั้งแล้วไม่รู้ รู้แค่ว่า…สุขใจเหลือเกิน














กันต์ธรยังคงมีสีหน้าหวาดระแวง ด้วยเมื่อครู่ตอนฝนตกนั้น คล้ายกับมีม่านหนาบดบังการมองเห็นอยู่ หากแต่เมื่อม่านนั้นจางไป อะไรๆ มันก็ฉายให้เห็นชัดขึ้นมา ภพตะวันไม่รอให้คนรักได้ทำหน้าตลกต่อ เขาจูงมือกันต์ธรกลับไปยังรถยนต์ที่ขับมา แล้วขับกลับไปยังอู่รถของเขา




และแม้จะกลับมาถึงอู่และพวกเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว แต่กันต์ธรก็ยังไม่หยุดเกาะติดเขาหนึบเช่นเดียวกับเหาฉลาม ใบหน้าและจมูกสากๆ นั้น ตามนัวเนียในทุกที่ที่เขาเดินไป จนกระทั่งเขาขับรถพาเจ้าตัวกลับไปส่งที่บ้านนั่นล่ะ กันต์ธรจึงหยุดพฤติกรรมโรคจิตลงได้









“คืนนี้นอนบ้านฉันก็ได้นะภีม”




“ฉันอยากนอนนะธร…แต่พ่อนายคงไม่พอใจแน่ๆ”




“ฉันแทบไม่เจอเขาเลย แม่บอกว่าเขากลับดึกทุกวัน…นอนกับฉันเถอะนะ…นะนะ”




“เอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะมารับนายแต่เช้า ตกลงไหม?”




“ไม่ตกลงได้ด้วยเหรอ?”




“ธร…”




“ฉันพูดเล่นน่ะ ไว้ดึกๆ ฉันโทรหานะ”




“อืม…”




กันต์ธรผู้สูญเสียความทรงจำ ไม่ได้สูญเสียเพียงความทรงจำอีกต่อไป บัดนี้เขาได้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปด้วยแล้ว เมื่อจิตใจเฝ้าแต่ลุ่มหลงวนเวียนอยู่กับภพตะวันอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนเผลอรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเพียงภพตะวันไม่ยอมมานอนที่บ้านเขาซะอย่างนั้น









เสี่ยธรผู้ไม่สนใจอะไรอีกแล้วบนโลกนอกจากภพตะวัน เดินเข้าบ้านตัวเองไปจนถึงห้องรับแขกด้านหน้าสุด และพบกับบิดาที่วันนี้กลับบ้านมาไวกว่าปกติ กำลังจ้องเขม็งมองมาทางเขาด้วยสายตาจับผิด








“ไปไหนมา? แล้วนั่นชุดใคร?”



“ชุดภีมครับ ผมไปช่วยภีมที่อู่มา”




“อู่!?!!!”




“…ครับ”




“อู่ของฉันที่ไอ้พวกวงศ์วรรธน์มันฮุบไปน่ะนะ? แกคิดยังไงของแก ถึงไปช่วยมัน ห๊ะ!!!! ไอ้ธร!?!!”




“พ่อพูดอะไร?”




“อ่อ…ฉันลืมไป ว่าแกมันสมองเสื่อม ก็โง่ไปโดนลูกไอ้ขุนพลทุบหัวเอง!!!”




“พ่อ…?”




“ถ้าลืมฉันก็จะบอกให้เอาบุญ ไอ้บ้านนั้นนั่นแหละ ที่ทำให้แกต้องเป็นแบบนี้!!! ทำให้พวกเรา ต้องเป็นแบบนี้!!!!”












ปัก!







ปัก!!






ปัก!!!!












“พี่เต่า! พอเถอะพี่ ธรมันป่วยอยู่นะ!”












“มึงนั่นแหละพอ! ไอ้ธรมันลูกกู มึงเห็นมันไหม ว่ามันชอบผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก กูบอกแล้ว ให้เตือนมันๆ มึงเคยฟังกูไหม? เอาใครไม่เอา เสือกไปเอาไอ้ลูกบ้านนั้น มึงโง่รึไง ไอ้ธร!!! มึงโง่รึไง!!!!!!!!!!!”









“ฮืออ…พ่อ…”









เสี่ยธรที่จำอะไรไม่ได้ ถูกตะคอกคำด่าสารพัดใส่หน้า พร้อมมือหนาของบิดาที่ทุบตีไปตามร่างกายและศีรษะอย่างแรงด้วยอารมณ์โทสะ ความเจ็บช้ำที่ฝังใจจากการถูกฮุบกิจการประกอบกับวันนี้เสียพนันไปมากกว่าปกติ ส่งผลให้แรงอารมณ์ที่ส่งไปยังลูกชายนั้น รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ด้านกันต์ธรที่ไม่เคยถูกทำร้ายหรือทุบตีตั้งแต่ตนป่วย ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร และบิดาของเขาพูดถึงเรื่องอะไร แต่ความเจ็บแค้นในอกที่ฝังมาอย่างเนิ่นนานตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ทำให้เขาร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง










“ซวยชิ_หาย มีลูกอย่างมึง ตั้งแต่มึงเกิดมากูก็มีแต่ซวยเอาๆ ทรัพย์สมบัติมีเท่าไหร่ก็วิบัติหมด ยัง…ยังมามองหน้ากูอีก ไอ้ลูกเวร!!!!!”

















“อร๊ากกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”







ตะกอนแห่งความอัดอั้นทั้งหมดระเบิดขึ้นมาเป็นเสียงกรีดร้องดังลั่น พร้อมทั้งอาการปวดศีรษะตุบๆ อย่างรุนแรงทั่วบริเวณ กันต์ธรล้มลงไปกองกับพื้นแล้วอ้าปากกรีดร้องต่อไม่หยุด จนบิดาและมารดาของเขาชะงักลงไป










“ปวด!!!!! แม่! ธรปวดหัว!!!! อรั่กกกกก!! ปวดหัว!!!!!”




มารดาที่เห็นลูกชายเพียงคนเดียวดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ตะคอกสั่งสามีให้ไปหยิบกุญแจรถ ด้านตนนั้นทิ้งตัวลงประคองลูกชายไว้ให้อ้อมแขน





เสียงแหกปากกรีดร้องดังสนั่นลั่นบ้าน ดังไปถึงบ้านหลังเล็กของลูกสมุนกันต์ธรที่อยู่ไม่ห่างกันนั้น ชายฉกรรจ์หลายสิบชีวิตวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รอช้า ทุกคนรีบช่วยกันพาตัวกันต์ธรไปขึ้นรถเพื่อนำส่งโรงพยาบาล


























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------








 :L1: :L1: :L1: :L1:





หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 17 : ลำนำรักกลางทุ่ง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-12-2019 21:26:57
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 17 : ลำนำรักกลางทุ่ง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 14-12-2019 12:08:29
หลังจากนี้พ่อของธรจะเห็นแก่ลูกชายบ้างหรือเปล่า
จะยอมปล่อยวางเรื่องทุกอย่างไหม
และถ้าธรจำได้จะยังดีกับภีมอยู่ไหม
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 17 : ลำนำรักกลางทุ่ง (13/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-12-2019 20:09:25
พ่อธรบ้าไปแล้ว เกินเยียวยา อะไรอีกละวะเนี้ยยยยโอ๊ยย  :fire: จะดีๆอยู่แล้วเชียว รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 18 : คดีฆาตกรรม? (18/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 18-12-2019 20:57:57
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ AkuaPink  คุณ bun  คุณ blove   :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4:



มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^












...














บทที่ 18 : คดีฆาตกรรม?

















เปลือกตาดำคล้ำทั้งสองข้างที่ปิดสนิทลงตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของเมื่อวาน ค่อยๆ ปรืออ้าออก ลูกตากลอกไปมาอย่างพยายามปรับโฟกัส แล้วกะพริบถี่ๆ ไปหลายที ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ เคลื่อนศีรษะไปมองรอบด้านและพบว่ามารดาของตน กำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียงและกุมมือเอาไว้





กันต์ธรที่เผชิญกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางสภาวะอารมณ์และได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะจากทุบตีของบิดา ได้สติอีกครั้งพร้อมความทรงจำทั้งหมดที่ไหลกลับเข้าที่ ดวงตานั้นแม้จะพึ่งถูกลืมขึ้นมา แต่กลับฉายแววตาที่มุ่งตรงเด็ดเดี่ยวดังเช่นเสี่ยธรผู้โหดร้ายคนเดิมได้กลับเข้าร่างเป็นที่เรียบร้อย



ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยบาดแผล เลือกที่จะไม่รับรู้ถึงความเลวร้ายจากการกระทำของบิดามานานหลายปี และกันต์ธรคนนั้นได้เดินทางกลับมาแล้ว ความแข็งแกร่งทาบทับทุกความอ่อนแอในเบื้องลึกจนมิด เขาค่อยๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของมารดา แล้วเคลื่อนตัวลงจากเตียง จากนั้นก็เดินออกไปหน้าห้องผู้ป่วยพิเศษ พบกับสมุนคนสนิทนายศักดิ์และนายพันธุ์ที่เฝ้าอยู่








“นาย…?”



“….”




แววตาคมกร้าว ฉายชัดให้พวกเขารู้ได้ในทันที ว่าคนตรงหน้านี้คือกันต์ธรคนไหน เมื่อรู้ดังนั้น รอยยิ้มที่ไม่ได้เกิดมาหลายเดือนของผู้ติดตามก็ฉายออกมาเต็มใบหน้า กันต์ธรที่หลุดออกมาจากห้องมืดมิดในจิตใต้สำนึกของตนเอง พูดคุยบางสิ่งกับสมุนทั้งสองเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บทางศีรษะ แผนการที่พังไม่เป็นท่ากับการลวงภพตะวันไปสังหาร













เช้าวันถัดมาภพตะวันเดินทางมายังบ้านณรงค์กร และพบเพียงคนเฝ้าบ้านที่บอกเล่าว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นและบัดนี้กันต์ธรอยู่ที่โรงพยาบาล ทายาทธุรกิจสิบล้อเร่งออกจากบ้านณรงค์กรและตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาล ช่วงเวลาไม่กี่เดือนให้หลังมานี้ กันต์ธรต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายต่อหลายครั้ง และนั่นทำให้ภพตะวันรู้สึกปวดใจอย่างมาก






“ธร…ธร!”



“ภีม?”




ภพตะวันร้อนรนเข้าห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปและพบว่ากันต์ธรอยู่ในห้องกับบิดาและมารดาของเขา เป็นอีกครั้งที่ภพตะวันเห็นว่ากันต์ธรไม่ได้มีอาการหนักแต่อย่างใด เขายกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง จากนั้นท่านทั้งสองก็เดินออกจากห้องพักของกันต์ธรไป







“เกิดอะไรขึ้นธร?”




“ฉันแค่ปวดหัวน่ะ”




“แค่ปวดหัว? ต้องมานอนโรงพยาบาลเลยเหรอ”



“อือ แค่ปวดหัวนั่นแหละ”




ชายหนุ่มผู้มาใหม่น้ำตาหน่วงคลอเต็มดวงตา เขายกมือขึ้นลูบไปตามใบหน้าและศีรษะของกันต์ธรอย่างห่วงใย ด้านผู้ป่วยจับมือนั้นไว้แล้วดึงมาจูบละมุนพร้อมส่งสายตาคมคายไปให้หนึ่งที จากนั้นมือเดิมก็เคลื่อนไปจับที่ปลายคางของภพตะวัน แล้วประทับรอยจูบลงไปบนปากบางนั้นอีกหนึ่งที








“…ฉันไม่เป็นไร ดีใจนะที่ภีมเป็นห่วง”




“อือ…”



ภพตะวันเอ่ยตอบครางเครือแล้วขยับกายขึ้นนั่งบนเตียง ด้านเจ้าของเตียงจับรวบเพื่อนรักเอาไว้ให้ซบลงบนอกของเขา เสียงหัวใจที่ภพตะวันได้ยินมาตลอดหลายเดือน วันนี้กลับเต้นเป็นจังหวะนิ่งสงบมากกว่าทุกวัน






“หมอให้ฉันกลับบ้านพรุ่งนี้ แต่ฉันคงยังไม่ได้ไปช่วยงานนายนะ ว่าจะพักอยู่บ้านสักหน่อย ตอนเย็นภีมมากินข้าวที่บ้านฉันไหม?”



“แต่ว่า…พ่อนาย…”



“ฉันคุยกับพ่อได้ นายไม่ต้องห่วงหรอก”



“อือ งั้นก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปกินข้าวเย็นด้วยนะ”






















ภพตะวันที่เข้าช่วยธุรกิจครอบครัวเต็มตัว เริ่มสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยที่เพิ่มมากขึ้น ในวันที่กันต์ธรไม่ได้มาช่วยงานที่อู่ ก่อนหน้านี้ที่เพื่อนรักไม่ได้มาช่วย ทุกอย่างก็ปกติดี แต่พอได้มีช่วงเวลาหนึ่งที่มีทั้งคนช่วยงานและให้กำลังใจกันในทุกๆ วัน พอต้องกลับมาอยู่ตามลำพัง กลับให้ความรู้สึกที่เหนื่อยง่ายกว่าเดิมมากขึ้นหลายเท่า ทายาทตระกูลวงศ์วรรธน์จึงได้เฝ้ารอเวลาที่จะได้เดินทางไปร่วมทานมื้อเย็นกับครอบครัวณรงค์กรอย่างใจจดใจจ่อ





ทางด้านเจ้าพ่อคนดังที่พึ่งได้รับการฟื้นความจำมาอย่างเต็มรูปแบบ ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน ด้วยช่วงก่อนหน้าที่เขาจะล้มป่วยลงนั้น เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เขาต้องเข้มงวดเป็นพิเศษกับธุรกิจการกู้หนี้ยืมสินของเขา สมองเขาไม่มีภพตะวันแวบเข้ามาเลยแม้แต่น้อย หากแต่ดวงใจกลับรู้สึกถึงความคำนึงหาสุดพิเศษที่ยากจะบอกกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้







คุณนายแม่ของเสี่ยธร ดีใจอย่างมากที่ลูกชายกลับมาหายดี เธอตั้งใจจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นสำหรับมื้อค่ำของวันนี้ รวมไปถึงนายเต่า ที่แม้จะยังโกรธเคืองไม่หาย แต่ก็ยอมกลับจากบ่อนของประดับทองมาแต่หัวค่ำ เพื่อช่วยภรรยาจัดการกับงานเลี้ยงเล็กๆ นี้
























“ธร…ทำอะไรอยู่เหรอ?”




ภพตะวันเดินทางมาถึงบ้านวงศ์วรรธน์ในช่วงประมาณหกโมงเย็น เขาประหลาดใจเล็กน้อยกับความครึกครื้นของบรรยากาศในบ้าน ที่ปกติแล้วจะเต็มไปด้วยความวังเวงและน่ากลัว หากแต่วันนี้ กลับเดินเข้ามาแล้วได้รับกลิ่นอายรอยยิ้มของใครหลายคน และการประดับตกแต่งสถานที่จากธงสีสันสดใสตั้งแต่รั้วหน้าบ้าน





เมื่อเดินเข้ามาก็พบกับภรรยาเจ้าของบ้าน จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินเข้าไปหาคนที่เขาเอาแต่คิดถึงตั้งแต่ช่วงเช้าของวัน กันต์ธรนั่งหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ท่วงท่านั้นเปลี่ยนไปจากเมื่อสามวันก่อนที่ภพตะวันได้เจอมา หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่เคยได้เห็นกันต์ธรตอนตั้งใจทำงานเช่นนี้กันแน่นะ







“นายรอฉันตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันออกไป”




เจ้าของห้องทำงานที่เคร่งเครียด เงยหน้าขึ้นทั้งที่แววตายังคงเคร่งขรึมอยู่ คำกล่าวนิ่งสงบทรงพลังส่งมาให้แขกที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปด้านใน สมุดสีคล้ำในมือกันต์ธรถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว และเจ้าตัวก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ รอยยิ้มถูกเผยออกมาเมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงจุดที่ภพตะวันยืนอยู่







“นายทำอะไรอยู่เหรอ?”




“เอางานมานั่งดูน่ะ”




“แล้วนึกอะไรออกบ้างไหม?”




“…ไม่”







“ธร…”




เสี่ยธรนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จึงรวบตัวเพื่อนรักเข้ามารัดแน่นในอ้อมแขน เขากดจมูกลงไปบนไหล่ที่สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน และได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแสนคุ้นเคย ความตึงเครียดบริเวณหัวคิ้วจากการจับจ้องกระดาษเป็นเวลานาน คล้ายกับค่อยๆ จางลงไปเพียงได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นนี้ เขาสูดดมอยู่เนิ่นนาน และเริ่มเคลื่อนจมูกไปซุกไซร้บริเวณซอกคอขาวต่อ จนเจ้าของร่างงามต้องค่อยๆ ดันศีรษะเจ้าของบ้านออก ด้วยจุดที่พวกเขายืนอยู่ในตอนนี้คือหน้าห้องทำงานของกันต์ธร








“หอมจัง”




“หอมเหรอ? ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ”




“ไปอาบก่อนไหม แล้วเราค่อยลงไปกินข้าวกัน…ฉันช่วย”



“อ่า…ฉันว่าเราอย่าทำให้ผู้ใหญ่รอนานเลยนะ”



“ไม่นานหรอก ฉันขอแค่สิบนาที”




“ธร…?”




ความคลับคล้ายคลับคลาที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ภพตะวันเริ่มประหลาดใจหนักขึ้นกว่าเดิม กันต์ธรที่เอาแต่กอดรัดเขาอยู่ในตอนนี้ ใช้คำพูดที่คล้ายคลึงกับคนเดิมที่เขารู้จักมานาน และที่ยิ่งกว่านั้น การอาบน้ำไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก กันต์ธรกอดรัดเขาแน่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จนภพตะวันแทบหลอมละลายไปกับสายน้ำก็ว่าได้








“ธร…วันนี้เป็นอะไรหืม?”




“…ฉันรักนาย”





แม้เจ้าบ้านจะยังคงหลับหูหลับตากอดรัดและประโคมจูบไปทั่วทั้งกายของภพตะวัน ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังรู้สึกไม่พอเสียที คำบอกรักที่วนกลับมามากกว่าสิบครั้งเท่าที่ภพตะวันจะนับได้ ให้ความรู้สึกสับสนและพึงใจไปพร้อมๆ กัน









และเช่นเคยที่ว่า สิบนาทีของกันต์ธร…ไม่มีจริง











การอาบน้ำแสนยาวนานไม่ได้ทำให้คนในบ้านเสี่ยธรประหลาดใจ ทุกคนรู้ดีถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง แม้นายเต่าเจ้าของบ้านจะรู้สึกไม่พอใจมากนัก แต่คืนนี้เขาก็เอาแต่นั่งเงียบและกระดกน้ำเมาเข้าปากมาหลายชั่วโมงแล้ว





“อาเต่า สวัสดีครับ”



“…สวัสดี”




เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ภพตะวันได้คุยกับญาติห่างๆ คนนี้ เขายิ้มให้การทักทายเล็กๆ นั้นด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ชายหนุ่มหน้าเนียนสวมใส่ชุดสบายๆ ของกันต์ธร เดินมายังโต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางบ้านที่เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาดีกว่าสิบอย่าง กลิ่นอายหอมหวนชวนให้ลิ้มลอง ภพตะวันนั่งลงข้างกันต์ธร ซึ่งนั่งตรงข้ามกับบิดาและมารดาของเขา







แอลกอฮอล์ชั้นดีการันตีที่ราคาและเวลาบ่ม ถูกรินใส่แก้วของทุกคนบนโต๊ะอาหาร ความสุขปรากฏเต็มพื้นที่ แก้วทรงสูงถูกทุกคนยกขึ้นชนกันกลางอากาศและยกดื่ม










“ธร…”




“หืม?”




“…ฉันเวียนหัว”




“…ภีม?”







หากแต่เพียงครู่เดียวหลังจากหยดน้ำสีอำพันไหลลงคอ ภพตะวันก็เอียงตัวกระซิบไปที่หูกันต์ธร พร้อมดวงตาที่เริ่มพร่าเบลอ เสี่ยธรที่เห็นท่าไม่ดี รีบประคองแขกเอาไว้แล้วทำท่าจะพาเดินขึ้นไปพักด้านบน










ตึง!




“ภีม!?!!”




ศีรษะมนๆ ของคนน่ารัก กระแทกลงบนโต๊ะไม้และหมดสติไป ก่อนที่กันต์ธรจะทันได้พาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อเสี่ยธรเห็นภพตะวันหมดสติไปก็รีบคว้าตัวมาไว้และจะอุ้มออกไปอีกครั้ง แต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน










“วางมันลง…ธร”




“พ่อ?”



“มันไม่รอดหรอก”




“…”





ขวดบางอย่างถูกนำออกมาจากกระเป๋าเสื้อของนายเต่า ด้านข้างมีฉลากเขียนติดว่า




‘Cyanide’













“พ่อ!!!!!!”




ปัง!





เพล้ง!!!!





เสี่ยธรที่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตะโกนลั่นออกมากลางบ้าน พร้อมกับมือที่ตบลงบนโต๊ะจนจานที่ถูกวางไว้บริเวณขอบโต๊ะกระเทือนตกแตกไป










“ตกใจทำไม แกก็คิดจะฆ่ามันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”




“ว่าไงนะ? ผมมีวิธีของผม!!! พ่อจะ…”




“มึงหยุด ไอ้ธร!!! มึงก็กะลวงมันมาฆ่าอยู่แล้วกูรู้…หรือมึงใจอ่อน”



“มึงรู้หมดทุกอย่าง ว่าอะไรควรทำ มึงลืมไปแล้วเหรอ ว่าชีวิตมึงมันบัดซบขนาดไหน ตอนที่พวกมันพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเรา!!”




“มึงดูหน้าพ่อหน้าแม่มึงบ้างไอ้ธร พวกกูทุกข์ทรมานกันขนาดไหน ทั้งหมดก็เพราะพวกมัน!”



“พี่เต่า!”



“มึงหยุด กูสั่งสอนลูกโง่ๆ ของมึงอยู่ไม่เห็นเหรอ! ไม่เคยรู้จักสำนึกบุญคุญ โง่ยังไงก็โง่อย่างงั้น แถมยังมีหน้าไปช่วยงานมันถึงที่อีก กูไม่รู้จะทำยังไงกับมึงแล้วไอ้ธร!!!!!!”




“อย่างน้อยผมก็ทำงาน ดิ้นรนช่วยบ้านนี้เอาไว้ ไม่ใช่วันๆ เอาแต่เข้าบ่อน จนติดหนี้ให้ลูกเมียลำบาก! แล้วพ่อรู้อะไรไหม ที่พ่อไปเล่นไพ่ที่บ่อนคุณประดับทองเท่าไหร่ก็ได้แบบทุกวันนี้เพราะอะไร!!! เพราะไอ้ลูกชายผิดเพศของพ่อคนนี้ไง ที่ไปนอนกับเจ้าของบ่อน แลกเงินมาให้พวกเรามีกินมีใช้สบายแบบทุกวันนี้!!! จะว่าอะไรให้คนอื่น มองดูตัวเองบ้างเถอะ!”




“เถียงกูคำไม่ตกฟาก อวดเก่งนักใช่ไหมไอ้ธร! ถ้าไม่มีกูสักคน มึงจะได้โตมายืนด่ากูฉอดๆ แบบนี้ไหม ห๊ะ!!!”




“ก็ไม่ได้อยากเกิดมาเจออะไรแบบนี้หรอก แต่มันเลือกไม่ได้ไงวะ!!!”




“ไอ้ธร!!!”







เพลี้ยะ!!!



ฝ่ามือหนักๆ ของนายเต่า กระทบเข้ากับใบหน้าของลูกชายเต็มๆ อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นกันต์ธรก็หันกลับมาสู้ด้วยสายตาอย่างไม่มีใครยอมใคร จึงถูกฝ่ามือหนักๆ กระทบหน้าไปอีกหนึ่งที







เพลี้ยะ!!!




“มึงอย่ามาอวดดี!!!! ชีวิตมึงมีอะไรดีบ้าง กูล่ะสมเพชมึงจริงๆ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกกูเลย!!! อ่อนแอปวกเปียก! ทั้งขายตัว ทั้งขูดรีด เกิดมาเคยทำอะไรที่ชาวบ้านจะไม่นึกรังเกียจบ้างไหม!?!!”





“มึงวางมันลงเลยนะ แล้วสั่งลูกน้องมึงเอามันไปทิ้งซะ! ถ้ายังไม่อยากให้กูกับแม่มึงเดือดร้อน…มันไม่มีทางฟื้นขึ้นมาหามึงได้หรอก คนอย่างมันสมควรตาย เลือกเอาไอ้ธร จะยอมให้พ่อแม่มึงถูกจับ หรือจะสั่งคนมาจัดการให้มันจบๆ ไป”







กันต์ธรที่ถูกตบหน้าสองทีและด่าทออย่างรุนแรง เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาด้วยไม่อาจฝืนทนต่อไปได้ไหวอีก ทั้งภพตะวันที่ถูกวางยาและคาดว่าเสียชีวิตไปแล้ว ยิ่งฉุดดึงสติของกันต์ธรให้จมดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก เขาประคองร่างไร้เรี่ยวแรงที่ทุกส่วนตกลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นมาประคองกอดไว้ แต่กลับถูกนายเต่าที่เมามายทุบตีเข้าให้อีก จนสุดท้ายกันต์ธรก็ยอมวางภพตะวันกลับลงไปบนเก้าอี้ที่จุดเดิม





ทายาทณรงค์กรมองไปยังมารดาที่ร้องไห้โฮอยู่ใกล้ๆ เธอทำได้เพียงเท่านั้น ทุกสิ่งคล้ายผิดพลาดไปเสียหมด ครอบครัวแสนอบอุ่นพังทลายไม่เป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งนี้ ดูท่าว่าจะรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ เมื่อนายเต่า ลงมือปลิดชีพญาติตัวเองด้วยความแค้นที่ฝังรากลึกเกินใครจะหยั่งถึงได้





“แม่…”





ภาพมารดาที่ต้องอดทนแบกรับความเข็ญใจมานานร่วมสิบปี ทำให้เสี่ยธรตัดสินใจตะโกนเรียกลูกน้องที่นั่งอยู่โต๊ะด้านนอกให้จัดการกับร่างของภพตะวันตามคำสั่งของบิดา จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าห้องส่วนตัวไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินใจจะรับได้ทัน เขายังคงมีสภาพความคิดคล้ายกับคนกึ่งหลับกึ่งตื่น พร้อมกับภาพที่ฉายเข้ามาในมโนสำนึกที่ชัดเจนกว่าบันไดตรงหน้าที่เท้ากำลังก้าวขึ้นไป










“พวกมึงลากคอมันตามกูมา”



นายเต่าเริ่มออกคำสั่ง จากนั้นร่างของภพตะวันก็ถูกนายศักดิ์และนายพันธุ์หิ้วบริเวณศีรษะและข้อเท้าเอาไปใส่ไว้ในรถยนต์ และชายสามคนก็ออกไปพร้อมกับร่างของภพตะวัน





กันต์ธรที่มีทั้งความรักและแรงแค้นฝังรากลึกไม่ต่างจากบิดา ล้มตัวลงนอนลืมตามองเพดาน ปล่อยให้น้ำตารินรดออกบริเวณหางตาไปเรื่อยๆ เขาได้ยินเสียงรถยนต์ที่คุ้นหูแล่นขับออกจากรั้วบ้านไป พร้อมกับร่างของภพตะวันที่เขาหลงรัก





จากกันคราวนี้




…จากกันตลอดไป?




…ไม่มีวันได้พบกันอีก?





แผลบาดเจ็บเสียดแทงลึกเกินกว่าจะสัมผัสได้ กันต์ธรหลุดลอยหายไปจากสถานที่ ที่เขานอนอยู่ หลุดเข้าไปในมโนภาพที่ช่วยหลอกล่อเขาเอาไว้ให้ยังไม่หยุดหายใจ ด้วยตอนนี้ เจ้าตัวไม่อาจรับสภาพความจริงที่เกิดขึ้นได้










ความหอมของกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม และซอกคอขาวนั้นยังติดตรึงอยู่ที่ปลายจมูก ความหวานละมุนจากวงปากนุ่มนิ่มยังติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปากของเขา





ความสุข…จากความโหดร้ายที่เขาเองก็ตั้งใจว่าจะทำต่อภพตะวันเช่นกัน…เกิดขึ้นบ้างไหมนะ?






ทำไม? พอได้เอาความแค้นทั้งหมดไปลงที่ภพตะวันแล้ว ถึงไม่รู้สึกสุขขึ้นมาเลยสักนิด กลับให้ความรู้สึกเหมือนเขาเองนั่นล่ะ ที่กำลังจะหมดลมหายใจในตอนนี้

















……………………………………




“ไม่ค่อยได้เห็นใช่ไหมล่ะ คนบ้านในเมือง”



“อืมม…สบายใจจัง”



กันต์ธรหลับตาพริ้มปล่อยให้ลมเย็นพัดกระทบใบหน้าและผิวกาย กลิ่นอายธรรมชาติที่เขาแทบไม่ได้สัมผัส ด้วยเจ้าตัวนั้นจมอยู่กับความเครียดตลอดเวลาจากภาระหน้าที่การงานมาตลอดหลายปี




ระหว่างที่เสี่ยธรกำลังดื่มด่ำกับความเบาสบายในจิตวิญญาณอยู่นั้น ก็มีสายตาคู่หนึ่งมองไปที่เขาตลอดเวลา รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้ากันต์ธร ส่งมายังภพตะวันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เจ้าของสถานที่ยิ้มตามภาพนั้นด้วยแก้มแดงปลั่ง จากนั้นจึงได้ขยับตัวเข้าใกล้ แล้วโอบกอดคนที่กำลังสุขใจอยู่ในขณะนี้เอาไว้




“…ฉันรักนายนะธร”






……………………………………














“…ฉันก็เหมือนกันภีม”




“รัก…”







“…นาย”


























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------










หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 18 : คดีฆาตกรรม? (18/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 18-12-2019 22:42:58
ภีมตายแล้วจริง ๆ เหรอ ....
ผู้ที่ถูกกระทำก็ยังเป็นภีมอีกครั้ง ถึงภีมจะรักธรยังไง
ก็คงไม่สามารถทำให้ความแค้นนี้ลดลงเลยใช่ไหม
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 19 : ล้างมือในอ่างทองคำ (20/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 20-12-2019 19:26:14
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ คุณ bun  :กอด1: :pig4: :pig4:

เราว่าเสี่ยแกน่าจะมียีนส์หัวรุนแรงอยู่ในสายเลือดค่ะ เลยแค้นแรง
มาลุ้นกันต่อนะคะ ว่าเรื่องราวจะไปทางไหนต่อ ขอบคุณมากค่า  :L2:


















...












บทที่ 19 : ล้างมือในอ่างทองคำ



















ก๊อก ก๊อก


















ก๊อก ก๊อก ก๊อก










เอี๊ยด!






“ธร…”




“…”





“…แม่เอาข้าวมาให้ ลุกมากินซะหน่อยเถอะลูก”



“…”



หนึ่งสัปดาห์หลังผ่านพ้นวันงานฉลองสุดสะเทือนใจ กันต์ธรก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง เขาแทบไม่แตะข้าวปลาจนมารดาเริ่มกังวลใจ บัดนี้บ้านหลังใหญ่สูญเสียหมดทุกสิ่ง ไม่ใช่เพียงชื่อเสียงเงินทอง แต่แม้กระทั่งกับความเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูง ก็แทบไม่มีใครในบ้านหลังนี้หลงเหลืออีกแล้ว








“พ่อกลับมารึยัง?”



“…ยังจ้ะ”



หนึ่งสัปดาห์หลังผ่านพ้นวันงานฉลองสุดสะเทือนใจ นายเต่า…เจ้าของบ้านณรงค์กรได้หายตัวไปพร้อมกับร่างของภพตะวัน และไม่กลับมาที่บ้านอีก นายศักดิ์และนายพันธุ์ที่กลับมายังบ้านเสี่ยธร เล่าให้เจ้าบ้านที่เหลือทั้งสองฟังเพียงว่า นายเต่าได้สั่งให้ตนนำลวดตะแกรงพันร่างไร้เรี่ยวแรงนั้นของภพตะวันเอาไว้โดยรอบ จากนั้นก็โยนลงน้ำ ด้านนายเต่าที่สั่งการทุกอย่างจนเสร็จสิ้นได้เกิดหวาดกลัวความผิดขึ้นมา จึงได้หนีไป






กันต์ธรออกจากบ้านมาอีกครั้งพร้อมลูกน้องหลายคนกลางดึกของคืนนั้น ช่วยกันงมหาร่างของภพตะวันบริเวณริมแม่น้ำที่นายเต่าสั่งคนโยนลงไป แต่กลับไม่พบ จนดวงอาทิตย์ลอยส่องแสงบนท้องฟ้า ความหวังเพียงเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ในใจจึงมลายหายไปหมดสิ้น กันต์ธรไม่ออกจากห้องตั้งแต่วันนั้น เขาไม่พูดคุยกับใคร นอกจากมารดาที่เขายังคงห่วงใยเท่านั้น






“เมื่อคืน พี่เตี๋ยวโทรมาถามหาภีม ว่าอยู่กับธรรึเปล่า?”



“แล้วแม่บอกเค้าไปว่าไง”



“…ไม่อยู่”



“ผมจะไปมอบตัว”



“ไม่ได้นะธร!”



“ทำไมล่ะ? ผมเป็นคนฆ่าภีมนะแม่!”



“ลูกไม่ได้ทำ! ถ้าธรต้องติดคุกแทนคนอื่น แม่ยอมตายดีกว่า”



“…แม่”




“แม่ไม่ได้อยากอยู่บนโลกนี้ตั้งนานแล้ว แต่ที่แม่ยังอยู่ เพราะแม่มีธร”




กันต์ธรที่นอนหงายอยู่บนเตียง เมื่อได้ฟังดังนั้นจากมารดา ปากอันแห้งกรังก็เริ่มสั่นไหวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินท่วมท้นออกมา เขายกมือขึ้นปิดหน้าแล้วส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด แรงกระเพื่อมของร่างกายและเสียงสะอื้นไห้นั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ








‘ฮื่อออ…ฮื่ออออ’




เสียงร่ำไห้อึดอัดชวนจุกในอกดังระงมทั่วทั้งห้อง มารดาเขาเองก็เริ่มร้องไห้โฮออกมาตามลูกชาย ด้วยความเจ็บนั้นฝังลึกจนแทบเป็นทั้งหมดของความรู้สึกไปแล้ว …เสี่ยธรผู้มีอำนาจล้นมือ กลับไร้ซึ่งความสุข… เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วโผเข้ากอดมารดาอย่างหาที่พึ่ง






สองแม่ลูกที่ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี ตระกองกอดกันอยู่อย่างนั้นร่วมชั่วโมงจนกันต์ธรเริ่มหายใจโล่งมากขึ้นเมื่อได้ระบายก้อนอารมณ์อัดแน่นในอกออกไป เขาผละออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วกุมมือมารดาเอาไว้ พร้อมเอ่ยคำสัญญา







“ธรจะอยู่กับแม่นะ…แม่ก็ต้องอยู่กับธรเหมือนกัน”





















ชายหนุ่มวัย 28 ปี ผู้เป็นเสาหลักของบ้าน ลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยพลังใจจากมารดา เขาเดินเข้าห้องทำงานของตนเองไป แล้วเริ่มรื้อสมุดหนังสือและแฟ้มมากมายออกมากองไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็โยนมันใส่ในกล่องลังไม้ขนาดใหญ่





“ไอ้พันธุ์! …เฮ้ยย!! หายหัวไปไหนกันหมดวะ!!! ไอ้พันธุ์!!!!”



“…ครับนาย!”




แฮก แฮก




สมุนคนสนิทที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกใช้งานกะทันหัน วิ่งเข้ามาในห้องด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ เขาไม่ได้ยินเสียงเจ้าชีวิตมาหลายสัปดาห์ และความซึมเศร้าจากผู้เป็นนาย ส่งต่อไปยังลูกน้องทุกคน หากแต่วันนี้เสียงกันต์ธรกลับดังลั่นอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้นายศักดิ์และนายพันธุ์ผู้เป็นสมุนซ้ายขวารีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม









“กว่าจะมาได้นะพวกมึง ไปมุดหัวอยู่ไหนกันมา?”



“ผมสองคนกำลังจะออกไปเก็บค่าคุ้มครองในตลาดครับ”



“พวกมึงไม่ต้องไปแล้ว”




“…?”



“เอาลังนี่ไปเผาให้กูด้วย”



“นาย…หมายความว่าไงครับ?”



“เอาไปเผาเสร็จ ก็เรียกทุกคนไปรวมกันที่ลานใต้ดิน กูขี้เกียจพูดหลายรอบ”



“ครับนาย”



นายพันธุ์นิ่งค้างมองไปยังลังไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกระดาษเอกสารในการทำธุรกิจของกันต์ธรทั้งหมด เขาหันกลับมามองหน้าผู้เป็นนายที่บัดนี้ฉายรอยยิ้มส่งตรงมาให้เขา ลูกน้องผู้ภักดีเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ นี่อาจเป็นจุดสิ้นสุดสำหรับอาชีพอันป่าเถื่อนของกันต์ธรแล้วก็เป็นได้







ชายหนุ่มผู้มีจิตใจอันสงบสุข ต้องแบกรับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดไว้เพียงลำพัง เพื่อประคองชีวิตตนเองและคนในบ้านให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ ทุกย่างก้าวและน้ำตา สมุนทั้งสองได้รับรู้มาโดยตลอด และหากว่าเจ้าชีวิตของเขาจะเลือกเดินต่อไปไม่ว่าจะเส้นทางไหน พวกเขาก็พร้อมทำตามโดยไม่คิดสงสัยใดๆ






กันต์ธรชนะแล้ว…ชนะมารร้ายในใจตน



และสิ่งที่ช่วยให้เขาหลุดพ้น ก็คือสิ่งเดียวกับที่ทำให้เขาเจ็บแค้นในอกมาอย่างเนิ่นนาน






…ความรัก










สมุนซ้ายขวาและลูกน้องอีกหลายสิบชีวิตที่กันต์ธรเลี้ยงไว้ ถูกเรียกให้มายืนพร้อมหน้าพร้อมตากันในลานกว้างใต้ดินของบ้านที่เขาสร้างไว้ตั้งแต่ต้น แหล่งรวมพลเฉพาะกิจเมื่อมีงานสำคัญ




เมื่อลังไม้และเอกสารทั้งหมดถูกเผาเหลือไว้เพียงซาก เสี่ยสุดหล่อผู้ยิ่งใหญ่ ก็เดินเข้ามากลางวง และประกาศสิ่งสำคัญให้กับทุกคนทราบ








“…ไงพวกมึง มากันหมดรึยัง? ถ้าหมดแล้วกูจะพูดทีเดียวเลยนะ…”



คำบอกเล่ายืดยาวกินเวลาไปเกือบสิบห้านาที ลูกน้องหลายคนมีสีหน้าไม่พอใจ







“นายเลิกแล้วพวกเราจะทำไง? ผมมีลูกมีเมียต้องเลี้ยงดูนะนาย…”



“มึงไม่ต้องห่วง กูรักพวกมึงทุกคน ใครที่ไม่มีทางไปจริงๆ กูจะหางานให้ แต่ถ้าใครพอช่วยเหลือตัวเองได้ มีทางที่ดีกว่า มึงก็แยกกันไป…กูจะจ่ายค่าจ้างให้พวกมึงล่วงหน้าสามเท่าระหว่างที่พวกมึงไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่…”




กันต์ธรนั้นมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างมากมาโดยตลอด นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดจะทำการใหญ่อะไร ก็ล้วนแล้วแต่สำเร็จไปเสียหมด รวมทั้งลูกน้องหมู่มากที่เขารับเลี้ยงมา เจ้าตัวก็เลือกและบ่มเพาะนิสัยมาอย่างดีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้หลังจบการประชุม ไม่มีใครที่คิดจะโต้แย้งใดใดต่ออีก











เช้าวันถัดมา ลูกน้องทั้งหมดของกันต์ธรก็หายไปจากบริเวณบ้านณรงค์กร เหลือเพียงนายศักดิ์และนายพันธุ์ที่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณริมรั้วหน้าบ้าน เจ้าของบ้านที่พึ่งได้รับความสงบเช่นนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี รู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างแปลกๆ เขายืนมองลูกน้องคนสนิทอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้านครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินลงบันไดมา และพบกับมารดาที่กำลังเช็ดโต๊ะทานข้าวอยู่







“ธรจะไปไหนลูก?”



“…บ้านภีมครับ”



“ธร!”




“แม่ ลุงเตี๋ยวมีลูกชายคนเดียวนะ แล้วพวกเราก็พรากลูกเขาไป ผมคิดว่าเราต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง”




“แล้วธรหายโกรธบ้านนั้นแล้วเหรอ?”



“ถ้าบอกว่าหายแล้ว ผมก็คงโกหก…ผมก็แค่กำลังพยายามให้อภัยพวกเขาอยู่ เพราะผมรักภีม”



“แม่ภูมิใจในตัวธรนะ ถ้าภีมยังอยู่ เขาก็จะภูมิใจเหมือนที่แม่ภูมิใจ”



“ครับ…ผมไปก่อนนะแม่”





















“กันต์ธร!”



“สวัสดีครับป้าบัว”




ความเงียบสงบเข้าปกคลุมรอบด้าน บ้านหลังใหญ่ที่กันต์ธรมาครั้งสุดท้ายในวันงานฉลองต้อนรับภพตะวันกลับบ้าน บัดนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ต่างออกไปเพียงความวังเวงคล้ายกับไร้คนอยู่อาศัย สาวใช้พากันต์ธรเดินไปนั่งรอบริเวณโซฟาสีหม่น เพียงครู่เดียวคุณนายเจ้าของบ้านก็เดินออกมาพบ







“มาที่นี่ทำไม?”



“ผมเอาผลไม้มาฝากครับ”




“วันหลังไม่ต้อง…ฉันซื้อกินเองได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็รีบกลับไปซะ บ้านนี้ไม่ต้อนรับเธอ”



“ครับ ผมรู้…ผมก็ไม่ได้อยากมานักหรอก สิ่งที่พวกคุณทำไว้กับครอบครัวผม ผมก็ยังไม่ลืม แค่จะมาเพราะอยากช่วยทำหน้าที่แทนภีมให้ก็แค่นั้น”



“เธอพูดอะไรกันต์ธร เธอไม่มีทางแทนที่ลูกชายฉันได้…ไม่มีวัน”



“ผมไม่ได้หวังแทนที่ ผมแค่มาทำเพื่อภีม”



“งั้นก็ตอบฉันมาสิ ว่าเอาลูกชายฉันไปไว้ที่ไหน!?!”



ภพตะวันที่หายตัวไปบอกกับคนในครอบครัวว่าจะเดินทางไปทานข้าวเย็นที่บ้านณรงค์กร และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวได้พบเขา ทุกคนเชื่อว่าภพตะวันถูกกันต์ธรฆ่าตายไปแล้วเพียงแค่ยังไม่มีใครพบศพ และไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดว่ากันต์ธรคือคนร้าย






ทั้งอิทธิพลก่อนเก่า รวมไปถึงพันธมิตรทางธุรกิจที่อยู่ในองค์กรต่างๆ มากมายที่กันต์ธรรู้จัก ทำให้ไม่มีใครสามารถทำอะไรเสี่ยใหญ่ผู้นี้ได้เลย









“ผมไม่รู้ว่าภีมอยู่ไหน”



“โกหก! เธอฆ่าเขาไปแล้วใช่ไหม เธอทำแบบนี้ทำไมกันต์ธร ตาภีมกำลังจะมีชีวิตที่ดี เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย กับเรื่องธุรกิจระหว่างครอบครัวพวกเรา”



“ก็ถ้าพวกคุณไม่โกงบ้านผมก่อน ลูกชายคุณคงไม่หายไปหรอก!”



“พวกฉันไม่เคยโกงใคร มีแต่พ่อเธอนั่นแหละที่ติดหนี้พวกเราแล้วไม่คืน”




“ทรัพย์สินที่อยู่ในมือพวกคุณทั้งหมดตอนนี้ พ่อผมเป็นคนสร้างขึ้นมา พวกคุณก็แค่หุ้นส่วน พอพ่อผมยอมแบ่งขายหุ้นให้ พวกคุณก็โกงเราไป แล้วฮุบไปเป็นของตัวเองจนหมด จนผมไม่เหลืออะไรเลย ไม่เหลือแม้แต่โต๊ะกินข้าว ยังจะมีหน้ามาเรียกร้องความยุติธรรมอีกเหรอ?”



“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอได้ยินมาเป็นยังไงนะกันต์ธร แต่ความจริงคือ พ่อเธอขายหุ้นทั้งหมดให้พี่เตี๋ยวเอง ตอนนั้นพวกเราไม่รู้ว่าเต่าจะเอาเงินไปทำอะไร จนเขาใช้เงินก้อนนั้นหมด แล้วก็วนเวียนกลับมาขอเงินพี่เตี๋ยวอยู่เรื่อยๆ จนหุ้นทั้งหมดถูกขายเป็นของพี่เตี๋ยว



พี่เตี๋ยวไม่เคยมีเวลาว่างให้กับครอบครัวเลย ภีมต้องเดินกลับบ้านสิบกิโลหลายครั้งทั้งที่ยังเด็กมาก ต้องนั่งรอพ่อเขาคนเดียวจนค่ำมืดหลังเลิกเรียน ต้องไปค้างบ้านเธออาทิตย์ละสามสี่ครั้ง เพราะอะไร!?! ก็เพราะพี่เตี๋ยวเอาแต่ทำงานไง!!!! เขาไม่มีเวลาให้ใครทั้งนั้น เขาไม่ได้มีต้นทุนดีแบบพ่อเธอ เขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เธอเคยรู้เรื่องพวกนี้บ้างไหม?”










มารดาภพตะวันคล้ายดั่งได้ระบายความทุกข์ใจออกมาให้คนอื่นคนไกลเช่นกันต์ธรได้รับฟัง น้ำเสียงนั้นสั่นเครือด้วยแรงน้ำตา เธอพูดระบายออกมาเรื่อยๆ พร้อมกับยกมือขึ้นทาบอกคล้ายพยายามสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้ทะยานขึ้นสูงไปมากกว่านี้








“ตอนนั้น…มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อผม”



“พ่อเธอ เปิดธุรกิจใหม่กับนายขุนพล”



“พ่อของจ้าววายุ?”



“ใช่…ฉันได้ยินมาว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่โปร่งใส แต่ก็ไปได้สวย พ่อเธอถูกนายขุนพลชักชวนให้ลองเล่นการพนัน พอได้ลอง เขาก็เริ่มเล่นหนักขึ้นเรื่อยๆ พี่เตี๋ยวเตือนเขาหลายครั้ง แต่ตอนนั้นเขาไม่ฟังใครเลยนอกจากหุ้นส่วนคนใหม่ของเขา พี่เตี๋ยวมาปรึกษาฉันเรื่องเงินที่พ่อเธอมายืมเขาไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่คืน เงินก้อนสุดท้ายที่พี่เตี๋ยวให้ยืมไป คือค่าตั๋วเครื่องบินของเธอ…ให้เธอได้กลับบ้าน หลังจากนั้นพอเราเริ่มไม่ให้เขายืมเงิน เขาก็สาดสีและโยนความผิดทั้งหมดมาให้พี่เตี๋ยว”



“…แต่ว่า ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย”



“ฉันก็ยังแปลกใจนะกันต์ธร เธอก็ดูเป็นเด็กฉลาด แต่กลับเชื่อคำพูดของพ่อเธอได้ง่ายๆ …เธอลองกลับไปถามแม่เธอดูสิ ว่าที่ฉันพูดมันจริงไหม มันอาจทำใจยอมรับยากหน่อยนะ แต่เธอก็จะได้รู้ความจริงเอง”










คุณนายบ้านวงศ์วรรธน์หยิบตะกร้าผลไม้ของกันต์ธรขึ้นพร้อมกรีดนิ้วปาดน้ำตา แล้วเดินออกไป ปล่อยแขกผู้มาเยือนเอาไว้ในนิ่งงันจมกับความคิดตนเองอีกครั้ง








กันต์ธรกลับบ้านโดยมีนายศักดิ์เป็นคนขับรถให้ ตลอดเส้นทางเข้าเมืองเพื่อกลับเข้าบ้านของเขานั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขากลัวเหลือเกิน ว่าสิ่งที่มารดาของภพตะวันบอกไว้จะเป็นความจริง และหากว่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริง หัวใจอันบอบช้ำดวงนี้ของเขา คงแบกรับกับสิ่งใดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------








หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 19 : ล้างมือในอ่างทองคำ (20/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 20-12-2019 21:58:23
ความจริงกับสิ่งที่เชื่อมันต่างกัน
ธรก็คงต้องยอมรับความเจ็บปวดที่ตัวเองและครอบครัวได้กระทำลงไป
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 20 : ชีวิตเหงา (28/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 28-12-2019 11:11:21
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ bun

มาลุ้นกันต่อนะคะ  :กอด1:


 :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1:


















...












บทที่ 20 : ชีวิตเหงา























“จริงรึเปล่าแม่?”



กันต์ธรหวาดกลัวต่อคำตอบนั้นเป็นอย่างมาก เขาเฝ้าภาวนาให้เรื่องทั้งหมดที่นายหญิงของบ้านวงศ์วรรธน์ที่บอกเขามาเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด แต่แล้วเมื่อเขาได้กลับมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาฟัง เขาได้รับเพียงน้ำตาและการพยักหน้าเป็นคำตอบ




หัวใจชายหนุ่มถูกบีบรัดอย่างรุนแรง กันต์ธรไม่อาจโต้ตอบคำใดกับมารดาเขาไปได้อีก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เขาเฝ้าค้นหามีเพียงความเคียดแค้น กับคำตอบสุดท้ายที่เขาได้พบ กลายเป็นเพียงลมพายุร้าย ที่เขาสร้างขึ้นเองทั้งสิ้น ลมพายุเหล่านั้นพัดจากกายเขาไป และพัดวนกลับมาปกคลุมทั่วร่างกายและจิตใจเขาในบัดนี้




มันวนเวียนและกัดกินความสุขเพียงเล็กน้อยนั้นจนหายไปหมดสิ้น เสี่ยธรผู้ทรงอำนาจและบารมีทรุดเข่าลงตรงนั้นอย่างหมดสภาพ เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอดในทุกๆ เรื่อง ปล่อยให้ความแค้นกัดกินดวงใจอย่างไม่ยอมหยุด ความแค้นที่ทำลายเขาโดยตรง รวมทั้งคนรอบข้างทั้งหมด กระทั่งลามไปถึงชายคนหนึ่งซึ่งเขารักหมดทั้งหัวใจด้วย





















“ธรจะไปไหนลูก?”



“บ้านภีมครับ”



หลังจากวันที่ความจริงทั้งหมดปรากฏเด่นชัดขึ้นมา กันต์ธรก็วนเวียนไปบ้านวงศ์วรรธน์แทบทุกวัน เขาไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีสักเท่าไหร่ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบเดือนแล้วก็ตาม ความพยายามที่เขาทำเพื่อลบล้างและไถ่บาป ไม่อาจเกิดผลได้เร็วทันใจ แต่นั่นก็ยังพอมีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้นมาบ้าง เมื่อบัดนี้ เขาสามารถทำให้มารดาของเขายิ้มออกมาอย่างมีความสุขจากก้นบึ้งของดวงใจได้แล้ว






“สวัสดีครับป้าบัว”



“มาทำไมไม่รู้ทุกวี่ทุกวัน งานการไม่มีทำรึไง?”




“ไม่มีครับ เลยว่าจะขอไปช่วยลุงเตี๋ยวที่อู่”



“ก็ไปสิ วันก่อนเธอก็ไปแบบไม่ได้แวะมาที่นี่ก่อนสักหน่อย”




“ครับ วันก่อนลุงเตี๋ยวบอกว่าวันนี้ป้าบัวต้องไปตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาล ผมเลยแวะมาพาป้าบัวไปตรวจก่อนไปช่วยลุงเตี๋ยว”




“กันต์ธร บ้านฉันมีคนขับรถ เธออยากไปช่วยพี่เตี๋ยวก็ไปสิ”



“แต่ผมจะไปส่งป้าบัวก่อน!”



“นี่เธอ อย่ามาบังคับฉันนะ!”







“…ผมเปล่า”




อดีตนักเลงผู้เอาแต่ใจ หลงลืมไปว่าเมื่อครู่ใช้คำพูดและน้ำเสียงเช่นใดกับภรรยาเจ้าของบ้าน เมื่อถูกเอ็ดเอาจึงพึ่งมานึกขึ้นได้และหน้าจ๋อยลงไป





ด้านคุณนายเจ้าของบ้านเห็นกันต์ธรที่ตื่นตัวตลอดเวลาในการช่วยเหลือนิ่งเงียบลงไปก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น








“จะไปก็ไป ถ้าฉันไปช้าแล้วโดนคุณหมอตำหนิ ฉันจะโทษเธอคนเดียวเลย”



“…”



ชายหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ตอบอะไรเจ้าของบ้าน เพียงเดินตรงดิ่งนำคุณนายบัวไปที่รถของเขา เมื่อแขกคนสำคัญขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย กันต์ธรที่มักมีคนขับรถประจำตัว ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นคนขับให้กับคุณนายบ้านวงศ์วรรธน์แทน





เขาช่วยคุณนายบัวถือของ คอยประคอง และรับยาตามแพทย์สั่งอย่างเต็มใจ เขาสัมผัสได้ว่าสตรีท่านนี้มีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับภพตะวันเป็นอย่างมาก ก็แน่ล่ะ คุณนายบัวเป็นแม่ของคนรักเขานี่นะ









“แวะซื้ออะไรก่อนไหมครับป้าบัว”



“ไม่ล่ะ ฉันอยากกลับไปพักที่บ้านแล้ว”



“ครับ”



“ตาภีมติดต่อเธอมาบ้างรึเปล่า?”



คุณนายบัวที่เคยเชื่อว่าลูกชายถูกฆ่านั้น เริ่มมีความคิดที่เปลี่ยนไป ด้วยไม่ว่าตำรวจและชุดสืบสวนจะออกค้นหามากเพียงใด ก็ไม่พบร่างของลูกชายเธอเลย นั่นทำให้เธอเข้าใจไปว่าภพตะวันเพียงหนีหน้าไปเท่านั้น







“…เปล่าครับ”



“…”




ไม่ใช่เพียงตำรวจที่ออกตามหา ตัวกันต์ธรเองก็ยังคงไปที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง ที่ที่บิดาของเขาโยนภพตะวันลงไปในแม่น้ำ ลึกๆ ในใจของชายหนุ่มก็ยังแอบหวังเช่นเดียวกันกับคุณนายบัว แม้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลยก็ตาม ยาพิษที่ภพตะวันกินเข้าไปนั้น เรียกได้ว่าร้ายแรง รวมทั้งตะแกรงที่ห่อพันรอบร่างนั้นก็ด้วย ทั้งที่ควรจมลงสู่ก้นแม่น้ำที่ใดที่หนึ่งแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครหาพบ









หลังจากพามารดาของภพตะวันไปตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย กันต์ธรก็ขับรถไปยังอู่รถสิบล้อที่เขาเคยวนเวียนไปช่วยงานภพตะวันอยู่พักใหญ่ เขาพบกับนายเตี๋ยว พี่ชายของบิดาเขา กำลังคุยกับคนขับรถเพื่อวิ่งออกไปรับของแต่คล้ายกับว่าเกิดปัญหาอะไรบางอย่างกับถังน้ำมันเข้า








“สวัสดีครับลุงเตี๋ยว”



“ไงธร…ไปโรงพยาบาลเรียบร้อยดีไหม?”



“ครับ…มีอะไรกันรึเปล่าครับ?”



“ก็ไอ้เจ้าคันนี้น่ะสิ น้ำมันมันซึมออกมา…”



ปัญหาเกี่ยวกับช่วงล่างของหัวรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ช่างฝีมือดีหลายคนช่วยกัน ไม่ได้ทำให้กันต์ธรนิ่งเฉย แม้จะมีคนเข้าช่วยซ่อมแซมแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงพุ่งตัวเข้าไปแล้วช่วยหยิบจับเท่าที่จะทำได้ จนทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี







บิดาของภพตะวันนั้นใจกว้างกว่าใครทั้งนั้น เขาล่วงรู้มานานก่อนหน้านายเต่าเสียอีก ว่าลูกชายเขามีใจให้กันต์ธร แม้จะเอาแต่โหมงานหนัก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ทั้งยังเป็นผู้ชายด้วยกัน เขาจึงมองออกได้ง่ายๆ เลยในทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ภพตะวันโทรมาขอค้างที่บ้านกันต์ธรแล้ว






แต่อย่างไรเสีย ขึ้นชื่อว่าหัวอกคนเป็นพ่อ ย่อมต้องการให้ลูกชายนั้นเดินตามทางที่บุรุษทั่วไปพึงกระทำ จึงได้สนับสนุนให้ภพตะวันเดินทางไปศึกษาต่อตามคำแนะนำของนายเต่า ยิ่งรู้ว่าภพตะวันมีคนรักเป็นหญิงสูงศักดิ์ ทั้งท่วงท่าวาจางดงามเขายิ่งสนับสนุน แต่สุดท้ายแล้ว



ความรัก…ก็เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่ทว่าทรงพลังมหาศาล



ไม่มีใครหยุดยั้งความรักที่ภพตะวันมีต่อกันต์ธรได้ ลูกชายเขารักเด็กหนุ่มคนนี้มากกว่าใครๆ ยอมเสียสละให้หมดทุกอย่างแม้จะโดนเขาเกลียดและเอาเปรียบตลอดมาก็ตาม








“ฉันถามเธอตรงๆ นะธร…เธอไม่ได้ฆ่าลูกชายฉันใช่ไหม?”



“ลุงเตี๋ยว…”



อยู่ๆ เจ้าของอู่รถสิบล้อก็เดินเข้าไปหากันต์ธรที่กำลังล้างทำความสะอาดคราบน้ำมันที่ติดมืออยู่ คำถามนั้นสะกดกันต์ธรให้นิ่งลงไป ความรื่นเริงจากการได้ช่วยช่างหลายคนซ่อมช่วงล่างรถเมื่อครู่เลือนหายไป หลงเหลือไว้เพียงความอึดอัดใจและมือที่เริ่มออกอาการสั่น








“…ผมไม่ได้ทำ”



“ฉันเชื่อเธอ…เธอรู้ใช่ไหม ว่าเจ้าภีมรักเธอมาก สิบกว่าปีแล้วนะธร ที่ฉันมองดูพวกเธอ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าไม่มีอะไรทำให้ลูกชายฉันเปลี่ยนใจไปจากเธอได้จริงๆ เธอล่ะ…รักเขาแบบที่เขารักเธอบ้างไหม?”



“ครับ…ถ้าเขากลับมา ผมสาบานจะไม่ทำให้เขาต้องร้องไห้อีก”



“อย่าทำให้ฉันคิดว่าเธอดีแต่ปากก็แล้วกัน”



“ลุงเตี๋ยว…?”



“ตามมากินข้าวด้วย ฉันให้คนซื้อมาเผื่อแล้ว”



“…ครับ”



กันต์ธรที่อยู่ใกล้ชิดกับบิดาและมารดาของภพตะวันมาระยะหนึ่ง รับรู้ถึงความใจดีและความอบอุ่นอยู่ลึกๆ ในใจ หลายครั้งที่ท่านทั้งสองแอบถามหาภพตะวันจากเขา นั่นทำให้เขาอยากร้องไห้ออกมาทุกครั้ง ด้วยเขาเองรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด และคิดถึงภพตะวันแทบขาดใจไม่แพ้ท่านทั้งสองเลย





















กันต์ธรอยู่ดูแลคุณนายบัว และช่วยงานนายเตี๋ยวที่อู่รถสิบล้อกินเวลานานไปถึงหนึ่งปีเต็ม เขาเจอฤทธิ์ทางวาจาและการกระทำของคุณนายแม่มาแล้วแทบทุกรูปแบบ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังคงเดินหน้าไถ่บาปต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ




“ธร…พรุ่งนี้วันหยุด ฉันกับพี่เตี๋ยวเลยคุยกันว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนบนดอยสักหน่อย เธอก็ไปด้วยกันสิ”



“ไปกี่วันเหรอครับ?”



“2 วัน ค้างที่นั่นหนึ่งคืน”



“พอดีผมนัดกับเจ้าของที่ไว้ว่าจะไปคุยกับเขาพรุ่งนี้น่ะครับ”



“ได้ทำเลถูกใจแล้วเหรอ?”



“ครับ อยู่ใกล้ๆ บ้านผมเลย”



“ถ้าอยู่ใกล้บ้านเธอ คงจะแพงน่าดูเลยนะ”



“ครับ ผมเลยนัดเขาไปต่อรองราคากันพรุ่งนี้”



“งั้นเอาอย่างงี้ ฉันจะให้พี่เตี๋ยวไปช่วยคุยด้วย มีผู้ใหญ่ไปช่วยคุยอาจง่ายขึ้น”



“ป้าบัวไปเที่ยวดอยเถอะครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า”



“เอางั้นเหรอ?”



กันต์ธรนั้นมีทรัพย์สินมากมายมหาศาลจากการทำงานเก็บเงินมาหลายปี และบัดนี้เขาตั้งใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามคำแนะนำของคุณนายบัว ด้วยการนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนเปิดร้านอาหาร อาชีพสุจริตครั้งแรกในชีวิต เขาใช้เวลาศึกษาข้อมูลโดยได้รับความช่วยเหลือจากญาติห่างๆ ของเขา จนในที่สุดก็ได้พบกับทำเลที่ถูกใจในการทำร้าน





















เช้าถัดมากันต์ธรเตรียมเงินจำนวนหนึ่งในการมัดจำติดตัวมาด้วยเรียบร้อย หากแต่การเจรจากลับไม่ได้เป็นไปดังคาด แม้จะต่อรองอย่างไรเจ้าของที่คนเก่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเหลือเรื่องราคาแต่อย่างใด






“ช่วยๆ กันหน่อยเถอะครับ ผมเตรียมเงินมามัดจำแล้วนะ”




เสี่ยธรแม้จะเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้มีรายได้น้อย แต่กับผู้มีอันจะกินไปถึงชนชั้นร่ำรวย กลับไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอำนาจใดๆ ของกันต์ธร ยิ่งเจ้าตัวถอนตัวจากยุทธภพมานานร่วมปีเช่นนี้แล้ว จึงไม่มีใครต้องให้ความเกรงใจหรือช่วยเหลือบุรุษผู้เคยตัดนิ้วและขูดรีดผู้อื่นแต่อย่างใด






“อย่าต่อมากเลยเสี่ย เสี่ยก็มีตังไม่ใช่เหรอ? จะงกทำไม”



“แต่ว่าตอนนี้ผม…”






ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“คุณเตี๋ยว…”



“…”



กันต์ธรที่นั่งต่อรองมาหลายชั่วโมงไม่ได้รับการให้เกียรติจากเจ้าของที่คนเก่าสักเท่าไหร่ แต่แล้วหญิงชายสูงวัยคู่หนึ่งก็เดินเข้ามาในชุดสุภาพ เจ้าของธุรกิจผู้โด่งดังในจังหวัดเดินเข้ามาพร้อมกับภรรยา




ทั้งคู่นั่งลงช่วยกันต์ธรต่อรองในการซื้อที่ดินในราคาที่สมเหตุสมผล



จนในที่สุด ยอดการต่อรองก็ลงตัว กันต์ธรเซ็นสัญญาซื้อที่ดินด้วยเงินหนึ่งก้อนเต็มจำนวน ซึ่งส่วนหนึ่งคือเงินที่เขาเตรียมมาสำหรับมัดจำ และอีกก้อนหนึ่งที่นายเตี๋ยวช่วยจ่ายให้จนครบเต็มราคา เมื่อการซื้อขายเรียบร้อย ว่าที่เจ้าของร้านอาหารและเสี่ยเจ้าของอู่รถสิบล้อพร้อมภรรยาก็พากันไปทานข้าวกลางวันกันต่อ ระหว่างทางที่ขับรถตามกันไปนั้น กันต์ธรก็ได้น้ำตาไหลออกมาด้วยความตื้นตัน







“ลุงเตี๋ยวกับป้าบัวไม่ไปเที่ยวดอยแล้วเหรอครับ?”



“พี่เตี๋ยวอยากมารับเธอไปด้วยกันน่ะ”



“…ขอบคุณนะครับ”




เสี่ยธรยกมือไหว้พร้อมน้ำตาที่รื้นขึ้น ความใส่ใจที่เขาได้รับจากบิดาและมารดาของคนที่เขาเคยได้ทำร้าย ทำให้เขาทั้งสุขใจและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เขาไม่คิดว่าผู้ใหญ่ทั้งสองจะให้อภัยกับสิ่งที่เขาเคยได้ทำลงไปมากมาย และที่ยิ่งกว่าได้รับการให้อภัย กันต์ธรกลับได้รับความอบอุ่นใจที่เขาแทบไม่เคยได้รับจากบิดามาก่อนเลย





ในวันนั้นกันต์ธรและมารดาของเขาได้ติดรถผู้ใหญ่ทั้งสองไปเที่ยวบนดอยด้วยกัน รอยยิ้มถูกเติมเต็มลงบนใบหน้าของคนทุกคนบนรถ










และหนึ่งปีเต็มถัดจากนั้น ร้านอาหารของกันต์ธรก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นและมีกำไรหลั่งไหลเข้ามามากมาย กันต์ธรได้รับคำแนะนำและความช่วยเหลือเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จากครอบครัววงศ์วรรธน์ โดยที่มารดาของกันต์ธรเองตั้งแต่เปิดร้านอาหารแห่งนี้มา ก็เข้ามาควบคุมรสชาติอาหารในครัวด้วยตัวเองตลอด สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของมารดานั้นช่างงดงาม แทบไม่หลงเหลือความเศร้าหมองที่มักแฝงมาเช่นก่อนเก่าอีกแล้ว




ภพตะวันหายตัวไปได้สองปีเต็ม และเป็นสองปีเต็มที่กันต์ธรเทียวดูแลบิดามารดาของเพื่อนรักของเขาอย่างดีที่สุด แม้จะมีภาระหน้าที่ ทั้งบริหารงาน ดูแลลูกค้า แก้ปัญหาในร้าน แต่กันต์ธรจะนำอาหารที่จัดทำขึ้นพิเศษที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าทางโภชนาการ ขับรถไปส่งให้กับบิดาและมารดาของภพตะวันด้วยตัวเองในทุกวันก่อนเที่ยง ความสม่ำเสมอนี้ทำให้นายเตี๋ยวและภรรยา รักกันต์ธรและทุ่มเททุกอย่างให้ไม่ต่างจากบุตรของตนเลยสักนิด







“ป้าบัวว่าไงบ้าง เมื่อวานที่แม่ทำสลัดไข่ฝากไปให้ชิม”



“อร่อยสิครับ ป้าบัวแนะนำว่าอยากให้แม่หาสูตรน้ำสลัดแบบอื่นมาลองเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าด้วย บางคนเขาชอบแบบเผ็ดก็มี”



“นั่นสิ…เดี๋ยวแม่ลองทำดู”








กันต์ธรเดินกลับเข้ามาในร้านหลังจากนำอาหารไปส่งให้ที่บ้านวงศ์วรรธน์ในวันนี้เรียบร้อยแล้ว มารดาเขาพึ่งค้นพบเมนูใหม่ที่มีประโยชน์สำหรับทุกคนในครอบครัว และคิดว่าจะทำขาย จึงได้ส่งรุ่นทดลองแจกจ่ายไปทั่ว หนึ่งในนั้นคือลูกค้าประจำของร้านกันต์ธรด้วย




ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตประจำวันด้วยความสุขปนเหงาบาดลึกเช่นเดิมมาร่วมปี เดินยิ้มทักทายลูกค้าตามโต๊ะดังเช่นทุกวัน และก็เช่นเคยที่เขาจะเผลอแอบคิดไปว่า หากภพตะวันได้มานั่งอยู่ในร้านและมองเห็นความสำเร็จนี้ของเขาแล้วล่ะก็ ชายผู้เป็นที่รักคงต้องยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจในตัวเขามากเป็นแน่






“ธร…”



“ครับแม่? ว่าไง”



“…เมื่อกี้ ไม่เห็นเหรอ?”



“เห็น? อะไร?”



“หันไปดูสิ”



กันต์ธรหันหลังกลับไปมองตามสายตาของมารดา และพบว่านั่นคือภาพที่เขาเห็นดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ภพตะวันนั่งยิ้มส่งกำลังใจให้เขา ที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน เจ้าของร้านที่เห็นภาพนั้นทุกวันยิ้มตอบกลับไปพร้อมความสุขใจเล็กๆ ระหว่างวัน แล้วหันกลับมายิ้มให้มารดาหนึ่งที










“ครับ…ภีมยังอยู่กับผม”




“ธร…?”




“เดี๋ยวผมไปช่วยไอ้ศักดิ์เก็บโต๊ะก่อนนะแม่ คนเยอะละมันเอาไม่ไหว”






กันต์ธรเดินผ่านหน้ามารดาของเขาไปยังบริเวณโต๊ะคิดเงินแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดโต๊ะออกมาหนึ่งผืน เขาเดินสวนมารดาออกมายังบริเวณโต๊ะที่มีแขกนั่งอยู่เกือบเต็มทุกโต๊ะ โดยที่มารดาเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ลูกชายก็ไม่ได้สนใจอะไร ด้วยบัดนี้เป็นช่วงเที่ยงวันและคนเข้าร้านแน่นจนลูกน้องเขาเอาไม่อยู่จริงๆ








กันต์ธรเดินไปเดินมาทั้งเก็บรวบรวมจานแล้วยกเข้าหลังร้าน จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดไปทั่วโต๊ะจนสะอาดโดยที่ไม่คิดเกี่ยงแรงใดใดแม้จะจ้างผู้ช่วยงานร้านไว้หลายต่อหลายคนก็ตาม เขาเก็บทุกโต๊ะจนเรียบร้อยและจะเดินกลับเข้าหลังร้านเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เดินผ่านโต๊ะมุมหนึ่งไป ก็มีเสียงๆ หนึ่งที่ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว แต่กลับคุ้นเคยยิ่งกว่าเสียงใด เอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้นมา










“ธร…”




กึก






ชายหนุ่มเจ้าของร้าน ที่บัดนี้อายุอานามปาเข้าไปสามสิบปีแล้ว หยุดเท้าลงพร้อมดวงใจที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เขาไม่กล้าหันกลับไปมองว่าเสียงนั่น ใช่คนที่เขาคิดหรือไม่ จนเสียงเดิมนั้นได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง









“สวัสดีธร”






แม้กระนั้น กันต์ธรผู้มีแผลในใจก็ยังคงนิ่งงัน สัมผัสภายในเขาเริ่มอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขาอาจเพียงฝันไปหรือหูแว่วดังเช่นทุกครั้ง


…แต่ทุกครั้งที่เกิดอาการจิตหลอน เขาก็จะหวังให้ทุกครั้งนั้นเป็นเรื่องจริง


…แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา กลับเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองทั้งสิ้น


เขาหวาดกลัวเกินไป ว่าคราวนี้ก็จะเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้เคยมั่นคงและทรงอำนาจ ชายหนุ่มผู้มั่นใจในตัวเองเกินใคร บัดนี้ไม่หลงเหลือความมั่นใจใดใดฉายชัดในดวงใจและใบหน้าอีกแล้ว เขากลัวไปหมดทุกอย่าง หากว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนๆ นั้น…ภพตะวันที่รักของเขา








































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------



หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 20 : ชีวิตเหงา (28/12/2019)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 28-12-2019 20:44:02
ภีมกลับมาแล้วใช่ไหม
แล้วภีมหายไปไหนตั้ง 2 ปี
รอคำตอบจากภีมอยู่น้า...
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 21 : ชลธี วงศ์วรรธน์ (04/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 04-01-2020 08:14:37

็สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกท่าน  :mc4: :mc4: :mc4: :L2:

ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุขกายสบายใจตลอดปี 2020 นี้เลยนะคะ

คิดหวังสิ่งใดสมปรารถนา สิ่งใดที่ยาก ขอให้มีกำลังใจและผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ

 :L2: :L2: :L2:





สวัสดีปีใหม่คุณ bun ด้วยนะคะ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ

มาลุ้นกันต่อค่า ^______________________^
















...
















บทที่ 21 : ชลธี วงศ์วรรธน์










“พวกมึงลากคอมันตามกูมา”





นายเต่าเริ่มออกคำสั่ง จากนั้นร่างของภพตะวันก็ถูกนายศักดิ์และนายพันธุ์หิ้วบริเวณศีรษะและข้อเท้าเอาไปใส่ไว้ในรถยนต์ และชายสามคนก็ออกไปพร้อมกับร่างของภพตะวัน



รถยนต์แล่นขับเลียบไปตามริมแม่น้ำและค่อยๆ แล่นห่างออกไปทางนอกเมือง ถนนเส้นริมน้ำที่ยังคงไม่ได้รับการซ่อมแซม เต็มไปด้วยความขรุขระ ไฟริมถนนที่ติดเพียงบางดวงชวนให้ผู้ใช้งานต้องรู้สึกถึงความวังเวงอยู่ไม่น้อย







ตึง!





“ไอ้ศักดิ์! มึงขับดีดีหน่อยสิวะ!”



