พิมพ์หน้านี้ - ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: bellbomb ที่ 26-09-2019 22:12:52

หัวข้อ: ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2019 22:12:52
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*******************************************************

ตะวันพิงภพ

พิงภพใช้เวลาแต่ละวันเป็นครูสอนดำน้ำ บนเกาะที่ห้อมล้อมด้วยชายหาดและเกลียวคลื่น ใครเลยจะรู้ว่าสายน้ำจะพาตะวันสองดวงเข้ามาในชีวิตของเขา
ภาณุกร เปรียบดั่งตะวันยามเช้าอบอุ่น ทอแสงสดใสเหมือนเสียงกระซิบให้เริ่มต้นวันใหม่
อทิตยะ คือตะวันยามบ่ายเจิดจ้า พร้อมจะสาดแสงแผดเผาต่อให้หลบหลังเงากำบัง
เมื่อตะวันสองดวงล้วนปรารถนาที่หยุดพัก แต่พิงภพสามารถโอบอุ้มความร้อนของตะวันได้เพียงดวงเดียว แล้วตะวันดวงไหนที่จะได้ทอแสงในใจของเขา

****************************


บทนำ

สายลมยามบ่ายพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเรียน แรงลมเกือบพัดกระดาษปลิวจากโต๊ะถ้าเด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่ตะปบไว้เสียก่อน
   
“ซัน อย่ามัวแต่เล่นเกมดิวะ กรอกแบบสอบถามให้เสร็จๆ จะได้เอาไปส่งอาจารย์นุช”
   
พิงภพเอ่ยพลางจิ้มนิ้วลงบนกระดาษ ตอนนี้เลิกเรียนแล้ว แต่เขากับภาณุกรยังนั่งอยู่ในห้อง กระดาษบนโต๊ะคือแบบสอบถามแผนการศึกษาต่อที่อาจารย์แนะแนวแจกให้นักเรียนชั้น ม.5/4 หลายคนกรอกและส่งคืนไปแล้ว มีแต่เจ้าเพื่อนเขานี่ละที่อิดออดไม่กรอกสักที

“ฮะ? ไอ้นี่น่ะเหรอ? ก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไรนี่นา”

นัยน์ตาของคนตอบจดจ่ออยู่กับเกมในโทรศัพท์ พิงภพเห็นแล้วอยากตบกะโหลกเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจ้ำจี้จ้ำไชหรอก แต่อาจารย์นุจรีดันฝากให้ช่วยตามนี่สิ
   
ภาณุกรเป็นเพื่อนที่สนิทกับพิงภพที่สุดมาตั้งแต่มัธยมต้น ไม่รู้เพราะผลการเรียนไล่เลี่ยกันหรือเพราะนามสกุลขึ้นต้นด้วย ว.แหวนเหมือนกัน พวกเขาถึงมักได้อยู่ห้องเดียวกันทุกปี สำหรับคนทั้งห้อง...อันที่จริงต้องบอกว่าทั้งโรงเรียนจะดีกว่า ภาณุกรค่อนข้างจะโดดเด่นเพราะเป็นลูกครึ่ง ยีนจากพ่อชาวแคเนเดียนฉายชัดบนจมูกโด่ง ผิวสีน้ำนมและโครงร่างเพรียวสูง ส่วนคิ้วกับนัยน์ตาคมเข้มก็ได้รับจากแม่ซึ่งเป็นคนไทย เคยมีแมวมองจากหลายเอเจนซี่มาทาบทามให้ไปรับงานบันเทิง แต่แม่ของภาณุกรปฏิเสธมาตลอดเพราะอยากให้ตั้งใจเรียนก่อน

“จะไม่รู้ได้ไง ของช่องมหา’ลัยก็เขียนตามที่เคยคุยกันไว้ดิ ส่วนช่องอาชีพก็ไม่ต้องจริงจังมากหรอก ขนาดพ่อกูเรียนจบรัฐศาสตร์ยังมาเปิดร้านสักเลย”
   
พิงภพเอ่ยพลางลากเก้าอี้มานั่งข้างเพื่อน อาชีพของพ่อทำให้เด็กหนุ่มชินกับปฏิกิริยาหลากหลายของเหล่าอาจารย์และเพื่อนร่วมโรงเรียน บางคนก็คิดว่าเขาคงเกเรขวางโลก บางคนก็สนใจขอตามไปที่ร้านจนพ่อต้องปิดประกาศไม่ต้อนรับเด็กในเครื่องแบบ ส่วนพวกอาจารย์ที่ไม่เคยสอนเขาก็มองอย่างระแวง ยังดีที่ผลการเรียนของพิงภพไม่แย่จึงไม่โดนเพ่งเล็งมากนัก พ่อเสียอีกที่คอยกำชับไม่ให้เที่ยวโอ้อวดเรื่องร้านสักกับคนอื่น แต่กับร้านทำเล็บของแม่ให้โฆษณาได้เต็มที่

แสงแดดยามบ่ายสะท้อนฝุ่นชอล์กที่ลอยในอากาศ ความเงียบในอาคารบ่งบอกว่านักเรียนส่วนใหญ่คงกลับบ้านกันแล้ว ครู่หนึ่งภาณุกรก็เหลือบตาขึ้นแล้วยื่นมือมาหา
   
“มึงซุ่มยกเวทแล้วไม่บอกกูใช่ปะ กล้ามถึงได้ปูดยังกะลูกเทนนิส”
   
“ไอ้ทะลึ่ง! ไม่ต้องมาแซว รีบๆ เขียนให้เสร็จสักที”
   
เด็กหนุ่มตีมือเพื่อนที่กำลังบีบต้นแขน ช่วยไม่ได้นี่ เขากับภาณุกรมักไปไหนมาไหนด้วยกัน คนรอบข้างเลยชอบเปรียบเทียบความแตกต่าง จริงอยู่ว่าพอยืนคู่กันแล้วเขาจืดสนิท ดังนั้นถ้าอยากทำให้ตัวเองดูดีขึ้นบ้างก็ไม่ผิดสักหน่อย
   
“ขี้เกียจเขียนอะ อีกอย่างมึงก็พูดถูก เป้าหมายอนาคตมันเปลี่ยนง่ายจะตาย บางอย่างถึงเราไม่อยากทำ แต่ถ้าผู้ใหญ่บอกว่าต้องทำก็ขัดไม่ได้”
   
“พูดอะไร พ่อกับแม่เขาเคยขัดใจมึงด้วยเหรอ เห็นสปอยล์จะตายยกเว้นเรื่องที่ไม่ให้เข้าวงการ” 
   
“เขาสปอยล์กูเฉพาะเรื่องจิ๊บจ๊อย พอเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ก็ไม่ฟังหรอก ใครจะเหมือนมึงที่เถียงทุกคนในบ้านได้เป็นวรรคเป็นเวร”
   
“เฮ่ยๆๆ นี่คุยเรื่องมึงกันอยู่ ไม่ต้องวกมาแขวะกูเลย”
   
พิงภพผลักไหล่คนข้างตัว พยายามไม่ทักว่าอีกฝ่ายก็กล้ามแน่นใช่เล่น ตอนนี้พวกเขายังอายุแค่สิบหก ไม่รู้ว่าพอเข้ามหา’ลัยแล้วเจ้าเพื่อนลูกครึ่งของเขาจะขยายไซส์ไปเท่ากัปตันอเมริกาหรือเปล่า หน้าตามันยิ่งมีเค้าคล้ายๆ อยู่ด้วย
   
เด็กหนุ่มแทบอยากเตะตัวเองกับความคิดนั้น เขารู้มานานแล้วว่าภานุกรหน้าตาดี ครั้งแรกที่ได้เจอกันตอนรับน้องเข้า ม.1 เขานึกว่าเจ้าเด็กหน้าฝรั่งนี่คงหยิ่ง แต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายเต้นเพลงรับน้องได้รั่วแถมยังทำทุกอย่างตามที่รุ่นพี่สั่ง เวลารุ่นพี่ผู้หญิงแซวก็เขินจนหน้าแดงแจ๋ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นอดีตไปแล้ว เดี๋ยวนี้ภาณุกรไม่เคยแสดงท่าทีเขินอายเมื่อโดนแซว แถมพิงภพก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เพื่อนสนิทเริ่มพูดน้อยลง ไม่บอกเล่าความลับทุกอย่างกับเขาเหมือนแต่ก่อน
   
นั่นทำให้พิงภพนึกขึ้นได้ เหตุผลอะไรกันที่ทำให้ภาณุกรไม่อยากกรอกแบบสอบถามอนาคต ทั้งที่ปกติก็เป็นคนชอบทำอะไรให้เสร็จๆ ไปเหมือนเขาแท้ๆ
   
“ซัน? ทำไมเงียบไปอะ เฮ่ย”
   
เขาผลักไหล่เพื่อนอีกครั้ง และครั้งนี้ถึงได้สังเกตเห็นริมฝีปากรูปกระจับที่เม้มแน่นจนสะดุดใจ
   
“...ซัน?”
   
“กูคงไม่ได้เรียนมหา’ลัยเดียวกับมึงแล้วไปเช่าห้องด้วยกันแล้วนะ จำได้ไหมว่าปู่กูเพิ่งเสียเมื่อปีก่อน ตอนนี้ย่าก็เริ่มเป็นอัลไซเมอร์ พ่อเลยจะพาทั้งครอบครัวย้ายไปอยู่กับย่าที่แคนาดา เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้พวกกูก็จะบินแล้ว”
   
จู่ๆ พิงภพก็รู้สึกเหมือนแก้วหูลั่น นัยน์ตาดำขลับเบิกจ้องเพื่อนที่คบกันมาห้าปี คนที่มักเลือกที่นั่งติดกัน คนที่พอพักเที่ยงก็ต้องไปกินข้าวด้วยกัน คนที่พอถึงวันหยุดก็เรียนกวดวิชาแล้วกลับไปเล่นเกมที่บ้านด้วยกัน พวกเขาเคยวางแผนว่าหลังมัธยมปลายจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัดแล้วแชร์ห้องเช่า แต่สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำลายภาพฝันนั้นลงโดยสิ้นเชิง
   
“ทำไมถึงไม่บอกกูก่อนหน้านี้”
   
พอหลุดคำตัดพ้อไปแล้วพิงภพก็ชะงัก เขาไม่มีสิทธิ์ใช้คำพูดเห็นแก่ตัวแบบนี้ เรื่องที่จะเช่าหอพักด้วยกันเป็นเพียงการวาดฝันในอากาศ พวกเขาก็แค่เด็กวัยรุ่นที่อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระกับเพื่อนสนิท แต่ความฝันนั้นเลือนรางลงทุกทีที่เห็นขอบตาแดงเรื่อตรงหน้า
   
“ขอโทษ...กูไม่อยากทำให้มึงผิดหวัง”
   
“แล้วบอกตอนนี้กูไม่ผิดหวังเหรอ? แล้วอะไรคือจะบินสิ้นเดือนนี้? ที่เคยบอกว่าต้องซ่อมบ้านตั้งแต่เดือนที่แล้ว ที่จริงคือเพราะเก็บของเตรียมย้ายมานานแล้วใช่ไหม?”
   
ความสงสัยที่เคยวูบขึ้นเป็นระยะพลันคลี่คลาย จู่ๆ เดือนที่แล้วภาณุกรก็บอกเขาว่าต้องซ่อมหลังคาบ้านเลยไม่สะดวกให้ไปหา พอผ่านไปสักพักก็บอกว่าต้องซ่อมห้องน้ำกับโรงรถ เนื่องจากบ้านของทั้งสองไม่ได้อยู่ใกล้กัน เขาก็เลยไม่เคยเอะใจว่าต้องไปดูให้เห็นกับตา ที่ไหนได้...เขาถูกเพื่อนที่ไว้ใจที่สุดโกหกมาเกือบสองเดือนแล้ว
   
“พุธ ขอโทษ ถึงกูไม่อยู่เมืองไทยแต่เรายังติดต่อกันได้นี่”
   
ภาณุกรยื่นมือมาหาแต่ถูกปัดออกอย่างแรง พิงภพรีบหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้น แต่แล้วก็ตัวแข็งทื่อเพราะอ้อมแขนที่โอบรัดจากด้านหลัง ลมหายใจร้อนและเสียงสั่นเครือข้างหูทำเอากระเป๋าเกือบหลุดจากมือ
   
“มึงอย่าทำอย่างนี้สิ กูไม่ได้อยากจากกับมึงแบบนี้นะ”
   
อ้อมแขนที่โอบกอดกระชับยิ่งขึ้น เสียงเล็กๆ ในหัวบอกพิงภพว่านี่ไม่ใช่อ้อมกอดของเพื่อนที่อยากง้อเพื่อน ขณะเดียวกันก็ชวนให้นึกถึงแขนที่มักพาดมากอดก่ายเวลาไปนอนค้างที่บ้าน เมื่อก่อนเขาไม่เคยติดใจเพราะนึกว่าภาณุกรคงละเมอ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าทุกสัมผัสที่ผ่านมาล้วนมีความหมาย
   
ขอบตาของเด็กหนุ่มร้อนผ่าว ในอกหนึบหน่วงจนแทบหายใจไม่ได้

“ปล่อย กูไม่มีเพื่อนชอบโกหก”
   
พิงภพเอ่ยเสียงแข็ง เขาแงะแขนที่โอบกอดแล้ววิ่งออกจากห้องพร้อมกระเป๋านักเรียน เท้าทั้งสองไม่ชะลอความเร็วถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงวิ่งตาม ไม่มีการหยุดแล้วหันกลับไปหา ไม่มีคำอำลาอันน่าซาบซึ้ง สิ่งเดียวที่รู้คือความอึดอัดในอกที่ไม่เคยสัมผัส ตามมาด้วยน้ำอุ่นร้อนที่กบเต็มขอบตา

++------++
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 26-09-2019 22:18:57
บทที่ 1

“It's my life. It's now or never. I ain't gonna live forever…”
   
เสียงเพลง It’s My Life ของบอง โจวี่ดังจากโทรศัพท์ที่ชาร์จอยู่ข้างเตียง ระดับเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ปลุกคนที่กำลังงัวเงียให้หยิบเครื่องมากดรับอย่างไม่เต็มใจ
   
“ฮัลโหล...”
   
“พุธ ขอโทษที่โทรมาปลุกแต่เช้านะ วันนี้เข้ามาหลีดกรุ๊ปให้หน่อยสิ แก้มเพิ่งไลน์มาบอกว่าท้องเสีย วันนี้คงลงน้ำไม่ไหว”
   
“หือ...แล้วคนอื่นไม่ว่างกันเหรอพี่บุ๋ม?”
   
“ไม่มีใครว่างแล้ว นี่มันไฮซีซันนะเธอ แค่จะหาครูมาสอนนักเรียนใหม่ให้ครบยังแทบแย่ มีแต่เธอที่ลาหยุดวันนี้ ถ้าไม่ติดอะไรก็เข้ามาหน่อยแล้วกัน เรือออกเจ็ดครึ่งนะ”
   
หลังพูดรัวเป็นพายุแล้วคนโทรก็ตัดสายไปดื้อๆ พิงภพอ้าปากหาวพลางขยี้ตา ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์บอกเวลาหกโมงกว่า

เอาวะ อย่างน้อยก็ได้เงิน...

ชายหนุ่มขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงขณะลุกไปเข้าห้องน้ำ เขาทำงานเป็นครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์รีสอร์ตบนเกาะเต่าได้สามปีแล้ว คนที่เพิ่งโทรมาคือบุณฑริกซึ่งเป็นผู้จัดการ เนื่องจากบลูแซนด์เป็นกิจการรีสอร์ตควบโรงเรียนสอนดำน้ำ พนักงานฝั่งโรงแรมจะเป็นพนักงานประจำกินเงินเดือน แต่ฝั่งโรงเรียนสอนดำน้ำจะเป็นฟรีแลนซ์ที่คำนวณค่าจ้างรายวัน เพราะครูสอนดำน้ำส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยถาวร

ความจริงแล้วสายการเรียนของพิงภพไม่ได้เกี่ยวกับท้องทะเลสักนิด เขาเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ตอนมหาวิทยาลัย แต่กลับรู้ตัวตั้งแต่ได้หัดดำน้ำแบบสกูบ้าตอน ม.6 ว่าอาชีพที่อยากทำคือครูสอนดำน้ำ ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยก็เลยเรียนดำน้ำชั้นสูงควบในวันหยุด ทันทีที่เรียนจบปีสี่ก็สมัครงานที่รีสอร์ตนี้ พอสอบผ่านจนได้ใบรับรองก็ทำอาชีพครูสอนดำน้ำทันที เรียกได้ว่าเส้นทางชีวิตแตกต่างจากเพื่อนฝูงโดยสิ้นเชิง
   
ว่าแต่ไม่ได้ฝันถึงเรื่องสมัย ม.ปลายนานแค่ไหนแล้วนะ...
   
พิงภพยืนมองตัวเองในกระจกขณะแปรงฟัน อันที่จริงแล้วจะเรียกสิ่งที่เขาเห็นก่อนตื่นว่าความฝันก็ไม่ถูกในเมื่อมันเคยเกิดขึ้นจริง เหมือนกับว่าจู่ๆ สมองก็เล่นตลก รื้อฟื้นความหลังเมื่อเก้าปีก่อนขึ้นมาตอกย้ำความทรงจำเสียอย่างนั้น

นับตั้งแต่เหตุการณ์หลังเลิกเรียนวันนั้น ถึงจะเจอกับภาณุกรที่โรงเรียนเขาก็ไม่ทักทายหรือพูดด้วย กระทั่งที่นั่งก็ขอแลกกับเพื่อนผู้หญิงที่แอบชอบเจ้าตัว โซเชียลมีเดียทุกช่องทางที่ติดต่อกันได้ก็บล็อกชื่อ กระทั่งวันที่ภาณุกรต้องเดินทางก็ไม่ไปลา เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองในตอนนั้นถึงทิฐินัก ตอนเล่าให้พีรัช พี่ชายที่แก่กว่าห้าปีฟังเรื่องที่ทะเลาะกับภาณุกรโดยไม่บอกเรื่องที่ถูกกอด พี่ชายเขายังเหน็บว่า “ทำไมขี้งอนเหมือนผู้หญิงจังวะ” เขาเลยแกล้งทำน้ำปลาหกใส่มาม่าให้กินจนท้องเสียไปหนึ่งครั้ง

เหตุการณ์นั้นเป็นบทเรียนที่ทำให้พิงภพเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อาจเพราะเมื่อก่อนเขายึดติดกับภาณุกรมากเกินไป พออีกฝ่ายไม่อยู่เขาถึงตระหนักว่าไม่มีเพื่อนคนอื่นที่สนิทเท่า ก็เลยตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ชลบุรีซึ่งไม่มีเพื่อนมาจากโรงเรียนเดียวกัน ระหว่างนั้นก็เริ่มคบหาเพื่อนใหม่ เวลาโรงเรียนเก่าจัดงานรวมรุ่นก็ไม่ไปร่วม บ่อยครั้งที่เขาพยายามนึกย้อนถึงชีวิตตอน ม.5-6 ที่ไม่มีภาณุกรอยู่ข้างๆ แต่กลับจำอะไรแทบไม่ได้ มีแต่เรื่องที่พ่อยอมจ่ายค่าเรียนดำน้ำให้เป็นของขวัญวันเกิดที่จำได้แม่นยำ รวมถึงของขวัญที่แอบขอจากพ่อโดยปิดเป็นความลับกับแม่และพี่ชายมาถึงทุกวันนี้
   
ความคิดถึงพ่อกระตุกมุมปากให้หยักยิ้ม ตอนเด็กพิงภพสนิทกับพ่อมากและเคยอยากเจริญรอยตามด้วยซ้ำ แต่ทักษะวาดภาพไม่เอาไหนก็เลยไม่เหมาะจะเป็นช่างสัก ไม่เหมือนพีรัชที่เรียนรู้ทุกอย่างที่พ่อถ่ายทอดให้ได้หมด ตอนที่พ่อเสียหลังรู้ว่าเป็นมะเร็งลำไส้ไม่กี่เดือน พีรัชก็รับช่วงดูแลร้านสักพร้อมกับดูแลภรรยาและลูกสาววัยเตาะแตะไปด้วย ส่วนแม่รับดูแลค่าใช้จ่ายของพิงภพที่ยังเรียนไม่จบ ชีวิตช่วงนั้นไม่ถึงกับลำบากแต่ก็ไม่สบาย พิงภพพยายามทำงานพิเศษจิปาถะเพื่อจ่ายค่าเรียนดำน้ำเอง นั่นทำให้เขาไม่รู้สึกว่าสร้างภาระให้แม่มากนักระหว่างที่เป็นนักศึกษา
   
ชีวิตเรานี่ก็เปลี่ยนจากที่เคยคิดไว้เยอะเหมือนกันนะ แล้วป่านนี้ซันที่อยู่แคนาดาจะเป็นไงบ้าง จะแต่งงานมีครอบครัวไปแล้วหรือเปล่า...
   
พิงภพรีบปัดความคิดฟุ้งซ่านที่ผุดขึ้นมา หันไปแขวนผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกจากห้องน้ำ ป่วยการที่จะนึกถึงอดีตซึ่งแก้ไขไม่ได้ ตอนนี้เขาควรให้ความสนใจกับปัจจุบันมากกว่า

“ชิบเป๋ง! จะเจ็ดโมงแล้วนี่หว่า ไปหาอะไรกินที่รีสอร์ตแล้วกันวะ”

เวลาบนนาฬิกาแขวนผนังเตือนสติได้ชะงัด พิงภพคว้าเสื้อยืดที่ใกล้มือที่สุดมาสวม ถึงรายได้ของการเป็นครูสอนดำน้ำจะไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ ดังนั้นนอกจากจะประหยัดเงินด้วยการเช่าห้องพักราคาถูก อีกวิธีที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายก็คือใส่เสื้อยืดสตาฟของรีสอร์ตซึ่งไม่ต้องซื้อ
   
หลังหย่อนโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง หยิบกระเป๋าอุปกรณ์ดำน้ำแล้วออกจากห้องเช่า พิงภพก็ล็อกประตูด้วยพวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกาที่เก่าจนกระดำกระด่าง แต่พอจะออกเดินไปทางบันไดก็เกือบชนคนที่ออกมาจากห้องติดกัน
   
“ขอโทษครับ”
   
นั่นเป็นเสียงของพิงภพเอง เพราะอีกฝ่ายแค่เหลือบมองเขาเงียบๆ เรือนร่างสูงที่มีมัดกล้ามได้รูปเพียงแค่หมุนตัวเดินไปทางบันได กิริยาท่าทางชวนให้นึกว่าฟังที่เขาพูดไม่ออก แต่เขารู้ว่าหมอนี่เป็นคนไทยเพราะเคยได้ยินตอนโทรคุยกับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ แต่บุคลิกที่ไร้มนุษยสัมพันธ์อย่างนี้แหละทำให้ไม่เคยคุยกันทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมหอได้เกินสัปดาห์แล้ว
   
เสียงการเคลื่อนไหวจากในห้องดึงดูดสายตาของพิงภพ พอปรายตามองผ่านประตูที่ปิดไม่สนิทก็เห็นหญิงสาวชาวต่างชาติกำลังลุกจากเตียง เรือนร่างสูงเพรียวสวมแค่เสื้อกล้ามเอวลอยกับกางเกงใน พอเธอเห็นเขาก็โบกมือแล้วยิ้มหวาน พิงภพเลยรีบดึงสายตากลับแล้วเดินเร็วๆ ลงชั้นล่าง ห้องพักที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตนัก ระยะห่างไม่กี่เมตรเมื่อครู่เลยเผยทรวดทรงของสาวเจ้าให้เห็นจนหน้าร้อนไปหมด
   
มอเตอร์ไซค์เช่าของเขาจอดอยู่ในโรงรถข้างอาคาร พิงภพวางกระเป๋าอุปกรณ์ไว้บนตักแล้วสตาร์ทรถ ตอนเลี้ยวออกจากรั้วก็เห็นเจ้าผู้ชายไร้มารยาทกำลังยืนซื้อโจ๊กจากรถเข็น เสื้อกล้ามตัวหลวมเผยให้เห็นรอยสักบนแผ่นหลังซึ่งแผ่ยาวลงมาบนแขนทั้งสองข้าง ช่วงขาที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นข้างหนึ่งก็มีรอยสักเหมือนกัน คนทั่วไปอาจนึกขยาดเมื่อเห็นคนที่เต็มไปด้วยรอยสักแบบนี้ แต่สำหรับพิงภพที่นั่งดูพ่อทำงานมาตั้งแต่จำความได้ มันก็คืองานศิลปะบนร่างกายที่ต้องใช้รสนิยมกับความเจ็บแลกมาเท่านั้นเอง
   
ชายหนุ่มไม่ใส่ใจคนข้างห้องอีก เขารอจนไม่เห็นรถวิ่งสวนมาแล้วก็บิดมอเตอร์ไซค์ออกไปบนถนน จึงไม่รู้ตัวว่ามีสายตามองตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชื่อรีสอร์ตที่หลังเสื้อยืดจนกระทั่งรถของเขาพ้นสายตา

++------++
   
เกาะเต่าจัดเป็นเกาะขนาดกลางๆ ในบรรดาเกาะทั้งหมดของเมืองไทย  แต่กลับโด่งดังในฐานะแหล่งเรียนดำน้ำยอดนิยมหนึ่งในสิบของโลก แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลั่งไหลมาหลายหมื่นคน ยิ่งเดือนกรกฎาตรงกับวันหยุดฤดูร้อนของประเทศฝั่งตะวันตก นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักจะพ่วงการเรียนดำน้ำเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ต้องทำ ยิ่งไม่กี่ปีมานี้กระแสการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ช่วยให้คนไทยสนใจดำน้ำเยอะขึ้น อาชีพครูสอนดำน้ำก็เลยเป็นที่ต้องการมากตามไปด้วย

ห้องเช่าของพิงภพอยู่ห่างจากบลูแซนด์แค่สิบนาที หลังจอดมอเตอร์ไซค์แล้วเขาก็รีบหยิบกระเป๋าพุ่งตรงไปยังห้องสำนักงาน  ในนั้นมีพนักงานของรีสอร์ตและครูสอนดำน้ำเดินเข้าออกขวักไขว่ พิงภพทักทายเพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินเข้าไปหาบุณฑริกที่โต๊ะด้านในสุด
   
“หวัดดีฮะพี่บุ๋ม”
   
“เอ้า พี่กำลังจะโทรตามอยู่เชียว เดี๋ยวเซ็นชื่อเข้ากะให้หน่อย กรุ๊ปของพุธช่วงเช้ามีลูกค้าสามคนนะ เห็นว่าเคยดำน้ำคนละสิบกว่าไดฟ์”
   
“ยังค่อนข้างจะมือใหม่สินะ แล้วนี่เขาอยู่ไหนกันล่ะพี่บุ๋ม?”
   
“พี่ให้เขาไปนั่งรอที่ห้องอาหารหน้าหาด น้องในกลุ่มคนนึงผมสีชมพูแปร๋นเลย รับรองเห็นปุ๊บรู้ปั๊บ ไปทักทายเขาก่อนลงเรือด้วยแล้วกัน”

“โอเค เออพี่บุ๋ม ผมเห็นหน้ารีสอร์ตมีรถกระบะขนของยังกับจะมาถ่ายหนัง จะจัดอิเวนต์อะไรเหรอ?”

พิงภพถามพลางลงชื่อในสมุด เพราะรถขนของเมื่อเช้านั่นเลยทำให้เขาต้องไปหาจุดจอดมอเตอร์ไซค์ไกลกว่าปกติ
   
“อ๋อ เอเจนซี่มาถ่ายโฆษณาน่ะ เห็นว่าติดต่อผ่านพี่บู๊ไว้ แกคงนึกว่าช่วงไฮซีซันนี่พวกเรางานยุ่งไม่พอละมั้ง”
   
บุณฑริกบ่นกระปอดกระแปดถึงพี่ชายซึ่งเป็นเจ้าของรีสอร์ต พิงภพพยักหน้าเข้าใจก่อนจะฝากของมีค่าในล็อกเกอร์ เขาเดินออกไปทักทายกลุ่มลูกค้าที่ห้องอาหารตามที่บุณฑริกบอก ปกติแล้วคนที่เพิ่งมาสมัครเรียนดำน้ำจะได้ลงสอบภาคปฏิบัติในทะเลกับครูผู้สอน แต่ถ้าลูกค้าเคยเรียนดำน้ำมาก่อนแล้วสนใจแพคเกจดำน้ำรายวัน ทางรีสอร์ตจะให้ครูหรือผู้ช่วยครูที่ว่างมาดูแลในอัตราหนึ่งต่อสี่เพื่อความปลอดภัย
   
กลุ่มลูกค้าที่พิงภพต้องดูแลเป็นสาวๆ นักศึกษาที่แบกเป้มาเที่ยวกันเอง อายุที่มากกว่าไม่กี่ปีทำให้เขาสนทนากับพวกเธอเรื่องชีวิตวัยเรียนได้อย่างสนุกสนาน กระทั่งเจ็ดโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่ประสานงานของเรือก็แจ้งให้ทุกคนไปขึ้นเรือเล็กที่หน้าหาด เพราะต้องไปต่อขึ้นเรือลำใหญ่เพื่อไปยังจุดดำน้ำอีกที
   
“ตอนขึ้นเรือใหญ่ไม่ต้องรีบนะครับ ค่อยๆ ต่อแถวขึ้นไปทีละคน ชั้นล่างของเรือจะเป็นพื้นที่แต่งตัวก่อนลงน้ำ ส่วนชั้นบนเป็นที่นั่งพัก ชากาแฟกับขนมทุกอย่างหยิบกินได้ตามสบาย นี่ผมก็กะกินพวกนั้นเป็นมื้อเช้านี่แหละ”

สมาชิกในกลุ่มพากันหัวเราะคิกคัก เช้านี้มีลูกค้าบนเรือสี่สิบกว่าคน ไม่นับรวมสตาฟอีก กราบซ้ายขวาของเรือจึงเกิดความชุลมุนย่อมๆ ทุกครั้งที่ต้องสวมอุปกรณ์ เคยมีเพื่อนนอกวงการถามเขาว่าลงน้ำทุกวันไม่เบื่อหรือ แต่สำหรับพิงภพ เสน่ห์ของงานนี้คือการที่เขาได้พบเจอคนใหม่ๆ ทุกวัน แถมเวลาลงน้ำแต่ละครั้งก็ยังได้ลุ้นว่าจะเจอสัตว์น้ำแบบไหนบ้าง หรือสัตว์ตัวที่เคยเจอจะยังอยู่ที่เดิมไหม แล้วความแตกต่างของสภาพน้ำในแต่ละวันก็ยิ่งทำให้เขาไม่เคยนึกเบื่องานนี้สักที
   
ในช่วงเช้าเรือพาไปดำน้ำสองแห่ง ระหว่างที่พักจากการดำน้ำแต่ละแห่งทุกคนจะขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้า บ้างก็อวดรูปถ่ายของตัวเองจากกล้องใต้น้ำ ความสดใสของสาวๆ นักศึกษาในกลุ่มทำให้พิงภพนึกถึงตัวเองสมัยเรียน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งผ่านพ้นช่วงเวลาคล้ายกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
   
“ครูพุธๆ”
   
“ครับ?”
   
ระหว่างพักเที่ยงบนเรือจะจัดอาหารให้ตักกินแบบบุฟเฟต์ พิงภพเงยหน้าขึ้นจากจานเมื่อได้ยินเสียงเรียก และเห็นสมาชิกกลุ่มคนที่ผมสีชมพูชี้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไอ้ฮั้วมันสงสัยค่ะ ว่าครูพุธมีแฟนหรือยัง”
   
“เฮ้ย! ไอ้บ้า! ฉันก็บอกอยู่ว่าไม่ต้องถาม!”
   
เด็กสาวชื่อฮั้วตบไหล่เพื่อนดังป้าบ แต่สีหน้าท่าทางดูไม่เขินอายสักนิด พิงภพหัวเราะเพราะรู้ว่าเจ้าหล่อนคงไม่ได้สนใจเขาเป็นพิเศษ
   
“สมัยเรียนเคยมี แต่พอเรียนจบแล้วทำงานคนละที่ก็เลยเลิกกันครับ แต่ว่าเลิกกันด้วยดีนะ”
   
“โห แต่ก็จริงนะ พี่สาวของเนมก็เลิกกับแฟนเพราะหลังเรียนจบแฟนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เพื่อนๆ พากันเตือนว่าคบทางไกลมันไม่รอดหรอก สุดท้ายก็เป็นตามนั้นจริงๆ เพราะแฟนเขาไปได้แฟนใหม่ที่โน่น”
   
“หา? เจ้หน่องอะเหรอ แสดงว่าเพิ่งเลิกกันไม่นานนี้เองดิ”
   
เด็กสาวอีกคนโพล่งขึ้น พิงภพเห็นว่าหัวข้อสนทนาไม่เกี่ยวกับเขาแล้วก็เลยลุกเอาจานไปใส่กะละมัง จากนั้นก็เดินลงไปชงกาแฟที่เคาน์เตอร์ชั้นล่าง วันนี้คลื่นไม่ค่อยแรง แสงแดดสะท้อนผิวน้ำจนเป็นเงาระยับ ส่วนท้ายเรือนั้นเหล่าลูกเรือกำลังใช้ท่อเติมอากาศใส่ถังเสียงดังฟู่
   
คำถามของเหล่าเด็กสาวทำให้พิงภพนึกถึงเรื่องที่ลืมไปแล้ว สมัยเรียนเขาเคยมีแฟนจริงๆ แต่ที่คบกันก็เพียงเพราะเรียนเอกเดียวกัน พวกเขาไม่เคยพัฒนาความรู้สึกลึกซึ้งจนคิดไปไกลถึงอนาคต พอเรียนจบก็เลยตัดสินใจลงเอยด้วยมิตรภาพ
   
แต่ทำไมตอนได้ยินคำว่า ‘คบทางไกลไม่รอด’ เขาดันนึกถึงซันแทนที่จะเป็นแฟนเก่านะ...
   
“เป็นไรเพื่อน ทำหน้ายังกับท้องผูก”
   
คำถามกวนๆ เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงจีนกับแขนที่พาดไหล่ทำเอาพิงภพกลอกตา ลีเป็นครูสอนดำน้ำชาวจีนที่เริ่มทำงานที่บลูแซนด์ในเวลาไล่เลี่ยกับเขา อายุที่ใกล้เคียงกันทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็ว
   
“หน้านายสิเหมือนอึไม่ออก ฉันแค่นอนน้อยเพราะพี่บุ๋มโทรตามแต่เช้าต่างหาก”
   
“อ๋อ เลยต้องมาทำงานแทนแก้มสินะ เอาน่า จะได้เก็บเงินไปดำน้ำที่กาลาปากอสไง”
   
ลีพูดแล้วหัวเราะร่วน ระหว่างนั้นครูสอนดำน้ำบางส่วนพากันลงมาชั้นล่าง พวกเขาจึงเข้าไปร่วมวงด้วย เหล่าครูสอนดำน้ำของบลูแซนด์มาจากแทบทุกทวีปทั่วโลก ภาษาอังกฤษที่สื่อสารก็มีสารพันสำเนียง บ่อยครั้งพิงภพจึงแทบลืมว่าเขาอยู่เมืองไทย

ไม่ช้าเสียงหัวเราะเฮฮาของพวกเขาก็ดึงดูดพวกนักเรียนให้เดินตามลงมา ประจวบเหมาะกับที่เรือออกแล่นเพื่อไปยังจุดดำน้ำถัดไป ผู้จัดการของเรือเดินมากลางวงแล้วประกาศเสียงดัง
   
“กัปตันบอกว่ามีเรือประมงเห็นฉลามวาฬที่ไวท์ร็อค จุดแรกที่พวกเราจะไปดำน้ำช่วงบ่ายก็คือไวท์ร็อคพอดี เดี๋ยวทุกคนรีบแต่งตัวแล้วช่วยกันภาวนาว่ามันจะยังอยู่ก็แล้วกัน”
   
มีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเหล่าสมาชิกที่แตกฮือไปแต่งตัว บรรดาครูสอนดำน้ำก็ผละจากวงสนทนาเพื่อไปดูแลสมาชิกของตัวเอง พิงภพเหลียวมองบรรยากาศอันจอแจรอบตัวแล้วก็ยิ้ม นี่คือเส้นทางชีวิตที่เขาเลือกแล้ว และเขาพอใจกับมันจนไม่คิดจะหวนกลับไปเปลี่ยนสิ่งใดในอดีตทั้งสิ้น

++---TBC---++

มาเปิดเรื่องใหม่หลังห่างหายเล้าเป็ดไปนานมาก ขอฝากนิยายเรื่องล่าสุดด้วยนะคะ สำหรับเรื่องนี้ ตัวเอกจะติสต์หน่อยๆ มีฟีลรักสามเส้า (เคล้าน้ำตาไหม...ไม่บอก) และหาดทราย สายลม แสงแดด จะพยายามมาอัพอย่างสม่ำเสมอค่ะ
 :katai2-1:   :mew1:   :mc4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 26-09-2019 22:34:59
เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเชียร์ใครดี
ขอติดตามทำความรู้จักกับหนุ่มๆด้วยคนนะคะ :3123:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-09-2019 22:54:49
ถ้าจะกลับมาจีบน่าจะยาก
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 28-09-2019 17:25:03
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: silverspoon ที่ 29-09-2019 06:04:45
ติดตาม ชอบนักเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 30-09-2019 16:26:17
หูยยยยยย นิยายคุณ bellbomb ไม่ได้อ่านเรื่องใหม่นานมากกกกก ดีใจจังค่ะ welcome back นะคะ   :กอด1:

Location เป็นทะเล ตัวเอกเป็นครูสอนดำน้ำ แปลกดีจังไม่ค่อยเจอเลยค่ะ บรรยากาศ หาดทราย สายลม ใต้น้ำ สวยๆ ใสๆ คงไม่ดราม่ามากหรอกเนอะ อิอิ

ชอบค่ะ ติดตามๆ มาอัพบ่อยๆนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-10-2019 09:06:16
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ จะพยายามมาลงสัปดาห์ละตอน ไม่วันพฤหัสก็วันศุกร์ค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-10-2019 15:26:34
ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-10-2019 16:56:15
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทนำ + ตอนที่ 1 {เปิดเรื่อง 26.09.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-10-2019 18:07:07
บทที่ 2
 
หลังจบการดำน้ำภาคบ่ายเรือก็พาทุกคนกลับฝั่ง คนที่จะไม่ลงดำน้ำภาคค่ำต้องเอาอุปกรณ์ไปคืนที่ห้องเก็บของ ลูกทีมของพิงภพให้เขาช่วยเซ็นชื่อในสมุดพกของนักดำน้ำก่อนจะกล่าวลา หลังแยกกันเขาก็เดินไปล้างตัวที่ข้างสระ เปลี่ยนใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแล้วเดินไปที่ห้องสำนักงาน
               
“มาลงเวลาฮะพี่บุ๋ม”
             
“ทำไมเร็วจัง? อ้อ กลุ่มของพุธไม่ลงไนต์ไดฟ์กันสินะ งั้นวันนี้ก็กลับไปพักเถอะ โทษทีที่ให้มาทำงานในวันหยุด”

“ไม่เป็นไร ถึงยังไงก็คงมานั่งเล่นที่นี่อยู่ดีเพราะไม่รู้จะไปไหน ว่าแต่แก้มเป็นไงบ้าง?”               

“ได้นอนพักก็คงดีขึ้นแล้วมั้ง เพราะเพิ่งไลน์มาว่าพรุ่งนี้น่าจะทำงานได้”               

“เหรอ...งั้นพรุ่งนี้มีนักเรียนใหม่หรือกลุ่มฟันไดฟ์ให้ผมหลีดมั่งไหมอะ”               

บุณฑริกเบนสายตาจากคอมพิวเตอร์ พอเห็นสีหน้าของเขาก็หันมาหาทั้งตัว               

“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าตาดูหงอยๆ โฮมซิกเหรอ?”               

“เปล่า แค่อยู่ดีๆ ก็เซ็ง เลยคิดว่าเอาเวลาที่เซ็งมาทำงานหาเงินดีกว่า”               

“เฮ้ย เพิ่งเบญจเพสเองไม่ใช่เหรอ จะรีบเซ็งเซิงอะไร เจ๊อายุปูนนี้แล้วยังไม่เซ็งเลย”               

บุณฑริกหัวเราะพลางหันไปดูคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แต่พิงภพรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเช็กตารางงานให้ ถึงจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่บุณฑริกเป็นเวิร์คกิ้งวูแมนที่กระฉับกระเฉงและเอาใจใส่พนักงานทุกคน ตอนพิงภพมาเริ่มงานเมื่อสามปีก่อนก็ได้เธอช่วยแนะนำห้องเช่าและการใช้ชีวิตบนเกาะจนปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว               

“วันพรุ่งนี้เต็มเพราะจัดกลุ่มลงตัวแล้ว เดี๋ยวพี่ลงชื่อพุธไว้วันมะรืนก็แล้วกัน ถ้ามีลูกค้ามาจะได้ยกให้เป็นคิวแรกเลย”               

“ขอบคุณฮะ งั้นวันพรุ่งนี้ผมมานั่งเล่นแถวนี้ก็แล้วกัน เผื่อใครจะมีอะไรให้ช่วย”             

“เผื่อมีอะไรให้ช่วยเหรอ...แป๊บนึง เหมือนจะมีอยู่นะ”               

“หือ?”
               
พิงภพมองบุณฑริกที่ทำตาวาวเหมือนนึกอะไรออก เธอคลิกเมาส์สองสามทีก่อนจะดีดนิ้วดังเปาะ               

“พอดีเลย จำที่เมื่อเช้าบอกว่ามีเอเจนซี่มาถ่ายโฆษณาได้ไหม? วันพรุ่งนี้เขาอยากไปถ่ายทำรอบๆ เกาะก็เลยจะขอคนของเราคนนึงไปช่วยแนะนำสถานที่ ตอนแรกพี่จะให้น้องในออฟฟิศไป แต่ถ้าพุธว่างก็ไปแทนหน่อยแล้วกัน”                 

“หา? พี่บุ๋มจะให้ผมไปเป็นไกด์เนี่ยนะ? ได้เงินรึเปล่า?”

“งานฟรีจ้ะ เอาน่า เกาะเรามันก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย ดีกว่าอยู่ว่างๆ ไม่แน่อาจได้เข้าซีนเป็นตัวประกอบด้วยนะ”               

“แหม ผมว่าแบบนั้นพี่บุ๋มเหมาะกว่าเยอะ เผื่อเข้าตาผู้กำกับแล้วได้ประกบคู่กับพระเอก”               

“อู๊ยยย ถ้าเข้าตาผู้กำกับจริงฉันก็ไม่ได้มานั่งทำงานอยู่นี่แล้ว ตกลงจะทำไหมล่ะ ได้กินข้าวฟรีสามมื้อกับพวกทีมงานด้วยนะ”               

คีย์เวิร์ดท้ายประโยคทำเอาพิงภพหูผึ่ง “ข้าวฟรีเหรอ งั้นทำก็ได้ ไม่ได้เงินแต่ไม่ต้องจ่ายค่าข้าวก็โอเค้”               

“งั้นก็ตามนั้น พรุ่งนี้มาเจอทีมงานตอนเจ็ดโมงนะ จะได้กินข้าวเช้าแล้วก็บรีฟกับเขาให้เสร็จก่อนออกไป”
               
หลังตกลงกันเสร็จเรียบร้อย พิงภพก็นั่งคุยสัพเพเหระกับบุณฑริกก่อนจะออกจากสำนักงาน แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเรียก               

“เฮ้พุธ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหม?”               

“มาริอุส? ลีด้วย? ฉันนึกว่าพวกนายไปลงไนต์ไดฟ์กันซะอีก”

พิงภพเดินเข้าไปหาเพื่อนครูสอนดำน้ำชาวบราซิลกับชาวจีนที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างสำนักงาน ทั้งสองพากันสูดควันอึกสุดท้ายก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งถังขยะ               

“กลุ่มของฉันขอเลื่อนเป็นคืนพรุ่งนี้ ส่วนของลีไม่มีคิวลงไนต์ไดฟ์ตั้งแต่แรกแล้ว”

“สเวนล่ะ? อ้อ ลืมไปว่าวันนี้หมอนั่นต้องประสานงานกับเรือทั้งวัน”               

สเวนเป็นผู้ช่วยครูสอนดำน้ำชาวสวีเดนซึ่งอายุมากกว่าพวกเขาเพราะปีนี้ก็ 29 แล้ว ในบรรดาครูสอนดำน้ำทั้งหมด สามคนนี้ค่อนข้างสนิทกับพิงภพมากที่สุด               

“แล้วจะกินอะไรกันดี? อาหารตามสั่ง? พิซซ่า? หมูกระทะ?”

“ถ้านายกลับไปบราซิลเมื่อไหร่ต้องคิดถึงหมูกระทะแหงๆ”               

“แต่พิซซ่าก็ดีนะ เฮ้ย! วันนี้ร้านของเปาโลมีโปรโมชั่นหนึ่งแถมหนึ่งนี่นา สามคนกินสองถาดก็คุ้มอยู่”               

ลีเอ่ยเมื่อนึกขึ้นได้ ทั้งสามจึงพากันเดินไปที่ร้านอาหารอิตาเลียนเก่าแก่ไม่ไกลจากรีสอร์ต โดยรอบเต็มไปด้วยผับบาร์และร้านอาหารซึ่งคึกคักไปด้วยลูกค้า               

“ช่วงไฮซีซันนี่ก็ดีอย่าง เวลาอุดหนุนร้านไหนแล้วไม่ค่อยรู้สึกผิดกับร้านอื่น”               

มาริอุสเอ่ยหลังจากนั่งลง เปาโลซึ่งเป็นเจ้าของร้านเดินมารับออเดอร์จากพวกเขาโดยตรง ชายสูงวัยเปิดร้านอาหารบนเกาะร่วมกับภรรยาชาวไทยได้สิบกว่าปีแล้ว เป็นหนึ่งในร้านขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวต้องอุดหนุนให้ได้ถ้ามาเกาะเต่า               

เบียร์สามขวดถูกยกมาเสิร์ฟเป็นอย่างแรก ตามด้วยพิซซ่าซีฟู้ดกับเป๊ปเปอโรนีอย่างละถาด พิงภพหยิบพิซซ่าชิ้นหนึ่งขึ้นกินพลางชวนคนอื่นคุย               

“พรุ่งนี้พวกนายทำอะไรกันบ้าง?”               

“ของฉันมีสอนนักเรียนใหม่ที่เป็นคู่ฮันนีมูนจากไต้หวัน นายล่ะมาริอุส?”               

“มีสอนเหมือนกันแต่เป็นคอร์สแอดวานซ์ให้กลุ่มที่มาจากสเปน ช่วงนี้พวกครูที่พูดสเปนได้ไม่อยู่สักคน ดีนะที่แม่เคี่ยวเข็ญให้ฉันเรียนภาษาสเปนแต่เด็กก็เลยใช้ทำงานได้”               

“อ้อ เพราะปกติคนบราซิลใช้ภาษาโปรตุเกสนี่นะ ของฉันสิต้องไปเป็นไกด์ให้เอเจนซี่ที่จะถ่ายโฆษณาวันพรุ่งนี้”           

“พวกที่ขนอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมดน่ะเหรอ ฉันกำลังสงสัยพอดีว่ามาทำอะไรกัน”               

พวกเขากินกันไปคุยกันไป ระหว่างนั้นเปาโลแวะมานั่งคุยด้วยครู่หนึ่ง จนเมื่อทั้งสามอิ่มก็จ่ายเงินแล้วแยกย้ายกัน อพาร์ตเมนต์ที่ลีกับมาริอุสเช่าอยู่ไม่ไกลจากร้านของเปาโล จึงมีแต่พิงภพที่ต้องเดินกลับไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่หน้ารีสอร์ต
               
ชายหนุ่มล้วงกุญแจออกมาเสียบรถมอเตอร์ไซค์ แต่บิดแล้วสตาร์ทไม่ติด เขามุ่นคิ้วแล้วดึงกุญแจออกมาเสียบใหม่ แต่ไม่ว่าจะลองสตาร์ทด้วยมือหรือเท้าก็ไม่เกิดอะไรขึ้น หลังพยายามอยู่หลายครั้งก็มั่นใจว่ารถมีปัญหา               

ให้มันได้อย่างนี้สิ ตอนเช้าก็โดนโทรปลุกมาทำงาน พรุ่งนี้ก็ต้องไปเป็นไกด์ฟรีให้คนแปลกหน้า คืนนี้ก็ยังต้องเดินกลับหออีกเหรอเนี่ย...               

เหงื่อเม็ดใสเริ่มซึมบนหน้าผาก ถึงห้องเช่าของเขาจะอยู่ห่างในระยะขับรถแค่สิบนาที แต่ถ้าเดินเท้าก็มากกว่าครึ่งชั่วโมงเพราะเป็นทางขึ้นเนิน อีกทางเลือกคือโบกรถสองแถวซึ่งเริ่มต้นที่สามร้อยบาท และเขาไม่ยอมเสียเงินขนาดนั้นแน่ๆ               

“เฮ้อออ ไปขอค้างกับลีก็ได้วะ”               

ชายหนุ่มบ่นหลังความพยายามสตาร์ทรถอีกครั้งไม่เป็นผล เขาเหลียวมองรถมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ถัดไปไม่ไกลเมื่อได้ยินเสียงสตาร์ท แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นว่าคนขับคือเจ้าคนข้างห้องผู้ไร้มนุษยสัมพันธ์

ที่แย่กว่านั้น...หมอนั่นก็หันมาเห็นเขาแล้วด้วย                 

ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน อึดใจหนึ่งอีกฝ่ายก็ทำลายความเงียบก่อน 

“รถเสีย?”               

พิงภพใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าถูกถาม เพราะเคยนึกว่าหมอนี่คงไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าเสียอีก               

“อือ สตาร์ทไม่ติด”               

เขาตอบด้วยโทนเสียงไม่เป็นทางการเหมือนกัน จากลักษณะท่าทางและการใช้คำพูด พิงภพเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะอายุน้อยกว่าที่เคยคิดไว้               

“กำลังจะกลับพอดี จะมาด้วยกันก็ได้”               

คนพูดเอ่ยพลางถอยรถออกจากช่องที่จอด พิงภพยังคงยืนอึ้ง จนเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นนั่นล่ะ เขาถึงค่อยรู้สึกตัวแล้วเดินเข้าไปหา               

“ขอบคุณ เอ่อ...แล้วไม่มีคนอื่นไปด้วยเหรอ?”               

“ไม่มีนี่ ก็อยู่คนเดียวประจำ”               

แล้วไอ้ที่เห็นเมื่อเช้านั่นวิญญาณเจ้าที่หรือไง...พิงภพคิดพลางก้าวขึ้นคร่อมเบาะหลัง วันนี้เขาฝากกระเป๋าอุปกรณ์ไว้ที่สำนักงาน บนตัวก็เลยมีแค่เป้ใส่ของใบเล็ก               

“ขยับเข้ามาหน่อยก็ได้ น้ำหนักมันไม่สมดุล”               

พอโดนบอกอย่างนั้นพิงภพเลยต้องกระถดตัวไปข้างหน้า แต่อานรถคันนี้เป็นแบบเชิดท้ายสูงและไม่มีราวให้จับ การพยายามจะนั่งให้ปลอดภัยโดยไม่โดนตัวอีกฝ่ายจึงท้าทายพอสมควร               

“นี่ไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์เหรอ?”               

“หา? เคยดิ”               

“งั้นไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ถึงจับเอวก็ไม่กัดหรอก ไม่ซ้อนให้ดีเดี๋ยวก็หงายหลัง”               

“เหวอ!”               

พิงภพรีบคว้าเอวคนข้างหน้าเมื่อรถพุ่งออกโดยไม่ให้สัญญาณ เสียงลมที่พัดผ่านหูหวีดหวิวจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น แต่ก็มั่นใจจากไหล่ที่สั่นนิดๆ ว่าหมอนี่กำลังหัวเราะ               

กวนประสาทแบบนี้คงเด็กกว่าแน่นอน นี่ถ้าไม่กลัวรถคว่ำจะจี้เอวให้สักที               

ชายหนุ่มคิดอย่างหมั่นไส้ หลังขับขึ้นเนินจนมาถึงโรงจอดรถของอพาร์ตเมนต์ พิงภพก็จี้เอวอีกฝ่ายจริงๆ หลังก้าวลงจากรถที่จอดสนิท               

“เฮ่ย! เล่นอะไรเนี่ย!”               

“อ้าว ถ้าเงียบไว้ก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าบ้าจี้”               

พิงภพหัวเราะเมื่อเห็นคู่สนทนายกมือกอดอกพลางทำหน้ามุ่ย แต่ที่ไม่คาดว่าจะได้เห็นคือริมฝีปากที่ยื่นอย่างไม่พอใจนั้นเหยียดออกเป็นรอยหยักยิ้ม ถึงจะเป็นยิ้มที่น้อยเสียจนอยากใช้แว่นขยายส่อง

“เอาเถอะ ตรงนี้ไม่มีคนอื่นเห็น จะยกให้สักทีนึง”               

“โทษๆ ยังไงก็ขอบคุณมากที่อุตส่าห์รับมาด้วย ไม่นึกว่ารถจะเสียเพราะเมื่อเช้ายังวิ่งได้ปกติอยู่เลย”               

“ไม่เป็นไร ก็แค่บังเอิญไปจอดอยู่แถวนั้นเหมือนกัน”               

อีกฝ่ายพูดพลางใช้โซ่คล้องรถไว้กับรั้ว พิงภพรู้สึกผิดคาด ถึงจะพูดไม่ได้ว่าคนข้างห้องของเขา ‘เฟรนด์ลี่’ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้มนุษยสัมพันธ์ ขณะที่คิดอย่างนั้น คนตัวสูงกว่าก็เดินลิ่วไปที่บันไดอพาร์ตเมนต์จนเขาต้องรีบตาม               

“นี่ พรุ่งนี้ต้องไปไหนหรือเปล่า จะว่าอะไรไหมถ้าจะขอยืมรถ?”

“ห้ะ?”               

คนที่เดินนำหันมามุ่นคิ้วใส่ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้พิงภพคงไม่คิดจะถาม แต่หลังได้คุยกันเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน เขาก็มั่นใจว่าหมอนี่ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ               

“ก็อย่างที่เห็นว่ารถเราเสีย แต่ว่าพรุ่งนี้ต้องไปทำงานตั้งแต่เช้า พวกร้านมอเตอร์ไซค์ให้เช่ากว่าจะเปิดกันก็เก้าโมงสิบโมง ขอยืมไม่เกินหนึ่งวันหรอก เพราะถ้าต้องเอารถเข้าอู่ก็คงเช่าคันอื่นมาใช้แทน”

พิงภพมองคนที่ทอดสายตาไปทางอื่นเหมือนชั่งใจ อึดใจหนึ่งใบหน้าที่ดูไม่ค่อยรับแขกก็หันกลับมา               

“พรุ่งนี้ต้องไปทำงานกี่โมง?”               

“นัดไว้เจ็ดโมง แต่กะว่าจะไปเร็วกว่านั้นหน่อยเพราะจะได้กินข้าวก่อน”               

“นัดเช้าเป็นบ้า แต่ให้ยืมไม่ได้หรอกเพราะทางนี้ก็ต้องใช้รถ”

ก็คิดอยู่แล้วว่าคงไม่ได้...พิงภพไหล่ตกลงนิดหนึ่ง แต่แล้วก็เลิกคิ้วเมื่อได้ยินประโยคถัดไป 

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้จะพาไปส่งก็แล้วกัน หกโมงครึ่งเจอกันที่รถ”

พูดจบเจ้าคนหน้ามุ่ยก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันได พิงภพเสียอีกที่ยืนอยู่กับที่ด้วยความเหวอ แต่พอตั้งตัวได้ก็รีบสาวเท้าตามไปคว้าประตูห้อง

“ขอบคุณนะ งั้นพรุ่งนี้เช้าเจอกัน”               

“อือ”               

คนตอบดึงประตูปิดโดยไม่มองหน้าเขา แต่เหตุการณ์ในคืนนี้ทำให้พิงภพเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับหนุ่มข้างห้องไปมาก เพราะถึงเจ้าหนุ่มยิ้มยากคนนี้จะนิสัยดิบไปหน่อย พูดจามะนาวไม่มีน้ำไปนิด แต่กลับมีน้ำใจอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญได้เพื่อนใหม่อีกคนก็ย่อมดีกว่าคนข้างห้องที่ไม่พูดไม่จากันอยู่แล้ว 

++------++               

เช้าวันถัดมาพิงภพตื่นตั้งแต่หกโมง เขาล้างหน้าแปรงฟันอย่างไม่รีบร้อน พอใกล้จะหกโมงครึ่งก็เดินผ่านหน้าห้องของเจ้าหนุ่มยิ้มยากลงไปชั้นล่าง และเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ยังโดนคล้องโซ่ไว้เหมือนเมื่อคืน               

ชายหนุ่มมองชื่อร้านและหมายเลขที่ติดอยู่บนรถ มอเตอร์ไซค์คันนี้ก็เป็นมอเตอร์ไซค์เช่าเหมือนของเขา นักท่องเที่ยวและคนที่มาทำงานบนเกาะส่วนใหญ่มักเช่ามอเตอร์ไซค์เพราะเป็นวิธีเดินทางที่ง่ายและประหยัดที่สุด คนที่ขับรถใหญ่กว่านั้นมีแต่คนท้องถิ่นกับโรงแรมที่ต้องรับส่งลูกค้า ดูจากบุคลิกของคนข้างห้อง เขาเชื่อว่าถ้าเจอกันที่กรุงเทพฯ หมอนั่นคงจะขับบิ๊กไบค์หรือซุปเปอร์คาร์ พิงภพโตมาในร้านสักตั้งแต่เด็กย่อมดูออก ลวดลายที่อยู่บนตัวผู้ชายคนนั้นเป็นงานออกแบบเฉพาะโดยช่างฝีมือดีที่ราคารวมอาจจะถึงแสน แถมเสื้อผ้าและนาฬิกาที่ใช้ก็ไม่ใช่ยี่ห้อบ้านๆ ถึงเจ้าตัวจะไม่ทำท่าโอ้อวดก็ตาม               

ว่าแต่หมอนั่นจะมาอยู่ที่เกาะนานแค่ไหนนะ เพิ่งเรียนจบก็เลยมาเที่ยว? กำลังรอเปลี่ยนงานก็เลยมาพักร้อน? หรือตั้งใจจะมาหางานทำที่นี่เป็นเรื่องเป็นราว?                 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พิงภพซึ่งนั่งรอบนแคร่ใต้ต้นไม้เริ่มกระวนกระวาย พอหกโมงห้าสิบเขาก็ตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปชั้นบน แต่พอจะเคาะประตูถึงนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อเจ้าของห้อง               

เอาวะ ยังไงก็ลองดูก่อน...

“ก๊อกๆ”               

ไม่มีเสียงตอบหลังการเคาะครั้งแรก พิงภพเงี่ยหูกับประตูก็ไม่ได้ยินอะไร เขาพ่นลมหายใจแล้วลองเคาะอีกครั้ง คราวนี้ได้ผลเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนประตูจะถูกกระชากเปิด               

“เอ่อ...โทษทีที่ปลุก แต่ว่านี่จะเจ็ดโมงแล้ว”               

ชายหนุ่มพยายามยิ้มสู้เสือแม้ในใจจะเริ่มลีบ สภาพของคนที่ยืนอยู่หลังประตูบอกชัดเจนว่าเพิ่งตื่น ผมเผ้ายุ่งกระเซิง คิ้วหนาขมวดมุ่น นัยน์ตาหยีเหมือนไม่พร้อมรับแสงยามเช้า รอยสักที่พาดบนคอและบ่า ยาวลงมาตามต้นแขน แผ่นอกและสีข้างดึงดูดให้มองตามโดยไม่ตั้งใจ สุดท้ายก็สะดุดเข้ากับกางเกงบ็อกเซอร์เข้ารูปที่แทบปิดอาการเคารพธงชาติไม่มิด               

พิงภพรีบดึงสายตาขึ้นทันที แต่พอเจ้าคนหน้าง่วงส่งเสียงหึขึ้นจมูกก็ร้อนผิวแก้มไปหมด                 

“ยิ้มทำไม ไม่ได้ตั้งใจจะมองสักหน่อย”               

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ถึงมองจนตาหลุดก็เอาไปไม่ได้อยู่แล้ว”               

คนพูดเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ พลางยกมือลูบขอบกางเกงเหมือนตั้งใจจะดึงสายตาเขาลงไปอีก พิงภพเริ่มสองจิตสองใจระหว่างเดินหนีกับฮุกหมัดขวาใส่เจ้าคนหน้าด้านนี่สักที                 

“ถ้าไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ขอโทษที่ปลุก กลับไปนอนต่อเถอะ”

“เดี๋ยว แล้วจะไปยังไง?”               

น้ำเสียงของคนถามดูตื่นตัวมากขึ้น พิงภพเลยโบกมือขณะก้าวขาไปทางบันได               

“เดี๋ยวเรียกรถสองแถวเอา ถ้าไม่ใช่นักท่องเที่ยวเขาคงลดราคาให้หน่อย”                 

“จะลดให้ได้สักกี่บาท ลงไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวใส่เสื้อผ้าแล้วตามไป”               

“ก็บอกว่าไม่ต้อง...”               

ประตูห้องปิดก่อนเขาจะพูดจบ พิงภพเลยต้องเดินลงไปรอข้างล่าง คราวนี้ไม่ต้องรอนานเพราะเจ้าของรถแทบจะตามมาติดๆ ท่าทางคงจะหยิบเสื้อกับกางเกงมาใส่โดยไม่ล้างหน้าแปรงฟัน พอมาถึงรถก็ไขกุญแจที่คล้องโซ่แล้วสตาร์ทรถทันที               

“ขึ้นมาเร็วสิ ชักช้าเดี๋ยวก็ยิ่งสาย”               

แล้วสายเพราะใครล่ะโว้ย! พิงภพคิดแต่ก็รีบก้าวขึ้นซ้อน ความเคยชินจากเมื่อคืนทำให้นั่งใกล้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องเตือน ขณะรถวิ่งออกมาบนถนนใหญ่ ลมที่พัดกรูก็พากลิ่นแชมพูกรุ่นเข้าจมูก พิงภพเพิ่งตระหนักว่าต้นขาของเขาแนบชิดกับสะโพกของคนข้างหน้าจนแทบไม่มีที่ว่าง แต่จะขยับตัวหนีระหว่างรถวิ่งก็ทุลักทุเลพิกล

“เมื่อเช้าขอโทษนะที่ไปปลุก” ...แก้เก้อด้วยการชวนคุยแล้วกัน

“ไม่เป็นไร เราออกตัวเองนี่ว่าจะพาคุณไปส่ง พอดีเมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาก็เลยหลับเพลินไปหน่อย”               

สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้ชวนให้รู้สึกทะแม่ง พิงภพถึงนึกได้ว่าควรจะแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการสักที               

“นี่ ชื่ออะไรน่ะ?”               

“อยู่ห้องติดกันมาเป็นอาทิตย์แล้วเพิ่งอยากรู้เหรอ?”               

“เอ้า ก่อนหน้านี้เคยคุยกันซะที่ไหน ที่ถามเพราะจะได้เรียกถูก เราชื่อพุธ ทำงานเป็นครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์”               

“อันนั้นรู้ ก็เห็นใส่เสื้อยืดรีสอร์ตอยู่ทุกวัน”               

อีกฝ่ายพูดจบแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ พิงภพไม่อยากเซ้าซี้ก็เลยเงียบตามจนกระทั่งรถไปจอดที่หน้ารีสอร์ต               

“ขอบคุณ...”               

ตอนนี้เจ็ดโมงสิบห้าแล้ว เสียงเพลง ‘It’s My Life’ ดังจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงจนพิงภพต้องรีบหยิบออกมาดู พอเห็นชื่อบุณฑริกก็รู้ทันทีว่าโดนโทรตาม               

“เต็ม”               

“ฮะ??”               

พิงภพชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเข้ารีสอร์ต คนที่ยังนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์มองเขาพลางขมวดคิ้ว “ก็ชื่อเราไง เมื่อกี้ถามไม่ใช่เหรอ กำลังบอกอยู่นี่ไงว่าชื่อเต็ม”               

ลำแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยสักยกขึ้นกอดอก พิงภพเริ่มเดาได้ว่าเวลาหมอนี่ไม่พอใจจะทำตัวเหมือนเด็กน้อยขี้โมโห ความเอ็นดูทำให้เผลอยื่นมือไปตบไหล่ก่อนจะทันได้ห้ามตัวเอง

“โอเค ขอบคุณนะเต็มที่มาส่ง แล้วไว้ค่อยเจอกัน”               

“ต้องให้มารับหลังเลิกงานด้วยหรือเปล่า?”               

เสียงเพลงของบอง โจวี่ยังดังไม่หยุด พิงภพยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นสัญญาณขอเวลาพลางกดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล โทษทีพี่บุ๋ม รถผมเสียแต่นี่มาถึงรีสอร์ตแล้ว พวกทีมงานยังอยู่กันใช่ไหม? โอเค กำลังจะเดินเข้าไปแล้วครับ บอกเขาว่ารอแป๊บนึง”               

ชายหนุ่มกดตัดสายแล้วมองหน้าคนข้างห้อง สีหน้าไร้อารมณ์ทำให้เดาไม่ถูกว่ากำลังโดนประชดหรือเพราะมีน้ำใจจริงๆ กระทั่งเห็นคิ้วหนาเลิกขึ้นถึงรู้ว่าต้องตอบ               

“ยังไม่รู้เลยว่าวันนี้จะเลิกกี่โมง แต่คงไม่รบกวนล่ะ เดี๋ยวฝากคนที่ออฟฟิศเอารถไปซ่อมให้ แล้วก็คงเช่าคันใหม่จากร้านแถวนี้แหละ”

“งั้นก็ตามนั้น”               

ร่างสูงเบนหัวรถแล้วขับจากไป พิงภพมองตามกระทั่งรถของอีกฝ่ายพ้นหัวมุม ก่อนจะยักไหล่แล้วรีบไปที่ห้องอาหารเพราะสายมากแล้ว

++------++

อทิตยะขับมอเตอร์ไซค์ตรงกลับอพาร์ตเมนต์ หลังจอดรถและคล้องโซ่กับรั้วก็เดินขึ้นห้อง เหงื่อที่ซึมเพราะแดดทำให้รู้สึกเหนอะหนะจนต้องอาบน้ำ พอเช็ดตัวเสร็จก็ใช้ผ้าพันเอวแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จไว้ข้างเตียง               

ภาพหน้าจอบอกว่าแบตเตอรี่เต็มแล้ว เขาดึงสายชาร์จออกแล้วก็เปิดเครื่อง ความจริงเมื่อคืนวานเขาไม่ได้ลืมตั้งนาฬิกาปลุก แต่เพราะรำคาญที่มีสายโทรเข้าไม่หยุดก็เลยปิด จากนั้นก็นอนหลับยาวจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูเมื่อเช้านั่นแหละ               

โดยปกติเขาไม่ใช่คนชอบแสดงน้ำใจเรี่ยราด การที่ไปจอดมอเตอร์ไซค์แถวบลูแซนด์เมื่อเย็นวานและได้พาคนข้างห้องกลับมาเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้ ถ้าเขาไม่หันไปเห็นหมอนั่นทำตาละห้อย และถ้าไม่ใช่เพราะเห็นหน้ากันทุกวันเพราะห้องอยู่ติดกันก็คงไม่เสนอตัว แต่ที่คิดไม่ถึงคือหมอนั่นจะกล้าแหย่เขาเล่น ที่ผ่านมาคนที่เพิ่งรู้จักกันมักไม่ค่อยกล้ายุ่งกับเขาเพราะใบหน้าไร้อารมณ์และรอยสักเต็มตัว พอเจอคนที่ไม่สนใจเกราะเหล่านี้ก็เลยแปลกใจอยู่บ้าง

เอาเถอะ...เห็นว่าเป็นพนักงานในสังกัดของป๋าหรอก...                 

ชายหนุ่มหยิบหมอนขึ้นพิงหัวเตียงแล้วก็เอนตัวกึ่งนอน พอเลื่อนจอมือถือแล้วเห็นว่ามีมิสคอลยี่สิบกว่าสายจากหมายเลขเดียวกันก็ไล่ลบออกจากประวัติการโทร ยังไม่ทันจะลบได้หมด เครื่องก็สั่นพร้อมกับหมายเลขเดิมสว่างวาบขึ้น                 

ให้ตายสิ ถ้าไม่คุยสักทีก็จะไม่เลิกโทรสินะ...               

อทิตยะสูดหายใจลึกก่อนจะกดรับสาย เขาฟังคู่สนทนาส่งเสียง “ฮัลโหล ฮัลโหล” อยู่สี่ห้าครั้งถึงตอบเสียงเนือย               

“อือ”               

“เต็ม? นี่หายไปอยู่ไหน? รู้ไหมว่าพ่อโทรหายูกี่ครั้งจนนึกว่าเกิดอะไรขึ้นซะอีก”               

“จะเกิดอะไรได้ ผมออกจะหัวแข็งตายยาก แข่งรถมาหลายหนก็ยังไม่เคยเจ็บหนักสักที”               

“นี่พ่อซีเรียสนะ แล้วตอนนี้อยู่ไหน ไม่ได้อยู่กรุงเทพใช่ไหม? ยามที่คอนโดบอกว่าไม่เห็นยูมาเป็นอาทิตย์แล้ว”               

“ก็ตามที่เขาบอก ผมเบื่อก็เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่แปลกนี่”               

“พ่อรู้ว่ายูชอบสันโดษ แต่จะไปไหนมาไหนก็บอกกันหน่อย ไม่ใช่คิดว่าโตแล้วทำอะไรก็ได้ คุณหล้าเขาก็เป็นห่วง”               

ชื่อคนถูกอ้างทำเอาชายหนุ่มเสียงแข็งขึ้น เขาพยายามกดคลื่นอารมณ์ร้อนระอุให้ย้อนกลับลงไปแล้วตอบเสียงนิ่ง “เอาเป็นว่าผมสบายดี ยังไม่ตายก็แล้วกัน ถ้าไม่มีอะไรอีกผมจะวางสายล่ะ เดี๋ยวถ้าจะกลับผมก็กลับเองนั่นแหละ”               

“เดี๋ยวก่อน เต็ม...”               

อทิตยะกดตัดสาย ใจหนึ่งก็อยากเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือระบายอารมณ์ แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอายุสิบสี่สิบห้าที่ไม่เห็นคุณค่าของข้าวของ หลังเดินออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงจนหมดไปสองมวน เขาก็หยิบโทรศัพท์มาไล่หาหมายเลขที่ต้องการ               

“เอมี่? ตื่นหรือยัง? พอดีกำลังเซ็งๆ ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรทำก็มาเจอกันหน่อย”               

“ฮะ? นายโทรปลุกฉันแต่เช้าเพราะเซ็งเนี่ยนะ? เออๆ จะให้ไปเจอที่ไหนก็ไลน์มาแล้วกัน”               

คู่สนทนาตอบอย่างง่วงงุนก่อนจะตัดสาย อทิตยะหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบอีกมวน เขาปรายตาไปทางระเบียงห้องที่อยู่ติดกัน เสื้อยืดสกรีนชื่อบลูแซนด์รีสอร์ตหลากสี รวมทั้งกางเกงบ็อกเซอร์หลายตัวแขวนตากอยู่บนราว ยิ่งมองก็ยิ่งนึกถึงคนที่มาเคาะประตูเมื่อเช้า ความพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตอนเห็นสรีระของเขาทำให้รู้สึกอยากแกล้ง อทิตยะไม่ได้เจอคนที่หน้าแดงเพราะเขามานานแล้วเลยอดจะแหย่ไม่ได้               

ชายหนุ่มพ่นเสียงหึทางจมูก หลังคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พิมพ์ชื่อสถานที่นัดพบให้หญิงสาวที่เคยมานอนร่วมห้อง ก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่แล้วเดินกลับเข้าไปแต่งตัว
 

++---TBC---++


A/N: ช่วงแรกนี้กะว่าจะลงตอนใหม่ทุกเย็นวันพฤหัส มาทำความรู้จักตัวละครไปด้วยกันนะคะ ถ้าใครกำลังติดตามก็มาลงชื่อกันได้น้า ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ล่วงหน้าด้วยค่ะ  :-[

 

 

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-10-2019 20:08:37
เต็มทั้งขี้กวนขี้แกล้ง
พุธก็ดูไม่ใช่ประเภทปล่อยให้ตัวเองโดนแกล้งฝ่ายเดียว
แกล้งมาแกล้งกลับไม่โกงทั้งคู่แบบนี้
ยิ่งอยู่ห้องข้างๆกันคงหายเซ็งเป็นปลิดทิ้ง :hao3:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2019 21:41:52
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-10-2019 12:44:17
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 04-10-2019 15:44:34
เจอเด็กขี้เก๊ก ขี้อ่อย 1 อัตรา / เจอคนขี้แกล้ง 1 อัตรา   :mew1:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-10-2019 20:49:27
คู่นี้ดูเหมาะกันอยู่นะเนี่ย555
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 2 จ้า {อัพ 03.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 10-10-2019 17:59:40
บทที่ 3

 
พิงภพรีบเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องอาหารหน้าหาด ชั่วโมงนี้นักท่องเที่ยวและนักดำน้ำของรีสอร์ตกำลังนั่งกินอาหารเช้าจนแทบไม่มีโต๊ะว่าง เขาโบกมือทักทายบรรดาเพื่อนครูสอนดำน้ำแล้วเดินตรงไปโต๊ะที่บุณฑริกนั่งอยู่

“หวัดดีฮะพี่บุ๋ม ขอโทษที่มาสาย”

“มาซักที ไม่ต้องขอโทษฉันย่ะ ขอโทษคุณปัทมนนี่”

“เรียกเปิ้ลก็ได้ค่ะ สวัสดีค่ะน้องพุธ”

หญิงสาวที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานกองถ่ายทักทายเขา พิงภพรีบยกมือไหว้เพราะมั่นใจว่าเธอคงอายุมากกว่า

“ขอโทษด้วยนะครับ รถผมเสียตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเช้าให้เพื่อนมาส่งก็เลยถึงช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพระเอกเขาก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย เดี๋ยวน้องพุธกินข้าวรอก่อนก็ได้ สักแปดโมงเราค่อยออกกัน”

พิงภพผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เขาไหว้ทักทายทีมงานคนอื่นๆ ก่อนจะเดินไปตักอาหาร ปกติแล้วไลน์อาหารบุฟเฟต์นี้สงวนไว้ให้แขกของรีสอร์ตเท่านั้น ถ้าครูสอนดำน้ำจะกินก็ต้องหักจากค่าแรง แต่ในเมื่อวันนี้บุณฑริกอนุญาตให้เขากินฟรี เรื่องอะไรจะไม่ใช้สิทธิ์ให้เต็มที่

พอเจ็ดโมงครึ่งห้องอาหารก็เริ่มโล่งเพราะนักดำน้ำทยอยไปลงเรือ เหลือแต่แขกที่มาพักผ่อนตากอากาศกับพวกทีมงานถ่ายโฆษณา พิงภพกินข้าวพลางสอบถามรายละเอียดของงานไปพลาง โชคดีที่เขาจบนิเทศศาสตร์และเคยฝึกงานสมัยเรียนจึงไม่ตื่นเต้นมากนัก

“สินค้าของเราคือไอติมแบบถ้วยน้ำแข็งไส มีทั้งหมดสามรสก็เลยจะถ่ายโฆษณาสามเรื่องให้ลิงก์กัน เรื่องแรกนี้พระเอกกับนางเอกที่ไม่รู้จักกันต่างมาเที่ยวเกาะ ทั้งคู่เจอกันหน้าตู้แช่ไอติม พระเอกเห็นว่าเหลือแค่ถ้วยเดียวก็เลยยกให้นางเอก เรื่องที่สองนางเอกพยายามจะเดินหาเก้าอี้นั่งริมหาด พอเห็นเก้าอี้ใกล้พระเอกว่างก็เลยไปซื้อไอติมมาให้แล้วขอนั่งด้วย ส่วนเรื่องสุดท้ายนางเอกกำลังจะขึ้นเรือกลับกรุงเทพฯ พระเอกก็เลยซื้อไอติมให้แล้วเขียนไลน์ไอดีของตัวเองไว้บนฉลาก นี่แหละค่ะ ก็เลยอยากให้น้องพุธช่วยแนะนำจุดถ่ายทำสวยๆ ที่ไม่ซ้ำกันสำหรับทั้งสามเรื่องให้หน่อย”

“เข้าใจละ น่าเสียดายนะครับที่มีไอติมแค่สามรส”

“ทำไมล่ะ?”

ผู้กำกับซึ่งเป็นชายผิวคล้ำใส่แว่นถาม พิงภพเลยชี้สตอรี่บอร์ดที่วางแผ่บนโต๊ะ

“ก็ถ้ามีสี่รสจะได้ให้กลับไปเจอกันที่กรุงเทพฯ จะได้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง”

ทีมงานพากันหัวเราะ สาวน้อยที่จะเล่นเป็นนางเอกก็เช่นกัน ตั้งแต่เขามา ‘ติดเกาะ’ เมื่อสามปีก่อน นอพิงภพก็ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารดารา แต่ก็คุ้นหน้าเธอจากป้ายโฆษณาอยู่บ้าง

“นี่ ใครก็ได้โทรตามสุดหล่อทีสิ งานใหญ่งานแรกไม่ใช่เหรอ ถ้ายิ่งเริ่มถ่ายช้าก็ยิ่งเสร็จช้านะ”

“เดี๋ยวเปิ้ลโทรตามให้ค่ะพี่โอ อ้าว นั่นไงมาแล้ว ซัน ทางนี้ๆ”

“ขอโทษครับ โทรศัพท์คุยกับที่บ้านนานไปหน่อย”

เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นขยุ้มหัวใจ ตอนแรกที่ได้ยินชื่อซันเขายังไม่คิดอะไรมาก แต่พอได้ยินเสียงพูด คอของพิงภพก็คล้ายเป็นอัมพาตขึ้นมาทันที เขาไม่ได้หันไปตามทิศทางที่ทุกคนหัน แต่ยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าก็ยิ่งใจเต้นแรง

ใจเย็นไว้ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เขาไม่ได้ยินเสียงของภาณุกรมานานเลยจำผิด บางทีอาจเป็นคนที่บังเอิญชื่อเหมือนและเสียงคล้ายกันเท่านั้น...

“ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่จะกินข้าวก่อนไหม เพราะเดี๋ยวคงถ่ายกันยาวเลยกว่าจะได้พักกลางวัน”

“ไม่ต้องหรอกครับพี่เปิ้ล มื้อเช้าผมไม่ค่อยกินอะไรอยู่แล้ว ไปกันเลยก็ได้”

“โอเค งั้นขอพี่แนะนำก่อน นี่คุณบุ๋ม ผู้จัดการของบลูแซนด์ วันนี้คุณบุ๋มไม่ได้ไปกับเราแต่ส่งตัวแทนมาช่วยเรื่องสถานที่ ชื่อน้องพุธ น่าจะอายุรุ่นเดียวกับซัน”

“สวัสดีครับ...”

เสียงของคนทักสะดุดไป พิงภพช้อนตาขึ้นและเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วได้แต่บอกตัวเองให้พยายามวางตัวเป็นธรรมชาติแม้ว่ามันจะยากเหลือเกิน

คนที่เขาเห็นตอนนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ไม่สิ...ความเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้นมีอยู่แล้ว แต่โครงหน้าคมสัน จมูกโด่งชัด รวมทั้งนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองตรงมา สิ่งเหล่านี้ไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำแม้แต่นิดเดียว

“สวัสดีครับ ซัน”

“อุ่ย ทำไมหนูรู้สึกเหมือนได้ยินซาวด์แทร็กเพลง Only You”

“ว้าย ละออตา ไปแซวพี่เค้า”

หญิงวัยกลางคนที่นั่งข้างๆ หันไปตีแขนนางเอกสาวที่หัวเราะคิกคัก ประพิมประพายคล้ายกันบ่งบอกว่าคงเป็นแม่ พิงภพนึกทึ่งตัวเองที่ยังอุตส่าห์เหลือพื้นที่ในสมองไปชื่นชมว่าเธอช่างตั้งชื่อลูกสาวได้เก๋

“ก็จริงๆ นี่นา เมื่อกี้พี่ซันชะงักกึกตอนเห็นหน้าพี่พุธยังกับมีสปอตไลต์ส่องแน่ะ”

“คงอึ้งอยู่น่ะครับ พวกเราเคยเรียนห้องเดียวกันตอน ม.ปลาย นี่ก็ไม่ได้เจอกันมาเก้าหรือสิบปีได้แล้วมั้ง”

พิงภพบังคับลิ้นที่แข็งทื่อให้เอ่ยคำอธิบาย ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ความลับ ที่สำคัญหากบอกว่าเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นย่อมเข้าใจง่ายกว่า ‘อดีตเพื่อนสนิทที่ไม่คุยกันมาตลอดเก้าปี’

“จริงเหรอซัน? พี่นึกว่าเราเรียน ม.ปลายที่แคนาดาซะอีก”

ปัทมนหันไปถาม ภาณุกรมองหน้าเขาชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้า

“จริงครับ ตอน ม.1 ถึง 4 ผมยังเรียนที่เมืองไทย พอ ม.5เทอมสองถึงค่อยย้ายไปแคนาดา”

“โห บังเอิญมากเลย ซันก็เพิ่งจะกลับมาเมืองไทยได้ไม่นานเองนี่ โชคดีจังนะที่ได้เจอเพื่อนเก่า”

“ครับ โชคดีจริงๆ ด้วย”

พิงภพแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำตอบของภาณุกร แต่สมองกลับบันทึกรายละเอียดทุกคำ เพิ่งกลับมาไม่นานหรือ...มิน่าล่ะเขาถึงไม่รู้ แต่ก็ไม่แปลกในเมื่อเขาไม่เคยติดต่อเพื่อนมัธยมสักคน

“ถ้าทุกคนพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ คิวงานเราแน่นนะวันนี้”

ผู้กำกับเอ่ยแล้วก็ลุกจากโต๊ะเป็นคนแรก คนอื่นๆ ทยอยหยิบสัมภาระแล้วเดินตามไป พิงภพนึกขึ้นได้เลยรีบเรียกบุณฑริกก่อนเธอจะกลับสำนักงาน

“พี่บุ๋ม รบกวนหน่อยสิ ฝากใครก็ได้เอารถมอเตอร์ไซค์ผมไปที่ร้านน้าเหยินให้หน่อย แล้วถ้ามันยังซ่อมไม่เสร็จวันนี้ก็เช่าคันอื่นให้ด้วย ไม่งั้นผมไม่มีรถใช้”

“อ้าว? ตกลงรถเสียจริงๆ เหรอ งั้นเอากุญแจมา แล้วไลน์ทะเบียนรถกับยี่ห้อมาให้พี่ด้วย”

“ได้ๆ ผมถ่ายรูปไว้ เดี๋ยวส่งให้ มันจอดอยู่เลยทางเข้ารีสอร์ตไปนิดเดียวแหละ”

ชายหนุ่มหยิบพวงกุญแจขึ้นมาถอดเฉพาะลูกกุญแจรถส่งให้ ยังไม่ทันจะหย่อนพวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกากลับลงกระเป๋าก็เห็นรอยยิ้มของคนที่กำลังยืนมอง

ตอนนี้แหละที่เขาเพิ่งนึกได้ว่าใครเป็นคนให้พวงกุญแจอันนี้มา

“ยังใช้อยู่อีกเหรอพุธ สีซีดเชียว”

“ก็ของมันยังไม่เสีย จะโยนทิ้งทำไม”

พิงภพตอบแล้วรีบเดินไปทางลานจอดรถ แต่ก็ยังทันเห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นของหนุ่มลูกครึ่ง ถึงจะไม่แน่ใจว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้เจอกันอีกโดยไม่คาดฝัน ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเสียงหัวใจที่เต้นรัวตอนนี้เป็นเพราะดื่มกาแฟมากไปเท่านั้น



++------++



“มึงชอบกัปตันอเมริกาใช่มะ อ้ะ กูให้”

“อารมณ์ไหนวะ วันเกิดกูก็ไม่ใช่ แล้วทำไมมันดูกิ๊กก๊อกจัง?”

“ไอ้นี่...นี่สินค้าลิขสิทธิ์แท้เลยนะโว้ย ถ้าไม่เอาก็คืนมา”

“เรื่องอะไร ให้แล้วก็ให้เลยดิ เอาเป็นว่าแต๊งกิ้ว ไว้ภาคต่อไปก็ไปดูเป็นเพื่อนกูด้วยนะ”



พิงภพยืนพิงต้นไม้เพื่อหลบแดด ขณะเดียวกันก็มองไปบนหาดทรายด้านหน้า ผู้กำกับและทีมงานกำลังอธิบายคิวการถ่ายทำกับภาณุกรและละออตา ถึงแม้เรื่องราวในสตอรี่บอร์ดจะเรียงจากหนึ่งไปสาม แต่เห็นว่าผู้กำกับอยากถ่ายทำเรื่องที่สามก่อน พิงภพก็เลยเสนออ่าวโฉลกบ้านเก่าเพราะไม่พลุกพล่านมากเกินไปเหมือนหาดทรายรี

วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสจนแทบไม่เห็นปุยเมฆ หลังผู้กำกับคุยเสร็จก็เดินไปนั่งหลังกล้อง ปล่อยให้พระเอกกับนางเอกแสดงตามคิวที่ตกลงไว้ เขาได้ยินตอนยังอยู่ห้องอาหารว่านี่เป็นงานใหญ่งานแรกของภาณุกร แสดงว่าก่อนหน้านี้คงเคยรับงานเล็กๆ มาบ้างแล้ว

ในที่สุดน้านิดก็ยอมให้เข้าวงการได้แล้วสินะ...

ช่วงมัธยมเขากับภาณุกรไปมาหาสู่กันจนคุ้นเคยกับทั้งสองครอบครัว เขายังจำได้ว่าแม่ของภาณุกรต่างจากแม่คนอื่นตรงที่ไม่อยากให้ลูกชายเป็นดารา ส่วนเจ้าเพื่อนหน้าหล่อของเขาก็ไม่เคยสนวงการบันเทิง แต่ในเมื่อตอนนี้เรียนจบและเพิ่งกลับเมืองไทย ก็เป็นไปได้ที่อยากลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำดูบ้าง

ผู้กำกับสั่งคัทและเทคใหม่เป็นระยะ หลังยืนดูครู่หนึ่งพิงภพก็เริ่มหมดความสนใจ เขาเห็นโขดหินว่างบนหาดใต้ต้นมะพร้าวเลยเดินไปหย่อนตัวนั่ง พระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นทุกทีเช่นเดียวกับอุณหภูมิ เปลวแดดสะท้อนริ้วคลื่นและเรือของโรงเรียนดำน้ำที่วิ่งสวนกันขวักไขว่ เหตุผลหนึ่งที่เกาะเต่าเต็มไปด้วยโรงเรียนสอนดำน้ำ ก็เพราะความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำจนบางหาดแค่เดินลงไปก็เห็นได้ทั้งปลาและปะการัง

ฟ้าใสแบบนี้ใต้น้ำน่าจะสวย ถ้าวันนี้อดเจอน้องจุดเพราะต้องมาช่วยงานทางนี้นะ...ฮึ่ม...

น้องจุดหรือพี่จุดคือชื่อเล่นที่นักดำน้ำชอบใช้เรียกฉลามวาฬ ปลาใหญ่แห่งท้องทะเลซึ่งไม่ทำร้ายคน เมื่อวานเรือของเขาคลาดกับฉลามวาฬที่เรือประมงพบ ดังนั้นวันนี้พวกที่ออกไปดำน้ำก็มีโอกาสลุ้น จริงอยู่ว่าเขาได้เจอสัตว์น้ำขนาดใหญ่มาหลายครั้งตั้งแต่เริ่มดำน้ำตอนอายุสิบเจ็ด แต่การได้เจอเจ้าพวกนี้ก็ยังนับเป็นไฮไลต์ทุกครั้งที่ได้ลงน้ำอยู่ดี

แต่เสียดายไปก็เท่านั้นเพราะตอนนี้ตัวเขาอยู่บนบก พิงภพถอนใจพลางเบนสายตากลับไปยังการถ่ายทำ พอนั่งดูสักพักก็คิดว่าคงจริงที่งานนี้เป็นงานใหญ่งานแรกของภาณุกร หนุ่มลูกครึ่งไม่ถึงกับเล่นแข็งเป็นตอไม้ แต่ก็ไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่เมื่อเทียบกับละออตาที่ผ่านงานบันเทิงมามากกว่า

ผู้กำกับสั่งเทคใหม่อีกครั้ง แต่ภาณุกรก็ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ หนุ่มลูกครึ่งแค่พยักหน้าและยิ้มรับ วิธียิ้มที่แสดงออกทั้งปากและนัยน์ตาช่างเหมือนในความทรงจำจนพิงภพเผลอจ้องโดยไม่รู้ตัว

มือของเขาเลื่อนลงกำพวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกาที่ห้อยออกจากกระเป๋ากางเกง เหงื่อจากฝ่ามือทำให้รู้สึกว่าตุ๊กตายางเรซินอุ่นและชื้นนิดๆ ราวสัมผัสของผิวคนจริง นี่เป็นของขวัญที่ภาณุกรให้เขาตอนม.4 และอาจนับเป็นของชิ้นเดียวจากช่วงวัยรุ่นที่พกติดตัวนานที่สุด ขณะไล้นิ้วโป้งไปบนตุ๊กตา คำถามที่เคยลืมไปนานก็ผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง

ตอนนั้นซันซื้อตุ๊กตาตัวนี้ให้ในฐานะเพื่อนสนิท หรือเพื่อเป็นตัวแทนความรู้สึกที่เกินเลยจากมิตรภาพไปแล้วกันแน่...

“น้องพุธ พี่ขอปรึกษาเรื่องโลเกชั่นหน่อยสิจ๊ะ”

“ได้ครับพี่เปิ้ล อยากได้แบบไหนครับ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ ปัทมนนั่งลงแล้วกางแผนที่เกาะบนตัก พิงภพอาศัยความคุ้นเคยอธิบายสถานที่ต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว งานสอนดำน้ำทำให้ต้องเจอลูกค้าร้อยพ่อพันแม่ เขาก็เลยได้พัฒนาทักษะการปิดสวิตช์อารมณ์ตัวเองเมื่อจำเป็นโดยปริยาย

ส่วนมากสถานที่ที่ต้องช่วยแนะนำคือชายหาดหรือจุดชมวิวซึ่งไม่ยากสำหรับพิงภพ พอเที่ยงกว่าๆ พวกเขาก็พักกินข้าวกลางวันก่อนขึ้นรถไปยังจุดถ่ายทำต่อไป โฆษณาเรื่องที่สองนี้ปัทมนเลือกฉากถ่ายทำเป็นร้านกาแฟซึ่งได้ติดต่อมาล่วงหน้าแล้ว ตามเนื้อเรื่อที่นางเอกเดินหาเก้าอี้ริมหาด ฉากนี้จึงต้องถ่ายทำกลางแจ้งเป็นส่วนใหญ่

ร้านกาแฟนี้เป็นร้านเปิดใหม่ที่พิงภพยังไม่เคยอุดหนุน แต่ก็พอจะรู้ว่าร้านสวยจนมีคนถ่ายรูปไปลงอินสตาแกรมเป็นประจำ เหล่าทีมงานเองก็ดูตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อได้เห็นสถานที่

“สวยดีเนอะ ขาวๆ ฟ้าๆ ยังกับซานโตรินี่”

ปัทมนเดินเข้าไปคุยกับผู้จัดการในร้านขณะคนอื่นช่วยกันขนอุปกรณ์ลงจากรถ สายตาของพิงภพเหลียวไปทางภาณุกรโดยไม่ตั้งใจ ภาพที่เห็นทำให้ตัดสินใจเดินเข้าไปหา

“ตอนนี้แดดร้อน เข้าไปนั่งข้างในเถอะ กล่องตรงนี้เดี๋ยวช่วยยกให้”

“ได้ยังไง คนอื่นก็ช่วยกันหมด”

“บอกว่าไปนั่งข้างในก็ไปเหอะน่า เฮ้ย! ซัน!”

โชคดีที่พิงภพยังไม่ได้ยกอะไรจากพื้น ไม่อย่างนั้นเขาอาจเข้าประคองคนตัวสูงกว่าที่จู่ๆ ก็ล้มคะมำไม่ทัน เมื่อกี้เขาสังหรณ์ตั้งแต่เห็นผิวหน้าที่แดงผิดปกติแล้วว่าน่าเป็นห่วง แต่ไม่นึกว่าภาณุกรจะเป็นลมจริงๆ

“เกิดอะไรขึ้น? ซันเป็นอะไร?”

“ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ แค่หน้ามืดนิดหน่อย”

ภาณุกรพยายามยิ้มให้พวกทีมงานที่รุมล้อมเข้ามาหา แต่พิงภพรีบคว้าแขนข้างหนึ่งมาพาดไหล่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเข่าอ่อนอีกหน

“คงเป็นลมเพราะอากาศร้อนน่ะครับ ให้เข้าไปนั่งข้างในก่อนดีกว่า”

ทีมงานอีกคนเข้ามาช่วยพยุงแขนอีกข้าง ส่วนคนที่เหลือช่วยกันยกของให้เสร็จ ปัทมนหน้าตื่นเมื่อเห็นสภาพโดนหิ้วปีกของภาณุกร

“เป็นอะไรน่ะซัน? ไหวไหม?”

“ขอโทษครับพี่เปิ้ล ขอนั่งพักสักเดี๋ยวคงดีขึ้น”

“เดี๋ยวผมเอายามาให้นะครับ”

“ขอน้ำหวานด้วยก็ดีครับ เมื่อกลางวันเขาไม่ค่อยได้กินอะไร”

พิงภพบอกผู้จัดการร้านซึ่งพยักหน้ารับก่อนเดินไปหลังเคาน์เตอร์ เขาพยายามทำเป็นไม่เห็นสายตาของคนที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ หลังผู้จัดการยกถาดที่มีทั้งผ้าเย็น เหยือกน้ำหวานพร้อมคุกกี้และยาดมมาให้ ทีมงานก็กระจายกันนั่งรอคำสั่งว่าจะทำอย่างไรต่อ

“เอาอย่างนี้ไหมคะ ไหนๆ ก็มาถึงที่กันแล้ว ถ่ายฉากที่มีแต่หนูก่อนก็ได้ค่ะ”

ครู่หนึ่งละออตาก็เอ่ยขึ้น ปัทมนหันไปปรึกษาผู้กำกับก่อนจะพยักหน้า

“เอาตามนั้นก็ได้ เรื่องที่สองนี่เน้นนางเอกมากกว่าอยู่แล้วด้วย ระหว่างนี้ซันพักก่อนแล้วกันจ้ะ”

“ขอโทษนะครับ ทำให้วุ่นวายกันไปหมดเลย”

“ไม่เป็นไรๆ ช่วยไม่ได้นี่นา แดดวันนี้แรงด้วย งั้นพี่ฝากพุธอยู่เป็นเพื่อนซันหน่อยนะจ๊ะ”

ปัทมนเอ่ยแล้วเดินตามทีมงานออกไปนอกร้าน พิงภพเลิกคิ้ว พอคล้อยหลังทุกคนก็พยายามชักมือออกจากอุ้งมือที่กุมมือเขาไว้ แต่พอรู้ตัวปุ๊บภาณุกรก็กระชับมือแน่นขึ้นทันที

“นี่! ...จะจับทำไม!”

พิงภพพยายามกดเสียงให้เบา ถึงในร้านตอนนี้จะมีแค่พวกเขากับพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์ แต่ไม่ต้องเรียกความสนใจเจ้าหล่อนให้ออกมาดูก็ได้

“แล้วเมื่อกี้ใครนะที่ดึงแขนเราไปพยุง ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก...แหม รู้งี้น่าจะปล่อยให้หน้าทิ่มอยู่บนหาดให้รู้แล้วรู้รอด”

เขานึกว่าภาณุกรจะเถียงต่อ แต่ก็ผิดคาดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ

“ล้อเล่น ขอบคุณนะ ไม่นึกเหมือนกันว่าจะหน้ามืด สงสัยเพราะเล่นแต่กีฬาในร่มเลยไม่ชินกับแดดแรงๆ”

หนุ่มลูกครึ่งยอมปล่อยมือเพื่อคลี่ผ้าเย็นวางบนหน้าผาก พิงภพมองคนที่หลับตาพลางพิงพนักด้านหลังมากขึ้น ปลายนิ้วที่สูญเสียสัมผัสไปกระตุกเล็กน้อยจนเขาต้องกำมือไว้

จะมารู้สึกเสียดายอะไรนะเรา...

“ที่ว่าเล่นกีฬาในร่มนี่เล่นอะไร หมากรุก?”

“ทำไมเดาไปทางนั้นล่ะ เล่นหมากรุกจะมีกล้ามแบบนี้เหรอ?”

ภาณุกรยิ้มขำพลางเกร็งแขนให้ดู พิงภพเห็นกล้ามที่นูนเป็นลูกแล้วก็เหล่ตามองอย่างหมั่นไส้

“ใครจะไปรู้ คนเล่นหมากรุกอาจเข้าฟิตเนสด้วยก็ได้นี่”

“ก็จริง แต่ไม่ได้เล่นหมากรุกหรอก เล่นไอซ์ฮอกกี้กับคาราเต้ต่างหาก”

น้ำเสียงสดใสสะท้อนว่านี่คงเป็นกิจกรรมที่คนพูดสนใจจริงๆ มิน่าล่ะ เขาก็สงสัยอยู่ว่าแค่มีเชื้อลูกครึ่งจะทำให้หมอนี่บึกบึนได้ขนาดนี้หรือ

“ว่าแต่เซอร์ไพรส์นะที่ได้รู้ว่าพุธเป็นครูสอนดำน้ำ”

“ทำไม ดูบุคลิกไม่ให้หรือไง?”

“ยังไงดี ก็สมัยเรียนพุธไม่เคยพูดว่าสนใจการดำน้ำ ตอนได้ฟังจากเฮียพีตอนแรกก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อ...”

ภาณุกรยกมือปิดปากแต่ช้าไป เพราะชื่อ ‘เฮียพี’ ทำเอาคิ้วของพิงภพเลิกสูงแทบชนตีนผม

“เฮีย? เฮียบอกเหรอ? นี่ไปคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ผิวหน้าที่เริ่มหายแดงของภาณุกรเริ่มซับสีเลือดขึ้นมาอีก และถ้าไม่ติดว่ากลัวคนอื่นเข้าใจผิด พิงภพคงรั้งไหล่อีกฝ่ายมาเขย่าเต็มแรงไปแล้ว

“ก็...หลังกลับเมืองไทยไม่นานก็พยายามถามเพื่อนๆ ม.ปลายว่าใครติดต่อพุธได้บ้าง แต่ไม่มีใครมีเบอร์สักคน บอกแค่ว่าทำงานอยู่ต่างจังหวัด โชคดีที่ร้านสักของน้าชัยไม่ได้เปลี่ยนชื่อ แค่เสิร์ชในกูเกิลก็เจอแล้ว ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้คุยกับเฮียแล้วก็น้ายูงด้วย เสียใจด้วยนะเรื่องของน้าชัย”

ไม่รู้ว่าภาณุกรจงใจหรือเปล่า แต่พอถูกตบท้ายด้วยเรื่องของพ่อ ความสับสนปนโมโหที่พีรัชไม่ยอมบอกว่าได้คุยกับภาณุกรก็คลายลง พิงภพพ่นลมหายใจขณะเทน้ำใส่แก้วให้ตัวเอง

“มันช่วยไม่ได้ กว่าพ่อจะยอมไปตรวจมะเร็งมันก็ลามจนเกินรักษาแล้ว ยังดีที่หมอช่วยให้อยู่ต่อได้อีกครึ่งปี เขาเลยมีเวลาถ่ายทอดงานให้เฮียดูแลต่อ”

“แต่จำได้ว่าเฮียก็หัดสักมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ น้ายูงยังชมเลยว่าตอนนี้มีลูกค้าประจำเพียบ อีกเรื่องที่เซอร์ไพรส์ก็คงจะเรื่องที่ลูกสาวเฮียอายุแปดขวบแล้ว แสดงว่ามีหลังซันไปแคนาดาไม่นานเองสิ”

พิงภพเกือบสำลักน้ำเมื่อได้ยินสรรพนามแทนตัว แต่พอเหลือบมองภาณุกรก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้คุยกันมานาน จู่ๆ จะให้กลับไปใช้สรรพนามเหมือนเมื่อก่อนก็คงกระดากปาก

“เฮียมันทำวีรกรรมไว้ เพราะตอนแรกคนที่บ้านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฮียแอบคบเด็กพาณิชย์ที่เจอในร้านเหล้า ความมาแตกตอนเฮียทำเขาท้องก่อนจะเรียนจบ ครอบครัวพี่อายเขาอยู่ต่างจังหวัดด้วย ตอนนั้นพ่อกับแม่เต้นผางเลย บอกว่ายังไงก็ห้ามทำแท้ง แล้วก็พากันยกโขยงไปขอขมาครอบครัวพี่อายแล้วสู่ขออย่างเป็นทางการ ดีที่ช่วงนั้นพ่อพี่อายเขาบวชอยู่ ก็เลยอนุโมทนาแทนที่จะเอามีดมาไล่ฟันเฮีย”

“มิน่าล่ะ ก็นึกอยู่ว่าทำไมลูกโตจัง”

“นี่แค่โทรหาหรือว่าไปเจอมาแล้ว ทำไมรู้เยอะนัก?”

หน้าของภาณุกรแดงก่ำอีกครั้ง พิงภพเห็นแล้วชักคันไม้คันมือ อยากจะหยิกหรือหาเรื่องแกล้งหนุ่มลูกครึ่งขึ้นมาจริงๆ

“หลังโทรคุยก็นัดไปหาเฮียที่ร้าน เสียดายวันนั้นคนอื่นไม่อยู่ เฮียเอารูปของพี่อายกับยิหวาให้ดูด้วย น่ารักดีนะ เท่าที่ได้ฟังจากเฮียคงจะเป็นเด็กที่แก่นเซี้ยวน่าดู”

รอยยิ้มของพิงภพกว้างขึ้น อรดีซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของเขาท้องตอนอายุสิบเก้า ตอนนั้นเขาอายุสิบเจ็ด พอยิหวาคลอดออกมาคนทั้งบ้านก็เห่อกันใหญ่ ขนาดเขาที่ไปเรียนมหา’ ลัยต่างจังหวัดยังชอบซื้อเสื้อผ้าหรือของเล่นส่งไปให้ เวลากลับบ้านทีก็เล่นกับหลานเหมือนเป็นน้องสาวคนสุดท้อง

“บ้านนี้เลี้ยงลูกไม่เหมือนบ้านอื่นอยู่แล้ว ยิ่งอะไรที่บ้านอื่นห้ามบ้านนี้ยิ่งสนับสนุน ลูกสาวอยากเล่นทะโมนเหมือนเด็กผู้ชายก็เออออหมด”

“อืม จริง เรื่องที่บ้านนี้เลี้ยงลูกได้มีเอกลักษณ์ทุกคนนี่ยอมรับเลย”

ภาณุกรเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แล้วจู่ๆ บทสนทนาก็ขาดช่วงเหมือนต่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ พิงภพหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบแก้เก้อ พอถึงตอนนี้ค่อยรู้ตัวว่าทางร้านเปิดเพลงแนวบอสซาไว้ กระดิ่งลมบนกรอบหน้าต่างก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง แต่เมื่อครู่เขามัวแต่สนใจบทสนทนาจนไม่รับรู้สิ่งเหล่านี้

ถ้าหลังเลิกเรียนวันนั้นเขาไม่ได้วิ่งหนีมา ตอนนี้พวกเขาสองคนจะเป็นยังไงนะ จะคุยเล่นกันได้อย่างสนิทสนม หรือไปถึงจุดที่แค่เห็นหน้าก็แทบทนไม่ไหว...แทนที่จะเหมือนคนแปลกหน้าอย่างตอนนี้หรือเปล่า...

“แดดร่มแล้วแฮะ ไม่เวียนหัวแล้วด้วย เดี๋ยวซันออกไปทำงานต่อก็แล้วกัน”

การเคลื่อนไหวของคนข้างๆ ดึงความสนใจของพิงภพ เขาแหงนหน้าขึ้นมองคนที่ลุกขึ้นยืน วินาทีนั้นในหัวว่างเปล่าไร้คำพูด ก็เลยแค่พยักหน้าให้คนที่หมุนตัวเดินออกไปนอกร้าน

ทั้งใบหน้าคมสันที่เพิ่งได้เห็นอย่างใกล้ชิด ทั้งเสียงทุ้มลึกกว่าที่จำได้ ทั้งแผ่นหลังตั้งตรงต่างจากเด็กหนุ่มที่เคยเดินหลังค่อม ไม่ว่าจะมองอย่างไร พิงภพก็ต้องยอมรับว่าอดีต ‘เพื่อนสนิท’ ของเขาสลัดคราบเดิมจนแทบจำไม่ได้จริงๆ

ชายหนุ่มทอดสายตามองท้องทะเลผ่านหน้าต่าง เรือที่ทอดสมอโยกไกวตามแรงคลื่น แต่เรือเป็นสิ่งของที่ไม่มีความคิดหรือความทรงจำ และบางที...เขาก็ควรจะเลิกตั้งคำถามกับอดีตที่ไม่มีวันหวนคืนมาเสียที

 

++---TBC---++

 

A/N: ได้เจอตัวละครหลักกันครบแล้ว อนาคตของเพื่อนเก่าที่ได้กลับมาพบกันอีกจะเป็นอย่างไร แล้วคนข้างห้องที่พุธเพิ่งได้คุยด้วยล่ะ? ไว้มาติดตามกันต่อในตอนหน้านะคะ ^^

 

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2019 18:53:57
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 10-10-2019 22:16:21
ถ่านไฟเก่ายังร้อน รอวันรื้อฟื้น  แล้วคนมาทีหลัง~~ ไม่!  เรื่องนี้  ฉันเชียร์คนข้างห้อง ฉันจะเอาน้ำทะเลสาดไม่ให้ถ่านเก่าคุเลย จริงจริ๊งงง
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-10-2019 04:03:03
เชียร์ลูกชายเจ้าของบริษัทดำน้ำ5555
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 11-10-2019 13:44:23
เชียร์ใครดี เห็นแบบนี้แล้วก็อยากให้ถ่านไฟเก่ามันคุพอ ๆ กับอยากเชียร์คนข้างห้องด้วยอ่ะ
ทำไงดีอยากเก็บเธอไว้ทั้ง 2 คนเลย
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 3 จ้า {อัพ 10.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-10-2019 19:51:47
ตะวันพิงภพ บทที่ 4


พอการถ่ายทำจบลง ทีมงานก็ขนของกลับบลูแซนด์ด้วยความเหน็ดเหนื่อย มีบางฉากที่อาจต้องถ่ายทำเพิ่มในวันรุ่งขึ้น แต่พิงภพไม่ต้องไปช่วยแนะนำสถานที่แล้ว ซึ่งเขาก็ไม่มีปัญหาเพราะอยากกลับไปสอนดำน้ำมากกว่า

“งั้นระหว่างนี้ทุกคนพักผ่อนตามสบายนะ หกโมงเย็นค่อยมาเจอกันที่ล็อบบี้ หรือถ้าใครจะตามไปทีหลังก็เสิร์ชร้านไวท์เพิร์ลในกูเกิลแมปได้เลย เดินเลียบหาดไปไม่นานก็ถึง น้องพุธก็มาด้วยนะจ๊ะ ถือว่าเลี้ยงตอบแทนที่ไปเหนื่อยด้วยกันวันนี้”

“ได้ครับพี่เปิ้ล”

พิงภพยิ้มรับคำเชิญด้วยความยินดี ไวท์เพิร์ลเป็นรีสอร์ตที่หรูหรากว่าบลูแซนด์มาก และขึ้นชื่อเรื่องอาหารค่ำแบบบุฟเฟต์ว่าดีและแพงที่สุดบนเกาะ เขาเองก็เคยได้ไปกินครั้งเดียวตอนแม่กับพี่ชายมาเยี่ยมหลังเริ่มงานที่เกาะใหม่ๆ

“งั้นเย็นนี้เจอกันนะ”

ภาณุกรบอกกับเขาก่อนจะตามทีมงานกลับห้องพัก พิงภพเหลียวมองห้องอาหารที่ค่อนข้างเงียบเหงา ครั้นจะไปห้องสำนักงานก็กลัวว่าบุณฑริกอาจติดงานยุ่ง สุดท้ายก็เลยเดินไปร้านกาแฟซึ่งอยู่ห่างจากบลูแซนด์ไม่กี่นาที

“เฮ้ย!วันนี้ลมอะไรพัดมา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

“เว่อร์ไปพี่ขจร ผมก็เดินผ่านอยู่บ่อยๆ แค่ไม่ได้เข้ามาอุดหนุนแค่นั้น”

“นั่นแหละ ไม่เข้ามาอุดหนุนถือว่าไม่เจอ วันนี้จะกินอะไร เอาเหมือนเดิมมั้ย?”

“เหมือนเดิม ถ้าน้ำมะพร้าวสด”

“สดดิวะ เฉาะเองกับมือทุกลูก ร้านนี้ไม่เคยเอาน้ำมะพร้าวกล่องมาขายครับคุณ”

พิงภพหัวเราะ ขจรเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่ฮิปปี้ที่สุดที่เขารู้จัก เพราะถึงจะโตที่เกาะเต่า แต่กลับเลือกไปเรียนและทำงานเป็นครูที่เชียงราย จากนั้นก็ลาออกไปตระเวณแบ็คแพ็คทั่วทวีปเอเชีย จนกระทั่งเดินทางอิ่มตัวแล้วก็กลับมาเปิดร้านกาแฟในบ้านของปู่ที่เสียไป พิงภพชอบที่นี่เพราะบุคลิกไม่ปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้านหรือตัวบ้านที่สร้างมาหลายสิบปี โต๊ะไม้เตี้ยและเบาะนั่งที่ผ่านการใช้งานจนนุ่มยวบ ถึงดูเผินๆ จะไม่มีมุมไหนเหมือนร้านสักของพ่อที่ตอนนี้พี่ชายของเขารับช่วง แต่บรรยากาศของการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นก็สร้างความรู้สึกคุ้นเคยได้ไม่ยาก

ด้านในร้านมีลูกค้าประปราย พิงภพยืนคุยสัพเพเหระกับขจรระหว่างรอเมนูเอสเปรสโซเย็นราดน้ำมะพร้าวสด พอได้แล้วก็ถือแก้วไปนั่งตรงระเบียงหน้าหาด หลังคาที่ยื่นมาเหนือชานช่วยบังแสงแดดยามบ่าย เมื่อมองไปกลางทะเลก็เห็นเรือเล็กกำลังแล่นเข้าไปรับนักดำน้ำจากเรือใหญ่ เขาเลยกะว่าเดี๋ยวจะกลับไปถามเพื่อนๆ ว่าวันนี้ดำน้ำไปเจออะไรกันบ้าง

“อ้าว?”

เสียงอุทานของหญิงสาวจากโต๊ะใกล้กันทำเอาพิงภพสะดุ้ง พอหันไปก็แปลกใจที่พบว่าเป็นหญิงสาวชาวต่างชาติ เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าเธอ แต่ก็นึกไม่ออกว่าจากที่ไหน

“Yes?”

“อุ๊ย พูดไทยได้ค่ะ ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษก็ได้”

หญิงสาวพูดแล้วหัวเราะคิก ผมหยักศกของเธอเป็นสีบลอนด์และจมูกโด่งอย่างธรรมชาติ แต่พอพิงภพสังเกตดีๆ ก็เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลและโคนผมสีดำ

“เป็นลูกครึ่งเหรอครับ?”

“ช่าย ที่กัดสีผมเพราะจะไปโกรกสีม่วง แต่พอใครๆ เห็นว่าผมทองก็นึกว่าเป็นฝรั่งกันหมด”

พูดจบเธอก็แกล้งสะบัดผมเหมือนในโฆษณาแชมพู ท่าทางขี้เล่นเรียกเสียงหัวเราะจากพิงภพ เธอยิ้มชอบใจก่อนจะย้ายแก้วเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะของเขา

“อุตส่าห์ได้คุยกันทั้งที ขอนั่งด้วยเลยละกันเนอะ เพื่อนฉันก็ไม่รู้หายไปไหน อ้อ ฉันชื่อเอมี่ค่ะ”

“เอ่อ...ได้ครับ พุธครับ”

“ว้าย ชื่อเล่นก็น่ารัก พุทธไหนคะ ชาวพุทธ? ดาวพุธ? หรือพุฒิที่แปลว่าเจริญ?”
 
คำชมของเธอเล่นเอาพิงภพเหวอเพราะเป็นครั้งแรกที่มีคนชมว่าชื่อน่ารัก แต่คำถามที่ตามมาบ่งบอกว่าเธอน่าจะแตกฉานภาษาไทยไม่น้อย

“พุธเพราะเกิดวันพุธครับ พ่อแม่ผมตั้งชื่อเล่นให้ด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างนี้แหละ”

“หืม แต่ก็เก๋ดีออกน้า”

เธอยิ้มพลางยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ เป็นเรื่องปกติที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะผูกมิตรกับคนแปลกหน้าง่ายๆ แต่พิงภพก็ยังตงิดใจกับคำว่า ‘อ้าว’ เมื่อครู่

“ขอโทษนะครับ เอมี่เคยมาเรียนดำน้ำที่บลูแซนด์หรือเปล่า?”

“ไม่เคย ฉันว่ายน้ำเก่งนะแต่กลัวแมงกะพรุน ดังนั้นไม่กล้าดำน้ำหรอก”

หรือเราจะคิดมากไปเอง แต่ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าเธอล่ะ...

“เอมี่...เธอใช้ฉันไปซื้อโรตีให้แล้วตัวเองก็มานั่งคุยกับผู้ชายเนี่ยนะ”

“เต็ม”

ทั้งเขาและเอมี่หันไปเอ่ยชื่อพร้อมกัน จากนั้นทั้งคู่ก็หันกลับมาทำตาโตใส่กัน

“อ้าว นี่รู้จักกันแล้วเหรอ?”

เอมี่ถามพลางชี้เขาสลับกับหนุ่มข้างห้อง พิงภพอ้าปากค้างเพราะนึกออกแล้วว่าเธอคือหญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้อยอยู่ในห้องของหมอนี่เมื่อวันก่อน

“นี่โรตีช็อกโกบานาน่า วันนี้ร้านหน้าเซเว่นปิดฉันเลยต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปซื้อจากเจ้าอื่น”

“มิน่าถึงหายไปตั้งนาน ขอบคุณนะที่รัก พอฉันเมนส์มาแล้วอะไรอ้วนๆ ก็อยากกินไปหมด”

หญิงสาวใช้ส้อมจิ้มโรตีเข้าปาก ก่อนจะกำมือทำตาหยีโค้งเหมือนได้กินของอร่อยที่สุดในโลก ชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงขยี้ผมหญิงสาวก่อนจะทรุดตัวนั่ง มุมนั้นเผยหัวไหล่หนาซึ่งหันข้างให้พอดี สายตาของพิงภพจึงถูกดึงไปยังรอยสักบริเวณนั้นโดยอัตโนมัติ

ตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งสะกดว่า “Let Go” ตัวไม่ใหญ่นักอยู่ตรงกลางหัวไหล่ ตอนนี้มันแทบจะถูกกลืนด้วยลวดลายซับซ้อนที่ล้อมรอบ แต่พิงภพสังเกตเห็นตัวอักษรที่โย้เย้ ต่างจากความสมบูรณ์แบบของรอยสักส่วนอื่นแล้วก็คิดว่าคงเป็นฝีมือของช่างมือสมัครเล่น เผลอๆ อาจจะเป็นรอยสักแรกของเจ้าตัวเลยก็ได้

แต่ว่าทำไมถึงเป็น Let Go ไม่ใช่ Let’s Go นะ? ตั้งใจจะสักคำนี้อยู่แล้ว หรือว่าสะกดผิด?

พิงภพนึกสงสัย พอเหลือบตาขึ้นก็เห็นเจ้าของรอยสักจ้องเขาอยู่ก่อนด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่เอมี่กลับเท้าคางยิ้มแย้ม โรตีกล้วยราดช็อกโกแลตในจานหมดเกลี้ยงเหมือนไม่เคยมีอยู่

ผู้หญิงเวลาเมนส์มานี่น่ากลัวจริงๆ...

“วันพุธชอบรอยสักของเต็มเหรอ จ้องใหญ่เลย”

พิงภพกะพริบตาอีกครั้ง ถึงชื่อเล่นเขาจะมาจากวันเกิดจริงๆ แต่เพิ่งมีเอมี่นี่แหละที่เรียกเขาว่าวันพุธ มันทำให้ชื่อเล่นที่เคยคิดว่าแสนจะธรรมดาฟังแล้วตะมุตะมิพิกล

“ไม่ใช่หรอก คงเพราะไม่เคยเห็นคนมีรอยสักเต็มตัวใกล้ๆ ก็เลยสนใจ ก็แค่นั้น”

“รู้ได้ไงว่าไม่เคยเห็นใกล้ๆ พ่อเรายังสักเยอะกว่านี้อีก นอกจากหน้ากับฝ่าเท้าก็ไม่มีผิวตรงไหนว่างแล้วมั้ง"

พิงภพรีบออกตัว ไม่รู้ทำไมถึงร้อนหน้าหน่อยๆ ตอนหมอนี่ปรายตามามองแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ส่วนเอมี่โน้มตัวมาข้างหน้าจนทรวงอกกลมกลึงเกยกับขอบโต๊ะ

“จริงเหรอ? เจ๋งอ้ะ!พ่อของวันพุธเป็นไบเกอร์เหรอ? หรือว่าเล่นคุณไสยก็เลยสักยันต์ทั้งตัว?”

ชายหนุ่มที่นั่งข้างเขามองหญิงสาวด้วยแววตาเอือมระอา มันทำให้พิงภพไม่แน่ใจว่าทั้งสองเป็นคู่รักที่คบกันมานาน หรือแค่เพื่อนต่างเพศที่สนิทกันมากกันแน่

“เปล่า พ่อเราเป็นช่างสัก มีร้านของตัวเองด้วย แต่ตอนนี้พี่ชายรับช่วงต่อเพราะพ่อเสียแล้ว”

เอมี่ตาวาวอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินประโยคแรก แต่พอได้ฟังเรื่องของพ่อก็มองเขาอย่างเห็นใจ

“เสียใจด้วยนะวันพุธ พ่อเสียไปนานแล้วเหรอ?”

“นานไหม...ก็ราวๆ ห้าปีได้ ตอนนั้นเพิ่งเรียนปีสองเอง”

พิงภพตอบแล้วก็นึกขึ้นได้ ห้าปีแล้วหรือ ไม่น่าเชื่อว่าครอบครัวของเขาสูญเสียสมาชิกคนสำคัญไปนานขนาดนี้ แต่อาจเพราะตัวเขาทั้งเรียนและทำงานไกลบ้าน ถ้าไม่มีใครทักก็ลืมว่าพ่อไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว

“ตอนนั้นเรียนปีสอง...ถ้าปีสองก็น่าจะอายุสิบเก้ารึยี่สิบ งั้นตอนนี้วันพุธก็อายุยี่สิบห้าแล้วสิ?”

“ใช่ แต่ที่จริงเดือนหน้าก็จะยี่สิบหกแล้วล่ะ”

พิงภพตอบขณะมองเอมี่นับนิ้วและทำปากขมุบขมิบ เขาไม่เข้าใจว่าคำตอบของตัวเองน่าตื่นเต้นตรงไหน เพราะเธอมองเขาสลับกับคนข้างตัวแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“อันที่จริงนะ ฉันกับเต็ม...”

“เอมี่”

“อะไรเล่า แค่จะบอกว่าพวกเราพนันกันไว้ว่าคนข้างห้องแก่กว่าหรือเด็กกว่าเต็ม แบบนี้ก็เท่ากับฉันชนะพนันแล้ว อย่าลืมให้รางวัลด้วยล่ะ”

“ฉันบอกว่าจะพนันกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็ตอนพนันไม่ได้ปฏิเสธนี่ ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับใช่ไหมล่ะ?”

พิงภพกลอกตามองทั้งคู่เถียงกันราวกำลังดูการแข่งเทนนิส แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายก็หัวเราะ สองหนุ่มสาวที่กำลังเถียงกันอยู่จึงชะงัก

“นี่พนันกันเรื่องอายุเราเหรอ?”

พิงภพนึกขำที่อายุของเขากลายเป็นหัวข้อพนันไปได้ และยิ่งหัวเราะมากขึ้นเมื่อเห็นคนตัวใหญ่กว่ายกมือขึ้นกอดอก

“บอกแล้วว่าเราไม่ได้พนันเรื่องคุณ ยายนี่ชอบทึกทักไปเองอยู่คนเดียว”

“ฮึ จะพูดอะไรก็เชิญ แต่ตอนท้าพนันเต็มบอกว่าคนข้างห้องไม่มีทางอายุเกินยี่สิบสองหรอก เป็นไงล่ะทีนี้ เขาแก่กว่านายตั้งสามปีแน่ะ”

“เต็มอายุยี่สิบสาม?”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม?”

คนถูกถามสวนกลับทันควัน แต่แทนที่พิงภพจะขยาด เขากลับฉีกยิ้มเพราะรู้สึกว่าเจ้าคนหน้าไม่รับแขกนี่ ‘น่าเอ็นดู’ ผิดคาด

“ก็ไม่ทำไม แค่คิดว่าดูเป็นผู้ใหญ่ดีจัง อ๊ะ...”

โทรศัพท์มือถือบนโต๊ะสั่นเรียกความสนใจ พอสไลด์หน้าจอก็พบข้อความจากเพื่อนๆ ที่ถามว่าเขาอยู่ไหน พิงภพเลยเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสอง

“โดนตามตัวแล้ว คงไม่อยู่เป็น ก.ข.ค.ละ ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่”

พิงภพลุกเอาแก้วเครื่องดื่มไปคืนที่เคาน์เตอร์ เขาหันกลับไปโบกมือให้คู่หนุ่มสาวบนชานระเบียงก่อนออกจากร้าน จึงไม่ทันเห็นว่าเอมี่หันไปยิ้มกว้างกับคนที่เอาแต่นั่งจิบกาแฟไม่พูดไม่จา

“น่ารักจริงๆ ด้วยเนอะ มนุษยสัมพันธ์ก็ดี แล้วตกลงนายได้คุยกับเขาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย? ทำไมไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”

“เล่าหรือไม่เล่าแล้วจะทำไม? เธอไม่ได้เป็นแม่ฉันสักหน่อย”

“โอ๊ย ทีเรื่องแบบนี้ล่ะอมพะนำดีนัก ฉันก็แค่เห็นว่าเขาคล้าย...”

“เอมี่ คิดให้ดีๆ ก่อนจะพูดอะไร ไม่งั้นผลลัพธ์มันอาจจะตรงข้ามกับที่เธอต้องการก็ได้”

หญิงสาวทำหน้ามุ่ยขณะมองอทิตยะเคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบ ช่วยไม่ได้ที่พวกเขารู้จักกันมานานจนแทบจะไม่เหลือความลับระหว่างกันอีกต่อไป แต่พอนึกบางอย่างออกก็รีบเขย่าแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างตื่นเต้น

“เต็ม!วันพุธทำงานที่บลูแซนด์ด้วยนะ!”

“รู้ ก็เห็นหมอนั่นใส่เสื้อยืดของรีสอร์ตอยู่ทุกวัน”

“นี่! นายจะไม่สนใจเขาก็ช่างเถอะ แต่เมื่อไหร่จะเข้าไปที่บลูแซนด์ซักที? อุตส่าห์มาเช่าห้องอยู่ที่เกาะตั้งหลายวันแล้ว ไม่กลัวป๋ากับลุงธาตรีเป็นห่วงหรือไง?”

“ฉันยังไม่อยากให้พ่อรู้ว่าอยู่ที่นี่ อีกอย่างป๋าก็เคยบอกว่าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยเข้าไป เธอไม่ต้องมาเร่งแทนหรอกน่า”

เอมี่ฟังแล้วทำปากยื่นอย่างขัดใจ เธอแกล้งทำท่าปัดควันบุหรี่ทั้งที่ตัวเองนั่งอยู่เหนือลม เลยโดนชายหนุ่มหันมาแกล้งพ่นควันใส่

“อ๊าย! อีตาบ้า! ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าวันพุธเขาจะไม่ชอบนายเพราะนิสัยแบบนี้น่ะ”

“ไม่ชอบก็ไม่เห็นเป็นไร ก็แค่คนที่บังเอิญได้เช่าห้องติดกัน ไม่มีผลกับชีวิตฉันสักหน่อย”

อทิตยะสูบบุหรี่อึกสุดท้ายแล้วขยี้กับที่เขี่ย จากนั้นก็เอนตัวลงนอนหนุนตักของหญิงสาว เอมี่อ้าปากจะท้วงแต่แล้วก็เงียบ อทิตยะไม่ใช่เด็กไม่ประสีประสา แล้วเธอก็ไม่อาจทำตัวเหมือนเป็นพี่สาวได้ตลอด สุดท้ายก็เลยนั่งเท้าคางมองไปไกลๆ แทน ได้แต่หวังว่าสักวันจะมีคนเปลี่ยนมุมมองอันมืดมนของหมอนี่ให้สว่างสมชื่อเสียที



++---TBC---++


A/N: พอดีช่วงอาทิตย์หน้าติดธุระ สำหรับตอนหน้าอาจมาลงให้วันศุกร์ถ้าลงวันพฤหัสไม่ทันนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 17-10-2019 20:10:35
เต็มก็ชอบๆพุธแต่ไม่เดินหน้าจีบเพราะมีปมเรื่องความรักเหรอ?
เรียกพุธว่าวันพุธแล้วรู้สึกถึงความน่ารักเพิ่มขึ้นอีกร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มลองเรียกดูบ้างสิ  :hao3:
 
:pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-10-2019 21:06:23
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-10-2019 00:22:44
เขามีปมอะไรกันอ่ะ?  ขอเผือกโหน่ย5555
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 4 จ้า {อัพ 17.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-10-2019 15:55:44
จีบเลยอย่าได้กลัวไป
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 5 จ้า {อัพ 24.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-10-2019 19:16:22
ตะวันพิงภพ บทที่ 5


พิงภพตื่นนอนตอนเช้าอย่างกระปรี้กระเปร่า นอกจากเพราะได้กินอาหารหรูเต็มคราบเมื่อคืนวาน ยังเป็นเพราะวันนี้จะได้กลับไปทำงานสอนดำน้ำที่ถนัด สำหรับช่วงเช้าจะเป็นการสอนทฤษฎีให้นักเรียนใหม่ เขาเลยกะว่าจะไปรีสอร์ตแต่เช้าหน่อยเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวก่อน

ชายหนุ่มสะพายเป้ออกจากห้องแล้วล็อกประตู แต่พอจะออกเดินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าขึ้นบันได เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าคนที่เดินโซเซขึ้นมาคือเพื่อนข้างห้อง

“อ้าวเต็ม เพิ่งกลับเหรอ...”

ยังถามไม่จบประโยคก็ได้กลิ่นเหล้าโชยฟุ้ง พิงภพเพิ่งสังเกตเห็นใบหน้าซึ่งแดงเรื่อไปถึงแผ่นอก เขาย่นจมูกขณะรอให้อีกฝ่ายเข้าห้องจะได้เดินผ่าน แต่แล้วจู่ๆ คนตัวใหญ่กว่าก็หันไปโก่งคออาเจียนนอกระเบียงทางเดิน

“เฮ้ย! เป็นอะไรรึเปล่า?”

สัญชาตญาณครูบวกความรู้ด้านปฐมพยาบาลทำให้รีบเข้าไปช่วยลูบหลัง โชคดีว่าด้านล่างระเบียงคือแนวหญ้ารกสูง ไม่อย่างนั้นเจ้าของอพาร์ตเมนต์คงบ่นพวกเขาหูชาที่ทำพื้นชั้นหนึ่งเลอะเทอะ

“ไม่เป็นไรแล้ว...”

คนที่อาเจียนออกไปก๊อกใหญ่เอ่ยพลางใช้หลังมือเช็ดปาก ร่างสูงดันเขาออกแล้วหมุนตัวไปทางประตูห้อง แต่ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าพิงภพยังไม่ไปไหนก็เลยหันมาถาม

“มีอะไร?”

“ไม่มี แค่อยากรอดูให้แน่ใจว่าเข้าห้องได้”

คนถูกรอทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แต่แล้วก็ต้องหันไปใช้สมาธิกับการหาลูกกุญแจที่ถูกดอก หลังพยายามอยู่พักใหญ่จนพิงภพร่ำๆ จะช่วย ในที่สุดก็มีเสียง ‘คลิก’ ก่อนบานประตูจะถูกเปิด

“เข้าได้แล้ว เป็นไงล่ะ”

น้ำเสียงและสีหน้าเหมือนคนเพิ่งฝ่าด่านสำคัญในเกมได้ทำเอาพิงภพหลุดขำ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายยกมือปิดปากก่อนจะรีบโผเข้าไปในห้อง

“เฮ้ย! เต็ม!”

พิงภพรีบก้าวตามไปทันที โชคดีที่ห้องน้ำอยู่ใกล้กับประตู เขาเลยทันเห็นเจ้าของห้องกำลังโก่งคออาเจียนอยู่เหนือโถชักโครก สภาพเหงื่อซึมหน้าผากทำเอาพิงภพเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นผ้าขนหนูผืนเล็กก็คว้ามาชุบน้ำเพื่อเช็ดเหงื่อให้ เขาชะงักมือเมื่ออีกฝ่ายเหลือบตาขึ้นมอง นัยน์ตาสีนิลที่ฉ่ำเพราะแอลกอฮอลล์จ้องเขานิ่งเหมือนไม่ได้เมาสักนิด

“ตามเข้ามาทำไม?”

ดูเหมือนเช้านี้คนข้างห้องจะมู้ดดี้เป็นพิเศษ แต่พิงภพยังคงเช็ดเหงื่อต่อเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

“ทำไมเหรอ...ก็เห็นคนเมาอ้วกต่อหน้าเลยทนดูไม่ได้มั้ง”

อันที่จริงคือเขาไม่อยากกลับมาเจอหมอนี่ล้มหัวแตกหรือทำอะไรแผลงๆ จนกลายเป็นผีเฝ้าตึกต่างหาก แต่ก็คิดว่าอย่าพูดออกไปจะดีกว่า

“หึ...พ่อคนดี”

คนที่ดูเหมือนจะอ้วกหมดกระเพาะแล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก ร่างสูงกดชักโครกก่อนจะดันตัวขึ้นบ้วนปากเหนืออ่างล้างหน้า พิงภพมองตามคนที่เดินเซไปนอนบนเตียง ใจหนึ่งก็อยากปล่อยเจ้าคนอวดดีไว้อย่างนี้ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าปล่อยปละละเลยไม่ได้

“อะไรอีกล่ะ...”

นัยน์ตาซึ่งปิดไปแล้วปรือขึ้นเมื่อเตียงยวบลง หน้าตาที่ซีดเซียวแต่ยังพยายามวางมาดทำให้พิงภพนึกอยากบีบจมูกด้วยความหมั่นไส้

“ถ้าไม่อยากเป็นหวัดก็ลุกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เหงื่อออกจนแฉะไปทั้งตัวแล้ว”

“โธ่เอ๊ย อยากเห็นคนอื่นโป๊ก็บอกมาเถอะ”

พิงภพสังหรณ์ว่าถ้าเป็นเวลาปกติคงได้เห็นสีหน้ายียวนของหมอนี่ แต่คงเพราะตอนนี้เมาจนไม่มีแรงก็เลยแค่พลิกตัวหนีเขาเฉยๆ

“หลงตัวเองไปหน่อยมั้ง อะไรที่ตัวเองมีเราก็มีเหมือนกัน มา ถ้าขี้เกียจนักเดี๋ยวช่วยถอดให้”

“หา...เฮ่ย! จะทำอะไร!?”

“ก็บอกแล้วว่าจะถอดให้ เมาจนลุกไม่ไหวก็นอนไป คิดซะว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยอัมพาตก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางถอดเสื้อกับกางเกงขาสั้นของคนตัวใหญ่กว่าแบบไม่ให้ตั้งตัว เขาไม่แตะกางเกงในเพราะคิดว่าไม่จำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสังเกตเห็นเค้าโครงของสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านล่าง และภาพนั้นก็ทำเอาหน้าเห่อร้อนไปหมด เพราะมันชวนให้นึกถึงสถานการณ์คล้ายกันเมื่อวานนี้

โอเค...ขอเปลี่ยนคำพูดก็ได้ อะไรก็ตามที่หมอนี่มี เขาก็มีแต่น้อยกว่ากันเยอะ

พิงภพรีบหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ให้ พอเสร็จแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมพลางถอนใจโล่งอก

“เอาล่ะ ถือว่าหมดธุระกันแล้วนะ”

“...จะไปแล้วเหรอ?”

มือที่ยื่นมาจับแขนทำเอาพิงภพสะดุ้ง เมื่อครู่เขาแค่พูดลอยๆ ไม่นึกว่าหมอนี่จะยังไม่หลับ

“ต้องไปแล้วสิ จะถึงเวลาทำงานแล้วเนี่ย”

“ไปสายหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า”

“เฮ้ย!”

พิงภพร้องเมื่อถูกฉุดแขนจนหน้าทิ่มลงบนเตียง ยังไม่ทันจับต้นชนปลายก็ถูกแขนขายาวๆ รวบเข้าไปกอด ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“นี่! ล้อเล่นอะไรเนี่ย ปล่อยนะเว่ย! เต็ม!!”

“อย่าเพิ่งไปเลยนะ ดิว”

เสียงแหบต่ำกระซิบอยู่บนกระหม่อม พิงภพมุ่นคิ้วด้วยความสับสน แต่พออ้อมแขนที่โอบรัดเริ่มผ่อนแรงก็ดีดตัวลุกทันที เลยเห็นว่าคนที่ทำเขาใจหายใจคว่ำผล็อยหลับไปแล้ว

“ไอ้บ้า...ทำเอาตกใจหมด”

พิงภพบ่นพลางบีบนวดแขนที่โดนฉุด หัวใจเต้นแรงจนได้ยินเสียงตุบตับในหู แต่ตัวคนก่อเรื่องกลับหลับสนิทแถมกรนจนน่าถีบให้ตกเตียง

“ดีนะที่เราไม่ใช่ผู้หญิง ไม่งั้นได้แจ้งความข้อหาลวนลามกับเรียกค่าเสียหายแน่”

พอพูดไปแล้วพิงภพก็กลอกตา ไม่รู้ว่ายุคนี้จะยังเหลือผู้หญิงที่ถือสากับการถูกเนื้อต้องตัวสักกี่คน แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่ผู้หญิงแล้วก็ไม่คิดจะหาเรื่องคนเมา ต่อให้บ่นไปก็เปลืองน้ำลายโดยใช่เหตุ

พิงภพหยิบรีโมทมากดปรับอุณหภูมิในห้อง จากนั้นก็ล็อกประตูแล้วเดินออกมา ดูจากเวลาที่เหลือแล้วถ้าเขาอยากกินมื้อเช้าก็คงได้แค่ขนมปังแทนที่จะเป็นข้าวต้มร้อนๆ แต่ขณะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งเช่ามาใหม่ เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าทำไมเมื่อครู่ถึงรู้สึกทะแม่ง

ชื่อที่หมอนั่นเพ้อถึงตอนที่เมาจนไม่รู้สึกตัวคือดิว...ไม่ใช่เอมี่



++------++



ปวดหัวชะมัด...

นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวเมื่ออทิตยะลืมตา แสงเจิดจ้านอกหน้าต่างบ่งบอกว่าน่าจะเป็นเวลาบ่าย พอเห็นตัวเลข 13.22 บนนาฬิกามือถือก็ยืนยันว่าเขาเดาถูก

ร่างสูงดันตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ อาศัยสายน้ำเย็นจัดจากฝักบัวช่วยขจัดอาการเมาค้างและกลิ่นเหงื่อ แต่พอเดินออกมาก็ถูกเสื้อกับกางเกงที่กองตรงมุมห้องดึงดูดความสนใจ

นั่นมันชุดที่เราใส่เมื่อวานนี่...

อทิตยะเหลียวกลับไปมองเสื้อผ้าอีกชุดที่เพิ่งถอดโยนลงตะกร้า เขาอาจจะเมาจนแทบจำไม่ได้ว่าเมื่อเช้าขับมอเตอร์ไซค์กลับมาถึงห้องได้ยังไง แต่ก็มั่นใจว่าเมื่อวานไม่ได้ใส่เสื้อยืดแขนสั้นแน่ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเอมี่บังคับให้กินเหล้าหลายขนานเพื่อทำโทษที่แพ้พนันก็คงไม่เบลอขนาดนี้ สงสัยว่าพอกลับถึงห้องก็งัวเงียเปลี่ยนเสื้อก่อนจะหลับ ส่วนไออุ่นที่ได้สัมผัสชั่ววูบก็เป็นเพียงความฝัน

ในเมื่อเขากับดิวไม่มีวันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว...

ชายหนุ่มใช้ผ้าขนหนูขยี้ผมที่เปียกน้ำ แต่แล้วก็สบถเมื่อเหยียบโดนอะไรบางอย่าง คิ้วหนามุ่นขึ้นก่อนจะก้มลงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาดู

ตุ๊กตายางเรซิ่นรูปกัปตันอเมริกาเก่าจนสีหลุดเป็นหย่อม หมุดบนหัวบ่งบอกว่าน่าจะหลุดออกมาจากพวงกุญแจ เขารู้สึกคุ้นตาแต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ไม่แน่ว่าตอนที่เมาอาจจะเผลอไปคว้ากุญแจคนอื่นแล้วมันหลุดติดมือมา

จะทิ้งก็คงไม่ดีเพราะไม่รู้ว่าของใคร เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน...

อทิตยะเลื่อนลิ้นชักหน้ากระจกออกมาแล้วโยนตุ๊กตาใส่ พอแต่งตัวเสร็จก็ดึงผ้าปูเตียง ปลอกหมอนและเสื้อผ้าที่เก็บรวบรวมไว้ไปส่งซัก หลังแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านข้างถนนก็กลับขึ้นห้อง จากนั้นก็เปิดโน้ตบุ๊ค ล็อกอินเข้าโปรแกรมแชตแล้วพิมพ์ทักคนที่ต้องการ

“Hey”

ชั่วอึดใจก็มีข้อความตอบกลับมา เขาเลยถือโน้ตบุ๊คออกไปนั่งบนระเบียงเพราะไม่อยากอุดอู้ในห้อง

“ไง หายไปเลย เช็กอีเมลหรือยัง?”

“ยัง นี่เพิ่งตื่น”

“อิจฉาคนติดเกาะจริง รอให้ฉันได้ลาหยุดมั่งเถอะ”

“มีงานทำก็ดีแล้วน่า พอดีเพิ่งนึกอะไรออก อยากปรึกษาหน่อย”

อทิตยะแชตไปเช็กอีเมลไป พอคุยธุระเสร็จก็จุดบุหรี่สูบ สายตาปรายมองไปทางระเบียงห้องข้างๆ โดยอัตโนมัติ

ตอนนี้คงทำงานอยู่ล่ะสิ...ว่าแต่ไม่คิดจะเก็บเสื้อผ้าเข้าห้องเลยหรือไง

เขาคิดพลางมองเสื้อยืดหลากสีที่แขวนบนระเบียง ท้องฟ้าที่สว่างสดใสเริ่มครึ้มเพราะเมฆลอยมาบังแสงอาทิตย์ อากาศบนเกาะทางใต้ก็แบบนี้ ปุบปับลมจะเปลี่ยนทิศ พายุจะเข้าก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น

อทิตยะนึกถึงคนที่เดินสวนกันมาหลายวันแต่เพิ่งได้คุยกันเมื่อวานซืน ไม่รู้หมอนั่นคิดอย่างไรกับการได้เขาเป็นเพื่อนข้างห้อง แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนที่ชอบเข้าหาหรือทำความรู้จักคนอื่น แต่หมอนั่นกลับแสดงความคุ้นเคยหลังได้คุยกันแค่ไม่กี่คำ อาจเป็นเพราะทำงานที่ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาก็เลยเข้ากับคนง่าย

แต่ไม่ใช่เพราะคนเป็นมิตรง่ายแบบนี้หรือที่ทำเขาเจ็บเจียนตายมาแล้ว

ชายหนุ่มอัดควันเข้าปอดอึกใหญ่ อารมณ์ที่แจ่มใสเมื่อครู่พลันหมองมัว ไม่ช้าหยดน้ำก็เริ่มโปรยเป็นสายจากเมฆฝนสีเทา



++------++



พิงภพมองฝนที่เทลงมาเหมือนฟ้ารั่ว โชคดีที่เขาสอนทักษะพื้นฐานในสระว่ายน้ำให้พวกนักเรียนเสร็จแล้ว ก็เลยให้ทุกคนเอาอุปกรณ์มาวางรวมกันไว้สำหรับเรียนต่อในวันรุ่งขึ้น

“พรุ่งนี้เจอกันเก้าโมงเหมือนเดิมนะครับ ผมจะสอนสกิลที่ยังเหลือให้ครบ ช่วงบ่ายก็เรียนทฤษฎีต่ออีกหน่อยก่อนจะสอบข้อเขียนกัน”

“มีสอบข้อเขียนด้วยเหรอพี่?”

หนึ่งในเด็กหนุ่มที่มาเรียนกับเพื่อนถามเสียงหลง กลุ่มนักเรียนของพิงภพครั้งนี้มีสี่คนซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดสำหรับการสอนแต่ละครั้ง เห็นว่าแต่ละคนยังอายุแค่ 17-18 ซึ่งทำให้เขานึกถึงสมัยที่ตัวเองเพิ่งหัดดำน้ำใหม่ๆ

“มีครับ แต่ไม่ยากหรอก ก็แค่ทดสอบว่าเราจำหลักการเบสิคได้”

“เคยมีคนสอบตกมั่งไหมครับ?”

“เท่าที่ผมสอนมายังไม่มีนะ เพราะทำไปเฉลยไป ถ้าตกก็แย่ละ”

ทุกคนหัวเราะ หลังสอบถามอีกนิดหน่อยก็พากันแยกย้าย พิงภพเดินลัดเลาะใต้ชายคาของรีสอร์ตเพื่อไปยังห้องอาหารริมหาด วันนี้เขาไม่ได้ออกไปดำน้ำในทะเลเพราะต้องสอนนักเรียนใหม่ในสระก่อน แต่แค่ได้ทำงานที่ถนัดก็ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว

ว่าแต่ป่านนี้เต็มจะตื่นหรือยังนะ หรือจะนอนยาวจนตื่นตอนกลางคืนแทน ไม่รู้ว่าหมอนั่นกินเหล้าไปเยอะแค่ไหนถึงเมาได้ขนาดนั้นซะด้วยสิ

พิงภพตระหนักดีว่าไม่ใช่ธุระกงการของเขาที่ต้องเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อคนข้างห้องก็แสดงออกว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ในเมื่อตอนนี้ไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้ากันแล้ว แถมตอนที่รถเขาเสียก็ได้อาศัยซ้อนท้ายหมอนั่นกลับห้องและมาทำงาน จะให้ทำตัวแล้งน้ำใจก็คงไม่ได้

“พุธ ทางนี้ๆ”

เสียงเรียกจากเพื่อนๆ ดึงความสนใจของพิงภพ ตอนนี้ห้องอาหารหน้าหาดแน่นขนัดไปด้วยเหล่านักดำน้ำที่เพิ่งกลับมา รวมถึงแขกของรีสอร์ตที่กำลังกินมื้อเย็น พิงภพเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ว่างข้างลีแล้วก็นั่งลง

“วันนี้เป็นไงมั่ง ได้เจออะไรเด็ดๆ กันมั่งไหม?”

พิงภพถามหลังจากสั่งข้าวผัดไก่ไข่ดาวกับพนักงานเสิร์ฟ ทุกคนมองหน้ากันยิ้มๆ ก่อนสเวนจะยื่นกล้องถ่ายภาพใต้น้ำให้เขาดู

“เฮ้ย! น้องจุด! ทำไมวันนี้มาอ้ะ!!”

“สงสัยที่วันนั้นไม่ได้เจอเพราะนายอยู่ในเรือแน่เลย ต้องพิจารณาตัวเองแล้วนะพุธ”

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยเจอตั้งหลายหน มันต้องเป็นใครสักคนบนเรือนั่นแหละที่ไม่มีดวง”

พิงภพโต้มาริอุสทันควันจนเรียกเสียงหัวเราะ เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะแซวกันเวลาไม่เจอสัตว์ที่อยากเจอว่าเพราะมีตัวโชคร้าย เมื่อก่อนเขาก็ไม่เคยนึกว่าชาวต่างชาติจะล้อกันเรื่องความเชื่อเหมือนคนไทยจนมาได้ยินกับหูตัวเอง

“พรุ่งนี้นายก็ยังต้องสอนในสระนี่นะ กว่าจะได้พานักเรียนลงทะเลก็มะรืนเลยสิ”

“แต่ถึงพุธได้ลงก็ต้องคอยเฝ้านักเรียนสอบทำสกิล ถึงฉลามวาฬมาก็ทิ้งนักเรียนไปว่ายตามไม่ได้อยู่ดี”

ทั้งลีทั้งมาริอุสพากันแซวเขาอย่างสนุกสนาน สเวนเพียงแต่ยิ้มขณะรับกล้องคืน แต่พิงภพดูออกว่าหนุ่มสวีเดนผู้ไม่ค่อยพูดจาก็กำลังขำเขาเหมือนกัน

“เอ๊อ ไว้รอให้นักเรียนฉันสอบเสร็จก่อนเถอะ รับรองเจอทุกอย่างแน่ ทั้งฉลามวาฬ บาราคูด้า แมนต้า ปลาหมึก เอามาให้หมด”

พวกเขาคุยกันไปกินข้าวกันไป บางทีครูสอนดำน้ำที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นก็เดินมาคุยด้วยบ้าง พอฟ้าเริ่มมืด ฝนก็เริ่มซาจนเหลือเพียงละอองที่พรมอณูอากาศให้เย็นฉ่ำ พิงภพขอตัวลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ แต่พอเดินออกมาก็เกือบชนคนที่กำลังจะเดินสวนกัน

“ขอโทษครับ...”

“พุธ กำลังหาตัวอยู่พอดีเลย”

หัวใจของพิงภพเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือภาณุกร วันนี้หนุ่มลูกครึ่งสวมเสื้อเชิ้ตฮาวายสีเขียวนวล ข้างในสวมเสื้อกล้ามสีขาวค่อนข้างเข้ารูปจนเห็นเนินอกและมัดกล้ามหน้าท้องที่นูนขึ้นมา

แล้วนี่เขาจะมาสังเกตเรื่องพวกนี้ทำไมนะ...

พิงภพยกมือขึ้นถูหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ พอเงยหน้ามองคู่สนทนาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังยิ้มจนต้องย่นจมูกใส่

“หาทำไม?”

“คืนนี้ว่างหรือเปล่า?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว อันที่จริงหลังทำงานเสร็จในแต่ละวันเขาก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร ถ้าขี้เกียจก็กลับห้องไปนั่งดูซีรีส์หรืออ่านหนังสือ ถ้าเหงาก็ออกมานั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนครูด้วยกัน บางทีก็ไปขลุกกันที่ห้องใครสักคนเพื่อเล่นเกมฆ่าเวลา รีสอร์ตของพวกเขาตั้งอยู่บนหาดที่คึกคักที่สุดของเกาะอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนักนอกจากนี้

“ก็...ว่าง”

“ถ้างั้น...ไปหาร้านนั่งกันไหม อุตส่าห์ได้มาเจอกันทั้งที พอดีพรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว”

ภาณุกรเอ่ยพลางบุ้ยคางไปทางทีมงานที่กำลังนั่งกินข้าว พิงภพถึงนึกขึ้นได้ว่าพอถ่ายโฆษณาเสร็จแล้วคนพวกนี้ก็ต้องกลับกรุงเทพฯ เท่ากับว่าเขากับภาณุกรจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ทั้งที่อุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันหลังผ่านมาเก้าปี แต่เงื่อนไขของเวลาที่จะได้รื้อฟื้นมิตรภาพกลับสั้นเหลือเกิน

“...ก็ได้ ว่างอยู่ อยากนั่งร้านแนวไหนล่ะ ชิลๆ หรูๆ บ้านๆ หรืออยากได้แบบมีปุ๊นด้วย?”

คนตรงหน้าเขาทำสีหน้าเหมือนสำลักน้ำลาย ก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นพิงภพเลิกคิ้ว

“โทษที พอได้ยินจากปากพุธแล้วแปลกๆ สมแล้วที่อยู่เกาะมาสามปี นี่รู้จักร้านทุกแนวเลยสิท่า”

“รู้จักแต่ก็ไม่ได้เคยนั่งทุกร้านหรอก ค่าแรงครูสอนดำน้ำไม่ได้อู้ฟู่ขนาดนั้น ขืนตระเวณดริงค์ทุกคืนก็ไม่เหลือเงินกันพอดี”

“อืม ที่จริงก็ไม่ได้อยากนั่งร้านไหนเป็นพิเศษ ถ้างั้นซื้อเบียร์กับขนมไปนั่งกินกันที่ห้องของพุธก็ได้ จะได้ไม่เปลืองตังค์”

พิงภพกะพริบตา เขามองรอยยิ้มบนมุมปากของอีกฝ่าย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นประกายเว้าวอนในดวงตาสีน้ำตาล

“จะดีเร้อ ห้องทั้งเล็กทั้งรก วิวทะเลก็ไม่มีให้ดู เดี๋ยวจะเซ็งซะเปล่าๆ”

“ไม่เป็นไร ถ่ายโฆษณามาสองวันนี่ก็ได้เห็นวิวเกือบทั้งเกาะแล้ว ไปดูให้เห็นว่าห้องพุธเป็นยังไงก็ดีเหมือนกัน จะได้กลับไปรายงานน้ายูงได้”

“อ้าว อะไรวะ นี่แม่ใช้ให้มาเป็นสปายเหรอ?”

เขาแกล้งชกไหล่จนภาณุกรหัวเราะ วูบหนึ่งที่บรรยากาศผ่อนคลายเหมือนสมัยมัธยมกลับคืนมา ในอกเหมือนมีกระแสอุ่นๆ ไหลเวียนจนเขายิ้มตาม

“งั้นเดี๋ยวไปซื้อเบียร์กับขนมที่ร้านแถวหอก็ได้ ขืนหิ้วจากแถวนี้เดี๋ยวซ้อนรถไม่ถนัด ขอไปบอกลาพวกเพื่อนๆ แป๊บ จะมาด้วยกันไหม?”

“เอาสิ”

พิงภพเดินกลับไปที่โต๊ะซึ่งเพื่อนๆ กำลังนั่งคุยกัน เขาแนะนำภาณุกรให้รู้จักก่อนจะขอตัวกลับ ขณะเดินไปที่รถหนุ่มลูกครึ่งก็เอ่ยทัก

“ดูพุธเข้ากับทุกคนที่นี่ได้ดีนะ ได้เพื่อนใหม่ที่เกาะเยอะเลยสิ”

“ทำงานแบบนี้ก็ต้องสนิทกันไว้แหละ เพราะแต่ละคนก็ไม่ได้กลับบ้านกันบ่อยๆ แถมงานสอนดำน้ำมันเฉพาะทางมาก จะว่าไปก็เหมือนอยู่โรงเรียนประจำ แต่ว่าเพื่อนๆ ไม่ได้อยู่หอเดียวกันเท่านั้นเอง”

เสียงฝีเท้าของคนด้านหลังเงียบไป พิงภพหันกลับไปมอง แสงจากเสาไฟข้างทางส่องมาไม่ถึงตรงนี้ สีหน้าของภาณุกรจึงอยู่ในเงามืด

“ขอโทษนะ ที่ตอนนั้นผิดสัญญาเรื่องที่จะไปเช่าหอด้วยตอนเรียนมหา’ ลัย”

ลมหายใจของพิงภพสะดุด เขาเคยได้ยินประโยคคล้ายกันนี้มาแล้วเมื่อเก้าปีก่อน ความรู้สึกผิดที่สะท้อนในแต่ละคำพูดยังคงบีบหัวใจไม่ต่างจากในห้องเรียนวันนั้น

“...ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นความจำเป็นของครอบครัว ได้ไปแล้วก็มีโอกาสลองทำอะไรหลายอย่างกว่าอยู่ที่นี่ใช่ไหมล่ะ? ย่าเองก็ได้มีลูกหลานไปอยู่ด้วย”

“ก็ใช่ แต่มันก็ทำให้เสียโอกาสอื่นไปเหมือนกัน”

คำพูดประโยคสั้นๆ แต่โอบอุ้มความหมายไว้มากเหลือเกิน พิงภพพยายามไม่ตีความให้ลึกซึ้ง เขารีบสอดมือลงกระเป๋ากางเกงแล้วออกเดินต่อ

“เหมือนเมฆฝนเริ่มมาอีกแล้วนะ เรารีบไปกันก่อนฝนจะตกดีกว่า...”

เสียงของพิงภพขาดหาย เขาหยุดเดินพลางคลำสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงให้แน่ใจ ท่าทางผิดปกติทำให้ภาณุกรรีบก้าวมาเดินเคียงข้าง

“ทำไมเหรอพุธ? ลืมของเหรอ?”

“เปล่าๆ ตอนแรกนึกว่ากุญแจหายน่ะ แต่อยู่ในกระเป๋านี่แหละ”

ชายหนุ่มชูพวงกุญแจให้ดูแล้วก้าวเดินต่อ แต่ในใจกลับว้าวุ่น เขาไม่รู้ว่าวันนี้เผลอซุ่มซ่ามตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกที กัปตันอเมริกาที่พกติดตัวมาตลอดก็หายไปแล้ว...



++------++
 
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 5 จ้า {อัพ 24.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 24-10-2019 19:18:02
พวกเขาแวะร้านขายของทันก่อนฝนจะตก กระนั้นฟ้าก็ร้องเสียงดังสนั่นและลมพัดอู้ตลอดทางที่กลับอพาร์ตเมนต์ ฝนเม็ดแรกเทลงมาเมื่อพิงภพลากมอเตอร์ไซค์เข้าจอดใต้หลังคาพอดี หลังคล้องโซ่เรียบร้อย ทั้งสองก็รีบแบกถุงเสบียงที่ซื้อมาขึ้นอาคาร

“ตกแรงชะมัด ดีนะที่ซื้อของเสร็จก่อน”

พิงภพเอ่ยพลางสาวเท้าเร็วๆ ขึ้นบันไดซึ่งเปิดโล่งด้านข้าง ฝนที่สาดเข้ามานองเต็มพื้นปูนจนน่ากลัวจะลื่นล้ม เขานึกสงสัยที่ชั้นสองมืดผิดปกติ ยิ่งได้เห็นคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียงทางเดินก็ยิ่งแปลกใจ อีกฝ่ายเพียงแต่พ่นควันบุหรี่เงียบๆ พิงภพก็เลยเข้าไปทัก

“เต็ม ทำไมมายืนสูบบุหรี่ตรงนี้ล่ะ?”

“ไฟดับ เป็นเฉพาะชั้นบนนี่แหละ ดับมาตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”

“หา? จริงดิ!?”

พิงภพรีบเดินผ่านไปไขกุญแจประตูห้อง พอลองเปิดสวิตช์ดูก็พบว่าไฟดับจริงๆ

“แล้วนี่ได้โทรบอกเจ้าของหอหรือยัง?”

“โทรแล้ว แต่วันนี้เขาข้ามไปชุมพรก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้จะกลับมาดูให้ คืนนี้คงต้องอยู่แบบไม่มีไฟไปก่อน”

คำตอบที่ได้รับทำเอาพิงภพเบ้ปาก เขาเดินผ่านคนข้างห้องไปช่วยรับของจากภาณุกร แล้วก็นึกขึ้นได้เลยหันกลับไปแนะนำ

“เต็ม นี่เพื่อนเราชื่อซัน นี่เต็ม อยู่ห้องข้างกัน”

ทั้งสองพยักหน้าเป็นเชิงทักทายอย่างผิวเผิน พิงภพเดินนำเข้าห้องพร้อมกับใช้ไฟฉายจากมือถือกวาดไปทั่วๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเสื้อผ้าที่ตากไว้ตั้งแต่เมื่อวาน

“เฮ้ย! เปียกหมดแล้วแน่เลย!”

“อะไรเหรอ?”

ภาณุกรเดินตามมาถาม ความไม่คุ้นเคยทำให้สะดุดอะไรบางอย่าง เสียงอุทานเรียกพิงภพให้หันกลับไป คนที่กำลังเสียหลักเลยล้มคร่อมเขาบนปลายเตียงพอดี

“ขอโทษ ไม่รู้เหยียบโดนอะไรบนพื้น”

ฟ้าแลบแปลบก่อนจะตามมาด้วยเสียงกัมปนาท แสงที่สว่างวาบชั่วครู่ทำให้พิงภพเห็นว่าหน้าของภาณุกรอยู่ห่างไม่ถึงคืบนี่เอง ไออุ่นจากลมหายใจที่รดลงมาส่งผ่านความร้อนให้ซ่านทั่วใบหน้า

“...ไม่เป็นไร”

ทั้งคู่สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูซึ่งยังไม่ได้งับปิด พิงภพรีบยันตัวลุกขึ้นจากเตียง นึกขอบคุณที่โดนขัดจังหวะได้ถูกเวลา

“เต็ม...มีอะไรเหรอ?”

“ขอโทษที่เป็น กขค. พอดีตอนบ่ายฝนมันสาดก็เลยเก็บเสื้อที่แขวนนอกห้องไว้ให้”

อีกฝ่ายพูดพลางยื่นถุงพลาสติกที่ป่องเพราะยัดเสื้อไว้มาข้างหน้า พิงภพรับมาพลางมองตามคนที่เดินกลับไปห้องตัวเอง พอนึกได้ว่าทำไมคำพูดเมื่อครู่ถึงขัดหูก็รีบตามไปดันประตู

“เฮ้ย! เดี๋ยว เรากับซันเป็นแค่เพื่อนกันเว่ย!”

“ก็ทำให้เป็นมากกว่าเพื่อนซะสิ บรรยากาศคืนนี้ออกจะเป็นใจ ยังไงก็เก็บเสียงหน่อยแล้วกัน”

เจ้าของห้องเอ่ยแล้วงับประตูปิด ทิ้งให้พิงภพกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับไอร้อนที่ซ่านขึ้นบนหน้า แต่ที่ต่างกับเมื่อครู่คือไม่รู้ไอร้อนนี้มาจากความอายหรือโมโห

ทะลึ่ง คิดได้ยังไงว่าเขากับเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานจะ...

ไอร้อนพลุ่งขึ้นเต็มหน้าอีกครั้ง พิงภพนึกดีใจที่ไฟดับ ไม่อย่างนั้นต่อให้หน้าเขาเกรียมแดดแค่ไหนก็ต้องดูออกแน่ว่ามันแดงผิดปกติ เขารีบกลับเข้าห้องแล้วปิดประตู จึงได้เห็นว่าภาณุกรกำลังใช้ไฟฉายส่องพื้นพลางเก็บสิ่งที่เกะกะไปวางมุมห้อง

“เฮ้ย ขอโทษ สองสามวันนี้ไม่ได้เก็บห้องก็เลยรกไปหมด”

“เหมือนเมื่อก่อนเลยนะ ตอนนั้นเวลาไปหาที่บ้านทีไรพุธก็ชอบพูดแบบนี้”

ภาณุกรเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะหัวเราะเมื่อโดนพิงภพแกล้งใช้ศอกกระทุ้งเอว บรรยากาศที่ชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องเมื่อครู่หายไปแล้ว พิงภพลอบถอนใจอย่างโล่งอกแล้วยิ้มบ้าง

“รอแป๊บ จำได้ว่าเคยไฟดับแบบนี้ก็เลยซื้อเทียนไว้ น่าจะอยู่ในลิ้นชักแถวๆ นี้แหละ”

เขายัดถุงเสื้อเก็บเข้าตู้แล้วก็หาเทียนกับไฟแช็ก จากนั้นก็ลากโต๊ะญี่ปุ่นไปตั้งใกล้ประตูมุ้งลวดของระเบียงหลังห้อง พอจุดเทียนมาวางพร้อมกับขนมและเบียร์ที่ซื้อมาก็พอจะแก้ขัดได้

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ฝนตกก็เลยไม่ร้อน รู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติขึ้นมาเลย”

“แต่พอมองไปเห็นบ้านอื่นที่ไฟไม่ดับแล้วมันแปลกๆ น่ะสิ”

พิงภพเอ่ยขณะฉีกขนมกินแกล้มเบียร์ เขาลอบมองภาณุกรที่เท้าคางมองวิวหลังคาบ้านและต้นมะพร้าวด้านนอก คิดแล้วก็แปลกดีที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งเก้าปี แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับนั่งดื่มเบียร์กันได้เหมือนไม่เคยมีเรื่องหมางใจมาก่อน

แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องหมางใจในอดีต คนที่เคยตั้งคำถามกับทุกอย่าง แล้วเอาแต่โทษทุกสิ่งรอบตัวก็มีแต่เขาไม่ใช่หรือไง...

“พรุ่งนี้ทำงานหรือเปล่า พุธ?”

“หือ? ทำสิ มีคลาสนักเรียนใหม่อยู่ ต้องสอนอีกสองวันถึงจะจบ”

“เหรอ ยากไหมกว่าจะได้เป็นครูสอนดำน้ำ?”

“ยากไหม...จะว่ายากก็ยาก แต่ก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ไม่งั้นตอนนี้คงไม่มีคนที่เป็นครูสอนดำน้ำเต็มไปหมด”

พอได้เริ่มคุยเรื่องที่ตัวเองสนใจ พิงภพก็พรั่งพรูประสบการณ์ว่ากว่าจะได้เป็นครูสอนดำน้ำต้องผ่านอะไรบ้าง ถึงแม้เทียบกับครูรุ่นพี่แล้วอายุงานของเขาจะสั้นมาก แต่สามปีที่ผ่านมาก็มีเรื่องราวมากมายให้นึกถึงและเล่าได้ไม่มีวันจบ

สายลมพัดเมฆฝนให้ตกหนักสลับกับซาเป็นระยะ พวกเขาดื่มเบียร์ไปคุยกันไป กระทั่งเวลาล่วงเลยไปเกือบห้าทุ่ม ฝนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดสนิท

“ท่าทางคงจะตกไปยันเช้านะ ถ้ามันยังไม่หยุดแบบนี้ล่ะก็”

พิงภพเอ่ยเมื่อเห็นว่าบ้านรอบๆ ปิดไฟกันหมดแล้ว เมฆที่ลอยต่ำเต็มฟ้าก็บดบังทั้งแสงเดือนและแสงดาว มีเพียงแสงเทียนริบหรี่บนโต๊ะที่เผยให้เห็นกระป๋องเบียร์เปล่าร่วมสิบกระป๋อง

“นั่นน่ะสิ สงสัยคงจะกลับโรงแรมลำบาก ถนนลงจากเขาน่าจะลื่น”

ภาณุกรเอ่ยพลางมองไปด้านนอก พิงภพเขย่ากระป๋องเบียร์ในมือ พอรู้ว่ามันเหลือเพียงก้นกระป๋องก็ยกดื่มจนหมด เขารับรู้ได้ว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเบนสายตามาหา เสียงเล็กๆ ในจิตใต้สำนึกคล้ายกำลังกระซิบบอกอะไรบางอย่าง แต่ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงเตือนหรือเสียงยุกันแน่

“สภาพอากาศแบบนี้กลับโรงแรมไม่ได้หรอก คืนนี้นอนที่นี่ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยออกจากห้องกันแต่เช้าหน่อย”

“โอเค”

คำตอบง่ายๆ สั้นๆ ดึงสายตาของพิงภพให้เหลือบมองก่อนจะรีบเบนหนี กับอีแค่เขาเสนอว่าให้นอนค้างที่นี่ ทำไมจะต้องยิ้มดีใจขนาดนั้นด้วย

“เดี๋ยวหยิบเสื้อผ้าให้เปลี่ยน รอแป๊บ”

ชายหนุ่มยันตัวลุกแล้วก็แทบจะเซ เขารู้ตัวทันทีว่าดื่มเบียร์มากไป แต่ก็พยายามฝืนเชิดหน้าขึ้นแล้วเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า

“พุธใส่แต่ฟรีไซส์ใช่ไหม?”

“หา? อื้อ”

พิงภพไม่รู้ว่าภาณุกรลุกตามมาตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกฝ่ายก็ยืนซ้อนหลังเขาอยู่ กลิ่นแอลกอฮอลล์ที่โชยมาเจือกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ทำให้ยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังเมาหนักกว่าเดิม

ตั้งสติหน่อย...โตป่านนี้แล้วจะมาทำคออ่อนเหมือนเด็กเพิ่งหัดดื่มได้ยังไง

ชายหนุ่มบอกตัวเอง แต่ว่าก็ห้ามมือที่สั่นนิดๆ ไม่ได้ พลันปลายนิ้วก็สัมผัสเข้ากับถุงพลาสติกที่ยัดเสื้อจนกลมเป็นลูกบอล เขาดึงเสื้อตัวหนึ่งออกจากถุง ขณะเดียวกันก็นึกถึงคำพูดของคนที่เอามาให้ไปด้วย

“ก็ทำให้เป็นมากกว่าเพื่อนซะสิ...ยังไงก็เก็บเสียงหน่อยแล้วกัน”

“ไอ้บ้า ไอ้ทะลึ่ง”

“หือ?”

เสียงแสดงความแปลกใจของภาณุกรทำเอาพิงภพรู้ตัวว่าเผลอสบถ เขายกมือถูหน้าก่อนจะหันกลับไปยื่นเสื้อให้

“โทษที พอดีกำลังนึกถึงคนอื่น ไม่ได้หมายถึงซันหรอก”

“งั้นก็แล้วไป ตกใจหมดว่าเผลอทำอะไรให้พุธอยากด่ารึเปล่า”

“ไอ้บ้า”

คราวนี้ชัดเจนว่าคนถูกด่าคือใคร ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ พิงภพเพิ่งสังเกตว่าเทียนบนโต๊ะดับไปแล้ว แต่ที่ยังพอเห็นอะไรอยู่บ้างก็เพราะสายตาเริ่มชินกับความมืด

“ซัน...ไปอาบน้ำก่อนไหม?”

เสียงที่เปล่งออกมาช่างแหบจนพิงภพต้องกลืนน้ำลาย เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าทั้งคู่อยู่ใกล้กันแค่ไหน ด้านหลังของเขาคือตู้เสื้อผ้า ส่วนด้านหน้าคือร่างสูงใหญ่ที่กำลังเป่าลมหายใจรดหน้าผาก และเขากล้าสาบานว่าไม่ได้จินตนาการภาพนี้เลยตอนเสนอให้ค้างด้วยกัน

“เมื่อเย็นอาบที่รีสอร์ตไปแล้ว คืนนี้ไม่ต้องอาบอีกก็ได้”

ภาณุกรเอ่ยเสียงเบา สัมผัสจากมือใหญ่บนต้นแขนทำเอาพิงภพกระตุก เบียร์ที่ดื่มไปกว่าครึ่งโหลทำให้สมองช้าจนไม่แน่ใจว่าควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

“ซัน อื้อ...”

สัมผัสอุ่นนุ่มบนมุมปากทำเอาพิงภพหลับตาปี๋ ไม่รู้ว่าภาณุกรตั้งใจ หรือเพราะฤทธิ์เหล้าบวกความมืดถึงได้จรดริมฝีปากลงไปตรงนั้น พิงภพแทบกลั้นหายใจเมื่อตระหนักว่ากำลังสูดกลิ่นอายของอีกฝ่ายราวเป็นขนมหวาน ศีรษะหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่ออ้อมแขนแข็งแรงเลื่อนมาโอบรอบเอว เขาก็พยายามยื้อสติที่เหลือแค่บางเบาไว้อย่างเต็มที่

“เราง่วงแล้วว่ะ ถ้าไม่อาบน้ำก็นอนกันเถอะ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”

ชายหนุ่มดันร่างสูงออกห่าง ถึงจะเวียนหัวจนแทบยกศีรษะไม่ไหว แต่ก็พยายามเหนี่ยวรั้งความยับยั้งชั่งใจไว้อย่างเหนียวแน่น นาทีนั้นเสียงฝนและเสียงลมราวกับจะดังก้องกว่าเก่าท่ามกลางความเงียบ

“...นั่นสินะ ดึกป่านนี้แล้ว ถ้างั้นพุธนอนก่อนก็ได้”

ครู่ใหญ่กว่าภาณุกรจะเอ่ยตอบ พิงภพรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่ถอยห่างออกไป เขาหยีตาเมื่ออีกฝ่ายเปิดไฟฉายจากมือถือแล้วเดินเข้าห้องน้ำ มีเสียงกุกกักชั่วครู่ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดฝักบัว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนข้างในคงกำลังอาศัยน้ำเย็นดับความร้อนรุ่มของตัวเองอยู่

พิงภพอาศัยสติสัมปชัญญะที่ยังเหลือเพียงน้อยนิด ก้าวไปล้มตัวลงบนเตียงที่มุมห้อง เขาปิดตาแล้วพยายามข่มหัวใจที่เต้นรัวให้สงบลง ไม่ช้าหมอกสีดำทะมึนก็ปกคลุมในหัวจนไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป



++---TBC---++



A/N: ตอนที่แล้วสั้นไปหน่อย หวังว่าตอนนี้คงยาวจุใจสำหรับคนที่รออ่านนะคะ :D
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ มาเสิร์ฟบทที่ 5 แบบยาวๆ {อัพ 24.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 24-10-2019 21:07:00
เต็ม อย่าไปยุแบบน้านน เดี๋ยวก็ผีผลักจริงๆหรอก เขาถ่านไฟเก่ากันนะ

น้องเต็มอกหักหนีรักมาทะเลสินะ  ชอบค่าาาา มาต่อแบบจุใจๆ อย่างนี้ เร็วๆนะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ มาเสิร์ฟบทที่ 5 แบบยาวๆ {อัพ 24.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-10-2019 21:11:47
ว่าที่คู่แข่งเรื่องหัวใจซันเต็มเจอกันครั้งแรก
เต็มยังพยายามปิดประตูใจตัวเองอยู่เลยส่วนซันรุกหนักจูบมุมปากวันพุธไปแล้ว!!!
แต่ซันกำลังจะกลับจะหาเหตุผลอะไรมาติดเกาะอีกคนไหมนะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ มาเสิร์ฟบทที่ 5 แบบยาวๆ {อัพ 24.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2019 21:32:33
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ มาเสิร์ฟบทที่ 5 แบบยาวๆ {อัพ 24.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-10-2019 17:12:59
ตะวันพิงภพ บทที่ 6

เสียงนกร้องและเสียงแตรรถจากถนนปลุกพิงภพให้รู้สึกตัวตื่น เขามองพื้นที่ข้างตัวแล้วขยี้ตา ความว่างเปล่าทำให้สับสนว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้นจริง หรือแค่ละเมอไปเองว่าภาณุกรตามมาที่ห้อง

ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าโทรศัพท์มาดูเวลา ...หกโมงครึ่ง ขณะที่กำลังนั่งงัวเงีย ประตูห้องน้ำก็เปิดออกจนสะดุ้ง

“อ้าว ตื่นแล้ว กำลังคิดอยู่เลยว่าจะปลุกพุธกี่โมงดี”

พิงภพเหลียวไปตามเสียง พยายามไม่เบิกตาโตเมื่อเห็นภาณุกรใส่กางเกงบ็อกเซอร์แนบเนื้อตัวเดียว ดูเหมือนช่วงนี้เขาจะได้เห็นภาพแนวนี้บ่อยจนชักตงิดว่าควรไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ดีไหม

“วันที่ทำงานก็ตื่นเช้าแบบนี้ประจำแหละ เว้นว่านอนผิดเวลามากจริงๆ ถึงจะตื่นสาย”

“อ่าฮะ”

หนุ่มลูกครึ่งหยิบเสื้อผ้าขึ้นสวม พิงภพจำได้ว่านั่นคือชุดที่เจ้าตัวใส่เมื่อวาน เป็นไปได้ว่าเมื่อคืนนี้ก็ใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์นอน เขาเผลอคลำเสื้อบนตัวให้แน่ใจว่ายังอยู่ดี แต่พอเห็นภาณุกรมองมายิ้มๆ ก็รู้สึกร้อนผิวหน้า

“ไม่ต้องห่วง ไม่ได้แอบลักหลับแน่นอน เมื่อคืนก็ไม่ได้กลิ้งไปหาพุธเลย”

“โวะ ก็ยังไม่ได้หาว่าทำอะไรเลยสักคำ ร้อนตัว”

พิงภพบ่นแล้วรีบก้าวเข้าห้องน้ำ กระทั่งปิดประตูแล้วถึงหายใจโล่งขึ้น เขามองหน้าตาที่ยับเป็นรอยปลอกหมอนและผมที่ยุ่งเหยิงในกระจกแล้วก็ย่นจมูก แต่ไหนๆ วันนี้ก็ต้องพานักเรียนลงสระอยู่แล้ว เลยแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ใช้มือเปียกสางผมนิดหน่อยก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ

“ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง แล้วเดี๋ยวออกไปกันเลย”

“ได้ ที่จริงก็เหลือของที่ต้องเก็บลงประเป๋าอีกไม่เยอะหรอก”

ภาณุกรซึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์หันมาตอบ พิงภพปรายตามองโต๊ะญี่ปุ่น แล้วก็เห็นว่าขยะเมื่อคืนถูกเก็บกวาดใส่ถุงแล้ว เลยรีบหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยน

“เสร็จแล้ว ไปกันเถอะ ขยะพวกนี้เดี๋ยวเอาลงไปทิ้งข้างล่างเลย มดจะได้ไม่เข้าห้อง”

พวกเขาช่วยกันถือถุงขยะออกไปทิ้งที่หน้าอพาร์ตเมนต์ พิงภพสังเกตเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ของคนข้างห้องไม่อยู่ อดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าคนที่ชอบตื่นสายนั่นรีบออกไปไหนแต่หัววัน

อากาศยามรุ่งอรุณเย็นฉ่ำ ตามพื้นยังคงมีน้ำขังจากพายุฝนเมื่อคืน แต่ถึงจะขับรถช้าอย่างไรพิงภพก็พาภาณุกรมาถึงบลูแซนด์ภายในเจ็ดโมงครึ่ง เขาเดินคู่อีกฝ่ายไปจนถึงอาคารที่พัก แต่แล้วก็หยุดฝีเท้าลงจนภาณุกรหยุดตาม

หนุ่มลูกครึ่งเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่พิงภพรู้ดึว่าถึงจะอิดออดเพียงไร เวลาที่พวกเขาจะได้ใช้ด้วยกันก็หมดลงแล้ว

“ถ้างั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ พอดีวันนี้ต้องสอนนักเรียนทั้งวัน คงไม่ได้ออกไปลาตอนที่จะเช็กเอาต์”

ความเสียดายฉายชัดในดวงตาสีน้ำตาล พิงภพพยายามไม่สบตาคู่นั้นเพราะกลัวจะแสดงอาการเดียวกันออกไป

“โอเค...น่าเสียดายที่คราวนี้ได้มาแค่ไม่กี่วัน รู้สึกเหมือนยังไม่ได้ดูอะไรอีกเยอะเลย”

“อ้าว? ก็เมื่อวานบอกเองว่าได้ถ่ายโฆษณาจนเห็นวิวทั้งเกาะไปแล้วนี่?”

พิงภพทัก เขาไม่ใช่คนความจำสั้นจนจะลืมคำพูดเหล่านี้ง่ายๆ แต่ภาณุกรยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ได้เห็นวิวเพราะทำงานมันไม่เหมือนเวลาได้เที่ยวกับคนที่อยากไปด้วย อีกอย่างครั้งนี้ไม่นึกว่าจะได้เจอพุธจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงขออยู่ต่อให้นานกว่านี้”

หัวใจของพิงภพเร่งจังหวะขึ้น วูบหนึ่งที่เกือบหลุดปากว่า ‘คราวหน้าก็มาอยู่นานๆ สิ’ ไม่รู้เพราะความเหงาที่อยู่ห่างไกลบ้าน หรือเป็นเพราะโหยหาอดีตจากเพื่อนที่เคยเล่นหัวกันทุกวัน แต่เหตุการณ์เมื่อคืนช่วยให้เขาตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่ง

ทั้งเขาและภาณุกรล้วนไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกแล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่ห่างไกลกันทำให้แต่ละคนเติบโตในเส้นทางของตัวเอง ถึงแม้ว่าความรู้สึกของอีกฝ่ายจะยังไม่เปลี่ยน แต่ไม่มีอะไรการันตีว่ามันไม่ใช่ความตื่นเต้นชั่ววูบจากการที่ได้พบกัน และสำหรับตัวเขาเอง...กับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบตั้งแต่เก้าปีก่อน ความรู้สึกขัดแย้งในใจวันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม

อยากหล่อเลี้ยงความรู้สึกอ่อนหวานนี้ไว้ แต่ก็หวงแหนมิตรภาพจนไม่อยากทำลายมันลงกับมือ

“ไว้ถ้ามาอีกจะพาเที่ยวก็แล้วกัน ถ้าไม่ใช่ช่วงไฮซีซันคงมีเวลาว่างมากกว่านี้”

“งั้นเหรอ..งั้นถ้าได้มาอีกจะบอกก่อน ว่าแล้วขอไลน์ของพุธหน่อยสิ หลังจากนี้จะได้คุยกันง่ายๆ”

ภาณุกรหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา พิงภพเลยเปิดคิวอาร์โค้ดให้แสกน หลังแอดไลน์เสร็จแล้วก็มองหน้ากันอีกครั้ง

“แล้วไว้เจอกันใหม่นะ พุธ”

“อื้ม”

ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หรือจะเป็นแค่สัญญาลมๆ แล้งๆ หรือเปล่าก็เถอะ...

พิงภพคิด เขาเลิกคิ้วเมื่อภาณุกรยื่นมือขวามาข้างหน้า แต่ก็ยกมือไปเชคแฮนด์ตอบโดยไม่คิดอะไร ใครจะรู้ว่าจะถูกคนตัวสูงกว่าออกแรงดึงเข้าไปหอมแก้ม

“เฮ้ย! ไอ้คนฉวยโอกาส!”

“ไม่ทำแบบนี้ก็อดสิ ลงบัญชีไว้ด้วยล่ะ พอเจอกันคราวหน้าจะให้พุธเอาคืน”

ภาณุกรหัวเราะก่อนจะเดินเร็วๆ เข้าไปในอาคาร พิงภพได้แต่ยืนชี้หน้าคนที่หันมามองเป็นระยะอย่างเอาเรื่อง ต่อให้ไม่ส่องกระจกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าตัวเองคงแดงเถือก แต่ที่ทำให้หัวใจพองโตและโกรธจริงจังไม่ลง ก็คงเป็นผิวแก้มแดงๆ ของเจ้าหนุ่มลูกครึ่งที่หันมายิ้มทะเล้นให้

ช่างยั่วช่างแหย่ดีนัก ถ้าได้เจอกันคราวหน้าจะเอาคืนยังไงดีล่ะเนี่ย...

มุมปากทำท่าจะยกสูงจนพิงภพต้องยกมือปิด ถึงไม่มีใครเห็นก็ยังรู้สึกเขินตัวเอง เขารอจนภาณุกรเดินหายไปหลังชานพักบันได จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกทางปาก

เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้เวลาเริ่มวันใหม่ของเขาเองเสียที...

ชายหนุ่มเดินต่อไปที่ห้องสำนักงาน เขาต้องเบิกข้อสอบข้อเขียนกับหนังสือหลักสูตรซึ่งใช้ต่อๆ กันมาจนกระดาษนิ่มไปหมด พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นบุณฑริกนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว แถมกำลังคุยโทรศัพท์ติดพันอยู่ด้วย

“รู้แล้วพี่บู๊ ถ้าเจอบุ๋มจะจับมาตีเลย เจ้าเด็กดื้อนี่ไม่คิดบ้างว่าผู้ใหญ่จะเป็นห่วง โอเคค่ะ ถ้าเขามาแล้วบุ๋มจะรีบบอก แล้วเมื่อไหร่พี่บู๊จะกลับมาเยี่ยมมั่งล่ะ ไม่เจอนานๆ เดี๋ยวพวกลูกน้องก็ลืมหน้ากันพอดี”

พิงภพได้ฟังก็รู้ว่าไม่ควรขัดการสนทนา อีกอย่างเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเอกสารถูกเก็บไว้ตรงไหน หลังเปิดหาจากชั้นวางของก็หยิบออกมานั่งรอบนเก้าอี้

“ค่ะๆ แล้วค่อยคุยกันใหม่ ว่าไงพุธ จะลงเวลาเข้างานกับยืมเท็กซ์บุ๊คใช่ไหม?”

บุณฑริกหันมาเอ่ยพร้อมกับตัดสายโดยไม่ขาดช่วง บางทีเขาก็ทึ่งกับความสามารถแยกประสาทการรับรู้ของรุ่นพี่ เธอหันไปหยิบสมุดเล่มใหญ่ออกจากชั้นด้านหลังแล้วยื่นให้เขา

“เอ้านี่ เซ็นซะ”

“พี่บู๊จะกลับมาเหรอพี่บุ๋ม?”

พิงภพคุ้นเคยกับบูรพาผู้เป็นเจ้าของบลูแซนด์แต่ไม่ถึงกับสนิท เพราะว่าพี่ชายของบุณฑริกมีกิจการหลายอย่างทั้งในไทยและต่างประเทศ ดังนั้นตลอดปีจึงเดินทางไปโน่นมานี่ไม่หยุด ปีหนึ่งๆ จะมาเยี่ยมบลูแซนด์แน่นอนก็คือช่วงฉลองปีใหม่กับพนักงานเท่านั้น

“เปล่า พี่ก็อยากให้มาอยู่เหมือนกัน พอดีเขาโทรมาบอกเรื่องหลานชาย...ไม่ใช่หลานแท้ๆ หรอก เป็นลูกของเพื่อนที่เคยช่วยดูแลที่เมลเบิร์นว่ากลับมาเมืองไทยแล้ว แต่ไม่ได้ทำงานประจำก็เลยจะให้มาช่วยงานที่นี่ เห็นว่าเจ้าตัวอาจจะแอบมาเกาะเต่าได้สักพักละ แต่ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ไหนถึงไม่มารายงานตัวสักที”

“ลูกของเพื่อนที่เมลเบิร์น? เป็นฝรั่งเหรอ?”

พิงภพเซ็นชื่อพลางถามไปพลาง บุณฑริกโบกมือก่อนจะร่ายยาว

“คนไทยนี่แหละ พ่อของเขาเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของพี่บู๊ คือเพื่อนคนนี้น่ะเคยแต่งงานมีลูกชายกับเมียคนแรกก่อนจะไปแต่งงานใหม่ พอเมียคนแรกเสียก็เลยรับลูกไปอยู่ด้วย แต่เด็กคนนี้เข้ากับแม่เลี้ยงไม่ได้ก็เลยถูกส่งไปเรียนที่เมลเบิร์นตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ พี่บู๊อยู่ที่โน่นก็เลยช่วยดูแล แกคงถูกชะตาก็เลยเอ็นดูเหมือนเป็นลูกของตัวเองเลย เมื่อก่อนพี่บินไปหาบ่อยก็เลยได้เจอหลานคนนี้เหมือนกัน หลังเรียนจบเขาก็ออกมาช่วยงานพี่บู๊ เด็กคนนี้มีหัวด้านธุรกิจมากนะ แล้วก็มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ถึงจะหน้าตาไม่ค่อยยิ้มแย้มก็เถอะ”

พิงภพได้แต่คิดว่าอย่างกับพล็อตละครหลังข่าว แต่ปากกลับถามอีกอย่าง

“แล้วถ้าเขามาจะให้มาช่วยงานส่วนไหนอะ?”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน คงแล้วแต่ว่าเจ้าตัวอยากทำอะไร เขาน่าจะอายุราวๆ พุธนี่แหละมั้ง พี่ชอบชื่อจริงเขามากเลย ชื่ออทิตยะ เห็นว่าแม่ตั้งให้ จะได้เข้ากับชื่อแม่ว่ารัตติกาล”

“อืม...แต่ถ้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนบนเกาะ พี่บุ๋มก็ไปตามตัวไม่ถูกน่ะสิ?”

“นั่นแหละปัญหา เกาะเราไม่ได้ใหญ่แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาตลอด จะไปไล่ถามชาวบ้านก็ใช่เรื่อง เดี๋ยวโดนระแวงว่าเป็นผู้ร้ายหนีคดีไปซะอีก ถึงหน้าตาจะดูคล้ายๆ พระเอกซีรีส์ Prison Break ที่พี่เคยชอบดูก็เถอะ”

บุณฑริกเอ่ยแล้วหัวเราะร่วน พิงภพรู้สึกเหมือนมีบางอย่างสะกิดใจ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร

“โอเค ขอให้เจอเร็วๆ ก็แล้วกัน งั้นผมไปเตรียมตัวสอนก่อนล่ะ”

“จ้า ว่าแต่ถ้าเจอใครท่าทางแปลกๆ ก็มาบอกด้วยนะ เผื่อจะใช่คนที่กำลังตามตัวกันอยู่”

“ได้ ถ้าเจอคนแบบนั้นผมจะรีบบอก”

พิงภพตอบกลั้วหัวเราะก่อนจะไปที่ห้องครัวพนักงาน หลังกินขนมปังปิ้งง่ายๆ กับกาแฟร้อนก็เดินต่อไปที่ห้องซึ่งจัดไว้สำหรับสอนทฤษฎีดำน้ำ เมื่อเริ่มทำการสอนก็ลืมเรื่องที่คุยกับบุณฑริกโดยสิ้นเชิง

 

++------++

 

อทิตยะยกข้อมือที่พันผ้าบัฟขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก นึกรำคาญหนังตาที่กระตุกเป็นระยะตั้งแต่หลายนาทีก่อน เมื่อเช้าเขาลุกมาเข้าห้องน้ำตอนหกโมงเพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากห้องข้างๆ แล้วไม่อยากนอนต่อก็เลยขับมอเตอร์ไซค์ออกมาจอดแถวท่าเรือ จากนั้นก็วิ่งจ็อกกิ้งเลียบทางขึ้นเขา กระทั่งสุดถนนก็วนลงมาทางเดิมเพื่อกินมื้อเช้าก่อนจะกลับ

ร่างสูงสะบัดมือและขาเพื่อคลายกล้ามเนื้อ สายลมยามเช้าช่วยคลายความร้อนหลังวิ่งจนเหงื่อโชก ข้อดีของการอยู่บนเกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องวิถีฮิปปี้คือรอยสักเต็มตัวของเขาไม่ใช่เรื่องแปลก แถมด้วยวิถีการใช้ชีวิตที่ไม่ซับซ้อน...เขาคิดว่าตัวเองถูกใจที่นี่มากกว่ากรุงเทพฯ มันทำให้นึกถึงวัยเด็กที่อยู่กับแม่สองคนที่ลำปาง ตื่นเช้าขึ้นมาก็เดินไปตลาดซื้อของและตักบาตรด้วยกัน เวลาเบื่อๆ ก็ปั่นจักรยานข้ามสะพานไปนั่งริมแม่น้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่จากไปด้วยปัญหาสุขภาพจนพ่อต้องรับไปอยู่ด้วย...ตอนนี้เขาก็อาจจะยังมีความสุขกับชีวิตสมถะแบบนั้นอยู่

แววตาของอทิตยะกร้าวขึ้นเมื่อคิดถึงตรงนี้ ตอนเด็กเขาแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ รู้แค่ว่าผู้ชายคนนั้นทิ้งเขากับแม่ไปตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาล ส่วนแม่ก็ไม่แต่งงานใหม่ทั้งที่มีผู้ชายดีๆ มาเสนอตัวมากมาย หลังแม่เสียแล้วญาติที่ลำปางไม่ออกตัวรับเขาไปดูแลสักคน พ่อเลยมารับไปอยู่ด้วยทั้งที่ตัวเองแต่งงานใหม่แล้ว แต่เขากลับไม่รู้สึกซาบซึ้งสักนิด ถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนนั้นมีพระคุณอยู่บ้าง ก็คงเป็นเรื่องที่ส่งไปอยู่กับบูรพาที่ออสเตรเลีย ถ้าไม่ได้บูรพาซึ่งเขาเรียกอย่างสนิทสนมว่าป๋าคอยอบรมสั่งสอน ป่านนี้เขาอาจเลือกเส้นทางชีวิตผิดไปแล้วก็ได้

บรรยากาศที่ท่าเรือยามเช้าจอแจเพราะเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่กำลังจะเข้าเทียบ เขารู้ว่าอีกสักพักบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เพิ่งข้ามมาจากชุมพร เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นเรือเพื่อกลับฝั่ง ความคึกคักซึ่งเกิดขึ้นทุกวันช่วยพยุงธุรกิจบนเกาะและสร้างชื่อเสียงให้คนรู้จักไปทั่วโลก

อทิตยะเดินเข้าไปนั่งในร้านอาหารตามสั่งใกล้ท่าเรือ จากนั้นก็สั่งข้าวราดแกงง่ายๆ มากิน การใช้ชีวิตกับบูรพาซึ่งชอบทำอาหารใต้รสจัดทำให้เขาเคยชินกับอาหารเผ็ดร้อน ระหว่างที่นั่งกินข้าวก็มองดูผู้คนเดินสวนกันไปมาบนสะพานไม้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าคุ้นตาท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังเดินไปขึ้นเรือก็เลิกคิ้ว

เจ้าหนุ่มลูกครึ่งนั่น...จะกลับฝั่งวันนี้รึ

กลุ่มคนที่ผู้ชายคนนั้นเดินด้วยต่างหอบหิ้วกระเป๋าขนาดใหญ่ อทิตยะไม่ค่อยสนใจดูโทรทัศน์ของเมืองไทย แต่ก็พอจะเดาได้จากอุปกรณ์ที่เห็นว่าน่าจะเกี่ยวกับการถ่ายทำรายการ

พอนึกถึงการเจอกันเมื่อคืนแล้วก็พานให้นึกถึงคนข้างห้อง เขารู้ตัวว่าอายุน้อยกว่า แต่ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของทั้งสองคนทำให้อยากหัวเราะ เพราะเห็นแล้วชวนให้นึกถึงเด็กวัยรุ่นที่ชอบกันแต่ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร พอถูกแซวเข้าหน่อยก็โกรธ ทำเอาเขาซึ่งไม่ใช่มือใหม่กับเรื่องนี้อดจะแหย่เล่นไม่ได้

แต่การที่ไม่ได้ยินเสียงน่ารำคาญเมื่อคืน...แสดงว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกว่า ‘เพื่อน’ อยู่ดีสินะ

อทิตยะเผลอหัวเราะเมื่อนึกถึงสีหน้าของคนที่มาดันประตูห้องเพียงเพื่อจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับคนที่พามา ถ้าไม่ติดว่ายังไม่ค่อยสนิทกัน เขาจะให้พาสเวิร์ดไปดูหนังจากเว็บที่เขาเป็นสมาชิก จะได้ศึกษาแล้วหัดทำตามซะให้สิ้นเรื่อง

“อ้าว ทำไมวันนี้นายมานั่งกินข้าวแถวนี้ล่ะ?”

เสียงอันคุ้นเคยเรียกความสนใจของอทิตยะ เขามองเอมี่ที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามในชุดเสื้อยืดเอวลอยกับกางเกงขาสั้น บนใบหน้าสวมแว่นกันแดดกรอบใหญ่ แต่ที่ทำให้เขามุ่นคิ้วคือกระเป๋าล้อเลื่อนที่วางอยู่ข้างๆ

“เธอนั่นแหละ จะไปไหน?”

“ฉันก็มีงานต้องกลับไปทำสิจ๊ะ มาเที่ยวตั้งหลายวันแล้ว ขอโทษค่ะ ขอน้ำสัปปะรดปั่นแก้วนึง”

ท้ายประโยคหญิงสาวหันไปยื่นแก้วเก็บความเย็นให้เจ้าของร้าน จากนั้นก็เลื่อนแว่นกันแดดขึ้นคาดผมแล้วยิ้มหวาน

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ตอนนี้ได้เพื่อนใหม่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องกลัวว่าจะเหงาหรอกน่า”

“ใครเป็นเพื่อนใหม่ ก็บอกแล้วว่าแค่อยู่ห้องติดกันเฉยๆ”

“แหม ขนาดไม่เอ่ยชื่อยังรู้ว่าหมายถึงใคร อย่างนี้ฉันไม่ต้องช่วยยุก็ได้มั้ง”

“เอมี่...”

“รู้แล้วๆ ไม่แซวแล้วก็ได้ นายนี่นะ ปิดโอกาสตัวเองชะมัดเลย”

“หมอนั่นไม่ใช่สเป็กฉัน อีกอย่างเขาก็มีแฟนอยู่แล้ว ฉันไม่มีรสนิยมชอบแย่งของจากคนอื่น”

เอมี่หลิ่วตาอย่างล้อเลียนกับประโยคแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วสูงกับประโยคหลัง

“ฮ้า? ไม่จริงน่ะ!? วันพุธมีแฟนแล้วเหรอ? ผู้ชายหรือผู้หญิง?”

“จะผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วต่างกันตรงไหน? มีแฟนแล้วก็คือมีแฟนแล้ว เมื่อคืนเขาก็พาขึ้นไปนอนบนห้องด้วยกัน”

“หึ ตอบเฉไฉแบบนี้แสดงว่าผู้ชาย ถ้างั้นนายก็ยังมีความหวัง อีกอย่างฉันก็เคยนอนเตียงเดียวกับนายตั้งหลายหน เคยได้มีอะไรกันสักครั้งไหมล่ะ?”

“ริคได้ต่อยฉันตายพอดี อีกอย่างแค่คิดว่าจะให้มีอะไรกับเธอฉันก็หมดอารมณ์แล้ว”

“แหม หุ่นฉันออกจะแซ่บขนาดนี้ มีแต่นายคนเดียวนี่แหละที่ตาไม่ถึง”

“ไปตัดนมกับต่อข้างล่างแล้วค่อยว่ากัน ไว้ตอนนั้นจะลองคิดดู”

คำพูดขวานผ่าซากทำเอาคนฟังระเบิดหัวเราะดังลั่น แต่อทิตยะกลับตักข้าวเข้าปากอย่างไม่ยี่หระสายตางุนงงจากโต๊ะอื่น เอมี่รับน้ำสัปปะรดปั่นจากพนักงานก่อนจะใช้ปลายนิ้วกรีดหางตา

“โอ๊ยตาย คนที่ทำฉันขำจนน้ำตาเล็ดได้ก็มีแต่นายนี่แหละ กลับเมลเบิร์นเมื่อไหร่คงคิดถึงนายน่าดู”

ถ้าไม่พูดก็แล้วไป แต่พอได้ยินแล้วอทิตยะก็รู้ว่าเขาคงคิดถึงเพื่อนสนิทคนนี้เหมือนกัน เอมี่เป็นลูกสาวของหุ้นส่วนธุรกิจของบูรพา ดังนั้นตอนที่อทิตยะไปอยู่ที่นั่นใหม่ๆ ยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษและไม่มีเพื่อน เอมี่คือคนแรกที่ช่วยให้เขาไม่คิดถึงบ้าน เธอช่วยสอนภาษารวมทั้งแนะนำเพื่อนๆ ให้ จะบอกว่าเป็นเหมือนพี่สาวที่อทิตยะไม่เคยมีก็ว่าได้

“ก็ชวนริคมาเที่ยวสิ ถึงเป็นซีอีโอก็ลางานได้นี่”

“ไว้จะลองดู แต่นายก็รู้ว่าเขาห่วงบริษัทพอๆ กับนายนั่นแหละ โอ๊ะ ถึงเวลาฉันต้องขึ้นเรือแล้วล่ะ ขืนช้าเดี๋ยวไม่มีที่นั่ง”

เอมี่เอ่ยเมื่อเสียงเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ พวกเขาจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน พอถึงทางเข้าท่าเรือ เอมี่ก็หันมากอดแล้วเขย่งตัวขึ้นหอมแก้ม

“งั้นค่อยเจอกันใหม่นะ ระหว่างฉันไม่อยู่ก็ทำตัวดีๆ ล่ะ ไม่แน่วันพุธอาจถูกใจนายขึ้นมาบ้างก็ได้”

“ถ้าชอบขนาดนั้นก็ไปจีบเองเลยไหม?”

“ฉันมีแฟนแล้วจะต้องเหนื่อยทำไม อีกอย่างฉันว่าเขาน่าจะเข้าทางนายมากกว่า ซิกซ์เซนส์มันบอก”

“ถ้าซิกซ์เซนส์แรงขนาดนั้นก็น่าจะลาออกมาเป็นแม่หมอซะให้สิ้นเรื่อง”

“ยังจะเล่นมุกอีก ไม่เอาละ ขืนต่อปากต่อคำกับนายฉันได้ตกเรือพอดี เดี๋ยวกลับถึงกรุงเทพฯ จะไลน์มาหานะ เทคแคร์ด้วยล่ะ”

“โอเค ฝากสวัสดีริคด้วย”

เอมี่ส่งจูบให้ก่อนจะลากกระเป๋าไปขึ้นเรือ ในสายตาคนรอบข้างอาจดูเหมือนคู่รักที่มาส่งอีกฝ่ายออกเดินทาง แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่าไม่ใช่และไม่มีทางเป็นไปได้ เอมี่คือคนที่เข้าใจตัวตนของอทิตยะก่อนที่เขาจะแน่ใจตัวเองด้วยซ้ำ เขารู้ว่าเธอยังรู้สึกผิดกับเรื่องในอดีต ถึงได้พยายามนักหนาที่จะจับคู่ให้

แต่อทิตยะก็รู้ด้วยว่าจุดด่างพร้อยในอดีตของเขาไม่ได้เกิดจากเอมี่ และเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย อทิตยะก็ให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเผลอใจให้คนข้างห้องอย่างเด็ดขาด


++---TBC---++

 

A/N: ถ้าวันพุธของเรารู้ตัวว่ามีคนพูดถึงขนาดนี้จะรู้สึกยังไงน้า แล้วมาติดตามกันใหม่สัปดาห์หน้านะคะ :)

 

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 6 ขึ้นหน้า 2 จ้า {อัพวันฮัลโลวีน 31.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-10-2019 19:44:55
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 6 ขึ้นหน้า 2 จ้า {อัพวันฮัลโลวีน 31.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 31-10-2019 21:41:32
ปมในใจของเต็มนอกจากเรื่องครอบครัวแล้วยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ
แล้วแบบนี้กว่าซันจะกลับมาที่เกาะอีกครั้งความสัมพันธ์ของเต็มกับวันพุธจะพัฒนาขึ้นบ้างไหมเนี่ย

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 6 ขึ้นหน้า 2 จ้า {อัพวันฮัลโลวีน 31.10.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 07-11-2019 17:45:23
บทที่ 7

 

การฝึกทักษะเพิ่มเติมและสอบข้อเขียนผ่านไปด้วยดี พิงภพโล่งอกที่นักเรียนทุกคนทำทุกอย่างที่สอนในสระน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นท่ากระโดดลงน้ำที่ถูกต้อง การถอดหน้ากากแล้วสวมใหม่ใต้น้ำ การขอแบ่งอากาศจากเพื่อน รวมถึงทักษะอื่นๆ ที่ต้องสอบใต้ทะเลจริงในวันรุ่งขึ้น

“พรุ่งนี้เรือจะออกตอนเจ็ดโมงครึ่ง ดังนั้นสักเจ็ดโมงนิดๆ ให้ไปเจอกันที่ห้องอาหารหน้าหาดนะครับ สำหรับตอนนี้ก็ยกกระเป๋าอุปกรณ์ไปวางหน้าห้องเก็บของได้เลย แล้วจำเลขที่ติดอยู่บนกระเป๋าของตัวเองด้วย พรุ่งนี้มาถึงจะได้หยิบลงเรือง่ายๆ”

พิงภพเอ่ยตบท้าย หลังจบการสอนประจำวันก็เดินไปที่ห้องสำนักงาน เขียนชื่อกลุ่มตัวเองบนไวท์บอร์ดสำหรับเช็กชื่อบนเรือวันรุ่งขึ้น ลงชื่อเลิกงานแล้วก็เดินออกไปที่ห้องอาหาร

เหล่านักดำน้ำและแขกของรีสอร์ตกำลังนั่งกินมื้อเย็นกันแน่นขนัด พิงภพเห็นสเวนนั่งอยู่คนเดียวก็เลยเข้าไปนั่งด้วย

“ขอฉันนั่งด้วยนะ แล้วมาริอุสกับลีล่ะ?”

“ไปหลีดกลุ่มที่ลงไนต์ไดฟ์กันอยู่ อีกสักพักคงกลับมา”

สเวนตอบพลางตักอาหารเข้าปาก พิงภพก็เลยเรียกพนักงานมาสั่งข้าวผัดหมู ราวครึ่งชั่วโมงถัดมาเหล่านักดำน้ำภาคกลางคืนก็กลับเข้าฝั่ง เขาเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นมาริอุสกับลีเดินมาที่โต๊ะ

“เป็นไงมั่ง ไนต์ไดฟ์คืนนี้?”

“ไม่ไหว คลื่นแรง น้ำขุ่น มีแต่ตะกอนทราย”

“กลุ่มฉันยังดีหน่อยที่ได้เจอปลากระเบน แต่ก็น้ำขุ่นจนแทบไม่เห็นอะไรจริงๆ แหละ”

“คืนนี้ข้างขึ้น คลื่นก็เลยสูงแถมลมแรงด้วย ต้องทำใจล่ะนะ”

สเวนเอ่ย เป็นเรื่องปกติที่นักดำน้ำประสบการณ์สูงจะต้องรู้หลักการน้ำขึ้นน้ำลง รวมถึงวิธีอ่านกระแสคลื่นเพื่อความปลอดภัย ถึงจะไม่ชำนาญเท่าชาวประมงที่ใช้เวลาทั้งวันในทะเล แต่ก็เป็นความรู้พื้นฐานเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่หลีกเลี่ยงได้

ลีกับมาริอุสมองตากันแล้วยิ้มซุกซน ก่อนที่มาริอุสจะชี้นิ้วหมุนเป็นวงมาทางสเวน

“แต่ถึงไม่เห็นอะไรดีๆ ใต้น้ำ ก็มีคนเห็นอะไรดีๆ บนบกนี่นา ใช่ไหมสเวน?”

“อย่าไปแซวพุธน่า”

พิงภพเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ เป้าการสนทนาก็พุ่งมาหาตัวเอง เขามองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเพื่อนทั้งสามแล้วมุ่นคิ้ว

“อะไรอีกล่ะพวกนาย เกี่ยวอะไรกับฉัน? สเวน วันนี้นายไม่ได้ออกไปดำน้ำตั้งแต่เช้าเหรอ?”

“เมื่อเช้าฉันเป็นเวรเฝ้าห้องเก็บของ พอดีทุกคนมาเบิกอุปกรณ์กันเร็วก็เลยว่าง กะจะออกไปซื้อกาแฟเสียหน่อย แต่พอดีผ่านไปทางอาคารที่พักของแขก ก็เลยได้เห็นเรื่องเซอร์ไพรส์เข้า”

สเวนเอ่ยเสียงเนิบตามสไตล์ แต่พิงภพร้อนหน้าวูบทันทีเพราะเดาได้ว่าเพื่อนเห็นอะไร ลีมองหน้าเขาแล้วก็หัวเราะ

“โหพุธ! ฉันเพิ่งเคยเห็นนายหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศก็ครั้งนี้แหละ!”

  “เมื่อวานก็ไม่เห็นบอกสักคำว่าเป็นคนพิเศษ ไอ้เราก็นึกว่าเพื่อนเฉยๆ”

มาริอุสพูดแล้วหัวเราะบ้าง ส่วนสเวนเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ จนพิงภพหมั่นไส้ ถึงจะพูดน้อยกว่าใครในกลุ่ม แต่เจ้าหมอนี่แหละที่มักรู้ข่าวสารทุกอย่างเป็นคนแรก

“ก็เป็นเพื่อนกันจริงๆ รู้จักกันมาตั้งแต่ ม.ต้น ถึงจะไม่ได้เจอกันนานแล้วก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่”

พิงภพรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน เขาไม่ได้พูดปดเลยสักคำ ภาณุกรจะคิดอย่างไรเขาไม่รู้ แต่สำหรับพิงภพแล้วการใช้คำอื่นบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันจั๊กจี้พิกล

เพื่อนต่างชาติทั้งสามมองหน้ากัน จากนั้นก็หันมามองพิงภพเป็นตาเดียว

“นี่ นายกลัวพวกฉันรับไม่ได้เหรอ?”

“กับเจ๊เพ็ชชี่พวกฉันยังไม่มีปัญหาเลย อีกอย่างพวกเราไม่ได้ใจแคบแบบนั้นซะหน่อย ไม่ต้องห่วงหรอกพุธ”

‘เจ๊เพ็ชชี่’ หรือชื่อเล่นจริงๆ ว่าเพชรเป็นครูสอนดำน้ำอาวุโสที่มีประสบการณ์ร่วมยี่สิบปี และเป็นครูคนเดียวของบลูแซนด์ที่เป็นสาวข้ามเพศอย่างเปิดเผย ทว่าด้วยนิสัยโผงผางร่าเริงแบบเจ๊ใหญ่ ทำให้เป็นที่เลื่องลือจนนักเรียนใหม่หลายคนเจาะจงว่าอยากเรียนกับครูคนนี้

“เจ๊เพ็ชชี่กับฉันไม่เหมือนกัน ฉันแค่...ไม่ได้กลัวพวกนายรับไม่ได้หรอก แต่ฉันกับซันไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อนจริงๆ”

“แต่สเวนบอกว่าเห็นหมอนั่นหอมแก้มนาย เพื่อนผู้ชายที่นี่เขาไม่ทำแบบนั้นกันไม่ใช่เหรอ? ที่ประเทศฉันก็ไม่ทำนะ”

มาริอุสถามหน้าตายจนพิงภพอยากจะมุดหัวลงใต้โต๊ะ “นั่นมัน เอ่อ...ไม่มีความหมายอะไรหรอก ก็แค่หยอกกันเล่น แถมวันนี้หมอนั่นก็กลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว อาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้”

พอพูดไปแล้วก็ใจหาย จริงอยู่ที่ความสับสนในใจยังหนักหน่วง แต่อาจจะดีกว่าถ้าเขากับภาณุกรคงความทรงจำที่ดีระหว่างกันไว้ในการจากลาเมื่อเช้า ทั้งสองไม่ใช่เด็กวัยรุ่นที่อารมณ์แปรผันตามฮอร์โมนอีกแล้ว และอย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ไม่ได้วิ่งหนีอย่างขี้ขลาด

ทั้งโต๊ะเงียบไปเหมือนกำลังพิจารณาคำพูดของเขา ก่อนสเวนจะยกมือขึ้นตบบ่าพิงภพดังปุ

“งั้นก็ช่างเถอะ นายจะตัดสินใจเรื่องนี้ยังไงก็ตาม แต่ลูกผู้ชายยุคนี้เขาเลิกเหยียดรสนิยมของคนอื่นกันแล้ว เอาเป็นว่าพวกฉันอยู่ข้างนาย ไม่ต้องห่วง”

“โว่ว นี่ครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินสเวนออกความเห็นเรื่องของเพื่อนยาวขนาดนี้ นายเก่งมากพุธ”

น้ำเสียงชื่นชมของมาริอุสเรียกเสียงหัวเราะจากพิงภพกับลี รวมทั้งสายตาเอือมระอาจากสเวนได้พร้อมกัน บรรยากาศชวนอิหลักอิเหลื่อพลันสลายไป สตาฟรุ่นพี่ที่กินข้าวเสร็จแล้วเรียกพวกเขาให้ไปร่วมวง จากนั้นก็มีคนเปิดหัวข้อเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมไปดำน้ำที่ต่างจังหวัด เนื้อหาที่เกี่ยวกับทุกคนช่วยให้พวกเขาเบนความสนใจจากเรื่องของพิงภพได้ในเวลาอันสั้น 

               

++------++

 

คืนนั้นพิงภพกลับถึงอพาร์ตเมนต์เกือบสี่ทุ่ม เขาเลื่อนมอเตอร์ไซค์เข้าจอดใต้หลังคาด้วยความโล่งอกที่เห็นไฟชั้นสองสว่างไสว เพราะคืนนี้อากาศร้อนอบอ้าว ถ้าหากไฟดับเหมือนเมื่อคืนคงนอนไม่หลับแน่

ที่จริงน่าจะขอเบอร์โทรหรือไลน์ของเต็มไว้ ยังไงก็อยู่ห้องติดกัน เผื่อมีเรื่องแบบนี้อีกจะได้โทรถามหรือเตือนหมอนั่นได้...

ชายหนุ่มคิดขณะเดินขึ้นห้อง ความมืดจากช่องใต้ประตูห้องข้างๆ ทำให้ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องหลับแล้วหรือยังไม่กลับ แต่ถ้ายังไม่กลับก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะสภาพที่เมาเละเมื่อเช้าวันก่อนแสดงว่าคงปาร์ตี้เก่งใช่ย่อย

“ตั้บๆๆๆ ตุ๊กแก...ตุ๊กแก”

พิงภพสะดุ้งกับเสียงที่จู่ๆ ก็ดังทะลุความเงียบ เขาไม่แน่ใจว่าต้นเสียงอยู่ไหนและไม่อยากจะเห็นด้วย หลังไขกุญแจเข้าห้องก็เลยรีบเปิดไฟ หลังดูจนแน่ใจว่าไม่เห็นเจ้าสัตว์เลื้อยคลานน่ารังเกียจถึงหายใจโล่งขึ้น

คืนนี้อากาศร้อนอ้าวมากจริงๆ หลังอาบน้ำแล้วพิงภพเลยใส่แค่กางเกงขาสั้นโดยไม่ใส่เสื้อ แล้วก็ไขเปิดหน้าต่างบานเกล็ดและประตูหลังห้องโดยปิดแค่มุ้งลวดกันยุง ความจริงห้องของเขาก็มีแอร์ แต่เพราะมันเสียงดังและเปลืองค่าไฟ ดังนั้นถ้าไม่ร้อนจนสุดทนจริงๆ ก็จะเปิดแค่พัดลมเท่านั้น

ชายหนุ่มเอนตัวพิงหมอนที่ตั้งขึ้นแล้วหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก หลังฟังเพลง I Know You Want Me ของ Pitbull ซึ่งเป็นเพลงรอสายสักครู่ เจ้าพี่ชายของเขาก็รับสาย

“โหล?”

“เฮีย พุธนะ ทำไมซันกลับมาแล้วไม่บอกกันวะ?”

“อ้าวเฮ้ย! ไม่ได้คุยกันตั้งนาน แกโทรมาเพื่อถามเรื่องเนี้ยนะ?”

พีรัชถามแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พิงภพได้แต่กลอกตาขณะเอนพิงหมอนมากขึ้น

“หลักๆ ก็เรื่องนี้แหละ นี่ถ้าซันไม่บอกเองก็คงไม่รู้ว่าแอบไปเจอเฮียมา”

“อ้าว? ตกลงได้เจอกันด้วยเหรอ? ซันก็มาหาที่ร้านจริงๆ แต่เฮียไม่รู้เลยนะว่าเขาจะไปหาแกต่อ”

เสียงของพีรัชแสดงความแปลกใจอย่างจริงจัง พอรู้ว่าเจ้าตัวไม่รู้เห็นเรื่องที่ภาณุกรจะมาเกาะเต่า น้ำเสียงของพิงภพก็อ่อนลงนิดหน่อย

“ซันได้เป็นพระเอกโฆษณาสินค้า แล้วกองถ่ายเขาบังเอิญมาถ่ายทำที่นี่ก็เลยได้เจอกัน ซันบอกว่าถามเฮียมาก่อนแล้วว่าพุธทำงานอยู่ที่ไหน ทำไมไม่โทรหรือไลน์มาบอกอะว่าได้เจอ อย่างน้อยก็จะได้รู้ก่อนว่าซันกลับมาไทยแล้ว”

“เฮ้อ รู้หรือไม่รู้แล้วจะเป็นยังไง ก่อนจะมาว่าเฮีย แกลองนึกดูนะ แกโกรธซันมากเมื่อตอน ม.ปลายที่จะย้ายไปแคนาดา หลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อหรือพูดถึงเขาสักคำ ตอนซันมาหาเฮียแล้วถามว่าแกทำงานอยู่ที่ไหน เฮียก็เล่าให้ฟังเพราะไม่ใช่ความลับ แต่ที่เฮียไม่โทรบอกเพราะนึกว่าแกยังโกรธเขาอยู่ สมมติว่าเฮียโทรไปบอกจริงๆ แล้วแกอารมณ์เสีย มาวีนใส่เฮียว่าไม่ได้อยากรู้ เฮียก็ผิดอยู่ดีไหมวะ?”

มีเสียงผู้หญิงดังลอดสายมาแว่วๆ ว่า ‘อย่าไปดุน้องสิ’ พิงภพรู้ทันทีว่านั่นคือเสียงของอรดี พี่สะใภ้ของเขาเอง ชายหนุ่มเริ่มละอายเพราะพี่ชายพูดมีเหตุผล เก้าปีมานี้เขาทำเหมือนไม่เคยรู้จักคนชื่อภาณุกร ไม่แปลกถ้าคนรอบตัวจะนึกว่าเขายังไม่หายโกรธเรื่องสมัยวัยรุ่น

“ก็...เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เลิกโกรธไปนานแล้วด้วย ถึงเฮียโทรมาบอกก็ไม่หงุดหงิดหรอกน่า”

“เฮอะ ใครมันจะไปรู้ล่ะ เออๆ ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน แล้วเป็นไงล่ะ ได้เจอกันแล้วนี่”

เป็นไงเหรอ... พิงภพรู้ตัวทันทีว่าที่หน้าร้อนไม่ใช่เพราะอากาศอบอ้าว แต่จะให้บอกได้ยังไงว่าโดนเจ้าเพื่อนลูกครึ่งตอดเล็กตอดน้อยไปตั้งหลายที

“ก็ตกใจเพราะไม่นึกว่าจะเจอ แต่ห่างกันไปหลายปีก็เลยคุยกันแบบไม่ค่อยสนิทเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยก็คุยกันดีๆ นะ ไม่ได้ทะเลาะกันสักคำ”

มีเสียงคราง ‘หืมมม’ จากปลายสายควบกับเสียงหัวเราะของอรดี ทำเอาพิงภพนึกสงสัยว่าพี่ชายของเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว ตอนบอกว่าเจอกันเฮียก็ตกใจว่าจะมีวางมวยหรือเปล่า เพราะตอน ม.ปลายนั่นแกดูโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงมาก”

“ทำไมเฮียมองน้องตัวเองในแง่ร้ายจังวะ ใครมันจะไปต่อยเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แถมซันตัวใหญ่กว่าพุธตั้งเยอะ เอาเถอะ ถือว่าจบเรื่องนี้ก็แล้วกัน แล้วช่วงนี้ยิหวาเป็นไงมั่ง”

“จะเป็นไง ก็ซนเป็นลิงเหมือนเดิม แต่ไม่นานนี้เพิ่งบอกว่าอยากหัดสักบ้าง เฮียเลยบอกให้ตั้งใจเรียน ถ้าสอบแล้วได้เกรดดีจะซื้อหนังเทียมให้ลองสัก ก็ดีนะ เหมือนเห็นตัวเองตอนเด็กๆ ที่อ้อนพ่อให้สอนเรา”

พิงภพยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องในวันเก่าก่อน เขาคุยกับพีรัชอีกนิดหน่อยก่อนจะคุยกับอรดีบ้าง แต่น่าเสียดายที่ยิหวาหลับแล้วก็เลยไม่ได้คุยด้วย ก่อนวางสายก็กำชับไปอีกครั้ง

“ช่วงนี้ไฮซีซันก็เลยงานยุ่งหน่อย แต่ถ้าเฮียว่างก็พากันมาเยี่ยมมั่งสิ ห้องของบลูแซนด์ที่ไม่แพงก็มีนะ โอเค...ถ้าจะมาก็บอกแล้วกัน...ฝากหวัดดีแม่ด้วย แล้วค่อยคุยกันใหม่ บาย”

พิงภพกดตัดสาย พอกำลังจะปิดไฟนอนก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เขานั่งนิ่งเพราะนึกว่าหูฝาด แต่แล้วเสียงเคาะก็ดังอีกเลยเดินไปดูที่ช่องตาแมว แล้วก็ยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

“ว่าไงเต็ม มีอะไรเหรอ?”

เขาเอ่ยถามหลังเปิดประตูให้ คนเคาะทำท่าชะงักนิดหนึ่ง แต่ก็นิดเดียวจริงๆ จนพิงภพไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า

“ขอโทษ ไม่รู้ว่ากำลังจะอาบน้ำ”

“หา? ไม่ใช่ๆ นี่กำลังจะนอนแล้ว พอดีอากาศร้อนก็เลยไม่ได้ใส่เสื้อ”

พิงภพอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใจผิด ขณะที่กำลังจะถามซ้ำว่ามีธุระอะไรก็ได้ยินเสียงอื่นตัดหน้า

“ตั้บๆๆๆ ตุ๊กแก”

ทั้งสองยืนตัวแข็ง แต่ครั้งนี้พิงภพเดาได้ว่าต้นเสียงอยู่ไหนเพราะมันดังใกล้มาก เขาทำตาโตพร้อมกับชี้ไปทางห้องข้างๆ

“นี่ อย่าบอกนะว่าตุ๊กแกมัน...”

“เกาะอยู่หลังประตู เมื่อกี้เปิดเข้าไปก็เจอเลย ไม่รู้ว่าเข้าไปได้ยังไงเหมือนกัน”

คนตัวสูงกว่าตอบพร้อมกับทำหน้ามุ่ย พิงภพเดาเหตุผลที่เจ้าตัวมาเคาะประตูแล้วก็ผงะ

“เฮ้ย! เดี๋ยว เราก็ไม่ไหวเหมือนกันนะเว่ย!”

“ฮะ? ไม่ไหวเรื่องอะไร?”

“จะอะไรล่ะ ที่มาเคาะนี่ไม่ใช่จะให้ไปช่วยจับเหรอ บอกก่อนว่าเราก็ไม่ถูกกับสัตว์เลื้อยคลานเหมือนกัน นี่แค่ได้ยินว่ามันซ่อนอยู่หลังประตูยังขนลุกเลย”

เขาพูดพลางบิดต้นแขนให้ดูว่าขนลุกจริงๆ แต่อีกฝ่ายกลับหลับตาเหมือนกำลังใช้ความอดทน

“ไม่ได้จะมาขอให้ไปช่วยจับ ตัวมันใหญ่เป็นฟุตคงไม่มีคนอยากยุ่งหรอก ที่จริงเราโทรหาเจ้าของหอแล้วแต่เขาไม่รับ ก็เลยจะมาถามว่าถ้าคืนนี้ขอรบกวนนอนด้วย...จะสะดวกหรือเปล่า”

คำขออันเหนือความคาดหมายทำเอาพิงภพอึ้ง แต่แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองก็เคยรบกวนอีกฝ่ายมาก่อน เลยถอยเข้าห้องแล้วอ้าประตูค้างไว้ให้

“ได้ๆ เข้ามาสิ”

“ตุ๊กแก...ตุ๊กแก....”

เสียงที่ดังมาอีกเหมือนเป็นตัวเร่งให้ทั้งคู่รีบเข้าห้อง พิงภพปิดประตูใส่กลอนแล้วพ่นลมหายใจ

“หลังไฟดับก็ตุ๊กแกบุกเหรอเนี่ย หอนี้ต้องทำพิธีปัดรังควานซะละมั้ง เอ่อ...ห้องเล็กหน่อยนะ”

พิงภพเอ่ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายกวาดตามองไปรอบห้อง ถ้าแม่เขามาเห็นคงดุว่าไว้ใจคนง่ายเกินไป แต่พิงภพไม่เห็นว่ามีอะไรน่าขโมยสักอย่าง สมบัติราคาแพงที่สุดของเขาคืออุปกรณ์ดำน้ำที่คืนนี้ฝากไว้ที่รีสอร์ต ส่วนของอีกอย่างที่ไร้ราคาแต่มีคุณค่าทางใจ...ก็ไม่รู้ไปซุ่มซ่ามทำตกหายที่ไหนแล้ว

“ห้องเราก็ไซส์เท่าห้องคุณนั่นแหละ ขอโทษด้วยที่มากวนตอนกำลังจะนอน”

หลังมองไปรอบห้องแล้วคนตัวใหญ่กว่าก็หันมาบอก พิงภพรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเลี่ยงการสบตาเขาตรงๆ แต่ก็ไม่อยากจะคิดมาก

“ไม่เป็นไร ว่าแต่ยังไม่ได้เข้าห้องก็คงยังไม่ได้อาบน้ำล่ะสิ เดี๋ยวอาบแล้วใส่เสื้อผ้าของเราไปก่อนแล้วกัน ฟรีไซส์ทุกตัว ใส่ได้อยู่แล้วล่ะ”

ชายหนุ่มหยิบเสื้อกางเกงและผ้าขนหนูที่เพิ่งซักออกมายื่นให้ อีกฝ่ายรับไปเงียบๆ ก่อนจะกระแอม

“แล้ว...มีฟูกสำรองหรือเปล่า? ไม่งั้นเดี๋ยวใช้ผ้าขนหนูปูรองพื้นเอาก็ได้”

“หา? จะไปนอนพื้นทำไม เตียงเรานอนสองคนได้ เมื่อคืนเรากับซันยังนอนได้เลย เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จก็ปิดไฟให้ด้วยแล้วกัน พอดีพรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า คงต้องขอนอนก่อน”

พิงภพตบที่ว่างข้างตัวเหมือนจะเน้นว่าเตียงกว้างพอจริงๆ หลังอึดใจหนึ่งคู่สนทนาก็พยักหน้า

“ก็ได้ งั้นนอนก่อนได้เลย ขอบคุณมาก”

ร่างสูงเอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ พิงภพอดคิดไม่ได้ว่าถึงหมอนี่จะหน้าตาไม่รับแขก แต่ก็นับว่ามีสัมมาคารวะผิดคาด

เอ๊ะ? แล้วทำไมเขาดันนึกถึงคำว่ามีสัมมาคารวะแทนที่จะเป็นมารยาทล่ะ? นี่เขาได้ยินคำนี้จนติดหูมาจากใครหรือเปล่านะ?

พิงภพนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สุดท้ายก็คิดว่าสิ้นเปลืองเวลาโดยใช่เหตุ เขาหันไปหยิบที่ปิดตามาคาดแล้วเอนตัวลงนอน ไม่ช้าความเหน็ดเหนื่อยก็ปิดกั้นการรับรู้จากทุกสรรพเสียงรอบตัว

               

++------++

 

หลับแล้วสินะ...ค่อยยังชั่ว...

อทิตยะคิดหลังออกมาจากห้องน้ำ เขามองคนที่กำลังนอนตะแคงและส่งเสียงกรนขึ้นจมูกเบาๆ อากาศคืนนี้ร้อนมากจริงๆ แต่เจ้าของห้องกลับเปิดแค่พัดลม ครั้นเขาจะถือวิสาสะเปิดแอร์ก็ใช่เรื่อง เพราะหมอนี่ดันไม่ยอมใส่เสื้อนอน ขืนให้ตากแอร์เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก

สายตาของชายหนุ่มกวาดมองร่างที่หลับไม่รู้เรื่อง เมื่อครู่เขาอึ้งจริงๆ ตอนเห็นพิงภพเปิดประตูให้โดยไม่ใส่เสื้อ ถึงแม้จะรูปร่างค่อนข้างผอม สีผิวใต้ร่มผ้ากับแขนขาก็คล้ำไม่เท่ากัน แต่คงเพราะทำงานที่ต้องออกแรงสม่ำเสมอก็เลยมีกล้ามเนื้อที่ควรมี ไม่ว่าจะบนหัวไหล่ ต้นแขน ปลีน่อง เนินอกที่ไม่ถึงกับแบนเป็นแผ่นกระดาษ แล้วยังเนินสะโพกงอนที่พอเขาเห็นแล้วต้องรีบบอกตัวเองให้ ‘เก็บอาการ’ อีก

พอคิดถึงตรงนี้อทิตยะก็แทบคำราม พิงภพคงไม่รู้ตัวว่าอากัปกริยาก้มๆ เงยๆ หยิบของ หรือแม้แต่คำพูดเชิญชวนโดยไร้ความหมายแฝงนั้นให้ผลตรงกันข้าม ยังดีที่เขาไม่ใช่ผู้ร้ายหื่นกาม แล้วหมอนี่ก็คงไม่ได้ตั้งใจยั่วเพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นเกย์ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่หลายคนบอกหลังรู้รสนิยมของเขา ขนาดเอมี่ที่ชอบอวดนักหนาว่ามีซิกส์เซนส์ยังเคยพูดว่าถ้าไม่ได้รู้จักกันตั้งแต่เด็กก็คงคาดไม่ถึง

จะอย่างไรก็แล้วแต่...คืนนี้พวกเขาคงต้องนอนร่วมเตียงกันเพราะไม่มีทางเลือก

หลังใช้ผ้าขนหนูซับผมจนหมาด อทิตยะก็ผึ่งผ้าบนราวหน้าห้องน้ำแล้วปิดไฟ เขาเดินกลับไปบนเตียงแล้วล้มตัวหันหลังให้คนที่ตะแคงหันมาหา อย่างน้อยถ้าอีกฝ่ายเผลอตื่นกลางดึก ได้เห็นแผ่นหลังเขาก็คงตกใจน้อยกว่าเห็นหน้า

เสียงตุ๊กแกดังขึ้นมาอีก อทิตยะได้แต่นึกสาปแช่งในใจ ขณะคิดว่าพรุ่งนี้ต้องหาทางไล่มันออกจากห้องให้ได้ คนที่นอนข้างๆ ก็ขยับจนเตียงยวบแล้วมาซุกหน้าบนแผ่นหลังของเขา

อทิตยะแทบกลั้นหายใจ เสียงหัวใจเต้นรัวตึกตักถี่ขึ้นจนหนวกหู เขารีบหลับตาแล้วผ่อนลมหายใจยาวๆ พยายามบอกตัวเองว่าพิงภพคงละเมอ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงงึมงำจนต้องเงี่ยหูฟัง

“...ไม่เอาน่ะ...ซัน พอแล้ว...”

ประโยคนั้นเหมือนน้ำเย็นที่สาดลงบนตัว ชายหนุ่มลืมตาโพลง เสียงงึมงำถูกแทนที่ด้วยเสียงหายใจขึ้นจมูก แต่เขารู้ว่าถึงข่มตานอนต่อก็ไม่มีทางหลับลง

ถึงเมื่อคืนจะไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วยังไง ไม่ได้แปลว่าสองคนนี้ไม่ได้ทำอะไรกันเสียหน่อย...

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังนอนทับที่ของคนอื่น เขายันตัวลุกจากเตียงแล้วเอนตัวนอนบนพื้น ถึงจะไม่สบายนักแต่ก็ยังดีกว่าขโมยที่ของใคร หลังปิดเปลือกตาก็พยายามบอกตัวเองให้หลับ

                               

++------++

 

เสียงนาฬิกาปลุกเรียกพิงภพให้สะดุ้งตื่น เขารีบกดปิดเสียงที่ตั้งไว้ในมือถือ พอมองไปข้างๆ ก็รู้สึกเดจาวู เพราะเตียงว่างเปล่าอีกแล้ว

“อ้าวเฮ้ย! เต็ม ทำไมลงไปนอนบนพื้นล่ะ?”

พิงภพเลิกคิ้วเมื่อเห็นคนที่นอนตะแคงอยู่ข้างเตียง เขายื่นแขนลงไปแล้วเขย่าไหล่หนา

“เต็ม มานอนบนเตียงเถอะ ไม่เมื่อยรึไงไปนอนตรงนั้น”

มีเสียงคำรามในคอก่อนอีกฝ่ายจะหยีตา แต่พอเห็นเขาก็ตะแคงหนีไปอีกทาง ดูท่าทางคงจะไม่ยอมลุกขึ้นจากพื้น พิงภพไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยเอาผ้าแพรคลุมให้และเบี่ยงพัดลมไปหา

ยังไงเราก็ต้องรีบไปทำงาน ถ้าหมอนี่ตื่นมาแล้วอยากนอนต่อก็คงขึ้นไปบนเตียงเองล่ะมั้ง...

ชายหนุ่มคิดพลางคว้าเสื้อกับผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ หลังเดินออกมาเห็นคนที่ยังนอนท่าเดิมก็เลยเขียนโน้ตแล้วใช้แม่กุญแจทับไว้บนโต๊ะ หวังว่าเมื่ออีกฝ่ายตื่นมาอ่านก็คงรู้เองว่าต้องทำอย่างไรต่อ

วันนี้แดดแย้มหน้าออกมาหลังเมฆตั้งแต่เช้า ผืนทะเลราบเรียบไร้คลื่นลูกใหญ่ การสอบภาคปฏิบัติของนักเรียนในกลุ่มจึงผ่านไปด้วยดี พอกลับเข้าฝั่งและคืนอุปกรณ์ที่ห้องเก็บของในช่วงเย็น พิงภพก็แจกสมุดบันทึกการดำน้ำให้ทุกคน

“เดี๋ยวทุกคนจดรายละเอียดตามที่ผมบอกนะ แล้วถ้าต่อไปคิดว่าจะดำน้ำบ่อยๆ ขอแนะนำว่าให้ซื้อไดฟ์คอมพิวเตอร์เป็นอย่างแรก ส่วนอย่างอื่นซื้อมือสองหรือเช่าเอาก็ได้ เว้นว่าอยากได้รุ่นคูลๆ เท่ๆ ก็จัดไปตามที่ชอบเลย”

พิงภพอธิบายพลางชี้ไดฟ์คอมพิวเตอร์บนข้อมือ รูปร่างของมันดูเผินๆ คล้ายนาฬิกา แต่มีจุดเด่นตรงหน้าจอที่ใหญ่กว่า และแสดงตัวเลขบอกความลึกและคำนวณเวลาที่ปลอดภัยสำหรับดำน้ำโดยเฉพาะ หลังจดสมุดบันทึกกันเสร็จเขาก็เซ็นชื่อและประทับตราโรงเรียนให้แต่ละคน

“หิวข้าวชะมัด ไม่นึกว่าดำน้ำจะใช้พลังงานเยอะแบบนี้นะเนี่ย”

“หิวเหมือนกัน เย็นนี้อยากจัดหนักๆ ครูพุธมีร้านแนะนำมั้ยครับ จะให้ดีไปด้วยกันเลยดีกว่า จะได้ถือว่าฉลองให้พวกผมด้วย”

นักเรียนอีกคนหันมาถาม คนที่เหลือก็พยักเพยิดตาม พิงภพเห็นว่าน่าสนุกดีจึงตอบรับ

“ก็ได้นะ ผมมีร้านหมูกระทะเจ้าเด็ดที่ต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปหน่อยนึง เดี๋ยวทุกคนไปรอที่ร้านก่อนก็ได้ ผมขอทำธุระแป๊บแล้วจะตามไป”

“ห้ามเทพวกผมนะครู ถ้าไม่ตามมาจะไลน์จิกรัวๆ เลย”

สมาชิกกลุ่มที่ดูเป็นหัวโจกที่สุดแกล้งขู่ พิงภพหัวเราะก่อนจะส่งจีพีเอสของร้านให้ พอเหล่านักเรียนไปกันแล้วถึงค่อยเดินไปห้องสำนักงาน

“อ้าว? ทำไมวันนี้พี่บุ๋มอยู่เฝ้าออฟฟิศคนเดียวล่ะ?”

“วันนี้ร้านพี่ขจรจัดโปรเครื่องดื่มหนึ่งแถมหนึ่ง พวกเด็กๆ ก็เลยขอไปซื้อกัน แต่เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วมั้ง”

หญิงสาวรุ่นพี่เอ่ยขณะยื่นสมุดลงเวลาให้ พิงภพเซ็นชื่อเสร็จแล้วก็หันไปดูตารางบนกระดานไวท์บอร์ด

“พรุ่งนี้ผมมีหลีดกลุ่มฟันไดฟ์ทั้งวันเหรอ?”

“ใช่ มีกลุ่มใหญ่มาลง เรือคงเต็มทั้งสองลำ”

ชายหนุ่มพยักหน้าพลางเรียบเรียงเอกสารเพื่อขอบัตรนักดำน้ำให้นักเรียน บุณฑริกนั่งขยับเมาส์ไปมาครู่หนึ่งก็ยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจ

“เย็นนี้กินข้าวด้วยกันมั้ยพุธ? พี่นั่งเช็กบุ๊คกิ้งมาตั้งแต่บ่ายจนไม่ได้กินอะไรเลย หิวไส้จะขาดแล้วเนี่ย”

“อ้าว พอดีผมนัดพวกนักเรียนไว้ที่ร้านเจ๊แอ๋วอะ แต่พี่บุ๋มจะไปด้วยกันก็ได้ ซ้อนรถผมไปนี่แหละ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วขับมาส่ง”

“ร้านเจ๊แอ๋ว...ที่เป็นหมูกระทะเหรอ? อืม...แต่นานๆ ทีคงไม่เป็นไร ไดเอ็ตจนหน้าจะเหี่ยวอยู่แล้ว เดี๋ยวพี่โทรถามพวกเด็กๆ ก่อนว่าใกล้จะกลับมารึยัง แน่ะ...พูดถึงก็มาพอดี อายุยืนกันจริงจริ๊ง”

“อะไรพี่บุ๋ม กลับมาปุ๊บก็ให้พรกันเลย”

เหล่าพนักงานฝั่งรีสอร์ตทยอยเดินเข้าออฟฟิศพร้อมเครื่องดื่มและขนม บุณฑริกสั่งงานแล้วเดินตามพิงภพไปขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่หน้ารีสอร์ต พอถึงร้านก็เห็นเหล่าเด็กนักเรียนของเขากำลังล้อมวงกินหมูกระทะกันอยู่

“ครูพุธมาแล้ว ทางนี้เลยครับ”

“โทษทีที่ให้รอ ผมพาพี่บุ๋มมาด้วย ทุกคนคงเจอตอนสมัครเรียนไปแล้วเนอะ คนนี้แหละขาใหญ่ของบลูแซนด์”

“นี่จะยกย่องหรือแอบกัดว่าฉันขาใหญ่ยะ…เฮ้ย! นั่นมัน!” 

พิงภพสะดุ้งเมื่อจู่ๆ หญิงสาวรุ่นพี่ก็ลุกพรวดจากเก้าอี้ และยิ่งตกใจเมื่อเธอวิ่งข้ามถนนไปยังร้านโชห่วยอีกฝั่ง พอมองตามก็เห็นบุณฑริกโผเข้ากอดชายหนุ่มคนหนึ่งก่อนจะถอยออกตีแขน แต่ที่ทำให้พิงภพเซอร์ไพรส์หนักกว่าก็คือผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่เขาคุ้นหน้ามาหลายวัน แถมเมื่อเช้ายังทำหน้ามุ่ยใส่ตอนโดนปลุกอยู่เลย

เหมือนอะไรบางอย่างคลิกในหัว เขามองบุณฑริกควงแขนผู้ชายคนนั้นแน่นเหมือนกลัวหนี หลังรอจนไม่มีรถวิ่งผ่านก็ดึงอีกฝ่ายข้ามถนนมาด้วย ใบหน้าของเธอยิ้มแย้ม ขัดกับคนข้างๆ ซึ่งคิ้วขมวดมุ่น ดูอย่างไรก็ไม่เต็มใจอย่างสิ้นเชิง

หรือว่าหมอนี่จะเป็น...

“โชคดีจริงๆ ที่ตามพุธมา จำเรื่องหลานของพี่บู๊ที่เคยเล่าให้ฟังได้ไหม นี่ไงพ่อเต็มจอมดื้อ ในที่สุดก็เจอตัวสักที รู้จักกันไว้สิ”

 

++---TBC---++

 

A/N: ตุ๊กแกหนอตุ๊กแก จะบอกว่ามาได้จังหวะดีหรือเปล่าหนอ แล้วมาติดตามว่าเต็มจะถูกแนะนำตัวอย่างเป็นทางการยังไงในตอนหน้านะคะ

 :mew1: :katai2-1: :really2:

 

 

 

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 7 ขึ้นหน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 7.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 07-11-2019 19:15:06
เต็มนี่น่าเอ็นดูจริงๆคิดไปเองแล้วก็น้อยใจไปเอง โธ่
ตุ๊กแกรีบเรียกพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงมายึดห้องเต็มเถอะ
เขาจะได้นอนด้วยกันอีกหลายๆคืน  :hao3:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 7 ขึ้นหน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 7.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 08-11-2019 21:33:58
ตุ๊กแกสื่อรัก แต่เต็มมโนงอลไปก่อน ยังไม่คืบหน้าเลย แถมมาโป๊ะเปิดตัวว่าที่นิวบอสก่อนเวลาด้วย จะจีบง่ายหรือยากกว่าเดิมหล่ะทีนี้คุณเต็ม
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 7 ขึ้นหน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 7.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-11-2019 22:54:27
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 7 ขึ้นหน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 7.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-11-2019 17:18:14
บทที่ 8



จังหวะแย่ชะมัด...

อทิตยะเห็นสีหน้าประหลาดใจของพิงภพ รวมถึงเหล่าเด็กหนุ่มที่ทำหน้าพิศวงรอบโต๊ะแล้วก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เขาแค่เดินออกมาซื้อบุหรี่เพราะร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเมนต์ ไม่นึกเลยว่าจะเจอบุณฑริก เขาไม่ได้โกรธที่โดนป่าวประกาศการเจอตัวเหมือนเป็นของหายาก แต่เพราะไม่คิดว่าจะถูกเปิดตัวกับคนข้างห้องแบบนี้ก็เลยหงุดหงิด

“อ้อ คนนี้เหรอที่พี่บุ๋มเคยพูดถึง สวัสดีครับ ผมชื่อพุธ เป็นครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์”

คำทักทายเหนือคาดทำเอาอทิตยะเลิกคิ้ว เขามองรอยยิ้มของพิงภพอย่างไม่ไว้ใจ จะบอกว่าระแวงมากไปก็ได้ แต่นัยน์ตาของอีกฝ่ายดูซุกซนชอบกล

“ทั้งสองคนน่าจะอายุไล่เลี่ยกันเนอะ พอดีเลย เต็มจะได้มีเพื่อนตอนไปเริ่มงาน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มานั่งกินหมูกระทะด้วยกันดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับน้าบุ๋ม...”

“ดีครับ จะได้ทำความคุ้นเคยกันไว้ ให้เต็มมานั่งข้างผมก็ได้ นี่เก้าอี้ว่าง”

ไม่พูดเปล่า พิงภพถึงกับหันไปหยิบเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาแทรกให้ ส่วนเหล่าเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อะไรก็ขยับเก้าอี้ตามกันเหมือนนกกระจอกบนสายไฟฟ้า อทิตยะถอนหายใจแล้วทรุดนั่งแต่โดยดี

“เต็มอยากดื่มอะไรครับ? น้ำเปล่า? น้ำอัดลม? เบียร์? ชาไข่มุก? อ้อ ลืมไป อย่างสุดท้ายนี่ที่ร้านนี้ไม่มีนะ”

ทั้งโต๊ะพากันหัวเราะกับมุกของพิงภพ แต่อทิตยะหรี่ตา เริ่มจะเดาได้เลาๆ ว่ากำลังถูกอีกฝ่าย ‘ตีรวน’

“ขอแค่น้ำเปล่าก็พอ ขอบคุณ”

“ได้เลย น้องครับ พี่ขอแก้วน้ำแข็งแล้วก็จานชามให้พี่คนนี้ชุดนึง จริงสิ เต็มอายุเท่าไหร่ครับ? น่าจะเด็กกว่าผมแน่เลย ถ้างั้นเรียกผมว่าพี่ก็ได้นะ”

คำถามนั้นทำเอาทุกคนมองเขาอย่างใคร่รู้ไปด้วย อทิตยะมองพิงภพที่ทำหน้าซื่อตาใส แกล้งตะล่อมให้เขาเรียกเจ้าตัวว่าพี่ต่อหน้าคนอื่นแล้วนึกอยากตีก้นให้รู้แล้วรู้รอด

“พอดีเราโตเมืองนอก ไม่ถนัดเรียกคนอายุไล่เลี่ยกันว่าพี่ คุณคงแก่กว่าเราไม่เยอะหรอก เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้”

คำตอบของเขาทำเอาพิงภพทำปากยื่นนิดๆ แต่ภาพนั้นกลับทำให้อทิตยะอารมณ์ดีขึ้น เขายกแก้วน้ำขึ้นดื่มเป็นเชิงตัดบท อีกฝ่ายมองเขาแล้วก็หันไปบอกบุณฑริก

“งั้นพี่บุ๋มคุยกับหลานแล้วก็เด็กๆ ไปก่อนนะ เดี๋ยวผมไปตักอาหารให้ มีใครอยากเติมอะไรกันหรือเปล่า?”

“เดี๋ยวผมไปช่วยถือครับครูพุธ กำลังอยากเติมหมูหมักอยู่พอดี”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งรีบขันอาสา พิงภพตบไหล่อีกฝ่ายแล้วเดินนำ แต่อทิตยะทันเห็นรอยยิ้มเขินๆ ของคนที่เดินตาม พอเบนสายตากลับมาก็เห็นเพื่อนๆ ของเจ้าตัวอมยิ้มมองกันอย่างรู้ทัน

ไอ้พวกเด็กแก่แดดนี่ หนวดยังไม่ค่อยจะขึ้นก็ริจีบคนแก่กว่าแล้วรึ...

ชายหนุ่มคิดพลางโบกมือเรียกพนักงานมาสั่งเบียร์ ในเมื่อปลีกตัวไม่ได้ก็กินให้อร่อยดีกว่า ถึงโดยปกติเขาจะไม่ค่อยชอบอาหารปิ้งย่างรมควันแบบนี้ก็เถอะ

วงหมูกระทะกินกันไปคุยกันไปอย่างออกรส แต่แน่นอนว่าอทิตยะส่งเสียงแทบไม่ถึงห้าประโยค เวลาล่วงเลยไปจนสามทุ่ม กลุ่มของพิงภพเริ่มอิ่มจึงเรียกพนักงานมาคิดเงิน

“ครูพุธ ไปหาร้านนั่งกันต่อไหมครับ พรุ่งนี้พวกผมก็กลับแล้ว คงไม่ได้มาเกาะเต่าอีกนานเลย”

คำถามนั้นมาจากเด็กหนุ่มที่อาสาลุกไปช่วยพิงภพถืออาหาร ตอนนั้นพวกเขากำลังรอเงินทอน อทิตยะแสร้งทำเป็นไม่สนใจแต่ก็รอฟังคำตอบ

“คงไม่ไหวละ ทุกคนไปกันเถอะ พอดีพรุ่งนี้ผมต้องหลีดกลุ่มฟันไดฟ์ตั้งแต่เช้า กลัวดื่มแล้วเดี๋ยวจะแฮงก์”

มีเสียง “ว้า” จากเหล่าสมาชิก หลังได้เงินทอนแล้วทุกคนก็ลุกจากโต๊ะ อทิตยะได้ยินเด็กหนุ่มคนเดิมถามพิงภพว่าขอไลน์มาถามเรื่องดำน้ำได้ไหม เขาได้แต่กลอกตาและหวังว่าตัวเองจะไม่เคยตื๊อใครแบบนี้

“ไปกันเถอะพี่บุ๋ม เดี๋ยวผมขับรถไปส่ง”

หลังบอกลากันและพวกเด็กๆ ขับมอเตอร์ไซค์แยกไปแล้ว พิงภพก็หันมาบอกบุณฑริก แต่หญิงสาวกลับหันมาหาอทิตยะ

“เต็มล่ะ? นี่พักอยู่ที่ไหน? ความจริงที่บลูแซนด์ก็มีห้องพักสำหรับสตาฟว่างอยู่ จะไปนอนที่นั่นก็ได้นะ”

“โหย ดีจัง ทำไมครูสอนดำน้ำไม่ได้ห้องพักฟรีมั่งล่ะพี่บุ๋ม?”

“แหม ก็นี่เขาหลานพี่บู๊ อีกอย่างรายได้เธอก็ไม่ใช่น้อยๆ จะบ่นทำไม หอที่เธอเช่าอยู่น่ะคุ้มที่สุดบนเกาะแล้ว”

“แต่หอนี้มีตุ๊กแกนะด้วยพี่บุ๋ม แล้วเมื่อวันก่อนก็เพิ่งจะไฟดับทั้งคืน ผมว่าจะไปบ่นกับเจ้าของอยู่เนี่ย”

“ตุ๊กแก?? บรื๋อ ไม่ไหวๆ แค่คิดก็สยองแล้ว ถ้าเจอเจ้าของก็รีบบอกเขาแล้วกัน ไม่งั้นเจอแบบนี้บ่อยๆ ลูกค้าที่ไหนจะกล้าเช่าระยะยาว”

“ใช่เลย เต็มก็คิดเหมือนเราใช่ไหม ตุ๊กแกมันน่าขยะแขยงออกเนอะ”

อทิตยะหรี่ตามองคนที่แสร้งทำหน้าซื่อ นี่ถ้าสนิทกันเขาจะอุ้มหมอนี่โยนลงทะเลสักที

“ถ้าเจ้าของหอรู้คงไม่ปล่อยไว้หรอก ป่านนี้เขาอาจจับมันไปทิ้งแล้วก็ได้”

ชายหนุ่มตอบเสียงไม่สื่ออารมณ์ พอเห็นพิงภพยิ้มตาวาวก็ยกมือขึ้นกอดอก ไม่รู้ทำไมนัยน์ตาของอีกฝ่ายดูจะยิ่งฉายประกายสดใสมากกว่าเดิม

“ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ เพราะเราก็ไม่ชอบตุ๊กแกเหมือนกัน”

“เดี๋ยวนะ ทำไมพวกเราถึงคุยกันเรื่องตุ๊กแกได้เนี่ย เมื่อกี้น้าแค่จะถามเต็มว่าพักอยู่ที่ไหนนี่นา”

บุณฑริกเอ่ยอย่างงุนงง อทิตยะเองก็พลอยลืมไปด้วยว่ายังไม่ได้ให้คำตอบ

“ผมเช่าห้องอยู่แถวนี้แหละครับน้าบุ๋ม ระยะขับรถก็ไม่ได้ไกลจากบลูแซนด์เท่าไหร่”

“เหรอ... แต่แถวนี้ก็สะดวกดีเพราะใกล้ตลาด หอของพุธก็อยู่แถวนี้นี่นา? บังเอิญจัง งั้นวันหลังไม่ต้องต่างคนต่างขับมอเตอร์ไซค์ นัดเจอกันแล้วซ้อนรถไปทำงานด้วยกันก็ยังได้”

“นั่นสิฮะ น่าจะประหยัดไปได้ตั้งเยอะ”

พิงภพพยักหน้าพร้อมยิ้มยิงฟัน ส่วนอทิตยะไม่ออกความเห็น เขาตอบคำถามของบุณฑริกอีกนิดหน่อยและให้เบอร์โทรศัพท์เมื่อถูกขอ หลังมองพิงภพขับมอเตอร์ไซค์จากไปโดยมีบุณฑริกซ้อนท้าย ชายหนุ่มก็เดินขึ้นเนินเพื่อกลับอพาร์ตเมนต์

ดูท่าทาง...คืนนี้คงไม่ได้นอนง่ายๆ แน่



++------++



พิงภพขับรถไปส่งบุณฑริกที่บลูแซนด์เพราะว่าเธอพักที่นั่น บังเอิญเจอพวกเพื่อนๆ กำลังนั่งคุยกันที่ห้องอาหารก็เลยเข้าไปร่วมวง กระทั่งเกือบจะเที่ยงคืนแต่ละคนถึงแยกย้ายกันกลับ

หวังว่าตุ๊กแกจะโดนจับไปทิ้งแล้วจริงๆ นะ...

ชายหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์พลางนึกถึงคนข้างห้อง ตลอดมื้อเย็นนั้นอทิตยะดูไม่เต็มใจที่จะนั่งกับพวกเขาสักนิด บุณฑริกก็คงดูออกแต่แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาเสียอีกต้องหาสารพันมุกมาเล่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศกร่อยจนนักเรียนของเขากินข้าวไม่ลง แต่พอคิดถึงสีหน้าของเจ้าพวกนั้นตอนแอบมองอทิตยะอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็นึกขำ เจ้าตัวก็ดันชอบทำหน้าดุเสียด้วย พอรวมกับหุ่นแบบนักกีฬาและรอยสักเต็มตัวเลยชวนให้คนไม่รู้จักขยาดเข้าไปใหญ่

บนระเบียงทางเดินชั้นสองของอพาร์ตเมนต์มีเงาคน พิงภพมองขึ้นไปเห็นควันที่ลอยออกมาเป็นระยะก็แปลกใจ หลังจอดรถแล้วเดินขึ้นไปก็พบว่าคนข้างห้องกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่จริงๆ

“ยังไม่นอนอีกเหรอเต็ม ดึกแล้วนะ”

“คุณก็เพิ่งกลับเหมือนกัน ไหนบอกว่าพรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า”

จำที่เขาพูดกับพวกนักเรียนได้ด้วยแฮะ... พิงภพคิดขณะมองอีกฝ่ายหันไปพ่นควันออกนอกระเบียง ถึงจะชอบทำหน้าไม่รับแขก แต่พิงภพยังจำภาพที่อทิตยะขยี้ผมเอมี่หลังไปหาซื้อโรตีให้ รวมทั้งความสุภาพเวลาคุยกับบุณฑริกเมื่อเย็นได้ดี ถ้าการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่นได้สอนอะไรเขาบ้าง ก็คงเป็นเรื่องที่เราตัดสินใครจากภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้เลย

“พอดีส่งพี่บุ๋มเสร็จแล้วเจอเพื่อนๆ ก็เลยนั่งคุยกัน ว่าแต่ที่ยังไม่นอนนี่...หรือว่าตุ๊กแกยังอยู่ในห้อง?”

“ไม่อยู่แล้วสิ โทรบอกให้เจ้าของหอมาจับไปทิ้งตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”

“แล้วไป ถ้างั้นทำไมถึงออกมายืนสูบบุหรี่ตรงนี้ล่ะ? อย่าบอกนะว่ารอเราอยู่?”

ตอนแรกพิงภพแค่จะแหย่เล่น แต่พอเห็นคิ้วที่มุ่นนิดๆ ก็ชะงักเพราะรู้ว่าจี้ถูกจุด นี่เขาเริ่มอ่านสีหน้าท่าทางของหมอนี่ออกตั้งแต่เมื่อไหร่

“ทำไมเมื่อเย็นถึงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน?”

พิงภพได้ยินคำถามก็เลิกคิ้ว “เมื่อเย็น? เอ้า ก็ตอนนั้นเต็มทำหน้าเหมือนไม่ได้อยากมานั่งด้วย อีกอย่างพี่บุ๋มเคยพูดถึงเต็มให้ฟังก็จริง แต่เราไม่รู้นี่ว่าเป็นคนเดียวกับคนข้างห้อง ขืนแสดงตัวว่ารู้จักกันก็ต้องบอกว่าเพราะอะไร แต่ในเมื่อเต็มแอบมาอยู่ที่เกาะเงียบๆ ตั้งนานก็แสดงว่ายังไม่อยากให้ใครรู้ใช่ไหมล่ะ ถ้าเราแกล้งทำเป็นไม่รู้จักก็จะได้ไม่โดนถามเยอะทั้งคู่ไง”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับคำตอบ แต่อทิตยะยืนมองเขานิ่ง ครู่หนึ่งก็ขยี้ก้นบุหรี่ใส่ที่เขี่ยแล้วหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง

“นี่กุญแจของคุณ เมื่อเช้าเราล็อกห้องให้แล้วก่อนโทรหาเจ้าของหอเรื่องตุ๊กแก”

“โอ๊ะ ขอบคุณ แสดงว่าเห็นโน้ตที่เราเขียนไว้ให้สินะ ว่าแต่ตุ๊กแกมันจะไม่กลับมาอีกใช่ไหม?”

“จะไปรู้ได้ไง ถ้ามาอีกก็ขอให้ไปโผล่ที่ห้องอื่นก็แล้วกัน”

พิงภพหัวเราะขณะรับกุญแจคืน ยิ่งมองคนที่เล่นมุกหน้าตายก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีแต่เรื่อง ‘เหนือคาด’ มากขึ้นเรื่อยๆ

“นี่...ขอถามอะไรหน่อยสิ”

“หือ?”

คนที่กำลังจะก้าวเข้าห้องหันกลับมา พิงภพมองลูกกุญแจในมืออย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ตัดสินใจถาม

“ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะ แต่ที่พี่บุ๋มบอกว่ามีห้องพักที่บลูแซนด์ว่างน่ะ คิดว่าจะย้ายไปที่นั่นหรือเปล่า?”

อันที่จริงแล้วอทิตยะจะไปอยู่ไหนก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าตัว เขาเองถ้าได้ห้องพักฟรีคงรีบย้ายออกแทบไม่ทัน แต่พอคิดว่าถ้าหมอนี่ไม่อยู่แล้วเขาจะกลายเป็นผู้อาศัยหนึ่งเดียวบนชั้นนี้ก็รู้สึกโหวงชอบกล

“ทำไม? อยากให้ไปเหรอ?”

“ไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย แค่ถามดูเฉยๆ”

เอาอีกแล้ว ไอ้รอยยิ้มมุมปากที่ดูแทบไม่ออกว่ายิ้ม แต่อย่างน้อยแววตาที่มองเขาก็ไม่ได้ไร้อารมณ์เท่าเมื่อครู่

“เราจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไปแล้ว คงยังไม่ย้ายออกเร็วๆ นี้หรอก เว้นว่าคนข้างห้องทำตัวไม่น่ารักก็อาจจะคิดใหม่”

“หา? เราไปเกี่ยวตรงไหนล่ะ?ทั้งเกาะเนี่ยหาคนน่ารัก นิสัยก็ดี แถมช่างเทคแคร์ขนาดนี้ไม่เจอแล้ว”

“หลงตัวเองให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ดึกแล้วขี้เกียจคุย กู๊ดไนต์”

พิงภพมองประตูห้องที่งับปิดก่อนจะทันได้โต้ เขาไม่ได้หลงตัวเองสักหน่อย ก็แค่เล่นมุกตามน้ำ ไม่นึกว่าจะโดนคนอายุน้อยกว่าตอกกลับเอาแบบนี้

แต่ว่ารอยยิ้มเมื่อครู่...ถ้าเขาเล่นมุกถล่มตัวเองแล้วได้เห็นเจ้าหนุ่มหน้าดุนี่ยิ้มบ่อยขึ้น...ก็นับว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่นะ

รอยยิ้มของพิงภพขยายกว้าง เขายกมือตบประตูห้องข้างๆ อย่างมันเขี้ยวก่อนจะเดินต่อไปที่ห้องของตัวเอง แต่พอจะใส่ลูกกุญแจที่ได้คืนกลับเข้าพวงกุญแจ อารมณ์ที่รื่นรมย์เมื่อครู่ก็พลันห่อเหี่ยวลง

สายห้อยตุ๊กตากัปตันอเมริกายังคงอยู่ แต่ไม่รู้ว่าตัวตุ๊กตาหายไปไหน เขาเคยชินกับการลูบคลำมันมาตลอดหลายปี ความว่างเปล่าในมือทำให้รู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตหายไปอย่างช่วยไม่ได้

ชายหนุ่มถอนใจพลางก้าวเข้าห้อง หลังล็อกประตูแล้วก็เดินไปเสียบสายชาร์จโทรศัพท์ ในรายชื่อเพื่อนทางไลน์นั้นมีชื่อของภาณุกรขึ้นว่าเป็นเพื่อนใหม่ แต่ว่ายังไม่มีข้อความใดส่งมาทั้งสิ้น

ปลายนิ้วเลื่อนไปที่แถบส่งสติกเกอร์ แต่แล้วพิงภพก็เปลี่ยนใจ ดึกป่านนี้ภาณุกรคงหลับแล้ว อีกอย่างเขาเองที่ตั้งใจว่าอยากให้ทั้งคู่จากกันด้วยความทรงจำที่ดี จู่ๆ จะมาเรียกร้องความสนใจหลังเจ้าตัวกลับไปแค่ไม่กี่วันคงไม่เหมาะ

บางที...ซันเองก็อาจจะอยากให้เรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นแค่ความทรงจำเหมือนกัน...

พิงภพตัดใจปิดหน้าจอแล้วคว่ำโทรศัพท์ลง จากนั้นก็พยายามไม่คิดถึงมันอีกขณะลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำก่อนนอน



++------++



กิจวัตรของครูสอนดำน้ำอาจไม่ตายตัวเหมือนพนักงานบริษัท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอ้อระเหยได้ตามใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ต้องดูแลลูกค้าตั้งแต่เช้า พิงภพตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกตอนหกโมง ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหยิบเป้ใบเล็กขึ้นสะพาย ช่วงไหนที่ทำงานหลายวันติดกันเขาจะฝากอุปกรณ์ไว้ที่รีสอร์ต ดังนั้นจึงต้องไปถึงสำนักงานเร็วหน่อยเพื่อตรวจเช็กความเรียบร้อยก่อนลงน้ำ

หลังตรวจดูว่าปิดไฟหมดแล้วพิงภพก็ออกจากห้อง สวมรองเท้าแตะหนีบราคาถูกแล้วล็อกประตู พอลงไปถึงชั้นล่างก็เลิกคิ้วที่เห็นอทิตยะกำลังทำท่ายืดเส้นอยู่ในลานจอดรถ

“ตื่นเช้าจัง ว่าแต่วันนี้เต็มไม่ไปบลูแซนด์เหรอ?”

พิงภพถามเพราะเห็นอทิตยะใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งโดยเฉพาะ ดูจากสภาพแล้วเจ้าของรองเท้าคงใช้งานมันอย่างสมบุกสมบันทีเดียว

“ไป แต่น้าบุ๋มบอกแล้วว่าไปเก้าโมงก็ได้ เลยกะว่าจะออกไปวิ่งแถวๆ นี้ก่อน”

“อ้อ...แหม ไม่งั้นจะได้ประหยัดค่าน้ำมันตามที่พี่บุ๋มบอก ซ้อนรถไปด้วยกันทีเดียว”

“อย่าดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นเห็นแล้วจะพากันเข้าใจผิด”

อทิตยะตอบพลางหยิบผ้าบัฟขึ้นมาพันข้อมือ พิงภพกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ แต่พอจะเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเองก็ได้ยินเสียง ‘ปึ้ด’ ก่อนที่สายหนีบรองเท้าข้างหนึ่งจะขาด เนื่องจากเป็นจังหวะก้าวขาพอดี ร่างกายก็เลยโผไปข้างหน้าอย่างหยุดไม่ได้

“เฮ้ย!”

มือข้างหนึ่งยื่นมาดึงแขนเขาและรั้งให้ยืนตรงก่อนจะจูบพื้น พอพิงภพเอี้ยวคอไปมองก็เห็นเจ้าของมือทำหน้ายุ่ง

“เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมจู่ๆ ก็ล้ม?”

“เปล่าๆ พอดีสายรองเท้ามันขาด ขาดได้จังหวะชะมัดเลย”

พิงภพก้มลงหยิบรองเท้าแตะข้างนั้นขึ้นมาดู ก่อนจะตระหนักได้ว่ามือที่จับแขนเขายังกุมแน่น พอเหลือบตาขึ้นมอง เจ้าของมือก็ผละออกพร้อมกับถอยห่างนิดหนึ่ง

“แล้วมีรองเท้าเปลี่ยนหรือเปล่า?”

ท่าทางหลีกเลี่ยงการมองเขาตรงๆ ชวนให้นึกถึงคืนที่อทิตยะมาขอค้างด้วยเพราะตุ๊กแกอีกครั้ง แต่พิงภพพยายามไม่คิดมากขณะมองรองเท้าในมือ

“อันที่จริงพอถึงรีสอร์ตก็ต้องถอดรองเท้ายันเย็น ดังนั้นช่างมันเถอะ ขี้เกียจวิ่งขึ้นไปเอาคู่ใหม่บนห้อง”

พิงภพเอ่ยพลางถอดรองเท้าอีกข้างแล้วทิ้งลงถังขยะ จึงไม่ทันเห็นสีหน้าไม่อยากเชื่อของอทิตยะที่มองเขาจูงมอเตอร์ไซค์ออกจากที่จอด

“เดี๋ยว คุณจะขับรถเท้าเปล่าเพราะขี้เกียจขึ้นไปเอารองเท้าเนี่ยนะ?”

“อื้อ แค่วันเดียวไม่เป็นไรหรอก อยากรีบไปแล้วด้วย เดี๋ยวไม่มีเวลากินมื้อเช้ากับเช็กอุปกรณ์ให้ลูกทีม”

“อย่าเพิ่งไป เอ้า!ถ้าขี้เกียจขึ้นห้องนักก็ใส่คู่นี้”

“หา?”

ชายหนุ่มมองคนที่ไขกุญแจเปิดอานรถของตัวเอง จากนั้นก็หยิบรองเท้าแตะแบบสวมสีชมพู สายคาดเป็นลายหัวยูนิคอร์นประดับลูกตุ้มหลากสีมายื่นให้ ความหวานแหววของมันทำให้เขาอึ้งจนอทิตยะมุ่นคิ้ว

“ไม่ใช่ของเรา เอมี่ลืมทิ้งไว้ตอนมาค้างที่ห้อง คุณกับเอมี่ตัวสูงพอๆ กัน ไซส์รองเท้าน่าจะพอใส่ด้วยกันได้”

“แต่ว่า...ถ้าเอมี่รู้เข้าคงไม่ดีมั้ง”

“ยายนั่นมีรองเท้าเป็นร้อยคู่ แค่นี้ไม่ถือสาหรอก ถ้าไม่อยากขึ้นไปเอารองเท้าของตัวเองก็ใส่ซะ”

ดุจังวุ้ย...พิงภพมองอีกฝ่ายวางรองเท้าบนพื้น ความที่ขี้เกียจเถียงก็เลยยอมใส่ สีสันลูกกวาดอันแสนจะตัดกับผิวเท้าเกรียมแดดทำเอาเขาขนลุก

“อ่า...งั้นฝากบอกเอมี่ว่าขอยืมก่อนก็แล้วกัน ขอบคุณนะ”

“ป่านนี้ยายนั่นคงลืมแล้วว่าเคยมีรองเท้าคู่นี้ ไว้เขามาที่เกาะอีกรอบค่อยไปขอบคุณเองเถอะ”

“อ้าว? เอมี่กลับไปแล้วเหรอ?”

“ไปได้สองสามวันแล้ว ไหนเมื่อกี้บอกว่าจะรีบไปทำงานไง?”

พิงภพยู่ปากเมื่อโดนย้อนถาม แต่ก็จริงว่าเขาโอ้เอ้มาหลายนาที เลยเสียบกุญแจสตาร์ทรถแล้วหันไปตบบ่าคนที่กำลังยืนกอดอก

“งั้นเราไปก่อนนะ แล้วเจอกันที่บลูแซนด์ อย่าเบี้ยวนัดพี่บุ๋มล่ะ”

“สัญญาไปแล้วไม่เบี้ยวหรอกน่ะ คุณขับรถดีๆ ก็แล้วกัน”

“ครับคุณพ่อ ว่าแต่จะไม่ให้ค่าขนมด้วยเหรอ?”

พิงภพแกล้งแบมือขอ พออีกฝ่ายหรี่ตาก็หัวเราะแล้วขับรถออกจากลานจอด จึงไม่ทันเห็นมุมปากที่หยักขึ้นของคนที่มองตาม ก่อนเจ้าตัวจะบ่ายหน้าแล้วออกวิ่งไปอีกทาง



++---TBC---++



A/N: ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปอาจต้องขอทิ้งช่วงเป็นสองสัปดาห์ต่อหนึ่งตอนนะคะ เนื่องจากตอนเนื้อหาในสต็อกเริ่มร่อยหรอ + ต้องขนของย้ายบ้านครั้งใหญ่ ยังไงจะคอยอัพเดทว่าโพสต์ตอนใหม่เมื่อไหร่ที่เพจ ถ้ายังไม่ติดตามก็ไป follow ได้เลยค่ะ www.facebook.com/BellbombNovels

 

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 8 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 14.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-11-2019 18:15:32
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 8 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 14.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 14-11-2019 19:19:55
 :L1:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 8 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 14.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-11-2019 22:33:55
พุธสเน่ห์แรงนะ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 8 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 14.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-11-2019 06:55:37
ครูพุธใส่แตะชมพูยูนิคอร์น~~ ทำไปด๊ายยย  :jul3:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 8 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 14.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-11-2019 17:42:38
ตะวันพิงภพ บทที่ 9


ครึ่งปีก่อน...

อทิตยะมองแผ่นกระดาษที่เพิ่งเอาใส่กรอบ เขาวางมันบนที่ว่างเหนือชั้นหนังสือแล้วถอยออกดูอีกครั้ง ก่อนจะหันไปด้านหลังเมื่อมีมือตบลงบนบ่า

“ยินดีด้วยนะเต็ม ในที่สุดก็เรียนจบแล้ว”

“ขอบคุณครับป๋า”

อทิตยะไหว้ขอบคุณญาติผู้ใหญ่ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ความภาคภูมิใจฉายชัดในแววตาของบูรพา ชายหนุ่มรู้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนอีกฝ่ายสูญเสียลูกชายที่ยังไม่เกิดเพราะภรรยาครรภ์เป็นพิษ เหตุการณ์นั้นทำให้ชีวิตคู่เปราะบางจนนำไปสู่การหย่าร้าง และอาจเป็นเหตุผลที่บูรพาเอาใจใส่ลูกชายที่เพื่อนฝากฝังราวกับเป็นลูกบังเกิดเกล้า

สิบปีผ่านไปตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะบูรพาคะยั้นคะยอให้เรียนต่อระดับอุดมศึกษา อทิตยะก็คงเลิกเรียนตั้งแต่จบมัธยมปลายแล้ว เพราะเขาช่วยงานอีกฝ่ายทั้งในร้านอาหารและค่ายมวยไทยมาตลอด จึงถนัดการลงมือทำให้เห็นผลมากกว่านั่งถกทฤษฎีไปวันๆ

ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเตียงพลางระบายลมหายใจยาว บูรพาดึงเก้าอี้มานั่งตรงหน้า หลังสังเกตเขาครู่หนึ่งก็ถาม

“เป็นอะไร? ทำไมหน้าตาดูไม่ดีใจเลย?”

อทิตยะยกมือข้างหนึ่งเท้าคางบนเข่าพลางยิ้มแกนๆ “ไม่รู้สิ ใจหนึ่งผมก็ดีใจที่เรียนจบ อีกใจก็คงนึกเสียดายที่ไม่มีเป้าหมายให้พุ่งชนแล้วล่ะมั้ง”

“ทั้งที่มีงานของป๋าให้ช่วยทำ แล้วก็กิจการที่หุ้นกับเพื่อนด้วยน่ะเหรอ?”

“ผมก็แค่ช่วยออกไอเดียกับเป็นที่ปรึกษา คนที่ลงทุนลงแรงจริงๆ คือริคต่างหาก”

อทิตยะตอบ ริคเป็นเพื่อนที่เขารู้จักตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่ฝ่ายนั้นอายุมากกว่าเพราะหลังจบมัธยมก็ทำงานจิปาถะหลายปีก่อนตัดสินใจเรียนต่อ ทั้งคู่คุยกันถูกคอเพราะความสนใจคล้ายกัน ตอนที่อทิตยะเสนอความคิดที่จะทำธุรกิจด้านแอปพลิเคชัน ริคคือคนที่ผลักดันให้ไปจดทะเบียนตั้งแต่เรียนอยู่ปีสอง แล้วก็เป็นเขาอีกที่ทำให้ริคได้คบหากับเอมี่ ถึงแม้ว่าตอนที่แนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกันจะไม่ได้ตั้งใจเล่นบทกามเทพ

“ถึงยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเต็มคือหัวแรงสำคัญ เพราะถึงริคจะเป็นคนที่ออกหน้าก็ยังต้องมาปรึกษาเต็มก่อน ทำไมไม่ไปช่วยบริหารให้เต็มตัวซะเลยล่ะ ป๋าได้ยินว่าริคกำลังจะกู้เงินธนาคารมาขยายบริษัทด้วยนี่”

“เรื่องขยายบริษัทนี่เคยคุยกันไว้นานแล้ว แต่ผมไม่ถนัดงานบริหาร ผมชอบคิดหาไอเดียแล้วเสนอไปเรื่อยๆ มากกว่า อีกอย่างพอเป็นผู้บริหารก็ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง คงไม่เหมาะกับคนขวางโลกอย่างผมเท่าไหร่”

ชายหนุ่มเหลือบมองรอยสักบนสองแขนที่โผล่พ้นเสื้อแขนสั้น เขาเริ่มเข้าร้านสักครั้งแรกตอนอายุสิบแปด ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เริ่มสนใจการแข่งมอเตอร์ไซค์แบบมืออาชีพ แต่เพิ่งจะหยุดไปเมี่อปีที่แล้วเพราะต้องช่วยริคดูแลธุรกิจประกอบกับอยากรีบเรียนให้จบ

“เพราะเรื่องตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยจะแอนตี้โซเชียลไปเรื่อยๆ อย่างนี้เหรอ หือ? เต็ม?”

คำพูดแทงใจแต่เปี่ยมด้วยความอาทรคือเอกลักษณ์ของบูรพา ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับบางสิ่งที่เขาทำ แต่ก็ไม่เคยใช้น้ำเสียงต่อว่าหรือดูแคลน และนั่นทำให้เขาต้องหยุดคิดคำตอบแทนที่จะเถียงกลับโดยอัตโนมัติทุกครั้ง

“ไม่ใช่หรอกครับ ป๋าก็รู้ว่าผมเข้าสังคมไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไร”

“ไม่เก่งกับเลือกที่จะไม่ทำมันคนละเรื่อง ตอนยังแข่งรถป๋าก็เห็นเต็มไปมาหาสู่กับเพื่อนๆ นี่ ถ้าเต็มอยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ แต่เพราะเราขีดลิมิตให้ตัวเอง ถึงได้ยังติดอยู่กับป๋าแบบนี้ไง”

ชายสูงวัยเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่อทิตยะเพียงยิ้มอ่อนๆ เพราะรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดก็ไม่ผิด

“ถึงติดอยู่กับป๋าก็ไม่เห็นเป็นไร มีงานให้ผมได้ทำตั้งเยอะ”

“นั่นมันก็จริง แต่นานๆ ไปป๋ากลัวเราจะไม่ได้ออกไปเจอใครเลยน่ะสิ เอางี้! ไหนๆ ก็เรียนจบแล้ว กลับบ้านสักทีก็ดีนะ”

“ป๋าหมายความว่า...”

อทิตยะมือเย็นเฉียบกะทันหัน สีหน้าของเขาคงดูตกใจมากเพราะคู่สนทนารีบกล่าวเสริม

“เฮ่ย! ป๋าไม่ได้จะไล่ออกจากบ้าน! แค่เสนอให้กลับไปเยี่ยมเฉยๆ ป๋ารู้ว่าที่เมืองไทยคงไม่มีอะไรดึงดูดเต็มให้อยากกลับ แต่ถึงยังไงพ่อเขาก็อยู่ที่นั่น ใจคอจะไม่ไปเยี่ยมบ้างหรือไง ฮึ?”

“เขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมผมนี่ครับ มีแค่ตอนที่มาส่งครั้งเดียวตอนแรกสุดนั่นแหละ”

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่อทิตยะได้เห็นหน้าพ่อ หลังจากนั้นฝ่ายนั้นก็โทรมาคุยบ้าง แต่เพราะเขาถูกถามคำก็ตอบคำ สุดท้ายก็เลยต้องสื่อสารกันผ่านบูรพาแทน

“เขาก็คงรู้ว่าถ้ามาหาจะเจอการต้อนรับแบบไหน ป๋าเข้าใจเต็มนะ แต่พ่อเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ทำความผิดพลาดได้เหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ”

“ถ้าเขาไม่ใช่พ่อผม ผมก็คงไม่สนหรอกว่าเขาเคยทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง”

อทิตยะแค่นยิ้ม มือหนึ่งลูบไปตามรอยสักบนแขนอีกข้าง บูรพามองเขาก่อนจะถอนหายใจ

“เอาอย่างนี้ กลับไปเยี่ยมเมืองไทยสักพัก ถ้ากลัวว่าจะไม่มีอะไรทำก็ไปหาบุ๋มที่เกาะเต่า จำได้ใช่ไหมว่าป๋าเปิดรีสอร์ตที่นั่น ไปช่วยเขาทำงานแก้เบื่อก็ได้ ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดให้ป๋าก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มเบิกตากว้างเหมือนไม่อยากเชื่อหู บูรพาเห็นเข้าก็ยิ้มชอบใจ

“ป๋า...”

“อย่ามางอแง โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องออกไปเจอโลกกว้าง จะเอาแต่ขลุกอยู่แต่ที่ร้านกับค่ายมวยได้ยังไง ดูเอมี่สิ ขานั้นยังบินไปบินมาเป็นว่าเล่นเลย”

“ก็ผมกับเอมี่ไม่เหมือนกัน”

“ถ้าเหมือนกันป๋าคงปวดหัว เอาเป็นว่าเช็กตั๋วเครื่องบินดู เดี๋ยวป๋าจ่ายขาไปให้เอง ลองไปอยู่ให้ได้สักสองสามเดือน ถ้ามันอึดอัดจนทนไม่ไหวค่อยว่ากัน ส่วนตั๋วขากลับค่อยซื้อทีหลังก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ไปให้พ่อเขาเห็นหน้าหน่อย”

“คงจะเป็นการรียูเนียนที่อบอุ่นมากเลยล่ะครับ”

“ช่างประชดจริง เอาน่า พยายามทำหัวให้เย็นๆ แล้วคุยกันดีๆ พ่อเขาไม่ใช่คนเลวร้าย แค่มีปัญหาในการสื่อสารเท่านั้นเอง บางทีกลับบ้านครั้งนี้เต็มอาจได้เจออะไรดีๆ ก็ได้นะ”

บูรพาเอ่ยก่อนจะตบบ่าเขา อทิตยะมองตามหลังผู้สูงวัยที่เดินออกจากห้อง จากนั้นก็เอนตัวนอนแผ่บนเตียงอย่างหมดแรง

กลับเมืองไทยหลังใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมืองเป็นสิบปีน่ะหรือ มันยังจะเหลืออะไรดีๆ ให้เขาได้เจอกัน...

 


++------++

 

               

อทิตยะวิ่งเลียบถนนไปเรื่อยๆ กระทั่งดูเวลาว่าพอสมควรก็กลับอพาร์ตเมนต์ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กินมื้อเช้าในตลาดแล้วขับมอเตอร์ไซค์ไปที่รีสอร์ต เหตุผลหนึ่งที่เขามาเกาะเต่าโดยไม่บอกใครก็เพราะอยากดูลาดเลาก่อน อีกอย่างบูรพาก็แค่เสนอที่นี่เป็นทางเลือก ดังนั้นถ้าเขาอยากจะถอนตัวเมื่อไรก็ย่อมได้

ชายหนุ่มจอดรถที่ลานหน้ารีสอร์ต ตั้งแต่มาถึงวันแรกเขาก็เช่ามอเตอร์ไซค์ขับสำรวจไปทั่วเกาะ ที่บลูแซนด์นี่ก็เคยเข้ามานั่งกินข้าวด้วยซ้ำ โชคดีที่วันนั้นไม่เจอบุณฑริก ไม่อย่างนั้นคงถูกเรียกให้เข้ามาที่นี่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้

ร่างสูงเดินตามป้ายชี้บอกทางไปสำนักงาน พอเข้าไปถึงและเลื่อนประตูออก บุณฑริกซึ่งกำลังนั่งทำงานก็ยิ้มกว้าง

“มาแล้วๆ น้าก็นึกว่าต้องโทรไปเตือนซะอีก”

“ผมไม่เบี้ยวนัดน้าบุ๋มหรอกครับ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ หนุ่มๆ สมัยนี้ยิ่งชอบเทกันอยู่ด้วย มาๆ นั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวน้าเอาน้ำดื่มให้”

อทิตยะทรุดตัวนั่งบนโซฟา เขารับแก้วน้ำที่บุณฑริกกดจากคูลเลอร์มาให้แล้วถามอย่างสงสัย

“วันนี้คนอื่นไม่มาทำงานเหรอครับ?”   

“คนอื่น? อ๋อ วันนี้ฝั่งรีเซปชันลาป่วยสองคนน้าก็เลยให้ลูกน้องฝั่งนี้ไปช่วย แต่ส่วนมากช่วงเช้าก็จะมีแต่น้านี่แหละที่นั่งเฝ้าห้องนี้”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ เขากวาดตามองรอบสำนักงาน บนชั้นวางของข้างแฟ้มเอกสารมีหนังสือเกี่ยวกับการดำน้ำเรียงเป็นตับ บนผนังอีกด้านก็ขึงธงของสถาบันดำน้ำที่บลูแซนด์เป็นตัวแทนอยู่ วูบหนึ่งที่เขานึกถึงคนข้างห้องเพราะชอบสวมเสื้อยืดสกรีนโลโก้ของรีสอร์ตและสถาบันดำน้ำคู่กัน

“ตอนที่ป๋าเล่าว่ามีกิจการรีสอร์ตควบโรงเรียนสอนดำน้ำ ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าเป็นยังไง เพราะไม่เคยเห็นป๋าดำน้ำเองสักที”

“แปลกดีใช่ไหมล่ะ? ความจริงตอนแรกเขาแค่อยากทำรีสอร์ต แต่มีคนรู้จักแนะนำครูสอนดำน้ำที่อยากเปิดโรงเรียนที่นี่ พอคุยกันถูกคอก็เลยหุ้นกันทำธุรกิจซะเลย”

“ก็สมเป็นป๋าดีครับ”

อทิตยะตอบ ถึงแม้จะไม่แสดงออกทางน้ำเสียงหรือสีหน้า แต่เขาก็ชื่นชมบูรพาที่กล้าเริ่มธุรกิจใหม่ๆ ทั้งที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานโดยตรง อย่างค่ายมวยและร้านอาหารที่เมลเบิร์นซึ่งเปิดกับพ่อของเอมี่ก็เหมือนกัน บางทีนั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากทำธุรกิจบ้าง และโชคดีที่ได้รู้จักริคซึ่งพร้อมจะนำไอเดียของเขาไปขยายให้เป็นรูปธรรม

“เอาล่ะ ทีนี้มาคุยกันเรื่องของเต็มบ้างดีกว่า”

ชายหนุ่มเบนสายตาจากถ้วยรางวัลบนชั้น แล้วก็เห็นบุณฑริกทำหน้ายิ้มแย้ม

“ครับ?”

“อันที่จริงพี่บู๊บอกแค่ว่าเต็มอาจจะมาหา แล้วก็บอกว่าถ้าตกลงจะอยู่ช่วยงานก็ให้เลือกเองว่าอยากทำอะไร น้ารู้ว่าเรามีประสบการณ์เยอะจากเมลเบิร์น ดังนั้นถ้าอยากทำอย่างอื่นที่ไม่เคยทำก็ได้นะ จะได้ไม่เบื่อ”

“น้าบุ๋มไม่มีงานส่วนไหนที่ต้องการคนช่วยเป็นพิเศษเลยเหรอ?”

“อืม...ช่วงไฮซีซันก็มีบ้างที่อยากได้แม่บ้านหรือคนสวนเพิ่ม แต่เต็มน่าจะโอเวอร์ควอลิฟายด์ น้าว่าเลือกทำอย่างอื่นดีกว่า”

หญิงสาวหัวเราะพลางตบบ่าเขา สิ่งที่ทำให้เขาค่อนข้างสบายใจเวลาอยู่กับบูรพาและบุณฑริกก็คงเพราะไม่รู้สึกเหมือนถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลา

“ที่บลูแซนด์ไม่มีฟิตเนส ส่วนห้องอาหารก็พนักงานเยอะแล้ว ผมขอเป็นผู้ช่วยน้าบุ๋มก็ได้ เพราะยังไม่รู้เลยว่าจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”

“อ้าว มีคนที่ต้องรีบกลับไปหาที่เมลเบิร์นเหรอ?”

“เปล่าครับ ผมแค่ยังไม่อยากแพลนอะไรตายตัว”

อทิตยะตอบพลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบ บุณฑริกไม่รู้เรื่องที่ทะเบียนประวัติของเขาด่างพร้อยตอนอายุสิบแปด คนที่รู้มีเพียงบูรพา ครอบครัวของเอมี่ แล้วก็คู่กรณีรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่เมลเบิร์น กระทั่งพ่อของเขาก็ไม่เคยได้รับฟังรายละเอียดเชิงลึก

“จะว่าไป น้าได้ยินมาว่าเต็มทำธุรกิจสตาร์ทอัพกับเพื่อนใช่ไหม มันเป็นธุรกิจแบบไหนเหรอ?”

“เป็นแอปพลิเคชันมือถือครับ คล้ายๆ ทินเดอร์แต่ไม่ใช่หาคู่เดท เป็นแอปสำหรับคนที่ต้องการคำปรึกษาจากคนที่รู้จริงในเรื่องที่สนใจ คนที่ดาวน์โหลดแอปจะเลือกดูคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญในลิสต์ก่อนจะทักไปหา เราเก็บค่าลงทะเบียนและตรวจสอบประวัติด้วยเพื่อป้องกันมิจฉาชีพในระดับหนึ่ง”

“สุดยอด! วิทยาการยุคใหม่นี่มันดีจริงๆ เนอะ ไม่เหมือนสมัยน้า แค่จะกู้ธนาคารมาเปิดร้านขายของยังยาก”

น้ำเสียงของบุณฑริกแสดงความชื่นชม ชายหนุ่มโล่งอกขึ้นที่หัวข้อสนทนาเป็นเรื่องที่เขาสามารถคุยได้อย่างเปิดเผย

“ตอนนี้แอปของผมยังจำกัดพื้นที่ใช้งาน แต่กำลังวางแผนกันว่าจะขยายให้ใช้ได้ทั่วออสเตรเลีย ไม่แน่ในอนาคตก็อาจขยายให้ใช้งานได้ทั่วโลก”

คราวนี้หญิงสาวอ้าปากค้าง เธอมองเขานิ่งหลายวินาทีก่อนจะเอ่ยคำออกมาได้

“เต็ม! นี่มันไม่ใช่งานเล็กๆ นะ! แล้วมัวมาทำอะไรที่นี่แทนที่จะไปช่วยเพื่อนทำธุรกิจ ฮึ!?”

“ใจเย็นๆ ครับน้าบุ๋ม นี่เป็นโครงการระยะยาว อีกอย่างผมแค่ออกไอเดีย ส่วนเพื่อนผมก็มีทีมงานคอยช่วยแล้ว ดังนั้นตัวผมจะอยู่ไหนก็ได้ เวลาจะประชุมค่อยคอนเฟอเรนซ์คอล”

อทิตยะอธิบายอย่างใจเย็น การเป็นสตาร์ทอัพไม่ใช่งานง่ายเลยจริงๆ หลังทำกันไปได้ระยะหนึ่งเขาถึงบอกริคว่าขอทำงานเบื้องหลังเพื่อจะได้ใช้ความคิดได้เต็มที่ โชคดีที่ริคเข้าใจและไม่กดดันให้ออกหน้า

“เฮ้อ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าเด็กดื้อที่เจอกันตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ตอนนี้จะทำอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้ พ่อเราคงภูมิใจน่าดูเลยนะเนี่ย”

“เรื่องนั้นผมไม่รู้ เพราะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่”

ประเด็นเรื่องพ่อทำให้น้ำเสียงของอทิตยะแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ บุณฑริกมองเขาพลางทำหน้าปลง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบของที่โต๊ะ

“ไหนๆ ก็จะมาเป็นผู้ช่วยน้าแล้ว งั้นไปแนะนำตัวกับเดินดูรอบรีสอร์ตกันดีกว่า พวกพนักงานจะได้ไม่นึกว่าน้าจ้างยากุซ่ามาควงแก้เหงา”

น้ำเสียงหยอกเย้าช่วยให้อทิตยะผ่อนคลายลง เขาพยักหน้าก่อนจะดื่มน้ำจนหมดแก้ว จากนั้นก็เดินออกจากสำนักงานตามบุณฑริกโดยไม่อิดออด

 


++------++

 

 

ช่วงพักกลางวันบนเรือ หลังทุกคนกินข้าวเสร็จและรอลงดำน้ำรอบบ่าย พิงภพก็เรียกสมาชิกในกลุ่มมารวมกันแล้วเปิดแผนที่ของจุดดำน้ำให้ดู

“กัปตันบอกผมว่าบ่ายนี้เราจะไปดำน้ำที่หินสามกอง ถ้าโชคดีหน่อยอาจได้เจอปลากระเบน นอกนั้นก็คงมีปลาสิงโต ปลาผีเสื้อ แล้วก็ตัวจิ๋วๆ อย่างม้าน้ำ ส่วนปลาวัวนี่ถ้าเจอก็อย่าเข้าใกล้แล้วกัน”

“จะได้เจอเต่าไหมคะ?”

“บางทีก็เจอ บางทีก็ไม่เจอครับ ไม่กี่วันก่อนมีคนบอกว่าเห็นแถวๆ นั้น วันนี้มันอาจมาอีกก็ได้”

เหล่าสมาชิกพากันส่งเสียงตื่นเต้น ระหว่างคุยกันก็มีคนเอามือมาตบไหล่เขา พอพิงภพหันไปก็เห็นว่าเป็นลี

“มีอะไรเหรอ?”

“นายอ่านไลน์จากพี่บุ๋มหรือยัง?”

“หือ? ไลน์อะไร ฉันยังไม่ได้ดูมือถือเลยตั้งแต่เช้า”

พิงภพขอตัวกับสมาชิกกลุ่มแล้วลุกตามเพื่อนออกมา ลียื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้ดู

“New staff welcome party tonight...อ๋อ หมายถึงเต็มล่ะมั้ง”

“อ้าว นายรู้จักด้วยเหรอ?”

ลีทำหน้าแปลกใจ พิงภพยิ้มพลางนึกเสียดายที่วันนี้สเวนกับมาริอุสอยู่บนเรืออีกลำ ไม่อย่างนั้นจะได้อวดเสียหน่อยว่าเขารู้เรื่องนี้ก่อน

“เห็นว่าเป็นหลานของพี่บู๊ที่เป็นเจ้าของบลูแซนด์น่ะ เพิ่งกลับจากเมลเบิร์นก็เลยจะมาช่วยงานที่รีสอร์ต แต่ยังไม่รู้ว่าจะมาทำส่วนไหน”

“งั้นเหรอ ก็ดีนะ ไม่มีพนักงานใหม่เข้ามาตั้งนานแล้ว ฉันล่ะอยากให้หมอนี่มาช่วยประสานงานกับเรือแทนพวกเราที่ต้องคอยผลัดเวรกันชะมัด”

“เอ้า ช่วยไม่ได้นี่ พวกที่ยังเป็นแค่ไดฟ์มาสเตอร์อย่างสเวนก็ต้องหัดประสานงานกับเรือเหมือนกัน ที่ผลัดกันทำก็ถูกแล้ว”

“แต่เดี๋ยวพอสอบได้ใบประกาศก็เลื่อนเป็นครูสอนกันหมด เผลอๆ บางคนอาจจะย้ายไปทำงานที่อื่นด้วย เอาเถอะ ถ้าหมอนี่ไม่มีพื้นฐานการดำน้ำก็คงไม่สนหรอกมั้ง”

ลีบ่นงึมงำก่อนจะเดินกลับกลุ่มของตัวเอง พิงภพได้แต่นึกภาพตาม ถึงอทิตยะจะรูปร่างแบบนักกีฬาก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนใจกีฬาทางน้ำ แถมหน้าตาไม่ค่อยจะรับแขกแบบนั้น...ถ้าต้องทำงานกับกัปตัน ลูกเรือ ครูสอนดำน้ำและเหล่านักเรียนคงสนุกพิลึก

“เดี๋ยวอีกสิบห้านาทีจะถึงจุดดำน้ำ บอกพวกนักเรียนให้เตรียมตัวได้แล้วนะพุธ”

“ได้ครับน้าแคน”

พิงภพตอบกัปตันที่เดินผ่านมาพอดี เขาเหลียวมองที่ตั้งของบลูแซนด์รีสอร์ตซึ่งเห็นได้จากบนเรือ มุมปากกระตุกยิ้มเมื่อคิดว่าเย็นนี้จะได้เห็นสีหน้าแบบไหนของเจ้าหนุ่มข้างห้องในงานปาร์ตี้

 


++------++

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 8 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 14.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 28-11-2019 17:43:30
“ทุกคน คืนนี้กินดื่มกันตามสบายนะ แต่พรุ่งนี้ใครต้องทำงานแต่เช้าก็ยั้งๆ ไว้หน่อย ฝากต้อนรับเต็มกันด้วยนะจ๊ะ”

เสียงปรบมือและเป่าปากดังขึ้นทันทีที่บุณฑริกพูดจบ ตอนนี้พวกเขาอยู่บนชั้นสองของห้องอาหารริมหาดซึ่งไม่มีหลังคา พระอาทิตย์กำลังจะตก แสงยามโพล้เพล้ดึงดูดให้ลูกค้าหลายคนขึ้นมานั่งดูวิว พอคนเหล่านี้ได้ยินบุณฑริกก็พากันส่งเสียงเฮฮาไปด้วย

อทิตยะพยายามไม่ทำหน้า ‘หงิก’ ให้มากนัก ปกติเวลาไปร่วมงานปาร์ตี้ที่เมลเบิร์นเขามักจะนั่งดื่มเงียบๆ พอต้องมาเป็นดาวเด่นของงานก็เลยไม่ค่อยชอบ ถึงจะรู้ว่านี่เป็นวิธีทำให้ทุกคนรู้จักเขาได้เร็วที่สุดก็เถอะ

“โอ๊ะ พวกที่จะออกไปดำน้ำกลางคืนกำลังจะลงเรือกันล่ะ”

อทิตยะได้ยินเสียงของลูกค้ากำลังชี้ชวนกันดูด้านล่าง ก็เลยเดินไปที่ระเบียงแล้วมองลงไปบ้าง เรือเล็กที่หน้าตาเหมือนแพยางกำลังจอดรอเหล่านักดำน้ำที่ทยอยก้าวเข้าไปนั่ง เขาเห็นชายหนุ่มผมยุ่งเหยิงในชุทเว็ทสูทเข้ารูปก้าวขึ้นเรือเป็นคนสุดท้าย ชายคนนั้นนั่งลงเมื่อคนขับเริ่มดันเรือออกจากหาด แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาเหมือนรู้ว่าถูกมอง สายตาของทั้งคู่ประสานกันอย่างจัง ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะยิ้มยิงฟันแล้วโบกมือให้เขา คนอื่นในเรือเลยมองตามจนอทิตยะต้องถอยกลับเข้าด้านใน

เป็นคนเฟรนด์ลี่ซะจริง...แล้วทำไมเขาจะต้องจำรูปร่างหมอนั่นได้ถึงจะเห็นแค่ด้านหลังด้วยนะ

ชายหนุ่มพยายามไม่คิดมากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาเดินไปหยิบเบียร์ที่มุมเครื่องดื่มซึ่งจัดไว้เป็นพิเศษสำหรับพนักงาน ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงแต่ก็ไม่เป็นทางการนัก ใครว่างก็เดินมาหยิบแก้วเครื่องดื่มได้เลย บางคนอาจจะขอชนแก้วกับเขาและชวนคุยบ้าง แต่อทิตยะไม่ใช่คนช่างพูด แต่ละคนจึงคุยกับเขาไม่นานแล้วก็ไปหาที่นั่งคุยกันเอง

หลังจากที่กลุ่มดำน้ำกลางคืนออกไปได้ชั่วโมงกว่าก็กลับมา เสียงปรบมือของคนในแพยางขณะแล่นเข้าฝั่งลอยขึ้นมาให้ได้ยิน บุณฑริกเดินมาหาอทิตยะที่กำลังนั่งสูบบุหรี่เงียบๆ ที่โต๊ะข้างกำแพง

“อีกเดี๋ยวพวกที่ออกไปไนต์ไดฟ์ก็คงขึ้นมา หลายคนยังไม่ได้เจอเต็มเลยตั้งแต่เช้า เดี๋ยวน้าค่อยมาแนะนำให้อีกทีนะ”

“โอเคครับ”

อทิตยะรับคำอย่างไม่กระตือรือร้น เขามองบุณฑริกที่ผละไปคุยกับลูกค้าแล้วก็หันไปสูบบุหรี่ต่อ อึดใจใหญ่ต่อมาก็ได้ยินเสียงเฮฮาของกลุ่มคนที่เดินขึ้นบันได

“อ๊ะ นั่นไง คนที่ฉันพูดถึง”

เสียงอันคุ้นเคยแต่เป็นภาษาอังกฤษดึงความสนใจของอทิตยะ เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นพิงภพยิ้มกว้างเดินเข้ามาหา ด้านหลังมีกลุ่มชาวต่างชาติตามมาอีกห้าหกคน แต่ละคนล้วนมองเขาด้วยความสนใจ

“โชคดีที่มาทันงานเลี้ยงรับน้องใหม่ เป็นไงบ้างเต็ม? พี่บุ๋มพาไปโชว์ตัวทั่วรีสอร์ตแล้วสิ”

คราวนี้พิงภพเปลี่ยนมาใช้ภาษาไทยกับเขาพร้อมน้ำเสียงหยอกเย้า อทิตยะอัดควันเข้าปอดก่อนเคาะเถ้าบุหรี่บนที่เขี่ย

“ก็ทำนองนั้น แต่น้าบุ๋มบอกว่ามีฝั่งโรงเรียนดำน้ำที่ยังไม่ได้เจออีกหลายคน”

“แหงสิ วันนี้หลายคนลงเรือกันตั้งแต่เช้า งั้นขอแนะนำพวกเพื่อนๆ เราก่อนแล้วกัน ส่วนคนอื่นที่ยังคุยกับนักเรียนอยู่คงทยอยตามกันขึ้นมา”

พิงภพเอ่ยก่อนจะหันไปแนะนำเพื่อนทีละคน ความจริงแล้วมีครูสอนดำน้ำของรีสอร์ตหลายคนที่เป็นคนไทย แต่ดูเหมือนคนที่เจ้าตัวสนิทด้วยส่วนมากจะเป็นต่างชาติ แต่ละคนทักทายเขาแล้วก็ผละไปตักอาหาร พิงภพที่ยังรั้งท้ายหันมาถาม

“ตรงนี้มีใครนั่งหรือยัง?”

“ไม่มี เรานั่งอยู่คนเดียว”

“พอดีเลย งั้นขอจองที่ไว้ก่อนนะ”

พูดจบพิงภพก็วางเป้แล้วเดินไปตักอาหาร อทิตยะมองตามก่อนจะหันไปมองวิวทะเลอีกครั้ง บนเส้นขอบฟ้าเต็มไปด้วยแสงจากเรือหาปลาเป็นจุดๆ เขารู้ว่าที่พิงภพให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษก็เพราะว่าเขาไม่รู้จักใคร แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้หงุดหงิดพิกล

“มาแล้วๆ หิวเป็นบ้า ดีนะที่มีปาร์ตี้เลยได้กินฟรี”

เสียงสดใสของคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามดึงความสนใจของอทิตยะกลับมา แล้วก็อึ้งเมื่อเห็นปอเปี๊ยะ ไส้กรอกทอดและเฟรนช์ฟรายส์กองพูนเต็มจาน พิงภพใช้ส้อมจิ้มอาหารกินด้วยท่าทางหิวโหยจนเขาต้องถาม

“กินหมดนั่นไหวเหรอ?”

“ไหวดิ ดำน้ำนี่ใช้แรงเยอะนะ ขึ้นๆ ลงๆ กลางทะเลวันนึงตั้งหลายรอบ น่าจะเบิร์นไปร่วมพันแคลได้มั้ง”

อทิตยะไม่แน่ใจเรื่องตัวเลข แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าระบบเผาผลาญของพิงภพต้องดีมาก เพราะถ้าเขากินอาหารทอดมันๆ แบบนี้ทุกเย็นคงยากที่จะรักษารูปร่างได้

“กินด้วยกันมั้ย? เดี๋ยวหมดแล้วค่อยไปตักเพิ่ม”

“ไม่เป็นไร เห็นคุณกินเหมือนอดอยากขนาดนี้แล้วไม่กล้าแย่ง”

มีเสียงขลุกขลักในคอจากคู่สนทนา พิงภพรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่มก่อนจะหัวเราะ

“เต็มนี่ชอบเล่นมุกหน้าตายนะเนี่ย แต่แบบนี้ก็มีเอกลักษณ์ดี ชอบๆ”

พูดเสร็จเจ้าตัวก็ยื่นมือมาตบบ่าเขา อทิตยะอัดบุหรี่อึกสุดท้ายเข้าปอดแล้วขยี้บนที่เขี่ย

“เราจะไปเอาเบียร์ คุณอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า?”

“เอ...ถ้าเขามาเติมไก่ทอดก็ฝากหยิบให้หน่อยแล้วกัน พอดีเมื่อกี้มันหมด แต๊งกิ้ว”

อทิตยะพยักหน้าก่อนจะเดินไปตักอาหารและหยิบเบียร์จากเคาน์เตอร์ เมื่อกลับมาที่โต๊ะก็พบว่าอาหารในจานพร่องอย่างรวดเร็ว ถ้าเอมี่มาเห็นคงกรี๊ดใส่พิงภพเพราะเธอใส่ใจเรื่องโภชนาการมาก จะยกเว้นก็เฉพาะช่วงนั้นของเดือนที่โหยหาของหวานของทอด

“พอดีเอามาได้แค่นี้แหละ ที่เหลือคนอื่นหยิบไปหมดแล้ว”

“หูย ขอบคุณ ห้าปีกนี่ก็เยอะละ ขืนกินมากกว่านี้เดี๋ยวอืดจนนอนไม่หลับ”

“ดูคุณไม่น่าจะเป็นคนนอนหลับยากเลยนะ”

หลักฐานง่ายๆ ก็คืนที่เขาไปขอนอนด้วยเพราะตุ๊กแกนั่นไง พิงภพคงรู้ตัวเลยยิ้มยิงฟัน พลันเสียงกรี๊ดกร๊าดจากชายหาดก็เรียกความสนใจของพวกเขา พอยื่นหน้าออกไปดูก็เห็นว่าต้นเสียงคือกลุ่มคนที่กำลังเล่นเกมลอดเชือก เสียงร้องเชียร์ดังคละเคล้ากับเสียงดนตรีที่ดังสนั่นจากลำโพง

“ที่นี่มีบีชปาร์ตี้ทุกวันเหรอ?”

“ก็แทบทุกวันนะ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาอยู่ไม่นานก็เลยอยากสนุกให้เต็มที่ ถ้าตรงกับวันพระใหญ่ที่ห้ามขายแอลกอฮอลล์ก็จะเงียบหน่อย แต่ช่วงไหนมีเทศกาลอย่างสงกรานต์ ปีใหม่หรือฟูลมูนล่ะก็ไม่ได้นอนกันยันเช้านั่นล่ะ”

อทิตยะพยักหน้ารับรู้ขณะจิบเบียร์ พิงภพใช้มือหนึ่งเท้าคางแล้วชิ้นิ้วมาหา

“เต็มถนัดซ้ายสินะ ตอนแรกไม่แน่ใจเพราะเห็นสูบบุหรี่มือขวา แต่เพิ่งสังเกตว่าเวลาหยิบอะไรหนักๆ หน่อยจะชอบใช้มือซ้าย”

“ก็ไม่เชิง ความจริงเราถนัดทั้งสองข้าง แต่ส่วนมากจะใช้ข้างซ้ายมากกว่าเพราะเคยชิน”

ชายหนุ่มนึกแปลกใจที่พิงภพดูออก ปกติแล้วไม่ค่อยมีคนรู้ว่าเขาถนัดซ้ายถ้าไม่ตั้งใจสังเกต

“โคตรเท่เลยอะ พ่อเราก็ถนัดซ้าย ตอนเด็กเรากับพี่ชายเคยพยายามจะเลียนแบบ แต่มันไม่ถนัดก็เลยต้องใช้มือขวาเหมือนเดิม”

“ท่าทางคุณคงสนิทกับพี่สินะ”             

“อื้อ ถึงจะแก่กว่าห้าปีก็เถอะ เขารับช่วงร้านสักต่อจากพ่อ นี่เราก็เพิ่งยุให้พาครอบครัวมาเยี่ยมอยู่เนี่ย”

ครอบครัว...อทิตยะฟังแล้วนึกอยากสูบบุหรี่อีก แต่ก็พยายามข่มใจเพราะวันนี้สูบไปมากกว่าหนึ่งซองแล้ว ขณะที่ยังไม่มีใครพูดอะไรต่อ เพื่อนๆ ของพิงภพก็พากันเดินเข้ามาล้อมโต๊ะ

“นี่ ทำไมมานั่งหลบมุมกันตรงนี้ จะไม่ให้พนักงานใหม่เขาสังสรรค์กับคนอื่นเลยหรือไงพุธ”

“อะไรเล่า อยากคุยก็เข้ามาสิ นี่ไงคนที่เอารองเท้ายูนิคอร์นให้ฉันยืมจนโดนเจ๊เพ็ชชี่แซวเมื่อเช้า”

พิงภพตอบพลางแนะนำคนที่เพิ่งมาให้อทิตยะรู้จัก เสียงครื้นเครงของพวกเขาเรียกบุณฑริกที่กำลังเดินดูความเรียบร้อยให้เข้ามาร่วมวง

“เป็นไงบ้าง? วงนี้รู้จักกันครบแล้วใช่ไหม?”

“พุธช่วยแนะนำแล้วครับ พี่บุ๋มนี่หลานโตขนาดนี้แต่ยังดูสาวอยู่เลยนะเนี่ย” 

“อ๊ะ ก็คนมันยีนดีนี่จ๊ะ อายุก็เลยทำร้ายพี่ไม่ได้”

บุณฑริกตอบกลั้วหัวเราะ เธอนั่งร่วมวงครู่หนึ่งก่อนจะปลีกตัวไปชั้นล่าง พอคล้อยหลังหญิงสาวทุกคนก็หันมาชวนอทิตยะคุย เริ่มจากประเด็นว่าเคยทำงานอะไรและเล่นกีฬาแบบไหนที่เมลเบิร์น

“ก็ชกมวยบ้างเพราะได้ช่วยงานที่ค่ายมวยตั้งแต่เด็ก บางทีก็เป็นเทรนเนอร์ให้ลูกค้าใหม่”

“มิน่ากล้ามแน่นเชียว จริงสิ ไหนๆ คืนนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้า เรามาเล่นเกมรับน้องใหม่กันดีกว่า”

มาริอุสเอ่ยพลางดีดนิ้ว ทุกคนในวงมองหน้ากันอย่างงงๆ จนเจ้าตัวโวย

“อะไรกันพวกนาย ก็ให้น้องใหม่งัดข้อกับรุ่นพี่ให้ครบทุกคนไง ถ้าใครแพ้ตาไหนต้องดื่มเบียร์หมดแก้ว คืนนี้ฟรีโฟลวซะด้วย เข้าทางเลย”

“จะดีเร้อ ถ้าพี่บุ๋มรู้เข้าก็มาว่าเอาหรอก”

หนึ่งในสมาชิกแย้ง แต่อทิตยะกลับคิดว่าเป็นไอเดียที่ดี ถึงยังไงคืนนี้เขาก็ไม่มีอย่างอื่นทำ แถมการแข่งขันด้านกำลังก็เป็นเรื่องที่ถนัดมาแต่ไหนแต่ไร

“ไม่ต้องห่วง ถ้าน้าบุ๋มว่าก็บอกเลยว่าเราอยากเล่นเอง”

“แมนโคตร มันต้องอย่างนี้สิน้องใหม่”

ลีตบบ่าเขาพร้อมกับหัวเราะชอบใจ พิงภพกวาดตามองรอบวงก่อนจะหันมาทำตาโต

“เดี๋ยว ขืนให้งัดข้อกับทั้งวงหมอนี่ได้เมาแอ๋พอดี เอางี้ ถ้าหากเต็มแพ้งวดไหนเราจะช่วยดื่มเบียร์แทนให้”

“วันนี้มาแปลก ไม่ใช่ว่าอยากดื่มเบียร์ฟรีเหรอพุธ?”

เพื่อนๆ พากันกระเซ้า แต่อทิตยะหรี่ตาใส่คนที่อาสาจะรับโทษแทน

“คุณคิดว่าเราจะแพ้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ดูสิว่าพวกนี้มีกันกี่คน แถมวันนั้นที่เต็มเมากลับมา...ช่างเหอะ เอาเป็นว่าเราช่วยในฐานะเพื่อนร่วมหอก็แล้วกัน”

คำตอบอันคลุมเครือชวนให้เลิกคิ้ว อทิตยะยอมรับว่าลืมทุกอย่างในเช้าวันที่เมากลับอพาร์ตเมนต์ แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะถามก็เลยตั้งศอกข้างหนึ่งขึ้นบนโต๊ะ

“งั้นก็เริ่มจากคุณก่อนเลย เดี๋ยวต้องงัดกับอีกหลายคน เผื่อเราแพ้ตาไหนคุณจะได้ช่วยดื่มอย่างเดียว”

เหล่าคนที่รุมล้อมส่งเสียงเฮเมื่อเห็นพิงภพทำหน้ามุ่ย สเวนอาสาไปยกเบียร์ใส่ถาดมาให้ ส่วนลีลุกไปบอกเพื่อนๆ คนอื่นว่าถ้าใครอยากร่วมวงก็มาได้

“เร็วพุธ เพื่อนๆ เชียร์นายอยู่นะ”

“ขอบใจ”

พิงภพขึงตาใส่มาริอุสก่อนจะหันมาตั้งศอกขึ้น อทิตยะยิ้ม โชคดีว่ากำลังแขนสองข้างของเขาไม่ต่างกันมาก ดังนั้นถึงต้องใช้มือขวางัดข้อกับพิงภพก็ไม่มีปัญหา

“โห แค่ขนาดแขนยังต่างกันขนาดนี้ ไม่ต้องแข่งก็รู้ผลแล้วมั้ง”

“เงียบไปเลยแจ็กกี้ มา เต็ม เราพร้อมละ”

อทิตยะมองแววตาที่จ้องตอบอย่างมุ่งมั่นขณะประกบฝ่ามือเข้าหา เขารู้ว่าพิงภพผอมกว่ามาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกันโดยตรง นิ้วเรียวยาวในอุ้งมือราวจะเปราะแตกถ้าเขาบีบแรงสักหน่อย ความคิดนั้นทำให้ไขว้เขวไปชั่วครู่

“เฮ้ยพุธ! เล่นทีเผลอนี่นา!”

“เผลอตรงไหน ก็ฉันบอกแล้วว่าพร้อม หมอนี่ยอมให้เองต่างหาก”

พิงภพหันไปยักคิ้วให้เพื่อนๆ อทิตยะมองมือที่โดนกดท่ามกลางสายตาไม่อยากเชื่อของคนรอบข้าง ความพ่ายแพ้นั้นรวดเร็วจนเขางงมากกว่าจะเสียหน้า พอเหลือบตาขึ้นเห็นรอยยิ้มกระหยิ่มใจของพิงภพ...ก็ยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวแทนที่จะโมโห

“อย่าลืมก็แล้วกันว่าถ้าเราแพ้ คุณต้องดื่มเบียร์ตามที่บอกไว้”

อทิตยะเอ่ยอย่างเหนือกว่า สเวนผิวปากขณะที่คนอื่นพากันหัวเราะชอบใจ ลีรีบยื่นเบียร์ให้จนคนที่ต้องดื่มทำหน้างอ

“ชิ ช่วยไม่ได้ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ดื่มก็ดื่ม”

พิงภพยกเบียร์ขึ้นดื่มโดยไม่ปล่อยมือที่ยังประกบกัน เป็นอทิตยะที่ชักมือออกก่อน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ใจเพราะหลังดื่มเบียร์หมดก็วาดมือไปรอบโต๊ะ

“เอ้า ทีนี้ก็ตาคนอื่นละ ใครจะงัดข้อต่อก็มานั่งตรงนี้ อย่ารุมแกล้งน้องใหม่กันให้มากนักนะ”

               


++---TBC---++



A/N: ไม่เจอสองอาทิตย์คิดถึงกันไหม ^^ หลังจากนี้วันพุธของเรากับเต็มคงมีเรื่องให้ต้องมายุ่งกันอีกเยอะเลย แล้วก็...ขอสารภาพว่าเนื้อหาที่ลงเว็บเริ่มไล่ทันกับสต็อกที่เขียนไว้ หลังจากนี้คงขออัพเดททุกสองสัปดาห์เป็นมาตรฐานนะคะ แล้วเจอกันใหม่ตอนที่ 10 ค่า  :L2:

 

 

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 9 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 28.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-11-2019 18:38:03
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 9 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 28.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 28-11-2019 21:06:14
ป๋าเท่จังพูดดีสอนดี  :m1:
พี่พุธดูแลน้องเต็มดีจัง เขินนะ
เดี๋ยวรอดูเลยว่าใครจะเมาให้ใครดูแลก่อน ฮา

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 9 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 28.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-11-2019 02:46:48
 o13 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 9 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 28.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-12-2019 00:20:03
จับคู่เต็มกับพุธ ชอบบรรยากาศ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 9 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 28.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 01-12-2019 08:25:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 9 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 28.11.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-12-2019 21:05:56
ตะวันพิงภพ บทที่ 10

 

ทำไมถึงไม่มีแรงอย่างนี้นะ...

พิงภพคิดเมื่อพยายามจะยกศีรษะแต่ไม่สำเร็จ แขนขาก็ขยับไม่ไหว แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกว่าร่างกายกำลังล่องลอยดุจไร้น้ำหนัก

ความรู้สึกนี้เหมือนเวลาที่กำลังดำน้ำเลย...

“เมาเละเชียว...ฝากดูแลด้วยนะ”

“เฮ้ย! ขอฉันถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน นานๆ จะได้เห็นหมอนี่หมดสภาพ ฮ่าๆๆ”

หูแว่วถ้อยคำภาษาอังกฤษแบบขาดๆ หายๆ พิงภพส่งเสียงคำรามในคอโดยไม่ลืมตา แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะร่วนจากรอบตัว

“ดึกมากแล้ว เดี๋ยวฉันพาเขากลับก่อนก็แล้วกัน”

“โอเค ว่าแต่จะไม่พากันมาค้างห้องฉันจริงๆ เหรอ อย่างน้อยก็น่าจะปลอดภัยกว่าขับมอเตอร์ไซค์กลับ”

“ไม่เป็นไร ฉันดื่มไปแค่นิดเดียว แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

เสียงอำลาและเสียงฝีเท้าแผ่วหาย พิงภพรู้สึกว่ากำลังเคลื่อนที่ทั้งไม่ได้ขยับตัว ก่อนจะถูกวางลงให้นั่งคร่อมอะไรบางอย่าง มือสองข้างรับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่กุมมือเขาไว้ ท่ามกลางเสียงลมอู้อี้ที่พัดผ่านหูและความรู้สึกหนาวจนต้องห่อไหล่ เขารู้แค่ว่าอยากล้มตัวนอนให้เร็วที่สุด

ชายหนุ่มรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อถูกเขย่าไหล่ เขาครางประท้วงพลางปรือตาขึ้น แสงจากหลอดไฟทำเอาตาพร่าไปชั่วครู่

“...ปลุกทำไม...กำลังหลับอยู่ดีๆ”

“ถ้าอยากหลับต่อก็ขึ้นไปที่ห้อง เราไม่แบกคุณขึ้นชั้นสองเหมือนตอนที่แบกขึ้นมอเตอร์ไซค์หรอกนะ”

“เหอ?...แบกทำไม...?”

พิงภพหัวหมุนทันทีที่โดนลากกึ่งอุ้มลงจากมอเตอร์ไซค์ แขนข้างหนึ่งถูกดึงไปพาดไหล่คนตัวสูงกว่า ถึงจะเมาจนความคิดไม่เป็นกระบวน แต่ภาพของรอยสักเต็มแขนก็ช่วยให้รู้ว่าคู่สนทนาคือใคร

“...เต็มเหรอ?...”

“ใช่ เสียใจด้วยที่ไม่ใช่คนอื่น เดินดีๆ สิ”

“คนอื่น...คนอื่นที่ไหนอะ...ไม่เห็นจะมี...”

เขาพยายามยกศีรษะเพื่อมองไปรอบตัว แต่ก็ทำได้แค่มองเลยปลายเท้าเล็กน้อย ดูเหมือนแอลกอฮอล์ในเลือดจะทำให้กระดูกในตัวอ่อนยวบจนคร้านจะก้าวเดิน

“ตัวเราหนัก...ปล่อยให้นอนตรงนี้เหอะ...”

“ทำได้ที่ไหนเล่า ยุงได้หามกันพอดี อย่าเพิ่งงอแง เหลือบันไดอีกไม่กี่ขั้นแล้ว”

ถึงจะเวียนหัวจนประมวลคำพูดไม่ทัน แต่น้ำเสียงตำหนิก็เพียงพอจะทำให้พิงภพทำปากยื่น เขาพยายามชักแขนกลับอย่างไร้ผล

“ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยอะ...ซันยังไม่เคยดุเราเลยนะ...”

ฝีเท้าของคนข้างตัวหยุดกึก แต่อึดใจเดียวก็ลากให้เดินต่อจนพิงภพเกือบคะมำ

“แหงสิ หมอนั่นเป็นแฟนคุณนี่ สงสัยคงคงโอ๋กันน่าดูสิท่า”

“...แฟนที่ไหน...ก็บอกว่าเพื่อน...”

“ใครเชื่อก็โง่แล้ว”

ราวกับหูได้ยินเสียง “หึ” ช่วงท้ายประโยค พิงภพส่งเสียง “โอ๊ะ” เมื่อจู่ๆ แขนที่ประคองก็หดกลับ พอขาดหลักยึดกะทันหันก็เลยล้มนั่งแปะกับพื้น

“เชื่อเขาเลย ถ้าคออ่อนขนาดนี้จะดื่มทำไมตั้งเยอะแยะ?”

เงาที่ยืนบังแสงไฟหายไปก่อนจะมีมือตบเบาๆ บนแก้ม พอพิงภพฝืนลืมตาก็เห็นอทิตยะนั่งยองๆ ตรงหน้า เลยยกมือขึ้นปัดมืออีกฝ่ายอย่างอ่อนแรง

“ไม่ได้คออ่อน...แค่ไม่ได้ดื่มบ่อย...”

“Whatever ถึงห้องคุณแล้ว กุญแจห้องอยู่ไหน?”

“เอ่ออ...ในกระเป๋ากางเกงง...สักกระเป๋าแหละ...ล้วงดูดิ...”

พิงภพเอ่ยพลางหลับตาด้วยความง่วง เขารู้สึกถึงมือที่สอดเข้ามาในกระเป๋าทั้งสองด้าน แล้วก็หัวเราะคิกเมื่อโดนพลิกตัวก่อนกระเป๋าหลังจะถูกล้วงบ้าง

“เจอซักที คุณโชคดีนะที่มากับเรา ถ้าเป็นคนอื่นคงนึกว่ากำลังโดนอ่อยไปแล้ว”

“ก็มันจั๊กจี๋อ้ะ...เพิ่งรู้ว่าโดนลูบก้นแล้วสยิวแบบนี้...”

อาการหนักหัวช่างเหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบี้สมองอยู่ข้างใน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไปบ้าง รู้แต่ว่าขัดใจเมื่อโดนเขย่าไหล่อีกครั้ง

“ลุก เข้าไปนอนในห้อง”

“...ทำเสียงดุอีกแล้ว...ทำไมชอบดุจัง...”

“ดุแทนแฟนคุณน่ะสิ ไอ้คำพูดเมื่อกี้น่ะไม่ต้องไปพูดกับใครอีกเลยนะ...You’re such a pain.”

มือใหญ่สองข้างหิ้วปีกเขาขึ้นแล้วพาเข้าห้อง การเปลี่ยนอิริยาบถกะทันหันทำเอาพิงภพตาลาย คว้าจับแขนเสื้ออีกฝ่ายแน่นเมื่อโดนเหวี่ยงลงบนเตียง

“อุ๊บ!”

“เฮ้ย!เป็นอะไรรึเปล่า? พุธ!?”

“หนักก...อื้ออ...”

ชายหนุ่มครางเพราะโดนน้ำหนักเจ็ดสิบกว่ากิโลทับเข้าเต็มๆ คนที่อยู่ด้านบนรีบดันตัวขึ้นทันที

“จะไม่หนักได้ไงเล่า! คุณเล่นดึงเสื้อเราไม่ปล่อยนี่ อย่าเกร็งนิ้วสิ”

ปลายนิ้วแข็งแรงแงะนิ้วเขาออกจากเสื้อทีละนิ้ว พิงภพหรี่ตาขึ้น ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ วูบหนึ่งที่ใบหน้าซึ่งมองกลับมาคือภาณุกร แต่จิตใต้สำนึกบอกว่าไม่ใช่

เพราะซันไม่มีทางอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้...

“เต็ม...??...”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“…โทษที...นึกว่าซัน...”

พิงภพหัวเราะพลางพลิกตัวตะแคงข้าง นึกภูมิใจที่ยังแยกแยะเพื่อนกับคนข้างห้องออกทั้งที่เมาจนลิ้นพันกัน คู่สนทนาเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“คิดถึงเขามากหรือไง?”

“...ซันเหรอ?...คิดถึงสิ ...ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี..ซันเคยซื้อพวงกุญแจกัปตันอเมริกาให้เราด้วย...เราชอบมากนะ...พกติดตัวตลอดเลย...แต่ไม่กี่วันก่อนมันหายไป...หาที่ไหนก็ไม่เจอ...”

มือข้างหนึ่งยื่นมาลูบผม นอกจากพ่อกับแม่ก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขา พิงภพหลับตาลง ไม่รู้เพราะความง่วงหรือเพราะสัมผัสที่ทำให้ผ่อนคลาย เรื่องที่ไม่เคยบอกใครจึงพรั่งพรูจากปาก

“ซันเคยสารภาพรักเรา...แต่ตอนนั้นเรายังเด็กก็เลยวิ่งหนี...พอได้เจอกันอีกทีก็ทำตัวไม่ถูก...”

“นั่นผ่านมากี่ปีแล้วล่ะ? ทั้งคุณทั้งเขาไม่ใช่เด็กแล้ว ถ้ายังชอบกันอยู่ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องปฏิเสธแล้วนี่”

“...แต่ถ้าเป็นแฟนกันมันเลิกได้...เป็นเพื่อนไม่มีวันเลิกนี่นา...”

มือที่ลูบผมทำท่าจะผละไป พิงภพคว้าจับมือข้างนั้นแล้วถูหน้าเข้าหา ความทรงจำบอกว่าตอนเด็กเขาก็ชอบเล่นกับพ่อแบบนี้เวลาถูกกล่อมนอน แต่สองตาที่ปิดสนิททำให้ไม่เห็นว่าเจ้าของมือกำลังแสดงสีหน้าอย่างไร

“...ขนาดตุ๊กตากัปตันยังหาย...สักวันซันก็อาจหายไปอีกก็ได้...เราไม่อยากรู้สึกแบบตอนนั้นแล้ว...”

หลังจากนั้นการรับรู้ของพิงภพเริ่มรางเลือน ไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรอีกหรือเปล่าเพราะง่วงเต็มทน รู้เพียงแค่สัมผัสอบอุ่นที่แนบบนแก้มยังคงอยู่ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิท



++------++



เอ๊ะ...ที่นี่มัน...

พิงภพกวาดตามองห้องสี่เหลี่ยมที่มีโต๊ะเก้าอี้เรียงราย หน้าห้องแขวนกระดานดำซึ่งผ่านการใช้งานมาหลายปี แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องลอดหน้าต่างเข้ามาสะท้อนฝุ่นชอล์กจนระยิบระยับ เมื่อหันกลับมาที่เดิมก็เห็นเด็กผู้ชายสองคนกำลังนั่งคุยกันอย่างสนิทสนม

ทุกอย่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน นี่คงเป็นภาพที่เพื่อนๆ เห็นเวลามองเขากับภาณุกรช่วงมัธยม แต่คงไม่ใช่หลังเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาเลิกคุยกันแน่ เพราะนับแต่นั้นเขาก็ไม่เคยโอบไหล่เจ้าเพื่อนตัวสูงกว่าอีกเลย

“พุธ เจอตัวสักที”

เสียงนั้นดึงสายตาของพิงภพไปยังประตูหน้าห้อง ภาณุกรซึ่งเป็นชายหนุ่มเต็มตัว ไม่ใช่เด็กหนุ่มสูงเก้งก้างอีกแล้วยืนอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มที่ส่งมาช่างอบอุ่นชวนหวั่นไหว คำพูดเมื่อครู่ราวจะบอกว่ารอคอยวันที่จะได้เจอเขามาเนิ่นนาน

ชายหนุ่มก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่ก็ชะงักเพราะเสียงที่ดังจากประตูด้านหลัง พอจะหันไปดูว่าเป็นใครก็ได้ยินเสียงดนตรีขัดจังหวะเสียก่อน

“หือ...?”

ทำนองอินโทรอันแสนเร้าใจของเพลง It’s My Life ทำเอาพิงภพสะดุ้งตื่น เสียงกลองและเบสที่เสียดแทงโสตประสาททำให้ต้องรีบเอื้อมหยิบโทรศัพท์มารับสาย

“...ว่าไงฮะพี่บุ๋ม?”

“ยังไม่ตื่นสิเนี่ย เสียงงัวเงียเชียว เมื่อคืนเมาหนักใช่ไหม? เห็นว่าเต็มขับรถไปส่งใช่หรือเปล่า?”

ชายหนุ่มยกมือถูหน้า รู้สึกไม่พร้อมตอบคำถามหลายข้อในเวลานี้ แต่ยังจำได้รางเลือนว่าอทิตยะยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าทั้งคู่อยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกัน

“น่าจะใช่นะ เมื่อคืนผมเมาจนไม่ค่อยรู้เรื่องซะด้วยสิ”

“ย่ะ พี่เชื่อ โชคดีนะว่าวันนี้ไม่มีงานตอนเช้า แต่อย่าลืมล่ะว่าบ่ายนี้มีสอนทฤษฎีให้นักเรียนใหม่ พี่จะโทรมาเตือนเท่านี้แหละ”

“โอเค เอ้อ...เต็มอยู่ที่รีสอร์ตใช่ไหมพี่บุ๋ม?”

“อยู่สิ นั่งช่วยพี่ทำงานอยู่เนี่ย จะคุยด้วยไหมล่ะ?”

“ไม่ต้องๆ แค่ถามดูเฉยๆ งั้นบ่ายนี้เจอกันฮะ”

พิงภพวางสายแล้วก็รีบล้างหน้าแปรงฟัน เมื่อคืนเขาดื่มหนักมากจริงๆ ส่วนที่อาสาดื่มแทนอทิตยะยังไม่เท่าไหร่เพราะหมอนั่นงัดข้อแพ้แค่ไม่กี่ตา แต่ที่ต้องดื่มเพราะแพ้ไพ่อูโน่กับโดนเพื่อนฝูงรินให้นี่แทบนับแก้วไม่ถูก

หรือเพราะเขาวางใจว่าต่อให้เมาแค่ไหนก็มีคนพากลับนะ...

พิงภพพยายามคิดถึงงานเลี้ยงเมื่อคืน นานทีปีหนเขาถึงจะปล่อยให้ตัวเองเมาจนสติหลุดแบบนั้น ถึงจะรู้สึกตัวตอนอทิตยะพามาส่ง แต่ก็จำไม่ได้ว่าระหว่างนั้นเผลอพูดหรือทำอะไรน่าขายหน้าไปบ้าง นี่ถ้าฝ่ายนั้นเป็นพวกชอบแบล็คเมลล่ะก็แย่แน่

ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหันไปหยิบเป้ใบเล็ก แต่พอเห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่นก็ชะงัก มันเป็นของที่เขาคิดว่าเคยทำหายและคงไม่ได้เห็นอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะรอยเปื้อนกระดำกระด่างหรือสีที่หลุดล่อนเป็นบางจุด...มันก็คือกัปตันอเมริกาที่เขาพกติดตัวมาตลอดชัดๆ

“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ...”

พิงภพรีบหยิบมันขึ้นเหมือนกลัวจะหายไปอีก เขาอาจจำเรื่องเมื่อคืนไม่ค่อยได้ แต่ก็มั่นใจว่าก่อนออกไปทำงานนั้นไม่เห็นอะไรบนโต๊ะแน่ๆ ดังนั้นก็มีความเป็นไปได้แค่อย่างเดียว...คืออทิตยะพบมันแล้วเอามาคืนให้



++------++



ความจริงยังมีเวลาหลายชั่วโมงก่อนจะเริ่มสอนนักเรียนใหม่ แต่พิงภพก็รีบออกไปโบกรถสองแถวเพื่อไปที่บลูแซนด์ ขณะนั้นเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า เขาเดินลิ่วไปยังห้องสำนักงาน แล้วก็เกือบจะชนเข้ากับคนที่เลื่อนประตูกระจก

“เต็ม!กำลังอยากเจอพอดีเลย”

“หือ?”

อทิตยะเลิกคิ้ว พิงภพรีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายแล้วจูงให้เดินตาม พอไปถึงบริเวณสำหรับสูบบุหรี่ข้างอาคารถึงปล่อยมือ โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เพราะเรือดำน้ำรอบเช้ายังไม่กลับ

“มีอะไร? เอาเถอะ เรากำลังจะออกมาสูบบุหรี่พอดี”

คนที่ถูกลากมาหยิบบุหรี่ขึ้นจุด กลิ่นเมนทอลอ่อนจางลอยพลิ้วในสายลม พิงภพมองสีหน้าด้านข้างของอทิตยะแล้วเพิ่งตระหนักว่าผู้ชายคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสียอีก

“ว่าไง?”

พอโดนถามซ้ำพิงภพเลยนึกขึ้นได้ เขาหยิบพวงกุญแจกัปตันอเมริกาออกจากกระเป๋าแล้วชูขึ้น อทิตยะเพียงแต่มองเขาเงียบๆ ผ่านควันบุหรี่เหมือนรอให้อธิบาย

“ไอ้นี่น่ะ เต็มเป็นคนเจอใช่ไหม?”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นเรา?”

คนโดนย้อนถามอึ้งไปนิด แต่ก็มั่นใจว่านอกจากอทิตยะแล้วไม่มีทางเป็นคนอื่น

“ก็เมื่อคืนเต็มพาเราไปส่งที่ห้องไม่ใช่เหรอ? แล้วเมื่อวานเช้าเราก็ไม่เห็นมันบนโต๊ะ แสดงว่าเป็นเต็มนั่นแหละที่เอามาวางให้ ขอบคุณมากนะ”

“เราก็แค่เจอมันตกอยู่ในห้องเช้าวันที่เราเมากลับไป ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าของคุณ พอได้ยินพูดถึงกัปตันอเมริกาเมื่อคืนถึงนึกได้”

อทิตยะเอ่ยก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นจรดริมฝีปาก ท่วงท่านั้นดูแล้วน่าหมั่นไส้เหลือกำลัง แต่ประโยคสุดท้ายทำเอาพิงภพหน้าร้อนฉ่า

“เอ่อ...เมื่อคืนเรา...พูดอะไรไปบ้าง?”

“อยากให้บอกเรื่องไหนก่อนล่ะ? พอคุณเมาแล้วพล่ามไม่หยุดเลย”

“เดี๋ยวๆๆ ถึงเวลาเมาหนักแล้วจะไม่ค่อยรู้ตัว แต่เราว่าเราไม่ใช่คนพูดมากขนาดนั้นนะ”

รอยยิ้มเล็กๆ ผุดบนมุมปากของคู่สนทนา พิงภพเห็นแล้วให้นึกอยากเข้าไปดึงแก้ม จะได้รู้ว่าเวลาหมอนี่ยิ้มเต็มที่แล้วเป็นอย่างไรดูสักที

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่องคิดถึงซัน เรื่องที่เคยโดนสารภาพรักแล้ววิ่งหนี เรื่องที่กลัวคบเป็นแฟนแล้วจะต้องเลิกกัน เรื่องตุ๊กตากัปตันอเมริกาที่ตั้งแต่ได้ก็พกมาตลอด แต่พอมันหายก็นึกว่าซันคงจะหายไปด้วย”

อทิตยะเอ่ยด้วยเสียงเรื่อยๆ ขณะเหน็บบุหรี่ไว้มุมปาก พิงภพฟังแล้วอยากหันไปโขกหัวกับกำแพง ตายละวา นี่เขาพล่ามทุกอย่างเกี่ยวกับภาณุกรให้คนไม่สนิทกันฟังหรือนี่

“ขอโทษนะ เมื่อคืนได้ยินอะไรก็ลืมๆ มันไปเถอะ เรื่องไร้สาระทั้งนั้น”

พิงภพเกือบตบท้ายว่า “เดี๋ยวพาไปเลี้ยงเหล้า” แต่โชคดีที่หยุดปากทันเพราะมันดูขุดหลุมฝังตัวเองพิกล เขามองอทิตยะหันไปเคาะเถ้าบุหรี่ก่อนจะยกขึ้นสูบอีกครั้ง แววตาเย็นชาที่เบนกลับมาทำให้รู้สึกกระวนกระวาย

“เราคิดว่าคุณกำลังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ไม่รู้หรอกนะว่าตอนที่หมอนั่นสารภาพรักแล้วคุณวิ่งหนีนั่นต่างคนต่างอายุเท่าไหร่ แต่นี่ก็เรียนจบจนทำงานแล้ว คนอายุเท่าคุณบางคนกำลังวางแผนอนาคตให้ลูกหรือแผนเกษียณอายุแล้วด้วยซ้ำ จะเอาแต่กลัวว่าอนาคตจะเลิกกันทำไม ถ้าหากเราเป็นหมอนั่น เราคงผิดหวังเพราะคนที่ชอบขี้ขลาดจนไม่กล้าแม้แต่จะลองคบกันดูก่อน”

คำพูดแต่ละคำทั้งตรงและบาดลึก พิงภพเผยอริมฝีปากแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา ได้แต่จ้องคู่สนทนาด้วยสีหน้าอ้ำอึ้ง

ทุกประโยคที่อทิตยะเอ่ยล้วนเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ที่ผ่านมาเขาพยายามชักเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพื่อบ่ายเบี่ยงการให้คำตอบกับภาณุกรจริง แต่ไม่เคยคิดในมุมกลับจากสายตาของฝ่ายนั้นเลยสักครั้ง

ซัน...ก็อาจจะคิดว่าเราขี้ขลาดงั้นเหรอ...

เสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะลอยมาจากหน้าหาด บ่งบอกว่าเรือรอบเช้ากลับเข้าฝั่งแล้ว พิงภพนึกละอายกับตัวตนที่ถูกดูออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ได้แต่ทำปากขมุบขมิบว่า “ขอตัวนะ” แล้วรีบเดินหนี จากที่ตอนแรกฝืนตัวเองให้เดินช้าๆ ก็แทบจะกลายเป็นวิ่งออกมาจากข้างอาคาร

นี่เขาเป็นคนตาขาวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กลายเป็นคนโลเลไม่กล้าตัดสินใจจนถูกคนที่เพิ่งเจอกันไม่นานตักเตือน ถึงขนาดนี้แล้วยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นลูกผู้ชายอยู่อีกหรือ...

 

++------++

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 10 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 12.12.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 12-12-2019 21:13:28
มื้อเที่ยงวันนั้นพิงภพนั่งกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ โดยไม่รู้รสอาหาร ยังดีที่การได้แนะนำนักเรียนใหม่เกี่ยวกับการดำน้ำช่วยดึงสติกลับมาบ้าง แต่พอถึงตอนที่เปิดวิดีโอให้พวกนักเรียนนั่งดู ใจเขาก็ลอยกลับไปหาบทสนทนาเมื่อกลางวันอีก

เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ชะมัด...

หลังจบการเรียนการสอนในห้อง พิงภพก็พานักเรียนไปเบิกอุปกรณ์สำหรับภาคปฏิบัติ เขาให้แต่ละคนเอาอุปกรณ์ที่เลือกไซส์แล้วใส่กระเป๋าและจดหมายเลข นัดเวลาสำหรับเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วก็แยกย้าย ขณะนั้นเรือของพวกที่ออกไปดำน้ำช่วงบ่ายยังไม่กลับมา ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงเดินไปคุยกับบุณฑริกที่ห้องสำนักงาน แต่เพราะรู้ว่าอทิตยะก็อยู่ที่นั่น เลยตัดสินใจเดินออกจากรีสอร์ตไปที่อื่นแทน

“โหยย ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ ช้าไปแล้วคร้าบคุณพุธ”

“อ้าว? พี่จะปิดร้านแล้วเหรอ ขอโทษๆ งั้นผมกลับก็ได้”

“เฮ้ย! ไม่ใช่โว้ย! เพิ่งจะหมดแฮปปี้อาวร์ต่างหาก มานี่ๆ จะสั่งอะไร เพิ่งเลยเวลามาสามนาที เดี๋ยวยืดเวลาให้”

ขจรเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดโต๊ะตัวหนึ่ง พิงภพนั่งลงบนเบาะแล้วสั่งกาแฟใส่น้ำมะพร้าวที่ดื่มประจำ พอมองไปข้างนอกก็เห็นท้องฟ้าแจ่มใสเป็นพิเศษ ผิดกับจิตใจอันหม่นหมองจนไม่นึกอิจฉาเพื่อนๆ ที่กำลังดำน้ำสักนิด

“วันนี้ทำไมหน้าตาเหี่ยวเฉาจัง ถูกหวยแดกหรือไง?”

“เง้อ...ผมเคยเล่นหวยที่ไหนล่ะพี่ขจร พูดซะผมเสียเลย”

พิงภพโอดครวญขณะยื่นมือไปรับแก้วกาแฟ ขจรหัวเราะร่วนแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม ทำให้เขาเพิ่งสังเกตว่าในร้านตอนนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่น บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีใครอยากดื่มกาแฟในตอนเย็น แถมขจรไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ขาดโอกาสเพิ่มรายได้ทั้งที่ร้านตั้งอยู่ในทำเลดีมาก

“พี่ขจร ผมเคยถามหรือเปล่าว่าทำไมไม่ขายเหล้า ทั้งที่น่าจะได้ลูกค้าเยอะกว่าขายแค่กาแฟกับน้ำปั่น”

คำถามของพิงภพคงสร้างความแปลกใจไม่น้อย เพราะชายสูงวัยกว่าเลิกคิ้วขณะเทน้ำเย็นใส่แก้ว

“ไม่เคย อันที่จริงก็ไม่ได้มีเหตุผลซับซ้อนนะ แค่พี่เคยติดเหล้าจนเมียทิ้งไปมีคนอื่น ก็เลยไม่อยากผิดศีลข้อห้าอีกแค่นั้นแหละ”

“อ้าว? พี่ขจรเคยแต่งงาน?”

นี่เป็นข้อมูลใหม่เอี่ยมสำหรับพิงภพ ขจรหัวเราะก่อนจะลุกไปหยิบโถคุกกี้จากเคาน์เตอร์แล้วมานั่งลงอีกครั้ง

“มา ไหนๆ วันนี้ก็มีลูกค้าแค่คนเดียว นั่งเม้าท์แบบแมนๆ กันหน่อยดีกว่า คุกกี้นี่ของพี่เอง กินตามสบาย”

พิงภพหยิบคุกกี้ช็อกโกแลตชิปขึ้นกิน มันทั้งแห้งร่วนและหวานเจี๊ยบแบบคุกกี้ปี๊บราคาถูก แต่เขาก็ชินกับรสชาติแบบนี้เพราะของว่างบนเรือก็เป็นคุกกี้ปี๊บเหมือนกัน

“พี่ขจรแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? แล้วมีลูกด้วยหรือเปล่า?”

“ไม่มี อาจเป็นเหตุผลที่เมียพี่ตัดใจไปหาคนอื่นง่ายๆ อันที่จริงพี่กับเขาก็แค่อยู่กินกันแต่ไม่ได้ทำพิธี เขาเป็นคนไต้หวัน เจอกันตอนพี่ไปทำงานเป็นผู้ช่วยดูแลเกสต์เฮ้าส์ที่ไทเป น่าจะอยู่ด้วยกันสองปีได้มั้ง แต่หลังแยกกันก็ผ่านมาจะยี่สิบปีแล้ว ถ้าตอนนี้เขามีลูกก็คงเรียน ม.ปลายแล้วล่ะ”

“...คนอายุเท่าคุณบางคนกำลังวางแผนอนาคตให้ลูกหรือแผนเกษียณอายุแล้วด้วยซ้ำ”

ถ้อยคำบาดหูสะท้อนในโสตประสาทอีกครั้ง พิงภพเดาว่าขจรน่าจะอายุสี่สิบปลายๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่อทิตยะพูดก็เป็นความจริง เพราะเพื่อนของเขาบางคนก็เริ่มคุยกันเรื่องโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูก

“ความสัมพันธ์ของคนเรามันไม่เที่ยงจริงๆ เนอะพี่”

“วันนี้มาแปลก ทะเลาะกับแฟนมาหรือไง? ว่าแต่ไปแอบมีแฟนตอนไหน ทำไมไม่พามาให้เจอมั่ง”

“ไม่ใช่แฟนหรอกฮะ แค่บังเอิญคุยกับเพื่อนแล้วนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมา”

“โฮ่...โทษที พี่สูบบุหรี่ได้มั้ย?”

“เอาเลยพี่ ตามสบาย”

พิงภพเอ่ยพลางหยิบกาแฟเย็นขึ้นดูด เหตุผลหนึ่งที่เขาชอบร้านของขจรก็เพราะเป็นไม่กี่ร้านบนเกาะที่เสิร์ฟเครื่องดื่มด้วยหลอดกระดาษ ไม่เหมือนอีกหลายร้านที่ยังใช้หลอดพลาสติก

“อันที่จริงเรื่องความสัมพันธ์เที่ยงไม่เที่ยงมันอยู่ที่คนเราทำทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ว่ามีโชคชะตากำกับอะไรหรอก ก็เหมือนที่เมียพี่ไปมีคนอื่นเพราะพี่ติดเหล้า ถ้าหากตอนนั้นเขาห้ามพี่อย่างจริงจัง หรือพี่สังเกตเขาเสียหน่อยแล้วปรับตัว ตอนนี้ก็อาจยังใช้ชีวิตคู่กันดีอยู่”

“พี่ขจรเคยนึกเสียใจไหมที่เลิกกัน?”

พอถามแล้วพิงภพถึงค่อยรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่โง่เง่าสิ้นดี มีหรือที่คนเคยใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจะไม่เสียใจเมื่อเลิก แต่ขจรใช้เวลาสูดควันบุหรี่พร้อมกับทำหน้าครุ่นคิดอยู่นาน

“ไม่เชิงเสียใจนะ ไม่รู้สิ ตอนเลิกใหม่ๆ ก็เสียดาย แต่อีกใจก็โล่ง คนเราพอคบกันมันมีความคาดหวังไง พี่เคยคาดหวังว่าเขาคงรับเราได้ทุกอย่าง เขาก็คงคาดหวังว่าสักวันพี่จะปรับตัว พอเลิกกันมันก็เลยเหมือนยกภูเขาออกจากอก ว่าเออ...กูได้เป็นตัวของตัวเองสักที ถึงจะเหงาเพราะคนที่เคยอยู่ข้างๆ มันหายไปก็เถอะ”

“ถ้าผมถามพี่ขจรด้วยคำถามนี้ตอนเพิ่งเลิกกันใหม่ๆ พี่คิดว่าจะตอบแบบนี้หรือเปล่า?”

“ไม่มีทาง ฮ่าๆๆ ถ้าถามตอนเพิ่งเลิกกันกูคงก่นด่าไอ้ผู้ชายคนนั้นว่าแย่งเมียกู แต่ตอนนี้ผ่านมาหลายปีมันก็ยอมรับความจริงได้แล้วไง ตัวเองเหี้ยเองก็เลยโดนเขาทิ้ง เขาก็เลือกถูกแล้ว พออยู่คนเดียวนานเข้าพี่ว่ามันก็สบายดี วันๆ ก็รับผิดชอบแค่ปากท้องของตัวเอง จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องห่วงคนข้างหลัง ถ้ามีเมียมีลูกคงทำแค่ร้านกาแฟชิลๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก นี่ทรัพย์สินอะไรที่พอมีพี่ก็เขียนพินัยกรรมแล้วนะว่าจะยกให้วัด”

ชายสูงวัยกว่าเอ่ยจบก็หัวเราะเสียงดัง พิงภพฟังแล้วได้แต่ยิ้มบางๆ เขายอมรับบุหรี่มวนใหม่ที่อีกฝ่ายจุดยื่นให้แม้ว่าปกติจะไม่สูบ ทั้งสองเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว พอฟ้าเริ่มมืดก็เดินไปกินข้าวเย็นในตลาดด้วยกัน หลังจากนั้นพิงภพก็ตรงกลับอพาร์ตเมนต์เพราะไม่มีเหตุผลต้องอยู่รอกินข้าวเย็นกับเพื่อนๆ อีก



++------++



เช้าวันถัดมาพิงภพรีบออกจากห้องแต่เช้า ไปลงชื่อที่ห้องสำนักงานเสร็จก็ทักทายบุณฑริกก่อนจะไปนั่งเล่นมือถือรอนักเรียนที่ข้างสระ เมื่อทุกคนมาครบก็เริ่มสอน ตกเย็นก็แวะไปหาขจรเพื่อกินข้าวด้วยเหมือนเมื่อวาน วันถัดมาก็ยังคงทำแบบเดียวกัน โดยไม่ตระหนักเลยว่าพฤติกรรมของตัวเองทำให้คนรอบข้างผิดสังเกต

“ช่วงนี้พุธแปลกๆ เนอะ เขาได้มาบ่นอะไรให้เต็มฟังมั่งหรือเปล่า?”

“ทำไมน้าบุ๋มมาถามผมล่ะ?”

ในช่วงเย็นหลังพิงภพเงียบหายต่อเนื่องเป็นวันที่สาม บุณฑริกก็หันมาถามอทิตยะจนชายหนุ่มมุ่นคิ้ว

“อ้าว ก็เห็นว่าหออยู่ใกล้กัน คืนที่มีงานเลี้ยงต้อนรับเต็มก็ได้พุธช่วยแนะนำพวกเพื่อนๆ แถมยังพาเขากลับเพราะเมาด้วยไม่ใช่เหรอ? น้าก็นึกว่าคงสนิทกันจนเจ้าเด็กนั่นปรับทุกข์ให้ฟังน่ะสิ”

“เด็กของน้าบุ๋มอายุมากกว่าผมอีก ไม่นับว่าเด็กแล้วนะครับ”

“ก็จริงอยู่ แต่ใครที่อายุน้อยกว่าสี่สิบน้าก็ถือว่ายังเด็กทั้งนั้นล่ะ อีกอย่างนะ เวลาเต็มคุยกับพุธแล้วไม่รู้สึกเหรอว่าบางทีเจ้านั่นก็ยังกับวัยรุ่น บางเรื่องนี่อ่อนต่อโลกซะจนน้าเป็นห่วงเลย”

ก็เพราะอ่อนต่อโลกยังกับเด็กวัยรุ่นนี่แหละ ตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกผิดอยู่นี่ไง...

อทิตยะไม่ตอบขณะช่วยพิมพ์ข้อมูลที่บุณฑริกไหว้วานใส่ไฟล์เอ็กเซล บทสนทนาเมื่อไม่กี่วันก่อนยังแจ่มชัดในความทรงจำ ปกติเขาไม่ใช่คนพูดมาก เรียกว่าไม่เคยใส่ใจคนอื่นมากพอจะออกความเห็นเรื่องส่วนตัวดีกว่า แต่ไม่รู้ทำไมพิงภพถึงเป็นข้อยกเว้น ไอ้เรื่องที่อยู่ห้องติดกันและมีเหตุจำเป็นให้ต้องรบกวนกันไปมาก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องที่หงุดหงิดกับอีกฝ่ายในประเด็นที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขา...มันทำให้เขาพานหงุดหงิดตัวเองตามไปด้วย

“ปกติหลังเลิกงานพุธเขาจะมาลงเวลาแล้วแวะคุยกับน้าก่อนทุกที แต่ไม่กี่วันนี้ดันโผล่มาเฉพาะช่วงเช้า ตอนเย็นก็ไม่อยู่กินข้าวกับพวกเพื่อนๆ พอถามก็ไม่มีใครรู้ว่าพุธเป็นอะไร พวกฝรั่งเขาไม่ค่อยละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวกันซะด้วยสิ”

ยิ่งฟังอทิตยะก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น อย่าว่าแต่พวกเพื่อนๆ ของพิงภพเลย กระทั่งเขาที่อยู่ห้องข้างกันยังไม่เจอหมอนั่นมาจะสามวันแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ปกติจะวนเวียนมาแสดงตัวในสายตาเขาตลอด บทจะหายเข้ากลีบเมฆก็ซ่อนตัวได้สนิทจนน่าโมโห

อทิตยะปิดไฟล์หลังทำงานเสร็จ แต่พอกำลังจะลุกออกไปสูบบุหรี่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง เขาเห็นบุณฑริกกำลังคุยติดพันอยู่อีกสาย จึงยกหูโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นอย่างเสียไม่ได้

“Hi, this is Blue Sand Resort. How may I help you?”

“เอ่อ...อ่า...แคน ยู สปี๊ก ไท้?”

“ได้ครับ”

ชายหนุ่มเปลี่ยนกลับมาใช้ภาษาไทย ลูกค้าของบลูแซนด์จำนวนไม่น้อยที่โทรเข้ามาเป็นชาวต่างชาติ เขาเลยชินกับการตอบรับเป็นภาษาอังกฤษไปก่อนโดยอัตโนมัติ

“อยากจองห้องแฟมิลี่สำหรับสามคนช่วงเสาร์อาทิตย์นี้สองคืนครับ ผู้ใหญ่สองเด็กหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีห้องว่างหรือเปล่า?”

“ถ้าห้องแฟมิลี่จะมีแบบพูลวิลล่ากับโอเชียนสวีท สนใจแบบไหนครับ?”

เขาอธิบายราคาและความแตกต่างของห้องทั้งสองประเภท จากนั้นก็ยืนยันการจองและแจ้งค่ามัดจำ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อได้ยิน “สเปเชียลรีเควสต์” เมื่อวางสายก็พบว่าบุณฑริกคุยเสร็จแล้ว

“มีคนโทรมาจองห้องพูลวิลล่าวันเสาร์นี้ ผมจดชื่อไว้ให้แล้ว เดี๋ยวขอออกไปเบรกก่อนนะครับ”

“โอเคจ้า หือ...อุ๊ยตายแล้ว ครอบครัวนี้เหรอ สเปเชียลรีเควสต์น่ารักจัง”

บุณฑริกอ่านรายละเอียดในกระดาษแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อทิตยะเลื่อนประตูแล้วเดินออกจากห้องสำนักงาน ขณะนั้นเรือยางเพิ่งพานักดำน้ำรอบค่ำกลับมา เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วหน้าหาด

“น่าเสียดายชะมัดเลยพุธ! ปลากระเบนตัวเบ้อเริ่มเลยซ่อนอยู่บนพื้นทราย! ปกติไม่ค่อยเจอเวลาลงไนต์ไดฟ์นะเนี่ย”

“ใช่ซี้ พวกนายมันมากับดวง ไว้ให้ฉันพานักเรียนใหม่ลงสอบในทะเลก่อนเหอะน่า”

เสียงคุ้นหูดึงอทิตยะให้เลี้ยวไปทางห้องเก็บของ เหล่านักดำน้ำกำลังทยอยล้างอุปกรณ์ดำน้ำเพื่อคืนเจ้าหน้าที่ และคนที่ทำตัวล่องหนมาหลายวันก็กำลังยืนคุยอยู่ท่ามกลางพวกเพื่อนๆ

ไม่ว่านิสัยคล้ายวัยรุ่นของพิงภพจะเป็นข้อดีหรือเสีย เขาก็ต้องยอมรับว่านั่นคงเป็นคุณสมบัติที่ดึงดูดให้คนรอบตัวเอ็นดูและอยากเข้าหา

“แล้วคืนนี้ว่าไง? จะอยู่กินข้าวด้วยกันไหม? นายหายหน้าไปหลายวันแล้วนะ”

“เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่าคืนนี้มีธุระ ขอตัวกลับก่อนล่ะ”

พูดจบชายหนุ่มก็กระโดดลงจากระเบียงไปบนหาดแล้ววิ่งเหยาะๆ จากไป อทิตยะหน้าตึงทันที เมื่อครู่นี้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายเห็นเขาแน่ๆ ดังนั้นการปลีกตัวจากเพื่อนฝูงอย่างรีบร้อนต้องเป็นเพราะกำลังหลบหน้าโดยไม่ต้องสงสัย

“อ้าวเต็ม มีอะไรเหรอ?”

ลีหันมาเห็นก็เอ่ยทัก อทิตยะตอบเสียงนิ่งอย่างพยายามควบคุมอารมณ์

“เปล่า แค่เดินผ่านมาเฉยๆ”

สเวนกับมาริอุสมองหน้ากัน ก่อนสเวนจะบุ้ยคางไปทางที่พิงภพเพิ่งวิ่งออกไป

“ถ้าจะมาหาพุธล่ะก็ หมอนั่นเพิ่งกลับไปเมื่อกี้”

“ฉันเห็นแล้ว ช่างเขาเถอะ”

ร่างสูงหมุนตัวจะเดินกลับ แต่ยังทันได้ยินลีร้องบอกว่า “ถ้าทะเลาะกันก็รีบดีกันซะนะ” อารมณ์ที่กรุ่นอยู่แล้วเลยยิ่งขุ่นคลั่กขึ้นไปอีก

ถ้าคิดว่าจะหนีหน้ากันได้ตลอดก็โลกสวยเกินไปแล้ว...

อทิตยะเดินไปสูบบุหรี่ที่ข้างสำนักงาน จากนั้นก็เดินไปกินมื้อเย็นที่ห้องอาหาร ราวสองทุ่มครึ่งก็ไลน์บอกบุณฑริกว่าจะกลับหอ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมอเตอร์ไซค์เร็วเกินจนเกือบแฉลบตรงหัวโค้งถึงค่อยผ่อนความเร็วลง หลังผ่านขึ้นเนินสุดท้ายและจอดรถในโรงจอด เขาก็วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้นแล้วสาวเท้าไปเคาะประตูห้องด้านในสุด

ครั้งที่สี่...ครั้งที่ห้า...ครั้งที่หก ถึงจะไม่เห็นแสงไฟลอดออกมา แต่อทิตยะมั่นใจว่าคนข้างในได้ยินเสียงเคาะประตูแน่ เขาไม่สนหรอกว่าพิงภพอาจจะหลับแล้ว ถ้าคืนนี้ไม่คุยกันให้เคลียร์เขาคงนอนไม่หลับ และถ้าเขาไม่หลับก็อย่าหวังว่าตัวต้นเหตุจะได้นอนสบายเลย

“ได้ยินแล้ว...จะเคาะไปถึงไหน”

อทิตยะหยุดมือเมื่อประตูแง้มเปิดพร้อมเสียงพึมพำ พิงภพไม่ได้เปิดไฟในห้อง แต่แสงไฟตรงระเบียงก็เผยให้เห็นว่าใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว นัยน์ตาที่แจ่มใสบ่งบอกว่ายังไม่ทันได้หลับก็ถูกปลุกเสียก่อน

“คุณหลบหน้าเราอยู่ใช่ไหม?”

ชายหนุ่มยิงคำถามโดยไม่อ้อมค้อม พิงภพเม้มปากนิดหนึ่ง นัยน์ตาดำขลับหลีกเลี่ยงการสบตานับตั้งแต่วินาทีที่เปิดประตูให้

“ไม่ได้หลบ ไม่เห็นต้องหลบสักหน่อย พรุ่งนี้เราต้องตื่นไปลงเรือแต่เช้า ขอนอนก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อน! โอ๊ย!”

“เฮ้ย! เป็นอะไรรึเปล่า!?”

อทิตยะคำรามลอดไรฟันเพราะดันไปจับขอบประตูตอนที่ถูกดึงปิด พิงภพรีบผลักบานประตูออกแล้วคว้ามือของเขาไปดูอย่างลนลาน

“ขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจ มีเลือดออกไหม?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อถูกยกมือขึ้นไปเป่า นั่นคงเป็นปฏิกิริยาที่พิงภพทำโดยไม่ทันคิดเพราะอีกฝ่ายชะงักไปแทบจะทันที แต่เขาก็รีบกุมมือไว้ก่อนจะถูกปล่อย

“เดี๋ยวก่อน มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“มือไม่เจ็บแล้วไม่ใช่เหรอ มีอะไรค่อยคุยกันวันหลังก็ได้”

“ใครบอกว่าไม่เจ็บ ทั้งบวมทั้งแดงเนี่ยไม่เห็นหรือไง?”

อทิตยะตั้งใจจะยั่วโมโห แล้วก็ได้ผลเพราะพิงภพช้อนตามองเขาอย่างเคืองๆ แต่ก็แค่แวบเดียวก่อนที่จะหลบตาและพยายามดึงมือกลับไปอีก

“ปล่อย”

“ไม่ปล่อย เรารู้ว่าพูดตอนนี้อาจไม่ได้ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น แต่สำหรับเรื่องที่คุยกันวันนั้นแล้วเราเผลอว่าคุณ เราขอโทษ”

แพขนตาของพิงภพวูบไหว แต่แทนที่จะมองเขากลับยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม และอทิตยะก็ยังต้องออกแรงดึงมือที่เจ้าตัวพยายามจะยื้อกลับเหมือนเดิม

“ถ้าหากไม่รู้ก็ขอบอกไว้...ไม่มีใครชอบเวลาถูกคนอื่นจี้จุดอ่อนตรงๆ หรอกนะ”

“เรารู้ เราถึงมาขอโทษคุณอยู่นี่ไง”

อทิตยะเริ่มกระวนกระวาย เขามองพิงภพที่ยังก้มหน้านิ่ง แต่พอได้ยินเสียงสูดน้ำมูกที่เจ้าตัวพยายามจะอดกลั้น ความสุขุมก็พลันหายไปทันที

“ขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายจิตใจคุณ ถ้าโกรธก็ด่าหรือต่อยเราก็ได้”

ชายหนุ่มพูดใส่กระหม่อมของคนที่ยืนตัวแข็งทื่อ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงดึงพิงภพมากอด รู้แค่ว่าทนเห็นท่าทางเมื่อครู่ไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าใครคือต้นเหตุทำให้อีกฝ่ายหม่นหมองก็ยิ่งโมโหตัวเอง

นี่ไงล่ะ...เหตุผลที่เขาไม่อยากทำความรู้จักหรือสนิทสนมกับคนแปลกหน้า เพราะสุดท้ายแล้วก็จะห้ามตัวเองไม่ให้หลุดคำแสลงหูไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าหากพูดไปแล้วจะทำให้โดนเกลียด

“อุ๊บ”

กำปั้นที่ทุบลงบนหลังไม่หนักแต่ก็ไม่เบา อย่างน้อยก็ทำเอาอทิตยะจุกจนลืมความเจ็บที่มือ พิงภพสูดน้ำมูกอีก แต่เสียงที่เอ่ยในประโยคถัดมาไม่สั่นแล้ว

“วันนั้นน่ะ เราโกรธมากเลยนะ”

“เราเข้าใจ ก็สมควรที่คุณจะโกรธ”

“เราโกรธเต็ม แต่ก็โกรธตัวเองด้วย เพราะเต็มพูดถูกทุกคำ เราเป็นคนขี้ขลาดอย่างที่โดนว่าจริงๆ พอสำเหนียกได้แล้วก็ไม่อยากคุยกับเต็มอีก เราไม่รู้ว่าจะถูกเห็นข้อเสียอื่นแล้วพูดจี้จุดกันอีกหรือเปล่า”

อทิตยะฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเสียใจกับคำพูดหรือการกระทำของตัวเอง แต่เพราะหลีกเลี่ยงการเอาตัวเข้าไปในวงโคจรของคนอื่นมานาน ความรู้สึกสำนึกผิดนี้จึงทิ่มแทงจิตใจมากกว่าที่คิด

“เราไม่มีข้อแก้ตัว คุณจะตัดสินใจเรื่องของหมอนั่นยังไงก็ไม่ใช่ธุระของเรา เราไม่มีสิทธิ์ไปสั่งสอนคุณแบบนั้น ขอโทษด้วย”

“ไม่ยกโทษให้”

อทิตยะใจหายวูบ เขาดันตัวพิงภพออก พอก้มลงจะมองหน้าให้ชัดๆ ก็ยิ่งโดนก้มหนี

“เราเข้าใจถ้าคุณไม่ยกโทษให้ง่ายๆ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรหลบหน้าเราจนทำให้เพื่อนๆ กับน้าบุ๋มเป็นห่วง”

ถ้อยคำนั้นคงเตือนให้พิงภพตระหนักถึงพฤติกรรมของตัวเองขึ้นมาบ้าง เพราะในที่สุดก็ยอมเงยหน้ามองเขาพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด

“ถ้าหาก...จะให้เรายกโทษให้แล้วกลับไปคุยกันเหมือนเดิมก็ได้ แต่ต้องมีข้อแม้”

“ข้อแม้? ข้อแม้อะไร?”

“เต็มต้องขอพี่บุ๋มย้ายมาทำหน้าที่ดีลกับเรือสองอาทิตย์”

“หา?”

อทิตยะอุทานอย่างงุนงง สีหน้าของเขาคงตลกมากเพราะพิงภพถึงกับหลุดหัวเราะ

“เดี๋ยววีคหน้าสเวนกับครูสอนดำน้ำอีกสองคนจะลากลับบ้านที่ยุโรป คนที่ต้องทำหน้าที่ประสานงานกับเรือก็จะลดลง ไหนคนที่เหลือจะต้องช่วยกันดูแลลูกค้าอีก เรามองว่าเต็มน่าจะช่วยในส่วนนี้ได้ อย่างน้อยก็จนกว่าสามคนนั้นจะกลับมา”

“โธ่เอ๊ย แค่นั้นเองเหรอ ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา เราไม่เคยทำงานในเรือมาก่อน แต่ถ้าไม่ต้องใช้สกิลพิเศษก็พอไหว”

“สกิลพิเศษไม่จำเป็นหรอก มันแค่มีเรื่องจุกจิกที่ต้องปรับตามสถานการณ์ ขอแค่ไม่ใช่คนเมาเรือหรือกลัวน้ำก็พอ”

“ได้ งั้นพรุ่งนี้เราจะบอกน้าบุ๋มเองว่าขอย้ายไปช่วยงานส่วนนั้นสักสองอาทิตย์ แบบนี้โอเคไหม?”

พิงภพพยักหน้าขณะใช้หลังมือเช็ดจมูก แต่หลังเห็นคราบน้ำมูกก็เบ้ปาก เงยหน้าขึ้นมองอทิตยะ ก่อนจะทำเอาเขาร้อง “เฮ่ย!” เพราะถูกดึงชายเสื้อไปสั่งน้ำมูกดังปื้ด

“คิดซะว่าเป็นส่วนหนึ่งของการขอขมาก็แล้วกัน น้ำมูกแค่นี้ซักนิดเดียวก็ออก”

คนพูดเงยหน้าขึ้นยิ้มสะใจทั้งที่ปลายจมูกแดงช้ำ อทิตยะเห็นแล้วรู้สึกบอกไม่ถูก เขาเผลอไล้นิ้วโป้งไปบนหลังมือในอุ้งมือเบาๆ ก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้ปล่อยมือข้างนั้นเลยตั้งแต่ต้น

“เอ่อ...ดึกแล้ว พรุ่งนี้เราต้องพานักเรียนลงสอบในทะเลแต่เช้า”

ดูเหมือนเจ้าของมือก็คงเพิ่งรู้ตัวเหมือนกัน แต่อทิตยะแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้แถมกุมมือแน่นเข้า

“ได้ยินแล้ว ตอนที่คุณบอกเพื่อนๆ ก่อนจะหนีกลับมาเมื่อหัวค่ำ”

ถึงคำพูดจะกระแนะกระแหน แต่น้ำเสียงของเขามีกังวานหยอกล้อจนอทิตยะนึกแปลกใจตัวเอง พิงภพย่นจมูกโดยไม่โต้ตอบ ต่างคนต่างยืนรีๆ รอๆ ท่ามกลางเสียงหรีดหริ่งของแมลงกลางคืน

“เห็นว่าพรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้าใช่ไหม ถ้างั้นก็ไปนอนเถอะ”

“ก็ใช่...แต่ความจริงนี่เพิ่งจะสามทุ่มกว่า ถึงกลับไปนอนก็คงไม่หลับ”

มือในอุ้งมือของอทิตยะแกว่งเบาๆ กริยานั้นเหมือนเด็กที่อยากชวนเพื่อนไปวิ่งเล่น แต่สำหรับคนที่โตแล้ว...มันแทบไม่ต่างจากการออดอ้อน

อันที่จริงธุระของอทิตยะจบแล้ว เขาได้ขอโทษและปรับความเข้าใจกับพิงภพ ค่ำคืนนี้ควรจะจบลงเท่านี้ แต่การที่นึกอยากยืดเวลาออกไป...ทำให้นึกสงสัยว่าบางทีเขาก็คงยัง ‘เด็ก’ อยู่เหมือนกัน

“เอ่อ...”

“หือ?”

พิงภพยืนนิ่งมองเขา ปลายจมูกกับขอบตาที่ยังแดงเรื่อทำเอาอทิตยะต้องกระแอมก่อนจะกระชับมือที่กุมไว้แน่นขึ้นหนึ่งที

“ถ้างั้น...ไปใส่เสื้อแล้วออกไปเดินเล่นกันก่อนไหม?”



++---TBC---++

 

A/N: กลับมาพบกันใหม่ทุกสองสัปดาห์ เรื่องนี้ช่างชิลเหมือนอารมณ์ของคนเขียนจริงๆ ฮา แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ  :katai2-1:
 

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 10 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 12.12.19}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-12-2019 22:05:18
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 10 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 12.12.19}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 27-12-2019 14:33:39
พุธเมาแล้วความน่ารักเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว อ้อแอ้น่าเอ็นดูเหลือเกิน
ตอนไปคุยกับเต็มเนี่ยรู้สึกว่าพุธเหมือนเด็กจริงๆนะ
ให้อารมณ์เหมือนน้องชายวัยกำลังหัดรักเลย
อ่านแล้วรู้สึกฟีลพี่สาวมาเต็มมากอยากพูดอยากสอนแล้วก็ให้กำลังใจไปด้วย

ตอนเต็มจับมือพุธแล้วลูบเบาๆเนี่ยเขินมากไม่ไหว
บอกพุธว่าอย่าหนีแล้วก็บอกตัวเองด้วยสิ!

ชอบตอนนี้จังเลยค่ะรู้สึกถึงทะเลในวันเรื่อยๆลมพัดเบาๆนั่งฟังเรื่องเล่าของพี่ขจร
พร้อมกับติดตามดูรอยแตกเล็กๆระหว่างพุธกับเต็ม
ที่พอเข้าใจกันแล้วก็ทำให้ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม

อยากรู้ว่าเขาสองคนไปเดินเล่นกันถึงไหน
แล้วจะจับมือกันไปตลอดไหมแล้วสิคะ
 :m13:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 10 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 12.12.19}
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-12-2019 12:35:52
พุธน่ารักนะ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 10 หน้า 2 จ้า {อัพวันพฤหัสที่ 12.12.19}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 01-01-2020 20:34:43
ตะวันพิงภพ บทที่ 11


สายลมยามดึกพัดแรงแต่เย็นสบายมากกว่าหนาว พิงภพฟังเสียงคลื่นกระทบหาดทรายและท้องเรือที่จอดทอดสมอด้วยความรู้สึกปลอดโปร่ง ถึงจะได้ยินเสียงนี้มาตลอดสามปีก็ไม่เคยเบื่อ แต่สิ่งที่ทำให้คืนนี้ต่างจากคืนอื่นๆ คือการออกมาเดินเล่นบนหาดซึ่งเงียบสงบห่างจากบลูแซนด์ และยิ่งไปกว่านั้น...คือการเดินจูงมือกับผู้ชายที่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนยังเป็นคนแปลกหน้า

ถ้าหากไปบอกใครคงไม่มีคนเชื่อ ขนาดพิงภพก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าไม่ได้ละเมอ แต่ไออุ่นจากนิ้วมือที่เกาะเกี่ยวกันตอกย้ำว่าเขากำลังจูงมือกับผู้ชายที่ชอบทำหน้าไม่รับแขก พูดน้อย รอยสักเต็มตัว แถมเพิ่งจะวิจารณ์เขาจนเสียศูนย์เมื่อไม่กี่วันก่อน แต่วันนี้กลับทำตัวเป็นคนดี นอกจากจะมาขอโทษถึงห้อง ยังนึกคึกอะไรไม่รู้ถึงชวนมาเดินเล่นเอาดึกดื่นแบบนี้

จะอย่างไรก็ตาม คนที่บ้าบอยิ่งกว่าคงจะเป็นเขาที่ตอบรับโดยไม่เสียเวลาคิด แถมตอนลงจากมอเตอร์ไซค์ก็ยังจะยื่นมือไปให้จูง อย่างกับย้อนไปเป็นเด็กห้าขวบที่เวลาไปไหนต้องจับมือใครสักคน พีรัชยังเคยแซวว่าเขาติดคนอื่นง่ายเพราะเป็นลูกคนสุดท้อง ครั้นจะเถียงก็ไม่เต็มปากในเมื่อเขาเป็นน้องเล็กของบ้านจริงๆ

“เอาหน่อยไหม?”

เสียงของคนข้างตัวดึงพิงภพให้หันไปหา เขามองขวดเบียร์ที่ถูกยื่นให้แล้วก็ช้อนตาขึ้นมองอทิตยะ

“ขออึกเดียวแล้วกัน ก่อนวันที่จะต้องดำน้ำตอนเช้าไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เยอะ”

พิงภพรับขวดเบียร์มาจิบแล้วส่งคืนโดยไม่หยุดเดิน สองมือที่กุมกันของพวกเขาเป็นเพียงการเกี่ยวนิ้วหลวมๆ แต่ความรู้สึกอุ่นใจทำให้ไม่อยากปล่อยมือ

หมอนี่ก็จะคิดว่าเขาเป็นพวกขี้อ้อนเหมือนที่เฮียเคยแซวไหมเนี่ย...

“หือ...ดาวตก”

“หา? ไหนๆ”

“เมื่อกี้เห็นแว้บๆ ตรงขอบฟ้าทางโน้น เดี๋ยวก็มีอีกมั้ง”

อทิตยะตอบพลางใช้มือข้างที่ถือขวดเบียร์ชี้ไปบนฟ้า ทั้งสองต่างหยุดฝีเท้าแล้วยืนรอ สายลมปะทะหน้าและเสื้อจนลู่ไปกับตัว บนผืนน้ำไกลออกไปมีแสงของเรือประมงสว่างเป็นจุดๆ เสียงดนตรีคึกคักจากหาดอื่นลอยคลอเคลียมากับเสียงลม

จะว่าไป...เขาก็ไม่ได้เดินเล่นริมทะเลกับใครบางคนมานานแล้วนี่นะ...

พิงภพคิดพลางเหลือบมองคนข้างๆ เมื่อหันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้งก็เขย่ามืออย่างตื่นเต้นเพราะเห็นดาวตกสองดวงติดต่อกัน หลังผ่านไปครู่หนึ่งอทิตยะก็เปรยขึ้นมา

“นี่...ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

“อื้อ?”

พิงภพตอบรับ แต่คนถามกลับเงียบไปอึดใจใหญ่ก่อนจะเปิดปากอีกครั้ง

“คุณเคยมีแฟนมาก่อนหรือเปล่า?”

มันเป็นคำถามที่สุดแสนจะพื้นฐาน แต่พิงภพกลับร้อนหน้าอย่างไม่มีสาเหตุ เขาเผลอแกว่งมือที่กุมกันเบาๆ แล้วก็รีบหยุดเมื่อรู้ตัว

“เคยมีคนนึง สมัยเรียนมหา’ ลัย”

“ผู้หญิง?”

“ผู้หญิงสิ แต่ว่า...แมนมากนะ จนใครๆ พากันนึกว่าเป็นทอม”

พิงภพนึกถึงอดีตแฟนแล้วหัวเราะ สาวน้อยที่เขาเคยคบนั้นนอกจากเครื่องแบบนักศึกษาแล้วก็ไม่เคยสวมกระโปรง เวลาออกเดทก็ไม่เคยทำตัวหวานแหววหรือโพสต์ท่าสวยให้ถ่ายรูป บางทีเหตุผลที่พวกเขาเข้ากันได้ดีเพราะต่างคนต่างก็ไม่ชอบเรียกร้องความสนใจ

“แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะ?”

“ทำไมเหรอ ก็...มันถึงจุดที่คบกันแบบเพื่อนแล้วสบายใจกว่า อีกอย่างหลังเรียนจบก็สมัครงานคนละจังหวัด ดูท่าอนาคตคงเป็นเส้นขนานก็เลยเลิก แต่นานๆ ทีก็ยังโทรคุยกันอยู่นะ ว่าแต่ถามทำไมเนี่ย?”

เพราะอทิตยะดูไม่ใช่คนที่น่าจะสนใจเรื่องของคนอื่นเลย คนถูกถามยกมือที่จับกันขึ้นมาแล้วเขย่าเบาๆ

“แค่อยากรู้ ว่าคุณเคยพาแฟนไปเดินเล่นจูงมือแบบนี้หรือเปล่า?”

“หา? เคยดิ แต่เขาชอบบอกว่าตัวเองเหงื่อออกง่าย จับมือกันแล้วเหนอะหนะก็เลยแค่เดินด้วยกันเฉยๆ มากกว่า”

“แสดงว่าไม่เคยทำมากกว่าจับมือสินะ”

อทิตยะพูดต่อด้วยเสียงไม่สื่ออารมณ์ พิงภพไม่แน่ใจว่าจำเป็นต้องตอบไหม แต่ที่แน่ๆ อาการร้อนหน้ากลับมาอีกแล้ว

“ขอโทษด้วยถ้าถามเรื่องส่วนตัวมากไป”

“ไม่เป็นไร มันก็ไม่ได้เป็นความลับขนาดนั้น พวกเพื่อนสมัยเรียนยังเคยทักว่าพวกเราเหมือนพี่น้องกันมากกว่าแฟน”

พิงภพตอบ กับภาณุกรก็เหมือนกัน พวกเขาเคยสนิทกันมากจนพ่อกับแม่แซวว่ามีลูกชายอีกคน เขาเองก็เคยคล้อยตามคำพูดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเหตุหลังเลิกเรียนในวันนั้นขึ้นมา...

“แล้วกับซันล่ะ? ที่คุณบอกว่าห่างกันไปนานก่อนกลับมาเจอกันใหม่นี่กี่ปี?”

พิงภพแทบสะดุ้งเพราะนึกว่าโดนอ่านใจได้ เขาเหลือบมองอทิตยะแต่อีกฝ่ายยังทอดตามองเรือในทะเล หลังชั่งใจครู่หนึ่งก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง

“เรากับซันเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่ ม.1 ก็อย่างที่เห็นว่าหมอนั่นเป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นคนแคนาดา ตอน ม.5 ปู่ของซันเสียแล้วเหลือย่าอยู่คนเดียว พ่อก็เลยตัดสินใจพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่โน่น ซัน...สารภาพรักกับเราตอนนั้นแหละ ก็ผ่านมาเกือบจะสิบปีแล้ว”

จากเด็กหนุ่มสองคนก็เติบโตเป็นชายหนุ่มสองคน เพียงแต่ความรู้สึกของฝ่ายหนึ่งยังมั่นคง ในขณะที่อีกฝ่ายซึ่งก็คือเขา...ยังคงสับสนและกลัวการให้คำตอบมาจนถึงวันนี้

“ที่คุณไม่ตอบรับเพื่อนคุณ เพราะแค่ไม่อยากเสียเพื่อน หรือเพราะว่าจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบผู้ชาย?”

“หา...เอ่อ...เราไม่เคยคิดเรื่องชอบหรือไม่ชอบผู้ชาย ยังไงดี...ที่เราคิดมากเพราะอีกฝ่ายคือซัน ต่อให้ซันเป็นผู้หญิง แต่ถ้าพวกเราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราก็คงลังเลที่จะให้คำตอบอยู่ดีแหละ”

คำถามของอทิตยะทำให้พิงภพตระหนักว่าเขาไม่เคยสนใจประเด็นนี้ ทั้งที่พวกสเวนกับมาริอุสก็เคยทักเรื่องนี้หลังได้พบภาณุกร หรือเขาจะเป็นคนคิดอะไรตื้นเขินเกินไปนะ?

“เท่าที่ฟังมา เหมือนคุณไม่ได้จำกัดตัวเองว่าจะต้องคบแค่ผู้ชายหรือผู้หญิงใช่ไหม? เพียงแต่ถ้าคบด้วยแล้วสบายใจก็ไม่เกี่ยง”

“เราไม่เคยนั่งวิเคราะห์ตัวเองแบบนั้น แต่อาจใช่ก็ได้มั้ง...จะแขวะว่าใจง่ายล่ะสิ”

“ยังไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ แต่ถ้าใจง่ายแล้วไม่ปิดโอกาสตัวเองก็ถือว่าเป็นความหมายที่โพสิทีฟ เราก็มีเพื่อนหลายคนที่ไม่จำกัดว่าต้องคบแต่เพศตรงข้าม บางทีเพศเดียวกันก็เข้ากันได้ทั้งนิสัยและเซ็กซ์มากกว่า”

พิงภพมั่นใจว่าถ้าหน้าเขายังร้อนกว่านี้อีกมันคงระเบิดแน่ ไม่รู้ว่าพื้นฐานอทิตยะเป็นคนพูดตรงอยู่แล้วหรือเพราะถูกสภาพแวดล้อมในต่างประเทศหล่อหลอม ถึงได้แสดงความคิดเห็นโจ่งแจ้งจนคนฟังกระดากแทน

“เต็มพูดแต่ละอย่าง เรารู้สึกยังกับตัวเองเป็นพวกอ่อนต่อโลกไปเลย”

“ก็อ่อนจริงๆ ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจหรอก”

“ไม่ได้น้อยใจเว่ย! ไอ้บ้า จะปลอบกันหน่อยก็ไม่ได้ ดันมาเห็นด้วยอีก”

ชายหนุ่มบ่นกระปอดกระแปด ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่วันก่อนเขายังนึกหมั่นไส้สีหน้าไร้อารมณ์ของหมอนี่อยู่เลย มาวันนี้กลับได้เห็นทั้งรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะ มันน่าถ่ายคลิปไว้ไปอวดคนอื่นชะมัด

“เคยจินตนาการว่าถ้าคุณคบกับหมอนั่นจริงๆ จะเป็นยังไงบ้างไหม?”

จู่ๆ อทิตยะก็วกประเด็นกลับมาที่ภาณุกร พิงภพย่นจมูก เผลอแกว่งมือที่กุมอยู่โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

“ไม่เคย จะว่าไงดี สมัยมัธยมเราสนิทกับซันมาก วันหยุดก็ไปเล่นเกมที่บ้านหรือไปดูหนังด้วยกันตลอด เลยนึกไม่ออกว่าถ้าคบกันแล้วมันจะต่างออกไปยังไง...”

ไม่สิ...พิงภพพลันนึกถึงคืนที่ภาณุกรมาค้างด้วยที่ห้อง ความตั้งใจของอีกฝ่ายชัดเจนไม่ว่าจะเป็นตอนที่จูบมุมปากหรือหอมแก้ม แต่อาจเพราะสมองเขารับจินตนาการที่เตลิดกว่านั้นกับอดีตเพื่อนสนิทไม่ไหว มันเลยชัตดาวน์ก่อนจะออกนอกลู่นอกทางทุกที

“คิดไปถึงไหนแล้ว เราแค่หมายถึงเรื่องทั่วๆ ไป อย่างดินเนอร์ ออกเดท หรือแค่เดินจูงมือกันต่างหาก ทะลึ่งเหมือนกันนี่เรา”

“เดี๋ยวๆ ใครกันแน่ที่มาพูดให้คิด ถ้าแค่เดินจูงมือตอนนี้ก็ทำอยู่นี่ไง”

พิงภพสวนกลับพร้อมกับชูมือที่กุมกันขึ้น ก่อนจะชะงักเพราะตระหนักถึงสิ่งที่พวกเขากำลังทำ รวมถึงบทสนทนาในตอนนี้ด้วย

ก็นี่มัน...เป็นสิ่งที่ปกติแฟนกันถึงจะทำนี่นา? ไม่งั้นเพื่อนผู้ชายที่ไหนจะมาเดินจูงมือกันริมทะเลตอนกลางค่ำกลางคืน นี่เขาโดนหมอนี่วิจารณ์จนสมองลัดวงจรหรือไงนะ?

“เอ่อ...”

ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง มองมือที่กุมกันอยู่เหมือนกำลังมองผ่านสายตาบุคคลที่สาม แล้วก็นึกสงสัยว่าถ้าคนอื่นมาเห็นจะอ่านสถานการณ์นี้ว่าอย่างไร

“อยากทดสอบดูก่อนจะไปเจอหมอนั่นอีกครั้งไหมล่ะ?”

“หา? ...”

คืนนี้ดูเหมือนเขาจะส่งเสียงอุทานอย่างเซ่อซ่าหลายรอบแล้ว และพิงภพมั่นใจว่าคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายขณะมุ่นคิ้วมองอทิตยะ

“บางทีนอกจากเรื่องที่ไม่อยากเสียเพื่อน อีกเหตุผลที่คุณยังไม่กล้าตัดสินใจก็เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายคบกันแล้วเป็นยังไง เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะโดนมองแบบไหน ถ้าได้ทดลองก่อน คุณอาจมั่นใจมากขึ้นว่าจะตอบเยสหรือโนก็ได้”

“เรื่องนั้น...แต่ว่า...เราไม่มีคนที่จะคบด้วยแบบนั้นนี่”

นอกจากเจ๊เพ็ชชี่ที่แปลงเพศไปแล้ว...เขาก็ไม่สนิทกับใครที่เป็นเกย์สักคน จะชวนหนึ่งในพวกเพื่อนๆ ให้ลองคบกันก็คงดูประหลาด จะให้สมัครแอปหาคู่ก็ไม่ใช่แนวอีก

“ก็ยืนอยู่ตรงนี้คนนึงไง”

“ว้อท? ...ยืนอยู่ตรงนี้? หมายถึง...แล้วเอมี่ล่ะ?”

“เอมี่รู้จักกับเราตั้งแต่เด็กเหมือนคุณกับซันนั่นแหละ ยายนั่นคือคนแรกที่รู้ว่าเราเป็นเกย์ด้วยซ้ำ”

พิงภพฟังแล้วอ้าปากค้าง เขาพยายามทบทวนความทรงจำช่วงที่เห็นอทิตยะกับเอมี่อยู่ด้วยกัน จะว่าไป...ตอนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าสองคนนี้เป็นคนรักหรือแค่เพื่อนสนิทจริงๆ แต่เรื่องที่อทิตยะเป็นเกย์...ทำเอาพิงภพนึกถึงนิยาม ‘คนเราดูแค่ภายนอกไม่ได้’ ขึ้นมาทันที

“แต่น่าจะไม่ดีมั้ง...เต็มเป็นหลานเจ้าของรีสอร์ท ถึงจะบอกว่าคบกันเล่นๆ แต่มันดูเหมือนเราใช้ประโยชน์จากเต็มเพื่อให้ได้อภิสิทธิ์กว่าคนอื่นยังไงไม่รู้”

“ป๋ากับน้าบุ๋มแค่เรียกเราเป็นหลานเพราะเอ็นดู แต่เราไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับบลูแซนด์ ถ้าใครหาว่าคุณคบเราหวังผลก็ตอบตามนี้ได้เลย เว้นว่าจะไม่อยากเพราะคิดว่าอยู่ใกล้เราอาจทำให้โดนมองว่าไม่ดีตามไปด้วย”

จู่ๆ บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป พิงภพมองรอยยิ้มที่เปลี่ยนเป็นรอยเหยียดมุมปากแล้วหัวใจกระตุก รีบกระชับมือที่กุมกันเพราะรู้ว่าอทิตยะกำลังจะปล่อย

“ไม่ใช่นะ แล้วทำไมเราต้องกลัวจะโดนมองว่าไม่ดีด้วยล่ะ ถ้าเรื่องรอยสักเต็มตัวล่ะก็เดี๋ยวนี้ก็มีคนสักกันเยอะแยะ เต็มก็แค่ชอบทำหน้าดุ พูดตรงจนไม่เข้าหู แต่ความจริงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ รู้ตัวว่าพูดไม่ดีกับเราก็มาขอโทษ ตอนที่ยังไม่สนิทกันก็อุตส่าห์ตื่นมาขับรถไปส่งที่ทำงานกับเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ให้ คนไม่ดีที่ไหนเขาจะทำเรื่องแบบนี้ให้คนอื่น”

มืออีกข้างของเขาวางทับมือที่กุมกันอยู่ พิงภพจ้องตาของอทิตยะเพื่อย้ำคำพูด ถึงเขาจะไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนแต่ก็เชื่อสัญชาตญาณว่าไม่เคยมองคนผิด อึดใจใหญ่อทิตยะก็หัวเราะออกมา

“เราเริ่มเข้าใจความรู้สึกของหมอนั่นแล้วสิ จะบอกว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีล่ะเนี่ย”

พิงภพค่อยโล่งอกที่บรรยากาศน่าอึดอัดสลายไป แต่กลับงงเพราะคำพูดเมื่อครู่แทน

“หมายความว่าไง?”

“ไม่มีอะไร เราบ่นกับตัวเองเฉยๆ ...แล้วตกลงเอาไง สนใจจะลองคบกันดูหรือเปล่า?”

พิงภพสบตาคนถาม ตั้งแต่จูงมือเดินเล่นกันก็น่าจะครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาไม่นึกรังเกียจสัมผัสนี้ แล้วก็ไม่ได้รังเกียจอทิตยะแม้จะไม่แน่ใจกับการเปลี่ยนสถานะจากคนข้างห้อง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า...มันจะช่วยให้เขาได้คำตอบสำหรับภาณุกรจริงหรือ?

“สมมติว่า แค่สมมติเฉยๆ นะว่าตกลงจะลองคบด้วย...แล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?”

“ก็ทำเหมือนตอนที่คุณคบแฟนเก่า อันไหนฝืนใจก็ไม่ต้องทำ ถ้าตอนไหนคุณคิดว่าเบื่อแล้ว หรือว่าได้คำตอบให้ตัวเองแล้วก็บอกเลิกได้ตลอดเวลา”

“ง่ายขนาดนั้นเลย? แล้วเต็มจะได้อะไรล่ะ? นี่เหมือนมีแต่เราที่ได้ประโยชน์อยู่คนเดียวเลยนี่”

พิงภพถามอย่างระแวง เขาไม่ได้โลกสวยถึงขั้นจะเชื่อว่ามีคนยอมยื่นข้อเสนอที่ตัวเองขาดทุนให้คนอื่น ยิ่งเห็นรอยยิ้มน่าหมั่นไส้ก็ยิ่งมั่นใจว่าคิดถูก

“ได้ฆ่าเวลาล่ะมั้ง จะบอกให้รู้ก็แล้วกัน ที่เรามาทำงานที่บลูแซนด์ก็เพราะป๋าขอให้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยบ้าง ไม่แน่แค่เดือนสองเดือนเราก็คงกลับเมลเบิร์นแล้ว ที่นี่เราไม่มีเพื่อน อย่างน้อยถ้าคบกับคุณเราก็จะได้มีคนคุยด้วย ยังไงก็ดีกว่าช่วยงานน้าบุ๋มไปวันๆ ใช่ไหมล่ะ?”

“นั่นก็...คงจะใช่”

คำตอบของอทิตยะช่วยให้พิงภพสบายใจขึ้น แม้จะรู้สึกโหวงๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะอยู่ที่เกาะเพียงชั่วคราว แต่บางทีเขาควรจะโล่งอกว่า ‘การทดลอง’ นี้จะไม่กินเวลานานเกินกว่าที่จำเป็น

“สรุปว่าไง คุณโอเคกับข้อเสนอนี้หรือเปล่า? เราขี้เกียจทึกทักคำตอบเองคนเดียว”

“ถ้าหาก...ตกลง เต็มยืนยันว่าจะไม่ทำอะไรที่เราไม่ชอบใช่ไหม?”

“วางใจได้ เราเกลียดการฝืนใจคนอื่นที่สุด”

“ถ้างั้นก็...ลองดูก็แล้วกัน...”

พิงภพหลุบตามองมือที่ยังกุมกันอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการให้คำตอบกับภาณุกรมาเกือบสิบปี แต่กลับตอบตกลงคำชวนของอทิตยะที่ให้ทดลองคบกันในเวลาไม่กี่อึดใจ ความที่มัวแต่สับสนกับความลักลั่นของตัวเอง เขาเลยสะดุ้งเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายโน้มตัวเข้าหา

“เดี๋ยวๆๆ จะทำอะไร!? ไหนว่าเกลียดการฝืนใจคนอื่นไง!”

“ก็แค่จะทำสัญญาว่าตกลงคบกัน ไม่งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับคบเป็นเพื่อนเฉยๆ สิ”

“เดี๊ยว! แต่นี่มันข้ามขั้นปั๊ย! เราเพิ่งตอบตกลงเมื่อกี้เอง อย่าเพิ่งทำให้ช็อกได้ไหม?”

พิงภพพูดพลางยันอกคนตัวสูงกว่า เขาหลับตาปี๋เมื่ออีกฝ่ายยิ้มแล้วก้มลงมาอีก ก่อนจะค่อยลืมตาเมื่อรับรู้ว่าส่วนที่ถูกประทับจูบคือหน้าผาก

ความรู้สึกจั๊กจี้แบบนี้มัน...จะว่ายังไงดีล่ะ....

“งั้นแค่นี้พอ เอาเป็นว่าการทดลองของพวกเราเริ่มตั้งแต่คืนนี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว เดี๋ยวเราพาคุณไปส่งที่ห้อง”

“ทำเป็นพูดดี ได้ข่าวว่าตัวเองก็ต้องกลับไปที่เดียวกัน”

“ก็พูดให้ดูดีไว้ก่อนไง ตกลงว่าจะกลับด้วยไหมล่ะ?”

พิงภพเอามือลูบหน้าผากที่เพิ่งโดนจูบ มองสีหน้ายียวนของคนถามแล้วรู้สึกอยากหยิกขึ้นมาติดหมัด “กลับสิ ไม่ได้เอารถตัวเองมานี่นา พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้าอีก”

อทิตยะหัวเราะหึๆ พลางจูงมือเขากลับไปที่รถ พิงภพมองคนเดินนำก่อนจะเบนสายตาขึ้นมองท้องฟ้า คืนนี้ดวงดาวทอแสงระยับ แต่มันก็คือดาวที่ฉายแสงอยู่ทุกคืน เกาะก็ยังเป็นเกาะเดิม กระทั่งเรือประมงที่เห็นอยู่ไกลลิบก็คงเป็นลำเดิม แต่สิ่งที่ต่างไปคือเขาเพิ่งตกลงจะ ‘ลองคบ’ กับเจ้าหนุ่มข้างห้องที่อายุน้อยกว่าสองปีคนนี้ไปหมาดๆ

หวังว่า...เขาจะไม่ได้กำลังขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ก็แล้วกันนะ



++------++



เสียงเคาะประตูดังตั้งแต่เช้า พิงภพที่กำลังแปรงฟันมุ่นคิ้วแล้วเดินไปดูที่ช่องตาแมว พอเห็นว่าเป็นใครก็เปิดประตูให้

“เต็ม? มีอะไร?”

“มารอรับไง ต้องไปลงเรือรอบเจ็ดครึ่งไม่ใช่เหรอ ไม่รีบเดี๋ยวก็สายหรอก”

พิงภพกะพริบตามองคนที่แต่งตัวพร้อมไปทำงาน ซึ่งกับรีสอร์ทบนเกาะก็คือเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น เขามุ่นคิ้วแล้วเดินกลับไปบ้วนปากในห้องน้ำ

“ปกติเต็มไม่ได้ไปแต่เช้าไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ต้องรีบด้วยล่ะ?”

“อะไรกัน แค่ข้ามคืนก็ลืมแล้วเหรอ ในเมื่อตกลงว่าจะเป็นแฟนกันเราก็ต้องขับรถไปส่งไง ไหนๆ ก็ทำงานที่เดียวกันอยู่แล้ว จะขับคนละคันให้เปลืองน้ำมันทำไมล่ะ”

พิงภพได้ยินก็เกือบทำแก้วน้ำหล่น จริงด้วย เขาลืมไปสนิทว่าตกลงจะคบกับหมอนี่ แต่ไม่นึกว่าภารกิจของแฟนจะเริ่มตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้

“เอ่อ...ก็ได้ งั้นรอแป๊บนึง”

“จะให้รอในห้อง หรือให้ไปรอที่รถ?”

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูถามอีก พิงภพปรายตามอง ก่อนหน้านี้ที่อทิตยะมาขอนอนด้วยเพราะตุ๊กแกนั่นเขาไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว พอคิดว่าจะให้นั่งบนเตียงที่เคยนอนด้วยกันก็รู้สึกจั๊กจี้

“ข้างล่างก็แล้วกัน เดี๋ยวเก็บของแล้วจะรีบลงไป”

“กลัวอดใจไม่ไหวสินะ งั้นรีบมาล่ะ ถ้าช้าจะขึ้นมาตามเอง”

อทิตยะแกล้งทำเสียงเดาะลิ้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้พิงภพหมั่นไส้จนอยากเขวี้ยงหมอนตาม

ก็เป็นซะแบบนี้ พอตอบรับเป็นแฟนก็ทะลึ่งเลย ถ้าเขาบอกว่าขอเลิกคบตั้งแต่ตอนนี้จะเร็วไปไหมเนี่ย?

หลังหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์แล้วพิงภพก็ออกจากห้อง เขาชะงักเมื่อเห็นตุ๊กตากัปตันอเมริกาที่ห้อยอยู่บนพวงกุญแจ แต่ก็รีบล็อกประตูแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง

ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงซันตอนนี้...

“มาแล้วๆ ไม่ต้องบีบแตรเรียกก็ได้ คนต้องไปเช้าเองยังไม่รีบเลย”

“ก็จะได้มีเวลากินมื้อเช้าก่อนไง วันๆ คุณกับเราทำงานคนละส่วน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าน้าบุ๋มจะให้ไปช่วยประสานงานกับเรือเมื่อไหร่ ก็ต้องใช้เวลาด้วยกันให้มากที่สุดใช่ไหมล่ะ?”

อทิตยะตอบแล้วสตาร์ทรถ พิงภพที่กำลังซ้อนท้ายถึงนึกขึ้นได้ เวรละ เขาเองที่เป็นคนบอกจะทำโทษหมอนี่ด้วยการให้ไปช่วยงานที่เรือ แต่ในเมื่อตอนนี้คบกันแล้ว เท่ากับหลังจากนี้พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงน่ะสิ แล้วถ้าพวกเพื่อนๆ รู้จะไม่แซวกันสนุกเหรอเนี่ย

พิงภพคำรามในคอแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น พวกเขาแวะกินข้าวในตลาดก่อนจะเข้าไปที่ห้องสำนักงาน บุณฑริกกำลังเปิดสมุดให้พนักงานลงเวลา พอเห็นเขากับอทิตยะก็ทักทาย

“วันนี้เต็มมาเช้าแฮะ นี่มาพร้อมกับพุธเลยเหรอ?”

บุณฑริกเอ่ยอย่างแปลกใจ พิงภพได้แต่ยิ้มแห้งขณะรับสมุดมาลงเวลาบ้าง ต่างจากคนที่มาพร้อมกันซึ่งตอบเสียงฉะฉาน

“ใช่ครับ เพราะผมรอรับให้มาด้วยกัน”

เหล่าครูสอนดำน้ำที่เป็นคนไทยรวมทั้งบุณฑริกมองพวกเขาอย่างมีคำถาม ส่วนพวกที่ฟังภาษาไทยไม่ออกก็ทำหน้าฉงนกับท่าทีของพวกแรก พิงภพก้มหน้าแล้วได้แต่ลงชื่อเข้างานให้เร็วที่สุด

“เอ๋? รถเสียอีกแล้วเหรอพุธ?”

“ไม่ใช่ครับพี่บุ๋ม เอ่อ...”

ชายหนุ่มตอบเสียงอ้ำอึ้ง ท่าทางของเขาคงไม่เป็นที่สบอารมณ์เพราะอทิตยะเข้ามายืนข้างๆ แล้วโอบไหล่

“รถพุธไม่ได้เสียหรอกครับ แต่เราเพิ่งตกลงว่าจะคบกัน ดังนั้นตั้งแต่วันนี้พวกเราก็เลยจะมาและกลับพร้อมกันครับ”

“หา!?!”

เสียงนั้นดังมาจากทุกคนที่ฟังภาษาไทยออก ส่วนเจ้าพวกที่ฟังไม่ออกก็คงเดาจากภาษากายของอทิตยะแล้วพากันยิ้มจนพิงภพชูนิ้วกลางให้ บุณฑริกอ้าปากหวอก่อนจะนึกได้ว่าพวกเขาต้องลงเรือเลยรีบไล่ออกจากห้อง อทิตยะก้มลงกดจมูกบนขมับเขาหนักๆ แล้วโบกมือบ๊ายบาย แต่พิงภพมั่นใจว่าหมอนี่จงใจทำให้ทุกคนเห็นแน่ๆ

“พุธธธธธ ว้อทแฮปเป้นนนน”

“เงียบไปเลยพวกนาย ฉันไม่เล่าอะไรทั้งนั้น!”

พิงภพไล่เพื่อนๆ ที่พากันเข้ามารุมล้อมขณะแบกกระเป๋าอุปกรณ์ไปที่เรือ แต่ดันกลายเป็นว่ายิ่งไล่ยิ่งทำให้ทุกคนสนใจมากกว่าเก่า

“วันนี้นายโดนถามไม่เลิกแน่ เตรียมตอบคำถามทั้งวันได้เลย ฮ่าๆๆๆ”



++------++



อทิตยะออกมายืนมองความครื้นเครงที่หน้าหาด ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วเดินกลับห้องสำนักงาน บุณฑริกเพิ่งจะวางสายโทรศัพท์พอดี พอเห็นเขาก็รีบโบกมือให้นั่งลง

“เต็ม! เมื่อกี้มันอะไรเนี่ย? อำน้าเล่นหรือเปล่า?”

สีหน้าของบุณฑริกสะท้อนความอัศจรรย์ใจเต็มที่ อทิตยะเพียงยิ้มอ่อนๆ แต่กลับแทนคำยืนยันจนหญิงสาวทิ้งตัวพิงพนัก

“ตกลงว่าคบกันจริงสินะ...แม่เจ้า...นี่ไปล่อลวงอีท่าไหนพุธถึงตอบตกลงได้?”

“อ้าว ทำไมน้าบุ๋มไม่คิดว่าฝ่ายโน้นอาจจะล่อลวงผมบ้างล่ะ?”

“เพราะมันเป็นไปไม่ได้ อิมพอสสิเบิลล้านเปอร์เซ็นต์ แถมเมื่อวานเราเพิ่งคุยกันเรื่องที่พุธอ่อนต่อโลก จู่ๆ วันนี้มาบอกว่าคบกับเต็ม น้าก็ต้องสงสัยเราอยู่แล้วสิ”

“แหม ผมไม่ทำให้ลูกน้องของน้าบุ๋มเสียคนหรอก แค่พอดีพวกเราคุยกันแล้วคลิก ผมก็เลยชวนให้คบกันดูเท่านั้นเอง”

หญิงสาวค้อนปะหลับปะเหลือก “คลิกเนี่ยนะ เฮ้อ...ตามวัยรุ่นสมัยนี้ไม่ทันจริงๆ วันก่อนสาวๆ ฝั่งรีเซปชั่นยังมาถามอยู่เลยว่าเต็มมีแฟนไหม ถ้ารู้ว่าโดนพุธที่เป็นผู้ชายตัดหน้าคงพากันกรี๊ด”

“ถึงพุธไม่ตัดหน้า ผมก็ไม่มองพวกสาวๆ อยู่ดี”

บุณฑริกซึ่งเมื่อครู่ใช้มือกุมศีรษะตวัดสายตาขึ้น อทิตยะสบตาโดยไม่หลบ เธอมองเขาครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ

“อย่างนั้นหรอกเหรอ พี่บู๊เขารู้อยู่แล้วใช่ไหม? แล้วเอมี่ล่ะ?”

“ถ้าทุกคนที่ออสก็รู้กันหมดแล้ว ป๋าคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกน้าบุ๋มก็เลยไม่ได้พูด ส่วนผมเองก็ไม่รู้จะบอกตอนไหน แต่ไม่เคยตั้งใจจะปิดบัง”

“น้าเข้าใจ มันใช่เรื่องที่จู่ๆ จะต้องเดินมาบอกซะที่ไหน เอาเถอะ น้ายังไม่ช็อกเรื่องที่เต็มเป็นเกย์เท่าเรื่องที่บอกว่าคบกับพุธเลย ถ้าหากเป็นคนอื่นก็ว่าไปอย่าง”

คำตัดพ้อของบุณฑริกทำให้อทิตยะนึกขำ ดูเหมือนสำหรับคนรอบข้างแล้วพิงภพจะเปรียบดังผ้าขาวที่ไม่ควรแปดเปื้อน ช่างต่างกับเขาที่ใครๆ ชอบคิดว่าคุ้นเคยกับอบายมุขทุกรูปแบบราวฟ้ากับเหว

“ผมรับรองได้ว่าพวกเราคุยและตกลงคบกันแบบผู้ใหญ่ที่มีสติครบถ้วน ผมไม่ได้มอมเหล้าแล้วบังคับให้พุธตอบตกลงแน่นอน ไม่เชื่อก็เรียกเจ้าตัวมาถามได้เลย”

“เฮ้ย! น้าไม่ได้บอกว่าเราทำแบบนั้น! ถ้าอยากจะคบกันก็คบไปเถอะ ขอเวลาให้น้าหายช็อกแป๊บนึง เดี๋ยวเจอพุธอีกทีก็คงแซวได้คล่องแล้วล่ะ ป่านนี้พวกบนเรือก็คงรุมยิงคำถามจนพรุนแล้วมั้ง”

อทิตยะนึกภาพตามแล้วอมยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ตกลงกับพิงภพไว้ก่อนจะไปเดินเล่นกันเมื่อคืน แต่เขาตัดสินใจบอกกับบุณฑริกแค่ว่าอยากลองศึกษางานในเรือแทนที่จะเล่าเหตุผลที่แท้จริง

“หืมมมม ถ้างั้นเต็มก็จะได้อยู่กับพุธวันละหลายชั่วโมงเลยสิ ข้าวใหม่ปลามันจริงนะเรา”

“ก็ไม่เชิง ผมแค่อยากลองทำหลายๆ อย่างระหว่างอยู่ที่นี่ บังเอิญจังหวะมันได้ก็เท่านั้นเอง”

“ย่ะพ่อคุณ แต่จังหวะดีจริงๆ นั่นแหละเพราะทิตย์หน้าจะมีครูลาพักร้อนหลายคน ไว้พวกนั้นกลับมาเย็นนี้แล้วน้าจะบอกให้ใครสักคนช่วยสอนงานเต็มก็แล้วกัน”

“ขอบคุณครับ”

“จ้า แล้วก็...เมื่อคืนคุณธาตรีโทรมาคุยกับน้า”

ชื่อที่เขาไม่อยากได้ยินทำให้รอยยิ้มเลือนหาย อทิตยะหลุบตาเพื่อซ่อนประกายกร้าวแล้วถามเสียงเรียบ

“คุยกันว่าไงครับ?”

“เอ่อ...ก็ถามทั่วไปว่ากิจการเป็นไงบ้าง แล้วก็ถามว่าเต็มอยู่ที่นี่ใช่ไหม เข้ากับทุกคนได้ดีหรือเปล่า”

“เขาคงไม่คิดว่าผมจะมีเพื่อนฝูงละมั้ง”

“อย่าเพิ่งคิดในแง่ลบสิ พ่อเขาก็แค่เป็นห่วง น้าเข้าใจว่าเต็มยังไม่หายโกรธ แต่เรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้วก็ควรปล่อยวางบ้าง พวกผู้ใหญ่เขาไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปนะ”

ลมหายใจของอทิตยะรัวเร็วขึ้น แต่เขาพยายามกดอารมณ์ไว้ หลังผ่านไปครู่หนึ่งก็เลื่อนเก้าอี้ออก

“นี่ยังเช้าอยู่ ผมขอตัวไปสูบบุหรี่แป๊บนึง เดี๋ยวจะกลับมาช่วยงานต่อ”

“โอเคจ้ะ”

บุณฑริกเอนพิงเก้าอี้พลางตอบด้วยน้ำเสียงปลงๆ อทิตยะเดินออกจากห้องสำนักงานไปยังบริเวณที่สูบบุหรี่ มือที่ล้วงลงในกระเป๋าสั่นจนซองบุหรี่เกือบร่วงจากมือ เขาสบถก่อนจะต่อยกำปั้นข้างนั้นเข้ากับผนังปูนอย่างแรง

ใจเย็นไว้ อย่าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ขึ้นมาอีก เขาเคยทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยมาแล้ว ดังนั้นจะถอยหลังไปสู่จุดตกต่ำแบบนั้นไม่ได้อีกเป็นอันขาด...



++---TBC---++



A/N: ถือโอกาสฤกษ์ดีวันปีใหม่ 1 เดือน 1 อัพเดทตอนที่ 11 เสียเลย เผื่อจะช่วยกระตุ้นให้ปี 2020 นี้เขียน+โพสต์นิยายได้สม่ำเสมอขึ้น หวังว่าจะไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปนะคะ หลังจากนี้เราคงได้เห็นแง่มุมใหม่ๆ ของทั้งพุธและเต็มมากขึ้น แล้วมาคอยติดตามพัฒนาการของทั้งคู่กันนะ จะพยายามลงตอนใหม่ให้ได้ทุกสองสัปดาห์ สำหรับวันนี้ก็ขอสวัสดีปีใหม่อีกทีค่ะ  :mew1:



หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 11 หน้า 2 {อัพวันปีใหม่ 1.1.20}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-01-2020 00:59:10
ขำความเต็มพุธทำตัวเป็นแฟนกันก่อนจะตกลงเป็นแฟนกันสะอีก
ตอนจับมือกันไปเดินเล่นคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กัน อ่านแล้วหยุดเขินไม่ได้เลย :-[
ยิ่งตอนที่เต็มจะปล่อยแล้วพุธจับมือให้แน่นขึ้น มันอบอุ่นหัวใจมากๆ

เป็นแฟนกันแล้วเต็มรุกหนักมากทั้งไปรับไปส่ง
ทั้งบอกตรงๆว่าอยากใช้เวลาด้วยกันให้เยอะที่สุด
ยังหอมหน้าผากแสดงความเป็นเจ้าของอีก
โอ่ย แค่วันแรกก็เขินไม่ไหวแล้ว ไม่อยากให้เป็นแค่การทดลองระยะสั้นเลย :hao5:

สวัสดีปีใหม่ค่ะ จะคอยติดตามพัฒนาการของทั้งสองคนไปเรื่อยๆนะคะ :3123:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 11 หน้า 2 {อัพวันปีใหม่ 1.1.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 04-01-2020 07:54:39
คุณ tasteurr ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์แรกรับปีใหม่ค่ะ จะพยายามพาพุธกับเต็มมาเจออย่างสม่ำเสมอค่า  :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 11 หน้า 2 {อัพวันปีใหม่ 1.1.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-01-2020 15:33:02
ตะวันพิงภพ บทที่ 12


วันนี้เป็นวันแรกของการสอบภาคปฏิบัติให้นักเรียนใหม่ในทะเล นักเรียนของพิงภพมีสี่คนและต่างสอบผ่านอย่างราบรื่น หลังการสอบเสร็จสิ้นและเรือเล็กพานักดำน้ำกลับฝั่งในช่วงบ่าย เขาขออยู่บนเรือใหญ่เพื่อรอดำน้ำรอบค่ำแทนที่จะกลับไปกินข้าวเย็น โชคดีว่าบนเรือมีมาม่าคัพให้ชงน้ำร้อนพอประทังความหิว

“แหม คืนนี้ไม่ต้องหลีดกรุ๊ปยังจะลงไนต์ไดฟ์อีก ไม่รีบกลับไปดินเนอร์กับสวีตฮาร์ตเหรอพุธ?”

พอฟ้าเริ่มโพล้เพล้ เหล่านักดำน้ำรอบค่ำก็นั่งเรือเล็กมาขึ้นเรือใหญ่ มาริอุสเห็นพิงภพนั่งเล่นอยู่ท้ายเรือก็เดินมาแซวจนเขาทำตาเขม่น

“ใครเป็นสวีตฮาร์ต อย่าพูดให้ฉันคลื่นไส้น่ะมาริอุส”

“เพื่อนเรานี่ขี้อายจัง แต่เพิ่งเปิดตัวว่าคบกันใหม่ๆ ก็แบบนี้แหละ ฉันเข้าใจ”

ลีตบบ่าเขาแล้วหัวเราะ ส่วนสเวนซึ่งก้มลงหยิบอุปกรณ์ออกจากกระเป๋าเพียงแค่อมยิ้ม พิงภพเหล่มองอย่างหมั่นไส้เพราะมั่นใจว่าหมอนี่คงกำลังเก็บข้อมูลอย่างไม่กระโตกกระตาก เขาไม่รู้ว่าควรจะปลาบปลื้มหรือเวทนาตัวเองที่เพื่อนฝูงเอาใจใส่ขนาดนี้ ต่อให้การคบกับอทิตยะจะไม่ได้มีพื้นฐานจากความโรแมนติกเหมือนที่ทุกคนคิดก็ตาม

“พุธธธธ”

เสียงหวานแต่ติดกังวานแหบต่ำดังมาจากด้านหลัง พิงภพสูดหายใจเฮือกเมื่อเรียวนิ้วที่ทาเล็บสีม่วงเข้ม

วางลงบนไหล่ เขาหันไปยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวสองคนที่เดินมาหา แม้ว่าหนึ่งในนั้นจะไม่ได้เป็นผู้หญิงมาแต่อ้อนแต่ออก

“เจ๊เพ็ชชี่ แก้ม วันนี้ลงไนต์ไดฟ์กันด้วยเหรอ?”

“ก็มีลูกค้าอยากลงเลยต้องมาหลีด ว่าไงจ๊ะ เมื่อเช้าเจ๊พลาดเรื่องเด็ดที่ออฟฟิศไปใช่ไหม?”

เพ็ชรัตน์หรือเจ๊เพ็ชชี่ สาวข้ามเพศและหนึ่งในครูสอนดำน้ำที่อยู่กับบลูแซนด์มานานขยิบตาให้พิงภพ ส่วนณัฐกมลซึ่งอายุสามสิบแล้วแต่ไม่ชอบให้เขาเรียกพี่ก็แสร้งโบกมือกรีดกราย

“แก้มเสียดายมากเลยเจ๊ที่ไม่ได้ถ่ายคลิปเมื่อเช้าไว้ เต็มสวีตกับพุธต่อหน้าทุกคนเลย เล่นเอาช็อกกันทั้งออฟฟิศ”

“บรรยายซะเว่อร์ หมอนั่นก็แค่แกล้งจุ๊บเราตรงนี้ก่อนจะมาลงเรือ ไม่เห็นจะสวีตตรงไหน”

พิงภพชี้นิ้วไปที่ขมับ แต่พอเห็นรอยยิ้มของสองสาวรวมทั้งเพื่อนๆ ต่างชาติที่เดาหัวข้อสนทนาได้ก็ร้อนหน้า เพ็ชรัตน์หัวเราะเสียงดังแล้วตบบ่าเขาดังเพียะ

“ต๊ายตาย ดูไม่ออกเลยนะว่าเต็มเขามาทางนี้ ขนาดเกย์ด้าร์ของเจ๊ออกจะแรงยังพลาด”

“อุ้ย ผู้ชายสมัยนี้ดูยากออกเจ๊ ลูกพี่ลูกน้องของแก้มคนนึงเป็นไอทีโคตรเนิร์ด วันหยุดก็เอาแต่เล่นเกม ไม่ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว ยังมีแฟนเป็นผู้ชายเลย”

“เดี๋ยวนี้มันมีอยู่ในทุกวงการนั่นแหละ เจ๊แค่ไม่นึกว่ากระทั่งเด็กของเจ๊ก็โดนคอนเวิร์ตไปด้วย ขอเตือนเลยนะพุธ ระวังพวกสาวๆ ที่รีสอร์ตจะหมั่นไส้ไว้ด้วยล่ะ”

“โหยเจ๊ อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าคิดผิดมากกว่านี้ได้ไหม?”

พิงภพโอดครวญท่ามกลางเสียงหัวเราะ อันที่จริงก็คิดอยู่แล้วว่าหลังตกลงคบกับอทิตยะจะต้องกลายเป็นหัวข้อสนทนา แต่คาดไม่ถึงว่าหมอนั่นเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่วันก็ฮอตซะแล้ว

ว่าแต่ตอนนี้...หมอนั่นจะกำลังรอกินข้าวพร้อมเราหรือเปล่านะ...

พิงภพเหลียวมองไปทางชายฝั่ง โรงแรมและร้านอาหารต่างทยอยเปิดไฟท่ามกลางท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ภาพที่เห็นชวนให้นึกถึงความแตกต่างระหว่างชีวิตบนเกาะกับกรุงเทพฯ และนั่นทำให้เขาพานคิดไปถึงใครอีกคนที่นั่น

ป่านนี้ซันจะทำอะไรอยู่...ทำไมถึงไม่เคยทักมาทั้งที่แอดไลน์กันแล้ว หรือเขาต่างหากที่ทึกทักไปเองว่าอีกฝ่ายน่าจะยังรอเขา

ตั้งแต่ภาณุกรกลับกรุงเทพก็ผ่านมาพักใหญ่ ไม่มีอะไรการันตีว่าความรู้สึกของฝ่ายนั้นจะไม่เปลี่ยนหลังเข้าทำงานในวงการบันเทิงเต็มตัว และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง...ไม่เท่ากับว่าทั้งเขาและอทิตยะกำลังเสียเวลากันโดยเปล่าประโยชน์หรือ...

“ทุกคน อีกเดี๋ยวเรือจะทอดสมอแล้ว ใครจะลงไดฟ์นี้ก็รีบเตรียมตัวซะ”

“โอเคครับ”

ทุกคนส่งเสียงตอบกัปตัน ต่างคนต่างรีบแต่งตัวและเข้าประจำที่ พิงภพตรวจความเรียบร้อยของอุปกรณ์ และพยายามปัดเรื่องกวนใจทิ้งขณะกระโดดลงสู่โลกใต้น้ำ

 

++------++

 

สองทุ่มกว่าแล้ว อทิตยะนั่งคลิกอ่านบทความในอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ก่อนจะถูกเสียงเลื่อนบานประตูเรียกความสนใจ

“กลับมาแล้วครับ”

พิงภพคือคนแรกที่ก้าวเข้ามาในสำนักงาน ตามด้วยบรรดาครูสอนดำน้ำคนอื่นๆ อทิตยะปิดหน้าจอก่อนจะหันไปหยิบสมุดเซ็นชื่อส่งให้

“อ้าว...บุ๋มไม่อยู่เหรอ? ทำไมปล่อยให้เด็กใหม่เฝ้าออฟฟิศคนเดียวล่ะ?”

หนึ่งในครูสอนดำน้ำที่วัยเดียวกับบุณฑริกถาม อทิตยะยักไหล่

“เห็นว่ามีนัดน่ะครับ อีกอย่างคืนนี้ก็เหลือแค่รอให้ครูสอนดำน้ำมาเซ็นชื่อ ผมเลยอาสาอยู่ปิดออฟฟิศให้”

“จะได้รอหมอนี่ด้วยสินะ ต้องมาและกลับด้วยกันนี่นา”

ลีเอ่ยพลางกระทุ้งศอกใส่พิงภพอย่างหยอกเย้า อทิตยะอมยิ้มน้อยๆ ขณะมองเจ้าตัวกลอกตา

“คนนี้เจ๊รักและเป็นห่วงมากนะเต็ม ถึงจะน่าแกล้งยังไงก็อย่าแรงนักนะ”

“เจ๊เพ็ชชี่! ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”

“ไม่ได้หรอก เจ๊มีหน้าที่ช่วยดูแลน้องๆ พุธเองถ้าโดนแกล้งก็ต้องรีบมาฟ้อง เจ๊จะได้ช่วยจัดการ”

ทุกคนหัวเราะเสียงดังขณะเพ็ชรัตน์ขยิบตาให้เขา อทิตยะยิ้มเนือยๆ และยกสองนิ้วขึ้นแตะขมับเป็นเชิงรับทราบ

“ผมไม่กล้าแกล้งพุธหรอกครับ น่ากลัวว่าพุธจะแกล้งผมมากกว่า”

“อู๊ยยย ฉันละหมั่นไส้วัยรุ่น ไปกันเถอะพวกเรา อย่ากวนเวลาคู่รักเขาดีกว่า”

ท้ายประโยคเจ๊ใหญ่ของรีสอร์ทหันไปเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษกับเหล่าครูสอนดำน้ำต่างชาติ มาริอุสหันมาตบบ่าพิงภพก่อนจะเดินตามคนอื่นออกจากห้อง

“ถ้างั้นพวกฉันไม่อยู่เป็น กขค.ละ อย่ากลับกันดึกนักล่ะ”

“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอายุเท่ากัน ฉันคงนึกว่านายเป็นพ่อฉันแล้วนะเนี่ย”

พิงภพเอ่ยไล่หลังท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ หลังประตูห้องปิดแล้วอทิตยะก็ลุกออกจากโต๊ะ

“ถ้าคุณอยากไปกินข้าวกับพวกเพื่อนๆ ก็ได้นะ”

“หือ?”

“เคยบอกแล้วไง ถึงคบกันก็ไม่ต้องทำอะไรที่ไม่ชอบ ถ้าคุณฝืนตัวเองมากไปจะเหนื่อยซะเปล่าๆ”

พูดจบอทิตยะก็หมุนตัวไปอีกทาง แต่มือที่คว้าจับชายเสื้อไว้ทำให้ชะงัก พอหันกลับไปก็เห็นพิงภพทำหน้าปุเลี่ยนๆ

“วันนี้ไม่กินกับเจ้าพวกนั้นสักวันไม่เป็นไรหรอก เราโดนแซวจนเอียนจะแย่ ถ้าอยู่ด้วยกันต่อสงสัยคงได้ทะเลาะกัน”

“ขนาดนั้นเชียว แสดงว่าพวกเพื่อนๆ รักคุณน่าดู”

“รักมากจนตอนนี้อยากหักคอเลยล่ะ แล้วตกลงเต็มกินข้าวหรือยัง? ถ้ายังก็ไปหาอะไรกินกัน หิวจะแย่แล้ว”

พิงภพพูดพลางเอามือลูบท้อง หน้าตาน่าสงสารจนอทิตยะเผลอยิ้ม

“เอาสิ เราก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน คุณอยากกินอะไรล่ะ?”

พิงภพยู่ปากพลางหรี่ตา อทิตยะเพิ่งสังเกตว่าเวลาที่อีกฝ่ายใช้ความคิดจะแสดงสีหน้าไร้การป้องกันตัวแบบนี้ แต่ปกติก็ดูจะไม่เคยสนใจว่ามีคนมองหรือเปล่าอยู่แล้ว

ไม่แปลกหรอกที่จะถูกมองว่าเหมือนเด็ก...

“พิซซ่าก็แล้วกัน ไม่ได้ไปร้านของเปาโลมาตั้งนาน ที่นี่ทำพิซซ่าอร่อยที่สุดบนเกาะเลยนะ ผักโขมอบชีสก็ดี ถ้ารีบหน่อยก็น่าจะทันแฮปปี้อาวร์”

น้ำเสียงกระตือรือร้นทำให้อทิตยะเริ่มสนใจ อันที่จริงตอนกลางวันเขากินข้าวไม่ค่อยลงหลังบุณฑริกบอกว่าพ่อโทรมา พอตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นถึงค่อยตระหนักว่าไม่มีอาหารลงท้องมาหลายชั่วโมง

“งั้นเดี๋ยวขอหยิบกุญแจมาล็อกห้องก่อน Shit!”

“เต็ม? เป็นอะไร?”

“เปล่า ไม่มีอะไร เราซุ่มซ่ามปัดมือไปชนขอบโต๊ะเอง”

ชายหนุ่มสูดปากพลางสะบัดมือซ้ายด้วยความเจ็บ พอเห็นสีหน้าตกใจของพิงภพถึงนึกได้ว่าซ่อนไม่ทันแล้ว

“เฮ้ย! ทำไมมันถลอกปอกเปิกอย่างนั้นล่ะ!? แค่ชนขอบโต๊ะจะเป็นแผลขนาดนี้ได้ไง?”

พิงภพคว้ามือเขาไปดูแต่อทิตยะปัดออก นัยน์ตาที่มองเขาเบิกกว้างขึ้นเหมือนตกใจ อทิตยะรีบหยิบกุญแจออกจากลิ้นชักแล้วดันมันปิดอย่างเดิม

“แผลจิ๊บจ๊อยแค่นี้ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”

“...โอเค...ถ้าพูดแบบนั้นล่ะก็”

หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 12 หน้า 2 {อัพ 17.1.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-01-2020 15:34:43
พิงภพนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะหยิบเป้แล้วเดินออกจากห้อง อทิตยะรีบใช้กุญแจล็อกประตูแล้วสาวเท้ายาวๆ ตาม

“เดี๋ยวก่อน ต้องขับรถไปหรือเปล่า?”

“ไม่ต้อง อยู่แค่หัวมุมนี่เอง เดินไปจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน”

เสียงท้ายประโยคกระแทกนิดหน่อย อทิตยะไม่แน่ใจว่าเขากำลังโดนย้อนที่พูดเรื่องเปลืองน้ำมันรถเมื่อเช้าหรือเปล่า แต่ก็คร้านจะต่อคำขณะมองอีกฝ่ายจ้ำอ้าวนำหน้า

แค่เริ่มคบกันวันแรกก็เหนื่อยแล้ว...เมื่อคืนเขาไม่น่าปากพล่อยชวนให้มาคบกันเลย

คืนนี้ร้านของเปาโลมีลูกค้าคึกคัก พนักงานเดินนำพวกเขาไปยังโต๊ะข้างผนังแล้วส่งเมนูให้ ต่างคนต่างนั่งอ่านเมนูเงียบๆ แต่แล้วเสียงฝีเท้าที่เดินมาหาก็ดึงสายตาของทั้งคู่ขึ้น

“ว่าไงพุธ ไม่เจอตั้งนาน วันนี้มากับเพื่อนแค่สองคนเหรอ?”

“สวัสดีครับเปาโล นี่...เต็ม เพิ่งมาเริ่มงานที่บลูแซนด์”

“ยินดีต้อนรับสู่เกาะเต่า คุณก็เป็นครูสอนดำน้ำเหมือนพุธสินะ?”

“เปล่าครับ ผมมาช่วยงานฝั่งรีสอร์ต”

อทิตยะจับมือที่เปาโลยื่นส่งให้ ชายชาวอิตาเลียนสูงวัยมีรูปร่างผอมแกร็น ผมบนศีรษะเป็นสีขาวและเริ่มบาง แต่นัยน์ตายังสดใสและท่าเดินก็ยังแข็งแรง เขาเห็นแล้วนึกถึงตาข้างบ้านที่เคยใจดีแบ่งผักให้เขากับแม่บ่อยๆ สมัยยังเด็ก

“ตอนนี้พวกเราคบกันอยู่ครับ”

เปาโลเลิกคิ้วแล้วหันไปมองพิงภพ อทิตยะเองก็เหมือนกัน แสงไฟในร้านค่อนข้างสลัว แต่อทิตยะก็ดูออกว่าผู้สูงวัยกำลังยิ้มอย่างเอ็นดู

“โฮ่...ถ้างั้นก็ยิ่งเป็นเกียรติที่ได้รู้จัก คืนนี้ฉันขอเลี้ยงไวน์แก้วแรกให้ทั้งคู่ก็แล้วกัน”

“ขอบคุณครับเปาโล ถ้างั้นผมขอสั่งพิซซ่าเป๊ปเปอโรนีกับผักโขมอบชีสด้วย”

“พิเศษเพิ่มชีสทั้งสองอย่างใช่ไหม? ได้สิ เดี๋ยวฉันบอกเชฟให้”

พิงภพยิ้มขอบคุณ เปาโลตบบ่าพวกเขาก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ หลังยกไวน์มาเสิร์ฟก็เดินไปทักทายลูกค้าโต๊ะอื่น

อทิตยะยกไวน์ขึ้นจิบ เขามองพิงภพที่กำลังนั่งเท้าคางมองไปทางอื่นแล้วก็ยื่นปลายเท้าไปเขี่ยเบาๆ อีกฝ่ายมุ่นคิ้วก่อนจะหันมาหา

“อะไร?”

“ไม่นึกว่าคุณจะกล้าบอกเปาโลว่ากำลังคบกับเรา ทีเมื่อเช้ายังดูไม่อยากบอกเพื่อนๆ อยู่เลย”

เขาพูดแล้วยกไวน์ขึ้นจิบอีกอึก พิงภพยักไหล่ขณะใช้นิ้วชี้ลูบฐานแก้วไวน์ของตัวเอง

“ก็เต็มพูดเองว่าให้ทำเหมือนกำลังคบกันจริงๆ จะได้ชินกับสายตาคนอื่น ถึงยังไงทุกคนที่รีสอร์ตก็รู้แล้ว ถึงจะบอกให้คนนอกรู้เพิ่มก็ไม่ต่างกันหรอก”

พนักงานเสิร์ฟยกตะกร้าขนมปังกับน้ำมันมะกอกมาให้ก่อน ไม่ช้าผักโขมอบชีสกับพิซซ่าก็ตามมา อาหารของที่นี่อร่อยจริงอย่างที่พิงภพอวดไว้ แต่ระหว่างมื้อกลับไม่มีใครคุยกันสักคำ อทิตยะรอจนอาหารบนโต๊ะหมดแล้วก็กวักมือเรียกพนักงาน

“มื้อนี้เราจ่ายเอง”

“ไม่ต้อง...”

“ถือซะว่าแทนคำขอโทษ ไม่รู้หรอกว่าเราทำอะไรให้ไม่พอใจ แต่ไว้มื้ออื่นคุณค่อยจ่ายก็ได้”

อทิตยะเอ่ยพลางใช้โทรศัพท์มือถือโอนเงินค่าอาหาร เมื่อเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับไปที่ลานจอดรถของบลูแซนด์ เขาตวัดขาขึ้นนั่งคร่อมเบาะแล้วก็เลิกคิ้วเมื่อเห็นพิงภพยังยืนนิ่ง

“ลืมของเหรอ?”

“เปล่า แต่คืนนี้เราอยากไปเดินเล่นริมทะเลอีก ได้หรือเปล่า?”

คำขอนั้นช่างเหนือคาด แต่อทิตยะพยักหน้าโดยไม่เซ้าซี้ หลังพิงภพขึ้นซ้อนท้ายเขาก็ขับรถมุ่งไปยังหาดที่เพิ่งไปกันเมื่อคืน วันนี้มันยังคงเงียบสงบเพราะมีนักท่องเที่ยวบางตาเช่นเคย

ทั้งคู่ถอดรองเท้าไว้ข้างรถก่อนออกเดินบนพื้นทราย อทิตยะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ เขาเลิกคิ้วเมื่อพิงภพดึงบุหรี่ออกจากปากเขาแล้วเอาไปสูบแทน สายตาที่มองมาเหมือนจะท้าว่ามีปัญหาไหม เขาเลยยักไหล่แล้วจุดใหม่อีกมวน

“มือ”

“หือ?”

“ข้างที่ไม่เจ็บน่ะ ส่งมา”

น้ำเสียงของพิงภพเด็ดขาด อทิตยะยิ่งแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ กับแง่มุมที่ไม่นึกว่าจะได้เห็น เขาเปลี่ยนไปถือบุหรี่ด้วยมือซ้ายก่อนจะยื่นมือขวาให้ พิงภพจับมือเขา จากนั้นก็จูงเดินโดยที่สูบบุหรี่ไปด้วย

การเป็นฝ่ายถูกจูงนับเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับอทิตยะ อาจเพราะที่ผ่านมาเขาชินกับการเป็นคนที่ทำอะไรก่อนคนอื่นเสมอ พอเป็นฝ่ายที่ต้องคาดเดาการกระทำของคนอื่นจึงไม่คุ้นเคย ภาพลักษณ์ของพิงภพที่เคยคิดไว้ก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย

มีแง่มุมแมนๆ เหมือนกันนี่...เริ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสมัยเรียนถึงมีสาวน้อยมาขอคบ

ทั้งสองเดินไปบนหาดช้าๆ ขณะฟังเสียงคลื่นและเสียงดนตรีที่ลอยมาจากหาดอื่น ภาพของชายหนุ่มสองคนที่สูบบุหรี่จูงมือกันคงดูแปลกสำหรับคนที่เดินสวนมา แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจพวกเขามากนัก

“แวะนั่งบนขอนไม้ตรงนั้นกันก่อนไหม?”

“ก็ได้”

อทิตยะตอบแล้วเดินตาม คืนนี้เขารู้สึกเนือยจนไม่อยากเป็นฝ่ายเจ้ากี้เจ้าการ อีกอย่างการได้รอดูว่าพิงภพจะทำอะไรต่อก็เพลินดี ทั้งสองหย่อนตัวลงนั่งแล้วเหยียดขาไปบนพื้น คืนนี้ลมไม่แรงเท่าคืนก่อน แต่เมฆหนาจนบังดวงดาวเกือบหมด

“สงสัยดึกๆ คืนนี้ฝนจะตก”

“ก็เป็นไปได้”

พิงภพตอบ มือของพวกเขายังกุมกันอยู่ ในสายตาคนอื่นคงคิดว่าเป็นความหวานแหววของคู่รัก แต่อทิตยะมั่นใจว่าเหตุผลที่แท้จริงคือป้องกันไม่ให้เขาลุกหนี

“วันนี้น่ะ...ตอนที่อยู่บนเรือ...”

“ตอนที่อยู่บนเรือ?”

อทิตยะทวนคำ เขามองพิงภพอัดควันเข้าปอดอึกใหญ่ก่อนเจ้าตัวจะพูดต่อ

“ตอนที่อยู่บนเรือ...เราสงสัยว่าการที่ตกลงคบกับเต็มนี่มันดีหรือเปล่า ในเมื่อพวกเราไม่ได้ชอบกันสักหน่อย”

“อ้อ...จะว่าไปก็จริงอยู่”

“แค่นั้นเหรอ?”

“แล้วจะให้เราตอบว่าอะไรล่ะ? ในเมื่อเราเป็นคนบอกเองว่าอยากยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้”

เขาตอบแล้วยกบุหรี่ขึ้นสูบบ้าง พิงภพเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เหตุผลที่เราเกิดคำถาม...เพราะเราไม่รู้ว่าซันยังรอเราจริงไหม มันมีตัวแปรหลายอย่างที่ชวนให้คิดว่าซันอาจเปลี่ยนใจแล้ว ถ้างั้นที่พวกเราทดลองคบกันก็จะเสียเวลาเปล่า บางทีอาจมีคนอื่นบนเกาะนี้ที่น่าจะถูกสเป็กและเข้ากับเต็มได้ดีกว่า”

“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ก่อนหน้านี้เราสำรวจไปทั่วเกาะแล้ว นอกจากคุณก็ไม่มีใครที่ถูกสเป็กเราอีกแล้วล่ะ”

คำตอบของเขาทำเอาพิงภพหันขวับ อทิตยะเห็นบุหรี่ของอีกฝ่ายไหม้เกือบหมดแล้วก็เลยหยิบมาขยี้ใส่กล่องเก็บก้นบุหรี่ ท่าทางไม่ยี่หระของเขาคงสร้างความสับสนเพราะคนข้างๆ ขมวดคิ้วแน่น

“เมื่อกี้เล่นมุกหรือเปล่า? ดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนว่าเต็มจะชอบเราเลย”

“ถูกสเป็กกับชอบไม่จำเป็นต้องมาคู่กัน สมมติมีคนบอกคุณว่าผู้หญิงในสเป็กคือนักร้องวงไอดอลเกาหลี เขาก็ต้องคบนักร้องเกาหลีเหรอ?”

“เอ่อ...”

อทิตยะจงใจตอบอย่างกำกวม และดูเหมือนจะได้ผลเพราะพิงภพทำหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เขามองอีกฝ่ายชักมือกลับไปกอดเข่าแล้วก็ถามบ้าง

“ทำไมคุณถึงไม่ติดต่อไปหาหมอนั่นเองล่ะ? ถ้าเขายังไม่ติดต่อมาล่ะก็”

อทิตยะถามพลางขยี้ก้นบุหรี่ทิ้งบ้าง พิงภพระบายลมหายใจยาวขณะหย่อนนิ้วลงเขี่ยพื้นทราย

“เรากำลังเดิมพัน มันอาจจะฟังแล้วงี่เง่า แต่ถ้าหากเคยโดนเราปฏิเสธไปตอนมัธยมแล้วซันยังชอบเราอยู่ เราก็อยากจะรู้ว่าครั้งที่สองนี่ซันจะพยายามแค่ไหน”

“หา โอ้โห คุณนี่มัน...”

“อะไร? หัวเราะทำไม?”

พิงภพหันมาทำเสียงแว้ดใส่ อทิตยะเลยยิ่งหัวเราะดังขึ้น ดูเหมือนคืนนี้พิงภพจะมีแต่เรื่องเซอร์ไพรส์เขาไม่จบสิ้น

“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะร้ายขนาดนี้น่ะสิ หมายความว่าที่ยังไม่ให้คำตอบหมอนั่นก็เพราะจะแกล้งให้เขาแสดงความพยายามเนี่ยนะ?”

“ไม่ได้แกล้ง ก็บอกอยู่ว่าเราอยากรู้ว่าซันจริงจังหรือเปล่า หมอนั่นเป็นคนเซนสิทีฟมาตั้งแต่เด็ก บางทีอาจจะสับสนระหว่างความชอบกับความติดเพื่อนก็ได้”

“แต่ถ้าอย่างนั้น คุณเองก็อาจจะสับสนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง?”

อทิตยะจงใจจี้จุดอีก ต่างฝ่ายต่างเงียบ ก่อนที่พิงภพจะผลุนผลันลุกออกไปวิ่งตะโกน “ว้ากกกก!!!!” เสียงดังหน้าหาดจนคนแถวนั้นพากันมองอย่างตกใจ อทิตยะรีบลุกแล้วสาวเท้าเร็วๆ ไปหา

“นี่! เป็นอะไรน่ะ เครียดจนสติแตกแล้วเหรอ!?”

“ไม่ใช่!นี่แค่ระบายอารมณ์เฉยๆ มานี่...กลับไปนั่งคุยกันให้จบ”

ชายหนุ่มคว้าข้อมืออทิตยะแล้วลากกลับไปที่เดิม พอได้นั่งลงบนขอนไม้อีกครั้งก็หันมาหาทั้งตัวพร้อมสีหน้าจริงจัง

“เอาล่ะ เมื่อเย็นเราตั้งคำถามแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้เราตัดสินใจแล้ว เราจะทดลองคบกับเต็มต่อ ฟังให้จบ...นี่ไม่เกี่ยวกับซันแล้วเพราะเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเราเอง ไหนๆ เต็มก็พูดถูกว่าถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าเราโอเคกับผู้ชายหรือเปล่า ในอนาคตเราอาจเจอคนที่อยากคบด้วยโดยไม่สนเพศของเขาก็ได้ ดังนั้นระหว่างนี้พวกเราก็ควรทำตัวแบบที่คนคบกันเขาทำจริงๆ มีอะไรก็ควรบอกกัน ไม่มีความลับต่อกัน ที่พูดมานี่ถูกไหม?”

น้ำเสียงของพิงภพจริงจังจนอทิตยะพูดไม่ออก จริงอยู่ว่าเมื่อคืนเขาคือคนที่บอกว่าถ้าอยากลองก็ต้องทำทุกอย่างให้สมจริง แต่ไม่นึกว่าจะโดนตีความไปลึกซึ้งขนาดนี้

“คุณแน่ใจเหรอว่าจะลองคบกับเราต่อ? ทั้งที่แค่เริ่มวันแรกนี่ก็ทะเลาะกันแล้ว”

“แน่ใจ ยังไงการทดลองก็ต้องมีล้มเหลวบ้าง อีกอย่างเมื่อกี้เต็มบอกว่าถูกสเป็กเราใช่ไหม เราก็ไม่รู้จักคนอื่นที่น่าจะคบแล้วไม่ตะขิดตะขวงใจเหมือนกัน แสดงว่าเคมีพื้นฐานของพวกเราเข้ากันได้ เดี๋ยวลองคบกันไปสักพักก็คงเข้าที่เองแหละ”

ไม่รู้ว่า “สักพัก” ในบริบทนี้คือกี่วัน แต่ที่อทิตยะอึ้งกว่าคือความเถรตรงอย่างเหนือคาดของพิงภพ เขายกมือหนึ่งขึ้นปิดหน้าแล้วหัวเราะ จากที่ตอนแรกคิดว่าลองคบกันคงสนุกดีเพราะจะได้คอยดูท่าทางทำอะไรไม่ถูกของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาเองก็ถูกทำให้หัวหมุนไปด้วย

ทำไมถึงเป็นคนที่ไม่น่าปล่อยให้ห่างสายตาแบบนี้นะ

“นั่นสินะ...อีกสักพักอาจจะเข้าที่ก็ได้”

ชายหนุ่มเลื่อนมือไปทาบบนบั้นเอวผอม พิงภพตัวแข็งทื่อ สองตาจับจ้องเขาเขม็ง

“อย่าลืมที่เคยพูดไว้นะว่าไม่ชอบฝืนใจคนอื่น”

“จำได้อยู่แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าเรายังไม่ได้บังคับอะไรคุณสักอย่าง”

อทิตยะยิ้มชอบใจเมื่อนัยน์ตาดำขลับมองเขาอย่างระแวง แต่แล้วจู่ๆ ลมหอบใหญ่ก็พัดมา พอเงยหน้าขึ้นก็รู้สึกว่ามีหยดน้ำเล็กจิ๋วตกลงบนแก้ม

“ฝนเริ่มลงเม็ดแล้วสิ จะกลับห้องกันไหม?”

“จริงด้วย เฮ้ย!เริ่มตกหนักแล้ว วิ่งเร็ว!”

พิงภพรีบคว้ามืออทิตยะวิ่งกลับไปที่รถ แสงฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องกัมปนาทช่างไม่ต่างจากภาพยนตร์แนววันสิ้นโลก แถมหาดนี้ไม่มีที่ให้หลบฝนเสียอีก

“จะเปลี่ยนให้เราขับไหม? ขากลับทางน่าจะลื่น”

“อย่าดูถูกกันสิ ตอนอยู่ที่ออสเราเป็นสมาชิกทีมแข่งโมโตครอสนะ”

อทิตยะเอ่ยแล้วก้าวขึ้นคร่อมเบาะ พิงภพเลิกคิ้วขณะกอดเอวคนตรงหน้าแน่นเพื่อให้ศูนย์ถ่วงเสถียร อันที่จริงหลังได้ซ้อนรถหลายครั้งก็พอจะรู้ว่าหมอนี่ขับมอเตอร์ไซค์แข็ง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเคยผ่านการแข่งแบบแอดเวนเจอร์มาแล้ว

ถนนที่ลาดชันและคดเคี้ยวทำให้ต้องขับรถอย่างระมัดระวัง กว่าพวกเขาจะกลับถึงอพาร์ตเมนต์ก็เสื้อผ้าเปียกโชก ต่างคนต่างแยกย้ายเข้าห้องของตัวเอง พายุยิ่งพัดโหมรุนแรงขึ้นแต่โชคดีที่ไฟไม่ดับ พิงภพหยิบเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงขาสั้นมาสวมหลังอาบน้ำเสร็จ เขาทิ้งตัวนอนมองเพดานเงียบๆ ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจหยิบกล่องยาแล้วเดินไปเคาะประตูห้องข้างๆ

เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงกุกกักอยู่เลย คงยังไม่หลับหรอกนะ...

พิงภพคิดขณะมองสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ เขาหันกลับเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดก่อนจะชะงัก

“มีอะไรหรือเปล่า? นึกว่าคุณจะนอนแล้ว”

“โทษที ไม่นึกว่ายังอาบน้ำอยู่”

“ไม่เป็นไร เราอาบเสร็จสักพักแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งตัวเฉยๆ จะเข้ามาไหม?”

พิงภพพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปในห้อง เขาพยายามไม่สนใจคนที่พันแค่ผ้าขนหนูรอบเอวซึ่งกำลังเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แต่ในเมื่อห้องนี้ไม่มีอะไรให้ดูเยอะนักก็หลีกเลี่ยงการมองไม่ได้

เออ...ยอมรับก็ได้ว่าหมอนี่หุ่นดี ตัวก็สูง ไหล่ก็กว้าง ทำไมเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ตระกูลเขาไม่ถ่ายทอดหุ่นแบบนี้มา

ให้มั่งนะ

“จ้องตาเป็นมันเชียว ถ้าอยากดูขนาดนั้นก็บอก เดี๋ยวเปิดให้”

“เว้ยยย! ไม่ต้อง!! รีบๆ แต่งตัวให้เสร็จแล้วมานั่งตรงนี้เร็วๆ”

พิงภพรีบยกมือหนึ่งปิดตาแล้วหันหนี หน้าร้อนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ที่ถูกจับได้ว่าแอบมอง เขาพยายามไม่หันกลับไปอีกจึงสะดุ้งเมื่อถูกสะกิด

“เสร็จแล้ว ว่าไง อยากต่อจากที่หาดเมื่อกี้เหรอ?”

อทิตยะถามพลางยิ้มยียวน แต่พิงภพเริ่มจะชินกับความกวนประสาทนี้แล้ว ก็เลยดึงแขนอีกฝ่ายให้นั่งบนเตียงด้วยกันแล้วแบมือหนึ่งไปข้างหน้า

“มือข้างที่เจ็บน่ะ ขอดูหน่อย”

ประกายหยอกเย้าในแววตาของอทิตยะหายวับ แต่พิงภพคาดการณ์ไว้แล้วก็เลยไม่แปลกใจ เขาแบมือรอจนอีกฝ่ายยอมส่งมือให้แบบไม่เต็มใจนัก

“เวลาคุณทำตัวจู้จี้นี่น่ารำคาญเป็นบ้าเลย รู้ตัวไหม?”

“ก็เพิ่งจะมีคนพูดแบบนี้นี่แหละ ปกติเราก็ไม่ชอบจู้จี้คนอื่นหรอก”

พิงภพตอบพลางพิจารณาแผลตรงหน้า รอยแตกบนข้อนิ้วไม่แดงจนน่ากลัวเท่าครั้งแรกที่เห็น แต่ก็ยังดูออกว่าน่าจะเกิดจากการกำหมัดกระแทกอย่างรุนแรง แถมนี่เป็นมือข้างซ้ายที่เจ้าตัวถนัดด้วย

หมอนี่ต้องโมโหแค่ไหนถึงเผลอทำตัวเองเจ็บได้ขนาดนี้...

“ไม่ถามเหรอว่าเราได้แผลมายังไง?”

เสียงของอทิตยะไม่สื่ออารมณ์ พิงภพยักไหล่แล้วหันไปเปิดกล่องยา

“พอจะเดาได้ แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่ต้อง”

“คุณเพิ่งพูดเองว่าคบกันแล้วควรจะเปิดอก ไม่มีความลับต่อกันไม่ใช่เหรอ? หรือแค่พูดไปอย่างนั้นเอง?”

พิงภพเตือนตัวเองว่าให้ใจเย็น เขาหยิบสำลีชุบเบตาดีนเช็ดบนแผลทีละนิ้วขณะตอบเสียงเรียบ

“เราหมายความตามที่พูดนั่นแหละ แต่ทุกอย่างมีข้อยกเว้น ถ้าหากไม่พร้อมหรือคิดว่าเล่าแล้วไม่เกิดผลดีกับความสัมพันธ์ งั้นการไม่พูดอะไรเลยอาจจะดีกว่า”

พิงภพยอมรับว่าในฐานะที่คบกันแล้ว โอเค...แม้แต่ในฐานะเพื่อนเขาก็ย่อมอยากรู้จักอทิตยะให้มากขึ้น แต่ก็เข้าใจว่าบางเรื่องอาจละเอียดอ่อนเกินกว่าจะเปิดเผยเพราะยังไม่สนิทกัน อย่างน้อยเขาก็ได้สื่อสารแล้วว่าพร้อมรับฟังถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อสามปีก่อนเขาก็เคยเป็นคนแปลกหน้าของเกาะนี้ ย่อมเข้าใจว่าความเหงาที่ไม่มีคนให้ปรับทุกข์ด้วยมันเปล่าเปลี่ยวแค่ไหน

อทิตยะไม่ตอบ แต่แล้วก็ทำให้พิงภพเกือบสะดุ้งเพราะจู่ๆ ก็ยื่นหน้ามาหอมแก้ม เขามองตาคนที่จ้องเขาในระยะห่างเพียงคืบ ไม่มีประกายของความโรแมนติกในแววตาที่กำลังสบกัน ราวกับเมื่อครู่เป็นแค่การทดลองเพื่อดูปฏิกิริยาโต้ตอบ

“ทำอะไรน่ะ?”

“แสดงความขอบคุณแบบแฟนไง ไม่เคยทำกับแฟนเก่าเหรอ? อ้อ ลืมไปว่าคุณไม่เคยทำมากกว่าจับมือ”

พิงภพดันหน้าอีกฝ่ายออกอย่างหงุดหงิด แต่อทิตยะกลับหัวเราะแล้วคว้ามือเขาไปแนบริมฝีปาก ภาพนั้นทำให้เขามุ่นคิ้วพร้อมกับรู้สึกจั๊กจี้ไปพร้อมกัน

เอาล่ะ เขาเริ่มเดาได้แล้วว่าหมอนี่ชอบจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว แต่ทำแบบนี้กับคนที่เพิ่งเริ่มคบก็นับว่าหน้าหนาไม่ใช่เล่น

“มือคุณกร้านจัง”

นอกจากจะหน้าหนาแล้วยังปากเสียด้วย!“ถ้าอยากได้ความนุ่มนิ่มนวลเนียนก็เสียใจด้วย บังเอิญเราเป็นพวกทำงานใช้แรงงาน หนังมือก็จะด้านๆ กร้านๆ เหมือนหนังเท้าแบบนี้แหละ”

“ว่าไปนั่น เปรียบเทียบซะหมดมู้ดเลย” ยังอีก...ขนาดหมดมู้ดก็ยังจะถูหน้าตัวเองกับมือเขาอีก “เราชอบนะ มันให้ความรู้สึกว่าคุณเป็นคนทุ่มเทดี คนแบบนี้สิที่น่าจะจิตใจมั่นคงไม่โลเลง่ายๆ”

คำพูดนั้นคล้ายซุกซ่อนความนัยไว้ พิงภพนิ่งอึ้งเพราะรู้สึกราวกับได้เห็นความอ่อนแอที่อีกฝ่ายไม่ตั้งใจจะเปิดเผย แต่แล้วก็ต้องรีบชักมือกลับเพราะโดนแลบลิ้นเลียนิ้ว

“เฮ้ย! ไอ้ทะลึ่ง!”

“อ้าว เป็นแฟนกันแล้วก็ทะลึ่งได้สิ ถ้าตอนนี้ไม่ให้ทะลึ่งกับคุณแล้วเราจะไปทะลึ่งกับใครล่ะ?”

พิงภพเช็ดมือที่เลอะน้ำลายบนเสื้ออย่างฉุนๆ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเอนตัวนอนตะแคงและยิ้มยียวนให้ก็ยิ่งนึกเสียดายว่าไม่น่าหลวมตัวคบด้วยเลย

“พูดถึงเรื่องลำบาก อย่าลืมล่ะว่าพอมาทำงานบนเรือแล้วต้องออกไปตากแดดทุกวัน ไม่ได้นั่งในห้องแอร์เย็นฉ่ำเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้หรอกนะ”

“รู้น่า ตอนน้าบุ๋มได้ยินว่าเราขอทำงานบนเรือยังแซวเลยเพราะนึกว่าอยากอยู่กับคุณยี่สิบสี่ชั่วโมง”

“หึ ไม่น่าเชื่อว่าคนอื่นจะนึกว่าพวกเราหวานแหววกันขนาดนั้น”

“อยากจะซ้อมเพิ่มความหวานก็ได้นะ คืนนี้อากาศออกจะเป็นใจ เตียงเราก็ใหญ่พอสำหรับสองคนด้วยสิ”

พูดไปอทิตยะก็ใช้มือหนึ่งตบที่ว่างข้างตัว พิงภพกลอกตาก่อนจะดันตัวลุกขึ้น

“ฝันไปเหอะ เรากลับไปนอนดีกว่า”

“น่าเสียดาย”

พิงภพคร้านจะต่อปากต่อคำเลยคว้ากล่องยาเดินไปที่ประตู แต่ก็ยังช้ากว่าเจ้าของห้องที่ก้าวยาวๆ มาบังไว้ เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นถาม

“ทำไม? มีอะไรอีก?”

“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มาใส่ยาให้ แล้วก็...กู๊ดไนต์”

แสงจากหลอดไฟตรงทางเดินมืดไปอึดใจหนึ่ง พิงภพเบิกตากว้างเมื่ออทิตยะถอยออกยิ้มๆ ก่อนจะดันเขาออกจากห้อง ฝนยังคงตกไม่หยุดจนละอองน้ำกระเซ็นมาโดนตัว แต่เมื่อกี้ไม่ผิดแน่ หมอนั่นเพิ่งขโมยจูบเขาไปหยกๆ

“เฮ้ย! นี่เล่นทีเผลออีกแล้วเหรอ!?”

กว่าพิงภพจะหันกลับไป แสงไฟที่ลอดจากใต้ประตูห้องของอทิตยะก็ดับไปแล้ว

 

++---TBC---++

 

A/N: อัพตอนใหม่แล้วน้า ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขค่า ^^
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 12 หน้า 2 {อัพ 17.1.20}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 26-01-2020 23:33:24
เต็มปากแข็งจริงๆ
ไหนบอกว่าแค่ตรงสเป็คแต่หลอกแต๊ะอั๋งพุธไม่หยุดเลยนะ!

ซันจะโผล่มาอีกทีตอนไหนเนี่ย
ขอให้กลับมาอีกครั้งตอนพุธกับเต็มรักกันแล้วเถอะ  :call:

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 12 หน้า 2 {อัพ 17.1.20}
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 28-01-2020 12:36:35
คนที่จะเสียใจที่สุดคือพุธนะ ถ้าซันกลับมาตอนที่สองคนนี้เกิดมีความสัมพันธ์​ทางกายกันแล้วเรื่องมันยิ่งจะยุ่งเหยิงนะ​ // ชั้นชอบความดราม่าาาาาาา// จัดมาถ้วยใหญ่ๆ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 12 หน้า 2 {อัพ 17.1.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 02-02-2020 09:32:54
ตะวันพิงภพ บทที่ 13

เช้านี้หาดทรายหน้าบลูแซนด์คึกคักด้วยบรรดานักดำน้ำ แต่ละคนคุยกันโหวกเหวกอย่างอารมณ์ดีขณะลำเลียงอุปกรณ์ลงเรือ เพราะท้องฟ้าที่แจ่มใสและคลื่นลมสงบ เป็นสัญญาณว่าใต้น้ำจะไม่ขุ่นและเห็นปลาต่างๆ ได้ง่าย

หลังยืนมองเรือเล็กถอนสมอจากหน้าหาด อทิตยะก็เดินกลับห้องสำนักงาน บุณฑริกซึ่งกำลังพิมพ์อะไรอยู่ในคอมพิวเตอร์หันมาเห็นเข้าก็ถามทันที

“เมื่อวานเต็มแกล้งพุธใช่ไหม ตอนมาเซ็นชื่อเมื่อเช้าพุธถึงหน้าบูดมาเชียว”

“ทำไมน้าบุ๋มคิดว่าเป็นฝีมือผมล่ะ พุธอาจจะหิวข้าวเลยมู้ดดี้ก็ได้”

“เอ๊อออ ให้มันจริงเถอะว่าตัวเองไม่เกี่ยว ถึงยังไงนั่นก็ลูกน้องของน้า ต่อให้คนแกล้งเป็นหลานน้าก็ไม่เข้าข้างเราหรอกนะ”

“รับทราบครับ ใครจะกล้าทำอะไรที่พุธไม่ชอบ”

อทิตยะเอ่ยยิ้มๆ เพราะอะไรที่พิงภพ ‘ไม่ชอบ’ ตอนนี้อาจจะกลายเป็น ‘ชอบ’ ทีหลังก็ได้ เมื่อคืนเขาก็แค่ทดสอบว่าขอบเขตของอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน ถึงจะดูไม่ค่อยพอใจเวลาโดนจู่โจมกะทันหัน แต่นอกจากทำหน้าบึ้งเมื่อเช้า พอชวนคุยก็ตอบเสียงห้วน เขาก็ไม่เห็นสัญญาณแสดงความรังเกียจจริงจังในเมื่อเจ้าตัวยังยื่นเป้มาฝากเก็บในล็อกเกอร์อยู่เลย

สงสัยว่าจะแกล้งโมโหกลบเกลื่อนความเขินเสียมากกว่า

บุณฑริกยังมองอย่างระแวง แต่ก็ไม่ทักท้วงอีกขณะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากลิ้นชัก

“น้าจะออกไปซื้อกาแฟ เต็มจะเอาด้วยไหม?”

“ไม่ล่ะครับ ที่ผมชงไว้เมื่อเช้ายังเหลืออยู่ ว่าแต่น้าบุ๋มโทรสั่งกาแฟจากคาเฟ่ของเราเองก็ได้นี่ ทำไมต้องออกไปซื้อด้วยล่ะ?”

“ก็เบื่อกาแฟของเราเองแล้ว อยากได้เมนูแปลกๆ บ้าง งั้นน้าฝากออฟฟิศสักพักนะ”

อทิตยะพยักหน้าพลางเลื่อนเก้าอี้นั่ง หลังบุณฑริกออกไปได้ไม่นานโทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงเรียกเข้า พอเห็นว่าเป็นวิดีโอคอลจากริคจึงรับสาย

“ไงริค มีเรื่องงานจะอัปเดตเหรอ?”

“ริคยังไม่มีหรอก แต่นายนั่นแหละมี ไหนบอกว่าไม่สนใจวันพุธไงยะ แล้วไปคบกับเขาได้ไงฮึ??”

อทิตยะเลิกคิ้วเมื่อใบหน้าที่โผล่มาในจอคือเอมี่ ส่วนริคเพียงโบกมือจากด้านหลังแล้วเดินออกไป ทั้งคู่ต่างใส่ชุดคลุมอาบน้ำภายในห้องที่ดูเหมือนโรงแรมหรู

“เธอไปได้ยินมาจากใคร?”

“จะมีใครล่ะ ก็น้าบุ๋มโทรมาคุยกับป๋า แล้วป๋าก็มาบอกฉันต่อน่ะสิ ร้ายนะยะ ไหนใครนะที่เคยพูดว่า ‘หมอนั่นไม่ใช่สเป็กฉัน ก็แค่คนข้างห้อง’ ?”

ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจีบปากจีบคอ เขาวางโทรศัพท์ให้พิงกับหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วยักไหล่

“ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้”

“ฮึ มีแต่ฉันนี่แหละที่รู้ว่าวันพุธตรงสเป็กนาย ทั้งอายุมากกว่า แล้วก็นิสัยร่าเริงไม่มืดมน เป็นไงล่ะ ฉันพูดผิดซะที่ไหน?”

“โอเคๆ ฉันผิดเอง แล้วนี่เธอกับริคอยู่ไหน ทำไมแต่งตัวยังกับรอเข้าฉากหนังเอวี”

“อีตาบ้า! มีแต่นายนั่นแหละที่คิดได้แบบนี้ ฉันกับริคอยู่กรุงเทพฯ ย่ะ พอดีเพื่อนฉันจะแต่งงาน นี่กำลังจะแต่งตัวไปร่วมงานอยู่เนี่ย”

“อ้อ งั้นก่อนกลับเมลเบิร์นจะแวะมาหาฉันหรือเปล่า?”

“ก็ว่าจะไปเพราะริคคงไม่ได้หยุดยาวแบบนี้อีกนาน เขาอยากเห็นหน้าแฟนนายจะแย่ Don’ t you want to meet his boyfriend, Ricko?”

“Of course, sweety.”

เสียงของริคดังจากอีกด้านของโทรศัพท์ เสียงกุกกักบ่งบอกว่าคงกำลังสวมเสื้อผ้า อทิตยะยิ้มมุมปากพลางหยิบกาแฟเย็นชืดขึ้นจิบ

“ที่จริงจะเรียกว่าแฟนกันก็ไม่เต็มปากหรอก เรียกว่ากำลังเวิร์คช็อปกันอยู่น่าจะดีกว่า”

“เวิร์คช็อป? What the fuck for?”

เวลาตื่นเต้นมากๆ หรือไม่พอใจเอมี่มักสบถเป็นภาษาอังกฤษ แต่อทิตยะตัดสินใจตอบเป็นภาษาไทยเพราะรู้ว่าริคคงกำลังเงี่ยหูฟัง และเขาคิดว่ายิ่งมีคนรู้รายละเอียดเรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

“จำได้ไหมที่ฉันเคยบอกว่าเขามีแฟนแล้ว ความจริงผู้ชายคนนั้นเป็นแค่เพื่อนสนิทที่มาสารภาพรัก แต่วันพุธของเธอไม่กล้าตอบรับเพราะไม่อยากเสียเพื่อน ฉันก็เลยชวนให้มาลองคบกัน เผื่อจะได้รู้ว่าใจชอบทางนี้หรือเปล่า จะได้ตัดสินใจเรื่องคำตอบให้เพื่อนคนนั้นได้ง่ายขึ้น”

สีหน้าของเอมี่แสดงอาการตะลึง เธอเหลือบมองริคแวบหนึ่งก่อนจะมุ่นคิ้ว

“ฉันไม่ควรคุยกับนายเป็นภาษาอังกฤษสินะ แต่ขอหน่อยเถอะ you are an idiot.”

“ขอบใจ ฉันได้ยินเธอเรียกแบบนั้นจนชินแล้ว”

อทิตยะตอบอย่างไม่ใส่ใจ เอมี่กำมือพลางหลับตาเหมือนควบคุมอารมณ์ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง

“เอาล่ะ...แล้วตั้งแต่ได้เริ่มคบกันเนี่ย วันพุธดูมีท่าทีว่าชอบนายบ้างไหม?”

“ก็คงไม่ได้เกลียด แต่น่าจะไม่ได้ชอบในแบบที่เธอถาม”

“โอ๊ย! ฉันล่ะปวดหัวกับนายจริงๆ จะจีบเขาก็ทำให้มันตรงไปตรงมาหน่อยสิ แบบนี้ยังกับจัดฉากให้ตัวเองเป็นพระรองเลยไม่ใช่หรือไง?”

“ฉันตั้งใจจะเป็นตัวโกงต่างหาก ถึงยังไงบทพระเอกก็ไม่เหมาะกับคนมีประวัติอย่างฉันอยู่แล้ว”

“Shit. เมื่อไหร่นายจะเลิกมองตัวเองเป็นผู้ร้ายสักที เรื่องมันผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ว เลิกคิดว่ามันเป็นตราบาปชั่วชีวิตสักทีเถอะ”

“ตกลงนี่เธอโทรมาหาฉันเรื่องพุธหรือจะโทรมาเลคเชอร์กันแน่? ฉันจะได้ปรับมู้ดถูก”

คำถามของเขาทำให้หญิงสาวเงียบ เอมี่เสยผมแล้วถอนหายใจ

“โอเค ไม่บ่นแล้วก็ได้ สรุปว่าที่คบกันนี่ก็เพื่อให้วันพุธได้ทดลองว่าโอเคกับผู้ชายหรือเปล่า แค่นั้นน่ะเหรอ?”

“หลักใหญ่ใจความก็แค่นั้นแหละ บอกตามตรง ฉันก็ไม่ได้ยื่นข้อเสนอให้อย่างบริสุทธิ์ใจนักหรอก”

“ฮึ ถ้านายบริสุทธิ์ใจสิแปลก แล้วไง? มีความคืบหน้าบ้างหรือยัง?”

“ไม่ค่อยมี ยังอยู่ในขั้นปรับตัวเข้าหากันอยู่ แต่ก็สนุกดีเวลาเห็นวันพุธของเธอทำอะไรไม่ถูก”

หญิงสาวได้ยินก็ยิ้มยิงฟัน “ต้องอย่างนั้นสิ ฉันรู้ว่าเพื่อนฉันไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมนักหรอก ยังไงก็อย่าแกล้งวันพุธให้มากนักล่ะ ฉันชอบเขานะ”

“พูดเหมือนน้าบุ๋มอีกคนแล้ว ถ้าไม่มีอะไรอีกก็ให้ริคมาคุยบ้าง ฉันอยากอัปเดตเรื่องงาน”

เอมี่เดาะลิ้นก่อนจะส่งโทรศัพท์ให้แฟนหนุ่ม อทิตยะปรึกษาความคืบหน้าของโปรเจ็กต์กับริคครู่ใหญ่ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะโบกมือลาแล้วยื่นโทรศัพท์คืนให้เอมี่

“ไว้ฉันจะโทรมาใหม่นะ ส่วนเรื่องห้องพักที่เกาะเดี๋ยวฉันหาเอง อยากได้หาดที่เป็นส่วนตัวหน่อย”

“โอเค ถ้ารู้วันที่จะมาแน่นอนก็บอกด้วยแล้วกัน”

“ได้ แล้วก็นะเต็ม...ฉันไม่รู้ว่านายจริงจังกับวันพุธหรือแค่อยากฆ่าเวลา แต่ถ้าสบโอกาสก็คว้าไว้เถอะ ฉันอาจได้คุยกับเขาแค่แป๊บเดียว แต่เซนส์มันบอกว่าคนนี้แหละเหมาะกับนายนะ”

เธอส่งจูบให้เขาก่อนจะตัดสาย อทิตยะนั่งนิ่งครู่หนึ่งแล้วค่อยเช็กอีเมล พอบุณฑริกกลับมาก็ขอตัวออกไปสูบบุหรี่

คนนี้แหละเหมาะกับเขา...งั้นหรือ...

อทิตยะไม่แน่ใจว่าทำไมเอมี่ถึงคิดแบบนั้น โอเค...เขาพอจะรู้นิสัยของพิงภพหลังได้ทำความคุ้นเคยกันมาสักพัก แต่ที่สำคัญกว่าคือเขาก็รู้จักตัวเองด้วย ดังนั้นต่อให้ใครๆ จะบอกว่าเขาเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ขาดการควบคุมตัวเองอีก คนที่สดใสร่าเริงแบบหมอนั่นจะยังอยากเข้าใกล้เขาอยู่หรือเปล่า

บางทีคนที่เหมาะกับพิงภพจริงๆ อาจเป็นเจ้าหนุ่มลูกครึ่งที่ดูอ่อนโยนและใจดีคนนั้นมากกว่า

อทิตยะแค่นหัวเราะเมื่อคิดว่าตนช่างเหมาะกับบทตัวโกงจริงอย่างที่พูด เขาสูบบุหรี่จนหมดมวน ก่อนจะดีดก้นบุหรี่ทิ้งแล้วเดินกลับไปที่ห้องสำนักงาน



++------++



พิงภพนั่งเหม่ออยู่ท้ายเรือหลังกินข้าวกลางวัน วันนี้เขามีหน้าที่นำกลุ่มนักดำน้ำ แต่เพราะว่าสมาชิกกลุ่มมากันเกินสี่คนจึงโดนจับแยก พอถึงช่วงพักก็จับกลุ่มคุยกันเองเหมือนไม่เห็นหน้ากันมาทั้งวัน เขาเลยฉวยโอกาสหลบมานั่งชั้นล่างเสียเลย

พายุเมื่อคืนช่วยพัดเมฆและฝุ่นไปหมด วันนี้ท้องฟ้าจึงใสแจ๋ว น้ำก็นิ่งจนเห็นลึกลงไปได้หลายเมตร แววตาของพิงภพดูเหมือนกำลังจ้องฝูงปลาเล็กปลาน้อย แต่ใจกลับคิดถึงเรื่องเมื่อคืน

“...นอกจากคุณก็ไม่มีใครที่ถูกสเป็กเราอีกแล้วล่ะ”

หมอนั่น...ขอคบกับเราเพราะถูกสเป็กกับอยากได้เพื่อนคุย...แค่นั้นจริงหรือ

ชายหนุ่มปรายตามองกระจกบานเล็กที่แขวนอยู่ท้ายเรือ ผมหน้าซึ่งปกติยุ่งเหยิงถูกรวบมัดเป็นจุกไว้กลางกระหม่อม ปลายผมแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลเพราะถูกแดดเลียวันละหลายชั่วโมง ผิวหรือก็เกรียมไปทั้งตัว เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหมอนั่นตาถั่วหรือชอบของแปลกกันแน่

แล้วยังมีเรื่องที่พิงภพติดใจตั้งแต่เช้าวันที่อทิตยะเมากลับห้อง ตอนนั้นเขานึกว่าชื่อ ‘ดิว’ ที่ได้ยินคงเป็นชื่อของผู้หญิง แต่พอรู้รสนิยมของอทิตยะก็คิดว่าคงเป็นผู้ชายมากกว่า เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เลิกกันแล้วหรือยังคบกันอยู

แต่ว่า...ไม่หรอก ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขารู้จักหมอนั่นดี แถมบางครั้งยังปวดหัวเพราะความกวนโอ๊ยและทะลึ่ง แต่ก็มั่นใจว่าอทิตยะไม่ใช่คนที่จะทำร้ายใครลับหลังหรือนอกใจคนรักแน่

ซึ่งก็ไม่ใช่หลักฐานว่าหมอนั่นพิศวาสเขาเหมือนกัน เพราะแต่ละครั้งที่โดนจับมือ หอมแก้มหรือกระทั่งจูบ อทิตยะไม่เคยปูบรรยากาศหวานแหววนำร่องสักครั้ง เหมือนนึกอยากทำอะไรก็ทำ ราวกับรอดูว่าเขารับได้แค่ไหนก่อนจะไม่โอเค เขาถึงได้มานั่งปวดหัวอยู่นี่เพราะไม่รู้ว่าหมอนั่นกำลังคิดอะไรกันแน่

“โอ๊ย! หงุดหงิดโว้ย!”

“เป็นอะไรพุธ จู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา”

“น้าแคน! โทษทีฮะ แค่มีเรื่องกวนใจนิดหน่อย”

พิงภพยิ้มแหยเมื่อกัปตันเดินมาที่ท้ายเรือ ชายสูงวัยซึ่งอดีตเคยอยู่ในกองทัพเรือหยิบบุหรี่ขึ้นคาบพร้อมกับหันซองให้ แต่พิงภพส่ายหน้าเพราะรู้สึกว่าไม่กี่วันนี้อัดควันเข้าปอดเยอะเกินไปแล้ว

“วัยรุ่นก็อย่างนี้ละน้า...มีเรื่องว้าวุ่นไม่หยุดหย่อน”

ชายสูงวัยเอ่ยยิ้มๆ พิงภพเลิกคิ้วพลางหันไปมอง พอเห็นรอยยิ้มก็รู้ทันทีว่าเรื่องที่เขาคบกับอทิตยะคงถึงหูคนบนเรืออย่างไม่ต้องสงสัย

“น้าแคนอย่าแซวผมเลย แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าคิดผิดจะแย่”

“ทำไมล่ะ แฟนช่างเอาใจมากไปเหรอ เห็นว่าเดี๋ยวจะมาช่วยงานบนเรือแทนสเวนระหว่างลาพักร้อนใช่ไหม?”

พิงภพแทบคำรามเมื่อถูกเตือนความจำ รู้สึกอยากเตะตัวเองที่ดันไปหลอกล่อให้อทิตยะมาช่วยงานบนเรือ เจ้าบ้านั่นยิ่งดูจะชอบแกล้งเขาต่อหน้าคนอื่นด้วย ไม่อยากนึกว่าถ้าวันๆ ต้องทำงานด้วยกันตลอด เจ้า ‘แฟน’ คนนี้จะทำเขาประสาทเสียแค่ไหน

“ถ้าหมอนั่นทำตัวน่าโดนดุ น้าแคนก็จัดหนักๆ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ”

“แหม เป็นห่วงเป็นใยจริง น้าจะไปว่าอะไรหลานคุณบู๊ได้ ยังไม่อยากย้ายไปทำงานที่อื่นนี่”

“ถึงพี่บู๊รักหลานแค่ไหนก็คงไม่โอ๋ตลอดหรอกฮะ”

จะว่าไป...เต็มไม่เคยเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังเลยนี่นา ที่เรารู้เรื่องครอบครัวของหมอนั่นก็จากพี่บุ๋ม ถึงตอนนี้จะได้ชื่อว่าคบกันก็เถอะ แต่เขามีสิทธิ์ถามเรื่องส่วนตัวได้หรือเปล่า?

“ก็ไว้ค่อยดูกันไป แต่น้าเคยเห็นเขาที่รีสอร์ต หน่วยก้านก็ใช้ได้อยู่นะ เวลาคุยกับใครก็มองตาตรงๆ ไม่หลุกหลิก คนบุคลิกแบบนี้ไม่ทำอะไรแบบขอไปทีหรอก คงมีของอยู่เหมือนกัน”

ข้อสังเกตของผู้สูงวัยทำให้พิงภพเลิกคิ้ว ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานคงช่วยให้น้าแคนอ่านบุคลิกคนได้เฉียบขาด แถมยังคิดตรงกับเขาว่าอทิตยะไม่ใช่คนที่น่าจะทำอะไรเล่นๆ

แล้วมันก็วกมาที่ความสงสัยว่าทำไมหมอนั่นขอคบกับเขาอีกจนได้ แค่อยากช่วยให้รู้ว่าเขาคบกับผู้ชายได้หรือเปล่าแค่นั้นจริงน่ะหรือ...

“ได้เวลาแล้วสิ เดี๋ยวอีกซักสิบนาทีพุธบอกลูกทีมให้เตรียมตัวแล้วกัน บ่ายนี้คงจะเป็นที่กรีนร็อค”

“ได้ฮะ”

พิงภพมองผู้สูงวัยเดินกลับไปที่ห้องบังคับเรือ ก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองเพื่อแจ้งลูกทีมเกี่ยวกับจุดดำน้ำแห่งต่อไป



++------++



ค่ำนั้นพิงภพกลับเข้าฝั่งดึกตามเคยเพราะต้องดูแลลูกค้าที่ดำน้ำตอนกลางคืน พอเดินไปที่ห้องสำนักงานพร้อมพวกเพื่อนๆ ก็เห็นอทิตยะนั่งเฝ้าอยู่คนเดียวเหมือนเมื่อวาน

“พี่บุ๋มไม่อยู่อีกแล้วเหรอเย็นนี้?”

“ช่วงนี้เพื่อนขยันนัดเจอละมั้ง”

อทิตยะตอบพลางยักไหล่ พิงภพรู้สึกทะแม่งเพราะบุณฑริกไม่ใช่คนที่จะฝากงานพร่ำเพรื่อ แต่เป็นไปได้ว่าพอมีอทิตยะมาช่วยก็เลยอยากใช้เวลาส่วนตัวบ้าง

“อ้อ สเวน พี่บุ๋มบอกนายแล้วใช่ไหมเรื่องที่จะต้องสอนงานฉันก่อนลาพักร้อน”

“บอกแล้ว ฉันว่ากำลังจะคุยกับนายเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”

“เดี๋ยวๆ พวกนายคงไม่คิดจะนั่งคุยกันในออฟฟิศตอนนี้หรอกนะ? พวกฉันหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว นายก็เหมือนกันใช่ไหมพุธ?”

มาริอุสโอดพลางรั้งคอพิงภพอย่างขอเสียงสนับสนุน สเวนกับอทิตยะหันมามองพวกเขา พิงภพกะพริบตาเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนๆ บนมุมปากของเจ้าคนยิ้มยาก

“ถ้างั้นไปหาร้านกินข้าวแล้วนั่งคุยกันก็ได้ ฉันก็รอพวกนายจนไส้กิ่วแล้วเหมือนกัน”

“นี่ ไหนๆ วันนี้ก็มีกันหลายคน ไปร้านหมูกระทะดีไหม? ถ้าสี่คนขึ้นไปได้โค้กใหญ่ขวดนึงนี่นา”

ลีเสนอบ้าง พวกเขาเลยตกลงกันว่าจะไปกินหมูกระทะที่ร้านเจ๊แอ๋ว ตอนเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์พิงภพก็รีบถามคนที่เดินข้างๆ

“หมูกระทะโอเคหรือเปล่า?”

“หือ? ทำไมถามยังงั้น?”

“ก็เต็มไม่ชอบไม่ใช่เหรอ? ครั้งก่อนที่พี่บุ๋มลากให้มานั่งด้วยกันก็เห็นกินแค่ไม่กี่คำ ถ้าไม่ชอบจะได้บอกเจ้าพวกนั้นให้เปลี่ยนร้าน”

พิงภพเอ่ยขณะเปิดกระเป๋าสตางค์ดูว่ามีเงินเท่าไหร่ แต่พอไม่ได้ยินเสียงตอบก็เงยหน้า และเห็นอทิตยะกำลังมองเขาด้วยแววตาที่ตีความไม่ออก

“เป็นอะไร อย่าเงียบดิ”

อทิตยะพ่นเสียงหึทางจมูก “ไม่นึกว่าคุณจะสังเกตเห็นด้วย ที่จริงแอบชอบเราตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะสิ”

“ไม่เกี่ยวเว่ย! มันติดนิสัยจากการเป็นครูสอนดำน้ำต่างหาก ไม่ได้ตั้งใจสังเกตเป็นพิเศษสักหน่อย”

“ไม่ต้องเขินหรอก เป็นแฟนกันแล้ว สารภาพมาตรงๆ ก็ได้ว่าชอบเรา”

พิงภพฟังแล้วได้แต่หรี่ตา “หลงตัวเอง หน้าด้าน”

“ถึงจะหน้าด้านก็แฟนคุณนะ”

“ถ้าตอนแรกรู้ว่าหน้าด้านอย่างนี้คงไม่ตกลงคบด้วยหรอก”

คนตัวสูงกว่าหัวเราะขณะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ พิงภพย่นจมูกพลางก้าวขึ้นซ้อนท้าย หลังรถแล่นออกจากลานจอดก็พูดขึ้นอีก

“จริงๆ นะ จะเปลี่ยนร้านก็ได้ เจ้าพวกนั้นน่ะพอหิวก็กินไม่เลือกอยู่แล้ว ข้างร้านหมูกระทะก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่”

“เดี๋ยวเพื่อนๆ คุณจะไม่อิ่มเอาน่ะสิ อีกอย่างคุณชอบหมูกระทะร้านนั้นไม่ใช่เหรอ จำได้ว่าเดินไปเติมแล้วเติมอีก ไม่เป็นไรหรอก นานๆ กินทีก็ไม่แย่ขนาดนั้น”

อทิตยะเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่กลับทำเอาพิงภพอึ้งไป สรุปว่าคืนนั้นไม่ได้มีแต่เขาที่สังเกตอีกฝ่ายสิเนี่ย

ทั้งคู่ไม่ได้คุยกันอีกจนกระทั่งถึงร้าน พวกเขาเดินไปสมทบพวกเพื่อนๆ ซึ่งมาถึงก่อนและเริ่มตักอาหารแล้ว ระหว่างที่กินมื้อดึกกันอทิตยะก็ถามสเวนเรื่องหน้าที่ประสานงานกับเรือ บางทีมาริอุสกับลีก็ช่วยเสริม ส่วนพิงภพไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้สึกเวียนหัวจากพวกเพื่อนๆ ที่แย่งกันพูด

แต่ว่า...อีกเหตุผลที่เขาไม่ได้ร่วมสนทนามากนัก ก็เพราะอทิตยะเอาแต่คีบอาหารใส่จานให้ ดูเหมือนตั้งแต่ครั้งแรกหมอนี่จะสังเกตจริงๆ ว่าเขาชอบกินอะไร แต่ละอย่างในจานเลยเป็นของโปรดของเขาทั้งนั้น

“มื้อนี้สบายจังนะพุธ นั่งเคี้ยวตุ้ยๆ เชียว ส่งเสียงให้เพื่อนๆ ได้ยินมั่งก็ได้”

“นั่นสิ ปกติหมอนี่ชอบอ้อนให้นายคอยบริการหรือไง เต็ม?”

มาริอุสช่วยเสริมลีอีกต่อ พิงภพเลยถลึงตาใส่เพื่อนๆ และปัดตะเกียบที่ทำท่าจะมาแย่งอาหารของเขา อทิตยะยิ้มบางๆ ขณะยกเบียร์ขึ้นจิบ

“พุธไม่เคยอ้อนหรอก แต่ถ้าฉันอยากเป็นแฟนที่ดีก็ควรจะทำใช่ไหมล่ะ?”

ไม่พูดเปล่า เจ้าคนหน้าด้านยังดึงเขาไปโอบไหล่จนเรียกเสียงผิวปากและหัวเราะอย่างสนุกสนาน พิงภพคีบหมูย่างเข้าปากอย่างไม่สนใจ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าแปลก...นี่เป็นครั้งแรกที่เขากับอทิตยะออกมาทำกิจกรรมกับพวกเพื่อนๆ หลังตกลงคบกัน แต่เขากลับไม่รู้สึกขัดเขินหรือขนลุกสักนิด ต้องบอกว่าโชคดีที่ไม่มีเพื่อนคนไหนแสดงท่าทีว่ารับไม่ได้

หรืออาจจะเป็นเพราะ...เขาเริ่มชินกับหมอนี่จนไม่รู้สึกว่ากำลังฝืนใจก็เป็นได้...

พิงภพหันไปมองคนที่ยังโอบไหล่เขา อทิตยะกำลังยิ้มพลางตอบคำถามของสเวน ถึงจะไม่ใช่รอยยิ้มแบบเห็นฟันหรือตาโค้งหยี แต่ก็นับว่ายิ้มมากกว่าปกติที่แทบจะต้องใช้แว่นขยายส่องแล้ว

จริงสิ หมอนี่เคยพูดเองว่าไม่มีเพื่อนที่เกาะนี้ ถ้าจะเอ็นจอยการได้สังสรรค์กับคนวัยเดียวกันก็คงไม่แปลก

“แหมๆๆ พุธธธ จ้องแฟนใหญ่เลยนะ”

เสียงของมาริอุสช่วยดึงเขาจากภวังค์ แต่ก็เรียกความสนใจให้อทิตยะหันมาเหมือนกัน ปลายจมูกที่เกือบชนกันทำเอาพิงภพรีบคีบเห็ดยัดปากอีกฝ่าย

“เอาแต่ย่างให้คนอื่นอยู่นั่น ตัวเองก็กินซะมั่งสิ เดี๋ยวไม่คุ้มค่าบุฟเฟต์”

เขารีบแก้ตัวพลางหันไปคีบอย่างอื่นใส่กระทะ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่านั่งอยู่ดีๆ มาตั้งนาน แล้วปุบปับไอ้ความขัดเขินนี่มันโผล่มาจากไหน

“โหย จะป้อนให้แฟนก็นุ่มนวลหน่อยสิคุณ เกิดเราตายเพราะเห็ดติดคอจะทำไง?”

อทิตยะบ่นหลังหยิบเบียร์ขึ้นจิบเพราะสำลัก พิงภพรู้สึกผิดหน่อยๆ แต่ก็ทำคอแข็งเพราะเพื่อนร่วมโต๊ะกำลังจับจ้อง ทำยังกับ...เห็นพวกเขาเป็นเรียลลิตี้โชว์ไปได้!

“ถ้าแค่นี้ตายก็อ่อนเกินไปละ เอ้า พวกนายก็กินกันสิ นั่งดูพวกฉันแล้วอิ่มหรือไง?”

ชายหนุ่มบ่นพลางคีบอาหารใส่จานเพื่อนๆ ไม่รู้เพราะคำพูดหรือว่าริ้วสีแดงที่พาดบนแก้ม แต่เหล่าเพื่อนทั้งสามระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น

“ไม่นึกเลยว่าจะมีวันได้เห็นพุธแบบนี้ ต้องขอบคุณนายนะเนี่ย เต็ม”

“นั่นสิ ไม่นึกเลยว่าจู่ๆ เพื่อนเราจะเนื้อหอมขึ้นมา ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เพิ่งมี...โอ๊ย!”

ลีพูดไม่ทันจบก็สะดุ้งโหยงแล้วหันไปมองสเวนซึ่งนั่งดื่มเบียร์เงียบๆ ก่อนจะสะดุ้งอีกทีแล้วหันไปมองมาริอุสที่กำลังคีบเบคอนกินอยู่อีกด้าน พิงภพเลิกคิ้วก่อนจะสะดุ้งเหมือนกันเมื่อจู่ๆ อทิตยะก็บีบต้นขาเขาทีหนึ่งก่อนจะผละมือไป

“น้องครับ ขอเบียร์เพิ่มอีกขวด พวกนายอยากได้อะไรเพิ่มไหม?”

“ก็ดีเหมือนกัน ฉันเอาด้วย”

“ขอน้ำแข็งอีกถังก็ดี”

มาริอุสกับสเวนสั่งต่อจากอทิตยะราวกับซ้อมบทกันมา พิงภพกับลีมองหน้ากัน ก่อนเพื่อนของเขาจะยิ้มแหะๆ แล้วลุกจากโต๊ะ

“เดี๋ยวฉันไปหยิบผักเพิ่มให้ กินแต่เนื้ออย่างเดียวมันไม่บาลานซ์ นายอยากได้อะไรเพิ่มไหมพุธ?”

“เอ่อ งั้นฝากตักข้าวผัดกระเทียมกับหมูหมักก็แล้วกัน แต๊งกิ้ว”

“โอเค รอแป๊บ”

ไม่รู้เขาอุปาทานไปเองหรือเปล่าว่ามาริอุสกับสเวนเหลือบมองลีอย่างเอือมระอา ส่วนอทิตยะแค่อมยิ้มน้อยๆ เหมือนเดิม แต่พอลีเดินกลับมาพร้อมกับเยลลี่และขนมหวาน ทั้งวงก็เปลี่ยนไปแซวเรื่องนี้จนบรรยากาศทะแม่งเมื่อครู่หายไปโดยสิ้นเชิง



++------++



“โอ๊ย อิ่มเป็นบ้า ท้องจะแตกแล้ว”

พิงภพเอ่ยหลังต่างคนต่างแยกย้ายหลังมื้ออาหาร เขาไม่ได้กลิ่นตัวเองก็จริง แต่มั่นใจว่าทั้งผมและเสื้อผ้ากำลังส่งกลิ่นหึ่งจากเขม่าควันแน่ๆ

“จะไปเดินเล่นย่อยอาหารก่อนไหมล่ะ? แต่พรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้านี่”

อทิตยะเอ่ยขณะล็อกล้อมอเตอร์ไซต์ใต้อพาร์ตเมนต์ พิงภพยู่ปากขณะลูบท้องตัวเองไม่หยุด

“ก็ต้องตื่นเช้าทั้งคู่นั่นแหละ สเวนนัดให้ไปเจอที่ห้องเก็บของตั้งแต่หกครึ่งไม่ใช่หรือไง?”

“ใช่ ดังนั้นก็ต้องตื่นไปพร้อมกัน เสียใจด้วยนะ”

เจ้าคนหน้าตายเอ่ยพร้อมกับชักยิ้มมุมปาก ไม่มีคำตอบเอาใจว่า “คุณไม่ต้องรีบไปพร้อมเราก็ได้” หรือ “ขอโทษนะที่ทำให้ต้องตื่นเช้าไปด้วย” พิงภพเลยได้แต่มองเขม่นก่อนจะหมุนตัวไปทางอาคาร

“ชิ เอาเถอะ ยังไงก็แค่ช่วงที่สเวนไม่อยู่ เดี๋ยวเราไปนั่งหลับต่อในออฟฟิศก็ได้”

เสียงฝีเท้ายาวๆ ก้าวตามมาจากด้านหลัง พิงภพไม่ได้สนใจจนกระทั่งอทิตยะดึงมือเขาไปจับ

“วันนี้กลับดึกเลยไม่ได้ไปเดินเล่น ถ้างั้นแค่จับมือกันขึ้นบันไดก็แล้วกัน”

พิงภพฟังแล้วกะพริบตาปริบ แต่ก็ไม่ได้ดึงมือออกขณะทั้งคู่พากันเดินขึ้นชั้นสอง จากที่เมื่อกี้เขาอยากรีบอาบน้ำแล้วทิ้งตัวนอนเร็วๆ แต่ตอนนี้...ดันนึกเสียดายที่ระยะทางจากโรงรถขึ้นห้องช่างสั้นเหลือเกิน

นี่เขาชินกับการให้หมอนี่จูงมือตั้งแต่เมื่อไหร่...

อทิตยะเดินผ่านห้องของตัวเองแล้วค่อยหยุดที่ประตูห้องของพิงภพ มือของทั้งสองผละจากกันคล้ายไม่เต็มใจ แต่แล้วพิงภพก็สังเกตเห็นรอยคล้ำบนนิ้วมือข้างซ้ายของอีกฝ่าย

“จริงสิ ยังเจ็บมืออยู่ไหม?”

ราวกับอทิตยะลืมไปว่าตัวเองมีแผล ชายหนุ่มเลิกคิ้วขณะยกมือขึ้นเพ่งมอง

“ก็ไม่เท่าไหร่แล้ว ถลอกแค่นี้เทียบกับตอนให้ช่างสักหลังเป็นสิบชั่วโมงยังไม่ได้เลย”

พิงภพนึกอยากค้อนปะหลับปะเหลือก แต่ก็คิดได้ว่าคงดูตลกมากกว่าน่ารักเลยหักใจ

“ความเจ็บตอนสักนั่นมันเตรียมใจไว้ก่อน จะมาเปรียบเทียบกับแผลแบบนี้ได้ยังไงกัน เราไม่เชื่อหรอกว่าบนโลกนี้จะมีใครตั้งใจทำให้ตัวเองเจ็บตัว”

เขารวบบีบปลายนิ้วใหญ่แล้วเขย่าเบาๆ อทิตยะมองเขาแล้วก็เหยียดยิ้มมุมปาก

“คุณไม่เคยเห็นพวกที่กรีดแขนตัวเองเหรอ?”

“อย่าไปนับรวมกับพวกนั้นสิ อีกอย่างเราเห็นคนที่มีแผลพวกนี้มาให้พ่อสักทับไม่รู้กี่คนแล้ว บอกก่อนว่าผิวที่มีแผลเป็นน่ะสักแล้วหมึกไม่ค่อยติดนะ ดังนั้นถ้าอยากสักเพิ่มก็พยายามอย่าเป็นแผลจะดีกว่า”

“อืม งั้นต่อไปคงต้องระวัง กำลังคิดว่าอยากจะสักต่อลงมาที่มือพอดี”

“งั้นยิ่งต้องระวังใหญ่เลย เพราะรอยสักบนมือจะเลือนง่ายกว่าส่วนอื่นอยู่แล้วด้วย”

ไม่รู้ทำไมบทสนทนาของพวกเขาถึงวกมาเรื่องสัก แต่พิงภพกลับรู้สึกดีใจ เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างคุ้นเคยจากการคลุกคลีในร้านสักของพ่อตั้งแต่เด็ก มันก็ช่วยให้พวกเขาได้ยืดเวลาคุยกันเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

ทำไมเขาชักจะทำตัวหวานแหววขึ้นเรื่อยๆ นะนี่...

“เพราะงั้น...อะแฮ่ม ถ้าแผลแห้งแล้วก็ทาครีมไม่ให้เป็นรอยก็แล้วกัน แล้วถ้าไม่ติดว่าต้องสักกับช่างประจำก็ลองปรึกษาเฮียเราได้ มันถนัดแนวญี่ปุ่นกับนิวสคูล เมื่อปีก่อนก็เพิ่งได้รางวัลจากอิเวนต์ที่โอกินาว่า”

“พูดซะอยากเจอ เฮียของคุณแต่งงานมีครอบครัวแล้วใช่ไหม?”

“มีแล้ว ลูกสาวก็เรียนประถมแล้ว นี่ก็ยุให้มาเยี่ยมอยู่แต่มันงานยุ่ง”

“น่าเสียดาย เอาเป็นว่าเราจะลองถามถ้าได้เจอ ว่าแต่คุณง่วงแล้วล่ะสิ ตาโรยเชียว”

อทิตยะตบแก้มเขาเบาๆ ปลายนิ้วที่สัมผัสราวกับทิ้งรอยอุ่นเป็นแถบ พิงภพกะพริบตาก่อนจะรีบหยิบพวงกุญแจออกจากกระเป๋า

“นี่มันดึกมากแล้วนี่ งั้นก็กู๊ดไนต์...”

ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นตุ๊กตากัปตันอเมริกาที่ห้อยอยู่ แววตากลมโตของมันคล้ายกำลังมองแทนใครบางคน เขาเหลือบตาขึ้นเมื่อจู่ๆ เงาของอทิตยะก็ก้าวเข้ามาบังแสงไฟหน้าระเบียง

“...กู๊ดไนต์ แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้า”

คนตัวสูงกว่าเอ่ยก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง พิงภพยืนมองประตูที่ปิดลง ก่อนจะหันไปไขกุญแจแล้วเข้าห้องของตัวเองบ้าง

ทันทีที่กดล็อกประตู พิงภพก็เอนหลังพิงฝาแล้วทรุดตัวนั่ง เสียงกุกกักจากห้องข้างๆ ลอยเข้าหูอย่างชัดเจน เขายกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากที่เพิ่งถูกจูบ มันช่างต่างกันเหลือเกินกับสัมผัสหยอกเย้าผิวเผินเมื่อคืนก่อน เพราะจูบครั้งนี้ทิ้งไออุ่นร้อนไว้ให้ เช่นเดียวกับบนข้อมือที่อีกฝ่ายคว้าจับไว้ก่อนจะแยกเข้าห้อง

“ได้ฆ่าเวลาล่ะมั้ง...อย่างน้อยถ้าคบกับคุณเราก็จะได้มีคนคุยด้วย”

อะไรเล่า...คนที่พูดเหมือนให้คบกันขำๆ คือตัวเองแท้ๆ อย่าทำให้เขาเขวด้วยการแสดงท่าทีแบบนี้ได้ไหม...



++---TBC---++



A/N: พุธกับเต็มกลับมาแล้วค่า รู้นะว่าคิดถึง ^^
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 13 หน้า 3 {อัพ 02.02.20}
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 02-02-2020 14:05:11
ดูเนียนกันดีจัง
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 13 หน้า 3 {อัพ 02.02.20}
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 03-02-2020 10:03:51
เต็มนี่ร้ายจริงๆหลอกวันพุธมาเป็นแฟนแล้วแอบจีบเนียนๆ
อยากเห็นเต็มตอนขาดสติแล้วสิพุธจะรับมือยังไงนะ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 13 หน้า 3 {อัพ 02.02.20}
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 03-02-2020 21:15:54
ชั้นทีมซัน​
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 13 หน้า 3 {อัพ 02.02.20}
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 04-02-2020 09:45:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-07-2020 14:24:41
ตะวันพิงภพ บทที่ 14

สิบห้าปีก่อน...

จันทร์เต็มดวงทอแสงกระจ่าง ถนนหนทางคึกคักด้วยไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาลอยกระทง แสงเทียนในแม่น้ำแวววามดุจทุ่งดอกไม้เรืองแสง

“เต็ม!จะทำอะไรลูก!”

“เต็มอยากเล่นน้ำอะแม่ ดูสิ คนอื่นเขาก็กระโดดลงไปเล่นกันเยอะแยะ”

เด็กชายอทิตยะตอบพลางชี้นิ้วไปยังเด็กวัยไล่เลี่ยกันที่กำลังดำผุดดำว่าย ส่วนมืออีกข้างถูกผู้เป็นแม่ยึดแน่น หลังมองตามภาพที่เขาชี้แล้วเธอก็ถอนหายใจ

“พวกนั้นเขาลงไปงมหาเงินในกระทงน่ะสิ เราไม่ต้องไปเลียนแบบเขาหรอก อยู่ใกล้ๆ แม่ไว้เดี๋ยวหลง”

เด็กชายอายุแปดขวบทำปากยื่น เขาวิ่งเล่นย่านนี้มาตั้งแต่จำความได้ แถมทุกคนแถวนี้ก็รู้จักกันหมด ต่อให้เขาหลงกับแม่เดี๋ยวก็มีคนพาไปส่งบ้านอยู่ดี

“คุณต้อง จะพาเต็มไปลอยกระทงหรือครับ?”

ทั้งอทิตยะและแม่หันไปตามเสียง เจ้าของเสียงคือสำราญ รองผู้อำนวยการเขตที่เพิ่งย้ายมาเมื่อปีกลาย ยังโสด หนุ่มและเนื้อหอมในหมู่สาวๆ อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่อทิตยะได้ยินจากเหล่าป้าๆ ในตลาด

“ใช่ค่ะคุณสำราญ วันนี้งานเสร็จเร็วก็เลยรีบมาก่อนจะดึก”

“จะไปลอยที่หลังวัดใช่ไหมครับ ผมกำลังจะไปอยู่พอดี งั้นเดินไปพร้อมกันดีกว่า”

แม่ของเขายิ้มน้อยๆ โดยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ทั้งสามเดินท่ามกลางผู้คนซึ่งถูกดึงดูดด้วยเสียงดนตรีจากงานวัด ความที่คนเดินเบียดกันเยอะทำให้อทิตยะเกือบถูกกระจาดของแม่ค้าฟาดหน้า คุณสำราญเห็นก็เลยอุ้มเขาขึ้น

“อุ้ย! ปล่อยให้แกเดินเองเถอะค่ะ เต็มยิ่งตัวหนักอยู่ด้วย”

“ก็แค่ตัวโตกว่าเด็กวัยเดียวกันหน่อย อีกอย่างก็ใกล้จะถึงวัดแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ”

อทิตยะแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้เพราะดีใจที่ไม่ต้องเดินเอง แม่มองเขาอย่างอ่อนใจ คืนนั้นพวกเขาสามคนลอยกระทงด้วยกัน เล่นเกมปาเป้าและนั่งชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน แถมคุณสำราญยังซื้อขนมเบื้องให้กล่องใหญ่ เด็กชายเห็นแววตาอิจฉาจากพวกสาวๆ รอบด้าน แต่ในเมื่อแม่ของเขาไม่แสดงท่าทีเดือดร้อน เขาก็เลยถือโอกาสจูงมือคุณสำราญกับแม่เป็นเชิงอวดเสียเลย

หลังคุณสำราญมาส่งถึงบ้านและขอตัวกลับไปแล้ว อทิตยะมองแม่เดินไปวางกระเป๋าข้างจักรเย็บผ้าที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นคุณยาย ฝีมือตัดเย็บของแม่ขึ้นชื่อจนเคยตัดชุดออกงานให้คนใหญ่โตในจังหวัด แต่แม่ก็ยังถ่อมตัวและใช้ชีวิตสมถะไม่เปลี่ยน
“แม่”

“หือ? ดึกแล้ว เราน่ะไปแปรงฟันนอนได้แล้วไป”

แม่โบกมือไล่เขาก่อนจะหันไปหาชุดที่เย็บค้างไว้ อทิตยะอาจจะยังเด็ก แต่ก็รู้ว่าแม่ชอบเย็บผ้าเวลามีเรื่องให้คิด

“แม่ไม่ชอบคุณสำราญเหรอ?”

คำถามของเขาทำเอาอีกฝ่ายชะงัก แม่นั่งลงบนเก้าอี้ แล้วก็มองเขาด้วยแววตาครุ่นคิดจนเด็กชายเริ่มประหม่า

“ทำไมถามอย่างนั้น?”

“ก็...ใครๆ ที่ตลาดก็บอกว่าคุณสำราญชอบแม่ แต่ว่าแม่เล็งพ่อเลี้ยงประทีป ก็เลยไม่สนใจคุณสำราญ”

แววตาของแม่กระด้างขึ้นก่อนจะถอนหายใจ อทิตยะมองแม่ที่หันไปมองพระจันทร์เต็มดวงนอกหน้าต่างอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตั้งแต่เด็กแม่ไม่เคยตีหรือเกรี้ยวกราดใส่เขา แต่ความเงียบของแม่ทำให้เขาใจแป้วยิ่งกว่าเวลาโดนครูทำโทษเสียอีก

“แม่...”

“เต็ม มานี่ซิ”

เด็กชายเดินเข้าไปหา แม่จับมือเขาไว้แล้วใช้อีกมือเชยคางขึ้น อทิตยะเลยต้องช้อนตาขึ้นสบตากับแม่ ครู่หนึ่งแม่ก็ดึงเขาเข้าไปกอด

“เต็มอยู่กับแม่แล้วไม่มีความสุขเหรอ?”

“ไม่ใช่...แต่ว่า...ถ้าแม่แต่งงานใหม่ แม่ก็จะได้ไม่เหงา”

แม่หัวเราะพรืดก่อนจะถอยออก “ทุกวันนี้แม่ก็ไม่เหงาสักหน่อย อีกอย่างแม่ก็ไม่ได้ชอบทั้งคุณสำราญหรือพ่อเลี้ยงประทีป จะแต่งงานกับเขาทำไม"

“แต่ว่า...ยายเพ็ญที่ตลาดเคยพูดว่าเสียดายความสาวแทนแม่...”

คราวนี้แม่หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม อทิตยะทำหน้าเหลอ ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่า ‘เสียดายความสาว’หมายความว่าอย่างไร แต่ก็คิดว่ามันคงเป็นคำพูดที่ไม่ฉลาดแน่ๆ ถ้าทำให้แม่หัวเราะขนาดนี้

“เฮ้อ...จะห้ามปากหอยปากปูคงไม่ได้ เอาอย่างนี้ เวลาเต็มได้ยินอะไรก็ปล่อยให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป คนพวกนั้นไม่ใช่แม่ เขาจะมาคิดเสียดายอะไรแทนแม่ได้ยังไง เข้าใจไหม?”

เด็กชายพยักหน้าทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็คิดว่าแม่คงพูดถูกเพราะคนพวกนั้นต่างจากแม่ของเขาจริงๆ แม่ยิ้มก่อนจะหยิกแก้มเขาเบาๆ

“เอาไว้เต็มเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเข้าใจมากกว่านี้ จำไว้ว่าอย่าฟังคำคนอื่นจนต้องฝืนความรู้สึกตัวเองก็พอ เพราะถ้าทำแบบนั้นแล้วก็จะไม่มีใครมีความสุข แล้วในเมื่อแม่ไม่ได้ชอบทั้งคุณสำราญทั้งพ่อเลี้ยง แม่ก็จะไม่ฝืนตอบรับแล้วพากันไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตหรอก”

“ถ้างั้น...แม่มีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้วเหรอ?”

“...มีสิ แต่ถึงชอบก็ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ด้วยกัน แค่ทุกวันนี้ได้อยู่กับเต็มแม่ก็พอใจแล้ว ดังนั้นเลิกหาคู่ให้แม่ได้แล้วนะ”

อทิตยะหน้าม้านเมื่อถูกจับได้ แม่ยิ้มก่อนจะตบก้นเขาเบาๆ เป็นเชิงไล่

“ไปนอนได้แล้ว แม่รู้นะว่าเรายังไม่ได้ทำการบ้าน พรุ่งนี้รีบตื่นมาทำก่อนไปโรงเรียนด้วย ไม่งั้นก็อดค่าขนมสามวัน”

“โหย แม่อ้ะ!สามวันมันนานไปนะ!”

เด็กชายโอดขณะที่แม่หัวเราะร่วน นั่นเป็นหนึ่งในคืนพระจันทร์เต็มดวงที่ฝังแน่นในความทรงจำของอทิตยะมาตลอดสิบกว่าปี


++------++


ช่วงสายของวันนี้...

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องสำนักงานของบลูแซนด์รีสอร์ต พนักงานคนหนึ่งยกหูรับสาย หลังคุยสองสามประโยคก็หันมาหาบุณฑริก

“พี่บุ๋ม รีเซปชั่นบอกว่ามีลูกค้าวอล์คอินมา อยากสมัครคอร์สดำน้ำควบห้องพักสามคืน แต่ว่าห้องเราเต็มยาวถึงวีคหน้าเลย เอาไงดี?”

“เอ...งั้นโทรถามเบย์มูนหรือแกรนด์ฮิลว่ามีห้องว่างไหม ถ้ามีก็เช็กราคาให้ลูกค้า แล้วบอกว่าเราจะส่งรถไปรับวันที่มีเรียนดำน้ำก็แล้วกัน”

“โอเคค่ะ”

อทิตยะฟังบทสนทนาแล้วเหลือบมองปฏิทินแขวนผนัง เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีวันที่ถูกกาวงกลมล้อมรอบหลายวัน

“สุดสัปดาห์นี้มีวันหยุดยาวเหรอครับ?”

บุณฑริกมองตามสายตาเขา “อ๋อ วันหยุดราชการจริงๆ น่ะคือพุธหน้า นักท่องเที่ยวบ้านเราก็เลยจะชอบลายาวตั้งแต่ต้นอาทิตย์หรือท้ายอาทิตย์ แถมช่วงนี้ทางยุโรปก็หยุดซัมเมอร์มาเที่ยวบ้านเราเยอะ ส่วนใหญ่ที่พักเลยเต็มกันหมด”

งั้นครอบครัวนั้นก็โชคดีที่โทรมาตอนยังมีห้องว่าง... ชายหนุ่มคิดขณะมองปฏิทินอีกครั้ง เขาเห็นจุดสีแดงเล็กจิ๋วพิมพ์อยู่ในปฏิทินวันรุ่งขึ้น และถ้าสังเกตดีๆ ก็เห็นว่าในหนึ่งเดือนจะมีวันที่มีจุดสีแดงนี้เดือนละหนึ่งวัน

“น้าบุ๋ม แล้ววันที่มีจุดวงกลมสีแดงนี่แปลว่าอะไร?”

“หือ? วันพระจันทร์เต็มดวงไง จริงสิ ปฏิทินที่ออสเตรเลียคงไม่บอกข้างขึ้นข้างแรม เดือนนี้วันพระจันทร์เต็มดวงไม่ตรงกับวันพระใหญ่ซะด้วย พรุ่งนี้ปาร์ตี้ริมหาดคงมันส์น่าดู”

“ไม่ใช่ว่าจัดปาร์ตี้กันทุกวันอยู่แล้วเหรอครับ?”

อทิตยะเลิกคิ้วถาม บุณฑริกกับพนักงานอีกคนหัวเราะ

“นั่นก็ใช่ แต่คืนที่มีฟูลมูนจะปาร์ตี้กันสุดเหวี่ยงขึ้นไปอีก เกาะเต่าอาจจะไม่ขึ้นชื่อเรื่องนี้เท่าพะงัน แต่ฟูลมูนปาร์ตี้ที่หน้าบ้านเราก็คึกคักใช้ได้นะคะน้องเต็ม”

“ใช่ๆ ที่จริงเต็มอุตส่าห์มาแถวนี้ทั้งที น่าจะลองไปฟูลมูนที่พะงันดูนะ นี่ถ้าน้าไม่ติดงานก็อยากจะพาไปอยู่หรอก”

“แหม พี่บุ๋มจะพาไปเองทำไมล่ะคะ เต็มเขามีคนที่พาไปได้อยู่แล้วนี่”

“ฮะ? อ้อ...ตายจริง ฉันลืมไปได้ไงว่าหลานมีแฟน”

ทั้งคู่หัวเราะคิกคัก อทิตยะเพียงแต่อมยิ้มน้อยๆ เขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของฟูลมูนปาร์ตี้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่สนใจเพราะไม่คิดว่าจะกลับเมืองไทย แต่พอนึกถึงคนที่หญิงสาวทั้งสองพาดพิงก็เริ่มเปลี่ยนความคิด


++------++


วันนี้พิงภพไม่ต้องนำลูกค้าลงดำน้ำช่วงกลางคืน อทิตยะก็เลยชวนไปซื้ออาหารจากรถเข็นแล้วพากันไปนั่งกินบนชายหาด ช่วงโพล้เพล้เช่นนี้หลายร้านจะวางเก้าอี้บนหาดทรายให้ลูกค้าได้ชมพระอาทิตย์ตก แต่พวกเขาเลือกนั่งบริเวณพื้นทรายแห้งๆ ห่างจากร้านทั้งหลายออกมา กิจวัตรนี้ดำเนินมาเป็นวันที่สาม และดูเหมือนพวกเขาก็จะเริ่มชินกันแล้ว

“อะไรนะ? ฟูลมูนที่พะงัน?”

“อืม คุณเคยไปไหม?”

อทิตยะถามขณะมองพิงภพกัดฮอตด็อกชิ้นใหญ่เข้าปาก อีกฝ่ายเคี้ยวพลางทอดสายตามองทะเล

“เคยไปครั้งนึงสมัยเรียน แต่ช่วงนั้นต้องทำงานพิเศษเลยไม่ค่อยได้เที่ยว พอเริ่มทำงานก็ยิ่งไม่ได้ไปไหน จะว่าไปของเดือนนี้มันจัดพรุ่งนี้นี่นา อยากไปเหรอ?”

“พอดีได้ฟังน้าบุ๋มพูดถึง ก็เลยคิดว่าน่าสนใจ”

อทิตยะตอบพลางกินแฮมเบอร์เกอร์ของตัวเอง พยายามไม่ปรายตามองพิงภพที่กำลังอ้าปากกว้างกัดฮอตด็อกอีกคำ ความเงียบของเขาทำเอาคนข้างๆ ทนไม่ไหวจนต้องเบี่ยงไหล่มาชน

“นี่ อยากไปล่ะสิ?”

“เปล่า เรายังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

พิงภพได้ยินน้ำเสียงยียวนก็เบ้ปาก “ทำเป็นปากแข็ง อยากไปก็บอกมาเถอะ รู้ไม่ใช่เหรอว่าคิวงานเราไม่ใช่ปุบปับก็แคนเซิลได้นะ อีกอย่างเรือไปพะงันมันมีเป็นรอบ ถ้าจะไปก็ต้องรีบจอง ไม่รู้ป่านนี้เต็มไปหมดหรือยัง”

“ก็ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่ต้องไป เดี๋ยวเราไปคนเดียวก็ได้ ไม่อยากทำให้คุณเสียรายได้ประจำวัน”

ตั้งแต่ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น อทิตยะก็สังเกตเห็นว่าพิงภพมักใส่เสื้อซ้ำอยู่ไม่กี่ตัวและไม่ค่อยใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แต่เขาเคยถามบุณฑริกก็เลยรู้ว่าครูสอนดำน้ำมีรายได้ดีพอควรถ้าขยัน ดังนั้นการที่พิงภพมีวินัยเรื่องเก็บออมเงินน่าจะเป็นเพราะถูกเลี้ยงมาแบบนี้ หรือไม่ก็มีเป้าหมายในการเอาเงินไปใช้มากกว่า

ชายหนุ่มกินแฮมเบอร์เกอร์โดยไม่พูดอะไรอีก อึดใจหนึ่งก็เห็นพิงภพหยิบโทรศัพท์ขึ้นสไลด์หน้าจอสองสามครั้งแล้วยกขึ้นแนบหู

“ฮัลโหล? ขอโทษฮะพี่บุ๋มที่โทรมาตอนเย็น พรุ่งนี้บ่ายมีกรุ๊ปที่ผมต้องหลีดใช่ไหม? ผมจำได้ว่าเขาไม่ได้มาด้วยกัน งั้นรบกวนพี่บุ๋มกระจายเขาไปอยู่กับลีดเดอร์คนอื่นหน่อยสิ ก็นั่นน่ะแหละ ใช่...รบกวนด้วยฮะ อะไรนะ!? ไม่ใช่ซะหน่อย! โอเคๆ เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากฮะ”

พิงภพกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ไปก็เหลือบมองเขาเป็นระยะ ท้ายๆ บทสนทนาใบหน้าเริ่มซับสีชมพูและเสียงก็ดังขึ้น อทิตยะพ่นหัวเราะเพราะเดาได้ว่าบุณฑริกพูดอะไร เขารอจนพิงภพกดตัดสายถึงถาม

“คุณโทรไปแคนเซิลงานกับน้าบุ๋มเหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ ทีนี้ก็ต้องโทรไปจองเรือต่อ ภาวนาให้ยังมีที่เหลือก็แล้วกัน กะทันหันแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะได้ตั๋วง่ายๆ นะ”

“ขาใหญ่ออกขนาดนี้ ยังไงก็หาตั๋วได้แหละน่า”

“เฮ้ย!ไอ้ทะลึ่ง!”

พิงภพตีมือเขาดังเพียะเมื่ออทิตยะแกล้งบีบต้นขา ชายหนุ่มหัวเราะก่อนจะยอมปล่อยให้หาเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทเดินเรือ เขากวาดตามองไปยังแสงไฟของร้านอาหารซึ่งเปิดไฟแข่งกับฟ้าที่เริ่มมืด ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นร่างหนึ่งที่กำลังเดินเล่นไกลออกไป
นั่นดูแล้วอย่างกับ...แต่คงไม่ใช่หรอก จะบังเอิญมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...

อทิตยะรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อกระตุก หัวใจเต้นแรงขึ้น เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมบนฝ่ามือ ได้แต่กำมือแน่นเพื่อเตือนตัวเองไม่ให้วิ่งออกไปหาเงาร่างที่เห็นลิบๆ นั้น

“ฆาตรกร!แกมันเป็นฆาตกร!!”

“เต็ม?”

ชายหนุ่มหันขวับเมื่อถูกปลายนิ้วแตะบนข้อศอก พิงภพก็คงตกใจกับปฏิกิริยาของเขาเพราะนัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง วูบหนึ่งอทิตยะเกือบจะรั้งไหล่อีกฝ่ายมาบีบให้แน่นเพื่อลบความทรงจำที่วาบขึ้นชั่วครู่

ผ้าม่านโปร่งที่พลิ้วจากสายลม เสียงกรีดร้องและเสียงหวอของรถตำรวจ เลือดสีแดงที่กระเซ็นเปรอะเสื้อ...

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกว่าอทิตยะจะควบคุมลมหายใจได้ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเปล่งคำถามเสียงแหบแห้ง

“ขอโทษ ว่าไง?”

“...เรือรอบบ่ายสามวันพรุ่งนี้ยังมีที่ว่าง เราก็เลยโอนเงินจองตั๋วไปแล้ว คงถึงพะงันก่อนเริ่มปาร์ตี้นิดหน่อย โอเครึเปล่า?”

พิงภพมองเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล อทิตยะไม่แน่ใจว่าคำถามนั้นสื่อถึงรอบของเรือหรือท่าทางของเขา แต่ก็พยายามคิดว่าคงเป็นเรื่องแรก

“ได้ คุณว่าไงเราก็ว่าตามนั้น”

ชายหนุ่มตอบพลางเตือนตัวเอง ทำอารมณ์ให้เย็นไว้...นึกถึงคลาสบำบัดหลายชั่วโมงนั่นสิ ไม่ใช่ว่าเราทนผ่านมันมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเรื่องแบบนั้นอีกหรือไง...

คนตรงหน้าเม้มปากพลางมุ่นคิ้ว อทิตยะเห็นก็เอะใจ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเผลอกำมืออีกฝ่ายแน่นจึงรีบปล่อย หันไปทิ้งแฮมเบอร์เกอร์ที่กินไม่หมดลงถังขยะแล้วลุกขึ้น

“เดี๋ยวเรากลับห้องก่อน ถ้าคุณจะกลับเมื่อไหร่ก็โทรบอกแล้วกัน เดี๋ยวมารับ”

“ก็ได้... ขับรถระวังด้วยล่ะ”

อทิตยะเหยียดยิ้มก่อนจะเดินจากมา ดูจากท่าทางเขาตอนนี้แล้วก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะไม่พูดรั้งไว้สักคำ ชายหนุ่มซุกมือที่กำแน่นลงในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง พยายามไม่หันกลับไปมองข้างหลังเพราะรู้ว่าพิงภพกำลังมองตามอยู่แน่นอน


++------++


ไอ้บ้า...นึกว่ากระดูกจะแตกแล้ว...

พิงภพคิดพลางสะบัดมือและสูดปาก มือข้างที่ถูกอทิตยะกำมีรอยแดงขึ้นเป็นปื้นตามรูปฝ่ามือ นี่ขนาดผิวเขาเกรียมแดดยังเห็นเป็นรอยช้ำขนาดนี้ ไม่อยากนึกว่าถ้าคนผิวขาวๆ มาโดนจะยิ่งเห็นรอยชัดแค่ไหน

ชายหนุ่มมองรอยบนมือก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ ไม่ได้คิดจะส่งให้ใครหรอก แค่ดูแล้วเห็นว่าแปลกดีเลยอยากถ่ายเก็บไว้ก็แค่นั้น

ว่าแต่จู่ๆ หมอนั่นผีเข้าเพราะอะไรกัน...

พิงภพเก็บโทรศัพท์ก่อนจะเบนสายตาไปทางทิศที่อทิตยะมองเมื่อครู่ ถ้าบอกว่าไม่ตกใจกับปฏิกิริยาของอีกฝ่ายคงโกหก ก็สีหน้าหมอนั่นคล้ำเครียดยังกับโดนของ แต่ที่ทำให้เขาบังคับตัวเองให้นั่งนิ่งได้ นอกจากเพราะต้องช่วยเหลือนักดำน้ำมือใหม่ที่ตื่นตกใจเป็นประจำ ก็เพราะแววตาที่จ้องมาเหมือนกำลังเรียกร้องความช่วยเหลือแม้จะไม่เปล่งเป็นคำพูด

อาการเมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าปุบปับก็เป็นแน่ แต่หมอนี่ชอบวางมาดซะขนาดนั้น ถ้าหากเขาถามว่าเป็นอะไรจะยอมเล่าไหมนะ หรือควรจะไปถามจากพี่บุ๋มดีกว่า? ว่าแต่พี่บุ๋มรู้หรือเปล่าว่าหมอนี่มีอาการแบบนี้?

ยิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งไม่สงบ พิงภพขยับนิ้วมือข้างที่โดนบีบไปมาอย่างเหม่อลอย แล้วก็ถูกเสียงแตรจากเรือที่กำลังแล่นเข้าฝั่งดึงความสนใจ ดูเหมือนเรือเล็กจะรับนักดำน้ำรอบค่ำกลับมาแล้ว มีเสียงปรบมือและกรี๊ดกร๊าดจากคนในเรือ เขาเลยลุกขึ้นปัดฝุ่นทรายออกจากกางเกง แล้ววิ่งเหยาะๆ กลับไปที่บลูแซนด์ท่ามกลางความมืดสลัวที่เข้มข้นขึ้นทุกที

คิดมากไปตอนนี้ก็ปวดหัว ไว้เจอหน้าแล้วค่อยเลียบเคียงถามเอาก็แล้วกัน

“อ้าว? ทำไมนายมาอยู่นี่ล่ะ เห็นไม่ออกไปไนต์ไดฟ์ก็นึกว่าคงสวีตอยู่กับบอยเฟรนด์ซะอีก”

มาริอุสทักเมื่อเห็นพิงภพมาช่วยรับอุปกรณ์ดำน้ำคืนที่ห้องเก็บของ อีกฝ่ายยังสวมเว็ทสูทแบบเต็มตัว แต่รูดซิปดึงท่อนบนลงเผยแผ่นอกตึงแน่นและกล้ามไหล่เป็นลูก ผมหยักศกชุ่มน้ำโดนเสยไปด้านหลัง ในบรรดาครูสอนดำน้ำที่บลูแซนด์ หมอนี่นับว่ารูปร่างหน้าตาเด่นที่สุดเพราะตาคมคิ้วเข้มแบบหนุ่มละติน แต่ถ้าได้เริ่มคุยกันแล้วจะรู้ว่าเป็นคนขี้เล่นและพูดจาไร้สาระเก่งที่สุดเช่นกัน

“จะให้สวีตอะไรกันนักหนา แต่ละคนก็ต้องมีเวลาส่วนตัวมั่งสิ”

“โห เพิ่งคบกันไม่นานก็อยากได้เวลาส่วนตัวแล้ว จะเรียกว่าเร่าร้อนจนไฟมอดไวหรือร้อนจนต้องพยายามห้ามใจตัวเองดี”

ท้ายประโยคมาริอุสทำเสียงเหมือนฮัมเพลง พิงภพได้แต่กลอกตา ตั้งแต่ตกลงคบกับอทิตยะมาเขายังนึกไม่ออกเลยว่ามีช่วงเวลาที่เร่าร้อนกันตอนไหน แต่ถ้าแบบที่ทำใจเต้นแว้บๆ บ้าง...อย่างนั้นพอกล้อมแกล้มได้ว่ามีอยู่

แล้วมันต่างกับตอนที่ซันเคยหอมแก้มเราตรงไหนล่ะ...

ผิวแก้มของพิงภพร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ทั้งคืนที่ภาณุกรมาค้างที่ห้องและเช้าหลังจากนั้น ไม่รู้เพราะการได้พบเพื่อนเก่าและรำลึกความหลังอย่างไม่คาดฝันหรืออย่างไร แต่เขายังรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าตอนที่โดนอทิตยะจูบเสียอีก

แต่จะว่าไป...ที่ไม่เคยรู้สึกวาบหวามก็เพราะหมอนั่นชอบรุกทีเผลอนั่นแหละ! ทำเป็นหมาหยอกไก่แล้วจะให้เขาเคลิ้มได้ยังไงกัน ที่พอจะนับว่าใกล้เคียงอารมณ์หวานแหวว...ก็มีแค่คืนที่หมอนั่นมาขอโทษถึงห้อง แล้วชวนออกไปเดินเล่นริมหาดด้วยกันเท่านั้นเอง

“พุธ”

“อะไร?”

มาริอุสยิ้มยิงฟันพลางชูนิ้วโป้งไปด้านหลัง “แค่อยากบอกว่าเมื่อกี้นายทำหน้าตลกดี เดี๋ยวก็ตาเยิ้มเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ยังกับดูการ์ตูนเลย แต่ถ้าไม่อยากให้คนอื่นเห็นก็ไปทำที่อื่นดีกว่านะ”

พิงภพมุ่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่พอมองไปเห็นสีหน้าที่บ้างก็อมยิ้ม บ้างก็หัวเราะคิกคักของเหล่านักดำน้ำที่กำลังยืนรอคืนอุปกรณ์ ไอร้อนจัดก็พุ่งขึ้นหน้าจนได้แต่นึกโทษคนที่กลับไปก่อน เอากับเขาสิ ขนาดตัวไม่อยู่ตรงนี้ยังแกล้งเขาต่อหน้าคนอื่นได้ คนอะไรกวนประสาทชะมัด!


++---TBC---++
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 03-07-2020 14:32:17
ตะวันพิงภพ บทที่ 15

ดึกมากแล้ว บ้านเรือนและร้านขายของข้างทางล้วนปิดไฟมืด พิงภพขับมอเตอร์ไซค์เข้าจอดในโรงรถของอพาร์ตเมนต์แล้วใช้โซ่ล็อกล้อ เมื่อเช้าเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์ของอทิตยะไปรีสอร์ตทำให้ไม่มีรถของตัวเอง โชคดีที่ขอยืมจากขจรซึ่งบ้านอยู่ใกล้กับบลูแซนด์ได้ ไม่งั้นคงต้องขอค้างห้องเพื่อนคนใดคนหนึ่งซึ่งอาจไม่สะดวกนัก

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาห้าทุ่ม เขาเงยหน้าขึ้นมองแสงไฟบนระเบียงทางเดินที่สว่างไสว จากนั้นก็กระชับสายกระเป๋าสะพายแล้วเดินขึ้นชั้นบน

นอนไปแล้วหรือยังนะ...

แสงไฟลอดออกมาจากใต้ประตูห้องของอทิตยะ พิงภพเห็นเข้าก็ลังเล แต่พอนึกถึงบรรยากาศแปลกประหลาดเมื่อเย็นก็ตัดสินใจเดินผ่านไปยังห้องของตัวเอง

วันพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว คืนนี้ปล่อยหมอนั่นพักผ่อนไปก็แล้วกัน

ทันทีที่ไขแม่กุญแจที่ล็อกประตู พิงภพก็ได้ยินเสียงกุกกักจากห้องข้างๆ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเข้าห้อง ประตูห้องติดกันก็เปิดดังพลัวะพร้อมกับเจ้าคนหน้ายุ่งที่ก้าวเร็วๆ ออกมาในสภาพใส่กางเกงตัวเดียว

“คุณกลับมายังไง? ทำไมไม่โทรให้เราไปรับ?”

น้ำเสียงคนถามแหบแห้งและมีกังวานไม่พอใจ ดวงตาที่หยีสู้แสงบ่งบอกว่าคงเพิ่งตื่นเมื่อกี้ พิงภพได้แต่ลอบถอนหายใจ

“พอดีติดคุยงานกับพวกเพื่อนๆ พอเห็นว่าดึกแล้วก็เลยยืมมอเตอร์ไซค์ของพี่ขจรมา เต็มเองก็หลับอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปนอนต่อเถอะ”

“แต่เราบอกแล้วนี่ว่าให้โทรตาม ถึงยังไงก็ตื่นไปรับได้หรอกน่ะ”

“ก็บอกแล้วไงว่ามันดึกแล้ว อีกอย่างก่อนหน้านี้เราก็ขับรถไปกลับเองประจำ ที่ยืมรถคนรู้จักก็เรื่องปกติ ไม่ได้ลำบากตรงไหนสักหน่อย”

“อ้อ ที่ตอบมายืดยาวนี่สรุปก็คือเราไม่จำเป็นสำหรับคุณสินะ?”

พิงภพเผยอริมฝีปากค้าง โอเค...บางครั้งเขาเคยถามตัวเองว่าคิดถูกไหมเรื่องที่ตกลงคบกัน แต่ก็ไม่เคยมองอทิตยะในแง่ว่าจำเป็นหรือไม่เลยสักครั้ง หลังจากความตกตะลึงในวินาทีแรกเริ่มจางหาย อารมณ์ไม่พอใจก็กรุ่นขึ้นแทนที่

“ถ้าอยากคิดแบบนั้นก็ตามสบาย”

นัยน์ตาของอทิตยะเบิกกว้างขึ้นเหมือนตื่นเต็มตา พิงภพรีบพุ่งเข้าห้องแล้วลั่นกลอนก่อนอีกฝ่ายจะก้าวมาคว้าตัวทัน

“พุธ! หมายความว่ายังไง!? ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!”

“ไม่เอา! ดึกป่านนี้แล้ว! ถ้าจะคุยก็ไว้คุยพรุ่งนี้!”

ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝั่งประตู แต่บรรยากาศตึงเครียดทำเอาพิงภพแทบกลั้นหายใจ เสียง “ตุ้บ” เหมือนอะไรกระแทกกำแพงทำเอาเขาสะดุ้ง ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ ปิดดังปัง หัวใจเขาเต้นรัวเมื่อได้ยินเสียงโครมเหมือนข้าวของล้มจากอีกฝั่งของผนัง

นี่เรา…ตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ไม่ออกไปคุยกับหมอนั่น? แต่ดูจากท่าทางเมื่อกี้สิ...ถึงยอมคุยแล้วจะรู้เรื่องกันไหม?

ชายหนุ่มปลดกระเป๋าสะพายแล้วโยนส่งๆ ไปมุมห้อง พออารมณ์ที่พุ่งปรี๊ดเริ่มลดลงก็รู้สึกเพลีย หลังอาบน้ำแปรงฟันก็เลยตั้งนาฬิกาปลุก ปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงเหมือนตุ๊กตาที่ถ่านหมด แต่พอจวนเจียนจะเคลิ้มหลับ หูเจ้ากรรมดันแว่วเสียงประตูระเบียงห้องข้างๆ เปิดออก ตามด้วยเสียงเลื่อนเก้าอี้นั่งและเสียงจุดไฟแช็ก

อพาร์ตเมนต์ของพวกเขาอยู่บนไหล่เขาซึ่งห่างจากย่านที่คึกคักของเกาะ ยามดึกแบบนี้จึงเงียบสงัด จะมีก็แต่เสียงนกร้องหรือแมลงกลางคืนดังเป็นพักๆ พิงภพไม่ได้ตั้งใจจะเงี่ยหูฟัง แต่ความเงียบทำให้เขาได้ยินกระทั่งเสียงพ่นควันบุหรี่จากระเบียงติดกัน พอความคิดเลื่อนลอยไปถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเย็นและบทสนทนาหน้าห้องเมื่อครู่ เขาก็ตาค้างจนหลับไม่ลงเป็นชั่วโมง


++------++


นอกจากช่วงที่ผล็อยหลับเมื่อหัวค่ำก่อนพิงภพจะกลับมา อทิตยะก็ข่มตานอนต่อไม่ได้เพราะความหงุดหงิด เขาเลยใช้ประโยชน์จากการที่สมองตื่นตัวไปกับการคิดแผนงานใหม่ พิมพ์อีเมลส่งไปให้ริค จากนั้นก็งีบหลับราวตีสี่แล้วลุกขึ้นมาอาบน้ำตั้งแต่ตีห้า ไก่ที่ชาวบ้านแถวนั้นเลี้ยงไว้ยังไม่ขันเสียด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มออกจากห้องแล้วเหลือบมองประตูห้องข้างๆ ก่อนหน้านี้พิงภพยอมตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานพร้อมกับเขา แต่หลังเหตุการณ์เมื่อคืน เช้านี้อีกฝ่ายคงยังไม่อยากรีบตื่นมาคุยด้วยแน่

โอเค เขาผิดเองที่หลุดคำถามเหมือนเด็กขาดความอบอุ่นแบบนั้นออกไป แต่จะตอบให้ถนอมน้ำใจหน่อยไม่ได้หรือไงกัน

อทิตยะตัดสินใจไม่เคาะประตู เขาเดินลงไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์แล้วก็บิดไปบลูแซนด์ตั้งแต่ฟ้ายังเป็นสีเทาหม่น ห้องสำนักงานยังปิดล็อก แต่ห้องอาหารเปิดไฟสว่างเพราะต้องเตรียมอาหารเช้าให้แขก เขาเข้าไปนั่งดื่มกาแฟ จากนั้นก็ลงไปเดินเล่นหน้าหาดก่อนจะไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์ดำน้ำตอนหกโมงครึ่ง

“อรุณสวัสดิ์”

“หวัดดี”

อทิตยะตอบทักทายสเวนที่ยืนนับของอยู่ในห้อง นับตั้งแต่รับปากว่าจะไปช่วยประสานงานในเรือ อทิตยะก็เคยตามสเวนไปลงเรือจริงๆ แค่ครั้งเดียวพอให้รู้ว่าต้องทำอะไร ระหว่างที่ยังไม่ถึงวันลาพักร้อนของอีกฝ่าย แต่ละวันของอทิตยะจึงแบ่งเวลาช่วยงานที่ห้องเบิกอุปกรณ์ตอนเช้า เข้าสำนักงานไปช่วยบุณฑริกตอนสาย แล้วก็กลับมาช่วยที่ห้องเบิกอุปกรณ์อีกครั้งตอนกลางวันและเย็นตามรอบเรือถ้าไม่ติดธุระอื่น

“วันนี้นายกับพุธลาช่วงบ่ายใช่ไหม? เมื่อวานพี่บุ๋มโทรมาบอกฉันว่าให้รับลูกค้าช่วงบ่ายแทนพุธหน่อย”

“อ้อ...ใช่ ขอโทษที ฉันไม่นึกว่าน้าบุ๋มจะส่งงานของพุธต่อให้นาย”

“ไม่เป็นไร ตั้งแต่พรุ่งนี้ฉันก็หยุดพักร้อนแล้ว ได้ยินว่าเย็นนี้พวกนายจะไปฟูลมูนที่พะงันสินะ?”

“อืม”

ถ้าพุธยังอยากไปกับเขาอยู่...อทิตยะคิดขณะรูดซิปปิดกระเป๋าที่เตรียมอุปกรณ์ครบแล้วอีกใบ น้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายดึงสายตาของสเวนให้เหลือบมอง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ถามเซ้าซี้ พอนักดำน้ำทยอยกันมาเบิกอุปกรณ์ก็ต่างคนต่างยุ่งจนไม่ได้คุยกันอีกพักใหญ่

“งั้นเจอกันอีกทีตอนเที่ยง ฉันต้องไปเซ็นชื่อลงเวลาที่สำนักงานก่อน”

“เดี๋ยวฉันลงเวลาให้เอง ยังไงก็ต้องกลับไปห้องสำนักงานอยู่แล้ว นายไปช่วยงานที่หน้าหาดเถอะ”

“โอเค งั้นก็ขอบคุณมาก”

สเวนหยิบกระเป๋ากันน้ำใบเล็กมาคล้องไหล่ แต่ยังไม่ทันก้าวพ้นห้องเก็บของก็หันกลับมา

“นี่”

“หือ?”

อทิตยะหันไปตามเสียง สเวนมองหน้าเขาแล้วก็ถามขึ้น

“นายคิดว่าพุธดื้อไหม?”

คำถามนั้นช่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในเมื่อสเวนย่อมรู้จักพิงภพดีกว่าเขา แต่อทิตยะก็พยักหน้า

“ก็พอสมควร”

“แต่ก็ชอบใจอ่อนง่ายๆ ด้วยใช่ไหมล่ะ?”

อทิตยะไม่ตอบ สเวนเห็นเข้าก็ยกมุมปากน้อยๆ

“หมอนั่นเป็นแบบนั้นแหละ ดื้อแต่ก็ช่างใจอ่อน งานของพวกฉันต้องคอยบริการลูกค้าจนบางทีก็ลืมว่าถ้ามีคนมาเอาใจบ้างจะเป็นยังไง ถ้านายกำลังมีปัญหากับพุธก็ลองเอาคำพูดฉันไปคิดดูแล้วกัน”

จบประโยคเจ้าตัวก็เดินไปทางเรือเล็กซึ่งกำลังจอดอยู่บนหาดทราย ดวงอาทิตย์เริ่มลอยสูงจนท้องฟ้าสว่างไสว อทิตยะมองภาพตรงหน้าแล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมปุบปับสเวนถึงพูดเรื่องนี้

หรือว่าสีหน้าเขามันอ่านง่ายนัก...

อทิตยะพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก เขาตรวจเช็กความเรียบร้อยก่อนจะล็อกห้องอุปกรณ์ จากนั้นก็สวมรองเท้าแตะแล้วเดินไปที่ห้องสำนักงาน


++------++


“อ้าวพุธ ไม่ยักเห็นนายที่ห้องเบิกอุปกรณ์เมื่อเช้า”

“ก็เมื่อวานฉันฝากอุปกรณ์ของตัวเองไว้บนเรือแล้ว เช้านี้ก็เลยแค่มารอพาลูกทีมขึ้นเรือ”

พิงภพตอบลีที่เดินเข้ามาทัก ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งเล่นที่ระเบียงของห้องอาหาร เนื่องจากวันนี้มีลูกค้าซื้อทริปดำน้ำเยอะเกินกว่าเรือเล็กจะรับน้ำหนักไหว ก็เลยแบ่งกลุ่มกันให้ครึ่งหนึ่งได้ลงเรือเล็กไปก่อน หลังส่งกลุ่มแรกขึ้นเรือใหญ่แล้วค่อยวนมารับพวกเขาอีกที

“ได้ยินว่าเย็นนี้นายจะไปฟูลมูนที่พะงันเหรอ ดีจังน้า ฉันก็อยากมีคนชวนไปบ้าง”

ลีพูดพลางแสร้งตีหน้าสลดจนพิงภพต้องแกว่งเท้าไปเตะด้วยความหมั่นไส้ แต่เพื่อนเขาก็แค่หัวเราะก่อนจะหันไปหาลูกทีมเมื่อถูกเรียก พิงภพจึงหันมานั่งทอดสายตามองคนที่กำลังทยอยขึ้นเรือต่อ

อย่าคิดนะว่าเมื่อกี้เขาไม่เห็น...หมอนั่นตั้งท่าจะเดินมาทางนี้ แต่สงสัยจะมองมาเห็นเขา จู่ๆ ถึงได้เลี้ยวไปทางห้องสำนักงานซะอย่างนั้น

ความที่เมื่อคืนหลับไม่ค่อยสนิท เมื่อเช้าเขาเลยสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงกุกกักในห้องข้างๆ แต่ก็ตั้งใจไม่รีบตามอทิตยะมารีสอร์ตเพราะไม่รู้ว่าเจอหน้ากันแล้วจะพูดอะไร แถมไม่แน่ใจด้วยว่าหมอนั่นอยู่ในอารมณ์ไหน เขาเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการโอ๋เด็กขี้วีนเสียด้วย

“...สรุปก็คือเราไม่จำเป็นสำหรับคุณสินะ?”

ผีอะไรเข้าสิงให้ถามแบบนั้น แล้วใครจะไม่โมโหถ้าโดนคนที่คบกันถามอย่างนี้ แต่พูดก็พูดเถอะ พวกเขาคุยกันไว้ว่าจะแค่คบกันเล่นๆ ไม่ใช่หรือไง? เจ้าตัวเองก็ออกปากเป็นมั่นเหมาะว่าอยากบอกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วดูท่าทางเมื่อคืนสิ หรือมันมีเส้นลิมิตที่พวกเขาเผลอจูงมือข้ามกันมาแบบงงๆ ไปแล้ว?

“พุธจ๋าาาา”

เสียงเรียกหวานกระเส่าทำเอาพิงภพขนลุก พอหันไปก็เห็นเจ้าของเสียงยิ้มหยาดเยิ้มให้ผ่านอายไลเนอร์สีดำและลิปสติกสีแดง เพ็ชรัตน์ไม่ใช่นักดำน้ำคนเดียวที่ชอบแต่งหน้าเวลาดำน้ำ แต่เขาเห็นทีไรก็ยังทึ่งกับประสิทธิภาพของเครื่องสำอางกันน้ำพวกนี้อยู่ดี

“วันนี้ก็สวยเหมือนเดิมนะฮะเจ๊เพ็ชชี่”

“แหม ปากหวาน แต่ปาร์ตี้เย็นนี้เจ๊ต้องเหงาแน่เลย เพราะพุธหนีเจ๊ไปฟูลมูนที่อื่น”

พิงภพกลอกตามองบนอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ วันนี้เขาจะต้องโดนแซวจากอีกกี่คนเนี่ย

“ยังไม่ชัวร์ว่าจะได้ไปรึเปล่าเลยเจ๊ ถึงจะจองเรือไปแล้วก็เถอะ”

คิ้วเรียวโก่งของคนแซวเลิกสูง “อ้าว? ไหงงั้นล่ะ? ก็ลางานช่วงบ่ายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่ฮะ แต่คนที่ชวนตอนนี้ยังเดาอารมณ์ไม่ได้เลย ถ้าเขาไม่ไปผมคงไปคนเดียวแหละ เสียดายค่าตั๋ว”

“โถถถ งั้นถ้าบอยเฟรนด์ไม่ไปก็มาชวนเจ๊ได้นะ พรุ่งนี้เช้าเจ๊ไม่ต้องรีบกลับมาทำงานพอดี จะได้ไปเปิดหูเปิดตากับวัยรุ่นเขาบ้าง”

พิงภพหัวเราะแหะๆ ดูเหมือนทุกคนจะจำคำติดปากของมาริอุสที่ชอบเรียกอทิตยะว่าบอยเฟรนด์ของเขาไปแล้ว จังหวะเดียวกันนั้นเรือเล็กก็แล่นกลับมาเทียบหน้าหาดเพื่อรับนักดำน้ำกลุ่มสุดท้าย พวกเขาจึงทยอยกันหยิบข้าวของส่วนตัวเดินลงไปที่เรือ

รอบสองนี้เรือก็ยังเต็มเหมือนเดิม พิงภพสละที่นั่งให้ลูกค้าและเหล่าครูดำน้ำสาวๆ ส่วนตัวเองยืนเท้าแขนกับเครื่องยนต์ท้ายเรือกันล้ม ขณะที่คนขับติดเครื่องโดยมีเจ้าหน้าที่หน้ารีสอร์ตช่วยผลักเรือออกจากหาด ก็มีเสียงตะโกนเรียกจนพิงภพและคนอื่นในเรือหันกลับไปมอง

“พุธ! รับ!”

“ห้ะ? รับอะไร? เฮ่ย!”

พิงภพร้องอย่างตกใจขณะคว้าของที่อทิตยะโยนให้ทันก่อนมันจะตกน้ำ พอพลิกดูก็พบว่ามันคือถุงผ้าของร้านมินิมาร์ทข้างบลูแซนด์ เขาหันกลับไปมองฝั่งขณะเรือแล่นห่างออกมาทุกที และเห็นว่าเจ้าของถุงกำลังโบกมือให้ ระยะทางที่เพิ่มขึ้นทำให้เห็นไม่ชัดว่าหมอนั่นกำลังยิ้มหรือแยกเขี้ยวกันแน่

“เต็มโยนอะไรมาให้เหรอพุธ?”

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน จู่ๆ ก็ตะโกนเรียกแล้วโยนมาให้ ตกใจหมด”

พิงภพตอบลีพลางแกะหูของถุงที่มัดเป็นปมไว้ ของข้างในคือผลไม้กับขนมยี่ห้อต่างประเทศซึ่งราคาค่อนข้างแพง นอกจากนั้นยังมีกระดาษเอสี่สอดไว้ด้วย เขาหยิบมาคลี่อ่านขณะเรือชะลอจอดเทียบข้างเรือใหญ่

“หืม มีเลิฟโน้ตมาด้วยเหรอ อ่านแล้วถึงหน้าแดงแป๊ดเชียว”

ลีทัก พิงภพหันไปขึงตาดุใส่ แต่ไม่ทันยื้อกระดาษไว้เมื่อณัฐกมลฉวยไปจากมือ

“ไหนดูซิ ต๊าย! ‘ขอโทษสำหรับเมื่อคืน เย็นนี้ไปเดทกันนะ’ โอ๊ยยยย ฉันล่ะเหม็นกลิ่นความรักกก”

หญิงสาวทำท่าบีบจมูกพลางยื่นกระดาษให้เพ็ชรัตน์ เจ๊เพ็ชชี่เลยอ่านแล้วหันไปแปลให้เหล่าครูสอนดำน้ำที่อ่านภาษาไทยไม่ออก ทุกคนหัวเราะเสียงดังจนคนบนเรือใหญ่พากันยื่นหน้าออกมาดู กระทั่งสเวนกับน้าแคนซึ่งเป็นกัปตันก็ยืดคอออกมาจากชั้นสองของเรือ พิงภพได้แต่เข่นเขี้ยวขณะหันไปมองตัวต้นเหตุที่เห็นเป็นเงาเล็กจิ๋วบนชายหาด แต่ความรู้สึกตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่โดนแซวหน้าห้องเก็บอุปกรณ์เมื่อวาน เพราะมันเหมือนในอกมีอะไรอุ่นๆ มาลูบไล้จนจั๊กจี้ มวลอารมณ์ขุ่นมัวก็คล้ายจะหดเล็กลง บางทีอาจเพราะเห็นของกินดีๆ เต็มถุงขณะที่เขากำลังท้องว่างด้วย

เอาเถอะ อุตส่าห์ซื้อขนมแพงๆ มาให้ซะขนาดนี้ งั้นก็ขอดูหน่อยเถอะว่าจะพยายามง้อได้แค่ไหน!


++---TBC---++


A/N: ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ หวังว่าสองตอนนี้จะพอชดเชยที่หายไปนานได้ แล้วมาติดตามตอนหน้าต่อน้า ^^
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 03-07-2020 21:29:18
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-07-2020 10:23:19
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 07-07-2020 09:26:00

เราอยู่ทีมซันนะ สงสารนาง


แต่ทำไมเคมี เต็ม-วันพุธ มันดีจังวุ้ย!?    :serius2:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 08-07-2020 13:35:05
อ่านสนุก จุใจ แต่หลายเดือนมาต่อที ต้องวนกลับไปอ่านใหม่ จำรายละเอียดของเรื่องไม่ได้
ยังติดตามอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 08-07-2020 14:02:13
^
ตอบ คห. 72 นะคะ ช่วงโควิดมีเหตุขัดข้องทำให้เขียนไม่ออกเลยหายหน้าไปค่ะ (ที่จริงมีเขียนอธิบายเหตุผลไว้ที่เพจ แต่ค่อนข้างยาวเลยไม่ได้มาแปะในนี้เพราะนักอ่านจะได้โฟกัสเนื้อหานิยายมากกว่า) หลังจากนี้จะพยายามลงให้สม่ำเสมอทุกสองสัปดาห์ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-07-2020 01:03:08
แปะไว้ก่อน ทำไมเพิ่งเห็นเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 14-15 หน้า 3 {อัพรับหยุดยาว 03.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 17-07-2020 15:52:41
ตะวันพิงภพ บทที่ 16

เสียงดนตรีดังกระหึ่มทั่วหาดซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ซุ้มขายอาหาร เครื่องดื่ม และกิจกรรมพิเศษต่างมีคนมุงคึกคัก นักท่องเที่ยวแน่นขนัดโดยเฉพาะตามตรอกซอยที่ผู้คนแทบไหลตามกันโดยไม่ต้องเดิน หลายคนเพ้นต์สีสันเรืองแสงบนตัว เมื่อรวมกับแสงจากหลอดไฟสารพัดสีและแบล็คไลต์จึงสร้างบรรยากาศเหมือนหลุดไปอีกโลก
   
อทิตยะมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความสนใจ แต่ก็ยังไม่แสดงออกมากเท่าพิงภพทั้งที่ตอนชวนเมื่อวานยังทำเหมือนไม่ค่อยอยากมา ดูเหมือนว่าขนมที่เขาส่งไป ‘ขอสงบศึก’ เมื่อเช้าคงได้ผล เพราะตอนเจอหน้ากันช่วงที่เรือกลับเข้าฝั่งเมื่อกลางวัน ท่าทางของพิงภพดูไม่ปั้นปึ่งเท่าเมื่อคืนก่อน
   
เป็นคนที่ดื้อแต่ก็ขี้ใจอ่อนจริงๆ นั่นแหละ หรือจะเรียกว่าไม่คิดเล็กคิดน้อยดีนะ
   
“ตอนคุณมาครั้งแรกสมัยเรียนก็เป็นแบบนี้เหรอ?”
   
อทิตยะชวนคุยหลังจ่ายค่าผ่านเข้างานแล้ว พิงภพมองไปรอบๆ แล้วยักไหล่ “นั่นมันห้าหกปีมาแล้วมั้ง ก็คนเยอะอย่างนี้แหละ แต่ซุ้มกิจกรรมไม่ได้เยอะขนาดนี้”
   
พวกเขาต้องคุยกันเสียงดังพอควรเพื่อแข่งกับเสียงดนตรีจากลำโพง ความจริงเรือเฟอร์รี่มาเทียบท่าที่เกาะพะงันตั้งแต่ฟ้ายังสว่าง ก็เลยเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขับเที่ยวเพื่อฆ่าเวลา กว่าจะมาถึงหาดซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ก็พบกับรถติดและเสียเวลาวนหาที่จอดรถจนสามทุ่ม ดูจากบรรยากาศงานก็คงจะเริ่มมาได้พักใหญ่แล้ว 
   
พิงภพโยกศีรษะเบาๆ ตามจังหวะดนตรี รอบตัวพวกเขามีหลายคนขึ้นไปเต้นบนเวทีหรือตามหาดทราย บ้างก็เดินถือเครื่องดื่มดูการแสดงแต่ละเวทีไปเรื่อย ที่มาเป็นคู่และแสดงความดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบไม่สนใจใครก็มีไม่น้อย
   
“ปาร์ตี้ที่หน้าบ้านเราสู้ที่นี่ไม่ได้จริงๆ แหละ”
   
พิงภพเอ่ยพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ อทิตยะเข้าใจได้ทันทีเพราะเคยเห็นปาร์ตี้ที่หน้าหาดของบลูแซนด์มาก่อน ทั้งด้านจำนวนคนและความสุดเหวี่ยงเทียบกับที่นี่ไม่ได้สักนิด
   
“ไหนๆ ก็มานี่แล้ว ถ้าคุณอยากทำอะไรที่ไม่กล้าทำให้เพื่อนๆ เห็นเราก็ไม่ว่านะ”
   
อทิตยะเอ่ยแล้วยักคิ้วให้ เขาไม่แน่ใจว่าเพราะแสงสปอตไลต์หลากสีในงานหรือเปล่า นอกจากนัยน์ตาที่หันมามองอย่างดุๆ แล้ว ผิวแก้มของพิงภพถึงดูเหมือนเรื่อสีแดงขึ้นมาด้วย
   
“ไม่มีหรอก จะปาร์ตี้ที่ไหนเราก็ทำตัวเหมือนเดิมทุกที ไม่มีอะไรต้องแอบเว่ย”
   
“ถ้าอยากจะเมาก็ได้นะ พรุ่งนี้ลางานเผื่อไว้แล้วนี่”
   
พิงภพกลอกตา หลังเดินกันไปสักพักก็เลี้ยวเข้าไปที่ซุ้มขายเครื่องดื่ม จากนั้นก็เดินกลับมายื่นถังพลาสติกขนาดเล็กสีแดงแปร๊ดให้
   
“ไม่รู้ที่ออสเตรเลียมีหรือเปล่า แต่มาเมืองไทยต้องกินแบบนี้แหละ เครื่องดื่มประจำงานปาร์ตี้”
   
อทิตยะมองเครื่องดื่มสีฟ้าในถังซึ่งโปะน้ำแข็งและเยลลี่เม็ดกลมหลากสีจนพูน หน้าตาเหมือนขนมหวานมากกว่าจะเป็นเครื่องดื่ม พิงภพเห็นเขาทำสีหน้าระแวงก็เลยยกขึ้นดูดผ่านหลอดให้ดูก่อน
   
“อื้ม รสชาติถูกต้อง เอ้า ลองดู”
   
พิงภพยิ้มร่าพลางยื่นถังให้อีกครั้ง อทิตยะเลยลองดูดอึกเล็กๆ และเบ้หน้าทันทีกับรสหวานจัดเหมือนน้ำเชื่อม
   
“นี่มันอะไรเนี่ย?”
   
