บทที่ 8 : ภารกิจสุดท้าย
หลังจากพูดคุยกับเซียนปักษาได้ไม่กี่วัน ทวิชก็เรียกน้องชายของเขาเข้าไปคุยเรื่องความคืบหน้าของแผนการอีกครั้ง และเป็นเช่นเคย ที่ทวิชจะใช้ทุกวิถีทาง เพื่อปลุกอสูรร้ายในใจน้องชายให้ตื่นขึ้นมา ภาสกรออกเดินจากห้องประชุมพร้อมกับเปลวไฟลุกโชนในดวงตา แม้จะบอกว่าหมดลงแล้วความรู้สึกแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อถูกทวิชพูดสะกิดเข้าให้เพียงเล็กน้อย ดวงใจก็คล้ายกระตุกวูบอยู่ข้างใน และคราวนี้เขาจะไม่พลาดอีก ถ้าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่ทวิชเคยพูดไว้ เขาจะกลับไปชิงตัวคนรักของเขาคืน ไม่ว่าต้องแลกด้วยกี่ชีวิตก็ตาม
แผนการอันรัดกุมที่สุด ที่ได้เรียนรู้จากทุกความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น จากการพยายามลอบฆ่ามาหลายสิบครั้ง ทำให้คราวนี้ ทวิชส่งคนไปดักเฝ้าเจ้าสำนักเพลิงรัตติกาลที่หน้าโรงแรมตั้งแต่ 2 วัน ก่อนที่ศิขรินจะเข้าพัก นักท่องเที่ยวของปักษาทมิฬแฝงตัวเข้าไปอย่างแนบเนียนที่สุด และหนึ่งในนั้นก็คือเมฆา มือขวาคู่บารมีของทวิช มนุษย์ที่ภาสกรไม่ชอบขี้หน้าหรืออยากร่วมงานด้วยสักเท่าไหร่...ชายผู้แตกต่างกับตนโดยสิ้นเชิง
'เขามาแล้ว'
สองคู่รักชาวต่างชาติกำลังนั่งรับประทานอาหารในห้องกระจกบนชั้นที่มองเห็นทุกทิศของโรงแรมแห่งนี้ ฝ่ายชายกรอกเสียงลงบนไมค์โครโฟนจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในเสื้อ แล้วลงมือรับประทานอาหารตรงหน้าต่อ
และนี่เป็นครั้งแรกที่คนของปักษาทมิฬสามารถเข้าใกล้ตัวศิขรินได้มากขนาดนี้ ทุกความเคลื่อนไหวถูกจับตาโดยคู่รักชาวต่างชาติและกล้องวงจรปิดของโรงแรม
"4...5...6... 6 คน"
"ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเอาบอดิการ์ดมาแค่นี้"
"ไม่...8 สิ ตรงเคาน์เตอร์นั่นด้วย"
กล้องวงจรปิดทุกตัวทำงาน และเริ่มจับใบหน้าของบอดิการ์ดที่แฝงตัวเป็นคนทั่วไปเอาไว้ได้หมด ทวิชส่งคนตามเก็บบอดิการ์ดของศิขรินทีละคนอย่างใจเย็น จนเมื่อตะวันลับขอบฟ้า คนกลุ่มหนึ่งในชุดธรรมดาทั่วไป ก็ได้มานั่งร่วมกันรับประทานอาหารบนห้องอาหารของโรงแรมระดับกลางที่แสนธรรมดา
แต่ทว่า บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนั้น กลับสุดแสนละมุนอบอุ่น...ดังเช่นชื่อจริงของเด็กหนุ่มผู้กำลังจะเข้ารับปริญญาในวันพรุ่งนี้...ไออุ่น เพลิงอัคนี
"วันนี้ไม่ต้องไปกับรุ่นน้องเหรออุ่น? "
"อุ่นไปเลี้ยงสายมาเมื่อวานแล้วครับแม่"
"กินข้าวเสร็จต้องรีบนอนเลยไหม พรุ่งนี้ให้พ่อออกไปส่งกี่โมงดี"
"ตี 4 ครับ เดี๋ยวอุ่นออกไปพร้อมเพื่อนก็ได้ เพื่อนอุ่นคนนึงพักโรงแรมนี้เหมือนกัน"
"อ่าว แล้วทำไมไม่ชวนมาทานข้าวด้วยกันล่ะ"
"ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครว่างหรอกครับ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ครอบครัวอีก อุ่นเองก็อยากอยู่พร้อมหน้าแบบนี้มาตั้งนานแล้วเหมือนกัน"
"...คุณคะ คืนนี้ฉันขอไปนอนกับลูกนะ ฉันอยากช่วยไออุ่นแต่งตัว ตื่นมาจะได้ช่วยเขาได้เลย ไม่รบกวนคูณ...ฉันอยากให้รูปใหญ่ที่จะเอามาติดผนังห้องรูปล่าสุดของบ้าน เป็นรูปไออุ่นที่หล่อที่สุด คิกคิก"
"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ "
ชายหนุ่มผู้กำลังจะได้เข้ารับปริญญาบัตรในวันพรุ่งนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส พยักหน้ารับคำมารดาพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนาน ความสุขอันล้นเหลือที่ฉายชัดออกมาทางสีหน้าและแววตา ได้สะกิดใครบางคนที่นั่งโต๊ะไม่ห่างกันนัก ให้ต้องนิ่งงันลงไป
รวมไปถึงอีกฟากฝั่งของคนที่กำลังรับฟังบทสนทนาผ่านไมค์โครโฟนตัวจิ๋วที่ติดกับเสื้อเมฆาอยู่ด้วย
ตึก ตึก...ตึก ตึก
เลือดนักสู้สูบฉีดรุนแรง แม้จะบอกกับตนว่าต้องแข็งแกร่ง ต้องพุ่งชน และฆ่าแหลกไม่มีเหลือ แต่ลึกๆ ในใจภาสกรกลับสัมผัสได้ถึงความหวั่นไหว เขายังคงจำความรู้สึกช่วงที่บิดายังมีชีวิตได้ดี พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันมากมายนัก แต่เขาก็ไม่เคยถูกทิ้งขว้าง หรืออยู่ห่างจากสายตาของบิดาเลย ความสุขที่เขาเคยได้รับ สร้างความอึดอัดใจให้เขาเป็นอย่างมาก
อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ต้องลงมือสังหารบิดาของชายคนนี้แล้ว และตัวเขาเอง ก็คงต้องถูกหมายหัวจากไออุ่น ดั่งที่เขาหมายหัวศิขรินที่ฆ่าพ่อเขา เช่นในขณะนี้
ความอาฆาตแค้น ก็เหมือนไฟ...ไม่ได้ลุกลามเผาไหม้เพียงผู้ที่เราต้องการแก้แค้น แต่มันเผาไหม้กระทั่งใจเราด้วย
ภาสกรไม่อาจทนกับความรู้สึกบางอย่างนั้นไหว เขาลุกออกจากที่นั่น และเดินไปยังรูปถ่ายของบิดา อีกไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ต้องออกไปทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่เฝ้ารอมาอย่างยาวนาน แต่ในใจกลับรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก
"ผมจะทำยังไงดีพ่อ...เด็กคนนั้น เขาจะกลายเป็นปีศาจร้ายอย่างผมไหม"
อึก
ภาสกรผู้ไม่อาจตอบคำถามในใจ ความรู้สึกเปราะบางนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะสิ่งที่เขากำลังสัมผัสจากเด็กคนนั้น ใกล้เคียงกับช่วงเวลาดีๆ ที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำระหว่างเขากับบิดา...หรือเป็นเพราะว่าชีวิตเขาได้พบกับใครบางคน ที่ทำให้เขารู้จักคำว่ารัก ห่วงใย และการได้รักชีวิตคนคนหนึ่งมากกว่าตนเองกันแน่
"...ผมคิดถึงพ่อ"
ความเข้มแข็งที่ภาสกรพยายามสร้างขึ้นเพื่อปิดบังทุกบาดแผลในใจเริ่มพังทลายลง เขายังคงคิดถึงบิดาในทุกวัน และหากว่าเขาเลือกได้ เขาก็ไม่ได้ต้องการสงครามหรือการล้างแค้นใดใดอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
"...ภาส"
ในขณะที่ภาสกรกำลังหลั่งน้ำตาออกมาด้านหน้ารูปถ่ายของบิดา เสียงที่คล้ายกันกับเขาก็เอ่ยชื่อเขาขึ้น ภาสกรปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว แล้วเดินกลับขึ้นห้องส่วนตัวไปโดยไม่ได้หันกลับมามองคนด้านล่าง
ชายผู้เป็นใหญ่ที่สุดในปราสาทหลังนี้ ได้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของน้องชายก็เกิดความวิตกกังวลขึ้น...รักนั้นเป็นไฉน? ใยสุดแสนน่าหวาดหวั่น...สามารถเปลี่ยนปีศาจร้าย ให้กลายเป็นคนธรรมดาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทวิชได้แต่เฝ้ามอง และเริ่มหาทางเลือกที่สองไว้ เมื่อเห็นว่าบัดนี้ ภาสกร อาจไม่เหมาะกับหน่วยรบเดนตายของตนอีกต่อไป
แผนการลอบสังหารครั้งสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นเมื่อภาสกรออกเดินทาง โดยที่ไม่ทันรู้ตัว รถยนต์อีกขบวนหนึ่งก็ได้ตามหลังเขาไปด้วย นายใหญ่แห่งปักษาทมิฬออกเดินทางตามไป เพื่อจัดการความแค้นสิบปีให้จบสิ้นลงเสียที
เมื่อเดินทางไปถึง ภาสกรก็รอสัญญาณจากทวิชที่อยู่ในรถอีกคัน ประมาณสามนาฬิกา...ก็ได้เวลาลงมือ ภาสกรหยุดรอในลิฟต์ เพื่อให้หน่วยเก็บกวาดทำงานจนเรียบร้อย โรงแรมขนาดกลางที่ถูกจองเต็มทุกห้อง แต่กลับมีห้องห้องหนึ่ง ที่ปรากฏชายร่างยักษ์ 2 คนยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ หน่วยเก็บกวาดที่ได้เตรียมพร้อมมาอย่างดีสำหรับงานนี้ ประจันหน้ากับบอดิการ์ดทั้งสองด้วยปืนเก็บเสียง รวดเร็วอย่างที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว พื้นที่ถูกเคลียร์อย่างราบคาบ หน่วยเก็บกวาดใช้อุปกรณ์ตัดโซ่และกลอนทุกชิ้นที่ถูกขัดไว้จากภายใน จากนั้นจึงได้รีบถอนกำลังไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณทั้ง 2 ของคนเฝ้าประตู เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
ภาสกรเดินออกจากลิฟต์ และเดินเข้าไปในห้องพักของเป้าหมายที่ได้ทำเครื่องหมายไว้ตั้งแต่ 2 วันที่แล้วด้วยความเงียบเชียบ ชายสูงวัยนอนอยู่บนเตียงคล้ายยังไม่ทราบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในห้อง
ภาสกรจ้องมองใบหน้าศัตรูที่เขาเฝ้าเคืองแค้นมากว่าสิบปี ความเคียดแค้นที่เขาพร่ำบอกตนเองอยู่เสมอว่า ให้ฆ่ามันซะ หาทางลอบฆ่ามันให้ได้...กลับมีเสียงเสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในโสตประสาท
'กินข้าวเสร็จต้องรีบนอนเลยไหม พรุ่งนี้ให้พ่อออกไปส่งกี่โมงดี'
'ตี 4 ครับ เดี๋ยวอุ่นออกไปพร้อมเพื่อนก็ได้ เพื่อนอุ่นคนนึงพักโรงแรมนี้เหมือนกัน'
'อ่าว แล้วทำไมไม่ชวนมาทานข้าวด้วยกันล่ะ'
มีดปลายแหลมที่เขาเฝ้าเพียรฝนครั้งแล้วครั้งเล่า มีดที่เขาตั้งใจจะปักลงตรงกลางใจของนายใหญ่แห่งเพลิงรัตติกาล มีดที่เขาตั้งใจจะกรีดเอาโลหิตอันเหม็นเน่าของชายผู้นี้ไปราดรดต่อหน้าหลุมศพของบิดา
"คนคนนี้เหรอ ที่พ่อยอมตายเพื่อเขา...ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ว่าคนคนหนึ่งจะยอมตายเพื่อคนที่รักได้ยังไงกัน...มันน้ำเน่าสิ้นดี พ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารักพ่อบ้างไหม แต่พ่อก็ยังรักเขาทั้งๆ ที่เขาทำร้ายพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า"
ยิ่งพูดไป ดวงใจยิ่งเจ็บปวด ชายแก่ตรงหน้าเขาบัดนี้ คือชายผู้โชคดีและดวงแข็งที่สุดเท่าที่ภาสกรเคยพบมา ทั้งได้เป็นเจ้าของดวงใจของบิดาที่เขารักมากที่สุด ทั้งยังได้ครอบครองอัคนีผู้งดงาม ก่อนหน้าเขาเสียอีก
"...ศิขริน"
"..."
"...ตื่น! "
แม้จะพูดเสียงดังหรือพยายามเขย่าหัวไหล่รุนแรงเพียงใด ชายผู้หลับใหลก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินหรือตื่นขึ้นมาพูดคุยกับเขาเลยสักนิด
ภาสกรไม่รอช้า เร่งเข้าใกล้นายใหญ่แห่งเพลิงรัตติกาล และใช้สองนิ้วตรวจสอบลมหายใจของชายบนเตียง และพบว่า
...ศิขริน ไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
สองมือกดไมค์โครโฟนจิ๋วที่ติดเสื้อเพื่อต่อสายไปยังผู้ที่กำลังเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
"แทน..."
"..."
"...มันตายแล้ว"
"..."
"...เยี่ยมมากไอ้น้องชาย"
ปิ๊บ!
ปลายสายที่เอ่ยกลับมาน้ำเสียงบ่งบอกถึงความลิงโลดในอารมณ์ ทวิชตัดสายไปพร้อมกับสั่งให้คนของตนขับรถกลับไปยังปราสาท หากแต่ภาสกรยังคงยืนอยู่ไม่ห่างจากร่างชายไร้วิญญาณด้วยความงุนงง
"...พ่อ? "
ชายร่างยักษ์ผู้กำลังจมอยู่กับความไม่เข้าใจ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นไม่ห่างจากเตียงกว้าง เขาสบตาเข้ากับชายคนหนึ่งซึ่งมีดวงตาสั่นไหว คล้ายกับมีคำถามคาใจ ชายหนุ่มผู้หวีผมเรียบแปล้ ในชุดครุยตัวยาว
"...พ่อ"
"...ฉัน...เปล่า..."
หนุ่มน้อยน่ารักดวงใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เหตุสะเทือนใจที่โถมเข้าใส่อย่างกะทันหัน ปิดทุกช่องทางการรับรู้ของเขาไป หลงเหลือไว้เพียงหยดน้ำตาอาบไล้เต็มใบหน้า วงขาเรียวสั่นเทาเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จนชนเข้ากับขอบประตู จากนั้นเจ้าตัวก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
...ฆ่าแล้วจะได้อะไรล่ะ? นอนหลับสนิทขึ้นงั้นเหรอ เค้ามาฆ่าเรา เค้าก็นอนไม่หลับ เพราะกังวลว่าเราจะไปแก้แค้น...เรานั้นก็ไม่ต่างกัน กลับไปแก้แค้นเขา ก็ต้องมาเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจอีก เพราะกังวลว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นเช่นกัน...ลุกไหม้ เผาลามวอดวายไปทั่ว ไม่มีที่สิ้นสุด
ภาพชายหนุ่มที่ภาสกรไม่เคยพบยังคงติดตรึงในดวงใจไม่หาย แม้ว่าเจ้าตัวจะวิ่งหายลับตาไปแล้ว และคราวนั้นเอง ที่ภาสกรสัมผัสถึงคำว่า...สลดใจเป็นครั้งแรก
เขายืนจมลึกในห้วงอารมณ์อยู่อย่างนั้นจนเริ่มตั้งสติได้ จึงได้เร่งฝีเท้าออกจากจุดนั้นด้วยเช่นกัน ขณะที่วิ่งไปมือก็กดพิมพ์ข้อความแจ้งคนที่รออยู่ด้านล่างเตรียมพร้อมหลบหนี รถยนต์ของปักษาทมิฬทุกคันแล่นออกไปเพียงครู่ เสียงไซเรนของรถตำรวจและรถพยาบาลในพื้นที่ก็วิ่งเข้าไปยังโรงแรมทันที
ภาสกรเฝ้ามองใบหน้ายิ้มแย้มของคนบนรถด้วยความสับสน ศิขรินตายแล้ว ดั่งที่เขาและพี่ชายตั้งใจไว้ ความพยายามหลายสิบครั้งบังเกิดผล แต่ภาสกรก็ไม่อาจมีรอยยิ้มบนใบหน้าได้
วิ๊งงง----------------------------------------------------
อาการหูดับ ดังเช่นคลื่นโทรทัศน์ที่อยู่ๆ ก็ถูกตัดฉากไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและภาพสีเดียวในดวงตา กำลังปรากฏขึ้นมาในโสตของปีศาจร้าย
แววตาสั่นไหวของชายหนุ่มในชุดครุยที่เขาพบเมื่อครู่ ตามหลอกหลอนเขา จนรถทุกคันแล่นเข้าสู่ปราสาทหลังใหญ่
ทวิชในชุดนอนเดินออกมาต้อนรับน้องชายและทีมงานทุกคนด้วยใบหน้าอารมณ์ดี
"สำเร็จแล้วนะภาส ในที่สุด พวกเราก็ทำสำเร็จ"
ทวิชโผเข้ากอดน้องชายแล้วตบไหล่แรงๆ ไปสองสามที จึงได้สังเกตเห็นสีหน้าของภาสกร
"นายเป็นอะไร? "
"แทน..."
"..."
"...ไม่ใช่ฉัน"
"นายหมายความว่าไง? "
"ฉันไม่ได้ฆ่ามัน...มันตายก่อนที่ฉันจะไปถึง"
ความจริงที่ภาสกรไม่ทันได้บอกตั้งแต่ตอนแรก ทำให้ทวิชนิ่งลงไปครู่หนึ่ง แล้วก็กลับมามีรอยยิ้มตามเดิม
"มันไม่สำคัญแล้วล่ะ...ยังไงมันก็ตายแล้ว"
เจ้าของบ้านกอดคอน้องชายแล้วเดินเข้าบ้านไป ทวิชมีงานที่ต้องสะสางอีกหลายอย่างจึงได้ขอตัวแยกไปก่อน ปล่อยให้ภาสกรเดินอย่างเชื่องช้าไปหาภาพถ่ายของบิดาอีกครั้ง
"..."
ความสับสนมากมายไร้ซึ่งคำพูดใด ภาสกรยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น จนแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวปราสาท
อีกหนึ่งสิ่งหลังจากสังหารศิขรินได้ ที่เขายังรอคำตอบใกล้เข้ามาทุกที ความหวังเพียงเล็กน้อยในใจ สำหรับคำพูดของทวิช...เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากศิขรินตาย
สองวันถัดจากนั้น นายใหญ่แห่งปักษาทมิฬก็ได้เรียกภาสกรเข้าพบ และยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้
'ยาพิษแล่นเข้าร่าง....
สิ้นชื่อ เจ้าพ่อคนดังแห่งเพลิงรัตติกาล
ภรรยากว่าร้อย พาลูกเข้าฟังพินัยกรรม
เปิดตัวเจ้าสำนักคนใหม่...อัคนี เพลิงอัคนี'
------------------------E-N-D---C-H-8-----------------------
:L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
บทที่ 9 : Mayor's Birthday (Original)
พุทธศักราช 2562
"นายเรียกฉันมา มีอะไร"
"อาทิตย์หน้าฉันมีนัดกับ มิสเตอร์อัลเบิร์ตที่นิวยอร์ก..."
"จะให้ฉันไปอารักขานาย? "
"เปล่า...นัดหมายมันตรงกับวันเกิดท่านนายกเทศมนตรีพอดี นายก็รู้ ฉันต้องไปร่วมงานทุกปี...งานน่าเบื่อ...อาหารเดิมๆ ....ดนตรีโบราณ แต่ก็จำเป็นต้องไป"
"แล้วนายจะทำไง? "
"ฉันจะให้นายไปงานท่านนายกเทศมนตรีแทนหน่อย"
"ไม่ล่ะ นายก็รู้ฉันไม่ชอบออกงานสังคม แล้วก็ไม่เคยไป ทำไมนายไม่ให้คนอื่นไป"
"...นายได้ยินข่าวเรื่อง ฆาตกรต่อเนื่องในเมืองเราใช่ไหมภาส"
ปุบ!
หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พาดหัวข่าวสะเทือนขวัญ ถูกโยนลงบนโต๊ะตรงหน้าภาสกร
(https://sv1.picz.in.th/images/2019/08/19/Z15Q8S.jpg)
"หลานเสี่ยบุญนำ หุ้นส่วนเรา..."
"..."
"ถ้าสมมติว่า...มีชายกลุ่มใหญ่กลุ่มนึง มีพรรคพวกเยอะมากๆ เขามาร่วมงานวันเกิดนายทุกปี...แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ในเมืองที่นายอาศัยอยู่ ก็เกิดคดีฆาตกรรมประหลาด ประมาณว่าศพถูกทรมารด้วยวิธีต่างๆ ...แล้วบังเอิญว่า ชายกลุ่มใหญ่ที่มาร่วมงานวันเกิดนายทุกปี ไม่มาเข้าร่วมในช่วงนั้นพอดี...เป็นนาย นายจะแปลกใจไหม ว่าพวกเขาหายไปไหน? นายจะสงสัยไหม...ว่าพวกเขากำลังหลบหน้าหรือปิดบังอะไรนายอยู่"
"...แล้วทำไมต้องเป็นฉัน"
"เพราะนอกจากฉัน คนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านหลังนี้ก็คือ นาย! "
ไม่เคยมีครั้งไหน ที่เหตุผลอันน้อยนิดของภาสกรจะสามารถเอาชนะตรรกะอันยาวเหยียดของทวิชได้ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า เหยื่อรายแรกของคดีสุดอื้อฉาวในรัตติกาลนครคือหลานสาวหุ้นส่วนคนสำคัญของแก๊งปักษาทมิฬ การไปร่วมงานก็ถือเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ใจอย่างหนึ่งของแต่ละองค์กรณ์ว่า ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้
"แต่ฉันไม่รับปากนะ ว่าจะมีเรื่องมีราวตามมาให้นายปวดหัวไหม"
"ถ้านายกังวลเรื่องที่จะเจอกับหัวหน้าฝั่งนั้นล่ะก็ สบายใจได้...อัคนีไม่เคยมาร่วมงานเองตลอดสิบปี เขาส่งเพลิงพระพายมาแทนตลอด"
"ฉัน...ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น"
"...ฮึ! "
ถึงจะบอกว่าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่เขาก็รู้สึกเบาใจไปไม่น้อยที่ได้ฟังเช่นนั้น สิบปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวบนโลกที่ภาสกรพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุด ก็คือการเจอหน้าอัคนี คนที่เขารักดั่งดวงใจ ที่บัดนี้ขึ้นเป็นใหญ่ในเพลิงรัตติกาลหลังศิขรินถูกบุคคลปริศนาลอบสังหารก่อนที่เขาจะไปถึง และก็เป็นดังที่เขาหวัง นายใหญ่คนใหม่แห่งเพลิงรัตติกาลคือชายผู้ที่เข้าถึงตัวยากมากที่สุด
แม้ดวงใจจะเจ็บปวด แต่ระยะเวลาอันยาวนาน ก็ได้ช่วยสมานแผลเขาไปได้มาก ในคราวแรกก็เคืองแค้นแสนสาหัส จนปีแรกได้ผ่านไป...ปีที่สองผ่านไป...จนเข้าสู่ปีที่ห้าและหก ใบหน้าอันงดงามที่ยังคงติดอยู่ในใจ ก็เริ่มที่จะเลือนรางไปทีละน้อย ทั้งความผูกพันและความเจ็บปวด
ติดอยู่เรื่องเดียวในใจคือ...ใครเป็นคนฆ่าศิขรินตัดหน้าเขา
"ฉันสั่งคนมาวัดตัวตัดชุดให้นายแล้วนะ วันงานก็ทนๆ เอาหน่อย ไปสักชั่วโมงสองชั่วโมงให้เขาเห็นหน้า ทักทายเล็กน้อยเป็นพิธีแล้วค่อยกลับ แล้วก็อย่าลืม ห้ามมีเรื่องในงานเด็ดขาด นายเป็นตัวแทนของคนทั้งแก๊ง เข้าใจไหม"
"ครับ...พ่อ"
"ฮึฮึ"
ทวิชร่ายยาวในชุดพร้อมเดินทาง ธุรกิจมืดที่เขาพยายามกระจายอำนาจไปไกลที่สุดเท่าที่เจ้าตัวจะทำได้ และคราวนี้การเจรจาก็อาจกินเวลายืดเยื้อไปเกือบสองสัปดาห์ หรือนานกว่านั้น
"นายไม่คิดว่าฉันควรไปอารักขานายเหรอ"
"...เราทุกคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ใช่ไหม...ไว้เจอกัน ไอ้น้องรัก"
เจ้าของบ้านเริ่มออกเดินทางไปแล้ว ทิ้งปราสาทหลังงามให้เป็นหน้าที่ของภาสกรชายผู้เลือดร้อน แม้บัดนี้อายุอานามจะปาเข้าไป 36 ปีแล้ว แต่แรงโทสะดั่งวัยคะนองก็แทบไม่ได้เลือนหายไปจากเขาเลย
เริ่มจาก
"จะวัดอะไรนักหนา! "
และ
"ชุด...ม่งโคตรคับเลย"
และ
"...เพลงโบราณมากจริงๆ ด้วย...อาหารก็โคตรจืด"
ภาสกรนั่งถอนหายใจอยู่ที่โต๊ะกลมใกล้ๆ กับเวที โดยมีบอดิการ์ดหลายคนยืนล้อมรอบเขา เนื่องจากเขาสั่งไว้ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวาย เขาไม่คิดจะทักทายใคร และไม่คิดอยากให้ใครเข้ามาทักทายเขาเช่นกัน และเขาเองก็ยังคงมองหาท่านนายกเทศมนตรีอยู่ จะได้รีบคุยรีบกลับ
แต่แล้ว
ก็มีเสียงดังเกิดขึ้นบริเวณหน้าทางเข้างาน ปรากฏเป็นชายสองกลุ่มเล็กๆ กำลังรุมต่อยตีกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยมือเปล่า การ์ดในงานกรูเข้ามาช่วยกันแยกทั้งคนสองกลุ่มออกจากกัน แต่ด้วยฝีมือที่เหนือชั้นกว่า จึงไม่มีการ์ดคนไหนสามารถเข้าห้ามได้อย่างเด็ดขาด
ภาสกรแทบไม่ต้องคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก เขากังวลทุกอย่างตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามาในงาน โดยเฉพาะกลัวว่าตนจะสร้างปัญหาให้ต้องถูกทวิชบ่นร่ายยาวจนหูดับอีก สองขาแข็งแรงพุ่งลุกจากโต๊ะออกไปทันที แต่ด้วยสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือพวกพ้องที่เขารู้จักหลายคนกำลังเริ่มมีเลือดหยดไหลออกมา เขาจึงไม่อาจห้ามโทสะได้
“พวกมึงพอ!!!”
ดุจดั่งพายุลูกยักษ์ รุนแรงและสะเทือนปฐพี เสียงตะโกนออกคำสั่งดังลั่น หยุดทุกการเคลื่อนไหวของคนในที่นั้นไว้ทุกคน แม้กระทั่งนักดนตรีที่กำลังบรรเลงบทเพลงอยู่บนเวทีด้านใน ปืนกระบอกเล็กถูกนำออกมาจ่อไปยังชายคนหนึ่งในวงต่อสู้เมื่อครู่
แกร๊ก
ปืนถูกขึ้นไกพร้อมยิงออกไป แต่แล้วปลายกระบอกปืนก็หันไปตามเสียงเรียก
“พอแค่นั้นแหละ”
กึก
น้ำเสียงทุ้มต่ำกดข่มสงบนิ่ง เย็นวาบดุจดั่งคุ้นชินในความรู้สึก แม้ใจจะคิดว่าลืมเลือนไปหมดแล้ว หากแต่เมื่อภาสกรเงยหน้าขึ้นมา ชายผู้หนึ่งที่เขาไม่ได้พบหรือพูดคุยทำความเข้าใจมาเกือบสิบปีก็มายืนอยู่ตรงหน้า ความเจ็บปวดที่กัดกินเขาเป็นเวลายาวนาน สร้างเกราะขึ้นมาหนึ่งชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เขาต้องกลับไปเจ็บปวดอีก...เกราะที่เรียกว่า ความคั่งแค้น
อัคนีมองเขาด้วยแววตาดังเช่นที่ทวิชใช้มองหุ้นส่วนหลายๆ คน มันว่างเปล่าและไม่สามารถรับรู้เรื่องราวความนัยได้เลย และแม้ว่าภาสกรจะจ้องเขม็งด้วยแววตาเคียดแค้นเพียงใด อัคนีก็ไม่คิดหลบ
ปึง ปึง ปึง
“สวัสดีครับทุกท่าน…ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ทุกท่านมาร่วมงานในวันนี้…”
ทุกอย่างหยุดลง พร้อมกับปืนกระบอกเล็กในมือของภาสกรที่ลดระดับลง เมื่อเสียงของนายกเทศมนตรีได้ขึ้นกล่าวบนเวที ทุกคนถูกเชิญให้กลับเข้าที่ ภาสกรซ่อนข่มความรู้สึกที่หลากหลายในใจตนไว้ภายใต้ใบหน้าอาฆาตรุนแรง มือหนาสั่นเทาเล็กน้อยตามแรงกระเพื่อมของหัวใจที่เต้นแรงแทบทะลุทรวงอกออกมา
อัคนีเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะอีกฝั่งอันไกลโพ้นจากกลุ่มปักษาทมิฬ แต่ภาสกรก็ไม่อาจละสายตาจากใครบางคนในความทรงจำไปได้ เขาจับจ้องไปยังอัคนีตลอดเวลา แม้ว่าทางฝั่งนั้นจะไม่หันมามองเขาเลยสักนิด
ตะกอนอันนอนเนื่องในใจที่ถูกสิ่งอื่นทับถมเป็นเวลานาน ค่อยๆ ลอยขึ้น พร้อมกับแรงโทสะที่ไม่อาจหยุดยั้งของเจ้าตัว เขาใช้ทุกคำสอนของเซียนปักษาเข้าข่มอารมณ์ในตอนนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล ภาสกรรอจนท่านนายกเทศมนตรีกล่าวจบ เขาก็รีบเข้าไปทักทายดั่งที่พี่ชายได้สั่งไว้ พูดคุยเพียงสองสามประโยคก็ขอตัวลากลับ
เขาไม่อาจทนเห็นหน้าอัคนีได้ มันปวดร้าวไปหมด ทั้งเจ็บทั้งแค้น อกแทบระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ อัคนีที่เขามองเห็นในวันนี้ ยังคงความงดงามไม่ต่างอะไรกับสิบปีก่อน หากแต่ท่าทางนั้น สง่าและสุขุมลุ่มลึกขึ้นมาก แววตานิ่งสงัดที่เขาอ่านไม่ออก ความรู้สึกที่สัมผัสไม่ได้ว่ายังคงมีเขาหลงเหลือในใจ สร้างความเจ็บปวดดั่งมีดนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงทุกส่วนของร่างกายเขาอยู่ก็ไม่ปาน
และไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจไม่ให้นึกถึงคนที่เขารักสุดหัวใจคนนี้ได้เลย
---------------------------------------------------------------------
"เขาออกไปแล้ว"
เพลิงพระพายที่นั่งข้างชายสูงใหญ่ในท่าทางสบาย สวมใส่ชุดสูทสุดหรูสีขาวขลิบน้ำเงิน เรียกใครบางคนที่เขาสังเกตุได้ว่าดื่มหนักกว่าทุกที อัคนีหันไปมองยังเก้าอี้ว่างเปล่าของชายคนหนึ่งที่เอาแต่จ้องเขาไม่วางตา แววตาเย็นชาที่เขาฝึกฝนมานานหลายปี แปรเปลี่ยนฉายแววสั่นไหว
"ดูเขาแค้นคุณมากเลยนะครับ"
"...แบบนี้แหละดีแล้ว"
---------------------------------------------------------------------
ภาสกรเมื่อกลับถึงบ้าน ก็เดินเข้าห้องส่วนตัวของเขาทันที และคล้ายกับว่า จะได้พบหน้าของใครบางคนที่มักนั่งรอเขาเป็นประจำในจุดๆ เดิม เพื่อรอต้อนรับกลับในยามที่เขาเหนื่อยจากการใช้แรงงาน บาดแผลทุกรอยที่เขาเต็มใจให้ใครก็ตามฝากไว้บนร่าง เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญของเขา ชายหนุ่มผู้งดงามที่เขาเคยบอกรัก กกกอดมานานร่วมปีกว่า คนที่ร้องไห้ไม่ยอมกินข้าวเพราะเป็นห่วงเขา ชายผู้ติดเสื้อผ้าของเขาเสียยิ่งกว่าตัวเขาเอง ชาย...ผู้หลอกลวง
เจ้าของห้องทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง และเริ่มทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยได้ฟังคำตอบจากอัคนี ว่ารู้สึกอย่างไรกับตน และเป็นเพียงเขาเอง ที่ไปจับตัวอัคนีมาไว้เป็นตัวประกัน และเป็นเขาเองที่บังคับให้อัคนีเป็นหมอนข้าง และเป็นเขาเองที่ทำทุกอย่างเพื่อความรัก และเป็นเขาเองที่เป็นคนบอกรัก...อยู่ฝ่ายเดียว
ติ๊ด ติ๊ด...ติ๊ด ติ๊ด
"ฮัลโหล"
"งานเป็นไง นายไม่ได้หาเรื่องอะไรมาให้ฉันใช่ไหม? "
ชายหนุ่มผู้กำลังจมจ่อกับความเจ็บปวดทางใจ เผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงค่อนขอดจากพี่ชาย
"แทน..."
"หืม..? "
"เขาไปที่นั่น"
"..."
"อัคนี...? "
"..."
"นายยังไม่ลืมเขาอีกเหรอ จะสิบปีแล้วนะภาส"
"เพราะนายคนเดียว ฉันถึงต้องเจอเขาอีกครั้ง"
"แล้วนายทำไง ได้คุยกันไหม"
"จะให้คุยอะไร มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว...ทุกอย่างเป็นอย่างที่นายพูด"
"..."
"...แทน...? "
"นายรู้สึกยังไง"
"...ไม่รู้เหมือนกัน มันปนกันไปหมด"
"นายอยากจบเรื่องนี้ไหมภาส"
"ยังไง"
"..."
"ทุกปีในวันครบรอบวันตายของศิขริน อัคนีจะเอาดอกไม้ไปเยี่ยมเขาที่หลุมศพ ถ้านายอยากจบเรื่องนี้ ฉันแนะนำว่า...ฆ่าเขาซะ"
อึก
"แต่ถ้าทำไม่ลง จะให้ฉันช่วยก็บอกได้"
"ไม่! "
"..."
"ฉันจะจบเรื่องนี้เอง"
ภาสกรผู้เต็มไปด้วยความคิดที่หลากหลาย เริ่มวางแผนปลิดชีพอัคนีในวันที่การคุ้มกันหละหลวมที่สุด ข้อมูลลับจากทวิชที่ได้บอกกับเขา ทำให้ชายผู้ไร้เป้าหมายในชีวิตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง อีกเพียง 3 วัน ก็จะถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของศิขริน และนั่นถือเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับเขา
------------------------E-N-D---C-H-9-----------------------
:L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
คุณ AkuaPink :3123:
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ด้วยนะคะ :pig4: :pig4:
:L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
บทที่ 12 : ความลับของเปลวไฟ
ทวิชเดินออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณนอนจมกองเลือดหนึ่งร่าง และชายอีกสองคนไว้ในห้องขังแสนอับชื้นนี้ ภาสกรดึงอัคนีกลับเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ปลอบโยนจนชายผู้กำลังร่ำไห้นิ่งลงได้
"...ภาสกร"
"..."
"ลงมือเถอะ...ฉันพร้อมแล้ว"
"...เพลิง"
"อย่างน้อยก็ขอให้นายเป็นคนลงมือ นั่นดีที่สุดสำหรับฉันแล้ว"
เจ้าสำนักเพลิงรัตติกาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จ้องลึกไปยังนัยน์ตาของชายผู้กำลังประคองกอดตนเอาไว้ ด้วยแววตาวูบไหวอันเต็มไปด้วยความหมาย
"ลงมือเถอะ..."
อัคนีดันตัวออกห่างจากภาสกร แล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ก่อนที่ดวงตาเศร้าหมองจะคอยๆปรือลงจนปิดสนิท
ภาสกรหยิบดาบข้างกายตนขึ้นกระชับไว้ในมือ อีกครั้งที่เขาต้องต่อสู้...ต่อสู้กับความถูกต้องที่โลกใบนี้สร้างขึ้นให้เขา ต่อสู้กับใจตนเอง...อย่างที่เจ้าตัวพยายามมาโดยตลอด หากว่ามือคู่นี้ปลิดชีพบุรุษตรงหน้าลงได้เมื่อไหร่ ทุกสิ่งที่จะตามมาต่อจากนี้ จะเอื้ออำนวยความสุขให้กับทุกคนรอบกายเขา ทวิชจะได้ขึ้นเป็นหนึ่งในตองอู โดยไม่มีผู้ใดทัดเทียม ปักษาทมิฬจะผงาดไกลที่สุดเท่าที่หน้าประวัติศาสตร์เคยมีมา และเขา...จะได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง หรือคนรักที่จะมีสักกี่คนก็ย่อมได้
ชายร่างยักษ์ยืนขึ้นตั้งตัวตรง ดาบหนาค่อยๆถูกยกตั้งขึ้นในท่วงท่าเตรียมจ้วงแทง สองมือพุ่งดาบในมือไปข้างหนา เล็งเข้าตรงขั้วหัวใจของอัคนี
อึก
ปลายดาบค่อยๆทิ่มลงไปบนอกหนาที่ยังคงมีรอยแผลอยู่ มันค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น และค่อยๆสั่นสะท้านจากด้ามจับมาจนถึงปลายดาบ
อึก
'...เจ็บเหลือเกิน'
ความลึกที่เขาค่อยๆเสียบแทงเข้าไปในทรวงอกของชายตรงหน้า ให้ความรู้สึกที่คล้ายกับว่า ดาบเล่มนั้น มีอานุภาพดั่งดาบพันเล่ม และมันกำลังพุ่งตรงปักเข้ากลางดวงใจของเขาเอง มือหนาสั่นเทาหนักขึ้นเรื่อยๆ ภาสกรไม่อาจห้ามน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป มือทั้งสองปักดาบลึกลงไปอีก และโลหิตสีแดงสดของชายผู้งดงาม ก็ค่อยๆไหลออกตามร่องรอยของ ของมีคม
'อึก...เจ็บจะตายอยู่แล้ว'
ภาสกรสุดอดกลั้น ระเบิดแผดเสียงออกมาดังลั่นอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส คล้ายกับเป็นเขานั่นเอง ที่กำลังจะขาดใจ จนดาบในมือร่วงหล่นลงกับพื้น
เคล้ง...!!!!
ภาสกรทรุดเข่าลงตรงหน้าอัคนีแล้วก้มหน้าร่ำไห้ มือหนากุมที่อกด้านซ้ายของตนที่คล้ายกับมีดาบพันเล่มเจาะเข้าไปเมื่อครู่
ฮื่อออ...!
น้ำเสียงทุ้มต่ำครางออกมาดุจสัตว์ร้ายผู้ถูกศรอาบยาพิษปักเข้าตรงกลางใจ อัคนีลืมตาขึ้นมองภาพอันน่าสังเวชของสัตว์ร้ายที่กำลังเจ็บปวดนั้นด้วยใจสลายไม่ต่างกัน
ขาสองข้างค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าใกล้ภาสกร อัคนีโน้มตัวลงเอื้อมไปหยิบดาบเล่มเดิมที่ตกอยู่ไม่ห่างกายภาสกรเมื่อครู่ขึ้นทั้งน้ำตา
"...รักเหมือนกันนะ"
อัคนีผู้งดงามและแข็งแกร่งหันปลายดาบเข้าหาตนเอง มือทั้งสองจับกระชับดาบในมือไว้แน่น แล้วพุ่งมันเข้ากลางลำตัวของตน
ฉึบ!
!!!
ดวงตาแดงก่ำเบิกโพลง น้ำใสไหลทะลักออกมาอย่างไม่คิดห้าม ใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้วก่อนหน้า บัดนี้ชะงักค้าง กระทั่งลมหายใจของเขาเอง
เนิ่นนานกว่าที่จะรู้สึกตัว อัคนีกะพริบตาเมื่อสติเริ่มกลับมาอีกครั้ง มือทั้งสองปล่อยด้ามจับของดาบออกเป็นอิสระ
"ภาส!!!!!!!!"
เสียงตะโกนดังลั่นห้องกรง ความกลัวและร้อนรนแล่นทั่วร่างหนา กรีดร้องร่ำไห้อย่างไม่หยุด
"ภาส!! ภาส!!!!!!"
มีดดาบที่ตนตั้งใจปักมันเข้าหวังปลิดชีพตนเอง ได้ปักลงกลางหลังกว้างของภาสกรจนสุดความยาว ปลายดาบทิ่มทะลุมายังด้านหน้า และทิ่มลงบริเวณหน้าท้องอัคนีเพียงเล็กน้อย
ภาสกรได้ยินทุกอย่าง ทุกคำพูดที่อัคนีได้กล่าวขึ้น เขาทรุดเข่าลงอีกครั้งและล้มลงไปกองกับพื้น อัคนีรีบรับกายแกร่งนั้นเอาไว้ในอ้อมแขน
"...ภาสอยู่ไม่ได้เพลิง อยู่ไม่ได้"
ภาสกรยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนักกับช่วงเวลาปกติ เขามีเพียงน้ำตามากมายที่รินไหลออกมา หากว่าชีวิตต่อจากนี้ ต้องอยู่โดยไม่มีชายที่กำลังประคองร่างเขาผู้นี้อยู่บนโลก เขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นกัน คงเป็นดังเช่นที่ทวิชได้ว่าเอาไว้
เขามันโง่...ไม่ต่างอะไรจากบิดาของเขาเลย
"เพลิงจะไปตามคนมาช่วยนะ...! รอก่อนนะภาส"
อัคนีประคองชายผู้มีมีดดาบปักทะลุกลางลำตัวให้เอนกายลงไปกับพื้นอย่างแผ่วเบา แต่แล้ว ข้อมือหนาก็ยังคงมีแรงมากพอที่จะหยุดอัคนีไว้ตรงนั้น
"เพลิง...เพลิงหนีไปหาศิขรินเพื่อขึ้นเป็นหัวหน้าต่อจริงรึเปล่า?"
"..."
"ภาสขอร้อง...บอกภาสมาตรงๆเถอะ"
อึก
หยดน้ำตายังคงหยดลงไม่ขาดสาย อัคนีมองไปยังปลายดาบที่ปักทะลุกายของภาสกรด้วยฝีมือตน ใบหน้าอันงดงามก็ยกขึ้นเหยเกอย่างเจ็บปวด
"ไม่!...เพราะเพลิงทำให้ภาสเกือบตาย เพลิงเป็นต้นเหตุทำให้ภาสเกือบตาย เพราะเพลิงเอง เพลิงไม่อยากให้ภาสตาย...ไม่อยากให้ภาสตาย"
"ตอนนั้นภาสเข้าไปฆ่ามัน แต่มันตายไปก่อนแล้ว"
"อึก...เพลิงฆ่ามันเอง เพลิงไม่ยอมให้มันฆ่าคนที่เพลิงรักได้อีกคนหรอก"
"เพลิง...เคยมีคนรักก่อนเจอศิขรินเหรอ?"
"อืม เพลิงรักเขามากเลยล่ะ"
"ภาสเสียใจด้วยนะ"
"ภาสกร...อย่าทำหน้าอย่างงั้นสิ เพลิงหมายถึงพ่อชาตรี"
"พ่อ..? ชาตรี..?"
"ใช่ พ่อของเพลิงเอง...มันฆ่าพ่อของเพลิงเหมือนกัน"
"คุณลุงชาตรีเหรอ?"
อัคนีมองตรงไปยังภาสกรด้วยดวงตาสั่นไหวแล้วยกยิ้มอย่างเจ็บปวดออกมา เมื่อนึกถึงวันที่เขาตัดสินใจลงมือวางยาพิษศิขรินด้วยตัวเอง ความสุขและสะใจก็แล่นขึ้นบนใบหน้าที่กำลังอาบน้ำตาอย่างไม่อาจห้ามปราม
"ชาตรี...อัครสกุณา คนเดียวกับที่ภาสเคยรู้จักนั่นแหละ"
ภาสกรนิ่งงันตาค้างไปเมื่อได้ฟัง เขาจ้องมองคนรักที่หัวเราะออกมาทั้งน้ำตาอย่างบ้าคลั่ง รวมไปถึง ใครบางคนที่กำลังนั่งมองทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บนเก้าอี้เนื้อดีในห้องทำงานส่วนตัว ก็มีใบหน้าตะลึงค้างไม่ต่างกัน
สองพี่น้องแห่งปักษาทมิฬ รับรู้เรื่องราวที่มาแรกเริ่มของการแบ่งฝั่งระหว่างสองแก๊งได้เป็นอย่างดี บิดาและคนในแก๊งต่างเหล่าขานถึงชายผู้ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องหิรัญ ให้สามารถรอดพ้นจากศิขริน จนสามารถหนีมาก่อตั้งปักษาทมิฬขึ้นได้สำเร็จ ชายผู้เป็นต้นแบบ เป็นแรงกระตุ้นให้หิรัญตอบโต้ และเริ่มต่อสู้จนมีทุกวันนี้...ชาตรี อัครสกุณา
ความลับของเปลวไฟ ที่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่ล่วงรู้
ภาสกรนึกเพียงว่า ที่อัคนียอมอยู่ที่นี่ด้วยแต่โดยดีเป็นเพียงเพราะตนบังคับฝืนใจเท่านั้น และหลายครั้งที่อัคนีพยายามจ้องมองภาพถ่ายของบิดาตน ภาสกรก็ไม่ได้นึกเอะใจแต่อย่างใด แต่บัดนี้เขาเข้าใจแล้ว ว่าทั้งหมดนั้น เป็นเพราะอัคนีอยากอยู่ที่นี่กับเขาโดยแท้จริง
"...มันตั้งเพลิงขึ้นแทนมัน เพราะมันรู้ ว่าภาสไม่มีวันฆ่าเพลิงได้ หรือถ้าทวิชส่งคนมาฆ่าเพลิงสำเร็จ ก็จะเกิดสงครามภายในปักษาทมิฬขึ้น ระหว่างภาสกับพี่ชายของภาสเอง มันวางแผนไว้หมดทุกอย่าง"
"...ภาสขอโทษ...เพลิงกลับมาอยู่กับภาสนะ มาอยู่ที่นี่ด้วยกัน"
อัคนีก้มมองแผลของภาสกรที่มีเลือดไหลซึมออกมาเรื่อยๆ เขาลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินไปบริเวณหน้ากล้องวงจรปิด
"ฉันรู้ว่านายดูอยู่...! น้องชายนายกำลังจะตาย ถ้านายไม่มาช่วยเขาแล้วปล่อยให้เขาตาย
ฉันจะตามล่านาย...ทวิช"
ดวงตาแดงก่ำดุดัน ตะเบ็งเสียงผ่านไปยังชายผู้นั่งดูอยู่อีกฝั่งของอุปกรณ์ ทวิชกดโทรเรียกแพทย์ประจำบ้าน และเดินออกจากห้องไปพร้อมเมฆา ที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่าง
เพียงไม่นานจากนั้น ทวิช เมฆา แพทย์ประจำบ้านและคนของปักษาทมิฬกลุ่มหนึ่งก็มาถึงห้องขังพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตมากมาย ทุกคนช่วยกันประคองร่างของภาสกรขึ้นบนเปล แต่เขาก็ยังไม่ยอมออกไปไหน มือหนากุมมืออัคนีไว้แน่น คล้ายกลัวว่าถ้าปล่อยไปคราวนี้ จะไม่ได้พบกันอีก
"อยู่ด้วยกันที่นี่เถอะนะเพลิง..."
ชายผู้มีดาบเสียบอยู่หยุดทุกความช่วยเหลือไว้ แล้วดึงดันให้อัคนีอยู่กับตนที่นี่
"เพลิงอยู่ไม่ได้ภาส...มีคนพยายามฆ่าภาสกับพี่ชายภาสอยู่ ถ้าเพลิงหนีมา เรื่องมันจะยิ่งเลวร้าย อีกอย่าง ตอนนี้ที่นั่นก็คือบ้าน คือครอบครัวของเพลิง...มีคนที่เพลิงไว้ใจรอเพลิงกลับไปอยู่"
"ที่นี่ก็บ้านของเพลิงนะ"
"ตราบใดที่เพลิงยังอยู่ที่นั่น...ภาสจะปลอดภัย"
ภาสกรหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง ชายผู้งดงามที่เขาพบในวันนั้นเมื่อสิบปีก่อน ชายผู้มีผิวกายสะท้อนแสงจันทร์ ชายผู้มีจิตใจเข้มแข็งยิ่งกว่าเขาร้อยพันเท่า ชายผู้อดทนและแบกรับทุกสิ่งไว้เพียงลำพังตลอดมา ชายผู้เสียสละทุกสิ่งบนโลกใบนี้เพื่อให้เขายังอยู่ดีมีสุข ชายผู้ไม่ได้มีเพียงความงามที่ภายนอก แต่ยังรักเขาสุดหัวใจ ดั่งเช่นที่ภาสกรเฝ้าตั้งคำถามมาโดยตลอด
"ภาสรักเพลิงนะ"
"...เพลิงรู้"
อัคนีกุมมือภาสกรเป็นครั้งสุดท้าย และได้ปล่อยมือออกจากการเกาะกุม ภาสกรร้องขอให้เมฆา ชายที่เขาไม่ชอบหน้านัก ช่วยอารักขาอัคนีกลับไปยังปราสาทเพลิงรัตติกาลอย่างปลอดภัย และนั่น ไม่มีเสียงขัดแย้งใดจากทวิชอีกต่อไป
"อย่าพึ่งตายนะไอ้น้องรัก...ฉันยังไม่อยากถูกอัคนีมันตามฆ่าเอา"
ทวิชเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เปลช่วยชีวิตที่มีร่างของภาสกรนอนตะแคงอยู่ก็ค่อยๆถูกพาหามไปยังโรงพยาบาลพร้อมสายที่ระโยงระยางเต็มไปหมด
รถยนต์สีเขียวเข้มรุ่นเก่า จอดเทียบใกล้กับปราสาทของเพลิงรัตติกาล สภาพอัคนีที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หากว่ามีใครพบเห็นเข้าพร้อมกับคนของปักษาทมิฬ ชีวิตของเมฆาคงได้จบลงตรงนั้น
"คุณเดินเข้าไปไหวนะครับ?"
"ฉันไม่เป็นไร"
"คุณอัคนี..."
กึก
"โปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วยครับ...คุณจะได้ติดต่อกับคุณภาสได้"
ชายผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งยื่นซองใสที่ด้านในมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องหนึ่งให้กับเจ้าสำนักเพลิงรัตติกาล
"ภาสสั่งไว้เหรอ?"
"เปล่าครับ...ผมทำเอง"
"เมฆาใช่ไหม...?"
"ครับ"
"ถ้าทวิชทำไม่ดีกับนายเมื่อไหร่ มาหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ"
อัคนีรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ในมือแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนสนิทของแก๊งคู่อริ
เมื่อประตูรถยนต์คันเก่าถูกปิดลง อัคนีรอให้รถคันนั้นแล่นผ่านไปสักครู่จึงค่อยๆนำร่างกายอันเต็มไปด้วยบาดแผลเดินเข้าปราสาทไป และสิ่งแรกที่เขาคาดเอาไว้ว่าจะได้เห็นก็เป็นจริง เพลิงพระพายวิ่งหน้าตั้งพร้อมใบหน้ากลั้นน้ำตาเข้ามาหา
ครอบครัว...ที่รอเขากลับมา เรียกรอยยิ้มอบอุ่นให้ฉายขึ้นบนใบหน้าพยัคฆ์ เจ้าของปราสาทถูกสวมกอดจากชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนบุตรชายเอาไว้แน่น
"คุณเพลิง...!"
"ไง...ฉันกลับมาแล้ว"
- - - - - - - - - - - - END - - - - - - - - - - - -
รัตติกาลนคร The Couple Series (อัคนี & ภาสกร)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ติดตาม ตอนพิเศษ กับฉากหวานๆของสองพยัคฆ์ได้ในตอนถัดไปค่ะ : )
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและให้กำลังใจกันด้วยนะคะ
เตรียมพบกับภาคแยกของคู่ถัดไป จะเริ่มลงหลังจบตอนพิเศษทั้งหมดของคู่นี้ค่ะ
แล้วพบกันค่ะ : )
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
สำหรับตอนพิเศษ จะมีทั้งหมด 4 ตอนนะคะ
เราจะลงไว้ในนี้ 1 ตอนนะคะ
ท่านใดที่อ่านแล้วชื่นชอบ ตามไปอ่านอีก 3 ตอนที่เหลือได้
ตามลิงค์ที่เราแปะไว้กระทู้แรกได้นะคะ
:L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: