พิมพ์หน้านี้ - - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 28-08-2019 18:43:29

หัวข้อ: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 28-08-2019 18:43:29
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

----------------------------

นิยายที่แต่งจบแล้ว
{{ King’s Club }} เพราะเสพติดเซ็กซ์  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47157.0)
{{ Knight's Hour }} เพราะเป็นเจ้านาย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52388.0)
{{ Prince's Room }} ระวัง...เขตอันตราย!! [3P] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56382.0)
{{ I'm Not Him }} เขาให้ผมเป็นดารา  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60933.0)
{{ He's Not Me }} ผมไม่อยากเป็นดารา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62107.msg3707544)
{{ Just U,Not US }} เมื่อผมเป็นผู้จัดการดารา  (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66315.msg3795969)
แฟนผมไม่จอมมารขนาดนั้นหรอก!  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68654.0)
แผนลับสลัดแฟน(เก่า) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70619.0)


สวัสดีค่า มาเปิดเรื่องใหม่กันอีกครั้ง เรื่องนี้จะเป็นแนว Slice of Life นะคะ
คือเป็นแนวเล่าไปเรื่อยๆ ฟินๆ น่ารักๆ จะไม่เผ็ดซี๊ดซ๊าดเปรี้ยงปร้างอย่างนาวา
เรื่องราวเกี่ยวกับ 'พิชญ์' ที่หนีออกจากบ้านมาเปิดชานมไข่มุก
แต่ให้ตายเถอะ ทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจ คิดว่าเขาหนีออกจากบ้านเพราะอกหัก!
รักมันกินไม่ได้ แต่ชานมกินได้ แถมกินแล้วดีด กินแล้วดีด้วย!!
อกหักไม่ยักจะตาย แต่ถ้าขาดชานมไข่มุก เขาต้องขาดใจตายแน่ๆ!!!

ปล.พระเอกไม่ใช่เพื่อนสนิท ไม่ใช่พี่ชาย ไม่ใช่แฟนเก่า
พระเอกออกมาตั้งแต่ตอนแรก แต่ชื่อจะเผยตอนไหนนั้นมาลุ้นกันค่ะ 5555

(https://sv1.picz.in.th/images/2020/03/05/xesgWR.jpg) (https://www.picz.in.th/image/xesgWR)
ชี้เป้า! สั่งจองได้ที่ facainovels.com

เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
สารบัญ
ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก
ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4000973#msg4000973)
ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4001932#msg4001932)
ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4003265#msg4003265)
ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4003770#msg4003770)
ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4005103#msg4005103)
ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4006298#msg4006298)
ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4007368#msg4007368)
ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4008654#msg4008654)
ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4009881#msg4009881)
ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4010951#msg4010951)
ตอนที่ 12 : จับมือ (https://bit.ly/2KiTMsX)
ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4012886&fbclid=IwAR05mpjcXV8K9nQBCiND6Av49HWqk0PpSDX1zr75C__1JFv7atHsy0mZmNk#msg4012886)
ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4014147#msg4014147)
ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4015171#msg4015171)
ตอนที่ 16 : คลิปหลุด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4015606#msg4015606)
ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4017044#msg4017044)
ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4018116#msg4018116)
ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4018805#msg4018805)
ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4020078#msg4020078)
ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4020914#msg4020914)
ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4022232#msg4022232)
ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4022992#msg4022992)
ตอนที่ 24 : หัวขโมย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4023916#msg4023916)
ตอนที่ 25 : บทสรุป  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4024999#msg4024999)
ตอนส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70868.msg4025835#msg4025835)

หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 28-08-2019 18:43:47
ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก


   หลังหนีออกจากบ้านมาสองเดือนเต็ม ในที่สุด...ผมก็มีร้านชานมไข่มุกเป็นของตัวเองสักที!

   กว่าจะติดต่อขอเช่าที่ ร่ำเรียนวิชาชงเครื่องดื่ม ต้มไข่มุก ติดต่อซื้อวัตถุดิบ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่แค่คิดก็ทำได้ทันที ขนาดผมตั้งใจแล้ว มีเงินพร้อมแล้ว ยังใช้เวลาถึงสองเดือนกว่าจะเสร็จสรรพเรียบร้อย และวันนี้...ก็จะเป็นวันแรกที่ได้เปิดร้านดังใจใฝ่หา ผมเชิญพระจากวัดแถวนี้มาช่วยเจิมป้ายเพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนยืนมองร้านตกแต่งเป็นโทนสีน้ำเงินตัวอักษรสีเหลืองด้วยความภาคภูมิใจน้ำตาจะไหล

   จากนั้นก็นั่งตบยุง

   ในยุคที่ชานมเกลื่อนตลาด ร้านเปิดใหม่แถมยังอยู่ในซอยนับว่าฆ่าตัวตายชัดๆ แต่ผมก็ใช่ว่าจะนั่งเฉยๆ เมื่อวานเดินแจกใบปลิวหน้าโรงเรียนบริเวณใกล้เคียง เที่ยวยัดใส่กล่องจดหมายคอนโดแถวนี้ด้วยโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง เชื่อสิว่ากิจการจะต้องเฟื่องฟู!

   วาดฝันหวาน แต่เบื้องหน้านี้หนาทำไมถึงเงียบเหงานัก

   หรือว่าโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งจะไม่โดนใจ

   หรือว่าเพราะหน้าปากซอยมีชานมไข่มุกเจ้าดังเปิดดัก โธ่เอ๊ย ชานมของผมราคาถูกกว่าตั้งเท่าตัว ทำไมคนต้องไปต่อแถวซื้อชานมแก้วละเกือบร้อยด้วย!

   เจ็บใจนัก!

   ผมทุบเคาน์เตอร์อย่างอัดอั้น ก่อนจะเงยหน้ายิ้มการค้าแทบไม่ทันเมื่อมีผู้ชายเดินถือใบปลิวคุ้นตาเข้ามาในซอยด้วยใบหน้ามึนๆ

   “ทางนี้คร้าบ!” ถ้าไม่ติดว่ากลัวลูกค้าหนี ผมนี่แทบปราดไปอุ้มเขามาหน้าร้านพร้อมปูพรมแดงแล้ว

   “อ้อ อยู่นี่เอง” ผู้ชายคนนั้นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำกึ่งมึน “โปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนี่...”

   “ครับๆ จะรับเป็นชานมไข่มุก ชาเขียวไข่มุก หรืออย่างอื่นก็สั่งได้เลยครับ”

   “...ถ้าฉันจะซื้อแก้วเดียว แต่ขอราคาแบบในโปรโมชั่นได้มั้ย”

   ใบหน้ายิ้มแย้มการค้าชะงักในทันควันเมื่อได้ยินคำต่อรองคาดไม่ถึง

   คุณครับ ชานมไข่มุกหนึ่งแก้วแค่สามสิบบาท โปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเรียกว่าเท่าทุนค่อนไปทางขาดทุนแล้ว คุณพี่ยังจะขอซื้อแค่หนึ่งแก้ว ในราคาโปรโมชั่นคือสิบห้าบาทก็ได้ด้วยเหรอครับ!

   “นี่เป็นเงื่อนไขโปรโมชั่นน่ะครับ...”

   “ไม่ได้เหรอ” ผู้ชายคนนั้นถามเสียงเอื่อย ไม่เชิงหาเรื่อง แต่ออกจะเฉยชาไร้อารมณ์ซะมากกว่า

   “ไม่ได้ครับ”

   “งั้นไม่เป็นไร” มองเงาร่างที่หันหลังกลับทางเดิม ผมก็พลิกลิ้นแทบไม่ทัน

   “แต่เนื่องจากคุณเป็นลูกค้าคนแรกของทางร้าน ผมให้เป็นกรณีพิเศษเลยครับ!” อีกนิดก็แทบจะก้มกราบแล้ว โปรดอย่าให้ความหวังแล้วเดินหนีไป เห็นใจเจ้าของร้านอย่างผมด้วยเถอะ!

   “สรุปว่าได้?” ผู้ชายคนนั้นหันกลับทันที ผมใจชื้นขึ้น คิดในใจว่าอย่างน้อยก็เท่าทุน ถือซะว่าได้ลูกค้า ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

   “ได้ครับได้” ผมยิ้มประจบ “รับอะไรดีครับ”

   “ชานมไข่มุก”

   “ครับผม”

   ในที่สุดก็ได้แสดงวิชาสักที ผมชงชานมด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว ก่อนจะตักไข่มุก ทับด้วยน้ำแข็ง เมื่อเทชานมจนเต็มและปิดฝาด้วยเครื่องซีล ทุกอย่างก็เสร็จสิ้น

   “จะให้เจาะหลอดเลยมั้ยครับ”

   “เจาะเลย”

   “ทั้งหมดสิบห้าบาทครับ” ผมเอ่ยอย่างนอบน้อมและสุภาพ หวังให้ลูกค้ารายแรกประทับใจไม่ลืมเลือน

   “เดี๋ยวนะ” พลันผู้ชายตรงหน้าผมค่อยๆ หยิบเหรียญบาทขึ้นมานับ

   หนึ่งเหรียญ สองเหรียญ สามเหรียญ...

   ผมยิ้มการค้าอย่างอดทน ไม่วายลอบสำรวจว่าชายคนนี้ทั้งที่ก็หน้าตาไม่ได้แย่ แต่งตัวก็ไม่โทรมมาก อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ น่าจะราวๆ ยี่สิบปลาย แต่ทำไมถึงเหมือนจนกรอบนักหนาก็ไม่รู้ ขนาดกระเป๋าสตางค์ยังไม่มี ใช้วิธีเก็บในถุงพลาสติกแล้วมัดด้วยหนังยางสีแดง

   สงสัยฟ้าคงจะเห็นใจ จึงประทานลูกค้ารายที่สองให้ผม

   “อยู่นี่เอง!”

   หรือไม่ฟ้าก็เกลียดชังกันมาก ถึงได้พาคนคนนี้มาเจอะเจอกัน

   ฉิบหาย ไอ้ภูมิ!

   “ก็ว่าหายไปไหนสองเดือน ที่แท้หนีมาเปิดร้านชานมไข่มุกนี่เอง!” ลูกค้ารายที่สอง ไม่สิ เพื่อนสนิทของผมที่ไม่ติดต่อหาเป็นเวลาสองเดือนไม่รู้ไปได้ข่าวคราวมาจากไหนถึงเดินกึ่งวิ่งมาหาอย่างร้อนใจแทบบ้า ภูมิเป็นชายร่างสูงชอบสวมเสื้อแจกเก็ตหนัง กางเกงรัดเป้า หัวเซ็ตตั้ง หน้าโฉด มาดนักเลง แต่ดันต่อยใครไม่เป็น เขามองป้ายหน้าร้าน ขยับปากอ่านชื่อ ‘พิชพิชชานม’ แล้วเบ้ปาก ปรายตาสำรวจห้องเช่าเก่าโทรมราคาถูก มองผมในชุดผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงิน มองลูกค้าที่กำลังนับเหรียญ แล้วหันกลับมามองผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเหยเกแบบไม่อยากเชื่อ

   “สภาพดูไม่จืดเลยนี่”

   “ขอบคุณ” ผมตอบเสียงเรียบ ถ้าไม่ติดว่ามีลูกค้าอยู่อาจจะโต้กลับดุเดือดกว่านี้

   “ทุกคนเป็นห่วงมากนะ ทำไมถึงปิดโทรศัพท์ล่ะ”

   “ไม่ได้ปิด แต่ขายทิ้งไปแล้ว”

   “เหอะ แค่ผู้ชายห่วยๆ คนหนึ่งทำให้นายต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างขนาดนี้เลยเหรอ นายยังมีฉันอยู่นะ หรือไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว!”

   “...”

   “พิชญ์!”

   พลันผมถอนหายใจเฮือก นึกขอบคุณลูกค้าที่ยังก้มหน้านับเหรียญ ไม่แม้แต่จะสอดแทรกหรือเหลือบมองการทะเลาะอันน่าปวดหัวนี้

   “ฉันน่ะนะ...ชอบชานมไข่มุกมาก”

   “โกหก!”

   “ก็เลยอยากเป็นเจ้าของร้าน ไม่ได้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชดใครทั้งนั้น ฉันมาทำตามความฝันเฉยๆ”

   “ฝันบ้าอะไร ฉันไม่เคยเห็นนายกินชานมไข่มุกด้วยซ้ำ!”

   “แล้วทำไมฉันต้องกินชานมไข่มุกต่อหน้านายด้วยไม่ทราบ” ผมชักคิ้วกระตุก เริ่มควบคุมไม่อยู่เมื่อเพื่อนสนิทเริ่มตะโกนเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนลูกค้าหลายรายที่เดินถือใบปลิวเข้าซอยมาเดินกลับออกไป อาจจะเข้าใจผิด คิดว่าผมโดนนักเลงหาเรื่องอยู่เลยกลัวโดนลูกหลง ให้ตายสิ อยากต่อยหน้าไอ้ภูมิชะมัด ใครสั่งใครสอนให้แต่งตัวแบบนี้มายืนตะโกนหน้าร้านชานมไข่มุก ภาพลักษณ์เสียหมด!

   “หมดธุระแล้วก็อย่ายืนเกะกะหน้าร้าน ไหนว่าเป็นเพื่อนรักกันไง ถ้ารักกันจริงก็อย่าขัดขวางความฝันเพื่อนสิ”

   ภูมิทำหน้าเหมือนอยากจะเถียงต่ออีกนิด แต่โดนผมส่งสายตาพิฆาต คนท่ามากแต่ใจเหลวเลยยอมล่าถอย เขาคงจำได้ถึงวันวานที่โดนผมขึ้นคร่อมต่อยซ้ายต่อยขวา ข้อหาทำของเล่นผมพังแล้วเอาไปฝังดินหวังกลบหลักฐาน แต่เจ้าตัวคงลืมไป ว่าบ้านผมมีกล้องวงจรปิด พอความจริงตีแผ่ เลยได้แต่ร้องไห้กระซิกๆ ยอมโดนทารุณแต่โดยดี

   ข่มขู่เพื่อนสนิทจนเผ่นป่าราบสำเร็จ ผมก็หันมายิ้มการค้าอีกครั้ง ก่อนจะชะงัก...เมื่อคุณลูกค้าว่างจัดขนาดเอาเหรียญบาทวางเรียงตามขอบเคาน์เตอร์คล้ายฆ่าเวลารอผมเสร็จธุระ

   “ขอโทษด้วยนะครับ”

   “ขอโทษอะไร” ชายหนุ่มหน้าตายถามเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “ก็...”

   “สิบห้าบาท” พลันเขาชี้นิ้วไล่เหรียญบาทที่เรียงรายงดงาม พิสูจน์ว่ามีจำนวนสิบห้าเหรียญจริงๆ นะ เมื่อเห็นผมพยักหน้ารับ ชายหนุ่มก็รวบเหรียญทั้งหมดให้ “เดี๋ยว”

   ผมค้างในท่าแบมือประคองกองเหรียญบาท

   “สิบห้าบาทค่าเครื่องดื่ม ส่วนนี่...” ชายหนุ่มตบแปะๆ ตามตัว ก่อนจะล้วงเหรียญสองบาทสีทองวางไว้บนสุดของกองเหรียญ “คือค่ากำลังใจ”

   ผมมองอีกฝ่ายอึ้งๆ คาดไม่ถึงกับความมีน้ำใจของคนที่เพิ่งต่อรองค่าเครื่องดื่ม

   “อย่ายอมแพ้ละ”

   พูดจบ หนุ่มหน้าตายก็ถือแก้วชานมออกจากร้านโดยไม่หันกลับมาอีกเลย ทิ้งให้ผมยืนงงมองกองเหรียญในมือ ก่อนจะหลุดยิ้ม โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยิ้มทำบ้าอะไร กำไรก็ไม่ได้ แถมยังได้ทิปแค่สองบาท ขึ้นรถเมล์ไม่พอด้วยซ้ำ แต่ช่วยไม่ได้นะ...สองบาทนี้มีค่า เพราะมาจากความใส่ใจและให้กำลังใจกัน

   ผมเก็บเหรียญหนึ่งบาทในลิ้นชัก ไม่ลืมจดบันทึกรายรับแรกของวัน หงุดหงิดชะมัด ถ้าภูมิไม่มาอาละวาดคงมีลูกค้าเยอะกว่านี้

   ว่าแต่เขาตามมาถูกได้ยังไง

   ผมขมวดคิ้ว นึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด ก่อนจะถอนหายใจ เพราะต่อให้รู้แล้วก็เปลี่ยนความจริงที่พวกเขาหาผมเจอไม่ได้

   ใช่ ‘พวกเขา’

   มีคนแรกก็ต้องมีคนที่สอง มีคนที่สองก็ต้องมีคนที่สาม

   ส่งภูมิซึ่งสมองน้อยที่สุดมาลองเชิง ไม่รู้ว่าคนที่เหลือจะโผล่หัวมาเมื่อไหร่ หมดกันชีวิตอันแสนสงบสุขกับชานมไข่มุกของผม จะย้ายที่ก็ไม่ได้ซะด้วยในเมื่อเพิ่งจ่ายมัดจำค่าเช่าที่ล่วงหน้าไปสามเดือน

   จริงอยู่ว่าเงินไม่ใช่ปัญหา แต่สุขภาพจิตนี่สิ...เกรงจะย่ำแย่เอา

   คิดแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก ในเมื่อไม่มีลูกค้า ผมเลยชงชานมกินเองซะเลย ว่ากันว่าเวลาหดหู่ ดื่มชานมแล้วจะสดชื่นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุปาทานหมู่หรืออะไรก็ตาม แต่ผมก็ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว และก็เป็นสาเหตุให้ตกหลุมรักมัน

   ผมเอนตัวพิงสะโพกกับถังน้ำแข็งด้านหลัง มือหนึ่งถือแก้วชานม อีกมือหมุนเหรียญสองบาทเล่น

   ก่อนจะนึกพิเรนทร์

   หาเชือกมามัดเป็นจี้ แขวนไว้กับตะปูข้างกำแพง ถือซะว่าเครื่องรางเตือนใจ

   ‘อย่ายอมแพ้ละ’

   ขนาดคนแปลกหน้ายังพูดแบบนี้ แล้วผมที่สู้อุตส่าห์หนีมาเปิดร้านจนสำเร็จจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง!

   สู้โว้ย!!!

   ----------------------

   

   และแล้วก็ได้เปิดร้านชานมไข่มุกกันนะคะ เย้

   สำหรับพระเอกนั้นออกมาตั้งแต่ตอนแรก ปักธงกันตั้งแต่ตอนแรกเลยด้วย ไม่พลิกโผแน่นอน เพื่อนสนิท พี่ชาย และแฟนเก่า มาเป็นปริศนาเฉยๆ ค่ะว่าทำไมพิชญ์ถึงหนีออกจากบ้าน

   เรื่องนี้จะเป็นแนวเล่าเรื่อยๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวันในการทำร้านชานมไข่มุกของพิชญ์ ฉะนั้นพระ-นายจะจีบกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ แนวฟีลกู้ดเต็มพิกัด

   ปล.เรื่องนี้จะอัพช้าหน่อย แต่สัญญาว่าจะอัพทุกอาทิตย์ค่ะ

   แฮชเทคประจำเรื่อง #ผมกับชานมไข่มุก

   
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-08-2019 19:12:52
โผล่มาตอนแรกพระเอกก็ให้ของแทนใจ(?)เลยน้าา รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 28-08-2019 19:48:30
        เป็นกำลังใจให้กับเรื่องใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 28-08-2019 22:10:43
กว่าจะรักกันได้นี่จะนานขนาดไหนน้อ พระเอกดูเป็นคนเรื่อยๆเอื่อย จะรู้ตัวว่ารักกันนี่คนอ่านต้องลุ้นขนาดไหน55555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-08-2019 22:45:38
พระเอกแต่ละคนของคุณเนี่ย​  :เฮ้อ: ไม่รู้ตะมาแนวไหนอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-08-2019 00:49:47
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-08-2019 08:44:47
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 29-08-2019 09:53:14
 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 29-08-2019 11:43:45
เป็นเบาหวานกันไปเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-08-2019 13:15:34
สู้ๆ

นะพิช
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 29-08-2019 18:48:16
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 29-08-2019 20:38:42
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 30-08-2019 11:17:39
 :mc4: ยินดีกะเรื่องใหม่ จะรอติดตามค่ะ  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 30-08-2019 19:05:22
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 1 : เปิดร้านวันแรก - [28/08/62]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 30-08-2019 19:30:47
ขอขายชานมราบรื่นน๊ส :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - อนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 01-09-2019 19:33:49


ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ


   แนะนำตัวกันก่อน ผมชื่อพิชญ์ อายุยี่สิบสอง เรียนจบตรีด้านการเงิน จึงทำรายการรับ-จ่ายอย่างเป็นระเบียบรวมถึงวางแผนการเปิดร้านชานมเป็นแบบแผนมาก ครอบครัวผมฐานะดี ไม่ถึงกับรวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่ลำบากขาดแคลนอะไร พ่อแม่รักใคร่กลมเกลียว ไม่ได้เป็นเด็กมีปัญหา ไม่เคยมีประวัติยาเสพติด หรือวิวาทมาก่อน

   ชีวิตดีขนาดนี้แล้วทำไมถึงหนีออกจากบ้าน!?

   อืม...ให้เล่าคงยาว เอาเป็นว่า...ผมอยากทำตามความฝัน แต่ไม่มีใครเข้าใจเลยหนีแม่ง

   เข้าใจตรงกันแล้วเนอะ!

   มาแนะนำตัวกันต่อ ผมเป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง หน้าตาก็ธรรมดา แต่งตัวก็ธรรมดา อย่างตอนนี้สวมเสื้อยืดกับกางเกงยีน คลุมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงินสกรีนลาย ‘พิชพิชชานม’ ผมสีดำสนิทมัดรวบครึ่งหัวเป็นจุกเล็กๆ ด้านหลัง ไม่ได้ทำตามแฟชั่น แค่ขี้เกียจไปร้านตัดผม ที่โดดเด่นหน่อยอาจจะเป็นผิวขาวๆ ตามประสาคนไม่เคยลำบากตรากตรำ กับนิ้วเรียวยาวที่มักโดนชมบ่อยๆ ตั้งแต่เด็กว่าเหมาะกับการเล่นเปียโน

   แล้วผมเล่นมั้ยน่ะเหรอ

   ผมไปตีกลอง

   ยังจำได้เลยว่าตอนนิ้วเริ่มกร้านเพราะจับไม้กลอง พ่อกับแม่แทบจะขาดใจ แต่ไม่ทันห้ามปราม ผมก็เบื่อก่อน เลยเปลี่ยนจากตีกลองไปเล่นกีตาร์ไฟฟ้า เรียนอยู่ราวๆ สองเดือน ก็เปลี่ยนไปเป่าขลุ่ยแทน แบบว่าอยากอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยน่ะครับ อีกอย่างเวลาไล่นิ้วยามกดบนรูของตัวขลุ่ย ก็ทำได้น่ามองและทำเอาคนเห็นแทบละสายตาไม่ได้ แม่ซื้อขลุ่ยให้เป็นของขวัญวันเกิดตอนผมอายุสิบห้า ซึ่งตอนนี้เก็บไว้ไหนก็จำไม่ได้ เพราะผมเลิกเล่นดนตรี หันไปเอาดีด้านกีฬาแทน

   ผมไม่ชอบเล่นเป็นทีม เลยฝึกตีเทนนิสกับภูมิ แต่ภูมิก็อ่อนเกิน เลยเลือกตีกอล์ฟตัดปัญหา ตีไปตีมา...เบื่อสุดใจ นึกอะไรไม่ออกเลยสะสมแผ่นหนัง ตั้งใจจะไปแข่งขันแฟนพันธุ์แท้หนังฮอลลีวู้ดดูสักครั้ง แต่คุณปัญญาไม่ยอมจัดสักที จึงเปลี่ยนเป้าหมายมานั่งวาดรูป ยามนิ้วเรียวสวยตวัดพู่กันสร้างสรรค์ผลงานก็ดูดีอยู่หรอก แต่ภาพที่ออกมาดันดูไม่ได้ ผมคงไร้พรสวรรค์ด้านศิลปะ สุดท้ายก็เปลี่ยนไปทำอีกหลายอย่าง ซึ่งไม่ขอลงรายละเอียด เพราะเกรงว่าหน้ากระดาษจะไม่พอ

   สรุปง่ายๆ คือ...ไม่มีอะไรทำให้ผมตกหลุมรัก อยากจะทำ อยากจะลอง อยากจะสู้ไปด้วยกันเท่าชานมไข่มุกแล้ว!

   แม้จะได้ชื่อว่าหนีออกจากบ้าน แต่พ่อกับแม่ก็ปล่อยผมออกมาง่ายๆ ด้วยประโยคอำลาที่ว่า...เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนก็เบื่อแล้วกลับมาเองนั่นแหละ

   ช่างดูถูกความรักของผมที่มีต่อชานมไข่มุกเหลือเกิน!

   เพื่อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทแด่รักแท้ในครั้งนี้ ผมจึงแบ่งเงินเก็บเป็นสามส่วน ส่วนแรกกินใช้ไม่อดตาย ส่วนที่สองใช้ในการเนรมิตร้าน ส่วนสุดท้ายไว้เช่าที่พัก ทุกอย่างมีเพียงพอสำหรับหนึ่งปี คอนโดอยู่ถัดจากที่นี่ไปสองป้ายรถเมล์ ก็ที่ผมเที่ยวยัดใบปลิวใส่กล่องจดหมายนั่นแหละครับ

   แม้สมัยเรียนจะมีรถรับ-ส่ง แต่ผมเป็นพวกขี้เบื่อ วันดีคืนดีออกมานั่งรถเมล์รอบเมือง เดินเที่ยวตามแนวรถไฟฟ้าแบบไม่มีจุดหมายบ่อยมาก ยิ่งรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนยิ่งชอบ เห็นผ่านหน้าเป็นไม่ได้ต้องขึ้นไปนั่งใช้สิทธิ์ประชาชนที่ดี โดยไม่แม้แต่จะดูด้วยซ้ำว่าปลายทางคือที่ไหน

   น่าตลกตรงไอ้ภูมิมักเป็นคนแรกที่หาผมเจอ

   ส่วนคนที่สอง...

   “กลับบ้านกับพี่”

   คือพี่ชายแท้ๆ ของผมเอง

   ถ้าจำไม่ผิดปีนี้ ‘พี่พจน์’ อายุยี่สิบเก้า หน้าตาค่อนข้างเคร่งเครียดจริงจังไปกับทุกอย่าง ขณะที่ผมโคตรจะผ่อนคลายสบายใจอะไรก็ได้ไปกับทุกอย่าง สาเหตุหนึ่งที่ผมกล้าหนีออกจากบ้าน เพราะเชื่อว่าพี่พจน์จะช่วยดูแลพ่อกับแม่ได้ แถมเขาก็ดูแลกิจการของครอบครัวอย่างดีมาก จนไม่รู้จะให้ผมกลับไปทำอะไร สู้เปิดร้านชานมไข่มุกยังมีประโยชน์กว่า

   “ไม่” ผมปฏิเสธทันทีขณะก้มหน้าเช็ดเคาน์เตอร์เพราะพี่แกเล่นมาแต่เช้าช่วงเพิ่งเปิดร้านตอนหกโมงตรง สงสัยไม่รู้ว่าผมพักที่ไหน เลยมายืนดักหน้าร้านทั้งที่สวมสูทเต็มยศ

   “พิชญ์ กลับบ้านกับพี่”

   “พี่พูดซ้ำประโยคเดิมทำไม ผมบอกแล้วไงว่าไม่” ผมเอ่ยอย่างเพลียใจ ก่อนจะหันไปสำรวจไข่มุกที่กำลังต้มสุก ดูลูกกลมๆ สีดำแวววาวนี่สิ ช่างน่าอัศจรรย์ถึงสัมผัสนุ่มนิ่มของมันนัก แม้จะไม่มีรสชาติในตัวเอง แต่เมื่อกินคู่กับชานมแล้วกลับสรรค์สร้างรสชาติอันตรึงตาตรึงใจ ผมคนไข่มุกในหม้อ ชื่นชมมันในใจไปเรื่อยๆ เพราะเชื่อว่าการทำอาหารด้วยความรักจะทำให้คนทานรับรู้ได้

   “อย่าประชดกันแบบนี้”

   “ใครประชดครับ คุณพี่ชายที่แสนดี” ผมกลอกตาเมื่อคุณพี่ชายไล่ไม่ง่ายเหมือนภูมิ เกิดไข่มุกน้อยใจ คิดว่าผมให้ความสำคัญกับมันไม่พอแล้วไม่หนึบหนับโดนใจลูกค้าจะทำยังไง “ไหนๆ ก็มาแล้ว อุดหนุนน้องมั้ย ผมชงชานมไข่มุกอร่อยมากเลยนะ ซื้อไปฝากพ่อกับแม่ด้วยก็ดี สามแก้วทั้งหมดหกสิบบาท ขอบคุณครับ”

   “ทำไมหกสิบบาท...” พี่ชายมองป้ายราคาอย่างสับสน

   “โปรโมชั่นเพิ่งเปิดร้าน ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ความจริงพี่ควรได้สี่แก้ว แต่ผมรู้...ว่าพี่เอาไปก็คงไม่รู้จะให้ใคร เลยคิดราคาของสามแก้ว สองแก้วแรกสามสิบบาท แก้วที่สามคิดราคาเต็มสามสิบบาท รวมเป็นหกสิบบาท” ผมเอ่ยเสียงเอื่อย ขณะช้อนไข่มุกที่สุกกำลังดีสลัดน้ำออก ก่อนจะเอาส้อมจิ้มเข้าปากเพื่อชิมรสชาติ อืม...แม้จะโดนพี่ชายขัดตอนกำลังชื่นชมไข่มุก แต่รสชาติก็ออกมาเด้งดึ๋งโดนใจใช่เลย “พี่ลืมแล้วรึไงว่าผมจบการเงิน”

   “ไม่ลืม แต่..”

   “แก้วที่สี่นั่นน่ะ” พลันมีคนพูดแทรก ผมกับพี่ชายหันขวับพร้อมกัน

   จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ชายหนุ่มคนเดิมเพิ่มเติมคือเก็บถุงพลาสติกใส่เหรียญหวังกินฟรี

   “ถ้าไม่มีใครเอา ฉันขอ”

   ความหน้าด้านสุดขีดนี้ผมถึงกับหลุดหัวเราะ ก่อนจะหันไปยักคิ้วเป็นเชิงถามความเห็นพี่ชาย

   “จะทำอะไรก็ทำ” เขาพูดพลางยื่นแบงก์ร้อยให้ผมพลางกระซิบบอกว่าไม่ต้องทอน

   “ขอบพระคุณครับคุณลูกค้า” ผมน้อมรับอย่างยินดียิ่ง ไม่ลืมเอาแบงก์มาตบๆ แปะๆ ตามเคาน์เตอร์เพื่อเป็นฤกษ์เป็นชัยเรียกทรัพย์เข้าร้าน ยิ่งเห็นพี่ชายคนเก่งก็ยิ่งทำหน้าไม่เป็น ผิดกับชายหนุ่มหน้าตายที่มายืนรอข้างๆ กัน รอกินฟรีไม่พอยังเรียกร้องอีกต่างหาก

   “เอาไข่มุกเยอะๆ”

   ถ้าเป็นคนหาเช้ากินค่ำ เจอลูกค้าอย่างเขาต้องอยากบีบคอแน่นอน แต่สำหรับผมที่ทำชานมไข่มุกด้วยใจรัก เห็นเขาชอบก็ยิ่งอยากให้ เลยตักเพิ่มเป็นพิเศษเกือบครึ่งแก้วจนพี่ชายถึงกับตาถลน

   “ร้านแกต้องเจ๊งแน่ๆ”

   “พูดอวยพรน้องหน่อยสิครับ” ผมเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ หันไปชงชานมสำหรับสี่แก้วด้วยใจที่พร่ำเพ้อว่าชานมจ๋า เจ้าช่างเป็นเครื่องดื่มที่เลิศล้ำที่สุดในปฐพี ความหวานนั้นก็ช่างหวานจับใจจนชวนระทวย ความหอมของผงชานมมียี่ห้อก็ช่างชวนให้สดชื่น เมื่อผสมรวมกันแล้วเกิดเป็นรสชาติหวานนุ่มละมุนลิ้น ไอเลิฟยู

   ใส่รักไปเกินร้อย ก็ไม่รู้คนรับจะรู้สึกบ้างมั้ย

   “ภูมิบอกว่าแกขายโทรศัพท์ทิ้งไปแล้ว”

   “ใช่” ผมตอบโดยไม่มองหน้าพี่ชายด้วยซ้ำ เพราะกำลังบรรจงเทชานมใส่แก้วให้พอดีขอบอย่างบรรจง

   “ซื้อใหม่รึยัง”

   “ยัง” พลันผมหันไปมองค้อนพี่ชาย เพราะเอาแต่ถามจนเสียสมาธิเลยนะเห็นมั้ย ผมทำชานมล้นออกนอกแก้วไหลรินเป็นทาง เห็นแล้วใจแทบสลาย เจ้าชานมที่ต้องถูกเช็ดทิ้งอย่างไร้ค่า ทั้งที่ตั้งใจชงด้วยความรักมากแท้ๆ ขอโทษนะชานม ยกโทษให้ด้วย อย่าจองเวรจองกรรมและกันเลย

   โดนผมจ้องกึ่งเคือง พี่พจน์ก็ยอมปิดปากแต่โดยดี แต่คุณลูกค้าข้างๆ กลับหลุดขำ

   ถึงอยากถามแค่ไหนว่าขำหาอะไร แต่ผมไม่ก้าวร้าวขนาดหาเรื่องลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าคนนั้นตัวสูงกว่าและดูจะมีกล้ามเนื้อกว่าตัวผอมแห้งเป็นไม้เสียบผีอย่างผมด้วย จะว่าไป สองเดือนมานี้เอาแต่หมกมุ่นกับชานม เอาเงินไปลงทุนแต่กับร้าน จนกินข้าวแค่วันละสองมื้อ แต่ละมื้อกินแค่ให้พออิ่มท้อง เลยผอมซูบทันตา

   ผมพิจารณาตัวเองยามวางแก้วชานมใส่เครื่องซีลปิดฝาจนเหมือนหลุดไปในโลกส่วนตัวครู่ใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมไอ เลยบรรจงวางแก้วใส่ถุง ยื่นส่งให้คนที่คันคอเหมือนอยากจะพูดเต็มแก่แต่ไม่กล้า

   “ชานมไข่มุกสามแก้วไม่เจาะหลอดครับ”

   “พิชญ์ แล้วเรื่องโทรศัพท์...”

   “พี่รีบหน่อยดีกว่านะ เข้างานสายแล้วจะหาว่าผมไม่เตือน” ผมชี้ไปที่นาฬิกาแขวนข้างกำแพงร้าน พี่ชายชักหน้ายุ่งทันที เพราะเขาเป็นพวกคลั่งความสมบูรณ์แบบ ซึ่งการเข้างานสายนับเป็นจุดด่างพร้อยสำหรับผู้มีโปรไฟล์ชั้นเลิศ

   “อย่าคิดว่าจะเลี่ยงได้ตลอดนะ” พี่พจน์ทิ้งท้ายอย่างเจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันใย ผมยกมือทาบอก อยากจะร้องตอบว่าฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น พี่ชายคล้ายจะรับรู้ถึงความกวนประสาทผ่านความเงียบนี้ เลยถลึงตาหนึ่งที รับถุงใส่แก้วชานมแล้วสะบัดหน้าเดินออกจากซอย

   “เป็นครอบครัวที่น่ารักดีนะ”

   คุณลูกค้าเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยเหมือนชวนคุยถึงดินฟ้าอากาศ ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี จะกวนก็ไม่ได้ เลยพยักหน้ารับนิ่งๆ แล้วส่งแก้วชานมแบบเจาะหลอดให้เขา

   “แก้วนี้ฟรีครับ” ผมรีบบอก เพราะจู่ๆ เขาก็หยิบถุงพลาสติกใส่เหรียญออกมา

   “รู้แล้วว่าฟรี” คุณลูกค้ายักคิ้วหนึ่งที ก่อนจะพยักพเยิด ให้ผมแบมือรอรับบางสิ่ง

   เป็นเหรียญสองบาท

   “กำลังใจ?”

   ผมหมุนเหรียญในมือ ยากจะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้

   “เปล่า” คุณลูกค้ารับชานมไปดื่ม ไข่มุกที่อัดแน่นในแก้วทำให้อีกฝ่ายแก้มบวมตุ่ยเคี้ยวหยับๆ อย่างเพลิดเพลิน เห็นไข่มุกที่ตั้งใจต้มด้วยรักได้รับความเอ็นดูขนาดนี้ผมก็ลอบปลื้มปริ่มอยู่ในใจ “ให้อยู่เป็นเพื่อน กลัวจะเหงา”

   ผมงงมาก

   ผมงงมากจนคิดว่าหน้าในตอนนี้ก็แสดงออกถึงความงงมากจนคุณลูกค้าแทบจะสำลักชานมด้วยความขำ

   “ไม่ใช่ให้อยู่เป็นเพื่อนนาย” คุณลูกค้าช่วยไขปริศนา โดยการชี้ไปยังกำแพงฝั่งซ้ายของผม “ให้อยู่เป็นเพื่อน ‘ไอ้โน่น’”

   ผมมองตาม ก่อนจะพบว่า ‘ไอ้โน่น’ ก็คือเหรียญสองบาทเมื่อวานที่ผมนึกพิเรนทร์เอาเชือกมาผูกเป็นจี้แล้วแขวนเป็นเครื่องรางเสริมสร้างกำลังใจ

   วินาทีนั้น จู่ๆ ก็นึกเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ คิดอย่างใสซื่อไม่มีอะไรเจือปน แต่เมื่อโดนเขาพูดแกมหยอกล้อเหมือนมีอะไรเกินเลย ก็ทำเอาหูแดงอย่างห้ามไม่ไหว ผมหันไปตั้งใจจะแก้ตัว แต่กลับพบเพียง...ความ...ว่าง...เปล่า

   คุณลูกค้าหยอกแซวจนสาแก่ใจก็ถือแก้วชานมจากไป

   ทันเห็นแผ่นหลังไวๆ เดินออกจากซอย

   ผมลูบหน้าลูบตา พยายามปรับอารมณ์ มองเหรียญสองบาทในมือสลับกับจี้ที่ห้อยติดกำแพง คิดว่าจะเอาลงมาเก็บดีมั้ย เพราะถ้านึกถึงใจคนให้ เห็นคนรับเหรียญสองบาทไร้ค่าไร้ราคามาห้อยกึ่งบูชาขนาดนี้ก็สมควรเข้าใจผิดอยู่หรอก

   วูบหนึ่งชักอย่างกวนกลับเล็กๆ ในเมื่อพูดต่อหน้าไม่ได้ งั้นผมจะแสดงออกผ่านการกระทำ

   อยากให้อยู่เป็นเพื่อนกันใช่มั้ย ได้!

   ผมใช้เชือกยาวเส้นเดิมมัดรอบเหรียญสองบาทเหรียญใหม่ จนกลายเป็นจี้สองเหรียญเรียงในแนวตรง ดูพิลึกแปลกตาดี

   ผลลัพธ์คือสะดุดตาลูกค้ามาก

   บางคนคนสั่งชานมแล้วอดหันไปมองไม่ได้ บางรายถึงขั้นถามว่านั่นเป็นของไสยศาสตร์หรือเปล่า เชือกขาวคือสายสิญจน์ ส่วนเหรียญทองๆ นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ย

   ผมยืนยิ้มไม่ตอบคำ ปล่อยให้ลูกค้าจินตนาการเต็มที่ ตลอดทั้งวันมีคนวนเวียนมาเป็นครั้งคราว ไม่เยอะมากแต่ก็ไม่นับว่าน้อยจนน่าใจหาย เทียบกับเมื่อวานที่นั่งตบยุงแล้ว...โคตรดีเลยเถอะ!

   เพราะแถวนี้มีโรงเรียนซะเยอะ ส่วนใหญ่เป็นชั้นประถม เลิกเรียนกันตั้งแต่สี่โมง หกโมงก็แทบจะไม่มีคนแล้ว ผมปิดร้านตอนหนึ่งทุ่ม เดินแจกชานมเพราะไข่มุกเหลือแล้วไม่อยากทิ้งข้ามคืนให้ร้านรับปักเสื้อนักเรียนข้างๆ กันซึ่งเป็นคุณยายวัยหกสิบปี คุณยายไม่เคยกินชานมมาก่อน ตอนได้รับเมื่อคืนวานก็ดีใจใหญ่ ได้เผื่อแผ่ความรักให้คนเฒ่าคนแก่ผมก็มีความสุข

   ถัดจากร้านปักเสื้อนักเรียนก็เป็นร้านถ่ายเอกสาร ผมเอาชานมไปแจกเขาพร้อมบอกขอบคุณ เพราะวันนี้มีลูกค้าเยอะขึ้นจากคำแนะนำของเขาเลย ถัดจากร้านถ่ายเอกสารคือร้านเครื่องเขียน ต่อด้วยร้านขายตุ๊กตา ร้านขายขนมขบเคี้ยว จากนั้นก็ร้านหนังสือ

   ส่วนหน้าปากซอยก็คือ...ร้านชานมยี่ห้อดังเจ้าใหญ่ที่กินพื้นที่ถึงสองห้อง ข้างๆ กันเป็นร้านขนมปังปิ้งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของคนเดียวกัน

   ครับ ร้านของผมอยู่ในสุดของซอย

   แจกชานมเสร็จผมก็ปั่นจักรยานกลับหอ นึกในใจว่าจะทำยังไงให้ลูกค้าเพิ่มขึ้นดีน้า


   -----------------

   คุณพี่ชายเปิดตัว!!! พี่ชายเรื่องนี้ก็จะคนละแบบกับพี่นทีคนคลั่งน้องในเรื่องนาวาค่ะ พี่พจน์จะออกแนวดุๆ หน่อย แต่ก็รักน้องเหมือนกันน้าไม่งั้นคงไม่มาตามหรอก แต่น่าเสียดาย...เพราะพิชญ์ไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆ

   เขาจะต้องทำร้านชานมไข่มุกให้ประสบความสำเร็จให้ได้!!

   แต่เริ่มต้นยังเงียบเหงา ลูกค้ายังไม่ค่อยมี พิชญ์จะประชาสัมพันธ์ยังไงดีน้า มาร่วมลุ้นเอาใจช่วยกับการร้านชานมพิชพิชด้วยนะคะ รับรองว่าน้องจะทำได้ทำดีแน่นอน!!

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 01-09-2019 21:49:41
หรือว่าเจ้าของเหรียญจะเป็นเจ้าของร้านชานมที่อยู่ปากซอยหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-09-2019 23:27:56
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-09-2019 00:23:09
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 02-09-2019 07:41:56
เอาใจช่วยพิชญ์จ๊ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 02-09-2019 08:36:07
สู้ๆ พิชพิช
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 02-09-2019 10:10:19
สู้กันต่อไปนะน้องพิชญ์ ^^
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 02-09-2019 15:20:44
จ่ะ เข้าใจน้องพิญมากขึ้นล่ะ งี้แหละคนมียูนีคคคเป็นของตัวเอง  :m20:
เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ มะวานมาขอจ่าย 15 บาท วันนี้ขอแก้วแถม ชักยังไง  :hao3:
รอดูพรุ่งนี้จะมาแนวไหน จะสร้างครอบครัวเหรียญ 2 บ.สีทองหรือเปล่าน๊า  :katai3:
  :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-09-2019 18:13:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-09-2019 21:18:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 03-09-2019 00:29:28
         เอาชานมไข่มุกแก้วนึงคะ

ส่วนอีกแก้วที่ฟรี....ฝากไปให้พี่พจน์ด้วยนะค่ะ♥️♥️
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 2 : พิชญ์เองครับ - [01/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 03-09-2019 10:34:09
สู้ ๆ นะน้องพิชญ์

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 06-09-2019 19:39:25


ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง



   เช้าวันนี้พี่ชายมาระรานกันอีกแล้ว

   “เอาไป” มาถึงก็โยนโทรศัพท์เครื่องใหม่เอี่ยมให้ ผมไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ เพียงเก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วหันไปถามลูกค้าเจ้าประจำที่นับจากนี้จะเรียกว่าคุณคนแรก เพราะเขาเป็นลูกค้าคนแรกของผมอย่างสุภาพ

   “วันนี้รับอะไรดีครับ”

   “ชานมไข่มุก...” คุณคนแรกพูดพลางเหลือบมองพี่ชายผมที่แทบจะเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อโดนน้องชายเมิน ผมรู้เจตนาลูกค้าทันที เลยหันไปถามพี่ชายอย่างไม่ค่อยจะสุภาพสักเท่าไหร่ว่า

   “วันนี้พี่จะซื้อชานมอีกรึเปล่า โปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งยังมีอยู่นะ”

   “ไม่!” พี่ชายกระแทกเสียง ก่อนจะเดินหัวเสียจากไปด้วยมาดผู้บริหารในชุดสูทที่แม้จะโกรธแค่ไหนก็ยังหลังเหยียดตรงทรงภูมิ ผมหันมาทำหน้าจนใจใส่คุณคนแรกเชิงว่าพยายามแล้วนะ ผมเองก็อยากให้เขากินฟรี แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะพี่ชายไม่ให้ความร่วมมือ

   เขาหลุดขำพรวดจนตัวกระตุก เส้นตื้นสุดๆ จนน่ากลัวว่าสักวันจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   “จะจ่ายเต็มหรือครึ่งราคาครับ” ผมถามกึ่งระแวง เรียกรอยยิ้มจากร่างนั้นให้ยิ่งกว้างขึ้นอีก แต่ถึงจะบอกว่ายิ้มกว้าง จริงๆ แล้วก็แค่กระตุกมุมปากขึ้นมาหน่อยนึงเท่านั้น

   “จ่ายเต็ม”

   สีหน้าผมสดใสขึ้นทันที แม้จะยอมให้เขาเป็นพิเศษ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมโดนเอาเปรียบไปตลอดกาล หลังชงชานมไข่มุกเสร็จผมก็รีบเจาะหลอดส่งให้ด้วยฉากหลังดอกไม้บาน

   “สามสิบบาทครับ”

   “อืม”

   อืมแล้วไง อืมแล้วอะไร อืมแล้วทำไมถึงให้เหรียญสองบาทมา...

   ผมมองหน้าเขาด้วยความอึ้ง ค้างในท่าแบมือรอรับเงินด้วยความหวังว่าต้องได้เพิ่มสิ มันไม่ควรมีแค่นี้สิ!

   “นี่คืออะไรครับ”

   “แปะโป้ง” คุณคนแรกดื่มชานมด้วยสีหน้าผ่อนคลายสบายใจเหมือนทำความดีเพื่อสังคม “วันนี้ไม่ได้พกเงินมา ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่นี้ แปะโป้งไว้ก่อนนะ”

   ผมพูดอะไรไม่ออก

   ชื่อเขาก็ไม่รู้ เป็นใครจากไหนก็ไม่ทราบ จู่ๆ มาขอแปะโป้งค่าชานมสองบาท แบบนี้ก็ได้เหรอ!

   ฝ่ายนั้นก็คล้ายจะรอว่าผมจะตอบยังไง พอได้ชานมแล้วถึงไม่รีบเดินออกจากซอยเหมือนเคย เพียงยืนดูดหลอดมองหน้าผมอย่างสำรวจ ราวพร้อมจะหลุดหัวเราะออกมาทุกเมื่อ

   แล้วจะให้เขาสมหวังได้ยังไง

   “ได้ครับ” ผมรับเหรียญสองบาทมากำในมือ ไม่รู้ทำไม แต่ในใจไม่มีความคิดว่าเขาจะโกงสักนิดเดียว พรุ่งนี้จะต้องได้เจอกันอีก ไม่มีทางแปะโป้งด้วยเหรียญสองบาทแล้วชิ่งหายดื้อๆ แน่นอน

   ก็อยากรู้นักว่าจะมาไม้ไหน

   “ยอมด้วย?” คุณคนแรกกลายเป็นฝ่ายประหลาดใจซะเอง ก่อนจะยิ้มกริ่มด้วยสีหน้าที่ชวนให้ผมลนลานเหมือนโดนเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะเมื่อเขาปรายตาไปยังเชือกผูกเหรียญสองบาทสองเหรียญข้างกำแพง ทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรส่อไปในแง่นั้น เพียงแค่ใช้สายตาจ้อง แต่กลับทำให้ผมคันปากอยากแก้ตัวเอามากๆ

   “คือว่า...”

   “พิชญ์!”

   วันนี้ก็ไม่วายมีมารผจญคนใหม่

   แถมเป็นคนที่ผมไม่อยากพบที่สุดด้วย

   “หมอนี่ใคร!!”

   มาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ชี้นิ้วใส่คุณคนแรกที่ยืนดูดชานมอย่างสบายอุราเหมือนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้

   ซึ่งก็ไม่เกี่ยวจริงๆ นั่นแหละ

   “ไม่ตอบ แสดงว่าแฟนใหม่ มึงมายุ่งอะไรกับแฟนกูไอ้เชี่ย!!”

   โอ๊ย พังไปหมดแล้วชีวิต ผมอยากจะร้องไห้เมื่อ ‘แฟนเก่า’ กระชากคอเสื้อคุณคนแรก ไม่ทันจะมุดเคาน์เตอร์ออกไปห้ามปราม ผมก็ต้องเป็นฝ่ายอ้าปากค้างเมื่อคุณคนแรกไม่หือไม่อือ ไม่โวยวายหรือคัดค้าน เพียง...คว่ำชานมไข่มุกในมือเต็มกลางกบาลของ ‘กฤต’

   คุณยายร้านข้างกันได้ยินเสียงวิวาทเลยชะโงกหน้าออกมา ทันเห็นฉากนั้นพอดีจนอุทานร้องอุ๊ย

   ส่วนผมร้องเชี่ย!

   หลายคนเดินเข้ามาในซอยก็พากันมองร้านผมด้วยสายตาแปลกๆ เข้าไปใหญ่ อยู่เฉยไม่ได้แล้ว ผมรีบมุดออกจากเคาน์เตอร์ ไปยืนขวางระหว่างกฤตกับคุณคนแรก ในมือถือผ้าขี้ริ้วช่วยซับชานมอย่างบรรจง

   “พิชญ์ห่วงเราเหรอ” กฤตที่โกรธจนตัวสั่นฟีบลงทันตาเมื่อผมปราดมาเช็ดน้ำเอ่ยเสียงอ่อนแกมง้อทันที ใช้มือเปียกๆ นั้นกุมมือผมไว้ แต่ก็โดนปัดทิ้ง แม้จะโกรธแต่เขาพยายามสงบใจ เผยยิ้มเจิดจ้าหลังปรับอารมณ์หึงหวง เพราะกฤตมีความผิดติดตัว และการจะขอให้ผมยอมอภัยย่อมไม่ใช่การพาลใส่คนอื่นแน่นอน

   ต่อหน้าผม กฤตจะเป็นผู้ชายยิ้มเก่งพูดจาหวานน่ารักเสมอ

   “เปล่า ห่วงชานม” ผมตอบเสียงเรียบขณะพยายามจะโกยไข่มุกบนหัวเขาให้ครบทุกเม็ด น้ำตารื้นขึ้นมาหน่อยๆ นึกเสียดายชานมที่ชงด้วยใจรัก เสียดายไข่มุกที่ต้มด้วยความเอาใจใส่ พลันเสียงหัวเราะหลุดพรืดอีกครั้ง จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่คุณคนแรก

   “ขอโทษด้วยนะครับ” ผมรีบหันไปขอโทษขอโพยลูกค้า “ผมจะชงแก้วใหม่ให้ เงินที่ค้างไว้ก็ไม่คิด ยกให้ฟรีแทนคำขอโทษครับ”

   “อืม” คุณคนแรกตอบรับอย่างว่าง่าย ถ้ากฤตใจเย็นได้แบบนี้สักครึ่งหนึ่งคงดี แค่คิดผมก็เผลอมือหนัก จากเช็ดหัวเขาเป็นจิกหัวเขาผ่านผ้าขี้ริ้วจนได้ยินเสียงร้องโอดโอย

   “พิชญ์! หัวเราจะหลุดแล้วพิชญ์!”

   “ผมเปล่าทำร้ายเขานะ” ผมหันไปแก้ตัวกับคุณคนแรกว่าไม่ได้ประทุษร้ายแฟนเก่าด้วยอารมณ์ส่วนตัวเลยจริงๆ ผมไม่ใช่คนชอบใช้ความรุนแรงแม้แต่นิดเดียว อย่าได้หวาดกลัว อย่าได้เดินหนีเชียว

   โชคดีที่คุณคนแรกเข้าใจว่าเมื่อครู่เป็นเพียงอุบัติเหตุ จึงยอมถอยหลังให้ผมมุดเคาน์เตอร์กลับไปชงชานมแก้วใหม่ ส่วนกฤตที่โดนทึ้งหัวจนเส้นผมติดมือมาด้วยก็หงุดหงิดนิดหน่อย แอบส่งสายตาคาดโทษให้คุณคนแรก ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ผมอย่างเอาใจ

   กฤตหนอกฤต ผ่านไปสองเดือน ยังนิสัยเสียแบบไม่รู้ความผิดตัวเองเหมือนเดิม

   คนที่เข้าใจผิดก่อนก็เขา คนที่กระชากเสื้อหาเรื่องก่อนก็เขา ยังมีหน้าไปอาฆาตคนอื่นอีก ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนผมเอาหัวโขกเต้าหู้แล้วทำสมองหายที่ไหน ถึงหลวมตัวตกลงคบกับเขาได้ตั้งนานสองนาน

   “ชานมแก้วใหม่ครับ ผมแถมไข่มุกให้พิเศษเลย” ผมกล่าวกับคุณคนแรกด้วยน้ำเสียงจริงใจเป็นพิเศษ วาดหวังให้อย่าได้โกรธเคืองกับการปรากฏตัวของแฟนเก่าที่โคตรจะไร้มารยาทคนนี้

   “อืม” ซึ่งคุณคนแรกก็ตอบแบบขอไปทีคล้ายไม่คิดอะไรและทำราวกับว่ากฤตเป็นอากาศธาตุ “แก้วนี้ฟรีใช่มั้ย”

   “ครับ”

   “งั้นที่แปะโป้งไว้...”

   “อ้อ ต้องให้คืนสินะครับ”

   “ไม่ ไม่ต้องคืน” ผมชะงักในท่ายื่นเหรียญสองบาทให้คุณคนแรก เมื่อเขาใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือชานมกำรอบมือผมอย่างง่ายดาย ทั้งที่เป็นมือผู้ชายเหมือนกันแต่เขาทำเหมือนมือผมเล็กนิดเดียว

   “พิชญ์ สรุปแล้วพิชญ์กับมันเป็นอะไรกันแน่!”

   “กฤต!” ผมหันไปขึ้นเสียงใส่กฤตที่เสียมารยาทอีกครั้ง เขาหดคอนิดหน่อย ไม่วายจ้องคุณคนแรกแบบจับผิดอย่างปักใจเชื่อว่าผมกับเขาต้องมีซัมติงกันแน่ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้คุณคนแรกเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มเย็น ปล่อยมือผมแล้วเดินออกจากซอยไป

    “พิชญ์จ๋า” ไร้คนนอก กฤตก็หันมาเรียกผมเสียงหวาน กุมมือผมทับสัมผัสของคุณคนแรก พยายามจะประสานนิ้วให้ได้ แต่โทษที ผมกำมือแน่น ไม่โอนอ่อนหรือใจอ่อนแม้แต่น้อย

   เอาจริงๆ แล้วกฤตก็ไม่ใช่คนหัวร้อนหรอก เขาไม่ใช่ภูมิ ติดแต่ขี้หึงไปหน่อย และร้อนตัวแบบไม่หน่อยด้วย

   เขากลัวผมมีคนใหม่ ในเมื่อสาเหตุที่เราทะเลาะกันก็เพราะว่าเขานั้น...

   “รู้มั้ยว่าเราตามหาพิชญ์ตลอดสองเดือนเลย เป็นห่วงแทบบ้า เราไม่อยากให้พิชญ์เข้าใจผิด เรื่องในวันนั้นน่ะเป็นแค่...”

   “กฤต” ผมพลิกมือ เปลี่ยนมาเป็นกำมือกฤตแทน พร้อมบีบเบาๆ...อืม ก็ไม่เบาเท่าไหร่ “ตามเจอได้ยังไง”

   “เพราะหัวใจสั่งมา โอ๊ย!! เพราะไอ้ภูมิบอก มันบอกว่าพิชญ์ไม่ยอมกลับเพราะโกรธเรา ก็เลยให้เราเป็นคนมาตามแล้วเคลียร์เรื่องเข้าใจผิดให้มันจบๆ ไปสักที นี่ก็สองเดือนแล้วนับจากวันนั้น เรายังไม่มีโอกาสแก้ตัวกับพิชญ์เลย!”

   ผมมองกฤตที่ชักดิ้นชักงอแล้วปล่อยมือ เกือบลืมบอกไปว่าสารพัดงานอดิเรกของผมรวมถึงการฝึกเทควันโด้ ไอคิโด้ และซูโม่ด้วย แม้จะเป็นแค่การเรียนแป๊บๆ แค่พื้นฐานไม่กี่เดือนแล้วเบื่อก็เถอะ

   ภูมินะภูมิ จะเสือกทำไม!

   ผมคิดอย่างเซ็งจิต เพราะรู้ดีว่ากฤตไม่มีวันหาผมเจอเองแน่ๆ

   “พิชญ์จ๋า” กฤตเรียกเสียงหวาน ยิ้มเจิดจ้าน่ามอง ทำให้ผมหันไปสำรวจว่าสองเดือนนี้เขามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างมั้ย ผลคือ...ไม่เลย แม้ใต้ตาจะดำ แต่ก็เป็นปกติของคนชอบเที่ยวกลางคืนอย่างเขาอยู่แล้ว กฤตเป็นผู้ชายหน้าหล่อที่เห็นแวบแรกใครเป็นต้องหัน เขาหล่อมากขนาดถูกทาบทามเป็นดารา แต่เนื่องจากเกลียดความลำบาก รักสบาย และความจำไม่ดี เขาจึงปฏิเสธแล้วเลือกเป็นนายแบบแทน กฤตสูงมาก เฉียดร้อยเก้าสิบได้ สูงยาว เข่าดี แต่งตัวเก่ง เขาจะออกจากบ้านไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ใส่สร้อยเท่ๆ หรือนาฬิกาเก๋ๆ เส้นผมสีน้ำตาลเสยเปิดใบหน้าที่เจ้าตัวแสนจะภูมิใจ แม้ยามนี้จะเปียกชื้นเจือกลิ่นชานมก็ตาม

   “เรารักพิชญ์คนเดียวนะ พิชญ์หายโกรธ แล้วกลับไปด้วยกันเถอะนะ ภูมิก็รออยู่ พี่พจน์เองก็ร้อนใจ ทั้งคู่อยากให้พวกเราคืนดีแล้วกลับมาคบกันเหมือนเดิมนะ”

   “โกหก” ผมแค่นยิ้ม พี่พจน์น่ะคัดค้านเรื่องผมคบกับกฤตยิ่งกว่าใคร ไม่มีวันพูดจาญาติดีกับแฟนเก่าของผมคนนี้เด็ดขาด เพราะเป็นเพศเดียวกันคือเหตุผลข้อแรก เพราะกฤตไม่เอาอ่าววันๆ เอาแต่เที่ยวคือเหตุผลข้อที่สอง และเพราะกฤตโคตรเจ้าชู้คือเหตุผลข้อที่สาม

   เขาหล่อขนาดนี้ หน้าตาดีขนาดนี้ ไม่มีคนเข้าหาย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่สาเหตุที่ทำให้เราเลิกกันน่ะไม่ใช่ข้อนั้นหรอก

   “เกะกะหน้าร้านจริงๆ พูดจบแล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว” ผมโบกมือไล่กฤตแบบไม่แม้แต่จะเจ็บปวดหรือตัดพ้อตามประสาคนที่เจอหน้าแฟนเก่าซึ่งเลิกราอย่างไม่ค่อยจะดีนัก

   “พิชญ์จะให้เราทำอะไรเรายอมทุกอย่างเลย”

   “ก็บอกให้ไสหัวไปไง” ผมเอ่ยอย่างเหนื่อยใจเกินจะกล่าวซ้ำเป็นรอบที่สาม

   “พิชญ์จ๋า อย่างน้อยก็อย่าประชดกัน หนีมาเปิดร้านชานมแบบนี้สิ”

   คล้ายได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขาดผึง

   อ้อ เส้นอารมณ์ของผมเอง

   “ฟังนะ” ผมเอ่ยเสียงเหี้ยม ขณะเอื้อมไปจับหูกฤตให้ตั้งใจฟังดีๆ แน่นอนว่าต้องเขย่งเท้าสุดตัว และต้องขอบคุณที่กฤตยอมย่อตัวแล้วเอียงเข้าหาด้วย “ฉันไม่ได้หนี ต่อให้หนีออกจากบ้านจริงก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะหนีหน้านาย และที่เปิดร้านชานมไข่มุกก็เพราะใจรัก!”

   คำว่าใจรัก ผมเน้นย้ำเป็นพิเศษจนแทบจะขบกัดหูกฤตกลืนลงท้องอยู่รอมร่อหากเขายังไม่เข้าใจอีก

   มีหูแต่ฟังไม่รู้เรื่องก็อย่ามีมันเลย!

   “โอ๊ย เข้าใจแล้วครับ เข้าใจแล้ว” กฤตบิดตัวเป็นเกลียวตามแรงบิดของผมเพื่อรักษาหูตัวเองไว้

   “เข้าใจว่าอะไร” ผมปล่อยมือจากกฤต

    “เข้าใจว่าพิชญ์ยังไม่ยกโทษให้ งั้นเราจะมาง้อทุกวันเลย”

   ...ฉายากฤตสมองน้อย ไม่ได้มาเล่นๆ จริงๆ ครับท่านผู้ชม

   “ขอกลับไปคิดแผนใหม่ก่อนนะ” กฤตถอยห่าง กลัวจะโดนผมฉุดกระชากทำร้ายร่างกายอีก แต่ก็ไม่วายทำมือเป็นรูปหัวใจพร้อมขยิบตาให้ “พิชญ์ครับ รักนะ”

   รักนะบ้าบออะไรอีก! ผมแทบจะปาของใกล้มือเขวี้ยงใส่กบาลกฤต แต่ยั้งทันเพราะของสิ่งนั้นคือ...เหรียญสองบาท

   เพียงเห็น ความเกรี้ยวกราดก็คล้ายจะหดหายอย่างอัศจรรย์ ผมเป็นพวกโกรธง่ายหายไวอยู่แล้ว มองร่างกฤตที่สวมแว่นดำ ใส่หมวก ปลอมตัวเดินออกจากซอยอย่างกับตัวเองเป็นดาราดังแล้วถอนหายใจเฮือก ก่อนจะหันไปผูกเหรียญกับเชือกข้างกำแพงอย่างขะมักเขม้น

   และแล้วเครื่องรางเสริมสร้างกำลังใจก็กลายเป็นเหรียญสองบาทเรียงยาวแนวดิ่งสามเหรียญ

   ผมยืนจ้องสักพักก็หยิบไม้ถูพื้นมุดออกจากเคาน์เตอร์ไปเช็ดคราบชานมที่โดนกฤตย่ำจนเละเป็นสีดำๆ ด่างๆ เห็นแล้วใจปวดร้าวประหนึ่งความพยายามของตัวเองถูกเหยียบย่ำ ให้ตายสิ ทำไมภูมิ พี่พจน์ กับกฤตถึงไม่เข้าใจ ผมเปิดร้านชานมเพราะใจรัก ไม่ได้ทำเพื่อประชด ไม่ได้ทำเพื่อหนีหน้า ไม่ได้ทำเป็นงานอดิเรกแก้เบื่อฆ่าเวลาด้วย

   คำว่ารักมันเข้าใจยากขนาดนั้นเลยรึไง!!


   

   -------------------

   และแล้วตัวละครก็ออกมาครบแล้วนะคะ แถมรู้ชื่อกันหมดแล้วด้วย

   ภูมิ พี่พจน์ และกฤต

   ใครกันนะที่ทำให้พิชญ์ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน หรือจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังกว่านี้?? ยังไงก็ตาม...พระเอกของเราที่มาเห็นในทุกฉากทุกตอน ด้วยหน้าปลาตายก็ยังไม่เฉลยชื่อ มาลุ้นกันนะคะว่าเหตุผลของพิชญ์จะเฉลยก่อน หรือชื่อพระเอกจะเฉลยก่อน!??
   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-09-2019 20:06:04
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-09-2019 20:20:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-09-2019 20:51:09
น่าเหนื่อยใจไปกับพิชญ์จริง ๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 06-09-2019 21:21:05
รู้สาเหตุก่อนแน่
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 06-09-2019 21:25:18
พ่อพระเอกสองบาท น่าจะเกินๆ ล้นๆ นะ  :laugh:

หนักใจแทนพิชญ์จริงๆ เจอแต่ละคนๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-09-2019 22:09:35
เหมือนเตโชมาซื้อชานม 555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-09-2019 22:33:55
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 06-09-2019 22:45:18
เป็นร้านชานมไข่มุกที่ลุ้นระทึกทุกวันเลย 5555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-09-2019 23:38:59
รอตอนต่อไป  :impress2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 06-09-2019 23:50:11
         สนุกค่ะ

พิชนี่แนวโหดมันฮา เลยทีเดียว

รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-09-2019 00:18:20
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 07-09-2019 22:35:32
 :m25: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 3 : แฟนเก่าอีสคัมมิ่ง - [06/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 08-09-2019 09:04:41
พิช

จะ

เจ๊ง

ใหม

ลูก

สภาพ

แบบ

นี้

ค่า

ไข่มุก

ก็

จะ

ไม่

มี

ต่อทุน
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 17-09-2019 11:23:19
ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่

   เช้าวันนี้เจอคุณคนแรกเจ้าเก่าเจ้าเดิม

   ผมชะโงกตัวออกจากเคาน์เตอร์ มองไปทางหน้าปากซอย จนมั่นใจว่าไม่มีภูมิ ไม่มีพี่พจน์ ไม่มีเงาร่างของกฤต ก็ถอนหายใจแล้วหันมายิ้มให้ลูกค้า

   “วันนี้รับอะไรดีครับ”

   “แนะนำหน่อยสิ”

   วันนี้ถามกลับด้วยวุ้ย ผมผายมือไปทางเมนูซึ่งวางเด่นหน้าเคาน์เตอร์ให้เขารับชม

   “ความจริงผมก็อยากแนะนำชานมไข่มุกนะครับ เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ผมรักที่สุด แต่เห็นคุณลูกค้าดื่มสามวันติดแล้ว เลยแนะนำเป็นชาเขียวไข่มุกแทน นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของผม ชาเขียวนี้เป็นของชั้นดีที่เก็บมาจากยอดดอยของประเทศญี่ปุ่น เน้นเฉพาะยอดอ่อนใบชาเท่านั้น”

   “งั้นเอาชาเขียวไข่มุก”

   “ครับ” ขายของสำเร็จใครบ้างจะไม่ดีใจ ผมตั้งหน้าตั้งตาชงชาเขียวที่อวดอ้างสรรพคุณอย่างดิบดีทันควัน ในใจก็ท่องคาถาแห่งรักไปด้วยเพื่อให้รสชาติกลมกล่อมกำลังดี

   “ชาเขียวไข่มุก สามสิบห้าบาทครับ”

   “สามสิบ?”

   “สามสิบห้าครับ”

   “สามสิบไม่ได้เหรอ”

   “สามสิบห้าครับ”

   คุณคนแรกกับผมจ้องตากัน วินาทีนั้นเหมือนมีกระแสไฟฟ้าพาดผ่าน เป็นการประกาศสงครามแบบไม่มีใครยอมใคร เพราะนี่ก็ปาไปวันที่สี่แล้ว คุณคนแรกจะใช้สิทธิ์คนแรกเอาเปรียบผมตลอดไปไม่ได้!

   “สามสิบห้าก็สามสิบห้า” สุดท้าย คุณคนแรกก็เป็นฝ่ายยอมล่าถอย

   “สามสิบก็ได้ครับ” เช่นเดียวกับผมที่ไม่กล้าหักหาญน้ำใจลูกค้าประจำเพียงคนเดียวได้ลงคอ

   พวกเราชะงัก สงครามจ้องตาจบลงด้วยต่างคนต่างยอมแพ้ แล้วจะสรุปจบยังไง

   “งั้น...” คุณคนแรกหยิบถุงพลาสติกขึ้น แกะหนังยางออก แล้วนับเหรียญสิบให้ผมสามเหรียญ กับเหรียญสองบาทแสนคุ้นตาแถมให้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เหรียญเดียว “พบกันครึ่งทาง สามสิบสองบาทห้าสิบสตางค์”

   มีเหรียญสตางค์ด้วย สมัยนี้ยังมีคนใช้อีกเหรอเนี่ย

   ผมยิ้มแหยๆ ให้เขา รับมาแบบไม่พูดอะไร กำลังคิดในใจอยู่เชียวว่าวันนี้จะได้เหรียญสองบาทรึเปล่า

   กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไปแล้วที่จะต้องเอาเหรียญมาผูกกับเชือกแขวน

   “รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ” เห็นเขายืนดูดชาเขียวไม่ไปไหน แถมทำหน้าแปลกๆ ผมเลยอดถามไม่ได้

   “ก็ดี” คุณคนแรกเอ่ยแบบไม่รู้รักษาน้ำใจกันรึเปล่า เพราะเขาคล้ายจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ “เมื่อวาน...”

   “ครับ?”

   คุณคนแรกปรายตามองจุดเกิดเหตุเมื่อวานตรงพื้น

   “เสียดายชานมนะ”

   “ครับ เสียดายมาก” พูดถึงเรื่องนี้น้ำเสียงผมก็เศร้าสลดทันที ตอนเก็บเศษซากที่บรรจงชงด้วยหัวใจทิ้งใส่ถังขยะ เป็นอะไรที่เจ็บปวดทรมานแค่ไหนใครจะรู้ แต่คุณคนแรกคล้ายจะรู้ ถึงได้จงใจพูดขึ้นมา แล้วก็...หลุดขำ

   ขำอีกแล้วนะ เขาคงไม่ได้เห็นผมเป็นตัวตลกใช่มั้ย

   ผมปาดน้ำใสตรงหางตา มองเขาแบบเคืองนิดๆ พาลนึกเรื่องเมื่อวาน ปฏิกิริยาแรกเวลาโดนกระชากคอเสื้อคืออะไร ผมไม่รู้คำตอบหรอกนะเพราะคงจะมีหลากหลายมาก แต่หนึ่งในนั้นต้องไม่ใช่คว่ำชานมใส่หัวคนอื่นแน่ๆ

   เห็นชอบทำหน้าตาย เดี๋ยวหลุดขำเสียงเบา เดี๋ยวกระตุกมุมปากยิ้มนิดยิ้มหน่อย แต่ดันมือไวใจเย็นแบบน่ากลัว เหมือนกันนะนั่น

   สงสัยผมจะเหม่อนานไปหน่อย เพราะเงยหน้าอีกทีคุณคนแรกก็เดินออกจากซอยไปแล้ว สวนกับลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ปกครองจูงเด็กนักเรียนวัยประถมมาซื้อขนมแล้วเห็นเข้าโดยบังเอิญ แม้จะเป็นส่วนน้อยมากๆ เพราะโรงเรียนนี้ค่อนข้างมีระดับ ทำให้กำลังทรัพย์ของลูกค้ามักจะเลือกร้านชานมยี่ห้อดังหน้าปากซอยมากกว่า

   แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไร ใช้รอยยิ้มเข้าสู้

   แม้จะหน้าตาธรรมดา แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูราวคุณหนูดูสะอาดสะอ้านน่าเชื่อถือ ทำให้มักจะตกลูกค้าได้ร้อยละเจ็ดสิบหากเดินหลงเข้ามาแล้วยังไม่ได้ซื้อชานมร้านหน้าปากซอย

   “ตอนนี้มีโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนะครับ ลองเข้ามาดูเมนูก่อนได้นะครับ ไม่ซื้อไม่เป็นไร”

   ต้องขอบคุณความเป็นลูกคนเล็ก หน้าผมเลยมีมุมอ้อนน่ารักๆ แบบไม่มากเกินไปชวนให้ผู้ใหญ่เอ็นดู และด้วยความความตั้งอกตั้งใจชงเครื่องดื่ม ก็มักทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ

   สี่วันมานี้ก็เริ่มมีลูกค้าหน้าเดิมนอกเหนือจากคุณคนแรกแล้วนะเออ

   ช่วงเวลาที่จะขายได้เยอะคือช่วงเช้าที่ผู้ปกครองมาส่ง ช่วงเที่ยงที่จะมีคุณครูออกมาซื้อของกิน และช่วงเย็นที่จะมีผู้ปกครองมารอรับ ลูกค้าขาจรมีบ้างประปราย แต่กลุ่มหลักมักมาจากโรงเรียนประถมมากกว่า

   ผมเริ่มคิดจริงจังว่าควรจะโปรโมตแบบไหนดีก่อนจะปิ๊งไอเดียเมื่อเห็นเด็กตรงหน้าใช้กระเป๋านักเรียนแปะสติกเกอร์ลายการ์ตูนเต็มไปหมด

   อะไรนะ แล้วกฤตหายหัวไปไหนทำไมไม่มา

   ปล่อยหมอนั่นไปเถอะ ใช่ว่าเขาจะเป็นคนพูดจริงทำจริงสักหน่อยนี่!

   




   วันต่อมา หน้าร้านพิชพิชชานมก็เปลี่ยนโฉม ข้างป้ายร้านมีแสตนดี้เป็นตัวการ์ตูนสวมหน้ากากเท่ๆ ในชุดรัดรูปและผ้าคลุมสีน้ำเงินคาดเข็มขัดสีเหลือง ตรงอกสกรีนชื่อร้าน ชูมือข้างหนึ่งคล้ายซูเปอร์แมนกำลังเหาะเหิน ซึ่งในมือนั้นถือแก้วชานม

   แน่นอนว่าผมไม่ได้วาดเอง แต่ทันทีที่คิดได้เมื่อเช้าวาน ก็เปิดโน๊ตบุ๊คติดต่อจ้างงานแล้วส่งทำป้ายหน้าร้านใหม่รวมทั้งเปลี่ยนสติกเกอร์บนแก้วบรรจุภัณฑ์ด้วย

   เพราะเหตุนี้ ลูกค้าคนแรกของร้านผมจึงไม่ใช่คุณคนแรกอีกต่อไป

   ต้องขอบคุณผู้ปกครองที่จูงลูกมาซื้อหนังสือเรียนในซอย ทันทีที่เด็กเห็นตัวแสตนดี้ตั้งโดดเด่น แม้จะอยู่สุดซอย ก็ชี้นิ้วแล้วร้องเอ๊ะอย่างสนใจทันที

   เมื่อลูกสนใจ ผู้ปกครองก็ต้องตามใจ แม้ชานมจะราคาถูก ร้านดูไม่น่าเชื่อถือเทียบเท่าร้านหน้าปากซอย แต่เมื่อเห็นผมยืนต้อนรับด้วยสีหน้าน่าเอ็นดู ก็อดจะอุดหนุนไม่ได้

   “อันนี้คือบัตรสะสมแต้มครับ” ผมยื่นบัตรที่เพิ่งทำเสร็จหมาดๆ ให้ลูกค้า “หากครบสิบแต้มจะได้ฟรีหนึ่งแก้วครับ”

   ตัวปั๊มคือลายฮีโร่พิชพิช ส่วนตัวบัตรก็เป็นลายอวกาศ พอปั๊มลงไปแล้วเลยเหมือนฮีโร่กำลังถือชานมเหาะไปในอวกาศ

   เด็กน้อยตื่นตาตื่นใจดังคาด ถือบัตรสะสมแต้มไม่ปล่อย ส่วนผู้ปกครองเองเมื่อลองชิมก็ประทับใจในรสชาติ เปิดตัวได้น่าปลื้มปริ่มใจไม่เลว

   นับเป็นกลยุทธ์เริ่มต้นที่ดี!

   เพราะปัญหาของผมตอนนี้คือ...ร้านชานมหน้าปากซอยนั้นเป็นแบรนด์ดังน่าเชือถือระดับสิบเต็มสิบ หลากหลายสาขาเปิดทั่วประเทศ แถมยังรักษาคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยม แม้ผมมั่นใจว่าเราจะใช้คุณภาพวัตถุดิบไม่ต่างกัน รสชาติคล้ายกัน แต่ใครเลยจะเชื่อถือกับร้านชานมโนเนมในซอยที่มีคนชงแค่คนเดียว กับร้านใหญ่ที่มีลูกน้องถึงเจ็ดคนในการรับออเดอร์และทำเครื่องดื่ม แม้หลายวันมานี้จะมีคนลองชิมชานมของผมแล้วชอบ แต่ก็เป็นแค่ 1% ของลูกค้าทั้งหมดที่ร้านใหญ่ได้รับ

   ลูกค้าส่วนมากยึดติดกับแบรนด์ แค่เห็นชื่อร้านดังก็ต่อคิวซื้อ ไม่สนใจไยดีหรือแม้แต่จะเชื่อว่าร้านผมกับร้านนั้นจะใช้วัตถุดิบชั้นดีเหมือนกัน ด้วยราคาที่แตกต่างกันถึงสองเท่า

   ผมเลยใช้กลวิธี...หลอกล่อเด็ก!

   สำหรับเด็กตัวน้อยวัยประถมที่มีผู้ปกครองพร้อมเปย์ คงไม่สนใจหรอกว่าชานมราคาเท่าไหร่ รสชาติต่างกันยังไง ความรอยัลต่อแบรนด์นั้นสำคัญแค่ไหน เอาแสตนดี้มาตั้งสะดุดตาสักหน่อยก็วิ่งโร่เข้าหาแล้ว

   อาจจะดูฉาบฉวยไปนิด แต่ผมต้องการเพียงให้ลูกค้าได้ลองว่าชานมของผมรสชาติอร่อยเหาะไม่ต่างกับร้านชื่อดัง นับเป็นการสร้างโอกาสดึงลูกค้าแบบเนียนๆ นั่นเอง!

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว” คุณคนแรกซึ่งกลายเป็นลูกค้ารายที่สองของวันมองผมด้วยสายตาวิบวับยากเดาอารมณ์  คล้ายจะชื่นชมก็ไม่ใช่จะประหลาดใจก็ไม่เชิง

   สงสัยจะช็อกที่มาไม่ทันคนแรกสมฉายา ผมเลยเพิ่มไข่มุกให้เป็นกรณีพิเศษ

   “สามสิบบาทครับ”

   “น่ารักดีนะ”

   “ครับ?”

   ผมเงยหน้ามองเขาอึ้งๆ ก่อนจะทำความเข้าใจว่าคุณคนแรกหมายถึงลายตัวการ์ตูนบนแก้ว ไม่ได้หมายถึง...

   โอเค ถึงตอนนี้ก็ต้องรู้กันแล้วใช่มั้ยครับทุกคนว่าผมชอบผู้ชายน่ะ

   ในเมื่อแฟนเก่าของผมคือ...

   “ทำอะไรกันน่ะ!”

   ...คือผู้ชายหน้าหล่อที่เจ้าชู้แต่ดันขี้หึง ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่กฤตซึ่งแทบจะปราดเข้ามากระชากคอเสื้อคุณคนแรกอีกครั้ง แต่โชคดีที่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาคนเดียว เลยมีคนช่วยปราม

   หรือไม่ก็โชคร้าย เพราะคนคนนั้นดันเป็นไอ้ภูมิ

   “ตั้งสติสิวะ นั่นลูกค้า ทำร้ายเขาเดี๋ยวพิชญ์ก็โกรธไม่ยอมคุยหรอก” ไอ้ภูมิที่เคยเจอคุณคนแรกแล้วในวันแรกหันมายิ้มขอโทษขอโพยอย่างรู้งาน หมอนี่ดีอย่างตรงที่แม้ชอบกร่างแต่ก็รู้ว่าใครกร่างได้ใครกร่างไม่ได้ ครั้งก่อนโดนผมขู่จนวิ่งหนี วันนี้เลยใช้กลยุทธ์ใหม่ทำตัวเป็นสหายแสนดี แถมยังหวังดีมากๆ อยากให้คู่รักคืนดีกัน

   ซะที่ไหน

   มันแค่อยากให้ผมกลับบ้านหรอก ส่วนที่ลากกฤตมาเนี่ยคือความเข้าใจผิดล้วนๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเข้าใจยากตรงไหน ผมอยากเปิดชานมไข่มุกกับเลิกกับกฤตนั้นคนละเรื่องกัน ทำไมถึงแยกไม่ออกสักที ชอบจับโยงอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัด

   แล้วกฤตทำไมถึงหน้าแดงขนาดนี้ อืม...จากที่เดินตัวเซ กลิ่นเหล้าหึ่ง ไม่บอกก็รู้ว่าเมื่อคืนคงไปโต้รุ่งมา สนุกสุดเหวี่ยงเลยสิท่า ไม่มีผมคอยคุมแล้วนี่

   “พิชญ์ ดูสภาพกฤตสิ มันเสียใจที่พิชญ์ไม่ยอมคืนดีด้วยจนเมาหัวราน้ำมาสองคืนแล้ว”

   เสียใจหรือดีใจกันแน่ ผมเอียงศีรษะพลางพิจารณาสารร่างแฟนเก่าอย่างไร้ความรู้สึกรักโลภโกรธหลงโดยสิ้นเชิง

   “พิชญ์จ๋า เราสำนึกผิดจริงๆ นะ จะ...ฮึก...จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว” กฤตรีบพูดเสริม พยายามกลั้นน้ำตาน่าสงสารเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำจนจิตใจร้าวรานแทบแหลกเป็นเสี่ยง ประหนึ่งคนอกหักรักคุดที่เมามายหัวราน้ำไม่เป็นอันกินอันนอนจริงๆ

   “อย่ามายืนขวางแสตนดี้หน้าร้านฉัน” ผมโบกมือไล่ทั้งสองคนเหมือนปัดแมลงวัน และนั่นก็ทำให้ภูมิเพิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงแตกต่างกับวันแรกที่มา

   “ตัวอะไรน่ะ น่าเกลียดจัง”

   ไอ้ภูมิผู้ไร้ศิลปะในหัวใจ

   “อย่างอนเป็นเด็กๆ เลยน่าพิชญ์ กลับกันเถอะ กฤตก็สำนึกผิดแล้วนี่ไง”

   ตรงไหนของสภาพกฤตที่ดูสำนึกผิดวะครับ แค่ดื่มเหล้าทำตัวโทรม แล้วจะทำให้ผมเห็นใจยอมอภัยได้รึไง ใช้สมองส่วนไหนคิดไม่ทราบ

   “แล้วโทรศัพท์ที่พี่พจน์ซื้อให้ทำไมไม่เปิดเครื่อง” ไอ้ภูมิถามย้ำ ขยันก้าวก่ายชีวิตกูจังนะเพื่อน

   ผมคลึงขมับ ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลยด้วยความโกรธ

   “อย่าเงียบสิพิชญ์ จู่ๆ ก็หนีมาเปิดร้านชานมทุกคนเป็นห่วงมากนะ กฤตก็มาง้อแล้ว พี่พจน์ก็มาตามแล้ว ยังต้องการอะไรอีก ถ้ายังโกรธเรื่องนั้นอยู่...กฤตสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว”

   “ใช่ๆ เราสัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้วนะพิชญ์”

   ช่างเป็นคู่ที่รับส่งจังหวะดีเยี่ยมจนอยากจะชงให้พวกเขาคบกันเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

   “ถ้าใจเย็นแล้วก็กลับไปคุยกันดีๆ เถอะ ทุกคนรออยู่นะ ส่วนร้านนี้ก็ปิดไป ยังไงก็ไม่มีเหตุผลต้องเปิดแล้วนี่”

   ผมโกรธมาก

   โกรธมาก โกรธมากมาก และโกรธมากถึงมากที่สุด

   โกรธทั้งไอ้ภูมิ พี่พจน์ และกฤตที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย!

   “พิชญ์...โอ๊ย!” ภูมิอุทานลั่นเมื่อจู่ๆ ก็โดนอะไรปาใส่หน้า สิ่งของนั้นเย็น เป็นก้อนแข็ง หรือก็คือ...น้ำแข็งนั่นเอง

   ผมโกรธจนอยากจะทำอะไรสักอย่าง และอะไรสักอย่างที่ว่านั่นก็คือการปาน้ำแข็งใส่หน้าภูมิ ในร้านนี้อุปกรณ์และวัตถุดิบการชงเครื่องทั้งหมดล้วนมีค่า จะมีก็แต่น้ำแข็งที่เหมาซื้อมาทั้งถังนี่แหละที่พอจะเย็นมือและช่วยให้เย็นใจขึ้นบ้าง

   “พิชญ์ หยุดก่อน...โอ๊ย”

   น้ำแข็งแบบหลอดสะอาดปลอดภัยช่างปาได้ถนัดมือ แถมพอโดนแสงอาทิตย์ก็ละลายพ่วงระเหิดหายไม่ต้องตามเก็บด้วย และถ้ามองจากบุคคลภายนอก ก็แทบจะมองไม่เห็นว่าเจ้าของร่างผู้อัธยาศัยดีคนนี้กระทำการโหดเหี้ยมยังไงเพราะน้ำแข็งก้อนเล็กและสีใส มีแต่คนเมากับไอ้ภูมิที่ร้องโอ๊ย อ๊าก โอ๊ย อ๊ากไม่หยุดปาก

   ฉลาดจริงๆ นายพิชญ์

   ด้วยความประหยัด ผมเลยปาทีละก้อน ปาไปปามาก็เริ่มจะใจเย็นลงแล้วเพราะภูมิลากกฤตวิ่งหนีหางจุกตูดไป แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยกล้ากับผมเวลาโกรธจัดสุดขีดจนพูดอะไรไม่ออกแล้วลงมืออย่างเดียว สมัยเด็กที่โดนต่อย ผมก็ไม่พูดอะไรแล้วต่อยเอาๆ

   สองคนมาใหม่วิ่งจากไป

   แต่คุณคนแรกยังยืนยิ้มอยู่ที่เดิม

   นึกสภาพตัวเองเมื่อกี้ก็น่าอับอายอยู่เหมือนกัน เปิดถังน้ำแข็งแล้วหยิบปาหยิบปา โคตรทุเรศเลย

   “ปิดหน้าทำไม”

   “มือมันเย็นดี”

   คุณคนแรกหลุดหัวเราะพรืดจนได้ แต่ผมก็แสร้งใช้มือเย็นๆ นาบหน้าตัวเองแก้ความอับอาย พอแง้มนิ้วมองดูก็เห็นว่าคุณคนแรกเดินกลับออกไปหน้าปากซอยแล้ว

   ไม่รู้ว่าดวงสมพงศ์หรืออะไร เขาถึงมักเห็นฉากความวุ่นวายของคนรู้จักผมทุกที

   ซึ่งก็ต้องขอบคุณเขานะ...ที่เอาแต่ชมมอง โดยไม่เคยถามอะไรเลย

   “เกือบลืม”

   “เฮ้ย!” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ คุณคนแรกก็เดินวกกลับมาตอนกำลังก้มหน้าก้มตาจับนู่นจับนี่แบบงุ่นง่าน ไม่เกี่ยวกับเขาหรอก แต่มันเคืองใจน่ะครับว่าเมื่อไหร่ภูมิจะเลิกวุ่นวายกับผมสักที กฤตน่ะเป็นพวกผีเข้าผีออก บทอยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไป ส่วนพี่พจน์นั้นรู้จักความหัวแข็งของผมดี เขาเลือกเป็นฝ่ายรออยู่ห่างๆ แบบห่วงๆ เหมือนพ่อกับแม่ เชื่อว่าเดี๋ยวเบื่อผมก็กลับเอง เหลือภูมิอยู่คนเดียวที่มุ่งมั่นซะเหลือเกิน แล้วยังพยายามโยงคนนู้นคนนี้มาร่วมด้วยไม่ยอมหยุด

   ก็ใช่จะไม่รู้เหตุผล

   ผมหลุดยิ้มเยาะเมื่อนึกถึงเพื่อนสมัยเด็ก ก่อนจะปรับอารมณ์แทบไม่ทันเพราะโดนคุณคนแรกจ้องเอาๆ

   “ลืมอะไรเหรอครับ”

   “แบมือ”

   คุณคนแรกกำมือยื่นออกมา ผมเลยต้องแบมือรอรับของสิ่งนั้นอย่างว่าง่าย และจะเป็นอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่...เหรียญสองบาท

   “เดี๋ยวจะไม่ครบคอลเลกชั่น” คุณคนแรกเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะเดินถือชานมเดินออกจากปากซอยไปแบบไม่คิดอะไรลึกซึ้งแต่ดันทำให้คนรับคิดไม่ดีซะงั้น ผมมองเหรียญสองบาทแล้วโคลงศีรษะ สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือพอจับไอ้เจ้าเหรียญสองบาททำเป็นเครื่องรางแล้วช่วยเสริมสร้างแรงฮึดจริงๆ

   อย่างน้อยก็มีคุณคนแรกที่ชื่นชอบชานมของผม

   อย่างน้อยก็มีคุณคนแรกที่รอเปิดร้านทุกเช้า

   แค่นั้นก็มีความหมายกับผมมากมายแล้ว


   --------------------

   ก็จะหวานๆ น่ารักกันประมาณนี้นะคะสำหรับเรื่องนี้

   คุณคนแรกมาจีบแบบเนียนๆ พิชญ์เองก็แอบอ่อยแบบเนียนๆ เรียกว่าชานมไข่มุกสื่อรักก็ได้นะนี่ ต้องปลอบใจพี่พจน์แล้วเพราะกว่าพิชญ์จะกลับบ้าน น่าจะได้แฟนควงกลับไปด้วย 5555 ยังไงก็ตาม...ร้านชานมเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้นมาแล้ว สู้เขานะพิชญ์!!

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 17-09-2019 21:30:16
ปรับกลยุทธ์ใหม่ขอให้มีลูกค้าเข้าร้ายเยอะ ๆ น้า

คุณคนแรกน่าจะให้เหรียญครบทุกค่าเงินนะคะ จะได้มีเป็นครอบครัว
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-09-2019 22:39:06
วันนี้ก็ซื้อชาเขียวไข่มุกกินดูดไปนึกน้องพิชก็ตามส่องนิยายต่อดูดไปอ่านไป หวานชื่นใจ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-09-2019 23:20:35
กินทุกวัรแบบนี้เบาหวานไม่ถามหาหรือคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-09-2019 00:32:15
ติดใจชาไข่มุกหรือติดใจเจ้าของก็ไม่รู้น้าาา :z1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-09-2019 02:22:18
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 18-09-2019 03:09:44
          ตอนน้ำแข็งระเหิด ต้องใช้ละลายแล้วระเหยจะถูกกว่านะค่ะ
เพราะระเหิดใช้กับของแข็งเช่นลูกเหม็น,น้ำแข็งแห้ง เช่นจากของแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นไอหรือก๊าสโดยไม่ผ่านสถานะเป็นของเหลวค่ะ

น้องพิชญ์เปลี่ยนกลยุทธ์มาเเนวเรียกลูกค้าตัวน้อย
แบบนี้เด็กๆคงมาเป็นลูกค้าเพียบ
ตัดหน้าคุณคนเเรกที่จะต้องมาคนแแรกซินะ
คุณเค้าต้องรีบๆมาแล้วนะเดี๋ยวจะไม่สมชื่อคุณคนเเรก อิอิ
อ่านเพลินทุกตอนเลยค่ะ สนุก น่าติดตาม รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-09-2019 09:42:31
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-09-2019 10:41:00
อยากรู้ประวัติคุณคนแรกแล้วซิ


 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 4 : กลยุทธ์ใหม่ - [17/09/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-09-2019 22:34:30
จีบเนียนไปมั่ยคุณลูกค้าคแรก เนียนจนไม่รุ้ว่าจีบง่ะ หยอดวันสองบาทๆงี้เหรอ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 19-09-2019 20:17:03
ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง



   กลยุทธ์ใหม่ช่วยเรียกลูกค้าหน้าใหม่ที่ไม่เคยคิดจะลิ้มลองได้ตกหลุมรักกับพิชพิชชานม

   จากขายได้วันละไม่กี่สิบแก้ว ก็เริ่มเพิ่มขึ้นทีละนิด และในที่สุด...

   ก็มีคนต่อแถวเข้าคิวหน้าร้านผมแล้ว!

   เพียงเห็นน้ำตาก็แทบไหล นี่สิถึงจะสมกับความอุตสาหะของตลอดสองอาทิตย์ ครับ ผมเปิดร้านได้สิบสี่วันแล้ว ด้วยกำลังใจจากคุณคนแรกที่มาเยี่ยมเยือนไม่เคยห่างหาย และเริ่มหมดมุกกับการให้เหรียญสองบาท เลยจ่ายด้วยเหรียญหนึ่งบาทยี่สิบแปดเหรียญ แล้วตบท้ายด้วยเหรียญสองบาททุกวัน จนตอนนี้เชือกแขวนไม่พอแล้ว และชักจะน่ากลัวขึ้นทุกที เพื่อไม่ให้ลูกค้าหน้าใหม่คิดว่าผมเล่นไสยศาสตร์ ผมเลยเอาเหรียญสองบาทของคุณคนแรกเก็บในกระปุกใส ตั้งไว้ตรงเคาน์เตอร์ด้านใน ให้ผมเห็นแค่คนเดียว

   แต่คงลืมอธิบายให้คุณคนแรกฟัง

   เพราะพอเห็นเครื่องรางตรงกำแพงหาย เขาก็ชะงักกึกเหมือนหุ่นยนต์ถ่านหมด

   “รับอะไรดีครับ” ไม่รู้ทำไมผมถึงยิ้มออกกับท่าทางนั้น

   เกือบลืมบอกไป หลังเริ่มมีลูกค้าเพิ่มขึ้นในช่วงเช้า คุณคนแรกที่คล้ายจะไม่ชอบต่อแถวตอนคนเยอะก็เลือกจะมาหาผมตอนโรงเรียนเคารพธงชาติแทน ทุกครั้งที่มีเสียงเพลงดัง คุณคนแรกจะมายืนตรงแด่วหน้าร้านผม โดยปราศจากลูกค้าคนอื่นเพราะหลังส่งลูกส่งหลานเสร็จผู้ปกครองก็รีบชิ่งไปทำงานกันหมด

   ดูจากท่าทางเอ้อระเหยลอยชายแสนจะคุ้นชินและคุ้นหน้าคนแถบนี้ คุณคนแรกน่าจะเปิดร้านค้าแถวโรงเรียนเนี่ยล่ะ แถมยังชอบชานมมากๆ ด้วย แต่เขาไม่สะดวกจะไปนับเหรียญหน้าร้านชานมชื่อดังราคาแก้วละเกือบร้อย เลยกลายเป็นลูกค้าประจำร้านผมโดยปริยาย

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   “วันนี้สะสมแสตมป์ครบสิบดวงพอดี จะใช้สิทธิ์ฟรีหนึ่งแก้วเลยมั้ยครับ” ผมถามโดยไม่ขอดูบัตรสะสมแต้มด้วยซ้ำ เพราะผมเริ่มพลิกโฉมร้านในวันที่สี่ และวันนี้ก็เป็นวันที่สิบสี่ เท่ากับว่าครบสิบดวงพอดีไม่ขาดไม่เกิน

   “ก็ได้” คุณคนแรกดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ สังเกตจากอะไรน่ะเหรอครับ ก็...เอ่อ...จากคิ้วที่ขมวดน้อยๆ นั่นไง!

   แปลกๆ ชอบกลที่ทำตัวเหมือนตัวเองว่างจัดจนสังเกตสีหน้าลูกค้า ผมรีบชงชานมด้วยใจรัก นึกดีใจที่ไอ้ภูมิกับกฤตเลิกวุ่นวายกันสักที ใช่ว่าพวกเขาจะตัดใจง่ายๆ หรอกนะ แต่จนปัญญาจะเกลี้ยกล่อมผมแล้ว มากี่ครั้งก็โดนไล่ตะเพิดทุกครั้ง ล่าสุดผมซื้อสเปรย์พริกไทยเตรียมไว้เลย เห็นหน้าพวกนั้นปุ๊บก็ฉีดใส่ปั๊บ

   “ขอยืมปากกาหน่อย”

   “ได้ครับ” ถูกขัดจังหวะการเติมความรักใส่ชานม ผมงงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมากๆ เพราะไม่เห็นว่าคุณคนแรกจะถือกระดาษหรือของที่ใช้จดบันทึกได้ ส่งปากกาให้ปุ๊บก็จดจ่อกับชานมต่อ ดูสีน้ำนมนวลเนียนและกลิ่นหอมอ่อนๆ นี่สิ...เห็นแล้วก็ภูมิใจในตัวเองเหลือเกินที่ชงชานมได้น่ารับประทานขนาดนี้

   “ชานมไข่มุกแบบเจาะหลอดได้แล้วครับ”

   ผมประคองแก้วขณะคุณคนแรกส่งบัตรสะสมแต้มที่ถูกปั๊มจนเต็มพร้อมปากกาคืนให้

   พวกเราสบตากันในชั่วอึดใจ ผมสงสัยว่าเขาจะถามเรื่องเครื่องรางรึเปล่า ส่วนคุณคนแรกนั้น...คล้ายจะเดาอารมณ์ ‘ถามสิ ถามสิ’ ของผมได้ เลยยิ้มขำออกมาวูบหนึ่ง

   แล้วก็เดินออกไปเลย

   ผมยืนเอ๋อ มองเงาร่างนั้นจนลับตา เมื่อแน่ใจว่าเขาไม่ย้อนกลับมาอีกแน่ก็เกาหัวงงๆ

   “สงสัยจะไม่มีเพื่อนมาเพิ่มแล้วนะ” ผมเขี่ยกระป๋องใสใส่เหรียญสองบาทด้วยความมึนงง ไม่ใช่ว่ารู้สึกแย่ เพราะนี่ไม่ใช่การบังคับที่ต้องทำ แต่จะว่ายังไงดีล่ะ...มันเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันที่พอขาดไปแล้วมันวูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก

   แต่พอเห็นบัตรสะสมแต้มใบแรกที่ปั๊มครบทั้งสิบดวงแล้วผมก็ปลื้มจัด เก็บใส่ลิ้นชักอย่างดีก่อนจะตาไวเห็นตัวอักษรด้านหลังบัตร

   ผมพลิกดูทันที ก่อนจะยืนนิ่งด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

   ตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยปากกาสีน้ำเงินตวัดอย่างลวกๆ นั้น...คือตัวเลขสิบหลัก

   ไม่ คุณคนแรกไม่ได้จะใบ้หวย แต่คือเบอร์โทรศัพท์ต่างหาก!

   





   ขอย้ำอีกครั้ง ผมชอบผู้ชาย

   และสำหรับคุณคนแรกที่เจอแฟนผมถึงสองครั้ง ก็คงเดาได้ว่าผมมีรสนิยมยังไง

   โทรศัพท์ที่พี่พจน์เอามาให้และไม่เคยเปิดใช้สักครั้งถูกหยิบขึ้นมาในวันนี้ ผมบันทึกเบอร์โทรศัพท์สิบหลักในเครื่องที่มีรายชื่อผู้ติดต่อแค่ห้าเบอร์ ประกอบด้วยพ่อ แม่ พี่ชาย ไอ้ภูมิ และ...คุณคนแรก

   ไม่ ผมไม่ได้จะโทรหาเขา แค่บันทึกไว้เฉยๆ กันทำบัตรสะสมแต้มหาย ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมต้องกลัวหายด้วย แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ ถึงผมจะอกหัก ก็ใช่ว่าจะปิดตัวเอง ความสัมพันธ์กับคุณคนแรกนั้นยากนิยาม เอาจริงๆ ผมก็รอดูอยู่หลายวันแล้วว่าเขาจะเอายังไง

   เหมือนจะจีบแต่ก็ไม่จีบ เหมือนจะสนใจกันแต่ก็ไม่เคยพูดเกินสามประโยค มาซื้อชานมแล้วก็ไป ให้ของแทนใจเป็นเครื่องรางด้วยเหรียญสองบาท แม้ผมจะไม่มีประสบการณ์ความรักโชกโชน แต่ก็ไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้อะไรเลยว่านี่มันเกินกว่าเจ้าของร้านชานมกับลูกค้าแล้ว!

   แต่ถ้าถามว่าจะคืบหน้าไปถึงไหน จะลงเอยหรือไม่

   นั่นเป็นเรื่องของอนาคต

   เมื่อเขาเริ่มชัดเจน ผมก็พร้อมเปิดโอกาส แต่จะรอดหรือร่วงนั้นใครเลยจะรู้ ผมมองโทรศัพท์แล้วนึกลังเลเล็กน้อย ไหนๆ ก็เปิดแล้ว...โทรไปหาแม่ดีกว่า

   (( พิชญ์เหรอลูก ))

   “ครับ” เสียงของแม่ฟังตกใจมากกว่าดีใจ อืม...ผมก็ว่าตัวเองไม่ได้เป็นลูกกตัญญูขนาดนั้นนะ “ชานมที่ผมฝากพี่พจน์ไปให้เมื่ออาทิตย์ก่อน แม่ชิมรึยังครับ อร่อยมั้ย”

   (( อร่อยจ้ะ แต่พิชญ์ไม่ได้ฝากพจน์มาให้ แต่บังคับพจน์ซื้อแล้วเอามาให้พ่อกับแม่ไม่ใช่เหรอ ))

   แม่หัวเราะกึ่งแซว

   (( แล้วจะกลับบ้านเมื่อไหร่ พิชญ์หนีไปเกือบสามเดือนแล้วนะคะ น่าจะกำลังเบื่อแล้วนี่ ))

   “ผมกำลังสนุกต่างหาก” ผมเบ้ปาก

   (( อ้าว แม่ก็นึกว่าโทรมาเพราะอยากกลับบ้านแล้ว ยังกลัวแพ้พนันพ่ออยู่เลยค่ะ รายนั้นเดาว่าพิชญ์กลับก่อนสามเดือน แต่แม่เห็นครั้งนี้พิชญ์ตั้งใจมาก แล้วยังเรื่อง...นั้นอีก คิดว่ายังไงก็ต้องเกินสามเดือน ))

   เวรกรรมชีวิต พ่อกับแม่เอาเรื่องผมมาพนันเล่นกันซะงั้น

   “แม่เตรียมฉลองเถอะครับ ผมก็ยังไม่กลับเร็วๆ นี้หรอก” ผมยืนพิงเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าหน่ายเซ็ง ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ก่อนหน้านี้เอาแต่ทำตัวไร้หลักแหล่ง เปลี่ยนงานอดิเรกเป็นว่าเล่น

   (( กฤตมาหาแม่ด้วยนะ ))

   ผมชะงัก นึกไม่ถึงว่ากฤตจะเข้าหาพ่อกับแม่ เพราะครอบครัวผมไม่ค่อยต้อนรับเขานัก

   (( เขามาขอโทษที่ทำให้ลูกเสียใจจนหนีออกจากบ้าน อยากให้พ่อกับแม่ช่วยกล่อมพิชญ์ค่ะ ))

   ผมหัวเราะเหอะๆ เสียใจเรื่องกฤตจนหนีออกจากบ้าน? สำคัญตัวเองเกินไปแล้ว!

   (( กฤตเขาสำนึกผิดมากเลยนะคะพิชญ์ ถึงแม่จะเคยคัดค้าน แต่ก็อดเห็นใจเขาไม่ได้ ถ้ายังไง... ))

   “แม่ครับ ผมกับกฤตเราเลิกกันแล้ว แม่เข้าใจคำว่า ‘เลิก’ ของผมใช่มั้ยครับ”

   แม่เงียบไปอึดใจหนึ่ง เธอคงนึกถึงสารพัดงานอดิเรกของผมที่บทอยากจะทำขึ้นมาก็ลุยไม่ฟังใคร แต่บทจะเลิกก็เลิกเอาดื้อๆ ไม่แม้แต่จะย้อนกลับไปลองอีก

   ใช่ ผมไม่เคยย้อนกลับไปหาอะไรก็ตามที่เคย ‘ทิ้ง’ ไปแล้ว

   (( แล้วภูมิล่ะคะ ))

   “...”

   (( พิชญ์สนิทกับภูมิตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักลากภูมิไปด้วยไม่ใช่เหรอ ทำไมครั้งนี้ถึงทิ้งภูมิล่ะคะ เขาไม่มีใครนอกจากลูก พิชญ์รู้ใช่มั้ยคะ ครั้งนี้ที่ภูมิโกรธ ไม่ใช่เพราะพิชญ์หนีออกจากบ้าน แต่เพราะพิชญ์หนีไปเปิดร้านชานมโดยไม่บอกเขาต่างหาก ))

   ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดีว่าไม่เคยลากภูมิไปไหนด้วย แต่เป็นภูมิต่างหากที่เกาะติด ผมทำอะไรเขาก็ทำตาม สมัยเรียนยังโดนล้อว่าเป็นเงาตามตัวผมเลย ตอนผมไปเรียนต่อยมวย ภูมิก็ช่วยถือกระสอบทราย ตอนผมตีเทนนิส ภูมิก็มาเป็นคู่ซ้อม ตอนผมตีกอล์ฟ ภูมิมาเป็นแคดดี้ให้ ตอนผมสะสมแผ่นหนัง ภูมิก็ดูเป็นเพื่อน ตอนผมคบกับกฤต มันยังตามเฝ้า เรียกว่าแทบจะทุกช่วงชีวิตของผมมีภูมิอยู่เสมอ

   ก็ไม่แปลกที่มันไม่เข็ดสักทีแม้จะโดนผมไล่ด้วยสารพัดวิธีพิสดาร

   “แค่นี้ก่อนนะครับ”

   ผมวางสายแม่ ขณะเงยหน้ามองดูผู้ชายหัวทองหน้าโฉด แต่ดันหงอกับผมคนเดียว

   มือพร้อมหยิบสเปรย์พริกไทยแล้ว แต่ครั้งนี้ภูมิมาแปลก เขาไม่ได้มาถึงก็โวยวายให้ผมกลับบ้าน ไม่ได้อ้างถึงพี่พจน์ ไม่ได้อ้างถึงกฤต แต่กลับมองหน้าผมนิ่งๆ แล้วเอ่ยว่า...

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   ผมคิดว่าตัวเองหูฝาด

   “...อะไรนะ”

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว!” ภูมิเอ่ยเสียงกระแทก ดูจากสีหน้าก็รู้ว่าไม่ได้อยากจะกินหรอกไอ้ชานมไข่มุกเนี่ย แต่หมดหนทางจะตามตัวผมกลับแล้วจริงๆ เลยหาทางลงที่อย่างน้อยก็คุยกันดีๆ ได้

   เห็นคนกินไม่อยากจะกิน คนชงอย่างผมก็หมดอารมณ์จะชงเหมือนกัน แต่ด้วยจรรยาบรรณ ผมเลยตั้งอกตั้งใจชงชานมแล้วเจาะหลอดส่งให้ภูมิ

   “สามสิบบาท”

   ภูมิยื่นแบงก์ยี่สิบกับเหรียญสิบบาทให้พอดีเป๊ะ

   “จะเอาบัตรสะสมแต้มมั้ย”

   “บัตรอะไรนะ” ภูมิทำหน้าเหวอ

   “บัตรสะสมแต้ม” ผมชูบัตรลายอวกาศที่ประทับตราฮีโร่พิชพิชให้ภูมิดู เขาทำหน้าไปไม่เป็น อีกนิดเกือบจะสบถว่า ‘ตัวอะไรวะ’ แต่เพราะไม่อยากให้บรรยากาศดีๆ อย่างนี้เสียซะก่อน เลยพยักหน้ายอมรับมาแบบจำยอมสุดๆ “ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอา”

   เห็นความกล้ำกลืนฝืนทนนั่นแล้วผมก็นึกเสียดายบัตรสะสมแต้มซึ่งควรอยู่กับผู้ที่คู่ควร

   “เฮ้ย เอาสิเอา เอามาเถอะ” ท่าทางแข็งๆ กลายเป็นอ่อนยวบในทันที ภูมิเกือบจะยกมือไหว้ผมแล้ว พอได้รับก็รีบเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ เก็บรักษาอย่างดี

   จากนั้นความเงียบก็เข้าแทรก

   “พิชญ์...” ภูมิดูดชานม แต่ไม่ค่อยจะรู้รสสักเท่าไหร่เพราะสนใจเรื่องอื่นมากกว่า “ทำไมถึงหนีมา”

   “...”

   “หรือจะไม่ใช่เพราะกฤต”

   ผมถอนหายใจเฮือก ในที่สุดเขาก็รู้สักทีว่ากฤตไม่ได้มีความสำคัญขนาดนั้น!

   “ถ้าไม่ใช่เพราะกฤต หรือจะเป็นเพราะ...กู?”

   เห็นสีหน้าลังเลแกมสิ้นหวังนั่นแล้ว ผมก็ถอนหายใจเฮือก

   “ไม่ใช่”

   “งั้นเพราะอะไร”

   “แล้วทำไมฉันต้องบอกนายด้วย”

   “ก็เพราะว่ากูเป็นเพื่อน!” ภูมิกระแทกเสียง บีบแก้วชานมจนไข่มุกแทบกระฉอกผ่านหลอด “เพื่อนที่คบกันมาสิบกว่าปี! กูต่างหากที่ควรถามว่าทำไมมึงถึงไม่บอก เพราะอะไรวะพิชญ์!!”

   คุณยายร้านปักเสื้อชะโงกหน้ามองอีกแล้ว พอเห็นผู้ชายหน้านักเลงเซ็ตหัวตั้งๆ โกรธจัดจนตาแดง ก็ทำท่าเหมือนจะโทรหาตำรวจ ผมหันไปยิ้มปลอบโยนคุณยาย ท่านจึงกลับไปนั่งตากพัดลมด้านในร้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “พิชญ์!”

   ในใจอยากตอบว่า ‘อย่าเสือก’ แต่คงแรงและทำร้ายจิตใจเพื่อนคนนี้มากไป ซึ่งภูมิคงไม่ยอมรับง่ายๆ แน่ ฉะนั้นวิธีรับมือที่ดีที่สุด...

   “ฉันยังไม่พร้อมที่จะบอก” คือการบอกไปตรงๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นเชิงถ้าไม่อยากทำร้ายกันก็อย่าถามมากไปกว่านี้

   ได้ผล ภูมิผู้อารมณ์ร้อนเป็นไฟเย็นลงในทันที ชานมไข่มุกในมือเขาก็รอดพ้นภัยพาลไปด้วย

   “แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม” เสียงของภูมิคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

   “ฉันไม่รู้”

   “ถ้าพร้อมแล้วจะบอกกันใช่มั้ย”

   “ก็ต้องอย่างนั้นแน่อยู่แล้วสิ”

   “งั้น...” ภูมิหาคำพูดต่อไปไม่เจอ แต่ท่าทางเขาดูสงบลง และยืนดูดชานมทีเดียวเกือบครึ่งแก้ว “งั้น...กูกลับก่อนละ”

   “เออ”

   มองแผ่นหลังที่เดินออกจากซอยแบบเซๆ คล้ายเสียหลักยึด ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

   เอาวะ อย่างน้อยภูมิก็ไม่มาระรานแล้วแน่นอน!


   

   ---------------------

   พิชญ์กับภูมิขัดแย้งอะไรกันนะ

   เรื่องราวจะค่อยๆ เฉลยถึงความสัมพันธ์ของพิชญ์และตัวละครแต่ละตัว นอกจากจะเอาใจช่วยน้องเรื่องร้านชานมแล้ว ก็มาเอาใจช่วยถึงเรื่องราวในอดีตของพิชญ์ด้วยนะคะ และแน่นอนว่า...อย่าเพิ่งลืมคุณคนแรกเชียว!!!

   พระเอกเรื่องนี้มาเนียนๆ แต่ก็มาทุกวันนะ!!!

   

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-09-2019 20:32:05
ภูมิรักพิชญ์อยู่หรือเปล่า
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 19-09-2019 21:48:09
คุณคนแรกแจกเบอร์กันอย่างงี้เลยเรอะะะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2019 22:29:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 19-09-2019 22:56:03
 แค่ไม่เห้นเครื่องรางนี่งอนตุ้บป่องๆไปเลยนะคุณคนแรก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-09-2019 15:20:13
ทำไมพิชญ์หนีออกจากบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะภูมิ
ถูกภูมิสารภาพรักหรอ หรือโดนอะไรมา

กฤตดูไม่ปลงนะ แถมยังบ้าบอมากด้วย คิดไปเองเก่ง

คุณคนแรกก็มาคนแรกทุกวันจริงๆ แต่ก็แพ้โปรโมชั่นเด็กนะ 5555

พิชญ์น่ารักดีค่ะ พยายามดี แอบเด๋อเป็นบางเวลา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 20-09-2019 18:58:17
ลุ้นกันต่อไป

ว่าแต่ ได้เบอร์มาแล้วก็โทรเลยสิจ้า อย่าเก็บไว้นานเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-09-2019 19:12:39
อ่อยเข้าไปสิคุณคนแรก อ่อยแบบมึน ๆ ฮา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 20-09-2019 21:22:16
ป๊าด
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-09-2019 01:58:37
คุณคนแรกงอนหรอคะ 555555 แต่ทิ้งเบอร์ไว้ให้แบบนี้ก็ร่ายไม่เบาเลยนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 21-09-2019 02:57:10
สงสัยในความสัมพันธ์เหลือเกินนนน
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-09-2019 07:40:41
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 21-09-2019 15:38:45
มีความเขียนเบอร์ไว้หลังบัตร
กลัวบัตรหายหรือตั้งใจจะให้เบอร์คนขายแบบเนียนๆจ๊ะ :hao7:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 22-09-2019 08:34:49
ภูมิน่าจะรักพิชสินะ

ชอบน้องพิชที่มุ่งมั่นตั้งใจในการทำร้านชานมนี้มากๆ สู้ๆ จ้า อย่างน้อยก็มีลูกค้าเจ้าประจำแล้ว 1 คน
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 22-09-2019 09:28:29
คุณคนแรกงอนแล้ววว
 :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 22-09-2019 11:19:24
มีเบอร์แล้ว ต่อไปก็ต้องรู้ชื่อกันแล้วนะครับเนี่ย ^^
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 5 : ความเปลี่ยนแปลง - [19/9/62] P.2
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 26-09-2019 05:59:58
รอๆ :katai4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 26-09-2019 20:16:46

ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก



   แปดโมงตรงเคารพธงชาติ หน้าร้านผมมีผู้ชายสองคนยืนเหล่กันด้วยหางตา

   คุณคนแรก กับไอ้ภูมิ

   อืม...รายหลังไม่มาระรานจริงๆ ด้วย แต่ผันตัวเองเป็นลูกค้าประจำซะงั้นเลย

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   แถมทั้งคู่ยังสั่งพร้อมกันซะด้วยสิ ผมมองความสามัคคีตรงหน้าแล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่ และนั่นก็เรียกสายตาให้ทั้งคู่เลิกจ้องหน้าหาเรื่องกัน แล้วมาจดจ่อกับเจ้าของร้านชานมไข่มุกสักที

   แต่สายตาทะลุทะลวงนั้นไม่สามารถทำอะไรผมที่ใส่ใจเกินร้อยกับการชงเครื่องดื่มได้ เพื่อความยุติธรรม ผมเลยให้ชานมไข่มุกกับคุณคนแรกที่มาถึงก่อน พอไอ้ภูมิเห็นเขายืนนับเหรียญบาทก็แค่นหัวเราะดูถูก แต่คุณคนแรกไม่สนใจ บรรจงโกยเหรียญใส่มือผมที่แบรออย่างคุ้นชิน ไม่ลืมวางเหรียญสองบาทไว้บนสุดตามธรรมเนียม

   ซึ่งครั้งนี้มีสองเหรียญ

   “แก้ตัวเมื่อวาน” คุณคนแรกเอ่ย ผมพยักหน้า หยอดเหรียญใส่กระปุกใสด้วยในใจที่คล้ายถูกบางสิ่งเติมเต็ม ไอ้ภูมิมองไม่เข้าใจ จับประเด็นไม่ได้สักนิดว่าผมกับคุณคนแรกคุยอะไรกัน แล้วทำไมบรรยากาศถึงได้เหมือนรู้กันแค่สองคน

   “ดูหลังบัตรรึยัง”

   ซึ่งก็รู้กันแค่สองคนจริงๆ นั่นแหละ ผมซึ่งกำลังคนชานมสำหรับภูมิถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อได้ยินคำถามนั้น

   “ดูแล้ว” ผมตอบแบบไม่เผยพิรุธ แต่คนจะจับผิดยังไงก็ต้องจับให้ได้ ภูมิขบฟัน ใช้ตัวสูงใหญ่บึกบึนนั้นเบียดคุณคนแรกมายืนกลางเคาน์เตอร์ “ภูมิ...”

   “ก็...ก็เขาได้ชานมไปแล้วนี่ จะยืนขวางลูกค้าคนอื่นทำไมล่ะ” พอได้ยินผมเอ่ยเสียงเย็น ภูมิก็แก้ตัวเสียงหลง

   “สามสิบบาท” ผมยื่นชานมให้เพื่อนขณะหันไปส่งสายตาขอโทษคุณคนแรกซึ่งเบี่ยงตัวเองมายืนข้างๆ ไม่ยอมถอยไปอยู่หลังไอ้ภูมิ

   “หรือช่วงนี้พิชญ์จะชอบเหรียญ?”

   “ไม่ต้องสันนิษฐานมาก จ่ายมาเร็วๆ” ผมเร่งภูมิที่พยายามจะหาจุดเชื่อมโยงให้ได้

   ปรากฏภูมิจ่ายแบงก์ร้อยมา ผมเลยยิ้มมุมปาก แล้วบรรจงนับเหรียญบาททั้งหมดเจ็ดสิบเหรียญใส่ถุงให้

   คิดว่าผมชอบเหรียญใช่มั้ย งั้นเอาไปให้หมด จะได้เลิกฟุ้งซ่าน!

   ภูมิถึงกับยิ้มไม่ออก แล้วเขากล้าปฏิเสธมั้ย ก็ไม่

   คุณคนแรกหลุดหัวเราะทันควัน

   “หัวเราะอะไรวะ”

   “ภูมิ!”

   เจ้าของชื่อหงอยลงนิดหน่อย แต่ก็ไม่วายมองระหว่างผมกับคุณคนแรกคล้ายความสงสัยจุกอก

   “อย่าบอกนะว่าที่ไม่ยอมกลับเพราะ...หมอนี่”

   ผมหยิบสเปรย์พริกไทยขึ้นมาเขย่า

   “ละ...แล้วเจอกันนะพิชญ์!” ภูมิถอยกรูดทันที ไม่ลืมรับบัตรสะสมแต้มที่มีแสตมป์สองดวงไปด้วย มองร่างที่รีบวิ่งหนีกึ่งลนลานจนมั่นใจว่าไม่ย้อนมาผมก็เก็บสเปรย์พริกไทย ก่อนจะหันไปเลิกคิ้วใส่คุณคนแรกที่ยืนดูดชานมไข่มุกหน้าตาย

   “เพื่อนที่ดีนะ”

   เขาหมายถึงภูมิไม่ต้องสงสัย

   แต่ประโยคนั้นประชดหรือพูดจริงนี่เดาไม่ถูก

   “อืม ก็ดีแหละ” ผมตอบส่งๆ ในใจลอบขมขื่นเล็กน้อย แม้จะคบกับภูมิมาสิบปีแต่เรื่องของผมกับมันก็พูดยาก

   “วันนี้อากาศดี”

   “อืม ก็ดีมั้ง” ผมเงยมองฟ้า แดดร้อนเปรี้ยงจนแสบตา

   “ชานมอร่อยดี”

   “แน่นอนอยู่แล้ว” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด เรียกรอยยิ้มจางบนหน้าที่มักนิ่งเฉยของคุณคนแรก

   จากนั้นเขาก็เงียบ

   ผมทำเป็นนับเงินในลิ้นชักไปเรื่อย คุณคนแรกก็ดูดชานมกินไข่มุกไปเรื่อย จนหมดแก้ว เขาถึงยื่นแก้วเปล่ามาให้

   “ฝากทิ้งหน่อย”

   “ได้” ยอมรับว่าแอบอึ้งนิดๆ ไม่เคยเจอลูกค้าคนไหนยืนดูดจนหมดหน้าร้านแล้วฝากทิ้งมาก่อน

   แต่พอเอื้อมมือไปรับ คุณคนแรกกลับชักแก้วกลับ

   ผมกะพริบตาใส่ปริบๆ

   “กำลังใจยังอยู่ดีมั้ย”

   ก่อนจะหลุดยิ้ม...เมื่อรู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาไม่ยอมไปไหนสักที

   ในที่สุดก็ถาม!

   “อยู่ดี” ผมจับกระปุกใสขึ้นมาเขย่าให้เขาดูเหรียญสองบาทที่อยู่ครบ ก่อนจะวางไว้ด้านในเคาน์เตอร์เหมือนเดิม “จะฝากทิ้งอยู่รึเปล่า”

   “ฝาก” คุณคนแรกยื่นแก้วให้ สีหน้าดูโล่งอกโล่งใจขึ้น

   “ปิดร้านกี่โมง”

   “หนึ่งทุ่ม” ผมตอบพลางหันหลังไปทิ้งแก้วเปล่าใส่ถังขยะ ไม่ลืมแยกระหว่างแก้วพลาสติกสำหรับรีไซเคิลกับพวกเศษน้ำแข็ง

   “ไปกินข้าวเย็นด้วยกันดีมั้ย”

   ผมหันขวับคอแทบหัก ก่อนจะอ้าปากค้าง มองเขาแบบเหลือเชื่อ

   คุณคนแรกทำหน้าตายใส่ซะงั้น

   “เอ่อ...ดีก็ได้”

   เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ คุณคนแรกก็เดินกลับออกไป

   ทิ้งผมให้ยืนอึ้งเป็นบ้าใบ้อยู่อย่างนั้น

   



   หนึ่งทุ่มตรง ผมปิดร้านไปพลางกระสับกระส่ายในใจไปพลางอย่างบอกไม่ถูก

   เผลอชะโงกหน้ามองทางปากซอยบ่อยๆ ทั้งโล่งใจแกมหวิวในอกเมื่อไม่เห็นร่างคุ้นตา

   จนเมื่อดึงประตูเหล็กม้วนลงแล้วล็อกแม่กุญแจ คุณคนแรกก็วิ่งเหยาะๆ มาหาพอดี

   “ขอโทษที่มาช้า”

   ผมมองนาฬิกาข้อมือ หนึ่งทุ่มสิบห้านาที ไม่ถือว่านานมากสำหรับการรอ แต่ถือว่านานมากสำหรับการปิดร้าน

   “ไม่เป็นไร” ผมตอบ ก่อนจะเดินออกจากซอยไปพร้อมกับคุณคนแรก เป็นความรู้สึกที่...ประดักประเดิดแกมคันยุบยิบในใจ เป็นความเงียบที่น่าเขินอาย ต่างคนต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

   “ไอ้จ่อย!”

   พลันคุณคนแรกก็สะดุ้งโหยง สะดุ้งแบบสุดตัวชนิดที่ผมไม่เคยเห็นใครสะดุ้งเฮือกแรงขนาดนี้

   คนที่เอ่ยทักคือผู้ชายวัยไล่เลี่ยกัน น่าจะเป็นเพื่อนกับคุณคนแรก เพราะมาถึงก็ตบบ่าเขาดังป้าบ แล้วเหล่มองผมด้วยสายตาล้อเลียน

   “ถึงว่ารีบหายไปไหน ที่แท้ก็รีบไปรับ...”

   “ถ้าไม่อยากโดนไล่ออกก็ไสหัวไป” เสียงของคุณคนแรกค่อนข้างทุ้ม พอเขาเอ่ยเสียงต่ำ เลยฟังน่ากลัวเหมือนโดนขู่คำรามในลำคอ ได้ยินปุ๊บเพื่อนของเขาก็ยกมืออย่างยอมแพ้แทบจะเดินถอยหลัง คุณคนแรกไม่สนใจ โอบไหล่ผมให้เดินออกไปอีกทาง

   ...โอบไหล่!?

   นี่มันฉวยโอกาสใช่มั้ยนะ หรือก็ไม่อยากโดนเพื่อนล้อจนอยากพาผมหลบให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน แต่ผมก็เดินตัวแข็งทื่อตามแรงโอบเขาแต่โดยดี ใช่ว่าจะชอบโดนล้อจากคนแปลกหน้าสักหน่อยนี่ แม้จะคนคนนั้นจะช่วยไขข้อสงสัยให้ผมสองข้อก็ตาม

   ข้อแรก คุณคนแรกทำงานอะไร

   จากประโยคที่บอกว่าไล่ออก แสดงว่าเขาเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่แค่คนเดินลอยชายไปวันๆ

   ข้อสอง คุณคนแรกชื่อจ่อย

   อืม...เป็นชื่อที่ไม่ค่อยจะเข้ากับหน้าเท่าไหร่ แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ชอบ

   “กินเผ็ดได้มั้ย”

   “โปรดปรานเลยละ”

   จากหน้าตึงๆ เพราะเจอเพื่อนล้อ คุณคนแรกก็เริ่มยิ้มออกเมื่อได้ยินผมตอบเต็มปากเต็มคำ เขาพาผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนประถม ส่งหมวกกันน็อกให้ ก่อนจะสวมของตัวเอง

   “รัดให้แน่นๆ มันอันตราย”

   คุณคนแรกขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นผมสวมหมวกกันน็อกแบบหลวมๆ ด้วยคิดว่าไม่สำคัญ เลยช่วยจับสายรัดใต้คางให้แน่นขึ้น เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยใส่กันเสียงดุขนาดนี้ แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้าทักท้วงอะไร ยืนตัวแข็งให้เขาช่วยสวมหมวกถูกวิธี ก่อนจะซ้อนหลังแบบเก้ๆ กังๆ

   “จับดีๆ”

   “จับตรงไหน” ผมถามแบบมือไม้ไปไม่เป็น

   “ตรงไหนก็ได้” คุณคนแรกหัวเราะพรืด คลายความขึงขังลง “จับที่ยึดด้านหลังก็ได้”

   ผมหันซ้ายหันขวา พอเห็นที่จับด้านหลังรถมอเตอร์ไซค์ก็เลยเอื้อมมือจับหมับแน่น และยิ่งตัวเกร็งเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัว ถึงผมจะเคยขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้า แต่ผมไม่เคยขึ้นมอเตอร์ไซค์มาก่อน แม่บอกว่ามันอันตราย และผมก็คิดว่ามันอันตรายจริงๆ นั่นแหละเวลาเห็นวินมอเตอร์ไซค์ขับเลาะตามช่องว่างระหว่างรถเวลาติดไฟแดง ถึงจะชอบใช้ชีวิตสบายๆ แต่ผมก็รักชีวิตนะ

   อืม...เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าผมน่าจะกลัวความเร็วนิดหน่อยน่ะ

   ว่าแต่ได้การจับที่ยึดด้านหลังมันเสียสมดุลยังไงชอบกล เหมือนพาลจะหงายหลังชวนใจหวิวอย่างบอกไม่ถูก จะเปลี่ยนท่าตอนนี้ก็ทำไม่ได้ มีแต่ต้องทนเท่านั้น

   ผมแทบไม่มองทางเลยเพราะมัวแต่ใจหล่นหายไปถึงตาตุ่ม รู้ตัวอีกครั้งรถมอเตอร์ไซค์ก็จอดอยู่หน้าร้านส้มตำริมถนนแล้ว คุณคนแรกถอดหมวกกันน็อกแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ผมมือสั่น รีบถอดหมวกส่งให้ สติสตังยังไม่ค่อยเข้าที่นัก

   “ไม่เคยนั่งมอ’ไซค์เหรอ”

   “อืม”

   คุณคนแรกไม่ถามต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี หากเขาล้อแม้แต่นิดเดียวละก็ผมจะกลับห้องให้ดู

   เขายืนเป็นเพื่อนผมให้รวบรวมสติอีกสักพัก ด้วยใบหน้ายิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก เมื่อเห็นสีหน้าผมค่อยยังชั่วแล้วก็พาไปต่อคิวหน้าร้านส้มตำ

   “สองคนครับ” คุณคนแรกพูดกับพนักงานที่ช่วยจัดคิว เพราะร้านนี้มีคนต่อแถวเยอะมาก ระหว่างรอ อาการเกร็งตัวสั่นของผมก็เริ่มจะหายแล้ว สวนทางกับท้องที่เริ่มร้องครวญคราง

   “สองที่ได้แล้วคร้าบ”

   ถึงคิวพอดี คุณคนแรกเดินนำ ไม่วายหันมากระซิบบอก

   “มื้อนี้ขอเลี้ยงนะ”

   เป็นคำพูดที่ป๋ามาก แม้ผมจะเลิกคิ้วสงสัยว่าถุงพลาสติกใส่เหรียญของเขาจะมีพอรึเปล่า แต่ในเมื่อเขาออกปากก็ไม่ควรขัดน้ำใจ ผมรับเมนูมาดูก่อนจะสั่งราวๆ ห้าอย่าง

   ระหว่างนั่งรอ เราสองคนเหลือบมองกันไปมองกันมา อยากจะทำลายความเงียบแต่ก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร ข้อมูลของเขาในหัวผมมีน้อยมาก แต่เกรงว่าข้อมูลผมในหัวเขาน่าจะมีเยอะมากแบบกระจัดกระจาย ทั้งไอ้ภูมิก็ดี กฤตก็ดี หรือพี่พจน์ก็ดี

   แต่คุณคนแรกเป็นพวกไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่น

   วันแรกเขานิ่งยังไงก็ยังเป็นแบบนั้น ส่วนใหญ่จะเปิดปากถามเรื่องผมมากกว่า และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมยอมมากินข้าวด้วย

   ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ น้ำตก เมี่ยงปลาเผา ส้มตำ ต้มแซ่บกระดูกอ่อน และคอหมูย่างวางเต็มโต๊ะ ผมกับคุณคนแรกจับช้อนส้อมพร้อมกันแล้วเริ่มจ้วงทันทีด้วยความหิว ต่างคนต่างทาน ไม่มีมานั่งแกะก้างปลา หรือตักใส่จานให้ ซึ่งก็ดีแล้ว ถ้าเขาทำแบบนั้นคงพิลึกน่าดู

   กินไปสักพักความเผ็ดก็เริ่มมาเยือน รสชาติร้านนี้อร่อยแซ่บไม่เลว ผมกินไปก็ซี๊ดปากไป น้ำหูน้ำตาแทบไหล

   “หึ” คุณคนแรกหลุดขำ ส่งกระดาษทิชชูให้ “ไหนบอกชอบกินเผ็ด”

   “ชอบ แต่ใช่ว่าจะไม่เผ็ด” ผมตอบพลางเอากระดาษทิชชูซับหน้าซับเหงื่อ

   “ปากแดงหมดแล้ว”

   “ก็มันเผ็ดนี่” ผมแลบลิ้นตากลม วิธีนี้ช่วยแก้เผ็ดได้ดีนะครับอยากจะบอก แต่คุณคนแรกคงไม่รู้ ถึงได้มองผมตาโต ก่อนจะหลุดหัวเราะตัวโยน

   ตัวโยนจริงๆ นะ เขาหัวเราะจนต้องตบโต๊ะ เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มกว้างจนเห็นฟัน

   “กินต่อไหวมั้ย”

   “ไหวสิ ขอพักตากลิ้นก่อนเฉยๆ เผ็ดจนน้ำตาคลอแล้ว” ผมชี้ดวงตาคลอน้ำใสให้เขาดู

   “ชอบฝืนตัวเองนะเราน่ะ” คุณคนแรกเอ่ยกึ่งเอ็ด แต่ก็แฝงความเอ็นดูแกมขำขัน เขาพูดอย่างกับว่าอายุเยอะกว่าผมอย่างนั้นล่ะ แม้จะดู...แก่กว่านิด แต่ก็ไม่น่าจะมากเกินสามถึงสี่ปี

   “ไม่ได้ฝืน” ผมแย้ง “แต่ชอบเลยอยากกิน”

   เหมือนที่เวลาอยากจะทำอะไรก็ลุยเต็มที่

   “เถียงเก่งซะด้วย”

   “เปล่าสักหน่อย” ผมตอบ หน้าเริ่มหงอหงำ คุณคนแรกเลยรีบผลักจานคอหมูย่างให้อย่างเอาใจ เพราะทั้งโต๊ะมีจานนี้จานเดียวที่ไม่เผ็ดมาก

   ผมไม่ขอบคุณเขาหรอกนะ แต่ก็จิ้มคอหมูย่างเข้าปาก กินไปก็แลบลิ้นตากลมเป็นพักๆ จนเริ่มหายเผ็ดก็กินส้มตำต่อ ไม่นานก็กลับมาซี๊ดปาด น้ำตาแทบเล็ดอีกรอบ

   คุณคนแรกส่ายศีรษะ ยกมือเรียกเก็บเงินเพราะกินกันหมดพอดี

   “ทั้งหมดสี่ร้อยเจ็ดสิบสองบาทค่ะ”

   แล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่ผมรอคอย แม้ร้านนี้จะไม่แพงมาก แต่ถุงพลาสติกใส่เหรียญของเขามีไม่ถึงสี่ร้อยแน่ๆ คุณคนแรกคล้ายจะจับสังเกตถึงความตั้งใจมองของผมได้ จึงค่อยๆ หยิบแบงก์พันออกมาจาก...กระเป๋าเสื้อ!

   “เหรียญใส่ในถุง แบงก์ใส่ในนี้” คุณคนแรกตบกระเป๋าเสื้อหลังพนักงานเก็บเงินไปแล้ว

   “ไม่ได้ถาม” ผมตอบอ้อมแอ้ม คิดในใจว่าทำไมถึงไม่เคยควักแบงก์ให้กันบ้างละ

   “ทับทิมกรอบมั้ย”

   “เอา!” แม้จะรู้ทันว่าเขาเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมก็ตอบรับอย่างยินดียิ่งเพราะเผ็ดจนแสบท้อง ทับทิมกรอบเย็นๆ กรุบๆ ช่วยชีวิตไว้พอดี “อันนี้ฉันจ่ายนะ”

   “ได้” คุณคนแรกไม่อิดออด ผมแปลกใจนิดหน่อย นึกว่าเขาอยากทำตัวป๋าในการ...เดต? เดตรึเปล่านะ หรือจะไม่ใช่ แค่ชวนกันมากินข้าวตามประสาคนรู้จักเฉยๆ

   พวกเรานั่งกินทับทิมกรอบอยู่ริมฟุตบาท เพราะเป็นร้านของคุณป้าที่มีแค่เก้าอี้ตั้งเรียงเป็นแถว โต๊ะไม่มี ต้องใช้มือถือชามโซ้ยเอา

   เป็นวิถีชีวิตที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับผม เชื่อสิถ้าพ่อแม่มาเห็นต้องร้องโวยวายหาว่าผมกินอะไรสะอาดรึเปล่าก็ไม่รู้

   กิจกรรมการกินหมดแต่เพียงเท่านี้ คุณคนแรกพาผมเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์ ส่งหมวกกันน็อกให้สวม และพอผมรับมาใส่ เขาก็ช่วยจับที่รัดใต้คางดึงให้แน่น

   “ปกติกลับยังไง”

   “ปั่นจักรยาน”

   “...”

   รักโลก ช่วยโลกลดมลพิษมันผิดตรงไหน

   “เดี๋ยวไปส่ง”

   มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอในเมื่อจักรยานอยู่ที่ร้านชานมน่ะ

   ผมไม่พูด และไม่ทักเรื่องไอ้มือที่แอบลูกคางกันนั่นด้วย ก่อนจะซ้อนหลังคุณคนแรกแบบเกร็งๆ คราวนี้เข็ดแล้วครับ ลาก่อนที่จับด้านหลัง ขอห่อตัวเกาะเอวเขาดีกว่า

   “อยู่ที่ไหน”

   ผมพูดชื่อคอนโดแล้วอธิบายคร่าวๆ คุณคนแรกพยักหน้ารับ เขาคงรู้จัก เลยเริ่มขับออกไปด้วยความเร็วที่...ช้ากว่าเดิมจนเรียกได้ว่าเต่าคลาน

   แทบจะเทียบเท่าเวลาผมปั่นจักรยานเลย

   ทั้งที่ร้านส้มตำไม่ได้ห่างจากคอนโดผมมาก แต่คุณคนแรกใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงในการมาส่ง ผมถอดหมวกกันน็อกคืนเขา ซาบซึ้งในความเอาใจใส่ คุณคนแรกเองก็เปิดหน้ากากหมวกกันน็อก ไม่ได้ดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ แต่เงยมองที่พักผมอย่างประเมิน

   เป็นคอนโดราคาแปดพันบาทต่อเดือน นับว่าราคาค่อนไปทางกลางถึงแพงสำหรับย่านนี้ แม้ผมจะง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับทรมานตัวเองพักในย่านแออัดหรอกนะ ที่นี่ระบบรักษาความปลอดภัยดีด้วย ใช่ว่าใครจะเข้าก็เข้ามาง่ายๆ

   เห็นเขาไม่พูดอะไร แถมเตรียมตัวจะไป ผมก็เลยรีบเอ่ยชื่อที่คิดวนในหัวตลอดตั้งแต่ได้ยิน

   “ขอบคุณนะ...จ่อย”

   คุณคนแรกนิ่งเหมือนโดนสาปเป็นหิน ก่อนจะหัวเราะ...ลั่น

   ลั่นยิ่งกว่าตอนอยู่ในร้านส้มตำอีก เขาหัวเราะจนต้องถอดหมวกกันน็อกเพื่อเช็ดน้ำใสตรงหางตา

   “นั่นชื่อพ่อ”

   โอเค ผมรู้แล้วว่าเขาหัวเราะอะไร ต้องโทษประเทศไทยที่จนป่านนี้ยังมีคนล้อชื่อพ่อแม่แทนจะเรียกชื่อเพื่อน

   หน้าแตกเพล้งขนาดนี้หมดแรงจะยืนคุยกับเขาต่อแล้ว แต่คุณคนแรกไม่ยอมปล่อยผมไปนอนง่ายๆ เพราะพอเห็นผมหันหลังเตรียมชิ่ง เขาก็ขี่รถชิงหายไปก่อน  ก่อนไปไม่วายเอ่ยทิ้งท้ายเสียงเรียบเฉยที่ไม่ยักจะเฉยในความรู้สึกคนฟังสักนิด

   “ฝันดีนะ...พิชญ์”


   -------------

   ฮั่นแน่ รู้นะ กดมาอ่านตอนนี้เพราะคิดว่าจะรู้ชื่อพระเอกแล้วใช่ม้าา

   ยังค่ะยัง คุณคนแรกเล่นตัวมาก อยากให้พิชญ์เป็นคนถาม แต่พิชญ์ก็เล่นตัวเหมือนกัน ไม่ยอมถามสักที 5555

   สองคนนี้ก็จะยึกยักพอประมาณ หยอดๆ จีบๆ ไปอย่างนี้ค่ะ สุดท้ายคุณคนแรกจะได้พูดก่อน หรือพิชญ์ทนไม่ไหวถามก่อน ต้องมารอติดตามกัน! แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นพวกเขาก็ไปเดตกันแล้วเจ้าค่าเอ๊ยยยย เดตทั้งที่เรียกชื่อคู่เดตด้วยชื่อพ่อเขา 55555


    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-09-2019 20:38:23
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-09-2019 20:39:19
ชื่อพ่อรู้แล้ว  เหลือชื่อแม่และญาติพี่น้อง​ส่วนพระเอกรอจนปิดเรื่องก็ได้ึ่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 26-09-2019 20:59:01
อย่างน้อยก็ได้รู้ชื่อพ่อก่อนแล้วนะ 555555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-09-2019 22:20:44
ขำ "ขอบคุณนะ จ่อย"มากๆเลยค่ะ จุดนี้อย่างฮา  :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 26-09-2019 22:53:53
ตกใจตอนได้ยินว่าจ่อย แต่มาฮาตรงชื่อพ่อนี่ละนะ
หรือว่าคุณคนแรกเป้นเจ้าของร้านชานมหน้าปากซอย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-09-2019 22:54:28
แหม โดนหลอกจนได้
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 27-09-2019 05:54:37
หัวเราะใหญ่เลยนะคุณคนแรก

ปล. หน้างอง้ำ เขียนแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: pranliew ที่ 27-09-2019 07:32:44
แงงงงง น่ารักมากกกกกกก สุดท้ายคุณคนแรกน่ารักโดด สุดท้ายชื่ออะไรกันน๊าาาา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 27-09-2019 11:13:45
ถึงจะยังไม่รู้ชื่อพระเอก
แต่ก็ได้รู้ชื่อพ่อ ของพระเอกแล้วนะ

 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 27-09-2019 20:24:36
ขำ55555555555 เรียกชื่อพ่อกันเลยนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 27-09-2019 21:40:02
ว่างาย...จ่อย...อ้าวชื่อพ่อเหรอฮ่าๆ :hao3:...เห็นขรึมๆนิ่งๆหยอดตลอดเลยนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-09-2019 03:16:18
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 28-09-2019 12:00:59
ลูกพ่อจ่อยนี่ท่าจะมุกเยอะเนอะ.

เดทแรกที่ร้านส้มตำ  โรแมนติกมาก 55555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 29-09-2019 20:09:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 6 : ชื่อของคุณคนแรก - [26/9/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 30-09-2019 17:00:32
คุณคนเเรกนี่เริ่มจีบแบบจริงแล้วซินะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 03-10-2019 20:17:51

ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ


   สรุปแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าคุณคนแรกชื่ออะไร

   อยากรู้ก็แค่ถาม แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่กล้าถาม ทั้งที่เขาน่าจะรอตอบมาหลายวันแล้ว

   ครับ นับจากกินข้าวด้วยกันวันนั้นก็ผ่านมาอีกห้าวัน

   ครบรอบเปิดร้านวันที่ยี่สิบ ลูกค้าร้านผมยังคงมาแบบเรื่อยๆ เรียงๆ ไม่เยอะมากแต่ก็ไม่น้อยจนน่าใจหาย ส่วนใหญ่เกิน 70% ถ้าเข้ามาลองแล้วจะกลายเป็นลูกค้าประจำ เพราะร้านผมถูกและรสชาติดี ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงครึ่งของคิวร้านชานมเจ้าใหญ่ แม้จะดึงมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยึดติดกับแบรนด์ไม่คิดลองของใหม่

   ผมเริ่มคิดกลยุทธ์ใหม่อีกครั้ง

   ไม่ถึงขั้นอาจหาญขนาดสู้รบตบมือกับเจ้าดัง แค่อยากให้คนลองชิมชานมที่ชงด้วยรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แค่นั้นเอง ถ้าลูกค้าไม่ชอบกลับไปร้านเดิมก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าอย่างน้อยผมได้ทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การยืนรอเฉยๆ

   แต่ความคิดยังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ เป็นแค่กลุ่มก้อนขมุกขมัว

   ส่วนเรื่องข้าวเย็น....

   คุณคนแรกชวนผมตามอารมณ์ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์ไหนเหมือนกัน วันเว้นวัน บางทีก็เว้นสองวัน อยู่ในระดับที่ผมรับได้ ถ้าชวนทุกวันก็คงขี้เกียจ เพราะตอนเช้าต้องนั่งรถเมล์มาร้านชานมเนื่องจากทิ้งจักรยานไว้ในร้าน อีกอย่าง คนเราก็ต้องอยากมีเวลาส่วนตัวกันบ้าง

   โดยเฉพาะเมื่อผมและเขายังไม่ได้เป็นอะไรกัน

   ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ภูมิมายืนจ้องหน้าคุณคนแรก และเริ่มจะใจเย็นไม่ไหว

   “พิชญ์ จะครบสามเดือนแล้วนะ”

   “แล้วไง”

   “ไม่คิดจะกลับจริงๆ เหรอ”

   ผมกลอกตา ภูมิคงไม่ได้พนันข้างเดียวกับพ่อหรอกนะใช่มั้ย

   ไม่สิ เขาไม่ร่วมพนันกับพ่อแม่ผมหรอก แต่พนันอย่างอื่นต่างหาก

   “พิชญ์ กู...”

   “ไว้ค่อยคุยกันตอนปิดร้าน”

   “พิชญ์” เสียงของภูมิสั่นเครือ ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น แม้รูปร่างสูงใหญ่แต่ภูมินิสัยเด็ก ใจร้อน อารมณ์ร้อน ต่อหน้าคนอื่นขี้เก๊กชอบวางมาด ต่อหน้าผมเดี๋ยวหงอเดี๋ยวหงอย เขาเป็นทั้งเพื่อนและก็เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง

   ได้คำตอบที่ต้องการภูมิก็เดินออกจากซอยทันที ไม่แม้แต่จะรับชานมไข่มุกที่สั่งไว้ด้วยซ้ำ

   เลยกินเองซะเลย

   คุณคนแรกกับผมถือชานมจ้องตากัน แม้ไม่พูดอะไร แต่พวกเราต่างรู้กันดีว่าคืนนี้ผมไม่ว่างแล้ว

   ถ้าจำไม่ผิดเมื่อสองวันก่อนตอนพาผมไปกินผัดไทบอกว่าครั้งหน้าจะพาไปลองสุกี้เจ้าเด็ด คุณคนแรกเป็นสายตระเวนกิน จะไกลแค่ไหนก็จะถ่อไปให้ถึง ก็ไม่รู้ว่าเป็นความชอบส่วนตัวหรือแค่อยากพาผมไปเปิดหูเปิดตา เพราะผมเป็นประเภทมีของอร่อยให้กินก็ดี แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร

   ทุ่มตรง ภูมิยืนรออยู่หน้าร้านผม ช่วยดึงประตูเหล็กม้วนลงมาให้

   “พิชญ์...”

   “เท่าไหร่” ผมถามสวน ขี้เกียจฟังเขาพล่ามน้ำท่วมทุ่ง

   “แปดหมื่น...” ภูมิเอ่ยเสียงอ่อย สภาพดูไม่ได้เลยกับมาดเกเรของเขา ผมคร้านจะด่า เลยพยักพเยิดให้เขาซ้อนเบาะหลังจักรยาน แล้วปั่นไปจอดหน้าตู้ถอนเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง

   ภูมิรออย่างเจี๋ยมเจี้ยมเจียมตน ได้ของที่ต้องการปุ๊บก็รับมานับแบบไม่เกรงใจเจ้าของเงินที่ยืนหัวโด่

   “ขอบคุณนะ พิชญ์”

   “นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะภูมิ มึงก็รู้ว่ากูออกจากบ้านแล้ว ไม่ได้รับเงินพ่อแม่แล้ว ไม่มีให้มึงผลาญอีกเหรอนะ”

   “มึงก็กลับบ้านสิวะ จะอยู่แบบกระเบียดกระเสียรตัวเองทำไม”

   “กูสบายดี”

   “ร้านชานมเล็กๆ นั่นทำกำไรให้มึงเท่าไหร่ล่ะ เท่ากับที่เคยได้ตอนทำงานกับพี่พจน์มั้ย”

   “...”

   “พิชญ์”

   “แปลกดีเนอะ” หลังเงียบไปอึดใจหนึ่ง ผมก็เงยหน้าจ้องตากับภูมิด้วยน้ำเสียงสุดเซอร์ไพรส์

   “แปลกอะไร”

   “กูออกจากบ้าน ชีวิตโคตรสบายดี แต่มึงดันลำบาก ดิ้นพล่านๆ ไม่หยุด แปลกมั้ยล่ะ”

   ไอ้ภูมิเงียบ ซึ่งก็ดีแล้ว ผมไม่อยากทะเลาะกับมัน

   “กูแค่เป็นห่วง มึงไม่เคยเป็นแบบนี้ ทุกครั้งไม่ว่าจะทำอะไร มึงจะให้กูตามมึงไป...”

   “งั้นมึงควรจะดีใจ ที่ครั้งนี้ไม่ต้องลำบากตามมากระเบียดกระเสียรกับกูด้วย”

   “พิชญ์ มึงอย่าประชดสิวะ”

   “กูพูดความจริงอยู่นะ” ผมกะพริบตาปริบ แสดงความจริงใจเต็มที่

   “หรือมึงเบื่อกูแล้ว”

   “ก็ไม่เชิง”

   “เพราะกูติดการพนันเหรอ”

   “อย่างกับบอกว่าใช่แล้วว่ามึงจะเลิก” ผมหัวเราะ ก่อนจะขึ้นคร่อมจักรยาน เตรียมแยกทางกันเพียงเท่านี้ “อ้อ ที่มึงถามว่ากูได้กำไรเท่าไหร่ บอกเลยว่าโคตรน้อยเลยว่ะ พอกินพอใช้ ฉะนั้นตราบใดที่กูยังเปิดร้านชานม มึงก็อย่าสร้างเรื่องนัก กูไม่ว่างไปช่วยมึงแล้ว และไม่มีเงินพอจะให้มึงผลาญเล่นด้วย หรือถ้าจะเป็นจะตายนักมึงก็คงต้องปล้นร้านกูแล้วว่ะ ไอ้ภูมิ”

   “พิชญ์ มึงประชดอีกแล้วนะ”

   “เออ อันนี้กูประชด” ผมยอมรับหน้าด้านๆ “มึงก็อย่าทำให้คำประชดกูเป็นจริงแล้วกัน บาย”

   ทิ้งเพื่อนเวรไว้ข้างหลัง ผมถีบจักรยานไปข้างหน้า แม้คืนนี้อากาศเย็นสบาย แต่ในใจผมเหมือนมีฟ้าฝนพายุคลั่งกระหน่ำสาด

   มิตรภาพสิบปีก็แค่เท่านี้เอง

   สายตาคนภายนอก เห็นผมกับภูมิเป็นเพื่อนรักกัน แต่จริงๆ คือภูมิต่างหากที่เกาะติดผมไม่ห่าง ผมมันเพื่อนน้อย คิดจะทำอะไรก็ทำ นิสัยแปรปรวน ชอบประชด เลยมีแค่ภูมิที่ทนได้ หรือให้ถูกคือ มันจำเป็นต้องทน เพราะคงมีผมคนเดียวที่ยอมให้มันผลาญเงินกับการเล่นพนันโง่ๆ

   เมื่อก่อนไอ้ภูมิไม่ใช่คนอย่างนี้หรอก มันหัวสูง ขี้เก๊ก ไม่ชายตาแลผมด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่งบ้านมันก็ล้มละลาย พ่อแม่มันทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพื่อใช้หนี้และส่งลูกเรียนสูงๆ อย่างที่เคยตั้งใจไว้ และไอ้ภูมิก็จมไม่ลง มันมาเกาะติดผม คงเห็นว่าควักเงินเนียนขอกินฟรีง่ายดี ผมเองก็คร้านจะสลัดทิ้ง เลยยอมให้มันเกาะ ทนได้ก็ทนไป

   จากนั้นทุกคนก็เข้าใจว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน

   ภูมิมันทำทุกอย่างเพื่อเกาะผมให้แน่นที่สุด ความพยายามนั้นทำให้ไม่ว่าผมทำอะไร มันก็มีผลพลอยได้ไปด้วย พ่อแม่ผมรักมัน พี่ผมชอบมัน ทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นเพื่อนที่น่าสงสารซึ่งหลงผิดคบกับผม

   ถ้าถามว่าเกลียดมันมั้ย

   ตอบเลยว่าไม่ เพราะผมรู้เช่นเห็นชาติมันแต่แรกแล้ว ช่วงหลังมานี้ภูมิเริ่มติดการพนัน เพราะเคยเล่นแล้วได้มาเป็นแสนๆ คนอย่างมัน ได้จับเงินก้อนใหญ่หลังคลุกอยู่ในบ่อนไม่กี่ชั่วโมงถือเป็นโชค จากนั้นมันก็เล่นได้ๆ เสียๆ มาตลอด ไม่เข็ดสักที และมันก็บอกใครไม่ได้ นอกจากผม

   ผมเตือนมันแล้ว ต่อยมันก็แล้ว ภูมิไม่ยอมเลิก บอกแต่ว่าได้ถึงล้านถึงจะยอม

   แล้วไหนละเงินล้าน มีแต่ผมเนี่ยที่เงินเก็บร่อยหรอทุกวันๆ เพราะโดนมันผลาญเล่น แม้มันจะยืมๆ คืนๆ ตามโชคชะตาจะนำพาก็เถอะ แต่ไม่บอกคงรู้ใช่มั้ยว่าเสียมากกว่าได้น่ะ

   ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่ได้ลำบากจริงๆ แค่ออกปาก พ่อกับแม่ก็ให้เงินผมง่ายๆ โดยไม่ถามสักคำว่าเอาไปทำอะไร อาจจะนึกว่าผมคิดพิเรนทร์ หนีไปลงทุนนู่นทำนี่เล่นนั่นอย่างที่ชอบทำ ซึ่งผมก็ไม่เคยบอกใคร ถ้าหลุดปาก ไอ้ภูมิผู้เป็นที่รักของครอบครัวผมต้องโดนตัดหางปล่อยวัดแน่

   ผมใจดีมั้ยล่ะ

   อย่างที่บอก ผมไม่ได้เกลียดมัน อย่างน้อย ในช่วงเวลาสิบปี ภูมิก็อยู่กับผมตลอด ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ในวันที่ลุกขึ้นมาเป็นบ้าคนเดียว มันก็บ้ากับผมด้วย ในวันที่ผมเคว้งคว้าง มันก็พร้อมหนุนหลัง ในวันที่ผมทะเลาะกับแฟน มันก็ช่วยไกล่เกลี่ย ในวันที่ผมเรียนจบ มันก็ยืนรับปริญญาอยู่ข้างกัน

   ภูมิเป็นเพื่อน

   แต่ไม่รู้ว่ามันเห็นผมเป็นเพื่อนจริงๆ บ้างรึเปล่า

   อยากให้ผมกลับบ้าน คำนั้นพูดเพราะห่วง หรือเพราะกลัวไม่มีเงินใช้กันแน่

   นึกแล้วก็ขมในอก ผมสะบัดศีรษะ ปั่นจักรยานกลับบ้านแบบวัดใจ ว่าระหว่างผมอดตาย กับไอ้ภูมิติดพนันจนโดนเจ้าหนี้รุมกระทืบ อะไรจะเกิดก่อนกัน

   แต่เชื่อเถอะว่าคนอย่างพิชญ์ไม่งอมืองอเท้าแน่

   ต่อให้อดตายก็ยังมีชานม!

   พอคิดถึงชานม ผมก็ชักอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะย่นหน้าเพราะท้องร้องโครกคราก คิดถึงสุกี้เจ้าดังชะมัด ทำไมต้องอดเพราะไอ้ภูมิด้วยเนี่ย ความจริงผมนัดกับคุณคนแรกช้าหน่อยก็ได้ แต่อาจเป็นนิสัยของลูกชายนักธุรกิจที่ไม่ชอบนัดหมายแบบไม่รู้เวลาแน่ชัด ผมไม่รู้ว่าภูมิมันจะจบแค่แปดหมื่นรึเปล่า เพราะถ้าเกินวงเงินบัตรเดบิต ผมก็ต้องวิ่งหาตู้ธนาคารอื่นเพื่อหาเงินให้มันจนกว่าจะครบ หนักสุดคือช่วยออกหน้าเจรจา ผมเก่งต่อยตีก็ใช่ว่าจะซ้อมมือแต่กับภูมิสักหน่อย

   นี่ละหนาความลำบากของการมีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

   ช่วยไม่ได้ ผมดันมีมันเป็นเพื่อนแค่คนเดียว

   ปั่นจักรยานมาถึงหน้าห้องพัก ผมก็หิวไส้กิ่ว ขณะคิดว่าจะซื้ออะไรดี ฝากท้องกับเซเว่นดีมั้ยนะ ผมก็เห็นมอเตอร์ไซค์สีดำคุ้นตาจอดอยู่ใต้ต้นไม้ห่างจากคอนโดประมาณสามสิบเมตร

   คุณคนแรกไถโทรศัพท์ฆ่าเวลา ไม่รู้ตัวสักนิดจนผมเข็นจักรยานเข้าไปหา

   เขาสะดุ้งนิดหน่อยตอนเงยหน้ามาเจอพอดี

   “ไง” ผมทักก่อน แม้อยากรู้ใจจะขาดว่าเขามายืนเท่อะไรตรงนี้ แต่ทิฐิบางอย่างรั้งไว้ เหมือนที่จนป่านนี้ผมก็ยังไม่ถามสักทีว่าเขาชื่ออะไร

   เป็นนิสัยเสียๆ ของคนชื่อพิชญ์น่ะครับ เกิดมาสุขสบาย อยากได้อะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ ต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้นยอมลงให้คนที่แสดงออกว่าสนใจกันก่อน ไม่ใช่ตัวผมเลยจริงๆ

   “ไง” และคุณคนแรกก็ชื่นชอบมากที่จะปั่นประสาทผมเล่น ด้วยการประวิงเวลา ทำหน้าตาย

   เวลาอยู่ด้วยกันพวกเราเลยมักฆ่าเวลาด้วยความเงียบ

   โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และคุณคนแรกก็เป็นหนึ่งคนนั้นที่คล้ายจะไม่เคยเริ่มต้นเข้าหาใครก่อนเหมือนกัน บรรยากาศเริ่มต้นไปอย่างประดักประเดิดแต่ก็น่าแปลก เพราะเวลาสบสายตา ผมกลับไม่เบื่อความเงียบนี้

   อาจเพราะรู้ว่าสุดท้ายแล้วคุณคนแรกจะเป็นฝ่ายทำลายมัน

   “สุกี้ที่เล่าให้ฟัง” เขาพูดพลางชูถุงพลาสติกซึ่งห้อยกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ผมเห็นแต่แรกแล้ว แต่ไม่ถาม นิสัยไม่ดีใช่มั้ยล่ะ

   “ขอบคุณ” ถึงจะนิสัยเสีย แต่ผมไม่เคยเสียมารยาทกับใคร โดยเฉพาะกับคนที่แม้จะไม่ได้กินข้าวด้วยกัน แต่มีน้ำใจซื้อมาฝาก “กำลังหิวเลย”

   “ไม่รู้ว่าชอบกินน้ำหรือแห้ง เลยซื้อมาสองถุง” คุณคนแรกชูอีกถุงขึ้น ตอนนี้เขาเหมือนเทพธิดาแห่งบ่อน้ำ และกำลังถามว่าขวานที่ผมทำตกไปคือขวานไม้หรือขวานทองคำ

   “ชอบกินแห้ง แต่ตอนนี้อยากกินแบบน้ำ”

   ผมกวนตีน ผมรู้ตัว

   “งั้นเอาแบบแห้งไป”

   และคุณคนแรกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

   “แต่นี่เป็นแบบน้ำนะ” ผมรับถุงมาถือ ไม่ว่ามองยังไงก็เป็นสุกี้ที่กำลังอืดอยู่ในน้ำสีส้มน่ารับประทาน

   “ส่งผิดน่ะ”

   ดูรอยยิ้มมุมปากนั่นแล้วไม่ว่าจะใช้หัวซีกขวาหรือซีกซ้ายคิดก็รู้ว่าจงใจชัดๆ

   แล้วพวกเราก็ตกในความเงียบอีกรอบ

   ความจริงผมหิวจนอยากขึ้นห้องไปแกะสุกี้แล้ว แต่ท่าทางของคุณคนแรกเหมือนมีเรื่องค้างคาใจ ซึ่งผมเองก็รู้ว่าเขามีเจตนาไม่ซื่อยังไง

   ซื้อสุกี้มาสองถุง ทำหน้าตาย แต่มือลูบท้อง เหมือนหิวซะเต็มประดา

   รอผมชวนขึ้นห้องอยู่น่ะสิ

   ผมย่อมไม่ทำให้เขาสมปรารถนา

   และก็เป็นอีกครั้งที่คุณคนแรกเลือกที่จะทำลายความเงียบ

   “หิวแล้ว”

   ทั้งที่น้ำเสียงราบเรียบมากแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมฟังอ้อนๆ ชอบกล

   “ไม่ชวนขึ้นห้องไปกินสุกี้ด้วยกันเหรอ”

   ผมมองเขา ชั่งใจว่าจะจบแค่กินสุกี้รึเปล่า ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความสัมพันธ์สำหรับเพศเดียวกันนั้นค่อนข้างไวไฟ จริงอยู่ว่าผมไม่ซิง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมขึ้นเตียงกับใครง่ายๆ โดยที่ยังไม่รู้ชื่อจริงด้วยซ้ำ

   อย่าลืมว่าผมเพิ่งอกหักนะ แม้จะเปิดใจ แต่ยังไม่พร้อมจะตกล่องปล่องชิ้นกับใครไวปานนี้

   “ไม่” คำตอบจึงเป็นคำปฏิเสธ พูดจบก็ไม่หนีหายไปไหน แต่ยืนจ้องหน้าคุณคนแรกว่าจะมีปฏิกิริยายังไง

   ผลคือเขาไม่ประหลาดใจ ออกจะคิดไว้แล้วด้วยซ้ำ

   “ไปเถอะ เดี๋ยวเส้นอืด” คุณคนแรกพยักพเยิดให้ผมเลิกจ้องหน้าสักที และนั่นก็ทำให้ผมเพิ่งคิดได้ว่า...นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายหันหลังให้เขาก่อน

   ไม่ว่าจะเป็นตอนซื้อชานม ตอนไปมารับไปกินข้าว ตอนมาส่งที่ห้องพัก คุณคนแรกจะเป็นฝ่ายเดินนำผมไปก่อน ไม่ก็ขับรถชิ่งหายไปก่อนเสมอ

   เป็นความรู้สึกที่ประหลาด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี ผมพยักหน้ารับนิ่งๆ ไม่รู้จะพูดอะไร เลยลากจักรยานไปจอดหน้าคอนโด คล้องโซ่กันหาย แล้วเดินมึนๆ เตรียมขึ้นห้อง

   พอลองหันกลับไปมอง คุณคนแรกก็ยังอยู่ที่เดิม

   ผมพยายามที่จะไม่ยิ้ม

   แต่ทำได้ยากชะมัด


   ------------

   และแล้วก็เฉลยเรื่องราวของภูมิกันค่ะ //จบเคสแรก

   จริงๆ แล้วพิชญ์ไม่ใช่คนนิสัยดีมากมายอะไร สังเกตได้จากน้องที่ถือทิฐิพอสมควร มีมุมเอาแต่ใจ และค่อนข้างไม่สนใจ ไม่เอาใจใส่ใครเท่าไหร่ เพราะเราคิดว่าคนทุกคนย่อมมีมุมไม่ดี แต่ว่าจะยอมรับข้อเสียนั้นแล้วพัฒนาตัวเองอย่างไร พิชญ์เองก็พยายามหาคำตอบและพยายามทำอยู่ด้วยการเปิดร้านชานมไข่มุกค่ะ

   แต่ถ้าทำคนเดียวคงจะเหงาไปสักนิด...เลยต้องมีกำลังใจมาเสริมให้จากคุณคนแรก

   มาน้อยๆ แต่น่ารักใช่มั้ยคะ

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-10-2019 20:41:26
 :a5:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-10-2019 20:44:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 03-10-2019 21:10:08
ภูมิไม่ใช่เพื่อนอ่ะพิชญ์ ภูมิคือปลิงเลยแหละแต่ใช้คำว่าเพื่อนมาบังหน้า   :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-10-2019 21:48:00
อยากกินสุกี้บ้างจัง...
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-10-2019 21:50:01
แค่เห็นหน้าภูมิก็รู้เลยเหรอ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: shinyface ที่ 03-10-2019 21:53:59
 :katai2-1:

เราไม่คิดว่าภูมิจะเป็นคนแบบนี้เลยอะ อย่าไปให้เพิ่มแล้ว ยิ่งให้ยิ่งไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วหนี้จะมากขึ้นทุกๆวัน  :mew5:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-10-2019 21:54:43
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-10-2019 22:21:20
ภูมิ ไมทำอย่างงี้ล่ะ
แล้วคุณคนแรกเมื่อไหร่เราจะได้รู้จักกัน ลูกพ่อจ่อยเอ้ย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-10-2019 00:47:11
ไม่คิดว่าภูมิจะทำเพื่อนแบบนี้ เฮ้อ หวังว่าภูมิจะไม่มาสร้างความลำบากให้นะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 04-10-2019 01:48:01
อยากกินสุกี้เลยอ่า
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 04-10-2019 09:52:12
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: HanATarO ที่ 04-10-2019 10:41:12
ลบภาพของภูมิตอนต้นเรื่องไปไกลเลย หึ!!!
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 04-10-2019 21:15:19
         ภูมิ คือ เพื่อน หรือ?