“เหล้าปั่นไง แต่ละร้านก็มีสูตรของตัวเอง แต่ส่วนมากก็ใช้ฉลามหรือกระทิงแดงผสมเหล้ากับน้ำหวาน บางเจ้าก็ใส่กัมมี่หรือปีโป้ด้วย บางร้านนี่ถ้ากินหมดแล้วไปเติมกับเขาก็ได้ส่วนลดด้วยนะ”
   
พิงภพเอ่ยแล้วเดินต่อไปซุ้มที่ขายลูกชิ้นทอด เสร็จแล้วก็ซื้อมันฝรั่งที่ไสเป็นเกลียวเสียบไม้ทอดจากอีกร้าน ท่าทางเอ็นจอยอีทติ้งสุดขีดทำเอาอทิตยะส่ายหน้า
   
“ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าคุณอายุมากขึ้นจะเป็นโรคอะไรบ้าง”
   
“แหม ตอนนี้ยังหนุ่มแน่น กินได้ก็กินไปก่อนน่า เต็มนั่นแหละจะรีบเฮลตี้ไปไหน”
   
“ก็แค่ไม่อยากกินจังก์ฟู้ดให้มากนัก คนรู้จักก็ป่วยให้เห็นหลายคนอยู่ แต่เอาเถอะ ได้เห็นคุณกินแล้วอร่อยเราก็แฮปปี้”
   
แก้มของพิงภพเจือสีระเรื่ออีกครั้งทั้งที่กำลังเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย อทิตยะเห็นเข้าก็ยิ้มมุมปากจนโดนเหล่ตาใส่
   
“นี่ถ้าไม่เห็นว่ากินเหล้าปั่นไปนิดเดียวคงนึกว่าเมาแล้ว”
   
“เราไม่เมาง่ายเหมือนคุณหรอก ว่าแต่ไม่ชอบให้สวีตทอล์กเหรอ หรือชอบแบบเสียงเข้มๆ แมนๆ มากกว่า? “นี่พุธ กินเยอะขนาดนี้ระวังรูดซิปเว็ทสูทไม่ได้นะ”
   
พิงภพหัวเราะพรืดเมื่ออทิตยะแสร้งทำเสียงทุ้มในคอเหมือนเสียงพากย์พระเอกละคร แต่พอหัวเราะก็เลยสำลักจนไอ อทิตยะรีบยื่นถังเหล้าปั่นให้เจ้าตัวดูดอึกใหญ่พร้อมกับลูบหลัง พอเริ่มหายใจเป็นปกติได้พิงภพก็ใช้หลังมือเช็ดริมฝีปาก
   
“ถ้ารูดซิปไม่ได้ก็เปลี่ยนไซส์ ยังไงเว็ทสูทก็ยืดได้เยอะอยู่แล้ว ว่าแต่ตรงนี้ไม่ค่อยมีอะไรเลย ไปดูที่เขาควงกระบองไฟตรงโน้นกันดีกว่า”
   
ไม่รู้นั่นเป็นคำพูดแก้เขินรึเปล่า เพราะเจ้าตัวพูดยังไม่ทันจบก็รีบเดินหนี แต่อทิตยะก็ไม่ได้มีอะไรที่อยากดูเป็นพิเศษ เขาจึงทิ้งถังเหล้าปั่นที่เหลือแค่น้ำแข็งกับเยลลี่ใส่ถังขยะแล้วเดินเอื่อยๆ ตาม

   
++------++


ผีเข้า...วันนี้หมอนี่ต้องผีเข้าแน่ๆ เมื่อคืนยังมู้ดดี้แล้วตัดพ้อต่อว่าเขาอยู่เลย มาวันนี้ทั้งซื้อขนมมาง้อมั่งล่ะ ปากหวานใส่มั่งล่ะ เป็นไบโพลาร์หรือไงกัน
   
พิงภพคิดขณะจิ้มลูกชิ้นเข้าปากอีกลูก พอหมดก็ทิ้งถุงใส่ถังขยะแล้วเลียซอสที่ติดบนนิ้ว เขาพยายามทำตัวตามปกติ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายากเพราะเจ้าคนที่มาด้วยกันนี่แหละ เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยมีคนมาทำท่าหวานแหววใส่เพราะแม้แต่แฟนเก่าที่เป็นผู้หญิงก็ไม่เคยกุ๊กกิ๊กกัน จู่ๆ พอมีคนมาดูแลเทคแคร์แถมเป็นผู้ชายอายุน้อยกว่า จะให้ไม่รู้สึกจั๊กจี้ยังไงไหว
   
“เดินดูทางด้วย เหม่อไปไหนแล้ว”
   
“อ๊ะ ซอรี่”
   
พิงภพหันไปขอโทษกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นั่งดื่มเบียร์อยู่บนหาดทรายและเกือบโดนเขาเหยียบ หลังเดินห่างออกมาสักพักก็ตระหนักว่าอทิตยะยังไม่ปล่อยมือที่กุมไว้ ถ้าเมื่อครู่หมอนี่ไม่ช่วยฉุดก็สงสัยว่าเขาคงได้เหยียบขาใครบางคนไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ต้องจับมือกันแล้วก็ได้มั้ง
   
ชายหนุ่มพยายามดึงมือออก แต่กลับโดนกระชับมือแน่นขึ้นทันทีจนเผลอทำปากยื่น

“นี่”
   
“หือ?”
   
เจ้าคนตัวสูงกว่าเลิกคิ้วแล้วปรายตามอง ถึงแม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงอารมณ์เป็นพิเศษ แต่พิงภพเห็นประกายในแววตาก็รู้ทันทีว่ากำลังโดนยียวน
   
“ปล่อยมือได้แล้ว คราวนี้ไม่เผลอซุ่มซ่ามอีกหรอกน่ะ”
   
“อาจไม่ซุ่มซ่ามอีก แต่กลายเป็นโดนใครก็ไม่รู้ฉุดไปแทนก็ได้นี่ เดินจูงมือกันไว้แบบนี้แหละจะได้ปลอดภัย”
   
คราวนี้จากที่กุมมือเฉยๆ อทิตยะเปลี่ยนเป็นสอดห้านิ้วมาประสานกับเขาแล้วกุมกระชับกว่าเดิม ถ้าแค่นั้นว่าแย่แล้ว พิงภพยิ่งเหวอขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายยกมือเขาขึ้นไปเลียเบาๆ บนปลายนิ้ว
   
“เฮ้ย! ไอ้ทะลึ่ง!!”
   
“ก็เห็นคุณเลียน้ำจิ้มลูกชิ้นออกไม่หมด เราเลยช่วยทำให้มันสะอาดขึ้น”
   
มีคนรอบข้างเห็นท่าทางของพวกเขาสองคน บ้างก็ชูนิ้วโป้งให้ บ้างก็ยิ้มเป็นเชิงกระเซ้า ทำเอาพิงภพนึกอยากจะวิ่งลงทะเลแล้วว่ายกลับเกาะเต่าเดี๋ยวนี้เลย ถึงหมอนี่จะหน้าด้านก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะด้านตามนะ
   
“ไป เดินดูปาร์ตี้กันต่อดีกว่า”
   
อทิตยะยิ้มบางๆ ด้วยท่าทีไม่สนใจใครทั้งสิ้น พิงภพรู้แล้วว่าคงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่ออกเดินกันได้ไม่กี่ก้าวก็โดนคนที่กำลังเต้นอยู่บนหาดทรายหมุนตัวมาชนเข้า
   
“ว้าย! ขอโทษค่ะ”
   
“ไม่เป็นไรครับ”
   
พิงภพรีบโบกมือข้างที่ไม่ถูกจูงไว้ หญิงสาวคนนั้นหน้าตาน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย แต่ส่วนที่ดึงดูดสายตามากกว่าคือส่วนโค้งเว้าในชุดเดรสสั้นซึ่งท่อนบนแทบจะเบียดล้นขอบชุด แต่พอเหลือบไปเห็นคนที่น่าจะมากับสาวน้อย แวบแรกเขาแค่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ก่อนที่สองตาจะเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
   
“หนิง?”
   
“พุธ? เฮ้ย! ใช่จริงๆ ด้วย โคตรบังเอิญเลยมาเจอกันที่นี่”
   
คราวนี้ทั้งอทิตยะและสาวน้อยหุ่นอึ๋มต่างหันมามองพวกเขาสองคน พิงภพอ้าปากค้างเพราะไม่อยากเชื่อสายตา นลินคือหญิงสาวที่เขาสนิทที่สุดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเธออาจจะไม่ค่อยแต่งตัวตามแฟชั่น แต่อย่างน้อยก็ไว้ผมยาวและใส่เครื่องประดับบ้าง แต่ตอนนี้ ‘สาวหล่อ’ ที่ตัดผมไถข้างกัดสีน้ำตาล ใส่เสื้อกล้ามรัดอกและเจาะคิ้วรวมถึงหูข้างหนึ่งเรียงกันเป็นพืดช่างต่างจากความทรงจำจนแทบเหมือนคนละคน
   
นลินคงจะอ่านสีหน้าเขาออก หรือไม่ก็คงได้รับปฏิกิริยาแบบนี้จากคนรู้จักจนชิน จึงยกมือเท้าเอวแล้วยักคิ้วให้ยิ้มๆ
   
“ไงจ๊ะ เห็นแฟนเก่าแล้วตะลึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   
พิงภพยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก จู่ๆ ก็เหมือนวงจรความคิดถูกไฟช็อต กระทั่งจะเรียบเรียงคำพูดให้เป็นประโยคก็ยังลำบาก
   
“เอ๋? แฟนเก่าของพี่หนิง?”
   
สาวน้อยที่มากับนลินหันมามองเขาอย่างพิจารณา เขาไม่แน่ใจว่าเธอเห็นอะไร แต่เจ้าตัวก็หันกลับไปมองคนที่มาด้วยกันราวจะขอคำยืนยัน
   
“อู้ย ตั้งแต่สมัยพี่เรียน ป.ตรีแน่ะหนู ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ตอนนั้นก็เหมือนเด็กๆ คบกัน ค้นหาตัวตนกันอะไรทำนองนั้นแหละเนอะ”
   
ท้ายประโยค ‘สาวหล่อ’ หันมาตบบ่าพิงภพพลางยิ้มกว้าง สายตาของเธอเลื่อนไปจับที่อทิตยะก่อนจะไล่ต่ำลงหามือที่ประสานกันของทั้งคู่ คราวนี้รอยยิ้มดูเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้นอีก
   
“น่าจะไม่ผิดละ...ตอนนั้นเป็นช่วงค้นหาตัวตนจริงๆ ด้วย”
   
น้ำเสียงยั่วหยอกของเจ้าหล่อนดึงสติของพิงภพกลับมา เขาพยายามชักมือออกจากมือที่กุมเอาไว้ แต่ก็จนใจเพราะอทิตยะแรงเยอะเหลือเกิน
   
“ไม่นึกว่าแฟนเก่าคุณเท่ขนาดนี้ หวัดดีครับ ผมเต็ม แฟนปัจจุบันของพุธ”
   
อทิตยะยิ้มพลางเอ่ยทักทายอย่างคล่องปาก นลินเอียงหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้พิงภพ เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้า
   
“ก็ตามนั้นแหละ”
   
“อื้อฮือ โคตรพีคอะ นี่ถ้าพวกเพื่อนๆ มาเห็นพวกเราตอนนี้คงอึ้งจนพูดไม่ออก”
   
นลินหัวเราะพลางโอบเอวหญิงสาวที่มาด้วยกัน ความที่เธอรูปร่างสูงโปร่งจึงดูดีในเสื้อผ้าผู้ชาย ส่วนแฟนสาวก็เหมือนพริตตี้งานมอเตอร์โชว์ พอยืนคู่กันแล้วพิงภพจึงนึกชมว่าดูสมกันยิ่งกว่าเขากับ ‘แฟนปัจจุบัน’ เสียอีก
   
“ไม่กวนสาวๆ แล้วดีกว่านะ ไหนบอกว่าอยากไปดูเวทีตรงโน้นไม่ใช่เหรอพุธ?”
   
พิงภพหันไปทำหน้างุนงง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอทิตยะคงกำลังช่วยหาทางปลีกตัว นลินก็คงดูออกเหมือนกัน เธอหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าคาดเอวแล้วส่งให้พิงภพ
   
“อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที ขอไลน์ไว้หน่อยสิพุธ เผื่อวันหลังจะได้ถามเรื่องเรียนดำน้ำ ยังเป็นครูที่เกาะเต่าอยู่ใช่ไหม?”
   
“อื้อ ถ้าจะมาก็บอกได้เลย คงเป็นคนแรกล่ะเพราะยังไม่มีเพื่อนสมัยเรียนมาหาสักคน”
   
ยกเว้นแค่เพื่อนมัธยมคนนั้น...ทันทีที่คิดขึ้นมาพิงภพก็รีบเบนความสนใจด้วยการพิมพ์ไลน์ไอดีแล้วส่งโทรศัพท์คืน นลินแตะที่จอสองสามครั้งก่อนจะยิ้มให้เขา
   
“โอเค งั้นไว้ค่อยคุยกัน เอ้อ ลืมแนะนำ นี่น้องไมร่าแฟนเรา เป็นน้องสาวของเพื่อนที่ทำงาน”
   
“นึกว่าจะลืมหนูแล้ว พี่หนิงอะ พรากผู้เยาว์แล้วยังชอบเมินหนูอีก”
   
“ฮื้อ หนูออกจะโตขนาดนี้ จะหาว่าพี่พรากผู้เยาว์ได้ไงคะ”
   
เอ่ยจบเจ้าตัวก็เลื่อนมือที่โอบเอวคอดขึ้นขยุ้มเบาๆ บนความอวบอิ่มข้างหนึ่ง สาวน้อยร้องว้ายก่อนจะหัวเราะคิกคัก ทั้งคำพูดสองแง่สองง่ามและมาดเพลย์บอยทำเอาพิงภพเขินแทน เลยโบกมือลาแล้วก็รีบฉุดอทิตยะให้ห่างมาจากทั้งคู่ พอพ้นระยะที่น่าจะได้ยินแล้วเจ้าคนตัวโตก็หัวเราะ
   
“เราเชื่อแล้วที่คุณเคยบอกว่าแฟนเก่าเป็นคนห้าวๆ แต่เรื่องไม่ค่อยหวานแหววนี่น่าจะไม่จริงนะ”
   
“พอเถอะ ตอนนั้นเขาคงแค่อยากพิสูจน์ตัวเองจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้ข้อสรุปว่าคบกับผู้ชายมันไม่แนว”
   
พิงภพตอบพลางฉุกคิด บางทีอาจเพราะคนที่คบด้วยคือเขาซึ่งแสนจะไร้เสน่ห์ทางเพศก็เป็นได้ นลินถึงได้มั่นใจกับรสนิยมของตัวเอง แถมตอนนี้ยังแปลงร่างจนเปล่งออร่าความเป็นชายยิ่งกว่าเขาเสียอีก เฮ้อ...ถ้ารู้ว่ากะจะมาทางนี้เขาคงเชียร์ให้เปิดตัวไปนานแล้ว
   
“แต่เราดีใจนะที่บังเอิญเจอกันแล้วได้เห็นแฟนเก่าคุณเป็นแบบนั้น เพราะถ้าเขายังเหมือนเดิม คุณอาจลังเลเรื่องที่คบกับเราก็ได้ใช่ไหมล่ะ?”
   
อทิตยะเอ่ยพลางมองไปข้างหน้า แต่ถ้อยคำนั้นทำให้พิงภพสำรวจคนข้างตัวอย่างครุ่นคิด เอาอีกแล้ว ไม่ว่าจะคำถามเมื่อคืนหรือประโยคเมื่อกี้ก็เถอะ ตกลงว่าตอนนี้พวกเขา...ไม่ได้แค่คบกันเล่นๆ แล้วใช่ไหม
   
“เราไม่ใช่คนโลเลแบบนั้นสักหน่อย เวลาคบใครก็โฟกัสแค่ที่คนนั้นแหละ อีกอย่างสมมติว่าเรานึกอยากกลับไปคบกับหนิง เทียบกับน้องไมร่าแล้วหนิงก็คงไม่เอาเราหรอก”
   
“อย่างน้อยเราก็พอจะเก็ทว่าทำไมเมื่อก่อนเขาถึงเลือกคบคุณนะ”
   
“หมายความว่าไง? เดี๋ยวๆๆ อย่าตอบดีกว่า จะบอกว่าเพราะเราดูไม่น่ามีพิษภัยล่ะสิ”
   
“นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเราคิดว่าเพราะบางทีคุณก็ทำท่าทางที่ชวนให้เห็นแล้วมันเขี้ยว เหมือนที่เขารู้สึกมันเขี้ยวกับแฟนเมื่อกี้น่ะ”
   
พิงภพเกือบหันไปโวยหลังประโยคแรก แต่ประโยคถัดจากนั้นทำเอาแทบได้ยินเสียงระเบิดบรึ้มในหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเอียงหน้ามามองด้วยนัยน์ตาแพรวพราว ภาพของตัวอย่างที่ยกขึ้นมาก็ยิ่งติดตามากขึ้นไปอีก
   
โอย คืนนี้เขาจะหลอนภาพที่หนิงบีบนมน้องไมร่าทั้งคืนไหมละเนี่ย ว่าแต่ที่หมอนี่บอกว่าเห็นเขาแล้วมันเขี้ยวคืออะไร คงไม่ใช่ว่าอยากทำแบบเดียวกันหรอกนะ?
   
“ฮึ โลกนี้มันคงไม่ได้มีคนที่ชวนมันเขี้ยวอยู่แค่คนเดียวหรอก เคยพูดแบบนี้ไปกับกี่คนแล้วล่ะ?”
   
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่ากี่คน ในเมื่อตอนนี้คนที่เราพูดด้วยก็มีแต่คุณ”
   
พิงภพไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตอบแล้วหันมาหา เขาแค่ตั้งใจจะเบนความสนใจไปจากตัวเอง แต่กลายเป็นว่าโดนหมอนี่ย้อนกลับเข้าจังๆ เท่านั้นไม่พอยังเอาแต่มองหน้าแล้วก็ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม เออ...รู้แหละว่าตอนนี้สีหน้าของเขาคงดูตลกมาก แต่จะต้องแกล้งให้ระทวยเหมือนแมงกะพรุนเกยตื้นรึไงถึงจะพอใจ
   
“เราไม่ได้อึ๋มแบบน้องไมร่านะ”
   
อทิตยะเลิกคิ้ว “แหงสิ ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่ขอคบคุณหรอก อีกอย่างเอมี่ก็สนิทกับเราจะตาย นอนเตียงเดียวกันออกจะบ่อย เรายังไม่เคยคิดจะแตะแม้แต่ปลายเล็บ”
   
คำตอบของอทิตยะทำให้เขานึกขึ้นได้ จริงด้วย เพื่อนสาวลูกครึ่งของอทิตยะยังดูเซ็กซี่มีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ชวนให้เห็นแล้วใจเต้นกว่าน้องไมร่าตั้งเยอะ แปลว่าหมอนี่ไม่สนใจผู้หญิงเลยจริงๆ สิเนี่ย
   
ยิ่งคิดพิงภพก็ยิ่งรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แถมคืนนี้ยังออกมาเดทกันสองต่อสองท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จัก เท่ากับว่าไม่มีเพื่อนฝูงให้ดึงมาเป็นโล่กำบังสักคน เขารีบถอยพร้อมกับใช้มือหนึ่งดันไหล่อทิตยะเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ทำท่าจะก้มลงหา
   
จะมานึกมันเขี้ยวอะไรท่ามกลางประชาชีแบบนี้เล่า นี่มันไม่เหมือนเวลาอยู่กันสองคนที่อพาร์ตเมนต์นะ!
   
อทิตยะเลิกคิ้ว แต่พิงภพเดาได้ว่าจงใจจะแกล้ง เลยรีบฉุดแขนพาไปทางที่ผู้คนกำลังกระโดดโลดเต้นตามนักร้องบนเวที

“เอาล่ะๆ ไหนๆ คืนนี้ก็อุตส่าห์มาถึงนี่ ไปทำตัวให้สมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้ดีกว่า จะได้ไม่เสียดายค่าตั๋วเรือ”


++---TBC--++


A/N: แล้วมาติดตามต่อว่าสองคนนี้ทำตัวให้สมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้ยังไงบ้างในตอนหน้านะคะ  :-[
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 16 หน้า 3 {อัพ 17.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 17-07-2020 21:49:25
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 16 หน้า 3 {อัพ 17.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 18-07-2020 20:49:13
Full moon party จะมีอะไรพิเศษขึ้นไปอีกหรือเปล่าหนอ~~~ อิอิอิอิ
รอตอนต่อไป…
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 16 หน้า 3 {อัพ 17.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 31-07-2020 16:48:15
ตะวันพิงภพ บทที่ 17

ตีสอง...หลังจากอทิตยะกับพิงภพ ‘ทำตัวสมกับมาฟูลมูนปาร์ตี้’ ด้วยการไปร่วมเต้นกับคนแปลกหน้า เข้าบูธระบายสีเรืองแสงบนตัว เล่นเกมกระโดดลอดห่วงไฟ ชนแก้วเบียร์กับคนไม่รู้จักจนเริ่มเหนื่อย พวกเขาก็พากันเดินปลีกตัวห่างออกมาจากบริเวณที่จัดงาน ตามพื้นทรายบางทีก็เจอคนเมาหลับบ้าง ข้าวของมีค่าที่ตกหล่นโดยไม่รู้ว่าเจ้าของรู้ตัวหรือเปล่าบ้าง แสงไฟที่ยังเรืองๆ มาจากบริเวณจัดงานรวมกับแสงจากพระจันทร์เต็มดวงช่วยให้พวกเขาเดินไปตามทางได้โดยไม่ยากเย็นนัก
   
“นี่...พวกเราจะเดินกันไปถึงไหนเนี่ย?”
   
พิงภพถามอย่างสงสัย เขารู้ตัวว่าเมาแต่ก็ยังไม่มากเท่าคืนที่เลี้ยงต้อนรับอทิตยะ แล้วก็ไม่ได้เพลียจนหมดแรง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเจ้าคนที่จูงมือเขานี่ตั้งใจจะเดินวนรอบเกาะหรือไง
   
“ไม่รู้สิ ไหนๆ ก็ยังอีกนานกว่าจะเช้า ถือว่าเดินเล่นให้สร่างก็แล้วกัน”
   
อทิตยะตอบ จากน้ำเสียงแล้วพิงภพเดาว่าอีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดี เขาเลยได้แต่ยอมโดนจูงเหมือนเด็กที่เดินตามแม่ หลังทิ้งห่างจากจุดจัดงานไปอีกสักพัก อทิตยะก็หยุดเดินแล้วหันมาหา
   
“อื๋อ?”
   
พิงภพส่งเสียงอย่างงุนงงเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ประคองหน้าเขาขึ้นแล้วแนบริมฝีปากลงมา ความที่กำลังเมากรึ่มๆ ก็เลยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบ กลิ่นแอลกอฮอลล์และบุหรี่ทำให้เขาเผยอริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว สัมผัสนุ่มหยุ่นและปลายลิ้นที่แลบออกมาแตะปลายลิ้นเขาอย่างแผ่วเบาทำให้พิงภพหายใจผิดจังหวะ กระทั่งเสียงครางหวิวที่หลุดผ่านลำคอก็มั่นใจว่าไม่เคยทำมาก่อน
   
อทิตยะคงรับรู้ถึงไหล่ที่สั่นสะท้านและลมหายใจที่ขาดห้วง ก็เลยถอนริมฝีปากออกแล้วมองเขานิ่ง สายตาที่ชินกับแสงจันทร์เต็มดวงช่วยให้พิงภพเห็นคนตรงหน้าได้ชัดเจน ใบหน้าคมดุที่ปกติดูเฉยชา ถ้ายิ้มบ้างก็แค่บนมุมปากหรือยิ้มยียวน แต่คืนนี้กลับหัวเราะและยิ้มกว้างให้เห็นหลายครั้ง แล้วเวลานี้เจ้าตัวก็กำลังมองเขาด้วยแววตาที่อธิบายไม่ถูก
   
“ไปหาที่นั่งกันไหม?”
   
“...ก็ดีเหมือนกัน”
   
พิงภพตอบอย่างเบลอๆ คราวนี้อทิตยะสอดแขนมาโอบเอวแล้วพาเดินไปพร้อมกัน ไม่รู้เพราะความรู้สึกว่าแขนตัวเองว่างหรืออะไรดลใจ พิงภพก็เลยยกแขนไปโอบเอวตอบจนโดนปรายตามอง
   
“คืนนี้คุณขยันทำตัวน่ามันเขี้ยวจังนะ”
   
“หา?”
   
ฤทธิ์แอลกอฮอลล์ทำให้พิงภพคิดคำเอาคืนไม่ทัน อทิตยะหัวเราะก่อนจะก้มจูบหน้าผาก พิงภพไม่แน่ใจว่าควรปลื้มที่โดนชมว่าน่ามันเขี้ยวดีไหม เขายกมือที่ว่างขึ้นลูบแก้ม สัมผัสอุ่นๆ ที่ส่งผ่านมาบนปลายนิ้วนั้นยากจะบอกว่าเป็นเพราะเบียร์ที่ดื่มไปหลายขวดหรือเพราะว่าเขินกันแน่
   
พวกเขาเดินมาจนถึงบริเวณชายหาดที่เต็มไปด้วยโขดหิน ตรงนี้ไร้แสงไฟหรือผู้คนโดยสิ้นเชิง ถึงจะมีกองขยะจากนักดื่มที่คงมาตั้งวงกันเมื่อหัวค่ำ แต่หลังใช้ไฟฉายโทรศัพท์ส่องทางและเดินลึกเข้าไปในซอกโขดหินที่คลื่นซัดไม่ถึง ในที่สุดพวกเขาก็หามุมที่สามารถนั่งพิงหลังได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหินบาดหรือกลิ้งตกน้ำ
   
สายลมช่วยพัดเหงื่อที่ผุดซึมและทำให้ร่างกายเย็นลง สมองก็ปลอดโปร่งขึ้นแม้จะยังไม่แจ่มใสเต็มร้อย แต่พิงภพก็รู้ตัวว่าพวกเขากำลังนั่งชิดกันแค่ไหน ทั้งที่พื้นหินตรงนั้นกว้างพอจะทิ้งระยะกันได้เป็นเมตร
   
มือที่โอบเอวกันถูกปล่อยไปตั้งแต่ตอนที่ปีนป่ายโขดหิน พิงภพเริ่มคอแห้งและนึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อน้ำไว้ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างเหม่อๆ และพบว่ามีลูกอมที่ได้รับแจกจากบูธสปอนเซอร์ในงานอยู่หนึ่งซอง เขารีบหยิบออกมาฉีกแล้วส่งเม็ดหนึ่งเข้าปาก ก่อนจะชูซองไปข้างหน้าอทิตยะ
   
“เอาไหม ลูกอมที่เราได้แจกในงานเมื่อกี้ ยังเหลืออีกเม็ดนึง อมแล้วเย็นๆ ชุ่มคอดีด้วย”
   
“อร่อยเหรอ?”
   
“ลองดูดิ”
   
“โอเค”
   
พิงภพนึกว่าอทิตยะจะรับซองลูกอมไปจากมือ แต่กลับโดนทำให้แปลกใจเมื่ออีกฝ่ายรั้งไหล่เข้าหา ก่อนจะแนบหน้าลงมาแบบไม่ให้ตั้งตัว นัยน์ตาเขาเบิกกว้างเมื่อรับรู้ถึงสัมผัสลื่นๆ ที่สอดเข้ามาในปาก
   
“อื๊อออ”
   
ยากจะบอกว่าเสียงที่ดังจากลำคอเป็นเสียงประท้วงหรือแสดงอารมณ์อื่น รู้แต่ว่าลิ้นอุ่นๆ ที่กำลังม้วนไล้กับลิ้นของเขาทำให้พิงภพเผยอริมฝีปากมากขึ้นและตอบรับอย่างไม่ประสีประสา กระทั่งมือก็กำเสื้ออีกฝ่ายแน่น สัมผัสเย็นซ่านของลูกอมคละเคล้ากับความอบอุ่นของปลายลิ้น กระทั่งพิงภพกลืนน้ำลายเพราะรู้สึกเหมือนจะสำลัก อทิตยะถึงค่อยถอนริมฝีปากออก และครั้งนี้พิงภพมั่นใจว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่หอบ
   
“อร่อยจริงด้วย ยังเหลืออีกเม็ดใช่ไหม?”

ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้ก็คงเป็นแค่การขอขนม แต่พอเป็นอทิตยะแล้วพิงภพมั่นใจว่าหมอนี่คงถามเพราะอยากทำอะไรทะลึ่งๆ แน่ ก็เลยยัดซองลูกอมใส่มือแล้วรีบใช้อีกมือปิดปากตัวเอง
   
“กินไปเองคนเดียวเลย ไม่ต้องแบ่ง”   
   
อทิตยะหัวเราะก่อนจะหยิบลูกอมใส่ปากแล้วเก็บซองใส่กระเป๋ากางเกง ส่วนพิงภพพยายามกลืนน้ำลาย กลิ่นหวานหอมของลูกอมรสองุ่นยังอวลในปาก แต่ที่ต่างไปจากตอนแรกคือเหมือนมันจะมีกลิ่นของอทิตยะผสมปนเปมาด้วย
   
ยอมให้หมอนี่ได้ใจขนาดนี้จะดีเหรอเนี่ย...
   
“ง่วงหรือเปล่า? ถ้าง่วงจะนอนพิงไหล่เราก็ได้”
   
คำถามนั้นดึงสายตาของพิงภพกลับไป ไม่น่าเชื่อว่าแสงจันทร์จะสว่างจนเห็นหน้ากันได้ชัดขนาดนี้ แต่ความที่คืนก่อนเขานอนหลับไม่สนิทจึงทำให้รู้ว่าอทิตยะก็คงไม่ต่างกัน
   
“เมื่อคืนนี้เต็มก็แทบไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง?”
   
อทิตยะเลิกคิ้ว ก่อนจะดึงมือเขาไปกุมหลวมๆ แล้วเอนศีรษะพิงโขดหิน พิงภพเห็นอย่างนั้นก็เลยหลับตาแล้วทำตาม เสียงคลื่นและกลิ่นทะเลอันคุ้นเคยทำให้หัวใจของเขาสงบลง แต่ครู่ถัดมาก็ลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนข้างๆ
   
“ขอโทษนะที่ถามแบบนั้นไปเมื่อคืน เราผิดเองที่หงุดหงิดใส่ทั้งที่คุณไม่อยากรบกวนเรา ไม่ผิดหรอกที่คุณจะโมโห”
   
พิงภพเอียงหน้าไปมอง ความจริงตอนนี้เขาเริ่มสะลึมสะลือ แต่พอฉุกคิดได้ว่านี่อาจเป็นเวลาที่อทิตยะ ‘ลดการ์ดลง’ ก็พยายามฝืนตัวเองให้ตื่น
   
“ไม่เป็นไร เราก็ไม่ควรอารมณ์เสียเหมือนกัน ทั้งที่ควรจะทำตัวให้สมเป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ๆ”
   
“ก็เกิดก่อนแค่สองปีเอง ไม่ต้องรีบทำตัวแก่ก็ได้”
   
“ไม่ได้รีบแก่เว่ย! แค่พูดว่าควรเป็นผู้ใหญ่กว่าเฉยๆ”
   
พิงภพเตะเท้าข้างที่อยู่ใกล้ตัว แต่เพราะทั้งคู่นั่งกันชิดมากเลยเหมือนสะกิดหยอก อทิตยะยิ้มแล้วก้มลงมากระซิบเสียงต่ำ
   
“อย่าทำตัวให้น่ามันเขี้ยวนักสิ เดี๋ยวคืนนี้จะไม่ได้นอน”
   
เสียงกระเส่าริมหูทำเอาพิงภพตัวแข็ง แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะก็รู้ว่าโดนแกล้ง ได้แต่พยายามเก็บไม้เก็บมือไว้กับตัว ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่าทางแบบไหนไปจี้โดนต่อมมันเขี้ยวของหมอนี่
   
“เป็นสารไวไฟ สปาร์กปุ๊บไฟลุกปั๊บรึไงกัน”
   
อทิตยะหัวเราะเมื่อได้ยินเขาบ่นอุบอิบ หลังนั่งฟังเสียงคลื่นกันครู่หนึ่งก็หันมาถาม
   
“นี่ เราสังเกตมาตั้งแต่รู้จักกันแล้วว่าคุณตั้งใจเก็บเงินมาก มีโครงการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
   
พิงภพเลิกคิ้ว เขาตั้งใจทำงานและประหยัดอดออมจนเป็นความเคยชิน ก็เลยไม่นึกว่าจะมีคนสังเกตเห็นจนถึงกับตั้งคำถาม
   
“เราดูเป็นคนขี้เหนียวเหรอ?”
   
“ก็...คุณพูดเองนะ เราไม่ได้พูด”
   
พิงภพเขม่นมองคนข้างตัวอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเบนสายตาไปยังท้องทะเลสีน้ำหมึกที่กำลังสะท้อนภาพจันทร์เต็มดวง คนที่ใกล้ชิดกับทะเลต่างรู้กันดีว่าระดับน้ำจะขึ้นสูงสุดในวันขึ้น 15 ค่ำ และแรม 15 ค่ำเสมอ เพียงแต่ฝั่งอ่าวไทยนี้คลื่นจะไม่หนุนเท่าฝั่งอันดามันเพราะแผ่นดินลาดเอียงน้อยกว่า
   
“เราได้เรียนดำน้ำครั้งแรกตอน ม.6 เพราะพ่อซื้อคอร์สให้เป็นของขวัญ”
   
นั่นไม่ใช่คำตอบที่ตรงคำถามนัก แต่อทิตยะคงรู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้นจึงแค่ตอบรับสั้นๆ
   
“แล้ว?”
   
“ทีแรกเราก็แค่สนใจเพราะเห็นสารคดีนักสำรวจใต้น้ำแล้วคิดว่ามันเท่ดี ในสารคดีนั่นเขาไปถ่ายทำกันใต้ทะเลแดงที่อียิปต์ ได้เห็นปลาแปลกๆ ทั้งฉลามหัวค้อนเป็นฝูง แมงกะพรุนตัวเท่าคน ปลาหมึกยักษ์ แล้วก็สัตว์น้ำที่ไม่เคยเห็นเต็มไปหมด เราเลยบอกพ่อว่าเนี่ย อยากเรียนดำน้ำแล้วสักวันจะไปที่นั่นบ้าง พ่อเลยบอกว่าจะออกเงินค่าเรียนให้ แล้วพอได้ไปดำน้ำที่ทะเลแดงเมื่อไหร่ต้องถ่ายรูปมาให้ดูด้วย”
   
มือที่กุมกันอยู่ออกแรงบีบเขาทีหนึ่ง “หลังจากนั้นพ่อก็เสียหลังคุณเข้ามหา’ลัย”
   
“อืม ช่วงเวลาหลังจากที่รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งจนถึงเวลาที่เขาเสียมันสั้นมาก เราเรียนอยู่ต่างจังหวัดแต่ก็พยายามกลับบ้านให้บ่อยเท่าที่ทำได้ แต่ถึงอาการจะทรุดลงเรื่อยๆ พ่อก็ยังชอบแซวว่าต้องรอดูรูปถ่ายของเรากับทะเลแดงให้ได้ก่อน มาถึงตอนนี้มันก็ไม่ทันแล้วล่ะ แต่เราก็ยังอยากทำตามที่สัญญากันไว้ ส่วนเป้าหมายอีกอย่างที่ทำให้เก็บเงิน...เพราะเรารู้แล้วว่าอนาคตอยากทำอะไร”
   
“หือ? คุณอยากทำอะไร?”
   
อทิตยะหันมาถามอย่างสนใจ พิงภพยิ้มเขินเพราะนี่เป็นเป้าหมายที่แม้แต่กับเพื่อนฝูงก็ไม่เคยบอก
   
“กว่าจะมาเป็นครูสอนดำน้ำได้มันมีหลายขั้นตอนนะ แต่ละขั้นก็ต้องจ่ายค่าเรียนแพงๆ ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ไหนจะต้องเก็บสะสมจำนวนไดฟ์เพื่อสอบเอาใบประกาศ แต่การเป็นครูสอนดำน้ำก็แค่ก้าวแรกในสายอาชีพนี้ ถ้าอยากจะไปให้สุดก็ต้องเป็นคอร์สไดเร็กเตอร์ซึ่งเหมือนเป็นครูใหญ่ของบรรดาครูสอนดำน้ำอีกที ตอนนี้บ้านเราน่าจะมีครูสอนดำน้ำหลายร้อยคน แต่ที่ได้เป็นคอร์สไดเร็กเตอร์กลับมีไม่ถึงสิบ เราคิดว่าอยากจะค่อยๆ เก็บประสบการณ์เพราะการจะสอบเป็นคอร์สไดเร็กเตอร์ได้ต้องมีวุฒิภาวะ แต่ก่อนหน้านั้นก็คงไปทะเลแดงก่อนเพราะใช้เงินน้อยกว่า ถึงยังไงมันก็ต้องใช้เงินเยอะทั้งคู่ อีกอย่างเราเจียดเงินแต่ละเดือนส่งให้แม่ด้วย มันก็เลยต้องใช้ที่เหลืออย่างประหยัดหน่อย”
   
พิงภพเพิ่งรู้สึกตัวว่าอทิตยะนั่งฟังโดยไม่พูดแทรกเลย พอหันไปเพราะนึกว่าหลับก็เห็นว่ากำลังมองมา แถมบนมุมปากยังมีรอยยิ้มอ่อนๆ
   
“แล้วไงต่อ เล่าอีกสิ ฟังคุณเล่าแล้วสนุกดี”
   
“หมดแค่นั้นแหละ โทษที ได้คุยเรื่องดำน้ำทีไรลืมตัวทุกที”
   
“แต่เราว่าดีนะที่คุณมีเรื่องที่ชอบทำแล้วก็เป้าหมายชัดเจน ขอโทษด้วยที่เคยหาว่าคุณไม่คิดถึงอนาคต ทั้งที่ความจริงออกจะมีแผนการชัดเจนขนาดนี้”
   
“ห้ะ? เต็มเคยพูดแบบนั้นกับเราด้วยเหรอ?”
   
อทิตยะกลอกตา “ถ้าจำไม่ได้ก็ช่างเถอะ ถือว่าเราขอโทษย้อนหลังก็แล้วกัน คงดีนะถ้าคุณทำเป้าหมายสำเร็จได้เร็วๆ”
   
“อื้ม”
   
พิงภพส่งเสียงตอบในคอ เสียงคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระยะบวกกับสายลมทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เขายกมือขึ้นปิดปากหาว แล้วก็หลุดหัวเราะเมื่อเห็นอทิตยะหาวเหมือนกัน
   
“น่าขำตรงไหนคุณ เวลาเห็นคนหาวมันก็อยากหาวตามอยู่แล้วนี่”
   
“นั่นก็ใช่ แต่จังหวะเมื่อกี้มันตลกดี”
   
พูดจบเขาก็หัวเราะอีก อทิตยะเลยปล่อยมือที่กุมไว้แล้วเลื่อนมาบีบต้นขา พิงภพเลยเอี้ยวไหล่ไปดันไหล่อีกฝ่าย อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาตอนนี้ช่างดูเหมือนเด็กกำลังแกล้งกัน
   
“นี่ เราอุตส่าห์เล่าเรื่องของตัวเองไปตั้งเยอะ ขอฟังเรื่องของเต็มมั่งสิ”
   
ไม่รู้เพราะลมหยุดพัดชั่วขณะ หรือเพราะประสาทตาล้าจนเห็นภาพลวงตา แต่คล้ายกับว่าไหล่ของอทิตยะจะเกร็งขึ้นเล็กน้อย เขาเลยสอดนิ้วประสานเหมือนที่เจ้าตัวทำเมื่อช่วงค่ำแล้วบีบเบาๆ อึดใจหนึ่งอทิตยะก็แสดงท่าทางผ่อนคลายลงและบีบมือตอบ
   
“ของเราน่าเบื่อจะตายไป อยากฟังในแง่ไหนล่ะ?”
   
พิงภพส่งเสียงหึขึ้นจมูก แค่บางเรื่องที่พอรู้ก็คิดว่าชีวิตหมอนี่ห่างไกลคำว่าน่าเบื่อไปหลายปีแสง แต่ก็ยังหวังว่าคืนนี้อทิตยะอาจเปิดใจพอที่จะแย้มเรื่องราวส่วนตัวจากปากตัวเอง
   
“เอ่อ...ก่อนหน้านี้เราก็เคยเล่าเรื่องที่บ้านไปสองสามครั้งแล้วใช่ไหมล่ะ แต่จนป่านนี้ยังไม่เคยได้ยินเต็มพูดถึงครอบครัวตัวเองเลย เป็นแฟนกันก็ควรจะรู้เรื่องพวกนี้บ้างใช่ไหม?”
   
ทั้งที่คิดเอาไว้ดิบดี แต่พอต้องถามจริงๆ เขาก็อึกอัก เพราะไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องที่อทิตยะไม่อยากแตะต้องหรือเปล่า แต่กลับกลายเป็นว่าถูกเจ้าตัวย้อนถามอย่างแปลกใจ
   
“อ้าว? น้าบุ๋มไม่เคยเล่าเหรอ? เห็นออกจะสนิทกัน เราก็นึกว่าเขาคงเม้าท์ให้คุณฟังไปแล้วซะอีก”
   
ไม่รู้ทำไมหน้าของพิงภพถึงร้อนฉ่า ถ้าตอบรับก็เท่ากับขายบุณฑริก แต่ครั้นจะปฏิเสธ...จากท่าทีของเขาก็คงไร้ข้อกังขาแล้ว
   
“ก็...คนอื่นเล่ากับเจ้าตัวเล่ามันไม่เหมือนกันนี่ อีกอย่างเต็มเพิ่งรู้จักพี่บุ๋มหลังไปอยู่ที่ออสไม่ใช่เหรอ เขาก็คงไม่ได้รู้เรื่องวัยเด็กละเอียดขนาดนั้นมั้ง”
   
“จะว่างั้นก็ได้ น้าบุ๋มเล่าว่าอะไรมั่งล่ะ เราจะได้รู้ว่าเขาตกหล่นอะไรไปบ้าง”
   
เฮ้อ...ขอโทษนะฮะพี่บุ๋ม “ก็แค่เล่าว่าตอนเด็กพ่อแม่ของเต็มแยกทางกัน หลังแม่เสียพ่อก็รับเต็มมาอยู่ด้วย แต่ว่า เอ่อ...มีปัญหากับภรรยาใหม่ของพ่อนิดหน่อย ก็เลยถูกส่งไปอยู่ที่เมลเบิร์น ให้พี่บู๊ที่เป็นเพื่อนของพ่อช่วยดูแล”
   
“อืม หลักๆ ก็มีแค่นั้นแหละ ถือว่าน้าบุ๋มก็เล่าครบสมบูรณ์ดี”
   
พิงภพเดาะลิ้นอย่างขัดใจ อทิตยะหัวเราะก่อนจะอธิบายต่อ “รายละเอียดนอกเหนือจากนั้นก็คือตอนเด็กเราโตมากับแม่ที่ลำปาง แม่เป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่เก่งมาก เลี้ยงดูเราคนเดียวจนเสีย แล้วเราก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลยยกเว้นรูปถ่าย แถมช่วงวัยรุ่นใครๆ ก็คงมีโมเมนต์ที่ต่อต้านผู้ใหญ่เหมือนกัน เราปรับตัวเข้ากับพ่อและแม่เลี้ยงที่เหมือนคนแปลกหน้าไม่ได้ เขาก็เลยต้องหาที่ทางให้ไป โชคดีว่าลุงบู๊ช่วยอบรมดี เราก็เลยโตมาโดยไม่เสียคนมากนัก ทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละ”
   
น้ำเสียงของอทิตยะเรียบเรื่อย พอเล่าจบก็หยิบหินก้อนเล็กๆ โยนให้สะท้อนไปบนผิวน้ำ เงาของพระจันทร์เต็มดวงจึงแตกกระเพื่อม พิงภพมองตามแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีคนถามแบบนี้กับอทิตยะที่ยังเด็ก เจ้าตัวคงจะไม่เล่าด้วยท่าทางสงบนิ่งแบบนี้แน่

“...สรุปก็คือเราไม่จำเป็นสำหรับคุณสินะ?”
   
นั่นคงเป็นคำถามที่ฝังใจหลังสูญเสียแม่แล้วยังถูกพ่อที่จำแทบไม่ได้ส่งไปอยู่ต่างประเทศ พอเจอเหตุการณ์ที่กระตุ้นความทรงจำก็เลยเปิดแผลนั้นอีกครั้ง แต่แค่นั้นไม่น่าจะทำให้อทิตยะอารมณ์เสียได้ถึงขนาดนั้น ถ้าคิดดูดีๆ เจ้าตัวก็แสดงท่าทางประหลาดตั้งแต่ตอนนั่งกินมื้อเย็นที่ชายหาดแล้ว
   
ถ้าหากเขาถามเพิ่มขึ้นอีกนิด...จะยังโอเคไหมนะ
   
“แล้วดิวล่ะ?”
   
คราวนี้อทิตยะหันขวับจนพิงภพตกใจ ถึงพระจันทร์จะกระจ่างแต่เขาก็ไม่แน่ใจว่านั่นคือเหตุผลที่ใบหน้าของอทิตยะดูซีดขาวหรือเปล่า มันแทบจะคล้ายกับท่าทางเมื่อเย็นวานนี้ที่หาดทรายใกล้บลูแซนด์ไม่มีผิด
   
“คุณได้ยินชื่อดิวมาจากไหน?”
   
เสียงของอทิตยะเข้มขึ้น พิงภพกลืนน้ำลายก่อนจะพยายามตอบเสียงนิ่ง
   
“จำวันที่เต็มเมาหนักแล้วกลับมาที่ห้องตอนเช้าได้ไหม? วันนั้นเราช่วยเปลี่ยนเสื้อให้ แล้วเต็มก็ละเมอพูดชื่อนี้ออกมา”
   
ไม่จำเป็นต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนั้นเขาถูกดึงเข้าไปกอดด้วย เพราะถึงอย่างไรตอนนี้อทิตยะก็ทำอะไรเกินกว่านั้นไปเยอะแล้ว
   
สายลมพัดแรงขึ้นจนเสื้อลู่ติดตัว กระทั่งคลื่นที่ซัดเข้าโขดหินด้านล่างก็ดังขึ้น พิงภพยกมือกอดอกด้วยรู้สึกหนาว ยังอีกหลายชั่วโมงกว่าฟ้าจะสว่างและได้เวลาขึ้นเรือกลับ เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าการที่มานั่งตากลมริมทะเลกันทั้งคืนแบบนี้เป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า
   
ท่าทางของเขาคงดึงความสนใจของอทิตยะ อีกฝ่ายรูดซิปกระเป๋าคาดอกแล้วหยิบเสื้อแจ็กเก็ตกันน้ำแบบที่ม้วนแล้วเล็กเท่ากำปั้นออกมาสะบัด จากนั้นก็คลุมลงบนไหล่ของเขา
   
สองมือของอทิตยะยังจับอยู่บนชายเสื้อ นัยน์ตาจ้องมองเขาอย่างที่พิงภพอธิบายไม่ถูก แต่มันต่างกับตอนที่ทั้งคู่จูบกันบนหาดทรายเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อนโดยสิ้นเชิง
   
“ถ้าคุณอยากรู้ เราก็จะเล่า”
   
“ไม่เป็นไร คืนนี้เราง่วงแล้ว ไว้อยากฟังเมื่อไหร่ค่อยขอให้เล่าใหม่ก็แล้วกัน”
   
อทิตยะเลิกคิ้ว พิงภพจับแขนอีกฝ่ายไว้แล้วรีบพูดต่อ เขาไม่รู้หรอกว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับคนชื่อดิว แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่อทิตยะไม่อยากนึกถึง เขาก็ไม่ควรอ้างสิทธิ์ของแฟนแล้วบังคับให้ฝืนเล่าออกมา
   
“ถึงคบกันก็ไม่ต้องทำตามที่ขอทุกอย่างก็ได้ ถ้ายังไม่พร้อมหรือไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่าหรอก บางเรื่องของอีกฝ่าย ถ้าเราไม่รู้อาจจะดีกับทั้งคู่มากกว่า”
   
พิงภพพูดโดยไม่ละสายตาจากคนตรงหน้าแม้แต่แวบเดียว อทิตยะสบตาเขา อึดใจหนึ่งก็หลับตาลงแล้วแนบหน้าผากกับหน้าผากของเขา ลมหายใจอุ่นระลงบนริมฝีปากจนพิงภพแทบกลั้นหายใจ
   
“ขอบคุณมาก พุธ”
   
หัวใจของพิงภพเต้นแรงขึ้น น้อยครั้งเวลาคุยกันที่อทิตยะจะเรียกชื่อเขาตรงๆ และในช่วงเวลาเช่นนี้ มันราวกับว่าถ้อยคำที่เพิ่งเอ่ยแฝงความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น
   
พวกเขานั่งกันอยู่ท่านั้นครู่หนึ่ง ความง่วงงุนที่ฝืนมานานก็ถ่วงเปลือกตาจนพิงภพเริ่มทนไม่ไหว ท่าทางโงกเงกของเขาคงทำให้อทิตยะรู้สึกตัว อีกฝ่ายก็เลยขยับแล้วจัดแจงเปลี่ยนท่า พอรู้ตัวอีกที เจ้าคนตัวโตกว่าก็นั่งพิงหินแล้วกางสองขาขนาบขาเขาไว้ ส่วนตัวเขานั่งพิงอกอีกฝ่ายไปเสียแล้ว
   
“ท่านี้มันอะไรเนี่ย?”
   
“ง่วงแล้วใช่ไหมล่ะ แถมลมกำลังเย็นๆ ด้วย นอนแบบนี้แล้วกันจะได้ไม่หนาว ขืนคุณเป็นหวัดเดี๋ยวดำน้ำไม่ได้”
   
อทิตยะเอ่ยพร้อมกับโอบสองแขนมากักตัวเขาไว้ อุณหภูมิที่ส่งผ่านมาสร้างความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งพิงเตาอุ่นๆ แต่ก่อนจะผล็อยหลับพิงภพก็นึกขึ้นได้ เลยดันตัวออกแล้วถอดเสื้อแจ็คเก็ตคืน
   
“เสื้อตัวนี้ใหญ่อยู่ เต็มเอาคลุมตัวไว้ดีกว่า ยังไงท่านี้เราก็อุ่นกว่าอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องตื่นมาเห็นแฟนเราเป็นปอดบวม”
   
ความง่วงทำให้พิงภพพูดคำว่า ‘แฟนเรา’ ได้อย่างคล่องปาก แต่วินาทีนั้นสมองของเขาแทบจะหยุดทำงานไป 90% แล้ว อทิตยะยิ้มก่อนจะรับเสื้อแจ็คเก็ตไปสวม จากนั้นก็ดึงพิงภพกลับมาพิงอกโดยให้สาบเสื้อแจ็คเก็ตช่วยบังลมและกอดเขาแน่น
   
“กู้ดไนต์ เจอกันพรุ่งนี้เช้า”
   
“กู้ดไนต์ เต็ม”
   
อทิตยะกดจมูกหนักๆ บนขมับของเขา พิงภพระบายลมหายใจยาวขณะหลับตาฟังเสียงคลื่น แต่ก่อนที่จะจมดิ่งสู่ห้วงนิทราอย่างสมบูรณ์ ชั่ววูบหนึ่งที่เขาคิดว่าไม่อยากให้รุ่งเช้ามาถึงเลย


++---TBC---++


A/N: คืนนี้พระจันทร์หวานสำหรับสองคนนี้ซะจริงๆ แต่จะหวานได้นานแค่ไหนน้า รอติดตามต่อกันตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 17 หน้า 3 {อัพ 31.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 01-08-2020 11:40:20
จะหวานแค่ไอซิ่งโรยหน้ากาแฟดำหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 17 หน้า 3 {อัพ 31.07.20}
เริ่มหัวข้อโดย: bellbomb ที่ 14-08-2020 17:14:31
ตะวันพิงภพ บทที่ 18

คลื่นที่ซัดสาดโขดหินช่วงเช้ามืดสงบลงกว่าเมื่อคืน สายลมก็อ่อนแรงลงเหมือนกัน อทิตยะมองเส้นขอบฟ้าที่ตอนแรกยังเป็นสีน้ำเงินเข้มจนแทบแยกผืนน้ำกับท้องฟ้าไม่ออก กระทั่งเริ่มเห็นแนวเส้นสีแสดค่อยๆ ผุดขึ้นตลอดแนว ขยายตัวขึ้นกลืนกินสีน้ำเงินเบื้องบนและผลักดันความมืดมิดออกทีละน้อย

พิงภพยังคงหลับสนิทในอ้อมแขนของเขา ท่าทางคงอุ่นสบายจนส่งเสียงกรนขึ้นจมูกแผ่วเบา อันที่จริงจะบอกว่าตัวเขาเองไม่หนาวเลยก็ไม่ใช่ เพราะแจ็คเก็ตที่สวมเป็นเพียงผ้าที่กันน้ำกับลมแต่ไม่ช่วยกันความเย็นจากหินที่พิงอยู่มากนัก ส่วนมากเขาเลยหลับๆ ตื่นๆ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจตื่นเต็มที่มารอดูพระอาทิตย์ขึ้นซะเลย เพราะหาดที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้ของเกาะพะงันหันไปทางตะวันออก ซึ่งต่างกับบลูแซนด์ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะเต่า ดังนั้นวิวเด่นของทั้งสองแห่งนี้จึงต่างกันโดยสิ้นเชิง

รัศมีโค้งของพระอาทิตย์เริ่มเผยตัวเหนือผิวน้ำมากขึ้น อทิตยะมองนาฬิกาข้อมือและเห็นว่าเกือบหกโมงเช้าแล้ว จากตรงนี้เดินไปจุดที่จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ก็คงสิบนาที ขับรถกลับไปคืนร้านแถวท่าเรืออีกราวครึ่งชั่วโมง ไหนจะต้องเผื่อเวลาเช็กอินก่อนเรือจะออก พอคำนวณเวลาที่เหลือพอให้ได้อิ่มเอมกับช่วงเวลานี้ เขาก็ได้แต่นึกเสียดาย

อทิตยะชันเข่าสลับเหยียดทีละข้างเพื่อคลายอาการเมื่อยขบ การนั่งหลับท่านี้ไม่ได้สบายตัวนัก แต่ไม่รู้เพราะปริมาณของเบียร์ที่ดื่มเข้าไปหรือความอ่อนเพลียจากเมื่อวาน พิงภพถึงหลับสนิทคล้ายไม่รับรู้การเคลื่อนไหวของเขาทั้งสิ้น ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมที่ค่อนข้างยุ่งของอีกฝ่ายจากหน้าผาก การทำงานกลางแจ้งเป็นประจำทำให้ผิวของพิงภพส่วนที่ตากแดดค่อนข้างกร้านคล้ำ ผมก็แห้งและช่วงปลายออกสีน้ำตาลแดงเพราะถูกกัดด้วยแสงแดดและน้ำทะเลวันละหลายชั่วโมง แต่สำหรับเขามันกลับช่วยขับเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครของเจ้าตัวให้เจิดจ้ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้เห็นอีกฝ่ายมุ่งมั่นใช้ชีวิตในแบบที่เลือกเอง

กระแสอุ่นร้อนแผ่ซ่านในอกดุจตาน้ำ อทิตยะรู้ว่าเขาไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ มันเติบโตและแผ่ขยายจากจุดเล็กๆ ที่เริ่มด้วยคำว่า  ‘น่าสนใจ’ อย่างรวดเร็วเกินไป เขาย่อมรู้ดีในเมื่อนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็เหมือนพระจันทร์ที่มีทั้งด้านมืดและสว่าง ถึงด้านหนึ่งเขาจะพึงพอใจกับความสุขที่กำลังดำเนินอยู่ อีกด้านก็มีความหวาดหวั่นที่ไม่รู้จะหมุนเวียนมาเผยตัวเมื่อไหร่

“อืม”

ดูเหมือนพิงภพจะเริ่มรู้สึกตัวตื่น จากที่คอพับพิงไหล่เขาข้างเดียวมาตลอด ในที่สุดก็มีการขยับตัวและเอียงหน้ามาทางซอกคอ นัยน์ตาดำขลับปรือขึ้นอย่างเชื่องช้าเหมือนยังไม่หลุดจากความฝัน

อทิตยะเห็นแล้วนึกมันเขี้ยว เขาใช้มือหนึ่งเชยคางอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็แนบริมฝีปากลงหา มันอาจไม่ใช่จูบที่สร้างอารมณ์หวามไหว แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้พิงภพตื่นเต็มตาและยกมือขึ้นทุบอกเขา

“กู้ดมอร์นิ่ง”

“มอร์นิ่งอะไรล่ะ ปลุกกันแบบดีๆ ไม่ได้หรือไง?”

น้ำเสียงแหบแห้งงัวเงียทำให้ดีกรีความหงุดหงิดลดไปหลายขีด อทิตยะยิ้มเพราะรู้ดีจากประสบการณ์ว่าจูบแรกหลังตื่นนอนนั้นไม่ว่าจะรสหรือกลิ่นก็ไม่น่าพิสมัย เขาเกยคางลงบนไหล่อีกฝ่ายแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม

“พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว”

“เห็นแล้ว...ตาไม่ได้บอด”

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์”

พิงภพหันขวับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ อทิตยะเลยแนบริมฝีปากลงบนซอกคอเบาๆ จนอีกฝ่ายหดคออย่างจั๊กจี้

“รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดเรา?”

“จะไปยากอะไรล่ะ ถามน้าบุ๋มเอาสิ ที่เราชวนคุณมาปาร์ตี้ที่นี่ก็เพราะจะได้ฉลองกันแค่สองคนนี่แหละ”

เจ้าของวันเกิดกะพริบตา ก่อนจะส่งเสียง “อ้อ” เบาๆ หลังทิ้งช่วงนิดหนึ่งก็ตามด้วย “แต๊งกิ้ว” แล้วทิ้งตัวพิงอกเขาต่อ อทิตยะโอบเอวอีกฝ่ายเข้าใกล้อีกครั้ง ทั้งคู่นั่งมองพระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นจนพ้นผิวน้ำก่อนที่พิงภพจะหันมาหา

“เราควรจะไปกันได้แล้วสิ จำได้ว่าแถวท่าเรือมีร้านกาแฟ เดี๋ยวไปหาสักร้านนั่งรอเรือออกก็แล้วกัน”

อทิตยะพยักหน้าแม้จะยังไม่อยากไป พวกเขาไต่โขดหินกลับลงไปบนทางเดินเพื่อไปยังจุดที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ พอขับไปถึงบริเวณท่าเรือก็พบว่ามีคนเต็มไปหมด เพราะแต่ละวันจะมีเรือเฟอร์รี่ที่เดินทางไปหลายที่นอกจากเกาะเต่า และบางลำก็ออกไปตั้งแต่เช้ามืด

หลังคืนรถมอเตอร์ไซค์แล้วทั้งคู่ก็ไปเช็กอินที่ท่าเรือเพื่อรับสติกเกอร์ ก่อนจะเดินหาร้านกาแฟเพื่อกินมื้อเช้าและใช้ห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แต่พอได้นั่งที่โต๊ะพิงภพก็ฟุบหน้าลงอีกรอบ

“จะนอนต่ออีกเหรอคุณ ไม่กินข้าวเช้าเหรอ?”

“กินไปก่อนเลย ได้เวลาไปเมื่อไหร่ปลุกด้วย”

พิงภพโบกมือหนึ่งให้โดยไม่เงยหน้า อทิตยะก็เลยสั่งแค่กาแฟร้อนมาจิบเพื่อรอกลับไปกินมื้อเช้าที่เกาะเต่าด้วยกัน บริเวณท่าเรือมีทั้งคนที่จะเดินทางไปที่อื่นและคนที่เพิ่งมาถึง ความจอแจรอบตัวทำให้เขาไม่ง่วงงุนสักนิด

“เฮ้ ไม่นึกว่าเช้านี้ก็เจอกันอีก ขอนั่งด้วยได้ไหม?”

อทิตยะเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนทักคือสาวหล่ออดีตแฟนเก่าของพิงภพ ด้านหลังคือแฟนสาวที่เช้านี้สวมเสื้อถักนิตติ้งชายยาวคลุมกางเกงขาสั้น ตาข่ายเสื้อเนื้อโปร่งอวดเอวคอดรำไร คอเสื้อกว้างอวดร่องอกลึกและเนินเนื้ออวบขาวที่ขนาดเขาไม่สนใจผู้หญิงก็ยังอดมองไม่ได้

“เอาสิ แต่พุธหลับอยู่นะ”

“ขี้เซาจริงหมอนี่”

หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ขณะเลื่อนเก้าอี้นั่ง ในแววตาฉายความเอ็นดู แฟนสาวที่เขาจำได้เลาๆ ว่าชื่อไมร่าทำแก้มอูมนิดหน่อยขณะนั่งลงบ้าง อทิตยะเห็นพวกเธอไม่สั่งอะไรก็นึกสงสัย

“ไม่กินอะไรกันเหรอ?”

“อ๋อ เรือไปสมุยของพวกเราออกตอนแปดโมง อีกเดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว พอดีเห็นก็เลยแวะมาทัก แล้วนี่เรือไปเกาะเต่าออกกี่โมง?”

“แปดครึ่ง แต่พุธลางานไว้แล้ว ถึงเรือเลทก็ไม่ได้ต้องรีบร้อน”

อทิตยะเอ่ยพลางยกกาแฟขึ้นจิบ วันนี้นลินสวมเสื้อยืดแขนสั้นขนาดพอดีตัวกับกางเกงห้าส่วนและรองเท้าผ้าใบ บนศีรษะสวมหมวกแก๊ปกับแว่นกันแดดสีชา เธอนั่งไขว่ห้างแบบพับขากว้างได้เป็นธรรมชาติจนจนเขานึกภาพสมัยที่ทำตัวเป็นผู้หญิงไม่ออก

“นี่คบกันนานหรือยัง?”

จู่ๆ นลินก็ถามพลางชี้นิ้วระหว่างเขากับพิงภพ เขาเหลือบมองคนที่ยังหลับก่อนจะตอบอย่างระวัง

“ก็ไม่เท่าไหร่”

“ไม่ต้องห่วง พุธน่ะถ้าหลับก็คือหลับ ไม่มีการแอ๊บหลับเพื่อแอบฟังหรอก หมอนี่ขี้เซาจะตาย”

หญิงสาวเอ่ยกลั้วหัวเราะ ไมร่าหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบกับโทรศัพท์เหมือนไม่อยากอยู่ในวงสนทนา นลินกอดอกมองท่าทางของแฟนสาวอย่างเอ็นดู

“ทำไมสมัยเรียนถึงคบกับพุธได้ล่ะ?”

อทิตยะถามบ้าง นลินเบนสายตากลับมาพลางอมยิ้ม “ยังไงดีล่ะ เพราะเขาดูใสๆ ดีมั้ง? ตอนอยู่มหา’ ลัยเราอยากรู้ว่าตัวเองยังชอบผู้ชายได้หรือเปล่า แล้วเวลาคุยกับพุธก็รู้สึกว่าเคมีเข้ากันได้เลยชวนมาคบกัน เขาเทคแคร์เราดีมากเลยนะ แต่นอกจากความรู้สึกเหมือนเพื่อนสนิทแล้วเราก็ไม่เคยนึกพิศวาสพุธเลย เจ้าตัวเองก็น่าจะไม่เคยรู้สึกอะไรกับเราเหมือนกัน”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว พิงภพเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าสมัยที่คบกับนลินนั้นเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่าแฟน แต่ไม่ได้เอ่ยเรื่องความรู้สึกเชิงชู้สาวให้ได้ยิน

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

“ทำไมเหรอ...นั่นสินะ ว่าแต่พุธยังพกไอ้พวงกุญแจรูปกัปตันอเมริกาอยู่ไหม?”

ความเงียบของเขาคงแทนคำตอบได้ดี นัยน์ตาของนลินฉายแววรู้ทัน ขณะเดียวกันก็แฝงความเห็นใจ

“ยังอยู่สินะ แสดงว่าตุ๊กตาตัวนั้นคงมีความหมายมาก เราจำได้ว่าพุธชอบหยิบมันออกมานั่งจ้องทีละนานๆ เลยถามไปครั้งนึงว่าได้มาจากไหนเพราะเห็นมันน่ารักดี พุธบอกว่าเพื่อนตอน ม.ปลายซื้อให้ เสร็จแล้วก็ตัดบทไปไม่พูดถึงอีกเลย แต่เราจำได้ว่าพุธเคยหลุดปากพูดถึงเพื่อนสนิทที่ชอบไปดูหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ด้วยกัน ก็เลยเดาได้ว่าคนให้ตุ๊กตามาก็คงเป็นเพื่อนคนนั้นแหละ แล้วพุธก็คงสับสนในตัวเองเหมือนกันแต่ไม่รู้ตัว เราก็เลยเลิกถามแล้วคบกันมาจนใกล้จะเรียนจบ ตอนนั้นก็มั่นใจแล้วว่าไม่อยากหลอกตัวเองไปตลอด ก็เลยบอกพุธว่าเราคบกันแบบเพื่อนดีกว่า รู้ไหมเขาตอบว่าไง  ‘ก็ดีนะ หนิงจะได้เจอคนที่เหมาะสมกว่าเรา’ ดูพูดเข้าสิ จะรั้งกันไว้สักคำก็ไม่มี ทำยังกับรอให้เราบอกเลิกมาตลอดงั้นแหละ”

นลินเอ่ยกลั้วหัวเราะ อทิตยะจิบกาแฟโดยไม่ออกความเห็น ไมร่าที่ดูเหมือนกำลังฟังเพลงดึงหูฟังออกแล้วเชิดคางขึ้น

“นี่ถ้าได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้นนะ หนูจีบพี่หนิงไปก่อนแล้ว จะได้ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เสียเวลา”

“สมัยพี่เรียนมหา’ ลัยหนูยังอยู่แค่ ม.ต้น ขืนคบกันพี่คงโดนข้อหาพรากผู้เยาว์จริงๆ สิคะ”

ไมร่าทำเสียงฮึดฮัด แต่ความจริงจังในแววตาและคำพูดทำให้อทิตยะรู้ว่าเธอคงไม่ได้คบกับนลินแค่เพราะเห็นว่าเป็นทอมที่เท่ดี นั่นทำให้ภาพลักษณ์ของเธอดีขึ้นเล็กน้อยในสายตาเขา

“อีกสิบนาทีจะแปดโมงแล้ว”

ชายหนุ่มปรายตามองนาฬิกาแล้วเอ่ยเตือน นลินหันไปพยักหน้าให้ไมร่าแล้วลุกขึ้นพร้อมกัน

“ฝากลาพุธด้วยก็แล้วกัน ถ้าโชคดีคงได้เจอกันอีก ยังไงก็ขอให้มีความสุข คบกันยืดๆ นะ”

นลินหยิบกระเป๋าของไมร่ามาถือ หลังโบกมือลาเธอก็โอบเอวสาวน้อยแล้วพาเดินไปที่ท่าเรือ อทิตยะมองตามครู่หนึ่งก่อนจะจิบกาแฟที่เย็นชืดจนหมด กระทั่งเห็นว่าได้เวลาที่ควรจะไปขึ้นเรือบ้างจึงปลุกพิงภพ

“คุณ ไปกันเถอะ จะได้รีบจองที่นั่งบนเรือ”

“หา? ...อืม...”

ถึงจะหน้าตาไม่ค่อยเต็มใจ แต่พิงภพก็ยอมลุกแล้วเดินตามไปรอขึ้นเรือแต่โดยดี พวกเขาเลือกนั่งในห้องติดเครื่องปรับอากาศชั้นล่าง การเดินทางกลับเกาะเต่ากินเวลาถึงสองชั่วโมงทำให้พิงภพผล็อยหลับอีกครั้ง กระทั่งใกล้ถึงฝั่งอทิตยะจึงสะกิดให้ตื่น

“นี่นอนเก็บชั่วโมงเหรอคุณ เรายังไม่เคยเห็นใครนิ่งเป็นหลับได้ขนาดนี้สักคน”

“การนอนน้อยไม่ดีต่อร่างกายนะ แถมสมองจะไม่แจ่มใสด้วย ถ้ามีเวลาก็ควรนอนไว้เยอะๆ สิ”

พิงภพตอบหน้าตายขณะเข้าแถวรอออกจากเรือ อทิตยะทำเสียงหึขึ้นจมูกจนโดนเขม่นใส่ พอเดินข้ามสะพานไม้มาถึงฝั่งแล้วพิงภพก็กระตุกชายเสื้อเขา

“เราหิวจนจะเห็นภาพซ้อนแล้วอะ เดี๋ยวแวะร้านพี่ขจรแล้วสั่งกับข้าวร้านข้างๆ ไปนั่งกินกันดีกว่า เสร็จแล้วค่อยไปบลูแซนด์”

“โอเค”

พวกเขาเดินไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดฝากไว้แถวท่าเรือ จากนั้นก็ขับไปจอดหน้าร้านกาแฟของขจรซึ่งอยู่ก่อนถึงบลูแซนด์ พอขจรเห็นพิงภพก็ร้องทักอย่างอารมณ์ดี

“อ้าวเว้ย ไม่เจอกันตั้งหลายวัน นึกว่าลืมกันอีกแล้ว”

“ใครจะกล้าลืมพี่ขจร แค่ช่วงนี้งานเยอะผมเลยต้องรีบเมคมันนี่ก่อน”

“ฮ่าๆๆ เอ้ามา เมนูประจำใช่ไหม?”

“อื้อ เดี๋ยวผมขอเดินไปซื้อกับข้าวร้านข้างๆ มากินที่นี่นะ เต็มจะสั่งอะไร เดี๋ยวซื้อมาให้”

“เอาเหมือนคุณก็ได้”

พิงภพพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ติดกัน อทิตยะมองตามก่อนจะหันกลับมาหาขจร และเห็นว่าอีกฝ่ายมองมาคล้ายกำลังพิจารณา แววตาของเขาจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

“ผมขออเมริกาโนเย็นครับ ไม่ใส่น้ำตาล”

“โอเค เลือกโต๊ะได้เลย เดี๋ยวผมยกไปให้”

อทิตยะเคยมาร้านนี้กับเอมี่ตั้งแต่ตอนที่เธอแวะมาหา เขาเลือกเดินไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นริมระเบียง จากนั้นก็เคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบ ดูเหมือนร้านอาหารตามสั่งคงจะมีลูกค้าเยอะ เพราะไม่นานกาแฟที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟก่อนพิงภพจะกลับมาเสียอีก

“นี่ครับ อเมริกาโนเย็น กับเมนูประจำของพุธ”

“อ้อ ของพุธนี่แช่ตู้เย็นไว้ก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวมันละลายก่อนเขามา”

อทิตยะตอบเสียงเรียบ ขจรมองหน้าเขา ก่อนจะยิ้มอ่อนๆ แล้วยกกาแฟของพิงภพกลับไป ไม่รู้ทำไมท่าทางเมื่อกี้ถึงทำให้ชายหนุ่มนึกฉุน

แววตาเมื่อกี้นี่มันอะไรกัน หรือพุธเคยมาเล่าเรื่องของเขาให้ฟัง?

“มาแล้วๆ โทษทีวันนี้คิวยาวมาก รอตั้งนานกว่าจะได้”

พิงภพเดินเข้ามาพร้อมถาดใส่ข้าวราดไก่ผัดพริกแกง ไข่ดาวและถ้วยน้ำซุปสองชุด อทิตยะขยี้ก้นบุหรี่กับที่รองแล้วช่วยยกจานอาหารออกจากถาด

“คุณนี่เหมือนป๋าเลย ชอบกินอาหารรสจัดตั้งแต่มื้อแรกของวัน”

“ป๋า?”

พอเห็นสีหน้างุนงงของพิงภพ อทิตยะก็นึกได้ว่านอกจากบุณฑริกก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขาเรียกบูรพาว่าป๋า

“ก็เจ้าของบลูแซนด์ไง พี่ชายของน้าบุ๋มน่ะ ปกติคุณเรียกเขาว่าอะไรล่ะ?”

“อ๋อ หมายถึงพี่บู๊เหรอ ปีนึงเขากลับมาแค่ครั้งสองครั้งเอง เราเลยไม่รู้หรอกว่าเขาชอบกินอาหารแนวไหน อ้อ ขอบคุณฮะพี่ขจร”

ท้ายประโยคพิงภพหันไปขอบคุณขจรที่ยกกาแฟมาเสิร์ฟ อีกฝ่ายหัวเราะขณะตบไหล่เขาเบาๆ

“ไม่รู้น้ำมะพร้าวรอบนี้หวานพอรึเปล่านะ แต่ตอนนี้พุธกินอะไรก็คงหวานไปหมดแหละมั้ง”

พิงภพทำหน้าเหลอ อทิตยะชักสีหน้าไม่พอใจและถามขึ้นหลังขจรเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์

“สนิทกับเขามากเหรอ?”

“กับพี่ขจรน่ะเหรอ? ก็พอสมควรนะ มีช่วงนึงไปกินข้าวด้วยกันประจำ ถ้ามีเรื่องที่อยากบ่นแต่ไม่อยากให้คนที่บลูแซนด์รู้ก็มาคุยกับเขานี่แหละ”

พิงภพตอบพลางดึงยางรัดผมบนข้อมือออกมารวบผมด้านหน้าขึ้นมัดไว้กลางกระหม่อม เสื้อกล้ามตัวหลวมโคร่งกับกางเกงบอลขาสั้นอาจทำให้คนที่ไม่รู้มองเผินๆ นึกว่าเป็นกรรมกรต่างด้าว แต่ลุคเกรียมแดดแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับอทิตยะซึ่งอาศัยอยู่ออสเตรเลียมาหลายปี เพราะที่นั่นแสงแดดร้อนแรง แถมเมืองใหญ่ก็มักอยู่ติดชายหาดจนมีกิจกรรมทางทะเลเต็มไปหมด เขาพอจะรู้ว่าเทรนด์ความสวยหล่อของเมืองไทยต่างจากที่นั่นมาก แต่ค่านิยมเหล่านั้นดูจะไม่ส่งอิทธิพลกับคนตรงหน้าสักนิด บางทีการทำอาชีพที่ไม่เน้นภาพลักษณ์มากเท่าความสามารถก็คงมีส่วนทำให้พิงภพไม่แคร์สายตาใครด้วย

“มีแต่ฉันนี่แหละที่รู้ว่าวันพุธตรงสเป็กนาย ทั้งอายุมากกว่า แล้วก็นิสัยร่าเริงไม่มืดมน”

คำพูดของเอมี่ดังขึ้นในหัว ขณะเดียวกันคำถามของพิงภพถึงใครบางคนที่หายจากชีวิตไปนานแล้วก็คล้ายหมอกหนารบกวนจิตใจ เขาไม่รู้เลยว่าเคยละเมอถึงดิฐาถ้าพิงภพไม่บอก การได้เห็นเงาของใครบางคนที่คล้ายเจ้าตัวเมื่อไม่กี่วันก่อนยิ่งเหมือนลางร้ายที่ทำให้ไม่อาจวางใจกับความสุขในปัจจุบัน

“นี่ ไม่หิวเหรอ หรือว่าไม่ชอบไก่ผัดพริกแกง เดี๋ยวเราไปสั่งอย่างอื่นให้เอาไหม?”

คำถามของพิงภพดึงอทิตยะออกจากภวังค์ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่านั่งกอดอกจ้องจานข้าวโดยไม่แตะอาหารสักคำ ส่วนพิงภพกินไปค่อนจานแล้ว

“เชื่อแล้วว่าคุณหิว นี่ไม่ได้เคี้ยวเลยสิท่า”

“จะบ้าเรอะ! เคี้ยวเว่ย แค่เคี้ยวคำละสองสามที”

พิงภพตอบพร้อมกับหัวเราะขำ อทิตยะนึกอยากเตือนว่าควรเคี้ยวให้ละเอียดแต่ก็หักใจเงียบ ต้องโทษเอมี่ที่เป็นเจ้าแม่ด้านโภชนาการและชีวจิต แถมยังชอบสอนคนรอบตัวจนเขาซึมซับตามมาด้วย

หลังทั้งคู่กินข้าวเสร็จแล้วก็จ่ายค่ากาแฟ ขจรบอกว่าจะยกถาดอาหารไปคืนให้เพราะจะไปสั่งข้าวกลางวันอยู่แล้ว พวกเขาก็เลยตัดสินใจจอดรถทิ้งไว้หน้าร้านแล้วลงเดินบนหาดทรายไปที่บลูแซนด์ ตลอดทางก็เจอนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและชาวไทยขวักไขว่เต็มหาด

“คนเพียบเลย สมแล้วที่เป็นวันหยุดยาว ทุกทีหลังจบฟูลมูนก็จะมีคนมาเที่ยวที่นี่ต่อเยอะเหมือนกัน”

“เขาก็มาร่วมฉลองวันเกิดให้คุณไง ยินดีด้วยที่ยี่สิบหกแล้ว”

พิงภพย่นจมูก ยากจะบอกว่าเป็นกริยาแสดงความดีใจหรือไม่ยี่หระกับอายุที่เพิ่มขึ้น อทิตยะเห็นแล้วนึกอยากหันไปบีบจมูกรั้นๆ นั่น แต่แล้วทั้งสองก็ถูกเสียงแหลมเล็กเรียกความสนใจ

“อาพุธ อาพุธๆๆ !!!”

“เฮ่ย! ยิหวา!?”

ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคือเด็กหญิงในชุดว่ายน้ำแบบแขนยาวขายาวมิดชิด ผมถักเปียสองข้างส่ายตามจังหวะที่วิ่งย่ำทรายเข้ามาหา พิงภพยิ้มกว้างพลางย่อตัวลงอ้าแขนรับหลานสาวซึ่งพุ่งเข้ามากอด

“อาพุธไปไหนมา ยิหวามาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว แต่เพื่อนอาพุธบอกว่าไปเที่ยวยังไม่กลับ”

“อาพุธก็เพิ่งกลับมาเนี่ยแหละ แล้วนี่ทำไมไม่บอกกันก่อนว่าจะมา จองห้องพักที่บลูแซนด์ไว้แล้วใช่ไหม?”

“ช่ายยย พ่อกับแม่นั่งกินกาแฟอยู่ แต่มาคราวนี้ยิหวามีเซอร์ไพรส์มาให้เป็นของขวัญอาพุธด้วยนะ”

เด็กน้อยเอ่ยเสียงแจ๋วพร้อมกับยิ้มแป้น นาทีนั้นเองที่อทิตยะสังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตามยิหวามา ภาพตรงหน้าคล้ายกับลดความเร็วจนเป็นสโลว์โมชั่น พิงภพที่ตอนแรกมุ่นคิ้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วทำหน้าแปลกใจ ขณะที่ผู้ชายผิวขาวตัวสูงเดินยิ้มอย่างดีใจเข้ามาหา

“พุธ ไม่เจอกันตั้งนาน”


++---TBC---++


A/N: นานๆ ทีตัวละครจะได้ออกหน้ากันครบชุด แล้วมาติดตามความคืบหน้ากันต่อในตอนหน้านะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}
เริ่มหัวข้อโดย: blackboy ที่ 17-07-2023 08:45:49
รอติดตามต่อออออ
หัวข้อ: Re: ตะวันพิงภพ บทที่ 18 หน้า 3 {อัพ 14.08.20}
เริ่มหัวข้อโดย: sexysunn ที่ 29-09-2023 18:54:08
สนุกอ่าาา ติดตามครับ