นายเต่าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดและหวาดกลัว ต่อว่าคนขับและชายร่างยักษ์อีกคนที่ประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของภพตะวันอยู่ไปตลอดทาง ความกระเทือนจากล้อรถที่ตกหลุมลึกนั้น ทำให้ผู้โดยสารทั้งคันรถหัวโยกคลอนไปตามแรงนั้น รวมไปถึงใครบางคนที่หมดสติไปเมื่อครู่ที่โต๊ะอาหาร ก็ได้ลืมตาขึ้นและค่อยๆ รับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิด







“มึงเลี้ยวเข้าซอยนั้นไปเลย”



ด้านหน้ามีทางแยกสำหรับเลี้ยวเข้าไปในบ้านไม้สภาพเก่าหลังหนึ่ง ล้อมด้วยรั้วเหล็กตะแกรงสนิมเขรอะซึ่งปกคลุมไปด้วยวัชพืชที่เกี่ยวพันเต็มรั้ว นายเต่าสั่งให้ลูกน้องหิ้วร่างของภพตะวันลงมาจากรถ จากนั้นเจ้าตัวก็หายวับไปในความมืดครู่หนึ่ง แล้วเดินออกมาพร้อมตะแกรงเหล็ก ที่ครั้งหนึ่งเคยใช้สำหรับเลี้ยงไก่ในบ้านหลังเก่าของอดีตลูกน้องที่อู่ของนายเต่า ซึ่งบัดนี้ร้างไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย






ตะแกรงถูกนำมาปูไว้ราบกับพื้น จากนั้นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองนายก็นำภพตะวันไปวางไว้ตรงกลางแล้วใช้ตะแกรงขึ้นสนิมนั้นห่อพันร่างหมดสตินั้นอย่างแน่นหนา







“เอามันไปใส่รถ”




ร่างบางพันตะแกรงถูกนำขึ้นรถอีกครั้งพร้อมกับขับห่างเลียบไปตามริมน้ำอีกระยะหนึ่ง ก็พบกับทางลาดลงท่าน้ำ นายเต่าสั่งให้คนนำร่างของภพตะวันโยนทิ้งลงในบริเวณนั้นพร้อมกับขวดยาพิษที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของตน จากนั้นเจ้าตัวก็เร่งเท้าหนีเข้าป่าหายวับไป





สมุนซ้ายขวาของกันต์ธรแม้จะสงสารภพตะวันมากเพียงใด ก็ทำได้เพียงยืนมองร่างนั้นค่อยๆ จมหายลับไป จึงได้เดินกลับขึ้นรถแล้วขับกลับไปตามเส้นทางที่ได้ขับมา







‘…ช่วย…ด้วย แค่กแค่ก ช่วยด้วย’



ชายหนุ่มหน้าใสที่ร่างติดอยู่กับตะแกรงเหล็กขยับขาให้ตัวค่อยๆ ลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เสียงที่เอ่ยนั้นแผ่วเบาเป็นอย่างมาก ด้วยฤทธิ์ยาที่ได้รับเข้าไปนั้นยังคงมีอยู่ สมองมึนเบลอและร่างกายถูกผูกติด ทุกอณูกายสัมผัสถูกห้อมล้อมไปด้วยน้ำรสเค็มที่ไหลเข้าปากเข้าจมูก เสียงนั้นจึงแผ่วเบาเสียยิ่งกว่าเสียงจักจั่นเรไรแถวนั้นเสียอีก








“…ช่วยด้วย…ช่วยด้วย”




ภพตะวันขยับกายดีดตัวให้ลอยขึ้นอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน เขาลอยคลอมาไกลเท่าไหร่แล้วไม่ทราบได้ ตะแกรงที่พันร่างก็ไปเกาะค้างอยู่กับไม้ท่อนหนึ่งริมแม่น้ำ ช่วยให้ร่างที่เหนื่อยอ่อนและใกล้หมดแรง ถูกจับยึดไว้ให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องออกแรงเพิ่มอีก







“ฮือ…ช่วยด้วย…ใครก็ได้…”




“…”




“ช่วยด้วย…”





ค่ำคืนอันมืดมิด เมื่อเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ยังไร้ซึ่งแสงจันทร์ ด้วยวันนี้เป็นวันเดือนดับ ไม่มีใครที่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของเขา ไม่มีแสงใดสาดส่องเข้ามาช่วยเหลือ มีเพียงลมหายใจที่แผ่วเบาและร่างกายอันหนาวเย็นเท่านั้น









“พ่อ…แม่…ช่วยภีมด้วย”



“ธร…”




ชายหนุ่มรู้ดีว่ากันต์ธรนั้นเกลียดชังและต้องการแก้แค้นเขามากแค่ไหน คราวก่อนที่เขาประสบอุบัติเหตุกลางทางระหว่างเดินทางไปหากันต์ธร กระทั่งมีชายร่างยักษ์น่ากลัวหลายคนวิ่งตามและลอบทำร้าย ภพตะวันก็รู้ดีว่านั่นอาจเป็นฝีมือของเพื่อนรักที่แค้นเขาเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยินยอมหมดทุกสิ่งโดยไม่โกรธแค้นใดใดชายผู้เต็มไปด้วยบาดแผลคนนั้น




แต่แล้ว เขาก็ได้ค้นพบว่า ความเสียสละของเขา ไม่เคยมีผลกับใจดวงนั้น กันต์ธรไม่อาจปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่ว่าอย่างไร กันต์ธรก็ต้องหาทางปลิดชีพเขาให้ได้ในสักวันหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะพยายามใช้ความรักที่มีทั้งหมดเยียวยาคนคนนั้นมากมายเพียงใด มันก็ไม่อาจลบล้างแผลในใจของชายที่เขารักได้เลย




ภพตะวันยอมแพ้แล้ว…ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ก็ไม่อาจทำให้กันต์ธรกลับมาเป็นกันต์ธรคนเก่าของเขาได้อีก เปลือกตาอันหนักอึ้งนั้นค่อยๆ ปิดลงอย่างเจ็บปวด เขาร่ำไห้คิดถึงใบหน้าของพ่อแม่ที่ยังไม่ทันได้ดูแลรับใช้ให้สมกับการเป็นลูกที่ดี และหากว่าการเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ของเขา จะถือเป็นคราวต้องจบชีวิตลง หากแต่มันจะทำให้ความแค้นทั้งหมดที่ชายผู้นั้นมีต่อครอบครัวเขาจบสิ้นลงได้ เขาก็ยินยอมได้หมดทุกอย่าง





สติอันเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านมากมายของภพตะวันค่อยๆ มืดดับลง พร้อมกับร่างที่เกี่ยวติดอยู่กับกิ่งไม้ใต้น้ำ ก็ค่อยๆ ไหลเอื่อยไปตามกระแสน้ำ จุดสิ้นสุดที่ภพตะวันไม่ได้ร้องขอแต่ก็พร้อมยอมรับ ด้วยใจดวงนั้นช่างแสนบริสุทธิ์อย่างหาได้ยากในคนทั่วไป



















“..พ….หนุ่ม”




“…พ่อหนุ่ม”





“…”





ชายหนุ่มใบหน้าขาวซีดค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาจำไม่ได้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้น เขามองไปรอบๆ พร้อมกับความทรงจำที่ไหลกลับเข้ามา และพบว่าบัดนี้ตนเองนอนอยู่บนเสื่อลายสดใสพร้อมความแข็งบริเวณศีรษะ รอบด้านคือเรือนไม้ขนาดเล็กและด้านนอกห่างออกไปคือแม่น้ำกว้าง หญิงชราคนหนึ่งนั่งยิ้มมองเขาอยู่ใกล้ๆ และถัดออกไปตรงประตูทางเข้าก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินถือขันน้ำเข้ามาใกล้กับเขา









“ไม่ต้องรีบลุกหรอกคุณ นอนพักก่อนเถอะ”




หญิงชราตรงปรี่เข้าช่วยพยุงเมื่อเห็นว่าคนจมน้ำพรวดพราดจะลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถ ด้วยเจ้าตัวนั้นวิงเวียนศีรษะอย่างแรงและทรุดตัวลงนอนจุดเดิมอีกครั้ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกแข็งๆ ที่ศีรษะที่แท้ก็คือหมอนที่เขาใช้หนุนนั่นเอง







“ผมอยู่ที่ไหน?”



“บ้านฉันเอง นี่ก็ลูกสาวฉัน”




“ผมยังไม่ตายเหรอครับ?”




“ฮ่าฮ่าฮ่า ยังหรอกคุณ ลูกสาวฉันลงไปตักน้ำตอนเช้ามืดแล้วเจอคุณเข้า ฉันเลยไปตามคนมาช่วย”







“…ขอบคุณนะครับยาย”




ภพตะวันยกมือไหว้อย่างหมดแรง จากนั้นหญิงสาวที่ถือขันน้ำเข้ามาเมื่อครู่ก็นั่งลงข้างๆ พร้อมรอยยิ้มเช่นกัน ร่างหมดสภาพได้มืออุ่นๆ ประคองกายขึ้นให้ดื่มน้ำสะอาดจนสดชื่นขึ้นมาบ้าง เขานึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ทั้งหมด และคิดว่าคงไม่รอดแน่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงมีแสงสว่างหนึ่งเอื้อมมือลงมาแล้วคว้าช่วยเขาเอาไว้ น้ำตาผู้รอดชีวิตไหลอาบแก้มไร้แรงสะอื้น







“เป็นไงมาไงล่ะ ถึงไปถูกโยนลงน้ำมาได้?”




“…มีเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ”




“เข้าใจผิดถึงขั้นต้องฆ่าต้องแกงกันเลยรึไง?”




“…ครับ”





เจ้าของบ้านริมน้ำนามว่ายายบุญไหล เห็นอาการภพตะวันแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ แม้ภายนอกจะดูคล้ายว่าชายหนุ่มรอดชีวิตมาได้แล้ว แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมองอยู่ไม่น้อย หญิงชราจึงไม่คิดที่จะสอบถามสิ่งใดเพิ่ม และไม่ได้ไล่ให้ชายหนุ่มต้องรีบกลับบ้าน






ภพตะวันใช้เวลาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กติดน้ำนี้มาเรื่อยๆ จากนั้น เขายังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งใดในตอนนี้ ด้วยหากว่ากันต์ธรอยากให้เขาตาย เขาก็จะไม่กลับไปพบหน้าให้รำคาญใจอีก ชายหนุ่มอาศัยที่นี่และอยู่ช่วยยายบุญไหลทำขนมไปขายในตลาด




ลูกสาวของยายบุญไหลนั้น อายุไล่เลี่ยกับภพตะวัน ทั้งสองจึงคุยกันถูกคอ ภพตะวันพบว่าหญิงสาวกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆอยู่ จึงได้ช่วยดูแลอย่างดีในทุกเรื่อง บ้านที่มีสตรีอาศัยด้วยกันเพียงสองคนมาเนิ่นนาน เมื่อมีแรงบุรุษเข้าช่วยเหลือก็ทำให้ความเป็นอยู่นั้นสบายมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มผู้มีชีวิตสมบูรณ์แบบ ไม่เคยต้องนอนบนพื้นแข็งๆ หรืออาศัยลมจากริมแม่น้ำพัดโชยให้เย็นชื่นใจก่อนหลับไปในแต่ละคืนมาก่อน





ภพตะวันค้นพบความสงบสุขรูปแบบใหม่ที่ช่วยให้ใจเขารู้สึกดีขึ้นไปได้มาก









ภาระหน้าที่อันยาวเหยียดที่มีขึ้นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งของทุกวัน ทำให้เพียงสองทุ่มเขาก็ต้องรีบนอนแล้ว หากแต่คืนนี้ลมที่พัดมานั้นเย็นสดชื่นกว่าคืนไหน ชายหนุ่มจึงได้นั่งลงแล้วพิงขอบประตู พร้อมห้อยขาลงในแม่น้ำครึ่งน่องเพื่อทอดอารมณ์คิดถึงใครบางคน เจ้าของบ้านที่เห็นผู้อาศัยนั่งอยู่เช่นนั้นนานกว่าทุกวัน เดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆ






“ไม่อยากกลับบ้านเหรอคุณ?”




“อยากครับ แต่บางคนเขาไม่อยาก”



“หมายถึง แฟนคุณเหรอ?”



“…เปล่าหรอก ผมกับเขาเป็นเพื่อนกัน แล้วผมก็แค่…รักเขา”



“ฉันก็เหมือนกัน แค่รักเขา”




ว่าแล้ว หญิงสาวก็ก้มลงลูบบริเวณหน้าท้องแล้วยิ้มออกมาเบาๆ




ภาพสายใยความผูกพันของสองชีวิตที่ยังไม่เคยได้พบหน้ากันและกัน เรียกรอยยิ้มของชายหนุ่มผู้กลัดกลุ้มออกมาได้ด้วยเช่นเดียวกัน เด็กน้อยที่กำลังจะเกิดมานี้ ได้รับความรักอย่างล้นเหลือจากผู้เป็นมารดา และภพตะวันก็รู้สึกรักทั้งมารดาและเด็กในท้องไม่ต่างกัน ด้วยทั้งคู่นั้นคล้ายดั่งเป็นผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้








“เด็กคนนี้ต้องเป็นคนดีเหมือนคุณแน่”




“ฉันก็หวังอย่างนั้น…”




“…”




“ฉันขอถามคุณสักเรื่องได้ไหม?”




“ได้ทุกเรื่องนั่นแหละน้ำ”




“บ้านคุณหลังใหญ่ไหม?”




“อืม…ใหญ่สิ”




“ฉันขอพูดตรงๆ เลยนะ คุณก็น่าจะพอเดาออกว่าฉันมีลูกทั้งที่ยังไม่พร้อม พอแฟนฉันรู้ว่าฉันท้อง เขาก็ทิ้งฉันไปไม่ไยดีอะไรอีก ฉันต้องดูแลตัวเอง ต้องดูแลแม่ แล้วตอนนี้ฉันก็ยังต้องดูแลลูกของฉันอีก…ฉันไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกให้ดีได้หรอกคุณ ถ้าคุณจะเมตตา ช่วยพาเขากลับไปอยู่กับคุณจะได้ไหม?”




“น้ำ…คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมจะช่วยออกค่าเลี้ยงดูเขาเอง คุณไม่ต้องยกเขาให้ผมหรอก ยังไงผมก็ไม่ทิ้งพวกคุณอยู่แล้ว”





“ขอร้องเถอะคุณ ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่ามีแม่เป็นแม่ค้าขายขนม ไม่อยากให้เขาอายเพื่อนเลย”




“แต่ว่า…”




“ได้โปรดเถอะ…ฉันไหว้ล่ะ”




“น้ำ!”




หญิงสาวยกมือไหว้ทั้งน้ำตา จนคนที่นั่งห้อยขาต้องรีบลุกขึ้นแล้วเข้าประคองกอดปลอบใจหญิงแม่หม้ายผู้มีพระคุณ








คำขอที่ปฏิเสธได้ยากนั้น ได้รับการตอบรับจากภพตะวัน เขาตกลงรับเลี้ยงดูบุตรในครรภ์ของหญิงสาวหลังจากคลอดออกมา ตั้งแต่วันนั้นเขาจึงได้ดูแลหญิงสาวอย่างตั้งใจมากขึ้น เพราะบัดนี้ เขารู้สึกว่าเขานั้น ได้เป็นพ่อคนเต็มตัวแล้ว




ภพตะวันอยู่ที่นั่น จนหญิงสาวได้คลอดบุตรชายออกมา เขาช่วยดูแลระหว่างที่หญิงสาวให้นมแม่แก่ทารกอยู่ถึงหนึ่งปีเต็ม กระทั่งเด็กน้อยได้รับการหย่านมแล้วเป็นที่เรียบร้อย เธอจึงยกเขาให้กับภพตะวัน และคู่พ่อลูกก็ได้เดินทางกลับบ้านวงศ์วรรธน์ไปพร้อมกัน







“เขาจะไม่มีวันอายที่มีคุณเป็นแม่ ผมสัญญา ผมจะเลี้ยงเขาให้ดีที่สุด…และเมื่อไหร่ที่คุณพร้อม ไปหาเขาที่บ้านผมได้ตลอดเวลานะน้ำ”






ชายหนุ่มผู้หายตัวไปร่วมสองปี เดินทางกลับมายังบ้านวงศ์วรรธน์อีกครั้งพร้อมทารก ภพตะวันบอกกับทุกคนว่าเด็กคนนี้คือลูกชายของเขากับหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ในวันที่เขาใกล้หมดลมหายใจ คุณนายบัวนั้นเมื่อได้พบหน้าลูกชายที่เธอเฝ้ารอก็ดีใจจนเป็นลมไป เช่นเดียวกับนายเตี๋ยวที่น้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจไม่ต่างกัน







เด็กชายผู้กลายมาเป็นทายาทคนใหม่ของเศรษฐีชื่อดังในจังหวัด ภพตะวันเป็นคนตั้งชื่อให้เขา ชื่อเดียวกับที่ที่เขาได้พบกับผู้มีพระคุณ ชาวบ้านธรรมดาที่แม้จะไร้ซึ่งเงินทองมากมาย แต่กลับมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะซื้อหามาครอบครองได้





ภพตะวันให้ชื่อแก่เขาว่า…ชลธี วงศ์วรรธน์


























‘ว่าไงธร…โทรมาเสียมืดค่ำเลย’




‘ขอโทษที่โทรมารบกวนนะครับป้าบัว พอดีผมมีเรื่องอยากถาม…’




‘…เรื่องอะไรล่ะ?’





‘คือ…ภีมกลับมารึยังครับ?’









‘กันต์ธร…เธอหมายความว่าไง?’




‘เปล่าหรอกครับ ผมแค่สงสัย อาจจะคิดไปเอง’






‘คิดไปเองอะไร ก็วันนี้ตาภีมบอกว่าจะออกไปหาเธอ’






‘ห๊ะ!?!’





‘อะไร ไม่เจอกันเหรอ? ให้ฉันเรียกเขามาคุยด้วยไหม?’








‘ป…ป้า…ป้าบัว เปล่า..ไม่ครับ’





‘…’






‘ภะ…ภีม กลับมาแล้วเหรอ…ครับ?’





‘ก็ใช่น่ะสิ กลับมาได้สองสามวันแล้ว’





‘…’











ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------



หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 21 : ชลธี วงศ์วรรธน์ (04/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 06-01-2020 22:31:53
สวัสดีปีใหม่เช่นกัน
หลังจากนี้ธร คงต้องง้อแบบหนัก ๆ แล้วละ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 22 : คุ้มตะวัน (11/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 11-01-2020 19:15:53

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะคุณ bun

มาลุ้นกันต่อค่า
  :mew1: :กอด1:


 :pig4: :pig4: :pig4:















บทที่ 22 : คุ้มตะวัน















“พันธุ์ เดี๋ยวมึงจัดโต๊ะเสร็จ ไปเปลี่ยนหลอดไฟในห้องน้ำทีนะ”



“ครับนาย”



ร้านอาหาร  ‘คุ้มตะวัน’  ที่เปิดให้บริการมาร่วมปีเศษ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยรสชาติอาหารนั้นอร่อยจนเป็นที่เลื่องลือ ภายในร้านประดับตกแต่งด้วยไม้ขัดมันเป็นส่วนใหญ่ ชุดโต๊ะและเก้าอี้ไม้วางเรียงรายหลายสิบชุด จัดแบ่งโซนด้านนอกริมระเบียง และด้านในที่ไม่ชวนให้รู้สึกอึดอัด สวนด้านข้างมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นโดยรอบไว้ให้ร่มเงา และรอบร้านก็ประดับตกแต่งไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจแก่ผู้พบเห็น อดีตนักเลงจ้างวางลูกน้องที่ใกล้ชิดเอาไว้กับตัว ด้วยนอกจากอยากทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นแล้ว ก็อยากชักชวนคนสนิทให้มีชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วย




กันต์ธรใช้เวลาอยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้แทบจะทั้งวันที่เขาลืมตาตื่น หากแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เขากลับต้องลืมตาในห้องนอนนานกว่าเวลาที่ใช้ในร้าน เนื่องจากเขาได้โทรสอบถามถึงสิ่งที่คาใจกับคุณนายบ้านวงศ์วรรธน์ไป และคำตอบที่ได้รับกลับมานั้น พาใจเต้นหนักจนไม่อาจข่มตาลงได้




…ภพตะวันรอดชีวิตและกลับมาแล้ว





มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อชายคนรักได้รับสารพิษร้ายแรงเข้าไปตรงๆ ทั้งยังถูกตะแกรงพันรอบกายให้จมลงสู่ก้นแม่น้ำ ยิ่งนึกย้อนกลับไป ดวงใจยิ่งเจ็บแปลบ ความสะเทือนใจในวันเดือนดับนั้นยังไม่หายไปไหน มันยังติดอยู่ในใจและพวยพุ่งขึ้นมาตราหน้าเขาอยู่เป็นระยะๆ




แต่ถึงอย่างนั้น ก็ดีใจเหลือเกิน…หากว่านี่จะเป็นปาฏิหาริย์ กันต์ธรก็พร้อมจะขอบคุณทุกๆสิ่ง ที่ได้ช่วยชีวิตภพตะวันเอาไว้




เจ้าของร้านอาหารชื่อดังยิ้มออกมาทั้งที่ปวดอยู่ข้างใน ไม่มีสิ่งใดเลยที่เขาจะสามารถไถ่โทษให้กับภพตะวันได้ แม้แต่ความรู้สึกของเขา มันก็ดำดิ่งลงเหวลึกไปจนไม่อาจกลับมามองหน้าของคนที่เขาเคยทำผิดด้วยไว้ได้อีกแล้ว















“สวัสดีธร”



“…ภีม”



อีกครั้ง กับรอยยิ้มจอมปลอมที่ฉายออกมาสำหรับต้อนรับแขกคนสำคัญที่เดินเข้าร้านมาแต่เช้าตรู่ ใจเขานั้นอยากจะร้องไห้ให้หนักจนเป็นลมล้มไปเสียมากกว่า เขาไม่รู้ว่าควรต้องทำหน้าหรือทักทายภพตะวันอย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขายังสามารถหายใจร่วมโลกเดียวกับคนที่แสนดีคนนี้ได้อยู่ไหม กันต์ธรไม่อาจข่มน้ำตาเอาไว้ได้อีก เขาหันหลังให้ภพตะวัน แล้วเดินกลับเข้าหลังร้านไป ด้วยความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมาไม่หยุด










“นาย…เขากลับไปแล้วนะ”




“อือ”



กระทั่งนายพันธุ์ที่จัดร้านและเปลี่ยนหลอดไฟเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาแจ้งข่าวกับเจ้าของร้านนั่นแหละ เขาจึงได้เดินออกมาด้านหน้าร้านแล้วจัดการกับธุระของเขาต่อ





และครั้งนี้เขากลับยิ้มออกมาได้เต็มใบหน้ามากกว่าเมื่อครู่ที่ภพตะวันยืนอยู่เสียอีก ดีใจมากมายเหลือเกิน…ดีใจกว่าสิ่งใดในโลก อยากพูดคุย อยากทักทายให้มากกว่านี้ แต่เขาทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว




ความรู้สึกซับซ้อนนี้เกิดขึ้นกับคนที่เก่งแต่การใช้กำลังอย่างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนเลย จนได้พบหน้าของคนในใจอีกครั้ง จึงได้เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา






















“ธร…”



“สวัสดี”



วันถัดมา ภพตะวันก็ยังคงมานั่งทานข้าวในร้านอาหาร ที่กันต์ธรตั้งใจใช้ชื่อเขามาตั้งชื่อร้าน ชายหนุ่มนั่งที่โต๊ะมุมเดิมใกล้กับดอกกล้วยไม้สีชมพูขาว เขานั่งลงและสั่งอาหารเมนูเดิมกับวันก่อน พร้อมนั่งมองกันต์ธรที่ออกอาการประหม่าอย่างชัดเจน ภาพความแปลกใหม่ที่หาชมได้ยากกับเสี่ยธรผู้ยิ่งใหญ่ ร่างหนานั้นเดินเลียบริมขอบร้านอีกฝั่งที่ภพตะวันนั่งอยู่ แล้วเอาแต่ก้มหน้างุด เช็ดโต๊ะบ้าง ขยับเก้าอี้บ้าง ยิ่งคนเยอะขึ้น เจ้าตัวก็ออกมาเสิร์ฟอาหารเองบ้าง มือที่ยกอาหารออกมานั้นสั่นไหวรุนแรงเสียจนถ้วยชามในมือสั่นตามไปด้วย




ภาพแห่งรอยยิ้มที่ภพตะวันคิดว่ามันแสนตลกเสียจริง กับกันต์ธรที่เสียอาการอย่างหนักเพราะรู้ว่าเขากำลังนั่งจ้องอยู่








“สั่งอาหารเพิ่มหน่อยครับ”




ยังขำขันไม่พอใจ ภพตะวันโบกมือเรียกกันต์ธรที่ก้มหน้าก้มตาเช็ดโต๊ะอยู่ใกล้ๆ ให้สะดุ้งเล่น จากนั้นเจ้าของร้านก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าใกล้ภพตะวันด้วยใจที่เต้นรัว มือหนาคู่นั้นเย็นเฉียบและหน้าเริ่มซีดลงเรื่อยๆ








“รับอะไรเพิ่มดี…ครับ?”



“ฉันขอดูเมนูหน่อยได้ไหม”



“ส..สัก ได้ครับ สักครู่ครับ”



“ธร”



“…”



“นายดูแปลกๆ นะ”







“เปล่า! เอาเมนูนะ เมนูๆๆๆ”



กันต์ธรที่ทำอะไรไม่ถูกจู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาเสียงดัง จนโต๊ะอื่นรอบข้างตกใจกันหมด จากนั้นก็รีบหันซ้ายหันขวากุลีกุจอหาเมนูอาหารมายื่นให้ภพตะวัน






“อ๊ะ! โทษที”




ภพตะวันเอื้อมมือไปรับเมนูอาหารในมือเพื่อนรัก แต่เผลอไปสะกิดโดนมืออีกฝ่ายเข้าอย่างไม่ตั้งใจ ด้านกันต์ธรสะดุ้งตกใจหนักจนเผลอปัดมือภพตะวันออกพร้อมเมนูอาหารที่ปลิวร่วงลงบนพื้นไป เขารีบก้มลงเก็บพร้อมเสียงหายใจที่แรงขึ้น ด้วยเจ้าตัวใกล้หมดลมลงไปเต็มทีแล้ว จากนั้นจึงได้เรียกลูกน้องมารับออเดอร์และเขาเองก็หายตัวไปอยู่หลังร้านจนภพตะวันกลับบ้านไป





















‘มาอีกแล้ว จะแกล้งกันรึไงนะ?’



วันถัดมาและถัดมาอีกหลายวัน ภพตะวันก็ยังคงมานั่งที่เดิมสั่งอาหารเหมือนเดิม และนั่งมองเพื่อนรักของเขาเสียอาการแบบเดิม หากแต่วันนี้ เมื่อภพตะวันนั่งที่เดิมเรียบร้อยแล้ว เพียงครู่เดียวหลังอาหารมาบริการบนโต๊ะ ก็มีหญิงสาวหน้าตาคุ้นเคยเดินเข้ามาและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับภพตะวัน




“สาลี่อยากทานอะไรเพิ่มไหม? เดี๋ยวภีมสั่งให้”



“ไม่ดีกว่าจ้ะ นี่ก็เยอะแล้ว”




ภพตะวันเดินทางมาพร้อมคู่หมั้นของเขา เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวเข้ามานั่งในร้านอาหารแห่งนี้ ด้วยก่อนหน้านี้กันต์ธรได้กระทำบางสิ่งที่เรียกว่าโหดร้ายเป็นอย่างมากกับเธอไป จนเธอไม่สามารถมองหน้าของเสี่ยธรได้อีก ทั้งยังไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้กับภพตะวันด้วยซ้ำ





ชายหญิงคู่หนึ่งที่เคยคบหากันมาระยะหนึ่ง พูดคุยยิ้มแย้มกันอย่างสนิทสนม ภาพที่กันต์ธรยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างปวดใจ มาแกล้งให้ใจสั่นทุกวันไม่พอ วันนี้ถึงขั้นพาแฟนมากินข้าวในร้าน กันต์ธรสุดจะทนแล้ว








อึก




เจ้าของร้านผู้แข็งแกร่งนั่งร้องไห้อยู่หลังร้าน พร้อมผ้าเช็ดจานในมือ เขากำมันไว้แน่นดั่งเช่นว่ามันคือเพื่อนปลอบใจ แล้วเริ่มเช็ดจานตรงหน้าด้วยมืออันสั่นคลอน










“ธร!”