ในมุมของคุณคนแรกเราว่าน่ารักมาก

ค่อยเข้าหา คอยให้กำลังใจ รอเวลาที่ใช่ค่อย

เดินหน้าเต็มรูปแบบ

#ทีมอยากกินสุกี้
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: LoveAlone ที่ 04-10-2019 22:31:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 05-10-2019 18:34:26
คนแบบภูมิยังเรียกว่าเพื่อนได้อีกเร้อ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 7 : ความจริงของภูมิ - [3/10/62] P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 05-10-2019 23:37:32
เพื่อนกินหาง่าย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 10-10-2019 19:34:11
ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม



   แผนโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ซื้อสองแถมหนึ่ง ซื้อสามแถมหนึ่ง ไม่ค่อยจะได้ผลนักกับกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมีกำลังทรัพย์ พวกเขาเน้นที่รสชาติและคุณภาพ ความน่าเชื่อถือของร้านค้าและความชื่นชอบส่วนตัว ฉะนั้นสิ่งที่ผมทำได้ จึงเป็นการหลอกล่อเด็กตามเดิมเพิ่มเติมคืออกแบบบัตรสะสมแต้มลายใหม่

   ผมตัดสินใจจะสร้างสตอรี่ให้ฮีโร่พิชพิช

   แน่นอนว่าลงรายละเอียดมากไม่ได้กันงง จึงเลือกทำบัตรสะสมแต้มเป็นเลเวลต่างๆ

   เช่นสิบดวงแรก จะได้บัตรลายอวกาศสีน้ำเงิน ฮีโร่พิชพิชยังเลเวลหนึ่ง ถือชานมเหาะเหิน

   ส่วนเลเวลสอง จะได้บัตรลายสัตว์ประหลาดสีแดง ถ้าอยากให้สัตว์ประหลาดหายไปก็ต้องซื้อชานมจนครบสิบดวง ฮีโร่พิชพิชผู้มีชานมเป็นอาวุธทั้งสิบจะประทับลายทับหน้าสัตว์ประหลาดประหนึ่งโค่นล้มสำเร็จ

   เลเวลสาม เป็นบ่อชานมไข่มุกสีเหลือง ฮีโร่พิชพิชต้องการอัพเกรดตัวเอง ซึ่งกว่าจะไปถึงบ่อชานมทองคำซึ่งวาดซะริมขอบบัตรได้ ก็คือตอนประทับแสตมป์ดวงที่สิบนั่นเอง เวลาเรียงแล้วจะเหมือนฮีโร่พิชพิชค่อยๆ เดินมาทีละช่องจนกว่าจะถึงที่หมาย

   เลเวลสี่ เป็นบัตรสัตว์ประหลาดสองตัวสีส้ม ฮีโร่พิชพิชจะเปลี่ยนเป็นถือชานมสองแก้ว! ต้นทุนแกะตัวปั๊มนั้นไม่แพงเลย ส่วนค่าจ้างวาดก็ไม่มากเพราะใช้แบบเดิมเพิ่มเติมคือชานมอีกแก้วแค่นั้นเอง แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยนี้ก็ทำให้เด็กๆ ตื่นเต้นอยากได้ จะเอาฮีโร่พิชพิชเวอร์ชั่นอัพเกรด!

   เลเวลห้า เป็นบัตรลายประตูตรงสุดขอบสีม่วง แบ่งระหว่างโลกทูดีกับโลกทรีดี ซึ่งถ้าครบสิบดวงเมื่อไหร่ นอกจากจะได้สิทธิ์ชานมฟรีหนึ่งแก้วยังได้พวงกุญแจลายฮีโรพิชพิช เปรียบเสมือนว่าฮีโร่นั้นเดินออกประตูมาเจอกับเด็กๆ ด้วยตัวเอง!!

   ถ้าจบเลเวลห้าแล้ว ลูกค้าก็จะเริ่มต้นที่ฮีโร่เลเวลหนึ่งอีกครั้ง ไต่ระดับจนครบก็จะได้พวงกุญแจฮีโร่พิชพิชลายที่สอง ผมทำพวงกุญแจทั้งหมดห้าลาย มีจุดแตกต่างนิดๆ หน่อยๆ กับเปลี่ยนสีพื้นหลัง ต้นทุนทำนั้น...ผมว่าคุ้มกว่าจัดโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งอีก

   แถมเด็กๆ ก็ชอบมากด้วย

   หน้าเคาน์เตอร์ของผมตอนนี้มีกรอบกระจกตั้งเพิ่ม เรียงบัตรสะสมแต้มตามเลเวลของฮีโร่พิชพิชโดยไม่ปั๊มแสตมป์ ด้านบนสุดคือพวงกุญแจทั้งห้าลาย สร้างความดึงดูดใจให้เหล่าลูกค้าตัวน้อย

   แม้คนจ่ายจะเป็นผู้ปกครองก็เถอะ

   ชานมอร่อย ไม่ต้องรอคิวนาน แถมลูกยังปลื้มเอาบัตรสะสมแต้มไปอวดเพื่อนว่าใครได้ถึงเลเวลไหน โค่นสัตว์ประหลาดได้รึยัง ก็นับว่าวิน-วินทั้งสองฝ่าย

   “ไอเดียน่ารักดีนะคะ ฉันยังไม่เคยเจอร้านชานมที่ไหนทำเป็นสตอรี่ฮีโร่แบบนี้เลย”

   “ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบคุณลูกค้าหญิงวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งจูงมือลูกชายวัยสิบขวบที่บอกว่าจะอัพเกรดฮีโร่พิชพิชเป็นเลเวลสองให้ได้ เขาอยากสู้กับสัตว์ประหลาดใจจะขาดแล้ว!

   ผลตอบรับออกมาดี ไม่ปลื้มได้ไงละเออ ผมชงชานมยิ้มแก้มปริ ความรักที่ใส่ใจลงไปนั้นทำให้รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ใครได้ชิมเป็นต้องชม

   ต้องขอบคุณโรงเรียนประถมน่ะนะที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก

   เพราะถ้าเป็นวัยทำงาน เจอกลยุทธ์เด็กๆ แบบนี้คงได้ผลตอบรับตรงกันข้าม โตป่านนี้แล้วถือแก้วชานมลายฮีโร่ น่าขวยเขินไม่น้อย เห็นได้ชัดจากคุณยายร้านปักเสื้อที่ดูจะงุนงงกับบัตรสะสมแต้มแบบไล่เป็นเลเวล บอกว่าปวดหัว ด้านกลุ่มคุณครูเองก็เห็นว่าไร้สาระ ยังคงยืนหยัดที่ร้านชานมเจ้าดัง

   ยังไงก็ตาม มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่มาเป็นประจำเพื่อสะสมแต้มอัพเลเวลให้ฮีโร่พิชพิช ก็นับว่าประสบความสำเร็จ ผมเองก็สนุกกับการคิดอะไรพรรค์นี้ด้วย เด็กผู้ชายยังไงก็ต้องชอบพวกการ์ตูนฮีโร่ใช่มั้ยละครับ

   แม้ผมจะอายุยี่สิบสองแล้วก็เถอะ

   แต่กับคนที่...อืม อายุมากกว่ายี่สิบสอง ถือแก้วชานมลายฮีโร่ทุกวัน ทำหน้าตาย คงจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเท่าไหร่

   “สามสิบบาทครับ”

   “อย่าลืมปั๊มแสตมป์ให้ด้วย ใกล้จะได้เลเวลสามแล้ว”

   “ครับๆ” ผมรับบัตรสะสมแต้มสีแดงของคุณคนแรกมาปั๊มแสตมป์ดวงที่เก้า อีกนิดฮีโร่พิชพิชจะโค่นล้มสัตว์ประหลาดแล้ว!

   “แถมหนึ่งดวงไม่ได้เหรอ”

   “จะไปได้ได้ยังไงล่ะครับ” ผมตอบกลับคนที่ถามหน้าตาย อยากจะอัพเป็นเลเวลสามใจจะขาด อยากถามนักว่าอายุเท่าไหร่ ใกล้สามสิบแล้วแต่ยังตื่นเต้นกับบัตรสะสมแต้มเป็นเด็กๆ ไม่อายตัวเองก็อายผมบ้างเถอะ

   คุณคนแรกรับบัตรคืนแบบเสียดายหน่อยๆ ก่อนจะยืนนับเหรียญให้ผมไม่ลืมตบท้ายด้วยเหรียญสองบาท

   ผมแยกเหรียญสีทองนั้นหยอดใส่กระปุกใสอย่างคุ้นชิน เสียงของเหรียญที่ตกกระทบกัน กรุ๊งกริ๊งน่าฟังไม่ต่างกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เวลานั่งตบยุงรอลูกค้า คำนวณค่าเช่าที่ช่วงสิ้นเดือนว่าจะเหลือกำไรเท่าไหร่ ก็มีเจ้ากระปุกนี้แหละที่คอยเตือนผมเสมอว่าต้องเปิดร้านต่อไป เพื่อหยอดเหรียญสองบาทให้เต็ม เพื่อคุณคนแรกที่รออยู่

   จะว่าไงดีล่ะ ตอนนี้ผมค่อนข้างโหวง

   ใกล้จะครบสามเดือนแล้ว ผมยังรักชานม อยากจะเปิดร้านนี้ต่อไป แต่ก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทำได้นานสักแค่ไหนกันเชียว

   แม่ชนะพนันพ่อแล้วยังไงต่อ อีกกี่เดือนที่จากเรื่องขำขันกลายเป็นไม่ขำ ถึงตอนนั้นผมจะยัง...

   เฮ้อ ปวดหัว

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   “ดูดที่ถืออยู่ในมือให้หมดก่อนมั้ยครับ” ผมเอ่ยกับคุณคนแรกอย่างสุภาพ ไม่วายเหล่ตามองแก้วชานมที่ยังเหลือเกินครึ่งในมือเขา

   “ไม่ได้จะกินเอง”

   “แล้ว...”

   “ให้คุณ”

   วูบหนึ่ง ความสับสนโลเลของผมคล้ายจะกับโดนเขาสะกิดเบาๆ จนชวนให้สั่นสะท้านไปทั้งตัว เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย แต่ก็คล้ายจะย้ำเตือนว่าแม้ผมจะไม่มีไอ้ภูมิคอยตามแล้วก็ยังมีคุณคนแรกอยู่ตรงนี้เสมอ

   เป็นความตื้นตันแกมซาบซึ้งกับการกระทำเล็กน้อยที่มีคุณค่าทางใจ ผมชงชานมให้ตัวเอง เพียงลิ้มรสสัมผัส ความหนักอึ้งในใจก็เบาขึ้นทันตา ผมสดชื่น ตาสว่าง อารมณ์ดีดนิดๆ เป็นเหมือนทุกครั้งที่กินชานมไข่มุก จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าใส่กัญชารึเปล่า แต่ผมชงเองกับมือ จะไปมีได้ยังไงล่ะเอ้อ

   “สามสิบบาทครับ” ผมถือชานมดูดตาใส ไม่วายแบมือรอเก็บเงินคุณคนแรกที่ออกปากจะซื้อให้ทั้งที่ตัวผมเองเป็นเจ้าของร้าน ไม่มีการยกยอดให้หรอกนะ และคุณคนแรกก็ไม่คิดจะชักดาบ เพราะเขาวางแบงก์ยี่สิบสองใบให้อย่างบรรจง พร้อมกับบัตรสะสมแต้มสีแดง

   “ปั๊มช่องที่สิบให้ด้วย”

   ...ที่แท้ก็อยากจะอัพเกรดเลเวลไวๆ

   รสชาติชานมที่ออกหวาน พริบตาคล้ายจะจืดจางชอบกล ผมแทบจะสำลักน้ำ รับบัตรสะสมแต้มมาปั๊มจนเต็ม ก่อนจะนับเหรียญบาทถอนคืนเขาไปสิบเหรียญ เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ผมได้ถอนเงินคุณคนแรก

   “บัตรเลเวลสามจะได้ตอนซื้อชานมแก้วต่อไปนะครับ ขอย้ำว่าซื้อนะไม่ใช่ใช้สิทธิ์ฟรี” เห็นท่าทางกระตือรือร้นดีใจนั่นแล้วก็อดปรามไม่ได้ บัตรหนึ่งใบถ้าครบสิบดวงแลกซื้อสิทธิ์ชานมฟรีหนึ่งแก้ว ถ้าพรุ่งนี้เขาใช้สิทธิ์นั้น ก็จะชวดบัตรเลเวลสามไปอีกวัน

   “ไม่เป็นไร ไม่รีบ”

   เป็นคำตอบที่...กวนประสาทจนชวนมือไม้กระตุก ไม่รีบ แต่กระเหี้ยนกระหือรือให้ผมปั๊มแสตมป์จนครบสิบดวง นี่เรียกว่าไม่รีบเหรอ ผมดูดชานมอึกๆ ขณะมองหน้าคุณคนแรกที่เก็บบัตรสะสมไปอย่างไม่ใส่ใจ ช่างเป็นผู้ชายที่เดาอารมณ์ยากจริงๆ

   หรือไม่ก็เดาง่ายกว่าที่คิด

   มองสายตากับรอยยิ้มมุมปากที่ส่งให้กัน ไอ้สิ่งที่เขากระตือรือร้นอยากจะเอานั้นไม่ใช่บัตรเลเวลสาม แต่เป็นผมที่ก้มหน้าหลุบตาด้วยแก้มแดงๆ ต่างหาก

   ขยันหยอกหัวใจเล่นได้เก่งจริงๆ

   ฮึ่ย เดี๋ยวก็เคี้ยวหลอดละเอียดซะเลยนี่

   ความเงียบระหว่างเราเป็นบรรยากาศที่อุ่นอวลท้าแสงอาทิตย์ ไม่ทันให้ผมเอาความเขินไปลงกับหลอดที่น่าสงสาร บุคคลไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวในสภาพหล่อเท่เหมือนเพิ่งกลับจากการถ่ายแบบ

   “พิชญ์จ๋า เรามารับแล้ว!”

   ฉิบหาย! แก้วแทบร่วง

   ผมตั้งสติดีๆ ขณะเงยมอง ‘แฟนเก่า’ ที่แทบจะกลบรัศมีคุณคนแรกมิด

   “มารับทำไม” ผมถามเพราะสงสัย ไม่ได้ประชดนะขอบอก

   “พิชญ์...” กฤตถอดแว่นตาดำสำหรับปลอมตัว เดินหน้าระรื่นมาหา สงสัยจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เขาถึงยิ้มแย้มดอกไม้บาน เห็นแล้วก็เผลอหลุดยิ้มตามไปด้วย

   ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง กฤตหน้าตาดีมากจริงๆ และการเห็นคนหน้าตาดีส่งยิ้มระยะประชิด ใครบ้างจะไม่คึก

   “ขอโทษที่หายไปหลายวันนะ เรามีถ่ายแบบที่ต่างประเทศน่ะ” กฤตอธิบาย ก่อนจะทำหน้ากรุ้มกริ่ม ล้วงมือเข้าไปในเสื้อโค้ตตัวยาว และเมื่อชักออกมา... “แต่นแต้น ดอกไม้สำหรับพิชญ์”

   กฤตก็ส่งดอกกุหลาบแดงให้ผม

   “เนื่องในโอกาสอะไร”

   แต่ผมไม่รับ

   “เนื่องในโอกาสไม่เจอกันหลายวัน ทั้งที่บอกจะมาหา แต่ก็ไม่ได้มา พิชญ์รออยู่ใช่มั้ย ขอโทษนะ แต่เราติดต่อพิชญ์ไม่ได้เลย”

   เกือบลืมว่ากฤตเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าผมขายโทรศัพท์เครื่องเก่าทิ้งไปแล้ว เพราะนับตั้งแต่ได้เบอร์จากคุณคนแรก ผมก็เปิดเครื่องตลอด และเคยโทรออกแค่ครั้งเดียวคือตอนคุยกับแม่

   “ฉันจะรอนายทำไม เราเลิกกันไปแล้ว” ผมเอ่ยเสียงช้า ชัด

   “พิชญ์...” กฤตสลดในทันที สำหรับผู้ชายที่มักมีรอยยิ้มประดับบนหน้า เฉิดฉายสดใสเหมือนแสงตะวันอย่างเขา ไม่ควรทำหน้าหมองคอตก แม้จะทำแล้วน่าเอ็นดูเอามากๆ ก็เถอะ

   นี่ละนะ คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดูดีไปหมด

   ไอ้ความชื่นชมน่ะมี แต่ความรักน่ะไม่ ใครบ้างจะไม่ชอบของสวยงามน่ามอง และผมเองก็รู้สึกกับกฤตแค่นั้น

   มองแต่ตา มือไม่ต้อง แถมไม่คิดจะหวนกลับไปคบด้วย

   “ผ่านมาสามเดือนแล้ว ยังไม่ให้อภัยกันอีกเหรอ”

   “นายคงไม่คิดว่า...” ผมมองกฤตที่ยังถือกุหลาบแดง ไล่สายตาตามใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่งดูดี แล้วอดหวนนึกถึงอดีตที่แสนสุข แม้ตอนนี้จะกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง “โผล่มาขอโทษหนึ่งครั้ง เมาเหมือนหมาให้เห็นหนึ่งครั้ง หายหัวไปหลายวัน แล้วโผล่มาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะทำให้ฉันเออออยอมคืนดีหรอกนะ”

   “ไม่เหรอ”

   “ไม่”

   กฤตเงียบไปอึดใจหนึ่ง พวกเราคบกันมาสองปีเต็ม เขาคิดอะไรอยู่ทำไมผมจะไม่รู้

   เขาเป็นพวกไม่ชอบคิดเยอะ คิดมาก หรือให้ถูกคือเขาไม่ถนัดคิดอะไรที่มันซับซ้อน กฤตเป็นคนตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์กับตัวเอง และนั่นก็ทำให้ผมชอบที่จะอยู่กับเขา แต่นิสัยนี้ของเขาก็นำมาซึ่งความมักง่ายในหลายครั้ง อย่างไอ้เจอผมครั้งแรกหลังหายหัวไปสองเดือน เจอปุ๊บก็หาเรื่องคุณคนแรกปั๊บเพราะผมมีกิ๊กก็ดี และที่คิดในหัวตอนนี้ คงไม่พ้นคิดว่าก็ขอโทษไปแล้ว ทำตัวให้เห็นว่าเสียใจสุดๆ ด้วยการเมาเป็นหมาไปแล้ว แต่ผมไม่ยอมคืนดีสักที สงสัยจะโกรธมาก งั้นรอให้ใจเย็นหน่อยแล้วกัน นี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนพอดี ผมน่าจะเบื่อการหนีออกจากบ้านแล้วมั้ง งั้นตีเนียนมารับเลยดีกว่า เผื่อผมจะยอมกลับด้วยกัน แล้วถือโอกาสคืนดีซะเลย

   กฤตหนอกฤต

   ถ้ายังคบกันอยู่ ผมคงทั้งฉุนทั้งขันทั้งเอ็นดู อยากจะจับเขามากอดแล้วฟัดแก้มสักทีสองทีแก้มันเขี้ยว

   แต่ในเมื่อเลิกกันไปแล้ว...

   “นายกลับไปเถอะ ฉันไม่กลับ”

   เย็นชาสักหน่อยน่าจะพอทำให้เขาตระหนักได้ว่าผมไม่ใจอ่อนง่ายๆ เหมือนเวลาเขาทำผิดแล้วอ้อนขอโทษ

   “...ตัวอะไรน่ารักจัง” กฤตแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หันมาจดจ่อกับบัตรสะสมแต้มที่เรียงสีอยู่ในกรอบกระจก “พิชญ์เป็นคนคิดใช่มั้ย ทำเป็นเลเวลด้วยเหรอ ถือชานมอีกต่างหาก น่ารักนะเนี่ย”

   ความแตกต่างของภูมิกับกฤตคือ ไอ้ภูมิมันไม่มีศิลปะในหัวใจ และที่ตามผมไปซะทุกเรื่องนั้นก็เพราะเห็นเพื่อนเป็นตู้เอทีเอ็ม ขณะที่กฤตนั้นมีความสุขที่จะเอาอกเอาใจผม โดยไม่คิดเล็กคิดน้อยแม้ว่าบางเรื่องจะบ้าบอไปสักนิดหรือเด็กไปหน่อย

   “ถ้าพิชญ์อยากเปิดชานม ไม่กลับบ้านจริงๆ งั้นเราช่วย”

   “จะทำอะไรน่ะ!”

   “เซลฟี่กับร้านพิชญ์ไง ไอจีเรามีคนตามเยอะ ช่วยโปรโมตให้ ไม่ดีเหรอ”

   ก็ใช่ว่าจะไม่ดี แต่ผมไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากแฟนเก่า เพราะต้องมีปัญหาตามมาอีกพะเรอเกวียนแน่นอน

   “ห้ามถ่าย” ผมทำตาดุ “นายคงไม่คิดว่าตอนนี้ที่ฉันไม่ยอมกลับ เพราะสนุกกับการทำร้านชานมให้รุ่ง ถ้าช่วยลัดขั้นตอนให้ขายดีจนลูกค้าเต็มร้าน ฉันก็คงจะเหนื่อยและเบื่อ ยอมกลับเองใช่มั้ย”

   “ไม่ใช่เหรอ”

   “ไม่”

   กฤตเงียบไปอีกครั้ง ลูบคางอย่างจริงจังว่าควรจะเริ่มแผนไหนต่อดี

   “เกะกะหน้าร้านน่ากฤต”

   “งั้นถ้ารับดอกไม้ เราจะกลับ” กฤตหันมายิ้มหวาน ออดอ้อนจนชวนให้ใจอ่อน ซึ่งผมค่อนไปทางอ่อนใจมากกว่า ยอมเพราะอยากตัดปัญหาล้วนๆ

   พอเห็นผมรับดอกไม้ กฤตก็ดีใจ เขามักดีใจกับเรื่องเล็กน้อยเสมอ และเข้าข้างตัวเองมากๆ

   อย่างตอนนี้คงไม่วายคิดว่าผมรับดอกไม้เพราะใกล้จะหายโกรธแล้ว

   อยู่กับคนอย่างกฤต เข้าใจง่ายดี แต่ก็ชวนหน่ายใจเหมือนกัน

   “งั้นเรากลับแล้วนะ”

   “เออ” ผมเอ่ยเสียงเพลีย หยิบชานมขึ้นมากินขณะมองส่งกฤตสวมแว่นดำเดินออกไปจากซอย ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองคุณคนแรก

   เพราะคุณคนแรกทำตัวเป็นรูปปั้นได้ชนะเลิศ

   แม้จะไม่เคยถาม แต่ไอ้การนั่งฟังเก็บข้อมูลนั้นก็ชวนหนาวๆ ร้อนๆ อยู่เหมือนกัน เขาต่างกับกฤต ผมเดาทางแทบไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรและจะทำยังไงต่อไป

   เพราะถ้าถามผม หากกำลังรู้สึกดีกับใครสักคน และคนนั้นมีทั้งเพื่อน ทั้งแฟนเก่าพัวพันวุ่นวาย ต้องมีถอยบ้างละ

   “ดอกไม้สวยดีนะ”

   ...งวดนี้ชมดอกไม้เหรอ

   “อยากได้มั้ยล่ะ” ผมยื่นให้คุณคนแรกแบบตั้งใจจะหยอก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาเอาจริง

   “ขอบใจ” รับไปไม่พอยังขอบคุณกันอีกต่างหาก ผมมองเขาอึ้งๆ ก่อนจะอึ้งยิ่งกว่าเดิมเมื่อคุณคนแรกเดินเอาดอกไม้ไปทิ้งถังขยะตรงเสาไฟฟ้า

   “ฝากทิ้งหน่อย” ก่อนจะเดินย้อนกลับมา แล้วส่งแก้วชานมว่างเปล่าให้

   ผมต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ

   “ทำไมไม่ทิ้งถังขยะตรงนู้นเลยล่ะ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็รับแก้วมาทิ้งในร้านเพราะอย่างน้อยก็ได้แยกขยะซีไซเคิลช่วยลดโลกร้อน แม้จะยังเหวอไม่หายที่เขาขอดอกไม้ไปทิ้งกันต่อหน้าต่อตา

   “รังเกียจ?”

   “ก็ไม่” ผมตอบทันที รังเกียจกับแค่ฝากทิ้งขยะ ผมไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น

   “อืม ไม่รังเกียจเหมือนกัน”

   ผมเอ๊ะขึ้นมาวูบหนึ่ง

   เอ๊ะกับประโยคที่งงว่าเข้าใจตรงกันมั้ยนะ เอ๊ะกับสีหน้าตายๆ และน้ำเสียงราบเรียบของเขา เอ๊ะในใจอยู่อย่างนั้น และเอ๊ะวนไปจนคุณคนแรกเดินออกจากซอย

   ...สรุปเขาไม่ได้ถามถึงเรื่องฝากทิ้งขยะใช่มั้ย

   ตั้งใจจะสื่อว่าแม้ผมจะมีแฟนเก่าพัวพันก็ไม่รังเกียจที่จะสานสัมพันธ์ต่องั้นเหรอ

   ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ ลูบหน้าตัวเอง และพบว่ากำลังยิ้ม

   ให้ตาย น่าส่งกฤตไปเรียนวิชากับคุณคนแรกจริงๆ อยากจะเนียนต้องให้เนียนถึงขั้นนี้! นี่สิ คนเนียน 2019!!


   

   -----------------------

   จบเคสภูมิแล้ว มาต่อกันที่เคสของกฤตกันค่ะ

   ค่อยๆ ปิดจ็อบกันไปทีละราย เพื่อให้น้องได้เปิดร้านชานมไข่มุกอย่างราบรื่นไม่โดนระราน

   โดยมีคุณคนแรกคอยเอาใจช่วยอยู่ไม่ห่างและสม่ำเสมอในทุกๆ วัน บางที...คนเราก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากกำลังใจจากคนที่เข้าใจและพร้อมจะยอมรับทุกอย่างที่เป็นเรา ถูกมั้ยคะ


    #ผมกับชานมไข่มุก


เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-10-2019 20:20:16
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 10-10-2019 22:52:29
อยากไปอุดหนุนร้านชาไข่มุกร้านนี้จังค่ะ
ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
อยากไปให้กำลังใจคุณเจ้าของร้าน

  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-10-2019 23:09:22
มุกจีบของคุณคนแรกนี่เนียนตลอด แต่นะจีบกันไปอย่างดีเป็นกันต้องพากันไปรพ.ก่อนตรวจเบาหวานกินชากันทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 11-10-2019 02:47:25
ณ ตอนนี้เราเองก็ยังไม่รู้จักชื่อของพระเอก ที่มีพ่อชื่อจ่อยเลยครับ :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-10-2019 04:12:43
ยังคงเป็นปริศนา​อยู่​สำหรับ​คุณ​คน​แรก​
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-10-2019 08:06:37
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: aishiteru. ที่ 11-10-2019 19:32:38
คุณคนแรก เป็นเจ้าของร้านชานมหน้าปากซอยร้านดังใช่มั้ย!!
ตอบสิคะ ลูกพ่อจ่อย !!

แวะมาเนียนจีบได้ทุ๊กกกกวัน หึ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 11-10-2019 23:17:40
ชอบคนเนียน2019
ชอบร้านชานม
ชอบพิช
ติดตามต่อไปจร้าา
 :mc4: :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 12-10-2019 19:11:20
คุณคนแรกเนียนมากกก มันแบบเอ๊ะๆที่ถามนี่ยังไงกันนะ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 13-10-2019 21:08:25
คุณคนแรกคืนคนที่น่ารักมากกก

คอยอยู่เคียงข้างกันตลอดในช่วงที่มีปัญญาหาก็ให้

กำลังใจ

....คุณคนเเรกผู้ไม่มีชื่อ อิอิ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pranliew ที่ 14-10-2019 17:49:52
ชอบคุณคนแรกมากอ่ะ น่ารักเป็นกำลังใจให้น้องแบบซึนๆ 555 อยากเห็นตอนที่รุกจีบเยอะๆแล้วอ่ะ น้องทำเป็นรู้ทันพี่เขานะ อิอิ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 15-10-2019 19:07:24
พิกัดต้องมาละนะ ชานมไข่มุกร้านนี้ 5555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 8 : สะสมแต้ม - [10/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 16-10-2019 13:39:38
ยังไม่รู้ชื่อคุณคนเเรกเลย ติดตามงับ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 17-10-2019 20:16:36


ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต



   ความรักของผมกับกฤต เหมือนกับซีรีส์เกาหลีพ่วงการ์ตูนญี่ปุ่นตาหวาน

   วันนั้น...ผมยังจำได้ดี ผมปีนต้นไม้ ขึ้นไปช่วยเจ้าแมวอ้วนตัวหนึ่งที่ปีนขึ้นไปแล้วลงมาไม่ได้ มันเป็นแมวประจำคณะ ไม่ได้ใส่ปลอกคอ แต่ทุกคนชอบเล่นกับมันประหนึ่งตกเป็นทาส แค่ร้องเมี้ยวหนึ่งทีก็แทบจะถวายอาหารกลางวันให้หมดตัว ผมไม่ใช่หนึ่งในทาสรักของมันหรอก แต่เดินผ่านเห็นกลุ่มผู้หญิงยืนมุงเลยอาสา ตอนนั้นกำลังคึก นึกอยากลองปีนต้นไม้ที่คณะอยู่พอดี

   ตอนปีนขึ้นราบรื่นแม้จะเก้ๆ กังๆ บ้าง

   แต่ตอนไปถึงไอ้แมวอ้วน

   ไหนกันแมวที่กลัวตัวสั่นจนสาวๆ สงสารน้ำตาจะไหล พอผมเอื้อมมือจะคว้าปุ๊บ มันก็แยกเขี้ยว กระโดดพลิ้วลงไปอย่างสวยงาม

   กระโดดอย่างเดียวไม่ว่าดันทำกิ่งไม้หักกระเด็นใส่หน้าผมด้วย

   อารามตกใจ ผมยกมือบังหน้าตัวเอง และก็ตกพรวดจากต้นไม้สูง เสียงกรีดร้องดังขึ้น แต่ผมไม่ยักจะเจ็บตัว

   เพราะมีผู้ชายใจดีคนหนึ่งอุทิศตัวเป็นเบาะรองรับ พวกเราไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะผมอยู่คณะการเงิน ส่วนกฤตอยู่คณะนิเทศ แต่เขามีเพื่อนเยอะเป็นพิเศษทั้งชายและหญิง จึงเป็นหนึ่งในหนึ่งคนที่ถูกขอร้องมาช่วยแมวอ้วน แน่นอนว่าโดนผมตัดหน้าไปก่อน และในเมื่อช่วยแมวอ้วนไม่ได้ เขาเลยอ้าแขนกว้าง ช่วยรับผมแทนโดยที่ไอ้ภูมิเอาแต่ยืนทื่อ

   ถ้ากำลังคิดภาพผมตกลงนอ้อมกอดของกฤตอย่างเหมาะเจาะ ถูกอุ้มประหนึ่งเจ้าหญิง คุณก็คิดผิดแล้ว แม้กฤตจะตัวสูง แต่เขาออกแนวสูงโปร่ง ส่วนผมก็เป็นผู้ชายออกกำลังกายชอบทำกิจกรรมบ้าๆ บอๆ คนหนึ่ง เลยมีกล้ามเนื้อพอประมาณ

   เอาล่ะ จากนี้ไปจะเป็นคำถามวิชาวิทยาศาสตร์

   แรงโน้มถ่วงของผมที่ร่วงตกมาจากต้นไม้สูงสามเมตรนั้นควรจะหนักสักเท่าไหร่

   ผล...คือกฤตที่โดนผมล้มทับจนนอนหงายกับพื้น

   มีเบาะรองนุ่มๆ ผมแทบไม่เจ็บไม่คัน แม้จั๊กจี้นิดหน่อยเพราะเขาใช้มือประคองเอวกันกระแทก กฤตเป็นพวกเฮฮาเพื่อนเยอะ ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ ดูเหลวไหลเหยาะแหยะ แต่เป็นคนมีน้ำใจ ในเมื่อคิดจะช่วยผมแล้วก็ช่วยเต็มที่ เอาตัวรองรับแม้หัวจะกระแทกพื้นจนเลือดอาบ...

   ครับ กฤตหัวแตกเลือดอาบนอนจมกองเลือด

   จากช่วยแมวอ้วน กลายเป็นต้องช่วยชีวิตคนแทน ตอนนั้นผมตกใจ โมโหแมวอ้วนก็ใช่ ช็อกที่มีคนสละตัวเป็นเบาะก็ใช่ แต่ที่จดจำไม่ลืมจนวันนี้ คือหน้าเพ้อๆ ของกฤตตอนมองผมด้วยสภาพตาลอยใกล้สลบเหมือด

   “หรือจะเป็นนางฟ้าตกสวรรค์”

   ประโยคที่เล่าให้ใครฟังเป็นขนลุกซู่ แต่น่าแปลก เพราะตอนนั้นผมไม่ยักจะขนลุก ค่อนไปทางกังวลกลัวเขาหัวกระแทกจนสติฟั่นเฟือนมากกว่า

   ทุกคนไม่กล้าขยับตัวกฤตกลัวจะกระทบสมอง ผมเลยพลอยนอนทับอยู่อย่างนั้นไม่กล้าขยับเหมือนกัน เพราะกฤตเกาะไม่ปล่อย สถานการณ์ออกแนวอะไรวะเนี่ย และรถพยาบาลก็มาถึงพอดีกับกฤตที่สลบไป ผมถือโอกาสลุกจากตัวผู้ชายสักที ยืนมองส่งกฤตโดนหามด้วยความรู้สึกมึนงง

   จากนั้นข่าวเรื่องนางฟ้าตกสวรรค์ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั้งคณะ

   ผมกำลังถูกบูลลี่รึเปล่านะ เพราะมองยังไงผู้ชายสูงร้อยเจ็ดสิบสอง หน้าตาธรรมดา ไว้ผมยาวระบ่ารวบครึ่งหัวเพราะขี้เกียจไปร้านตัดผมก็ไม่เหมือนนางฟ้าสักนิดเดียว จะเอาอะไรกับกฤตที่หัวกระแทกจนเลอะเลือนกันล่ะ ไอ้ภูมิก็หยอกแซวผมด้วย ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดมากอะไร แค่รำคาญหน่อยๆ

   เรื่องมันเริ่มพีคเมื่อกฤตออกจากโรงพยาบาล

   แล้วตามจีบผม

   ไม่รู้ว่าฟ้าฝนบันดาลโชคชะตาอะไรให้ ผมตกจากต้นไม้ทับกฤต ส่วนกฤตตกหลุมรักผมซะงั้น ทุกคนเห็นเป็นเรื่องขำขัน พ่อกับแม่ผมเองก็คิดว่าเป็นเรื่องตลก เพราะร้อยวันพันปี ผมไม่เคยพูดถึงเรื่องความรักเลย

   จะพูดได้ไงล่ะ...ก็ผมเป็นเกย์

   ความลับข้อนี้ขนาดไอ้ภูมิยังไม่รู้ และผมไม่คิดจะเปิดตัวเพราะยังไม่เจอคนถูกใจ พอกฤตตามจีบยอมรับตรงๆ ว่าแอบหวั่นไหว กฤตเป็นคนน่ารัก ขี้อ้อน ชอบเอาใจ เป็นผู้ชายที่ถ้าสาวๆ อยู่ด้วยมีหวังใจละลายไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แม้เขาจะดูสำเริงสำราญไปบ้าง แต่ก็เพราะกฤตเป็นคนที่รู้ว่าอะไรทำแล้วมีความสุข เขาชอบปาร์ตี้ ชอบอยู่กับเพื่อนเยอะๆ เขาก็ทำ เขาชอบผม เขาก็จีบ นั่นคือที่มาของฉายากฤตจอมเจ้าชู้ ถูกตาต้องใจใครสักนิด ไม่ว่าจะแค่เดินผ่าน เดินชน หรือโดนล้มทับ เขาก็พร้อมจะลุยจีบดะ ด้วยหน้าตาหล่อเหลาและเสน่ห์แพรวพราว ส่วนใหญ่มักทำเวลาได้ไว

   ใช่ว่ากฤตจะไม่มีข้อเสีย เขาเป็นพวกมองแต่ปัจจุบัน ทำวันนี้ตามใจสั่งมา ทำให้ไม่ค่อยรักษาคำพูด วันนี้พูดอีกอย่าง พรุ่งนี้ก็อาจพูดอีกอย่าง แถมดูเหมือนคนไร้อนาคต ไม่มีความมั่นคง ล่องลอยไปวันๆ แล้วยังขี้หึงมาก คนที่มักมีรอยยิ้มประดับ สามารถกระชากคอเสื้อต่อยคนได้แค่เพราะความหึงหวง นี่ละน้าคนร้อนตัว เพราะเขาชอบคุยเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น เลยกลัวกรรมจะตามสนอง ทำให้แม้จะเป็นฝ่ายตามจีบ แต่ก็เป็นฝ่ายที่โดนบอกเลิกเป็นประจำ ตอนแรกผมไม่สนใจเขาหรอก แต่คุณๆ ครับ การใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ของกฤต ทำให้ทุกวันมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และนั่นก็ทำให้คนที่อยู่รอบตัวเขาพลอยมีความสุขไปด้วย

   กฤตตามจีบผมครึ่งปี

   แล้วผมก็ตอบตกลง

   เรื่องมาพลิกตรงนี้ เพราะพอผมเปิดตัวกฤต ภูมิก็ช็อก พ่อแม่ก็อ้าปากค้าง พี่พจน์รับไม่ได้ ทุกคนคิดว่าผมแค่คุยเล่นกับกฤต ไม่นานเดี๋ยวก็เบื่อ เหมือนที่เปลี่ยนกิจกรรมทำนู่นนี่นั่นได้ไม่เว้นวัน

   หนักสุดคือพ่อกับแม่หาว่ากฤตทำให้ผมเป็นเกย์

   อืม...พูดยากเนอะ หมายถึงเปลี่ยนความเชื่อพ่อกับแม่ที่เข้าข้างลูกตัวเองแบบผมไม่ผิด กฤตผิดเนี่ย พูดยากจริงๆ

   สรุปแล้วความสัมพันธ์ของเราเลยโดนคัดค้านสุดพลัง

   แล้วผมสนมั้ย

   แน่นอนว่าไม่

   ถ้ามีเหตุผลอย่างอื่นที่น่าฟัง ผมคงยอมฟังบ้าง แต่พออ้างเรื่องเกย์ไม่เกย์เนี่ย ตะแคงหูฟังยังไงก็ฟังไม่ขึ้น สุดท้ายพวกเราก็ดื้อคบกันได้สองปี ส่วนหนึ่ง เพราะผมเป็นพวกไม่ชอบตามจิกตามเฝ้า แม้กฤตจะนอกลู่นอกทาง แอบคุยกับคนอื่นบ้าง ก็เข้าใจว่าเขารักสนุก ซึ่งกฤตก็แค่คุยจริงๆ ในเมื่อเวลาผมออกไปไหน เขาเป็นฝ่ายที่ตามติดเสมอด้วยความขี้หึง ส่วนเวลาผมอยู่บ้าน เขาก็โทรรายงานเสมอตอนไปเที่ยว และชอบมากเวลาโดนผมดึงหูตอนเมาปลิ้น

   สรุปแล้วพวกเราเข้ากันได้ดีแบบน่าเหลือเชื่อ

   จนกระทั่ง...วันนั้น...

   




   “พิชญ์”

   กฤตมาหาผมตอนใกล้ปิดร้าน

   “ไม่ยกโทษให้จริงๆ เหรอ”

   “หากกลับกัน ถ้าฉันทำแบบนั้นบ้าง นายจะยกโทษให้มั้ยล่ะ”

   “ยกโทษให้สิ เพราะเรารักพิชญ์!”

   “ใช่ และเพราะฉันรักนาย ฉันถึงไม่ทำ” ผมสวนกลับ ยิ้มเย็น “สงสัยความรักของเราจะไม่เหมือนกันนะ นายพร้อมจะยกโทษให้เมื่อฉันทำผิด แต่โทษที เพราะฉันไม่แม้แต่คิดจะทำผิดด้วยซ้ำ ในเมื่อฉันรักนายจนไม่กล้าทำให้เสียใจ”

   “พิชญ์...” กฤตจนคำพูด

   ผมเงยหน้ามองฟ้า ถอนหายใจเฮือก

   เรื่องในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอ

   หากผมกับกฤตเริ่มต้นเหมือนซีรีส์รัก จุดจบก็ไม่ต่างกับละครหลังข่าว

   คำถาม : คุณจะทำหน้ายังไงหากเปิดห้องเข้าไปเจอแฟนกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับผู้ชายคนอื่น

   ผมไม่รู้นะว่าแต่ละคนแสดงออกแบบไหน อาจจะกรีดร้อง ร้องไห้ วิ่งหนี

   แต่สำหรับผม ซึ่งไม่แม้แค่จะคิดว่าจะเจอกับตัวเอง เลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปเป็นหลักฐาน

   หัวใจด้านชาจนไม่มีน้ำตา ผมถ่ายจนพวกเขาเสร็จกิจจึงค่อยเดินออกมา จากนั้นก็ส่งคลิปนั้นให้กฤต พร้อมกับประโยคบอกเลิก

   หากจะอ้างว่าผมเข้าใจผิด ก็จงกลับไปดูคลิปซะ ว่าเข้าใจผิดตรงไหน

   หากจะอ้างว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ก็จงกลับไปดูคลิปซะ ว่าตั้งใจทำขนาดไหน

   หากจะอ้างว่าโดนมอมยา ก็จงกลับไปดูคลิปซะ ว่าสติดีเลิศแค่ไหน

   กฤตติดค้างคำอธิบาย ซึ่งผมไม่อยากฟัง ในเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ต่อหน้า ต่อตา ยังไงความจริงที่ว่าเขานอกกายก็ไม่เปลี่ยน ไม่ว่าใจเขาจะบอกว่ารักกันยังไง ผมก็หมดแรงจะรักเขาแล้ว

   และนั่นคือสาเหตุที่ผมไม่แตะโทรศัพท์ตัวเองอีกเลย

   หลังบอกเลิกผมก็ลบคลิป แล้วขายโทรศัพท์ทิ้ง ขยะแขยงไม่อยากจะหยิบจับ

   “เรื่องในวันนั้น จริงๆ แล้ว...”

   “ยังมีอะไรจริงไปกว่าภาพในคลิปอีกเหรอ” ผมแค่นยิ้มประชด “ให้มันจบแค่นี้เถอะกฤต”

   แฟนเก่าของผมน้ำท่วมปาก เขาคงอยากแก้ตัว ว่าแม้จะไปนอนกับคนอื่น แต่ก็แค่วันไนต์แสตน เทียบกับความรู้สึกที่เขามีกับผมไม่ได้ แต่โทษทีเถอะ ใครยอมรับได้ก็ยอมรับไป ซึ่งไม่ใช่กับผมแน่นอน

   ความเงียบเข้าแทรก อึดอัดและแสนจะกดดัน ผมจ้องตากฤต ยืนยันว่าไม่มีวันเปลี่ยนความคิด สายตาที่มองนั้นไม่เหลือความอ่อนโยนรักใคร่หรือยอมให้อภัยเวลาเขาไม่รักษาคำพูดหรือเมาปลิ้นจนลืมนัดของเรา กฤตคล้ายพยายามจะอธิบายอีกครั้ง อยากจะบอกว่ารักผมเหมือนที่เคยพร่ำบอกมาตลอด แต่สุดท้าย เขาก็ปิดปาก

   เพราะมันไม่มีประโยชน์

   และนั่นเป็นก็ครั้งแรกที่ผมเห็นเขาร้องไห้

   เริ่มจากสีหน้าตกใจ กระวนกระวาย จากนั้นก็กลายเป็นสิ้นหวัง กฤตยกมือปิดปาก ก่อนจะปิดตา จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ สั่นสะท้าน พร้อมเสียงสะอื้นแผ่วเบา

   และเมื่อเขาเปิดหน้า น้ำตาก็ทะลักล้น เหมือนกลั้นมานาน ฝืนทนมานาน อาจเพราะก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าตัวเองมีหวัง หรือไม่ก็กำลังหลอกตัวเอง ว่าสุดท้ายแล้วเราจะกลับเป็นเหมือนเดิม

   กฤตเป็นคนแบบนี้ เขามักคิดในแง่ดี ในแง่ที่เข้าข้างตัวเอง

   และเมื่อไอ้สิ่งที่พยายามคิดนั้นไม่เป็นจริง กฤตก็รู้ตัวสักทีว่าผมไม่มีวันกลับไป

   เห็นผู้ชายที่เคยรักร้องไห้จะจนตัวโยนตรงหน้า แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาว่าเสียใจ ผมเองก็ปวดใจไม่ต่างกัน เพราะผมไม่ได้เกลียดเขา แม้เราจะเลิกกัน แต่ไม่ถึงขึ้นสาปแช่งเผาผี ผมก็แค่...หมดรัก และไม่คิดที่จะกลับไปรัก

   ผมกอดกฤต

   ตบบ่าเขาเบาๆ ปลอบโยนเขา เพราะคนที่มักยิ้มแย้มคนนี้ ร้องไห้ได้น่าสงสารมากเหลือเกิน

   แต่กฤตก็คือกฤต

   ผมเชื่อว่าพอเขาทำใจได้ เจอเป้าหมายใหม่ ก็คงวิ่งตามจีบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ผู้ชายที่หาความสุขให้ตัวเองเก่งอย่างเขา ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง บางทีก็น่าอิจฉาแกมหมั่นไส้

   “โอ๊ยๆๆ”

   พลันคนที่ซบหน้าอ้อนผมตัวบิดตามแรงบิดหู เพราะจู่ๆ ผมก็นึกอยากแก้เผ็ดขึ้นมา แม้จะโล่งใจที่เขาคงไม่เศร้านาน แต่ไอ้ภาพวิ่งร่ากระดิกหางเข้าหาคนอื่นก็น่าหงุดหงิด

   “พิชญ์จ๋า...” กฤตน้ำตาร่วงอีกหลายเผาะ ครั้งนี้น่าจะเพราะความเจ็บล้วนๆ

   ผมถอนหายใจเฮือก

   “ขอโทษนะกฤต”

   พลันแฟนเก่าผมทำหน้าแอ๊บแบ๊วได้น่าถีบ

   “ขอโทษอะไร เราต่างหากที่ต้องขอโทษ”

   “ฉันขอโทษ” ผมยืนยันคำนั้น มองหน้ากฤต ลูบใบหน้าหล่อเหลาที่มองไม่เคยเบื่อ ก่อนจะผลักออกจนอีกฝ่ายแทบล้มหงาย

   “เดี๋ยวก่อนพิชญ์ ขอถามคำถามสุดท้าย”

   “อะไรอีกล่ะ” ผมกอดอกแบบจะพูดอะไรก็พูดมา

   “ที่หนีออกจากบ้านมาเปิดร้านชานม เป็นเพราะเรารึเปล่า”

   “ไม่ใช่” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ “และที่ฉันเปิดร้านชานมก็เพราะรักชานม ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลยด้วย”

   กฤตทำหน้างง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออก เป็นรอยยิ้มที่เคยทำให้ผมยิ้มตามนับครั้งไม่ถ้วน

   “งั้นขอให้โชคดีกับร้านชานมนะ”

   เขาเป็นคนแรกที่เชื่อว่าผมรักชานม ในที่สุด! ขอบคุณพระเจ้า!

   แล้วผมกับกฤตก็จบกันเพียงเท่านี้

   .........

   .....

   ทุกคนครับ ผมจับคนแอบฟังได้ ควรจะจัดการยังไงกับเขาดี

   “อยากซ้อนมอ’ไซค์มั้ย”

   ใครสั่งใครสอนให้ชวนไปเลี้ยงข้าวด้วยประโยคแกมหาเรื่องอย่างนี้

   “เอาสิ”

   ...แล้วใครสั่งใครสอนให้ผมใจง่ายขนาดนี้เนี่ย

   เอาเถอะ วันนี้ผมเหนื่อยจนไม่อยากปั่นจักรยาน ซ้อนมอเตอร์ไซค์คุณคนแรกก็ดี แถมลาภปากด้วย

   ว่าแต่เขามายืนรอทำไม เราไม่ได้นัดกันสักหน่อย แถมยังยืนแอบอยู่ตั้งนาน รอจนกฤตกลับออกจากซอยแล้วถึงค่อยเผยตัว

   คำถามที่ไม่ได้ถามออกไป ผมสวมหมวกกันน็อก มองแผ่นหลังตรงหน้าอย่างลังเลนิดหน่อย ก่อนจะค่อยๆ...โอบเอวเขาทั้งที่ปกติจะจับผ่านชายเสื้อ

   คุณคนแรกสะดุ้ง

   “จับดีๆ” ก่อนจะตีเนียนย้ำเสียงดุ ให้ผมโอบเอวแน่นขึ้น ก่อนจะเริ่มสตาร์ทรถ

   และขับด้วยความเร็วเต่าคลาน

   ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไร ผมรักความเงียบเวลาอยู่กับเขาเสมอ แม้จะเกลียดความเงียบเวลาอยู่คนเดียวก็ตาม

   การมีใครสักคนในวันแบบนี้ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย

   จริงมั้ยล่ะ

   

   ----------------

   และแล้วก็จบเคสของกฤตค่ะ

   เรื่องราวของพิชญ์กับกฤตนั้นเหมือนนิยายรักหวานแหววเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องราวไม่จบแค่ตอบตกลงคบหากัน แต่มีต่อจากนั้นและเป็นเรื่องยากจะทำใจ

   แน่นอนว่ายังมีรายละเอียดแอบแฝงอีกว่าทำไมกฤตถึงนอกกาย ซึ่งสาเหตุนั้นจะค่อยๆ เฉลยไปกับเคสของพี่พจน์ค่ะ

   ทุกอย่างร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ส่งผลให้พิชญ์มาเปิดร้านชานมไข่มุก

   ถ้าเกิดพิชญ์เจอกับคุณคนแรกสมัยเรียน ตอนที่ยังคึกคะนองทำตามใจตัวเองอยู่ เชื่อได้เลยว่าน้องไม่มีวันสนใจ แต่เมื่อเป็นตอนนี้ เวลานี้

   กลับกลายเป็นคนที่ใช่

   คนที่ใช่...บางครั้งก็ต้องเจอในจังหวะและเวลาที่ใช่เนอะคะ

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : [ur=https://www.facebook.com/MajaYnaja/l]มาจะกล่าวบทไป[/url]
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 17-10-2019 20:33:05
พิชญ์ เด็ดขาดมากกับกฤต
แต่ใจอ่อนกับภูมิ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-10-2019 21:08:38
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 17-10-2019 22:55:14
 เมื่อไหร่จะรุ้ชื่อคุนคนแรก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-10-2019 01:12:38
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: pranliew ที่ 18-10-2019 07:29:51
อยากให้คุณคนแรกเปิดตัวแล้วอ่ะ รุกน้องๆๆ น้องอ่อยมาขนาดนี้แร้วว อยากเห็นความหวานของคู่นี้แร้วอ่า
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 18-10-2019 12:00:05
สรุปก็ไม่รู้อยู่ดีว่ากฤตทำทำไม เพราะอีน้องชานมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น เฮ้ออออ ค้างคาใจยิ่งนัก เมื่อเผือกได้ไม่สุดทาง
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 18-10-2019 12:04:13
จบปัญหาแฟนเก่า  :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 18-10-2019 13:22:14
 :L2: :L2: :L2:

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-10-2019 13:58:07
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 19-10-2019 11:11:29
น้องพิชญ์ใจแข็งเกินคาด
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 20-10-2019 16:44:39
เอ็นดูพิชญ์ ทั้งกฤต ทั้งภูมิ ไม่รู้จะหวังกับใครดี
ตอนนี้อย่างน้อยก็มีคุณคนแรก ที่โผล่มาในตอนพีคตลอดนะ
และก็ยังจีบแบบเนียนๆ ดูแลแบบเนียนๆ จะชอบจะใช่ไหม
ก็ลุ้นต่อไปค่ะ ว่าเมื่อไหร่จะได้รู้จักกันจริงจังสักที

เขียนนิยายได้น่าอ่านมากเลยค่ะ และชอบความแก้ปมนี้
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: vipsky ที่ 21-10-2019 13:46:46
คุณคนแรกเค้ามีชื่อใช่มั้ยคะ 555555555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 21-10-2019 22:16:03
          กฤตคือตัวละครที่โกรธไม่ลงอ่ะ   

อยากให้กฤตมีคนรักด้วยเรื่องของเค้าคนแบบเค้าถ้า

รักใครจนเปลี่ยนตัวเองเค้าจะน่ารักมาก

       คุณคนแรก คือ คนที่ใช่ในเวลาที่ใช่ จริงๆ

คอยเป็นกำลังใจให้พิชณ

สู้ๆคะคุณคนเเรกกับเหรียญสองบาทของเค้า..อิอิ

หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 9 : ความรักของกฤต - [17/10/62] P.4
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 22-10-2019 11:59:14
กฤตทำตัวได้แบบ...
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี -[24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 24-10-2019 20:17:15



ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี



   ครบสามเดือน พี่ชายสุดที่รักโทรปลุกแต่เช้าตรู่

   (( จะกลับบ้านรึยัง ))

   “ยัง”

   แล้วพี่พจน์ก็วางสาย

   แม้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพี่พจน์คงไม่ได้ร่วมวงพนันกับพ่อแม่ด้วย แต่ก็อดงงไม่ได้ว่าทำไมพี่ชายจู่ๆ ถึงเกิดรักน้องขึ้นมาซะเฉยๆ เพราะพวกเรานิสัยต่างกันมาก แม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่แทบไม่เคยเล่นด้วยกันเลย ขณะที่ผมบ้าบอไปกับภูมิ พี่พจน์จะคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือ ศึกษากิจการของท่านบ้านพร้อมรับช่วงต่อ

   เขาคือลูกชายดีเด่น จริงจังไปกับทุกเรื่อง

   ส่วนผมเป็นลูกชายผู้เอ้อระเหยลอยชาย ไม่อะไรกับทุกเรื่อง

   แต่ด้วยความเป็นลูกคนเล็ก มีมุมอ้อนๆ น่ารัก พ่อกับแม่เลยมักเข้าข้างและเอ็นดูผมมากกว่า ผมเองก็เคยถามว่าทำไมต้องเข้มงวดกับพี่พจน์ ผิดนิดผิดหน่อยเป็นตำหนิเสียงดัง ขณะที่ผมซึ่งทำผิดแทบทั้งชีวิตไม่เห็นจะดุด่ารุนแรง ออกจะสปอยกันด้วยซ้ำ คำตอบคือ...

   ‘พจน์น่ะเป็นความหวังของบ้าน คือผู้สืบทอดกิจการ ส่วนพิชญ์น่ะ...พ่อกับแม่ไม่อยากบังคับ อยากทำอะไรก็ทำ’

   ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม

   สรุปแล้วผมไม่ค่อยสนิทกับพี่ชายเท่าไหร่ และพี่พจน์เองก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับผมนักเพราะเห็นว่าน้องชายช่างทำตัวไร้สาระไปวันๆ จนคนสมบูรณ์แบบอย่างเขารับไม่ค่อยจะได้ ฉะนั้น...ผมถึงแปลกใจมากเมื่อเขาโทรหาผมแล้วถามคำเดิมๆ ทุกวัน!

   เพราะนับจากวันนั้น พี่พจน์ก็โทรถามว่าจะกลับบ้านรึยังติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์แล้ว!!

   รวมถึงวันนี้ด้วย

   (( จะกลับบ้านรึยัง ))

   “มีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านรึเปล่า” ผมทนไม่ไหวแล้ว พี่ชายทำตัวผิดปกติเกินไป ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ! หรือว่าพ่อป่วยหนัก แม่หกล้มเข้าโรงพยาบาล ไอ้ภูมิติดพนันก่อเรื่อง หรือกฤตวิ่งโร่ขอให้ช่วยกล่อมอะไรผมอีก

   (( เปล่า ))

   แล้วดูคำตอบพี่พจน์สิ

   เปล่าเนี่ยนะ

   ถ้าเปล่า แล้วอะไรถึงดลใจพี่ชายที่ไม่เคยจะสนใจไยดีน้องเวลาผมทำตัวบ้าๆ บอๆ ตามกลับบ้านกันล่ะ

   (( สรุปจะกลับบ้านรึยัง ))

   “ยัง”

   แล้วพี่พจน์ก็วางสาย

   ผมชักหลอนแล้วนะ หรือนี่จะเป็นมาตรการใหม่หวังกดดันทางอ้อมให้ประสาทเสียใช่มั้ย คือวิธีไล่ต้อนน้องให้กลับบ้านของท่านประธานผู้เก่งฉกาจสินะ ช่างล้ำลึกเหลือเกิน!

   




   เอาละ ช่างเรื่องพี่พจน์ไปก่อน

   วันนี้ผมนั่งคำนวณรายรับรายจ่ายของร้านของเดือนที่ผ่านมา ช่วงครึ่งเดือนแรกบอกเลยว่าขาดทุนยับ แต่ช่วงครึ่งเดือนหลังที่ปรับกลยุทธ์นั้นกำไร พอเฉลี่ยแล้วเลยเท่าทุน ไม่สิ ถ้านับรวมพวกค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าคอนโดด้วย ยอดติดลบหนักด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีเงินเก็บ ผมคงอดอยาก กินชานมไข่มุกต่างข้าวทุกวันจึงจะรอดชีวิต

   ปัญหาคือผมให้เงินก้อนกับไอ้ภูมิไปเทียบเท่าค่าเช่าคอนโดสำหรับสิบเดือน

   ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แล้ว

   หรือจะย้ายที่พักดี จะได้ประหยัด

   ผมเริ่มคิดหนัก ไม่ทันสังเกตว่าคุณคนแรกยืนรอหน้าร้านอยู่นาน

   “ขมวดคิ้วทำไม”

   “ก็...มีเรื่องกลุ้มนิดหน่อยน่ะ” ผมยิ้มแห้ง พักหลังมานี้คุณคนแรกเริ่มช่างถามช่างสังเกตมากขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ได้นึกรำคาญ อาจเพราะเราเริ่มสนิทใจ และรู้ว่าเขาถามเพราะห่วงจริงๆ ไม่ใช่สอดรู้ “พอจะมีที่พักแนะนำมั้ย เป็นห้องเช่าไม่ใช่คอนโดก็ได้ ค่าเช่าไม่เกินสี่พันต่อเดือน คนไม่พลุกพล่าน ปั่นจักรยานไปกลับได้....”

   ผมชอบคุณคนแรกตรงเขาเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี

   ถ้าเป็นคนทั่วไป อาจตั้งคำถามว่าทำไมผมต้องย้าย มีปัญหาเรื่องเงินเหรอ ดีหน่อยก็คงถามว่าอยากให้ช่วยอะไรมั้ย ยืมเงินก่อนมั้ย

   ซึ่งผมไม่อยากให้ช่วยเรื่องนั้นอ่ะครับคุณ

   เลือกหนีออกจากบ้าน ทำตามความฝัน มอบรักให้ชานมไข่มุก ผมก็อยากจะอยู่รอดด้วยตัวเอง แล้วนี่ก็เป็นผลจากการตัดสินใจเอาเงินให้ไอ้ภูมิของผมด้วย เลยไม่อยากเดือดร้อนคนอื่น

   “เย็นนี้จะพาไปดูแล้วกัน” คุณคนแรกให้คำตอบด้วยคำมั่น

   “ขอบใจ” ผมเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ตั้งใจชงชานมไข่มุกให้มากกว่าทุกวัน หวังว่าพอกินแล้วเขาจะรับรู้ถึงความขอบคุณนี้นะ

   เย็นวันนั้นคุณคนแรกเลยถือโอกาสมารับผมไปเลี้ยงข้าวเย็น ไปดูห้องเช่า แล้ววกกลับมาส่งที่คอนโด

   ปกติเวลาเขามาส่ง ผมจะไม่เดินหนีขึ้นคอนโดทันที แต่จะยืนคุยกันสักพักหนึ่ง ยืนจ้องตาให้ความเงียบเข้าแทรกอีกสักพักใหญ่ รอจนเขาเริ่มไล่อ้อมๆ ถึงค่อยแยกย้าย

   แต่วันนี้คงไม่ได้ทำแบบนั้น

   เพราะจู่ๆ ก็มีรถหรูสีดำจอดเทียบข้างๆ รถมอเตอร์ไซค์ของคุณคนแรก ตอนแรกพวกเราไม่ใส่ใจ คุยเล่นเกี่ยวกับร้านก๊วนเตี๋ยวคั่วไก่ที่เพิ่งไปกินมา แต่พอฝั่งคนข้างรถเปิดกระจก คุณคนแรกก็สะกิดให้ผมหันไปมอง

   “พิชญ์ ขึ้นรถ”

   ผมช็อกมาก

   เรียกว่าอ้าปากค้างเลยดีกว่า พี่พจน์มาแปลกแหวกแนวเกินไปแล้ว!

   “งั้น...ฉันไปหาพี่ก่อนนะ”

   “ให้รอมั้ย”

   “เฮ้ย ไม่ต้อง นายกลับก่อนเถอะ” ผมรีบโบกมือปัดกับความมีน้ำใจของคุณคนแรก “ไว้เจอกันพรุ่งนี้”

   คุณคนแรกมองผมอย่างลังเลนิดหน่อย แต่พอเห็นผมไม่ยอมขึ้นรถพี่ชายสักทีก็พยักหน้ารับคำนิ่งๆ สวมหมวกกันน็อกแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์จากไป

   เขาอุตส่าห์มาส่ง ผมเลยไม่อยากกระโดดขึ้นรถพี่ชายแล้วทิ้งไว้ลำพังน่ะครับ

   ส่วนหนึ่งก็กดดันให้เขากลับบ้านด้วยนั่นแหละ เกรงใจจะแย่แล้ว

   “มีอะไรรึเหรอพี่พจน์” ผมเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดเรียบร้อย แต่พี่ชายไม่ยอมออกรถสักที เอาแต่มองตามทิศทางของคุณคนแรกที่ป่านนี้ไปไกลลิบแล้ว เขาขับเร็วจะตาย แม้เวลาผมซ้อนจะช้ายิ่งกว่าเต่าคลานก็เถอะ

   “แฟนใหม่เหรอ”

   “แค่คุยกันครับ” ผมตอบอย่างสุภาพไม่กล้ายียวน เพราะรู้ดีว่าทั้งพ่อและแม่ รวมถึงพี่ชายต่อต้านเรื่องผมคบกับเพศเดียวกันมากแค่ไหน ก่อนหน้านี้ที่แม่ช่วยพูดให้กฤตก็เพราะทุกคนเข้าใจผิดว่าผมหนีออกจากบ้านเพราะเขา เลยยอมลงให้ชั่วคราวต่างหาก

   แต่ผ่านมานานขนาดนี้ หลายคนก็เริ่มรู้สักทีว่าผมไม่ได้หนีออกจากบ้านเพียงแค่อกหักจากผู้ชายเจ้าชู้คนหนึ่ง

   หนึ่งในนั้นก็คือพี่พจน์

   พี่ชายอาจจะสงสัยอยู่แล้ว แต่พอเห็นผมอยู่กับคุณคนแรก คุยเล่นกันอย่างเป็นธรรมชาติด้วยบรรยากาศมากกว่าเพื่อน ก็ยิ่งยืนยันความคิดนั้น เพราะผมเป็นประเภทถ้าคิดจะทำอะไรก็ลุยสุดตัว ถ้ารักใครก็ปักใครไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเมื่อผมเปิดใจให้คุณคนแรก ก็เท่ากับว่าเรื่องของผมกับกฤตไม่มีวันกลับเป็นอย่างเดิมแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์

   ผมตัดแฟนเก่าทิ้งแบบเด็ดขาดสุดๆ

   “พี่พจน์?” เห็นพี่ชายเงียบไป ผมก็ทำอะไรไม่ถูก คุ้นชินกับมาดดุของเขามากกว่าสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนอย่างนี้ คาดว่าในหัวพี่พจน์ตอนนี้คงมีความคิดหลายอย่างตีกัน เพราะผมเคยเห็นมาก่อนหลายครั้ง สีหน้าที่จะเผยออกมาเฉพาะเวลาไม่มั่นใจ ทั้งที่เขาเป็นพวกเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก

   ครั้งแรก ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตอนผมสี่ขวบ วัยกำลังซนวิ่งเล่นไม่อยู่นิ่ง พี่ชายนึกรำคาญ เลยไล่ให้ผมไปไกลๆ

   ผลคือผมวิ่งตกบันไดขาหัก ร้องเรียกพี่ชายเสียงดังลั่น

   นึกถึงสีหน้าตอนนั้นแล้ว...พี่พจน์คงอยากจะด่า ว่าผมโง่รึเปล่าที่วิ่งตกบันไดเอง และคงจะน้อยใจ ที่พ่อกับแม่ตำหนิเขาที่ไม่ดูน้อง และโกรธตัวเองที่พูดจาโหดร้ายจนผมวิ่งหนี

   ล่าสุดก็ตอนเขามาตามผมกลับบ้านหลังเปิดร้านชานมได้สองวัน พี่พจน์คงจะคิดโทษตัวเองที่ต่อต้านกฤตจนผมทะเลาะกับคนรัก ชักนำมาจนกลายเป็นกฤตนอกกาย ถึงอย่างนั้นก็แอบสมน้ำหน้าน้องชายหน้าโง่ที่โดนผู้ชายหักหลัง ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจพ่อแม่ที่ยังยอมฟังคำกฤตมากล่อมผมทั้งที่ก่อนหน้านี้คัดค้านแทบตาย

   เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะซับซ้อน ซึ่งผมดันอ่านออกได้ชัดเจนซะงั้น

   แต่ครั้งนี้ผมเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าพี่พจน์ทำสีหน้าอย่างนี้ทำไม

   ท่ามกลางความเงียบ รถจอดนิ่งไม่ไปไหน ผมเลยมั่นใจว่าที่บ้านยังสุขสบายดีไม่มีใครเป็นอะไร

   รู้แบบนี้ก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย ผมมองวิวข้างทาง มองหมา มองแมวที่เดินผ่านเพื่อให้เวลาพี่พจน์ได้ประมวลความคิดให้เข้าที่เข้าทาง

   “พี่ขอโทษ”

   ก่อนจะหันคอแทบหัก เมื่อได้ยินคำนั้นจากคนที่ไม่เคยทำผิดจนพูดขอโทษมาก่อน

   ผมต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายพูดคำนี้ คุ้นชินกับการขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าจากความบ้าบอของตัวเอง

   ขนาดตอนผมตกบันไดพี่พจน์ยังไม่ขอโทษเลย แต่เขาช่วยดูแลจนผมหายดีด้วยความรู้สึกผิด ตอนหนีมาเปิดร้านชานม พี่พจน์ก็แค่โยนโทรศัพท์ให้แล้วไป ก็ไม่แปลกใช่มั้ยหากผมจะจ้องเขาตาแทบถลน

   โชคดีที่พี่พจน์ไม่เห็น เพราะเขาก้มหน้ากุมขมับ คล้ายว่าการกล่าวคำนั้นช่างยากลำบากเหลือเกิน

   “พี่โอเคมั้ย” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมถามแบบนั้น คำถามที่ออกจะเหยียดหยามบุรุษผู้แสนจะเพอร์เฟ็คคนนี้ไปสักหน่อย พี่ชายคนนี้ของผมไม่เคยเผยท่าทีอ่อนแอทำอะไรไม่ถูกมาก่อน และเขาก็ตอบสนองดีเยี่ยมชนิดที่เงยหน้าสบสายตากับผมในทันที

   “แกจะกลับบ้านได้รึยัง”

   ด้วยมาดดุเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ผมงงมาก

   “เดี๋ยวนะพี่พจน์” ผมยกมือเบรกอารมณ์ “พี่ขอโทษผมเรื่องอะไร แล้วมันเกี่ยวกับผมต้องกลับบ้านตรงไหน ”

   พลันพี่พจน์เผยสีหน้า...โลกถล่ม...

   ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะนะ เขามองผมแบบไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็ยกมือปิดปาก เพื่อปกปิดความตกตะลึง ก่อนจะกุมขมับ ขยี้หัว แล้วหันมาจ้องผมเหมือนเดิมด้วยอารมณ์ดุขรึม

   “อย่าประชดกันพิชญ์ พี่ก็ขอโทษแล้วไง กลับบ้านได้แล้ว พ่อกับแม่เป็นห่วง”

   ทำไมทุกคนถึงชอบคิดว่าผมประชดนะ แค่ถามดีๆ เหอะ!

   “ไม่ผมงงก็พี่งงแล้วล่ะ” ผมกุมขมับบ้าง “ถ้าผมเดาไม่ผิด พี่น่าจะรู้แล้วว่าผมไม่ได้หนีออกจากบ้านเพราะกฤต”

   พี่ชายไม่ตอบ ถือว่าใช่

   พี่พจน์ไม่ใช่คนโง่อยู่แล้ว ถึงจะชอบคิดว่าผมโง่เง่าก็เถอะ

   “พี่เลยคิดว่าผมหนีออกจากบ้านเพราะ...พี่?” ผมเดาเหตุผลที่เข้าเค้าที่สุด “พี่โทรมาหาผมทุกเช้า ถามว่ากลับบ้านรึยังเพราะคิดว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบใช่มั้ย และที่พี่มาขอโทษผม เพราะคิดว่าผมโกรธพี่จนไม่ยอมกลับ เลยมาพูดให้จบเรื่องจบราว พ่อกับแม่จะได้สบายใจ”

   เงียบอีกแล้ว แสดงว่าเดาได้ถูกต้องตรงเผง

   “พี่พจน์...” วินาทีนั้น ผมมองหน้าพี่ชายเหมือนเห็นคนแปลกหน้า จริงอยู่ว่าพี่พจน์ชอบตีหน้าดุ เหมือนรำคาญกันตลอดเวลา แต่เขาก็เป็นพี่ชายที่ผมรักมากๆ เข้าขั้นเคารพนับถือด้วยซ้ำ

   มีพี่ชายเก่งสุดยอด ใครบ้างจะไม่ปลื้ม!

   “ดูปากผมนะ” ผมชี้ที่ปากตัวเอง “ผม-ไม่-เคย-โกรธ-พี่!”

   พี่พจน์มองด้วยสายตาแบบอย่ามาโกหกไอ้น้องเวร

   “ผมไม่เคยโกรธพี่จริงๆ อาจจะมีเคืองบ้าง น้อยใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้โกรธจนหนีออกจากบ้าน” ผมยืนยันเสียงหลง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจให้กับพี่ชายคนนี้ “ถ้าพี่ไม่เชื่อก็ลองถามตัวเอง ขนาดพี่ที่ชอบทำหน้าดุ เหมือนโกรธผมตลอดเวลา ปากก็บอกว่ารำคาญ ในใจก็คิดไอ้น้องโง่ แต่พี่ไม่เคยโกรธผมจัดๆ สักครั้งไม่ใช่เหรอ”

   พี่พจน์นิ่งไปหลายอึดใจ จนผมแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวว่าจะเดาผิด ความจริงแล้วพี่ชายผูกใจเจ็บอยากฆ่าน้องหมกส้วมมานาน และวันนี้ก็เป็นวันดี เพราะผมดันไปกระตุ้นต่อมโหดเขาเข้า

   วินาทีนั้นผมเหงื่อแตกพลั่ก

   จนกระทั่งพี่พจน์ถอนหายใจเฮือกเหมือนคิดได้นั่นแหละ ถึงจะพอหายใจเข้าเต็มปอด

   “สรุปว่าแกไม่ได้หนีออกจากบ้านเพราะฉัน?” พี่พจน์กลับเป็นคนเดิมแล้ว คนที่ชอบทำหน้าดุมองเหยียดน้องชายเหมือนว่าไอ้เวรนี่เกิดมาเป็นน้องผู้ชายที่แสนจะสมบูรณ์แบบอย่างเขาได้ยังไง

   “ก็ไม่ใช่น่ะสิ” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ ในใจลอบยิ้ม คิดว่าไม่ได้คุยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ “ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น”

   “ก็เพราะ...” พลันพี่พจน์มองผมด้วยสายตาซับซ้อน สีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนปรากฏอีกครั้ง “...แกขอลาออก”

   แบบนี้นี่เอง

   ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่พจน์ถึงเข้าใจผิด

   เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้ครับ จำได้มั้ยว่าไอ้ภูมิบอกว่าผมเคยทำงานกับพี่พจน์ เงินดีแถมยังอยู่สบายอีกต่างหาก แล้วทำไมถึงหนีมาเปิดร้านชานม เรื่องของเรื่องก็คือ...หลังผมเรียนจบ พ่อกับแม่ก็ฝากฝังน้องชายเข้าบริษัทที่พี่ชายคุมอยู่ ตอนแรกว่าจะแต่งตั้งตำแหน่งลอยๆ ให้ผมเป็นผู้ช่วยพี่ด้วยซ้ำ แต่ผมคัดค้าน ขอเริ่มต้นจากพนักงานทั่วไปเพราะไม่เคยทำความเข้าใจกับกิจการครอบครัวมาก่อน

   ถึงจะทะเลาะกันบ่อย มีปากเสียงเป็นประจำ แต่ผมเคารพพี่พจน์มาก เวลาเขาทำงานน่ะเจ๋งสุดๆ ผมเลยพยายามอย่างยิ่งในการทำผลงานให้พี่พจน์ภูมิใจ แบบว่า...ขอมีค่าในสายตาพี่ชายบ้างน่ะครับ อีกอย่าง ผมเองก็บ้าบอมาหลายปี เรียนจบทั้งทีก็ควรทำตัวเป็นผู้เป็นคนบ้าง แหม เห็นแบบนี้ก็คิดได้นะเออ

   แต่หลังฝึกงานได้สามเดือน  กับแผนกการเงินที่ได้ชื่อว่าเครียดและงานละเอียดยิบที่สุดในบริษัท พี่พจน์ก็...ไล่ผมไปนั่งๆ นอนๆ อยู่แผนกบุคคล และสั่งให้ทุกคนห้ามใช้งานผมหนัก หรือง่ายๆ ก็คือ เขาไม่พอใจกับความขยันขันแข็งของผม คิดว่าน้องชายคนนี้โง่เง่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จนไม่กล้าให้รับผิดชอบงานใหญ่

   ตอนนั้นผมยอมรับว่าโกรธ เลยเลียบๆ เคียงๆ ถามแผนกการเงินว่าทำบัญชีผิดหรือทำให้บริษัทเสียหายเหรอ พี่พจน์ถึงต้องลงโทษกันขนาดนี้ ผลคือ...ไม่เลย ผมทำงานยอดเยี่ยมมาก แถมยังช่วยจัดข้อมูลหลายส่วนให้เป็นระเบียบ เป็นหมวดหมู่ หาง่ายกว่าเดิมด้วย

   พอรู้ผมก็ตั้งใจจะไปปะฉะดะกับพี่พจน์สักยก ผมเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว ไม่ผูกใจเจ็บ กะถามเหตุผลให้รู้ก็ยังดี

   แต่พี่พจน์ไม่ยอมบอก

   ผมเลยขอลาออก

   ช่วงนั้นไอ้ภูมิหัวเสียน่าดู พยายามกล่อมผมให้กลับลุยใหม่ พอผมไม่ฟังก็แสร้งยิ้มว่าไม่เป็นไร แต่ดันคาบข่าวไปบอกกฤตซะงั้น

   ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าผมกับกฤตกำลังทะเลาะกันอยู่ ไอ้ภูมิไม่วายก่อเรื่องเพิ่มให้ยิ่งผิดใจ หลังจากนั้นไม่นาน...กฤตก็นอกกายไปนอนกับชายอื่น

   ค่ำวันนั้น ผมหนีออกจากบ้าน

   ไทม์ไลน์ค่อนข้างไล่เลี่ยกัน ก็ไม่แปลกที่พี่พจน์จะเข้าใจผิด พอตัดกฤตออกก็เข้าใจว่าเป็นเพราะตัวเอง ยอมลดทิฐิมาขอโทษผม

   “พี่พจน์จะบอกมั้ยล่ะว่าไล่ผมไปแผนกบุคคลทำไม”

   “...”

   ยังคงเป็นความเงียบอีกครั้ง แต่ผมรู้คำตอบแล้ว และเพราะรู้ ถึงขอลาออก ไม่มีประโยชน์เลยที่ผมจะนั่งๆ นอนๆ กินเงินเดือนในบริษัท

   แม้พี่พจน์จะไม่รู้ว่าผมรู้ก็เถอะ

   “ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยแล้วกันว่าผมสบายดี” หมดเรื่อง ผมก็ถอดเข็มขัดนิรภัย แล้วเปิดประตูลงจากรถ “และคงไม่กลับไปเร็วๆ นี้ พี่น่าจะมาดูบ้างนะว่าตอนนี้ร้านของผมมีลูกค้าเยอะกว่าวันแรกตั้งหลายเท่า”

   “ฉันเห็น...”

   ผมเลิกคิ้ว งงนิดหน่อยว่าเขาเห็นตอนไหน เพราะนับตั้งแต่เอาโทรศัพท์มาให้ พี่พจน์ก็ไม่เคยมาที่ร้านอีกเลย

   “งั้นพี่ก็น่าจะเห็น...ว่าผมมีความสุขกับร้านชานมแค่ไหน”

   “...”

   “แวะมาอุดหนุนกันบ้างนะครับคุณพี่ชายที่แสนดี”

   “ไปไกลๆ เลยไป!”

   ผมหัวเราะ ทุกครั้งที่ผมเรียกเขาว่าพี่ชายแสนดี พี่พจน์ที่แทบไม่เคยจะเล่นกับน้องก็จะออกอาการหัวเสียทุกรอบ เข้าใจว่าผมประชด และก็จี้ใจดำอย่างจัง

   แต่ถึงเราจะไม่ค่อยแสดงออกถึงสายสัมพันธ์พี่น้องเขาก็นับเป็นพี่ชายแสนดีของผมนะ

   ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเชื่อมั้ยนี่สิ


   ---------------

   และแล้วก็จบเคสพี่พจน์ค่ะ

   บางคนอาจจะยังงงๆ ว่าจบสามเคสแล้วสรุปพิชญ์หนีออกจากบ้านเพราะอะไรกันแน่ อย่างที่พิชญ์บอกเลยค่ะว่าไม่ใช่เพราะทั้งสามคน แต่เพราะอะไรนั้น...เริ่มมีแง้มๆ มาเยอะพอสมควร

   เพิ่งจะสิบตอนเท่านั้นเอง เกือบๆ จะครึ่งเรื่องเองค่ะ

          ตอนหน้าก็จะกลับมาหวานๆ กับคุณคนแรก ตอนนี้มาน้อยแต่มานะเหมือนเดิม ตอนหน้ารับรองลูกตาจ่อยคนนี้จะมาทำคะแนนค่ะ! เย้!


    #ผมกับชานมไข่มุก
   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-10-2019 21:42:24
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-10-2019 22:02:46
อ้าว แล้วย้ายน้องไปนั่งๆนอนๆทำไม
หรือพ่อแม่สั่ง
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-10-2019 22:31:22
คนรอบตัวนี่มีแต่คนแปลกๆเนอะ ทั้งเพื่อน ทั้งแฟนเก่า พี่ชายอีก อิคุณคนแรกก็ใช่ว่าจะปกติใช่มะ คนอะไรจีบกันด้วยเหรียญสองบาท  :jul3:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 25-10-2019 00:08:05
จะมีเรื่องราวของคนปกติใช่ไหม ???
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-10-2019 02:11:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-10-2019 02:30:58
ไม่ขอเดาอะไรทั้งสิ้นรออ่านอย่างเดียว​เลย​
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 25-10-2019 07:41:10
พี่กลัวน้องทำงานหนักไป เลยย้ายไปนั่งเฉยๆ หรืออย่างไร  :hao4:

หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 25-10-2019 08:33:26
ติดตามต่อค่ะ


 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 26-10-2019 12:14:45
คาดเดาไม่ได้เลยจริง ๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 26-10-2019 13:34:00
เพราะอะไรพี่พจน์ถึงห้ามไม่ให้น้องทำงานอ่ะ ถ้าน้องทำงานดี
 :hao4:

หรือมีเรื่องเงินๆทองๆในแผนกบัญชี
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pranliew ที่ 27-10-2019 17:23:02
พี่พจน์เป็นแนวซึนหรออออ ไม่พูดไปตรงๆอ่ะว่าเป็นห่วงอยากให้กลับบ้าน ที่ไม่อยากให้ทำงานหนักเพราะรักน้องใช่มั้ยยยยยย โถ่พี่ //รออ่านต่ออยู่น๊าา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 28-10-2019 13:44:37
          เป็นพี่ชายสายแข็งซินะแต่ก็รักน้องแหมๆๆ
พี่ชายแบบนี้จะมีคนรักแบบไหนคะ
ส่วนคุณคนแรกก็ช่างดีแสนดี ..รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 28-10-2019 16:13:23
พี่น้องหนออออ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-10-2019 23:22:57
ตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 10 : พี่ชายที่แสนดี - [24/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 29-10-2019 21:51:55
หลงรักงานเขียนของคุณจัง
ชอบงานเขียนแนวอธิบายง่ายๆจนเหมือนกำลังนั่งอ่านการ์ตูนแบบนี้มากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 31-10-2019 20:17:14


ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก



   โชคดีที่ครบกำหนดสามเดือนที่ผมเซ็นสัญญาเช่าขั้นต่ำกับทางคอนโดพอดี หลังวางมัดจำที่พักใหม่เรียบร้อย ผมก็รีบขนของย้ายออกโดยมีคุณคนแรกช่วย

   “ของมีแค่นี้เหรอ”

   “ก็แค่นี้นั่นแหละ” ผมยักไหล่ บนหลังสะพายกระเป๋าเป๋เบาหนึ่งใบ ตอนหนีออกจากบ้าน ผมหยิบมาแต่ของจำเป็น อย่างพวกเสื้อผ้า ชุดชั้นใน โทรศัพท์ (ที่เอาไปขายแล้ว) ที่ชาร์จแบต และโน๊ตบุ๊คเท่านั้น

   แต่ตอนนี้มีงอกมาเพิ่มก็พวกผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน ผงซักฟอก และของใช้จิปาถะอีกหลายอย่าง ถึงจะติดดิน แต่ผมก็ถูกเลี้ยงดูแบบคุณหนู ให้ซักผ้าเองน่ะทำไม่เป็น เลยต้องพึ่งเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญตลอด

   คุณคนแรกรับกระเป๋าอีกใบที่หนักกว่าไปสะพาย ก่อนจะขับนำเพราะผมยังจำทางไม่ได้ นึกภาพนะครับ ผู้ชายสองคน สะพายกระเป๋าเป้ใบกลมบนหลัง คนแรกขับมอเตอร์ไซค์นำระดับเต่าคลานด้วยหน้านิ่งๆ คนหลังถีบจักรยานมองซ้ายมองขวาไม่หยุด ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่ม รถไม่ค่อยติด คนไม่ค่อยพลุกพล่าน พวกเราเลยกินลมชมวิวกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่นาน...ก็ถึงจุดหมาย

   แมนชั่นนี้มีขนาดเล็ก และมีสองชั้น ด้วยเข้ามาในซอยลึก ห่างไกลร้านอาหารและป้ายรถเมล์ ทำให้คนน้อย ไม่พลุกพล่าน ด้านหลังเป็นคลอง อากาศเย็นสบาย ได้กลิ่นอายธรรมชาติ

   ผมถูกชะตาที่นี่เพราะได้ห้องแอร์ขนาด 24 ตารางเมตรในราคาสามพันบาทต่อเดือน เฟอร์นิเจอร์พร้อม ไม่ต้องหาฟูกใหม่ แม้จะติดกลิ่นอับนิดหน่อยตามประสาที่พักสร้างมาแล้วหลายปี

   คุณคนแรกเลยเนียนเข้าห้องผมครั้งแรกก็วันนี้แหละ

   “อยูได้มั้ย”

   “ได้สิ” ผมตอบกลับทันที แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับการเปิดประตูปุ๊บก็เจอเตียงปั๊บ เล็กแคบอย่างที่ไม่เคยเจอ แต่ผมปรับตัวไวอยู่แล้ว คิดในแง่ดีว่าจะได้ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยๆ

   จากห้องแปดพันมาสู่สามพัน ความแตกต่างย่อมเห็นชัดเจน แม้ผมจะแอบเหวอตอนคุณคนแรกถาม แต่ก็ไม่ประหลาดใจ...เขาน่าจะเดาได้อยู่แล้วว่าครอบครัวผมค่อนข้างมีฐานะ วัดจากรถเบนซ์ที่พี่พจน์ขับมาจอดเทียบเมื่อหลายวันก่อน

    เพราะไม่มีโซฟาหรือเก้าอี้สักตัว คุณคนแรกเลยนั่งตรงปลายเตียงขณะที่ผมเปิดกระเป๋าเป้เก็บของให้เป็นที่เป็นทาง เห็นแบบนี้แต่ผมค่อนข้างเจ้าระเบียบนะครับ ให้โยนทิ้งขว้างส่งๆ เนี่ยไม่เอาหรอก แม้ระหว่างจัดไปจะแอบเอ๊ะหลายครั้งว่าควรจะไล่ใครบางคนดีมั้ย แต่จะไปดีได้ยังไงเพราะเขาทั้งหาที่พักใหม่แล้วยังช่วยย้ายของด้วย แต่ไอ้การนั่งจ้องผมตาไม่กะพริบมันชวนวูบวาบชอบกล ทั้งที่เปิดแอร์แล้ว แต่ผมดันเหงื่อตก รู้สึกเหมือนตกหลุมพรางบางอย่าง

   ผ่านมาเดือนกว่า ความสัมพันธ์ของเราสองค่อยเป็นค่อยไป เข้าขั้นเนิบช้า

   แต่ความเนิบนาบนี้ก็ทำให้ผมค่อยๆ เปิดใจมากขึ้น อย่างน้อย การยอมให้เขาช่วยขนของทั้งที่ก็ทำเองได้ ให้เขาขึ้นห้อง นั่งเล่นบนเตียง ถือว่ายอมรับในระดับหนึ่งแล้ว

   “นี่...”

   “หืม”

   “ชอบสีอะไร”

   ผมเหลือบมองคุณคนแรกนิดหน่อย ก่อนจะหันไปจัดของเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “สีน้ำเงินกับเหลือง” แต่ก็ตอบนะ

   “หมากับแมวชอบอะไรมากกว่ากัน”

   “เมื่อก่อนแมว แต่ตอนนี้หมา”

   “เปลี่ยนได้ด้วย?”

   “แล้วไม่ได้เหรอ”

   คุณคนแรกเงียบไปพักหนึ่ง ผมรอว่าเขาจะถามต่อรึเปล่า จะได้อธิบายว่าแม้แมวจะดูอิสระทำตามใจ นิสัยคล้ายผม แต่หลังผ่านอะไรมาหลายอย่าง ก็คิดว่าความซื่อสัตย์ของหมานั้นอยู่ด้วยแล้วสบายใจมากกว่า

   ปรากฏเขาไม่ถาม

   อันที่จริงคุณคนแรกก็ไม่ใช่คนถามลงลึกเจาะรายละเอียดอยู่แล้ว

   “ชอบทำอะไร”

   “ตอนนี้ชอบทำร้านชานม”

   “ชอบกินอะไร” คุณคนแรกรีบเสริมทันที “อาหารนะ ไม่ใช่เครื่องดื่ม”

   ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่เขา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงพื้นหันหน้าประจัน ซึ่งคุณคนแรกก็ถดตัวลงจากเตียงมานั่งขัดสมาธิจ้องตาในระยะห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตร

   เพราะห้องมันแคบน่ะครับ อย่าคิดลึก

   “ถ้าอร่อยก็กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นแมลงทอด”

   “ไว้พรุ่งนี้จะพาไปลอง”

   “กวน”

   คุณคนแรกยิ้ม

   เป็นรอยยิ้มบางที่ชวนให้คนเห็นใจบางมากๆ

   “ชอบผู้ชายแบบไหน”

   ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง

   ถึงจะรู้ว่าเขาเกริ่นนำอ้อมโลกอย่างนี้เพราะอยากถามอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาลงเอยที่หัวข้อนี้

   “ไม่มีสเปคตายตัว” ผมตอบงึมงำ รู้สึกเขินๆ ขึ้นมาจนต้องลูบหน้าลูบตาตัวเอง

   “แล้ว...”

   ผมใจเต้นแรง เกรงโดนถามต่อว่าแล้วอย่างเขาเนี่ยใช้ได้มั้ย

   ถ้าจะตรงขนาดนั้นผมคงเอาหน้ามุดดิน

   “แล้วจะกลับบ้านรึเปล่า”

   พลันทุกอย่างตกในความเงียบ

   ผมมองหน้าเขา คุณคนแรกไม่หลบตา สื่อว่าไอ้คำถามทั้งหมดน่ะอ้อมโลกเพื่อมาจบที่ตรงนี้ต่างหาก

   มิน่าล่ะ วันนั้น...ตอนพี่พจน์มารับ คุณคนแรกถึงยึกยักไม่ยอมไป แถมบอกว่าจะรออีก เขาคงกลัวผมกลับบ้านแล้วไม่กลับมา และที่วันนี้เสนอตัวมานั่งจ๋องในห้องผม ก็เพราะอยากยืนยันให้แน่ชัดว่าสุดท้ายแล้ว...เราจะได้คุยกันอย่างนี้อีกหรือเปล่า

   ผมยอมรับ ตอนแรกที่ได้ยินค่อนข้างอึดอัดไม่อยากตอบ แต่พอเข้าใจถึงความกังวลของคุณคนแรก ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ใช่คนประเภทก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวชาวบ้าน ไม่เคยทำให้ผมลำบากใจ ก็ยอมงึมงำตอบออกมา

   “ไม่ใช่เร็วๆ นี้”

   ถามเรื่องผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าถามเรื่องครอบครัว เรื่องที่มีปัจจัยอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว ผมจะอึกอักน่ะครับ

   ความเงียบเข้าแทรกอีกครั้ง แต่เป็นความเงียบที่ไม่น่าอึดอัด กลับทำให้ผมกับเขายิ้มออกเมื่อเรารู้ว่าต่างฝ่ายต่างต้องการสื่อถึงอะไร

   “แล้วอยากให้กลับมั้ยล่ะ” พอคลายความกังวล ผมก็ปากดีทันที

   “ไม่”

   คำตอบทันควันนั้นทำให้ผมต้องลูบหน้าลูบตาตัวเองแก้เขินอีกครั้ง

   “เดี๋ยวอดกินชานมไข่มุก”

   ...ไม่ต้องต่อประโยคก็ได้มั้ยล่ะ!

   ผมจ้องเขาแกมเคืองอย่างสับสน มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก เพราะผมแอบโกรธเขาที่กวนเรื่องชานมไข่มุก แต่ก็แอบดีใจที่เขารอกินชานมไข่มุก

   โคตรงงตัวเอง

   “ไม่มีร้านฉัน ก็ยังมีร้านใหญ่ตรงหน้าปากซอยไม่ใช่เหรอ” กวนมากวนกลับไม่โกง

   “ร้านนั้นน่ะเหรอ...ไม่เอาหรอก” คุณคนแรกส่ายหัวทันที ไม่รู้มีอคติอะไรกับร้านชานมชื่อดังรึเปล่า “กลับละ”

   เฮ้ย เดี๋ยว ได้คำตอบที่ต้องการก็ชิ่งกลับดื้อๆ งี้เลย!

   ผมมองเขาที่ผุดลุกกะทันหันด้วยความอึ้ง และยิ่งงงตัวเองว่าแล้วจะรั้งไปทำไม นี่มันจะห้าทุ่มอยู่แล้ว คุณคนแรกก็ควรจะกลับบ้านมั้ยล่ะ

   “ฉันไปส่ง”

   ผมเดินตามหลังคุณคนแรกลงมาชั้นหนึ่ง แมนชั่นนี้มีสองชั้น ก็ไม่แปลกที่จะมีแต่บันไดไม่มีลิฟต์ อากาศตอนกลางคืนกับตึกที่ติดคลองด้านหลังนั้นชวนหนาวสะท้านเยือกๆ ผมเดินกอดอก ส่งเขาถึงรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าตึก

   “ที่นี่น่ะ...ใกล้บ้านมากเลย” คุณคนแรกเอ่ยลอยๆ ขณะสวมหมวกกันน็อก

   ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

   “ผ่านทุกวันเลยด้วย”

   เริ่มจะจับใจความได้หน่อยๆ

   “พรุ่งนี้ตีห้าครึ่ง ยืนรอตรงนี้แล้วกัน จะมารับ”

   เฮ้ย เดี๋ยว นี่ประโยคคำถามหรือบอกเล่า ผมมึนไปหมดแล้ว!

   “ตีห้ายี่สิบ”

   ...แทนที่จะปฏิเสธ ดันไปต่อรองเวลากับเขาเนอะคนเรา

   “ได้ ตีห้ายี่สิบ” คุณคนแรกขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ มองผมด้วยสายตาวาววับคล้ายกำลังยิ้ม ซึ่งผมมั่นใจว่าเขายิ้มอยู่แน่ๆ แม้จะมีหมวกกันน็อกบังก็เถอะ “ไปแล้วนะ”

   “เออ”

   แต่เขายังไม่ไป

   ผมขมวดคิ้ว ยืนกอดอกจ้องหน้าคุณคนแรกที่ยังยึกยักคล้ายกำลังสนุกสนาน

   อืม...เขาคงดีใจน่าดูพอรู้ว่าผมยังไม่กลับบ้านแล้วยังยอมให้มารับอีก เป็นความคืบหน้าที่น่าชื่นชม

   “ทำไมยังไม่ไป”

   “ฉันควรจะถามคำนั้นมากกว่ามั้ย!” ผมถลึงตาใส่เขา เรียกเสียงหัวเราะพรืด

   บรรลุจุดประสงค์ดังใจหมาย คุณคนแรกก็ขับมอเตอร์ไซค์จรลีจากไป ผมยืนมองไล่หลัง บนใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม

   หากถามว่าสเปคผมเป็นแบบไหน...

    ถ้าให้เจาะลึกหน่อย ก็คือคนที่เวลาอยู่ด้วยแล้วผมยิ้มได้ละนะ


   --------------------------

   คุณคนแรกก็จะเนียนๆ กันไป

   หยอดนิดๆ จีบหน่อยๆ ทำคะแนนไม่รุกมากแต่ก็มาทุกวันสม่ำเสมอและเพิ่มดีกรีทีละนิดนะคะ คุณคนแรกน่ารักใช่มั้ยล้า~~

   ส่วนพิชญ์...ต่อรองให้ผู้ชายมารับถึงที่ก็ได้เหรอลูก ปั๊ดจับตีก้น!!

   
 #ผมกับชานมไข่มุก


เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-10-2019 20:42:49
 :man1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 31-10-2019 22:17:17
ตอนนี้น่ารักดี จีบกันงุงิๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-11-2019 02:11:04
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 01-11-2019 07:36:06
ชอบเวลาจีบกันแบบเนียนๆ อ่ะ. น่าร้ากกกกกก.  :hao3:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 01-11-2019 14:20:57
ค่อย ๆ จีบกันงุงงิง

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 01-11-2019 15:10:23
         น้องพิชญ์ได้ที่อยู่ใหม่แล้ว สนใจแฟนใหม่เร็วๆนี้ไหมคะ..คุณคนแรกนะคะ❤️
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: pranliew ที่ 02-11-2019 08:08:21
น้องน่ารักกกกกกก ค่อยเป็นค่อยไปน๊า ป่านนี้ก็ยังไท่ม่รุ้ชื่อพี่เขาเน้อะะะะ รอดูกันต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-11-2019 12:25:43
น่ารักดีนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 02-11-2019 13:04:37
น่ารัก หวานๆกัน  :o8:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-11-2019 21:50:35
 :z1:



 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 03-11-2019 01:07:48
น่ารักอ่ะ แบบค่อยเป็นค่อยไป
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 03-11-2019 09:27:26
หรือคุณคนแรกจะอยู่ที่เดียวกันนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 12 : จับมือ - [06/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 06-11-2019 21:08:48

ตอนที่ 12 : จับมือ




   ตีห้าสิบนาที ผมยืนรอหน้าตึก ติดนิสัยต้องไปก่อนเวลาสิบนาที

   ระยะทางจากตรงนี้ไปร้านชานม ใช้เวลาราวๆ สิบห้านาที ซึ่งเท่ากับว่าจะมีเวลาให้ผมเปิดร้าน ต้มไข่มุก รอรับรถขนน้ำแข็งที่จะมาส่งทุกวันตอนตีห้าห้าสิบได้พอดี

   ผมยืนกินขนมปังเป็นอาหารเช้ารองท้องระหว่างรอคุณคนแรก ถึงเซเว่นจะอยู่ไกลไปหน่อย แต่ปั่นจักรยานแป๊บเดียวก็ถึง แถวนั้นคนพลุกพล่านกว่ามาก เทียบกันแล้วที่นี่ดีกว่าเยอะ แม้บรรยากาศจะแอบวังเวง ตึกเก่าโทรม พ่วงลมหนาวพัดผ่านคลอง ชวนให้นึกถึงหนังสยองขวัญ

   ดีนะ...ผมไม่กลัวผี ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะไม่เคยเจอ ก็ไม่รู้ว่าเกิดเจอดีขึ้นมาจะปากกล้าแบบนี้อยู่มั้ย

   ตีห้าสิบห้านาที รถมอเตอร์ไซค์ของคุณคนแรกก็จอดเทียบ เขาส่งหมวกกันน็อกให้ ผมรับมาใส่ เขาช่วยจับที่รัดใต้คาง ก่อนจะขึ้นคร่อมที่นั่งด้านหลังแบบคุ้นเคยสุดๆ ผมส่งถุงพลาสติกจากเซเว่นให้ แม้ไม่พูดอะไรแต่คุณคนแรกก็เอาถุงไปแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ รอผมที่ยังปากเคี้ยวขนมปังหยับๆ เกาะเอวเขาหลวมๆ แล้วถึงค่อยขับด้วยความเร็วระดับเร็วกว่าปั่นจักรยานนิดหน่อย

   มาถึงร้านชานมตอนตีห้าสี่สามสิบ ผมลงจากมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกส่งคืนให้ ซึ่งคุณคนแรกก็ส่งถุงเซเว่นคืนเหมือนกัน

   “ค่าน้ำมัน” ผมบอกเขายิ้มๆ ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาชอบอะไร แต่จากที่ไปตระเวนกินกันหลายคืน น่าจะเป็นพวกกินง่าย เลยซื้อของชอบตัวเองให้แทน ขนมปังทูน่า นมเปรี้ยวรสผลไม้รวม กับบราวนี่ มื้อเดียวครบทุกสารอาหารทั้งคาวหวาน

   คุณคนแรกไม่พูดอะไร แต่เขาไม่ยอมไปไหน ผมก็เลยเปิดร้านไม่ได้สักที

   ถึงจะไม่รังเกียจความเงียบนี้ แต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิด ผมเลยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน

   “นี่...”

   พลันคุณคนแรกลูบแก้มผมเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอยหายลับ

   จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าเขาเปิดร้านอะไร อยู่ตรงไหน

   และก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมต้องจับแก้มกันด้วย ผมยืนอึ้ง อึกอักนิดหน่อยเพราะคุณยายร้านปักผ้าเดินมาเปิดร้านแล้วเห็นฉากเมื่อกี้เข้าพอดี

   “ยายไม่เห็นเลยจ้ะ ไม่เห็นจริงๆ นะ”

   คงเพราะผมหน้าแดงก่ำทั้งเขินทั้งอาย ยืนบ้าใบ้ไปไม่ถูก คุณยายเลยช่วยปลอบประโลมจิตใจน้อยๆ ของผมด้วยการพูดโกหก ท่านอายุปูนนี้แล้ว เห็นอะไรมาเยอะ รวมถึง...เห็นผมกับคุณคนแรกจีบกันทุกวันจนชินตา

   ถึงไม่พูดอะไรแต่สายตาและรอยยิ้มนั้นชวนเขินยิ่งกว่าพูดตรงๆ ซะอีก

   ถ้าอยู่กันสองต่อสองแบบเมื่อคืนวานยังพอรับไหว แต่มีคนอื่นเป็นประจักษ์พยานด้วยเนี่ยทำใจยังไงก็ไม่ชินสักที

   ผมรีบเดินไปเปิดร้าน ดึงประตูเหล็กม้วนขึ้นแล้วต้มไข่มุก ระหว่างนั้นก็ชงชานมดื่ม ผมมีแก้วเก็บความเย็นประจำตัวครับ จะได้ไม่ต้องเปลืองส่วนของลูกค้า พอได้ลิ้มรสนุ่มหอมกลมกล่อม อารมณ์ก็ดีดขึ้นทันตา พร้อมแล้วสำหรับวันนี้!

   หลังรับน้ำแข็งจากรถส่งของซึ่งมาตรงเวลาทุกวันก็ได้เวลาทำตัวให้กระปรี้กระเปร่า ซึ่งวันนี้ก็มีคนมาเยือนตั้งแต่เปิดร้านเลย เป็นคู่แม่ลูกเจ้าประจำที่สะสมแต้มใกล้จะถึงเลเวลสามแล้ว

   ช่วงที่คนเยอะที่สุดคือตอนเจ็ดโมงยี่สิบถึงเจ็ดโมงห้าสิบ เป็นครึ่งชั่วโมงแห่งความหัวหมุน ทำไม่ทัน แถวต่อยาว จนเริ่มคิดว่าควรจะรับพนักงานเพิ่มดีมั้ยนะ เห็นลูกค้ารอนานแล้วรู้สึกไม่ดีชอบกล แต่คิดไปคิดมาก็ไม่คุ้มทุน ถ้าคิวยาวเหยียดเท่าร้านชานมชื่อดังหน้าปากซอยก็ว่าไปอย่าง

   ถึงจะมีมึนๆ ลืมปั๊มบัตรสะสมแต้มบ้างก็เถอะ

   แปดโมงตรง เพลงเคารพธงชาติขึ้น น้อยครั้งจะมีคนหยุดยืนโดยเฉพาะเหล่าผู้ปกครองที่ต้องรีบกลับไปทำงานต่อ ผมนั่งพักเหนื่อย ฟังประกาศของโรงเรียนประถมที่ดังไกลมาถึงในซอยแล้วนึกถึงสมัยตัวเองยังเป็นเด็ก ตอนนั้น...อืม...เหมือนจะซนมากๆ

   หลังจากนั้นไม่นานคุณคนแรกก็มาเยือน เห็นหน้าตายๆ นั่นแล้วก็อดนึกภาพเขาตอนเด็กไม่ได้

   “นายต้องดื้อเงียบแน่ๆ”

   จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมา คุณคนแรกมองผมงุนงงสุดขีด

   “ฉันหมายถึงตอนนายเด็กๆ ต้องดื้อเงียบแน่” ผมอธิบาย ดีใจที่ทำเขามึนบ้าง ส่วนใหญ่เป็นตัวผมเองนั่นแหละที่โดนปั่นประสาท ทั้งงงทั้งเขินทั้งมึนทั้งอาย

   “คนแถวนี้ก็คงจะดื้อเปิดเผย” ไม่ทันไร เขาก็กวนกลับแล้ว

   ผมชงชานมไปด้วยระหว่างชวนคุย น่าจะเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ผมพูดเรื่องตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องถาม

   “ใช่ เป็นตัวแสบของชั้นเลยละ” ผมขยายความ “เคยวิ่งเล่นจนหกล้มหัวแตกด้วย”

   “น่าสงสารนะ”

   “สงสารฉัน?”

   “สงสารพื้น”

   ใครเลยจะตบมุกหน้าตายได้เท่าคุณคนแรก ผมหัวเราะ เขาเองก็ยิ้มขัน รับชานมไข่มุกให้พร้อมกำกองเหรียญให้โดยไม่ลืมบัตรสะสมแต้มที่ใกล้จะขึ้นเลเวลสี่แล้ว

   ผมหยอดเหรียญสองบาทใส่กระปุกใส เสียงกระทบนั้นทึบเพราะมีเหรียญรองรับอยู่เกือบครึ่ง

   “ขนมปังเมื่อเช้าอร่อยดี”

   คุณคนแรกเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ช่วงหลังมานี้เขาชอบยืนกินชานมไข่มุกอยู่หน้าเคาน์เตอร์จนหมดแล้วค่อยไป ซึ่งใช้เวลาราวๆ สิบห้านาทีเป็นอย่างต่ำครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างมาก

   “จริงเหรอ” ผมหรี่ตา เอนตัวพิงขณะเท้าแขนกับเคาน์เตอร์เพื่อจะได้คุยกันสะดวกๆ แกมจับผิด เกริ่นแบบนี้ต้องมีประโยคต่อท้ายแน่ๆ

   “แต่ไม่อิ่ม”

   นั่นไง เดาไม่ผิดเลย

   “ตะกละ” ผมว่าเขา แม้น้ำเสียงจะไม่เหมือนกำลังต่อว่าก็เถอะ “ตอนเช้าฉันกินขนมปังชิ้นเดียวก็อิ่มแล้ว”

   “มิน่าล่ะขุนไม่ขึ้นสักที” คุณคนแรกโคลงศีรษะ

   “จะบอกว่าที่ขยันชวนไปกินข้าวเย็นเพราะจะขุนกันเหรอ”

   “ใช่” คุณคนแรกตอบหน้าตาย “นายผอมมาก”

   “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง” ผมก้มดูตัวเอง ถึงจะผอมกว่าสมัยก่อนหนีออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ถึงขั้นน่าเป็นห่วง “กะจะขุนให้อ้วนแล้วเอาไปเชือดล่ะสิ” ผมยิ้มกริ่ม เดาความกวนของเขา

   “ไม่ใช่”

   “...”

   “ขุนให้ตัวนิ่มๆ จะได้จับมือแล้วนุ่มๆ ต่างหาก”

   ก็ยังกวนอยู่ดี ไอ้ตัวนิ่มๆ จะได้นุ่มๆ คืออะไร แล้วทำไมผมต้องเถียงไม่ออกด้วย อ้อ กำลังเอ๊ะอยู่ เอ๊ะอย่างสับสนว่าเขากำลังเนียนขอจับมืออยู่รึเปล่า

   “นี่ก็นุ่มแล้วนะ” ผมแบมือไปตรงหน้าคุณคนแรก เพิ่งนึกได้ว่าตลอดเกือบสองเดือนมานี้เราไม่เคยแม้แต่จะจับมือถือแขนกันเลยสักครั้ง แตะตัวกันมากสุดก็ตอนผมซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วจับเอวเขาเนี่ยแหละ “อยากพิสูจน์มั้ย”

   ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามอ่อยซะงั้น ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ค่อนข้างหวงที่อยู่ และเว้นระยะห่างจากคนอื่นพอสมควร แต่การเข้าหาของคุณคนแรกนั้นค่อยเป็นค่อยไปจนวางใจ รู้ตัวอีกทีก็ไม่รังเกียจนักหากจะเปิดใจมากกว่าเดิม

   แต่คุณคนแรกดันวางแก้วเปล่าใส่มือของผมแทนซะงั้น

   แถมยังเผยรอยยิ้มมุมปากที่ดูเจ้าเล่ห์ชอบกล ผมไม่กล้าถามต่อ รับแก้วไปทิ้งถังขยะ คุยกับเขาต่ออีกสักพักคุณคนแรกก็ไป

   ตอนสิบเอ็ดโมง ผมโทรหาร้านตามสั่งสำหรับข้าวเที่ยง ซึ่งเจ้าของร้านก็ให้ลูกน้องวิ่งมาส่งเหมือนทุกวัน เพราะเข้าใจว่าผมต้องอยู่เฝ้าร้านชานมตลอดเวลา อุดหนุนคนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ดีแบบนี้

   ผมกินข้าวหมูกระเทียมเตรียมรอรับลูกค้าระลอกใหม่ช่วงเที่ยง แม้จะเยอะไม่เท่าตอนเช้า แต่ก็ต้องใช้พลังงานในการต้อนรับพอสมควร ระหว่างนั้นก็นึกโล่งใจที่ไอ้ภูมิ กฤต กับพี่พจน์ไม่ตามมาระรานกันอีกเลย

   เป็นช่วงเวลาที่โคตรสุขสงบจนอยากให้คงอยู่นานๆ

   






   ตอนเย็น หลังเช็กสต็อกของและปิดร้าน คุณคนแรกก็ขับรถมอเตอร์ไซค์มารอรับผมโดยไม่ต้องนัดหมายเหมือนปกติ

   ก็ตอนเช้าผมซ้อนรถเขามา ขากลับก็ต้องรับกลับแน่อยู่แล้ว

   ยังดีที่คุณคนแรกไม่พาผมไปลองแมลงทอดอย่างที่เคยกวนไว้ แต่พามาลองข้าวมันไก่แทน พวกเราสั่งไก่สับจานใหญ่ไว้ตรงกลาง จากนั้นก็ถือข้าวคนละถ้วยแล้วเริ่มจ้วงอย่างหิวโหย

   อิ่มท้อง ก็ได้เวลาเดินย่อย แทบจะเป็นกิจวัตรปกติไปแล้วเวลาเขามารับ เพราะจะให้กินเสร็จแล้วรีบกลับก็เสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ที่แตกต่างจากเดิม ก็คือไอ้มือเนียนๆ ที่กุมกับผมทันทีที่ลุกจากร้านข้าวมันไก่เนี่ยละ

   ผมชูมือตัวเองที่โดนกุมแน่นขึ้นมาระดับสายตาเป็นเชิงถามแบบไร้เสียง

   คุณคนแรกตอบว่าอะไรรู้มั้ยครับ

   เขาตอบว่า...

   “ก็ให้พิสูจน์ไม่ใช่เหรอ”

   น้ำเสียงราบเรียบ กับสีหน้าตายๆ เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด คล้ายโทษผมต่างหากที่ร้อนตัวเกินไป เล่นเอาต้องบีบมือเขากลับแก้เผ็ด ซึ่งคุณคนแรกไม่ยักจะสะทกสะท้านสักนิดเดียว

   ให้พิสูจน์น่ะใช่ แต่มันผ่านมาเกินครึ่งวันแล้วยังนับด้วยเหรอ!!

   ผมลืมแล้ว แต่คุณคนแรกไม่ลืม แถมยังฉวยโอกาสจับมือเดินได้นานตราบเท่าต้องการอีกต่างหาก เทียบกับจับผ่านเคาน์เตอร์ตอนเช้าแล้วดีกว่าเป็นไหนๆ

   อืม...ก็ดีกว่าจริงๆ นั่นแหละ

   ไม่รู้ว่ามือผมนุ่มถูกใจเขามั้ย แต่มืออุ่นๆ ของเขาถูกใจผมมากเลย

   ไม่บอกให้ใครบางคนได้ใจหรอกนะ อย่างน้อย...ผมก็ไม่สะบัดทิ้งแล้วกัน



------------------

มาขุนนิ่มๆ จะได้จับมือนุ่มๆ อะไรกัน คุณคนแรกชักจะเนียนขึ้นทุกวันแล้ว!

จะเนียนทั้งที ต้องเนียนให้ได้เท่านี้นะคะ ฮึ่มมม ตาร้อนผ่าวๆ อยากจิเป็นคุณยายที่เห็นเหตุการณ์ รับรองจะเฝ้ามองอย่างดีเลย


 #ผมกับชานมไข่มุก


เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-11-2019 21:20:54
 o13
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 06-11-2019 23:21:06
เนียนกันจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 12-11-2019 05:47:44
คุณคนแรกยิ้มเจ้าเล่ห์! เนียนไปไหมพ่อคุณณณ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 12-11-2019 22:35:54
        คุณคนเเรกของเรานี่ไม่เบาจริงๆนะคะ มีขุนน้องพีชญ์ด้วยมือนิ่มๆรึตะสู้มืออบอุ่่นใช่ไหมคะน้องพีชญ์
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2019 23:42:21
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 11 : ย้ายที่พัก - [31/10/62] P.5
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-11-2019 06:28:13
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้ - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 13-11-2019 19:10:49
ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง

   ว่ากันว่าลมสงบก่อนพายุกระหน่ำ

   เห็นจะจริงดังสำนวนโบราณ

   เพราะวันนี้ผมต้องเผชิญกับแม่ที่มาเยือนกะทันหันแล้วทำหน้ารับไม่ได้

   จะรับได้ยังไงล่ะในเมื่อเห็นผมลงจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ท่านเคยหาว่าอันตรายแล้วยังเดินจูงมือกับคุณคนแรก

   ผมควรจะสังหรณ์ใจตั้งแต่หางตาข้างขวากระตุกยิกๆ แล้วเชียว

   “พิชญ์!”

   แม่ผมปราดเข้าหาทันที ผมลังเลว่าจะสลัดมือคุณคนแรกทิ้งดีรึเปล่า แต่ไม่ทันคิด เขาก็กำมือผมแน่นขึ้น เลยปล่อยไว้แบบนั้น ไงก็ปิดไม่มิดอยู่แล้ว และผมก็ไม่ได้กะจะปิดด้วย

   “คนนี้ใครคะ” แม่ผมตวัดตามองคุณคนแรกทันที

   “คนที่ผมกำลังคุยอยู่ครับ” ผมตอบ เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ปกครองที่เคารพรัก ผมสุภาพมากมารยาทเสมอ

   “อ้อ” แม่มองคุณคนแรกอย่างสำรวจ แม้จะไม่เอ่ยอะไร แต่เราสองคนย่อมจับความไม่พอใจได้ “แม่ขอคุยกับพิชญ์สองคนได้มั้ยคะ”

   พูดกับผม แต่ตาจ้องคุณคนแรกไม่กะพริบ

   แม่ผมก็งี้แหละครับ พูดจาดี น่ารัก อ่อนหวาน แต่เรื่องบีบคั้นทางอ้อมกดดันทางตรงเนี่ยขอให้บอก

   “กลับไปก่อนเถอะ” ผมหันไปกระซิบกับคุณคนแรก กระตุกมือเขาเบาๆ เป็นสัญญาณว่าท่าไม่ดีแล้ว

   เขามองผมสลับกับแม่บังเกิดเกล้าอย่างลังเล

   “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ไปไหนหรอก” ผมย้ำ รู้ว่าเขาไม่สบายใจเรื่องอะไร บีบมืออีกหลายครั้งคล้ายให้คำมั่นสัญญา คุณคนแรกจึงยอมกลับ แน่นอนว่าไม่ลืมยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างสุภาพ

   “ไหว้พระเถอะลูก” แม่ผมรับไหว้ขอไปทีด้วยน้ำเสียงไพเราะดุจระฆัง

   แม่นะแม่

   อยากจะขำก็ขำไม่ออก ลับหลังคุณคนแรก ผมก็รีบยิ้มประจบแม่ทันที ท่านแพ้ทางลูกชายคนสุดท้องเสมอนั่นแหละ ว่าแต่แม่ตามมาหาผมถูกได้ยังไงนะ มองซ้ายมองขวา...ก็หาตัวการเจอ นั่นไง พี่ชายที่แสนดีของผมยืนพิงเสาอยู่ไม่ไกล กันตัวเองเป็นคนนอก ไม่คิดเข้ามายุ่ง

   แต่ปกติเวลาผมอ้อนแม่ หรือแม่ปรามผม พี่พจน์ก็ไม่เคยจะเข้ามาเอี่ยวด้วยอยู่แล้ว

   และดูจากสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่านนั่น คาดว่าพี่ชายก็คงไม่ค่อยเต็มใจ แต่ก็นะ ใครละจะกล้าขัดคำสั่งมารดาผู้เคารพ โดยเฉพาะพี่พจน์ผู้เป็นลูกดีเด่น แม้จะนึกอยากเข้าข้างน้องชายก็เถอะ

   “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ” โดนผมกอดหนึ่งที ยิ้มใส่หนึ่งครั้ง อารมณ์กรุ่นๆ ของแม่ก็ผ่อนลง หันมาลูบหัวอย่างเอ็นดู ไม่สนใจคุณคนแรกที่ป่านนี้คงขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปแล้ว

   “ดีมากเลยครับ” ผมตอบ “แม่จะมาตามผมเหรอ ผมยังไม่กลับนะ ยังสนุกกับร้านชานมอยู่เลย”

   “เพราะผู้ชายคนนั้นใช่มั้ย”

   “ไม่ใช่สักหน่อย” ผมส่ายหัวแทบไม่ทัน แม่หรี่ตาอย่างจับผิด ผมเลยยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด อ้อนอีกหน่อย “แม่เห็นผมชอบทำเพื่อคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ไหนแต่ไร ผมก็ทำตามแต่ใจตัวเอง”

   “ลูกใครคะเนี่ยนิสัยไม่ดีเลย” แม่บีบจมูกผมอย่างมันเขี้ยว

   “ก็ลูกแม่ไงครับ” ผมทำหน้าซื่อตาใส ไม่อยากจะบอกว่าที่ดื้อคบกับกฤตมาได้สองปี ท่ามกลางการคัดค้านของพ่อแม่ ผมนั้นรอดพ้นปลอดภัยด้วยมารยาสาไถยส่วนตัวล้วนๆ ไม่เคยทะเลาะกันบ้านแตกสักครั้งเลยนะขอบอก

   เพราะแบบนี้ละมั้งพี่พจน์ถึงไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่ เขาอ้อนใครไม่เป็น และถึงเป็น ก็คงไม่ทำ

   “แม่ครับ~~” ผมลากเสียงยาว ส่งสายตาปิ๊งๆ ไปอีกหลายครั้ง สุดท้ายแม่ก็ยอมแพ้ เลิกต่อความยาวสาวความยืด ไม่ขุดคุ้ยเรื่องคุณคนแรกอีก

   “ไม่เจอกันสามเดือน ผอมลงมากเลยนะคะ”

   “ผมลดความอ้วนไงครับ” ผมผละออกมานิดหน่อย แล้วหมุนตัวให้แม่เห็นชัดๆ

   “แล้วทำไมถึงมาพักอยู่ที่นี่ เก่าก็เก่า เปลี่ยวก็เปลี่ยว อันตรายมากนะคะ”

   “ไม่อันตรายหรอกครับ มีป้อมตำรวจอยู่ใกล้ๆ นั่นไง” ผมชี้ให้แม่ดู ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง ไม่งั้นโดนซักอีกยาวแน่ “แม่อยากเห็นบัตรสะสมแต้มรึเปล่า ผมออกแบบเองเลยนะ”

   “ไหนคะ บัตรสะสมแต้มอะไร”

   “นี่ครับ ฮีโร่พิชพิชของผม มีแบ่งเป็นเลเวลด้วยนะ นี่คือเลเวลหนึ่ง นี่เลเวลสอง ส่วนนี่ก็เลเวลสาม...”

    ผมหยิบบัตรสะสมแต้มทั้งห้าลายให้แม่ได้ชื่นชม เล่าถึงไอเดียและสตอรี่ของฮีโร่ที่สู้กับสัตว์ประหลาดแล้วอัพเกรดตัวเองกลายเป็นพวงกุญแจ ตอนแรกแม่คงจะมาตามผมกลับนั่นแหละ แต่พอเห็นความตั้งใจ เจอบัตรสะสมแต้มและแผนการตลาดที่นานครั้งผมจะทุ่มสุดตัวก็พูดไม่ออก

   หลังโม้จนสองเราเริ่มหนาว เล่าโอเวอร์ถึงจำนวนลูกค้าที่ต้องเข้าแถวรอซื้อชานมทั้งเช้าและเย็น แม่ผมก็ตัดใจ

   “อย่าเล่นซนมากนะคะ”

   “ครับ” ผมยิ้มรับ โล่งใจว่าวันนี้ก็รอดไปอีกวัน

   “หัดโทรหากันบ้าง เด็กดื้อ”

   “ครับๆ จะโทรไปรายงานตัวทุกวันเลย เอาให้เบื่อเลย”

   “เจ้าลูกคนนี้นี่” แม่ยิ้มขันอย่างอ่อนใจ บีบจมูกผมทิ้งท้าย ก่อนจะเดินกลับขึ้นรถ

   ผมถึงกับหันไปปาดเหงื่อ ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะแทบสะดุ้งโหยง เพราะพี่พจน์เป็นฝ่ายเดินเข้าหาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจเหมือนจำใจมา

   “ฉันก็ไม่อยากจะดุแกหรอกนะ แม้แกจะสบายดี แต่พ่อแม่ไม่สบายใจ”

   “...”

   “แกเข้าใจใช่มั้ย”

   “ครับ...”

   ผมคอตก เพราะพี่พจน์พูดถูก

   “ตลอดมาพ่อกับแม่ไม่เคยห้าม อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ก็รู้ใช่มั้ย ใช่ว่าพวกท่านจะสนับสนุนไปตลอด”

   “...”

   “พร้อมเมื่อไหร่ก็กลับมา พี่จะเตรียมตำแหน่งงานดีๆ ไว้ให้”

   พี่พจน์ครู่หนึ่ง เผยสีหน้ากล้ำกลืนนิดหน่อย ก่อนจะตบไหล่ผมเบาๆ

   “ครั้งนี้ไม่ไล่ไปไหนแล้ว”

   ความอบอุ่นนั้นทำผมซาบซึ้งน้ำตาจะไหล นับว่าการหนีออกจากบ้านครั้งนี้ค่อนข้างคุ้มค่า อย่างแม่ที่ยอมเชื่อและ(จำใจ)รอ รวมถึงพี่พจน์เองที่แสดงความรักระหว่างพี่น้อง(?)มากขึ้น

   ผมยืนโบกมือไล่หลังรถที่ขับออกไป ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงมา แล้วเดินขึ้นห้องพร้อมความปวดหัวหน่วงหนึบจนต้องกุมขมับ

   โอย...หนักใจโคตรๆ ผมอยากอยู่ต่อ แต่ก็ไม่อยากทะเลาะกับครอบครัว

   อีกอย่าง ผมยังไม่พร้อมที่จะกลับบ้านตอนนี้

   ไม่พร้อมเอามากๆ!!

   พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณคนแรกส่งข้อความสอบถามว่าเป็นยังไงบ้าง ผมยิ้มแห้ง ตอบกลับว่าทุกอย่างยังเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อถึงห้อง ผมก็เดินไปทิ้งตัวนอนแหมะบนเตียง รู้สึกเหนื่อยชะมัด แต่เป็นเหนื่อยใจนะ ไม่ใช่เหนื่อยกาย

   ...ภูมิ กฤต พี่พจน์ ทุกคนถามผมว่าเพราะพวกเขาใช่มั้ยที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้าน

   แต่พ่อกับแม่ไม่เคยถาม แถมยังตั้งวงพนันด้วย

   ทั้งที่ความจริงแล้ว...

   เอาละ มาย้อนความกันสักนิด ว่าวินาทีที่ผมรู้ตัวว่าโดนเด้งจากแผนกการเงินเกิดอะไรขึ้นบ้าง

   อย่างแรก ผมรีบปรี่ไปถามหัวหน้าแผนกว่าบกพร่องตรงไหนจะได้ยอมรับและปรับปรุงตัว

   ‘ไม่เลยจ้ะ พิชญ์ทำได้ดีมาก ขยันกว่าเด็กจบใหม่หลายคนซะอีก งานก็เป็นระเบียบ ละเอียดมากๆ พี่รายงานเบื้องบนไปตามนั้นนะ แต่ไม่รู้ทำไม ถึงได้...’

   อย่างที่สอง ผมลองสังเกตเพื่อนร่วมงาน ถ้าไม่เพราะงานผิดพลาด ก็อาจจะเป็นคนในแผนกที่นึกให้ร้ายใส่ไฟ ถ้าพนักงานทะเลาะกัน เข้ากันไม่ไหว พี่พจน์อาจจะจัดการโดยการเด้งผม นับว่าสมเหตุสมผลดี

   ผลคือสีหน้างุนงงของแต่ละคน เพราะหลายๆ คนตั้งใจจะประจบผมหวังความก้าวหน้าด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการใส่ไฟให้ร้ายน้องชายประธานบริษัท

   ผมมืดแปดด้าน

   แต่ตอนโทรหาเลขาพี่พจน์เพื่อขอเจอพี่ชายตัวเอง แม่ก็โทรมาซะก่อน

   ผมฟ้องซะเลย

   (( ก็ดีแล้วนี่คะพิชญ์ ))

   แต่แม่กลับเข้าข้างพี่พจน์

   (( พิชญ์จะได้ไม่ต้องเหนื่อยไงคะ ))

   ผมคิดว่าแม่พยายามจะกล่อมเพื่อไม่ให้สองพี่น้องทะเลาะกัน น่าเสียดายที่ผลออกมาตรงกันข้าม เพราะผมโมโหจัด วิ่งโร่ไปหาพี่ชายตัวเองโดยไม่คิดจะนัดคิวกับเลขาแล้ว

   แน่นอนว่าพอไปถึงหน้าห้องประธานก็โดนกันอยู่หน้าประตู

   พี่พจน์ติดคุยงานกับลูกค้า

   ผมนั่งรออย่างใจเย็น อารมณ์ร้อนๆ เริ่มจะเพลาลงเมื่อเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าหลายชั่วโมง

   ตอนพี่พจน์เรียกให้เข้าไปคุย ผมเลยสงบมาก ถามตรงๆ ว่าทำไมถึงทำแบบนี้

   ‘เพราะฉันสั่งไงล่ะ’

   คำตอบของพี่ชายทำให้อารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาอีกรอบ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเขาบอกเหตุผลกันสักนิด ผมยังเถียงออก แต่เล่นพูดว่าเป็นคำสั่ง ต่อให้ผมยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างก็ไร้ประโยชน์

   ผมจ้องหน้าพี่ชาย กัดฟันจนเจ็บกรามไปหมด แต่เพราะพี่พจน์ทำหน้า...กล้ำกลืนฝืนทน ผมเลยเอ๊ะขึ้นมา

   เอ๊ะว่าพี่ชายคนนี้ไม่ใช่คนไร้เหตุผล เขาไม่เคยทำอะไรโดยใช้อารมณ์มาก่อน และการที่เขาทำตัวใจร้าย แสดงว่า...ต้องมีอะไรบางอย่าง ไม่ใช่แค่คิดอยากจะทำก็ทำ

   ผมเลยย้อนกลับมาพิจารณาตัวเอง

   หลายวันหลังจากนั้น ผมพยายามเรียนรู้งานที่แผนกบุคคล จะหาว่าพี่พจน์บกพร่องตรงไหนนั้นยากเกินไป สู้หาความผิดพลาดของตัวเองยังมีลุ้นกว่า บางที...ผมอาจจะเผลอทำอะไรไม่ดีจริงๆ แต่ไม่มีใครกล้าพูดก็ได้

   แต่...ที่นี่กลับไม่ให้ผมเรียนรู้งานอะไรเลย

   หน้าที่มีเพียงการหยิบเอกสารมาคีย์ข้อมูลง่ายๆ ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้ความพยายาม ในหนึ่งวัน ผมนั่งว่างกว่าห้าชั่วโมง

   มองไปรอบๆ...แผนกบุคคลก็ไม่ได้ว่างงานขนาดนั้น

   มีแค่ผมคนเดียว

   แต่พอถามว่ามีอะใรให้ช่วยมั้ย ทุกคนก็ยิ้มแหย บอกว่าเป็นคำสั่งของท่านประธาน

   แล้วจะไม่ได้หัวร้อนได้ยังไง

   ผมวิ่งโร่ขึ้นไปหาพี่พจน์ ปรากฏว่าเขากำลังคุยกับแม่ที่แวะมาหาพอดี ผมแง้มประตูดูเอาน่ะ คุณเลขาเองก็ไม่กล้าห้ามเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องครอบครัว

   ตอนนั้นผมดีใจมาก กะจะอ้อนแม่ให้ช่วยพูดกับพี่ชายหน่อย แต่...

   ‘พิชญ์เป็นไงบ้าง’ แม่ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่น้ำเสียงเข้มดุจริงจัง ใช้เฉพาะเวลาคุยกับพี่ชาย

   ‘ก็ดีครับ’ พี่พจน์เอ่ย เสียงทุ้มหนัก เขายืนหันหลัง ยกเก้าอี้ประธานให้แม่นั่ง ผมเลยไม่เห็นสีหน้าของพี่ชาย ‘แต่คงดีได้ไม่นาน เดี๋ยวก็วิ่งมาหาเรื่องผมอีก’

   หน็อยแน่ะพี่พจน์ ถ้าไม่มีเรื่องผมก็ไม่วิ่งมาหาพี่หรอก!

   ‘ปล่อยน้องเถอะค่ะ เขาก็เป็นแบบนี้ตลอด อารมณ์ร้อน แต่ปล่อยไว้เดี๋ยวก็หาย’ แม่พูดแบบรู้จักลูกชายตัวเองดี

   ‘จริงๆ แล้วผมอยากให้น้องกลับไปแผนกเดิม’

   วินาทีนั้นผมคิดว่าตัวเองหูฝาด

   พี่พจน์น่ะนะที่เป็นฝ่ายช่วยพูดให้!

   ‘หัวหน้าแผนกบอกว่าเขาทำงานดีมาก ละเอียดรอบคอบกว่าเด็กจบใหม่หลายเท่า’

   ’เวลาพิชญ์ตั้งใจก็มักจะทำได้ดีกว่าคนอื่น” แม่พยักหน้า ท่านเคยชินกับการเห็นผมเปลี่ยนกิจกรรมไม่ซ้ำอย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ผมล้วนทำได้ดี ยกเว้น...การวาดรูป ‘แต่ก็ทำได้ไม่นาน รีบย้ายก่อนน้องจะโอดครวญก็ดีแล้ว’

   ‘แต่...’

   ‘พิชญ์ขี้เบื่อ พจน์ก็รู้’

   ‘แต่การทำงานกับงานอดิเรกไม่เหมือนกันนะครับ ผมเชื่อว่าน้องแยกแยะได้’

   ‘แม่ฝากบริษัทไว้กับพจน์นะคะ เพราะแม่เชื่อในตัวพจน์ แต่...แม่ไม่เชื่อในตัวพิชญ์’

   ผมเหมือนถูกค้อนทุบอย่างจัง

   ‘น้องเราน่ะถนัดเที่ยวเล่น พจน์ก็อย่าให้พิชญ์รับผิดชอบงานมากเลย ให้น้องอยู่แบบสบายๆ เถอะค่ะ ทำพวกงานเล็กๆ น้อยๆ ฆ่าเวลาก็พอ อย่าให้น้องลำบาก จะได้อยู่นานๆ’ แม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แสดงออกว่ารักและเอ็นดูผมมากแค่ไหน ค่อนไปทาง...ลำเอียง ‘น้องชายคนเดียว พจน์ดูแลได้ใช่มั้ยคะ’

   พี่พจน์นิ่งไปชั่วอึดใจ

   ก่อนจะตอบรับเสียงเบา แม้จะไม่เห็น แต่ผมเชื่อว่าเขาต้องทำสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนแน่นอน

   ‘ครับ’

   ตอนนั้นพี่พจน์รู้สึกยังไงนะ เขาคงน้อยใจที่แม่อยากให้ผมสบาย อยู่กินเงินเดือนไปวันๆ ให้ท้ายในทุกเรื่องทุกอย่าง ขณะที่เขาต้องกดดันแทบแย่กับภาระหน้าที่ที่ถาโถม แต่ขณะเดียวกันก็ดีใจ ที่ได้รับความเชื่อมั่นขนาดนั้น แต่เชื่อสิ ในใจลึกๆ ของเขา ต้องอยากได้รับความรักอย่างไร้เงื่อนไข อยากให้แม่กลัวเหนื่อยกลัวลำบากบ้างเหมือนกัน ไม่งั้นเวลาเห็นผมพี่พจน์จะอารมณ์เสียเหรอ

   ถึงอย่างนั้น...

   เขาก็ลอบเสียใจที่พูดแทนน้องไม่ได้

   ครอบครัวเรารักใคร่กลมเกลียว แต่ความต้องการกลับสวนทางกันโดยสิ้นเชิง

   และถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไง

   ...ไม่เชิงว่าฝันสลาย แต่เหมือนได้รับการเบิกเนตรมากกว่า

   ผมรีบเดินกลับแผนก เพราะรู้ว่าแม่แวะมาทั้งที นอกจากจะมากำชับพี่พจน์แล้ว คงจะแวะมาดูผมด้วย แล้วก็ผิดจากที่คิดซะที่ไหน แม่ลงมาหาผม กล่อมให้ทำตัวดีๆ อยู่อย่างนี้ก็สบายดีแล้ว อย่าทะเลาะกับพี่ชาย แล้วกลับบ้าน

   ลับหลังแม่ ผมขึ้นไปลาออกทันทีแบบไม่เสียเวลาหยุดคิดด้วยซ้ำ

   พี่พจน์ตกใจมาก เขาคงรู้ตัวว่าน่าจะโดนผมหาเรื่อง แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะยื่นใบลาออก

   เขาถามเหตุผล

   ผมเลยถามกลับว่าแล้วทำไมพี่ชายแสนดีคนนี้ถึงส่งน้องน้อยไปนอนตีพุงที่แผนกบุคคล ไม่ยอมให้แตะงานใหญ่ ปล่อยให้กินเงินเดือนไปวันๆ

   พี่พจน์ตอบไม่ได้

   ฉะนั้นผมจึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเขาเหมือนกัน

   อะไรนะ ผมขี้ขลาด หนีปัญหางั้นเหรอ

   โธ่ คุณๆ ครับ แล้วจะทนอยู่ไปทำไม จะพยายามไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วพวกเขาไม่ได้อยากเห็นสักนิด

   แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้านหรอก

   เพราะตอนนั้นผมยังมีไอ้ภูมิ

   และยังมี...กฤต


   ---------------------

   ในทุกเรื่องมีสาเหตุของมัน และสำหรับพิชญ์นั้นเหมือนทุกอย่างมาลงตูมเดียวค่ะ

   นี่คือจุดเริ่มต้น

   แล้วมารอติดตามกันนะคะว่าทำไมน้องถึงตัดสินใจมาเปิดร้านชานม ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้พิชญ์เลือกจะเปลี่ยนแปลงตัวเองและพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น เป็นกำลังใจให้น้องด้วยนะ!!

   

    #ผมกับชานมไข่มุก



เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-11-2019 19:28:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 13-11-2019 22:03:11
คุณแม่ทำแบบนี้ทำไมอ่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-11-2019 22:28:19
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: night-nnc ที่ 13-11-2019 22:46:01
สงสารน้อง
 :serius2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-11-2019 01:07:09
พิชเก่ง ไม่เห็นค่ากันบ้างเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-11-2019 04:20:00
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 14-11-2019 08:40:41
คุณแม่ไม่เชื่อใจน้องอ่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 14-11-2019 17:12:36
ถ้าเราเป็นพิชญ์ก็เสียใจมากนะ แม่แบบนี้ก็มีด้วยเอ้อ
 :hao4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 15-11-2019 00:16:46
สู้ๆ พิสูจน์ให้ได้
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 15-11-2019 07:36:29
แม่ก็ห่วงตามความรู้สึกคนเป็นแม่ล่ะนะ แต่ลูกได้ยินจากปากแม่เองยิ่งทำให้เสียใจหนักเข้าไปอีก แต่มันก็ต้องมีเหตุมีผลแหละ น้องพิชญ์ก็สู้ สู้นะ มีคุณคนแรกเป็นกำลังใจอยู่ทั้งคนนี่เนอะ.  :hao3:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 13 : เหตุผลที่แท้จริง - [13/10/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 16-11-2019 15:19:35
        น้องพิชญ์สู้ๆนะคะลูก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62]
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 21-11-2019 20:34:48
ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง


   ด้วยความอุตสาหะให้การโทรรายงานตัวทุกวัน แม่เลยไม่กล้าพูดให้ผมกลับบ้านอีก

   ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะยอมรอได้นานแค่ไหนกันเชียว

   ระหว่างที่ยืนเคี้ยวขนมปังหน้าที่พักคิดว่าจะทำยังไงกับร้านชานมต่อนั้น...ข่าวของกฤตก็ทำให้ผมตื่นตัว

   ไม่ ผมไม่ได้ตามข่าวบันเทิงหรอก แต่ผมเป็นเพื่อนกับกฤตในเฟซบุ้ค แม้เราจะเลิกรากันแล้ว แต่ใช่ว่าจะลบช่องทางการติดต่อนี่นา อย่างวันก่อน กฤตยังขอเบอร์โทรศัพท์ใหม่ของผมเลย ซึ่งผมก็ให้เขานะ เผื่อมีอะไรยังค้างคาใจ จะได้พูดคุยกันทันทีไม่ต้องถ่อมาหาถึงหน้าร้าน

   เกริ่นซะยาว มาต่อที่ข่าวของกฤตดีกว่า

   เขาแชร์ภาพฟีตติ้งละครซึ่งจะได้รับบทพระเอกครั้งแรก ในภาพ เจ้าตัวฉีกยิ้มสดใส หล่อเหลาน่ามองมากทีเดียว แวบแรกผมตกใจ เพราะตอนคบกัน กฤตยื่นคำขาดว่าให้ตายยังไงก็ไม่รับงานละครเด็ดขาด เขากลัวเหนื่อย กลัวลำบาก ไม่อยากท่องจำบท และสนุกสนานกับการเที่ยวเล่นอยู่เลย

   ผมยินดีกับเขานะ เพราะเราสองคนมีส่วนคล้ายกันตรงที่...ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นไปวันๆ แบบที่ตัวเองต้องการโดยไร้จุดหมาย ขอแค่สนุกและมีความสุขก็พอ แต่เมื่อเรียนจบ ก็เริ่มมุ่งมั่นไปเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งที่อาจจะไม่ได้ชอบเต็มร้อยแต่ก็อยากจะทำให้ดี สำหรับผม คือการตั้งใจทำงานในบริษัทของครอบครัว เพราะรู้แก่ใจว่าแม้จะเคยบ้าบอแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมาช่วยกิจการของพ่อแม่อยู่ดี ผมถึงใช้ชีวิตแบบทำมันทุกอย่างเพื่อไม่ต้องเสียใจภายหลังไง ส่วนกฤต คือการมุ่งสู่เส้นทางนักแสดงเต็มตัว

   แม้ตอนนี้เป้าหมายผมจะลดลงมาเหลือเปิดร้านชานมแบบไม่ขาดทุนก็เถอะ

   จะว่าไป...ช่วงคบกันกฤตก็เคยไปเป็นนักแสดงรับเชิญของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง

   นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้กลายเป็นพระเอกในวันนี้

   เทียบกันแล้วกฤตไปรุ่งในเส้นทางของตัวเองมากกว่าหลายเท่า ด้วยหน้าตาหล่อเหลาแบบใครเห็นเป็นต้องเหลียว กับรอยยิ้มกว้างสุดแสนจะแพรวพราว ทำให้เป็นที่ชื่นชมไม่ยาก

   ผมกดไลค์และแชร์รูปของเขาก่อนจะเก็บโทรศัพท์เมื่อคุณคนแรกมารับ

   พวกเรายิ้มให้กัน แม้ไม่พูดอะไร แต่การที่คุณคนแรกช่วยสวมหมวกกันน็อก รับข้าวเช้าไปแขวนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ ขยับตัวให้ผมนั่งซ้อนท้าย แล้วรับลมยามเช้าด้วยความเร็วระดับเต่าคลาน ก็นับเป็นช่วงเวลาที่ดี

   เพราะถ้าผมยังคบกับกฤต...กระแสของคงไม่ออกมาดีเท่านี้ เผลอๆ อาจต้องหลบซ่อน ปิดเป็นความลับอีกต่างหาก

   มองแผ่นหลังของคุณคนแรก ผมก็โอบเอวเขาแน่นขึ้นอีกนิด ชีวิตในตอนนี้...ไม่ต้องห่วงสายตาใคร ไม่ต้องกังวลอะไร ยอมรับในผลการกระทำของตัวเอง นับเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างชอบกว่าการพยายามทำดีแทบตายในบริษัทของครอบครัวเป็นไหนๆ

   ถ้าถามว่าโกรธแม่มั้ย

   ...จะไปโกรธได้ยังไง โกรธที่แม่ไม่เชื่อมั่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสนับสนุนให้ผมเอ้อระเหยลอยชายยันเปิดร้านชานมน่ะเหรอ

   ความรักมีหลายประเภท แม่รักพี่พจน์อีกแบบ รักผมอีกแบบ พี่พจน์โหยหาความรักในแบบที่แม่ยอมลงให้ผม ผมเองก็แอบอยากให้แม่เข้มงวดใส่มากกว่านี้เหมือนที่ทำกับพี่พจน์ ตลกดีเหมือนกันเนอะ ให้เปลี่ยนความรักของแม่คงทำไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ก็คือ...ผมต้องเปลี่ยนตัวเอง

   ความคิดง่ายๆ อย่างเริ่มทำร้านชานมจากศูนย์ ค่อยๆ ทำกำไรทีละนิด ด้วยระยะเวลาที่ไม่ถอดใจเบื่อหน่ายเอาซะก่อน แม่คงจะเชื่อมั่นในตัวผมเพิ่มขึ้นบ้าง

   ก็ไม่รู้ว่าท่านจะเข้าใจบ้างรึเปล่า

   สรุปคือ ผมพยายามจะทอดเวลาให้นานที่สุดจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดของครอบครัวได้นั่นเอง ผมโตแล้วนะ แต่สำหรับแม่ คงจะเห็นเป็นลูกชายคนเล็กที่เคยไม่อยู่นิ่ง เป็นเด็กดื้อแสนซนที่อยากปกป้องดูแลไม่ให้ลำบาก

   “ทำไมวันนี้คนเยอะจัง”

   ตอนตีห้าสี่สิบ คุณคนแรกขับรถมาส่งผมในซอย แต่ระหว่างเข้าซอย หน้าร้านชานมชื่อดังกลับมีคนต่อแถวเข้าคิวทั้งที่ยังไม่เปิดร้านด้วยซ้ำ

   “มีโปรซื้อหนึ่งแถมหนึ่งน่ะ”

   “อะไรนะ!” ผมอ้าปากค้าง ลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งกลับออกไปหน้าปากซอยอีกครั้ง เห็นป้ายโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเฉพาะวันนี้เท่านั้น เนื่องในโอกาสครบรอบเปิดร้านสามปี

   ผมนับจำนวนคนที่เข้าคิว หนึ่ง...สอง...สาม...ปาไปสิบกว่าคนแล้ว แทบจะเทียบกับช่วงพีคของร้านผมเลย

   คุณคนแรกเดินตามมาเอื่อยๆ ไม่ค่อยจะสนใจโปรโมชั่นเท่าไหร่ เห็นผมทำหน้าเครียดก็ตบบ่า เอ่ยปลอบใจว่า...

   “ถ้าอยากเห็นคนยืนรอหน้าร้านบ้าง เดี๋ยวไปยืนให้”

   ผมถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เรียกเสียงหัวเราะพรืดจากคุณคนแรกที่ดูจะสนุกเหลือเกินกับการกวนประสาทใส่กัน

   พวกเราเดินกลับเข้ามาในซอยอีกครั้ง คุณคนแรกขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ถึงจะอยากทำตามคำพูดแค่ไหน แต่เขาก็ต้องไปเปิดร้าน หยอกผมนานๆ ไม่ได้หรอก

   “ถ้าอร่อยก็บอกด้วยนะ” ผมบอกไล่หลัง เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าทุกเย็นคุณคนแรกจะพาไปเลี้ยง ส่วนทุกเช้าผมก็จะซื้อของกินเป็นการตอบแทน ขนมปังชิ้นเดียวไม่พอยาไส้ใช่มั้ย หลังจากวันนั้นผมเลยจัดเต็ม ปั่นจักรยานออกไปไกลกว่าเดิมเพื่อซื้อโจ๊ก ข้าวราดแกง ก๊วยเตี๋ยวลูกชิ้น หมูปิ้ง น้ำเต้าหู้ และอีกหลากหลายเท่าที่จะหาได้ บางครั้งก็ซื้อมาเผื่อตัวเองด้วย

   ฉะนั้นจะหาว่าผมผอมไม่ได้แล้วนะ!

   หกโมงเช้า แถวยาวขึ้นอีกเท่าตัว ผมชะโงกมองเป็นระยะ เห็นกลุ่มคนเข้าแถวเลยมาในซอยทีเดียว

   สงสัยวันนี้ต้องเตรียมนั่งตบยุงแล้ว เพราะร้อยวันพันปี ร้านชานมชื่อดังแม้จะมีโปรโมชั่นบ้าง แต่ก็ไม่เคยเด็ดขนาดซื้อหนึ่งแถมหนึ่งมาก่อน ก็ไม่แปลกหรอกที่คนจะตื่นเต้น ขนาดผมยังอยากไปต่อแถวด้วยเลย

   แต่ดูไปดูมา ลูกค้าแปลกหน้าเยอะเป็นพิเศษ น่าจะเป็นขาจรที่จงใจมาต่อแถวเข้าคิวซื้อเฉพาะวันนี้ แล้วพวกเขา...รู้โปรโมชั่นจากไหนกันนะ ขนาดผมที่ผ่านหน้าร้านทุกวัน ยังไม่ทันสังเกตป้ายโปรโมชั่นเลย

   พลันกฤตทักมาพอดี เขาขอบคุณที่ผมกดไลค์และช่วยแชร์ละคร

   ผมตอบกลับว่าไม่เป็นไร แล้วบทสนทนาก็หยุดแค่นั้น

   จะให้คุยอะไรกันล่ะกับแฟนเก่าที่จบแบบไม่ค่อยสวยคนนี้

   กลับมาที่ร้านชานมกันต่อดีกว่า ผมหาคำตอบว่าลูกค้าแปลกหน้ารู้ข่าวจากไหน ก่อนจะพบว่าอยู่ที่ปลายนิ้วนี่เอง

   เพจร้าน ‘JOY’ กับจำนวนคนกดไลค์อันน่าสะพรึงนั้นทำเอาผมถึงกับกลืนน้ำลาย จอย...ที่แปลว่าความสนุกสนานรื่นเริง เพจเน้นโทนสีส้มสดใส นอกจากชานมแล้วยังโปรโมตร้านขนมปังในชื่อ ‘EnJOY’ ที่มีที่ให้ผู้ปกครองนั่งรอลูก หรือให้นักเรียนนั่งติวหนังสือด้วย

   ส่วนโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนั้น...ทางร้านทั้งซื้อโฆษณาทั้งประกาศบอกล่วงหน้าเป็นอาทิตย์แล้ว ส่วนจำนวนคนไลค์และแชร์...อื้อหือ เยอะกว่ารูปของกฤตอีก!

   ผมอ้าปากค้างกับพลังโซเชียล นับเป็นจุดที่ไม่ทันคิด เพราะไม่ใช่คนชอบเล่นหรือดูเพจชาวบ้านเท่าไหร่ ก็คนมันเพื่อนน้อย และไม่ชอบถ่ายรูป หรืออัพสเตตัสนี่สิ เรื่องใกล้ตัวสำหรับคนอื่นแต่ช่างไกลตัวสำหรับผมเหลือเกิน แต่ดูจากจำนวนคนต่อแถวที่มากขึ้นเรื่อยๆ...และแทบจะยาวเหยียดในช่วงพีคตอนเจ็ดโมง ผมก็ตัดสินใจเปิดแฟนเพจสำหรับร้านพิชพิชชานม

   โลโก้ก็มีเป็นตัวฮีโร่พิชพิชอยู่แล้ว แบนเนอร์ก็เปิดโน๊ตบุ้คทำมันตรงนี้เลย ผมสะพายเป้ใบเล็กตลอดเวลา ข้างในคือโน๊ตบุ้ค เพราะไว้ในห้องแล้วกลัวหาย และไว้นั่งเล่นช่วงปลอดลูกค้าด้วย

   ไม่นาน ผมก็เนรมิตแบนเนอร์และตกแต่งเพจสำเร็จ ขั้นต่อไป...ก็คือการโปรโมตให้คนรู้จัก

   โชคดีที่ตัวฮีโร่มีสตอรี่เป็นของตัวเองอยู่แล้ว ผมเลยเริ่มร่างแนะนำตัวเจ้านี่ก่อน ฮีโร่พิชพิช ฮีโร่ผู้มีชานมไข่มุกเป็นอาวุธ!!

   ทำไปทำมาชักสนุก ผมไม่ชอบคุยกับคนเท่าไหร่ แต่ให้เขียนนั้นไม่เลวนัก พี่พจน์เคยบอกให้ผมเรียนด้านการตลาดเหมือนกัน เพราะไอเดียผมเยอะ ในแต่ละวันผมคิดจะทำได้หลายอย่างมาก แต่สุดท้ายก็เลือกเรียนด้านการเงิน เพราะไม่ต้องนำเสนอ ไม่ต้องพรีเซนต์ต่อหน้าคนเยอะๆ ก้มหน้าก้มตาทำได้ด้วยตัวคนเดียว

   เอาละ โพสแรกลงไปแล้ว ผมเริ่มทำใบเมนูต่อโดยให้ฮีโร่พิชพิชเป็นผู้แนะนำ ขั้นตอนนี้ยุ่งยากนิดหน่อย เพราะผมต้องจัดที่ถ่ายรูปเครื่องดื่มแต่ละแก้วให้สวยน่ากิน ต้องขอบคุณโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดที่พี่พจน์ซื้อให้ เพราะแม้ผมจะถ่ายออกมาธรรมดาโคตรๆ แต่ด้วยแอพตกแต่งทำให้สีสันดูน่าอร่อยขึ้นจม

   ช่วงใกล้แปดโมง เริ่มมีลูกค้าหลุดมาหาผมเพราะใกล้เวลาส่งลูกเข้าเรียนแล้วแต่แถวร้านชานมชื่อดังยังไม่ลด แม้จะเสียดายโปรโมชั่น แต่ด้วยระยะเวลามีจำกัดเลยกลับมาตายรัง ผมไม่รอช้า ชงชานมแล้วโฆษณาเพจเปิดใหม่สดๆ ร้อนๆ ให้ลูกค้าทันที

   อาจเพราะรอยยิ้มอ้อนๆ ของผม อาจเพราะเพจเปิดใหม่ที่มีคนถูกใจไม่ถึงสิบคนนั้นน่าสงสารเกินไป บรรดาแม่ๆ ทั้งหลายจึงช่วยกดไลค์ บางคนช่วยแชร์ด้วยซ้ำ ผมดีใจมาก แถมแสตมป์สะสมแต้มให้อีกหนึ่งดวงเลยเอ้า

   แปดโมงตรง บรรดาลูกค้าหน้าคุ้นเริ่มแยกย้าย แต่ลูกค้าหน้าใหม่ตามจากโซเชียลนั้นยังคงต่อแถวร้านชานมชื่อดังอย่างไม่ลดละ ผมมองแล้วคิดว่าวันนี้ทั้งวันคงว่างน่าดู เอาวะ ลุยงานต่อเลยแล้วกัน

   ผมนั่งทำเมนูต่อ จัดแสงถ่ายรูปไปพลางๆ เพราะมีเจ้าฮีโร่เป็นผู้แนะนำ จะเขียนข้อความให้โอเวอร์แค่ไหนก็น่ารักน่าขบขัน อย่างชาเขียวไข่มุก ผมก็เขียนว่าเด็ดจากยอดอ่อนใบชาของแดนอาทิตย์อุทัย ส่งตรงผ่านยานอวกาศบินปรู๊ดปร๊าดสู่ร้านนี้

   ส่วนปีศาจก็ทำเป็นปีศาจหดหู่ ปีศาจเหนื่อยล้า เพราะว่ากันว่ากินชานมแล้วอารมณ์ดีด ฉะนั้นเมื่อส่งฮีโร่พิชพิชถือแก้วชานมไปสู้ด้วย ปีศาจก็ถูกทำร้ายมลายสิ้นไปด้วยฤทธิ์ชานม

   ยิ่งทำรายละเอียดก็ยิ่งเยอะ ให้โพสลงทีเดียวคงไม่ได้ ผมเริ่มวางแผนโปรโมตและศึกษาเรื่องการซื้อโฆษณา เพราะไม่สันทัดด้านการตลาดโซเชียลอย่างรุนแรง รู้ตัวอีกทีก็ท้องร้อง ผมเงยหน้า เพิ่งสังเกตว่าเที่ยงเข้าไปแล้ว เลยโทรหาร้านอาหารตามสั่ง

   แปลกแฮะ วันนี้คุณคนแรกไม่มาเหรอ

   ผมมองนาฬิกาด้วยความรู้สึกแกว่งๆ อย่างประหลาด ที่ทำงานเพลินจนท้องหิวโซ ก็เพราะคิดว่าคุณคนแรกคงมาหาก่อนเที่ยงแน่นอน

   หรือว่า...เขาจะเป็นหนึ่งในคนที่ยังต่อแถวร้านชานมหน้าปากซอย!

   ชะโงกจนตัวแทบจะนอนเกยบนเคาน์เตอร์ ไม่เห็นวี่แววของคุณคนแรก ผมโล่งใจแกมร้อนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา...ค้างหน้าเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่เคยโทรออกสักครั้ง ครับ ตั้งแต่ได้เบอร์เขามาผมไม่เคยโทรหาเลย ส่วนใหญ่เราจะนัดเวลาปากเปล่ากันมากกว่า จะว่าเล่นตัวก็ได้ หวงความเป็นส่วนตัวก็ดี ผมค่อนข้างอึดอัดเวลาคุยกับคนไม่สนิท โดยเฉพาะที่ไม่ใช่เรื่องงาน ซึ่งตอนนี้คุณคนแรกนับว่าเกินเลยกว่านั้นมากแล้ว

   ถ้าจะกดโทรตอนนี้ก็ไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร แต่...

   มันเขินๆ ยังไงไม่รู้ โทรไปก่อนเนี่ย

   ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า...ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณคนแรกเป็นฝ่ายเริ่มรุกก่อน หยอกก่อน ชวนก่อน แล้วผมก็จะตามน้ำไปเรื่อยๆ พอต้องเป็นฝ่ายขยับความสัมพันธ์ แถมทำให้เขาได้เบอร์ไปฟรีๆ อีก เลยรู้สึก...แปลกๆ

   กับอีแค่กดโทรออกยังคิดมากขนาดนี้ บ้าบอชะมัด

   ผมตบแก้มตัวเองเรียกสติ ก่อนจะกดโทรออก ฟังเสียงรอสายเพลงแอบรัก

   ...เขินหนักกว่าเดิม อาการชักจะแย่แล้วเรา กับแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้ยังเพ้อได้อีก

   (( ครับ? ))

   ฟังจนเกือบจบเพลง คุณคนแรกก็รับสายจนได้ น้ำเสียงค่อนข้างรีบเร่ง ผมสลด โทษตัวเองว่าโทรไปหาช่วงเที่ยงกว่า เขาน่าจะยุ่งอยู่มั้ย เพราะแถวนี้คนที่ว่างนั่งตบยุงน่าจะมีแค่ผมคนเดียว

   (( ใครครับ? ))

   ผมอ้าปากพะงาบ พูดต่อไม่ออก สมองตีกันมั่วไปหมด

   ถ้าบอกว่า ‘ฉันเอง’ เขาจะจำเสียงได้มั้ย แล้วควรจะถามยังไงต่อล่ะ ‘เฮ้ ทำไมนายไม่มา ฉันรอจนท้องร้องเลยนะ’ อืม...เสียมารยาทชะมัด แม้เขาจะนัดมารับผมทุกเช้า ดักรอเจอกันทุกเย็น แต่เวลามาซื้อชานมนั้นไม่เคยบอกเวลาแน่นอน แล้วทำไมผมต้องโทรตามด้วย คิดว่าตัวเองเป็นใคร เจ้าของร้านชานมที่งอแงอยากให้ลูกค้ามาซื้อเดี๋ยวนี้เหรอ

   ยิ่งคิดผมก็ยิ่งเหงื่อตก กดวางสายไม่รู้ตัว

   ก่อนจะผวาเมื่อเขาโทรกลับ

   คือ...คิดซะว่าไม่ได้โทรไปได้มั้ย ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหน การโทรให้เขามาซื้อชานมก็โคตรไร้สาระเลย

   เสียงโทรเข้าดับลงแล้ว ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะสะดุ้งอีกรอบ เมื่อคุณคนแรกโทรมาอีกครั้ง

   ผมเลิ่กลั่ก ยังคิดหาวิธีรอดไม่ออก ก่อนจะสรุปแบบเอาไงเอากัน บอกว่าโทรผิดเป็นอันจบ!

   “คือฉัน...”

   (( พิชญ์เหรอ ))

   คำว่าโทรผิดไม่ทันออกจากปาก เสียงถามสวนกับการเรียกชื่อแบบชัดถ้อยชัดคำก็ทำเอาผมสมองปลิว ชักจะติงต๊องเกินไปแล้ว แค่นี้ต้องเขินจนตัวบิดม้วนด้วยเหรอ ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรักสักหน่อย ทำตัวเป็นเด็กน้อยแรกรักวัยประถมไปได้

   “อืม...ใช่” ผมตอบ พยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุด

   (( คิดถึงเหรอ ))

   ผมแทบสำลักน้ำลายตัวเอง แม้รู้แก่ใจว่าเขากำลังแกล้งกวน แต่ทำไงได้...เพราะมันแทงใจ

   เจ้าของร้านโทรตามลูกค้ามาซื้อชานมไข่มุก? นั่นไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมกดโทรหา เพราะจริงๆ แล้วนั้น...ผมก็แค่อยาก...เจอ

   มันเป็นความเคยชิน ที่ต้องเห็นภาพคุณคนแรกยืนสั่งหน้าตายแล้วยื่นกองเหรียญให้ ผมจะเอาเหรียญสองบาทหยอดกระปุกใส มองเขาดูดชานมไข่มุก ระหว่างนั้นเราก็จะคุยสัพเพเหระกัน จนหมดแก้วก็รับมาทิ้งขยะ

   คลับคล้ายพิธีกรรมประหลาด แต่ก็เป็นพิธีกรรมที่...ไม่อยากจะพลาดแม้แต่วันเดียว

   (( ไม่ตอบ แสดงว่าใช่ ))

   อยากประชดว่าใช่ซะที่ไหน แต่ก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก ถ้าเขาไม่ยอมมาเท่ากับว่าที่กดโทรไปก็ไร้ค่าน่ะสิ

   ผมต่อสู้กับตัวเองหนักมาก ด้วยทิฐิปัญญาอ่อนของตัวเอง ด้วยความเล่นตัวท่ามากของตัวเอง และปลายสายคงจะรำคาญ พูดด้วยไม่มีคนพูดตอบเลย...ตัดสาย

   คล้ายกำลังลอยขึ้นฟ้าแล้วโดนถีบตกเหว ผมยืนนิ่ง ถือโทรศัพท์ค้าง คาดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายใจดำกันขนาดนี้

   คุณคนแรกอ่านอารมณ์ผมเก่งเสมอ เวลาผมอึดอัด เขาจะไม่พูดมาก เวลาผมต้องการ เขาจะอยู่ใกล้ เวลาผมสบายใจ เขาจะเข้าหา เวลาผมต้องการความเป็นส่วนตัว เขาก็จะเคารพกันเสมอ

   แล้วไหงครั้งนี้ถึงเป็นแบบนี้ล่ะ

   หรือว่าเพราะคุยผ่านโทรศัพท์ หรือเพราะเขาเริ่มเบื่อ แต่เมื่อเช้ายังพามาส่งกันอยู่เลย ผมหันไปมองแสตนดี้ฮีโร่พิชพิช ราวกับว่ามันจะบอกคำตอบได้

   พลันเงาร่างหนึ่งแทรกคิวยาวเหยียดหน้าปากซอยกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง ดูชิลจนผมที่เกือบคิดมากจนเกือบเป็นบ้าคุยกับแสตนดี้ทั้งดีใจทั้งเคือง

   “มาแล้ว”

   “มาทำไม”

   ปากหนอปาก คนเราจะชอบประชดแบบนี้ไม่ได้

   “มีคนคิดถึง”

   ...หมดเรี่ยวแรงจะต่อกร ผมคล้ายจะทรุดฮวบลงตรงนั้น แต่ด้วยหน้าที่ เลยต้องสวมหน้ากากยิ้มรับลูกค้า

   “รับอะไรดีครับ” เถียงไม่ได้ ตีเนียนซะเลย

   คุณคนแรกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฮึ่ย อย่ายิ้มให้มากนัก เห็นแล้วอยากหยิกแก้ม

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   ผมสบโอกาสหันไปชงชานมทันที จะได้ไม่ต้องเผชิญกับหน้ายิ้มตาวาวของใครบางคน แต่ก็แค่ไม่นานหรอกครับ ผมเจาะแก้ว ยื่นส่งให้คุณคนแรก ไม่วายแบมือรอรับเหรียญอย่างเคยชิน

   แต่ที่วางลงมาคือมือข้างที่ว่างของคุณคนแรก

   จากหลบตา กลายเป็นต้องเงยมองคนที่ถือชานมข้างหนึ่ง อีกข้างจับมือผมไม่ยอมจ่ายเงินด้วยความรู้สึก...โอ๊ย ผมไม่อยากจะอธิบายแล้ว

   “เงินล่ะครับ”

   “ไม่มี” คุณคนแรกพูดหน้าตาย แต่บีบๆ กดๆ ฝ่ามือผมไม่หยุด “แปะโป้งก่อน รีบวิ่งมา ลืมหยิบเงินมาด้วย”

   คนที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงวิ่งเหยาะๆ แบบชิลๆ เข้ามาในซอย พูดเต็มปากเต็มคำว่าวิ่งมา ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อดีรึเปล่า และผมควรจะชักมือกลับได้รึยัง

   “วันนี้อยู่นานไม่ได้ ไปก่อนนะ” ประทุษร้ายฝ่ามือกันจนพอใจ โดยที่ผมยังไม่ทันประมวลผลดี คุณคนแรกก็หันหลังเดินล้วงกระเป๋าวิ่งเหยาะๆ กลับ

   ผมมองตามแผ่นหลังที่เดินฝ่าแถวคนยาวเหยียดหน้าร้านชานมไข่มุกชื่อดังแล้วเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกัดปากอยู่นาน น่าจะตั้งแต่เห็นเขาวิ่งเหยาะๆ มาหาเลย

   ไม่ใช่อยากทำร้ายตัวเองกะทันหัน

   ...แต่กัดปากกลั้นไม่ให้ยิ้ม



   ----------------

   โอ๊ยยยย สองคนนี้ช่างจีบกันแบบมุ้งมิ้งทีละนิดละหน่อยแต่ก็น่ารักใช่มั้ยคะ

   เราแต่งเองก็เขินเอง ตลกทิฐิของพิชญ์ที่เป็นมุมโก๊ะๆ บ๊องๆ ของน้องด้วย ในที่สุดด้วยความคิดถึงก็ยอมโทรไปสักที เชื่อสิว่าคุณคนแรกคงตื่นเต้นดีใจมากเลยรีบวิ่งหน้าเริดมาหาแม้ว่าภายนอกจะทำเหมือนชิลๆ ก็ตาม 555

   รีบร้อนขนาดไม่หยิบเงินติดตัว มาแตะๆ มือพิชญ์แล้วก็ไป

   แต่แค่นี้ก็สุขใจกันทั้งสองฝ่ายแล้วจริงมั้ยคะ ความรักมันหวานกว่าชานมเนอะ >///<

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป (https://www.facebook.com/MajaYnaja/)
Twitter : MajaYnaja (https://twitter.com/MajaYnaja)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-11-2019 21:13:31
แอบคิดไม่ได้ว่าคุณ​คนแรก​คือเจ้าของร้านชานมร้านนั้น
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-11-2019 21:25:20
พิชญ์น่ารักนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 21-11-2019 21:54:46
คุณเค้าตีเนียนจับมือน้องพิชญ์แทนค่าชานมเฉย 55555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-11-2019 22:30:01
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 22-11-2019 13:41:58
คุณคนเเรกชื่ออะไรนะคะ ๕๕๕๕
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 22-11-2019 14:11:17
น้องพิชญ์ไม่แอบคิดบ้างเหรอครับ ว่าคุณคนแรกเป็นเจ้าของร้านชานมร้านนั้น //เพราะเราเองก็แอบคิด ^^"
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 22-11-2019 18:57:12
คุณคนแรกน่าสงสัยนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-11-2019 22:24:02
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 23-11-2019 07:30:58
มันต้องดราม่าตรงที่คุณคนแรกเป้นเจ้าของร้านชานมหน้าปากซอยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 14 : วันว่างที่ไม่ว่าง - [21/11/62] P.6
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-11-2019 09:42:15
คุณคนแรกต้องเกี่ยวข้องกับร้านชานมหน้าปากซอยแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต - [27/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 27-11-2019 20:33:48


ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต



   และแล้วคุณคนแรกก็ได้เบอร์โทรศัพท์ผมด้วยประการฉะนี้

   เย็นนั้นเขาเปิดประเดิมทันที ด้วยการมายืนคร่อมมอเตอร์ไซค์หน้าตายรอผมปิดร้าน มือถือโทรศัพท์กดโทรออก

   “จะโทรมาทำไม” ผมก็บ้าจี้รับอีกแหน่ะ

   “เห่อ”

   เห่อบ้าเห่อบออะไร ผมกดวางสาย ปิดประตูเหล็กม้วนลง ก่อนจะเดินไปรับหมวกกันน็อกมาสวม แล้วยื่นหน้าให้คุณคนแรกช่วยคาดสายใต้คางแน่นๆ ก่อนจะนั่งซ้อนหลัง ลูบท้องคิดว่าวันนี้จะกินอะไรดี

   คุณคนแรกพาผมไปร้านเย็นตาโฟที่มีขายหมูสะเต๊ะด้วย พวกเรากินกันจนพุงกาง เดินเล่นย่อยอาหาร จนเริ่มดึกก็กลับห้อง เหมือนเดิมเช่นทุกวัน แต่ที่ต่างจากเดิม คือผมที่ยืนยึกยัก ถอดหมวกกันน็อกส่งให้เขาด้วยปากที่คันยิบๆ

   “ลืมอะไรรึเปล่า”

   “ลืมอะไร” มองหน้าที่ไม่ได้ตั้งใจจะกวน แต่ถามตรงแบบซื่อใส ผมก็อยากจะต่อยหน้าคุณคนแรกขึ้นมาดื้อๆ

   “วันนี้ยังไม่ได้กำลังใจเลย” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ไอ้เรารอมาตั้งแต่เช้า แปะโป้งกันน่ะไม่ว่าหรอก แต่เหรียญสองบาทที่เป็นทั้งกำลังใจ ทั้งของสะสมประจำร้านจะลืมไม่ได้นะเข้าใจมั้ย!

   แล้วดูสิ จนแทบจะแยกย้ายกลับที่กลับทางตัวเองแล้ว เขายังลืมสนิท น่าโมโหสุดๆ

   เป็นฝ่ายจีบกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมต้องเป็นฝ่ายทวงด้วย ฮึ่ย

   ยิ่งคิดผมก็ยิ่งจ้องเขาแบบคาดโทษ แต่คุณคนแรกกลับหัวเราะพรืดแล้วยิงยาว หัวเราะจนตัวสั่น มองผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่มีทีท่าสำนึกผิดสักนิด

   ผมที่โกรธจนหน้าแดง...หรือไม่ก็อายจนหน้าแดงหันหลังเตรียมชิ่ง ไม่ให้ก็ไม่ให้ ไม่ง้อเฟ้ย!

   “จะรีบไปไหน” คุณคนแรกคว้าต้นแขนทันที เขายังคงยิ้มมุมปาก ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์อย่างบอกไม่ถูก “มารับกำลังใจก่อนสิ”

   แค่เห็นก็รู้ตัวแล้วว่าต้องโดนแกล้งโดนกวนแน่ๆ ผมหันกลับอย่างอิดออดเล็กน้อย การจะยื่นมือออกไปเพื่อรอรับเหรียญสองบาทแบบไม่พูดอะไรสักคำเพื่อให้เขารู้ว่ายังโกรธอยู่

   “มาใกล้ๆ” คุณคนแรกที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่นั้นเอ่ยเรียก

   ผมจำใจเดินเข้าไปใกล้อีก จนขาเราแนบชิดติดกันด้วยระยะที่ไม่ปลอดภัยต่อหัวใจ พลันคุณคนแรกยืดตัวขึ้น อย่างรวดเร็ว โดยที่ผมไม่ทันเตรียมตัว

   คุณคนแรกหอมแก้มผมดังฟอด!

   หอมไม่พอ ยังทำเสียงดังจนผมยืนอึ้งอีกต่างหาก คุณคนแรกยืดตัวแล้วก็กลับไปนั่งพาดแขนกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สีหน้าค่อนข้างท้าทายว่าผมจะตอบสนองยังไง

   ตอบสนองยังไงน่ะเหรอ

   ผมยังประมวลผลไม่เสร็จด้วยซ้ำ ลูบแก้มตัวเองกึ่งเหม่อ ปรับอารมณ์ที่กระเจิงไกลถึงดาวอังคารไม่ทัน

   “ทำอะไร” ขนาดเสียงถามยังเบาหวิว

   “ให้กำลังใจ”

   “แต่กำลังใจฉันหมายถึง...” ผมพยายามอย่างมากที่จะคงสติตัวเองไว้ “คือเงินสามสิบบาทค่าชานมไข่มุกที่ควรจะมีเหรียญสองบาทในนั้น!”

   คุณคนแรกร้องอ๋อ เป็นอ๋อที่ยาวนานเป็นพิเศษ ก่อนจะหยิบถุงเหรียญออกมา บรรจงนับแล้วยื่นให้ผมอย่างว่าง่าย

   “โทษที ลืมน่ะ”

   เขาลืมแต่ผมคงไม่ลืมไอ้การฉวยโอกาสเมื่อกี้แน่! มองหน้าตายๆ แบบหน้าซื่อตาใสนั่นแล้วก็ไม่รู้จะท้วงดีมั้ย สรุปแล้วเขาจงใจลืมหรือแค่ฉวยโอกาสทีเผลอ งงไปหมดแล้ว

   ผมแบมือรับเหรียญมากำแน่น ไม่รู้จะตอบสนองยังไง สุดท้ายก็ทนอัดอั้นไม่ไหว เดินหนีขึ้นห้องไปเลย

   เสียงหัวเราะดังแว่วจากด้านหลัง ไม่วายคนอารมณ์ดีแถวนี้ที่มีความสุขจนน่าหมั่นไส้ คุณคนแรกมองส่งผมอยู่นาน จนใกล้จะลับตานั่นแหละถึงสวมหมวกกันน็อก แล้วค่อยขับออกไป

   ผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ

   ก็พอเดินเข้ามาในตึกปุ๊บ ก็แอบหลบอยู่หลังกำแพงเหล่มองปั๊บ

   เป็นการกระทำที่ขนาดผมเองยังอดด่าตัวเองไม่ได้

   โคตรบ้าจริงๆ ไอ้พิชญ์

   






   สรุปเมื่อวานผมมัวแต่ทะเลาะกับตัวเองจนลืมบอกคุณคนแรกเรื่องเปิดเพจ

   เพิ่งมีโอกาสได้บอกก็ตอนเขาแวะมาหาช่วงหลังเคารพธงชาติ สั่งชานมไข่มุกแล้วยืนดูดชวนคุยเหมือนทุกวัน ผมยื่นโทรศัพท์ให้เขาเห็นชื่อเพจ ทันทีที่คุณคนแรกเห็นว่ามีคนกดถูกใจหลายสิบคนก็คิ้วขมวดทันที

   เขามองผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง แต่น่าแปลกที่ดันจับอารมณ์ได้ว่า...อีกฝ่าย...กำลัง...งอน

   งอนเรื่องอะไร

   หรือว่าเพราะไม่ได้เป็นคนแรกที่รู้ว่าผมเปิดเพจ ไม่ได้เป็นคนแรกที่กดถูกใจ

   ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน...ก็ไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อย

   ฉะนั้นผมจะไม่ง้อ!

   แต่นึกดูดีๆ แม้ช่วงเที่ยงเมื่อวานคุณคนแรกจะรีบจนไม่ได้เล่า แต่ตอนเย็นก็ยังคุยได้นี่นา ผมรู้สึกผิดนิดหน่อย ไม่อยากจะยอมรับนักว่าก็เพราะเขามัวแต่เห่อเบอร์โทรศัพท์ แล้วยังให้กำลังใจแบบถึงเนื้อถึงตัว สมองเลยปลิวหาย ลืมหมดแล้วว่าเปิดเพจ

   และถ้าเจาะลึกอีกสักนิด โดยไม่นับความสัมพันธ์เกินเลยระหว่างเรา...เขา...เป็นถึงลูกค้าคนแรกของร้าน แล้วยังเป็นลูกค้าประจำมาทุกวันไม่เคยขาด เลเวลสูงถึงระดับห้า มารู้ทีหลังก็น่าน้อยใจจริงๆ นั่นแหละ พิจารณาแล้วแม้ไม่อยากง้อผมก็ต้องง้อ

   “นี่...ฉันให้พวงกุญแจเลยก็ได้นะ”

   บัตรสะสมแต้มเลเวลห้าของคุณคนแรกยังเหลืออีกสามช่อง เท่ากับว่าผมยอมละเว้นชานมให้ตั้งสามแก้ว

   แต่คุณคนแรกไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แม้จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไลค์ก็เถอะ

   “นายจะเป็นคนแรกที่ได้พวงกุญแจฮีโร่พิชพิชเวอร์ชั่นหนึ่งไปครอบครองเลยนะ” ผมหยิบพวงกุญแจขึ้นมาแกว่ง น้ำเสียงติดจะอ้อนนิดๆ เหมือนเวลาเจอกับลูกค้าหรือคุยกับแม่ ได้ผล คุณคนแรกหายขมวดคิ้วแล้ว แต่มองพวงกุญแจ...เอ่อ...มองผมอย่างสนใจ

   ผมแกว่งพวงกุญแจแรงขึ้น

   “อยากได้มั้ย อยากได้รึเปล่า”

   “อยาก”

   ผมลอบถอนหายใจ คุณคนแรกหายงอนแล้ว ง้อง่ายเหมือนกันแฮะ

   “อยากได้อย่างอื่น”

   ...ที่แท้ก็ยังพูดไม่จบ!

   “อยากได้อะไร” ผมเก็บฮีโร่พิชพิชผู้ถูกเมิน

   “ไปดูหนังรอบดึกกัน”

   เอ๊ะ เขาชวนเดตใช่มั้ย เอ๊ะ ใช่รึเปล่า คงจะใช่ละมั้ง!

   รู้อยู่แก่ใจแต่ดันถามตัวเองไม่หยุด ผมก็เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำแบบนี้ละครับ อย่าสนใจเลย

   “ไม่เอาหนังผีนะ”

   “ได้”

   บทจะชวน บทจะตกลง ก็ง่ายดายปานนี้เลย ผมถึงกับเหม่อมองฟ้า

   “วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อย?”

   “ได้”

   นี่ก็รับปากเร็วเกินไปแล้ว ผมอยากจะดึงทึ้งผมตัวเอง ไหนใครที่บอกว่าเล่นตัว ขอแค่ไม่เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน ก็แทบจะตกลงไปซะทุกอย่างเลยนะคนเรา

   ได้คำตอบที่น่าพอใจ คุณคนแรกก็ส่งแก้วเปล่าฝากทิ้งตามธรรมเนียม

   เอาน่า คิดในแง่ดีว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ โรงเรียนประถมปิด คนเลยค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว ร้านชานมผมเปิดทุกวันไม่มีหยุดราชการ ปิดเร็วสักครั้งคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

   






   คุณคนแรกพาผมไปห้างสรรพสินค้าใกล้ที่พัก แน่นอนว่าพวกเราได้ดูหนังรอบสุดท้ายของโรง กับคำถามที่ว่า...จะดูเรื่องอะไรดี

   เขายกการตัดสินใจให้ผม

   หนังผีตัดออกเป็นอันดับแรก หนังรักโรแมนติกตัดออกมาเป็นอันดับสอง มัน...เขินน่ะครับ ฉะนั้นถ้าให้เซฟสุด คงต้องเลือกหนังตลก

   ผมหยุดมองโปสเตอร์หนังไทยที่เพิ่งเข้าโรง คุ้นๆ ว่าเป็นเรื่องที่กฤตรับบทเป็นตัวประกอบ

   คุณคนแรกเข้าใจผิด คิดว่าผมเลือกแล้ว เดินไปซื้อตั๋วแล้วยื่นให้ด้วยหน้าตายๆ เล่นเอาผมแทบจะอยากตายขึ้นมาเลย!

   การดูหนังกับคนที่คุยกันอยู่ โดยบนจอมีหนังหน้าของแฟนเก่าลอยวนเวียนนั้นเป็นอะไรที่ชวนกระอักกระอ่วนไม่เลว ผมเหลือบมองคุณคนแรกเป็นระยะ มั่นใจว่าเขาต้องจำหน้ากฤตได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผม ชวนคนที่จีบอยู่มาดูหนังครั้งแรกแล้วเจออะไรแบบนี้ คงรู้สึกแย่น่าดู

   แต่เขาดันสนุกกับหนังสุดๆ ไปเลยซะงั้น

   เห็นคุณคนแรกขำไปกับมุกตลกของหนังไทย ผมก็พลอยผ่อนคลาย มือหยิบป็อปคอร์นเข้าปาก เริ่มจดจ่อกับเนื้อเรื่องตรงหน้า ในใจลอบชมว่าแม้จะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก แสดงบทตัวประกอบ แต่กฤตก็ทำได้ดีเกินคาด แฟนเก่าของผมคนนั้นไม่ชอบการแสดง เพราะมีรายละเอียดเยอะ แล้วยังต้องใช้ความจำ ต้องรักษาภาพลักษณ์ไม่ให้ปาร์ตี้หนักเท่าแต่ก่อน เห็นอีกฝ่ายเติบโตไปอีกขั้น ไม่เหลาะแหละแล้ว ผมก็ดีใจด้วย

   เพลินกับหนังไปสักพัก พอเหลือบสายตามาอีกทีก็แทบสะดุ้งเพราะคุณคนแรกดันเป็นฝ่ายมองผมซะงั้น

   ไม่รู้ว่าแอบมองกันนานแค่ไหนแล้ว จะเท่ากับที่ผมเหล่เขาในช่วงครึ่งเรื่องแรกรึเปล่าก็ไม่มั่นใจ แต่ท่าทางนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด เมื่อกี้ตอนกฤตออก ผมยิ้มกว้างไปมั้ยนะ แสดงชัดว่าชื่นชมรึเปล่า คุณคนแรกจะเข้าใจผิดมั้ยเนี่ย

   เมื่อกล่องป็อปคอร์นซึ่งกั้นกลางระหว่างเราว่างเปล่า ผมเลยหยิบมาวางบนตัก แล้ววางมือหงายออกอยู่ตรงที่เท้าแขน

   คุณคนแรกตอบสนองช้ากว่าที่คิดนิดหน่อย แต่สุดท้ายเขาก็วางมือทาบทับลงมา ค่อยๆ ประสานนิ้วเชื่องช้า ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำที่เรียบง่ายนี้จะทำให้ความเชื่อมั่นย้อนคืนมา ความกระวนกระวาย กลัวอีกคนคิดมาก หรือความสับสน กลัวอีกคนยังตัดใจไม่ขาด ถูกลบเลือนในเสี้ยวนาทีนั้น พวกเราสองคนดูหนังอย่างสนุกสนานจริงๆ

   จนออกจากโรงนั่นแหละ

   ผมถึงเพิ่งตระหนักรู้ว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเราจับมือแบบประสานนิ้วแนบแน่นขนาดนี้

   ปกติเวลาเราเดินจับมือ จะเป็นแค่การทาบมือจับหมับ พอเดินออกจากโรงผมเลยยุกยิกนิดหน่อย ซึ่งสุดท้ายคุณคนแรกก็ค่อยๆ ถอดนิ้วออก แล้วเปลี่ยนมาจับมือแบบธรรมดาแทน

   หนังเลิกตอนสามทุ่มครึ่ง ห้างปิดแล้ว ทุกอย่างมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวนำไปลานจอดรถ ก็ไม่รู้นะว่าเขินอะไร คนที่มาดูหนังรอบดึกด้วยไม่ได้มีเยอะแยะ แถมแต่ละคนก็ใช่ว่าจะสนใจกัน แต่คนมันเขิน ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ

   ผมชอบความเงียบเวลาอยู่กับคุณคนแรกเสมอ มันอบอวล ชวนอุ่นใจ อย่างที่ไม่เคยเกิดกับใคร เขาทำให้คนไม่ชอบอยู่นิ่งอย่างผมสงบได้ และมันก็เป็นความรู้สึกที่ดี

   เมื่อกลับถึงห้อง ผมก็เปิดโทรศัพท์ โพสแรกที่เด้งขึ้นมาคือภาพของกฤตที่กล่าวขอบคุณสำหรับยอดหนังทำเงินทะลุล้านแรก ผมกดไลค์ คอมเมนต์แสดงความยินดีด้วย

   กฤตคอมเมนต์ตอบว่าขอบคุณ

   กับแฟนเก่าก็แค่เท่านี้ ผมเปลี่ยนไปเปิดหน้าเพจร้านชานมตัวเอง คิดว่าจะทำยังไงให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ถ้าจะลองซื้อโฆษณา ควรจะซื้อโพสไหนดีล่ะ

   ให้ออกไอเดียน่ะทำได้ แต่พอต้องทำการตลาดจริงจังขึ้นมาไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ ผมนั่งเกยคางกับเตียง ครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดีนะ สุดท้ายก็ลองเข้าเพจร้านชานม JOY ศึกษาวิชาว่าเขาโพสยังไง ดึงลูกค้าแบบไหน และส่วนใหญ่ใครเป็นคนโต้ตอบบ้าง

   ส่องเพลินจนตาใกล้ปิด ผมก็อาบน้ำเตรียมนอน ขนาดฝันยังเป็นภาพชานม

   โดยไม่รู้เลยว่า...พรุ่งนี้จะมีพายุทอนาโดรออยู่!


   ----------

   

         "เขาทำให้คนไม่ชอบอยู่นิ่งอย่างผมสงบได้ และมันก็เป็นความรู้สึกที่ดี"

   ^ เราชอบประโยคนี้มากค่ะ สื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ดีมากๆ เลย เป็นความเรียบง่ายแต่ตรงตัว

   เรื่องนี้เราตั้งใจแต่งแบบน่ารัก หวานๆ รสชาติแบบชานมไข่มุก

   ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าไม่มาม่าหนัก และไม่ลากเรื่องยาว เราเน้นที่ความเนียนค่อยๆ จีบของคุณคนแรกและการเติบโตของพิชญ์ค่ะ

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต - [27/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-11-2019 20:52:24
พายุอะไรหนอ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต - [27/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 27-11-2019 21:42:21
          พายุอะไรคะ

 รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต - [27/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 27-11-2019 22:29:55
วั๊ยๆๆถึงขั้นเนียมหอมแก้มกันแล้ว  ว่าแต่รู้จักชื่อคุณคนแรกหรือยังนะ    :hao3:

ทอนาโดลูกใหญ่ป่ะ กลัวจัง  :hao4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต - [27/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 27-11-2019 22:41:42
เอาจะหมี่เหลืองอะไรอีก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 15 : เส้นทางของกฤต - [27/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 28-11-2019 22:19:19
พายุๆอะไร แงงงๆๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 30-11-2019 18:44:12


ตอนที่ 16 : คลิปหลุด




   เช้าที่แสนสดใส ผมยืนรอคุณคนแรกมารับด้วยจิตใจสุขสงบ ก่อนจะถูกทำลายเมื่อสายเรียกเข้าก็ดังขึ้น

   แม้จะไม่ใช่เบอร์ที่บันทึกไว้ แต่ผมไม่ลืมตัวเลขสิบหลักที่เคยโทรหาและรับสายตลอดสองปี

   กฤต!

   (( พิชญ์ทำอะไรลงไป!! ))

   “ห๊ะ” ผมที่ยืนเคี้ยวหมูปิ้งเพลินๆ เกือบจะสำลักเข้าให้แล้ว “นายพูดอะไร ฉันไปทำอะไร”

   (( ก็เรื่องคลิปไง!! ))

   นานครั้งจะได้ยินกฤตตะโกนดังขนาดนี้ เขาโมโหมาก และเป็นการโมโหแบบไม่ใช่หึงจนสติแตกด้วย

   “คลิปอะไร”

   (( ก็คลิป...ที่พิชญ์ถ่าย ))

   กฤตเอ่ยเสียงเครือ คล้ายกำลังจะร้องไห้ อะไรกันเนี่ย โกรธแล้วร้องไห้ต่อเนี่ยนะ

   “ใจเย็นๆ นะกฤต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอออกตัวก่อนว่าฉันไม่ได้เป็นคนทำ” ผมงงไปหมดแล้ว ถึงอย่างนั้นก็แสดงความบริสุทธิ์ใจไว้ก่อน

   (( แต่คลิปนั้นพิชญ์เป็นคนถ่าย!! ))

   ต่อจากโกรธ ร้องไห้ ก็คือความเกรี้ยวกราด ขี้หูผมแทบเต้นระบำกับเสียงตวาดของกฤต ผมกดพักสายชั่วคราว เปิดเข้าหน้าเพจของกฤต พบว่ามีคนพูดเรื่องคลิปอะไรก็ไม่รู้เต็มหมด เลยลองเสิร์ชหาดู แล้วก็เจอกับเวปเถื่อนที่ปล่อยคลิปสยิว...จั่วหัวดักว่า ‘คลิปฉาว! พระเอกดาวรุ่งหน้าใหม่เอากับเพศเดียวกัน’

   ถึงตอนนี้ผมก็เริ่มมือสั่น เดาออกว่าเป็นคลิปอะไร

   เปิดดูแค่สามวินาทีก็กดออกแทบไม่ทัน ชัดแล้ว คลิปนั้นคือคลิปตอนกฤตนอกกายผมไปมีอะไรกับชายชู้!

   จะเรียกชายชู้มั้ยก็ไม่เชิง เพราะเป็นแค่การหลับนอนคืนเดียวแล้วแยกย้าย ถึงอย่างนั้นผมก็พร้อมจะสลัดเขาทิ้งทันที ความรู้สึกของการเห็นคนรักกำลังทำรักกับคนอื่น ไม่ใช่อะไรที่น่าปลื้มปิตินักหรอก

   รู้ว่าอะไรเป็นอะไรผมก็สูดหายใจเข้าลึก พอดีกับคุณคนแรกที่ขับมารับพอดี

   “เป็นอะไร” เขาเห็นผมหน้าซีดมือสั่นก็ชิงถามก่อนเลย

   “เรื่องมันยาว” ผมขึ้นมอเตอร์ไซค์คุณคนแรก ต่อหูฟังแล้วรับหมวกกันน็อกมาสวม จากนั้นก็กดเปิดสายกฤตที่พักไว้ ช่วงเวลาที่หายไป กฤตคงจะร้อนใจและด่ากราด เดาจากเสียงตะโกนว๊ากๆ ที่เริ่มจะแหบแห้งภายในเวลาไม่กี่นาที

   (( พิชญ์! ยังฟังอยู่มั้ย!!! ))

   “ฉันยังฟังอยู่” ผมพยายามจะระงับอารมณ์ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเหลือเชื่อเกินไป “ถึงจะเชื่อยากไปหน่อย แต่ฉันยืนยัน ฉันไม่ได้ทำ ไม่ได้เป็นคนปล่อยคลิป”

   (( แต่นายเป็นคนถ่าย!! ))

   ผมไม่มั่นใจว่าเสียงตะโกนทะลุแก้วหูนั้นดังไกลไปถึงคุณคนแรกรึเปล่า

   “ฉันเป็นคนถ่าย” แต่ถึงเสียงกฤตจะดังไม่ถึง เสียงผมน่ะได้ยินชัดแน่นอน “แต่หลังบอกเลิกฉันก็ลบทิ้ง คลิปบาดตาแบบนี้ใครจะบ้าเก็บไว้ดูเล่น ฉันรู้สึกแย่จนลบคลิปเสร็จก็เอาโทรศัพท์ไปขายทิ้งเลยนะ”

   กฤตเงียบไปวูบหนึ่ง เขาย่อมจำได้ว่าผมขายโทรศัพท์เครื่องเดิมไปแล้ว แต่เขาคงคาดไม่ถึงว่าผมจะเอาไปขายทิ้งด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นต้นเหตุ

   (( งั้นจะเป็นใครได้ล่ะ ))

   น้ำเสียงของกฤตฟังสิ้นหวังมาก

   “ฉันส่งให้นาย นายคงไม่ได้เผลอให้ใครเห็นใช่มั้ย”

   (( เราก็ลบทิ้งแล้วเหมือนกัน ไม่มีใครเคยเห็นแน่นอน ))

   “ถ้างั้นก็เหลือคนเดียว” ผมเอ่ย ด้วยสีหน้าฝืนทน แบบที่ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าจะต้องซัดทอดถึงคนคนนี้

   (( ใคร ))

   “ภูมิ” ผมหลับตา พิงหน้าซบกับแผ่นหลังของคุณคนแรก “วันนั้น...หลังถ่ายคลิปเสร็จ ฉันส่งไปให้นาย แล้วก็ส่งไปให้ภูมิ”

   อย่าลืมสิว่าภูมิเป็นเพื่อนรักผม

   “ภูมิสนับสนุนให้ฉันคบกับนายมาตลอด ถ้าจู่ๆ บอกเลิก เขาต้องมาถามแน่ ฉันไม่อยากอธิบาย ไม่อยากพูดถึง ก็เลยส่งคลิปนั้นไป...”

   จะโทษว่าผมคิดน้อยก็ได้ แต่พวกคุณครับ ใครเลยจะเชื่อว่าวันหนึ่งกฤตจะผันตัวเป็นดารา และใครเลยจะเชื่อว่าภูมิจะบ้าขนาดเอาคลิปโพสลงโซเชียล

   เขาทำไปเพื่ออะไร

   คำตอบนั้น...เกรงว่าจะเดาได้ไม่ยาก

   “ขอโทษนะกฤต”

   เจ้าของชื่อพูดอะไรไม่ออก เป็นสถานการณ์ที่หาคนโทษยาก ผมส่งคลิปให้เพื่อนรัก ก็สมเหตุสมผลดีไม่ใช่เหรอ และคลิปนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเขาไม่นอกกายผมก่อน

   กฤตตัดสายทันที

   ความสัมพันธ์กับแฟนเก่ารอบนี้น่าจะย่ำแย่ที่สุด

   ผมโทรหาภูมิต่อ

   แน่นอนว่าเขาปิดเครื่อง

   ไม่ได้การแล้ว ผมกระตุกเสื้อคุณคนแรกหลายทีจนเขาแวะจอดข้างทาง

   “ขอโทษนะ แต่วันนี้ฉันคงปิดร้าน นายไปก่อนเถอะ” แม้จะไม่ใช่คนปล่อยคลิป แต่ผมก็มีส่วน คงอยู่เฉยไม่ได้หรอก โชคดีที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ลูกค้าน้อยกว่าวันเสาร์อีก

   “จะไปไหน”

   ผมอึกอัก จะบอกได้ยังไงล่ะว่าไปบ้านของภูมิ

   ไม่รู้ว่าไอ้ที่พูดอธิบายกับกฤตนั้นเขาจับใจความได้แค่ไหน เพราะคุณคนแรกน่าจะยังไม่เห็นคลิป

   “เดี๋ยวไปส่ง”

   “จะดีเหรอ” ผมเกรงใจ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย

   “รีบไม่ใช่เหรอ เร็วสิ”

   กลายเป็นโดนเขาเร่งซะงั้น ผมบอกที่อยู่ของภูมิ คุณคนแรกก็ขับมอเตอร์ไซค์ทันที ความเร็วนั้นเล่นเอาต้องกอดเอวเขาแน่น หลับตาปี๋ ร้องโอดครวญในใจ

   โอย ถึงจะรีบก็ไม่ต้องบิดคันเร่งขนาดนี้ก็ได้!

   




   บ้านของภูมิเป็นตึกแถวราคาปานกลาง

   ชั้นแรกเปิดร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่พ่อของเขาดูแล ข้างหน้าเป็นร้านข้าวแกงที่แม่ของภูมิทำเองกับมือ ไปถึงผมก็ยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ก่อนจะถามหาไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดทันทีโดยไม่คิดเกริ่นให้มากความ

   พ่อกับแม่ภูมิน่ะชินแล้วกับการที่ผมกับภูมิไปไหนมาไหนด้วยกัน โดยขี้เกียจถามว่าไปทำอะไร เพราะแต่ละครั้งแทบจะได้คำตอบไม่ซ้ำกันเลย

   “อ้าว ภูมิไม่ได้ไปกับพิชญ์เหรอ เห็นมันเก็บของไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว นึกว่าไปค้างกับพิชญ์ซะอีก”

   พ่อแม่ของภูมิยังไม่รู้ว่าผมเปิดร้านชานมไข่มุก คงยังคิดว่าแม้เรียนจบแล้ว แต่ผมยังเที่ยวเล่นเป็นบ้าเป็นบอกับลูกชายของพวกเขา

   “ภูมิไม่ได้มากับผมนะครับ”

   “งั้นพ่อก็ไม่รู้แล้วล่ะ เจ้านั่นมาถึงก็บอกว่าจะค้างที่อื่นสักหลายวัน แล้วก็หายหัวไปเลย”

   เป็นคำตอบที่...ไม่ผิดจากที่คิดเท่าไหร่ ถ้ามันอยู่ก็นับว่ากล้ามาก เพราะภูมิน่าจะรู้อยู่แล้วว่าหากคลิปถูกเผย ผมต้องโดนกฤตสงสัย และผมจะรู้ตัวการได้ไม่ยาก ในเมื่อคนที่มีคลิปในครอบครองมีแค่สามคนเท่านั้น

   และสิ่งแรกที่ผมทำเมื่อเห็นหน้ามันคืออะไรน่ะเหรอ

   ไม่พ้นต่อยซ้ายต่อยขวา อัดสักยกแล้วค่อยคุย!!

   “พอเดาได้มั้ยครับว่าภูมิไปค้างที่ไหน”

   “ไม่รู้หรอก ปกติเราสองคนตัวติดกันจะตายไม่ใช่เหรอ ถ้าพิชญ์ไม่รู้ พ่อก็ไม่รู้แล้ว”

   ขอย้ำอีกครั้ง ในสายตาคนนอก ทุกคนเข้าใจว่าผมกับภูมิเป็นเพื่อนรักกัน

   แต่ถ้าขยายความสักนิด จะพบว่าภูมิเป็นฝ่ายตามพบ เกาะติดผม ฉะนั้นเมื่ออยู่ในจุดที่ถามว่าแล้วไอ้ภูมิอยู่ไหน สมองผมพลันว่างเปล่า นึกอะไรไม่ออกเลย

   มาเสียเที่ยวจนได้

   ผมเข้าเฟซไอ้ภูมิ พบว่ามันลบทิ้งไปเรียบร้อย นี่มันจงใจหนีความผิดชัดๆ แล้วผมทำอะไรได้มั้ย ก็ไม่ได้ไง

   เจ็บใจชะมัด!

   “กลับกันเถอะ” ผมหันพูดกับคุณคนแรกด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด เคืองตัวเองที่เพิ่งมารู้ตัวว่า...ผมแทบจะไม่รู้จักเพื่อนคนนี้เลยนอกจากมันติดการพนัน และชอบยืมเงินกันเป็นว่าเล่น นี่สินะ ผลเสียของการถูกตามใจจนเคยตัว แต่ไหนแต่ไร ผมเป็นฝ่ายนั่งเฉยๆ รอให้คนอื่นเข้าหาตลอด พอมาถึงจุดที่ต้องเป็นฝ่ายตามหาบ้าง บอกตรงๆ...หัวโล่งมาก!

   “อย่าหน้างอสิ” คุณคนแรกใช้นิ้วโป้งลูบแก้มผมเบาๆ

   “คำขอนี้ยากจังเลย”

   คุณคนแรกเปลี่ยนมาลูบหัวผม พลันอารมณ์สงบลงมานิดหน่อย และพอกลับมาถึงหน้าร้านชานมไข่มุกตอนแปดโมง เงาร่างสูงโปร่งคุ้นตาก็ทำให้ผมอยากจะขยี้หัวให้ยุ่งกระเซิง

   กฤต!

   “พิชญ์!!” กฤตไม่พูดพร่ำทำเพลง เห็นผมปุ๊บก็ไม่รอให้ลงจากรถมอเตอร์ไซค์ดี ปราดเข้ามาด้วยสีหน้าหาเรื่องแบบหัวร้อนเต็มที่ คุณคนแรกเห็นท่าไม่ดี เตรียมยกแขนขึ้นบัง แต่ขอโทษนะครับ ผมยกเท้าถีบเปรี้ยงเข้ากลางอกฤตที่โผมาแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ

   กฤตผงะถอยไปหลายก้าว เห็นผมเดินลงจากรถมอเตอร์ไซค์โดยที่ยังไม่ถอดหมวกกันน็อก ดัดนิ้วกำหมัดพร้อมลุย ก็เพิ่งได้สติว่าแม้ผมจะตัวเล็กกว่าเขา ผอมเพรียวปลิวลม แต่ก็เคยเรียนศิลปะการต่อสู้หลายแขนง แม้จะไม่ถึงขั้นสำเร็จวิชาสูงสุด แต่ก็เพียงพอสำหรับเตะต่อยคนธรรมดา

   คนโกรธจนคลั่งถอยหลังชิดประตูเหล็กม้วนร้านผมทันควัน อีกนิดแทบจะยกมือไหว้

   “พิชญ์ เดี๋ยว ใจเย็นนะ”

   “นายนั่นแหละที่ต้องใจเย็น” เห็นเขามีอารมณ์คุยกันดีๆ ภาษาคน ผมก็ถอดหมวกกันน็อกส่งคืนให้คุณคนแรก...ซึ่ง...มองผมด้วยสายตาประหลาดใจสุดขีด ตายละไอ้พิชญ์ จีบกันมาเกือบสองเดือน เผยแต่มุมน่ารักอ่อนหวาน(?) เจอมาดนี้เข้าไป คุณคนแรกคงไม่ปอดแหกวิ่งหนีไปหรอกนะ

   ผมเหลือบมองคนที่กำลังศึกษาดูใจอย่างกังวลเล็กน้อย เห็นคุณคนแรกยังไม่ไปไหน ก็พอจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง

   “ใจเย็นรึยังกฤต ถ้าเย็นแล้วก็คุยกันดีๆ อย่าใช้กำลัง”

   “ครับ” กฤตกลืนน้ำลายก่อนตอบ และนั่นทำให้ผมเพิ่งสังเกตว่าทำหน้าโทรมอย่าบอกใคร เหมือนเพิ่งร้องไห้มา สภาพสิ้นหวัง หมดหนทาง ความสงสารพลันกัดกินขึ้นมาในใจ

   “เราแค่อยากจะถามพิชญ์ว่า...ภูมิอยู่ไหน เราติดต่อไม่ได้เลย”

   “มันปิดเครื่อง ปิดช่องทางการติดต่อทุกทาง นี่ฉันก็เพิ่งไปบ้านมันมา แต่ไอ้ภูมิไม่อยู่บ้าน เก็บข้าวของหนีหายไปไหนไม่รู้”

   “เชี่ย!”

   “ฉันจะพยายามหาตัวภูมิให้ แต่นายก็รู้ใช่มั้ย ว่าถึงหาเจอ...คลิปนั้นก็ถูกปล่อยไปแล้ว”

   “รู้สิ! เพราะรู้ ถึงได้อยากหาตัวคนทำ!!! เพราะเราทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้ว!!!!” กฤตตะโกนเสียงดังลั่น ทำให้คุณยายร้านปักเสื้อชะโงกหน้ามาดู

   ผมรีบยิ้มประจบว่าไม่เป็นอะไร คุณยายเองก็ทำสัญลักษณ์โอเค มองระหว่างกฤตกับคุณคนแรกด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย น่าจะเข้าใจผิดแล้วว่าผมกำลังมีปัญหารักสามเส้า...

   “ฉันขอโทษ”

   “ไม่ พิชญ์ นายไม่ผิด แต่เพราะ...เพราะ...แม่งเอ๊ย!!” กฤตตวาดอย่างหัวเสีย ก่อนจะเตะใส่ประตูเหล็กม้วนของผมดังโครม แน่นอนว่าประตูไม่สะดุ้งสะเทือน แต่กฤตลงไปกุมเท้าเจ็บมาก

   ผมละไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

   “นายกลับไปก่อนเถอะ อยู่ตรงนี้นานๆ ใช่ว่าจะดี” ผมเอ่ย เพราะเสียงตะโกนของกฤตทำให้ร้านค้าแถวนี้เริ่มชะโงกหน้าดู แม้คุณยายจะถอนตัว แต่ใช่ว่าร้านถ่ายเอกสาร ร้านอาหารตามสั่ง และลูกค้าบางส่วนที่ต่อแถวร้านชานมไข่มุกตรงหน้าปากซอยจะมองผ่าน แม้เขาจะเป็นดาราหน้าใหม่ ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่เกรงว่าในตอนนี้...คงไม่มีใครไม่รู้จักกฤตแล้วละมั้ง

   ในฐานะพระเอกหนังโป๊

   กฤตรีบสวมผ้าปิดปากทันที เขายังฟึดฟัดโมโห แต่ไม่รู้จะเอาไปลงกับใคร ตัวการก็หนีหาย จะโทษผมก็ไม่ได้อีก

   “ถ้าเจอภูมิแล้วบอกด้วยนะ”

   “อืม”

   นี่แหละครับผมกับแฟนเก่า

   ไม่ต่อยกันตายก็บุญโขแล้ว

   กฤตเดินออกไปหน้าปากซอยแล้วเรียกแท็กซี่ ส่วนผมเปิดร้านชานมตามปกติ คุณคนแรกเองก็ยังยืนอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือลงจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ลากไปจอดริมทางแล้ว

   ผมตัวเกร็งนิดหน่อย ถ้าเขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องยาวละทีนี้ ใช่ว่าอยากปกปิด แต่ผม...ไม่รู้จะเล่ายังไง ผมเล่าเรื่องส่วนตัวไม่เก่งน่ะครับ

   “ลูกถีบสวยนะ”

   แต่คุณคนแรกยังอ่านอารมณ์เก่งเหมือนเดิม

   “ขอบคุณ”

   “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก” คุณคนแรกทำท่าโทรศัพท์ “อยากไปไหนก็โทรมา คิดซะว่าเป็นไลน์แมน”

   คนกวนหน้าตายก็ดีแบบนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ผมยิ้มออกในสถานการณ์ที่ไม่ควรจะยิ้มได้

   “ขอบคุณ...ฉันหมายถึง ขอบคุณมาก มาก”

   ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ขอบคุณที่ไม่ถามซอกแซก ขอบคุณที่ยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

   “ยินดีเสมอ”


   -------------------

   

   ตอนนี้ก็เผยมุมอีกด้านของพิชญ์นะคะ สมกับที่เรียนมาเยอะ จนทุกคนหัวหมุนตามไม่ทัน ตอนวัยรุ่นพิชญ์นี่แสบจริงๆ ขอย้ำค่ะ

   แต่ถึงแสบแค่ไหน พออยู่กับคุณคนแรก ก็กลายเป็นคนน่ารักๆ ขี้เขินคนนึงเนอะ

   

   

   #ผมกับชานมไข่มุก

   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-11-2019 19:22:22
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-11-2019 19:48:20
คุณ​คน​แรก​คงจะตะลึง​
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 30-11-2019 20:33:27
น่ารักเนอะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-12-2019 13:28:09
หึหึ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 01-12-2019 17:10:13
ภูมิทำไปเพื่ออะไรน่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 01-12-2019 19:02:31
ทำไมภูมิร้าย :ling1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-12-2019 19:28:30
อ้าวภูมิ ทำแบบนี้ทำไมอ่ะ ขายข่าวเอาเงินหรอ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 01-12-2019 20:09:56
ภูมิคงรู้ว่าจะมาขอเงินพิชญ์ไม่ได้แล้ว เลยขายคลิปเพื่อเอาเงินไปล้างหนี้ล่ะมั้ง.  :hao4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-12-2019 21:52:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 02-12-2019 06:43:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 02-12-2019 09:58:44
         ภมิถ้าทำไปเพราะร้อนเงินจนขายอนาคตคนๆ
หนึ่งได้นี่นะชั่วมาก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: ρℓuto ที่ 05-12-2019 15:34:34
ไม่ใช่ว่าภูมิกับกฤตมีซัมติงกันแล้วมาแค้นทีหลังงี้นะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 16 : คลิปหลุด - [30/11/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 08-12-2019 13:39:20
เพื่อนรักเพื่อนร้าย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้ - [10/12/62] P.7
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 10-12-2019 19:10:52
ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง

   หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ข่าวปลดพระเอกหน้าใหม่ก็ถูกแชร์ทั่วโซเชียล ซึ่งจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่กฤต

   มุ่งมั่นตั้งใจเข้าสู่วงการบันเทิงแล้วแท้ๆ แต่กลับโดนปลดด้วยเรื่องในอดีต

   นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้กฤตร้องไห้คร่ำครวญ เขาค่อนข้างขี้แย หรือให้ถูกคือซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเอง มีความสุขก้ยิ้มร่า เสียใจก็ร้องไห้ และถ้าให้ร้องแล้วจะร้องไม่หยุด อย่างตอนเลิกกัน เขาก็ร้องจนสะอึกสะอื้น ร้องหนักจนน่าเป็นห่วง และตอนนี้...ก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง

   ผมลังเลขณะเปิดโทรศัพท์ค้างเบอร์ของกฤต ก่อนจะถอนหายใจ วางโทรศัพท์ลง ในสถานการณ์แบบนี้ โทรไปปลอบใจมีแต่จะเลวร้าย กฤตไม่ได้ตัวคนเดียว เขามีเพื่อนเยอะ มีครอบครัว มีบรรดาแฟนเก่าที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ยืนหยัดอีกครั้ง

   ข่าวฉาวครั้งนี้หนักหนาสาหัส แต่สำหรับคนหน้าตาดีอย่างกฤต มีเสน่ห์แพรวพราวอย่างเขา จะต้องมีโอกาสอีกแน่นอน

   แม้จะไม่รู้ว่าวันไหนก็เถอะ

   ผมยอมรับว่าพยายามคิดในแง่ดี พยายามปลอบใจตัวเอง เพื่อที่จะไม่รู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ไม่ใช่เพราะเป็นคนถ่ายคลิป ส่งคลิปให้ไอ้ภูมิเองกับมือ แต่เพราะ...

   “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระหว่างนั่งพักในช่วงสายวันอาทิตย์ที่เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวาย

   มา ผมจะเล่าความจริงให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

   หลังผมลาออกจากบริษัทของพี่พจน์ ผมก็ไปคลุกตัวอยู่กับกฤต ตอนแรกก็ไม่อยากเล่าหรอก ตาไอ้ภูมิมันทำเสียเรื่อง เปิดปากหมดแถมยังเกลี้ยกล่อมกฤตให้ช่วยพูด แต่กฤต...กฤตเพียงยิ้มหวาน บอกว่าผมอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ขอแค่สบายใจก็พอแล้ว เพราะตอนนั้นเราเพิ่งทะเลาะกัน กฤตเลยพยายามประนีประนอมสุดขีดกลัวผมเตลิด

   แต่เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

   พวกเราโดนครอบครัวกดดันอย่างหนัก เดิมทีก็ทะเลาะกันเรื่องนี้หลายครั้งโดยไม่มีบทสรุป ตัวผมน่ะพอไหลลื่นได้ด้วยมารยาและความขี้อ้อนใส่แม่ แต่ครั้งนี้กฤตโดนเข้าทั้งทางตรงและทางอ้อม โดนขอร้องให้ช่วยเกลี้ยกล่อมยผมกลับไป อย่าลาออก ทางหนึ่งก็แฟน ทางหนึ่งก็ครอบครัวแฟน พวกเราค่อนข้างทะเลาะกันบ่อยในเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าต่อหน้าจะยิ้มแย้มแค่ไหน แต่ทั้งการกระทำ ทั้งคำพูด บ่งบอกชัดว่าครอบครัวผมไม่ต้อนรับกฤต เข้าขั้นรังเกียจด้วยซ้ำ

   สรุปคือผมน่ะสบายใจ แต่กฤตไม่สบายสักนิดเดียว จากเห็นด้วย กฤตก็เริ่มกล่อมผมตามไอ้ภูมิ ผมโมโหมาก คิดว่าอย่างน้อย...ก็อยากจะมีสักคนที่เข้าใจ ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นเขา แต่กฤตก็เถียงกลับ บอกว่าแล้วจะให้ทำยังไง เขาเองก็เบื่อที่จะต้องคอยรับโทรศัพท์พ่อแม่ผมเหมือนกัน แต่ไม่รับก็ไม่ได้มั้ยละ แค่นี้ก็เกลียดขี้หน้ากันจะแย่แล้ว

   เป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อน และชวนท้อแท้ใจ สุดท้ายผมกับกฤตก็คุยกันน้อยลง

   ผมเริ่มคิดว่าจะกลับไปทำงานที่บริษัทอีกครั้ง ยอมให้คนที่รักนั้นสบายใจขึ้นสักหน่อย ในเมื่อผมเอง...ก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อเหมือนกัน เคว้งคว้าง ไปไม่เป็นสุดๆ และสงสารแฟนด้วยที่ต้องเป็นคนกลางทั้งที่ไม่อยากเป็น

   ผมตั้งใจจะบอกเขาเรื่องนั้น แต่กลับติดต่อกฤตไม่ได้

   ความคิดแรกคือไม่วายไปเมาหัวราน้ำกับเพื่อนฝูงอีกแน่ ผมติดต่อเพื่อนของกฤต ก่อนจะประหลาดใจเพราะไม่มีใครรู้ว่ากฤตอยู่ไหน

   ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ

   ขณะที่ยืนงง ก็มีข้อความจากเบอร์แปลก บอกว่าให้ลองไปดูที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง พร้อมบอกเลขห้องพักซะด้วยสิ

   ช่างเป็นบุคคลแสนดีที่โลกควรจารึก แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ลองไปก็ไม่เสียหาย และนั่นก็ทำให้ผมได้พบกับ...ภาพบาดตาบาดใจจนกลายเป็นคลิปฉาวในขณะนี้

   จากนั้นก็เป็นอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง ผมส่งคลิปให้กฤตแล้วบอกเลิก

   แต่ผมไม่กลับบ้านหรอกนะ ผมไปอยู่กับภูมิ โดยที่มันเองก็ไม่กล้าถามอะไรเพราะดูคลิปจนจบแล้ว

   ส่วนสาเหตุที่ไม่กลับบ้านน่ะเหรอ...

   ลองเดาดูมั้ยครับ

   อะไรนะ ไม่อยากเดางั้นเหรอ ช่วยไม่ได้ งั้นผมเฉลยเลยแล้วกัน

   ตัวการคือแม่ของผมเอง

   ผมไม่ใช่คนโง่นะ ใครจะเป็นพลเมืองดีขนาดช่วยบอกเลขที่พักให้แม่นยำราวจับวางขนาดนั้นล่ะ แถมยังรู้เบอร์โทรศัพท์ผมอีก ตัดไอ้ภูมิออกไป ตัดกฤตออกไป ก็เหลือแต่คนในครอบครัวเท่านั้น พี่พจน์ไม่ทำเรื่องสกปรกหรอก ส่วนพ่อผมไม่ใช่คนจะมาวางแผนกับเรื่องพรรณ์นี้ เหลือก็แต่แม่ ที่ไม่เห็นด้วยเรื่องผมกับกฤตมาตลอด บอกว่าเขาไว้ใจไม่ได้ เป็นพวกเจ้าชู้ สักวันจะต้องนอกใจ

   แม่คนที่โทรมากดดันกฤตให้กล่อมผม และในวันที่ผมยอมรับฟังคำนั้น ก็ส่งไม้ตายให้ผมเลิกกับเขา

   แม่ทำสำเร็จ สมเป็นภรรยาคนเก่งของนักธุรกิจจริงๆ

   ถึงจะไม่กล้าฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่รู้รายละเอียดลงลึก แต่ผมค่อนข้างมั่นใจ เพราะทุกอย่างไม่ว่าจะพิจารณามุมไหน ก็เป็นการจัดฉากชัดๆ ทั้งเรื่องโรงแรมม่านรูดก็ดี ทั้งเรื่องห้องไม่ยอมล็อกประตูก็ดี เหมือนจงใจให้ผมเข้ามาเห็นง่ายๆ แล้วยังบทรักอันร้อนแรงจนไม่ทันรู้ตัวว่าผมยืนถ่ายคลิปอีก ไม่สิ กฤตไม่รู้ แต่คู่นอนของเขาน่ะ...รู้แน่

   หลังบอกเลิกกฤตและคิดใคร่ครวญถึงข้อเท็จจริงนี้ ผมก็โทรหาเบอร์แปลก

   อีกฝ่ายรับซะด้วยสิ

   ตอนแรกก็ไม่ยอมบอกหรอก แต่พอผมเสนอเงินก้อนใหญ่ให้ ก็สารภาพออกมาทั้งหมดว่าถูกจ้างวานให้มายั่วกฤตนานแล้ว หลายเดือนมากด้วย โดยการไปดักรอที่ร้านเหล้าประจำของกฤต ชวนคุยเป็นระยะ และจี้จุดเวลากฤตทะเลาะกับผมได้แบบโดนใจใช่เลย ปกติกฤตก็แค่คุยเล่น แต่วันนี้เขาคงโดนกดดันจนทนไม่ไหว เมื่อมีคนเสนอตัว แถมคนนั้นยังคุยถูกคอ เข้าอกเข้าใจ ก็หลวมตัวตามไปเพราะอยากระบายความเครียด หาความสนุกใส่ตัวกันสักครั้ง ทิ้งเรื่องวุ่นวายไว้ข้างหลัง แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ยังดี

   ผมนี่....ยิ้มเลย

   ยิ้มเหยียดตัวเองว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ถึงอย่างนั้นก็ไม่แปลกใจแม่ตัวเองสักนิด หลังได้รับการเบิกเนตรเรื่องพี่พจน์ ผมก็พอเข้าใจว่าแม่รักผมมากแค่ไหน และพยายามจะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ จนบางครั้ง...ไม่ถามความเห็นกันเลย

   แต่โทษแม่คนเดียวคงไม่ได้

   เพราะสุดท้ายกฤตก็เป็นคนเต็มใจเดินตกกับดักนั้นเอง

   ถ้าเขาคบกับผมแล้วเครียดมากขนาดนั้น จนไม่เป็นตัวเอง จนอยากจะหนีความจริงไปกับคนอื่น ผมก็ยิ่งอยากเลิกกับผู้ชายคนนี้ เพราะความรัก ความสุข ความสนุกของเรามันหมดลงแล้วนับตั้งแต่เรียนจบ

   โลกแห่งความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่เคยวาดฝัน

   และนั่น...ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้าน

   




   จบเรื่องแสนหนักอก กลับมาสู่ปัจจุบันกันบ้าง

   ผมเปิดหน้าเพจร้านชานมไข่มุก เลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ ก็มียอดกดไลค์เพิ่มขึ้นพรวดพราดจากหลักสิบเป็นหลักร้อย และเมื่อหาสาเหตุ ก็ต้องยิ่งประหลาดใจกว่าเดิมเมื่อพบว่าคนที่ช่วยแชร์ให้นั้น...

   คือพี่พจน์!!!

   ผมตกใจมาก เข้าขั้นอ้าปากค้างเลย หน้าเพจพี่พจน์แชร์แต่เรื่องธุรกิจ คำคม และปรัชญาแบบจริงจังกับชีวิตขั้นสุด จู่ๆ แชร์ร้านชานมโลโก้ตัวการ์ตูนฮีโร่ในชุดรัดรูปสีน้ำเงินตัดเหลืองสดใสสุดขีด โคตรจะไม่เข้ากัน คู่ค้าของเขาเห็นแล้วไม่ขยี้ตาเลยเหรอ

   ถึงจะเหวอมาก แต่ผมก็หลุดยิ้มออกมา แม้พวกเราจะไม่สนิทกัน แต่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งพูดออกมาหรอก...ว่าพวกเราพี่น้องไม่รักกัน

   นึกถึงภาพพี่พจน์ที่ช่วยออกปากแทนให้ตอนทำงานบริษัท ผมก็ซาบซึ้ง สมแล้วที่เป็นพี่ชายคนเก่งของผม

   ‘ขอบคุณครับ พี่ชายที่แสนดี’

   ผมทักแชทส่วนตัวหาพี่ชาย พี่พจน์อ่านแล้วเงียบไปพักใหญ่ คงพยายามแยกแยะว่าโดนชมหรือประชด

   โธ่ ผมชมเขานะ!

   ‘ไม่เป็นไร น้องชายเฮงซวย’

   ...แต่อันนี้น่ะ...ประชดกันแน่นอน

   ผมปิดโทรศัพท์ นั่งจดจ่อกับหน้าโน๊ตบุ้คเพื่อแต่งรูปต่อ ยังไม่ได้ทำโพสเรื่องบัตรสะสมที่แบ่งเป็นเลเวลเลย ให้ตาย ทำไมเยอะแบบนี้นี่เนี่ย ผมชักงงแล้วว่าควรจะโพสเรื่องไหนก่อนดี ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งที่มีเรื่องอยากจะทำรออยู่เป็นพะเรอเกวียน แต่กลับไม่มีสมาธิเลย

   เรื่องของกฤตยังวนเวียนในสมอง

   จริงอยู่ว่าผมเป็นคนถ่ายคลิป จริงอยู่ว่ากฤตเองที่เลือกจะนอกกาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าแม่ผมไม่หัวใส จงใจส่งคนมาสร้างความร้าวฉาน

   ฉะนั้นจะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวก็พูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ

   ผมมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ‘มากๆ’ ในเรื่องนี้

   แต่ให้ตายเถอะ จะไปหาภูมิจากไหนนั้นยากแสนยากยิ่งกว่าวางแผนการตลาดร้านชานมซะอีก ผมแทบจะเอาหัวโขกกับเคาน์เตอร์ ก่อนจะชะงักเมื่อลูกค้าประจำเจ้าเก่าเจ้าเดิมวิ่งเหยาะๆ มาหา

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   “ครับ” ผมหันไปชงชาชมไข่มุก ทั้งที่เคยทำด้วยรัก แต่วันนี้กลับทำไปเหม่อไปจนมือไม้อ่อนเปลี้ยทำของตกไปหลายรอบ กว่าจะชงเสร็จ ก็เล่นเอาต้องยิ้มแห้งให้คุณคนแรก ดีนะ...ที่เป็นเขา หากไปพลาดต่อหน้าคนอื่นคงแย่

   “จะตามหาคนใช่มั้ย”

   จู่ๆ ก็ถามตรงประเด็น ผมชะงักนิดหน่อย แต่ไม่ปฏิเสธ เดาได้ไม่ยากว่าคุณคนแรกน่าจะเห็นคลิปและประกาศปลดพระเอกแล้ว และด้วยความหัวไวของเขา คงจะเชื่อมโยงกับบทสนทนาเมื่อเช้า การไปหาภูมิที่บ้าน และการปรากฏตัวของกฤตได้ระดับหนึ่ง

   “ใช่ แต่ฉันไม่รู้...ว่าจะไปหาจากไหน”

   “เพื่อนคนอื่นๆ ล่ะ”

   “ปกติภูมิเกาะฉันตลอด เลยไม่รู้ว่ามีเพื่อนคนอื่นรึเปล่า” พูดแล้วก็คิ้วขมวด เพราะตั้งแต่ผมมาเปิดร้านชานม ไอ้ภูมิก็โผล่ๆ หายๆ ถ้าไม่เกาะผมแล้ว...มันไปเกาะใครกันล่ะ

   จะหาคนที่ยอมเป็นตู้เอทีเอ็มนี่ไม่ง่ายนะ

   “ถ้าตามจากเพื่อนไม่ได้ ก็ที่ที่เขาชอบไป”

   “เยอะมาก” ผมยิ้มแห้ง ที่ที่ภูมิชอบไปน่ะเหรอ...ก็เป็นที่ที่ผมไปทั้งนั้น!!

   แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าตัดตัวเองออกแล้วมีอีกอย่างหนึ่งที่ภูมิเข้าขั้นคลั่งไคล้

   ...บ่อนพนันไง!!

   ----------

   ตอนนี้สั้นหน่อย เพราะจะยกยอดการคลายปมทั้งหมดไปในตอนหน้าค่ะ

   คราวนี้จะได้รู้จริงๆ แล้วว่าทำไมพิชญ์ถึงหนีออกจากบ้าน และแน่นอนว่า...คุณคนแรกก็ตามไปส่อง เอ๊ย ตามไปเนียนด้วยอีกเช่นเคยค่ะ 5555 #คนเนียน2019

   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
   

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง [10/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-12-2019 19:32:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง [10/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 10-12-2019 20:02:19
เบื้องหลังการหนีออกจากบ้านเป็นไงก็ช่างเหอะ ตอนนี้ต้องตามเก็บเห็บแบบภูมิ จัดกันแบบหนักเลยไหม จะได้จบเรื่องเห็บดูดเลือด แล้วไปตามเด็กหนีออกจากบ้านต่อ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง [10/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-12-2019 20:30:30
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง [10/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-12-2019 21:12:08
ตอนนี้ถึงกับสงสารกฤตเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง [10/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-12-2019 21:49:34
ซับซ้อนไปอี๊กกก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง [10/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 10-12-2019 23:19:06
คุณคนแรกนี่รู้ใจน้องพิชญ์ตลอดๆ เลยนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 17 : เบื้องลึกเบื้องหลัง [10/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-12-2019 22:34:31
จัดการรร
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 18-12-2019 19:53:49

ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ



   เย็นวันนั้นผมปิดร้านเร็วกว่าปกติ แล้วนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของคุณคนแรกไปบ่อนพนันหลายแห่งเท่าที่นึกออก ระหว่างวันผมไม่ได้นั่งเฉยนะครับ แต่พยายามรวบรวมว่าไอ้ภูมิเคยไปเล่นที่ไหนบ้าง แม้จะนึกออกยากมากๆ เพราะไอ้ภูมิมันไปหลายที่ เวลาสร้างเรื่องให้ผมช่วยเคลียร์ ก็จะไม่กลับไปที่เดิม แต่ด้วยความที่เป็นตู้เอทีเอ็มมานานก็เคยถามๆ จนพอคุ้นๆ บ้างเหมือนกัน

   ฉะนั้นพอคุณคนแรกมารับ พวกเราก็มีเป้าหมายที่ผมจดที่อยู่ไล่เรียงอย่างเป็นระเบียบพร้อมลุย

   ที่แรก ไม่เจอ

   ที่ที่สอง ไม่เห็นหัว

   ที่ที่สาม ยังไม่ใช่

   แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นับว่ามาเสียเที่ยว เพราะภูมิเป็นลูกค้าประจำของบ่อนพวกนี้ พอผมเปิดปากถาม ก็เลยได้ข้อมูลใหม่ๆ เพียบ และนั่นก็ทำให้ผมเหมือนได้รู้จักเพื่อนสนิทครั้งแรก...ว่ามันบ้ายิ่งกว่าที่ผมเคยเรียกตัวเองว่าชอบทำอะไรบ้าๆ บอๆ ซะอีก

   ไอ้ภูมิติดหนี้พนันเยอะมาก แต่ละที่มีจำนวนไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่ก็จะปิดยอดแล้วสร้างหนี้ใหม่ ใช้วิธีหมุนเวียนเงินกันไป ทำให้เหมือนลูกค้าชั้นเลิศที่ไม่เคยค้างหนี้นาน ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะมันมีผมคอยช่วยด้วยนี่แหละ ไอ้เราก็นึกว่าภูมิคงเล่นแค่ไม่กี่อย่าง แต่พอมาเห็นด้วยตัวเอง...มันล่อทั้งพนันบอล ทั้งเล่นไพ่ ทั้งแทงสนุกเกอร์ เรียกว่าครบวงจร

   จะอ้างว่าอยากได้เงินคงไม่ใช่แล้ว แต่น่าจะมาหาความบันเทิงมากกว่า อยู่กับผม คอยเกาะผมมันแย่ขนาดนั้นเลย ผมขมวดคิ้ว คิดว่าถ้ามันแย่ขนาดนั้นแล้วจะทนไปทำไม ก่อนจะได้คำตอบแก่ใจในทันที

   ภูมิต้องทนสิ ในเมื่อ...

   “ไปต่อมั้ย” คุณคนแรกถามเมื่อเห็นผมยืนนิ่งไปเหมือนหุ่นยนต์ถ่านหมด

   “ไปสิ” ผมพยักหน้ารับ ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์เขา ไปยังที่หมายถัดไป

   โชคดีที่คราวนี้เจอไอ้ภูมิแล้ว

   ผมไม่อยากโผล่หน้าให้มันเห็น เพราะถ้าเห็น มันต้องวิ่งหนีหางจุกตูดแน่ๆ และการวิ่งไล่จับในบ่อนก็ไม่ใช่ภาพน่ามองนัก ผมเลยยัดเงินให้ยามเฝ้าประตูช่วยเรียกภูมิออกมาคุยกันข้างนอก

   ภูมิติดกับอย่างง่ายดาย ผมยืนแอบอยู่หลังเสา ลากคุณคนแรกให้มาแอบด้วยกัน พอเห็นผมทำหน้ามึนอยู่หน้าประตูบ่อนซึ่งฉากหน้าเป็นแค่ร้านอาหาร ก็ปราดเข้าไปกระชากคอเสื้อมันมาหลบอยู่ในซอยข้างๆ กัน ไอ้ภูมิร้องลั่น แต่ไม่ทันได้โวยวายขอความช่วยเหลือ มันก็โดนหมัดผมอุดปาก

   ต่อยหมัดซ้าย ต่อด้วยหมัดขวา ต่อยด้วยความโมโหโกรธา และถือว่าต่อยแทนกฤตด้วย

   “พะ...พิชญ์!”

   พลันมีคนจับข้อมือผมไว้ จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่คุณคนแรกที่มองนิ่ง พร้อมส่ายหน้าเชื่องช้า

   ผมเพิ่งตั้งสติได้ว่าไอ้ภูมิมันเลือดกบปากแทบพูดไม่เป็นคำแล้ว หนีก็ไม่กล้าหนีแล้ว มันทรุดฮวบนั่งคุกเข่ากับพื้น มือกุมปากที่บวมช้ำ

   คุณคนแรกปล่อยมือพร้อมอารมณ์พลุ่งพล่านของผมที่เริ่มสงบลง

   “มึงปล่อยคลิปทำไม” ผมถามภูมิ มาถึงจุดนี้...แม้อยากจะบอกคุณคนแรกว่า ปิดหูเถอะนะ ปิดตายิ่งดี ก็ไม่ทันแล้ว ผมไม่ได้อยากจะเกรี้ยวกราดขนาดนี้ แต่พอเห็นหน้าไอ้ภูมิที่ไม่ทุกข์ร้อนทั้งที่ทำลายอนาคตของคนอื่นก็ยั้งไม่อยู่ รู้ตัวอีกทีก็ต่อยเอาๆ แม้พยายามทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ผมก็ได้รับผลกระทบกับเรื่องนี้จนร้อนใจมากพอตัว

   “กูไม่ได้ปล่อย!” ภูมิตอบ พยายามตะโกนใส่หน้า แต่เจ็บปากเลยร้องซี๊ดเป็นระยะ

   “ถ้าไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นใคร” ผมกระชากคอเสื้อภูมิขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้ามึงไม่พูด กูจะต่อยมึงจนมึงพูดไม่ได้”

   อย่าตกใจ ผมไม่ใช่คนโหด แค่โฉดกับคนที่ควรค่าอย่างไอ้ภูมิ และนี่ก็แค่ขู่ด้วย

   “กูไม่ได้ปล่อย กูแค่...ขาย”

   ผมแทบจะหน้ามืด

   “มึงขายคลิปกฤตเนี่ยนะ!”

   “เออสิวะ” ภูมิมันคงอดกลั้นมานานเหมือนกันกับการโดนผมใช้เป็นกระสอบทราย เลยสะบัดตัวหนี จับคอเสื้อให้ดีแล้วสารภาพหมดเปลือก “ก็กูไม่มีเงิน มึงเองก็บอกว่าไม่มีจะให้ แล้วกูจะทำยังไง หนี้มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดอกเบี้ยก็บานฉิบหาย ทั้งเนื้อทั้งตัวกูมีแต่คลิปไอ้กฤตนี่แหละที่พอทำเงิน โชคดีชะมัด ที่มันได้บทพระเอก ค่าคลิปเลยสมน้ำสมเนื้อ พอให้กูใช้หนี้ไปอีกหลายวัน”

   โชคดีชะมัด?

   โชคดีกับผีน่ะสิ! ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้ากฤตได้ยินจะอาละวาดขนาดไหน

   “มึงติดการพนันจนไม่เป็นคนแล้วรึไงวะ!!” ผมปราดไปกระชากคอเสื้ออีกครั้ง แม้ภูมิจะพยายามหลบ แต่ก็หลบไม่พ้น “มึงอยู่กับกูตลอด มึงก็รู้ว่ากฤตมันเป็นยังไง คนที่ไม่เคยสนใจวงการบันเทิง พอตั้งใจจะทำขึ้นมามึงก็ไปขัดขา ทำลายอนาคต อย่างน้อยมึงก็รู้จักกฤต มึงทำลงได้ยังไง!”

   “กฤตมันจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันสิวะ ขนาดมึงยังไม่สนใจกู ไม่ให้กูอยู่ด้วยเลย แล้วกูจะสนใจคนอื่นทำไม”

   “ภูมิ!!”

   “ถ้ามึงไม่หนีออกจากบ้าน ถ้ามึงไม่หนีกูมา กูก็ไม่ทำแบบนี้หรอก!”

   “นี่มึงจะโทษว่าเป็นความผิดกูงั้นสิ” ผมหัวเราะ “อย่ามาทำหน้าน่าสงสารเหมือนหมาถูกทิ้ง ไอ้ภูมิ มึงก็ไม่ใช่เพื่อนที่ซื่อสัตย์แต่แรก อย่ามาเรียกร้องความเห็นใจ”

   “พิชญ์ มึงพูดเองว่ากูอยู่กับมึงตลอด ถึงกูจะติดการพนัน แต่กูก็เพื่อนมึงนะ”

   “เพื่อนที่รับเงินจากแม่กูน่ะเหรอ”

   ภูมิชะงักทันที มันมองผม...ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

   “ทีงี้ละมาทำอึ้ง ทำไม หรือมึงไม่สงสัยว่าทำไมจู่ๆ กูก็หนีออกจากบ้าน ทิ้งครอบครัว ทิ้งแฟน ทิ้งเพื่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ แล้วจะเหตุผลไหน...เพื่อนรัก”

   “แต่มึงบอกว่ามึงไม่ได้หนีออกจากบ้านเพราะกู...”

   “ไม่ใช่เพราะมึง” ผมหัวเราะอีกครั้ง “แต่เพราะทุกคน!!”

   ถึงตอนนี้ ผมก็แทบอยากจะร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนกฤตบ้างแล้ว

   แต่ด้วยทิฐิบางอย่างที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ ทำให้กล้ำกลืนฝืนไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ฝืนเหลือเกิน

   ผมค่อยๆ ปล่อยมือจากคอเสื้อไอ้ภูมิ ก่อนจะทิ้งมืออย่างหมดเรี่ยวแรง

   ยังจำได้มั้ยครับ ว่าคนที่แม่ผมจ้างมายั่วกฤตนั้นบอกว่าเขาใช้วิธีตีสนิทโดยอิงข้อมูลเวลาผมทะเลาะกับกฤตมาพูดให้ทำให้เหมือนเข้าอกเข้าใจดีอย่างถูกจังหวะได้โดนใจตรงเผง

   ผมฉุกใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็ยังทำเป็นนิ่ง ไม่พูดอะไรออกมา

   เพราะวาดหวังว่าจะเป็นแค่การคิดไปเอง

   แต่ผมหลอกตัวเองไม่ได้หรอก คำตอบมันชัดเจนแจ่มแจ้ง ผู้ชายคนนั้นแม่เป็นคนจ้างมา ฉะนั้นเขาต้องรู้ข้อมูลของผมกับกฤตผ่านแม่แน่นอน แต่ทุกคนครับ ผมไม่เคยเล่าเรื่องการทะเลาะกันกับครอบครัวมาก่อน เพราะถ้าเล่า มีหวังแต่ละคนยินดีปรีดา หาเรื่องใส่ไฟให้ผมเลิกกับแฟนพอดีน่ะสิ ฉะนั้น คนที่ผมเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ทุกเรื่องของผม และตามไปด้วยกันในทุกๆ ที่ ก็คือไอ้ภูมิ

   คำตอบที่ว่าชายคนนั้นชักชวนกฤตสำเร็จได้ยังไง ไอ้ภูมิคือจิ๊กซอร์สำคัญ

   แต่มันก็คงไม่รู้ว่าแม่ผมจะเอาข้อมูลนั้นไปบอกคนอื่น เพราะมันก็แค่ทำตามหน้าที่ ผมมั่นใจตรงนี้ เดาจากปฏิกิริยาของมันตอนเห็นคลิป ว่ามันไม่เคยรู้เลยว่าแม่ผมจ้างวานคนมาล่อลวงแฟนลูกชายตัวเอง

   แล้วหน้าที่ของไอ้ภูมิคืออะไรน่ะเหรอ

   หลังคาดเดากับตัวเอง ผมที่ออกมาคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงห้องภูมิก็ทำทีเป็นอยากกินเหล้า ใช้ไอ้ภูมิออกไปซื้อเครื่องดื่มมึนเมาให้หน่อย ภูมิทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดี เตรียมตัวเมากับผมเป็นเพื่อนตลอดคืน และระหว่างที่มันเดินออกไป ผมก็รื้อห้องมัน

   ผมไม่เคยค้นห้องคนอื่นมาก่อน เพราะไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน และค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัว จึงไม่คิดจะทำแบบนี้กับใคร แต่ตอนนี้จำเป็นต้องทำ และผมก็เจอกับสมุดบัญชีของไอ้ภูมิ

   ยอดเงินที่โอนเข้าทุกเดือน ในจำนวนไม่น้อย ติดต่อกันยาวนานนับสิบปี จากเลขบัญชีที่ผมคุ้นเคยซะยิ่งกว่าคุ้นเพราะได้รับมาตลอดตั้งแต่เด็ก

   เลขบัญชีของแม่

   แม่ให้เงินลูกชาย ไม่นับว่าแปลก แต่ที่แปลก คือแม่ใจดีขนาดโอนเงินให้เพื่อนลูกด้วยนี่สิ

   นอกจากนั้นผมยังรื้อเจอสมุดบันทึก ไอ้ภูมิบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับผมไว้ในทุกๆ วันว่าไปทำอะไรบ้าง รวมถึงความสัมพันธ์ของผมกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะกับกฤต

   เพื่อนแสนดีคนไหนกันนะที่ใส่ใจขนาดจดบันทึกละเอียดยิบยิ่งกว่าผมทำการเงินที่บริษัทพี่พจน์ซะอีก

   คำตอบที่ตีแผ่ตรงหน้า ทำให้ผมเข้าใจทันทีว่า...ไอ้ภูมิ...คือคนที่แม่ ‘จ้าง’ มาให้เป็นเพื่อนผมนั่นเอง

   สาเหตุที่ผมยอมเป็นตู้เอทีเอ็มให้เพื่อน ไม่ใช่ว่าใจดี แต่เพราะอยากตอบแทนน้ำใจที่ภูมิอดทนกับผมมามาก

   ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวว่าเป็นคนนิสัยเสีย เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ ไม่เคยเข้าหาใครก่อน รอแต่ให้มีคนเข้าหา ตามจีบ แล้ววิ่งเล่นไปเรื่อยๆ กับสิ่งที่อยากจะทำด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของครอบครัว ใช่ ผมยอมให้ภูมิหลายอย่าง เพราะจำฝังใจเสมอว่าภูมิอดทนกับผมมามาก และผมก็อยากเป็นเพื่อนกับมัน

   แต่ที่ผมทนไม่ได้ คือแม่จ้างภูมิให้ทำ

   มิตรภาพจอมปลอม

   ภูมิไม่ได้อดทนกับผมแต่แรกแล้ว ทุกอย่างคือเงินทอง

   ผมเลยเลิกที่จะทนกับมันเหมือนกัน

   และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้าน

   เริ่มจากเรียนจบแล้วไปทำงานที่บริษัทของพี่พจน์ พยายามแทบเป็นแทบตาย อยากจะเปลี่ยนตัวเอง อยากจะโตขึ้น แต่กลับไม่มีใครอยากเห็นผมแบบนั้น จนลาออกมาอยู่กับแฟน แต่สุดท้ายก็ทะเลาะกัน เขานอกกายไปนอนกับคนอื่น

   เลิกกับกฤต ผมยิ่งไม่อยากกลับบ้าน เลยเลือกมาอยู่กับไอ้ภูมิ แต่เพื่อนรักสุดซี้ก็ทำให้ผมได้กระจ่างว่าสิบปีที่คอยอยู่ด้วยกันนั้นคือเงินทอง

   เจ็บยิ่งกว่าตอนเลิกกับแฟนอีก

   และก็เจ็บที่สุด เมื่อรู้ว่าเบื้องหลังคือใคร

   ผมเก็บข้าวของหนีออกจากบ้านในค่ำวันนั้น โดยที่ภูมิยังไม่ทันซื้อเหล้ากลับมาด้วยซ้ำ ไม่อยากจะอยู่ ไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะกลับ จิตใจสับสน ทั้งโมโหทั้งเสียใจ และไม่รู้จะทำยังไงต่อไป คล้ายว่าเบื้องหน้าคือทางตัน ไม่สิ บางทีอาจเป็นหุบเหวด้วยซ้ำ ผมไร้เป้าหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มี...ครอบครัว

   ผมลบคลิป ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ว่าจะไม่กลับบ้านสักระยะ ไม่งั้นเกิดหายหัวเอาดื้อๆ มีหวังโดนแจ้งความคนหายแหงๆ จากนั้นก็ขายโทรศัพท์ หาที่พักแถวนั้นไปพลางๆ วาดหวังไม่ให้ใครตามเจอ

   อารมณ์ในตอนนั้นย่ำแย่ขนาดไหน หดหู่สิ้นหวังขนาดไหน ผมไม่อยากจะอธิบาย แต่สภาพในตอนนั้นเรียกได้ว่าหมดอาลัยตายอยาก มันหนักอึ้งไปหมดทั้งใจ นึกโทษทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึง...โทษตัวเอง

   สาเหตุที่ทำให้ผมหนีออกจากบ้านคือทุกคน

   ซึ่งรวมตัวผมเองด้วย

   ผมไม่โทษแม่ เพราะดันเข้าใจความรักของท่าน แม่อยากให้ผมมีเพื่อน อยากให้ผมมีคนรักที่ดี อยากให้ผมสบาย อยากให้ผมมีความสุข แต่แม่ครับ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องงั้นเหรอ

   ถ้าผมมันแย่นัก ถ้าผมมันดื้อนัก ทำไมไม่สอนสั่งกัน ไม่เข้มงวด ไม่กวดขัน อย่างที่ทำกับพี่พจน์ เพราะให้ท้าย เพราะคอยโอ๋ คอยสนับสนุนแบบนี้ไง ผมถึงได้เหมือนเด็กไม่ยอมโต และเจ็บมากถึงขนาดนี้...เมื่อรู้ความจริงทั้งหมด

   หากพี่พจน์ยืนกรานช่วยผมมากกว่านี้ จะเป็นยังไงนะ หากกฤตมั่นคงในความรักของเรามากกว่านี้ คงไม่ลงเอยด้วยคำว่าเลิกรา หากภูมิไม่เห็นแก่เงินมากกว่ามิตรภาพ ทุกอย่างก็คงไม่จบแบบนี้

   ไม่มีคำตอบในสิ่งที่ผมสงสัย

   เพราะไม่มีใครย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้

   เช่นเดียวกับตอนนี้...ที่ผมเลือกจะบอกความจริงกับภูมิ ทั้งที่ไม่คิดจะเอ่ยกับพี่พจน์หรือกฤต อาจเพราะสุดท้ายแล้ว...ผมก็ยังเห็นมันเป็นเพื่อนสนิท คนที่เล่าได้ทุกเรื่องทุกอย่างอยู่ดี

   แม้มันจะไม่เห็นผมเป็นเพื่อนเลยก็ตาม

   ไอ้ภูมิมองผมนิ่ง อ้าปากพะงาบหลายครั้ง แต่ก็หาคำแก้ตัวไม่ได้ จนสุดท้ายก็เผยหน้าบิดเบี้ยว ทำหน้าราวกับผู้ถูกกระทำที่โดนไล่ต้อนจนแทบจะร้องไห้ออกมา

   ทั้งที่คนควรจะร้องไห้น่ะคือผมนี่!

   ตั้งแต่วันที่หนีออกจากบ้าน ผมไม่เคยร้องไห้สักครั้งเดียว พยายามเข้าใจถึงการกระทำของทุกคน พยายามหาเหตุผลรองรับในทุกๆ อย่าง เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าได้โดยไม่มีอะไรติดค้างใจ

   ทำไมพี่พจน์ถึงไม่ช่วยพูดให้มากกว่านั้นน่ะเหรอ เพราะเขาเองก็ไม่เชื่อในตัวผมเหมือนกับแม่ไง

   ทำไมกฤตหลงกับคำชักชวนหลอกล่อน่ะเหรอ เพราะเขาเองก็เบื่อและสุดจะทนกับครอบครัวของผมแล้วไง

   ทำไมภูมิเห็นเงินมากกว่ามิตรภาพน่ะเหรอ เพราะเขาหนี้สินเยอะจนไม่มีทางเลือกอื่นแล้วไง

   ก้มมองคนที่กุมหน้าปิดตาไม่กล้าสู้หน้าผม คล้ายละอายใจเหลือเกินนั้น...ผมก็นึกโทษตัวเอง เหมือนที่นึกว่าถ้าหากทำตัวให้น่าเชื่อถือกว่านี้ ก็คงไม่ต้องโดนย้ายแผนก ถ้าออกปากกับพ่อแม่เรื่องกฤตมากกว่านี้ เขาก็คงไม่ต้องทนจนทนไม่ไหว และถ้าผมไม่ให้เงินใช้หนี้แทนภูมิแต่แรก วงจรอุบาทว์ก็คงไม่ทำให้เขากลายเป็นผีพนันจนถอนตัวไม่ได้

   ช่างเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนวุ่นวายจนปวดไปทั้งใจ

   ผมสูดหายใจเข้าลึก ก้มมองกฤตที่ยังก้มหน้าก้มตา พลันรู้สึกร้อนที่หัวตา

   “มึงไปหากฤตเถอะ ไปขอโทษเขา ยอมให้ต่อยสักหมัด และถ้าเขาจะแจ้งความก็ยอมรับการกระทำของตัวเอง” ผมเอ่ยเสียงพร่า “ส่วนเรื่องหนี้สิน มึงไปบอกกับแม่กูตรงๆ เถอะ เขาคงช่วยมึงอยู่แล้ว ท่านเอ็นดูมึงมาก ที่เลือกจ้างมึงด้วยจำนวนเงินขนาดนั้น ก็คงเพราะเห็นมึงเป็นลูกชายคนหนึ่ง ครอบครัวมึงลำบาก แม่กูเลยอยากจะช่วย...”

   แม้ความหวังดีแกมหวังผลประโยชน์นั้นจะทำให้ภูมิหลงผิดเอาไปลงกับการพนันก็ตาม

   พอกันทีกับภูมิที่น่าสงสาร ภูมิที่เป็นเพื่อนรักของผม ทุกคนควรจะรู้ได้ตัวตนแท้จริงเพื่อจะได้จบทุกอย่างสักที

   “แล้วเลิกเล่นพนันซะ หางานทำดีๆ ไม่ต้องหวังมาเกาะกูอีก เพราะกูคงไม่เจอมึงแล้ว”

   “พิชญ์...” ไอ้ภูมิเสือกทำหน้าหงอยน้ำตาคลอ

   “ลาก่อน ไอ้เพื่อนเวร” ผมประชดทั้งรอยยิ้ม แม้จะเป็นยิ้มที่ฝืดเฝื่อนไปสักหน่อย แต่ก็มาพร้อมความสบายใจคล้ายยกก้อนหินออกจากอก ผมเก็บความลับนี้กับตัวไว้นานเกินไปแล้ว ได้ระบายออกมา ได้สารภาพความจริง ได้สลัดหลายสิ่งหลายอย่างทิ้ง ตัวก็เบาขึ้นทันตา

   ผมเดินกลับไปหาคุณคนแรก ที่ไม่รู้ว่าฟังแล้วจะรู้สึกยังไง จะผิดหวังในตัวผมมั้ย จะสยองกับครอบครัวผมรึเปล่า จะรังเกียจกัน หรืออยากจะเดินต่อ ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว วัดใจมันตรงนี้เลยแล้วกัน แม้ลึกๆ แล้วนั้น...จะไม่อยากเสียเขาไป

   ไม่รู้ว่าผมมองเขาด้วยสายตาแบบไหน สีหน้าอย่างไร เพราะสิ่งแรกที่คุณคนแรกทำคือการจับผมกอดหมับเข้าเต็มรัก

   ต่อหน้าต่อตาไอ้ภูมิที่ยังเหวออยู่นั่นแหละ แต่เราไม่สนใจ เพราะพอได้ซุกในอกเขาปุ๊บ น้ำตาผมก็ไหลพราก

   เป็นการร้องไห้ที่ไม่มีเสียง

   และเป็นความเงียบ...ที่ชวนอบอุ่นใจเหลือเกิน


   ---------------------

   และแล้วก็ได้คำตอบกันค่ะ สาเหตุที่พิชญ์หนีออกจากบ้าน...เป็นเพราะทุกคนรวมถึงตัวพิชญ์เอง

   น้องเป็นเด็กดีที่โดนสปอยหนักค่ะ และก็ยอมรับในจุดนั้นด้วยและพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นนายเอกที่เราเอ็นดูมากๆ อีกคนหนึ่งเลย และเรื่องราวที่ค่อยๆ เล่าไปแต่ละวันนี้เราก็จงใจเขียนที่พัฒนาการเติบโตของพิชญ์ ความคิดอ่านที่เปลี่ยนไปแต่ละวัน แต่ที่แน่นอนคือการสู้ไม่ถอยและไม่ยอมกลับจนกว่าทุกคนจะเข้าใจการหนีออกจากบ้านครั้งนี้

   ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็น่าจะเข้าใจกันแล้วว่าพิชญ์มาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง โดยไม่โทษใคร

   แต่ถึงอย่างนั้นก็แอบเจ็บปวดหัวใจเมื่อโดนตอกย้ำ ซึ่งเทียบกับตอนหนีออกมาจากบ้านคนเดียวแล้ว วันนี้มีคุณคนแรกอยู่เคียงข้างด้วย

   นับเป็นอีกการพัฒนาของพิชญ์ที่น่ายินดีเนอะคะ

   ปล.ภูมิกับพิชญ์คือเพื่อนสนิทกันแบบสนิทมากจริงๆ ค่ะ ไปด้วยกันทุกที่ เล่าให้ฟังทุกอย่าง ถ้าไม่มีเงินมาเอี่ยว ทั้งคู่ก็คงสนิทกัน แต่จะเป็นอีกแบบที่ภูมิไม่สอดรู้สอดเห็นและยอมพิชญ์มากขนาดนี้ ซึ่งพอมีเงินมาเอี่ยว...ก็จะลงเอยแบบนี้ เป็นมิตรภาพแบบมีผลประโยชน์เข้ามาแทรกจนลืมคิดถึงจิตใจอีกฝ่ายค่ะ


   

    #ผมกับชานมไข่มุก



เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 18-12-2019 20:47:43
อ่านตอนนี้แล้วสงสารพิชญ์เลย :mew2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-12-2019 21:09:05
 :a5:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 18-12-2019 21:38:39
ปล. เราว่าคุณคนเขียนเข้าใจผิด ถ้าไม่มีเงินมาเอี่ยวก็คือไม่มีเพื่อนชื่อภูมินะ จบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะเข้าหากันด้วยเงินแต่แรกเริ่ม

เจ็บให้พอ แต่จะพอเมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้น
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-12-2019 22:03:35
เลือดแทบกระอัก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-12-2019 22:13:20
ปมเยอะจังเลยนายเอกเรา คุนคนแรกปลอบใจดีๆนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 18-12-2019 22:54:30
บทเฉลยความเป็นมาของน้องพิชญ์ทำเอาใจร้าวไปเลย หวังว่าคุณคนแรกคงไม่ทำร้ายจิตใตน้องอีกคนนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: b2uty_pang ที่ 19-12-2019 00:00:36
สงสารพิชญ์มาก แม่คือ เหมือนเลี้ยงลูกไม่เป็นอ่ะ เข้าใจนะว่าหวังดี แต่ทำแบบนี้คือเกินไป๊
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-12-2019 00:36:26
โอ้โห...
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: komkaew2 ที่ 19-12-2019 19:15:58
เราว่าจริงๆแล้ว ปมใหญ่ๆ ที่สุดก็คือแม่ ห้องลองไล่ๆจากปมเล็กๆขึ้นไปจะเห็นได้ว่ามันจะไปจบที่แม่หมดนะ

เรื่องงาน พี่สั่งย้าย<แม่สั่งพี่อีกที จะขัดแม่ก็ไม่ได้อีกก็เลยต้องตามน้ำไป
เรื่องแฟน แฟนนอกกาย<แม่วางแผนมาอีก แต่ตบมือข้างเดียวมันก็ไม่ดังอ่ะเนอะ
เรื่องเพื่อน โดนจ้างให้มาเป็นเพื่อน<แม่จ้าง เดิมเคยรวยพอชีวิตเปลี่ยนก็จมไม่ลงอ่ะเนอะ ได้ทั้งเงิน ทั้งเพื่อน(ที่ให้เงิน)

เราว่านี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่าพิชญ์ไม่พยายามจะโทษใคร เพราะสุดท้ายก็จะวนไปที่แม่ตัวเอง

หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 19-12-2019 21:41:39
เศร้าแทนพิชญ์นะ เจอแต่คนรอบตัวแบบนี้
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 20-12-2019 22:02:38
          หนักมาก ใครเจอแบบนี้ยิ่งกว่าหินทับอีก

แค่พิชญ์ก็ผ่านมาแล้ว สู้ๆคะ แถมครั้งนี้ไม่ได้สู้คน

เดียวแล้วนะ มีคุณคนแรกเป็นกำลังใจให้แล้ว

ทุกอย่างจะผ่านไปได้คะ♥️♥️
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 18 : เจอตัวภูมิ - [18/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-12-2019 23:18:47
เอ็นดู้ว
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก- [23/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 23-12-2019 20:33:20
                                                        ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก

   “อยากกินชานมไข่มุก...”
   
หลังร้องไห้ราวๆ สิบนาที ผมก็ขืนตัวจากคุณคนแรกแล้วพึมพำเสียงเบาแกมอ้อน
   
คุณคนแรกเลยจูงมือผมไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์แล้วพาไปซื้อชานมชื่อดังที่เห็นอยู่หน้าปากซอยทุกวัน แต่เป็นอีกสาขาที่เปิดในย่านบันเทิง จึงปิดช้ากว่าปกติ

   ผมมองชื่อร้าน ‘JOY’ ตรงแก้วที่มีโลโก้เป็นวงกลมหน้ายิ้มสีส้มเห็นฟันครบทุกซี่พลันรู้สึกดีขึ้นทันตา

   “ตอนฉันหนีออกจากบ้านน่ะนะ...โคตรสิ้นหวังเลย” ผมชวนคุณคนแรกคุย ด้วยอารมณ์แจ่มใสขึ้น นั่งแกว่งเท้าตรงริมสะพานในมือถือแก้วชานมที่ดูดไปแล้วกว่าครึ่ง “อยากจะทำอะไรสักอย่าง อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง จนฉันเห็น...ร้านชานมไข่มุกร้านนี้”

   ผมชูแก้วให้คุณคนแรกดู

   “โลโก้ร้านมันยิ้มแฉ่ง ตัดกับอารมณ์ตอนนั้นมากๆ เห็นแล้วก็ฉุน เลยเดินเข้าไปซื้อกินเล่นๆ กะจะเคี้ยวหลอนให้เละ ขยำขยี้แก้วให้มันเลิกยิ้มสักที แต่รู้มั้ย...ฉันดันติดใจรสชาติชานมซะงั้น” ผมหัวเราะแบบนึกขำตัวเอง “ไอ้ความขุ่นมัวในใจ อารมณ์หดหู่ซึมเศร้า พอกินชานมไข่มุกแล้วเหมือนหัวมันโล่งขึ้น เหมือนอารมณ์มันดีดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ฉันนึกว่าโดนวางยาแล้ว หลังจากวันนั้นก็เลยไปซื้อกินทุกวัน วันละสามแก้ว คอยจ้องคนทำว่าเวลาชงแอบใส่กัญชารึเปล่า”

   คุณคนแรกลูบหัวผมด้วยสายตาอ่อนโยน

   เขายังคงเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ จนผมเอียงตัวพิงกับไหล่ของคนที่นั่งเคียงกัน

   “แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใส่ แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำอะไร พอติดชานมเข้าแล้วก็เลยวนเวียนรอบร้านนั้น สังเกตคนอื่นว่ามีอาการประหลาดเหมือนกันรึเปล่า แล้วก็พบว่า...หลายคนที่ทำงานมาเหนื่อยๆ พอกินชานมไข่มุกก็กระชุ่มกระชวย สีหน้าดีขึ้นซะงั้น จู่ๆ ฉันก็เลยปิ๊งไอเดีย อยากเปิดร้านชานมไข่มุก!”

   คุณคนแรกเลื่อนมือจากศีรษะผมมาโอบไหล่แทน

   “พอตั้งเป้าหมายได้ฉันก็กลับบ้านไปเก็บของ แบกโน๊ตบุ้คมาด้วยตั้งใจเปิดร้านหาที่ติดต่อซื้อพวกอุปกรณ์จริงจัง จัดเสื้อผ้ามาบางส่วน แล้วก็บอกพ่อกับแม่ว่าจะไปเปิดร้านชานมไข่มุกแล้วนะ พวกท่านเองก็อวยพรให้โชคดี...”

   แน่นอนว่าก็ไม่ได้กลับออกมาง่ายดายขนาดนั้นหรอก แต่บทผมจะดื้อแกมอ้อน ก็เล่นเอาพ่อกับแม่ขวางไม่อยู่ อีกอย่าง พวกท่านคิดว่าผมน่าจะไปไม่นาน ขนาดส่งข้อความว่าจะหนีออกจากบ้าน ยังวิ่งกลับมาเก็บของภายในหนึ่งอาทิตย์เลย

   “ตอนแรกก็คิดจะซื้อแฟรนชายน์ร้านนี้อยู่หรอกนะ แต่วันหนึ่ง ฉันก็เห็นเด็กนั่งนับเหรียญอยากจะซื้อชานมไข่มุก แต่ก็ซื้อไม่ได้ ฉันเลยอยากจะเปิดร้านชานมไข่มุก...ที่สร้างรอยยิ้มให้ทุกคน ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายกับทุกเพศทุกวัย ฉันจะชงเครื่องดื่มด้วยความรัก ใช้ของคุณภาพดี หวังจะเป็นส่วนช่วยให้ใครหลายคนมีกำลังใจสู้ชีวิต เหมือนกับที่ฉันได้รับ”

   พูดจบผมก็ยื่นเจ้าแก้วชานมที่กินจนหมดมากดริมฝีปากลงไปหนักๆ

   “ให้ตาย ฉันโคตรตกหลุมรักมันเลย!”

   จูบแก้วชานม ใครเห็นเป็นต้องขำ รวมถึงคุณคนแรกที่หัวเราะพรืด

   “คงต้องลองซะแล้ว”

   “เฮ้ๆ นายเป็นลูกค้าประจำร้านฉันนะ ถ้าจะลอง ก็ต้องลองร้านชานมพิชพิชสิ”

   ผมเอ่ยอย่างเอาแต่ใจแกมหยอก เพราะรู้ว่าเขาก็แค่กวนไปอย่างนั้น พวกเรายิ้มให้กัน ก่อนที่บรรยากาศจะ...เป็นใจ

   ความเงียบที่ปรากฏนั้นนำพามาซึ่งระยะที่ร่นเข้าหากันอย่างเชื่องช้า

   ผมก็ไม่มั่นใจนักว่ามาลงเอยแบบนี้ได้ยังไง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกว่าตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนสายตาหวานเยิ้มนั้นจ้องสะกด ด้วยความห่างที่กระชั้นชิด เพราะผมเอนตัวพิงไหล่คุณคนแรกอยู่ พอเงยหน้ายิ้มใส่ เลยกลายเป็นว่าแทบจะจุมพิตกันอยู่รอมร่อ ฉะนั้นก็ไม่แปลกใช่มั้ย หากพวกเราจะ ‘เผลอ’ ขยับตัวเข้าหา จนริมฝีปากแนบชิดอย่าง ‘ตั้งใจ’

   สัมผัสนุ่มนิ่มยามริมฝีปากชนกัน ชวนให้ใจเต้นแรงจนกำแก้วชานมแน่นโดยไม่รู้ตัว พวกเรานิ่งค้างอยู่อย่างนั้น คล้ายกำลังถามตัวเองว่าจะทำยังไงต่อดี จะค่อยเป็นค่อยไป หรือจะรุกคืบความสัมพันธ์แบบก้าวกระโดด

   คุณคนแรกไม่ให้ผมได้คิดนาน เพราะเขาเป็นฝ่ายริเริ่ม

   เริ่มอะไรน่ะเหรอครับ ก็เริ่มแทรกลิ้นเข้ามาไง!

   จากริมฝีปากชนกันแนบแน่น กลายเป็นใช้ลิ้นดุนดันจนผมต้องเผยอปากเล็กน้อยแบบไม่ให้ง่ายดายเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น...ความเปียกลื่นที่ชื้นแฉะยามค่อยๆ รุกแทรกเข้ามานั้นก็ทำให้ผมเอียงคอน้อยๆ รับรู้ถึงเรียวลิ้นที่สำรวจไปรอบๆ โพรงปากผมอย่างใจเย็นและเชื่องช้า ซึ่งกลับยิ่งทำให้ใจเต้นกระหน่ำ

   ผมเริ่มสนองตอบบ้างเป็นระยะ เคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบที่หอมหวานซาบซ่าน

   ราวกับว่าเพิ่งมีความรักครั้งแรก

   ตอนคบกับกฤต ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะทำให้ผมรู้สึกแบบนี้สักครั้ง ผมเหมือนหนุ่มน้อยแรกรักที่เพิ่งรู้จักความรักยังไงยังงั้น

   พวกเราผละห่างกัน ผมก้มหน้างุด แม้ไม่มีกระจกก็รู้ว่าหน้าแดงก่ำแน่

   ส่วนคุณคนแรกหูแดงไม่ต่างกันสักนิด

   ไม่มีใครพูดอะไร แต่ต่างคนต่างกันรู้กันเองโดยไม่ต้องเปิดปากสักนิด ผมเดินไปทิ้งแก้วชานม คุณคนแรกไปติดเครื่องมอเตอร์ไซค์ เขาส่งหมวกกันน็อกให้ ผมสวม แล้วยืนให้เขาช่วยรัดสายใต้คาง จากนั้นก็ซ้อนหลัง กลับที่พักโดยที่ริมฝีปากยังร้อนรุ่ม

   แม้จะไม่ใช่จูบแรก แต่จะเป็นจูบที่จดจำไปนานแสนนาน

   จูบ...รสชานมไข่มุก



   




   ผมเริ่มพิจารณาตัวเองว่าบางทีผมคงไม่ได้รักกฤต

   ถ้ารัก คงไม่ทำใจเลิกราง่ายดายขนาดนี้ อย่างน้อยวันที่เห็นเขามุดโปงกับชายอื่น ก็สมควรที่จะต้องร้องไห้สักยก ฟูมฟายสักหน่อยมั้ยนะ จะยืนถ่ายคลิปได้ด้วยใจด้านชาขนาดนั้นเชียวหรือ และถ้ารัก ผมก็คงจะช่วยพูดพ่อกับแม่ให้เลิกกดดันกฤต ต่อสู้เพื่อกฤตมากกว่าดื้อคบไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรเลย

   อันที่จริงผมก็พอสงสัยอยู่บ้าง แต่ยิ่งมั่นใจก็วันนี้ วันที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่าความรักจริงๆ น่ะเป็นยังไง

   แม้ไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่ด้วยกัน อยู่เคียงข้างกัน เห็นหน้าเขา ผมก็ยิ้มได้ มีความสุขแล้ว แค่จูบเดียว ก็เล่นเอาใจเต้นแทจะวายตาย นี่มันอาการหนักยิ่งกว่าตอนคบกับกฤตเป็นไหนๆ บางทีตอนนั้น...ที่ตอบตกลงคบกับเขา คงเพราะโดนตื๊อมาครึ่งปีจนยอมในความพยายาม ผมค่อนข้างใจอ่อน ไม่งั้นคงไม่เอาเงินให้ภูมิไปหลายครั้งหรอก

   อีกอย่าง อยู่กับกฤตก็มีความสุขดี เขาพร้อมจะเอาใจ ตามใจผมในทุกอย่างทุกเรื่อง แม้จะมีทะเลาะกันบ้างเพราะเขาชอบเที่ยว ขณะที่ผมเกลียดคนเยอะๆ แต่เวลาอยู่ด้วยกัน กฤตจะทำให้ผมยิ้มได้เสมอ แล้วเขายังหล่อมากๆ ด้วย มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ พูดจาหวานหูน่าฟัง สรุปแล้ว...ผมน่าจะ ‘ชอบ’ กฤต แต่ไม่ถึงขั้น ‘รัก’

   ส่วนคุณคนแรกนั้น...

   โห เกริ่นขนาดนี้แล้วไม่ต้องบอกก็คงจะรู้กันแล้วมั้ง!

   ยังไงก็ตาม ความรู้สึกนี้ทำให้ผมกลุ้มใจไม่น้อย อย่างที่รู้กันว่าครอบครัวผมค่อนข้างต่อต้านการคบเพศเดียวกัน โดยเฉพาะกับกฤตที่ดูเจ้าชู้ การงานไม่มั่นคง ไม่น่าเชื่อพอจะฝากฝังลูกชายคนเล็กสุดที่รักประจำบ้าน แล้วกับคุณคนแรกละ...คุณคนแรกนั้น อืม...เขาเป็นใครผมยังไม่รู้เลย!!

   ไม่ได้การ จะรอให้เขาเข้าหาอย่างเดียวเหมือนก่อนคงไม่ได้แล้วมั้ย

   นี่คงเป็นความต่างหากระหว่างความชอบกับความรัก เพราะตอนกฤต ผมไม่ได้จะเป็นจะตาย คิดอยากให้พ่อแม่ยอมรับเท่านี้ แค่ปล่อยไปเรื่อยๆ ด้วยอาการดื้อเงียบ แต่กับคุณคนแรก...ผมไม่อยากให้เขาลำบากใจ และคงจะเสียใจแทบบ้าหากครอบครัวเราเข้ากันไม่ได้

   ผมนึกไม่ออกเลยว่าถ้าหากวันหนึ่งไม่ได้เจอเขาแล้วจะทำยังไง

   นี่มันตกในห้วงรักสมบูรณ์แบบ!

   แต่คิดไกลขนาดนี้ ผมก็ต้องเบรกตัวเองว่า...เฮ้ พวกนายยังไม่ได้คบกันเลยนะพิชญ์

   เป็นครั้งแรกที่ผมคิดอยากจะรู้จักใครสักคน และอยากจะเป็นฝ่ายลองเข้าหาดูบ้าง

   ฉะนั้นสิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือ...ถามชื่อเขาละนะ!!

   


   ‘ขอโทษ ติดธุระไปต่างจังหวัดสามวัน ไม่ไปรับนะ’

   เช้าวันนี้ผมตื่นมาพร้อมข้อความจากคุณคนแรกที่ส่งให้ตั้งแต่ช่วงตีสาม

   คงจะเป็นธุระด่วนกะทันหันมาก เขาเลยรีบส่งมาตั้งแต่เช้ามืดขนาดนี้ ผมมองโทรศัพท์อย่างลังเล ก่อนจะกดโทรออก

   (( ขอโทษนะพิชญ์ ))

   รับปุ๊บก็ขอโทษปั๊บเลย แล้วผมจะพูดอะไรได้นอกจากคำว่า...

   “ไม่เป็นไร”

   (( กลับไปแล้วจะชดเชยให้ ))

   “เฮ้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก ธุระด่วนนี่” ผมรีบแย้งอย่างเข้าอกเข้าใจ ความตั้งใจที่อยากจะถามชื่อ สานสัมพันธ์ให้ก้าวไกลคงต้องพับไปซะก่อน

   (( ถ้าคิดถึงก็โทรมา ))

   “ใครจะคิดถึงนาย”

   (( งั้นเดี๋ยวโทรไปหานะ ))

   “จะบอกว่าคิดถึงกันเหรอ”

   (( น่าจะใช่ ))

   ผมกัดปาก บอกกับตัวเองว่าอย่ายิ้มกับประโยคแค่นี้สิ

   “ทำไมถึงน่าจะใช่ล่ะ”

   (( ก็ยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าโทรไปหาเมื่อไหร่ ก็คงคิดถึงตอนนั้นแหละ ))

   บอกใครไม่ได้เลยนะเนี่ยว่าผมเอาหน้าซุกหมอนกลั้นเสียงกรีดร้องของตัวเองอยู่

   “ถ้าไม่โทรมาเลยแสดงว่าไม่คิดถึงกันงั้นสิ”

   (( น่าจะใช่ ))

   “กวน”

   (( แล้วรักปะละ ))

   ผมชะงัก เจอคำถามแทงใจไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาบื้อเป็นบ้าใบ้

   พลันคุณคนแรกหัวเราะหึหึในลำคอ

   (( แล้วจะโทรไปหานะครับ บาย ))

   “อือ บาย”

   ผมวางสายแล้ว

   แต่ไม่วายนอนตาค้างบนเตียง เช้าวันนี้อากาศดีจริงๆ เห็นด้วยมั้ยครับ!


   -----------------
   จบเรื่องวุ่นๆ ก็มาสู่ความหวานกันค่ะ
   ตอนนี้เฉลยว่าทำไมพิชญ์ถึงเลือกมาเปิดร้านชานมไข่มุก น้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจและหลงรักชานมจริงๆ นะเออ ไม่ได้เห็นน่าสนุกเลยอยากลองทำแก้เบื่อเหมือนสมัยก่อน นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและกลายเป็นโอกาสได้เจอกับ...กับ....
   นั่นแหละ สองคนนี้จูบกันแล้ว แอร๊ยยยยย
   กว่าจะได้จูบกันปาไปสิบเก้าตอน แต่รับรองว่าสิ่งที่ทุกคนรอคอยใกล้จะมาเยือนแล้วค่ะ
   เกริ่นมาขนาดนี้คงเดากันได้
   ใช่ค่ะ ชื่อของคุณคนแรกใกล้จะเปิดเผยแล้ว!!! เย้!!!
   

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก - [23/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-12-2019 22:01:51
หมดเรื่องคนอื่นแล้วถึงคราวคุณครแรกบ้างล่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก - [23/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 23-12-2019 22:24:01
นั่นสิ คุณคนแรกชื่ออะไร ไม่เปิดซะที
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก - [23/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 24-12-2019 07:48:26
เออ แล้วตกลงคุณคนแรกชื่อไร
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก - [23/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-12-2019 22:08:37
คุณคนแรกชื่ออะไรไม่สำคัญ เท่ากับว่าคุณคนแรกเป้นเจ้าของร้านชาไข่มุกหน้าปากซอยมั้ย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก - [23/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 25-12-2019 07:01:14
ใกล้แล้วครับ ใกล้ได้รู้ชื่อคุณคนแรกแล้ว ^^"
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 19 : ว่าด้วยความรัก - [23/12/62] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 26-12-2019 19:22:07
เค้าจูบกันแล้วววว

มุมน่ารักๆของทั้งคู่คือดีมากอ่ะ ไม่ได้รวดเร็ว

ฉาบฉวยแต่ค่อยๆไต่ระดับ♥️
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 02-01-2020 20:17:02

   ตอนที่ 20
   พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย

   
   ครบสองเดือนที่เปิดร้านชานม ผมทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย พอตัดค่าเช่าห้องไปสามพัน กำไรก็ดูจะเยอะขึ้นทันตา เพราะแม้เงินก้อนตอนตัดต้นทุนออกจะดูดี แต่เมื่อรวมค่ากินใช้ อยู่ ค่าห้องพักไปด้วย ก็เหลือกำไรให้พอเก็บราวสองหมื่น ฟังดูดี เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เทียบกับเดือนแรกที่ขาดทุนแล้วน้ำตาแทบไหล แต่ต้นทุนจะเริ่มมากขึ้นเพราะผมเริ่มศึกษาการซื้อโฆษณาโซเชียลอย่างจริงจัง นี่ก็เริ่มเดือนใหม่พอดี จะได้นั่งทำบัญชีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้วัดกับกำไรขาดทุนในเดือนนี้เลยว่ามีผลมากแค่ไหน

   ผมเลือกซื้อโฆษณาโพสต์ฮีโร่พิชพิชสู้กับปีศาจเหนื่อยล้า ตั้งกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่นและวัยทำงาน เพราะน่าจะเป็นกลุ่มที่เล่นโซเชียลและมีประสบการณ์ทำรายงานและทำงานจนเหน็ดเหนื่อยมากกว่าเด็กๆ วัยประถม ผ่านไปสองวัน คนกดไลค์เพิ่มขึ้นเป็นหลักพัน แต่ลูกค้าที่มาซื้อจริงกลับไม่ค่อยเพิ่ม

   น่าจะเป็นเพราะทำเล

   ผมหาจุดอ่อนของตัวเอง พบว่าทำเลที่ตั้งมีผลเอามากๆ นึกแล้วก็ได้ยักไหล่เพราะช่วยไม่ได้จริงๆ เรื่องของเรื่องคือแถวนี้ใกล้กับคอนโดฯ เก่าผม เลยเดินมาซื้อชานมร้าน JOY เป็นประจำระหว่างเตรียมตัวเปิดร้าน และก็เพราะวกไปเวียนมาบ่อยนั่นแหละ เลยเจอคุณลุงท่านหนึ่งขายข้าวไข่เจียวอยู่สุดซอย ชื่อก็บอกว่าสุดซอย ยอดขายย่อมแย่ แถมแกยังสุขภาพไม่ค่อยดี ไม่มีลูกหลานคอยดูแล เปิดหนึ่งวันปิดสองวัน ท่าทางน่าเป็นห่วง

   พอเห็นหน้าร้านติดป้ายให้เช่า ผมก็เลยขอเจรจาเซ็นสัญญากับคุณลุง

   จากนั้นจับพลัดจับผลู กลายเป็นคู่แข่งการค้ากับร้านชานมสุดที่รักซะงั้น

   ว่ากันว่าเป้าหมายมีไว้พุ่งชน ฉะนั้นผมจะทำให้ดีที่สุด!

   ถ้าปัญหาอยู่ที่ทำเล งั้นก็ต้องหากลวิธีดึงดูดให้คนอยากมาหาโดยไม่สนเรื่องที่ตั้ง

   โจทย์ข้อนี้ยากไม่เบา ผมเปลี่ยนมาซื้อโฆษณาโพสต์รูปฮีโร่พิชพิชที่มีป้ายคำพูดบอกว่า ‘เพียงโชว์ภาพนี้มาที่หน้าร้าน จะได้รับส่วนลดทันที 10 บาท’ ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลรึเปล่า แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

   ออกแนวลองนั่นลองนี่ไปเรื่อยๆ น่ะครับ เพิ่งเริ่มต้น ผมอยากจะเน้นให้ชื่อติดหูผ่านตาคนมากกว่าเน้นกำไร ขออย่างเดียว ไม่ขาดทุนก็พอใจแล้ว

   ผมก้มหน้าครุ่นคิดขณะทำโพสต์ตุนไว้ ก่อนจะรีบวางทุกอย่างเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

   (( พรุ่งนี้ไปรับนะ ))

   ครบสามวันแล้ว ในที่สุดคุณคนแรกก็จะกลับมาสักที

   ผมยอมรับว่าคิดถึง...คิดถึงเหรียญสองบาท

   อ่ะแฮ่ม ก็ไม่ได้หยอดกระปุกมานาน เลยเหงามือเหมือนขาดอะไรไป

   (( กินข้าวรึยัง ))


   “กินแล้ว นายล่ะ”

   (( กำลังคิดว่าจะกินดีมั้ย ))

   “ของแบบนี้ต้องคิดด้วยเหรอ ไปกินสิ เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก”

   สามวันนี้แม้ตัวไม่อยู่แต่ขยันโทรมาหาบ่อยยิ่งกว่าตอนเจอหน้ากันซะอีก เขาจะโทรหาผมทุกเช้า เที่ยง เย็น และก่อนนอน ส่วนใหญ่ก็เป็นคำถามทั่วไปอย่างออกจากห้องรึยัง ปั่นจักรยานระวังนะ กินข้าวรึยัง วันนี้อากาศร้อนมั้ย กลับถึงห้องรึยัง จะนอนแล้วนะ เป็นต้น

   (( ก็รอคนเป็นห่วงอยู่ ))

   “ใครห่วงนาย” ผมกัดปาก กวนแกมหยอดกันขนาดนี้จะไม่ให้หลุดยิ้มได้ยังไง

   (( คนที่รู้ว่าใคร ))

   “ใครคนนั้นน่าจะไม่ใช่ฉันนะ”

   (( ปากแข็ง ))

   “ปากฉันนุ่มนิ่มจะตาย”

   (( อืม นุ่ม ))


   “...”

   (( ก็เคยพิสูจน์มาแล้ว ))

   แฮ่ม! ผมรีบกดวางสายเพราะลูกค้ามาพอดี แถมยังเป็นลูกค้าหน้าใหม่ น่าจะตามมาจากเพจเพราะเป็นวัยรุ่นสาวน่าจะอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ใส่ชุดนักศึกษา น่าจะเพิ่งเลิกคลาสเรียนในช่วงบ่าย

   “เอ่อ...สวัสดีค่ะ ฉันตามมาจากเพจ”

   “ครับ รับอะไรดีครับ” ผมฉีกยิ้มการค้า นับว่าการโปรโมทรโมตได้ผลอยู่บ้าง

   “ชานมไข่มุกค่ะ”

   “ครับ”

   ผมตั้งหน้าตั้งตาชง แอบหลบสายตาลูกค้าสาวที่ดูจะจ้องหน้าผมอย่างสงสัยซะเหลือเกิน เมื่อกี้คงจะหน้าแดงเกินไป...ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะคุณคนแรกทำให้หวนนึกถึงคืนนั้นที่พวกเรา...อืม...จูบกัน

   “ยี่สิบบาทครับ ส่วนนี่ บัตรสะสมแต้มนะครับ”


   “ลายน่ารักจังเลยค่ะ” เธอยิ้มตาหยี ได้รับคำชมใครบ้างจะไม่ดีใจ ผมเลยยิ้มตามจนอีกฝ่ายชะงักไปครู่ใหญ่

   “คือ... ถ้าฉันขอถ่ายรูปลงเฟซจะได้มั้ยคะ”

   ผมงงไปวูบใหญ่ ปกติไม่ค่อยชอบถ่ายรูป ไม่ค่อยเล่นโซเชียล การเอาหน้าตัวเองไปลงในพื้นที่สาธารณะเป็นอะไรที่ผมค่อนข้าง...ไม่ชอบเท่าไหร่ แต่เห็นลูกค้ากระตือรือร้นขนาดนี้ แถมยังเป็นการโปรโมตร้านอีกทางหนึ่งในแง่ที่ผมไม่เคยคิด ก็เลยยอมพยักหน้าเออออไป

   “ได้สิครับ”

   “ขอบคุณค่ะ ฉันจะช่วยแท็กเพจให้นะ!”

   “ขอบคุณครับ!” ค่อยมีอารมณ์ฉีกยิ้มหวานๆ ให้ถ่ายหน่อย ผมไม่เห็นรูปหรอกนะ แต่ลับหลังลูกค้าสาวก็รีบเปิดโทรศัพท์ เจอภาพไอ้หนุ่มหน้าขาวยิ้มตลกแบบแปลกๆ ชอบกล น่าเหลือเชื่อครับ เพราะไม่กี่ชั่วโมงโพสต์นั้นกลับมีคนไลค์และแชร์เยอะกว่าที่ผมซื้อโฆษณาซะอีก!!

   ไอ้ #พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย นี่มันอะไร

   พอลองคลิกไปดูก็เจอกับภาพถ่ายพ่อค้าหน้าตาดีที่ตัวผมไม่น่าจะไปรวมก๊วนกับเขาได้เลย ถ้าให้พูดตรงๆ ผมคิดว่าตัวเองมีดีที่ความขาว แต่หน้าตาเนี่ยธรรมดาสุดๆ จนตอนนี้ยังงงไม่หายเรื่องกฤตตามจีบเป็นครึ่งปี หรือเพราะคนเรามีรสนิยมไม่เหมือนกัน ผมชอบแนวหล่อเข้ม หล่อคม หล่อสะดุดตามากกว่า จะให้มองว่าผู้ชายน่ารักมันไม่ใช่สไตล์น่ะครับ

   ยังไงก็ตาม...เย็นวันนี้ผมได้ลูกค้าสาวๆ ต่อแถวตรึมจนช็อก

   รู้แบบนี้ถ่ายภาพตัวเองลงโซเชียลนานแล้ว!








   
   
   
   
   “มองอะไร”

   เช้าวันถัดมา คุณคนแรกขับมอเตอร์ไซค์มารับผม ไม่เจอกันสามวันไหงเขาเอาแต่หรี่ตาจ้องหน้ากันเหมือนจับผิดว่าผมแอบไปมีชู้


   ชู้เช้ออะไร เรายังไม่คบกันด้วยซ้ำ แล้วทำไมผมต้องร้อนตัวด้วยเนี่ย!

   “นี่อะไร” คุณคนแรกตอบกลับด้วยคำถาม ในมือเปิดภาพถ่ายผมฉีกยิ้มหวานจนดูตลก

   ไม่ว่ายังไงเห็นภาพตัวเองก็ไม่ชินสักที ผมเกาแก้มแก้เก้อขณะนั่งซ้อนหลัง

   “ก็มีคนมาขอถ่ายรูป เลยให้ถ่าย ไม่เห็นจะมีอะไร” ผมว่าพลางตบหลังเขาเบาๆ หนึ่งที “ไปได้แล้ว เดี๋ยวเปิดร้านไม่ทัน”

   คุณคนแรกอิดออดเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมขับมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วระดับเต่าคลานเช่นเคยเพิ่มเติมคือผมโอบเอวเขาแน่นขึ้น บางทีผมอาจจะปากแข็งอย่างที่เขาเคยว่าไว้จริงๆ นั่นแหละ เพราะขนาดคิดถึงยังไม่กล้าพูด เลยใช้วิธีกอดเอวซบหน้ากับแผ่นหลัง สูดกลิ่นกายนั้นพลันรู้สึกดีคนละแบบกับการกินชานม

   ชานมทำให้ผมอารมณ์ดีด ไอเดียพุ่ง

   ส่วนคุณคนแรกทำให้ผมสุขสงบ ผ่อนคลายสบายใจ

   ถึงร้านตอนตีห้าสี่สิบนาที ผมส่งหมวกกันน็อกคืนให้เขา แต่ไม่ยอมปล่อยมือจนกลายเป็นยื้อยุดจับหมวกกันคนละข้าง คุณคนแรกเลิกคิ้ว ส่วนผมก้มหน้างุด ตั้งใจว่าวันนี้จะถามชื่อเขาให้ได้ แต่ไม่รู้ทำไม พอจะเปิดปากกลับนึกคำพูดดีๆ ไม่ออก

   สามวันที่ผ่านมาไม่ช่วยอะไรผมในเรื่องนี้เลย!

   กับอีแค่คำถามง่ายๆ อย่าง ‘ชื่ออะไรครับ’ ยังพูดไม่ได้ แต่จะโทษผมคนเดียวก็ไม่ได้หรอกนะ ต้องโทษสายตาวาวๆ อย่างรอฟังของคุณคนแรกด้วย สีหน้าแบบนี้ รอยยิ้มมุมปากอย่างนี้ เชื่อสิว่าถ้าถาม เขาจะต้องกวนกลับ ไม่ก็หยอดให้อายม้วนไปอีกหลายวัน

   คนมีความรักก็จะดูเด็กลงไปนิดนึง...ผมว่าผมไม่เพียงทำตัวเหมือนเด็ก สมงสมองก็คล้ายจะไม่ค่อยทำงานด้วย เรื่องที่เคยเห็นว่าเล็กน้อย ก็ดันคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาซะงั้น

   สุดท้ายคุณคนแรกก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน

   “คิดถึงล่ะสิ”


   “อืม คิดถึงเหรียญสองบาท”

   ปากเจ้ากรรมมันช่างคุมยากเหลือเกิน

   “เดี๋ยวมาหาใหม่ ขอไปดูร้านก่อน ไม่อยู่สามวันไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”

   “จะอธิบายทำไม”


   “ก็เผื่อใครบางคนอยากรู้” คุณคนแรกยิ้ม “แต่ไม่กล้าถาม”

   “ถามแล้วจะตอบมั้ยล่ะ”

   “ก็ลองถามมาสิ”

   “นายทำร้านอะไร”

   ในที่สุดก็ถามไปจนได้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่อยากจะถามที่สุดก็เถอะ

   “ลองเดาดูสิ” คุณคนแรกยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอย ทิ้งให้ผมยืนทื่อเป็นบื้อใบ้ ดูสิครับ ครั้งนี้ผมอุตส่าห์พูดด้วยดีๆ แล้วนะ แต่เขาก็ยังแกล้งกันได้ลงคอ

   วูบหนึ่งผมถึงกับคิดว่าจะแอบสะกดรอยตามดีมั้ย แต่รถส่งน้ำแข็งมาซะก่อน เลยต้องเดินไปเปิดร้าน เตรียมของ ต้มไข่มุกสำหรับวันนี้

   คุณคนแรกจะต้องตะลึงกับความเปลี่ยนไปของผม!!




   
   
   
   
   แปดโมงตรง หลังเคารพธงชาติ สาวๆ วัยรุ่นที่น่าจะแวะมาซื้อชานมไข่มุกก่อนเข้าเรียนต่อแถวหน้าร้านผมโดยมีคุณคนแรกเป็นผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวอยู่ตรงกลางโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ

   ปกติแล้วเวลาเห็นร้านผมคนเยอะ คุณคนแรกจะเลือกไปยืนหลบอยู่ห่างๆ ไม่ก็เดินกลับออกไปแล้วค่อยมาหาอีกครั้ง เพราะเขาตั้งใจจะมาซื้อชานมไข่มุกแล้วคุยเล่นกับผม แต่พอมีคนเข้าคิวขนาดนี้ ต่อให้อยากคุย ก็ไม่ค่อยสะดวก ผมเองก็ต้องก้มหน้าก้มตาชงเครื่องไม่หยุด ฉะนั้นผมเลยแปลกใจมากที่คุณคนแรกไม่ยักจะไปไหน อดทนยืนต่อแถวเป็นแกะดำท่ามกลางสาวๆ ในชุดนักศึกษาซะงั้น

   และเขาเป็นจุดสนใจมากทีเดียว หลายคนกระซิบกระซาบ ชี้ชวนพลางหัวเราะคิกคัก เพราะคุณคนแรกเองก็หน้าตาไม่ได้แย่อะไร แม้จะไม่ถึงกับหล่อเหลาจนต้องเหลียวแบบกฤต แต่เขามีบุคลิกที่มีเสน่ห์ ด้วยหน้าตายๆ กับท่ายืนเอามือล้วงกระเป๋าที่ดูนิ่งแบบเท่ๆ หารู้ไม่ว่าถ้าลองได้เปิดปาก ความขรึมนั้นจะกลายเป็นความกวนประสาททันที

   ผมลอบยิ้มขำอยู่ในใจ ก่อนจะชักยิ้มไม่ออก เมื่อหญิงสาวข้างหลังคุณคนแรกสะกิดไหล่ฝ่ายนั้น

   “พี่คะ ขอเบอร์ได้มั้ยคะ”

   ผมแทบจะเงยหน้าพรวดทันที แต่ก็ยังมีสติพอที่จะแอบเหลือบแบบแนบเนียน ก่อนจะแทบสูดปาก เพราะผู้หญิงคนนั้นสวยโฉบเฉี่ยว ถึงผมจะเป็นเกย์ แต่ก็ชอบมองของสวยๆ งามๆ เป็นเรื่องปกติ ผมชอบผู้หญิงสวยมีสไตล์ ชอบผู้ชายหน้าหล่อสะดุดตา พอเห็นภาพคุณคนแรกกับเธอยืนข้างกันเลยกลายเป็นอาหารตาชั้นเยี่ยม

   แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นมั้ย

   คุณคนแรกเองก็คาดไม่ถึงว่าจะโดนถามเอาดื้อๆ ทั้งที่มัวแต่จ้องผมไม่ให้คุยเล่นกับลูกค้าจนเกินไป แหม ผมก็ไม่ได้ซื่อขนาดไม่รู้สักหน่อยว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่ถอยฉากหนีหาย ตั้งใจมากดดันด้วยความหวงก็บอกมา แต่กลายเป็นว่าโดนจีบเองซะงั้น แล้วจะไม่ให้งงได้ยังไง

   เห็นหน้าตายๆ ที่แอบเหวอ ผมก็หลุดยิ้มขำ ก่อนจะหันไปยักคิ้วให้คุณคนแรกเมื่อเขาหันมาเป็นเชิงถามความเห็น

   พลันเจ้าตัวยิ้มร้าย

   “ขอโทษครับ คนที่ผมจีบกำลังมองอยู่ คงให้เบอร์ไม่ได้”

   วินาทีนั้นสาวๆ ถึงกับหันพรึบพรับว่าใครที่กำลังมองคุณคนแรก คนนั้นใช่มั้ย คนนี้ใช่รึเปล่า ต่างคนต่างสับสนและพยายามหาผู้โชคดี โดยไม่ยักจะมีใครเดามาที่ผมบ้างเลย

   เจอแบบนี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ผมปรับสีหน้า บริการลูกค้าต่ออย่างมืออาชีพ จนกระทั่งถึงคิวคุณคนแรก เขาก็ยักคิ้วกวนแบบไม่ให้ใครเห็นนอกจากผม

   “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

   “ครับ” ผมหันไปชงเครื่องดื่ม ลอบร้อนๆ หนาวๆ ในใจ แต่ระหว่างนั้นคุณคนแรกก็ยืนรอได้สงบเสงี่ยมดีมาก จนไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมสั่งชานมแล้วจากไปง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ

   “ชานมไข่มุก สามสิบบาทครับ” เพราะคุณคนแรกไม่ได้โชว์หน้าเพจ ผมเลยคิดราคาเต็มซะเลยเป็นการแก้เผ็ดที่เขาคิดจะเล่นอะไรแผลงๆ ซึ่งคุณคนแรกก็ไม่ได้โวยวายอะไร แต่หยิบเศษเหรียญขึ้นมานับแล้วบรรจงวางบนมือผมทีละเหรียญ ท่ามากกว่าเคยนะวันนี้


   หนึ่งบาทแรก...


   “วันนี้อากาศดีนะครับ”

   “ครับ ร้อนกำลังดีเลย”

   เหรียญที่สอง

   “คนเยอะนะครับ”

   “ใช่ครับ และกำลังมองมาทางนี้ด้วย” ผมเอ่ยเตือนว่าเขากำลังให้ลูกค้าของผมรอนาน แต่คุณคนแรกยังคงหยิบทีละเหรียญอย่างเชื่องช้าจนน่าถีบ

   เหรียญที่สาม

   “เมื่อกี้มองผมทำไมครับ”

   “ไม่ได้มองสักหน่อยครับ”

   คุยกับเขาแบบสุภาพด้วยฐานะเจ้าของร้านชานมกับลูกค้าอย่างนี้ก็ตลกดี ปกติคุณคนแรกไม่ค่อยจะพูดครับ แล้วแทนตัวว่าผมสักเท่าไหร่

   “ผมเห็นนะว่าคุณมอง”

   “ไม่ได้มองครับ”

   เหรียญที่สี่ ที่ห้า ที่หก...

   “งั้นผมให้เบอร์ดีมั้ยครับ”

   “ก็เรื่องของคุณสิครับ”

   เหรียญที่เจ็ด ที่แปด...

   “แต่ผมกำลังจีบคุณนะ ไม่รู้ตัวเหรอ”

   ไม่รู้ตัวก็บ้าแล้วสิครับ!

   แน่นอนว่าผมพูดออกไปแบบนั้นไม่ได้ ท่ามกลางเหล่าสาวๆ ที่ดูจะหูผึ่งกันเป็นพิเศษ ไม่เว้นกระทั่งคนที่ขอเบอร์คุณคนแรก ซึ่งดูจะฟินอย่างประหลาดทั้งที่ผู้ชายที่หมายปองกำลังหยอดขนมจีบกับผู้ชายอีกคน

   สมัยนี้เรื่องการรักชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แถมบางทียังเป็นที่ชื่นชมในกลุ่มสาวๆ บางกลุ่มอีกต่างหาก และดูเหมือนผมจะเจอแจ็กพอตเข้าให้ ดูจากความเงียบที่พวกเธอจงใจรูปซิปปากเพื่อให้คุณคนแรกมีเวลาหยอดผมได้นานๆ

   “ไม่ตอบ แสดงว่ารู้”

   เหรียญเก้า เหรียญที่สิบ เหรียญที่สิบเอ็ด

   “รู้แล้วทำไมถึงยิ้มแฉ่งให้คนอื่นถ่ายรูปครับ”

   “ลูกค้าขอ ผมปฏิเสธไม่ได้มั้ยล่ะครับ”

   เหรียญที่สิบสอง

   “ผมหวง”

   เหรียญที่สิบสาม

   “เรื่องของคุณสิ”

   เหรียญที่สิบสี่

   “อย่างน้อยก็อย่ายิ้มแฉ่งมากสิครับ”

   “ทำไมล่ะครับ” ผมเลิกคิ้วถาม ไม่ลืมนับเหรียญที่สิบห้า และสิบหกตามลำดับ

   “น่ารักเกินไป”

   ถึงตรงนี้ ก็คล้ายจะได้ยินสาวบางคนกลั้นเสียงกรีดร้องไม่อยู่

   หรือไม่ก็อาจจะเป็นเสียงกรีดร้องในใจของผมเอง ร้อยวันพันปี คุณคนแรกไม่เคยจะชมมาก่อน จู่ๆ มาชมว่าน่ารักต่อหน้าสาวๆ ที่มีคนน่ารักกว่าผมหลายเท่า ไม่ให้เขินได้ยังไงละปัดโธ่

   “อะแฮ่ม” ผมกระแอมไอแก้เก้อ

   “หน้าคุณแดงนะ”

   “อากาศมันร้อนน่ะครับ” ผมตอบเนียนๆ แม้จะไม่ค่อยเนียนสักเท่าไหร่ เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกในใจขัดแย้งกันขนาดนี้ อยากจะให้เขาหยอดนานๆ มั้ยก็ใช่ แต่อยากให้เขารีบวางเหรียญไวๆ มั้ยก็ใช่อีก

   จนตอนนี้กองเหรียญก็กองเป็นเหรียญที่ยี่สิบแล้ว

   “ผมเพิ่งนึกอะไรได้”

   “อะไรครับ”

   เหรียญที่ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง...

   “ผมยังไม่ได้แนะนำตัวกับคุณเลย” พลันคุณคนแรกควักเหรียญสองบาทออกมา เขายิ้มมุมปาก แม้ไม่พูดอะไร แต่พวกเรารู้กันสองคนว่านี่คือเหรียญสองบาทแทนกำลังใจ และเขากำลังให้ชดเชยในส่วนของสามวันที่ขาดหาย

   “ผมชื่อเจตน์”

   คุณคนแรกวางเหรียญสองบาทเหรียญแรก

   “อายุยี่สิบหก”

   ต่อด้วยเหรียญที่สอง

   “โสด”

   ตามด้วยเหรียญที่สาม

   “แล้วคุณล่ะครับ”

   ก่อนจะจบท้ายด้วยเหรียญที่สี่ สองบาทสี่เหรียญสำหรับสามวันที่ไม่ได้รับและวันนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ ผมแยกไปหยอดกระปุกด้วยสีหน้าที่พยายามนิ่งที่สุด แม้จะโคตรทำได้ยาก จนไม่กล้าสบตาลูกค้าคนไหน

   “ผมชื่อพิชญ์” ผมเอ่ย รับบัตรสะสมแต้มเขามาปั๊ม “อายุยี่สิบสอง”

   ก่อนจะส่งบัตรนั้นให้พร้อมเอ่ยคำสุดท้ายที่อยากจะมุดหน้าหนีลงดิน

   “โสดเหมือนกันครับ”


-------------------------
   
   เอื้ออออ ตอนนี้หวานเป็นลมไปเลยค่า เราแต่งไปกรี๊ดไปมาก ไม่น่าเชื่อว่าแค่คุยกันจะฮิ้วขนาดนี้ จีบกันใสๆ แต่ทำร้ายหัวใจสุดๆ เลย 5555
   และแล้ว ในที่สุด...ณ ตอนที่ 20...แต่นแต๊นนนนน
   พระเอกของเรื่องก็เปิดเผยชื่ออย่างเป็นทางการนะคะ! ขอแนะนำตัวอีกครั้ง นายเจตน์ อายุยี่สิบหก โสด และกำลังจีบพ่อค้าร้านชานมไข่มุก มีพ่อชื่อจ่อย คนกวนหน้าตายและสุดจะเนียน!

   ขอฝากตัวนายเจตน์ลูกพ่อจ่อยด้วยนะคะ <3
   
   
    #ผมกับชานมไข่มุก
   
   
   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 02-01-2020 20:43:59
น่ารัก อ่านไปยิ้มไป :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-01-2020 21:44:05
 :mc4: ฉลองๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-01-2020 22:27:24
แก้มแทบแตก อยากจะร่วมปิดปากกรี๊ดไปกับสาว ๆ แถวนั้น ฮา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-01-2020 00:14:40
ดีใจกว่าเค้าจีบกันออกหน้าออกตาก็ตอนได้รุ้ชื่อหระเอกนี่ล่ะ :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 03-01-2020 13:17:31
         สวัสดีคะ นายเจตน์ลูกพ่อจ้อย อิอิ

ในที่สุดก็รู้จักชื่อพระเอกเเล้ว

แถวยังมาจีบกันต่อหน้าลูกค้าอีก อยากประกาศ

ความเป็นเจ้าของซินะคะคุณคนแรก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-01-2020 15:19:45
อยากกรี๊ด เปิดง่ายๆซะงั้น
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-01-2020 15:21:42
อ่อยยยย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-01-2020 03:22:33
สวัสดีคุณเจตน์ อ่านมา20ตอน ได้รู้ชื่อคุณคนแรกสักที 55555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: aishiteru. ที่ 05-01-2020 11:01:46
ัร้าน JOY มาจาก จ่อย
และมีเจตเป็นเจ้าของร้านแน่ๆๆๆๆๆ
มันต้องใช่ 5555
ซื้อหวยต้องถูกแล้วนะแบบนี้
ลุ้นๆๆๆ //โดนนักเขียนไล่ออกไปเล่นที่อื่น
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 05-01-2020 20:31:00
ได้รู้ชื่อพระเอกแล้วเรา //ตอนที่ 20 เลยอ่ะคุ๊ณณณณณ :-[
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-01-2020 20:44:07
 :mc4:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 07-01-2020 10:29:03
อยากจะหวีดดังๆ เขาแนะนำตัวกันแล้วค่ะคุณขาาา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 07-01-2020 23:43:51
คุณเจตตตตตต :กอด1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Paparazzi ที่ 08-01-2020 17:21:51
สนุก น่าร้ากกกก

แต่แอบสงสารกฤต กำลังรุ่งแท้ๆ
นิสัยกฤตก็เป็นคนดีคนนึงนะ แง นางมีคู่ไหมค้า
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 20 : พ่อค้าน่ารัก - [3/1/63] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 08-01-2020 22:11:03
ผ่านไป 20 ตอน ในที่สุดคุณคนแรกก็เผยนามออกมา แถมออกตัวแรงว่าจีบพ่อค้าชานมดักหน้าสาวๆ ซะอีก.

พี่แกร้ายยยยยย.  :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 09-01-2020 20:23:52
ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ


      ผมจำไม่ได้แล้วว่าวันนั้นคุณคนแรกเดินกลับไปตอนไหน

      รู้แต่ว่าหลังพูดจบก็ก้มหน้างุดๆ สติแทบไม่มี ลูกค้าสาวๆ สั่งอะไรก็ทำตามด้วยสภาพสมองเลอะเลือน ยิ่งพอคุณคนแรกมารับช่วงปิดร้าน ก็ยิ่งตัวเกร็งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ เขายิ้มล้อพอเป็นพิธี ก่อนจะทำเหมือนเดิมในทุกวัน พาไปกินข้าว เดินเล่น จนสุดท้ายผมก็หายเกร็งในที่สุด

      อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าคุณคนแรกชื่อเจตน์

      ซึ่งดีกว่าชื่อจ่อยเยอะเลย

      ได้รู้จักกันมากขึ้น แม้จะทำทุกอย่างเหมือนเดิม แต่บางอย่างระหว่างเราคล้ายจะใกล้ชิดมากขึ้นอย่างไรชอบกล

      ที่น่าตลกคือกลุ่มสาวๆ ในวันนั้นกลายเป็นลูกค้าประจำผมซะงั้น แม้ว่าโปรโมชั่นโชว์ภาพลดสิบบาทจะหมดไปแล้วก็ตาม

      พวกเธอมักจะชะโงกหน้ามองหาคุณคนแรก บางครั้งก็ถึงถามผมตรงๆ ว่าอีกคนไปไหน ผมน้ำตาแทบไหล คุณลูกค้ามาเพราะชานมหรือเพราะอะไรกันครับ แต่ก็ไม่กล้าขัดพวกเธอนัก ตามตรงก็ตอบตรง ‘ว่าไม่รู้ครับ แต่เดี๋ยวเขาก็มาเอง’

      เป็นคำพูดที่ช่างมั่นใจแกมน่าหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก แต่พวกเธอดันชอบใจซะงั้น บางครั้งเวลาคุณคนแรกมาก็จะยอมให้ลัดคิวแต่โดยดีด้วย ตอนผมเช็กแทกของเพจ บางครั้งก็เจอกับเรื่องเล่าของสาวๆ ที่เหมือนจะเป็นฟิคในจินตนาการมากกว่าความจริง ชักชวนให้กลุ่มคนที่ชื่นชอบอย่างเดียวกันตามมาดูให้เห็นกับตา

      รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของแปลก แม้จะนึกขอบคุณที่พวกเธอไม่รังเกียจ แต่ก็อยากจะให้เคารพความเป็นส่วนตัวสักนิดเหมือนกัน...ยังดีตรงที่เจตน์นั้นเป็นพวกนิ่งขรึมชอบทำหน้าตาย เลยไม่ค่อยมีคนกล้ายุแหย่อะไรเขานัก ส่วนใหญ่มาหนักที่ผมนั่นแหละ

      คงรับรู้ถึงความลำบากใจของผม หลังจากนั้นเจตน์ก็เปลี่ยนเวลามาหา จากช่วงเช้าก็เปลี่ยนมาช่วงบ่ายแทน พวกสาวๆ มาเก้อหลายวันเข้าก็เริ่มห่างหายไปทีละคนสองคน แม้ลูกค้าจะลด แต่ผมกลับสบายใจมากกว่าเพราะอยากให้ติดชานมมากกว่าติดอย่างอื่น อีกอย่างการโดนถามว่าคบกันรึยังเนี่ย ค่อนข้างละลาบละล้วงเกินไปนิด ผมไม่ใช่คนชอบเล่าเรื่องตัวเองให้คนไม่สนิทฟังอยู่ด้วย จะประชดกลับก็ทำไม่ได้ พอคนน้อย กำไรลด ผมกลับแทบสวดมนตร์ขอบคุณฟ้าดิน

      ยังไงก็ตาม หญิงสาวคนแรกที่ถ่ายรูปผมก็ยังเป็นลูกค้าประจำแม้จะไม่เจอเจตน์แล้วก็ตาม สาวๆ บางคนก็มาบ้างไม่มาบ้าง คุณยายร้านปักร้านยังอดแซวไม่ได้ว่าผมเนี่ยเนื้อหอมทั้งหญิงและชายเลยนะ

                ได้ยินแล้ว...ก็ทำหน้าไปไม่เป็น

      สรุปแล้วร้านชานมของผมยังคึกคักดี จำนวนคนกดไลค์เพจก็พุ่งทะลุห้าพันแล้ว นับเป็นการเติบโตในระดับน่าพอใจ ทั้งนี้ทั้งนั้น...ต้องขอบคุณรูปถ่ายยิ้มแฉ่งนั่นด้วยละนะ

      ส่วนผมกับเจตน์ก็ยังศึกษาดูใจกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนเดิม ผมอาจเป็นคนใจร้อน แต่ไม่ใช่คนที่ชอบความสัมพันธ์แบบรีบร้อน ช่วงหลังมานี้ก็เริ่มเล่าเรื่องตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องพี่ชาย เรื่องสมัยเรียนมหาลัย และเรื่องไอ้ภูมิ

      ครับ วันหนึ่งผมก็เล่าเรื่องภูมิ และเหมือนเป็นคำสาป เพราะในเย็นวันนั้นเอง...

      ไอ้ภูมิกลายมาเป็นเพื่อนข้างห้องผมซะฉิบ!!

      “มึงมาได้ไงวะ” ผมชี้หน้าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่ยืนกุมมืออย่างเจี๋ยมเจี้ยมหน้าประตู

      “แฮะ...โดนเจอตัวซะแล้ว”

      มาฮงมาแฮะอะไร พูดแบบนี้แสดงว่ามันย้ายมาอยู่สักพักแล้วงั้นสิ

      “มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

      “ก็ราวๆ สัปดาห์ก่อน”

      ผมถึงกับตบหน้าผากตัวเอง นึกสงสัยว่าทำไมไม่เคยสังเกตข้างห้องที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่เลย คงเพราะผมไม่ใช่คนสอดรู้ คงเพราะผมออกจากห้องแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับมาก็ดึกดื่นมืดค่ำ เลยไม่ทันสังเกตว่าคนคนนั้นคือไอ้ภูมิ และคงจะไม่มีทางรู้ ถ้าในวันนี้ไม่กลับเร็วกว่าปกติเพราะเจตน์เล่าว่าวันนี้เป็นวันเกิดน้องสาว

      ครับ ผมเริ่มเล่าเรื่องตัวเอง เจตน์ก็เริ่มเล่าเรื่องของเขาเหมือนกัน ครอบครัวของเจตน์ประกอบด้วยพ่อ ตัวเองเขาเอง และน้องสาวที่ห่างกันห้าปี แม่ของเจตน์เสียหลังคลอดน้องไม่กี่ปี แม้จะไม่พูดอะไรเรื่องครอบครัวผมนัก แต่จากท่าทางของและสายตาเวลามองผม คล้ายจะสื่อเป็นนัยๆ ว่า...ดีแล้วที่อย่างน้อยผมยังมีแม่

      นึกแล้วก็แอบสะทกสะท้อนในใจ ผมโทรรายงานตัวกับแม่ทุกวันแต่ไม่กล้าคุยนานมากเพราะกลัวโดนถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ ร้านชานมเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ระยะเวลาที่ทอดยาวคือการพิสูจน์ตัวของผม แต่ก็ไม่รู้ว่าสำหรับแม่นั้นจะเป็นการทรมานใจกันรึเปล่า ผมเริ่มคิดหาวิธีให้แม่สบายใจนับจากวันนั้น ก่อนจะพบว่า...แม่ชิงตัดหน้า ส่งคนมาเฝ้ากันซะงั้นหลังหนีออกจากบ้านครบหกเดือน

      ซึ่งก็คือไอ้ภูมิเจ้าเก่าเจ้าเดิม

      “กูเคลียร์กับกฤตแล้วนะ” โดนผมจับได้ ไอ้ภูมิก็รีบเล่าว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น “โดนต่อยไปหลายที โชคดีที่ไม่ถึงขั้นแจ้งความ แลกเปลี่ยนกับหาว่าใครคือคนที่ซื้อคลิปไป และต้องคอยแจ้งลบคลิปทุกครั้งเวลาที่เห็น ถ้าใครดื้อก็เตรียมฟ้องร้องกันเต็มที่”

      หลังคลิปหลุด กฤตก็เก็บตัวเงียบ เจ้าคลิปตัวปัญหาเองก็โดนไล่ลบจนแทบไม่มีใครกล้าปล่อยจนกระแสเริ่มซาลง ที่แท้เป็นฝีมือไอ้ภูมินี่เอง

      “ส่วนเรื่องหนี้พนัน...” ภูมิยิ้มแห้ง “กูไปหาแม่มึงแล้ว สารภาพหมดเปลือก โดนเทศน์หนึ่งวันเต็มๆ พร้อมเงินหนึ่งก้อน กูล้างหนี้ทั้งหมดก่อนจะไปสารภาพกับพ่อแม่ โดนตีก้นด้วย ยังเป็นรอยแดงอยู่เลย มึงอยากดูมั้ย”

      “ไม่อยากโว้ย” ผมแทบจะยกเท้าถีบคนที่เอี้ยวตัวคล้ายจะหันหลังถอดกางเกงโชว์

      “เพื่อแลกกับหนี้ที่แม่มึงช่วยใช้ให้ เขาขอให้กูมาอยู่เป็นเพื่อนมึงจนกว่าจะกลับบ้าน แต่กูกลัวมึงยังโกรธอยู่ เลยมาเช่าห้องข้างๆ รอรวบรวมความกล้าแล้วจะโผล่หน้ามาทักทาย...”

      “ระหว่างนี้ก็แอบสอดส่องกู เก็บข้อมูลกูไปรายงานแม่อีกรึเปล่า” ผมจ้องจับผิดเต็มที่

      “ไม่ กูไม่กล้าทำแล้ว และแม่มึงก็ไม่กล้าให้กูทำแล้วด้วย คือ...กูเล่าไปหมดเลยว่ามึงรู้อะไรบ้าง และทำไมถึงหนีออกจากบ้าน”

      ผมหันขวับทันควัน สิ่งที่ผมไม่กล้าเล่า ไม่กล้าบอกกับใคร ไอ้ภูมิดันปากโป้งจนหมด

      แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้าย

      แม้ภูมิจะรู้ไม่หมดว่าแม่คือผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องกฤตและย้ายผมออกจากแผนกการเงินก็ตาม แต่ถ้ายกคำพูดที่ว่าผมหนีออกจากบ้านเพราะทุกคน แม่ก็น่าจะเดาได้ว่าผมรู้ทุกอย่างแล้ว

      “แล้วแม่กูว่าไง”

      “ก็ส่งกูมานี่ไง แต่ไม่ต้องรายงานแล้ว เรื่องมึงกับผู้ชายคนนั้นก็ปล่อยไป เขาแค่ส่งกูมาเป็นเพื่อนมึงเฉยๆ จะได้ไม่เหงา”

      ผมลูบหน้า ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ออกมายังไง มันทั้งโล่งใจและเสียใจ เพราะแม่เริ่มจะปล่อยผม เริ่มจะเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงแบบตามปกป้องดูแลทุกย่างก้าวแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นตอนรู้ความจริง ไม่รู้ว่าท่านจะน้ำตาตกบ้างรึเปล่าที่เป็นหนึ่งในสาเหตุให้ผมหนีออกจากบ้าน ทั้งที่รักมากและโอ๋มากแท้ๆ...

      ถึงว่าสิช่วงหลังมานี้ไม่เคยถามเลยว่าจะกลับเมื่อไหร่

      ผมร้อนตัวไปเองทั้งนั้น

      แต่ไม่ว่าจะคิดมากหรือไม่ ผมก็ควรจะ...ทำตัวเป็นลูกที่ดีสักหน่อย

      ผมตั้งใจว่าสุดสัปดาห์นี้จะแวะไปหาพวกท่านที่บ้าน แค่แวะไปหา แต่ไม่ได้นอนค้าง ไปดูให้เห็นว่าผมยังสุขสบายดี ก่อนหน้านี้ที่ไม่กล้าไปก็ด้วยจะกลัวโดนรั้งให้อยู่ยาวพ่วงโดนค้านเรื่องร้านชานม แต่ในเมื่อทุกคนรู้ความจริงก็น่าจะเลิกแล้วละมั้ง

      “แล้วนี่มึงมีเงินจ่ายค่าเช่าห้องด้วยเหรอ”

      “กูก็พอมีเงินเก็บอยู่หน่อยๆ แต่ว่าจะหางานทำเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่มีกิน แค่จ่ายหนี้ให้กูก็เกรงใจจะแย่ ให้ไปแบมือขอเงินแม่มึงอีกไม่ไหวหรอก กับพ่อแม่ตัวเองกูก็ไม่กล้า ถ้าแค่ดูว่ามึงยังสบายดีมั้ย แอบส่องตอนเช้ากับตอนเย็นก็พอ”

      “งั้นกูจ้างมึง”

      “เอาจริงดิ!?” ภูมิทำหน้าเหวอ

      “ให้วันละสามร้อย ตกเดือนละเก้าพัน มึงไหวมั้ยล่ะ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ากูไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างเยอะหรอกนะ”

      “ไหวดิไหว” ไอ้ภูมิรีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะยิ้มซื่อ ทั้งที่หน้ามันโฉดเหมือนพวกนักเลง แต่ความจริงแล้วมันค่อนข้างซื่อบื้อ เป็นเพื่อนที่คอยตามเกาะผม ถามว่าจะทำอะไรต่อแล้วก็บอกโอเค! พร้อมลุยไปด้วยกันคนนั้น “ได้อยู่กับมึงอีกครั้งกูก็ดีใจแล้ว”

      “มึงไม่ได้คิดอะไรกับกูใช่มั้ย” ผมลูบแขนตัวเองที่ลุกพรึ่บ

      “คิดเชี่ยอะไรล่ะ” ไอ้ภูมิรีบปฏิเสธเสียงหลง

      พวกเราเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน เสี้ยววินาทีนั้นเรียกความรู้สึกเก่าๆ ช่วงที่มันยังไม่ติดพนันให้หวนคืนมา แม้ว่าภูมิจะเกาะติดเพราะได้เงินค่าจ้างและหวังประโยชน์ก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้น...

      ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเราก็เรียกเต็มปากเต็มคำว่าเพื่อน

      ผมเหมือนได้เพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว

      





      เช้าวันต่อมา คุณคนแรกถึงกับค้างในท่าส่งหมวกกันน็อกให้เมื่อเห็นใครอีกคนยืนถือหมูปิ้งอยู่ข้างหลังผม

      “ลูกจ้างคนใหม่ของฉันเอง” ผมอธิบาย ก่อนจะผายมือช่วยแนะนำตัว “ชื่อภูมิ”

      คุณคนแรกพยักหน้าหนึ่งทีเป็นเชิงยินดีที่ได้รู้จัก แม้พวกเขาจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาสักพักแล้วก็ตาม

      “ส่วนไอ้ภูมิ นี่เจตน์”

      “แฟนมึง?”

      “คนคุยโว้ย” ผมหันไปต่อยต้นแขนมันหนึ่งที อยู่กับมันทีไรไม่รู้ทำไมชอบลงไม้ลงมือทุกที

      “เขินแล้วมือหนักนะมึง”

      “เงียบแล้วปั่นจักรยานไปเลย” เพราะผมนั่งมอเตอร์ไซค์กับเจตน์ เลยยกจักรยานให้ภูมิเป็นการประหยัดค่าเดินทาง

      หันมารับหมวกกันน็อกมาสวม ผมก็ยื่นให้คุณคนแรกช่วยรัดสายใต้คางให้ ไอ้ภูมิโห่แซวอยู่ข้างหลัง ผมเลยยกนิ้วกลางแจกหนึ่งที

      “อยู่กับเพื่อนแล้วร่าเริงสดใสดีนะ”

      ไม่รู้ว่านั่นเป็นคำชมหรือประชด ผมเลยตอบตามจริง

      “รู้จักกันมานาน สันดานเลยออก”

      เจตน์หลุดหัวเราะพรืด ทำให้ผมพลอยยิ้มตามไปด้วย สวมหมวกกันน็อกเสร็จก็ไปนั่งซ้อนหลัง ที่น่าตลกคือ...ความเร็วเวลาไอ้ภูมิปั่นจักรยาน แทบจะเทียบเท่าเจตน์เวลาขี่มอเตอร์ไซค์

      “สงสัยกูถึงร้านก่อนแน่ๆ เลยว่ะ” ไอ้ภูมิทำหน้าล้อเลียนระหว่างรอสัญญาณไฟแดง

      “งั้นเอากุญแจไป” ผมโยนกุญแจเปิดร้านให้ง่ายๆ ภูมิแอบเหวอ แต่ก็แบมือรับกุญแจ “ฝากด้วยนะ เพื่อนรัก”

      ผมยิ้มแฉ่ง ไอ้ภูมิสบถหัวเสียนิดหน่อย แต่พอไฟเขียวมันก็ปั่นนำไป ส่วนผมเกาะเอวคุณคนแรก ฮัมเพลงอย่างสุขกายสบายไปทั้งใจ

      “อารมณ์ดีเชียว” คุณคนแรกอดแซวไม่ได้ และก็ต้องยอมรับว่าวันนี้ผมคึกคักกว่าทุกวันจริงๆ

      “แล้วไม่ดีเหรอ”

                  ผมวางคางกับบ่าของเจตน์ กระซิบข้างหูเพราะกลัวเขาไม่ได้ยิน โปรดนึกภาพว่า...ผมกำลังกระซิบข้างหูที่มีหมวกกันน็อกกั้นอยู่น่ะ

      “ดี” เขาเอ่ย จงใจขับช้ากว่าเดิมเพราะไม่ต้องรีบไปเปิดร้านแล้ว “แต่ก็ไม่ดี”

      “เอาอย่างไหนกันแน่” ผมขมวดคิ้ว

      “มีก้างขวางคอมาเพิ่ม จะดีได้ยังไง”

      ผมหัวเราะก๊าก ก่อนจะกอดเอวเขาแน่นขึ้น สื่อกลายๆ ว่าอย่างภูมิน่ะเหรอจะขวางคออะไรผมได้ ไม่มีวันซะหรอก!

      -------------------

   ภูมิกลับมาครั้งนี้ไม่มาม่าค่ะ มาอย่างสำนึกผิดแล้ว มาเป็นเพื่อนพิชญ์ช่วยกันขายชานม และมาเพื่อเหม็นความรักค่ะ 555555

    #ผมกับชานมไข่มุก
   
   
   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-01-2020 20:48:52
 o13
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-01-2020 21:01:15
ดีมาก กลับตัวได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-01-2020 23:00:17
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-01-2020 00:22:49
มาดีก้อดีปายยยย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-01-2020 09:03:06
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-01-2020 09:22:48
ตลกความขับมอ'ไซด์ช้ากว่าคนขี่จักรยานของคุณคนแรก ฮา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-01-2020 09:24:06
สนุกมาก ชอบบบบบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แนะนำตัว รู้ชื่อ อายุ สถานะ กันแล้ว
แต่เจตน์ ไม่เห็นบอกอาชีพให้พิชญ์รู้เลย
แอบคิดว่าเจตน์เป็นเจ้าของร้านชานมดังปากซอย แห่ะๆ
เรื่องล้อชื่อพ่อชื่อแม่มีมาทุกยุคสมัยจริงๆ นี่ก็โดนมากับตัว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-01-2020 11:23:50
ขำคุณคนแรก  โอ๊ะ คุณเจตน์ เค้าเผยชื่อเสียงเรียงนามแระ

แต่อย่างคุณเจตน์ ก้างขวางคอคงไม่ใช่อุปสรรคสินะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-01-2020 14:44:42
กลับตัวกลับใจได้ก้ดีนะอย่าไปเล่นอีกล่ะพนัน อยู่กับเพื่อนอ่ะดีแล้ว
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 11-01-2020 17:24:54
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 12-01-2020 00:18:00
คุณเจตน์จีบอีกกกกกกกกกก จีบกันอีกๆๆๆๆ ขอร้องงง  :impress2:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 21 : การกลับมาของภูมิ - [9/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 13-01-2020 20:48:06

เย่ๆๆน้องพิชญ์จะได้ไม่เหงาแล้วมีทั้งแฟนทังเพื่อน
ร้านชานมไข่มุกจะได้ครึกครื้น
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 18-01-2020 18:52:04
ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ

   เพราะภูมิหน้าค่อนข้างโฉด ผมกลัวเสียลูกค้า เลยปริ้นภาพหน้ากากฮีโร่พิชพิชจากร้านถ่ายเอกสาร จากนั้นก็ตัดเป็นวงกลม เอาเชือกร้อย แล้วบังคับให้มันใส่ไว้

   ผลตอบรับออกมาดีทีเดียว ทุกคนเห็นแล้วพากันขำกับผู้ชายตัวใหญ่ใส่หน้ากากกระดาษลายฮีโร่พิชพิช แม้ไอ้ภูมิจะบ่นพึมพำไม่หยุดว่าหายใจไม่ออกก็ตาม พอมีคนช่วยรับออเดอร์ ช่วยคิดเงิน ผมก็มีเวลาชงเครื่องดื่มอย่างตั้งอกตั้งใจมากยิ่งขึ้น แถวที่เคยยาวในตอนเช้าก็รับมือได้ดีกว่าเก่า

   ส่วนเหล่าสาวๆ ที่ชอบเชียร์ระหว่างผมกับเจตน์นั้น...ออกจะฝันสลายหน่อยๆ เมื่อเห็นภูมิ

   “เอ๊ะ แล้วพี่คนนั้นล่ะคะ”

   พวกเธอมองมากึ่งคาดโทษราวกับว่าผมเป็นฝ่ายนอกใจยังไงยังงั้น

   “เดี๋ยวเขาก็มาครับ ส่วนคนนี้...” ผมจับบ่าภูมิ “เป็นฮีโร่พิชพิช”

   ภูมิมันแอบเบ้ปากใต้หน้ากาก มันไม่ค่อยเข้าถึงพวกตัวการ์ตูนฮีโร่เท่าไหร่

   “ถ่ายรูปได้นะครับ เชิญเลย”

   และแล้ว #พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย ก็มีภาพไอ้ภูมิไปร่วมก๊วนเป็นเกียรติเป็นศรีแก่ชีวิต แม้จะอยู่ในสภาพสวมหน้ากากฮีโร่พิชพิช ดูน่ารักน่าชังสุดขีดก็เถอะ

   ตกเย็น เจตน์มารับผมไปกินข้าว ไอ้ภูมิถีบจักรยานกลับที่พัก ก่อนไปไม่วายบ่นเสียงหงอย

   “ใช่สิ กูมันหมาหัวเน่า”

   ผมยิ้มขำขณะซ้อนหลังคุณคนแรก ไอ้ภูมิมันติดผมจะตาย ขนาดตอนคบกับกฤต มันยังพยายามเอาตัวเองมาโผล่ในแทบทุกช่วงชีวิตของผมเลย อย่างที่เคยบอกไป ผมมองไอ้ภูมิเหมือนน้องชายคนหนึ่ง และบางทีไอ้ภูมิก็อาจจะเห็นผมเป็นเหมือนพี่น้องที่พ่วงสถานะเพื่อนเช่นกัน พวกเรารู้สันดานกันตั้งแต่แรกพบ ใครมีข้อเสียยังไงก็รู้หมด เลยต่างยอมรับกันได้แต่แรกแล้ว

   อีกอย่าง ภูมิไม่ค่อยทันคน ใจร้อน แต่ดันขี้เก๊ก ไม่ชอบให้ใครมองต่ำกว่า เลยมาเกาะติดผม คิดง่ายๆ ว่าผมอยากทำอะไรก็ทำไปเลย เพราะมันจะได้มีส่วนร่วมด้วย ได้เอาไปอวดคนอื่นพ่วงได้เงิน ฉะนั้นถึงจะเรียกว่ามันทนผม แต่มันก็สนุกไปกับหลายๆ กิจกรรมที่ผมบ้าบอทำในช่วงเวลาหลายปี

   พวกเราสนิทกันมาก แต่จะบอกว่าเพื่อนรักมั้ยก็ไม่เชิง แต่สุดท้ายท้ายสุด การที่มันเลือกตามมาเกาะผมอยู่ดีทั้งที่ไม่มีเงินก้อนใหญ่ล่อหูล่อตาแล้ว ก็นับว่าไอ้สิบปีที่ผ่านมานั้นไม่เสียเปล่าซะทีเดียว

   “วันนี้ไปไหนกันดี” ผมถาม

   “ไปบ้านฉันมั้ย” เจตน์เอ่ย ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สายตาแอบสำรวจว่าผมยินยอมหรือไม่ “เมื่อวานวันเกิดน้องสาว...เล่าเรื่องพิชญ์ให้ฟัง ทุกคนเลยอยากเจอ”

   “เหรอ” ผมทัดหูแก้เก้อ ตอนคบกับกฤต พวกเราเน้นที่ตัวเองมากกว่าคนอื่น เลยไม่ค่อยเปิดตัวกับครอบครัวของอีกฝ่ายนัก โดยเฉพาะกับพ่อแม่ผมที่ต่อต้านหนัก จนผมไม่กล้าจะถามถึงฝั่งของกฤตเลยสักครั้ง ฉะนั้น...นี่จึงเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ผมจะไปบ้านแฟน เอ๊ย บ้านของคนที่คุยอยู่ “ก็ได้ ไปสิ”

   “แน่นะ”

   “ชวนเองแท้ๆ จะถามย้ำทำไม” ผมเกาะเอวเขาแน่นขึ้น “แวะซื้อของก่อนนะ จะได้มีของขวัญไปฝากน้องสาวนาย แม้จะช้าไปหนึ่งวันก็เถอะ”

   เจตน์รับคำในลำคอ เขาดูโล่งใจนิดหน่อย คงคิดไม่ถึงว่าผมจะตอบรับง่ายๆ ทั้งที่ค่อนข้างชอบความเป็นส่วนตัวมากแท้ๆ กว่าเขาจะเข้ามาคุยอย่างสนิทสนม เปิดใจได้เท่านี้ก็ปาไปสามเดือน

   ผมซื้อชุดเครื่องเขียน เพราะน้องสาวเจตน์อายุน้อยกว่าผมแค่ปีเดียว น่าจะอยู่ในช่วงปีสุดท้ายของมหาลัย

   “ให้ชุดเครื่องเขียนเนี่ยนะ” เจตน์หัวเราะพรืด

   “ทำไมล่ะ” ผมอายนิดหน่อย ก็ไม่เคยมีพี่น้องผู้หญิงมาก่อน และทั้งชีวิตก็เคยคบแต่แฟนผู้ชาย ผมจะรู้ได้ยังไงว่าชอบอะไรกัน อย่างน้อยเลือกของที่ต้องใช้แน่นอนไม่เห็นเสียหายเลย

   “ไม่มีอะไร” เจตน์เอ่ย ยกแขนพาดบ่าผมขณะเดินกลับไปที่ที่จอดมอเตอร์ไซค์ “จูนคงชอบ”

   จูน คือชื่อของน้องสาวเขา

   “...ฉันไปเปลี่ยนดีมั้ย”

   เห็นรอยยิ้มของคนชอบแกล้ง นักป่วนประสาทยอดเยี่ยม ผมก็เริ่มไม่แน่ใจ

   “ไม่ต้องหรอก ไปเถอะ ป่านนี้คงรอนานแล้ว” เจตน์รั้งบ่าให้เดินไปด้วยกัน เพราะผมค่อนข้างเขินเวลาจับมือท่ามกลางคนเยอะๆ เขาเลยเปลี่ยนมาเดินโอบไหล่ผมแทนในบางครั้ง “หิวมั้ย”

   “หิวมาก” ผมลูบท้อง

   “เอานี่รองท้องไปก่อน”

   ไม่ทันจะถามว่านี่คือนี่ไหน เจตน์ก็ก้มหน้ามาประกบปากไวๆ หนึ่งที เป็นจูบที่ไม่ค่อยเรียกว่าจูบ น่าจะเรียกว่าจุ๊บมากกว่า

   ผมหน้าแดงก่ำ แทบจะทำชุดเครื่องเขียนตกพื้น แต่เจตน์ที่ยังเอามือพาดบ่านั้นยังคงรั้งให้เดินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยได้แต่ก้มหน้าลูบปากตัวเองเพื่อปรับตัวปรับใจไม่ให้เต้นแรงเกินไป

   จะเนียนเกินไปแล้วนะผู้ชายคนนี้!
   



   และแล้วก็มาถึงบ้านเจตน์ซึ่งเลยจากที่พักผมไปแค่ไม่กี่ซอยเท่านั้น

   เขาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านของเจตน์มีสองชั้น ขนาดไม่ใหญ่มากและมีสวนหลังบ้านด้วย เขาเลี้ยงหมาหนึ่งตัว ล่ามโซ่อยู่ตรงรั้ว เห็นแล้วผมก็สะดุ้งนิดหน่อย ไม่ค่อยจะถูกกับพวกสิงสาราสัตว์สักเท่าไหร่

   “กลัวเหรอ”

   ...โดยเฉพาะกับหมาหน้าโฉดพันธุ์โดเบอร์แมน

   “ไม่กลัวมั้ง หลบหลังนายขนาดนี้” ผมประชดพลางจับชายเสื้อเจตน์ไม่ให้เขาหนีหายไปไหน เกิดทิ้งผมไว้กับหมาตัวนี้มีหวังโดนฟัดเละแหงๆ

   “จิ๊บ!” หน้าอย่างโหด เสือกตั้งชื่อว่าจิ๊บ แล้วจะเรียกมาทำไม เจ้าหมาวิ่งหน้าตั้งเข้าหาจนสุดสายโซ่ เห่าเสียงดังจนผมหลบหลังเจตน์ที่หัวเราะขำไม่หยุด สุดท้ายเขาก็จับมือผมพาเดินเข้าไปในบ้าน เพราะมัวแต่เล่นอยู่ข้างนอกจนได้ยินเสียงตะโกนเรียกของผู้หญิงคนหนึ่งจากด้านใน

   แม่ของเจตน์เสียแล้ว ฉะนั้นผู้หญิงคนนั้นจะเป็นไปไม่ได้นอกจากน้องสาวของเขา

   จูนผิดจากที่ผมคิดนิดหน่อย ตอนแรกนึกว่าจะเป็นหญิงสาวน่ารักเรียบร้อย แต่มาเจอตัวจริงกลับวางมาดดุและตำหนิพี่ชายที่เอาแต่แกล้งเพื่อนอย่างผมแบบจริงจัง เธอให้มาดเหมือนคุณแม่จำเป็นท่ามกลางบ้านที่มีผู้ชายเรื่อยเปื่อยสองคน คนหนึ่งก็พ่อ อีกคนก็พี่ชายตัวดี

   “สวัสดีค่ะพี่พิชญ์” แต่พอหันมาหาผม สีหน้าฮึ่มแฮ่ของเธอก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน “อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว รอหน่อยนะคะ มื้อนี้จูนทำสุดฝีมือเลย ”

   “ไม่ต้องห่วงนะ เตรียมยาแก้ท้องเสียไว้แล้ว”

   “พี่เจตน์!” เป็นครอบครัวที่ครึกครื้นดีจริงเชียว ผมหัวเราะกับการโต้เถียงกันของพี่น้องทั้งสอง เพราะเวลาผมอยู่กับครอบครัวจะค่อนข้างสงบเสงี่ยมพอประมาณ ยิ่งช่วงทานข้าวนี่ห้ามพูดระหว่างเคี้ยวเชียว แม่ผมค่อนข้างมากมารยาท พี่พจน์เองก็ช่างได้ดั่งใจแม่ เคร่งเครียดจริงจังไปกับทุกอย่าง ส่วนพ่อนั้นออกแนววางมาดขรึม มาดผู้บริหาร ถือกฎว่าหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่ทำงานหาเงิน ส่วนภรรยาก็มีหน้าที่สั่งสอนลูก แม่เลยถือสิทธิ์ในการโอ๋ผมอย่างเต็มที่จนกลายเป็นลำเอียงหน่อยๆ

   ส่วนพ่อของเจตน์...

   อืม จะอธิบายยังไงดี ท่านดูใจดีมาก อะไรก็ได้ยิ่งกว่าลูกชายซะอีก ขนาดเห็นกฤตจูงมือผมเข้ามาในบ้านยังไม่ทักท้วงอะไรเลย ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนมาเยี่ยมเยือน ช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้ผมอีกต่างหาก

   “ขอบคุณครับ” ผมรีบยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ แอบเกร็งๆ นิดหน่อย

   “ไหว้พระเถอะลูก” พ่อของเจตน์หัวเราะฮ่าฮ่า แม้จะเป็นประโยคเดียวกันกับที่แม่ผมเคยพูดกับเจตน์ แต่สื่อไปคนละความหมายโดยสิ้นเชิง เพราะพ่อเขาดูจะยอมรับง่ายจนน่าตกใจ

   “ฉันไม่ใช่คนแรกที่นายพามาบ้านใช่มั้ยเนี่ย” ผมรีบถองศอกถามคนใกล้ตัวทันที ถ้าทุกคนจะดูเคยชินซะขนาดนี้ แสดงว่าเจตน์ต้องเป็นพวกเจ้าชู้มากรัก ชอบพาหนุ่มๆ มาบ่อยแน่ แย่ละสิ ผมค่อนข้างเข็ดคนเจ้าชู้ซะด้วย
 
   “คิดมาก” เจตน์ผลักศีรษะผมเบาๆ หนึ่งที “จูน มานี่หน่อย”

   น้องสาวของเจตน์ที่หลังเปิดประตูแล้วก็วิ่งหายไปทางครัวชะโงกหน้าออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิด

   “อะไรพี่เจตน์ เดี๋ยวไข่ไหม้ ให้ไวเลย”

   “ยืนยันความบริสุทธิ์ใจให้พี่หน่อย”

   “พี่เจตน์น่ะนะมีหัวใจที่บริสุทธิ์ด้วย”

   โอ๊ย พี่น้องคู่นี้แทบจะทำผมขำกรามค้าง ระดับความกวนให้สูสีกันเลย

   แต่พอเจตน์เลื่อนมือมาตบไหล่ผมแปะๆ จูนก็เข้าใจเจตนารมณ์ เริ่มขายพี่ชายตัวเองทันที

   “พี่พิชญ์คะ ไม่ต้องห่วงนะ นี่เป็นครั้งแรกที่พี่เจตน์พาผู้ชายที่ไม่ใช่เพื่อนเข้าบ้าน และก็เป็นครั้งแรกด้วยที่กลุ้มใจอยากจีบคนจนเอามาปรึกษาน้องสาว พี่เจตน์ไม่ใช่คนเจ้าชู้ค่ะ ออกจะอ่อนประสบการณ์ด้วยซ้ำ และเขาก็ไม่ใช่เกย์ด้วย แต่เป็นพวกชายก็ได้หญิงก็ดี พี่ชายของจูนขอแค่ถูกใจเข้าหน่อยก็ได้หมดถ้าสดชื่น”

   “เยอะไปแล้วจูน” เจตน์กระแอมไอ

   “อุ๊ย เพลินไปหน่อย” จูนแสร้งยกมือปิดปากแบบไม่ตั้งใจ ก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งให้ผม “สรุปแล้วพี่เจตน์ถูกใจพี่พิชญ์มาก แต่ไม่ค่อยกล้ารุกจีบ กลัวจะโดนเกลียด ก็เลยมาปรึกษาน้องสาวคนนี้ ฉะนั้นถ้าจะชม ต้องชมจูนนะคะพี่พิชญ์”

   “ได้กลิ่นไหม้แล้วจูน”

   “ว้าย” แล้วจูนก็วิ่งหายเข้าไปในครัวทันที

    ผมล่ะร้องไห้ได้หัวเราะไม่ออก ได้แต่นั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวเพราะเกรงใจสายตาของพ่อของเขา

   “อายุเท่าไหร่ล่ะเรา”

   มาแล้ว คำถามสอบสัมภาษณ์จากผู้ปกครอง

   “ยี่สิบสองครับ” ผมตอบสุภาพ เหยียดหลังตรงเหมือนเวลาคุยกับพ่อแท้ๆ ของตัวเอง

   “เปิดร้านชานมใช่มั้ย”

   “ครับ”

   “ดี”

   ...หมดแล้วเหรอคำถามสอบสัมภาษณ์ ไวไปหน่อยมั้ง เตรียมใจเก้อเลยเรา

   ไม่นานจูนก็ยกกับข้าวออกมาวางบนโต๊ะอาหาร ผมลุกขึ้นหมายจะช่วย แต่เจตน์กดบ่าให้นั่งนิ่ง เขาเดินไปช่วยน้องสาว ได้ยินเสียงก่นด่าดังลอดมาเป็นระยะ เป็นคู่พี่น้องที่ปากเก่งกล้ากันจริงๆ

   “เชิญทานเลยค่ะพี่พิชญ์” จัดโต๊ะเรียบร้อยจูนก็มานั่งฝั่งตรงข้ามกับผมข้างพ่อของเธอ ขณะที่ผมนั่งคู่กับเจตน์ อาหารบนโต๊ะประกอบไปด้วยต้มยำกุ้ง ไข่เจียวหมูสับ และผัดผักบุ้งไฟแดง บ้านนี้กินรสจัดพอสมควร เพราะเล่นเอาผมปากแดงในเวลาไม่นาน

   ผัดผักบุ้งไฟแดงมีพริกเป็นเม็ดๆ เลยอ่ะ...

   “อร่อยมั้ยคะ”

   “อร่อยครับ”

   “ว้าย สุภาพจัง คนนี้จูนชอบ ให้ผ่านนะคะพี่เจตน์”

   ผมยิ้มค้าง...เก้อกระดากอย่างบอกไม่ถูก ทั้งเรื่องโดนแซวก็ดี เรื่องโดนชมก็ดี เพราะผมก็ไม่ใช่คนพูดจาเพราะพริ้งขนาดนั้น ลองมาได้ยินตอนคุยกับไอ้ภูมิสิ รับรองเธอวิ่งหนีแหงๆ

   แบบว่าไม่ใช่คนสุภาพ แต่รู้ว่าใครควรจะสุภาพด้วย

   “ไปเดินเล่นกัน”

   “อืม”

   กินข้าวเสร็จเจตน์ก็แบมือชวนผมไปนอกบ้าน คงจะเดาได้จากอารมณ์ไม่รู้จะพูดอะไรของผมตามประสานิสัยคุยกับคนนอกไม่เก่ง จนเริ่มจะกลายเป็นการอึดอัดอยู่นิดๆ ของขวัญที่ให้จูนไปนั้นเธอก็ดูไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แม้จะยิ้มให้ก็เถอะ ยิ่งทำให้กระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่ ผมมองเจตน์อย่างซาบซึ้งใจ จับมือเขาที่พานำโดยลืมซะสนิทว่า...

   โฮ่ง!

   มีจิ๊บอยู่ข้างนอก!

   หมาชื่อจิ๊บที่ตัวไม่จิ๊บกระโจนเข้าหาเจตน์ทันทีเมื่ออยู่ในรัศมีที่โซ่ล่ามถึง เล่นเอาผมยืนแข็งทื่อจนคิดว่าตัวเองหยุดหายใจไปแล้ว

   “จิ๊บ นั่งลง” เจตน์สั่งเสียงดุ เสียงของเขาทุ้มต่ำ พอกดเสียงต่ำเลยฟังโหดกว่าปกติ หมาตัวไม่น้อยนั่งลงทันทีอย่างแสนเชื่อง หางกระดิกแกว่งไกว “โทษที ตกใจมากมั้ย”

   “มาก” ผมเอ่ยเสียงเบาหวิว สติยังไม่กลับเข้าที่ดี

   “โอ๋”

   แค่คำพูดคำเดียว ด้วยน้ำเสียงที่ก็ไม่ได้หวานอะไร แต่กลับทำให้ใจผมเต้นจนลืมกลัวซะงั้น

   ผมยืนให้เขาลูบศีรษะสองทีเพื่อปลอบขวัญ ก่อนจะพากันจูงมือออกจากบ้านไปเดินย่อยอาหาร

   “นี่”

   “หืม”


   ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

   “พาผู้ชายมาที่บ้านครั้งแรก แล้วผู้หญิงล่ะ...พามากี่คนแล้ว”

   เจตน์ถึงกับหัวเราะพรืด

   โธ่ ผมเองก็อายปากตัวเองเหมือนกันนะ ไม่คิดว่าจะต้องมาตั้งคำถามจับผิดใครแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่ากลัวเขาเป็นพวกเสือซ่อนเล็บ ตั้งใจจะมาหลอก เห็นเงียบๆ แต่เก็บเรียบอะไรเทือกนั้น

   “คนเดียว เมื่อสี่ปีก่อน”

   นานพอตัว ผมโล่งใจขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็เชื่อได้ว่าไม่ใช่แค่คั่นเวลาช่วงเขาอกหักอยากได้รักมาดามใจ

   “มีอะไรจะถามอีกมั้ย” เจตน์แกว่งมือที่จับกันอยู่เบาๆ แกมกวน

   “ไม่มีแล้ว” ผมใช่คนชอบซอกแซกเรื่องชาวบ้านซะที่ไหน ที่ถามก็เพื่อความมั่นใจส่วนตัวล้วนๆ

   “งั้นถามบ้าง”

   “ว่ามาสิ” ผมเดินแกว่งแขนเขาเล่น คิดว่าคงไม่พ้นเรื่องแฟนเก่าอย่างกฤตแหงๆ แต่ผมเองก็ไม่มีอะไรปิดบังแล้ว เรื่องของผมกับกฤตจบกันชนิดที่แทบไม่เผาผีกันด้วยซ้ำ

   “คบกันมั้ย”

   ผมงี้แทบสำลักน้ำลายตัวเอง

   “อะ...อะไรนะ”

   บางทีอาจจะหูฝาดก็ได้

   “พามาที่บ้านแล้วไง ที่บ้านชอบด้วย ก็น่าจะคบกันได้แล้วมั้ง” เจตน์เอ่ยเหมือนกำลังพูดถึงดินฟ้าอากาศ น้ำเสียงเรื่อยๆ ซะไม่มี “หรือคุยกันสามเดือนเกือบสี่เดือนยังไม่พอ”

   “ก็พอแล้วมั้ง” ผมตอบแบบไม่มั่นใจเท่าไหร่ คราวของกฤต ล่อไปครึ่งปีกว่าจะใจอ่อน แต่สำหรับคุณคนแรก ที่ผมนั้นรู้สึกดีๆ ด้วยตั้งแต่วันแรก บางทีไม่จำเป็นต้องนานขนาดนั้นก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไม ปากแข็งๆ ของผมไม่ยักจะตอบรับออกไปสักที

   “งั้นคบกันแล้วเนอะ”

   ผมเสมองจันทร์เสี้ยว

   “คบกันแล้วนะครับ”

         เจตน์ไม่ยอมให้ผมเงียบเอาดื้อๆ ถามย้ำเสียงอ่อน ด้วยคำสุภาพที่ได้ยินทีไรเป็นใจสั่นทุกรอบ

   “...ครับ”

   ผมเหมือนเพิ่งรู้จักตัวเองว่าเป็นคนขี้เขินกับคนที่รักชอบกล กับกฤต รายนั้นชอบรุกมาตรงๆ คิดอะไรก็บอกอย่างนั้น แถมยังชอบอ้อนจ๊ะจ๋า ซึ่งยังพอรับมือไหวแบบไม่ท่ามากเท่านี้ แต่กับคุณคนแรกนี่มันอะไรกันวะ โดนตอดนิดตอดหน่อยก็ก้มหน้างุดแล้ว อายตัวเองชะมัด

   สงสัยผมจะแพ้ทางความเนียนหน้าตายสุดขีด

   และแล้วพวกเราก็เริ่มต้นความสัมพันธ์ในรูปโฉมใหม่ด้วยประการฉะนี้


   ----------------------
   คบกันแล้วค่าาา
   คู่นี้เป็นแนวเรื่อยๆ มาเรียงๆ นกบินเฉียงมาทั้งหมู่ ตอนขอคบก็จะเรียบเรื่อยชวนมึนนิดๆ แบบนี้ค่ะ แต่จริงๆ สองคนนี้ก็เหมือนคบกันมาสักพักแล้วนะ แค่ขาดการขออย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง ฮิ้ววว

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-01-2020 19:27:55
แหม~~~
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 18-01-2020 19:38:21
ในที่สุดอ่ะเนอะ คริคริ

เป็นแฟนกันแล้ว ดี๊ดีย์
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 18-01-2020 19:51:35
แหม รู้จักชื่อได้ 2 ตอน คบกันซะแล้วว
 :hao7:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-01-2020 20:30:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 18-01-2020 21:27:18
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 19-01-2020 02:03:40
เอ้าๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-01-2020 16:41:35
55555 ตอนขอคบยังรู้จักกันดีไม่นานเท่ารอรู้จักชื่อเลย
เข้าใจพิชช์นะ เจอแบบนี้ไป ก็รับไม่ไหวเหมือนกัน
เข้าใจว่าแม่ห่วง แต่มันมากเกินไปนะ
ขนาดเป็นแบบนี้ พิชช์ก็ยังโทษตัวเองด้วย
ก็ถือว่าไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร ถึงจะมีไม่ดีบ้างก็เถอะ

เจตน์มาถูกเวลาไหม ไม่รู้ รู้แต่ว่า เข้าหาได้เนียนมาก 5555
และตอนนี้ก็ขอคบแบบเนียนๆ ด้วย มาเหนือไปอีก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-01-2020 18:11:09
 เจตน์ ขอคบแล้ว   :-[
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Stiiiii ที่ 20-01-2020 20:39:49
น้องพีชน่ารักอ่ะชอบ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 20-01-2020 21:20:18
พาเข้าบ้านให้ดูตัวแล้วค่อยขอเป็นแฟนเหรอ หูยยย
แต่ก็ดีใกะน้องพิชญ์ด้วยนะ ดูอะไรๆ จะลงตัวแล้ว
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 22 : เปลี่ยนสถานะ - [18/1/63] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 22-01-2020 19:47:01
 ลูกตาจ้อยมีแฟนแล้ว ตบมือค่าาาา

ในที่สุดน้องพิชญ์ กับคุณคนแรก ก็เป็นแฟนกันแล้ว
น่ารักกก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม - [2/1/63] P.1
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 24-01-2020 20:07:49
ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม


   สุดสัปดาห์ ผมกลับไปหาพ่อแม่และพี่พจน์ที่บ้าน ไม่ลืมบอกอ้อมๆ ด้วยว่าจากคนคุยกลายมาเป็นคุณแฟนไปแล้ว
   
ผมลุ้นหัวใจแทบวายว่าจะไม่มีใครคัดค้านเหมือนที่ตอบตกลงคบกับกฤตรึเปล่า

   แต่เหมือนว่าทุกคนแลจะกลัวผมไม่ยอมกลับบ้าน เลยค่อนไปทางอยากจะทำอะไรก็ทำ เบื่อจะขัดแล้ว ผมเองก็โตพอจะมีความคิดความอ่านของตัวเอง ไม่ใช่เด็กที่จะยอมตามใครง่ายๆ เหมือนสมัยมหาลัยที่แม่เข้าใจผิดคิดว่าผมอยากลองเป็นเกย์กับกฤต ในเมื่อเลือกเส้นทางเดิม กับคนที่เปลี่ยนไป แม่ผมก็เริ่มจะรู้แล้วว่าการเป็นเกย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่อยากจะเป็นก็เป็น อยากจะไม่ก็ไม่เป็นเหมือนที่ผมบ้าทำกิจกรรมสารพัดอย่าง

   พี่พจน์เองก็พอจะเดาๆ ได้ว่าจะลงเอยแบบนี้เลยไม่ค่อยแปลกใจนัก จะมีก็แต่พ่อของผมนั่นแหละที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ไม่อยากค้านเพราะโดนแม่ถองศอกยิกๆ

   เป็นอันรู้กันว่าผมน่ะลูกรักแม่สุดๆ

   และถึงพ่อผมจะเคร่งขรึมแบบที่พี่พจน์ถอดแบบมาแค่ไหน ท่านก็เป็นพวก...กลัวภรรยา

   ความรักครั้งนี้ของผมเลยราบรื่นเกินคาดจนน่าเหลือเชื่อ

   ส่วนไอ้ภูมิ...

   ปล่อยไปเถอะกับเพื่อนผมคนนี้น่ะ เพราะมันมีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ นั่นคือ...

   “พิชญ์ กูต้องทำจริงๆ เหรอวะ”

   “ถ้าไม่ทำก็ออกจากร้านกูไปเลย” ผมเอ่ยแกมขู่ทั้งรอยยิ้ม แต่เล่นเอาภูมิทำหน้าปุเลี่ยนแบบจำใจสุดขีด และในช่วงเวลาสี่โมงเย็นที่โรงเรียนเลิกแล้วนั่นเอง ภูมิในชุดมาสคอตฮีโร่พิชพิชที่ผมสั่งทำพิเศษก็สวมหัวตุ๊กตาไปยืนอยู่หน้าร้านชานมของผม ลองขยับตัวเพื่อดูว่าพอจะเคลื่อนไหวสะดวกมั้ย จนกระทั่งได้เวลาสี่โมงสิบนาที เริ่มมีคนเดินเข้ามาซอย ผมก็หันไปให้สัญญาณมือว่าเตรียมพร้อมได้แล้วเกลอเอ๋ย

   ภูมิยกนิ้วโอเค ผมจึง...เปิดเพลงจากโน๊ตบุ๊คเสียงดังลั่น แม้จะไม่ดังไปถึงหน้าโรงเรียนประถม แต่สำหรับคนที่เดินผ่านซอยเนี่ยได้ยินแน่

   ก่อนคิดจะทำผมบอกกับเหล่าลุงป้าน้าอาแล้วว่าวันนี้จะลองกลยุทธ์ใหม่ จะเสียงดังหน่อยนะครับ แต่ขอแค่ห้านาทีเท่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ตกใจจนออกมาโวยวายไล่ภูมิไปไกลๆ ฉะนั้นเมื่อเสียงเพลงเริ่มเปิด ภูมิเริ่มแด๊นซ์กระจาย เหล่าคนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มเข้าซอยมายืนมุงอย่างสงสัยใครรู้

   พวกเด็กๆ ปรบมือตามจังหวะเพลงด้วยซ้ำ แถมยังหัวเอิ๊กอ๊ากชอบใจอีกต่างหาก

   มาสคอตฮีโร่พิชพิชที่เต้นกระจายชนิดหัวสั่นหัวคลอน คร่อมจังหวะบ้าง เร็วกว่าจังหวะบ้าง บ้าดีเดือดจนไม่ว่าใครเป็นต้องเหลียว บางคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ดีมาก ผมเองก็กำลังตั้งกล้องถ่ายตรงเคาน์เตอร์เหมือนกัน ไอ้ภูมิหันมาส่ายเอวใส่เป็นระยะ ก่อนจะทุ่มเททั้งพลังชีวิตในการเต้นห้านาทีครั้งนี้

   สำหรับผม รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วชะมัด แต่กับภูมิ คงรู้สึกว่าทำไมเพลงถึงนานขนาดนี้ กว่าเพลงจะจบ เล่นเอามันแทบลงไปทรุดกับพื้น มึนงงจนเดินเซ ผมถือโอกาสตะโกนเชิญชวนเหล่าไทยมุงหน้าร้านทันที

   “ตอนนี้ร้านชานมไข่มุกของเรามีเพจแล้วนะครับ ถ้ากดไลค์และแชร์ จะได้ส่วนลด 5 บาทนะครับ”

   ไหนๆ ก็เดินลึกมาถึงสุดซอยแล้ว แถมยังถ่ายคลิป เด็กๆ ชอบ มาเจอผมทำหน้าอ้อนใส่อีก เกือบครึ่งเลยเลือกที่จะมาต่อแถวซื้อชานม ช่วยกดไลค์และแชร์ ไอ้ภูมิเองก็ยืนถ่ายรูปกับเด็กๆ หน้าร้าน เป็นการประชาสัมพันธ์เรียกคนไปในตัว

   ตกเย็น คนเริ่มน้อย ผมก็โพสคลิปที่เพิ่งอัดลงไป

   ปรากฏคนแชร์ไวกระจายไปในทุกๆ กลุ่ม จำนวนคนกดไลค์เพิ่มขึ้นในพริบตาจนน่าตะลึง ผมเองยังคาดไม่ถึงว่าจะได้ผลขนาดนี้ ตอนแรกก็แค่คิดพิเรนทร์ เห็นคลิปมาสคอตธนาคารแห่งหนึ่งเต้นสุดใจขาดดิ้นแล้วน่ารัก คนแชร์เยอะ เลยเอามาลองใช้บ้างแค่นั้น แต่เจ้าตัวฮีโร่ถือแก้วชานมส่ายเอวกระจายขนาดนี้ คงจะภาพที่น่ารักเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่ #พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย ซึ่งได้แค่เฉพาะกลุ่ม

   “โคตรเจ๋งเลยภูมิ”

   “แน่สิวะ ค่อยคุ้มกับกูเกือบเป็นลมหน่อย”

   ผมกับไอ้ภูมิกำหมัดชนกัน รับรู้ถึงมิตรภาพและความเชื่อใจ ก่อนที่...

   “กูไปก่อนนะ ฝากปิดร้านด้วย”

   “ไอ้เพื่อนเลว!” ภูมิร้องโอดครวญเมื่อผมถอดผ้ากันเปื้อน มุดออกจากเคาน์เตอร์ เพื่อไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเจตน์  นี่ก็จะหนึ่งทุ่มอยู่แล้ว ผมกลับก่อนแค่สิบนาทีไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย

   สถานะจากคนคุยกลายมาเป็นเพื่อน มองจากภายนอกไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ถ้าจากภายในนี้เปลี่ยนชัดมาก

   อย่างน้อยก็ใจผมเนี่ยแหละที่มองเขาในแง่ของคนรักแล้ว ฉะนั้น...เวลาคุยกันบรรยากาศก็จะหวานละมุนขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก แต่ชวนจั๊กจี้ใจชอบกล ยกตัวอย่างเช่น...

   “วันนี้อยากดูหนังเรื่องอะไร” คุณคนแรกถาม พวกเรามีนัดดูหนังกันน่ะครับ ความจริงปิดร้านกับไอ้ภูมิก่อนก็ได้ แต่ผมอยากแกล้งมัน พ่วงอยากแสดงให้รู้ว่าผมไว้ใจกับมันมากแค่ไหน จะได้เลิกทำหน้ากระดากเวลาพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กันสักที

   ผมไม่ใช่พวกผูกใจเจ็บสักหน่อย ชอบทำหน้าหมาหงอยอยู่ได้

   “ไม่รู้สิ นายล่ะอยากดูอะไร” นี่คือหนึ่งความเปลี่ยนแปลง ปกติผมค่อนข้างยึดตัวเองเป็นใหญ่พอสมควร...ค่อนข้างตามใจตัวเองแบบไม่ถามความเห็นชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ ผมอยากคบกับเจตน์ไปนานๆ จะทำตัวเหมือนแต่ก่อนคงไม่ได้

   “ไม่รู้เหมือนกัน”

   แต่เจตน์ดันเป็นประเภทไม่มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ เขาค่อนข้างอะไรก็ได้ ใช้ชีวิตง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับหลักลอยไร้ความคิด เพราะบทเวลาที่เขาคิดจะทำอะไรขึ้นมาก็สามารถนำผมได้เหมือนกัน

   หรือให้พูดในแง่อวด คือเขามักแล้วแต่แฟน

   นี่ไม่ได้อวดเลยนะเนี่ย

   “หนังรักมั้ย”

   “ใครแถวนี้จะเขินรึเปล่า” เจตน์แซวผมหน้าตาย

   “พูดถึงตัวเองเหรอ” ผมก็ปากเก่งไปงั้นแหละ ตอนมาดูหนังครั้งแรกกับเขาไม่กล้าแม้แต่จะเลือกหนังรัก เพราะกลัวบรรยากาศจะเป็นใจเกินไป แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว คงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทำอะไรเกินเลยแล้วมั้ง

   “หนังรักแล้วกัน” ผมตัดสินใจ ลอบกลั้นยิ้มกับตัวเอง ดูหนังรักโรแมนติกกับเจตน์ นั่งกุมมือกัน พอถึงฉากหวาน พระเอกนางเอกจูบกัน พวกเราก็...

   “หนังผีดีกว่า” เจตน์สรุป ก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วแบบไม่รอคำตอบ

   ...คนแล้วแต่แฟนหายไปไหนวะ

   เก็บคำอวดไว้ได้มั้ย ผมว่าเขาชอบแกล้งแฟนมากกว่าอ่ะ

   แต่ถึงจะพูดแบบนั้น พอเห็นตั๋วจริงๆ เขาก็ซื้อหนังรักตามใจผมอยู่ดี ขอแค่ให้ได้กวนสินะคนคนนี้

   ระหว่างรอหนังเข้าฉาย เขาก็พาผมไปเลี้ยงชาบูบุฟเฟ่ต์ นานครั้งจะได้กินข้าวห้างสักทีเลยตามใจปากสักหน่อย ปกติพวกเราค่อนข้างประหยัด ไม่ค่อยฟุ่มเฟือยนั่งร้านหรูเท่าไหร่

   “ไปไหน” พอจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม จู่ๆ เจตน์ที่กุมมือผมอยู่ก็รั้งเบาๆ

   “ไปนั่งไง” ผมยืนงง

   “นั่งตรงนี้”  ไม่พูดเปล่า เจตน์ยังออกแรงดึงให้นั่งฝั่งเดียวกันกับเขาซะอีกแหน่ะ อายสายตาพนักงานบ้างมั้ย เธออุตส่าห์วางชามให้คนละฝั่ง สุดท้ายกลายเป็นผมที่ต้องเลื่อนมาตรงหน้าตัวเองด้วยความเกรงใจ

   “ผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันเนี่ยนะ” ไม่วายบ่นเบาๆ ทั้งที่เลื่อนชามเสร็จแล้วแบบไม่เล่นตัวสักนิด

   “อบอุ่นดี” เจตน์มองผมตาวาว คงจะลอบหัวเราะอยู่ในใจ

   “มองอะไรล่ะ สั่งสิสั่ง หิวแล้ว” ผมวางกระดาษสำหรับติ๊กรายการอาหารไว้ตรงกลางแก้เก้อ จะได้ก้มหน้าหลบสายตาคุณพนักงานได้หน่อย เจตน์นะเจตน์ ใช่ว่าจะเพิ่งคบกันได้วันสองวัน ปกติก็นั่งคนละฝั่งไม่เห็นจะว่าอะไร ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงนึกอุตริลากมานั่งเบียดกันซะงั้น

   แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี

   อืม...มันก็ดีมากๆ ละนะ

   ผมถือปากกาเตรียมติ๊กโดยที่เจตน์เอียงศีรษะมาจนแทบจะชนกันเพื่ออ่านรายการสะดวกๆ พวกเรามีแย้งกันเรื่องจำนวนนิดหน่อย เพราะผมชอบสั่งแบบเซฟๆ หมดแล้วค่อยติ๊กใหม่ก็ได้ แต่เจตน์ชอบสั่งมาโครมเดียวจะได้ไม่ต้องรอล็อตสองล็อตสาม สุดท้ายพวกเราก็เจอกันครึ่งทาง ติ๊กเสร็จผมก็ยื่นกระดาษให้พนักงานที่รออยู่นานแล้ว

   ...จะคิดซะว่าไม่เห็นสายตาล้อเลียนนั้นแล้วกัน

   ก่อนหน้าเป็นแฟนกัน ต่างคนต่างสวาปาม ชามใครชามมัน แต่พอเป็นแฟนกัน โมเม้นต์หวานๆ อย่างเอาอันนี้มั้ย จะตักให้ก็เริ่มมา แต่ก็ไม่ได้หวานชื่นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพราะเจตน์น่ะ...

   “ก็บอกว่าไม่ชอบกินคื่นช่ายจะตักมาทำไมฮะ” ผมคีบผักใบเขียวใส่ในจานเจตน์คนกวนแฟน คนอื่นเขาตักของชอบให้มั้ย นี่มาแปลก ตักของเกลียดให้เฉยเลย แถมไม่ได้มาแค่ใบเดียว ล่อซะเต็มชาม

   “ขอบคุณครับพิชญ์”

   แล้วดูคนตีเนียน...ผมคีบคื่นชายใส่ชามเขาอย่างรังเกียจผัก ไม่ได้คีบให้ด้วยความรักความพิศวาสมั้ยล่ะ ไม่ต้องมาทำหน้าซาบซึ้งทั้งรอยยิ้มมุมปาก เลย

   ผมพยายามจะหาของที่เจตน์ไม่ชอบบ้าง แต่เขาดันกินได้ทุกอย่างเลยนี่สิ...ว่าแต่ไปๆ มาๆ จากที่เจตน์คีบของกินแกล้งผม ไหงกลายเป็นผมคีบของกินให้เขาจนแทบล้นชามกันนะ แล้วเจ้าตัวก็เจริญอาหารมากซะด้วยสิ

   เหมือนตกหลุมพรางอะไรบางอย่างชอบกล ผมเองก็ไม่เคยจะตักของกินให้ใคร ตอนอยู่กับกฤตนะฝ่ายนั้นบริการดีเลิศอย่างกับเป็นเจ้าหญิงแหน่ะ เจอเจตน์คนเนียนเข้าไปเลยหัวเราะไม่ได้หัวเราะไปออก แต่ก็สนุกดี ผมน่ะโดนสปอยแต่เด็ก มีเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่แม่จ้าง ภูมิเลยไม่กล้าขัดผมสักอย่างเดียว มีแฟนคนแรกกฤตก็ชอบผมก่อน ตามจีบก่อน เลยยิ่งเอาอกเอาใจเข้าไปใหญ่ ส่วนเจตน์ถึงจะเป็นพวกแล้วแต่แฟน เขาก็แย้งผมบ้างเกรียนใส่ผมบ้าง ทำให้จากนิสัยเสียคล้ายจะนิสัยดีขึ้นชอบกล

   เหล่มองเจตน์...ก็แอบคิดในใจว่าถ้าเราเจอกันสมัยผมอยู่มหาลัยจะเป็นยังไงนะ ตอนนั้นน่ะช่วงพีคผมเลย แล้วก็เจอกับคำตอบที่ว่า...เราไม่น่าจะมาลงเอยกันได้ ช่วงนั้นผมโคตรหลงระเริง อยากได้อะไรก็ได้ ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง เจตน์เองก็ไม่ได้หล่อเหลาจนต้องเหลียว แถมยังชอบทำหน้าตาย ถ้าไม่คุยกันก็คงไม่มีวันได้รู้จักตัวตนจริงๆ

   นึกย้อนในวันแรกที่เจอกัน ผมก็พบว่า...จังหวะและโอกาสนั้นสำคัญสุดๆ

   ผมที่บ้าบอไม่สนใคร กับผมที่ตาสว่างจนหนีออกจากบ้าน ความคิดความอ่านราวกับคนละคน โดยเฉพาะหลังเปิดร้านชานมวันแรก...การปรากฏตัวของเจตน์ที่เป็นกำลังใจให้กันในวันที่ภูมิเจอผม เป็นแรงผลักดันที่สำคัญมากๆ

   “ตาจะเหล่แล้ว”

   บรรยากาศกำลังซึ้งได้ที่ เจตน์ก็ขัดจังหวะด้วยการคีบหมูยัดปากผมจนต้องเคียวหงุบๆ แก้มตุ่ย

   “นายเชื่อในพรมลิขิตรึเปล่า” กลืนหมูลงคอเสร็จผมก็ถาม ด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน

   “ดูละครมากไปแล้วนะเรา” เจตน์หัวเราะ ก่อนจะควานหาคื่นช่ายในหม้อเพื่อจะได้ตักใส่ชามผม คนอะไรไม่มีความโรแมนติกเลย

   กินชาบูเสร็จพวกเราก็ไปต่อที่ร้านไอติม ผมเป็นคนเลี้ยงในมื้อนี้เพราะไม่อยากเอาเปรียบแฟน ในเมื่อพวกเราสองคนก็ใช่ว่าจะมีเงินรวยล้นฟ้าขนาดจะเลี้ยงแฟนได้ทุกมื้อทุกวันทุกเวลา แม้ผมจะไม่รู้ว่าเจตน์ทำงานอะไรก็เถอะ

   ...เวรล่ะ เพิ่งรู้ตัวว่าจนตอนนี้ยังไม่เคยได้คำตอบเลยว่าเจตน์ทำอะไร

   ก็ถามทีไรโดนแถเนียนเฉไปเรื่องอื่นทุกที คิดแล้วผมก็จ้องหน้าเจตน์อีกครั้ง ซึ่งในร้านไอติม พวกเราก็ยังคงนั่งตัวติดกันปล่อยให้เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่าเหงาหงอย

   “จ้องอย่างนี้เขินนะ”

   เขินประสาอะไรพูดเสียงเรียบเรื่อยซะขนาดนี้!

   “นี่”

   “หืม”

   “นายทำงานอะไร เปิดร้านแถวร้านชานมไข่มุกฉันใช่มั้ย ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลยล่ะ หรือว่าอยู่ถัดออกไปอีกซอย แล้วทำไมถึงปลีกตัวมาหาได้บ่อยจัง ไม่ต้องเฝ้าร้านเหรอ” คล้ายอัดอั้นมานานผมเลยถามเป็นชุดแทบไม่เว้นช่วง

   เจตน์ค้างในท่างับช้อนไอติม คล้ายตั้งตัวไม่ทัน

   “เจ้าหนูจำไมจากไหนเนี่ย”

   “ไม่ตลก” ผมกอดอก แสดงถึงความจริงจัง

   พลันเจตน์เอาช้อนไอติมเคาะหัวผม

   “ใกล้เวลาหนังฉายแล้ว รีบกินเร็ว”

   เนียนจริงๆ เลยคนแถวนี้ ผมถลึงตาจ้องเขา เห็นเจตน์ไม่ยอมตอบจริงๆ ก็ถอนหายใจ อ้าปากรับไอติมจากคนที่ช่วยป้อนให้ด้วยหน้าตึงๆ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่กล้าไล่ต้อนเค้นถามมากกว่านี้น่ะนะ

   ผมเกลียดการโดนกดดันให้เล่าเรื่องตัวเองสุดๆ ถ้าจะพูด ผมจะพูดออกมาเอง

   ฉะนั้นเลยไม่ใจกล้าพอที่จะทำเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบกับเจตน์ คิดซะว่า...ถ้าเขาพร้อม เดี๋ยวก็เล่าออกมาเองนั่นแหละ!!
   





   อะไรนะ แล้วหนังรักละได้จูจุ๊บกันมั้ย

   ...น่าอายชะมัดที่ต้องบอกว่า...หนังน่าเบื่อจนผมกับเจตน์หลับหัวซบกันจนจบเรื่อง

   ผมไม่ใช่คนชอบดูหนังรักอยู่แล้ว ชอบพวกหนังตลกคลายเครียด ไม่ก็บู๊แอคชั่นมากกว่า และไอ้หนังเรื่องนี้ก็ดันเล่าเรื่องได้ยืดย้วยสุดๆ ดูไปไม่ถึงไหนด้วยความเพลียก็ทำให้เราสองคนหลับคร่อก ผมน่าจะนำไปก่อน เพราะเป็นฝ่ายเอียงศีรษะพิงกับไหล่เจตน์ ส่วนแฟนคนดีนั้นพอเห็นผมเฝ้าพระอินทร์เลยรีบตามมาอย่างไม่ช้า

   เป็นการดูหนังที่คุ้มค่าตั๋วสุดๆ!

   กว่าพวกเราจะรู้ตัวก็ตอนโรงหนังเปิดไฟไล่คน เล่นเอารีบออกจากโรงด้วยหน้ามึนๆ แบบยังไม่ตื่นดีกันทั้งคู่ ก่อนจะกลายเป็นยืนหัวเราะอยู่หน้าโรง นับเป็นการเดตที่น่าจดจำและล่มได้ตลกที่สุดในชีวิต

   ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงกับชวดจูบหรอกนะ

   เพราะตอนเจตน์มาส่งผมหน้าที่พัก เขาก็ถอดหมวกกันน็อกออก ก่อนจะชี้ที่ปากตัวเองหลายครั้ง

   “คันปากเหรอ ช่วยเกามั้ย” ผมแกล้งโง่

   “เอาสิ แต่ไม่ใช้มือเกานะ” คนอะไร เจ้าเล่ห์เหลือร้ายชะมัด

   “ข้อศอกแทนได้มั้ย” แต่ผมก็ไม่ยอมเสียท่าง่ายๆ หรอก

   “แข็งไป”

   “งั้นจะเอาอะไรล่ะ”

   ผมรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่าจะขอปากผมไปช่วยเกา แต่เจ้าตัวดันตรงกว่านั้น

   “อยากจูบ”

   ...พูดแบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง!

   ใจน่ะคิดแบบนั้น แต่กายหยาบนั้นแดงเถือกไปทั้งตัว

   “ก็จูบสิ”

   ...เขินมั้ยก็ใช่ อายมั้ยก็ใช่อีก แต่หน้าที่พักยามใกล้จะเที่ยงคืนแบบนี้ ถ้าไม่นับหมาจรจัดเป็นพยาน ก็นับว่าเราสองคนจูบกันใต้แสงจันทร์โดยมีลมหนาวจากคลองพัดคลอเคลีย

   ขอกลับคำ เดตล่มอะไรกัน ออกจะราบรื่นด้วยดี!!


   --------------------
   โอ๊ย เหม็นความรักกก อยากจูบก็จูบสิ ความลูกชายไม่เล่นตัว ความลูกชายให้เขาจูบง่ายๆ เลยย ใช่สิ เป็นแฟนกันแล้วนี่!!
   ก็จะอิจฉาตาร้อนนิดๆ ตามประสาคนโสดโสดอยู่ทางนี้นะคะ

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก -ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม -[24/1/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 24-01-2020 20:33:42
ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม

   สุดสัปดาห์ ผมกลับไปหาพ่อแม่และพี่พจน์ที่บ้าน ไม่ลืมบอกอ้อมๆ ด้วยว่าจากคนคุยกลายมาเป็นคุณแฟนไปแล้ว

   ผมลุ้นหัวใจแทบวายว่าจะไม่มีใครคัดค้านเหมือนที่ตอบตกลงคบกับกฤตรึเปล่า

   แต่เหมือนว่าทุกคนแลจะกลัวผมไม่ยอมกลับบ้าน เลยค่อนไปทางอยากจะทำอะไรก็ทำ เบื่อจะขัดแล้ว ผมเองก็โตพอจะมีความคิดความอ่านของตัวเอง ไม่ใช่เด็กที่จะยอมตามใครง่ายๆ เหมือนสมัยมหาลัยที่แม่เข้าใจผิดคิดว่าผมอยากลองเป็นเกย์กับกฤต ในเมื่อเลือกเส้นทางเดิม กับคนที่เปลี่ยนไป แม่ผมก็เริ่มจะรู้แล้วว่าการเป็นเกย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่อยากจะเป็นก็เป็น อยากจะไม่ก็ไม่เป็นเหมือนที่ผมบ้าทำกิจกรรมสารพัดอย่าง

   พี่พจน์เองก็พอจะเดาๆ ได้ว่าจะลงเอยแบบนี้เลยไม่ค่อยแปลกใจนัก จะมีก็แต่พ่อของผมนั่นแหละที่ดูจะไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ไม่อยากค้านเพราะโดนแม่ถองศอกยิกๆ

   เป็นอันรู้กันว่าผมน่ะลูกรักแม่สุดๆ

   และถึงพ่อผมจะเคร่งขรึมแบบที่พี่พจน์ถอดแบบมาแค่ไหน ท่านก็เป็นพวก...กลัวภรรยา

   ความรักครั้งนี้ของผมเลยราบรื่นเกินคาดจนน่าเหลือเชื่อ

   ส่วนไอ้ภูมิ...

   ปล่อยไปเถอะกับเพื่อนผมคนนี้น่ะ เพราะมันมีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ นั่นคือ...

   “พิชญ์ กูต้องทำจริงๆ เหรอวะ”

   “ถ้าไม่ทำก็ออกจากร้านกูไปเลย” ผมเอ่ยแกมขู่ทั้งรอยยิ้ม แต่เล่นเอาภูมิทำหน้าปุเลี่ยนแบบจำใจสุดขีด และในช่วงเวลาสี่โมงเย็นที่โรงเรียนเลิกแล้วนั่นเอง ภูมิในชุดมาสคอตฮีโร่พิชพิชที่ผมสั่งทำพิเศษก็สวมหัวตุ๊กตาไปยืนอยู่หน้าร้านชานมของผม ลองขยับตัวเพื่อดูว่าพอจะเคลื่อนไหวสะดวกมั้ย จนกระทั่งได้เวลาสี่โมงสิบนาที เริ่มมีคนเดินเข้ามาซอย ผมก็หันไปให้สัญญาณมือว่าเตรียมพร้อมได้แล้วเกลอเอ๋ย

   ภูมิยกนิ้วโอเค ผมจึง...เปิดเพลงจากโน๊ตบุ๊คเสียงดังลั่น แม้จะไม่ดังไปถึงหน้าโรงเรียนประถม แต่สำหรับคนที่เดินผ่านซอยเนี่ยได้ยินแน่

   ก่อนคิดจะทำผมบอกกับเหล่าลุงป้าน้าอาแล้วว่าวันนี้จะลองกลยุทธ์ใหม่ จะเสียงดังหน่อยนะครับ แต่ขอแค่ห้านาทีเท่านั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ตกใจจนออกมาโวยวายไล่ภูมิไปไกลๆ ฉะนั้นเมื่อเสียงเพลงเริ่มเปิด ภูมิเริ่มแด๊นซ์กระจาย เหล่าคนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มเข้าซอยมายืนมุงอย่างสงสัยใครรู้

   พวกเด็กๆ ปรบมือตามจังหวะเพลงด้วยซ้ำ แถมยังหัวเอิ๊กอ๊ากชอบใจอีกต่างหาก

   มาสคอตฮีโร่พิชพิชที่เต้นกระจายชนิดหัวสั่นหัวคลอน คร่อมจังหวะบ้าง เร็วกว่าจังหวะบ้าง บ้าดีเดือดจนไม่ว่าใครเป็นต้องเหลียว บางคนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ดีมาก ผมเองก็กำลังตั้งกล้องถ่ายตรงเคาน์เตอร์เหมือนกัน ไอ้ภูมิหันมาส่ายเอวใส่เป็นระยะ ก่อนจะทุ่มเททั้งพลังชีวิตในการเต้นห้านาทีครั้งนี้

   สำหรับผม รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วชะมัด แต่กับภูมิ คงรู้สึกว่าทำไมเพลงถึงนานขนาดนี้ กว่าเพลงจะจบ เล่นเอามันแทบลงไปทรุดกับพื้น มึนงงจนเดินเซ ผมถือโอกาสตะโกนเชิญชวนเหล่าไทยมุงหน้าร้านทันที

   “ตอนนี้ร้านชานมไข่มุกของเรามีเพจแล้วนะครับ ถ้ากดไลค์และแชร์ จะได้ส่วนลด 5 บาทนะครับ”

   ไหนๆ ก็เดินลึกมาถึงสุดซอยแล้ว แถมยังถ่ายคลิป เด็กๆ ชอบ มาเจอผมทำหน้าอ้อนใส่อีก เกือบครึ่งเลยเลือกที่จะมาต่อแถวซื้อชานม ช่วยกดไลค์และแชร์ ไอ้ภูมิเองก็ยืนถ่ายรูปกับเด็กๆ หน้าร้าน เป็นการประชาสัมพันธ์เรียกคนไปในตัว

   ตกเย็น คนเริ่มน้อย ผมก็โพสคลิปที่เพิ่งอัดลงไป

   ปรากฏคนแชร์ไวกระจายไปในทุกๆ กลุ่ม จำนวนคนกดไลค์เพิ่มขึ้นในพริบตาจนน่าตะลึง ผมเองยังคาดไม่ถึงว่าจะได้ผลขนาดนี้ ตอนแรกก็แค่คิดพิเรนทร์ เห็นคลิปมาสคอตธนาคารแห่งหนึ่งเต้นสุดใจขาดดิ้นแล้วน่ารัก คนแชร์เยอะ เลยเอามาลองใช้บ้างแค่นั้น แต่เจ้าตัวฮีโร่ถือแก้วชานมส่ายเอวกระจายขนาดนี้ คงจะภาพที่น่ารักเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่ #พ่อค้าน่ารักบอกต่อด้วย ซึ่งได้แค่เฉพาะกลุ่ม

   “โคตรเจ๋งเลยภูมิ”

   “แน่สิวะ ค่อยคุ้มกับกูเกือบเป็นลมหน่อย”

   ผมกับไอ้ภูมิกำหมัดชนกัน รับรู้ถึงมิตรภาพและความเชื่อใจ ก่อนที่...

   “กูไปก่อนนะ ฝากปิดร้านด้วย”

   “ไอ้เพื่อนเลว!” ภูมิร้องโอดครวญเมื่อผมถอดผ้ากันเปื้อน มุดออกจากเคาน์เตอร์ เพื่อไปนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเจตน์  นี่ก็จะหนึ่งทุ่มอยู่แล้ว ผมกลับก่อนแค่สิบนาทีไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย

   สถานะจากคนคุยกลายมาเป็นเพื่อน มองจากภายนอกไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ถ้าจากภายในนี้เปลี่ยนชัดมาก

   อย่างน้อยก็ใจผมเนี่ยแหละที่มองเขาในแง่ของคนรักแล้ว ฉะนั้น...เวลาคุยกันบรรยากาศก็จะหวานละมุนขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก แต่ชวนจั๊กจี้ใจชอบกล ยกตัวอย่างเช่น...

   “วันนี้อยากดูหนังเรื่องอะไร” คุณคนแรกถาม พวกเรามีนัดดูหนังกันน่ะครับ ความจริงปิดร้านกับไอ้ภูมิก่อนก็ได้ แต่ผมอยากแกล้งมัน พ่วงอยากแสดงให้รู้ว่าผมไว้ใจกับมันมากแค่ไหน จะได้เลิกทำหน้ากระดากเวลาพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กันสักที

   ผมไม่ใช่พวกผูกใจเจ็บสักหน่อย ชอบทำหน้าหมาหงอยอยู่ได้

   “ไม่รู้สิ นายล่ะอยากดูอะไร” นี่คือหนึ่งความเปลี่ยนแปลง ปกติผมค่อนข้างยึดตัวเองเป็นใหญ่พอสมควร...ค่อนข้างตามใจตัวเองแบบไม่ถามความเห็นชาวบ้านชาวช่องเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ ผมอยากคบกับเจตน์ไปนานๆ จะทำตัวเหมือนแต่ก่อนคงไม่ได้

   “ไม่รู้เหมือนกัน”

   แต่เจตน์ดันเป็นประเภทไม่มีความชอบอะไรเป็นพิเศษ เขาค่อนข้างอะไรก็ได้ ใช้ชีวิตง่ายๆ สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงกับหลักลอยไร้ความคิด เพราะบทเวลาที่เขาคิดจะทำอะไรขึ้นมาก็สามารถนำผมได้เหมือนกัน

   หรือให้พูดในแง่อวด คือเขามักแล้วแต่แฟน

   นี่ไม่ได้อวดเลยนะเนี่ย

   “หนังรักมั้ย”

   “ใครแถวนี้จะเขินรึเปล่า” เจตน์แซวผมหน้าตาย

   “พูดถึงตัวเองเหรอ” ผมก็ปากเก่งไปงั้นแหละ ตอนมาดูหนังครั้งแรกกับเขาไม่กล้าแม้แต่จะเลือกหนังรัก เพราะกลัวบรรยากาศจะเป็นใจเกินไป แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว คงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทำอะไรเกินเลยแล้วมั้ง

   “หนังรักแล้วกัน” ผมตัดสินใจ ลอบกลั้นยิ้มกับตัวเอง ดูหนังรักโรแมนติกกับเจตน์ นั่งกุมมือกัน พอถึงฉากหวาน พระเอกนางเอกจูบกัน พวกเราก็...

   “หนังผีดีกว่า” เจตน์สรุป ก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วแบบไม่รอคำตอบ

   ...คนแล้วแต่แฟนหายไปไหนวะ

   เก็บคำอวดไว้ได้มั้ย ผมว่าเขาชอบแกล้งแฟนมากกว่าอ่ะ

   แต่ถึงจะพูดแบบนั้น พอเห็นตั๋วจริงๆ เขาก็ซื้อหนังรักตามใจผมอยู่ดี ขอแค่ให้ได้กวนสินะคนคนนี้

   ระหว่างรอหนังเข้าฉาย เขาก็พาผมไปเลี้ยงชาบูบุฟเฟ่ต์ นานครั้งจะได้กินข้าวห้างสักทีเลยตามใจปากสักหน่อย ปกติพวกเราค่อนข้างประหยัด ไม่ค่อยฟุ่มเฟือยนั่งร้านหรูเท่าไหร่

   “ไปไหน” พอจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม จู่ๆ เจตน์ที่กุมมือผมอยู่ก็รั้งเบาๆ

   “ไปนั่งไง” ผมยืนงง

   “นั่งตรงนี้”  ไม่พูดเปล่า เจตน์ยังออกแรงดึงให้นั่งฝั่งเดียวกันกับเขาซะอีกแหน่ะ อายสายตาพนักงานบ้างมั้ย เธออุตส่าห์วางชามให้คนละฝั่ง สุดท้ายกลายเป็นผมที่ต้องเลื่อนมาตรงหน้าตัวเองด้วยความเกรงใจ

   “ผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันเนี่ยนะ” ไม่วายบ่นเบาๆ ทั้งที่เลื่อนชามเสร็จแล้วแบบไม่เล่นตัวสักนิด

   “อบอุ่นดี” เจตน์มองผมตาวาว คงจะลอบหัวเราะอยู่ในใจ

   “มองอะไรล่ะ สั่งสิสั่ง หิวแล้ว” ผมวางกระดาษสำหรับติ๊กรายการอาหารไว้ตรงกลางแก้เก้อ จะได้ก้มหน้าหลบสายตาคุณพนักงานได้หน่อย เจตน์นะเจตน์ ใช่ว่าจะเพิ่งคบกันได้วันสองวัน ปกติก็นั่งคนละฝั่งไม่เห็นจะว่าอะไร ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงนึกอุตริลากมานั่งเบียดกันซะงั้น

   แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี

   อืม...มันก็ดีมากๆ ละนะ

   ผมถือปากกาเตรียมติ๊กโดยที่เจตน์เอียงศีรษะมาจนแทบจะชนกันเพื่ออ่านรายการสะดวกๆ พวกเรามีแย้งกันเรื่องจำนวนนิดหน่อย เพราะผมชอบสั่งแบบเซฟๆ หมดแล้วค่อยติ๊กใหม่ก็ได้ แต่เจตน์ชอบสั่งมาโครมเดียวจะได้ไม่ต้องรอล็อตสองล็อตสาม สุดท้ายพวกเราก็เจอกันครึ่งทาง ติ๊กเสร็จผมก็ยื่นกระดาษให้พนักงานที่รออยู่นานแล้ว

   ...จะคิดซะว่าไม่เห็นสายตาล้อเลียนนั้นแล้วกัน

   ก่อนหน้าเป็นแฟนกัน ต่างคนต่างสวาปาม ชามใครชามมัน แต่พอเป็นแฟนกัน โมเม้นต์หวานๆ อย่างเอาอันนี้มั้ย จะตักให้ก็เริ่มมา แต่ก็ไม่ได้หวานชื่นอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพราะเจตน์น่ะ...

   “ก็บอกว่าไม่ชอบกินคื่นช่ายจะตักมาทำไมฮะ” ผมคีบผักใบเขียวใส่ในจานเจตน์คนกวนแฟน คนอื่นเขาตักของชอบให้มั้ย นี่มาแปลก ตักของเกลียดให้เฉยเลย แถมไม่ได้มาแค่ใบเดียว ล่อซะเต็มชาม

   “ขอบคุณครับพิชญ์”

   แล้วดูคนตีเนียน...ผมคีบคื่นชายใส่ชามเขาอย่างรังเกียจผัก ไม่ได้คีบให้ด้วยความรักความพิศวาสมั้ยล่ะ ไม่ต้องมาทำหน้าซาบซึ้งทั้งรอยยิ้มมุมปาก เลย

   ผมพยายามจะหาของที่เจตน์ไม่ชอบบ้าง แต่เขาดันกินได้ทุกอย่างเลยนี่สิ...ว่าแต่ไปๆ มาๆ จากที่เจตน์คีบของกินแกล้งผม ไหงกลายเป็นผมคีบของกินให้เขาจนแทบล้นชามกันนะ แล้วเจ้าตัวก็เจริญอาหารมากซะด้วยสิ

   เหมือนตกหลุมพรางอะไรบางอย่างชอบกล ผมเองก็ไม่เคยจะตักของกินให้ใคร ตอนอยู่กับกฤตนะฝ่ายนั้นบริการดีเลิศอย่างกับเป็นเจ้าหญิงแหน่ะ เจอเจตน์คนเนียนเข้าไปเลยหัวเราะไม่ได้หัวเราะไปออก แต่ก็สนุกดี ผมน่ะโดนสปอยแต่เด็ก มีเพื่อนก็เป็นเพื่อนที่แม่จ้าง ภูมิเลยไม่กล้าขัดผมสักอย่างเดียว มีแฟนคนแรกกฤตก็ชอบผมก่อน ตามจีบก่อน เลยยิ่งเอาอกเอาใจเข้าไปใหญ่ ส่วนเจตน์ถึงจะเป็นพวกแล้วแต่แฟน เขาก็แย้งผมบ้างเกรียนใส่ผมบ้าง ทำให้จากนิสัยเสียคล้ายจะนิสัยดีขึ้นชอบกล

   เหล่มองเจตน์...ก็แอบคิดในใจว่าถ้าเราเจอกันสมัยผมอยู่มหาลัยจะเป็นยังไงนะ ตอนนั้นน่ะช่วงพีคผมเลย แล้วก็เจอกับคำตอบที่ว่า...เราไม่น่าจะมาลงเอยกันได้ ช่วงนั้นผมโคตรหลงระเริง อยากได้อะไรก็ได้ ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง เจตน์เองก็ไม่ได้หล่อเหลาจนต้องเหลียว แถมยังชอบทำหน้าตาย ถ้าไม่คุยกันก็คงไม่มีวันได้รู้จักตัวตนจริงๆ

   นึกย้อนในวันแรกที่เจอกัน ผมก็พบว่า...จังหวะและโอกาสนั้นสำคัญสุดๆ

   ผมที่บ้าบอไม่สนใคร กับผมที่ตาสว่างจนหนีออกจากบ้าน ความคิดความอ่านราวกับคนละคน โดยเฉพาะหลังเปิดร้านชานมวันแรก...การปรากฏตัวของเจตน์ที่เป็นกำลังใจให้กันในวันที่ภูมิเจอผม เป็นแรงผลักดันที่สำคัญมากๆ

   “ตาจะเหล่แล้ว”

   บรรยากาศกำลังซึ้งได้ที่ เจตน์ก็ขัดจังหวะด้วยการคีบหมูยัดปากผมจนต้องเคียวหงุบๆ แก้มตุ่ย

   “นายเชื่อในพรมลิขิตรึเปล่า” กลืนหมูลงคอเสร็จผมก็ถาม ด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน

   “ดูละครมากไปแล้วนะเรา” เจตน์หัวเราะ ก่อนจะควานหาคื่นช่ายในหม้อเพื่อจะได้ตักใส่ชามผม คนอะไรไม่มีความโรแมนติกเลย

   กินชาบูเสร็จพวกเราก็ไปต่อที่ร้านไอติม ผมเป็นคนเลี้ยงในมื้อนี้เพราะไม่อยากเอาเปรียบแฟน ในเมื่อพวกเราสองคนก็ใช่ว่าจะมีเงินรวยล้นฟ้าขนาดจะเลี้ยงแฟนได้ทุกมื้อทุกวันทุกเวลา แม้ผมจะไม่รู้ว่าเจตน์ทำงานอะไรก็เถอะ

   ...เวรล่ะ เพิ่งรู้ตัวว่าจนตอนนี้ยังไม่เคยได้คำตอบเลยว่าเจตน์ทำอะไร

   ก็ถามทีไรโดนแถเนียนเฉไปเรื่องอื่นทุกที คิดแล้วผมก็จ้องหน้าเจตน์อีกครั้ง ซึ่งในร้านไอติม พวกเราก็ยังคงนั่งตัวติดกันปล่อยให้เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่าเหงาหงอย

   “จ้องอย่างนี้เขินนะ”

   เขินประสาอะไรพูดเสียงเรียบเรื่อยซะขนาดนี้!

   “นี่”

   “หืม”

   “นายทำงานอะไร เปิดร้านแถวร้านชานมไข่มุกฉันใช่มั้ย ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลยล่ะ หรือว่าอยู่ถัดออกไปอีกซอย แล้วทำไมถึงปลีกตัวมาหาได้บ่อยจัง ไม่ต้องเฝ้าร้านเหรอ” คล้ายอัดอั้นมานานผมเลยถามเป็นชุดแทบไม่เว้นช่วง

   เจตน์ค้างในท่างับช้อนไอติม คล้ายตั้งตัวไม่ทัน

   “เจ้าหนูจำไมจากไหนเนี่ย”

   “ไม่ตลก” ผมกอดอก แสดงถึงความจริงจัง

   พลันเจตน์เอาช้อนไอติมเคาะหัวผม

   “ใกล้เวลาหนังฉายแล้ว รีบกินเร็ว”

   เนียนจริงๆ เลยคนแถวนี้ ผมถลึงตาจ้องเขา เห็นเจตน์ไม่ยอมตอบจริงๆ ก็ถอนหายใจ อ้าปากรับไอติมจากคนที่ช่วยป้อนให้ด้วยหน้าตึงๆ ถ้าจะโทษ ก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่กล้าไล่ต้อนเค้นถามมากกว่านี้น่ะนะ

   ผมเกลียดการโดนกดดันให้เล่าเรื่องตัวเองสุดๆ ถ้าจะพูด ผมจะพูดออกมาเอง

   ฉะนั้นเลยไม่ใจกล้าพอที่จะทำเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบกับเจตน์ คิดซะว่า...ถ้าเขาพร้อม เดี๋ยวก็เล่าออกมาเองนั่นแหละ!!
   






   อะไรนะ แล้วหนังรักละได้จูจุ๊บกันมั้ย

   ...น่าอายชะมัดที่ต้องบอกว่า...หนังน่าเบื่อจนผมกับเจตน์หลับหัวซบกันจนจบเรื่อง

   ผมไม่ใช่คนชอบดูหนังรักอยู่แล้ว ชอบพวกหนังตลกคลายเครียด ไม่ก็บู๊แอคชั่นมากกว่า และไอ้หนังเรื่องนี้ก็ดันเล่าเรื่องได้ยืดย้วยสุดๆ ดูไปไม่ถึงไหนด้วยความเพลียก็ทำให้เราสองคนหลับคร่อก ผมน่าจะนำไปก่อน เพราะเป็นฝ่ายเอียงศีรษะพิงกับไหล่เจตน์ ส่วนแฟนคนดีนั้นพอเห็นผมเฝ้าพระอินทร์เลยรีบตามมาอย่างไม่ช้า

   เป็นการดูหนังที่คุ้มค่าตั๋วสุดๆ!

   กว่าพวกเราจะรู้ตัวก็ตอนโรงหนังเปิดไฟไล่คน เล่นเอารีบออกจากโรงด้วยหน้ามึนๆ แบบยังไม่ตื่นดีกันทั้งคู่ ก่อนจะกลายเป็นยืนหัวเราะอยู่หน้าโรง นับเป็นการเดตที่น่าจดจำและล่มได้ตลกที่สุดในชีวิต

   ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงกับชวดจูบหรอกนะ

   เพราะตอนเจตน์มาส่งผมหน้าที่พัก เขาก็ถอดหมวกกันน็อกออก ก่อนจะชี้ที่ปากตัวเองหลายครั้ง

   “คันปากเหรอ ช่วยเกามั้ย” ผมแกล้งโง่

   “เอาสิ แต่ไม่ใช้มือเกานะ” คนอะไร เจ้าเล่ห์เหลือร้ายชะมัด

   “ข้อศอกแทนได้มั้ย” แต่ผมก็ไม่ยอมเสียท่าง่ายๆ หรอก

   “แข็งไป”

   “งั้นจะเอาอะไรล่ะ”

   ผมรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่าจะขอปากผมไปช่วยเกา แต่เจ้าตัวดันตรงกว่านั้น

   “อยากจูบ”

   ...พูดแบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง!

   ใจน่ะคิดแบบนั้น แต่กายหยาบนั้นแดงเถือกไปทั้งตัว

   “ก็จูบสิ”

   ...เขินมั้ยก็ใช่ อายมั้ยก็ใช่อีก แต่หน้าที่พักยามใกล้จะเที่ยงคืนแบบนี้ ถ้าไม่นับหมาจรจัดเป็นพยาน ก็นับว่าเราสองคนจูบกันใต้แสงจันทร์โดยมีลมหนาวจากคลองพัดคลอเคลีย

   ขอกลับคำ เดตล่มอะไรกัน ออกจะราบรื่นด้วยดี!!

   --------------------
   โอ๊ย เหม็นความรักกก อยากจูบก็จูบสิ ความลูกชายไม่เล่นตัว ความลูกชายให้เขาจูบง่ายๆ เลยย ใช่สิ เป็นแฟนกันแล้วนี่!!
   ก็จะอิจฉาตาร้อนนิดๆ ตามประสาคนโสดโสดอยู่ทางนี้นะคะ

    #ผมกับชานมไข่มุก

   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม -[24/1/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-01-2020 21:53:25
สวีทหวานมาเลย แต่ต้องม่าแน่น่ารุ้ว่าเจตเปิดร้านอะไร นี่ยังเชื่อว่าชานมหน้าปากซอยแน่ๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม -[24/1/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 24-01-2020 22:33:28
เจ้าของร้านJOYที่เป็นคู่แข่งป่าว :hao4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม -[24/1/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-01-2020 22:39:47
อาชีพเจตน์คืออะไร ไม่ใช่เจ้าของร้านชานมเจ้าดังนะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม -[24/1/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-01-2020 23:11:19
จรัาาา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม -[24/1/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 25-01-2020 09:43:19
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 23 : เดตล่มที่ไม่ล่ม -[24/1/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 25-01-2020 10:20:29
งู้ยๆๆๆๆ  เป็นแฟนกันแล้ว ถึงเนื้อถึงตัวตลอดๆ.  :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 01-02-2020 11:19:20
   ตอนที่ 24 : หัวขโมย

   กลยุทธ์ฮีโร่พิชพิชเต้นกระจายได้ผลยอดเยี่ยม

   เพื่อไม่ให้เบื่อเร็ว และไม่เป็นการรบกวนเพื่อนร่วมซอย ผมเลยให้ไอ้ภูมิออกมาเต้นทุกวันศุกร์ตอนสี่โมงสิบนาที มีการแจ้งบอกในเพจเผื่อว่าจะมีคนสนใจมารอดูเพื่อจะได้ถ่ายคลิปให้ชัดๆ ว่านอกจากชานมไข่มุกจะกินแล้วสดชื่น เจ้ามาสคอตร้านนี้แค่ดูก็หัวเราะร่วนแล้ว

   สิ้นเดือน ผมนั่งคำนวณรายรับ-รายจ่ายอีกครั้ง ต่อให้หักเงินเดือนไอ้ภูมิแล้วก็นับว่าเป็นเงินก้อนที่น่าตกใจไม่เบา เลยเพิ่มโบนัสค่าเต้นให้ไอ้ภูมิด้วย แล้วพามันไปเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณในความทุ่มเทขนาดพี่พจน์ยังช่วยแชร์คลิป

   ซึ่งเท่ากับว่าผมเปิดร้านชานมเข้าเดือนที่ห้า และหนีออกจากบ้านมาเกือบเจ็ดเดือนแล้ว

   จะว่านานก็นาน จะว่าสั้นก็สั้น แต่เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมสนุกสนานมากทีเดียว บัตรสะสมแต้มต้องสั่งทำใหม่หลายครั้งในช่วงนี้ พวงกุญแจฮีโร่พิชพิชเองก็ทยอยออกเป็นระยะเนื่องจากหลายคนใกล้จะสะสมครบห้าเลเวลแล้ว ขาประจำอย่างเจตน์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกนิดเกือบจะได้พวงกุญแจลายที่สองแล้ว

    ด้วยอิทธิพลจากพลังโซเชียล ตอนนี้เพจจึงมีคนกดไลค์ถึงห้าพัน ลูกค้าประจำและขาจรก็มีมาไม่ขาด ต่อให้ไม่ใช่โปรโมชั่นดึงดูดก็ยังมีคนต่อแถวเข้าคิวอยู่เรื่อยๆ ถือเป็นช่วงพีคเพราะกระแสกำลังมา

   ส่วนทางด้านชานมไข่มุกชื่อดังนั้น แม้จะโดนผมดึงลูกค้ามาบางส่วน แต่ก็ยังขายได้ดี แม้จะไม่เทน้ำเทท่าเท่าเดิมก็ตาม

   นึกดูดีๆ ตอนเริ่มเปิดร้าน ผมมุ่งมั่นคิดว่าเป้าหมายมีไว้พุ่งชน อยากจะลองดึงลูกค้าให้มาชิมชานมของตัวเอง

   แต่พอใกล้ทำสำเร็จ ทางนั้นมีคนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ก็ชักลังเลขึ้นมา อย่าลืมสิว่าร้าน JOY คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมตกหลุมรักชานม

   ไหนลองย้อนมองตัวเองซิ

   อืม แม้จะไม่กล้าพูดเต็มปาก แต่ต้องยอมรับว่าค่อนข้าง Lucky in Game, Lucky in Love

   ถ้างั้น...หรือผมควร...จะกลับบ้านได้แล้วนะ

   เพราะการหนีออกจากบ้านได้ผลตอบรับที่คุ้มค่าแล้ว

   อย่างแรกคือตัวผมเอง นายพิชญ์ที่โตขึ้น พยายามค้นหาตัวเอง และการมุ่งมั่นจะทำบางสิ่งบางให้สำเร็จโดยไม่ถอดใจไปซะก่อน ไอ้นิสัยโลกหมุนรอบตัวเองโดนสปอยจนเคยตัวก็เริ่มจะปรับเปลี่ยนในทิศทางที่ดี

   อย่างที่สอง คือพี่ชายแท้ๆ อย่างพี่พจน์ พี่ชายที่แสนดีซึ่งสนิทกับผมมากกว่าเดิม จากนึกรำคาญน้อง ปล่อยผมบ้าบอไปเอง ก็หันมาสนับสนุนกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

   อย่างที่สาม คือแฟนเก่าที่คบเพราะใจอ่อน การเลิกรากันนั้นอาจจะเป็นผลดีของเราก็ได้ แม้กฤตจะซวยจนหมดอนาคตในวงการไป และเราแทบไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่ล่าสุดเห็นว่าเขาจะลองไปต่างประเทศ ที่ที่ไม่มีข่าวฉาวมาบังความสามารถ และตอนนี้ก็น่าจะเริ่มเตรียมตัวแล้ว ผมได้แต่อวยพรให้เขาโชคดี อย่างน้อย...ช่วงเวลาที่อยู่กับกฤตก็สร้างรอยยิ้มให้มากและทำให้ผมถนอมรักครั้งใหม่มากขึ้นเพราะไม่อยากซ้ำรอยเดิม

   อย่างที่สี่ คือเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่คอยเกาะกันมาแต่เด็ก ภูมิเคยชินกับการอยู่กับผมแล้วสบาย และผมเองก็เคยชินกับการยอมลงของภูมิจนไม่สนใจความรู้สึกหรือลำบากของคนใกล้ตัว นี่เป็นบทเรียนสำคัญที่พวกเราได้ปรับความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง ภูมิเลิกเล่นพนัน แม้จะเกาะผมต่อ แต่ก็ไม่ได้ทำด้วยอยากจะได้เงิน แต่เพราะพวกเราสนิทกันจริงๆ จนเสียดายที่จะละทิ้งมิตรภาพในวันวาน

   และอย่างสุดท้าย ส่วนสำคัญที่สุด

   คือมุมมองของพ่อแม่ที่มีต่อผม เข้าใจผมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของผมก็ดี หรือความรักก็ดี สิ่งที่พวกท่านคิดว่าจะคัดสิ่งที่ดีที่สุดให้ สร้างโลกที่ผมนั้นอยู่อย่างสุขสบายไร้ความกังวลใจ มีเพื่อน มีเงิน มีทุกสิ่งที่ต้องการ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องถูกต้องซะทีเดียว แม่รับฟังความเห็นผมมากขึ้น และเริ่มยอมรับในความพยายาม

   แล้วจะมีเหตุผลอะไรอีกให้ผมหนีออกจากบ้าน

   แต่ถ้ากลับบ้าน...ผมก็ควรจะทำในสิ่งที่ควรจะเป็นตั้งแต่หลายเดือนก่อน นั่นคือการเป็นลูกกตัญญู ช่วยดูแลบริษัทของครอบครัว แบ่งเบาภาระของพี่ชาย

   มาสู่ปัญหาสำคัญ


   ร้านชานมพิชพิชล่ะจะทำไงดี

   ผมยอมรับ ผมตกหลุมรักชานม อยากจะกินทุกวัน และสนุกกับการทำร้านนี้ คิดแผนการตลาด ต้อนรับลูกค้าหลากเพศต่างวัย แต่ในใจลึกๆ ดันรู้ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่เปิดร้านวันแรกด้วยซ้ำ ว่ายังไง...ผมก็ดูแลร้านนี้ไม่ได้ตลอด

   แต่ทุ่มเทมาขนาดนี้ก็ไม่อยากปล่อยไปดื้อๆ

   คนอะไรโลภมากชะมัดเลย
   







   ขณะที่ผมคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับอนาคตตัวเองนั้นและไม่กล้าปรึกษาแฟน

   ร้านของผมก็มี...ขโมย

   ใช่รึเปล่านะ ผมเองก็ไม่มั่นใจ แต่ว่าเงินที่หายไปจากลิ้นชักจำนวนห้าพันบาทเนี่ย...คนที่จดทุกรายรับ-รายจ่าย ทำบัญชีอย่างดีในทุกวัน ไม่น่าจะเลอะเลือนขนาดนับเงินผิดมั้ย

   และพอผมถามเรื่องนี้กับภูมิ

   “มึงคงไม่คิดว่ากูขโมยหรอกนะ!” เพื่อนรักถามเสียงหลง แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันเหมือนเดิม แต่ระหว่างเรากลับอ่อนไหวเรื่องเงินเป็นพิเศษ จะว่าไงดีล่ะ...ผมอยากจะเชื่อเพื่อนนะ แต่ก็นึกผู้ต้องสงสัยคนอื่นไม่ออกเลย

   “กูก็ไม่อยากจะคิดนะภูมิ” ผมนวดขมับ พวกเราคุยกันช่วงใกล้ปิดร้าน ตอนที่ลูกค้าเริ่มไม่มีแล้ว “แต่นอกจากกู มึงก็เป็นคนเดียวที่มีกุญแจร้าน และช่วงหลังมานี้...กูก็ไว้ใจ ให้มึงมาเปิดร้านก่อน ไม่ก็ปิดร้านคนเดียว”

   “มึงสงสัยกู!”

   ภูมิทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เห็นอย่างนั้นผมก็ใจแข็งต่อไม่ลง

   “กูขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงเบา จนปัญญาเหมือนกันในเมื่อตลอดทั้งวันผมยืนคุมร้านเองตลอด ขนาดข้าวเที่ยงยังสั่งมาส่งที่ร้านเลย ถ้าจะมีคนขโมยของ ก็มีแต่ช่วงที่ผมยังไม่มาถึงหรือกลับก่อน และคนที่มีกุญแจร้าน ก็คือไอ้ภูมิ “มึงมีผู้ต้องสงสัยในใจมั้ยล่ะ อย่านับกูนะ เพราะกูคงไม่ขโมยเงินตัวเอง”

   เงียบกันอยู่นาน ไอ้ภูมิก็กุมขมับ

   “พอมึงพูดแบบนี้ ขนาดกูยังสงสัยตัวเองเลย”

   “ใช่มั้ยล่ะ”

   “แต่กูไม่ได้ทำ!” ภูมิยืนยันเสียงแข็ง “ถึงกูจะเคยเล่นพนัน แต่กูก็เคลียร์หนี้หมดแล้ว และคนที่ช่วยก็คือแม่ของมึง กูไม่ได้อกตัญญูขนาดทำเรื่องชั่วๆ ถึงขั้นขโมยของลูกผู้มีพระคุณที่เป็นเพื่อนรักกันหรอกนะ ตลอดมา เวลากูอยากได้เงิน กูก็มาขอมึงตรงๆ...”

   พูดถึงตรงนี้ ไอ้ภูมิก็ชักจะทำหน้าไม่ถูกกับความจริงแสนน่าอาย

   “อืม...มึงขอกูตรงๆ ทุกครั้งจริงๆ” ผมไม่ปฏิเสธ

   “กูไม่กล้าหาเรื่องให้ตัวเองโดนต่อยหรอก หมัดมึงหนักจะตาย ครั้งที่แล้วล่อซะฟันกรามหักเลยนะ”

   “แต่ตอนกฤต...”

   “ตอนนั้นกูไม่มีทางเลือก มึงให้เงินกูจนเคยตัว เกาะมึงจนสุขสบายมาหลายปี จู่ๆ เสือกหนีออกจากบ้านมาติดผู้ชาย ทิ้งกูเป็นหมาหัวเน่า จะบอกใครก็ไม่ได้ แม่มึงก็มากดดันกูอีก หนี้ก็บานขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะให้กูทำยังไงวะ” ภูมิสบถ “เออ กูยอมรับด้วยว่าตอนนั้นกูแอบประชดมึง รู้ว่าถ้าทำแล้วมึงต้องดิ้นพล่าน ทิ้งกูดีนัก กูจะทำให้มึงวิ่งมาหากูเอง”

   “ฟังดูรักกูดีเนอะ ขอกูคบเลยมั้ยล่ะ”

   “คบกับมึงเนี่ยนะ แม่ง อย่างกับบอกรักกับส้นเท้าตัวเอง” ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือคำด่า แต่สำหรับเพื่อนที่สนิทกันชนิดใส่กางเกงในตัวเดียวกันได้เนี่ย การบอกรักใครอีกคน ก็เหมือนพูดกับตัวเองจริงๆ นั่นแหละ แต่ไม่เอาส้นเท้าได้มั้ยวะ นึกแล้วแขยง

   “ภูมิ...”

   “กูไม่ได้ทำ!”

   “ตะโกนทำไม กูแค่จะบอกว่าไปซื้อกล้องวงจรปิดมาติดดีมั้ย จะได้ไม่ต้องมานั่งเดากันเอง” ผมมองคนร้อนตัวอย่างละเหี่ยใจ ทำผิดแล้วมีชนักติดหลังก็อย่างนี้ นิดๆ หน่อยๆ เป็นสะดีดสะดิ้งไม่หยุด

   “แล้วทำไมไม่พูดแต่แรกวะ กูนึกว่าจะโดนทิ้งเหมือนหมาอีกรอบแล้วเนี่ย”

   “งั้นกูจะไปซื้อกล้องวงจรปิด แล้วจะเปลี่ยนแม่กุญแจด้วย”

   “เออ ดี เปลี่ยนแม่กุญแจแล้วไม่ต้องเสือกโยนให้กูอีกล่ะ จะได้ไม่ต้องมากล่าวหากันอีก เลิกติดแฟนแล้วมาเปิดปิดร้านเองด้วย ไอ้เชี่ยพิชญ์”

   อยากจะเถียงว่าผมไม่ได้ติดแฟนสักหน่อย แต่เจตน์ดันขับมอเตอร์ไซค์เข้าซอยมาพอดีซะงั้น

   ไอ้ภูมิหันมาเลิกคิ้วให้ ต่อให้ไม่พูดก็รู้ว่ามันกำลังจะแซวว่านั่นไง พูดผิดซะที่ไหน ผมเลยต้องตีหน้าตาย เป็นวิชาที่เลียนแบบจากเจตน์มาอีกที

   พวกเราช่วยกันปิดร้าน ล็อกแม่กุญแจกับประตูเหล็กม้วน ไอ้ภูมิปั่นจักรยานกลับ ส่วนผมยืนข้างมอเตอร์ไซค์ของเจตน์ ตอนรับหมวกกันน็อกมาสวมก็เล่าเรื่องเงินหายไปกับที่ต้องแวะซื้อแม่กุญแจและกล้องวงจรปิดให้ฟัง

   “ไว้ใจเพื่อนพิชญ์ได้มั้ย”

   ดูสิ ขนาดเจตน์ยังสงสัยภูมิเลย!

   “ตอนแรกฉันก็สงสัยเหมือนกัน” ในเมื่อผู้ต้องสงสัยนั้นน้อยเหลือทน “แต่พอภูมิบอกว่าถ้าขาดเงินจริงๆ คงมาขอตรงๆ ก็ปัดข้อสงสัยทิ้ง ถึงจะฟังตลกไปหน่อย แต่ระหว่างขอเงินฉันกับขโมยเงินฉัน ด้วยจำนวนเงินห้าพันบาท ขอกันน่าจะง่ายกว่าหาเรื่องให้โดนต่อยน่ะ”

   ผมยื่นหน้าให้เจตน์ช่วยดึงสายรัดคางแน่นๆ เป็นเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ได้ซ้อนมอเตอร์ไซค์เขายันวันนี้ และคาดว่าจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในทุกๆ วัน

   การกระทำเล็กน้อยที่ชวนอบอวลไปทั้งใจ

   แสดงถึงความใส่ใจ ห่วงใย และความรัก

   “งั้นมีใครที่ถือกุญแจอีกมั้ย”

   “จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ใช่” ผมถือโอกาสกวนใส่ แม้จะไม่ค่อยถูกกาลเทศะนักเพราะเจตน์กำลังทำหน้าคร่ำเคร่ง “นี่ จะทำหน้าเครียดทำไม”

   ผมนั่งซ้อนหลัง ก่อนจะกอดหมับเต็มวงแขน พร้อมเอาคางเกยไหล่

   “เงินฉันหาย ไม่ใช่เงินนายสักหน่อย”

   “เครียดเพราะห่วง” เจตน์ทาบมือกับหลังมือของผมที่รัดรอบเอวเขา “เป็นห่วงนะครับ”

   บทจะหวานก็ชวนเขินจนพูดอะไรไม่ออก ผมเม้มปาก ก่อนจะกระซิบชื่อผู้ต้องสงสัยให้อีกฝ่ายลองพิจารณาความเป็นไปได้

   เจตน์เงียบไปพักหนึ่ง

   ก่อนจะพยักหน้ารับเชื่องช้าบ่งบอกว่าเห็นด้วย

   “เพราะงั้นเลยต้องซื้อกล้องวงจรปิดกับเปลี่ยนแม่กุญแจไง” ผมอธิบาย ยังคงค้างในท่ากอดหมับโดยที่เจตน์ทาบมือไม่ยอมปล่อย “มีหลักฐานคาหนังคาเขา จะได้ดิ้นไม่หลุด”

   “ระวังตัวด้วย”

   “ให้ระวังตัวอะไร” ผมหัวเราะ ซุกหน้ากับบ่าของเจตน์ “ขโมยไม่มาตอนฉันกับภูมิอยู่ร้านสักหน่อย”

   “แล้วถ้าร้านเสียหายขึ้นมาล่ะ”

   “เขาคงไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้ง” ผมสันนิษฐาน “อีกอย่าง...”

   “อีกอย่าง?”

   “ไม่มีอะไร” ผมกอดเอวเขาแน่นขึ้น “รีบไปเถอะ หิวแล้ว”

   เจตน์ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอย ส่วนผมยังคงซุกหน้ากับบ่านั้นอย่างสับสนลังเล

   จะพูดออกไปได้ยังไง ว่าถ้าร้านเสียหายขึ้นมา...ก็คงเป็นเหตุให้ผมตัดใจ ยอมกลับบ้านสักที


   --------------
   
   เรื่องนี้ใกล้จะจบแล้วนะคะ มานับถอยหลังกันน้า และไม่ต้องห่วงเรื่องมาม่าค่ะ
   มาไว เคลมไว หวานๆ กันไปด้วยขอบอกๆ
   
    #ผมกับชานมไข่มุก
   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 01-02-2020 12:40:25
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 01-02-2020 13:38:14
ให้ภูมิทำต่อล่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-02-2020 15:04:45
ที่บ้านอีกแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 01-02-2020 17:22:07
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 01-02-2020 21:03:56
มีคนจ้างมาให้ทำหรือเปล่าครับ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-02-2020 22:06:02
ใครมันขโมยฟระ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-02-2020 23:31:51
ใครน้า มาขโมย  :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 03-02-2020 07:22:27
น้องพิชญ์มีปัญหามาให้แก้อีกแล้ว  สู้สู้ น้า
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 03-02-2020 19:33:56
      ลุ้นๆๆๆใครคือขโมย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 24 : หัวขโมย - [01/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: มาดามพีพี ที่ 03-02-2020 20:17:33
ใจหายเหมือนกันนะ ถ้าน้องจะทิ้งร้านแล้วกลับบ้าน สร้างมือกับมืออ่ะเนอะ..
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 09-02-2020 20:15:55
   ตอนที่ 25 : บทสรุป
      
โชคดีที่เรื่องไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น

แม้ผมจะอยากหาเหตุผลบางอย่างในการผลักดันให้ตัวเองกลับบ้าน แต่ก็ไม่อยากให้ร้านชานมไข่มุกที่รักและหวงแหนนี้ต้องมีอันเป็นไปเพราะผู้ไม่ประสงค์ดี

ฉะนั้นพอเงินอยู่ครบ ไม่หายหรือมีร่องรอยงัดแงะใดๆ ในร้าน ทั้งผมกับภูมิก็โล่งใจ ไอ้เราน่ะดีใจ ส่วนภูมินั้นสบายใจเพราะกลัวจะโดนป้ายความผิดใส่ ทั้งที่ผมตัดมันออกจากผู้ต้องสงสัยตั้งแต่คำสารภาพสุดซื่อตรงแล้ว

“หรือมึงจะนับเงินผิด” ภูมิเท้าคางกับเคาน์เตอร์ขณะผมนั่งนับเงินทำบัญชี “ไม่มีขโมยแต่แรก มึงแค่ตาลายเอง”

ใช่ บางทีผมอาจจะตาลายไปเอง แต่ไม่ใช่ครั้งนี้หรอกนะ

หมายถึงก่อนหน้านี้ต่างหาก!

ผมไม่ได้บอกไอ้ภูมิว่าสองเดือนหลังมานี้ ช่วงที่ร้านชานมขายดิบขายดีจนติดตลาด ทำเลที่ตั้งไม่เป็นผลต่อลูกค้า เงินในลิ้นชักร้านก็เริ่มหายไปทีละนิดละหน่อย ส่วนใหญ่ก็แค่หนึ่งร้อย หรือแบงก์พันหนึ่งใบ นั่นน่ะ...ผมคิดว่าตัวเองตาลายนับผิดจริงๆ แต่มาคิดดูดีๆ น่าจะมีขโมยมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว!!

เริ่มจากหยิบทีละเล็กละน้อย พอจับไม่ได้ก็กล้าขนาดเอาไปทีเดียวห้าพันบาท คงได้ใจล่ะมั้ง

ผมถอนหายใจเฮือก คร้านจะเถียงกับไอ้ภูมิ

ขืนบอกมันได้เต้นผางอีก ขโมยไม่ปรากฏตัวก็ดีแล้ว ทั้งผมทั้งมันก็ต่างสงบใจ ไม่ต้องมาระแวงสงสัยให้ปวดสมอง

ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเป็นเพราะผมเปลี่ยนแม่กุญแจด้วย...หัวขโมยเลยไหวตัว ไม่กล้าทำอีก แต่จะเว้นช่วงนานแค่ไหนกันล่ะ เอาเถอะ ผมพร้อมรับมือเสมอ กล้องวงจรปิดที่ซื้อมานั้นเป็นแบบหลอดไฟติดเหนือหัว ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนหลอดไฟธรรมดา

แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้โผล่มาอีกเลย







คำขอผมไม่เป็นจริง

เพราะหลังจากเปลี่ยนแม่กุญแจและติดตั้งกล้องวงจรปิดได้ไม่ถึงเดือน เช้าวันหนึ่ง ผมซึ่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เจตน์มาเปิดร้านก่อนไอ้ภูมิจะปั่นจักรยานมาถึงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าประตูเหล็กม้วนนั้นปิดไม่สนิท แถมยังมีเศษซากแม่กุญแจซึ่งโดนทุบจนพัง

ผมรีบถอดหมวกกันน็อกขณะกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์ทันที

เจตน์ตามมาอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน และพอผมดันประตูเหล็กม้วนขึ้น ก็ต้องเจอกับ...ร้านชานมไข่มุกที่ถูกรื้อเละเทะ!

“อะไรวะเนี่ย!!” ภูมิซึ่งเพิ่งปั่นจักรยานมาถึงอ้าปากค้าง

“ขโมยบุกน่ะสิวะ!” ผมกัดฟันตอบ พยายามสงบใจเพราะเจตน์คอยจับต้นแขนไว้ ไม่งั้นผมกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปแล้วเนี่ย

ยืนสูดหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้งผมก็รีบมุดเคาน์เตอร์ตามเจตน์ที่นำไปก่อน เขาคงกลัวผมอาละวาด หลังเห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเวลาผมสติหลุดนั้น...คือหลุดจริงๆ

“ระวังเหยียบกล่อง” เจตน์รีบเตือนเมื่อผมตามเข้ามา ก่อนจะชะงักเพราะกล่องพลาสติกที่แตกกระจายเต็มพื้นนั้น...คือกล่องใส่เหรียญสองบาทของผม!! ฉิบหายแล้วไง เหรียญสองบาทนับร้อยเหรียญกระจายเต็มพื้น แค่เห็นผมก็ลงไปทรุดกับพื้นแทบจะร้องไห้

“เป็นไรวะพิชญ์!” ภูมิที่ตามเข้ามาเป็นคนที่สามตกใจทันทีเมื่อเห็นผมหมดแรง

“เหรียญสองบาท...ของกู” ผมเกือบสะอื้นแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเจตน์รีบดึงผมลุกขึ้นเพราะกลัวโดนกล่องพลาสติกที่แตกเป็นชิ้นๆ บาดก้น ลุกปุ๊บผมก็ซุกหน้ากับไหล่ของเจตน์ปั๊บ ไม่อยากจะเห็นภาพบาดตา ทำใจไม่ได้ โฮ!

“ก็แค่เหรียญสองบาท จะเป็นจะตายอะไรกันวะ”

“ไม่ใช่แค่เหรียญสองบาทนะ!!” ผมหันไปตวาดใส่ภูมิด้วยแรงแค้น คนโดนพาลเลยปิดปากฉับไม่กล้าวิจารณ์อีก

“พิชญ์” เจตน์ช่วยลูบหัวลูบหลังผมให้สงบ “ช่วยกันเก็บนะครับ ไม่เป็นไรนะ”

เจอน้ำเสียงนุ่มทุ้มกระซิบปลอบเข้าไป อารมณ์กรุ่นโกรธของผมก็ลดฮวบอย่างอัศจรรย์

“คนไรวะโคตรสองมาตรฐาน” ภูมิพึมพำกับตัวเอง

“มาช่วยกันเก็บเลย นับด้วยนะ” ผมผละจากไหล่ของเจตน์แล้วนั่งยองๆ หยิบเหรียญสองบาทขึ้นทีละเหรียญใส่ถุงพลาสติก

“ระวังโดนบาด” เจตน์ไม่วายเป็นห่วงคอยดึงผมเป็นระยะ

“กี่เหรียญวะ” ส่วนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดไม่วายต้องมานั่งยองๆ ด้วย

“ร้อยหกสิบเก้าเหรียญ”

“เหี้ย!”

ไอ้ภูมิแทบจะเด้งตัววิ่งหนีออกจากร้าน

“เหี้ยอะไร ก็มันจะหกเดือนแล้วมั้ย มันก็ต้องร้อยกว่าเหรียญสิวะ”

“แม่งเอ๊ย แล้วทำไมกูต้องมาช่วยมึงเก็บด้วย ให้กันเองก็เก็บกันเองสิ” ภูมิบ่น แต่ก็ไม่วายช่วยผมแยกเหรียญจากเศษซากกล่องพลาสติกที่น่าจะถูกทุบจนจนแตกไม่ก็โดนกระแทกอย่างแรง น่าโมโหชะมัด จะขโมยก็ขโมยไปสิ ทำไมต้องทำร้ายเหรียญสองบาทของผมด้วย

เจตน์หยิบถุงขยะมาเก็บกวาดซากกล่องและเครื่องแก้วที่แตกเต็มพื้นเหมือนมีพายุพัดเข้ามามากกว่าโดนโจรขโมย อะไรจะจงใจจัดฉากเหมือนมีคนเข้ามารุมร้านให้เละตุ้มเป๊ะขนาดนี้เนี่ย กว่าจะนั่งนับเหรียญจนครบร้อยหกสิบเก้าเหรียญ ผมกับภูมิก็ปวดหลังกันถ้วนหน้า ระหว่างนั้นมีลูกค้าแวะมาหา พอเห็นสภาพร้านก็ตกใจ สรุปแล้ว...ผมเลยต้องปิดร้านหนึ่งวันโดยปริยาย

เก็บกวาดพื้น นับเหรียญครบ ก็เพิ่งมีแก่ใจสำรวจว่าโดนขโมยไปเท่าไหร่

แต่พอดึงลิ้นชักออกมาเจอแต่เศษเหรียญ...ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเอาแบงก์ไปหมดเลยสินะ...

ปล้นทั้งที เล่นใหญ่ไม่พอ ยังเอาซะคุ้มเลย!

“หายเยอะมั้ยวะ”

“กวาดแบงก์ไปเกลี้ยง” ผมยักไหล่ตอบ แม้จะยังหัวเสียอยู่บ้าง แต่พอเห็นเหรียญสองบาทอยู่ครบและเก็บใส่ถุงอย่างดีโดยมีเจตน์คอยยืนประกบไม่ห่าง ผมก็สบายใจขึ้นแม้ว่าสภาพร้านจะดูไม่ชวนให้สบายใจเลยก็ตาม “น่าจะราวๆ เกือบหมื่น”

“มึงเก็บเงินไว้ลิ้นชักทำไมเยอะแยะ”

“เผื่อทอนเงินลูกค้ามั้ยล่ะ” ผมแย้ง “ส่วนใหญ่มีแต่แบงก์เศษๆ มัดเป็นปึก พวกแบงก์ใหญ่กูเก็บหมดแล้ว”

“แล้วเอาไงต่อ” ภูมิถามอย่างหัวเสียประหนึ่งเป็นเจ้าของร้านซะเอง

ผมกับเจตน์หันมามองตากัน ก่อนจะเงยขึ้นไปทางกล้องวงจรปิดซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดไฟ

“กรุณาอย่าคุยทางสายตา บอกกูด้วย” ไอ้ภูมิเอามือมาขวางระหว่างผมกับเจตน์แบบหมั่นไส้

“ก็...เอาเมมโมรี่การ์ดจากกล้องวงจรปิดมาดูก่อน ได้หลักฐานค่อยเอาไปแจ้งความ” ผมตอบพลางเปิดโน้ตบุ๊กรอเจตน์ที่ปีนเก้าอี้ขึ้นไปถอดหลอดไฟเพื่อเอาเมมโมรี่การ์ดออกมา “มึงเอาขยะไปทิ้งที เกะกะร้าน แล้วจดความเสียหายด้วย วันนี้จะได้ไปซื้อมาให้ครบ”

“เจอแล้วบอกกูด้วยนะ” เพื่อนรักตะโกนบอกขณะแบกถุงขยะไปทิ้งในถังขยะใบใหญ่ตรงข้างเสาไฟเมื่อเห็นผมกับเจตน์มุงกันอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊ก เพราะติดหลอดไฟไว้บนเพดานกลางร้าน ภาพที่ปรากฏเลยเห็นชัดทั่วทุกมุมของร้าน ผมสุ่มเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตัวการ ก่อนจะพบกับเงาร่างที่เปิดประตูเหล็กม้วนเข้ามาตอนตีหนึ่ง

“เจอแล้ว!”

ภูมิที่กำลังสำรวจความเสียหายทิ้งสมุดกับปากกามาร่วมด้วยช่วยมุงทันที

“เอ๊ะ” เพื่อนรักขมวดคิ้วมุ่น พยายามไม่ทักเรื่องเจตน์ที่พาดแขนกับบ่าผมขณะก้มดูหน้าจอ “คนนี้มัน...”

“ใช่ คนนี้ก็คือ...”

“ใครวะ”

ผมละเหี่ยใจกับภูมิเหลือเกิน

“เจ้าของห้องเช่าที่พวกเรายืนอยู่นี่ไง!”

“อ้อ คุณลุงที่มึงเคยเล่าว่าป่วยออดๆ แอดๆ น่ะเหรอ”

“ใช่”

ครับ คนร้ายคือคุณลุงเจ้าของห้องสุดซอยที่เคยขายข้าวไข่เจียวที่เปิดหนึ่งวันปิดสองวันจนผมสงสารขอเซ็นสัญญาเช่าเปิดร้านชานมนั่นเอง

ตอนเช่าที่ คุณลุงให้พวงกุญแจสำหรับไขล็อกประตูเหล็กม้วน ล็อกห้องน้ำ และห้องเก็บของ

ผมไม่มั่นใจว่าแกมีปั๊มสำรองไว้อีกพวงรึเปล่า แต่หลังเกิดเรื่องแล้วตัดไอ้ภูมิออกไปก็เดาคนอื่นไม่ได้แล้ว เพราะคนที่มีกุญแจและสามารถเดินมาขโมยเงินในร้านโดยไม่มีใครติดใจก็มีแต่เจ้าของห้องเช่าอย่างคุณลุงคนนี้เท่านั้น!

ความสงสัยที่มาพร้อมคำถามว่าแล้วลุงแกจะทำไปทำไม ผมก็จ่ายค่ามัดจำไปแล้ว จ่ายค่าเช่าไม่เคยบิดพลิ้วแถมยังตรงต่อเวลา จู่ๆ มาขโมยกันแบบนี้ถ้าโดนจับได้ขึ้นมามันคุ้มกันหรือ อาจเพราะความสงสาร เห็นใจที่แกอาจจะป่วยหนักมีเงินกินใช้ไม่พอ ผมเลยเตือนอ้อมๆ ว่าเปลี่ยนแม่กุญแจนะเพราะมีเงินหาย

ครับ ตอนจับได้ว่าเงินหายห้าพันบาท วันที่ผมไปซื้อแม่กุญแจและกล้องวงจรปิดกับเจตน์ ผมแวะไปหาคุณลุงแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องหวังให้ลุงแกสบายใจกึ่งเตือนอ้อมๆ ว่าอย่าทำผิดซ้ำสอง

ผลคือคุณลุงสงบได้ไม่ถึงเดือนก็วิ่งโร่มาจัดฉากเหมือนร้านโดนปล้นด้วยกลุ่มโจรหลายคน

ทั้งที่เป็นฝีมือของคุณลุงวัยห้าสิบซึ่งเจ็บปวดออดๆ แอดๆ

ช่างลงทุนลงแรงซะจริงๆ

“เอาไงดีวะพิชญ์ แจ้งความเลยมั้ย”

“ก็คงต้องแจ้ง” ถึงจะนึกสงสารคุณลุง และคิดว่าแกคงมีเหตุจำเป็นให้ต้องขโมยเงิน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของสุขภาพก็ดี ไม่มีเงินกินใช้ก็ดี แต่ผมซึ่งจ่ายค่าเช่าตรงเวลาทุกเดือน ตั้งใจช่วยเหลือแกอย่างจริงใจ แถมยังให้โอกาสกลับตัวแล้วด้วย โดนหักหลังกันแบบนี้ถ้ายอมปล่อยก็ใจอ่อนเกินไปแล้ว

เหอๆ ค่อยสมกับหนีออกจากบ้านเพื่อเรียนรู้ชีวิตหน่อย

ถ้าอยู่กับพี่พจน์คงไม่มีใครกล้าเอารัดเอาเปรียบผม แต่มาตอนนี้เจอเองกับตัว โดนหยามน้ำใจซึ่งๆ หน้า แถมมีหลักฐานคาหนังคาเขา ผมก็พร้อมทำตามกระบวนการทางกฎหมาย

“ดีเลยพิชญ์ แจ้งความเลย!”

ผมถอนหายใจเฮือก ปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กลง ก่อนจะหันไปคุยกับเจตน์

“วันนี้พาไปซื้อของเข้าร้านได้มั้ย”

“เคยไม่ได้ด้วยเหรอ” เจตน์ยังกอดคอผมไม่ยอมไปไหน เห็นแล้วไอ้ภูมิก็แทบจะบีบจมูกคล้ายเหม็นความรัก

“มึงแวะไปหาลุงแกด้วยสิ เผื่อเจรจาขอเงินคืนมาได้”

“เออ กูจะลองดู”

เพราะผมเคยให้เจตน์พาไปส่งที่บ้านคุณลุงซึ่งอยู่ในชุมชนแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่นัก รถมอเตอร์ไซค์เลยมาจอดหน้าบ้านไม้ชั้นเดียวโดยไม่หลง ผมกับเจตน์ทั้งเคาะประตูบ้าน ทั้งกดออด แต่ไม่มีใครออกมาเปิด

ผมเลยหันไปถามคุณป้าข้างบ้านคุณลุงแทน

“อ้อ เห็นรีบเก็บของไปตั้งแต่เช้าแล้วน่ะ บอกว่าจะไปต่างจังหวัด”

“ต่างจังหวัด?”

“อย่าถามป้านะว่าจังหวัดอะไร ป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เป็นอันงุนงงกันต่อไปว่าลุงแกเผ่นไปต่างจังหวัดจริงหรือแค่กบดานอยู่แถวนี้

แต่ที่แน่ๆ คือเงินผมโดนเชิดหายแล้วแน่นอน

“ไปสถานีตำรวจแล้วกัน”

ผมไปแจ้งตำรวจพร้อมหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด จากนั้นก็แวะซื้อของแล้วเข้าร้านเอาช่วงสาย วันนี้เจตน์วุ่นวายกับผมนานมาก พอเขามาส่งก็ยืนดูว่ามีอะไรให้ช่วยอีกมั้ย ก่อนจะขับมอเตอร์ไซค์ออกจากซอยไปดูแลร้านตัวเอง

“อะไรวะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ภูมิถามทันทีเมื่อเห็นผมมุดเคาน์เตอร์เข้าไปด้านใน

“มึงยังไม่รู้ตัวอีกเหรอเนี่ย”

“รู้ตัวอะไรวะ หรือว่าคนร้ายไม่ได้มีคนเดียว”

มองสีหน้าสุดซื่อทั้งที่หน้าอย่างโฉดแล้วผมก็แทบกุมขมับ

“ถ้าคุณลุงถูกจับ ไม่สิ ต่อให้ไม่ถูกจับ แต่เล่นขโมยเงินร้านเราขนาดนี้ แล้วเราจะเช่าที่เขาขายชานมต่อยังไงล่ะวะ”

เอ่ยคำถามนี้ออกไป ไอ้ภูมิก็เพิ่งจะเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในตอนนี้

ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้นหรอก กับอีแค่หาที่เช่าใหม่จะยากตรงไหน แต่ส่วนที่ยากก็เพราะว่า...

มันเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะถอยห่างจากผมเล็กน้อยคล้ายกลัวโดนต่อย แล้วเอ่ยงุบงิบเสียงเบา

“งั้นมึง...กลับบ้าน...มั้ยวะ”

ถึงตาผมเงียบบ้าง

ก็ใช่ว่าจะไม่คิด แต่คิดมาตลอด คิดทุกวันด้วยซ้ำว่าจะหาทางลงให้ตัวเองยังไงถึงจะดีกับทุกฝ่ายและต่อร้านชานม สักวันผมต้องกลับบ้าน ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสดีให้ผมไม่ต้องลังเล ไม่ต้องเสียดายร้านหรือยึดติดจนกลายเป็นดื้อรั้น เตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ

ถ้าสุดท้ายก็ต้องย้าย ต้องปิดชั่วคราว ถ้าอย่างนั้น...

“อืม กูจะกลับบ้าน”

และนั่นก็เป็นวันครบรอบเปิดร้านชานมพิชพิชครบหกเดือน







ส่วนที่ง่ายที่สุดคือตอนโทรบอกแม่ และส่วนที่ยากที่สุดก็คือตอนบอกเจตน์

ผมปิดร้านก็ใช่ว่าจะเลิกเป็นแฟนกัน แต่พวกเราก็จะมีเวลาเจอกันน้อยลง คงไม่มีแล้วที่จะมารับในตอนเช้า มาหาตอนสาย ซื้อชานม ยืนคุยกัน หยอกกัน ตอนเย็นก็มารับแล้วมาส่งถึงที่

ส่วนหนึ่งที่ผมกับเจตน์เริ่มความสัมพันธ์กันได้เร็วก็เพราะพวกเราเจอกันทุกวัน วันละสามรอบ แต่ถ้าต้องห่างกัน ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์จะยังคงเดิมเหมือนอย่างนี้รึเปล่า

ผมล่ะหวั่นใจจริงๆ

ซึ่งยิ่งยืนยันว่าผมรักเขามากแค่ไหน

“งั้นเหรอ จะกลับบ้านแล้วเหรอ” เจตน์เอ่ยหลังฟังผมเล่าเรื่องการตัดสินใจอันใหญ่หลวงครั้งนี้ แต่ดันไม่สะทกสะท้านอะไรกับเขาเลย “ให้ไปส่งมั้ย”

“พูดจริงดิ” ผมมองเขาอึ้งๆ นี่คือปฏิกิริยาของคุณแฟนตอนรู้ว่ากำลังจะห่างกันงั้นเหรอ

ไปส่งมั้ยเนี่ยนะ!

“จริงสิ” เจตน์พาดแขนกับบ่าผม ตอนนี้พวกเรากำลังกินไอติมแท่งอยู่หน้าเซเว่นครับ เจตน์ยืนพิงมอเตอร์ไซค์ ส่วนผมไม่กล้าพิง เลยยืนเอียงตัวมาทางเขาแทน “จะกลับวันไหนล่ะ”

“ก็คงสิ้นเดือนนี้...หลังสัญญาเช่าหมดแล้ว”

สัญญาเช่าเป็นแบบเดือนต่อเดือนน่ะครับ ผมจ่ายค่าเช่าไปแล้วก็ต้องอยู่ให้จบ แม้จะยังไม่รู้ว่าคุณลุงหนีหายไปไหนแล้วจะโดนจับเมื่อไหร่ก็เถอะ นับว่าเป็นช่วงเวลาของการเตรียมพร้อมและทำโปรโมชั่นทิ้งทวนส่งท้ายแก่ร้านชานมพิชพิช

แค่นึกก็ใจหาย ผมแทบทำใจไม่ได้ แต่ดูเจตน์สิ

“ไว้ไปส่ง”

จะชิลไปมั้ยพ่อคุณ!

“จะได้ไปเจอครอบครัวนายด้วย”

“...”

“ไม่ดีเหรอ”

“...ก็ดีมั้ง” ผมตอบแบบรู้สึกสับสนกับตัวเองว่านี่คิดมากไปเหรอ เจตน์ไม่เห็นจะเดือดร้อนตรงไหนกับการไม่ได้เจอกันบ่อยเท่าเดิม “ว่าแต่นายเข้าใจใช่มั้ยว่าฉันเปิดร้านชานมไม่ได้แล้วเพราะต้องไปช่วยงานพี่พจน์ ถึงฉันจะอยากเปิดร้านชานมไปด้วย จ้างคนดูแลร้านแทนเพราะเสียดายแบรนด์ แต่ให้ทำสองอย่างพร้อมๆ กันก็คงไม่ได้”

ผมเป็นประเภททำอะไรก็จะทุ่มสุดตัว ลุยเต็มที่จนกว่าจะเลิกล้มไปเอง ฉะนั้นหากต้องทุ่มกับทั้งบริษัทและร้านชานมด้วย รับรองว่าไม่ไหวแน่ ผมไม่เก่งขนาดนั้น เผลอๆ จะทำให้ความเชื่อมั่นที่เพิ่งกอบกู้มาจากครอบครัวต้องมาล้มเพราะจับปลาสองมือด้วย

“เข้าใจสิ”

“แล้วเข้าใจรึเปล่าว่าบริษัทพี่พจน์กับแถวนี้น่ะไม่ได้ใกล้กันเลย”

“เข้าใจ”

“นายจะเป็นลูกค้าของฉันไม่ได้แล้วนะ”

“อืม”

“อดกินชานมพิชพิชด้วย”

“นั่นสิ เสียดายจัง”

พูดกันมาตั้งนาน เพิ่งมาเสียดายเพราะอดกินชานมเนี่ยนะ แล้วผมล่ะ ผมสู้ชานมไม่ได้เหรอ!

แต่คิดไปคิดมา ผมกลับเป็นฝ่ายสลดซะเองเมื่ออดชงเครื่องดื่มด้วยความรัก อดกินชานมไข่มุกทุกวันทุกเมื่อที่ต้องการแล้ว...

“เอางี้แล้วกัน” พลันเจตน์เอ่ยขึ้นมาหลังตัดสินใจอะไรได้ “ขายชื่อแบรนด์พิชพิชมาสิ เดี๋ยวทำต่อให้เอง”

“...ฮะ?”

ผมมองหน้าเขาอึ้งๆ

“พิชญ์ลงหุ้นมาก็พอ เดี๋ยวจะทำแบรนด์นี้ต่อให้ จะเลือกทำเลที่ดีกว่าเดิมด้วย ถ้าเป็นแบบนี้คงได้ใช่มั้ย”

ผมไม่เคยคิดถึงบทสรุปแบบนี้มาก่อนเลย

“มันก็ได้หรอก...” ผมมองเขาแบบยังงงไม่หาย “แต่นายเปิดร้านชานมเป็นด้วยเหรอ ถ้าทำแล้วเจ๊งฉันไม่ยกให้หรอกนะ”

อย่างน้อยชานมพิชพิชก็ถือว่ากำเนิดจากผม นับเป็นลูกรัก!

“เปิดสิ”

สังหรณ์บางอย่างในใจเต้นเร่า ผมเชื่อว่าคำตอบต่อไปจะต้องช็อกค้างกว่าเดิมแน่นอน

“ร้านอะไร”

“JOY”

บทจะเฉลยก็เฉลยง่ายดายปานนี้เลย ผมถึงกับมุดตัวหลุดจากวงแขนนั้นแล้วถอยกรูดห่างจากเจตน์เหมือนเจอคนแปลกหน้า ยืนถือไอติมค้างจนละลายลงพื้น แล้วเจ้าคนที่ก่อเรื่องทำให้ผมขวัญหนีดีฝ่อขนาดนี้ดันหัวเราะพรืดอย่างชอบอกชอบใจซะงั้น

“โกหกรึเปล่า”

ผมยังทำใจไม่ได้

“โกหกทำไม ชื่อร้านก็มาจากชื่อพ่อไง”

จอย...จ่อย

อ้าว ที่แท้ไม่ใช่คำว่า Joy ที่มาจากคำว่าเฮฮาสนุกสนาน แต่เป็น Joy ที่อ่านว่าจ่อยหรอกเหรอ!!

สมองผมตอนนี้โอเวอร์ฮีตแล้ว ทำงานหนักเกินไปจนได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาเกยตื้น ความจริงข้อนี้หนักหน่วงเกินไป พลังโจมตีสูงมากจนหาทางโต้ตอบไม่เจอ แต่พอนึกดูดีๆ...ก็มีหลายเหตุการณ์ที่สื่อว่าเขาเป็นเจ้าของร้านชานม ทั้งเรื่องแวะมาหาบ่อยๆ เหมือนร้านอยู่ใกล้กันมากก็ดี ทั้งหายตัวไปวันที่ร้าน JOY จัดโปรโมชั่นซื้อหนึ่งแถมหนึ่งก็ดี

“ละ...” ผมลิ้นพันกันไปหมด “แล้วนายมาซื้อชานมร้านฉันทำไม!”

นั่นสิ เป็นเจ้าของร้านชานมชื่อดัง แล้วมาซื้อชานมร้านผมทำไม เราเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ

“สำรวจคู่แข่ง” เจตน์สารภาพ ก่อนจะเดินเข้าใกล้ผมที่ถอยห่างจนชิดติดผนัง “ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปดูแค่วันเดียว แต่พอเห็นใครบางคนทำชานมด้วยใจรักเลยอยากเอาใจช่วย”

ด้วยการให้เหรียญสองบาท แล้วต่อราคาเหลือสิบห้าบาทน่ะเหรอ

“จะได้ระบายเหรียญที่ร้านด้วย”

เขาเห็นร้านผมเป็นอะไรเนี่ย!

“ละ...” ลิ้นผมยังพันกันไม่หาย “แล้วทำไมไม่บอกกันแต่แรก”

“กลัวแฟนเสียกำลังใจ”

ผมแถมสำลักน้ำลายเมื่อได้ยินคำว่า ‘แฟน’ เจตน์แทนตัวผมด้วยคำนี้น้อยมากแทบจะนับนิ้วได้ ซึ่งแต่ละครั้งมีอานุภาพร้ายแรงไม่ต่างกับครั้งนี้ที่มาพร้อมเจ้าตัวซึ่งยืนเบียดผมชิดผนังด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างสนุกเป็นบ้า ได้แกล้งแฟนจนตะลึงไปเลย

“ขอความจริง”

“ดูใจกับเจ้าของร้านชานม แล้วจะบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของร้านชานมที่โดนมองว่าเป็นคู่แข่งได้ยังไง เสียคะแนนแย่”

ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้นี่เอง

ค่อยสมเหตุสมผลขึ้นมาหน่อย ถึงว่าถามไปก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบสักที เพราะถ้าเจตน์สารภาพตั้งแต่ต้น บอกว่าเป็นเจ้าของร้านชานม ผมซึ่งเค้นสมองคิดกลยุทธ์มาดึงลูกค้าจากร้านเขาคงเข้าหน้ากันไม่ติด และรู้สึกผิดแย่ จนตอนนี้ยังรู้สึกผิดอยู่เลย

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ

ผมเคยบอกรักชานมร้านเขาใช่มั้ย

แถมยังจูบแก้วโชว์ด้วย!

“หน้าแดงทำไม”

“ปะ...เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ ตอนนั้นเรายังไม่เป็นแฟนกันเลย แต่ผมดันทั้งบอกรักทั้งจูบ แม้จะกับชานมก็เถอะ แต่เหมือนเป็นการเอ่ยอ้อมๆ แก่เจ้าของร้านหน้าตายคนนี้ยังไงไม่รู้

ถึงว่าสิ...วันนั้นเขาถึงได้มองมาตาเยิ้ม จนกลายเป็น...จูบแรกของเรา

“สรุปว่าจะยกแบรนด์พิชพิชชานมให้มั้ย”

คำถามที่มาพร้อมใบหน้าระยะประชิด ล่อซะลมหายใจกระตุก

“ถ้ายกให้...” เจตน์ชี้นิ้วมาที่ริมฝีปากตัวเอง “ให้จูบตอบนะ”

ไอ้คนเจ้าเล่ห์หน้าตายเอ๊ย!

ผมมองเจตน์ที่มองมาตาวาวระยับ มันแน่อยู่แล้วว่าเขามีดีกรีถึงเจ้าของร้านชานมไข่มุกชื่อดัง มีสาขาทั่วประเทศ การยกแบรนด์พิชพิชชานมซึ่งไม่ต่างกับลูกในไส้ให้นับว่าดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมแค่ลงหุ้น ไม่ต้องห่วงว่าร้านจะเจ๊ง และไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกงด้วย

ในเมื่อเขา...เป็นคนรักของผม

ฉะนั้นคำตอบก็แน่ซะยิ่งกว่าแช่แป้ง ผมยื่นหน้าไปใกล้เขา

จูบ...คนที่ชอบทำหน้าตาย แต่มักยิ้มมุมปากอย่างยียวนกวนประสาทใส่ผมคนนี้

------------------------
และแล้วก็เฉลยสักที! เป็นอย่างที่ทุกคนคาดเดาไว้ ไม่พลิกโผค่ะ 55555
เรื่องนี้ตั้งใจวางไว้แบบเรียบง่ายน่ารักฟีลกู้ดอยู่แล้ว อ่านแล้วสบายใจ อยากกินชานม อมยิ้มนิดๆ ท้องร้องหน่อยๆ
ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้ด้วยนะคะ!

ตอนหน้าจะเป็นตอนส่งท้ายแล้ว มาดูกันว่าหลังจากนี้ทิศทางชีวิตพิชพิชและร้านชานมจะเป็นยังไงต่อ

ปล.เรื่องคุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มาม่าค่ะ ทั้งหมดเกิดเพราะแม่รักพิชมากเกินไป พอน้องออกจากบ้าน เปิดร้านชานมได้ขนาดนี้ คุณแม่ก็เข้าใจแล้ว คุณแม่อยากให้น้องกลับบ้านค่ะ ( แม้คุณแม่จะคาดไม่ถึงว่าน้องจะควงแฟนใหม่มาด้วยก็เถอะ 55555 )

#ผมกับชานมไข่มุก

เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 09-02-2020 20:36:16
เป็นดราม่าที่ฟีลกู๊ดมากเลยค่ะ เอ๊ะโอ555555555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: fahdekkom ที่ 09-02-2020 20:52:24
นั่นไงว่าแล้ว แล้วพ่อพระเอกกว่าจะพูดได้แต่ละคำ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-02-2020 23:51:40
เจตน์เป็นเจ้าของร้าน Joy จริงๆด้วย 55555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-02-2020 00:12:23
จร้าาาา
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 10-02-2020 09:52:46
กลัวว่าจะรับไม่ได้ที่เป็นเจ้าของร้านคู่แข่ง แต่ก็ดีแล้วครับที่ยอมรับได้ และมีโอกาสสานต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองคน และมีคนทำร้านชานมต่อ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 10-02-2020 10:49:41
 :pig4: ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-02-2020 15:33:26
ว่าละเปิดร้านชานมจริงๆด้วย แต่ำม่คิดว่าจอย จะมาจากจ่อย  :laugh:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-02-2020 17:42:27
คิดแล้วว่าต้องใช่ ทั้งชานมจอย และขโมย   :m20: :laugh:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 10-02-2020 21:51:38
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 12-02-2020 08:43:37
เป็นฉากเฉลยที่น่ารักกรุบกริบมาก o13
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนที่ 25 : บทสรุป - [09/02/63] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-02-2020 23:20:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 16-02-2020 19:55:02
                                                                       ตอนส่งท้าย


      
      ผมกลับบ้านได้หนึ่งเดือนแล้วครับ

      พร้อมกับ...เอ่อ...ไอ้ภูมิ

      ครับ ขนาดผมมาทำงานกับพี่พจน์ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดยังไม่วายตามมาด้วย

      “มึงกับกูต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันตั้งแต่ชาติปางก่อนแน่ๆ” ผมมองหน้าเพื่อนรักแล้วอดเอ่ยเสียงเนือยขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้ผมกลายผู้ช่วยพี่พจน์ เพราะไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้งานที่แผนกการเงินแล้วในเมื่อเคยไปลิ้มรสประสบการณ์มาร่วมสามเดือนก่อนหนีออกจากบ้าน อย่าดูถูกแผนกนี้เชียว แค่เห็นตัวเลขก็รู้แล้วว่าบริษัทได้กำไรต่อปีเท่าไหร่ มีคู่ค้ากับใคร ลงทุนเท่าไหร่ มีแนวทางการเติบโตอย่างไร

      ส่วนไอ้ภูมิก็กลายเป็นผู้ช่วยผมอีกที นับเป็นตำแหน่งลอยอย่างแท้จริง

      ตอนนั้นที่มันไม่ตามมาด้วยเพราะติดพนัน บอกว่าเล่นพนันยังได้เงินเยอะกว่าบริษัท แต่ความจริงคือมันเกลียดตัวเลข พอรู้ว่าผมเข้าแผนกการเงินก็วิ่งหนีหางจุกตูดไป แค่ต้องมาเรียนกับผมที่มหา’ลัยด้วยกันก็เล่นเอาภูมิมันเครียดจนสมองจะระเบิดแล้ว เอ๊ะ หรือที่ช่วงหลังมันติดการพนันหนักๆ เพราะเครียดเรื่องเรียนวะ...

      อะไรผ่านไปแล้วก็แล้วกันไป เอาเป็นว่าพอรู้ว่าผมมาเป็นผู้ช่วยพี่พจน์เพื่อจะรับช่วงต่อในการเป็นหัวหน้าบริษัทแยกย่อยซึ่งกำลังจะก่อตั้งเพิ่มเพื่อรับเศรษฐกิจที่เริ่มขยายตัว ไอ้ภูมิก็อาสามาทำงานด้วยโดยไม่มีใครถาม เกาะติดผมเป็นตังเม

      ส่วนคุณลุงที่ผันตัวเป็นโจรจนหนีหายไปนั้น...

      หลังหนีได้สามวันก็โดนตามจับในที่สุด สรุปคือแกติดการพนัน จากเรื่องเล็กนิดเดียวกลายเป็นเรื่องใหญ่ในพริบตา เห็นว่าไปกู้หนี้ยืมสินพวกใต้ดินด้วย แต่เรื่องของคนอื่นจะเป็นยังไงต่อนั้นไม่อยากจะยุ่งแล้ว แค่เรื่องตัวเองก็ปวดหัวจะแย่

      ไอ้ภูมิยังดีที่กลับตัวทัน แต่กับคนที่กลับตัวไม่ทันก็ต้องชดใช้ความผิดในคุกล่ะนะ

      “พิชญ์”

      “ครับพี่พจน์”

      “เดี๋ยวเข้าประชุมแทนพี่ด้วยตอนบ่ายสอง”

      “ได้ครับ”

      นี่ไงเรื่องน่าปวดหัวอันดับหนึ่ง ธุรกิจของบริษัทครอบครัวผมคือการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศ ล่าสุดกำลังจะแตกไลน์เปิดบริษัทย่อยนำเข้ากระเป๋าและเครื่องหนัง ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของผมในการจัดการดูแลในอนาคต

      ช่วงนี้เลยยุ่งสุดๆ!

      เจตน์เองก็ยุ่งไม่แพ้กัน เพราะเขารับปากจะรับลูกรักของผมไปดูแลแล้ว จึงวุ่นกับการหาทำเลที่ไม่ทับกับร้าน JOY โชคดีที่ร้านของเราสองคนมีกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างแตกต่างกัน JOY จะเน้นกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมีฐานะ เน้นคุณภาพ เริ่มบุกเข้าไปตั้งในห้างดังและผลักดันด้านการขายแฟรนไชส์ ส่วนร้านพิชพิชชานมของผมจะเน้นที่กลุ่มเด็กและวัยรุ่นซึ่งมีกำลังทรัพย์ไม่มาก ทำเลจึงควรอยู่แถวย่านสถานศึกษาไม่ก็ป้ายรถเมล์

      ฉะนั้นในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ตอนเช้าผมมาทำงานพร้อมพี่พจน์

      ส่วนทุกเย็นเจตน์จะมารับ

      ถึงจะเจอกันน้อยลง แต่เจตน์ยืนยันว่าจะพยายามมารับผมทุกวัน อย่างน้อยไปนั่งกินข้าว คุยเล่น ดูหนัง ฟังเพลงสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยมาส่งที่บ้านก็ยังดี

      ซึ่งที่บ้านผมก็ยอมให้ผมไปกับเจตน์ด้วยนะ แม้แม่จะไม่ค่อยวางใจ คิดว่าการซ้อนมอเตอร์ไซค์อันตรายก็ตาม

      แต่หลังแม่เห็นว่าเจตน์ขับรถช้าประหนึ่งผมปั่นจักรยานแล้วก็เลิกยกเรื่องนี้มาพูดอีก

      ทุกๆ วันคนในบริษัทจะเคยชินมากกับภาพผมที่ถอดสูทเหลือแค่เสื้อเชิ้ตแล้วเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าเพราะสวมหมวกกันน็อกปิดบังมิดชิด

      เช่นเดียวกับวันนี้

      “อยากกินชานม”

      ซ้อนหลังปุ๊บผมก็เอ่ยกึ่งอ้อนปั๊บ วันนี้ต้องประชุมแทนพี่พจน์ครั้งแรก โดนกดดันจนใจหายใจคว่ำไปหมด ดีนะที่หน้าโหดๆ ของภูมิทำให้หลายคนยังพอเกรงๆ กันบ้าง เพราะในองค์ประชุมครั้งนี้มีแต่พนักงานสูงวัยรุ่นพ่อ ขนาดพี่พจน์ยังเกรงใจ

      “ดีเลย จะพาไปดูลูกของเราพอดี”

      เพราะผมแทนร้านชานมพิชพิชประหนึ่งลูกในไส้ เจตน์เลยติ๊ต่างตัวเองเป็นพ่อซะงั้น

      ตอนแรกก็ขัดนะครับ แต่ในเมื่อเขารับหน้าที่ดูแลลูกให้เติบใหญ่ ผมเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปค้าน

      “ใกล้เปิดแล้วเหรอ” ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ ท่ามกลางการทำงานในบริษัท สู้รบฝ่าฟันกับสายตาของเหล่าผู้บริหารรุ่นพ่อที่ยังไม่เชื่อถือในตัวเด็กน้อยอย่างผม การคุยเรื่องลูก...อ่ะแฮ่ม ผมหมายถึงการคุยเรื่องร้านชานมของ ‘เรา’ นับเป็นแสงสว่างในชีวิตที่ได้ยินเป็นต้องกระชุ่มกระชวยหัวใจ

      “ใช่” เจตน์ช่วยจับสายรัดคางของหมวกกันน็อกของผมให้แน่นหนา

      “วันไหน”

      “พรุ่งนี้”

      “...”

      ผมคิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาด

      “วันไหนนะ ขออีกที”

      เจตน์อมยิ้ม ไม่ตอบอะไร แต่จับมือผมให้โอบเอวเขาไว้ ก่อนจะซิ่ง เอ๊ย ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากหน้าบริษัทผมด้วยความเร็วหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

      แล้วเราก็มาถึงร้านชานมพิชพิชสาขาแรก (อย่างเป็นทางการ)

      ทันทีที่เห็นผมก็อ้าปากค้าง เพราะมัวแต่ปรับตัวกับการทำงานในบริษัท ปวดหัวกับปัญหาสารพัดอย่างและการรับมือกับคนมากหน้าหลายตาแถมยังต่างวัย เลยถามความคืบหน้ากับเจตน์แต่ไม่เคยมาดูด้วยตาตัวเองสักครั้ง แล้วแฟนผมก็โคตรกวนประสาท ตอบทีไรก็บอกแต่ว่ายังหาที่ไม่เจอ ยังไม่พร้อม ยังหาพนักงานไม่ได้

      หาไม่ได้อะไรล่ะ ร้านเสร็จพร้อมเปิดพรุ่งนี้แล้วเนี่ย!

      ผมถอดหมวกกันน็อกส่งให้เจตน์ขณะเดินลงจากรถมอเตอร์ไซค์กึ่งละเมอ มันเหมือนภาพฝันที่กลายเป็นจริงตรงหน้า ร้านชานมพิชพิชซึ่งตั้งในทำเลตรงกลางระหว่างร้านอาหารขนาบข้างหน้าปากซอย โทนสีเน้นสีน้ำเงินตัดเหลือง ตัวการ์ตูนฮีโร่พิชพิชก็เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ด้านหน้ามีสแตนดี้รูปฮีโร่ถือชานมเหาะเหิน บัตรสะสมแต้มวางเรียงในกระจกใสด้านหน้าเคาน์เตอร์ เรียกว่าเก็บครบทุกองค์ประกอบ สมแล้วที่เคยเป็นลูกค้าประจำ

      ผมยืนซึมซับภาพตรงหน้า เหมือนความทรงจำหวนคืนไปในวันแรกที่ริเริ่มเปิดร้านชานม ทุกช่วงเวลาที่ค่อยๆ คิดค่อยๆ วางแผนสร้างองค์ประกอบ เริ่มจากชื่อร้านที่มาจากชื่อของผม เริ่มจากสีสันที่อยากให้ออกแนวสดใสผสมกับสีที่ชอบ เริ่มจากตัวการ์ตูนฮีโร่ที่ได้ไอเดียจากเด็กน้อยคนหนึ่ง เริ่มจากบัตรสะสมแต้มที่นั่งคิดหัวแทบแตกในแต่ละเลเวล ทุกสิ่งที่ผมค่อยๆ สร้างจากศูนย์ แม้จะไม่สามารถประคองให้อยู่รอดต่อไปด้วยสองมือ แต่เจตน์พร้อมรับช่วงต่อโดยคงทุกอย่างไว้อย่างใส่ใจ

      “ชอบมั้ย” เจตน์กระซิบถามข้างหู

      “ชอบ”

      ประหนึ่งแฟนหนุ่มพามาดูเรือนหอ ทั้งที่จริงแล้วเป็นร้านชานมไข่มุก

      แต่ผมกลับตื่นเต้นยิ่งกว่าไปดูเรือนหอซะอีก แม้ที่นิ้วนางข้างขวาของเราสองตอนนี้จะมีแหวนคู่เป็นโลหะเรียบๆ สวมบ่งบอกว่ามีเจ้าของแล้วก็ตาม ไอ้ตอนให้แหวนไม่ได้โรแมนติกหรือขอแต่งงานอะไรหรอกครับ ก็แค่วันหนึ่งที่เจตน์มารับผมไปทานข้าว เผอิญเจอหญิงวัยกลางคนหิ้วกระเตงลูกน้อยวัยไม่กี่ขวบกางผ้าริมถนนขายเครื่องประดับ ผมอยากอุดหนุนก็เลยชวนให้เจตน์ซื้อคนละวง

      ผมน่ะซื้อให้เขา ส่วนเจตน์ก็ซื้อให้ผม

      นับเป็นของขวัญชิ้นแรกของกันและกันนับจากคบเป็นแฟนก็ว่าได้

      ถึงไม่พูดอะไร แต่ต่างคนต่างรู้ว่าในเมื่อต้องห่างกันแล้ว ขอแสดงหลักฐานความเป็นเจ้าของกันโดนจีบสักหน่อยแล้วกัน เป็นความหึงหวงเล็กๆ แม้ว่าทั้งผมและเจตน์จะไม่มีใครหลงผิดมาจีบหรือสร้างความร้าวฉานเลยก็เถอะ

      กลับมาปัจจุบันกันต่อ

      ผมมุดเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ หยิบผ้ากันเปื้อนสกรีนลายฮีโร่พิชพิชซึ่งแขวนอยู่ข้างกำแพงมาสวม เมื่อตรวจเช็กอุปกรณ์ทุกอย่างว่าพร้อมใช้งาน ก็ประเดิมต้มไข่มุกสำหรับสองคน เพราะผมกำลังอยากกินชานมไข่มุกอยู่พอดี โดยเฉพาะ...รสชาติที่ชงด้วยใจรัก จากสองมือของตัวเอง

      จริงๆ แล้วหลังจากยกร้านให้เจตน์ปู้ยี่ปู้ยำตามชอบ (โดยโดนหลอกมาตลอดว่าไม่เคยจะคืบหน้า) เขาก็พาผมไปอุดหนุนร้าน JOY บ่อยๆ เพราะผมเสพติดชานมมาก วันไหนไม่ได้กินจะกระสับกระส่ายเหมือนคนขาดกาเฟอีน

      งงตัวเองเหมือนกันนะ แต่ในเมื่อมีแฟนเป็นเจ้าของร้านชานม ได้กินฟรีทุกวันก็อย่าคิดมากเลยเนอะ!

      “อ้าว คุณลูกค้า จะรับอะไรเหรอครับ” ก้มๆ เงยๆ ชงชานมเพลินๆ เงยมาอีกทีเห็นเจตน์ผันตัวเองเป็นลูกค้า ยืนหน้าตายอยู่หน้าเคาน์เตอร์คล้ายรอสั่งเครื่องดื่ม ผมที่ต้มไข่มุกเผื่อเขาก็สนองตอบความกวนนั้นซะเลย

      เจตน์เลิกคิ้วเล็กน้อย คงคาดไม่ถึงว่าผมจะเล่นด้วย ก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ เอ่ยสั่งฉะฉาน

      “ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว”

      “เจาะหลอดมั้ยครับ”

      “เจาะ” เจตน์พยักหน้า

      ผมยิ้มหวาน หันไปดูไข่มุกที่ต้มสุกพอดีแล้วตักใส่แก้วพลาสติกซึ่งแปะสติ๊กเกอร์ลายฮีโร่พิชพิชจนชวนให้คนถือไม่ว่าจะหน้าโหดหน้าตายแค่ไหนก็ดูมุ้งมิ้งขึ้นทันตา ก่อนจะเทชานมไข่มุกซึ่งชงด้วยความรักพ่วงโหยหาอย่างเปี่ยมล้นลงไปอย่างบรรจง โดยมีสายตาของใครบางคนมองตามทุกการกระทำตลอดเวลา

      เป็นความรู้สึกที่หวานอย่างบอกไม่ถูก เจตน์เป็นคนไม่โรแมนติก ไม่เลยสักนิดเดียว ออกจะกวนประสาท ชอบแกล้งชอบแหย่ผมด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น...ความเงียบระหว่างเราก็มักนำมาซึ่งความสบายใจ สงบใจ และอบอุ่นไปทั้งใจ

      หลังวางแก้วชานมในเครื่องซีลปิดฝา ผมก็เขย่าเครื่องดื่มเล็กน้อยก่อนจะเจาะหลอดส่งให้เจตน์ ไม่ลืมแบมือรอรับเงินประหนึ่งเป็นเจ้าของร้านและลูกค้าจริงๆ

      “หกสิบบาทครับ”

      “ทำไมถึงหกสิบล่ะครับ” เจตน์ตอบสุภาพซะด้วย

      “ก็จ่ายให้แฟนไงครับ” ผมสวมทั้งบทเจ้าของร้านและบทแฟนผู้ติดชานม มือหนึ่งแบมือรอรับเงิน อีกมือก็ดื่มชานมส่วนของตัวเองหลายอึก

      อ้า ชื่นใจ

      เจตน์มองผมกึ่งล้อเลียนกับสีหน้าเป็นปลื้มหลังได้กินชานมสมใจอยาก ก่อนจะหยิบแบงก์ยี่สิบสามใบมาวางบนมือของผมอย่างว่าง่ายเกินคาด ตอนแรกนึกว่าจะกวนกลับสักประโยคซะอีก แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมกำลังคึก

      หวนนึกถึงวันแรก ช่วงเวลาที่ต้องแบมือรอรับกองเหรียญจากเขา แค่คิดก็หลุดขำ เรียกสายตารู้ทันจากแฟนหนุ่ม

      อะไรนะครับ แล้วชะตากรรมเหรียญสองบาทเป็นยังไง

      อยู่รอดปลอดภัยดีสิครับ ในกระปุกใสอันใหม่ที่ผมเอามาวางบนหัวเตียง ทำตัวคล้ายพวกคลั่งสะสมเหรียญ ทั้งที่เป็นกำลังใจแสนสำคัญซึ่งไม่ว่าจะหันไปมองกี่ครั้งก็ชวนยิ้มออกซะทุกครั้ง ราวมีพลังงานบางอย่างแอบแฝงในการกระทำเล็กน้อยที่คนอื่นอาจเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของเราสองคน

      ผมเปิดลิ้นชักใส่เงินของร้าน แน่นอนว่าในนั้นว่างเปล่า ฉะนั้นเมื่อวางแบงก์ยี่สิบสามใบลงไปเก็บก็เท่ากับว่าเจตน์คือลูกค้าคนแรกของผม...ของร้านชานมพิชพิชแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นแบบทางการหรือไม่ทางการก็ตาม

      นึกแล้วก็น่าตลก ใครเลยจะเชื่อว่าผมหนีออกจากบ้านมาเปิดร้านชานม พ่อแม่ไม่ยอมรับ พี่ชายไม่เข้าใจ เพื่อนสนิท หรือแม้แต่แฟนเก่าก็พากันตกใจกันหมด แถมยังกีดกัน ไม่ฟังเหตุผล และต่อให้ฟังก็น้อยนักที่จะเชื่อ

      เชื่อว่าผมเปิดร้านนี้เพราะใจรัก

      เชื่อว่าผมเปิดร้านนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

      เชื่อว่าผมเปิดร้านนี้หวังแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ยามกินชานมให้กับผู้อื่น

      คนใกล้ตัวผม คนใกล้ชิด ครอบครัว พากันผลัดเปลี่ยนแวะเวียนมาหาแล้วตามกลับบ้านลูกเดียว

      มีแค่เจตน์เท่านั้น

      ผู้ชายประหลาด เจ้าของร้านชานมหน้าปากซอยที่ตั้งใจมาสำรวจคู่แข่ง แต่กลับให้กำลังใจผม เพียงเพราะได้ยินคำประกาศกร้าวว่าอยากทำด้วยใจรัก ทั้งที่ควรจะเป็นคนที่อยากจะถีบส่งผมไปไกลๆ แท้ๆ แต่นอกจากไม่กีดกัน ยังสนับสนุน อุดหนุนไม่ขาด

      เป็นทั้งกำลังใจ เป็นทั้งคนที่คอยเคียงข้าง เป็นทั้งลูกค้าคนสำคัญ

      เป็นทั้งคุณคนแรก

      และคุณคนรัก
   
   ------------------
   
   และแล้วก็มาถึงตอนจบกันนะคะ ชอบกันมั้ยเอ่ย ถึงเรื่องนี้จะไม่ค่อยซับซ้อน และค่อนไปทางเรียบเรื่อย แต่เราชอบมากๆ ตอนแต่งเรามีความสุขมากๆ เลยค่ะ และเราก็หวังว่าคนที่อ่านทุกคนจะชอบและมีความสุขเวลาอ่านเรื่องนี้เหมือนกัน

   จริงๆ จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ตลกมากค่ะ เราเหมือนพิชพิชเลย เมื่อก่อนไม่เคยกินชานม แต่แล้ววันหนึ่ง...ก็ได้ลองช่วงกำลังหดหุ่หัวใจ

   ตอนนั้นเรากำลังเศร้ามากๆ เครียดมากๆ ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรเลย แล้วพี่สาวเราเป็นคนซื้อชานมให้กินค่ะ พี่บอกว่ากินแล้วดีด เชื่อพี่ เราก็ลอง จากนั้น...จากนั้น...เราก็ตกเป็นทาสชานม! ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โอ้โห้อื้อหือ มันดีดจริงๆ ค่ะคุุ๊ณณณณณณณ อารมณ์หดหู่เศร้าซึมหายหมดเลย เรางี้แต่งนิยายได้เฉยเลย ซึ่งก็คือเรื่องนี้นั่นเองงงงง

   ฉะนั้นถ้าเศร้า ให้มองหาชานมนะคะ //เดี๋ยวๆ!

   เราแต่งเรื่องนี้ตอนกำลังเครียด เลยตั้งใจให้ออกมาอ่านคลายเครียด มีรอยยิ้ม มีความฟินน่ารักๆ จั๊กจี้หัวใจ รสหวานน้อยๆ ไม่หวานมาก แต่ซึมซาบในอกเหมือนกินชานม

   สุดท้ายนี้ ขอฝากพิชพิชกับคุณคนแรกฉบับรูปเล่มที่จะออกกับทางสนพ.ฟาไฉด้วยนะคะ

   แม้จะโดนเทแต่เราไม่ท้อ มาลุ้นกันว่าจะออกทันงานหนังสือเดือนมี.ค.กันมั้ยนะคะ ณ ตอนนี้คือทางสนพ.ช่วยกันปั่นไฟลุกกพรึ่บๆๆๆ!!!

   ในหนังสือจะมีตอนพิเศษ 6 ตอน

   ตอนพิเศษ 1 : ความในใจคุณคนแรก [ 1 ]
   ตอนพิเศษ 2 : ความในใจคุณคนแรก [ 2 ]
   ตอนพิเศษ 3 : ความในใจคุณคนแรก [ 3 ]
   ตอนพิเศษสามตอนนี้จะได้อ่านมุมมองของคุณคนแรกกันค่ะ! ใครอยากรู้ว่าแอบไปชอบพิชตอนไหน คิดอะไรในหัวภายใต้หน้านิ่งๆ บ้าง ห้ามพลาดเด็ดขาดดดด แต่ละตอนจะแบ่งเป็นช่วง แรกพบ-จีบ-คบกัน
   แอบกระซิบว่าจริงๆ คุณคนแรกเคยเจอพิชพิชก่อนน้องจะเปิดร้านชานมอีกกก

   ตอนพิเศษ 4 : เจอครอบครัวพิชญ์
   ย้อนไปตอนพิชญ์กลับบ้านโดยมีคุณคนแรกขับรถไปส่งและถือโอกาสเปิดตัวกับครอบครัวค่ะ ตอนนี้ไม่มาม่า แต่เหม็นความรัก 55555

   ตอนพิเศษ 5 : อยากจะชวนเธอกินชานม~ [ NC ]
   แฮ่ม...ไม่พูดมากเจ็บคอ วงเล็บข้างหลังบอกหมดแล้วว่าใครกินใคร คุณคนแรกกินชานมที่พิชญ์ชงมาหลายตอนแล้ว ได้เวลาพิชพิชโดนคุณคนแรกกินสักทีค่ะ! บอกเลยว่าแซ่บมาก เพราะคุณคนแรกเปรียบเปรยพิชพิชดั่งชานม จะกินอะไรยังไงเดี๋ยวจะลงตัวอย่างให้อ่านกัน เพราะเราชอบตอนนี้มาก 555555555

   ตอนพิเศษ 6 : เกม Dirty Pint [ NC ]
   เป็นธรรมเนียมไปแล้วที่เราจะแต่งตอนพิเศษโดยให้ตัวละครมานั่งเล่นเกมกัน เรื่องนี้ก็ไม่พ้นต้องมาเล่นเกมใส่ส่วนผสมอี๋ๆ ในแก้วแล้วลุ้นว่าใครจะได้กินค่ะ ตอนนี้มีเอ็นซีกรุบกริบๆ และทิ้งท้ายด้วยข้อคิดของทาสชานมอย่างพิชพิช จากกันอย่างน่ารัก อิ่มอกอิ่มใจแน่นอน!

    ขอฝากตัวฝากใจ ฝากชานมเรื่องนี้ของเราด้วยนะคะ รักกกกก <3 //โปรยหัวใจรอบทิศ
   #ผมกับชานมไข่มุก
   
เพจ : มาจะกล่าวบทไป
Twitter : MajaYnaja
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-02-2020 20:17:38
น่ารักจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 16-02-2020 21:36:11
ยิ่งกว่าพามาดูเรือนหออีก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-02-2020 23:20:30
 :กอด1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2020 23:21:23
  :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 17-02-2020 09:29:23
 :pig4: ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-02-2020 10:46:36
หวานๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 17-02-2020 12:58:49
น่ารักมากคะตอนจบ รอเล่มนะคะเป็นกำลังใจให้กับงานเขียนเรื่องต่อๆไปคะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-02-2020 13:53:23
น่ารักมาก ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 17-02-2020 21:06:09
น่ารักมาเลย    :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 17-02-2020 23:07:07
จบได้น่ารักมากๆเลยค่ะ ไม่มีดราม่าเลย จบแบบ feel good อมยิ้ม ชอบมากค่ะ :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 18-02-2020 18:46:16
 :pig4:น่ารักมากค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 21-02-2020 00:07:10
น่ารักตะมุตะมิจริงๆ เลย  :L1:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: allmysecret ที่ 22-02-2020 01:16:16
แงงงงงงง น่ารัก ชอผช.บุคลิกแบเจตน์อ่ะ ฮือออออออออ ชอบบทมาก
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 27-02-2020 18:01:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 01-03-2020 20:58:54
น่ารักมากกกกกกก
น่ารักไม่ไหววววววว
อ่านแล้วชีวิตสดใสแม้ไม่ได้กินชานมไข่มุกจริงๆ55555
อ่านจบก็ได้แต่อิจฉาพิชญ์
อยากมีคุณคนแรกเป็นของตัวเองบ้างต้องทำยังไง
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนส่งท้าย - [16/02/63] P.11 *จบ*
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 04-03-2020 08:43:10
โอ้ยน่ารักกกกก ไม่ไหวแล้ว สงสัยคงต้องลองเปิดใจให้ชานมบ้างซะแล้ว เผื่อจะเจอแบบพิชญ์บ้าง :-[
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - *เปิดปก+เปิดจอง!!!*
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 05-03-2020 09:43:35
และแล้ว...เรื่องของคุณคนแรกและพิชพิชก็พร้อมให้จับให้จองกันแล้วค่า!! กรี๊ดดดด ปกสวยมากกก หวานมากกกกกก

(https://sv1.picz.in.th/images/2020/03/05/xesgWR.jpg) (https://www.picz.in.th/image/xesgWR)

เคาะราคาที่ 289 บาท แต่ลดเหลือ 279 บาท!
เฉพาะรอบสั่งกับสนพ.มีของแถมที่น่ารักมากกกกกก คือจิบิไดคัต และที่-รอง-แก้ว!!
ต้องจัดไปรองแก้วตอนกินชานมแล้ววว อ๊ากกกกกกก เหมาะกับทาสชานมมากๆ !! ฮีโร่พิชพิชก็น่ารักมาก!

สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้ - 3 เมษายนนะคะ!
แต่หนังสือเริ่มจัดส่งตั้งแต่ปลายเดือนนี้เลยนะ เท่ากับว่าสั่งก่อนได้ก่อน และของแถมมีจำนวนจำกัดน้า!


ชี้เป้า! สั่งจองได้ที่ facainovels.com
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ FaCai Novels หรือ มาจะกล่าวบทไป


ในหนังสือจะมีตอนพิเศษอีก 6 ตอนถ้วนๆ เลยนะคะ ตอนพิเศษน่ารักและแฮ่กๆ มาก ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ปวง ปวง!
ตอนพิเศษ 1 : ความในใจคุณคนแรก [ 1 ]
ตอนพิเศษ 2 : ความในใจคุณคนแรก [ 2 ]
ตอนพิเศษ 3 : ความในใจคุณคนแรก [ 3 ]
ตอนพิเศษ 4 : เจอครอบครัวพิชญ์
ตอนพิเศษ 5 : อยากจะชวนเธอกินชานม~ [ NC ]
ตอนพิเศษ 6 : เกม Dirty Pint [ NC ]
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - * เปิดปก+เปิดจอง!!! *
เริ่มหัวข้อโดย: Malibu ที่ 05-03-2020 22:25:14
เจตน์คือดีมากกกกกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - * เปิดปก+เปิดจอง!!! *
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 06-03-2020 07:22:03
น่ารักดีค่ะ จีบกันแบบเรื่อยๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆค่ะ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - * เปิดปก+เปิดจอง!!! *
เริ่มหัวข้อโดย: ss.suttida ที่ 10-03-2020 22:21:20
ว้าวไม่มาก เน้นรักใสๆหัวใจดุ๊กดิ๊กมากกว่า  ความจริงพอเดาทางพระเอกได้  แต่ปมเรื่องอื่นนี่พีคๆทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - * เปิดปก+เปิดจอง!!! *
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 11-03-2020 19:24:31
อ่านจบแล้ววว ฮืออ มันฟีลกู๊ดแบบเนิบๆ ปมทีละปมค่อยๆคลาย ทุกการกระทำมีเหตุผลของมันเนอะ
สารภาพว่าจังหวะแรกที่คิดว่าคุณคนแรกชื่อจ่อยคือเงิบ ติดสตั๊นไปสามวิ เพราะมีคนรู้จักชื่อนี้ละหน้าพี่เขาลอยขึ้นมาแทนที่มโนหน้าคุณคนแรกหมดเลย ทำเอาหมดมู๊ดแบบขำๆไปแปปนึง  :katai1:
แต่เอาๆจริงๆคือไม่ได้สังเกตจนมาเฉลยเลยว่า Joy อ่านว่า จ่อย 5555
ตอนที่พูดถึงการกระทำของคุณแม่เอาตรงๆคือโครตโกรธเลย รู้สึกว่าเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉันมาก ถ้าเราเป็นพี่พจน์คงน้อยใจตาย ส่วนถ้าพิชญ์ดื้อแล้วเอาแต่ใจกว่านี้คงได้มีเสียคนบ้างแหละ
กับภูมินี่คงเป็นคู่เวรคู่กรรมกัน แบบต้องชดใช้กรรมไปด้วยกัน  o22 ตอนแรกทั้งเกลียดทั้งหมันไส้ แต่หลังๆเริ่มสงสารการเป็นหมาหัวเน่าไป ฮาาา
คนที่แบบน่าสงสารสำหรับเราคือกฤต ถึงตอนแรกจะหมันไส้มากๆก็เหอะ แต่ดูๆไปแล้ว ก็เหมือนหมาตัวใหญ่ๆ เอ๋อๆ โดนชักจูงง่ายจนตัวเองน้ำตาตกใน พอจะเริ่มใหม่ก็ยังโดนขัดขาจนเป๋ไปอีก  :เฮ้อ:
รวมๆแล้วเราชอบเรื่องนี้มากเลย รอเก็บเล่มน้าาา ขอบคุณคนแต่งมากเลย ♥️♥️♥️
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: มาจะกล่าวบทไป ที่ 14-03-2020 19:11:16
[ตัวอย่าง] ตอนพิเศษ 5

อยากจะชวนเธอกินชานม~



เจตน์เป็นคนเรื่อยๆ ยังไงก็ได้ เหมือนไม่ค่อยคิดอะไรเยอะ แต่จริงๆ แล้วเขาคิดวางแผนมาอย่างดี

ตอนขอคบกับผม ก็ตั้งใจชวนมาบ้าน มาเปิดตัว ให้ผมเห็นว่าครอบครัวเขาโอเค ค่อยขอเป็นแฟนกัน

ตอนขอมีอะไรกันครั้งแรก ก็ตั้งใจชวนมาบ้าน มาให้เห็นว่าพ่อของเขาไปเที่ยวต่างประเทศกับแก๊งเพื่อนสูงวัย น้องสาวไปเข้าค่าย ทางสะดวกโล่งสบาย รับรองไม่เขินอายหากจะคลิกกัน

ครับ เขาขอผมมีอะไรกัน

ด้วยน้ำเสียงเหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศพอๆ กับตอนขอคบผมนั่นแหละ!

“มีอะไรกันมั้ย”

ผมเงยหน้า มองสภาพตัวเองที่นั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาชั้นล่างของบ้านเจตน์ แล้วมองแฟนที่พูดโพล่ง โดยไม่ยอมละสายตาจากโทรทัศน์

ตอนแรกผมคิดว่าเขาคงพูดผิด

อาจจะถามว่า ‘มีอะไรกินมั้ย’

“หิวเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันไปดูตู้เย็นให้ว่าเหลืออะไรบ้าง”

เมื่อตอนเย็นเราไปกินข้าวนอกบ้าน แล้วค่อยอาบน้ำใส่ชุดนอน นั่งจุ้มปุ๊กดูละครจนถึงสามทุ่ม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมค้างบ้านเขา เลยเลือกชุดนอนตัวใหม่...ชุดนอนลายชานม

เสื้อนอนแขนยาว ขายาว ดูสุภาพเรียบร้อยไม่อ่อยเกิน

หันมามองแฟนตัวเอง เจตน์ใส่กางเกงบอลกับเสื้อยืดคอกลมง่ายๆ สบายๆ เขาวางแขนพาดกับไหล่ผมข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างกดปิดโทรทัศน์

พอไร้เสียงกวนใจ เจตน์ก็หันมาพูดกับผม ถามย้ำอีกครั้ง

“มีอะไรกันมั้ย”

ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะระเบิดปุ้ง หน้าแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศต้มสุก

“มะ...มันใช่เรื่องมาถามตอนนี้เหรอ” ผมขยับตัวออกห่าง หยิบหมอนตรงโซฟาขึ้นมาบังหน้า

“งั้นควรถามตอนไหน” เจตน์ถามเสียงซื่อ แต่ดันแย้มยิ้มมุมปาก...ผมถดตัวหนี เขาก็เขยิบตัวตาม “คบกันหลายเดือนแล้ว แถมแม่แฟนหวง กว่าจะขอให้มานอนบ้านได้ต้องรอตั้งนาน วันนี้ทางสะดวก พ่อกับน้องสาวไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกมั้ย ถ้าไม่ถามตอนนี้แล้วควรเป็นตอนไหน”

ตรงไป๊!

ผมอ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก

“หรือว่ายังไม่พร้อม”

“ก็...ก็ไม่ใช่ว่าไม่พร้อม”

แต่ช่วยอ้อมค้อมอ้อมโลกสักนิดก่อนจะชวนขึ้นเตียงหน่อยก็ได้ ผมปรับใจไม่ทัน เต้นระรัวเลยเนี่ย

“งั้นพร้อม?”

“ก็...ก็...”

จะให้พูดตรงๆ เหมือนเจตน์ ผมก็ไม่กล้าพอ

สุดท้ายเลยพยักหน้ารับหงึกๆ

“จะเดินขึ้นไปเอง หรือจะให้อุ้มขึ้นไป”

“เอ่อ...เดิน...เดินเองก็ได้” ผมอยากจะบ้า ทำไมต้องถามทุกขั้นตอน เขาจะฆ่ากันทางวาจารึไง

ผมจับหัวใจที่เต้นแรงจนกลัวว่าจะวายตายก่อนขึ้นห้อง หวังให้มันสงบลงสักนิด ก่อนจะเดินตามหลังเจตน์ ก้มหน้าซุกหมอนคล้ายอยากให้มันเป็นที่พึ่งทางใจ

“จะเอาไปด้วยทำไม” เจตน์แย่งหมอนโยนคืนบนโซฟา

“ก็...ก็...มันเหงามือ” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว อายจนจะเป็นบ้า แทบไม่กล้ามองหน้าเขาเลย

“จับนี่ก็ได้” เจตน์แบมือ ยิ่งทำให้ผมอยากจะมุดพื้นหนี

ไม่รู้เหมือนกันว่าอายทำไม ใช่ว่าจะโสดซิง ผมเองก็เคยมีแฟนมาก่อน ผ่านประสบการณ์สิบแปดบวกมาแล้ว แต่พอเป็นคุณคนแรก เอ๊ย...เจตน์ ผมก็เหมือนคนเพิ่งมีความรัก ขอเพียงเขาทำอะไรให้นิดๆ หน่อยๆ เป็นเขินอาย หัวใจเต้นแรงตลอดเวลา

ไม่ไหวๆ ต้องฮึดแล้วเรา!

เห็นเจตน์ยืนแบมือไม่ขยับ ผมก็กัดฟันสู้ตาย ยื่นมือไปวางแปะ

เจตน์ยิ้ม

เขายิ้มแล้วมองผมด้วยสายตาเอ็นดูเหลือเกิน ใจที่เพิ่งจะฮึดสู้พลันอ่อนยวบเป็นเต้าหู้นิ่มๆ ผมก้มหน้างุดอีกครั้ง ยอมให้เขาจับเขาจูงขึ้นไปชั้นสอง

ห้องของจูนมีป้ายชื่อสีชมพูแขวน ส่วนห้องของเจตน์มีสติกเกอร์ชานมแปะ

คนแปะก็ไม่ใช่ใครอื่น ผมเนี่ยแหละที่มือบอน

เจตน์ไม่ทำสัญลักษณ์เลย ทำให้ผมสับสนระหว่างห้องเขากับห้องพ่อของเขาที่อยู่ข้างๆ ก็เลยซื้อสติกเกอร์ชานมแปะเต็มประตูจนจูนหัวเราะชอบใจ เพราะนอกจากจะมีลายชานมแล้ว ยังมีคำพูดตลกๆ อย่าง ‘กินฉันสิ กินฉันสิ’

เมื่อก่อนมองในแง่ขบขัน แต่พอตอนนี้นั้น...

“จะกินแล้วครับ”

เจตน์ตอบราวรู้ใจว่าสายตาผมหยุดอยู่ตรงประโยคไหน หน้าแดงก่ำขึ้นอีกเท่าตัว

อย่างกับเป็นฝ่ายเชื้อเชิญทั้งที่เขาต่างหากที่เชิญชวน

“ฉะ...ฉันไม่ใช่ชานมนะ”

“จริงเหรอ” เจตน์ถามเสียงทุ้ม สายตาทอดมองวาวระยับแกมเจ้าเล่ห์ ผมแพ้ทั้งตัวทั้งใจ ยอมเป็นชานมไข่มุกก็ได้

พอปิดประตูห้อง เจตน์ก็เปิดไฟ เผยให้เห็นห้องนอนที่เต็มไปด้วยชั้นโมเดล เป็นหุ่นยนต์ที่เขาได้จากแม่ตอนเด็กๆ น่ะครับ หลังแม่เขาเสียด้วยอุบัติเหตุ เจตน์ก็เอามาเรียงใส่ชั้น เป็นของดูต่างหน้า รักและถนอมอย่างดี

ผมชอบเขามากๆ ที่เป็นคนอบอุ่นและรักครอบครัวเนี่ยแหละ

แต่ตอนนี้เหมือนจะอุ่นจนร้อนไปสักหน่อย มือที่เราสองคนกอบกุมกันชักจะชื้นเหงื่อ

“พิชญ์นั่งตรงนี้ก่อน” เจตน์พาผมนั่งตรงปลายเตียง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

ผมนั่งหลังเหยียดตรง ตัวเกร็งจนต้องกำมือบนหน้าขา ใจเต้นตึกตัก ตึกตัก

สูดหายใจเข้าลึกๆ ไว้พิชพิช หายใจเข้า...หายใจออก เรื่องธรรมชาติของคนรักจะเกร็งทำไม ผ่อนคลายเข้าไว้ นั่นแหละ ดีมากก

พลันผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนถามจากในห้องน้ำ

“ระหว่างวาสลีนกับโลชั่นกลิ่นผลไม้ ชอบอะไรมากกว่ากัน”

แม่งเอ๊ย ผมอยากจะระเบิดตัวเองตายไปเลย

“ละ...โลชั่นกลิ่นผลไม้”

แต่ไม่ตอบก็ไม่ได้ ไม่งั้นเจตน์คงเดินมาถามต่อหน้า

“งั้นระหว่างกลิ่นกล้วยกับกลิ่นส้มล่ะ”

ผมยกมือปิดหน้า อยากจะร้องอ๊ากออกมาดังๆ

เลิกถามแล้วมาทำให้มันจบๆ ได้มั้ย อ๊ากกก

“อะไรก็ได้” ถึงในใจจะโวยวายแค่ไหน...ในความเป็นจริงผมก็ได้แต่ตอบออกไปเสียงเบา

“ไม่ได้สิ ต้องเลือก ซื้อมาให้เลือกเยอะแยะเลย” เจตน์ออกมาจากห้องน้ำ ถือโลชั่นสองขวดใหม่แกะกล่อง ยิ้มเหมือนภูมิใจนำเสนอ “ถ้าไม่ชอบสองกลิ่นนี้ มีกลิ่นชาเขียวด้วยนะ”

“ไม่มีกลิ่นชานมเหรอ”

“พยายามหาแล้ว แต่ยังไม่มีเจ้าไหนทำขาย”

น่าเสียดายจริงๆ

“สรุปชอบกลิ่นไหน”

“นายเลือกเถอะ”

“แต่ต้องใช้กับตรงนั้นนะ คนโดนทาต้องเลือกกลิ่นที่ชอบสิ” เจตน์ว่าอย่างใส่ใจแฟน อยากให้แฟนมีความสุขแม้กระทั่งกลิ่นโลชั่น

ผมปิดหน้าตัวเอง ตอบตะกุกตะกัก

“งั้น...เอากลิ่นส้มก็ได้”

เจตน์พยักหน้ารับหนึ่งที เดินเอาโลชั่นอีกขวดไปเก็บ พอเดินออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง เขาก็ตัวเปลือยเปล่า

นี่ก็แก้ผ้าเร็วเกิ๊น!

“จะถอดเอง หรือให้ถอดให้” เจตน์ถามยิ้มๆ สายตามองชุดนอนสุดเรียบร้อยไล่ตั้งแต่คอเสื้อยันข้อเท้า

ไม่ทันทำอะไร ผมก็เหมือนโดนสายตานั้นโลมเลียจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“ถะ...ถอดเอง”

ขืนให้เขาถอดให้ ไม่รู้ว่าจะเป็นลมตายก่อนเริ่มกิจกรรมรึเปล่า

เห็นเจตน์ยืนถือโลชั่นกลิ่นส้มรอ ผมก็ค่อยๆ แกะกระดุมเสื้อ แต่แกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ออก สงสัยจะตื่นเต้นเกินจนมือสั่น

“ให้ช่วยมั้ย”

“ไม่ต้อง”

ไอ้สายตาอยากจะกระชากเสื้อขาดมันอะไรกัน ผมรีบแกะกระดุมมือเป็นระวิง

จัดการท่อนบนเสร็จก็ตามด้วยท่อนล่าง ผมจับขอบกางเกงยางยืด ชั่งใจว่าจะดึงลงทีเดียวหรือค่อยๆ ยกขาออกทีละข้างดี

“หยุดจ้องสักทีได้มั้ย” ก่อนจะทนไม่ไหว หันไปเหวใส่แฟนที่มองตาไม่กะพริบเหมือนอยากจะเมมโมรี่ทุกท่วงท่า

“เขินเหรอ” เจตน์แซว “เขินทำไม มีอะไรให้เขิน”

เขาผายมือออก อวดเรือนร่างเปล่าเปลือยที่ไม่มีความเขินอายสักกะนิดเดียว

ใช่สิ เขาหุ่นดีนิ

ผมมองช่วงลาดไหล่กระชับน่าสัมผัส ไล่สายตาลงไปยังหน้าท้องที่แม้ไม่มีซิกแพคแต่ก็ไม่มีไขมันส่วนเกิน กลืนน้ำลายกับร่องสะโพกรูปตัววีที่แสนจะเพอร์เฟ็ค กวาดสายตาผ่านเร็วๆ ตรงเจตน์น้อย ก่อนจะหลุบมองตัวเอง

จับตรงไหนก็นุ่ม จับตรงไหนก็นิ่ม

นุ่มนิ่มไปทั้งตัว

“เฮ้ย!”

ไม่ทันให้ปลงตกกับหุ่นตัวเอง เจตน์ก็ถกกางเกงผมพรวดเดียวลงไปกองที่พื้น

ผมรีบหุบขา สองมือปิดพิชพิชตัวน้อย

เจตน์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะจิ้มไหล่หนึ่งที ตัวแข็งเกร็งของผมพลันล้มแปะนอนหงายกับเตียง ถึงอย่างนั้นสองมือก็ยังปกป้องพิชพิชตัวน้อยอย่างแสนรักแสนหวง

“ปะ...ปิดไฟเถอะ” ผมเอ่ยตะกุกตะกักเมื่ออีกฝ่ายขึ้นคร่อม แถมยังใช้หัวเข่าดันขาผมให้อ้าออก แล้วใช้หมอนรองใต้สะโพกพร้อมเผด็จศึก

“ไม่” เจตน์ปฏิเสธ เทโลชั่นกลิ่นส้มกลางฝ่ามือ ชโลมทั่วทั้งห้านิ้ว ก่อนจะค่อยๆ ชำแรกนิ้วชี้เข้ามาในช่องทางคับแคบเพราะผมเอาแต่นอนตัวแข็งทีละนิด “ผ่อนคลายหน่อย”

“งั้นจูบสิ”

งงตัวเองเหมือนกันว่าอายจะตายอยู่แล้วยังจะพูดจาน่าอายอีก แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ผมคงหลุดครางให้ยิ่งเขินหนักแหง

ได้ยินคำขอแสนน่ารัก เจตน์ก็ยิ้มบาง โน้มตัวประกบปากแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ขบเม้ม สอดลิ้นรุกแทรก ควานคว้านไปทั่ว

พอผมเริ่มเคลิ้ม นิ้วชี้ที่ไม่ขยับในช่องทางก็เริ่มเสียดลึก ผมกระตุกตัวตกใจ แต่เจตน์แก้ปัญหาฉับไว ดูดลิ้นผมจนครางอืออา

ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย เขาก็สำรวจช่องทางผมได้ง่ายขึ้น นิ้วชี้แสนซุกซนเริ่มขยับไปซ้ายที ขวาที เดี๋ยวดันเข้า เดี๋ยวดึงออก เพราะเขาชโลมโลชั่นเยอะมาก เลยเกิดเสียงดังเฉอะแฉะชวนหน้าแดงเป็นระยะ และยิ่งดังชัดเมื่อเขาสอดนิ้วที่สอง...และที่สามเข้ามา

“อือออ” ผมบิดกายเล็กๆ หลับตาปี๋ เมื่อเจตน์เริ่มพยายามกางนิ้วหวังถ่างช่องทางคับแคบให้พอดีกับบางสิ่งบางอย่างซึ่งใหญ่กว่านิ้วชี้นิ้วกลางและนิ้วนางรวมกันเป็นไหนๆ

ปลายลิ้นถูกเขาทั้งขบทั้งดูดหยอกล้อจนเคลิ้ม ช่องทางด้านล่างก็ถูกรุกรานสอดลึกจนเจอจุดกระสัน ผมบิดกายไปมาด้วยความเสียว รู้ตัวอีกทีสองมือก็ปิดพิชพิชน้อยไม่ได้แล้ว

เพราะส่วนกลางลำตัวตั้งโด่เด่

“อืออ อืมม”

อารมณ์ผมพุ่งสูง ใกล้จะถึงฝั่งฝันเต็มทน แต่เจตน์ดันผละมือออกซะก่อน พอลืมตาก็เห็นว่าส่วนนั้นของเขาก็ชี้โด่ไม่แพ้กัน

แถมยังใหญ่กว่าด้วย!

“รู้มั้ย ว่าวิธีกินชานมที่ถูกต้องมีสี่ขั้นตอน”

ขณะที่ผมผวากับขนาด เจตน์ก็เปลี่ยนเรื่องชวนคุยซะงั้น

ผมมองเขางุนงง

“ขั้นแรก เจาะหลอด”

“อ๊ะ!”

แก่นกายชำแรกในช่องทางที่ถูกเตรียมพร้อมจนโอบล้อมรัดแน่นไม่ต่อต้าน ทั้งผมทั้งเจตน์สูดปากพร้อมกัน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดันเข้าจนสุด

“อ๊า!”

ผมแหงนหน้าครางลั่น รู้สึกถึงผนังช่องทางที่ถูกขยับขยายตามขนาดไม่ธรรมดา

เดี๋ยวนะ นี่ผมกลายเป็นแก้วชานมที่ถูกเขาเจาะแล้วใช่มั้ย

“ขั้นที่สอง กินไข่มุก”

“อือ อะ อืมม”

ผมขยำผ้าปูที่นอนเมื่อเจตน์อ้าปากงับยอดอกเหมือนว่ากำลังกินไข่มุกจริงๆ

แต่ไข่มุกแก้วนี้มีแค่สองลูก ต้องละเลียดกินหน่อยนะ

“อ๊ะ จะ...เจตน์ อ๊า”

ยอดอกทั้งสองฝั่งถูกกินอย่างเท่าเทียม เดี๋ยวก็ใช้ลิ้นดุนข้างนี้ เดี๋ยวก็อมไข่มุกข้างนั้น ผมบิดกายเสียวซ่าน ช่วงล่างเองก็โดนกระทุ้งจนจุก

“ขั้นที่สาม ดูดชานม”
ไม่ทันถามว่าไหนล่ะชานม เจตน์ก็....

-------ติดตามต่อได้ในเล่ม-------
แฮ่ม ขอค้างไว้ก่อนที่ขั้นตอนที่สาม ส่วนขั้นตอนที่สี่คืออะไรน้านนน หาคำตอบได้ในเล่มนะคะ รับประกันความแซ่บ
เรื่องนี้หวานๆ แต่บทจะแซ่บก็ได้นะเออ!!!
ขอฝากหนังสือด้วยน้า~ กระซิบว่าของแถมหมดไปครึ่งนึงแล้วนะคะ!!

(https://sv1.picz.in.th/images/2020/03/14/QhG0Cy.jpg)

หนังสือลดราคาเหลือ 279 บาท
ของแถมพิเศษเฉพาะรอบพรีเซล จิบิไดคัต และที่รองแก้ว
สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้ - 3 เมษายนนะคะ!
ของแถมมีจำนวนจำกัดน้า!

(https://sv1.picz.in.th/images/2020/03/14/QhGYw9.jpg) (https://www.picz.in.th/image/QhGYw9)

ชี้เป้า! สั่งจองได้ที่ facainovels.com
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ FaCai Novels หรือ มาจะกล่าวบทไป


ในหนังสือจะมีตอนพิเศษอีก 6 ตอนถ้วนๆ เลยนะคะ ตอนพิเศษน่ารักและแฮ่กๆ มาก ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ปวง ปวง!
ตอนพิเศษ 1 : ความในใจคุณคนแรก [ 1 ]
ตอนพิเศษ 2 : ความในใจคุณคนแรก [ 2 ]
ตอนพิเศษ 3 : ความในใจคุณคนแรก [ 3 ]
ตอนพิเศษ 4 : เจอครอบครัวพิชญ์
ตอนพิเศษ 5 : อยากจะชวนเธอกินชานม~ [ NC ]
ตอนพิเศษ 6 : เกม Dirty Pint [ NC ]
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-03-2020 14:33:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 17-03-2020 07:41:07
วั้ยๆๆๆ. น้องพิชญ์กลายเป็นชานมถูกเจตน์กินซะแล้ว.  :-[
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-03-2020 22:15:12
 :haun4:เป็นการกินชาไข่มุกที่แบ่บบบ :pighaun:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 10:30:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Gimlongdeep ที่ 10-06-2020 00:14:29
อ่าาาา..เราอ่านจบแล้ววว ปรบมือให้นักเขียนค่ะ :L2: :L1: จริงเรื้องนี้อ่านมาต้นจนจบคือ ความรู้สึกของเรื่องที่สื่อออกมาคือเรียบๆเรียงๆเรื่อยๆไหลไปป แต่มันอ่านแล้วดูมีความสุขต่อหัวใจมากๆเลยค่ะ อ่านแล้วดูเรื่อยๆนะแต่มันแชวนให้ยิ้มตามในแต่ละบท. แต่พีคสำหรับเราคือJoy น้องผันเป็นจ่อยไม่ได้อ่ะ55555เลยไม่ได้คิดไปว่าเจตน์ทำงานอะไร พอมาเฉลย อืมมมันก้สอดคล้องกันน แต่แค้นอิลุงมากๆๆเลยยยทำงี้กับพิชพิชได้ไงง!! :fire:  ชอบเรื่องนี้ เป็นกำลังใจให้คุณนักเขียนฮะ ส่งชานมไข่มุกไปป55555
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 10-06-2020 21:43:29
เรื่องน่ารักมากเลยค่ะ ชานมพิชพิชที่น่ารักกับร้านจ่อยของคุณเจตน์ ดูเป็นความรักที่เกิดจากการอยู่ข้างๆให้กำลังใจเสมอเรื่อยๆดี แต่ก็มีปมเรื่องปัญหาต่างๆของทางบ้าน แฟนเก่า เพื่อน เข้ามาสอนเราด้วย ขอบคุณคนเขียนมากเลยนะสำหรับนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 12-06-2020 23:08:36
อ่านจบแล้ว ตามอ่านได้อย่างเพลิน ชวนให้เคลิ้ม
คุณคนแรก(เจตต์) กับพิชช์ เป็นอะไรที่ลงตัว แบบเพลินๆกันไป
ขอขอบคุณนักเขียนมาจะกล่าวบทไป :pig4:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: - โปรดอย่ากีดกันผมกับชานมไข่มุก - [ตัวอย่าง]ตอนพิเศษ : อยากจะชวนเธอกินชานม~ P.12
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-07-2020 18:51:15
เรื่องนี้ อ่านแรกๆ ก็จะมีความป่วงๆ หน่อย
แต่อ่านไปอ่านมา เราว่ามันฮีลใจคนดีค่ะ

พิชทำให้ที่บ้านเชื่อว่า ทำได้จริง
พิชทำให้เห็นธาตุแท้ของแฟนและเพื่อน
และพิชได้เจอคนที่ไม่น่าจะมารักกันได้
แต่สุดท้ายคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างตลอด

และตอนนี้พิชก็เติบโตได้ดี พร้อมทำงานแบบจริงจัง
มีแฟนที่เรียบเรื่อย และอู้หู้ได้ตลอด 5555

ขอบคุณมากนะคะ ในเวลาแบบนี้
ชานมด้วยได้จริงๆ ค่ะ ชีวิตเราจะไม่ขาดความหวานจ้าาา