พิมพ์หน้านี้ - Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: SeenYu ที่ 21-10-2019 22:53:49

หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 21-10-2019 22:53:49
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 

------------------------------------------------------------------------------------------------

แค่มาตรวจสุขภาพประจำปีแท้ๆ ไหงกลายเป็นต้องเข้า 'ผ่าตัด' ไปได้ล่ะ 'ข้าวปั้น' Lighting Artist ที่บ้างานจนทำให้ตัวเองมาเป็นคนไข้ของคุณหมอ 'อคิน' ศัลยแพทย์มือดีหน้าตาราวกับหลุดออกมาจากปกนิตยสาร BAZAAR เสียอย่างเดียวหน้านิ่งเป็นปูนฉาบ ความบังเอิญที่ทำให้คุณหมออคินดันกลายเป็นเพื่อนเก่าของพี่ชาย แถมแม่ยังฝังหัวเขาให้เรียกหมอว่า 'เฮียคิน' เหมือนสมัยเด็กอีก เดี๋ยวนะ... นอกจากความบังเอิญซ้ำซ้อน หมอยังอยู่คอนโดเดียวกับผมอีกเรอะ!

แล้วนี่มันยังไง... ทำไมจู่ๆ ผมตื่นมาในสภาพตัวเปล่าแบบนี้กันล่ะ... แถมคำพูดของหมอนั่นมัน

"คนที่เรียกร้องก็คือคุณเอง จำไว้ด้วยนะครับ"

หมอคนเดิม... เพิ่มเติมคือเขาไม่ได้อ่อนโยนครับ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น



สารบัญ

Intro - สวัสดีครับคุณหมอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4009405#msg4009405)
ตอนที่ 1- หมอครับ กระเพาะผมหาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4009417#msg4009417)
ตอนที่ 2- หมอครับ นั่นออดี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4009563#msg4009563)
ตอนที่ 3 - หมอครับ After Effect ไม่ใช่โปรแกรมตัดต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4009877#msg4009877)
ตอนที่ 4 - หมอครับ จ่ายตลาด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4010061#msg4010061)
ตอนที่ 5 - หมอครับ หน้าร้อนไฟตกเป็นเรื่องปกติ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4010507#msg4010507)
ตอนที่ 6 - หมอครับ ความมืดไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4010664#msg4010664)
ตอนที่ 7 - หมอครับ สองแสนแพงไปไหม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4010787#msg4010787)
ตอนที่ 8 - หมอครับ หมอแปลก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4011422#msg4011422)
ตอนที่ 9 - หมอครับ หอมจัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4011561#msg4011561)
ตอนที่ 10 - หมอครับ หมอทำอะไรผม? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4011710#msg4011710)
ตอนที่ 11 - หมอครับ หมอเหนื่อย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4011870#msg4011870)
ตอนที่ 12 - หมอครับ ท้องฟ้าของที่นี่ไม่เหมือนกับที่นั่น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4012334#msg4012334)
ตอนที่ 13 - หมอครับ ของฝาก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4012634#msg4012634)
ตอนที่ 14 - หมอครับ เลิกยุ่งกับผมได้มั้ย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4012943#msg4012943)
ตอนที่ 15 - หมอครับ น่ารำคาญ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4013560#msg4013560)
ตอนที่ 16 - หมอครับ สารภาพมา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4014062#msg4014062)
ตอนที่ 17 - หมอครับ อย่าจีบแบบนี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4014294#msg4014294)
ตอนที่ 18 - หมอครับ คิดถึง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4014952#msg4014952)
ตอนที่ 19 - ข้าวปั้นครับ มาลองพฤติกรรมบำบัดกันมั้ย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4015024#msg4015024)
ตอนที่ 20 - ข้าวปั้นครับ มาละลายพฤติกรรมกันหน่อย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4015337#msg4015337)
ตอนที่ 21 - หมอครับ ไปไหนไม่รอด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4015869#msg4015869)
ตอนที่ 22 - หมอครับ ‘Watch your back’  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4016807#msg4016807)
ตอนที่ 23 - หมอครับ 'I found you' (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4017223#msg4017223)
ตอนที่ 24 - หมอครับ เฮียรู้แล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4017793#msg4017793)
ตอนที่ 25 - หมอครับ ลักพาตัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4018192#msg4018192)
ตอนที่ 26 - หมอครับ เขาบอกว่าใช่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4018831#msg4018831)
ตอนที่ 27 - หมอครับ ไม่ได้ชวนทะเลาะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4019307#msg4019307)
ตอนที่ 28 - หมอครับ I'm lost (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4019641#msg4019641)
ตอนที่ 29 - หมอครับ ตามหาผมที (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4020317#msg4020317)
ตอนที่ 30 - ข้าวปั้นครับ หาเจอแล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4025107#msg4025107)
ตอนที่ 31 - หมอครับ แล้วผมเลือกอะไรได้ไหม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4025955#msg4025955)
ตอนที่ 32 - หมอครับ Pre-Wedding 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4026136#msg4026136)
ตอนที่ 33 - หมอครับ Pre-Wedding 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4028122#msg4028122)
ตอนที่ 34 - หมอครับ Pre-Wedding 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4031323#msg4031323)
ตอนที่ 35 - หมอครับ - Marry Me (เกมนับนิ้ว) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4031899#msg4031899)
ตอนที่ 36 - หมอครับ ป๊ารู้แล้ว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71078.msg4033349#msg4033349)


**** เหตุการณ์ สถานที่ และบุคคลในเรื่องเป็นเพียงเรื่องสมมติเพื่อความบันเทิง ไม่มีอยู่จริง และไม่มีเจตนาพาดพิงให้ผู้ใดเสียหาย ****

ขอให้สนุกนะคะ
เรื่องนี้ลงจนจบแล้วในเว็บอื่นๆ เพราะฉะนั้นจะเอามาลงเรื่อยๆ ถ้าทำได้จะลงทุกวันนะคะ ไม่ดองแน่นอนค่ะ
ต่อให้ไม่มีเม้นต์ก็ลงค่ะ ฮึบ
 :hao5:


มีอีกเรื่องที่ยูเขียนไปพร้อมๆ กันและจบแล้ว เป็นแนวดราม่า ฝากนิยายด้วยนะคะ

Today, where you want to go? วันนี้คุณต้องการไปที่ไหน?  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71076.msg4009387#msg4009387)


SeenYu

https://twitter.com/_SeenYu

หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - Intro
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 21-10-2019 23:04:06
Intro

สวัสดีครับคุณหมอ



            “ผ่าตัด?”

            ผมเสียงสูงเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยของหมอที่นั่งอ่านแฟ้มประวัติผู้ป่วยของผมอยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอื้อก!

            “ครับ”

       นายแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้ยืนยันเสียงนิ่ง ยังคงมองรายงานผลตรวจในมือ

       “ผะ... ผมแค่มาตรวจสุขภาพประจำปี ถะ... ถึงกับต้องผ่าตัดเลยเหรอครับ”

       ผมถามย้ำ คุณหมอเหลือบตามองหน้าผม สายตาคมกริบจนน่ากลัวมองผ่านเลนส์แว่นที่ล้อมด้วยกรอบสีเงินบางเฉียบ ดวงตาของหมอเป็นสีเขียวประหลาดที่ไม่ค่อยพบเจอในประเทศไทยเสียเท่าไหร่

       ต่างชาติ?

       หมอหนุ่มหลุบตาลงมองรายงานก่อนอธิบาย

       “คุณรู้ตัวบ้างมั้ย ว่าตัวเองกระเพาะทะลุไปแล้ว”

       “อ่า... เอ่อ... โอ๊ย!”

       จู่ๆ ไอ้อาการปวดจากโรคกระเพาะของผมก็กำเริบเมื่อรู้สึกเครียดฉับพลัน ร่างผมงอจนตัวแทบติดกับโต๊ะหมอ ต้องสูดลมหายใจลึกๆ นิ่งเข้าไว้เหมือนที่ทำเป็นประจำ

       “คุณยังไหวไหม?”

       เหงื่อกาฬผมเริ่มผุดเป็นเม็ดซึมตามไรผม คุณหมอหนุ่มลุกขึ้น กดเรียกพยาบาลหน้าห้องให้เข้ามาช่วยยกผมขึ้นไปนอนบนเตียง แต่ผมยกมือห้ามไว้ ค่อยๆ เงยตัวขึ้นมายิ้มซีดๆ

       “ผมไม่เป็นไรครับ พี่พยาบาลไม่ต้องยกผมนะครับ”

       พยาบาลสองคนที่ถูกเรียกเข้ามามองหน้าหมอที่ยืนดูอาการคนไข้อย่างผมเป็นเชิงถาม ผมถอนหายใจยาว ส่วนคุณหมอหนุ่มกอดอกพิงโต๊ะ ส่งสายตาบอกให้พยาบาลออกไป ก่อนจะเอ่ยถาม

       “ตกลงคุณจะเซ็นยอมรับการผ่าตัดมั้ยครับ ก่อนที่อาการจะแย่ไปมากกว่านี้”

       ผมทำหน้าลำบากใจ ความจริงก็รู้ตัวแหละว่าร่างกายผมน่ะพังยับเยินมากขนาดไหนจากความบ้างาน ที่ยอมมาหาหมอก็เพราะว่ารุ่นพี่ที่ทำงานบังคับแกมขู่เข็ญให้ผมมาใช้สิทธิ์ตรวจสุขภาพประจำปีของบริษัทที่ครอบคลุมยันโรคมะเร็งของปีนี้ก่อนจะหมดอายุ ไม่งั้นผมคงไม่ยอมลุกออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยทิ้งงานที่กำลังจะเดดไลน์ออกมาโรงพยาบาลแน่นอน

       “คือ... ผมขอกลับไปเช็คตารางงานกับทำเรื่องขอกับบริษัทก่อนได้มั้ยครับ แล้ว... ค่อยนัด” ผมถอนหายใจ สมองคิดสะระตะวุ่นวาย ไหนจะงานที่ค้าง ไหนจะแมวที่เลี้ยง...

       หมอกลับมานั่งที่แล้วจับปากกา

       “ผมจะเขียนใบนัดให้ อีกหนึ่งอาทิตย์พบกันนะครับ”

   



       “เป็นไงมั่งวะข้าวปั้น เมื่อวานไปฟังผลตรวจมานี่นา” ทันทีที่ผมวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปดก็เดินมาเท้ามือลงข้างโต๊ะ อีกข้างถือไม้หมูปิ้งเตรียมเอาเข้าปาก ผมเอามือลูบท้อง แอบหิวแฮะ...

       “หิวว่ะ พี่เจี้ยนอย่ามากินล่อหน้าสิ” ผมล้วงเอาซองยาในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ ก่อนเปลี่ยนเอากระเป๋ามาห้อยไว้ที่พนักเก้าอี้แทน แม่งเอ้ย... มียาก่อนอาหาร

       “ไม่ฝากซื้อวะ” พี่เจี้ยนยื่นอีกไม้มาให้ ผมรับมาเพราะเกรงใจยาก่อนอาหารของตัวเอง พี่เจี้ยนยังไม่เลิกถาม “แล้วตกลง ผลว่าไงบ้าง ตายยัง?”

       “ถ้าตาย พี่จะเป็นคนแรกที่ผมมาหลอก”

       “น่าดีใจ ที่มึงคิดถึงกูเป็นคนแรก”

       “คิดถึงสิ คิดถึงงานที่พี่ยังไม่ส่งให้ผมเนี่ย!” ผมเหลือบตามองเซ็งๆ โยนซองยาทั้งหมดไว้หน้าจอคอม ก่อนจะยัดยาก่อนอาหารเข้าปาก ตามด้วยน้ำเปล่าและหมูปิ้ง จากนั้นจึงดันแว่นสายตากรอบดำอันใหญ่ที่ทั้งสั้นทั้งเอียงของตัวเองขึ้น ก่อนหน้านี้ผมใส่คอนแทคเลนส์นะ แต่ตั้งแต่ที่อาการโรคกระเพาะของผมรุนแรงขึ้น ผมก็รู้สึกรำคาญมันขึ้นมาทันที

       “อุ๊ย! ขอโทษครับ” ไอ้พี่เจี้ยนทำทีเป็นนึกได้ แล้วพี่มันก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองที่อยู่ห่างจากโต๊ะของผมหนึ่งโต๊ะ

       ผมล้วงใบนัดหมอขึ้นมาพร้อมกับเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับการผ่าตัด ดีนะที่แม่ผมบังคับให้ทำทั้งประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพทิ้งๆ ไว้ เผื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้หรอก เพราะรถยนต์ผมก็ไม่ขับ รถมอเตอร์ไซค์ผมก็ไม่ขี่ มีนั่งบ้างบางครั้งถ้ารีบ โอกาสเสี่ยงในของผมชีวิตคือรถไฟฟ้าตกรางกับรถเมล์เบรกแตกเนี่ยแหละ

       ผมได้ยินเสียงทักทายแว่วๆ จากประตูแผนก ซึ่งเป็นเสียงของหัวหน้าแผนกของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับงานโฆษณาและแอนิเมชันเต็มรูปแบบ ผมอยู่ฝั่งแอนิเมชันและเป็นอยู่ในทีม CG  ผมทำตำแหน่ง Lighting & Composite  เป็นหลักอยู่สามโปรเจคตอนนี้ เวลากระชั้นจนผมเลิกดูแลตัวเองไปเลยแม้ว่าก่อนหน้านั้นก็แทบจะไม่ได้ดูแลตัวเองอยู่แล้วก็เถอะ เข้างานสิบโมง เวลาเลิกงานหนึ่งทุ่ม แต่กลับจริงตีสอง บางวันก็ตีห้า ช่วงนี้นอนค้างแม่งที่บริษัทเนี่ยแหละ

       ถ้าไม่ใช่เพราะสวัสดิการดี เงินเดือนเยี่ยม แลกกับสุขภาพที่ย่ำแย่ ผมลาออกไปนานแล้ว!

       ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าแผนกหรือที่พวกผมเรียกตำแหน่งนี้ว่า CG Supervisor พร้อมกับใบนัดหมอ เคาะประตูสองสามครั้ง เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตของคนในห้อง ผมก็ดันประตูเข้าไป พี่ซุปฯ ของแผนกผมที่กำลังนั่งตรวจงานผ่านหน้าจอ Mac 27 นิ้วเงยหน้าขึ้นมองพลางทัก

       “ว่าไงข้าวปั้น เมื่อวานลาไปฟังผลตรวจ เป็นไงมั่ง”

       “เอ่อ... คือ พี่อัฐครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ”

       ผมเอาใบนัดกับผลตรวจไปวางไว้ข้างๆ โต๊ะ พี่อัฐเลิกคิ้วแล้วหยิบมาอ่าน

       “คือผมต้องเข้ารับการผ่าตัด น่าจะต้องลาประมาณสองอาทิตย์ หมอบอกว่าถ้าตกลงวันผ่าได้แล้วให้ผมไปตามนัด

หมออาทิตย์หน้าเพื่อตกลงวันผ่าและดูอาการครับ”

       “นี่เราเป็นโรคกระเพาะจริงๆ ใช่มั้ย?”

        “อ่า...” พี่เขาถามด้วยสีหน้ายุ่งๆ คิ้วเข้มขมวดจนผมใจหาย นี่พี่เขาคิดว่าผมตอแหลป่ะเนี่ย “ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกระเพาะทะลุแล้วครับ”

       “ข้าวปั้นครับ” พี่อัฐถอนหายใจ “พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าความรับผิดชอบน่ะ นอกจากจะรับผิดชอบต่องานแล้ว ต้องรับผิดชอบต่อตัวเองด้วย พี่เคยไล่ให้เราไปหาหมอตั้งหลายรอบแล้ว พี่นึกว่าเรา

จะไปแล้วซะอีก นี่ปล่อยให้มันเป็นจนหนักหนาขนาดนี้ได้ยังไง”

       ผมก้มหน้า ยิ้มแหย มือชื้นเหงื่อ

       เขาจะไล่กูออกมั้ย กูลาตั้งสองอาทิตย์

       “ขอโทษครับพี่อัฐ”

       “แล้วอย่านึกว่าพี่ไม่รู้ ไอ้ที่กลับเที่ยงคืนตีหนึ่งกันน่ะ แผนกอื่นพี่ไม่รู้ แต่แผนกที่พี่ดูแลอยู่ต้องไม่ทำแบบนี้ เห็นมั้ยว่าการไม่ดูแลตัวเองมันส่งผลอะไรบ้าง”

       ผมหน้าเจื่อนหนักเข้าไปอีก โดนดุอีกแล้วกู
   
       “รีบไปนัดหมอให้ไวเลยครับ ก่อนจะเป็นเรื่องใหญ่มากกว่านี้”

       “คะ... ครับ... คือพี่ยอมให้ผมลา?” ผมเงยหน้า ตาวาววับ เริ่มเอามือกุมท้อง

       “แหงสิ ผ่าตัดนะ ไม่ใช่ไปเที่ยว ทำไมคิดว่าพี่จะไม่ให้ลา” พี่อัฐมองดุๆ

       “ก็พี่... ดูดุๆ... อ่ะ” ผมงึมงำ แต่พี่อัฐก็ได้ยิน เขาหัวเราะแล้วเดินมาวางมือเบาๆ บนหัวดังแปะ

       “พี่ดุที่อยู่กันดึกเกินไป พี่เข้าใจว่างานมันเร่ง แต่สำหรับงานโปรเจคเรา ก่อนหน้านั้นพี่ถามแล้วนะว่าไหวมั้ย แต่เราน่ะไม่เคยปฏิเสธ” พี่อัฐเท้าเอวมองผม

   ผมรู้ว่าพี่อัฐใจดีแต่ก็ดุด้วย แต่ว่านอกจากพี่อัฐที่เป็นคนแจกงานและฟอร์มทีมโปรเจค ก็ยังมีพี่อีกคนที่เป็นโปรดิวเซอร์ดูแลฝ่ายแอนิเมชันทั้งหมด เขามักจะมีปัญหากับพี่อัฐและพวกผมบ่อยๆ ทำให้ผมไม่กล้าพูดปฏิเสธงาน

       “ผม... ผมขอโทษครับพี่อัฐ”

       “เอาเถอะ ไปเขียนใบลามาแล้วรีบเคลียร์งานซะ วันนี้ก็รีบกลับบ้าน จัดตารางของตัวเองให้เรียบร้อย อะไรที่คิดว่าไม่ทันก็บอกพี่เดี๋ยวจะเทรดงานไปให้พวกไอ้โรม”

       “ครับพี่อัฐ”

   



       “อะไรนะ! ผ่าตัด! ว้อท? มึงผ่าตัดอะไร มะเร็ง!?”

       “มะเร็งพ่อง!” ผมด่ากลับขณะนั่งรอกินข้าวเที่ยง กลุ่มกินข้าวของผมมีกันห้าคนที่มักจะหอบหิ้วกันไป ไอ้คนที่โดนผมด่าก็คือไอ้เน เพื่อนที่เข้ามาทำงานพร้อมกันแต่จบจากคนละสถาบัน

       “โรคกระเพาะของพี่ใช่มั้ยอ่ะ” ฟาง สาวตำแหน่ง Lighting ที่มีฝีมือไม่น้องเลยทั้งๆ ที่เด็กกว่าตั้งสามปี เป็นเด็กเพิ่งจบใหม่หมาดๆ และมาสมัครงานที่นี่เป็นที่แรกเอ่ยเดาโรคของผม

       “ใช่ แต่ตอนนี้มันอัพเกรดเป็นกระเพาะทะลุไปแล้ว อาจเพราะเครียดงานด้วย” ผมไหลเกมดู ตอนนี้หน้าจอมือถือทุกคนอยู่ในแนวนอน เตรียมเข้าเกมกันเพื่อรอข้าวร้านป้าที่นานจนลืมไปเลยว่าสั่งอะไร

       “กูจะเล่นเมจ” ไอ้เนเทเรื่องผมทิ้งแล้วบอกตำแหน่งที่ตัวเองต้องการเล่น

       “ฟางแท้งค์นะ”

       “กูไฟต์เตอร์ เชี่ย พี่ดิน อย่าแย่งดิวะ” พี่เจี้ยนด่าพี่ดิน มือ Comp สุดโหด ตัวใหญ่ยักษ์อย่างกับตึกแต่เสือกชอบของน่ารักๆ ขนาดเคสโทรศัพท์ยังเป็นลายคุรุมิคู่ปรับของมายด์เมโลดี้เลย

       “กูจะเล่น มึงซัพไป (ซัพพอร์ต)” พี่ดินไม่สนใจ

       “เชี่ยพี่...” พี่เจี้ยนยอม ส่วนผม เหอะ อีกและ... ฟาร์ม

       “สัส” ทันทีที่เห็นตัวเล่นของอีกฝ่าย ผมก็รับรู้ได้เลยว่าเกมนี้ เหนียว...

       “เออ แล้วพี่จะผ่าตัดวันไหน ฟางจะได้ไปเยี่ยม... เชี่ย มันเอาป้อมว่ะ!” ฟาง สาวหัวร้อนถามพลางใส่อารมณ์กับเกม ผมรัวนิ้วกดสกิลตอบนิ่งๆ

       “ยันไว้พี่ได้บัฟและ เดี๋ยวสอยเอง” ผมบอก “ยังไม่รู้จะผ่าวันไหน รอหมอนัดอีกที แต่ว่าอีกสองอาทิตย์ หมอนัดไปคุย คงรู้วันนั้น”

       “ความจริงกูก็ไม่เห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้วนะที่มึงรับทีเดียวสามโปรเจค แถมยังทำงานหามรุ่งหามค่ำอีก ตอนนั้นที่มึงเกือบโดนหามเข้าโรง’บาลเพราะปวดกระเพาะตอนเที่ยงคืน พวกกูเกือบบอกอัฐตั้งแต่ตอนนั้นละนะ แต่กูยอมใจที่วันต่อมามึงลากสังขารตัวเองเข้าบอพร้อมกับถุงน้ำร้อนอ่ะ” พี่ดินที่กำลังตีแท้งค์อีกตัวอยู่พูดปาวๆ ผมหน้าแหย หัวเราะแห้งขณะที่เข้าไปหลอยแครี่ของอีกฝ่าย

       “โปรเจคนั้นผมค้อมพ์โนดมันงงมาก ผมไม่กล้าให้ใครทำต่อนี่นา”

       “มึงอย่าลืม ว่าเรามีมือรื้ออันดับหนึ่งอยู่ด้วย” ไอ้เนพเยิดหน้าไปที่พี่คนตัวโต จ้ะ... กูเกรงใจเป็นมะ คราวก่อนก็ให้พี่ดินแกรื้อให้ งมไปเต็มๆ สองวัน จากนั้นกูก็กราบเช้ากราบเย็นพี่แกเนี่ย

       “มึงก็พูดๆ มา ว่ากลัวหมาบ้ามันกัด”

       ผมเงียบ พี่เจี้ยนดันจี้ใจดำ นิ้วที่กำลังรัวกดตีชะงักกึก ขนหัวลุกเลยครับ

       “ไม่เอาพี่เจี้ยน เดี๋ยววิญญาณร้ายกลายร่าง อย่าไปพูดถึง”

       คนที่พี่เจี้ยนให้ฉายาว่า ‘หมาบ้า’ ก็คือพี่ฤกษ์ โปรดิวเซอร์คู่กัดของพี่อัฐที่ร่วมงานกันบ่อยฉิบหาย โปรดิวเซอร์แม่งมีตั้งสามสี่คน เสือกจับได้อยู่ทีมเดียวกันตลอด

       นอกจากพี่ฤกษ์จะชอบกัดพี่อัฐทุกครั้งที่เข้ามาทวงงาน ยังชอบแว้งมากัดผมที่พี่แกชอบเรียกว่า ‘ลูกรัก’ อีกต่างหาก จนคนในทีมนอกจากไอ้กลุ่มกินข้าวกันห้าคนนี้เริ่มจับตามองความเป็น ‘ลูกรัก’ ของผมจนผมอยากจะประกาศกร้าวไปเลยว่า...

       ลูกรักหอก! อะไรล่ะ

       โดนด่าก็คนแรก

       ทำงานก็พลาดบ่อย

       ดีขึ้นมาหน่อยคือเรื่อง ถึก ทน ไม่ตายง่ายๆ

       ลูกรักพ่องสิครับ!

       “ข้าวได้แล้วจ้า กะเพราหมูสับไข่ดาว กะเพราหมูชิ้นดาวทอด กะเพราหมูชิ้นดาวน้ำ กะเพราหมูไก่ไม่ดาว กะเพราทะเลไข่ดาว ครบนะ”

       แก๊งกะเพราวางมือจากเกมที่จบด้วยคำว่า Loss แล้วลงมือโซ้ยข้าวเหมือน

ตายอดตายอยาก เพราะรอจนลืมไปแล้วว่าตัวเองสั่งกะเพราอะไรกันไป...



  CG / Computer Generated ก็คือสิ่งที่ถูกสร้างจากคอมพิวเตอร์ ส่วน CGI ก็มาจากคำว่า Computer Generated Imagery หรือก็คือภาพที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ Software สำหรับสร้างภาพสำหรับงาน 3D Animation
  Comp / Composite ก็คือการรวมองค์ประกอบภาพจากแหล่งข้อมูลแยกเป็นภาพเดียว มักสร้างภาพจากองค์ประกอบทั้งหมดเหล่านี้เป็นภาพเดียวกัน




ฝากคุณหมอกับน้องข้าวปั้นด้วยนะค้า
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 1(10/22/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 22-10-2019 00:14:43
Chapter – 01

หมอครับ กระเพาะผมหาย



   “อาการเป็นยังไงบ้าง?”

   คุณหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือรอยคล้ำใต้ตา

   สองอาทิตย์ผ่านไป ผมมาตามนัดหมอในวันศุกร์ หลังจากเคลียร์งานเสร็จไป สองโปรเจค เหลือโปรเจคสุดท้ายที่พวกพี่เจี้ยนบอกว่าจะช่วยให้แบ่งชอตมา ซึ่งผมก็เอาไปปรึกษาพี่อัฐแล้ว และงานของพี่เจี้ยนก็เหลือไม่มากพี่อัฐจึงยอมให้เทรดไป

   “ก็... มีอ้วกบ้างครับ ถ่ายเป็นเลือด... บ้าง บางวันหนักหน่อยก็เป็นลม...” เสียงผมอ่อยลงเรื่อยๆ

   “ผมว่า ผมคงเข้าใจผิดไป”

   คุณหมอวางปากกา มองผมแล้วขมวดคิ้ว

   “ครับ?” ผมไม่เข้าใจ

   “ทำไมคุณต้องทนจนถึงวันนัด ถ้ามันทนไม่ไหวจริงๆ คุณมาก่อนก็ได้ นี่ทนจนเป็นลมคือยังไงครับ คุณอยากหายจริงๆ  ใช่มั้ย?”

   หมอ!! ผมเป็นคนไข้นะเว้ย โปรดอ่อนโยนกับกูหน่อย ด่าเป็นพ่อเลย!

   ผมเกรี้ยวกราดแค่ในใจ แต่สิ่งที่ส่งออกไปคือเสียงหัวเราะแห้งๆ แห้งสนิท ผมไม่ค่อยถูกโรคกับการโดนดุเท่าไหร่ มันพาลเถียงอะไรไม่ออก อาจเป็นเพราะความเคยชิน โดนดุตั้งแต่ที่ทำงานยันโรงพยาบาล

   “ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่ามาก่อนวันนัดได้”

   หมอถอนหายใจนิ่ง เขาเปิดปฏิทินดูตารางของตัวเอง พิมพ์คอมพิวเตอร์เพื่อเช็คคิวผ่าตัด (ล่ะมั้ง) ก่อนบอกผม

   “วันศุกร์หน้าเตรียมผ่าตัดนะครับ แต่ถ้ามันทนไม่ไหวจริงๆ ให้แอดมิทฉุกเฉินพร้อมใบนัดผ่าตัด มันดีกว่าคุณทนแบบนี้ แล้ววันนี้เอายาไปกินให้ครบทุกมื้อนะครับ อ่านคำแนะนำการเตรียมตัวผ่าตัดด้วยนะครับ”

   “ครับ”

   “เจอกันวันศุกร์หน้าครับ”

   

   ศุกร์หน้าก็เหี้ยละ!

   ยังไม่ทันจะจับเมาส์ ผมที่เดินหน้าซีดเข้าบริษัทหลังจากไปหาหมอมาได้สองวัน หรือก็คือวันจันทร์อันสดใสของใครหลายๆ คนที่ไม่ใช่ของผม ทุกคนทักทายผมเป็นปกติแต่ผมทำได้แค่ครางตอบในลำคอ และทันทีที่ผมจับเมาส์จะโปรแกรม Deadline Slave  จู่ๆ ลำไส้ผมก็บิดตัวรุนแรง อะไรบางอย่างตีขึ้นมาถึงอกก่อนจะพุ่งออกมา ผมรีบหันตัวออกไปด้านข้างเพราะกลัวสิ่งที่ออกมาจะเปื้อนคอมพิวเตอร์ให้คนอื่นขยะแขยงเล่น เลือดลิ่มออกมาพร้อมโจ๊กเมื่อเช้าที่ผมฝืนกระเดือกมันลงไป หน้ามืดทรุดลงล้มตึงไปเลย เล่นเอาทุกคนโหวกเหวกโวยวายกันยกใหญ่ ผมได้ยินนะ มีสติบ้าง พอจับใจความได้ว่าคนที่มาเขย่าตัวผมก็คือพี่ดินที่นั่งทำงานอยู่ด้านหลังผม กับเสียงโทรเรียกรถพยาบาลของฟาง จากนั้นสติทั้งหมดก็ดับวูบไป

   ผมตื่นขึ้นมาอีกที กลิ่นโรงพยาบาลทำให้ผมไม่ต้องถามเหมือนในละครเลยว่าที่นี่ที่ไหน ผมแปลกใจที่ทำไมในละครถึงคิดเองไม่ได้ว่ากลิ่นยาหึ่งขนาดนี้มันจะเป็นที่ไหนได้อีก เข็มที่ต่อกับสายน้ำเกลือปักอยู่บนหลังมือ ผมหันไปมองรอบๆ ก็เจอเข้ากับดวงตาดุจัดสีเขียวประหลาดที่ยืนจ้องผมผ่านเลนส์แว่น ในมือถือกระดานรองเขียนที่มีรายงานผลตรวจล่ะมั้งอยู่ ก่อนส่งให้พยาบาลข้างๆ ร่างสูงโน้มตัวลงมาเอาหูฟังหมอ (Stethoscopes) ทาบที่อกผม สั่งให้ผมหายใจเข้าลึกๆ แบบงงๆ ก่อนจะหันไปบอกอะไรไม่รู้กับพยาบาล จากนั้นจึงค่อยหันกลับมาคุยกับคนไข้ในสังกัด

   “ผมขอโทษที่คาดเดาอาการของคุณผิด ผมน่าจะนัดผ่าตัดคุณวันนั้นเลย”

   แต่หน้าหมออ่ะ ไม่ได้ขอโทษผมซักนิด

   “รู้สึกยังไงบ้างครับ” เสียงเขาอ่อนลง ผมครางตอบเพราะเสียงแทบไม่มี

   “ผมรู้สึกเหมือนกระเพาะหาย”

   “แหงสิคุณ เลือดออกในท้องขนาดนั้น ฉีดยาระงับไม่ทันคุณตายได้นะ”

   “ผมขอโทษครับ”

   หมอถอนหายใจ

   “เตรียมผ่าตัดครับ อีกสามชั่วโมง”

   “ละ... แล้ว ผมต้องมีคนเฝ้าไข้มั้ยครับ แค่ก!” ผมรีบพูดจนไอออกมาเพราะคอแห้งผาก พยาบาลรีบเดินเข้ามารินน้ำให้ ผมจิบไปนิดหน่อยเพราะกลืนลำบาก

   “มีคนมาเฝ้าคุณแล้ว รู้สึกว่าเขาจะออกไปคุยโทรศัพท์...”

   “ข้าวปั้น!” เสียงหัวหน้าของผมดังมาจากประตูหน้าห้อง พี่อัฐเดินเข้ามาแล้วคุยกับหมอ

   “หมอครับ น้องผมมันเป็นยังไงบ้าง” พี่อัฐหันไปถาม หมอมองพลางตอบนิ่งๆ แบบเดิม

   “อันตรายเล็กน้อย เตรียมผ่าตัดในอีกสามชั่วโมงครับ คุณเป็นญาติคนไข้รึเปล่า?”

    หมอถาม พี่อัฐส่ายหน้า

   “ผมเป็นหัวหน้าเขา เมื่อกี้พี่ติดต่อพ่อแม่ของข้าวแล้วนะ ท่านบอกจะรีบนั่งเครื่องมา” พี่อัฐบอก ผมยกมือไหว้ขอบคุณที่เขาเป็นธุระให้ ก่อนจะมองหน้าหมอที่... มองพี่อัฐแปลกๆ

   เฮ้! หมอ แอม ยัวร์ เคส!

   “งั้นคุณจะรอเฝ้าเขาแทนพ่อแม่ก่อนมั้ยครับ”

   “ครับ” หัวหน้าผมตอบรวดเร็ว หมอพยักหน้าก่อนยื่นใบยินยอมรับการผ่าตัดพร้อมปากกาให้ผม

   “ใบยินยอมรับการผ่าตัดครับ”

   ผมรับมาเซ็นชื่อลงไปก่อนส่งคืน ท่าทางของหมอแม่งเฟี้ยวโดนใจผมจริงๆ เกิดมาไม่เคยเจอหมอห่าไรไม่ยิ้มให้คนไข้เลย แล้วคนไข้มันจะมีกำลังใจมั้ยเนี่ย หนักมั้ยหน้ารูปปั้นนั่นน่ะ

   หมอออกไปแล้ว ผมแอบอ่านชื่อหมอเจ้าของไข้ในใบยินยอม ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าใช่ชื่อเขาหรือเปล่า ลืมสังเกตตรงอกเสื้อด้วยว่าเขาติดว่าชื่ออะไร เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ใส่แว่น ไกลประมาณฟุตนึงผมก็มองไม่เห็นแล้วครับ

   ผศจ. นายแพทย์ อคิน แอลล์ วรโชติอิงคนันท์

   โหแม่ง ชื่อยาวฉิบหาย ผมจำได้รอบเดียวเท่านั้นแหละ ป้ายชื่อแม่งพอเขียนเหรอวะ

   “พี่ตกใจมากที่จู่ๆ เลือดก็ท่วมบริษัท”

   “ขะ... ขอโทษฮะ”

   ผมหลับตาลง ปวดกระเพาะตุบๆ รับรู้ได้เลยว่าน่าจะมีอะไรรั่วซึมออกมา ไม่ขยับเยอะจะดีกว่า

   “มีหวังพ่อแม่ข้าวด่าบริษัทพี่ยับแหง ทำลูกเขาเลือดตกยางออก” พี่อัฐเล่นมุข ผมส่ายหัว ม๊ามีแต่จะด่าผมน่ะสิว่าโง่ ปล่อยให้ตัวเองเป็นหนักขนาดนี้ได้ยังไง

   พี่อัฐปล่อยให้ผมพักผ่อน ส่วนตัวเองก็เอาโน้ตบุ๊คมาเปิดแล้วรีโมท เข้าเครื่องที่บริษัทเพื่อตรวจงาน ระหว่างนั้นผมก็สังเกตว่าเสียงไลน์ดังไม่หยุดจนพี่อัฐปิดเสียงไป ผมเลยอยากได้มือถือของตัวเองบ้าง แต่พี่อัฐบอกให้ผมพักผ่อน ผมจึงทำได้แค่ใช้เวลาสามชั่วโมงในการเตรียมใจ มองฟ้า มองเพดาน มองข่าวในโทรทัศน์

   “เอ่อ... พวกพี่ดินเป็นไงมั่งครับ ผมจำได้ลางๆ ว่าคนที่เข้ามาพยุงผมคือพี่ดิน”

   “อ๋อ แตกตื่นกันยกใหญ่ ดินมันแทบแบกข้าวเอามาส่งเองที่โรง’บาลแล้ว ติดที่กลัวจะกระทบกระเทือนกัน เลยรอรถพยาบาลมา เออ... เตรียมตัวดีเหมือนกันนะเรา พกใบนัดหมอติดตัวตลอด ไอ้เจี้ยนก็ฉลาด ค้นจนเจอจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาลอื่น เพราะเรานัดหมอที่นี่ไว้แล้ว”

   “ครับ เห็นหมอบอกว่า ถ้าไม่ไหวก็ให้มาก่อนวันนัดได้ เลยพกไว้ฉุกเฉิน”

   “เราน่ะ รู้ตัวบ้างมั้ยว่าตัวเองทนได้หรือไม่ได้ คราวหลังไม่เอาแล้วนะเว้ย เล่นเอาพี่ๆ น้องๆ ใจหายใจคว่ำกันหมด” พี่อัฐดุไม่จริงจัง แต่แสดงถึงความเป็นห่วง

   “คร้าบ”

   โชคดีจริงวุ้ยที่ได้พี่อัฐเป็นหัวหน้าทีม



   ใช้เวลาผ่าตัดประมาณห้าชั่วโมง กว่าผมจะฟื้นก็ปาไปเที่ยงของอีกวันนึง เมื่อตื่นมา คนแรกที่ผมเจอก็คือม๊าที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียง ผมอมยิ้มบางๆ แม้จะมองไม่ค่อยชัดเพราะไม่ได้ใส่แว่น แต่ก็เอื้อมมือไปแตะแขนเสื้อยับๆ ของคนเป็นแม่ได้ถูก

   “หืม... อ้าว! ปั้น! เป็นไงมั่งลูก เจ็บอยู่มั้ย”

   ม๊าผู้รู้ตัวไวแค่สะกิดสะดุ้งตัวขึ้นมาแล้ว ม๊าจับเนื้อจับตัวผม ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาในหลอดที่คู่กับสายน้ำเกลือรึเปล่าถึงทำให้ผมไม่รู้สึกอะไรเลยตอนนี้

   “ไม่รู้สึกอะไรเลยม๊า”

   หม่าม๊าของผมถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะทำหน้ายักษ์ ตีแขนผมเบาๆ

   “ม๊าบอกแกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าหักโหม! ข้าวก็โกหกทุกครั้งว่ากินใช่มั้ย มันน่าตีให้ตาย!”

   “โธ่ม๊า! ลูกชายเพิ่งผ่าตัดนะ อย่ารังแกคนป่วยดิ” ผมอ้อน ม๊าย่นหน้าก่อนจะลูบหัวผมแบบงอนๆ ประตูห้องเปิดออก ร่างสูงมั่นคงของปาป๊าผมเข้ามาพร้อมถุงกับข้าว

   “ไงปั้น ดีนะที่ไม่ตาย” ป๊าผมทักเป็นเรื่องปกติ

   “ป๊า! ปากเสีย ตบปากตัวเองสิบที!” ม๊าหันไปดุป๊าผมที่ยอมยกมือตบปากตัวเองเบาๆ ตามคำสั่งเมีย เล่นอะไรกันเป็นเด็กๆ เฮ้อ!

   เนื่องจากผมเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านจากบรรดาพี่น้องสี่คน ม๊าจึงโอ๋ผมที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยตามใจ สอนให้รู้จักอดทน จนกลายเป็นคนฝืนตัวเองแบบนี้นั่นแหละ

   “เออ ฟื้นแล้ว เดี๋ยวม๊าไปเรียกหมอให้นะ” แล้วหม่าม๊าที่แสนร่าเริงของผมก็ลั้ลลาออกจากห้องไป ป๊าเดินเข้ามาลูบหัวยุ่งๆ อย่างเอ็นดู

   “ดื้อจนได้เรื่อง”

   “เจ้ฟ่าง เจ้หอม เฮียปุ้น รู้ป่ะว่าปั้นผ่าตัด” ผมถามถึงบรรดาพี่ๆ ของผม ป๊าหัวเราะแล้วนั่งลงข้างเตียง

   “เดี๋ยวบินตามมา ข้าวฟ่างอยู่สิงคโปร์คงมาไม่ได้แต่บอกว่าถ้าปั้นฟื้นให้คอลหา ข้าวหอมกับข้าวปุ้นเคลียร์งานแทนป๊าอยู่ บอกว่าน่าจะถึงตอนห้าโมง”

   กูว่าละ!

   “บอกไม่ต้องมาก็ได้นะ สงสารโรง’บาล” บ้านนี้พี่น้องคุยกันเสียงดังครับ ผมกลัวพยาบาลไล่ คนที่เบาที่สุดคงเป็นป๊ากับผม แต่ห้ามไปก็เท่านั้นเพราะบรรดาเจ้ๆ เฮียๆ นอกจากจะชอบแกล้งผม ก็ยังโอ๋ผมไม่ต่างจากป๊ากับม๊า เรียกว่า ‘ข้าแกล้งของข้าได้คนเดียว หมาที่ไหนก็อย่ามายุ่ง’ ผมจึงไม่เคยโดนใครแกล้งเลยสมัยเด็ก นอกจากพี่ตัวเอง...

   ไม่นานนัก ประตูห้องคนไข้ก็เปิดอีกครั้ง ม๊าเดินเข้ามาก่อน ตามด้วยหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือเนคไทที่ร่นลงมาจากคอเสื้อเล็กน้อยดูไม่เนี้ยบเหมือนเก่า หมอเปลี่ยนชุดแล้ว วันนี้เป็นเชิ้ตสีเขียวอ่อน เนคไทสีน้ำเงิน ดูแก่ขึ้นจม... หน้าตาก็ยังคงนิ่งสนิทได้ใจ

   “ป๊า! ดูสิว่านี่ใคร” ม๊าผมเข้ามาปุ๊บก็ร้องเรียกป๊าอย่างตื่นเต้น ชายวัยกลางคนหันกลับไปเลิกคิ้วมองหน้าหมอก่อนจะนึกออก

   “อคิน? ใช่รึเปล่า”

   “สวัสดีครับ” หมอยกมือไหว้ป๊าผม ส่วนผมมองด้วยความสงสัยสุดๆ ม๊าเดินลั้ลลาเข้ามาหา

   “ปั้น จำพี่เขาได้มั้ยลูก เฮียคิน เพื่อนเฮียปุ้นไง” ม๊าแนะนำอย่างสนิทสนม ส่วนผมเบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่ตาลงพลางเอียงคอฉงน

   ใครวะ? เฮียคินไหนวะ?

   “คงจำไม่ได้หรอกครับ ผมไปที่บ้านคุณลุงครั้งสุดท้ายก็ยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นน้องน่าจะแค่สี่ห้าขวบ”

   น้อง! ขนลุกเลยครับ...

   ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นไหว้อย่างรู้งาน

   “สะ... สวัสดีครับ หมอ”

   “สวัสดีครับ” หมอหน้านิ่ง... นิ่งสนิท นิ่งเหมือนไม่อยากรู้จักกู

   “ผมขอตรวจอาการหน่อยนะครับ”

   จากนั้นคุณหมอก็ขอทางเข้ามาตรวจอาการผม เขาถามไถ่ต่างๆ เพื่อให้พยาบาลจด จากนั้นก็ขอตัวออกไปโดยที่ไม่ถามเรื่องผมซักคำ

   นี่หมอเขารู้จักกูแน่ใช่มั้ย เพื่อนเฮียปุ้นจริงป่ะเนี่ย?

   หลังจากนั้น พอเกือบๆ หกโมงเย็น ร่างของเจ้ข้าวหอมกับเฮียข้าวปุ้นก็โผล่มาโหวกเหวกโวยวายตามประสา จับผมพลิกหน้าพลิกหลังสำรวจอาการว่ามีตรงไหนชำรุดอีกมั้ย ผมทำได้แค่ตอบว่า ผมโอเค ผมโอเคแล้วครับ

   “ปุ้น ม๊าเจออคินด้วยนะ โตเป็นหนุ่มหล่อเลย บังเอิญจริงๆ เพราะอคินเค้าเป็นหมอเจ้าของไข้เจ้าปั้นพอดีเลย”

   “หืม? ไอ้คินอ่ะนะม๊า หูย ไม่เจอหน้ากันจะสิบปีแล้วมั้งเนี่ย หลังจากมันย้ายไปเรียนเมกา แบบนี้ต้องอยู่ทักทายหน่อย ว่าแต่... มันยังพูดน้อยเหมือนเดิมปะ?” เฮียปุ้นที่กำลังโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเรือที่ป๊าซื้อมาตั้งแต่กลางวันแข่งกับเจ้หอมที่โซ้ยผัดไทยอยู่ข้างๆ ถาม

   สงสัยเจ้กับเฮียจะรีบขึ้นเครื่อง ดูหิว

   “คินไหนเฮีย?” เจ้หอมถามอย่างคนอยากรู้ ทั้งที่ผัดไทยยังเต็มปากจนโดนม๊าตีเข้าให้

   “ก็ไอ้อคิน ที่เคยมาเที่ยวบ้านเราช่วงเฮียอยู่ประถมไง ที่หล่อสุดในห้องเฮียอ่ะ ตอนนั้นแกยังปลื้มกรี๊ดกร๊าดเอาไปอวดเพื่อนๆ อยู่นี่ว่า เฮียคินมาเที่ยวบ้านๆๆๆ” เฮียปุ้นทำเสียงล้อเลียนเจ้หอมจนน่าหมั่นไส้ เจ้คนสวยจึงลองนึกดูแล้วก็ร้องอ๋อยาวๆ ก่อนจะกรี๊ดกร๊าด

   “หูย! ไอดอลสมัยเด็ก โตขึ้นหล่อมากมั้ยม๊า อยากเจอๆ”

   “หล่อมาก ม๊าเนี่ยใจสั่นเลย”

   “กรี๊ดๆๆๆ” แล้วสองแม่ลูกก็กรี๊ดหนุ่มๆ กันไป ผมกับป๊ามองหน้ากัน ป๊าส่ายหัว

   เนี่ยแหละน้าม๊าผม วัยรุ่นไม่เคยยอมแก่

   หลังจากนั้นในแชทของผมทั้งไลน์ทั้งเฟซบุ๊คก็มีแจ้งเตือนไม่หยุด ทั้งจากเจ้ฟ่าง พี่เจี้ยน พี่ดิน ไอ้เน ไอ้ฟาง แม้กระทั่งพี่อัฐที่ปกติจะไม่ทักแชทส่วนตัวมานอกจากทักมาตักเตือน เหมือนทุกคนพร้อมใจกันทักหลังเลิกงาน (เวลาเลิกงานนะ ไม่ใช่เวลาออกงาน) ผมแทบจะ copy paste คำตอบส่งให้ทุกคนเลยทีเดียว แต่บุคคลที่ไม่คาดฝันที่ทักผมมาก็คือคนที่ผมไม่ได้แอดเป็นเพื่อนด้วย มันจึงขึ้นเป็นข้อความขอนุญาตติดต่อ

   K.Rerge : น้องข้าวปั้น ผ่าตัดเป็นยังไงบ้าง?

   ผมนี่ตามัวไปเลย ชื่อนี่... มันอ่านว่ายังไงวะ เรอกี้ เหรอ?

   ผมยังไม่ตอบและยังไม่เข้าไปอ่าน แต่กดเข้าไปดูหน้าโปรไฟล์แทน เห็นรูปชายผมสีดำดูดี ใส่แว่นกันแดดแบบเลนส์ปรอทหันข้าง หน้าคุ้นฉิบหาย คุ้นจนอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้ง

   พี่ฤกษ์หมาบ้า!

   ผมเผลอเอามือมากุมท้องตามความเคยชิน แม้จะไม่ได้ปวดจากอาการโรคกระเพาะอักเสบ แต่เป็นอาการปวดจากการเกร็งท้องแทน

   ผมคว่ำโทรศัพท์ ถอนหายใจ ทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกันวะ ยังไงๆ มันก็ไม่แจ้งเตือนอยู่แล้ว

   “ไอ้ตูด! งั้นเดี๋ยวเฮียกับหอมกลับก่อนนะ งานที่ไร่บานเบอะ ทิ้งด่วนมา ปล่อยให้ลุงหนานแกช่วยดูแลอยู่ พรุ่งนี้มีส่งหน่อสับปะรดภูแลกับกล้าอบเชยนะป๊า” เฮียลุกมาลูบหัวผมเบาๆ ก่อนหันไปบอกป๊าที่นั่งตรวจหุ้นในมือถืออยู่บนโซฟา ป๊าผมพยักหน้ารับ วางใจให้ลูกชายดูแล ผมมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว นี่จองตั๋วกลับกันแล้วเรอะ?

   “กลับไงอ่ะเฮีย ไฟล์ตดึกเหรอ?”

   “เปล่า ใครจะไปจองทัน” ก่อนพเยิดหน้าไปทางเจ้หอมที่ทำหน้าย่นมองมือถือพลางรัวแป้นพิมพ์ “มีสารถีมารับ”

   “อ๋อ... ฝากสวัสดีพี่กรด้วยนะ”

   “บอกให้มาตอนตีสองๆ แม่งดื้อจังวะ อดเจอหน้าเฮียคินเลย” พี่สาวผมกระทืบเท้าเอาแต่ใจ ม๊าผมที่พึ่งออกจากห้องน้ำถลันเข้ามาหยิกแขนเจ้คนสวยที่ทำกิริยาไม่เหมาะสม

   “เขาเหนื่อยใจกับแกแล้วจะหนาว จะสามสิบแล้วนะ ถ้ากรเขาทิ้งแกก็ไม่มีใครเขาเอาแกแล้วนะยัยหอม”

   “ม๊า!”

   สุดท้ายแล้วเจ้กับเฮียของผมก็กลับไปก่อนหมดเวลาเยี่ยมโดยไม่ทันได้เจอกับหมอเสียที ป๊าผมเองก็กลับไปนอนทีคอนโดผมแทนเพราะโรงพยาบาลให้ญาติเฝ้าไข้แค่คนเดียว ซึ่งคนทำหน้าที่นี้ก็หนีไม่พ้นม๊าผมอยู่แล้ว

   ในขณะที่ผมเคลิ้มหลับไปเพราะฤทธิ์ยา จู่ๆ ประตูห้องคนไข้ก็ถูกเคาะและเปิดออก ทีมหมอเจ้าของไข้ของผมนั่นเอง ผมสะลึมสะลือตื่นพร้อมๆ กับม๊า หมอคนเดิมเพิ่มเติมคือเนคไทหายไปแล้วเดินนำเข้ามา

   “ขอโทษครับที่มาตรวจเสียดึก ผมพึ่งผ่าตัดเสร็จ” หมอหันไปบอกม๊าผมที่ลูบผมกระดกของตัวเองอย่างเขินอาย หันมามองผมที่ขยี้ตาเบาๆ

   ง่วงฉิบหายหมอ!

   “ปวดมากมั้ย”

   ผมจับท้อง เริ่มรู้สึกปวดหนุบๆ แต่ไม่มาก หมอดูชีพจรและยาแก้ปวดในหลอดที่หมดเกลี้ยง ผมคว้าแว่นข้างเตียงมาใส่ มองหน้าหมอที่ตอนนี้แทบจะเป็นแพนด้า

   สภาพหมอแม่งแทบไม่ต่างกับผมตอนเดดไลน์เลยว่ะ

   “เอ่อ นิดหน่อยครับ” ผมยังคงมองหน้าเขา ลองสังเกตหน้าหมอแบบจริงๆ จังๆ ครั้งแรก

   นอกจากดวงตาดุๆ นิ่งๆ ไม่เป็นมิตรสีเขียวประหลาดภายใต้เลนส์แว่นกรอบเงินทรงสี่เหลี่ยมอันเดิม โครงหน้าคมคาย สันกรามแข็งแรง ริมฝีปากสีชมพูสุขภาพดี แม้ใต้ตาหมอจะคล้ำเหมือนคนอดนอน ในขณะที่ปากของผมช่างแห้งผากเพราะขาดน้ำ ไรเคราขึ้นเขียวเหมือนคนเพิ่งจะโกนเมื่อเช้าทำให้หมอดูแมนมาก จมูกโด่งเป็นกำแพงเมืองจีน เส้นผมสีดำตัดสั้นเป็นระเบียบถูกเสยขึ้นจนเปิดให้เห็นหน้าผากกว้างดูดี ร่างกายก็สูงใหญ่พอๆ กับเฮียปุ้น แต่ไม่ได้ล่ำกล้ามบึ้กเท่าเพราะหมอคงไม่ไปแบกจอบหามไม้เหมือนรายนั้น เป็นร่างกายที่มวลน่าจะได้มาจากการออกกำลังกายเป็นกิจวัตรทำเอาผมอิจฉา

   ความจริงผมก็อยากไปเตะบอลบ้าง...

   ผมเลื่อนสายตากลับไปมองรอยคล้ำที่ไม่ต่างจากผมเท่าไหร่

   “หมอ... ง่วงมั้ยครับ”

   จู่ๆ ผมก็ถามออกไปแบบไม่ได้ตั้งใจ คือไอ้สิ่งที่คิดมันดันดังเกินไปจนออกปากมา ทั้งพยาบาลที่เบิกตากว้าง ทั้งม๊าผมที่ยกมือปิดปากตะลึงคำพูดของลูกชาย และผมที่สะดุ้งคำพูดตัวเองจนต้องรีบหลบตา หัวเราะแห้ง ก่อนเอามือลูบท้ายทอยตัวเอง

   “โทษทีครับ ผม... ผมแค่...” แค่คิดดังไปหน่อย

   คนที่สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนก็คงจะเป็นคนถูกถาม ที่ทำเพียงมองมาทางผม

   “ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

   “ถามอะไรแบบนั้นข้าวปั้น! เอ่อ... อคิน ป้าขอโทษแทนน้องด้วยนะลูก น้องคงสะลึมสะลือ” ม๊ารีบแก้ตัวให้ ผมควรแกล้งตาปรือแล้วทำเป็นละเมอดีมั้ยวะม๊า!

   “ไม่เป็นไรครับ” หมอบอกปัด ก่อนหันกลับมาบอกพยาบาลที่ยกเอาแผ่นรองเขียนขึ้นปิดปากขำ ตาหมอดุจัดเลยครับ จนพี่พยาบาลรีบหุบยิ้ม “ถ้าคนไข้ปวดมาก ให้จ่ายยาระงับปวดให้ทุกสี่ชั่วโมง”

   “ได้ค่ะคุณหมอ”

   “ส่วนคุณ อย่าทนอีกล่ะครับ ถ้าปวดขึ้นมาจนไม่สบายตัวให้กดเรียกพยาบาลนะครับ”

   เขาดุกูอีกแล้วใช่มะ? โอเคๆ ผมพยักหน้ารับ หมอหันไปสวัสดีม๊าผมก่อนออกจากห้อง ผมรีบคลุมโปงทันที เพราะรู้ว่าม๊าต้องสวดผมยับแน่นอน

   “เจ้าปั้น! นี่ อย่ามาคลุมโปงหนีม๊านะ ทำไมไปพูดกับเฮียเขาแบบนั้นล่ะ เสียมารยาทจริงๆ ลูกคนนี้ โถ... อคิน ป่านนี้คงคิดว่าตัวเองโทรมจนเห็นได้ชัดแล้วมั้งเนี่ย”

   “ม๊า! ปั้นแค่คิดดังไปหน่อย ปั้นเห็นขอบตาหมอคล้ำๆ เลยเผลอตัว โว๊ะ!”

   ผมสะบัดผ้าออก เถียงกลับ ม๊าทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียงแล้วตีเผียะเบาๆ ที่ไหล่

   “แล้วไหงมาเรียกคุณๆ ผมๆ ทีเมื่อก่อนยัง ‘เฮียคินอย่างนู้น น้องปั้นอย่างนี้’ อยู่เลย” ม๊าถาม ไอ้ผมนี่ขนลุกพรึ่บพรั่บ ว้อท?

   “ขนลุกม๊า ปั้นจำหมอไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่อยู่ในสารบบความจำเลย แถมอีกฝ่ายก็ดูไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำกับปั้นเท่าไหร่ ยังไงก็เจอกันไม่บ่อยซักกะหน่อย ปั้นไม่เข้าๆ ออกๆ โรง’บาลบ่อยหรอกนะ” ผมตวัดผ้าห่มคลุมตัวเองอีกครั้ง ม๊าถอนหายใจ คงรู้สึกเสียดายความสัมพันธ์พี่น้องของผมกับหมอ

   เฮ้! ผมรู้จักเขาเรอะ เพื่อนสมัยเด็กที่ผมจำได้มีแค่ไอ้มังคุด หมาพันธุ์ปั๊กที่เคยเลี้ยงไว้เท่านั้นแหละ!

   อคิน... อคิน... อคินไหนวะ รู้จักแต่หมออคิน หน้านิ่งไม่รับแขกเท่านั้นแหละว้อย!



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
:call:
SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - Intro
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-10-2019 00:20:41
น่าติดตามครับ,,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - Intro
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-10-2019 08:10:25
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - Intro
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 22-10-2019 18:18:31
งู้ยย น้องปั้นเฮียอคินนนน 555 เอ็นดูปั้นนน
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 23-10-2019 00:07:52
Chapter – 02

หมอครับ นั่นออดี้



   วันนี้เป็นวันที่ผมต้องออกจากโรงพยาบาล หลังจากผ่าตัดมาได้เจ็ดวัน ผมไม่มีอาการแทรกซ้อน แผลสมานตัวดี ไม่มีการติดเชื้อใดๆ สามารถทานอาหารปกติได้แล้วแต่ยังคงต้องเป็นอาหารอ่อน ช่วงแรกผมต้องเจอกับหมอเจ้าของไข้ทุกวัน วันละประมาณสองครั้ง แต่พักหลังๆ เจอกันประมาณครั้งเดียวหรือไม่เลย แต่มีหมอคนอื่นมาแทนบ้างเนื่องจากหมออคินติดธุระหรือไม่ขึ้นเวร

   ตั้งแต่ที่หมอบอกว่าอาการผมคงที่ในวันที่ห้า ผมก็บอกให้ป๊ากับม๊ากลับเชียงรายได้แล้ว เพราะป๊าทิ้งไร่มานานไปแล้ว และอีกอย่าง พวกพี่เจี้ยนก็ผลัดๆ กันมาเยี่ยม ตอนแรกม๊าไม่ยอมกลับ จะอยู่ดูแลผมจนกว่าจะออกจากโรง’บาลนั่นแหละ แต่ผมเบรกก่อน

   “ม๊า ปั้นกระโดดให้ดูมั้ยจะได้เชื่อว่าปั้นโอเค เดี๋ยววันจันทร์ปั้นก็ไปทำงานแล้ว จะอยู่ทำไมอ่ะ กลับเชียงรายเหอะ เดี๋ยวเจ้หอมแห้งตายเพราะไม่มีใครทำกับข้าวให้กินนะ”

   “ช่างเจ้าหอมมันสิ โตจะแต่งงานอยู่แล้ว ให้มันหัดเข้าครัวทำเองซะบ้าง เดี๋ยวแม่สามีก็ได้เตะออกจากบ้านฐานไร้เสน่ห์ปลายจวักกันพอดี!” ม๊าผมกอดอกเชิดใส่ ป๊าได้แต่ส่ายหัวตามใจม๊าแหละ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นห่วงไร่ยิกๆ เพราะช่วงนี้มีคนสั่งของเยอะด้วย แม้จะไว้ใจเฮียปุ้นกับเจ้หอมให้ดูแลต่อ แต่ป๊าผมก็คงอยากไปดูแลสินค้าด้วยตัวเองมากกว่าการมานั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ ตั้งอาทิตย์ คนทำงานมาทั้งชีวิตอย่างป๊าคงไม่สบายใจ

   “ม๊า ปั้นโอเคจริงๆ ป๊าก็เป็นห่วงไร่ อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร น่านะ เดี๋ยวปั้นจะวิดิโอคอลหาทุกวันเลยดีมั้ย ม๊าจะได้สบายใจ”

   ผมกอดเอวท้วมของคนเป็นแม่ไว้อย่างออดอ้อน มองหน้าป๊าที่นั่งซดน้ำเต้าหู้อยู่บนโซฟา คงคร้านจะพูด เพราะรู้ว่าม๊าห่วงผมขนาดไหน คงเพราะผมอยู่ไกลหูไกลตา ไม่เหมือนเฮียปุ้นกับเจ้หอมที่ทำงานต่อจากที่บ้าน สาววัยกลางคนย่างหกสิบสะบัดตัวอย่างขัดใจ ก่อนยอมลูบหัวลูบไหล่ผมอย่างเอ็นดู

   “ก็ได้ ปั้นสัญญากับม๊านะ จะไม่ลืมกินข้าว ทำตามคำสั่งหมอ กลับบ้านเร็วๆ อย่าหามรุ่งหามค่ำแบบเดิมอีก โตแล้วอย่าทำให้ม๊าเป็นห่วงมากสิ ม๊ายอมให้เราเรียนตามที่ชอบ ไม่ได้แปลว่าม๊าจะยอมให้ใช้ชีวิตทิ้งๆ ขว้างๆ นะ” คำสอนของม๊า ต่อให้ผมโตแค่ไหน ม๊าก็ยังเห็นผมเป็นเด็กๆ อยู่วันยังค่ำ ผมตอบรับ

   “คร้าบ!”

   แต่จะทำได้นานมั้ยไม่รู้นะ อิอิ

   แต่นั่นแหละ ม๊าจึงยอมกลับเชียงรายแต่โดยดี ป๊าก็สั่งนิดๆ หน่อยๆ ตามสไตล์ลูกผู้ชายต้องอดทน ป๊าไม่โอ๋ เพราะม๊าโอ๋แทนแล้ว

   วันนี้ที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมเก็บข้าวของที่มีอยู่น้อยนิดใส่เป้ เรื่องค่ารักษาพยาบาล ประกันจ่ายผมไม่เกี่ยวครับ หลังจากทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล ผมก็แบกร่างตัวเองเดินไปเรียกแท็กซี่ แต่ก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นรถ เจ้าออดี้สีสเปซเกรย์โฉบเฉี่ยวก็แล่นเข้ามาจอดที่ลานรับส่งหน้าโรงพยาบาลต่อจากรถแท็กซี่ที่ผมเรียก ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เมื่อประตูรถถูกเปิดออก คนที่ออกมาจากรถต่างหากที่ทำให้ผมสนใจ

   เชรดดดดด! หมอ!

   ร่างสูงชะลูดกว่าผมเยอะ (ผมสูง 170 เป๊ะ!) เดินลงจากรถเดินมาทางผม แว่นสายตากลายเป็นแว่นกันแดดสีชาไร้ขอบ เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินไม่ใส่เนคไทกับสแลคตัวแพงสีดำเล่นเอาผมลอบกลับมองตัวเอง

   กางเกงขาก๊วย เสื้อยืดลายหมีสามตัวของเกาหลี รองเท้าผ้าใบคู่เก่าแม้จะเป็นยี่ห้อ adidas แต่มันจะเทียบอะไรได้กับกางเกงยี่ห้อ Armani ของเขาได้วะครับ

   วรรณะแม่งโคตรต่างชั้น...

   “วะ... หวัดดีครับหมอ” ผมยกมือไหว้ ซึ่งมันเป็นนิสัยไปแล้วที่ต้องยกมือไหว้คนที่โตกว่าและไม่สนิท หมอผงกหัวรับ ตาคู่คมใต้แว่นมองมือผมที่หิ้วกระเป๋าเป้ใบเก่าอยู่

   “จะกลับแล้วใช่มั้ยครับ”

   “คะ... ครับ ใช่ครับ ขอบคุณหมอที่คอยดูแลนะครับ”

   ประหลาด ปกติหมอเขาจอดรถคุยกับคนไข้เหรอวะ?

   หมอเดินเข้ามาใกล้ก่อนจับประตูรถแท็กซี่แล้วโน้มลงไปบอกคนขับ

   “ขอโทษนะครับ เดี๋ยวเขาไปกับผม ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”

   แล้วหมอก็ดันประตูรถปิดไป ผมนี่เหวอเลยครับ หันไปมองแท็กซี่ที่จากไปอย่างเสียดาย กว่าจะเรียกได้นะเว้ยหมอ คนขับมันคงสาปแช่งผมน่าดูที่ทำมันเสียเวลา ผมหันไปมองหน้าหมอแบบเคืองๆ ต้องเงยหน้าคุยครับ เพราะเขาอยู่ใกล้ผมเกินระดับสายตา และเพราะเขาสวมแว่นสีชาทำให้ผมสังเกตเห็นสายตาเขาไม่ชัด แต่คิดว่าคงจะนิ่งเฉยเหมือนเดิมนั่นแหละ

   “เฮ้ๆ หมอครับ นั่นแท็กซี่ผม”

   “แม่ของคุณฝากฝังคุณไว้กับผม เดี๋ยวผมไปส่ง”

   “เฮะ?”

   “ขึ้นรถครับ”

   แล้วหมอก็เดินลิ่วไปขึ้นรถตัวเอง ผมทำได้แค่ยืนมองตาปริบๆ งง ฉงน สงสัย ก่อนจะแยกเขี้ยวให้ตัวเอง

   ม๊า!!

   “ถึงคุณจะไม่รีบ แต่เดี๋ยวผมมีขึ้นเวร”

   หมออุตส่าห์เปิดกระจกรถออกมาเพื่อคุยกับผม สีหน้านิ่งชนิดที่ผมอยากลองตบดูว่ามันฉาบอะไรไว้ หมอมึงจะบล็อกหน้าตัวเองทำไม หรือโบท็อกซ์มาฮะ เขาเลยห้ามขยับหน้าน่ะ!

   “ผมเกรงใจน่ะ เดี๋ยวผมกลับเองก็ได้ครับ หมอน่าจะรีบ”

   ผมตอบปฏิเสธเขาอีกรอบผ่านกระจกที่ลดลงมา หมอถอนหายใจ หันมามองผมผ่านแว่นตาสีชา

   “ขึ้นรถครับ”

   บังคับกูจัง!

   “ครับ”

   แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับ Armani ของเขาล่ะ เรามันวรรณะทาส

   

   “ที่พักคุณอยู่ที่ไหน” น้ำเสียงเรียบเฉยแต่ก็ไม่ได้ดุแบบเคย ผมนั่งนึกเหมือนสมองมันเบลอ ลืมที่อยู่ตัวเองไปชั่วขณะ เกิดมาไม่เคยนั่งรถหรูครับ ผมตื่นเต้น แถมรถเป็นแบบยุโรป พวงมาลัยซ้าย มุมมองดูแปลกๆ น่ะครับ

   เป็นหมอนี่มันรวยจริงๆ!

   “คุณ... ผมถามน่ะ”

   “อ่าครับ คอนโด XXX น่ะครับ แถวรัชดาครับ”

   “คอนโด XXX เหรอ” หมอดูนิ่งไปก่อนจะออกรถ แต่ก่อนออกมีการหันมาบอกผมอย่างสุภาพ

   “ถ้าไม่อยากเสี่ยงเข้าโรง’บาลอีกรอบ รัดเข็มขัดด้วยครับ”

   หมอ ความจริงหมอกวนตีนผมอยู่ใช่มั้ยครับ

   อยากตอบหมอไปแบบนี้เหลือเกิน ว่าถ้าผมจะเข้าโรง’บาลก็เป็นเพราะหมอขับห่วยเองนั่นแหละ!

   แต่ก็ทำได้แค่...

   “ครับๆ”

   

   ผมนั่งกอดกระเป๋าตัวเอง แอร์ในรถหนาวฉิบหาย จะบอกให้เขาเบาก็ไม่กล้า เพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลรึเปล่านะถึงทำให้ผมรู้สึกค่อนข้างจะอ่อนแอ ทั้งที่ปกติแอร์ในออฟฟิศก็หนาวจนเหมือนทำงานในห้องแช่แข็งทุกวัน

   ก่อนที่ผมจะทันสังเกตว่าหมอไม่ได้เปิด GPS ดูแมพในมือถือหรือเนวิเกเตอร์เลย เขาขับชิวๆ มีเข้าซอกออกซอยที่ดูเป็นทางลัด ไอ้ผมนั้นนั่งแต่พวกขนส่งสาธารณะ ไม่เคยขับเอง หมอแม่งเก่งว่ะ ระหว่างทางแทบไม่เจอรถติดเลยทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลิกงานแท้ๆ

   “หนาวเหรอครับ?” จู่ๆ คนข้างๆ ก็หันมาถาม แว่นตาสีชาของหมอมันเท่โดนใจผมว่ะ แต่มันก็ทำให้ผมมองไม่เห็นสายตาของเขา จึงทำให้เกร็งพอดูเพราะไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ไหน

   “กะ... ก็นิดหน่อยครับ”

   “ติดอ่างบ่อยนะคุณ หาหมอบ้าง” หมอทักผมพลางปรับแอร์ให้อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย

   “เปล่าครับ! ผมไม่ได้ติดอ่าง” ผมแหวลั่น ก่อนจะสังเกตว่าตัวเองติดอ่างทุกครั้งที่ตอบเขาจริงๆ นั่นแหละ ผมมักจะติดอ่างเวลาประหม่าหรือกลัว แต่ผมไม่ได้กลัวหมอนะเว้ย ผมแค่ประหม่า!

   เหมือนจะได้ยินเสียง ‘หึ’ เบาๆ แต่ผมก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้แค่เบนสายตาไปนอกกระจก ไม่อยากสนทนาต่อเลยวุ้ย

   เวลาในรถผ่านไปเกือบชั่วโมง ขนาดรถติดไม่มากนะเนี่ย รถออดี้สเปซเกรย์เลี้ยวเข้ามาในอาคารจอดรถของคอนโด ผมเหลียวมองล่อกแล่ก

   คะ... คือ... เฮ้ยๆ

   “หมอครับ ส่งผมหน้าคอนโดก็ได้นะครับ”

   “ทำไม ผมก็แค่เอารถมาจอด”

   “แต่ชั้นจอดรถนี้มันจอดได้แค่ลูกบ้านนะครับ”

   หมอเงียบไป เหลือบตามองกระจกมองข้างก่อนถอยเข้าซองอย่างชำนาญ แล้วดับเครื่อง... เฮะ? คุณหมอครับ อย่าบอกนะว่า...

   “ผมก็ไม่ได้มาแย่งที่ใครจอดนี่ครับ”

   หมอโชว์คีย์การ์ดของคอนโดให้ผมดู ผมเห็นแถบคีย์การ์ดและหมายเลขห้องที่เป็นห้องพรีเมี่ยมชั้นบนสุดซึ่งมีเพียงหกห้องของโครงการ เป็นห้องแบบ Duplex Premium ซะด้วย

   เชี่ย! บังเอิญในโลกมีจริงว่ะ

   หมอเปิดประตูรถลงไปทำผมรีบลงตาม คนตัวสูงหิ้วกระเป๋าเอกสารของตัวเองลงจากรถ กดล็อคประตูผ่านรีโมทแล้วเดินนำหน้า ปล่อยให้ผมเดินตามแผ่นหลังกว้างไปขึ้นลิฟต์ที่เชื่อมลานจอดรถกับตึกอาศัย

   ผมเห็นคุณหมอกดลิฟต์ชั้นบนสุด เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ผมจึงค่อยๆ เขยิบเข้าไปใช้นิ้วจิ้มที่ชั้น 9 ของตัวเอง ห้องของผมเป็นห้องธรรมดาแต่ราคาก็สากรรจ์อยู่ ขนาด 32 ตารางเมตรที่ป๊าดาวน์ให้แล้วผมผ่อนเอง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเลือกมาทำงานมาที่บริษัทปัจจุบันด้วยแหละครับ เพราะเงินเดือนและสวัสดิการค่าเดินทางล้วนๆ

   “เอ่อ... ขอบคุณที่ดูแลครับ”

   ผมทิ้งท้ายไว้ก่อนออกจากลิฟต์โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าหมอ ก้มหน้าก้มตาเดินออกมาเลย

   จนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนใบหน้าเรียบนิ่งหลังจากที่ผมมุดหัวมุดหางออกจากลิฟต์มา

   

   ปวดแฮะ...

   ผมนอนบิดสักพักก็ตัดสินใจลุกขึ้นมากินยาแก้ปวด ผมทนมาพักนึงแล้ว คงต้องพึ่งยา ไม่งั้นคืนนี้นอนไม่หลับแน่นอน

   เช้าวันจันทร์ ผมมาทำงานด้วยความร่าเริงเหมือนเดิมหลังจากหายหน้าหายตาไปสองอาทิตย์เต็มๆ ตอนนี้ทุกคนเข้าโปรเจคใหม่แล้ว ผมโดนจัดให้อยู่ทำ Look development  ไปก่อน แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งหน้าที่ประจำ แต่พี่อัฐบอกว่าช่วงนี้ให้ทำงานเบาๆ ไปก่อนจนกว่าจะหายสนิทดี ผมจึงยอมก้มหน้ารับไม่เถียง เมื่อถึงเวลาเที่ยงเป๊ะ บรรดาขนมปัง อาหารว่างก็ถูกประเคนให้จนผมตกใจ เพราะไม่ใช่จากพวกพี่เจี้ยนหรือพี่ดิน แต่เป็นจากบรรดาคนอื่นๆ ในทีมที่ปกติจะไม่ค่อยสุงสิงกันเท่าไหร่

   สงสัยไอ้อาการสาดเลือดที่บริษัทวันนั้นจะทำให้ตำแหน่ง ‘ลูกรัก’ ของผมสั่นคลอนแฮะ มันก็ดี พวกเขาจะได้เลิกเข้าใจผิดว่าผมง่ายๆ สบายๆ เสียที

   “ยังเจ็บอยู่มั้ยวะ ไอ้ข้าว” พี่โรม Composite Senior ที่พี่อัฐเคยจะโยนงานที่ค้างเดนของผมให้เข้ามาทักช่วงพัก ผมยิ้มตอบกลับ

   “ไม่ค่อยแล้วพี่”

   “วันนั้นพี่แทบช็อก เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ พี่อัฐถึงเรียกเข้าไปขอให้ช่วยข้าว” พี่โรมหัวเราะ พี่ดินหันเก้าอี้กลับมากอดอกแขวะ

   “แหมะ! ไม่ใช่ว่ามึงคิดว่าน้องโยนงานให้เหรอวะ” พี่ดินกับพี่โรมแขวะกันเป็นประจำอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ผมเลิกคิ้ว ขณะที่พี่โรมชี้หน้าพี่ดิน

   “อย่าหาเรื่องกูไอ้เชี่ยดิน พี่อัฐเรียกกูไปวันที่ข้าวมันพ่นเลือดพอดี เดี๋ยวมึงโดน”

   “เหรอวะๆๆ”

   “รำคาญวุ้ย!” พี่โรมกลับไปนั่งที่ด้วยความรำคาญ พี่ดินหัวเราะหึชอบใจที่เอาชนะได้ ก่อนยกขาพาดเก้าอี้ตัวข้างๆ ที่ว่างอยู่ แล้วจ้องหน้าผม

   “มึงโอเคแน่นะ หิวข้าวยัง เดี๋ยวกูลงไปกินเป็นเพื่อนก่อน”

   ปกติพวกผมกินข้าวไม่ตรงเวลากันอยู่แล้ว บางวันรอตรวจงานยาวถึงบ่ายสอง ไอ้เที่ยงแล้วกินข้าวน่ะไม่ค่อยมีเท่าไหร่

   “ไหวพี่ ดูดิ ขนมเต็มโต๊ะ ผมรองท้องก่อนได้”

   “ดี” พี่ดินหันไปตะโกนเรียกพี่เจี้ยนที่ใส่หูฟังฟังเพลง แต่หน้าแทบจะติดจอคอมอยู่แล้ว “เชี่ยเจี้ยน! แดกข้าว!”

   “แม่งเอ้ย! สีนี้มันดูดมาจากอะไรวะ เหี้ย... กูต่อโนดอะไรของกูเนี่ย”

   พี่เจี้ยนงึมงำบ่นกับตัวเอง มือลากเมาส์หาข้อผิดพลาดไม่สนใจโลกรอบข้าง จนพี่ดินลุกขึ้นโบกหัวพี่แกหนึ่งที พี่เจี้ยนสะดุ้งโหยง ถอดหูฟังออกแล้วด่ากลับ

   “เชี่ยไรเนี่ย”

   “แดกข้าว!” พี่ดินตะโกนใส่หู พี่เจี้ยนกำลังจะอ้าปากค้าน แต่พอเหลือบมาเห็นผมที่มองตาปริบๆ ไอ้พี่เจี้ยนก็ลุกขึ้นทันที ตะโกนข้ามโต๊ะไปหาเนกับฟาง

   “เน! ฟาง! แดกข้าว!”

   “พวกพี่เล่นอะไรกันเนี่ย” ผมหัวเราะงงๆ

   ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เนกับฟางก็เด้งตัวคว้ากระเป๋าเงินตัวเองทันที

   “กูกลัวมึงสาดเลือดที่บออีก เพราะฉะนั้น แดกข้าว!”

   พี่เจี้ยนว่าไว้

   ส่วนผมนั้น ทำได้แค่ยิ้มแห้งอีกแล้วครับ...




งื้อ ดีใจจังมีคนมาเม้นต์ด้วย

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 2 (23/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-10-2019 06:35:20
ใส่วันที่อัปด้วยจ้า รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 2 (23/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 23-10-2019 19:55:26
เจอคุณหมอเวอร์ชั่นได้นอนแล้ว 5555  น้องปั้นไม่มีหวั่นไหวกับเฮียคินบ้างเหรอคะเนี่ยย ~ 
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่3 (24/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 24-10-2019 20:01:28
Chapter – 03

หมอครับ After Effect ไม่ใช่โปรแกรมตัดต่อ



   ผ่านมาสองอาทิตย์แล้ว ผมกินข้าวได้น้อยลง แต่ก็พยายามกินให้ครบตลอดและทานยาตามหมอสั่ง แค่รู้สึกว่าช่วงนี้อาการมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่

   ผมลากสังขารตัวเองกลับจากบริษัทตอนสองทุ่ม กำลังยืนรอลิฟต์เพื่อขึ้นห้องตัวเอง ผมรับรู้ได้ว่ามีลูกบ้านคนอื่นเดินมายืนรอลิฟต์อยู่ข้างๆด้วย ผมขยับให้แต่ไม่ได้มอง เพราะผมรู้สึกพะอืดพะอมอยากอ้วก!

   ผมยกมือขึ้นปิดปาก พยายามกลืนของในลำคอกลับลงไป เสียงลิฟต์มาพอดีทำให้ผมเดินตัวงอเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว แต่พอจะเหลือบตาเพื่อกดเลขชั้นเท่านั้นแหละ โลกมันก็เอียง ของที่อยู่ในคอพลันถูกขย้อนออกมา จนในที่สุด...

   อ้อก!!

   ผมเอาของเก่าออกมา ในใจคิดว่าต้องโดนคนที่เข้าลิฟต์มาด้วยกันขยะแขยงแน่นอน แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น... เสื้อสูทเนื้อดีถูกเอามารองอ้วกผมไว้ทัน เนื้อผ้าหนาจนของเหลวไม่ทะลุออกมา มือใหญ่ประคองเสื้อไว้ข้างนึง ส่วนอีกข้างโอบไหล่ผมแน่นก่อนจะใช้ข้างที่โอบไหล่เอื้อมไปกดหมายเลขชั้น ผมประคองเสื้อไว้มือสั่น น้ำหูน้ำตาไหล ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

   “อดทนแป๊บนึงนะ”

   เสียงทุ้มคุ้นๆ ทำให้ผมเหลือบมองทั้งน้ำตา ผมไม่ได้ซึ้งอะไรหรอกนะ น้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าทุกครั้งทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย มือใหญ่ที่สอดใต้รักแร้แข็งแรงจนสามารถหิ้วร่างผมได้ นัยน์ตาคู่สวยสีประหลาดมองผมอย่างเป็นห่วง

   เป็นห่วง? ไม่มั้ง... ผมคงคิดไปเอง

   ผมหลับตาลง รู้สึกหน้ามืด หัวบีบรัด มวนท้อง อยากอ้วกอีกรอบแต่ก็ฝืนไว้ จนกระทั่งประตูลิฟต์เปิด

   “เดินตามผมไหวไหม”

   ผมได้ยินนะ แต่อาการตอบสนองของผมมันทำได้แค่พยักหน้าเบาๆ เบาจนคนถามไม่เห็น

   “ข้าวปั้น ได้ยินผมอยู่ไหม”

   เขาถามย้ำ ใจผมนี่วูบเลยครับเมื่อหมอเรียกชื่อผมครั้งแรก ผมพยายามส่งเสียงตอบ เหม็นอ้วกตัวเองจนทำให้อยากอ้วกอีกรอบ

   “ครับ”

   ผมสะโหลสะเหลเดินตามคนสูงกว่าแบบไม่รู้หนทาง ได้ยินเสียงปลดล็อคประตูก่อนจะถูกพาไปยังห้องน้ำ เขาประคองร่างสั่นๆ ของผมให้นั่งลงหน้าชักโครก

   ผมจัดการปลดปล่อยสิ่งที่กลั้นเอาไว้อย่างลืมอายไปเลย ของที่ออกมาก็เป็นจำพวกข้าวกลางวันที่พยายามกินเข้าไปกับของว่างอีกนิดหน่อย มือใหญ่แข็งแรงช่วยลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน พอสงบ หมอก็ยื่นแก้วน้ำเปล่ามาให้ ผมรับมากลั้วปากแล้วบ้วนทิ้ง

   “สบายขึ้นมั้ย ไปโรงพยาบาลดีรึเปล่า?”

   ผมส่ายหน้า กดชักโครกพลางใช้มือเช็ดปาก แต่หมอกลับยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้ผมแทน ผมส่ายหัวปฏิเสธอีกรอบ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ

   หมอวางผ้าขนหนูไว้ที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าก่อนจะฉุดข้อศอกผมให้เดินตามออกมา แขนเสื้อเชิ้ตของหมอถูกถลกขึ้นถึงศอกลวกๆ กระดุมคอถูกปลดออก ดูท่าเขาจะรีบมากเลยทีเดียว

   “นั่งตรงนี้ครับ” หมอชี้ไปที่โซฟาเบดตัวยาวสีเทานุ่มกลางห้อง ผมนั่งลงตามคำสั่ง พิงพนักโซฟาแล้วปิดตาอย่างเพลียๆ ก่อนจะลืมขึ้นเพื่อมองไปรอบๆ ห้องที่เผลอเดินตามเขามา

   ห้องหมอเหรอวะ! กูตามมาถึงนี่ได้ไง

   คิดได้ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นจนหน้ามืดอีกรอบ ท้องบิดมวน ทรุดกลับไปนั่งลงตามเดิม สูดหายใจเข้าลึกๆ และยอมเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนนั่งเฉยๆ

   ห้องของหมอช่างต่างจากห้องราคาธรรมดาของผมอย่างสิ้นเชิง เป็นห้องเข้ามุมแบบ Duplex เพดานสูงเทียบกับห้องแบบบธรรมดาสองชั้น ระเบียงชั้นสองมีประตูห้องอยู่สามบาน พื้นเป็นแบบไล่ระดับลงมาจนเป็นโซนนั่งเล่นกลางห้อง โคมไฟระย้าดีไซน์เรียบหรูดูแพงห้อยอยู่เหนือศีรษะ

   “เอาแขนมาครับ ผมจะวัดความดัน”

   หมอเดินกลับมาพร้อมอุปกรณ์แพทย์ทั้งกระเป๋า ผมยกมือขึ้นโบกรัวๆ ปฏิเสธ

   “ไม่เป็นไรครับหมอ ผมว่าผมโอเคแล้ว เดี๋ยวกลับห้องไปกินยาแล้วพักผ่อนก็น่าจะดีขึ้นครับ”

   หมอมองหน้าผมนิ่งๆ เขานั่งลงบนเก้าอี้เล็กระดับเดียวกับโซฟาด้านหน้า ก่อนจะดึงแขนผมอย่างเบามือแต่แน่นมาก

   “เป็นอาฟเตอร์เอฟเฟคที่อาจเกิดหลังผ่าตัดกระเพาะน่ะครับ ช่วงนี้ขอให้กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เว้นๆ พวกเนื้อสัตว์จะดีมาก ทานอาหารประเภทผักผลไม้เยอะๆ หน่อย ถ้าจะให้ชัวร์ทานพวกวิตามิน B12 เสริมเข้าไปด้วยจะดีมากครับ” หมอสั่งไปด้วยวัดความดันไปด้วย

   “อาฟเตอร์เอฟเฟค (Ae) นี่มันโปรแกรมตัดต่อไม่ใช่เหรอครับ” ผมลองแหย่มุข หมอเงียบมองจนผมแหยยิ้ม ได้ยินเสียงเครื่องวัดความดันชัดทีเดียว

   “ผมแค่ไม่อยากให้หมอเครียด”

   ผมเห็นนะว่าเขาถอนหายใจใส่ผม

   “ความดันต่ำ พักผ่อนน้อยหรือเปล่าครับช่วงนี้” หมอถอดปลอกแขนวัดความดันออกจากแขนผม

   “ก็ไม่น้อยนะครับ ประมาณ... เจ็ดชั่วโมง”

   “เจ็ดชั่วโมงเนี่ย นอนกี่โมง ตื่นกี่โมงครับ”

   เชี่ย! เหมือนหมอแม่งรู้

   “กะ... ก็ นอนประมาณตีสอง ตื่นประมาณเก้าโมงครับ”

   “เลิกพฤติกรรมบั่นทอนชีวิตตัวเองได้แล้วนะครับ นอนก่อนเที่ยงคืนแล้วตื่นมาทานข้าวเช้าก่อนเก้าโมงจะดีกว่า ไม่งั้นมันไม่เรียกว่าข้าวเช้าหรอกครับ”

   ผมหน้าแหยไปเลย หมอด่ากูอีกแล้วครับม๊า...

   “แต่หมอก็นอนไม่เป็นเวลาเหมือนกันนี่ครับ”

   หมอมองหน้าผม ก่อนจะก้มลงดันแว่นจากตรงกลางแล้วเงยหน้ามองใหม่ ผมผงะเล็กน้อย ลืมตัวพูดมากอีกแล้วกู

   “ผมทำเพราะหน้าที่ครับ”

   “ผมก็ทำตามหน้าที่เหมือนกันหมอ” ผมเถียง แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วการที่ผมนอนตีสอง ตีสามมันเป็นเพราะผมดูอนิเมะ ดูหนังหรือเล่นเกมมากกว่า แต่เขาไม่รู้นี่นา หมอถอนหายใจยาว

   “ไม่งั้นก็เจอกันอีกรอบที่โรง’บาลครับ”

   ว้อท เดอะ ฟ....!! หมอแช่งผม!

   ผมหน้างอง้ำเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้

   “เออใช่ หมอครับ เสื้อสูทของหมอ เดี๋ยวผมเอากลับไปส่งซักให้นะครับ ผม... ผมว่ามันเลอะ” ผมรีบทวงก่อนที่หมอจะเอาอุปกรณ์การแพทย์ไปเก็บ หมอหันกลับมาแล้วบอกปัดไม่ใส่ใจ

   “ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็จะส่งซักอยู่แล้ว”

   “ไม่ดีมั้งครับหมอ ผมว่าผมเอากลับไปซักให้ดีกว่า” ใครจะกล้าให้คนอื่นยุ่งกับอ้วกตัวเองล่ะ

   “ข้าวปั้น”

   จู่ๆ หมอก็เรียกชื่อผม... อีกแล้ว ขนลุกแปลกๆ หมอเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง ตาสีเขียวดุขึ้นมาทันที

   “อย่าดื้อให้มากได้มั้ยครับ”

   ปุ้ง!! ผมหน้าร้อนวาบทันที ชะ... เชี่ย... หมอคิดว่าผมเป็นเด็กสามขวบรึไงวะถึงมาดุกันแบบนี้น่ะ สายตาเลิ่กลั่ก หมอเดินเอาอุปกรณ์ไปเก็บในห้อง ก่อนจะเดินกลับมา จังหวะเหมาะกับที่ม๊าวิดิโอคอลมาพอดี

   ผมมองมือถือแบบไม่รู้ว่าจะกดรับดีมั้ย ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นหยิบกระเป๋าตัวเอง แต่หมอกลับรั้งผมไว้ พเยิดหน้าไปยังมือถือ

   “รับสิครับ เดี๋ยวสายก็วางไปหรอก”

   “หมอ เดี๋ยวผมกลับไปคุยที่ห้องดีกว่าครับ”

   “คุณยังไปตอนนี้ไม่ได้ครับ” หมอชูกล่องยากับเข็มฉีดขึ้นมาให้ผมดู “ยาระงับปวดเฉพาะทาง วันนี้คุณจะได้หลับสบายขึ้น”

   ทำไมหมอมีของแบบนี้ในห้องได้วะ

   “รับสิ” หมอเร่ง ผมมองมือถืออย่างลำบากใจก่อนจะกดรับ ยิ้มหน้าแป้นให้ม๊าที่แทบจะตะโกนด่าผมเป็นคำทักทาย

   [“รับช้า! ข้าวปั้น กลับหอยังลูก”]

   “กะ... กลับแล้วม๊า กลับแล้ว ตะโกนทำไมเนี่ย”

   ผมพยายามเอาหน้าชิดกล้องมากที่สุดเพื่อไม่ให้เห็นบรรยากาศในห้อง ม๊าจะได้ไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ห้องผม

   คุณหมอก็ใจดี เดินไปวางยากับเข็มไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา ก่อนเดินหลบออกไปทางโซนครัวเพื่อชงอะไรดื่ม ไม่อยู่ฟังการพูดคุยของผมกับครอบครัว

   [“หืม! จริงนะ? กินข้าวยัง?”]

   เอ่อ คำถามโลกแตกบ้านผม

   “กินแล้วม๊า” ผมมองไปทางร่างสูงที่ยืนพิงเคาน์เตอร์บาร์ เห็นว่าเขากำลังเล่นมือถืออยู่ไกลๆ หวังว่าเขาจะไม่ได้ยินนะ ผมพยายามเบาเสียงลำโพง

   [“เหรอ ดีแล้ว อ่ะป๊าจะคุย”] แล้วม๊าก็ส่งมือถือให้ป๊าที่นั่งที่อยู่ตรงโต๊ะกินข้าว โห กับข้าวน่ากินชะมัด ป๊ายิ้มใจดีให้ผม

   [“กินข้าวยังปั้น?”]

   “กินแล้วป๊า ป๊ากำลังจะกินข้าวใช่มั้ย ปั้นเห็นกับข้าวเยอะแยะเลย” ผมยิ้มร่า ป๊าหัวเราะ [“อยากกินก็กลับบ้านสิ ฝีมือม๊าไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว”]

   [“ป๊าถึงไม่ยอมไปกินไหนไง จริงมั้ยป๊า ฮ่าๆๆ”] ม๊าพูดแทรกขึ้นมา ป๊าทำหน้าเออออไปไม่อยากขัดใจภรรยา ส่วนผมทำหน้าหมั่นไส้ เหม็นความรักบ้านนี้

   “ปีใหม่กลับแน่นอนครับ!”

   [“โอเคๆ พักผ่อนเยอะๆ นะปั้น ป๊าเป็นห่วง”] ป๊าไม่พูดเยอะเหมือนเดิม ทิ้งท้ายด้วยคำสั่งยาวเหยียดจากม๊าผมก่อนวางสายไปในที่สุด พอผมดูเวลาสิ้นสุดการโทร ปรากฏว่าประมาณแปดนาที... นานเหมือนกันแฮะ

   ผมเก็บมือถือ เหลือบมองคนที่ยังยืนจิบอะไรซักอย่างอยู่ที่เดิม นี่เขายืนรอผมเกือบสิบนาทีเลยเหรอ

   “เอ่อ... ขอโทษครับหมอที่คุยนาน”

   คุณหมอเงยหน้าขึ้น เก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง ก่อนเดินถือถ้วยแก้วของตัวเองมาพร้อมกับอีกใบที่ยังร้อนๆ อยู่

   “คุณนี่โกหกไม่เนียน แต่ม๊าคุณก็ยังเชื่อแฮะว่ากินข้าวแล้ว”

   แปลว่าเขาฟังอยู่สินะ!

   “ผมไม่ได้โกหกนะ แค่ไม่ได้บอกว่ามื้อไหน” ผมชักสีหน้า หมอเอียงคอ ก่อนยื่นถ้วยโกโก้ร้อนให้ผม ส่วนของหมอคงเป็นชาร้อน ผมได้กลิ่น

   “ดื่มก่อนครับ รองท้อง นี่จะสามทุ่มแล้ว”

   จะปฏิเสธก็ไม่กล้า เขาชงมาแล้ว ด้วยความเสียดายของจึงยอมเอื้อมมือไปรับถ้วยสีครีมมาซด หมอทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเข็มที่ยังไม่ได้ใช้มาดูดยาจากขวดเล็กๆ แล้วพ่นออกมาเล็กน้อยเพื่อให้ได้ปริมาณที่กำหนด จากนั้นค่อยเอื้อมไปหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์ขึ้นมา

   “มาครับ ฉีดยาก่อน”

   “ผม... ผมต้องเสียเงินมั้ยครับ”

   ผมยื่นแขนไปให้อย่างเก้ๆ กังๆ หมอชะงักมือที่กำลังจะป้ายสำลีชุบแอลกอฮอล์ที่ต้นแขนเพื่อฆ่าเชื้อ เอ่อ... ผมถามอะไรไม่เข้าท่าอีกแล้วใช่ปะ?

   “ถ้าผมคิดเงิน ผมจะกลายเป็นหมอหน้าเลือดทันทีเลยครับ” หมอเอาสำลีทิ้งถังขยะใกล้ๆ เขาลงมือเอาเจ้าเข็มยาวๆ แหลมเปี๊ยบนั่นแทงเข้าที่ต้นแขนผม ร่างผมสะดุ้งเบาๆ สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บจี๊ด

   “ขอบคุณสำหรับยา แล้วก็โกโก้ แล้วก็...” ผมกระดากที่จะพูดต่อจริงๆ เรื่องสูท

   “รักษาสุขภาพตัวเองเถอะครับ หมออย่างเราช่วยคนไข้ได้แค่ปลายเหตุ ต้นเหตุนั้นตัวคนไข้ต้องรู้จักดูแลรักษาร่างกายของตัวเอง”

   เอ้อ หมอคนเดิม เพิ่มเติมคือคำเทศน์

   ผมบอกลาหมอที่ออกมาส่งถึงหน้าประตูห้อง ผมกดลิฟต์ลงไปยังชั้น 9 และทันทีที่เข้าห้องก็รีบงัดเอากับข้าวเมื่อวานมาอุ่นแล้วกินทันที

   เหมือนเด็กเวลาโดนครูดุเลยกูเนี่ย



เพิ่งเคยอัพ ไม่รู้จะตอบคอมเม้นต์ยังไงอ่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะถ้าไม่ได้ตอบน่ะค่ะ ศึกษาแป๊บ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 3 (24/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 24-10-2019 23:19:51
หมอชอบมาตั้งแต่เด็กรึป่าว??  น่าอ่าน,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่4 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 25-10-2019 20:03:54
Chapter – 04

หมอครับ จ่ายตลาด



   ในที่สุดก็ถึง Happy Friday ที่เหล่าพนักงานออฟฟิศรอคอย

   ออฟฟิศอื่นนะ ไม่ใช่ออฟฟิศผม...

   “โรม วันนี้หกชอตทันมั้ย ต้องส่งลูกค้าก่อนสี่โมง” พี่อัฐเดินเข้ามาถามที่โต๊ะ หลังจากที่ Co-Producer เข้ามาจะแหกอกพี่อัฐตอนก่อนเที่ยง งานเร่งงานด่วนอีกแล้วโว้ย พี่โรมที่นั่งหน้ายุ่งอยู่กับจอตัวเองขยี้หัว

   “ขอสี่ครึ่งได้ป่ะครับ เรนเดอร์  ไม่ทัน ภาพละสิบห้านาทีครับ” พี่โรมมองนาฬิกา

   “ตอนนี้จ็อบโรมเข้ากี่เครื่อง”

   พี่โรมเปิดหน้าต่าง Deadline Monitor  ขึ้นมาเพื่อเช็คคิวเรนเดอร์ของตัวเอง

   “20 ครับ”

   “450 เฟรม  พี่ว่าไม่น่าจะทัน เดี๋ยวเพิ่มเครื่องให้”

   “ครับๆ” พี่โรมปั่น Composite ต่อไป เอาล่ะ โต๊ะถัดจากพี่โรมก็กูเนี่ย

   “ข้าวปั้น เป็นไงบ้าง วันนี้ส่ง Turn  ลูกค้าตอนหกโมงนะ แจนมันจะแหกอกพี่แล้ว” พี่อัฐเข้ามาทวงงานผมต่อ ผมชี้ไปที่เครื่อง “จ็อบรูดครับ ทุกเครื่องเลย เหลือเรนเดอร์อีกหนึ่งตัว”

   “กรรม! เฮ้ย บอก pipeline  ดิ๊ ไอ้เครื่อง Peter กับ Mina มันไม่ยอมเรนเดอร์” พี่อัฐตะโกนข้ามโต๊ะบอกเมเนเจอร์ทีมผม พี่เมย์รับทราบคำสั่ง

   “ทีมที่ทำ WMD เปิดเรนเดอร์ให้ 2k แป๊บ พี่ขอหนึ่งชั่วโมง ไปพักเบรกกันก่อน” พี่อัฐสั่ง ซึ่งทีม WMD ที่ว่าก็คือชื่อโปรเจคแบบย่อๆ นั่นเอง แล้วทีม 2k ก็คือผม พี่โรม ฟาง แล้วก็น้องหนึ่ง พนักงานใหม่สดที่เข้ามาถูกเวลาจริงๆ เพราะงานน้องคืองานที่โดนเทรดไปจากผมนั่นเอง น้องหนึ่งเริ่มลนกับงาน comp ของตัวเอง

   “พะ... พี่ข้าวคะ คือหนึ่งถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” น้องหนึ่งโผล่หน้าขึ้นมาขอความช่วยเหลือจากฝั่งตรงข้ามผม ผมปล่อยเรนเดอร์อย่างเดียว จึงทำได้แค่นั่งรอ พอน้องเรียกเลยไถลเก้าอี้ไปหา

   “ว่าไงครับน้องหนึ่ง”

   “คือ... หนึ่งหาที่ผิดไม่เจอ ไม่รู้แก้ไงอ่าค่ะ พี่อัฐเร่งหนึ่งยิกๆ แล้วอ่ะ”

   น้องน้ำตาคลอเบ้า ผมเข้าใจน้องนะ ยิ่งลนยิ่งหาที่ผิดไม่เจอโดยเฉพาะกับงานตัวเอง ผมจึงบอกให้น้องขยับไปหน่อย ขอคีย์บอร์ดกับเมาส์มารื้อให้น้อง คิดว่าถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยเรียกพี่ดิน

   ดีนะที่น้องทำตามที่พี่ดินสอนก่อนหน้านี้ จึงทำให้ผมรื้อไม่ยาก ถ้าเป็นวิธีไอ้เน ผมยอมแพ้เลยครับ รื้อยากกว่าผมอีก ดังนั้นผมจึงหาที่ผิดให้น้องเจอโดยใช้เวลาไม่นาน น้องหนึ่งแทบกราบผม ก่อนจะรับมาทำต่อจนเสร็จทันเวลา

   ในที่สุด เดดไลน์ก็ทันเวลา ทีม 2k ไม่มีใครโดนด่าจากโปรดิวเซอร์ โดยเฉพาะผมที่มีโจทก์เก่าเป็นถึงท่านโปรดิวเซอร์ที่รัก!

   ก็หลังกลับมาทำงานได้สามวัน พี่ฤกษ์ก็เข้ามาทักผมตอนกำลังทานมื้อเที่ยง ท่ามกลางเพื่อนๆ ร่วมโต๊ะ หน้าพี่แกยิ้มนะ แต่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย

   ‘หายดีแล้วเหรอ ข้าวปั้น’

   ผมเอาช้อนออกจากปากแทบไม่ทัน หันกลับไปทักกลับ

   ‘หวัดดีครับ พี่ฤกษ์ ผมหายดีแล้วครับ’

   ทุกคนพากันกินข้าวเงียบๆ รอดูท่าทีของโปรดิวเซอร์จอมแสบ โดยเฉพาะพี่ดินที่ดูไม่ชอบขี้หน้าพี่ฤกษ์ที่สุด

   ‘พี่อุตส่าห์ทักไป ไม่เห็นแจ้งเตือนข้อความพี่เหรอ’

   ‘เฮะ? เอ๋... ทักมาเหรอครับ ผมไม่เห็นรู้เลย...’ ผมโกหกหน้าใส ‘คงเป็นเพราะผมไม่ได้เป็นเฟรนด์กับพี่ฤกษ์ สงสัยมันจะไม่แจ้งเตือนมั้งครับ’

   พี่ฤกษ์ยิ้ม

   ‘ช่างมันเถอะ หายก็ดีแล้ว งานของเรากองบานเลยนะ อ้อ... ลืมไป โดนอัฐมันแจกไปให้คนอื่นแล้วนี่ เฮ้อ! ดีจังเลยนะ เป็นลูกรักเจ้าอัฐ’

   พี่ดินแทบโยนช้อนแต่ผมแตะขาพี่แกไว้ด้วยปางห้ามญาติ หัวเราะเป็นปกติ

   ‘เกือบแย่เหมือนกันพี่ ดีนะที่ทีมผมพี่ๆ เขาใจดี ยอมช่วย ถ้าไม่ได้ทีมผมนี่แย่เลยครับ’ ผมตอบกลับ แอบแซะเล็กน้อยว่าทีมอื่นน่ะ ไม่มีทางยอมโยนงานให้กันแน่นอน ใครตายคนนั้นรับ

   ‘อ๋อเหรอ กินข้าวให้อร่อยนะน้องๆ’

   หลังจากพี่ฤกษ์เดินไป พี่ดินแทบจะเขวี้ยงช้อนตามหลัง ฟางแสยะยิ้ม

   ‘ต้องทำงานด้วยกันไปอีกกี่โปรเจควะคะ’

   ไอ้เนส่ายหัว ‘ทำใจว่ะฟาง เงินเดือนเขาสูงกว่าเรา’

   พี่เจี้ยนหันมาถามผมเรื่องแชท ‘หมาบ้ามันทักมึงไปเหรอ ผิดปกติชะมัด’

   ‘ผมเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็น ไม่อยากยุ่งเกี่ยว’ ผมยักไหล่

   คนพรรค์นั้น ให้พี่อัฐต่อกรคนเดียวพอ...



   และเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์แถมได้เลิกงานเร็ว ผมจึงแวะเซนทรัลเสียหน่อยเพื่อหาซื้อของสดไปทำอาหาร วันเสาร์-อาทิตย์จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าข้าว

   ผมเข็นรถเข็นไล่ดูของบนชั้น ลองนึกดูว่ามีอะไรหมดหรือขาดบ้างจะได้ซื้อไปทีเดียว หยิบของใส่รถเข็นไปเรื่อยๆ มีทั้งขนม น้ำอัดลม อาหารสำเร็จรูป ผักผลไม้บ้าง ตามที่ตัวเองพอจะเอาไปทำอาหารเป็น และก็ของใช้ส่วนตัวต่างๆ

   ผมจอดรถเข็นไว้แล้วหยุดเลือกอาหารแมวที่กำลังจะหมดให้เจ้าปั้นสิบ แมวพันธุ์บริทิช ชอตแฮร์สีเทาอ้วนตาขวางโลกของผม ก่อนหน้านี้มันค่อนข้างกินยาก ถ้าเลือกได้นางจะเลือกกินอาหารสดมากกว่าอาหารเม็ด ผมจึงดัดนิสัยโดยให้อดข้าวแม่งเลย จากนั้นมาผมให้อะไรนางก็กินหมด

   ปึ้ก!

   “อ๊ะ! ขอโทษครับ... เอ๊!”

   ผมที่เงยหน้ามองอาหารแมวบนชั้นเดินถอยหลังมากไปจนไปชนปึ้กเข้ากับคนที่เดินดูของอยู่ด้านหลัง พอหันกลับไปจะขอโทษเท่านั้นแหละ ผมถึงกลับร้องออกมาอย่างตกใจ

   คุณหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือผมไม่ได้เซต...

   เส้นผมของเขาหยักศกเล็กน้อยและเริ่มยาวแถมไม่ได้เซตเหมือนเก่า หรืออาจจะเซตหลุดจนผมหน้าตกลงมาปรกหน้าผากกว้าง ทำให้หมอดูเด็กลงไปเยอะเลย เขากำลังถืออาหารปลาสองยี่ห้ออยู่ ท่าทางเหมือนกำลังเลือก

   “หมอ เอ่อ สวัสดีครับ”

   ผมยกมือไหว้ หมอผงกหัวรับนิ่งๆ มองผมก่อนจะเหลือบไปมองของในรถเข็น

   “ซื้อของเข้าห้องเหรอครับ”

   “ครับ” ผมตอบกลับ มองรถเข็นหมอบ้าง ในรถมีแต่ของสุขภาพดีทั้งนั้น ในขณะที่รถของผมมีแต่ของขบเคี้ยว หมอหรี่ตา ดันแว่นขึ้น

   “กระเพาะเพิ่งจะหายทะลุ คุณจะเจาะกระเพาะตัวเองอีกรอบด้วยน้ำอัดลมเหรอครับ”

   แหงะ!! หมอ!

   “เอ่อ... ผม... ผมแค่ซื้อไว้เผื่อเพื่อนมาห้องน่ะครับ”

   ผมตอแหลน่ะ กินเองเนี่ยแหละ

   “ติดอ่างอีกแล้วนะครับ” หมอส่ายหัว เลิกสนใจผม ก่อนก้มลงมองอาหารปลาสองยี่ห้อในมือ เหมือนเขากำลังชั่งใจ ผมเห็นเขามองส่วนผสมอยู่นานมาก... จนอดไม่ไหว

   “ซื้อยี่ห้อขวามือสิครับ พี่สาวผมก็ให้อาหารปลาด้วยยี่ห้อนั้นอยู่ ทำให้สีสวยและน้ำไม่เหม็นด้วยนะครับ” ผมลองแนะนำแบบหยอดๆ ไป

   คุณหมอมองซักแป๊บ ก่อนเอายี่ห้อที่ผมแนะนำคืนชั้นไป และวางอีกยี่ห้อลงในรถเข็น

   เชี่ยหมอ! นี่มันหักหน้ากันชัดๆ!

   เหมือนหมอจะรู้ว่าผมไม่พอใจ เพราะผมหันขวับกลับทันทีที่หมอวางอีกยี่ห้อลงในรถ โอเค ขอโทษที่เสือกครับ กลับมาเลือกอาหารแมวต่อก็ได้วะ!

   “ซื้ออาหารแมวเหรอครับ”

   ผมอยากทำหูทวนลมจริงๆ แต่ด้วยมารยาทมันก็ไม่ควร ผมจึงตอบไปด้วยหยิบถุงอาหารแมวมาอ่านไปด้วย   “ครับ”

   “ผมว่ายี่ห้อนี้กว่านะครับ ไม่เค็มมาก ดีต่อสุขภาพแมวโดยเฉพาะถ้าแมวพันธุ์ต่างประเทศ”

   ผมแสยะยิ้ม เรื่องอะไรจะเชื่อ ผมวางไอ้ที่ผมดูลงในรถเข็นบ้าง

   “ผมชอบยี่ห้อนี้ แมวผมก็ชอบ”

   “นอกจากตัวเองจะกระเพาะทะลุแล้ว อยากให้แมวเป็นโรคไตเหรอครับ” หมอหันมาจับรถเข็นตัวเองบ้าง “คนทำประกันได้ แต่แมวไม่มีประกันนะครับ ค่าผ่าตัดคุณจ่ายไหวเหรอ”

   ผมกัดฟันกรอด

   ก่อนจะยอมเปลี่ยนแต่โดยดี...

   ผมแพ้ครับ...



   ผมเอาของมาคิดเงินที่เคาน์เตอร์ ข้าวของต่างๆ ถูกจัดใส่ถุงพลาสติกประมาณหกเจ็ดถุง สงสัยต้องขึ้นแท็กซี่กลับ ผมเข็นรถออกมาจากช่องเคาน์เตอร์หลังจากรูดบัตรเรียบร้อย กะจะเดินไปทางออกเพื่อโบกรถ แต่กลับเห็นร่างสูงน่าดึงดูดยืนพิงเสารอใครอยู่ ข้างๆ มีรถเข็นที่จ่ายเงินแล้วหลบมุมไว้ ผมเห็นนะว่าสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านไปแอบกระซิบกระซาบมองแบบเหลียวหลังกันแทบทุกคน แต่เจ้าตัวกลับยืนกอดอก ก้มมองเท้าตัวเองแบบคนขี้เกียจจะมองอะไร แล้วก็เหมือนรู้ว่าผมมองอยู่ หมอเงยหน้าขึ้นมาสบตาก่อนจะเดินเข้ามาหา

   “คุณกลับยังไง?”

   ผมหยุดรถเข็นแล้วตอบอ้อมแอ้ม ยังเคืองเรื่องอาหารปลาไม่หาย

   “ก็... แท็กซี่ครับ”

   “งั้นกลับกับผมมั้ยครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน” หมอถาม ผมกระตุกยิ้มข้างเดียวแค่นๆ เบือนสายตาหนี “หรือคุณมีที่อื่นจะไปต่อ?”

   “เปล่าครับ ผมเกรงใจน่ะ”

   คุณหมอเอียงคอ

   “ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน”

   “ตะ... แต่ของผมเยอะนะ”

   “เบาะหลังผมโล่งครับ กระโปรงเก็บของก็ใส่คุณได้ทั้งคน”

   หมอแม่ง กวนตีนผมอีกละ หมอบังคับผมโดยการลากรถเข็นผมจากด้านหน้าเบาๆ

   “ยังไงคุณก็น้องเพื่อนผม ไม่ใช่ไม่รู้จักกัน”

   หมอ! เอ็งนั่นแหละที่ทำหน้าไม่อยากรู้จักผมตั้งแต่แรกน่ะ! แต่จะเถียงอะไรได้ ทำได้แค่เข็นรถตามหมอไป ผมเหลือบตามองรอบๆ เห็นสายตาของสาวๆ พวกนั้นเปลี่ยนไปฉับพลัน...

   ผม... ผมคงคิดไปเองมั้ง...



   ออดี้คันเดิม เพิ่มเติมคือของตรงกระโปรงหน้ารถที่เต็มเอี้ยด (รถรุ่นนี้เก็บของที่กระโปรงหน้าครับ) ทั้งของของหมอและของของผม ลามไปยังเบาะหลัง ดีไม่ลามไปหลังคา คงจะตลกน่าดู ผมนั่งข้างคนขับเหมือนเดิม พอจะรัดเข็มขัดนิรภัย ผมก็สังเกตเห็นว่า หมอใช้นิ้วปรับอุณหภูมิแอร์บนพวงมาลัยให้ขึ้นมาที่ยี่สิบหกองศา จากยี่สิบองศา

   ระหว่างทางเงียบเป็นป่าช้า แม่ง โคตรอึดอัดเลยโว้ย! รู้งี้กลับแท็กซี่ดีกว่า ไอ้ข้าวปั้นเอ้ย!

   “คุณ... ไม่พอใจที่ผมไม่เลือกอาหารปลาที่คุณแนะนำเหรอ”

   เงียบมาได้ประมาณสิบนาที หมอก็เป็นฝ่ายชวนผมคุย แต่ดันเปิดประเด็นได้แย่สุดๆ

   ผมมองหวาดๆ ก่อนหัวเราะเหมือนไม่ใส่ใจพลางเกาแก้ม

   “ก็... เปล่าครับ” เปล่าเชี่ยไรล่ะ เดือดเลยครับผม

   “อาหารปลาที่คุณแนะนำมันสำหรับปลาน้ำจืดน่ะ ปลาของผมเป็นปลาทะเล ให้มันกินเดี๋ยวตาย ขอโทษนะที่ไม่พูด” หมอมองทางข้างหน้า แต่ผมอ่ะมองหน้าหมอ... ก่อนจะหน้าร้อนฉ่า กลับมาหยิกขาตัวเอง

   โชว์โง่สินะกู!

   “เอ่อ... ฮ่าๆๆ ผมผิดเองครับที่ไม่ได้ถามหมอว่าเลี้ยงปลาอะไร” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแก้เก้อ เบนหน้ามองถนนบ้าง “หมอคงเลี้ยงพวกปลาการ์ตูนอะไรแบบนี้สินะครับ”

   “เปล่าครับ ผมเลี้ยงปิรันย่า”

   “ไม่เอาเนื้อให้มันกินล่ะครับ!” ผมหันมาแหวกลับอย่างตกใจ หมอส่งเสียงหึในลำคอ

   “ผมล้อเล่นครับ เป็นปลาทะเลแหละครับ แต่ไม่ใช่ปลาการ์ตูน”

   ผมลอบสังเกตคนตัวโตที่จบบทสนทนาทั้งๆ อย่างนั้น

   หมออาจจะเป็นคนนิ่งๆ ดูหยิ่งๆ แต่ความจริงแล้วอาจจะใจดีกว่าที่ผมคิด เขาไม่รังเกียจอ้วกผม แถมยังช่วยเหลือคนแปลกหน้าอย่างผมอีกต่างหาก แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนของเฮียปุ้น แต่นั่นก็ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว... กับผม หมอจะทำเป็นคนแปลกหน้าก็ได้แท้ๆ

   วันดีคืนดีหมอยังแอบมีมุขใส่ แม้ส่วนใหญ่มักจะดุหน้าตาย

   บางทีหมอคงแค่ขี้เกียจขยับหน้า... ถ้าหมอยิ้มล่ะ

   “หมอ... ไม่ยิ้มบ้างเหรอครับ”

   อีกแล้ว! ความคิดที่มันดังจนออกปากเนี่ย เลิกเหอะ!

   หมอเบิกตาเลิกน้อย นัยน์ตาสีเขียวประหลาดเหลือบมองผม ก่อนจะเบนกลับไปมองทางต่อ ผมเอามือปิดปากตัวเอง เริ่มลนลานแก้ตัว

   “เอ่อ! อย่าพึ่งคิดอะไรแปลกๆ นะครับ! ผม... ผมแค่ ผมแค่ไม่เคยเห็นหมอทำหน้าแบบอื่น กลัวคนไข้จะหาว่าหมอหยิ่ง... เอ่อ... กรรม”

   ผมขุดหลุมฝังตัวเอง เงียบละกัน ไอ้เชี่ยปั้น มึงเสี่ยงโดนปล่อยกลางสี่แยกนะ!

   “คุณคิดแบบนั้นรึเปล่าล่ะ”

   หมอถามกลับบ้าง ผมนี่ไปไม่ถูก ขนลุกเลยครับ เหมือนแอร์ยี่สิบหกจะหนาวเกินไป

   “เอ่อ... ก็ ก็มีบ้าง... ไม่ ไม่ใช่ครับ คือหมอไม่ได้ดูหยิ่งสำหรับผมนะ หมอแค่พูดน้อยไปหน่อย ไม่สิ... เขาก็พูดตลอดนี่หว่า เฮ้ย เปล่าครับ แค่ผมไม่ค่อยเห็นสีหน้าอื่นของหมอเฉยๆ”

   อ่า... ตกม้าตายครั้งที่สอง

   หมอกระตุกมุมปากแวบเดียว แวบเดียวจนผมสังเกตไม่ทันว่านั้นยิ้มหรือเส้นกระตุก

   “คุณตลกดีนะ คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมดเลย”

   หมอแสดงออกน้อยไปมากกว่าเว้ย!

   “แอร์หนาวไปมั้ย” หมอหันมาถามเมื่อเห็นผมเริ่มเล่นกับมือตัวเอง ผมส่ายหน้า

   “แล้วเดี๋ยวหมอต้องกลับไปขึ้นเวรอีกมั้ยครับ หรือว่าเลิกงานแล้ว”

   ละลาบละล้วงเขาไปมั้ยวะ? ผมชั่งใจ แต่ก็ถามไปแล้ว โอเค... นิสัยนี้เลิกยาก หมอตบไฟเลี้ยวเตรียมเข้าคอนโด อ๊ะ... ถึงแล้วเหรอ?

   “วันนี้ผมลงเวรแล้วครับ แต่ถ้ามีเคสผ่าตัดฉุกเฉินผมก็ต้องไป”

   หมอจอดรถไว้ที่เดิม เพราะเป็นลูกบ้านชั้นวีไอพี จึงทำให้มีที่จอดรถเฉพาะของตัวเองไม่ต้องไปตบตีแย่งชิงกับคนอื่น เมื่อรถจอดสนิท ผมกับหมอเปิดประตูรถลง หมอกดเปิดกระโปรงหน้า ส่วนผมรีบเอาของที่เบาะหลังซึ่งมีแต่ของของตัวเองถึงจะเดินอ้อมไปเอาของที่กระโปรงหน้า หมอบอกให้ผมหยิบของตัวเองก่อนเพราะของผมอ่ะเยอะ ส่วนของหมอแค่สองสามถุง

   “ผมช่วยมั้ย” หมอยื่นมือมา ผมชักถุงกลับ ส่ายหัว

   “ไม่ครับ! สบายมาก”

   หมอลดมือกลับ

   “มันจะปริเอานะ แผลน่ะ”

   “ครับ?” ผมก้มลงมองพุงตัวเอง จะ... จริงเหรอ?

   “ครับ”

   หรือที่หมอชวนผมกลับด้วยกันเพราะเหตุนี้ ผมมองถุงในมือหลายใบ ก่อนจะพยายามเลือกถุงที่ดูเบาๆ ให้หมอ แต่เขากลับยื่นมือมารวบของทั้งหมดจากมือขวาผมไปถือเอง เล่นเอาผมอ้าปากค้าง ก่อนจะเดินลิ่วๆ นำขึ้นลิฟต์ไปเลย ผมทำไงได้ล่ะ รีบเดินเร็วๆ ตามเขาไปน่ะสิ

   หมอกดหมายเลขชั้น 9 ให้ตัวเอง เอ่ยขอบคุณ มองมือหมอที่ตอนนี้พะรุงพะรังไปด้วยของของผมด้วยความเกรงใจ ก่อนเอ่ยออกไป

   “หมอครับ คือ... วางก่อนมั้ยครับ ผมว่ามันหนักมากเลย”

   คนตัวสูงก้มมองของในมือแล้วส่ายหัว

   “อีกแป๊บก็ถึงแล้ว ช่างมันเถอะครับ”

   “อ่า... ครับ” ผมยืนเงียบๆ แค่นาทีเดียว ลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้น 9 ผมหันมาจะขอถุงคืน แต่หมอกลับเดินออกมาจากลิฟต์แล้วหันมาบอกผม

   “ห้องคุณอยู่ไหน?”

   “ฮะ? อะ... เอ่อหมอ...”

   “ผมหนักนะ เร็วสิครับ” หมอหน้านิ่งแต่พูดว่าหนักเนี่ยนะ ผมจึงรีบเดินนำไปด้วย ล้วงคีย์การ์ดออกมาด้วย โว้ย! บุญคุณท่วมหัวกูแล้วเนี่ย!

   คีย์การ์ดแตะลงที่ล็อคประตูอัตโนมัติของห้อง 9010 ผมผลักประตูเข้าไปก่อนเอาของทั้งหมดในมือผมวางไว้แถวๆ หน้าประตูนั่นแหละก่อนจะรีบคว้าเอาถุงของตัวเองจากมือใหญ่มา เหลือไว้สองสามถุงที่เป็นของหมอ แล้ววางลงตาม หันมายกมือไหว้ขอบคุณเขาตามารยาทของผู้น้อย

   “ขอบคุณครับหมอ เอ่อ เกรงใจน่ะครับ ฮ่าๆๆ”

   “ไม่เป็นไรครับ”

   แล้วคุณหมอสุดแปลกก็เดินจากไปที่ลิฟต์เพื่อกลับห้องตัวเอง ผมยืนส่งเขาจนลับตาแล้วค่อยถอนหายใจเฮือกใหญ่

   แต่แล้ว... แทนที่จะได้นอนตีพุง ผมกลับพบว่า

   เชี่ย! ถุงนี้มันของหมอ!

   เพราะชั้น 15 เป็นชั้นวีไอพีจึงมีเพียงหกห้องเท่านั้น ผมจำได้ว่าห้องของหมออ่ะอยู่ซ้ายมือของลิฟต์และเป็นห้องสุดท้าย

   แต่ดันจำไม่ได้ว่าฝั่งไหนของสุดทางเดินน่ะสิ

   ผมยืนลังเลอยู่ระหว่างห้อง 1505 กับ  1506 เหมือนโชคชะตาเข้าข้างเพราะประตูห้อง 1505 เปิดออกพอดี แต่คนที่ออกมากลับเป็นชายหนุ่มร่างโปร่งบาง สูงกว่าผมเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าสวยจนผมยังอดมองไม่ได้

   ชายหนุ่มคนนั้นออกมาจากห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิด มือยกขึ้นเช็ดมุมปาก เขาชะงักไปเมื่อเห็นผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องก่อนจะปิดประตูแล้วเอ่ยปากถาม

   “มาหาใคร?”

   “คะ... ครับ? คือว่า ผมมาหาคุณหมออคิน แต่เหมือนจะผิดห้อง...” ผมยิ้มให้ ก่อนจะหันไปฝั่งตรงข้ามเพื่อเตรียมเคาะประตูอีกห้องหนึ่ง แต่ชายผมน้ำตาลกลับขัดไว้ก่อน

   “ถูกห้องแล้ว ผมแค่มาหาเขาเฉยๆ คุณเป็นใคร?”

   น้ำเสียงเขาห้วนมาก เฮ้! ทำหน้าเหมือนผมไปเหยียบหางงั้นแหละ

   “เอ่อครับ ผมเอาของมาคืนหมอน่ะครับ ไม่คิดว่าหมอจะมีแขก”

   “แขก?... หึ!” เขามองหน้าผมแล้วแสยะยิ้ม เบือนหน้าหนี ก่อนจะหันกลับมาคว้าต้นแขนผมอย่างแรง หน้าตาดูไม่พอใจสุดๆ ผมเบิกตากว้าง ชักแขนกลับอย่าตกใจ แต่ก่อนจะเกิดอะไรขึ้น ประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นคนที่ผมตั้งใจเอาของมาคืน

   หมออยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากตอนที่จากกันเมื่อกี้ จะมีก็แค่... รอยอะไรซักอย่างที่ลำคอ ที่ผมเห็นไม่ใช่ว่าผมสังเกตหรอกนะ แต่มันชัดมากต่างหาก หมอถือถุงของผมที่หยิบสลับกันไป เหมือนเขากำลังจะเอาลงไปคืนเหมือนกัน ดวงตาสีเขียวเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าผม ก่อนจะหันไปมองคนที่กระชากแขนผมไว้ด้วยสายตาที่... เย็นเยียบ... มันแทบจะมองข้ามหัวไปเลยด้วยซ้ำ

   “ทำอะไร”

   เสียงหมอที่ปกติจะนิ่งแต่สุภาพเสมอ ตอนนี้ห้วนสุดไม่ต่างจากคนที่เพิ่งถามผมเสียงห้วนคนนี้เลย ชายผมน้ำตาลชักสีหน้า ปล่อยแขนผมทิ้ง แล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง

   “เปล่า” เขาปัดเสียงใส่ “ผมกลับล่ะ”

   แล้วร่างโปร่งก็เดินลงลิฟต์ไป ผมมองตามอย่างไม่พอใจแกมงุนงง หมอยื่นถุงคืนให้ สีหน้านิ่งปกติแต่ไม่ได้เฉยชาแบบเมื่อกี้

   “ผมกำลังจะเอาลงไปคืน”

   ผมรับมาก่อนยื่นถุงของหมอคืนสลับกัน

   “ขอบคุณครับ”

   ผมมองของในถุงให้แน่ใจ ก่อนจะเตรียมหันหลังกลับ หมอกอดอกพิงกรอบประตู จ้องผมด้วยสายตาอ่านยากจนผมชะงักฝีเท้า อะไร...?

   “นึกว่าคุณจะถาม”

   “ถาม? ถามอะไรครับ”

   “ผู้ชายคนนั้น”

   เอ่อ... หมอ ผมจะถามทำไมครับ เขาอาจจะเป็นเพื่อนคุณ ญาติคุณ แต่ผมไม่ใช่ทั้งนั้น ผมเป็นแค่คนไข้ครับหมอ จะอยากรู้เพื่อ...? หรือเพราะปกติผมชอบถามทุกอย่างสงสัยกัน

   “อ่อ ก็เพื่อนหมอมั้งครับ ผมจะถามทำไม”

   หมอขมวดคิ้ว เขาเสยผมอย่างหงุดหงิด... นี่ผมทำอะไรผิดเรอะ

   “งั้นก็ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

   ผมเอียงคอมอง ไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้ารับไป

   “ราตรีสวัสดิ์ครับหมอ”

   หมอ... เมนส์มาป่ะวะ?



  เรนเดอร์ (Render) - การนำภาพหรือวิดิโอออกมาเพื่อนำไปใช้งานต่อ หรือการ export งาน 3 มิติ ออกมาในรูปแบบของภาพ 2 มิติ ในกรณีนี้คือการเรนเดอร์งาน 3 มิติให้ออกมาเป็นภาพเพื่อนำไป composite ต่อไป
  Deadline Monitor - แอพลิเคชันที่ใช้งานคู่กับ Deadline Slave ใช้เพื่อดูคิวหรือควบคุม job (งาน/โปรเจค) ที่อยู่ในฟาร์ม กำหนดค่าความเร็วและลำดับความสำคัญของงานที่จะต้องเรนเดอร์ด้วยฟาร์มเรนเดอร์ทั้งหมด
  เฟรม (Frame) - ภาพ 1 ภาพที่ทำการเรนเดอร์ออกมา
  Turn / Turn table - คือการเรนเดอร์โมเดลโดยการหมุนโมเดล 360 องศาเพื่อให้ดูรายละเอียดของโมเดลได้ครบทุกมุม กระบวนการนี้ไม่ต้อง composite
  Pipeline - ผู้ดูแลกระบวนการการทำงานทั้งหมด เป็นคนวางแผนระบบการทำงาน การจัดเก็บไฟล์และโปรแกรมที่ใช้เพื่อให้กระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด




#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 4 (25/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-10-2019 01:50:33
เจอศัตรูเข้าละมั้ง,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่5 (28/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 28-10-2019 19:59:10
Chapter – 05

หมอครับ หน้าร้อนไฟตกเป็นเรื่องปกติ



   กำลังจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวหน้าร้อน แน่นอน... ว่าหนีไม่พ้นเทศกาลสงกรานต์นั่นเอง และนั่นจึงเป็นเวลาที่ดีที่ทุกคนในบริษัทจะแข่งกันปั่นงานเพื่อต้อนรับวันหยุดยาวที่จะมาถึงในอีกสองอาทิตย์

   “ร้อน!!”

   ไอ้เนที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามผมบ่นทันทีที่กินเสร็จ ผมกรอกตามองบน

   “ร้อนจะตายชัก เสือกสั่งผัดพริกแกงมาแดก”

   “ก็กูอยาก!”

   “งั้นอย่าบ่น”

   วันนี้ผมกับเนลงมากินข้าวกันก่อน เพราะอีกสามคนกำลังจะเดดไลน์ตอนสามโมง ปั่นกันให้ไฟลุกพรึ่บพรั่บ ผมยกคอมให้พี่ดินใช้เรนเดอร์งาน ไอ้เนก็ยกให้พี่เจี้ยน ส่วนฟาง ป่านนี้คงสติแตกไปแล้ว

   “ร้อนขนาดนี้ แอร์ก็เปิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อวานหม้อแปลงซอยกูก็ระเบิด ร้อนฉิบหาย!” ไอ้เนบ่นโอดครวญ ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนั้นตีสี่กว่าแล้ว มันคงถ่อมาคอนโดผมแน่นอน

   “มิน่า มาเช้าเชียวนะมึง”

   “แหงสิ ร้อนจะตายชัก ป่านนี้ซ่อมเสร็จรึยังก็ไม่รู้” น้ำเย็นถูกกรอกใส่ปาก ผมหัวเราะมัน ไอ้เนเตือนผมด้วยความหวังดี

   “มึงก็ระวังๆ ขึ้นลิฟต์ช่วงนี้ เกิดไฟดับไฟตก ลิฟต์ค้างจะเป็นเรื่อง”

   ผมเลิกคิ้ว ยักไหล่

   “หน้าร้อนไฟตกเป็นเรื่องปกติ” พูดเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว เนเบะปากใส่ผม

   “อย่ามาร้องห่มร้องไห้ทีหลังให้กูได้ยินนะ”

   “เออๆๆ รู้แล้ว แดกเสร็จก็จ่ายเงิน ร้อน!”

   

   หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เจอหน้าหมอมาจะสามอาทิตย์แล้วมั้ง อาจเป็นเพราะช่วงนี้กลับไม่เป็นเวลาด้วยแหละ หลังจากแผลหายสนิทดี ไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ อีก ผมก็กลับไปทำตัวบ้างานเหมือนเดิม  แต่ก็อยู่ไม่เกินห้าทุ่ม งานผมยุ่งมากจนไม่ได้นึกถึงเขาไปเลย แต่ไอ้ที่ผมแอบแวบๆ นึกถึงเขาขึ้นมาบ้าง อาจเป็นเพราะผู้ชายผมสีน้ำตาลคนนั้นที่ตั้งท่าหาเรื่องผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากับไอ้รอยคิสมาร์คที่คอของหมอก็เป็นได้

   ผมไม่ได้โง่หรือใสซื่อบริสุทธิ์ขนาดไม่รู้ว่าไอ้รอยนั้นคืออะไรหรอกนะ

   ผมส่ายหัวไล่ความคิดอกุศล โอเค ผมไม่ได้โลกสวย ก็มันอดคิดไม่ได้นี่นา มันเรื่องธรรมดาของผู้ชายวัยเขากับเรื่องแบบนี้

   ผมเดินขึ้นจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดเสียเท่าไหร่ ถือเป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกซื้อคอนโดนี้ ผมจะไม่สนใจรถที่จอดหน้าทางเข้าคอนโดเลย หากไม่ใช่ว่าคนที่ลงมาก็คือชายร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินสวยเหมือนไปงานปาร์ตี้คนรวยมา... และจะยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่ถ้าเขาไม่ได้โน้มตัวลงไปจูบกับสาวในรถที่ยื่นหน้าออกมารับจุมพิตเร่าร้อนไม่อายสายตาชาวบ้าน

   หมอนี่หว่า!!

   “เชี่ย” ผมที่เดินมาจากฝั่งตรงข้ามรีบหันหลังขวับ ตั้งสติ... ก่อนจะค่อยๆ พาตัวเองหลบหลืบพุ่มไม้แล้ววิ่งพรวดไปยังโถงลิฟต์คอนโด ผมกดลิฟต์เร็วๆ เวรเอ้ย ลิฟต์ทุกตัวแม่งติดแหง็กอยู่ชั้นสิบกว่าทั้งนั้น มีตัวเดียวที่ลงมา

   ติ๊ง!

   ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด ผมก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วกดปุ่มปิดรัวๆ อีกนิดเดียวก็จะปิดสนิทอยู่แล้วเชียว แต่ดันมีมือใหญ่สอดเข้ามาขวางซะได้ ดีนะที่ระบบเซนเซอร์ของที่นี่ดีมาก ทำให้ประตูเปิดออกอีกครั้งแทบจะทันทีที่ตรวจพบสิ่งกีดขวาง

   “ขอโทษครับ... ข้าวปั้น?”

   ผมมองหน้าหมอ หมอก็มองหน้าผม ก่อนจะเลื่อนไปมองที่ใบหูของผม...

   “ไม่สบายเหรอครับ หน้าแดงขนาดนี้ แถมหูก็แดง...”

   หมอเอื้อมมือมาจับหูผมเบาๆ จนผมสะดุ้งโหยง รีบปัดมือทิ้งทันที

   “ปะ... เปล่าครับเปล่า! ฮ่าๆๆ หวัดดีครับหมอ ไม่เจอกันตั้งนาน” ผมหันตัวหลบ รีบกดชั้นของตัวเองรัวๆ เหมือนจะเร่งให้ลิฟต์รีบๆ ขึ้นถึงชั้นของผมเสียที อึดอัดจะตายอยู่แล้วเนี่ย

   หมอก้มหน้ามองผมที่เหงื่อแตกพลั่กๆ อย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนจะทันถามอะไร จู่ๆ ลิฟต์ก็กระตุกและหยุดตัวลง ไฟในลิฟต์ดับพรึ่บจนผมผวา ผมสูดลมหายใจหน้าซีดเผือด

   “อา...”

   ผมครางเสียงแผ่ว จุกในลำคอ ความมืดที่มาเพียงแวบเดียวก่อนที่ไฟสำรองของลิฟต์จะมาทำให้ผม... หายใจไม่ออก

   “มะ... หมอ” ผมตัวเกร็งคว้าเสื้อหมอแน่นอย่างตกใจ เสียงสั่นจนแทบจะสะอื้น

   “หมอ... ฮึก” ผมกัดปากตัวเอง หายใจติดขัด ไฟสำรองไม่ได้สว่างมากนักจนทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ค่อยๆ ทรุดตัวลงไป

   “ข้าวปั้น! เป็นอะไร”

   คนที่เงียบไปคว้าร่างที่กำลังจะหมดสติของผมไว้ มือพยายามเกาะเขาแน่น ภาพบางอย่างในหัวไหลกลับเข้ามาเหมือนกรอเทป

   “ขะ... ขอโทษ... ขอโทษครับ... อุ้ก!” ผมพะอืดพะอม

   “ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ ผมอยู่นี่”

   “ขอโทษ ขอโทษครับ ผมขอโทษ” ผมพร่ำอย่างไร้สติ

   “ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอโทษนะข้าวปั้น”

   น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่เคย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมขอโทษเขาไปกี่รอบ อ้อมแขนแกร่งโอบรอบตัวผม มือใหญ่ลูบหัวลูบหลังปลอบใจคนเสียขวัญ “ข้าวปั้นครับ ได้ยินผมรึเปล่า”

   ผมหลับตาลง คำขอโทษที่ฝังกินจิตใจผมกลับมาอีกครั้ง

   เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผมขอโทษน่ะ ผมขอโทษอะไร

   “ข้าวปั้น เฮ้! ได้ยินผมมั้ย! ข้าวปั้น”

   ผมขอโทษ...

   สัมผัสเย็นๆ บนใบหน้าทำให้ผมรู้สึกตัว กลิ่นเทียนหอมคุ้นเคยลอยเข้าจมูก ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น สมองเบลอไปหมด

   “รู้สึกยังไงบ้าง”

   เสียงทุ้มน่าฟังดูใกล้จนแปลกใจ ผมกรอกสายตามองหาต้นเสียง ก่อนจะพบว่าดวงหน้าคมเข้มอยู่ใกล้แค่เอื้อม แถมมือยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กหมาดน้ำคอยลูบไล้ใบหน้าผมอยู่

   “มะ... หมอ”

   “เป็นมานานรึยัง?”

   “ครับ?”

   หมอเสยผมที่ปรกหน้าผมขึ้น ก่อนจะเช็ดหน้าผากที่ชื้นเหงื่อให้ด้วยมือข้างเดียวกัน...

   “โรคกลัวความมืด”

   ผมเงียบไป... มันไม่ใช่เรื่องของเขาซะหน่อย

   แม้มันจะไม่ใช่โรคร้ายแรงจนส่งผลต่อชีวิตประจำ แต่ก็เป็นจิตเภทประเภทหนึ่ง

   “คุณดีขึ้นแล้วใช่มั้ย? รู้สึกยังไงบ้าง คลื่นไส้อยู่รึเปล่า?”

   หมอเปลี่ยนเรื่อง ผมหลับตาลง ก่อนลืมขึ้นมาใหม่

   “ดีขึ้นแล้วครับ”

   “จริงเหรอครับ” หมอกระตุกยิ้ม เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เห็น ของดีหายาก

   “แต่เหมือนว่าจะยังนะ ผมว่า”

   หมอชูมือที่มีมือของผมจับไว้แน่นจนเริ่มรู้สึกชา ผมเบิกตากว้าง รีบปล่อยทันทีเหมือนต้องของร้อน รับรู้ได้ถึงความร้อนและชื้นของเหงื่อ

   ผะ... ผมจับนานแค่ไหนแล้วเนี่ย!

   “ขอโทษครับ! ขอโทษครับหมอ ผมไม่ได้ตั้งใจ!”

   “ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร”

   หมอดูชอบใจกับปฏิกิริยาของผมก่อนวางผ้าขนหนูลงบนอ่างเล็ก รู้ได้เลยว่าหมอถือวิสาสะค้นกระเป๋าผมแล้วเอาคีย์การ์ดมาเปิดเข้าห้อง แถมยังค้นเจออ่างเล็กกับผ้าขนหนูด้วย

   นี่เขาเปิดไปกี่ตู้วะเนี่ย?

   ม๊าว~

   เสียงเจ้าอ้วนปั้นสิบร้องอยู่ปลายเท้าผมที่นอนราบบนเตียงตัวเอง เจ้าอ้วนค่อยๆ เดินย่องขึ้นมาบนอกแล้วนวดๆๆ ให้ผมอย่างมันเท้า ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง

   “ไงเจ้าอ้วน” ผมลูบหัวลูบตัวมัน ก่อนที่มันจะละจากมือผมกระโดดย้ายก้นไปนั่งบนตักหมอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ อเนกประสงค์ข้างเตียงแทน

   อ้าว อีอ้วนนี่

   หมอมองเจ้าบริทิช ช็อตแฮร์ตัวอ้วนสีเทาก่อนจะยกมือลูบหัวมันเบาๆ

   ปกติปั้นสิบจะไม่ยอมเข้าใกล้คนแปลกหน้าแท้ๆ ขนาดเฮียปุ้นมันยังเมินหน้า แปลกดีที่ยอมแม้กระทั่งให้จับตัว

   “ชื่ออะไรครับ?”

   “อ๋อ ชื่อปั้นสิบครับ ผมชอบเรียกมันเจ้าอ้วนมากกว่า”

   “ปั้นสิบ” หมอทวนชื่อพลางเกาคางให้เจ้าอ้วนที่เงยหน้ายอมให้เขาเล่น

   “ปั้น”

   ใจผมกระตุกวูบ หันขวับตามสัญชาติญาณ หมอเหลือบตามองผมอยู่ก่อนแล้วเหมือนดูปฏิกิริยา ผมหัวเราะแก้เก้อ ยกมือลูบหลังคออย่างเคยชินเวลาเขิน

   “ผมนึกว่าหมอเรียกน่ะครับ” เขาคงเรียกเจ้าปั้นสิบ

   “ผมเรียกคุณนั่นแหละ” หมอวางมือลงบนศีรษะผมเบาๆ แทนที่หัวเจ้าอ้วน ก่อนจะเดินออกมาจากโซนห้องนอนที่ถูกกั้นไว้ด้วยกระจกเลื่อนเพื่อให้เป็นโซนห้องนอนเนื่องจากเป็นห้องแบบสตูดิโอที่แยกห้องครัวกับห้องน้ำ

   “แม้ว่าโรคโฟเบียของคุณจะไม่ร้ายแรงถึงกับช็อค แต่เวลาฉุกเฉินมันก็อันตราย ยังไงถ้าคุณว่างก็ลองไปพบจิตแพทย์ดูหน่อยก็ได้นะครับ แค่ไปปรึกษา คุณไม่ได้บ้า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะคิดยังไง” หมอหยิบสูทสีน้ำเงินตัวนั้นที่วางพาดอยู่บนโซฟาขึ้นมาคล้องแขนพลางบอกผม

   “บางครั้งผมก็ไปปรึกษาเหมือนกัน ถ้าคุณต้องการ ผมจะนัดหมอที่ผมรู้จักและไว้ใจได้ให้”

   “อะ... เอ่อ ขอบคุณครับ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นบ่อย แล้วก็... ไม่ค่อยเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเจอกับสถานการณ์ที่จะต้องทำให้เป็นแบบแล้วด้วย...”

   “แล้วด้วย?” หมอหรี่ตา “ผมถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ”

   หมอหันกลับมาทั้งๆ ที่กำลังจะเปิดประตูแท้ๆ

   “คุณขอโทษอะไร?”

   ผมเบิกตา นิ่งไป นิ่งไปนานจนผมลืมไปแล้วว่าเขาถาม

   “ข้าวปั้น”

   หมอแตะแก้มผมที่ตอนนี้ก้มหน้ามองมือตัวเอง ผมสะดุ้ง เบนหน้าหนี

   “โอเคครับ” หมอเลิกเซ้าซี้ “เอาเป็นว่า ลองคิดดูนะครับ”

   แล้วหมอก็จากไป ทิ้งให้คนป่วยจิตอย่างผมไหล่ตก ส่วนเจ้าอ้วนเอาแต่ร้องหิวข้าวอยู่นั่นแหละ

   “เฮ้อ”



   “อะไรนะ ติดอยู่ในลิฟต์ แล้วแกเป็นไงมั่งตอนนั้น แกขึ้นลิฟต์คนเดียวรึเปล่าวะ?”

   ไอ้เนโวยวายหลังจากผมเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟัง ตอนนี้ก็เหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อน ช่วงเดดไลน์สุดท้ายก่อนกลับบ้านสงกรานต์ เหลือเพียงผมกับไอ้เนสองคนที่ว่างพอจะลงมากินข้าวตอนเที่ยงตรง ส่วนคนอื่นๆ ก็มีทั้งฝากซื้อหรือไม่ก็รอลงมากินบ่ายๆ

   “ก็... กูเป็นลม” ผมตอบเขินๆ

   “เชี่ย!” ไอ้เนตกใจส่วนผมเบือนหน้าหนี “เป็นลมเลยเรอะ! ก่อนหน้านั้นที่แค่ลิฟต์กระชากที่บอ มึงยังหน้ามืดตัวสั่นจนกูกลัวนึกว่าผีเข้า”

   “ก็ตอนนั้นมีมึงแถมลิฟต์แค่กระตุก แต่นี่ไฟดับเลยนะเว้ย ถึงสุดท้ายไฟสำรองกับระบบเซฟตี้ของลิฟต์จะทำให้ลิฟต์จอดชั้นที่กูกดไว้ก่อนก็เถอะ ไฟฉุกเฉินก็สลัวจนกูมองอะไรไม่ชัด รู้ตัวอีกทีก็วาร์ปมาอยู่ห้องแล้ว...” ผมเผลอหลุดปากไป...

   “วาร์ป?” ไอ้เนหรี่ตาทวนคำพูดผม “ ใครพามึงกลับห้อง?”

   “เอ่อ”

   “หืม มึงยอมให้คนแปลกหน้าเข้าห้องมึงเรอะ?”

   “เปล่าเว้ย!” ผมปฏิเสธ ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกๆ “บังเอิญหมอที่เป็นเจ้าของไข้กูพักอยู่ที่คอนโดเดียวกันน่ะ”

   แล้วผมก็เล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง โดยไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดเช่นตอนที่อ้วกใส่หมอบ้างหรือเจอกันที่ห้างบ้าง

   “โคตรบังเอิญที่หมอเป็นเพื่อนเก่าพี่มึง”

   “อ่าฮะ”

   “แล้วมึงจะเอาไง จะลองไปปรึกษาหมออย่างที่หมอเขาแนะนำมั้ย” ไอ้เนกดลิฟต์ ผมถอนหายใจ ผมไม่ได้กลัวลิฟต์ ไม่ได้กลัวการอยู่ในที่แคบ ผมแค่กลัวสถานการณ์ที่ต้องอยู่ในที่ที่แคบและมืด ในห้องผมจึงเต็มไปด้วยไฟฉาย โคมไฟ และเทียนหอม เพราะงั้นการขึ้นลิฟต์สำหรับผมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พอมองขึ้นไปบนดวงไฟที่ติดลิฟต์แล้วก็พลันนึกถึงวันนั้น

   “มึงคิดว่าไง?” ผมถามกลับ ไอ้เนกอดอกพิงผนังลิฟต์

   “ถ้าถามกู กูก็ว่าควร ไอ้อาการนี้ของมึงมีแค่กูกับพี่ดินเท่านั้นที่รู้ เกิดไปเป็นที่อื่นที่คนอื่นเขาไม่รู้จะจัดการยังไง มึงอันตรายนะ” ไอ้เนพูดจริงจัง ผมหยุดคิด ใช่ว่าผมไม่เคยคิด แต่พอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ผมก็ไม่กล้าจริงๆ

   “เฮ้อ... มีแต่เรื่องจริงๆ ชีวิตกู”



   ผมใช้เวลาทบทวนตัวเองกับความคิดที่ว่าจะลองไปปรึกษาจิตแพทย์แบบจริงๆ จังๆ ดูดีมั้ย ระหว่างที่ผมกำลังนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟา มือข้างหนึ่งถือขนมแมว ส่วนอีกข้างเลื่อนหน้าจอมือถือหาข้อมูลโรงพยาบาล ปล่อยให้เจ้าอ้วนปั้นสิบเลียขนมในมืออย่างเพลิดเพลิน จะว่าไปผมก็ไม่ได้เจอหน้าหมอมาเกือบเดือนแล้วมั้ง หลังจากวันนั้น ช่วงหยุดยาวสงกรานต์ผ่านไปแล้ว ผมเองก็กลับบ้านที่เชียงรายตั้งหนึ่งอาทิตย์ อยากลองติดต่อดูเรื่องที่เขามีจิตแพทย์แนะนำเหมือนกัน จะขึ้นไปหาบนห้องก็ไม่รู้จะดูสนิทกันเกินไปหรือเปล่า กลัวจะไปรบกวนเขา เผื่อเขาขึ้นเวรหรือมีแขก... แถมวันนี้เป็นวันศุกร์ หมออาจจะไปแฮ้งค์เอ้าท์กับเพื่อนๆ ก็เป็นได้ คงต้องอาศัยความบังเอิญอีกรอบ

   ติ๊งหน่อง!

   เสียงกดออดหน้าห้องทำเอาผมสะดุ้ง เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ นอกจากตอนเขามาซ่อมแอร์กับท่อน้ำแตกก็ไม่เคยได้ยินเสียงออดเลย แถมนี่มันก็จะเที่ยงคืนแล้ว ใครกันนะ?

   ผมลุกจากโซฟา ไปมองผ่านตาแมวก็เห็นเพียงช่วงอกของคนที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีสายทางสีขาวน้ำเงิน

   ใครล่ะเนี่ย?

   ผมเปิดประตูออกไป เจ้าของร่างสูงชะลูดคุ้นตาที่ยืนชิดประตูจนตาแมวมองไม่เห็นหน้า เล่นเอาผมผงะถอยหลังจนเกือบจะเหยียบโดนเจ้าปั้นสิบที่เดินตามมาคลอเคลียเท้า

   “ระวังครับ!” มือใหญ่คว้าไหล่ผมไว้ก่อนจะประทุษร้ายแมวอ้วนจนหน้าผมแทบจะชิดกับอกกว้างเจ้าของเสื้อเชิ้ตตัวนั้น คนตัวโตกว่าปล่อยมือช้าๆ ให้ผมทรงตัว คนถูกช่วยเลิ่กลั่ก

   หมอคนเดิม... เพิ่มเติมคือเหงื่อโชกเหมือนไปเวทมา

   “หมอ! เอ่อ สวัสดีครับ มาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ ครับเนี่ย?” ผมถามออกไปตรงๆ หมอปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกก่อนคลายคอเสื้อเล็กน้อย ดูจากเหงื่อที่หยดตามขมับจนเปียกไรผมและปกคอเสื้อแล้ว สงสัยจริงๆ ว่าไปทำอะไรมา

   “ลิฟต์ขัดข้องน่ะครับ ผมเลยต้องเดินขึ้นห้องตัวเอง แต่ผมลืมคีย์การ์ดไว้โรงพยาบาล แบตมือถือผมหมด แล้วนี่ก็ดึกมากแล้ว ผมไม่อยากโทรเรียกนิติตอนนี้ เลยลองเสี่ยงมาหาคุณดู เผื่อว่าคุณจะยังไม่นอน”

   “อย่าบอกนะว่าหมอเดินจากชั้นหนึ่งไปชั้นบนสุดน่ะ สิบห้าชั้นเลยนะหมอ!”

   ผมตกใจ เป็นผมนะ ถ้าลิฟต์จะพร้อมใจกันเสียสามตัวตอนนี้ ผมคงถอดใจขับรถไปนอนบ้านเพื่อนแล้วล่ะครับ

   หมอพยักหน้า...

   “แล้วหมอจะให้ผมช่วยยังไงครับ ให้ผมโทรหานิติให้มั้ย”

   “มันดึกมากแล้วครับ เป็นผมก็คงไม่ชอบให้รบกวนตอนกำลังฝันดี”

   อ้าวหมอ? แต่หมอไม่คิดว่ามันรบกวนผมใช่ปะ ผมยิ้มแหย

   “แล้วหมอจะทำไงครับคืนนี้”

   “ขอผมอาศัยห้องคุณสักคืนได้มั้ยครับ”

   “!!!”

   ผมหันขวับ เบิกตากว้าง ก่อนหัวเราะจืดชืด

   “ไม่ดีมั้งหมอ ห้องผมเล็กนิดเดียว กลัวไม่สะดวกหมอ”

   กูปฏิเสธแล้วนะหมอ

   หมอเงียบไป เล่นเอาผมใจคอไม่ดี สุดท้ายก็...

   “หมอนอนโซฟาได้มั้ยครับ ถ้าสะดวกก็เชิญครับ”

   แพ้แรงกดดันว่ะ โดยเฉพาะ... ความเงียบที่ดังที่สุด



งุ้ย... คุณหมอรู้ใช่มั้ยว่าน้องปั้นเเพ้เเรงกดดัน
บอกเลยว่า #คุณหมอคนเดิม เพิ่มเติมคือเขาร้ายนะคะ
#ความเงียบที่ดังที่สุด
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 5 (28/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 29-10-2019 22:32:41
ร้ายกาจมากครับหมอ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 5 (28/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 29-10-2019 22:41:41
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ >///<
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่6 (29/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 29-10-2019 22:45:19
Chapter – 06

หมอครับ ความมืดไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัว



   “ห้องรกหน่อยนะครับ ผมพึ่งกลับมาน่ะ ยังไม่ได้เก็บอะไรเลย” ผมพยายามกวาดเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนโซฟาและตามมุมต่างๆ มาโยนลงตะกร้าให้หมด ดีนะที่ผมไม่ใช่พวกถอดกางเกงในเป็นเลขแปดแล้วโยนไว้มั่วซั่ว

   “ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้รกขนาดนั้น” หมอเดินเข้ามาในห้องพร้อมถอดรองเท้าออกแล้ววางไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่รองเท้าของเจ้าของห้องนั้นถอดกองไว้ข้างๆ ประตู ผมเปิดตู้เก็บของหน้าห้องเพื่อเอาสลิปเปอร์ออกมาให้ มันเป็นรูปกูเดทามะ (ไข่ขี้เกียจ) สีเหลืองอร่ามงามตาคู่ละเก้าสิบเก้าบาท

   “เชิญครับ”

   หมอมองลายรองเท้าแล้วอึ้งไปเล็กน้อย คือมันน่ารักเกินไปก็จริง แต่คู่นี้ใหญ่สุดแล้ว ดูจากขนาดรองเท้าของหมออ่านะ เขายอมสวมมันแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ

   ตลกเหมือนกันแฮะ

   “ใช้ห้องน้ำได้ตามสบายนะครับ หมออยากอาบน้ำมั้ย ผมมีผ้าเช็ดตัวผืนใหม่อยู่” ผมเห็นเหงื่อหมอแล้วเหนียวตัวแทนเลยลองถามดู หมอมองตัวเองแล้วเสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้น เขาคงเกรงใจแหละ แต่ผมก็ยังยืนยันแกมบังคับด้วยการค้นเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่มายื่นให้

   “ไม่ต้องเกรงใจครับ เหงื่อออกเยอะมาก”

   “แต่ผมไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน”

   ผมชะงักไป เออ... นั่นสิ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเสื้อของเฮียปุ้นทิ้งไว้นี่นา ครบทั้งเสื้อและกางเกง ตัวใหญ่จนหมอใส่ได้แหละน่า

   “อ่ะนี่ครับ ของเฮียปุ้นครับ หมอใส่ได้แน่นอน” เพราะผมตัวเล็กกว่าหมอโขเลย ขืนใส่ของผม หมอได้กลายเป็นแหนมมัดแน่นอน แล้วก็เขาคงไม่รังเกียจของของเพื่อนเก่าหรอกมั้ง

   หมอรับทั้งหมดไปพร้อมกับผงกหัวขอบคุณก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ผมตะโกนตามหลัง

   “ของในห้องน้ำใช้ได้ทุกอย่างนะครับหมอ”

   ผมได้ยินเสียงตอบรับเบามาก ไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้น ผมยิ้มขำแล้วหันมาจัดการเก็บกวาดห้องให้เรียบร้อยกว่านี้ ขุดเอาผ้าห่มและหมอนออกมา เอ... จะว่าไป มีฟูกสำรองสำหรับแขกด้วยนี่หว่า ผมลองมุดๆ หาใต้เตียงก็เจอฟูกบางๆ ที่เก็บอยู่ในถุงพลาสติกอย่างดี ผมจัดการเคลียร์โซนรับแขกให้สามารถปูฟูกได้ วันนี้คงต้องให้เจ้าปั้นสิบนอนด้วยกันจะได้ไม่ไปรบกวนเขา

   ผมจัดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่เขาจะอาบน้ำเสร็จ เสียงน้ำเงียบไป สักพักประตูห้องน้ำก็เปิดออก ร่างสูงเกือบชนขอบประตูใช้ผ้าเช็ดตัวเดินเช็ดผมออกมา หมอในชุดเสื้อบอลลิเวอร์พูลกับกางเกงขาสั้นนี่มันโคตรจะ... แปลกตา แถมเขาไม่ใส่แว่นอีกต่างหาก

   “หมอ... แว่นล่ะ”

   ร่างสูงมองผมนิ่งๆ ก่อนแบมืออีกข้างออก

   “ผมไม่ใส่แว่นตอนเช็ดผมหรอกครับ” หมอเดินออกมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา “ขอบคุณสำหรับห้องน้ำครับ”

   “ไม่เป็นไรครับ” ผมไม่ชินตอนหมอไม่ใส่แว่นเลย เพราะปกติหมอจะชอบมองดุผ่านแว่นตลอด พอมองดีๆ... ตาสีเขียวที่ไม่มีเลนส์แว่นมาบัง ก็สวยดีแฮะ...

   “มองนานนะครับ ผมไม่ใส่แว่นมันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ”

   ผมสะดุ้ง ก่อนหันหน้าหนี ไม่รู้ตัวว่าหน้าร้อนเพราะอายหรือยังไง เลยแก้เก้อด้วยการเดินไปที่ครัว

   “หมอหิวมั้ยครับ ผมทำอะไรง่ายๆ ให้กินมั้ย หมอคงเพิ่งเลิกงานแหงเลย” ผมเปิดตู้เย็นดู พบว่ามีพวกเนื้อหมู เนื้อไก่เหลืออยู่นิดหน่อยกับไข่ประมาณสี่ห้าฟอง ข้าวก็เหลือจากที่หุงไว้ตอนมื้อเย็นเมื่อกี้

   “อยากกินอะไรครับ ข้าวผัดหมู ไก่ หรือ ไข่เจียว ผมทำเป็นไม่กี่อย่างหรอก เอ... มีผักบุ้งด้วยสิ หรือจะเอาผัดผัก...”

   ผมล้วงเอาวัตถุดิบออกมาวางเรียงไว้ที่เคาน์เตอร์ครัวแล้วหันกลับมาถาม โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาย้ายตัวเองมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ผักบุ้งในมือเกือบฟาดหน้าไปแล้วเชียว ผมถอยหลังด้วยสัญชาติญาณจนหัวเกือบจะโขกขอบตู้เย็น แต่มือของหมอยกขึ้นมาประคองหัวผมไว้ก่อนจะเจ็บตัว มือของเขาใหญ่จนแทบจะจับหัวผมรอบเชียว

   หน้าร้อน!!   

   ผมหันตัวหนีจังหวะนรก ใจเต้นรัวๆ ด้วยความตกใจยิ่งกว่า

   มะ มะ มะ หมอแม่ง! เล่นเชี่ยอะไรเนี่ย!

   “มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย! ตกใจหมด!” ผมวางผักลงบนเคาน์เตอร์ หมอปล่อยมือก่อนจะถอยเว้นระยะออกไปยืนข้างๆ มองวัตถุดิบแล้วยิ้มบางๆ

   “คุณจะกินด้วยมั้ย”

   “อ่า... ไม่เป็นไรครับ ผมกินไปแล้ว”

   “งั้นข้าวไข่เจียวง่ายๆ ก็พอครับ เดี๋ยวผมทำเอง” แล้วหมอก็แปลงร่างเป็นเชฟ กระทะเหล็ก เขาลงมือตอกไข่สองฟองลงในชามเล็ก ตีให้เข้ากันแล้วหยอดซีอิ๊วกับผงปรุงรสนิดหน่อย ตั้งกระทะรอให้น้ำมันร้อนค่อยเทไข่ลงไป

   ซ่า...~

   อา... กลิ่นหอมของไข่เจียวมันยั่วยวนผมเหลือเกิน ถึงผมจะกินข้าวไปแล้วก็เถอะ ผมยืนมองอยู่ข้างๆ แอบน้ำลายไหลเบาๆ หมอเหลือบตามองผมก่อนจะถือตะหลิวขึ้นมาพลิกไข่พลางถาม

   “ตกลง จะกินด้วยกันมั้ยครับ”

   หอมอ่ะ...

   “ข้าวปั้น?”

   “กินครับ”

   น้ำหนักผมต้องขึ้นแหงๆ



   สุดท้ายก็ได้ผัดผักบุ้งมาเพิ่มอีกหนึ่งจานกับไข่เจียวอีกสามฟอง เล่นเอามื้อดึกอิ่มจนนอนไม่หลับ ผมพักท้องอยู่บนโซฟา ข้างๆ กันมีหมอที่นั่งดูโทรทัศน์ช่องข่าวต่างประเทศอยู่ ผมไหลมือถือก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องอยากถามพอดี

   “หมอครับ ผมมีเรื่องจะถาม”

   “ครับ?” หมอหันมาตามคำเรียก

   “ที่หมอเคยแนะนำให้ผมไปปรึกษาเรื่องโรคโฟเบีย ผม... ผมคิดว่า... ก็ดีเหมือนกันที่จะลองไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางดู” ผมนั่งกอดเข่าแล้วโยกตัวไปมา ค่อนข้างกังวลกับการตัดสินใจของตัวเอง เพราะผมก็อยู่กับโรคนี้มานานจะเป็นสิบปีแล้ว

   “คุณ... กลัวความมืดใช่มั้ย”

   หมอถาม ผมส่ายหน้า

   “ความมืดไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัวครับ”

   “คุณอยากลองเล่าให้ผมฟังมั้ย” หมอเบาเสียงโทรทัศน์ลงก่อนหันมามองผมแบบจริงจัง ผมกอดเข่าแน่นกว่าเดิม พอนึกถึงสาเหตุของโรคนี้แล้วทำให้ผมเกิดอาการกลัวขึ้นมา กลัวจนนิ่งไปนานจนหมอสะกิด เป็นแบบนี้มาหลายครั้งแล้วเวลาผมจมอยู่กับความคิดตัวเอง

   “ไม่ดีกว่าครับ”

   ผมไม่ทันได้เห็นสายตาของหมอที่มันวาววับขึ้นมาแวบนึง ก่อนจะกลับไปสงบนิ่ง

   “ผมจะนัดหมอให้” หมอเอามือถือที่ชาร์ตด้วยที่ชาร์ตแบตของผมมายื่นให้ “เมมเบอร์โทรศัพท์ไว้สิครับ ไลน์ด้วยก็ดี”

   ผมรับมือถือรุ่นล่าสุดมาแบบงงๆ ก่อนจะพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปแล้วส่งคืน

   “ไลน์ก็ใช้เบอร์ครับ”

   “คุณเหนื่อยรึยัง ง่วงหรือเปล่า นอนเลยก็ได้นะครับ” หมอกดปิดโทรทัศน์พลางลุกขึ้น ผมเลิกคิ้วก่อนจะลุกพรวดตาม หมอคงเหนื่อยแล้วสินะ ลืมไปเลย

   “นอนเลยก็ได้ครับ ความจริงวันศุกร์แบบนี้ผมมีนัดเล่นเกมไว้ แต่ถ้าหมอจะนอนแล้วก็ไม่เป็นครับ”

   “กี่โมงครับ?”

   “ครับ?”

   “คุณนัดเล่นเกมไว้กี่โมง” หมอมองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ด้วยความเกรงใจผมเลยยกมือขึ้นปฏิเสธ

   “ไม่เป็นไรครับๆ หมอน่าจะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

   “ผมมารบกวนคุณนะ คุณไม่ต้องเกรงใจผมหรอก”

   “แต่พีซีผมอยู่ตรงนี้” ผมชี้ไปที่ข้างโซฟาซึ่งมีโต๊ะคอมพิวเตอร์ชุด อันประกอบด้วยจอสองจอตั้งอยู่ หมอพยักหน้า

   “ไม่เป็นไรครับ”

   ผมมองนาฬิกาอีกครั้งก่อนมองหน้าหมอ มองคอม มองปั้นสิบ ถอนหายใจเฮือกแล้วยิ้มขอบคุณ ผมจะเล่นเกมเฉพาะวันศุกร์กับเสาร์เท่านั้น เพราะเล่นกับเพื่อนต่างประเทศด้วยเลยต้องเล่นดึกหน่อย และวันนี้ก็นัดเล่นกับเพื่อนที่นานๆ ทีจะว่างทำให้ไม่ค่อยอยากพลาดนัด

   “งั้นหมอไปนอนบนเตียงก็ได้ครับ ผมค่อนข้างจะเล่นเสียงดัง จะได้ปิดประตูกระจกได้”

   “ไม่เป็นไร ผมว่าจะอยู่ตรวจงานอีกนิด เชิญคุณตามสบายเลย” แล้วหมอก็หยิบกระเป๋าเอกสารของตัวเองขึ้นมาเปิดเอาแฟ้มงานกับแล็ปท็อปบางเฉียบมาวางบนตัก ในเมื่อเขาบอกให้ผมตามสบาย ผมก็จะตามสบายในแบบของผมล่ะนะ

   ผมจัดการเปิดพีซี สวมเฮดโฟน เข้าโปรแกรมแชท แล้วเปิดไมค์ในห้องแชทที่มีเพื่อนคอลรออยู่แล้ว

   “เฮ้! ฉันมาแล้ว” ผมทักไปเป็นภาษาอังกฤษ กลุ่มเล่นเกมห้าคนของผมตอนนี้เข้าคอลมาสี่คนแล้วรวมผมด้วย ขาดไปคนนึงก็คือพี่ดิน

   [“โย่ว ซูชิ มาแล้วเหรอ”]

   “ข้าวปั้นเว้ย หัดเรียกให้ถูกบ้างสิ” ผมหัวเราะ เพราะเพื่อนผมออกเสียงคำว่า ข้าวปั้น ไม่ถูก มันเลยเรียกผมว่า ซูชิ แทน มันบอกว่าความหมายเหมือนกันนั่นแหละ

   [“ขี้เกียจ ดีนยังไม่มาอีกเหรอ”] ลูคัส เพื่อนชาวอเมริกาถามหาพี่ดิน ป่านนี้เวลาที่นั่นคงจะประมาณสี่โมงเย็น บริษัทที่มันทำงานเลิกงานสามโมงเย็นเป๊ะจนผมอิจฉา ผมจึงถามอีกคนที่อยู่ในคอลด้วย

   “พี่เจี้ยน พี่ดินอ่ะ”

   [“ส่งเรนเดอร์ลูกค้าอยู่ เดี๋ยวตามมา มันบอกขอสิบนาที”] พี่เจี้ยนตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน เวลาเล่นเกมกับเพื่อนต่างชาติ ต่อให้เป็นพี่ดินพี่เจี้ยน พวกผมก็จะคุยกันเป็นภาษาสากลให้เพื่อนสามารถรับรู้บทสนทนาได้ด้วย

   [“ประเทศพวกนายชอบใช้งานล่วงเวลาอยู่เรื่อย”] โดมินิก เพื่อนชาวฝรั่งเศสแอบแขวะ ผมเลยตอบกลับไป

   “ก็ลูกค้าก็ประเทศฝั่งนายนั่นแหละดอม”

   [“อ้าว! เรอะ ฮ่าๆๆ”] โดมินิกหัวเราะรัว ผมแยกเขี้ยว

   [“มาแล้ว!”] อยู่ดีๆ คนที่บอกว่าขอสิบนาทีก็โผล่เสียงเข้ามาในคอล

   [“ไหนบอกขอสิบนาที”] โดมินิกแซว

   [“อยู่ดีๆ เน็ตก็เร็วเฉย เลยส่งขึ้นคลาวด์  เสร็จพอดี มาๆๆ เข้าเกมกัน”]

   แล้วพวกผมก็โหวกโหวกโวยวายกันจนลืมไปเลยว่า ห้องผมไม่ได้มีแค่ผมกับแมวที่วันๆ เอาแต่นอนจนอ้วน จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ พระอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้า เกมจบลงพร้อมแยกย้ายกันไป ผมปิดคอม ถอดเฮดโฟนออก ยืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อย ก่อนจะหันไปสังเกตเห็นคนที่นอนพาดโซฟา เขาไม่ได้ใช้ฟูกที่ปูไว้ให้ ศีรษะของหมอหันมาทางผม ส่วนขายาวพาดเลยออกไปนอกโซฟาอีกฝั่ง ผมหยักศกปรกหน้าที่ไร้แว่น

   ผมลอบมองโครงหน้าคมคายประกอบด้วยโหนกแก้มมีสันดูดี จมูกโด่ง ผิวค่อนข้างขาวละเอียดแม้ขอบตาจะค่อนข้างช้ำคล้ำพอๆ กับผม ขนตายาวผิดกับผู้ชายเอเชียทั่วไป ดวงตาสีเขียวคู่สวยตอนนี้ปิดสนิท ไรหนวดเคราเขียวเริ่มขึ้น

   ฉ่า...!

   ผมสะบัดหัวไล่ความคิดพิลึก เรื่องอะไรไปจ้องหน้าผู้ชายด้วยกัน ไม่เห็นมีอะไรน่าพิสมัยเลยสักนิด ผมเหลือบไปเห็นเจ้าอ้วนปั้นสิบนอนครางฮืออยู่บนพุงของหมอที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ผมกะจะไปยกตัวมันออกเพราะเขาน่าจะหนักน่าดู เจ้าอ้วนปั้นสิบตัวไม่ใช่เล็กๆ เลย แต่พอเห็นว่ามันหลับสนิทน่าเอ็นดู บวกกับมือใหญ่ของหมอวางทับตัวมันอีกที ก็ปล่อยเลยตามเลยไปแล้วกัน

   ผมเอาผ้าห่มที่เตรียมไว้มาห่มให้คุณหมออย่างเบามือที่สุด ระวังไม่ให้เขาตื่น ก่อนจะเดินเข้าไปมุดตัวนอนบนเตียงตัวเอง

   

   ม๊าว~!

   ผมรับรู้ได้ถึงแรงเหยียบแรงย่ำไปมาบนแผ่นอก แสงแดดแยงเข้าผ่านเปลือกตา เพราะผมไม่ชอบที่ห้องมืดสนิท ดังนั้นม่านของผมจึงเป็นโปร่งสีขาวเพื่อให้แสงแดดส่องเข้ามาได้ เจ้าอ้วนกำลังนวดอกให้ผมอยู่ เป็นการปลุกที่รู้สึกเหมือนโดนผีอำทุกวัน

   “โอเค... ตื่นแล้วเจ้าอ้วน” ผมเกาหลังคอมันอย่างเคยชิน เจ้าอ้วนอยู่นิ่งๆ สักพักก็กระโดดลงไปข้างล่างเตียง ผมลุกขึ้นอย่างงัวเงีย หันไปมองโซฟาที่ว่างเปล่าอย่างคนเมาขี้ตา ตอนแรกไม่รู้ตัวว่ามองทำไม สักพักก็นึกออก ผมเลิกคิ้วก่อนขยี้หัวเบาๆ มองฟูกและผ้าห่มถูกพับเก็บเรียบร้อยไว้บนโซฟา โต๊ะนั่งเล่นถูกลากมาไว้ที่เดิม รวมถึงจานชาม กระทะ ที่ถูกใช้งานเมื่อคืนก็ถูกล้างคว่ำอย่างเรียบร้อย

   อืม... มารยาทงามดีจริงๆ ถ้าเป็นเพื่อนผมมา ไม่มีทางที่จะเรียบร้อยแบบนี้แน่นอน

   ผมคว้ามือถือที่ชาร์ตไว้ข้างเตียงมาเปิดเช็คนู่นนี่ตามปกติ

   ทั้งไลน์บ้าน ไลน์บริษัท มีการทิ้งข้อความไว้เพียบ และอีกคนที่แอดเฟรนด์กันเมื่อคืน



   Akin.L: ขอบคุณสำหรับที่พักเมื่อคืนครับ ชุดเดี๋ยวผมซักมาคืนให้ ส่วนเรื่องนัดหมอ เดี๋ยวผมจะบอกเมื่อได้คิวนัดแล้วกันนะครับ



   รูปประโยคสุภาพเหมือนตัวจริงพูดอยู่แล้วแฮะ ผมพิมพ์ตอบกลับไป



   KaowwwPun: ขอบคุณครับหมอ



   ทันทีที่ผมตอบกลับ เขาก็ขึ้น read ทันที สงสัยว่าเล่นมือถืออยู่ล่ะมั้ง ไม่นานก็มีข้อความจากหมอตอบกลับมา



   Akin.L: วันนี้คุณว่างมั้ย?



   หืม?? ผมสงสัยสุดๆ วันนี้งั้นเหรอ... ผมมองเวลาบนหน้าจอมือถือ พึ่งจะบ่ายโมงกว่า ผมไล่อ่านไลน์ว่ามีคนนัดอะไรรึเปล่า แต่ก็ไม่มี... โอเค ขี้เกียจนอนอยู่ห้องเหมือนกัน เผื่อหมอจะนึกชวนออกไปบำบัดโรคที่ไหน



   KaowwwPun: ก็ว่างๆ ครับ

   Akin.L: งั้นคุณไปซื้อของเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ย?

   KaowwwPun: ซื้ออะไรเหรอครับ



งื้อ ไม่รู้ว่าอ่านแล้วชอบกันบ้างมั้ย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่7 (30/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 30-10-2019 19:03:11
Chapter – 07
หมอครับ สองแสนแพงไปไหม


   ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวแค่สิบห้านาทีหลังจากตอบตกลงรับนัดคุณหมอไปแล้ว รู้สึกตื่นเต้นกับนัดครั้งนี้สุดๆ ทั้งๆ ที่ของที่จะไปซื้อนั้นก็ไม่ใช่ของผมเสียหน่อย

   ผมเทข้าวให้เจ้าปั้นสิบ เปลี่ยนทรายที่กระบะไว้ด้วยเผื่อกลับเย็น ก่อนลงลิฟต์ไปยังล็อบบี้ที่เจ้าของนัดวันนี้รออยู่

   หมอก็ยังคงเป็นหมอ โดดเด่นจนไม่ต้องเสียเวลาสอดสายตาหา เสื้อผ้าหน้าผมเนี้ยบเหมือนกับตอนที่อยู่โรงพยาบาล ขาดแค่สูทหมอก็ไปออกงานได้เลย แล้วดูผมสิ

   กางเกงยีนส์สามส่วนปอนๆ กับรองเท้าผ้าใบคู่เก่า เสื้อยืดลาย marvel  สีดำทับด้วยกระเป๋าคาดอกที่ใช้ประจำ โอเค เหมือนหมอจะไปงานพรมแดงส่วนผมไปจตุจักร

   “เอ่อ เราจะไปสยามกันใช่มั้ยครับ?”

   “ครับ ทำไมเหรอ”

   หมอเอียงคอเล็กน้อยเหมือนแปลกใจกับคำถาม โอเค สยามพารากอน...

   “ไม่มีอะไรครับ ไปกันเถอะ”

   แล้วหมอก็เดินนำไปยังลานจอดรถ ผมเปิดประตูข้างคนขับที่เดิม บุญของก้นผมรอบที่สามที่ได้นั่งออดี้รุ่นเดียวกับไอรอนแมน อยากจะตะโกนบอกให้ก้องโลกครับ

   “คุณทานอะไรรึยัง”

   หมอถามพลางสตาร์ทรถที่เป็นระบบไฟฟ้าทำให้เสียงเงียบและนุ่มสมเป็นรถราคาหลายสิบล้าน ผมส่ายหัว

   “ยังครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมซื้ออะไรกินเล่นเอา”

   “คุณชอบกินอาหารญี่ปุ่นมั้ย”

   “ฮะ? อ่อ ครับ ก็ชอบ” แต่ผมไม่มีเงินหรอกนะ

   หมอเข้าเกียร์รถหลังได้คำตอบ ก่อนจะหักพวงมาลัยออกสู่ถนนใหญ่ มุ่งหน้าไปยังสยาม

   “หมอ หมออยากได้คอมสเปคแบบไหนครับ งบประมาณเท่าไหร่ เน้นเล่นเกม ทำงานหรือยังไง บอกได้นะครับ หรือหมอจะซื้อให้ใครรึเปล่า” ผมหันมาตาวาว พล่ามๆ ยิงคำถามเป็นชุด ถ้าเป็นเรื่องเทคโนโลยีผมนี่รักเลยครับ คอมชุดที่ห้องผมประกอบเองทั้งหมด เงินเหลือก็จะเอามาแต่งคอม

   “ดูคุณตื่นเต้นกว่าผมอีกนะ” หมอกระตุกมุมปาก ตาเหลือบมองผมที่หัวเราะชอบใจ

   “ผมชอบเวลามีคนมาถามเรื่องพวกนี้น่ะครับ อย่างเฮียปุ้น ผมก็ประกอบให้ รายนั้นชอบเล่นเกมเหมือนกัน แต่ไม่ชอบศึกษาเรื่องพวกนี้ เนี่ยนะหมอ! การ์ดจอตัวใหม่เนี่ย อย่างเจ๋งครับ ถ้าผมเก็บเงินได้นะ ผมว่าจะถอยอยู่เหมือนกัน”

   “คุณลองไปเลือกให้ผมก็แล้วกัน ตามแบบที่คุณชอบนั่นแหละ”

   “เอ๋? งบล่ะครับ”

   “ไม่จำกัด”

   ร้วย!!

   เมื่อได้ยินคำว่าไม่จำกัดงบ ผมนี่เปิดมือถือเลยครับ เสิร์ชสเปคแล้วลองจัดดูคร่าวๆ เอาแบบเล่นเกมได้ลื่นไม่ตุก fps 60 ไปเลย!



   รถจอดที่ช่องจอดรถวีไอพีตามบัตรเครดิตที่หมอโชว์ อาชีพหมอนี่มันเงินดีขนาดนี้เลยเหรอวะครับ นอกจากภาษีรถยนต์ ค่าบัตรเครดิตก็คงไม่ใช่น้อยๆ เช่นกัน

   หมอเดินจากลานจอดรถ ตรงไปยังชั้นภัตตาคารร้านอาหารหรูๆ ก่อนทำท่าจะเลี้ยวเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นพรีเมี่ยม ผมนี่ตาค้างเลย รีบเดินเร็วๆ ไปคว้าแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวยี่ห้อหรูไว้ ร่างสูงหยุดกึกก่อนหันมาเลิกคิ้วถาม

   “หมอ เดี๋ยวก่อน ผมกินอะไรง่ายๆ ก็ได้ครับ คือ... ถ้าหมอจะกินก็เชิญก่อนเลย” ผมไม่กล้าพูดว่าไม่มีเงิน ไอ้ที่หมอจะเดินเข้าไปน่ะ ราคาต่อหัวถ้าจะให้อิ่มก็หลายพันเลยนะ

   “เดี๋ยวผมเข้าแมคดีกว่าครับ” แล้วก็เดินย้อนไปอีกทาง แต่หมอคว้าแขนผมก่อนจะดึงให้มาด้วยกัน เขาลากผมเข้ามาในร้านก่อนจะบอกคิวที่จองไว้ พนักงานเดินนำพวกผมเข้าไปในร้าน โดยที่หมอให้ผมเดินนำไปก่อน เขากลัวผมหนีรึไงนะ ผมเดินไปพลางหันกลับมามองหมอพลางอย่างไม่แน่ใจ คนตัวสูงหัวเราะเบาๆ ก่อนพเยิดหน้าบอกให้ผมเดินต่อ สีหน้าของผมตอนนี้คงตลกน่าดู แถมการแต่งตัวก็ไม่เหมาะกับร้านระดับพรีเมี่ยมนี่เลยซักกะนิด

   “หมอ... คือผม”

   “ผมเลี้ยง สั่งเถอะ” หมอเปิดเมนู พูดแบบไม่ใส่ใจ ผมก้มหน้าดูรายการอาหารพร้อมราคาที่มากจนผมกระเดือกไม่ลง

   เชี่ย! อาหารหนึ่งมื้อมันจำเป็นต้องแพงขนาดไหนกัน

   “ผม...”

   “ผมมีส่วนลด คุณสั่งมาเถอะ ตอบแทนที่ให้ผมรบกวนเมื่อคืนและยังอุตส่าห์มาซื้อของเป็นเพื่อนผมอีก”

   นัยน์ตาสีเขียวมองผมนิ่งๆ แกมบังคับ ผมจำเป็นต้องสั่งสินะ... ผมก้มหน้าลงมองเมนู ตัดสินใจเลือกอาหารจานเดียวเพื่อกินให้มันจบๆ ไป แต่พอถึงตาหมอสั่ง รายการอาหารยาวเหยียดหลุดออกมาจากปากเขาจนผมอ่านเมนูตามแทบไม่ทัน เป็นแบบจานละนิดละหน่อย แต่ราคารวมๆ แล้วผมอยู่ได้สองเดือนเลยนะ

   “หมอ... สั่งโต๊ะจีนคุ้มกว่ามั้ยครับ”

   “หืม คุณอยากกินอาหารจีนเหรอ?”

   “ปะ... เปล่าครับ แค่นี้พอแล้วครับ” ผมหุบปากทันทีก่อนที่เขาจะพาไปจริงๆ

   รอไม่ถึงสิบนาที อาหารก็ทยอยเสิร์ฟเข้ามาเรื่อยๆ ข้าวแกงกะหรี่ที่ผมสั่งไปตอนแรกนึกว่าจะอิ่ม แต่เปล่าเลย... จานมันนิดเดียว เหมือนเอามากินหยอกกระเพาะเล่น จนกระทั่งหมอต้องดันจานแซลม่อนมาให้ ตามด้วยอะไรอีกเพียบที่เรียงรายกันเข้ามาจนถ้าผมไม่รีบกิน มันจะไม่มีที่วางแล้ว

   สุดท้าย ผมก็กินหมดทุกอย่างเลยครับ...

   พนักงานเอาสมุดบิลมาให้ในตอนท้าย หมอรับมาเปิดดูแล้วยื่นบัตรให้เขาไป ทำให้ผมไม่มีโอกาสรู้ตัวเลขในบิลนั้น มันคงจะสยองน่าดู

   เมื่อเดินออกมาจากร้าน ผมรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม

   “หมอ คือ... ให้ผมช่วยออกครึ่งนึงมั้ยครับ”

   หมอเลิกคิ้วใส่

   “อยากออกให้เหรอครับ”

   “ครับ!”

   หมอเดินเลี้ยวเข้าร้านไอศกรีม ก่อนจะหันมาก้มหน้าบอกผม

   “งั้นขอไอติมวนิลาให้ผมโคนนึงครับ”

   ตามด้วยรอยยิ้มกระชากวิญญาณที่สาวๆ เห็นแล้วคงยอมตกเป็นทาสแหงๆ แม้แต่ผู้ชายอย่างผมยังเผลอใจกระตุกวูบๆ เลย ผมรีบเดินเร็วๆ ไปสั่งไอศกรีมบวกท็อปปิ้งสิบชั้นให้เขา

   เอางี้เลยนะหมอ!!

   

   หลังจากเดินวนลงมาจนถึงชั้นที่ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ผมก็ยังไม่สามารถหาร้านที่ถูกใจกับราคาได้ เลยบอกหมอว่าที่นี่ไม่โอเค หมอเลยถามว่าผมอยากไปที่ไหน ผมเลยลองแนะนำให้หมอไปเซ็นทรัลเวิลด์ ที่นั่นน่าจะมีร้านที่ผมต้องการอยู่ เขาก็ไม่อิดออดอะไร พากลับขึ้นรถตรงไปยังห้างที่เดินแล้วต้องเปิดกูเกิ้ลแมพไปด้วย

   ผมเลี้ยวเข้าร้านที่มีสาขาทั่วประเทศที่ผมไปเป็นลูกค้าบ่อยๆ พนักงานที่ร้านต้อนรับอย่างดี เข้ามาถามไถ่พร้อมกับเสนออุปกรณ์ต่างๆ ที่เล่นเอาน้ำลายผมหยด โดยเฉพาะเมื่อคนที่เดินตามหลังผมดูภูมิฐานจนสามารถเหมายกร้านได้ (ผมล้อเล่น)

   ผมลองให้เขาจัดสเปคให้พร้อมกับเสนอราคา ต่อรองไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีเบื่อ หันไปถามหมอเป็นพักๆ ว่าพอไหวไหมราคานี้ หมอก็ทำแค่พยักหน้าและเดินดูรอบๆ ร้าน ปล่อยให้ผมดีลกับพนักงานเอาเอง อะไรต่อได้ผมต่อหมด จบจากพวกของภายในที่จำเป็น ก็มาถึงพวกอุปกรณ์เสริม ผมพาหมอไปเลือกเคสจากแคตาล็อค มีชี้ให้ดูบนชั้นที่เป็นตัวอย่าง ถามหมอว่าจะเอาซิงค์น้ำมั้ย อยากได้ RGB ด้วยรึเปล่า หมอครุ่นคิดแป๊บเดียวเหมือนงงกับสิ่งที่ผมถาม ก่อนจะบอกว่า เอาที่ผมคิดว่าดี...

   อ่า... ไฟเขียวแบบนี้ ผมก็จัดเลยสิครับรออะไร

   การ์ดจอก็แรงจนเร็วออกนอกโลกไปเลย CPU ตอนนี้ล่าสุดก็ core i9 แล้ว ก็จัดไปสิครับ เรนเดอร์กันให้เครื่องระเบิดไปเลย แต่ว่า...

   ราคามันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว พอกดเครื่องคิดเลขแล้วเล่นเอาตาเบิกกว้าง

   จะสองแสนแล้วโว้ย!

   “หมอครับ ลดของลงหน่อยดีมั้ยครับ ผมว่าราคาออกจะแรงไป”

   หมอมองใบราคาบนหน้าจอคอม ก่อนจะยื่นบัตรให้อีกแล้ว

   “เลือกมาเถอะครับ วงเงินผมค่อนข้างกว้างน่าดู”

   แหงสิครับหมอ นั่น Black card...

   “ช่วยส่งไปตามที่อยู่นี่ด้วยนะครับ”

   หมอเขียนที่อยู่ส่งให้ แน่นอนว่าทางร้านมีบริการจัดส่งอยู่แล้ว โดยเฉพาะกับลูกค้าชั้นวีไอพีที่ซื้อคอมทีสองแสนแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง

   หลังจากวนเวียนดูของเสร็จ ก็พากันหลงเซ็นทรัลเวิลด์กันจนเย็นย่ำ ไม่รู้ทำไมมาโผล่ที่โซนร้านนั่งดื่มไปได้

   “ข้าวปั้น คุณอยากแวะร้านนี้รึเปล่า” ระหว่างทางเขาชี้ร้านด้านนอกให้ผมดู เป็นเล้าจ์บาร์ที่ดูดีเลยทีเดียว ผมกลืนน้ำลาย... ก็ไม่เชิงว่าผมชอบดื่มหรอกนะ แต่มันก็น่าสนใจไม่หยอก

   “คราวนี้หมอต้องให้ผมเลี้ยงนะครับ”

   คุณหมอหนุ่มยิ้มรับ

   “โอเค”



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 7 (30/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-10-2019 19:11:17
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 7 (30/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 31-10-2019 13:15:17
หมอจีบป่ะเนี๊ยะ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 7 (30/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 01-11-2019 19:03:44
เฮ้ยยยย หมอนายมันหลอดเข้าห้องเขาแล้วตีตั๋วยาวเลยนิหว่า
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 7 (30/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 02-11-2019 14:54:39
รอติดตามต่อไปค่ะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 7 (30/10/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-11-2019 10:24:08
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่8 (3/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 03-11-2019 19:02:57
Chapter – 08
หมอครับ หมอแปลก


   ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองกลับห้องมาได้ยังไง แต่ที่แน่ๆ คือคนพากลับต้องเป็นหมอนั่นแหละ สิ่งเดียวที่จำได้คืออะไรสากๆ ที่มาเลียคอเลียปาก น่าจะเป็นเจ้าอ้วนนั่นแหละ โชคดีหน่อยที่ไม่อ้วก หรืออาจจะอ้วก...

   ผมตื่นขึ้นมาพร้อมเสื้อตัวใหม่แต่กางเกงตัวเดิม เจ้าอ้วนหนีผมไปนอนที่โซฟา สีหน้ามันดูรังเกียจกลิ่นเหล้าบนตัวผม สงสัยวันนี้ต้องซักผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มที่คลุกกลิ่นเหล้าซะแล้วสิ

   หลังจากวันนั้นหมอก็หายไป หายไปเลยว่ะ

   มีเพียงข้อความที่ส่งมาถามว่า ยังสบายดีอยู่ใช่มั้ย? ซึ่งผมก็เริ่มสำรวจตัวเองว่า ผมไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือวันนั้นผมเผลอเอาหัวไปโหม่งถังน้ำแข็งเข้า แต่ก็ไม่มี ทุกอย่างปกติดี จะมีก็แต่ความรู้สึกแปลกๆ ในอกเนี่ยแหละ

   เหมือนลืมอะไรไป

   คืนนั้นผมจำได้แค่ว่า นัยน์ตาสีเขียวที่ทอดมองมา มีทั้งรอยขบขันและเอ็นดู

   บรึ๋ย~!

   แต่ช่วงนี้ผมก็รู้สึกแปลกจริงๆ นั่นแหละ มองโทรศัพท์บ่อยขึ้น เช็คข้อความ หรือหลอนๆ เวลาเข้าลิฟต์คอนโด ความรู้สึกเหมือนว่าผมอาจจะบังเอิญเจอคุณหมอที่ไม่ได้หน้าตายอย่างที่คิดอีกก็ได้

   และแล้ว ลูปนรกก็มาอีกครั้ง...

   เดดไลน์ ตายยกแผนก

   “ส่งงาน! เช็ดเข้! ลืมเปิดโนดนึง!” พี่เจี้ยนโวยวาย

   “ฮือ! พี่ดิน ช่วยฟางด้วย ฟางแก้ขอบฟ้าไม่ได้ ฟางพยายามแล้ว!” ฟางร้องออกมา ตบโต๊ะรัวๆ พี่ดินแยกประสาทจนแทบจะใช้วิชาแยกเงาพันร่างอยู่แล้ว

   “พี่โรมครับ ช่วยผมดูค้อมพ์ตรงนี้แป๊บนึงได้มั้ยครับ” ผมที่ขอบตาแดงเพราะจ้องจอคอมมากเกินไป ยกมือขอความช่วยเหลือ พี่โรมชูนิ้วบอกขอหนึ่งนาทีก่อนจะเดินเข้ามาหา ช่วยผมแก้งานจนสามารถหาทางไปต่อได้ ส่วนพี่อัฐ ตอนนี้คงตาถลนจ้องจอคอมอยู่ไม่แพ้พวกผม เพราะต้องตรวจงานสี่โปรเจค ทั้งหมดสี่สิบห้าชอต เวลาเกือบแปดนาที รวมๆ แล้วเป็นหมื่นเฟรม โดยที่มีพี่ฤกษ์ โปรดิวเซอร์ กับพี่โต๋โคโปรดิวเซอร์ช่วยกันดู

   งานต้องเสร็จวันนี้! และแน่นอนวันนี้เป็นวันศุกร์!

   เดดไลน์หกโมงเย็นอีกแล้วคร้าบ!

   “เชี่ย! พี่ปั้นคะ มีขอบตรงนี้ หนึ่งลองเช็คอัลฟ่าแล้วนะคะ ไม่น่าจะพลาดอ่ะ แต่พอ merge รวมกันแล้วมันเกิดขอบอ่าค่ะ” น้องหนึ่งที่เริ่มกร้านโลกหลังจากทำงานอยู่ที่นี่มาพักนึงถามผม

   ผมไถลเก้าอี้เข้าไปดูน้องก่อนจะลองเช็คโนด merge

   “ลืมเอา alpha ตอน merge ออกน่ะ เปลี่ยนเป็น rgb ด้วยถ้าเราใช้ Unpremult” ผมตอบเร็วๆ แล้วไหลกลับไปค้อมพ์งานต่อ ณ จุดๆ นี้งานผมช้ากว่าชาวบ้านเขาแล้วครับ แก้แล้วแก้อีก แก้ไม่จบไม่สิ้นซะที!

   ชิบหาย!

   ผมหน้ามืดไปวูบ ก่อนจะตั้งสติสะบัดหัวไล่ความมึน ถอดแว่นออกแล้วนวดหัวตาคลายเครียดและความอ่อนล้า ไอ้เนสะกิดผมระหว่างที่กำลังจะเดินไปหาพี่อัฐ

   “ไหวมั้ยเพื่อน”

   “ได้อยู่” ผมบอกปัด ก่อนจะกลับมาจับเมาส์อีกครั้ง ไม่ทันได้สังเกตว่ามือถือมีข้อความเด้งทิ้งไว้ตั้งแต่เที่ยง...



   “ปิดโปรเจค! จบ! จบรวดเดียวสี่โปรเจค”

   พี่อัฐประกาศอย่างเป็นทางการ ทุกคนเสร็จทันเวลา และผมก็ปางตาย! ดีนะที่พี่โรมกับพี่ดินมาตะลุมบอนช่วยผมทัน ไม่งั้นผมตาย!

   “เย้!!”

   ทุกคนแทบจะปิดคอมฉลองหลังจากโต้รุ่งกันมาสองวันเต็มๆ

   “แต่อย่าพึ่งวางใจ อาจมีแก้ยิบแก้ย่อย แต่พี่ว่าไม่มาก คอยดูไลน์กันด้วยล่ะ อนุญาตให้ TeamViewer เข้ามาทำงานได้ถ้าพี่บอกว่างานด่วน ไม่ต้องเข้าบริษัทและก่อนเริ่มโปรเจคใหม่ ใครมีวันหยุดก็ใช้ได้นะก่อนจะไม่ได้ใช้ ไอ้โปรเจคยิบย่อยเก่าๆ ใครค้างอยู่อย่าลืมเคลียร์ล่ะ” พี่อัฐได้ว่าไว้

   “เออ แล้วก็วันนี้ใครยังมีแรง พี่จะพาไปฉลองจบโปรเจค ร้านใหม่ ใครอยากไปลองบ้าง?”

   พรึ่บ!

   โอเค พวกขี้เหล้ายกมือกันเพียบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็... ผมเองแหละ

   

   “ชนแก้ว!”

   เสียงกระทบกันของแก้วที่เบามากเมื่อเทียบกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มในร้านนั่งดื่มร้านใหม่ที่พี่อัฐเป็นคนแนะนำพิกัด ย่านอโศก เจ้ามือเป็นพี่อัฐทั้งที งานนี้หัวไม่ราน้ำไม่เลิก ในทีมผมมีทั้งหมดสิบเอ็ดคนรวมพี่อัฐ แถมวันนี้ คุณโปรดิวเซอร์ก็ตามมาเป็นเจ้ามือด้วย ซึ่งไม่มีใครชวนสักหน่อย แต่ทุกคนก็ยอมและยินดี โดยเฉพาะเมื่อป๋าแกบอก อยากสั่งอะไรสั่งเลย

   โอเค เป็นมิตรหนึ่งวันถ้วน

   แถมร้านนี้บรรยากาศดี เพลงช่วงหัวค่ำก็มันส์ ช่วงดึกๆ จะมีดนตรีสด มีโซนส่วนตัวด้วย ใครล่ะจะไม่ชอบ ถึงแม้ทุกคนจะอดหลับอดนอนกันมาสองวัน แต่พอเหล้าเข้าปากก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น

   “เฮ้ยๆ ไปตายอดตายอยากที่ไหนมา จะดื่มหนักก็แดกข้าวเข้าไปด้วย”

   พี่เจี้ยนปรามผมที่ซัดค็อกเทลไปหลายชอต ผมหัวเราะเป็นคนบ้า หน้าแดงก่ำ ยกมือไหว้พี่เจี้ยนงามๆ หนึ่งทีก่อนตักข้าวผัดปูเข้าปาก ถ้าอ้วกออกมาเป็นข้าวผัดก็โทษพี่มันละกัน

   “ว่าแต่ช่วงนี้เป็นไงบ้าง อาการโรคกระเพาะ” พี่อัฐที่นั่งจิบเบียร์อยู่ถามผมที่กำลังอ้าปากงับเฟรนช์ฟรายด์จากมือฟาง ผมหันมาหัวเราะให้

   “ก็ดีแล้วครับ ไม่ปวดแล้ว พยายามกินทุกมื้อ แค่สองวันนี้ที่เลทๆ ไปบ้าง”

   “ดีแล้ว” หัวหน้าผมยิ้มชอบใจการเมาของลูกน้อง ก่อนหันไปถามน้องหนึ่ง น้องเล็กสุดของแผนก “เราล่ะ ปรับตัวได้รึยัง?”

   “หนึ่งพอไหวค่ะ แต่ก็เครียดๆ อยู่” น้องหนึ่งยิ้มหวาน เห็นน่ารักๆ คอแข็งไม่หยอก

   “เรียนรู้จากพี่ๆ เขาไว้ล่ะ” แล้วหัวหน้าก็คุยสัพเพเหระกับลูกน้อง นินทาเจ้านายบ้าง ลูกค้าบ้างตามแต่ศรัทธาของสติที่ยังคงมีอยู่ โดยมีพี่ฤกษ์ร่วมวงด้วย

   แต่ผมเนี่ยสิ

   “โว้ย!! เฮียดิน! รู้ป่าววววว พี่แม่งโคตรจะไอดอลปั้นเลย โนดห่าอะไรที่ปั้นต่อ พี่แม่งแก้ได้หมด พี่รู้ป่ะ! ผมน่ะ โคตรจะ ปลา.... ทับ... จายยยยย”

   “เชี่ยข้าว มึงเมามากว่ะ” พี่ดินส่ายหัว เมื่อผมเริ่มเลื้อย

   “เหย! จริงนะว้อย เกมพี่แม่งก็เก่ง งานพี่แม่งก็เทพ ใครได้พี่เป็นผัว โชคดีตายชัก! เอิ๊ก!” ผมซบหน้าลงกับไหล่หนา พี่ดินยกมือประคองผมไว้อย่างเอือมระอา ในขณะที่พี่เจี้ยนไหลๆ ไปหลีฟางที่แทบจะเอากะพงน้ำแดงฟาดหน้าแม่ง

   อืด~ อื๊ด~ อื๊ด~

   โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าผมสั่นรัวๆ ผมไม่รู้ตัวหรอกจนกระทั่งพี่ดินทักเพราะแตะโดนกระเป๋ากางเกงผมพอดี แถมยังจัดการล้วงขึ้นมาให้อีกต่างหากเพราะผมหาได้สนใจไม่ หันไปชนแก้วกับพวกไอ้เน ลามไปถึงพี่อัฐและคู่ปรับอย่างพี่ฤกษ์แบบลืมตัวชั่วขณะ ปล่อยให้พี่ดินเป็นคนรับสายแทน

   “หมอ?” พี่ดินย่นคิ้ว มองสายเรียกเข้าที่พึ่งจะดับไป Miss call ขึ้นมามากกว่า ยี่สิบสาย ก่อนที่สายเดิมจะเรียกขึ้นมาอีก พี่ดินเห็นผมหลุดโลกไปแล้วจึงถือวิสาสะรับแทน

   “ฮัลโหลครับ?”

   [“ข้าวปั้น?”] ปลายสายมีน้ำเสียงแปลกใจ เป็นเสียงผู้ชายที่ไม่คุ้นเอาซะเลย เสียงเพลงในตอนนี้เป็นเสียงดนตรีสดดังนั้นแม้เสียงจะดังแต่ก็มีจังหวะให้ไม่ต้องตะโกนเหมือนแข่งกับจังหวะ EDM

   “ขอโทษครับ ตอนนี้ข้าวปั้นมันออกจะเมา... อืม... เละ ผมเลยถือวิสาสะรับแทน คุณเป็นใครครับ?”

   ดินตอบกลับอย่างสุภาพ พลางรายงานสภาพรุ่นน้องตัวดีที่ตอนนี้ไปเย้วๆ อยู่หน้าเวทีที่นักร้องเขาร้องเพลงอยู่กับใครก็ไม่รู้ ดินพยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปหา

   ปลายสายเงียบไปแป๊บนึง ก่อนตอบ

   [“ผมเป็นเพื่อนพี่ชายเขา ทางบ้านติดต่อเขาไม่ได้เลยเป็นห่วง ให้ผมช่วยโทรหา”]

   “ออ ครับ เขาลืมเปิดเสียง เพิ่งเสร็จงานเลยมาฉลองกันที่ร้านตรงอโศก” ดินตอบพร้อมบอกชื่อร้าน

   [“ฝากบอกข้าวปั้นด้วยครับ ว่าอีกเดี๋ยวผมจะไปรับ ขอบคุณครับ”]

   แล้วปลายสายก็ตัดไป ฟังจากน้ำเสียงแล้วดินคิดว่าอีกฝ่ายคงหงุดหงิด ก่อนเขาจะยักไหล่แล้วเริ่มมองหาคนที่หายตัวไปแล้วอีกรอบ

   หายไปไหนของมัน?

   ดินเดินหาจนเข้าไปถึงโซนผับ แม้คนจะไม่เยอะจนถึงกับขั้นหาใครไม่เจอ แต่ในที่ที่มันมืดมันก็ลำบากเหมือนกัน โชคดีหน่อยที่เจอฟางกับเนยืนอยู่ตรงทางเข้าโซนผับพอดี เนกำลังจะจุดบุหรี่สูบ พอเห็นดินจึงยื่นให้เป็นเชิงชวน ดินส่ายหัว

   “ไอ้ข้าวล่ะ?”

   “โดนพวกพี่โรมลากเข้าไปในผับ พี่โรมก็ดูจะเมามาก พี่เข้าไปตามหน่อยสิ” เนคาบบุหรี่ไว้ ข้างๆ มีฟางที่ซบพิงไหล่เหมือนคนเพิ่งอ้วกมา ดินพยักหน้า... ไม่น่าปล่อยให้คลาดสายตา รีบเดินหาไอ้เด็กเวรที่ไม่เคยรู้สารรูปตัวเองตอนเมาเลย

   “เชี่ยข้าว!”   

   ดินเข้าไปลากไอ้เด็กเวรออกมาจากวงขี้เหล้าที่ตอนนี้มั่วไปหมด คนที่ไม่รู้จักรายล้อมไอ้ตัวผอมบางเหมือนจะทำอะไรสักอย่าง แต่ไอ้เวรนี่กลับหันมายิ้มให้พร้อมแก้วในมือที่ไปเอามาตอนไหนไม่รู้ ดินชักหน้ายุ่ง โอบคนตัวเล็กกว่าออกมา

   “เฮียดี้น! มาเต้นกันค้าบผม!” ดินกรอกตา ประคองคนเมาให้หลบมุมก่อนยื่นมือถือคืน

   “ของมึง มีหมอโทรมา บอกว่าจะมารับมึง”

   “หมอ! หมอ? หมอไหนว้า ผมไม่มีใครเป็นหมอ หมอเป็นใคร ว้อท เดอะ ฟ้าคคค!” ข้าวปั้นโวยวาย เขย่าตัวดิน คนตัวโตกล้ามบึกโอบคนตัวเล็กไว้หลวมๆ

   เอาอีกแล้ว เมาน่ารำคาญของข้าวปั้น

   “เฮียดี้น!”

   “เออ! เรียกกูอยู่นั่นแหละ กูอยู่นี่” คนเป็นพี่ขำ ปล่อยให้น้องมันคล้องแขนซบซุกไปเรื่อยเปื่อย เนี่ย! เพราะงี้ไงเขาถึงไม่ยอมเมา ไอ้เจี้ยนก็บางเกินที่จะแบกข้าวปั้น คนอื่นๆ ก็ขยาดจากการกินเหล้ากับมัน มีเขาคนเดียวแหละที่เอามันอยู่

   “ระรานชาวบ้านฉิบหาย!” ดินยอมปล่อยให้มันคล้องแขนเขาเพื่อยึดเป็นเสาหลักก่อนพากลับโต๊ะ มือถือของข้าวปั้นดังอีกรอบ เจ้าตัวไม่รับ เอาแต่มองจนเขาต้องฉกมารับเอง หมอนั่นเองที่โทรมาถามว่าอยู่โซนไหน ดินบอกโซนที่อยู่ ไม่นานใครบางคนที่สูงพอๆ กับดินเลยทีเดียวก็เดินเข้ามาใกล้โต๊ะของพวกเขาที่ตอนนี้ไม่ค่อยจะมีคนอยู่เฝ้าโต๊ะแล้ว สภาพเหมือนคนเพิ่งเลิกงาน

   “ข้าวปั้น” เสียงเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง นัยน์ตาสีเขียวจ้องเขม็งยังดินที่มองกลับ ข้าวปั้นยังกอดเอวคนตัวล่ำไม่ยอมปล่อย มันชะโงกหน้ามามองคนเรียก ดินร้องอ๋อ

   “หมอ?” ดินลองพูดชื่อที่เจ้าเด็กเวรเมมไว้ อคินคลายสายตาเย็นก่อนดึงร่างเล็กมาประคองไว้เอง ข้าวปั้นปล่อยเอวดินอย่างว่าง่าย

   “ผมมาพาข้าวปั้นกลับครับ”

   “อ้อ! เอาเลยครับ ผมก็ขี้เกียจดูแลมันเหมือนกัน” ดินผายมือ ไอ้เด็กที่มีผู้ปกครองมารับจึงเซเข้าไปในอ้อมกอดของคุณหมอหนุ่ม

   “ขอบคุณครับ” อคินประคองร่างเมาๆ ของข้าวปั้นออกจากร้าน ดินได้แต่มองตามพลางคิดในใจอย่างอดขำไม่ได้

   “สงสัย... จะเป็นอย่างที่สงสัย”



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 8 (3/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-11-2019 19:47:07
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 8 (3/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 04-11-2019 17:41:33
สนุกมากครับ ขอบคุณครับ รอติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 8 (3/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 04-11-2019 20:59:02
ขอบคุณนะคะ ขอให้สนุกค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 9 (4/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 04-11-2019 21:05:36
Chapter – 09
หมอครับ หอมจัง


   ผมเดินตามแรงลากที่มากจนฝืนไม่ได้ โลกมืดๆ สว่างๆ สลับกันทำให้ใจผมเต้นรัว สติที่เหลือเพียงเล็กน้อยฝืนบังคับให้ขาก้าวเดิน แว่นตาหายไปไหนไม่รู้แล้ว รู้อย่างเดียวคือตอนนี้มึนหัว อยากอ้วก!

   “เดี๋ยวนะ พี่ดิน... ปั้น... ปั้นอยากอ้วก...”

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแผ่นหลังกว้างที่เดินนำนั้นใช่พี่ดินจริงๆ หรือเปล่า จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเดินตามใครไปบ้าง แล้วเดินออกจากร้านมาทำไม แค่เพราะโดนลากผมก็ตามมาแล้ว ผมพยายามหยุดเดิน เพราะโลกมันเหวี่ยงๆ อยากเอาข้าวผัดปูออกมาแล้วอ่ะ

   ร่างสูงด้านหน้าผมหยุดเดินแล้วหันกลับมา ผมรีบหันตัวออกแล้วโก่งคออาเจียนทันที กลิ่นเหล้าผสมเบียร์ตีขึ้นจมูกจนขมคอ น้ำหูน้ำตาไหล ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังผมขึ้น

   “พี่ดิน ปั้นว่า.. ปั้นไม่ไหวว่ะ” ผมเช็ดปากด้วยผ้าที่ถูกยื่นมาให้ แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อ ร่างของผมก็ถูกช้อนขึ้นอุ้มด้วยท่าเจ้าหญิง... เล่นเอาตกใจจนคว้าคอแกร่งไว้แน่น

   “ผมอคิน” เสียงทุ้มคุ้นเคยที่ไม่เจอมาเป็นเดือนดังใกล้หู เล่นเอาผมเบิกตา กว้าง แต่มองไม่ชัดเพราะแว่นผมหายไปแล้ว

   “อคิน...” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าที่เบลอๆ ในสายตาผมก่อนจะตีเบาๆ ที่แก้ม

   “อ้อ! หมอนี่เอง หวัดดีค้าบ!!” ผมไหว้ปลกๆ กลิ่นโคโลญเย็นๆ  หอมๆ ทำให้ผมรู้สึกสบายใจ กลิ่นของหมอทำให้ผมหายมึนหัว ซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง พลางขยุ้มเสื้อจนติดมือ

   “ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ไลน์ก็ไม่อ่าน” คนตัวโตแบกผมเดินสบาย

   “หมอโทรมาเหรอครับ ปั้นไม่รู้ครับผม ปั้นเต้นอยู่ เพลงก็ด๊างดาง!”

   “ข้าวปั้น ไหวมั้ยเนี่ย” เสียงหมออ่อนลง ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ยกนิ้วชี้โบกไปมาหน้าหมอ

   “หวายดิค้าบ! ก็มาดิค้าบบบบ”

   คุณหมอถอนหายใจ ดีนะที่หมอจอดรถไม่ไกล สักแป๊บไม่ถึงนาที ผมก็รับรู้ได้ถึงความนุ่มของเบาะ กลิ่นน้ำหอมของหมอคลุ้งรถ คนตัวโตอ้อมไปเปิดกระโปรงหน้า เอาขวดน้ำเปล่าออกมาให้ผมล้างหน้าล้างตา พลางกลั้วปาก ก่อนจะประคองผมให้นอนลงแล้วจัดการปรับเบาะเอนให้

   “บริการเยี่ยมเลยครับหมอ! ฮะๆๆ น่ารักจัง” ผมคว้าแขนแกร่งไว้พลางเอาหน้าถูๆ เหมือนที่ทำกับพี่ดิน หลับตาลงพลางถอนหายใจหนึ่งครั้ง สติเริ่มหลุด...

   “ข้าวปั้น...” เสียงใครไม่รู้เรียกผม ผมครางตอบ

   “หืม...”

   “ปั้น”

   “ค้าบ”

   ความอุ่นชื้นประทับลงมาบนริมฝีปากแห้งๆ เหมือนคนขาดน้ำ ผมงัวเงีย รสสัมผัสระคายแต่อ่อนนุ่มจนผมอดคิดไม่ได้ว่า ‘ลิ้นของเจ้าอ้วนนุ่มขนาดนี้เลยเหรอ?’ ผมโอบแขนขึ้นหมายจะกอดและลูบเจ้าปั้นสิบแบบที่ทำประจำ แต่ทำไมครั้งนี้ ขนเจ้าอ้วนมันยาวจัง แถมยังหอมและนุ่มมือ

   “อา...”

   เจ้าอ้วนตัวโตขึ้นเยอะเลย แกต้องลดอาหารแล้วนะ...



   - Akin Part -

   ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดในที่จอดรถส่วนตัวอย่างรีบร้อน เมื่อคนเมาแล้วเลื้อยกำลังขาดสติ เอาตัวพาดเกียร์มาวางหัวบนตักพลางเอาหน้าซุกหน้าท้อง ผมพยายามจับให้คนงอแงอยู่กับที่เพราะเขากำลังจะพยายามปีนข้ามฝั่งมา ข้าวปั้นพยายามเลื้อยจนผมแทบจะขับรถชนเสาไฟฟ้า ดีนะที่ช่วงนี้รถน้อยจนถนนโล่ง ไม่งั้นคงได้มีการเรียกใช้ประกันแน่นอน

   “ข้าวปั้น ถึงแล้ว หยุดไซร้ก่อน” ผมพยายามดันไหล่บางขึ้น แต่เจ้าตัวกลับฝืนไว้ สองแขนโอบรอบเอวสอบของผม เอาแต่ดมกลิ่นอะไรก็ไม่รู้ที่เขาเอาแต่พูดว่าหอมจนผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่ออดกลั้น

   “หอมจังเลยครับ”

   “ปั้น” ผมล้มเลิกความคิด ถอยเบาะรถให้สุดก่อนจะลากร่างที่เล็กกว่ามานอนกองบนอกให้มันรู้แล้วรู้รอด ปล่อยเขา อยากทำอะไรก็ปล่อยไป สิ่งเดียวที่ผมต้องคุมตอนนี้ไม่ใช่ข้าวปั้น แต่เป็นตัวผมเอง

   “หมอ ขอหอมหน่อยสิ” คนตาเยิ้มเงยหน้าขึ้น ผมถลึงตาดุ แต่มือก็ประคองหัวคนที่ผุดลุกขึ้นอย่างไม่ระวังจนหัวจะโขกกับเพดานรถ

   “เมื่อไหร่จะพอใจครับ” ผมถามตรงๆ พลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้แก้มนุ่มเบาๆ อย่างเอ็นดู ข้าวปั้นยิ้ม ถอยตัวเองลงไปกองกับพื้นรถที่มีช่องว่างพอให้ลงไปนั่งคุกเข่าได้ สมองผมเริ่มว่างเปล่าเมื่อมองเขาจากมุมนี้

   คราวที่แล้วไม่เห็นเป็นแบบนี้

   “ปั้นครับ ลุกขึ้นเร็ว ผมจะไม่ทนแล้วนะถ้าทำตัวแบบนี้น่ะ”

   คนขี้เมาหยุดกึก ก่อนช้อนตามองอย่างเสียใจ

   “คุณหมอเกลียดปั้นเหรอครับ”

   ผมนิ่งไป

   พยายามสงบจิตสงบใจ ตำราแพทย์ ภาพการผ่าตัดใดๆ ก็ตามช่วยให้ผมลืมๆ สิ่งที่ผมอยากทำตอนนี้ไปทีเถอะ ผมส่ายหัว พยายามล้วงกระเป๋ากางเกงค้นกุญแจห้องของเขา แต่ก็ไม่เจอ ก่อนจะนึกได้ว่ากระเป๋าคาดที่ปกติเจ้าตัวจะเอาคาดติดไว้ได้หายไป มีเพียงมือถือเครื่องเดียวที่ถูกยัดไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมถือวิสาสะเอามาเปิดดูว่ามีข้อความอะไรทิ้งไว้บ้าง มีตั้งแต่ไลน์ของผมตอนเที่ยง ไลน์บ้าน ไลน์บริษัท Miss call อีกเป็นสิบทั้งจากบ้านเขาและผม ล่าสุดคือไดเร็กแมสเสจในอินสตราแกรมจากคนที่ใช้ชื่อว่า Kanin_walk ที่ส่งมาพร้อมรูปแต่ผมเปิดดูไม่ได้ เห็นเพียงข้อความว่า

   

   Kanin_walk : ไอ้ปั้น มึงลืมกระเป๋า เก็บไว้ที่กูละกัน



   อาจเป็นคนที่ชื่อดินหรือเพื่อนที่บริษัท

   โอเค... สงสัยคืนนี้จะได้ค้างที่ห้องผม

   ผมเปิดประตูรถ ดันร่างที่เกาะผมไม่ปล่อยออกเล็กน้อยเพื่อออกจากรถ ข้าวปั้นผวาคว้าตัวผมไว้แน่น ผมลูบหลังคนที่สั่นเหมือนจับไข้ ตัวร้อนจนน่าเป็นห่วง เขากอดผมแน่นจนทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปจนถึงลิฟต์

   “หมอ... หมอ”

   ผมเริ่มสังเกตอาการคนในอ้อมแขนระหว่างขึ้นลิฟต์ มันไม่น่าจะใช่อาการเมาธรรมดา...

   ผมประคองร่างอ่อนปวกเปียกลงบนเตียงในห้องนอนแขกชั้นล่าง จัดการปรับอุณหภูมิแอร์แล้วค้นชุดนอนแขกให้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยมีใครให้ ‘ต้อนรับ’ ก็ตาม แต่ผมก็เตรียมไว้เสมอเผื่อกรณีฉุกเฉิน

   ผมจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ หุ่นของข้าวปั้นนี่ทำเอาผมถอนหายใจยาว แม้จะเคยเห็นมาบ้างแล้วตอนผ่าตัด รอยแผลเป็นยังคงหลงเหลือ ผมเผลอลูบแผลตรงท้องเขาเบาๆ ร่างที่นอนเป็นผักอยู่ถึงกับสะท้านพลิกตัวหนี

   “งื้อ!” เขาทำหน้าเหยเก

   “เย็นเหรอ” ผมถาม คนตัวเล็กส่ายหน้าเบาๆ

   “เสียว”

   ผมหยุดมือที่กำลังเช็ดตัวให้เมื่อได้ยิน นิ่งไปสักพักก่อนจะตัดสินใจปล่อยผ่านแล้วเอาผ้ากับอ่างไปเก็บ พอจะลุก มือเรียวก็คว้าแขนเสื้อผมไว้ ก่อนจะไหลลงไปจับมือผมแน่นเหมือนวันนั้น... วันที่เขาอาการโฟเบียกำเริบเพราะลิฟต์ค้าง

   “อย่า...” เสียงอ่อนละเมอ น้ำตาเริ่มไหล่ หายใจหอบและถี่จนผมอดวัดชีพจรเขาไม่ได้ “อย่าทิ้งปั้น”

   “ข้าวปั้น”

   “ขอโทษครับ ขอโทษ...”

   ผมนั่งลงบนเตียง ลูบไล้มือที่เล็กกว่าอย่างแผ่วเบา ความเอ็นดูท่วมท้นเหมือนเมื่อก่อน

   ผมเคยลืมเขาไป... แต่ไม่เคยลบเขาออกไป

   เด็กน้อยที่เอาแต่เกาะชายเสื้อผมสมัยเด็ก... แม้เขาจะจำผมไม่ได้เลย ผิดกับผมที่เห็นชื่อกับนามสกุลก็จำได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร

   นั่งลูบมือปลอบใจคนขวัญเสียไปพลางย้อนคิดไปถึงวันที่เขานั่งหน้าเจี๋ยมเจี้ยมในห้องตรวจตอนผมบอกว่าต้องผ่าตัด สภาพเขาแย่มากจนผมไพล่ด่าไปถึงข้าวปุ้น ว่าทำไมไม่รู้จักดูแลน้อง

   “หมอ... อา...”

   ผมตื่นจากความคิด เสียงเรียกของคนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วทำให้ผมต้องขานรับ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มปรือมองผม หน้าแดงก่ำ ลมหายใจกระชั้นจนผมตกใจ

   “เป็นอะไรครับ”

   “ร้อนครับ ร้อนมาก หมอ” ข้าวปั้นบีบมือผมแน่น อาการแบบนี้ผมเจอบ่อยทีเดียว

   ผมมองไปที่กลางลำตัวของเขาที่ตอนนี้ตื่นตัวจนผมกลืนน้ำลาย

   “ช่วยหน่อย ไม่ไหว...”

   “ข้าวปั้น”

   “หมอครับ” ข้าวปั้นพลิกตัวลุกมากอดผมไว้แน่น พลางซบหน้าลงที่ซอกคอ พยายามแกะกระดุมเสื้อผมออกอย่างรีบร้อนจนผมพ่นลมหายใจออกมา ผมลูบหัวเขา ปล่อยตัวให้เขาทำตามใจ

   ก่อนที่ผมจะเริ่มเอาคืนบ้าง

   “ปั้นจะเสียใจนะถ้าทำแบบนี้” ผมลูบไล้แผ่นหลังเปียกโชกใต้ชุดนอนที่ผมเพิ่งจะใส่ให้เมื่อกี้อย่างย่ามใจ จมูกสูดดมกลิ่นกายของคนขี้เมาที่ตอนนี้เลื้อยลงไปซบที่หน้าท้องผมแล้ว

   “อึดอัดจังครับ”

   ไอ้เด็กบ้าลุกขึ้นก่อนก้มลงมองหว่างขาตัวเองที่มีบางอย่างดุนดันผ่านเนื้อผ้าออกมาจนเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ผ้าตรงส่วนที่ถูกดันออกมามีรอยเปียกชื้นยืนยันหลักฐานที่เขาพูด ผมครางแบบไม่มีเหตุผล จับคางแหลมให้เชิดขึ้นก่อนโน้มลงไปประกบริมฝีปากอย่างดุดัน ลิ้นร้อนสอดเข้าไปควานหาความหวานชุ่มจากลิ้นเล็กอย่างกระหาย

   ผมไม่ใช่คนดี

   การจูบครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ ที่ผมฉวยโอกาสเอาเอง จูบร้อนของผมทำเอาคนในอ้อมแขนสั่นระริก เรียวแขนบางตวัดโอบรอบคอผมอย่างเรียกร้องให้มากขึ้น

   โดยเฉพาะเมื่อเขาพยายามดันร่างตัวเองมาถูไถกับส่วนที่เริ่มตอบสนองของผม

   แม้คนขาดสติจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และผมก็รู้ด้วยว่ามันเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะตอบสนองทั้งความต้องการของเขาและตัวเอง ผมจัดการสานต่ออย่างลืมตัว ทำรุนแรงตามความเคยชิน มือใหญ่ของผมขยำเนื้อเนียนตั้งแต่เอว ไล่ไปจนถึงหน้าอก เสื้อนอนร่นขึ้นตามมือของผม ก่อนจะถูกถอดออกผ่านศีรษะเล็ก ผมพรมจูบทุกสัดส่วนที่มือลากผ่าน ฝากร่องรอยไว้จนขึ้นสีแดงจ้ำทั้งตัว โดยเฉพาะลำคอที่ผมหลงใหล

   สายตาหวานเยิ้มทำให้สติของผมเลือนรางเหลือเกิน

   ข้าวปั้น...

   เก็บความรู้สึกผิดไว้บนหิ้งก่อนแล้วกัน



คุณหมอจะทำอะไรน้องน่ะ นี่หมอสารภาพเเล้วใช่มั้ยว่าหมอลักหลับน้องตลอดน่ะหือ?
มันรว้้ายนะคะคุณเเม่ //
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 9 (4/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-11-2019 22:02:49
 :z1:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 9 (4/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Zureyga ที่ 04-11-2019 22:17:10
อ๊ากกกกกกกก คุณหมอใจเย็นก่อนนนน
:z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 9 (4/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Zureyga ที่ 04-11-2019 22:19:02
 คุณหมอออใจเย็นๆก่อน
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 9 (4/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-11-2019 22:25:58
เอาแล้วว เมาแล้วได้เรื่องเลยนะ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่ 9 (4/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 04-11-2019 22:44:55
น้องปั้นจะโดนกินไหมมม  หมอใจเย็นๆน้าา 5555
ลุ้นปมที่น้องโฟเบีย อยากรู้ว่าน้องขอโทษใคร เกี่ยวกับหมอไหมน้า
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 05-11-2019 20:13:25
Chapter – 10
หมอครับ หมอทำอะไรผม?



   ปวด... ปวดหัว ปวดตัว ปวดเอว...

   ความรู้สึกปวดเป็นสิ่งแรกที่ผมรับรู้หลังจากเริ่มรู้สึกตัว ร่างกายเหมือนไปเล่นเวทมาอย่างหนักตามด้วยว่ายน้ำไปกลับอีกสามสิบรอบต่อ หัวหมุนจนต้องยกมือขึ้นมานวดขมับ รับรู้ได้ถึงอาการเมาค้าง แต่ผมไม่คิดว่ามันจะหนักหนาขนาดรู้สึกว่าโลกหมุนแม้กระทั่งหลับตา

   “อือ... ปวด... ปวดหัว”

   เสียงที่ออกจากลำคอของผมแหบแห้ง สงสัยเพราะแผดเสียงร้องเพลงเมื่อคืนแหงๆ อยากร้องไห้เพราะความทรมาน โดยเฉพาะเมื่อช่วงเอวของผมลงไปมันรู้สึกเจ็บจนขยับไม่ได้ มันเป็นความเจ็บที่แปลก... แปลกจนต้องลืมตาขึ้นมาเพื่อสำรวจร่างกาย

   ผมเบิกตาโพล่ง หน้าซีดปากเซียว ความปวดหนึบที่ด้านหลังเล่นเอาใจสั่นริก

   ไม่...

   โดยเฉพาะเมื่อเหลือบตาไปมองด้านข้างแล้วเห็นว่านัยน์ตาสีเขียวคู่สวยจ้องมองมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว มันนิ่งและอ่านยากเหมือนเดิม ร่างสูงในชุดลำลอง เสื้อยืดคอกว้างแขนยาวสีดำกับกางเกงขายาวสีน้ำตาลเบจ ผมหยักศกไม่ได้เซทเหมือนปกติ เขานั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวเดียวในห้องพลางเท้าศอกลงบนเข่า ประสานมือไว้ระดับปาก จ้องเขม็งมาเหมือนรอให้ผมพูดอะไร...

   ผมกลืนน้ำลายที่แห้งผาก หลุบตามองร่างกายตัวเองที่เปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม ร่องรอยของสงครามเมื่อคืนยังอยู่ครบ โดยเฉพาะผ้าปูเตียงที่หลุดลุ่ยกับหมอนที่กระจายตามพื้นกองรวมๆ ปนๆ ไว้กับเสื้อผ้าทั้งของผมและของ... หมอ

   ผมผุดลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะตวัดขาลงหมายเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย หน้าเห่อร้อนจนลามไปที่เบ้าตา แต่ทันทีที่เท้าแตะพื้น ร่างทั้งร่างก็ทรุดฮวบลง จนต้องอาศัยมือยันพื้นไว้ ปากสั่น เหงื่อแตกพลั่ก โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ถึงของเหลวบางอย่างที่เหนียวๆ กำลังไหลเยิ้มออกมาจากช่องทางแคบด้านหลัง

   น้ำตาที่พลันกลั้นไว้ตอนนี้ร่วงเผาะจนเปียกพรมราคาแพง ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนห้อเลือด ฝืนลากเอาผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวอย่างอับอาย ไม่กล้ามองหน้าคนที่เอาแต่นั่งจ้องปฏิกิริยาของผม

   “ผม... ผม...”

   ร่างปวกเปียกของผมพยายามลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ขยับ ของเหลวที่คั่งค้างอยู่ในตัวก็พลันจะไหลออกมา ผมเท้าศอกลงกับพื้น พยายามก้มหน้าใช้มืออีกข้างปิดร่องรอยน่าอดสูไว้ สะอื้นเสียงแผ่วอย่างหมดศักดิ์ศรีลูกผู้ชายท่ามกลางความเงียบ

   “ผม... ผมขอโทษครับ”

   ผมไม่รู้ว่าขอโทษทำไม

   ในที่สุด คนที่นั่งมองมานานก็ขยับตัว ลุกมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าผมที่ไม่กล้าขยับไปไหนเพราะสติหลุด ก่อนที่เขาจะช้อนร่างของผมขึ้นอุ้มพลางเดินตรงไปยังห้องน้ำ ผมเกาะเสื้อเขาแน่น ปากเอาแต่ขอโทษ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอโทษอะไร

   ร่างของผมเต็มไปด้วยรอยจูบและรอยช้ำมือ หมอวางผมลงในอ่างน้ำอุ่นที่ถูกเตรียมไว้ เขาถลกแขนเสื้อขึ้นพลางนั่งลงบนขอบอ่าง ปล่อยให้ผมขดตัวเข้าหาขอบอ่างอย่างหวาดกลัว

   “ให้ช่วยมั้ย?”

   คนที่เงียบมานานเอ่ย น้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเคย ผมเงยหน้ามอง ไม่เข้าใจว่าเขาจะช่วยอะไร

   คุณหมอโน้มตัวลงมา ใช้แขนข้างหนึ่งยันขอบอ่าง อีกข้างจุ่มลงน้ำ สอดเข้าไปใต้หว่างขาที่ชันขึ้นหนีบไว้ ผมเบิกตากว้าง สะบัดตัวอย่างตกใจ แต่ร่างสูงที่ทั้งตัวโตและแข็งแรงกว่ากลับโน้มหน้าเข้ามาบดจูบอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะเตลิด อาศัยช่องว่างสอดนิ้วเข้ามาในช่องทางแคบที่ทั้งเจ็บทั้งแสบพลางคว้านเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาจากร่างกายผมอย่างชำนาญ...

   ผมสะท้านเฮือก ตกใจสุดขีด ขมิบรัดนิ้วเรียวจนคุณหมอนิ่วหน้าระหว่างถอนริมฝีปากออก

   “ผมจะช่วย คุณอย่ารัดผมแน่นนักสิ... มันล้วงลำบาก” คุณหมอยิ้มเย็น สายตามีร่องรอยความน่ากลัวแฝงอยู่ ผมกลั้นใจ จ้องคนหรี่ตามองมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเผลอครางเสียงแผ่วเมื่อนิ้วยาวไปสะกิดโดนจุดกระสันภายในเข้า...

   “อา... อุ้บ!” ผมตะครุบปากตัวเองเมื่อส่งเสียงน่าอายออกไป คุณหมอยิ้มเครียดโดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นผมห่อไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยมือจนลีบเล็ก พยายามสะกดเสียงตัวเองจนน้ำตาคลอเบ้า

   ไม่รู้ตัวเลยว่ากิริยานี้ทำให้หมออยากจะแกล้งมากขึ้น

   “มะ... หมอ... หยุดก่อนครับ อือ...”

   “ทำไมครับ ยังเหลือค้างอยู่นิดหน่อย” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู พลางขยับนิ้วเร็วขึ้น แทรกสอดเข้ามาลึกขึ้นจนผมตะปบมือลงเพื่อขอร้องให้เขาหยุด

   “หมอ... หมอครับ พอก่อน... ผม ผม... ผมจะ...”

   แม้จะพยายามขัดขืน แต่พอถูกกระตุ้นเยอะเข้า จากที่พยายามห้ามกลับกลายเป็นว่าทำได้เพียงจับข้อมือใหญ่ไว้ ซบหน้าลงกับอกกว้างที่มีกลิ่นหอมที่คุ้นเคย...

   เมื่อคืนผมคลั่งไคล้กลิ่นนี้ทั้งคืน

   หมอก้มมองส่วนที่ชูชันอย่างน่าอาย ท่อนเนื้อของผมมันกำลังตอบรับการกระตุ้นจากภายใน ปวดหนึบจนน่าอาย ผมเงยหน้ามองทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า

   “หมอ...”

   “จะอะไรครับ ไหนบอกหมอซิ”

   หมอ... แม่งเหี้ย...

   ผมถูกดวงตาสีเขียวสะกดไว้เหมือนงูจ้องเหยื่อ...

   “หยุดแกล้งผมซะที” เสียงผมทั้งสั่นทั้งห้วน ลดมือลงจับร่างกายตัวเองเพื่อดับอารมณ์อย่างลืมอาย เบนหน้าหนี หมอขมวดคิ้วก่อนรวบข้อมือทั้งสองของผมด้วยมือข้างเดียวพลางกดลงใต้อ่างน้ำ เอียงคอยิ้มเย็น

   “ต้องการอะไรครับไหนพูดสิ”

   “หมอต่างหากต้องการอะไรจากผม” ผมเริ่มโมโหหนัก ทั้งสับสน ทั้งรู้สึกแย่ ตัวก็ร้อน ปวดก็ปวด!

   “ต้องการข้าวปั้น”

   ผมกัดฟันอยากสวนกลับเหลือเกินแต่ติดว่าหมอไม่ยอมให้ผมต่อต้านมากกว่านี้ ลิ้นอุ่นร้อนซุกซนตวัดลามเลียไปเรื่อย จากกกหู ลงมาที่ซอกคอ ขบเม้มแล้วใช้ลิ้นดูดดึงอย่างมัวเมา ความทรงจำเมื่อคืนเริ่มประดังประเดเข้ามาในสมองเหมือนน้ำป่าไหลหลาก

   ...กูกับหมอ...

   เวรกรรม...

   แรงบีบที่ข้อมือมากขึ้นเมื่อผมพยายามขัดขืนโดยการขยับขาหนีบชิด ร่างสูงขยับกายเอาแขนแทรกเข้ามาตรงกลางพยายามฝืนให้อ้าขากว้างจนผมร้องครวญยอมแพ้

   ทำไมเมื่อคืนถึงจบแบบนั้น...

   ยิ่งคิดยิ่งอยากเอาปืนยิงกบาลตัวเองตอนนี้เลย

   “หมอครับ... ผม... ผมไม่อยากทำแล้ว... อื้อ...”

   ผมสะท้านเฮือกเมื่อจู่ๆ มือข้างที่รวบข้อมือผมอยู่ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นกำรอบแท่งเนื้อที่แข็งจนบวมเป่งของผมพร้อมกับขยับรูดขึ้นลงอย่างไม่ให้ทันได้ทันตัว มือข้างที่เท้าขอบอ่างอยู่เปลี่ยนมาจับเข่าข้างหนึ่งของผมให้แยกออกด้านข้าง ทำให้มือที่เป็นอิสระกลายเป็นฝ่ายจับข้อมือใหญ่แทน ผมแหงนหน้าขึ้นรับใบหน้าของหมอที่เคลื่อนมาซุกไซร้จนตอนนี้รอยแดงช้ำคงเต็มคอผมหนักกว่าเดิม

   “อย่าดูด...”

   “ข้าวปั้น... ปั้นครับ”

   มือแกร่งขยับเร็วขึ้น ผมเสียวจนสูดปาก ขยับสะโพกรับอย่างน่าอาย

   ...แต่เมื่อคืนน่าอายกว่านี้เยอะ...

   “ฮะ... ฮื่อ! อะ... อย่ากัด หมอ...”

   ฟันของหมอขยับมาขบยอกอกสีอ่อนที่ชูชันอย่างมันปาก มือผมขยับเลื่อนขึ้นไปตามลำแขนแกร่งจนถึงศีรษะเขา ขยุ้มผมหยักศกนุ่มมือเพื่อระบายอารมณ์ แขนสองข้างของผมโอบรอคอเขาแน่นจนแทบจะลากให้ลงมาอยู่ในอ่างด้วยกัน...

   เสียงน้ำกระเพื่อมกลบเสียงน่าอายยามเนื้อท่อนล่างถูกชักนำด้วยจังหวะเร่าร้อน ก่อนปลดปล่อยของเหลวออกมาจนละลายหายไปกับน้ำวนในอ่างจากุชชี่ราคาแพง เสียงครางดังออกจากปากผม...

   หมอเลื่อนตัวขึ้นมามองหน้าผมที่ปลดปล่อยตัวเองอย่างลืมอาย ผมแหงนมองเพดานอย่างสมเพชตัวเอง อยากจะหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน เขาก้มลงงับปากบวมเจ่อของผมที่เผยอค้างไว้ ลิ้นร้อนดูดดึงลิ้นผมเข้ามาจนแทบจะกลืนลงคอ กระทั่งประท้วงเมื่อผมเริ่มหายใจไม่ออก

   ผัวะ!!

   ด้วยหมัด

   หมัดลุ่นๆ ต่อยอัดเข้าที่มุมปากเขาจนหน้าหัน แว่นตากระเด็นหลุดไปตกที่พื้นห้องน้ำ ผมหอบหายใจ กัดปาก ตาขวางสุดฤทธิ์

   “บอกให้หยุดไง!”

   หมอเช็ดเลือดที่มุมปากตัวเอง ผมลุกขึ้นจากอ่าง ไม่ได้สำเหนียกเลยว่าทั้งหมดน่ะความผิดกูทั้งนั้น ก่อนจะทรุดตัวลงเพราะเจ็บเอวและต้นขา ก้มมองรอยจูบและรอยมือแล้วอยากจะฆ่าคนตรงหน้าทิ้ง

   “โอ๊ย!”

   “อย่าพึ่งขยับเยอะ” หมอหันกลับมาประคอง เขาคงจะรู้แหละว่าร่างของผมพังขนาดไหน เพราะเมื่อคืนหมอเล่นไม่ยั้งมือตัวเองบ้างเลย

   “อย่า! อย่ามาจับตัวผม” ผมสูดลมหายใจเข้า ยกมือห้ามคนที่จะเข้ามาช่วย

   “หมอ... หมอทำแบบนี้ทำไม... ฮึก!” ความน้อยเนื้อต่ำใจแล่นวูบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโดนอะไรไปบ้าง ความทรงจำเทเข้ามาเกือบจะชัดแต่ก็ไม่ชัด แม้จะขาดเป็นช่วงๆ เหมือนภาพหลอน แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ มันทำให้ผมได้แต่หลอกตัวเองว่าผมไม่ผิด

   ผมยอมรับเลยว่าผมเป็นเด็กดีเรื่องนี้มาตลอด นอกจากจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องผู้หญิง กับผู้ชายผมยิ่งไม่เคยคิด แล้วนี่มันเหี้ยอะไรวะ ทำไมจู่ๆ ผมถึงทำตัวแบบนั้น...

   น้ำตาไหลอย่างโกรธตัวเอง หมอนิ่งมองเงียบๆ ปล่อยให้ผมพยายามลุกขึ้นเกาะกำแพงเดินออกจากห้องน้ำไปด้วยตัวเอง ร่างสูงถอนหายใจ ลุกขึ้นเก็บแว่นที่ตกอยู่มาใส่เหมือนเดิมก่อนเดินตามออกไปพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่

   

   ผมสะอื้นจนสะอึกเพราะหายใจผิดจังหวะ ลากร่างช้ำมือช้ำปากของตัวเองมาถึงห้องนอน ตาพร่าไปด้วยม่านน้ำตาที่ร่วงเผาะเป็นเผาเต่า พยายามก้มเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย

   ทำไมเป็นงี้ไปได้... ผมแดกห่าอะไรเข้าไป

   ...แก้วเหล้าที่ไอ้พวกเวรนั่นยื่นให้...

   ผมนึกถึงความทรงจำก่อนภาพตัด ช่วงที่เข้าไปในโซนผับแล้วเจอเพื่อนร่วมมหาลัยเข้ามาทัก พวกมันยื่นแก้วเหล้าให้ ตอนนั้นผมกำลังสนุก พวกมัน... คิดทำเหี้ยอะไรกับผมถึงเอาของพรรค์นั้นมาให้ผมแดก!

   ผมข่มความโกรธไว้... กวาดตามองหามือถือ อยากรีบๆ ออกจากห้องนี้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ถูกเอามาคลุมร่างช้ำๆ ไว้จากด้านหลัง

   “ขอโทษ”

   เสียงทุ้มดังเหนือหัว ก่อนจะหายไปพร้อมไออุ่น เสียงประตูปิดลง ผมได้แต่ยืนคอตกอยู่แบบนั้นเกือบสิบนาที



   ผมเดินช้าๆ ออกจากห้องนอนแขก ตั้งสติ พยายามนึกหน้าไอ้พวกเวรนั่นทั้งหมดแล้วแบล็คลิสต์ไว้ ก่อนที่ความรู้สึกเมื่อคืนจะย้อนกลับมาหลอกหลอน

   ผมจำความรู้สึกตอนนั้นได้

   มันทั้งร้อน ทั้งอึดอัด อยากปลดปล่อยออกมา เหมือนอันล็อคธาตุแท้ตัวเอง

   อนาถใจฉิบหาย...

   แล้วยังมีหน้าไปต่อยหมออีก

   ทั้งๆ ที่เขาห้ามผมแล้วแท้ๆ เวรเอ้ย!

   ชุดของเฮียปุ้นที่หมอเคยยืมใส่ถูกซักรีดแล้วเรียบร้อยวางไว้ที่โต๊ะในห้องนอนพร้อมมือถือทำให้ผมไม่ต้องตัวเปล่าออกจากห้อง เดินออกมาจนถึงโถงนั่งเล่นที่แรกที่เขาพาผมมา ต้องเพ่งมองจึงเห็นว่าคู่กรณีของผมกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ริมประตูกระจกที่เปิดกว้างเพื่อรับลม ซึ่งมันกั้นระหว่างด้านในห้องกับนอกระเบียง เขามองออกไปข้างนอก มุมปากเริ่มช้ำแต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย   

   “ทานอะไรก่อนไปสิ ผมเตรียมยาแก้อักเสบไว้ให้ทานหลังอาหาร” เขาพูดโดยไม่มองผมแม้แต่น้อย ทำเอาผมรู้สึกผิดและใจหายกับท่าทางเย็นชาแบบนั้น โต๊ะอาหารตรงหน้าแพนทรีครัวมีมื้อเช้าแบบอเมริกันวางอยู่พร้อมกับยาและน้ำส้มคั้น

   คุณหนูโคตร...

   ท้องผมร้องแทนคำตอบทุกสิ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากอยู่ที่นี่ต่อ

   “ไม่ครับ ผมจะกลับห้องแล้ว”

   “ข้าวปั้น”

   ผมชะงัก ขานรับตามเสียงเรียก

   “ครับ”

   “ที่ผมขอโทษ ไม่ได้หมายความว่าผมผิด”

   ผมหันมองขวับ ตาเขม็งกับพูดนั่น พอดีกับที่หมอหันกลับมาจ้องผมด้วยความเยือกเย็น

   “คนที่เรียกร้องคือคุณเอง จำไว้ด้วยนะครับ”



หมอดุน้องตะไม
ยูอ่านทุกคอมเม้นต์เลยน้า ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์น่ารักๆ ค่า
ยูเอารูปวาดไปลงไว้ในทวิตเตอร์นะคะ เผื่อใครอยากเสพ ไม่ค่อยสวยหรอก แต่อยากวาด 555

https://twitter.com/_SeenYu

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-11-2019 22:14:58
หมอออออ จะเป็นไงต่อเนี่ยย


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-11-2019 23:35:14
555 แล้วขอโทษอะไรละหมอ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 06-11-2019 00:05:24
หมออย่าดุน้องงง 555
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-11-2019 09:25:15
 :L2: :pig4:

หมอดุนะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 06-11-2019 12:41:14
ที่หมอขอโทษ เพราะหมอไม่ได้ทันห้ามใจตัวเอง ล่วงเกินข้าวปั้นตอนไม่มีสติ ^^
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2019 15:49:24
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่10 (5/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 06-11-2019 21:09:17
ที่หมอขอโทษ เพราะหมอไม่ได้ทันห้ามใจตัวเอง ล่วงเกินข้าวปั้นตอนไม่มีสติ ^^

ใช่เลยนะค้า
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่11 (6/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 06-11-2019 21:17:20
Chapter – 11
หมอครับ หมอเหนื่อย



   [“ไอ้ข้าวปั้น! เพิ่งจะหายป่วยหยกๆ ซ่าออกไปกินเหล้าอีกแล้วเรอะ เฮียจะฟ้องม๊า!”]

   ผมอุตส่าห์เลือกที่จะโทรกลับหาเบอร์เฮียปุ้นเป็นคนแรก เพราะคิดว่าน่าจะบ่นน้อยที่สุด แต่ที่ไหนได้ บ่นหนักไม่แพ้ม๊ากับเจ้เลย

   “เฮียปุ้น ปั้นแฮ้งค์อยู่ พูดเบาๆ” ผมกุมหัวตัวเองที่เริ่มปวดจี๊ด เฮียปุ้นพ่นลมหายใจใส่

   [“แล้วนี่กลับไงเมื่อคืน”] เฮียปุ้นถาม ผมเงียบไป อยากโกหกเหลือเกินว่ากลับเอง [“ไอ้คินไปรับใช่มะ?”]

   อ่ะดีแล้วที่ยังไม่โกหก

   “ทำไมเฮียรู้?!”

   [“ก็เฮียเนี่ยแหละโทรหามัน ดีนะที่ตอนนั้นม๊าขอเบอร์ติดต่อส่วนตัวไอ้คินไว้ ตอนแรกติดต่อแกไม่ได้ เลยว่าจะโทรถามมันว่าอาการแกน่าเป็นห่วงมั้ย ก็พอจะรู้ว่าช่วงนี้งานแกยุ่ง คงไม่ได้ดูมือถือ แต่มันบอกว่าเดี๋ยวไปรับแกกลับให้ เพราะมันอยู่คอนโดเดียวกับแกพอดี ทำไมแกไม่เคยบอกเฮียว่าคอนโดเดียวกับมัน?”]

   เฮียปุ้นถามอย่างสงสัย ผมอึกอักที่จะตอบ

   “เอ่อ... ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องบอก เค้ากับปั้นก็ไม่สนิทกันขนาดนั้น ทำไมเฮียต้องไปรบกวนคนอื่นอยู่เรื่อยเลย โว๊ะ!”

   [“เอ้า! ไอ้ตูด ไอ้คินเป็นหมอ แกก็ป่วยออดๆ แอดๆ แถมตอนเด็กๆ ก็สนิทกัน เรื่องแค่นี้ทำไมจะพึ่งพากันไม่ได้วะ?”]

   “ไม่คุยแล้วเฮีย! วางล่ะ บอกป๊าม๊าด้วยว่าปั้นสบายดี”

   [“ไอ้ปั้น!... ตรู๊ด~!”]

   ผมตัดสายทิ้งเพราะขี้เกียจเถียงด้วย โยนมือถือไว้ข้างตัวและแผ่ร่างลงบนโซฟา เจ้าปั้นสิบที่ค้อนงอนผมเพราะไม่ได้ให้ข้าวมันเมื่อคืนหนีไปนอนขดอยู่บนเตียง หลังจากผมกลับมา ผมแทบจะกราบเท้ามัน รีบเทข้าวเทน้ำให้อย่างรู้สึกผิด พอกินเสร็จมันก็สะบัดตูดหนีผมเลย ผมถอนหายใจให้แมว ถ้ามันหายงอนเดี๋ยวก็คงโดดมาเหยียบผมเองแหละ

   ผมหลับตาก่อนยกมือพาดทับ

   ‘เรียกเฮียสิปั้น’

   ผมสะดุ้งเฮือก ขนคอลุกวาบ เสียงกระซิบข้างหูมันกลับมาหลอกมาหลอน ผมยกมือขึ้นปิดหูหนีความจริง หน้าเห่อแดง

   “เฮียเหี้ยอะไรล่ะ โว้ย! โอ๊ย!... เจ็บๆๆ... ซี้ด...”

   เพราะทะลึ่งลุกพรวดขึ้นมา ทำให้แผลที่ยังสดเสียดสีจนแสบระบม น้ำตาจะไหล ผมยังไม่อยากยอมรับเลยว่าเสียชายให้ยอดชายไปแล้ว

   รับไม่ได้...

   จริงเหรอ?

   ผมไม่ได้แอนตี้ความรักหรือความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน แต่เพราะตลอดชีวิตยี่สิบหกปีของนายข้าวปั้น ผมเคยมีแฟนสาวมาทั้งหมดทั้งสิ้นสามคนถ้วน คนแรกตอนมัธยมต้น คนที่สองมัธบมปลาย ส่วนคนสุดท้ายตอนมหาลัยปีสอง ที่คบกันก็เพราะเป็นเพื่อนร่วมชมรม แต่สุดท้ายก็ห่างหายกันไปในช่วงฝึกงาน ทั้งหมดทั้งมวลก็แค่ความรักแบบเด็กๆ มากสุดของผมก็แค่กอดจูบลูบคลำ ยังไม่ทันได้ลองเปิดซิงสาว อยู่ดีๆ ผมก็กลายเป็นคนที่โดนเปิดซิงโดยคนที่ไม่ควรเปิด ผมก็เคว้งไปเหมือนกันนะ

   พอนั่งๆ นึกถึงความรู้สึกเมื่อคืน...

   รังเกียจ...?

   ไม่หรอก รู้สึกดีสุดๆ ต่างหาก...

   ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือ

   ผมอยากเก็บตัว... หนีกลับบ้านดีมั้ย ไหนๆ ก็ได้วันหยุดมาแล้ว

   คิดได้แบบนั้นก็รีบเดินหาคอนแทคเลนส์มาใช้แทนแว่นที่หายไปไหนไม่รู้แล้วเปิดดูตารางงานของตัวเอง เช็คดูเพื่อความแน่ใจ ก่อนตัดสินใจโทรหาพี่ดินที่ทิ้งไดเร็กแมสเสจไว้เป็นคนสุดท้าย

   “พี่ดิน ผมจะกลับบ้านที่เชียงราย”



   การจะลายาวของบริษัทผมต้องส่งใบลาล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ ดังนั้นพอถึงวันจันทร์ผมจึงรีบทำเรื่องให้พี่อัฐเซ็นอนุมัติวันลาให้ผมเพื่อที่จะได้ไม่ต้องจัดตารางงานไฟไหม้โชติช่วงมาให้ แต่ว่าใบลานั้นไม่ได้มีแค่ของผมคนเดียว ยังมีอีกสี่ใบที่วางหราอยู่ก่อน แถมวันลาก็ตรงกันอีกต่างหาก พี่อัฐมองหน้าก่อนจะเลิกคิ้ว

   “วันหลังรวบรวมกันมาส่งก็ได้นะพี่ไม่ว่า”

   พี่อัฐรับใบลาของผมไปวางไว้ที่กล่องที่ใส่เอกสารอนุมัติ และเมื่อผมเดินออกมาจากห้องทำงานของหัวหน้าก็พบเข้ากับสายตากวนตีนจากบุคคลทั้งสี่ เจ้าของใบลาชะโงกหน้าขึ้นจากจอคอมพร้อมกัน

   “แล้วทำไมลาวันเดียวกันหมด”

   ผมถามส่งๆ ขณะเปิดล็อคหน้าจอตัวเอง ไอ้เนเดินมาหา

   “กูว่าจะไปเที่ยวบ้านมึง เห็นรูปในไอจีมึงแล้วกูอยากเอาเลนส์ตัวใหม่ไปเจิม”

   “ฮะ?!” ผมหันขวับ นัยน์ตาวาววับระยิบระยับจากเพื่อนร่วมโต๊ะกินข้าวทำให้ผมแน่ใจล่ะว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

   “ฟางอยากไปดูทะเลหมอก บ้านฟางมีแต่ทะเลเกลือ นะพี่ข้าว” สาวประจวบฯ อ้อนเท้าผม ส่วนไอ้พี่เจี้ยนที่นั่งข้างผมน่ะเหรอ

   “กูอยากเจอหน้าพี่สาวมึงตัวเป็นๆ ในไอจีแม่งน่ารักโคตรๆ”

   กูว่าละ...

   “พี่คนไหน?”

   “คนที่ชื่อข้าวหอม”

   “รายนั้นปีหน้าจะแต่งละ แถมว่าที่พี่เขยผมเงินเดือนหลักแสนครับ”

   พี่เจี้ยนหน้าเจื่อนสนิท

   “งั้นพี่อีกคนมึงล่ะ กูรู้มาว่ามีสองคน” มันเปลี่ยนเป้าหมาย

   “อีกคนยังโสด” ผมตอบเรียบร้อย คลิ๊กเมาส์เข้าโปรแกรม composite “แต่เป็นอาจารย์สอนอยู่สิงคโปร์”

   “บ่ะ! บ้านมึงจะเพอร์เฟควูแมนเกินไปละ”

   นั่นสิ ทำไมมีแค่ผมที่ยังต๊อกต๋อย...

   “กูจะไปเอาของดีเมืองเชียงราย” พี่ดินทำหน้าขึงขัง

   ผมไม่พูดละกันว่ามันคืออะไร

   “เอาขึ้นเครื่องได้เหรอพี่”

   “โหลดเอาสิวะ!”

   ผมปล่อยผ่าน สงสัยต้องโทรบอกที่บ้านซะหน่อยว่าให้พร้อมรับแขกด้วย

   

   หลังจากวันนั้น หมอส่งข้อความมาหาผมแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถามว่าอาการผมเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า ให้ทานยาแกอักเสบด้วย ถ้าเป็นแผลฉีกขาดให้รีบไปโรงพยาบาล ผมนี่อ่านไปหน้าร้อนไป ไม่รู้ว่าจะโกรธ จะอาย หรือยินดีที่เขาอุตส่าห์เป็นห่วงสุขภาพผม ร่องรอยที่หมอบ้านั่นทำไว้ใช้เวลาตั้งเกือบอาทิตย์กว่าจะหาย ผมนี่เล่นงัดเอาเสื้อคอเต่าตอนไปดูงานที่จีนมาใช้แทบทั้งอาทิตย์ จนพี่ๆ มันแซวว่า ‘ใส่เหี้ยอะไรเกรงใจแดดประเทศไทยด้วยไอ้สัส’

   สาส!!

   ผมก็ตอบข้อความหมอกลับตามมารยาท อยากบอกจริงๆ ว่า ‘ต่อให้ฉีกผมก็ไม่ไปหาหมอหรอกครับ!’

   แต่สิ่งที่ผมตอบกลับไป



   KaowwwPun: ผมสบายดีครับ ขอบคุณ



   วันนี้ผมเลิกงานตามเวลาเป๊ะ เพราะโปรเจคหลักที่กำลังบรีฟกันอยู่ยังไม่มาถึงคิวพวกผม จึงทำพวก outsource ยิบๆ ย่อยๆ ที่ทีมทำค้างไว้ ดังนั้นผมจึงกลับมานอนเอกเขนกที่ห้องตั้งแต่หนึ่งทุ่ม แปรงขนเจ้าปั้นสิบไปก็นึกได้ว่าลืมโทรจองโรงแรมแมวที่จะเอาเจ้าปั้นสิบไปฝากไว้ จึงเลื่อนมือถือหาเบอร์โทรโรงแรมเจ้าประจำแล้วโทรถามว่ายังเหลือห้องสำหรับหนึ่งอาทิตย์อยู่มั้ย

   โชคดีของมันที่ยังเหลืออยู่ เพราะช่วงนี้ก็เกือบจะปลายปี ตั๋วเครื่องบินแห่กันจัดโปรลดราคา คนที่แห่กันไปเที่ยวโดยต้องทิ้งสัตว์เลี้ยงไว้ก็น่าจะเยอะอยู่พอสมควร

   ผมจะอยู่บ้านให้หายคิดถึงเลย ผมเลือกจองตั๋วเช้าวันเสาร์เพื่อที่ไปถึงนู่นจะได้มีอะไรทำ และอีกอย่าง ผมไม่สนิทกับการปิดไฟบนเครื่องตอนกลางคืนเท่าไหร่

   ก๊อกๆๆ

   ระหว่างที่ผมกำลังดูเที่ยวบินในมือถือ เสียงเคาะประตูห้องผมดังขึ้น วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์ และผมก็ไม่ได้นัดใครไว้ คนเดียวที่จะมาเคาะห้องผมคงไม่พ้นคนที่อยากหลบหน้า

   ผมเดินไปส่องตาแมว และก็ดังคาดที่คนที่เคาะก็คือคุณหมอหนุ่มที่ดูจะว่างงานจนมาระรานคนอื่นได้ เจ้าปั้นสิบเดินมาคลอเคลียขาผม เหมือนมันรู้ว่าคนที่มาเป็นใคร แต่ผมไม่ยอมเปิด แสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่แล้วเสียงข้อความในไลน์ก็ดังขึ้นพร้อมกับแจ้งเตือน



   Akin.L: ผมรู้ว่าคุณอยู่ในห้อง



   ผมมั่นใจว่าไฟในห้อง คนด้านนอกไม่มีทางมองเห็นแน่นอน ทีวีผมก็ไม่ได้เปิด อะไรทำให้หมอมั่นใจขนาดนั้น



   Akin.L: อย่าอ่านแล้วไม่ตอบสิ



   แน่ะ... รู้อีกว่าผมอ่านแจ้งเตือนที่โชว์ตรงล็อคสกรีน

   

   Akin.L: ข้าวปั้น เปิดหน่อยครับ



   โว้ย!

   ผมยอมปลดล็อคประตูแล้วเปิดมันออก คนที่ผมเห็นตอนนี้คือคนที่สภาพเหมือนผมช่วงเดดไลน์ ขอบตาคล้ำจนทะลุกรอบแว่น หน้าโทรม หนวดขึ้น เสื้อเชิ้ตออกมานอกกางเกง ส่วนผมเซตหลุดจนไม่เหลือแล้ว

   “หมอ... สภาพแย่มากเลยนะครับ”

   ผมพูดออกไปอีกแล้ว แอบจิปากตัวเองที่เลิกนิสัยเวรนี่ไม่ได้ซักที

   “ครับ”

   หมอถอดแว่นออกพลางนวดหัวตาแล้วค่อยใส่กลับที่เดิม เขามองหน้าผม นัยน์ตาสีเขียวที่เครียดเขม็งก่อนหน้านี้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

   ผมได้ยินเสียงถอนหายใจ...

   “เทียนหอมนั่น...”

   ผมหันกลับไปมองเทียนหอมผสมกำยานที่ผมใช้ทุกวัน จุดเพื่อผ่อนคลายความเครียดและทำให้ห้องไม่มืดเกินไปก่อนผมนอน หมอถอนหายใจเหมือนรู้สึกโล่ง

   “หมอ... มีอะไรรึเปล่าครับ”

   ผมถามธุระของเขา

   “ผมเอานี่มาฝากให้พ่อแม่คุณ” หมอยื่นถุงกระดาษให้ ผมรับมาก่อนจะเปิดดู มันคือขนมอบไทยแบบที่ม๊าผมชอบ ร้านดังที่ต่อคิวยาวจนท้อ

   “ปุ้นบอกว่าคุณจะกลับบ้าน” หมอมองหน้าผม

   “ครับ”

   “เป็นเพราะวันนั้นหรือเปล่า”

   “หมอ ผมไม่อยากนึกถึงมัน” ผมเบือนหน้าหนี ทำท่าจะปิดประตูใส่ แต่คนตัวใหญ่กว่ากลับยันประตูไว้แล้วดันร่างตัวเองเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูลง ผมผงะถอย ตั้งท่าจะผลักเขาออกไป แต่ร่างสูงกลับก้มตัวลงมากอดผอไว้พลางสูดดมที่ซอกคอ

   “ผมเหนื่อย”

   “ทะ... ทำอะไรน่ะ”

   “ขอโทษที ขออยู่แบบนี้สักพัก” หมอกระซิบ “สัญญาครับว่าจะไม่ทำอะไร”

   คนตัวสูงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาก่อนลากผมลงมานั่งบนตักในท่าหันหลัง ตระกรองกอดผมไว้ ไม่ทำอะไรไปมากกว่าเห็นผมเป็นตุ๊กตาหมีตัวโต ร่างกายผมแข็งทื่อ ตั้งสติ... ลมหายใจของคนที่กอดผมไว้เริ่มผ่อนยาวและสม่ำเสมอ เขาวางคางไว้บนบ่าผมแบบทิ้งน้ำหนักเต็มที่ กลิ่นยาโรงพยาบาลกลบกลิ่นโคโลญที่เขาใช้ประจำจนหมด

   นี่กูทำอะไร และเขาทำอะไร?

   ผมขมวดคิ้ว มองหน้าปั้นสิบที่นั่งเลียไข่ตัวเองตรงหน้าผม...

   ผมพยายามเขย่าตัวคนที่ตอนนี้หลับไปแล้วให้ตื่น ตัวหนักอย่างกับยักษ์ แรงกอดที่แน่นจนผมคิดว่าเขาแกล้งหลับรึเปล่าวะ ผมจัดการปล่อยถุงกระดาษลง เอนตัวพิงเขาที่กดน้ำหนักมาด้านหน้าให้เอนหลังพิงพนักโซฟาดีๆ ปล่อยให้เขาใช้ไหล่ของผมเป็นหมอนรองคาง พยายามสุดๆ ในการนั่งมองฟ้า มองเพดาน แม้กระทั่งสำรวจหาจิ้งจกในห้อง

   “หมอ... หมอครับ คือผมปวดฉี่”

   ผมพยายามเขย่าร่างสูงที่กอดผมมาเกือบสิบนาทีจนเหน็บจะกิน แต่คนข้างๆ กลับไม่ยอมตื่น พยายามอยู่หลายนาทีจนต้องแงะมือของคนที่หลับลึกออก ประคองเขาให้นอนตะแคงราบไปกับโซฟา ขายาวเลยโซฟาห้อยตกพื้น ผมเอาหมอนอิงมารองหัวให้เขาหนุนก่อนจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำ

   ผมออกจากห้องน้ำไม่นาน โทรศัพท์มือถือของหมอที่อยู่ตรงกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ร่างสูงสะดุ้งพรวดลุกขึ้นมานั่ง ขยับแว่นตา ควักโทรศัพท์มารับสายเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้หลับจนผมอึ้ง

   เมื่อกี้แกล้งหลับเหรอ...?

   “ครับ... ครับ... ได้ครับ จะถึงได้ภายในครึ่งชั่วโมงครับ สวัสดีครับ”

   หมอวางสาย ก่อนจะสะบัดหัว นิ่งสักพักเหมือนลืมตัวว่าเมื่อกี้รับโทรศัพท์ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเซๆ ไปที่ประตูห้อง ลืมผมที่เป็นเจ้าของห้องไปชั่วขณะ และเหมือนพึ่งนึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องตัวเอง และผมยืนหัวโด่งอยู่ตรงนี้นะ ร่างสูงหันกลับมา ก้าวยาวๆ แค่สองสามก้าวก็ถึงตัวผม ก่อนจะกดจมูกและปากลงมาหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่

   ผมอึ้งเบิกตากว้าง หมอค่อยๆ ริมฝีปากและหน้าออก ตาสีเขียวมองผมอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะรีบถอยออกห่างเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะยกมือขึ้นฟาด

   “พักผ่อนซะนะครับ”

   หมอยิ้มให้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะยินดีที่เห็นหมอทำหน้าอื่นนอกจากนิ่งๆ แต่วันนี้ผมบอกได้คำเดียวว่า...

   “ยิ้มเชี่ยไรครับหมอ!”



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่11 (6/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-11-2019 23:39:08
ร้ายกาจจริงๆครับหมอ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่11 (6/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 08-11-2019 11:05:31
คุณหมออออออ ทำอะไรน้องเนี่ย จะจีบก็รีบจัดการนะครับ เคลียร์คนเก่า ๆ ของหมอด้วยนะครับ //แอบเชียหมออยู่นะครับ ^^
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่11 (6/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 09-11-2019 06:33:37
หมอเวรเยินเหรอคะ 555 หมอ on call ที่รพ.โทรตาามป่าววว
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่11 (6/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 09-11-2019 21:33:26
หมอเวรเยินเหรอคะ 555 หมอ on call ที่รพ.โทรตาามป่าววว

ช่ายเลอออออออออ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่12 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 09-11-2019 21:38:47
Chapter – 12
หมอครับ ท้องฟ้าที่นี่ไม่เหมือนกับที่นั่น


   หลังจากหมอกลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ข้อความในไลน์ก็เด้งขึ้นมา คือชื่อของจิตแพทย์ที่เขาเคยบอกว่าจะนัดให้ เป็นหมอผู้หญิง มีรูปแนบมาด้วย ผมเปิดดูแล้วใจเต้นเลยครับ หมอน่ารักมาก ชื่อหมออิงลดา วิภาสกุล เขาบอกว่าเดี๋ยวค่อยนัดเจอเป็นการส่วนตัวหลังจากที่ผมกลับจากเชียงรายก็ได้ ส่วนผมทำแค่ตอบว่า ‘ครับ’ กับ ‘ขอบคุณครับ’ ไปตามมารยาท จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรต่ออีก

   และแล้วเช้าวันเสาร์ก็มาถึง ทุกคนมารวมตัวกันที่สนามบินสุวรรณภูมิตอนตีห้า ไม่มีใครเร็วหรือสายไปมากกว่านี้ เช็คอินโดยที่ไม่มีใครโหลดกระเป๋าเพราะหนีบมาแค่คนละใบ ขนาดฟางที่เป็นผู้หญิงยังพกมาแค่กระเป๋าลากใบเดียวพอยัดเข้าช่องเก็บของบนเครื่องได้กับกระเป๋าใบเล็กใส่ของจุกจิกอีกใบเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า ‘เดี๋ยวไปซื้อเอาข้างหน้า’

   ส่วนเจ้าปั้นสิบ ผมเอาไปฝากไว้เมื่อคืน มันไม่ใช่แมวเรื่องมาก มันแค่ขี้เกียจ อยากกินมันก็แค่อ้อน ถ้ามีเสียงดังมันก็แค่หนีไปนอนที่เงียบๆ เท่านั้น

   ผมไม่ลืมหยิบเอาถุงขนมที่หมออคินฝากมายัดใส่กระเป๋าเดินทางมาด้วย

   ผมอยากหนีกลับบ้านเพราะเขา

   แต่กลับพกของฝากจากเขากลับมาฝากป๊าม๊า...

   ย้อนแย้งสัสๆ

   ผมถอนหายใจ

   ทุกคนไม่มีใครดูง่วงหงาวหาวนอนเลยทั้งๆ ที่ต้องตื่นตั้งแต่กี่โมงก็ไม่รู้ ยกเว้นผม... ที่หลับทันทีที่เครื่องเทคออฟ

   ปึก! ผมที่นั่งติดกระจกเอาหัวโขกอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งผมรู้สึกว่าหัวมันถูกสั่งให้เอนไปอีกฝั่ง จากนั้นผมก็ไม่รู้ว่ากระจกแข็งอีกต่อไป...

   “ข้าวปั้น... ข้าว... เฮ้ย!

   ผมรู้สึกเหมือนกำลังฝัน ก่อนสติจะถูกดึงกลับมาด้วยแรงตบเบาๆ ที่แก้ม คอผมหักอิงซบกับไหล่ของพี่ดินที่นั่งตรงกลาง

   “เอ...”

   “เอพ่อง! แลนด์ดิ้งแล้ว ตื่น” พี่ดินหัวเราะ ผมขยี้ตาเบาๆ เพราะกลัวคอนแทคเลนส์หลุด สะบัดหัว แม้จะปวดคอแต่ก็สบายดี เพราะผมถือวิสาสะใช้ไหล่หนาๆ ที่เต็มไปด้วยกล้ามของพี่ดินซบแทนหมอนรองคอซะงั้น

   แอบเห็นคราบน้ำลายตรงแขนเสื้อยืดสีเทาของพี่แก

   “ขอ... ขอโทษฮะพี่ ตาย...” ผมรีบลนลานหากระดาษทิชชู่ เมื่อหาไม่ได้ จึงจัดการใช้แขนเสื้อกันหนาวของผมเช็ดให้แทน พี่ดินมองการกระทำประหลาดก่อนจะตบกลางกบาลผมเบาๆ ทีนึงแล้วลุกขึ้นเมื่อคนเริ่มทยอยลงจะหมดเครื่องแล้ว พวกพี่เจี้ยนที่นั่งอีกฝั่งก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าของตัวเองจากช่องเก็บของ

   “อ่ะ เอาไป” พี่ดินดึงกระเป๋าผมออกมาให้แล้วดันให้เดินนำไปก่อน ผมผงกหัวขอบคุณ ใจเต้นตุบๆ ทั้งอาการเขินและอับอาย รอยน้ำลายยังเห็นชัดอยู่เลย

   เมื่อออกจากตัวเครื่อง ผมหยิบมือถือขึ้นมาปิดโหมดเครื่องบินแล้วโทรหาเฮียปุ้นทันที

   “ฮัลโหลเฮีย... ได้... อ่า โอเคๆ” ผมวางสาย เฮียปุ้นบอกว่าจอดรถรออยู่ตรงประตูขาออกภายในประเทศ

   ทุกคนไม่ทันเตรียมรับมือกับอากาศหนาวของเชียงรายที่กำลังจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน เช้าๆ ตอนแปดโมงครึ่งนี่หมอกเพิ่งจะจาง แต่ละคนออกมาจากสนามบินแล้วแทบผงะกับลมหนาวที่พัดมาตีแสกหน้า แต่สำหรับผม นี่เป็นอากาศดีๆ ที่คุ้นเคย ผมกระชับเสื้อกันหนาวตัวบางแล้วล้วงเอาอีกตัวที่หนากว่าและมีฮู้ดกันลมมาใส่ทันที

   “เฮ้ ไอ้ปั้น” เฮียปุ้นจอดรถรออยู่ริมฟุตบาทโบกมือให้ ผมยกแขนโบกตอบพลางหันมามองเหล่าเพื่อนร่วมงานที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นรถกระบะตอนเดียวของเฮียปุ้น

   “หวัดดีเฮีย นี่เพื่อนที่บอ คนนี้พี่ดิน อายุน่าจะพอๆ กับเฮียปุ้น อายุมากสุดในกลุ่มปั้น” ผมแนะนำพี่ใหญ่ของกลุ่ม พี่ดินยิ้มกว้าง

   “ปีนี้ผมสามสิบสิบ” พี่ดินว่า

   “เฮ้ย เหมือนกันๆ” ดูเหมือนเฮียปุ้นจะได้เพื่อนก๊งเหล้าแล้วคืนนี้

   “ส่วนนั่นพี่เจี้ยน รุ่นน้องมหาลัยเดียวกันกับพี่ดิน อีกคนนั่นไอ้เน รุ่นเดียวกับปั้น ส่วนสาวสวยนั่น ฟาง เป็นน้องเล็กของกลุ่มปั้นเอง”

   แต่ละคนที่อายุน้อยกว่ายกมือไหว้เฮียปุ้น ไอ้เฮียตัวดียกมือบอกว่า กันเองน่า ก่อนจะช่วยยกกระเป๋าขึ้นหลังกระบะ

   ผมยิ้มขำ แต่ละคนขอล้วงเอาเสื้อกันหนาวออกมาทันทีที่ผมบอกว่าต้องนั่งรถไปอีกประมาณสามชั่วโมง ยังดีที่ตอนนี้แดดเริ่มออกแล้ว แต่พอขึ้นดอย แน่นอนว่าต้องปากสั่น

   ความจริงบ้านผมมีรถตู้เก้าที่นั่งกับฟอร์จูนเนอร์เจ็ดที่นั่งนะ แต่ผมเลือกให้เฮียปุ้นเอาคันนี้มารับ เพราะอยากให้ลองท้าลมหนาวกันดู

   “ฟางไปนั่งข้างหน้ากับเฮียปุ้นมั้ย” ผมถามเพราะน้องตัวบางแถมเสื้อกันหนาวก็ดูจะไม่ได้อุ่นเท่าไหร่ ฟางส่ายหัวดิกๆ เกาะแขนเนแน่น

   “ฟางทนได้”

   สงสัยกลัวเฮียปุ้นล่ะมั้ง เฮียแกเล่นสวมไอ้โม่งกันหนาวที่เห็นแต่ลูกกะตา แถมยังใส่เสื้อกันหนาวแบบนวมทำให้ดูตัวใหญ่กว่าเดิมทั้งๆ ที่ปกติก็ตัวใหญ่พอๆ กับพี่ดินอยู่แล้ว

   หมีควาย...

   ไอ้ฟางจะกลัวก็ไม่แปลก ทำไมมันใส่มาอย่างกับอยู่อลาสก้า มึงบ้าป่ะเฮียปุ้น

   “งั้นพวกปั้นนั่งหลังกันหมดเนี่ยแหละ” ผมไล่เฮียปุ้นไปขึ้นรถ และให้ทุกคนปีนขึ้นหลังกระบะโดยให้ฟางนั่งข้างในสุด ขนาบข้างด้วยผมกับเน ซ้อนอีกชั้นคือพี่ดินกับพี่เจี้ยน ขับไปได้ประมาณสิบนาที จากตอนแรกนั่งเกาะท้ายรถกระบะท้าลมหนาวกัน พอยิ่งขึ้นดอยสูงอุณหภูมิยิ่งลด แต่เพราะวิวดีมาก ทำให้แต่ละคนงัดกล้องมาถ่ายเก็บบรรยากาศกันรัวๆ ฟางที่ดูจะแฮปปี้กับลมปะทะยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าพี่เจี้ยนที่ตัวสั่นงกๆ ผมเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่อยากให้คนกรุงปะทะลมหนาว

   ผมตัดสินใจเคาะกระจกรถจากด้านหลังเป็นสัญญาณบอกให้เฮียปุ้นจอดรถ

   “เฮีย ปั้นว่าในรถน่าจะมีผ้าห่มติดไว้ซักผืนนะ ลองหาให้หน่อยสิ”

   ผมมองหน้าพี่เจี้ยนที่ตัวบางๆ นั่งสั่นกึกๆ หน้าซีด กลัวจะเป็นหวัดก่อนเที่ยวน่ะสิ เฮียปุ้นเลิกคิ้ว มองคนที่ดูอาการหนักสุดซุกเข่าเข้าไปในเสื้อกันหนาว ก่อนจะลองกลับเข้าไปรื้อๆ เก๊ะหน้ารถ แต่ก็ไม่เจอ เฮียแกเลยถอดเสื้อแจ็กเก็ตนวมของตัวเองออก พร้อมกับหมวกไอ้โม่งยื่นส่งมาให้ผม

   “ในรถไม่หนาว เอาไปใส่ละกัน เอ็นดูว่ะ”

   เฮียปุ้นเผยใบหน้าคมคายคร้ามแดดเพราะออกไร่ออกสวนทุกวัน เคราที่ไม่ได้โกนเพราะเจ้าตัวบอกว่าเปลืองใบมีดทำให้ดูเข้มผิดกับน้องชายอย่างผมที่ทำงานในห้องแอร์จนผิวขาวซีด ผมส่งให้พี่เจี้ยนที่รับไปใส่พลางยกมือขอบคุณ เขาเอามันห่มตัว สีหน้าดีขึ้นเพราะเสื้อยังหลงเหลือไออุ่นจากเฮียอยู่

   “พี่เจี้ยนไปนั่งหน้ามั้ย” เนถาม พี่เจี้ยนส่ายหน้า “อย่าคิดจะทิ้งกูเชียว”

   ใครทิ้งมึงพี่เจี้ยน

   ผมส่ายหน้า สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วยังเสือกห่วงสนุก

   “พี่ดินเก่งแฮะ ไม่หนาวเลย” ผมแซว

   “หนาวสิวะ! แต่กูไหว” พี่ดินหัวเราะ ยิ้มให้ผม ก่อนหันไปมองข้างทางที่เริ่มเป็นไร่ชาสุดลูกหูลูกตา

   ผมเอามือถือขึ้นมาถ่ายเพื่อนๆ ลงอินสตราแกรมสตอรี่ ถ่ายรูปวิวบ้าง รูปฟางที่บังคับผมถ่ายบ้าง จนในที่สุดก็ถึงไร่อันนาที่ปลูกสารพัดตั้งแต่ ชา ไม้สัก ไปจนถึงผักสวนครัว ไร่สตอเบอรี่ที่ป๊าปลูกเล่นๆ ไว้ให้เจ้หอมกำลังออกผลสวยน่ากิน รถกระบะตอนเดียวเคลื่อนตัวผ่านทางที่ทำไว้ ทุกคนบนหลังรถดูตื่นตากับไร่ของครอบครัวผม

   “บ้านรวยนี่หว่า” พี่เจี้ยนเลิกสั่น ผมหัวเราะ

   “พออยู่พอกินน่ะ”

   “พ่องสิ! เป็นกูนะกลับมาช่วยงานที่บ้านแล้ว ไม่หางานที่กรุงเทพทำให้ปวดหัวหรอก” ไอ้เนว่าบ้าง รถกระบะจอดสนิทที่หน้าบ้านไม้สักทองทั้งหลังที่สร้างมาตั้งแต่เฮียปุ้นยังไม่เกิด เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกไล่ระดับลงมาตามเนินเขาประมาณสามชั้น แต่ละชั้นจะมีชานบ้านโปร่งไว้นั่งเล่นตามแบบที่รีสอร์ทสร้างกันให้นักท่องเที่ยวมาพัก หากใครนึกไม่ออก สามารถเสิร์ชกูเกิ้ลหาภาพรีสอร์ทบ้านม่อนม่วนของจังหวัดเชียงใหม่ได้ ลักษณะคล้ายๆ กันแต่บ้านผมจะเก่ากว่าเพราะสร้างมานานแล้วและก็ไม่ได้มีเรือนแยกเพราะเราอยู่กันแค่คนในครอบครัวไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา มีบ้านพักของคนงานอยู่ด้านล่างเนินแถวประตูหน้าทางเข้าห่างจากบ้านหลัก รวมๆ ก็มีอยู่ประมาณยี่สิบกว่าคน

   ทุกคนช่วยกันหอบหิ้วของของตัวเองเดินขึ้นบนบ้านที่เป็นลานไม้ ซึ่งตรงนี้ก็เห็นวิวของภูเขาเหมือนกัน ชั้นนี้เป็นส่วนไว้รับแขก แต่โซนห้องนอนจะต้องเดินเข้าไปอีกและขึ้นบันไดไปตามระเบียงบ้านที่สามารถนั่งเล่นได้ตลอดทางเดินจนสุดหลังบ้าน ระหว่างทางจะเป็นห้องทำงานบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง ห้องหนังสือบ้าง ก่อนจะถึงส่วนห้องพักอาศัยที่จะเป็นแยกเดินเลี้ยวขวาเข้าไปจะเจอกับโถงแบบโปร่งยกสูง ตรงกลางมีบันไดเล็กสามารถเดินลงไปชั้นล่าง บ้านเราจะมีห้องครัวใหญ่กับครัวเล็ก แล้วแต่ว่ามื้อไหนคนเยอะก็ทำครัวใหญ่ซึ่งเดินออกมาจะเป็นโถงรับแขกหน้าบ้านที่เดินผ่านมา ถ้ากินกันสองสามคนก็มีครัวเล็กบนชั้นนี้และโต๊ะกินข้าวตรงโถงกลางนี่เหมือนกัน

   เอ่อ อธิบายเองผมก็งงเอง เอาเป็นว่าบ้านผมสามารถเดินทะลุไปมาได้ บันไดเยอะทีเดียว ส่วนใหญ่บ้านผมรับแขกบ่อย ไหนจะเพื่อนป๊า เพื่อนม๊า เพื่อนเฮีย เพื่อนเจ้ มีแต่ผมเนี่ยแหละที่ไม่มีเพื่อนมาบ้าน

   “เจ้าปั้น!” เสียงของม๊าดังมาจากทางโถงกลางชั้นสอง ม๊าเดินถือถาดผลไม้มา ตามหลังด้วยป้าสร แม่บ้านคนเก่าแก่ของบ้านผม ซึ่งผมเคารพป้ามากๆ เพราะนอกจากม๊าที่ตีผม ป้าสรก็เป็นคนอีกที่ผมเคยโดนก้านมะยมฟาด ป้าสรถือถาดเหยือกแก้วที่คิดว่าน่าจะเป็นกาแฟกับถ้วยเปล่าตามมา

   “คิดถึงจังเลยม๊า!” ผมกอดหญิงร่างท้วมในชุดผ้าไหมเมือง แม้หน้าตาจะไปทางจีนมากกว่า ก่อนจะจะหันไปกอดป้าสรที่วางถาดกาแฟลงที่โต๊ะเล็กหน้าชานบ้าน

   “คิดถึงจังป้าสร”

   “น้องปั้นตึงบ่าค่อยปิ๊กบ้านแต๊ ก๋านนักก่อน้อง จะใดบ่าปิ๊กมารวดเดียวปี๋ใหม่น่ะน้อง (น้องปั้นไม่ค่อยจะกลับบ้านเลย งานเยอะมั้ยลูก ทำไมไม่กลับมาทีเดียวตอนปีใหม่ล่ะ)” ป้าสรเว้าเมืองใส่ผมที่ทำหน้าย่น

   “ปั้นอิ๊ดครับ ไขอยากปิ๊กบ้าน (ปั้นเหนื่อยครับ อยากกลับบ้าน)” ผมพูดเหนือกลับบ้าง ก่อนจะแนะนำเพื่อนๆ พี่ๆ ให้ทุกคนรู้จัก พอดีกับที่ป๊าและเจ้หอมเดินมา คงจะรู้ว่าลูกชายจะพาเพื่อนกลับบ้านจึงไม่ได้ออกไปดูไร่ แม้ว่าเจ้หอมจะทำบัญชีให้ที่บ้าน แต่เป็นทั้งเลขาและคนดูแลบ้านแทนเจ้ฟ่างไปด้วย แถมยังอึดถึกทนทำได้แม่งทุกอย่างตั้งแต่ปลูกต้นไม้ ตัดฟืน ขุดดินลงกล้า ยันซ่อมหลังคา สิ่งเดียวที่เจ้หอมทำไมเป็นคืองานที่ผู้หญิงทำ....

   พี่เจี้ยนหน้าแดง ผมกระทุ้งศอกใส่พลางถลึงตามองคนที่อยากตีท้ายครัวชาวบ้าน

   “ตามสบายนะ บ้านป๊าอาจไม่สะดวกสบายเท่าไหร่ แต่มีสตอเบอรี่ให้กินเพียบ” ป๊าผมคนสบายๆ ว่า ป้าสรแจกกาแฟให้ทุกคน เจ้หอมเองก็ดูสนุกกับการคุยกับฟางที่เป็นสาวน้อยคนเดียวของกลุ่ม

   “แล้วอคินไม่มาด้วยเหรอปั้น” ม๊าถามหาคนที่ผมเกือบลืมไปแล้ว ผมส่ายหัว

   “เขาจะมาทำไมม๊า ไม่ได้สนิทกัน”

   “ตีปากเลย เขาเป็นหมอแก แถมเป็นเพื่อนเฮียแก ยังจะเรียกว่าไม่สนิทได้อีกเรอะ” ม๊าดุผม

   “โอย... พอๆ เออใช่ หมอฝากขนมอบไทยมาให้น่ะ อ่ะนี่” ผมยืนถุงกระดาษที่รื้อออกมาให้จากกระเป๋า มันค่อนข้างยับแต่รสชาติคงไม่เสียหรอกมั้ง ม๊ากรี๊ดกร๊าด ผมหลบฉากโดยการบอกว่าจะพาทุกคนไปเก็บของในห้อง

   เนื่องจากบ้านผมเป็นบ้านใหญ่ บ้านหลังนี้จึงค่อนข้างมีห้องเยอะ แต่มีแค่พ่อแม่กับพี่สาวที่กำลังจะแต่งงานอยู่กันแค่สามคน เฮียปุ้นแยกออกไปสร้างบ้านของตัวเองอยู่ท้ายไร่ที่วิวดีไม่แพ้กับตรงนี้ ห่างประมาณสามร้อยเมตร ดังนั้นบ้านใหญ่แปดห้องนอน สิบห้องน้ำจึงมีที่ว่างเยอะแยะ

   ตอนแรกบ้านนี้มีคนใช้ห้องทั้งหมดห้าห้อง คือห้องป๊าม๊าและลูกๆ อีกสี่คน แถมสามคนก็ไม่ค่อยจะได้กลับมาบ้านใช้ห้องตัวเองเท่าไหร่ เจ้ฟ่างก็กลับมาแค่ปีละครั้ง ห้องนั้นก็ไม่มีคนใช้ ผมเลยยกห้องนี้ให้ฟาง ส่วนห้องที่เหลือก็ยกให้พวกพี่ๆ กับไอ้เนคนละห้อง แม้พวกเขาจะบอกว่าให้นอนรวมกันก็ได้ เกรงใจ แต่ผมบอกว่าตามสบาย ให้ห้องมันได้ใช้งานบ้าง เดี๋ยวปลวกขึ้น

   แต่ละคนบอกว่าผมมีเงิน ผมเลยตอบกลับไปว่า ป๊าม๊าผมต่างหากที่มีเงิน ไม่ใช่ผม ทุกวันนี้ตั้งแต่ทำงานแล้ว ป๊าไม่ให้เงินใช้อีกเลย ป๊าสอนเสมอว่า คนที่มีเงินคือคนที่ทำงานครับ คนที่ไม่ทำงานไม่มีสิทธิ์ใช้เงิน เพราะฉะนั้น เงินในไร่ น้องข้าวปั้นกับเจ้ข้าวฟ่างไม่มีสิทธิ์แตะต้องนะครับ... ดุใช่มั้ยล่ะ

   แต่ถ้ากลับบ้าน ม๊ากับป๊าจะเปย์ของกินผมไม่อั้นครับ ผมรู้แค่ว่าถ้ากลับบ้านไม่ต้องเสียค่าข้าว

   “ปั้น” เฮียปุ้นที่ได้เสื้อแจ็กเก็ตคืนมาใส่เรียกผมที่ออกมายืนดูวิวไร่ที่ชานบ้านหลังจากเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องเรียบร้อย

   “ว่า?”

   “มีอะไรรึเปล่า จู่ๆ ก็กลับบ้าน”

   เอ้า!! กลับบ้านก็ผิด

   “ก็ม๊าบอกเองว่าอยากให้ปั้นกลับบ้านบ้าง แล้วช่วงนี้ยังไม่มีโปรเจคใหญ่เข้ามา หัวหน้าเขาบอกให้รีบใช้วันหยุดก่อนจะหมดปี ปั้นเหนื่อยก็เลยอยากกลับบ้าน” ผมอธิบายความจริง... แต่นั่นไม่ใช่เหตุผล

   “คืนก่อน อคินมันโทรมาหาเฮีย มันถามว่าแกบอกอะไรบ้างไหม” เฮียปุ้นล้วงกระเป๋าเสื้อนวม พ่นไอหนาวออกมาจากปาก “มีเรื่องอะไรกับมันรึเปล่า?”

   ผมเงียบ... ไม่อยากอธิบายอะไร

   เฮียปุ้นรู้นิสัยผมดี ถ้าอะไรที่ผมปิดปากเงียบ คือเงียบ จะไม่มีใครเอาคีมมาง้างปากผมได้ เหมือนตอนที่ผมทนทรมานกับโรคกระเพาะจนทะลุนั่นแหละ ถ้าพี่อัฐไม่โทรบอกที่บ้าน ผมก็จะไม่บอกว่าผมผ่าตัด จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงกัน

   ยกเว้นโรคกลัวความมืดที่รู้กันทั้งบ้านแต่ไม่มีใครปริปากพูดเรื่องนี้ออกมา

   ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมสามารถเล่นซ่อนหาในตู้เสื้อผ้าได้สบาย แต่ตอนนี้แค่คิดว่าตัวเองถูกขังไว้ในที่มืดแคบๆ มีแต่กำแพง ผมก็หายใจไม่ออกแล้ว

   “แกบอกเฮียได้นะ ถ้าแกอยากบอก” เฮียปุ้นก็เหมือนเดิม เขาไม่เซ้าซี้ โตๆ กันแล้ว ตัดสินใจกันเอง เฮียเอามือใหญ่หยาบกร้านวางบนหัวผมแล้วขยี้อย่างหมั่นไส้ก่อนเดินจากไป

   ผมมองออกไป เริ่มจมกับความคิดตัวเอง

   

   หลังจากเก็บของกันเสร็จ แขกบ้านแขกเรือนก็รวมตัวกันที่โต๊ะกินข้าว รวบมื้อเช้ากับเที่ยงตอนสิบเอ็ดโมง ทุกคนช่วยกันยกจานอาหารมากมายมาจัดวางบนโต๊ะกินข้าวไม้สักขนาดใหญ่ที่ตรงชานหลังบ้านในร่ม มีหลังคาและระแนงกั้นแสง เป็นโซนที่เอาไว้สำหรับปาร์ตี้แขก ติดกับครัวเช่นกัน

   หลังจากนั้นพอทานมื้อเที่ยงเสร็จ พวกเขาก็ขอให้ผมพาออกไปเที่ยวไร่ตอนบ่ายคล้อยเพื่อถ่ายรูป ไอ้เนงัดเอาเลนส์ตัวละแปดหมื่นมาถ่ายรูปให้ฟางที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นอีกชุดเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แถมยังเป็นชุดของเจ้ฟ่างที่เจ้หอมบอกว่า อยากใส่ตัวไหนหยิบเลย เจ้แกไม่ว่า เหมือนว่าสามสาวจะวิดิโอคอลหากันแล้วถูกชะตาน่าดู ก็ดีที่สาวๆ เขาสนิทกันง่าย

   ส่วนพี่ดิน รายนั้นก็ถ่ายรูปแต่เป็นสายถ่ายวิวเอาไปทำสต็อคหาเงิน เขาเดินคุยกับป๊าผมที่ดูจะคุยกันถูกคอเพราะเป็นสายรักธรรมชาติด้วยกันทั้งคู่ สงสัยป๊าคุยกับเฮียปุ้นจนเบื่อแล้ว

   ส่วนพี่เจี้ยน เดินไปเรื่อยเลยครับ อัพไอจีไปเรื่อยเปื่อย มีไลฟ์สดด้วย ทำตัวเป็นเซเลปไปได้ ผมกดดูไลฟ์ของพี่แก มีคนคอมเม้นต์เยอะเหมือนกันนะ ทั้งเพื่อนและคนในบริษัท มันโฆษณาไร่ผมเหมือนเป็นไร่ตัวเอง ผมเลยเม้นต์แหย่ไปทีนึง



   Kaowpun Saran: ไอ้พี่เจี้ยน โฆษณาเป็นบ้านตัวเองเลยนะ อยากมาเป็นสะใภ้บ้านผมเหรอ

   Dun.Geon: อยากเป็นเขยสิสัส



   ถ้าพี่กรมาเห็นคงปรี๊ดแตก

   ก่อนจะนึกได้ ผมลืมบอกทุกคนไปเลยว่าอย่าเดินไปทางบ้านเฮียปุ้นนะ เดี๋ยวจะเจอแจ๊กพอต... แต่ก็ช่างมันเถอะ คงไม่มีใครเดินถึงหรอกมั้ง ห่างกันตั้งโยชน์ เฮียยังต้องขี่มอเตอร์ไซค์เอาเลย

   ผมปล่อยทุกคนตามสบาย พรุ่งนี้กะว่าจะพาไปเที่ยวดอยอื่นซะหน่อย พาไปให้ครบทุกดอยนั่นแหละ เอาให้เอียนทะเลหมอกไปเลย



   ผมหนีมานอนอยู่ที่เปลญวนตาข่ายที่ผูกไว้หลังบ้าน นอนเล่นมือถือพลางก่อนจะกดถ่ายรูปท้องฟ้า เหมือนจะสบายใจแต่หัวผมคิดสะระตะไปเรื่อยเปื่อย

   มันไม่สงบ... ผมเอาแต่คิดถึงเขา

   แทนที่กลับบ้านมาจะทำให้ผมสบายใจ

   ผมเอาแต่เผลอกดเข้าๆ ออกๆ ไปดูข้อความที่คุยกันระหว่างผมกับเขา

   มันมีแค่ไม่กี่บรรทัด...

   ผมเอาแต่นึกถึงเรื่องคืนนั้น... แม้จะเป็นความทรงจำขาดๆ หายๆ แต่ก็พอจะจำได้ในส่วนที่มันชัดเจน

   ‘ข้าวปั้น... เรียกเฮียสิครับ’

   ‘เฮีย... เฮียคิน... อา... เจ็บครับ เบา...’   

   ผมไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง ถ้ารู้สึกแย่ ผมควรจะกลัวเขาเหมือนที่กลัวความมืด

   แต่กลิ่นน้ำหอมของเขากลับติดอยู่ปลายจมูก

   ผมกดดูรูปภาพในมือถือผ่านปุ่มส่งรูปภาพในไลน์ตรงช่องแชทของเขา... ก่อนจะเหม่อ... มองไปไหนก็ไม่รู้จนมือลั่น

   ฟึ่บ!

   เสียงส่งข้อความทำเอาผมสะดุ้งโหยง!

   เชี่ยแล้วไอ้ปั้น!

   ผมกดส่งรูปท้องฟ้าที่ถ่ายเมื่อกี้ไปให้หมอ ผมรีบจะกดลบ แต่ไม่ทันแล้วเมื่อเขาขึ้น read... แทบจะทันที

   ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ไม่รู้จะทำยังไง เขาอ่าน อ่านแต่ไม่ตอบ

   หรือจะเปิดมือถือค้างไว้...

   ไม่สิ ถ้าเปิดค้างไว้ก็แปลว่าเขาต้องเข้าหน้าแชทของผมไว้เหมือนกันน่ะสิ

   อ๊าก!!!!

   ผมดิ้นจนกลิ้งตกแปลญวน ลูบเอวตัวเองปอยๆ ไม่นาน เสียงข้อความก็ดังขึ้น ผมเห็นแจ้งเตือนตรงหน้าล็อคสกรีนว่าเขาส่งรูปภาพมาให้ ทำใจอยู่นานก่อนจะกดเข้าไปดู

   อารมณ์หงุดหงิดพุ่งขึ้นหน้าทันที...



   Akin.L: sent a photo



   รูปท้องฟ้าของกรุงเทพตอนเย็นถูกส่งมาให้... กับข้อความสั้นๆ



   Akin.L: This sky here is not as beautiful as like there.



   “หมอบ้า”

   ผมเอามือปิดหน้าที่ร้อนเพราะหงุดหงิดจนเลือดขึ้นหน้า...

   ...ท้องฟ้าที่นี่ไม่สวยเหมือนที่นั่น...



เมื่อไหร่น้องจะรู้ตัวซะทีว่าหมอเขาจ้องกินหนูมาตั้งนานเเล้วนะลูก
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่12 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 09-11-2019 22:05:01
หูยยยยย ... หมออ่านแชทน้องไวเวอร์อ่ะ //คิดถึงกันบ้างแล้วสิเนี่ย :-[
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่12 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 10-11-2019 03:42:02
เฮียคินนังร้ายนะคะหัวหน้าาา !! 555 จ้องจะกินน้องตั้งแต่เด็กเลยไหมเนี่ย โถ่น้องปั้นลู้กกก
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่12 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-11-2019 10:25:50
  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่12 (9/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2019 20:10:32
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่13(11/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 11-11-2019 21:08:49
Chapter – 13
หมอครับ ของฝาก



   คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะอยู่เชียงราย หลังจากพาพวกเพื่อน ร่วมงานไปตะลุยเก็บความงามของธรรมชาติจังหวัดเชียงราย พี่ดินกว้านซื้อของฝากจนผมบอกว่าระวังน้ำหนักเกิน แต่ละขวดที่พี่แกซื้อมีแต่ของแรงทั้งนั้น พี่ดินบอกว่าไม่ได้แดกคนเดียว ไอ้พวกขี้เหล้าที่บริษัทก็ฝากซื้อ

   ช่วงวันสองวันแรกที่มาอยู่ พี่ดินเป็นคนขับรถของที่บ้านพาพวกผมไปเที่ยวตามที่ต่างๆ โดยมีผมเป็นไกด์นำทาง แต่ดูเหมือนวันหลังๆ เฮียปุ้นจะเริ่มว่างจากการส่งไม้และกล้า จึงอาสาขับรถให้ บอกว่าจะพาไปเที่ยวม่อนดอยของจังหวัดเชียงใหม่บ้าง ซึ่งเฮียปุ้นชำนาญทางอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แถมงานนี้เฮียเลี้ยงเอง พี่ดินเกรงใจน่าดูเลยขอเป็นเจ้ามืออาหารเพื่อเฉลี่ยค่าใช้จ่าย แม้ผมจะบอกว่าไม่ต้องไปสนใจหรอก เฮียปุ้นมันรวย

   ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าที่คิดว่า ไอ้เฮียปุ้นมันเดินตามพี่เจี้ยนต้อยๆ แถมพี่เจี้ยนดูจะรำคาญมันอย่างออกนอกหน้า

   หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครอบครัวผมจัดปาร์ตี้ฉลองคืนสุดท้ายให้แขกของลูกชายก่อนที่จะต้องเดินทางกลับตอนไฟลต์เช้าวันพรุ่งนี้ไปสู่โลกแห่งความจริง ปิ้งย่างหมูกระทะท่ามกลางอากาศหนาวกับเบียร์เย็นๆ ทุกคนสนิทสนมกันจากการไปเที่ยว ไอ้ฟางเลิกกลัวเฮียปุ้นแถมยังขอจองตำแหน่งลูกสะใภ้ม๊าไว้ด้วย ไอ้เนถึงกับค้อนหนักเลยทีเดียว

   ออ... เนกับฟางมันดูใจกันอยู่น่ะครับ แต่ไม่บอกให้คนอื่นในบริษัทรู้ คุณต้องเข้าใจนะว่าการทำงานร่วมกันกับแฟนมันค่อนข้างลำบากใจ โดยเฉพาะเมื่อกลุ่มผมเองก็ถือเป็นตัวท็อปของบริษัท แถมฟางเป็นเด็กใหม่ที่มีแววรุ่ง ก็ต้องไม่ทำให้เรื่องส่วนตัวกระทบกับงาน ดังนั้นตอนอยู่ที่ทำงานทั้งสองจึงถึงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ด่ากันได้

   ผมออกมายืนตรงชานหลังบ้าน ในมือมีแก้วเบียร์ถืออยู่ มองท้องฟ้าของเชียงรายเป็นคืนสุดท้ายก่อนกลับสู่เมืองกรุง ผมเหม่อพอนึกถึงข้อความที่ใครบางคนส่งมา

   This sky here is not as beautiful as like there.

   ก็จริง... โดยเฉพาะคืนที่ฟ้าโปร่งจนเห็นดาวนับล้านๆ ดวง

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ดินเดินเข้ามานั่งข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้แม้กระทั่งแก้วเบียร์ในมือผมถูกปล่อยร่วงหลุดมือ

   “ระวัง!”

   ผมสะดุ้งตามเสียงเรียก แก้วเบียร์ถูกรับไว้ทันอย่างฉิวเฉียดแต่เบียร์เย็นๆ ที่เหลืออยู่กลับหกรดมือคนที่มารับแก้วผมไว้อย่างพี่ดิน ผมตกใจ มองก้มมองเงยก่อนเอ่ยขอโทษพี่ดินที่มือเปื้อน

   “ผมขอโทษฮะพี่”

   “ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก ว่าแต่มึงเป็นอะไร เหม่อซะ”

   พี่ดินถามหลังจากเช็ดไม้เช็ดมือกับกางเกงตัวเองเสร็จ เขานั่งลงข้างผม ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังร้องคาราโอเกะกันอย่างสนุกสนาน

   “คิดเรื่อยเปื่อยน่ะพี่”

   “เรื่องหมอปะ?”

   ผมหันขวับ พี่ดินเลิกคิ้ว

   “ใช่มะ?” เขาย้ำ “ตั้งแต่มึงกลับจากร้านเหล้าวันนั้น มึงก็แปลกไป กูอาจคิดไปเอง แต่วันนั้นมึงเล่นโทรมาบอกว่าจะกลับบ้าน กูเลยคิดเอาเองว่าอาจจะเกี่ยวกับหมอ เพราะเขาเป็นคนมารับมึงกลับ”

   “ทำไมพี่รู้ว่าหมอพาผมกลับ” ผมถาม วันนั้นภาพมันตัดไปตัดมา เอาจริงๆ จำได้ก็เหมือนไม่ได้ ผมไม่แน่ใจอะไรเลย

   “เพราะกูรับสายเขาแทนมึง หมอโทรหามึงเป็นสิบๆ สาย แล้วเขาก็มาแบกมึงกลับไป กูส่งให้กับมือ”

   “พี่ยอมปล่อยผมให้คนแปลกหน้าเนี่ยนะ!” ผมเสียงสูง

   “เอ้า! ก็มึงเมมเบอร์เขาไว้ แล้วเขาเอาครอบครัวมึงมาอ้าง ให้กูทำไง?”

   ผมกระแทกตัวลงนั่งกับเก้าอี้ยาวอย่างหงุดหงิด พี่ดินไม่เข้าใจ!

   “มึงมีปัญหาอะไร”

   พี่ดินเริ่มถาม ผมกับพี่ดินสนิทกันพอๆ กับที่ผมสนิทกับเฮียปุ้น ผมเริ่มทำงานที่นี่มาสามปี แต่พี่ดินรู้จักผมตั้งแต่งานนิทรรศการธีสิสของมหาวิทยาลัย เขาชอบงานผมจึงแลกช่องทางการติดต่อไว้ และเขาก็เป็นคนชวนผมให้มาทำงานด้วยกันที่บริษัทนี้ นอกจากไอ้เน ก็มีพี่ดินที่รู้ว่าผมเป็นโรคกลัวที่แคบที่มืด แต่ผมไม่เคยบอกสาเหตุใคร

   พี่ดินไม่เหมือนเฮียปุ้น เขาจะเค้นจนกว่าผมจะพูด

   ผมไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับใคร ไม่กล้าพูดกับเฮียปุ้น เพราะหมอเป็นเพื่อนของเฮีย แต่กับพี่ดินล่ะ เขาไม่ต้องแคร์ว่าหมอเป็นใคร แต่เขาจะมองผมยังไง... รุ่นน้องที่โชว์แมนมาตลอดกลับโดนผู้ชายตอกเสาเข็มเพราะโดนป้ายยา แถมยังเป็นวันที่ไปเลี้ยงบริษัท เขาต้องโมโหมากแน่ๆ

   “เปล่า”

   “กูรู้จักมึงมานานนะไอ้ข้าว และมึงก็รู้ว่ากูไม่ใช่คนปากโป้ง”

   ผมว่าพี่แค่อยากเสือก... ผมแค่นหัวเราะ

   “พี่ดิน... พี่มองผมเป็นยังไง”

   ผมถามบ้าง รู้จักกันมานาน ผมเพิ่งถามเขาเป็นครั้งแรก อาจเป็นเพราะปกติผมไม่ใช่คนที่ชอบพูดเรื่องตัวเองมากนัก แม้กระทั่งวันที่เหล้าเข้าปาก เพราะถ้าผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ ผมจะไม่เลือกกินเหล้าเพื่อระบายทุกอย่างออก แต่จะหายไปเลย ไปอยู่ในที่ที่ผมรู้สึกปลอดภัย เหมือนกับที่ผมหนีกลับบ้านนี่ไง

   พี่ดินอึ้งในคำถามไปเหมือนกัน ก่อนจะกอดอก

   “มึงน่ารัก”

   “ขนลุก”

   “เอ้า จริงๆ มึงไม่รู้ตัวเหรอว่ามึงน่ารัก นิสัยมึงก็น่ารักน่าเอ็นดู ใครเห็นก็อยากเป็นเพื่อน กูยังคิดอยู่เลยว่าที่ไอ้ฤกษ์มันชอบแซะชอบด่ามึงเพราะมันก็เอ็นดูมึงนั่นแหละ แค่การแสดงออกของแม่งไม่ใช่แนวกู กูไม่ชอบแซะใคร ถ้าอยากชมกูก็ชมไปเลย และมึงก็ขยัน หนักเอาเบาสู้ พยักหน้ารับแม่งทุกงาน จนกูคิดว่าอัฐก็ทำเกินไปที่แจกงานให้มึงเหมือนบอไม่มีคนทำ”

   ผมพึ่งรู้เลยนะเนี่ยว่าพี่ฤกษ์ไม่ได้เกลียดผม ความจริงพี่อัฐ พี่ฤกษ์ กับดินเป็นเพื่อนร่วมบริษัทเก่ากันมาก่อน อายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี ตั้งแต่พี่อัฐยังเป็นซีเนียร์จนเลื่อนไปเป็นซุปฯ พี่ดินมีฝีมือแต่ขี้เกียจรับผิดชอบ เลยขอเป็นแค่ลีดเดอร์โปรเจคคอยดูแลน้องๆ

   “แต่ยังไงกูก็เกลียดไอ้ฤกษ์มันอยู่ดี ทำตัวหมาก้าง น่ารำคาญลูกตา”

   “หมาหวงก้าง?”

   “อ่ะ กูตอบคำถามมึงแล้ว ตามึงตอบกู มึงมีปัญหาอะไรถึงหนีกลับบ้าน”

   วกเข้าเรื่องเดิม อุตส่าห์ว่าจะลากออกทะเล

   “ให้กูเกริ่นให้มะ มึงกับหมอมีซัมทิงรองกัน”

   “เชี่ย...” ผมมองพี่ดินแบบรังเกียจ ทำไมพี่มันคิดงั้น ก่อนจะถอนหายใจ เหมือนยอมรับความจริง

   “ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมมั่นใจว่าผมชอบผู้หญิง”

   “สมัยนี้มันเป็นยุคที่ LGBT ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วไอ้สัส”

   “แต่ผมไม่ใช่เกย์!”

   “เออ กูรู้” พี่ดินหัวเราะที่ผมโกรธหน้าดำหน้าแดง ก่อนจะกระดกเบียร์เข้าปากดับอารมณ์โมโห

   “ถามจริงๆ นะข้าวปั้น มึงชอบหมอใช่มั้ย”

   พี่ดินจริงจัง แต่ผมหลบสายตา เกลียดพี่แม่งฉิบหาย ถามแต่ละอย่างเล่นเอากูพะอืดพะอมจะตอบ

   “ไม่รู้”

   “แน่ะ แปลว่าไม่ใช่ว่าไม่ชอบ วันนั้นน่ะ กูเห็นนะว่าตอนหมอมารับมึง มึงนี่ตาเยิ้มไปกับเขาเชียว แถมหมอก็ดูจะหวงมึงน่าดู ขนาดกูเป็นรุ่นพี่มึง เขายังมองตาขวางซะกูนึกว่ากูไปแย่งเมียมันมา” แล้วพี่มันก็หัวเราะ แต่ผมนี่สิ ขำกะมึงมั้งพี่ “น้องกูนี่เสน่ห์แรงใช่ย่อย”

   “แรงพ่องสิพี่ดิน”

   ผมด่ากลับ ยิ่งตอนแอลกอฮอล์ซึมในกระแสเลือดยิ่งทำให้ผมห่ามห้าวมากขึ้น แต่พี่ดินใช่จะถือสา เขารู้ดีว่าปกติผมเป็นคนยังไงและผมแสดงออกยังไง

   “ฟังกูนะข้าว มึงอาจจะยึดติดกับคำว่าเกย์เกินไป กูไม่เคยเหยียดเพศ ไม่เคยเหยียดความสัมพันธ์แบบไหน กูเคารพความรู้สึกคนอื่นเสมอ แต่มึงล่ะ เคารพความรู้สึกตัวเองบ้างรึเปล่า” เขาเข้าโหมดพี่สอนน้อง “กูไม่รู้หรอกว่าหมอเป็นคนยังไง ไม่รับรู้ด้วย แต่ถ้ามึงสบายจะอยู่กับเขา มึงก็อยู่ แต่ถ้ามึงไม่สบายใจ มึงถอยออกมา ถอยออกมาไกลๆ เลย ให้หมอมันรักษาตัวมันเอง กูมองสายตาเขาวันนั้น อย่างกับจะแดกมึงเข้าไปให้ได้”

   ผมหน้าร้อนผ่าว น่าจะมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์...

   เขาแดกผมแล้วพี่

   “พี่ก็พูดเกินไป ไปหัดสังเกตคนมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “กูแอบอ่านไลน์มึงน่ะ”

   “คนเหี้ยนี่หว่าพี่ดิน!”

   “ใครเสือกให้มึงไม่รู้จักคว่ำจอโทรศัพท์ ตอนกูไปช่วยมึงดูงาน เหลือบไปเห็นพอดี ไม่ใช่คนขี้เสือก!”

   แก้ตัวน้ำขุ่นๆ เลยนะเฮีย...

   “ไม่คุยแล้ว!!”

   ผมเดินหนีกลับไปปาร์ตี้ปิ้งย่าง พี่ดินเดินตามมาเค้นคอต่ออย่างน่ารำคาญ แต่ผมกลับเดินหนีไปหัวเราะไป เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้ระบายสิ่งที่ไม่สบายใจออกไปบ้างแล้ว

   ...

   ทุกคนหลับหมดแล้ว แต่ผมหลับไม่ลง...

   “นอนไม่หลับเหรอปั้น”

   เจ้ข้าวหอมที่คลุมไหล่ด้วยผ้าคลุมเดินออกมายืนกอดอกดูดาวเป็นเพื่อนผม อากาศหนาวจนหมอกลงเห็นเป็นทะเลหมอกด้านล่างเนินไร่ชา ผมพ่นลมหายใจจนเป็นไอสีขาว

   “มีเรื่องไม่สบายใจใช่มั้ย”

   เจ้หอมก็คงดูออกไม่ต่างจากเฮียปุ้น ไม่ก็สองคนนี้คุยกัน ความละมุนละไมยังไงก็คงไม่เท่าผู้หญิงอยู่ดี คงคิดว่าถ้าเป็นเจ้ ผมอาจจะยอมพูดอะไรออกมาบ้าง

   “นิดหน่อย”

   “ไม่ต้องบอกเจ้หรอก เจ้ไม่ขี้เสือกขนาดนั้น”

   เจ้หอมสอดแขนมาคล้องแขนผมไว้พลางซบหน้าลงที่ไหล่ เจ้ตัวนิดเดียว สูงแค่ไหล่ผมเอง ผมเอนหัวซบลงบนหัวเล็กๆ กลับ พลางคิดว่า ถ้ากลับมาบ้านไม่เจอเจ้คงจะใจหายน่าดู

   “ถ้าเหนื่อยมากๆ กลับบ้านเรานะ”

   ผมยิ้ม ทุกคนยังเห็นผมเป็นเด็กน้อยเสมอ

   “อืม”



   เมื่อถึงกรุงเทพ ทุกคนพากันแยกย้าย ผมไปรับเจ้าปั้นสิบกลับคอนโด ที่ผมเลือกกลับวันเสาร์ก็เพื่อที่วันอาทิตย์จะได้ตีพุงอีกวันก่อนไปรบกับงานที่น่าจะกองท่วมหัว ผมลากกระเป๋าที่มีของฝากติดกลับมาให้คนที่บริษัทเยอะกว่าเสื้อผ้าตัวเอง อีกข้างหิ้วกระเป๋าแมวที่มีไอ้อ้วนหลับอุตุ แต่ผมรู้ว่ามันคงจะคิดถึงบ้านน่าดู

   ผมเดินเข้าลิฟต์ไปกดชั้นตัวเอง พลางมองเลขชั้นที่ 15 แล้วหน้าแดงขึ้นมาถนัด...

   “ชิ”

   ผมเอาของไปเก็บในห้อง ก่อนกลับม๊าฝากของมาให้หมอ เป็นพวกอาหารคาวเช่น ไส้อั่ว หมูยอ อะไรแถวๆ นี้ใส่กล่องเก็บอาหารมาให้ ผมกะว่าจะยัดใส่ตู้เย็นไว้ก่อนกลัวมันเสีย เพราะไม่รู้ว่าหมอจะอยู่ห้องรึเปล่า หรือจะได้เจอกันตอนไหน พอจะเปิดตู้เย็นเพื่อเอากล่องเก็บอาหารยัดเข้าไป ก็เปลี่ยนใจ...

   ลองขึ้นไปดูสักหน่อยดีมั้ย... จะได้จบๆ ไป เขายังอุตส่าห์เอาของมาให้ถึงห้องทั้งๆ ที่เหนื่อยขนาดนั้น

   ผมตัดสินใจเอาของฝากขึ้นไปชั้น 15  เดินไปที่ห้องสุดทางเดิน กะจะเคาะประตูซักหน่อย แต่ปรากฏว่า บานประตูออโต้ล็อคมันถูกเปิดทิ้งไว้นิดหน่อย

   นี่มัน... ละครไทยชัดๆ ฉากนี้ทีไร เป็นต้องมีเรื่องเซอร์ไพรซ์ทุกที

   แล้วถามว่า ผมจะทำตัวเป็นนางเอกมั้ย

   เอาสิครับ ไหนๆ ก็เปิดแล้ว ถ้าหมอไม่อยู่ ผมจะได้รีบเอาของไปวางแล้วปิดประตูให้เหมือนเดิม คนบ้าอะไรลืมปิดแม้กระทั่งประตูห้องตัวเอง ไม่รอบคอบเอาซะเลย

   ผมปลอบใจตัวเองไปงั้นแหละครับ

   เพราะระหว่างที่ผมผลักประตูเข้าไปด้วยความขี้เสือกของตัวเอง ทำตัวเหมือนป้าข้างบ้านที่ได้ยินเสียงประหลาดก็อยากจะเอาหูแนบกำแพงฟัง ผมเดินเข้าไปให้เงียบที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชาวาบๆ ก็คือร่องรอยของเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย เหมือนถูกถอดตั้งแต่หน้าประตูไปเรื่อยๆ

   เหมือนตามลายแทงสมบัติ

   ผมแสยะยิ้ม ไม่รู้ยิ้มอะไร

   อาจจะยิ้มสมน้ำหน้าตัวเองที่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

   ผมมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเบดกลางห้องในสภาพที่เกือบเปลือย เขานั่งหันหลังพิงพนัก ในขณะที่บนตักมีร่างผอมเจ้าของผมสีน้ำตาลที่เปลือยเปล่าไม่เหลืออะไรเลยกำลังขยับสะโพกขึ้นลง สองแขนเรียวเกาะคอแกร่งไว้พลางซบหน้าลงกับเส้นผมหยักศก เสียงครางฮือทำให้ผมใจกระตุกวูบ

   ฮะๆๆ จังหวะนรกสัสๆ

   “พี่... พี่หมอครับ... อื้อ”

   คนข้างบนกระแทกตัวควบร่างสูงอย่างไร้สติ สูดดมเส้นผมนั้นก่อนจะขอร้องให้คนด้านล่างขยับสะโพกของตัวเองตอบรับเขาบ้าง

   “อือ... วา... อา... เร็วอีก”

   “พี่หมอ... พี่อคิน”

   ตุ้บ...

   ผมมืออ่อน... ละครไทยเรื่องใหม่จะเริ่มหรือไม่กันนะ ตามบทแล้วถ้าผมเป็นนางเอก ต้องเข้าไปตบหรือวางมวยสักฉากสองฉาก แต่ในความเป็นจริงมันคงไม่ใช่ ผมมองสภาพตรงหน้าแล้วกระพริบตา กล่องอาหารสามกล่องหล่นจากมือลงบนพื้นลามิเนตจนเกิดเสียงดัง เรียกความสนใจจากคนที่กำลังบันเทิง... นัยน์ตาสวยที่คลอไปด้วยหยาดน้ำเหลือบมองต้นเสียง ก่อนจะนิ่วหน้ากัดปากตัวเองเพราะกำลังจะเสร็จ แต่ว่าคนที่ถูกควบอยู่กลับหันมามองผมอย่างตกใจ นัยน์ตาสีเขียวของเขาเบิกกว้าง มือประคองหลังบอบบางของคนที่กำลังจะถึงจุดหมายไว้

   “ปั้น...”

   ผมก้มลงเก็บกล่องอาหารด้วยมือสั่นๆ ก่อนจะถอยออกมาจากประตูบานนั้นไม่วายปิดมันลงให้สนิท เดินไปที่ลิฟต์แล้วกดลงไปชั้นล่าง

   หนังสด?

   “เสียดายของชะมัด”

   ผมยิ้มแห้งๆ ให้ตัวเอง... เงยหน้าจนสุดมองเพดานลิฟต์ ไม่อยากให้อะไรๆ มันไหลลงมา



หยิบไม้เกียมฟาดพี่หมอค่ะ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่13(11/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-11-2019 23:26:32
 :เฮ้อ:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่13(11/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 12-11-2019 04:47:20
เฮ้อ ... สงสารข้าวปั้น //แต่ก็ว่าหมอไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะยังไม่ได้มีสถานะอะไรกับน้องไง หากว่าหมอจะจริงจังกับข้าวปั้น หมอก็ควรจะจัดการเคลียร์คนเก่า ๆ ของหมอด้วยนะ

ไม่รู้จะสงสารใครดี สงสารตัวเองก่อนแล้วกัน มันหนึบ ๆ ในใจ :m15:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่13(11/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-11-2019 23:48:20
ทำไมหมอทำแบบนี้,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่13(11/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 13-11-2019 01:16:14
เฮ้อ ... สงสารข้าวปั้น //แต่ก็ว่าหมอไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะยังไม่ได้มีสถานะอะไรกับน้องไง หากว่าหมอจะจริงจังกับข้าวปั้น หมอก็ควรจะจัดการเคลียร์คนเก่า ๆ ของหมอด้วยนะ

ไม่รู้จะสงสารใครดี สงสารตัวเองก่อนแล้วกัน มันหนึบ ๆ ในใจ :m15:

เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้าใจแบบนี้... ใช่แล้วค่ะ พี่หมอกับน้องไม่ชัดเจนใดๆ ต่อกันจริงๆ  :mew4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่13(11/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-11-2019 20:26:51
 :hao7:
ทำไมไม่ล็อกประตู้.....
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 13-11-2019 22:55:44
Chapter – 14

หมอครับ เลิกยุ่งกับผมได้มั้ยครับ



   ผมพาเจ้าปั้นสิบใส่กระเป๋ามาอาบน้ำตัดขน นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่รู้ทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมาแท้ๆ รู้แค่ว่าไม่อยากอยู่ห้อง

   ผมไม่เคยเห็นผู้ชายมีอะไรกัน พอเห็นแล้วมันก็อดตีเบลอไม่ได้

   ตาฝ้าฟางเลยครับเมื่อกี้น่ะ...

   เจ้าปั้นสิบยังคงทำตัวน่ารักน่าเตะ ทันทีที่ผมพามันเข้าร้านตัดขน มันก็จัดการขู่ฟ่อใส่พนักงานทันที เล่นเอาผมจับแทบไม่ทัน โดนข่วนมาสองสามรอย ดีนะที่ตัดเล็บไปก่อนหน้านี้แล้ว

   ผมนั่งรออยู่ตรงที่นั่งรอหน้าร้าน ปล่อยเจ้าปั้นสิบไปเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง นั่งไหลมือถือที่มีข้อความไลน์เด้งไม่หยุดจนผมขี้เกียจจะปัดทิ้งแล้ว



   Akin.L: ข้าวปั้น ไม่อยู่ห้องเหรอครับ

   Akin.L: คุณจะกลับห้องกี่โมง

   Akin.L: ข้าวปั้น ผมขอโทษครับ

   Akin.L: ข้าวปั้น โกรธรึเปล่า

   Akin.L: มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด

   Akin.L: ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง ไว้กลับมาแล้วคุยกันนะครับ

   Akin.L: คุณจะกลับห้องมั้ยวันนี้ ผมอยากคุยกับคุณ

   Akin.L: ผมจะรอ

   

   ผมมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กระเป๋าคาดอก กับมือที่หนึ่งข้างหิ้วกระเป๋าแมว อีกหนึ่งข้างหิ้วถุงพลาสติกใส่อาหารแมวกระป๋องของเจ้าปั้นสิบ

   “คิดถึงกูรึไง”

   “อืม”

   พี่ดินกอดอกยืนพิงรั้วบ้านในชุดกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาว ผมไหล่ลู่ลง รอเขาเชิญเข้าบ้านเป็นผีเร่ร่อน พี่ดินมองสภาพผมก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินนำเข้าไปในบ้านที่เปิดไฟทั้งหลังเหมือนรัฐบาลแจกไฟฟรี บ้านหลังใหญ่แต่เงียบกริบทั้งๆ ที่ยังหัวค่ำอยู่ ผมวางปั้นสิบลงบนพื้นกลางห้องนั่งเล่นแล้วเปิดกระเป๋าให้มันออกมาอวดโฉม

   “อยู่บ้านคนเดียวเหรอพี่”

   “เออ พ่อกับแม่ไปต่างจังหวัด ส่วนไอ้น้ำไปเที่ยวกับเพื่อน กลับพรุ่งนี้”

   พี่ดินบอก ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ทำตัวเป็นแขกที่ดี ไม่รอให้เจ้าของบ้านเชิญตามสบาย ก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าสก็อตทิสลายเสือเดินตุบตับเข้ามาหาเจ้าปั้นสิบที่นั่งเลียไข่แผล็บๆ อย่างไม่สนใจจะทักทายแมวเจ้าถิ่น

   “หวัดดี ฮันนี่”

   ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าไอ้พี่ดินเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้แมวสาวของตัวเอง แต่ปั้นสิบมันหยิ่ง ไม่ยอมทักสาวงามขาสั้นจนโดนตบไปทีนึง จากนั้นก็เกิดวงการฟัดกันระหว่างแมวสองสายพันธุ์ ไอ้เวรเอ้ย!

   “ไอ้อ้วน! หยุดเลย แกจะตบสาวไม่ได้นะโว้ย!”

   ผมลากมันออกมาแต่เจ้าอ้วนยังขู่เจ้าถิ่นฟ่อๆ ไม่สำเหนียกบ้างเลยว่ามึงมาอาศัยเขานะเว้ย!

   พี่ดินลูบหลังคอฮันนี่ของตัวเองก่อนพามาญาติดีกับปั้นสิบ เออ... มันก็ดีกันได้นี่หว่า จากนั้นเขาก็พาไปให้อาหารที่ห้องแมว... บ้านพี่ดินมีห้องแมวที่มีของเล่นครบครัน สวรรค์ของคนรักแมว

   “ผมเอามาสมทบ”

   ผมยื่นอาหารกระป๋องของแมวที่ซื้อมาจากเซเว่นให้พี่ดิน พี่แกมองแล้วเบ้หน้า

   “เค็มตายห่า กูไม่ให้แมวแดกนะแบบนี้”

   ทำไมทุกคนดูรู้ว่าอาหารแบบไหนเหมาะกับแมว... สัส

   ผมโยนมันไปไว้บนโซฟาเหมือนเดิม ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนขดบนโซฟา ทำตัวยิ่งกว่าบ้านตัวเอง อาจเป็นเพราะผมมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แถมพ่อแม่พี่ดินก็รู้จักผม ผมจึงสามารถเข้านอกออกในบ้านนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน

   “เป็นไร?”

   พี่ดินยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ เขาเปิดทีวีช่องข่าวต่างประเทศเพราะเบื่อข่าวประเทศไทย ผมลุกขึ้นมานั่งกอดเข่า เปิดกระป๋องเบียร์แล้วซดอึกๆ

   “เผลอไปดูหนังสดมา”

   “เหี้ยไร?”

   พี่ดินดูตกใจกับสิ่งที่ผมบอก ผมทิ้งไหล่ลงอีกครั้ง ความร้อนมันขึ้นมาที่เบ้าตา

   “ไม่รู้ ผมก็งงๆ แล้วก็หิ้วไอ้อ้วนออกมาอาบน้ำ”

   “มึง... เดี๋ยว มึงทำตัวงงเกินไปแล้ว เล่า”

   แล้วผมก็เล่าว่าผมจะเอาของฝากจากม๊าไปให้หมอ แล้วบังเอิญว่าประตูมันถูกเปิดไว้ แล้วผมดันขี้เสือกเข้าไปก่อนขออนุญาต แล้วดันผ่าไปเจอหมอกำลังจ้ำจี้มะเขือเปาะแปะกับผู้ชายคนนึง แล้วผมก็เผลอทำของฝากจากม๊าหล่นกระจาย เสียดายไส้อั่วสิบกว่าเส้นชะมัด จากนั้นก็จับปั้นสิบที่กำลังนอนกรนอยู่เข้ากระเป๋าแล้วก็ออกมาเลย

   “นี่มันละครไทยชัดๆ กูนึกว่ามึงเลิกดูละครไปนานแล้วนะตั้งแต่ทำอนิเมชัน”

   “เออ ผมกำลังคิดว่าตัวเองเป็นนางเอก”

   ผมประชด แต่พี่ดินกลับทำหน้าเหมือนอมขี้ ผมยกเบียร์ขึ้นซดอีกจนหมดกระป๋อง

   “ขออีกป๋องได้ปะ”

   “สัส เสียดายของ”

   แต่เขาก็ยอมลุกไปเอามาให้ คราวนี้มีปลาเส้นแถมมาด้วย

   “แล้วที่มึงหนีมานี่ คือยังไง เสียใจ?”

   “ฮ่าๆๆๆ เสียใจทำไมพี่ บ้าบอ ละครน้ำ... เน่า” ผมลากเสียงยาว เคี้ยวปลาเส้นหงับๆ หน้าเริ่มแดงเช่นเดียวกับขอบตา ผมสูดน้ำมูก พี่ดินถอนหายใจ มือใหญ่อ้อมไหล่มาขยี้หัวผมจนคลอนก่อนจะลูบเบาๆ ผมใช้หลังมือปาดน้ำมูกที่อยู่ดีๆ ก็ไหล

   “หวัดแดกน่ะพี่”

   “เออ”

   “ฮึก... ฮึก...”

   “อันนี้ภูมิแพ้สินะ”

   “เกสรดอกไม้บ้านพี่มันแรง ฮึก...”

   “มึงนี่นา”

   ผมซบหน้าลงบนหลังมือตัวเองที่ถือกระป๋องเบียร์อยู่ เสียงมือถือดังขึ้น ผมวางมันไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา สายเรียกเข้าดังเป็นร้อยๆ สายแล้วตั้งแต่หกโมงเย็นแต่ผมไม่รับ พอรำคาญถึงขีดสุดถึงกดปิดเครื่องแม่งเลย ทั้งๆ ที่ปกติผมจะไม่เคยปิดเครื่องเลยก็ตาม อย่างมากก็แค่ mute ไว้

   “ดุจัด” พี่ดินมองผมที่เริ่มกรึ่มเหล้า

   “รำคาญ” ผมด่าคนโทรนะไม่ได้ด่าพี่ดิน

   “ตามใจมึง สบายใจเมื่อไหร่ก็ไปอาบน้ำนอนซะ นอนห้องกูเนี่ยแหละ”

   ผมยกเบียร์กระป๋องที่สามขึ้นเปิด...



   “กูบอกให้มึงอาบน้ำไม่ใช่อาบอ้วก”

   “โทษทีพี่ ลืมตัวดื่มเยอะไปหน่อย”

   ผมยกมือไหว้คนตัวใหญ่เป็นยักษ์วัดแจ้งเจ้าของเสื้อยืดสีดำที่ใหญ่จนเหมือนผมกำลังแต่งตัวแนวฮิปฮอป ขอหมวกกับสร้อยเส้นโตๆ ผมจะแร็ปแข่งกับเดอะแร็ปเปอร์ให้ดู

   “กูว่าเปลี่ยนไปใส่เสื้อไอ้น้ำดีกว่ามั้ง”

   พี่ดินมองสภาพผมแล้วอนาถใจ ผมไม่สน เดินดุ่มๆ เข้าครัวหาอะไรลงท้องทันที

   นิสัยเมาแล้วอ้วกแต่ก็ยังจะดื่มของผมนี่รักษาไม่หายจริงๆ

   “สรุปยังไง วันนี้จะกลับมั้ยบ้าน”

   “ไม่กลับ ขี้เกียจ ขอติดรถไปทำงานด้วยคน”

   ผมเริ่มนิสัยเสีย ก่อนจะเอาไข่มาตอกเพื่อทำไข่เจียว เสียงลั้ลลาของเจ้าของบ้านอีกคนก็ดังมาจากหน้าบ้าน ผมเดินออกไปชะโงกหน้าทักทายน้องเล็กของบ้าน

   “เที่ยวสนุกมั้ยน้ำ”

   “กรี๊ดดดด นึกว่ารองเท้าของใครคุ้นๆ คนสวยของน้ำนี่เอง”

   แม่สาวมหาลัยปีสาม น้องสาวคนสวยของพี่ดินกระโดดกอดผมโดยไม่สนเลยว่า กูเป็นผู้ชายนะโว้ย!

   “เลิกแรดไอ้น้ำ!” พี่ดินลากตัวน้องสาวออกห่างผม น้ำย่นหน้า บ้านนี้กรรมพันธุ์มันสูงจริงๆ ขนาดเป็นผู้หญิงยังสูงกว่าผมอีก หุ่นนางแบบที่แค่ชุดกางเกงยีนส์กระชับทุกสัดส่วนสีอ่อนกับเสื้อยืดสีขาวลายสัตว์ประหลาดก็ทำให้ชายหนุ่มปรายตามองจนคอหักถอยออกห่างผมตามแรงลากของพี่ชาย เจ้าหล่อนค้อนใส่พี่ชายก่อนจะเปลี่ยนมาคล้องแขนผมแทน

   “มาทำอะไรคะคนสวย มาหาเค้าเหรอ”

   “ใช่ คิดถึงน่ะ”

   “ปากหวาน จุ๊บทีนึง”

   แล้วเจ้าหล่อนก็ทำท่าจะจูบแก้มผม พี่ดินเลยตบหัวไปทีนึง

   “แรด”

   “หวงก็บอก หึงก็พูด” น้ำแหย่พี่ชายตัวเองที่ทำหน้ารำคาญ เดินถือถ้วยกาแฟออกไปนั่งที่โซฟาตัวเดิม น้ำปล่อยแขนผมก่อนจะยิ้มสดใส

   “พี่ข้าว น้ำซื้อผัดไทมา ไปกินด้วยกันสิ ซื้อมาเผื่อพี่ยักษ์มันหลายกล่องเลย”

   “เอาสิ”

   

   สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับคอนโด ผมไม่อยากรบกวนพี่ดินมากเกินไป พาเจ้าปั้นสิบกลับไปกินอาหารเค็มๆ ของมัน ระหว่างทางผมพยายามทำใจ บอกกับตัวเองว่าอย่าไปสนใจ เขาจะทำอะไรกับใครที่ไหนก็เรื่องของเขาสิ เราสองคนก็เป็นแค่อดีตหมอกับอดีตคนไข้

   แล้วที่ได้กันคืนนั้นคืออะไร?

   ผมขยี้หัวตัวเอง ยกกระเป๋าเจ้าปั้นสิบขึ้นมาคุยกับมัน

   “เจ้าอ้วน แกว่ากูควรทำไงดี”

   มันเงยหน้ามองผมเล็กน้อย ก่อนจะลุกเดินหมุนตัวหันตูดให้ผมแทน...

   ไอ้แมวเวร!

   ผมปลงตก เอาน่ะ มันก็แค่อุบัติเหตุ แถมไอ้พวกที่คิดจะวางยาผมก็หายต๋อม อย่าให้เจอนะ พ่อจะโดดถีบเรียงตัวเลย

   แต่ก่อนที่ผมจะก้าวเข้าประตูคอนโดที่เป็นกระจกทั้งแถบ สายตาดันเหลือบไปเห็นว่าคนที่ผมกำลังหนีหน้าเดินออกจากลิฟต์มาพอดี และเหมือนโชคชะตาฟ้าจะไม่เป็นใจให้นายข้าวปั้นเลยแม้แต่น้อย  เพราะหมอที่กำลังก้มดูมือถือตอนเดินออกจากลิฟต์ดันเงยหน้าขึ้นมาพอดี

   ตาเขากับตาผมสบกันแบบละครหลังข่าว

   รับรู้ถึงฟิลเตอร์อะไรบางอย่าง... และสุดท้าย ผมทำได้แค่ก้าวถอยหลัง ในขณะที่หมอมองผมตาค้าง ก่อนจะก้าวเดินหน้า

   กรรม...

   ผมหันตัววิ่งหิ้วกระเป๋าแมวหนีทันที วิ่งให้ไวที่สุดเท่าที่จะวิ่งได้ ผมรับรู้ได้เลยว่าคนด้านหลังเขาวิ่งตามผมแน่นอน แถมยังวิ่งเร็วด้วยเพราะเสียงเรียกที่ดังเกือบจะถึงตัวผมมันใกล้ฉิบหาย!

   “ข้าวปั้น!! เดี๋ยว หยุดก่อน!”

   ไม่ อย่าหยุดตัวกู เวรเอ้ย เหนื่อยฉิบหาย!

   ปั้นสิบกระเด้งกระดอนอยู่ในกระเป๋า มันร้องแง้วๆ ลั่นจนผมเปลี่ยนจากหิ้วเป็นอุ้มแทน ไอ้เวรปั้นสิบ! มึงหนักฉิบหาย กูจะพามึงไปฟิตเนส เวลาไฟไหม้กูจะแบกมึงหนีทันได้ยังไง!

   “ปั้น!!”

   ผมกะจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง ด้วยความตกใจทำให้ผมไม่ทันสังเกตรถที่กำลังออกตัวจากไฟเขียวตรงสี่แยกพุ่งมาทางนี้เลยสักนิด ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระชากอย่างแรงให้กลับเข้าไปในฝั่ง ตัวผมเหมือนลอยได้ เหมือนในหนังเลย... เสียงแตรรถบีบลั่นเหมือนจะแช่ง ผมกอดกระเป๋าปั้นสิบไว้แน่น หลับตาปี๋ งานนี้คิดว่าตายแน่ๆๆๆ

   แรงกระแทกที่ไม่ได้มาจากเหล็กทั้งคันของรถ ไม่เจ็บไม่ปวดเท่าที่คิด ผมกลั้นหายใจ ในขณะที่คนที่คว้าตัวผมไว้หอบหายใจหนักมาก หนักจนผมคิดว่าเขาอาจจะไฮเปอร์ตายแทนผมก็ได้

   “ทำบ้าอะไร!! อยากตายรึไง!”

   ผมจุกอกเมื่อแขนแกร่งของเขารัดผมแน่นขึ้น เราสองคนนั่งกองกันอยู่ข้างฟุตบาท มีคนที่เดินผ่านไปมาเห็นเหตุการณ์แล้วเข้ามามุงถาม คนตัวสูงบีบแขนผมแน่นจนเจ็บก่อนจะรู้สึกตัว เขาปล่อยผมแล้วฉุดให้ลุกขึ้น หันไปบอกคนอื่นๆ ว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ

   ผมกระพริบตาปริบๆ แขนยังกอดกระเป๋าปั้นสิบที่เงียบกริบแน่น มันคงจะช็อคเหมือนกับผมเนี่ยแหละ

   “ข้าวปั้น”

   หมอเรียกผมที่ดูเหมือนจะช็อคไปแล้ว ผมมองเขาก่อนจะยกกระเป๋าแมวให้ หมอรับไปอุ้มแบบงงๆ ผมเดินไปนั่งยองๆ ข้างริมฟุตบาทด้านในก่อนจะหายใจกระชั้น

   ใช่ครับ... ผมกำลังช็อค และกำลังเรียกสติตัวเองกลับมา

   “เป็นไรมั้ย?”

   หมอนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงข้างผม เอียงคอมองสีหน้าผมที่นั่งกอดเข่าไว้แน่น ยกมือขึ้นวัดชีพจรที่คอผมตามความเคยชิน

   “หายใจเข้าลึกๆ มองหน้าผม”

   ผมทำตาม เหลือบตาขึ้นมาสบมองเขา นัยน์ตาสีเขียวทอดมองอย่างเป็นห่วง มือใหญ่อุ่นจนร้อนประคองหน้าผมขึ้น เอียงซ้ายขวาเหมือนกับเช็คว่าผมเจ็บตรงไหนรึเปล่า หรือสมองกระทบกระเทือนหรือไม่ ผมส่ายหัวช้าๆ หันไปหยิบกระเป๋าเจ้าปั้นสิบที่หมอวางไว้ข้างๆ มาเปิดแล้วช้อนอุ้มมันออกมา ปั้นสิบซุกตัวเข้าหาผมเหมือนกับมันก็กลัวจัดเหมือนกัน

   ผม... ผมทำอะไรไปเนี่ย งี่เง่ามากๆ

   “ลุกไหวมั้ย ไปทำแผลก่อน มีเลือดออกตรงศอก”

   เขาบอก ผมลุกตามเขาอย่างว่าง่าย เลิกดื้อแล้วครับ... เหตุการณ์เมื่อกี้ เฉียดตายยิ่งกว่ากระเพาะทะลุ ถ้าเขาคว้าผมช้ากว่านี้อีกนิด หัวผมติดไปกับกระจกหน้าแน่นอน

   

   “ผม... ไม่ไปห้องหมอนะครับ”

   ผมพูดพร้อมกับกดลิฟต์ชั้น 9  หมอไม่ว่าอะไร เขายกมือถือขึ้นมาส่งข้อความอะไรสักอย่างก่อนจะเก็บมันลงในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม ผมอุ้มปั้นสิบ ส่วนกระเป๋าแมว หมอถือตามมาให้ หลังออกจากลิฟต์ ผมเดินเอื่อยๆ ไปที่ห้องตัวเอง เมื่อถึงหน้าห้องผมขอกระเป๋าปั้นสิบคืน แต่หมอไม่ให้ ร่างสูงดันร่างผมเข้าไปในห้อง ก่อนจะตามเข้ามา ถอดรองเท้าแล้วถามผมว่ากล่องพยาบาลอยู่ไหน

   ผมปล่อยเขาตามใจชอบ อยากทำอะไรเชิญครับ ผมเหนื่อยแล้ว... พรุ่งนี้ทำงานแต่เช้า ถ้าเขาอยากจะพูดอะไร พูดมันซะวันนี้แหละ จะได้ตัดปัญหา จบๆ ไปเสียที

   “แขนครับ”

   หมอเอาเก้าอี้อเนกประสงค์ตัวเดิมมานั่งตรงข้ามผม จัดการเอากล่องยากับน้ำเกลือมาทำแผลให้ มันไม่ได้รู้สึกเจ็บสักนิด แผลเล็กเท่าเศษหิน คนที่ควรเจ็บน่ะ หมอต่างหาก

   ผมมองเลือดที่ซึมทะลุแขนเสื้อที่ขาดเป็นรอยถลอกเพราะครูดพื้น หมอจัดการทำแผลให้ผมอย่างชำนาญ ติดพลาสเตอร์ยาให้เรียบร้อย ในขณะที่เจ้าอ้วนยังคงนอนสงบเสงี่ยมอยู่บนตักผม เขานั่งนิ่งเมื่อทำแผลและเก็บอุปกรณ์เสร็จแล้ว ผมเองก็นิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไร จะขอบคุณ จะขอโทษ จะไล่ หรือจะถาม ผมก็ไม่รู้ทั้งนั้น

   นานมาก ผมไม่นับเวลา เสียงเข็มวินาทีของนาฬิกาดังแข่งกับจังหวะหัวใจผม จนในที่สุด มือใหญ่ของเขาก็ค่อยๆ จับปลายนิ้วผมมาลูบเล่นเบาๆ เหมือนไม่รู้จะทำยังไงกับความเงียบนี้

   “คุณไม่รับโทรศัพท์ผม”

   “...”

   “ไม่ตอบไลน์”

   “...”

   “ไม่กลับห้อง”

   “...”

   “ข้าวปั้น...”

   “หมอเลิกยุ่งกับผมได้มั้ยครับ”

   ผมขัด พูดในสิ่งที่ผมคิดว่าควรจะพูด เรื่องระหว่างเขากับผม มันเริ่มต้นด้วยความไม่มีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมอาจจะแค่หวั่นไหวเพราะห่างเหินจากเรื่องพวกนี้มานาน มันเลยทำให้ผมสับสน ผมคิดว่างั้น

   หมอดูผิดหวังกับสิ่งที่ผมพูด เขาเงียบ ผมจึงดึงมือออกแต่หมอกลับไม่ยอมปล่อย เขาเปลี่ยนจากจับแค่ปลายนิ้วมาเป็นจับทั้งมือ

   “ขอปฏิเสธครับ”

   “ทำไมครับ” ผมสบตาเขา “หมอ ผมไม่ใช่เกย์”

   “ผมก็ไม่ใช่”

   “แต่หมอทำกับผู้ชาย”

   “ผมทำเพราะคุณ”

   “หา!”

   ผมทำหน้าเหมือนเจอแมลงสาบในจานข้าวที่กินไปแล้วครึ่งจาน หมอปิดปากตัวเองด้วยฝ่ามืออีกข้างพลางหันหน้าออก ผมสังเกตเห็นว่าโหนกแก้มขาวๆ ของเขาแดงจัด ก่อนที่หน้าผมจะแดงตาม ผมขมวดคิ้วเบือนหน้าออกไปอีกฝั่ง

   “ผม... ผมว่า ผมอยากอาบน้ำนอนแล้ว”

   หมอหันหน้ากลับมา เขายังจับมือผมแน่น แถมยังใช้นิ้วโป้งไล้มือผมเบาๆ อีกต่างหาก ผม... ทำตัวไม่ถูกเลยครับ เคยแต่จับมือผู้หญิง ไม่เคยจับมือผู้ชาย... ยิ่งให้ผู้ชายจับมือยิ่งไม่ใช้วิสัยเลย

   แต่ไม่รู้ทำไม ผมไม่กล้าดึงมือออกเหมือนเมื่อกี้ โดยเฉพาะเมื่อคนตัวใหญ่กว่านั่งไหล่ลู่ลงเหมือนโล่งอก เขาเหมือนหมีตัวใหญ่ที่ความมั่นใจเหลือศูนย์... อยากลอง... ทำอะไรบางอย่างกับท่าทางแบบนั้นจังแฮะ

   หมอยังคงใช้มือเท้าคางโดยให้ฝ่ามือปิดปากไว้ มองมือผมที่เขาลูบไล้อยู่อย่างทะนุถนอม เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

   “ข้าวปั้น”

   “ครับ”

   “อยากจูบครับ”

   ....

   สัส

   “กลับไปเลยหมอ!”



เอ้า... ใครทีมหมอ ใครทีมข้าวปั้น หรือ ทีมพี่ดินคนล่ำ??
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2019 23:52:01
 :z1:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 14-11-2019 01:09:46
ทีมพี่ดินเหอะว่ะ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 14-11-2019 01:46:02
“ผมทำเพราะคุณ” ???คืออะไรครับ อธิบายหน่อยสิคุณหมอ ทำเพราะน้องคืออะไร? แล้วจะยังไงกับน้องก็คุย ก็เคลียร์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวดี ๆ สิครับ จะจีบก็จีบ ไม่ใช่ว่าอยากจีบน้อง แต่ไปลงกับคนอื่น หาที่ระบายไม่ได้ว่างั้น :katai4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-11-2019 08:26:02
อะไร ยังไงเหรอหมอ จัดฉากให้นางเอกหึงใช่ไหม ถ้าใช่ก็ได้ผลเกินร้อย
 o22 o22
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-11-2019 12:26:23
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 14-11-2019 19:17:37
ทำไมเราชอบพี่ดิน ดูอบอุ่น จริงใจ เป็นผู้ใหญ่ พร้อมปกป้อง
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่14(13/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 14-11-2019 22:34:20
โถ่หมอ อุตส่าห์ดราม่าน้ำตานองเพราะสงสารปั้น หมอจะมาหักมุมแบบนี้ไม่ได้นะ 5555
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 18-11-2019 01:03:06
Chapter – 15
หมอครับ น่ารำคาญ

   วันนี้ผมเลิกงานเร็วเป็นพิเศษ หมายถึง... เร็วกว่าปกติน่ะ ไม่ใช่ออกก่อนเวลานะ เพราะว่าผมมีนัดกับหมอครับ

   เดี๋ยวก่อน... ไม่ใช่หมอที่พวกคุณคิดหรอกครับ

   ผมเดินขึ้นจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ยังไม่ใช่สถานีที่คอนโดผมอยู่ ผมลงก่อนสองสถานีเพื่อที่จะมาพบคนที่ผมนัดไว้ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ สถานีนี้

   ผมผลักประตูร้านเข้าไป เป็นร้านเล็กๆ ติดถนน แต่คนไม่เยอะมาก บรรยากาศในร้านเงียบสงบดีเหมาะสำหรับการอ่านหนังสือ ตกแต่งแนวธรรมชาติ โทนสีไปทางส้มๆ ไม้ๆ พนักงานเอ่ยต้อนรับ ผมสั่งโกโก้หวานน้อยก่อนจะหันไปมองหาคนที่ผมนัดเจอ

   รับรู้ได้ถึงสัมผัสที่แตะเบาๆ บนบ่า ผมหันกลับไปเห็นหน้าตาน่ารักของคุณหมอสาวที่อาจจะเป็นเจ้าของไข้ผมในอนาคตแล้วยิ้มเขินๆ แม้คุณหมอจะอายุเกือบสามสิบแต่หน้าตาของหมอยังดูเด็กจนผมนึกว่าเป็นรุ่นน้องเสียอีก ร่างเล็กที่สูงแค่บ่าผมในชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนทับด้วยคาร์ดิแกนสีน้ำตาลอ่อน ผมยาวรวบเป็นหางม้า ตากลมโต ปากชมพูๆ ประดับรอยยิ้มสดใส

   ฮือ... น่ารักอ่ะครับ

   “ข้าวปั้นใช่มั้ยคะ?”

   คุณหมออิงลดา จิตแพทย์สาวที่หมออคินแนะนำมายิ้มหวานให้ผมพร้อมกับทักทายอย่างเป็นมิตร

   “วะ... หวัดดีครับ หมออิงลดา”

   ผมยกมือไหว้คนอายุมากกว่า หมออิงลดายกมือไหว้ตอบ ก่อนจะโบกมือ

   “เรียกหมออิงก็ได้ค่ะ” แล้วเธอก็หันไปสั่งกาแฟกับขนมเค้ก จากนั้นก็พากันไปเลือกโต๊ะนั่ง เราเลือกที่จะนั่งหลังๆ มุมเงียบๆ ที่ไม่ค่อยมีคน เพราะผมค่อนข้างอยากให้มันส่วนตัวหน่อย

   “หมอได้ยินเรื่องของข้าวปั้นจากหมออคินเยอะแยะเลยค่ะ หมอเล่าว่าเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทของเขา”

   “เห... จริงเหรอครับ”

   ผมยิ้มแห้ง ไอ้หมอมันเอาผมไปเผาอะไร!

   “เอ่อ ขอบคุณนะครับที่หมออุตส่าห์ออกมาหาเป็นการส่วนตัว” ผมเริ่มเล่นนิ้วตัวเอง แอบเกร็งนิดๆ ไม่เคยมาปรึกษาจิตแพทย์ตัวเป็นๆ นอกจากทำแบบสำรวจในเว็บไซต์สุขภาพจิต

   “ไม่เป็นไรค่ะ หมอลงเวรแล้ว วันนี้เราแค่มาคุยกันนอกรอบแล้วค่อยมาคุยกันว่าหมอจะรับข้าวปั้นเป็นคนไข้เต็มตัวรึเปล่านะคะ” หมออิงยิ้มใจดี “ไม่ต้องเกร็งนะ หมอไม่กัดค่ะ แล้วข้าวปั้นก็ไม่ได้บ้า ข้าวปั้นแค่มาปรึกษาเฉยๆ”

   ผมคลายมือออก ถอนหายใจเบาๆ

   “ข้าวปั้นคะ”

   ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังก้มหน้าอยู่จนกระทั่งหมอเรียก

   “ครับ!”   

   “คิดซะว่ามาคุยกับเพื่อนก็ได้ค่ะ”

   ผมพยักหน้า

   “งั้นหมอถามนะคะ ข้าวปั้นเป็นโรคกลัวที่มืดเหรอ”

   “อ่า... ครับ”

   “ได้บอกคนอื่นรึเปล่า”

   “เปล่าครับ คือ... ส่วนใหญ่คนที่รู้จะเป็นเพราะเจออาการผมตอนอยู่ในสถานการณ์นั้นน่ะครับ”

   “หมายถึง บังเอิญรู้ใช่มั้ยคะ”

   “ครับ”

   หมออิงพยักหน้า ก่อนจะหันส่งยิ้มให้พนักงานที่ยกของที่สั่งไว้มาเสิร์ฟ ผมรับโกโก้มาดูดแก้เขิน... ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ร้ายแรง แต่สิ่งที่ร้ายแรงคือสาเหตุของมันที่ผมไม่กล้าพูดออกไป จนเกิดเป็นแผลในใจจนถึงทุกวันนี้

   “อาการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ข้าวปั้นรู้สาเหตุหรือเปล่า”

   หมออิงจ้องหน้ามองตรงๆ อาจเป็นความเคยชินของหมอที่มักจะมองคนไข้ตรงๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยา แต่ผมไม่ชินเอาซะเลย... โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า

   “รู้ครับ... ตอนสิบขวบ”

   “เล่าให้หมอฟังได้มั้ยคะ?”

   คำถามที่น่ากลัวของหมอมาแล้ว... ผมเงียบ เงียบนาน เหงื่อเริ่มซึมชื้น

   เสียง... เสียงร้อง...

   “...ปั้น ข้าวปั้นคะ?”

   “ไม่ครับ ผมไม่อยากพูด”

   หมออิงเงียบ กลับไปตั้งหลักใหม่ เธอไม่คะยั้นคะยอผม ก่อนจะเลื่อนเค้กมาให้

   “ทานหน่อยนะคะ แบ่งกัน หมอกินคนเดียวไม่หมด”

   ผมมองเค้กที่โดนตัดไปนิดหน่อยแล้วตัดสินใจเอาน้ำตาลเข้าปาก

   “ข้าวปั้น รู้มั้ยคะ ว่าโฟเบียรักษาได้นะ” หมออิงพูด “อาการโฟเบียบางอย่างรักษาได้ด้วยยา หากเกี่ยวกับเคมีในสมองผิดปกติ แต่บางอย่างเกิดจากแผลทางใจ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องทำพฤติกรรมบำบัด โดยค่อยเป็นค่อยไป”

   “ครับ แต่... ผมก็อยู่กับอาการนี้มาได้ตั้งสิบกว่าปี” ผมวางส้อม “คิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับสถานการณ์ที่ทำให้อาการออก”

   ผมคิดงั้นจริงๆ และปฏิเสธครอบครัวที่พร้อมจะพามารักษาอาการกลัวที่แคบที่มืดเสมอ

   “ผมแค่ไม่ชอบการอยู่ในที่แคบและมืด ถ้าแค่มันแคบแต่ไม่มืด หรือมืดแต่ไม่แคบ ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”

   หมออิงครางในลำคอ ก่อนจะเอียงคอ เธอน่าจะรับรู้ได้ว่าอาการนี้มันไม่ได้ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของผมลำบาก

   “งั้น... วันนี้หมอจะไม่รับคนไข้ แต่จะขอแอดเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคนแทนจะได้มั้ยคะ” หมออิงยื่นโทรศัพท์มาให้ผม “หมอขอเฟซบุ๊คกับไลน์หน่อยได้ป่ะคะ หมอจะเอาไว้เม้าท์เรื่องหมออคิน”

   ผมเบิกตากว้าง หน้าแดงขึ้นมาทันที หมออคินมันเอาผมไปเม้าท์อะไรที่โรงพยาบาล หมออิงถึงทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้น... ผมรับมือถือหมออิงมาอย่างลังเล ก่อนจะกรอกเบอร์โทรกับเฟซบุ๊คไป หมอรับคืนมา และไม่ถึงวินาที ก็มีแจ้งเตือนผ่านเฟซบุ๊คว่ามีคนส่งคำขอเป็นเพื่อนมา

   “อ้าว ไม่มีหมออคินเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คเหรอคะ?”

   หมออิงดูแปลกใจเมื่อเธอหาเพื่อนร่วมกันไม่เจอ ผมส่ายหัว ไม่เห็นจะเคยรู้ว่าหมอเล่นเฟซด้วย

   “หมอคนนั้น... หมายถึงหมออคิน เขาเล่นเฟซบุ๊คด้วยเหรอครับ” ผมเริ่มสนใจ หมออิงผงกหัวรัวๆ ก่อนจะค้นหาเพื่อนแล้วยื่นส่งให้ผมดู รูปโปรไฟล์ของเขาโคตรจะแตกต่างกับตัวจริง...

   ผมเบิกตากว้าง อ่านชื่อเฟซแล้วมองรูปเขา

   “หมอจริงเหรอเนี่ย?”

   “ใช่มะ หล่อเนอะคะ แต่เขาไม่รับคนแปลกหน้า ความจริงคนรู้จักถ้าไม่จำเป็นเขาก็ไม่รับนะคะ เขาเพิ่งจะรับแอดเฟซหมอเมื่อไม่นานมานี้เอง แลกกับการรับปรึกษาให้เขา”

   ผมมองรูปโปรไฟล์ของเขา

   หมออคินมีเค้าโครงหน้าเขาค่อนข้างจะเอเชีย แต่มองอีกมุมก็มีความเป็นลูกครึ่ง จมูกเขาโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูปกระจับสวยน่าอิจฉา หน้าผากกว้าง ผมหยักศกมักถูกปาดเซทขึ้นดูดีเสมอ (แต่ผมมักเห็นเขาตอนเซทหลุด) มีไรหนวดเคราบ้างทำให้ดูเข้ม คิ้วหนาเป็นทรงเฉียงขึ้นทำให้ดูดุ ดวงตาคมเรียวสีเขียวประหลาด รูปโปรไฟล์ของเขาเป็นสีโทนทึมๆ เย็นๆ ยืนพิงกำแพงดูสตรีท ชุดลำลองธรรมดาไม่ได้ใส่สูทผูกไทด์ เหมือนเขาจะถ่ายที่ต่างประเทศเพราะเล่นใส่เสื้อคอเต่าสีดำ คลุมทับด้วยโค้ทตัวยาวสีเทาเข้ม

   ดูดี... สุดๆ เหมือนหลุดออกมาจากปกนิตยสาร BAZAAR

   นี่กูอยู่กับมนุษย์แบบนี้ที่คอนโดเดียวกันแน่นะ...

   ผมพึ่งจะมานั่งสังเกต เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยได้มองหน้าหมอชัดๆ เลยสักครั้ง ถ้าไม่มองต่ำกว่าอก ก็มองข้ามหัวข้ามไหล่ไปเลยเพราะไม่กล้าสบตา และในรูปหมอไม่ได้ใส่แว่น... ทำให้ลดอายุลงไปเยอะ เหมือนตอนที่เขามาค้างห้องผมครั้งแรก คุณหมอสุดหล่อในรูปที่อยู่ในชุดบอล ผมยังจำได้

   ผมหัวเราะ...

   “ลองแอดเฟรนด์ไปสิคะ”

   “เอ๊ะ... ไม่เอาดีกว่าครับ ผมกับหมอก็ไม่ได้สนิทกัน...”

   ไม่สนิทเชี่ยไรล่ะ... โว้ย ความสัมพันธ์ประหลาดฉิบหาย

   คำถามคือเขามายุ่งกับผมทำไมนี่แหละประเด็น และเขาเองก็ยังไม่ตอบ ผมไล่เขาออกจากห้องไปเสียก่อน และตั้งแต่วันนั้นก็ผ่านมาได้ห้าวันแล้ว ผมก็ยังไม่เจอหน้าเขาเหมือนเดิม เออ... ผมหลบหน้าเขาด้วยนั่นแหละ

   “เอ่อ ผมถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ” ผมทำเหมือนนึกอะไรได้ ไหนๆ คนตรงหน้าก็เป็นหมอจิตแล้ว ลองถามอีกเรื่องนึงละกัน หมออิงเอ่ยรับพลางยกกาแฟดื่ม

   “ค่ะ อะไรคะ”

   “คือ... คือผมแค่ถามนะครับ แบบ... มันเป็นเรื่องของคนรู้จัก”

   “อ่า... ค่ะ ได้ค่ะ” หมออิงยิ้มหวาน... เอ่อ

   “คือ... ผู้ชายที่มีอะไรกับผู้ชายได้เนี่ย ต้องเป็นเกย์อย่างเดียวเหรอครับ คือ... คือเพื่อนผมเขาไม่เคยชอบผู้ชายเลยนะครับ แค่... เหมือนเขาจะมีความรู้สึกดีๆ กับหมอ... เอ้ย! กับผู้ชายอีกคนน่ะครับ”

   เชี่ยปั้น อยากตีปากตัวเองฉิบหาย!

   ผมทำหน้าปั้นยาก หมออิงมองนิ่งๆ ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลง

   “ข้าวปั้น กำลังจะถามว่า คนที่ไม่ใช่เกย์ ชอบผู้ชายได้มั้ยใช่มั้ยคะ”

   ผมเงียบ... ก่อนจะผงกหัว

   “ได้สิคะ ไม่เห็นจะแปลกเลย โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ข้อจำกัดเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ยอมรับกันในสังคมแล้ว ทุกอย่างเป็นความรู้สึกส่วนบุคคลค่ะ อย่ายึดติดกับคำว่าเกย์เลยนะ”

   งานนี้หมออิงคอนเฟิร์ม คือ... คือผมก็ใช่ว่าจะไม่รู้ แค่อยากถามให้แน่ใจ

   “ไม่ว่าจะชายชอบชาย ชายชอบหญิง หญิงชอบหญิง ล้วนแต่เป็นความรู้สึกส่วนตัว บางคนชอบผู้หญิงมาทั้งชีวิต แต่งงานกับผู้หญิง มีอะไรกับผู้หญิงได้ แต่สุดท้ายกลับรักผู้ชายที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบาย โดยที่ไม่ได้รู้สึกกับผู้ชายคนอื่นเลยก็มี ความรู้สึกมนุษย์คือสิ่งที่ยากจะเข้าใจค่ะ”

   “ครับ” ผมตอบรับหมอ

   “ข้าวปั้นคะ... หมอถามไรหน่อยสิคะ” จู่ๆ หมออิงก็ทำหน้าจริงจัง ผมผงะห่างเล็กน้อย ไม่แน่ใจสิ่งที่หมอจะถาม

   “หมออคินใจดีมั้ยคะ”

   “หา?”

   “จริงจังนะ เขาเป็นรุ่นพี่ของหมอเอง ตอนเป็นรุ่นพี่ที่วอร์ด ดุมาก! ดุฉิบหายเลยค่ะ” ผมอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะลั่น

   “ฮ่าๆๆ ผมตกใจหมด นึกว่าจะถามอะไร”

   “ข้าวปั้น หมอจริงจังนะ ทุกคนในแผนกศัลยกรรมกลัวหมออคินกันทั้งนั้น กับคนไข้เขาก็ดุนะคะ เข้าประชุมทีไรเครียดกันทั้งบอร์ด” หมออิงทำหน้าขนลุก

   “ก็... ดุครับ แต่... ก็ใจดีแบบแปลกๆ”

   ผมเกาแก้ม กรอกตาขึ้นมองเพดาน ไม่สบตาหมออิง

   “แล้ว แล้ว แล้ว... ตอนอยู่ด้วยกันเนี่ย...” หมออิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ สีหน้าหมอดูตื่นเต้นยิ่งกว่าลุ้นบอลโลก

   “หมออิง”

   จู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังขัดขึ้น เล่นเอาผมกับหมออิงผงะออกจากกันแล้วกันมองเจ้าของเสียงที่อยู่ดีๆ ก็เดินเข้ามาทัก ผมมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของหมอที่อยู่ชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม ผูกไทด์ชิดคอสีดำเลื่อม ทับด้วยเสื้อกั๊กสีกรมกับกางเกงสแลคเข้ารูปสีเดียวกัน แว่นสายตาทำให้เขาดูแก่เรียนแต่ไม่ได้ลดความดูดีของเขาเลยสักนิด

   “พี่หมอ” หมออิงหลุดเรียกเขาออกมาตามความเคยชิน

   ผมหุบปากก่อนจะกวาดกระเป๋าตัวเองมากอดแล้วลุกขึ้น

   “ขะ... ขอบคุณมากนะครับหมออิง ไว้เรื่องค่าปรึกษา... ผม ผมจะติดต่อกลับไป” ผมกระวีกระวาดออกจากโต๊ะ แต่คนตัวสูงกลับรั้งศอกผมไว้พลางหันไปพูดกับหมอรุ่นน้อง

   “ไม่เห็นบอกว่าจะมาหาเขาวันนี้”

   “นี่เป็นการตกลงกันระหว่างหมอกับคนไข้ค่ะ พี่หมอไม่เกี่ยวนะคะ” หมออิงพูดอย่างรู้งาน มองผมที่พยายามจะบิดแขนออกจากมือใหญ่ที่แข็งอย่างกับคีมเหล็ก

   หมออคินหรี่ตามองรุ่นน้องนิ่งๆ มีแววดุอยู่ในทีกับการต่อปากต่อคำ หมออิงยิ้มแหยแต่ใจดีสู้เสือ ชี้มาทางผมที่พยายามแกะแขนตัวเองอยู่อย่างน่าสงสาร

   “ข้าวปั้นเขาเจ็บแล้วนะคะพี่หมอ”

   หมอเหมือนพึ่งรู้ตัวว่าจับผมแรงไปจึงได้ผ่อนแรงลงพลางถาม

   “จะกลับแล้วใช่มั้ยครับ กลับด้วยกันสิ”

   “ไม่ครับ วันนี้ผมมีนัดต่อ”

   “นัดกับใครครับ”

   “เรื่องอะไรของหมอครับ”

   ผมไม่กล้ามองหน้าเขา ได้แค่มองแขนตัวเอง แต่ถึงจะไม่มอง แต่ก็รู้เลยว่า... ตาสีเขียวคู่นั้นต้องดุฉิบหายแน่ๆ ดูจากความเงียบหลังจากผมพูดแบบนั้นออกไป

   “คุณจะไปดื่มอีกแล้วเหรอ คราวที่แล้วไม่เข็ดรึไง”

   เสียงเขาเย็นชาสุดๆ ผมเม้มปากก่อนจะเงยหน้าจ้องกลับ    

   “ขอโทษนะครับ ผมโตแล้ว ไปไหนก็ได้เรื่องของผมครับ คุณหมอ”

   ผมเน้นคำว่า ‘คุณหมอ’ หนักๆ เพื่อให้เขาสำนึกจิตได้เองว่าเขาเป็นหมอนะครับ ไม่ควรมาออกแรงทำร้ายอดีตคนไข้อย่างนี้ หมออคินเหมือนจะพูดอะไร แต่ประตูร้านกลับเปิดเข้ามาอีกครั้ง และผมคงจะไม่สนใจถ้าคนที่เข้ามา ไม่ใช่เจ้าของผมสีน้ำตาลกับร่างโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคพอดีตัวอวดรูปร่างเพรียวบางจนผู้หญิงอิจฉา และเหมือนจะมองหาใครบางคน แน่นอนผมเดาได้ว่าเขาหาใครอยู่

   วันนี้ผมใส่เสื้อสีอัปมงคลรึเปล่าวะเนี่ย

   “พี่หมออคิน” ชายคนนั้นมองข้ามหัวผมไปยิ้มให้คนตัวสูงกว่าที่ยังจับแขนผมไม่ปล่อย ผมยังคงพยายามดึงตัวเองออกจากการจับกุม แต่หมอกลับเปลี่ยนจากจับข้อศอกผมมากุมแน่นที่มือจนผมเบิกตากว้าง

   สัสหมอ!!!

   ผมเหงื่อแตก เหลือบมองหมออิงที่มองหน้าผมด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร ก่อนจะหันไปทักทายผู้มาใหม่

   “หมอวา ลงเวรแล้วเหรอคะ”

   เหมือนคนมาใหม่จะไม่ทันเห็นหัวหมออิงเช่นกัน เขาเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มให้คนทัก เหลือบมองผมเล็กน้อยเหมือนผมเป็นแค่ต้นไม้ประดับร้าน

   อึดอัดจนอยากจะอ้วก...

   “หมอคินครับ ผมจะมาชวนไปดื่มครับ ไปกับพวกหมอนนท์ หมอริท”

   เขาไม่สนใจคนแปลกหน้าที่ถูกจับอยู่ตรงนี้เลยซักนิด ผมหายใจเข้าลึกๆ กระชากมือออกอย่างแรงแล้วกระชับกระเป๋าเป้ของตัวเองเดินออกจากร้านไปเลย

   “ข้าวปั้น!”

   ผมไม่สนใจ ล้วงมือถือออกมาจะกดหาเบอร์พี่ดินแต่เขาไม่รับสาย ผมจึงส่งข้อความไปบอกเขาว่าวันนี้จะไปข้าวสาร คราวนี้ผมมีสติมากพอจะเดินลงรถไฟใต้ดินแทนที่จะวิ่งเตลิดเปิดเปิง ผมเดินเร็วๆ ลงบันไดเลื่อน แตะบัตรแล้วเข้าไปในเกททันที

   ผมยืนรอรถไฟท่ามกลางคนประมาณสามล้านที่เบียดเสียดกันต่อแถว เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ ใครๆ ก็พากันไปแฮงค์เอ้าท์ทั้งนั้น ผมล้วงเอาหูฟังมาเสียบแล้วเปิดเพลงให้ดังจนสุด กลบทุกเสียงรอบตัว

   ปึ้ก! แรงตบที่ไหล่ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว รีบถอดหูฟังหันกลับไปมอง ผมขมวดคิ้วแน่น เมื่อคนที่เข้ามาทักคือหนึ่งในคนที่ผมจำได้ลางๆ ว่าเป็นหนึ่งในแก๊งที่เจอกันที่ร้านนั่งชิววันนั้น

   ไอ้เหี้ยที่ทำผมเสียตัว!

   “เหี้ยกันต์”

   “ทักกันงี้เลยเหรอวะสัส”

   ไอ้หน้าชั่วในชุดพร้อมเที่ยวยิ้มเหยียดให้ผม มันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนเบ้ปากคว่ำเล็กน้อยเหมือนพิจารณาสิ่งของ ผมถอนหายใจยาว

   “มีไร”

   “เอ้าสัส วันก่อนที่ดื่มด้วยกันมึงยังดีๆ กะกูอยู่เลย ไหงวันนี้เย็นชาจังคนสวย”

   ผมเกลียดไอ้เหี้ยพวกนี้ มันชอบแหย่ผมแบบนี้มาตั้งแต่มหา’ลัย แม่งจบมาได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว พฤติกรรมมึงยังเหี้ยอีก มันกับผมอยู่คนละคณะกัน แต่ที่รู้จักกันเพราะเพื่อนผมเป็นเพื่อนกับมัน เลยพอจะรู้จักบ้าง การตีซี้เป็นนิสัยของไอ้กันต์แต่ไม่ใช่กับผม แค่เพราะเหล้าเข้าปากเลยทำให้สามารถสนุกด้วยกันได้เท่านั้น

   “สวยเหี้ยไร” ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะถามมัน “เออ วันนั้นใครเอาห่าอะไรให้กูแดก”

   “วันนั้น?” ไอ้กันต์ทำหน้านึกก่อนจะร้องอ๋อยาวๆ ผมเริ่มหงุดหงิดอยากฟาดหน้ามันด้วย adidas เบอร์ 41 “ของดีที่เพื่อนกูพกมา ความจริงมันจะมอมสาว แต่มันบอกเห็นหน้ามึงแล้วเงี่ยน เลย... ลองหยอดไปนิดหน่อย คนเมาๆ อ่ะมึง อย่าคิดมาก”

   ผัวะ!!!

   ผมต่อยมันกลางสถานีที่เต็มไปด้วยผู้คน ก่อนจะแผดเสียงใส่จนกลายเป็นที่สนใจของไทยมุง ไอ้กันต์ทำหน้างงไม่คิดว่าผมจะจริงจังขนาดนี้เพราะมันก็คงไม่รู้ว่ายานั่นมันแรงแค่ไหนและสำหรับคนที่แพ้ยาบางประเภทแบบผมมันอันตรายขนาดไหนน่ะ ไอ้ฉิบหาย!!

   “ไอ้เหี้ย! เงี่ยนพ่อมึงสิ ถ้ากูตายเพราะยาเหี้ยๆ ของมึงจะเป็นไง!”

   ผมกระทืบซ้ำมันอีก แต่มันกลับลุกขึ้นมาแล้ววางมวยกับผม เกิดเป็นวงตะลุมบอนขนาดย่อมที่เจ้าหน้าที่ประจำสถานีต้องรีบเข้ามาจับแยก ผมทำท่าจะเข้าไปซัดอีกรอบ แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยแรงที่มากกว่าเดิมให้ถอยออกมา ผมโดนลากออกจากสถานีก่อนที่ตำรวจจะมา หายใจหอบกระชั้นจนเลือดขึ้นไปกองบนหน้า กัดฟันจนได้ยินเสียงกรอดลั่นหู

   ผมพึ่งเคยเลือดขึ้นหน้าของจริงก็วันนี้แหละ!!

   “ปล่อยผมนะหมอ! ผมจะไปกระทืบมัน ไอ้เหี้ยพวกนั้นแม่งเลวตั้งแต่หัวยันส้นตีน!”

   คนที่ลากผมออกจาก MRT ยังคงลากผมไปเรื่อยๆ คนก็มองผมไปตลอดทางที่ฟาดงวงฟาดงาเหมือนละครหลังข่าว จนกระทั่งเขาลากผมมาถึงรถที่จอดอยู่ริมฟุตบาท เขาเปิดประตูรถแล้วดันร่างผมเข้าไป ผมหอบหายใจหนักๆ หัวสมองชาวูบๆ เพราะความโมโห มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูด

   เสียงปิดประตูรถทำให้ผมเริ่มได้สติ ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองคนที่นั่งกอดอกอยู่หน้าพวงมาลัยอย่างใจเย็น เขามองไปข้างหน้า รอผมสงบสติ

   “ยาดมมั้ย”

   “หมอ!”

   ผมจะโกรธอีกแล้วเมื่อเขาถามเหมือนจะล้อเลียน หมอหันมาสบตาผมทั้งๆ ที่ยังกอดอกอยู่ หน้าเขาไม่ยิ้มแม้แต่น้อย ผมเงียบกริบ ก่อนจะกอดกระเป๋าแน่น สะบัดหน้าหันไปอีกฝั่งอย่างไม่สู้

   “โมโหอะไรขนาดนั้นครับ อยากโดนจับรึไง”

   ผมเงียบ เสียงเขาอ่อนลง

   “ข้าวปั้นครับ”

   “หมอไม่ต้องมายุ่งกับผมได้มั้ย รำคาญ!”

   ผมหันกลับไปพูดสิ่งที่รู้สึกออกไปตรงๆ ด้วยความโมโห หงุดหงิด ก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมันรุนแรงมาก และเมื่อกี้เขาก็เป็นคนเข้ามาช่วยผมอีกต่างหาก ผมเงียบ ก่อนจะก้มหน้าลง ยกมือข้างหนึ่งปิดตาตัวเอง

   “ผม... ผมขอโทษครับ”

   ผมหายใจเข้าพลางสะอื้น อยู่ดีๆ น้ำตามันก็ไหล ความน้อยอกน้อยใจ ความโกรธ ความสมเพช ความสับสนมันประดังประเดจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา มันอึดอัดจนผมอยากแผดเสียงร้องออกมา สิ่งที่ผมเจออยู่ตอนนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ผมกับหมออาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ถ้าความสัมพันธ์มันไม่สับสนวุ่นวาย และเขาเองก็ไม่เคยจะชัดเจนอะไรกับผมซักอย่าง โดยเฉพาะภาพวันนั้นมันยังฝังหัว ทำให้ผมคิดว่า เขาจะทำอะไรแบบนี้กับใครก็ได้ จะชายจริงหญิงแท้เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ผมเองก็แค่โชคร้าย

   และยิ่งน้อยใจที่สุด คือผมเสือกยอมรับความรู้สึกตัวเองไปแล้ว...

   “ผมเกลียดหมอ หมอแม่งไม่เคยชัดเจนอะไรเลย มีแต่ผมคนเดียวที่วุ่นวายกับความรู้สึกตัวเอง” ผมพูดไปปากสั่นไป น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาเหมือนคนเก็บกด

   “อย่ามายุ่งกับผมเลยครับ ถ้าหมอไม่ได้คิดอะไร ผมไม่สามารถทำตัวปกติได้จริงๆ”

   คนข้างๆ เงียบไป เสียงสะอึกสะอื้นของผมดังสะท้อนอยู่ในรถที่เงียบสนิท

   จนกระทั่งเขาตอบ

   “ได้”



พี่หมอทำตัวน่าตีอีกเเล้ว...
จริงอ๊ะเป่า อย่าพึ่งดุพี่หมอกันน้า ให้โอกาสพี่หมอขอแก้ตัว
น้องยูรอเม้นต์ทุกวันเบยยยย
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu



หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 18-11-2019 02:55:54
หมอวา นี่คือคนในวันนั้นที่น้องข้าวปั้นเปิดประตูห้องหมอคินไปเจอใช่ไหม? สงสารน้องข้าวปั้น มันหน่วง ๆ ในใจเนอะ :m15:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 18-11-2019 08:39:55
 :mew4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 18-11-2019 09:55:19
หมอออ หมอต้องชัดเจนกับน้องแล้วแหละ ข้าวปั้นคือพร้อมหนีสุดด
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 18-11-2019 09:59:27
หมอทำไมแบดจังอ่ะ :ling1:

ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-11-2019 21:12:13
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 18-11-2019 22:48:09
ได้ของหมอนี่คือจะจีบให้ชัดเจนขึ้นใช่ไหม
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 19-11-2019 23:39:28
สงสารข้าวปั้นอ่ะ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 20-11-2019 21:01:26
ถ้าไม่จั่วหัวเรื่องแต่แรกว่าเป็นหมอ อยากเชียร์พี่ดินใจจะขาด
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่15(18/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-11-2019 00:12:32
ฮือออ ค้างงง สงสารน้องอะ ถ้าเฮียรู้ อคินคือต้องโดนหลายหมัด


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 21-11-2019 01:48:28
Chapter – 16
หมอครับ สารภาพมา



   “ได้”

   ผมเผลอกัดปากตัวเองแบบไม่รู้ตัว ก้อนสะอื้นจุกในลำคอ ก่อนจะยิ้มเหยียด ปาดน้ำตาลวกๆ หัวเราะเสียงแผ่ว

   “ครับ ขอบคุณ”

   ผมหันไปจะเปิดประตูรถ แต่กลับถูกกระชากกลับมา ริมฝีปากที่เปื้อนทั้งน้ำตาและน้ำมูกของผมถูกประกบทาบทับ ริมฝีปากหนาบดจูบอย่างรีบร้อนและเอาแต่ใจ มือใหญ่ล็อคหลังคอผมไว้พลางใช้ฝ่ามือดันท้ายทอยให้แหงนหน้ารับจูบร้อน ลิ้นชุ่มเปียกสอดเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ผมเบิกตากว้าง ร้องอู้อี้ในลำคอพร้อมกับยกมือฟาดไหล่หนาอย่างแรงเมื่อมือข้างที่ว่างเริ่มเลื้อยสอดเข้ามาใต้เสื้อยืดย้วยๆ ของผม

   แรงมากครับ จริงๆ แรงผู้ชายด้วย

   “ฟาดไม่ยั้งเลย”

   หมอถอนจูบออก ไม่วายแลบลิ้นตวัดเลียริมฝีปากบวมเจ่อที่เผยอออกอย่างเซ็กซี่ ดวงตาสีเขียวสะท้อนแสงจากข้างถนนและรถที่ขับผ่านไปมาจนวาววับ

   ทั้งๆ ที่มันทั้งแคบและสลัว แต่ผม... กลับไม่มีอาการกลัวที่แคบมืดเลยสักนิด

   เพราะผมคิดว่า ถ้าตอนนี้หมอเปิดไฟในรถ มันจะต้องน่ากลัวกว่าปิดไฟเป็นแน่

   ดวงหน้าคมเอียงมองจ้องผมตรงๆ มือใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยจากแก้มผมที่ชื้นน้ำตาและร้อนผ่าว

   “ผมจะทำให้มันชัดเจน”

   “...ฮะ?”

   “ผมจะจีบข้าวปั้น”

   “...เฮะ?”

   “ผมชอบข้าวปั้น”

   “หมอ... เดี๋ยวๆ”

   “ข้าวปั้นล่ะ ชอบผมบ้างมั้ย”

   “Hang on!! (รอเดี๋ยว!!)”



   ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง คำถามมากมายในหัวแต่มันกรองออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ทำได้แค่กอดกระเป๋าเป้ เล่นมือตัวเอง กระดิกปลายเท้ารัวๆ อีกนิดจะแทะคอนโซลหน้ารถแล้ว คนข้างๆ ใช้มือข้างเดียวจับพวกมาลัย อีกข้างวางไว้บนที่วางมือตรงกลาง

   “หนาวเหรอครับ สั่นเชียว”

   น้ำเสียงเขาแฝงความขันไว้ ผมเบือนหน้าออกไปข้างนอกพลางแยกเขี้ยว

   หมอแม่ง...

   “เปล่า”

   ผมตอบเสียงห้วน แต่เขาก็เพิ่มอุณหภูมิแอร์ให้ แม้ว่าผมจะไม่หนาวขนาดนั้นเพราะร่างกายเป็นปกติดีแล้ว

   ผมดูมือถือที่สั่นเพราะข้อความจากพี่ดินที่ถามว่าผมจะไปร้านไหน ผมเหลือบไปมองหน้าหมอเล็กน้อย... ก่อนถามเขา

   “หมอ ผมว่าจะแวะข้าวสารครับ”

   “ไม่ต้องไปครับ ดึกแล้ว”

   ผมมองนาฬิกา เพิ่งจะสี่ทุ่ม... บ้านหมอเที่ยวร้านเหล้าตอนเช้าเหรอ?

   หมอตบไฟเลี้ยวไปทางกลับคอนโดทันที ผมมองทางแยกตาละห้อย... ก่อนจะเบ้หน้า ก้มลงพิมพ์ตอบพี่ดิน



   KaowwwPun: โทษทีพี่ ไปไม่ได้แล้ว ติดธุระ

   Kanin>.<Din: อ้าวไอ้สัส กูออกบ้านแล้วเนี่ย

   KaowwwPun: โทษทีพี่ดิน ไว้ชดเชยให้นะ

   Kanin>.<Din: เออๆ เซ็งเลยกู



   แล้วผมก็ส่งสติ๊กเกอร์ไหว้กลับไปให้ก่อนเก็บมือถือ ไม่นานนัก รถออดี้สีเทา สเปรซเกรย์ก็เข้ามาจอดที่เดิม ผมเปิดประตูรถลงไป เดินเงียบๆ ไปที่ลิฟต์ หมอเดินตามหลัง ไม่พูดอะไรเช่นกัน

   แต่พอถึงชั้น 9 เขาก็ยังคงตามผมต้อยๆ เหมือนจะเข้าห้องผม ผมหันกลับไปช้าๆ ก่อนเลิกคิ้ว

   “ไม่กลับห้องตัวเองเหรอครับ”

   “ยังไม่กลับครับ มีเรื่องต้องเคลียร์กับคุณก่อน”

   หมอพเยิดหน้าให้ผมเปิดประตูเข้าไป แน่นอนว่า... ผมไว้ใจเขาที่ไหน

   “เชิญครับ”

   แต่กล้าด่าเขาเหมือนเมื่อกี้มั้ยละ?... ก็ไม่ ไอ้ข้าวปั้นเอ้ย...

   ปั้นสิบเดินตุบตับๆ เข้ามาพันแข้งพันขาผม สงสัยจะหิวแล้ว แต่ผมก็เตรียมข้าวเตรียมน้ำไว้ให้แล้วนะ ผมอุ้มเจ้าอ้วนขึ้นมาทักทายแล้วพาเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อเปิดเอาปลาดิบที่เป็นมื้อพิเศษทุกวันศุกร์ออกมา

   ผมกับมันดูทะเลาะกันบ่อย แต่เราสนิทกันมากนะครับ

   “หมอ... เอ่อ แป๊บนะครับ เอาน้ำมั้ย?”

   “ไม่เป็นไรครับ” หมอเดินมานั่งที่โซฟาตัวเดิม ปลดกระดุมเสื้อกั๊กออกก่อนคลายเนคไท ผมรู้สึกว่าตอนเขาอยู่ตามลำพังเขาค่อนข้างจะไม่เนี้ยบและสบายๆ ผมวางปลาดิบให้ปั้นสิบที่ถาดก่อนจะเติมน้ำให้

   “ข้าวปั้นครับ”

   ผมพยายามทำทุกอย่างให้ปกติ แต่พอเขาเรียกผมอย่างสุภาพแบบนั้น แถมบทสนทนาและเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ทำให้ผมหัวใจหวั่นไหว ทำตัวยากเข้าไปอีก

   “ครับหมอ”

   “มานี่หน่อย”

   เรียกกูเป็นแมวเชียว

   ผมมองอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเดินไปใกล้เขา หมอจับปลายนิ้วผมก่อนจะเล่นเหมือนเดิม... เขามีปัญหาอะไรกับนิ้วผมรึเปล่า ตาคู่สวยจ้องมองนิ้วเรียวก่อนจะดึงให้นั่งลงข้างๆ

   เอาสิวะครับ มาถึงจุดนี้แล้ว มีไรอยากพูด พูดมาเลย! พูดมา!

   “ตัดเล็บบ้างก็ดีนะครับ”

   โอเค... หมอเป็นคนตลกนะเนี่ย หมอมองนิ้วผมเหมือนนึกถึงความหลัง... ออ... ความหลัง

   สัส!!!

   ผมดึงนิ้วออกทันที ก่อนจะกำแน่นหันหน้าหนี หมอคงจะรู้ว่าผมนึกออกแล้วว่าเขาบอกให้ผมตัดเล็บเพราะอะไรเพราะเขาหัวเราะเบาๆ ยิ้มหวานใส่... ขนลุกน่าหมอ

   “เรื่องวันนั้น คุณโกรธรึเปล่า”

   จู่ๆ หมอก็เปลี่ยนเรื่อง ผมเลิกคิ้ว

   “วันไหนครับ”

   “วันที่ไส้อั่วกระจาย”

   ผมร้องออเสียงเบา นึกถึงไส้อั่วของหมอ... เอ้ย ของม๊า ก่อนจะทำหน้าปั้นยาก จะเรียกว่าโกรธ หรือตกใจดีล่ะ

   “ผม... ค่อนข้างตกใจมากกว่า”

   “คุณ... อยากให้ผมจีบแบบไหน?”

   “อะไรวะ... เอ้ย อะไรนะครับ”

   ผมเผลอหยาบคายไป เผลอไปจริงๆ... เมื่อหมอเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน เขาเท้าศอกลงกับหน้าขาตัวเองพลางประสานมือไว้ หันมองผมจริงจัง หน้าผมยับย่นไปหมดแล้วครับ ตามคนไอคิวสูงไม่ทัน

   “ผมไม่เคยจีบผู้ชาย” หมอทำหน้าเครียด เครียดมากเหมือนกำลังอ่านรายงานก่อนผ่าตัด หันกลับไปมองปั้นสิบ “อันที่จริง กับผู้ชาย ผมทำกับคุณเป็นคนแรก”

   “...”

   จะให้กูต่อยังไงล่ะครับ

   “ปกติผมเดทกับผู้หญิง และไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน ผมชัดเจนเรื่องสถานะเสมอ ถ้าเราจะเป็นแค่คู่นอนกัน มันก็จะเป็นแค่นั้น เหมือนกับวาริศ ผมไม่เคยสนใจเขานอกจากเป็นเพื่อนร่วมงาน เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปในตอนแรก เพราะผมไม่ได้ชอบผู้ชาย”

   “... อา”

   “วันที่คุณเจอเขาครั้งแรก ผมแค่อยากลองว่ากับผู้ชายมันจะเป็นยังไง เพราะว่าผมเอาแต่นึกถึงคุณ ผมคิดว่าผมอาจจะชอบผู้ชายก็ได้ แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ มันก็จบแค่นั้น ไม่มีอะไร ผมไม่ได้อยากมีอะไรกับผู้ชายคนอื่น”

   ออ มิน่า... หมอนั่นถึงหงุดหงิดน่าดู เพราะอดนี่เอง

   ผมโยกหัวให้กับความคิดตัวเอง

   “จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก ผมลองกลับไปเดทกับผู้หญิง แต่มันก็ไม่รอด กับผู้ชายก็ไม่รอด ผมเลยคิดว่าที่ผมเป็นแบบนี้ คงเป็นเพราะคุณ”

   “หมอ... เจ้าชู้เหมือนกันนะครับเนี่ย” ผมพูดตามใจปากอีกแล้ว หมออคินหันมามองผมก่อนกระตุกยิ้ม

   “ผมร้ายกว่าที่คุณคิดเยอะ ข้าวปั้น”

   เงียบๆ ฟาดเรียบสินะ

   “วันนั้นที่คุณโดนยา ผมยอมรับว่ารู้วิธีทำให้อาการมันบรรเทา แต่ผมไม่ทำ ผมอยากทำกับคุณ”

   “แม่ง...”

   ผมเผลอสบถ ก่อนจะตบปากตัวเอง ขัดเขาทำไมวะ? หมอเงียบไป ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงมือผมไปอีกครั้ง เขาสอดประสานมือใหญ่กับมือผมพลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้เหมือนที่เคยชิน

   “ผมเคยลองศึกษา ลองดูวิธี ลองถามหมออิง... เขาเป็นจิตแพทย์ ผมยอมรับว่าสับสนมากๆ แต่ก็เลิกแคร์ เพราะผมชอบคุณ”

   “หมอเลยทำ?”

   “ครั้งแรกเลย เจ็บใช่มั้ย?”

   ผมหน้าแดง เช่นเดียวกับเขา ต่างคนต่างก้มหน้า อยากบอกเหลือเกินว่า... นั่นดูไม่ใช่ครั้งแรกของหมอเลยนะ หมอดูไม่รังเกียจ พอนึกย้อนๆ ดู วันนั้นเขาดูสับสนมากจริงๆ นั่นแหละ เหมือนไม่รู้จะทำตัวยังไง... แต่สุดท้าย... เขาก็ทำตามแต่ใจตัวเองทั้งหมดแค่เพราะอยากทำ เช่นเดียวกับผม

   ถ้าไม่ใช่หมอ... แค่คิดก็ขนลุกแล้วครับ

   “หลังจากวันนั้น ผมก็รู้ตัวว่าโดนคุณเกลียดขี้หน้าไปแล้ว แถมยังกลับบ้านกะทันหัน ผมเลยถามวาริศในสิ่งที่ผมทำลงไป เขาเสนอตัวบอกว่าจะสอน... เขาบอกว่าไม่คิดมาก ให้คิดซะว่าเขาเป็นคู่นอนอีกคนของผมเหมือนๆ กับคนอื่นๆ ยอมรับว่าผมก็ลังเล พอคุณกลับบ้าน ผมก็ลองทำกับเขาประมาณสองสามครั้ง”

   “เหี้ยนี่หมอ... เอ้ย ไม่ใช่ๆ หยุดเล่าได้แล้วครับ ผมรู้สึกเหมือนกำลังฟังเซ็กซ์โฟนยังไงก็ไม่รู้”

   ผมปิดหูกระดากอาย... ไม่อยากจะรู้อะไรแล้ว แต่หมอกลับรั้งมือผมไว้ก่อนยกขึ้นมาทาบริมฝีปากตัวเอง ปล่อยให้ผมยกมือข้างที่ว่างปิดหน้าตัวเอง

   เวร... เวรเอ้ย มันไม่ควรเป็นแบบนี้

   “หลังจากวันนั้น... ผมก็เลิกกับเขา ผมทนไม่ได้ แม้จะรู้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ชอบผม อาจจะรังเกียจที่ผมคิดไม่ซื่อ แต่ผมไม่ได้อยากทำกับใครอีกจริงๆ นอกจากคุณ... เฮ้อ... เชี่ย อะไรของกู...”

   เป็นครั้งแรกที่เขาสบถหยาบแบบแผ่วเบาให้ผมได้ยิน เพราะปกติเขาจะสุภาพเสมอ หมอที่เอามือผมไปทาบริมฝีปากตัวเองไว้เบือนหน้าหนี ผมกลั้นยิ้มขำ... เขาคงจะสับสนไม่แพ้ผมนั่นแหละ พอคิดๆ แล้ว ก็ตลกดี...

   คนสองคนที่ยังสับสนในตัวเอง สุดท้ายก็แค่ยอมรับมันไป

   “หมอ... เขินเหรอครับ”

   ผมลองแหย่ แต่หมอกลับเงียบ

   “หมอครับ”

   แหย่อีก

   “คุณหมออคิน... เฮ้ย!”

   ผมร้องลั่นเมื่อโดนผลักให้นอนราบกับโซฟา ริมฝีปากอุ่นตามลงมาฉกฉวยเอาริมฝีปากผมไป คุณหมอขยับกายให้ขึ้นมาทาบทับผมไว้โดยสมบูรณ์ ล็อคร่างกายง่อยๆ ของผมไว้ไม่ให้หนี ลมหายใจกระชั้นจนผมเกิดอารมณ์ตาม ลิ้นร้อนชื้นค่อยๆ แทะเล็มผ่านรอยแยกของริมฝีปากเข้ามาช้าๆ เหมือนขออนุญาต ผมค่อยๆ เผยอออกให้ลิ้นสากสอดแทรกเข้ามาวนเวียนทั่วโพรงปากเหมือนคนอดอยาก

   “ข้าวปั้น... เรียกผมว่าเฮียคินเหมือนเมื่อก่อนได้มั้ยครับ”

   เขาถอนริมฝีปากออกมา ไล่จูบไปตามแก้มแล้วกระซิบที่ข้างหูผม มือใหญ่ค่อยๆ สอดซุกเข้ามาในเสื้อยืดย้วยๆ ของผมพลางเลิกมันขึ้น ผมพยายามเอามือดึงไว้แต่สู้สรีระเขาไม่ได้จริงๆ

   “ทะ... ทำไมครับ”

   “เพราะตอนคุณเรียก มันน่ารัก”

   “คือ... อา... เดี๋ยวหมอ จับตรงไหนเนี่ย”

   ผมเริ่มประท้วง เมื่อนิ้วโป้งที่เคยชอบลูบไล้มือผม ตอนนี้มันถูไถเล่นกับยอดอกสีอ่อนที่เริ่มแข็งชันตามแรงอารมณ์ผ่านเนื้อผ้า คนตัวโตขบเม้มที่ต้นคอ รู้สึกถึงแรงดูดจนเกิดเสียงน่าอายก่อนจะลากเลียเหมือนคนอดอยากปากแห้งจนผมดิ้นหนี

   “เรียกสิครับ”

   “ไม่ ปล่อยผม ปล่อยผมก่อนครับ”

   “หืม...” หมอครางในลำคอ ผมแทบร้องไห้หน้าเบ้เมื่อกลางตัวผมกับกลางตัวเขามาทาบทับกันอยู่ แล้วผมดันตื่นตัวจนส่วนนั้นมันดันเนื้อผ้ากางเกงยีนส์ออกมา...

   “มะ... หมอ...”

   “แข็งซะแล้วไม่ใช่เหรอ เฮียช่วยมั้ยครับ” เขาใช้คำแทนตัวเองได้ไม่อายปากแม้จะเป็นสรรพานามแทนตัวที่เฮียปุ้นใช้กับผม แต่พอคนคนนี้พูดบ้าง มันกลับทำให้ผมอาย ริมฝีปากบางเม้มปากแน่น อยากลดมือลงไปปลดมันออกเพราะเนื้อผ้ายีนส์มันรัดแน่น แต่คนด้านบนไม่ยอมซะงั้น

   “ปล่อยครับ หมอปล่อย ปั้น... ปั้นเจ็บ”

   หมอยิ้มหวาน ลูบหน้าผมอย่างอ่อนโยน ผมลืมตัว เวลาตัวเองตกใจหรือตื่นเต้นจะเผลอใช้คำแทนตัวเองแบบนี้ออกมา แต่นั่นยิ่งทำให้คุณหมอคนหื่นได้ใจ เขาขยับสะโพกตัวเองไปมา ผมตาปรือ

   “หมอ...”

   “เรียกเฮียคินสิครับ ข้าวปั้นเด็กดี”

   มือของหมอขยับสอดเข้าไปในกางเกงยีนส์ ลูบไล้สัดส่วนที่กำลังแข็งตัว

   “ปั้น... ปั้น...”

   “แง้วววววววววว”

   เสียงร้องขัดจังหวะของไอ้อ้วนที่นั่งจ้องมนุษย์ทาสทั้งสองทำอะไรกันก็ไม่รู้ทำให้อารมณ์อะไรหลายๆ อย่างมันหดฮวบ ผมมองขวับ เห็นปั้นสิบนั่งเลียไข่ตัวเอง มันหันมาสบตาผมก่อนจะกระโดดขึ้นมาเหยียบหน้าผมด้วยเท้าที่เลอะทรายแมว

   ไอ้อ้วนเวรมันเพิ่งขี้มา!!!

   “เชี่ยอ้วน!!!”

   ปั้นสิบ IS THE WINNER.



ฮืออออ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ และขอบคุณที่ทุกคนเชียร์พี่ดินนะคะ

แต่เสียจุย อย่างที่นักอ่านท่านหนึ่งเม้นต์ไว้ จั่วหัวเป็นคุณหมอ 5555

น้องยูไม่ถนัดเขียนดราม่าเยอะนะคะ เลยขออนุญาตจบดราม่าไว้ตอนนี้

ราตรีสวัสดิ์ค่า เจอกันตอนต่อไปเน้อค่ะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu

 :katai3:

หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-11-2019 08:43:16
โดนน้องแมวแย่งซีนไปซะแล้ว
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-11-2019 13:49:45
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 21-11-2019 14:54:32
หวังว่าจากนี้ไปจะไม่มีดราม่าเยอะนะครับ //มันหนึบในใจ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-11-2019 17:55:33
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-11-2019 21:17:01
หมอรุกแรง
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 21-11-2019 22:28:08
ปั้นสิบดับอารมณ์หื่นทันตาจริง ๆ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 21-11-2019 23:28:00
 :jul1:หมดดราม่าเลือดท่วมแน่เลย :hao6:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่16(21/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 22-11-2019 00:07:30
555 มีแมวคอยดูแล,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 22-11-2019 20:41:34
Chapter – 17
หมอครับ อย่าจีบแบบนี้



   “เหม่อเหี้ยไร งานน่ะ ทำสิ”

   พี่ดินที่เดินกลับจากห้องน้ำแล้วต้องผ่านโต๊ะผมด่าเข้าให้ เมื่อผมนั่งอ้าปากค้าง มองจอแต่มือไม่ขยับ นั่งแบบนี้มาสักพักแล้วตั้งแต่เขาเข้าห้องน้ำไปขี้จนขี้เสร็จแล้วผมก็ยังไม่ขยับมือต่อโนดอะไรสักอย่าง

   “อ่า... ครับ”

   ผมขยับเมาส์แบบล่องลอย ใจลอยคิดไปถึงไหนก็ไม่รู้

   “อ้าว ไอ้เจี้ยน เป็นเหี้ยอะไร”

   พี่ดินทักคนที่นั่งอยู่ถัดจากผม พี่เจี้ยนจ้องโทรศัพท์มือถือตาโต ก่อนจะรีบคว่ำลงเมื่อพี่ดินทัก

   “เปล่า! ผมจะไปขี้”

   พี่เจี้ยนหยิบมือถือเดินเข้าห้องน้ำ ปล่อยให้คอมเรนเดอร์ไป พักนี้พี่เจี้ยนแปลกๆ ตั้งแต่กลับจากเชียงรายก็ดูเหมือนคนจิตตก เห็นหน้าผมเหมือนเห็นผี ผมไม่รู้ว่าพี่แกโกรธอะไรผมรึเปล่า พอผมถาม พี่เจี้ยนก็หงุดหงิดใส่ แต่ก็ไม่ได้เหินห่างเย็นชาอะไร ผมเลยคิดว่า คงเป็นอารมณ์คนแก่เครียดงานล่ะมั้ง

   “เอ้า ไอ้นี่ ทำงานดิวะ เย็นนี้ส่งอัฐตอนสามโมงนะ” พี่ดินที่เป็นลีดเดอร์โปรเจคใหม่เร่งผมจนหน้าตาตื่นกันเลยทีเดียว

   “เชี่ยยยยยย”



   “ไอ้ข้าว กูถามไรมึงหน่อยดิ”

   “ว่า”

   พี่เจี้ยนถามขึ้นระหว่างกินข้าวเที่ยง ซึ่งตอนนี้เหลือแค่ผมกับพี่เจี้ยนเพราะคนอื่นรอตรวจงานรอบเที่ยงกันยังไม่เสร็จ ผมที่ข้าวยังเต็มปากเงยหน้าเลิกคิ้ว

   “ถ้าสมมติมีคนส่งรูปโป๊เปลือยของตัวเองมาให้เนี่ย กูควรด่ากลับไปว่าไง”

   ผมแทบจะคายข้าวทิ้ง พี่แม่ง!

   “อะไรพี่ โดนโรคจิตรังควานรึไง”

   พี่เจี้ยนขมวดคิ้วแน่น

   “เออ กูโดนรังควานอยู่ กูควรทำไงดี”

   ผมกลืนข้าวลงไป

   “แจ้งตำรวจมะ ไม่ก็บล็อกเบอร์ เอ... ฝ่ายนั้นส่งรูปให้พี่ทางไหน”

   พี่เจี้ยนทำหน้าปั้นยาก ก่อนจะวางช้อนลง... นี่ผมให้คำปรึกษาไม่ดีเหรอเนี่ย ผมถามกลับบ้าง

   “พี่เจี้ยน ช่วงนี้พี่แปลกๆ เป็นอะไรรึเปล่า มีสโตกเกอร์ตามเหรอ?”

   “เปล่า... อืม ก็ไม่เชิง ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แต่... แม่งน่ารำคาญ”

   “หา?”

   “ช่างแม่งเหอะ แดกให้เสร็จแล้วรีบขึ้นไปปั่นงานดีกว่า” พี่เจี้ยนเร่งผมยิกๆ จนผมต้องรีบกวาดข้าวที่เหลือลงปากอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้พี่เจี้ยนแปลกไปจริงๆ ปกติขี้เกียจทำงานจะตายชัก มานึกขยันอะไร?

   หลังจากวันนั้น หมอก็มาหาผมที่ห้องบ่อยเท่าที่จะมาได้ เพราะผมกับเขาเลิกงานไม่ตรงกันอยู่แล้ว ยิ่งถ้าวันไหนหมอมีขึ้นเวรหรือเคสฉุกเฉินก็แทบจะไม่ได้เจอหรือคุยกันเลย มากินข้าวด้วยบ้าง มาทำอะไรให้กินบ้าง ถึงเขาบอกว่าจะเริ่มจีบผมแบบจริงจังแต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันต่างกับตอนที่เขาไม่จีบตรงไหน

   อาจเป็นเพราะตั้งแต่รู้จักกับหมอมา นับๆ ดูแล้วเราเจอกันจริงๆ จังๆ แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ช่วงนี้ถือว่าเจอกันบ่อยมากแล้ว ผมยอมใจเขานะที่หาเวลาว่างให้ผมได้ ซึ่งความจริงผมไม่คิดมากอยู่แล้ว เราทั้งคู่ต่างทำงาน การจะมีเวลาให้กันทุกวินาทีเหมือนรักสมัยเรียนคงเป็นไปไม่ได้

   แต่ถามว่าคบกันรึยัง... ก็น่าจะยัง เพราะหมอก็ไม่ได้ขอ และผมก็ไม่ได้พูด

   โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ผมปั่นงานดึกอีกแล้ว ส่วนเขาก็มีทั้งประชุม ขึ้นเวร ขึ้นวอร์ด อะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ผมไม่อยากรบกวนจึงไม่เคยส่งข้อความหรืออะไรไปเลย มีแต่เขาที่ส่งมา ถ้าผมเห็นก็จะรีบตอบทันที

   ทำตัวเป็นเด็กหัดอินเลิฟไปได้ไอ้ปั้นเอ๊ย

   ผมเดินออกจากรถไฟฟ้าใต้ดินพอดีกับที่เสียงเรียกเข้าดังขึ้น เบอร์ที่โชว์คือคนที่ผมกำลังนึกถึงพอดี หน้าเห่อแดงขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว ก่อนจะกดรับสาย

   “ครับ”

   [“กลับรึยังข้าวปั้น”]

   “กำลังจะกลับครับ อยู่สถานี หมอล่ะครับ”

   ผมได้ยินเสียงคนจ้อกแจ้ก คิดว่าเขาน่าจะอยู่โรงพยาบาล ก่อนจะได้คำตอบ ปลายสายก็เหมือนโดนเรียกด่วนทำให้สายตัดไปกะทันหัน ผมมองมือถือที่ถูกตัดไปอย่างงงๆ ก่อนจะยักไหล่ให้ คงมีงานด่วนจริงๆ ล่ะมั้ง ผมเดินทอดน่องมาจนถึงคอนโด เดินไปคิดไป

   นี่ผมจะคบกับผู้ชายได้จริงๆ เหรอ?

   ปกติเวลาคบกับผู้หญิง ผมมักเป็นฝ่ายตามใจอีกฝ่าย เจ้าหล่อนอยากทำอะไรผมก็เออออตามที่เธอต้องการ แต่ผมไม่ใช่คนติดแฟน ออกจะติดเพื่อนเสียมากกว่า ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุให้แฟนเก่าแต่ละคนของผมบอกว่า ‘เธอสนใจทุกอย่างยกเว้นฉัน’ ก็ได้ล่ะมั้ง...

   แล้วคราวนี้ ผมจะเรียกร้องอะไรจากหมอได้อีกล่ะ

   “ไอ้อ้วน กินข้าว”

   ผมกลับมาถึงห้องก็โยนกระเป๋าแล้วเทอาหารแมวลงถาดที่ว่างเปล่า มองนาฬิกาที่บอกเวลาสามทุ่ม ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นหาอะไรกิน ซึ่งในนั้นก็มีแค่ไข่ไก่สิบกว่าฟองกับผักบุ้งอีกสองสามมัดใกล้เน่าเต็มที

   ไข่เจียวกับผัดผักบุ้งแล้วกัน

   แต่พอมาคิดๆ ดู นี่เป็นอาหารมื้อแรกที่เคยกินกับหมอนี่หว่า ผมยังจำได้ว่าผักบุ้งจืดมากจนผมขอเหยาะซีอิ๊วเพิ่ม แต่หมอกลับตีมือผมแล้วบอกว่า กินเค็มตอนดึกๆ มันไม่ดีต่อกระเพราะ เออนะ เขาเป็นหมอนี่หว่า

   ผมนั่งกินข้าวอยู่หน้าทีวีเป็นปกติ เปิดช่องข่าวก็พบว่ามีข่าวด่วนถึงอุบัติเหตุรถชนแถวๆ เขตโรงพยาบาลของหมอ หรือว่าที่เขารีบตัดสายเพราะเรื่องนี้กันนะ

   ผมเปิดคอม นั่งไหลไปสักพักก็เบื่อ เปลี่ยนมาเล่นเกมมือถือ ก็เบื่อ... เลยเดินเข้าไปอาบน้ำซะเลย

   พออาบน้ำเสร็จ ผมก็ออกมานั่งมองมือถือ... ไม่มีข้อความเหมือนทุกครั้ง ไม่มีสายเรียกเข้า ผมไม่รู้จะทำอะไร เลยลองเลื่อนหน้าฟีด เจอสเตตัสที่เพิ่งโพสเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้วของหมออิงที่โพสขอบริจาคเลือดให้ผู้ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ ถึงจะอยู่คนละแผนกก็ตาม

   ผมนึกถึงชื่อเฟซบุ๊คของหมอ มันเป็นชื่อเดียวกับเขาเลยทำให้หาได้ไม่ยาก มันถูกตั้งเป็นไพรเวทจริงๆ  ผมไม่สามารถดูอะไรได้นอกจากรูปโปรไฟล์ของเขา ดูดีจริงๆ แหละ รูปร่างหมอก็ดี พอหันมาดูสารรูปตัวเองแล้ว ไม่แปลกเลยที่เฮียปุ้นจะบอกจะบอกว่าเป็นหุ่นทรมานใจสาว คือสาวเห็นแล้วทรมานแทน ผอมไปไหน?

   “ออกกำลังกายบ้างดีมั้ยว้า”

   ผมลองกดแอดเฟรนด์เขาไป เอาน่า ถ้าเป็นเพื่อนกันหรือพอจะสนิทกัน ผมก็แอดไปเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

   แต่เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันซะหน่อย...

   “ว้ากกกกกกๆๆๆๆ”

   ผมยกมือปิดหน้ากลิ้งอยู่บนเตียงตะโกนโวยวายจนปั้นสิบกระโดดหนีไปด้วยความรำคาญ หัวใจผมเต้นตึกๆ ตักๆ

   เมื่อไหร่จะวันศุกร์น้า... เผื่อหมอจะว่างบ้าง



   โอเค...หมออาจจะว่าง แต่ผมอ่ะ ไม่ว่าง

   “พี่ดิน! Hierarchy  แม่งไม่ตรงกัน shade ไม่เข้า เรนเดอร์ออกมาเจ้งหมดเลย” เสียงนั่นคือผมเอง

   “ไอ้สัส นี่ก่อนส่งเรนเดอร์มึงไม่เทสเรอะ”

   “เทสดิ ผมยังจัดแสงอยู่เลย ทำไมอยู่ดีๆ ใครไปยุ่งกับ outliner อีกล่ะเนี่ย” ผมเช็คไฟล์เรนเดอร์แล้วกุมขมับ

   “ส่งกลับไปให้โมเดล บอกโคดิ๊ ไอ้เด็กตัวไหนมันทำวะเนี่ย ต้องส่งพรุ่งนี้ด้วย เวรเอ้ย มึง comp ส่วนที่ยังไม่พังไปก่อนเลย”

   แล้วพี่ดินก็เดินไปหาแผนกโมเดลเองเลย รอโคโปรดิวเซอร์มันคงไม่ทันแล้วงานนี้ เรื่องนี้ผมทำอะไรไม่ได้จริงๆ ต้องรอฝั่งโมเดลแก้แล้วอัพเดท ที่นานน่ะไม่ใช่แก้งาน แต่เป็นการเรนเดอร์ มันต้องรอ แล้วมันเสียเวลา

   สุดท้ายแทนที่งานผมจะเสร็จวันนี้ กลายเป็นว่าผมต้องมาทำใหม่เช็คใหม่วันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้ก็ปั่นชอตอื่นๆ ต่อไป

   เมื่อถึงเวลาจะกลับ ผมยกมือถือขึ้นมาดูก็เห็นว่ามีข้อความทิ้งไว้ตั้งแต่ห้าโมงเย็น ตั้งแต่วันที่พี่ดินบอกว่าเห็นข้อความของผมเพราะไม่ชอบคว่ำจอ จากนั้นมาผมคว่ำตลอดเลยครับ กันคนมาเสือก... รวมถึงแจ้งเตือนเฟซบุ๊คว่า



   Akin L. Worachoti-Ingkanan accepted your friend request.



    รับเร็วเหมือนกันแฮะ

   ผมลูบหลังคอตัวเอง ก่อนจะอ่านข้อความของหมอที่ส่งมาถามว่าผมเลิกงานกี่โมง ให้ไปรับมั้ย... เชดดดด เขาส่งมาตั้งแต่ห้าโมง ป่านนี้ล่อไปเกือบสามทุ่ม ผมรีบตอบกลับทันที



   KaowwwPun: คือผมเพิ่งเลิกงานครับหมอ



   ผมรออยู่สักพัก เห็นว่าเขายังไม่อ่านก็รู้สึกใจไม่ดี แต่พี่ดินกลับเดินมาแล้วถาม

   “ไอ้ข้าว เดี๋ยวกูไปส่ง มีธุระทางนั้นพอดี จะไปมั้ย”

   “เอ๋...” ผมมองโทรศัพท์ จะรอหมอตอบดีรึเปล่าว้า แต่พอพี่ดินเร่ง ผมก็รีบเดินตามเขาลงลิฟต์ไป

   “เออใช่ เห็นไอ้เนบอกว่ามึงไปปรึกษาจิตแพทย์เรื่องโรคกลัวที่มืด เป็นไงมั่ง กูลืมถามไปเลย”

   พี่ดินถามระหว่างลงลิฟต์

   “ออ ก็ไม่ไงอ่ะ หมอเขาบอกว่าแล้วแต่ว่าผมอยากเข้ารับการบำบัดรึเปล่า แต่โรคผมมันก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น เห็นว่าต้องใช้วิธีพฤติกรรมบำบัดเอา” ผมตอบ มองตัวเลขชั้นในลิฟต์ไปด้วยตามความเคยชิน

   “ยังไงวะ?”

   “ก็แบบ ให้เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงบ้าง ให้คุ้นเคยกับความมืดบ้าง ผมก็ลองนะ ปกติผมจะจุดเทียนก่อนนอนให้มันมีแสง แต่ช่วงนี้ก็พยายามลดๆ จำนวนเทียนลง”

   “แล้วดีขึ้นมั้ย”

   “ไม่รู้ดิ บางครั้งสะดุ้งตอนกลางคืนผมก็จิตตกไปเหมือนกัน พอเทียนดับผมก็ลุกขึ้นมาจุดใหม่ ไม่งั้นนอนไม่หลับ”

   “ต้องหาคนมานอนด้วยล่ะมั้ง” พี่ดินแซวผมเล่น ผมเลยแยกเขี้ยวใส่ไปทีนึง

   “แล้วเรื่องหมอกับมึงนี่ยังไง คบกันยัง?”

   “ยัง!” ผมปฏิเสธทันควัน ก่อนจะหุบปากสนิทเมื่อพี่ดินยิ้มกริ่มเหมือนรู้อะไรบางอย่าง

   ผมเดินออกจากลิฟต์มา ไปยังหน้าบริษัทเพราะรถของพี่ดินจอดอยู่ที่ลานจอดข้างๆ  นี่ ระหว่างทางก็โดนแซวจนหน้าแดงไปหมด พี่ดินมองไปข้างหน้าก่อนจะหัวเราะหึ

   “เอ... สงสัยกูไม่ต้องไปส่งมึงแล้วล่ะ”

   “เอ๊ะ”

   ผมมองตามสายตาของพี่ดิน เห็นรถออดี้รุ่นไอรอนแมนจอดรออยู่หน้าตึก ร่างสูงนั่งพิงกระโปรงหน้ารถพลางสูบบุหรี่ไปด้วย ไม่สมกับเป็นหมอเลยแฮะ ร่างสูงขายาวหุ่นพอดีพองามไม่ล่ำเกินไปเหมือนไอ้คุณพี่ดินข้างๆ ผมทำตัวเหมือนเป็นนายแบบขายรถ เขามองมาทางผมก่อนจะดับบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่พกพาแล้วยืดตัวลุกขึ้น

   “หมอ”

   ผมเดินเข้าไปหาแล้วยกมือไหว้ตามปกติ เขาผงกหัวรับก่อนจะถามผมนิ่งๆ

   “กินอะไรรึยัง”

   “ยังครับ”

   หมอมองข้ามหัวผมที่สูงแค่คางเขาไปทางพี่ดินที่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

   “หวัดดีครับหมอ จำผมได้มั้ย” พี่ดินทักทาย หมอผงกหัวให้

   “จำได้ครับ”

   “มารับข้าวปั้นหรอครับ”   

   “ครับ”

   พี่ดินมองทางผมที่เริ่มทำหน้าปั้นยากก่อนจะยกมือขึ้น

   “งั้นกูกลับละ” พี่ดินหันไปสบตาหมออีกครั้ง ผมไม่เข้าใจว่าผู้ชายตัวควายๆ สองคนมันสื่ออะไรกันผ่านสายตา พี่ดินเชิดหน้าแสยะยิ้มประหลาด “ดูแลข้าวปั้นมันดีๆ นะหมอ”

   หมอเงียบไป ผมยกมือบ๊ายบายพี่ดินแบบง่อยๆ คือ... คือพี่ดินคงจะรู้แล้วล่ะว่าผมกับหมอน่าจะดูๆ กันอยู่ ต้องบอกให้เหยียบเรื่องนี้ให้มิดเลยเชียว

   ฝ่ามือใหญ่วางแปะลงบนหัวผม ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง เห็นรอยยิ้มกระชากใจผ่านแสงจากไฟถนนที่เล่นเอาใจวูบๆ วาบๆ   

   “กลับบ้านกันครับ”



   “หมอ มารอตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”

   เมื่อคาดเข็มขัด ผมก็ถามเขาทันที เกรงใจฉิบเป๋ง ว่าแต่... เขารู้ได้ยังไงว่าผมทำงานบริษัทอะไร รู้สึกเหมือนจะไม่เคยบอกนี่หว่า คุณหมอหนุ่มที่ไม่เจอหน้ากันเกือบอาทิตย์เข้าเกียร์รถพลางตอบ

   “ประมาณหกโมง เฮียลงเวรพอดี คิดว่าข้าวปั้นน่าจะยังไม่เลิกงาน”

   “หกโมง!” ผมหน้าแหยไปเลย “ขอโทษนะครับ วันหลังถ้าผมไม่ตอบหมอไม่ต้องรอก็ได้นะครับ รบกวนเปล่าๆ แถมเสียเวลาด้วย”

   “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่ แวะหาอะไรทานหน่อยมั้ยครับ หรือจะกลับไปทำอะไรกินที่บ้าน”

   ผมยกมือถือขึ้นดูเวลา นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะ กลับไปทำอะไรกินก็เหนื่อยที่จะเตรียมจะล้างอีก

   “เอ่อ งั้นแวะกินดีกว่าครับ หมอล่ะ กินอะไรยัง”

   “ยังครับ รอปั้นนั่นแหละ”

   เดี๋ยวโรคกระเพาะก็แดกเหมือนผมหรอกครับหมอ

   “เมื่อวานผมดูข่าวอุบัติเหตุ ที่หมอตัดสายไปตอนนั้นเพราะเรื่องนั้นใช่มั้ยครับ” ผมลองถามดู หมอเลิกคิ้วก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกออก นี่เขาลืมว่าคุยกับผมจริงๆ เหรอวะเนี่ย คนเลว...

   “ครับ ขอโทษนะ เฮียลืมโทรกลับ เพิ่งลงเวรตอนสี่โมง เมื่อวานอยู่เวรห้องฉุกเฉินแถมมีอุบัติเหตุเลยทำให้ยุ่งๆ น่ะครับ... โกรธรึเปล่า” หมอเหลือบมองผมที่ส่ายหน้าดิกๆ งานของหมอนี่มันหนักจริงๆ เมื่อก่อนจะเจอหน้าหมอบางทีก็เดือนละครั้งบ้าง ผมยังจำสภาพตอนที่เขาเอาของมาฝากม๊าได้อยู่เลย สภาพแย่กว่าวันนี้อีก

   “พักผ่อนบ้างนะครับ”

   หมอยิ้มกว้างกว่าที่เคยๆ เขาเอื้อมมือมาโยกหัวผมเบาๆ

   “ครับ”



   “ข้าวปั้น”

   หมอมาส่งถึงห้องหลังจากที่กินข้าวเย็น... ไม่สิ น่าจะเรียกว่ามื้อดึกมากกว่าเสร็จแล้ว ผมที่กำลังจะแตะคีย์การ์ดเข้าห้องหันมาตอบรับเสียงเรียก

   “ครับหมอ”

   หมอดันร่างผมเข้าไปในห้องที่มืดสนิท ผมรีบควานหาสวิตช์ไฟ แต่หมอที่แขนยาวกว่ากลับเอื้อมไปเปิดให้ทำให้ห้องสว่างก่อนที่ผมแพนิคความมืด ทันทีที่ประตูปิดลง หมอก็คว้าเอวผมเข้ามาชิด ก่อนจะงับริมฝีปากของผมแรงๆ หนึ่งที ผมร้องเบาๆ เขาจึงค่อยๆ จูบผมอย่างกระหาย ลมหายใจกระชั้นรดหน้า ผมยกมือขึ้นเกาะบ่ากว้างของเขาในขณะที่มือใหญ่ยกขึ้นประคองท้ายทอยผมไว้พลางดันให้แหงนหน้าขึ้น ผมเอียงหน้าเปิดช่องทางให้ตัวเองได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น คุณหมอจูบย้ำๆ ถอนริมฝีปากเพื่อเปลี่ยนองศาแล้วก็จูบลงมาใหม่ ลิ้นร้อนสอดดุนเข้ามาแลกเปลี่ยนน้ำลายซึ่งกันและกัน ผมหดลิ้นหนีด้วยความตกใจ

   “ข้าวปั้น ขอลิ้นหน่อย”

   “มะ... หมอ”

   “เร็วครับ”

   หมอคนที่เคยใจเย็นเสมอเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

   เข้าโน้มลงมาครอบปากผมอีกครั้ง ผมเปลี่ยนจากเกาะบ่าเป็นคล้องคอเขาแทน หมอเลื่อนมือจากท้ายทอยมาประคองหน้าผมแทน มือที่ใหญ่เท่าหน้าใช้นิ้วโป้งลูบไล้ข้างแก้มเหมือนจะบังคับให้เปิดปาก ผมค่อยๆ ยื่นลิ้นออกมาแข่งกับเขา หมอเลื่อนจากการจูบผมทั้งปากมาเป็นดูดดึงลิ้นแทน

   เชี่ยเอ้ย เมื่อกี้เพิ่งกินก๋วยเตี๋ยวไปเอง ผักติดฟันบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้!

   ผมไม่เคยจูบแบบดีปคิสขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนจะเสร็จทั้งๆ ที่ทำแค่จูบ

   ลีลาของหมอไม่ธรรมดา!

   เสียงดูดลิ้นดูดน้ำลายดังจนน่าอาย ผมปรือตามองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้าทำให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวสวยจ้องมองผมอย่างเร่าร้อนอยู่แล้ว

   สายตาหมอเหมือนจะแดกผมเข้าไปทั้งตัวแล้วครับ...

   “แฮ่กๆ...พอ.. อื้อ พอก่อนครับ”

   ผมพยายามดันหน้าออก หันหน้าหนีเพื่อเอาออกซิเจนเข้าปอด ไม่เคยจูบต่อเนื่องนานขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต!

   “ข้าวปั้นครับ”

   หมอเอามือจับหน้าผมให้หันกลับมา ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำลายที่เปรอะทั่วปาก มองเขาดุๆ ที่ทำอะไรไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน สำลักลมหายใจตายจะทำยังไง

   หมอไม่สนใจสายตาผมสักนิด เขาดันผมให้ถอยหลังไปเรื่อยๆ จนล้มลงบนเตียง

   เชี่ยๆๆๆๆๆ เดี๋ยวๆๆๆ มันชักจะไม่งามแล้วนะ

   “หมอครับ หมอ สติ”

   ผมโดนเขาขึ้นคร่อม กดร่างผอมแห้งที่ไร้การออกกำลังกายลงกับที่นอนนุ่ม

   ไอ้เชี่ยหมออออออออออออออ ไปโดนตัวไหนมาวะเนี่ย ก๋วยเตี๋ยวใส่กัญชาเรอะ!

   “หมอ หมอไม่ง่วงเหรอครับ ฮ่าๆๆๆๆ ว้ากกกก”

   “ร้องทำไมเนี่ย?”

   หมอชันตัวลุกขึ้นโดยใช้แขนทั้งสองข้างค้ำยันคร่อมหัวผมไว้ สีหน้าของหมอปกปิดรอยขบขันไว้ไม่มิดเมื่อเห็นว่าผมโวยวายปัดป้องตัวเองพัลวัน เขารวบข้อมือข้างหนึ่งของผมไว้จนชะงักกึก หันมองเขาแบบกลัวๆ สายตาที่เขาทอดมองผมอย่างอ่อนโยน ก่อนจะจูบลงบนฝ่ามือข้างที่เขาจับ

   “จีบอยู่ไงครับ”

   “นี่เรียกล่วงละเมิดทางเพศครับ! อย่าจีบแบบนี้!”

   หมอหัวเราะก่อนจะโน้มหน้าลงมาจูบที่แก้มผมแรงๆ อย่างมันเขี้ยวพลางกระซิบเบาๆ

   “เชื่อเฮียเถอะ ว่าเฮียไม่เคยจีบใคร”

   “เชื่อก็โง่แล้วครับ!!!”



Hierarchy – สำหรับในโปรแกรม 3D นั้น ลำดับ Hierarchy คือการจัดเรียงความสำคัญจากบนลงล่างและใช้ทำการเชื่อมต่อกันระหว่าง object เช่น การใส่กระดูกให้กับโมเดล ก็ต้องเรียงลำดับของ Hierarchy หากลำดับไม่ตรงกันกับที่ทำไว้จะทำให้เกิดความผิดพลาดได้


มันก็จะ... หวานนิดๆ
55555
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์นะคะ

ฝากติดแท็กในทวิตเตอร์กันโหน่ยน้า
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu
 :mew1:

หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 22-11-2019 21:18:21
รุกแรงมากหมอคิน น้องข้าวปั้นตั้งตัวไม่ทันกันเลยทีเดียว :impress2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-11-2019 21:51:25
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-11-2019 00:12:38
แหม่ แทนตัวเองว่าเฮียกะให้น้องหลงเรียกให้ได้


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 23-11-2019 08:49:08
ไง..ข้าวปั้นไม่ยอมก็ไม่ได้แล้วละ ก็หมอรุกขนาดนั้น
ข้าวป้้นถามหน่อยดิ ว่ามีพี่ชายโรคจิตขนาดส่งรูปเปลือยด้วยเหรอ
สงสารเจี้ยนที่ยังสับสนนะ แต่ไม่ยอมบล็อกเบอร์ตามที่ข้าวปั้นบอก อิอิอิ
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 23-11-2019 20:04:08
งู้ยย หมอไม่อ่อนโยน แซ่บๆพริก 10 เม็ดไปเลยจ้า 555
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 24-11-2019 10:12:50
วิธีจีบของหมอเกินเบอร์มาก
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: nanaexo ที่ 24-11-2019 19:44:37
โอ๊ยยยย น่ารัก


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 25-11-2019 16:04:10
วิธีการจีบไม่ธรรมดาเลยนะหมอ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่17(22/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 25-11-2019 16:06:30
หมอร้ายอ่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่18(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 26-11-2019 02:36:40
Chapter – 18
หมอครับ คิดถึง



   เวลาผ่านไปแล้วสามเดือน

   แต่ผมเจอหน้าหมอแค่เดือนละสามครั้ง

   หลายๆ เทศกาลโรแมนติกผ่านไปอย่างไร้ความหมาย

   ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาส ปีใหม่ วาเลนไทน์

   ถามว่าผมแคร์มั้ย?

   ...

   แคร์สิวะ!!

   “หน้าบูดเชียว ไม่ได้ขี้ตอนเช้ารึไง”

   พี่เจี้ยนทักทายเช้าอันสดใสด้วยประโยคสดสวย ผมนั่งจ้องหน้าจอผ่านแว่นที่เพิ่งได้มาเมื่อสองวันก่อนเพราะผมขี้เกียจแหกตาใส่คอนแทคเลนส์มันทุกเช้า มือขวาจับเม้าส์ มือซ้ายวางไว้บนปุ่มแป้นคีย์บอร์ด กระตุกยิ้มรับเสียงทักส่งๆ

   “เกลียดหน้ามึง”

   พี่เจี้ยนวางกระเป๋าไว้ข้างโต๊ะ เปิดหน้าจอแล้วปิด Deadline Slave ก่อนจะรีสตาร์ทเครื่องหนึ่งครั้ง ระหว่างรอเครื่องบูตใหม่ เขาก็หันมานั่งจ้องผมที่หน้าเครียดอยู่หน้าโปรแกรม MAYA

   จ้องขนาดนี้กูหันก็ได้

   “ว่ามาพี่”

   “กูอยากปาร์ตี้ ช่วงนี้ไปค่อยได้ไปข้าวสารเลย”

   “เหนื่อย ไม่ไปได้มะ”

   ผมถอนหายใจยาว อยากกลับบ้านทั้งๆ ที่เพิ่งจะนั่งโต๊ะได้แค่ยี่สิบนาที งานช่วงนี้ทำเอาผมกลับไม่ตรงเวลาเลยสักวันบางครั้งลามไปห้าทุ่มเที่ยงคืนแต่ยังดีหน่อยที่มีบริการอาหารมื้อเย็นให้กับเหล่าอาร์ตติสผู้กำลังจะตายคาจอคอม บางอาทิตย์ต้องเข้ามาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ด้วยก็มีเพราะใกล้จะถึงเดดไลน์ sequence ที่สองแล้ว พวกผมต้องส่งทุกอย่างเข้าเรนเดอร์ฟาร์มทั้งหมดก่อนวันศุกร์นี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันกำหนดส่ง และวันนี้วันพุธแล้ว assets ต่างๆ อย่างพวกโมเดลพร็อบ ของประกอบฉาก หรือแม้กระทั่งอินเตอร์เซค (intersect) จากการอนิเมทก็ยังไม่สมบูรณ์พร้อมเอามาซ่อมในชอต lighting แล้วมันจะทันมั้ยฮะ!

   ต่อให้ส่งขึ้นคราวน์เรนเดอร์แม่งก็ไม่ทัน!

   “อย่าเครียดสิวะ คนเรามันต้องไปผ่อนคลายบ้าง” พี่เจี้ยนยื่นหมูปิ้งมาให้ผมหนึ่งไม้อีกตามเคย ซึ่งผมก็รับมาไม่ให้เสียน้ำใจเหมือนทุกครั้ง

   “ไม่เครียดได้ไง พี่ดูสิ ผมขอแก้อินเตอร์เซคไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ห่าเอ้ย วันนี้ยังไม่ได้ เร่งแล้วเร่งอีกว่ากูจะส่งลูกค้าแล้วนะ พี่รู้มะ ไอ้ทีมแอนิม (Animator) มันตอบผมกลับมาว่าไง”

   “ว่า?”

   “ถ้ารีบไปดึง Cluster เอาเอง พ่อมึงสิ!”

   “เอ้าไอ้สัส หน้าที่มันไม่ใช่เรอะ!” พี่เจี้ยนของขึ้นบ้าง ผมกลับมานั่งอยู่หน้าโปรแกรม MAYA อีกครั้ง

   “เออ นี่ไง ผมเลยมานั่งดึง cluster เองนี่ไง ไม่รอเหี้ยแม่งละ”

   ผมหงุดหงิด นั่งเลือกจุดของ polygon ที่มันมีการซ้อนทับกันอันเกิดจากการที่ฝ่ายอนิเมทไม่รีเช็คให้ผม ให้คุณคิดง่ายๆ เวลาดูอนิเมชั่น 3D ตัวอย่างเช่น เวลาคุณเคลื่อนไหว เสื้อผ้าคุณมันจะไม่ทะลุกันออกมาใช่มั้ยละ เพราะมันเป็นของจริง แต่การที่เสื้อทะลุกันออกมา ในวงการอนิเมชันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แค่ทีมอนิเมทและซิมมูเลชันมันต้องเนียนในการซิมมูเลทผ้า ขยับข้อพับข้อศอก หรืออะไรต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการซ้อนทับกันให้มันดีๆ เวลารีบๆ มันก็มีลืมเช็คกันบ้างผมเข้าใจ

   ถ้าเป็นผ้าทะลุเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนผมแก้ในชอตได้ด้วยการใช้เครื่องมือ cluster ในการเลือกดึงส่วนที่ทะลุให้หดกลับเข้าไปเป็นเคสบายเคสโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่องานของคนอื่นๆ

   แต่เนี่ย อาวุธในมือทะลุพุงตัวละครออกมา จะดึงยังไงให้ออกจากพุงฮะ?

   “ไอ้ข้าว มึงจะใช้ cluster ทำแบบนั้นไม่ได้” พี่เจี้ยนมองงานผมที่เริ่มเละไปทุกทีแล้วถอนหายใจ ผมก็ทำประชดไปงั้นแหละครับ เอาจริงๆ ก็ต้องรอ

   “บอกพี่ดินดิ” พี่เจี้ยนเปิดโปรแกรม composite

   “บอกแล้ว พี่ดินเฉ่งให้แล้ว มันรับปากจะให้วันนี้”

   “งั้นมึงก็รอ”

   “เคยเชื่อคำพูดได้ด้วยเหรอ แล้วคนทำชอตอนิเมทของผมน่ะใครรู้มั้ย ไอ้ซัน”

   พี่เจี้ยนขำพรืด ผมกรอกตามองคอมแล้วกุมหัว งานกูจะเสร็จมั้ย ไอ้ซัน ไอ้เด็กเวรรุ่นเดียวกับฟาง ผู้ขยันลางานทุกวันพุธ วันลาของมันหมดไปกับการลาเรื่อยเปื่อยในวันพุธของมัน แล้ววันนี้วันพุธ! ผมจะได้งานมั้ยวะเนี่ย ต้องอธิฐานให้มันไม่ลา

   “มีธูปมั้ยพี่ จะจุดเรียกมัน ถ้าวันนี้มันไม่มา ผมเผาพริกเผาเกลือแทนแล้วนะ”



   สิ่งที่ทำให้ผมยังรู้สึกว่า หมอกับผมไม่ใช่แค่คนรู้จักกันก็คือความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของเขา

   ผมรู้ว่าหมอน่ะเจ้าชู้ จำได้แม่นเลยว่าเขามากับคนไม่ซ้ำหน้าแถมชอบทำอะไรโจ่งครึ่มและแน่นอนว่าเขาไม่แคร์ เขาเคยบอกกับผมว่าเขาไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่จบมอปลาย ได้รับอิทธิพลและวัฒนธรรมตะวันตกมาก็เยอะพอควร แต่สิ่งเดียวที่เขายืนยันกับผมก็คือ

   “ถ้าเฮียจริงจัง คือจริงจังครับ ไม่นอกลู่นอกทาง”

   การจีบของเขาไม่เหมือนกับที่ผมจีบสาวสมัยมหา’ลัย ไม่มีดอกไม้  ไม่มีคำหวาน ไม่มีเวลาให้ด้วย แต่ในหนึ่งวันที่เขามาหาผม แค่เขามาอยู่นิ่งๆ มาให้เห็นหน้า มากินข้าวด้วย ผมว่าสำหรับอาร์ตติสที่เป็นพวกอินโทรเวิร์ทอย่างผม มันดีกว่าการพาออกไปช้อปปิ้งเป็นไหนๆ และอาจเป็นเพราะเราเป็นผู้ชายกันทั้งคู่ เขาคงจะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับผมเหมือนที่ทำกับผู้หญิงที่เขาเคยเดทยังไงล่ะมั้ง

   ณ วันเสาร์หนึ่งที่เราว่างตรงกัน หมอมาหาผมเหมือนเดิม มาพร้อมกับเซตชูชิอาหารญี่ปุ่นเกรดพรีเมี่ยมแถมยังมีส่วนของเจ้าปั้นสิบด้วย มันเข้ามาพันแข้งพันขาหมอเหมือนกับรู้ตัวว่ามีทาสคนใหม่เอาของมาเซ่นไหว้มัน

   “ทำไมหมอไม่ค่อยอัพเดทเฟซบุ๊คเลยครับ ไม่เล่นหรอกหรอ” ผมถามหาเรื่องคุยในขณะที่นั่งไหลมือถืออยู่หน้าโซฟาเพื่อให้เขาเช็ดผม เลื่อนเจอแต่สเตตัสหมออิง แต่ไม่เคยเจอของเขาเลย

   “เฮียเอาไว้เช็คข่าวเฉยๆ ครับ”

   “หืม? ปกติไม่เล่นโซเชียลเหรอครับ” ผมโยกหัวไปมา หมอหยุดมือไปก่อนจะยื่นมือถือของเขาให้ผมที่เข้าหน้าอินสตราแกรมไว้

   “ปกติเฮียชอบลงสตอรี่มากกว่า เฮียไม่ค่อยชอบพิมพ์”

   ผมรับมาดูชื่อยูสเซอร์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกว้าง

   “ขอฟอลโลว์นะครับ”

   “ครับ”

   ผมเสิร์ชหาอินสตราแกรมของเขา มันเป็นไพรเวทอย่างที่คิด และมีคนติดตามอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่คนที่กดติดตามเขาจะเป็นพวกคนดังฝั่งยุโรปหรือวงการเดียวกันที่ผมเห็นว่าเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คเขา ดูท่าหมอจะมีโลกกส่วนตัวสูงเหมือนกันนะเนี่ย และคนที่เขาติดตามก็มักจะเป็นพวกคนที่ผมเข้าไม่ถึง แต่หนึ่งในนั้นมีผมอยู่ด้วย!

   “หมอแอบตามไอจีผมตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”

   หมอเลิกคิ้ว

   “ตั้งแต่แรก”

   “เพื่อ?”

   “น่าสนใจดี เฮียลองหาเล่นๆ แล้วเจอเลยกดติดตาม ตอนแรกคิดว่าน่าจะมีรูปข้าวปุ้นอยู่ด้วย ไม่เจอหน้ากันตั้งนานเลยอยากรู้ว่าเป็นไงบ้างน่ะครับ” เขาเช็ดผมต่อ

   อินสตราแกรมของผมมักจะมีแต่รูปประหลาด ไม่มีคอนเซปต์ ไม่มีคอนเทนต์ อยากลงอะไรก็ลง ส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นสิบกับของกิน อะไรของหมอที่บอกว่าน่าสนใจ?

   เมื่อผมกดส่งคำขอติดตาม เขาบอกให้ผมกดยอมรับเองเลย เมื่อผมสามารถเผือกอินสตราแกรมของเขาได้ก็จัดการไหลทันที โดยส่วนใหญ่รูปในอินสตราแกรมของเขาจะเป็นพวกท้องฟ้า ธรรมชาติ ถ่ายวิวทั่วไป และหนึ่งในนั้นมีรูปที่ผมเผลอใจเต้นตึกๆ

   รูปท้องฟ้าของผมที่เผลอกดส่ง คู่กับท้องฟ้าของเขา

   แคปชั่นเดียวกับที่เขาเคยส่งให้ผม...

   “น่าอายนะนั่น” ผมพึมพำกับตัวเอง กดไลค์ให้ไปหนึ่งที หมอเลื่อนมือมาจับใบหูผมพลางโน้มหน้าลงมากระซิบข้างๆ

   “หูแดงหมดแล้วครับ”

   ผมผงะหนี ถอยกรูดคว้าปั้นสิบมาขวาง ไอ้อ้วนตัวกลมมองหน้าหมอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

   “ผะ... ผมแห้งแล้วครับ ขอบคุณมากครับหมอ”

   หมอเอียงคอ พลางยื่นมือมาอุ้มปั้นสิบไปก่อนจะตามลงมายื่นหน้าจนเกือบชิด ใช้ฝ่ามือเสยผมหน้าที่ตกลงมาปรกตาของผมขึ้นพลางขมวดคิ้ว

   “ครับ?”

   “เลิกเรียกหมอได้มั้ยครับ เรียกเฮียดีกว่า”

   “ทะ... ทำไมครับ” ผมเอนตัวหนีหน้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

   “นั่นสิ”

   จุ๊บ!

   ริมฝีปากอุ่นกดจูบบนหน้าผากที่ถูกเสยผมขึ้นแรงๆ หนึ่งทีอย่างหมั่นไส้

   “ทำไรน่ะหมอ”

   ผมเอามือผลักหน้าเขา หมอหัวเราะก่อนจะยอมถอยกลับขึ้นไปนั่งบนโซฟา

   “เฮียใสกับเราที่สุดแล้วนะครับ”

   “ใสกับผีสิหมอ!”

   และนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนปีใหม่

   หลังจากนั้นเหรอ เทศกาลปีใหม่อะไรนั่นผมไม่รู้จัก ฮ่าๆๆ แฮปปี้นิวยง นิวเยียร์อะไรไม่มี๊ เพราะมันเป็นช่วงเจ็ดวันอันตรายโดยเฉพาะวันสิ้นปีที่คนอื่นๆ เขาไปจุดพลุเค้าน์ดาวน์กัน ส่วนหมอน่าสงสารครับ วิ่งเข้าวิ่งออกห้องฉุกเฉินเป็นว่าเล่น ก่อนปีใหม่เขากำชับผมเด็ดขาดว่าอย่าออกไปเที่ยวข้างนอก มันอันตราย เลยกลายเป็นว่า ผมพาไอ้อ้วนไปฉลองปีใหม่ที่บ้านพี่ดินกับพวกพี่เจี้ยนแทน

   จบปีใหม่ คืออะไรครับ ใช่... วาเลนไทน์ไง

   ผมเคยคิดว่าเทศกาลนี้แม่งโคตรงี่เง่า ทำไมต้องให้ดอกกุหลาบกับช็อคโกแลตกันในวันตายของเซนต์วาเลนไทน์ด้วยวะ แล้วถ้าเป็นพวกคู่รักก็จะมีความคาดหวังความโรแมนติกจากคนรัก

   แต่ผมกับหมอ ยังไม่ได้เรียกว่าคบกันอย่างเต็มปากเต็มคำ

   นับครั้งจะเจอกันยังได้เลย

   แล้วผมจะคาดหวังอะไร

   [“ขอโทษนะข้าวปั้น เฮียมีผ่าตัดฉุกเฉิน นัดวันนี้ขอเลื่อนก่อนนะครับ”]

   “ครับ อย่าลืมกินข้าวนะครับหมอ”

   ผมยืนรอแกร่วอยู่หน้าออฟฟิศตอนสองทุ่ม... มือถือแนบอยู่ข้างหูฟังเสียงสายที่ตัดไป

   “แฮปปี้วาเลนไทน์ตัวกู”

   ผมหัวเราะแห้ง รู้งี้ไปข้าวสารกับพวกพี่เจี้ยนดีกว่า ผมถอนหายใจ เก็บเอาความนอยด์เล็กๆ กลับเข้าไปให้ลึก ท่องไว้ๆ หมอคืออาชีพที่ได้กินข้าวก็แฮปปี้แล้ว ผมคิดว่าจะโทรหาพี่เจี้ยน... แต่คิดอีกที กลับบ้านไปนอนกอดปั้นสิบให้หายชอกช้ำดีกว่า

   แต่ทุกวันที่ไม่เคยขาดคือข้อความจากเขา ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน หมอจะส่งข้อความมาหาทุกวัน ถามว่ากินข้าวรึยัง กลับรึยัง ทำงานเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย ถ้าว่างเขาจะมาหาผมทันที และทุกครั้งเขาจะพยายามปลีกตัวเพื่อมาเอาเสื้อผ้าที่ห้องแล้วก็ทักทายผมนิดๆ หน่อยๆ

   ผมเห็นหน้าเขาที่เหนื่อยอ่อนแล้วทำให้ไม่กล้างอนครับ

   หมอเวลาปกติก็น้อยอยู่แล้ว แต่เขากลับยอมให้เวลาว่างกับผมที่มีเพียงเล็กน้อยมาส่งข้อความหา บางวันส่งแม้กระทั่งแผนที่การจราจร หรือพยากรณ์อากาศ หรือช่วงนี้ที่หนักๆ ก็ค่า pm2.5 เขาเหมาแมสปิดปากมาหมดชั้นเลยมั้งครับตอนเราไปหาซื้อของกินกันน่ะ บังคับให้ใส่เวลาออกไปข้างนอก

   ผมว่า ผมน่าจะผันตัวไปเป็นลูกเขาแทนน่าจะดีกว่า

   

   วาร์ปกลับมาที่ปัจจุบัน ผมลงแท็กซี่แล้วจ่ายเงินให้คนขับ ตอนนี้จะตีหนึ่งแล้ว รถเมล์หมด รถไฟฟ้าหมด ผมจำต้องนั่งแท็กซี่กลับมาเอง สภาพผมแย่มาก เหมือนกลับไปช่วงที่ต้องเข้าผ่าตัดแม้มันจะผ่านมาปีกว่าแล้วก็ตาม ผมเริ่มเอามือกุมท้อง ผมไม่ได้อดข้าวนะ กินทุกมื้อ แต่อาจเป็นเพราะผมเครียดก็ได้ นอกจากงานจะทำแทบไม่ทันเพราะไอ้ซันแม่งลาเช้างานยังไม่ได้ วันนี้ยังโดนพี่ฤกษ์มากดดันกับพี่อัฐด่าอีกว่าส่งเรนเดอร์ผิดทำให้เสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ พี่ดินเองก็โดนกดดันด้วยเช่นกันเพราะดูแลลูกทีมไม่ดีพอ ซึ่งก็คือผมกับฟางที่ทำงานช้ากันอยู่สองคน

   อย่างน้อยธูปที่ผมจุดเรียกไอ้ซันก็ทำให้มันล่องลอยมาทำงานให้ผมจนเสร็จได้ในตอนบ่าย

   “ข้าวปั้น”

   ผมเงยหน้าขึ้น เห็นร่างของหมอยืนอยู่หน้าคอนโด ผมนี่จุกอกเลยครับ

   คิดถึง...

   “หมอ”

   ผมครางเรียกเขาเสียงแผ่ว เดินเข้าไปหาร่างสูงในชุดทำงานที่ไม่ได้คลุมทับด้วยสูทก่อนจะสวมกอดเขาอย่างลืมอาย ความรู้สึกตื้นในอกกับการมีคนมายืนรอตอนกลับบ้านมันเป็นอย่างงี้นี่เอง

   หมอคงจะงง เขาโอบรับผมที่ซุกหน้าเข้ากับอกเสื้อเชิ้ตยับๆ ของเขาก่อนจะสูดลมหายใจแรงๆ กลิ่นน้ำหอมของหมอยังคงทำให้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนเดิม อ้อมแขนแกร่งที่โอบผมเบาๆ ค่อยๆ กระชับให้แน่นขึ้นก่อนจะลูบหลังลูบไหล่ผมเบาๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนมาลูบหัวผม ทำให้ก้อนสะอื้นมันไหลขึ้นมาจุกคอ

   “เป็นอะไรเหรอครับ เหนื่อยเหรอ?”

   “อือ”

   “กลับห้องมั้ย อาบน้ำ พักผ่อน พรุ่งนี้เฮียไม่มีขึ้นเวรเช้า เฮียอยู่กับเราได้ทั้งคืน”

   “อือ”

   ผมอยากให้เขาลูบหัวผมไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ

   

   ผมเข้าไปอาบน้ำด้วยท่าทีซังกะตาย หมดอาลัยตายอยาก วันนี้สงครามหนักเกินรับมือจริงๆ ครับ อาจเป็นเพราะพี่ดินที่เป็นลีดเดอร์ซวยไปด้วยเลยทำให้ผมรู้สึกผิดมากๆ ทั้งๆ ที่พี่เขาช่วยเหลือผมตั้งหลายอย่าง

   เมื่อออกจากห้องน้ำ ผมเห็นหมอนั่งเอนหัวพิงพนักโซฟา กระดุมคอกับแขนถูกปลดออก ผมที่เคยเซตตกลงมาปรกหน้า ดวงตาสีเขียวปิดสนิท ในมือยังถือรายงานภาษาอังกฤษล้วนๆ ไว้ แว่นก็ยังไม่ได้ถอด

   ผมกะจะไปให้อาหารปั้นสิบ ก็เห็นว่ามันถูกเติมแล้วด้วยฝีมือคนที่หลับอยู่บนโซฟา

   “หมอ หมอครับ”

   ผมลองเรียกเบาๆ

   สงสัยเขาจะหลับลึกมาก ดูจากถุงได้ตาคล้ำๆ แล้วรู้เลยว่าเขาอดนอนมา เขาควรกลับไปพักผ่อนไม่ใช่มานั่งอ่านรายงานแบบนี้

   ผมจัดการถอดแว่นตาของเขาให้ แต่ทันทีที่ถอดออก เอวของผมกลับถูกรวบเข้ามาชิดจนเสียหลักลงไปนั่งกองบนตักเขา ในท่าควบหันหน้าเข้า ผมผงะออก นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยลืมขึ้น แววตาเขาทำผมคิดดีไม่ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อมือใหญ่เริ่มสอดเข้ามานิดๆ ใต้เสื้อยืดสีดำของผม

   “หมอ ง่วงไม่ใช่เหรอครับ”

   ผมเหนื่อยเกินกว่าจะขัดขืน หมอเองก็คงเหนื่อยเกินกว่าจะแกล้ง เขาไล้มือเข้ามาลูบเอวบางเป็นผ้าอนามัยของผมไปมาจนรู้สึกวูบวาบ

   อาการผีเสื้อบินในท้องผู้ชายก็มีด้วย?

   “ข้าวปั้น”

   หมอขยับดวงหน้าที่เริ่มรกด้วยเคราเขียวมาชิดข้างแก้ม เขาสูดดมกลิ่นหอมจากสบู่ที่ติดตัวผมอย่างเคลิบเคลิ้ม ริมฝีปากสวยเริ่มขยับจูบไล่ตั้งแต่กรามไปยังติ่งหู ผมเอียงคอหนีอย่างไม่ชินและจั๊กจี้ เขาหยุดไปนิดนึง ก่อนจะตวัดลิ้นเลียติ่งหูนุ่มพลางขบเม้มอย่างเพลิดเพลิน

   อึ๋ยยยย คันหูเลยวุ้ย!

   “หมอครับ พรุ่งนี้ผมเข้างานเช้า”

   “ครับ”

   “หมอ... เดี๋ยว”

   ผมยันบ่าเขาไว้เมื่อเขาเริ่มซุกไซร้บริเวณซอกคอผม ปากร้อนขยับอ้าพลางดูดดึงผิวเนื้อจนผมคิดว่า พรุ่งนี้กูได้งัดคอเต่ามาใช้อีกแน่เลย...

   สัมผัสเปียกชื้นไล่ไปทั่วจนมาจบที่ริมฝีปาก เขากัดเม้มริมฝีปากล่างของผมก่อนจะดูดดึงมันอย่างมันเขี้ยว ในขณะที่ปากหลอกล่อให้ผมเพลิดเพลินกับสัมผัสวาบหวาม มือเขาจัดการเลื่อนเสื้อยืดของผมขึ้นมาจนมากองอยู่บนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

   และในขณะเดียวกัน มือผมก็ทะลึ่งสอดเข้าไประหว่างสาบเสื้อเขาอย่างเผลอไผล ลูบไล้แผ่นอกแน่นตึงจนน่าอิจฉา

   “ไหนว่ามีงานเช้า แบบนี้เหมือนจะไม่ได้นอนนะครับ”

   “ผม... ผม....”

   ผมเป็นคนจุดไฟติดง่าย แค่เขาจูบ ช่วงล่างของผมก็พร้อมทะยานฟ้าแล้ว... ผมเบือนหน้าหนีอย่างเขินอาย

   “ข้าวปั้นครับ”

   “ครับ”

   “เป็นแฟนกันนะ”

   “ครับ... หือ????”

   ผมหันไปมองนาฬิกา เชี่ย... ตีสอง หมอมาขอผมเป็นแฟนตอนตีสอง ตีสองเนี่ยนะ มันใช่เวลามั้ย?

   “ตีสอง”

   ผมเผลอหลุดปากในสิ่งที่คิด หมอคงไม่เข้าใจ เพราะเขาเลิกคิ้ว ยิ้มสวยๆ ให้หนึ่งทีก่อนจะกระชับอ้อมแขน

   “หมอขอผมเป็นแฟนตอนตีสอง”

   “ความจริงว่าจะขอตั้งแต่วาเลนไทน์ แต่ติดผ่าตัดพอดี พยายามจะหาเทศกาลดีๆ อีกรอบ แต่ถัดจากวาเลนไทน์ก็เอพริลฟลูเดย์ เฮียว่าปั้นอาจตีเบลอหาว่าโกหก ถัดไปก็เชงเม้ง เฮียว่าไม่เหมาะจะขอใครเป็นแฟน เลยคิดว่า เอาฤกษ์สะดวกดีกว่า”

   ไร้ซึ่ง... จะว่าไม่โรแมนติกมันก็ไม่ใช่

   ผมเงียบ ไม่ตอบ แต่ก้มหน้าลงไปกอดคอเขาแทน ผมซบหน้าลงบนบ่ากว้าง หมอลูบหลังผม

   “หมอถือว่าคนไข้เซ็นยอมรับนะครับ”

   “งื้อ...”

   ผมจะปฏิเสธอะไรได้ล่ะ... แค่ความรู้สึกคิดถึงที่ตีเข้ามาตอนเจอหน้ากันเมื่อกี้ก็บ่งชัดแล้วว่าผมน่ะ ชอบเขาไปแล้วเต็มๆ



   “เฮียอาจจะไม่ค่อยมีเวลาให้ แต่เฮียจะหาเวลาให้ ปั้นเองถ้ามีอะไรไม่สบาย อย่าเกรงใจ ถึงเฮียจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่เฮียพร้อมฟัง” หมอจูบข้างแก้มผม ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปบนหน้าผาก “เอาแต่ใจบ้างก็ได้ครับ”

   ผมหัวเราะ ความรู้สึกนอยด์ๆ แทบจะหายไป มีกำลังใจขึ้นโขเลยครับ

   “ข้าวปั้นครับ”

   “ครับ”

   “ไม่ขอแค่จูบได้มั้ย”

   ผมเห็นรอยยิ้มเขาแล้วรีบคว้าปั้นสิบที่นอนอยู่ข้างๆ มาขวางทันทีก่อนที่เขาจะโน้มหน้าลงมา

   “ทะลึ่งครับหมอ!”



หวายๆๆๆๆๆ ความโรเเมนติกตอนตีสองงงงงงงง

ฮื่อ...จากนี้ จากนู้น จากนั้น... ตอนหน้ามีเรียกเลือดนะคะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้ตน์และกำลังใจนะคะ โฮกๆๆๆๆ

ชอบไม่ชอบยังไงฝากติชอบกันด้วยนะคะ

 :mew3:

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu


หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่18(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 26-11-2019 03:54:32
ฮ่าาาาาา ก็ยังดีที่ไม่ได้รอไปขอตอน April's Fool Day นะครับ ^^
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่18(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 26-11-2019 04:56:44
เป็นแฟนอย่างเป็นทางการ​ อย่างงี้ต้องฉลอง
เห็นพระนายของเราทำงานแล้วอยากวอนขอคนแต่งเพิ่มบทให้เค้าทั้งคู่ได้พักบ้างเถอะ​ ฮือ​ สงสาร
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่18(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-11-2019 08:04:41
 :L2: :L2: :L2:
ยินดีด้วยนะข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่18(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 26-11-2019 09:39:06
โรแมนติกมากค่ะหมอ โถ่ 555
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่18(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-11-2019 12:07:17
 :mc4:


 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่18(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-11-2019 12:18:22
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่19(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 26-11-2019 20:11:04
Chapter – 19
ข้าวปั้นครับ มาลองพฤติกรรมบำบัดกันไหม


   “อาจารย์คะ หนูอยากถามเรื่องเคสของคนไข้ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบน่ะค่ะ อาจารย์พอจะมีเวลามั้ยคะ”

   ผมที่กำลังจะเดินกลับห้องพักแพทย์ถูกเรียกไว้ด้วยนักศึกษาแพทย์สาวชั้นคลินิกซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวอร์ดที่ผมดูแล เธอเป็นหนึ่งในท็อปคลาสที่ผมภูมิใจ ผมหันกลับมาแล้วพยักหน้ารับ เธอยิ้มหวานแล้วเดินเข้ามาเปิดไอแพดเพื่อถามสิ่งที่สงสัย

   ผมลอบมอง เธอตัวเล็กมาก สูงแค่เทียมอกผม แต่อะไรๆ กลับโตเกินกว่าที่ร่างเล็กๆ นั่นควรจะมี

   ผมกรอกตามองบน นิสัยเดิมๆ จะให้เลิกเลยมันก็ยาก แต่จะให้ทำต่อมันก็ไม่ใช่เรื่อง โดยเฉพาะเมื่อลูกศิษย์คนโปรดวันนี้จงใจใส่เสื้อคอคว้านลึกจนต่อให้ผมไม่ตั้งใจมอง มันก็ยังเห็นอยู่ดี

   เด็กสมัยนี้...

   ผมมองตามชาร์จผู้ป่วยและข้อมูลในไอแพดของเธอแล้วอธิบาย ระหว่างที่อธิบายผมก็รู้นะว่าเจ้าหล่อนแอบขยับกายเข้ามาชิดเกินพอดีจนกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกตีเข้าจมูกผม คิ้วผมขมวดแน่น

   “น้ำหอมของคุณ ผมว่ามันแรงเกินไป”

   “อ๊ะ...” นักศึกษาถอยห่างทันทีที่ผมทัก เธอยกมือขึ้นเอาผมทัดหูแก้เก้อ หน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย

   “ขะ... ขอโทษค่ะอาจารย์ คือว่าหนูเพิ่งเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอม ขอโทษค่ะ”

   เธอละล่ำละลักแก้ตัว ผมเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะดันแว่น เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์สั่งสอน

   “ผมไม่ได้ห้ามว่าใส่ไม่ได้ แต่คุณควรจะรู้ว่าการเป็นหมอต้องเจอกับผู้ป่วยหลายประเภท กลิ่นน้ำหอมที่แรงเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่” ผมสั่งสอนแกมดุ ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดูถูกหรือรุนแรงแต่เหมือนอีกฝ่ายจะหน้าชาไปแล้ว แม้รอบๆ ด้านจะไม่มีคนเลยก็ตาม

   “ค่ะอาจารย์ ต่อไปหนูจะระวังค่ะ”

   “ครับ”

   แล้วเจ้าหล่อนก็เดินเร็วๆ จากไป ผมส่ายหัวเบาๆ เรื่องแบบนี้ก็มีแทบทุกปีตั้งแต่ผมรับเป็นอาจารย์หมอดูแลชั้นคลินิกวอร์ดศัลยศาสตร์ ผมยอมรับว่าตัวเองก็ใส่แต่มันจะเป็นเพียงกลิ่นบางๆ ที่ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ผมชอบเวลาใช้อาฟเตอร์เชฟหลังโกนหนวดมากกว่า และนั่นคงเป็นกลิ่นที่ข้าวปั้นชอบ

   ผมล้วงมือถือขึ้นมาเช็คอย่างคาดหวังว่าจะมีข้อความอะไรจากคนที่คงกำลังนั่งตัวหน้าติดจอคอม แต่ก็ไม่... ครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายส่งข้อความมาหาก่อน ผมดีใจจนเซ็นเอกสารผิดเลยครับ ถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นแค่การส่งรูปมาแบบไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ แถมเขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะประทับใจผมสักนิด ความดีใจมันก็หักลบไปกับความเซ็ง ยิ่งคิดว่าเขาเกลียดผมขนาดหนีกลับบ้าน ยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก

   “ไฮ้ ไอ้หมอ แม่นักศึกสาวนั่นเดินหน้าบูดตูดบิดสวนกะกูไปนู่นแล้ว เพราะมึงใช่มั้ย?”

   ผมเงยหน้ามองคนทักที่เดินมาแขวะ เก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์แล้วเปิดประตูห้องเข้าไป ไม่สนใจเจ้าของคำพูดหยาบคายสักนิด

   “หยิ่งจริงนะครับอาจารย์หมอ เฮ้อ... เมื่อไหร่กูจะมีโอกาสได้เข้าวอร์ดพร้อมสาวๆ สวยๆ พวกนั้นมั่งวะ” คนที่ตามเข้ามาทิ้งตัวนั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของผมประสานมือไว้ที่ท้ายทอยเอนตัวบ่น ผมเปิดแลปท็อปของตัวเองก่อนจะเช็คตารางผ่าตัดวันนี้ที่มีสองเคสรวมถึงอ่านรายงานผู้ป่วยพร้อมทานของว่างรองท้องไปด้วย

   “สาวๆ นอนรอมึงบนเตียงตั้งเยอะแยะ” ผมพูดกลับ หมอริทถึงกับย่นหน้าเบะปาก

   “สาวพ่อมึงสิ นอนนิ่งให้กูผ่าไม่ขยับเชียว ไม่นิยมสาวที่พรมน้ำหอมกลิ่นฟอร์มาลีน”

   ครับ มันเป็นหมอนิติเวช หรือหมอผ่าศพนั่นแหละครับ

   ผมหัวเราะขำก่อนจะเปิดรายงานพร้อมกับเลื่อนจอไปด้วย หมอริทเลิกคิ้วมองของกินก่อนผ่าตัดของผมแล้วถามอย่างสงสัย

   “แดกแต่ข้าวปั้นเซเว่นแล้วมึงจะยืนไหวเรอะวันนี้”

   “เออ”

   ผมแกะห่อข้าวปั้นห่อที่สาม กินไปคิดถึงเจ้าของชื่อที่เหมือนกันไป ถอนหายใจเหมือนคนถูกบังคับให้กินข้าว ทันใดเสียงแจ้งเตือนข้อความจากมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ทำให้ผมรีบหยิบขึ้นมาดู

   แล้วก็ผิดหวังอีกตามเคย... แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังจนเกินไป

   “ใคร? สาวไหนบอก” หมอริทยื่นหน้าเข้ามา ผมชักมือถือหนีพร้อมด่า

   “เสือก”

   “แหม อคิน มึงให้เบอร์ใครง่ายๆ ที่ไหนกูรู้หรอกน่า” หมอริทแซวอย่างรู้ทัน ผมเลยบอกไปอย่างไม่ปิดบัง

   “ลิน” ผมอ่านข้อความแล้วยิ้มบางๆ “บอกว่าจะมาถึงไทยเที่ยวเย็นวันเสาร์นี้”

   “เห แม่สาวเมกา แล้วมึงจะไปรับมั้ย เขาไม่เคยมาไทยนี่หว่า”

   ผมขมวดคิ้วก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับคนจากแดนไกลว่าจะไปรับ เพราะผมไม่ค่อยอยากให้เธอเดินทางในกรุงเทพคนเดียว มันอันตรายสำหรับชาวต่างชาติ แถมยังเป็นผู้หญิง พลางคิดว่าจะพาข้าวปั้นไปรับเธอด้วยดีมั้ย

   “ไป”

   “กูไปด้วยดิ” หมอริทเสนอหน้า ซึ่งผมเหลือบตามองก่อนจะกระตุกยิ้มให้พร้อมพูด

   “เสือก”

   วันนี้มันโดนผมด่าไปสองรอบ หวังว่าคงจะนอนหลับฝันดีถึงสาวๆ ที่มันผ่าจนครบทุกคนนะ



   หลังผ่าตัดเสร็จตอนตีสอง ผมกลับมาเปลี่ยนชุดที่ห้องพักแพทย์เตรียมกลับคอนโด ปกติถ้าดึกขนาดนี้ผมจะนอนที่ห้องพักนี่พอเช้าก็อาบน้ำที่ห้องพักแพทย์แล้วราวด์วอร์ดต่อเลย แต่ผมกลับมีแรงฮึดอยากกลับบ้านขึ้นมาซะงั้น เพราะข้อความเดียวที่ส่งมาให้ผมตอนหัวค่ำในช่วงที่กำลังจะไปผ่าเคสที่สอง



   KaowwwPun: ผมกำลังกลับนะครับ หมออย่าลืมกินข้าวนะ



   ไอ้ประโยคนี้ทำให้ผมรู้สึกหายเหนื่อยครับ แต่ประโยคที่ทำให้กระชุ่มกระชวยก็คือประโยคสั้นๆ ต่อมา



   KaowwwPun: คิดถึงครับ



   ครับ ร้อยแปดสิบผมก็จะเหยียบให้ถึงคอนโดภายในสิบห้านาที

   ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มคบกัน ผมก็ให้กุญแจสำรองห้องผมกับเขาไว้ เขาก็ให้เช่นกัน สาเหตุหลักๆ คือเผื่อคนใดคนหนึ่งมีเหตุฉุกเฉินจะได้เข้าห้องกันและกันได้ อีกอย่าง ให้เขาสนิทใจกับผมเสียทีว่าจะไม่บังเอิญเจอเหตุการณ์ตะลึงเหมือนวันนั้นอีก

   ผมคิดว่าเขาจะถามเรื่องของวาริศมากกว่านี้ แต่สุดท้ายข้าวปั้นก็ไม่ถาม แถมยังบอกด้วยว่า ตอนนั้นหมอก็คือหมอ เขาไม่มีสิทธิ์จะต่อว่าอยู่แล้วเพราะผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่เขาเตลิดเปิดเปิงไปก็เพราะตกใจแล้วก็ช็อคมากกว่า

   แต่ผมรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่เคยบอกกับข้าวปุ้นไปแล้วว่าจะจีบเขา แต่ดันอยากรู้อยากลองไม่เข้าเรื่อง

   แน่นอนครับ นิสัยผมเป็นแบบนี้ และเรื่องของวาริศคือสิ่งที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้วตั้งแต่เขามาคอนโดผมครั้งแรก

   “พี่หมอคิน”

   ผมที่กำลังจะเดินไปลานจอดรถของโรงพยาบาลถูกเรียกไว้จากคนที่เข้าห้องผ่าตัดไปกับผมเมื่อเคสก่อนหน้า ผมหยุดแล้วหันกลับมา ร่างเพรียวบางสะอาดสะอ้านดูสำอางของวิสัญญีแพทย์หนุ่มฝีมือดีที่ยังอยู่ในชุดกาวน์เดินเข้ามาใกล้ผม หน้าตาเขาบูดไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทางรีบเร่งของผม

   “ว่า?”

   “จะกลับคอนโดเหรอครับ ปกติดึกขนาดนี้พี่หมอจะค้างไม่ใช่เหรอ?” วาริศเดินเข้ามาชิดผมจนได้กลิ่นยาคลุ้ง แน่นอนว่าไม่ต่างจากผมนักหรอก แต่ในกลิ่นยามันมีกลิ่นน้ำหอมอบอวลที่ผมเพิ่งจะต่อว่าลูกศิษย์ไปหยกๆ เมื่อเช้า มันตีกันจนผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่จึงถอยห่างเล็กน้อยก่อนตอบ

   “ใช่”

   “ใช่? หืม หรือว่าเด็กของพี่หมอรออยู่”

   วาริศเป็นคนฉลาด เขามักมีวิธีการเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เขาต้องการ ผมไม่ใช่คนเดียวที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย แม้เขาจะบอกว่าชอบผม แต่ผมรู้ว่าในคำหวานของเขามันมียาพิษอยู่มากมาย และผมก็ไม่คิดจะสนใจมันด้วย ถ้าหากเราทั้งคู่ต่างมีประโยชน์ซึ่งกันและกัน ผมก็ไม่เกี่ยงจะใช้งานเขา และแน่นอน ผมมีข้อตกลงเสมอก่อนจะทำอะไร

   “คุณมีธุระอะไรรึเปล่าวา”

   ผมถามไปตรงๆ หมอวาริศหัวเราะในลำคอก่อนจะใช้นิ้วแตะริมฝีปากตัวเองพลางส่ายหน้าไปมา

   “มาหาผมได้เสมอนะถ้าพี่หมอเบื่อเด็กอ่อนประสบการณ์”

   แล้วก็ยิ้มเย็นให้หนึ่งครั้งก่อนเดินกลับไป ผมมองตามด้วยสายตาที่เย็นชา ผมไม่กลัวว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศแต่สิ่งที่กังวลคือความคิดของเขา อะไรที่วาริศถูกใจ เด็กที่โดนสปอยด์แบบนั้นไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ ซึ่งตอนนี้ผมคือสิ่งที่เขาอยากได้และผมพลาดที่คิดว่าผมจะเป็นแค่หนึ่งในคู่นอนทั่วไปของเขาแล้วจบไปตามข้อตกลง

   ด้วยจรรยาบรรณความเป็นแพทย์ ผมก็หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรให้มันผิดความเป็นหมอของเขานะ



   ผมปลดล็อคประตูห้องชั้น 9 เทียนหอมในห้องดับไปหมดแล้ว ผมจัดการใช้มือถือแทนไฟฉายก่อนจะใช้ไฟแช็คที่วางไว้ตรงชั้นวางจุดเทียนให้เขา ถ้าผมสามารถกลับมานอนคอนโดได้ ผมก็มักจะแวะมาทำแบบนี้ให้เขาทุกคืน

   ก่อนจะเข้าห้องเขา ผมแวะไปอาบน้ำห้องตัวเองก่อนเพราะไม่อยากให้เชื้อโรคจากโรงพยาบาลมาแพร่เชื้อใส่คนที่กำลังนอนฝันดีโดยมีปั้นสิบนอนหงายพุงอยู่ข้างหมอน

   ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง แสงไฟจากเทียนหอมทำให้สามารถเห็นหน้าเขาได้ชัด คนที่ผมเริ่มยาวนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ผมใช้ข้อนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าเขาขึ้น และคนรู้สึกตัวง่ายก็คงจะรับรู้ถึงสัมผัสแปลกๆ ได้

   นัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆ ปรือขึ้นเหมือนคนละเมอ ก่อนจะหันมามองผมนิดๆ มือเรียวยื่นออกมาจากผ้าห่มแล้วจับที่มือผมพลางลูบเบาๆ

   “กลับมาแล้วเหรอครับ”

   “ครับ”

   ข้าวปั้นจับมือผมไว้ก่อนจะยิ้ม หันตัวมากอดเอวผมแบบอ้อนๆ ซึ่งปกติถ้าไม่สะลึมสะลือไม่มีทางหรอกนะครับมุมอ้อนๆ แบบนี้น่ะ

   “เหนื่อยมั้ยครับ”

   เขาถามทั้งๆ ที่หลับตาเหมือนพร่ำเพ้อไปงั้นเองแต่ผมกลับเอ็นดูจนต้องโน้มตัวลงไปนอนข้างๆ สอดตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน พลางกดหน้าเขาให้ซุกลงมาแนบอก ข้าวปั้นสูดกลิ่นสบู่ที่ติดตัวผมก่อนจะขยับหน้าเบือนออกเพราะต้องการพื้นที่หายใจ

   “เหนื่อยครับ”

   “พรุ่งนี้ราวด์กี่โมงครับ” เขาถามแบบนี้ทุกครั้งที่ผมมานอนด้วย เพราะเขารู้ว่าผมตื่นเช้ามากเพื่อเข้าโรงพยาบาล

   “เหมือนเดิมครับ หกโมง”

   “เดี๋ยวปั้นตื่นมาทำอะไรให้กินนะครับ”

   เขาบอกอย่างน่ารัก ผมอยากจะกดเขาทั้งๆ ตอนนี้เสียเลย ถ้าไม่ติดว่าผมก็เหนื่อย เขาก็ง่วงล่ะก็นะ

   “วันศุกร์ไปค้างห้องเฮียนะครับข้าวปั้น”

   วันศุกร์ผมไม่มีเวรและไม่มีเคสผ่า... ขอสักวันให้ได้อยู่กับเขานานๆ

   “ครับ”

   ไม่รู้ล่ะว่าละเมอหรือตอบรับ แต่ผมเหมารวมแล้วว่าตกลง

   อดทนหน่อยอคิน...



   ผมสะดุ้งตื่นมาตอนตีห้าเพราะได้ยินเสียงก๊องแก๊ง แสงไฟจากโซนครัวลอดผ่านเข้ามา คนที่นอนอยู่ข้างผมตอนนี้ใส่ผ้ากันเปื้อนเข้าครัวไปแล้วไปแล้ว ผมยีผมหยักศกของตัวเองก่อนจะคว้าแว่นที่วางไว้ข้างๆ มาใส่แล้วลุกจากเตียง เปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างโซนนอนกับโซนนั่งเล่นพลางเช็คมือถือไปด้วยว่ามีข้อความด่วนอะไรรึเปล่า

   โชคดีที่ไม่มี

   “ตื่นแล้วหรอครับ จะกินกาแฟก่อนหรืออาบน้ำก่อนครับ”

   คนทักผมหันมายิ้มให้แวบนึงก่อนจะกลับไปง่วนกับการทำแซนวิชหั่นเป็นชิ้นพอดีคำต่อ เขาจัดการเอาทุกอย่างใส่กล่องพลาสติกและใส่ลงถุงผ้าอีกที

   ศรีภรรยา...

   ผมยิ้มขำกับภาพที่เห็นก่อนจะเดินไปกอดเอวเขาแล้วกดจมูกลงบนศีรษะทุยยุ่งๆ นั่น ข้าวปั้นแตะแขนผม หูเหอแดงจนน่าเอ็นดู ผมลอบสอดมือเข้าไปใต้ผ้ากันเปื้อนพลางลูบหน้าท้องเขาจนเจ้าตัวสะดุ้งหดหนี

   เขาผอมลงอีกแล้ว

   “อย่าหื่นตั้งแต่ตื่นได้มั้ย ไปอาบน้ำครับ!”

   “ครับๆ”

   ผมคว้าผ้าเช็ดตัวมาแล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำไปพร้อมเสียงหัวเราะหึๆ ให้คนโดนลวนลามขมุบขมิบปากอวยพรตามหลัง แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้วันนี้ผมมีแรงทำงานทั้งวันแล้วครับ

   “ข้าวปั้นครับ”

   หลังแต่งตัวเสร็จผมก็เรียกเขาระหว่างที่ดื่มกาแฟไปด้วย คนที่กำลังจัดการกับเสื้อสูทของผมให้หันมาขานรับ ผมเห็นหน้าเขาแล้วอดมันเขี้ยวไม่ได้จริงๆ

   “วันศุกร์นี้ไปค้างห้องเฮียนะ”

   “ฮะ??”

   ผมยิ้มมุมปาก ผมว่าเขาคงพอจะรู้แหละว่าผมหมายถึงอะไร อายุอานามเราสองคนก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ

   “ก่อนที่เฮียจะไม่ว่าง เฮียอยากใช้เวลากับปั้น” ผมคว้าร่างเขามากอด สามสี่เดือนมานี้ผมแทบจะไม่มีเวลามาเจอเขาเลย เรื่องอย่างว่าตั้งแต่ครั้งแรกมันก็ไม่เคยมีอีกเลย ผมรู้ว่าเขายังไม่พร้อม แต่การตอดนิดตอดหน่อยของผมที่ทำทุกครั้งที่เจอกันก็คงจะพอทำให้เขารู้บ้างแหละว่าสักวันเขาจะหนีคมเขี้ยวผมไม่พ้นแน่นอน

   ผมอุตส่าห์ใจดีเตือนล่วงหน้าให้เวลาทำใจตั้งหลายวัน

   “ไปเล่นเกมห้องเฮียกัน”

   ผมทำทีชวนเขาไปเล่น PS4 ที่เขาติดใจมันมากแต่ไม่กล้าเข้าไปเล่นเมื่อผมไม่อยู่ทั้งๆ ที่ผมบอกว่าจะเข้าก็ได้ผมไม่ว่า แต่เขาก็ยังขี้เกรงใจอยู่ดี

   ข้าวปั้นได้ยินแล้วตาวาววับเพราะเขาเคยเล่นแค่สองสามครั้ง เขาบอกว่าถ้าเล่นคนเดียวมันไม่สนุก ดังนั้นส่วนใหญ่เกมที่เขาเล่นจึงเป็นแนว multi-player แน่นอนว่าเมื่อก่อนผมอยู่คนเดียว เล่นคนเดียวก็มีแค่เกมแนว single player แต่พอข้าวปั้นพูดว่าอยากเล่นที่เล่นด้วยกันได้ ผมกว้านซื้อมันทุกเกมที่มีขาย store นั่นแหละ ให้เขามาเลือกเอง เพราะถ้าให้เขาบอกว่าอยากเล่นเกมไหนจะมานั่งเกรงใจกันอีก

   “คร้าบ”

   หลอกง่ายจริงเด็กอะไร



   ครับ... หลอกง่าย

   ผมเนี่ย....

   เรากลับมาถึงคอนโดประมาณสามทุ่มหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ข้าวปั้นก็ขออนุญาตหอบเอาปั้นสิบมาด้วย ปั้นสิบดูจะร่าเริงเพราะมันมาถึงห้องผมปุ๊บก็ตรงดิ่งไปยังตู้ปลาทะเลของชอบเพื่อไปตบกระจกตู้เล่นอย่างเพลิดเพลิน ข้าวปั้นกลัวทุกครั้งว่ามันจะกระโจนลงไปในตู้แต่ปั้นสิบดูจะฉลาดกว่าที่ข้าวปั้นคิด เพราะมันรักที่จะยืดตัวเอามือตบปลาผมจากผิวน้ำมากกว่า... อืม

   ตั้งแต่เข้าห้องมา เขาก็ตรงดิ่งไปยังเครื่องเล่น PS4 ของผมพร้อมกับขออนุญาตเปิด และนั่งเล่นมันกับผมไปสามชั่วโมงแล้ว... จนผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จึงไล่ให้เขาไปอาบน้ำก่อนที่เขาจะง่วงจนหน้าจมลงไปกับจอยเหมือนทุกครั้ง

   แต่ครั้งนี้เขาอาบน้ำนานกว่าทุกครั้ง ก่อนจะกลับมามุดตัวนั่งบนโซฟาเหมือนเดิมพลางไล่ผมไปอาบน้ำบ้าง ส่วนเขาก็เปิดอนิเมะดูในบริการสตรีมมิงยอดฮิตผ่านแอคเค้าน์ของผมที่ต่อไว้อยู่แล้ว พอผมกลับมาพร้อมกับเช็ดผมไปด้วย ก็เห็นว่าเขานั่งเหม่อมากกว่านั่งดู

   “ข้าวปั้นครับ” ผมลองเรียก แต่เขากลับไม่สนใจ เอาแต่มองหน้าจอทีวี ผมเลยทิ้งตัวนั่งลงจนชิดเขา คนที่กำลังเหม่อจิตล่องลอยจึงได้ดึงวิญญาณตัวเองกลับมาพลางหน้าแดงจนผมงง หรือเขาจะไม่สบาย

   “เป็นอะไร หน้าแดงเชียว ไม่สบายเหรอครับ แอร์หนาวไปเหรอ?”

   “ปะ... เปล่าครับ”

   เขาเบือนหน้าหนี ทำท่าจะลุกแต่ก็เปลี่ยนใจ ทิ้งตัวนั่งลงตามเดิมพลางหนีบขาชิดกันในท่าชันเข่าขึ้น... ผมถึงได้เข้าใจว่าเมื่อกี้เขาเหม่ออะไร

   ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม ข้าวปั้นเอนตัวออกห่างเล็กน้อย หัวเราะแห้งแก้เก้อ

   “เด็กลามกคิดอะไรก่อนนอนรึเปล่าครับ”

   “อะ อะ อะไรน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ”

   ผมไล่ต้อนเขาจนสุดเบาะโซฟาเบดตัวยาว ก่อนจะดันร่างผอมในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวลงนอนราบกับเบาะ ข้าวปั้นเงียบกริบ หลับตาปี๋ มือบางจับแขนเสื้อนอนผมไว้แน่น

   “ข้าวปั้นครับ... หมออิงบอกว่าโรคกลัวที่แคบที่มืดของข้าวปั้น ต้องรักษาด้วยการทำความคุ้นชินกับมัน” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เขาเบือนหน้าออกไปด้านข้างแต่ก็ไม่ได้ผลักออกเหมือนทุกครั้ง ผมยิ้มพอใจกับความเด็กน้อยฉลาดรู้ของผม

   “เรามาลองพฤติกรรมบำบัดกันดูมั้ยครับ”

   “ครับ...”

   ผมจูบที่ซอกคอหอมกลิ่นสบู่ของผม โดยปกติผมจะไม่ยอมให้คู่นอนหรือใครหน้าไหนใช้ของใช้ส่วนตัว แม้แต่ห้องนอนก็ไม่ให้เข้า จบแล้วจบเลยแยกย้ายไม่มีค้างต่อแม้อีกฝ่ายจะพยายามยื้อแค่ไหนผมก็ยังยืนยันให้กลับโดยสุภาพ แต่ข้าวปั้นผมถึงกลับต้องหลอกล่อให้เขาอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเขาค้างห้องผมครั้งแรกแล้วเห็นคอมราคาสองแสนวางตั้งให้ฝุ่นจับอยู่ในห้องนอน... ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนเขาต่อว่าผมว่าใช้เงินไร้สาระเกินไปแล้ว

   “หมอครับ... คือ คือผม...”

   เขาเริ่มประท้วงเมื่อผมสอดผมลูบไล้เอวผอมนุ่มมือของเขา แม้ข้าวปั้นจะผอมแต่ไม่ใช่เนื้อติดกระดูก ถึงจะไม่นุ่มเท่าผู้หญิง แต่ผมชอบสัมผัสทุกอย่างที่เป็นเขา ผมขบเม้มไหปลาร้าสวยพลางใช้มือรั้งคอเสื้อยืดลงมาให้เปิดมากขึ้น ลิ้นร้อนของผมดูดดึงจนผิวขาวเป็นรอยช้ำแดง ผมยันตัวขึ้นมองผลงานอย่างพอใจ อยากทำให้คอขาวๆ นั่นเป็นรอยมากกว่านี้จริงๆ

   “หมอครับ... ไม่ ไม่ใช่ตรงนี้”

   ผมเลิกคิ้ว เขากัดริมฝีปากตัวเอง ตาสวยชั้นเดียวคลอน้ำตานิดๆ

   “ผม...  ผมไม่อยากทำ... ตรงโซฟานี้”

   ผมชะงักกึก ก่อนจะนึกได้ว่าโซฟานี่เป็นที่ที่เขาเห็นผมกับวาริศมีอะไรกัน... ผมจูบหน้าผากเขาแรงๆ ก่อนจะโอบร่างเขาขึ้นมากอดแนบอก กดจูบที่แก้มใสๆ พลางกระซิบขอโทษ

   “ขอโทษครับ เฮียทำให้เรารู้สึกไม่ดีใช่มั้ย”

   เรียวแขนบางตวัดขึ้นคล้องคอผมก่อนส่ายหัวเบาๆ

   “ผม... ผมแค่ไม่อยากทำตรงนี้”

   “ครับ”

   ผมตวัดร่างบางที่หนักไม่เท่าไหร่สำหรับผมขึ้นอุ้ม เจ้าตัวกอดคอผมแน่น เขาคงอายน่าดู แต่ก็ไม่พูดอะไร ผมเห็นว่าปั้นสิบกำลังจะเดินตามมา จึงหันกลับไปบอกมันนิ่งๆ

   “ถ้าตามมาอดแซลมอนแน่ๆ ครับปั้นสิบ”

   ไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องที่ผมพูด หรือเพราะน้ำเสียงของผมถึงทำให้ผมยอมนั่งลงแล้วขู่ฟ่อใส่หนึ่งที

   

   ผมวางร่างผอมบางลงบนเตียงกว้างที่ไม่ค่อยได้ใช้งานบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของผมเอง ในห้องนั้นแทบจะไม่มีแสงเลยนอกจากแสงจากนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้ ข้าวปั้นพยายามควานหาสวิตช์โคมไฟบนหัวเตียง แต่ผมกลับคว้ามือเขาจับไว้แล้วจูบเบาๆ คนตัวเล็กกว่าหอบหายใจ พยายามมองไปทางหน้าต่างที่มีแสงไฟ

   “หายใจช้าๆ เข้าไว้ครับ สักห้านาทีเดี๋ยวเฮียเปิดไฟให้นะ”

   “ปั้น... ปั้น”

   เขาจับมือผมแน่นพลางผวาตัวมากอดผมไว้ ผมลูบหลังบางก่อนจะปลอบโยน

   “เดี๋ยวข้าวปั้นจะอยากให้เฮียปิดไฟครับ”

   “หมอ...” เขาเริ่มโมโหแล้ว ผมหัวเราะก่อนจะจับหน้าเขาให้แหงนขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วจูบลงไปเบาๆ แค่ปากแตะกัน ผมจูบเขาแล้วถอนริมฝีปากออกแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเล่นกับเด็กน้อย ทำแบบนั้นอยู่นานจนเขาเริ่มชินกับความมืดและเริ่มกัดปากตัวเอง จูบตอบผมบ้างเพราะผมแกล้งหยอกเขาด้วยการจูบเบาๆ บนปากนุ่มไม่เหมือนทุกที

   จากริมฝีปากแตะกัน ข้าวปั้นเริ่มเป็นฝ่ายเผยอปาก เขาเรียกร้องโดยการขยับเม้มดูดดึงริมฝีปากล่างของผมในจังหวะที่จูบลงมา มือที่เกาะบ่าผมไว้เริ่มสอดเข้าไปลูบไล้ท้ายทอยของผมพลางกดมันให้เข้ามาใกล้

   เนี่ยแหละสิ่งที่ผมต้องการ อยากให้เขาเป็นฝ่ายรุกบ้าง

   ลิ้นเล็กชื้นแลบเลียออกมาเหมือนที่ผมชอบทำกับเขา เป็นฝ่ายสอดดุนเข้ามาเองด้วยจังหวะที่อ่อนประสบการณ์ ผมขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงเต็มๆ ขาข้างหนึ่งชันเล็กน้อย อีกข้างขัดสมาธิเข้ามาโดยมีร่างเล็กนั่งอยู่ตรงกลาง ร่างบางขยับเข้ามาชิดกว่าเดิม เรียกร้องจูบที่เร่าร้อนกว่านี้ ผมหยอกเขาเล่นด้วยการดูดลิ้นเล็กเข้ามาในปากแล้วใช้ลิ้นตัวเองไล้วนด้วยจังหวะที่ทำให้คนในอ้อมแขนหายใจถี่รัว

   “หมอ... อื้อ...”

   เขาถอนปากตัวเองออกมา มองผมผ่านแสงไฟจากตึกสูงที่ส่องผ่านเข้ามา ผมประคองแผ่นหลังเขาไว้ก่อนจะทำท่าจะเอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียงเพราะน่าจะเลยห้านาทีที่สัญญากันมาแล้ว... แล้วเขากลับตะปบข้อมือผมไว้พลางส่ายหัว

   “อย่าเปิดเลยครับ”

   “ทำไมครับ ถ้าแพนิคขึ้นมาจะไม่ดีนะ” ผมเลียติ่งหูอ่อนของเขาอย่างหลงใหล “เปิดเถอะ อยากเห็นหน้า”

   “ไม่ครับ มันน่าอาย”

   ผมเอียงคอก่อนจะจัดการถลกเสื้อยืดของเขาให้พ้นคออย่างรวดเร็ว ข้าวปั้นร้องลั่น ผมหัวเราะ ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไร?

   “อายทำไม”

   “ผมไม่ใช่ผู้หญิง... มันไม่มีอะไรน่าดูสักหน่อย”

   ผมใช้แสงไฟที่ส่องผ่านเข้ามาเพียงน้อยนิดในการสังเกตร่างเปลือยท่อนบนตรงหน้า ไม่ว่ายังไง... เขาก็ดูเซ็กซี่น่ารักในสายตาผม โดยเฉพาะยอดอกสีอ่อนกับเอวบางๆ นั่นที่ผมเรียกได้ว่าเพ้อหาตั้งแต่มีอะไรกันครั้งแรก

   “ข้าวปั้น เฮียอยากดูเพราะเป็นปั้นนะครับเด็กดี”

   ผมโน้มหน้าลงไปตวัดลิ้นชิมยอดอกสีอ่อนน่ารัก มือข้างหนึ่งประคองหลังที่เอนหนีไว้ให้มั่น อีกข้างเผลอไผลไปลูบแถวๆ หน้าท้องที่หดเกร็งแล้วลามลงไปพาดผ่านส่วนน่ารักที่กำลังตื่นตัวจนแข็งขืน

   ไฟติดง่ายเหมือนเคยเลยเด็กน้อย...

   “ฮื่อ... หมอครับ”

   “เรียกเฮียสิครับปั้น”

   ผมอู้อี้อยู่แถวๆ แผ่นอกเล็กที่สะท้อนขึ้นลง มือใหญ่ค่อยๆ กอบกุมร่างกายร้อนผ่าวผ่านกางเกงผ้า ขยับมือตามความยาวเบาๆ ก่อนใช้ฝ่ามือไล้วนแถวบริเวณส่วนปลายที่เริ่มจะซึมชื้น เสียงหอบหายใจทำให้ผมดันร่างเล็กให้เอนลงราบกับฟูกนุ่ม เคลื่อนใบหน้ามาจูบที่ริมฝีปากอ่อนอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเป็นฝ่ายรุกเร้าบดขยี้จนคิดว่าพรุ่งนี้ปากข้าวปั้นต้องบวมเจ่อแน่นอน ร่างด้านใต้ร้องประท้วงเมื่อผมยังไม่เลิกลูบไล้เขาผ่านเนื้อผ้า

   “ร้อนมากเลยนะครับ อยากออกมาแล้วล่ะสิ”

   ผมหัวเราะในคอ ข้าวปั้นทำหน้าไม่พอใจกับการแซว ก่อนจะหลับตาอายเพราะผมชันเข่านั่งควบร่างเขาไว้โดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปก่อนจะสอดมือรั้งขอบกางเกงนอนเขาออก จนส่วนที่ชูชันจนดันเนื้อผ้าออกมาเป็นอิสระ ข้าวปั้นพลิกตัวหนีแต่ผมกดเอวเขาไว้ จ้องมองส่วนสวยงามน่าหลงใหลที่แดงก่ำผงาดขูชันท้าสายตาจนคนโดนจ้องต้องเอามือปิดไว้

   “ยะ... อย่ามอง”

   “สีสวยจะตาย”

   ผมเริ่มใช้คำพูดโลมเล้าเขา จัดการรวบข้อมือบางทั้งสองข้างให้ยกขึ้นไม่ให้บดบังทัศนียภาพตรงหน้า ผมกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยากับผู้ชายตรงหน้าขนาดนี้...

   ผมจัดการถอดกางเกงเขาให้พ้นขา ตอนนี้ร่างตรงหน้าเปล่าเปลือยโดยสมบูรณ์ เมื่อปิดความน่าอายให้พ้นสายตาผมไม่ได้ ข้าวปั้นจึงเลือกที่จะปิดหน้าตัวเองหนีความอายแทน น่ารักเกินไปแล้วพ่อหนุ่มน้อย...

   ผมสอดตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างขาเขาให้แหกกว้าง ผมเห็นนะว่าเขาแอบมองผมผ่านช่องว่างของนิ้วที่ถูกอ้าออกอย่างจงใจ... ทำไมครับ อยากรู้เหรอว่าผมจะทำอะไรต่อไป

   ผมสอดมือเข้าไปใต้บั้นท้ายทุ่มเล็กๆ นั่นแล้วยกขึ้นจนตัวลอยมาวางบนหน้าขา ข้าวปั้นร้องเบาๆ อย่างตกใจ ยิ่งเมื่อปลายนิ้วของผมเริ่มขยับสอดผ่านแก้มก้นนุ่มที่ถูกบังคับให้อ้าออกด้วยมือของผม ปลายนิ้วกลางลูบไล้เบาๆ ที่ปากทางแคบ...

   “ข้าวปั้น ขอโทษนะครับ ช่วยหยิบของที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงให้หน่อยได้มั้ย”

   ผมลืมหยิบ..

   ข้าวปั้นกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะกวาดมือไปแถวๆ โต๊ะหัวเตียง แม้ห้องนี้จะไม่ได้เปิดไฟ แต่แสงที่สอดผ่านเข้ามาก็สว่างพอจะเห็นอะไรต่ออะไรได้ชัดเจนเมื่อสายตาปรับสภาพแล้ว

   “ขวด?”

   “ครับ”

   เขายื่นสิ่งนั้นให้ผม ผมจัดการรับมาเปิดฝา เทของเหลวนั่นลงฝ่ามือจนชุ่มก่อนจะค่อยๆ สอดมือกลับเข้าไปที่เดิม ข้าวปั้นสะดุ้งโหยงกับความเย็นของเจลหล่อลื่น ผมอยากเห็นปฏิกิริยาเขาชัดๆ... ขอเปิดไฟอีกรอบได้มั้ย รู้งี้ไม่แกล้งเขาแต่แรกก็ดี

   “หมอครับ... โอ๊ะ...”

   ข้าวปั้นจับข้อมือผมไว้เมื่อผมเริ่มใช้นิ้วกลางสอดเข้าไปในช่องทางคับแคบ ผมหายใจหนักๆ ดันต้นขาเขาให้ชันขึ้นสูงเพื่อเปิดทางให้ผมขยับนิ้วง่ายขึ้น คับแน่นแต่มันนุ่มและเคลียร์มาก... เหมือนกับว่า....

   “ข้าวปั้น... เตรียมเองมาก่อนแล้วเหรอครับ?”

   ผมฉงน ก่อนจะใจเต้นแรงเมื่อเขาปิดหน้าตัวเอง ผมไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจ ถึงขั้นเตรียมตัวมาด้วย... ผมไม่รังเกียจหรอกถ้าเขาจะให้ผมช่วยเตรียมให้ มิน่า... วันนี้อาบนานเชียว

   ผมยิ้มกว้าง ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไป ร่างตรงหน้าสั่นสะท้าน คว้าหมอนมากอดแน่น ผมว่าเขาคงใช้แค่นิ้วเล็กๆ ของเขานั่นแหละ เพราะดูจากอาการ... อา... ผมตื่นเต้นจนอยากใส่เข้าไปแล้วสิ...

   ผมโน้มตัวลงไปทั้งๆ ที่นิ้วยังอยู่ในตัวเขาหนึ่งนิ้ว ค่อยๆ ทำให้ชินดีกว่า ผมไม่รีบ พรุ่งนี้ไม่มีขึ้นเวรเช้า เตรียมให้เขาชั่วโมงนึงผมก็ทำได้ ผมกระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงหลงใหลและแหบพร่าด้วยอารมณ์ขณะที่คนเขินอายเอาหมอนปิดหน้าแน่น

   “ข้าวปั้นครับ เฮียจะทำช้าๆ นะครับ”

   คนตัวเล็กที่ร่างสั่นไม่ไหวแล้วผงกหัวรับ

   “สัญญาจะไม่เจ็บเหมือนคราวที่แล้ว จริงๆ ครับ”

   “อ๊ะ...”



อุ๊ปส์ น้อนเสร็จเฮียหมอซะแล้ว งานนี้ปั้นสิบก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วจ้า
ถามว่ามีต่อมั้ย?
ตอบเลยว่ามาก... 555

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
 :z10:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่19(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 26-11-2019 20:54:39
หลอกเด็กอีกแล้วนะเฮียหมอ อิอิอิ
เดี๋ยวบอกปั้นสิบมากวนซะเลย
 :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่19(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 27-11-2019 05:09:25
อู้ววววว ในที่สุด ^^
//หวังว่าหมอวาริศนี่คงไม่ได้มาตามราวีน้องข้าวปั้นนะครับ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่19(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 27-11-2019 05:15:43
หมอเจ้าเล่ห์
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่19(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-11-2019 09:55:51
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่19(26/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 27-11-2019 23:39:32
ชั่วโมงบินหมอสูงมาก ไปไหนไม่รอดแน่ข้าวปั้น,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่20(28/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 28-11-2019 21:31:08
Chapter – 20
ข้าวปั้นครับ มาละลายพฤติกรรมกันหน่อย


   เจลหล่อลื่นหมดไปเกือบครึ่งขวด ผมรวบข้อพับขาของเขาทั้งสองข้างด้วยมือข้างเดียวแล้วดันขึ้นเปิดช่องทางสวยให้เห็นชัด นิ้วกลางขยับสอดเข้าออกเป็นจังหวะ เมื่อเส้นทางนุ่มเริ่มคลาย ผมก็ตามด้วยนิ้วที่สองและสามอย่างใจเย็น โดยมีร่างสั่นๆ กอดหมอนครางในลำคอเมื่อปลายนิ้วของผมไปสะกิดที่จุดกระสันภายในอย่างรู้งาน

   ผมโน้มหน้าลงไปจูบตามน่องที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ลากไล้ปลายลิ้นตามเรียวขามาจนถึงปลายเท้า ผมจูบเท้าเขาพลางแลบเลียแผ่วเบา ทำให้คนที่กำลังสับสนรีบชักเท้าออกเมื่อสัมผัสได้ถึงการกระทำประหลาด

   “หมอ... ทำอะไรน่ะ อื้อ... อ๊ะ ตรง... ตรงนั้นมัน...”

   ผมขยับนิ้วเร็วขึ้น ขยับขยายช่องทางสีสวยจนผมคิดว่าน่าจะพอให้ร่างกายของผมเข้าไปได้แล้ว กลางลำตัวน่ารักของเขาบวมแดงและเหยียดชันจนน้ำสีขาวขุ่นหยดแหมะลงบนหน้าท้องราบเรียบ

   “อา... ให้ช่วยก่อนดีมั้ย”

   ผมปล่อยขาเขาแล้วเปลี่ยนมาจับมันพาดบ่า ยกสะโพกสวยลอยขึ้น มือร้อนชื้นของผมขยับกอบกุมเอ็นเนื้อแข็งเกร็งของเขาไว้พลางชักนำอย่างใจเย็น จนข้าวปั้นต้องรีบเร่งให้ผมขยับมือเร็วขึ้นเพราะเขากำลังจะเสร็จ ผมครางเสียงต่ำในลำคอ ดึงหมอนที่เขากอดออกให้พ้นทาง ก่อนจะโน้มตัวไปจูบเขา ละมือไปเพื่อเปิดโคมไฟ ข้าวปั้นหลับตาปี๋ก่อนจะร้องว่า

   “ปะ... เปิดทำไมครับ ปะ... ปิดเถอะ ผมอาย”

   ผมมองร่างที่เคยขาวซีดตอนนี้แดงก่ำเป็นมะเขือเทศ ผมจับเขาให้ลุกขึ้นมานั่งก่อนจะจับมือเขาให้มาช่วยผมแกะกระดุมเสื้อนอน

   “มือเฮียไม่ว่าง ข้าวปั้นทำแทนให้หน่อย”

   “เอ๊ะ... อ๊า... อ๊ะ... ผม...”

   มือเล็กวางสั่นๆ อยู่บนอกเสื้อ ผมสอดนิ้วเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้จับให้เขาชันเข่าโน้มมาพิงอกไว้แล้วอ้อมมือไปเล่นกับด้านหลังเขาเพื่อกระตุ้นให้คุ้นเคยอีกครั้ง ข้าวปั้นยอมช่วยถอดเสื้อผมออกด้วยความทุลักทุเลจนกระทั่งเสื้อนอนหลุดไปกองบนพื้น ผมเหยียดตัวชันร่างขึ้น สั่งให้เขาเอาซองถุงยางอนามัยที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเดิมให้ ตอนนี้ร่างกายของผมเริ่มขยับขยายแล้วแต่ยังไม่สุดดี แน่นอนว่าครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้เขานอนนิ่งๆ ครั้งแรกที่เราสองคนรู้ตัวดีมันจะต้องเป็นความทรงจำที่เขาต้องรู้สึกดีกว่าครั้งก่อน

   “มาละลายพฤติกรรมกันหน่อยครับ”

   ผมกดจูบที่กกหูเขาก่อนยิ้มให้คนขี้อาย จับมือเขาให้สอดลงไปในกางเกงนอนของผม ใช้ฟันฉีกซองถุงยางอนามัยออก  เพราะมือข้างหนึ่งยังคงทำหน้าที่ของมันไป เอาให้แน่ว่าครั้งนี้ต่อให้เขาจะเจ็บแต่จะต้องไม่เจ็บมาก

   ผมจ้องหน้าเขาด้วยนัยน์ตากระหาย แสงสีเหลืองจากโคมไฟทำให้ผมเห็นหน้าเขาชัดเจนยิ่งขึ้น ข้าวปั้นกัดริมฝีปากตัวเอง มือที่ถูกจับให้สอดลงไปใต้กางเกงเริ่มรู้งาน เขากอบกุมท่อนเนื้อร้อนแล้วควักมันออกมาให้โผล่พ้นกางเกง ผมเอียงคอมองเขาที่ก้มมองขนาดของสิ่งที่อยู่แล้วมีแล้วเบิกตาโพล่ง

   “มะ มะ มะ หมอ... เดี๋ยวนะ มันจะเข้าไปได้ยังไงครับเนี่ย”

   ผมมองต่ำพลางกลืนน้ำลายเอือก รับรู้ได้เลยว่าเขาเริ่มกลัวจนเกร็งตอดนิ้วผมจนขยับได้ยาก ผมสูดลงหายใจแล้วคลอเคลียซอกคอขาว

   “มันจะได้ครับ”

   ผมถอนมือออก จัดกางถอดกางเกงนอนอย่างรวดเร็วแล้วกลับมานั่งหันหลังพิงพนักเตียง ผมดึงคนที่มองกล้ามหน้าท้องผมสลับไปมากับส่วนที่ต่ำกว่าที่กำลังผงาดแข่งกับเขาให้เข้ามานั่งตรงกลาง จับมือเขาให้มากอบกุมเอ็นร้อนไว้พลางชักนำให้ขยับเช่นเดียวกับผมที่ทำให้เขา จนร่างกายผมแข็งขืนเกือบเต็มที่ ผมจัดการสวมถุงยางอนามัยแล้วชโลมเจลหล่อลื่นจนชุ่ม ขณะที่ริมฝีปากยังคงนัวเนียอยู่กับริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อ เขาเริ่มเคลิ้มไปกับการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผม... เริ่มไม่อยากทนเท่าไหร่แล้ว

   ผมรวบร่างบางมาจับพลิกให้นอนลง บังคับเขาให้เอาแขนเกาะคอผมไว้ ในขณะที่ยกเอาขาเรียวพาดบ่า ข้าวปั้นน้ำตาคลอเบ้า ปากสั่นพั่บๆ จนผมอดที่จะก้มลงไปขบริมฝีปากบวมๆ นั่นไม่ได้ ส่งยิ้มให้อย่างปลอบโยน

   “ถ้าเจ็บมากๆ ให้บอกนะ”

   ย้ำ... ว่ามากๆ...

   “อื้อ...”

   ผมจับท่อนเนื้อร้อนที่ชโลมเจลไว้จนชุ่ม บีบเจลส่วนที่เหลือเข้าไปในปากทางให้มากพอที่ผมจะกดสอดเข้าไปได้

   “โอ๊ะ.. หมอ... อื้อ...”

   “ข้าวปั้นครับ”

   ผมลูบหัวเขาเพื่อปลอบประโลม ก่อนจะกอบกุมท่อนเนื้อของเขาไว้แล้วรูดรั้งเบี่ยงเบนความสนใจ ขณะที่กดสะโพกดันส่วนหัวเข้าไปในช่องแคบที่ลื่นแต่ก็ยังคงคับแน่น ค่อยๆ กดแล้วถอนออกช้าๆ เพื่อให้คุ้นชิน ใต้ร่างผวาคว้าคอผมไว้พลางครางเสียงกระเส่า ร้องเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว

   “เฮียคิน... อื้อ...”

   “อย่าเกร็งนะคนเก่ง ให้เฮียเข้าไปอีกนิด อืม... อย่างนั้นครับ ดีแล้ว...”

   ผมสอดเข้าไปจนสุด มันไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ได้ง่าย แช่ตัวทิ้งไว้ให้คนถูกกระทำคุ้นเคย ข้าวปั้นสะอื้นเบาๆ เมื่อผมเห็นว่าเขาเริ่มสงบจึงค่อยๆ ขยับตัวออกแล้วสอดกลับเข้าไปใหม่จนร่างเล็กซี้ดปาก ครางแผ่ว ผมพยายามดันต้นขาเขาให้ชิดอกเพื่อเปิดช่องทางแคบให้กว้างขึ้น เร่งจังหวะขยับโดยพยายามมองสีหน้าของเขาไปด้วย

   สีหน้าดูทรมาน... แต่เสียงครางมันย้อนแย้ง...

   “อา... ปั้น... ขอขยับหน่อยนะ”

   “หมอ... อ๊า อ๊า... มัน... มันโดนอะไรก็ไม่รู้”

   ตาเขาพร่าไปด้วยม่านน้ำตา ริมฝีปากถูกขบเม้มกลั้นเสียง เขาระบายความรู้สึกผ่านแผ่นหลังผมจนรู้สึกแสบๆ คันๆ

   “หึ... บอกแล้วไงครับว่าให้ตัดเล็บบ้าง”

   “งื้อ... อ๊ะ... ผม... หมออย่าเร็ว... ปั้น... ปั้นเหมือนจะ...”

   ผมสอดใส่เป็นจังหวะที่เร็วขึ้นจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน เขาไม่ได้รัดแน่นจนขยับลำบากเหมือนครั้งแรก สีหน้าก็ดูจะเคลิ้มจนล่องลอย ผมใช้นิ้วขยี้เล่นกับยอดอกที่แข็งเป็นไตอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะเคล้นคลึงหน้าอกแบนราบอย่างเคยชิน ปลายลิ้นตวัดชิมหาความหวานแล้วดูดดึงจนร่างบางแอ่นอกตาม

   “ข้าวปั้น... อื้อ...รัดจริงที่รัก... ดีมั้ยครับ”

   ผมยืดตัว จับท่อนขาเรียวยกแยกออกแล้วควงบดสะโพกจนโดนจุดกระสันที่ทำให้คนตัวเล็กร้องไม่เป็นศัพท์  เขาพยายามกลั้นสิ่งที่จะออกมา แต่สุดท้ายผมส่งเขาไปถึงฝั่งได้หนึ่งครั้ง  น้ำสีขาวขุ่นพุ่งทะลักออกมาจนเปรอะหน้าท้องลามไปถึงอก ผมเบาจังหวะลงก่อนจะค่อยๆ  ถอนกายออกมา แน่นอนว่ามันไม่จบแค่นี้หรอก

   ผมจับร่างอ่อนแรงพลิกคว่ำ รั้งสะโพกให้ลอยเด่น พลางเอาหมอนสอดรองไว้ใต้ตัวเขา ข้าวปั้นครางฮือเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เขากอดหมอนใบใหญ่กว่าตัวไว้แน่นก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อเจลเย็นๆ ถูกปาดลงมาอีกครั้งเพื่อเพิ่มความลื่น ผมคำรามเสียงต่ำเมื่อเห็นจังหวะขมิบของช่องทางแดงก่ำ  ก่อนสอดกระแทกเข้าไปจนร่างทั้งร่างสะดุ้งเกร็ง ผมชักนำให้เขาเคลิ้มตามอีกครั้งด้วยมือจนสิ่งที่เพิ่งจะห่อเหี่ยวจากการถูกปลดปล่อยเริ่มแข็งขันขึ้นมาสู้

   สะโพกสอบขยับเข้าออกตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาแต่ใจจนร่างเล็กคลอนด้วยแรงกระแทก ไหล่บางช้ำรอยมือของผมที่จับเขาไว้ ผมหน้ามืดตามัวบดอัดหน้าท้องที่เกร็งแข็งจนเป็นลอน ปากคร่ำครวญชื่อเขาจนคนที่ถูกกระแทกรัวๆ เริ่มเอามืออ้อมมาจับข้อมือผมที่ยึดสะโพกเขาไว้แน่น

   “เบาครับ... หมอ”

   เสียงเขากระท่อนกระแท่นปนสะอื้น ผมเริ่มผ่อนจังหวะ ข้าวปั้นเบือนหน้ามามองด้วยสีหน้าเหยเก

   “เจ็บรึเปล่า...” ผมถอนร่างออก ก่อนจะพลิกขาเรียวให้ตะแคงแยก ยกข้างหนึ่งพาดบ่า เปิดเปลือยเสียจนคนที่อยู่ในท่ากึ่งคว่ำกึ่งตะแคงหน้าแดงก่ำ

   “มะ...ไม่ แต่... ช้าๆ หน่อยครับ”

   ผมหัวเราะ ชันตัวสอดท่อนเนื้อที่แข็งเต็มที่พร้อมปลดปล่อยเข้าไป ข้าวปั้นคงรู้ได้ว่าขนาดมันขยายขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาผงกหัวขึ้นมามองสิ่งสอดแทรกเข้าไปด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว หอบหายใจถี่ๆ ผมกระตุกยิ้มให้กับความอยากรู้อยากเห็นแล้วกระแทกเข้าไปจนข้าวปั้นตีแขนผมแรงๆ

   “บอกว่าให้เบาไงหมอ!”   

   “ขอโทษครับ  เห็นสีหน้าแล้วอดไม่ไหว” ผมเลียท่อนขาของเขาที่พาดบ่าอยู่ พลางขบกัดจนเป็นรอย

   “อื้อ... อา...อ๊า หมอ... จะ... จะเสร็จ... มะ... ไม่ไหว ไม่...”

   เขาซบหน้าลงกับหมอน ปล่อยร่างกายท่อนล่างให้เป็นของผม ผมเร่งจังหวะจนในที่สุด เขาก็เสร็จเป็นรอบที่สอง บดกระแทกอีกไม่กี่ครั้ง ผมก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมเสียงครางต่ำอย่างสมใจ

   ร่างบางอ่อนเปลี้ย ผมจัดการถอนร่างออกมาแล้วดึงถุงยางออก โยนมันทิ้งที่ถังขยะข้างเตียง ก่อนจะหยิบซองใหม่มาฉีก ข้าวปั้นได้ยินเสียงฉีกซองถึงกับหันขวับมาถลึงตาใส่ผมที่ทำหน้าแบ๊วไม่รู้ไม่ชี้

   “ทะ... ทำอะไรน่ะครับ ปั้น ปั้นเหนื่อยแล้ว...”

   “เสียใจครับ” ผมยิ้มหวานให้ แต่ข้าวปั้นคงเห็นว่าเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดในโลก ร่างผมควบทับร่างที่พยายามกระถดหนี หัวเราะเสียงเข้ม

   “ละลายพฤติกรรมแค่ครั้งเดียวมันไม่มีประโยชน์นะครับ ของแบบนี้ต้องทำซ้ำและนำไปใช้ด้วย”

   “ทฤษฎีบ้าอะไรน่ะหมอ! ... อื้อ...”



   ข้าวปั้นหลับไปแล้ว...

   ผมนั่งพิงพนักเตียง ผ้านวมผืนหนาถูกห่มคลุมร่างที่เต็มไปด้วยรอยจูบจนแดงไปทั้งตัว ผมเท้าแขนกับพนักเตียง มองดวงหน้าที่ซุกหมอนใบใหญ่อย่างหมดเรี่ยวแรงหลังจากผมเสร็จสมภารกิจไปสองรอบ ส่วนเขาสี่รอบจนร้องอ้อนวอนให้พอไม่อย่างนั้นเขาจะประท้วงหนีกลับห้องเดี๋ยวนี้ ผมถึงยอมให้เขานอนแต่โดยดี

   ก่อนเขาจะหลับ ผมลุกไปหยิบผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดเนื้อเช็ดตัวที่เปรอะคราบอะไรต่อมิอะไรจนผมรู้สึกว่าไม่เหนียวตัวแล้วจึงจัดการห่มผ้าให้แล้วเข้าไปอาบน้ำก่อนจะกลับมานั่งพิงพนักเตียงลูบผมเขาอยู่แบบนี้มาสิบกว่านาทีแล้ว ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าการมีอะไรกับคนๆ นึงด้วยความรู้สึกรักมันเป็นยังไง วันนี้พึ่งได้รู้

   เราทั้งสองคนไม่มีอะไรที่ทำให้น่าจะรักกัน ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าการที่มนุษย์จะสามารถรู้สึกผูกพันกันได้ อย่างน้อยต้องผ่านความทุกข์มาด้วยกัน...

   แต่สำหรับผม ข้าวปั้นคือความสุข

   เขาไม่ต้องทำอะไรเลย ผมก็รักเขา รักที่เขาเป็นเขา

   พรหมลิขิต... มันออกจะดูน้ำเน่าไปหน่อย แต่ผมคิดว่าเอามาใช้อ้างอิงน่าจะได้

   ก่อนที่จะเริ่มคบกัน ผมเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความชอบหรือความหลงใหลแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แต่เมื่อได้เริ่มคบ รู้จักตัวตนของเขา สิ่งที่ทำให้ผมอยากอยู่กับเขาให้นานๆ คงเป็นเพราะความสบายใจ

   ผมเคยมีแฟน... แน่นอนครับ ก่อนหน้าจะคบข้าวปั้น ผมก็เป็นผู้ชายทั่วไป มีรักมีเลิกเป็นปกติธรรมดา ถ้าหากคบกับใครผมจะไม่เลิกกันด้วยปัญหานอกใจ ผมว่ามันไร้สาระมากถ้าเลิกกันด้วยเรื่องนั้น แต่ส่วนใหญ่การที่ผมเลิกกับแฟนเก่า มักมาจากสาเหตุหลักๆ เลยคือ อีกฝ่ายต้องการเวลาจากผม... และผมไม่มีให้

   เวลาของหมอมีค่ามากครับ ทุกวินาทีของเราคือชีวิตของคน เราเหนื่อยแต่เราก็ยังรักษา มากกว่ายี่สิบชั่วโมงในหนึ่งวันที่เราทุ่มเทให้กับคนไข้ ผมรักอาชีพของผม แต่คนที่คบกับผมไม่ได้รักอาชีพผมด้วย แค่เพียงหน้าตาดีและอาชีพน่าคบหาเท่านั้นที่พวกเธอสนใจ สุดท้ายพวกเธอก็จากไปด้วยเหตุผลที่แทบจะเหมือนกันหมด คือเพราะผมไม่มีเวลา

   ข้าวปั้นแตกต่างออกไป แทนที่เขาจะมาตั้งคำถามว่า ผมหายไปไหน ทำไมไม่ติดต่อ กลับเป็นคำถามง่ายๆ ว่า เหนื่อยไหม ทานอะไรหรือยัง?... นั่นทำให้ผมอยากกลับมาหาเขา มาอยู่ให้เขาถามใกล้ๆ มากกว่า

   “หมอ... ไม่นอนเหรอ ดึกแล้วครับ”

   เขาสะลึมสะลือถามเมื่อลืมตาขึ้นมายังเห็นว่าผมนั่งมองเขาอยู่ ผมใช้นิ้วโป้งลูบไล้แก้มใสเบาๆ ก่อนจะโน้มลงไปจูบ

   “รักนะครับ”

   ข้าวปั้นยิ้มเหมือนอยู่ในความฝัน เอามือผมไม่แนบแก้มหนุนต่างหมอน

   “รักเหมือนกันครับหมอ”

   

   “หมอ... ทำอะไรกับผมเนี่ย!!”

   ผมได้ยินเสียงโวยวายดังมากจากชั้นบน ขณะที่กำลังให้ข้าวปั้นสิบอยู่ สงสัยจะตื่นแล้ว... ผมหันไปมองนาฬิกาที่ชี้เวลาสิบเอ็ดโมง ตอนเช้าผมแวะไปโรงพยาบาลเพื่อราวด์เช้าก่อนจะกลับมาตอนเก้าโมงเพื่อออกกำลังกายตามปกติ จากนั้นก็มาเตรียมอาหารไว้ให้คนที่นอนยังไม่ตื่น ตอนแรกนึกว่าจะสายกว่านี้เสียอีก

   ผมลูบขนปั้นสิบสองสามที มันสะบัดหางใส่แล้วตั้งหน้าตั้งตากินแซลมอนที่ผมสัญญาไว้ แต่ก่อนที่ผมจะเดินขึ้นชั้นสองไปดูว่าคนที่ตื่นสายโวยวายอะไร เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง

   ผมเลิกคิ้วก่อนจะเดินไปที่ประตู ปกติแล้วห้องของผมไม่ต้อนรับแขกที่ไม่ได้นัดเท่าไหร่ ค่อนข้างแปลกใจที่มีคนมากดออด

   ทันทีที่เปิดประตู ผมถึงกับผงะถอย เบิกตากว้างเมื่อมีร่างบางสูงเพรียวราวกับนางแบบโถมตัวเข้ามากอดผมอย่างจัง

   “เซอร์ไพรส์!!”

   ผมดันร่างบางออก ผู้หญิงต่างชาติผมบลอนด์สลวยถูกลอนเป็นคลื่นคล้องคอผมก่อนจะกดจูบลงมาที่แก้มโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว วินาทีเดียวกับที่ข้าวปั้นเดินมาในชุดเสื้อเชิ้ตตัวเดียวด้วยสีหน้าโมโหพร้อมกับเสียงบ่นระงม นิ้วเรียวชี้ไปที่รอบคอตัวเอง

   “หมอ บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าทำรอยๆ ผมไม่อยากใส่คอเต่าทั้งๆ ที่อากาศร้อนเป็นเตาอบหรอกนะ... ครับ”

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

   หันหลังไปเจอสายตาตะลึงของคนรักที่มองสภาพผมกำลังถูกกอดจากผู้หญิงต่างชาติ ส่วนผู้หญิงต่างชาติที่คิดจะมาเซอร์ไพรส์ผมกลับโดนเซอร์ไพรส์ซะเอง สีหน้าของเธอเหมือนเห็นผี

   “Who is he? Darling.”



โอ๊ะโอ... ใครมาน่ะหมอ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่20(28/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-11-2019 22:03:52
มีดราม่าอีกแล้ว ข้าวปั้นกลับไปร้องไห้ก่อน อ้อ อย่าลืมอุ้มปั้นสิบไปด้วย  ส่วนหมอ...ก็หาทางแก้ตัวให้ดีๆ ละกันนะ
 o18 o18
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่20(28/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-11-2019 23:27:53
เอาล่ะสิ หมอไม่เคลียร์ตัวเองก่อนละ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่20(28/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 29-11-2019 04:53:00
คนที่หมอบอกว่าจะไปรับใช่เปล่า​
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่20(28/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 29-11-2019 12:34:11
ใครอ่ะหมอ?
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่20(28/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-11-2019 22:34:40
ไม่รู้ใครจะ surprise กว่ากัน
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่20(28/11/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-11-2019 00:19:48
 :hao4:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 02-12-2019 03:02:28
Chapter – 21
หมอครับ ไปไหนไม่รอด


   ข้าวปั้นตะลึงงัน ผมก็ตกใจกับการใส่เสื้อของเขา สาวต่างชาติก็ช็อคกับสภาพที่เห็น

   “ผม... ผม..”

   “ข้าวปั้นครับ...” ผมเอียงคอมองแล้วชี้ไปที่เสื้อ เขาก้มลงมองสภาพตัวเองแล้วรีบจับชายเสื้อวิ่งกลับขึ้นไปข้างบนทันที ปากตะโกนบอกขอโทษครับๆ ไปด้วย ผมหน้าร้อน... เห็นสภาพนั้นแล้วของมันพาลจะขึ้น

   สาวต่างชาติถอดแว่นตากันแดดออกก่อนจะเอียงตัวมองตามคนที่วิ่งพรวดขึ้นไปบนชั้นสอง ดวงตาสีเขียวเบนกลับมามองผมที่ปั้นหน้านิ่ง รอยยิ้มรู้ทันถูกส่งมาให้ ผมถอนหายใจ เดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางไว้หน้าห้องเข้ามาก่อนปิดประตู เดินนำเข้ามาในห้องพร้อมกับสั่ง

   “อย่าไปแกล้งเขาล่ะ”



   - KaowPun Part -

   ไอ้ปั้น! สภาพแบบนี้มึงกล้าลงไปได้ยังไง แล้ว... แล้ว...

   ผมขมวดคิ้วยุ่ง

   ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร สวย... สูง... ผมยาว... นมโต... โอ สเปคหมอชัดๆ แถม... เขายังกอดกันอีก

   “กูจะแบกหน้าลงไปยังไงวะเนี่ย”

   เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ประมาณสิบนาที ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีแค่เสื้อยืดคอย้วย มันปิดไอ้รอยพวกนี้ไม่มิดแน่ๆ คิดไปคิดมาก็ได้แต่ทำใจแล้วลงไปชั้นล่างโดยใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอปิดไว้

   “ข้าวปั้น มาทานอะไรก่อน”

   หมอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะอาหาร โดยที่ตรงข้ามกันคือสาวต่างชาติที่นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ เธอเหลือบมองมาทางผมก่อนจะยิ้มมุมปาก วางถ้วยกาแฟลงทักทายผม

   “Hi”

   “H… Hi…” ผมเดินตัวลีบๆ ไปนั่งลงข้างๆ หมอ เขาวางหนังสือพิมพ์ลง มองหน้าผมที่จ้องเขาด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม ทำไมหมอไม่พูดอะไรเลยวะ? หมอเห็นสายตาผมมั้ย?

   เขาเลิกคิ้ว ยังไม่ยอมพูดอะไร จนสาวต่างชาติเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง

   “My name’s Rilyn. I come from America. What’s your name?”

   “มะ... My name’s Kaowpun.”

   “Hummm Kaowpun… what are you with Akin?”

   เธอถามมาแบบนี้... ผมยิ่งกระอักกระอวนเข้าไปอีก หมอก็ทำหูดับ แต่ยังมีแอบเหลือบมองผมเหมือนรอให้ผมตอบเอง นี่หมอจะไม่ตอบจริงๆ ใช่มั้ย ผมสะกิดขาหมอยิกๆ เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้สึก ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ

   เอาวะ... ถ้าเขาคิดจะแกล้งผมแบบนี้ ก็ได้...

   “I’m his brother.”

   “น้องชายอะไรข้าวปั้น”

   หมอวางแก้ว หันมาทำหน้าดุใส่ ผมจึงหันกลับไปทำหน้าบึ้งกลับบ้าง

   “จะให้ผมตอบไงล่ะ”

   “บอกไปสิว่า I’m his boyfriend”

   “หมอ!”

   ผมทำหน้าเลิ่กลั่ก มองหน้าสาวต่างชาติที่ทำหน้าอึ้งไป ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นใคร จะให้ประกาศโจ่งครึ่มแบบนั้นได้ไงกันเล่า หมอกระตุกยิ้ม ก่อนที่คนที่รวมหัวกันแกล้งผมจะหัวเราะลั่น สาวต่างชาติหุ่นนางแบบสเปคหมอส่งยิ้มใจดีมาให้

   “หยุดแกล้งเขาได้แล้วค่ะพี่หมอ”

   คุณริลินพูดไทยชัดแจ๋วขัดกับหน้าตาฝรั่งจ๋ามาก หมอยกมือมาขยี้หัวผมจากด้านหลังก่อนจะแนะนำสาวตรงหน้า

   “ข้าวปั้นครับ นี่ริลิน น้องสาวของเฮีย เธอเกิดและโตที่อเมริกา เพิ่งเคยมาไทยครั้งแรก”

   “เราอายุเท่าข้าวปั้นเลย เป็นสถาปนิก มาไทยเพื่อเที่ยวแล้วก็ทำวิจัยงานสถาปัตยกรรมของเอเชียน่ะ”

   “สวัสดีครับ ผมทำงานด้านแอนิเมชันครับ”

   ผมทักทายกลับ จากนั้นก็กลายเป็นการสนทนาไปเรื่อยเปื่อย ริลินเป็นสาวอเมริกันอารมณ์ดี

   หมอบอกว่าเขากะจะไปรับริลินตอนเย็นพร้อมกับผม ไม่นึกว่าเธอจะโผล่มาเซอร์ไพรส์แบบนี้ แถมหมอก็ไม่เคยให้ที่อยู่ไว้  ไม่รู้เหมือนกันว่าริลินไปรู้มาจากไหน และอีกเรื่องที่ผมรู้เกี่ยวกับหมอ คือริลินกับหมอเป็นลูกต่างพ่อกัน จะว่าไป... ผมแทบไม่รู้เรื่องครอบครัวของหมอเลย

   “เฮียจะแวะเข้าโรงพยาบาลไปราวด์เย็น ไปด้วยกันนะ เสร็จแล้วจะพาไปทานข้าวข้างนอกด้วย ถือว่าเลี้ยงต้อนรับลิน” หมอถามขณะที่เขากำลังจะใส่สูท ผมจึงเดินไปช่วยเขาใส่

   “เอ่อ... ผม ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”

   ผมมองหน้าริลินที่นั่งอยู่บนโซฟามองมาทางผมสองคนด้วยสายตาหยอกล้อ

   “ไปด้วยกันสิข้าวปั้น เราอยากลองไปดูโรงพยาบาลที่พี่หมอทำงานอยู่เหมือนกัน ถ้าเราไปคนเดียวเราเหงา”

   ผมทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง

   กลัวจะได้เจอคนที่ไม่อยากเจอเข้าน่ะสิ

   หลังจากผมขอตัวลงไปเปลี่ยนเป็นเสื้อคอเต่าเสร็จ เราสามคนพากันเดินลงมาที่ลานจอดรถ ผมลังเลว่าตัวเองควรนั่งตรงไหน จะนั่งหน้าก็เกรงใจริลิน งั้นขอระเห็จตัวเองไปนั่งหลัง...

   “ทำอะไรน่ะข้าวปั้น” ริลินทำหน้ายุ่งเมื่อเห็นผมเปิดประตูหลัง

   “กะ.. ก็”

   “ที่นั่งด้านหน้า สงวนไว้ให้ตำแหน่งแฟนนะ good boy”

   สถาปนิกสาวขยิบตาให้ ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปนั่งเบาะหลังแทน ผมมองหน้าหมอ เขาเลิกคิ้วแล้วเร่งผมสีหน้าจริงจัง

   “ขึ้นสิครับ คุณแฟน”

   “หมอ”

   ผมทำเสียงดุ อย่าล้อผมสิ

   

   “รออยู่ห้องนี้ก่อนนะ ประมาณชั่วโมงนึงน่าจะเสร็จ”

   หมอพาผมกับริลินมารอที่ห้องพักแพทย์ส่วนตัวของเขา หมอจัดการสวมเสื้อกาวน์เตรียมราวด์เย็น จากนั้นก็ออกไปคุยกับพยาบาล ส่วนพวกผมก็นั่งเล่นรอที่นี่ นึกว่าจะได้อยู่อย่างสงบ จู่ๆ ประตูห้องพักแพทย์ก็เปิดเข้ามาโดยที่ไม่มีการขออนุญาต

   ผมคาดหวังว่าจะไม่ใช่คนที่ผมไม่อยากเจอ

   แต่เหมือนแต้มบุญผมจะน้อย...

   “อ้าว... พี่หมออคินไม่อยู่แฮะ”

   ผมที่นั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟาข้างๆ ริลินที่นั่งไถไอแพดอยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองผู้ที่เข้ามาใหม่ ร่างเพรียวในชุดเสื้อกาวน์หมอเลิกคิ้วแปลกใจกับบุคคลแปลกหน้าในห้องทั้งสองคน ก่อนจะขยับยิ้มเย็น เข้ามาในห้องเต็มตัว ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นเหมือนไม่รู้จะทำตัวยังไง ส่วนริลินมองหน้าคนเข้ามาใหม่แบบงงๆ

   “สวัสดีครับ แขกของหมออคินเหรอครับ”

   หมอวาริศทำเหมือนไม่รู้จักผม ริลินแตะมือผมก่อนเอ่ยถาม

   “ใครเหรอ?”

   ผมไม่รู้จะตอบยังไง จะให้บอกว่าเป็นคู่ขาเก่าของหมอมันก็ดูจะแหม่งๆ ผมเลยเลือกที่จะเงียบแล้วทำหน้าปั้นยาก

   “ผม วาริศ เป็นหมอวิสัญญี รุ่นน้องของพี่อคินครับ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณเป็นใครเหรอครับ”

   หมอวาริศยื่นมือมาให้ริลินที่ลุกขึ้นจับมือเขาตอบตามมารยาท

   “ริลินค่ะ เป็นน้องสาวพี่คิน”

   “น้องสาว? ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหมออคินมีน้องสาวด้วย รู้แค่ว่าเขามีพี่ชายกับพี่สาว” หมอวาริศยิ้มเป็นมิตร

   “ฉันเกิดและโตที่อเมริกาค่ะ ไม่แปลกที่จะไม่รู้ พี่คินคงไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังเท่าไหร่”

   ผมเริ่มทำหน้าแปลกๆ กับบทสนทนา... หมอวาริศเขามองข้ามหัวผมอีกแล้ว

   “น่าแปลกนะครับ ผมว่าผมก็สนิทสนมกับหมออคินในระดับหนึ่งเลย”

   เจ้าของผมสีน้ำตาลปล่อยมือที่จับออกช้าๆ เขาเหลือบตามองผม ด้วยแววตาที่ผมรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย

   “อา... ลืมทักทายไปเลย เหมือนเราจะเคยเจอกันแล้วสองสามครั้ง ผมยังไม่เคยถามชื่อคุณเลย”

   ในที่สุดเขาก็เห็นหัวผมเสียที ผมยิ้มให้อย่างมีมารยาท

   “สวัสดีครับ ข้าวปั้นครับ”

   เขาผงกหัวตอบรับ

   “วันนั้นคุณคงตกใจแย่ เป็นไงบ้างครับ ความสัมพันธ์กับพี่หมออคินไปได้ด้วยดีมั้ย”

   เอ... ไอ้ประโยคแบบนั้นผมควรตีความไปว่ายังไงได้บ้างนะ ผมจึงทำเป็นใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้ไปซะ

   “ก็เรื่อยๆ ครับ”

   “หมอวาริศรู้จักกับข้าวปั้นมาก่อนเหรอคะ บังเอิญจังเลยนะ ตอนนี้ข้าวปั้นเขากำลังคบกับพี่คินอยู่น่ะค่ะ” ริลินจัดการวางระเบิดให้ผมลูกใหญ่ ผมสะกิดแขนเธอยิกๆ สายตาบอกว่า เรื่องนี้ไม่ควรพูดให้คนอื่นเขารู้นะ เรื่องที่ผมคบหมออคินอยู่ ผมไม่คิดว่าหมอจะอยากให้ใครรู้ กลัวภาพลักษณ์เขาจะเสียหาย แต่เหมือนริลินคนนี้จะไม่แคร์ภาพพจน์พี่ชายตัวเองเอาซะเลย

   คุณหมอดมยาขมวดคิ้วแน่น แววตามีทั้งความสงสัย ตกใจ และ.... ไม่ชอบ

   “ออ... เหรอครับ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าหมอจะมี รสนิยม แบบนั้น”

   ผมอยากจะแหมไปให้ถึงดาวเสาร์...

   “ตกใจเหมือนกันเลยค่ะ ปกติเห็นแต่พี่คินควงผู้หญิง แต่ข้าวปั้นน่ารักมาก ฉันที่เป็นน้องสาวยังชอบเลยค่ะ ไม่แปลกที่พี่คินจะชอบ”

   “ลิน...”

   “พี่คินไปราวด์น่ะค่ะ อีกสักเดี๋ยวคงจะกลับมาแล้ว มีธุระอะไรรึเปล่าคะ นั่งรอด้วยกันก่อนมั้ย” ริลินถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้หน้าจะฝรั่งจ๋า แต่การเรียงประโยคภาษาไทยเนี่ยเก่งมากเลย ทำเอาคนไทยอย่างผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปกับคำพูดของริลิน

   “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่แวะเข้ามาคุยเล่นกับพี่หมอเหมือนทุกที” อีกฝ่ายปฏิเสธ “ขอตัวก่อนนะครับ”

   “แล้วเจอกันนะคะ หมอวาริศ”

   คุณหมอร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นเดินล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกไป ทันทีที่ประตูปิดลง ผมถึงกับพ่นลมหายใจออกมา ริลินหันมามองผมที่ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วพูด

   “คนนั้นเคยเป็นคู่ขาพี่หมอใช่มั้ย?”

   “รู้ได้ไง?”

   ผมแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าริลินจะถามแบบนี้ ไหนบอกไม่รู้ว่าพี่ตัวเองก็ชอบผู้ชายด้วยไง... เธอหัวเราะหึ กอดอกกระดิกเท้า

   “แหมข้าวปั้น ดูสายตาของเขาสิ แวบแรกที่เห็นเรา แทบจะจิกจนทะลุ ถ้าเราไม่บอกว่าเป็นน้องสาว คงจิกเรามากกว่านี้ แถมเขายังเมินเธออีก สังคมรอบตัวเรามีแบบนี้เยอะ คนแบบหมอวาริศเข้ามาในชีวิตพี่คินเยอะจะตาย แถมรายนั้นเมื่อก่อนเจ้าชู้เลือกที่ไหน ใครอ่อยมาเก็บเรียบหมดแหละ”

   “แต่เมื่อก่อนหมอไม่ได้ชอบผู้ชายนี่นา”

   “ทุกวันนี้พี่คินก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย เขาแค่ชอบเธอ ข้าวปั้น”

   ริลินหัวเราะ เด็กฝรั่งเขาไม่คิดมากเรื่องนี้กันใช่มั้ยเนี่ย

   “เธอรู้มั้ย เราอยากมาหาพี่คินเพราะเธอเลยนะ” ผมทำหน้าสงสัย ไหนว่ามาดูสถาปัตยกรรมเอเชีย “พี่คินเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดเรื่องตัวเอง แต่จู่ๆ เขาก็ส่งข้อความมาถามเราว่าการคบเพศเดียวกันจะเป็นอะไรมั้ย เราสงสัยเลยคาดคั้น จากนั้นก็ตามมาดูกับตาที่ไทยเนี่ยแหละ”

   “ทะ... ทำไมหมอต้องถามลินเรื่องนั้นอ่ะ” ผมหน้าแดง นี่หมอเอาเรื่องผมไปปรึกษาใครบ้างเนี่ย? โว้ยหมอ!

   “เพราะเราชอบผู้หญิง”

   อา... เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมตกใจ



   “เอ... ร้านกาแฟ ร้านกาแฟ... ชั้นหนึ่งตรงฝั่งตึกบี”

   ผมออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย ก็เลยคิดว่าจะแวะร้านกาแฟซื้ออะไรไปเผื่อริลินกับหมอเสียหน่อย และแล้วก็เจอร้านกาแฟของโรงพยาบาลเสียที แต่ผมชะงักไปเมื่อเห็นว่าหมอที่ควรจะราวด์วอร์ดอยู่หอผู้ป่วยศัลยกรรมกลับมายืนจับมือถือแขนกับคุณหมอสาวหน้าตาดี

   แถมยัง... ยิ้ม

   เฮ้ๆ หมอ

   หันหลังกลับดีมั้ยว้า...

   ‘แถมรายนั้นเมื่อก่อนเจ้าชู้เลือกที่ไหน ใครอ่อยมาเก็บเรียบหมดแหละ’

   ริลิน... เพราะคำพูดเธอเลย

   ผมตัดสินใจเดินตรงไปที่เค้าน์เตอร์ร้านกาแฟ ซึ่งมันต้องผ่านหน้าหมอไปนั่นแหละ ใช่... ผมจงใจเดินผ่านเองแหละ

   “มอคค่าปั่นกับสตอว์เบอรี่มิลเชคครับ”

   ผมสั่งกาแฟให้ริลินกับสตอเบอรี่มิลเชคให้ตัวเองพลางเหลือบมองไปด้านหลัง เห็นหมอกระพริบตาปริบๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือคุณหมอสาวที่ยังพูดโน่นพูดนี่ไม่หยุด ผมถลึงตามองเขาก่อนจะหลุบไปมองที่มือเป็นเชิงว่าบอกว่าให้ ปล่อย

   หมอมองตามสายตาผมก่อนจะหัวเราะในลำคอ ปล่อยมือคุณหมอสาวอย่างเนียนๆ

   “ผมว่าไม่ต้องใส่เฝือกหรอกครับ แค่ซ้นธรรมดา หมอเกดก็พยายามอย่าใช้มือขวาให้มากนะครับ”

   ผมเงี่ยหูฟังบทสนทนาแล้วมุมปากกระตุก

   เวรข้าวปั้น... ปล่อยไก่ออกไปกี่เล้าวะเนี่ย

   “ขอบคุณที่ช่วยค่ะหมอคิน ใจดีไม่เปลี่ยน สามีหมอตอนนี้ก็หายดีแล้วค่ะ ถ้าไม่ได้หมออคินช่วยไว้ตอนไส้ติ่งแตกมีหวังแย่ ขอบคุณมากเลยนะคะ”

   แล้วเธอคนนั้นก็จากไป ปล่อยให้ผมยืนเคี้ยวเอื้องอย่างหมดคำพูด ผมหันตัวกลับไปนั่งรอที่โต๊ะที่ว่าง ไม่กล้าสบตาหมออีกเลย

   “สายตาเมื่อกี้มันอะไรน่ะครับ”

   หมอตามมานั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม ผมหัวเราะแหะๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น

   “เปล่าครับ”

   “หืม? ไม่ธรรมดา มีพัฒนาการ นึกว่าจะมีแค่เฮียที่รู้สึกหวงเราแค่ฝ่ายเดียว”

   ผมหัวเราะฮ่าๆๆ ก่อนจะเดินไปรับเครื่องดื่มที่เค้าน์เตอร์เมื่อพนักงานเรียกคิว ก่อนจะเดินลิ่วๆ กลับห้องพักแพทย์ โดยมีร่างสูงเดินตามมาติดๆ ด้วยรอยยิ้มขำๆ

   ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมีความรู้สึกแบบนี้ อยากตอบเขาไปตามใจปากแบบทุกทีเหลือเกินว่า

   ใช่ครับ ผมหวง

   ขืนพูดไป หมอได้ใจตายชัก เงียบๆ ไว้ดีแล้วข้าวปั้น

   

   หลังจากผ่านมื้อเย็นไป เราก็กลับมาที่ห้องของหมอกัน ตอนแรกผมกะว่าจะกลับไปนอนห้องตัวเอง แต่หมอก็ลากผมกลับมาที่ห้องจนได้ โดยจับปั้นสิบไว้เป็นตัวประกัน ผมกรอกตามองบนก่อนจะยอมตามเขาไป

   เอาน่ะ ใช่ว่าจะได้เจอกันทุกวันเสียเมื่อไหร่

   ริลินนอนห้องชั้นล่างที่เป็นห้องนอนแขก หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมลงมานั่งดูทีวีชั้นล่าง ริลินที่เปลี่ยนเป็นชุดนอนปาจามาสวมแว่นกรอบเงินทรงกลม เดินเช็ดผมเข้ามานั่งข้างผมก่อนจะชวนคุย

   “นี่ เราถามอะไรหน่อยสิ”

   “หืม... อะไรเหรอ”

   “พี่คินใจดีมั้ย?”

   ทำไมเหมือนคำถามนี้เคยได้ยินใครสักคนถามมาก่อนกันนะ... ผมดันแว่นตาตัวเองขึ้นแก้เก้อ เบือนหน้าหนีเล็กน้อย

   “ก็... มั้ง ตอนแรกๆ  ก็ดุ แต่หมอก็คอยช่วยเหลือตลอด เราเคยเป็นคนไข้ของหมอน่ะ”

   “เหรอ เหมือนในซีรี่ย์เลย” ริลินหัวเราะ “แล้วไม่กลัวพี่หมอเจ้าชู้เหรอ รายนั้นมองเผินๆ นิ่งๆ สุขุมนะ แต่จริงๆ ร้ายลึก”

   นี่ขายพี่ตัวเองอยู่ใช่มั้ย? แต่พอมาลองทบทวนแล้ว มันก็จริง... ทำไมผมถึงไม่กลัวว่าเขานอกใจกันนะ

   “ก็ไม่ถึงกับกลัวหรอก ระแวงมันก็มีบ้าง เพราะหมอเองก็ไม่ได้ชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรก แถมรอบตัวเขาสาวสวยก็เยอะจนผมคิดว่าผมไม่น่าจะอยู่ในข่ายคนที่เขาจะมารู้สึกอะไรด้วยเลย”

   “งี้นี่เอง” สาวอเมริกันผงกหัวหงึกหงัก “ก็จริงนะ ตอนที่เขาไม่มีแฟน เขาก็เละเทะพอควร แต่ถ้าเขามีแฟน เขาจะไม่นอกใจเด็ดขาด เขาบอกว่า ถ้าจะเอาเวลาไปนอกใจ สู้เอาเวลาไปนอนดีกว่า”

   “หมอว่างั้นเหรอ”

   ผมขำ แต่ก็จริง เขามาหาผมทีไร ไม่หลับก็สัปหงกทุกที

   “เพราะฉะนั้นเรื่องนอกใจข้าวปั้นหายห่วงนะ  รายนั้นน่ะ ถ้ามีใครเป็นตัวเป็นตน สายตาเขาไม่มองใครทั้งนั้นแหละ ยิ่งถ้าเป็นคนที่สามารถทำให้พี่คินยอมมอบวันหยุดให้ เราว่าพี่หมอเขาไปไหนไม่รอด สำหรับคนบ้างานแบบนั้นน่ะ”

   “ลินก็พูดเกินไป หมอเป็นของหมอแบบนี้ดีแล้วครับ ผมพอใจที่เป็นอยู่แบบนี้”

   “เด็กน้อยจริงๆ มิน่า ถึงโดนหมอวาริศคนนั้นข่มเอาๆ”

   สาวฝรั่งส่ายหน้าเอ็นดู ก่อนที่เธอจะจับมือผมเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

   “ฝากดูแลพี่คินด้วยนะข้าวปั้น เขาเองก็ผ่านเรื่องร้ายๆ มาเยอะเหมือนกัน”



   “คุยอะไรกันเหรอครับ”

   ผมที่กำลังจะปีนขึ้นเตียงมาพร้อมกับมือถือถูกหมอที่นั่งพิงพนักเตียงอยู่ก่อนแล้วถาม ผมยักไหล่ยิ้มๆ

   “เรื่องทั่วไปครับ ผมอยากรู้ว่าอเมริกาเป็นยังไง อยากลองไปสักครั้ง หวังว่าถ้ามีโอกาสจะให้ริลินเขาพาเที่ยว”

   หมอปิดหนังสือแพทย์ (คนบ้าอะไรอ่านหนังสือไม่บันเทิงก่อนนอน) ก่อนจะดึงร่างผมมากอดหลวมๆ ผมร้องเหวอลั่น

   “อยู่ดีๆ ทำอะไรน่ะ!”

   “ทำไมต้องให้ลินพาเที่ยว เฮียพาเราไปเองก็ได้”

   เขาจูบหลังคอผม มือไม้เริ่มเลื้อย ผมเลยจัดการหยิกหลังมือเขาไปเบาๆ หนึ่งทีให้หมอหัวเราะเล่น

   “หมอ... ไม่ค่อยจะได้หยุดไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่อยากรบกวน อีกอย่าง สิ้นปีนี้ผมก็วางแผนกับพวกเพื่อนที่บริษัทจะไปเที่ยวต่างประเทศสักประเทศนึง ยังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะไปที่ไหน”

   ผมลูบมือเขาเบาๆ ตรงรอยที่โดนหยิกไป เจ็บมั้ยเนี่ย?

   “ถ้าเราอยากไป เฮียพาไปได้ เฮียมีวันหยุดที่ไม่ได้ใช้อยู่”

   คำพูดของริลินลอยเข้ามาในหัวเลย

   ‘ยิ่งถ้าเป็นคนที่สามารถทำให้พี่คินยอมมอบวันหยุดให้ เราว่าพี่หมอเขาไปไหนไม่รอด’

   ผมยิ้มโดยไม่ให้เขาเห็น...

   ผมต่างหากล่ะครับ ที่จะไปไหนไม่รอด



มันก็จะเริ่มเหม็นความรักนิดหน่อย...

หมั่นไส้อ่ะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 02-12-2019 03:51:34
คนอื่นไม่เท่าไร มีแค่หมอดมยาวาริศนี่แหละครับ ที่กลัวจะมาสร้างปัญหา
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 02-12-2019 05:11:20
น่ารัก​ หวานน้อยๆแต่ขอให้หวานนานๆ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 02-12-2019 10:18:00
ปั้นเขินมากไหม ทางนี้เขินมากเลย 555 ช้อตนี้พี่หมออบอุ่นเหมือนไมโครเวฟฟ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-12-2019 10:59:27
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-12-2019 12:06:17
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-12-2019 13:19:20
เริ่มเหม็นฟามรักแล้วนะ หูยยยย อะไรจะปานนั้น
 :a14: :a14: :a14:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 02-12-2019 14:39:25
หมั่นไส้พี่หมอ เหม็นความรัก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-12-2019 23:30:57
หวานกันมากเลยนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: kapook743 ที่ 03-12-2019 01:43:22
ชอบสไตล์การใช้ภาษาประมาณนี้มาก อ่านง่ายเห็นภาพ และไม่พรรณนาเวิ่นเว้อเกิน เอาใจไปเลยครับ(◍•ᴗ•◍)❤
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-12-2019 17:08:34
 :z1:

 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 06-12-2019 23:46:36
ไม่รู้ว่าสปอยล์มั้ย
แต่ฮั่นแน่มีเรื่องพี่ข้าวปุ้นด้วยนะคะมีสตอรี่ลับ(?)ด้วย
ว่าแต่อยากอ่านจังเลยค่ะมีขายเป็นเล่มมั้ยคะหรือมีขายแค่อีบุ๊คอ่าาาา
อยากจะบอกว่าพี่แต่งได้สนุกมากเลยค่ะอยู่ๆก็ตามพี่ทั้งสามเรื่องเลย :heaven
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 07-12-2019 00:33:39
ไม่รู้ว่าสปอยล์มั้ย
แต่ฮั่นแน่มีเรื่องพี่ข้าวปุ้นด้วยนะคะมีสตอรี่ลับ(?)ด้วย
ว่าแต่อยากอ่านจังเลยค่ะมีขายเป็นเล่มมั้ยคะหรือมีขายแค่อีบุ๊คอ่าาาา
อยากจะบอกว่าพี่แต่งได้สนุกมากเลยค่ะอยู่ๆก็ตามพี่ทั้งสามเรื่องเลย :heaven

สปอยล์ได้ค่า ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เรื่องข้าวปุ้นมันเป็นตอนพิเศษเลยเอาลงในนี้ไม่ได้แฮะ แต่จะรวมเล่ม ebook ค่ะ น่าจะไม่เกินมค ปีหน้า ตอนนี้โฟกัสกับเรื่องเฮียปุ้นอยู่เลยยืดเยื้อไปหน่อย
ปล. ความจริงยูอยากเอาไปเสนอสนพ เหมือนกันนะคะ แต่ความกล้ายังไม่พอแฮะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่21(2/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: MayuYume ที่ 07-12-2019 01:11:02
ตอบกลับไม่เป็นค่ะลองอ้างถึงก็กลัวขึ้นเป็นอะไรไม่รู้ 5555555
ใช่แล้วค่ะ แงงงง รอเป็นอีบุ๊คได้ค่ะแต่ถ้าพี่มีแพลนจะทำเล่มด้วยซื้อแน่นอนค่ะ!!!
สู้ๆนะคะพี่ยู  :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่22(8/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 08-12-2019 21:32:23
Chapter – 22
หมอครับ ‘Watch your back’



   ผมได้รับอีเมล

   เป็นอีเมลประหลาดจากแอคเคาท์ที่ไม่ซ้ำกันเลยตลอดสิบวัน...

   ในเมลก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าประโยคสั้นๆ

   Watch you back.

   แปลตรงๆ ก็... ระวังหลัง หรือถ้าแปลห้วนๆ ก็ระวังตัวไว้

   ที่ผมประหลาดใจ คือคนส่งมันใช้อีเมลที่เจนเนอเรทขึ้นมาทั้งหมดได้ยังไง มันควรจะเป็นอีเมลที่น่าจะไปกองอยู่ที่อีเมลขยะ แต่มันกลับเด้งแจ้งเตือน วันละฉบับ สองฉบับ

   และตัวหนังสือมันจะเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆ

   “น่าขนลุก”

   พี่เจี้ยนโพล่งขึ้นหลังจากที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังระหว่างกินข้าว ก่อนหน้านี้ผมไม่คิดจะเล่าเพราะอาจจะเป็นแค่เมลขยะธรรมดา แต่พอมันส่งมาถี่ๆ ผมว่ามันชักจะไม่ธรรมดาแล้ว

   “มึงโดนสโตกเกอร์อยู่รึเปล่าวะข้าว”

   พี่ดินเลื่อนอ่านเมลในมือถือผมก่อนจะส่งคืนให้ ผมรับมาพลางส่ายหน้า ใครจะมาสโตกเกอร์ผม คนที่ไม่มีอะไรโดดเด่น วันๆ ทำแค่มาทำงานกับกลับคอนโด

   “มึงเอาอีเมลไปแจกไว้ที่ไหนบ้าง” เนถามต่อ

   “เมลนี่กูใช้แค่เอาไว้ติดต่องาน พวกเมลแจกหรือเมลสมัครบริการต่างๆ กูใช้อีกอัน”

   แต่ละคนเริ่มคิดแทนผม ฟางมองเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์ทำหน้าจริงจังเล่นเป็นนักสืบแล้วตบโต๊ะรัวๆ จนแต่ละคนเงยหน้ามาด่า

   “อะไรของมึงฟาง”

   พี่เจี้ยนด่า

   “ทำตัวเป็นนักสืบไปได้ จะไปยากอะไร  พี่ข้าวก็ลบเมลนั่นทิ้งซะสิ”

   “ทำไม่ได้ เมลนี่พี่ใช้ดีลกับลูกค้าไว้เยอะ งานนอกด้วย ยังมีสองสามงานที่ยังติดต่อกันอยู่ จะลบคงต้องรอให้งานจบก่อน” ผมถอนหายใจเฮือก กว่างานนอกที่ผมรับไว้จะเสร็จคงต้องใช้เวลาอีกประมาณสองเดือนเป็นอย่างต่ำ

   “งั้น... หรือจะเป็นหนึ่งในบรรดาลูกค้ามึงวะ” พี่ดินลองสันนิษฐาน ผมยักไหล่ ผมไม่ได้สนิทสนมกับลูกค้าแต่เราก็เจอกันแค่เฉพาะตอนดีลงานสำคัญๆ เท่านั้น และแต่ละคนก็ดูเป็นคนปกติ

   แต่ว่าผมใช้เมลนี่อีกที่...

   “ผมว่า... ผมใช้เมลนี่กรอกตอนผ่าตัดเมื่อปีก่อน เพราะกลัวว่าจะไปปนๆ กับพวกเมลขยะในเมลส่วนตัว”

   “หืม... คนที่โรงพยาบาลจะมีสโตกมึงทำบ้าอะไร” พี่เจี้ยนถาม ผมเงียบ... มองหน้าพี่ดินที่รู้เรื่องของผมอยู่คนเดียวในกลุ่ม

   แต่ก่อนที่จะได้มีการสืบสาวราวเรื่องกันมากกว่านี้ ข้าวที่สั่งไว้ก็มาพอดี

   “ข้าวผัดกุ้งใส่ไข่ ข้าวผัดหมูไก่ไม่ใส่ผัก ข้าวผัดหมูใส่ผักกับไข่ดาว ข้าวผัดน้ำพริกไข่เจียว กับข้าวผัดกะปิได้แล้วจ้า”

   บทสนทนาจบลงเมื่อข้าวผัดวางครบห้าจาน ทุกคนลืมเรื่องของผมแล้วลงมือโซ้ยข้าวเที่ยงกันแบบจริงจัง ป้ายังคงมาตรฐานเดิม ช้าแต่อร่อย    

   ใครที่ทำแบบนี้กันนะ...

   

   ผมไม่เคยไปสร้างศัตรูที่ไหน ถ้าจะมีก็คงเป็นไอ้กันต์ที่ผมไปต่อยกับมันกลาง MRT เมื่อปีก่อน แต่ก็คงไม่ใช่ มันจะไปเอาอีเมลของผมมาจากไหน  ใช่ว่าสนิทกันเสียเมื่อไหร่ แถมนิสัยอย่างมัน น่าจะมาหาเรื่องผมตรงๆ มากกว่าจะมาเล่นสงครามประสาทแบบนี้

   หรืออีกคนที่ผมนึกออกตอนนี้

   หมอวาริศคนนั้น

   เขาเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล การจะขอดูประวัติผู้ป่วยก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร

   แต่เขาจะทำแบบนี้ไปทำไมกันล่ะ

   ถ้าเขาจะไม่พอใจเรื่องหมออคินกับผม มันก็อาจจะใช่ แต่ว่าการทำแบบนี้มันออกจะไร้สาระไปหน่อย เพราะไม่แน่ว่าผมอาจจะไม่ได้ใช้เมลนั่นแล้ว หรือถ้าผมรำคาญมากๆ ผมอาจจะปิดเมลนั่นทิ้งไปก็เป็นได้

   เขาน่าจะฉลาดเกินกว่าจะใช้วิธีเด็กเล่นแบบนี้

   ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่ควรใส่ร้ายคนอื่นก่อนจะมีหลักฐาน มันก็เป็นแค่ข้อสงสัยของผมคนเดียวเท่านั้น

   “อ้าว ไอ้ข้าว ทำไมวันนี้รีบกลับจังวะ”

   พี่ดินทักเมื่อเห็นผมเปิด Deadline slave เพื่อส่งเครื่องตัวเองเข้าฟาร์มเรนเดอร์แล้วเตรียมเก็บของ

   “ออ ผมมีนัดลูกค้าน่ะ นัดไว้ตอนสองทุ่ม”

   “คราวนี้จับกลุ่มทำกับใครล่ะ”

   “เพื่อนที่มหา’ลัยน่ะ ไอ้มิวกับไอ้วุ้น”

   พี่ดินพยักหน้ารับ มันเป็นกลุ่มทำโปรเจคสมัยเรียนมาด้วยกันกับผม สองคนนี้ฝีมือเทพไม่น้อยหน้าใครในรุ่นเลย รู้สึกเขินๆ เหมือนกันที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มพวกนั้นทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้โดดเด่นเหมือนสองคนนั่น พี่ดินก็รู้จักเพราะตอนจัดนิทรรศการธีสิสจบ พี่ดินก็สนใจงานของสองคนนั่นเหมือนกัน แต่เขากลับเลือกติดต่อผมเพราะงานของผมเป็นสไตล์ที่เขาชอบ

   “ขยันจริง หมอเลี้ยงไม่ดีเหรอ ทำงานตัวเป็นเกลียว”

   พี่ดินแซว ผมหน้าร้อนก่อนสวนกลับ

   “บ้า เงินหมอส่วนเงินหมอสิครับ มือตีนมีครบจะไปขอเขากินทำไม ไปล่ะ”

   ผมคว้ากระเป๋าเดินดุ่มๆ ไปที่ลิฟต์ โดยไม่ทันเห็นว่าพี่ดินยิ้มไล่หลังไปแบบเอ็นดู

   

   ผมนัดลูกค้าที่จ้างพวกผมทำโฆษณาสั้นๆ ให้กับสินค้าของเขา ซึ่งจะเป็นโฆษณาออนไลน์ไม่มีออกอากาศในโทรทัศน์ เป็นแอนิเมชันไม่เกินสามนาที ต้องคิดตั้งแต่คอนเทนต์ บท ร่างสตอรี่บอร์ด และทำด้วยโปรแกรม 3D โดยแบ่งหน้าที่กันทำ แต่เมื่อถึงวันนัดคุยกับลูกค้าเพื่ออัพเดทงาน พวกผมสามคนก็ต้องมาคุยพร้อมกันเพื่อให้เข้าใจตรงกันงานจะได้ไม่ออกมาเละถึงจะแยกกันไปทำแต่ละส่วนก็ตาม

   ผมมาก่อนเวลานัดตามเคย เพราะไม่อยากให้ลูกค้ามารอ แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ลูกค้าของผมจะมาเร็วกว่าที่นัดกันไว้ เขานั่งรออยู่ในร้านกาแฟเจ้าประจำที่นัดเจอกันตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงวันนี้เพราะระยะทางสะดวกกับทุกฝ่าย

   ผมรีบเดินเข้าไปยกมือไหว้เขา ลูกค้าของผมอยู่ในชุดลำลองสบายๆ เพราะทำธุรกิจส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องใส่สูทผูกไทด์แต่ก็แต่งตัวได้ดูดีเลย เขาเงยหน้าจากไอแพดทันทีที่ผมทักก่อนจะยกมือไหว้ตอบ

   “สวัสดีครับคุณพอร์ช รอนานมั้ยครับ ขอโทษนะครับ”

   “อ่า สวัสดีครับคุณข้าว ผมมาก่อนเวลาเอง ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” คุณพอร์ชยิ้มให้ผม “สั่งอะไรก่อนสิครับ”

   “อ่า... ครับ”

   คุณพอร์ชเรียกพนักงานมา ปกติเวลาเขานัดคุยงาน คุณพอร์ชมักจะชอบเลี้ยงเครื่องดื่มพวกผมเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งความจริงแล้วพวกผมสิควรจะเลี้ยงเขา

   “เอ่อ พวกวุ้นยังไม่มา คุณพอร์ชจะรอคุยพร้อมกันมั้ยครับ หรือจะคุยกับผมคนเดียวก่อน”

   หลังจากสั่งเครื่องดื่มแล้ว ผมก็ถามชายที่อายุน่าจะมากกว่าเฮียปุ้น เขาเป็นชายวัยใกล้สี่สิบแต่รูปร่างดีจนดูอ่อนกว่าอายุจริง

   “รอคุยพร้อมกันก็ได้ครับ ผมไม่รีบ”

   “อ่า... ครับ”

   แล้วเวลาที่เหลือผมจะทำยังไงดีล่ะ ผมชวนคุยไม่เก่งเสียด้วยสิ ปกติคนที่มักจะเป็นคนชวนคุยโน่นนี่มักจะเป็นวุ้นเส้น แม่สาวอารมณ์ดีคนนั้นมากกว่า เมื่อไม่รู้จะคุยอะไร ผมก็พยายามคิดหัวข้อที่จะคุย สงสัยจะนานไป คุณพอร์ชจึงเป็นฝ่ายชวนผมคุยแทนเพราะเห็นท่าทางอึกอักของผม

   “คุณข้าว ช่วงนี้เป็นไงมั่งครับ รับงานนอกแบบนี้ที่บริษัทไม่ว่าเหรอครับ”

   “อ้อ ไม่เป็นไรครับ บริษัทผมไม่เคร่งอะไรแบบนี้ครับ แค่รับผิดชอบต่องานในเวลาก็พอ”

   “งั้นเหรอครับ ผมว่าจะถามคุณข้าวมานานแล้ว คุณเป็นคนจังหวัดอะไรเหรอครับ คนกรุงเทพรึเปล่า?”

   “เปล่าครับ ผมเป็นคนเชียงรายครับ มาเรียนที่กรุงเทพเลยมีโอกาสทำงานต่อที่กรุงเทพเลย ทำไมเหรอครับ?” ผมสงสัยว่าเขาถามทำไม ถึงมันจะไม่ใช่คำถามที่แปลก แต่ผมก็ไม่คิดว่าคนที่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งจะถามผมแบบนี้

   “ผมแค่รู้สึกว่าเราน่าจะเคยเจอกัน ผมก็เป็นคนเชียงรายครับ แต่มาทำงานที่กรุงเทพ เพราะน้องชายรักษาตัวอยู่ที่นี่”

   คุณพอร์ชยิ้มให้ ผมทำหน้าประหลาดใจที่จู่ๆ ก็เจอคนบ้านเดียวกัน

   “ผมว่าเขาน่าจะอายุพอๆ กับคุณนะครับ”

   “จริงเหรอครับ บังเอิญจังเลย”

   ผมทำเป็นข้ามๆ  ที่จะถามเรื่องน้องชายของเขาไป เพราะกลัวจะเสียมารยาท

   “จะว่าไป  คุณข้าวเคยเรียนโรงเรียนประถมอะไรมาก่อนเหรอครับ”

   “อ้อ โรงเรียน xxx น่ะครับ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดครับ”

   “บังเอิญจังครับ ตอนน้องชายผมอยู่ประถมก็เคยเรียนที่นั่นจนถึงป.5 จากนั้นเกิดปัญหานิดหน่อยเลยย้ายมากรุงเทพ ไม่ได้เรียนจนจบ” คุณพอร์ชเล่าเหมือนเป็นเรื่องทั่วไป แต่ผมว่า... มันชักจะแปลกๆ

   “อ๋อ... เหรอครับ”

   คนอะไรมาเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟัง เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนะครับ

   ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะภาวนาให้ไอ้เพื่อนสองตัวมันรีบมากันซักที อึดอัดจะแย่แล้วไอ้สัส!

   และแล้วด้วยแรงอธิษฐาน ไอ้พวกบ้าก็มาเสียที มันตาลีตาเหลือกเข้าร้านมาเพราะข้างนอกฝนกำลังเทลงมาเลย ทั้งสองคนกอดกระเป๋าตัวเองแน่นเพราะด้านในมีทั้งโน้ตบุ๊คและงานลูกค้าอยู่เพียบ ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อพวกมันเข้ามาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี่

   “ขอโทษนะคะคุณพอร์ช ฝนตกหนักมากเลยจากที่ทำงาน”

   ไอ้วุ้น หรือวุ้นเส้น ขอโทษขอโพยคุณพอร์ชเสียยกใหญ่ ลูกค้าหนุ่มส่ายหน้าไม่ถือสาแถมยังบอกให้สั่งเครื่องดื่มแบบปกติอีกด้วย ไอ้มิว เด็กเนิร์ดประจำสาขาที่ผมเรียนรีบล้วงเอาแฟ้มเอกสารที่มีร่างสตอรี่บอร์ดกับโน้ตบุ๊คมาเปิดงานให้ลูกค้าดูเพื่อไม่ให้เสียเวลา 

   เราคุยงานกันจนเกือบห้าทุ่ม ฝนที่เพิ่งจะหยุดไปเมื่อชั่วโมงก่อนเริ่มจะตั้งเค้าอีกแล้ว

   ผมแยกย้ายกับทุกคนรวมถึงคุณพอร์ชเพื่อรีบไปลงรถไฟฟ้าใต้ดินก่อนที่สถานีจะปิดให้บริการ ระหว่างที่กำลังยืนรอรถไฟฟ้าอยู่นั้น เสียงแจ้งเตือนอีเมลก็ดังขึ้นอีกครั้ง

   ข้อความเดิม แต่อีเมลแอดเดรสใหม่

   !Watch your back… Dear

   ผมขมวดคิ้ว... คำต่อท้ายยิ่งทำให้ผมขนลุก รู้สึกเสียวหลังวาบๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ที่คนในสถานีเริ่มจะร้าง เหลือเพียงไม่กี่คนที่รอขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย

   “มันชักจะไม่ชอบมาพากลเข้าไปทุกทีแล้วนะ”

   ผมควรเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหมอดีมั้ยนะ

   และอีกอย่างที่ผมแปลกใจ... และสะกิดใจผมยิกๆ มาจนถึงตอนนี้

   คือเรื่องที่คุณพอร์ชพูดถึงน้องชายตัวเอง

   ‘ตอนน้องชายผมอยู่ประถมก็เคยเรียนที่นั่นจนถึงป.5 จากนั้นเกิดปัญหานิดหน่อยเลยย้ายมากรุงเทพ ไม่ได้เรียนจนจบ’

   เหตุการณ์ตอนนั้น... มันเกิดช่วงเวลาเดียวกับตอนที่น้องชายเขาเกิดมีปัญหาขึ้นมาพอดี แล้วก็... ถ้าปัญหานั้นเป็นปัญหาเดียวกันกับที่ผมเคยเจอมา ก็ไม่แน่ว่าน้องชายของคุณพอร์ช อาจจะเป็นคนที่ผมรู้จัก...

   “บ้าน่า เรื่องบังเอิญขนาดนั้น ผ่านมาตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ คิดมากว่ะข้าวปั้น”

   ผมสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ส่งข้อความบอกหมอหน่อยดีกว่าว่ากำลังจะกลับ ส่งเสร็จก็เก็บมันลงกระเป๋า โดยไม่ทันได้สนใจกับข้อความที่เด้งขึ้นมาอีกรอบ

   Why are you still Happy?



ตอนนี้ไม่มีคุงหมอ เเต่เป็นการเริ่มเฟต 2 นะคะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่22(8/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 08-12-2019 22:27:23
อะไรข้อความเหมือนกวนประสาท ทำให้คนรู้สึกบ้า ระแวงไปต่างๆ นาๆ
ข้าว ปรึกษาคุณหมอด่วนเลยนะ น่ากลัวมากๆ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่22(8/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 09-12-2019 02:00:36
ใครอ่ะ?
ทำเราระแวงไปด้วยเลย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่22(8/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 09-12-2019 12:53:54
หมอคะมีเรื่องแล้ววว ตามมาช่วยน้องเร็วว อ่านไปเสียวหลังไป 555
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่22(8/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 09-12-2019 22:50:54
เจอแบบนี้เข้าไปใครก็กลัวแหละครับ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่22(8/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-12-2019 10:43:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่22(8/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Divansays ที่ 11-12-2019 00:03:19
มีคนประสงค์ร้ายน้องสองคนในเวลาเดียวกัน :hao7:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่23(11/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 11-12-2019 23:19:22
Chapter – 23
หมอครับ ‘I found you’



   ผมมองข้อความในไลน์ที่เด้งขึ้นมาจากไอดีที่ไม่รู้จัก ดูเผินๆ เหมือนพวกสแปมแต่รูปแบบประโยคมันไม่ใช่ ผมลองกดเข้าไปค้นหาไอดี แต่กลับไม่สามารถค้นหาได้

   เดี๋ยวนะ... นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะเฮ้ย!

   ผมนั่งมองข้อความในมือถือบนโซฟาโดยมีปั้นสิบกระโดดขึ้นมาเหยียบไหล่พลางนวดๆ ให้ มันชะโงกหน้ามองเหมือนอยากจะรู้ด้วยว่าทาสของมันสนใจอะไรอยู่

   “อยากรู้เหรอไอ้อ้วน”

   ผมเบือนหน้าไปเกาคางนุ่มก่อนอุ้มมันลงมากอด อย่างน้อยคืนนี้ผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะนะ

   ผมพยายามข่มตาหลับ... จนสุดท้ายฟ้าสางผมก็ยังหลับไม่ลงและไปทำงานด้วยสภาพลูกแพนด้า

   “หาว~!”

   ผมอ้าปากหาวเดินเข้าบริษัทจนพี่โรมที่มาถึงพร้อมๆ กันทัก

   “เมื่อคืนดูบอลรึไง ง่วงแต่เช้าเลย”

   “ผมไม่ดูบอล” ผมตอบกลับก่อนจะหาวอีกรอบ ให้ตายเถอะ ผมต้องพึ่งเอสเพรสโซ่แล้วล่ะวันนี้

   ระหว่างที่ผมกำลังจะลงไปซื้อกาแฟด้านล่างบริษัทหลังจากที่เอากระเป๋าขึ้นมาเก็บ พี่มะลิที่เป็น HR ของบริษัทก็เดินสวนมาพอดี เธอทักให้ผมเอาจดหมายที่ส่งมาที่บริษัทไปด้วยเพราะกำลังจะเอาไปให้พอดี ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะรับซองจดหมายสองสามฉบับมา คงจะเป็นพวกเอกสารบัตรเครดิตหรือประกันล่ะมั้ง

   ผมอ่านหน้าซองระหว่างลงลิฟต์ ฉบับแรกเป็นบัตรเครดิต ฉบับที่สองเป็นกรมธรรม์ประกันตามที่คิด แต่ฉบับสุดท้ายทำเอาผมตาตื่นจนแทบจะไม่ต้องพึ่งกาแฟ

   “นี่มัน...”

   ในซองจดหมายฉบับที่สามมีกระดาษที่ถูกพับเป็นสามทบเหมือนโบรชัวร์อยู่ หน้าปกของมันเหมือนกับแผ่นพับความรู้สุขภาพตามโรงพยาบาลทั่วไป แต่ด้านในกลับเป็นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ถูกตัดสอดไว้รวมกับภาพประกอบเนื้อหาด้านใน เนื้อความคือข่าวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน...

   ผมรู้สึกหายใจไม่ออกจนต้องอ้าปากเพื่อกวาดออกซิเจนเข้าไป ใจเต้นเร็ว มือเกร็ง  ความกลัวพุ่งเข้าจับจิต

   ประตูลิฟต์เปิดออก ขณะที่ร่างของผมกำลังจะทรุดลง เหงื่อซึมชื้น หน้าผมตอนนี้คงซีดเป็นกระดาษขาวสีเดียวกับซองจดหมาย

   “เฮ้ย! พี่ข้าว!”

   ผมล้มลงไปด้านหน้า ฟางที่กำลังยืนรอลิฟต์มาพร้อมแก้วกาแฟเย็นในมือรับร่างของผมไว้ด้วยความตกใจ สาวร่างเล็กรีบตะโกนเรียกคนแถวนี้ หูผมอื้ออึงจนได้ยินเป็นเสียงวิ้งๆ เหมือนคนหูดับ คำพูดสุดท้ายที่ออกจากปากผมคือคำว่า

   ช่วยด้วย...

   “ข้าว ไอ้ข้าว!”



   “ข้าว... ข้าวปั้น”

   ผมส่ายหัวช้าๆ ทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิท เสียงเรียกคุ้นๆ เจ้าเก่าทำให้ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น กลิ่นยาดมที่คลุ้งจมูกกับลมเย็นๆ ที่เกิดจากการพัดวีทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น หน้าของพี่ดินคือสิ่งแรกที่ผมเห็น ข้างๆ พี่ดินคือฟางกับพี่อัฐที่ยืนก้มหน้ามองผมด้วยสีหน้าวิตกกังวล

   เกิดอะไรขึ้น?

   “ผม...”

   “เฮ้ย เดี๋ยว อย่าพึ่งรีบลุก”

   พี่ดินดันไหล่ผมที่นอนราบอยู่บนโซฟาในห้องรับรองของบริษัทที่ชั้นหนึ่งให้ลงไปเหมือนเดิมโดยที่มืออีกข้างยังคงบีบนวดมือซ้ายที่ชาดิกของผม ส่วนมืออีกข้างก็ถูกฟางบีบนวดให้อย่างเป็นห่วง สีหน้าน้องดูไม่สู้ดีเลย ผมสงสัยจริงๆ ว่าตัวเองเป็นอะไร

   “ข้าวปั้น ไม่สบายเหรอ แล้วมาทำงานทำไม?”

   พี่อัฐถามด้วยเสียงดุๆ ผมส่ายหน้า ผมไม่ได้รู้สึกไม่สบาย

   “ผม... ผมไม่ได้ไม่สบายครับ”

   “แล้วทำไมจู่ๆ ไฮเปอร์ขึ้นมา เมื่อเช้ายังเห็นดีๆ อยู่เลย”

   ผมเริ่มย้อนคิด เออ... นั่นสิ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ไฮเปอร์ขึ้น

   ...

   แผ่นพับนั่น...!

   ผมสะดุ้งตัวขึ้นมาอย่างเร็วจนเกิดอาการวิงเวียน พี่ดินจับไหล่ผมไว้ก่อนจะใช้กระดาษในมือพัดให้ ดุเสียงเข้ม

   “ไอ้เวร พึ่งฟื้นมึงเสือกลุกพรวดพราดทำไมเนี่ย”

   “แผ่นผับ แผ่นพับผมล่ะ!”

   ผมถามหาแผ่นพับที่น่าจะตกอยู่ข้างๆ ผมหลังจากที่ไฮเปอร์ขึ้นจนเกร็งไปทั้งตัว ฟางร้องอ๋อก่อนจะหยิบมันขึ้นมาจากข้างๆ ตัวแล้วยื่นให้ ผมรีบรับมาก่อนจะพลิกดูหลังซองจดหมาย มันควรจะมีที่อยู่เขียนไว้ถ้าส่งผ่านไปรษณีย์มา แต่นี่ไม่มี แปลว่า... คนที่ส่งมันมาให้ผม ต้องเอามาให้ด้วยตัวเอง ไม่ก็ฝากบริการส่งเอกสารทางอื่นที่ไม่มีการลงทะเบียนไว้

   “อะไรน่ะพี่ข้าว ฟางเห็นว่ามันก็แค่แผ่นพับสุขภาพธรรมดาเองนะ”

   ผมพลิกดูแผ่นผับ ไม่เจอเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดสอดไว้สักใบ ผมหันไปถามฟางหน้าตาตื่น

   “เห็นเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในนี้มั้ย พี่น่าจะทำมันหล่นตอนล้ม เห็นรึเปล่า?”

   ฟางเลิกคิ้ว ก่อนจะร้องอ๋อ

   “คือตอนนั้นมันชุลมุนมากเลยพี่ข้าว ฟางเก็บได้แค่ซองจดหมายกับแผ่นพับ พวกเศษกระดาษมันโดนเหยียบเละไปหมดแล้วล่ะมั้ง ป่านนี้แม่บ้านคงกวาดทิ้งไปแล้วล่ะค่ะ”

   ผมขมวดคิ้ว... เริ่มไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็น แต่ว่า... ผมคงไม่ได้กลัวจนจิตนาการไปเองแน่นอน

   “มันสำคัญเหรอพี่ข้าว เดี๋ยวฟางไปถามป้าเขาให้มั้ย” ฟางเสนออย่างใจดี ผมยิ้มให้ก่อนส่ายหน้า เอ่ยขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ และขอโทษที่ทำให้ตกใจ

   พี่อัฐเสนอให้ผมกลับบ้านไปพัก แต่ผมปฏิเสธเพราะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แถมงานยังเหลืออีกบานเบอะ ผมยังไม่อยากใช้วันลาโดยไม่จำเป็น หัวหน้าหมดคำพูดจะไล่ จึงยอมให้ผมกลับไปนั่งโต๊ะทำงานเหมือนเดิม พี่ดินขมวดคิ้ว เอามือขยี้หัวผมระหว่างขึ้นลิฟต์กลับไปชั้นที่ทำงาน

   “ไม่สบายก็ไปหาหมอสิวะ มีหมอประจำตัวแล้วไม่ใช่หรือไง”

   ผมหัวเราะแห้งใส่เขา ดีนะที่ฟางมันขอตัวไปซื้อกาแฟแก้วใหม่หลังจากที่ทำหกไปเพราะตกใจกับการพุ่งหลาวของผม ทำให้ในลิฟต์มีแค่ผมกับพี่ดินสองคน เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นความลับที่มีแค่พี่ตัวใหญ่ล่ำบึกคนเดียวที่รู้

   “ผมสบายดี แค่มีปัญหากวนใจนิดหน่อย... สงสัยนอนไม่พอ”

   “มึง... คงไม่ได้เครียดเรื่องเมลสแปมนั่นใช่มั้ย”

   ผมเงียบไป พี่ดินผลักหัวผมเบาๆ

   “มึงเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อย ถ้าปรึกษาพวกกูแล้วมันยังไม่สบายใจ มึงปรึกษาหมอรึยัง”

   “ยัง...” ผมลูบหลังคอ “ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน หมอเขารับเป็นอาจารย์สอนด้วย ช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีเวลา”

   ผมพูดเสียงแผ่ว

   ความจริงแล้วผมคิดถึงเขามากๆ แต่ไม่อยากรบกวน... โดยเฉพาะช่วงนี้ที่หมอแทบจะไม่กลับคอนโดเลย ถึงกลับก็มาแป๊บๆ พอโดนโทรเรียกตอนกลางดึกก็ต้องรีบไป เห็นสภาพเขาผมก็ไม่อยากเอาปัญหาจุกจิกไปกวนใจเท่าไหร่ ถ้ามันยังไม่ถึงขั้นมีอันตรายร้ายแรง ผมก็ไม่อยากให้หมอเป็นห่วงนักหรอก

   พี่ดินเบะปาก เดาะลิ้นหมั่นไส้ก่อนออกจากลิฟต์

   “ถ้ากูเป็นหมอ กูจะโกรธมึงมากที่ไม่บอกเรื่องนี้” ผมถอนหายใจยาวเมื่อได้ยิน พี่ดินหันมามองผมด้วยสีหน้าจริงจังจนผมชะงักกึกอยู่หน้าลิฟต์

   “คนรักกัน นอกจากจะแชร์ความสุขให้กัน เวลามีเรื่องทุกข์ ถ้าไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กันได้ มึงจะมีเขาไว้ทำไม... ถ้ามีไว้แค่เอากัน ไม่ต้องเรียกว่ารักก็ได้มั้งข้าวปั้น”

   

   วันนี้ผมกลับค่อนข้างดึกเนื่องจากงานไม่เสร็จ กว่าจะได้กลับก็เกือบๆ ห้าทุ่ม พี่ดินกับพี่เจี้ยนยังกลับไม่ได้เพราะยังเหลืองานค้างอยู่อีกนิดหน่อย ผมกะจะอยู่ช่วยพวกเขาแต่โดนพี่เจี้ยนไล่เปิดเปิงเพราะรถไฟฟ้าใต้ดินจะหมดแล้ว พี่เจี้ยนกลับกับพี่ดินได้เพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน ผมจึงรีบวิ่งฝ่าฝนไปขึ้นรถเมล์หนึ่งต่อเพื่อลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน โชคดีที่ตอนนี้ดึกมากคนเลยไม่เยอะ ผมรีบเดินลงบันไดเลื่อนที่สถานี ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น ผมแตะบัตรรายเดือนเพื่อเข้าไปข้างในพลางรับโทรศัพท์ไปด้วย

   “ฮัลโหลครับหมอ”

   [“ข้าวปั้น กลับรึยังครับ เฮียมาดูที่ห้องไม่เจอเรา?”]

   หมอถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมปัดเนื้อปัดตัวที่เปียกฝนนิดหน่อยพลางตอบระหว่างเดินไปเพื่อลงบันไดเลื่อนอีกชั้น

   “กำลังจะกลับครับ ผมอยู่สถานี จะขึ้นรถไฟแล้ว”

   [“กินอะไรรึยัง”]

   ผมยิ้มนิดๆ หลังจากไม่ได้ยินเสียงเขามาประมาณสองวัน หมอก็เหมือนเดิม ขี้เป็นห่วง

   แต่ในขณะที่ผมกำลังจะตอบ มือถือผมก็สั่นจากการแจ้งเตือนรัวๆ ปกติไม่มีใครส่งอะไรรัวๆ แบบนี้ให้ผม ผมเอามือถือออกจากหูเพื่อดูหน้าจออย่างสงสัย ข้อความไลน์ที่เด้งพุชขึ้นมาด้านบนทำให้ผมเบิกตากว้าง



   I found you.

   I found you.

   I found you.

   I found you.

   I found you.

   I found you.



   ผมรับรู้ได้ถึงเงาด้านหลัง แต่ก่อนที่จะทันได้หันกลับไป ร่างของผมก็รู้สึกวูบ พื้นบันไดเลื่อนที่เหยียบอยู่หายไป แรงกระทบที่ไหล่ชัดเจนจนไม่คิดว่ามันเป็นความฝัน

   โครม!!!

   “กรี๊ด!! มีคนตกบันไดเลื่อน ช่วยด้วยค่ะ!”

   เสียงกรีดร้องของคนในสถานีที่น้อยนิดดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ผมรับรู้แค่แรงกระแทกที่หัว นัยน์ตาเหลือบมองขึ้นไปด้านบน... เห็นเพียงรองเท้าหนังสีน้ำตาลที่ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ผมพยายามอ้าปากร้องแต่ไม่มีอะไรออกมา ใช้สติที่เหลือในการควานหามือถือที่กระเด็นไปไหนก็ไม่รู้แล้ว

   “...แก”

   “I found you.”

   เจ้าของรองเท้าจากไป แต่ผมมั่นใจแล้วว่า เรื่องนี้มันต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแน่นอน ร่างผมที่ลอยลงมาจากบันไดเลื่อนชั้นเกือบบนสุดถูกห้อมล้อมด้วยไทยมุงขนาดย่อม... ก่อนสติทั้งหมดจะวูบไป

   

   ขอโทษ... ขอโทษครับ... ขอโทษ

   ผมไม่ได้ตั้งใจ

   ขอโทษครับ

   “...โทษ ขอโทษครับ...”

   “ปั้น..”

   “ขอโทษ...”

   “ข้าวปั้นครับ”

   สัมผัสอบอุ่นที่มือและแรงบีบทำให้ผมรู้สึกตัว แสงแดดที่ส่องเข้ามาในตาทำให้ผมรู้สึกปวดหัว โดยเฉพาะความรวดร้าวบนศีรษะที่เหมือนกับจะระเบิด

   ผมปรือตาลงก่อนจะกระพริบช้าๆ เพื่อปรับสายตา สิ่งแรกที่เห็นคือหน้าของหมอที่เคราเริ่มขึ้นในชุดเสื้อกาวน์ ผมเหลือบมองไปรอบๆ ห้องสว่างเพราะถูกเปิดม่านไว้  สายน้ำเกลือและเครื่องวัดความดันระโยงระยาง

   “ข้าวปั้น ขอบคุณพระเจ้า” หมอลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง มือใหญ่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนโดยไม่ให้กระทบกระเทือนแผลที่ถูกพันผ้าไว้ ผมบีบมือหมอแน่นก่อนจะถาม

   “ผม... มาอยู่นี่ได้ไง”

   “ตอนนั้นสายของเฮียยังไม่ถูกตัด เฮียได้ยินเสียงผ่านโทรศัพท์เลยรีบบอกให้รถพยาบาลไปรับ”

   “หมอ...” ผมกลืนน้ำลายที่เหนียวคอ หมออคินเลื่อนมือมาลูบแก้มผม สีหน้าเป็นห่วงฉายชัด

   “คนในเหตุการณ์บอกว่าปั้นไม่ได้ตกลงมาเอง มีคนผลัก”

   “....”

   ผมกัดปาก ความกลัวพุ่งมาจับจิตจนแรงบีบมือมากขึ้น หมอลูบมือผมก่อนจะถาม

   “เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีอะไรเล่าให้เฮียฟัง”

   “ผม... ผมขอโทษครับ”

   น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะไหลพราก ผมกลัวจริงๆ นึกว่าจะตายซะแล้วตอนที่ร่างลอยลงมาจากบันไดเลื่อน ความรู้สึกตอนหัวกระแทกมันแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนมันชาจนรับรู้ไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่ตามมาคือความเจ็บร้าวจนสติดับไป

   ร่างสูงของหมอขยับเข้ามาโอบร่างผมเข้าไปกอดแน่น ผมสูดดมกลิ่นหอมที่ชวนสบายใจพลางสะอึกสะอื้นเป็นเด็ก มือสั่นจนเขาต้องเพิ่มแรงกอด มือใหญ่ลูบไหล่ลูบหลังปลอบใจคนเสียขวัญ ก่อนจะกดจูบกลางกระหม่อม

   “ไม่เป็นไรแล้ว เฮียอยู่นี่”

   “ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจครับ... ฮึก ผมไม่คิดว่าเขาจะยังแค้นผม...”

   “เขา?”

   หมอไม่ถามต่อเมื่อเห็นว่าผมกำลังแตกตื่น เขาลูบผมจนกระทั่งผมสงบและหลับไปอีกรอบ

   

   - Akin Part -

   Yesterday 10.25 PM.

   ผมกลับมาถึงคอนโด ก่อนจะกลับห้องตัวเอง ผมแวะที่ชั้น 9 ก่อนเพื่อดูว่าข้าวปั้นกลับมารึยัง เมื่อถึงหน้าห้องเขา ผมไม่ได้กลิ่นเทียนหอม จึงลองเปิดเข้าไปพบว่าเจ้าของห้องยังไม่กลับ ผมจึงอยู่ให้อาหารปั้นสิบที่นวยนาดมาคลอเคลียแข้งขาเพื่อรอเขา แต่พอรอไปได้ประมาณสิบนาที ผมก็ชักเป็นห่วงเพราะข้างนอกฝนเริ่มตก ถึงแม้ว่าเขาจะกลับดึกประจำอยู่แล้วในช่วงนี้ แต่ผมก็ยังเป็นห่วงเขาตามประสาอยู่ดี

   ผมกดโทรหาข้าวปั้น หวังว่าเขาจะกำลังอยู่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินแบบปกติ ข้าวปั้นรับสายด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนเดิม ผมรู้สึกโล่งใจที่เขาอยู่สถานีแล้ว

   [“ฮัลโหลครับหมอ”]

   ผมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงเขา เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาจะห้าทุ่มแล้ว

   กลับดึกแบบนี้ น่าจะจับลาออกแล้วเลี้ยงให้อยู่แต่ที่บ้าน

   “ข้าวปั้น กลับรึยังครับ เฮียมาดูที่ห้องไม่เจอเรา?”

   [“กำลังจะกลับครับ ผมอยู่สถานี จะขึ้นรถไฟแล้ว”]

   “กินอะไรรึยัง”

   ผมถามด้วยความเป็นห่วง กลัวโรคกระเพาะจะเล่นงานเขาอีก ผมไม่อยากเป็นคนลงมือผ่าให้เขาอีกรอบหรอกนะ เมื่อก่อนอาจทำได้ แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างกังวลถ้าต้องผ่าคนที่ผมรักด้วยตัวเอง

   ข้าวปั้นไม่ทันได้ตอบ ผมถามย้ำ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโครมคราม ตามด้วยเสียงกรีดร้องผ่านลำโพง ผมตะโกนเรียกเขา หวังว่าเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับเสียงโวยวายที่ผมได้ยิน ใจผมเต้นรัวเร็ว มือเย็นเฉียบ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงคนพูดว่ามีคนตกบันไดเลื่อน

   ผมรีบคว้ากุญแจรถที่วางไว้บนโต๊ะพร้อมกับรีบโทรเรียกรถพยาบาลด้วยเส้นสายที่มี

   “นี่อคิน ส่งรถพยาบาลมาที เดี๋ยวนี้!”

   

   หลังจากประสานงานกับรถพยาบาลเรียบร้อยว่าจะส่งเขาไปโรงพยาบาลไหนที่ใกล้ที่สุด  ผมก็รีบขับไปยังโรงพยาบาลนั้นทันที โชคดีที่เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่น ร่างข้าวปั้นถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินก่อนผมจะมาถึง ผมรีบติดต่อหาเพื่อนที่เป็นหัวหน้าแพทย์ทันที แม้มันจะไม่ถูกต้องแต่ผมก็สามารถขออนุญาตเข้าห้องฉุกเฉินได้ด้วยตำแหน่งหมอและเส้นสายนิดหน่อย

   ผมถูกกันตัวไว้ข้างๆ เพื่อให้แพทย์ประจำวอร์ดได้ทำหน้าที่ สภาพเลือดอาบหัวของเขาทำให้ผมมือสั่นไม่หยุด แม้แต่เย็บแผลง่ายๆ ที่ผมหลับตาก็ทำได้ตอนนี้ก็ไม่สามารถ ภาวนาขอให้คนที่นอนไม่ได้สติไม่เป็นอะไร

   ไหล่ผมถูกแตะโดยคนที่อนุญาตให้ผมเข้ามาในห้องฉุกเฉิน ผมหันกลับไปด้วยสีหน้าซีดเผือด ชายที่สูงวัยกว่ายิ้มให้พลางบอกว่า เขาไม่เป็นอะไรหรอก

   “ใจเย็นๆ หมอโรงพยาบาลเราไม่ได้กระจอกๆ ไปนั่งรอเถอะ ยืนตรงนี้มันเกะกะ”

   “ขอบคุณที่ให้ผมเข้ามาครับ หมอพัช”

   แพทย์อาวุโสที่ผมนับถือเป็นทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ตบบ่าผมพลางยิ้มให้อย่างใจเย็น

   “คนสำคัญรึ ไม่เคยเห็นคุณร้อนรนขนาดนี้มาก่อน ต่อให้กำลังลงมือผ่าพ่อตัวเองก็เถอะ”

   ผมพยักหน้ารับ หมอพัชโคลงหัวก่อนจะผละออกไป ไม่ถามอะไรต่อ

   การช่วยเหลือผ่านไปด้วยดี ข้าวปั้นถูกแอดมิดเข้าโรงพยาบาลโดยผมขอทำการย้ายไปยังโรงพยาบาลของผมเพื่อทำการดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งผมทำการติดต่อไว้เรียบร้อยแล้ว ผมโทรบอกริลินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อบอกให้เธอช่วยแวะเอาเสื้อผ้าของผมมาให้ที่โรงพยาบาลหน่อย น้องสาวผมดูตกใจมากก่อนบอกว่าจะรีบมา

   ผมลงเวรแล้วก็จริง แต่ตอนเช้าก็ต้องไปราวด์วอร์ดผู้ป่วยอยู่ดี ผมนั่งเฝ้าเขาทั้งคืน มีโอกาสงีบสักพักก็ต้องตื่นไปราวด์แล้ว ระหว่างนั้นริลินจึงอาสาเฝ้าแทนไปก่อน รอจนผมตรวจผู้ป่วยเสร็จจึงขอตัวกลับคอนโดเพื่อไปอาบน้ำอาบท่า ผมผละจากเขาเพื่อไปอาบน้ำบ้างหลังจากไม่ได้อาบมาทั้งคืนที่ห้องพักแพทย์ที่อยู่ตึกเดียวกัน ระหว่างนั้นก็ขอให้พยาบาลช่วยดูแล ผมคาดหวังว่าเขาจะฟื้นตอนผมกลับมา แต่ผ่านไปจนเลยบ่ายเขาก็ยังไม่ตื่น จนผมใจเสีย... ผมไม่เคยคิดเลยว่า การที่เขาหลับไม่ยอมตื่นแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกกังวลได้มากขนาดนี้

   ผมอยากเจ็บแทนเขา...

   ตอนเช้าหลังจากราวด์วอร์ดเสร็จ ผมติดต่อเพื่อนที่เป็นตำรวจเพื่อขอให้เขาตรวจสอบเรื่องนี้ให้หน่อย ประมาณสามชั่วโมงเขาก็โทรมารายงานเกี่ยวกับการสอบถามพยานรู้เห็นที่สถานีรถไฟฟ้าเมื่อคืน เพื่อนตำรวจบอกว่า มีคนผลักข้าวปั้นตกลงมา เขาไม่ได้ตกลงมาเอง แล้วคนที่ผลักก็สวมเสื้อกันฝนคลุมฮู้ดปิดบังหน้าตา อาจเป็นเพราะในสถานีตอนกลางคืนคนน้อยเลยทำให้ไม่มีคนสนใจสังเกต แถมข้างนอกสถานีก็ฝนตกหนักจนทำให้คนที่ผลักเดินหายไปได้ง่ายหลังจากเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย

   มิน่า ท่าทีของข้าวปั้นช่วงนี้ถึงดูระแวงกังวลไปหมด แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับเขา เพราะช่วงนี้ทั้งเขาและผมต่างยุ่งมากทั้งคู่

   ผมผิดเองที่ดูแลเขาไม่ดีพอ

   “ข้าวปั้น...”

   ในที่สุดคนที่นอนนิ่งมาทั้งวันก็ขยับตัว เขาเพ้อพูดแต่คำว่า ขอโทษ ขอโทษ ผมไม่รู้ว่าเขาขอโทษอะไร แต่ผมดีใจที่ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวเสียที

   ผมกุมมือบางๆ แน่น เรียกชื่อเขา จนคนที่นอนอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

   ผมกอดเขา กอดคนเสียขวัญแน่น เขาดูตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและผมเองก็สงสัยกับสิ่งที่เขาพูด

   แม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน แต่สิ่งที่ผมสงสัยก็คงไม่พลาดเท่าไหร่

   มีคนคิดร้ายกับข้าวปั้น...



#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่23(11/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 11-12-2019 23:49:52
เคยมีอดีตเป๋นยังไงนะ?? อยากรู้,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่23(11/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 12-12-2019 00:47:44
ตอนนี้ก็ยังสังสัยเพิ่มขึ้นไปอีก
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่23(11/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 12-12-2019 05:04:49
กำลังจะเฉลยเหตุการณ์ในอดีตแล้วใช่ป่ะจะเกี่ยวข้องกับที่ปั้นกลัวความมืดมั้ย​ ลุ้นมากเลย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่23(11/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-12-2019 16:29:36
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่24(15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 15-12-2019 22:00:11
Chapter – 24
หมอครับ เฮียรู้แล้ว



   ผมลางานแค่สองวันเพราะโชคดีที่ติดวันเสาร์อาทิตย์ก็ได้เวลากลับไปทำงาน

   ผมตื๊อจะกลับบ้านทันทีหลังจากทำ CT scan เพื่อเช็คว่ามีอะไรผิดปกติกับสมองหรือมีเลือดคั่งรึเปล่าแล้วปรากฏว่าไม่มีอะไรน่าเป็น

   “ปั้นครับ”

   “หมอครับ ผมโอเคครับ ผมอยากกลับไปทำงาน”

   หมอพยายามรั้งผมให้อยู่โรงพยาบาลต่อ แต่ผมดื้อจะกลับท่าเดียว แม้พวกพี่ดินจะพยายามไล่ให้ผมลาเพิ่มอีกหนึ่งอาทิตย์ก็ตาม

   หมอจ้องหน้าผมนิ่งขณะที่เขาขับรถมาส่งผมถึงบริษัท ผมขอให้เขามาส่งแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น เพราะเขามีราวด์เช้าทุกวัน จะผลัดเวรแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้ ผมยิ้มให้เขาเพื่อคลายกังวล

   “ถ้าปวดหัว หน้ามืดหรืออยากอาเจียนให้โทรหาเฮียนะ ห้ามทน ห้ามฝืน แล้วเย็นนี้เลิกงานตรงเวลานะครับ เฮียจะมารอรับ”

   ผมทำท่าจะปฏิเสธ แต่เขาทำหน้าดุจนผมพูดได้แค่คำว่า ครับ

   ก่อนผมจะลงจากรถ มือใหญ่รั้งหลังคอผมให้หันกลับมาช้าๆ ก่อนจะกดจูบที่หน้าผากแผ่วเบาเพราะกลัวจะกระทบกระเทือนบาดแผล เขาลูบหัวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

   “ดูแลตัวเองนะครับ”

   “ครับหมอ”

   ผมลงจากรถออดี้ด้วยหน้าแดงเป็นสีเกราะไอรอนแมน ยืนส่งหมอจนรถหรูขับหายลับตาไปจึงค่อยล้วงเอามือถือขึ้นมากดต่อสายหาคนที่อยู่เชียงราย

   นัยน์ตาของผมแข็งกร้าวขึ้นมา

   “เฮียปุ้น ปั้นถูกผลักตก MRT”



   ผมเลิกงานหนึ่งทุ่มตรงเป๊ะ ไม่รู้ทำไมวันนี้สมาธิดีเหลือเกิน จนพี่เจี้ยนที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆ ถึงกับเงียบนิ่งเพื่อดูท่าทางเอาจริงเอาจังของผม

   “กลับแล้วเหรอข้าว กูกลับด้วยดิ”

   ผมที่กำลังเก็บกระเป๋า เงยหน้ามองพี่เจี้ยนที่เก็บของตาม ผมยกมือถือขึ้นมาดูว่าคนที่ผมเรียกมาวันนี้มาถึงรึยัง

   ไม่ใช่หมอหรอกครับ ผมบอกหมอไปแล้วว่าวันนี้จะมีคนมารับผมแทน เขาจะได้ไม่ต้องถ่อวนมารับผม ไม่อยากรบกวนให้มากความ

   ผมลงมาพร้อมพี่เจี้ยน ระหว่างลงลิฟต์ก็กดตอบแชทไปด้วย

   “กลับไงวะ แท็กซี่มั้ย มึงกลับคนเดียวกูเป็นห่วง”

   พี่เจี้ยนถาม ผมส่ายหน้า

   “วันนี้มีคนมารับครับ”

   พี่เจี้ยนมองหน้าผมอย่างสงสัย ร้อยวันพันปีคงไม่ค่อยจะเห็นว่านายข้าวปั้นมีคนมารับล่ะสิ แหงสิครับ ถึงพวกผมจะเข้างานพร้อมกัน แต่เลิกงานไม่ค่อยจะตรงกันหรอกนะครับ

   “ใครวะ”

   ผมไม่ทันจะได้ตอบ ระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินออกนอกบริษัท รถเจ็ดที่นั่งสีดำสนิทจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าโดยมีร่างสูงกำยำเป็นหมีควายยืนสูบบุหรี่รอ สภาพคล้ายๆ กับหมอเวลามารอรับผมเลย

   ทำไมคนพวกนี้ต้องสูบบุหรี่รอกันด้วยนะ?

   “หวัดดีเฮีย”

   ผมทักทายเฮียปุ้นที่หันมาพ่นควันบุหรี่ออกจนมันคลุ้งมาทางผมอย่างเสียมารยาท ผมกรอกตา ปัดไล่ควันพิษ เฮียปุ้นมองหน้าผม ก่อนจะเหลือบไปมองพี่เจี้ยนที่ทำหน้าตกใจเหมือนเห็นก็อตซิลลา...

   เฮียปุ้นกอดอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เสื้อยืดพอดีตัวสีเทาของเฮียจะแน่นไปไหน ผมล่ะกลัวอกเฮียระเบิด รอยยิ้มแสยะปรากฏบนมุมปากเขา ผมสยองว่ะ

   “ยิ้มไรเฮีย”

   “เปล๊า”

   “ไอ้ข้าว กู... กูกลับก่อนนะ”

   พี่เจี้ยนรีบเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อเดินไปยังป้ายรถเมล์ อ้าว! ผมกะจะให้เฮียขับไปส่งเลย ถึงจะคนละทางก็เถอะ

   “เดี๋ยวสิน้องเจี้ยน”

   กลายเป็นเฮียปุ้นที่ทักพี่เจี้ยนไว้แทนผม ร่างผอมบางของพี่เจี้ยนในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งฉิบหายเหมือนใส่เลียนแบบเดอะแรปเปอร์สะดุ้งเฮือก เขาหยุดก็จริง แต่ไม่ได้หันกลับมา

   “ไม่ทักไม่ทายกันหน่อยเหรอคะ”

   “คะ?”

   ผมหันขวับมองหน้าเฮียที่ใช้ภาษาประหลาด ไอ้เฮียมันอ่อนหวานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่... ขนลุก ผมหันไปมองพี่เจี้ยนที่ค่อยๆ หันกลับมาเพื่อยกมือพนมกลางอกอย่างสวยงาม รอยยิ้มแห้งสนิทถูกส่งกลับมาให้

   “สะ... สวัสดีครับ พี่ข้าวปุ้น”

   “สวัสดีครับ แล้วนี่จะไปไหนเหรอครับ” เฮียปุ้นถามคนที่ทำท่าเหมือนจะหนี ผมไม่เข้าใจท่าทีนั้น ผมนึกว่าพี่เจี้ยนจะสนิทกับเฮียแล้วซะอีก วันนั้นยังเห็นแอบไปกินเหล้าด้วยกันอยู่เลยนี่หว่า

   “ผะ... ผะ... ผมจะกลับบ้านน่ะครับ”

   “กลับด้วยกันสิพี่เจี้ยน เนี่ย เดี๋ยวให้เฮียวนรถไปส่ง”

   ผมชวนอย่างมีน้ำใจ แน่นอนว่าค่าน้ำมันเฮียปุ้นออก ไม่ใช่ผม

   “ไม่เป็นไรว่ะ กู... กูว่าจะแวะข้าวสาร”

   “ข้าวสาร? วันนี้เนี่ยนะ วันนี้วันอังคาร”

   “เออ กูนัดวันนี้ มีเงินวันนี้ กูจะไปวันนี้ ไปล่ะ!”

   แล้วร่างผอมแห้งในเสื้อตัวใหญ่ก็วิ่งแจ้นหนีไปเลย ผมหัวเราะหึในลำคอ ส่ายหัวระอาใจกับรุ่นพี่ที่ลั้ลลาได้แม้กระทั่งช่วงที่ไฟลนก้น ก่อนจะหันไปมองเฮียปุ้นที่ยกมือปิดปากเหมือนกลั้นขำ ผมมองท่าทางน่าสงสัยแล้วก็ได้แต่เก็บเงียบไว้

   ผมไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นครับ... เว้นแต่เรื่องจะเข้ามาให้ผมยุ่ง

   ผมกับเฮียปุ้นขึ้นรถ หลังจากที่ผมโทรหาเฮียตอนเช้า เขาก็จองตั๋วเครื่องบินดิ่งมาหาผมทันที โดยที่ผมกำชับเด็ดขาดว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้คนที่บ้านรู้ ผมยังไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วงก่อนจะมั่นใจว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับคนที่ผมสงสัยจริงๆ หรือเปล่า

   “ไปเอารถมาจากไหน?”

   “ยืมกู๋จิณณ์มา”

   “หืม? มิน่าล่ะ ล่อ  BMW มาเชียว” ผมมองรถหรูที่เฮียปุ้นไปขอยืมจากลูกพี่ลูกน้องของแม่ จะว่าไปบริษัทของกู๋จิณณ์ก็อยู่แถวนี้นี่นา ถึงจะไม่เคยไปหาเลยก็ตามที แต่ทุกปีวันตรุษจีนก็จะมีซองแดงส่งมาแจกหลานๆ เป็นประจำ

   “เออ ว่าแต่แก เล่ามา อะไรยังไง ไปทำท่าไหนถึงตกบันไดเลื่อน”

   เฮียปุ้นเปิดประเด็นถาม แน่นอนว่าผมก็จะบอกแหละ เรื่องมันเริ่มจะเลยเถิดถึงขั้นเลือดตกยางออกแล้ว

   “ก่อนหน้านั้นประมาณสองสามอาทิตย์มีเมลแปลกๆ ส่งมาให้ปั้นทุกวัน วันละสองสามฉบับด้วยแอคเคาน์ไม่ซ้ำกันเลย ตอนแรกปั้นนึกว่าเป็นสแปม แต่ดูท่าทีแล้วไม่น่าจะใช่ ตอนแรกปั้นไม่ได้นึกเอะใจอะไร จนกระทั่งวันที่ปั้นตกบันได ตอนเช้ามีจดหมายส่งมา มีรูปกับเนื้อหาของข่าวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนจากหนังสือพิมพ์เก่าตัดสอดไว้”

   ผมกลืนน้ำลาย มือชื้นเหงื่อกำแน่น เฮียปุ้นขับรถไปด้วยเหลือบมองผมไปด้วย

   “จากนั้นปั้นก็ถูกผลักตกบันไดเลื่อนตอนขากลับ คนที่ผลักปั้นไม่เห็นหน้า แต่เขาพูดกับปั้นก่อนไป”

   “ว่า?”

   “I found you”

   เฮียปุ้นเบรกรถจอดติดไฟแดงพอดี ผมถอนหายใจยาว

   “แล้วใครช่วยแก”

   “หมออคิน...”

   ผมพลั้งปากตอบไปอย่างลืมตัว ก่อนนึกขึ้นได้ว่าเฮียปุ้นไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหมอเสียหน่อย ผมหุบปากลง เหลือบมองเฮียปุ้นที่ยิ้มมุมปากชอบใจ ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

   “เมื่อไหร่แกจะบอกเฮียเรื่องอคิน?”

   “ฮะ? เรื่องอะไร”

   ผมตกใจมากที่เฮียถามขึ้นแบบนี้ ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ทำอะไรให้มีพิรุธและก็ไม่เคยหลุดปากเรื่องหมอ...

   หรือว่าหมอจะเป็นคนบอก?

   “ไอ้ข้าวปั้น แกคิดว่าเฮียโง่เหรอ”

   เฮียปุ้นเข้าเกียร์ออกรถ มุ่งหน้ากลับคอนโดผม ผมเม้มปากแน่นเมื่อไม่รู้ว่าเฮียปุ้นรู้เรื่องอะไรมา เขาหุบยิ้มก่อนพูด

   “เรื่องแกกับอคิน เฮียรอแกพูดมาจะปี จนป่านนี้แกก็ยังไม่พูด เฮียก็อยากถามแกว่าจะปิดบังไปจนถึงเมื่อไหร่”

   “เฮีย! ใครบอกเฮีย ปั้น... ปั้น...”

   เฮียปุ้นยกมือมาโยกหัวผมที่กำลังตื่นตระหนกตกใจกับเรื่องที่ตัวเองไม่รู้ สัมผัสของเฮียปุ้นทำให้ผมค่อยใจเย็นลงหน่อย หมายความว่าเฮียไม่โกรธเรื่องที่ผมคบกับผู้ชายสินะ...

   “ใจเย็นไอ้ตูด เฮียไม่ได้จะก้าวก่ายชีวิตแก บ้านเราไม่ตัดสินใจแทนกันแกก็รู้ แล้วเรื่องระหว่างแกกับอคินก็ไม่เห็นว่าแกจะต้องปิดบัง เฮียยังไม่เห็นเคยปิดแก”

   ผมยิ้มแหย ผมรู้ ครอบครัวผมก็รู้ว่าเฮียปุ้นน่ะ ชอบทั้งผู้ชายและผู้หญิง เขาพาทั้งชายทั้งหญิงเข้าบ้านไม่ซ้ำหน้าสมัยเรียน แถมตั้งแต่ปลูกบ้านแยกเป็นของตัวเอง ถ้าไม่บอกไว้ก่อนก็แทบจะไม่มีใครกล้าเข้าไปในอาณาเขตบ้านเฮียโดยไม่ได้รับอนุญาต กลัวเจอแจ็กพอตกัน

   ผมรู้ไงว่าเฮียไม่สนและม๊ากับป๊าก็ทำใจเรื่องนี้ไว้นานแล้ว

   แต่สำหรับผม... ผมไม่อยากให้ป๊ากับม๊าผิดหวัง

   “ปั้น... ปั้นกลัวป๊าผิดหวัง”

   เฮียปุ้นมองหน้าผม มือที่จับหัวผมเปลี่ยนเป็นผลักทิ้งอย่างหมั่นไส้จนคลอน ผมร้องอย่างไม่พอใจ เฮียปุ้นหัวเราะหึ กรอกตามองบน เลี้ยวรถเข้าคอนโด

   “แกจะเป็นอะไร จะชอบใครรักใคร ป๊ากับม๊าไม่ว่าหรอกเชื่อเฮีย ขอแค่เขาดีกับแก เขารักแก ดูแลแก เฮียว่าแค่นั้นป๊าก็พอใจแล้ว ส่วนเรื่องทาย้งทายาทสืบสกุลอะไรนั่นอย่าไปคิดเยอะ อย่าลืมว่ายังเหลือยัยฟ่างที่ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมแต่งออกนั่นอีกทั้งคน”

   พี่สาวคนโตถูกดึงมาเอี่ยวด้วย ผมหัวเราะ ก็ใช่... หลังจากที่ทั้งบ้านรู้ว่าเฮียปุ้นอาจไม่สามารถมีหลานให้ม๊าอุ้มได้ เจ้ฟ่างก็ประกาศกร้าวเด็ดขาดว่าใครจะแต่งกับชี ต้องใช้นามสกุลชีเท่านั้น

   ครับ... เจ้เราเท่อย่าบอกใคร

   “แล้ว... เฮียรู้ได้ไง”

   ผมถามระหว่างขึ้นลิฟต์ กดชั้น 9 อย่างคุ้นเคย เฮียปุ้นเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์ข้างหนึ่งโดยที่อีกข้างหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองพาดบ่าสบายๆ

   “มันโทรมาขอแกกับเฮียวันเดียวกับที่แกโทรมาบอกเฮียว่าจะกลับบ้านเมื่อปีก่อน”

   “ปีก่อน!”

   ผมลองคำนวณดู... เดี๋ยวนะๆ

   ทำไมรู้สึกเหมือนจะมีเรื่องให้ทะเลาะกันยังไงก็ไม่รู้

   ผมใช้คีย์การ์ดแนบประตูเพื่อปลดล็อค ไฟในห้องสว่างโร่บ่งบอกว่าคนที่อยู่ชั้น 15 ไม่ยอมกลับห้องตัวเองอีกแล้ว ร่างสูงของหมอนั่งคอพับคออ่อนพิงโซฟาอยู่แบบเดิม ในมือยังคงมีไอแพดและข้างๆ มีเอกสารเต็มไปหมด

   เขาจะเอางานกลับมาทำที่บ้านแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะ

   หมอหรือ CEO

   เฮียปุ้นหัวเราะเมื่อเห็นสภาพเพื่อนตัวเอง นี่ถ้าเฮียปุ้นไม่บอกผมก่อนว่ารู้เรื่องผมกับหมอแล้ว  ผมคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกถ้าเปิดเข้ามาแล้วเจอสภาพนี้ในห้อง ผมไม่รู้จะโกหกยังไงให้เนียนเลยจริงๆ

   “ไอ้คิน”

   เฮียปุ้นเดินแทรกเข้าไปสะกิดด้วยเท้า ไอ้เฮีย! ใช้เท้ากับเพื่อนไม่ได้นะเว้ยเฮ้ย!

   หมอลืมตาขึ้น ขอบตาเขาคล้ำเป็นแพนด้า ถอดแว่นออกเพื่อนวดหัวตาคลายความล้า ก่อนจะสวมมันกลับไปใหม่ หมอกวาดตามองไปรอบๆ มองหน้าเฮียปุ้นแล้วเลิกคิ้วข้างเดียว ก่อนจะหันมามองผมพลางกวักมือเรียก

   “ปั้นครับ มานี่”

   ผมมองหมอกับเฮียสลับกันเลิ่กลั่ก เมื่อไม่ยอมเดินไปหาเสียที หมอจึงเรียกอีกรอบ

   เห็นกูเป็นแมวอีกแล้วหมอ...

   ผมเดินตัวลีบไปนั่งข้างเขา หมอแหวกกลุ่มผมข้างที่มีผ้าก๊อซแปะอยู่เพื่อเช็คก่อนถาม

   “ปวดมั้ย”

   “ไม่เท่าไหร่ครับ”

   “อย่าพึ่งสระผมนะ สระแห้งไปก่อน”

   “ครับ”

   “อะแฮ่ม!” เฮียปุ้นโยนกระเป๋าไว้ข้างๆ จนปั้นสิบสะดุ้งกระโดดหนีไปบนเตียง “หมั่นไส้ว่ะ ไปรักกันไกลๆ”

   ผมรีบลุกขึ้น หมอรั้งข้อมือผมไว้ก่อนจะยิ้มให้

   “งั้นไปห้องเฮียกัน ปล่อยปุ้นมันอยู่นี่แหละ”

   “หมอ!”

   ผมตีมือเขา หมอหัวเราะเลิกแหย่ก่อนจะปล่อยพลางบอกว่าเขาซื้อข้าวเย็นมาให้แล้วให้ผมไปจัดการได้ คุณหมอจัดการเก็บเอกสารให้เรียบร้อย เคลียร์พื้นที่ให้เฮียปุ้นทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

   “ขอบใจที่ดูแลไอ้ปั้น” เฮียปุ้นพูด ผมที่ยืนจัดจานอยู่ตรงส่วนครัวหน้าร้อน... อย่ามาคุยอะไรแบบนี้ให้ผมได้ยินได้มั้ย

   “แฟนกูก็ต้องดูแลสิ” หมอตอบกลับนิ่งๆ ตามฉบับ เป็นการตอบที่ทำให้ผมทำส้อมหลุดมือ

   “อะไรไอ้ปั้น ซึ้งจนมือไม้อ่อนแรงเรอะ” เฮียปุ้นแซว ผมอยากขว้างกระป๋องเบียร์ให้กระแทกกลางหน้าเฮียแม่งจริงๆ

   “เงียบเลยเฮีย!”

   หลังจากช่วยกันจัดการมื้อเย็นในสถานที่แคบๆ เราก็เริ่มตั้งวงคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมปรึกษาเฮียปุ้นก่อนแล้วว่าจะเล่าเรื่องนี้ให้หมอฟังด้วยดีมั้ย ซึ่งแน่นอนว่าเฮียปุ้นบอกว่าเขาควรจะรู้ไว้ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่นานมาแล้วก็ตาม ผมค่อนข้างลำบากใจที่จะเล่า เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเสียเท่าไหร่

   “คิน มึงรู้แล้วใช่มั้ยว่าข้าวปั้นเป็นโรคกลัวที่แคบที่มืด”

   เฮียเปิดประเด็นด้วยโรคที่อยู่กับผมมานานสิบเจ็ดปี หมอพยักหน้ารับ

   “สาเหตุของมันมาจากเรื่องเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน กูว่าตอนนั้นมึงไม่น่าจะอยู่ไทยแล้วน่าจะไม่ทันข่าว”

   หมอเอียงคอ ก่อนมองมาทางผมที่หน้าซีดเผือด ตอนนึกถึงเหตุการณ์นั้นมันทำให้ผมตัวสั่น

   “คดีลักพาตัวเด็กสิบเจ็ดคน”
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่24(15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 15-12-2019 23:09:39
ห่ะ ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ??
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่24(15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-12-2019 00:00:30
 :a5:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่24(15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 16-12-2019 02:03:47
ยังไงเนี่ย ลุ้นสุด ๆ เลย :o12:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่24(15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 16-12-2019 05:09:25
ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่24(15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 16-12-2019 07:21:40
คนที่ผลักปั้นคือคนที่มาคุยกับปั้นว่าน้องตัวเองอายุเท่ากับปั้นแต่ตายแล้วป่าว
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่24(15/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 16-12-2019 17:50:39
ก่อนอื่นบอกพี่เจี้ยนว่า หนียังไงก็หนีไม่พ้นเฮียปุ้นหรอก ว่าแล้วก็ปล่อยพี่เจี้ยนวิ่งไปก่อน
เฮียปุ้น มาแบบเสื้อยืดรัดติ้ว แบบพระเอกฟิสเนส แต่มีพูดค่ะ หวายมีอ่อนหวานด้วย
เฮียคิน ก็ดูแลแฟนได้ดีแม้จะงานเยอะไปหน่อย เจอกันแล้วเหม็นฟามรัก
ข้าวปั้น ยังมีหลายอย่างในอดีตที่น่าติดตามมากมาย แต่มีอะไรควรปรึกษาแฟนและพี่นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่25(19/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 19-12-2019 02:49:45
Chapter – 25
หมอครับ ลักพาตัว



   “ช่วงยี่สิบปีก่อน คดีแก๊งอุ้มเด็กฮอตฮิตมาก แต่ยังไม่มีข่าวว่าเด็กที่เชียงรายหายไป ป๊ากับม๊าเองก็ไม่ไว้ใจถึงกับไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน แต่จู่ๆ คดีมันก็เงียบไปจนผ่านไปสามปี ก็มีข่าวลือว่าเด็กบนดอยหายตัวไป อีกไม่กี่อาทิตย์เด็กเล็กในศูนย์เด็กของอำเภอรอบนอกถูกอุ้มไปโดยคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ ช่วงนั้นตำรวจและสายตรวจวุ่นวายเต็มไปหมด จนกระทั่งเด็กโรงเรียนข้าวปั้นหายไปสามคน รวมไอ้ปั้นด้วย”

   เฮียปุ้นเล่าย้อนความ เขาจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี

   วันนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว พระอาทิตย์ตกดินเร็ว แค่ห้าโมงเย็นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว โรงเรียนประถมปกติเลิกสี่โมงเย็นเป็นประจำ เฮียปุ้นอยู่โรงเรียนมัธยมที่อยู่ในตัวเมืองแถมยังขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนเอง ส่วนผมเรียนโรงเรียนประถมใกล้บ้าน ดูแล้วมีแต่คนรู้จักหน้าค่าตากันทั้งนั้น ทำให้ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่

   ผมจำได้ว่าวันนั้นอยากออกไปหาซื้ออะไรกินนอกรั้วโรงเรียนระหว่างรอให้ม๊ามารับเหมือนทุกที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินเลี้ยวตรงหัวโค้งที่ไม่ได้เป็นมุมอับอะไร จู่ๆ ก็มีรถปิกอัพคันใหม่เอี่ยมเทียบจอดข้างๆ ผมถูกอุ้มขึ้นไปทันทีโดยไม่มีสิทธิ์ได้ร้องใดๆ ทั้งสิ้น ผมได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากแม่ค้าขายของที่เห็นเหตุการณ์ จนสุดท้ายสติผมก็ดับวูบไป

   “ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว ตอนอ่านข่าวเราไม่สามารถเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กพวกนั้นได้เลย ถ้าไม่เจอกับตัว...”

   เฮียปุ้นเอามือวางไว้บนหัวผมที่ลูบขนปั้นสิบอยู่ ผมเล่าต่อเฮียเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ผมเจอโดยตรง

   “ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในโกดังร้าง มันมืดและเหม็นอับเหมือนกลิ่นเปลือกข้าว ผู้ใหญ่ประมาณหกเจ็ดคนเดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระสอบ พวกมันเปิดไฟทำให้ผมเห็นว่ามีเด็กอายุไล่เลี่ยกับผมถูกจับมัดไว้อยู่ และในกระสอบก็คือเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่าห้าขวบ เด็กพวกนั้นเอาแต่ร้องไห้ตอนตื่น... แต่ผมร้องไม่ออก”

   ไม่ใช่ว่าผมเข้มแข็งอะไร ผมแค่กลัว กลัวมากจนไม่กล้าร้องออกมา

   “ผมเห็นเพื่อนร่วมชั้นแต่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันถูกจับมัดไว้ไกลออกไปรวมกับเด็กที่ใส่ชุดดอย ผมว่าเด็กพวกนั้นน่าจะเป็นเด็กกลุ่มแรกๆ ที่พวกมันจับมา พวกมันไม่ได้ทำอะไรนอกจากสั่งให้พวกเราอยู่กันเงียบๆ ผมได้ยินคนนึงพูดว่า พวกเราคือสินค้า ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอย่างเราถึงเป็นสินค้า”

   ผมกลืนน้ำลาย ภาพวันนั้นติดตาตรึงใจจนทำให้ผมขวัญผวามาถึงทุกวันนี้

   “ผมถูกขังโดยไม่ให้เห็นแสงข้างนอกกี่วันไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่พวกผู้ใหญ่เข้ามา มันจะลากเด็กออกไปหนึ่งคน และเด็กคนนั้นจะไม่ได้กลับมาอีก ทุกครั้งที่มีหนึ่งคนโดนลากออกไป เด็กที่เหลืออยู่จะเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ เราไม่พูดอะไรกัน แม้กระทั่งชื่อพวกผมยังไม่กล้าที่จะถาม ผมกลัวว่าถ้าพวกมันได้ยินเสียง เสียงของพวกผมจะทำให้โดนลากออกไป...

   จนกระทั่งเด็กที่ถูกจับมาจากโรงเรียนเดียวกันถูกลากออกไปบ้าง เขาตะโกนเรียกชื่อผม เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าเขาจำผมได้ นอกจากเราจะทำได้แค่มองกันโดยไม่พูดอะไร เขาพยายามคว้าผมไว้ แต่ผมกลัวเกินกว่าจะคว้าเขากลับมา ผมทำได้แค่กอดตัวเองให้แน่นที่สุด อ้อนวอนขอให้รายต่อไปไม่ใช่ผม”

   ผมจำสายตาของเขาได้ มันมีทั้งความโกรธแค้น ความสิ้นหวัง และความหวาดกลัว

   แต่สายตาของผมคงเป็นแค่สายตาของคนเห็นแก่ตัว

   “เขาเป็นคนเดียวที่ได้กลับมา กลับมาด้วยสภาพเลือดท่วมตรงท้อง เขาไม่ได้ถูกเอาไปทั้งตัวเหมือนคนอื่น เขาถูกเอาไปแค่ไตข้างเดียว...”

   “ค้าอวัยวะ?”

   หมอเบิกตากว้างเมื่อผมเล่ามาถึงตอนนี้ ผมจิกแขนตัวเอง

   “มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าร่างกายคนเรามีเลือดเยอะขนาดนี้เลยจริงๆ เหรอ... เขาถูกพามานอนที่เดิม เด็กที่เหลืออยู่มีประมาณห้าหกคน ทุกคนเริ่มจิตตกจนกระเจิดกระเจิงไปคนละฟาก ผมว่าคงไม่มีเด็กคนไหนเคยเจอเลือดเยอะขนาดนี้มาก่อน”

   ผมคลานไปหาเขา ไปเขย่าตัวเด็กผู้ชายที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกับศพ เขามองผมด้วยสายตารังเกียจ ผมพยายามถอดเสื้อของตัวเองออกมาอุดปากแผลเขา แต่เหมือนแรงของผมจะยิ่งทำให้เลือดไหล...

   “ผู้ใหญ่สามคนเตะผมออกไปก่อนจะอุ้มเขาไปนอนบนโต๊ะยาวๆ กลางห้อง เหมือนผมจะไปกดให้ปากแผลเขาเปิด”

   หมอกระพริบตาปริบๆ คงนึกภาพตามแล้วระอาผมล่ะมั้ง แน่ล่ะ ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมทำจะช่วยเขาได้ หรือทำให้เขาตายไวขึ้น

   “ผมแอบมองคนพวกนั้นเย็บแผลให้เขาใหม่ แต่คราวนี้เขาไม่ได้แค่เย็บ ผมเห็นเขายัดบางอย่างลงไป” ผมกลืนน้ำลาย “หลังจากพวกมันเย็บแผลให้เด็กคนนั้น มันก็หันมาทางพวกผม ผมคิดว่า คราวนี้แต้มบุญผมหมดแล้วแน่นอน”

   ผมพยายามกระถดตัวหนีด้วยเรี่ยวแรงที่มี แต่สุดท้ายก็ไม่รอด พวกมันจับเด็กที่เหลือปิดตารวมถึงผมด้วย ผมตะโกนร้องไห้เป็นครั้งแรกตั้งแต่โดนจับมา ในความมืดมิดใต้ผ้าปิดตา ผมพยายามดิ้นและขอร้องให้ปล่อยผมไป ผมถูกจับถอดเสื้อผ้า โดนจับฉีดยาอะไรก็ไม่รู้ จากนั้นความรู้สึกสุดท้ายที่จำได้คือความเจ็บมหาศาลที่ท้อง

   “ข้าวปั้น...”

   ผมลูบๆ ท้องตัวเอง แม้รอยแผลตอนนั้นจะไม่ลึกมากเพราะโชคช่วยก็ตาม

   “โชคดีที่ตอนนั้นหน่วยปราบปรามตามไปจนเจอก่อนที่ข้าวปั้นจะโดนยัดของลงไป เด็กๆ ที่เหลืออยู่ก็ปลอดภัยดี ตำรวจสืบสวนร่วมมือกับตำรวจชายแดนเชียงรายตามไปเจอที่ชายแดนพม่า โกดังร้างที่ถูกซ่อนไว้ของนายหน้าค้ามนุษย์รายใหญ่ของพม่า เป็นหนึ่งในคดีที่ตำรวจตามติดมานาน เด็กแต่ละคนถูกช่วยเหลือแล้วพาส่งโรงพยาบาลทันที แต่เด็กที่ไม่รอดก็มี... เด็กสิบเจ็ดคนที่หายไปเหลือรอดกลับมาแค่เก้าคน เด็กที่เหลือถูกส่งขายออกไปตามประเทศต่างๆ... เป็นการขายอวัยวะ”

   ของที่ว่าก็คือยาเสพติดสำหรับคนส่งในร่างกายมนุษย์ และคงไม่ต้องให้พูดต่อ ว่าการถูกส่งไปขายอวัยวะจะต้องถูกส่งไปขายในสภาพไหน ผมปิดหน้า... นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของเขาผมยังจำได้ แม้ผมจะจำชื่อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมไม่กล้าถามชื่อเขาจากใคร รวมถึงไม่กล้าอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ผมไม่อยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร... ไม่อยากจำได้ ไม่อยากให้อะไรอยู่ในความทรงจำเลวร้ายของผมไปมากกว่าสายตากับเสียงกรีดร้องที่ได้ยินแทบทุกวันนั่น

   “ระยะเวลาที่หายไปคือสามวัน สามวันกับเด็กที่หายไปสิบเจ็ดคนมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่เป็นเพราะเด็กที่หายไปส่วนใหญ่เป็นเด็กบนดอยที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน...จะว่าไง เป็นเด็กไม่มีสัญชาติ เรื่องเลยตามได้ค่อนข้างช้าเพราะเบาะแสน้อยและตัวพ่อแม่เด็กเองก็ไม่กล้าพอจะไปแจ้งตำรวจ แต่พอเป็นเด็กในเมือง พ่อแม่เขาไม่ยอม โดยเฉพาะป๊ากับม๊าที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในจังหวัดอยู่มาก รวมถึงญาติฝ่ายม๊าที่ค่อนข้างรู้จักกับคนบนๆ เรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเพราะข้าวปั้นหายไป”

   เฮียปุ้นมองหน้าผมที่กอดเข่าโยกไปมา

   ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคดี การถูกจับไปแม้จะถูกช่วยกลับมาได้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องโชคดีใดๆ เด็กที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับผมก็คงตกอยู่ในฝันร้ายไม่ต่างกับผม โดยเฉพาะเด็กคนนั้น...

   ผมตื่นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ม๊ากับป๊าร้องไห้จะเป็นจะตาย ผมก็ร้องไห้ ผมตกอยู่ในฝันร้าย สะดุ้งตื่นกลางดึกทุกคืน ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุทุกวัน ขวัญหายจนต้องทำพิธีเรียกขวัญตามความเชื่อของคนเหนือตามที่ป้าสรบอก ไม่รู้ว่าความเชื่อนั้นเป็นจริงหรือทำไปเพื่อเรียกความสบายใจทั้งของผมและคนในบ้าน ผมค่อยๆ ดีขึ้น แต่อาการกลัวที่แคบที่มืดก็ไม่เคยจางไป

   ทุกครั้งที่ไฟดับ ผมจะได้ยินเสียงของเด็กคนนั้น และผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดคำที่ไม่เคยพูดออกไปเลย

   ขอโทษ...

   ขอโทษที่ตอนนั้นผมไม่มีความกล้ามากพอ...

   “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวยังไงกับเรื่องที่ข้าวปั้นถูกผลักตกบันได?” หมอถาม “หรือปั้นคิดว่าเป็นฝีมือเด็กคนนั้น”

   “ผมไม่รู้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเขารึเปล่า แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั่น” ผมบอกเขา หยิบมือถือขึ้นมาเปิดอีเมลสแปมแล้วยื่นให้หมอดูข้อความ ‘Watch your back’

   “พวกนี้ส่งมาก่อนผมจะตกบันไดประมาณสิบวัน...”

   ผมดึงมือถือกลับมา แล้วเปิดหน้าไลน์แล้วชูให้เขาดู เป็นข้อความไลน์ว่า ‘Why are you still Happy?’

   “ส่วนนี่ส่งมาให้ผมก่อนวันที่จะโดนผลักตกบันไดหนึ่งวัน”

   ผมชูให้เขาดูก่อนดึงกลับมาอีกรอบเพื่อเปิดหน้าทวีตเตอร์

   “ส่วนนี่เป็นวันนั้น วันที่ผมโดนผลักตก”

   อันสุดท้ายคือข้อความที่ถูกทวีตผ่านทวีตเตอร์ของผม ประโยค I found you. ประมาณร้อยทวีต

   หมอกับเฮียปุ้นมองข้อความในมือถือที่ผมเปิดให้ดูแล้วเงียบไปเลย ก่อนเฮียปุ้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

   “นี่มันโรคจิตชัดๆ”

   “ก่อนหน้าที่ผมจะโดนผลักตก ตอนเช้ามีจดหมายส่งมา มันแนบรูปภาพกับข้อความข่าวนั้น เป็นกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าที่อยู่ในสภาพเหมือนถูกตัดเก็บไว้ วันนั้นผมค่อนข้างช็อคตอนเห็นรูปหน้าของเด็กที่ถูกจับไป ผมไม่ทันอ่านชื่อเขาก็ไฮเปอร์ขึ้นจนเป็นลมไป... มันค่อนข้างชุลมุน กระดาษหนังสือพิมพ์เลยถูกเหยียบ น้องที่บริษัทบอกว่าป้าแม่บ้านกวาดทิ้งไปแล้ว” ผมถอนหายใจเฮือก

   “เพราะงั้นแกเลยมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับคดีนั่น” เฮียปุ้นถามย้ำอีกครั้ง ผมไหล่ห่อเหี่ยว ถึงจะไม่อยากฟันธงแต่คงไม่พ้นเพราะเรื่องนั้นเป็นสาเหตุ

   “ไม่ใช่ก็มีส่วน ไม่งั้นจะมีไอ้บ้าที่ไหนเก็บข่าวเก่าสิบเจ็ดปีไว้แล้วส่งมาแกล้งปั้นเล่นงั้นเหรอ นอกจากครอบครัวเราก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ นอกจากคนในเหตุการณ์”

   “แล้วสุดท้ายเด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง” หมอถามบ้าง “หลังจากถูกช่วยเหลือมา เด็กคนนั้นรอดใช่มั้ย”

   “ครับ แต่เขาไม่กลับไปที่โรงเรียนอีกเลย ข่าวปิดเงียบเพราะโรงเรียนไม่อยากให้เสียหายไปมากกว่านี้ และเด็กที่อยู่ในโรงเรียนก็ไม่ได้มีใครเป็นอะไรนอกจากเด็กคนนั้น ไม่นานคนก็ลืมกันไป เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตเป็นเด็กที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และพ่อแม่ก็ไม่ได้ตามหา”

   “ถ้าลองหาจากทะเบียนการรักษาของโรงพยาบาลหรือสถานีตำรวจ เฮียว่าน่าจะรู้ชื่อเด็กคนนั้นได้ไม่ยากนะ” เฮียปุ้นเสนอ

   “ถ้าเป็นคนไข้รักษาต่อเนื่องทะเบียนประวัติการรักษาจะถูกเก็บไว้ แต่ในบางโรงพยาบาล ถ้าไม่มีการอัพเดทการรักษาจะมีการลบประวัติทิ้งตามระยะเวลาที่แต่ละโรงพยาบาลกำหนด  แต่ถ้าเป็นการรักษาที่เกี่ยวกับคดีความจะเก็บประวัติไว้สิบปี หรือมากกว่านั้น  ถ้าเด็กคนนั้นย้ายออกจากเชียงรายไปตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว กูว่าข้อมูลที่โรงพยาบาลอาจไม่เหลือ จะหาคงหาได้จากสถานีตำรวจมากกว่า”

   หมอบอก เฮียปุ้นพยักหน้ารับก่อนจะโทรหาใครสักคน... เดี๋ยวนะ นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามแล้วเฮีย!

   “เฮ้ยไอ้ตุลย์ กูเอง... เออกูไง ไอ้สัส... เออ มีเรื่องให้ช่วย”

   เฮียปุ้นพูดกับคนในสายด้วยมารยาทที่งามจนน่าช่วยเหลือ ถ้าผมเป็นเพื่อนเฮีย ผมจะวางสายทันที

   “กูอยากให้ช่วยหาแฟ้มคดีเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนหน่อย กูอยากหาคน... เออ แล้วมันทำไมวะ!... ฮะ? เออ ข้าวปั้นทำไม?...” 

   จู่ๆ เฮียก็หันมามองผม ก่อนจะคิ้วกระตุก หืม... เขาคุยอะไรกัน

   “ไอ้เหี้ย มันมีผัวแล้วอย่ามายุ่ง ฮะ? เออๆ... ไอ้สัส เรื่องลักพาตัวสิบเจ็ดปีก่อนไง เออ... เออ!”

   เขา... เขาคุยอะไรกันน่ะ

   หมอมองหน้าเฮียปุ้นตาเขม็ง เขาคงพยายามแกะบทสนทนานั่นเหมือนผมแหละ เฮียปุ้นยิ้มไม่สนใจอะไร ก่อนจะบอกว่า เดี๋ยวนายตำรวจเพื่อนเฮียจัดให้

   “เพื่อนมึงถามหาข้าวปั้นทำไม”

   ผมอุตส่าห์ปล่อยผ่านไป ทำไมหมอต้องถามด้วยวะ เฮียปุ้นยักไหล่

   “เปล๊า แค่คิดถึงตามประสาเพื่อนเก่า”

   “ผมไปเป็นเพื่อนพี่ตุลย์เมื่อไหร่” ผมทำหน้าไม่พอใจ ผมรู้จักพี่ตุลย์ผ่านๆ เท่านั้นแหละตอนเขามาปาร์ตี้ที่บ้าน รู้แค่ว่าตอนนี้เขาเป็นสารวัตรสืบสวนอยู่เชียงราย

   เฮียปุ้นหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอึกๆ

   “เอาเป็นว่า กูจะอยู่รับใช้ตี๋เล็กจนกว่าเรื่องนี้จะคลี่คลาย หน้าที่ไปรับไปส่งปล่อยให้เป็นของกูเอง เพื่อนหมอไม่ต้องเป็นห่วงนะ” หมีควายตัวล่ำดำเพราะแดดยื่นกระป๋องเบียร์ไปตรงหน้าหมอเป็นเชิงชวนดื่ม หมอมองหน้าเฮียปุ้นแป๊บนึง ก่อนจะถอนหายใจแล้วยกของตัวเองขึ้นมาชนอย่างเลี่ยงไม่ได้

   แล้วผมล่ะ ผู้ชายสองคนนั้นเขาไม่ยอมให้ผมดื่มด้วยน่ะครับ ผมเลยต้องทำหน้าที่เป็นเด็กนั่งดริ๊งค์ คอยหากับแกล้มให้ แน่นอนว่าเบียร์ป๋องสองป๋องไม่ทำให้ผู้ชายตัวโตๆ สองคนเมาแอ๋หรอก

   “เฮ้ย ตี๋เล็กของเฮีย มีเบียร์อีกปะ”

   ไอ้เฮียปุ้นเริ่มติดอกติดใจการดื่มกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมาถึงยี่สิบปี หมอปลดกระดุมคอเสื้อพลางร่นไทด์ลงจนถึงอก แขนเสื้อถูกพับขึ้นถึงศอก บ่งบอกว่าคืนนี้น่าจะไม่จบง่าย

   เวรของนายข้าวปั้นแท้ๆ

   “หมดแล้ว กินโค้กแทนได้มั้ย” ผมที่ล้างจานอยู่ตวัดเสียงใส่ เฮียปุ้นล้วงแบงค์พันออกมาวางบนโต๊ะ เป็นเชิงบอกว่า... ลงไปซื้อให้หน่อย เซเว่นอยู่ข้างล่าง

   สัสเฮีย!

   ผมพ่นลมหายใจยาวก่อนจะล้างมือแล้วเดินไปหยิบแบงค์พันบนโต๊ะ คว้าคีย์การ์ดห้องตัวเองกับมือถือมายัดกระเป๋ากางเกง หมอลุกขึ้นตาม

   “เฮียไปด้วย”

   ผมเลิกคิ้ว ไม่ได้ว่าอะไร เขาคงเป็นห่วงผมตามประสานั่นแหละ เราพากันเดินไปที่ลิฟต์ แต่ก่อนที่ผมจะกดปุ่มลง หมอกลับกดปุ่มขึ้นแทน ผมมองหน้าเขาที่รวบมือผมมาจับด้วยสีหน้านิ่งๆ ทันทีที่ลิฟต์มา เขาก็จูงผมเข้าไปในลิฟต์ แล้วกดชั้น 15

   “หมอ... เบียร์อ่ะ”

   “วันนี้ไปนอนห้องเฮีย”

   “หา?”

   หมอยิ้มก่อนจะก้มลงมาจูบริมฝีปากผมแผ่วเบา ปลายลิ้นร้อนตวัดริมฝีปากล่างผมแบบที่ชอบทำ... ผมยกมือปิดปาก หน้าแดงซ่าน ใจเต้นตุบตับๆ

   “รำคาญข้าวปุ้น”

   มือใหญ่ประสานกุมมือผมแน่น

   เฮียปุ้นครับ... น้องชายเฮียโดนลักพาตัวอีกแล้วครับ



ของ - ยาเสพติด (ในเว็บอื่นมีเเต่คนถาม ไว้ตอนรีไรต์จะอธิบายในเรื่องนะคะ) 

**** เหตุการณ์ในเรื่องเป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ต้องตามหารายละเอียดใดๆ ดั่งเช่นเรื่องโคนันที่คดีไม่มีอยู่จริง ****

ขอให้สนุกสนานและตามลุ้นกันไปนะคะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่25(19/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 19-12-2019 05:03:00
ในเหตุการณ์คับขันแบบนั้นใครจะช่วยใครได้และอีกอย่างทุกคนก็ยังเด็ก​ ถ้าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทำร้ายข้าวปั่นจริงก็ใจร้ายเกินไปแล้ว​ ไม่มีเหตุผลเลย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่25(19/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 19-12-2019 05:25:58
เหตุการณ์ที่ผ่านมา มันส่งผลถึงปัจจุบัน
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่25(19/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-12-2019 09:43:27
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่25(19/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-12-2019 11:07:15
น่าสงสารเข้าปั้นนะ ป่วยกลัวที่แคบตั้ังแต่นั้นมา
สำหรับคนที่ตามทำร้าย ถ้าเป็นเด็กคนนั้นก็น่าจะจำฝังใจ
ดีที่มีหมอดูแลใกล้ๆ แล้วหมอก็พาข้าวปั้นไปฉีดยาที่ห้อง เอ๊ะ เกี่ยวกันไหม
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่25(19/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-12-2019 00:35:12
ง่านึกว่าจะเป้นเรื่องใสๆนี่อะไรเลือดตกยางออกก้มา
รอตอนต่อไปยุ่น๊าาาาา
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่26(23/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 23-12-2019 23:01:48
Chapter – 26
หมอครับ เขาบอกว่าใช่



   ผมไปทำงานจนครบอาทิตย์โดยมีเฮียปุ้นคอยไปรับไปส่ง ถึงจะเป็นงานที่ดูน่าเบื่อ แต่ผมรู้สึกว่าเฮียดูกระตือรือร้นกับการมารับมาส่งผมเหลือเกิน แถมยังชอบซื้อข้าวเช้าไปฝากกลุ่มเพื่อนที่พากันไปเที่ยวบ้านคราวก่อนอีกด้วย ไม่รู้เอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ ไอ้เนกับฟางนี่ลาภปากไปทั้งอาทิตย์ ในขณะที่พี่ดินฝากไปบอกว่าไม่ต้องซื้อมาเผื่อพี่แกหรอก

   แต่ที่ผมรู้สึกแปลกๆ... คือการกระทำเฉพาะเจาะจงของเฮียปุ้น

   “อันนี้ให้น้องเจี้ยนนะ”

   “ทำไม?”

   ผมมองเฮียด้วยสายตาไม่ไว้ใจ เฮียทำหน้ารำคาญบอกปัดๆ

   “เออน่า อย่าถามมากสิ”

   “เฮีย... เฮียจะถูกใจใครก็ได้นะ แต่อย่ามาล้อเล่นกับเพื่อนปั้น”

   ผมพูดไปตรงๆ หลังจากที่เฮียเจาะจงของที่ซื้อให้พี่เจี้ยนครบอาทิตย์ เฮียเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วพเยิดหน้า

   “เออ”

   “เอออะไร เอาให้ชัด ปั้นจะได้บอกพี่เจี้ยนถูก”

   “เออน่า ถามมากจังไอ้ตี๋เล็ก” เฮียปุ้นเบือนหน้าหนี ไม่ชอบให้มาเซ้าซี้เป็นปกติ

   “เฮียปุ้น นั่นเพื่อนปั้น จะทำอะไรเกรงใจหน้าปั้นนิดนึง” ผมเอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้าย

   “เออ เฮียรู้ ไปๆๆ ตั้งใจทำงานไอ้ตี๋เล็ก”

   เฮียปุ้นไล่ ผมยังขมวดคิ้วแน่นไม่ไว้ใจเฮียจนวินาทีสุดท้ายก่อนขึ้นบริษัทไปพร้อมกับถุงข้าวกล่องพะรุงพะรัง

   ผมมองข้าวกล่องขณะเดินออกจากลิฟต์ ทักทายเพื่อนร่วมงานเป็นปกติก่อนจะเดินไปวางกล่องข้าวบนโต๊ะเนกับฟาง แล้วกลับมาที่ตัวเอง เห็นพี่เจี้ยนนั่งเหม่ออยู่หน้าคอม ผมแปลกใจกับการมาเช้าของพี่แกจนต้องเอ่ยปากทัก

   “มาเช้าจังพี่”

   “กูนอนไม่หลับ”

   ขอบตาพี่เจี้ยนลึกโหลเป็นมหาสมุทรจนต้องเอาแว่นกรองแสงขึ้นมาใส่ ผมหัวเราะหึก่อนจะยื่นถุงข้าวกล่องให้ พี่เจี้ยนหลุบตามองมันก่อนจะผลักออก

   “กูไม่เอา กินมาแล้ว อิ่ม”

   “งั้นเก็บไว้กินมื้อเที่ยง” ผมถอนหายใจ พี่เจี้ยนปฏิเสธมันตั้งแต่วันที่สองหลังจากรู้ว่าใครซื้อมาให้ ผมคันปากยุบยิบๆ อยากถามจะตายห่า แต่... คติเดิมครับ ผมไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น

   พี่เจี้ยนทำหน้าหมาเบื่อ ยอมลากถุงข้าวมา ก่อนจะดมฟุดฟิด... สุดท้ายก็เปิดมันกินจนได้

   เอ้า! พี่ ไหนว่ากินมาแล้ว

   ผมลองสังเกต ข้าวกล่องของพี่เจี้ยนก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกับของคนอื่นตรงไหน มันก็พวกกับข้าวธรรมดาเหมือนของผมที่เฮียปุ้นสั่งมาให้ วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งที่มีกุ้งตัวโตไม่ขี้เหนียวสองสามตัวกับไข่ดาวหนึ่งฟอง

   “เออ ไข่ต้มร้านนี้อร่อยว่ะ เฮียมึงสั่งยังไงให้ได้ไข่ยางมะตูมวะ ก็ดีที่มีให้เลือก กูไม่ชอบไข่ดาว”

   ผมมองไข่ดาวในกล่องของผม...

   “ไม่รู้แฮะ”

   พึ่งรู้ว่าร้านนี้มีไข่ต้ม... และก็พึ่งรู้ว่าพี่เจี้ยนไม่ชอบไข่ดาว



   วันนี้ผมบอกเฮียปุ้นว่าจะกลับเองเพราะมีคุยงานกับลูกค้าหลังเลิกงาน และมันก็ไม่ไกลมาก แถมตลอดสัปดาห์หลังจากโดนผลักตกบันได อีเมลและข้อความแปลกๆ ก็หายไปเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้น ตำรวจเองก็ยังไม่สามารถหาคนร้ายพบทั้งๆ ที่กล้องวงจรปิดในสถานีสามารถถ่ายภาพเก็บไว้ได้ แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าที่สวมผ้าปิดปากกับฮู้ดคลุมหัวไว้เท่านั้น

   ตอนแรกเฮียไม่ยอมเพราะยังไม่ไว้ใจ ผมจึงขอให้เขาไปรับที่ร้านกาแฟที่นัดลูกค้าไว้แทน เพราะไม่อยากให้เฮียเสียเวลา

   อันที่จริงนอกจากเฮียจะมาเพราะเป็นห่วงผม เฮียยังมาติดต่อธุรกิจนำเข้าส่งออกที่ไปหุ้นบริษัทกับเพื่อนสมัยเรียนไว้ โดยที่ตัวเองซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นต้องมาประชุมบอร์ดตามไตรมาส แล้วผมก็ดันเกิดเรื่องพอดี เฮียเลยถือโอกาสลงกรุงเทพซะเลย เขาเองก็ไม่ได้ว่างมานั่งๆ นอนๆ เล่นที่กรุงเทพเป็นอาทิตย์ๆ หรอก

   วันนี้ก็มาก่อนเวลาอีกตามเคย ไอ้วุ้นกับมิวบอกว่าบีทีเอสเจ้ง กำลังคลานมาด้วยแท็กซี่อยู่ ผมจึงต้องออกมารับหน้าคุณพอร์ชก่อนอีกแล้ว

   คุณพอร์ชอยู่ในชุดสบายๆ เหมือนเดิม เขาจิบกาแฟ นั่งมองออกไปข้างนอกกระจกที่มีคนเดินผ่านไปมาโดยไม่รู้ตัวว่าผมมา ผมเข้าไปทักทาย คุณพอร์ชจึงวางแก้วกาแฟแล้วยกมือไหว้รับ

   “ขอโทษด้วยครับ คุณพอร์ชต้องมารออีกแล้ว”

   “ไม่เป็นไรครับคุณข้าว ผมค่อนข้างว่างน่ะครับช่วงนี้”

   ผมยิ้มให้ แต่หัวสมองเริ่มคิด...

   ทำธุรกิจยังไงให้ว่างวะ?

   “เอ่อ ใช่ครับ พวกวุ้นบอกว่าใกล้ถึงแล้ว คุณพอร์ชจะดูความคืบหน้างานก่อนมั้ยครับ”

   “ได้ครับ” คราวนี้เขาไม่ปฏิเสธ ผมจึงล้วงเอาไอแพดขึ้นมาเปิดวิดิโอที่ export ออกมาให้เขาดูความคืบหน้า เพื่อที่จะได้คุยกันสะดวก  ผมจึงเลือกนั่งฝั่งเดียวกับเขาเพื่อจะได้อธิบายส่วนต่างๆ ที่แก้ไขไปคราวที่แล้ว

   “ตรงนี้ผมเพิ่มการเคลื่อนไหวลงไป อัพเดท texture กับลงสีตัวละคร จัดเซตต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณพอร์ชโอเคเราจะทำการจัดแสงจริงและเตรียมเรนเดอร์ครับ”

   “อืม... ผมไม่มีปัญหานะ ทุกอย่างตามสตอรี่บอร์ด ผมโอเคครับ”

   “งั้นคุณพอร์ชอยากให้เพิ่มอะไรมั้ยครับ”

   ผมเตรียมสมุดมาจดเพิ่มเติม คุณพอร์ชทำหน้าคิด เขามองวิดิโอผมซ้ำๆ ก่อนจะเลื่อนมาที่หัวผมก่อนเอ่ยถาม

   “คุณข้าวไปทำอะไรมาครับ ทำไมมีผ้าก๊อซที่ศีรษะ”

   ผมกระพริบตาปริบๆ  ก่อนจะจับตรงแผลที่ยังไม่เอาผ้าก๊อซออก ถึงมันจะเริ่มหายดีแล้วก็ตาม ผมหัวเราะแหะๆ

   “ผม... ผมซุ่มซ่าม ตกบันไดเลื่อนน่ะครับ”

   “บันไดเลื่อน?” ลูกค้าของผมเบิกตากว้าง เขาดูตกใจมากกว่าที่คิด ผมยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร... ทั้งๆ ที่ความจริงเรื่องมันใหญ่

   “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ผมติดไว้กันน้ำน่ะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย”

   “ออ” คุณพอร์ชทำหน้าสบายใจก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วง “ระวังหน่อยนะครับ ตอนกลางคืนมันอันตราย”

   “อ่า... ครับ”

   ผมหัวเราะรับ... ก่อนจะเอะใจ

   ผมพูดแล้วเหรอว่าตกบันไดเลื่อนตอนไหนน่ะ?

   ผมมองคุณพอร์ชอย่างสงสัย จนคุณพอร์ชที่กำลังมองงานเพื่อคอมเม้นต์ต่อถึงกับต้องหันมามองอีกครั้งพลางเลิกคิ้ว

   “คุณข้าวมีอะไรรึเปล่าครับ?”

   เขายิ้มใจดีถามผม ทำให้ผมรู้ตัวว่าจ้องเขาตรงเกินไปจนต้องเบือนสายตากลับมา ปฏิเสธว่าไม่มีอะไร ก่อนจะคุยงานกันต่อจนกระทั่งพวกวุ้นเส้นมา

   คุณพอร์ชเป็นลูกค้าที่ดี เป็นลูกค้าประเสริฐในอุดมคติ อาร์ตติสว่าไง ลูกค้าว่างั้น เขาบอกว่าเชื่อในเซ้นส์ของอาร์ตติส ผมนี่อยากจะกราบเขางามๆ ที่ทำให้งานมันไหลลื่น แถมรสนิยมดี ไม่ชอบการคุมโทนสีแบบงานอบต. ที่เน้นสีจัด ตัวหนังสือชัดไว้ก่อน

   หลังจากคุยงานกันเพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการต่อไปเสร็จ พวกวุ้นเส้นขอตัวแยกกลับไปก่อน ส่วนผมนั้นอยู่ต่ออีกหน่อยเพราะมีเรื่องคาใจ

   “คุณพอร์ชครับ คือว่า... ผมมีเรื่องอยากถาม”

   คุณพอร์ชที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปอีกทางถูกผมเรียกไว้ เราหยุดอยู่ตรงหน้าร้านกาแฟร้านเดิม เขาหันกลับมายิ้มให้

   “ครับ? สงสัยเรื่องคอมเม้นต์เหรอครับ”

   “เปล่าครับ... คือ มันอาจจะละลาบละล้วงไปหน่อย แต่ผมขอถามเรื่องส่วนตัวหน่อยได้มั้ยครับ คือเรื่องที่คุณถามผมถึงโรงเรียนประถม...กับเรื่องน้องชายของคุณ...”

   คุณพอร์ชหุบยิ้มลง ใบหน้าใจดีเสมอกลายเป็นเรียบนิ่งจนผมหายใจติดขัด เริ่มไม่กล้าถาม คุณพอร์ชเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางเอียงคอเล็กน้อย

   “คุณอยากรู้อะไรเหรอครับ”

   “อะ.. เอ่อ”

   “ถามได้ครับ ผมก็อยากให้ถาม”

   ผมขมวดคิ้วแน่น  ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็เหมือนจะเข้าใจ...

   “น้องชายคุณพอร์ช... เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนรึเปล่าครับ”

   ผมถามไปตรงๆ เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะอ้อมค้อม ถ้าหากไม่ใช่ ผมก็แค่ขอโทษที่เข้าใจผิดแล้วก็ถามอะไรแปลกๆ ออกไป

   แต่ถ้าใช่...

   ผมกลืนน้ำลาย คอแห้งผาก ยิ่งเมื่อสายตาของคุณพอร์ชเย็นเยียบ ความนิ่งโรยตัว ท่ามกลางเสียงรถที่วิ่งสวนกันไปมาบนถนนสี่เลน หรือแม้กระทั่งเสียงบีทีเอสที่วิ่งอยู่บนหัว แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมด

   ผมกำลังกลัว... กลัวคำตอบ

   “ใช่ครับ”

   ผมเบิกตากว้างขึ้น... มือชื้นเหงื่อเย็นๆ กำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน คุณพอร์ชมองหน้าผมนิ่ง ในขณะที่ผมขยับขาถอยออกหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว

   “ข้าวปั้น”

   เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว หันกลับไปมองเสียงเรียก  ร่างสูงในชุดทำงานเรียบร้อยยืนอยู่ข้างหลังผม นัยน์ตาสีเขียวมองเขม็งไปยังคนที่อยู่ด้านหน้าผม คุณพอร์ชยิ้มให้เหมือนเดิมก่อนจะเอ่ยถามผม

   “เพื่อนเหรอครับ”

   ผมหันกลับมา อึกอักที่จะตอบ... จึงทำได้แค่พยักหน้ารับไป คุณพอร์ชเหลือบไปมองหมอที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยกมือสวัสดี หมอยกมือไหว้กลับ

   “สวัสดีครับ” คุณพอร์ชมารยาทงามเหมือนเดิม หมอไม่พูดอะไร เขามองหน้าผมที่เหงื่อแตกพลั่ก ผมที่เริ่มจะรู้ตัวจึงหันไปพูดกับคุณพอร์ชที่ยังไม่ยอมไปไหน

   “เอ่อ... เพื่อนพี่ชายน่ะครับ หมอครับ นี่คุณพอร์ช ลูกค้าผมเองครับ”

   “สวัสดีครับ อคินครับ”

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คุณพอร์ชหันมาคุยกับผม “งั้นผมกลับก่อนนะ เอาไว้ว่างๆ เราค่อยนัดนอกรอบคุยเรื่องนี้กันก็ได้ครับ ผมก็อยากจะคุยกับคุณเรื่องนี้เหมือนกัน”

   “อ่า... ครับ สวัสดีครับคุณพอร์ช”

   ลูกค้าของผมจากไป ผมมองจนเขาลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกยาว คนตัวสูงวางมือบนหัวผมพลางลูบเบาๆ ในขณะที่ผมดึงชายเสื้อเขาไว้อย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว ตัวยังสั่นไม่หยุด สายตาหลุบมองพื้นอย่างสับสน

   “กลับบ้านกันครับ”

   เขาไม่ถามอะไรมาก เพียงแค่ลดมือจากหัวผมลงมือกุมมือชื้นเหงื่อข้างเดียวกับที่รั้งเสื้อเขาไว้ แรงบีบเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกได้รับการปกป้อง... ผมยังคงเงียบ และไม่พูดอะไรจนกระทั่งถึงคอนโด

   

   “เฮียปุ้นไปไหนครับ เฮียบอกว่าจะมารับผม”

   ระหว่างที่กำลังเปิดประตูเข้าห้องตัวเองโดยมีหมอเดินตามต้อยๆ เหมือนเดิม ผมที่รวบรวมสติตัวเองได้แล้วจึงเอ่ยถามว่าไอ้เฮียของผมมันหายไปไหน ถ้าจะไม่มารับก็ควรจะบอกผมก่อนสิวะ

   “ปุ้นไปเจอเพื่อน เห็นบอกว่าวันนี้อาจกลับดึก... หรือไม่กลับเลย”

   หมอตอบตามที่พี่ชายผมบอกทิ้งไว้

   “เฮียควรบอกผมก่อนสิ”

   “มันบอกว่าโทรหาปั้นไม่ติด”

   “เอ๊ะ?”

   ผมล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ปรากฏว่าแบตโทรศัพท์หมดเกลี้ยง ไม่น่าเชื่อว่าผมจะใช้จนแบตหมด อาจเป็นเพราะวันนี้ผมนั่งเช็คงานจากมือถือก่อนไปเจอลูกค้าตั้งแต่เช้าด้วยล่ะมั้ง แถมเป็นพวกไม่ชอบเปิด Low Power Mode อีกต่างหาก

   โชคดีแค่ไหนที่หมอหาเจอ ไม่งั้นได้เดินวนหากันเป็นหนังอินเดียแหง

   “ขอโทษครับ ผมลืมชาร์ตแบต”

   “หัดเช็คบ้าง ถ้าเฮียหาเราไม่เจอทำไง”

   คุณหมอดุ เขาเทข้าวให้ปั้นสิบเหมือนเป็นหน้าที่ประจำไปแล้ว ผมยิ้มแหยก่อนจะเดินเอามือถือไปเสียบที่ชาร์ตแบต ไอ้อ้วนนอนตีลังกาอยู่บนโซฟา มันมองคนเทข้าวด้วยหางตา ก่อนจะยอมกลิ้งตัวเองลงมาแล้วเดินลากพุงไปกินข้าว... แมวเวร

   “คนคนนั้น... มีเรื่องอะไรกับเขารึเปล่า”

   หมอถามหลังจากล้างมือเรียบร้อยแล้ว ผมที่กำลังหาน้ำหาท่ามาบริการเขา ก็ชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามจนเผลอเทน้ำจนล้นแก้ว

   “เชี่ย! ผ้าๆๆๆ”

   ผมกระวีกระวาดหาผ้าเช็ดโต๊ะมาเช็ดน้ำที่หกท่วมเคาน์เตอร์ครัว ไม่ทันรู้เลยว่าคนตัวสูงเดินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังตอนไหน เงาที่พาดมาทำให้ผมเลิกคิ้ว สองแขนอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดนูนที่ลามไปยันมือใหญ่วางคร่อมผมจนตัวติดกับเคาน์เตอร์ ผมหัวเราะแห้งๆ

   “เอ่อ หิวน้ำเหรอครับ”

   “หิวข้าว”

   หมอก้มลงจูบหลังคอผมที่โผล่พ้นเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์คอวี ทำให้คอเสื้อมันค่อนข้างกว้างเพราะตัวผมเล็กกว่าไซส์มาก ริมฝีปากร้อนขบเม้มลาดไหล่ผมก่อนจะใช้ลิ้นดุน ผมแหวลั่นเพราะกลัวเขาจะทำให้มันเป็นรอย

   “หยุดเลยครับ”

   “วันนี้ใส่คอกว้างจัง”

   “เสื้อผมหมดแล้ว ฝนตกทุกวัน ผ้าไม่แห้งครับ”

   หมอจับแขนผมกดไว้กับโต๊ะไม่ยอมให้หันกลับมา ลิ้นร้อนลากผ่านไหล่ขึ้นไปตามลำคอ ก่อนจะเม้มเลียที่ติ่งหู... ผมขนลุกซู่ ขืนตัวออก แต่มือใหญ่ที่จับแขนไว้กลับค่อยๆ เลื่อนลงมาที่มือก่อนจะสอดประสานทับไว้ไม่ให้หนี...

   มือใหญ่ที่มีเส้นเลือดนูนมันกร๊าวใจผมทุกครั้งที่เห็น

   ไม่รู้เป็นโรคจิตเวลาเห็นเส้นเลือดที่มือคนแล้วรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่...

   “ปั้นครับ...”

   “ไม่ครับ วันนี้วันศุกร์ ผมมีนัดเล่นเกมกับเพื่อน แถมยังต้องเคลียร์งานลูกค้าอีก ผมมีเวลา... อ๊ะ... เดี๋ยวหมอ... หมอเฮ้ย... ดะ...”

   “ครั้งเดียว... นะ”

   มือใหญ่สอดลามเข้าไปในช่องว่างของกางเกงยีนส์ตัวนิ่ม

   สุดท้าย... ครั้งเดียวก็ไม่เคยมีจริง

   หมอแม่ง...



   _____________

   LINE

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    ไอ้เชี่ยข้าว ไปข้าวสารกัน

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    ข้าวสารๆๆๆๆๆๆ

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    ไม่มากูโกรธ

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    เหี้ยแม่ง ทำไมชวนใครไม่มีใครมากะกูเลย

   _____________

   Bro’ KaowPoon

   Missed Call (3)

   _____________

   LINE

   เฮียปุ้น : ไอ้ตี๋ เฮียติดธุระ ส่งหมอไปรับแกละนะ

   _____________

   LINE

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error : ไอ้ข้าว! มาเอาพี่มึงกลับไป!
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่26(23/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 24-12-2019 05:07:01
พักเรื่องเครียดของปุ้นมาเชียร์พี่ปั้นดีกว่าเหมือนมีอะไรในกอไผ่​
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่26(23/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 24-12-2019 06:46:52
หมอ ... อย่าแกล้งน้อง :hao6:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่26(23/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-12-2019 08:52:17
น้องชายคุณพอร์ชสินะ ว่าแล้วสิ่งที่ตามหาก็อยู่ใกล้ๆ กับคนรู้จัก
หมอนี่ หื่น ไม่เป็นเวล่ำเวลานะ แต่ก็นะไม่ค่อยมีเวลาว่างเห็นใจ อิอิ
พี่เจี้ยนหนีไม่พ้นเฮียปั้นหรอกนะ มีแฟนผู้ชายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ หุหุ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่26(23/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-12-2019 22:02:49
หมอหื่นตลอดๆๆ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่26(23/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-12-2019 22:23:11
เข้าใจไหม ตอนเกิดเรื่องข้าวปั้นยังเด็กอยู่นะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่27(27/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 27-12-2019 18:38:22
Chapter – 27
หมอครับ ไม่ได้ชวนทะเลาะ



   “หน้าไปโดนอะไรมา?”

   ผมถามเฮียปุ้นที่กลับคอนโดมาตอนบ่ายแก่ๆ ขณะที่ผมกำลังนั่งปั่นงานไฟลุกอยู่หน้าคอมตัวเอง ใจนึงอยากขึ้นไปยืมไอ้เจ้าโซนิค คอมชุดละสองแสนที่หมอซื้อมาตั้งให้ฝุ่นจับอยู่หรอกนะ แต่คิดอีกทีก็เกรงใจ

   ผมมองหน้าเฮียที่มีรอยช้ำแดงที่เบ้าตา คิดว่าอีกไม่นานคงช้ำเขียวแน่นอน เฮียปุ้นนั่งแหงนหน้าพิงพนักโซฟา มือใหญ่ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบเบ้าตาของตัวเองด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะฆ่าคน ตอนแรกผมตกใจแทบแย่ นึกว่าเฮียไปฟัดกับใครมา แต่เจ้าตัวกลับบอกด้วยเสียงห้วนๆ

   “โดนตีนกระต่ายมา”

   “กระต่ายบ้านเฮียตีนหนักเนอะ ช้ำไปครึ่งหน้า”

   เฮียปุ้นส่งเสียงหึในลำคอ ผมส่ายหน้าขำ

   คงไม่พ้นข้อความที่พี่เจี้ยนส่งมาเมื่อคืน

   “บ้านพี่เจี้ยนดุนะ บอกไว้ก่อน ลูกชายคนเดียว พี่สาวทั้งบ้าน พ่อแม่หวงอย่างกับไข่ในหิน”

   ผมเตือนอย่างไม่จริงจัง เพราะคิดว่าเฮียคงจะรู้ตัวนะว่าทำอะไรอยู่ คนโดนเตือนเอาผ้าห่อน้ำแข็งที่ประคบเบ้าตาอยู่ออกก่อนหันมามองผม ใบหน้ารกเคราดูเถื่อนดิบกระตุกยิ้ม

   “เฮียชอบท้าทายอำนาจมืด”

   ผมไม่พูดต่อ เฮียปุ้นทำท่านึกได้ เขาล้วงมือถือขึ้นมาแล้วพูดกับผม

   “ไอ้ตุลย์มันค้นข้อมูลเจอแล้วนะ คดีมันเก่าไปหน่อยเลยไม่ได้เก็บเข้าระบบ ต้องรื้อเอกสารเลยช้า มันส่งรายละเอียดชื่อของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ จะดูเลยมั้ย”

   ผมชะงักมือที่จับเมาส์อยู่ ก่อนจะขมวดคิ้ว

   “ปั้นก็มีเรื่องจะบอกเหมือนกัน”

   “ว่า?”

   “ปั้นเจอคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น เขาเป็นลูกค้าของปั้นเอง”



   วันนี้หมอเลิกงานสองทุ่มพร้อมกับสั่งอาหารชุดใหญ่ให้ โดยบอกให้พวกผมขึ้นไปที่ห้องเขาเพื่อคุยกันถึงคดี ริลินไม่อยู่ เธอไปพม่าตั้งแต่เมื่อวานกับกลุ่มเพื่อนร่วมงานวิจัย ดังนั้นมื้อดึกจึงมีมนุษย์สามคน กับแมวอีกหนึ่งตัว

   เอ้อ... ยังมีปลาของหมออีกนี่หว่า

   “เมื่อวานปั้นไปเจอลูกค้ามา เขาชื่อคุณพอร์ช เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับซอฟต์แวร์อะไรสักอย่าง เขาจ้างพวกปั้นทำโฆษณาเล็กๆ ให้เขาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ตัวใหม่ที่จะออกใหม่ ปั้นเริ่มรับงานเมื่อประมาณสามเดือนก่อน”

   ผมเปิดเรื่องหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้วบนโต๊ะอาหาร

   “ก่อนหน้าที่ปั้นจะถูกผลักตกบันได เขาถามปั้นว่า เป็นคนที่ไหน ปั้นเลยตอบไปว่าเป็นคนเชียงราย จู่ๆ เขาเล่าขึ้นมาว่าเขากับน้องชายก็เคยอยู่เชียงรายมาก่อน แถมเขายังถามเรื่องโรงเรียนสมัยประถม คุณพอร์ชบอกว่าน้องชายเขาก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ย้ายออกเพราะมีปัญหา”

   “แกเลยสงสัยว่าน้องชายของลูกค้าแก คือเด็กคนนั้น” เฮียปุ้นเลิกคิ้วสนใจกับสิ่งที่ผมเล่า

   “ปั้นแค่สงสัย”

   ผมตั้งใจจะเล่าเรื่องนี้รอบเดียวพร้อมกับข้อมูลของเฮียปุ้นจึงรอให้หมอกลับมาก่อน เฮียปุ้นพยักหน้าหงึกหงัก ผู้ชายตัวโตๆ สองคนนั่งกอดอกฟังสิ่งที่ผมเล่า เฮียปุ้นเอาข้อมูลเก่าที่ปริ้นท์ออกมาวางไว้บนโต๊ะ

   “นี่เป็นเอกสารคร่าวๆ ที่ไอ้ตุลย์ส่งข้อมูลมาให้ มีรายชื่อของคนที่เกี่ยวข้องกับคดี รูปถ่ายและประวัติการรักษาอยู่”

   ผมกับหมอก้มดูรายงานการสืบสวนฉบับก๊อปปี้ รายชื่อของเด็กสิบเจ็ดคนไล่เรียงยาวลงมา ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ไม่ได้ลงทะเบียน จะมีแต่ชื่อ ไม่มีนามสกุล เด็กที่มีสัญชาติไทยมีทั้งหมดเจ็ดคน ไล่ลงมาผมเจอชื่อผม และอีกชื่อทำให้ผมกับหมอถึงกับหันมามองหน้ากัน

   ด.ช. วาริศ วรุณรัศมิ์ ป.4 อายุ 10 ปี

   “หมอ... วาริศนี่ คงจะไม่ใช่...”

   ผมมองหน้าหมอที่ขมวดคิ้วแน่น เขามองชื่อกับรูปถ่ายสมัยเด็กอีกครั้ง เค้าโครงหน้าของเด็กคนนั้นมีส่วนคล้ายกับหมอวาริศจริงๆ ในรายงานมีการเขียนอธิบายถึงร่องรอยของการถูกผ่าเอาไตออกไปหนึ่งข้าง

   “ใช่ชื่อเขา”

   ผมยกมือแตะปลายคาง จ้องรูปในรายงานก่อนจะปิดปาก

   ผมจำเด็กคนนั้นได้ติดตา แม้จะอยากลบมันออกไปแค่ไหน แต่ผมก็ยังจำได้

   ติดแค่ว่า หมอวาริศคนนั้นจำผมได้รึเปล่า?

   “เขามีรอยผ่าตัดเหรอหมอ”

   ผมหันไปถาม หมอทำหน้านึกก่อนจะชะงักไป... นัยน์ตาสีเขียวเหลือบมามองผมมีแววประหลาด ผมเลิกคิ้วกลับ

   “ทำไมถามงั้น?”

   ผมหัวเราะหึเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อน

   “ก็ก่อนหน้านั้นหมอกับเขาสนิทกันนี่ครับ”

   หมอหรี่ตาลง... เสียงแข็งขึ้นผิดปกติ

   “เฮียไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรหรอกนะ”

   “อ้อ... งั้นหรอกเหรอครับ ผมเข้าใจผิดไปเองแหละ”

   กลายเป็นว่าจู่ๆ บรรยากาศก็มาคุซะงั้น หมอเบือนหน้ากลับเหมือนไม่อยากต่อบทสนทนาที่เหมือนจะเป็นการชวนทะเลาะกลายๆ ส่วนผมก็เท้าคางเบือนหน้าไปอีกฝั่ง เฮียปุ้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามสอดสายตาเลิ่กลั่กมองคนสองคนที่จู่ๆ ก็มีทีท่าคล้ายกับว่าจะมีเรื่องกัน

   “เป็นไรวะ อยู่ๆ ก็พูดอะไรกันแปลกๆ แล้วตกลง วาริศเป็นใคร”

   ผมเงียบ ปล่อยให้หมอเป็นคนอธิบายไป

   “เขาเป็นหมอวิสัญญีประจำโรงพยาบาลที่กูทำงานอยู่”

   “หืม แล้วยังไง เขาใช่เด็กชายวาริศเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนรึเปล่าปั้น” เฮียปุ้นถามผมบ้าง ผมหันกลับมา หยิบรูปของเขาขึ้นมาดูอีกรอบก่อนจะพยักหน้า

   “ถ้านามสกุลเดียวกัน ปั้นว่าน่าจะใช่” ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “ถ้างั้น... หมอวาริศ เป็นน้องชายของคุณพอร์ชงั้นเหรอ? แต่ผมว่า หน้าคุณพอร์ชกับหมอวาริศไม่เห็นมีส่วนไหนคล้ายกันเลย”

   “พี่น้องกันไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหรอก ข้าวปั้นกับปุ้นก็หน้าไม่คล้ายกันนะ”

   หมอหันมาตอบแทน จะว่าไปก็จริง หน้าเฮียปุ้นไม่เห็นจะคล้ายผมสักนิด หน้าผมติดจะหวาน เค้าโครงเดียวกับพวกเจ้ๆ แต่เฮียปุ้นหน้าแมน ดิบ เถื่อน แถมส่วนสูงนี่เรียกว่านึกว่าเกิดมาจากคนละพ่อคนละแม่ เวลาเฮียไปเดินข้างๆ เจ้หอมมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนมากกว่าพี่ชาย

   “แล้วรู้รึเปล่าว่าคุณพอร์ชอะไรนั่น นามสกุลอะไร”

   “ไม่อ่ะ ผมก็เรียกเขาคุณพอร์ชมาตลอด มันเป็นงานโฆษณาเล็กๆ เลยทำให้ปั้นไม่ได้เขียนสัญญาจ้างจริงจัง แต่เขาก็จ่ายมัดจำตามจำนวนงวดที่ตกลงกันไว้ทุกครั้ง เลยคิดว่าไม่มีสัญญาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เขารู้ที่อยู่บริษัทปั้นนะ เพราะปั้นให้นามบัตรเขาไป”

   “งั้นเขาก็สามารถส่งจดหมายนั่นให้แกได้สินะ” เฮียถาม

   “เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม? ถ้าเขาเป็นพี่ชายหมอวาริศจริงๆ ทำไมต้องมาทำอะไรให้มันยุ่งยากขนาดนั้น ถ้าหมอวาริศเขาอยากจะแก้แค้นผม เขาก็ควรมาทำกับผมตรงๆ เลยก็ได้นี่นา”

   “วาริศไม่ทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก”

   คราวนี้คุณหมอพูดบ้าง ผมหันขวับ

   “หมอรู้ได้ไง”

   “เขาฉลาด”

   “หมอด่าผมโง่เหรอครับ”

   “เฮียไม่ได้พูดซักคำ”

   “เฮ้ พวกมึงทะเลาะอะไรกัน? เดี๋ยวนะปั้น เรื่องนี้มันผ่านมาตั้งสิบเจ็ดปีแล้วนะ จะมาแค้นกันให้ได้อะไรอีก อีกอย่าง... แกไม่ได้เป็นคนทำ แกก็ถูกจับไปเหมือนคนอื่นๆ เอาจริงๆ เรื่องนี้มันควรจบไปตั้งนานแล้ว” เฮียปุ้นขัดขึ้นมาก่อนที่ผมจะเริ่มเสียงสูงใส่หมอ ผมจึงหุบปากลง

   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองหงุดหงิดอะไร

   “ถ้าคาใจ พรุ่งนี้กูจะไปถามเขาให้”

   ผมเผลอกำมือโดยไม่รู้ตัวเมื่อหมอพูดแบบนั้น ความจริงมันก็เรื่องปกติ ถ้าคาใจอะไรก็ไปถามให้มันรู้ๆ ไปเลย ไม่ใช่มานั่งเดาสุ่มเดามั่วแบบนี้

   แต่ผมไม่อยากให้หมอคุยเรื่องนี้กับคนคนนั้น

   “งั้นเดี๋ยวผมจะนัดเจอคุณพอร์ช ผมมีเรื่องอยากถามเขาเหมือนกัน”

   “จะไปคนเดียว?” คราวนี้หมอหันมาทั้งตัว เขาเท้าแขนข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะ ผมยักไหล่

   “ใช่ครับ ยังไงๆ ผมก็ต้องเอางานไปส่งอยู่แล้ว นัดเร็วหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

   “แล้วถ้าเขาเป็นคนผลักปั้นล่ะ”

   “เขาจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรครับ ถ้าเขาเป็นพี่ชายหมอวาริศจริงๆ เขาอาจจะทำไปเพราะเด็กคนนั้นเอาผมไปเล่าในทางไม่ดี ผมรู้ว่าตอนนั้นมันคงจะดูแล้งน้ำใจ แต่ในตอนนั้นผมยังเด็ก ผมก็กลัวเป็นเหมือนคนอื่นๆ ถ้าเขาโตแล้วเขาน่าจะเข้าใจว่านั่นไม่ใช่เพราะผมเจตนาไม่ดี”

   ผมอธิบายเขาไปตามที่คิดจริงๆ

   ผมเห็นว่าเรื่องนี้มันจะมีแต่ความบังเอิญมากเกินไปแล้ว

   ความบังเอิญที่คุณพอร์ชมีน้องชายเคยเรียนอยู่โรงเรียนประถมเดียวกัน แถมยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลักพาตัว

   ความบังเอิญที่ในรายชื่อเด็กที่ถูกลักพาตัวไป มีชื่อของหมอวาริศอยู่ด้วย แถมเขายังเป็นเด็กคนนั้นที่ทำให้ผมฝันร้ายมาตลอดสิบเจ็ดปี

   หมอวาริศจะใช้พี่ชายตัวเองมาทำร้ายผมทำไม?

   หรืออีกสาเหตุหนึ่งคือ เขาเหมารวมความเจ็บปวดในอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกัน เลยมาลงด้วยการป่วนประสาทผมแบบนี้

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอวาริศเขาจำผมได้จริงๆ หรือเปล่า เพราะขนาดผมเองยังจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

   ปวดหัวโว้ย!

   “งั้นเดี๋ยวเฮียไปด้วย มึงโอเคนะไอ้หมอ”

   เฮียปุ้นตัดปัญหาโดยการบอกว่าจะไปเจอคุณพอร์ชกับผม หมอจึงยอมลดสายตาที่ดุจัดจนผมมองแบบกล้าๆ กลัวๆ ลง เขาไม่ดุผมมานานแล้ว... พอเจออีกเลยไปไม่เป็นเลยทีเดียว หมอยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่ม วันนี้วันเสาร์ ผมจึงมีโอกาสได้ดื่มบ้าง

   หมอยกได้ทำไมผมจะยกไม่ได้

   “เอาเป็นว่า ถ้าแกนัดคุณพอร์ชนั่นเมื่อไหร่บอกเฮีย จำไว้ว่าอย่าไปคนเดียว ช่วงนี้ก็พยายามกลับให้มันเช้าๆ หน่อย”

   “หืม? ไม่ใช่ว่าเฮียจะไปรับไปส่งผมต่อเหรอ” ผมเลิ่กคิ้วถามอย่างแปลกใจ เฮียปุ้นลูบหลังคอตัวเอง

   “ป๊าสงสัยแล้วว่าเฮียหายมากรุงเทพนานผิดปกติ ช่วงนี้กำลังจะเตรียมส่งไม้ ไหนจะงานแต่งไอ้หอมอีก ม๊าเดินวุ่นอยู่คนเดียวเฮียก็เป็นห่วง”

   “เออใช่ ปั้นลืมไปเลย อยากให้ปั้นช่วยอะไรมั้ย”

   ผมลืมงานแต่งพี่สาวตัวเองไปได้ยังไงเนี่ย อีกแค่สองเดือนหว่า ยังไม่ได้ส่งใบลาล่วงหน้าเลย

   “ไปช่วยไอ้กรดีกว่า ป่านนี้อ้วกแตกตายคาโค้ดไปแล้วมั้ง”

   เฮียปุ้นเอ่ยถึงว่าที่พี่เขยที่ทำงานเป็นหัวหน้าวิศวกรระบบของบริษัทต่างประเทศในไทย พี่กรเก่งมากๆ แต่ก็ไม่มีเวลามากๆ เช่นกัน ที่รักกันได้กับเจ้หอมนี่เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันหรอกนะ คบกันมานานจนต่อให้ห่างกันเป็นเดือนๆ ไม่เจอหน้ากันก็ยังไม่ยอมเลิกกัน

   ออ... เพราะพี่กรเขาเปย์เงินให้เจ้หอมบินมาหาเขาที่กรุงเทพทุกเดือนน่ะ พวกคนเงินเหลือเอ๊ย!

   “ผมจะไปช่วยอะไรเขาได้ครับ” ผมห่วยโค้ดมาก

    เฮียปุ้นหัวเราะ

   “ยังไงๆ ก็ดูแลตัวเองดีๆ ถ้าจะไปเจอเขา บอกเฮียล่วงหน้า เฮียจะลงมาหาทันที เข้าใจมั้ย?”

   นี่ก็รวยค่าตั๋วเครื่องบินอีกคนละ

   “ครับๆ”

   จากนั้นผมก็ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซดอึกๆ วันนี้วันเสาร์ครับ ผมแฮปปี้มากเลยกับวันหยุด ถึงจะไม่ได้ไปข้าวสาร แต่อย่างน้อยวันนี้พวกผู้ชายตัวโตๆ ก็ยอมให้ผมดื่มข้าวหมักด้วย จากนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ คุยไปคุยมา เฮียปุ้นก็ยกมือถือขึ้นมากดดูเพราะมีข้อความเข้า เขาขมวดคิ้วก่อนจะลุกขึ้น

   “ปั้น เฮียมีธุระ”

   “เอ๋... ทิ้งปั้นอีกแล้วว่ะ”

   ผมที่เริ่มกรึ่มๆ มุ่ยปาก หน้าแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ เฮียปุ้นยื่นมือมาขยี้หัวผมก่อนจะสั่ง

   “ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว ไปนะ”

   “คร้าบบบบบบ”

   ก่อนไป เฮียปุ้นหันกลับมากระซิบอะไรบางอย่างกับหมอที่นั่งตัวตรงดื่มเบียร์กระป๋องที่สี่แล้วแต่ไม่ออกอาการเลยสักนิด ผมเห็นเขากระซิบกระซาบกัน แอบเห็นนะว่าหมอหน้าแดงน่ะ คุยเรื่องไรกัน ยี่สิบบวกเหรอ?

   “กูไปล่ะ”

   “เออ”

   ผมลุกจากโต๊ะอาหารที่มีกระป๋องเบียร์เกลื่อนกลาดแล้วเดินเซๆ ไปที่โซฟา ก่อนจะโถมตัวลงนอนคว่ำ หันมาคว้ารีโมทเปิดทีวีเพราะไม่อยากให้ห้องมันเงียบ ผมหันหน้ามองทีวีพลางกระดิกขาไปด้วย

   ร่างสูงใหญ่เดินออกไปที่ระเบียง ผมยืดตัวขึ้นมองเขาที่ล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางกดโทรศัพท์ไปด้วย

   คุยกับใคร??

   ผมกลิ้งๆ ลงโซฟามาแล้วเดินย่องๆ ออกไปนอกระเบียงกว้าง ลมเย็นๆ ปะทะหน้าทำให้ผมรู้สึกสดชื่น ในมือยังถือเบียร์กระป๋องที่สี่อยู่ ผมเดินไปเกาะราวระเบียงอยู่ข้างเขา เอาคางวางไว้พลางงึมงำขมุบขมิบ

   “คุยกะใครน่ะครับ”

   คนตัวสูงหลุบตามองผม เขาดับบุหรี่เพราะไม่อยากให้ผมสูดควันมันเข้าไปด้วย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ลมแรงจะตาย ต่อให้เขาดูดบ้องกัญชาตรงนี้ ผมก็ไม่ได้กลิ่นหรอก... หมอเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง

   “เปล่าครับ”

   “คุยกะหมอวาริศเหรอครับ”

   ผมงึมงำถามออกไปโดยไม่มองหน้าเขา คำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบ ผมเริ่มมุ่ยปาก กระดกเบียร์เข้าไปอีกหนึ่งอึกใหญ่ๆ จนขมคอ

   “เฮียปุ้นบอกปั้นว่า หมอโทรไปขอปั้นตอนปั้นกลับเชียงราย”

   ผมรู้ว่ามันเป็นหัวข้อที่ดูหาเรื่อง แต่ตอนนี้ผมอยากพูด มันหงุดหงิดอยู่ในใจ

   หมอยังคงเงียบ

   “แต่ตอนปั้นกลับมา หมอทำกับหมอวาริศ”

   “ข้าวปั้น”

   “หมอโกหกผมทำไม”

   “เฮียไม่ได้โกหก”

   เขาเสียงแข็งขึ้น ผมหัวเราะหึ ก่อนจะหันไปหาเขาโดยหันหลังพิงราวระเบียง เอาศอกทั้งสองวางเท้าไว้ด้วยท่าทางหาเรื่อง

   “หมอบอกว่าหมอชอบปั้น แต่ตอนนั้นหมอก็ยังทำกับคนอื่นได้”

   “นี่กำลังหาเรื่องกันใช่มั้ยข้าวปั้น”

   ใช่ครับหมอ ผมกำลังหาเรื่อง... ผมกำลังหงุดหงิด

   “ผมเปล่า ผมแค่ถาม”

   “ปั้นไม่เคยจะถามว่าทำไมเฮียถึงทำกับคนอื่น” เขาทำหน้านิ่ง นัยน์ตาคู่สวยดุ หัวคิ้วกดลงมาจนผมกลัว ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้จนผมถอยห่าง “ตอนนี้อยากถามแล้วใช่มั้ย”

   “ปั้น... ปั้นแค่ไม่เข้าใจว่าหมอโกหกทำไม” ผมเขยิบไปข้างๆ ไม่มองตาเขา

   “เฮียโกหกตอนไหน เฮียไม่เคยโกหก เฮียทำอะไร เฮียก็บอกว่าเฮียทำ” หมอขยับตามมา สองแขนคร่อมร่างผม

   “มะ... หมอบอกว่าชอบปั้นแต่ก็ยังไปทำกับคนอื่น”

   “เฮียบอกข้าวปุ้นดักไว้ ถามเขาว่าเขาโอเคมั้ย ข้าวปั้นโอเครึเปล่า ช่วยดูให้หน่อยว่าตอนกลับไปข้าวปั้นสบายดีมั้ย เฮียทำอะไรเฮียรับผิดชอบเสมอ เฮียไม่เคยทำแล้วค่อยคิด”

   มือใหญ่เลื่อนมาจับล็อคคางผมไว้แน่นเพื่อไม่ให้หลบตา

   “หมอ หมอไม่เห็นต้องไปทำกับคนอื่นนี่นา”

   ผมน้ำตารื้นเมื่อนึกถึงวันนั้น มันควรจะเคลียร์ตั้งแต่วันที่เขาบอกผมนี่นา เพียงแต่ผมไม่ถาม ผมยอมรับได้ถ้าเขาจะไปทำอะไรกับใครก่อนหน้าที่คบกับผม มันไม่ผิด... ไม่ผิดเลย เพียงแต่พอเห็นเขาพูดปกป้องหมอวาริศวันนี้ มันก็อดหงุดหงิดจนขุดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาพูดไม่ได้

   ผมไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแฟนเก่า คนคุยเก่า หรืออะไรเก่าๆ มันจะกลายมาเป็นหัวข้อการทะเลาะกันครั้งแรกของผมกับเขา

   หมอถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “ข้าวปั้น อยากรู้ใช่มั้ยว่าเฮียทำกับวาทำไม”

   “ทำไมต้องเรียกวา สนิทกันนักรึไง”

   อารมณ์เหวี่ยงก็มาครับงานนี้ โทษเจ้าเบียร์สี่กระป๋องนั่นเลยนะ

   หมออึ้งไปกับการสวนกลับของผม ผมเองก็อึ้งตัวเองเหมือนกัน เขาทำหน้าเหนื่อยใจก่อนจะรั้งเอวผมเข้ามา ผมเบือนหน้าหนีไม่อยากมองหน้าเขา

   “ไม่เรียกแล้วครับ” เขาหัวเราะเบาๆ ชอบใจอะไรนักหนา

   “ข้าวปั้นรู้มั้ยว่าคืนแรกนั่นน่ะ ตัวเองทำหน้ายังไง ร้องยังไง เฮียทำแค่ครั้งเดียวแต่เลือดไหลนองจนเฮียตกใจ แต่ปั้นก็ไม่ยอมปล่อย จะว่าเฮียแก้ตัวก็ไม่ว่านะ แต่เฮียคิดจริงว่าถ้ามันมีครั้งที่สอง เฮียจะยังทำปั้นเจ็บอยู่มั้ย เฮียไม่ได้โลกสวยนะครับ ไม่ได้เป็นคนใจเย็น...” หมอกดจูบลงที่แก้มผมที่เบือนหนีอย่างหมั่นไส้ “จากที่ทำกันมา รู้แล้วใช่มั้ยว่าเฮียไม่ใช่คนอ่อนโยน”

   ผมหน้าแดง อยากจะกระโดดลงจากระเบียงไปเลย

   เออ! เขาอ่อนโยนแค่วันแรกเท่านั้นแหละ!

   “เราตกลงกันไว้สามครั้ง จะไม่มีการผูกมัดใดๆ เขาจะสอนในสิ่งที่คู่นอนต้องการ”

   “หมอเก่งจะตาย ศึกษาเองก็ได้นี่นา” ผมแก้มป่อง อยากกัดเขาให้จมเขี้ยวไปตอนนี้เลย

   “เวลาเรียนนอกจากคาบทฤษฎี ก็ยังต้องมีปฏิบัติไม่ใช่เหรอ” หมอจูบเบาๆ ที่ปลายจมูกผม

   “หมอเจ้าชู้”

   “เมื่อก่อนนะ”

   “แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

   “เฮียเป็นของข้าวปั้นคนเดียวไง ไม่พออีกเหรอ”

   ผมกอดเอวเขาไว้แน่น อารมณ์หงุดหงิดปลิวไปแล้ว แค่นี้แหละที่ผมอยากได้ ผมแค่อยากให้เขาอธิบาย... ให้เขายืนยันว่าเขาเป็นของผมแค่คนเดียว หมอวาริศอะไรนั่นจะไม่มายุ่งกับเขา

   “อย่าเจ้าชู้อีกนะครับ” ผมกระซิบเบาๆ หมอกอดผมแน่นขึ้นพลางฟัดแก้มผมจนหน้าย่น

   “ถ้าเมาแล้วหึงน่ารักแบบนี้ เมาบ่อยๆ นะครับ”

   ผมซุกหน้ากับอกแน่นๆ หอมกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของเขา

   “ใจเย็นกับผมหน่อย ผมงอแงไม่บ่อยหรอกครับ”


เรื่องอะไรเก่าๆ มักเป็นหัวข้อทะเลาะของคนพึ่งคบกันได้เลยนะเนี่ย

ไม่รู้ทำไมอยากเขียนให้หมอกับปั้นทะเลาะกันบ้าง

น้องยูเห็นเขารักกันเเล้วหมั่นไส้น่ะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่27(27/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-12-2019 21:18:20
พ่อแง่แม่งอนนิดหน่อย พออีกคนหึงก็รู้ว่าอีกคนรัก อีกคนก็อิ่มใจ
ว่าแต่หลังจากนั้น อย่าฉีดยาปั้นอีกนะหมอ สงสารปั้น อิอิอิ

ส่วนเฮียปุ้น คงจะไปเจอตีนกระต่ายอีกแต่ แบบว่าอยากไปซ้ำรอยเก่า
ยังไงเฮียก็อย่ารุนแรงกับพี่เจี้ยนมากนะเฮีย เป็นห่วงทั้ง 2 คน
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่27(27/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 27-12-2019 22:36:47
แหมมีหึงกันด้วยยยยย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่27(27/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 28-12-2019 10:44:50
ข้าวปั้นขี้เมาเอ้ย  เมาแล้วขี้หึงแบบนี้ หมอดีใจแย่   :hao3:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่27(27/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-12-2019 11:47:16
หมอวาริศก็เกี่ยวด้วย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่28(30/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 30-12-2019 03:43:32
Chapter – 28

หมอครับ I’m Lost



   “ไอ้ข้าว”

   “ครับพี่”

   ผมที่กำลังทำการ composite ชอตอยู่หันมาตามเสียงเรียก คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมหน้าแทบจะมุดลงไปในจอ เป็นนิสัยไม่ดีที่ผมก็เป็นเวลาเพ่งสมาธิมากๆ พี่เจี้ยนก็กำลังค้อมพ์เหมือนกับผมอยู่นั่นแหละ

   “เปล่า ไม่มีอะไร”

   ผมหรี่ตามองพี่เจี้ยนที่นับวันยิ่งทำตัวแปลก เงียบผิดปกติทั้งที่เมื่อก่อนวันๆ เอาแต่พูดไม่หยุด ไหนจะก่อนหน้านั้นที่จู่ๆ ก็ประกาศกร้าวว่าจะไม่ไปเที่ยวข้าวสารอีกแล้วจนผมพยักหน้าเออออตามไป เพราะต่อให้พี่มันจะไม่ไปข้าวสาร มันก็ไปทองหล่อ ไม่ก็ที่อื่นอยู่ดี พี่เจี้ยนเลิกเที่ยวไม่ได้หรอกผมรู้

   “ดิน อยู่เปล่าวะ” พี่อัฐเดินออกจากห้องมาชะโงกถามหาพี่ดิน ผมหันกลับไปมองแล้วตะโกนบอกแทน

   “พี่ดินไปซื้อกาแฟครับพี่อัฐ”

   “เออ ถ้ามันขึ้นมาบอกให้เข้าประชุมกับพี่ด้วยนะ”

   “ได้ครับ”

   แล้วพี่อัฐก็เดินเข้าห้องไป พี่เจี้ยนไถลเก้าอี้มาหาอย่างสงสัย

   “ช่วงนี้เขามีโปรเจคลับอะไรกันรึเปล่าวะ เห็นพี่อัฐเรียกประชุมกับพี่ดินยิกๆ” สุดท้ายแล้วพี่แกก็ขี้เสือกอยู่วันยันค่ำ

   “ไม่รู้ อยากรู้ถามเองดิ”

   “น่าจะเป็นโปรเจคจากอเมริกา คราวนี้ไอ้เชี่ยดินได้โชว์ฝีมือครั้งยิ่งใหญ่แน่ เห็นว่าไม่ใช่งานแอนิเมชัน แต่เป็นงาน VFX ”

   คนที่ตอบข้อสงสัยคือพี่โรม หนึ่งในเทพค้อมพ์เปอร์ของแผนก CG ได้เวลาที่เนกับฟางเข้ามาเสือกด้วยพอดี

   “โห! จริงดิพี่โรม งานวิชวลเลยนะ ละเอียดยิบเป็นเย็บขนแมวเลย” ฟางตื่นตาตื่นใจ เพราะเคยเห็นพี่ดินทำงานวิชวลแค่ไม่กี่ครั้ง ความจริงพี่ดินมาสาย visual effect มากกว่า lighting ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่แค่เบื่อๆ เลยขอทำงานง่าย คราวนี้พี่อัฐคงไม่ปล่อยให้พี่ดินเอาความสบายเข้าตัวอีกแล้ว เลยจับเข้าโปรเจคใหม่แบบขู่บังคับกันไปซะเลยล่ะมั้ง

   “แบบนี้พี่ดินจะยังไปเที่ยวสิ้นปีกับเราได้มั้ยเนี่ย” เนห่วงเรื่องจองตั๋วเที่ยวต่างประเทศสิ้นปีนี้มากกว่าห่วงว่าพี่ดินจะตายรึเปล่า

   “นั่นสิ สงสัยวันนี้ต้องถาม โปรตั๋วเครื่องบินจะมาแล้ว” ฟางว่าบ้าง

   ผมหัวเราะ ปลื้มแทนพี่ดินก็ปลื้ม เพราะพี่แกก็ไม่ได้ทำงานใหญ่มานานแล้ว มัวแต่มาเป็นลีดเดอร์ช่วยน้องๆ อยู่แบบนี้ พวกผมเองก็ต้องพัฒนาฝีมือตัวเองให้ตามพี่ดินให้ทันเหมือนกัน



   ข้อความในมือถือทำให้ผมยืนขมวดคิ้วอยู่หน้าบริษัท หลังจากเฮียปุ้นกลับไป ผมก็ไปกลับตามปกติ ไม่มีเหตุการณ์อะไรชวนให้เป็นห่วง ไม่มีข้อความแปลกๆ หรืออะไรส่งมาอีกเลย ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงยอมเลิกราแค่นั้น อาจเป็นเพราะเขาทำในสิ่งที่อยากทำไปแล้ว และผมก็หาตัวคนคนนั้นไม่เจอ ไม่ว่าเขาจะเป็นน้องชายคุณพอร์ช หรือคนคนนั้นคือหมอวาริศ แต่ถ้าเขาหยุดแค่นั้น ผมก็ว่าจะเลิกตามให้มันแล้วกันไป

   แต่วันนี้ คุณพอร์ชกลับส่งข้อความมาหาผม เป็นข้อความสั้นๆ ผ่านทางไลน์ เพราะเขามีเบอร์มือถือของผมเพื่อใช้ติดต่องาน การจะมีไลน์ผมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะปกติเราติดต่อกันผ่านไลน์กลุ่มที่ตั้งขึ้นมาอยู่แล้ว แต่วันนี้เขาส่งมาทางแชทส่วนตัว

   P.: ผมอยากคุยกับคุณ ตอนนี้รออยู่ที่ร้าน MT café ใกล้สถานีนะครับ



   ผมเข้าไปเช็คแอคเคาน์ ว่าใช่อันเดียวกับที่เราใช้ติดต่อกันในกลุ่มหรือเปล่า ปรากฏว่าเป็นอันเดียวกัน ผมชั่งใจอยู่สักพักก็ลองกดโทรหาหมอดูเพื่อจะได้บอกเขาว่าผมจะไปเจอคุณพอร์ชวันนี้

   ... ตรู๊ด...

   หมอไม่รับสาย ผมจึงส่งข้อความบอกเวลากับสถานที่ไปแทนเพื่อความชัวร์ จะโทรบอกให้เฮียปุ้นขึ้นเครื่องมาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ผมลองเช็คร้านที่เขานัด มันอยู่ใกล้สถานีบีทีเอสและคนก็พลุกพล่าน คงจะปลอดภัยอยู่

   ผมโทรกลับไปหาคุณพอร์ชเพื่อยืนยันว่าใช่เขาส่งมาแน่ๆ ใช่มั้ย ไม่นานเขาก็รับสาย

   “สวัสดีครับ ผมข้าวปั้นนะครับ”

   [“อา... สวัสดีครับคุณข้าว ไม่ทราบว่าสะดวกมั้ยครับ ขอโทษที่นัดกะทันหัน ผมมีเวลาวันแค่วันนี้ก่อนจะบินไปฮ่องกงน่ะครับ”]

   “ครับ อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันนะครับ ไม่นานกว่านั้น”

   [“ได้ครับ”]

   ผมเรียกแท็กซี่ก่อนจะบอกปลายทาง ระหว่างนั้นก็ส่งข้อความหาเฮียปุ้นไปด้วย

   หวังว่าเรื่องต่างๆ มันจะเคลียร์หลังจากที่ผมไปหาคุณพอร์ชครั้งนี้นะ

   

   - Akin Part -   

   “จบการผ่าตัด ขอบคุณทุกคนครับ”

   ผมออกจากห้องผ่าตัด มองดูนาฬิกา เวลาตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว เคสนี้ยากพอดู ผมผ่าตัดมาหกชั่วโมงติดไม่ได้พัก ก่อนจะรับรายงานของเคสต่อไปที่ต้องผ่าต่อในอีกสองชั่วโมง

   ผมกะจะเดินกลับห้องพักแพทย์ของตัวเองเพื่อเขียนรายงานต่ออีกนิดหน่อยในตอนที่ยังพอจะมีเวลา แต่เมื่อเข้าไปในห้อง ก็เจอร่างเพรียวบางในชุดผ่าตัดสีเขียวนั่งไขว่ห้างรอตรงโซฟารับแขก เขาทำหน้าเรียบนิ่ง คิ้วย่นลง เหลือบมองมาทางผมที่เพิ่งเข้ามา

   “เดี๋ยวพี่หมอมีผ่าต่อใช่มั้ยครับ”

   “ใช่”

   ผมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ทำท่าจะหยิบมือถือที่วางทิ้งไว้มาเปิดเช็คข้อความเหมือนปกติ แต่วาริศกลับลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งตรงข้ามกับผมพลางเอ่ยในสิ่งที่ผมเคยถามเขาไปก่อนหน้านั้น

   “ที่พี่หมอถามผมมาวันก่อน ว่าผมใช่ วาริศ ในข่าวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนรึเปล่า”

   ผมเงยหน้าขึ้น ไม่พูดอะไร นัยน์ตาคู่โตหรี่ลงก่อนจะกระตุกยิ้มข้างเดียว

   “ใช่ครับ ผมคือเด็กคนนั้นที่โดนเอาไตออกไปเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน”

   “แล้ว...”

   “แล้วผมก็จำข้าวปั้นได้ จำเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันที่หน้าห้องของพี่หมอ”

   “วาริศ”

   เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผมจ้องเขาด้วยสายตาดุมาก ต้องการคำอธิบายที่มากกว่านี้



   - KaowPun Part -

   ผมลงจากแท็กซี่ที่หน้าสถานี เดินผ่านฝูงชนตอนสองทุ่มไปยังร้านคาเฟ่ที่นัดกันไว้ คุณพอร์ชนั่งรออยู่ในร้านแล้ว ผมเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับยกมือสวัสดีตามปกติ ชายหนุ่มผงกหัวรับก่อนจะบอกให้ผมสั่งอะไรกินตามสบาย ผมขอบคุณเขาแล้วสั่งโกโก้ปั่นมา

   “ขอบคุณที่มานะครับ” คุณพอร์ชยิ้มให้

   “ไม่หรอกครับ ผมก็อยากจะคุยกับคุณพอร์ชเรื่องนี้พอดี”

   ลูกค้าแสนดีของผมยกถ้วยลาเต้ขึ้นมาจิบก่อนจะวางลง เขาเริ่มเกริ่นหัวข้อสนทนาแทนผมที่กำมือถือแน่น ตลอดทางที่นั่งรถมา หมอไม่ได้อ่านข้อความและไม่โทรกลับ เช่นเดียวกับเฮียปุ้น ผมคิดว่าพวกเขาสองคนน่าจะกำลังยุ่งกับงานของตัวเอง อีกใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวว่าพวกเขาจะด่าผมเปิดเปิงที่ไม่ฟังสิ่งที่พวกเขาสั่งไว้หรือเปล่า

   แต่ก็ช่างเถอะ ผมมาแล้วนี่นา

   “เรื่องที่เราคุยค้างกันไว้ ที่คุณถามผมว่าน้องชายของผม เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวรึเปล่า” คุณพอร์ชประสานมือไว้ใต้คางก่อนจะยิ้มให้ “ใช่ครับ น้องชายของผมเคยถูกลักพาตัวไป”

   “คุณพอร์ช คุณรู้อยู่แล้วเหรอครับ ว่าผมก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกลักพาตัวไป”

   “รู้ครับ”

   “นั่นเป็นเหตุผลที่คุณจ้างผมทำงานใช่รึเปล่า?”

   “เป็นแค่ส่วนหนึ่งครับ งานผมก็อยากได้ ผมได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนที่รู้จักว่าพวกคุณเป็นฟรีแลนซ์งานโฆษณาที่มีฝีมือ แต่ที่ผมสะดุดใจคือชื่อของคุณ ผมเลยตัดสินใจจ้างโดยมีความสงสัยเป็นตัวตัดสินใจเลือกจ้างพวกคุณครับ”

   คุณพอร์ชเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้ใส่อะไร ทั้งที่ผมเครียดตัวเกร็งจนมือเย็นเหงื่อหมดแล้ว

   “ผม... ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ”

   “ครับ?”

   “น้องชายของคุณ เขา... เขาสบายดีใช่มั้ยครับ”

   คุณพอร์ชหุบยิ้มไป

   “ไม่ครับ เขาไม่ค่อยสบาย”

   พอเขาตอบแบบนี้ผมเลยไปไม่ถูกเลยทีเดียว คุณพอร์ชเบือนหน้าออกไปมองข้างๆ สีหน้าเขาดูเศร้า ก่อนที่ผมจะสะดุดใจ... เอ๊ะ... ยังไง?

   หมอวาริศไม่สบายเหรอ?

   “วันนั้นผมต้องเป็นคนไปรับน้องชายที่โรงเรียนเป็นปกติ แต่ผมไปช้าเพราะมัวแต่เล่น... จนกระทั่งเขาถูกจับไป ผมโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นเพราะผมถึงทำให้เขาต้องมีความหลังฝังใจจนไม่สบายมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ผมทำได้คือดูแลเขาและปกป้องเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้”

   คุณพอร์ชกำมือแน่น ส่วนผมนั้นเริ่มงง... และสับสน... อะไรหลายๆ อย่างมันผิดไปจากที่คิด

   คำพูดของคุณพอร์ชไม่ได้สอดคล้องอะไรกับหมอวาริศเลย

   “ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาต้องการเป็นสิ่งที่ผิด ผมไม่สามารถห้ามเขาได้... ดังนั้นจึงต้องทำในสิ่งที่ควรทำแทน”

   “คุณพอร์ชครับ คุณพูดอะไรของคุณอยู่น่ะ”

   ผมถามออกไปตรงๆ สีหน้าของผมทั้งประหลาดใจ สับสน และมึนงงจนคิดตามไม่ทัน

   คุณพอร์ชหันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงบอกว่า ทำไมเรื่องแค่นี้คุณไม่เข้าใจ...

   กูจะไปเข้าใจได้ยังไงวะ???

   “คุณพอร์ชครับ น้องชายของคุณ ใช่หมอวาริศรึเปล่าครับ”

   ผมกอดกระเป๋าแน่น ผมไม่รู้จะคาดหวังคำตอบอะไรจากเขา สิ่งที่เขาพูดมันทำให้สิ่งที่ผมคิดผิดแผกไปหมด และดูเหมือนคุณพอร์ชจะประหลาดใจกับคำถามของผม เขาขมวดคิ้วแน่น ยกมือมาลูบคางตัวเอง

   “วาริศ วรุณรัศมิ์ น่ะเหรอครับ”

   เขาพูดชื่อและนามสกุลของหมอวาริศออกมา มันทำให้ผมมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่ผมเดาอยู่ มันผิดทั้งหมด

   “หมอวาริศคนนั้นเขาอายุเท่าคุณนะครับ เขาโดนจับไปตอนป.4 เท่ากับคุณ แต่ผมเคยบอกไปแล้วนะว่า น้องชายของผม มีปัญหาจนทำให้ต้องย้ายโรงเรียนไปตอนป.5”

   “คุณพอร์ช คุณหมายความว่ายังไง?” มือถือผมสั่น... มันไม่ใช่ข้อความของหมอ หรือข้อความของใครที่ผมรู้จัก

   “คุณจำได้แค่วาริศหรอครับ คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเด็กโรงเรียนคุณที่ถูกจับไปน่ะ มีทั้งหมดสามคน”

   ผมใจกระตุกวูบ...

   ผมจำได้... แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องเด็กอีกคน เพราะคนที่ผมสนใจคือเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้น เพราะเขาเรียกชื่อผมและอยู่ใกล้ผมที่สุดตอนโดนจับไป

   “ผมอุตส่าห์ส่งข่าวเก่าที่เก็บมานานให้คุณดู เผื่อคุณจะนึกออก... แต่สิ่งที่คุณโฟกัสกลับเป็นเด็กที่ชื่อวาริศคนนั้น”

   คุณพอร์ชหลุบตาลง ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ส่วนผมเอาแต่กำมือถือแน่น มันสั่นมานานมากแล้ว สั่นเป็นข้อความเดิมๆ จนผมไม่อยากอ่าน... ผมอยากออกไปจากตรงนี้ ผมอยากโทรหาหมอ... แต่ไม่ว่าจะโทรยังไง มันก็ไม่มีคนรับสาย ไม่มีเลย... โทรหาพี่ดิน โทรหาใคร ก็ไม่มีใครรับทั้งนั้น มันถึงทำให้ผมรู้ตัวว่า...

   โทรศัพท์ผมถูกแฮก

   “ที่ผมนัดเจอคุณวันนี้ เพราะอยากจะมาเตือนคุณ”

   “ผม... ผมอยากกลับบ้านแล้ว”

   ผมขัดเขาขึ้น ไม่อยากฟังอะไรอีก ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปเลยเหมือนคนเสียมารยาท ผมได้ยินเสียงคุณพอร์ชเรียกไล่หลังมา แต่ตอนนี้ผมไม่มีสติจะหันกลับไปสนทนากับใครทั้งนั้น ผมพยายามกดมือถือรัวๆ แต่ก็ติดต่อใครไม่ได้เลย ผมหลีกเลี่ยงการใช้ขนส่งสาธารณะเพราะเข็ดจากเหตุการณ์คราวที่แล้ว ตัดสินใจเดินเร็วไปเรียกแท็กซี่แทน

   ยังไม่ทันจะโบกมือเรียกแท็กซี่... ผมรู้สึกได้เลยสติเริ่มหลุดลอย...

   หนังตาที่อยู่ๆ ก็เหมือนโดนหินถ่วง สองขาประคองตัวไม่ไหว

   โกโก้นั่น...

   ฟุ่บ!!!

   ท่ามกลางฝูงชนแถวป้ายรถเมล์ ร่างของผมที่หนักอึ้งทรุดลงกองอยู่ตรงนั้น ผมรับรู้ได้ถึงไทยมุงรอบที่สามในชีวิต ก่อนหน้านั้นก็เกือบโดนรถชน ต่อมาก็ตกบันได มาตอนนี้ก็กลายเป็นคนร่างไร้กระดูกไปซะงั้น

   ท่ามกลางฝูงคนที่เข้ามาพัดวีให้คนที่ทำท่าเหมือนเป็นลม คนที่ผมไม่รู้จักคนนึงก็เข้ามาแล้วพูดกับคนแถวนั้นว่าเขารู้จักผม จะพาผมไปโรงพยาบาลเอง ผมได้ยินว่าเขาเรียกชื่อผมด้วย แต่ผมไม่รู้จักเขา...

   “I found you ข้าวปั้น”

   ร่างผมโดนหิ้ว... หิ้วไปไหนไม่รู้ จากนั้นสติผมก็ดับวูบไป









   - Akin Part -

   ผมกดโทรศัพท์รัวๆ ไม่มีใครรับสาย ไม่มีข้อความใดๆ ตอบกลับมา... เหงื่อเย็นซึมชื้น มือกำแน่นด้วยความกลัวจับใจ

   “รับสิข้าวปั้น”

   ผมกดโทรย้ำใหม่อีกครั้ง แต่คนที่ผมคิดว่าตอนนี้ควรนอนตีพุงหวีขนแมวจนป่านนี้ก็ยังไม่รับ

   ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องที่คุยกับวาริศเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะออกไป

   …

   “ผมคือวาริศคนนั้น แต่ผมไม่ได้แค้นอะไรเขา เอาจริงๆ ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ”

   วาริศกอดอกทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ผมถาม

   “ผมจำข้าวปั้นได้ แต่ก็ไม่ได้อยากจะนึกถึงเหตุการณ์นั่น ตอนนั้นมันเป็นแค่ความโชคร้าย ยังดีที่ผมเสียไตไปแค่ข้างเดียว มันยังอุตส่าห์เหลืออีกข้างไว้ให้เพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่ได้ตอนส่งออกของให้มัน อาจเป็นเพราะว่าผมเป็นเด็กโตที่สามารถทนบาดแผลผ่าตัดได้ก็ได้มั้ง พวกมันเลยเก็บพวกผมไว้ขายตอนท้ายๆ”

   “แล้วคุณมีพี่ชายหรือเปล่า?”

   หมอวาริศหันหน้าขวับ

   “ผมจะไปมีพี่ชายได้ยังไง พี่หมอ คุณก็รู้จักผมมานานอยู่นะ” เขาสะบัดหน้ากลับไปก่อนจะลุกขึ้น “ลืมไปครับ ว่านอกจากคนที่คุณสนใจ คนอื่นมันแค่ตัวไร้ค่า คนอย่างผมไม่เคยอยู่ในสายตาพี่หมอ ผมรู้ตัว”

   ร่างเพรียวเดินเหวี่ยงจะออกไปนอกห้อง ก่อนไปเขาหันกลับมาเหมือนทำหน้านึกได้

   “จริงสิ วันก่อนมีข้อความแปลกๆ ส่งมาหาผมด้วยแหละ”

   ผมขมวดคิ้วแน่น

   “ว่าอะไร?”

   นานๆ ทีผมจะเป็นฝ่ายถามเขา วาริศคงแปลกใจที่จู่ๆ ผมก็สนใจสิ่งที่เขาพูดบ้าง มือบางล้วงมือถือขึ้นมาเพื่อเช็คข้อความในมือถือก่อนจะอ่านให้ฟัง

   “Finally found”

   ผมเบิกตากว้าง ก่อนจะลุกเดินไปขอมือถือจากเขามาอ่าน ผมเช็คอีเมลที่เป็นเมลประหลาดคล้ายๆ กับของข้าวปั้น

   “ส่งมาเยอะมั้ย”

   “ประมาณวันละฉบับ ผมนึกว่าเป็นสแปมจากเว็บโป๊ที่ผมไปสมัครไว้”

   ผมเหลือบตามองเด็กทุนที่ทำตัวเหลวแหลกเข้าไปทุกวัน ก่อนจะส่งคืน วาริศโบกมือให้ไม่วายส่งท้ายตามฉบับ

   “ถ้าเบื่อเขามาหาผมนะ ผมจะทำให้พี่หมอเปิดโลกมากกว่าเดิม”

   ประตูปิดลง ผมกลับมานั่งที่โต๊ะ รู้สึกสงสัยและเป็นห่วงคนที่วันนี้ต้องกลับบ้านคนเดียวจนต้องกดโทรหา แต่โทรเป็นสิบๆ รอบแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าปลายสายจะรับ

...   

   “รับสิข้าวปั้น”

   ผมเดินวนอยู่ในห้องเป็นหนูติดจั่น มองนาฬิกาไปด้วย อีกชั่วโมงนึงจะมีผ่าตัดรอบสอง ผมยังสามารถหาคนมาผ่าแทนได้ทันอยู่ เพราะเคสต่อไปไม่ยากและหมอนนท์ที่เป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ก็ขึ้นเวรวันนี้พอดี ผมอาจจะขอให้เขาช่วยดูเคสของผมแทน

   ไม่มีคนรับเหมือนเดิม ผมตัดสินใจต่อสายภายในหาพยาบาลผู้ช่วยของหัวหน้าศัลยแพทย์เพื่อขอเปลี่ยนตัวหมอผ่าตัด ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดูไม่รับผิดชอบ แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงคนที่จู่ๆ ก็หายไปมากกว่า

   หมอนนท์ไม่มีปัญหา แต่เขาตำหนิผมเรื่องความรับผิดชอบเล็กน้อย ซึ่งผมก็ก้มหน้ารับไป ก่อนที่จะมีสายเรียกเข้าจากข้าวปุ้น ผมกดรับหลังจากวางสายจากหมอนนท์แล้ว

   [“ไอ้คิน มึงอยู่กับปั้นรึเปล่า”] เสียงข้าวปุ้นดูร้อนรนมาก เขาไม่ถามไม่ไถ่อะไรผมสักนิด แต่กลับถามหาคนที่ผมพยายามโทรตามอยู่

   “เปล่ากูอยู่โรง’บาล”

   [“กูโทรหามันเป็นร้อยสายแต่มันไม่รับ”]

   “กูก็โทรหา กูเพิ่งคุยกับวาริศมา”

   ข้าวปุ้นเงียบไป ก่อนจะถามกลับ น้ำเสียงเครียด

   [“ยังไง?”]

   “เขาบอกว่าเขาจำข้าวปั้นได้ แต่เขาไม่ได้แค้นอะไร แถมยังลืมเหตุการณ์นั้นไปแล้วด้วย และอีกอย่าง วาริศไม่มีพี่ชาย เขาเป็นลูกคนเดียว” ผมตอบตามที่วาริศบอก

   “และก็... มีอีเมลแปลกส่งมาถึงวาริศ ข้อความคล้ายๆ กับของข้าวปั้น”

   [“เชี่ย! จริงเหรอวะเนี่ย?”] ข้าวปุ้นสบถหยาบคาย

   “อะไรมึง”   

   [“กูจะโทรมาบอกไอ้ปั้นเรื่องนี้แหละ”] ข้าวปุ้นเสียงดังขึ้น [“ไอ้ตุลย์มันสงสัยเรื่องที่กูขอไป มันเลยไปตามสืบมาอีกนิดหน่อย คราวนี้เลยไปเจอเหตุการณ์แปลกๆ ที่ถูกลงบันทึกประจำวันไว้แต่ไม่ใช่ข่าวใหญ่อะไร เพราะกำลังตามสืบกันอยู่ในหน่วยสืบสวนอีกทีม”]

   “ได้อะไรมา”

   [“วัยรุ่นสี่คนเสียชีวิตในสาเหตุที่ต่างกันแต่เวลาไล่เลี่ยกัน คดีมันจะไม่ถูกจับมาเชื่อมโยงกันเลยถ้าไม่ใช่ว่า ทั้งสี่คนมีของบางอย่างที่หายไปและถูกยัดใส่แทนที่ไว้เหมือนกัน”]

   “อย่าบอกว่า” ใจผมเริ่มกระตุกรัวๆ คว้ากุญแจรถแล้วเดินออกจากห้องไปเลย

   [“ใช่ ไตของเด็กสี่คนหายไปคนละข้าง และถูกยัดแทนที่ด้วยแป้งสาลีห่อด้วยถุงพลาสติก”]

   ผมปิดประตูรถแล้วสตาร์ทอย่างรวดเร็ว คุยกับข้าวปุ้นผ่านบลูทูธ

   [“ในรายชื่อของเด็กสิบเจ็ดคนที่ถูกจับไป รายชื่อคนที่รอดเก้าคน มีชื่อเด็กโรงเรียนเดียวกับข้าวปั้นอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือวาริศที่อยู่ ป.4 แต่เราลืมไปเลยว่าเด็กโรงเรียนข้าวปั้นที่ถูกจับไปมีทั้งหมดสามคน อีกหนึ่งคนที่อยู่ ป.5 เขาไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเดียวกัน แต่เขาหายไป... เขาหนีไปเองระหว่างการช่วยเหลือจากตำรวจเลยไม่มีประวัติการรักษา เราได้ชื่อเขามาจากโรงเรียน เขาไม่ได้เข้าไปให้ปากคำกับตำรวจด้วยซ้ำ”]

   “หมายความว่า ในรายชื่อของเด็กเก้าคนที่รอดชีวิต ไม่มีชื่อเขาอยู่?”

   [“ใช่ กูลองเช็คแล้ว เด็กทุกคนมีประวัติการรักษาชัดเจนและมาให้ปากคำกับตำรวจทุกคน แต่รายชื่อผู้เสียชีวิตมีแค่เจ็ดคน และสูญหายหนึ่งคน”]

   “เด็กคนนั้น เป็นเด็กคนที่สิบที่รอดสินะ”

   ผมหักพวงมาลัยจอดไว้ที่หน้าคอนโด เดินเร็วไปยังลิฟต์แล้วกดที่ชั้น 9  ภาวนาให้คนที่ผมเป็นห่วงจับใจนอนตีพุงอยู่บนโซฟาเหมือนเคย

   [“ถ้าเขายังอยู่ ก็คือใช่... ในทะเบียน เขาเป็นลูกนอกสมรสของผู้มีอิทธิพลของฮ่องกงที่ถูกส่งมาอยู่ประเทศไทย ประวัติคลุมเคลือแต่เท่าที่รู้มา คือเขามีพี่ชายอยู่หนึ่งคน เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับกูสมัยมอปลาย เขาเข้ามาไม่นานก็ย้ายออกไป กูไม่รู้จักหรอก ได้แค่ชื่อมาจากระเบียนประวัติของโรงเรียน”]

   “คุณพอร์ชนั่นใช่มั้ย”

   ผมออกจากลิฟต์ ล้วงคีย์การ์ดห้องข้าวปั้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่น

   [“ใช่”]

   “ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร ตอนนี้ข้าวปั้นอยู่ในอันตราย”

   ผมผลักประตูห้องเข้าไป... ในห้องมืดสนิทเช่นเดียวสมองของผม

   “ไอ้ปุ้น ข้าวปั้นยังไม่กลับ”

   ข้าวปุ้นเงียบไป เขาวางสายเช่นเดียวกับผมที่ปล่อยมือลงข้างตัว นัยน์ตาเครียดเขม็ง... ผมยกมือถือขึ้นมากดโทรหาใครบางคน

   “ขุน หาคนให้หน่อย”
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่28(30/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 30-12-2019 07:36:52
ข้าวปั้น อย่าเป็นอะไรนะลูก ขอให้เฮียปุ้นหรือพี่หมอตามไปช่วยทันนะ.  :m15:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่28(30/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-12-2019 09:12:47
ลุ้นด้วยใจระทึก ขอให้ปลอดภัยนะข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่28(30/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 30-12-2019 11:20:59
ระุทึก มาแค้นกันเองทำไม ข้าวปั้นมีส่วนอะไร
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่28(30/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 31-12-2019 08:30:59
ไม่ใช่วาริศช่วยวางแผนด้วยหรอ??
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่28(30/12/62)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 31-12-2019 16:16:48
อ้าวๆๆๆ
โอ๊ยลุ้นไปอีก หาข้าวปั้นให้ทันนะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 04-01-2020 19:15:44
Chapter – 29
หมอครับ ตามหาผมที


   เสียงต๊อกแต๊กที่ผมได้ยินอยู่ทุกวันทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว มันเป็นเสียงรัวคีย์บอร์ดที่เร็วกว่าที่พวกผมทำ ผมเคยได้ยินตอนที่พี่กรเอางานกลับมาทำที่บ้านตอนอยู่เชียงราย ผมงัวเงียครางถามเสียงแหบแห้ง

   “พะ... พี่กรเหรอ”

   เสียงรัวแป้นหยุดไป ผมกระพริบตา ห้องมืดสลัวที่มีเพียงแสงจอคอมพิวเตอร์ลอดผ่านมาทำให้ผมประหลาดใจ แม้ห้องนี้จะสลัวไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมเกิดอาการแพนิค

   เดี๋ยวสิ... ไม่ใช่

   ผมสะบัดหัวไล่ความมึน อาการปวดหัวแล่นจี๊ด แว่นตาหายไปจนทำให้ผมมองอะไรไม่ชัดเจน

   ผมพยายามลุกขึ้น แต่พอขยับ ความเจ็บแถวๆ ท้องก็แล่นเข้ามา ผมหลุบตามองสาเหตุความเจ็บแล้วแทบจะร้องครางไม่เป็นภาษา

   “ฟื้นแล้วเหรอ”

   “ใครน่ะ?”

   ร่างที่นั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าคอมพิวเตอร์หันมาทั้งเก้าอี้ ผมมองหน้าเขาไม่ชัด รู้แค่ว่าสภาพผมตอนนี้ถูกจับให้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงที่ยกพนักขึ้นมาสูงเหมือนเตียงในโรงพยาบาล สายเลือด สายน้ำเกลือระโยงระยาง ผมอยู่ในสภาพนี้มากี่ครั้งแล้วนะ...

   “ยาชาน่าจะกำลังหมดฤทธิ์ อาจจะเจ็บนิดหน่อย”

   เสียงนั้นใกล้เข้ามา ผมพยายามควานหาแว่นตาของผม แต่มือกลับขยับไปไหนไม่ได้เพราะถูกมัดติดอยู่กับเตียง

   “แกเป็นใคร?”

   “จำผมไม่ได้จริงๆ ด้วยข้าวปั้น”

   ร่างนั้นทิ้งตัวนั่งลงข้างผมบนเตียงที่พยายามขยับออกห่าง นัยน์ตาผมเลิ่กลั่ก หวาดกลัวจับใจ เขาเอาแว่นตามาสวมให้ผม ทำให้ความสามารถในการมองชัดเจนขึ้น

   คนตรงหน้าผมเป็นชายอายุไล่เลี่ยกับผม รอยยิ้มใจดีของเขาส่งมาให้ผม แต่แววตาของเขาทำให้ผมรู้สึกจิตตก

   “ผมชื่อเหลียนครับ”

   “จับผมมาทำไม?”

   ผมครางถาม เริ่มนิ่วหน้า เมื่อฤทธิ์ยาชาเริ่มหมด ความเจ็บปวดระบมแล่นไปทั่วร่าง ผมหลุบตามองท้องตัวเองอีกรอบ เสื้อผ้าของผมถูกถอดออกจนหมด... มีเพียงผ้าสีเขียวคลุมไว้หมิ่นเหม่แถวๆ สะโพก ผมหอบหายใจถี่

   “ผมตามหาคุณมาตั้งนานแน่ะ พี่ชายผมเขาซ่อนพวกคุณเนียนมากเลยนะ”

   มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบหน้าผมที่สะบัดหนีอย่างรังเกียจ น้ำตาคลอเบ้า เสียงเครื่องวัดชีพจรดังติ๊ดๆ ทำให้ผมรู้ว่าหัวใจตัวเองตอนนี้เต้นเร็วขนาดไหน เหงื่อเย็นเม็ดเป้งผุดออกมาตามหน้าผาก

   “ซ่อน?”

   “ใช่ครับ ไม่สิ... ต้องบอกว่าเขาซ่อนผมจากพวกคุณด้วยแหละ”

   ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบมือถือของผมมาชูตรงหน้า

   “สนุกกับเกมของผมมั้ย”

   “เกมเหี้ยไร!”

   “อ้าวแหม? ไม่สุภาพซะแล้ว” ไอ้บ้านั่นทำหน้าผิดหวัง

   ผมตาพร่ามัว มันปวดหนึบที่แผล แถมเหมือนกับอะไรบางอย่างมันหายไปด้วย ผม... ไม่อยากจะคิด

   “จับกูมาทำไม!”

   ผมเสียงแข็งถามเขาดังขึ้น ความหงุดหงิดจากความเจ็บปวดและฤทธิ์ยามันทำให้ผมอยากจะแผดเสียงร้อง แผลที่ถูกเย็บอย่างไม่ถูกต้องส่งผลให้เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมา

   “ชู่ว! ไม่เอา ไม่เสียงดังสิครับ เดี๋ยวแผลเปิดเยอะกว่าเดิมนะ”

   คนที่บอกว่าตัวเองชื่อเหลียนยกนิ้วชี้มาส่ายตรงหน้าผม เขาส่งยิ้มมาให้

   “ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ ใช้เวลาตามหาคุณตั้งนานแน่ะ”

   “มึงเป็นใคร” ผมหยาบคายด้วยโทสะ ผมไม่รู้จักเขา... มั่นใจว่าไม่รู้จัก...

   เหลียนทำหน้าผิดหวัง

   “ผมคือเพื่อนของคุณไง เราอยู่ในรถคันเดียวกันวันนั้น คุณจำได้มั้ยครับ”

   ไม่... ผมจำไม่ได้

   ไอ้โรคจิตเอาสองแขนคร่อมหัวผมไว้

   “คุณอยากรู้มั้ยว่าทำไมพวกมันต้องเสี่ยงมาจับเด็กในเมืองอย่างเรา ทั้งๆ ที่พวกมันไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมาจับเราที่โรงเรียนเลยด้วยซ้ำ เขาจะเอาใครก็ได้ เด็กที่ไม่มีสัญชาติเยอะแยะไป อยากรู้รึเปล่า?”

   มือใหญ่เลิกผ้าที่คลุมช่วงล่างผมไว้เล็กน้อย เผยให้เห็นแผลผ่าใหญ่ประมาณฝ่ามือถูกเย็บลวกๆ ผมหอบหายใจถี่ ตาเหลือกมองรอยแผลน่ากลัวก่อนจะเบือนสายตาหนี ไม่พูดและไม่ตอบอะไร จนไอ้คนที่พยายามจะชวนผมคุยพ่นลมหายใจเฮือก

   “ทีอย่างนี้ล่ะทำไมไม่อยากรู้”

   “รู้ไปจะได้อะไร”

   ผมถามกลับก่อนจะร้องลั่นเมื่อเขาใช้นิ้วจิ้มลงไปที่แผล

   “คุณนี่มันน่ารำคาญจริงๆ” เขาละมือออกไป ผมน้ำตาไหลพราก ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ไอ้เหลียนอะไรนั่นลูบหัวผมที่ตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะสะบัดหนี “แต่ก็น่ารักเหมือนเดิม”

   เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยิบเข็มฉีดยาจากถาดข้างๆ ขึ้นมาถือไว้พลางดูยาในหลอด

   “เราสิบเจ็ดคนเป็นเรื่องที่คนพวกนั้นตั้งใจ”

   ผมเหลือบตามองเขาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร

   “เด็กสิบเจ็ดคนที่ถูกลักพาตัวไปมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กัน อะไรรู้มั้ย? ผมว่าคุณน่าจะจำได้นะ ว่าตัวเองน่ะมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าเด็กคนอื่น”

   “พิเศษ?... หรือว่า...” คำพูดของพวกผู้ใหญ่ในตอนนั้นเริ่มกลับเข้ามาในความทรงจำ เหตุผลที่ผมสามคนถูกลากออกไปเป็นพวกสุดท้าย

   “เพราะกรุ๊ปเลือดของเรา เป็น Rh- ยังไงล่ะ”

   “...”

   “เอเยนต์ค้ามนุษย์พวกนั้น รับข้อเสนอของใครบางคนมา เขาขอให้หาเด็กที่มีอวัยวะครบถ้วนและเป็นกรุ๊ปเลือดพิเศษที่หายากมากในตลาดมืดของเอเชีย เพื่อซื้อไตและหัวใจของเราไป เราไม่ใช่เด็กล็อตแรกที่ถูกส่งข้ามฝั่งไปพม่า เด็กที่มีราคาพิเศษอย่างเรา แม้แต่เลือดสักหยดยังขายได้ ดังนั้นมูลค่าของเราในตอนนั้นถึงสูงมากจนไม่มีใครกล้าแตะต้องยังไงล่ะ”

   เขาเดินกลับมาแล้วฉีดยาลงไปในหลอดสายน้ำเกลือที่ปักอยู่บนแขนผม

   “พวกเขาตรวจสอบเรามาก่อนเราก่อนจะจับเราไป ด้วยอำนาจของเงิน ไม่ว่าอะไรก็สามารถซื้อได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งชีวิตคน”

   เหลียนยิ้ม เขาถลกเสื้อของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นหลายรอยบนตัวเขา

   “ผมถูกผ่าในขณะที่ยังมีสติ พวกมันพูดเรื่องพวกนี้ไม่หยุด เสียงหัวเราะของพวกมันยังดังวนเวียนอยู่ในหัว”

   เขากระซิบชิดหูผม

   “ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมถึงไม่ตาย พวกมันทิ้งผมไว้ให้เป็นส่วนแหว่งส่วนขาดทำไม” เขากดมือลงมาทับแผลผมอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่เจ็บเลยสักนิด ยาที่เขาฉีดให้คงเป็นยาชา

   “ผมเกลียดพวกคุณที่สามารถมีชีวิตได้อย่างสุขสบายต่อได้ ในขณะที่ผมนอนไม่หลับเลยสักคืน”

   “ไอ้โรคจิต”

   “ใช่ๆ พี่ชายก็พูดกับผมแบบนั้น แต่ทำไงได้ล่ะ พอผมได้ยินเสียงร้องของพวกคุณ มันทำให้ผมสามารถนอนได้โดยไม่ต้องพึ่งยา”

   เขาโน้มตัวลงมากอดผมที่ร่างกายไม่สามารถขัดขืนอะไรได้

   “แต่ผมรู้นะข้าวปั้น ว่าคุณก็เป็นเหมือนผม คุณเองก็ยังจำฝังใจกับเหตุการณ์นั้น”

   ผมรู้สึกขยะแขยงเขาขึ้นมา โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ผมเห็นตรงหางตา

   “ผมจะค่อยๆ เอาแต่ละส่วนของคุณออกมาแทนคนพวกนั้นเองนะ”

   มีดผ่าตัดคมกริบถูกยกขึ้นมา ผมเข้าใจกับความรู้สึกสิ้นหวังของเขาแล้วล่ะ

   ใครก็ได้... ตามหาผมที   

   

   - Akin Part -

   ผมติดต่อหาคุณพอร์ชอะไรนั่นได้ไม่ยากเพราะข้าวปั้นทิ้งเบอร์โทรของเขาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ถ้าหากว่าเขาเป็นคนร้าย ผมอาจจะติดต่อเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมมีปัญญาจะหาตัวเขาเจอได้ไม่ยากอยู่แล้ว

   แต่เขากลับรับสาย

   “สวัสดีครับคุณพอร์ช ผมอคิน ที่เราเจอกันวันนั้น ผมเป็นเพื่อนพี่ชายของข้าวปั้น”

   ผมถามขณะที่กำลังขับรถไปยังจุดหมายที่ขึ้นในจีพีเอส

   [“สวัสดีครับคุณอคิน คุณมีอะไรรึเปล่า”]

   น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูไม่ปกติ ผมขมวดคิ้ว

   “ข้าวปั้นอยู่ไหน?”

   ผมถามไปตรงๆ อีกฝ่ายเงียบ ก่อนจะถามกลับ

   [“คุณถามผมทำไมครับ วันนี้ผมยังไม่ได้เจอเขาเลย”]

   “น้องชายของคุณ คือ อี้ เหลียน ใช่มั้ย?” ผมเลี้ยวไปยังซอยลึกในหมู่บ้านหนึ่งแถบชานเมือง ก่อนจะจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง

   “ผมอยู่หน้าบ้านคุณ”

   อีกฝ่ายตัดสายไป ผมจึงกดโทรหาคนที่น่าจะซ่อนอยู่แถวนี้ ไม่นาน... แทนที่มันจะรับสาย เจ้าของร่างกำยำสมส่วนในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขาดๆ ไม่สมกับตำแหน่งก็เดินออกมาจากมุมหนึ่ง ปากคาบบุหรี่ติดมาด้วย ผมเหลือบตามองเขา

   “หน้าตาดุอย่างกับหมาบ้า” คนที่ผมขอให้ช่วยแสยะยิ้มให้ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะมาถกเถียงอะไรกับมันตอนนี้

   “มึงสั่งคนไว้รึยัง”

   “ก็ล้อมบ้านไว้หมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือยิง”

   “...”

   มันพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น

   ขุนทัพ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสัวตระกูล หริเจียรวัฒน์ ผู้มีอำนาจมืดซุกซ่อนอยู่ทุกซอกทุกมุมของไทยรวมถึงแถบเอเชีย ไม่มีใครในวงการมืดไม่รู้จักนามสกุลนี้ ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่อยากขอให้มันช่วยนักหรอก

   ชายผู้มีรอยสักบนแขนทั้งสองข้างหัวเราะก่อนจะเอาแขนมาคล้องคอผม

   “จะเอายังไง จะเก็บ จะเผา จะระเบิด เลือกมา” มันยื่นข้อเสนอให้

   “เอาคนของกูคืนมาก็พอ”

   “แหม สั่งเป็นเมียเลย”

   ผมตวัดตามองมันอย่างไม่พอใจ ขุนทัพยกมือยอมแพ้ เดินเข้าไปกดกริ่งหน้าบ้านแล้วคุยผ่านอินเตอร์คอม ผมมองการกระทำเรื่อยเปื่อยแล้วอยากชักปืนออกมายิงมันแทนจริงๆ

   “สวัสดีคร้าบ มารบกวนดึกไปหน่อย แต่ยังไงช่วยเปิดประตูหน่อยได้มั้ยครับ”

   ภายในไม่มีเสียงตอบรับ ผมล้วงกระเป๋ากางเกง ขุนทัพหันมามองผมที่เริ่มหมดความอดทนก่อนจะถอนหายใจ ใบหน้าคมเข้มคร้ามแดดยกมือสั่งให้ลูกน้องที่อยู่ไกลๆ สตาร์ทรถได้ ขุนทัพลากผมกลับไปในรถของตัวเองโดยที่เขาเป็นคนเข้าไปนั่งฝั่งคนขับแล้วยื่นมือถือของตัวเองให้ดูแทน

   “เด็กมึงยังโอเคน่า คนของกูแฮกระบบมือถือคืนให้ละ เจอสัญญาณจีพีเอส อยู่ในบ้านเนี่ยแหละ ใจเย็น”

   ผมไม่พูดอะไร มองสัญญาณในมือถือที่ยังกระพริบอยู่อย่างมีความหวัง

   ขณะที่ผมนั่งอยู่ในรถออดี้ของตัวเอง ก็มีรถบรรทุกหกล้อห้อตะบึงมาจากถนนด้านหลังด้วยความเร็วที่ไม่สามารถเบรกได้ในระยะนี้ ผมเหลือบตามองกระจกมองหลัง รถคันใหญ่ที่เหยียบคันเร่งจนมิดแล่นผ่านรถผมไป พุ่งชนโครมยังประตูอัลลอยด์สูงสามเมตรจนกระเด็น โชคดีที่บ้านหลังนี้อยู่ท้ายซอยพอดีจึงทำให้รถบรรทุกไม่ไปเสยกับบ้านหลังอื่นก่อน

   การกระทำเช่นผู้ก่อการร้ายไร้อารยธรรมแบบนี้ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากเรียกใช้เท่าไหร่

   “เอ้า ประตูเปิดละ ไปกันเลยมั้ย”

   “ถ้ามึงถามกูอีกคำ กูชกคว่ำแน่”

   ขุนทัพหัวเราะลั่นก่อนจะเหยียบคันเร่งออดี้ของผมจนมิดแล้วพุ่งตัวเข้าไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แม้ไม่ต้อนรับ แต่ผมก็จะเข้าไปเอาตัวคนของผมคืน

   ทันทีที่รถหลายสิบคันจอดอยู่ที่หน้าตัวคฤหาสน์ ไฟในบ้านก็เปิดพรึ่บขึ้นพร้อมกัน ร่างสูงของคุณพอร์ชเดินออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เขายังอยู่ในชุดไปรเวททั้งๆ ที่ตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว เหล่าชายฉกรรจ์ลูกน้องของขุนทัพพากันลงจากรถมายืนล้อมหน้าล้อมหลังลูกพี่ไว้ ส่วนคุณพอร์ชก็มีบอดี้การ์ดส่วนตัวที่จำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดยืนคุมเจ้านายอยู่เช่นกัน

   ผมมองสถานการณ์ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วทำหน้าเครียดเขม็ง

   “มึง... เอ้ย ไม่ใช่... คุณคือคุณพอร์ชใช่มั้ย เพื่อนผมมันบอกว่าน้องมึง... เชี่ย... น้องคุณเอาตัวเด็กมันไป”

   ขุนทัพผู้ไม่คุ้นเคยกับคำสุภาพทักทายเจ้าของบ้านแทนผม

   “คุณจะมาบุกรุกทำลายข้าวของบ้านคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

   เจ้าของบ้านล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง สายตาเย็นชา

   “ข้าวปั้นอยู่ไหน”

   ผมถามเสียงห้วน คุณพอร์ชหรี่ตา

   “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว”

   “อี้ เหลียน คือน้องชายของคุณใช่มั้ย?”

   คุณพอร์ชเงียบไป ก่อนจะผายมือเชิญพวกผมเข้าไปในบ้าน

   “เข้ามาคุยกันก่อนสิครับ”

   

   คนที่เดินตามเข้ามาด้านในมีเพียงผม ขุนทัพ และลูกน้องอีกสองคน คุณพอร์ชเชิญพวกเราให้นั่งตรงโซฟารับแขกในห้องโถง เขาสั่งให้คนรับใช้เสิร์ฟน้ำให้ตามมารยาท แต่พวกผมไม่คิดจะแตะต้องมัน

   เจ้าของบ้านหลังใหญ่ยิ้มให้

   “ถ้าพวกคุณมาตามหาข้าวปั้นที่นี่ คุณหาเขาไม่เจอหรอกครับ”

   ผมขมวดคิ้วยุ่ง มองหน้าขุนทัพที่ยักไหล่ให้ เขายกมือถือขึ้นมากดส่งอะไรก็ไม่รู้

   “อี้ เหลียนคือน้องชายตามนิตินัยของผม เขาเป็นลูกนอกสมรสของผู้มีอิทธิพลของฮ่องกง เขาถูกส่งมาอยู่ไทยโดยแม่ของเขาเพราะไม่อยากให้ลูกชายถูกทารุณกรรมราวกับสัตว์แบบนั้น และแม่ของเขาก็คือพี่สาวของผมเอง เราเป็นอาหลานกันตามสายเลือด”

   เจ้าของบ้านล้วงโทรศัพท์มือถือของข้าวปั้นขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ผมหยิบขึ้นมาดู เครื่องไม่ได้ดับแต่ผมติดต่อเขาไม่ได้ คงเป็นเพราะอีกฝ่ายแฮกมือถือของเขาแล้วตัดการเชื่อมต่อทั้งหมด

   “วันนี้ผมนัดคุยกับคุณข้าวก่อนที่ผมจะบินไปฮ่องกงวันนี้ กะจะเล่าความจริงให้ฟัง แต่เขากลับหนีออกมาก่อน ผมตามออกมาไม่ทัน เจอแค่โทรศัพท์มือถือที่ทำตกไว้ คนของผมบอกว่าอี้ เหลียนพาตัวคุณข้าวขึ้นรถไปแล้ว ผมสั่งให้คนของผมตามหาอยู่แต่ดูเหมือนอี้ เหลียนจะตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดของเขาทิ้งจนผมตามหาไม่เจอ”

   ผมฟังแล้วกำมือที่ถือมือถือของข้าวปั้นไว้แน่น

   “อี้ เหลียน คือเด็กที่หายตัวไปก่อนที่ตำรวจจะเข้าทำการช่วยเหลือเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนใช่มั้ย” ผมถามด้วยแววตาเครียดเขม็ง คุณพอร์ชหลุบตาหนีก่อนจะพยักหน้ารับ

   คุณพอร์ชยกชาร้อนขึ้นมาจิบก่อนจะเล่าให้ฟัง   

   “เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาหนีออกมาในวันที่ตำรวจเข้าไปช่วย ผมเองก็ให้คนของผมตามหาเขา... โชคดีที่เราเจอเขาในป่าติดกับชายแดน ร่างกายที่ถูกผ่าออกยังมีรอยเย็บชัดเจน เขาบอกผมว่า... ตำรวจไว้ใจไม่ได้ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหนีออกมาจากการช่วยเหลือ”

   ขุนทัพหัวเราะเมื่อฟังเรื่องราวโศกนาฏกรรมของคนที่ตัวเองไม่รู้จัก

   “แหงสิวะ เด็กหายไปตั้งสิบเจ็ดคน ถ้าไม่มีพวกเบื้องบนรู้เห็นด้วย อะไรๆ ทำไมมันจะง่ายขนาดนั้น”

   คุณพอร์ชเว้นช่วงไปเล็กน้อย   

   “เหลียนเป็นเด็กที่ความจำดีเป็นเลิศมาตั้งแต่เด็ก เขาจำหน้า จำชื่อ จำลักษณะท่าทางของคนที่เกี่ยวข้องได้หมดทุกคน นั่นทำให้เขาจำเหตุการณ์นั้นฝังใจ ฝังทุกรายละเอียดจนกลายเป็นโรคทางจิตขึ้นมา”

   “เขาฆ่าเด็กทำไม”

   ผมถามถึงคดีที่ข้าวปุ้นเล่าให้ฟัง โดยมั่นใจด้วยว่าเด็กที่ถูกฆ่าเป็นฝีมืออี้ เหลียน เพราะเด็กสี่คนนั้นเป็นคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ลักพาตัวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน รวมถึงวิธีการฆ่าและเอาไตออกไปเหมือนคนมีความหลังฝังใจกับเรื่องนี้

   คุณพอร์ชเงียบไป ก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา

   “เขากลับไปเชียงราย เขาบอกว่าเขาเจอวิธีที่ทำให้เขานอนหลับได้แล้ว”

   เท่านั้นก็เกินพอสำหรับคำตอบ

   “ตลอดสิบเจ็ดปี เด็กคนนั้นไม่เคยนอนหลับสนิท เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ผมนึกว่าเขาจะดีขึ้นแล้วจึงพาเขากลับมาอยู่บ้านตั้งแต่สิบปีก่อน จนกระทั่งวันนึง ที่เขามาบอกผมว่าหมอให้ยาตัวใหม่กับเขา... มันทำให้เขาหลับได้ เขาไปๆ กลับๆ เชียงรายอยู่หลายปี จนกระทั่ง... มีข่าวนั่นออกมา ผมจึงรู้ว่ายาของเขาคืออะไร”

   ในกลุ่มคนมีอาการทางจิตจากบาดแผลทางใจนั้น มีการแสดงออกทางอาการไม่เหมือนกัน ผมเข้าใจเรื่องนั้น วาริศนั้นปกติ เขาไม่มีอาการฝังใจกับเหตุการณ์ในอดีตเพราะเขาละทิ้งมันไว้ด้านหลัง ในขณะที่ข้าวปั้น ยังคงฝันร้ายกับความรู้สึกผิดจนทำให้เกิดอาการโฟเบียที่แคบและที่มืด แต่ในกรณีของอี้ เหลียน เขาถูกทารุณกรรมมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังถูกผ่าเอาอวัยวะออกไป จากที่ข้าวปั้นเคยเล่า เขากับเด็กที่เหลือรอดไม่มีใครถูกเอาอะไรออกไปเหมือนคนอื่นๆ

   นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อี้ เหลียนเกิดคำถามว่า แล้วทำไมต้องเป็นเขาคนเดียวที่โดน

   เขาเอาความโชคร้ายมาลงที่คนอื่นเพื่อรักษาตัวเอง

   “ผมไม่ได้สนับสนุนให้เขาทำแบบนี้ แต่ผมก็ห้ามเขาไม่ได้ เหลียนฉลาดมาก ผมพยายามรื้อหาข้อมูลเก่าของเด็กที่รอด พบว่าเขาฆ่าไปแล้วหลายคน คุณไม่ทันรู้ตัวหรอกคุณหมอ ถ้าคุณจำได้... วันนั้นที่ร้านกาแฟใกล้โรงพยาบาลของคุณ วันที่คุณข้าวเขาไปปรึกษาหมอจิตแพทย์เกี่ยวกับโรคโฟเบีย วันนั้น ผมกับเหลียนก็อยู่ในร้านด้วย”

   “โคตรบังเอิญ” ขุนพลโพล่งขึ้นมา ผมหันไปมองหน้ามัน เขาเลิกคิ้วให้ก่อนจะก้มลงกดมือถืออีกรอบ

   “ผมพยายามกันเขาให้ออกห่างจากข้าวปั้นและวาริศ ผมใช้งานเป็นข้ออ้างในการติดต่อกับเขา ส่งข้อความไปเพื่อหวังให้เขาระวังตัว และไม่อยู่คนเดียว”

   “Watch your back” ผมทวนข้อความจากอีเมลของข้าวปั้น

   “ใช่ครับ แต่เหลียนแฮกเบอร์ข้าวปั้นได้และซ้อนข้อความขอตัวเองลงไปจนทำให้เขาสงสัย ผมจึงส่งจดหมายเตือนไปอ้อมๆ ให้เขารู้ตัว”

   “ทำไมคุณไม่บอกไปตรงๆ” ผมไม่เข้าใจการกระทำของเขา คุณพอร์ชยิ้มเศร้า

   “คุณรักข้าวปั้น ผมก็รักเหลียนเหมือนกันนะครับ”

   ผมเงียบไป

   “สิ่งที่ผมจะทำให้เขาได้ คือพยายามให้เขาไม่ทำผิดไปมากกว่านี้”

   “กูเจอแล้ว” อยู่ดีๆ ขุนทัพก็พูดขึ้นมา เขาส่งมือถือให้ผม มันเป็นพิกัดใหม่ที่อยู่แถวๆ ท่าเรือขนส่งไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่ ขุนทัพสั่งให้คนของตัวเองที่อยู่แถวนั้นทำการค้นหาทันที ส่วนผมลุกขึ้น หมดเรื่องจะสนทนากับเขา ต่อจากนี้ไปคงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

   คุณพอร์ชดูแปลกใจกับความรวดเร็วในการค้นหา เขาหัวเราะหึหนึ่งครั้ง

   “ขนาดผมยังไม่สามารถหาเขาได้เลย”

   ขุนทัพหันมามองเจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์แล้วแสยะยิ้มใส่

   “ถ้าน้องมึงแฮกได้ ทำไมน้องกูจะแฮกไม่ได้ การหาคนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกูเลย ต่อให้ CCTV ประเทศเราจะห่วยแตกแค่ไหนก็เถอะนะ”

   ผมกลับขึ้นรถของตัวเองโดยคราวนี้มีขุนทัพเป็นคนนั่ง เขาคาดเข็มขัดแน่นพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

   “อย่าเกินร้อยห้าสิบเลยนะมึง กูขอล่ะ”

   ผมไม่ตอบ เข้าเกียร์แล้วเหยียบมิดทันที



เพื่อนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

**** เหตุการณ์ในเรื่องเป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ต้องตามหารายละเอียดใดๆ ดั่งเช่นเรื่องโคนันที่คดีไม่มีอยู่จริง ****

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 04-01-2020 22:01:54
ลุ้นไปอีก จากคนเข้าผ่าตัดกระเพาะ มันกลายเป็นหนังฆาตกรรมไปล่ะ :ruready
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 04-01-2020 23:13:35
ลุ้นระทึกจริงๆ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-01-2020 00:07:40
ขอให้ข้าวปั้นอย่าเป็นอะไรมากเลย,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 05-01-2020 07:29:13
บีบหัวใจ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 05-01-2020 17:21:11
พูดได้คำเดียวว่าลุ้นนนนนนนน
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่30(11/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 11-01-2020 19:42:44
Chapter – 30

ข้าวปั้นครับ หาเจอแล้ว



   ลูกน้องของขุนทัพไปถึงโกดังท่าเรือก่อนพวกผมไม่กี่นาที ไอ้ขุนกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่น มันมองหน้าปัดความเร็วแค่แวบเดียวแล้วไม่มองอีก ได้ยินมันบ่นงึมงำว่า ‘พวกหมอผ่าตัดนี่ขับรถเหมือนจะรีบเข้าป่าช้ากันทุกคนรึไง’

   ผมจอดรถไว้หน้าโกดังหมายเลข 16 ที่มีรถประมาณห้าหกคันจอดอยู่ อีกไม่นานรถพยาบาลคงจะมา ผมไม่รู้ว่าข้าวปั้นจะถูกทำอะไรบ้างจึงเรียกมาเผื่อไว้ เขาหายตัวไปจะแปดชั่วโมงแล้ว เวลาแปดชั่วโมงนั้นผมไม่อยากจะคิดเลยเขาจะเป็นยังไง

   “นายน้อยครับ พบแล้วครับ”

   ลูกน้องของขุนทัพวิ่งเร็วๆ เข้ามารายงานก่อนจะเดินนำไป ผมวิ่งตรงไปยังจุดที่สว่าง ได้ยินเสียงร้องโวยวายของผู้ชายดังออกมาจากด้านใน

   ข้าวปั้น!

   “เชี่ย!” ไอ้ขุนสบถลั่น

   ผมเบิกตากว้าง มือไม้สั่นเทาเมื่อเห็นสภาพของห้องที่ถูกจัดเหมือนห้องผ่าตัดในโรงพยาบาล ข้างๆ มีผู้ชายที่ถูกลูกน้องของขุนทัพจับตัวไว้ เขากรีดร้องโวยวายโดยที่มือยังกำมีดผ่าตัดแน่น ผมมองไปยังร่างที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียง สองขาก้าวแทบไม่ออก...

   “ปั้น...”

   ร่างของข้าวปั้นที่มีเลือดอาบท้อง แผลผ่าตรงท้องด้านซ้ายและและขวายังเปิดอยู่ ตัวซีดจนแทบไม่มีสีของเลือด ชีพจรที่แสดงอยู่บนจออ่อนแรงจนแทบจะไม่ขยับ

   “ไอ้หมอ! เร็ว!”

   ผมรีบก้าวเข้าไป จับร่างของเขาด้วยมือสั่นๆ ข้าวปั้นยังมีสติ เขาไม่ได้ถูกทำให้หลับแต่ถูกทำให้ชาด้วยยา ดวงตาที่แทบจะไร้แววยังเปิดอยู่ ผมจับหน้าเขาให้หันมามอง ก่อนจะถ่างเปลือกตาเขาออกเพื่อเช็คการขยายของรูม่านตา

   เห็นสภาพเขาแล้วมันทำให้ขอบตาของผมร้อนผ่าวจนต้องเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดอารมณ์ไว้ สติทั้งหลายที่เพียรจะคงไม่แทบจะไม่เหลือ ผมอยากจะร้องตะโกน อยากไปกระทืบไอ้คนที่มันทำอย่างนี้กับเขา แต่ตอนนี้ผมทำได้แค่หันไปค้นยาในตู้

   ที่นี่คงเป็นโกดังเก็บยาเถื่อน เพราะมันมียาที่ใช้ในการผ่าตัดและอื่นๆ อีกมากมายวางเรียงรายอยู่ ผมหายาที่ใช้ในการกระตุ้นการเต้นของหัวใจมาฉีดเพื่อรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันจากการเสียเลือด ผมผ่าตัดเขาตอนนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดสำรอง เลือดของข้าวปั้นเป็นกรุ๊ปพิเศษ ทำได้แค่พยายามห้ามเลือดและปิดปากแผลชั่วคราว ผมหันไปคว้าเครื่องช่วยหายใจมาครอบปากเขาแล้วทำการ CPR เบื้องต้นเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเขากลับมาเต้นอีกครั้ง

   “อย่าหลับนะข้าวปั้น เฮียขอล่ะ!”

   เมื่อได้จังหวะหัวใจคืนมาเล็กน้อย แม้ช่องท้องจะเปิดอยู่ แต่คนที่ทำไม่มีความรู้มากพอจึงทำให้การผ่าลงไปจนถึงชั้นไขมันดี ยังไม่มีอะไรถูกเอาออกไป แค่กำลังจะเอาออกไปเท่านั้น อาการของข้าวปั้นตอนนี้คืออาการเสียเลือดขั้นรุนแรง ไอ้ขุนสั่งให้ลูกน้องช่วยกันเข็นเตียงออกไป พอดีกับที่รถพยาบาลมาถึง

   เมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ร่างของข้าวปั้นถูกเข็นเข้าห้อง ICU ทันที ผมยื่นบัตร MD Card เพื่อแสดงตนว่าเป็นแพทย์ศัลยกรรมเพื่อขอเข้าร่วมการผ่าเป็นกรณีฉุกเฉินเพราะโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดตอนนี้มีเพียงแพทย์เวรที่อยู่ประจำเท่านั้น

   “คุณหมอคะ! แย่แล้วค่ะ ตอนนี้โรงพยาบาลเรามีเลือดกรุ๊ปพิเศษไม่พอต่อการผ่าตัดค่ะ”

   ทันทีที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ่าตัดแล้วกำลังจะเดินเข้าห้องผ่า พยาบาลผู้ช่วยก็เดินเข้ามาบอกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ผมจึงสั่งให้ติดต่อไปที่โรงพยาบาลในเมืองหรือที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอเลือดสำรองมา แต่ระยะทางก็ไกลจนผมคิดว่าเลือดน่าจะมาไม่ทัน

   ทำยังไงดี...

   “คุณหมอคะ มีญาติผู้ป่วยรออยู่ข้างนอกค่ะ”

   ผมที่ยืนสับสนอยู่ถูกพยาบาลอีกคนเรียกไว้ ไม่คิดว่าคนที่ผมเรียกไปจะมาทันด้วยไฟล์ตเช้า ผมสั่งให้พยาบาลเตรียมการให้เลือดเพื่อการผ่าตัดฉุกเฉินทันที

   

   การผ่าตัดใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงเพราะอวัยวะภายในบางส่วนฉีกขาดจากการลงมีดที่ไม่ถูกวิธี ไตข้างซ้ายมีร่องรอยถูกผ่าออกมาหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ทำการตัดมันออกมา ตอนนี้พ้นขีดอันตรายมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เลือดได้รับจากคนที่ผมเรียกให้มาจากเชียงรายโดยด่วนหลังจากที่ผมหาตัวข้าวปั้นเจอแล้ว และไม่ได้มาแค่คนเดียว ครอบครัวเขาที่รู้เรื่องพากันมาครบทุกคน โดยไม่สนค่าตั๋วเครื่องบินใดๆ ทั้งสิ้น

   ครอบครัวของข้าวปั้นทุกคนมีเลือดกรุ๊ป O Rh- ทุกคน ยกเว้นแม่ของข้าวปั้นที่เป็น Rh+ ดังนั้นหลังจากที่เครื่องลงสุวรรณภูมิตอนตีสี่ พวกเขาก็รีบดิ่งมาโรงพยาบาลตามที่ผมส่งไปทันที และแน่นอนว่ามันเร็วกว่าการไปขอเลือดจากธนาคารแม้จะต้องผ่านกระบวนการก่อนให้เลือดก็ตาม

   แม่ของข้าวปั้นร้องไห้จะขาดใจเมื่อเห็นสภาพของลูกชายคนสุดท้องในห้องไอซียู เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจนกว่าจะพ้นภาวะฉุกเฉิน ต้องอยู่ในนั้นเพื่อระวังอาการและป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ สภาพสายระโยงระยางที่มากกว่าตอนที่เขาผ่าตัดกระเพาะ รวมถึงต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจนั้นทำให้ผมที่เป็นคนลงมือผ่าตัดเองถึงกับมือสั่นหลังจากการผ่าตัดจบ

   ผมกลัว...

   “ไอ้คิน”

   “ปุ้น”

   ข้าวปุ้นที่นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินหลังจากทำการให้เลือดแล้วลุกพรวดอย่างเร็วจนเกือบเซ ผมเดินเข้าไปจับตัวมันไว้ ถึงจะแข็งแรงยังไง แต่เลือดที่เสียไปก็ทำให้คนตัวโตๆ อย่างมันหน้าซีดเป็นไก่ได้เหมือนกัน

   “ไอ้ปั้นล่ะ มัน... มันปลอดภัยแล้วใช่มั้ย”

   ผมหลุบตาลง

   “อืม”

   “อืมเหี้ยไรล่ะ!”

   มันจับแขนผมแน่น แต่ผมไม่กล้าที่จะตอบอะไรมัน แม้กระทั่งผมยังไม่ไว้ใจตัวเองเลย ข้าวปุ้นจ้องหน้าผมเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เดิม มันประสานมือแล้วก้มหน้าซบลงไปอย่างคนขวัญเสีย

   “กู... กูไม่น่ากลับเลย กูน่าจะอยู่กับมัน”

   “ไม่ใช่ความผิดมึง”

   ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ข้าวปุ้น พ่อและพี่สาวของข้าวปั้นคงพักอยู่ในห้องรับรองเพราะต่างคนต่างเสียเลือดไปเยอะพอสมควร รวมถึงแม่ของข้าวปั้นที่ร้องไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อรู้ว่าลูกชายของตัวเองไปเจออะไรมา เหลือเพียงข้าวปุ้นที่ยังไม่ยอมออกห่างจากหน้าห้องผ่าตัดทั้งๆ ที่ตัวเองก็ดูท่าจะไม่ไหว แม้จะทานอะไรเข้าไปเพื่อชดเชยเลือดที่เสียไปแล้วก็ตาม

   ผมปล่อยให้ขุนทัพเป็นคนจัดการเรื่องคดีให้ แม้ว่ามันจะไม่ถูกโรคกับตำรวจก็ตาม หลังจากนี้สองพี่น้องนั่นจะโดนดำเนินคดียังไงก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป

   “คิน ปั้นปลอดภัยใช่มั้ย ตอบกูมาตรงๆ”

   ผมยกมือลูบหน้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามอีกครั้ง

   “ปลอดภัย... แต่ก็ต้องเฝ้าระวังอาการ ยังอยู่ในภาวะเสี่ยงอยู่”

   “งั้นเหรอ”

   ผมกับมันนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกัน ผมไม่อยากมั่นใจอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ความมั่นใจของผมเหลือแค่น้อยนิดจนแทบจะไม่มีความเป็นมืออาชีพเหลืออยู่

   มิน่า... เขาถึงบอกว่า หมอไม่ควรลงมือผ่าคนในครอบครัวหรือคนรัก

   เพราะมันทำให้การตัดสินใจไม่เฉียบขาดพอ

   “มึงทำดีที่สุดแล้วเพื่อน”

   ข้าวปุ้นบีบบ่าผมหนักๆ ซึ่งผมทำได้แค่ตอบรับเบาๆ ในลำคอ

   “อืม”



   วันที่สองแล้ว แต่ข้าวปั้นยังไม่ฟื้น... ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ชีพจรเต้นช้าจนเกือบหยุดเต้นไปหลายครั้ง กังวลว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ผมอยากให้ทำการย้ายไปโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบครันและทีมแพทย์ที่ดีกว่านี้ จึงติดต่อไปทางโรงพยาบาลของผมเพื่อทำการขอรถพยาบาลเพื่อย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินไป โดยปรึกษากับพ่อแม่ของข้าวปั้น ซึ่งครอบครัวเขายินยอมให้ผมเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างให้

   ข้าวปั้นถูกย้ายมาโรงพยาบาลผมในคืนนั้น โดยมีผมเป็นแพทย์เจ้าของไข้ ข้าวปั้นถูกส่งเข้าห้องไอซียูอีกครั้งเพื่อเฝ้าระวังอาการ ตัวยาถูกเปลี่ยนใหม่ให้ดีกว่าเดิม จนอาการเริ่มคงตัว ความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการติดเชื้อใดๆ จนกระทั่งไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอีก

   หลังจากนั้นสามวันข้าวปั้นถูกย้ายไปห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ผมเห็นเขาเข้าๆ ออกๆ ห้องนี้มาหลายครั้งจนเหนื่อยแทน

   และแน่นอน ว่าคนที่อยู่เฝ้าข้าวปั้นก็ไม่พ้นแม่ของเขา

   และผม

   ผมอาศัยความเป็นเจ้าของไข้ในการเดินเข้าเดินออกห้องนี้บ่อยเสียจนแทบจะย้ายห้องทำงานมาที่นี่ แม่ของข้าวปั้นไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย แถมยังดูยินดีที่ผมคอยดูแลอาการลูกชายอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก

   “อ้าว อคิน มาดูอาการน้องเหรอลูก”

   แม่ของข้าวปั้นที่ออกไปหาซื้ออะไรกินที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลกลับเข้ามาเจอผมยืนอยู่ข้างเตียงเขา ผมหันกลับไปแล้วผงกหัวรับ หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างก่อนจะชวนให้ผมมาทานอะไรด้วยกัน

   “เมื่อไหร่เจ้าปั้นมันจะฟื้นสักทีนะ นี่ก็ปาไปห้าวันแล้ว ม๊าไม่อยากเห็นไอ้ตัวแสบมันนอนแบ็บอยู่แบบนี้เลย”

   ระหว่างที่กำลังนั่งทานขนมเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ แม่ของข้าวปั้นก็พูดขึ้น เธอมองไปยังลูกชายที่อยู่ได้ด้วยน้ำเกลืออย่างเศร้าสร้อย แม้อาการจะไม่น่าเป็นห่วง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมฟื้นเสียที

   “ม๊ากลับไปพักบ้างก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมลงเวรแล้วจะดูน้องต่อให้”

   ตอนนี้คนที่สลับกันมาดูแลข้าวปั้นก็มีแม่ของเขากับข้าวหอม เพราะพ่อกับข้าวปุ้นไปดำเนินคดีที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนเล็กอยู่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา ตอนนี้ข้าวหอมกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของกรวัชร์ คู่หมั้นของตัวเองก่อนจะมาสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้าข้าวปั้นกับคนเป็นแม่

   “อคิน ใจดีกับข้าวปั้นตลอดเลยนะลูก”

   จู่ๆ คนเป็นแม่ก็พูดขึ้นยิ้มๆ เธอมองหน้าผมอย่างอ่อนโยน

   “รักน้องนานๆ นะ”

   ผมอึ้งไป ไม่คิดว่าจู่ๆ หญิงสูงวัยใจดีข้างๆ จะพูดขึ้นมาแบบนี้ ผมไม่คิดว่าข้าวปั้นจะบอกเรื่องนี้กับครอบครัว เพราะคบกับผมตั้งนาน เขายังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับข้าวปุ้นเลย อาจเป็นเพราะเขาห่วงความรู้สึกของคนเป็นแม่ด้วยล่ะมั้ง นั่นจึงทำให้ผมแปลกใจ มือนุ่มอวบยื่นมาแตะมือผมที่นั่งตัวแข็ง

   “ม๊ารู้ ม๊าดูออก” เธอหัวเราะ “ข้าวปั้นเป็นพวกไม่ยอมพูดเรื่องตัวเอง ไม่ว่าจะเศร้า จะเสียใจ เขาจะไม่ยอมให้ครอบครัวมาเป็นเดือดเป็นร้อนถ้าไม่จำเป็น ม๊าโกรธมากตอนที่รู้เรื่องที่ข้าวปั้นถูกผลักตกบันไดจากข้าวปุ้น ม๊าไม่เข้าใจว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมข้าวปั้นไม่เอามาปรึกษาป๊ากับม๊าสักคำ จนเรื่องมันบานปลายขนาดนี้”

   คนเป็นแม่ส่ายหัว

   “แม้กระทั่งเรื่องของอคิน ไม่รู้ว่าถ้าม๊าไม่รู้เอาเอง จนตายมันจะยอมบอกม๊ามั้ย”

   “คือ...”

   ผมอยากจะถามว่ารู้ได้ยังไง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ปล่อยให้คนสูงวัยกว่าพูดต่อ

   “สีหน้าอคิน แค่ม๊าดูก็รู้แล้ว อย่าดูถูกคนแก่สิ ไม่รักไม่สำคัญจะมาเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องคนไข้ทำไมวันละหลายๆ รอบ ม๊ารู้นะว่าหมอน่ะงานหนักมาก ขนาดตอนที่ปั้นผ่ากระเพาะ อคินยังไม่เข้าออกห้องบ่อยขนาดนี้เลย”

   ผมหลบสายตารู้ทันนั้น

   “ม๊าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก” เธอบีบมือผมแน่นก่อนจะปล่อยออกแล้วลุกไปหยุดยืนที่ข้างเตียง คนเป็นแม่ลูบหัวลูกชายคนเล็กอย่างอ่อนโยนก่อนจะจูบเบาๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนเดินกลับมาหยิบกระเป๋าถือของตัวเองขึ้นคล้องแขน เตรียมเดินออกไปยังประตู

   “ไม่ต้องบอกปั้นมันนะว่าม๊ารู้ ดัดนิสัยมันซะหน่อย ม๊าอยากเห็นหน้าตอนมันน้ำท่วมปาก ดูซิตื่นมาจะแก้ตัวยังไง”

   ผมอึ้งไปอีกรอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา



   วันนี้ผมลงเวรตอนสี่โมง ไม่มีเคส ไม่มีราวด์เย็น ผมจึงใช้เวลาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยนี้เพื่อตรวจงานและเฝ้าเขาไปด้วย

   ระหว่างที่ผมกำลังจะเข้ามาเช็คน้ำเกลือและยา คนที่นอนไม่ขยับมาห้าวันก็ได้เวลาขยับเสียที

   ร่างผอมขยับเล็กน้อย สีหน้าเริ่มยับย่น คงจะเมื่อยหรือไม่ก็ปวดแผล ผมจับมือเขาขึ้นมาพลางบีบเบาๆ

   “ปั้น”

   ดวงตาเรียวชั้นเดียวขยับลืมขึ้นอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะกระพริบถี่ๆ เพื่อปรับสายตา เขาเหลือบตามามองผมก่อนจะครางเสียงแผ่วในลำคอ

   “หมอ...”

   “ปั้น ปลอดภัยแล้วนะ”

   “ผม...”

   เขาเหมือนเริ่มจำเหตุการณ์ได้ ร่างทั้งร่างเกร็งไปชั่วขณะก่อนจะเบะปากแล้วร้องไห้โฮลั่นเหมือนคนเสียขวัญ ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากขยับตัวไปลูบหัวเขาที่นอนร้องไห้เหมือนเด็กเพิ่งตื่นจากฝันร้าย

   “ผมกลัวมากเลยหมอ ฮือ... เขา เขาจะฆ่าผม... เขา... เขาเอาไตผมออกไปด้วย”

   “ชู่ว ข้าวปั้น ไม่มีอะไรหายไป เฮียอยู่นี่แล้ว”

   “ผม... ผมทำอะไรไม่ได้เลย เขา... เขาผ่าผม ผ่าทั้งๆ ที่ผมยังรู้สึกตัว”

   ผมค่อยๆ ประคองเขาขึ้นมากอดไว้โดยไม่ให้แผลกระทบกระเทือนที่สุด ร่างบางๆ นั่นสั่นระริก ผมเข้าใจดีว่าเขาขวัญหายขนาดไหน และมันก็ทำให้ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดแผลใจขึ้นอีกแผลหนึ่งรึเปล่า

   เขาอาจจะกลัวการผ่าตัด กลัวของมีคมไปตลอดชีวิต

   เขาสะอึกสะอื้นสักพักก่อนจะสงบลง มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำหูน้ำตาเพื่อดึงสติตัวเองกลับมา ผมประคองหน้าเขาไว้แล้วจัดการเช็ดน้ำมูกที่เปรอะเปื้อนซะ ข้าวปั้นมองหน้าผมเขม็ง จนผมอดถามไม่ได้

   “ครับ?”

   “ผมขอโทษครับ”

   “หืม??”

   จู่ๆ คนที่เพิ่งรู้สึกตัวก็เอ่ยขอโทษออกมาเสียงแหบแห้ง ผมไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษอะไร

   ข้าวปั้นกัดปากตัวเอง กลืนน้ำลายที่แห้งผาก

   “ผมขอโทษที่ไปคนเดียว ขอโทษที่ดื้อ ขอโทษที่ไม่ฟังที่หมอเตือน”

   ผมเข้าใจละ...

   “มันจบแล้วข้าวปั้น เราจับคนร้ายได้แล้ว จะไม่มีอันตรายอีก”

   เขาพยักหน้ารับ

   “ผม... ผมหายไปนานแค่ไหนครับ แล้วนี่... หลับไปกี่วัน”

   ข้าวปั้นเริ่มถามวันเวลา ผมจึงเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้เขาฟัง ข้าวปั้นดูตกใจขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผมบอกเขาไปว่าครอบครัวเขารู้เรื่องหมดแล้ว และให้เลือดในการผ่าตัดเขาด้วย เพราะตอนนั้นโรงพยาบาลแรกไม่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษมากพอ

   พอผมเล่าจบ เขาก็ครางเสียงแผ่วออกมาว่า “ชิบหายแล้ว”

   แกร๊ก...

   เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้เราสองคนผละออกจากกัน ตามมาด้วยเสียงทักอย่างดีใจสุดชีวิตของข้าวหอมที่คงจะมาเปลี่ยนเวรกับแม่ตัวเองที่กลับไปพักผ่อนที่คอนโดของข้าวปั้น

   “ไอ้ปั้น! ฟื้นแล้วเหรอ เจ้เป็นห่วงแกจะตายอยู่แล้ว”

   ร่างเล็กกระทัดรัดของข้าวหอมโถมตัวเข้าไปหมายจะกอดรับขวัญคนที่ลุกมานั่งพิงพนักเตียงที่ถูกปรับเอนขึ้น แต่โดนมือของคู่หมั้นหนุ่มที่ตามมาส่งรั้งคอเสื้อไว้เสียก่อน

   “น้องพึ่งฟื้น อย่าพุ่งเข้าไปแบบนั้นสิยัยโง่”

   “ไอ้กร!”

   ข้าวหอมเกือบขาดอากาศตายจากการรั้งคอเสื้อของแฟนหนุ่ม ก่อนจะหันมากรี๊ดกร๊าดใส่ผมที่ถอยออกมายืนห่างๆ

   “ว้าย คุณพี่หมออคินของหอมนี่เอง มาเฝ้าไอ้ปั้นอีกแล้วเหรอ เอ๊ะ... แล้วม๊าล่ะ ไปไหนแล้วคะ” ลูกสาวคนเล็กแห่งไร่อันนาถามหาแม่ตัวเอง

   “กลับคอนโดไปพักน่ะครับ ผมลงเวรแล้วเลยอยู่เฝ้าแทน”

   “งั้นเหรอคะ อิจฉาไอ้ปั้นจังเลย มีหมอส่วนตัว น่ารักจัง”

   “เจ้หอม! พูดอะไรน่ะ แค่กๆๆ” ข้าวปั้นเผลอตะโกนออกมาด้วยความอายก่อนจะไอโขลกเพราะคอแห้ง ผมจึงรีบหันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วจับหลอดดูดป้อนถึงปากเขาอย่างเคยตัว ข้าวปั้นเองก็กระหายน้ำจนงับหลอดดูดน้ำโดยไม่คิดอะไร

   แต่การกระทำนี้... ทำให้คนอีกสองคนที่ร่วมห้องเงียบกริบแล้วมองตาปริบๆ

   ความเงียบโรยตัวทำให้ผมกับข้าวปั้นเริ่มรู้สึกตัว

   ...

   ข้าวหอมมองตาไม่กระพริบเช่นเดียวกับกรวัชร์ที่กระแอมไอขึ้นมาแก้เก้อ ข้าวปั้นแทบจะสำลักน้ำ เขารีบดึงแก้วออกจากมือผมเพื่อเอามาถือเอง หน้าขาวๆ ซีดๆ ตอนนี้แดงก่ำไปจนถึงใบหู ผมค่อยๆ ชักมือกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกงแทน

   “อา... เอ่อ เอ้อ! เจ้ว่า เจ้... เจ้มีนัดคุยกับออแกไนซ์งานแต่งไว้ คงต้องเลื่อนงานเพราะแกดันป่วย น่าจะหายไม่ทันงานแต่ง” ข้าวหอมพยายามนึกประเด็นเพื่อจะไม่ทำให้ห้องนี้เงียบจนเกินไป ข้าวปั้นเลิกคิ้ว

   “ทำไมล่ะ ไม่เห็นต้องเลื่อนเลย ปั้นโอเค... เอ่อ อีกกี่วันผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เหรอครับหมอ”

   ข้าวปั้นหันมาถามผมที่ยืนทำหน้านิ่งๆ อยู่ข้างๆ

   “ประมาณหนึ่งสัปดาห์น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็พยายามอย่าขยับตัวมาก คล้ายกับตอนผ่ากระเพาะนั่นแหละครับ” เพราะเป็นการผัดตัดเพื่อรักษาอวัยวะที่ฉีกขาด ไม่ได้ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ แค่รอแผลแห้งและถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออักเสบก็กลับบ้านได้

   “นั่นไง เจ้กับพี่กรไม่ต้องเลื่อนหรอก นะครับ”

   ข้าวปั้นบอกว่าที่เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวที่ทำหน้าปั้นยาก พวกเขาคงต้องกลับไปปรึกษากันใหม่อีกรอบ ทั้งสองคนอยู่ไม่นาน สักพักก็กลับไปเพราะมีผมคอยเฝ้าข้าวปั้นแทนแล้ว

   ทันทีแขกผู้มาเยี่ยมกลับไป ข้าวปั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกยาว เขาทิ้งตัวนอนลงก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาใหม่ ทำเอาผมอยากจะตีเขา เพราะแผลอาจเปิดจากการขยับตัวแบบนั้นได้

   “หมอครับ! มือถือผมล่ะ”

   “อยู่ในกระเป๋าเฮีย”

   “ผม... ผมขอหน่อยได้มั้ยครับ ผมหายตัวไปตั้งหลายวัน งานที่ต้องไฟนอล กองเป็นภูเขานรกเลย”

   ผมคิ้วกระตุก รู้สึกหงุดหงิดและโมโหขึ้นมา ผมจับเขากดลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง สายตาดุจัดจนข้าวปั้นหุบปากเงียบ

   “ถ้ายังไม่เลิกห่วงงานมากกว่าห่วงตัวเอง เฮียจะยื่นใบลาออกให้พรุ่งนี้เลยครับ”

   “หมอออออออออออ”



ก็นะ... ไม่ถนัดเขียนความจริงจังเลยเเฮะ อาจจะขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง

แต่ก็พยายามหาข้อมูลให้มันพอจะสมเหตุ... มั้ง

ตอนนี้เขียนยากจริงๆ ค่ะ น้องยูผู้ไม่เซลฟ์กับฉากเเอคชันใดๆ

ไม่เครียดเเล้ว พอแล้ว ตอนต่อไปเเฮปปี้ไทม์เเน่นอน

ข้าวปั้นผู้มีชื่อรองว่าบุญรอด

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

>https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: LifePo-YuGu ที่ 17-01-2020 15:39:53
โอ๊ยยยย ลุ้นแทบตาย
น่าสงสารมากเลย ทำไมข้าวปั้นต้องมาเจออะไรเลวร้ายแบบนี้ด้วยนะลูก  :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 31-01-2020 19:11:53
ปลอดภัยแล้วนะข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-02-2020 00:09:11
ปลอดภัยแล้วเน๊าะข้าวปั้น มีหมอมาเฝ้าไข้ใกล้ชิดขนาดคนที่บ้านเริ่มตะหงิดๆ แล้ว.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่29(4/1/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-02-2020 00:15:51
ไใาเป็นอะไรก็ดีแล้วครับข้าวปั้น,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่30(10/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 10-02-2020 14:09:48
Chapter – 30

ข้าวปั้นครับ หาเจอแล้ว



   ลูกน้องของขุนทัพไปถึงโกดังท่าเรือก่อนพวกผมไม่กี่นาที ไอ้ขุนกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่น มันมองหน้าปัดความเร็วแค่แวบเดียวแล้วไม่มองอีก ได้ยินมันบ่นงึมงำว่า ‘พวกหมอผ่าตัดนี่ขับรถเหมือนจะรีบเข้าป่าช้ากันทุกคนรึไง’

   ผมจอดรถไว้หน้าโกดังหมายเลข 16 ที่มีรถประมาณห้าหกคันจอดอยู่ อีกไม่นานรถพยาบาลคงจะมา ผมไม่รู้ว่าข้าวปั้นจะถูกทำอะไรบ้างจึงเรียกมาเผื่อไว้ เขาหายตัวไปจะแปดชั่วโมงแล้ว เวลาแปดชั่วโมงนั้นผมไม่อยากจะคิดเลยเขาจะเป็นยังไง

   “นายน้อยครับ พบแล้วครับ”

   ลูกน้องของขุนทัพวิ่งเร็วๆ เข้ามารายงานก่อนจะเดินนำไป ผมวิ่งตรงไปยังจุดที่สว่าง ได้ยินเสียงร้องโวยวายของผู้ชายดังออกมาจากด้านใน

   ข้าวปั้น!

   “เชี่ย!” ไอ้ขุนสบถลั่น

   ผมเบิกตากว้าง มือไม้สั่นเทาเมื่อเห็นสภาพของห้องที่ถูกจัดเหมือนห้องผ่าตัดในโรงพยาบาล ข้างๆ มีผู้ชายที่ถูกลูกน้องของขุนทัพจับตัวไว้ เขากรีดร้องโวยวายโดยที่มือยังกำมีดผ่าตัดแน่น ผมมองไปยังร่างที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียง สองขาก้าวแทบไม่ออก...

   “ปั้น...”

   ร่างของข้าวปั้นที่มีเลือดอาบท้อง แผลผ่าตรงท้องด้านซ้ายและและขวายังเปิดอยู่ ตัวซีดจนแทบไม่มีสีของเลือด ชีพจรที่แสดงอยู่บนจออ่อนแรงจนแทบจะไม่ขยับ

   “ไอ้หมอ! เร็ว!”

   ผมรีบก้าวเข้าไป จับร่างของเขาด้วยมือสั่นๆ ข้าวปั้นยังมีสติ เขาไม่ได้ถูกทำให้หลับแต่ถูกทำให้ชาด้วยยา ดวงตาที่แทบจะไร้แววยังเปิดอยู่ ผมจับหน้าเขาให้หันมามอง ก่อนจะถ่างเปลือกตาเขาออกเพื่อเช็คการขยายของรูม่านตา

   เห็นสภาพเขาแล้วมันทำให้ขอบตาของผมร้อนผ่าวจนต้องเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดอารมณ์ไว้ สติทั้งหลายที่เพียรจะคงไม่แทบจะไม่เหลือ ผมอยากจะร้องตะโกน อยากไปกระทืบไอ้คนที่มันทำอย่างนี้กับเขา แต่ตอนนี้ผมทำได้แค่หันไปค้นยาในตู้

   ที่นี่คงเป็นโกดังเก็บยาเถื่อน เพราะมันมียาที่ใช้ในการผ่าตัดและอื่นๆ อีกมากมายวางเรียงรายอยู่ ผมหายาที่ใช้ในการกระตุ้นการเต้นของหัวใจมาฉีดเพื่อรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันจากการเสียเลือด ผมผ่าตัดเขาตอนนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดสำรอง เลือดของข้าวปั้นเป็นกรุ๊ปพิเศษ ทำได้แค่พยายามห้ามเลือดและปิดปากแผลชั่วคราว ผมหันไปคว้าเครื่องช่วยหายใจมาครอบปากเขาแล้วทำการ CPR เบื้องต้นเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเขากลับมาเต้นอีกครั้ง

   “อย่าหลับนะข้าวปั้น เฮียขอล่ะ!”

   เมื่อได้จังหวะหัวใจคืนมาเล็กน้อย แม้ช่องท้องจะเปิดอยู่ แต่คนที่ทำไม่มีความรู้มากพอจึงทำให้การผ่าลงไปจนถึงชั้นไขมันดี ยังไม่มีอะไรถูกเอาออกไป แค่กำลังจะเอาออกไปเท่านั้น อาการของข้าวปั้นตอนนี้คืออาการเสียเลือดขั้นรุนแรง ไอ้ขุนสั่งให้ลูกน้องช่วยกันเข็นเตียงออกไป พอดีกับที่รถพยาบาลมาถึง

   เมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ร่างของข้าวปั้นถูกเข็นเข้าห้อง ICU ทันที ผมยื่นบัตร MD Card เพื่อแสดงตนว่าเป็นแพทย์ศัลยกรรมเพื่อขอเข้าร่วมการผ่าเป็นกรณีฉุกเฉินเพราะโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดตอนนี้มีเพียงแพทย์เวรที่อยู่ประจำเท่านั้น

   “คุณหมอคะ! แย่แล้วค่ะ ตอนนี้โรงพยาบาลเรามีเลือดกรุ๊ปพิเศษไม่พอต่อการผ่าตัดค่ะ”

   ทันทีที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ่าตัดแล้วกำลังจะเดินเข้าห้องผ่า พยาบาลผู้ช่วยก็เดินเข้ามาบอกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ผมจึงสั่งให้ติดต่อไปที่โรงพยาบาลในเมืองหรือที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอเลือดสำรองมา แต่ระยะทางก็ไกลจนผมคิดว่าเลือดน่าจะมาไม่ทัน

   ทำยังไงดี...

   “คุณหมอคะ มีญาติผู้ป่วยรออยู่ข้างนอกค่ะ”

   ผมที่ยืนสับสนอยู่ถูกพยาบาลอีกคนเรียกไว้ ไม่คิดว่าคนที่ผมเรียกไปจะมาทันด้วยไฟล์ตเช้า ผมสั่งให้พยาบาลเตรียมการให้เลือดเพื่อการผ่าตัดฉุกเฉินทันที

   

   การผ่าตัดใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงเพราะอวัยวะภายในบางส่วนฉีกขาดจากการลงมีดที่ไม่ถูกวิธี ไตข้างซ้ายมีร่องรอยถูกผ่าออกมาหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ทำการตัดมันออกมา ตอนนี้พ้นขีดอันตรายมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เลือดได้รับจากคนที่ผมเรียกให้มาจากเชียงรายโดยด่วนหลังจากที่ผมหาตัวข้าวปั้นเจอแล้ว และไม่ได้มาแค่คนเดียว ครอบครัวเขาที่รู้เรื่องพากันมาครบทุกคน โดยไม่สนค่าตั๋วเครื่องบินใดๆ ทั้งสิ้น

   ครอบครัวของข้าวปั้นทุกคนมีเลือดกรุ๊ป O Rh- ทุกคน ยกเว้นแม่ของข้าวปั้นที่เป็น Rh+ ดังนั้นหลังจากที่เครื่องลงสุวรรณภูมิตอนตีสี่ พวกเขาก็รีบดิ่งมาโรงพยาบาลตามที่ผมส่งไปทันที และแน่นอนว่ามันเร็วกว่าการไปขอเลือดจากธนาคารแม้จะต้องผ่านกระบวนการก่อนให้เลือดก็ตาม

   แม่ของข้าวปั้นร้องไห้จะขาดใจเมื่อเห็นสภาพของลูกชายคนสุดท้องในห้องไอซียู เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจนกว่าจะพ้นภาวะฉุกเฉิน ต้องอยู่ในนั้นเพื่อระวังอาการและป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ สภาพสายระโยงระยางที่มากกว่าตอนที่เขาผ่าตัดกระเพาะ รวมถึงต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจนั้นทำให้ผมที่เป็นคนลงมือผ่าตัดเองถึงกับมือสั่นหลังจากการผ่าตัดจบ

   ผมกลัว...

   “ไอ้คิน”

   “ปุ้น”

   ข้าวปุ้นที่นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินหลังจากทำการให้เลือดแล้วลุกพรวดอย่างเร็วจนเกือบเซ ผมเดินเข้าไปจับตัวมันไว้ ถึงจะแข็งแรงยังไง แต่เลือดที่เสียไปก็ทำให้คนตัวโตๆ อย่างมันหน้าซีดเป็นไก่ได้เหมือนกัน

   “ไอ้ปั้นล่ะ มัน... มันปลอดภัยแล้วใช่มั้ย”

   ผมหลุบตาลง

   “อืม”

   “อืมเหี้ยไรล่ะ!”

   มันจับแขนผมแน่น แต่ผมไม่กล้าที่จะตอบอะไรมัน แม้กระทั่งผมยังไม่ไว้ใจตัวเองเลย ข้าวปุ้นจ้องหน้าผมเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เดิม มันประสานมือแล้วก้มหน้าซบลงไปอย่างคนขวัญเสีย

   “กู... กูไม่น่ากลับเลย กูน่าจะอยู่กับมัน”

   “ไม่ใช่ความผิดมึง”

   ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ข้าวปุ้น พ่อและพี่สาวของข้าวปั้นคงพักอยู่ในห้องรับรองเพราะต่างคนต่างเสียเลือดไปเยอะพอสมควร รวมถึงแม่ของข้าวปั้นที่ร้องไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อรู้ว่าลูกชายของตัวเองไปเจออะไรมา เหลือเพียงข้าวปุ้นที่ยังไม่ยอมออกห่างจากหน้าห้องผ่าตัดทั้งๆ ที่ตัวเองก็ดูท่าจะไม่ไหว แม้จะทานอะไรเข้าไปเพื่อชดเชยเลือดที่เสียไปแล้วก็ตาม

   ผมปล่อยให้ขุนทัพเป็นคนจัดการเรื่องคดีให้ แม้ว่ามันจะไม่ถูกโรคกับตำรวจก็ตาม หลังจากนี้สองพี่น้องนั่นจะโดนดำเนินคดียังไงก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป

   “คิน ปั้นปลอดภัยใช่มั้ย ตอบกูมาตรงๆ”

   ผมยกมือลูบหน้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามอีกครั้ง

   “ปลอดภัย... แต่ก็ต้องเฝ้าระวังอาการ ยังอยู่ในภาวะเสี่ยงอยู่”

   “งั้นเหรอ”

   ผมกับมันนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกัน ผมไม่อยากมั่นใจอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ความมั่นใจของผมเหลือแค่น้อยนิดจนแทบจะไม่มีความเป็นมืออาชีพเหลืออยู่

   มิน่า... เขาถึงบอกว่า หมอไม่ควรลงมือผ่าคนในครอบครัวหรือคนรัก

   เพราะมันทำให้การตัดสินใจไม่เฉียบขาดพอ

   “มึงทำดีที่สุดแล้วเพื่อน”

   ข้าวปุ้นบีบบ่าผมหนักๆ ซึ่งผมทำได้แค่ตอบรับเบาๆ ในลำคอ

   “อืม”



   วันที่สองแล้ว แต่ข้าวปั้นยังไม่ฟื้น... ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ชีพจรเต้นช้าจนเกือบหยุดเต้นไปหลายครั้ง กังวลว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ผมอยากให้ทำการย้ายไปโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบครันและทีมแพทย์ที่ดีกว่านี้ จึงติดต่อไปทางโรงพยาบาลของผมเพื่อทำการขอรถพยาบาลเพื่อย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินไป โดยปรึกษากับพ่อแม่ของข้าวปั้น ซึ่งครอบครัวเขายินยอมให้ผมเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างให้

   ข้าวปั้นถูกย้ายมาโรงพยาบาลผมในคืนนั้น โดยมีผมเป็นแพทย์เจ้าของไข้ ข้าวปั้นถูกส่งเข้าห้องไอซียูอีกครั้งเพื่อเฝ้าระวังอาการ ตัวยาถูกเปลี่ยนใหม่ให้ดีกว่าเดิม จนอาการเริ่มคงตัว ความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการติดเชื้อใดๆ จนกระทั่งไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอีก

   หลังจากนั้นสามวันข้าวปั้นถูกย้ายไปห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ผมเห็นเขาเข้าๆ ออกๆ ห้องนี้มาหลายครั้งจนเหนื่อยแทน

   และแน่นอน ว่าคนที่อยู่เฝ้าข้าวปั้นก็ไม่พ้นแม่ของเขา

   และผม

   ผมอาศัยความเป็นเจ้าของไข้ในการเดินเข้าเดินออกห้องนี้บ่อยเสียจนแทบจะย้ายห้องทำงานมาที่นี่ แม่ของข้าวปั้นไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย แถมยังดูยินดีที่ผมคอยดูแลอาการลูกชายอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก

   “อ้าว อคิน มาดูอาการน้องเหรอลูก”

   แม่ของข้าวปั้นที่ออกไปหาซื้ออะไรกินที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลกลับเข้ามาเจอผมยืนอยู่ข้างเตียงเขา ผมหันกลับไปแล้วผงกหัวรับ หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างก่อนจะชวนให้ผมมาทานอะไรด้วยกัน

   “เมื่อไหร่เจ้าปั้นมันจะฟื้นสักทีนะ นี่ก็ปาไปห้าวันแล้ว ม๊าไม่อยากเห็นไอ้ตัวแสบมันนอนแบ็บอยู่แบบนี้เลย”

   ระหว่างที่กำลังนั่งทานขนมเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ แม่ของข้าวปั้นก็พูดขึ้น เธอมองไปยังลูกชายที่อยู่ได้ด้วยน้ำเกลืออย่างเศร้าสร้อย แม้อาการจะไม่น่าเป็นห่วง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมฟื้นเสียที

   “ม๊ากลับไปพักบ้างก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมลงเวรแล้วจะดูน้องต่อให้”

   ตอนนี้คนที่สลับกันมาดูแลข้าวปั้นก็มีแม่ของเขากับข้าวหอม เพราะพ่อกับข้าวปุ้นไปดำเนินคดีที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนเล็กอยู่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา ตอนนี้ข้าวหอมกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของกรวัชร์ คู่หมั้นของตัวเองก่อนจะมาสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้าข้าวปั้นกับคนเป็นแม่

   “อคิน ใจดีกับข้าวปั้นตลอดเลยนะลูก”

   จู่ๆ คนเป็นแม่ก็พูดขึ้นยิ้มๆ เธอมองหน้าผมอย่างอ่อนโยน

   “รักน้องนานๆ นะ”

   ผมอึ้งไป ไม่คิดว่าจู่ๆ หญิงสูงวัยใจดีข้างๆ จะพูดขึ้นมาแบบนี้ ผมไม่คิดว่าข้าวปั้นจะบอกเรื่องนี้กับครอบครัว เพราะคบกับผมตั้งนาน เขายังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับข้าวปุ้นเลย อาจเป็นเพราะเขาห่วงความรู้สึกของคนเป็นแม่ด้วยล่ะมั้ง นั่นจึงทำให้ผมแปลกใจ มือนุ่มอวบยื่นมาแตะมือผมที่นั่งตัวแข็ง

   “ม๊ารู้ ม๊าดูออก” เธอหัวเราะ “ข้าวปั้นเป็นพวกไม่ยอมพูดเรื่องตัวเอง ไม่ว่าจะเศร้า จะเสียใจ เขาจะไม่ยอมให้ครอบครัวมาเป็นเดือดเป็นร้อนถ้าไม่จำเป็น ม๊าโกรธมากตอนที่รู้เรื่องที่ข้าวปั้นถูกผลักตกบันไดจากข้าวปุ้น ม๊าไม่เข้าใจว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมข้าวปั้นไม่เอามาปรึกษาป๊ากับม๊าสักคำ จนเรื่องมันบานปลายขนาดนี้”

   คนเป็นแม่ส่ายหัว

   “แม้กระทั่งเรื่องของอคิน ไม่รู้ว่าถ้าม๊าไม่รู้เอาเอง จนตายมันจะยอมบอกม๊ามั้ย”

   “คือ...”

   ผมอยากจะถามว่ารู้ได้ยังไง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ปล่อยให้คนสูงวัยกว่าพูดต่อ

   “สีหน้าอคิน แค่ม๊าดูก็รู้แล้ว อย่าดูถูกคนแก่สิ ไม่รักไม่สำคัญจะมาเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องคนไข้ทำไมวันละหลายๆ รอบ ม๊ารู้นะว่าหมอน่ะงานหนักมาก ขนาดตอนที่ปั้นผ่ากระเพาะ อคินยังไม่เข้าออกห้องบ่อยขนาดนี้เลย”

   ผมหลบสายตารู้ทันนั้น

   “ม๊าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก” เธอบีบมือผมแน่นก่อนจะปล่อยออกแล้วลุกไปหยุดยืนที่ข้างเตียง คนเป็นแม่ลูบหัวลูกชายคนเล็กอย่างอ่อนโยนก่อนจะจูบเบาๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนเดินกลับมาหยิบกระเป๋าถือของตัวเองขึ้นคล้องแขน เตรียมเดินออกไปยังประตู

   “ไม่ต้องบอกปั้นมันนะว่าม๊ารู้ ดัดนิสัยมันซะหน่อย ม๊าอยากเห็นหน้าตอนมันน้ำท่วมปาก ดูซิตื่นมาจะแก้ตัวยังไง”

   ผมอึ้งไปอีกรอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา



   วันนี้ผมลงเวรตอนสี่โมง ไม่มีเคส ไม่มีราวด์เย็น ผมจึงใช้เวลาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยนี้เพื่อตรวจงานและเฝ้าเขาไปด้วย

   ระหว่างที่ผมกำลังจะเข้ามาเช็คน้ำเกลือและยา คนที่นอนไม่ขยับมาห้าวันก็ได้เวลาขยับเสียที

   ร่างผอมขยับเล็กน้อย สีหน้าเริ่มยับย่น คงจะเมื่อยหรือไม่ก็ปวดแผล ผมจับมือเขาขึ้นมาพลางบีบเบาๆ

   “ปั้น”

   ดวงตาเรียวชั้นเดียวขยับลืมขึ้นอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะกระพริบถี่ๆ เพื่อปรับสายตา เขาเหลือบตามามองผมก่อนจะครางเสียงแผ่วในลำคอ

   “หมอ...”

   “ปั้น ปลอดภัยแล้วนะ”

   “ผม...”

   เขาเหมือนเริ่มจำเหตุการณ์ได้ ร่างทั้งร่างเกร็งไปชั่วขณะก่อนจะเบะปากแล้วร้องไห้โฮลั่นเหมือนคนเสียขวัญ ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากขยับตัวไปลูบหัวเขาที่นอนร้องไห้เหมือนเด็กเพิ่งตื่นจากฝันร้าย

   “ผมกลัวมากเลยหมอ ฮือ... เขา เขาจะฆ่าผม... เขา... เขาเอาไตผมออกไปด้วย”

   “ชู่ว ข้าวปั้น ไม่มีอะไรหายไป เฮียอยู่นี่แล้ว”

   “ผม... ผมทำอะไรไม่ได้เลย เขา... เขาผ่าผม ผ่าทั้งๆ ที่ผมยังรู้สึกตัว”

   ผมค่อยๆ ประคองเขาขึ้นมากอดไว้โดยไม่ให้แผลกระทบกระเทือนที่สุด ร่างบางๆ นั่นสั่นระริก ผมเข้าใจดีว่าเขาขวัญหายขนาดไหน และมันก็ทำให้ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดแผลใจขึ้นอีกแผลหนึ่งรึเปล่า

   เขาอาจจะกลัวการผ่าตัด กลัวของมีคมไปตลอดชีวิต

   เขาสะอึกสะอื้นสักพักก่อนจะสงบลง มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำหูน้ำตาเพื่อดึงสติตัวเองกลับมา ผมประคองหน้าเขาไว้แล้วจัดการเช็ดน้ำมูกที่เปรอะเปื้อนซะ ข้าวปั้นมองหน้าผมเขม็ง จนผมอดถามไม่ได้

   “ครับ?”

   “ผมขอโทษครับ”

   “หืม??”

   จู่ๆ คนที่เพิ่งรู้สึกตัวก็เอ่ยขอโทษออกมาเสียงแหบแห้ง ผมไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษอะไร

   ข้าวปั้นกัดปากตัวเอง กลืนน้ำลายที่แห้งผาก

   “ผมขอโทษที่ไปคนเดียว ขอโทษที่ดื้อ ขอโทษที่ไม่ฟังที่หมอเตือน”

   ผมเข้าใจละ...

   “มันจบแล้วข้าวปั้น เราจับคนร้ายได้แล้ว จะไม่มีอันตรายอีก”

   เขาพยักหน้ารับ

   “ผม... ผมหายไปนานแค่ไหนครับ แล้วนี่... หลับไปกี่วัน”

   ข้าวปั้นเริ่มถามวันเวลา ผมจึงเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้เขาฟัง ข้าวปั้นดูตกใจขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผมบอกเขาไปว่าครอบครัวเขารู้เรื่องหมดแล้ว และให้เลือดในการผ่าตัดเขาด้วย เพราะตอนนั้นโรงพยาบาลแรกไม่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษมากพอ

   พอผมเล่าจบ เขาก็ครางเสียงแผ่วออกมาว่า “ชิบหายแล้ว”

   แกร๊ก...

   เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้เราสองคนผละออกจากกัน ตามมาด้วยเสียงทักอย่างดีใจสุดชีวิตของข้าวหอมที่คงจะมาเปลี่ยนเวรกับแม่ตัวเองที่กลับไปพักผ่อนที่คอนโดของข้าวปั้น

   “ไอ้ปั้น! ฟื้นแล้วเหรอ เจ้เป็นห่วงแกจะตายอยู่แล้ว”

   ร่างเล็กกระทัดรัดของข้าวหอมโถมตัวเข้าไปหมายจะกอดรับขวัญคนที่ลุกมานั่งพิงพนักเตียงที่ถูกปรับเอนขึ้น แต่โดนมือของคู่หมั้นหนุ่มที่ตามมาส่งรั้งคอเสื้อไว้เสียก่อน

   “น้องพึ่งฟื้น อย่าพุ่งเข้าไปแบบนั้นสิยัยโง่”

   “ไอ้กร!”

   ข้าวหอมเกือบขาดอากาศตายจากการรั้งคอเสื้อของแฟนหนุ่ม ก่อนจะหันมากรี๊ดกร๊าดใส่ผมที่ถอยออกมายืนห่างๆ

   “ว้าย คุณพี่หมออคินของหอมนี่เอง มาเฝ้าไอ้ปั้นอีกแล้วเหรอ เอ๊ะ... แล้วม๊าล่ะ ไปไหนแล้วคะ” ลูกสาวคนเล็กแห่งไร่อันนาถามหาแม่ตัวเอง

   “กลับคอนโดไปพักน่ะครับ ผมลงเวรแล้วเลยอยู่เฝ้าแทน”

   “งั้นเหรอคะ อิจฉาไอ้ปั้นจังเลย มีหมอส่วนตัว น่ารักจัง”

   “เจ้หอม! พูดอะไรน่ะ แค่กๆๆ” ข้าวปั้นเผลอตะโกนออกมาด้วยความอายก่อนจะไอโขลกเพราะคอแห้ง ผมจึงรีบหันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วจับหลอดดูดป้อนถึงปากเขาอย่างเคยตัว ข้าวปั้นเองก็กระหายน้ำจนงับหลอดดูดน้ำโดยไม่คิดอะไร

   แต่การกระทำนี้... ทำให้คนอีกสองคนที่ร่วมห้องเงียบกริบแล้วมองตาปริบๆ

   ความเงียบโรยตัวทำให้ผมกับข้าวปั้นเริ่มรู้สึกตัว

   ...

   ข้าวหอมมองตาไม่กระพริบเช่นเดียวกับกรวัชร์ที่กระแอมไอขึ้นมาแก้เก้อ ข้าวปั้นแทบจะสำลักน้ำ เขารีบดึงแก้วออกจากมือผมเพื่อเอามาถือเอง หน้าขาวๆ ซีดๆ ตอนนี้แดงก่ำไปจนถึงใบหู ผมค่อยๆ ชักมือกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกงแทน

   “อา... เอ่อ เอ้อ! เจ้ว่า เจ้... เจ้มีนัดคุยกับออแกไนซ์งานแต่งไว้ คงต้องเลื่อนงานเพราะแกดันป่วย น่าจะหายไม่ทันงานแต่ง” ข้าวหอมพยายามนึกประเด็นเพื่อจะไม่ทำให้ห้องนี้เงียบจนเกินไป ข้าวปั้นเลิกคิ้ว

   “ทำไมล่ะ ไม่เห็นต้องเลื่อนเลย ปั้นโอเค... เอ่อ อีกกี่วันผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เหรอครับหมอ”

   ข้าวปั้นหันมาถามผมที่ยืนทำหน้านิ่งๆ อยู่ข้างๆ

   “ประมาณหนึ่งสัปดาห์น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็พยายามอย่าขยับตัวมาก คล้ายกับตอนผ่ากระเพาะนั่นแหละครับ” เพราะเป็นการผัดตัดเพื่อรักษาอวัยวะที่ฉีกขาด ไม่ได้ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ แค่รอแผลแห้งและถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออักเสบก็กลับบ้านได้

   “นั่นไง เจ้กับพี่กรไม่ต้องเลื่อนหรอก นะครับ”

   ข้าวปั้นบอกว่าที่เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวที่ทำหน้าปั้นยาก พวกเขาคงต้องกลับไปปรึกษากันใหม่อีกรอบ ทั้งสองคนอยู่ไม่นาน สักพักก็กลับไปเพราะมีผมคอยเฝ้าข้าวปั้นแทนแล้ว

   ทันทีแขกผู้มาเยี่ยมกลับไป ข้าวปั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกยาว เขาทิ้งตัวนอนลงก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาใหม่ ทำเอาผมอยากจะตีเขา เพราะแผลอาจเปิดจากการขยับตัวแบบนั้นได้

   “หมอครับ! มือถือผมล่ะ”

   “อยู่ในกระเป๋าเฮีย”

   “ผม... ผมขอหน่อยได้มั้ยครับ ผมหายตัวไปตั้งหลายวัน งานที่ต้องไฟนอล กองเป็นภูเขานรกเลย”

   ผมคิ้วกระตุก รู้สึกหงุดหงิดและโมโหขึ้นมา ผมจับเขากดลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง สายตาดุจัดจนข้าวปั้นหุบปากเงียบ

   “ถ้ายังไม่เลิกห่วงงานมากกว่าห่วงตัวเอง เฮียจะยื่นใบลาออกให้พรุ่งนี้เลยครับ”

   “หมอออออออออออ”



ก็นะ... ไม่ถนัดเขียนความจริงจังเลยเเฮะ อาจจะขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง
แต่ก็พยายามหาข้อมูลให้มันพอจะสมเหตุ... มั้ง
ตอนนี้เขียนยากจริงๆ ค่ะ น้องยูผู้ไม่เซลฟ์กับฉากเเอคชันใดๆ
ไม่เครียดเเล้ว พอแล้ว ตอนต่อไปเเฮปปี้ไทม์เเน่นอน
ข้าวปั้นผู้มีชื่อรองว่าบุญรอด
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
 https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่30(10/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-02-2020 15:24:37
ลุ้นแบบใจหายใจคว่ำหมด รีบๆหายนะลูก
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่30(10/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 10-02-2020 23:12:00
ปลอดภัยก็ดีแล้วนะข้าวปั้น ลุ้นซะแทบหายใจไม่ออก น่ากลัวมากๆ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่30(10/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 11-02-2020 23:38:44
สุดๆไปเลย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่30(10/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 13-02-2020 00:26:22
น่าจะพ้นเคราะห์แล้วนะข้าวปั้น  พอพื้นมาก็จะแจ้นกลับไปทำงาน คุณหมอจับตีก้นเลยจ้า
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่31(17/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 17-02-2020 23:27:32
Chapter – 31

หมอครับ แล้วผมเลือกอะไรได้ไหม

ประเมินพนักงานตอนสิ้นปี ผมคงเป็นคนที่มีวันลาหยุดเยอะที่สุดในบริษัท ปีที่แล้วผมลาสองอาทิตย์เพื่อผ่าตัดกระเพาะ ปีนี้ผมลาพักฟื้นเกือบสามอาทิตย์จากเหตุการณ์ระทึกขวัญที่แต่ละคนพากันอ้าปากค้างให้นายข้าวปั้น

   ใครจะไปคิดว่าพนักงานกินเงินเดือนที่ไม่ได้เอาตัวไปมีปัญหากับใคร แถมสายงานยังไม่ใช่สายที่จะเอาตัวไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ มากนักจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีจนโดนผ่าท้อง แถมยังรอดมาได้ในสภาพโคม่าอีกต่างหาก

   “นี่มึง... กูไม่ได้แช่งนะ แต่มึงรอดมาได้ไงเนี่ย”

   พี่ดินที่มาเยี่ยมพร้อมกับคนอื่นๆ ที่โรงพยาบาลฟังเรื่องเล่าระทึกจิตระทึกใจจากผมด้วยสีหน้าแบบ... เหมือนไฟล์งานหาย ผมลุกขึ้นมานั่งห้อยขาบนเตียง แขนยังมีสายน้ำเกลืออยู่ อาหารที่กินได้ก็ยังคงเป็นอาหารรสอ่อนที่ย่อยง่ายถ่ายสะดวก ส่งยิ้มแหยๆ ก่อนจะยักไหล่

   “ม๊าเล่าว่า ม๊าเคยเอาผมไปให้พระแถวบ้านตั้งชื่อให้ พระท่านมองหน้าผมปุ๊บ ชื่อบุญรอดก็หลุดออกมาจากปากท่านเลย แต่ม๊าไม่ชอบเพราะมันเชย เลยเปลี่ยนเป็นนาย ศรัณ อรัญพัชร ชื่อที่มีความหมายว่า มีผู้ได้รับการปกป้องคุ้มครองแทนน่ะ” ผมเล่าพร้อมกับหัวเราะไปด้วย เหมือนพระมองโหงวเฮ้งผมแล้วจะรู้ทันทีว่าไอ้นี่ต้องมากับดวง

   ดวงซวยอ่านะ... เลยให้ตั้งชื่อแก้เคล็ด

   แต่ละคนพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเรื่องที่ผมเล่า

   “เบญจเพสรึเปล่าพี่ข้าว ช่วงนี้พี่ดูซวยๆ” ฟางที่นั่งดูดชาไข่มุกอยู่แซว

   “พี่จะ 27 แล้วนะ” ผมตอบกลับ

   “แต่มึงก็นะ ไม่รู้จักระวังตัวเอาซะเลย รู้ว่าตัวเองอยู่ในข่ายอันตรายก็ยังจะไปไหนมาไหนคนเดียว” ไอ้เนว่าผม

   “ก็กูไม่คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้ เดี๋ยวก็ต้องไปให้ปากคำตำรวจอีก”

   หลังจากผมฟื้นมาได้วันเดียว ตำรวจก็ขอเข้าพบเพื่อสอบปากคำ ผมก็ให้การไปตามจริง โดยจะประสานกับตำรวจท้องถิ่นของเชียงรายที่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมอีกสี่คดีด้วย คดีนี้คงกลายเป็นคดีใหญ่ที่ปิดได้ไม่ยากเพราะคนร้ายก็ถูกจับตัวแล้ว อาจจะต้องไปสถานีอีกสักรอบสองรอบเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในฐานะผู้เสียหาย

   ที่เพื่อนๆ ของผมสามารถมารวมตัวเยี่ยมผมพร้อมกันในวันนี้ได้เพราะเป็นวันเสาร์แห่งชาติ พวกเขาเล่าให้ฟังว่าพอผมหายตัวไปปุ๊บ วันต่อมาก็มีคนโทรไปลาพี่อัฐให้ปั๊บ เขาบอกแค่ว่า ผมได้รับอุบัติเหตุผ่าตัดฉุกเฉินอยู่โรงพยาบาล ผมคิดว่าน่าจะเป็นหมอไม่ก็เฮียปุ้นที่โทรไปลาให้ผมแบบนั้น

   ถึงแม้ตอนผมฟื้น หมอจะบอกว่าตอนนั้นน่าจะโทรไปลาออกให้ผมมากกว่าก็เถอะ

   “เออ พี่เจี้ยน โน้ตบุ้คพี่อ่ะ พี่อัฐอนุญาตให้รีโมททำงานใช่ปะ” เมื่อคืนผมโทรไปขอยืมโน้ตบุ๊คของพี่เจี้ยนเพื่อจะได้เอามารีโมททำงานที่โรงพยาบาล เพราะต้องอยู่อีกประมาณสองสามวัน ผมจึงอยากใช้เวลาว่างๆ ทำงานที่ค้างไปด้วย

   “มึงอยากให้กูโดนหมอเอามีดจ้วงท้องรึไง”

   พี่เจี้ยนทำหน้าขนลุก ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

   “ฮะ?”

   “กูพึ่งรู้ว่าหมอโรงพยาบาลนี้เขาดูแลคนไข้ดีประหนึ่งคนในครอบครัว วันก่อนตอนกำลังจะกลับจากเยี่ยมมึง กูเจอหมอเจ้าของไข้มึงหน้าห้อง เขาถามกูว่ามึงขออะไรรึเปล่า กูก็งงๆ เลยตอบเขาไปว่า มึงขอให้พี่อัฐอนุญาตให้ใช้รีโมททำงาน แล้วหมอมันบอกไรกะกูรู้มะ มันบอกว่า ‘ถ้าลาป่วยไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมเขียนใบลาออกให้แทนครับ’ อย่างเนี่ย!!”

   พี่เจี้ยนโวยวายฟ้องใหญ่ พี่ดินหันหน้าหนีเพื่อกลั้นขำสุดฤทธิ์ ส่วนผมทำหน้าพะอืดพะอม

   ผมว่า... ผมทำตัวเป็นเด็กดี อยู่เฉยๆ ตามที่หมอสั่งดีกว่าแฮะ

   “เขาเป็นเพื่อนเฮียปุ้นน่ะ เลย... อาจจะดูแลเกินไปหน่อย”

   “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”

   คราวนี้พี่ดินทนไม่ไหวจริงๆ เขาหัวเราะออกมากลางวงจนแต่ละคนมองขวับ พี่ตัวหนาล่ำบึกกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเสริมคำพูดของหมอ

   “ก็จริงของหมอ ลาป่วยแล้วก็ลาไป บริษัทไม่ไล่มึงออกหรอก”

   “แต่เดี๋ยวผมก็จะลาอีก” ผมกอดอกเมื่อนึกถึงระยะเวลาที่ต้องลาอีกครั้ง

   “ไปไหน?”

   “งานแต่งเจ้หอม เออใช่ เชิญทุกคนด้วยนะ จัดที่บ้านที่เชียงราย เดือนหน้า วันเสาร์ ไม่ต้องใส่ซอง แค่ไปร่วมอวยพรก็พอ”

   ผมเชิญปากเปล่าแทนตัวเจ้าสาว ไอ้เนกับฟางตอบตกลงทันที ส่วนพี่ดินบอกว่าขอดูงานก่อน ส่วนพี่เจี้ยนทำหน้าปั้นยาก ไม่ตอบอะไร ผมก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไม แต่ก็ไม่ได้คาดคั้น

   “คนมาเยี่ยมเยอะเลยนี่หว่าไอ้ตูด”

   ระหว่างที่กำลังคุยจอแจกัน คนที่ออกไปซื้อของกินกับป๊าม๊าก็เข้ามาจนทำให้ห้องผู้ป่วยเริ่มแคบไปถนัด แก๊งเพื่อนร่วมงานต่างพากันยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าที่หิ้วถุงอาหารกลิ่นหอมมายั่วน้ำลายผมที่กินได้แต่โจ๊กรสชาติเหมือนต้มน้ำเปล่า ผมลอบสังเกตหน้าพี่เจี้ยนที่เริ่มซีด เขาถอยไปหลบหลังพี่ดิน ทำตัวให้ลีบที่สุด

   ขำว่ะ แต่ไม่เอา ไม่ล้อเลียน เดี๋ยวตาผมแล้วพี่เจี้ยนจะขยี้ไม่หยุด

   “กินอะไรกันมารึยัง ม๊าซื้อขนมมาเพียบเลย” ม๊าผู้แสนน่ารักของผมชักชวนเพื่อนๆ อยู่ทานของกินด้วยกันก่อน แต่ดูเหมือนแต่ละคนจะรู้ว่าห้องนี้เริ่มคับแคบเกินไปสำหรับคนแปดคน จึงขอตัวกลับก่อน พี่ดินเอ่ยแสดงความยินดีกับม๊าผมเรื่องที่เจ้หอมจะแต่งงาน ก่อนจะพากันทยอยกลับ

   พี่เจี้ยนเกาะแขนพี่ดินแน่น ไม่สบตาคนที่กำลังจ้องเหมือนจะแดกเข้าไปทั้งตัวแล้วสักนิด

   ผมเหลือบไปมองเฮียปุ้นที่ทำหน้าเป็นยักษ์ปักหลั่นแล้วตอนนี้

   อยากบอกเฮียเหลือเกินว่ากระต่ายเวลาตื่นตูมมันน่ากลัวนะ

   หลังจากทุกคนกลับไป เฮียปุ้นก็เดินเข้ามาดูสภาพผมก่อนจะคุยเรื่องคดี

   “ตำรวจทางนี้ประสานงานกับไอ้ตุลย์ที่รับผิดชอบคดีสี่ศพนั่นแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐานมากพอจะยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือของอี้ เหลียน แม้จะมีคำให้การจากคุณพอร์ช แต่มันก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ และคุณพอร์ชก็เป็นแค่พยานปากสำคัญ ไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิด ทางตำรวจจึงทำได้แค่ลงบันทึกไว้ ไม่ได้คุมตัว ส่วนอี้ เหลียน เขามีความผิดชัดเจนฐานข่มขู่ ลักพาตัว ทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า โดนไปหลายกระทง ศาลอาจตัดสินให้จำคุกและปรับ”

   ผมเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดี

   ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะแผลในอดีต เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาก็เป็นหนึ่งในเด็กที่เคราะห์ร้ายเหมือนๆ กับผม

   “แต่ศาลอาจมีการลดโทษลง เพราะอี้ เหลียนมีประวัติการรักษาโดยเป็นผู้ป่วยจิตเวชก่อนที่เขาจะเดินทางไปฮ่องกง”

   “อี้ เหลียนไปฮ่องกง?” ผมแปลกใจมาก ผมนึกว่าเขาอยู่ประเทศไทยมาตลอด

   “ดูเหมือนหลังจากที่คุณพอร์ชนั่นรักษาเขามาสิบปีจนหมออนุญาตให้กลับมาอยู่บนได้ปกติ เขาถูกพาไปฮ่องกงและอยู่ที่นั่นประมาณสองสามปีก่อนจะกลับมาก่อคดีที่ไทย คุณพอร์ชบอกว่า อี้ เหลียนเป็นแฮกเกอร์ที่เก่งมาก เขาเป็นคนสร้างระบบให้กับองค์กรของบริษัทของพี่ชายเขาหลังจากกลับมาจากฮ่องกง ตามประวัติ อี้ เหลียนคือบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้มีสัญชาติไทย เขาเป็นชาวฮ่องกงแต่กำเนิด อยู่ประเทศไทยด้วยวีซ่ามาตลอดยี่สิบกว่าปี”

   ผมยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่า อี้ เหลียนคนนี้ ไม่ใช่แค่ฆาตกรโรคจิตธรรมดา เขาเก่งมาก และคงจะมีอนาคตไกลถ้าไม่ยึดติดอยู่กับแผลในอดีต

   “แล้วเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้” ผมถาม

   “ตำรวจกักตัวไว้ เห็นไอ้ตุลย์บอกว่าวันก่อนมีคนจากฮ่องกงมาติดต่อกับสารวัตรใหญ่ที่ประจำการอยู่ที่กรุงเทพ”

   “แล้วพี่ตุลย์ไปรู้ได้ยังไง เขาอยู่เชียงรายนี่นา” พี่ตุลย์เขาเป็นสารวัตรสืบสวนอยู่เชียงรายไม่ใช่เรอะ

   “เหมือนจะถูกย้ายมาประจำการที่กรุงเทพในอีกสองเดือน คดีในมือคือคดีของอี้ เหลียนนี่แหละ เฮียก็ไม่อยากถามรายละเอียดมาก แค่บอกว่า ทำยังไงก็ได้อย่าให้มันมายุ่งกับแกอีกก็พอ”

   “ถ้าไม่มีใครปล่อยเขาออกมา เขาก็คงไม่มายุ่งกับปั้นหรอก” ผมเริ่มไม่แน่ใจ... อี้ เหลียนไม่ใช่คนไทย เขาสามารถหนีออกต่างประเทศได้สบายถ้ามีคนช่วยเหลือเขา

   “เฮียได้คุยกับเขาครั้งนึง”

   “หืม?” ผมมองหน้าเฮียปุ้น เขาเดินมานั่งข้างเตียงพลางกอดอก

   “เฮียถามเขาตรงๆ ว่าทำแบบนี้กับแกทำไม เขาตอบว่า เขาทำเพื่อฆ่าเวลา”

   “หา?”

   “เฮียคิดว่าแกไม่ใช่เป้าหมายจริงๆ ของเขา การพบเจอของแกกับเขามันเป็นเรื่องบังเอิญ เขาทำให้มันเป็นแค่เกมฆ่าเวลาแก้เบื่อ เฮียเลยบอกว่า ยังแค้นข้าวปั้นอยู่จริงๆ รึเปล่า รู้มั้ยเขาตอบว่าไง”

   เฮียมองหน้าผมนิ่งๆ

   “เขาบอกว่า เขาไม่เคยแค้นแก ทุกอย่างที่เขาทำ เขาทำแค่ทดสอบเกมของเขา”

   “เกมเชี่ยไรวะเนี่ย” ผมสบถหยาบ ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอนึกๆ ดูอีกที

   อี้ เหลียนเขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าผมจริงๆ แม้การลงมีดจะสะเปะสะปะ แต่ทุกตัวยาที่เขาใช้ ทุกการกระทำของเขา เขาไม่ได้อยากให้ผมตายเร็วๆ เหมือนกับเด็กทั้งสี่คนที่โดนผ่าเอาไตออกไป อี้ เหลียน แค่ทำเหมือนกำลังเล่น ทั้งๆ ที่เวลาแปดชั่วโมงที่ผมหายตัวไป มันนานพอที่เขาจะฆ่าผมแล้วเอาผมไปทิ้งทำลายหลักฐานได้สบายมาก   หรือเขาไม่ได้คิดจะฆ่าผมจริงๆ?

   “ช่างมันเถอะ ตอนนี้แกปลอดภัย อี้ เหลียนก็ถูกจับอยู่ คงไม่ออกมาง่ายๆ หรอก”

   “เลิกคุยเรื่องเครียดๆ ได้แล้ว อีกวันสองวันปั้นก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ปั้นอยากกลับไปพักที่บ้านมั้ยลูก”

   ม๊าที่นั่งกินก๋วยจั๊บกับป๊าอยู่หันมาถามผม แน่นอนว่าผมส่ายหน้า

   ถึงหมอจะเขียนใบลาให้ผมไว้ถึงสี่สัปดาห์ แต่ผมก็ไม่อยากนอนแห้งอยู่บ้านเฉยๆ คงต้องแอบทำงานโดยที่ไม่ให้ใครรู้

   “ไม่เป็นไรม๊า ปั้นอยู่ได้ หมอบอกว่าแผลปั้นเริ่มจะสมานตัวดีแล้ว แค่อย่าเคลื่อนไหวเร็วก็พอ อีกสองอาทิตย์ก็ต้องมาตัดไหม ขี้เกียจไปๆ กลับๆ อ่ะ”

   “แล้วแกจะอยู่ที่นี่กับใคร ให้ม๊าอยู่เป็นเพื่อนก่อนมั้ย เดินเหินก็ไม่ค่อยจะสะดวก ไม่ก็ไปอยู่บ้านกรเขาก่อน ช่วงนี้ข้าวหอมน่าจะอยู่นานเพื่อเตรียมงาน ม๊าจะได้วางใจ” ม๊ายังคงคะยั้นคะยอ แต่ผมเอาแต่ปฏิเสธ คันปากยุบๆ  ยิบๆ ว่า ต่อให้ผมไม่ดูแลตัวเอง คนที่เดินเข้าเดินออกห้องนี้เป็นว่าเล่นทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติคงไม่ยอมให้ผมไปดื้อไปซนที่ไหนแน่นอน

   เขาเข้มงวดกว่าพ่อแม่ตัวจริงผมเสียอีก

   “ม๊า อย่าลืมนะว่าไอ้คินก็อยู่”

   “เฮีย!”

   ผมหันไปถลึงตาใส่เฮียปุ้นที่ทำท่าจะปากมากออกไป เฮียปุ้นขมวดคิ้ว

   “อะไร ก็มันเป็น...”

   “เฮี้ย!”

   “เอ็งด่าเฮียเรอะ!!”

   “เปล๊า แค่เสียงสูงไปหน่อย” ผมหันไปบอกม๊าที่ทำหน้าแบบ พวกลื้อเถียงอะไรกัน? มาทางพวกผมสองคน “ปั้นไม่เป็นไรหรอกม๊า แล้วปั้นก็ไม่อยากไปรบกวนพี่กรด้วย เขาก็ยุ่งๆ ปั้นไปอยู่บ้านเขาเฉยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรปั้นลำบากใจน่ะ”

   ม๊าทำหน้าย่น ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อประตูห้องเปิดออก ร่างสูงของหมอเดินถือชาร์จผู้ป่วยเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบปกติของเขา ม๊าผมทักทายหมอเสียงอ่อนเสียงหวาน

   “อคินมาก็ดีเลย ม๊ามีเรื่องจะฟ้องล่ะ”

   “ครับ?” หมอเลิกคิ้ว ขานรับ

   “ข้าวปั้นน่ะดื้อ ให้กลับบ้านไปพักรักษาตัวก็ไม่กลับ ให้ไปอยู่บ้านกรก่อนไม่อยู่ อยู่คนเดียวม๊าเป็นห๊วง เป็นห่วง”

   ม๊าครับ... น้ำเสียงม๊าดูไม่จริงใจเอาซะเลย

   หมอหันมามองผมแวบนึง ก่อนจะกระตุกยิ้มมีเลศนัย

   “ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมดูแลให้”

   “มะ... หมอ...” ผมเรียกเขาเสียงแผ่ว ถลึงตามองเป็นเชิงว่า อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าไปเชียวล่ะ อย่าเชียวนะ!

   “จริงเหรออคิน ไม่ลำบากเหรอจ๊ะ น้องดื้อนะ” ม๊าจับแขนหมอแล้วยิ้มเกรงใจ

   ม๊า... ม๊าต้องการไร ม๊าบอกปั้นดิ๊

   “ดื้อแค่ไหน ผมก็เอาอยู่ครับ”

   “ขอบใจนะจ๊ะ”

   “ดะ... เดี๋ยวนะ ทำไมม๊าต้องฝากปั้นไว้กับหมออ่ะ ปั้น... ปั้นดูแลตัวเองได้” ผมเลิ่กลั่กแล้ว ณ จุดจุดนี้ ม๊าหันขวับมาทำหน้าดุ

   “ถ้าแกไม่ยอมให้หมอดูแล แกก็กลับบ้านกับม๊า เอาไง เลือกมา”

   ละ... แล้วปั้นเลือกอะไรได้ไหม...



   และแล้ว ผมก็นอนโรงพยาบาลครบสองอาทิตย์ ผมต้องกลับไปพักฟื้นที่บ้านอีกสองอาทิตย์ตามที่หมอออกใบรับรองแพทย์ให้ การลาเป็นเดือนๆ ของผมทำให้ผมรู้สึกกระสับกระส่าย ผมถึงกับต้องแอบโทรไปขอรีโมททำงานกับพี่อัฐเลยทีเดียว แม้พี่อัฐจะบอกว่าไม่เป็นไร ไปพักฟื้นให้เต็มที่ก่อนเถอะก็ตาม

   แต่สุดท้าย ผมก็ได้มาสองชอต มันทำให้ผมแทบจะร้องไห้ กราบพี่อัฐแรงๆ หนึ่งครั้งที่ทำให้ผมไม่ต้องกลับไปใช้ฉายา ลูกรักพี่อัฐ อีกครั้ง แม้ทุกคนจะรู้ว่าผมเข้าโรงพยาบาลเพราะป่วยหนักก็ตาม แต่ห้ามคนนินทามันได้ที่ไหน ผมไม่อยากเข้าบริษัทตัวเปล่าหลังจากหายหน้าไปเกือบเดือนหรอกนะ

   เฮียปุ้นกลับเชียงรายก่อนใคร เพราะไม่มีคนดูแลไร่เลยนอกจากป้าสรกับลุงหนาน เมื่อส่งผมถึงคอนโด ป๊ากับม๊าอยู่แค่อีกแค่หนึ่งวันเพื่อดูการใช้ชีวิตของผมว่าจะลำบากมั้ย ซึ่งผมเริงร่าเต็มที่เลยครับ ทำตัวปกติ แค่จะเดินจะเกินก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนหน่อย

   ส่วนเจ้าอ้วนปั้นสิบ ตั้งแต่วันที่ผมโดนจับไปจนนอนแบ็บอยู่ไอซียู เฮียปุ้น ป๊า ม๊าผลัดกันมาคอยให้อาหารและดูแลมันกัน แต่รู้สึกว่าม๊าจะบอกว่ามันแทบจะไม่ยอมกินข้าวเลย แถมยังเซื่องลงไปเยอะ อาจเป็นเพราะมันไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมก็หายไปล่ะมั้ง และทันทีที่มันเห็นหน้าผม ไอ้อ้วนปั้นสิบก็ย้ายร่างตัวเองจากบนโซฟามาคลอเคลียผมพลางร้องม๊าวๆ เสียงดัง

   ผมก้มลงอุ้มมันขึ้นมากอด ไอ้อ้วนเอาหน้ามุดอกผมไม่ยอมไปไหน มันคงคิดถึงผม เพราะผมเองก็คิดถึงมันมากเช่นกัน

   “ปั้น ม๊ากลับแล้วนะ ไว้เจอกันงานแต่งไอ้หอม”

   ผมเดินลงมาส่งม๊ากับป๊าที่ด้านล่างคอนโด ทั้งสองยืนยันเสียงแข็งไม่ให้ผมไปส่งที่สนามบิน ป๊าสั่งผมว่าอย่าออกไปเดินคนเดียวตอนกลางคืน ทำอะไร จะไปไหนให้บอกคนอื่นไว้ก่อน ถึงป๊าจะไม่พูดเยอะ แต่ผมรู้ว่าป๊ากังวลใจมากไม่แพ้ม๊าเลย

   สุดท้ายผมก็อยู่คนเดียว... กับแมวอีกหนึ่งตัว

   ซะที่ไหนล่ะ...!

   “ผม... ผมอยากอยู่ห้องตัวเองครับหมอ” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

   “อยู่ห้องคนเดียวเฮียเป็นห่วง อย่างน้อยไปอยู่ห้องเฮีย ยังมีริลินแวะเข้าแวะออกให้เฮียสบายใจ” หมอพยายามกล่อมให้ผมยอมทำตาม

   “ผมสบายดีแล้วครับ หมอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

   “ข้าวปั้น”

   หมอดุทันทีเมื่อผมปฏิเสธเขา ก็ผมอยากอยู่ห้องตัวเอง อยากทำงานที่รีโมทจากบริษัท ถ้าไปอยู่ห้องหมอ ผมจะแอบใช้คอมเขาได้ยังไง เดี๋ยวเขาก็รู้หมดว่าผมแอบรับเอางานมาทำอีกแล้ว ผมไม่อยากให้เขาดุผมมากกว่านี้หรอกนะ

   “อย่าดื้อได้มั้ย”

   คราวนี้หมอเสียงอ่อน ผมมองเขาที่ยืนเถียงกับคนป่วยอยู่ในห้องของผมเองด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ขอบตาเขาคล้ำอีกแล้ว เพราะเขาต้องขึ้นเวรทบกับวันที่ลาไปเพื่อเฝ้าผม เห็นหน้าอิดโรยของหมอแล้ว ผมที่ยืนเถียงคอเป็นเอ็นอยู่ก็หน้าหดทันที

   “หมอครับ หมอได้นอนบ้างมั้ยครับ”

   ผมยื่นมือไปแตะแก้มเขา แม้จะไม่มีหนวดเคราขึ้นเพราะเพิ่งโกน แต่หมอหน้าตอบลงไปจนเห็นชัด คนตัวโตถอนหายใจยาวก่อนจะดึงผมลงมานั่งบนโซฟาตัวเดิม จับให้ผมนั่งบนตักแข็งๆ แล้วกอดผมไว้

   นานแล้วที่เขาไม่ได้กอดผม เพราะในห้องผู้ป่วยมีคนเข้าออกตลอด แถมม๊ากับเจ้หอมยังผลัดกันมาเฝ้าจนเราแทบจะไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเลย

   กลิ่นหอมๆ ของหมอทำให้ผมใจเย็นลง ความดื้อก็ลดลงด้วย

   ผมเข้าใจเขานะว่าเป็นห่วง แต่ผมเองก็อยากอยู่ในเซฟโซนของตัวเองบ้าง ผมมีพื้นที่ที่ผมสบายใจจะอยู่ก็เท่านั้นเอง

   “อย่าดื้อกับเฮียเลยนะ เฮียเป็นห่วงปั้น”

   “หมอครับ หมอก็ดูแผลผมทุกวันนี่นา น่าจะรู้ว่ามันไม่ได้แย่เลย มันจะหายแล้วนะครับ”

   ผมพูดกับเขาดีๆ แต่หมอกลับส่ายหัว

   “ไม่ใช่เรื่องแผล”

   เขาซุกซบหน้าลงตรงแผ่นอกราบเรียบ มือที่โอบรอบเอวผมไว้เริ่มลามเลื้อยสอดเข้ามาใต้เสื้อยืด

   เฮ้ยๆ... อย่าเนียนสิวะหมอ

   “วันนั้น เฮียนึกว่าจะเสียปั้นไป ส่วนตอนนี้เฮียกลัว ว่าถ้าปั้นคลาดสายตา ปั้นจะหายไปอีก และคราวนี้เฮียอาจจะหาปั้นไม่เจอ...”

   เขาเงยหน้าขึ้น จับคางผมไว้เบาๆ ก่อนจะกดจูบลงมา จูบร้อนที่ห่างหายมานาน... นานมากจนผมตื่นเต้น ร่างผอมของผมค่อยๆ ถูกประคองให้นอนราบลงบนโซฟา คนตัวสูงใหญ่สอดขาข้างหนึ่งมาแทรกตรงกลางระหว่างขาทั้งสองของผมไว้ หัวเข่าของเขาจงใจสะกิดโดนกลางร่างของผมจนสะดุ้ง สองแขนผมยันแผ่นอกหนาไว้พลางเบือนหน้าหนี

   “เอ่อ... หมอ... ผะ แผล”

   รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ มือใหญ่ค่อยๆ สอดเข้ามาในเสื้อแล้วเลื่อนมันขึ้นจนเปิดเปลือยแผลผ่าตัดใหญ่ทั้งสองข้างที่ยังมีไหมอยู่ครบ มันไม่ได้น่าดูเลยสักนิด ผมตะครุบจับข้อมือที่มีเส้นเลือดปูดนูนไว้อย่างรวดเร็ว

   “มะ มันไม่ได้น่าดูเลยครับ มะ... หมอไม่มองได้มั้ย”

   หมอมองรอยแผลที่เขาเป็นคนลงมือเย็บเอง ก่อนจะกดจูบแผ่วเบาลงไป อาจจะเป็นเพราะผิวหนังตรงนั้นมันยังบอบบาง จึงทำให้ผมรู้สึกเสียววาบไปจนถึงสันหลัง หดเกร็งหน้าท้องแบนราบโดยไม่รู้ตัว คนตัวโตประคองหลังผมขึ้นมาก่อนจะอุ้มไปนอนบนเตียง แค่นั้นแหละ ผมเริ่มรู้ชะตากรรมต่อไปของตัวเองแล้วล่ะครับ

   “ไม่ว่าจะเป็นยังไง เฮียก็รัก”

   “ทำไมกล้าพูดอะไรน่าอายแบบนั้นออกมาครับเนี่ย”

   ผมหน้าร้อนผ่าว ขณะที่มือใหญ่ถลกเสื้อผมออกจากหัวตัวเอง จากนั้นก็เตรียมปลดกระดุมเสื้อตัวเองหลังจากที่เขาทำการลอกคราบผมเรียบร้อยแล้ว

   “หมอครับ แผล... แผลมันจะไม่เป็นอะไรหรอครับ”

   ผมถามเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อเจลเย็นๆ ปาดป้ายตรงช่องทางแคบด้านหลังที่ไม่ได้ใช้งานในเรื่องอย่างว่ามานานเป็นเดือน นิ้วแข็งๆ ของเขาสอดเข้าไปอย่างใจเย็น เล่นเอาผมหลุดครางออกมาอย่างน่าอาย

   “นั่นสิครับ”

   จากที่นอนราบ หมอจับผมให้ลุกขึ้นก่อนจะสลับตัวเองลงไปนอนแทน เขาบังคับให้ผมนับควบหน้าท้องแข็งเป็นลอนของเขาเอาไว้ ผมใช้มือยันลอนกล้ามท้องเป็นคลื่นดูดี ที่แม้หมอจะโทรมขนาดไหน แต่เขาไม่เคยละเลยที่จะฟิตร่างกายตัวเองให้พร้อมรับมือเรื่องราวต่างๆ ตลอดเวลา ในขณะที่ผมตัวผอมแห้งไม่น่าดึงดูดสักนิด

   ผมเผลอลูบไล้มันจนลามลงไปที่เอวสอบ สองมือใหญ่ประคองเอวบางไว้ก่อนจะยิ้มกับท่าทางเคลิบเคลิ้มของผม

   “ข้าวปั้นครับ”

   “อือ... ครับ”

   ผมครางเมื่อมือข้างหนึ่งของเขากอบกุมท่อนเนื้อร้อนกลางลำตัวของผมไว้

   “วันนี้ปั้นต้อง On top แล้วนะครับ”

   รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกส่งมาจากใบหน้าลูกครึ่งคมคาย นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยส่งความต้องการออกมาเต็มที่ ผมปรือตาเมื่อเขาขยับมือเร็วขึ้น ขณะที่ผมถูไถกลางก้นนุ่มของตัวเองกับกลางลำตัวที่แข็งขืนและกำลังดุนดันแข่งกับการเสียดสีของผมอย่างไม่รู้ตัว หมอพยายามทำทุกอย่างให้มันง่ายและไม่กระทบกระเทือนที่สุด

   “ช้าๆ นะครับ... คนเก่ง”

   ความรู้สึกของคนคุมเกมมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

   เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ว่าการ On top มันได้เปรียบยังไง...

หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่31(17/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 17-02-2020 23:59:56
ถ้าทางปั้นจะชอบเป็นคนคุมเกม :z1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่31(17/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 18-02-2020 00:00:27
สุดยอดเลยครับหมอ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่31(17/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-02-2020 20:54:00
แหม ทันทีที่มีโอกาส หมอไม่พลาดกินข้าวปั้นเลยนะ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่31(17/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-02-2020 23:59:17
หมอคงดูแลไม่ให้แผลปริหรอกนะข้าวปั้น  :o8:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 19-02-2020 20:06:04
Chapter – 32

หมอครับ Pre-Wedding 1


   “ตกลงจะขับรถไปหรือนั่งเครื่องไปกัน”

   แก๊งกินข้าวแก๊งเดิม แต่วันนี้ย้ายมากินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแถวๆ ปากซอย ชายฉกรรจ์สี่คนกับสุภาพสตรีอีกหนึ่งที่พากันนั่งก้มหน้า มือถืออยู่ในแนวนอนกันทุกคน มือกดรับของ อัพตัวละคร หรืออะไรต่างๆ ในเกมก่อนจะเริ่มเข้าห้องเกมเพื่อไปทลายป้อมศัตรูกัน ผมที่เป็นญาติฝ่ายเจ้าสาวถามขึ้นเมื่อทุกคนตกลงว่าไปร่วมงานแต่งของพี่สาวผมที่เชียงราย

   “มึงไปไง?” พี่ดินถาม

   “ผมไปก่อนอยู่แล้ว ลาตั้งแต่วันพฤหัสฯ เพราะต้องไปช่วยเตรียมอะไรหน่อย ผมแทบไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเลย ไปกับมะ... เอ่อ... เพื่อนพี่น่ะ” ผมเกือบหลุดๆ ออกไปแล้วเชียว แต่พี่ดินกลับยิ้มมุมปาก สายตาบอกว่า กูรู้ทันมึงนะ...

   “งั้นเดี๋ยวกูขับรถไปละกัน” พี่ดินตอบขณะเลือกตัวละครฮีโร่ “กูไม่ฟาร์มนะ”

   “ฟางจะฟาร์มๆ เออ พี่ดินขับรถไปหรอ ฟางไปด้วยดิ ตั๋วเครื่องบินอย่างแพงอ่ะ”

   “ได้ แต่ไอ้น้ำน้องพี่ไปด้วยนะ มันแวะไปเชียงใหม่”

   “ไปมีปัญหา”

   “งั้นเนไปด้วย” แน่นอนว่าถ้าฟางไปยังไง ไอ้เนก็ไปอย่างนั้นแหละ สองคนนี้นับวันยิ่งทำตัวติดกันมากขึ้นจนคนทั้งบริษัทจะรู้แล้วมั้งว่าคบกันน่ะ ไหนพวกมึงบอกว่า... รักในบริษัทมันลำบาก ไงวะ?

   “พี่เจี้ยนอ่ะ” ผมถามโดยที่ไม่มองหน้าพี่แก

   “กูว่าจะขึ้นเครื่องไป ขี้เกียจนั่งรถนานๆ เมื่อย”

   “คนรวยๆ เขาทำกัน” ไอ้เนแซว ผมหัวเราะก่อนจะโหวกเหวกลั่นเมื่อเกมที่คิดว่าหมูกลับจะกำลังพลิกล็อค

   จนสุดท้าย...

   DEFEAT

   แต่ละคนโยนมือถือลงกับโต๊ะ แม่งเอ้ย แรงค์ตกอีกแล้ว พี่เจี้ยนลากชามก๋วยเตี๋ยวที่ทิ้งไว้จนเส้นอืดมาโซ้ยเข้าปาก เช่นเดียวกับพวกผมที่ท้อใจกับเกม

   “กูจะไม่เล่นตอนกินข้าวอีกแล้ว เล่นทีไรแม่งแพ้ตลอด”



   “หมอจะออกกี่โมงครับ ผมจะได้ตื่นมาเตรียมตัว”

   ผมที่กำลังเอาเสื้อผ้าที่ดองมาทั้งอาทิตย์ของตัวเองยัดลงเครื่องซักผ้าหันมาถามหมอที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม เขายังคงง่วนอยู่กับงานที่กองอยู่เต็มโต๊ะเล็กๆ ของผม

   บางทีผมก็แปลกใจนะที่คนเป็นหมออย่างเขา ทำไมต้องหอบงานเอกสารกลับมาทำที่บ้านทุกวัน...

   “ออกเช้าๆ หน่อยก็ได้ครับ จะได้ไม่ร้อน” หมอตอบทั้งที่สายตายังคงจ้องจอแลปท็อปอยู่

   “งั้นเดี๋ยวหมอกลับขึ้นไปเก็บกระเป๋านะครับ ผมก็จะเก็บของให้ปั้นสิบซะหน่อย” ผมพูดพลางเทน้ำยาซักผ้าลงไป ปิดฝาแล้วกดปุ่ม

   เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วยรถส่วนตัว ปั้นสิบเลยไม่เคยได้ออกจากกรุงเทพเลย ครั้งนี้ผมตั้งใจจะพามันไปเที่ยวบ้านที่เชียงราย เพราะเจ้ข้าวฟ่างที่บินตรงมาจากสิงคโปร์บอกอยากเห็นหน้าปั้นสิบ ใจจริงผมก็กลัวอยู่นะว่ามันจะเมารถรึเปล่า เลยเคยลองพามันไปนั่งรถเล่นกับหมอครั้งสองครั้ง ก็ไม่เห็นมันจะมีอาการน่าเป็นห่วงอะไรนอกจากอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นก็เท่านั้นเอง

   ผมกำลังจะเอาผ้าที่ตากแห้งแล้วมาพับ แต่ร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟากลับลุกมาหาแล้วโอบผมไว้จากด้านหลัง วางคางบนหัวผมพลางช่วยเก็บผ้าที่ตากไว้บนราวระเบียงลงตะกร้า

   “ไปนอนห้องเฮียนะวันนี้ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแล้วออกไปพร้อมกัน”

   เขาเริ่มอ้อน ผมอยากจะตีเขาจริงๆ

   “ไปห้องหมอทีไร ผมไม่เคยได้นอน ไม่เอาครับ ผมจะอยู่ทำความสะอาดห้องก่อนไป” ผมปฏิเสธ เดินอุ้มตะกร้ามาที่เตียงแล้วลงมือพับเก็บ คนตัวโตยังไม่ยอมแพ้ เขาเดินตามมานั่งข้างๆ แล้วหยิบผ้าในตะกร้าออกมาช่วยผมพับ ผมเหลือบตามองแล้วหัวเราะหึ

   “อะไรครับ มีงานก็ไปทำงานสิ”

   “ก็ทำอยู่นี่ไง”

   ผมมองผ้าที่เขากำลังพับแล้วเบิกตาโต หน้าร้อนผ่าว รีบคว้ากลับมาทันที

   “ปะ... ปั้นพับเองได้”

   “เฮียชอบให้ปั้นแทนตัวเองแบบนี้นะ”

   เขายิ้มให้ผมที่กำกางเกงในตัวเองไว้แน่น ไอ้หมอบ้าเอ้ย...

   “ไปทำงานครับ!”

   

   เราออกจากคอนโดกันตอนหกโมงเช้า หมอลงมารับผมที่ชั้น 9 ของที่เขาพกไปมีแค่กระเป๋าเดินทางใบเล็กใบเดียวกับขนมของฝากให้กับพ่อแม่ผม ส่วนผมเอาไปแค่เป้หนึ่งใบเพราะข้าวของที่บ้านก็มีอยู่ครบจนไม่จำเป็นต้องขนไปให้มากมาย ที่เห็นจะเยอะก็คงเป็นข้าวของของปั้นสิบ

   “เฮียช่วย”

   “ขอบคุณครับ”

   หมอช่วยหิวกระเป๋าใส่ของของแมว ส่วนผมหิ้วกระเป๋าแมวที่มีปั้นสิบนอนหงายพุงอยู่ข้างใน สบายเชียวไอ้อ้วน

   ออดี้คันเดิมแล่นออกจากกรุงเทพมุ่งหน้าไปยังภาคเหนือของประเทศไทย สงสัยเพราะมันเช้าเกินไปเลยทำให้ผมค่อนข้างจะง่วง ตั้งแต่ทำงานมาผมก็แทบจะไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้เลยนอกจากต้องไปขึ้นเครื่อง และผมก็ไม่ถูกโรคกับการเดินทางนานๆ ดังนั้น เมื่อขึ้นรถปุ๊บ แอร์เย็นๆ ในรถทำให้ผมตาปรือ สุดท้ายก็ผล็อยหลับไป ปล่อยให้หมอขับรถคนเดียวอย่างเงียบเหงา

   ผมหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทาง หมอก็ใจดีไม่เคยเรียกไม่เคยปลุกเลย ในรถเต็มไปด้วยผ้าห่มกับหมอนที่เขาซื้อติดๆ รถไว้เพราะเขารู้ว่าผมเป็นพวกขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บ

   “หมอครับ แวะพักหน่อยมั้ย ขับมาตั้งนานแล้ว” ผมทักเมื่อเข้าสู่จังหวัดพิษณุโลก หมอหันมามองผมก่อนถาม

   “อยากเข้าห้องน้ำเหรอ หรือจะแวะหาไรกิน หิวมั้ย?”

   “เปล่าครับ แค่กลัวหมอเหนื่อย แต่... แวะหน่อยก็ดีครับ”

   ปกติผมไม่ค่อยเดินทางไกลด้วยรถส่วนตัวสักเท่าไหร่ เพราะมันนานและผมก็ขี้เบื่อ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยอมนั่งรถมากับหมอได้ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เราเริ่มห่างๆ กันไปอีกแล้วจากงานของทั้งสองฝ่าย รวมถึงถ้ากลับบ้าน ผมกับเขาอาจจะอยู่ด้วยกันแบบใกล้ชิดไม่ได้เพราะคนอื่นอาจจะสงสัย ก็เลยอยากใช้เวลาระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงรายในการอยู่ด้วยกันให้นานล่ะมั้ง

   ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกลัวอะไร ทำไมไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับครอบครัวเสียที ทั้งๆ ที่คบกับเขามาตั้งครึ่งปีกว่าแล้ว

   ความจริงผมอาจจะไม่ได้กลัวที่บ้านรู้

   ผมอาจจะแค่กลัวว่าหมอจะไม่อยากบอกใครว่าเขาคบกับผม

   ผมอาจจะแค่ไม่อยากได้ยินข้อแก้ตัวของเขาก็เป็นได้

   “เป็นอะไรครับ ทำหน้าย่นเชียว”

   ระหว่างที่กำลังจัดการมื้อเที่ยงในร้านอาหารที่จุดพักรถอยู่ ผมเหม่อไปจนคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามสังเกตได้

   “เปล่าครับ”

   เราเดินทางกันต่อ จนกระทั่งมุ่งเข้าสู่จังหวัดเชียงราย ตอนนี้เกือบจะสามโมงเย็นแล้ว หมอขับไวพอสมควรเลย ถ้าทางไหนถนนโล่งหรือเป็นไฮเวย์ เขาเหยียบมิดจนผมเสียววูบๆ เลยล่ะครับ ดีที่ตอนขึ้นดอยผมบอกให้หมอระวังๆ ขับให้ช้าลงหน่อยเพราะถนนมันคดเคี้ยว กลัวไปเสยยอดดอยเข้าให้

   ในที่สุดก็ถึงบ้านไร่อันนา สถานที่ที่ผมเกิดและเติบโต รถออดี้สปอร์ตคันหรูขับผ่านถนนดินเข้ามา คงเป็นรถที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา พวกคนงานถึงเดินออกมาดูแทนเจ้าของบ้านที่ป่านนี้คงง่วงเตรียมของอยู่บนเรือนใหญ่

   วันนี้รถเยอะพอสมควร เพราะมีตั้งแต่ญาติป๊า ญาติม๊า เพื่อนเฮียกับเจ้มากันเต็มไปหมดเพื่อช่วยเจ้าสาวเตรียมงานแต่ง นานๆ ทีบ้านนี้จะมีงานมงคล พวกญาติๆ เลยค่อนข้างจะตื่นเต้นเพราะตระกูลผมไม่ค่อยมีลูกสาว ญาติที่มาจึงมีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้นที่เป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน

   “อ้าว น้องปั้น ป้ากะนึกว่ารถไผ” ป้าสรที่เดินออกมาดูรถแปลกหน้าทักเมื่อเห็นผมลงจากรถ ตามด้วยหมอทียกมือสวัสดีป้าสร

   “สวัสดีครับ”

   “สวัสดีเจ้า” ป้าสรรับไหว้ยิ้มๆ ก่อนจะหันมาถามผม “ใครหรือน้องปั้น”

   “หมออคินครับ เขาเป็นเพื่อนเฮียปุ้น มางานร่วมงานแต่งเจ้หอม”

   “หมออคิน... เอ่อ ใช่น้องคินที่มาเที่ยวที่บ้านบ่อยๆ ตอนเด็กๆ แม่นก่อ” ป้าสรถาม หมอยิ้มรับก่อนจะพยักหน้า

   “ครับ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

   “ตายแล้ว โตขึ้นปอจำบ่อได้เลยนะเจ้า รูปหล่อเหมือนที่น้องหอมว่าเลย ป่ะๆ ขึ้นบ้านก่อนเจ้า”

   หมอช่วยผมหิ้วสัมภาระขึ้นบ้านที่ตอนนี้จัดตกแต่งสถานที่ด้วยซุ้มดอกไม้และบายศรีตามแบบล้านนาผสมจีนๆ ผมรู้แค่ว่าบ้านผมเวลาใครแต่งงานต้องมีพิธียกน้ำชา แต่ก็ไม่ได้จีนจ๋าจนต้องแต่งชุดแดงกันทั้งบ้าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพิธีทั่วไป ซึ่งผมไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก บ้านผมสบายๆ ไว้ก่อน เพราะยังไงๆ เดี๋ยวก็ต้องไปแต่งกันอีกรอบด้วยพิธีทางศาสนาคริสต์ตามที่บ้านพี่กรเขาขอ ซึ่งจะจัดเป็นพิธีเล็กๆ ไม่ใหญ่โตเท่าพิธีทางนี้

   “เจ้าปั้น”

   ทันทีที่ขึ้นมาชั้นที่สองที่เป็นส่วนโถงที่เป็นโซนห้องนอน เสียงที่ไม่ได้ยินมานานเป็นปีเรียกผมจากด้านในโถง ผมหันขวับก่อนจะยิ้มกว้าง ทิ้งกระเป๋าพร้อมกับวางกระเป๋าแมวไว้แล้ววิ่งเข้าไปกอดเจ้าของเสียงเรียกจนร่างบางๆ ผงะเกือบจะล้ม

   “คิดถึงจังเจ้ฟ่าง คิดถึงๆๆๆ”

   “แหม ปากหวาน”

   พี่สาวคนโตของบ้านจับเนื้อจับตัวผม ดวงตาคู่โตสีน้ำตาลเข้มไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางขมวดคิ้ว

   “เจ้ได้ข่าวแล้วนะ ยังเจ็บอยู่มั้ย”

   ผมส่ายหัวรัวๆ

   “ไม่แล้ว สบายมาก”

   เจ้ฟ่างทำหน้าย่นก่อนจะลูบหัวลูบหางผมอย่างเอ็นดู เจ้ไม่ต่างอะไรกับแม่คนที่สอง เธอเลี้ยงผมมากับมือ ถ้าถามว่าในบรรดาครอบครัวใครโอ๋นายข้าวปั้นมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้ข้าวฟ่าง อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์คนนี้นั่นแหละ แต่ถึงเจ้ฟ่างจะโอ๋ผมมากขนาดไหน เธอก็เข้มงวดสมกับเป็นเด็กวิศวะเก่าจริงๆ

   เจ้ฟ่างชะเง้อหน้าไปมองด้านหลัง ก่อนเลิกคิ้วถาม

   “ใครน่ะ เพื่อนเหรอ”

   เป็นคนถามที่ผมเผลอกลืนน้ำลายไปทีนึง ก่อนจะยิ้มตอบ

   “หมออคินครับ เขาเป็นเพื่อนเฮียปุ้นไง หมอเป็นเจ้าของไข้ผมตั้งแต่ตอนผ่ากระเพาะแล้ว”

   เจ้ฟ่างทำหน้าเหมือนนึกออกแล้วหันไปทักทายคนอายุน้อยกว่าแต่ก็ห่างกันไม่มาก

   “อคินเหรอ จำแทบไม่ได้เลย จำเราได้มั้ย ข้าวฟ่าง”

   “จำได้ สบายดีนะ”

   “อือ ตามสบายนะ แล้วนี่พักที่ไหน พักด้วยกันที่นี่รึเปล่า แต่ว่าตอนนี้ห้องเต็มแล้วน่ะสิ ข้าวปั้นจองหนึ่งห้องไว้ให้เพื่อนใช่มั้ย จะให้อคินเขานอนรวมกันได้รึเปล่า หรือจะให้ไปนอนที่เรือนของข้าวปุ้น?” เจ้ฟ่างหันมาถาม สีหน้ากังวลเพราะเธอไม่นับหมอไว้รายชื่อแขกที่จะพักที่บ้านด้วย ทำให้การจัดการห้องนอนไม่เพียงพอ ผมเองก็ไม่ทันได้คิดว่าวันนี้แขกที่บ้านต้องเต็มแน่นอน

   “เอ่อ งั้น... งั้นให้นอนห้องปั้นก็ได้ครับ เจ้ฟ่างยังไม่ยกให้ใครไปใช่มั้ยอ่ะ”

   “ยังหรอก ว่าแต่ไหนปั้นสิบของพี่ อยากเจอหน้าจะแย่แล้ว”

   เจ้ฟ่างถามหาไอ้อ้วนที่ถูกทิ้งไว้ข้างกระเป๋าของผม เจ้เดินไปเปิดกระเป๋าแล้วอุ้มปั้นสิบขึ้นมาลูบอย่างหลงใหล

   “ตายแล้ว อ้วนขึ้นเยอะเลยนะเรา ข้าวปั้นไม่ยอมพาไปออกกำลังล่ะสิ”

   “มันไม่ยอมเดินต่างหากเจ้ ไม่ใช่ความผิดปั้นเลย” ผมแก้ตัวทันที เจ้ฟ่างหันมาหัวเราะให้ ไม่ยอมปล่อยปั้นสิบง่ายๆ แม้ตัวมันจะหนักจนผมหิ้วยังเมื่อย แต่ดูเหมือนจะไม่คณามือพี่สาวผมสักนิด

   “จ้ะ งั้นเอาของไปเก็บแล้วลงไปช่วยงานหน่อยนะ ไม่รู้ยังขาดเหลืออะไรบ้าง ข้าวหอมตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว”

   เจ้ฟ่างสั่งทิ้งท้ายไว้ก่อนจะพาไอ้แมวอ้วนเดินออกไปยังระเบียงนอกโถงที่เป็นทางเดินหลัก ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเดินนำหมอไปยังห้องของตัวเอง แอบรู้สึกเขินๆ เหมือนกันแฮะ

   ห้องนอนของผมอยู่สุดทางเดิน ข้างๆ เป็นห้องของเฮียปุ้นที่ถูกยกให้เป็นห้องรับรองเพื่อนๆ ของผมที่กำลังจะตามมาในวันศุกร์ ผมเดินนำเข้ามา ห้องนอนแบบแมนๆ ไม่มีอะไรตกแต่งมากมาย เพราะแทบไม่ได้ใช้งาน มีห้องน้ำในตัวทำให้ไม่วุ่นวายกับแขกทั้งหลาย เตียงหกฟุตน่าจะกว้างพอให้นอนสองคนได้

   “หมอ... มันอาจจะแคบไปหน่อย แต่เดี๋ยวผมเอาฟูกมาปูเพิ่มได้นะ”

   “แคบอะไร นอนด้วยกันที่ห้องปั้นยังนอนได้ อย่าห่วงเลย”

   หมอจัดการวางกระวางไว้ เขาปิดประตูห้อง ส่วนผมก็เปิดหน้าต่างไล่อากาศแม้ว่าป้าสรจะมาทำความสะอาดเผื่อไว้ก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม

   “หมอพักผ่อนหน่อยมั้ยครับ ขับรถมาทั้งวันน่าจะเหนื่อย”

   ผมจัดการค้นเอาหมอนออกมาจากตู้ ผ้าปูเตียงใหม่ถูกปูไว้เรียบร้อย ทันทีที่ผมจัดการเอาหมอนวาง คนตัวโตก็เดินมากอดจากด้านหลังพลางกดจูบลงบนหัวผม

   “ไม่เป็นไรครับ มาทั้งทีก็ไปช่วยงานด้านล่างดีกว่า มันดูเสียมารยาท”

   “อย่าเกรงใจไปเลยหมอ หมอมาเป็นแขกนะ พักเถอะครับ” ผมหันกลับไปจับให้คนที่ดูก็รู้ว่าล้าจากการขับรถทางไกลให้นั่งลงบนเตียง ร่างสูงยอมนั่งแต่โดยดีแต่ยังไม่ยอมปล่อยเอวผม เขากอดผมไว้อย่างออดอ้อน

   “เดี๋ยวปั้นต้องยุ่งมากแน่ๆ”

   “ครับๆ พักผ่อนนะครับ เดี๋ยวถึงเวลาอาหารผมจะมาเรียก”

   “ครับ”

   หมอจัดการคลายกระดุมเสื้อแล้วทิ้งตัวลงนอน ผมเดินไปเปิดพัดลมให้เขา อากาศมันไม่ร้อนจนถึงกับต้องเปิดแอร์ ให้เขาสูดอากาศธรรมชาติให้เต็มที่ดีกว่า ไม่นานคนที่บอกว่าจะไม่นอนก็หลับสนิท ผมเดินไปปัดผมหน้าที่ไม่ได้เซตไว้ก่อนจะลูบเบาๆ

ผมรู้ว่าเขาต้องขึ้นเวรติดกันหลายวันเพื่อที่จะได้ลาหยุดยาว แถมยังขับรถเองอีกต่างหาก ให้เขาพักผ่อนไปน่ะดีแล้ว

   “พักผ่อนนะครับ เดี๋ยวหมอต้องเจอกับความวุ่นวายอีกเยอะครับ ได้ช่วยปั้นแน่ๆ ไม่ต้องห่วง”

   งานมงคลบ้านอรัญพัชร ผมว่าหมอไม่รอดหรอกครับ



https://twitter.com/_SeenYu

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-02-2020 21:19:12
แหม... ๆ ๆ ๆ ไม่ห่วงแผลผ่าตัดกันเลยนะ
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-02-2020 07:47:37
คุณหมอติดแฟนน่าดู.  :hao3:

จะได้เปิดตัวกันงานนี้เลยหรือเปล่าน้า
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: tawanna ที่ 20-02-2020 09:11:16
งานนี้อาจจะมียกน้ำชาสองคู่ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 20-02-2020 14:11:17
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-02-2020 14:49:52
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 26-02-2020 21:39:21
แอบหวานกันเบาๆนะตอนนี้ จริงๆที่บ้านเค้าก็รุ้กันละม้าง รักกันก็บอกไปจะได้ไม่อึดอัด
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่32(19/2/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-02-2020 23:16:49
หวานกันมากนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่33(9/3/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 09-03-2020 20:04:45
Chapter – 33

หมอครับ Pre-Wedding 2


   “อาปั้น เตรียมสมุดเขียนคำอวยพรรึยาง”

   “เตรียมแล้วครับ”

   “ปั้น โปรเจคเตอร์มันเปิดยังไง อี๊เช็คไม่เป็นอ่ะ”

   “ออ แป๊บนะครับ เดี๋ยวปั้นจัดการให้”

   “ข้าวปั้น เฮียหาสังข์ไม่เจอ เหมือนจะเอามาแล้ว แต่ไปวางไว้ไหนไม่รู้”

   “ปั้นเห็นวางไว้ในห้องนั่งเล่นครับ เดี๋ยวปั้นเอาไปวางไว้ตรงชานให้นะ”

   “ปั้น ริบบิ้นไม่พอ ไปซื้อที่ไหนอ่ะ”

   “เดี๋ยวจดมาก่อนนะครับ เดี๋ยวปั้นให้เด็กไปซื้อให้”

   “ปั้น”

   “คร้าบบบบ”

   สารพัดนายข้าวปั้นที่โดนเรียกใช้งานเยี่ยงเบ๊จิปาถะ ขณะที่ม๊ากับป้าสรเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารและของว่างสำหรับเลี้ยงแขก ส่วนป๊าคุยเรื่องพิธีกับพ่อแม่พี่กรและดูความเรียบร้อยของสถานที่ เฮียปุ้นไปติดต่อพระสงฆ์ที่วัดเพื่อนิมนต์มาทำพิธีมงคลในพิธีเช้า เจ้ข้าวฟ่างดูเครื่องแต่งการของเจ้าสาวรวมถึงจัดห้องหอให้เรียบร้อยด้วย

   ดังนั้นหน้าที่ของขาด ของเหลือ ของหาย บรรดาญาติๆ ที่ไม่คุ้นเคยสถานที่ก็เอาแต่เรียกถามผมทำให้ต้องเดินขึ้นเดินลงบ้านรวมระยะทางน่าจะพอๆ กับมินิมาราธอน

   เพิ่งรู้ซึ้งว่ามีบ้านหลังใหญ่มันลำบากก็วันนี้

   ถึงคนจะเยอะ แต่นอกจากพวกผู้ใหญ่ก็ยังมีเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานญาติพากันวิ่งเล่นวุ่นวายจนผมที่เดินถือหม้อใส่แกงฮังเลใบขนาดกลางโดนเด็กวิ่งชนจนแกงร้อนกระฉอกรดอก

   “เชี่ย! ร้อน!”

   ผมยืนนิ่งพลางนิ่วหน้าร้อนไปทั้งตัว เด็กๆ พากันชะงักก่อนจะร้องเสียงหลงเรียกให้คนที่อยู่บริเวณนั้นชะโงกหน้าออกมามองอย่างตกใจ

   “ปั้น!”

   คนที่อยู่ใกล้ผมที่สุดตอนนี้เป็นคนที่ผมไม่เจอหน้ามานาน เจ้าของผมสั้นสีน้ำตาลทองสวยวิ่งลงจากบันไดชั้นบนมาหาผมที่ยืนนิ่งไม่ขยับเพราะไม่รู้จะทำยังไงดีกับสภาพแกงฮังเลรดตัว ผมเงยหน้ามองหญิงสาวที่รีบรับหม้อแกงฮังเลไปวางไว้ข้างๆ ด้วยท่าทางร้อนรน

   “เหมย?”

   “แป๊บนะ ปั้นถอดเสื้อได้มั้ย มันน่าจะร้อนมาก” เหมยแตะๆ เสื้อผมที่ถูกย้อมเหลืองไปแล้วอย่างกล้าๆ กลัวๆ ผมพยักหน้าก่อนจะถอดเสื้อออกพลางเอาส่วนที่ไม่เปื้อนเช็ดคราบไปด้วย เหมยลากผมให้ไปที่สายยางข้างๆ บันไดบ้านก่อนจะเปิดมันแล้วรดน้ำใส่ผมจนเปียก ผมได้แต่ยืนนิ่งให้เธอรดเป็นดอกชวนชม

   “ยังแสบอยู่มั้ย ผิวปั้นแดงมากเลย” หญิงสาวปิดก๊อกน้ำแล้วทำท่าจะแตะหน้าอกที่แดงเถือกของผม แต่เธอก็ยั้งมือไว้ก่อนจะล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับให้แทน ผมยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรเพราะไม่อยากให้ผ้าเช็ดหน้าเธอเปื้อน

   “ไม่เป็นไรเหมย เราโอเค แสบนิดหน่อย แกงไม่ได้ร้อนมาก เดี๋ยวเราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบน”

   “แน่ใจนะ?”

   “อื้ม” ผมหัวเราะแห้งๆ ไม่กล้ามองหน้าเธอ เหมยชักมือกลับไปก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าทำแบบนี้มันไม่น่าจะเหมาะ หญิงสาวหัวเราะเขินๆ ก่อนจะทักผมใหม่อีกรอบ

   “ไม่เจอกันนานเลย สบายดีนะ”

   “อื้อ สบายดี เหมยล่ะ”

   “เราก็... เหมือนเดิม”

   ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ บรรยากาศมันค่อนข้างกระอักกระอ่วน แหงแหละ แฟนเก่าที่จบกันไม่ค่อยสวยสมัยมหาลัย ตั้งแต่เลิกกันก็ไม่ได้คุยหรือเจอหน้ากันอีกเลย เพราะผมเป็นคนที่ตั้งแต่จบมายังไม่เคยไปงานเลี้ยงรุ่นเลยสักครั้ง และที่เธอมางานแต่งของเจ้หอมก็เพราะว่าเธอเป็นน้องรหัสโรงเรียนมัธยมที่สนิทกันกับเจ้หอมนั่นเอง ตอนที่ผมกับเหมยเลิกกัน เจ้หอมถึงกับบ่นจนผมหูชาไปเป็นอาทิตย์ หาว่าผมจะทำให้เจ้กับเหมยเสียพี่เสียน้องกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น

   “ปั้น ไม่ไปงานเลี้ยงรุ่นเลยเนอะ เราไปทุกปีไม่เคยเจอปั้นเลย”

   เหมยเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน เธอหลุบตามองต่ำพลางยิ้มบางๆ ผมลอบสังเกตคนที่จะว่าสวยขึ้นก็สวยขึ้นแหละ เหมยน่ะสเปคผมเลย ตัวเล็กแต่มีเนื้อหนังน่ากอด ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงใจแป้วไม่กล้ามองไปแล้ว ผมกระแอมไอเล็กน้อยก่อนหันไปมองรอบๆ แบบเขินๆ

   “เรา... ไม่ค่อยว่างน่ะ”

   “เหรอ... เรานึกว่าปั้นไม่อยากมาเจอหน้าเราซะอีก ตอนที่จะมาที่นี่เราก็กลัวเหมือนกันว่าปั้นจะไม่อยากเจอเรารึเปล่า”

   “คิดมากน่าเหมย เราไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ผมยิ้มให้เธอ เหมยเหลือบตาขึ้นมาสบกับผมก่อนจะสะดุดกับรอยเย็บแผลทั้งสองข้างตรงท้อง เธอเบิกตากว้างก่อนจะถามอย่างตกใจ

   “ไปโดนอะไรมาน่ะ ทำไมมีแผลใหญ่ขนาดนั้น”

   ผมก้มมองก่อนจะผงะถอย

   “คือ... อุบัติเหตุน่ะ ไม่เป็นอะไรหรอก”

   “แล้วโดนน้ำไม่เป็นอะไรเหรอ ตายแล้ว” เธอละล่ำละลักถามอย่างเป็นห่วง ผมหัวเราะให้กับท่าทางโก๊ะๆ

   “ไม่หรอก ตัดไหมแล้ว”

   “ออ... แล้ว...”

   “ข้าวปั้น”

   ก่อนที่เหมยจะพูดอะไรอีก เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านบนบ้านทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่น่าจะนอนอยู่ในห้องจ้องเขม็งมาทางผมก่อนจะเหลือบไปมองเหมยที่ทำตัวไม่ถูก

   “เอ่อ งั้นเดี๋ยวเราเอาหม้อไปไว้ในครัวให้นะ ปั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วกัน”

   “เฮ้ย ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราเอาไปไว้เอง” ผมรีบปฏิเสธเพราะแกงในหม้อก็ยังเหลือตั้งเยอะ เพราะมันเป็นหม้อที่จะเอาไว้เลี้ยงญาติๆ ที่มาช่วยงานกันตอนเย็น แต่ว่าเหมยกลับรีบยกมันขึ้นแล้วหันมาส่งยิ้มกว้างๆ ให้

   “เอาน่า ค่ำแล้วอากาศเย็น เดี๋ยวไม่สบาย ไปเถอะๆ”

   ผมยิ้มเจื่อน เอ่ยขอบคุณคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือ หญิงสาวเหลือบไปมองหน้าคนที่ยืนหน้ายักษ์ด้านบนด้วยสายตาไม่เข้าใจก่อนจะเดินจากไปทางหลังบ้าน ผมมองตามก่อนจะเดินขึ้นมาด้านบนพร้อมกับเสื้อที่เปื้อนคราบแกงสีเหลืองอ๋อย หมอขมวดคิ้ว ผมหยักศกค่อนข้างยุ่งเหมือนพึ่งลุกจากที่นอนมา เขามองสภาพผมก่อนจะถาม

   “ทำไมตัวเปียกแบบนี้”

   “ออ เด็กๆ มันวิ่งมาชนผมตอนกำลังจะเอาแกงฮังเลไปตั้งน่ะครับ เลยหกใส่ มันร้อนผมเลยถอดเสื้อออก”

   หมอคลายสายตาเย็นๆ เมื่อฟังเหตุผลก่อนจะลูบหัวผมเบาๆ

   “ไปอาบน้ำเถอะครับ อากาศเย็นแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย”

   “ครับ”



   ผมเข้าไปอาบน้ำจนเสร็จแต่ก็ลืมไปว่าไม่ได้เอาชุดเข้ามาเปลี่ยนในห้องน้ำด้วยเพราะความเคยชินที่ว่าเป็นห้องของตัวเอง ผมเลยเดินพันแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปกปิดส่วนล่างไว้พลางใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ หมอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับกล่องยาที่เขาอุตส่าห์พกมาจากกรุงเทพด้วยกับว่านหางจระเข้ที่คงไปตัดมาจากด้านล่างของบันไดบ้าน

   เขาเหลือบมองผมก่อนจะมองต่ำลงไปจนผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

   “มานี่ก่อนครับ ขอดูแผลลวกหน่อย” หมอกวักมือเรียให้นั่งลงบนเตียง เขาแตะๆ หน้าอกขาวของผมที่แดงเป็นปื้นแต่ไม่มีแผลพุพองอะไรให้น่าเป็นห่วง เขาขอยืมผ้าเช็ดผมมาซับน้ำที่บริเวณอกให้ก่อนจะเอาเนื้อว่านหางจระเข้ปาดลงไป นิ้วยาวเรียวของเขาแตะพลางไล้ว่านเหนียวๆ เย็นๆ ไปจนทั่วแผ่นอก

   มันจะไม่รู้สึกอะไรถ้าไม่ใช่ว่าเขาทาไปด้วย เหลือบตามองผมไปด้วยอ่านะ

   “เอ่อ... ผะ... ผมไปใส่กางเกงก่อนดีกว่า”

   ผมทำท่าจะลุก แต่มือใหญ่ข้างที่ไม่เปื้อนกลับรั้งแขนผมเอาไว้นั่งที่เดิม นัยน์ตาสีเขียวคมๆ จ้องดุให้ผมอยู่เฉยๆ แต่ว่า... ไอ้สัมผัสของเขามันทำให้เจ้าลูกชายที่ไม่มีอะไรบังไว้นอกจากผ้าเช็ดตัวผืนบางมันกำลังจะทรยศน่ะสิ

   “ทาก่อน จะเสร็จแล้ว”

   อะไรเสร็จ

   ผมหลบตาเขาที่ยังมองผมไม่เลิก จากที่นิ้วอุ่นๆ แตะแค่บริเวณรอยแดง มันค่อยๆ ลามไปที่ตุ่มไตสีอ่อนข้างๆ กันซะงั้น...

   “เดี๋ยวๆๆๆ ตรงนี้มันไม่แดงซะหน่อย!”

   “หืม... ก็แดงอยู่นะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขยับอยู่บนใบหน้าคมคาย ผมเม้มปากแน่นก่อนจะตีมือเขาไปทีนึงอย่างหมั่นไส้ หมอเริ่มเปลี่ยนจากการใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางทาว่านมาเป็นใช้นิ้วโป้ง... ผมถอยหนีแต่เขากลับเข้ามาใกล้แล้วรั้งเอวของผมไว้แน่น ไม่วายแกล้งสอดมือเข้าไปในผ้าเช็ดตัวด้วยมือข้างที่เคยรั้งเอวผมไว้

   “หมอ... หมอครับ เดี๋ยวนะ”

   “นิดนึง”

   หมอบ้ากามขยับหน้าเข้ามาก่อนจะฉวยเอาความหวานจากริมฝีปากผมไป จูบเบาๆ ตอนแรกกลายเป็นเริ่มลึกซึ้ง มือใหญ่เตรียมกระตุกผ้าเช็ดตัวผมออก นิ้วโป้งยังบดขยี้ที่ยอดอกของผมเล่นอย่างมันมือจนมันเริ่มแข็งสู้ อะไรๆ ที่มันสงบก็เริ่มจะตื่นตัวจนดันผ้าผืนบางออกมา มือของผมพยายามจับข้อมือใหญ่ที่ป้วนเปี้ยนแถวๆ ปมผ้าไม่ให้ซนมากกว่านี้

   ก๊อกๆๆ

   ผมสะดุ้งเฮือก ในขณะที่คนขยันหื่นทำได้แค่ถอนลิ้นออกไปแต่ยังอุตส่าห์ดูดเม้มริมฝีปากล่างที่เริ่มช้ำจากการจูบเมื่อกี้อย่างมันเขี้ยว เขาไม่สนใจเลยว่าข้างนอกใครเคาะอยู่ เพราะมือเขาดันอกผมให้นอนราบลงกับเตียงแล้ว

   “หมอ... ใคร...?”

   ผมเลิ่กลั่ก เสียงเคาะประตูดังอีกรอบ ทำให้ผมต้องตะโกนกลับไป

   “คะ... ครับ! คะ... ใครครับ?!”

   เสียงผมตะกุกตะกักเมื่อตอนนี้ มือที่กำลังจะแงะปมผ้าขนหนูออก เปลี่ยนใจเป็นสอดรอยแยกของผ้าเข้าไปเคล้นคลึงสิ่งที่อยู่ใต้ร่มผ้าแทน ผมถลึงตาใส่คนที่เท้าศอกคร่อมผมไว้ ตาสีเขียวมีรอยขบขัน

   “เจ้เอง เจ้มาตามลงไปกินข้าว”

   “อะ... ออ ครับ ดะ... อะ... ดะ... เดี๋ยวปั้นตามไป กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ครับ” ผมตอบกลับเจ้ข้าวฟ่าง ก่อนจะกัดฟันดุคนที่ยังเล่นไม่เลิก เขาจ้องปฏิกิริยาของผมแล้วหัวเราะ มือร้อนกอบกุมส่วนสำคัญไว้แล้วเริ่มขยับมือ เล่นเอาผมยกชันขาหนีบชิดเพราะความเสียววูบ

   “น้องเหมยบอกเจ้ว่าปั้นโดนแกงหกใส่ เป็นไงมั่ง ทายายัง?”

   “ทะ... ทาแล้วครับ ทา... ทาแล้ว” เสียงผมเริ่มแผ่ว ก่อนจะยกมือปิดปากเมื่อหมอขยับมือเร็วขึ้น ลำตัวหนาของเขาเอนตะแคงอยู่ข้างๆ แต่แขนใหญ่แทรกอยู่ระหว่างขาสองข้างของผมที่สั่นระริก เขาจูบที่กกหูของผมพลางกระซิบ

   “เสียงสั่นเชียว”

   “หมอ... หยุดครับ หยุด”

   ผมพยายามพลิกตัวหนี แต่ลำแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกลับสอดเข้ามากอดผมไว้แล้วลากให้เข้ามาในอ้อมแขน ผมเลยทำได้แค่พลิกตัวมุดหน้าลงกับอกเขาเพื่อกลั้นเสียงคราง

   “งั้นเหรอ งั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรีบลงมากินข้าวนะ หมดอดนะจ๊ะ อ้อ! เรียกอคินมากินด้วยนะจ๊ะ”

   “ครับ ครับเจ้ฟ่าง...”

   เสียงฝีเท้าของเจ้ค่อยๆ ห่างออกไป ผมเกาะเสื้อของหมอแน่น ครางฮือในลำคอเมื่อเขาขยับมือเร็วขึ้นกว่าเดิม มันทำให้ผมเผลอขยับสะโพกตาม ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายใกล้ๆ หูจึงลอบเบือนหน้ามองคนกำลังกลั้นอารมณ์ตัวเองตาปรือ หมอจูบหน้าผากชื้นเหงื่อและน้ำที่เกาะเส้นผมของผมก่อนจะเลื่อนลงมาที่ลำคอ

   “อา... หมอ... ปั้น... ปั้นจะ...”

   “อืม... จูบหน่อย”

   เขาขอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ ลิ้นชุ่มสอดเข้ามาในปากเพื่อกระหวัดเกี่ยวกับลิ้นของผมอีกครั้ง ยิ่งเขาจูบก็ยิ่งรู้สึกว่าสมองมันโล่ง ก่อนที่ร่างของผมจะกระตุกเกร็ง ปลดปล่อยจนเต็มมือที่รูดรั้งด้วยจังหวะที่เร็วจนผมหายใจกระชั้น เสียงครางดังแค่ในลำคอเพราะหมอเขาไม่ยอมถอนจูบออกเพื่อปิดกลั้นเสียงที่อาจจะดังออกไปจนคนข้างนอกได้ยิน

   “เยอะเหมือนกันนะ แค่สองอาทิตย์เอง”

   หมอถอนมือออก เขาแอบเอาของเหลวที่เปรอะเปื้อนปาดช่องทางแคบด้านหลังเหมือนแกล้งจนผมขมิบแทบไม่ทัน กลัวเขาต่อยกสองแล้วเราจะไม่ได้ไปกินข้าวกันทั้งคู่ เพราะถ้าหมอเริ่มลงมือเมื่อไหร่ นานแน่นอน...

   “นิสัยไม่ดีครับ”

   “ก็รู้ว่าชอบ”

   เขายิ้มล้อเลียนจนผมย่นหน้า กระถดตัวหนีพลางหันไปดึงทิชชู่บนหัวเตียงออกมาหลายแผ่นเพื่อเช็ดมือให้เขา เห็นแล้วก็อาย... คนตัวโตนั่งแบมือให้ผมทำความสะอาดมือให้เขาแบบลวกๆ

   “ไปล้างมือครับ”

   ผมทิ้งทิชชู่ที่ชุ่มไปด้วบคราบของเหลวลงในถังขยะ ก่อนจะลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้า ผมแอบเห็นนะว่าหมอมองบั้นท้ายผมน่ะ นับวันยิ่งลามก...

   แต่โทษเขาคนเดียวก็ไม่ได้ ใช่ว่าผมจะไม่ชอบ

   “ผู้หญิงคนนั้น ใครเหรอครับ” หมอเดินเข้าไปในห้องน้ำพลางถาม ขณะที่ผมใส่เสื้อผ้าจนเสร็จถึงตอบ

   “เพื่อนน่ะครับ”

   “แค่เพื่อนแน่นะ?”

   หมอถามย้ำ ผมเม้มปากนิดหน่อย ก่อนจะกรอกตาหนีสายตาคาดคั้น

   “ข้าวปั้น”

   “แฟนเก่าสมัยมหา’ลัยครับ แต่จบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เราก็เป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นครับ”

   ผมยอมสารภาพเสียงอ่อยเมื่อคนถามดูจะไม่เชื่อง่ายๆ ให้เขารู้จากปากผมดีกว่าไปรู้จากปากคนอื่น คนที่ได้คำตอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปหยิบมือถือบนหัวเตียง เขาไม่พูดอะไรจนผมคิดว่าเขาจะโกรธรึเปล่า? แต่พอคิดอีกที หมอเขาน่าจะเป็นคนที่มีเหตุผล

   แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า

   “ไปกินข้าวกันเถอะครับ คนอื่นจะรอ”

   หมอเดินไปที่ประตูโดยไม่หันกลับมาถามอะไรต่อ ผมเผลอลูบอกตัวเองที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ นึกว่าเขาจะมีปฏิกิริยามากกว่านี้เสียอีก ก็ยังดีที่ไม่อารมณ์เสีย

   หมอเป็นผู้ใหญ่จังแฮะ ไม่หงุดหงิดกับเรื่องแบบนี้ ผมต้องเอาเป็นเยี่ยงอย่างบ้างแล้วล่ะ

   หารู้ไม่... ว่าความคิดนั้น ผิดถนัด



https://twitter.com/_SeenYu

ขอโทษที่หายไปนานนะค้า แฮ่ๆ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่33(9/3/63)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-03-2020 21:27:44
งานเข้าไม่รุ้ตัวอีกแล้วปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่33(9/3/63)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-03-2020 00:39:23
หมอนี่นะ เอะอะเป็นแกล้งข้าวปั้นตลอด น่าตีมือจริงเชียว
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่33(9/3/63)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-03-2020 21:11:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่33(9/3/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-03-2020 21:14:58
ปั้นพลาดแล้ว หมอขี้หึงขี้หวงจะตาย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่33(9/3/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-03-2020 23:23:28
สงสัยจะโดนจัดหนักแน่ๆ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่33(9/3/63)
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 11-03-2020 02:28:16
ตามอ่านทันแล้ว :mew3:สนุกมากอยากอ่านตอนต่อไปอีกเร็วๆจัง :katai4: เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 05-04-2020 21:32:32
Chapter – 34

หมอครับ Pre-Wedding 3


   เนื่องจากสถานที่จัดงานแต่งนั้นอยู่บนเขาบนดอย แขกเหรื่อส่วนใหญ่ถ้าไม่จองบ้านพักโฮมสเตย์ใกล้ๆ ก็จองโรงแรมในเมืองแทน ถึงแม้ว่าการเดินทางจะค่อนข้างลำบาก แต่แขกที่มาก่อนก็มีไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะส่วนใหญ่หวังจะมาเที่ยวไร่อันนาที่ไม่เปิดให้คนนอกเข้าๆ ออกๆ เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป

   ก่อนหน้าวันแต่งงานหนึ่งวันมีคนเต็มบ้าน พวกพี่ดินเองก็ลางานวันนึงเพื่อเดินทางตอนเย็นวันพฤหัสบดีแล้วมาถึงที่นี่เช้าๆ วันศุกร์พอดี แต่ก่อนที่พวกพี่ดินจะมาถึง คนที่นั่งเครื่องมาก่อนก็โทรให้ไปรับที่สนามบินตอนเจ็ดโมงเช้า

   ไม่ต้องถามเลยว่าใครจะไปรับ

   ผมงัวเงียคว้ามือถือที่แผดเสียงร้องตั้งแต่ไก่โห่ เสียงพี่เจี้ยนดังเข้ามาแต่ผมกลับทำได้แค่เออออไปเพราะง่วงจนฟังไม่รู้เรื่อง หมอที่นอนอยู่ข้างผมตื่นตามก่อนจะถามเมื่อสายถูกวางไปแล้ว

   “ใครครับ?”

   “อืม... ใคร... ซักคนเนี่ยแหละ”

   ผมโยนมือถือไปกองไว้ที่เดิมก่อนจะมุดตัวเข้าผ้าห่มเพื่อหนีอากาศที่เย็นเยือกตอนเช้าตรู่พลางซุกตัวเข้าหาไออุ่นข้างๆ ผมเพิ่งได้นอนตอนตีสาม ผมจะไม่ตื่นจนกว่าตะวันจะส่องตูดนั่นแหละ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่ยอมเด็ดขาด ใช้งานผมยันฟ้าสางได้นะ แต่อย่ามาเรียกถ้าผมไม่ตื่นเอง ไม่งั้นความดันต่ำแล้วผมจะหงุดหงิดไปทั้งวันเลยทีเดียว

   เหมือนคนข้างตัวจะหยิบเอามือถือผมขึ้นมากดดูเบอร์คนที่โทรเข้ามาแทน เขาลูบหัวผมแล้วถามอีกครั้ง

   “เจี้ยนโทรมา คงจะให้ไปรับ ให้เฮียไปรับให้มั้ย”

   “อือ... ไม่ เดี๋ยวก็มีคนไปเองแหละครับ” ผมสะลึมสะลือตอบ ซุกหน้ากับหมอน หมอเห็นว่าผมเริ่มจะหงุดหงิดจึงเลิกถาม เขาจัดแจงผ้าห่มให้เข้าที่ก่อนจะลุกออกจากเตียง พอไออุ่นหายไปผมก็เริ่มงอแง

   “หนาวครับ”

   คนที่ลุกออกไปกลับมานั่งบนเตียงอีกครั้งก่อนจะกดจูบหนักๆ ลงบนหัวยุ่งๆ

   “นอนต่อไปก่อนนะ”

   “งือ...”



   ผมตื่นเกือบสิบโมง ไม่มีใครปลุกแต่ต้องตื่นเพราะเสียงดังจากการเตรียมของและเสียงคนเปิดประตูเข้าๆ ออกๆ จากห้องข้างๆ แขกคงจะมากันเยอะพอสมควร เมื่อผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาที่ชานบ้าน เห็นเนกับฟางที่มาด้วยรถของพี่ดินนั่งทานขนมอยู่ที่เก้าอี้ยาวแต่คนที่ขับกลับไม่อยู่ด้วย

   “มากันแล้วเหรอ พี่ดินล่ะ?” ผมถาม

   “นอน ขับรถทั้งคืน” ไอ้เนเป็นคนตอบ มันหาวหวอด คงจะนอนหลับไม่สนิทพอๆ กัน ข้างๆ มีฟางที่เอนหัวพิงไหล่หลับตาอยู่ เธอตาปรือเหมือนคนอดนอน

   “พี่ข้าว มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ ด้านล่างคนเยอะจนฟางไม่รู้จะช่วยอะไรแล้ว”

   “ไม่ต้องหรอก ไปนอนก่อนสิ มานั่งหลับอะไรแถวนี้” ผมหัวเราะ ฟางย่นหน้า

   “ไม่เอาอ่ะ ฟางเกรงใจ”

   “เป็นแขกทำตัวตามสบายเถอะ”

   ผมไล่ให้ทั้งสองคนไปพักผ่อนในห้องที่เตรียมไว้ ฟางนอนกับเจ้ข้าวฟ่าง ส่วนห้องเฮียปุ้นยกให้พวกสามหนุ่มไป

   “ว่าแต่ พี่เจี้ยนล่ะ น่าจะมาตั้งแต่เช้า” ผมถามเมื่อยังไม่เห็นหน้าคนที่โทรมาให้ไปรับ แต่ผมกลับส่งมือขับอันดับหนึ่งของไร่ไปรับแทน ผมบอกเขาไว้ตั้งแต่วันที่มาถึงแล้ว ซึ่งคนคนนั้นก็คงจะยินดีไปรับจนปิดสายตาไว้ไม่มิดเชียวล่ะ

   “ช่วยงานอยู่ด้านล่างน่ะ บ้านพี่ข้าวญาติเยอะเหมือนกันนะ ส่วนใหญ่เห็นแต่ผู้ชาย” ฟางพูด

   “เจ้หอมถือเป็นหลานสาวคนเล็กของตระกูล เรียกว่าโดนสปอล์ยตั้งแต่เกิด พอจะแต่งงานก็เลยแห่กันมาเนี่ยแหละ อย่างที่เห็น บ้านพี่ลูกสาวน้อย” ผมตอบ ฟางพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะยอมลากตัวเองเข้าห้องที่เคยใช้เมื่อตอนมาเที่ยวคราวที่แล้วไปพร้อมๆ กับเนที่แยกเข้าห้องเฮียปุ้น

   ส่วนผม เดินลงบันไดมาช่วยงานที่เหลืออีกแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แอบแวบไปดูตรงชานหลังบ้านที่จัดไว้เป็นโต๊ะเลี้ยงแขกตอนกลางคืน แน่นอนว่าวันนั้นต้องมีไนต์ปาร์ตี้ก่อนส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าเรือนหอ ผมเจอพี่กรกำลังซ้อมคิวเจ้าบ่าวอยู่จึงเดินเข้าไปทัก

   “ตื่นเต้นมั้ยพี่”

   “ลองมาแต่งเองสิจะได้รู้”

   ผมหัวเราะ พิงราวระเบียงที่มองเห็นภูเขาสุดลูกหูลูกตาอย่างผ่อนคลาย พวกญาติผู้ใหญ่คงไปรวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่นเพื่อคุยกันเรื่องพิธีการครั้งสุดท้าย พี่กรเข้ามายืนพิงข้างๆ

   “พี่กร ปั้นฝากเจ้หอมด้วยนะ”

   ผมเอ่ยกับคนที่จะมาเป็นพี่เขยเต็มตัวในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พอคิดว่าเจ้หอมต้องไปเป็นเจ้าสาวของคนอื่นจริงๆ มันก็อดใจหายไม่ได้ พี่น้องบ้านเราสนิทกันมาก แม้จะทำงานต่างที่ต่างทาง แต่เราก็ถือว่ายังเป็นของป๊ากับม๊า แต่วันพรุ่งนี้ เจ้หอมต้องออกเรือนไปเป็นของคนอื่น ผมเชื่อว่าไม่ได้มีแค่ผมหรอกที่รู้สึกเหมือนถูกพรากครอบครัวไป

   ผมได้แค่อวยพรให้คนที่จะมาพาพี่สาวออกไปจากอ้อมอกพ่อกับแม่นั้นดูแลเธอให้ดี ให้ดีกว่าที่ครอบครัวเราดูแล

   “เจ้หอมน่ะ ทำกับข้าวก็ไม่เป็น งานบ้านก็ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จะไปเป็นลูกสาวบ้านพี่ได้ดีมั้ย”

   ผมกรอกตามองฟ้าด้วยจิตใจที่วูบโหวง

   “ดูแลพี่สาวผมด้วยนะครับ”

   พี่กรมองผมก่อนจะตบบ่าแคบๆ ดังป้าบๆ  ส่งรอยยิ้มใจดีและหนักแน่นมาให้

   “ด้วยชีวิต”



   คืนก่อนแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะถูกจับให้แยกกัน บ้านของเฮียปุ้นเลยถูกใช้เป็นที่นอนของเจ้าบ่าว ซึ่งถือเป็นการรวมตัวกันของเหล่าชายฉกรรจ์ พวกผู้ชายก็ไปสังสรรค์จัดปาร์ตี้สละโสดกันฝั่งนู้น ส่วนเพื่อนเจ้าสาวก็อยู่สังสรรค์มุ้งมิ้งสละโสดกันที่เรือนใหญ่นี้

   แน่นอนว่าพวกผมต้องไปแจมกับฝั่งเจ้าบ่าวอยู่แล้ว

   เสียงเพลงกระหึ่มลั่นเขา ดีไม่ดีอาจจะดังไปจนถึงเรือนใหญ่ เหล้าเบียร์มาครบ อาหารปิ้งย่างจัดเต็ม เฮียปุ้นถือเป็นเจ้ามือใหญ่เลี้ยงต้อนรับว่าที่น้องเขย แต่ไม่อนุญาตให้เจ้าบ่าวแตะเหล้าเกินหนึ่งแก้ว ดังนั้น พี่กรถึงต้องครองแก้วเบียร์หนึ่งแก้วให้อยู่จนจบงาน

   แน่นอนว่าวงสนทนาของพวกผู้ชาย มักจะหยาบคาย... และออกอากาศไม่ค่อยได้ ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับการคุยกับคนแปลกหน้า เลยออกมานอกบ้าน ยืนปิ้งหมูย่างอยู่หน้าเตาเพื่อส่งเข้าไปให้พวกขี้เหล้าเป็นกับแกล้ม

   อย่าถามหาหมอ พี่ดิน พี่เจี้ยนหรือไอ้เนเลยครับ ถูกเฮียปุ้นลากเข้าไปในวงขี้เหล้าเรียบร้อยแล้ว

   เฮ้... พรุ่งนี้พี่กรต้องตื่นมาแต่งหน้าตอนตีสี่นะเว้ย

   เละแหงๆ

   แน่นอนว่าขบวนขันหมากก็หนีไม่พ้นพวกที่เย้วๆ กันอยู่ข้างในนั่นแหละ ตอนนี้ถึงจะไม่รู้จักหรือสนิทกับเจ้าบ่าวก็คงจะสนิทกันแล้ว

   “น้องปั้น เอาหมูย่างมาอีกกกกก”

   เสียงของเพื่อนพี่กรตะโกนขอมาจากข้างใน ผมตะโกนกลับไป

   “คร้าบ”

   ผมย่างเนื้อจนหน้าไหม้ โยกตามจังหวะเพลงด้านในพลางยกกระป๋องเบียร์มากระดก ผมเองก็ไม่ต่างจากพี่กร เพราะโดนหมอสั่งเข้มว่าห้ามดื่มเกินหนึ่งกระป๋อง เลยทำได้แค่จิบๆ เพราะไม่อยากให้มันหมดเร็ว

   “น้องปั้น พี่ขอเนื้อหน่อยครับ”

   ผมหันไปจะคีบเอาเนื้อที่ย่างสุกแล้วให้กับคนที่เข้ามาขอ ร่างสูงสันทัดดูดีแต่น่าจะสูงกว่าผมไม่เท่าไหร่เดินถือจานกระดาษมายืนข้างๆ ผมหรี่ตามองผ่านแสงไฟสลัวๆ จากเตาย่างสักแวบก่อนจะนึกออกว่าเขาคือใคร

   “หวัดดีครับพี่ตุลย์ นี่ครับ”

   ผมผงกหัวทักทายเพื่อนพี่ชายที่ยิ้มหล่อมาให้ สารวัตรสืบสวนที่เคยช่วยเหลือเรื่องข้อมูลคดีลักพาตัวยื่นจานมารับเนื้อที่เพิ่งเอาขึ้นจากเตา ผมคงจะรีบวางเกินไปจนทำให้เนื้อร้อนๆ โดนมือของเขาจนเจ้าตัวร้องออกมา

   “ซี้ด... ร้อน”

   “เฮ้ย! ชิบหาย ขอโทษครับพี่ตุลย์ ระ.. ร้อนมากมั้ยครับ”

   ผมรีบวางเนื้อลงกับเตา ทิ้งคีมคีบไว้ข้างโต๊ะก่อนจะดึงมือเพื่อนเฮียมาดู

   ตายห่า เฮียจะด่ากูมั้ยเนี่ย?

   “ขอโทษนะครับ เอ่อ...” ผมล่อกแล่กหาน้ำเพื่อที่จะมาราดดับความร้อนที่ลวกมือเขา แต่คนที่ถูกผมจับมือไว้กลับเปลี่ยนมาเป็นจับมือผมแทน เล่นเอาผมขนลุกพรึ่บ!

   “มะ... มีอะไรครับ”

   “ไม่เจอหน้าตั้งนาน สูงขึ้นป่ะเนี่ย”

   “ฮะ? ฮ่าๆๆๆ ไม่หรอกครับ ก็ตัวเท่าเดิม” ผมค่อยดึงมือออก ลืมไปเลยว่าเพื่อนคนนี้ของเฮียปุ้นรสนิยมไม่ต่างจากเฮียเท่าไหร่นักหรอก สารวัตรหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะมองมือผมอย่างเสียดาย เขาสะบัดมือเบาๆ ไล่ความร้อนก่อนจะเท้ามันลงกับโต๊ะไม้ที่ใช้วางเนื้อสดและสุก ตาเรียวมองผมด้วยแววประหลาด

   อึดอัดวุ้ย...

   “เอ... พี่ตุลย์มาเอาเนื้อใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมหั่นให้นะ”

   ผมไม่รู้จะทำตัวยังไง เลยทำได้แค่เอาชิ้นที่สุกแล้วมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หวังจะรีบส่งให้เขาจะได้รีบๆ ไปเสียที

   แต่ผิดคาด เมื่อคนที่เท้าโต๊ะอยู่ข้างๆ กลับโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งเป่ารดอยู่หลังใบหู

   “ได้ข่าวว่าน้องปั้นมีแฟนแล้ว จริงเหรอครับเนี่ย เสียดายจัง”

   “เชี่ย... เอ้ย... ครับ เอ่อ... นะ... นี่ครับ”

   ผมถอยห่าง รู้สึกเสียววาบ ยื่นจานกระดาษคืนให้พร้อมรอยยิ้มแหยๆ คนที่เริ่มทำตัวรุ่มร่ามทำท่าจะหยิบจานกระดาษไปแต่กลับเปลี่ยนใจมาจับข้อมือผมไว้แทน ก่อนที่ผมจะทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้ เสียงสวรรค์ก็ดังมาช่วยชีวิตพอดี

   “ไอ้ข้าว! เนื้อยังไม่ได้อีกเหรอวะ”

   พี่ดินเดินถือจานออกมาด้วยหน้าที่นิ่งตึง เขาพูดกับผมแต่มองหน้าพี่ตุลย์เขม็ง สายตาของพี่ดินเย็นเยียบเหมือนไม่พอใจอย่างแรง จนคนที่ถูกจ้องหัวเราะหึก่อนจะปล่อยข้อมือผม

   ฟู่... พระผู้ช่วยให้รอดแท้ๆ

   “แล้วเจอกันนะน้องปั้น” สารวัตรหนุ่มยักคิ้วให้ผมแล้วเดินถือจานกลับเข้าไปข้างใน พี่ดินเหลือบตามองตามก่อนจะหันกลับมามองผม เทพค้อมพ์เปอร์เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะเขกหัวผมทีนึงไม่เบาไม่แรง

   “โอ๊ย! เขกหัวผมทำไมเนี่ย!”

   “ไม่รู้จักระวังตัว ไอ้ฟาย”

   “เชี่ยพี่ ใครจะรู้วะว่าพี่แกจะกล้าทำแบบนั้น ยังขนลุกไม่หาย”

   ผมลูบแขนตัวเองที่ขนลุกชัน สำหรับผม ถ้าไม่ใช่หมอ มันไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ

   พี่ดินกรอกตาเหนื่อยใจ ก่อนจะยื่นจานมาให้ผมเพื่อขอเนื้อย่าง เขากอดอกที่เต็มไปด้วยกล้ามล่ำๆ ยืนจังก้าสวดอภิธรรมบทว่าด้วยการวางตัว

   “มึงนี่นะ ถ้าหมอมาเจอเข้ามีหวังเป็นเรื่อง ยิ่งตอนนี้เมาๆ เขาอาจจะหึงหน้ามืดวางมวยกับไอ้หน้าอ่อนนั่นก็ได้ หัดระวังตัวซะบ้าง มึงไม่ได้โสดโปรโมตได้นะไอ้ข้าว”

   “เฮ้พี่ ผมก็ทำตัวปกติ ไม่ได้ไปอ่อยไปยั่วนะ พี่ตุลย์เขาติดใจผมมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ผมก็พยายามหลีกหนีทุกหนทางนั่นแหละน่า” ผมเท้าเอวข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างจับคีมคีบกลับเนื้ออย่างหงุดหงิด

   ผมไม่ได้ชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรกนะเว้ย!

   พี่ดินถอนหายใจเฮือก รับเนื้อย่างที่หั่นแล้วก่อนจะหันตัวกลับเข้าไปในตัวบ้านที่กำลังสนุก ผมชะงักกึก นึกเอะใจกับคำพูดของพี่ดิน

   “พี่ดิน! เมื่อกี้พี่ว่าไงนะ หมอเมาเหรอ?”

   พี่คนล่ำหันกลับมาพเยิดหน้าให้ด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน

   “เออ โดนพี่มึงมอมของดีเมืองเชียงรายไป สองแก้วจอดเลย”

   “ชิบหาย”

   

   ผมทิ้งเตาแล้วเดินเข้าไปในบ้านที่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายของชายฉกรรจ์นับสิบๆ คน บางคนรู้จักผม บางคนไม่รู้จัก ผมเดินฝ่าเข้าไปหาเฮียปุ้นที่กำลังตั้งวงไพ่กันอย่างสนุกสนาน มีการแทงเงินพนันด้วยแบงค์พันเป็นฟ่อนจนผมเบิกตากว้าง

   เหี้ย... เล่นการพนันต่อหน้าสารวัตรสืบสวนเนี่ยนะ

   ก่อนจะคิ้วกระตุก เมื่อคนที่เป็นเจ้ามือก็ไอ้พี่ตุลย์นั่นแหละ

   เวรกรรม...

   ผมเดินเข้าไปสะกิดเฮียปุ้นที่ปลดกระดุมเสื้อออกจนเกือบหมดเพราะความร้อนของฤทธิ์ ‘ของดีเมืองเชียงราย’ เพื่อถาม

   “เฮีย! หมออยู่ไหน?”

   “หา?!”

   เสียงเพลงในโถงบ้านดังมากจนผมต้องแหกปากถามอีกรอบ

   “ปั้นถามว่า หมอ! อยู่! ไหน!”

   ผมตะโกนข้างหูเฮียปุ้นที่เอียงมาใกล้ ในมือของเฮียยังมีไพ่เรียงอยู่เลย เขาผงกหัวรับเหมือนเข้าใจ ก่อนจะสะบัดหน้าไปด้านหลัง

   “โน่น!”

   ผมมองตามก่อนจะเดินไปยังตั่งไม้ที่มีหลายศพกองเรียงอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือไอ้เนที่ฟุบคอห้อยอยู่บนพื้น

   ร่างสูงใหญ่ของหมอนั่งคอพับพิงกำแพง แว่นตาของเขาหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมหยักศกปรกหน้า เสื้อยืดที่ใส่อยู่ยับย่นจนดูไม่ได้ หน้าคมคายแดงก่ำจนลามลงมาถึงลำคอ

   เชี่ย!!

   “หมอ... หมอครับ เฮ้!”

   ผมเขย่าร่างเขาพลางตะโกนเรียกไปด้วย เขาปรือตานิดๆ ก่อนจะส่ายหัว ยกมือโบกเหมือนไม่รู้ตัว

   “พอ...”

   “พออะไรครับ หมอไม่ไหวแล้วนะ กลับกันเถอะ”

   ผมฉุดร่างสูงให้ลุกขึ้น หมอจะมาจมกองอ้วกไม่ได้นะเฟ้ย ไม่เท่เลย!

   “ปั้น...”

   เขาเรียกผมก่อนจะดึงเข้าไปกอด ผมรีบยันร่างหนาออกก่อนจะตบหน้าเขาไม่เบาไม่แรงไปสองสามทีเรียกสติ พอเห็นว่าคนตัวโตเริ่มสะบัดหน้าลืมตาจึงหันไปตะโกนเรียกเฮียปุ้นที่กำลังมือขึ้นกวาดแบงค์พันเข้าฝั่งตัวเองอย่างสนุกสนาน

   “ไอ้เฮียปุ้น! ช่วยทีดิ๊!”

   “อะไรวะ อ้าว... เอ้อ... เพื่อนกูตายอยู่แถวนี้นี่เอง”

   เวรกรรมประสาทแดก ผมจะสั่งห้ามหมอแดกยาดองตลอดชีวิต เละเทะชิบหาย!

   ผมกรอกตาพ่นเสียงสบถออกมายาวๆ ก่อนจะเขย่าตัวหมออีกรอบ หันไปใช้เท้าสะกิดไอ้เนที่นอนหัวห้อยไม่รู้เรื่องเพื่อถามว่ามันกลับเรือนใหญ่มั้ย ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือการส่ายหน้าแล้วสะดุ้งตัวโน้มออกไปทางหน้าต่างเพื่อพ่นอ้วกออกมา

   ไอ้เวร...

   “หมอ หมอครับ กลับกันนะ เดี๋ยวผมหาเครื่องดื่มแก้แฮ้งค์ให้กิน”

   ณ เวลานี้ผมขอพาคนของผมกลับก่อนล่ะ ขืนให้อยู่ต่อมีหวังเละหนักกว่าเดิม ผมตัดสินใจฉุดร่างใหญ่ที่พอจะยืนไหวแต่ไม่มีสติพอจะตัดสินใจอะไรให้เดินลากตัวเองไปที่หน้าบ้าน สั่งให้เขารออยู่ตรงนี้แล้ววิ่งไปเอามอเตอร์ไซค์มารับเขา ผมสั่งให้หมอขึ้นมานั่งซ้อนท้ายผมไว้ ตัวเขาใหญ่อย่างกับยักษ์ ไอ้ wave 125 ของผมดูเล็กไปเลยทีเดียว

   “หมอ เกาะไว้นะ โถ่เว้ย... เวรกรรมอะไรของกูเนี่ยข้าวปั้น”

   ผมรั้งแขนเขาให้โอบเอวไว้ก่อนสตาร์ทรถ ขี่ด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างจับแขนของเขาไว้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ไหลตกไประหว่างทาง คนตัวใหญ่ทิ้งตัวลงกับแผ่นหลังผมแนบแน่น  อ้อมแขนกระชับขึ้นเหมือนรู้ตัวว่าจะตก

   “ปั้น... หอมจังครับ”

   หอมบ้าอะไร มีแต่กลิ่นหมูย่าง!

   ผมขี่มาถึงเรือนใหญ่โดยสวัสดิภาพ หมอไม่งอแง เขาเริ่มมีสติมากขึ้น ผมจอดรถแล้วใช้ขายันเอาไว้เพราะน้ำหนักของหมอกำลังจะทำให้ขาตั้งเอาไม่อยู่ ผมสะกิดเขาที่ยังกอดเอวผมไม่ปล่อย

   “หมอ ตื่นก่อนครับ ถึงบ้านแล้ว ไปนอนดีๆ นะ เร็วครับ ปั้นหนัก”

   “อืม...”

   เขายอมก้าวลงจากรถ ผมส่ายหัว จูงมือคนเมาเดินขึ้นเรือนที่มีขั้นบันไดหลายสิบขั้น พยายามเหลือเกินที่จะไม่ให้คนที่จับมือผมแน่นสะดุดหัวคะมำ ดีนะที่เรือนใหญ่เปิดไฟสว่างโร่ ฝั่งเจ้าสาวเขาปาร์ตี้กันเสร็จแล้ว คงจะเข้านอนกันเรียบร้อยเพื่อเตรียมตื่นขึ้นมาแต่งหน้าตอนตีสี่ ผมพยายามเดินให้เบาที่สุด จนสามารถพาหมอผู้เมายาดองของดีเมืองเชียงรายเข้าห้องได้สำเร็จ

   “ข้าวปั้น... กอดหน่อย”

   ทันทีที่ถึงห้อง คนตัวโตก็เดินลากเท้าเข้ามากอดผมแน่น ซุกหน้าลงบนบ่าเหมือนกำลังอ้อน ผมจะเคลิ้มกว่านี้นะถ้ากลิ่นบนตัวของเขาไม่ใช่กลิ่นยาดองตลบอบอวลน่ะ!

   “หมอครับ ไม่งอแงนะครับ นอนก่อน เดี๋ยวปั้นเช็ดตัวให้”

   ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ พรุ่งนี้เขาต้องถามหาแว่นตาแหงๆ ผมส่ายหัวเบาๆ อย่างเหนื่อยใจปนขำก่อนจะโดนร่างสูงผลักลงบนเตียงจนกระดอน ผมทะลึ่งพรวดขึ้นมาอย่างตกใจ แต่คนที่ตัวแดงก่ำกลับคลานตามมาแล้วจับขาของผมลากเข้ามาใกล้จนผมหงายหลัง

   “ทำไรเนี่ยหมอ!”

   ผมพยายามตะโกนให้เงียบที่สุด แต่คนที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านกลับจูบที่เท้าของผมก่อนจะปล่อยแล้วแทรกตัวเข้ามาตรงกลางระหว่างขา นัยน์ตาสีเขียวสดเต็มไปด้วยประกายของความต้องการ เขาฉุดมือผมให้ไปทาบทับเป้ากางเกงที่กำลังถูกดันจากความแข็งขืนด้านใน...

   เวรล่ะ หมอเครื่องติดเพราะยาดองเนี่ยนะ...

   ผมกลืนน้ำลายเอือก ไม่... ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตอนนี้... ไม่ๆๆๆ

   “เงี่ยนครับ”

   ผมอยากจะตบปากเขาสักฉาด พูดออกมาได้ไอ้หมอบ้าเอ้ย!

   เขาทำหน้าร้องขอจนผมทำหน้าแหยกลับ มือใหญ่ที่จับข้อมือผมบังคับให้ลูบไล้ความใหญ่โตผ่านเนื้อกางเกงยีนส์แข็งๆ จนผมหน้าชา... เขาอยากให้ผมทำอะไร

   “ละ... แล้วผมต้องทำยังไง”

   หมอเงียบไป ก่อนที่มือใหญ่จะเลื่อนขึ้นมาจับแก้มผม นิ้วโป้งของเขาลูบไล้ริมฝีปากของผมเป็นคำตอบ

   “อยากลองมั้ย”

   ผมกลืนน้ำลายอีกรอบ โดยเฉพาะเมื่อตอนที่คุณหมอนั่งคุกเข่าชันตัวขึ้น เอียงคอพร้อมส่งสายตา นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ปลดกระดุมกางเกง... ตามด้วยซิป...

   ผมเบิกตากว้างมองสิ่งที่ดีดเด้งออกมาปรากฏเบื้องหน้า

   หมอเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผมอีกแล้วครับ



แง หายไปนานเบย แฮ่ๆๆๆๆๆ
โควิดเป็นยังไงกันบ้างค้า Work from home กันเยอะรึเปล่าเนี่ย
พิหมอเหมือนจะอัพเกรดความหื่นขึ้นเรื่อยๆ เเฮะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 05-04-2020 22:11:03
 :z1:  หมอเมาแล้วหื่น ปั้นเอ้ย
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-04-2020 23:24:43
แย่แน่ข้าวปั้น หมอเมา!!!!    :hao3:

หวังว่าจะพากันตื่นมาแห่ขันหมากกันให้ไหวนะจ๊ะ.  :laugh:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-04-2020 23:38:46
ปั้นส่งตัวเข้าหอก่อนซะล่ะมั้ง
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-04-2020 14:09:54
หมอเอ้ย เจอของดีเมืองเชียงรายเข้าให้แล้ว ข้าวปั้นดูแลแขกดีๆ นะอย่าให้เสียชื่อคนเชียงราย อิอิอิ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 07-04-2020 16:29:23
เปิดประสบการณ์ใหม่นี่ทำอะไรกัน :hao7:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-04-2020 23:50:19
จะตื่นไหวมั้ย ข้าวปั้น 555,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่34(4/5/63)
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 09-04-2020 00:35:38
เอ็นดูหมอเมายาดอง55555
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่35(10/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 10-04-2020 22:42:32
Chapter – 35

หมอครับ Marry Me (เกมนับนิ้ว)


   ผมถูกปลุกให้ไปช่วยงานตอนตีห้า ในขณะที่เจ้าสาวและเพื่อนๆ เจ้าสาวลุกขึ้นมาแต่งหน้ากันตั้งแต่ตีสามเพื่อให้ทันพิธีหมั้นในตอนเช้าตามฤกษ์ คนที่ปลุกผมก็คือหมอที่ต่อให้เขาเมาเละเทะยังไงก็ยังคงเป็นคนที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกแล้วสะดุ้งตื่นตลอดอยู่ดี

   ผมงัวเงียลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพที่เปลือยเปล่า แม้ว่าเมื่อคืนจะไม่หนักหนาสาหัสอย่างที่คิด แต่ก็เล่นเอาหมดพลังงานไปเยอะเหมือนกัน คนตัวโตเดินโซเซไปเข้าห้องน้ำ ไม่นานก็กลับออกมาด้วยสติที่แจ่มชัด เขาเดินมานั่งบนเตียงพลางลูบหน้าผมที่นั่งซึมกระทือเหมือนคนไม่มีสติจากอาการความดันต่ำ

   “จะอาบน้ำมั้ยครับ”

   ได้ยินเสียงเขาผมก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที กะจะอ้าปากโวยวายเสียหน่อย แต่รู้สึกเหมือนกรามจะค้าง ผมยกมือจับปากตัวเองที่บวมเจ่อ ปวดหนึบจนน้ำตาคลอ คนที่เป็นสาเหตุจับปลายคางผมให้เงยขึ้น ผมตาขวางใส่หมอที่อมยิ้มขำ สะบัดหน้าหนี

   “เป็นอะไรครับปั้น”

   “ปวดปาก”

   ผมตอบห้วนๆ คนตัวโตหลุดขำพรืดออกมาจนผมเตรียมจะลุกหนีด้วยความไม่พอใจ หมอคว้าร่างผมมากอดโอ๋แล้วจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากที่มีรสคาวหลงเหลืออยู่ แรงจูบของเขาทำให้ผมรู้สึกปวดเข้าไปอีกจนต้องผลักอกแน่นใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวออก

   “อื้อ! เจ็บนะครับ”

   “ขอโทษครับ”

   หมอถอนจูบออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมาจูบใหม่ให้เบากว่าเดิมอย่างชอบอกชอบใจอีกครั้ง เขาจูบผมซ้ำๆ จนได้ยินเสียงน้ำลายดังจ๊วบจ๊าบอย่างน่าอาย ผมเลยต้องประท้วงไปอีกรอบ คนเอาแต่ได้ถึงยอมถอนปากออกมา สีหน้าและแววตาของเขาดูสุขสมรื่นรมย์จนน่าหมั่นไส้

   แหงสิวะ! เมื่อคืนผมตามใจเขาเกือบสามรอบ แล้วแต่ละรอบกว่าจะเสร็จโคตรนาน!

   จนรอบที่สามรอบสุดท้ายนั่นแหละที่ผมถอดใจยอมแพ้ นั่งน้ำตาคลอเบ้าแล้วบอกเขาว่าผมปวดปาก คนที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านถึงได้ยอมฉุดผมขึ้นมาบอกขอโทษก่อนจะสลับทำให้ผมบ้างเพื่อเป็นการตอบแทน

   ถือเป็นการเปิดประสบกาณ์ใหม่ครั้งแรกของนายข้าวปั้นเลย

   “อย่าพึ่งบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากนะครับ อันตราย เดี๋ยวค่อยไปกินอะไรดับคาวเอา”

   หมอบอกผมที่ทำหน้างอรับ

   “ครับ”

   

   ขบวนขันหมากจะถูกแห่มาจากหน้าประตูไร่อันนาที่วันนี้ถูกตกแต่งสวยงามด้วยดอกไม้สดและโคมแดง เหล่าบรรดาเพื่อนเจ้าสาวเจ้าบ่าวพากันขนกล้องมาช่วยเก็บภาพบรรยากาศให้คู่บ่าวสาวกันเองโดยที่ไม่ต้องเสียเงินและเวลาติดต่อหาช่างภาพเลยสักนิด อย่างน้อยๆ เพื่อนผมก็พกกล้องมากันทุกคน เลนส์บางคนซูมได้ยันยอดเขา

   บ้านผมจัดงานแบบผสมๆ ระหว่างจีนกับไทย ในตอนเช้าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะมาทำพิธีสงฆ์กันบนชานบ้านเรือนใหญ่ให้เป็นสิริมงคล เมื่อเสร็จแล้วพวกเจ้าบ่าวถึงจะไปตั้งขบวนแห่ขันหมากจากหน้าประตูไร่กัน แน่นอนว่าผู้ชายอย่างพวกผมก็ขอไปเฮฮาสนุกสนานกับฝั่งเจ้าบ่าวอยู่แล้ว

   เมื่อขบวนขันหมากเข้าสู่ตัวบ้านพร้อมเสียงโห่ร้องของบรรดาแก๊งขี้เมาเมื่อคืน เพื่อนเจ้าสาวก็พากันรีดพากันไถซองแดงจากเจ้าบ่าว ผมเห็นแล้วอยากจะขอไปยืนจับสร้อยเงินสร้อยทองด้วยจริงๆ เมื่อผ่านด่านเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ก็ถึงคราวเชิญเถ้าแก่และพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาว เข้าสู่พิธีหมั้นและพิธีแต่งในคราวเดียว มีขันหมากเอกและขันหมากโทที่ใช้สำหรับพิธีมงคลตามธรรมเนียม สินสอดทองหมั้นถูกวางเรียงไว้เบื้องหน้าเวที โดยที่มีเจ้าสาวเจ้าบ่าวนั่งอยู่บนพื้นพรม บนเก้าอี้ไม้มีพ่อแม่ของทั้งคู่นั่งอยู่

   ผมที่เป็นหนึ่งในขบวนเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่ในในชุดไทยย้อนยุค นุ่งโจงกระเบนสีทองกับเสื้อราชประแตนสีขาว ยกกล้องของตัวเองขึ้นมาถ่ายเก็บบรรยากาศ ข้างๆ กันมีหมอในชุดสูทสีฟ้ายืนสะพายกระเป๋ากล้องใบเล็กที่ใส่เลนส์แยกของผมไว้ให้เผื่อผมอยากเปลี่ยน ผมมองภาพของพี่สาวที่กอดป๊ากับม๊าร้องไห้ในพิธียกน้ำชา มองภาพการแลกแหวนซึ่งกันและของคู่รัก มองภาพเจ้หอมก้มกราบลงบนตักพี่กรครั้งแรกและคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พี่กรจะมีสิทธิ์ข่มเมีย เขาทำหน้ามาเหนือโชว์เพื่อนก่อนจะหน้าเบี้ยวเพราะแอบโดนหยิกจากภรรยาหมาดๆ

   พิธีหมั้นและแต่งผ่านไปด้วยดีโดยใช้เวลาไม่นานมาก เจ้าบ่าวเจ้าสาวแยกย้ายกันไปเปลี่ยนเป็นชุดงานตอนเย็น พอดีกับที่เป็นช่วงทานบุฟเฟต์มื้อเที่ยง

   แขกร่วมงานมงคลมากกว่าครึ่งที่ผมไม่รู้จัก ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าวเจ้าสาว มีทั้งชายและหญิง แน่นอนว่าหล่อดูดีแบบหมอกับพี่ดินย่อมมีสาวๆ แวะเวียนเข้ามาหวังแจกผ้าเช็ดหน้ากันไม่ขาดสาย ส่วนน้องชายเจ้าสาวอย่างผมก็โดนบรรดาเฮียๆ ญาติๆ ที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ บางคนลงทุนบินมาจากต่างประเทศเพื่อร่วมยินดีกับหลานสาวคนเล็กของตระกูลลากไปถามไถ่และถ่ายรูปด้วย

   “ข้าวปั้นครับ”

   ผมหันไปตามเสียงเรียกเห็นคุณหมอยกเจ้าไลก้าสีดำขึ้นมากดแชะ ผมหัวเราะชูสองนิ้วให้เขา หมอยิ้มล้อเลียนก่อนกดถ่ายอีกรอบ ดูท่าเขาจะติดใจผมในชุดราชประแตนนี่เพราะเอาแต่มองยิ้มมาตั้งแต่เช้า

   “หมอยิ้มครับ”

   ผมยกโซนี่ของตัวเองขึ้นมาถ่ายบ้าง นานๆ ทีจะมีโอกาสได้เล็งกล้องใส่ใคร ผมเดินเก็บภาพบรรยากาศไปทั่วงาน เป็นทั้งคนถ่ายและถูกถ่าย ก่อนจะได้เวลาไปเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมสำหรับงานตอนเย็น

   ผมกับหมอกลับมาที่ห้องเพื่อมาอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดสูท หมอเปลี่ยนจากสูทสีฟ้าเป็นสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ตามตีม ผมเองก็เช่นกัน ระหว่างที่คิดว่าจะแอบงีบรอหมออาบน้ำ สายตาก็เหลือบไปเห็นกล้องราคามากกว่าแสนจึงตะโกนขออนุญาตเอามากดดูรูป ผมไล่ดูก็แอบอายเบาๆ เพราะส่วนใหญ่รูปที่ถ่ายเป็นรูปของผมแทบทั้งนั้น

   “หมอ ทำไมไม่ถ่ายคนอื่นบ้างเนี่ย” ผมงึมงำเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียว หมอขยี้หัวผมเบาๆ ก่อนจะเลี่ยงไปใส่เสื้อผ้าชุดใหม่

   “ไม่ได้เห็นปั้นอยู่ในชุดแบบนี้ทุกวันซะหน่อย”

   “คิดอะไรกับผมรึเปล่าครับ”

   ผมแซวขณะนอนหงายดูรูปอย่างไม่คิดอะไร แต่หมอกลับเดินมาหยิบกล้องออกไปจากมือแล้วกดถ่ายผมอีกรอบโดยไม่ทันตั้งตัว เฮ้! สภาพผมตอนนี้มันน่าถ่ายที่ไหนเล่า

   หมอก้มมองรูปที่ถ่ายหมาดๆ แล้วผงกหัวยิ้มหยอก

   “รูปนี้สวย”

   “ลบเลยนะ!”

   ผมแย่งกล้องจากเขา หมอหัวเราะแล้วรวบผมมากดจูบที่หน้าผาก

   “อยากแต่งงานบ้างมั้ยครับ”

   “หืม... แต่งงาน? แต่งกับใครครับ หมอจะหาเจ้าสาวให้ผมเหรอ?” ผมยักคิ้วให้คนที่สวมเสื้อแต่ยังไม่ติดกระดุม หน้าอกแน่นๆ ของเขาทำให้ผมนึกอยากข่วนขึ้นมาจริงๆ คนตัวสูงขมวดคิ้วแน่น เขายืดแขนออกไปจนสุดแล้วกดชัตเตอร์อีกครั้งในมุมเซลฟี่ เล่นเอาผมแหวลั่น

   “หยุดถ่ายได้แล้วหมอ ลามก!”

   “พูดจาไม่น่ารัก ไปใส่เสื้อผ้าครับ ไม่งั้นจะโดนดี เร็ว”

   ผมย่นหน้า ก้มมองตัวเองที่อยู่ในสภาพล่อแหลม เพราะร้อนจากแดดช่วงสาย พอเข้าห้องเลยถอดออกแม่งทุกอย่างเหลือแค่เสื้อกล้ามยานๆ กับบ็อกเซอร์ย้วยๆ ก็ไม่คิดว่าสภาพเน่าๆ นี้หมอก็ยังจะอุตส่าห์คิดลามกไปได้

   “คร้าบ”

   

   งานปาร์ตี้ตอนเย็นครึกครื้นไปด้วยอาหาร และขาดไม่ได้ก็คือเหล้าเบียร์ งานนี้เอาไว้สนองนี้ดบรรดาวัยรุ่นก่อนส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้องหอตอนสี่ทุ่มตามฤกษ์ และเป็นการล้วงความลับของบ่าวสาวไปด้วยในตัว บรรยากาศสนุกสนานที่มีแต่ความยินดีให้กับคู่ข้าวใหม่ปลามัน และก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากงานเลี้ยงรุ่นที่จะมีโอกาสมาพบปะกันแค่ไม่กี่งาน

   ผมที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานกับเพื่อนเก่ารุ่นเดียวกันถูกคนนึงสะกิดให้หันไปมองหญิงสาวที่กำลังเดินถือแก้วเครื่องดื่มเข้ามาใกล้

   ผมหันไปยิ้มกว้างให้เธอ

   “แต่งหล่อเชียวปั้น” เหมยยื่นแก้วเข้ามาเป็นเชิงว่าขอชนหน่อย ผมชนกลับก่อนชมเธอตอบ

   “เหมยก็สวยเชียว”

   กลุ่มเพื่อนที่รู้ว่าผมกับเหมยเคยคบกันเอ่ยแซวอย่างออกนอกหน้า

   “ฮั่นแน่! รักนี้มียูเทิร์นรึเปล่าน้อออออ ไอ้ข้าวปั้น” ไอ้วิทย์ เพื่อนร่วมชั้นสมัยมอปลายแหย่ผมที่ส่ายหน้าเอือมระอา เหมยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอาผมทัดหลังหู

   “หยุดแซวเลยเหี้ยวิทย์” ผมด่ากลับ ในขณะที่เหมยเอียงคอ “นั่นสินะ ถ้าปั้นอยากยูเราก็ว่าน่ายูเหมือนกัน”

   “ล้อเล่นอะไรเหมย เดี๋ยวไอ้พวกนี้ก็จริงจังหรอก”

   ผมว่าไปแบบไม่คิดอะไร แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าผมจะไม่ได้เข้ามาคุยแค่เพื่อแหย่เล่น บรรยากาศสลัวๆ กับแอลกอฮอล์มันก็ทำให้คนกล้าที่พูดและทำมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่า ‘แฟนเก่า’ เหมยเลียริมฝีปากเหมือนหนักใจ เหลือบมองเพื่อนวิทย์และคนอื่นๆ ที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินจนทำให้พวกมันโพล่งออกมาว่าจะไปเอาไก่ทอด เหมือนเปิดโอกาสให้ผมกับเหมยได้คุยกัน

   เหมยสูดลมหายใจก่อนจะเข้ามายืนข้างๆ ผมที่พิงราวระเบียงอยู่ เธอเท้าแขนลงบนราวก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา

   “เราอยากขอโทษ”

   ผมเงียบไป ยกแก้วเหล้าขึ้นซดก่อนจะตอบ

   “อืม... ไม่เป็นไร เราไม่ได้คิดอะไรแล้ว” ผมไม่มองหน้าเธอ แต่มองไปบนเวทีที่มีเจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังตอบคำถามพิธีกรอยู่ตามคำเรียกร้องของบรรดาเพื่อนๆ

   “ไม่ได้คิดอะไรแล้ว หมายความว่า... ไม่โกรธเรา หรือไม่ได้ชอบเราแล้วล่ะ”

   “เหมย”

   ผมหันไปมองเธอตรงๆ ก่อนจะยิ้มให้

   “เราโชคดีที่เคยได้คบกับเหมย แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว” ผมถอนหายใจยาว ส่วนเหมยทำหน้าเศร้า เธอยกปลายเท้ากระเทาะพื้นเป็นจังหวะเหมือนกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูด

   “เราไม่น่าบอกเลิกปั้นเลย... เรายอมรับว่าตั้งแต่เลิกกับปั้นมา ไม่เคยมีใครดีกับเราเท่าปั้น”

   “เหมย...” ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หญิงสาวเบือนหน้ามายิ้มให้

   “เราผิดเองแหละที่ปล่อยคนดีๆ แบบปั้นไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”

   “อืม... เราก็ผิด”

   “แต่ก็ช่างเถอะ เราแค่อยากมาขอโทษที่วันนั้นทำตัวทุเรศบอกเลิกปั้นแบบไม่เหตุผล” เหมยแย้มรอยยิ้มให้เหมือนแต่ก่อน รอยยิ้มที่มีแต่ความหวังดี

   “เราดีใจนะที่ได้เจอปั้นอีกครั้ง”

   “เหมือนกัน”



   ในที่สุดก็ถึงช่วงส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าเรือนหอโดยห้องหอคืนนี้คือห้องของเจ้ข้าวหอมเอง และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้านอนบนเรือนใหญ่ฝั่งนั้นเพื่อไม่ให้ขัดขวางกิจกรรม... เอ่อ... การพูดคุยกันระหว่างคู่ข้าวใหม่ปลามันในคืนแรกนี้ แขกเหรื่อผู้ใหญ่ส่วนมากกลับไปตั้งแต่พิธีเช้า เหลือแค่เพื่อนๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยังอยู่ฉลองต่อในพิธีเย็น

   แต่ว่าพิธีส่งตัวน่ะมันก็เป็นแค่พิธี หลังจากจบพิธี เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาสุดเหวี่ยงกับเพื่อนฝูงในงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้กัน แน่นอนว่าหัวเรือใหญ่หนีไม่พ้นเฮียปุ้นผู้ชื่นชอบเหล้าเบียร์และเสียงเพลง บอกได้คำเดียวว่าเละ!

   แล้วผมมีหรือจะยอมเป็นเด็กดี นั่งจิบเบียร์หนึ่งกระป๋อง ผมขอหมอไว้ตั้งแต่วันแรกเลยว่า งานอาฟเตอร์ปาร์ตี้ผมจะสนุกกับครอบครัว เพราะเป็นวันสุดท้ายที่เจ้หอมของผมจะใช้นามสกุลตัวเอง ผมต้องฉลองให้เจ้ของโพ้ม!

   บรรยากาศแทบไม่ต่างอะไรกับงานเลี้ยงสละโสดเมื่อวาน แค่วันนี้ชายหญิงแจมร่วมกันที่เรือนใหญ่ และแทนที่คนที่โดนมอมจะเป็นเจ้าบ่าวไม่ก็เจ้าสาว แต่ไหงกลายเป็นน้องชายเจ้าสาวอย่างโพ้มล่ะครับ!

   กินไปกินมา จากปาร์ตี้แดนซ์กลายเป็นปาร์ตี้วงไพ่อีกแล้ว เหลือคนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ไม่กี่รายที่ยังนั่งเล่นป๊อกเด้งกันอยู่แบบมึนๆ อ่านตัวเลขหน้าไพ่กันแทบไม่ออก

   “ไอ้เชี่ยข้าว! นี่กี่นิ้ว”

   พี่เจี้ยนโบกนิ้วตรงหน้าผม ที่นั่งอยู่แถวๆ วงไพ่กำลังเล่นป๊อกเด้งอย่างสนุกสนาน ผมหรี่ตามองตามนิ้วที่ชี้ไปยังเป้ากางเกงของพี่ดินก่อนจะตอบ

   “สามนิ้ว!”

   ผัวะ!

   พี่ดินโบกหัวผมไปทีนึงจนหน้าคว่ำ

   “สามเหี้ยไร อย่างกูต้องเรียกดินสิบนิ้ว!”

   อะไรสิบนิ้ววะ? แล้วพี่เจี้ยนมันถามนิ้วอะไรกูวะ?

   “อ้อ... เคร สิบก็สิบ”

   ผมหัวเราะก่อนจะหันไปถามเฮียปุ้นที่กำลังเล็งไพ่

   “เฮียปุ้น! นี่กี่นิ้ว!”

   ผมชี้ไปที่เฮีย เฮียยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะก้มมองหว่างขาตัวเอง

   “ปกติใช้ 56 ไม่สุดโคน เฮ้ย! หลายนิ้วอยู่นะ อย่าถามเฮียเป็นนิ้ว ให้ถามเป็นศอก!”

   เอ้า! ศอกเหี้ยอะไรอีกเฮีย กูถามนิ้ว!

   วงไพ่กลายเป็นวงนับนิ้วไปซะงั้น ผมหันขวับไปมองคนที่นั่งดื่มอะไรเบาๆ อยู่ด้านหลัง วงไพ่ตั้งกันอยู่บนพื้นชานหลังบ้านที่เคยเป็นสถานที่จัดโต๊ะกินเลี้ยง เจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกหามเข้าห้องหอไปเรียบร้อย เหลือแต่พวกผมที่ยังไม่ยอมไปหลับไปนอน

   พอผมหันกลับไป ระดับหน้าของผมมันอยู่ระดับเดียวกับเป้ากางเกงของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พอดี ผมมุ่ยปากก่อนจะชี้นิ้ว

   “นี่กี่นิ้ว?!”

   ผมมองคอเอียงก่อนจะหันกลับมาถามคนอื่นๆ ที่ยื่นหน้าจ้องตามนิ้วผม เฮียปุ้นหัวเราะเอิ๊กๆ ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ

   “ของเชี่ยคินน่าจะแค่สามนิ้ว เชื่อกู”

   “เฮ้ กูว่าของหมอน่าจะสามนิ้วครึ่ง” พี่ดินเอาบ้าง

   “เหยดดดดดดดดด สามนิ้วครึ่ง ของกูเท่าไหร่ว้า วัดแป๊บ...” พี่เจี้ยนหลุบตามองของตัวเองก่อนทำท่าจะควักออกมาวัดนิ้ว แต่โดนเฮียปุ้นตีมือเพียะ

   “จะควักนิ้วมาโชว์ทำไม? เดี๋ยวเฮียวัดให้เอง หยุด!”   

   ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนจะจิปากจุ๊ๆ ส่ายมือไปมา คนพวกนี้มีตาหามีแววไม่จริงๆ

   “อย่ามาดูถูกหมอนะเฮ้ย! อย่างหมออคิน ผมวัดมาเองกับมือ ให้เลยเจ็ดนิ้ว!”

   “ข้าวปั้น”

   เสียงดุๆ ดังมาจากด้านบน ผมเงยหน้าขึ้นเจอกับสายตาสีเขียวที่เหมือนจะแดกผมเข้าไปทั้งตัว แต่ผมสนที่ไหน ดูถูกใครดูถูกได้ แต่จะมาดูถูกคุณหมอของผมไม่ได้นะ!

   แต่ละคนเบิกตากว้าง หันขวับทันที ในขณะที่ผมยกยาดองของดีเมืองเชียงรายขึ้นกระดกอึกๆ ก่อนจะเกทับไปอีกดอก

   “สุดคอเลยขอบอก”

   จากนั้นผมก็โดนหิ้วปีกกลับห้องทันที สิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้คือก็เสียงดุจัดของหมอที่ฟังแล้วบาดใจเหลือเกิน

   “โดนแน่ครับข้าวปั้น”

   “ก็มาดิค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ”




ก็มาดิค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
น้องยูอ่านทุกคอมเม้นต์เลยน้า ขอบคุณที่เอ็นดูพิหมอของหนู
อีกสองตอนจะจบแล้วนะค้า
ขอบคุณที่ยังทนอ่านกันอยู่เเม้จะนานๆ เเวบเข้าเล้ามาทีนึงก็ตาม เเฮ่ๆ
สามารถตามไปอ่านชอตสตอรี่ได้ตามเเท็กของยูน้า มีรูปของยูวาดๆ อยู่ตามนั้นด้วย

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่35(10/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-04-2020 01:14:41
เมาแล้วรั่วมากข้าวปั้น  โดนหมอจัดหนักแน่  :laugh:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่35(10/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 11-04-2020 12:19:45
น้องปั้นนนนนน ไม่รอดแน่นอน 555
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่35(10/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 12-04-2020 09:09:15
โดนอน่ๆข้าวปั้นวันนี้ไม่น่ารอด แต่พุ่งนี้เช้าตื่นมาจะกล้ามองหน้าใครมั้ย  :laugh:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่35(10/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-04-2020 12:08:16
หมอโดนเฮียปุ้นจัดการทีหลังไหม
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่35(10/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Zappp ที่ 13-04-2020 22:40:20
เพิ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้ อ่านรวดเดียวจบเลย

สนุกมากค่ะ

ติดตามอยู่นะคะ รีบมาต่อไวไวน้าาา

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่35(10/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 13-04-2020 23:04:10
5555. เมาแล้วเรื้อนจริงๆเลย,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: SeenYu ที่ 17-04-2020 00:54:46
Chapter – 36

หมอครับ ป๊ารู้แล้ว


   ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวและปวดตัว พอก้มมองดูสภาพตัวเองแล้วถึงกับร้องเชี่ยออกมา

   ไอ้รอยแดงยังพอว่า แต่รอยช้ำมันคืออะไร?

   เดี๋ยวนะ...

   เสียงเปิดประตูห้องทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขวับหันไปมองคนที่เข้ามาโดยไม่ขออนุญาตแล้วถอนหายใจ นัยน์ตาสีเขียวที่ผมเห็นชัดเจนเพราะไม่มีเลนส์แว่นมาบดบังจ้องมองมาทางผมนิ่งๆ ในมือถ้วยแก้วใสที่ด้านในน่าจะเป็นชาติดมาด้วย คุณหมอปิดประตูก่อนจะเดินเข้ามาเอามือวางทาบหน้าผากทาบคอผม

   “ปวดหัวมั้ยครับ หรือปวดปากอีก?”

   “หมอ!”

   ผมแว้ดออกไป ถลึงตามองคนที่อมยิ้มขำ

   “ลุกไหวมั้ย ดื่มนี่ก่อนแก้แฮ้งค์ครับ”

   ผมรับชาแก้แฮงค์สูตรบ้านผมมาดื่มอึกๆ โดยไม่ทันระวังความร้อนจนทำให้แผลที่ปากโดนลวกนิดหน่อย ผมร้องออกมาจนหมอตกใจหยิบถ้วยออกจากมือแล้วจับคางผมให้เชิดขึ้นเพื่อดูแผล

   “ทำไมไม่ระวัง เจ็บมากมั้ยครับ”

   นิ้วโป้งของเขาแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากที่มีแผลแตกเพราะสงครามเมื่อคืน ผมหน้างอปัดมือเขาออก น้ำตาคลอเบ้า ชามันไม่ได้ร้อนหรอก แค่อุ่นๆ แต่แผลที่ปากทำให้มันรู้สึกแสบเหมือนโดนลวกเท่านั้นเอง

   “ความผิดหมอนั่นแหละ”

   “หืม ใส่ร้ายกันแบบนี้ไม่ดีนะปั้น คิดให้ดีก่อนครับว่าเมื่อคืนใครเริ่ม”

   ผมอ้าปากพะงาบๆ อยากสวนกลับ ก่อนจะค่อยๆ หุบปากเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน หน้าของผมร้อนฉ่าจนต้องยกมือมาทาบแก้ม ผม... ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้

   คุณหมอยิ้มมุมปาก วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะหัวเตียงแล้วหันมาเอามือคร่อมช่วงล่างของผมที่นั่งตัวเปลือยโดยที่มีแค่ผ้าห่มคลุมไว้ ใบหน้าหล่อๆ เข้มๆ สไตล์ลูกครึ่งเอียงมองผมก่อนจะจูบเบาๆ ที่ปลายคาง

   “ถ้าไม่ปิดปากไว้ เฮียว่าคงได้ยินเสียงดังไปจนถึงไร่ชา”

   “หมอ!!”

   ...

   เหตุการณ์เมื่อคืน

   หลังจากที่ผมโดนหิ้วกลับห้องด้วยสภาพทุลักทุเลและโวยวายตามประสาคนเมา ร่างเปลี้ยๆ ถูกโยนลงบนเตียง ผมกระเด้งขึ้นมาก่อนจะงอแง ขณะที่คนตัวใหญ่เตรียมปลดกระดุมเสื้อออกเพราะความร้อนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์

   “หมอลากปั้นออกมาทำไมอ่ะ กำลังสนุกเลย”

   ผมที่หน้าแดงเห่อจากฤทธิ์ยาดองโวยวาย ส่วนคนที่โดนโวยใส่ถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นลวกๆ แล้วคลานตามขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะดันผมลงไปนอน

   “นอนได้แล้วครับ เมามากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ปวดหัวนะ”

   “ไม่เอา ปั้นต้องอยู่ฉลองก่อนนนนน”

   “ไม่งอแงสิข้าวปั้น”

   “ทำไมครับ หมอยอมให้พวกเฮียปุ้นดูถูกได้ไง หมอไม่ได้สามนิ้วครึ่งสักหน่อย หมอยอมแต่ปั้นไม่ยอมนะ!”

   ผมน้ำตาคลอเบ้า ความโมโหแล่นขึ้นมาริ้วๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของพวกพี่ๆ

   คนโดนดูถูกเบิกตามองผมปริบๆ ก่อนจะหัวเราะขำพรืดออกมา เล่นเอาผมที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนสะบัดหน้าหนี ยกมือขึ้นกอดอกอย่างไม่พอใจ คนตัวโตเขยิบเข้ามาจนชิด ได้ทั้งกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ และกลิ่นน้ำหอมผสมปนเปจนผมมึนเมา คลายแขนที่กอดอกไว้แล้วค่อยๆ สอดเข้าไปกอดเขาจนแนบแน่น

   “โมโหอะไรขนาดนั้นครับข้าวปั้น”

   มือใหญ่ลูบหัวลูบหลังผมอย่างปลอบโยน ผมมุดหน้าลงกับแผ่นอกตึงที่โผล่พ้นสาบเสื้อ

   แน่นดีจัง...  ชอบ

   ผมเริ่มเอามือสอดเข้าไประหว่างสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกปลดกระดุมออกจนเกือบหมด ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามแผ่นอกแน่นอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อจนผมอิจฉา แบะเสื้อออกจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียน คุณหมอเอนตัวไปด้านหลัง เท้ามือใหญ่ลงบนเตียงข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยกมาไล้แก้มของผมอย่างเอ็นดู

   “หมอ... หุ่นดีจัง”

   เสื้อเชิ้ตของเขาหลุดออกไหล่หนาไปแล้ว ผมยกตัวคลานขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัก ตาเยิ้มๆ เพราะฤทธิ์ยาดองหลุบมองยอดอกสีสวย ผมไม่เข้าใจความรู้สึกว่าทำไมหมอชอบดูดชอบเลียผมตรงนี้นัก วันนี้ขอลองเป็นคนทำสักทีแล้วกัน

   “อา... ทำอะไรน่ะครับปั้น”

   เสียงครางต่ำหลุดออกมาจากปากของคนที่ลดมือลงมาที่บั้นเอวผม ร่างสูงเหมือนจะเอนไปข้างหลังมากขึ้นเพื่อให้ผมเล่นกับเนื้อตัวเขาได้ถนัด ผมดูดดึงติ่งเนื้อพลางใช้ลิ้นไล้วนเวียนให้เหมือนกับที่เขาเคยทำ ดูดเสียงดังเหมือนกำลังดูดหอยจุ๊บจนกระทั่งมันแข็งจนผมรู้สึกผ่านลิ้น ถึงได้ถอนหน้าออกมามอง ผมเอียงคอก่อนจะลากลิ้นไปยังอีกข้าง ได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นเหมือนกำลังอดทนของคนที่เปลี่ยนมาโดนกระทำบ้าง

   ผมจูบวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าท้องที่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อของเขา หมอเอาเวลาไหนไปฟิตหุ่นกันนะ วันหลังผมคงต้องเข้าฟิตเนสบ้างแล้ว... มือของผมรั้งอยู่ที่ขอบกางเกงยีนส์สีเข้มยี่ห้อแพง พยายามจะดึงมันลงแต่ก็ดึงไม่ออกเพราะติดกระดุมกับเข็มขัดจนผมขัดใจ ขมวดคิ้วแน่นจนเจ้าของต้องลดมือลงมาช่วยปลดมันออกอย่างเอาใจ

   “อย่าหงุดหงิดสิครับ ใจเย็นๆ”

   คุณหมอจัดการปลดเข็มขัดออก ตามด้วยกระดุมแข็งๆ ผมจัดการรูดซิปลง แหวกจนกว้างพอที่ผมจะงัดเอาของที่โดนดูถูกออกมา

   มันกำลังตื่น...

   ผมกระพริบตาปริบๆ มองสิ่งที่อยู่ในมือ แม้มันจะยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่แค่นี้ก็เต็มไม้เต็มมือแล้วนะ

   ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่

   “หะ... ให้ปั้นทำให้นะครับ”

   พูดจบก็จัดการขยับมือ รูดรั้งสิ่งที่แข็งเกร็งจนเห็นรูปร่างชัดเจน ผมได้ยินเสียงครางเบาๆ จากคนที่เริ่มเปลี่ยนจากลูบหัวเป็นสอดนิ้วเข้าไปขยุ้มเส้นผมแทน แต่ท่านี้ไม่ถนัดเอาซะเลย ผมจึงลุกขึ้นลงไปนั่งด้านล่างของเตียงพลางตบเบาๆ ให้หมอเปลี่ยนมานั่งห้อยขา

   “ปั้นไม่ถนัด”

   “จะทำจริงๆ เหรอครับ”

   เขาลูบหัวผมซ้ำๆ ก้มมองคนที่ใจกล้าเฉพาะเวลาเมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะสูดปากเสียงแผ่วเมื่อผมเริ่มแตะลิ้นลงไปแทนคำตอบ

   “แฟนปั้นไม่ได้สามนิ้วซักหน่อย เห็นมะ”

   ผมโบกสิ่งที่กำลังเติบโตตรงหน้าตัวเองไปมา จ้องมองมันด้วยสายตาปรือๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้เขา การกระทำที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันจะทำให้ผมต้องรับมือกับศึกหนัก โดยเฉพาะเมื่อคุณหมอหรี่ตามองผมเครียดๆ เขากัดฟันแน่นเมื่อผมละเลงลิ้นอีกรอบ

   “ของหมอคือที่สุดแล้วครับสำหรับปั้น”

   “ข้าวปั้น... เจ็บหนักอย่ามาว่าเฮียนะ”

   “จัดมาเลยค้าบบบบบบบบบบบบ”

   ...

   ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปทานข้าวหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว พอดีกับที่พี่ดินออกมาจากห้องที่อยู่ข้างๆ เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเมื่อเจอรอยยิ้มของพี่แก

   พี่ดินยิ้มมุมปากก่อนจะหัวเราะหึ ผมทำหน้าแหยกลับก่อนจะถามเสียงเขียว

   “ยิ้มอะไรพี่ดิน”

   พี่ดินหรี่ตา ไม่พูดอะไร ยักไหล่แล้วเดินจากไป ทิ้งให้นายข้าวปั้นเคว้งคว้างอยู่หน้าห้องเพียงลำพัง

   เวลาตอนนี้พึ่งจะแปดโมงกว่า แขกจากต่างจังหวัดพากันกลับจนเกือบจะหมด เหลือเพียงกลุ่มเพื่อนๆ ของผมที่กำลังเอาของไปเก็บในรถของพี่ดินที่จอดไว้หน้าบ้าน พี่เจี้ยนกลับไปก่อนแล้วด้วยเครื่องบินไฟลต์เช้า เห็นเฮียปุ้นบอกว่าแฮ้งค์หนักจนกลัวว่าจะไปอ้วกบนเครื่อง แต่ลองโทรไปถามเมื่อกี้พี่เจี้ยนก็บอกว่าถึงบ้านแล้ว เลยทำให้หมดห่วง

   “หอมขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์มาร่วมอวยพรตั้งไกลนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”

   เจ้หอมและพี่กรลงมาส่งแขกที่กำลังจะกลับกรุงเทพด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง ผมเดินลงจากบ้านมาเพื่อส่งก่อนเพราะน่าจะกลับทีหลัง แต่สิ่งที่ผมเจอก็คือสายตาอมยิ้มของเพื่อนร่วมงานที่พากันจ้องมา เล่นเอาผมขมวดคิ้วยุ่ง

   “ทำไมมองอย่างนั้น”

   “เปล๊า เอาไว้มึงอยากพูดค่อยพูดแล้วกัน” ไอ้เนเสียงสูงหันไปโยกหัวฟางที่หัวเราะคิกคัก

   “เอาล่ะ เจอกันกรุงเทพนะ” พี่ดินหันมาบอกผมพลางยกมือโบก ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงใหญ่แล้วกระซิบถาม

   “เมื่อคืนผมทำอะไรแปลกๆ รึเปล่าพี่ ทำไมพวกนั้นมันมองผมแบบนั้นอ่ะ”

   พี่ดินที่กำลังจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับเลิกคิ้ว คว่ำปากนิดๆ พลางยักไหล่

   “ก็ไม่แปลกเท่าไหร่สำหรับกู แต่อาจจะ... แปลกสำหรับพวกมัน”

   “หา? ยังไงพี่?” ผมงงเป็นไก่ตาแตกกับคำพูดของพี่ดิน แต่พี่ชายคนล่ำกลับหัวเราะน่าขนลุกแล้วเปิดประตูรถ สอดร่างหนาๆ ของตัวเองเข้าไป ก่อนปิดประตูพี่แกยื่นหน้าออกมาพูดกับผมด้วยสีหน้ามาเหนือ

   “ต่อไปคงต้องเป็นฉายา ลูกรักเจ้าอัฐ เป็น ข้าวปั้นโป๊ะแตก ล่ะนะ”

   “วัท?”

   พี่ดินปิดประตูใส่หน้าผมที่ยังคงไม่เข้าใจกับคำส่งท้าย ไอ้เนกับฟางยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสองที่ลงมาส่ง ก่อนจะขึ้นรถยังมีการทิ้งท้ายให้ผมคาใจเล่น

   “อย่าลางานเพราะเจ็บคอนะไอ้ข้าว”

   “อะไรของมึง?”

   “เดินทางปลอดภัยนะพี่ข้าว ฟางจะรอฟังคำสารภาพจากพี่”

   “อะไรวะ???”

   ผมทำหน้า ง่าว มองดูรถที่แล่นจากไปของเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะหันไปมองพี่สาวกับพี่เขยที่พากันเบือนหน้าไปมองฟ้าพร้อมกัน

   “ว้า หิวจังที่รัก ไปหาอะไรกินกันเถอะ” พี่กรยกมือโอบไหล่ภรรยาหมาดๆ ขึ้นบ้านไป เจ้หอมหัวเราะคิกคัก ส่วนผม...

   “เชี่ยอะไรอ่ะ...”



   ผมเดินขึ้นบ้านเพื่อจะไปหาอะไรกิน วันนี้เหลือแค่คนในครอบครัวกับแขกอีกหนึ่งคน อาหารเช้าจึงถูกจัดที่โต๊ะอาหารเล็กตรงโถงกลางบ้าน บนโต๊ะอาหารมีทุกคนอยู่พร้อมตั้งแต่ป๊าม๊า เฮียปุ้น เจ้ฟ่าง เจ้หอม พี่กร และคุณหมออคิน โดยที่บางคนเริ่มลงมือทานกันไปบ้างแล้ว

   ผมสอดตัวลงนั่งข้างๆ หมอ ทันทีที่ผมนั่งลง สายตาของคนบนโต๊ะก็พากันจับจ้อง โดยเฉพาะสายตาของม๊าที่ดูจะคมกริบผิดปกติ

   อะไร?

   ผมเริ่มวางตัวไม่ถูก ป้าสรเสิร์ฟข้าวต้มทะเลให้พร้อมกับน้ำส้มคั้น ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยกน้ำส้มขึ้นดื่มก่อนจนเกือบหมดแก้ว ทันทีที่วางแก้วลง ม๊าก็เอ่ยถามทันที

   “ดื่มน้ำเยอะเชียว เจ็บคอเหรอเจ้าปั้น”

   “ฮะ? อะไร ปั้นก็แค่หิวน้ำ”

   ผมทำหน้างงเต๊ก มองแก้วน้ำส้มสลับกับหน้าม๊า ในขณะที่ทุกคนพากันก้มหน้าไหล่สั่น มีเพียงเฮียปุ้นที่นั่งลูบคางตัวเองพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

   “ออเหรอ... ม๊าก็คิดว่าเจ็บคอเพราะเมื่อคืนเห็นร้องซะลั่นดอยเชียว”

   “ร้องอะไรครับ!”

   ผมเบิกตากว้าง หันขวับไปมองหน้าหมอที่ยกชาขึ้นดื่มเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าม๊าอีกครั้ง

   “เอ้า! ร้องเพลงไง จับไมค์ไม่ปล่อยเชียวนะ”

   ผมหน้าร้อนก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปากไม่อยากพูดอะไรอีก

   “อคินจ๊ะ เมื่อคืนหลับสบายรึเปล่า ข้าวปั้นงอแงอะไรมั้ย ได้ข่าวว่าเมาหนักเลยนี่นา” ถึงคราวเจ้ฟ่างพูดบ้าง ผมถึงกับหยุดเคี้ยวข้าว หูผึ่งรอฟังคำตอบจากหมอ

   “ไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ครับ”

   “แค่กๆๆๆ”

   ผมที่กำลังจะกลืนข้าวสำลักลมหายใจจนแทนที่ข้าวจะไหลลงคอ เกือบไหลขึ้นจมูกแทน ผมคว้าทิชชู่มาปิดปาก ไอตัวโยนจนหมอที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูบหลังช่วยอย่างตกใจปนขำ ดีนะไม่พ่นข้าวใส่หน้าพี่กรที่นั่งอยู่ตรงข้าม

   “เจ้ถามอคิน เราไปสำลักอะไรขนาดนั้น ทำไมจ๊ะ หรือรู้ตัวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อคินเขาไม่ได้นอน” เจ้ฟ่างหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ ส่วนผมน้ำตาคลอเบ้าเพราะแสบจมูก

   “เจ้ฟ่าง! แค่กๆ พะ... พูดอะไรน่ะครับ”

   “สั่งน้ำมูกก่อนครับ”

   หมอเอาทิชชู่มาเพิ่มให้ ผมหันตัวลุกออกจากโต๊ะไปเพื่อสั่งน้ำมูกออก ก่อนจะกลับเข้ามานั่งเหมือนเดิม ม๊าดูชอบใจกับความทรมานของผม

   ก่อนที่โต๊ะกินข้าวจะเลิกสนใจเรื่องของผมแล้วเปลี่ยนบทสนทนาเป็นอย่างอื่นแทน ปล่อยให้คนมีชนักติดหลังเคี้ยวปลาหมึกอย่างเชื่องช้าเพราะความกังวลที่มีอยู่เต็มสมอง หลังจากอาหารเช้าจะจบไป ทุกคนกำลังจะแยกย้าย ผมเตรียมไปเก็บของเพื่อกลับกรุงเทพ แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องตัวเอง ป๊าก็เรียกผมเอาไว้ก่อน

   เสียงของป๊าทำเอาใจผมหล่นตุบ

   “ข้าวปั้น ป๊ามีเรื่องจะคุย”

   แต่ละคนที่กำลังจะแยกย้ายพากันชะงักขามองมาทางผมเป็นตาเดียว แม้กระทั่งเฮียปุ้น

   ซวยแล้วข้าวปั้น...



   ผมเดินตามป๊าเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ป๊าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หวายตัวโปรด สีหน้านิ่งสงบเหมือนปกติ แต่ผมเองแหละที่ไม่ปกติ จากที่เคยเข้ามาแล้วก็จะทิ้งตัวนั่งตามสบายบนตั่งไม้ กลับกลายเป็นยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตูไม่กล้านั่งเสียอย่างนั้น

   “แล้วทำไมไม่นั่ง”

   “เอ่อ... ป๊ามีไรเหรอครับ”

   ผมแอบเม้มปากนิดๆ เอามือประสานหน้าไว้เหมือนตอนถูกบังคับให้สารภาพผิดว่าแอบดื่มเหล้าครั้งแรก ไม่กล้าสบตาคนเป็นพ่ออย่างที่เคย ร่างสูงสมส่วนที่แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูดีนั่งไขว่ห้าง วางศอกข้างหนึ่งไว้บนพนักแขนแล้วเท้าคางมองผม

   ป๊าผมใจดี แต่เวลาดุ... ผมยอมโดนม๊าเอาหวายฟาดดีกว่าเจอสายตาของป๊า

   “นั่งก่อน ป๊าแค่มีเรื่องจะคุยก่อนเรากลับกรุงเทพ”

   “ครับ”

   ผมเดินตัวลีบมานั่งลงบนตั่งไม้ที่มีเบาะนุ่มๆ รองไว้ แอบกุมมือตัวเองแน่น มองแจกันบนโต๊ะเตี้ยๆ เหมือนกับกำลังพิจารณาเทกเจอร์อยู่

   “มีเรื่องอะไรอยากบอกป๊ามั้ย”

   คำถามยอดฮิตเวลามีใครทำผิดแล้วปิดไว้ เจอคำถามนี้ทีไร ทุกคนในบ้านเป็นอันต้องเลือกเรื่องที่สารภาพให้ดีๆ...

   แต่ผมจะสารภาพยังไงล่ะ?

   “ปั้น... ปั้น...”

   “ปั้นรู้ใช่มั้ยว่าบ้านเราคุยกันได้ทุกเรื่อง”

   “...”

   ป๊าลุกจากเก้าอี้เดินมานั่งข้างๆ ผมที่น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ไม่รู้แหละว่าป๊าอยากให้ผมสารภาพเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ผมกลัว... กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ถึงแม้ตอนที่เฮียปุ้นพูดเรื่องความต้องการของตัวเองแล้วป๊าม๊าจะไม่ว่าอะไร แต่ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วป๊าเองก็คงจะผิดหวัง

   ผมแค่ไม่อยากทำให้ป๊าผิดหวัง... เพราะลูกชายคนสุดท้องที่ไม่เคยทำอะไรให้ป๊าภูมิใจสักอย่าง กำลังจะทำให้ป๊าหมดความภาคภูมิใจสุดท้ายไป

   “ป๊ารู้ว่าปั้นอึดอัด บ้านเราถือคติไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่ถ้าเรื่องนั้นมันทำให้ลูกของป๊ารู้สึกแย่ ป๊าก็อยากจะยุ่ง”

   “ป๊า... ปั้น... ปั้นขอโทษครับ”

   ป๊าลูบหัวผมที่ก้มหน้างุด ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ผมยอมปริปากออกมาเสียที

   “ปั้น... ปั้นแค่ไม่อยากให้ป๊าผิดหวัง แต่ปั้นขอโทษครับ ปั้น... ปั้นรักหมอ”

   “ป๊ารู้แล้ว”

   “ฮึก... ครับ?”

   ผมหันมองหน้าป๊าที่ยิ้มให้บางๆ สายตาแห่งความสับสนและไม่เข้าใจส่งผ่านออกไป แต่ป๊ากลับโคลงหัวแล้วย้ำอีกครั้ง

   “ป๊ารู้นานแล้ว รู้ตั้งแต่วันที่ปั้นเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนลักพาตัวนั่นแหละ ป๊าไม่ได้โง่นะที่จะดูไม่ออก”

   “ปะ... ป๊า”

   “ป๊าไม่เคยว่าข้าวปุ้น แล้วเรื่องอะไรป๊าจะไปว่าข้าวปั้น หืม?”

   “ฮึก... ปั้น... ปั้นกลัวว่าป๊าอยากได้ลูกสะใภ้”

   ผมเริ่มฟูมฟาย พอได้สารภาพบาปก็ทำให้พูดออกมาจนหมด ยกมือปาดน้ำตาเป็นเด็กสามขวบ ป๊าหัวเราะก่อนจะโยกหัวผมไปมาอย่างเอ็นดูสุดใจ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของป๊าทำให้ก้อนหินแห่งความรู้สึกผิดถูกยกออกไปจนเบาหวิว

   “เฮ้อ... ลูกเอ๊ย ป๊าน่ะไม่สนใจหรอกนะว่ามีจะสะใภ้ มีเขย มีทาย้งทายาทอะไร ทุกวันนี้ที่ป๊ามีลูกที่ดีถึงสี่คน ป๊าว่ามันก็เป็นที่สุดที่ป๊าต้องการแล้วนะ นอกนั้นป๊าถือว่าเป็นกำไร แล้วอีกอย่าง อคินเป็นคนดี ป๊าสามารถฝากฝังลูกที่ไม่ได้เรื่องของป๊าไว้กับเขาได้”

   ผมปาดน้ำตาก่อนจะหัวเราะแก้เขิน

   “ป๊าก็รอว่าเมื่อไหร่ปั้นจะพูดออกมา แต่กลายเป็นว่าก่อนที่ปั้นจะพูด อคินเขาเป็นคนเดินมาพูดกับป๊าตัวต่อตัวก่อนเลยนะ ไม่งั้นป๊าคงไม่กล้ามาถามปั้นตรงๆ แบบนี้หรอก”

   “เฮะ?... ป๊าว่าไงนะ หมอเขามาคุยกับป๊าเหรอครับ”

   ผมเบิกตากว้าง นี่หมอเขาทำอะไรไม่บอกผมอีกแล้วเหรอวะเนี่ย

   “เขารู้ไงว่าข้าวปั้นปากหนัก เขาไม่อยากทำให้คนที่บ้านเข้าใจปั้นผิดๆ เขาเลยเป็นฝ่ายเดินมาอธิบายเสียเอง แต่ก็ช้ากว่าม๊านะ ม๊าดูออกนานแล้วเหมือนกันแต่ไม่ยอมบอกป๊า”

   “นี่สรุปว่า ทุกคน... รู้เรื่องปั้นกับ... หมอ?” ผมเอียงคอทำหน้าเหวอ แล้วไอ้ที่พยายามปิดๆ กับไอ้ที่เจ้ฟ่างมาเรียกไปกินข้าวนั่น... อย่าบอกนะว่าก็รู้กันน่ะ... เชี่ย จะเอาหน้าไปซุกไว้หลุมไหนดีวะ?

   “ก็รู้แหละ แต่รู้กันเองทั้งนั้นไม่มีใครบอกใคร ป๊ารู้ป๊าก็เงียบ ม๊ารู้ม๊าก็เงียบ เจ้าปุ้นยิ่งแล้วใหญ่ อคินโทรไปสารภาพตั้งแต่ก่อนคบกับปั้น มันก็เงียบ ป๊าว่าไอ้นิสัยไม่ยุ่งเรื่องกันและกันของบ้านเรานี่มันก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ” ป๊าขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะคลายแล้ววางมือบนไหล่ผม

   “ปั้นรู้มั้ย วันที่เค้ามาถึงที่นี่ เค้าเดินเข้ามาคุยกับป๊าแล้วบอกว่ากำลังคบหากับข้าวปั้นอยู่ เค้ายกมือไหว้ขอโทษป๊าที่ทำให้ลูกชายป๊าเป็นแบบนี้ ตอนนั้นป๊าประทับใจมากถึงแม้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม แทนที่คนที่น่าจะมาบอกป๊าก่อนจะเป็นปั้น แต่กลับเป็นคนอื่นซะงั้น นิสัยปากหนักของปั้นควรแก้นะ”

   “ก็ปั้น... ปั้นไม่กล้า แล้วอีกอย่าง ปั้นก็... ไม่ได้เป็นเหมือนเฮียปุ้น”

   ผมอ้อมแอ้มไม่รู้จะพูดยังไง ป๊าเลยถอนหายใจอัดอีกรอบ

   “ไม่ว่าปั้นจะเป็นยังไง ปั้นคือลูกชายที่ป๊าภูมิใจนะ”

   ผมยิ้มให้ ยกมือไหว้ขอขมาป๊าที่เป็นลูกชายไม่ได้เรื่องแต่ป๊าก็ยังภูมิใจ

   “ดูแลเขา ให้เหมือนกับที่เขาดูแลเรานะลูก”

   “ครับป๊า”



   “ไงไอ้ตูด ยกภูเขาออกจากอกเลยสิ เฮียบอกแล้วมีอะไรก็พูด”

   หลังจากที่ผมเปิดประตูออกจากห้อง เหล่าคนที่มายืนแนบหูฟังคำสารภาพบาปอยู่หน้าห้องทำงานป๊าก็ก้าวถอยหลังแทบไม่ทัน ไล่ตั้งแต่เฮียและบรรดาเจ้ๆ ของผม

   ผมย่นหน้า เฮียปุ้นที่กอดอกพิงระเบียงไม้ยิ้มมุมปาก เจ้หอมกับเจ้ฟ่างเข้ามาเกาะแขนผมก่อนจะเขย่าเบาๆ

   “ไปคบกันตอนไหน ทำไมเจ้ไม่เห็นรู้เลย” เจ้หอมเข้าสู่วงการเผือกร้อนทันที ผมเลิกคิ้วส่ายหัว

   “ไม่บอก”

   “ข้าวปั้นไม่บอกหอมได้ แต่ต้องเล่าให้เจ้ฟังนะ” เจ้ฟ่างเอาบ้าง เธอเอียงคอซบไหล่ผมอย่างออดอ้อนพลางกระซิบ “ไม่งั้นเจ้แฉเรื่องวันนั้นแน่ อย่าคิดนะว่าเจ้ไม่ได้ยิน”

   “เจ้ฟ่าง! โว้ย ไม่สนใจแล้ว ปั้นจะไปเก็บของ”

   “เดี๋ยว ข้าวปั้น มาเล่าให้ฟังก่อน เจ้จะเก็บไว้ทำรีเสิร์ช!” เจ้ฟ่างตื๊อ เจ้หอมก็ดูจะไม่ยอมเหมือนกัน

   “รีเสิร์ชบ้าอะไรครับ เจ้ฟ่างสอนวิศวะนะ” ผมเดินหนี แต่ตอนเลี้ยวตรงหัวมุมก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่จนแทบจะหงายหลัง ดีที่คนถูกชนคว้ารวบแขนของผมไว้แล้วดึงเข้ามาจนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย

   “ว้าว...”

   สองสาวที่เดินตามหลังมาเบรคแทบไม่ทัน ก่อนจะยกมือปิดปากแล้วหัวเราะกันสองคน ส่วนผมเงยหน้าขึ้นแล้วรีบยันตัวออก หน้าแดงก่ำจนคนตัวโตยกมือขึ้นแตะเหมือนปกติ

   “หน้าแดง”

   “แหงสิครับ” ผมลูบหน้าตัวเองก่อนจะหันไปชี้นิ้วใส่พี่สาวทั้งสองอย่างโมโห “เลิกถามปั้นได้แล้วครับ จะไปเก็บของ ไม่ต้องตามมานะ”

   ผมเดินเบี่ยงออกมา กระแทกเท้าปึงปังกลับเข้าห้องไป ไม่อยากสนใจพวกผู้หญิงขี้ตื๊ออีก ให้ตายเถอะ...

   เรื่องน่าอายแบบนั้น ใครจะไปเล่าได้ล่ะฟะ!



ชอบบ้านข้าวปั้นนะ เป็นบ้านในอุดมคติของน้องยู

ต่างคนต่างไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่ก็ไม่ได้ละเลย คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

ป๊าม๊าของข้าวปั้นถือเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ที่ยอมรับได้ทุกเรื่อง รับฟังและเคารพการตัดสินใจของลูก

ส่วนหมออคิน ชอบความโชว์แมนของนางนะคะ

ต้องใช้ความกล้าแค่ไหนเดินเข้าไปบอกพ่อเขาว่าทำให้ลูกเขาชอบผู้ชาย

ถ้าเราเป็นพี่หมอ เราคงไม่กล้าค่ะ คงเป็นเหมือนข้าวปั้นที่กลัวจนวินาทีสุดท้าย


ตอนหน้า บทส่งท้าย...

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 17-04-2020 12:40:48
น่ารักดีนะครอบครัวนี้
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-04-2020 12:42:18
กลับไปทำงาน ต้องมีคนขอฟังเรื่องเล่าของข้าวปั้นแน่ๆ เอ้ย...อิอิอิ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-04-2020 21:15:04
รู้กันทั่ว ยกเว้นเจ้าตัวคนเดียว อิๆ
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 18-04-2020 01:14:10
555. ครอบครัวตัวอย่าง ชอบตรงที่ยอมรับกันและกันได้ครับ,,,
หัวข้อ: Re: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 19-04-2020 10:13:21
ข้าวปั้นโป๊ะแตก ฉายานี้คือเหมาะสุดดด :m20: