การถูกบีบบังคับให้เเต่งกับใครสักคน ...มันไม่ใช่เรื่องสนุก
(ในเรื่องนี้เป็นยุคที่การเเต่งงานของเพศเดียวกันนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เเละมีกฎหมายคู่ชีวิตรองรับเเล้วค่ะ)
เพราะว่าถูก...คลุมถุงชน
[/b]
“แม่! ผมยังเรียนอยู่นะ จะให้แต่งงานได้ยังไง!” ผมถามอย่างไม่เข้าใจทันทีที่แม่บอกผมว่าพรุ่งนี้ผมจะต้องแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เห็นชอบ
ไปตระเตรียมงานกันมาเมื่อไหร่ แล้วอีกฝ่ายเป็นใคร ทำไมผมไม่รู้เรื่องเลยล่ะ!?
“แม่ครับ ผมยังไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายเลยนะ ทำไมแม่ไม่ถามความเห็นผมก่อน!” ผมยื้อแขนแม่เอาไว้ แต่แม่ก็หันหลังไปคุยธุระเรื่องการจัดงานกับคนอื่นต่อโดยไม่สนใจผมเลย
“พ่อ!!” ผมพยายามขอให้พ่อเห็นใจ แต่พ่อก็ทำแค่วางมือลงบนศีรษะผมแล้วยิ้มบางๆ
ทำไมถึงยังยิ้มแบบนั้นได้ทั้งที่ลูกชายน้ำตานองหน้าขนาดนี้แล้ว
“พ่อ! คนไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เจอกันจะให้เอากันลงได้ไงวะ!” ผมร้องไห้น้ำตานองหน้า
“พ่อครับ ผมไม่อยากแต่งงาน ฮือๆๆๆ” ผมร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลกอดพ่อไว้แน่น หวังให้น้ำตาสร้างความสะเทือนใจต่อผู้พบเห็นบ้างไม่มากก็น้อย
“ไม่แต่งนะ ผมไม่อยากแต่งงาน” ผมพูดคำนี้วนไปวนมาราวกับคนเสียสติ พ่อผละจากผมไป ผมได้แต่ยืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางโถงทางเดินหรูหราในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ตนไม่รู้จัก เดินกระเซอะกระเซิงไม่สนสายตาใครไปยังบริเวณสระน้ำซึ่งมีบันไดหินทอดยาวลงไป ที่ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ริมสระหนึ่งคน ผมไม่สนใจ เดินลงไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มือเท้ายันกับขอบสระชะโงกหน้ามองลงไปก็พบว่าสระนี้ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ขณะที่นึกประหลาดใจปนทึ่งว่าราคาค่าทำสระนี้บนตัวตึกจะสูงขนาดไหนมือก็ลื่นเกือบจะไถลลงไปในสระ ดีที่ผมยั้งตัวเองไว้ทันไม่อย่างนั้นถ้าต้องตกลงไปในสระที่มองไม่เห็นก้นบึ้งนั่นล่ะก็…แค่คิดก็หนาวแล้ว
สักพักก็มีเสียงผู้คนเดินมาตามทางที่อยู่เบื้องหลัง ผมหันไปมองอย่างตกใจ ก่อนจะพบกับกลุ่มคนในชุดสูทท่าทางจะเป็นพวกเจ้าหน้าที่กับพวกคนใหญ่คนโต หลังจากพวกเขาเดินเข้าไปในห้องบอลรูมห้องหนึ่งแล้ว ด้วยสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างจึงทำให้ผมตัดสินใจก้าวเดินตามไปทางนั้น
บริเวณหน้าห้องโถงยังเหลือคนในชุดสูทและชุดราตรีหรูหรายืนอยู่ประปราย แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครสนใจสารรูปกระเซอะกระเซิงน้ำตานองหน้าของผมสักคน ผมดันประตูเปิดเข้าไปเงียบๆ แอบเข้าไปยืนอยู่ในมุมอับสายตาเพื่อฟังบทสนทนาของคนด้านในโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“ได้ข่าวว่าคุณกำลังจะแต่งงาน” ชายร่างสูงคนหนึ่งถามชายท่าทางภูมิฐานอีกคน บทสนทนานั้นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง แล้วก็ได้พบกับชายคนหนึ่งอายุน่าจะประมาณ35ปีหน้าตาหล่อเหลาเคร่งขรึมแค่มองก็รู้ว่าน่าจะฉลาดเอาการ
เสียงในใจบอกผมว่า นั่นต้องเป็นว่าที่เจ้าบ่าวคลุมถุงชนของผมแน่ๆ
ถ้าหากเป็นคนนี้จริงๆ ล่ะก็ผมไม่แปลกใจเลยที่พ่อแม่จะเห็นดีด้วยจนมองข้ามความต้องการลูกชายตัวเอง พยายามบังคับผมให้แต่งงานโดยไม่ฟังคำทัดทานอะไรทั้งนั้น
หึ ตาแก่อยากแอ้มเด็ก 23
แค่คิดว่าจะต้องถูกผู้ชายคนนี้ที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยพูดคุยเห็นหน้าค่าตามากระทำย่ำยีในคืนแรกที่เข้าหอผมก็รู้สึกทนไม่ได้แล้ว
คนใหญ่คนโต กับ นักศึกษาทันตแพทย์ ดูๆ ไปแล้วก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม คนหนึ่งร่ำรวยภูมิฐานดูมีอำนาจ ส่วนอีกคนกำลังอยู่ในช่วงวัยสะพรั่ง เรียนในคณะที่ดีตามค่านิยมในสังคม
บ้าไปกันใหญ่แล้ว! ผมยังเรียนอยู่เลยนะ พรุ่งนี้แต่งงาน มะรืนกลับไปเรียนพร้อมสถานะสมรสแล้ว เพื่อนต้องมีตกใจอ้าปากค้างกันบ้างล่ะ
ใครจะไปคิดว่าคนอย่างผมที่ลั่นวาจาไว้ว่าคงได้แต่งงานเป็นคนสุดท้ายในแก๊งเพื่อนดันได้แต่งงานเป็นคนแรก แถมแต่งตั้งแต่เรียนอีกต่างหาก
ขณะที่ผมกำลังจมอยู่กับความคิดสับสนของตัวเองเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในห้องจัดเลี้ยงนี้แล้ว
ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าผม ห่างออกไปประมาณสองเมตร เขายิ้มและผายมือมาทางผม
“นี่คือว่าที่ภรรยาของผมครับ” อีกฝ่ายแนะนำด้วยรอยยิ้มยินดีก่อนจะค่อยๆ สาวเท้าเดินมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“ผมเป็น….การแต่งงานกับผมเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว” เขาพูดชื่อตำแหน่งของเขาซึ่งทำเอาผมเบิกตากว้างไม่คิดไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะมีตำแหน่งสูงขนาดนี้แล้วยังงงอีกด้วยว่าพ่อแม่ไปรู้จักกับคนคนนี้ได้อย่างไร
เขายื่นมือมาตรงหน้าผมที่ทรุดตัวอยู่บนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รอบข้างเงียบกริบ ผมได้แต่ลนลาน ทำยังไงดี! ทำยังไงดี! ไม่อยากแต่งงาน! ไม่อยากแต่งงาน!
ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งหนีออกจากห้องบอลรูมนั้นก่อนจะมาพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่บ้านได้ยังไงก็ไม่รู้ ตรงหน้าผมคือลุงและบรรดาญาติๆ ที่กระจัดกระจายนั่งเล่นกันอยู่ในส่วนต่างๆ ของบ้าน
ผมถลาเข้าไปกอดลุงด้วยน้ำตานองหน้า
“ผมไม่อยากแต่งงาน! ผมไม่อยากแต่งงาน! ช่วยผมด้วย ลุงช่วยผมด้วย ฮือออออๆๆๆ” ผมร้องห่มร้องไห้อย่างที่คิดว่ามากมายที่สุดในชีวิต ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเสียน้ำตาฟูมฟายมากขนาดนี้ในวัยที่ก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พอคิดว่าผมจะต้องหลับนอนกับใครก็ไม่รู้โดยที่ตัวเองไม่เต็มใจจะแต่งด้วย ผมก็ได้แต่อ้อนวอนสุดชีวิต
หรือผมจะหนีไปเลยดี วิ่งหนีออกมากลางงานแต่งเหมือนในละครเลยได้ไหม แต่อีกใจก็ค้านขึ้นมาว่าจะไปทำอย่างนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงได้ยังไงเล่า
พอพ่อกับแม่กลับมาที่บ้าน ผมก็เข้าไปร้องไห้ฟูมฟายกอดขาอ้อนวอนให้ยกเลิกงานแต่งอีกครั้ง ปกติผมเป็นลูกรักของแม่ ไม่ว่าอยากได้อะไรแม่ก็จะให้หมด แม่มักจะหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้ผมเสมอผมรู้ดี และบางครั้งแม้ผมจะไม่ต้องการท่านก็จะยัดเยียดมันให้เพราะมันดีต่อผม เรื่องในครั้งนี้ท่านก็คงคิดเช่นนั้น ดังนั้นไม่ว่าผมจะร้องไห้อ้อนวอนจนร่างกายเย็นเฉียบ ปากสั่นระริก ขยี้ผมจนกระเซอะกระเซิงราวกับคนเสียสติสักแค่ไหนท่านก็ทำเพียงหันหลังให้ไม่มองมาเท่านั้น
“ผมไม่แต่งงาน ผมไม่อยากแต่งงาน…” ผมได้แต่รำพึงซ้ำไปซ้ำมาพร้อมน้ำตาที่ไหลเงียบๆ ไม่ยอมหยุด ดวงตาเหม่อลอยมองคนอื่นเดินไปเดินมาจัดเตรียมงานแต่ง
หลายชั่วโมงผ่านไป เมื่อเห็นว่าตัวเองคงไม่มีทางขัดขืนงานแต่งนี้ได้แล้ว ผมถึงคิดได้ว่าฉุกละหุกขนาดนี้เพื่อนผมจะมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวในงานแต่งได้ยังไง
“ถ้าไม่ทันก็ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้” แม่ว่าก่อนจะหันไปยุ่งกับงานตรงหน้าต่อ
จะบ้าเหรอ ถ้าผมไม่มีเพื่อนเจ้าสาว แต่เจ้าบ่าวมีเพื่อน มันก็ดูเหมือนผมไม่มีเพื่อนคบเลยไม่มีใครมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้น่ะสิ!
แล้วจู่ๆ ผมก็มาเจอกับเพื่อนตัวเองที่โรงแรมได้ยังไงไม่รู้ งงเหมือนกันว่าทำไมสถานที่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้เร็วนัก เดี๋ยวก็อยู่บ้านเดี๋ยวก็อยู่โรงแรม หรือผมร้องไห้จนเลอะเลือนไม่รู้สึกตัวไปแล้วนะ
“กูแม่งโคตรแปลกใจจริงๆ ที่มึงดันเป็นคนแรกในกลุ่มที่ได้แต่งงาน!”
“แถมยังลาหยุดเรียนมาแต่งกลางคันด้วยนะ แซ่บไปอีกเพื่อนกู!”
หลังจากตกลงกันแล้วว่าเพื่อนคนไหนจะมาบ้างผมก็ถูกแม่ลากไปแปลงโฉมสลัดสารรูปกระเซอะกระเซิงนี่ออกไป
“แม่ไม่คิดจะให้ผมได้เจอเขาก่อนจริงๆ เหรอ เกิดผมไม่ชอบเขาล่ะ ผมต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ชอบไปตลอดชีวิตเลยนะ”
“อยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนั่นแหละ”
ผมพยายามดึงแขนออกจากมือของแม่ แต่ไม่รู้ทำไมถึงสู้แรงไม่ได้ มันรู้สึกอ่อนแอไปหมดทั้งกายและใจจนดูเหมือนจะล่องลอยตามมือใครไปก็ได้ทั้งนั้น
ผมถูกจับให้นั่งลงบนเก้าอี้ มือมากมายเข้ากลุ้มรุมจนตาลาย ผมร้องไห้ไปนั่งให้คนจัดการกับตัวเองไป น้ำตาไม่เคยเหือดแห้งไปจากใบหน้าเสียทีแต่คนรอบข้างก็ไม่ได้สนใจมันเลย
“ผมไม่อยากแต่งงาน…ผมไม่อยากแต่งงาน…” ผมพึมพำอยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากแต่งงานจริงๆ
เฮือก!!
ผมลืมตาโพลงขึ้น ที่แท้…ก็แค่ฝันร้ายเท่านั้นเองเหรอเนี่ย มิน่าล่ะฉากถึงตัดไปตัดมาไม่ปะติดปะต่อกัน
#เพราะว่าถูกคลุมถุงชน
ผมลุกขึ้นนั่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาจากใบหน้า ลากมือมายังหัวตาแล้วบีบนวดเบาๆ ก่อนจะเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน ข้างนอกนั่นคือสวนหน้าคฤหาสน์กว้างสุดลูกหูลูกตา เเละผืนน้ำนิ่งสงบของสระน้ำขนาดใหญ่ราวกับทะเลสาบ
น้ำตายังคงไหลไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่หยุดเสียที
ผมเหม่อมองเเสงจันทร์ที่ส่องกระทบผืนน้ำสีดำอย่างเงียบงัน มือที่ผอมจนเเทบเห็นกระดูกยกขึ้นสัมผัสผนังกระจกที่ติดกับเตียงพลางซบศีรษะลงบนกระจกเย็นเยียบอย่างอ่อนล้า
จู่ๆ ความอบอุ่นก็เข้าทาบทับที่แผ่นหลัง มือหนาที่เห็นเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาเล็กน้อยจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสอดประสานทาบทับเข้ากับมือที่อยู่บนกระจก ขณะที่อีกมือปาดน้ำตาออกให้อย่างแผ่วเบาก่อนจะตามมาด้วยจุมพิตที่ขมับซ้าย
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ” เสียงนั้นกลั้วหัวเราะ
มือหนาเอื้อมโอบรอบเอวผมดึงเข้าประชิด ก่อนที่ศีรษะจะรับรู้ถึงน้ำหนัก เพราะอีกฝ่ายวางคางลงบนหัวผม
“คุณทำให้ผมถูกจับคลุมถุงชน ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้รักคุณเลยสักนิด เเล้วผมก็มีคนที่แอบชอบอยู่เเล้วด้วย” ผมพูดทั้งที่สายตายังคงไม่ละไปจากภาพนอกหน้าต่าง
“อยู่ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเองนั่นแหละ” เสียงทุ้มกล่าว มือที่กอดเอวอยู่เริ่มเลื้อยลอดเข้าไปใต้ร่มผ้าสัมผัสลงบนแผ่นอกเปลือยเปล่าของผม
“นี่ก็ผ่านมาสามปีแล้ว ผมก็ยัง…” ..ไม่รู้สึกรักคุณเลย
จู่ๆ ผมก็รู้สึกวูบไปเพราะการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของอีกฝ่าย รู้สึกตัวอีกทีผมก็นอนหงายอยู่ใต้ร่างเขาแล้ว
“ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายปลดกระดุมชุดนอนผมไปด้วยพูดไปด้วยท่าทางสบายๆ
ผมเบือนหน้าหนี หลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ ขณะที่ใบหน้าของอีกฝ่ายซุกไซร้ลงที่ซอกคอ
“เธอยังมีเวลาที่จะรักฉันชั่วชีวิต”
_____________________________________
ฉงฉานน้องงงงงง เเต่ไรท์ชอบมาก5555 :hao7:
เออใช่ เรายังมีเรื่องสั้นอีกเรื่องมาเเนะนำด้วยนะคะ ลงไว้นานเเล้วเเต่กลัวคนอ่านจะหาไม่เจอ><
—>ลักพาตัว<— https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66645.0
Hug you 1 minute https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66687.0