เพล้ง!!!



“เฮ้ย! โทษที”



แขกคนสำคัญแอบเดินย่องเข้ามาด้านในตามคำเชิญของนายศักดิ์ที่เห็นอาการเจ้านายไม่สู้ดีเท่าไหร่ เมื่อมาถึงก็เห็นกันต์ธรนั่งร้องไห้เช็ดจานไปอย่างไร้สติ ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร ภพตะวันจึงได้แกล้งเรียกดังๆ หวังให้ตกใจเล่น จนจานในมือร่วงหล่นลงแตกนั่นแหละ แขกที่ลอบเข้าหลังร้านมาจึงเริ่มมีสีหน้าไม่ดี







“ภีม! เดี๋ยวบาดมือ ห้ามเก็บนะ!”



กันต์ธรสะดุ้งดีดตัวขึ้นเมื่อเห็นว่าภพตะวันมีสีหน้าไม่ดีและกำลังจะก้มเก็บเศษจาน เขารีบเอื้อมไปคว้ามือภพตะวันเอาไว้ด้วยกลัวเหลือเกินว่าภพตะวันจะได้รับบาดเจ็บ





“ขอโทษ”



และเมื่อเจ้าตัวนึกขึ้นได้ ก็รีบผละมือออกจากแขนขาวนั้นในทันที เจ้าของร้านก้มเก็บเศษจานด้วยมือเปล่าอย่างชำนาญและทิ้งมันลงในถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับภพตะวันที่ยืนมองอยู่







“ขอโทษนะภีม แต่ออกไปข้างนอกเถอะ”




“นายจะไม่ถามฉันเลยเหรอ ว่าฉันรอดมาได้ยังไง?”









แปะ





แปะ







แปะๆๆๆ






ปึก





เข่าหนักนั้นทรุดลงตรงหน้าภพตะวัน พร้อมน้ำตาที่ไหลหยดลงบนพื้นเป็นทางยาว ใบหน้าหล่อเหลานั้นบิดเบี้ยวตามแรงสะอื้น








“ฉันขอโทษนะภีม! ฉันขอโทษ!!”




“ธร…ลุกมาคุยกันก่อนเถอะ”







“ไม่! ฉันขอโทษ!! กับทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันรู้ว่าแค่ขอโทษมันไม่พอ แต่ฉันก็จะขอโทษ ฉันขอโทษนะภีม ขอโทษๆๆๆๆๆๆๆๆ”





“ธร…”



“ไม่!”




ภพตะวันที่เห็นกันต์ธรร้องไห้โฮ เอาแต่กล่าวคำขอโทษก็อัดอั้นในใจจนน้ำตาไหลออกมาเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะพยายามดึงร่างหนานั้นให้ลุกขึ้นอย่างไร มือน้อยๆ นั้นก็ถูกปัดทิ้งตลอด








“ออกไปเถอะภีม อย่ามาอยู่ใกล้กับคนเลวๆ แบบฉันเลย”



“นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้คิดแบบนั้น…”



“ขอร้อง…ออกไปก่อนเถอะ”




น้ำเสียงกดต่ำขึงขังระคนเจ็บปวดนั้น ทำให้ภพตะวันที่ร้องไห้ตาม ต้องร้องหนักขึ้นกว่าเดิม ชายหนุ่มในชุดสุภาพยืนขึ้นแล้วเช็ดน้ำตา ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเดินออกไปด้วยเขาเองก็ไม่อาจทนเห็นภาพชายที่รักทุกข์ใจไปได้นานกว่านี้เช่นกัน





















ตั้งแต่วันนั้นมา ภพตะวันก็แทบไม่ได้มาทานอาหารที่ร้านของเขาอีกเลย แต่กันต์ธรก็ยังคงนำอาหารไปส่งให้กับบิดาและมารดาของภพตะวันอยู่เช่นเคยในทุกวันก่อนเที่ยง





“ธร…แม่ฝากน้ำสลัดแบบเผ็ดไปให้ป้าบัวชิมหน่อยนะ”




“ครับ”




“อย่าลืมบอกป้าด้วยนะว่าเผ็ด”




“อือ รู้แล้วน่า”




“ส่วนห่อนี้ของภีม…แม่ทำแบบที่ธรบอกเลยนะ ถ้าภีมไม่ชอบอย่ามาโทษแม่ล่ะ”




“ชอบอยู่แล้วเชื่อสิ”




พักหลังที่ภพตะวันไม่มาอุดหนุน กันต์ธรจะขอให้มารดาช่วยทำอาหารที่เจ้าตัวชอบแล้วติดไปพร้อมกับของคุณนายบัวและนายเตี๋ยวทีเดียวเลย ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว กันต์ธรไม่รอช้ารับปิ่นโตอาหารจากมารดา แล้วรีบขับรถตรงไปยังบ้านวงศ์วรรธน์ในทันที







ในทุกวันจะมีแม่บ้านวิ่งออกมารับเอาปิ่นโตอันใหม่เข้าไปจัดแจงให้เจ้าของบ้าน และนำปิ่นโตอันเก่าของเมื่อวานส่งคืนมาให้ แต่วันนี้บ้านกลับเงียบผิดปกติ กันต์ธรยืนรอในจุดเดิมที่มายืนส่งอาหารทุกวัน เขาค่อนข้างกังวลด้วยเวลาช่วงนี้มีจำกัด เขาต้องรีบกลับร้านให้ทันเที่ยงวันเพื่อช่วยรับมือกับลูกค้าที่จะเข้ามากที่สุด





กันต์ธรยืนรอและเอ่ยเรียกได้พักใหญ่ ก็ยังไม่มีคนออกมารับดังเช่นทุกวัน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้านอย่างรู้ทิศรู้ทาง ก่อนหน้านี้เขามาที่นี่ทุกวัน แทบจะรู้หมดทุกซอกทุกมุมของบ้านไปแล้วเรียบร้อย เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในก็เร่งฝีเท้านำปิ่นโตเดินเข้าไปยังห้องครัว แล้ววางลงพร้อมมองหาปิ่นโตอันเก่าที่ถูกล้างทิ้งไว้บริเวณอ่างล้างจาน








“ไม่มีใครอยู่จริงด้วยแฮะ”




กันต์ธรจัดการถือปิ่นโตที่ล้างแล้วออกมาจากห้องครัวและรีบเดินเพื่อออกไปยังรถ









ฟึบ




ขาขวาที่เดินนำอยู่ชะงักลง เขาสัมผัสได้ว่าเมื่อครู่เขาเดินผ่านอะไรบางอย่างมา ศีรษะจึงหันกลับไปยังโซฟาขวามืออีกครั้ง และพบว่ามีใครบางคนกำลังนอนหลับตาพริ้มพร้อมอมยิ้มน้อยๆอยู่ ใบหน้าที่เขาคุ้นชินมากกว่าผู้ใด เพราะนอนมองมันมาร่วมหลายปีติด










----------------------------





“เมื่อคืนนายกอดฉันอีกแล้วนะ”


“ก็ฉันบอกให้นายขยับแล้ว แต่นายไม่ยอมขยับ จะให้ฉันทำไง?”



เด็กหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่ พักหลังมานี้ภพตะวันมักตื่นมาในอ้อมแขนของกันต์ธรทุกเช้า และเขารู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะมันให้ความรู้สึกประหลาด รวมทั้งอวัยวะบางส่วนที่ขยายตัวทุกเช้าของกันต์ธรก็มาสัมผัสร่างกายเขา ให้ต้องรู้สึกได้ทุกวัน




“งั้นวันหลังฉันนอนพื้นก็ได้”


“ก็ตามใจ”


“วันนี้กลับด้วยกันป่ะ”


“อือ ตอนเย็นเจอกันที่เดิม”





----------------------------






ภาพเด็กชายสองคนที่มีเรื่องให้ต้องทะเลาะกันได้ในทุกเช้า โดยเฉพาะประเด็นเรื่องที่ว่าภพตะวันมักตื่นมาในอ้อมแขนของเพื่อนรักอย่างกันต์ธร ความทรงจำที่ผุดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างไม่อาจห้ามได้





กันต์ธรลดเข่าลงนั่งข้างๆ กับภพตะวันที่กำลังหลับใหลบนโซฟา เขายังจำใบหน้าเด็กชายภพตะวันที่นอนเลือดอาบเป็นเพื่อนเขาในครั้งแรกที่พบกันได้ดี เห็นเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้แถมเรียนเก่งขนาดนั้น ใครจะรู้ว่าทำอะไรที่บ้าดีเดือดกับเขาก็เป็นด้วย มือเด็กชายกันต์ธรที่บัดนี้เติบโตและเต็มไปด้วยบาดแผลค่อยๆ ลูบไล้ไปตามใบหน้าขาวเนียนที่แม้จะผ่านกาลเวลามานานถึงสิบปีกว่า ก็ยังคงน่ารักและเป็นที่รักในใจของเขาอยู่เสมอ





คืนวันอันแสนสุขฉายขึ้นเต็มทุกอณูความรู้สึก มือนั้นลูบไล้ไปตามวงแก้มใสพร้อมน้ำตาแห่งความคิดถึงที่ไหลออกมาอย่างไม่หยุดเช่นกัน











ถ้าเขามีโอกาสอีกสักครั้ง จะขอรักษาสิ่งล้ำค่าสิ่งนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตเขาจะสามารถ จะไม่ยอมให้สิ่งใดมาหลอกล่อและทำลายความงดงามนี้ลงไปได้อีก





…แต่ในตอนนี้ ไม่มีโอกาสนั้นให้เขาอีกแล้ว

























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 22 : คุ้มตะวัน (11/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 11-01-2020 23:01:17
ตะวันคิดจะตัดใจเหรอ ถ้ารักก็ต้องพยายามให้ตัวเองดีขึ้นให้สมกับตะวันซิ
แต่ถ้ารู้ว่าตะวันมีลูกนี่จะช็อคไหมนะ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 23 : ลูกชายคุณนายแม่ (12/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 12-01-2020 10:34:14
ลุ้นๆกันต่อนะคะคุณ bun ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆค่ะ  :กอด1: :L1:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
















บทที่ 23 : ลูกชายคุณนายแม่










กันต์ธรเดินออกไปแล้ว และดวงตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่ก็เปิดขึ้นมา ชายหนุ่มผู้มาส่งอาหารไม่ได้ทำอะไรนอกจากลูบไล้ไปตามใบหน้าเนียนใสของเขา หลังจากภพตะวันตัดสินใจกลับมาที่บ้านพร้อมบุตรชาย บิดาและมารดาของเขาดีใจเป็นอย่างมาก พวกเขานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวมากมายด้วยกันทั้งคืน และหนึ่งเรื่องที่ทำให้ภพตะวันไม่อาจห้ามปรามความรู้สึกเอ่อล้นในใจได้ คือการที่กันต์ธรนั้นเข้ามาดูแลพ่อกับแม่ของเขาจนท่านทั้งสองยอมรับ โดยไม่สนว่าตนนั้นจะถูกต่อว่าหรือดูถูกเหยียดหยามมากเพียงใด ก่อนหน้านี้ ภพตะวันเองก็ได้ให้อภัยกันต์ธรทุกเรื่องแต่แรกอยู่แล้ว




ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ว่ากันต์ธรเกลียดชังนั้น ถูกเรื่องเล่าของมารดากลบฝังลงจนมิด และความมั่นใจก็ปรากฏกับภพตะวันอีกครั้ง ว่ากันต์ธรนั้นยังคงรักเขามากมายดังเช่นวันวาน เมื่อกลับมาถึงและจัดการเรื่องลูกชายเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้ออกไปพบชายคนนั้นด้วยคิดถึงสุดหัวใจ หากแต่เมื่อไปหาถึงที่ กลับถูกคนที่เขาแสนคิดถึงเดินหนีเข้าหลังร้าน และไม่ว่าจะไปหากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กันต์ธรก็มีเพียงท่าทีห่างเหินมอบให้เท่านั้น




จากความดีใจในเรื่องเล่าของมารดาในคราวแรก แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าใจ ด้วยความสงสารที่คาดเดาเอาว่ากันต์ธรคงรู้สึกผิดหนัก และแปรเปลี่ยนอีกครั้ง เป็นความหงุดหงิดใจ เมื่อกันต์ธรทำท่าว่ายอมแพ้เรื่องเขาไปแล้ว




“จะไม่รับผิดชอบกันใช่ไหม…”





ภพตะวันนั้นนั่งนิ่งดวงตามุ่งตรงไปยังประตูที่ใครบางคนเดินออกไปเมื่อครู่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เอาแต่เกาะติดเขาหนึบ บอกว่ารักว่าหลงจะเป็นจะตาย ตอนนี้กลับเพียงนั่งมองเขานอนหลับทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์สั่งให้แม่บ้านตามมารดาออกไปธุระข้างนอกด้วยตัวเองแท้ๆ















เช้าวันถัดมา ลูกชายเพียงคนเดียวของนายเตี๋ยวและคุณนายบัว ซึ่งบัดนี้อายุปาเข้าไป 30 ปีเศษ ยืนเลือกเสื้อผ้าสีเรียบที่มีเต็มตู้อยู่หลายชั่วโมง จากนั้นก็จัดการแต่งองค์ทรงเครื่อง ใช้น้ำยาจัดแต่งทรงผมให้สลวยสวยงาม ขับใบหน้าขาวเนียนอิ่มให้ชวนมองยิ่งกว่าเดิม พร้อมออกจากบ้านตรงไปยังร้านอาหารของกันต์ธร




ภพตะวันที่หายไปนานหลายสัปดาห์ กลับมาที่คุ้มตะวันอีกครั้งพร้อมโฉมใหม่ที่ใกล้เคียงกับคนเดิม เมื่อขาเนียนนั้นก้าวเข้าร้าน ทุกเสียงก็เงียบลงไปพร้อมกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังบุรุษผู้มีความงามท่วมท้นในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น




นายศักดิ์ที่เห็นเช่นทุกคนก็ตะลึงตาค้างไปชั่วครู่แล้วรีบวิ่งเข้าหลังร้านแจ้งว่าแขกคนพิเศษเดินทางมา แต่ถึงอย่างนั้น กันต์ธรก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงใดใด ปล่อยให้ลูกน้องออกไปต้อนรับแทน








“วันนี้ทานอะไรดีครับ?”



“ธรอยู่ไหมครับ?”



“เอ่อ…อยู่ครับ”




“พอดีผมมีธุระอยากคุยกับเขา ช่วยตามเขามาหน่อยได้ไหม?”




“ครับ รอสักครู่”




นายพันธุ์เดินเข้าไปเรียกเจ้านายที่นั่งหน้าเครียดกุมขมับอยู่ที่โต๊ะหลังร้าน ดูท่าว่าภพตะวันจะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ อย่างที่หวัง และใจเขาตอนนี้ไม่สามารถมองหน้าภพตะวันเหมือนเดิมได้อีก เพราะความรู้สึกผิดมันกางฉากกั้นเขาทั้งคู่เอาไว้อยู่









“ภีม…?”




“ธร…”




กันต์ธรเดินออกมาและตรงไปที่โต๊ะมุมกล้วยไม้มุมเดิม แต่กลับต้องนิ่งตะลึงไป ด้วยภพตะวันวันนี้ดูสดใสชวนใจเต้นเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาตรงๆ พร้อมส่งยิ้มหวานละลายใจ








‘ไปฝึกที่ไหนมา?’




ก้อนเนื้อในอกเจ้าของร้านเต้นรัวกระหน่ำไม่หยุด มันดีดเป็นม้าคึกเตรียมออกศึกอย่างไรอย่างนั้น ใจคิดพลางไปว่าท่าทางน่ารักเช่นนี้เจ้าตัวไปได้จากที่ไหนมา หากว่าใครได้เห็นเข้าคงต้องตกหลุมรักกันเป็นแถบๆ ไป และกันต์ธรก็ไม่อยากให้มีใครได้มองเห็นเลยสักคน








“ธร…”




“หะ?”




“เป็นอะไร?”




“…เปล่า”




“หน้าแดงนะ”



“อ่อ…เหรอ?”




“…”




“…ภีมมีอะไร จะคุยกับฉัน…เหรอ?”




“เรื่องอาหารที่นายเอาไปส่งให้แม่ฉันน่ะ…พอดีช่วงนี้ฉันยังไม่ยุ่งมาก แม่เลยบอกให้ฉันมาเอาปิ่นโตที่ร้านนายเอง นายจะได้ไม่ต้องออกไปส่งให้เสียเวลา”




“อา หะ”




“ฉันจะมารับประมาณช่วงนี้ นายก็เตรียมไว้ให้พร้อมนะ ส่วนของฉันที่นายเตรียมไปให้…ฉันชอบมากเลย”




“อ่า…”




กันต์ธรนั้นยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะและสายตาก็เหลือบไปเห็นขาขาวๆ เนียนๆ ที่โผล่พ้นขอบกางเกงขาสั้นออกมา จุดรวมสายตาที่เขาไม่สามารถเคลื่อนไปมองจุดอื่นได้พร้อมใจที่เต้นรัว ไม่ว่าภพตะวันจะกล่าวอะไรออกมา เขาก็เออออตามไปด้วยหมดโดยที่ไม่สามารถจับใจความใดใดได้








“ธร…”




“หืม?”



“มองอะไร?”




“ภีม…ทำไมวันนี้ใส่กางเกงขาสั้นมาล่ะ มันอันตรายนะ”




“อันตราย? กับใคร? กับนายเหรอ?”




“อ่า…”





















“นาย! แขกโต๊ะจองเข้าแล้วนะ!!”




“เออๆ เดี๋ยวกูไป!”










“ฉันไป…รับแขกก่อนนะ”



“อืม”




กันต์ธรเดินออกไปต้อนรับแขกพิเศษโต๊ะยาวแล้ว ปล่อยให้ภพตะวันนั่งอมยิ้มรอรับปิ่นโตอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง อย่างน้อยวันนี้กันต์ธรก็มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมาบ้างแล้ว ชายหนุ่มวัยสามสิบที่แต่งกายคล้ายเด็กมหาลัยสุดเซ็กซี่ รับเอาปิ่นโตและเดินออกจากร้านไปอย่างอารมณ์ดี พร้อมสายตาแขกโต๊ะยาวทั้งโต๊ะที่พึ่งมาใหม่ จ้องมองไม่วางตากันทุกคน





และมีสายตาคู่หนึ่ง ที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะยาวนั้น มองลูกค้าของเขาด้วยแววจ้องเขม็งคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ





















“ขอบใจนะ”




“ภีม…นายไม่ต้องใส่กางเกงแบบนี้มาแล้วได้ป่ะ”




หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ภพตะวันก็เดินทางมารับปิ่นโตที่ร้านกันต์ธรในทุกวันด้วยกางเกงขาสั้นสุดฟิตที่เรียกแขกให้ร้านได้มากกว่าเดิม มากขึ้นจนเจ้าของร้านเริ่มอดรนทนไม่ไหวต้องพูดออกมาทั้งที่ก็พยายามฝืนใจตัวเองไม่ให้ไปก้าวก่ายชีวิตเขาแล้วแท้ๆ








“ทำไมล่ะ นายไม่ชอบเหรอ?”




“…”




“ธร”




“คราวหลังอย่าใส่มาอีก ถ้ายังใส่มาฉันจะบอกป้าบัว ว่าจะไปส่งข้าวให้เอง ไม่ให้นายมาที่ร้านแล้ว”








กันต์ธรนั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก จนภพตะวันต้องเงียบลงไปคล้ายกับโดนบิดาของเขาดุเอาอย่างไรอย่างนั้น เจ้าตัวหน้าหงิกลงไปคล้ายกับเด็กน้อยแล้วหันหน้าพร้อมเดินออกจากร้านไปด้วยความหงุดหงิด






‘ฉันยังไม่อยากควักไส้ใครออกมาตอนนี้ ไม่รู้เลยรึไง’




ชายหนุ่มเจ้าของร้านได้แต่สบถอยู่ในใจ หวงก็สุดหวง แต่ก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ ด้านภพตะวันนั้นเมื่อเห็นเขาเริ่มคุมตัวคุมใจไม่ได้ก็เหมือนยิ่งได้ใจ คราวก่อนจำได้ว่ากางเกงอีกตัวมันยาวกว่านี้หลายนิ้ว ทำไมมันเริ่มสั้นลงๆ ไม่รู้ บ่นเข้าไป สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ได้แต่ภาวนาให้ขาขาวๆ นั้นอย่าไปถูกตาต้องใจใครเข้าให้เขาต้องได้ก่อบาปอีกเลย














ปึก!




“โอ๊ย!”




“…”




“…ขอโทษครับ”




ภพตะวันที่เพิ่มระดับความหงุดหงิดใจเป็นระดับที่สาม เดินก้มหน้าก้มตาออกจากร้านไป แต่ยังไม่ทันได้พ้นปากประตู จมูกน้อยๆ ก็ชนเข้ากับแผงอกของใครบางคน ภาพตะวันที่ว่าสัดส่วนความสูงเรียกว่ามาตรฐานชายไทยแล้ว เมื่อเจอคนที่เขาชนเข้าให้คนนี้ จมูกเขาก็ยังอยู่เพียงช่วงอกเท่านั้น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยคำขอโทษขอโพยออกมาอย่างสุภาพ





ชายหนุ่มผมหยักศกดำขลับระต้นคอ กับใบหน้าขาวเนียนใส ในชุดรัดรูปโชว์สรีระสุดเพียวบางถูกมือหนาของชายผู้ขวางทางเชยปลายคางขึ้นให้มองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง มือนั้นก็ปล่อยออกจากใบหน้านุ่มนิ่มนั้น แล้วก้มลงมองภพตะวันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้สายตาจับจ้องตรงๆ ไปที่ขาขาวๆ และสะโพกได้รูปด้วยหูตาแพรวพราว









“น่ารักจัง…”




“เอ่อ…?”




“ชื่ออะไรครับ?”




“ภีม…ครับ”








"ภีม!!!!"



นั่นไง พ่อมาแล้ว…ชายเจ้าของร้านที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อครู่ ย่างสามขุมเข้ามาพร้อมกระชากแขนภพตะวันให้ออกห่างจากลูกค้าร่างยักษ์ และยังไม่ทันที่กันต์ธรจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น ชายฉกรรจ์สองคนที่เดินตามหลังของชายร่างยักษ์ผู้นั้นมาก็เดินเข้าประชิดตัวกันต์ธรใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นายศักดิ์และนายพันธุ์ที่ประจำหน้าที่อยู่ในร้านได้กลิ่นอายหายนะ จึงได้พุ่งตัวเข้าสู่สมรภูมิร่วมกับเจ้านายในทันที








“ไปคุยกันข้างนอกหน่อย!”




“ธร…?”




เมื่อนายศักดิ์และนายพันธุ์เดินมาขวางหน้าไว้ กันต์ธรก็กระชากแขนภพตะวันให้เดินตามออกไปด้านนอกร้านด้วยประตูอีกฝั่ง ชายร่างใหญ่และลูกสมุนอีกสองคนที่ถูกนายศักดิ์และนายพันธุ์ขวางไว้ทำท่าจะมีเรื่องกันเต็มที่ ก่อนที่นายศักดิ์จะเอ่ยบางอย่างออกมา ทุกอย่างจึงคลี่คลายและชายคนนั้นก็พร้อมจะเดินกลับออกไป








“คุณอย่ายุ่งกับคุณภีมดีกว่าคุณประดับเงิน…เขาเป็นคนรักของนายผม”




“คนรัก…ของกันต์ธรเหรอ? คนแบบนั้นรักใครเป็นด้วยเหรอ?”




“ถ้าคุณอยากทานอาหาร ร้านเรายินดีต้อนรับ แต่ถ้าต้องการอย่างอื่น เชิญพวกคุณกลับไปดีกว่า”




“ถ้างั้นฉันกลับก่อนดีกว่า วันนี้ดูท่าจะฤกษ์ไม่ดีแล้ว…ว่าแต่ คุณภีมคนนั้นรู้รึเปล่า ว่าคนรักของเขา เคยนอนกับพี่ชายฉันมาตั้งหลายปี ฮึฮึฮึ”




“…”




ประดับเงินเดินออกไปแล้ว กลุ่มอันธพาลแทบทั้งจังหวัดรู้จักพี่น้องเจ้าของบ่อนสายโหด ประดับเงิน ประดับทอง เป็นอย่างดี ธุรกิจดำมืดของตระกูลนี้มีหลายประเภทและหลายจังหวัด ประดับเงินนั้นโหดเหี้ยมกว่าประดับทองหลายเท่า บิดาพวกเขาจึงส่งให้ไปคุมกิจการสาขาอื่น





และเป็นโชคดีของเสี่ยธรมาก ที่ตระกูลของประดับเงิน ไม่ถูกโลกกับตระกูลของนายขุนพล พ่อของจ้าววายุเช่นกัน เมื่อไม่มีใครเป็นพวกเดียวกับใครเช่นนี้ กันต์ธรจึงได้รอดตัวไปได้อย่างหวุดหวิด ในพิธีล้างมือในอ่างทองคำของเขา









“ธร…!”




“เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าอย่าใส่แบบนี้มา! เกิดไปถูกใจนายประดับเงินเข้าจะทำไง?”




“ใครนะ…นายรู้จักเหรอ?”




“ใช่ ฉันเคยทำงานให้พี่ชายเขา”





“ฉัน…”





“อยากแกล้งฉันก็แกล้งไปนะภีม แต่อย่าเอาตัวเองมาเสี่ยงขอร้อง ฉันไม่ได้ใจดีหรอกนะ”




“…”





“นายรีบกลับบ้านเหอะ ต่อไปไม่ต้องมาที่นี่แล้ว ฉันจะเอาข้าวไปส่งให้ที่บ้านเอง”





“แล้ว…ถ้าเป็นมื้อเย็นล่ะ เอามาส่งด้วยไหม?”





“ส่งหมด หิวก็โทรมา”




“งั้นเย็นนี้เอาปิ่นโตไปส่งให้ฉันที่บ้านหน่อยสิ พอดี…พ่อกับแม่ไม่อยู่”




ภพตะวันเอาอีกแล้ว ทำหน้าและส่งสายตาเช่นนี้มาให้กันต์ธรเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้วไม่รู้ และใช่ว่าเจ้าของคุ้มตะวันจะไม่ชอบเสียเมื่อไหร่ ติดตรงที่เขาเอง ที่ไม่สามารถคว้าคนน่ารักคนนี้มากอดไว้เหมือนเมื่อก่อนได้ก็เท่านั้น







“ฉันจะไปส่งให้”




“…ขอบใจ”




ชายหนุ่มที่รูปลักษณ์คล้ายดั่งเด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ส่งยิ้มตาหยีไปให้กับกันต์ธร และเขาก็ได้รับรอยยิ้มจากกันต์ธรส่งมาให้เช่นกัน ก็แน่ล่ะ ใครเจอยิ้มเช่นนี้ของภพตะวันเข้าให้แล้วไม่ยิ้มตาม คนๆ นั้นคงเป็นคนที่ใจแข็งยิ่งกว่าหินผาเป็นแน่






“…ฉันจะรอนะ”










...
























Savahale Talk : ไร่อ้อยของภพตะวันจะโตไหม มาลุ้นกันต่อในวันพรุ่งนี้นะคะ : )








-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 23 : ลูกชายคุณนายแม่ (12/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 12-01-2020 15:40:40
มีความอ่อยเบอร์แรง
ว่าแต่ประดับเงินนี่จะมาชอบภีมอีกไหมเนี้ยะ
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 23 : ลูกชายคุณนายแม่ (12/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: kratai_rabbit ที่ 12-01-2020 16:28:30
ติดตามค่าาา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 24 : ศักดาเดช (14/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 14-01-2020 10:57:02



สวัสดีค่ะ คุณ bun และ คุณ kratai_rabbit

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามด้วยนะคะ :กอด1: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


อีกสามตอนก็จะจบแล้วน้า ร่วมลุ้นกันต่อนะคะ

ขอบคุณมากๆอีกครั้งค่า ^______________^


















บทที่ 24 : ศักดาเดช





















‘…ฉันจะรอนะ’



ประโยคทิ้งท้ายจากคนน่ารักที่ทำเอากันต์ธรต้องนั่งกุมขมับตัวเองอยู่หลังร้านอีกครั้ง เจ้าตัวนั่งสั่นขาขวากับที่อย่างแรงอยู่พักใหญ่ ด้วยสมองกำลังครุ่นคิดถึงอะไรหลายอย่าง พฤติกรรมและคำพูดต่างๆ ของภพตะวันนั้นมองออกได้ไม่ยาก ด้วยครั้งไหนที่เจ้าตัวต้องการอะไรมากๆ ก็จะยอมลงทุนทำทุกอย่าง เช่นสมัยเรียนที่เจ้าตัวนั้น เคยถ่อมาหาเขาเองถึงหน้าห้องเรียนในช่วงเปลี่ยนคาบวิชา ทั้งยังนั่งเฝ้าเขาทำงานกิจกรรมโรงเรียนจนมืดค่ำนั่นก็อีก คราวนั้นคิดเพียงว่า เพื่อนรักคงอยากนั่งเป็นเพื่อน จนมาล่วงรู้ทีหลังว่าแท้จริงแล้ว ภพตะวันกลัวเขาเข้าใกล้วินาวินมากเกินไปต่างหาก กันต์ธรจำทั้งหมดนั้นได้เป็นอย่างดี




งานนี้อดีตนักเลงเช่นเสี่ยธร คงต้องหาวิธีจัดการให้เด็ดขาดซะแล้ว เขาไม่ชอบเอาเสียเลยกับภพตะวันที่ให้อภัยเขาอย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด และนั่นยิ่งทำให้กันต์ธรต้องรู้สึกผิดต่อตัวเองเข้าไปใหญ่






“ทำไงดีวะ!?!”





















ปิ่นโตเคลือบ สีน้ำตาลอ่อนเนื้อดีถูกจัดใส่เถาไว้เรียบร้อยสำหรับนำส่งให้กับลูกชายคนเดียวของบ้านวงศ์วรรธน์ คนส่งอาหารเร่งออกจากคุ้มตะวันตั้งแต่หกโมงเย็นด้วยกลัวว่าลูกค้าคนสำคัญจะหิวจนเกิดความหงุดหงิดใจขึ้นมาได้อีก








ก๊อก ก๊อก ก๊อก




เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดังขึ้น ทั้งที่ปกติแล้ว ประตูบ้านจะถูกเปิดทิ้งไว้แทบตลอดเวลา คงเป็นเช่นที่ภพตะวันได้บอกเอาไว้ตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้วว่า ค่ำนี้จะไม่มีใครอยู่บ้าน






เอี๊ยดดดด






เจ้าของบ้านที่อยู่บ้านเพียงลำพังเปิดประตูหน้าบ้านออกเพื่อต้อนรับปิ่นโต? ที่เขาตั้งใจไปล่อลวงมาเต็มที่ ด้วยบัดนี้เจ้าตัวนั้นสวมใส่เพียงเสื้อขาวตัวบางและกางเกงขาสั้นตัวเดิม ผมหยักศกที่หวีให้ดูดีอยู่เสมอ ยุ่งเหยิงเล็กน้อยด้วยคาดว่าเจ้าตัวคงนอนหลับพักผ่อนแล้วพึ่งตื่นขึ้นมา







…น่ารักบาดใจ








ตึก…ตึก..ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




เสียงหัวใจภพตะวันนั้นกระหน่ำเต้นรัวผิดจังหวะ และลมหายใจก็เริ่มเข้าออกหนักถี่ขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าขาวเนียนที่ยิ้มหวานละลายใจออกมาเมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมา พร้อมกับเสียงประตูที่ปิดกลับเข้าไปที่เดิมดังสนั่นกระเทือนผนังทุกด้านของตัวบ้าน








“ปิ่นโตคร…”




ปัง!!!!!!




ผู้นำปิ่นโตมาส่งที่ถูกประตูปิดอัดกระแทกหน้าได้แต่ยืนอึ้งและนิ่งงันอยู่ที่เดิม








ก๊อก ก๊อก ก๊อก




เมื่อรวบรวมสติได้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่บัดนี้ไม่มีใครในบ้านได้ยินเสียงเคาะนั้นอีกแล้ว ด้วยภพตะวันได้เดินปึงปังขึ้นไปยังห้องส่วนตัว ด้วยท่าทางหงุดหงิดระดับสิบ









“กันต์ธร!!! ....ไอ้คนโง่! โง่ๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้โง่เอ้ย!!!”






ด้วยใจนั้นเดือดดาลหนัก คำพูดแสลงหูที่แทบไม่มีใครเคยได้ยินจึงผุดออกมาดังลั่นห้อง ภพตะวันหงุดหงิดใจขั้นปรอทแตกแล้วงานนี้ เกิดมาไม่เคยรู้สึกโมโหใครเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต เขายืนขึ้นแล้วกระแทกประตูตู้เสื้อผ้าออก หยิบเสื้อเชิ้ตสีครีมตัวหนึ่งออกมาสวมทับเสื้อสุดพลิ้วบางนั้นเอาไว้ พร้อมเปลี่ยนเป็นกางเกงขายาวตัวหนา จากนั้นก็คว้ากุญแจรถยนต์มาไว้ในมือ พร้อมเดินปึงปังลงจากบันได












เอี๊ยดดดดด




ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกอีกครั้ง และคนส่งปิ่นโตยังคงยืนอยู่ที่เดิม





“ปิ่นโตครับ…”




เจ้าของบ้านที่หงุดหงิดอย่างแรงกล้าเดินสวนคนส่งอาหารที่ยื่นปิ่นโตให้ออกมา โดยไม่พูดไม่จา เขาเดินขึ้นรถแล้วขับออกไปทั้งที่ใจยังเต้นแรง ปล่อยนายศักดิ์เอาไว้ที่เดิมอย่างนั้นด้วยสีหน้างุนงง























ภพตะวันเหยียบมิดคันเร่งมาถึงบ้านณรงค์กรอย่างรวดเร็ว และไม่นานรถยนต์ที่จอดประจำในรั้วบ้านก็ขับตามเข้ามา นายศักดิ์เปิดประตูรถออกมายืนเกาหัวแกรกๆ พร้อมปิ่นโตในมือ ด้านชายปรอทแตกก้าวเข้าประตูหน้าบ้านญาติห่างๆ อย่างถือวิสาสะ จนได้พบเข้ากับคุณนายเจ้าของบ้านที่นั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โซฟาและเรียกเขาเอาไว้







“ภีม…?”




“…สวัสดีครับ”







“มาหาธรเหรอลูก?”




“ครับ…”




“ภีม…?”




ภพตะวันที่ร้อนรนดังคนถูกไฟเผานิ่งลงเมื่อเห็นมารดาของกันต์ธร หัวใจที่เต้นหนักๆ เริ่มเบาแรงลง และขายาวนั้นก็ก้าวเดินเข้าใกล้กับมารดาของกันต์ธรพร้อมยกมือไหว้ด้วยเมื่อครู่หลงลืมไป







“ผมขอโทษด้วยนะครับที่มากะทันหัน”



“ทะเลาะกันรึเปล่า? เห็นธรบอกน้าว่าภีมสั่งมื้อเย็นด้วยวันนี้”




“ครับ คุณพ่อกับคุณแม่ไม่อยู่บ้าน”



“ภีม…มีอะไรรึเปล่าหืม? บอกน้าได้นะ”




“ผมไม่เข้าใจธรเลยครับ เหมือนเขากำลังหลบหน้าผม”




“…”




“วันนี้เขาก็บอกจะเอาปิ่นโตไปส่งให้ผม แต่เขาก็ไม่ได้ไปเอง”





“…”




“ผมนึกว่าเขาจะไปเอง แบบที่เขาบอก”




“ภีม…”




“คุณพ่อกับคุณแม่บอกว่าธรไปดูแลพวกท่านทุกวันเลย แต่พอผมกลับมา ธรก็เอาแต่หลบหน้า”




“…”




“ทำไมล่ะครับ?”




“ภีม…ภีมไม่โกรธธรเลยเหรอ ไม่โกรธน้าหรืออาเต่าเลยเหรอ?”




มารดาของกันต์ธรที่ยังคงมีความรู้สึกผิดฝังอยู่ในใจไม่ต่างจากลูกชาย เมื่อเห็นภพตะวันมีท่าทีไม่เอาความใดใดก็อึดอัดในใจขึ้นมา เธอคว้ามือชายหนุ่มไปกุมไว้แน่นแล้วเริ่มมีน้ำตาคลอ พร้อมกับคำถามที่คาใจ ด้านภพตะวันที่เริ่มเย็นลงมากแล้ว ส่งรอยยิ้มกลับไปให้พร้อมกระชับมือทั้งสองข้างของเธอ









“โกรธสิครับ แต่ผมเข้าใจ ว่าธรไม่ได้ตั้งใจ ที่ธรทำลงไปเพราะเข้าใจครอบครัวผมผิด

จริงๆ แล้ว…ผมต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่วางยาผมวันนั้น มันทำให้ผมได้พบกับคำว่าคุณค่าของคน มีชาวบ้านช่วยผมเอาไว้ครับคุณน้า

ผมเคยเชื่อมาตลอด ว่ามนุษย์ผู้สูงศักดิ์และมีทุกอย่างที่มากล้น ต้องมีใจที่สูงตามไปด้วย แต่สิ่งที่ผมพบ มันกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ผมถูกคนคนหนึ่งที่มีอำนาจและวาสนา หน้าตาทางสังคม คิดเอาชีวิตผมอย่างโหดเหี้ยม แล้วก็กลับเป็นชาวบ้านธรรมดา ที่แทบไม่มีสมบัติใดใดเลยนอกจากบ้านลอยน้ำหลังน้อย ที่เป็นแสงสว่าง หยิบยื่นความใจดีและต่อลมหายใจให้ผม

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ว่าคนเรา…วัดค่ากันที่ชื่อเสียงเงินทองไม่ได้ แต่ต้องวัดกันที่ระดับจิตใจของความเป็นมนุษย์มากกว่า

และที่สำคัญ พวกเขาได้มอบหัวใจดวงน้อยๆ ดวงหนึ่งให้กับผมกลับมาด้วย…ผมรักธรนะครับ แต่ตอนนี้ผมคิดว่ากำลังจะมีคนมาแย่งความรักของผมไปจากธรแล้ว”





“ใครกัน? หัวใจดวงน้อยๆ?”



ภพตะวันนั้นเอ่ยยืดยาวถึงการผจญภัยเล็กๆ ในชีวิตที่เขาได้ประสบพบเจอมา แม้สิ่งนั้นคล้ายจะรุนแรงและเดิมพันด้วยลมหายใจทั้งหมดที่มี แต่การรอดชีวิตกลับมาได้ในครั้งนี้ ให้บทเรียนแก่เขามากกว่าที่เขาเคยได้พบเจอมาตลอดแทบทั้งชีวิตด้วยซ้ำ









“ลูกชายผมเองครับ…ชื่อว่าลำธาร ตอนนี้ผมฝากแม่นมดูแลอยู่ ถ้าโตขึ้นอีกนิดผมจะพามาเยี่ยมคุณน้านะครับ”




“ภีมมีลูกแล้วเหรอ?”




“ครับ”




“อ่า…น้าดีใจด้วยนะลูก”




“ขอบคุณมากครับ”




“น้าดีใจนะ ที่ธรมีภีม…ตอนนี้เราอยู่กันสองแม่ลูกแล้ว ธรก็ยังคิดถึงภีมอยู่ทุกวันนะลูก”




“แล้ว อาเต่าล่ะครับ?”




“น้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…ตั้งแต่วันนั้นที่เขา…ทำร้ายภีม เขาก็หายไปเลย”




“อาเต่า? เป็นคนวางยาผมเหรอครับ ไม่ใช่ธรเหรอ?”




“ไม่ใช่หรอกจ้ะ น้ารู้ว่าลูกชายน้ารักภีมมากขนาดไหน เขาไม่มีวันทำแบบนั้นหรอก”




“แต่ว่า…แล้วทำไม? เขาต้องหลบหน้าผมด้วย”




“เพราะเขาปกป้อมภีมไม่ได้ไง…น้าเองก็ต้องขอโทษภีม ที่ช่วยอะไรลูกไม่ได้เลย”




“คุณน้าไม่ต้องคิดมากแล้วนะครับ เรื่องผ่านมาตั้ง 2 ปีแล้ว แล้วผมก็ให้อภัยหมดแล้วด้วย”




“ขอบใจนะลูก น้าขอบใจภีมมากจริงๆ”




ภพตะวันโอบกอดมารดาของคนรักไว้อย่างอบอุ่น กันต์ธรนั้นช่วยดูแลพ่อกับแม่ของเขาให้อย่างดีตลอดช่วงที่เขาไม่อยู่ เขาซาบซึ้งใจและพร้อมจะดูแลหัวใจของมารดากันต์ธรเช่นเดียวกัน










ความละมุนจากอ้อมกอดและคำพูดเปิดใจของทั้งสองฝ่าย ช่วยให้บางสิ่งบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจของคนทั้งคู่คลายลงไปมาก น้ำตาจากความรู้สึกผิดเริ่มค่อยๆ จางหายไปแล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ฉาบไล้บนใบหน้าขึ้นมาแทน






“ผมขอขึ้นไปหาธรหน่อยได้ไหมครับ?”




“จ้ะ”






เมื่อเห็นว่าคุณนายเจ้าของบ้านมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ภพตะวันจึงได้เริ่มปฏิบัติการสิ่งที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกต่อ เขาเดินขึ้นชั้นบนของตัวบ้านไปยังห้องนอนแสนคุ้นเคย อารมณ์สีขุ่นที่ตามเขามาตั้งแต่ที่บ้าน สลายหายไปพร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่นเมื่อครู่ เขาเคาะประตูห้องนอนของกันต์ธรผู้โง่เขลาอยู่สามที จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก












“ภีม!?!”




เจ้าของห้องเปิดประตูออกมาในสภาพที่พึ่งออกจากห้องน้ำ โดยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันปกปิดส่วนล่างของเขาเอาไว้ ตาคมเบิกโตเป็นไข่ห่านด้วยตกใจหนักที่ภพตะวันมายืนอยู่หน้าประตู




ภาพชายหนุ่มร่างกายอัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามมีสีหน้าเหลอหลา เรียกรอยยิ้มของคนน่ารักให้ฉายขึ้นมาได้อีกครั้ง








“ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?”




“ฉ…ฉันขอแต่งตัวแปปนึง”




“แล้วไง นายจะให้ฉันยืนรอตรงนี้เหรอ?”




“เปล่า…ฉันหมายถึง…นายเข้ามาก่อนสิ”





กันต์ธรที่กุมขมับมาทั้งวันใจเต้นตุบตับด้วยเขาเค้นสมองคิดวิธีต่างๆ มากมายในการรับมือกับภพตะวัน แต่แล้วเจ้าตัวกลับกำลังเดินเข้ามาในห้องเช่นนี้ ทั้งเขาเองก็ยังแต่งกายไม่เรียบร้อยอีกด้วย ชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน ไม่อาจเบนความคิดให้ไกลห่างจากบรรยากาศรอบข้างที่ดูจะเป็นใจอย่างมากได้เลย










“…จิ้งจอกเก้าหาง?”




“อือ”




ภพตะวันที่เดินเข้าห้องมา เดินสำรวจไปทั่วห้อง และในจังหวะนั้นเอง เจ้าของห้องก็รีบเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอามาหนึ่งชุด แล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป ภพตะวันหยิบหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดที่วางเรียงครบทุกเล่มบนชั้นขึ้นมาไว้ในมือ มันถูกห่อปกใสและเก็บไว้อย่างดี ไม่มีฝุ่นเกาะให้เปื้อนมือ เจ้าของห้องคงตั้งใจรักษามันไว้ให้ยังคงสภาพเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลาเป็นแน่










แกรก




เพียงครู่เดียวเจ้าของห้องก็เดินออกจากห้องน้ำมาในชุดเสื้อยืดคอย้วยและกางเกงนอนผ้าไหมขายาวสีน้ำเงิน เขาแอบมองภพตะวันที่ยืนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ใกล้ๆ กับริมหน้าต่าง






เนิ่นนานจนผู้มาเยือนอ่านจบไปหนึ่งหน้าและเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาพร้อมยิ้มน้อยๆ ออกมา ด้านคนถูกจับได้ ทำทีลุกลี้ลุกลนเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วหยิบกระดาษสีคล้ำออกมาทำท่าว่าอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ










“ธร…”




“หืม?”




“ทำไมไม่เอาข้าวไปส่งให้ฉันเองล่ะ?”




“พอดี…ฉันยุ่งนิดหน่อย”





“ยุ่งอะไร?”




“มันเป็นช่วงใกล้ปิดร้านอ่ะ ฉันต้องอยู่เคลียร์บัญชี”





“ธร”





“หืม?”





“เมื่อกี้ฉันคุยกับแม่นายมา”




“…”




“ฉันรู้แล้วนะ ว่าไม่ใช่นาย ที่วางยาฉัน…นายเลิกโทษตัวเองสักทีได้ไหม”




“…ต่างอะไรกันล่ะภีม ฉันก็คิดจะฆ่านายเหมือนพ่อนั่นแหละ”




“แต่นายก็ไม่ได้ทำไม่ใช่เหรอ”






“…”






“ธร”




ปุบปุบ




ภพตะวันที่ไม่ได้รับคำตอบอันเป็นที่พอใจ นั่งลงบนเตียงกว้างฝั่งหนึ่ง แล้วตบลงบนเตียงสองที เป็นสัญญาณให้คนที่เอาแต่ก้มหน้างุดอ่านอะไรบางอย่างอยู่ให้ลุกมานั่งตรงนี้









“ธร…”




“นายมีอะไรก็ว่ามาเลย ฉันฟังอยู่”











“…คิดจะทิ้งฉันเหรอ?”




ขวับ




“ภีม…”




เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดฝัน ชายเจ้าของห้องที่นั่งอึดอัดใจอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือก็หันขวับกลับมาทันที และเห็นภพตะวันกำลังจ้องเขม็งส่งสายตาหงุดหงิดมาให้อยู่









“ใครไม่รู้เคยบอกฉันว่า ฉันไม่มีวันทิ้งนาย…ไม่ว่าร้ายหรือดีที่กำลังจะผ่านเข้ามา หัวใจฉันจะมีแค่นายเพียงคนเดียวตลอดไป”




“…ฉันขอโทษ”




“เลิกขอโทษสักทีธร…มานั่งนี่!”






ภพตะวันยื่นคำขาดแล้ว กันต์ธรจึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าใกล้แขกด้วยใบหน้าที่เริ่มชา และร่างกายที่ออกอาการสั่นดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เขาหมดความมั่นใจในเรื่องของภพตะวันไปนานแล้ว และใช่ว่ามันจะสามารถเรียกกลับมาได้ทันใจเสียเมื่อไหร่









































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 24 : ศักดาเดช (14/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 14-01-2020 21:08:01
กลายเป็นภีมต้องมาตามง้อธร แทน
ธรก็ต้องมั่นใจในตัวเองขึ้นได้แล้วนะ และพิสูจน์ให้ภีมเห็นว่าตัวเองดีพอสำหรับภีม
หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 25 : รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว (19/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 19-01-2020 10:40:09
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะคะ คุณ bun  :กอด1: :pig4: :pig4: :pig4:

ร่วมลุ้นกันต่อนะคะ



 :mew1:























บทที่ 25 : รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว…เสมออยู่หอแห่งเดียว ร่วมห้อง















เจ้าของห้องที่ถูกเรียกให้ลุกเสียงเข้ม ยอมเดินมานั่งลงบนเตียงในจุดที่ภพตะวันตบเบาๆ เมื่อครู่ เขายังคงนั่งก้มหน้าเช่นเดิมตั้งแต่เดินมาจากโต๊ะเขียนหนังสือ ด้านคนเรียก บัดนี้ก็เริ่มก้มหน้าลงไปบ้างแล้ว ด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรที่จะช่วยเรียกความมั่นใจของกันต์ธรให้กลับมาได้



หากแต่ความเงียบนั้นน่ากลัว และคนอึดอัดใจมากกว่าไม่อาจทนได้ไหว จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน






“...ฉันพูดจริงนะ”



“พูดอะไร?”



“ที่เคยบอกว่าจะรักแค่นายคนเดียว”







“…”



“ฉันรักนาย…แต่ฉันมันไม่ดีเอง ไม่คู่ควรกับนายเลย”





“แล้วนายจะทำยังไง จะยอมให้ฉันไปแต่งงานกับคนอื่น ทั้งๆ ที่ฉันก็รักนายเหรอ? …ทำไมล่ะธร ทั้งๆ ที่ฉันก็รักแล้วก็อภัยให้นายทุกอย่าง ทำไมนายถึง…ยังเอาแต่ผลักไสฉันอยู่ดี”




“นายให้อภัยฉันมันก็จริง แต่ฉันยังให้อภัยตัวเองไม่ได้ไง…ฉัน อึก”



ยิ่งพูดอารมณ์ยิ่งโหมพัดแรงขึ้น กันต์ธรที่ก้มหน้าเอ่ยวาจาเริ่มมีหยดน้ำตาตกกระทบมือหลายหยด ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ความรู้สึกผิดในใจ เด่นชัดกว่าความรักที่เขามีให้ภพตะวัน ทุกเรื่องราวเลวร้ายที่เคยได้กระทำ ไหลวนเข้ามาไม่หยุด ยิ่งได้ใกล้กับชายผู้เป็นที่รัก หัวใจยิ่งอึดอัดจนแทบระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ





ไหล่หนานั้นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนัก ทั้งใบหน้านั้นก็ยกเหยเกพร้อมเสียงสะอื้นที่ส่งออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ และเสียงพูดที่ดังออกมาหลังจากนั้นก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเจ้าตัวค่อยๆ สติหลุดออกไปจนแทบไม่มีเหลือ









“ฉันไม่รู้จะทำยังไง! …ฉันก็ทุกข์ใจอยู่ทุกวันภีม ฉันกลัวไปหมด รู้สึกว่าตัวเองมันโคตรไร้ค่า ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เกิดมาเคยทำอะไรดีบ้างยังนึกไม่ออกเลย ทั้งๆ ที่นายดีกับฉันขนาดนี้ ฉันก็ทำร้ายนายครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยมีความคิดดีๆ กับคนอื่นเขาเลยสักครั้ง ฉันไม่รู้จะทำยังไง…ไม่รู้จะทำยังไง!”



ความทุกข์ใจที่ค่อยๆ ท่วมท้นออกมาทางดวงตาและคำพูด บีบคั้นอารมณ์คนฟังได้อย่างง่ายดาย ภพตะวันดึงมือคู่นั้นมากุมเอาไว้แน่นพร้อมมืออีกข้างที่โอบหลังกันต์ธรเอาไว้…ใจเขาเจ็บเหลือเกิน เขาไม่ต้องการเห็นกันต์ธรร้องไห้เลยแม้สักครั้ง และเขาเข้าใจแล้วว่า บาดแผลในใจที่กันต์ธรเคยได้รับมานั้น มันยากเกินกว่าจะสามารถรักษาให้หายได้โดยไว…บาดแผลที่ใครต่อใคร ต่างกดดันให้เขาสร้างมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งคนในครอบครัว



บาดแผลในใจที่ถูกกรีดแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมันกลัดหนอง ต้องรักษาด้วยยาชนิดใด? ยาพิษร้ายที่เคยซึมเข้าร่างภพตะวัน หรือแม้กระทั่งตะแกรงเหล็กที่พันรอบกายให้เกิดแผลถลอก ยังสามารถใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการรักษาให้หายได้ แต่บาดแผลในใจของกันต์ธร ต้องใช้เวลากี่สิบปีกัน? มันถึงจะหายขาด…หรือต้องใช้เวลาทั้งชีวิต?




หากเป็นเช่นนั้น ภพตะวันก็พร้อมที่จะดูแลเอาใจใส่บาดแผลนี้ด้วยทั้งชีวิตของเขาเช่นเดียวกัน









“นายเจ็บ ฉันก็เจ็บด้วยนะธร…ฉันอยู่กับนายตรงนี้ นายเห็นฉันไหม…นายอยากร้องไห้ ฉันก็จะร้องด้วย ฉันจะกอดนายไว้แล้วจะไม่ปล่อยนายไปไหน ไม่ว่านายจะไล่ฉันไปยังไง ฉันก็ไม่ไป…ฉันจะอยู่กับนาย จะอยู่กับนาย แบบที่เคยบอกนายมาตลอด อย่าไล่ฉันอีกเลยนะธร…ฮือ”




ภพตะวันนั้น รักกันต์ธรเหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ผูกพันและรักมาอย่างเนิ่นนานก่อนที่เจ้าตัวจะรู้สึกตัวเสียอีก




ความต่างมันอยู่ตรงไหน ตรงที่ภพตะวันนั้นให้อภัยได้อย่างง่ายดายด้วยใจรักมั่นในคำสัญญา หรือตรงที่กันต์ธรนั้น ไม่สามารถให้อภัยตนเองได้ง่ายๆ ด้วยใจยังยึดโยงอดีตเอาไว้กับตัว ทั้งสุขและทุกข์เขาไม่สามารถปล่อยให้มันผ่านไปได้เช่นที่ภพตะวันเป็น




ชายผู้มาเยือนโอบกอดร่างหนาๆ ของกันต์ธรเอาไว้ แล้วสะอื้นตัวโยนเช่นเดียวกับชายผู้เป็นที่รัก และนั่นก็มากพอที่จะทำให้กันต์ธรเงียบเสียงลงไป ด้วยสิ่งที่เจ้าตัวนั้นกลัวที่สุดในตอนนี้ ก็คือการทำให้ภพตะวันต้องเสียน้ำตาเพราะเขาเป็นต้นเหตุ










“ภีม…ขอโทษ ธรขอโทษนะ ภีมอย่าร้องไห้ได้ไหม ธรไม่ร้องแล้วเนี่ย ภีมก็ไม่ร้องแล้วนะ ภีม…ภีม ฮือออ ธรขอโทษ”




ความอึดอัดใจในคราวแรกที่สุมหนักมาหลายวันในใจกันต์ธร ถูกน้ำตาพาพัดออกมาหนักๆ ไปหนึ่งยก บัดนี้เจ้าตัวได้สติกลับมาพร้อมความโล่งที่หัว แต่ยิ่งพูดปลอบใจภพตะวันที่ร้องไห้ในอ้อมกอดเขาเท่าไหร่ ก็ชักทนไม่ไหว ต้องน้ำตาไหลตามภพตะวันไปอีกรอบ ด้วยภพตะวันในตอนนี้ช่างน่าสงสาร ต้องเจ็บปวดเพราะเขาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เลิกเสียที








“ภีมหยุดร้องไห้เถอะนะ ถ้าภีมหยุดธรก็จะหยุดด้วย…ได้ไหมครับ ที่รัก”



กันต์ธรนั้นจนมุมเข้าให้แล้ว นอกจากจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกตัวเองได้ ยังหาทางหยุดภพตะวันไม่เจออีกด้วย จนสุดท้ายก็ต้องเผลอพูดอ้อนหวานๆ ออกไป แม้ต่อมสำนึกผิดจะยังไม่อนุญาตให้พูดก็ตาม










“อือ…”




และดูเหมือนว่า งานนี้จะได้ผล เมื่อภพตะวันที่ร้องไห้ตัวโยนเริ่มสงบลงและครางตอบกลับไป แม้เจ้าตัวจะยังคงซุกหน้าในอ้อมอกของเจ้าของห้องอยู่










“หิวไหมภีม? ทุ่มกว่าแล้วนะ”



“ไม่…”



“แต่ธรเริ่มหิวแล้ว ลงไปกินข้าวกันไหม?”










“จะไล่ฉันอีกแล้วเหรอ?”




“หะ? เปล่านะ”




เจ้าของห้องที่ใครต่อใครต่างตราหน้าว่าฉลาดน้อย คราวนี้อาจจะจริงอย่างที่ใครๆ ว่า ด้วยในสถานการณ์สุดวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เจ้าตัวก็เค้นหาประโยคดีดีมาปลอบใจได้เพียงการชวนลงไปกินข้าว








“ก็ภีมยังไม่ได้กินข้าว ธรกลัวภีมหิว”



“…”



“ภีม?”











“ฉันยังไม่หิว…ถ้านายหิว จะกินฉันก่อนก็ได้นะ”






“ภีม!?! ว่าไรนะ?”




“นายมัน โง่ชะมัด! …จะลงไปกินข้าวก็ไป”



ภพตะวันที่แอบกระซิบพูดบางอย่างออกไปเมื่อครู่ ผละออกจากอ้อมกอดของกันต์ธรและเดินไปที่หน้าประตูด้วยความรวดเร็ว ใบหูที่ขึ้นสีแดงจากการร้องไห้หนักเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นสีแดงจากความเขินอายแทนเสียแล้ว ด้วยเจ้าตัวก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะพูดอะไรน่าอายเช่นนั้นออกไปได้






ด้านเจ้าของห้องที่พึ่งนึกขึ้นได้รีบคว้าเอาคนน่ารักให้กลับมาทิ้งตัวลงบนตักอีกครั้ง แล้วใช้ท่อนแขนกำยำรัดร่างนั้นเอาไว้แน่นไม่ให้หลุดไปไหนได้








“ไหนว่าหิวข้าวไง?”



“อืม…หิว”







“…”






“แต่ภีมบอกว่ากินภีมได้นี่นะ”



“ไม่กลัวฉันแล้วเหรอ?”



“กลัวสิ แต่ภีมบอกว่าได้ ฉันก็เชื่อไง”



“บอกอะไรก็เชื่อหมดเลยเหรอ?”



“ครับ”




“จริงอ่ะ?”




“จริง”




“ดี…งั้นห้ามทิ้งฉัน”




“ไม่มีทางอยู่แล้ว”




“มีอะไรต้องพูดกันตรงๆ”




“ครับ”




“ต้องรักลูกฉันด้วย”




“หะ?”




“เรื่องมันยาวเอาไว้จะเล่าให้ฟัง…นายเชื่อใจฉันไหม?”




“ฮึ่ม…เชื่อ!”




“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิธร เขาจะเป็นลูกของนายด้วยนะ”




“อือ”




“ธร…”




“หืม?”










“…ฉันรักนาย”










ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ





“…”




“ทำไมเงียบเลยล่ะ?”





“…”




“ธร…”






ริมฝีปากล่างของอดีตนักเลงเริ่มสั่นไหวให้จับได้อีกครั้ง เจ้าตัวคล้ายคนใบ้ที่ไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้อีก ด้วยบัดนี้ก้อนที่จุกอยู่ในอกหาใช่ความทุกข์ใจเช่นที่ผ่านมา หากแต่เป็นความสุขล้นจนเกินต้านทาน เจ้าตัวไม่ตอบกลับคนรัก เพียงค่อยๆ กระชับฝ่ามือทั้งสองข้างไปที่หัวไหล่น้อยๆ นั้นแล้วกดภพตะวันลงให้นอนราบลงไปบนเตียงอย่างนุ่มนวล










“ยกโทษให้ด้วยนะภีม…ถ้าฉันทำอะไรไม่ถูกใจ”



“ก็ถูกใจมาตลอดนะ เท่าที่จำได้”




ภพตะวันที่นอนลงบนหมอนหัวเราะคิกคักกับใบหน้าประหม่าของกันต์ธร เขาเอื้อมมือขึ้นแล้วแตะลงบนริมฝีปากของคนด้านบน นิ้วเรียวค่อยๆ ลากลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา ดวงตาใสจับจ้องทุกที่ที่ปลายนิ้วลากผ่านอย่างไม่วางตา ก่อนที่สองแขนน้อยๆ จะค่อยๆ โอบขึ้นรอบลำคอกันต์ธร แล้วดึงศีรษะคนด้านบนให้เคลื่อนตามลงมา










“ภีมแน่ใจนะ?”




“มั่นใจหน่อยสิธร ไม่สมกับเป็นนายเลยนะแบบเนี้ย”




“ก็มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ ที่ฉันไม่มั่นใจ”



“ฮะฮะ”



ชายหนุ่มผู้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน กลายเป็นเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาไปเสียแล้ว แต่นั่นใช่ปัญหาของภพตะวันเสียเมื่อไหร่ เมื่อบัดนี้ กันต์ธรนั้นเชื่องเหมือนเจ้าแมวตัวใหญ่ก็ไม่ปาน และมันช่างถูกอกถูกใจคนเลี้ยงแมวเช่นเขาซะเหลือเกิน




เจ้าแมวตัวใหญ่ทาบริมฝีปากลงมาบนปากของภพตะวันอย่างแผ่วเบา แล้วเริ่มไล่เล็มความนุ่มนิ่มนั้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะค่อยๆ ส่งลิ้นสากของตนไล่เลียไปโดยรอบ สลับกับไล่งับริมฝีปากล่างที่เขาหลงใหลมาเนิ่นนาน ดูดกลืนอยู่อย่างนั้นด้วยแสนคิดถึงและใจไม่กล้าพอที่จะไปต่อจากจุดนี้










“อือออ”




กลับเป็นคนด้านล่างเสียเองที่เริ่มส่งเรียวลิ้นเล็กๆ นั้นแทรกผ่านเข้าไปในริมฝีปากเจ้าของห้อง จากนั้นสงครามรสหวานจึงได้เริ่มบังเกิดขึ้น กันต์ธรที่หลงใหลชายเบื้องล่างอย่างมากอยู่ก่อนแล้ว เริ่มดูดกลืนลิ้นน้อยๆ นั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสลับไปมากับริมฝีปากล่างที่อวบอิ่มด้วยถูกดุนดันอยู่พักใหญ่






“อืมม…ฮ่า”




เวลาเคลื่อนไปเนิ่นนานเกือบสิบนาที แต่สำหรับชายผู้หิวโหยนั้น มันพึ่งผ่านไปเพียงสิบวินาทีเท่านั้น เขายังคงวนเวียนประทับรอยจูบดูดดื่มลึกล้ำกับภพตะวันอันเป็นที่รัก จนคนเบื้องล่างนั้น เริ่มมีร่างกายที่ขึ้นสีแดงฉาบไปทั่วตัวให้ดูวาบหวิวใจหนักขึ้นไปอีก






“อืออ…ธร”




“ภีม…ธรรักภีมนะ ธรขอโทษ ทำไมภีมน่ารักแบบนี้”




ทั้งปากทั้งจมูกนั้นของร่างกำยำ ซุกไซร้ไปทั่ววงหน้าขาวใสพร้อมพร่ำบอกรักไม่ขาดปาก ก่อนที่จะก้มลงสูดดมบริเวณซอกคอแสนรักนั้นเข้าเต็มปอดอีกครั้ง กันต์ธรดมแล้วดมอีกอย่างไม่ยอมหยุด เขาโหยหากลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นนี้มานาน มันฝังอยู่ในใจ และตอนนี้เขาต้องการมันมากกว่าครั้งไหนๆ








“รักนะ…รักภีมนะ…ภีมน่ารักมากเลย น่ารักมากเลยนะ”





เจ้าของห้องกว้างนั้น หลงลืมไปหมดแล้วกับเรื่องราวที่ผ่านมาด้วยบัดนี้ใจเขาและกายเขา กำลังวุ่นวายกับร่างน่ารักที่นอนหลับตาพริ้มอมยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดีในทุกที่ที่ปากและจมูกของเขาลากผ่านไป








“หอมจัง หอมมม…ซูดดดดด”




เสื้อเชิ้ตสีครีมที่กันต์ธรหลงกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มถูกถอดออกจากกายของคนรักอย่างเชื่องช้า แล้วนำขึ้นมาสูดดมหนักๆ กลางอากาศ จากนั้นก็โยนทิ้งไปที่ข้างเตียง คิ้วหนากระตุกหนึ่งทีด้วยเขาเห็นว่ามีเสื้อขาวบางอีกตัวหนึ่งของภพตะวัน ที่ขวางกั้นจุดหวาดเสียวสุดนุ่มนิ่มอันเป็นที่รักใคร่ของเขาอยู่








“ฮึ่ม!!!”




คราวนี้เจ้าตัวไม่ใจดีให้กับเสื้อตัวบางนั้นอีก เขากระชากมันด้วยมือหนาสองข้างจนฉีกขาดออกจากกัน และไปนอนกองรวมกันบริเวณสีข้างของคนน่ารัก ภพตะวันที่ยิ้มน้อยๆ เมื่อครู่หุบยิ้มลงไป ด้วยตกใจเล็กน้อยกับอารมณ์รุนแรงของกันต์ธรที่คล้ายว่ากำลังเริ่มปะทุแต่เจ้าตัวกดข่มเอาไว้อยู่











“ธ…อ๊า!!!!”




ชายเลือดร้อนไม่รอให้นานมากไปกว่านั้น เขาครอบปากลงบนยอดอกสีชมพูสดอย่างหิวโซ ดูดกลืนมันดังเช่นหวานเย็นเกล็ดหิมะราดด้วยนมข้นหวานอีกชั้นหนึ่ง มือสากลากไล้ไปมาตามเรียวขาขาวที่เขาเฝ้ามองมาตลอดหลายสัปดาห์ ด้วยใจนั้นปรารถนาจะได้สัมผัสอย่างมากล้นจนกลายเป็นความเก็บกดขึ้นมา






ชายหนุ่มผู้มีความต้องการล้นอกมาอย่างช้านาน ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไปกับร่างอันขาวนวลอมชมพูเบื้องล่าง ทั้งรุนแรงและละมุนอยู่ในที สร้างความลิงโลดและวาบหวามใจให้กับผู้ถูกกระทำให้รู้สึกพึงพอใจได้เป็นอย่างมาก










...











ค่ำคืนนั้น…ไม่มีใครเลยที่เอ่ยปากห้ามปรามการกระทำอันร้อนฉ่าของกันและกันให้ต้องจบลง หากแต่เป็นความเหนื่อยอ่อนและสติอันลุ่มหลงสุดแรงเกิดต่างหาก ที่พรากสติของทั้งคู่ให้ดับลง จมสู่ภวังค์พร้อมรอยยิ้มและเหงื่อโทรมกาย
































Savahale Talk :
ทุกคนนนน พรุ่งนี้จบแล้วนะคะ : )





-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------



หัวข้อ: Re: รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 25 : รักกันอยู่ขอบฟ้า เขาเขียว (19/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 19-01-2020 14:37:47
จะจบแล้วนะ อยากรู้ตอนธรเลี้ยงลูกมาก ว่าจะเป็นอย่างไร
หัวข้อ: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Savahale ที่ 22-01-2020 11:23:07
บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (ตอนจบ)
















หมายเหตุ : ตอนจบแล้วนะคะ ไปค่ะทุกคน ไปเที่ยวกัน อิอิ ^^

















พื้นที่กว้างในห้องนอนเสี่ยธร ถูกฉาบไปด้วยแสงสีส้มอันอบอุ่นที่สาดคาดบริเวณปลายเท้าให้เจ้าของห้องต้องรู้สึกตัวขึ้นมา ห้องกว้างที่เคยว่างเปล่าบัดนี้ไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยมีใครบางคนกำลังนอนหลับลึกหายใจรดต้นคอเจ้าของห้องอยู่ มือสากกับร่างเปล่าเปลือยกระชับท่อนแขนนุ่มนิ่มของชายคนรักให้แนบชิดสนิทกายเขามากขึ้น แล้วก้มลงสูดดมความหอมจากเส้นผมที่ขับอารมณ์ดิบให้ค่อยๆ พุ่งทะยานขึ้น ด้วยเส้นผมนั้นถูกเคลือบไปด้วยกลิ่นเหงื่อหวานๆ ของเจ้าตัวเอาไว้




สัมผัสหวานทันทีที่ตื่นลืมตา ช่วยเผยรอยยิ้มยากนั้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย ดังเช่นที่เขาเคยได้กล่าวเอาไว้ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วว่า…อยากจะหยุดเวลาไว้แค่ตรงนี้ ตรงที่มีแค่นายกับฉัน…วันนั้นรู้สึกมากล้นเพียงใด วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ทั้งที่เคยนอนกอดเด็กชายภพตะวันมาเนิ่นนานถึงหกปีเต็ม




…แต่ทำไมกันนะ วันนี้ความฟ่องฟูในอกมันถึงได้ลึกล้ำและหอมหวานกว่าที่เคยผ่านมาเสียอีก




เสี่ยธรที่อายุปาเข้าเลขสาม แต่ดวงใจยังคงมีเพียงคนคนเดียวยืนอยู่ตั้งแต่จำความได้ มีน้ำตาคลอน้อยๆ อีกครั้ง เขายังคงวนเวียนลูบสัมผัสกับใบหน้าเนียนสวยนั้นพร้อมจ้องมองอย่างไม่วางตา เขาอยากดูแล ทะนุถนอมคนในอ้อมแขนนี้ให้ดีที่สุดด้วยทั้งหมดที่เขามี เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าตัวก็กดจมูกลงบนหน้าผากนั้นอีกครั้งอย่างรักใคร่เต็มหัวใจ





















ก๊อก ก๊อก ก๊อก








“ธร…”



“…”




“ธร…ลูก”




“…”




“ธร…ศักดิ์มันโทรมาบอกว่าลูกค้าเข้าแล้วนะลูก”




กันต์ธรที่เอาแต่พัลวันอยู่กับคนน่ารัก เบิกตาโตขึ้น เขาลืมเวลาไปเสียสนิท ลืมไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตอนนี้สมองประมวลผลภาพคนตรงหน้าเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เจ้าของคุ้มตะวันค่อยๆ ยกศีรษะภพตะวันออกจากแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แล้ววางลงบนหมอนอย่างแผ่วเบา










“…ธร”




แต่ไม่ว่าเจ้าตัวจะวางเบาสักเพียงใด ชายผู้ถนัดใช้กำลังก็ยังคงวางศีรษะนั้นแรงเกินไปอยู่ดี จนคนน่ารักได้สติเอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้นมา เขาจึงก้มกลับลงไปประทับรอยจูบบนปลายจมูกนั้นอีกหนึ่งที ให้คนที่เปลือกตายังปิดอยู่ได้อมยิ้มน้อยๆ










“ธรต้องไปเปิดร้านแล้วนะ ภีมนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”




“อือ…กี่โมงแล้วอ่ะ?”




“สิบโมง”










“สิบโมง!!!!”




“ภีม…?”




และคราวนี้ก็เป็นภพตะวันเองบ้างที่เบิกตาโพลงขึ้นมาอย่างตกใจ เขาลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นจากเตียงแล้วคว้าเสื้อสีครีมที่นอนกองบนพื้นตั้งแต่เมื่อคืนพร้อมกางเกงตัวหนาขึ้นมาก่อนขอเข้าใช้ห้องน้ำ









“นายจะรีบไปไหน?”




“ฉันต้องรีบไปดูลูกน่ะสิ”




“ลูกเหรอ? ฉันนึกว่านายพูดเล่น”




“ฉันไม่ได้พูดเล่นธร ฉันมีลูกแล้วจริงๆ ขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะ”




ปัง!





ภพตะวันที่ดูมีชีวิตชีวาตั้งแต่ลืมตา ไม่ได้มีกันต์ธรในความคิดดังเช่นที่กันต์ธรมีเขา หากแต่เป็นเจ้าเด็กน้อยที่ไหนไม่รู้ที่กันต์ธรไม่เคยพบเจอมาก่อน และไม่รู้ว่าภพตะวันไปมีสัมพันธ์ลับกับสาวคนไหนมา แต่เช้าสุดหวานน้ำตาลเคลือบของเสี่ยธร เริ่มกลายเป็นเช้าที่น่าหงุดหงิดใจเข้าให้แล้ว






ห้องน้ำถูกชิงไปด้วยคนน่ารักที่มีเป้าหมายเดียวที่ใจสั่งให้ไป คือกลับไปหาลูกที่บ้าน เจ้าของห้องน้ำจึงได้เดินปึงปังออกจากห้องนอนตัวเองไป แล้วใช้ห้องน้ำในห้องรับแขกแทน






สองหนุ่มที่พึ่งผ่านพ้นค่ำคืนอันแสนหวานมาหลังห่างหายไปนานหลายปี ต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ภพตะวันนั้นเมื่อเสร็จสิ้นธุระส่วนตัวก็ออกจากบ้านณรงค์กรในทันทีโดยไม่บอกไม่กล่าว ด้านกันต์ธรที่ออกห้องน้ำมาทีหลังยังคงหงุดหงิดใจ แม้เมื่อสักครู่จะพึ่งอาบน้ำเย็นมาก็ตาม เจ้าของคุ้มตะวันออกไปเปิดร้าน ต้อนรับแขกด้วยสีหน้าดั่งคนแบกโลกไว้ทั้งใบ










“ไอ้ศักดิ์ มึงจะกวาดอะไรตรงนั้นนักหนา พื้นกูสึกหมด ไปกวาดที่อื่นบ้าง ไป!!!!”




นายศักดิ์เดินออกไปกวาดน้ำที่เจิ่งนองอยู่หน้าร้าน ด้วยลูกค้าเผลอทำแก้วกาแฟร่วงตรงนั้น เขาจับไม้กวาดก้านมะพร้าวกวาดลงพื้นได้ไม่ถึงห้านาที ก็ถูกเจ้าของร้านตะคอกใส่ ลูกน้องคนสนิทของเสี่ยธรไม่เข้าใจ ยืนเกาหัวแกรกๆ ในท่าเดียวกับเมื่อคืนวานที่ผ่านมา ทำไมเจ้านายจึงต้องใส่อารมณ์กับเขากันด้วยนะ เมื่อคืนก็เป็นภพตะวันที่เดินปึงปังไม่รับปิ่นโตเขา เช้านี้มาเจอกันต์ธร ที่ไม่ว่าเขาจะพยายามเอาใจอย่างไรก็ดูจะขัดหูขัดตาไปเสียหมดอีกคน





ภพตะวันที่กลับบ้านอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งเข้าไปในห้องลูกชายที่เขาสั่งแม่บ้านจัดใหม่ และจ้างวานแม่นมมาช่วยดูแล ในแปดโมงของทุกเช้า เขาจะเข้าไปเปลี่ยนรอบกับแม่นม เพื่อใช้เวลากับลูกชาย และให้แม่นมได้พักผ่อนหลังรับมือกับทารกมาทั้งคืนแล้ว





คุณพ่อมือใหม่ที่กลับเข้ามาถึงบ้านเกือบสิบเอ็ดโมงในวันนี้ กลับต้องชะงักลงไป ด้วยบัดนี้ทารกนั้นอยู่ในอ้อมกอดของคุณนายบัว และคาดว่ากำลังหลับฝันดีอยู่ คุณพ่อภพตะวันจึงได้เบาใจขึ้นมา








“ไปนอนบ้านธรมาเหรอลูก?”




“…ครับ”




“ไหนภีมบอกแม่ว่าชวนธรมานอนบ้านเมื่อคืนไง แล้วทำไมลูกถึงไปนอนบ้านเขาได้ล่ะ?”




“ธรไม่ยอมมาน่ะสิครับ ผมเลยต้องไปหาเอง”



คุณนายบัวที่คุยกับลูกชายไป อมยิ้มอย่างมีเลศนัยไป คล้ายกับว่าล่วงรู้อะไรบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ เธอรู้มานานพอๆ กับสามี เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของลูกชายและกันต์ธร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังให้ความรู้สึกแปลกๆ ในใจคนเป็นแม่อยู่ดี










“ลำธารเป็นยังไงบ้างครับ ขอโทษนะครับคุณแม่ ผมกลับมาซะสายเลย”




“ให้แม่ได้ช่วยดูหลานบ้างเถอะภีม อย่าคิดมาก ยังไงลำธารก็หลานแม่นะ”




“ครับคุณแม่”




“ภีมมาใกล้ๆ แม่นี่มา”




คุณนายวงศ์วรรธน์เอื้อมมืออีกข้างขึ้นโอบรอบลำคอลูกชายแล้วกอดเอาไว้ และภพตะวันก็ช่วยประคองลำธารเอาไว้ในอ้อมอกด้วยอีกคน ความอุ่นใจในบ้านหลังใหญ่ที่พิเศษยิ่งขึ้น ด้วยเจ้าตัวน้อยนั้นคล้ายดั่งมีมนต์วิเศษ เสกรอยยิ้มของทุกคนที่พบเห็นและใกล้ชิดได้








“แม่อยากพาลำธารไปเที่ยวดอย แม่ไปกับบ้านกันต์ธรมารอบนึงแล้ว…บรรยากาศดีมากตาภีม รอบนี้แม่อยากไปกับภีมกับหลานแม่บ้าง ภีมสะดวกไหมลูก”




“ครับคุณแม่”




“ชวนธรกับแม่เขาไปด้วยนะ ไปกันเยอะๆ จะได้มีคนช่วยดูลำธาร”




“คุณแม่ครับ…ยังไงผมก็อยากให้เราพาแม่นมของลำธารไปด้วย”




“เอาภีมว่าเถอะ แม่ไม่ขัดข้องอะไรอยู่แล้ว”




“ครับคุณแม่”




ภพตะวันนั้นมักตามใจมารดามาโดยตลอด แต่คราวนี้ ไม่ว่าอย่างไร ก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องพาแม่นมของลูกไป ด้วยเขาไว้ใจผู้มีความชำนาญในการเลี้ยงเด็กมากกว่าที่จะดูแลเอง ลำธารต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ภพตะวันได้ปฏิญาณกับตนเองเอาไว้





















ในคืนนั้นหลังจบมื้อเย็น ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลวงศ์วรรธน์ก็รีบโทรศัพท์ไปยังบ้านณรงค์กรและพูดคุยกับกันต์ธร แต่ดูท่าว่า ฝั่งนั้นจะไม่ค่อยอยากคุยกับเขาสักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อภพตะวันกล่าวว่ามารดาเป็นคนชวน กันต์ธรก็ตกปากรับคำไปเที่ยวดอยด้วยกันจนได้




เขาไม่โทรหาคนรักอีกจากวันนั้น ด้วยเจ้าตัวที่แก้ปัญหาหัวใจได้เสร็จสิ้น ก็เริ่มกลับไปช่วยงานบิดา และเมื่อเลิกงานจิตใจก็มุ่งตรงไปหาชลธีในทันที และคนรักสายโหดของเขาก็ไม่ได้ติดต่อมาเช่นเดียวกัน ด้วยยังคงค้างคาใจเรื่องลูกชายของภพตะวันไม่หาย จนวันเดินทางไกลมาถึง










รถยนต์สุดหรูสองคันถูกขับตามกันไป การเดินทางไกลที่ชายหนุ่มคู่รักดูท่าจะไม่มีอะไร ยังคงพูดคุยกันดีในทุกจุดแวะพักรถ แต่ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยคำถามคาใจ ภพตะวันนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่างเหินบางอย่าง และกันต์ธรที่เห็นเจ้าเด็กทารกนั่นเป็นครั้งแรก ก็ใจสั่นอยากบีบคอขึ้นมา










“อ่าว แต่ว่าเราโทรมาจองไว้หลายวันแล้วนะครับ”




“ขอโทษด้วยจริงๆ ครับ พอดีน้องเขาพึ่งเข้ามาทำงานใหม่แล้วไม่ทราบคิว เลยเผลอปล่อยห้องให้แขกคนอื่นไปแล้ว”




“แล้วแบบนี้ผมจะทำยังไงล่ะ นี่ก็เริ่มมืดแล้วด้วย ผมมีเด็กเล็กมาด้วยนะ”





“ทางเราต้องขออภัยอีกครั้งนะครับ”




“มีอะไรกัน?”







“ผู้จัดการ?”




นายเตี๋ยวที่ขับรถมายังบ้านพักบนดอยที่ได้จองเอาไว้ แห่งเดียวกับที่มาคราวก่อน พนักงานเกิดปล่อยห้องด้วยความที่เข้ามาใหม่ และบัดนี้สองตระกูลผู้ร่ำรวย กลับไม่มีที่พักเสียอย่างนั้น ภพตะวันที่ดูกังวลมากเป็นพิเศษด้วยเขาห่วงใยที่สุดคือลูกชายที่ยังเล็กและพาออกบ้านมาด้วย





กระทั่งผู้จัดการบ้านพักได้เดินออกมาและพูดคุยกับนายเตี๋ยว เขาแนะนำรีสอร์ตอีกแห่งที่เข้าป่าไปลึกกว่าบ้านพักแห่งนี้ แต่สุดท้ายทุกคนก็ไม่มีทางเลือก และยอมเดินทางไปตามแผนที่ ที่ผู้จัดการคนนั้นได้ให้ไว้





















“ว้าว!!!!!”




คุณนายบัวอ้าปากร้องเสียงหลง เมื่อรถยนต์ที่ขับมานานเกือบชั่วโมงหยุดลง และทุกคนเดินลงมาจากรถ ความคดเคี้ยวของเส้นทางทำให้คุณนายบัวมีสีหน้าตึงเครียดมาตลอดทาง แต่เมื่อมาถึง เจ้าตัวกลับใจเต้นแรงและรู้สึกชื่นชอบที่พักสำรองแห่งนี้เป็นอย่างมาก




รีสอร์ตไม้ในหุบเขาลึก มีพื้นที่กว้างขวาง เรียกได้ว่าแทบจะกินพื้นที่เขาทั้งลูกเลยทีเดียว รอบข้างประดับไปด้วยไฟสีส้มอันอบอุ่น มีบ้านแบ่งออกเป็นหลายโซน และแต่ละโซนจะมีบ้านพักส่วนตัวหลายหลังตั้งติดกันเป็นหย่อมๆ




ความอลังการงานสร้างที่หาดูได้ยาก และไม่คาดฝันว่าจะเจอบนดอยได้










“ภีมๆ”




“หืม?”




“นอนด้วยกันป่ะ?”




“อ่า…”





ไม่เพียงแค่คุณนายบัวที่อ้าปากค้าง กันต์ธรนั้นเมื่อเห็นสถานที่สุดแสนวิเศษ ก็ตรงดิ่งเข้าสะกิดคนรักในทันที ด้วยคนต้อนรับแจ้งว่าบ้านพักทุกหลัง จะมีบ่อน้ำพุร้อนส่วนตัวกลางแจ้งให้แช่อยู่ด้วย ภพตะวันที่ใจตรงกัน มองคนรักด้วยดวงตาเป็นประกายหยาดเยิ้ม หากแต่ในอ้อมแขนกลับมีเจ้าตัวน้อยนอนเกาะอยู่










“ฝากแม่นมไว้ไง…นะ”




“ธร…แต่ว่า”




“ตามใจ”




กันต์ธรที่ฝืนยิ้มอยู่แต่แรก มองเจ้าทารกน้อยในอ้อมแขนแล้วก็หงุดหงิดใจขึ้นมา เขาจึงได้ห่างออกไป เดินตามผู้ใหญ่ไปยังโซนบ้านพักของพวกเขา ที่คืนนี้จะมีมื้อเย็นเป็นอาหารปิ้งย่าง





ภพตะวันนั้นเริ่มเข้าใจแล้วว่ากันต์ธรโกรธเขาด้วยเรื่องอะไร เจ้าตัวจึงได้เดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ คนรัก ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการย่างหมูสามชั้นและซี่โครงรสเด็ดกันอยู่










“ธร…ฉันฝากอุ้มลำธารแปปนึงได้ไหม ฉันจะไปหยิบของ”




“ไม่”




“ธร…”





เสี่ยธรที่ไม่อยากคุยด้วยน้อยใจมากเป็นพิเศษมาหลายวัน นั่งเขี่ยเศษดินบนพื้นไปเรื่อยๆ เพียงไม่นาน ชายที่นั่งข้างๆ ก็เอื้อมมือมากุมมือเขาเอาไว้แล้วสอดนิ้วประสานเข้าไป โดยไม่พูดสิ่งใดออกมา คนน่ารักที่มีเด็กน้อยในอ้อมกอดก้มหน้าลงพร้อมวงหน้าเศร้าสร้อย





ความสะเทือนใจมาเยือนคนใจแคบอีกครั้ง เมื่อตอนนี้เขากำลังจะทำให้ภพตะวันต้องร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว โดยที่ไม่รอช้า แขนหนาๆ จึงเอื้อมไปคว้าเอาดักแด้น้อยมาอุ้มเอาไว้จนได้










“ภีม…ธรขอโทษ”




“…ฝากลำธารแปปนะ เดี๋ยวฉันมา”








คุณพ่อมือใหม่ที่ห้ามปรามน้ำตาได้ยากเย็นเหลือเกิน เพียงแค่คิดว่ากันต์ธรจะไม่รักเขาแล้ว ภพตะวันลุกขึ้นปาดน้ำตาแล้วเดินออกไปทำธุระ ปล่อยให้คนบาปที่มีเด็กน้อยในมือนั่งตัวเกร็งอยู่ตรงนั้น เขายังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดหรอก ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร มาจากไหน แต่เท่าที่ดู หน้าตาไม่เห็นจะเหมือนกันภพตะวันตรงไหนเลย









“ลำธาร…นายชื่อลำธารใช่มะ? นายรู้ไหม ว่าคนที่อุ้มนายเมื่อกี้เป็นของฉัน นายห้ามแย่ง เข้าใจป่ะ? ยัง…ยังจะยิ้มอีก ยิ้มทำไมหะ รู้จักฉันเหรอ…ก็ได้ๆ ฉันชื่อธร…แฟนฉันบอกว่านายเป็นลูกเขา แต่ฉันดูแล้วนายไม่เห็นเหมือนเขาเลยสักนิด หะ อะไรนะ? อย่ามายิ้มยียวน เดี๋ยวฉันบีบคอซะเลยนี่…ฮะฮะฮะ”






กันต์ธรที่นั่งพูดคนเดียวยิ้มคนเดียวดั่งคนบ้า ใช้นิ้วจิ้มลงไปบนจมูกน้อยๆ ของทารกแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง…และอีกครั้ง





“ทำไม? ชอบฉันเหรอ? ยิ้มแบบนี้แปลว่าชอบฉันนะ ฮะฮะ โอเคๆ ฉันจะรับนายเป็นลูกด้วยก็ได้ ถ้านายสัญญาว่าจะไม่แย่งแฟนฉัน…อือ ดีๆ ฉันก็ตกลง เอาเป็นว่านายห้ามล้ำเส้นฉัน ตกลงมะ แล้วฉันจะแบ่งเวลาแฟนฉันให้นาย…”










“ธร…”




“…!”




“คุยอะไรกันอ่ะ?”




ภพตะวันที่ถือของอยู่เต็มมือนิ่งค้างมองกันต์ธรนั่งพูดกับลูกเขาได้สักพักจนต้องทักขึ้นมา กันต์ธรนั้นยังคงไม่หุบยิ้ม แถมยังเล่าให้คุณพ่อมือใหม่ฟังทั้งหมดว่าเขาคุยอะไรกับเจ้าเด็กน้อย เจ้าเด็กน้อยที่ดูจะชื่นชอบกันต์ธรเป็นพิเศษก็หัวเราะคิกคักออกมาแล้วพยายามเลียนเสียงนั้นของกันต์ธร ทำเอาผู้ใหญ่ร่างหนาไม่ยอมส่งลูกคืนให้ภพตะวันเสียอย่างนั้น










“ธร…ปล่อยเขาให้แม่นมไปเถอะ”




“น่าภีม…ฉันอุ้มได้”




“แต่เขาต้องกินนมนอนแล้วนะ”




“เดี๋ยวฉันช่วยป้อน”





“ธร!!!”




“หะ?”




“ปล่อยลูกไปกินนมนอนได้แล้ว!”




ภพตะวันที่พูดประโยคเดิมซ้ำวนไปวนมาร่วมชั่วโมงถึงกับต้องขึ้นเสียง เมื่อกันต์ธรนั้นเอาแต่อุ้มเด็กน้อยไปเดินเล่นแล้วคุยด้วยอยู่อย่างนั้น ครั้งจะดึงกลับมาส่งให้แม่นม เจ้าตัวก็ไม่ยอมสักที จนรอบสุดท้ายนี่เอง ที่เสี่ยใจดียอมส่งเด็กคืนให้แม่นมไป










“นี่กุญแจห้องเรา”




“ครับ”




“เป็นอะไรธร…ยิ้มไม่หยุดเลยนะ”





“ลำธารน่ารัก…”




“ฮะฮะฮะ นายนี่แปลกชะมัด”





ภพตะวันเดินนำคนรักเข้าไปยังบ้านพักหลังหนึ่ง ความกว้างขวางและการตกแต่งด้วยไม้สไตล์โมเดิล เรียกให้ผู้เข้าพักใจเต้นได้ไม่น้อย กันต์ธรที่เดินตามเข้ามา พุ่งตรงไปยังบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งขนาดย่อมที่เขาสนอกสนใจแต่ทีแรก จากนั้นเจ้าตัวก็ไม่รอช้า เดินไปโอบหลังของคนถือกุญแจเอาไว้แน่น










“ภีม…ธรอยากแช่น้ำ”




“อือ…เอาของไปเก็บก่อนไหม”




“วางไว้นี่แหละ ป่ะ”




กันต์ธรไม่รอช้า หัวใจเขาเต้นรัวลั่นพร้อมอารมณ์พุ่งทะยานที่เอาลงไม่ได้เลย เจ้าตัววางของในมือลงตรงนั้นพร้อมดึงของในมือภพตะวันออกแล้ววางลงเช่นกัน จากนั้นก็ใช้แขนอันกำยำอุ้มร่างภพตะวันขึ้นให้ลอยเหนือพื้นในท่าส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอ ภพตะวันที่สะดุ้งเล็กน้อยโอบรอบคอกันต์ธรไว้ด้วยกลัวตกลงไปกองกับพื้น










“ธร! เอาแต่ใจอีกแล้วนะ”




“ไม่ได้เอาแต่ใจ จะเอาอย่างอื่นด้วย”







“…คิกคิก”



คนน่ารักในอ้อมแขนหัวเราะคิกคักออกมาอีกครั้งกับประโยคสองแง่สองง่ามนั้น ชายกำยำยกร่างเขาคล้ายกับว่าเขานั้นมีน้ำหนักเบาดั่งปุยนุ่นเสียอย่างนั้น กระทั่งสองแขนแข็งแรงเดินมาถึงริมขอบทางลงบ่อน้ำพุร้อน เจ้าตัวจึงวางร่างภพตะวันลงบนพื้นไม้เรียบลายขวางแล้วโน้มกายลงบดเบียดร่างนั้นแทบจมพื้นไม้ ทั้งปากและจมูกกดลงลากผ่านทุกส่วนของคนรักอย่างหิวโหย ในขณะที่มือก็เวียนปลดเปลื้องพันธนาการของทั้งตนเองและคนรักสลับกันไปมา










“อืมมม….”




“ธร…”



“หืมมม…”









“…รักธรนะ”





“ฮ่า….ฮ่า รักภีมมากกว่าครับ จุ๊บ!”





ภพตะวันไม่เพียงรอคอยโชคชะตา เขาช่วยกันต์ธรจัดการกับเสื้อผ้าแสนน่ารำคาญออกจนหมดแล้วรัดคนด้านบนไว้แน่นเช่นหลงใหลสุดใจขาดดิ้น พายุอารมณ์ที่ห่างหายไปหลายวัน กลับรุนแรงหนักหน่วงขึ้นอย่างมาก ด้วยใจสองดวงนั้นสุดโหยหาซึ่งกันและกัน







“ฮ่า….แฮกๆๆ”




ชายสองคนที่ร่างขึ้นสีแดงก่ำโดยที่ยังไม่แตะสัมผัสกับไอร้อนของน้ำสักนิด เพียรส่งจูบสุดเร่าร้อนและพร่ำบอกรักกันไม่หยุด การล่วงล้ำอันร้อนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่ขอบทางลงน้ำพุ กระทั่งหยดหยาดรักได้กระทบพื้นพสุธาไปหนึ่งรอบ คนทั้งคู่จึงเกี่ยวกระหวัดรัดพันนัวเนียกันลงน้ำต่ออย่างไม่หยุดยั้ง





ความร้อนของน้ำพุขนาดย่อม ในบัดนี้ ก็ไม่อาจสู้ชายสองคนที่ถูกไฟราคะเข้าครอบงำได้ ร่างขาวอมชมพูถูกปากหนาของเสี่ยธรดูดกลืนแทบทุกอณูผิวหนัง เช่นเดียวกับเสี่ยธรที่ถูกลิ้นน้อยๆ ไล่เลียไปทั่วอย่างกระหายใคร่อยากเช่นเดียวกัน ในสงครามนั้น…ไม่มีใครเลยที่คิดจะยอมแพ้ให้อีกฝ่าย





















“ไงธร นั่งยิ้มแต่เช้าเลยนะ ได้นอนบ้างรึยัง?”




“ลุงเตี๋ยว…ฮ่าฮ่าฮ่า”




เสี่ยร่างหนานั่งยิ้มตาเยิ้มอยู่บริเวณกลางสวนหย่อมที่จัดขึ้นสำหรับทานอาหารเช้า ร่างกายเขาใช้งานอย่างหนักหน่วงมาเกือบทั้งคืน แต่กลับรู้สึกมีแรงคึกคักกระปรี้กระเปร่าเสียอย่างนั้น หลังได้นอนกอดภพตะวันหลับไปไม่กี่ชั่วโมง จึงได้แอบย่องออกมาดื่มกาแฟพร้อมไข่ลวกอีกสามฟอง





“ที่นี่เยี่ยมมากเลยนะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า”




“นั่นสิ บางทีพลาดอะไรที่ตั้งใจไว้บ้างก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าไม่พลาดเลย เราคงไม่รู้ว่ายังมีที่ที่ดีขนาดนี้อยู่”




“ครับ…เช้านี้ลุงเตี๋ยวก็แต่งหล่อเลยนะครับเนี่ย”




“ฮ่าฮ่า นิดหน่อยน่า มาเที่ยวทั้งที เลยขอให้แม่บัวจัดชุดตัวเก่งมาซะเลย”




“แล้ว…ป้าบัวยังไม่ตื่นเหรอครับ”




“รายนั้นตื่นก่อนลุงนานแล้ว ไปอยู่กับหลานรักนู่นล่ะ”




“ลำธาร?”




“อืม”




“ผมไปเล่นกับลำธารได้ไหมครับ อยู่หลังไหนครับลุงเตี๋ยว?”




“ถัดหลังที่ฉันนอนไปนั่นแหละ”




“งั้นผมไปหาลูกก่อนนะครับ”




“ไปเถอะ…เด็กหนุ่มนี่คึกคักดีจริงๆ เลยนะ”






กันต์ธรที่มานั่งจิบกาแฟแต่เช้าจนบัดนี้ เขายังไม่หุบยิ้มเลย ยิ่งได้ยินว่าไปหาลูกชายได้ เจ้าตัวก็เผ่นแนบไปหาทันที ปล่อยนายเตี๋ยวเอาไว้ให้นั่งชมบรรยากาศเพียงลำพัง












“คุณพ่อ เห็นธรไหมครับ?”




“ตื่นแล้วเหรอตาภีม…ตื่นมาก็ถามหาเจ้าธรเลยนะ”




“แฮ่ๆ”




“นู่นล่ะ ไปเล่นกับลำธารที่บ้านแม่นมนู่น”




“ครับคุณพ่อ…วันนี้คุณพ่อหล่อนะครับ”




“ฮ่าฮ่าฮ่า”




ไม่ว่าจะลูกชายคนไหน ก็ล้วนเอ่ยชมนายเตี๋ยวอย่างอารมณ์ดีด้วยกันทุกคน จนนายเตี๋ยวแทบจะตัวลอยติดร่มบังแดดเอาเสียแล้ว เมื่อรู้ที่อยู่ของกันต์ธร ภพตะวันก็เดินไปตามทางเพื่อทักทายลูกชายและสามียามเช้า










กึก




แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เดินเข้าไปในบ้านพักของแม่นมชลธี หางตาก็ได้เห็นใครบางคนแวบผ่านหลังไป ชายหนุ่มหน้าตาน่ารักหันกลับไปมองให้แน่ใจอีกครั้ง และก็เป็นดังเช่นที่คาด




เขานิ่งอึ้งไปพร้อมกับมันสมองที่เริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็วที่สุด ใครบางคนในความทรงจำที่ไม่ได้เจอกันร่วมสิบกว่าปี หันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้งด้วยเช่นกัน










“ภีม…?”




“ปราณ!?!!!!”





เด็กอัจฉริยะห้องหนึ่ง ที่ขอลอกการบ้านภพตะวันทุกวันก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ เพื่อนรักสมัยมัธยมของเขา มนุษย์ผู้เปิดประสบการณ์ใหม่ให้เขา ด้วยการแอบหย่อนหนังสือสิบแปดบวกไว้ในกระเป๋า จนภพตะวันและกันต์ธรได้ค้นพบโลกของผู้ใหญ่เป็นครั้งแรกร่วมกัน บัดนี้ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งด้วยตาลุกวาวไม่ต่างกัน










“นายจริงด้วย! ไม่ได้เจอนานมาก”




“เฮ้ยย ไอ้ภีม!! ทำไมเตี้ยลงวะ”




ห่างหายกันไปนานหลายปี แต่ปากก็ยังไม่ดีอยู่เหมือนเดิม ช่างขัดกับรูปร่างหน้าตาเสียนี่กระไร ปราณที่เคยหล่อเหลาเอาการมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งเพิ่มระดับความดูดีชนิดที่พบเจอได้บนรันเวย์เลยทีเดียว








“ใครเรียกว่าเตี้ย! นายต่างหากที่สูงผิดมนุษย์”




“ฮ่าฮ่า…แล้วนายมาเที่ยวเหรอ”




“อือ นายอ่ะ มากับใคร?”





“เปล่า ฉันเป็นเจ้าของที่นี่”




“ฮะฮะ…อย่ามาอำฉันดีกว่า อย่างนายเนี่ยนะเปิดรีสอร์ต”




“ใช่ อย่างฉันเนี่ยแหละ จริงๆ ที่นี่เป็นสาขาสอง”




“อ่าว แล้วสาขา 1 อ่ะ”




“อยู่กรุงเทพ”




“อ่า…”




“นายมากับใครภีม อย่าบอกนะ…ว่าไอ้ธร”




“…”




“นี่ยังคบกันอยู่อีกเหรอ โห โคตรนาน”





“อือ…ฉันมีลูกแล้วด้วย นายอยากเข้าไปเล่นกับลูกฉันไหมล่ะ”




“…”




“ขอบใจนะภีม แต่ไม่ดีกว่า…ฉันไม่อยากคิดถึงลูกฉันไปมากกว่านี้”




“ปราณ…ลูกนาย?”




“เปล่าๆ ลูกฉันสบายดี แค่แม่เขาเอาไปเลี้ยงที่กรุงเทพน่ะ”




“ป่ะ”




“ไปไหน?”




“ไปหาลำธาร…รับรองว่านายจะรู้สึกดีขึ้น”




“ภีม…?”




ภพตะวันจูงมือเพื่อนเก่าหายลับเข้าไปในบ้านพักของแม่นม และเพียงไม่นานนายเตี๋ยวและมารดาของกันต์ธรก็ตามมาสมทบที่บ้านหลังนั้นด้วยเช่นเดียวกัน






บ้านพักสุดอลังการที่มีเด็กน้อยคนหนึ่งผู้เป็นที่รักของทุกคนพักอาศัยอยู่ เด็กน้อยที่ยังไม่ทันได้รู้ความ แต่กลับทำให้บ้านสองหลังนั้นแน่นแฟ้นและอบอุ่นยิ่งกว่ามุมใดใดบนโลกใบนี้





เด็กน้อยผู้มีนามว่า…ชลธี วงศ์วรรธน์





























------------------------  END รอยรักศักดาเดช  ------------------------


















จบแล้วจ้า : )

ขอบคุณทุกท่านที่คอยติดตามและให้กำลังใจกันมาตลอดด้วยนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:
    ​








    ​
หัวข้อ: Re: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-01-2020 22:19:45
โอ๊ยยยยจบแฮปปี้ ดี๊ด๊าซักที รอวันนี้มานาน 5555 ดีใจที่ภีมรอดกลับมาเจอธรอีก ธรเองก็กว่าจะเลิกโทษตัวเองได้ มันก็อะนะ คิดว่าปกป้องคนรักไว้ไม่ได้ ตอนนั้นแม่งแบบ น่าจะเตะพ่อไปซักฉาด เลวด้วยเพราะการกระทำตัวเองแท้ๆ ดีแต่โทษคนอื่น ก็ยังดีที่ธรรู้ความจริงซักที กลับมาเป็นแฟมมิลี่ที่แฮปปี้มากๆ กลับมาอ่านต่อยาวๆจนจบเลย สนุกกกกกกกก ชอบมาก อ่านแล้วอิน 55 ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อเรื่อยๆจนจบ รออ่านเรื่องต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 23-01-2020 23:12:41
ครอบครัวสุขสันต์ ธรมีความหลงลูกมาก ทั้งที่ตอนแลกไม่ชอบเอาซะเลย 555
หัวข้อ: Re: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 25-01-2020 22:55:55
สนุกมากเลยค่า เดี่ยวจะมีเรื่องแยกของน้องธารมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: Rainebay ที่ 27-01-2020 11:31:17
สนุกมากกกกกกก ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะครับบ
หัวข้อ: Re: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 13:29:16
 :pig4: