พิมพ์หน้านี้ - ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: สิงหา ที่ 24-08-2019 21:17:29

หัวข้อ: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 24-08-2019 21:17:29
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ลำนำมฤคินทร์

๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๒
-สิงหา-



...ความเสียหายครานี้ มิใช่การล้มตายเช่นกาลก่อน
หากแต่เป็นการอยู่อย่างตายทั้งเป็น 
แม้กระทั่งเสียงร้องขอ ยังมิดังไกลเกินไปกว่าเสียงกระซิบ...











*หมายเหตุ
1.นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น
2.หิมพานต์ ในนิยาย แม้จะมีการบันทึกถึงในวรรณคดี หรือไตรภูมิ ทว่าผู้เขียนได้มีการแต่งเสริมเพิ่มเติมจินตนาการของผู้เขียนลงไป จึงขอให้ หิมพานต์ ในที่นี้หมายถึง เป็นเพียงโลกจินตานาการของผู้เขียนเท่านั้น
3.นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผู้เขียน และได้มีโอกาสได้ลงในเล้าเป็ดเป็นครั้งแรก หากมีข้อผิดพลาดประการณ์ใด ผู้เขียนน้อมรับคำแนะนำจากนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ช่องท่างการติดต่อเพิ่มเติม
twitter.com  >> @SING__HA

 


































หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 24-08-2019 21:25:32
ลำนำอารัมภบท





เมื่อครั้งบรรพกาล 

ณ หิมพานต์ พนาวันสถาน แสนกว้างใหญ่  อุดมไปด้วยเดียรฉาน และพืชพันธุ์อันวิจิตรพิสดารยิ่ง แห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ  มีการปกครอง  แบ่งสันอาณาเขตที่อยู่อาศัย เป็นสัดส่วน ตามปากแม่น้ำทั้งสี่ไหลวนล้อมรอบ เป็นเส้นแบ่งทิศต่างๆที่ถูกระบายออกจากสระอโนดาต ทั้งสี่ทิศ  กล่าวคือ  ปากแม่น้ำหัตถีมุข  ในทิศอุดร  เป็นที่พำนักของ เหล่า กุญชร  ทางฝั่งทักษิณ นั้นเป็นอาศัยของเหล่า พฤษภ มีปากแม่น้ำ อุสภมุข หล่อเลี้ยงชีวีเป็นจุดใหญ่  เรื่อยมาจนถึงฝั่ง ทิศประจิม อันมีปากแม่น้ำ อัสสมุข เป็นสถานที่ของ อาชา ทั้งปวง แลสุดท้ายที่ ทิศบูรพา นั้นมี ราชสีห์ ครอบครอง ปากแม่น้ำ สีหมุข อยู่เป็นส่วนใหญ่


ในกาลนั้นฝั่งราชสีห์ อันประกอบด้วย ตระกูลไกรสรราชสีห์ ตระกูลบัณฑูรสิงหะ  ตระกูลติณสีหะ  และ ตระกูลกาฬสีหะ  รวมสี่ตระกูล อีกทั้งบริวารใกล้ชิด ได้พากันบำเพ็ญเพียรภาวนา  ใช้เวลากว่าศตวรรษ ด้วยความไม่ย่อท้อ จนได้รับการอำนวยพรให้มีอิทธิฤทธิ์สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ ทั้งยังได้รับพร อันเกิดจากความเพียรให้ทรงฤทธาเป็นที่ยิ่งขึ้นไป  แม้นมีลูกหลาน พรที่ได้รับในครานี้ก็ให้สืบสันดานตามมา เป็นที่ปลื้มปีติแก่’จตุราชสีห์‘ ทั้งหลายอย่างมากล้น
หากในกาลต่อมา ด้วยเพราะเหล่าลูกหลานจตุราชสีห์รุ่นหลัง ผู้มีความเก่งกล้าสามารถเรืองฤทธิ์ เหนือสิงห์ผสมใดทั้งปวง ก็ล้วนหลงละเริงในตน  สำแดงเดช แลพละกำลัง อวดอ้าง กดขี่ข่มเหงเหล่าสิงห์ผสม แลสัตว์น้อยใหญ่อื่นๆที่ล้วนด้อยกว่าพวกตน อย่างคึกคะนอง ให้เป็นที่เดือดร้อนกันถ้วนทั่ว
     
หิมวันต์ที่เคยร่มเย็น กลับกลายเป็นร้อนดั่งไฟผลาญ  เสียงสัตว์น้อยใหญ่กรีดร้องสะอื้นไห้ หนีตาย กึ่งก้องไปทั้งบูรพาทิศ  ร้อนไปถึงเหล่าผู้นำตระกูล  ให้รู้สึกผิดบาปเป็นอันมาก  ด้วยสุดกำลังจักห้ามปราม แต่แม้นหากยอมวางเฉย ปล่อยไว้ ดินแดนปากแม่น้ำสีหมุขที่พวกตนร่วมกันปกครองแห่งนี้ ก็เห็นทีจะเหลือเพียงชื่อ  ดังนั้นแล้วสีหราชทั้งสี่ จึงได้ตัดสินใจ  ร่วมกันภาวนาอีกครา เพื่ออ้อนวอนขอให้เหล่าเทพเทวาถอนพรอันแสนวิเศษนี้จากเผ่าพันธุ์ตนให้สิ้นไป
ท้ายแล้วคำภาวนาอ้อนวอนจากหัวหน้าจตุราชสีห์ ที่เจือด้วยเสียงกำสรวลของสัตว์ป่า ก็ดังไกลไปถึงสรวงสวรรค์  กระทั่งองค์อินทร์ทรงร้อนอาสน์ มิสามารถวางเฉย ต้องเสด็จลงมาช่วยแก้ไขปัญหาในท้ายที่สุด

ทว่า ‘พร’ นั้นเปรียบดั่งวาจาสัตย์  เมื่อเอื้อนเอ่ยออกมาแล้ว  แม้นด้วยเพียงเสียงที่เบาแสนเบา ดั่งสายลมโชย ก็มิสามารถเรียกกลับคืนได้  ด้วยเหตุนั้นพระอินทร์ผู้รับคำร้อง จึงต้องแก้ไขเหตุวิปโยคครานั้น ด้วยการร่ายคำสาป เพื่อกำกับความประพฤติของเหล่าจตุราชสีห์ไว้เสียทั่วทุกตัวตน ...


“จตุราชสีห์      เรืองฤทธีนี้แสนร้าย
ปวงสัตว์ม้วยมลาย      พาฉิบหายหิมวันต์
กูขอสาปเหล่าสิงห์      หมายท้วงติงแลกวดขัน
สำแดงแปลงฉับพลัน   เพื่อลงทัณฑ์มฤคินทร์
กูจักร่ายมนต์เวทย์      แสนวิเศษทั่วถ้วนถิ่น
เหล่าสิงห์ทั้งธรณิน      จงยลยิน สดับฟัง
จากนี้จวบกาลหน้า      เหล่าสิงหามีชนชั้น
คัดคานอำนาจกัน      แบ่งสามขั้น มิขาดเกิน
‘อุตมางค์’ยกเป็นหนึ่ง   คือผู้ซึ่งถูกสรรเสริญ
สิงห์อื่นมิอาจเมิน      หากเผชิญก้มกราบกราน
เว้นเสียแต่เรื่องบุตร   เป็นเรื่องสุดแสนสงสาร
ตั้งครรภ์ หาใช่การ      จำรอนราญ หาคู่กาย
รองมา ‘สามัญสิงห์’   มีทุกสิ่งดั่งใจหมาย
หากแต่เมื่อเจอะกาย   ชั้นอุตมางค์ต้องจำนน
สุดท้ายมาตาเพศ      แสนวิเศษ ‘ทุรพล’
กำลังแสนขัดสน      นี้เป็นชนสืบเผ่าพันธุ์
ไม่เว้นแม้ชายหญิง      ทดแทนสิ่งที่เปลี่ยนผัน
หากเป็นชั้นสำคัญ      ผู้มีครรภ์ กูบันดาล
สามชั้นล้วนคล้องสอด   ดังพิรอดสอดผสาน
คอยยั้งแลคัดคาน      มินึกพาล รู้เจียมตน
มีเก่ง มีอ่อนแอ      รู้จักแพ้ เสียสักหน
จักได้ประมาณตน      แลหลุดพ้นจากสิงห์พาล”


สิ้นสุดเสียงอันดังก้องกัมปนาทไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าราชสีห์บางส่วนก็ได้เปลี่ยนแปลงร่างกาย แลแรงกำลัง  จัดแบ่งลำดับชั้นตามคำสาปแช่งขององค์อมรินทร์โดยทันที


หลังจากได้ใช้ชีวิตที่จำต้องอุ้มชูช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลังต้องสาป เหล่าจตุราชสีห์ยังคงไว้ตัวสูงสง่า ด้วยธรรมชาติแห่งชาติกำเนิด ทว่าล้วนสำนึกตัว มิได้ทำสันดานพาลใส่สิ่งมีชีวิตอื่น ซ้ำยังดำเนินชีวิตด้วยกายมนุษย์เป็นหลัก เพื่อกักกันอิทธิฤทธิ์มิให้มากล้นจนเกินควร ดังเช่นเมื่อยามดำรงค์ร่างสิงห์ แลมิได้ขาดความเมตตาธรรม ต่อสัตว์น้อยใหญ่ เป็นไปดั่งความมาดหมายขององค์สหัสนัยน์  หิมพานต์จึงกลับมาสุขสงบเฉกเช่นเดิม

   
หากเมื่อวันเวลาเปลี่ยนผ่านไปหลายชั่วอายุ การเข้าถึง แลเข้าใจในกุศโลบาย แต่กาลก่อน กลับค่อยๆเลื่อนหาย แปรผันผิดเพี้ยน  เกินเป็นความแตกร้าว หยามเหยียด ด้วยกันเองภายใน ค่อยหยั่งรากทีละน้อย จนลึกล้ำ กัดกร่อนความตั้งใจอันดีงามขององค์อินทรา เหลือไว้เพียงความไม่เสมอภาคและหยามหยันของเหล่าราชสีห์ด้วยกันเอง ...
การแบ่งชนชั้นหาใช่การถ่วงสมดุล เพื่อสร้างความเอื้ออารีย์ในจิตใจอีกต่อไป...
 

เมื่อ สิงห์ชั้นอุตมางค์ ผู้สืบสายตรง จากบรรดาผู้นำตระกูล ยังคงมากล้นด้วยพลังอำนาจ แลความงามสง่าของรูปกาย เป็นที่ยำเกรง ของเหล่าสามัญสิงห์ ราชสีห์ผู้ถูกกำหนดมาเพื่อสยบยอมด้วยเป็นชนชั้นสอง การปกครองในชั้นนี้นั้นราบลื่นตามขนบดังเก่าก่อน


ส่วนฝันร้ายนั้นตกลงสู่เหล่า สิงห์ผู้เป็นมาตาเพศ หรือ “ทุรพลสิงห์”  แม้จะถือกำเนิดมาเพียงจำนวนน้อยนิด  แต่ในสายตาของสิงห์ชนชั้นอื่น เหล่าทุรพลถือเป็นชนชั้นระดับต่ำที่สุด เป็นเพียงเพศสภาพที่อ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรงแสนเปราะบาง  เป็นตัวถ่วงอันน่ารังเกียจ  บางหมู่ฝูง ถือเป็น ความอัปยศ มีหน้าที่สำคัญเพียงเป็นเครื่องมือให้กำเนิดแก่ชนชั้นอุตมางค์  เพียงเท่านั้นไม่เป็นอื่น


...ความเสียหายครานี้ มิใช่การล้มตายเช่นกาลก่อน หากแต่เป็นการอยู่อย่างตายทั้งเป็น  กระทั่งเสียงร้องขอ  ยังไม่ไกลเกินไปกว่าเสียงกระซิบ...









หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 24-08-2019 21:37:18
บทที่๑  มลายสิ้น




                    แม้กาลเวลาจะพ้นผ่านไปหลายสหัสวรรษ แต่คำสาปแห่งองค์อินทร์นั้นยังคงไม่คลายหาย เหล่าเผ่าพันธุ์จตุสิงห์ต้องสาปจึงต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ให้เหมาะแก่ชีวิตหลังคำสาป จากเดิมด้วยฤทธิ์อำนาจที่มีทำให้ราชสีห์เหล่านี้มักดำรงชีวิตด้วยตนเอง หรือเพียงคู่ผัวตัวเมียเท่านั้น ทว่าเพลานี้กลับมีการรวมกลุ่มคละชนชั้น จึงจำต้องจับกลุ่มสร้างชุมอยู่ร่วมกัน อันเป็นสิทธิเฉพาะของราชสีห์ชั้นอุตมางค์มีติดกายแต่กำเนิด หากแต่สิงห์ชนชั้นนี้มีน้อยเมื่อเทียบกับสามัญสิงห์  ด้วยเหตุว่าสิงห์ชั้นอุตมางค์นี้จะถือกำเนิดได้จาก พ่อชั้นอุตมางค์แลแม่ชั้นทุรพล อันเป็นชนชั้นที่มีจำนวนน้อยยิ่งกว่าเป็นเท่าตัว


                    ด้วยทุรพลนั้นสามารถถือกำเนิดได้จากพ่อแม่สามัญสิงห์เพียงเท่านั้น  แลอนิจจาพ่อแม่สิงห์ชั้นรองนี้ก็ไม่ได้ให้กำเนิดเป็นทุรพลสิงห์ทุกคู่ทุกครั้งไป ทำให้สามัญสิงห์ผู้มีความเก่งกล้าสามารถกว่าพวกพ้อง จำต้องออกมาตั้งเผ่าชุมของตนเองบ้าง โดยอาศัยถ้ำจากธรรมชาติ ใช้อาคมฤทธาที่มีกางกั้นเป็นเขตแดน อยู่อาศัยกันตามอรรถภาพ เรียนรู้การศิลปะวิทยาการ เพื่อใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์จาก ฤๅษีบ้าง วิทยาธรบ้าง หรือแม้แต่คนธรรพ์ ผู้ขับร้องดนตรี แลปรุงน้ำจันทร์ น้อยครั้งนักที่จะแปลงกลายกลับเป็นร่างราชสีห์ ให้ฤทธิ์อำนาจของตนเบียดเบียนหิมวันต์ดั่งก่อนเก่า


                    เช่นเดียวกับถ้ำหินติณสีหะแห่งนี้ ที่จ่าฝูงเป็นเพียงสามัญสิงห์ เขาเลือกยึดเอาถ้ำกลางป่าแห่งนี้เป็นที่มั่น ด้วยบริเวณนี้อุดมไปด้วยผลหมากรากไม้นานาชนิดอันเป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ตนใช้ดำรงชีวิต เมื่อถ้ำอันพร้อมพรักเช่นนี้ไม่มีเจ้าของ สิงห์หนุ่มแลผู้ติดตามจึงยึดถือมันไว้ในครอบครอง เนรมิตเรือนนอนขึ้นมาเป็นหมู่กลุ่ม พร้อมที่จะให้เมียและลูกที่คอยท่าได้เข้ามาอยู่อาศัยสืบไป

                    แม้ภายในฝูงจะไม่มีอุตมางค์สิงห์ หากเหล่าติณสิงห์ก็อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขภายในฝูงเล็กๆของตน อันประกอบไปด้วย ติณสิงห์พ่อแม่ลูก สี่ครอบครัว ออกหากินตอนเช้า กลับมาชุมนุมพูดคุยหยอกล้อกันในยามเย็น เช่นวันนี้ที่สิงห์หนุ่มโตเต็มวัย กำลังเล่าเรื่องราวช่วงที่ตนได้ออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนฝูงข้างเคียง ให้แก่บรรดาน้องน้อยในฝูงฟังอย่างออกรส

“แล้วคันธมาทน์ก็มีแสงเรืองดั่งไฟครุไปทั้งลูก งดงามยิ่งนัก“

“โอ้โห“ ผู้เล่าออกท่าทางประกอบใหญ่โตเท่าใด ดวงตาของเหล่าผู้ฟังตัวจ้อย ก็ยิ่งเบิกกว้าง พร้อมกับส่งเสียงร้อง แสดงความตื่นเต้นทัดเทียมกันกับผู้เล่าเท่านั้น ทำให้บรรยากาศรอบกองไฟกลางคูหาหินแห่งนี้อบอวนไปด้วยความสุข อาบไล้เลยมาถึงเรือนของผู้เป็นหัวหน้า บานห่างต่างไม้เปิดออกกว้าง เผยให้เห็นใบหน้าแฉล่มของสิงห์น้อยตนหนึ่ง เท้าคางออกเสียงตื่นเต้นตาม ราวกับตนเข้าไปนั่งร่วมวงด้วย

“พิรัล มานี่มาลูก“ น้ำเสียงนุ่มเย็นดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับมือเรียวที่ยกขึ้นกวัก เรียกบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ให้ละความสนใจ จากเสียงเซ็งแซ่ด้านนอก

“ท่านแม่“ ผู้ถูกเรียกหันกลับมายิ้มหวานให้มารดา ดวงตากลมโตที่ถอดแบบมาจากเจ้าหล่อนเองเปล่งประกายระยับพร่างพราว บ่งบอกถึงความตื่นตาตื่นใจของเจ้าของได้เป็นอย่างดี

“มัวแต่ฟังคำโวจาก ’เจ้ากช’ อยู่นั่น เรื่องแท้จริงมีเพียงมิถึงกึ่งหนึ่งกระมัง” ผู้เป็นแม่ส่ายหัว หากนัยน์ตากลับทอแววเอ็นดูมากกว่าความเอือมระอาดั่งน้ำเสียงที่ทอดออกมา

“แม้เช่นนั้น ทว่าความจริงคงมีอยู่ถึงเกือบครึ่งหนาแม่จ๋า นิทานของพี่กช ทำให้ลูกรู้สึกเหมือนได้ออกไปข้างนอก ด้วยขาของลูกเองก็มิปาน” สิงห์น้อยยอมผละตัวจากบานหน้าต่าง ก่อนจะวาดวงแขนรัดร่างนิ่มของผู้ให้กำเนิด พรางต่อความด้วยน้ำเสียงแสดงความออดอ้อน ที่เนื้อความในคำแฝงด้วยความทะเล้นแสนซน จนผู้เป็นแม่อดที่จะยื่นมือมาบีบปลายจมูกเชิดรั้นเบาๆไม่ได้

“มาเถิดเจ้าพิรัล คืนนี้แม่จักกล่อมนอน ลูกรักของแม่“ นางสิงห์โอบร่างแน่งน้อยของลูกเข้าอก มือเรียวพรางลูบเนื้อลูบตัวลูกรัก หวังใจจักเห่กล่อม บุตรที่ตนเฝ้าฟูมฟัก ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมาแต่ในครรภ์

                    นางมฤคินทร์ ก้มลงมองใบหน้ายามหลับพริ้มของลูกบนท่อนแขนพลางเก็บกลั้นสะอื้นสะท้อนใจ ถ้อยประโยคแสนเดียงสาเมื่อครู่ กัดกร่อนใจนางสิงห์ยิ่งนัก หากเป็นลูกสิงห์ตนอื่น ด้วยวัย แปดขวบปี เท่าเจ้าพิรัลนลินน้อยลูกของนาง คงได้ออกเริ่มไปมองโลกกว้างเสียแล้ว  มิต้องนั่งจินตนาการเอาจากการฟังคำบอกเล่าเฉกเช่นนี้

ด้วยตั้งแต่แรกเกิด แม้นางและสามีมิได้คาดหวัง ให้ลูกที่เกิดมาต้องเป็นสิงห์ชั้นอุตมางค์ ด้วยรู้ดีว่าตนทั้งสองล้วนเป็นเพียงสามัญสิงห์ หากด้วยความเก่งกล้าทั้งเชิงรบ และเชิงกลปัญญา ทำให้ ’ไกรพ’ ผู้เป็นเพียงสิงห์ธรรมดา ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มสิงห์เล็กๆแห่งนี้ได้ ทว่ามิได้เตรียมใจที่จักมีบุตรเป็นเพียง ทุรพลสิงห์ อันแสนบอบบาง

ความเป็น ทุรพล เมื่อกล่าวถึง ย่อมนึกภาพออกเพียง สิงห์ผู้มีเพียงรูปโฉมงดงามบอบบาง แลความสามารถในการตั้งครรภ์อุตมางค์เท่านั้น ที่ทำให้ ทุรพล ยังถูกเก็บไว้ให้เติบโต ด้วยเหตุนี้ สิงห์ชนชั้นนี้จึงเป็นดาบสองคม หากโชคดีรูปโฉมงดงามน่าหลงใหลจะทำให้ทุรพลผู้นั้น สามารถกุมหัวใจของอุตมางคสิงห์มีมากด้วยอำนาจบารมี แต่ไม่น้อยที่มิพ้นต้องโดนเดียดฉันท์ กดขี่รังแก ข่มเหงฝืนใจ ด้วยความอ่อนแอบอบบางของชาติกำเนิดทำให้สิงห์ในชนชั้นนี้ กลายเป็นตัวไร้ประโยชน์ หรือแม้แต่ความ อิจฉาริษยา กลายเป็นผู้ที่ต้องรองรับ และจำเลยของสิงห์ชนชั้นอื่นๆอย่างโหดร้าย

ความเป็นพ่อแม่ ที่ไม่ยากให้ลูกต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย เมื่อนางคลอดทุรพลน้อยออกมา ไกรรพผู้พ่อจึงทำการ กั้นขอบเขตด้วยทั้งอาคมให้แน่นหนา แลใช้อำนาจการปกครอง มิให้พิรัลนลินน้อยของนาง ต้องพบเจอกับ เคราะห์กรรมแห่งทุรพล ไว้เสียตั้งแต่แบเบาะ

นางสิงห์ทอดสายตามองเจ้าสิงห์ตัวน้อยของหล่อนนั้น ที่ยิ่งเติบโต ยิ่งน่ารักน่าชัง ช่างเจรจาฉอเลาะ แลหูตาว่องไวฉายแววเฉลียวฉลาด รู้จักการออดอ้อนเอาใจเป็นอย่างยิ่ง นาง และ ไกรพ จึงทั้งรัก และ สงสารลูกน้อยจับใจ มิใคร่ยอมมีบุตรอื่นใดเพิ่มมาอีก นางทุ่มเทความรักความห่วงใยให้แก่ พิรัลนลิน จนหมดสิ้น หมายใจว่าจักอยู่กับลูกน้อยของนางตราบลมหายใจสุดท้าย มิปล่อยให้ผู้ใดมาทำให้ดอกบัวงามดอกน้อยนี้ชอกช้ำเป็นอันขาด



กรี๊ด!

                    นึกวาดฝันความหวังอันสวยงามยังไม่ทันจบ เสียงกรีดร้องของนางสิงห์หนึ่งในลูกฝูงของนางก็ดังลั่น บานประตูเรือนถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ด้วยกำลังของผู้เป็นเจ้าของเรือน กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้ง พร้อมเสียงอึงคะนึงจากด้านนอกแทรกเข้ามา ให้คนภายในเรือนนอนรู้ตัวถึงความน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่กำลังจวนตัว แม้ไม่ยังไม่รับรู้ถึงสาเหตุ

“แม่บุษบัน เขตขัณฑ์ของเราถูกโจมตี พวกมันจักกวาดต้อนเอาทุรพล เจ้าพาลูกแลเจ้าบัวหนีไปเสีย! พี่กับสิงห์ตนอื่นจักสกัดพวกมันไว้เอง” ร่างอันชุ่มเลือดของสามี ทำให้นางสิงห์ใจเสีย ความกลัวตีรวนขึ้นมาในอกจนน้ำตาลพาลจะไหลอยู่ร่ำๆ หากแต่ลูกที่หลับใหลในอกนั้นสำคัญยิ่งกว่า นางสิงห์บุษบันเดินเข้ามากอดผู้เป็นสามีแน่น สัญชาตญาณนางกรีดร้องดังลั่นว่า ครานี้ตนแลสามีคงถึงวันที่ต้องจากลากันไปตลอดกาล

“พ่อจ๋า แม่จ๋า” เจ้าสิงห์น้อยพิรัลนลิน ผวาตื่นมาด้วยเสียงที่ดังอื้ออึงจากภายนอก ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น มากนัก แต่เสียงเรียกผู้เป็นพ่อกลับ เจ้าสิงห์น้อยจึงเดินเข้าไปกอดร่างใหญ่ดั่งขุนเขาของผู้พ่อทันที

“พิรัลลูก พ่อรักเจ้า รักเจ้าสุดหัวใจ” ผู้ที่มีท่าทีหยาบกระด้างเสมอมา ยอบตัวจับคว้าลูกที่เพิ่งตื่นจากนิทราเข้าหาตัว ความคิดคำนึงไหลทวนย้อนกาลเวลากลับไปยังวันแรก
 
วันที่เมื่อไกรพผู้นี้ รู้ว่าลูกน้อยของเขาเป็น ทุรพล ยามนั้น ราชสีห์ผู้เกรียงไกรตนนิ่งค้างอยู่เป็นนาน ทั้งหัวสมองแลร่างงกายมึนชาจนไร้ความรู้สึกโดยฉับพลัน กระทั่งเจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยส่งเสียงร้อง สิงห์ผู้เป็นพ่อจึงได้สติอีกครา มือหนาหยาบกร้าน เอื้อมแตะข้างแก้มกลมนั้น โดยพยายามที่จะให้สัมผัสจากตนอ่อนโยนแผ่วเบาที่สุด เท่าที่สิงห์หนุ่มหยาบกระด้างเช่นเขาจะพึงทำได้ ทันใดมือน้อยอันไร้เดียงสาก็จับกำรอบนิ้วใหญ่ของไกรพอย่างพอดิบพอดี  ในนาทีนั้นเองมฤคินทร์ผู้นี้ก็ได้ปลิดวางหัวใจของตนไว้ในกำมือน้อยนั้นแล้วจนหมดสิ้น

‘บัวดอกนี้ช่างสวยงาม  แลบอบบางเหลือเกิน เจ้าพิรัลนลิน ลูกพ่อ‘

มือหยาบไร้ลงบนพวงแก้มนิ่มของลูกเช่นครานั้น เช่นเดียวกับเจ้าตัวเล็กที่ยกมือขึ้นซ้อนมือผู้เป็นพ่อด้วยความอ่อนโยน แม้ลูกสิงห์ตัวแดงในวันนั้นจะเติบโตขึ้นมาก แต่ความรู้สึกของไกรพที่มียังคงหนักแน่นเช่นวันวาน และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจนตลอดชีวิตของเขา

“พิรัลนลิน พ่อรักลูก ไม่ว่าเจ้าจักอยู่ ณ ที่แห่งใด มือของพ่อจักตามไปโอบอุ้มเจ้าเสมอ” สิงห์ไกรพจรดกดจูบลงบนกระหม่อมลูกน้อย เพื่อฝากรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผู้เป็นแม่จำต้องกลั้นใจอุ้มโอบลูกขึ้นอก เผ่นทะยานออกจากเรือนของตนไป ปล่อยทิ้งหัวใจและความทรงจำไว้เบื้องหลัง เพื่อรวมตัวกับทุรพลสิงห์ร่วมฝูงอีกตนหนึ่ง


“ตามข้ามาเถิดเจ้าบัว เราจักต้องไปพึ่งใบบุญท่านราชสีอัตรคุปต์ ที่แห่งนั้นเปิดรับสิงห์ทุกตน ถ้ำแห่งนั้นถือเป็นสถานที่อภัยทาน เจ้าจักปลอดภัย” นางสิงห์ผู้เป็นชั้นสามัญสิงห์หนึ่งเดียวจำต้องรับภาระเป็นจ่าฝูง นำเหล่าทุรพลสิงห์หนึ่งตนแลสิงห์เพศเมียอีกสองตนหาที่หลบภัย
 
ร่างบางสะโอดสะองของเหล่าสาวงาม กลายกลับเป็นสิงห์กายสีแดงดังเปลวเพลิงตัวโตเทียบเท่าวัวหนุ่ม เท้าทั้งสี่ยืดยาวแข็งแรงด้วยกลีบเท้าคล้ายอาชา ปากอ้ากว้างคาบหลังคอลูกสิงห์ตัวน้อยของตนไว้มั่น ก่อนฮ่อตะบึงนำฝูงด้วยความเร็วสุดฝีเท้า
หากยังไม่ทันเหนื่อยกลับต้องหยุดชะงัก ด้วยมีกลุ่มไกรสรราชสีสามตนมาขวางหน้า หนึ่งตนในฝูงเป็นอุตมางคสิงห์ในปากสีชาดของพวกมันคาวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด แม้ใจยากสู้ให้สุดชีวิต แต่ด้วยคำสาปที่ฝังรากไปในจิตวิญญาณทำให้บุษบันสั่นเทาไปทั้งตัว ด้วยความหวาดกลัวจากจิตใต้สำนึกแห่งสัญชาตญาณ...สามัญสิงห์ไม่มีทางสู้ได้

นางสิงห์ไม่รอช้าวิ่งกลับหลังโดยพลัน แม้ฝีเท้าของเผ่าพันธุ์จะเหนือกว่า ไกสรราชสี หากเป็นเพียงสามัญสิงห์และทุรพลอันแสนอ่อนแอย่อมไม่สามารถเทียบเคียง นางบุษบันกลั้นใจครั้งสุดท้าย เหวี่ยงลูกในปากลงป่าพงข้างทาง ใช้สายใยแห่งชาติพันธุ์ส่งเสียงคำรามฝากฝังลูกน้อยไว้กับนางสิงห์ที่เหลือ แล้วกลับตัวกระโจนจ้วงจู่โจมผู้ที่ไล่ล่าตนมาจนชิดหลัง...มิได้หวังจักชำนะด้วยรู้กำลังแห่งตน หากนางหวังเพียงยื้อเวลาให้ลูกนางได้หลบซ่อนในที่ปลอดภัย แลกกับชีวิตของนาง เทวดาอารักษ์คงเห็นใจนางบางสักเพียงนิด


โฮก!!!

                   ด้วยถูกพามาหมกกายซ่อนเร้นไว้ในพงหญ้า สิงห์น้อยพิรัลนลินทำได้เพียงมองดูเหล่าพี่ๆ ถูกกระทำย่ำยี แม้จะออกแรงฮึกสู้ให้ตัวรอดพ้น ทว่าก็ก็ไม่อาจฉุดยื้อลมหายใจของตัวเองไว้ได้

“ขะ ข้ายอมตายดีกว่า ถะ ถูกพวกเอ็งย่ำยีให้เสียศักดิ์ศรี ไอ้พวกสิงห์ชั่ว อึก!”

เสียงคำรามและเสียงต่อสู้เพียงชั่วครู่ กลิ่นคาวสนิมเหล็กพุ่งกระทบจมูก ตามด้วยร่างหนักอึ้งของสิงห์หนุ่มตนหนึ่งกระเสือกกระสนพาตัวเองมาล้มทับกองหญ้าที่มีสิงห์น้อยซ่อนกายอยู่ หวังจะใช้ร่างไร้วิญญาณของตนอำพรางน้องน้อยไว้อีกชั้น หลังจากนั้นลูกสิงห์น้อยจึงไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

“จะ เจ้าพิรัล ยะ อย่าออกมาหนา เจ้าจงอยู่ให้รอดปลอดภัย เพื่อแถลงความชั่วช้าสามานย์ให้ดังก้อง พวกมัน ฮึก จัก จักต้องโดนทัณฑ์เฉกเช่นเดียวกับพวกเรา เจ้าจงอดทนไว้หนาน้อง” เสียงสะอื้นแผ่วเบาขาดห้วงของทุรพลสิงห์หนุ่มหยุดลง พร้อมด้วยลมหายใจสุดท้าย

 
โฮก!


เสียงคำรามของราชสีห์ดังสะท้อนก้องผืนป่า สลับกับเสียงกรีดร้อง  ทำให้ร่างเล็กที่นอนคู้ตัว รู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ดวงใจภายในอกเต้นกระหน่ำจนเจ็บจุก พยายามขดตัวที่เกรอะกรังไปด้วยเลือดให้กระชับแน่นเข้า สองมือเล็กยกขึ้นปิดหูปิดตา หวังให้กายตนเร้นกลืนไปกับพงหญ้าหนาได้มากที่สุด

“ตายหมดเสียได้! ไอ้พวกใจเสาะ”

เพียงเสียงแกรกกรากจากน้ำหนักเท้าที่ย่ำลงดิน  ก็ทำให้ฟันคมยิ่งขบกันแน่นขึ้น เพื่อประคองสติไม่ให้ตื่นเตลิดด้วยความกลัว  แม้แต่ลมหายใจยังถูกเก็บกลั้นไว้ ด้วยลูกสิงห์น้อยเกรงว่าเสียงลมบางเบานั้น จะดังเข้าหูของกลุ่มไกรสรสิงห์เหล่านั้น  ในดวงจิตตั้งมั่นภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และเฝ้ารอ

 
รอจนกระทั่งเสียงฝีเท้า และกลิ่นสาบสางจางหายไป ประสาทที่ตื่นตัวจนตึงขึงจากการระแวดระวังตัว ค่อยผ่อนคลายลง  ร่างเล็กพยายามเรียกความกล้าอันน้อยนิดกลับมา ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลด้วยแรงที่จวนเจียนจะหมดลง
ภาพแรกที่ไหลผ่านเข้าสู่คลองจักษุคือร่างอันไร้ลมหายใจของผองพี่ทั้งสามตน ที่ทำการขัดขืนดิ้นรนมิยอมให้ถูกจับต้อนไป ทำให้ร่างเล็กกลับมาสั่นกลัวอีกครา น้ำตาไหลอาบไปสายด้วยความเสียใจจากการสูญเสีย


“พี่จ๋า ฮึก พี่จ๋า”


ก่อนที่ลูกสิงห์น้อยวิ่งตะบึงด้วยความเร็วเท่าที่ย่างก้าวเล็กๆของตนจักพาไปได้ เมื่อดวงตากลมโตเหลือบเลยประทะร่างสิงห์ตนหนึ่งนอนแน่นิ่งห่างไปเพียงไม่กี่วา

 
ร่างของแม่บุษบันอาบท่วมไปด้วยโลหิตแดงฉานที่เกิดจากบาดแผลฉกาจฉกรรจ์นับไม่ถ้วน ลูกสิงห์น้อยเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป จึงวางหัวเล็กซุกซบลงบนอกแม่ พรางร้องเรียก หมายจักได้ยินเสียงแว่วหวานของผู้เป็นแม่ตอบกลับมาเช่นทุกครา
“แม่ แม่จ๋า” หากแต่เนื้อตัวอันอบอุ่นของแม่กลับเย็นเฉียบ ไม่ว่าเจ้าสิงห์น้อยจะใช้แรงดุนดันเนื้อตัวแม่เท่าใด นางสิงห์ก็ไม่แม้แต่จะขยับโต้ตอบ ลูกสิงห์ตัวเล็กไม่เคยเผชิญโลกภายนอก ไม่เคยห่างจากแม่แม้เพียงก้าว จึงทำได้เพียงนอนหมอบลงบนพื้นธรณี เคียงข้างศพแม่ของตนอยู่เช่นนั้นทั้งน้ำตา จวบจนหมดแรงและผล็อยหลับไป

 
พิรัลนลินน้อยไม่รู้จักความตายมาก่อน ไม่รู้ความหวายของการสูญเสีย หากเจ้าสิงห์น้อยนั้นรู้สึกได้ถึงมันลึกซึ้งแล้ว โดยที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญมีคำเรียกแทนว่าอย่างไรก็ตาม...




“ทางนี้ ยังหายใจอยู่ เจ้าสิงห์น้อย เจ้าสิงห์”

 
“กรร!!”  เสียงเรียกและแรงเขย่าทำให้ลูกสิงห์น้อยฟื้นจากห้วงนิทรา เมื่อได้สติเห็นสิงห์แปลกหน้า สัญชาตญาณจากเหตุการณ์เมื่อค่ำคืน สอนให้พิรัลนลินไม่คิดไว้ใจผู้ใด ทุรพลในร่างลูกสิงห์สีแดงชาดจึงขู่ฟ่อ เตรียมตั้งท่าพร้อมกัด ไม่ยอมให้ผู้มาใหม่เข้าใกล้ร่างของแม่ตัวเองได้ จากกลิ่นไอและสัญชาตญาณบอกให้พิรัลนลินรู้ว่า ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นราชสีห์แปลงเช่นกัน ในที่สุดหนึ่งในผู้มาเยือนต้องอาศัยจังหวะ จับคว้าเข้าที่หลังคอเจ้าตัวเล็ก เพื่อไม่ให้เข้ามาขัดขว้าง จนเสียเวลาไปมากกว่าที่เป็น


“โว้ย เจ้าพวกชั่วช้า อย่ามายุ่งกับข้า” แต่เจ้าตัวเล็กไม่ยอมแพ้ รีบตั้งจิตกลายร่างกลับคืนเป็นเด็กมนุษย์ สลัดตัวหลุดจากการจับกุมไปได้ ร่างน้อยก็วิ่งถลาเข้าไปกอดร่างของผู้เป็นแม่ไว้อย่างหวงแหน ตั้งใจว่าจะใช้พลังทั้งหมดที่มีปกป้องแม่และพี่ๆไว้ให้ได้


“ผู้ที่ชั่วช้าหาใช่พวกข้าเป็นแน่ สิงห์น้อยตั้งสติแลพินิจดูที” เป็นจริงดังสิงห์หนุ่มตนนี้กล่าว สิงห์กลุ่มนี้แม้ร่างกายสูงใหญ่หากกายแต่งกายนั้นแตกต่างจากสิงห์โหดเหี้ยมเมื่อคืนที่มาด้วยชุดเกราะเต็มตัว แลกลุ่มที่ยืนเบื้องหน้านี้ สวมเพียงโจงกระเบนสีทึบทึม บ้างสะพายล่วมยาไม้ บ้างสะพายกระบุงไว้บนหลัง ลักษณะเช่นนี้พิรัลนลินรู้ได้ว่าเป็น สิงห์กลุ่มหมอยา เพราะเคยพบเจอบ้างยาราชสีห์กลุ่มนี้เข้ามาขอปันบัวจากถ้ำ เพื่อนำไปปรุงยา สิงห์น้อยจึงคลายท่าทีเกรี้ยวกราดลง


“เอาเถิด พวกข้าจักช่วยเผาส่งแม่แลพี่น้องเอ็งให้”


“อย่าเผาแม่ข้า อย่าเผาแม่ข้า” พิรัลนลินร้องลั่น เมื่อสิงห์หนุ่มสองตนที่เหลือจับตนแยกจากร่างของแม่อีกครา ทั้งยังตั้งท่าวางคบไฟลงบนร่างของแม่และพี่ๆของตนที่ถูกเคลื่อนย้ายมารวมกัน เมื่อขณะที่ถูกหิ้วไว้

 
“หากมิเผา ร่างของแม่ และ ผองพี่ของเอ็งจักต้องเน่าเปื่อย แลถูกสัตว์อื่นแทะกิน เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”


“ฮึก”

“มีพ่อข้า กับพวกลุง น้า อยู่ ฮึก อีกด้านในถ้ำ พี่ท่านไปแจ้งพวกเขาให้มาพบเจอแม่ข้าก่อนได้ฤาไม่” เมื่อเห็นถึงความเป็นจริงจากผู้ที่โตกว่า สิงห์น้อยพิรัลนลินจึงยอมเข้าใจ หากแต่อยากให้พ่อได้มาส่งแม่เป็นครั้งสุดท้ายด้วยกัน

“มิมีผู้ใดรอด... พวกข้า จัดการเผาส่งให้แล้ว จึ่งเดินตามรอยมาจนพบเอ็ง” ความจริงที่ประดังเข้ามา ทำให้พิรัลขาอ่อนลงไปทรุดกองกับพื้น


 

“เอ็งจงไปกับพวกข้าเถิด ที่ถ้ำของท่านอัตรคุปต์เอ็งจักปลอดภัย” ‘อัตรคุปต์’ พิรัลนลินจำชื่อนี้ได้  แม่เคยพูดไว้ แต่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่แล้ว ลูกสิงห์น้อยไม่มีแรงใจที่จะอยู่ต่อ ภายในจิตใจนั้นหดหู่เสียใจ แม้ยามหายใจก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งทรวงอก
พิรัลทิ้งตัวลงบนพื้นดิน ในตาคู่กลมมองจ้องไปยังเปลวเพลิงที่ลุกโหมล้อมรอบร่างของแม่อย่างเลื่อนลอย
 

                    เสียงไฟที่คุดังลั่น ดันสะเก็ดไฟแตกกระจายเป็นริ้วละออง ร่างของเหล่าสิงห์ผู้โชคร้าย บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงถ่านเถ้า หนึ่งในผู้เดินทาง หลับตาพึมพำร่ายคาถาเพียงครู่ จึงยกฝ่ามือขึ้นเกิดเป็นมวลน้ำใสไหลลงราดรดพระเพลิงที่กำลังโชติช่วงราวกับไม่มีวันมอดก็ดับลงทันทีอย่างน่าอัศจรรย์
 

“เจ้าจงนำเถ้าอัฐิไปฝากพระแม่คงคาไว้เถิด” สิงห์ตนเดิน ยื่นห่อเถ้ากระดูกที่บรรจงเก็บรวบรวมให้แก่ลูกสิงห์ อย่างน้อยผู้เป็นลูกก็ควรจะเป็นผู้ที่ได้ส่งพ่อแม่ไปสู่ภพภูมิอันสุคติด้วยมือตัวเอง


พิรัลที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง รับห่อผ้าไว้แต่โดยดี ลูกสิงห์ประคองแนบมันไว้กับอก น้ำตาที่หยุดไปไหลออกมาอีกครา สองเท้าเล็กตรงไปยังริมลำคลองสายเล็กที่อยู่ไม่ไกล แต่กลับชะงักตัวไว้คล้ายคิดสิ่งใดได้


“ข้าขอพาพ่อแม่ แลพี่น้องกลับคูหาได้ไหมจ๊ะ เมื่อลงน้ำข้าหารู้ได้ไม่ว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน หรือแยกจากไปตามกระแสน้ำ ข้าต้องการให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข”

“เอาเถิด ตามพวกข้ามา” หัวหน้ากลุ่มยอมรับคำขอแต่โดยดี ด้วยพวกเขารู้สึกเวทนาเจ้าสิงห์น้อยตนนี้จับใจ


                    สองมือเล็กๆโอบอุ้มห่อผ้าเถ้าอัฐิของทั้งครอบครัวไว้เต็มกอด ยามก้าวเข้าสู่บ้านเกิดสิ่งที่ต้อนรับทุรพลน้อยคือ กลิ่นไหม้และคาวเลือดกลบทับกลิ่นหอมรันจวนของดอกบัวนาๆพันธุ์ที่แม่นำมาปลูกในบ่อน้ำภายในถ้ำจนหมด กวาดสายตามองซากปรักหักพังของเรือนที่เคยอยู่อาศัยด้วยความโศกเศร้าจนไม่อาจพรรณนา ในครรลองสายตาปรากฏเป็น ภาพที่ตนเคยวิ่งเล่นร่วมกับพี่ๆ การดำเนินชีวิตด้วยความสุข และรอยยิ้มของทุกตนฉายอยู่ในความทรงจำ ร่างเล็กโซเซคล้ายจะหมดแรง ไม่มีกำลังแม้จะหลั่งน้ำตา ด้วยความรู้สึกตื้อหนักกดทับจนมึนเบลอคล้ายอยู่ในความฝันอันโหดร้าย


พิรัลนลินค่อยๆวางห่อผ้าทั้งสองที่ไม่อาจแยกได้ว่าเถ้ากระดูกในนั้นเป็นของผู้ใด เนื่องจากถูกปะปนกันจนสิ้นไว้บนพื้นถ้ำ มือน้อยเรียวเล็กออกแรงขุดดินจนเป็นหลุมลึก ไม่สนแม้ทั้งเล็บมือและผิวเนื้ออันบอบบางจะฉีกถลอก ก่อนจะบรรจงวางห่ออัฐิลงก้นหลุม ฝากฝั่งแก่พระแม่ธรณีให้ช่วยดูแล หวังให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งในคูหาเกิดอันแสนอบอุ่น

‘ลาก่อน ท่านแม่ ลาก่อนท่านพ่อ ลาก่อนทุกตนผู้เป็นที่รัก’

ชั่วขณะที่สายตามองตามอัฐิในพื้นธรณี พิรัลนลินนึกอย่างกระโจนสู่ห้วงพสุธาฝั่งกลบตัวเองติดตามบุคคลที่รักไป เพียงพริบตา ลมหอบใหญ่พลันพัดกรรโชกแรง ประทะเข้ากับร่างน้อย วนเวียนโชยอ่อนรอบกายดั่งเป็นการปลอบโยน

‘เจ้าพิรัลน้อยของแม่ อย่าได้หม่นหมองไป พ่อแลแม่จักอยู่กับลูกในทุกๆที่‘

‘พิรัลนลิน แม้นเจ้าจักเป็นเพียงทุรพลสิงห์ ทว่าเจ้ายังคงเป็นสิงห์ มีศักดิ์แลสิทธิ์ดั่งสิงห์ทุกประการ แลเป็นลูกของพ่อ เจ้าจงเข้มแข็งหนาลูกรัก’


‘เจ้าจงอยู่รอดปลอดภัย เพื่อแถลงความชั่วช้าสามานย์ให้ดังก้อง พวกมัน ฮึก จัก จักต้องโดนทัณฑ์แฉกเช่นเดียวกับพวกเรา เจ้าจงอดทนไว้หนาน้อง‘


เสียงของพ่อ แม่ และพี่ที่ดังแว่วมาตามกระแสลม ทำให้พิรัลได้สติกลับมา สิงห์น้อยยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหนา ความเสียใจหดหู่แปลเปลี่ยนมาเป็นความคั่งแค้น



“จะต้องให้พวกมันได้ชดใช้!” สิงห์น้อยปฏิญาณตนกู่ก้องในใจ ก่อนลุกตามเหล่าสิงห์แปลกหน้า เพื่อขอพึ่งใบบุญราชสีห์อัตรคุปต์ เพื่อรอโอกาสได้ชำระแค้นให้แก่ครอบครัวของตนในสักวันหนึ่ง








++++++++++++++++++++++++++++++

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผู้เขียน
และได้มีโอกาสได้ลงในเล้าเป็ดเป็นครั้งแรก
หากมีข้อผิดพลาดประการณ์ใด
ผู้เขียนน้อมรับคำแนะนำจากนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณค่ะ  :pig4:

นิยายเรื่องนี้คาดว่าผู้เขียนจะสามารถลงได้ทุกคืนวันเสาร์
เจอกันวันเสาร์หน้านะคะ
ขอฝากเนื้อฝากด้วยด้วยค่าาา









หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 24-08-2019 21:40:50
น่าติดตามมาต่ออีกนะคะ :pig2: +1 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-08-2019 22:25:31
ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 25-08-2019 10:35:12
น่าติดตามมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 25-08-2019 11:40:37
น่าติดตามค่ะ // คำผิดยังมีอยู่หลายที่นะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 25-08-2019 14:43:30
ตามจ้าตาม  :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-08-2019 15:38:26
รบกวนคนเขียนช่ายใส่บทที่กับวันที่อัปเดตไว้หลังชื่อเรื่องด้วยนะคะ (คนอ่านจะได้รู้ง่าเป็นตอนเดิมหรือตอนใหม่)
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 26-08-2019 16:54:57
ชอบๆๆ รออ่านตอนต่อไปจ้า เขียนได้สนุกมาก
เป็นกำลังใจให้นะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 26-08-2019 19:39:21
 o13
 :3123:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse+พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๒ สู่คูหาสรรพยา{๓๑/๘/๒๕๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 31-08-2019 20:53:55
บทที่ ๒
สู่คูหาสรรพยา





                    การเดินของคณะสิงห์หมอยาและลูกสิงห์ทุรพลทางเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางเพียงสองวัน ยามเพลาชาย[1]แดดอ่อนลงจึงมองเห็นปากถ้ำแก้ว อันเป็นอาณาเขตแห่งราชสีห์อัตรคุปต์ เมื่อเหล่ามฤเคนทร์พากันเดินผ่านเขตอาคมที่กางกั้นปากถ้ำเอาไว้ พิรัลนลินผู้ไม่เคยพบเห็นอาณาจักรอื่นใดนอกจากคูหาของพ่อที่ตนถือกำเนิดถึงกับตื่นตะลึง เพราะภายในถ้ำแห่งนี้กว้างขวางโอ่อ่ามากกว่าบ้านเกิดของตนจนไม่อาจเทียบเคียง บ้านเรือนที่เรียงรายล้อมรอบล้วนงดงาม โดยจุดสนใจที่ดึงสายตาของผู้มาเยือนคือโรงเรือนขนาดใหญ่แปลกตาไปจากเรือนของตนหลายส่วน



ดวงตากลมเหลือบซ้ายแลขวาคอยสอดส่องสถานที่รอบกาย ทั้งกลิ่นเครื่องยาที่อวลอยู่ในอากาศ และเหล่ามนุษย์สิงห์ผู้มีผิวกายหลากหลายเดินกันขวักไขว่ ด้วยแม้จำยอมเดินตามแต่ความหวาดระแวงจากเหตุร้ายที่เพิ่งเผชิญ ทำให้ลูกสิงห์น้อยขยับขืนตัวเพื่อจะให้แขนของตนหลุดจากการจับกุมของสิงห์หนุ่มแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา





“เหตุใดพวกเอ็งจึงกระทำการยื้อยุดเช่นนั้น”


“ท่านอาจารย์ ขอสมาในความมิสำรวมเถิดขอรับ สิงห์น้อยตนนี้พวกข้าเจอที่กลางป่า จักปล่อยไว้พวกข้าเกรงว่ามันจักตกตายตามพ่อแม่เอาเสีย จึงเก็บมาฝากฝังท่านอาจารย์ช่วยขัดเกลาเสียที่นี่ขอรับ” สิงห์หนุ่มหนึ่งในกลุ่มคณะเดินทางยกมือไหว้ พลางตอบคำติเตียนของสิงห์เฒ่าด้วยความนอบน้อม


“เอาล่ะ หยุดพยศดื้อดึงเสียก่อนเจ้าสิงห์น้อย ที่แห่งนี้เป็นเขตอภัยทาน หามีผู้ใดทำร้ายเจ้าดอก” เมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มเย็น เจ้าลูกสิงห์จึงยอมหยุดขัดขืน ดวงตากลมโตแหงนเงยขึ้นจ้องมองไปยังใบหน้าของสิงห์ชราเจ้าของเสียง ผู้สวมผ้านุ่งปล่อยชายสีขาว เช่นเดียวกับผ้าคล้องไหล่ตัดผิวสีดินแดง ผมยาวขาวโพลนถูกมวยเก็บด้านไว้หลังอย่างเป็นระเบียบ และแววตาหลังใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเมตตา ทำให้ลูกสิงห์พลัดถิ่นรู้สึกวางใจและเคารพเลื่อมใสทันที เจ้าสิงห์น้อยจึงยกมือประนมขึ้นท่วมหัวด้วยท่าทางนอบน้อม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูแก่ผู้มากอาวุโสตามมา


“เออแน่ะ ดูทีจักมีสติปัญญาอยู่หนาเจ้า มีชื่อฤๅไม่เล่า”


“พิรัล”


“เจ้าพิรัลเอ๋ย พอจักบอกกล่าวข้าได้ฤๅไม่ เรื่องราวที่เจ้าประสบพบเจอมา” ลูกสิงห์ตัวน้อยกัดริมฝีปากแน่น คิดตรึกตรองเพียงครู่จึงยอมพยักหน้าตกลงโดยดี


“ชุมของพ่อข้าน้อยเป็นชุมเล็ก มีเพียงสามัญสิงห์แลทุรพล ยามที่พวกข้าน้อยกำลังหลับนอน ราชสีห์กลุ่มหนึ่งได้บุกเข้ามา หมายฉุดคร่าทุรพลสิงห์ในชุมข้าน้อย แต่ข้าน้อยได้แม่ แลพี่พาหนีหมายใจจักมาพึ่งใบบุญท่านอัตรคุปต์ ทว่ามิทันกาลแม่เลยซ่อนข้าน้อยไว้ในป่าหญ้า ข้าน้อยจึ่งรอดมาได้เพียงตนเดียวจ้ะ”


“ผู้ที่หนีมามีเพียงทุรพล แลนางสิงห์ พวกมันยังมิละเว้น ภายในคูหายามกลับไปนั้น ถูกรื้อเผาจนมิเหลือดี ข้าได้ยินมาบ้าง ว่ามีกลุ่มราชสีห์ต้องการสร้างสิงห์ชั้นอุตมางค์ให้มากเข้า เพื่อจักได้มีอำนาจกลืนสิงห์ชุมอื่น เหตุนี้จึงเที่ยวฉุดคร่าไล่ต้อน ทุรพล จากชุมอื่นไปเข้ากลุ่มเพื่อให้กำเนิดลูกอุตมางค์ เห็นทีจักเป็นเรื่องจริงเสียแล้วท่านอาจารย์”


“เลวร้ายเหลือเกิน” เมื่อได้ฟังความและเห็นสภาพบอบช้ำของลูกสิงห์ตัวจ้อย จึงเกิดเสียงสาปแช่ง ก่นด่า ดังระงมไปทั่วทั้งลาน จากบรรดาสิงห์ที่มุงดูอยู่โดยรอบที่ล้วนโกรธแค้น และสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง


“เอาล่ะ รอดพ้นมาแล้ว ต่อแต่นี้จงมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่เถิด” สิงห์ชราทอดมองทุรพลน้อยด้วยความสงสาร ยอมรับลูกสิงห์ตนนี้ให้อยู่ในความดูแลของตน ด้วยความสงสารชะตากรรมของลูกสิงห์ตนนี้


“ขอบพระคุณที่เมตตาจ้ะ” สิงห์น้อยก้มลมกราบสิงห์ราชาผู้อารี ด้วยความตื้นตัน ฝ่ามือใหญ่จากผู้ครองคูหาเอื้อมลงมาวางนิ่งลงบนกระหม่อมลูกมฤคินทร์น้อยแผ่วเบาเป็นการรับรู้


“พวกเจ้าจงพาน้องน้อยของพวกเจ้าไปอาบน้ำอาบท่า แลหาผลหมากรากไม้มาเลี้ยงเสียให้อิ่มหนำ” สิ้นคำผู้ครองคูหา เหล่านางสิงห์ที่คอยท่าอยู่ ไม่รีรอที่จะช่วยกันมารุมดูแลเจ้าสิงห์น้อยพลัดถิ่นด้วยความเต็มใจ เนื่องด้วยพวกนางนึกสงสารชะตากรรมที่มันพบเจอเสียจนใจสะท้าน


“เจ้ามั่นตามข้าไปเรือนอักษร ข้าจักส่งสารถึงท่านนิลปารัชญ์ เจ้ามิ่งจงตามอาคิรามาพบข้าโดยไว” เมื่อพิรัลนลินถูกพาตัวไปดูแล ราชสีห์ชราจึงหันมาสั่งการลูกศิษย์ข้ากายต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล


…ต่อจากนี้จักเกิดเหตุการณ์วุ่นวายถึงเพียงใดหนอ




ลูกสิงห์น้อยเมื่อได้ชำระล้างคราบไคลขะมุกขะมอมอันเกิดจากฝุ่นดินและการรอนแรมมานานวัน เผยผิวเนียนละเอียดแดง ระเรื่ออ่อนบางราวกลีบจงกล บงบอกถึงชาติพันธุ์ต้นกำเนิดกลับมาเฉิดฉายอีกครา ดวงหน้ากอปรกับเรือนร่างบางเล็กในอาภรณ์สะอาดสะอ้านทำให้ลูกสิงห์พลัดถิ่นดูงาม ‘พิรัล’ สมชื่อ ทว่านัยน์ตากลมโตชวนมองกลับไร้ซึ่งความสดใส ซ้ำยังติดจะก้าวร้าวแข็งกระด้างในที ทำให้ไม่มีใครกล้าเสนอตัวเข้าไปคลุกคลีเล่นหัวกับเจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยมากนัก แม้มีผู้นึกเอ็นดูอยู่มากมาย


เมื่อช่วยกันจับแต่งตัวแล้วเสร็จ นางสิงห์เผ่าติณสีหะซึ่งเป็นมังสวิรัติเช่นกันจึงแยกไปจัดเตรียมสำรับลูกไม้ตามช่วงฤดู ทั้งผลอัมพรา[2] ลูกหว้า และกล้วย มารับรองลูกสิงห์น้อยเสียมากมายจนอิ่มหนำ แล้วพาจับจูงพามาพบเจ้าของเรือนอีกคราตามคำสั่ง



“เจ้าพิรัล เข้ามาสิเจ้า “


“จากนี้ต่อไปข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ แลผู้นี้คือ ‘อาคิรา’ ศิษย์เอกของข้า แลถือเป็นศิษย์ผู้พี่ของเจ้า” ‘อาคิรา’ ที่ด้านหลังอาจารย์เป็นเพียงสิงห์รุ่นกระทง[3]ใบหน้าคมขำงดงาม ผิวกายขาวดั่งเปลือกสังข์บ่งบอกได้ว่าศิษย์ผู้พี่ตนนี้มีเชื้อสายของไกรสรสีหะ ผมยาวประบ่าดำขลับถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะอย่างเรียบร้อย เช่นเดียวกับท่วงท่าการนั่งนั่งพับเพียบหลังไหล่ยืดตรง ทั้งดวงตาแน่วนิ่ง ทำเอาเจ้าตัวเล็กเผลอเม้มปากกลั้นหายใจ ด้วยรู้สึกกริ่งเกรงอย่างหาที่มาไม่ได้


“ข้าฝากฝังเจ้าไว้ให้เขาช่วยดูแล อย่าได้ดื้อรั้นนักหนาเจ้า“ ราชสีห์เฒ่า กล่าวกำชับกับลูกสิงห์อาภัพ หลังฝากฝังมันไว้กับศิษย์เอกเป็นที่เรียบร้อย ด้วยสังเกตแล้วว่าเจ้าสิงห์น้อยผู้นี้ดื้อรั้นไม่เอาใครมากโข แลเพลานี้ราชสีห์อัตรคุปต์จำต้องเข้าฌานภาวนาจึงนึกห่วงมันอยู่มาก เมื่อมองไม่เห็นใคร จึงยกหน้าที่นี้ให้ศิษย์คนโปรด แม้ไกรสรสีหะตนนี้จักมีวัยเพียงสิบสี่ปี แต่เจ้าลูกสามัญสิงห์ตนนี้กลับเฉลียวฉลาด อีกทั้งกิริยามารยาทที่เพียบพร้อมได้ดังใจตนนัก จนคิดจะให้ศิษย์เอกผู้นี้สืบอำนาจดูแลคูหาสรรพยาแห่งนี้ต่อจากตน แม้จักยากลำบากสักหน่อยสำหรับสิงห์ที่ไม่ใช่อุตมางค์ก็ตาม


“จ้ะ”


“เอาล่ะ พาน้องเจ้าเที่ยวดูอาณาเขตของเราเสียให้เคยคุ้น”


“ขอรับอาจารย์” อาคิรา รับคำผู้เป็นอาจารย์เสียงเรียบ หากแต่ไม่กระด้างแข็ง ดั่งเช่นท่าทางของตน...สงบนิ่งสง่างาม มิแข็งกร้าว




ด้วยอาคิราที่อยู่กับผู้เป็นอาจารย์มาเนิ่นนานรู้ดีว่า ราชสีห์อัตรคุปต์ยังมีกิจการให้สะสางอีกมาก สองลูกสิงห์ศิษย์พี่ ศิษย์น้องจึงล่ำลาผู้เป็นอาจารย์ทันทีที่รับฟังคำสั่งเสียเรียบร้อย อาคิราก้มหน้าลงมองลูกสิงห์น้อยในความดูแลของตน แล้วตัดสินใจเอ่ยถามความเห็นออกไปก่อน


“เจ้าหมายจักไปที่ใดก่อนฤๅ เจ้าพิรัล”


“ไปข้างนอกนั่น”


“ข้าจักพาเจ้าไป หากเจ้ามิร้องขอด้วยน้ำเสียงกระด้างเยี่ยงนี้”


“...” หากเป็นผู้อื่นพิรัลคงเถียงนำไปก่อนด้วยความไม่ยอม แต่เมื่อเป็นสิงห์ตรงหน้า ด้วยบุคลิกเรียบนิ่ง แนวตาคมกล้าสบตรงมาไม่หลุกหลิก ทำให้สิงห์น้อยอดนึกเกรงใจขึ้นมาครามครันไม่ได้ จึงเลือกที่จะเงียบเสีย


“ตรองดูเถิด หากมีผู้ใดขอร้องเจ้าด้วยน้ำเสียง แลสำนวนวาจาเช่นนี้เจ้าจักยินดีช่วยฤๅไม่เจ้าพิรัล” น้ำเสียงทอดอ่อนไม่ดุว่า แต่เป็นเจ้าสิงห์น้อยเองที่รู้สึกตีรวน จนเผยความรู้สึกของตนจนหมดเปลือก


“แต่ข้ามิได้อ่อนแอ! นอกจากท่านอาจารย์ที่มีพระคุณต่อข้า ข้ามิเห็นว่าเหตุใดต้องทำตัวลู่ลมน้อมนอบผู้ใด”


“กล่าววาจาอ่อนน้อม แลปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยน มิได้หมายถึงความอ่อนแอฉันใด ความเข้มแข็งนั้น หาได้รวมถึงความแข็งกระด้างฉันนั้น เจ้าตรองดูท่าทางของท่านอาจารย์ที่เจ้าเคารพ แลตอบข้าทีเจ้าเห็นท่านอ่อนแอฤๅไม่”


ลูกสิงห์น้อยอารมณ์ร้อนชะงักนิ่ง ใช้เวลาคิดตามเพียงชั่วครู่จึงให้คำตอบแก่ตัวเองได้ว่าสิ่งที่อาคิรากล่าวมานั้นเป็นความจริง จึงขยับปากงุบงิบกล่าวร้องขอเป็นประโยคใหม่ โดยที่มือเล็กทั้งสองกำชายโจงกระเบนไว้แน่น พร้อมกับใบหู และพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงปลั่ง


“พะ พี่อาคิรา ข้าต้องการไปด้านนอกเรือน พี่ท่านช่วยพาข้าไปได้ฤๅไม่ จะ จ้ะ”


สิงห์น้อยรู้สึกขลาดเขินมิใช่เพราะต้องพูดจาไพเราะ เพราะความจริงแล้วก่อนหน้า ยามที่ยังอยู่บ้านเกิด พิรัลนลินนั้นถูกแม่สอนให้พูดจาจ๊ะจ๋า และมือไม้อ่อนต่อสิงห์ทุกผู้ทุกตนเป็นนิจ ทว่าความเข้าใจผิดเพียงชั่วครู่จนเผลอกระทำกิริยากระด้างออกไปจนถูกติเช่นนี้มากกว่าที่ทำให้เจ้าสิงห์น้อยนึกอับอาย


“เช่นนี้ดีแล้ว เราไปเดินดูด้านนอกกันเถิด ข้าจักแนะที่ทางให้” อาคิราพยักหน้าให้กำลังใจน้องน้อย ก่อนจับจูงมือเล็กให้เดินตาม พลางบอกเล่าหน้าที่ความสำคัญของเรือนต่างๆ ภายในคูหาสรรพยาแห่งนี้ ให้เจ้าตัวน้อยรู้จักคุ้นชิน


“ด้านนี้คือเรือนยา เราจักเก็บสมุนไพรเครื่องยาไว้ที่นี่ ส่วนเรือนที่ใกล้กันนั้นเป็นห้องเก็บตำรา อาจารย์ใช้เก็บตำรับยาเป็นส่วนใหญ่”


“ส่วนเรือนกระโน้น เรือนระวังไข้ ให้ผู้เป็นไข้นอนพักรักษา จตุราชสีห์มิได้มีการเจ็บไข้มากนัก โดยมากจักเป็นพวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยเสียมาก พวกเรามีหมอยาร่วมสิบตน บ้างอยู่เฝ้าถ้ำ บางออกไปรักษาตามที่ห่างไกล”


“จากนี้เจ้าจักต้องหัดอ่านเขียน แลช่วยข้าเตรียมสมุนไพร แม้นเป็นทุรพล หากอาจารย์ท่านก็อยากให้เจ้ามีความรู้ติดตัว”


“จ้ะ”



           ด้วยกว่าลูกสิงห์น้อยจักมาถึงคูหาสรรพยาได้นั้นเวลาได้ล่วงเลยไปช่วงบ่าย จับอาบน้ำผลัดผ้าจนถูกพามาส่งให้แก่อาคิราเวลาจึงได้ล่วงเลยไปจนย่ำค่ำ การพาลูกสิงห์พลัดถิ่นทำความรู้จัก ‘บ้าน‘ หลังใหม่จึงดำเนินไปได้เพียงครู่ เพราะถึงเวลาส่งสิงห์วัยเยาว์เข้าเรือนนอน กระทั่งยามนี้ดวงดารายกตัวขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้า แสงเทียนในเรือนนอนของลูกทุรพลยังคงส่องรอดออกมาด้านนอกทำให้ผู้ได้รับหน้าที่ช่วยดูแลอดไม่ได้ ถือวิสาสะเปิดเข้าไปดูน้องน้อยให้คลายกังวลใจ


พลันภาพที่เข้าสู่ครรลองสายตานั้น ทำให้อาคิรารู้สึกดีใจที่ตนไม่ละเลย เจ้าศิษย์ผู้น้องตัวจ้อยนั้นยังไม่ได้นอนหลับดังที่เขาคาด ซ้ำเจ้าตัวเล็กยังกำลังนั่งคุดคู้ร้องไห้จนตัวสั่นอยู่ที่มุมเรือนนอนนั้นเอง


“เจ้าพิรัล” เสียงเรียกขานแม้ไม่ได้ดังมากมาย ทว่าเจ้าของชื่อกลับสะดุ้งตกใจ มือเล็กทั้งสองข้างรีบยกขึ้นมาปัดป่ายน้ำตาจากใบหน้าลวกๆ สูดน้ำมูกฟืดฟาด พยายามยืดตัวยืดอกขึ้นวางท่าว่าเข้มแข็งเต็มประดา เสียจนอาคิราลอบส่ายหน้า


“ยามข้ามาที่แห่งนี้คราแรก ข้าแอบร้องไห้เป็นแรมเดือนเชียวหนา เรื่องนี้จักเป็นความลับระหว่างเรามิแพร่งพรายออกไป”


อาคิราไม่ได้โกหก เขาเข้าใจความรู้สึกของพิรัลนลินเป็นอย่างดี ทั้งหวาดกลัว ว้าเหว่ โหยหา และ คิดถึง ความรู้สึกเหล่านี้มักเข้าจู่โจมในยามราตรีเสมอ บางทีความรู้สึกเหล่านี้อาจคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ยามกลางวันที่แสงแดดจัดจ้าและมีกิจธุระมากมายให้ต้องสะสางมากลบทับ ทว่าในยามที่ต้องอยู่ตนเดียวกับความเงียบและความเดียวดาย ไร้ซึ่งสิ่งช่วยหันเหความสนใจเช่นนี้ ทำให้มันกลับชัดเจนขึ้นมา ชัดเจน เสียจนต้องระบายความทุกข์ทรมานเหล่านี้ด้วยหยาดน้ำตา


“ฮึก จริง ฮึก นะ”


“ข้ารับปาก เช่นนั้นจงมานอนเสีย ข้าจักอยู่เป็นเพื่อน” เมื่อได้รับคำยืนยัน พิรัลน้อยจึงยอมทำตามแต่โดยดี ร่างเล็กๆ เดินกลับมาล้มตัวนอนลงบนตั่ง ตะแคงตัวหันเข้าหาผู้เป็นพี่ พร้อมกับเอื้อมมือน้อยมาจับชายผ้านุ่งของอาคิราไว้มั่น


ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกสบายใจจริงๆ หรือ เป็นความอ่อนเพลียจากการร้องไห้ ผ่านไปเพียงชั่วครู่เจ้าสิงห์น้อยก็ผล็อยหลับไป เหลือเพียงเสียงงึมงำและคราบน้ำตาบนขนตายาวเท่านั้น


“ฮึกๆ แม่จ๋า...”






                 พิรัลใช้ชีวิตอยู่ภายในการดูแลของอาคิราเข้าเดือนที่สอง วันเวลาที่ผ่านเลยมา ลูกสิงห์น้อยได้อาคิราคอยบอกกล่าวให้ทำความรู้จักทุกซอกทุกมุมของถ้ำสรรพยาแห่งนี้จนถ้วนทั่ว นอกจากสอนอ่านเขียนดังที่เคยบอกกล่าวแล้ว ผู้เป็นพี่ยังให้สิงห์น้อยคอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ การคัดสมุนไพร เพื่อนำไปตากแห้ง และเก็บแยกเข้าเรือนยา ซึ่งใดๆ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พิรัลนลินนึกชอบใจเลยสักนิด


“เป็นอันใดเจ้าพิรัล ใยหน้าบูดบึ้งนัก“

“ข้าหมายจักไปฝึกกำลังมากกว่า มานั่งเตรียมเครื่องยาเช่นนี้จ้ะ“ ลูกสิงห์น้อยยู่ปากด้วยความเบื่อหน่ายใส่ผู้พี่ สิงห์ตนเดียวที่เจ้าพิรัล ‘ผู้น่ารัก’ ยอมแสดงกิริยาออดอ้อนใส่ ด้วยความวางใจจนเผลอแสดงตัวตนเช่นยามที่อยู่กับแม่ออกมา


ถ้ำสรรพยาแห่งนี้นอกจากเป็นสถานที่เล่าเรียนตำรายาและเปิดให้การรักษาแล้ว ยังเปิดกว้างต้อนรับสิงห์ทุกผู้ทุกตน โดยมีกฎเพียงหนึ่งเดียวคือ ไม่มีกายทำร้ายฆ่าฟันกันในอาณาเขตแห่งนี้เป็นอันขาด จึงมีสิงห์มากมายหลายเผ่าพันธุ์เดินทางมาจากทั่วทุกหัวระแหงรวมกลุ่ม แบ่งปันทั้งเครื่องยา สรรพความรู้ต่างๆ รวมไปถึงศาสตร์แห่งการต่อสู้ เช่นนี้บริเวณลานกลางคูหากว้างใหญ่ จึงมีราวไม้ขัดกั้นเป็นสัดส่วน เพื่อใช้เป็นลานฝึกการต่อสู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


“ฝึกกำลังไปทำอันใดเล่า ทำเช่นไรเจ้านั้นหาสู้กำลังผู้ใดได้ดอก ดูแขนขาเจ้าแลพวกข้าซี โดนผลักทีเดียวคงกระเด็นไกลไปหลายโยชน์ “อินทุหนึ่งในลูกมือเตรียมยา สัพยอกใส่ด้วยอดมันเขี้ยวเจ้าลูกสิงห์ตนนี้ไม่ได้


“ข้าเกลียดตัวเองยิ่งนัก “เรียวปากอิ่มเม้มแน่น ใบหน้าของลูกสิงห์ยิ่งยับย่น ไม่ใช่ความโกรธเคือง แต่ด้วยกำลังน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาเหลือคณา


“เจ้านี่มันพิลึกจริง “อินทุออกปากว่าทิ้งท้าย ด้วยตนไม่เข้าใจความนึกคิดอันพิลึกพิลั่นของลูกสิงห์ผิวแดงสักนิด

...เป็นทุรพลเช่นเราได้ทำสิ่งอื่นนอกจาก ถูกจับวางถวายแก่อุตมางค์นั้นนับว่าประเสริฐมากแล้วมิใช่ฤๅ


“พิรัล เจ้าลองดมสิ่งนี้ดูที “แม้ยังคงอารมณ์ไม่ใคร่ดี แต่เมื่อพี่อาคิราของตนบอกให้ทำ เจ้าสิงห์น้อยพิรัลจึงไม่อิดออด ยอมยื่นจมูกเล็กๆ ลงไปดมรากไม้ในมือผู้พี่โดยดี


“แล้วสิ่งนี้เล่า เจ้าแยกมันออกฤๅไม่ “  อาคิราถามต่อพลางยื่นไม้ยาอีกมือหนึ่งไปให้


“ออกซี แม้หน้าตาจักเหมือน แต่กลิ่นต่างกันมากโข“


“อืม ทว่าข้ามิรู้สึกเลย จำต้องพิจารณาอย่างดียิ่งแยกได้ “  ผู้พี่พยักหน้า พร้อมกล่าวสารภาพความลับให้เจ้าตัวเล็กฟัง


“ลางที พี่หาใช่มังสวิรัติเช่นข้ากระมัง เป็นข้าแม้มันอยู่ใต้ดิน หากมิลึกเกินไปนักย่อมได้กลิ่น “


“เก่งจริงหนาเจ้า “ศิษย์ผู้พี่เอ่ยชมด้วยรอยยิ้มบาง แล้วจ้องมองใบหน้าเล็กที่ยังคงมีพวงแก้มนุ่มประดับอยู่อย่างน่ารักน่าชัง ก่อนเอ่ยต่อ


“เจ้ารู้ฤๅไม่ว่าสมุนไพรพวกนี้ เมื่อนำมารวมกันตามตำรับ จักมีทั้งคุณนับอนันต์เจ้ามีแรงน้อย หากเอาจุดด้อยเข้าสู้ เจ้าว่าจะชำนะได้เทียว “ทุรพลน้อยหยุดนิ่ง คิ้วที่ขมวดมุ่นค่อยๆ คลายตัวออก ยืนหน้าเข้าใกล้ผู้พี่ด้วยความกระตือรือร้นเพื่อฟังต่อ


“วิธีที่จักต่อสู้มีอีกมากมาย มิใช่เพียงพละกำลังแลอิทธิฤทธิ์ สิงห์เหล่านั้นมีพรสวรรค์ของเขา แลเจ้านั้นมีของเจ้า อย่าได้นึกเกลียดตัวเองเลยหนา “


“ข้าเข้าใจแล้ว “แม้เข้าใจแต่ใช่ว่าจะถอดใจ มือคัดเปลือกมะเกลือลงหีบ หากตานั้นเหลือบมองการประลองกำลังบนลานเพื่อลักจำท่วงท่าพวกนั้นไม่ขาด




                   ภายหลังจากที่ถ้ำของพิรัลนลินถูกทำลายนั้น ยังมีสิงห์ถูกทำร้ายเข้ามาขอความช่วยเหลือถึงหน้าปากถ้ำสรรพยาอยู่เนืองๆ ยิ่งคืนวันผ่านพ้นจำนวนยิ่งมากขึ้น เช่นในวันนี้ที่สิงห์ประจำเรือนผู้ไข้ทั้งเรือนต่างวิ่งกันวุ่นตลอดทั้งคืนจวบจนฟ้าสาง เพื่อช่วยยื้อชีวิตบัณฑูรสีหะที่ต่อสู้ปกป้องลูกสาวทุรพลของตนจนชีวาแทบหาไม่ เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดหัวใจก้องสะท้อนทั่วโถงถ้ำ พาให้เจ้าสิงห์ตัวน้อยที่แอบเมียงมองอยู่ไกลๆ น้ำตาไหลพราก มือเล็กกำเข้าหากันแน่น เช่นเดียวกับฟันคมที่ขบกัดลงบนริมฝีปากจนได้เลือด ภายในอกเดือดปะทุดั่งลาวาร้อนเร่าทั้งเคียดแค้นชิงชัง ผสมกับความน้อยเนื้อต่ำใจในฤทธากำลังที่แสนอ่อนด้อยในตัวตนเสียจนตัวสั่นสะท้าน

“ได้เลือดแล้วหนาเจ้าตัวดี” อาคิราที่มาพบเข้า ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากของน้องน้อยไปมา หมายให้พิรัลนลิน คลายแรงขบกัดของตนเองลง

“ข้าเกลียดพวกมันนัก เหตุใดผู้ชั่วช้าจึ่งได้มีพลังกำลังในการข่มเหงผู้อื่นเล่า มิยุติธรรมเอาเสียเลย” เสียงเล็กกดต่ำสั่นเครือ ยามเอ่ยไถ่ถาม

“สักวันพวกมันต้องได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน เพลานี้เจ้าทำอันใดมิได้ มิได้หมายความถึงกาลหน้ามิใช่รึ”

“ข้าเป็นทุรพลจักทำเช่นไรได้เล่า ฮึก พี่มิได้เป็นข้า พี่มิรู้ดอกการทำได้เพียงมองดูนั้นเจ็บปวดเพียงใด”

“เจ้าล่วงรู้ได้เยี่ยงไร พ่อแม่ข้านั้นถูกเข่นฆ่าเช่นกัน ต่อหน้าต่อตาข้าเอง ...มิได้ทุรนทุราย หาได้หมายความว่ามิรู้สึกหนา”

“...”

“...”

“ขะ ขอสมาเถิดจ้ะ ข้ามิได้ตั้งใจ ฮึก” เมื่อล่วงรู้ความจริง ทุรพลน้อยถึงกับยกมือพนมไหว้ขมาผู้เป็นพี่ น้ำตาใสหลั่งไหลออกมาเป็นทาง อาคิราจึงยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ลูกสิงห์ขี้แยแผ่วเบา แล้วจึงคว้าฝ่ามือน้อยที่เต็มไปด้วยรอยเล็บขึ้นมาพิจารณา

“ทุรนทุรายไปแล้วทำอันใดได้ เจ็บตัวเองเช่นนี้สู้เก็บเกี่ยวความสามารถรอวันสุกงอมมิดีกว่าฤๅเจ้าพิรัล อดทนไว้หนาเจ้า ข้านั้นก็อดทนอยู่เช่นกัน...”

หมับ!

โดยไม่ทันได้ระวังตัว ร่างน้อยของพิรัลนลินโถมกายเข้ากอดสิงห์ผู้พี่ไว้แน่น วงแขนแม้โอบรอบกายที่ใหญ่โตกว่าแทบไม่เต็มกอด หากมือน้อยยังคงพยายามอย่างยิ่งที่จะลูบปลอบประโลม ดังที่แม่บุษบันเคยทำยามที่พิรัลเล่นซนจนได้แผลร้องไห้กลับเข้าเรือน

“โอ๋ พี่อาคิรามิเป็นไรนะ มิเป็นไร พิรัลอยู่กับพี่หนา พิรัลอยู่นี่”

“อันใดของเจ้า เจ้าพิรัล” แม้จะงงกับท่าทีของน้อง ที่โผเข้ากอด ทั้งยังพูดคล้ายปลอบขวัญ และยังคงร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะอกพี่จนเลอะไปหมด แต่อาคิรายังคงยืนนิ่งให้พิรัลนลินทำตามใจ

“เวลาข้าเสียใจท่านแม่มักกอดข้าเช่นนี้ ฮึก แล้วกำลังข้าพลันกลับมาเลยเทียว ท่านมิร้องไห้ออกมา แต่ข้ารู้ดีว่าท่านต้องกำลังเจ็บปวดในหัวใจเช่นเดียวกับข้าเป็นแน่ ฮื่อ”

“โอ๋ โอ๋ เจ้าพิรัลมิเป็นไรนะ มิเป็นไร พี่อยู่กับเจ้า พี่อยู่นี่” เมื่อได้ฟังเหตุผลของน้องน้อย วงแขนของอาคิราจึงกระชับกอดร่างเล็กเข้าไว้บ้าง เลียนแบบประโยคปลอบโยนของพิรัลนลินพร้อมโยกตัวแผ่วเบาไปมา ราวกับทั้งคู่กำลังปลอบประโลมซึ่งกันและกัน

“ฮื่อ ฮึกๆ”





หลังจากผ่านเหตุการณ์กอดปลอบซึ่งกันและกัน พิรัลนลินก็ดูคล้ายจะยิ่งติดศิษย์ผู้พี่ของตนมากขึ้น จนเป็นที่รู้กันภายในคูหาว่า เมื่อพบอาคิรายามใดย่อมได้เห็นลูกสิงห์น้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเดินตามเป็นเงายามนั้น เพราะเจ้าสิงห์น้อยถือว่าอาคิราคือผู้ร่วมชะตากรรม หากในคูหาสรรพยาแห่งนี้จักมีผู้เข้าอกเข้าใจตนได้ดีแล้วนั้น คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศิษย์พี่อาคิราของตนผู้นี้ เพลานี้อาคิราคือผู้ที่ พิรัลนลินรู้สึกอุ่นใจและสนิทใจด้วยเป็นที่สุด

“ข้าจักออกไปเก็บสมุนไพรใกล้ๆ นี้ เจ้าจักตามไปด้วยฤๅไม่ “

“ไปจ้ะ “

“ป่าภายนอกถ้ำ แม้มิได้ห่างไกลทว่ายังอันตรายนัก เจ้าจงอย่าได้ซนจนพลัดหลงเสีย เข้าใจฤๅไม่”

“เข้าใจจ้ะ” ทุรพลตัวน้อยรับคำด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ด้วยความดีใจที่จะได้ออกเที่ยวนอกถ้ำ เป็นคราแรกในชีวิต หากไม่นับเหตุการณ์หนีตายที่ผ่านมา ซึ่งพิรัลนลินไม่ได้มีกะจิตกะใจจะชื่นชมหรือจดจำบรรยากาศรอบกายนัก

ภายในขบวนเก็บยาในครานี้ ประกอบไปด้วยสามัญสิงห์เพศเมียสามตน อาคิราและพิรัล สิงห์ทุกตนแต่งชุดอย่างรัดกุมด้วยเสื้อแขนกระบอกและโจงกระเบนสีเข้มเพื่อความคล่องตัว เสริมด้วยกระบุงแบกสำหรับใส่สมุนไพรติดหลัง


เมื่อเข้าสู่เขตป่า พิรัลถึงกับเผยยิ้มเต็มแก้มด้วยความรู้สึกตื่นเต้น การออกนอกถ้ำหนนี้ นับเป็นครั้งแรกที่สิงห์น้อยก้าวออกมาด้วยความสบายใจ จนสามารถมองทุกสรรพสิ่งได้อย่างเต็มตา ลูกสิงห์ค่อยๆ ซึมซับโลกภายนอกไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสียงสรรพสัตว์แห่งหิมวันต์ หรือกลิ่นหอมของดอกไม้ ใบไม้ที่อวลอยู่ในอากาศ ล้วนแต่ทำให้เจ้าพิรัลนลินรู้สึกยินดีทั้งสิ้น


“เจ้าพิรัล ต้นนี้มีชื่อเรียกเช่นไร” อาคิรา หยุดเดินชี้ไปที่ต้นไม้ลำต้นสูงใหญ่


ต้นไม้ใหญ่ตั้งต้นตรงที่ปลายนิ้วของผู้ถาม มีลักษณะเปลือกต้นมีสีดำแตกเป็นสะเก็ดเป็นเอกลักษณ์ พิรัลนลินที่จดจำได้แม่นยำจึงตอบเสียงดังฟังชัดเต็มไปด้วยมั่นใจ


“หมากเกลือจ้ะ”


“มีคุณอันใดรู้ฤๅไม่”


“เข้าเครื่องยา แก้ซางตาน แล...แล”


“ใช้เข้าเครื่องยา แก้ซางตาน แก้กระษัย เจ้าจงใช้เพียงผลดิบเขียว ต้มแล้วรีบป้อนผู้ไข้โดยทันที” เมื่อดูท่าว่าเจ้าตัวเล็กจะยังจดจำไม่ได้ อาคิราจึงต่อความให้ ด้วยน้ำเสียงอาทร


“ทิ้งไว้มิได้ฤๅจ๊ะ”


“มิได้ หากทิ้งไว้ยาดีจักกลายเป็นร้าย ถึงขั้นเสียตาเทียวหนาเจ้า”


“น่ากลัวนัก”


“เป็นเช่นนั้น เจ้าจงระวังอย่าได้ประมาท สมุนไพรทุกชนิด แม้จักมีสรรพคุณดีงามอักโข ทว่ามากไปหรือผิดวิธี โทษที่ได้อาจเกินคณานับ” อาคิรา สำทับด้วยท่าทีจริงจัง เพื่อให้สิงห์ผู้น้องจดจำสิ่งนี้ไว้ให้แม่นมั่น ด้วยหมอยานั้นนอกจากรู้จักคุณ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้องระวังโทษ


“จ้ะ ข้าจักระวัง” ปากตอบรับ ส่วนในใจของสิงห์น้อยราวกับได้พบทางสว่าง หมายมาดกับตัวเองอย่างแน่วแน่ แม้จะแปลกประหลาดและเป็นที่น่าพรั่นพรึงไปสักหน่อย ทว่าทุรพลน้อยอยากลองดูสักครา...


“ดีแล้ว ต้นนี้เล่า” อาคิราชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นขัดไป ต้นนี้มีเรือนยอดแผ่กว้าง ปลายกิ่งโค้งลงสู่พื้นดิน พิจารณาลงไล่ตามแนวจนถึงปลายกิ่งอ่อนมีใบลักษณะเรียงตัวกระจุกอยู่ และแอบซ่อนหนามคมไว้ตามซอก บนต้นมีผลกลมเป็นพวงเล็กๆ ตามกิ่งก้านสลับเขียวแดงทั้งต้น


“ต้นนี้ข้ามิเคยพบจ้ะ”


“เรียกว่า ตะขบป่า ใช้เป็นยาได้ทุกส่วน เช่นใบแห้งกินเป็นยาฝาดสมาน เปลือกใช้ตำรวมกับน้ำมัน ใช้ทาถูนวด แก้ปวดท้อง แก้คัน อมกลั้วคอแก้เจ็บคอ”


“จ้ะ”


“ลูกแก่มีสีแดงกินสดได้ เจ้าลองดูที เขาว่ามีรสดีนัก” อาคิราเอื้อมปลิดลูกไม้สีแดงสวยส่งให้ พิรัลนลินได้ลองลิ้ม เจ้าตัวเล็กที่ดำรงชีวิตด้วยผลหมากรากไม้อยู่แล้ว จึงไม่โยกโย้มากท่า รับผลไม้ในมีใหญ่มากินชิมโดยไว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“รสหวานอมฝาดชุ่มคอเทียวจ้ะ” ลูกสิงห์น้อยได้ลิ้มรสผลไม้รสดีจึงเผยยิ้มจนแก้มปริ การออกมาเก็บสมุนไพรคราวนี้ยิ่งน่ารื่นรมย์เป็นเท่าทวี


เหล่าสิงห์จากถ้ำสรรพยายังคงขะมักเขม้นเก็บสมุนไพรไปไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนเวลาเคลื่อนคล้อยถึงยามบ่าย ส่วนเจ้าพิรัลที่เล็กกว่าเพื่อน มีหน้าที่เพียงเรียนรู้สิ่งที่อาคิราสอนไปพลางเจอลูกไม้รสอร่อยก็แวะเก็บกินตามทางไปพลาง ยิ่งเมื่อได้เจอะลูกจันของโปรด ติณสิงห์น้อยไม่รอช้าที่จะตรงเข้าไปเลือกเก็บผลไม้ที่ชื่นชอบ


“อ๊ะ ลูกจัน พี่อาคิราข้าชอบลูกจันนัก!”


พิรัลนลินตรงรี่เข้าไปเลือกลูกกลมแป้น ที่ย้อยลงมาจากกิ่งต่ำพอที่ร่างเล็กๆ ของตนเอื้อมถึง อุ้งมือเล็กนวดคลึงผลไปมาจนรู้สึกนิ่มมือ แล้วจัดการฉีกผลออกเพื่อลิ้มรสเนื้ออันหอมหวานชุ่มฉ่ำด้านใน ลูกสิงห์น้อยทั้งเก็บกินและเก็บเผื่อใส่กระบุงแบกด้านหลังหวังจะนำไปวางมุมเรือนนอนเพื่อรับกลิ่นหอมที่จะฟุ้ง เช่นที่แม่เคยทำอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งเมื่อรู้สึกตัวอีกที พิรัลก็ยืนโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวเสียแล้ว






+++++++++++++++++++++++++++++++++

* เชิงอรรถ

1. เวลาบ่าย
2. ผลมะม่วง
3. วัยกำลังแตกเนื้อหนุ่ม


++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

สัปดาห์นี้สามารถลงได้ ๒ ตอน เพราะฉะนั้นเราไปต่อตอนต่อไปกันเลยค่ะ ~









หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี} .....บทที่๓ ลาจาก {๓๑/๐๘/๒๕๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 31-08-2019 21:12:24
บทที่ ๓
ลาจาก







                    พิรัลรู้สึกตัวแล้วว่าพลัดหลงกับพวกพี่ๆ ทว่าเจ้าสิงห์น้อยไม่กล้าเดินไปไหน เพราะกลัวจะทำให้ยิ่งหลงออกไปมากขึ้น อย่างน้อยที่ตรงนี้นั้นยังคงอยู่ในเส้นทาง หากผู้ใดผ่านมาคงพบตัวได้ไม่ยากนัก สิงห์น้อยแหงนเงยขึ้นมองบนท้องฟ้ากว้าง ดวงสุริยันคล้อยต่ำลงไปทุกที จนนึกหวั่นใจ ทั้งเดินวนเวียน ทั้งร้องเรียกพรรคพวกอยู่นาน กลับยังไร้วี่แววของคณะสิงห์ที่ตนร่วมทาง พิรัลจึงตัดสินใจเดินไปยังโคนต้นไม่ใหญ่หวังนั่งพักขา ไล่ความเมื่อยขบ


“หงิง”


เสียงร้องครางสั่นเครือดังขึ้นเบาๆ หากไม่เกินกว่าที่ผู้อยู่ใกล้จักได้ยิน พิรัลหันซ้ายแลขวาหาต้นเสียง กระทั่งได้พบกับลูกสัตว์หิมพานต์ตัวจ้อย มันดูคลับคล้ายลูกสิงห์อยู่หลายส่วนหากแต่ไม่ใช่ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ใดลูกสิงห์ที่ไม่เคยผจญโลกเช่นเจ้าพิรัลมิอาจรู้ ขนฟูสีเหลืองสว่างของมันเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต ใบหูตั้งทั้งสองข้าง หางฟูฟ่องชี้ตั้งขึ้นเมื่อมันรู้สึกได้ถึงผู้บุกรุก เสียงครางอ่อนระโหย เปลี่ยนเป็นขู่ฟ่อ ทั้งที่กำลังสั่นเทาไปทั้งตัว


“แฮ่!!! ”


“อย่ากลัวไปเลยเจ้าตัวน้อย ข้ามิทำอันใดเจ้าดอก เข้ามาใกล้ๆ ข้า ให้ข้าดูแผลเจ้า” พิรัลลองใช้ไม้อ่อน สิงห์น้อยนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง ดวงตาคู่กลมสบเข้ากับนัยน์ตาหวาดระแวงของเจ้าตัวเล็กสี่ขาเพื่อแสดงความจริงใจ หากด้วยภาษีลำดับชั้นแห่งชาติพันธุ์ ลูกสัตว์ตัวจ้อยจึงสยบยอมนอนหมอบราบคาบแก้วให้พิรัลช้อนตัวมันลงมาวางไว้บนตักเพื่อดูอาการ แม้ความหวาดระแวงยังคงคลายไปไม่หมดสิ้น


“เลือดเต็มเลยข้ามิมีความรู้ หากจักรักษา คงต้องรอกลับเรือนเสียก่อน หวังว่าพี่อาคิราจักยินยอม...แต่เพลานี้ข้าเองยังเอาตัวมิรอดเลย” เจ้าสิงห์น้อยลูบหัวเล็กๆ บนตักเป็นการปลอบประโลม พลางหายใจทิ้งให้กับโชคชะตาของตนเอง ...ข้ามันตัวก่อเรื่องเสียงจริง สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้พี่อาคิราอีกประการแล้ว


“อยู่แห่งนี้เองรึเจ้าตัวดี”


“พี่อาคิรา! ” แม้นคราแรกยามพบพาน พิรัลจักหวาดเกรงท่าทีเงียบสุขุมของผู้ที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเสียจนต้องทำใจเพื่อติดตามด้วยคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ หากเพลานี้ เจ้าสิงห์น้อยกลับดีใจที่ได้พบศิษย์พี่ของตนอย่างถึงที่สุด


“เหตุใดจึงดื้อรั้นมิฟังคำข้า มิสังวรหรือว่าเพลานี้อันตรายเพียงใด”


“ขอสมาเถิดจ้ะ ขะ ข้ามิได้ตั้งใจ เพียงมาเก็บลูกจันเท่านั้น รู้ตัวอีกคราก็มิเห็นพวกพี่แล้วจ้ะ”


“เอาเถิด ความจริงนั้นเป็นความผิดข้าที่เผอเรออยู่หลายส่วน” อาคิราถอนหายใจ เมื่อคิดได้ว่าเขาเองนั้นมีความผิดไม่น้อย ด้วยตนนั้นโตกว่า ทั้งยังรู้ดีว่าเจ้าสิงห์น้อยนั้นซุกซนไร้เดียงสาเพียงใด ที่เผลอออกปากต่อว่าไปเมื่อครู่นั้นเป็นด้วยอารมณ์ ว้าวุ่นร้อนใจด้วยความเป็นห่วงเจ้าลูกสิงห์นี้เท่านั้น ก่อนอารมณ์ที่เริ่มอ่อนลงจะชะงัก เมื่อดวงตาคมกล้าเหลือบเห็นกลุ่มขนสีเหลืองเจิดจ้าบนตักพิรัลนลิน


“แล้วนั่นมันตัวใดกัน”


“มะ มิรู้จ้ะ”


“มิรู้ เจ้ามิรู้จัก แต่จับมาคลอเคลียเสียแล้ว มันใช้ได้ฤๅ! ” ประการนี้อาคิรานึกโกรธเคืองเจ้าลูกติณสิงห์ตนนี้เป็นจริงจังเข้าแล้ว


“มันน่าสงสารนี่จ๊ะ มันบาดเจ็บหนัก ซ้ำยังคงพลัดกับแม่ ข้า ข้าหักใจทิ้งขว้างมันมิลงจ้ะ”


“ครานี้มิเป็นอันใด แล้วภายหน้าเล่า อย่าเพียงปล่อยตัวให้แล่นลิ่วไปตามใจ จงตรึกตรองถึงอันตรายที่จักเกิดขึ้นด้วย หากเกิดอันใดกับเจ้าพ่อแม่เจ้าจักเป็นเช่นใด” อาคิรารู้ว่าเจ้าสิงห์น้อยตนนี้ช่างไม่ประสาโลก แม้จะทำไปด้วยจิตใจเมตตา แต่ว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายทุกอย่างก้าว จึงต้องตักเตือนกันเสียแต่ตอนยังมีโอกาส


“ข้าจักจำไว้จ้ะ จักมิประมาทเช่นนี้อีก”


อาคิราถอนหายใจอีกคำรบ สิงห์หนุ่มยอบตัวลงจับพลิกเจ้าก้อนขนบนตักของพิรัลเพื่อพิจารณา


“ดี... เจ้าตัวนี้เป็นลูกกีหมี มิได้อันตรายนัก หากคงกำพร้าเสียแล้ว แม่มันมิยอมให้ลูกห่างตัวนานนักดอก มิเช่นนี้ป่านนี้เจ้าคงโดนขับกัดวิ่งเตลิดไปจนสุดกู่”


“กีหมี... ”


“เอาเถิด เรากลับกันเสียที หอบหิ้วกีหมีของเจ้ามาด้วย ปล่อยไว้คงตายตกตามแม่มันไปมิช้านาน ซ้ำยังจักมีลูกสิงห์บางตนพะว้าพะวังใจเข้าไปอีกตน”


“ขอบน้ำใจจ้ะ พี่อาคิรา”  พิรัลตาพราว เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้พี่ สิงห์น้อยจึงรีบอุ้มลูกกีหมีวิ่งตามติดหลังผู้เป็นพี่ไม่ยอมคลาดสายตาอีก


แม้อาคิราจักมีท่าทีนิ่งเฉยเสียจนถูกเหล่านางสิงห์แอบสัพยอกว่า ’ สง่างามทื่อมะลื่อดั่งหินผา ‘สำหรับสิงห์น้อยในตอนนี้พี่อาคิราของเขา เป็นหินผาที่ใจดีที่สุด


ทันทีที่กลับมาถึงถ้ำ พิรัลไม่รอช้านำผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวลูกกีหมีจนสะอาดสะอ้าน เป็นลูกมือให้อาคิราใส่ยาและพันแผลจนแล้วเสร็จ โชคดีของเจ้าลูกกีหมีตัวน้อยเมื่อภายในถ้ำยังมีสิงหคักคาแม่ลูกอ่อนที่ลูกได้รับบาดเจ็บเฝ้าลูกอยู่ ลูกกีหมีจึงได้ดื่มนมจากเต้าสิงหคักคา[1]  แม่ลูกอ่อนภายในเรือนพักไข้นั้นเอง




                    แม้พิรัลต้องการพาลูกกีหมีเข้ามาพักในเรือนตนเท่าใด ทว่าไม่อาจกระทำได้ เพราะอาจารย์ไม่อนุญาตให้นำสัตว์หรือบุคคลภายนอกขึ้นมายุ่มย่าม ลูกกีหมีกำพร้าจึงต้องอยู่ที่เรือนไข้ร่วมกับสัตว์อื่น และเป็นพิรัลนลิน ผู้ที่เคยอิดออดเหลือเกินกับการต้องเข้าไปช่วยงานในเรือนผู้ไข้ เพลานี้กลับวิ่งเข้าออกเรือนไข้วันละสามสี่เวลา เพื่อคอยดูแลสัตว์สี่เท้าในความรับผิดชอบของตนเป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งอกตั้งใจเรียนรู้พืชสมุนไพรที่อาคิราเพียรสอนมากขึ้น เมื่อเจ้าตัวน้อยสำนึกรู้แล้วว่า วิชาที่ท่านอาจารย์อัตรคุปต์ฝากฝังให้ตนได้ร่ำเรียนนั้นสำคัญเพียงใด โดยเฉพาะพืชที่ควรระมัดระวัง พิรัลนลินนั้นให้ความสนใจมันมากเป็นพิเศษ...อย่างลับๆ


“เจ้าพิรัล จักไปแห่งใดรึเจ้า” ยามบ่ายหลังฝึกอ่านเขียนอักษรกับอาคิราแล้ว พิรัลนลินรีบบ่ายหน้าวิ่งไปหาลูกกีหมี ที่ตอนนี้ติดตนแจ ด้วยความลิงโลด พลันใบหน้าน่ารักที่แตะแต้มรอยยิ้มกว้างกลับเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เมื่อถูกขวางไว้โดยบัณฑูรสีหะรุ่นกระทงตนหนึ่งที่พิรัลนลินรู้จักดี แม้ความจริงทุรพลน้อย ไม่อยากฉีดกายเข้าไปข้องแวะด้วยแม้กระพี้


“เรือนพักไข้ เจ้าหลบข้าเสียที”


“จักไปร่ำเรียนฤๅเอ็ง มิต้องไปดอก อยู่เจรจากับข้าก่อนเถิด” แม้ทุรพลน้อยแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เต็มใจ แต่เจ้าสิงห์หนุ่มกลับ ถลันมายืนขวางหน้าไม่ยินยอมโดยง่าย


“เจ้าจงไปขอท่านอาจารย์ให้ข้าเถิด กล้ารึไม่เล่า” พิรัลไม่ต่อความอีก รีบเบี่ยงตัวเดินหนี ทว่ายังไม่ทันพ้นสามก้าว เสียงทุ้มห้าวดังไล่หลัง ตั้งใจให้ทุรพลน้อยได้ยินเป็นการแก้หน้า


“หึ ฤๅข้ามิใช่อุตมางค์ เอ็งจึ่งวางท่าคอแข็งใส่ อย่าได้สำคัญตัวนักเลย...ร่ำเรียนไปก็เท่านั้น เช่นไรเจ้าเติบโตไปมิพ้นมีหน้าที่เพียงผู้บำรุงบำเรอพวกอุตมางค์เพียงเท่านั้น...” สิงห์หนุ่มว่าให้สะใจแล้วหันหลังจากไป เมื่อถึงทีที่ตนต้องลงฝึกซ้อมประมือ ทำทีไม่สนใจทุรพลน้อยท่ามากอีกต่อไป


ผู้พูดนั้นไม่คิด หากผู้ฟังนั้นเจ็บแค้นเหลือประมาณ เจ้าสิงห์น้อยกำมือแน่นด้วยความโมโห เมื่อเลือดขึ้นหน้าความกล้าจึงมากล้น จากที่หมายจะวิ่งไปยังเรือนไข้ พลันพิรัลนลินกลับวิ่งตรงไปยังสิงห์ปากเสียที่นั่งหันหลังให้อยู่อย่างไม่ระวังตัว สองมือเล็กจับรั้งผ้าโจงขึ้นเหนือเข่าให้คล่องตัว ยกเท้าถีบยันใส่หลังสิงห์ปากไม่ดีเต็มแรงจนอีกฝ่ายหน้าคะมำ




โครม!


“ไอ้พิรัล มึงกล้ายันกูฤๅ! ”


“กล้ามิกล้า ปากเน่าของมึงได้ลงไปทาบธรณีแล้วเช่นไร” ยกแขนเท้าเอวว่ากลับอย่างไม่เกรงกลัว สร้างเสียงหัวร่อขบขันแก่ผู้เห็นเหตุการณ์ จนผู้ถูกถีบรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธเคืองเช่นกัน ขายาวเก้งก้างสาวเดินเข้าหาร่างเล็กบอบบางหมายชำระความให้สมอาย


“กูมิปล่อยมึงไว้แน่” คีรีตรงเข้าง้างฝ่ามือใส่พิรัล เป็นอาคิราที่ว่องไวใช้มือจับคว้าท่อนแขนของอีกฝ่ายไว้มั่น ก่อนที่มันจะทันฟาดเข้าใส่ใบหน้าของพิรัลนลิน


“เจ้าจักกระทำสิ่งใด คีรี”


“มึงไม่ต้องแส่ไอ้อาคิรา” สิงห์หนุ่มกำลังเลือดขึ้นหน้าจึงเหวี่ยงแขนอีกข้าง พุ่งหมัดใส่ผู้บังอาจเข้ามาขัดขว้าง เข้าข้างแก้มอาคิราอย่างจัง จากนั้นจึงพุ่งตัวง้างหมัดเตรียมซ้ำระบายความโกรธรุ่มในอก ทว่าผู้เดือดดาลหรือจะสู้ผู้มีสติ อาคิราที่คอยท่าเบี่ยงหลบก่อนสวนหมัดเข้าใส่ใบหน้าคีรี จนล้มกองก้นจ้ำลงกับพื้นให้อายซ้ำสอง


เมื่อถูกสวนคีรียิ่งเดือดดาล ด้วยท่าทางนิ่มนวลคล้ายสิงห์แสนสำอางของอาคิรานั้น ทำให้คีรีที่รูปร่างล่ำสันและผ่านการฝึกร่างกายมามากกว่ายิ่งรู้สึกอับอาย สิงห์หนุ่มจึงรีบยันตัวลุก เป้าหมายเปลี่ยนจากทุรพลร่างบางเป็นอาคิราทันที หากยังไม่ทันจะได้ตั้งท่า เสียงกึกก้องเย็นเหยียบดังขัดขึ้น น้ำเสียงที่แสดงถึงพลังอำนาจนั้น ทำให้สิงห์รุ่นกระทงทั้งสองชะงักค้าง ไม่เว้นแม้แต่พิรัลและผู้สังเกตการณ์ตนอื่นต่างรู้สึกเย็นสันหลังขึ้นมาครามครัน


“คูหาสรรพยาแห่งข้าอัตรคุปต์ มิยินดีแม้เพียงเบาะแว้งทำร้ายร่างกาย พวกเจ้าผู้อาศัยใยทำลายกฎเสียเองเล่า! ” ในยามที่ราชสีห์คุปต์ผู้ทรงเมตตาเป็นนิจ แสดงท่าทีโกรธา อำนาจเด็ดขาดที่ราชสีห์เท่ามักถ่อมกดไว้เสมอถูกแสดงออกมา พาให้ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เหล่าสิงห์แลสิงห์ผสมภายในถ้ำ คลายถูกจองจำในบัดดล ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ


“ท่านไศล ศิษย์ของท่านข้ามิก้าวล่วง ขอท่านจงทำโทษศิษย์ของท่าน แลอบรมในความผิดครานี้ด้วย อาคิรา พิรัล ตามข้าไปรับโทษ! ” ราชสีห์อัตรคุปต์เหลือบมองตัวต้นเรื่องทั้งสามเพียงชั่วครู่ ราชสีห์เฒ่าจึงเบนหน้าไปพูดจากับผู้เป็นอาจารย์ของคู่กรณี แม้น้ำเสียงไม่แสดงถึงอำนาจที่เหนือกว่า ทว่ากลับเฉียบขาดจนผู้ถูกร้องขอ น้อมกายรับฟังอย่างไม่คิดบิดพลิ้ว จากนั้นจึงหันกลับมาสั่งการศิษย์ทั้งสองของตนห้วนสั้น จนสิงห์อื่นๆ ที่นั่งแวดล้อมอยู่ด้วยพากันสะดุ้งตามเป็นทิวแถว




อาคิราเดินตามผู้เป็นอาจารย์ด้วยท่าทีสงบนิ่ง ผิดกับเจ้าลูกสิงห์น้อยที่รู้สึกตัวสั่นด้วยความหวั่นเกรง ตั้งแต่เกิดมาพิรัลนลินไม่เคยถูกทำโทษเลยแม้สักครั้ง ยิ่งทั้งสองเข้ามานั่งคุกเข่าในเรือนของผู้เป็นอาจารย์บรรยากาศยิ่งบีบคั้นคล้ายมาขึ้นเป็นเท่าทวี เสียจนทุรพลน้อยนั่งตัวหดลีบเบียดกระแซะผู้พี่เสียจนคล้ายจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักก็ไม่ปาน




“เจ้าอาคิรา กฎของเรือนเจ้าย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด อาจารย์ผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน” น้ำเสียงที่ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยออกมา ไม่ได้แสดงถึงความโกรธเคือง กลับคล้ายเป็นความผิดหวังเสียงมาก...มากจนผู้ที่ได้ฟังรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากกว่าถูกโกรธเหลือคณา


“ศิษย์ฝ่าฝืนกฎ กระทำการใช้กำลัง แลปล่อยอารมณ์นำเหตุผล ทั้งพฤติกรรมมิสำรวม ศิษย์น้อมรับโทษข้อรับ” อาคิรากล่าวความผิดของตัวเองด้วยท่าทีมั่นคง กระทั่งสายตานั้นยังคงนิ่งแน่ว แม้ผู้เป็นอาจารย์จักหยิบหวายยาวบนชั้นวางออกมาถือในมือ ผิดกับพิรัลที่ร่างกายน้อยสั่นเทาจนน่าสงสาร


“เจ้าพิรัลเล่า มีสิ่งใดจักบอกอาจารย์ฤๅไม่”


“คีรีมันปากบอนใส่ข้าก่อน มันว่าข้ามิต้องร่ำเรียนอันใด...ฮึก เติบโตมามีหน้าที่เพียงผู้บำรุงบำเรออุตมางค์...”


“เพียงปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ข้าไม่มีสิทธิ์ฤๅจ๊ะ มันผิดบาปมากนัก ฤๅเพราะข้าเป็นทุรพลข้าจึงต้องยอมจ๊ะ ท่านอาจารย์” แม้ไม่มีน้ำตา แต่ในตากลมนั้นแดงก่ำ ด้วยอารมณ์ที่ทั้งเสียใจ น้อยใจ และเจ็บใจผสมปนเปกัน จนข้ามความยำเกรงต่อการถูกลงโทษ กล้าเอ่ยปากถามผู้เป็นอาจารย์ด้วยความคับข้องใจเหลือแสน


“การปกป้องศักดิ์ศรีตนเองนั้นเจ้าย่อมทำได้ แลเป็นเรื่องสมควรยิ่ง หากแต่มีวิธีมากมาย หาใช่เพียงกระทำการขาดสติเข้าต่อสู้เช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองจงจำไว้ กฎของเรือนเปรียบดั่งหลังคา หากเจ้าทำลายหลังคาเรือนตนเองแล้วไซร้ ชีวิตภายในเรือนยังจักสงบสุขอยู่ได้ฤๅ เรือนที่เจ้าพักอาศัยจักยังคงอยู่ได้ฤๅ เรื่องครานี้ถือว่าเจ้าพิรัลยังไม่ประสาข้าจักละไว้”


“ส่วนเจ้าอาคิรา ถือว่ากระทำผิดคราแรก อาจารย์จักลงหวายเจ้าเพียงสิบไม้”


“ขอบพระคุณขอรับท่านอาจารย์” อาคิราน้อมรับโทษด้วยท่าทีสงบนิ่ง ด้วยใจสำนึกผิด ทว่าคนน้องกลับรีบถลันตัวเข้าขวางกันพี่ชายไว้ พลางละล่ำละลักขอร้องอาจารย์จนปากคอสั่น


“ฮึก ท่าอาจารย์จ๊ะ เป็นความผิดข้าเอง พี่อาคิราปกป้องข้าเพียงเท่านั้น เป็นข้าเองที่ถีบคีรีก่อน ท่านอาจารย์อย่าลงโทษพี่อาคิราเลยหนาจ๊ะ”


“นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ของเจ้าสมควรกระทำ แลเจ้าจงจำไว้อีกประการ ยามกระทำการสิ่งใด อย่าได้คิดถึงเพียงความพึงใจของตนเป็นที่ตั้ง เจ้าจงรอบคอบแลใคร่ครวญด้วยว่าสิ่งที่เจ้าจักกระทำนั้น บางสิ่งเมื่อกระทำไปแล้ว นั้นเหมือนโยนกรวดลงน้ำ แม้มันจักเล็กน้อย หากส่งผลกระทบมากมาย ดั่งน้ำที่แตกเป็นระลอกคลื่น ส่งผลกระทบเสียหายแก่ผู้ใดบ้าง จงจำไว้เป็นบทเรียนเจ้าพิรัล”


“เจ้ามิ่ง มาจับเจ้าพิรัลออกไปเสีย” สิ้นเสียงของอัตรคุปต์ ร่างน้อยของพิรัลถูกผู้ติดตามของอาจารย์จับยกตัวออกมาจนพ้นวิถีลงหวาย


จากนั้นเสียงหวายแหวกอากาศเข้ากระทบลงบนผิวเนื้อของอาคิราก็ดังขึ้น ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของพิรัลคลอไปจนจบการลงโทษ


“คูหาสรรพยา เป็นที่แห่งการอภัยทาน เป็นสถานที่เพื่อสรรพสัตว์ได้หนีร้อนมาพึ่งเย็น เพียงบทลงโทษของผู้นำเช่นข้า พวกเจ้าคิดหรือว่าจักเพียงพอกำราบพวกสัตว์พาล ให้ยอมกระทำตามได้ คูหาแห่งนี้เปรียบเสมือนน้ำโอสถเย็นฉ่ำแก่ผู้หนีร้อน ทว่าสามารถกลายเป็นพิษร้อนคร่าชีวีผู้ที่ฝ่าฝืนได้เช่นกัน ข้าหาได้ต้องการเฝ้ามองศิษย์ตัวเองมอดม้วยด้วยการประพฤตินอกกฎเสียเอง เจ้าพิรัลพาพี่เจ้ากลับเรือนไปพักผ่อนเสีย” ผู้เป็นอาจารย์มีหรือที่ยินดีในการลงโทษลูกศิษย์ ที่กระทำล้วนต้องการสั่งสอนแลให้หลาบจำเท่านั้น รักวัวให้ผู้รักลูกให้ตีเป็นฉันใด การณ์ครานี้ที่ราชสีห์อัตรคุปต์กระทำไปนั้นย่อมไม่ต่างกัน


เมื่อได้รับคำอนุญาตจากอาจารย์ พิรัลไม่รอช้ารีบสลัดตัวออกจากการจับกุม วิ่งเข้ามาพยุงอาคิราเร็วรี่ ปากพร่ำร้องขอโทษขอโพยพี่อาคิราของตนไม่หยุด จนอาคิราต้องยกมือขึ้นปิดปากเล็กนั้นไว้เสีย


“รู้แล้ว คำสมาจากเจ้าพี่รับไว้แล้ว เลิกร้องได้แล้วหนา” อาคิราฝืนความเจ็บปวด ส่งยิ้มบางๆ ให้เจ้าตัวยุ่งที่ร้องห่มร้องไห้ คล้ายเป็นฝ่ายถูกหวายเสียเอง


“ประเดี๋ยวก่อน” เสียงของอาจารย์ดังแผ่วตามหลังทำให้ลูกสิงห์ทั้งสองที่กำลังทุลักทุเลประคับประคองกันกลับเรือน ชะงักงักเท้าไว้โดนพลัน


“เจ้าพิรัล จงใช้น้ำจากคนโทนี้ผสานยาให้พี่เจ้า มิเกินสามทิวาแผลหวายจักหายไปมิทิ้งร่องรอย”


“ทะ ท่านอาจารย์มิโกรธเคืองข้าแลพี่อาคิราฤๅจ๊ะ” พิรัลเบะปาก เมื่อมองเห็นความเอ็นดูในสายตาของอาจารย์อีกครั้ง


“อาจารย์เป็นผู้ครองเรือน ยิ่งพวกเจ้าเป็นศิษย์ ข้าจักทำวางเฉยได้ฤๅ” เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยยิ่งรู้สึกเต็มตื้นในอก ความโศกเศร้าเสียใจมลายหายไปถึงกึ่งหนึ่ง ผละจากผู้เป็นพี่วิ่งมารับคนโทจากผู้เป็นอาจารย์ ก่อนกระโดดเข้าสวมก่อนกอดราชสีห์เฒ่าเต็มรัก




“ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านอาจารย์มิโกรธเคืองข้าแลพี่อาคิรา ข้าลานะจ๊ะ” แล้ววิ่งตื๋อกลับไปพยุงศิษย์ผู้พี่ของตนตามเดิม ท่ามกลางรอยยิ้มกึ่งระอากึ่งเอ็นดูของทั้งอาจารย์และพี่ชาย


ยามถึงเรือนพักของอาคิรา เจ้าสิงห์น้อยรีบกุลีกุจอพาพี่นอนคว่ำลงบนเตียง พินิจแผลบนหลังมีเพียงรอยช้ำ ไม่รอช้า กลับออกไปยังเรือนเก็บยาเลือกหัวไพลที่เหมาะกับการรักษาแผลฟกช้ำ มากกว่าแผลเปิดอย่างขมิ้นชัน มาเต็มกำมือ ฉวยคว้าอุปกรณ์มาฝนไพลสมานน้ำที่อาจารย์มอบให้จนเหลวพอดีอย่างคล่องแคล่ว เพียงชั่วอึดใจ พิรัลนลินกลับพร้อมยาในมือ เจ้าสิงห์น้อยค่อยๆ บรรจงทาตัวยารอบๆ รอยหวายจนครบถ้วนอย่างตั้งใจ ทั้งยังคอยโบกพัดให้สายลมแผ่วเบาช่วยลูบไล้แผ่นหลังช้ำให้รู้สึกเบาเจ็บ จนค่อนคืนผล็อยหลับตามอาคิราที่หลับไปก่อนหน้าตั้งแต่ทุรพลน้อยทายาเสร็จ


ด้วยได้รับยาดีและการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำให้อาคิราลืมตาตื่นขึ้นก่อน ทันเห็นเจ้าตัวร้ายฟุบหลับข้างกาย มือข้างหนึ่งยังคงกำรอบด้ามพัดไม่คลาย พิจารณาตามมือไม้เล็กบางเปรอะเปื้อนคราบเหลืองจากไพลเต็มไปหมด ร่างเล็กๆ ยามหลับสะอื้นเบาๆ ด้วยคงเก็บเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝังใจจนละเมอ มือใหญ่ของผู้เป็นพี่อดไม่ได้ที่จะยกลูบกลุ่มผมยาวของเจ้าตัวเล็กแผ่วเบา ปากกระจับขยับยกยิ้มเบาบาง เช่นเดียวกับเสียงที่ลอดออกมา


“ขอบน้ำใจเจ้าหนา เจ้าตัวดี”




                    แม้อาคิราจะหายเจ็บจนสามารถลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติแล้ว แต่พิรัลนลินกลับไม่ยอมให้ผู้เป็นพี่ลงงานหนักๆ เช่น การเจียดไม้หอม หรือแม้กระทั่งคัดตากยาดั่งเคย เจ้าสิงห์น้อยจักคอยจับตามองศิษย์ผู้พี่ตลอดเวลา ยามใดที่อาคิราทำท่าจะลงมือทำงาน พิรัลจะรีบวิ่งเข้าไปสอดไม้สอดมือ จนอาคิราระอาใจจนยอมแพ้ ทำเพียงนั่งอ่านตำราเงียบๆ จนกว่ารอยหวายที่หลังจะจางหายไป ตามที่พิรัลนลินต้องการ ด้วยเหตุนี้พิรัลนลินจึงต้องวิ่งเวาะวิ่งวนไปมาระหว่างเรือนผู้ไขที่มีเจ้ากีหมีรอท่าอยู่ และหอตำรา เพื่อสอดส่องว่าอาคิรากระทำตัวว่าง่ายอยู่หรือไม่ แม้จะเหนื่อยกาย แต่เจ้าทุรพลน้อยกลับอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพิรัลนลินกำลังรู้สึกว่าตนนั้นได้กระทำตนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง


แต่ความวัวนั้นไม่ทันหาย ความควายอย่างคีรีก็เข้ามาแทรก เมื่อระหว่างเดินทางกลับไปเฝ้าพี่อาคิรา หูของพิรัลปะทะเข้ากับประโยคแสนร้ายกาจเข้าอีกครา


“พ้นโทษแล้วฤๅคีรี เห็นว่าโดนคุกเข่าเทินถังน้ำเสียทั้งคืน จนเข่าแหกเลยรึ”


“เออ ดีที่ท่านอาจารย์เห็นแก่ความผิดคราแรก จึ่งโดนโทษแค่ราตรีเดียวแลกักบริเวณข้าถึงสามทิวา” คีรีเข่นเขี้ยว ยามก้มมองบาดแผลบนเข่าทั้งของข้างของตนเอง ไม่ได้สำนึกถึงความผิดตนแม้แต่น้อย ภายในใจของสิงห์หนุ่ม ยกความผิดให้แก่ทุรพลอวดดี และพี่ของมันไปหมดสิ้น


“ต้องโทษมิเจ็บใจเท่าถูกไอ้อาคิราสวนกลับได้กระมัง ฮ่าๆ ” เพื่อนคู่หูอีกตนเอ่ยล้อขบขันจนถูกคีรีถีบยันจนหน้าคว่ำ แต่พวกมันมิได้นำพายิ่งหัวเราะกันไม่หยุดหย่อน จนสิงห์รุ่นผู้ถูกล้อเข่นเขี้ยวอย่างเจ็บแค้น


“ฮึ มันอาศัยที่เผลอเท่านั้นดอก อ้อนแอ้นเช่นนั้น มิต่างจากทุรพลแท้ๆ โชคดีของพวกมันที่วันพรุ่งข้าต้องกลับเรือน มิเช่นนั้นข้าเอาคืนพวกมันแน่”


พิรัลนลินที่แอบได้ยินถึงกับกำหมัดแน่น ใจนึกอยากเข้าไปกระโดดถีบเจ้าสิงห์นิสัยเสียตนนั้นอีกสักที แต่คำสอนของอาจารย์ แลโทษที่ได้รับนั้นฝังใจเสียจนพิรัลนลินต้องข่มใจหยุดยั้งตัวไว้ ก่อนความคิดสายหนึ่งจะวิ่งเข้ามาในหัว แล้วทุรพลน้อยจึงยกยิ้มกับตนเอง มองไปยังสามสหายบนลานฝึกด้วยความมาดหมาย วิ่งวกกลับไปยังเรือนตนเองเพื่อทดลองใช้ของบางประการที่ตนแอบเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด




ด้วยความว่องไวจากความแค้นเคียง ใช้เวลาเพียงไม่นานสิงห์น้อยกลับมาพร้อมด้วยห่อกระดาษห่อเล็กในมือ พิรัลอาศัยความตัวเล็กของตนหลืบเร้นกายเข้าใกล้ลานฝึก สำรวจทิศทางลม ก่อนจะค่อยๆ คลี่ผงสีน้ำตาลลงในกองผ้าซับเหงื่อของเหล่าสิงห์หนึ่งจนเกือบหมด ก่อนจะรีบย้ายตัวเองออกห่างเพื่อรอดูผลงานการลองวิชาครั้งแรก


“โอ๊ย คันๆ มันเกิดอันใดขึ้น”


“โอ๊ย คันๆ ท่านหมอๆ ช่วยพวกข้าด้วย”


“สมน้ำมะหน้า อุ๊ย! ” ความครื้นเครงใจเป็นอันสะดุด เมื่อเสียงของอาคิรากระซิบเย็นที่ด้านหลัง ไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอกกล่าวพิรัลก็รู้ว่าแผนร้ายของตนถูกจับได้เข้าเสียแล้ว




ต่อด้านล่าง...






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เชิงอรรถ

1. สิงห์ผสมชนิดหนึ่ง ส่วนหัวและตัวเป็นสิงห์ มีเท้าเหมือนช้าง กายเป็นเกล็ดสีม่วงเข้ม



   





หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี} ...บทที่๓ ลาจาก {๓๑/๐๘/๒๕๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 31-08-2019 21:18:10
...ต่อ



อาคิราขมวดคิ้วจนเป็นปม เขาเห็นพิรัลวิ่งกลับเข้าเรือนมา ด้วยเข้าใจว่าเจ้าตัวดีคงมาเฝ้าตนอีกเป็นแน่ ครั้นเพียงครู่เจ้าตัวดีกลับวิ่งลงเรือนไป ตามติดด้วยเสียงร้องโอดโอยของคีรีและพวกพ้อง ด้วยความสะกิดใจ อาคิราจึงลงเรือนมาเพื่อดูเหตุการณ์ และมันเป็นจริงดังคาด เพียงแต่สิ่งที่พิรัลกระทำอยู่นั้นถือเป็นความผิดร้ายแรงเกิดกว่าที่เขาคาดการณ์ไปไกล อาคิราจึงรีบจับจูงเจ้าตัวร้าย กลับเข้าเรือนโดยไว ก่อนที่ผู้ใดจะมาพบเข้าจนเป็นเรื่องเป็นราวไปอีก เพราะครานี้โทษนั้นหนักหนากว่าที่แล้วมามากนัก


“พิรัล เหตุใดเจ้าจึงทำเยี่ยงนี้ เจ้ากำลังเข้าไปยุ่งกับสิ่งผิด รู้ฤๅไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากระทำคืออวิชชา หากอาจารย์รู้เจ้ามิพ้นโดนไล่ออกจากถ้ำเป็นแน่”


“ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด ทีเจ้าพวกนั้นยังคิดร้ายต่อพี่ ต่อข้ามิสำนึก พวกมันกระทำสิ่งร้ายต่อพวกเราเช่นกัน เหตุใดข้าจักแก้คืนมิได้เล่าจ๊ะ” พิรัลนลินที่ไม่รู้ความยังยืนยันความคิดตนเอง ในเมื่อครานี้นอกจากเจ้าคีรีแล้ว หามีใครได้รับผลกระทบไม่ เช่นนี้แล้วถือว่ากระทำผิดได้เช่นไร


“สิ่งที่เจ้าเลือกใช้อย่างไรเล่าที่ผิด พี่ถือว่าเจ้ายังมิรู้ความรู้กฎ นับแต่บัดนี้เจ้าจงจดจำ กฎข้อห้ามร้ายแรงที่สุดของหมอยาคือการกระทำยาพิษใส่ผู้อื่น หมอยาเป็นผู้รักษาชีวิต หากเจ้าเป็นผู้ทำร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นเสียเอง เจ้ายังจักเรียกตัวว่าหมอยาได้ฤๅ” อาคิราสอนน้องด้วยความจริงจัง จริงจังที่สุดตั้งแต่ได้คอยดูแลกันมา


ด้วยอาคิรากลัวเหลือเกินว่าศิษย์น้องของเขาผู้นี้จักเลือกเดินทางผิด ด้วยความไร้เดียงสา แลฉลาดเฉลียว ทั้งยังมีความแค้นแทรกซ้อนภายในจิตใจเช่นนี้ ไม่ยากเลยที่จะถลำลึกสู่ความดำมืด จนไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก เช่นนั้นผู้ที่เฝ้ามองผ้าขาวผืนนี้จักยอมปล่อยให้มันถูกย้อมด้วยสีดำ แทนสีสันสดสวยในอนาคตไปได้เยี่ยงไร


“ข้ามิได้หมายจักใช้มันประหัตประหารผู้ใด ข้าเพียงต้องการเอาคืนมันบ้าง ข้าเป็นทุรพล แรงกำลังอันใดล้วนอ่อนด้อย มีเพียงเรื่องสมุนไพรเหล่านี้ที่สิงห์เช่นข้าจักพอสู้เขาได้ เพียงหมายจักนำมาป้องกันตัวเท่านั้น” พิรัลสารภาพเสียงอ่อน ด้วยอาคิรานั้นคงรู้แล้วว่าตนนึกลองใช้วิชาพืชพิษ ด้วยการเรียนวิชาสมุนไพรนั้น ผู้เรียนจำเป็นที่จะต้องตระหนักได้ทั้งคุณและโทษ หากผิดพลาดไปเพียงน้อย จากโอสถสวรรค์อาจแปลเปลี่ยนเป็นหอกทวนของยมบาล หมอยาโดยมากมักสรรค์สร้างเพียงตำรับยาวิเศษ และละทิ้งปิดผนึกส่วนของพิษร้ายเอาไว้ ทั้งที่ส่วนนี้หากนำมาใช้ประโยชน์แล้ว ผู้เป็นหมอยาจะกลายเป็นผู้ชี้เป็นสั่งตายได้โดยดุษณี และพิรัลไม่เห็นความจำเป็นที่จักทิ้งขว้างมันไป


“เช่นนั้นเจ้าจงให้สัตย์สาบานว่า จักมิใช้มันทำร้ายผู้ใดก่อน แลมิใช่มันเข่นฆ่าชีวิตผู้ใดเป็นอันขาด จงจำไว้สิ่งที่เจ้ากำลังกระทำนั้น ยิ่งศึกษาลงลึกมันยิ่งรุนแรง ร้ายกาจ แลอาจย้อนมาทำร้ายตัวเจ้าเองด้วย”


“ข้าให้สัตย์สาบานจ้ะ” พิรัลตั้งสัตย์ด้วยความแน่วแน่ ด้วยเพราะพิรัลนลินเองต้องการเพียงเรียนรู้มัน เพื่อปกป้องตัวเองและใช้เอาคืนพวกคิดไม่ดีบ้างเพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยคิดถึงขั้นประหัตประหารผู้ใดดั่งปากว่าด้วยสัตย์จริง


“เช่นนั้นพี่จักยอมปิดหูปิดตาไว้ เช่นนี้มิได้หมายความถึงสนับสนุนเจ้า แลหากวันใดเจ้าผิดต่อคำสัตย์ที่ให้ไว้ พี่จักเป็นผู้ลากเจ้ามาลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง”


“จ้ะ ข้าขอเพียงพี่อาคิราเข้าใจข้าก็เพียงพอแล้ว”


“อีกประการ เจ้าจงเก็บไว้เป็นความลับ นอกจากสิ่งนี้ผิดกฎร้ายแรงแล้ว เจ้าจักถูกรังเกียจแลหวั่นระแวงต่อผู้ที่ล่วงรู้ด้วย มีคมจงเก็บไว้ในฝัก”


“จ้ะ”


“แลสุดท้ายการกระทำครานี้ย่อมเป็นความผิด ข้าจักสอนเจ้าถึงกฎของหมอยาให้ขึ้นใจ จากนั้นเจ้าจงฝึกคัดจนครบหนึ่งร้อยจบ เป็นการสำนึกผิด”


“จ้ะ” อาคิราไม่เว้นช่วงให้เจ้าพิรัลได้พักหายใจหายคอ ศิษย์ผู้พี่หยิบม้วนหนังบนหิ้งสูงลงมาคลี่ออก เพื่อสอนศิษย์ผู้น้องของตนอ่านตามจนขึ้นใจ เพื่อที่ผู้กระทำผิดจะได้ใช้คัดเพื่อเป็นการสำนึกผิดต่อไป


“พี่อาคิราจักอยู่เฝ้าข้าหรือจ๊ะ”


“มิใช่ดอก พี่ดูแลเจ้ามิดี เช่นนี้เท่ากับรู้เห็นเป็นใจด้วย พี่ย่อมมีความผิดเช่นกัน” ว่าพลางลงจรดตัวอักษรลงบนใบลานบนตั่งเขียนไปพลาง ด้วยลายมืออันบรรจงหนักแน่นเช่นนิสัยส่วนตน


“ข้าขอสมา ข้า ข้าเสียใจ”


“คำสอนของอาจารย์ ว่าเพลาจักทำการสิ่งใดจงคิดให้ดีแลถี่ถ้วนถึงผู้ที่แวดล้อมดังโยนกรวดลงน้ำนั้น เพลานี้เจ้าเข้าใจท่องแท้ดีฤๅไม่เล่า”


“จ้ะ มิว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงใดย่อมควรใคร่ให้รอบคอบเสมอ”


สองพี่น้องนั่งคัดกันจวบจนรุ่งสาง พิรัลน้อยหลับไปแล้ว อาคิราเก็บรวบแผ่นลานที่ถูกคัดจนครบเข้าไว้ด้วยกันก่อนจาก ไม่รอให้น้องน้อยตื่นมาเห็นว่ากองลานของตนเองนั้นมีลายมือบรรจงของผู้สั่งลงโทษปะปนอยู่เกินครึ่ง




                    ตั้งแต่วันเกิดเรื่องพิรัลที่ตามติดอาคิราแจแล้ว ยิ่งติดหนึบมาขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับอาคิราเองที่ยอมให้ผ่อนปรนให้พิรัลมากกว่าผู้ใด อีกทั้งใครมองมานั้นต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า อาคิราดูแลพิรัลได้อย่างอ่อนโยนยิ่งนัก ราวกับทั้งคู่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา หากไม่ติดที่ผู้พี่มีผิวสีขาวราวน้ำนม และผู้น้องผิวนวลชมพูราวกลีบดอกบัวที่ทำให้รู้ว่าทั้งคู่นั้นเป็นสิงห์คนละชาติพันธุ์


บัดนี้พิรัลได้เข้ามาอยู่ในคูหาสรรพยาได้ครบขวบปี ทุรพลน้อยคอยช่วยหยิบจับตระเตรียมพืชสมุนไพรไม่เกี่ยงบ่น ซ้ำยังตั้งอกตั้งใจร่ำเรียนมากกว่าเดิม โดยเบื้องหลังของสิงห์น้อยมีสัตว์ตัวเล็กวิ่งตามคลอเคลียอยู่อีกทอดหนึ่ง เนื่องจากอาคิราให้พิรัลรับผิดชอบเลี้ยงดู โดยตั้งชื่อว่า ‘จันอิน’


“เหตุใดมันจึ่งชื่อจันอินเล่า” อาคิราเอ่ยถาม เมื่อทั้งคู่พากันนั่งพักหลังจากจัดการคัดเก็บสมุนไพรจนเรียบร้อยดีแล้ว


“ข้าเจอมันที่ใต้ต้นจันนี่จ๊ะ”


“แล้วมิเป็นลูกจัน หรือ จันโอเล่า”


“เจ้าจันอินมันเป็นตัวผู้ ชื่อลูกจัน ข้ากลัวโตไปมันจักอับอาย แลข้าชอบกินจันอินมากกว่านี่จ๊ะ เนื้อมันเยอะมาจันโอเป็นไหนๆ ”


“แล้วชื่อเจ้าเล่า พิรัล แปลได้ว่า งดงาม โปร่งบาง ดูท่าชื่อ เจ้ายุ่ง จักเข้าทีกว่านัก” ว่าพลางยกยิ้มหยอกเย้า จนผู้ถูกแกล้งยู่ปากตอบกลับอย่างขัดใจ


“ฮื่อ! ชื่อข้าเต็มๆ คือ พิรัลนลิน จ้ะ แม่บอกว่า ข้าคือ บัวดอกงาม ของพ่อแลแม่”


“แม่เจ้าชอบกินดอกบัวรึ”


“หาเป็นเช่นนั้นไม่ โถ่ พี่อาคิราไยชอบล้อข้านักเล่า สิงห์ในชุมข้าล้วนแต่มีความหมายถึงดอกบัวทั้งนั้นจ้ะ ทั้งแม่บุษบัน พ่อไกรรพ น้าปทุม พี่บัวสาย พี่กช” พิรัลยกนิ้วขึ้นนับขานชื่อ ครอบครัวที่รักในความทรงจำ แม้ความทรงจำนั้นกลับฝังแน่นไม่มีวันลืม แต่กาลเวลานั้นช่วยทำให้ความเจ็บปวดเบาบางลงไป จนพิรัลนลินสามารถกล่าวถึงบุคคลอันเป็นที่รักได้ โดยไม่ต้องเสียน้ำตาอีก


“เช่นนั้นดูเหมาะกับพวกเจ้าเทียว ผิวของเจ้าสีหวานราวกับกลีบบัว”


“แล้วนามของพี่เล่า แปลว่าอันใดจ๊ะ”


“อาคิรา แปลว่า ดวงอาทิตย์”


“โอโห” อากัปกิริยาตื่นเต้นเหลือเกิน ยามได้รู้ความหมายชื่อ ของพิรัลทำให้อาคิราอดที่จะยกมือขึ้นโยกศีรษะน้องน้อยด้วยความมันเขี้ยวไปมาไม่ได้


เพลานี้ไม่ใช่แค่พิรัลที่ติดอาคิรา ดูท่าแล้วอาคิรานั้นคงติดน้องไม่แพ้กัน...





“เจ้าอาคิรา เจ้าอาคิรา”


“มีอันใดรึ”


“ถ้ำบัณฑูรสีหะทางตอนใต้โดนบุกเพื่อฉุดคร่าทุรพลสิงห์อีกแล้ว ครานี้มีสิงห์บาดเจ็บสาหัสเยอะเอาการ ข้าจึงมาตามเจ้าไปช่วย นั่นเจ้าวิธูไปตามท่านอาจารย์มาแล้ว! ” พิรัลตัวสั่นเทาเมื่อได้ยิน ภาพแห่งฝันร้ายกลับมาอีกครา


“เจ้าจงไปช่วยทางนั้นเถิดอาคิรา ทางนี้ข้าจักดูแลต่อเอง” หลังจากทำการรักษาบัณฑูรสีหะจนฝ่ายนั้นปลอดภัยดีแล้ว จากวันนั้นข่าวคราวการบุกรุกฉุดคร่าทุรพลสิงห์มากขึ้นทุกครา จนเหล่าสีหะแห่งคูหาสรรพยา จำต้องแยกกันออกเดินทางไปยังชุมราชสีห์ต่างๆ เพื่อจะได้ช่วยรักษาสิงห์บาดเจ็บได้ทันท่วงที และอาคิราคือหนึ่งในนั้น จะผิดแผกจากหมอมฤคินทร์ตนอื่นตรงที่ อาคิราไม่เคยย่างก้าวกลับมายังถ้ำสรรพยาแห่งนี้อีกเลย...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ผ่านมาแล้วสามบท เป็นอย่างไรกันบ้างคะ
ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกความคิดเห็นที่ให้กำลังใจ และ

คุณ Kamidere ที่ติงเรื่องคำผิดนะคะ จากนี้จะพยายามรอบคอบให้มากขึ้นค่ะ
และ
คุณ sirin_chadada ที่แนะนำเรื่องการอัปเดตหัวเรื่องนะคะ

หากมีข้อผิดพลาด พบเจอคำผิด หรือมีคำแนะนำประการใด
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไปในคืนวันเสาร์หน้านะคะ   :pig4:





หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}.....บทที่๓ ลาจาก {๓๑/๐๘/๒๕๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-08-2019 21:57:44
สนุกมากจ้า ยังรออ่านเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}.....บทที่๓ ลาจาก {๓๑/๐๘/๒๕๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 31-08-2019 22:32:35
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๔ แปรเปลี่ยน {๗/๐๘/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 07-09-2019 21:50:21
บทที่ ๔

แปรเปลี่ยน





                    เวลาพ้นผ่านจากวันเป็นเดือน เคลื่อนคล้อยครบปี จวบจนถึงบัดนี้เป็นเวลากว่าหกปีแล้วที่พิรัลนลินอยู่ในความดูแลของราชสีห์อัตรคุปต์ เจ้าลูกสิงห์น้อยจอมซนเมื่อกาลก่อนเติบโตงดงามดั่งดอกบัวพร้อมบานสะพรั่ง ผลัดเปลี่ยนจากการนุ่งโจงกระเบนเป็นการนุ่งผ้าปล่อยชายตามแบบจารีตของสิงห์อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการก้าวพ้นวัยเด็ก ผมยาวดำขลับเคยถูกมวยเป็นจุกไว้กลางกระหม่อม ถูกปล่อยยาวสยายจนถึงบั้นเอวเล็กบาง คลอเคลียชายผ้าคล้องไหล่เช่นเดียวกับสิงห์วัยผู้ใหญ่ชั้นทุรพลทั้งหลาย เพื่ออำพรางร่างกายมิให้ยั่วเย้าเกินงาม ทั้งกิริยาอาการนั้นเปลี่ยนเป็นสงบเงียบด้วยวัยวุฒิที่มีมากขึ้น เช่นเดียวกับวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียน กาลเวลาเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งล้วนผกผัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือ พิรัลนลินยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของพี่อาคิรา


ตั้งแต่วันที่อาคิราก้าวเท้าออกจากคูหาสรรพยา เจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยจะคอยวิ่งมาชะเง้อหาพี่อาคิราของตนที่หน้าปากทางเข้าถ้ำทุกเมื่อเชื่อวัน ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเป็นความเคยชิน...เคยชินกับการรอคอยด้วยความหวัง เมื่ออาคิรายังส่งผ้านุ่งผืนงามฝากฝังเพื่อนพ้องศิษย์ร่วมอาจารย์กลับมาให้พิรัลนลินทุกปีไม่มีขาด...ทว่าตัวผู้ให้นั้นพิรัลนลินไม่เห็นแม้เงา


“พิรัล เจ้านี่ยิ่งโตยิ่งงามนัก หากข้าเป็นอุตมางค์หนุ่มคงรีบเข้าอิงแอบแนบชิดเจ้าอยู่ดอก ผุดผาดเช่นนี้มิใช่ว่าใกล้ถึงเพลานั้นแล้วกระมัง” ผู้พูดละมือจากสมุนไพรในกระจาด เพื่อจับจ้องคนงามที่กำลังง่วนอยู่กับการคัดเครื่องยาเบื้องหน้าให้เต็มตา อินทุเติบโตมาพร้อมๆ กับพิรัลนลิน จนเจ้าตัวเห็นการเติบโตของสิงห์น้อยในทุกช่วงไว ในเวลานี้ลูกสิงห์ตัวแสบ เติบโตเข้าสู่วัยแรกแย้ม ผิวแดงเรื่อราวกลีบบัวหลวงผิดแผกจากเผ่าพันธุ์ ที่มักมีผิวกายสีชาดจัดจ้าน มิได้นวลลออตาเช่นนี้ เรือนร่างนั้นช่างโปร่งบางสะโอดสะอง เข้ากับใบหน้ารูปไข่อันประดับไปด้วยเครื่องหน้าพริ้มเพรา แม้ข้างกายจะมีกีหมีตัวโตเต็มวัยค่อยประกบข้างกายไม่ห่างทั้งยังแสดงท่าทีหวงแหนเจ้าของรูปงาม ใครเหล่าสิงห์ใจเล็กนึกขยาดที่จักเข้าหาอยู่บ้าง ทว่าเพียงยังไม่ถึงช่วงเข้าฤดูเจ้าพิรัลยังยวนตายวนใจถึงเพียงนี้

หากถึง ‘คราวนั้น’ ทุรพลเบื้องหน้าจักเป็นที่แย่งชิงของอุตมางค์ถึงเพียงใดหนอ...


คำชื่นชมที่ได้รับนั้นไม่ได้ทำให้พิรัลรู้สึกยินดีแม้แต่น้อย กลับกันเมื่อติณสิงห์พลัดถิ่นยิ่งมาได้ฟังความเช่นนี้ ความรู้สึกภายในอกกลับยิ่งเหี่ยวแห้งลงราวดอกไม้ขาดน้ำ


“แล้วของพี่เล่า ดีฤๅไม่” พิรัลเบี่ยงความ มาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง นัยน์ตากลมมองเลยไปยังลำคอเล็กระหงไร้ซึ่งเครื่องปิดบัง เผยให้เห็นรอยวงเขี้ยว พันธสัญญาแห่งการมีคู่ครองประดับอยู่


“แรกเริ่มมิดีดอกเจ้า ข้ายังมิทันได้มีโอกาส สวมสร้อยแพบนคอด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกคราโดนมันบุกขึ้นมาปลุกปล้ำข้าเสียแล้ว”


“ข้าขอสมาเถิด พี่อินทุ ข้าคิดน้อยมิได้มีเจตนา...” พิรัลไถ่ถามเพียงเพราะเห็นร่องรอยของการมีคู่ครอง ไหนเลยจะคิดว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ทุรพลผู้นี้มีคู่ครองนั้นไม่ได้สวยงามหวานซึ้ง ทำให้ผู้ถามรู้สึกผิดขึ้นมาครามครัน


“มิต้องมาขอสมาข้าดอก ข้ามิถือโทษโกรธเคือง หากข้องใจสิ่งใดจงถามเถิด”


“เอ่อ ข้า ข้าเพียงอยากรู้ มันเจ็บมากฤๅไม่จ๊ะ” ตาคู่กลมจับจ้องไปยังรอยเขี้ยวบนหลังคอ อดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้


“เจ็บ หากแต่เพลานั้น ข้ามิอาจบอกได้ว่าส่วนไหนในร่างกายมันเจ็บมากกว่ากัน เจ้าสิงห์กลัดมันตนนั้น...” มือเรียวยกขึ้นแตะแต้มลงบนแผลเป็นของตัวเอง ตาเรียวรีเหม่อมองออกไปแสนไกล คล้ายพาตัวเองจมจ่อมในเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต


“ทว่าข้าคิดว่า ข้าโชคดีหนา เจ้าสิงห์คลั่งนั่นแม้กิริยาแข็งกระด้าง นอกจากคราแรกที่ย่ำยีข้าแล้ว มันมิได้ทำข้าเจ็บช้ำน้ำใจเรื่องใดอีก” ทุรพลหนุ่มคลี่ยิ้มบางเบา เมื่อนึกถึงผู้เป็นสามีแสนกระด้างของตน เมื่อตนมีโอกาสพบพานชะตากรรมของทุรพลตนอื่นที่เจ็บช้ำยิ่งกว่า แม้แต่สถานะของ’ เมีย’ ยังไม่ถูกยกย่อง


“สิงห์วรรณะเช่นเราจักมีสักกี่ตนโชคดีได้เลือกคนที่รัก ข้าพอรู้มาบ้างดอก พวกเราบางตนมิสามารถบอกกล่าวได้เต็มปากเสียด้วยซ้ำว่าเป็นเมีย จักเห็นแต่เพียง...” ทุรพลหนุ่มละคำท้ายไว้ ก่อนหันมาส่งยิ้มเศร้า


‘ผู้ผลิตลูก’ พิรัลนลินและทุรพลสิงห์ทุกตน ล้วนเคยได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้และเช่นเดียวกัน หามี ทุรพลสิงห์ ตนใดอยากเอ่ยมันออกมาให้ตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองไม่


“องค์อินทร์ท่านทรงเมตตาต่อข้าอยู่บ้าง จึ่งถีบส่งข้าให้แก่ วสี แม้จักมิได้เกิดจากรักในเพลาแรก ทว่าเพลานี้ข้า ข้ารู้สึกรักแลมีความสุขดี ข้าจักช่วยเจ้าภาวนา ให้เจ้าโชคดีในรักเช่นกันเจ้าพิรัล” สองมือของทุรพลรุ่นพี่กอบกุมมือเรียวของผู้มีอายุน้อยกว่า ส่งมอบความปรารถนาดีให้แก่กัน สำหรับทุรพลนั้น โชคดีที่สุดในชีวิตคือการมีคู่ที่ดี ทุรพลสีหะ ล้วนมีความปรารถนาได้เพียงเท่านี้


“ข้าต้องตามวสีไปต่างถิ่น อีกนานเท่าใดจักได้พบกัน นอกจากคำอวยพร ข้าขอเตือนเจ้าสักประการเถิด”


“เรื่องอันใดเล่าจ๊ะ”


“ไอ้คีรีปะไรเล่า แต่เล็กแต่น้อยเจ้าแลมันวิวาทกันมิเว้นวัน มันกลับมาครานี้สายตาที่มองเจ้ามิน่าวางใจ”


“ข้ามิยอมวิวาทกับมันเช่นเดิมดอกพี่ ข้าพอจักรู้จักอดทนอดกลั้นแล้วจ้ะ”


“หาใช่สายตาชวนวิวาทดอกที่ข้ากังวล” เมื่อเห็นพิรัลยิ้มขันในความวิตกกังวลของตน ราวกับไม่รู้ความอินทุยิ่งกังวล ทุรพลที่ผ่านการมีคู่แล้วอย่างตนทำไมจะไม่เข้าใจสายตาที่คีรีลอบมองพิรัล หากเป็นอาคิราต่อให้ผิดฝาผิดครรลอง อินทุคงไม่หวั่นกลัวเช่นนี้ เขาไม่อยากให้น้องน้อยที่โตมาด้วยกันต้องตกนรกทั้งเป็น


“พี่หมายถึง...พี่ คีรีมันเป็นสามัญสิงห์นะจ๊ะ”


“ไยเดียงสานักเล่า จิตใจยามมีราคะวรรณะใดจักขวางกั้นได้...เชื่อข้าสักคราหนาพิรัล อยู่ห่างจากไอ้คีรีไว้” มือของอินทุบีบมือของน้องแน่น นัยน์ตามีเพียงความกังวลหวาดกลัวที่ส่งมา ทำให้พิรัลรู้สึกขนลุกไปทั้งกาย


“ข้าเข้าใจแล้วจ้ะ ขอบน้ำใจพี่มากนะจ๊ะ ข้าจักมิพาตัวเข้าไปเฉียดใกล้มันเด็ดขาด”


“เอ็งรับปากได้ข้าค่อยเบาใจ ดูแลเนื้อตัวให้ดี เช่นนั้นข้าไปละ” อินทุรั้งตัวพิรัลเข้ามากอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดใจลาจาก


แม้อินทุจะผละออกไปแล้ว ตามเสียงเรียกของผู้เป็นสามี แต่พิรัลนลินยังคงปล่อยทอดอารมณ์และความคิด ความหวาดกลัวถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้ลอยฟุ้งออกไปในอากาศ หมายจะปล่อยไปกับสายลมเอื่อยที่คงจะหอบพัดมันออกไปไกลแสนไกล อยากจะหลุดพ้นจากวังวนเช่นนี้ของทุรพลเหลือเกิน แต่ให้มองไปทางใดพิรัลนลินนั้นไม่เห็นหนทางเอาเสียเลย


...เรื่องจิตใจวรรณะใดจักขวางกั้นได้...พิรัลนลินเห็นเป็นจริงดั่งว่า




“ท่านอัตรคุปต์ขอรับ! ท่านอัตรคุปต์!!” น้ำเสียงตะโกนลั่น ฟังดูร้อนรน พาให้เหล่าสิงห์ที่ประจำอยู่บริเวณเรือนยา จำต้องละมือจากการงาน ไปหาต้นเสียงยังปากทางเข้าถ้ำ


“มีสิ่งใดรึ ท่านอาจารย์เดินทางขึ้นเขาคันธมาทน์ มิทราบได้ว่าท่านจักกลับมาที่พำนักเมื่อใด”


“เช่นนั้นผู้ใดพอจักช่วยได้บ้าง พวกข้าโดนเล่นงานด้วยพิษบางอย่างอาการสาหัสนัก” ด้านหลังสิงห์วัยฉกรรจ์แปลกหน้า ติดตามด้วยเหล่าสิงห์บนเปลหามอีกสามตน น้ำเสียงและสีหน้าร้อนรนเป็นอย่างมาก


“คุณพระ นี่ถึงขนาดทำร้ายสิงห์ชั้นอุตมางค์ด้วยกันเลยรึ” หมอผู้เหลืออยู่ตนเดียวในถ้ำอัตรคุปต์เผลออุทาน ด้วยไม่คิดฝันว่าสิงห์ทุรยศกลุ่มนั้นจะเหิมเกริมขนาดนี้ ด้วยแม้ที่ผ่านมาจะเกิดการบุกยืด เพื่อชุดคร่าทุรพลอยู่เนืองๆ สิงห์ได้ได้รับบาดเจ็บโดยมาเกิดจากการเข้าปะทะกันเพียงเท่านั้น และไม่มีครั้งใดเลยที่พวกมันจะกล้าบุกชิงทุรพลจากชุมที่มีอุตมางค์ปกครองอยู่เช่นครานี้ มิหนำซ้ำยังเลวทรามถึงขั้นใช้วิธีลอบกัดสกปรก
...ดูทีเหตุการณ์จักยิ่งเลวร้าย แล้วผลสุดท้ายจักจบเช่นไร ต้องมีการบาดเจ็บล้มตายอีกสักเท่าใด ผู้เป็นหมอไม่อยากนึกตามให้ยิ่งเสียกำลังใจ


“มันใช้วิธีสกปรก ลอบกัดพวกเรา...”


“รีบพาเข้ามาในเรือนเสียก่อนเถิด” สิงห์ผู้มาใหม่ต่างเนื้อตัวสะบักสะบอมไปด้วยรอยบาดแผล ทั้งยังมีอาการพิษภายในทั่วหน้ามากน้อยต่างกัน รีบประคองตัว บ้างหิ้วปีก บ้างนอนบนแคร่ไม้มัดประสานกันอย่างลวกๆ เข้าเรือนผู้ไข้ตามหมอไป


เมื่อได้พินิจผู้บาดเจ็บแล้ว ผู้เป็นหมอให้รู้สึกเครียดขมึง ด้วยหลายปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ภายในถ้ำสรรพยา ต้องกระจายตัวกันไปช่วยรักษาผู้บาดเจ็บ โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ ทำให้เวลานี้เหลือตนเป็นหมออยู่เพียงตนเดียว เช่นนี้จักรักษาทั้งหมดได้เช่นไร


“ข้า ข้าพอช่วยได้ แม้มิเคยลงมือปฏิบัติ แต่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษาตำราอยู่บ้าง พอลักจำหยิบจับได้ หากพวกท่านมิคิดรังเกียจ” พิรัลนลินที่อยู่เหตุการณ์ รู้ได้ถึงสภาวะวิกฤติที่เรือนไข้แห่งนี้กำลังเผชิญ ทุรพลน้อยจึงรีบขันอาสาออกมา แม้เสี่ยงจะโดนไล่อย่างที่เคยเจอก็ตาม


ผู้เป็นหมอ แลกลุ่มสิงห์มาใหม่นิ่งงัน มองพิรัลอย่างพิจารณา ด้วยเพราะสิงห์ผู้ขันอาสาเป็นเพียงทุรพล ที่ส่วนใหญ่จักคอยอยู่บ้านเฝ้าเรือน เลี้ยงลูกเท่านั้น จักไว้วางใจได้เชียวหรือ


“ข้าขอรับรอง ทุรพลตนนี้เป็นศิษย์ชั้นในของท่านอัตรคุปต์ ได้ประจำอยู่เพียงเรือนยา ความรู้นั้นมิถือว่าด้อยแม้แต่น้อย” สิงห์หนุ่มผู้ทำหน้าที่หมอยา กล่าวสำทับช่วยพิรัล แม้เขาไม่สนับสนุนทุรพลนัก แต่ในเพลานี้ชีวิตของผู้บาดเจ็บนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด สุดท้ายแล้วเป็นผู้ป่วยเองเท่านั้นที่จะเห็นแก่ชีวิต หรือ วรรณะฐานันดรมากกว่ากัน


“หากช่วยได้ข้าหาได้สนวรรณะไม่ จักเจ็บจักตายไยเลือกหมอได้เล่า ข้าขอร้อง เจ้าช่วยพวกข้าด้วยเถิดสิงห์น้อย” ในความเงียบงัน กลับกลายเป็นหัวหน้าในกลุ่มผู้บาดเจ็บ ที่เอ่ยขอร้องออกมาก่อนใคร ทำให้ทั้งพิรัลและหมอหนุ่มยิ้มออกมาอย่างโล่งอก


“เราคงเหนื่อยกันมิน้อยหนา” ผู้ที่ต้องเป็นหมอหลัก และจำต้องทำงานร่วมกันในครานี้ หันกลับมาส่งยิ้มอ่อนล้าให้แก่สิงห์น้อยบางๆ ก่อนจะเริ่มพิจารณาบาดแผลของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด


“จ้ะ”


“ดูจากบาดแผล ข้าเกรงว่าเราจักต้องถอนพิษสองทาง ทั้งพิษในกายแลพิษแผล อาการเป็นเช่นใดบ้างเล่า” บอกกล่าวกับทุรพลน้อย แล้วหันกลับมาถามไถ่อาการจากผู้ป่วย


“จะรู้สึกแสบร้อนในปาก แลคอ รู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทงมิปาน”


“นอกจากนั้นข้ารู้สึกกระหายน้ำ หายใจไม่ติดขัดนัก ทั้งคลื่นเหียน แลปั่นป่วนในท้องเหลือเกิน” บัณฑูรสีหะหนุ่ม ค่อยๆ ช่วยกันบอกอาการด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น


“ประหลาดเหลือ” ยิ่งฟังอาการคิ้วของผู้เป็นหมอยิ่งขมวดมุ่น เขาชำนาญเพียงการรักษาแผลฝีภายนอก เรื่องพิษภายในนั้นความสามารถยังน้อยเหลือเกิน


“อึก!” พลันสิงห์ตนหนึ่งเริ่มชักเกร็ง จนทั้งหมอและผู้บาดเจ็บตนอื่นต่างขวัญผวา เรื่องสืบความอาการต่อจึงถูกพักไป


“ข้า ข้าเกรงว่าโดนพิษจากต้นดาวดึงส์จ้ะ ถึงมิแน่ใจหากต้องเร่งแก้พิษโดย”


“ดาวดึงห์มิใช่เป็นคุณดอกรึ”


“มีส่วนคุณ แลโทษนั้นมีมหันต์เช่นจ้ะ”


“เช่นนั้นเจ้าจงเตรียม ‘น้ำรางจืด’ คอยป้อนผู้ที่ถูกพิษเสีย แผลภายนอกข้าจักจัดการเอง...เจ้าปรุงได้ฤๅไม่” ผู้เป็นหมอถามย้ำกับทุรพลอีกครั้ง แม้พอรู้ว่าสิงห์น้อยตนนี้เป็นศิษย์อาจารย์อัตรคุปต์เช่นกัน แต่เขาไม่เคยเห็นพิรัลนลินทำสิ่งใด นอกจากจัดเตรียมเครื่องยาเท่านั้น


“ท่านจงวางใจ ยาแก้พิษตำรับนี้ ข้าเคยศึกษาผ่านตา ตำราของอาจารย์นั้นมีอยู่ ข้าจักเปิดกำกับ มิให้ตกหล่นจ้ะ” พิรัลนลินรีบรับคำ แววตาของสิงห์น้อยส่งประกายความมุ่งมั่นตั้งใจ จนผู้มองยอมวางใจ


“ได้ฟังเช่นนี้ให้รู้สึกวางใจนัก ยาถอนยาพอกจักต้องทำเตรียมไว้มากสักหน่อย ต้องคอยเปลี่ยน เจ้าจงใช้น้ำจากคนโทบนหิ้งทางทิศตะวันออกนั้นหนา น้ำด้านในท่านอาจารย์นำมาจากสระอโนดาต แม้นมีมิมาก แต่ครานี้ข้าเกรงว่าเราจำต้องใช้” พิรัลรับคำอีกครา จดจำคำสั่งเสียไม่ให้ตกหล่น ออกมาขอแรงสิงห์ที่เหลือมาช่วยบดยาต้มน้ำ เปิดตำราที่อาจารย์ให้มา ทำการรักษาเหล่าสิงห์ที่บาดเจ็บจากพิษทั้งวันทั้งคืน จนเหงื่อโซมกาย โดยไม่ปริปากบ่น




การกระทำของทุรพลน้อยนั้นตกอยู่ในสายตาของผู้ป่วยตลอดเวลา จนผู้มองตามอดชื่นชมในใจไม่ได้ เมื่อกำลังเริ่มฟื้นคืน และสบโอกาสที่ติณมฤคินทร์น้อยเยื้องย่างเข้าใกล้ ผู้ป่วยหนุ่มจึงไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านเลย ออกปากทักทายสิงห์น้อยโดยทันที


“ข้ามีนามว่า กัญจน์ เจ้าเล่า”


“พิรัลจ้ะ” ชื่อช่างสมตัวนัก...


“ขอบพระคุณเจ้ามากหนา มิได้เจ้าแลท่านหมอ พวกข้ามิพ้นสู่ยมโลกเป็นแน่แท้”


“เป็นหน้าที่ของพวกเราจ้ะ ท่านอย่าได้ถือเป็นพระคุณเลยนะจ๊ะ” พิรัลตกใจจนตาเบิกโพลงด้วยไม่คิดฝันว่าจะได้รับคำขอบคุณจากอุตมางคสิงห์เช่นนี้ ก่อนจะส่ายหัว ตอบรับคำขอบคุณนั้นด้วยรอยยิ้มบาง แล้วผละจากไป


ปล่อยให้อุตมางค์หนุ่มมองตามร่างน้อยจนลับตา ภายในอกของราชสีห์หนุ่มเต้นแรงจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นแนบประคองมันไว้ ก่อนที่ดวงหทัยเจ้ากรรมจะตะกุยตะกาย แทรกตัวออกมาโบยบินติดตามเจ้าผิวดอกบัวกลีบบางนั้นไป




เมื่อเสียงโอดครวญจากความปวดแปลบแสบร้อนของเหล่าบัณฑูรสิงห์สงบลง สิงห์พยาบาลผู้ทำงานหนักมาถึงสามราตรีนั้นก็หมดเรี่ยวแรงเช่นกัน พิรัลนลินไหลตัวลงนั่งบนพื้นเรือนชานพิงแผ่นหลังเข้ากับรั้วไม้ ปล่อยให้สายลมช่วยพัดระเหยเหงื่อที่ไหลท่วมกาย เพื่อคลายความเหนื่อยล้าลงบ้าง ...


พิรัลนลินเหม่อมองเหล่าสิงห์แปลกหน้าที่ตนช่วยรักษาเองกับมือ กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราหลุดพ้นจากอาการทุรนทุรายด้วยความเต็มตื้นในใจ...


ที่ผ่านมาพิรัลมักถูกไล่ตะเพิดจากตัวผู้ป่วยหรือญาติที่ติดตามมาด้วยอยู่เป็นนิจ ด้วยเพราะเป็นทุรพล


‘ท่านหมอ ได้โปรดเถิดข้าขอรอรับการรักษาจากท่านมิได้ฤๅ เพลานี้ข้ามิได้รู้สึกเจ็บปวดเท่าใด ข้าขอรอท่านดีกว่า เอ่อ...’


หรือด้วยอารมณ์โกรธแค้นจากความสูญเสียที่ได้รับ ทุรพล เช่นพิรัลจึงเป็นเป้าของความเกลียดชัง


‘ไอ้ทุรพลอย่าได้เข้ามาใกล้ลูกกู พวกมึงมันตัวจัญไร ฮึก เพราะพวกมึง บ้านกูลูกกูคงหาได้ฉิบหายเยี่ยงนี้!’


การได้ช่วยชีวิตราชสีห์กลุ่มนี้ได้ จึงเสมือนได้ช่วยกอบกู้สภาพจิตใจและความหวังของพิรัลเองด้วย อยากดื่มด่ำกับความภูมิใจนี้อีกสักหน่อย...แต่เพลานี้ช่างเหนื่อยเหลือเกิน ขนาดเปลือกตาที่สามารถกะพริบได้เองโดยไม่ต้องใช้แรง ยังให้ความรู้สึกหนักอึ้งเสียจนไม่อาจบังคับให้เปิดขึ้นมา


...หากพี่อาคิรากลับมา เห็นว่าข้าทำตนมีประโยชน์เพียงนี้ พี่จักยินดีกับข้าบ้างไหมหนา...




ในความฝันพิรัลนลินคล้ายแว่วเสียงดีดพิณดังตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มขับขานสอดคล้องคลอผสานกันอย่างไพเราะ จากที่ห่างไกลจนไม่สามารถจับทิศทางได้ กระทั่งรู้สึกคล้ายดังแว่วจนคล้ายใกล้อยู่ข้างหู อาจเพราะได้พักมาจนถึงเวลาสมควร เปลือกตาที่เคยหนักกลับมาเบาลงอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าจากการโหมร่างกายมลายหายไปเมื่อได้งีบหลับ เจ้าสิงห์น้อยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อดูความเป็นไปอันแปลกประหลาด เสียงขับกล่อมที่คิดไปว่าเป็นภาพฝัน กลับดังแว่วอยู่เบื้องหน้า


“เพียงพิศพักตร์ งามนัก จับอุรา

ปทุมมา กลีบนวล ชวนใหลหลง

ผมสยาย ปลายยาว ราวอนงค์

ระเรื่อยองค์ ตรงพลิ้ว ปลิวพระพาย

นัยน์ตากลม คมประกาย คล้ายแก้ว

ระยับแพร้ว แวววับ จับแสงฉาย

เพียงเผลอพบ สบตรง คงมิวาย

จิตมลาย กายระส่ำ พร่ำรำพัน”


ใบหน้าคมคาย พาเสียงขับร้องเข้ามาใกล้มฤคินทร์ตัวน้อยที่ยังคงตกอยู่ในห้วงแห่งความฉงน จนใบหน้าแทบแนบชิด นิ้วมือเรียวยาวละจากสายพิณแก้วช้อนเชยดวงหน้ามนขึ้นพินิศ ด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ทำให้พิรัลนลินหน้าแดงวูบ ด้วยตั้งแต่เกิดมาเจ้าสิงห์น้อยไม่เคยประสบเหตุการณ์คล้ายถูกเกี้ยวพาอย่างอ่อนหวานเช่นนี้มาก่อน


“สำรวมเถิดท่านเขมอารัณย์ อย่าได้ทำรุ่มร่ามนัก” ก่อนพิรัลจะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่าที่เป็น น้ำเสียงเรียบนิ่งของผู้หนึ่งได้ดังขึ้นขัดเสียก่อน


“เหวยๆ กิริยาเช่นนี้ ลองพินิจดูทีเถิดท่านนิลปารัชญ์ ว่าเกิดแต่ความมิพอใจ ฤๅเพื่อเบี่ยงบ่ายเลี่ยงความ เหตุที่ข้ากล่าวมานั้นตรงใจดังว่าแทนความคิดตน” แทนที่จะสงบลงเมื่อถูกปราม ผู้ถูกเรียกขานว่า’ เขมอารัณย์ ‘กลับยิ่งยิ้มแย้ม หันไปหา ‘ลูกคู่’ ราวกับกำลังสนุกสนาน


“เลิกหยอกล้อต่อความเสียทีท่าน” สิงห์หนุ่มเจ้าของผิวสีเข้มดั่งผลมะเกลือ ผู้ถูกลากเข้ามาเป็น ‘ลูกคู่’ ในการหยอกล้อ ไม่คล้อยตามบุรุษขี้เล่นไปด้วย เขมอารัณย์จึงยอมเลิกราขยับกายออกห่างจากทุรพลน้อยแต่โดยดี


“ข้ามีนามว่า นิลปารัชญ์ พวกข้า เป็นสหายแห่งอาคิรา ยินดีเหลือเกินที่ได้พบเจ้า...พิรัล” บรรยากาศรอบกายของผู้กล่าวแนะนำตัว ทำให้สิงห์น้อยรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าสิงห์หนุ่มตนนี้เป็นมฤเคนทร์ชั้นอุตมางค์ ท่าทางสง่างาม ผมยาวด้านข้างศีรษะถูกถักเก็บอย่างงดงามปล่อยชายผมตกละกลางหลัง เผยเครื่องหน้านั้นงดงามคมเข้มสมวรรณะของตน


ทว่าสิ่งที่โดดเด่นนอกจากผิวกายแล้วกลับเป็นนัยน์ตาคู่คมของสิงห์ผู้นี้ มันฉายแววลึกล้ำพราวพร่างราวนิลมณี เผลอสบเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทุรพลน้อยรู้สึกราวกับตนเองถูกดูดกลืนลงไปในห้วงมหรรณพสุดหยั่ง สรรพางค์กายคร้ามครั่นราวกับตัวตนถูกเปิดเปลือยต่อสิงห์หนุ่มเบื้องหน้าจนหมดสิ้น


“กะ กาฬสิงหะ”


“เป็นเช่นนั้น สิงห์น้อย” ร่างสูงใหญ่ยิ้มรับ ไม่ถือโทษกับดวงตากลมที่จ้องตนเขม็งด้วยความตื่นตะลึง


นิลปารัชญ์ชินชาเสียแล้ว ด้วยกาฬสิงห์เป็นเผ่าพันธุ์สิงห์ผู้มีญาณหยั่งรู้ เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ และมีจำนวนไม่มากนัก อีกทั้งยังเป็นราชสีห์ถือมังสวิรัติเช่นเดียวกับติณสีหะจึงยิ่งเก็บตัว ผู้ใดพบเขาคราแรกล้วนอดไม่ได้ที่จะมองราชสีห์หนุ่มด้วยความใคร่รู้ เช่นเดียวกับที่เจ้าพิรัลนลินกำลังเป็นอยู่ ทุรพลน้อยอาจลอบมองด้วยความใคร่รู้เช่นนี้อยู่อีกเป็นพักใหญ่ ถ้านัยน์ตากลม ไม่ได้เผลอสบเข้ากับร่างสิงห์หนุ่มอีกตนด้านหลังเสียก่อน


“พี่...อา..คิรา” ร่างสูงชะลูดเมื่อคราก่อน แปลงทับด้วยรูปกายสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวขาวราวเปลือกสังข์ตามชาติพันธุ์ยังคงเดิม สิ่งที่แปลกไปเห็นจะเป็นเครื่องหน้าที่ดูคมชัดงดงามมากขึ้นกว่าเก่าก่อน


“เติบโตขึ้นมากเลยหนา เจ้าพิรัล” อาคิราเอ่ยทักทั้งที่สายตาไม่เงยขึ้นมาสบมองกันเลยแม้กระพี้


“จะ จ้ะ” สิงห์ผู้น้องรับคำเสียงแผ่ว แม้แสนคิดถึงจนอยากกระโจนเข้าไปกอด หากท่วงท่าอันเงียบสงบกระเดียดไปทางเย็นชานั้น ได้หยุดตรึงร่างของพิรัลนลินให้ยังคงนิ่งงันอยู่กับที่ ริมฝีปากอยากเอ่ยถามความเป็นไปมากมาย ดูคล้ายเย็นเฉียบจนสามารถตอบกลับไปเพียงสั้นๆ เท่านั้น


...หกขวบปีที่ผ่านพ้นได้มลายสายสัมพันธ์ของข้าที่พี่มีไปหมดสิ้นแล้วฤๅ


“ส่วนข้า เขมอารัณย์ ข้าต้องใจเจ้านักสิงห์น้อย หากเมื่อใดที่อาคิราปล่อยปละเจ้าแล้วไซร้ ข้าเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จักรับเจ้าสู้อ้อมอกหนา” ความเงียบงันถูกปัดเป่าด้วยบทเกี้ยวพาและรอยยิ้มเล่นสนุก ของบุรุษหนุ่มที่แทรกตัวเข้ามายึดพื้นที่ครรลองสายตาจากพิรัลนลินไว้อีกครา


ทุรพลน้อยตัดใจ หันกลับมาพินิจบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหล่าประดับด้วยรอยยิ้มพราวประดับด้วยลักยิ้มทั้งสองข้างแก้ม ทั้งดวงตายังเป็นประกายราวกับกำลังหยอกล้อผู้ที่สนทนาด้วยตลอดเวลา ทั้งยังเครื่องแต่งกายอันประณีตงดงาม เส้นผมยาวสยายประบ่าถูกมวยไว้ครึ่งหนึ่งครอบทับด้วยเกี้ยว แตกต่างจากเหล่าจตุราชสีที่ไม่นิยมเครื่องประดับประดับผมนัก นอกจากการถักเก็บผม หรือรวบมวยให้พ้นรำคาญในบางตนเท่านั้น พินิจเช่นไรล้วนไม่พ้นไปจาก ‘บุรุษเจ้าสำราญ’ ซ้ำกลิ่นกายที่โชยลมอบอวลรอบๆ หากพิรัลจำไม่ผิด มันคือกลิ่นของน้ำจันทร์ ในมือผู้ตั้งคำถามยังคงถือ พิณ ไว้มั่น ราวกับเจ้าตัวพร้อมที่จะพรมปลายนิ้วเรียว เพื่อสร้างเสียงเพลงขับกล่อมได้ตลอดเวลา


...ลักษณะเช่นนี้ เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง ท่านเขมอารัณย์ คงไม่พ้น เทพคนธรรพ์ เป็นแน่


“มิได้พบกันเสียนานหนาท่านอาคิรา ท่านนิลปารัชญ์ ท่านเขมอารัณย์” การสนทนาที่ประกอบด้วยเหล่าผู้คุ้นเคย ทำให้กัญจน์ราชสีห์ ที่ร่างกายฟื้นฟูได้หลายส่วน พาตัวเองเข้าสู้วงสนทนาด้วย


“ท่านกัญจน์ พอลุกได้แล้วฤๅท่าน”


“ดีขึ้นมากเทียว โชคดีนักที่ได้ท่านหมอแลเจ้าพิรัลช่วยไว้ หากไม่พบทั้งคู่แล้ว ข้าคงหมดบุญเสียเป็นแน่” อุตมางค์หนุ่มเอ่ยตอบเขมอารัณย์ ส่วนครรลองสายตานั้นกลับจับวางไว้ที่ทุรพลน้อย จนฝ่ายถูกมองต้องก้มหน้าหลบสายตาไป


“เห็นว่าท่านอัตรคุปต์กลับมาถึงแล้ว ท่านพร้อมจักขึ้นเรือนเพื่อหารือกับพวกข้าฤๅไม่เล่า”


“ตามนั้นย่อมดี ข้ายอมรับว่าเพลานี้ข้าร้อนใจยิ่งนัก” ราชสีหนุ่มพยักหน้ารับคำเชิญจากอาคิรา ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันมุ่งหน้าสู่เรือนใหญ่ ทิ้งไว้เพียงทุรพลน้อยที่ยืนนิ่งทอดสายตาตามแผ่นหลังศิษย์ผู้พี่ไปจนลับตา




ยามตะวันคาบแก้วฉายแสงแดงส่งท้ายวัน พิรัลนลินกลับเข้าเรือนยาอีกครา สิงห์น้อยจัดแจงต้มยาบำรุงให้แก่เหล่าบัณฑูรสิงห์เพื่อช่วยการฟื้นฟูร่างกาย กระทั่งเงยหน้าขึ้นจากสำรับยา จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าใครกำลังก้าวเข้ามา


“พี่อาคิรา”


ฝ่ายผู้พี่ชะงักไปเช่นกัน ด้วยคิดว่าน้องน้อยคงเหนื่อยล้าจากการหามรุ่งหามค่ำเฝ้ารักษาพยาบาลจนอาจลืมลุกขึ้นมาต้มยา ตนจึงเข้ามาทำแทน สิงห์หนุ่มไม่คิดว่าจะได้เจอพิรัลนลินในที่รโหฐานเช่นนี้ สิงห์ทั้งสองตนต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ ความรู้สึกอึดอัดปกคลุมบรรยากาศรอบกายของคู่โดยฉับพลัน


“ข้าเห็นว่าได้เพลายาแล้วจึงเข้ามาดู หม้อนี้ฤๅไม่” ท้ายที่สุด อาคิราจึงชี้ไปยังหม้อยา เป็นเชิงว่าจะยกออกไปเอง


“จ้ะ เพียงรอสักประเดี๋ยว พี่อาคิรา!” พิรัลที่ยังคงทำตัวไม่ถูกพยักหน้ารับ ก่อนจะออกเสียงเตือนเมื่อนึกได้ว่าตนเพิ่งดับไฟไปเมื่อครู่ความร้อนของหม้อยาจึงมีมาก


“ขะ ขอสมาจ้ะ พี่อา...” ทว่าไม่ทันการณ์เมื่อผู้เป็นพี่ก้มจับหูหม้อยาไปแล้ว ความร้อนของหมอทำให้อาคิรารีบชักมือกลับ โดยมีพิรัลที่ทั้งเป็นห่วงทั้งตกใจรีบพุ่งตัวมาคว้ามือใหญ่ไว้ ในขณะที่มือเล็กคว้าจับมือใหญ่กลับสะบัดทิ้งราวกับถูกของแสลง จนผู้เป็นห่วงหน้าเสีย


“ข้านำหม้อยาไปล่ะ เจ้าพักผ่อนเสีย ที่เหลือข้าจักการให้” อาคิราส่ายหน้า สิงห์หนุ่มเบือนหน้าหนี้ ผละไปใช้ผ้าลองมือแล้วยกหม้อยาจากไปอย่างรวดเร็วไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา


ตั้งแต่พี่อาคิรากลับมา ทั้งท่าทีที่แสดง ทั้งคำแทนตัวที่เปลี่ยนไป พิรัลนลินอดคิดไม่ได้ว่าพี่อาคิรานึก ‘รังเกียจ’ น้องน้อยตนนี้เสียแล้ว รังเกียจ เหมือนกับสิงห์ตนอื่นๆ ที่ผ่านการสูญเสียรู้สึก


มือเรียวที่ถูกสะบัดทิ้งยกลูบลงบนผืนผ้านุ่งของตัวเองแผ่วเบา...ผ้านุ่งนั้นยังคงมีสัมผัสอ่อนโยนแลให้ความอบอุ่นเสมอ หากแต่ผู้ฝากให้นั้นเล่า เหตุใดจึงเย็นชาห่างเหินเช่นนี้...





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สิงหา...ถึงนักอ่าน

ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนท์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

ตอนต่อไปจะลงในคืนวันอาทิตย์(คืนพรุ่งนี้)นะคะ





หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๔ แปรเปลี่ยน {๗/๐๘/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 07-09-2019 22:20:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๔ แปรเปลี่ยน {๗/๐๘/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 08-09-2019 20:26:48
 :sad4: :sad4: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 08-09-2019 21:34:11
บทที่๕

ขืนใจ








                    บรรดาสิงห์หนุ่มทั้งสามและคนธรรพ์ก้าวขึ้นเรือนใหญ่ มุ่งตรงสู่หอตำราเพื่อนแสดงตัวต่อเจ้าของเรือน และทำการหารือถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความร้อนใจ...ยิ่งนับวัน อีกฝ่ายยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที


“เชิญตามสบายเถิด อาการเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่าท่านกัญจน์” สิงห์ชราที่ยืนคอยท่าอยู่ก่อนแล้วออกปากถามไถ่อาการ ราชสีห์หนุ่มทันทีเมื่อได้พบพาน


อัตรคุปต์นั้นผ่านเรื่องราวมามากมาย ความมาดหมายที่เหลือจึงมุ่งไปที่การภาวนาเข้าฌานทำสมาธิ หากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับอุตรมางค์หนุ่มนั้นมากเกินกว่าที่ราชสีห์ชั้นผู้ใหญ่เช่นเขาจักดูดาย ราชสีห์เฒ่าจึงออกจากญาณตรงกลับมายังที่พำนักของตนโดยไว


“ดีขึ้นแล้วขอรับ รอดตายมาได้เพราะสิงห์ในความดูแลของท่านอัตรคุปต์โดยแท้” ผู้น้อยทั้งหลายยกมือประนมไหว้ราชสีห์เฒ่า แลตอบรับความห่วงใยด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง


“หากยังต้องพักฟื้นอีกสักสองทิวา พิษนั้นรุนแรงนัก นำว่าเคราะห์ดีที่ท่านโดนนั้นเห็นทีว่าจักเจือจางมามากแล้ว”


“พวกมันเหิมเกริมมากนัก อาจด้วยชุมของข้าช่วยเหลือทุรพลไว้หลายตน คงคุ้มที่จักเสี่ยง” เมื่อกล่าวถึงพิษที่ตนได้รับ กัญจน์ราชสีห์ถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บแค้น


“หากถ้ำท่านกัญจน์ยังโดนรุกราน ข้าเกรงว่าถ้ำน้อยใหญ่คงได้อกสั่นขวัญแขวนเป็นแน่” อาคิรากล่าวต่อ นัยน์ตาคมดุฉายแวววิตกกังวล แม้น้ำเสียงทุ้มนุ่มราบเรียบ


“ข้าเห็นด้วยเช่นอาคิรา เราจำต้องเร่งมือ ขืนช้านานไป โศกนาฏกรรมคงยิ่งทวีความรุนแรง หายดีเมื่อใดข้าจักพาพวกพ้องไปสมทบในชุมพวกท่าน เพื่อเป็นกำลังอีกทาง” ราชสีห์กัญจน์เห็นด้วยกับอาคิราเต็มที่ ด้วยชุมของตนนั้นมีอุตมางค์เช่นตนคุ้มครองอีกฝั่งยังทำถึงขนาดนี้ หากเป็นชุมที่อยู่ด้วยตนเองเพียงสามัญสิงห์แลอุตมางค์เล่า จักถูกรังแกจนย่อยยับเพียงใด เพียงคิดภาพ อุตมางค์หนุ่มอยากเปลื้องผ้าพันแผลออกไปหักคอสิงห์ชั่วช้าพันธุ์นั้นให้ตายคอมือ


“คูหาสรรพยายินดีช่วยเหลือแลแบ่งปันที่พักพิงให้แก่หมู่มวลจตุราชสีห์ทุกผู้ทุกตน และพร้อมสนับสนุนเท่าที่คูหาแห่งนี้จักกระทำได้ ยกไว้เสียตรงที่ข้าหาลงไปช่วยพวกท่านได้ไม่ ถ้ำแห่งนี้ได้รับพรจากทวยเทพให้เป็นแดนอภัยทานได้ ต่อเมื่อข้ามิเอนเอียงแลยึดมั่นในเพียงอภัยทานเท่านั้น มิสามารถฝักใฝ่ในอคติใดได้ แม้ดีชั่ว ถูกผิด ข้าจักมอบให้พวกเจ้ามีเพียงคำอวยพร แลที่พักพิงยามไร้ที่พึ่งเท่านั้นหนา” อัตรคุปต์ทอดถอนใจ ภายในอกรู้สึกหนักอึ้ง ไฉนเลยจักวางเฉยได้หมดจด ทว่าการคงอยู่ของคูหาสรรพยานั้นสำคัญยิ่ง ราชสีห์ชราจึงทำได้เพียงเฝ้ามองดูและภาวนาให้เหล่าสิงห์หนุ่มคลี่คลายเหตุการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ได้ลุล่วงโดยราบรื่นเท่านั้น


“เท่านี้นับเป็นพระคุณแล้วขอรับ”






“ว่าอย่างไรเจ้าพิรัล มีสิ่งใดคาใจจงว่ามา” เมื่อบรรดาสิงห์หนุ่มต่างพากันแยกย้ายไปแล้ว ราชสีห์อัตรคุปต์จึงได้หันกลับไปเรียกลูกศิษย์คนเล็กที่นั่งแอบอยู่ที่มุมเสาเรือนใหญ่ ให้เข้ามาหาเสียที


“ท่านอาจารย์ฉุดคร่าทุรพลเพื่อเพิ่มจำนวน อุตมางค์ นั้นยุ่งยาก แลเสียกาล แลกำลังนักหนา เช่นนั้นพวกมันมิสู้ลงมือฆ่าเหล่า ทุรพลเสียให้สิ้นมิง่ายกว่าหรือจ๊ะ ในเมื่อหมดทุรพลเท่ากันหมด อุตมางค์ เช่นกัน” พิรัลนลินส่งยิ้มเขินอายเมื่อโดนผู้เป็นอาจารย์จับตัวได้ ทุรพลน้อยคลานเข่าเข้ามานั่งพับเพียบแต้ ไร้ความสำนึกจากใจ ซ้ำยังเอ่ยถามความสงสัยของตนออกไป จนผู้เป็นอาจารย์นึกทอดถอนหายใจ ศิษย์น้อยของอัตรคุปต์ตนนี้นิสัยใจคอผิดแผกจากทุรพลตนอื่นยิ่ง และด้วยอุปนิสัยเช่นนี้เองที่อัตรคุปต์รู้สึกเอ็นดูพิรัลนลินไม่น้อย หากอาคิราคือที่หนึ่ง พิรัลนลินนั้นหนี้ไม่พ้นที่สองเป็นแน่แท้


“เจ้าตรองดูเถิด หากฆ่าล้างทุรพลจนสิ้น เพื่อให้เหล่าอุตมางค์สิ้น เหลือเพียงตนเพียงหนึ่ง ได้จริงดังเจ้าว่าแล้วไซร้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจักมิมีกลุ่มใดแอบซ่อนเก็บทุรพลไว้เพื่อให้กำเนิดอุตมางค์เสียเอง ความระแวงต่อกันนั้นมีมากนัก ใครเล่าจักยอมให้ชุมของตนอ่อนด้อยน้อยกว่า หรือเทียบเคียงชุมอื่น สู้เพิ่มอุตมางค์ในชุมตนให้มากกว่าชุมอื่นเห็นจักเป็นเรื่องง่ายเสียกว่า”


“จึงใช้วิธีฉุดคร่า ทรุพลของชุมอื่น เพื่อสร้างอุตมางค์ให้มากเข้าเสียเองหรือ...แม้ต้องฆ่าฟันสิงห์ไปนำมิถ้วนเช่นนี้หรือจ๊ะ...หากเป็นเช่นนี้อุตมางค์ที่ถือกำเนิดมาจักโตทันการหรือไร”


“เรื่องนี้นั้นความจริงแล้วเกิดขึ้นมานานนับทศวรรษแล้วหนา คาดว่าคงมีอุตมางค์รุ่นโตหลายตนเป็นแน่ พวกมันจึงได้เริ่มอุกอาจขึ้นทุกขณะเช่นนี้”


“อาจมิใช่คูหาเจ้าเป็นแห่งแรกที่ถูกโจมตี ด้วยเพราะพ่อแม่เจ้าระแวดระวังมากนัก มิยอมให้เจ้าออกไปเล่นซนนอกถ้ำ เห็นทีเป็นเพราะล่วงรู้สถานการณ์แล้ว”


“เป็นเช่นนั้นฤๅจ๊ะ” พิรัลนลินถามต่อเสียงค่อย นึกย้อนไปยามเยาว์วัยที่ตนมักทำเพียงเล่นซนเพียงในถ้ำ ไม่เคยได้ย่างเท้าออกมานอกถ้ำแม้เพียงก้าวเดียว ด้วยเหตุผลเช่นนี้หรือ ทั้งพ่อและแม่เฝ้าทะนุถนอมเขาเป็นอย่างดีถึงเพียงนี้ ผลสุดท้ายความเป็น ทุรพล ยังคงพาพ่อแม่พี่น้องตกตายอยู่ดี


“ถูกแล้ว พวกศิษย์พี่ของเจ้าไปถามความเอากับพวกชุมใกล้เคียง พอรู้ความเป็นมา ท่านไกรพนั้นถือเป็นสิงห์ร่วมเผ่าพันธุ์กัน พวกเขาจึงแวะเวียนหาสู่อยู่เป็นนิจ...ยามนั้นเจ้ายังเล็กนัก หลังรู้ข่าวว่าชุมเจ้าถูกบุกรุก พวกเขาช่วยกันออกติดตาม ทว่ามิทันการณ์ ภายในถ้ำถูกทิ้งร้างไปเสียแล้ว พบเพียงซากสามัญสิงห์สองตนจมกองเลือด แลสิงห์อุตมางค์วิปลาสตนหนึ่งเท่านั้น”


“อุตมางค์วิปลาสเป็นไปได้เยี่ยงไรจ๊ะ” พิรัลนลินยังจำได้ติดตา อุตงมางค์ผู้ที่เข้าบุกคูหาตนนั้น ทั้งหนุ่มแน่น มากด้วยแรงกำลัง ความโหดร้ายมากเพียงใด อุตมางค์ผิวเผือกตนนั้นวิปลาสไปแลจบชีวิตด้วยความอนาถถึงเพียงนั้นเชียวหรือ...


“หามีผู้ใดทราบได้ สิงห์ตนนั้นเพียงให้การว่า พอมันเห็นพวกเขาเข้าใกล้อาการคลั่งจึงสำแดงขึ้นมา วิ่งไล่กวดกันจนทะเล่อทะล่าตกเหวไป”


“พิกลนัก...ท่านอาจารย์จ๊ะ ข้าขอไปช่วยงานพี่อาคิราได้ฤๅไม่จ้ะ” อุตมางค์ตนนั้นเมื่อสิ้นชีพแล้ว ความแค้นเคืองต่อกันถือเป็นอันจบสิ้น พบพานกันเพียงชาติภพเดียวนับว่ามากเกินพอ แต่การฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงทุรพลนั้นยังไม่จบสิ้น ซ้ำร้ายยังทวีความร้ายแรงมากขึ้น ผู้ที่ได้รับผลแห่งเรื่องราวนี้อย่างพิรัลมีหรือจักยอมนิ่งเฉยได้


“อันตรายนักเจ้า แลข้าเห็นว่ามิใช่การของทุรพลเช่นเจ้าจักจัดการได้” ได้ฟังคำวอนของศิษย์ ผู้เป็นอาจารย์กล่าวปัดตกโดยไม่ต้องคิดมากความ ด้วยความเป็นห่วงหาใช่กีดกันเพราะวรรณะ


“ถือเป็นการของข้าจ้ะ ท่านอาจารย์ พ่อแม่พี่น้องข้าถูกฆ่าล้างอย่างโหดเหี้ยม ข้ามิอยากให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องมาประสบพบเจอเหตุการณ์ร้ายเช่นข้าอีก ข้าสำนึกตัวดีว่าด้วยชาติกำเนิดแล้ว ข้ามิสามารถตีรันฟันแทงรบพุ่งกับใครเขา เกรงจักไปขัดแข้งขาเสียจนเสียการเท่านั้น หากแต่วิชาความรู้ที่ท่านเมตากรุณาสอนสั่งย่อมช่วยได้ ในระหว่างที่ฤดูของข้ายังมิมาถึง ขอให้ข้าได้สืบทอดความดีงามที่ท่านส่งต่อช่วยเหลือเหล่าสิงห์ผู้กล้าหาญเหล่านี้ด้วยเถิดนะจ๊ะ” พิรัลนลินก้มลงกราบแทบเท้าสิงห์ชรา หวังให้ผู้เป็นอาจารย์เห็นใจ


“เอาเถิด อาจารย์จักปรึกษากับพวกเขาเสียก่อน” อัตรคุปต์ทอดถอนหายใจ ใช้มือประคองสองไหล่บอบบางของศิษย์รักขึ้นมา พิรัลนลินนั้นเฉลียวฉลาด แม้ยามนี้เติบใหญ่ความซนแก่นหายไปตามกาลเวลา เพียงแต่ที่ยังคงไว้หนักแน่นนั้นเห็นจะเป็นความ ดื้อรั้น หากเขาห้ามเจ้าทุรพลตนนี้จักแอบหนีไปเองฤาไม่ เป็นเช่นนั้นจักมิยิ่งอันตรายกว่า ได้ไปโดยมีเหล่าสิงห์มากความสามารถคอยเป็นหูเป็นตาให้ดอกหรือ...


‘ขอบน้ำใจเจ้านัก พ่อสิงห์น้อย ข้ามินึกเลยว่าทุรพลเช่นเจ้าจักมากความสามารถเพียงนี้ อึก หากข้ากลับไปแข็งแรงดังเดิม ข้าจักกลับไปช่วยลูกข้ากลับมา’ ประโยคแผ่วเบาของหนึ่งในผู้บาดเจ็บทำให้พิรัลเข้าใจ ราวทั้งเห็นหนทางของตัวเองอย่างชัดเจน


เหตุการณ์ที่เผ่าพงศ์ของตนเองโดยทำลายจนย่อยยับไม่เคยจางหาย กลิ่นอายความตายและความเคียดแค้นชิงชังยังคงชัดเจน แต่ทุรพลเช่นพิรัลนลินไม่อาจมองเห็นหนทางแก้แค้นได้เลย จนกระทั่งวันนี้ พิรัลนลินรู้แล้วว่าตนทำสิ่งใดได้ แม้จะไม่ใช่ทางตรง แต่มันยังดีกว่าไม่มีสักวิถีทาง สิงห์น้อยจึงตัดสินใจขอออกไปช่วยรักษาเหล่ากองกำลังสิงห์ที่รวมตัวกันกลับไปทวง ทุรพลอันเป็นที่รักกลับคืน...หากสู้รบไม่ได้ เช่นนั้นข้าจักใช้วิชาหมอเป็นกำลังคอยหนุนหลังได้ไม่มากน้อย








                    ขณะของราชสีห์กัญจน์ได้เข้ารับการรักษาภายในคูหาสรรพยาเข้าวันที่สามแล้ว บัดนี้สิงห์ทุกตนล้วนฟื้นพละกำลังของตนได้เกือบสมบูรณ์ ทั้งยังมีอาคิราและท่านอาจารย์ ทำให้พิรัลนลินไม่จำเป็นต้องวิ่งเข้าวิ่งออกเรือนพยาบาลอีก เจ้าทุรพลน้อยจึงหันมาง่วนอยู่ในเรือนเก็บสมุนไพรอันแยกตัวออกมาจากเรือนพักฟื้นแทน ด้วยสองวันที่ผ่านมาการรักษาใช้ตัวยาจำนวนมาก ทำให้สมุนไพรบางชนิดพร่องไปมากจนเกรงว่าจะไม่พอ


ดงว่านยาที่ต้องหาเพิ่มนั้นอยู่ในเขตขัณฑ์ของผู้เป็นอาจารย์ แลไถ่ถามความเป็นไปจากสิงห์เดินทางแล้วว่าในพื้นที่ใกล้เคียงคูหาแห่งนี้การรุกรานยังมาไม่ถึง พิรัลจึงวางใจที่จะออกไปตัดเก็บว่านสมุนไพรนี้มาไว้ใช้เพิ่มเติม ด้วยเมื่อนึกย้อนไปถึงยามคับขัน ตนได้สั่งให้สิงห์ตนอื่นไปเก็บแล้ว กลับได้ว่านชนิดอื่นปะปนจนต้องเสียเวลามาคัดแยก พิรัลจึงตัดสินใจไปด้วยตนเอง


สิงห์น้อยผลัดเปลี่ยนแต่งชุดอย่างรัดกุมด้วยเสื้อแขนกระบอกและโจงกระเบนสีทึบทึม เสริมด้วยกระบุงแบกสำหรับใส่สมุนไพรติดหลัง ร้องเรียกกีหมีสหายรักสี่ขาให้วิ่งตาม


“จันอินไปกัน”


‘หากแผลสมานกันมากกว่านี้อีกนิดคงต้องเปลี่ยนมาใช้น้ำมันไพล’ พิรัลนึกกระหยิ่มในใจเมื่อคิดถึงการรักษาที่ตนมีส่วนร่วม ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่านั้นทำให้ร่างบ้างยกยิ้มภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย


แสงแดดสาดส่องลอดแมกไม้เข้ามากระทบตัว ทำให้ผู้ที่เดินก้มเก็บพืชยาจนเพลินเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อเหลียวมองไปยังกระบุงทรงสูงด้านหลังที่เต็มไปด้วยว่านและสมุนไพรที่ต้องการจนเกือบเต็มแล้ว เจ้าสิงห์น้อยจึงตัดสินใจเดินลัดเลาะแนวไม้ ด้วยความชำนิชำนาญ เพียงไม่กี่อึดใจลำน้ำใสพลันปรากฏสู่สายตา พิรัลรู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อได้รับความชุ่มเย็น ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานคลายไปมากโข ร่างน้อยยอบตัวลงใช้มือวักน้ำจากลำธารให้มาล้างหน้า และลูบตามเนื้อตัว เมื่อได้ความเย็นเข้ามาประพรมตามผิวกาย จิตใจพลันสดชื่นแจ่มใส กลีบปากบางแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างถูกใจ


แฮ่!


สุขใจได้เพียงชั่วครู่ ร่างแบบบางกลับต้องชะงักค้าง คิ้วเรียวขมวดมุ่น เมื่อได้ยินกีหมีเพื่อนยากออกเสียงขู่คำรามจากทางด้านหลัง ตากลมที่ยังไม่ทันเหลียวไปตามเสียง เห็นเงาที่สะท้อนน้ำเป็น ‘คีรี‘ ยืนค้ำร่างของตนอยู่ แววตาที่นักรบหนุ่มทอดมองมานั้นพราวระยับ สะท้อนความกระหายอยาก เสียจนทำให้มฤคินทร์น้อยรู้สึกขนลุกชันไปทั้งกาย


“คีรี เจ้ามีอันใด”


“เอ็งรู้ตัวฤๅไม่ว่า เอ็งช่างงามนักพิรัล แม้ข้าจักผ่านตาสิงห์...ที่เป็นเยี่ยงเอ็งมาหลายตน หากหามีตนใดจับใจข้าเท่าเอ็งเลยหนา “ ไม่ชมเปล่า มือหยาบยังเอื้อมมาไล้ดวงหน้างามแผ่วเบาด้วยความหลงใหล


“เจ้าคิดจักทำอันใด “พิรัลทะลึ่งตัวยืนขึ้น ด้วยท่าทีระแวดระวัง คำเตือนของอินทุยังคงดังก้อง...พิรัลไม่ได้ลืม ทว่ารอบคอบไม่มากพอ


“เอ็งมิรู้ความ ฤๅแสร้งทำเป็นไขสือกันแน่พิรัล เอ็งมิรู้แน่หรือว่าใจข้าคิดเยี่ยงใดกับเอ็ง “



“ข้ามิเข้าใจดอก ถอยไป ”


“หึ เช่นนั้นข้าจักบอกเอ็งเอง...บอกเอ็งด้วยการกระทำเป็นอย่างไรเล่า “ ว่าจบจึงใช้ความว่องไวของตัวเอง ตรงเข้ารวบกอดร่างน้อยไว้แนบแน่น เบี่ยงใบหน้าคมคร้ามฝังลงบนซอกคอรับกลิ่นหอมเนื้อนวลเข้าปอด


“โอ๊ย ไอ้กีหมีสารเลวเอ๊ย! ” เมื่อเห็นเจ้านายโดนรังแก กีหมีหนุ่มไม่รอช้า มันพุ่งโถมตัวเข้าขย้ำกัดแขนสิงห์เต็มเขี้ยว เลือดแดงชาดไหลโชก หากด้วยเผ่าพันธุ์อันต่างชั้น เพียงออกแรงสะบัดน้อยนิดร่างสี่ขาพลันกระเด็นออกอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำคีรียังตรงเข้าเตะมันซ้ำจนเต็มแข้ง


“เจ้าอิน” พิรัลถลาเข้าหากีหมีของตนทันที แต่ถูกคีรีที่ไวกว่าคว้ากระชากแขนน้อยให้ร่างอรชนกลับสู่อ้อมแขนเสียก่อน

“หยุดคีรี มะ มิใช่ว่าเจ้ารังเกียจข้าดอกรึ ” ทุรพลน้อยพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หวังเพียงยื้อเวลาให้มากพอที่สิงห์สักตนจักผ่านมาพบเห็น


“หลงใหลเสียมิว่า ข้าเฝ้ามองเอ็งมาเนิ่นนาน ยิ่งเพลานี้เอ็งจักหนีข้าไปไกลตา หากพบพานอีกคราเอ็งเป็นของสิงห์ตนใดไปแล้วเล่า ข้ามิยอมเหตุใดข้าต้องปล่อยเอ็ง! ” แต่สามัญสิงห์หนุ่มดังมีความมืดบดบัง ความต้องการครอบครองร่างบอบบางนี้มีมากพอที่จะไม่สนไม่กลัวเกรงสิ่งใด


“อย่าทำเยี่ยงนี้คีรี ปล่อยข้าเถิด ข้ามิเต็มใจ หากรักข้าดังปากเจ้าว่าไยถึงได้มาหักหาญน้ำใจกันเยี่ยงนี้ “


“ฤๅเพราะข้าเป็นสามัญสิงห์ฤๅเอ็งจึ่งตัดพ้อ อุตมางค์เท่านั้นฤๅที่สามารถช่วงชิงทุรพลไปได้ “


“มิใช่เพียงสามัญสิงห์ ถึงเป็นอุตมางค์แล้วเช่นไร เป็นอุตมางค์แล้วขืนใจทุรพลได้ฤๅ พวกข้ามีหัวจิตหัวใจหนา” ใบหน้างามอาบไปด้วยหยาดน้ำตา ส่ายปฏิเสธโดยหนักแน่น หากไม่รักใคร่ แม้เป็นคู่ครองชะตาลิขิตพิรัลนลินก็ไม่คิดยินยอม


“ข้ามิสนดอก ข้าสนเพียงว่าเอ็งต้องเป็นของข้า! ”


เมื่อได้ลิ้มรสความหอมหวาน สิงห์หนุ่มยิ่งรู้สึกหูอื้อตาลายปิดกั้นการรับรู้ไปโดยสิ้น คีรีไม่เข้าใจว่าทุรพลมีสิ่งใดพิเศษอุตมางค์คลั่งไคล้ คีรีรู้เพียงเขานั้นหลงใหลในพิรัลเสียจนมิคิดถึงสิ่งใด


แม้พิรัลพยายามขัดขืน ทว่าคล้ายไม้ซีกไม่เจียมตัวหมายจะงัดกับไม้ซุง ไม้ซุงนั้นไม่ขยับ ซ้ำยังยิ่งกดทับแนบแน่น จมูกโด่งและมือไม้ของคีรีปัดป่ายไปทั่วเรือนกาย


‘จูบนี้น่ารังเกียจ สัมผัสนี้ชวนคลื่นเหียน ยิ่งถูกกอดกลับยิ่งเหน็บหนาวร้าวไปถึงใจ มิอบอุ่นเหมือนกอดของแม่เมื่อครั้งเป็นเด็กสักนิด’


หยดน้ำตาแห่งความกลัวและรังเกียจไหลกลิ้งอาบแก้ม หากในสมองกลับหมุนติ้วเพื่อหาทางรอด


‘พิรัลเจ้าจงจำคำพ่อไว้ให้มั่น เจ้าเป็นสิงห์ ต่อให้อ่อนแอเช่นไรเจ้ายังเป็นสิงห์’


เสียงของพ่อดังขึ้นมาในหัว แม้นพิรัลนลินไม่อาจจดจำเหตุการณ์อันเป็นที่มาของคำสอนนี้ได้ แต่เมื่อยามที่ตนเกิดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เจ้าสิงห์น้อยมักจะยกประโยคนี้ของพ่อขึ้นมาเป็นกำลังใจตัวเองเสมอ...


‘เจ้าเป็นราชสีห์ตนหนึ่ง พิรัลเอ๋ย อันกรงเล็กแลเขี้ยวแก้วเจ้าล้วนมีครบครัน จงข่มความกลัวไว้เสียเถิดตัวข้า ต้องมีสักหนทางที่เจ้าจักรอดพ้นจากสถานการณ์อัปยศนี้ได้’


เมื่อคิดได้ พิรัลตั้งจิตข่มความกลัวจนมั่นนิ่ง มือเรียวงามแปลงเปลี่ยนเป็นกลีบเท้าแห่งติณสีหะมันทรงพลังกำลัง อาศัยจังหวะ ความย่ามใจไม่ระวังตัวของอีกฝ่าย ตวัดอุ้งมือเข้าที่ใบหน้าของผู้ที่กำลังมัวเมาอยู่กับกลิ่นกายหอมของตนเต็มแรง เสียงคำรามของคีรีดังก้องทันทีด้วยความเจ็บปวด เป็นจังหวะให้เจ้าสิงห์ร่างบางถีบยันร่างที่คร่อมทับตนอยู่ให้ออกห่าง ร่างใหญ่โตที่ถูกถีบยันซวนเซล้มลงกลิ้งเกลือกไปกับพื้น เมื่อร่างหนัดแน่นที่คร่อมทับพ้นตัว พิรัลจึงรวบรวมแรงกาย อันผลักดันด้วยความตื่นกลัว ให้ร่างแบบบางหลับหูหลับตาวิ่งหนีสุดชีวิต!




ปึก!


ร่างน้อยปะทะเข้ากับอีกร่างที่ตรงเข้ามาพอดีจนเกือบถลาล้มลงกับพื้น ดีที่มือใหญ่จับคว้าฉวยเอวไว้ได้ทันท่วงที


“เจ้าพิรัล เป็นอันใด”


เมื่อกลิ่นหอมจากไม้จันทน์ระรวยฟุ้งที่พิรัลสังเกตถึงกลิ่นนี้ตั้งแต่กลับมาเจอกันคราแรกร่างกายที่พยายามให้มันแกร่งกล้าสั่นสะท้าน น้ำตาลที่ไม่เคยคิดถึงยามต้องเอาตัวรอดไหลพรากราวทำนบพัง ความเจ็บปวด น้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาที่เคยอดทนประดังประเดเข้ามาถาโถมใส่หัวใจดวงน้อยจนแทบรับไม่ไหว


“พี่อาคิรา ฮึก ช่วยข้าด้วย ช่วยข้า”


เพียงกวาดตามองเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แลสิงห์หนุ่มเลือดอาบหน้ากำลังวิ่งโซซัดโซเซตามร่างน้อยมา อาคิราจึงคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้โดยทันที


“ไอ้อัปรีย์! ” เสียงคำรามลั่นของอาคิราพาให้ป่าโดยรอบสั่นครืน เหล่าฝูงนกแตกกระเจิงบินขึ้นสู่ท้องฟ้าฝูงใหญ่ หากสุดเสียงกร้าวก้อง มวลอากาศ รวมไปถึงทุกเสียงป่าอันเซ็งแซ่เงียบสนิทลงไปโดยฉับพลัน แม้แต่สายลมยังไม่อาจพัดโชย เช่นเดียวกับสิงห์หนุ่มผู้มีเลือดอาบหน้า คีรีรู้สึกหวาดกลัวจนขนบริเวณหลังคอชูชันร่างกายหยุดชะงักและอ่อนยวบลงไปกองกับพื้นหมดท่า


“มึงมันสมควรตายไอ้คีรี” อาคิราย่างสามขุมเข้าใส่สิงห์หนุ่ม มือหนาคว้ากระชากหลังลำคอคีรีขึ้นมาด้วยแรงอารมณ์


“อะ อะ อา คิ...”


“พะ พี่อาคิรา อย่าฆ่า พามันไปรับโทษเถิดหนา มือพี่มิสมควรแปดเปื้อนด้วยเลือดมัน” พิรัลค่อยๆ ใช้มือจับเข้าที่ลำแขนของผู้พี่ทำกำลังเดือดดาล อาคิราเหลือบมองผู้เป็นน้องชั่วอึดใจ ไกสรสิงห์หนุ่มหลับมาแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครา มือที่ว่างจึงจับกระชับฝ่ามือน้อยแน่น ลากร่างคีรีที่สติหลุดลอยดั่งผู้ขวัญหายให้ก้าวตาม โดยมีกีหมีหนุ่มตัวโตกะโผลกกะเผลกเดินตาม


อาคิราโยนร่างคีรีลงบนพื้นลานกลางถ้ำ เพลานั้นเหล่าสิงห์หนุ่มในถ้ำเตรียมตัวจักออกไปลาดเลาพอดีจึงพากันหยุดชะงักด้วยความสนเท่ห์ คีรีในร่างบอบช้ำ ถูกอาคิราผู้มีจริตเรียบเฉยลากมาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง


“เกิดอันใดขึ้น ข้าได้ยินเสียงป่าแตก กำลังจักออกไปสำรวจพอดีเทียว”


“ไอ้อัปรีย์มันจักหักหาญน้ำใจเจ้าพิรัล” ทันทีที่สิ้นคำ เสียงก่นด่าพูดคุยออกความเห็นดังขรม


“ไอ้คีรีมึง! เข้าจักจับมันตรวนไว้ รอให้ท่านอัตรคุปต์ท่านตัดสินความ พวกเราจับมันไป! ” เหล่าจตุรสิงห์ล้วนไม่มีผู้ใดยอมรับการข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า โดยมิใช่ ‘การเข้าฤดู ‘ หากสิงห์ผู้นั้นมิได้มีหัวจิตหัวใจด้านชาและเต็มด้วยอคติ สิงห์คีรีจึงไร้ผู้ใดเห็นใจ ซ้ำยังถูกว่าจาแสบร้อนสาดไล่หลังไปจนถึงที่จองจำ


“ข้าขอพาเจ้าพิรัลไปพักก่อน ฝากทางนี้ด้วย”


“ไปเถิด”


อาคิราจับจูงมือพาน้องน้อยที่กำลังขวัญเสียมาส่งยังเรือนนอน แม้จะชะงักยามต้องพ้นเขตประตูเรือนบ้าง แต่ร่างกายที่ยังสั่นสะท้าน และหยาดน้ำตาที่ยังพรั่งพรู


“เจ้าพิรัล” น้ำเสียงทุ้มทอดอ่อนเมื่อน้องน้อยยังคล้ายไร้สติ


“ได้ยินเสียงพี่ฤๅไม่เจ้า พี่ แลเจ้าจันอินนั้นอยู่ตรงนี้ เจ้าปลอดภัยแล้วหนา”


“งืด” กีหมีตัวใหญ่ หมอบลงต่ำ สายตาดุดันแหงนมองผู้เป็นนาย ครางรับลูกแผ่วเบา ซบพิงหัวใหญ่เข้ากับขาเรียวอย่างหมดท่าความน่าเกรงขาม


“ฮึก มันน่ากลัว ฮึก ทำไม ทำไมทุรพลจึงต้องเจอเรื่องราวแบบนี้ พวกข้าผิดอันใด”


“พวกเจ้ามิผิด หามีความผิดแม้กระพี้ ผู้ที่ผิดคือผู้ที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ใช้อำนาจฤทธีรังแกผู้อื่นนั่นจึงผิด”


“ฮึก” พิรัลเวลานี้ทั้งหวาดกลัวและอับอาย ร่างน้อยคู้ห่อตัวเข้าหากันจนน่าสงสาร


“โอ๋ เจ้าพิรัล เจ้าพิรัลมิเป็นอันใดหนา โอ๋ๆ มิมีอันใดแล้วหน้า พี่อยู่ตรงนี้อยู่กับเจ้า เจ้าปลอดภัยแล้ว ขวัญเอ๋ยขวัญมา” คำปลอบโยนเมื่อยามเยาว์วัยถูกยกขึ้นมาพร้อมอ้อมกอด คล้ายมนต์วิเศษอันแสนอบอุ่นปัดเป่าความหวาดกลัวภายในจิตใจค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย จนผู้ที่ได้รับคำปลอบโยนนิ่งสนิท ร่างน้อยค่อยๆ ผล็อยหลับไปทั้งที่น้ำตายังคงเปียกชื้น


กระทั่งเห็นว่าพิรัลนลินหลับคาอกไปแล้ว อาคิราจึงค่อยๆ ผละออก วงแขนแข็งแรงช้อนร่างบอบบางขึ้นอุ้มพาเข้าเรือนนอน จัดท่าทางจนมั่นใจว่าน้องน้อยจะสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายแล้ว จึงล่าถอยออกจากเรือนนอนของทุรพลน้อยไปด้วยความเงียบงัน


เหตุการณ์ที่พิรัลต้องพบเจอทำให้สิงห์หนุ่มคิดว่าบัดนี้ถึงเวลาที่เขาต้องมอบ ‘สิ่งนั้น’ ให้แก่ทุรพลน้อยเบื้องหน้านี้เสียที




“ตื่นแล้วรึเจ้า”


“ข้าหลับไปนานฤๅไม่จ๊ะ”


“ครู่ใหญ่ ข้าเห็นควรว่าเจ้าควรพักผ่อน จึงมิได้ปลุก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบเรื่อย พิรัลหายใจสะดุดไปชั่วขณะ บัดนี้พี่อาคิรากลับมาเฉยชาและห่างไกล แม้คำเรียกขานตัวนั้นยังเปลี่ยนไป มิใช่ ‘พี่ ‘ ดั่งวันวาน...เมื่อครู่ก่อนหมดสติ ข้าคงสติเตลิดจนฟั่นเฟือนไปเสียแล้วกระมัง


วางตัวต่อกันเช่นนี้ แม้นยืนอยู่ใกล้เพียงช่วงแขนคว้า แต่ในความรู้สึกของสิงห์น้อยนั้น พี่อาคิราของตนช่างห่างไกลราวกับเจ้าตัวได้ลอยกลับขึ้นไปยังฟากฟ้าเบื้องบนจนเกินเอื้อมคว้าได้แล้ว...อ้อมกอดอุ่นก่อนหน้า เป็นเพียงความเพ้อพกไปเช่นกันฤๅ


“จ้ะ” เมื่อได้รับความเย็นชา พิรัลนลินจึงกลับมาสงวนท่าทีประหยัดคำพูดเช่นกัน...แม้น้อยใจ แต่มิยากมากความให้ผู้เป็นพี่ลำบากใจ


“เจ้าพิรัล ข้ามีสิ่งหนึ่งจักมอบให้ แม้ยังมิถึงเพลานั้น แต่เจ้าจงสวมไว้อย่าได้ถอดเป็นอันขาด มีเพียงผู้เดียวที่จักถอดมันได้ นั่นคือคู่ของเจ้าเท่านั้น”


พิรัลก้มพิจารณา สร้อยคอรูปร่างแปลกตาในมือใหญ่อย่างสนใจ สร้อยคอเส้นนี้ เกิดจากสายทองคำไขว้ถักพันเกี่ยวกันจนเกิดเป็นลวดลายประณีตละเอียดลออเป็นแพ ทั้งยังประดับด้วยมรกตน้ำงาม ทำให้มันยิ่งสวยเด่นสะดุดตา หากเส้นวงนั้นกลับดูสั้นกว่าปกติเสียมากหน่อย คะเนจากสายตา เมื่อใส่แล้วคงโอบรัดเข้ากับรอบลำคอพอดี


...สร้อยคอลักษณะนี้ มิใช่ มิรู้จัก เพียงแต่เพิ่งได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองในเพลานี้...


...เพลาที่รับรู้สถานะของตัวเองอย่างแจ้งชัด กรองคอนี้คงเปรียบเสมือนห่วงรัด ให้ตนระลึกถึงสถานภาพของตน ในทุกช่วงเวลาที่หายใจเข้าออก ว่าข้านี้คือ ทุรพลสิงห์...


...ทุรพล สิงห์ชนชั้นล่าง อันเป็นเครื่องมือให้กำเนิด...ผู้ให้การบำรุงบำเรอ มิใช่บุตรธิดาที่ผู้เป็นบิดามารดาจักสามารถภาคภูมิใจ มิใช่ภรรยาที่ผู้เป็นเจ้าของชีวิต เจ้าให้ดวงฤทัย ได้ยกย่องเชิดชู


“สวมเสียเลยเถิดพิรัล สิ่งนี้จะช่วยปกป้องเจ้า”


“จ้ะ ข้าจักสวมไว้” พิรัลยอมรับมันไว้แต่โดยดี สวมไว้ย่อมดีแก่ตัวเองมากกว่า และมันยังเป็นของจากพี่อาคิรา มีหรือที่พิรัลนลินจักปฏิเสธ


“ขอสมานะเจ้า” คำขออย่างให้เกียรติเช่นนี้ พิรัลไม่เคยได้รับจากสิงห์ตนอื่นมากนัก ที่ผ่านมาหากพิรัลไม่ระวังตนย่อมโดยฉกฉวยโอกาสอยู่เป็นนิจ ความอ่อนโยนเช่นนี้ทำให้เจ้าสิงห์น้อยรู้สึกใจสั่นไหว


มือใหญ่จับทาบแพทองโอบรอบลำคอระหง คำกล่าวร่ายคาถาในลำคอแผ่วเบาสำทับอีกชั้นขณะสวมใส่ หลังพิรัลนลินพยักหน้าส่งสัญญาณอนุญาต


“ภายภาคหน้านั้นยากลำบากนักหนา รักษาตัวให้ดีพิรัล”


“ขอบพระคุณจ้ะ” สองมือกระพุ่มไหว้ผู้พี่อย่างอ่อนน้อม


“ข้าไปละ อยู่สองต่อสองเช่นนี้หางามไม่ เจ้าจักเสื่อมเสีย”


“จ้ะ” แม้อาคิราจากไปแล้ว ใจของพิรัลนลินยังสั่นระรัว ใบหน้าเนื้อชมพูขึ้นสีแดงก่ำ...แม้บางคราจักเย็นชาหน้าตาย ทว่ายังคงหลงเหลือการกระทำบางอย่างที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยน


“ข้าอิจฉานางสิงห์ผู้ที่จักได้พี่อาคิราเป็นคู่ครองยิ่งนัก”




+++++++++++++++++++++++++++++++++++


สิงหา...ถึงนักอ่าน


ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า ค่ะ







หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-09-2019 22:43:22
น่าเห็นใจ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 09-09-2019 12:08:27
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-09-2019 13:12:08
แล้วใครคือเนื้อคู่ล่ะทีนี้
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 09-09-2019 14:02:42
ตามจ้า o13
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 09-09-2019 20:49:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 09-09-2019 23:37:12
ลงเรือพี่อาคิราแล้วนะคะ เราจะเกาะเรือนี้!!!!
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 10-09-2019 10:18:08
ขอเลยได้ไหมมมม เขียนดีมากอ่ะ อ่านทุกตัวอย่างตั้งใจและเพลินมากๆๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๕ ขืนใจ {๐๘/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 10-09-2019 11:27:36
มาลงชื่อสมัครเป็นFC :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๖ สัญญาณเตือน {๒๐/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 20-09-2019 20:38:25
บทที่ ๖
สัญญาณเตือน






                    หลังจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น พิรัลนลินไม่มีโอกาสได้พบกับคีรีอีกเลย เพียงทราบว่าสิงห์ตนนั้นได้รับโทษแล้ว พิรัลจึงไม่สนใจหาความ ด้วยไม่นึกอยากต้องมาเกี่ยวข้องให้รู้สึกระคายใจอีกแม้เพียงน้อย


เมื่อร่างกายหายจากความอ่อนเพลีย พิรัลนลินจึงลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตนเช่นปกติ ในระยะนี้สิงห์น้อยรู้สึกมีกำลังกายกำลังใจมากขึ้น เมื่อคำขอร้องของตนนั้นเป็นผล อาจารย์อัตรคุปต์ยินยอมให้ตนติดตามช่วยเหลือกองกำลังสิงหราชในที่สุด


ร่างบอบบางย่างเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังเรือนผู้ไข้ ตาคมกวาดมองบรรยากาศภายในคูหายามเช้าโดยรอบ จำนวนมฤคินทร์ที่เข้ามาขอพักพิงเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกวันจนเริ่มแออัด โดยมากมักเป็นสามัญสิงห์และทุรพล บ่งบอกถึงสถานการณ์ความเลวร้ายขณะนี้ได้เป็นอย่างดีเสียจนพิรัลหวาดหวั่นใจ


“นั่นรึทุรพลที่เสนอตัวติดตามขบวนท่านกัญจน์ แลท่านนิลปารัชญ์” เสียงพูดคุยดังขึ้นจากข้างเรือนเฝ้าไข้ ทำให้ทุรพลน้อยชะงักขาที่จะก้าวเข้าสู่ตัวเรือน คิ้วได้รูปเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อรับรู้ได้ว่าบทสนทนานี้กล่าวถึงตน และดูจะไม่ใช่ในแง่ที่ดีนัก


“จักไปช่วยรึไปเสนอตัวกันแน่หนา คิกๆ”


“เห็นว่ายังมิทันถึงฤดู รู้กระสันยากเสียแล้วรึ”


“ว่ามิได้หนา ยังมิถึงฤดู แต่มีผู้บุกเข้าหาแล้วหนาเจ้า”


“ข้ารู้สึกโชคดีนักที่ท่านอาคิรามิใช่อุตมางค์”


“อย่าได้วางใจไป แม้เป็นสามัญสิงห์ก็ยังอดใจมิไหวเทียวหนา ดูไอ้คีรีนั่นปะไร” เหลือบหางตามองตามเสียง กลุ่มผู้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสนั้นประกอบด้วยทุรพลหญิงหนึ่งบุรุษหนึ่งแลสามัญสิงห์สาวอีกสองตนหน้าตาไม่คุ้นเคย ทั้งกิริยามารยาทผิดแผกไปจากศิษย์แห่งคูหาสรรพยา ดูทีแล้วไม่พ้นเหล่าผู้อพยพหนีร้อนมา ทั้งสี่ยืนจับกลุ่มส่งสายตามาทางตน เห็นได้ชัดว่าจงใจดักรอเพื่อการนี้โดยเฉาะ เรียวปากอิ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ยอบตัวลงกระซิบสั่งคู่หูสี่ขา เสียงแผ่ว


“ไปจัดการ” กีหมีตัวโตพองขนฟูตั้ง อ้าปากกว้างวิ่งตื๋อเข้าใส่กลุ่มมฤคินทร์ร่างบอบบางทันทีหลังได้รับคำสั่ง ด้วยความน่าเกรงขามของรูปลักษณ์และคมเขี้ยวขาว ครั้นจะออกตัววิ่งหนี กีหมีตัวนั้นยิ่งทำท่าแยกเขี้ยวคล้ายกระโจนใส่ ทำให้แข่งขาแข็งไปหมด ทำได้เพียงยืนนิ่งตัวสั่นร้องเรียกเจ้านายของมันให้มาจัดการปากคอสั่นเท่านั้น


แฮ่!


“ว้าย! พิรัลมานำกีหมีของเจ้าออกไปเสีย! ”


“มันมิได้จักทำอันตรายพวกเจ้าดอก มันคงจักอยากบอกพวกเจ้าเท่านั้น ว่าหากพูดสิ่งดีมิได้แล้วไซร้ควรรู้จักเงียบปากเสีย”


“เจ้าพิรัล! อย่าคิดว่าพวกข้ารู้มิทันเจ้าหนา ทำเป็นว่าเก่ง ว่าประเสริฐนักหนา คิดหมายท่านกัญจน์ ฤๅท่านนิลปารัชญ์เล่า” แม้มีกีหมีน่าหวาดกลัวยืนขวางหน้า แต่ความริษยาภายในใจกลับผลักดันริมฝีปากให้ไม่ยอมแพ้


“ข้าคิด ฤๅเจ้าคิด ข้ามิพูดบอกเจ้าไยจึงมารู้จิตรู้ใจข้า เจ้าพ่นพล่ามออกมา หากมิคิดในหัว ไหนเลยจักเอ่ยออกมาได้ เช่นนี้แล้วผู้ใดกันหนาที่คิด”


“พิรัล! ”


“อีกประการ ข้ามิได้ต้องการให้ผู้ใดมาสรรเสริญ ลำพังเป็นทุรพลนั้นโดนสิงห์วรรณะอื่นเดียดฉันท์อยู่แล้ว ไยพวกเจ้าทั้งสองที่เป็นทุรพลด้วยกันจึงยังว่าร้ายต่อกันอีกเล่า เช่นนี้จักคิดหวังให้ผู้อื่นมองดีได้รึ เหตุการณ์ที่เผชิญอยู่ดังอัคคีผลาญลามไปทั่วมากน้อยล้วนร้อนกายใจด้วยกันทั้งสิ้น พวกเจ้ายังต้องหนีมาซ่อน ณ ที่นี้ มิใช่ฤๅ หากหาได้มีใจคิดช่วยกันดับไฟแล้วจงนิ่งเสียเถิด อย่าได้ทำตัวเป็นไฟกองเล็กขัดแข้งขัดขากันเลย ไปเจ้าจันอิน”


พิรัลนลินว่ากราดก่อนจะเดินเลี่ยงหนีมาเสีย สิงห์น้อยไม่อยากต่อความ ได้แต่ทอดถอนหายใจคล้ายปลดปลง เหตุการณ์ลุกชิงทุรพลที่เกิดขึ้น ทำให้ทุรพลได้รับกระแสความเกลียดชังจากเหล่าสามัญสิงห์ที่ได้รับความสูญเสียบางตน โดนกล่าวโทษด่าทอว่าเป็นต้นเหตุอยู่เป็นนิจ ที่ผ่านมาพิรัลนลินนั้นทำได้เพียงวางท่านิ่งเฉย ราวกับตนจับปฏิกิริยาเหล่านั้นมิได้ แม้น้ำคำกระทบกระเทียบเผ็ดร้อนก็ทำเพียงไม่ได้ยิน จะกล่าวว่าสิงห์น้อยเคยชินจนด้านชานั้นเห็นจะไม่ถูกเสียทีเดียว ทุกครั้งที่ต้องพานพบกับกิริยาดังนี้ พิรัลรู้สึกเจ็บปวดในอกอยู่เสมอ แต่เพราะการนิ่งเฉยเป็นทางออกที่ดีที่สุด สิงห์น้อยจึงแสร้งบื้อใบ้มิรู้เห็นเสียก็เท่านั้น แต่ครานี้เป็นทุรพลด้วยกันพิรัลนลินจึงไม่คิดทน ตอกกลับไปบ้างให้แสบคันพอคิดได้ ทว่าเห็นอาการดิ้นเร่าและแววตาเคืองขุ่นที่ส่งมาแล้ว สิงห์น้อยคิดว่าคงเสียเปล่า...


พิรัลนลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นัยน์ตากลมหลับลงนิ่งนานกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อปรับอารมณ์ของตนเองให้กลับมาคงที่ ด้วยยังมีสิงห์บาดเจ็บรอให้ดูแลบาดแผลอีกหลายตน จนกระทั่งอารมณ์ร้อนรุ่มคลายลง ทุรพลน้อยจึงย่างเท้าเข้าสู้เรือนผู้ไข้พร้อมล่วมยาในมือ งานของพิรัลในเช้านี้เริ่มจากอุตมางค์สิงห์หนุ่มอย่าง ราชสีห์กัญจน์ หนึ่งในต้นเหตุการณ์ปะทะฝีปากรับอรุณ เป็นรายแรก


“ขอสมานะจ๊ะ” พิรัลยอบตัวลงนั่งหลังกล่าวขออนุญาตสิงห์หนุ่มเพื่อทายาบาดแผลบนแผ่นหลังกำยำ


“ตามสะดวกเถิดเจ้า” ราชสีห์หนุ่มส่งยิ้มให้ทุรพลน้อยเป็นการอนุญาต


“บาดแผลสมานโขแล้ว ยามขยับรู้สึกขัดยอกอยู่ฤๅไม่จ๊ะ”


“หามีแล้วเจ้า ที่ข้าหายเร็วเช่นนี้คงเพราะน้ำหนักมือเจ้าเบายิ่งนัก แลเจ้าเล่าเจ็บมากฤๅไม่” ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มเหลือบสายตาลงมองรอยช้ำบนข้อมือเล็ก เรื่องที่เกิดขึ้นกับพิรัลนลินเมื่อวันก่อน เขารับรู้และโกรธแค้นแทนทุรพลน้อยตนนี้อยู่มากโข


“ข้าหาได้เป็นอันใดจ้ะ ดีที่พี่อาคิรา แลเจ้าจันอินคอยช่วยไว้”


“เช่นนั้น เมื่อครู่เล่า” เสียงทุ้มเถียงกันด้านนอกนั้นราชสีห์หนุ่มได้ยินเต็มสองหู เมื่อมองตามพบว่าสิงห์เหล่านั้นหาใช่สิงห์ในปกครองของตน จึงไม่อาจกระทำการลงโทษสิ่งใดได้


“เสียใจมากกว่าจ้ะ” พิรัลนลินยอมรับตามตรง พร้อมเผยยิ้มฝืดเฝื่อน


“ข้าอยากเร่งวันคืนให้หายบาดเจ็บเร็วขึ้นนัก นอกจากไอ้พวกสิงห์ทรราชแล้ว พวกต่ำช้าเยี่ยงไอ้คีรีข้าจักจัดการเสียให้สิ้น” สายตาลึกซึ้งที่ราชสีห์หนุ่มส่งมานั้นชัดเจนเสียจนทุรพลน้อยรู้สึกตัว พิรัลนลินเสหลบตากลับไปมองยังบาดแผล แล้วส่งยิ้มเบี่ยงความไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจต่อกัน


“เช่นนั้นท่านกัญจน์ต้องหมั่นทายาจ้ะ ท่านกัญจน์ฟื้นตัวเร็วนัก ยิ่งได้ยาขนานนี้ท่านอาจารย์ลงมือเตรียมให้ อีกมิกี่เพลาแม้แต่ร่องรอยคงมิหลงเหลืออีก”


“พวกข้าติดหนี้น้ำใจท่านอัตรคุปต์มากมายนัก แลเจ้าด้วยหนาเจ้าพิรัล”


“ล้วนเป็นความเต็มใจของพวกเราจ้ะ” พิรัลยิ้มรับอีกครา ก่อนขอแยกตัว


ตอนนี้พิรัลนลินหมายมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าร่วมกลุ่มยับยั้งราชสีห์ทุรยศในครั้งนี้ นอกจากได้เป็นส่วนหนึ่งในการล้างแค้นให้ครอบครัวแล้ว ทุรพลน้อยจะสามารถใช้มันเป็นการพิสูจน์ตัวเองให้สิงห์ทุกผู้ทุกตน โดยเฉพาะทุรพลด้วยกันได้รับรู้ว่าสิงห์ชนชั้นวรรณะเช่นตนนั้นมีคุณค่าเช่นกัน






                    และแล้ววันที่ต้องเดินทางก็มาถึง เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้า ขบวนของราชสีห์หนุ่มอันประกอบไปด้วย กลุ่มนักรบบัณฑูรสีหะ ในความปกครองของกัญจน์ราชสีห์ ราชสีห์นิลปารัชญ์ อาคิรา แลพิรัลนลิน ก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง


ร่างโปร่งบางกระชับห่อผ้าบนไหล่ กวาดสายตาไปรอบกายช้าๆ เป็นครั้งสุดท้าย ด้วยไม่รู้ว่าตนจะได้กลับมายังคูหาแห่งนี้ได้เมื่อใด แม้ถ้ำสรรพยาแห่งนี้จะไม่ใช่ที่เกิด แต่สถานที่แห่งนี้คือที่ที่พิรัลเติบโตคลุกคลีมาทั้งชีวิต จนแม้นหลับตาลงภาพทุกซอกหลืบในสถานที่แห่งนี้ก็เด่นชัดมิเพี้ยนผิดแม้สักองคุลี


“ท่านเขมอารัณย์เล่าจ๊ะ” เมื่อพินิจมองขบวนสิงห์ ทำให้พิรัลนลินสังเกตได้ว่า บัดนี้ในขบวนได้ขาดคนธรรพ์ผู้สร้างสีสันไป...มิน่าเล่า ถึงได้รู้สึกเงียบสงบกว่าที่ควรเป็น


“อย่าได้สนใจเลยเจ้าพิรัล คนธรรพ์ผู้นั้นไปมาว่องไวดั่งลมหอบ เอาแน่เอานอนมิได้ดอก” กัญจน์ที่คอยท่าอยู่แล้ว ไม่รอช้าที่จะเป็นผู้ไขความสงสัย เพลานี้สิงห์หนุ่มกลับมาแข็งแรงดังเดิม บาดแผลบนร่างกายกำยำเหลือเพียงริ้วสะเก็ดเพียงเล็กน้อย ราชสีห์หนุ่มที่หาโอกาสจะได้มีโอกาสพูดคุยกับพิรัลนลินเตรียมชวนคุยต่อ ทว่าความมาดหมายของสิงห์หนุ่มเป็นอันต้องสะดุด เมื่ออาคิราเดินเข้ามาพรากเจ้าพิรัลนลินเสียว่องไว จนเผลอคิดเป็นเล่นว่าสามัญสิงห์ตนนี้จงใจ


“ไปล่ำลาอาจารย์เสียพิรัล เราจำต้องเดินทางแล้วเจ้า”


“จ้ะ”


“ศิษย์ขอกราบลาท่านอาจารย์” พิรัลนลินและอาคิรา ก้มลงกราบแทบเท้าของผู้เป็นอาจารย์


“เจริญสุขหนาเจ้า ข้าขออำนวยพรให้ทุกผู้ตน จงประสบผลสำเร็จดังหวัง นำความสงบสุขคืนแก่ สีหมุข ด้วยความราบรื่น” ฝ่ามืออุ่น แตะลูบลงบนกระหม่อมศิษย์น้อยเป็นการล่ำลาครั้งสุดท้าย พิรัลนลินที่ต้องจากลาจากคูหาเป็นครั้งแรกรู้ในใจหายเสียจนรู้สึกแสบร้อนนัยน์ตา ทุรพลน้อยเงยสบมองใบหน้าของอาจารย์อีกครั้ง สลักราชสีห์ชราลงกลางดวงใจด้วยความรู้สึกสำนึกถึงบุญคุณในทุกลมหายใจเข้าออก




เมื่อออกพ้นจากปากถ้ำที่โอบอุ้ม พ้นเขตขัณฑ์ของราชสีห์อัตรคุปต์มาแล้ว พิรัลนลินจึงหยุดเท้าตัวเองไว้ ยอบกายลงกอดร่างกีหมีคู่หูไว้แน่นนาน


“เจ้าจันอิน เราต้องลากันตรงนี้หนา หนทางข้างหน้ามิอาจรู้ได้ แลยามนี้เจ้าเติบใหญ่เต็มตัวแล้ว จงกลับคืนสู่ธรรมชาติของเจ้าเสีย รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีหนากัลยาณมิตรของข้า” เสียงหวานสั่นสะท้านจวนเจียนร่ำไห้ มือเรียวลูบกลุ่มขนฟูหนาสีเหลืองทองเป็นครั้งสุดท้ายแล้วตัดใจผละจาก


กีหมีหนุ่มฟังความรู้ภาษาทำเพียงส่งเสียงครางเครือแผ่วเบา หมอบราบลงบนพื้นดินดวงตาแห่งนักล่าหม่นหมอง นั่งมองผู้ที่ตนยกเป็นเจ้านายเดินจากไปจนลับตา จึงวิ่งโผทะยานเข้าป่าพงไปเช่นกัน




การเดินทางในเวลาต่อมาก็ยังคงเป็นไปอย่างราบเรียบเงียบเชียบ เชื่องช้าไม่เร่งร้อน ด้วยแม้เป็นเหล่าสิงห์วัยฉกรรจ์ แต่บางตนยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ ใช้เวลาถึงกึ่งสัปดาห์ทั้งหมดจึงมองเห็นปากถ้ำแก้วอันเป็นอาณาเขตที่ราชสีห์ทั้งหลายใช้เป็นศูนย์รวบรวมกำลัง


ยามก้าวผ่านเขตอาคมที่กางกั้นปากถ้ำเอาไว้ สภาพแวดล้อมโดยรอบพลันแปลงเปลี่ยน ภายในถ้ำแห่งนี้กว้างขวางโอ่อ่า โดยจุดสนใจที่ดึงสายตาของผู้มาเยือน หนีไม่พ้นเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางคูหา ด้านข้างทั้งซ้ายขวามีเรือนน้อยใหญ่รายล้อมลดหลั่นไล่ระดับอย่างเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกเป็นชุมชนเพื่อการอยู่อาศัยมากกว่าถ้ำของอาจารย์อัตรคุปต์ที่ตนจากมา และใหญ่โตมากกว่าบ้านเกิดของพิรัลหลายเท่าตัว พิรัลนลินเข้าใจแล้วว่านี่คงเป็นอีกประการหนึ่งของความต่างระหว่างชุมที่ปกครองโดยอุตมางค์ และชุมที่ไร้อุตมางค์


ทุรพลน้อยไล่สายตาไปรอบกาย เหล่ามฤเคนทร์ในร่างมนุษย์ที่ต่างพากันหยุดยืนมองการมาเยือนผู้มาใหม่อยู่นั้น แม้มีมนุษย์สิงห์ผิวสีอื่นปะปนบ้าง หากส่วนมากล้วนมีผิวพรรณขาวผุดผ่องราวเปลือกหอยสังข์ ร่างกายสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างามไม่เว้นแม้แต่ที่ยังเป็นเด็กรุ่น เป็นเอกลักษณ์ประกาศในตัวเองว่าคูหาแห่งนี้คือถ้ำของไกรสรราชสีห์ เผ่าพันธุ์เดียวกับพี่อาคิรา


ด้วยกว่าจะมาถึงถ้ำ นั้นได้เข้าสู่ช่วงเวลาเย็นย่ำมากแล้ว หลังจากตัวแทนผู้ครองคูหาออกมาต้อนรับขับสู้ขณะเดินทางเรียบร้อยแล้ว พิรัลจึงแยกตัวออกมาเติมเต็มความหิวด้วยผลไม้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ เช่นเดียวกับท่านนิลปารัชญ์ ซึ่งเป็นสิงห์มังสวิรัติเช่นกันจนอิ่มท้อง ส่วนห้องหับภายในเรือนถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างเรียบร้อย เหล่าสิงห์ในขบวนเดินทางจึงพากันแยกย้ายพักผ่อนร่างกาย จากการรอนแรมเดินทางเพื่อเอาแรง


ด้วยถ้ำของราชสีห์ชั้นอุตมางค์เป็นถ้ำวิเศษ โดยมากจึงมักถูกเนรมิตให้สะท้อนทัศนียภาพภายนอกเข้ามาภายในคูหา ดังนั้นเมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงราตรีกาล พิรัลนลินจึงสามารถมองเห็นเหล่าดวงดาวที่พากันส่องแสงระยิบเกลื่อนฟ้า ล้อรับขับแข่งกับแสงจันทร์นวล จนฟากฟ้าเบื้องบนพริบพราวราวอัญมณี ด้านนอกเรือนบนลานกว้างกลางคูหาแก้วยังคงมีสิงห์วัยหนุ่มนั่งก่อกองไฟจับกลุ่มสนทนากันแผ่วเบา ทอดสายตามองไกลไปยังเรือนหลังน้อยบ้างเริ่มดับไฟตะเกียงภายในเรือนของตนบ้างแล้วเช่นเดียวกับพิรัล เมื่อขึ้นจากท่าน้ำประจำเรือนหลังชำระล้างร่างกาย เนื้อตัวอันเหนอะหนะหนักอึ้ง จึงผ่อนคลายเบาสบายตัว เจ้าสิงห์น้อยนั่งลงหน้าตั่งวางเครื่องหอม มือเรียวเก็บรวบผมยาวของตนมาถักเป็นเปียหลวมๆ ไว้ด้านหลัง สิงห์ทั่วไปมักมีผมยาวตามสภาพร่างเมื่อยามเป็นมฤเคนทร์ที่มีแผงคอฟูสวย ความยาวนั้นล้วนแล้วแต่ใจชมชอบ บ้างยาวเพียงไหล่ บ้างเพียงกลางหลัง แต่พิรัลนลินนั้นเมื่อครั้งยังเยาว์ ทุรพลน้อยจำได้ว่าแม่รักเส้นผมของเขามาก นางสิงห์บุษบันมักหวีสางลงน้ำมันหอมจนผมลูกน้อยของนางเป็นเงางามอยู่เสมอ พิรัลนลินจึงคอยดูแลรักษาผมของตนที่แม่ชอบไว้อย่างดีจนคลอเคลียบั้นเอว เมื่อสิงห์น้อยจัดการกับเส้นผมของตนเรียบร้อย จึงโน้มตัวลงเป่าเปลวไฟจากปลายเทียน


เพียงชั่วไฟดับ เจ้าสิงห์น้อยพลันรู้สึกกระสับกระส่าย ภายในทรวงอกร้อนวูบดั่งไฟสุม เหงื่อใสไหลซึมตามไรผมจนชื้นเปียก ดวงใจระรัวสั่นจนแข่งขาอ่อนแรง เจ้าตัวเม้มปากแน่น แข็งใจเดินไปวักน้ำในคนโทมุมห้องเข้าสู่ใบหน้าและลูบเนื้อตัว แล้วค่อยผ่อนลมหายใจเข้าออก เพื่อควบคุมตัวเองให้สงบลง...พิรัลนลินรู้ดี มันคือสัญญาณเตือน


...ได้โปรดเถิดตัวข้า เทวดาฟ้าดินแลองค์อินทร์ผู้ทรงเมตตา ช่วยชะลอ ‘มัน’ ไว้อีกสักหน่อย ขอโอกาสให้ข้าได้ช่วยเหลือ แลปลดแอกตนเองจากเหตุการณ์เลวร้ายครานี้ไปก่อนด้วยเถิด...


กว่าจะสามารถข่มตาให้หลับลงได้นั้น สิงห์น้อยต้องใช้เวลาสงบสติอารมณ์ตัวเองจนค่อนคืน แต่ภารกิจที่ตนมีทำให้สิงห์พลัดถิ่นมิสามารถพักกายสู่ห้วงแห่งนิทรารมณ์ได้นานดั่งต้องการ ร่างแบบบางอาศัยเพียงน้ำฉ่ำเย็นรินรดใบหน้าสร้างความสดชื่น แล้วสั่งตัวเองลุกขึ้นมาตระเตรียมอุปกรณ์สำหรับทาผิวให้เหล่าสิงห์ที่บาดแผลยังไม่หายสนิทดี แต่เช้าตรู่


เสียงกุกกักผสมเสียงพูดคุยดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าผู้ต้องได้รับการรักษามาถึงแล้ว ประจวบกับที่ร่างบางเตรียมยาเสร็จพอดิบพอดี พิรัลนลินจัดแบ่งขี้ผึ้งยาแจกจ่ายให้แก่สิงห์ทุกตนอย่างถ้วนทั่ว


“เพลานี้แผลของพวกท่านดีขึ้นมาก พี่อาคิราจึงทำขี้ผึ้งไว้ให้พวกท่านใช้แทน ทาบริเวณแผลทุกเช้าเย็นนะจ๊ะ หากหมดเมื่อใดมาขอปันไปเพิ่ม หมั่นทาอย่าได้ขาดจนกว่าแผลจะหายสนิทนะจ๊ะ”


“ขอบน้ำใจเจ้าหนาพิรัล” บรรดาสิงห์หนุ่มต่างขอบอกขอบใจทุรพลน้อยด้วยมิตรไมตรีอันดีงาม อย่างที่พูดได้ว่าผิดแผกจากสิงห์ชุมอื่นพึงกระทำ โดยส่วนใหญ่หากไม่เฉยเมยไปเสีย ก็ออกอาการดูถูกเหยียดหยันหรือจ้องเอาเปรียบกันร่ำไป...เช่นนี้คงถูกดังคำที่ว่า หัวเป็นเช่นไร หางย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ผิด


“แผลข้าอยู่ด้านหลัง มิใคร่ถนัดนัก รบกวนเจ้าช่วยทีได้ฤๅไม่เล่า” กัญจน์ราชสีห์รับสีผึ้งไว้ในมือแล้ว กลับไม่ยอมจากไป สิงห์หนุ่มเมื่อเห็นว่ายามอยู่ที่นี่ พิรัลไม่มีงานรักษาล้นมือเท่าที่คูหาสรรพยา เขาจึงกล้าที่จะเอ่ยปากร้องขอ


...แม้ความจริงแผลของกัญจน์จะมิต้องทาหยูกยาใดแล้ว แต่ความสำออยเพื่อให้ได้ใกล้ชิดทุรพลน้อยอีกสักหน่อย คงมิมากไปกระมัง


“ได้จ้ะ”


“เจ้าพิรัล เจ้าผสมดอกไม้ลงในขี้ผึ้งด้วยฤๅ” อุตมางค์หนุ่มนั่งหันหลังยิ้มกริ่ม เมื่อนิ้วเรียวแตะแต้มลงบนแผ่นหลังแผ่วเบา สัมผัสนุ่มนวลเคล้ากลิ่นหอมระรวยคล้ายดอกไม้อ่อนๆ พาให้จิตใจราชสีห์หนุ่มชื่นบานเป็นอย่างยิ่ง


“มิได้จ้ะ”


“เอ กลิ่นหอมนัก หอมหวานนวลจมูกดีพิลึก เช่นนั้นมาจากที่ใดกัน” เพียงได้ยินพิรัลนลินถึงกับนิ่งงัน ภายในใจดวงน้อยกระตุกวูบด้วยความหวาดหวั่น ด้วยราชสีห์กัญจน์นั้นเป็นอุตมางค์ หากใกล้ถึงช่วงฤดูเขาย่อมได้กลิ่นพิรัลนลินก่อนผู้ใด


“คงเป็นเครื่องหอมจากเรือนใกล้เคียงกระมังจ๊ะ” พิรัลโป้ปดคล้ายไม่รู้ความ ใจอยากรีบผละตัวออกโดยไว เป็นโชคที่เข้าข้างเมื่อเสียงทุ้มเรียบราบของอาคิราดังขึ้นขัดเสียอีกครา


“เจ้าพิรัล ผู้นี้คือท่านศศิน เป็นคู่ครองของราชสีห์ผู้ดูแลถ้ำแห่งนี้” อาคิราเดินเข้ามาพร้อมไกรสรสีหะตนหนึ่ง เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยแนะนำสิงห์ตนนั้นให้แก่พิรัลนลินได้รู้จัก ทุรพลน้อยจึงเงยหน้าสบมองท่านศศินผู้นั้นอย่างเต็มตา หลังจากมีโอกาสได้เห็นเพียงครู่เดียวจากการที่อีกฝ่ายออกมาต้อนรับเมื่อเย็นวาน


มฤคินทร์เบื้องหน้าตนนี้นั้นมีผิวขาวนวลเนียนดังกลีบดอกมะลิลา ผมยาวสลวยดำขลับเช่นเดียวกับลูกนัยน์ตาถูกถักรวบทิ้งปลายลงด้านหลังอย่างประณีต ร่างสูงโปร่งนั้นแม้ไม่บึกบึนทว่าไม่อาจเรียกว่าอรชรแบบบาง โดยรวมแล้วทานศศินผู้นี้ทั้งรูปงามและน่าเกรงขามภายในตนเดียว


“ข้าไหว้จ้ะ”


“ยินดีที่ได้พบเจ้า ข้าห่างหายจากการเจรจาพาทีกับทุรพลด้วยกันมานานเหลือเกิน” ศศินรับไหว้พิรัลนลินด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล...ทั้งน้ำเสียงและกิริยาท่าทาง ทุรพลผู้นี้มิใช่งดงาม หากเป็นสง่างาม


“ใกล้หายดีแล้วฤๅไม่เล่า ท่านกัญจน์” ศศินบ่ายหน้าถามอาการอุตมางค์หนุ่ม ด้วยรอยยิ้มบาง


“ดีขึ้นโข หากข้ายังมิใคร่หายสนิทนักดอก” ปากพูดประดับรอยยิ้มเก้อเขิน ส่วนครรลองสายตานั้นจับจ้องไปยังทุรพลน้อยข้างกายอย่างไม่ปิดบัง


“พิรัลเจ้ามีกิจอันใดอยู่ฤๅไม่”


“เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วจ้ะ พี่อาคิรามีสิ่งใดจักใช้ข้าฤๅไม่จ๊ะ”


“หาใช่อาคิราดอก เป็นข้าเอง เจ้ามากับข้าสักประเดี๋ยวเถิด” ศศินตอบปฏิเสธแทนผู้ถาม เมื่อทุรพลน้อยพยักหน้ารับ เขาจึงเบี่ยงตัวเชิญสิงห์น้อย ไปหาที่เงียบสงบเพื่อพูดคุยปล่อยทิ้ง สิงห์หนุ่มทั้งสองไว้เบื้องหลัง


“จ้ะ”


“เช่นนั้นไปหอตำราเถิด พวกข้าไปหนาท่านกัญจน์ ท่านอาคิรา”




หอตำราบนเรือนใหญ่อันเงียบสงบ กลางเรือนมีตั่งเขียนตัวใหญ่ตั้งไว้ ด้านข้างฝาเรือนนั้นเต็มไปด้วยหีบอัดแน่นเป็นด้วยตำรับตำราละลานตา คาดว่าคงมากยิ่งกว่าหอตำรายาในคูหาสรรพยาหลายเท่าตัว


เมื่อทุรพลทั้งสองเข้ามายังสถานที่อันเป็นส่วนตัวดีแล้ว ศศินก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถามความตั้งใจของตนออกมาทันที ด้วยสีหน้ามีแววกังวล ด้วยทุรพลด้วยกันนั้นดูกันออก ทุรพลน้อยเบื้องหน้านั้นนอกจากความงดงามอันเป็นรูปลักษณ์ประจำตนแล้ว ผิวพรรณกลับเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ยามเยื้องย่างแย้มยิ้มดูจับตาคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยมนตราเสน่หาบางประการ เช่นนี้ศศินที่ร้อนผ่านหนาวมาก่อนคิดว่าตนมองไม่ผิด


“เป็นเช่นไรบ้างเจ้าพิรัล มิใช่ว่าใกล้ถึงฤดูแรกแล้วฤๅ”


“จ้ะ ใกล้แล้ว อาการเตือนเริ่มมาแล้วจ้ะ” พิรัลหน้าเศร้ายอมรับโดยดี เพราะตนนั้นกำลังหนักใจอย่างยิ่ง สิงห์น้อยพลิกทุกตำรับยาจนถ้วนทั่วแล้ว ไม่มีแขนงไหนเลยที่จะช่วยชะลอการถึงฤดูได้ อาจารย์เคยบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติในการดำรงเผ่าพันธุ์จึงไม่มีใครคิดปรุงมันขึ้นมา


“เจ้าเรียนรู้ถึงมันดีแล้วฤๅ”


“พอรู้จ้ะ ทว่า...มิมากนัก” ทุรพลน้อยส่งยิ้มแห้ง พิรัลนลินไม่มีผู้รู้คอยให้คำปรึกษามากนัก และอาศัยเพียงอ่านตำราในหอตำราซึ่งก็มิได้มานัก


“กว่าจักได้จับคู่ข้าผ่านมันมาหลายฤดูเทียว อย่าได้เกรงใจที่จักถามข้านะเจ้า ถือว่าเราทุรพลล้วนเป็นพี่น้องกัน” ใบหน้าคมส่งยิ้มบางคล้ายปลอบ ทั้งมืออุ่นยังเอื้อมมากุมมือเรียวไว้ จนพิรัลนลินนึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย


“ขอบพระคุณจ้ะ”


“มิต้องไหว้พี่ มีผู้ไหว้วานพี่มาดอก” ศศินส่ายหน้าปฏิเสธคำขอบคุณ เปลี่ยนคำเรียกขานตนให้สนิทสนมยิ่งขึ้น ทั้งยังคงติดรอยยิ้มบางไว้บนริมฝีปากไม่คลาย


“ผู้ใดกันจ๊ะ”


“พี่ว่าเจ้าคาดถูกแม้พี่มิบอก พิรัลหากกล่าวกันแต่ต้น พวกเรานั้นเข้าฤดูหาได้แน่นอน แต่ละตนแตกต่างกันไป ที่คล้ายกันคือ พวกเราเข้าฤดูทุกมาส ทรมานเสียร่วมเจ็ดทิวาราตรี” ยามต้องเอ่ยถึงประสบการณ์ที่ตนผ่านพ้นมา รอยยิ้มบนเรียวปากกระจับคล้ายเลือนหายไปกว่ากึ่งหนึ่ง ส่วนพิรัลนลินนั้นถึงกับหน้าเสีย ด้วยหากต้องต่อสู้กับการเข้าฤดูเช่นนี้เขาคงไม่เป็นอันทำอะไร


“ตะ แต่ข้าได้ยินว่ามีอาการเพียงปีละหนึ่งหน หนละเจ็ดทิวา หากร้างรามิได้เข้าคู่แล้ว อาการจะทรงตัวเพียงสิบหกทิวาราตรีเท่านั้น”


“เป็นเช่นนั้นได้ยามเจ้าได้เข้าคู่แล้วเท่านั้นดอก หากเจ้าได้เข้าคู่แล้ว ยามถึงฤดูในหนึ่งขวบปีเจ้าจักมีอาการ กระสันสังวาสราวเจ็ดทิวา ก่อนแลหลังสี่ถึงห้าทิวาคืนช่วงเพลาที่เจ้าแลคู่ครองมีโอกาสติดลูก ช่วงนี้เจ้าอาจมีอาการกระสันอย่างอ่อนบ้าง หากเจ้ายังครองพรหมจรรย์ไร้คู่ อาการเข้าฤดูนั้นจักมาเยือนเจ้าทุกเดือน สามทิวาบ้าง เจ็ดทิวาบ้าง เพื่อกระตุ้นให้พวกเรามีคู่เพื่อสืบเผ่าพันธุ์เช่นไรเล่า”


“หายุติธรรมไม่ เหตุใดมีเพียงทุรพลเช่นเราที่ทนทรมาน” เมื่อความหวังดับสูญ ทั้งยังเลวร้ายกว่าที่คาด ความพาลจึงบังเกิด


“เจ้าตัวน้อย มิใช่เพียงเราดอกหนา อุตมางค์นั้นเป็นเช่นกัน เพียงแต่มิได้รุนแรงเท่า” ศศินยกมือขึ้นลูบใบหน้านวลด้วยความเอ็นดู แม้จะรู้เช่นนั้น แต่พิรัลไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด ภายในใจกรีดร้องว้าวุ่นดิ้นรนหาทางออกให้ตัวเอง กลับคล้ายวิ่งวนอยู่ในที่มืดไม่ปาน


“เจ้ารับไว้เรียนรู้เสีย ถึงเพลาเข้าฤดู จักได้ตั้งตัวได้ทัน” ศศินเมื่อเห็นน้องน้อยเงียบนิ่งไป ครั้นใบหน้ายังซีดเผือดสลับขุ่นเคือง จึงหยิบยื่นตำราเล่มหนึ่งให้


พิรัลนลินรีบประนมมือขอบคุณก่อนรับมาเปิดดูคร่าวๆ มีความหวังในใจขึ้นมาอีกนิด


“ตำรานี้คัดลอกมาจากชุมของพี่เอง ดูทีว่าลายมือนั้นคุ้นตาฤๅไม่” ศศินเอ่ยต่อพลางยกยิ้มเย้า


มีหรือที่พิรัลนลินจะจำไม่ได้ ลายมือหนักแน่นเป็นระเบียบเช่นนี้ ลายมือของพี่อาคิรา...






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน


เนื่องจากทางเล้าปิดปรับปรุงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราเลยมาลงชดเชยคืนวันศุกร์นะคะ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกความคิดเห็น

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

สำหรับตอนที่ ๗ จะลงในคืนพรุ่งนี้นะคะ






หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๖ สัญญาณเตือน {๒๐/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-09-2019 22:18:04
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๖ สัญญาณเตือน {๒๐/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-09-2019 00:26:32
อยู่ทีมไหนดี พี่อาคิรา  หรือ ท่านกัญจน์
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๖ สัญญาณเตือน {๒๐/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 21-09-2019 20:07:32
รอออออออ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๗ ขันอาสา {๒๑/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 21-09-2019 20:29:01
บทที่ ๗
ขันอาสา







                    พิรัลนลินใช้ชีวิตอยู่ในคูหาแห่งใหม่ได้ราวเจ็ดวันแล้ว ทุรพลน้อยสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในถ้ำแก้วแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสนิทสนมกับพี่ศศินมากขึ้นด้วย เนื่องจากการงานที่ต้องทำเป็นกิจวัตรยามอยู่เรือนสรรพยาเมื่อมาถึงที่แห่งนี้นั้นกลับไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไป เช่นในยามบ่ายในวันนี้ทุรพลทั้งสองพากันมาขลุกตัวอยู่ในหอตำรา อันเป็นสถานที่ประจำของศศิน เพื่อใช้ในการนั่งคัดลอกตำรา บนตั่งเขียนประจำตำแหน่งของทุรพลหนุ่มพร้อมสรรพไปด้วยอุปกรณ์การเขียนที่ถูกจักวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มือเรียวตวัดก้านขนไก่ฟ้าที่เต็มไปด้วยน้ำหมึกสีดำสนิท ได้จากเขม่าไฟผสมกับยางมะขวิด จนเป็นลายลักษณ์อักษรสวยงามลงบนแผ่นข่อย โดยมีตำราเก่าโบราณอีกหนึ่งเล่มไว้เทียบเคียง


ด้วยศศินนั้นโชคดีได้รับการสอนให้อ่านเขียนตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบใหญ่จึงรับหน้าที่เป็นอาลักษณ์ประจำอยู่ในหอเก็บตำราใหญ่ของเหล่าฤษีนักบวช ในครานั้นทุรพลหนุ่มทำหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในหิมพานต์ รวมไปถึงคัดลอกตำราส่งต่อยามมีผู้ร้องขอ ยามตกลงปลงใจเป็นคู่ชีวิตกับราชสีห์ ‘ธีมารวี’ จึงต้องออกมาพำนักอยู่ในคูหาแห่งนี้ กระนั้นศศินไม่อาจวางเฉยต่อตำรับตำราและตัวอักษรได้ ทุรพลหนุ่มจึงมักขอตำราจากหอตำราใหญ่มาคัดลอกเป็นสำเนาเก็บไว้เป็นส่วนตัวเสมอ ด้วยความหวังว่า เมื่อยามดินแดนสีหมุขแห่งนี้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง เขาจะเปิดคูหาเพื่อสอนเขียนอ่านให้แก่ลูกมฤเคนทร์ทั้งหลาย โดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ


ทางด้านพิรัลนลินนั้นเพียงพออ่านออกเขียนได้ ลายมือไม่ได้วิจิตรบรรจงนัก เลือกหยิบจับตำราทุรพลที่ศศินมอบให้ไว้ ขึ้นมาอ่านอย่างละเอียดทุกตัวอักษร หวังใจเล็กๆ ที่จะพบเจอทางสว่างให้กับตนเอง แม้ตำราเล่มนี้จะบันทึกครอบคลุมทุกรายละเอียดแห่งการเป็น ทุรพล ทว่ายิ่งอ่านทุรพลน้อยกลับยิ่งท้อใจถึงความลำบากยุ่งยาก มีบ้างที่เป็นความรู้ใหม่เช่นว่า ‘หากทุรพลมีสัมพันธ์กับอุตมางค์แล้ว แม้ไม่ผูกสัญญา ความรุนแรงของความต้องการเมื่อยามถึงฤดูผสมพันธุ์จะเบาลงกว่ายามที่ยังบริสุทธิ์ กลิ่นกายอันเย้ายวนนั้นย่อมไม่แรงเท่าเมื่อมีคู่’ หรือแม้แต่ความเชื่อที่ว่า ’ ทุรพลสามารถตั้งครรภ์ได้ เมื่อมีสัมพันธ์กับอุตมางค์ในช่วงฤดูที่สองของชีวิตนั้น หากไม่ทำการผูกพันธะด้วยการฝั่งรอยแสดงตัวตน ไม่ว่าจะมีสัมพันธ์กันกี่ฤดูทุรพลจักไม่ตั้งท้อง ‘ แต่สิ่งที่พิรัลนลินต้องการกลับไม่มีกล่าวถึง ...วิธียับยั้งการเกิดฤดูนั้นไม่มี


“ทุกสิ่งล้วนมีทิศทางของมัน บางสิ่งบางอย่างหนทางหลุดพ้นนั้นหาใช่การแก้ปัญหา ทว่ากลับเป็นการยอมรับมัน” ศศินวางมือจากตำรา เดินเข้ามาลูบหัวน้องน้อยที่บัดนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมองแผ่วเบา ทุรพลหนุ่มเข้าใจดี เพราะเมื่อนึกย้อนไปถึงตนเองก่อนหน้านั้น ศศินเองพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะวิ่งหนีตัวตนแห่งทุรพลเช่นกัน หากสิงห์หนุ่มนั้นโชคดีได้ผูกวิญญาณกับผู้ที่ตนรัก แต่ยังมีทุรพลอีกมากที่ไม่โชคดีเช่นเขา ซ้ำยังเหมือนตกนรกทั้งเป็นจากผู้เป็นอีกครึ่งของจิตวิญญาณ สิงห์หนุ่มหวังเพียงว่า พิรัล จักโชคดีเช่นตน


ทั้งเรือนตำราตกอยู่ในความเงียบ ด้วยทุรพลทั้งสองต่างจมจ่อมอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง ทำให้เสียงร้องตะโกนอย่างร้อนรนที่ดังขึ้นบริเวณหน้าปากถ้ำทำให้ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกปลุกจากภวังค์ทั้งสองจึงรีบดึงสติรับรู้ของตนกลับมา แล้ววิ่งตรงไปยังต้นเสียงด้วยหัวใจหวาดผวาไม่ต่างกัน ...เสียงร้องเช่นนี้ พิรัลนลินที่อยู่ในคูหาสรรพยาได้ยินบ่อย เสียจนแทบจะคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ราวกับตาเห็น




ไกรสรสิงห์หนุ่มเจ้าของเสียงร้องทรุดร่างลงบนพื้นถ้ำ ตามลำตัวอาบด้วยเลือดแดงฉาน อ่อนแรงราวกับพวกเขาได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเพื่อพาตัวเองกลับมายังคูหาแห่งนี้ไปแล้วจนหมดสิ้น พิรัลนลินไม่เคยพบมฤเคนทร์ในสภาพร่างกายย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน


“ท่านรวีเล่า! ” ศศินร้องถามหาผู้เป็นที่รักเสียงสั่น หมดแล้วซึ่งความสงบนิ่งในท่าที


“ท่าน ท่านธีมารวี มิได้อยู่กับพวกข้าขอรับ อึก พวกข้าเข้าช่วย อึก ไว้มิสำเร็จ เหลือเพียงข้าที่รอดมาส่งข่าว”


“ขอข้ารักษาเขาเสียก่อน อาการดีขึ้นค่อยรั้งมาไถ่ถามกัน พิรัล มาช่วยข้า” พิรัลนลินพยักหน้ารับทันทีที่อาคิราเอ่ยปากเรียก สองมือยกขึ้นรวบกลุ่มผมเป็นมวยอย่างลวกๆ เพื่อความคล่องตัว ขณะวิ่งตามอาคิราเข้าเรือนรักษาอย่างรวดเร็ว


“ต้องห้ามโลหิตเสียก่อน ระหว่างข้าเตรียมยาเจ้าจงกดแผลไว้ให้แน่น”


“จ้ะ”


“พะ พี่ท่านแข็งใจไว้หนา แข็งใจไว้นะจ๊ะ” ยามที่วางมือกดลงไปที่บาดแผลเพื่อห้ามเลือด พิรัลรู้สึกตัวโดยทันทีว่าตนกำลังสั่น ความรู้สึกเย็นยะเยือกพุ่งตรงเข้ามาจับที่หัวใจจนแทบประคองสติไว้ไม่ไหว ที่ผ่านมายามอาศัยอยู่ในความคุ้มครองของอาจารย์ สิงห์น้อยไม่เคยเฉียดใกล้เรือนรักษายามมีผู้บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน พิรัลมักอยู่ภายในเรือนยา จัดเตรียมสมุนไพรไปตามสั่ง เมื่อครั้งกลุ่มของท่านกัญจน์นั้นยังไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ถึงขนาดนี้ ทว่าครั้งนี้เมื่อได้ชิดใกล้ และรับรู้ถึงที่มาของบาดแผลลึกจนอาจพรากชีวีของราชสีห์เบื้องหน้านี้ได้ ผสมทั้งกลิ่นคาวเลือด ทำให้ภาพเหตุการณ์การสูญเสียอันเลวร้ายเมื่อหนหลังถูกฉุดกระตุ้นจนกลับมาเด่นชัดอีกครา


“แข็งใจไว้นะจ๊ะ” เพื่อกลับไปช่วยเหลือผู้เป็นที่รักของท่าน แลโอบประคองสภาพจิตใจของข้าไว้ ได้โปรดแข็งใจไว้นะจ๊ะ


“อึก อึก” คำร้องขอของทุรพลน้อยไม่ทันการณ์สิงห์ผู้โชคร้ายหายใจกระตุกหนัก ร่างกายสูงใหญ่หนัดแน่นกระตุกเกร็งเพียงสองสามครั้ง แล้วแน่นิ่งไป โดยที่ดวงตากล้าแกร่งยังเบิกค้างดั่งผู้ที่ยังมีห่วงอยู่เต็มหัวใจ


“พะ พี่ท่าน” เสียงหวานแหบโหยเมื่อเอ่ยเรียก มือเล็กยังคงพยายามกดปิดปากแผลไม่ละ แม้สมองรับรู้แล้วว่า ร่างเบื้องหน้านี้ได้ละทิ้งลมหายใจของตนไปแล้ว แต่ภายในจิตใจของพิรัลนลินกลับไม่ยอมรับมัน...ไม่อาจยอมรับได้


“เจ้าพิรัล...”


“เจ้าพิรัล...” มือหนาจับกุมมือเล็กไว้มั่น ยื้อให้สิงห์น้อยหลุดจากการกอบกุมร่างไร้ลมหายใจเสีย ตัวตากลมโตไร้แววราวกับเจ้าตัวล่องลอยไปไกลแสนไกลสู่ห้วงแห่งอันธการไปเสียแล้ว


“เจ้าพิรัล พอเถิด” ฝ่ามือใหญ่จับข้อมือเล็กไว้แน่น อาคิรารู้สึกได้ว่ามันกำลังสั่น สิงห์หนุ่มตัดสินใจจับจูงร่างน้อยมาตักน้ำจากตุ่มเก็บน้ำหลังเรือน เพื่อชำระล้างคราบโลหิตจากมือเรียวเล็ก แล้วพามุ่งไปยังหลังเรือนยา เมื่อดูว่ารอบตัวปลอดโปร่งมิมีผู้ใดสามารถนำสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไปเที่ยวโพนทะนาให้ร่างน้อยเบื้องหน้าเสียหาย วงแขนแกร่งจึงยกประคองสองข้างแก้ม บรรจงใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไปมาแผ่วเบา


“เจ้าพิรัล สิ่งใดที่สุดมือเกินคว้าเจ้าจำต้องหักใจปล่อยไปเสีย หากเจ้าทุ่มทำมันจนสุดความสามารถของเจ้าแล้ว อย่าได้เสียใจ เจ้ามิสามารถโอบอุ้มทุกความประสงค์ให้เป็นจริงได้”


“แต่ข้ามิอยากให้มันเกิดขึ้น เหมือนพ่อ แม่ ชุมของข้า ข้ามิอยากให้สิงห์ตนใดต้องพบเจอมันอีก” เสียงที่เอ่ยตอบเนิบช้าใบหน้างามไม่แสดงอารมณ์ใด ทว่าหยาดน้ำตารินไหลไม่หยุด นี่คือครั้งที่สองในชีวิตที่มีการตายเกิดขึ้นเบื้องหน้าตัวเอง ความตายที่เกิดขึ้นโดยที่พิรัลนลินไม่สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย


อาคิราไม่พูดต่อความ ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นน้องแผ่วเบา สองแขนโอบกอดร่างแน่งน้อยเข้าอก ฝ่ามืออุ่นลูบลงบนเส้นผมนุ่มลื่นเงียบๆ เมื่อความอบอุ่นปลอบโยนห่อหุ้มร่าง หยาดน้ำตาอุ่นที่ถูกเช็ดไปกลับไหลลงอีกครั้ง ไม่มีเสียงร้องคร่ำครวญสะอื้นให้ แต่ความเปียกชื้นบนอก และร่างเล็กที่สั่นเทา ที่ทำให้อาคิราเข้าใจดีว่าน้องน้อยในอ้อมกอดโศกเศร้าสะเทือนใจมากเพียงใด


“หากยังคงจมอยู่ในความโศกเศร้า จักมีชุมสิงห์อีกมากที่ต้องสูญเสีย นั่นจึงเป็นหน้าที่ของพวกเรา พวกเราจักต้องหยุดยั้งมันเสียที่ต้นตอ” แววตาเลื่อนลอยพลันกลับมาฉายแววอีกครั้ง เมื่อสติถูกฉุดรั้งให้กลับมาด้วยคำพูดของอาคิรา ที่พิรัลนลินเผลอลืมไปด้วยความสะเทือนใจ


“พวกเราจักต้องลากสิงห์ชั่วเหล่านั้นมาสำเร็จโทษให้จงได้ อดทนอีกสักนิดหนาเจ้า”


“ข้าจักช่วยพี่ ต่อให้พี่ปฏิเสธข้า ข้าก็จักช่วย” นัยน์ตากลมโตกลับมาสะท้อนความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวอีกครา


“พี่มิห้ามดอก ต่อให้อยากห้ามก็เห็นว่าคงจักมิสำเร็จกระมัง เจ้าตัวดื้อรั้น” แม้น้ำตายังคงเกาะพราวบนแพขนตาหนาแต่ ’ เจ้าตัวดื้อรั้น ‘ สามารถกลับมายู่หน้าใส่ได้แล้วเช่นนี้ อาคิราจึงรู้สึกเบาใจ จนเผยยิ้มบางเบาติดริมฝีปาก...เขาได้พิรัลนลินกลับมาแล้ว


“เอาล่ะ เราไปร่วมส่งวิญญาณผู้เสียสละสู่สุคติกันเถิดหนา” พิรัลพยักหน้ารับ จมูกเชิดขึ้นสูดลมหายใจเข้าปอดเข้าลึก เพื่อเก็บกลืนก้อนสะอื้น ก่อนเดินตามแผ่นหลังใหญ่ออกไปยังลานกว้าง


เหล่าสิงห์หนุ่มภายในคูหาช่วยกันยกแบกร่างไร้ลมหายใจที่ถูกอาคิราและพิรัลเช็ดทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อยมุ่งออกไปยังด้านนอกถ้ำ โดยมีนิลปารัชญ์เป็นผู้นำคบเพลิงวางลงข้างร่างไร้ลมหายใจที่นอนสงบนิ่งบนกองฟอน เรียวปากกระจับพึมพำเพียงครู่เกิดเป็นเปลวไฟลุกโหมอาบท่วมไปทั่วทั้งร่าง เพียงไม่กี่อึดใจเพลิงผลาญก็มอดลงเหลือเพียงเถ้าถ่านแห่งความโศกา ท่ามกลางความโศกสลดยังมีความเคียดแค้นตีคู่กันมา เหล่าสิงห์ที่มาร่วมชุมนุมยืนสงบนิ่งส่งนักรบผู้สละชีพเป็นครั้งสุดท้ายต่างกล่าวปฏิญาณเจตจำนงของตนอย่างแข็งขัน...


ไม่ว่าจักยากลำบากเพียงไร พวกเขาต้องหยุดสิงห์ทรราชพวกนั้นให้จงได้!




หลังการเก็บเถ้าอัฐิเป็นที่เรียบร้อย มฤเคนทร์ทุกตนต่างแยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง พิรัลนลินยืนนิ่งจนกระทั่งพิธีการจบสิ้น หลับตาลงพร้อมยกมือขึ้นประนมทำความเคารพสิงห์ผู้วายชนม์อีกครั้งด้วยสภาพจิตใจที่ยังไม่มั่นคงนัก ครั้นเมื่อลืมตาตื่นกลับเหลือเพียงอาคิราที่ยืนอยู่เคียงข้าง ศิษย์ผู้พี่พินิจน้องน้อยของตนเพียงครู่ แล้วเอ่ยปากเรียก


“พิรัลตามข้ามา” ร่างสูงใหญ่เกือบสี่ศอก[๑] บ่ายหน้าไปยังทิศทางด้านนอก หาได้เดินกลับเข้าสู่คูหาแก้วดังที่พิรัลนลินคาด แม้ยังไม่รู้ถึงเจตนา แต่เพราะเป็นพี่อาคิรา ทุรพลน้อยจึงเดินตามติดไปโดยไม่คิดถามไถ่ให้มากความ


มฤเคนทร์ทั้งสองเดินเคียงกันเลียบแนวคูหาที่อาศัยไปยังด้านหลัง รอบข้างแวดล้อมไปด้วยแมกไม้หนาเป็นร่มครึ้ม ยิ่งเดินสองข้างทางยิ่งรกชัฏ ราวกับเส้นทางนี้ไม่มีผู้ใดใช้สัญจรมาก่อน อาคิราเร่งฝีเท้าขยับเป็นฝ่ายเดินนำ เพื่อใช้ร่างสูงใหญ่ของตนคอยแหวกทางให้สิงห์ร่างเล็กสามารถเดินตามได้โดยสะดวก ทั้งสองเดินผ่านป่าพงมาพักใหญ่ แผ่นหลังกว้างของอาคิราจึงหยุดลง เสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์เอ่ยกำชับราบเรียบ


“ข้ามิอนุญาตให้เจ้ามาผู้เดียวหนา ป่าแห่งนี้ออกนอกเขตของท่านธีมารวี หากเจ้าจักมาต้องมากับข้าเท่านั้น”


“จ้ะ” เมื่อน้องน้อยยอมรับคำ อาคิราจึงเบี่ยงตัวหลบให้เจ้าตัวเล็กด้านหลังได้ทัศนาทิวทัศน์เบื้องหน้าได้เต็มตา



ภาพที่ปรากฏสู่ครรลองสายตานั้นทำให้ทุรพลน้อยนิ่งงัน สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยบุพชาติหลากหลายชนิดบานสะพรั่งอวดโฉมล้อมรอบสระน้ำใสกระจ่างจนเห็นตัวปลาแหวกว่ายอยู่ด้านล่าง คลื่นน้ำพลิ้วกระเพื่อมสะท้อนแสงแดดยามบ่ายเป็นประกายส้มทองสกาวราวเกล็ดอัญมณี ยามทอดสายตาไปด้านบนเหล่าวิหคน้อยใหญ่จับจองเคล้าคลอเคลียคู่กันบนกิ่งไม้ ที่ขึ้นเบียดเสียดกันราวเป็นปราการล้อมรอบสระน้ำแห่งนี้ไว้เป็นความลับ เมื่อพินิจโดยละเอียดในทุ่งดอกไม้กลิ่นหอมยังมีหมู่ภมรภู่ผึ้ง และผีเสื้อปีกสวยบินล้อฉวัดเฉวียนไปตามกลีบบุปผางาม คล้ายพวกมันกำลังเริงระบำไปตามทำนองสายลมพัดแผ่ว ผสานเสียงคลื่นน้ำยามกระทบริมตลิ่ง นอกจากพิรัลนลินและอาคิราฝั่งตรงข้ามยังมีฝูงสกุณไกรสร[๒] และไกรสรปักษา[๓]ก้มลงกินน้ำ บ้างลงแช่สลัดปีกขนไล่น้ำเป็นละอองเกิดเป็นริ้วรุ้งงดงามตระการตา


พิรัลนลินเผยแย้มยิ้มจนเต็มแก้ม ลืมเลือนเรื่องทุกข์ใจไปชั่วขณะ ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยิบระยิบกับทิวทัศน์ทัศน์ในครรลองสายตา เจ้าสิงห์น้อยไม่มีโอกาสออกมานอกถ้ำมากนักตั้งแต่แรกเกิด ทุรพลตัวน้อยเคยชินอยู่เพียงบริเวณเขตถ้ำที่เต็มไปด้วยป่าไม้และสมุนไพรเสียมาก หิมพานต์ที่ใครต่างชื่นชมว่างามวิจิตรนั้นเป็นเช่นไร พิรัลเพิ่งเคยยลเป็นครั้งแรก ....คล้ายดั่งหลงเข้ามาอยู่ในความฝันไม่ปาน


“ชอบฤๅไม่”


“ชอบจ้ะ ชอบมาก” ร่างบอบบางยอบตัวลงนั่ง นิ้วเรียวแตะลูบลงบนกลีบดอกไม้แผ่วเบา ก่อนก้มหน้าดอมดมกลิ่นหอมหวานนั้นจนเต็มปอด


“จักเก็บไปประดับห้องสักกำมือฤๅไม่เล่า”


“ข้าคิดว่า พวกมันคงเป็นสุขมากว่าหากอยู่ที่นี่จ้ะ เพียงได้มาชื่นชมเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” พิรัลส่ายไปมาเมื่อตอบปฏิเสธ นัยน์ตากลมลอบมองดวงหน้างามคมเข้มของพี่ แล้วลอบถอนหายใจแผ่วเบา


...เดิมพิรัลอยากเข้าไปพูดคุยกับอาคิราเหลือเกินว่าเพราะเหตุใด ‘พี่อาคิราของเขา’ ถึงเปลี่ยนไป แต่พิรัลเองกลับมีความหวาดกลัวมากกว่าความอยากรู้ เขากลัวว่าคำตอบของพี่จะเป็นว่า’ รังเกียจทุรพลเช่นเจ้า ‘ไปเสีย


หากเป็นเช่นนั้น พิรัลนลินเองคงพังทลาย ทว่ายามนี้ทุรพลน้อยแน่ใจแล้วว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด พี่อาคิรา ไม่ได้นึกรังเกียจตนเป็นแน่ เพราะความใจดีของพี่ยังคงส่งมาถึงตนไม่เปลี่ยน เท่านี้เพียงพอแล้ว...


...ของบางสิ่งจักสวยงามยิ่งกว่า หากปล่อยไว้เช่นนั้น โดยมิเอื้อมคว้ามาครอบครอง





                    สองพี่น้องดื่มด่ำกับธรรมชาติจนกระทั่งดวงตะวันคล้อยลงต่ำ จึงตัดใจกลับเข้าสู่คูหาแก้ว ทว่ามฤเคนทร์ทั้งสองยังไม่ทันที่ได้ก้าวขึ้นเรือน เกิดเสียงคำรามจากภายนอกถ้ำดังลั่นตามหลังจนทั้งถ้ำสั่นสะเทือนจนสิ่งทุกผู้รู้สึกได้ พิรัลนลินสะดุ้งผวากระโดดเข้าเกาะแขนของผู้เป็นพี่ไว้มั่น


โฮก!


“กะ เกิดอันใดขึ้นจ๊ะ” พิรัลนลินละล่ำละลักถามทรุพลหนุ่มที่กำลังรีบเร่งลงจากเรือนมาพอดี


“อย่าได้ใส่ใจ เสียงนี้เกิดแต่อุตมางค์ราชสีห์ตนหนึ่ง พวกสามัญสิงห์หาได้มีฤทธามากเช่นนี้ดอก” แม้ปากกล่าวว่าไม่ต้องสนใจ ทว่ามุมปากของศศินกลับยกยิ้ม


“ใสหัวไปให้ห่างข้าบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าคนธรรพ์” เสียงกังวานของสตรีดังก้องไปทั่วโถงถ้ำ ก่อนปรากฏกายนางสิงห์สาวรูปร่างสง่างาม เจ้าของผิวขาวดั่งน้ำนมบริสุทธิ์ ผมยาวถูกถักเป็นเปียกเกาะติดหนังศีรษะ ผ้าพันอกที่ควรเป็นผ้าแพรเนื้อบางสีหวาน ถูกแทนที่ด้วยเกราะหนังบุลาย ส่วนผ้านุ่งนั้นเป็นโจงกระเบนนุ่งสั้นเหนือเข่า พร้อมเกราะหนังครอบทั้งขาแขน ทะมัดทะแมงผิดแผกจากนางสิงห์ทั่วไปนั้น เสริมให้นางดูน่าเกรงขามเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจเป็นที่ยิ่ง เลยไปด้านหลังคือไกรสรสีหะวัยฉกรรจ์สองตนประกบอารักขาไม่ห่าง ส่วนด้านข้างคือ ‘ท่านเขมอารัณย์’ คนธรรพ์หนุ่มเจ้าสำราญ เจ้าตัวกำลังยกยิ้มตีหน้าทะเล้น คงยั่วเย้าปั่นอารมณ์ของนางดั่งที่พิรัลนลินเคยประสบ


เมื่อเห็นว่าคนถูกไล่ไม่ยอมขยับตัวทั้งยังส่งยิ้มแต้ไม่รับรู้สึกกระแสอารมณ์อันเดือดดาลที่นางมี อุตมางค์สาวจึงขยับท่าเตรียมออกปากใส่อีกครา


“ท่านรวี” ไม่ทันได้สาดอารมณ์ดังใจนึก เสียงเรียกขานชื่อกลับดังขึ้นขัด...เป็นน้ำเสียงของผู้มีอิทธิพลต่อใจนางทั้งดวง


เพียงสิงห์สาวบ่ายหน้าตามเสียง ศศินที่ยืนคอยท่าก็ยกแขนทั้งสองข้างอ้างออกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ท่านรวีของเขาจึงไม่รอช้า สาวเท้าเข้ามาสวมกอดร่างสูงโปร่งของศศินจนเต็มกอด ซุกซบหน้างามคมขำลงบนลาดไหล่หมดสิ้นภาพนางสิงห์ผู้ห้าวหาญเมื่อครู่เสียสิ้น


“ข้าคะนึงถึงท่านทุกเพลาศศิน”


“ข้าเป็นห่วงท่านเช่นกัน เมื่อย่ำบ่ายนักรบของท่านกลับมาสิ้นใจในคูหา ข้าใจคอไม่ใคร่ดีเลย”


“ข้ารู้แล้ว แลขึ้นไปไหว้อัฐิที่เรือนวีรชนมาแล้ว ท่านศศินจงวางใจ ข้าจักมิยอมเป็นอันใดหากข้ายังมีท่านเฝ้ารออยู่เช่นนี้ทูนหัว” ธีมารวีผละจากอ้อมกอดกลีบปากบางคลี่ยิ้มกว้าง เขย่งยกตัวขึ้นจุมพิตลงบนข้างแก้มสามี พาให้ผู้ที่รายล้อมคนทั้งคู่ต่างหน้าเห่อร้อนเป็นทิวแถว โดยเฉพาะเหล่าสิงห์ที่ยังไม่ผ่านการจับคู่ทั้งหลาย


“สำรวมสักนิดเถิดท่านรวี”


“เหตุใดเล่า ข้าจักแสดงความรักต่อคู่ครอง มีสิ่งใดมิดีกันเล่า” ธีมารวีเลิกคิ้วถามคล้ายไม่เข้าใจ มือเรียวยกขึ้นไล้บริเวณหลังคอสามีผู้สำรวมกิริยา ที่ประดับไปด้วยร่องรอยของนางไปมาอย่างหยอกเย้า


“อะแฮ่ม ท่านรวี ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้พบท่าน แลได้เป็นพยานรักของท่านทั้งคู่ หากแต่ข้าใคร่เจรจาพูดคุยถึงเหตุร้ายที่กำลังเกิดขึ้น รบกวนท่านขึ้นเรือนใหญ่เพื่อหาลือกันเสียทีเถิด” ราชสีห์กัญจน์เป็นผู้รวบรวมความกล้าหาญเอ่ยแทรกขึ้น ด้านหลังมี เขมอารัณย์ และ อาคิรา คอยท่า เท่านั้นการแสดงความรักของผู้ครองคูหาจึงจบลง พร้อมด้วยคณะราชสีห์พากันเดินขบวนขึ้นเรือนมุ่งหน้าไปยังหอกลางเพื่อทำการประชุมกันโดยทันที


“มาเถิดเจ้าพิรัล” ศศินที่เห็นทุรพลน้อยยังยืนนิ่ง จึงเป็นฝ่ายหันกลับมาเรียกพิรัลนลินให้เดินตามมาด้วยกัน




“สิงห์ของข้าเข้าปะทะกับพวกมัน ทว่าพวกมันมากเล่ห์นัก จึงไม่อาจช่วยทุรพลตนนั้นมิได้ซ้ำยังถูกทำร้ายจนบาดเจ็บล้มตาย ข้าที่ตามไปหนุนกำลังได้ไล่ตามรอยพวกมันจนทุกทางทว่าข้าเจอแหล่งกบดานแท้จริงของมันแล้ว...เจ้าต้องประหลาดใจเทียวเจ้าอาคิรา” ธีมารวีแสดงสีหน้าหน้าจริงจัง ผิดกับเมื่อครั้งที่แสดงการพลอดรักศศินเมื่อครู่ ราวกับเป็นสิงห์คนละตน ภาพของธีมารวีในเวลานี้คือนางสิงห์ผู้องอาจจริงจัง สมฐานะเจ้าของชุมรั้งด้วยตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังเป็นอย่างยิ่ง


“พวกท่านพอรู้ชื่อ ไกรสรราชสีห์พันแสง ท่านอาของข้า บ้างฤๅไม่เล่า” ธีมารวีเผยยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อเอ่ยถึงผู้เป็นหัวหน้า


“ฮึ มันจักเป็นผู้ใดมิสำคัญ เมื่อรู้ตัวเช่นนี้แล้วมิสู้ เราบุกล้างบางพวกมันเสียเลยเล่า เพลานี้อุตมางค์เรามีถึงสามตน แลสิงห์ในครอบครองเราหามีน้อยไม่” กัญจน์ขบกรามกรอด อยากจะพาตัวออกไปรบพุ่งใส่สิงห์เลวพวกนั้นเสียให้สิ้นกันไป ด้วยอารมณ์ความสูญเสียอันคับแค้นเมื่อยามบ่ายยังคงอัดแน่นไม่จางไป


“มิง่ายเช่นนั้นดอกท่านกัญจน์ บริเวณหน้าถ้ำนั้นลงอาคมไว้แกร่งกล้านัก หากมิได้สิงห์จากข้างในคูหาเป็นผู้นำทางเข้าไปแล้ว แม้แต่คนธรรพ์เช่นข้า ยังมิอาจเข้าไปเหยียบย่างได้แม้ครึ่งก้าว”


“เท่าที่ข้ารู้พวกมันเตรียมการมานับสิบปี เกรงว่าเพลานี้อุตมางค์รุ่นกระทงคงมีมิน้อย ส่วนเหล่าสิงห์ที่เรามีนั้นล้วนมิได้เป็นนักรบ หากลงสู้กันจริงแล้ว ข้าเกรงว่าเราจักหาใช่ฝ่ายกำชัยดั่งหวัง เหตุการณ์ภายในข้ามิสามารถล่วงรู้ได้เลย บุกไปเช่นนี้มิต่างจากตาบอดเข้าพนาดอก” ธีมารวีแย้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


“เจ็บใจนัก! ”


“หากทำลายด้านนอกมิได้ จำต้องทำลายมันจากข้างใน...เราต้องมีนกต่อ ช่วยเปิดประตูรับเราจากภายใน” อาคิราที่นิ่งเงียบมาตลอด นึกคาดคำนวณถึงความเป็นไปได้ก่อนออกความเห็นสู่ที่ประชุม


“แล้วผู้ใดเล่า หากลองได้ร่ายอาคมกำกับเสียเช่นนั้น มันคงระแวดระวังตัวมิใช่น้อย”


“ทุรพลอย่างไรเล่า พวกมันต้องการทุรพล เช่นนั้นจักเป็นการง่ายถ้าเราจักส่งทุรพลเข้าไป” ศศินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาบ้าง แม้จะเสี่ยงอย่างมาก แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่เป็นไปได้มากที่สุด


“อยากนัก จะมีผู้ใด...”


“เช่นนั้นข้าขออาสาจ้ะ”


“มิได้! ” หลายเสียงประสานกันลั่น เมื่อพิรัลนลินออกปากขันอาสาอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอาคิรา นัยน์ตาคมเรียบนิ่งนั้นมีประกายความไม่พอใจสะท้อนออกมาจนเห็นได้ชัดเจน


“นอกจากข้า จักมีผู้ใดเหมาะสมฤๅจ๊ะ” คิ้วของพิรัลขมวดเข้าหากันจนเป็นปม ยามร้องถามกลับเหล่าราชสีห์ที่พร้อมใจกันออกปากปฏิเสธตนรวดเร็ว


“สิ่งใดทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้นฤๅ ทุรพลน้อย” ธมารวีเอ่ยถามทุรพลน้อยที่ตนเพิ่งมีโอกาสได้พบหน้าเป็นครั้งแรก


“ประการแรก ข้ายังมิได้จับคู่ ตรงตามที่พวกมันต้องการ ประการที่สองข้าพอมีวิธีเอาตัวรอดได้จากความรู้ที่พอติดตัว” เจ้าพิรัลนลินแจกแจงคุณสมบัติส่วนตนออกเป็นข้อ ตากลมสบมองพี่อาคิราของตนแน่วนิ่งอย่างสื่อความนัย ก่อนกล่าวต่อ


“ประการที่สามหากข้าพลาดพลั้งไป ก็หามีครอบครัวเบื้องหลังให้ต้องทุกข์โศกอีกแล้ว” ...ในเมื่อพิรัลนลินสูญเสียไปหมดสิ้นแล้ว กับเหตุการณ์นี้


“แลประการสุดท้าย ข้าต้องการล้างแค้นให้แก่ครอบครัวของข้า ได้โปรดให้ข้าทำหน้าที่นี้ด้วยเถิดนะจ๊ะ” พิรัลทิ้งเข่าลงกับพื้น สองมือยกประนมด้วยความเว้าวอน พานให้สิงห์ทุกตนต่างหนักใจเป็นอย่างมาก


ความเงียบนิ่งเข้าปกคลุมจนคล้ายเวลาถูกหยุดนิ่งไว้ มีเพียงสายลมหอบหนึ่งวูบผ่านมาพร้อมการปรากฏกายของ ราชสีห์นิลปารัชญ์ ในชุดสีขาวพิสุทธิ์ตลอดกาย ที่เด่นชัดคือบริเวณกลางหน้าผากของสิงห์หนุ่ม มีการแต้มจุดชาดมองคล้ายดั่งดวงตาที่สามไว้อย่างเด่นชัด


“เป็นพิรัลนั้นแลเหมาะสม แม้ภายภาคหน้าจักสาหัสสากันอยู่บ้าง ทว่าความประสงค์นั้นย่อมลุล่วงดั่งความมั่นหมายเป็นแน่” นัยน์ตาสีอำพัน ยามกล่าววาจาพลันสว่างเรืองรองดังแสงทองจากฟากฟ้า เคลื่อนมาจับจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตของพิรัลนลินชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกลับเป็นสีกาฬดังเดิม


“ขอสมาหากข้าทำให้เจ้าหวาดกลัว ยามต้องจับนิมิตข้ามิสามารถเก็บซ่อนอากัปกิริยาเช่นนี้ไว้ได้ อย่าได้ถือโทษเลยหนา” นิลปารัชญ์ที่กลับมาเป็นปกติ ส่งยิ้มบางให้ทุรพลตัวน้อยพลางค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนจะเข้ามานั่งร่วมวงด้วยท่าทีสงบเงียบ มฤเคนทร์ทั้งสี่ เมื่อได้ราชสีห์นิลปารัชญ์ช่วยชี้ขาดเช่นนี้ ทุกตนจึงต้องจำยอมรับการเสนอตัวของทุรพลน้อยแต่โดยดี...


เพราะนิลปารัชญ์ อุตมางคสิงห์แห่งเผ่าพันธุ์กาฬสีหะผู้มีญาณทิพย์อันวิเศษนั้น มิเคยมีนิมิตใดที่ผิดพลาดแม้สักเพียงครั้ง


“เอาล่ะ ถึงเช่นนั้นเราจักยังมิส่งพิรัลไปในเร็ววัน การนี้เสี่ยงนัก เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อม แลวางกลศึกอย่างรัดกุมที่สุด จากวันนี้ ท่านกัญจน์แลข้าจักลงฝึกซ้อมการต่อสู้ให้แก่เหล่าสิงห์ทุกตน เมื่อถึงยามนั้นเราจักต้องมิพ่ายแพ้ ข้าจักมิยอมให้เจ้าเอาตัวเข้าเสี่ยงอย่างเสียเปล่าเจ้าพิรัล” ธีมารวีเป็นผู้สรุปความในท้ายที่สุด ก่อนสิงห์ทุกตนจะแยกย้ายไปตระเตรียมการในส่วนของตนต่อไป




วันรุ่งขึ้นหลังจากประชุมของเหล่าผู้เป็นหัวหน้าจบลง ลานโล่งด้านหน้าเรือนกลางได้ถูกเปลี่ยนจากเพื่อใช้ชุมนุมสังสรรค์ มาเป็นลานฝึกร่างกายเพียงชั่วข้ามคืน โดยมีท่านธีมารวี และ ท่านกัญจน์สองอุตมางค์ราชสีห์เป็นผู้ควบคุม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและทักษะทางด้านร่างกาย รวมถึงกลยุทธ์ ในการต่อสู้ โดยมีไกรสรสิงห์ในความปกครองของธีมารวีที่พอมีวิชากลุ่มหนึ่งคอยช่วยควบคุมดูแลอีกทอด


ด้วยจตุราชสีนั้นมีกำลังวังชาและฤทธาอำนาจมากล้น ไม่เว้นแม้กระทั่งตระกูลราชสีห์มังสวิรัติ อย่าง ติณสิงห์ และ  กาฬสีหะ จตุราชสีห์เหล่านี้แม้เพียงเสียงคำราม ยังสามารถทำให้สัตว์ที่มีชนชั้นอ่อนด้อยกว่าบาดเจ็บได้ มฤคินทร์ทั้งสี่เผ่าพันธุ์จึงใช้ชีวิตรวมไปถึงการต่อสู้ โดยร่างมนุษย์จำแลงเสมอมา เหล่าสิงห์หนุ่มบนลานกว้างถูกฝึกฝนสมรรถนะร่างกาย และทักษะการต่อสู้อย่างเข้มข้น การต่อสู้ของมฤเคนทร์ในร่างมนุษย์นั้นเป็นการต่อสู้มือเปล่า ด้วยสิงห์ทั้งหลายต่างภาคภูมิใจในเขี้ยวเล็บแลพละกำลังของเผ่าพันธุ์เป็นอย่างมาก จึงใช้เพียงการหวนกลับร่างสิงห์บางส่วน เช่นฝ่ามือ หรือคมเขี้ยว เพื่อเข้าทำการต่อสู้ห้ำหั่นแทนการใช้อาวุธกันซึ่งหน้าเพียงเท่านั้น การใช้วิธีลอบกัดนอกเหนือจากนี้ถือว่าไร้เกียรติไร้ ศักดิ์ศรีแห่งชาติกำเนิดเป็นอย่างมาก


สิงห์หนุ่มในลานฝึกเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เคยผ่านการสู้รบมามากนัก นอกจากการล่าสัตว์และละเล่นประลองกำลัง เพื่อคลายความเบื่อหน่ายระหว่างวัน ทว่าในเวลานี้สิงห์ทุกผู้ทุกตนต่างตั้งใจฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน ภายในแววตาคมกล้าต่างมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ แม้เหงื่อโทรมกาย บางรายเริ่มมีร่องรอยความฟกช้ำก็ไม่ปริปาก ด้วยความมุ่งหวังล้างแค้น และช่วงชิงผู้เป็นที่รักของพวกเขากลับมาให้จงได้



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เชิงอรรถ

๑. ๑ ศอก (ไทย) เท่ากับ ๕๐ เซนติเมตร
๒. สกุณไกรสร สิงห์ผสม ผิวกายสีน้ำตาล ส่วนหัวเป็นนก ส่วนตัวเป็นสิงห์ ไม่มีปีก
๓. ไกรสรปักษา มีกายสีเขียวอ่อน หัวเป็นพญาอินทรีและ มีปีกเหมือนนก ตัวเป็นราชสีห์ มีเกล็ดคลุม




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกันใหม่ใน คืนวันพรุ่งนี้ นะคะ









หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๗ ขันอาสา {๒๑/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 21-09-2019 21:44:17
สนุกมากเลยคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๗ ขันอาสา {๒๑/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-09-2019 21:45:10
 :pig4:ใครคือพระเอกกันนะ :pig4:เนื้อคู่ตัวจริงของน้องพิรัลนลิน
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๗ ขันอาสา {๒๑/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-09-2019 01:16:23
พิรัลต้องปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๘ ความลับ {๒๒/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 22-09-2019 21:12:14
บทที่๘

ความลับ






                    ในคืนค่ำยามดวงจันทร์โคจรถึงกลางฟ้า บรรดามฤเคนทร์ในเรือนธีมารวีต่างพากันหลับนอนจนเกือบหมด ยังเหลืออยู่บ้างคือกลุ่มสิงห์ที่เตรียมออกลาดตระเวน ตามที่เหล่าราชสีห์ได้วางแบบแผนไว้ เพราะสารท้ารบของราชสีห์ธีมารวีถูกราชสีห์พันแสงปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี คณะสีหราชจึงจำต้องหยิบแผน’ ตัวล่อ ‘มาใช้ในที่สุดด้วยเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาเข้าต่อสู้กับพันแสงได้ในระหว่างที่พันแสงไม่ยอมเคลื่อนไหว เหล่าสิงห์ใต้การนำของธีมารวีจึงจำเป็นต้องออกลาดตระเวนซุ่มดูความเคลื่อนไหว และแฝงตัวไปตามชุมสิงห์อื่นๆ เพื่อช่วยป้องกันและบีบคั้นให้พันแสงเลือกบุกชุมที่พวกตนจะแฝงพิรัลเข้าไป เมื่อสบโอกาส


นอกจากสิงห์วัยฉกรรจ์ที่เตรียมตัวออกนอกถ้ำ ยังมีพิรัลนลินที่ไม่ยังอาจข่มตาให้หลับลงได้ ทุรพลน้อยเริ่มรู้สึกถึงอาการ ‘เข้าฤดู’ ของตนได้อีกครั้ง หลังจากที่ติณสิงห์น้อยเคยประสบมาแล้วหลายครั้งจนเจ้าตัวเริ่มรู้เท่าทัน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น เพราะนอกจากความร้อนรุ่มในอกแล้ว ทั่วสรรพางค์กายนั้นก็ดูคล้ายจะอ่อนไหวต่อทุกสัมผัส ภายในหูรับเสียงดังชัดแม้กระทั่งเสียงหอบหายใจผสมกับเสียงหัวใจเต้นอันดังก้อง กระทั่งจมูกปลายเชิดรั้นก็รับรู้ถึงกลิ่นต่างๆ ที่อวลในอากาศอย่างชัดเจนยิ่งกว่าที่เป็น สิ่งเร้าที่ร่างกายรับมายิ่งกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกร้อนรนกระสับกระส่าย ดูเหมือนอาการครั้งนี้จะรุนแรงกว่าที่แล้วมา...


พิรัลนลินทิ้งกายลงบนตั่งนอนด้วยอาการทุรนทุราย ร่างบอบบางพยายามปิดเปลือกตาไว้แน่น บังคับตัวเองให้หายใจเข้าออกลึกยาว เพื่อประคองสติให้กลับคืนมา มือเรียวเอื้อมหยิบคนโทที่ตนย้ายจากมุมห้องมาไว้ใกล้มือ เทราดน้ำลงบนใบหน้าและลำตัวเพื่อลดความร้อนดั่งเคย อนิจจาสำหรับครั้งนี้น้ำเพียงหนึ่งคนโทกลับไม่เพียงพอ ทุรพลน้อยรู้สึกราวกับว่าน้ำที่ตนราดรดลงมา ได้ระเหยเป็นไอทันทียามตกต้องผิวกายผ่าวร้อนของตนรวดเร็วเสียจนแทบไม่รู้สึกถึงความเย็นฉ่ำได้เลย


“ต้องใช้น้ำมากกว่านี้”


สิงห์น้อยขบกัดริมฝีปากตัวเองแรงๆ เพื่อใช้ความเจ็บเรียกสติ กลั้นใจพาร่างอันสั่นเทาของตนโซซัดโซเซไปยังท่าน้ำหลังเรือน แม้จะเป็นบ่อน้ำสำหรับใช้ชำระร่างกายเฉพาะเรือนใหญ่ปีกขาว ซึ่งในเวลานี้คงมีเพียงตนเท่านั้นที่เป็นผู้ครอบครอง แต่ในใจของพิรัลนลินก็อดที่จะหวั่นกลัวไม่ได้...ไม่อยากให้ใครมาเห็น โดยเฉพาะพวกอุตมางค์ แต่จะให้เก็บตัวอยู่ภายในเรือน พิรัลนลินเกรงว่าตนจะขาดใจตายด้วยอาการกระสันอยากไปเสียก่อน จึงได้แต่ตั้งจิตภาวนาขออย่าได้มีสิงห์ตนใดเข้ามาพบเจอ


เมื่อประคองตัวจนถึงที่หมาย พิรัลนลินไม่รอช้า สิงห์น้อยรีบพาตัวเองลงแช่ในน้ำเย็นจัดกลางราตรี กดจมตัวเองลงไปใต้ผืนน้ำจนมิดหัว ใช้ความเย็นชุ่มโอบอุ้มร่างกายเพื่อดับไฟราคะให้มอดดับ พร้อมด้วยหยาดน้ำตาที่กลั่นออกมาด้วยความคับแค้นใจ เนิ่นนานจนหมดเรี่ยวแรง...




ดวงตากลมโตเปิดปรือขึ้นอย่างช้าๆ ใช้เวลาปรับสายตาเพียงครู่ จึงนึกรู้ได้ว่าภาพเบื้องหน้านั้นคือหลังคาเรือน หาใช่ทิวทัศน์ของท่าอาบน้ำดังสติสุดท้ายของตนจดจำได้ พอเหลือบมองข้างกายจึงพบทุรพลผู้พี่นั่งเฝ้าตนอยู่ไม่ห่างด้วยสีหน้าร้อนรน


“เจ้าพิรัล ฟื้นเสียทีหนา” น้ำเสียงของศศินเจือไปด้วยความเป็นห่วงกังวล อย่างที่พิรัลไม่เคยพบเห็นมาก่อนจากผู้ที่วางท่าทีเรียบร้อยเช่นศศิน


“ขะ ข้า มาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรจ๊ะ”


“อาคิรากำลังจักออกลาดตระเวน พบหยดน้ำบนพื้นรู้สึกผิดสังเกต แลเห็นว่ามาจากในเรือนเจ้า จึงมาแจ้งพี่กับท่านรวี พวกเราตามรอยน้ำไป จนเจอเจ้านอนหมดสติในสระน้ำ ได้ท่านธีมารวีอุ้มเจ้ากลับเรือนมา”


“ขอบพระคุณพี่ศศิน แลท่านรวีจ้ะ ข้าเพียงต้องการดับร้อน มิคิดว่าจักถึงขั้นหมดสติไปจนสร้างความเดือดร้อนเยี่ยงนี้” พิรัลนลินหน้าสลดวูบ เมื่อรู้สึกว่าตนสร้างความวุ่นวาย


“มิใช่เรื่องที่จักถือเป็นบุญคุณต่อกันดอกหนาเจ้าพิรัล” ธีมารวีเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ด้วยเพราะนางสิงห์นั้นผ่านการเข้าคู่ผูกวิญญาณไปแล้ว ทุรพลยามใกล้เข้าฤดูเช่นพิรัลนลินจึงไม่ส่งผลใดต่อนางอีก


“กระชั้นเข้ามาแล้วหนา ลางทีมิเกินรอบหน้าเป็นแน่” ศศินเอ่ยเตือนพิรัลด้วยความเป็นห่วงจับใจ ทุรพลเช่นเขานั้นเคยผ่านมันมาแล้วย่อมรู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานได้ดีที่สุด


“ท่านกัญจน์ แจ้งข้ามาเช่นกันว่ากลิ่นกายเจ้าเย้ายวนรุนแรงเหลือเกิน จนตนแลท่านนิลปารัชญ์ต้องหลีกเจ้าด้วยกลัวใจตัวเอง” ยิ่งธีมารวีกล่าวสำทับ พิรัลนลินยิ่งรู้สึกกดดัน จนเผลอกัดปากแน่น


“หากฤดูมาถึง ข้าคงส่งเจ้าไปทำภารกิจมิได้” ธีมารวีมองร่างบอบบางบนตั่งนอน ก่อนยื่นคำขาดออกมา แม้จะเห็นใจในชะตากรรมที่สิงห์น้อยพบเจอและยากร้างแค้นมากเท่าใด แต่ความปลอดภัยของพิรัลย่อมสำคัญเช่นกัน นางไม่อาจปล่อยพิรัลในสภาพสุ่มเสี่ยงเช่นนี้ออกไปให้ถูกคนของพันแสงปู้ยี่ปู้ยำเป็นอันขาด


“จนกว่าจักถึงเพลานั้น ขอโอกาสให้ข้าหาหนทางก่อนเถิดนะจ๊ะ”


“พิรัล เจ้ามิคิดถึงชีวิตข้างหน้ารึ เจ้าอายุยังน้อยชีวิตยังอีกยาวไกล หากพลาดพลั้งถูกพวกมันย่ำยี ชีวิตคู่เจ้าเท่ากับดับสูญฤๅ” ศศินวางมือบนไหล่ของน้องทั้งสองข้าง ตาคู่กับจ้องสบทอแววห่วงกังวลและเว้าวอน


“คู่รักฤๅจ๊ะ ข้ามิคิดมีคู่ดอกจ้ะ” แทนที่สิงห์น้อยจะรู้สึกตระหนักรู้ เจ้าตัวดีกลับไม่นำพา


“ว่ามิได้หนาเจ้าดูอย่างพี่ศศินของเจ้าเสีย สุดท้ายหนีข้ามิพ้นอยู่ดี เรื่องในภายภาคหน้าผู้ใดเล่าจักล่วงรู้ มิสู้รักษาเนื้อรักษาตัวไว้เล่าเจ้า” ธีมารวีกล่าวเสริม


“ข้ามั่นใจจ้ะ” ทว่าสิงห์น้อยยืนยันหนักแน่นเช่นนี้ ไม่ใช่ด้วยไร้เดียงสาไม่เคยมีความรู้สึกรักใคร่ ทุรพลน้อยมีหัวใจรัก และความรักเดียวของพิรัลไม่อาจเป็นไปได้ตั้งแต่เริ่มต้น ต่อให้ตนรอดปลอดภัยก็ไม่สามารถมอบหัวใจรักให้ผู้ใดได้อีก...เช่นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องพี่พิรัลเป็นกังวลแต่อย่างใด


ธีมารวีถอนหายใจหนัก เมื่อเห็นว่าพิรัลนลินยังคงดื้อรั้นอย่างแน่วแน่ แม้สุดท้ายนางจะยอมพยักหน้าแสดงความยินยอม แต่ภายในใจกลับคิดหาทางออกอื่นไว้สรตะ




                    ยามแสงแห่งอรุโณทัยสาดส่องบนเส้นขอบฟ้า พิรัลนลินฟื้นตัวดีแล้ว ตัดสินใจลงจากเรือนเพื่อพิสูจน์สถานการณ์ของตัวเองยังลานฝึกหน้าเรือนใหญ่ แล้วก็เป็นดังที่ธีมารวีบอกไว้ไม่มีผิด ทุรพลน้อยนั้นรู้สึกได้ว่าทั้งราชสีห์กัญจน์ และ ราชสีห์นิลปารัชญ์ คอยหลบเลี่ยงหนีห่างทันที เมื่อความรู้สึกของพวกเขาจับการมาถึงของพิรัลได้ สิงห์น้อยจึงตัดสินใจเก็บซ่อนตัวเองเพียงในเรือนนอน หรือเรือนยาเพียงเท่านั้น กระนั้นแล้วเมื่อจำต้องมีการชุมนุมเพื่อวางแผนการต่างๆ พิรัลนลินที่ไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มได้เช่นเคยต้องอาศัยศศินคอยบอกต่อความให้อีกทอด สร้างความยุ่งยากไม่น้อย จนเจ้าพิรัลนลินยิ่งรู้สึกเครียดกับหนทางที่เป็นดั่งทางตันไร้แสงสว่างเช่นนี้


“มฤคินทร์น้อยหมองเศร้าไปไยเจ้า”


“ท่านเขมอารัณย์”


“ว่าอย่างไรเล่า มีสิ่งใดในฤทัย ข้าพร้อมรับฟังหนา” คนธรรพ์หนุ่มแย้มยิ้มกว้าง จนเผยลักยิ้มสองข้างแก้ม ล้มตัวลงนั่งเหยียดขา ยันแขนทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ด้วยท่าทางผ่อนคลาย


“ความทุกข์ของข้า เกรงว่าแม้แต่ท่านนั้นยังมิอาจช่วยได้จ้ะ” พิรัลนลินไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำด้วยเอ่ยตัดความ


เขมอารัณย์สบมองใบหน้าหวานที่แสดงความเครียดวิตกอย่างชัดเจนนิ่ง ตั้งแต่พบเจอทุรพลตนนี้มิมีสักคราที่เขาจะเห็นพิรัลหัวร่อสดใสดังเช่นสิงห์ในวัยเดียวกัน ด้วยเหตุการณ์ที่ประสบอยู่นั้นมิใช่สถานการณ์ที่ผู้ใดจักอารมณ์รื่นเริง เพียงแต่มฤคินทร์เบื้องหน้านี้ดูเคร่งขรึมเติบโตเกินวัยไปโข


...อายุเพียงไม่กี่ขวบปี ไยจึงต้องแบกรับโชคชะตาหนักหนาถึงเพียงนี้หนอ


“เหวยๆ เจ้าสิงห์น้อย ชะรอยจักมิรู้ความ ข้านี้แหละหนาช่วยเจ้าได้ มิใช่เพียงสีหมุข ทั่วแคว้นแดนหิมวันต์ จวบจนสวรรค์ชั้นฟ้า ข้าล้วนตระเวนจนเจนจบ ศาสตร์ความรู้ใดล้วนพอลักจำมาได้มิน้อยหนา” โอ้อวดตนด้วยรอยยิ้มกว้าง พรางเลิกคิ้วขึ้นวางท่ามั่นใจเสียจนผู้ถูกโอ้อวดใส่ คล้ายโอนอ่อนใคร่รู้ตาม


“อย่างไรจ๊ะ”


“ข้าจักเล่าความลับให้เจ้าฟัง ฮึฮึ อันบนเมืองสวรรค์นั้นนอกจากสุราเมรัย ระบำรำฟ้อนอันวิจิตรแล้วไซร้ ชาวฟ้ายังมีความงามพิสดารจนเป็นที่เรื่องลือ งามรูป งามทรง จนถึงกลิ่นกายนั้นย่อมต้องจรุงอบอวล ประการสุดท้ายสำมะคัญนัก ใช่ว่าทุกผู้จักมีได้ จำต้องปรุงแต่งกันขึ้นมาก็มาก” คนธรรพ์หนุ่มเล่าไปเรื่อยเปื่อยราวกับเล่านิทาน หากนัยความนั้นแสนสำคัญยิ่ง จนพิรัลนลินอดไม่ได้ที่จะจับจ้องด้วยความจดจ่อ ท่าทางดังนั้นของทุรพลน้อยสร้างรอยยิ้มติดมุมปากให้แก่ผู้เล่า


“นางไม้นั้นมิเท่าใด นางอัปสรนี่ล่ะตัวสำคัญ เมื่อร่ำสุราจนชื่นจิต จักเข้าเฝ้านายเหนือหัวแต่ละที จำต้องหาเครื่องหอม น้ำปรุงมาประโคมลงตัวกันจนวุ่น ดับกลิ่นสาบที่ตนเผลอเข้าเกลือกกลั้ว ชาวฟ้ากายหอมนั้นแท้จริงเพียงสร้างมาเพื่อกลบกิเลสเสียเท่านั้น เจ้าคิดเห็นเช่นไรเล่าพิรัล” เขมอารัณย์ขยิบตาใส่ พิรัลนลินที่ยังนิ่งอึ้ง จนกระทั่งในหัวสามารถเท่าทันถึงความนัยนั้นได้ เรียวปากอิ่มจึงเผยยิ้มกว้าง พิรัลนลินรู้แล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร แม้จะไม่ใช่ที่ต้นเหตุแต่ สิงห์น้อยคิดว่า ’แบบนี้‘ ก็ช่วยได้มากโข


“ขอบพระคุณจ้ะท่านเขม ขอบพระคุณจ้ะ”


“แล้วหากข้าต้องการจักชะลอ...มันไปสักหน่อย ท่านพอมีหนทางบ้างฤๅไม่จ๊ะ ขอบเขตในความรู้ที่ข้าพอหาได้นั้นสิ้นหวังนัก”


“เช่นเจ้าว่าข้าหามีคำตอบให้ได้ดอก เพลานี้แก้เพียงเรื่องที่ได้ก่อนเถิด”


“จ้ะ”


“หากหยุดมิได้ข้าเชื่อว่าต้องมีทางเบี่ยงเลี่ยงอยู่ ข้าขออวยพรให้เจ้าจงค้นพบมัน”




เมื่อได้คำแนะนำที่เห็นถึงความเป็นไปได้ สิงห์น้อยจึงไม่อาจรอช้าตรงดิ่งไปยังเรือนยาในทันที พิรัลนลินไม่มีน้ำอบน้ำปรุง ดั่งนางสวรรค์ ทว่ามีสมุนไพรบางอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาไว้ว่าจะใช้การได้ ลงมือค้นหาอยู่เพียงครู่ก็ได้มาซึ่งภาชนะดินเผาใบเล็ก เมื่อลงมือดึงจุกฝาออก ปรากฏกลิ่นหอมหวานลอยระเหยออกมาอย่างเข้มข้น ‘น้ำมันกฤษณา’ ปกติแล้วมักนำมาใช้บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ มาบัดนี้พิรัลนลินค้นพบประโยชน์จากมันอีกประการแล้ว


ทุรพลน้อยเม้มริมฝีปากแน่น ใช้นิ้วอุดปากโถแล้วพลิกคว่ำให้น้ำมันภายในไหลลงมา ปลายนิ้วเรียวค่อยๆ แตะแต้มน้ำมันลงไปตามร่างกายจนหอมฟุ้ง


“หวังว่าจักได้ผล”


กลีบปากอิ่มเผยยิ้มบางเบาเมื่อยามกลิ่นกฤษณาเจือจางเคล้าอากาศเช่นนี้ทำให้ พิรัลอดคิดถึงพี่อาคิราไม่ได้ สามัญสิงห์ผู้นั้นขลุกอยู่ในเรือนยาทั้งวันจนกลิ่นหอมจากสมุนไพรอบอวลทั่วตัวอยู่ตลอดเวลา แม้หลับตาลงยังสามารถรู้ได้ว่าพี่อาคิราเข้ามาใกล้ กลิ่นเหล่านี้คล้ายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพี่อาคิราไปเสียแล้ว...




“เจ้าพิรัลกลิ่นอันใดรึ หอมนัก” สิงห์ตนแรกที่เข้ามาทักคือบัณฑูรสิงห์หนุ่ม คราแรกกัญจน์ราชสีห์เกือบทิ้งมาดวิ่งหนีทุรพลน้อยไปเสีย หากไม่ติดว่าความยั่วยวนของกลิ่นกายทุรพลน้อยนั้นเปลี่ยนไป...หอมหวาน ทว่าไม่ยั่วเย้าสัญชาตญาณเช่นเดิม เลยตัดสินใจหยุดทักทายในระยะพอสมควร...ยังไม่กล้าเข้าประชิดร่างบอบบางมากเกินไปนัก


“น้ำมันไม้กฤษณาจ้ะ ข้าลองใช้เพื่อพรางกลิ่น เช่นนี้ท่านยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ฤๅไม่จ๊ะ”


“แม้ว่าข้าจักปักใจกลิ่นหอมจากเจ้ามากกว่า ทว่ากลิ่นกฤษณาเช่นนี้ย่อมปลอดภัยต่อเจ้ามากกว่า” กัญจน์ราชสีห์สารภาพเสียงแผ่ว ใบหูทั้งสองแดงก่ำ เมื่อกล่าวแฝงความนัย


“ดีจริง เป็นเช่นนี้ได้ข้าค่อยสบายใจ จักได้มิต้องวุ่นวายวิ่งเลาะวิ่งวนกันอีก” เมื่อความต้องการของตนสัมฤทธิผลรอยยิ้มงามจึงปรากฏ ไม่ได้คิดให้ความสนใจ ต่อความหมายแฝงในถ้อยคำที่อีกฝ่ายฝากฝังไว้แม้แต่น้อย ทุรพลน้อยรีบขอตัวลาเข้าไปรายงานผลต่อศศิน และ ธีมารวีด้วยความลิงโลด ทิ้งให้อีกฝ่ายมองตามตาละห้อย




                    ณ เรือนใหญ่ ธีมารวีและศศินนั่งมองหน้ากันนิ่งนาน ด้วยทั้งสองต่างคาดว่า พิรัลนลิน ย่อมยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตนเองไปแล้ว แต่เจ้าตัวกลับนั่งยกยิ้มยืนยันเจตนารมณ์ของตนไม่เปลี่ยนแปลง


“เอาเถิด เป็นเช่นนี้ดีแล้ว แผนการเดิมของเราจักได้มิต้องเปลี่ยนแปลงคลาดเคลื่อนไปอีก เป็นเช่นนี้จักได้บอกเล่ากันเสียทีเดียว” ธีมารวี ยืดแผ่นหลังตั้งตรงแสดงทีท่าจริงจัง พร้อมกับยื่นแผ่นหนังวางลงบนตั่งกลางวง


“ข้ามิแน่แก่ใจนัก ว่าบัดนี้ถ้ำแห่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปประการใด หวังใจว่าจักมิแปลกไปมากนัก” ด้วยความทรงจำในวัยเยาว์ของธีมารวี สถานที่แห่งนั้นช่างอุดมไปด้วยความสุขยิ่ง เมื่อมีเหตุให้ต้องแยกจากมา สิงห์สาวจึงเนรมิตถ้ำแห่งตนให้ใกล้เคียง ‘บ้านเกิด’ ให้มากที่สุด


“คูหาแห่งนี้ ข้าสร้างให้ใกล้เคียงกับคูหาอันเป็นที่เกิดแห่งนั้นทุกกระพี้ หากแต่มิได้ซับซ้อนเท่า ผังคูหาแผ่นนี้ข้าแลอาคิราช่วยกันเขียนไว้เมื่อครั้งยังเล็ก เพื่อเอาไว้เล่นซุกซนมิคิดว่าจักได้นำมาใช้ เจ้าจดจำแผนผังนี้ไว้เถิด เผื่อจักเป็นประโยชน์ ยามเข้าไปอยู่ที่นั่นจักได้รู้ทางหนีทีไล่”


“จ้ะ” พิรัลนลินรับแผ่นหนังเก่าเหลืองมาไว้ในมือ ภายในใจรู้สึกฮึกเหิมเมื่อคิดว่า ทุรพล เช่นตนนั้นสามารถทำประโยชน์อยู่ได้บ้างไม่น้อย




                    กาลเวลาหมุนผ่านครบสัปดาห์ บัดนี้อาคิรากลับจากการลาดตระเวน เผื่อผลัดเปลี่ยนกับกัญจน์ราชสีห์ ไปตามพื้นที่ใกล้เคียง อาคิราในยามนี้ร่างกายซูบเซียวลงอย่างเห็นได้ชัดจนพิรัลนลินนึกเป็นห่วง


“พี่อาคิราอ่อนล้ามากฤๅจ๊ะ เช่นนั้นข้าไปต้มยำบำรุงให้ดีฤๅไม่จ๊ะ”


“มิต้องดอก ข้าหาได้เป็นอันใดไม่” คำปฏิเสธไม่อาจสั่นสะเทือนหัวใจของเจ้าสิงห์น้อยได้เท่า และท่าทีตีตัวออกหากมากกว่าเดิมได้เลย แม้ใจรู้สึกร่ำๆ อยากโพล่งถาม ทว่าสุดท้ายพิรัลนลินยังไม่มีความกล้าพอ สิงห์น้อยจึงเพียงทำตัวรู้อยู่ ไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับอาคิราให้มากความ จนกลายเป็นว่า เมื่ออาคิราวนซ้าย พิรัลนลินก็เลือกที่จะวนขวาให้คลาดกันอยู่ร่ำไป




เจ้าสิงห์น้อยเลือกหันเหความสนใจของตัวเองจากอาคิรามาลงกับตำราและแผนที่คูหาพันแสงที่ได้มา พิรัลนลินพยายามตั้งสมาธิจดจำถึงขั้นทดลองวาดแผนผังตาม เพื่อให้มั่นใจว่าตนเองไม่ตกหล่นส่วนใดไป ในหัวของสิงห์น้อยเต็มไปด้วยภาพแผนที่และวิธีการเอาตัวรอดมากมายในหัว ไม่เว้นกระทั่งยามกิน หรือยามอาบน้ำ


ดังเช่นในขณะนี้ ที่ทุรพลน้อยกำลังจะขึ้นจากอาบน้ำจัดเครื่องแต่งกายให้เข้าที่ไป ในใจก็เกิดนึกครึ้มใจเมื่อคิดไพร่ไปถึงแผนภาพที่ได้มาบ้านเรือนจัดเรียงละม้ายคล้ายจับวาง หากตรงผนังถ้ำมีขีดลากยาวประหลาด เมื่อไปขอศศินดูแผนที่ฉบับคัดลอกมา กลับไม่มี ในคราแรกสิงห์น้อยคิดว่าอาจเกิดจากความพลาดพลั้งของสองสิงห์ที่ยังเยาว์ ทว่าเมื่อพินิจจากรอยขีดด้วยน้ำหนักมือมั่นคงเช่นนี้ คล้ายไม่ใช่ด้วยพลาดพลั้ง และมันช่างติดค้างในใจเหลือเกิน


ใบหน้าสวยหันรีหันขวางพลางนึกถึงแผนภาพที่ตนจดจำไว้ เท้าเล็กเดินลัดเลาะไปตามแนวถ้ำ ลากไล้มือลงบนผนังแก้ว เมื่อคาดว่าบริเวณนี้นั้นตรงกับรอยที่ถูกขีดไว้บนแผนที่ แล้วก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อพื้นผิวคูหาที่ควรเรียบเย็นเกิดประกายแสงบางเบา จนแทบไม่สังเกตได้ แล้วเลือนหายไป หากไม่นึกติดใจมาก่อนแล้ว คงไม่พ้นเดินผ่านเลยไปเป็นแน่


กลีบปากอิ่มสีระเรื่อยกยิ้มซน เมื่อในหัวรู้สึกสนุกระคนตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนจะได้พบเจอ ความเยาว์วัยแสนซนเมื่อครั้งเป็นลูกสิงห์น้อยกลับมาเยือนพิรัลนลินอีกครา เจ้าสิงห์น้อยออกแรงผลักเพียงแผ่วเบา แผ่นผนังกระด้างหนักก็อ่อนยวบแล้วดูดร่างบอบบางเข้าไปด้านใน จนพิรัลนลินที่ไม่ทันตั้งตัวเซถลาหวิดหน้าคะมำลงทาบพื้น ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง...มีสถานที่แอบซ่อนไว้จริงๆ ด้วย


ตากลมโตมองสำรวจรอบกาย ภายในเรือนลึกลับแห่งนี้มิได้แตกต่างจากเรือนนอนทั่วไปในเรือนใหญ่มากนัก คงมีไว้สำหรับหลบซ่อนตัวชั่วครู่ชั่วคราวกระมัง


“เจ้าเข้ามาได้เช่นไร!”


ยังไม่ทันได้สำรวจตรวจตราให้ครบครัน พลันบังเกิดเสียงทุ้มตวาดกร้าวจนพิรัลนลินสะดุ้งผวา ด้วยไม่ทันคิดว่าภายในเรือนนี้อาจจะมีใครอีกนอกจากตน


เจ้าของเสียงคำราม จ้องมองผู้บุกรุกด้วยแววตาวาววับ จนผู้รุกล้ำเผลอกลั้นหายใจ ร่างทั้งร่างรู้สึกเย็นเหยียบไปถึงขั้วหัวใจ...ทั้งตกใจ และไม่คาดคิด สิงห์ที่ปรากฏเบื้องหน้านี้ ไม่ใช่ผู้ที่พิรัลนลินคาดคิดว่าจะต้องพบเจอในสถานที่นี้แม้แต่น้อย




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

มาถึงตอนที่ ๘ กันแล้ว ตอนนี้สิงหาพานักอ่านทุกท่านมาถึง กลางเรื่อง แล้วนะคะ

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ รออ่านความคิดเห็นจากทุก ๆ คนอยู่นะคะ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

เพื่อชดเชยอาทิตย์ที่แล้ว ตอนที่ ๙ จะมาลงต่อใน คืนวันพรุ่งนี้ นะคะ








หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๘ ความลับ {๒๒/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-09-2019 09:27:03
น้องพิรัลเจอใครล่ะเนี่ย จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๘ ความลับ {๒๒/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 23-09-2019 10:31:12
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse + พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๘ ความลับ {๒๒/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-09-2019 12:02:03
ใครเนี่ย ลุ้นจนเกร็งแล้วววว
หัวข้อ: Re:ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี} บทที่๙ ร่วมคู่{บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 23-09-2019 20:42:35
บทที่๙
ร่วมคู่









“พะ พี่อาคิรา...”


“ออกไป!” เสียงทุ้มต่ำตวาดก้องจนคล้ายคำราม หากเป็นยามปกติพิรัลนลินคงวิ่งหนีไปเสียนานแล้ว แต่บัดนี้สิงห์น้อย กลับก้าวขาไม่ออก แข้งขาอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น...นี่มันเกิดอะไรขึ้น


ดวงตาคมปลาบจ้องมองมาทำให้ทุรพลสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย เพราะเหตุนี้เล่า พี่อาคิราจึงมิยอมสบตา คอยหลบเลี่ยงเบี่ยงมองเอาเสียทุกครา แท้แล้วเพื่อหลบซ่อนแววตาเรืองไปด้วยอำนาจแห่ง ‘อุตมางค์’ บัดนี้พิรัลนลินเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ว่าเหตุใดพี่อาคิราจึงต้องหลบหายบ่อยครั้ง เหตุใดกลิ่นกายของสิงห์หนุ่มจึงอบอวลไปด้วยเปลือกไม้หอม และเหตุใดอาคิราจึงตีตัวออกหากเหลือเกิน


“พี่อาคิรา ...อุตมางค์! ”


“เจ้าพิรัล ออกไปให้พ้นข้าเสีย” เสียงของอาคิราสั่นพร่า ฟันกรามขบกันแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน เมื่อเขากำลังยับยั้งหักห้ามตัวเองอย่างหนัก


ราชสีห์เบื้องหน้านี้คือผู้ใด พี่อาคิราที่พิรัลนลินมั่นใจหนักหนาว่ารู้จักรู้ใจกันดี เพลานี้กลับเหมือนผู้ที่ตนไม่เคยรู้จัก...แค่คิดถึงตรงนี้ภายในอกพลันปวดแปลบเสียดแสบไปหมด


มือใหญ่กำแน่นสั่นเทิ้ม ไอร้อนในกายพาเอากลิ่นหอมหวานเอียนลอยคลุ้งทั่วทั้งร่าง ใบหน้าหล่อคมบิดเบี้ยวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอุตมางค์เมื่อยามถึงฤดูแล้วนั้น ทรมานมิแพ้ทุรพล


“เจ้าพิรัล! ออกไปบัดเดี๋ยวนี้” เรียกย้ำเมื่อน้องน้อยยังไม่ยอมขยับกาย ซ้ำกลิ่นกายหอมระรวยกรุ่นที่ร่างบอบบางกำจายคลุ้งรอบกาย ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนอาคิราแทบประคองสติยับยั้งตัวตนดิบเถื่อนเอาไว้ไม่ไหว


พิรัลนลินรู้สึกกำลังกายหดหาย ภายในร่างกายของทุรพลน้อยแผดเสียงลั่นถึงความต้องการ


พรึ่บ!


พริบตาเดียวร่างสูงโปล่งของอาคิรากระโจนพุ่งขึ้นคร่อม ใช้สองแขนแน่นหนัดกางกักกันร่างบอบบางไว้ใต้อาณัติ ลมหายใจพ่นออกจนเกิดเสียงฟืดฟาด


“เจ้า...พิ...รัล...หนี...หนี” ดวงตาคมแกร่งกล้าหลับแน่น ร่างทั้งร่างสั่นเทาเมื่อสิงห์หนุ่มรีดเค้นกำลังในทุกส่วนเพื่อต่อสู้กับสัญชาตญาณสัตว์ป่าของตัวเอง


“ข้า ขอสมาเกิดจ้ะ ข้าหนีไม่ไหว ร่างกายข้าไร้กำลังเสียแล้ว...ควบคุมมิได้” ทุรพลน้อยยกมือขึ้นหว่างอกกล่าวขอโทษ จนผู้ร้อนรนขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ ฉับพลันจึงเปลี่ยนเป็นความตะลึงลานเมื่อกลิ่นกายหอมกำจายฟุ้งจนอาคิรารู้สึกหน้ามืด ทุรพลน้อยไม่หยุด ซ้ำยังค่อยๆ เคลื่อนกายเข้าหาร่างสูงใหญ่ของผู้พี่ด้วยร่างกายอันสั่นเทา เพียงนัยน์ตากลมที่คลอเคลือบไปด้วยหยาดน้ำเงยสบ อาคิราก็สติหาดสะบั้นเอื้อมมือคว้าร่างบอบบางเข้าหากายทันที


ร่างทั้งร่างของพิรัลนลินถูกพลิกกลับโถมทับอย่างแรงจนล้มนอนลงบนตั่งไม้ ขณะที่เจ้าตัวยังคงตั้งตัวไม่ติดนั้น แขนทั้งของข้างกลับถูกมือหนาบีบตรึงไว้แน่นดั่งต้องตรวน เมื่อปลายจมูกของผู้บุกรุกกดฝังลงบนซอกคอ สติการรับรู้ของสิงห์น้อยจึงค่อยกลับมา แม้เตรียมใจและเป็นฝ่ายเสนอตัวเอง ทว่าภาพฝันร้ายแผลเป็นเก่าครั้งก่อน ถูกสะกิดจนเปิดกว้าง สองครั้งสองคราในชีวิตที่พบเจอนั้นหนักหนาเกินกว่าที่พิรัลนลินรู้ตัว


ขณะนี้ความหวาดกลัวแทรกเข้ามาจนแทบสิ้นสติ ร่างแบบบางนิ่งค้าง นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง กลิ้งกลอกไปมาด้วยความเร็ว สภาวะการดิ้นรนเอาตัวรอดทำให้พิรัลสดับรับฟังทุกเสียงอย่างชัดเจน แม้แต่เสียงหัวใจที่เต้นแรงจนแทบแตกแยกออกเป็นเสี่ยง หรือเสียงสูดลมหายใจเข้าของอีกฝ่าย ยามดอมดมผิวเนื้อของตัวเองก็ดังก้องสะท้อนในทุกโสตการรับรู้

...น่ากลัว


มือเท้าเล็กพยายามยื้อยุด แต่มือใหญ่ที่จับยึดตนไว้ทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนดิ้นรนได้ดั่งใจคิด กระนั้นทุรพลน้อยที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้ายไม่ยอมจำนนใบหน้าพยายามส่ายสะบัด เพื่อหลีกหนีการคุกคามให้ได้มากที่สุด สติไม่อาจรับรู้ได้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องบนตัวเองนั้นคือผู้ใด

...อนิจจา นอกจากไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการที่รัดรึงได้แล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวนั้นดูเหมือนจะถูกอีกฝ่ายทาบประทับจนไม่หลงเหลือที่ว่าง


มือหนาของผู้รุกราน ลูกไล้ผิวเนื้ออ่อน เลาะเลี้ยวเค้นคลึงตั้งแต่เอวบางระเรื่อยล่องมาจนถึงแผ่นอก บรรจบลงบนสร้อยคอแพทองที่ร่างบางสวมใส่ติดกาย ปลายนิ้วแกร่งเพียงออกแรงเกี่ยวเบาๆ แพทองบนลำคอเล็กก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย ไหลลงจากรอบคอระหงตกกระทบสู่พื้นตั่ง ทำให้แสงจากมรกตเม็ดน้อยกระทบเข้ากับแสงสีทองจากเปลวเพลิงปลายเทียนจนสว่างเรืองเปล่งแสงสีเขียวจ้า กระทบเข้านัยน์ตาของผู้ที่ปลดมันออก พลันราชสีห์ร่างใหญ่คล้ายได้สติ ผละจากร่างหอมระรวย เงยหน้าขึ้นมาจนทำให้ทั้งสองได้สบตากันอีกคราหลัง หลังจากต่างฝ่ายต่างมัวเมาในความรู้สึกของตนอย่างไร้สติสัมปชัญญะ


เพียงนัยน์ประสานกัน พิรัลนลินที่แรงกำลังถดถอยลงไปแล้วก็ยิ่งเหือดหายไม่มีเหลือ อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเจ้าสิงห์น้อยราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นราม แล้วอ่อนยวบดั่งขี้ผึ้งถูกไฟลน ดวงตากลมที่เบิกกว้างกลับปิดลงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลอาบราวทำนบพัง เลือดในกายเย็นเหยียบทั้งเนื้อตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับร่างกายนี้มิใช่ของตนอีกต่อไป ทุรพลน้อยเพิ่งรู้จักความหวาดกลัวจากจิตวิญญาณเป็นครั้งแรกในชีวิต ยอมศิโรราบด้วยสัญชาตญาณโดยสมบูรณ์ ให้กับผู้มีความแข็งแกร่งที่มากกว่า ต่างกับเมื่อครั้ง คีรี อย่างไม่อาจเทียบเคียง


...นี่สิหนา อำนาจเหนือมฤคินทร์ทั้งปวงของ อุตมางค์ อำนาจที่ทุรพลเช่นตนมิอาจต่อต้านทานได้แม้เพียงน้อย


ขณะที่ร่างน้อยยอมจำนนต่อโชคชะตาและสัญชาตญาณส่วนลึกในตัวเอง แรงกดทับบนร่างกายกลับหายไปอย่างฉับพลัน ขณะเดียวกันสิงห์น้อยได้กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้ง ตามมาด้วยเสียงคำรามลั่นของผู้ที่อยู่บนร่าง


“พิรัล ข้า ข้ามิได้ตั้งใจจักข่มเหงเจ้า” ริมฝีปากหยักปากอาบท่วมไปด้วยโลหิต เมื่อสิงห์หนุ่มปลุกสติตัวเองด้วยการฝังคมเขี้ยวลงบนท่อนแขนของตนจนเป็นแผลลึก ใช้ให้ความเจ็บปวดเป็นตัวปลุกและควบคุมตัวตนมิให้หลงมัวเมาไหลเรื่อยไปตามสัญชาตญาณแห่งพันธุ์เผ่า มืออีกข้างเอื้อมแตะผิวแก้มเนียนแผ่วเบาเพื่อเกลี่ยหยาดน้ำตา เพียงปลายนิ้วแตะต้องร่างกายกลับร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครา เลือดในกายหนุ่มเดือดพล่าน พร้อมทะยานพุ่งตัวฝังรักสู่กายบางเบื้องล่างจนเกินควบคุม...ไม่สามารถหยุดได้แล้ว


“เจ้าพิรัลอย่าได้กลัวข้า...อย่ากลัวพี่เลย” เสียงทุ้มกระซิบพร่า แม้นอยากข่มเหง หากแต่เจ้าตัวน้อยยังคงร่ำไห้ อาคิราก็ไม่อาจใจแข็งได้ลง


พิรัลถอนสะอื้น สบตาเว้าวอนของผู้ที่อยู่บนกายนิ่งนาน เป็นแววตาของ ‘พี่อาคิรา’ คนเดิม...ที่พิรัลนลินคิดถึงเหลือเกิน ทุรพลน้อยยกมือสั่นเทาขึ้นทาบกรอบหน้างดงามแผ่วเบา พิรัลนลินยังหลับตานิ่ง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเมื่อตัดสินใจได้ในที่สุด มือเรียวเกี่ยวผืนแพรคล้องไหล่ที่เจ้าตัวใช้ปกปิดร่างกายส่วนบนให้หลุดร่วงลงสู่พื้น ก่อนพยักหน้ารับแม้ความหวาดกลัวจะยังคงอยู่ หากสิงห์ตนนี้เป็นพี่อาคิราของพิรัลแล้ว พิรัลนลินก็ยินดี


แม้ร่างกายกระสันอยาก สัญชาตญาณดิบพร้อมจู่จ้วงทะลวงออกมา ด้วยกลิ่นกายหอมหวนลวงจิตให้พร่าเลื่อน หากร่างกายสั่นสะท้านของน้องทำเอาอกสิงห์หนุ่มสะท้อนสงสาร มือใหญ่ปัดเกลี่ยพวงแก้มนุ่มละมุนปลอบโยนไล้ขึ้นสูงดึงปิ่นบัวตูมสยายผมยาวสลวยลงปรกหมอน สอดปลายนิ้วสางเส้นไหมนุ่มมือจนสุดปลายด้วยความอ่อนโยน


ก่อนยกมือเล็กที่กำแน่นข้างลำตัวขึ้นมากดจูบละเลื่อยไล่จากปลายนิ้วไปจนถึงฝ่ามือ พร่ำเรียกชื่อน้องน้อยในลืมตาขึ้นสบมอง


“เจ้าพิรัล”


ตาสบตายิ่งพาให้ใจสั่น เรียวปากมักขึงตึงอยู่เป็นนิจคลี่ยิ้มอ่อนหวาน น้อมตัวลงกดจุมพิตลงบนหน้าผากมนนิ่งนาน พาให้ผู้รับสัมผัสเม้มปากแน่นเข้าหากัน เมื่อความขลาดเขินเข้ามาแทรกแซงรุกไล่ความหวาดกลัวมากขึ้นทุกที


จากหน้าผาก สู่ปลายจมูก เลาะลงสู่ข้างแก้มซ้ายขวา ไม่เว้นแม้แต่ปลายคาง ราวจงใจจักตีตราจองดวงหน้าหวานไว้เพียงตน ยิ่งจุมพิตดอมดมกลิ่นหอมอวลยิ่งทวีความรุนแรง จนผู้เคล้าคลึงเนื้อนวลสีกลีบบัวรู้สึกดั่งต้องมนต์สะกด


...ดอกบัวมีมนต์เช่นนี้เล่า เหล่าผึ้งภมรจึงชื่นชมดอมดมมิยอมห่าง

...แลบัวดอกนี้เห็นทีจักมีมนต์ร้ายแรงกว่าดอกใด ภมร เช่นอาคิราถึงรู้สึกมัวเมาได้มากมายเช่นนี้


จมูกโด่งติดกับกลิ่นหอมจากดอกบัวเข้าอย่างจัง ยิ่งดอมดมยิ่งรู้สึก...ไม่พอเพียง...ต้องการมากขึ้น และหวงแหนไว้เพียงผู้เดียว ริมฝีปากร้อนฝั่งลึกเล็มไล่ลงมาจนถึงลำคอ ล่องไหลไล่เรื่อยลงมาถึงแผ่นอกเปลือยเปล่า เคล้าคลึงหยอกล้อจนดอกบัวออกเสียงครางเครือ ยามลากปลายนิ้ว เข้าต้องแตะผิวสีระเรื่อแดงยิ่งแดงจัดจ้าราวต้องของร้อน มือหนาลงน้ำหนักฟอนเฟ้นเค้นคลึงผิวเนื้อนุ่มเนียนเหมาะเจาะทุกส่วนสัดพานให้รู้สึกร้อนวาบไปถึงทรวงอก อาคิรารั้งตัวขึ้นมาประกบจุมพิตลงบนกลีบปากนุ่ม ราชสีห์หนุ่มกดย้ำซ้ำๆ จนผู้รับมึนเมา นัยน์ตาส่วนปริ่มน้ำด้วยความกระสันอยากจากสัญชาตญาณภายในที่ถูกปลุกขึ้นมาเช่นกัน สิงห์หนุ่มเคล้าเคลียดวงหน้าหวานหลอกล่อเบี่ยงเบนน้องน้อยให้มัวเมาไปด้วยรสจูบ อาศัยความไม่ระวังตัวปลดปมผ้านุ่งผืนสวยให้หลุดร่วงเปิดทาง ก่อนแทรกเรียวนิ้วชำแรกเข้าสู่ภายใน ความอึดอัดแปลบแปลกจนผวาเฮือกสวมกอดผู้พี่ไม่ยอมปล่อย


ด้วยสรีระแห่งทุรพล เพียงไม่นานความเจ็บเสียดจึงจางหายเหลือไว้เพียงกำหนัดราคะ ร่างน้อยบิดเร่าด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน เหงื่อกายผุดพลาย เช่นเดียวกับช่องทางที่เริ่มฉ่ำเยิ้มเพื่อส่งสัญญาณแก่ผู้ที่เป็นคู่ของตน อาคิราประคองดวงหน้าหวานพลางกดจูบอีกครา ก่อนจู่จ้วงโหนกายชำแรกสู่กายแบบบางแนบกระชับเบียดบดจนไร้ช่องว่างระหว่างกัน ยามสิงห์หนุ่มควบขย่มดุนดันหยอกเย้า เจ้าบัวดอกงามก็ออกเสียงครางหวานแว่ว พร้อมด้วยมือเล็กฝังเล็บครูดข่วนไปตามแนวบ่าให้รู้สึกแสบเจ็บ เรือนกายใหญ่โตกว่าจับจูงร่างแบบบางขับเคลื่อนไหวโยนโยกบรรเลงสอดประสานอย่างร้อนแรงจนเหงื่อซึมไหลหยดหลอมรวมจนไม่อาจแยก ความรู้สึกเสียวซ่านหวามวาบแทบขาดใจ จวบจนท้ายบทเพลงร่างทั้งร่างคล้ายถูกฉุดลอยขึ้นสูงแล้วแตกกระจายคล้ายผืนน้ำซ่านเซ็น ช่องท้องแบบราบของทุรพลอุ่นร้อนเช่นเดียวกับร่างใหญ่โตของอาคิรากระตุกสั่น จบบทเพลงแห่งราคะและกามารมณ์ด้วยความรู้สึกสุขสมเมื่อได้ถูกเติมเต็ม ...ทว่าสำหรับมฤคินทร์ทั้งสอง สิ่งที่มากล้นยิ่งกว่าคือความรู้สึกเต็มตื้นจากการผูกสัมพันธ์ของกันและกัน...


สิงห์หนุ่มเป็นสุขจนแทบกระอัก เช่นเดียวกับความหวงห่วงร่างน้อยในวงแขนนั้นมีมากขึ้นเป็นลำดับ อาคิราจำต้องขบกรามกรอด เมื่อความต้องการส่วนลึกสั่งให้เขาฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอขาวผ่องของพิรัลเสีย


...เพียงคราเดียว พิรัลจักเป็นของเขาตลอดกาล ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้น ไม่อาจทำได้ดั่งใจนึก


ท่าทีการฝืนข่มตนเองของร่างสูงใหญ่ที่โอบทับ ไม่อาจรอดพ้นดวงตากลมชื้นน้ำไปได้ เมื่อสบตากันอีกครั้ง มฤคินทร์ทั้งสองจึงทำเพียงโอบกอดกันและกันแนบแน่น ข่มตาหลับลงเพื่อบังคับตัวเองให้สนใจเพียงความสุขสมเบื้องหน้า...ยามนี้ยังเป็นสุข หากสุขนั้นผสมความขมเข้ามาเสียหลายส่วน




                    ยามรุ่งสาง อาคิรารู้สึกตัวด้วยถึงเวลาที่ตนรุกจากนิทราเป็นนิจ จนร่างกายจดจำแม่นยำเที่ยงตรง ข้างกายพิรัลนลินยังคงหลับพริ้ม มือหนาเอื้อมลูบกลุ่มผมสลวยแผ่วเบา...


เพราะจมอยู่ในความคิดแห่งตน สิงห์หนุ่มจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าผู้ที่นิทราอยู่นั้นลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว สีหน้าที่ผู้พี่แสดงออกทำเอาคนน้องเจ็บแปลบ ลนลานพยุงตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สองมือน้อยยกประนมขึ้นหว่างอกด้วยน้ำตานองหน้า


“ฮึก พี่อาคิรา ข้าขอสมาเถิดนะจ๊ะ”


“เจ้าพิรัล...อย่าร่ำไห้เลยหนา” แม้จักพูดทัดทานแต่พิรัลนลินดูเหมือนไม่ได้รับฟัง ร่างน้อยก้มลงกราบขออภัยผู้พี่แทบตัก จนอีกฝ่ายต้องรีบรองมือหนารับไว้แล้วกุมมั่น


“มิเป็นไรเลยเจ้าพิรัล หากเจ้าผิดพี่ก็ผิดที่มิคิดหักห้ามตัว”


“ข้ารู้ตัวว่าหน้ามิมียางอาย ฮึก แต่ข้าขอพี่อาคิราอย่าได้รังเกียจข้าเลยนะจ๊ะ ที่ข้าทำไป ฮึก มิได้ต้องการให้พี่ต้องมารับอุ้มชูตัวข้าแต่อย่างใด”


“เจ้าพิรัล พอเถิด พี่หาได้คิดรังเกียจเจ้าแม้เพียงน้อย หากพี่รังเกียจเจ้า พี่คงไม่แคล้วรังเกียจตัวเองด้วย” สองแขนแกร่งรวบร่างน้อยที่ยังคงสะอื้นไห้เข้ามาไว้ในอ้อมอก ตั้งแต่รู้จักกันมา อาคิราไม่เคยแม้สักครั้งที่จะเห็นเจ้าตัวดีร้องไห้มากมายถึงเพียงนี้...แค่คิดว่าพิรัลเสียใจ ด้วยเพราะไม่อยากให้ตนรังเกียจ ก้อนเนื้อในอกก็พลันเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงด้วยความเปรมปรีดิ์


“พี่อาคิรา ฮึก ข้ามิได้ต้องการให้พี่ต้องมารับผิดชอบข้า ฮึก เมื่อคืนขอให้ถือเป็นผลประโยชน์ของเราได้ฤๅไม่จ้ะ”


“เช่นนั้นเจ้าบอกพี่ได้ฤๅไม่เล่า ว่าเหตุว่าผลกลใดเจ้าจึ่งกระทำเยี่ยงนี้” แม้พอจะเดาได้ แต่อุตมางค์หนุ่มอยากได้ยินจากปาก เพื่อที่เขาจะได้จัดการกับความรู้สึกของตัวเองให้เป็นในแบบที่เจ้าตัวน้อยในอ้อมอกวาดหวังไว้


“ทุรพล เมื่อมีสัมพันธ์แล้ว แม้ไม่ผูกวิญญาณ ความรุนแรงเมื่อยามถึงฤดูจักเบาลงกว่ายามที่ยังบริสุทธิ์ กลิ่นกายนั้นหาได้แรงเท่า ข้าพอรู้มาว่าอุตมางค์นั้นมิต่างกัน แลข้าพบว่าพี่อาคิราเป็น...อุตมางค์ ข้าจึงนึกได้ว่าท่านคงต้องการซ่อนอาการของตนเช่นกัน แม้ข้าจักมินึกรู้เหตุผลของพี่ หากเราทั้งคู่ล้วนแต่ได้ประโยชน์ ข้าจึง...”


“มันน่านัก เจ้าตัวดี หากมิใช่พี่เล่า เจ้าจักทำเช่นไร” ...หากเป็นผู้อื่นที่มิใช่พี่ พี่จักรวดร้าวเพียงใดเจ้าพิรัล


“ข้า ข้ามิได้เจตนา ฮึก เพลานั้นด้วยความคิด แลด้วยช่วงฤดูของข้า ข้า ฮึก ข้าขอสมา”


“มิต้องขอสมาพี่แล้วพิรัล เจ้าว่ามานั้นจริงแท้เราทั้งคู่ล้วนได้ ที่เสียหายนั้นเป็นเจ้ามาเสียยิ่งกว่าพี่ มิต้องร่ำไห้แล้วหนา ดูซีตาบวมช้ำเสียแล้วเจ้า” เช็ดน้ำตาพลางโอบกอดร่างแบบบางเข้าสู่อ้อมอก มืออุ่นลูบแผ่นหลังแผ่วเบาให้น้องน้อยที่ยังสะเทือนใจและสับสนสงบลง


... ‘หากเจ้าเป็นดอกบัวงาม บัดนี้กลีบบางคงชอกช้ำเพราะน้ำมือพี่เสียแล้ว น่าขันนัก เมื่อเป็นผู้เด็ดเจ้ามาดอมดม ทว่ากลับมิใช่พี่ที่เป็นผู้ได้ครอบครอง’ อาคิราหน้าขื่นเมื่อต้องย้ำเตือนตนเองให้ตระหนัก เหตุใดอาคิราจะไม่ล่วงรู้ถึงเหตุผลที่น้องน้อยยอมพลีกายให้ตนเมื่อยามค่ำคืน ความกระสันที่จะแก้แค้นของพิรัลนั้นมีอยู่เต็มอก อาคิรารู้ดีกว่าผู้ใด


อาคิราประคองกอดน้องน้อยไว้จวบจนกระทั่งพิรัลนลินร้องไห้จนหมดสิ้นกับสิ่งที่เก็บกลั้น ความเข้มแข็งของความรู้สึกเริ่มกลับมาจนร่างกายสามารถหยัดยืนได้ดังเดิม อาคิราที่สำรวจตรวจตราร่างบอบบางอยู่ก่อนหน้าจึงลองถามอาการของอีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ


“เจ้าพอลุกไหวฤๅไม่พิรัล” พิรัลพยักหน้า ลองลุกขึ้นยืนตามที่ถูกถาม แม้จะรู้สึกเสียดขัดอยู่บ้าง


“จักไปที่ใดกันจ๊ะ”


“พี่จักพาเจ้าไปอาบน้ำ”


“มะ มิ มิต้อง มิต้องดอกจ้ะ มิต้อง ข้า ข้าอาบเองได้จ้ะ” พวงแก้มใสขึ้นสีแดงจัด มือไม้ยืนขึ้นบอกไปมาอย่างเงอะงะด้วยความเขินอาย


“มิได้ดอก รุกได้ หากเดินเองคงขัดมากนัก แล ฮึ่ม ในกายเจ้านั้น เจ้าทำได้รึ” ผู้ถามตะกุกตะกัก ด้านคนฟังนั้นก็อายจนหน้าแดงซ่าน


“พี่ขออภัยหนาเจ้าพิรัล” เมื่อต่างฝ่ายต่างยังกระดากอาย จนท่าทางงกเงิ่นเช่นนี้อาจรอนานจนตะวันฉาย อาคิราเกรงว่าคงไม่ดีนักเมื่อเพลานั้นสิงห์ตนอื่นในชุมจะเริ่มพลุกพล่าน สิงห์จึงตัดสินใจรวบช้อนร่างน้อยของพิรัลนลินขึ้น เพื่อมุ่งหน้าไปยังท่าน้ำไม่ให้เสียเวลานาน




เมื่อถึงท่าอาบน้ำก็ไม่รอช้า ร่างสูงใหญ่ก้าวย่างหย่อนกายลงสู่ผืนน้ำ ปล่อยร่างแน่งน้อยลงจากอ้อมแขน มือหนาวักน้ำขึ้นมาลูบตามผิวเนื้อนวลแผ่วเบา เมื่อพิรัลนลินดูจะยังคงยืนนิ่งงันคล้ายสติหลุดลอยไปแสนไกล


“พะ พี่อาคิรา หยุดเถิด ข้า ข้า อาย” เสียงพิรัลสั่นเครือ ดูคล้ายจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ


“ฮึๆ ได้เห็นเจ้าตัวดีแสนดื้อรั้นเยี่ยงเจ้า สะท้านอายได้เช่นนี้ นับว่าพี่มีบุญนัก เจ้าว่าจริงฤๅไม่” ’ เจ้าตัวดีแสนดื้อรั้น’ ไม่ยอมตอบ ทำเพียงเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง หัวคิ้วนั้นมุ่นขมวดให้ผู้หยอกนึกรู้ว่า น้องน้อยของตนเริ่มกลับมามีฤทธิ์มีเดชเช่นเดิมแล้ว


“อ๊ะ” ส่วนอาคิรานั้นหมายใจที่จะชมพวงแก้มแดงๆ นั้นอีกสักหน่อย มือเกร็งจึงรั้งร่างบอบบางเบื้องหน้าเข้าสู่อ้อมอก


“พี่จักชำระในกายให้เจ้าแล้วหนา หากขลาดเขินมากนักจงหลับตาเสีย” วงแขนซ้ายโอบตระกองรอบเอว ส่วนอีกข้างสอดเข้าใต้ผ้านุ่งผืนบางลูบไล้เนินเนื้อนุ่มแผ่วเบา ก่อนแทรกเรียวนิ้วเข้าสู่ด้านในช้าๆ เพื่อผลักดันของเหลวที่คั่งค้างในกายบางออกมา

…ดูเอาเถิด ผู้ที่บุกขึ้นไปเสนอตัวให้ตนเมื่อค่ำคืน บัดนี้กลับตัวสั่นเกร็งเสียจนน่าสงสาร


“เอาล่ะเรียบร้อยดีแล้ว ไหนของพี่พิศแก้มแดงๆ ของเจ้าตัวดีที” สองมือใหญ่จับยึดไหล่มนทั้งสองข้างเพื่อดันตัวเล็กออกมาเพื่อดูใบหน้าจอมเขินอายให้เต็มตา


“พะ พี่อาคิรา อย่าได้กลั่นแกล้งข้าอีกเลย”


“เช่นนั้น เรากลับกันเถิด หากช้านานกว่านี้ สิงห์ตนอื่นตื่นขึ้นมาจักขวักไขว่มากความ”


“ช้า ช้าก่อน มิใช่ว่าข้ากลับเข้าเรือนข้าฤๅ” เมื่ออาคิราทำท่าจับจูงตนกลับไปยังเรือนลับ หลังจากทั้งคู่ผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งใหม่เรียบร้อย ทุรพลน้อยถึงกับหน้าตื่น กระตุกรั้นแขนจากการก่อกุมด้วยไม่เข้าใจ


“หึหึ เจ้าไร้เดียงสา”


“หากเจ้ายังมิรู้ตัวหนา อุตมางค์นั้นยามเข้าฤดูมีคู่เคียงกาย แม้นยังมิสร้างพันธะวิญญาณ มันก็ยังคงหวงคู่มากนัก เจ้ามิอาจแยกจาก จนกว่าจักสิ้นสุดช่วงเข้าฤดูของเรา” นิ้วชี้ยาวเกี่ยวปอยผมยาวของ’ คู่’ ขึ้นไปทัดข้างใบหู พาให้แสงอรุโณทัยที่รอดบานบังไม้เข้ามา จับส่องดวงหน้ามนพาให้พวงแก้มอิ่มแดงก่ำราวผลไม้สุกแดง หากเมื่อราตรีที่พ้นผ่านอาคิราเป็นภมรหนุ่มหลงดอกบัวงาม ยาวอรุณฉายเช่นเพลานี้อาคิราคงแปลงเปลี่ยนเป็นตัวกระแต หลงใหลในพวงผลสีระเรื่อ


“หน้าผากนี้เป็นของพี่ แก้มแดงทั้งสองข้างนี้เช่นกัน แลปากช่างเจรจานี้ย่อมมิละเว้น พิรัลนลินเป็นของพี่” ว่าจบร่างสูงใหญ่ก็โน้มเข้าใกล้ แตะแต้มจูบลงไปบนใบหน้าหวานราวกับจารึกตัวตนลงมาดั่งปากว่า ก่อนจะจบลงด้วยการกดจมูกสูดรับกลิ่นหอมละรวยของผลไม้นาม พิรัลนลิน เข้าจนเต็มปอด


“แลอีกประการ สิงห์นั้นเมื่อเข้าฤดูแล้ว มิเร็วไปกว่าเจ็ดวันเก้าวันดอก เจ้าพิรัล” พิรัลตาโต อ้าปากค้าง ให้สัตย์สาบานว่า ตนเห็นรอยยิ้มร้ายกาจจากอาคิรา พี่ผู้แสนดีของตนเต็มตาจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

...ขอแค่ในยามนี้หนาเจ้าพิรัล ขอแค่ยามช่วงเข้าฤดูนี้ ให้พี่ได้เห็นแก่ตัวครอบครองเจ้า...พิรัลของพี่






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับตอนนี้
รู้แล้วนะคะว่าพระเอกของเราคือใคร (จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งใจทำให้ไขว้เขวเลยนะคะ)
ส่วนบทอัศจรรย์เราอยากให้มีความรุ่มรวยไม่เปิดเผยมากนัก
...พอได้มาเขียนเองแล้วรู้สึกยากมากเลยค่ะ
ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันไหม รออ่านความคิดเห็นจากทุก ๆ คนอยู่นะคะ



สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ








หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 23-09-2019 22:22:48
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-09-2019 23:31:57
พี่อาคิราต้องทำใจน้องมันคนซื่ิอ555
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-09-2019 23:50:30
เขินจนมือหงิก  :-[
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-09-2019 00:58:29
ตงิดๆพี่อาคิรานิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ คิดมาตลอดว่าพระเอกจะยังไม่ออก อาจจะเป็นตัวละครลับร้ายๆที่ต้องให้น้องไปปราบ ที่ไหนได้ อยู่ข้างตัว 5555555555 เขียนดีมากเลยค่ะ ภาษาสวยมาก ประทับใจมากเลย หานิยายแบบนี้อ่านยากมาก นานๆจะเจอของดี และคุณคือหนึ่งในนั้นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปและจะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 24-09-2019 17:28:38
ตงิดๆพี่อาคิรานิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ คิดมาตลอดว่าพระเอกจะยังไม่ออก อาจจะเป็นตัวละครลับร้ายๆที่ต้องให้น้องไปปราบ ที่ไหนได้ อยู่ข้างตัว 5555555555 เขียนดีมากเลยค่ะ ภาษาสวยมาก ประทับใจมากเลย หานิยายแบบนี้อ่านยากมาก นานๆจะเจอของดี และคุณคือหนึ่งในนั้นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปและจะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆค่ะ  :L2:

คิดแบบเดียวกันเด๊ะ
เดาๆ ไว้ว่าพระเอกน่าจะเป็นตัวร้ายตัวพ่อ ที่น้องต้องไปลำบากลำบน ตบจูบ ต่อสู้เพื่อเอาชนะหัวใจพญามารไรงี้
ประโยคทิ้งท้ายตอนเมื่อกี้ยังว่า เอาล่ะเหวย จะได้มาเจอกันล่ะ
พอตอนนี้เฉลยเป็นพี่อาคิรา...เค้าเงิบเบย
ติดตามๆๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-09-2019 14:38:17
ตงิดๆพี่อาคิรานิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เดาทางไม่ถูกเลยค่ะ คิดมาตลอดว่าพระเอกจะยังไม่ออก อาจจะเป็นตัวละครลับร้ายๆที่ต้องให้น้องไปปราบ ที่ไหนได้ อยู่ข้างตัว 5555555555 เขียนดีมากเลยค่ะ ภาษาสวยมาก ประทับใจมากเลย หานิยายแบบนี้อ่านยากมาก นานๆจะเจอของดี และคุณคือหนึ่งในนั้นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปและจะติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆค่ะ  :L2:

คิดแบบเดียวกันเด๊ะ
เดาๆ ไว้ว่าพระเอกน่าจะเป็นตัวร้ายตัวพ่อ ที่น้องต้องไปลำบากลำบน ตบจูบ ต่อสู้เพื่อเอาชนะหัวใจพญามารไรงี้
ประโยคทิ้งท้ายตอนเมื่อกี้ยังว่า เอาล่ะเหวย จะได้มาเจอกันล่ะ
พอตอนนี้เฉลยเป็นพี่อาคิรา...เค้าเงิบเบย
ติดตามๆๆ

คิดเหมือนกันเลย5555
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 26-09-2019 10:23:34
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์ {omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที ๑๐ ตัวตนที่แท้จริง{๒๘/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 28-09-2019 20:49:12
บทที่ ๑๐

ตัวตนที่แท้จริง







“เจ้าพิรัล หากพี่ขอผูกพันธนาการเจ้าด้วยคำรัก เจ้าจักยินยอม ฤๅพานให้เจ้าอึดอัดใจกันหนา เจ้าตัวยุ่ง”
เสียงกระซิบดังแว่วเข้าหู ไม่ได้ทำให้ผู้ที่เหนื่อยอ่อนฟื้นคืนจากนิทรารมณ์ เสียงทุ้มแผ่วข้างหูกลับยิ่งทำให้ยิ่งดำดิ่งลึกอย่างเป็นสุข...


พิรัลนลินยังคงหลับใหลด้วยความล้าจนเลยเวลาตื่นของตนในยามปกติไปหลายชั่วยาม นานจนกระทั่งแสงแดดอ่อนส่องกระทบตกต้องลงบนผิวกายและเสียงเอะอะจากด้านนอก จึงสามารถทำให้สัมพันธ์น้อยหลุดออกมาจากนิทรา


“พี่อาคิรา...ฝันไปหรอกรึ”


“ไอ้ อาคิรา ไอ้ระยำ! ” พิรัลนลินที่เพิ่งลืมตาตื่นสะดุ้งกับเสียงคำรามลั่น และจะไม่ฝืนตัวเองออกวิ่งทุลักทุเลออกมาด้านนอกเลย หากผู้ที่เกี่ยวพัดรัดรึงจวบจนฟ้าสางไม่อยู่ข้างกาย ซ้ำยังถูกเรียกขานด้วยน้ำเสียงโกรธาเช่นนี้


สองขาพาร่างวิ่งไปยังต้นเสียง แม้ร่างกายในยามนี้ไม่มีแรงกำลังมากนัก ทว่าใจที่ห่วงใยจนเต็มล้น ไม่อาจทำให้พิรัลนลินนิ่งเฉยอยู่ได้


“หยุด ท่านกัญจน์ ได้โปรดเถิดจ้ะ เหตุใดจึงต้องทำร้ายกันถึงเพียงนี้” กลับภาพเบื้องหน้าคือ กัญจน์ราชสีห์กำลังขึ้นคร่อมสาวหมัดหนัก ลงบนร่างไกรสรราชสีห์หนุ่มที่ไม่แม้จะยกมือขึ้นปัดป้อง อยากจะเข้าไปช่วย แต่ถูกศศินที่เห็นเข้ารั้งไว้ไม่ปล่อย สิงห์น้อยจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องห้าม


ฉึบ!


ทันใดนั้นหอกไม้ก็พุ่งแหวกอากาศเฉียดใบหน้าของสองสิงห์หนุ่มที่กำลังโรมรันพันตูให้ผละตัวแยกจากกันได้สำเร็จ


“มีเรื่องอันใดกัน ถึงกับลงไม้ลงมือกัดกันเองเช่นนี้” เสียงทรงอำนาจของธีมารวีตวาดก้อง นางสิงห์สาวยืนจังก้าพร้อมหอกไม้ ที่นางถอนออกมาจากเสาล้อมลานฝึกยังอยู่ในมืออีกข้าง พร้อมที่จะพุ่งใส่อีกครา หากทั้งราชสีห์ทั้งสองยังไม่ยอมสงบลง ตามติดมาด้วยนิลปารัชญ์ และ เขมอารัณย์


“ไอ้สารเลว อาคิรา มันปิดบังตัวตน ซ้ำยังใช้การนี้ข่มเหงเจ้าพิรัล! ” ราชสีห์กัญจน์แม้ถูกแยก ยังไม่วายผลักอกร่างสูงใหญ่ของคู่อริ กล่าวเบิกความด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้น มือหนากำแน่นระบายลมหายใจทิ้งเมื่อความเดือดดาลคับอก ไม่อาจจางหายไปได้โดยง่าย


“ทะ ท่านได้ยิน” ศศินเอ่ยเสียงแผ่ว มือที่จับร่างของพิรัลนลินไว้ยิ่งออกแรงกระชับ


“ข้าจักขึ้นไปตามท่านรวีพอดี มิเช่นนั้นคงหารู้ไม่ว่าไอ้สิงห์ระยำตนนี้มันกระทำสิ่งใดต่อเจ้าพิรัล”


“มิใช่จ้ะ! พี่อาคิรามิได้ข่มเหงข้า แต่เป็นข้าเอง เป็นข้าเองที่เสนอตัว ยั่ว...” พิรัลนลินรู้ชาไปทั้งตัว เหนือสิ่งอื่นใด ทุรพลน้อยไม่อาจยินยอมให้ผู้ใดมากล่าวหาว่าร้ายอาคิราได้ ในเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะตนเองทั้งสิ้น


“เงียบปากเสียพิรัล” อาคิราเสียงดังข่ม ระงับการพูดของพิรัลนลินไว้โดยเร็ว


“เจ้าพิรัล ไยปกป้องมันเล่า” กัญจน์สีหะไม่ยอมแพ้ เพลานี้สิงห์หนุ่มทั้งเจ็บใจ และเสียใจคล้ายดวงใจถูกมีดกรีดเป็นแผลช้ำ ทุรพลน้อยตนนี้เขาคิดปักใจด้วยตั้งแต่พานพบเพียงคราแรก กลับโดนพรากไปหน้าตาเฉย โดยสิงห์ที่ตนไม่คิดระแวดระวัง อดีตสามัญสิงห์หนุ่มผู้นิ่งแข็งดั่งผาหินตนนั้น


“พี่อาคิราหาได้มีความผิด หากจักหาผู้ผิด นั้นเป็นข้าเองที่ไร้ยางอาย”


“เจ้าพิรัล พี่บอกให้เจ้าเงียบปาก ท่านศศินข้าวานพาเจ้าพิรัลไปเสียเถิด ส่วนท่านกัญจน์มีสิ่งใดจักพูดจักบอกกัน จงไปพูดกันบนเรือน”


“สงบใจก่อนท่านกัญจน์ อย่าได้ให้ความใจร้อนมุทะลุมาทำลายพวกเดียวกันเอง เชิญบนเรือนเถิด” ธีมารวีรีบสำทับคำของอาคิรา เมื่อรอบกายพวกเขา เริ่มสิงห์ตนอื่นในค่ายเริ่มออกมามุงดูไกลๆ


“เจ้าพิรัลมากับพี่เถิด”


“ข้า” พิรัลไม่รอช้าเตรียมเอ่ยปากช่วยแก้ต่าง ยิ่งเห็นบาดแผลบนใบหน้าของอาคิราความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาจนเต็มหัวใจ


“เจ้ามิต้องเอ่ยสิ่งใดอีกพิรัล”


“แต่ว่า...”


“ข้าเห็นตามอาคิรา ยิ่งพูดไปมีแต่จักยิ่งเสื่อมเสีย หากเจ้าทั้งคู่เต็มใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็มิต้องว่าสิ่งใดกันอีก”


“แลท่านกัญจน์ ข้าเห็นว่าท่านนั้นมุทะลุจนเกินไป หากก็ด้วยความประสงค์อันดี ขอให้เลิกแล้วต่อกันเสีย ได้ฤๅไม่เล่า”


“ถ้าเจ้าพิรัลยืนยันดังนี้ ข้าจักมิติดใจ แลต้องขอสมาท่านด้วยอาคิรา” กัญจน์สายตาเจ็บร้าว ใครต่างรู้ว่าเขามีใจให้แก่ทุรพลน้อยอย่างชัดแจ้ง


“เจ้าพิรัลมากับพี่” เมื่อเรื่องราวบาดหมางคล้ายจะเบาบางลง รวมทั้งสายตาคาดคั้นจากอาคิราที่ส่งมา ทำให้ทุรพลน้อยยอมผ่อนตัว เดินตามการจับจูงของศศินไปแต่โดยดี




                    เมื่อศศินพาพิรัลนลินแยกตัวออกไป เหล่าอุตมางค์ทั้งสี่ตนกับอีกหนึ่งคนธรรพ์ ก็พากันขึ้นเรือนเพื่อเจรจาปรับความเข้าใจกันให้กระจ่าง ด้วยการศึกที่จ่อรออยู่นั้นต้องอาศัยความเชื่อใจและความสมัครสมานสามัคคี ธีมารวีไม่อาจวางใจได้หากราชสีห์ภายในกลุ่มจะยังมีความแคลงใจต่อกันแม้เพียงน้อยนิด


“เชิญทุกท่าน” เจ้าของเรือนผายมือเป็นการเชิญให้ผู้ร่วมรบทุกตนนั่งบนเรือนกลาง สำหรับใช้ในการประชุมเช่นทุกคราที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าทุกตนนั่งกันพร้อมหน้าแล้วนางสิงห์จึงหันไปถามความสมัครใจกับราชสีห์ผู้น้องของตนก่อน


“เรื่องความลับของอาคิรานั้น เจ้าจักบอกเองฤๅไม่”


“ได้” อาคิราพยักหน้ารับ


“ก่อนอื่นใด ข้าจำต้องขอสมาทุกท่าน ที่บังอาจปิดบังซ่อนเร้นตัวตน ทว่าข้ากระทำด้วยความจำเป็นหาได้ต้องการหมิ่นเกียรติพวกท่านแต่อย่างใด ขอพวกท่านโปรดอภัย” น้ำเสียงทุ้มกล่าวราบเรียบ ไกรสรสิงห์หนุ่มกวาดสายตาคมกล้าแห่งวรรณะอุตมางค์ ที่มักเก็บซ่อนไว้ด้วยการไม่ยอมสบตาผู้ใดโดยตรงมาตลอด ไปยังผู้ร่วมรบทุกตน ไหล่หลังที่เคยตรงสง่าครานี้กลับยิ่งดูผึ่งผาย จนผู้เฝ้ามองใจสะดุดเมื่อรับรู้ได้ว่า อุตมางค์ตนนี้เก็บซ่อนตัวตนไว้มากมายเพียงใด


“ราชสีห์พันแสงนั้น นอกจากมีสัมพันธ์เป็นน้าของท่านธีมารวี แท้แล้วยังเป็นลุงของข้าเช่นกัน เดิมทีชุมแห่งพันแสงนั้นเป็นของท่านพ่อข้า ‘ราชสีห์พรมัน’ ด้วยเล่ห์เลวทรามของพันแสง ทำให้พ่อข้าถูกยึดอำนาจ ข้าโชคดีที่พ่อของท่านรวีช่วยพาข้าออกมาได้ แลนำข้าไปฝากชีวิตไว้กับท่านอาจารย์อัตรคุปต์ เพื่อมิให้พันแสงรู้ว่าข้ามีชีวิตอยู่ ข้าจำต้องปลอมตัวเป็นสามัญสิงห์ รอวันกอบกู้สิทธิอันชอบธรรมกลับคืน”


“พออาคิราเติบโตจนเข้ารุ่นกระทง ข้าจึงพาเขามาฝึกวิชา แลซ่องสุมกำลังพลไว้ที่นี่ ประจวบกับมีเหตุฉุดคร่าทุรพล พวกเราจึงได้ทีรวบรวมกำลังพลให้มากขึ้น เท่ากับจัดการคราเดียว ได้ประโยชน์สองต่อ” ธีมารวีช่วยเสริม


“เช่นนั้นเหตุใดพันแสง จึงยังต้องกระทำต่ำทรามด้วยการฉุดคร่าทุรพลเพื่อสร้างกองทัพอุตมางค์ขึ้นมาอีกเล่า ในเมื่อทุกสิ่งล้วนแต่อยู่ในกำมือแล้วเช่นนี้” กัญจน์ราชสีห์ยังคงไม่เข้าใจเหตุผลของราชสีห์ตนนั้นแม้แต่น้อย


“เป็นเพราะพันแสงเกรงกลัวคำทำนาย ยามเมื่ออาคิราถือกำเนิด ท่านพรมันได้ส่งสารเทียบเชิญไปยังชุมกาฬสีหะของข้า เพื่อมาร่วมทายทักอนาคตของบุตรชาย ยามนั้นแม้จักเป็นการให้คำทำนายเป็นส่วนตัว ข้าเกรงว่า เรื่องคงรู้ไปถึงหูของพันแสงเป็นแน่...” ท่ามกลางความเงียบงันด้วยทุกตนต่างจนหนทางที่จะหาคำตอบ ราชสีห์นิลปารัชญ์ที่เอ่ยขึ้น


“คำทำนายรึ” ราชสีห์ทุกตนไม่เว้นแม้แต่ต้นเรื่องอย่างอาคิรา และ ธีมารวี ล้วนหันมองกาฬสีหะหนุ่มด้วยความพิศวง


“สุริยาดวงใหม่จักแผดเผา ดับดวงเก่าชำระผู้ทรยศหมดสิ้น...แม้ผู้ทำนายมิได้เอ่ยนาม ข้าคิดว่าพันแสงเพลานั้นย่อมรู้ดีว่าผู้ทำนายหมายถึงตนเอง เช่นนั้นแล้วแม้นพันแสงจักได้ครอบครองชุมของท่านพรมัน แลพันแสงคิดว่าท่านอาคิราสิ้นชีพไปแล้ว ทว่าคำทำนายของกาฬสีหะมิเคยผิดพลาด การครอบครองนั้นจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงยิ่ง”


“นี่ท่าน มิใช่ว่าท่าน” เขมอารัณย์อ้าปากค้าง ชี้มือชี้มือใส่ จนกาฬสีหะถอนหายใจเหนื่อยเอือมขยายความ


“ผู้ทำนายหาใช่ข้าไม่ ข้าเพียงจำต้องบันทึกคำทำนายตาม ’กฎแห่งกาฬสีหะ‘ ในเพลานั้น”


“ท่านนิลปารัชญ์ ข้าขอเสียมารยาทเถิด ท่านอายุเท่าใดกัน” กัญจน์ราชสีห์ที่คิดว่า นิลปารัชญ์อายุอานามไม่มากน้อยกว่าตนนักยอมทิ้งมารยาทเอ่ยถามให้หายคาใจ...สิงห์หนุ่มสังเกตมาหลายครา ยามเคารพไหว้ท่านอัตรคุปต์ ราชสีห์ทั้งคู่ประณตไหว้เพียงระดับปากเท่าเทียมกันเสมอ!


“ความข้อนี้หากบอกกล่าวออกไปเกรงว่าจักพานให้ปฏิบัติตนต่อกันได้อยากลำบากนัก คิดเสียว่าข้าเป็นสหายผู้หนึ่งเถิด” นิลปารัชญ์ยิ้มบางเลี่ยงตอบ หากผู้ถามนั้นเชื่อเสียจนเต็มหัวใจว่าเขาสามารถเรียก กาฬสีหะตนนี้ว่า ’ผู้อาวุโส‘ ได้เป็นแน่


“ด้วยสัตย์แห่งมฤเคนทร์ เดิมทีข้าต้องการปิดบังตนเองจนกว่าพวกเราจักเตรียมพร้อม เพื่อมิให้พันแสงไหวตัวทันใช้เล่ห์ร้ายดั่งเก่าก่อน ด้วยสิงห์ผู้นั้นคิดว่าข้าวายวอดไปพร้อมกับท่านแม่ คิดไว้เพียงเมื่อจัดเตรียมทัพแล้วเสร็จ จักเผยความจริงแก่พวกท่านด้วยตนเอง”


“มิต้องดอก ตามท่านรวีว่า แม้มิช่วยท่านพวกข้าก็ต้องบุกเข้าช่วยคนของข้าอยู่ดี เช่นนี้แล้วเราร่วมกันย่อมดีกว่า” กัญจน์ราชสีห์เอ่ยออกมาในที่สุดหลังจากเงียบไปนานจนผิดวิสัย อุตมางค์หนุ่มกดเก็บความเสียใจของตนไว้ในอกแม้จะชื่นชอบพิรัลนลินมาก ทว่าเหตุการณ์ที่เผชิญในฐานะหัวหน้าชุมย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตน


“เพลานี้พวกมันยังนิ่งนัก ข้าหวังว่าพวกมันจักยังมิเคลื่อนไหวอันใด จนกว่าท่านแลพิรัลจักหมดฤดู มิเช่นนั้นแผนการของพวกเราคงต้องล่าช้าลงไป” เขมอารัณย์กล่าวอย่างหวั่นใจ แม้เป็นคนธรรพ์เจ้าสำราญ ทว่าเรื่องคอขาดบาดตายอันมีหลายชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ เขมอารัณย์ไม่อาจทำทีเป็นเล่นได้


“อีกมิกี่เพลานักดอก พวกท่านจงตระเตรียมตัวให้พร้อมเถิด” นิลปารัชญ์เงยหน้าขึ้นมองฟากฟ้าดวงตาเรืองประกายแวววาว กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ พาให้เหล่าสิงห์ทั้งหลายกลับรู้สึกราวถูกกระตุ้นจนร่างกายตื่นตัว





“เจ้าพิรัลบอกพี่ตามตรงเถิด เจ้าเต็มใจฤๅไม่” ศศินถามด้วยความเป็นห่วง ทุรพลผู้พี่ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าพี่พิรัลกล่าวปกป้องอุตมางค์หนุ่มเมื่อครู่นี้เป็นจริงมากน้อยเพียงใด ในเมื่อที่เขาได้คลุกคลีทุรพลตนนี้มา เห็นได้ว่าเจ้าตัวนั้นเคารพเทิดทูนศิษย์ผู้พี่ของตนเป็นอย่างมาก ส่วนอาคิรานั้นแสนเย็นชาและไว้ตัว จนศศินนึกภาพไม่ออกเช่นกันว่าผู้มีกำแพงสูงลิบลิ่วตรงทื่อเช่นนั้นจักมีสัมพันธ์รวดเร็วเช่นนี้


“มิได้จ้ะ ข้าสาบาน เป็นข้าที่เข้าหาพี่อาคิรา ตามที่ข้ากล่าวกับท่านกัญจน์ข้ามิได้โป้ปดจ้ะ”


“เหตุใดเจ้าถึงได้ยอมเสียสละตัวถึงเพียงนี้เล่าพิรัล ความแค้นเคืองของเจ้ารุนแรงถึงเพียงนี้เทียว”


“พี่ศศินจ๊ะ ข้าหาได้เสียสละดั่งพี่คิดดอกจ้ะ แม้ข้าอยากเป็นกำลังให้พวกพี่ แลต้องการแก้แค้นเพียงใด หากคืนนั้นอุตมางค์ตนนั้นหาใช่พี่อาคิรา ข้ามิมีวันยอมแลกตัวเองเช่นนี้เป็นอันขาด”


“เจ้าพิรัล เจ้ารัก...ฤๅ” ศศินเอ่ยเสียงขาดห้วง


“ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าจ๊ะ ว่าข้านั้นไร้ยางอาย เป็นเพียงทุรพลไร้ยางอายตนหนึ่งเท่านั้น” นัยน์ตากลมทอแววเศร้า แม้ไม่มีหยาดน้ำตาไหลริน ศศินก็รู้สึกได้ว่าภายในน้องน้อยของเขาชอกช้ำเพียงใด


“อาคิราแม้จักทื่อมะลื่อไปบ้าง พี่ว่ามิได้ใจร้าย หากเจ้ากล่าวความในใจออกไป...” ศศินเชื่อว่าอุตมางค์ตนนั้น หาได้รังเกียจทุรพลน้อยตนนี้แม้แต่น้อย เพราะเท่าที่ผ่านมาพิรัลนั้นคือผู้ที่ก้าวข้ามกำแพงของอาคิราได้มากที่สุด คล้ายกับผู้ที่ได้รับการยกเว้นจากอาคิรา...มิแน่ว่ามฤคินทร์ทั้งสองนั้นอาจมีหัวใจที่ตรงกัน ศศินไม่อยากเห็นผู้ใดต้องเจ็บปวด โดยเฉพาะทุรพลด้วยกัน ที่แค่ใช้ชีวิตอยู่นั้นก็ช่างยากลำบากหัวใจมากแล้วยิ่งมีความรักที่ต้องเก็บซ่อนหนาวเหน็บเช่นนี้อีก...ต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดหนอ


“พี่อาคิราจิตใจดี ข้าเชื่อว่าหากข้าต้องการ พี่อาคิราย่อมรับข้าเป็นคู่แน่แท้ ทว่าใจข้าจักมีความสุขได้ฤๅจ๊ะ ในเมื่อข้าได้พี่อาคิราเพียงเพราะความไร้ยางอายแลใช้ความดีของพี่อาคิราเป็นเครื่องมือเช่นนี้”


“แม้ว่าเจ้าจักต้องไร้คู่ไปตลอดชีวิตฤๅ” ความห่วงที่มีทำให้ทุรพลผู้พี่ต้องกล่าวออกไป อุตมางค์นั้นแม้มีสัมพันธ์กับนางและนายสิงห์มากมายย่อมไม่มีผู้ใดนึกติดใจ กลับกันเมื่อเป็นทุรพลแล้ว...มีอุตมางค์สักกี่ตนที่ยอมรับทุรพลมีตำหนิ


แม้ศศินเองเคยตั้งปณิธานอยู่ครองพรหมจรรย์จวบจนสิ้นอายุขัยก่อนเขาได้พบเจอกับธีมารวี เช่นนั้นศศินจะถูกจัดวางไว้เป็นสิงห์ผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน ต่างจากทุรพลที่ผ่านการจับคู่โดยไร้การสร้างพันธะอย่างสิ้นเชิง ทุรพลเหล่านั้นแม้แต่ทุรพลด้วยกันเองย่อมไม่อาจมองอย่างให้ค่าให้เกียรติ คล้ายกับเป็นเพียงสิ่งของที่ถูกทิ้งขว้าง โชคชะตาในอนาคตมืดมนเกินกว่าที่ศศินจะปล่อยวางไม่เป็นห่วงเป็นใยไปได้


“สุดท้ายเมื่อจบเรื่อง ข้าคงกลับไปช่วยงานท่านอาจารย์ที่คูหาสรรพยาอยู่ภายในเรือนยา มิได้พบเจอผู้ใดมากนักดอกจ้ะ” รอยยิ้มฝืดเฝื่อนที่ส่งมา ทำผู้มองใจสะท้านภาวนาขอให้ใจรักของทั้งคู่นั้นตรงกัน ทุรพลน้อยตนนี้พบพานเรื่องราวร้ายมามากมายเหลือเกินแล้ว ขอโชคชะตาอย่าได้ทำร้ายติณสิงห์ร่างบอบบางตนนี้อีกเลย


“เจ้าพิรัล เจ้า...” หลังจากพูดคุยสะสางกับเหล่าราชสีห์เรียบร้อย ธีมารวีจึงรีบลงมาหาทุรพลทั้งสองด้านล่าง เดิมนางสิงห์คิดไปว่าพิรัลนลินคงร่ำไห้ แม้อาคิราไม่ยอมปริปากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่านางเองพอนึกเดาได้ว่าทั้งคู่ไม่ได้สมัครใจเข้าคู่กันตั้งแต่ต้น ทำให้เป็นห่วงทุรพลน้อยขึ้นมาครามครัน ผู้ใดจะนึกว่านอกจากไม่เสียน้ำตา เจ้าสิงห์น้อยยังหันมาส่งยิ้มให้นางเสียได้...แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่ส่งไปถึงดวงตาก็ตาม


“ข้าหาได้เป็นอันใดจ้ะ ขอบพระคุณท่านรวีที่เป็นห่วง แล้วพี่อาคิราเล่าจ๊ะ”


“ลงเรือนมาก่อนข้าหนา เอ...ยืนอยู่นั่นปะไร” ธีมารวีหันซ้ายแลขวาเพียงครู่ ก่อนยกนิ้วชี้ไปยังทางเดินข้างลานฝึก


“เช่นนั้นข้าลานะจ๊ะ” พิรัลนลินรีบขอตัวจากสิงห์ทั้งสองตน เพลานี้ภายในใจของสิงห์น้อยเต็มไปด้วยคำถามต่ออาคิรามากมายนัก




                    หลังจากทั้งคู่กลับเข้าสู่เรือนลับของอาคิรา เจ้าพิรัลนลินไม่รอช้าเอ่ยปากถามผู้พี่ด้วยความร้อนใจ


“พี่อาคิราไยถึงเป็นเช่นนี้เล่าจ๊ะ”


“เจ้าแลพี่พากันหายหน้าไปหลายวัน เกรงจักทำให้สิงห์ตนอื่นเป็นห่วงแลวุ่นวาย พี่จึงต้องขึ้นมาบอกกล่าวแก่พี่รวีไว้”


“มิใช่จ้ะ ข้าหมายถึง พี่ออกรับแทนข้า ทั้งที่ความจริงแล้ว...” มือเล็กกำผ้านุ่งของตนจนแน่น พิรัลไม่ต้องการแม้สักนิดที่จะให้อาคิราออกหน้ารับแทน หรือรับผิดชอบตน เพียงที่เป็นอยู่นี้ พิรัลนลินก็รู้สึกผิดต่อศิษย์ผู้พี่ตนนี้ของตนจะแย่อยู่แล้ว


... ‘ได้โปรดอย่าดีต่อข้าเช่นนี้เลย อย่าให้ข้ายิ่งรู้สึกเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้เลยนะจ๊ะ ‘


“พิรัลพี่จักมิยอมให้เจ้าต้องถูกใครนำไปว่าร้าย แลทุรพลนั้นเสื่อมเสียมากกว่าอุตมางค์ เจ้าเข้าใจข้อนี้ดีฤๅไม่เล่า อีกทั้งความจริงแล้วทั้งพี่แลเจ้า ต่างมิได้มีผู้ใดบังคับข่มเหงกัน” มือใหญ่จับไหล่เล็กทั้งสองของน้องน้อยไว้มั่น เพื่อให้เจ้าทุรพลจอมดื้อได้สบตามองหน้าแล้วเห็นถึงความเต็มใจของเขาบ้าง


“แต่ว่าข้าเป็นผู้เริ่ม แล้ว...” เมื่อยังเถียงไม่ลดละ อาคิราจึงจำเป็นที่จะต้องพูดตามตรง แม้มันอาจจะทำให้เจ้าตัวน้อยของเขาอับอาย


“แล้วพี่เป็นผู้สนอง แต่ภายหลังพี่นั้นเอาเปรียบเจ้าก่อนทุกที พี่กล่าวเท็จฤๅ”


“เอ๊ะ” พิรัลนลินที่ไม่ได้คาดคิดว่าผู้พี่จักสามารถกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมาได้ ตกใจจนแทบหาเสียงตัวเองไม่เจอ ทุรพลน้อยทั้งฉิวทั้งเขินจนทำได้เพียงเม้มปากแน่น


“เจ้าพิรัล... พี่เจ็บนัก เจ้าจักมีน้ำใจ ช่วยทายาให้พี่ได้ฤๅไม่” เมื่อเห็นพิรัลหาทางออกไม่ได้ อาคิราจึงหันความสนใจไปที่ตลับใส่ยา ที่ตนหยิบติดมือมาจากเรือนนอกมาส่งยื่นให้ พิรัลได้ทีเอาคืน สิงห์น้อยป้ายนิ้วลงตลับยาแล้ว เน้นเขี้ยวเน้นฟันจิ้มลงบนมุมปากช้ำเลือดของผู้พี่โดยไม่ออมแรง หวังได้ยินเสียงร้องไห้สาแก่ใจที่โดนทำขัดเขินเสียจนพูดไม่ออก


“หากเจ้าทำพี่เจ็บ พี่จักเอาคืนหนา เจ้าตัวดี” อาคิรานอกจากไม่ร้องออกมา กระทั่งใบหน้าหล่อเหล่ายังราวไม่รู้สึก ทว่าคำขู่ที่กระซิบลอดไรฟันออกมานั้น ทำให้พิรัลนลินตาโตค้างยิ่งกว่าเดิม


“มิคิดเลยว่าพี่อาคิราจักมีแง่มุมนี้”


“อย่างไรเล่า”


“ช่างหยอกล้อ ต่อคำเช่นนี้น่ะสิจ๊ะ ราวกับมิใช่หินผาดั่งที่ใครพูดกัน”


“พี่มีอีกหลากหลายมุมที่เจ้ายังมิรู้ ทว่าเจ้ามิต้องรีบร้อนดูพี่นักดอก พี่ให้เวลาเจ้าพิจารณานิสัยของพี่จนกว่าเจ้าจักพอใจ” ปากกระจับคลี่ยิ้มบางเบา ในตาคมกล้าที่จับจ้องมานั้นส่องประกายฉายเพียงใบหน้าของตนนั้น ทำให้นิ้วที่ยังคงแตะแต้มบนใบหน้างามรู้สึกร้อนวูบ แล้วล่ามไล่ไปทั้งกายจนใบพวงแก้มแดงปลั่ง


“ชะ เช่นนั้น ข้า ข้า พี่อาคิราอยู่นิ่งๆ สิจ๊ะ ข้า ข้าทายาให้ไม่ใคร่ถนัด” อาคิราอมยิ้มขำ เมื่อเจ้าตัวน้อยคล้ายขลาดเขินจนทนไม่ไหวอีกต่อไป ยอมละเลิกการหยอกล้อ นั่งนิ่งเฉยให้น้องน้อยทายาแต่โดยดี






                    ด้านหน้าปากทางเข้าคูหา เขมอารัณย์ผุดลุกยืนจนเต็มความสูง เยื้องย่างกายออกมายังด้านนอกถ้ำ ชูแขนขึ้นสูง เพียงครู่นกตัวจ้อยสีเขียวกลมกลืนกับใบไม้ก็โผลงมาเกาะบนมือผู้เป็นนาย ดวงตากลมโตสบนิ่งถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเจอมาแก่นายหนุ่ม


“ทำดีมาก” คนธรรพ์หนุ่มเอ่ยชมลูกสมุนตัวน้อย นิ้วชี้ยาวยกเกลี่ยลงบริเวณสีแดงสดที่หน้าผากอันเป็นเอกลักษณ์ของ นกโพระดกคางเหลืองเบาๆ จนเจ้าตัวน้อยในมือหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้มเมื่อโดนเอาใจ ก่อนผละบินจากไป


เขมอารัณย์กลับขึ้นมายังเรือนใหญ่ที่ถูกแวดล้อมด้วยอุตมางค์มากหน้าหลายตา ด้วยเมื่อรู้ว่าธีมารวีกำลังจัดรวบรวมไพร่พลเพื่อเข้าต่อสู้กับพันแสง เหล่าอุตมางค์ผู้ได้รับผลกระทบและบางตนที่ยึดมั่นในคุณธรรมต่างตบเท้าเข้าร่วมกันอย่างมากมาย


“ท่านรวี พวกพันแสงเริ่มตระเตรียมกำลังอีกครั้ง ข้าเกรงว่าพวกมันคงออกตามล่าทุรพลอีกคราในไม่ช้านานนี้”


“คงเป็นเพราะสารท้ารบจากอาคิราที่เราส่งไป แลข่าวการมาเข้าร่วมจากอุตมางค์ชุมอื่นเป็นแน่ มันคงลำพองใจว่าคูหาที่พำนักนั้นไร้ทางที่ผู้ใดจักบุกเข้าได้ จึงหมายสร้างกองทัพอุตมางค์อยู่เช่นนี้” นางสิงห์ที่ได้รับยกให้เป็นหัวหน้ากองกำลังในครานี้วิเคราะห์เหตุการณ์ด้วยท่าทีเรียบเฉย ไร้ซึ่งความร้อนรน... ความประมาทย่อมเป็นหนทางแห่งความพ่าย เห็นทีพันแสงคงสิ้นชื่อในอีกไม่กี่เพลานี้เป็นแน่!


“ยังคงขี้ขลาดตาขาว มิยอมรับคำท้าเราอยู่ร่ำไป” กัญจน์ราชสีห์กระทืบเท้าอย่างแรง ตามนิสัยผู้มีความมุทะลุ กล้าได้กล้าเสีย ย่อมรังเกียจสิงห์เช่นพันแสงเป็นที่สุด


“ดี เช่นนั้นหลังจากเจ้าพิรัลแลอาคิราหมดฤดู เราจักได้เริ่มแผนให้จบเรื่องจบราวกันไปเสียที” นางว่าเสียงเหี้ยม เดินออกมายังชานเรือน สั่งการเหล่าสิงห์ที่กำลังซักซ้อมร่างกายบนลาน เสียงดังก้อง


“พวกท่านเร่งจงเตรียมตัว อีกมิช้านานเราจะบุกไปชิงตัวลูกหลานของเรากลับมา! ”






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ในที่สุดก็ได้รู้ความลับของพี่อาคิราอีกข้อแล้วนะคะ

เป็นอย่างไรบ้างคะ รอฟังทุกความคิดเห็นอยู่นะคะ

สุดท้ายขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ





หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๙ ร่วมคู่ {บทอัศจรรย์} {๒๓/๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-09-2019 21:21:39
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 29-09-2019 21:36:03
บทที่ ๑๑

นกต่อ





                    หลังจากประกาศตัวเป็นปรปักษ์ต่อพันแสง สิงห์จากชุมต่างๆ จึงเริ่มเข้ามาร่วมมากขึ้น รวมถึง ‘ท่านภานุ ‘ ญาติผู้ใหญ่ของอาคิรา และธีมารวีด้วย สิงห์ภานุตนนี้แม้เป็นเพียงสามัญสิงห์ทว่าเป็นผู้ช่วยอาคิราออกมาจากเงื้อมมือของพันแสงในยามที่อาคิรายังเล็ก เปรียบเป็นทั้งญาติผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณอย่างยิ่งของอาคิรา


“ช่วยน้องด้วยหนาอาคิรา” นัยน์ตาคมกล้าของสิงห์มกวัยทองประกายหม่นเศร้า เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของลูกที่ถูกจับตัวไป ลูกที่เขาเฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ประคบประหงมราวไข่ในหิน


“ขอรับ”


“เจ้ามั่นใจฤๅว่าทุรพลเช่นนี้จักกระทำได้” ยามมาถึงภานุได้รับฟังแผนการจากหลานสาวมาแล้ว เขาที่มีลูกทุรพลนั้นอดรู้สึกกังวลใจมิได้ ...ทุรพลนั้นอ่อนแอ บอบบางยิ่ง เช่นเจ้ามะลุลี


“ข้ามั่นใจ แลขอรับรองว่าเจ้าพิรัลจักทำสำเร็จขอรับ ท่านอาโปรดวางใจ ทุรพลมิใช่แก้วเจียระไนพร้อมแตกหักทุกเพลา พวกเขาเป็นหนึ่งในจตุราชสีห์เช่นกัน”


“ถ้าอาคิรารับรองเช่นนี้อาก็เบาใจ” ภานุยกยิ้มบางพยักหน้ารับคำหลาน หากในใจของสิงห์ผู้นี้ไม่อาจวางใจได้มากนัก






“เจ้าพิรัล” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเมื่อเห็นพิรัลนลินออกมาจากเรือนนอน ค่ำคืนนี้เป็นคืนก่อนที่พิรัลนลินต้องออกเดินทางไปเดินทางถ้ำอื่นตามแผนการที่วางไว้ หลังจากสิงห์น้อยและอาคิราหมดช่วงฤดูแล้วเกือบสองสัปดาห์


เพราะวันพรุ่งต้องเดินทางโดยที่ทุรพลน้อยรู้อยู่แก่ใจว่าตนต้องพบเจอสิ่งใด พิรัลนลินจึงอดที่จะรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ สิงห์น้อยตั้งใจลงมาเก็บดอกสายหยุดมาไว้ข้างเตียงหวังให้กลิ่นหอมช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย คิดไม่ถึงว่ายามเปิดประตูเรือนนอนออกมาจะพบอาคิรายืนจนจ้องอยู่ก่อนแล้ว


“พะ พี่อาคิรา มีเรื่องอันใดจ๊ะ” ทุรพลน้อยทักกลับติดขัด ด้วยเพราะหลังจากหมดฤดูตนและอาคิราต่างยุ่งวุ่นวายกับแผนการบุกเข้าชุมพันแสงเสียจนมีโอกาสเพียงสบตากับเท่านั้น เมื่อต้องมาพบกันอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้ทำให้พิรัลนลินรู้สึกเคอะเขินไม่น้อย


“พี่ขอเข้าไปได้ฤาไม่” อาคิราไม่พูดสิ่งใดพร่ำออกปากของ พร้อมเบี่ยงตัวเข้ามาในเรือนของพิรัล แล้วปิดประตูลงสลักเรียบร้อยรวดเร็วเสียจนเจ้าของห้องตามไม่ทัน


“วันพรุ่ง เจ้าจักไปแล้ว พี่ขอเอาเปรียบนอนกอดเจ้าอีกสักคืนเถิดนะเจ้าพิรัล” ผิวที่พิรัลนลินได้เฉียดสัมผัสเมื่อครู่เย็นเหยียบนั้น
ทำให้สิงห์น้อยรู้ได้ว่า พี่อาคิราของตนนั้นยืนอยู่นอกเรือนนอนเขามาเนิ่นนาน...


ยิ่งได้มองลึกลงไปในดวงตาของราชสีห์อาคิราผู้เงียบขรึม ที่บัดนี้นัยน์ดวงตาคู่คมกลับกำลังสั่นไหววอนขอ หากเข้าไม่เปิกประตูออกมาอุตมางค์ผู้นี้จักรอคอยอีกนานเพียงใดเสียใจผู้มองไม่อาจปฏิเสธออกมาได้


“จ้ะ” เพียงคำตอบรับแผ่วเบาราวเสียงสายลมแผ่ว วงแขนของผู้ที่รอคอยก็เข้าโอบกอดร่างบอบบางไว้แนบอก มฤคินทร์ทั้งสองหลับตาแน่นซึมซาบตัวตนของกันและกันนิ่งนาน ทั้งคู่ต่างรู้ในค่ำคืนนี้ยังคงมีเพียง ‘เรา’ นัยน์ตาของทั้งคู่ยังคงส่องสะท้อนเพียงกันและกัน กอดตระกองกันไว้จนแนบแน่น...

หากผ่านคืนนี้ไปอาจไม่เหมือนเดิม...

หากจบศึกครั้งนี้ไป ‘เรา’ อาจไม่เป็นของกันและกันอีก...


ยิ่งคิดวงแขนยิ่งรัดกระชับ อาคิราอยากกล่าวห้ามทัดทานทุกคราที่ได้สบตากัน หากราชสีห์หนุ่มก็รู้แน่แก่ใจว่าไม่เป็นผล เจ้าสิงห์น้อยของเขารอที่จะปลดแอกตัวเองออกจากความแค้นมานานแสนนาน ยอมแม้กระทั่งสละทิ้งซึ่งพรหมจรรย์อันเป็นสิ่งหวงแหนของทุรพลทุกตนเพื่อการนี้ เขาเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะตนนั้นติดอยู่ในบ่วงนี้ไม่ต่างกัน นอกเหนือจากนี้หากพวกเขาล้มพันแสงลงได้เหล่าสิงห์ที่ถูกคุกคามอยู่นั้นคงได้อยู่กันอย่างสงบสุขเสียที …ไม่ว่าจะมองด้วยเรื่องส่วนรวม หรือกิจส่วนตน อาคิราก็มีแต่ต้องจำยอมเท่านั้น


อาคิราเคยมั่นใจว่าเขาสามารถแลกชีวิตกับพันแสงได้ เพื่อล้างแค้นให้แก่พ่อและแม่ที่ถูกทรยศอย่างเจ็บแสบ ทว่าในเวลานี้อาคิรากลับเพิ่งรู้สึกตัว เมื่อยามมีร่างน้อยในอ้อมแขนนี้ อาคิรามีความหวาดกลัว...เขายังคงมีกิเลส มีความเห็นแก่ตัวอยู่มากมาย


อุ้งมืออุ่นประคองใบหน้าหวานของน้องน้อยขึ้นมาบรรจงจุมพิตลงบนหน้าผาก ฝากความห่วงใยลงบนสองปรางอิ่ม ความโหยหาอาวรณ์ชักพาให้สองร่างแนบชิด ตวัดเกี่ยวกอดโยงใยเชื่อมต่อถ่ายทอดความรู้สึกมากมายที่ต่างอัดแน่นภายในใจกันและกันบนตั่งเตียง...


ไกรสรราชสีห์หนุ่มโอบกอดร่างของทุรพลน้อยไว้ทั้งคืนจวบจนกระทั่งแว่วเสียงสกุณายามใกล้ฟ้าสาง แววตาคู่สวยยังคงหลับพริ้ม อาคิรารู้ดีก่อนหน้านี้มันสะท้อนทั้งความรู้สึกผิด และหวาดหวั่นภายใต้ความเด็ดเดี่ยวไว้มากมายเพียงใด ลูกสิงห์จอมดื้อดึงตัวน้อย บัดนี้เติบใหญ่ขึ้นอย่างงดงามเข้มแข็ง เบ่งบานแย้มกลีบเย้ายวนเสียจนราชสีห์หนุ่มนึกหวงห่วงจนในอกร้อนรุ่มไปหมด ยามทำได้เพียงเฝ้ามองและรักษาระยะห่างแก่กันไว้ว่าแย่แล้ว เมื่อยามเมื่อได้ครอบครองไว้แล้วทั้งเนื้อทั้งตัว ความหวงหึงห่วงหากลับมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ


นิ้วมือแกร่งเกี่ยวกระตุกสร้อยแพทองบนลำคอระหงให้คลายออก บรรจงจุมพิตหนักแน่นฝังลึกลงบนฐานคอระหงเนิ่นนานก่อนผละออก แล้วค่อยสวมแพทองเส้นน้อยกลับเข้าไปพร้อมกำกับคาถาเข้าไปอีกหลายบท หลังจำต้องตัดใจจากเป็นครั้งสุดท้าย


“พิรัลรุ่งสางแล้ว ตื่นเถิดหนา”




                    การเดินทางของทุรพลน้อยในครั้งนี้เป็นไปอย่างเงียบเชียบ มีเพียงสิงห์นักรบของธีมารวีคอยคุ้มกันซ้ายขวาสองตนเท่านั้น

“เจ้าพิรัล พี่จะไปรับเจ้ากลับ จงรักษาตัวให้ดี จำใส่ใจว่าเจ้ายังมีพี่รอคอยอยู่เบื้องหลัง” การล่ำลาไม่มีการกอดลา หรือจุมพิตใด มีเพียงสายตาคมกล้าจ้องมองอย่างเว้าวอน จนหัวใจดวงน้อยสั่นไหว...และอบอุ่น


“จ้ะ” หากการเข้าสู้เงื้อมือพันแสงเป็นดั่งการย่ำเท้าเข้าสู่หนทางอันมืดมน พิรัลนลินจะยึดพี่อาคิราเป็นแสงสว่างนำทาง...






                    คูหาติณสีหะที่พิรัลนลินมาเยือนแห่งนี้ เป็นเพียงชุมเล็กๆ ของสิงห์เพียงสามครอบครัว เรือนอาศัยถูกเนรมิตขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ตามประสาของชุมที่ไร้อุตมางค์...ยิ่งมองดูยิ่งคล้ายคลึง ถ้ำแห่งสิงห์ไกรรพ สถานที่อันเป็นบ้านเกิดของพิรัลนลิน ความรู้สึกคุ้นเคยผ่านครรลองจักษุ พาให้สิงห์น้อยรู้สึกวูบไหวหม่นเศร้าภายในอก


“เป็นบุญคุณเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย” นางสิงห์หนึ่งในเจ้าของถ้ำ ตรงเข้ามากุมมือทุรพลผู้มาเยือนด้วยมืออันสั่นเทา นัยน์ตาฝ้าฟางเคลือบคลอไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตัน


“เอ็งจักมิเป็นอันใดแน่รึ” ตามด้วยผู้เป็นหัวหน้าชุม แม้จะดีใจที่ลูกสาวของตนพ้นภัย แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงผู้มาแทนไม่ได้ ในเมื่อสิงห์น้อยเบื้องหน้านั้นช่างดูบอบบางเปราะบาง ‘สมวรรณะชาติกำเนิด’ เสียเหลือเกิน จักมีข้อที่ดูโดดเด่นเสียหน่อยเห็นจะเป็นท่าทางคล่องแคล่ว และแววตาแน่วนิ่งแน่นหนัก เพียงเท่านี้จักเพียงพอแน่หรือ ในเมื่อทุรพลตนใดที่ถูกต้อนไปแล้วนั้น ไม่เคยได้กลับมาทั้งที่ยังมีลมหายใจเลยสักตน


“ลุงท่านวางใจเถิดจ้ะ ท่านรวีแลพวกพ้องล้วนตระเตรียมการไว้เป็นอย่างดี ความโหดร้ายที่พวกเราเผชิญต้องจบลงภายในกาลนี้เป็นแน่จ้ะ” เพราะหากพลาดพลั้ง พิรัลนลินก็นึกไม่ออกเอาเสียเลยว่าจะหาทางใด เข้าจู่โจมหยุดยั้งพันแสงได้อีก


“บุญรักษาหนาเอ็ง พวกข้านับถือน้ำจิตน้ำใจเอ็งนัก เจ้าสิงห์น้อย” เหล่าสิงห์ผู้อาศัยในชุมกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ ระคนเป็นห่วง




พิรัลอาศัยอยู่ร่วมกับติณสีหะแห่งนี้ล่วงเข้าวันที่สาม กิจวัตรของเหยื่อล่อมีเพียงออกไปเดินเตร่กับสิงห์ในชุมตนสองตน เพื่อไม่ให้ดูเป็นการจงใจมากนัก สิงห์น้อยทำทีไปหาเก็บสมุนไพรใกล้ๆ ถ้ำที่อยู่อย่างชะล่าใจจนเย็นย่ำ พิรัลนลินเฝ้าภาวนาขอทวยเทพบนชั้นฟ้าเมตตา ให้ตนถูกจับไปในช่วงที่ยังอยู่ด้านนอกถ้ำเสียดีกว่าโดนบุกเข้าชิงเช่นคูหาอื่นๆ ที่ผ่านมา ทุรพลน้อยไม่อยากให้สิงห์ผู้บริสุทธิ์ต้องเลือดตกยางออกแม้แต่ตนเดียว


สวบ

บัดนี้ดูทีเทพยดาคงเห็นใจ ยอมรับคำอ้อนวอนโดยเมตตา เมื่อบริเวณรอบข้างเกิดเสียงสวบสาบจากฝีเท้าจำนวนหนึ่งเหยียบย่ำใบไม้ดังแว่วขึ้นในทิศทางตรงข้าม กลิ่นสาบจางบ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์อวลขึ้นในชั้นบรรยากาศ พาให้เหล่าสิงห์กินพืชตื่นตัว...วกมันคงเพิ่งเสร็จสิ้นจากการออกล่า


มือเรียวที่กำลังเอื้อมปลิดใบไม้ชะงักงัน เพียงชั่วหยัดตัวขึ้นยืนตรงเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ไกรสรสิงห์วัยฉกรรจ์สามตน ก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า ด้วยรอยยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียม ขาทั้งสองของพิรัลนลินแข็งค้างไม่อาจวิ่งหนีไปไหนได้ แม้จะรู้สึกได้ว่าสหายผู้มาร่วมเก็บสมุนไพรกับตนขลาดกลัวจนวิ่งหนีเอาตัวรอด ทิ้งทุรพลน้อยไปเสียแล้ว


“ยะ อยากได้มันก็เอาไป เอาไปเลย ยะ อย่าทำร้ายพวกข้า พวกข้ายอมแล้ว เอามันไปเลย! ”


“ฮึ ตาขาวจนเสียชาติเกิด ดี! จักได้มิเสียแรงเหนื่อย ไปกับข้าเถิดทุรพลน้อย”


“ข้ามิไป ปล่อยข้า ปล่อยข้า” ทุรพลน้อยร้องลั่นด้วยความตื่นกลัว แขนเล็กสะบัดเต็มที่จนหลุดพ้นจากการจับกุม สองเท้าออกตัววิ่งหนีสุดชีวิต ไกรสรสีหะโตเต็มวัยเหยียดยิ้มมองเหยื่อตัวน้อยพยายามหนีด้วยความปรีดา เขาชมชอบที่จะได้เห็นความพยายามหนีตายของเหยื่อที่ตัวเองเป็นผู้ล่ามากที่สุด ยิ่งเหยื่อที่หมายตาเป็นเผ่าพันธุ์สิงห์เฉกเช่นเดียวกันแล้ว ยิ่งรู้สึกปรีดิ์เปรม เพราะมันทำให้เขารู้สึกยิ่งใหญ่และเหนือกว่า ซึ่งไม่อาจรู้สึกได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอุตมางค์ โดยเฉพาะ ‘ราชสีห์พันแสง’ และบุตรเอก ‘วิวัสวาน’ ผู้อยู่เหนือมฤเคนทร์ทั้งมวล ไม่เว้นแม้แต่อุตมางค์ด้วยกันเอง ฉะนั้นเวลาที่ออกล่าทุรพล สามัญสิงห์เช่นตนจึงชื่นมื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างสุดแสน ด้วยมีเพียงเวลาเช่นนี้ ที่สิงห์เช่นตนจะรู้สึกเหนือกว่าได้บ้าง

...วิ่งเข้าไป วิ่งเข้าไป วิ่งให้สุดชีวิต แล้วสยบยอมแทบเท้าข้าเจ้าทุรพลน้อย!


“พามันกลับมาเสีย อย่าให้ช้านาน ข้ามิอยากต้องทัณฑ์ร่วมไปกับเอ็ง” เพื่อนร่วมกลุ่มตนหนึ่งเอ่ยเตือนเสียงแข็ง เมื่อมองบนฟ้าตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ไม่อาจเถลไถลได้อีก


“เออ! ”


เพียงพริบตา เบื้องหน้ากลับมีสามัญสิงห์ที่ตนต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีเพื่อหลีกหนี ยืนจังก้าขวางทางไว้อย่างง่ายดาย ราวกับความพยายามที่ใช้แรงกำลังทั้งหมดในการวิ่งหนี ของตนนั้นสูญเปล่าอย่างโง่งมน่าหัวร่อ


“มากับข้า เจ้างามหนักหนาเช่นนี้คงจักอยู่ดีมีสุขอยู่ดอก อย่าได้หวาดกลัวไปเลย” ปากว่าไวแล้วไซร้ มือกลับถึงเร็วยิ่งกว่า ฝ่ามือหยาบหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็กพร้อมกัน


“เดินตามแต่โดยดี อย่าดีดดิ้นพิรี้พิไรมากนัก มิเช่นนั้นพวกข้าจักย้อนกลับไปล้างชุมของเอ็งเสียให้สิ้น! ” ปากข่มขู่ มือรวบทั้งแขนสองข้างของเหยื่อเข้าด้วยกัน แล้วจัดการผูกเชือกเส้นหนาใหญ่จนแน่น จับปลายเชือกอีกฝั่งออกแรงกระตุกเป็นสัญญาณ ให้ร่างแน่งน้อยของผู้ถูกจับกุมเดินตาม...กระทำกันอย่างหยามเหยียด ราวกับมิใช่เผ่าพงศ์เดียวกัน




การเดินทางไม่ได้มีความลำบากมากจนเกินไปนัก ด้วยกำลังกายแห่งมฤเคนทร์วันฉกรรจ์ทำให้การเดินเท้าลุล่วงผ่านแนวป่าไปได้อย่างรวดเร็ว แม้พิรัลนลินจะไม่ขัดขืนยื้อยุด แต่ประการใดหากความต่างกันของพละกำลังเมื่อยามย่างเดิน ทำให้ทุรพลคล้ายถูกกระชากลากถูไปตามทาง จนผิวชมพูนวลปรากฏร่องรอยจากเชือกที่ขูดข่วนจนรู้สึกเจ็บแสบ แต่สิงห์น้อยก็อดทน ด้วยใจนึกอยากถึงที่หมายโดยไว้เช่นกัน


พิรัลนลินถูกลากจูงมาได้พักใหญ่ความแตกต่างของทิวทัศน์พนาไพรรอบกายเริ่มเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับทิศทางของดวงตะวันที่เคลื่อนคล้อยใกล้บรรจบลงขอบฟ้าเข้าไปทุกที พิรัลแอบกระหยิ่มยิ้มในใจ เมื่อเจ้าสิงห์น้อยสังเกตเห็นนกแซงแซวบินวนระยอดไม้เหนือหัว... วิหกของท่านเขมอารัณย์ปรากฏตัว เช่นนี้แสดงว่าพี่อาคิราแลท่านรวีรู้เรื่องแล้ว มิหนำซ้ำอาจเคลื่อนทัพตามมาแล้วก็เป็นได้


เมื่อถึงเขตถ้ำพันแสงสีหราชนั้นตะวันก็ยอแสงหลบเลี่ยง ปันพื้นท้องนภาให้แก่ดวงดาราได้อวดอ้างขับแสงระยิบระยับ พิรัลกวาดสายตามองไปยังบรรยากาศรอบกาย พยายามเก็บเกี่ยวทัศนียภาพนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด


ถ้ำของราชสีห์พันแสงคล้ายคลึงกับถ้ำของท่านธีมารวีดังคาด จะต่างออกไปสักหน่อยก็เพียงเป็นเรือนกลางถ้ำอันเป็นที่พักของผู้เป็นหัวหน้าชุมนั้นใหญ่โตโอ่อ่ากว่าเรือนของนางสิงห์ธีมารวีอยู่มากโข ผู้ที่อาศัยรายล้อมอยู่โดยรอบนั้นต่างรูปร่างแข็งแรงล่ำสัน แววตาแข็งกระด้างจนคลับคล้ายนักรบเสียมากกว่าชาวบ้านทั่วไป


“มากันได้เสียทีนะพวกเอ็ง” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นจากชานเรือนพาให้กลุ่มผู้มาถึงพร้อมใจเงยหน้าขึ้นมองตามต้นเสียง ปรากฏร่างสูงใหญ่หนัดแน่นแกร่งกล้า ผมดำสลวยถูกถักเกาะเก็บมัดรวบไว้ด้านหลังทำให้ยิ่งดูคล่องแคล่วราวนักรบชาญศึก ผิวเนื้อสีน้ำนมอัตลักษณ์แห่งชาติพันธุ์ขับส่งให้บุรุษราชสีห์ตนนี้ดุจทวยเทพบนชั้นฟ้า เช่นเดียวกับอีกสองมฤเคนทร์ข้างกายซ้ายขวา ที่มีความละม้ายคล้ายกันอยู่หลายส่วน ดวงตาคมเข้มนิ่งแน่วผนวกกับแนวคิ้วเข้มหนา ยิ่งส่งให้สิงห์ทั้งสามน่ายำเกรง โดยเฉพาะรอยยิ้มยกมุมปากที่ส่งมาจากอุตมางค์ด้านขวาถึงตนนั้นร้อนร้าย จนทุรพลน้อยอดที่จะครั่นคร้ามในใจไม่ได้


เหล่าจตุราชสีห์นั้นมีอายุยาวนานและอิทธิฤทธิ์ติดกาย ดังนั้นเมื่อถึงคราเติบโตบริบูรณ์แล้ว ร่างจะหยุดนิ่งคงไว้ด้วยกายนี้จวบจนหมดสิ้นอายุขัย เว้นเสียแต่บางตนยึดถือความแปรผันในธรรมชาติ มุ่งเจริญภาวนา ละมั่นถือมั่นในอัตตา ขอปลดปลงในสังขาร จึ่งละร่างทิพย์ปล่อยกายเปลี่ยนผันหย่อนคล้อยไปตามกาล ดั่งอาจารย์อัตรคุปต์นั้นพอมีบ้างเป็นส่วนน้อย แม้กายภายนอกดูแทบมิแตกต่าง แต่บารมีของราชสีห์ผู้ผ่านโลกมาอย่างช่ำชองย่อมมากกว่า ทำให้ไม่ใช่เรื่องยากหากจะนึกรู้ได้ว่าราชสีห์ผู้ยืนหน้าสุดนี้คงไม่พ้น ราชสีห์พันแสง และบุตรชายอีกสองตนที่คาดว่าอายุคงไม่ห่างกันนัก


“ตนเดียวเองรึ”


“ขอรับ ชุมอื่นมันหนีไปพึ่งใบบุญราชสีห์อัตรคุปต์กันเสียสิ้นขอรับ”


ปึง!

“พวกมันคงคิดว่าหนีไปที่แห่งนั้นแล้ว ข้าจักทำอันใดมิได้! ” ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนเชิงระเบียงดังลั่น ก่อนออกคำสั่งเสียงเหี้ยม


“พวกเอ็งจงป่าวประกาศไปให้ถ้วนถั่ว ไอ้อีทุรพลตนใดที่ไปหลบซ่อนตัวยังถ้ำอัตรคุปต์ ให้มันแสดงตัวแลเดินทางออกมาหาข้าแต่โดยดี มิเช่นนั้น ข้าจักตามล้างโคตรพ่อแม่พี่น้องมันให้สิ้นไป! ”


พิรัลตัวชาคล้ายโดนอสนีบาตพุ่งเข้าฟาดฟัน ความหวาดกลัวแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย... ช้านานอีกมิได้แล้ว


“แล้วตนนี้เจ้าถูกใจรึไม่เล่าวิวัสวาน” เมื่อเห็นลูกน้องรับคำสั่งแล้ว พันแสงหันไปถามต่อบุตรชายทางด้านขวามือต่อ


“ขอรับท่านพ่อ” วิวัสวานจับจ้องมองทุรพลตนใหม่อย่างจาบจ้วง ท่าทีคล้ายกลัดมันนั้นทำทุรพลน้อยขนลุกขนชันด้วยความรังเกียจ


“ดี มึงพามันไปอาบน้ำอาบท่าเสีย เมื่อวันเข้าฤดูมาถึงมันจักเป็นคู่ของวิวัสวาน” เสียงประกาศกังวานก้อง สามัญสิงห์ที่รายล้อมยอบกายเคารพนอบน้อม เมื่อราชสีห์ทั้งสามหมุนตัวกลับเข้าเรือนพิรัลนลินถึงสังเกตได้ว่า ด้านหลังของราชสีห์ทั้งสามยังมีสิงห์อุตมางค์รุ่นกระทงอยู่อีกถึงห้าตน!



----------> ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 29-09-2019 21:38:26
ต่อ


หลังจบคำประกาสิทธิ์จากผู้ครองคูหา พิรัลนลินถูกนางสิงห์รีบเข้ามารุมล้อมเพื่อพามาอาบน้ำ นางสิงห์สองตนประกบซ้ายขวา เนื้อตัวถูกขัดจนสะอาดเอี่ยม อีกสามตนช่วยจัดแจงแต่งกายคล่องแคล่ว นางสิงห์ตนหนึ่งพาดผ้าคล้องไหล่สีกลีบบัวเบื้องบดบังเนินเนื้อ ทิ้งชายด้านหลังยาวจรดบั้นเอว อีกตนจัดแจงลงหวีบนเส้นผมสีนิลจนพลิ้วสยาย รอบเอวเล็กถูกนุ่งพันด้วยแพรสีเขียวก้านมะลิยาวกรอมเท้า ทำให้ยามเยื้องย่างดูพลิ้วไหวราวร่างบอบบางของพิรัลนลินกำลังละล่องลอยเหนือหมู่เมฆา แล้วเสร็จจึงพามาส่งยังปีกขวาของเรือนใหญ่ในเวลาที่ดวงดาราส่องเด่นแทนแสงตะวัน


“เจ้าราวกับ...ดอกบัวบัวสวรรค์” วิวัสวานยิ้มพลาย แรกพบว่าจับตาแล้ว ยามถูกล้างเนื้อตัวนุ่งผ้าอย่างประณีตเช่นนี้ ยิ่งจับใจ จนใคร่อยากเคล้าคลอ เด็ดกลีบบัวงามให้มาเป็นของตนเสียทั้งเนื้อทั้งตัว เมื่อนึกได้มือแกร่งก็ไม่รอช้าตรงเข้าดึงรั้งร่างบอบบางเข้าเกยตักเร็วเท่าความคิด


“นามเอ็งเล่า”


“พิรัลนลินจ้ะ” ...เสียงนั้นช่างหวานใสนุ่มนวลราววิหคตัวน้อย


“ฮึ สมกายเจ้านัก เจ้าบัวดอกงาม” วิวัสวานเชยใบหน้าหวานขึ้นพินิจอีกคราก่อนจรดปลายจมูกลงบนแก้วนวล หวังจะดอมดมกลิ่นหอมจากเนื้ออุ่น ให้สมแก่ความพิศวาสที่ตนมีให้ ครั้นเมื่อได้รับกลิ่นเข้ามาแล้ว อุตมางค์สิงห์กลับออกแรงผลักทุรพลบนตักล่วงลงพื้นราวถูกของร้อน


“นี่เอ็งไปเกลือกกลั้วกับไอ้สิงห์ตนใดมาหา! ” กลิ่นเนื้อนวลที่ควรหอมหวานชวนลุ่มหลง กลับแฝงไปด้วยกลิ่นสาบฉุนจนราชสีห์หนุ่มไม่อาจทานทนไหว การที่ทุรพลมีกลิ่นเช่นนี้ได้ มีเพียงเหตุผลเดียวนั่นคือทุรพลได้ผ่านการมีคู่มาแล้ว!


“ข้า มีคู่แล้วจ้ะ เช่นนั้น เช่นนั้นปล่อยข้าไปเถิด” พิรัลนลินแสร้งบีบน้ำตา หลุบตามองลงต่ำให้ยิ่งคล้ายหวั่นกลัวจนสุดใจ


“เอ็งพร่ำเพ้อสิ่งใดอยู่ แพรทองเช่นนี้คงเพียงแต่คลอเคล้าพะเน้าพะนออยู่นั่นแล้ว ฮึ ข้าหาถือความมากมายอันใด ถึงกลิ่นมันจักแรงกว่าที่ข้าเคยพบ ทว่าเพียงเจ็ดทิวาก็หายสิ้น พอเหมาะพอดีกับช่วงฤดูของข้าเทียวหนา ถ้าเอ็งจักโทษก็โทษไอ้สิงห์โง่เง่าตนนั้นเถิดที่มัวชักช้าพิรี้พิไร เฮ้ย พวกมึงมาพามันกลับไปเรือนทุรพลเสีย แล้วสับเอาอีแขมาให้กู! ”


“ส่วนเอ็งรอมิช้านานดอกหนา แลข้าจักยกตำแหน่งแม่ของลูกให้ เจ้าพิรัลนลิน” มือแกร่งบีบลงบนข้างแก้มนุ่มไม่คิดผ่อนแรง ความกรุ่นโกรธปะทุจนอยากอาละวาดกวาดทำลายร่างน้อยให้แดดิ้น เป็นอุตมางค์ตนอื่นคงมิพ้นไสส่งไปแล้วด้วยความรังเกียจ เพราะยามร่างทุรพลปรากฏกลิ่นอายของราชสีห์ตนอื่น ความกระสันอยากของอุตมางค์ด้วยกันย่อมลดฮวบเหือดหายจนหมดสิ้น แต่กับวิวัสวานผู้ ’ต้องได้ ‘ ในทุกสิ่ง ความอยากเอาชนะย่อมมีมากกว่าความรู้สึกอื่นใด...ยิ่งพิรัลนลินเป็นเช่นนี้ เขายิ่งอยากครอบครัว ไว้เย้ยหยันไอ้อุตมางค์ตนนั้น แล้วค่อยเขี่ยทิ้งทีหลังย่อมทำได้


“ตามข้ามา” สิงห์รับใช้ที่วิ่งเข้ามารับคำบัญชา กระตุกเสียงสั่งทุรพลที่ยังคงนั่งกองบนพื้นเสียงห้วน ไม่รู้ว่าควรยินดี หรือเวทนาทุรพลตนนี้เลยได้




พิรัลนลินถูกสิงห์รับใช้ร่างใหญ่พามาส่งยังเรือนสำหรับทุรพล เรือนไม้หลังนี้ปลูกซ้อนอยู่ทางด้านหลังเรือนใหญ่ แม้ขนาดไม่กว้างใหญ่โอ่อ่าเท่าเรือนผู้ครองคูหา แต่ก็ไม่เล็กไปเสียทีเดียว บนเรือนแบ่งแยกห้องหับเป็นสัดส่วนอีกมากมาย บ่งบอกได้ว่าเรือนแห่งนี้คงมีไว้ใช้กักขังเหล่าทุรพลเป็นแน่แท้ ยามเดินตามผู้นำทาง พิรัลนลินพยายามเพ่งมองจับทิศทางภายในชุมแห่งนี้ เพื่อเปรียบเทียบกับถ้ำของธีมารวีไว้ให้มากที่สุด ด้วยความหวังว่าจะได้ใช้มันไว้เป็นทางหนีทีไล่ เมื่อยามจำเป็น


สิงห์ผู้นำทางหยุดยืน ยังหน้าเรือนนอนด้านริมสุด ร่างหนาเบี่ยงตัวเปิดทางให้แก่ทุรพลผู้มาใหญ่ เป็นเชิงบอกว่าต่อจากนี้ห้องนี้จะเป็นที่พำนักของตน เมื่ออย่างเท้าเข้ามาด้านในเป็นส่วนตัวแล้ว ทุรพลน้อยก็แทบจะประคองสติตัวเองไว้ไม่อยู่ ด้วยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเจ้าสิงห์พลัดถิ่นก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปแทบจะในทันที และคงจะฟื้นคืนมาได้เมื่อจวบจนแสงแห่งดวงสุริยันสาดส่องเข้ามาลูบไล้เนื้อตัวจนรู้สึกร้อน ถ้าหากไม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงกรีดร้องจากข้างห้องขึ้นมาเสียก่อน


กรี๊ด!

พิรัลผุดลุกขึ้นตั้งใจจับที่มาของเสียงอยู่เพียงครู่ เมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ยังคงดังประสานกันอยู่ไม่คลาย สิงห์น้อยตัดสินใจก้าวเดินไปตามหาต้นต่อของเสียงให้รู้ความ


“ฮึก เจ้าแขเหตุใดเจ้าจึ่งทำเยี่ยงนี้ ฮื่อ” เสียงร่ำไห้ปานขาดใจเป็นของเหล่าทุรพลทั้งสี่ตน ที่พากันกอดร่างหนึ่งไว้ในอ้อมอก ทั้งหมดตกอยู่ในความโศกาจนไม่อาจรู้สึกตัว แม้พิรัลนลินจะกระทำอุกอาจก้าวเข้ามาภายในเรือนของพวกตน จนกระทั่งยอบตัวนั่งลงข้างกายพวกเขาแล้วก็ตาม


“เกิดอันใดขึ้นฤๅพวกท่าน”


“เจ้า เจ้าคือทุรพลที่เข้ามาวันนี้รึ” ทุรพลตนหนึ่งได้สติจากเสียงร้องถามของพิรัล เป็นฝ่ายต่อความด้วยทั้งน้ำตา


“จ้ะ จ้ะ อย่าได้ว่าความอันใดเลยแม่ท่าน เพลานี้เราต้องรักษานางก่อนนะจ๊ะ” พิรัลเพ่งมองรอยเลือดบนลำคอระหงของนางสิงห์ด้วยความร้อนใจ แผลบนลำคอระหงนั้นเปิดออกกว้างเลือดไหลเป็นลิ่ม จนใบหน้าหวานล้ำซีดขาว


“มะ มิต้องดอก ข้า ข้าอยากตาย อึก มันย่ำยีข้า ฮึก ข้ามิเหลือสิ่งใดอีกแล้ว สู้ข้าตายเสียยังดีกว่าให้มันใช้เป็นเครื่องมือ ประหัตประหารทำลายสิงห์ตนอื่น” ทว่าสิงห์ได้รับบาดเจ็บกลับไม่ยินยอม นางหลับตาคล้ายรอเวลาที่จิตวิญญาณจะได้ถูกปลดเปลื้องไปด้วยความยินดี


“มิได้นะจ๊ะ ข้ามาที่แห่งนี้เพื่อช่วยเหลือพวกท่าน ภายนอกเหล่าสิงห์ที่โดนฉุดคร่าทุรพลมากำลังรวมตัวกันเพื่อหยุดยั้งราชสีห์พันแสง แลหวังจักพาพวกพี่กลับบ้าน อย่าทำให้พวกเขาเสียแรงเปล่าเลยนะจ๊ะ” พิรัลนลินไม่ยอมแพ้ แม้พอรู้ว่าทุรพลเหล่านี้ต้องเจ็บช้ำตรอมตรมเพียงใด แต่ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะได้เข้ามาช่วยพวกเขานั้นก็ไม่อาจละเลยไปได้ เพลานี้สิงห์ทุกตนต่างมีความหวัง พิรัลนลินไม่ปรารถนาที่จะให้ผู้ใดต้องมาผิดหวังอีกแล้ว


“แต่ข้าไม่...”


“ถึงแม้เราจักมิได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ข้าเชื่อว่าทุรพลเราหาได้มีค่าเพียงเท่านี้ พี่เชื่อข้านะจ๊ะ ยอมให้ข้ารักษาพี่เถิด”


“มันคงมิทัน พวกมันมิยอมมารักษาทุรพลเช่นเราดอก” สิงห์หนุ่มเจ้าของผิวสีจำปาเอ่ยขัดด้วยสีหน้าแค้นเคือง แม้ในตาคู่สวยยังคงแดงก่ำ


“ข้า ข้ารักษาได้จ้ะ ระหว่างที่ถูกพากลับมา ข้าเห็นดงสาบเสืออยู่ข้างเรือน ข้า ข้าจักไปเก็บมาให้นะจ๊ะ พี่อดทนสักหน่อยนะพี่นะ” พิรัลนลินไม่รอช้ารีบบ่ายหน้าลงจากเรือนโดยเร็วไว หวังในใจขอให้บาดแผลที่ลำคอนั้นจักไม่หนักหนาเสียจนเกินเยียวยาได้ไหว


“นั่นเอ็งจักไปที่ใดทุรพล! ”


“ด้านบนมีทุรพลได้รับบาดเจ็บบาดแผลฉกรรจ์นัก ข้าเห็นพุ่มสาบเสือใกล้ๆ นี้ พี่ท่านกรุณาให้ข้าไปเก็บมันเถิดนะจ๊ะ” สองมือยกขึ้นประนมไหว้เพื่อขอความเห็นใจจากสิงห์ตระเวนยามที่เข้ามาขัดขวางทุรพลน้อยเอาไว้


“มารยาเท่านั้น คิดว่าที่ผ่านมามีทุรพลกี่ตนใช้มารยาลักลอบหนีไปกันเล่า กลับเข้าเรือนไปเสีย! ”


“ข้ามิได้มารยานะจ๊ะ หากพี่ท่านมิคิดไว้ใจ เช่นนั้นพี่ท่านจักเมตตาเก็บมาให้ข้าได้ฤๅไม่เล่า เมตตาด้วยเถิดจ้ะ” พิรัลนลินอ้อนวอนจนแทบจะลงไปกราบกราน ในใจร้อนรุ่มจนแทบยืนไม่อยู่ ด้วยทุรพลสาวตนนั้นคล้ายกะลาเจาะรูบนธารน้ำ ยิ่งใช้เวลานานกะลายิ่งจมดิ่งจนสุดคว้า พิรัลนลินไม่ต้องการให้เวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าแม้สักเศษเสี้ยว


“อย่าร่ำไร กลับขึ้นเรือนเอ็งไปเสีย! ”


“ให้มันไป เลือดเปรอะเปื้อนเช่นนี้คงมิได้ปลด แลเอ็งจงคอยคุมมันไว้อย่าให้คลาดสายตา แค่ทุรพลตนเดียวคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงพวกเอ็งกระมัง” ราวกับได้รับพรจากแดนสรวง จากเสียงที่ดังขึ้นขัดของอุตมางค์รุ่นตนหนึ่ง ที่คล้ายจะเป็นหัวหน้าของสิงห์ลาดตระเวนคู่นี้อีกที


“ขอรับท่านกลินท์”


“ขอบพระคุณจ้ะ ขอบพระคุณ”


ด้วยความรีบร้อนพิรัลนลินไม่มีเวลาที่จะพิจารณาได้มากนัก สิงห์น้อยก้าววิ่งสุดกำลัง เพราะภาพของนางสิงห์จมกองเลือดนั้นทำให้พิรัลไม่อาจชักช้าได้ มุ่งเก็บใบสาบเสือมาจนเต็มกำมือ แพรพันที่เคยงดงามกลับเปื้อนเปรอะคราบดินจนหมดราศี...ทุรพลนางนั้น ทั้งแรงการแรงใจบอบช้ำจนดูราวจักปลิดปลิวไปได้เพียงเผลอพริบตา


“ฮื่อ แข แข ลืมตาขึ้นมาเถิดแข ฮื่อ” เสียงร่ำไห้ดังออกมาจากในเรือน พาให้พิรัลนลินตัวชา ใบสาบเสือที่กอบกำไว้ในมือร่วงกระจายลงสู่พื้นเรือน เมื่อมือเจ้าตัวหมดซึ่งเรี่ยวแรงที่จะถือได้อีกต่อไป เสียงร่ำไห้สะท้อนก้องอยู่ภายในหัวจนสมองขาวโพลนไม่อาจนึกคิดสิ่งใดได้อีก ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งยามร่างของตนถูกผลักจนล้ม โดยสิงห์เฝ้ายามที่ผลุนผลันวิ่งขึ้นมาตามเสียงร้อง พวกเขายื่นมืออังที่ปลายจมูกนางสิงห์ครู่ใหญ่ จนแน่แก่ใจว่าสิงห์สาวเบื้องหน้าสิ้นลมเป็นที่แน่นอนแล้ว จึงอุ้มช้อนร่างอ่อนปวกเปียกแล้วพาลงไปจากเรือนไปด้วยท่าทางคุ้นชิน


“มิต้องห่วง ข้าจักเป็นธุระให้” อุตมางค์หนุ่มน้อยบอกกล่าวเพียงเท่านั้น แล้วหันหลังลงจากเรือนตามลูกน้องไป เหลือเพียงทุรพลที่กำลังเสียใจ และสายตาหนึ่งที่ทอดมองตามด้วยความช้ำชอกยิ่งกว่า




+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สิงหา...ถึงนักอ่าน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับตอนนี้ เริ่มเข้าสู่ช่วงต่อสู้กันแล้ว (ซึ่งมีไม่เยอะนะคะ แฮะๆ)
ตัวละครก็มีเพิ่มขึ้นมาเยอะเลย หวังว่าจะไม่ทำให้งงกันนะคะ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ





หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 29-09-2019 22:14:34
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-09-2019 01:16:29
เศร้ามาก
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-09-2019 08:04:38
พี่อาคิรารีบมาช่วยน้องนะ พิรัลก็ระวังตัวด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 30-09-2019 09:29:26
ใจตรงกัน แต่ปากแข็งทั้งคู่
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 30-09-2019 09:36:41
ระยะปลอดภัยไม่เกิน 7 วัน!
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 30-09-2019 15:15:55
สนุกมากค่ะ
มาต่อไวๆน้าาาา :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๑ นกต่อ {๒๙/๐๙/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-10-2019 16:49:17
 :katai5: :katai5: รอออออ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๒ แผนการ {๐๕/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 05-10-2019 21:04:01
บทที่ ๑๒

แผนการ








                   




                    แม้เวลาจักเคลื่อนผ่านจนเกือบพ้นยามราตรี เหล่าทุรพลยังคงเกาะกุมโอบประคองกันและกันกันภายในเรือนนอน การจากไปของ ‘แม่แข’ สร้างความโศกสลดให้แก้ทุรพลทุกตนในที่นี้...ทั้งโศกาและหวาดกลัวจนร่างกายสั่นสะท้านอย่างหากไม่อยู่


“ต่อไปคงมิพ้นข้า” นางสิงห์ติณสีหะหนึ่งในเรือนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธ ดวงตาคู่สวยสะท้อนแรงแค้นราวมีเปลวเพลิงรุกท่วม


“จักมิเป็นเช่นนั้นจ้ะ” พิรัลโพล่งออกมา หลังจากเผลอปล่อยตัวเองให้จมจ่อมลงในห้วงอารมณ์แห่งความอาดูร พิรัลนลินสูดหายใจเข้าลึก กดเก็บความเศร้าสะเทือนใจไว้ภายใน เพื่อประคองสติและอารมณ์ของตนให้คงมั่น ลุกขึ้นตรงไปยังประตู หน้าต่างจัดการปิดงับลงดาลจนสิ้น หลังเจ้าตัวมองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีสิงห์ตนใดอยู่ใกล้บริเวณเรือน


“ต่อแต่นี้จักหามีทุรพลตนใดต้องสูญเสีย ข้าจักพาพวกท่านออกไปให้ได้จ้ะ” แม้เสียงแผ่วเบาด้วยการกระซิบพูด ทว่าแววตาที่ส่งต่อไปยังทุรพลตนอื่นหนักแน่นไม่มีความหวั่นไหวแม้เพียงน้อย


“อย่างไรเล่า”


“เพลานี้มีกลุ่มอุตมางค์แลสามัญสิงห์หลายตนเตรียมพร้อมจักเข้ามากำราบพันแสง หากคูหาแห่งนี้ลงอาคมแกร่งกล้ามิหามารถบุกทะลวงเข้ามาได้ ข้าขึงอาสาเข้ามาเป็นนกต่อจ้ะ”


“เจ้าอาสาเข้ามารึ” ทุรพลทุกตนพากันตื่นตะลึงในความกล้าหาญของสิงห์น้อยเบื้องหน้า


วรรณะ ’ ทุรพล’ นั้น มีความหมายในตัวเอง อ่อนแอ ไร้แรงกำลัง คือสิ่งที่สิงห์วรรณะนี้มี ไม่ต้องให้สิงห์วรรณะใดมาชี้หน้า ผู้เกิดมาเป็นทุรพลล้วนรู้ตัวดี พวกเขาทำได้แต่เก็บซ่อนตัวใช้ชีวิตอย่างประมาณตนมาตลอด แม้ยามเอื้อนเอ่ยออกเสียงยังไม่อาจดังไปกว่าเสียงกระซิบ ไม่คิดว่าวันนี้จะมีทุรพลตนใดกล้ากระทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้...


“ด้วยเมื่อครั้งข้ายังเยาว์ ครอบครัวข้าโดนพันแสงรุกรานทำร้ายมิต่างกัน เดิมทีข้าจักต้องส่งสัญญาณออกไปเมื่อเข้าสู่โถงถ้ำแห่งนี้ได้สำเร็จ ทว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้... ข้าคิดจักพาพวกท่านหลบซ่อนกายเสียก่อนจ้ะ” พิรัลนลินตัดสินใจ ปรับเปลี่ยนแผนการด้วยตนเอง เพราะพันแสงที่ตนได้รับรู้และประจักษ์แจ้งแก่สายตานั้น สกปรกไร้ศักดิ์ศรีมากกว่าที่คาดคิดไว้


“หากเป็นจริงดั่งเจ้าว่า ข้าหาได้กลัวเกรงสิ่งใดอีกแล้ว มิต้องการหลบซ่อนดอก เจ้ารีบส่งสัญญาณของเจ้าออกไปเสียเถิด” ทุรพลไกรสรเอ่ยค้าน ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ตนไม่นึกเกรงกลัวสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว


“เรามิอาจช่วยเหลือพวกเขาได้ เช่นนั้นจงอย่าได้กระทำตัวเป็นภาระให้พวกเขาต้องพะว้าพะวังอีกเลยจ้ะ ข้าได้เห็นแล้ว สิงห์เช่นพันแสงนั้น พร้อมจักกระทำทุกอย่างเพื่อชัยชำนะ แม้ใช้วิถีอันต่ำสกปรก สิงห์ตนนั้นย่อมพร้อมกระทำเป็นแน่ ข้ามิต้องการให้มันใช้เราเป็นสิ่งต่อรองจ้ะ”


“จริงของเจ้าสิงห์น้อย อย่าได้หุนหันพลันแล่นให้เสียการนักเลยเจ้ามะลุลี” นางสิงห์รำไพกล่าวเตือนสติทุรพลน้อยเสียงอ่อน ทำให้ไกรสรสีหะที่กำลังถูกความเจ็บแค้นครอบงำคล้ายได้สติยั้งคิดขึ้นมา


“ประการแรกข้าต้องรู้แน่เสียก่อน ว่านอกจากพวกท่านยังมีทุรพลตนอื่นอีกฤๅไม่จ๊ะ”


“หามีไม่แล้วเจ้า มีเพียงพวกเราเท่านี้แล” ทุรพลหนุ่มเจ้าของผิวสีจำปาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย


“แต่...ราชสีห์พันแสงทำการรวบรวมทุรพลมาหลายเพลา น่าจักมีโขกว่านี้นี่จ๊ะ” พิรัลขมวดคิ้ว เขารู้ว่าพันแสงเริ่มรวบรวมทุรพลมายาวนานร่วมสิบปี แต่ทุรพลเบื้องหน้าเขานั้นนับรวมเช่นไรก็มีเพียงห้าตนเท่านั้น ทั้งแต่ละตนดูอายุอานามมิได้มากมายกว่าพิรัลนลินไปเสียเท่าไร


“ทำอัตวินิบาตกรรมตนเองเสียจนสิ้น หากมิตั้งท้องเสียก่อน ข้าคงมิแคล้วกัน เพียงคราเดียวหลังเข้าฤดูแรกเท่านั้น เบื้องบนมิได้เมตตามอบทางเลือกแก่ข้าเลย” สิงห์สาวยกมือลูบท้องของตนไปมา น้ำเสียงหวานเอื้อนเอ่ยสั่นเครือด้วยกลั้นสะอื้น


“โดนกระทำย่ำยียังมิเจ็บปวดเท่าเห็นลูกของตัวเองกระทำผิดคิดชั่ว ข้าเองหากมิต้องการรั้งพันแสงไว้ เพื่อมิให้ไปผูกกรรม กับทุรพลตนอื่นอีก คงมิฝืนทนเช่นกัน” นางสิงห์รำไพผู้มีวัยวุฒสูงสุดในเรือนกล่าวเสริม ในตางามเหม่อมองไปไกลสุดหยั่งถึงเรื่องราวเมื่อหนหลัง


นางเป็นเมียตนที่สองของพันแสง เมื่อ ’นางสิงห์สุริยง’ เมียแรกตรอมใจตายจากไป หลังสูญเสียลูกชายตนแรกอย่างไม่มีวันหวนกลับ ด้วยสิงห์หนุ่มอาสาพ่อออกไปฉุดทุรพลตนหนึ่ง แม้จะเสียลูกไปราชสีห์พันแสงยังไม่คิดหยุดยั้ง มิหนำซ้ำยิ่งแสดงความโหดเหี้ยมมากขึ้นจนเกินรับไหว ทิ้งไว้เพียง วิวัสวาน บุตรชายคนรองผู้สืบทอด’ ความเป็นพันแสง ‘มาทุกกระเบียดนิ้วไว้แทนตน


คราแรกรำไพคิดดับชีวิตตนเองไปเสียหลังหมดจากการร่วมฤดูกับพันแสง อนิจจาไม่ว่ากรงเล็บหรืออาวุธร้ายเพียงใดก็ไม่อาจกล้ำกรายนางได้ ด้วยนางกำลังตั้งครรภ์อุตมางค์น้อยให้แก่พันแสงเสียแล้ว รำไพมีบุตรอุตมางค์ให้พันแสงสองตน ‘ภาสกร‘ ผู้พี่ และ ‘กลินท์’ ผู้น้อง ด้วยรำไพมีสภาพจิตใจย่ำแย่พาให้ร่างกายอ่อนแอ กลินท์จึงเป็นลูกตนสุดท้ายที่นางสามารถมีให้แก่พันแสงได้ เมื่อรู้ถึงความจริงข้อนี้คราแรกพันแสงอยากกำจัดนางไปเสีย ด้วยต้องการมีทุรพลตนใหม่มาแทนที่เพื่อมีทายาทให้มากมาเป็นกำลังแก่ตนเอง แต่รำไพกลับไม่ยินยอมนางยังสู้ทนมีชีวิตอยู่เพื่อขัดขวางพันแสงให้ถึงที่สุด แม้นางได้เลี้ยงดูอุ้มชูกลินท์จนรู้ความสุดท้ายไม่พ้นถูกผู้เป็นพ่อพรากไป เพื่อฝึกปรือไว้ใช้เป็นมือเท้าเคียงคู่กับพี่ชายทั้งสอง นางรำไพได้แต่พยายามกราบไหว้เทพเทวาทุกค่ำคืนให้ลูกชายตนหนึ่งตนใดมีความเมตตาต่อนาง ต่อทุรพลตนอื่นบ้าง


กระนั้นวิวัสวานเมื่อเติบใหญ่กลับช่วยพ่อสืบเจตนารมณ์ไม่มีตกหล่น อุตมางค์ตนนั้นให้กำเนิดทายาทอุตมางค์อายุวัยไล่เลี่ยกับ เจ้ากลินท์ อีกสี่ตน โดยเมียทุรพลของเขานั้นตรอมใจปลิดชีพตัวเองไปสิ้น การกำเนิดอุตมางค์เลยเว้นว่างไปได้หลายครา เพราะแม้จะจับทุรพลกลับมาได้ ก็หามีตนใดยินยอมเป็นเครื่องมือก่อกรรมอีก


“เพลานี้ยังคงสลัวราง สิงห์ตนอื่นมิทันตื่นมาเคลื่อนไหวมากนัก ข้าจัก ทำทีไปอาบน้ำ เพื่อขอออกไปสำรวจที่ทาง ท่านรำไพคิดเห็นประการใดจ๊ะ” พิรัลนลินแง้มบานหน้าต่างมองออกไปยังผืนฟ้ายามใกล้รุ่ง สลับก้มมองเนื้อตัวเปรอะเปื้อนคราบดินคราบเลือด แล้วขอความเห็น


“เจ้าจักทำการสิ่งใด มีหนทางแล้วรึ”


“จ้ะ หากเป็นดั่งข้าหวัง เราจักมีที่พำนักที่ปลอดภัย” เมื่อเห็นสิงห์น้อยผู้มาใหม่พยักหน้ารับแข็งขัน รำไพนิ่งตรองเพียงครู่ค่อยพยักหน้าเป็นการสนับสนุน


“เหมาะดีเทียว ข้าจักไปเป็นเพื่อนเจ้า หากเดินท่อมๆ ไปผู้เดียวนั้นแลผิดสังเกตนัก” มะลุลีขันอาสาช่วยพิรัลนลินอีกทาง เมื่อเห็นทุรพลตนนี้เข้มแข็งกล้าหาญเพียงนี้ และผู้มีอาวุโสเห็นดีเห็นงาม มะลุลีก็ให้รู้สึกมีกำลังใจ กล้าที่จะคิดทำสิ่งต่างๆ ตามมา... อย่างที่ทั้งชีวิตทุรพลน้อยไม่เคยเป็นมาก่อน


“กระทำสิ่งใดจงรอบคอบ หูตาจงว่องไว ระมัดระวังตัวให้มากเล่า”


“จ้ะ” หลังรับคำ ทุรพลทั้งคู่ต่างพากันแยกย้ายไปจัดเตรียมผ้าผ่อนเพื่อลงท่าน้ำให้สมจริงสมจัง เดินเคียงคู่กันไปยังท่าอาบน้ำสำหรับทุรพลโดยพยายามไม่ทำตัวให้เป็นพิรุธ


“มะลุลี เจ้ารอข้าที่ท่าน้ำนี้หนา หากเกิดมีผู้ใดพบเข้า ค่อยทำทีว่าเราผลัดกัน”


“ระวังตัวด้วย” พิรัลกระชับผ้าคลุมเมื่อรู้สึกถึงกระแสอากาศลมเย็นเฉียบกระทบกาย สิงห์น้อยเลือกพันห่อร่างกายด้วยแพรย้อมมะเกลือสีเข้มกลืนไปกับบรรยากาศแวดล้อม ค่อยๆ สืบเท้าเดินเลาะผ่านท่าอาบน้ำเดินเลียบไปตามแนวถ้ำ เช่นเดียวกับที่ตนเคยทำมาแล้วหนหนึ่ง แม้บ้านเรือนและเครื่องตกแต่งภายในคูหาแห่งพันแสงจะมีความแตกต่างไปบ้าง แต่พิรัลภาวนาให้ ‘สถานที่แห่งนั้น’ ยังคงอยู่


เมื่อเดินล่วงเข้ามาถึงด้านท้ายคูหา ฝ่ามือเล็กค่อยๆ ลูบละไล้บนผนังถ้ำ จนกระทั่งนัยน์ตากลมสังเกตเห็นผนังจุดหนึ่งเกิดเป็นแสงระยิบระยับ พิรัลเผลอยกยิ้มด้วยความดีใจ กระนั้นสิงห์น้อยยังไม่ลืมหันกลับไปมองซ้ายแลขวารอบกายด้วยความระแวงระวัง แล้วค่อยเร้นกายเข้าสู้เรือนลับหลังผนังถ้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าปลอดโปร่งไร้เงาสิงห์ตนอื่น


ยามอย่างก้าวเข้ามา ภายในเรือนเล็กแห่งนี้ช่างคล้ายคลึงกับ ‘อีกที่’ ราวจับวาง ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปแม้กระผีก...คล้ายกันมากเสียจนทำให้ความรู้สึกกระดากอายของพิรัลนลินตีรวนขึ้นมาในอกเป็นระลอก


ทุรพลน้อยรีบสะบัดหน้าไล่ความคิดว่อกแว่กออกจากหัว กวาดสายตาสำรวจภายในอย่างละเอียดลออ หากไม่มีร่องรอยของการหยิบจับใช้สอยสิ่งของอื่นใด บ่งบอกว่าเรือนแห่งนี้ยังคงเป็นความลับ พิรัลยิ้มยินดีอีกครั้ง ก่อนจะรีบพาตัวเองกลับออกมาก่อนแสงอรุโณทัยสาดส่องจนสิงห์ตนอื่นๆ ตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตกันให้วุ่นวายอยากต่อการหลบซ่อน


“ทุรพล! ไยเจ้ามาเพ่นพ่านแถวนี้” แม้พิรัลจะระมัดระวัง กลับยังไม่อาจพ้นสายตาของอุตมางค์ผู้เดินเวรยามได้


 'กลินท์' นามนี้พิรัลได้ยินเหล่าสามัญสิงห์เรียกขานเมื่อคราพบกันครั้งแรก คะเนจากสายตาสิงห์หนุ่มผู้นี้ อ่อนวัยกว่าพิรัลไม่มากนัก แม้ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ลักษณะนั้นองอาจทรงอำนาจเสียจนทุรพลนึกเกรง ค่ำคืนจวบจนจวนฟ้าสางพิรัลปะหน้าอุตมางค์ตนนี้ถึงสองครา...หรือจักถูกจับตามองเข้าเสียแล้ว


“ข้าลงมาอาบน้ำจ้ะ แลเห็นพุ่มสมุนไพรด้านนี้ ข้าเลยขอมะลุลีออกมาดู เมื่อยามคิดกลับ กลับหลงลืมทิศทาง”


“เจ้าพิรัล เจ้าพิรัล เฮ้อ ข้าตามหาเจ้าเสียทั่ว กะอยู่เทียวว่าจักต้องหลง ท่านกลินท์ โปรดอย่าหาความจากมันเลยนะจ๊ะ” มะลุลีเห็นสิงห์หนุ่มน้อยเดินผ่านท่าอาบน้ำที่ตนเฝ้าอยู่ เขาเลยตัดสินใจรีบเดินติดตามมา ช่วยพูดตามแผนที่ได้เตรียมไว้ และดูเหมือนโชคชะตาจะกลับมาเข้าข้างทุรพลเช่นพวกตนบ้าง เมื่อกลินท์พยักหน้าไล่ส่งทุรพลทั้งสองให้กลับเรือนอย่างง่ายดาย หลังเพ่งมองใบหน้าพิรัลนลินนิ่งนานจนทุรพลทั้งสองนึกหวั่น


“เจ้าจงระมัดระวังตัวให้มากขึ้น หากคราหน้าหาใช่ข้า เจ้าจักเดือดร้อน” เสียงที่เพิ่งเริ่มทุ้มตามช่วงวัยกล่าวไล่หลัง ทำให้พิรัลนลินนิ่งงัน ทุรพลหันกลับไปมองอุตมางค์น้อยอีกครา สองสายตาสบกันนิ่งนาน


“จ้ะ ข้าจักระวัง ทว่าข้านั้นโง่งมนัก หากพลั้งเผลอพลาดผิดประการใด ขอท่านกลินท์กรุณาข้าด้วยนะจ๊ะ” ไกรสรสีหะน้อยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเพียงกดใบหน้าลงหนึ่งครั้ง เป็นการแสดงท่าทางยอมรับคำแล้วเดินจากไป


“ท่านกลินท์เป็นลูกของราชสีห์พันแสงแลท่านรำไพ ท่านกลินท์เป็นลูกสุดท้องได้อยู่กับอกท่านรำไพนานพอดู อาจเพราะใกล้ชิดแม่มากกระมัง ถึงเข้าอกเข้าใจทุรพลเช่นเรามากกว่าตนอื่น” เมื่อเห็นว่าพ้นเขตการได้ยิน มะลุลีก็รีบกระซิบบอก


“ลางที หนทางแห่งการหลุดพ้นของพวกเรา คงราบรื่นมากกว่าที่หวังกระมัง” พิรัลนลินยิ้มบางเบา ขอให้สัญชาตญาณของเขาแม่นยำด้วยเถิด




“เหตุใดต่อเงินต่อทองของเจ้าพิรัลยังมิออกมา” อาคิราบ่นสบถกับตนเองงึมงำ สีหราชหนุ่มรู้สึกร้อนรุ่มในอกจนแทบกระอักออกมาผลาญพนาให้มอดไหม้เป็นจุณ เพลานี้อุตมางค์หนุ่มทั้งห่วง ทั้งหวง ‘นกต่อ’ ของเขา จนไม่อาจนิ่งเฉยได้ เมื่อยามนี้พิรัลนลินควรส่งสัญญาณกลับออกมาจากภายในถ้ำแห่งนั้นได้แล้ว กลับยังไร้วี่แวว

...ไวเถิดเจ้าพิรัล อย่ารังแกใจพี่ให้มากนักเลย


“ข้ารู้ว่าท่านห่วงใยเจ้าสิงห์น้อยปานใด เฮ้อ ...อาคิราเจ้าพิรัลนั้นไหวพริบดีมิน้อย แลท่านนิลปารัชญ์ทำนายไว้แล้วว่าพวกเราจักสำเร็จลุล่วงด้วยดี จงสงบจิตสงบใจลงเสียเถิด” ธีมารวีตบบ่าแกร่งของน้องชายหนักๆ ความห่วงหาในผู้เป็นที่รักยามห่างไกล ซ้ำยังตกอยู่ในสถานที่เสี่ยงอันตรายรู้สึกเช่นไร นางที่มอบใจรักให้แก่ศศินไปแล้วเช่นกันย่อมเข้าใจอาคิราดีที่สุด


“หากวันพรุ่งเจ้าพิรัลยังมิส่งสัญญาณใดออกมา ข้าจักทำทุกวิถีทางเพื่อบุกเข้าไป” แม้เสียงทุ้มยามกล่าวออกมานั้นฟังดูสงบราบเรียบ แต่ธีมารวีรู้ดีว่าภายในของราชสีห์หนุ่มผู้นี้กำลังร้อนรุ่มมากเพียงใด
 

แต่เมื่อคราต้องทำหน้าที่ความรู้สึกอื่นใดที่จะมีผลต่อสมาธิและสติยามพุ่งรบเข้าฟาดฟันศัตรู ผู้เป็นนักรบย่อมต้องตัดให้ขาด หรืออย่างน้อยควรเก็บกดมันไว้ให้ลึกสุดหยั่งเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่นางทำมาเสมอเพื่อจะได้พาตัวเองกลับไปหาศศินที่รอคอยนางอยู่ ...นางสิงห์ถอนหายใจหนัก หวังว่าน้องชายผู้ครองความสงบนิ่งมาเนิ่นนานจักไม่ตกม้าตายยามนี้




                    เพลานี้ดวงตะวันพ้นขอบฟ้าจนเต็มดวง แสงสว่างอุ่นร้อนฉายส่องทั่วถ้วนพสุธาไม่อาจสร้างหยาดเหงื่อได้อีก เมื่อมีสายลมเย็นเยือกพัดกรูเกรียวส่งสัญญาณให้เหล่าสิงห์ที่ยังไม่มีตบะญาณแก่กล้าตระเตรียมผ้าห่มไว้คลุมกายรับเหมันต์ฤดู


“ใกล้เข้าเหมันต์เช่นนี้ ยามตระเวนรอบดึกอากาศเย็นนัก ข้าเลยเตรียมนี่ไว้ให้พวกเอ็ง” สิงห์วัยฉกรรจ์ป้องปากกระซิบเพื่อน กันพวกสอดรู้


“เหวย เอ็งมันหาเรื่องนัก ประเดี๋ยวจักโดนทัณฑ์กันทั้งหมดทั้งสิ้น”


“หาได้ดื่มกินเสียเมามาย เพียงคนละนิดละหน่อยพอเป็นกระสายให้คลายหนาวเท่านั้น แบ่งวนจนครบหมู่จักมากมายได้เช่นไร รึเอ็งจักมิร่วมด้วย ข้าหาได้โกรธเคืองนา ลาภปากข้าเสียมิว่า”


“หากมิถึงขั้นเมามายข้ามิเกี่ยงดอก ยามค่ำมันเย็นเนื้อเย็นหนังดังเอ็งว่า”


“ฮะๆ นั่นปะไร เอ้า ซ่อนไว้ใต้ถุนนี่แล พวกทุรพลมันมิเข้ามายุ่มย่ามนัก ไปๆ ประเดี๋ยวท่านกลินท์มาพบเข้า”


เป็นโชคของทุรพลอีกครั้ง เมื่อพิรัลนลินบังเอิญได้ยินเสียงคล้ายกระซิบกระซาบเข้าพอดี เจ้าสิงห์น้อยได้ทีแนบหูลงกับช่องว่างพื้นเรือน เพื่อให้ได้ยินหัวข้อสนทนานั้นได้ชัดเจน ปากมีหูประตูมีช่อง ร่องเรือนก็เช่นกัน ริมฝีปากอิ่มยิ้มกริ่มกับบทสนทนาที่ได้ยิน ...ดี ค่ำคืนนี้พวกข้าจักได้หลบหนีสะดวกขึ้น แลได้แก้แค้นพวกเจ้าที่ใช้วิธีสกปรกต่อชุมท่านกัญจน์เสียในคราวเดียว


“เจ้าพิรัล ทำอันใดนั่น! แม้จักมีเพียงทุรพลด้วยกัน ก็จงระวังกิริยาให้อยู่ในความสำรวมสักนิดเถิด” มะลุลีหยุดมองมิตรใหม่ นอนคุดคู้แนบใบหน้าลงพื้นเรือนจนก้นโด่ง ทุรพลผู้ได้รับการอบรมกิริยามาอย่างเคร่งครัด อดออกปากตำหนิเสียไม่ได้


“ข้ากำลังหาวิถีทางให้พวกเราไปยังที่หลบซ่อนได้สะดวกอย่างไรเล่า”


“ด้วยการนอนท่าทางประหลาดเยี่ยงนี้รึ”


“หาใช่ไม่ มานี้ๆ มะลุลี เจ้าลงไปเบื้องล่างกับข้าสักประเดี๋ยวเถิด” พิรัลนลินรู้สึกราวกับได้กลับไปเป็นลูกสิงห์อีกครา สิงห์น้อยรีบกลับไปยังเรือนนอนประจำตัว นำผ้านุ่งผืนเก่าของตนออกมาคลี่ขอบชายพกที่ตนพับทบไว้ออก ปรากฏห่อสมุนไพรเล็กๆ สามสี่ห่อแอบซ่อนไว้ ทุรพลหนุ่มเลือกหยิบมาหนึ่งห่อ ภายในห่อผ้านี้เป็นผลจากความดื้อดึงของพิรัลนลิน ทุรพลน้อยไม่ยอมละทิ้งมัน เพราะพิรัลยังคงตั้งมั่นในปณิธานตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ว่าจะ 'ไม่คิดงอมืองอเท้าให้โดนเอาเปรียบ ไม่รอคอยโชคชะตาให้ผู้ได้เวทนามาปกป้อง'


พิรัลนลินระลึกเสมอว่าตนจะต้องปกป้องตัวเองให้ได้แม้เพียงน้อยนิด ด้วยการแอบศึกษาพืชพิษนานับชนิดพร้อมๆ กับการศึกษาคุณประโยชน์ในการรักษา เพื่อพลิกใช้มันเป็นอาวุธ แม้การกระทำเช่นนี้เสี่ยงต่อการถูกลงโทษ และอาจถึงขั้นโดนรังเกียจหากความลับนี้ถูกเผยออกมาก็ตาม


ดังเช่นผงลูกดาราพรายในห่อผ้าบนมือพิรัลนลินห่อนี้ พืชชนิดนี้มีคุณนับอนันต์ ไม่ว่าจะเป็นราก แก่น ใบ ดอก หรือผล ทว่าในประโยชน์อันมากมี กลับซ่อนโทษร้ายแรงเอาไว้ คือเนื้อในเมล็ดดาราพรายนั้น หากผู้ใดเผลอกินเข้าไปเพียงน้อยนิด ผู้นั้นจักมีอาการวิงเวียนศีรษะ ตกอยู่ในห่วงอารมณ์เคลิ้มฝัน พูดจาไม่รู้ความราวกับกำลังมึนเมาสุรา ไปจนทำให้ถึงแก่ความตาย หากใช้ในปริมาณมากขึ้น


เมื่อได้ของที่ต้องการแล้ว ทุรพลน้อยไม่รอช้า มือข้างหนึ่งคว้าหยิบตะกร้าสานติดมือ ส่วนอีกข้างก็จับจูงข้อมือมะลุลี ที่ยังคงยืนงุนงงให้เดินตาม พลางกระซิบกระซาบนัดแนะแผนการที่ตนคิดได้ไปด้วย


“ข้าจักวางยามึนพวกตระเวนเรือนในคืนนี้ ข้าได้ยินว่าพวกมันจักแอบมาดื่มสุราที่นี่ เจ้าดูต้นทางที หากมีผู้ใดใกล้เข้ามา ให้ทำทีว่าเราลงมาเด็ดดอกมะลิเสีย”


“ได้ แต่อย่าชักช้าหนาเจ้าพิรัล ข้ากลัวถูกจับได้จนมือไม้สั่นไปเสียหมด” มะลุลีพยักหน้ารับ แม้จะต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยใบหน้าซีดขาวก็ตาม


“ตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ มะลุลี ข้าจักรีบทำโดยไว”


พิรัลนลินอ้อมเข้าไปยังใต้ถุนเรือน กวาดตามองรอบๆ จนพบเข้ากับไหสุราใบย่อมถูกวางแอบไว้ใกล้เสาเรือนต้นหนึ่งข้างพุ่มแก้ว ทุรพลน้อยค่อยๆ แกะเชือกเพื่อเปิดผ้าปิดปากไหออกมา พาให้กลิ่นสุราลอยฟุ้งจนเจ้าตัวเบ้หน้า สิงห์น้อยค่อยๆ นำห่อผงดาราพรายออกมาจากชายพก ระวังระไวจนถึงกับกลั้นหายใจ เพื่อให้น้ำหนักมือแม่นยำ ด้วยพิรัลนลินเพียงต้องการให้ผู้ดื่มมึนเบลอช่วงครู่ พอให้พวกเขาหนีไปยังที่หลบภัยได้โดยสะดวกเท่านั้น มิได้ต้องการให้ถึงแก่ความตายแต่อย่างใด เพราะเขาได้สลักคำสัตย์เมื่อวันวานไว้ด้วยหัวใจเอาไว้ ทุรพลน้อยจึงไม่คิดบิดพลิ้วแม้เพียงนิด ไม่อยากก่อบาป และ ไม่ต้องการเห็นความผิดหวังในดวงตาของอาคิราที่มีต่อตนอีกเป็นครั้งที่สอง




                    อาทิตย์ยอแสงเตรียมจมลงพื้นธรณีใกล้เข้าสู่ราตรีกาล เดิมเป็นช่วงเวลาที่เคยทำให้ทุรพลทุกตนอกสั่นขวัญแขวนไม่เว้นวันคืน เฝ้าสวดภาวนาให้ผู้ที่จับตนมาไม่นึกอยากเรียกร้องหาตนใดตนหนึ่งไปบำรุงบำเรอกามารมณ์ ให้ต้องอกตรมข่มขื่นทั้งกายใจ ใรเพลานี้กลับต่างออกไป เหล่าทุรพลทั้งหกนั่งรวมกลุ่มกันด้วยความลุ้นระทึก รอคอยการมาถึงของดวงดาราและความมืดมิดด้วยใจจดจ่อ ต่างเตรียมพร้อมตัวเองด้วยการผลัดเปลี่ยนจากผ้านุ่งยาวพลิ้ว เป็นโจงกระเบนและผ้าคลุมตัวสีทึบทึม ทั้งยังช่วยกันหยิบหาผ้าผ่อนมาผูกต่อกันคล้ายเชือกเส้นใหญ่ไว้เตรียมพร้อมตั้งแต่ช่วงบ่ายของวัน


พลันเมื่อดวงจันทร์เสี้ยวขึ้นถึงกลางหัว เสียงกลุ่มฝีเท้าแผ่วเบาผสานเสียงซุบซิบดังขึ้นบริเวณใต้ถุนเรือน กลุ่มทุรพลผู้รอคอยหันมองหน้ากันด้วยดวงตาอันเป็นประกาย พากันยกยิ้มกริ่มเงี่ยหูคอยฟังเสียงความเป็นไปอย่างตื่นตัว ความหวังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เพียงแค่รอคอย ให้สุราสูตรพิเศษของพิรัลนลินออกฤทธิ์


“ไปกัน” รอเพียงครึ่งก้านธูป พิรัลนลินอาสาย่องลงไปดูลาดเลาด้านล่างก็เดินลิ่วกลับมา นั่นหมายถึงเหล่าสิงห์ตระเวนยามผู้โชคร้าย ได้เข้าสู้ห้วงมายาไปเป็นที่เรียบร้อย วาริน ทุรพลบัณฑูรสีหะไม่รอช้า เร่งผูกชายผ้าที่ช่วยกันต่อไว้เข้ากับเสาเรือนแน่นหนา ทิ้งชายผ้าอีกฝั่งลงจากหน้าต่างเรือนลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง แล้วอาสาโหนตัวลงไปยังด้านล่างก่อน เพื่อรอรับทุรพลตนที่เหลือ


“แม่จำปา แลท่านรำไพ ไหวฤๅไม่จ้ะ”


“ไหวเช่นไรก็ไหว เจ้าอย่าได้กังวลไปเจ้าพิรัล ในท้องข้าคืออุตมางค์เขาจักคุ้มครองแม่ของเขามิให้เป็นอันตราย”


“ข้าเองนั้นมิได้แก่ชราถึงเพียงนั้น เทียบกับที่ข้ารอคอย หนทางเพียงเท่านี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรงดอก”


แม้จะทุลักทุเลด้วยต่างไม่เคยกระทำการอันผาดโผนใดๆ มาก่อน แต่หัวจิตหัวใจมีความกระสันอยากเป็นอิสรภาพจากบ่วงพันธนาการอันขื่นขม ทำให้ทุรพลทุกตนกัดฟันพาตัวเองโรยตัวสู่พื้นดินด้านล่างได้สำเร็จ โดยมีพิรัลนลินคอยปิดท้าย


เมื่อผ่านปราการแรกได้ครบทุกตนแล้ว สิงห์น้อยผู้รับบทบาทหัวหน้าคณะก็ไม่ลืมใช้ง่ามไม้ยาวเกี่ยวชายผ้าที่ตนใช้เป็นเครื่องมือช่วยหลบนี้กลับเข้าไปในเรือน เพื่อกลบล่องลอยให้มั่นใจ ว่าตนจักพาพวกพ้องหนีไปยังที่หลบภัยได้ก่อนถูกพบเจอ เมื่อเรียบร้อยสิงห์ร่างบอบบางทุกตนจึงย่องเดินอย่างเงียบเชียบตามพิรัลนลินไปติดๆ ด้วยความระแวงระวัง จนเกือบลืมหายใจ แม้พวกเขาจะกำจัดสิงห์ตระเวนยามไปได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะราบรื่น เมื่อภายในถ้ำแห่งนี้ยังมีสิงห์อีกหลายตน ที่ล้วนแล้วแต่ไม่คิดเอื้ออาทรต่อพวกตนทั้งสิ้น


ขณะออกเดินเท้าเยื้องย่างไปด้านหน้า มือของทุรพลน้อยกลับจรดลงบนชายพกล้วงหยิบตลับใส่สีผึ้งขึ้นมาเปิดออก ภายในปรากฏเป็นตัวต่อสีเงินและสีทองคู่หนึ่งที่ท่านเขมอารัณย์ส่งมอบให้ไว้ก่อนจากมา


“เจ้าพิรัล ต่อเงินต่อทองคู่นี้มีเส้นใยโยงเชื่อมต่อกัน ยามถึงที่หมายเจ้าจงนำตัวหนึ่งขึ้นมากำหนดจิตถึงผู้ที่จักส่งมันไปถึง แลอีกตัวนั้นจงเก็บไว้ข้างกาย เส้นใยแห่งต่อคู่นี้จักนำพาอาคิรามาพบเจ้า เข้าใจถ่องแท้ดีฤๅไม่”


“จ้ะ“


“ประเสริฐนัก จงใช้งานให้สมกับที่ข้าจำต้องเสียสละน้ำโสม แลลดตัวออกแรงร้องลำนำขับกล่อมแก่พวกวิทยาธรเสียหลายราตรี หมดกำลังไปมากโขเสียด้วยเล่า”


“ขอบพระคุณจ้ะ ขอบพระคุณที่ท่านเขมอารัณย์ยอมช่วยเหลือพวกเรา”


“เฮ้อ เช่นไรข้าก็เปรียบดั่งเกลอของราชสีห์ทั้งสี่ ซ้ำเมื่อมารับรู้ความชั่วของพันแสงเช่นนี้แล้วผู้ใดจักดูดายลงเล่า ครั้นจักออกหน้าช่วยพวกเจ้ารบ ข้ามิสามารถล้ำเส้นถึงกระนั้นได้ จึ่งช่วยพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้ อย่างไรข้าขออวยพรหนา”


“จ้ะ ท่านเขมอารัณย์อย่าได้กังวล ข้าจักกระทำอย่างรอบคอบ มิยอมให้เกิดข้อผิดพลาดเป็นแน่”

...เพราะพวกเขาสูญเสียมามากมายเกินกว่าจะยอมล้มเหลว


พิรัลนลินหยิบตัวต่อทองขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ ตั้งจิตอธิษฐานไปถึงราชสีห์อาคิราผู้ที่คงรอคอยอยู่ด้านนอก พลันต่อทองสลักขยับขาไปมาคล้ายมีชีวิต สีทองอันโดดเด่นแปลงเปลี่ยนเป็นสีดำตามแบบตัวต่อในธรรมชาติ แมลงตัวจิ๋วขยับปีกเล็กๆ กระพือสองสามครั้งยืดเส้นสาย ก่อนโผบินสู่ท้องนภามุ่งตรงไปยังทิศทางด้านนอกถ้ำทันที พิรัลนลินมองตามตัวต่อไปจนสุดสายตา เมื่อหันกลับมามองทางข้างหน้า ทุรพลน้อยถึงกับสะดุ้งตกใจ รู้สึกชาวาบไปทั้งสรรพางค์กาย เมื่อรู้สึกว่าตนได้มองสบกับอุตมางค์รุ่นหนุ่ม กำลังยืนมือไพล่หลังมองตรงมาจากบนเรือนอีกฝั่งถ้ำ!


สองสายตาสบมองอุตมางค์รุ่นตนนั้นนิ่งนานผ่านม่านความมืด ไม่กล้าจะขยับก้าวต่อ ด้วยกลัวว่าความเคลื่อนไหวเพียงน้อยของตนจะทำให้กลินท์ขยับตาม จนพานให้เหล่าทุรพลผู้ติดตามด้านหลังหยุดชะงักไปด้วย พิรัลนลินกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อน ในใจกู่ร้องขอความเมตตาต่อทวยเทพ ให้สิงห์หนุ่มน้อยตนนั้นกำลังทอดสายตาไปไกลเกินกว่าจะสังเกตเห็นเงาร่างของพวกตน


“กลินท์ลูก” นางสิงห์รำไพครวญเสียงแผ่ว


อุตมางค์น้อยตนนั้นคล้ายถอนหายใจหนักพร้อมกับนัยน์ตาคมหลับนิ่งราวอึดใจ เจ้าตัวจึงหันกายกลับเข้าสู่เรือนด้านในไป พาให้ทุรพลทั้งหกถึงกับพรูลมหายใจออกมาหอบใหญ่


“ขอบพระคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดา วิญญาณบรรพบุรุษที่ช่วยบังตา“ ลำดวน นางสิงห์เชื้อสายบัณฑูรสีหะ ยกมือประนมท่วมหัวกระซิบฝากคำขอบคุณไปกับลมฟ้า แต่พิรัลนลินกลับรู้สึกแคลงใจเป็นล้นพ้น เมื่อสิงห์น้อยหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ยามตนมีโอกาสเจอะเจอมฤคินทร์น้อยตนนั้นทั้งยามไปเก็บใบสาบเสือ และเมื่อครั้งท่าน้ำ...

แน่ฤๅ ที่ท่านกลินท์จักมิเห็นพวกเรา สายตาของราชสีห์ฤๅจักพ่ายแพ้ต่อรัตติกาล มิเห็นฤๅทำเป็นมิเห็นกันแน่หนา...


ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เมื่อเหล่าทุรพลยังปลอดภัย พิรัลนลินไม่อาจรั้งรอ ติณสีหะผู้นำกลุ่มรีบจ้ำพาพวกพ้องลัดเลาะแฝงตัวผ่านความอันธการยามราตรีมุ่งสู่ที่หมายโดยเร็ว ด้วยกลัวว่าความโชคดีที่ได้รับมานั้นจะไม่คอยท่าอยู่ช้านาน...






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



สิงหา...ถึงนักอ่าน

พี่อาคิราของเราค่าตัวแพงอีกแล้วนะคะสำหรับบทนี้...

และเช่นเคย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ











หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๒ แผนการ {๐๕/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 05-10-2019 21:37:01
 :m31: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๒ แผนการ {๐๕/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-10-2019 22:20:32
จะถูกพบไหมนะ รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๒ แผนการ {๐๕/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 05-10-2019 22:23:25
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๒ แผนการ {๐๕/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-10-2019 09:45:01
พี่อาคิราเขาหวงน้องจนอกจะแตกแล้ว
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 06-10-2019 21:09:23
บทที่ ๑๓
สุดเอื้อมมือคว้า







                    ใกล้รุ่งแล้วอาคิรายังคงข่มตาหลับไม่ลง ราชสีห์หนุ่มแม้จะเก็บอาการภายนอกไว้มิดชิดด้วยหน้ากากแห่งความนิ่งเฉย แต่ตัวเขาเองนั้นรู้ดี ว่าภายในอกนั้นร้อนรุ่มกระสับกระส่ายด้วยความห่วงเจ้าพิรัลมากเพียงใด แม้สายใยบางเบาของเขาและสิงห์น้อยที่แอบสร้างขึ้นยังไม่ร้องเตือนถึงอันตรายที่ทุรพลตนนั้นได้รับ ทว่าอาคิราก็ยังคงกลัว เป็นความกลัวไม่กี่ครั้งในชีวิตของมฤเคนทร์หนุ่ม...


อาคิรากังวลเหลือเกินว่าหากพิรัลเกิดอันตรายขึ้นมายามนี้ แล้วเขาจักช่วยน้องได้เช่นไร ในเมื่อพิรัลอยู่ในที่อันตรายซ้ำยังไกลเกินหูเกินตา ไกลจนสุดเอื้อมมือคว้าของเขาเช่นนี้


อาคิราหลับตาลง พลางกำหนดลมหายใจเข้าออกลึกยาวอันเป็นการเข้าสู่สมาธิ ทำการสะกดอารมณ์ตัวเองมิให้ผลุนผลันจนเสียการ กระทั่งบริเวณฝ่ามือถูกกระทบเข้ากับบางสิ่งแผ่วเบาหลายครั้ง อุตมางค์หนุ่มจำต้องออกจากฌานเพื่อเพ่งมองสิ่งที่เข้ามารบกวน ครรลองสายตาปรากฏต่อตัวหนึ่งกำลังบินวนชนเข้ากับมือใหญ่ของตนซ้ำๆ อย่างผิดธรรมชาติ จนราชสีห์หนุ่มเผยยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกลิงโลด ‘ตัวต่อของเจ้าพิรัล’ เมื่อคิดได้ฝ่ามือกว้างจึงแบบออกรับแมลงพิษเข้ามาสู่อุ้งมือ แล้วรุกขึ้นเพื่อประกาศเคลื่อนทัพโดยไว


“เหล่าพี่น้องสิงห์ทั้งหลาย ข้าได้รับสัญญาณจากเจ้าพิรัลแล้ว ทุกตนจงเตรียมตัว พวกเราจักบุกถ้ำพันแสงแลกำราบมันเสียให้สิ้นไป! ”


“โฮกกก” เสียงราชสีห์ทั้งกองทัพพร้อมใจส่งเสียงร้องคำรามลั่นด้วยความฮึกเหิม พร้อมใจมุ่งหน้าต่อสู้เพื่อชิงตัวผู้เป็นที่รัก และแก้แค้นให้แก่ผู้ที่สูญเสียไปอย่างเต็มกำลัง


ด้วยเพราะกองกำลังแอบซุ่มรออยู่ไม่ไกลจากคูหาที่หมายนัก เมื่อแสงแรกสาดส่องไล่หลัง กองทัพสิงห์นำโดยราชสีห์ธีมารวีก็เข้าถึงปากคูหาพันแสงราชสีห์ โดยมีต่อตัวน้อยบินนำพากองทัพแห่งผู้สูญเสียเดินทางเข้าสู่โถงถ้ำอย่างง่ายดาย เมื่อประตูมนตราถูกเจาะทำลายด้วยเส้นใยเชื่อมต่อนำทางจากด้านในคูหา


“โฮก! ” ธีมารวีผู้นำทัพเปล่งเสียงคำราม ประกาศตัวบ่งบอกการมาถึงของตนทันทีที่เท้าเหยียบย่างเข้ามายังเขตด้านในได้สำเร็จ แม้อีกฝั่งจะกระทำการลอบกัดสกปรกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ราชสีห์สาวไม่คิดลดตัวลงต่ำกระทำตนเช่นนั้นตามไปให้เสียเกียรติ


เสียงคำรามก้องคูหาแก้ว และการสลายตัวของประตูมนต์ทำให้เหล่าสิงห์ที่อาศัยอยู่ด้านในสะดุ้งกลัว นางสิงห์และสิงห์วัยเยาว์พากันวิ่งวุ่นเพื่อหลบภัย ส่วนสิงห์เพศผู้วันฉกรรจ์ต่างปลุกสัญชาตญาณแห่งนักล่าเพื่อเตรียมพร้อม แม้หวั่นเกรงในอำนาจแห่งอุตมางค์เจ้าของเสียง หากครอบครัวของพวกตนนั้นสำคัญยิ่งว่า จึงพากันพุ่งทะยานไปยังต้นเสียงเร็วรี่


“ท่านกลินท์ พวกข้าได้ยินเสียงคำราม มีผู้บุกรุกรึท่าน” เหล่าสิงห์หนุ่มร้องถามกับผู้ทำหน้าที่ตรวจตราคูหาเสียงตื่น


“ถูกแล้ว เกรงว่าพวกเขาจักมาทวงผู้เป็นที่รักกลับคืน พวกเจ้าจงอยู่เฉยสักพักเถิด จักได้มิต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เห็นแก่ที่พวกเราทำบาปทำกรรมแก่พวกเขาไว้มาก” อุตมางค์น้อยก้าวออกมาดักหน้าสามัญสิงห์ทั้งกลุ่ม เอ่ยบอกเสียงเรียบ พร้อมด้วยอุตมางค์รุ่นกระทงอีกสามตนด้านหลัง ที่ต่างยืนปักหลักนิ่งเรียงหน้ากระดานคล้ายกำแพงกางกั้นสามัญสิงห์เอาไว้ แม้สิงห์น้อยทั้งสี่ตนยังไม่โตเต็มที่แต่วรรณะอุตมางค์ เช่นไรสามัญสิงห์ก็มิอาจหาญกล้าต่อต้าน


“เจ้ากลินท์ เจ้ากล่าวสิ่งใดออกมา! พวกเจ้าเช่นกัน ทำเช่นนี้มิได้หมายถึง พวกเจ้าทรยศต่อท่านพ่อรึ” ผู้เป็นพี่ร้องถามเหล่าน้องของตนด้วยความไม่พอใจ เมื่อภาสกรที่กำลังมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุเช่นกัน ผ่านมาพบเข้าพอดี


“ท่านพี่ ผู้กตัญญูต่อพ่อท่านนั้นมากมาย น้องขอเป็นผู้กตัญญูต่อแม่ท่านเถิด เหล่าทุรพลแลท่านแม่ทุกข์ทนมาแสนนาน พ่อแม่พี่น้องพวกเขาถูกประหัตประหาร ต่างหวาดกลัวมิแพ้พวกเราในครานี้ ท่านพ่อสมควรหยุดเสียที”


“ท่านอาโปรดเห็นใจพวกหลานที่ต้องมองแม่ปลิดชีพตายจากไปต่อหน้าเช่นพวกข้าด้วยเถิด” อุตมางค์อีกสามตนกล่าวอ้อนวอนกันพร้อมเพรียง พวกเขาเหล่านี้เป็นลูกของวิวัสวาน ที่เฝ้ามองผู้เป็นแม่จมน้ำตาทุกเมื่อเชื่อวันจนตายจาก ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นก็เห็นพวกตนเป็นเพียงเครื่องมือสร้างอำนาจแก่ท่านปู่เท่านั้น


ซ้ำยังต้องทนมองวรรณะทุรพลเช่นเดียวกับแม่ของพวกตนโดนกระทำซ้ำรอยมาเนิ่นนานเกินทนไหว ยุวอุตมางค์จึงรวมกลุ่มกันเพื่อรอวันได้ปลดปล่อยทุรพลเหล่านี้มาเนิ่นนาน


ในคราแรกพวกเขาคิดว่าต้องกักเก็บความคิดนี้ไว้จนกว่าจะเติบใหญ่ ไม่คิดว่าหนทางแห่งความหวังจะมาถึงเร็วเพียงนี้ เมื่อเห็นช่องทาง อุตมางค์น้อยทั้งสี่คิดไม่รีรอยื่นมือเข้ามาช่วยแม้แต่น้อย


“...ข้าเข้าใจพวกเจ้า พ่อพันแสงแลพี่วิวัสวานมิยอมหยุดยั้ง ส่วนข้านั้นได้รับความเมตตาจากท่านทั้งสองมิน้อย จึงมิอาจทนเห็นพวกท่านต่อสู้เพียงลำพังได้ เช่นนั้นผู้ใดเห็นควรจำยอมก็จงอยู่กับเจ้ากลินท์ ส่วนผู้ใดยึดมั่นต่อท่านพันแสง จงตามข้ามา แต่จงจำไว้ หากสิ้นศึกนี้เราชำนะ ข้าจักมิเว้นหัวผู้ที่ดูดายไว้แม้แต่ผู้เดียว รวมถึงเจ้าด้วยกลินท์” ภาสกรเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับน้องชายร่วมอุทรที่สูงเพียงช่วงอกของตน ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความภาคภูมิใจในตัวอุตมางค์น้อยเหลือเกิน มือหยาบจากการกรำศึกวางมั่นบนไหล่น้อง ตาดุคมสบมองแน่วนิ่ง ก่อนโน้มตัวกระซิบแผ่วให้ได้ยินเพียงสอง แล้วบ่ายหน้าออกไปรอเผชิญกับผู้บุกรุกด้วยท่าทีองอาจ เพื่อเข้าไปสมทบกับผู้เป็นพ่อ และพี่ชายอีกตนด้านหน้าเรือน


“หากพี่พ่ายแพ้ พี่ฝากเจ้าจำปาแลหลานในท้องของนางด้วยหนาเจ้ากลินท์”




                    ด้านหน้าเรือนใหญ่บริเวณกลางโถงถ้ำ สองกองกำลังเผชิญหน้ากันส่งความรู้สึกกดดันลอยฟุ้งจนสิงห์ตัวเล็กตัวน้อยสะท้านกลัวหลบเร้นซ่อนกายจนตัวสั่น


“หลานกลับมาเยี่ยมเยือนท่านอา หวังว่าจักมิเอิกเกริกจนทำให้ท่านอาตกอกตกใจจนเกินไปนัก” ธีมารวีทักทายเจ้าของคูหาผู้มีศักดิ์เป็นอาของตนด้วยรอยยิ้มบางเบา ไร้การประณตไหว้อย่างที่ควรเป็น


“ธีมารวีเจ้ากล้าดีเช่นไร ถึงได้บุกรุกคูหาแห่งข้าเยี่ยงนี้ เช่นนี้มิหมายถึงเจ้าหยามเกียรติอารึ” ท่าทีของนางสิงห์สาวนั้นแสดงออกชัดเจน จนไม่ต้องเสแสร้งพูดดีให้เสียเวลา


“ขอสมาเถิดท่านอา ข้าเพียงกระทำดั่งที่ท่านอากระทำมาตลอด เพลานี้ข้าแลพวกพ้องร้อนใจ เนื่องจากต้องการรับลูกหลานกลับคืน จนลืมเลือนเรื่องมารยาทเสียสิ้น ท่านอาโปรดเห็นใจพวกข้าด้วยเถิด”


“พวกมึงอย่าได้ยืนโง่งม ขับไล่พวกมันไปเสีย” วิวัสวานหันสั่งลูกน้องเสียกร้าว แต่กลับต้องขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่อสามัญสิงห์ที่ควรมีมากมายบัดนี้ในทัพกลับเหลือเพียงหยิบมือเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่อุตมางค์รุ่นเยาว์อย่างน้องคนละแม่และลูกทั้งสามของตนล้วนหายหน้ากันไปหมด


“เกิดเหตุใดขึ้น ลูกข้าหลานข้าแลเพื่อนพ้องพวกมึงหายไปที่ใด”


“พวกมันต่างยอมศิโรราบเสียสิ้นแล้ว เหลือเพียงเท่านี้ พ่อท่าน ข้าขออาสาขับไล่พวกมันเองขอรับ” ภาสกรตอบพี่ชาย และขอเป็นผู้อาสาจากพ่อ


“พ่อฝากเจ้าด้วย”


ภาสกรพากลุ่มสิงห์ที่เหลือเดินมาประจันหน้าผู้บุกรุกอย่างไม่ยำเกรง พาให้วิวัสวานที่คิดชิงดีกับภาสกรอยู่เนืองๆ ไม่รอช้าแปลงมือทั้งสองกลับเป็นอุ้งมือสิงห์ กระโดดลงเข้าร่วมวงปะทะด้วยทันที ภาสกรประจันหน้าเข้ากับกัญจน์ราชสีห์ซึ่งคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว ส่วนธีมารวีนั้นปักหลักรอเข้ารับการโจมตีจากวิวัสวาน โดยมีนิลปารัชญ์และอาคิรารอคุมเชิงอยู่ด้านหลังไม่ห่าง ทั้งยังมีอุตมางค์จากชุมอื่นอีกสามตนคอยตั้งท่าสกัดมิให้ฝ่ายพันแสงเข้าไปทำร้ายทัพหลังของตนได้


บรรดาสิงห์หนุ่มผู้บุกรุกนั้น ได้รับการฝึกฝนจากราชสีห์ผู้มากฝีมือทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง มิได้เป็นสิงห์ชาวบ้านอ่อนหัดยอมให้ผู้ใดมาขยี้ลงได้โดยง่ายเช่นในวันวาน ผนวกกับแต่ละตัวล้วนถูกขับเคลื่อนผลักดันด้วยไฟแห่งความแค้นและโทสะ การห้ำหั่นจึงเต็มไปด้วยความรุนแรง ถาโถมจนกองทัพสิงห์แห่งพันแสงส่อแววเพลี่ยงพล้ำ ถอยร่นในเวลาไม่ช้านาน


“หยุด! พวกเจ้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ มิคิดฤๅว่าข้าจักมิยอมปล่อยให้ตัวเสนียดอย่างทุรพลที่พวกเจ้ามาขอคืนได้มีลมหายใจอยู่อีก ในเมื่อมันเป็นต้นเหตุให้เรือนของข้าลุกเป็นไฟเช่นนี้! ” เมื่อเห็นท่าไม่ดี พันแสงจึงส่งเสียงคำรามกัมปนาทจนสะท้อนทั่วโถงถ้ำ พาให้สิงห์ที่กำลังโรมรันพันตูพากันชะงักงัน


“มึงไปลากไอ้อีทุรพลมาจากเรือนบัดเดี๋ยวนี้”


“หาได้ไม่ขอรับท่านพันแสง สิงห์ตระเวนยามเข้ามาแจ้งว่า พวกมันหายไปกันหมดแล้วขอรับ”


“ระยำ! มันจักหนีหายไปที่ใดได้” พันแสงรู้สึกเหงื่อซึม ในใจราชสีห์ผู้ขลาดกลัวหวิวไหวจนแทบยืนไม่อยู่ ผิดกับบรรดาราชสีห์ฝั่งธีมารวี พวกเขานั้นต่างพรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก...ดีมากเจ้าพิรัล


“ท่านพันแสงดูเอาเถิด เหล่าสิงห์ของพวกเราล้วนบาดเจ็บ หากยังฝืนสู้กันบ้านเรือนมิแคล้วถูกทำลายจนหมดเป็นแน่ เช่นนั้นข้ามีขอเสนอ ท่านสนใจฤๅไม่เล่า” น้ำเสียงทุ้มเรียบราบ ร้องต่อรองดังขึ้นมาจากฝูงสิงห์ ทำให้วิวัสวานไม่พอใจ รู้สึกถูกหยามเกียรติเมื่อทั้งใจคิดเพียงว่าบิดาตนนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าสิงห์จักเอ่ยอ้าปากเช่นนี้ได้


“เจ้าเป็นผู้ใดไยบังอาจต่อรองกับพ่อข้า”


“ข้ารึ ข้าอาคิราบุตรแห่งราชสีห์พรมัน สิทธิ์ในการต่อรองย่อมมีเต็มขั้น”


“ท่านลุงพันแสง ข้าขอท้าชิงอำนาจที่ท่านปล้นจากท่านพ่อของข้าคืน ท่านจักให้เกียรติลงมาต่อสู้กับข้าให้สมศักดิ์ศรีอุตมางค์ ตามครรลองอันถูกต้องในชีวิตของท่านสักครั้งได้ฤๅไม่เล่า”  ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายก้าวเท้าแหวกเหล่าสิงห์ในกองทัพออกมายืนเบื้องหน้านั้น ทำให้พันแสงตัวแข็งค้าง...ไม่ผิดแน่ เมื่อสิงห์หนุ่มตนนี้ถอดผู้เป็นบิดามาแทบทุกกระเบียดนิ้ว


“ทะ ท่านอาคิรา บุตรของท่านพรมันยังมีชีวิตอยู่ ผู้มีสิทธิ์โดยชอบยังอยู่! ”


“เจ้า! ถ้ายังเห็นข้าเป็นพ่อจงหยุดต่อสู้บัดเดี๋ยวนี้” สิงห์มีอายุหลายตนเมื่อพบอาคิรา แววตาพลันเกิดปีติ ไม่กลัวตายวิ่งออกจากที่หลบภัยออกร้องสั่งลูกชายของตนให้สยบยอมเสียงลั่น ราวกับไม่นึกเห็นหัวพันแสงเสียแล้ว


วิวัสวานแม้พลาดพลั้งแก่ธีมารวีถึงขั้นได้เลือด ยังมีแรงกำลังหันฝ่ามือเข้าตะปบสิงห์เฒ่าตนนั้นจนล้มลงหายใจรวยรินด้วยความโมโห อนิจจาแทนที่จะทำให้สิงห์ในปกครองเกรงกลัว กลับยิ่งยั่วยุให้พวกมันกระด้างกระเดื่อง จนกลายเป็นการเพิ่มจำนวนสิงห์ที่ยอมจำนน จนแทบไม่มีตัวใดหยัดยืนข้างพันแสงอีก


“ได้” ราชสีห์พันแสงกวาดสายตาไปรอบกาย แล้วตัดสินใจยอมรับคำท้าอย่างไม่มีทางเลือกอื่น คำท้าชิงนั้นถือเป็นคำประกาศิต สิงห์ตนใดไม่ยอมรับย่อมหมายถึงสิงห์ตนนั้นไม่มีศักดิ์ศรีใดหลงเหลืออยู่ ทั้งอีกฝั่งยังมีจำนวนมากกว่าตนเป็นเท่าตัว พันแสงราชสีห์ไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้อีก แม้ในใจกำลังหวาดกลัวคำทำนายขึ้นมาครามครัน




การท้าสู้ชิงตำแหน่งตัวต่อตัวนั้น จตุราชสีห์ทุกตนล้วนถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เมื่อการต่อสู้ยังไม่รู้ผล ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว และเมื่อหลังจบการต่อสู้ ผลแพ้ชนะย่อมเป็นไปตามนั้นไม่มีบิดพลิ้วโต้แย้ง สิงห์ทั้งสองฝ่ายที่ยืนจังก้าเตรียมเข้าฟาดฟันต่างพากันแหวกทาง มายืนล้อมรอบราชสีห์ผู้ท้าชิงตำแหน่งทั้งสอง จนคล้ายลานประลองขนาดย่อม โดยมีนิลปารัชญ์ก้าวเข้ามากลางวงล้อมคั่นระหว่างราชสีห์ผู้ประลองทั้งสอง กาฬสีหะพึมพำคาถา แล้ววาดมือบนอากาศ เกิดเป็นผนังแก้วโปร่งใสล้อมสิงห์ทั้งสอง เพื่อป้องกันความเสียหายจากการต่อสู้ไว้อีกชั้น


เมื่อที่ทางพร้อมสรรพ พันแสงไม่รอช้ากลายกลับร่างราชสีห์เต็มตัว เช่นเดียวกับอาคิราที่คอยท่าอยู่ก่อน ทั้งสองยืนประจันหน้ากันด้วยร่างเดรัจฉาน รูปลักษณ์สูงใหญ่สง่างามอัดแน่นด้วยพลังอำนาจ เรือนขนทั่วกายขาวบริสุทธิ์ราวเปลือกหอยสังข์นั้น เปล่งประกายเจิดจ้าเทียมดวงสุริยาบนฟากฟ้า ตัดด้วยลายผ่านกลางกาย ริมฝีปาก เล็บ และปลายหางสีแดงราวกับทาด้วยครั่ง แผงคอหนาสลวยสีชาดเสริมให้ไกรสรสีหะทั้งสองตนยิ่งน่าเกรงขาม เสียงคำรามประสานกันจนโถงถ้ำสั่นสะเทือน ราชสีห์ทั้งสองต่างจ้องมองกันเพื่อข่มขวัญ ก่อนต่างฝ่ายจะวิ่งโหนกระโจนเข้าปะทะ โรมรันด้วยกรงเล็บและคมเขี้ยว สิงห์ทั้งสองผลัดสลับหาจังหวะเพื่อใช้เล็บแหลมคมตบอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร


กระทั่งแรงโน้มถ่วงดึงร่างของทั้งคู่ลงสู่พื้นดิน ในจังหวะนั้นพันแสงผู้มากประสบการณ์มากกว่า อาศัยจังหวะอ้าปากกว้างขยำเข้าใบหน้าสิงห์หนุ่มผู้คิดลองดี หากความเยาว์วัยและประสาทสัมผัสที่ถูกเคี่ยวกรำมาไม่น้อย ทำให้อาคิรารู้ตัวเบี่ยงหน้าหลบได้ทันท่วงที คมเขี้ยวจึงฝั่งเข้าแผงคอแทนใบหน้า พันแสงไม่ทันได้ตั้งตัวจากความผิดพลาดจนเสียจังหวะ เมื่อเงยหน้าหมายซ้ำกลบความพลั้งพลาด กลับโดนอุ้งมือแกร่งของหลานตะปบเข้าใส่จนหน้าสะบัดเสียหลักล้มหงาย อาคิราได้จังหวะนั้นโถมกายพลิกกลับมาคร่อมข่มพันแสงไว้ได้บ้าง สิงห์หนุ่มไม่รอช้าใช้ความได้เปรียบนี้ก้มลงขย้ำฟัดครึ่งปากครึ่งจมูกของอีกฝ่ายจนกลิ่นเลือดคาวคลุ้ง อาคิราฝังเขี้ยวย้ำซ้ำจนพันแสงตัวอ่อนหายใจรวยริน สิงห์หนุ่มจึงผละออกตะปบฝ่ามือลงบนอก ส่งเสียงคำรามลั่นประกาศชัยชนะของตนเหนือศัตรู แผงคอสีชาดที่เคยฟูแน่นพลันส่องประกายแสงเจิดจ้าขึ้นส่งให้มฤเคนทร์หนุ่มยิ่งดูสง่างามเรืองอำนาจ...เป็นสัญลักษณ์ผู้ชนะ สัญลักษณ์แห่งจ่าฝูงที่แท้จริง


“โฮกกก! ”


“บัดนี้พันแสงพ่ายแพ้แก่ข้า อาคิราบุตรของราชสีห์พรมัน ของให้ผู้แพ้ทุกตนคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรียอมศิโรราบต่อข้าแต่โดยดี” อาคิราประกาศกร้าว เมื่อกลับคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง


เสียงเฮละโลดังลั่นคูหาด้วยความยินดี ไม่เว้นแม้แต่สิงห์เจ้าบ้านบางตนที่ถึงกับปล่อยโฮร้องไห้สะอื้น เมื่อความอัดอั้นตันใจที่ต้องฝืนทำชั่วมานานได้มลายหายไป


หลังการต่อสู้จบลงสิงห์ในชุมของพันแสงถูกรวบมารวมไว้ยังลานกลางถ้ำ เพื่อชำระโทษเป็นลำดับต่อไป โดยอาคิรา และธีมารวี มอบหน้าที่นี้ให้แก่ นิลปารัชญ์และพวกพ้องจตุราชสีห์ฝั่งมังสวิรัติเป็นผู้จัดการ


“สิ่งนี้คือบ่วงปราพก สืบทอดมานานตั้งแต่เหตุการณ์ ‘ผนึกจตุราชสีห์’ บ่วงนี้จักจองจำพวกเจ้าไปตลอดชีวิต เพื่อกำกับมิให้พวกเจ้ากระทำการเลวร้ายได้อีก หากผู้ใดฝ่าฝืนจักร้อนรนราวไฟผลาญจนมอดม้วย เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจงละความแค้นแลสำนึกถึงความผิดของตัวเองเสีย” ทันทีที่บ่วงถูกสวมเข้าลำคอ จากเชือกสีแดงฉานกลับกลายกลืนเข้าไปกับผิวเนื้อ เกิดรอยปานแดงลักษณะคล้ายเปลวไฟบริเวณรอบคอ ราวกับเป็นการประจานไปด้วยในที จนครบทุกตน ไม่เว้นแม้แต่สิงห์ชั้นอุตมางค์อย่าง ภาสกร และ วิวัสวาน


“ข้าฝากทางนี้ด้วยท่านรวี ข้าจักไปรับเจ้าพิรัล”


อาคิรากล่าวกับพี่สาว พลางปล่อยตัวต่อออกมาอีกครั้ง เพื่อให้แมลงตัวน้อยได้ทำหน้าที่นำทางเขาไปหาคนที่เป็นห่วงสุดหัวใจ เมื่อเป็นอิสระอีกครั้ง แมลงพิษบินฉวัดเฉวียนแหวกผ่านอากาศจนมาหยุดที่กำแพงถ้ำแก้ว ปีกเล็กกระพือรัวเร็วพาร่างของมันบินวนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน ขณะที่อาคิรานั้นรีบก้าวเท้าเข้าสู่เรือนลับอันคุ้นเคย หลังเหยียดยิ้มกับความมากเล่ห์ของพิรัลนลิน


“เจ้าตัวยุ่ง”


ร่างสูงตระหง่านก้าวเข้าสู่เรือนหลังถ้ำคราแรก ทำเอาทุรพลที่หลบซ่อนด้วยความหวั่นวิตก ส่งเสียงร้องลั่น จนกระทั่งพิรัลนลินเอ่ยชื่อผู้มาเยือนขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือ ทุรพลตนอื่นถึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา


“พี่อาคิรา... พี่อาคิรา” พิรัลนลินทั้งดีใจและโล่งใจ ทุรพลน้อยวิ่งโผกอดผู้มาถึงไว้ทั้งตัว เพราะยามอยู่ภายในเรือนลับแห่งนี้แม้ไม่อาจเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พวกเขายังคงได้ยินเสียงคำรามและเสียงกระทบกระทั่งจากการต่อสู้ ทำให้เจ้าสิงห์น้อยรู้สึกห่วงอุตมางค์ในอ้อมแขนจนอยากจะร้องไห้ออกมาเสีย


แต่ขณะนี้เมื่อได้รับอ้อมกอดอบอุ่นแนบแน่นจนได้กลิ่นเปลือกไม้หอมจากเรือนกายใหญ่ พร้อมเสียงทุ้มแผ่วอีกครั้ง ทำให้ความเข้มแข็งที่พิรัลสะกดเอาไว้พังทลายลงสิ้น ทุรพลน้อยไม่เคยรู้ตัวเลยว่ากำลังฝืนตัวเองมากมายเท่าไร จนกระทั่งเมื่ออาคิราปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้า


“ฮึก พี่อาคิรา”

...เคยกล่าวไว้ว่าหากตายก็มิเป็นไร หากตายก็หามีใครคอยเบื้องหลังนั้นมิใช่เลย ยามเสี่ยงอันตรายอย่างแท้จริง พิรัลนลินกลับสวดภาวนาในใจให้ทั้งตัวเองและพี่อาคิรารอดปลอดภัย เพราะความจริงแล้ว...พิรัลมีความกลัว...พิรัลยังอยากได้โอกาส...พิรัลยังอยากพบพี่อาคิรา...


“จบลงแล้ว มิมีเรื่องร้ายใดแล้ว เจ้าทำได้แล้ว เราทำได้แล้วหนาเจ้าพิรัล พี่มารับเจ้าแล้ว”


“ฮึก”


“ข้าขอเชิญพวกท่านออกไปด้านนอกเถิด เพลานี้ญาติพี่น้องของพวกท่านกำลังรอพวกอยู่” ทุรพลทุกตนต่างขอบคุณอุตมางค์หนุ่มปากคอสั่น รีบจับจูงพากันออกไปยังลานกลางถ้ำด้วยหัวใจแช่มชื่นจนรู้สึกราวกับมีปีกบิน


บรรยากาศแวดล้อมเดิมๆ ไม่ชวนหดหู่สิ้นหวังอีกต่อไป ท้องฟ้าผ่านม่านแก้วนั้นก็สดสวย แม้แต่อากาศยามที่ได้หายใจเข้านั้นช่างปลอดโปร่งเสียจนอดที่จะหยุดหายใจเข้าเต็มปอด ยิ่งใบหน้าของผู้ที่ห่วงคิดถึงปรากฏในครรลองสายตา น้ำตาแห่งความปีติจึงไม่อาจสะกดกลั้นได้...ความหวังที่ถูกเติมเต็ม ความรู้สึกที่มีอิสรภาพนั้นเป็นเช่นนี้เองหนอ




“แม่ ลูกขอสมาท่าน ลูกอ่อนแอ ที่ผ่านมาลูกไม่สามารถช่วยเหลือแม่ ปล่อยให้แม่ต้องทนทุกข์มานานเหลือเกิน” กลินท์ถลาเข้าหาแม่ของตนแล้วก้มกราบแทบเท้า ไม่เว้นแม้แต่ภาสกรที่ถูกจองจำ


...ภาสกรเป็นบุตรตนที่สองของพันแสง เมื่อแรกเกิดเขาถูกเลี้ยงดูโดยนางสิงห์แม่นม และถูกสั่งสอนโดยพันแสง ถูกสอนให้กตัญญูต่อผู้เป็นพ่อ และสั่งให้เห็นแม่เป็นเพียงผู้ทำหน้าที่ให้อาศัยครรภ์เกิดเท่านั้น แม้จะอยากผูกสัมพันธ์กับแม่บ้าง ก็ถูกกีดกันอยู่ร่ำไป จนรู้สึกเหินห่าง และภักดีกับผู้เป็นพ่อมากกว่า ผิดกับกลินท์ผู้น้องเกิดมาไม่สามารถดื่มน้ำนมนางสิงห์ตนอื่นได้ อาจด้วยคำอธิษฐานของนางรำไพ กลินท์น้อยจึงได้คลุกคลีกับผู้เป็นแม่จวบจนวัยหย่านม


“แม่มิถือโทษโกรธลูก ซ้ำยังตื้นตันนักหนาที่ลูกเห็นแก่แม่ทุรพลตนนี้ ลูกด้วยหนาภาสกร บนคอเจ้านี้เจ็บมาไหมลูก” นางสิงห์รวบกอดลูกชายทั้งสองของตนแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ภาสกร และ กลินท์ ได้เห็นผู้เป็นแม่ยิ้มได้เต็มแก้มเช่นนี้...ยามแย้มยิ้มท่านแม่งดงามเป็นที่สุด


“จำปา...ข้า ข้าขอสมาเจ้าด้วย” ภาสกรผละจากอ้อมอกของแม่ หันมาเอ่ยกับคู่ของตนด้วยความเศร้า ตาคมกล้ามองจดจ้องไปที่ท้องนูนแล้วยิ่งรู้สึกละอายใจ


“ข้ายกให้ ถือเสียว่าอย่างน้อย ท่านยังให้เกียรติข้ามากพอดู เท่าที่ท่านจักกระทำได้ ข้ามิติดใจอันใด” จำปาเชิดหน้าขึ้น ใจหนึ่งไม่อยากแม้แต่จะปรายตามองผู้เป็นสามี แต่อีกใจกลับโอนอ่อนลงอย่างน่าเจ็บใจ แม้ภาสกรจะไม่ได้ดูแลตน ทว่าก็พูดไม่ได้ว่ากระทำการร้ายกาจใด ยิ่งถ้าเทียบกับวิวัสวานที่กระทำต่อทุรพลตนอื่น จำปาถือว่านางยังมีบุญอยู่มาก


“เช่นนั้น ข้าขอดูแลเจ้าแลลูกได้ฤๅไม่ ขอให้ข้าได้ทดแทนเจ้าในวันคืนที่ผ่านมา”


“...”


“ข้าคงขอมากไป... ขอสมาเจ้าอีกสักคราเถิด” ภาสกรกล่าวกับตนเองเสียงแผ่ว หมดคราบราชสีห์ผู้องอาจเสียสิ้น


นางสิงห์จำปาเม้มปากนิ่งชั่งใจ มือเรียวงามยกขึ้นลูบลงบนหน้าท้องแผ่วเบาอย่างใช้ความคิดครู่ใหญ่ จึงเอ่ยปากเสียงเรียบ


“จักลองสัมผัสดูฤๅไม่เล่า...ลูกท่านในครรภ์ของข้า” ภาสกรนิ่งค้าง จนกระทั่งผู้เป็นแม่แตะตัวเรียกสติ ฝ่ามือหนาหยาบสั่นเทาถึงค่อยๆ เอื้อมสัมผัสลงบนท้องนูน อุตมางค์หนุ่มพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะสัมผัสให้แผ่วเบาและนุ่มนวลที่สุด เท่าที่สิงห์ผู้เป็นนักรบตนหนึ่งจักทำได้


...เมื่อได้สัมผัส คราที่ลูกน้อยในอุทรออกแรงถีบเบาๆ จนรู้สึกได้ ภาสกรตัดสินใจในวินาทีนั้น ปฏิญาณในใจว่าเขาจะสั่งสอนลูกของเขาให้ดี เจ้าสิงห์น้อยตนนี้ต้องไม่โตมาบิดเบี้ยวเช่นเดียวกับเขาเป็นอันขาด




ขณะที่ความสุขกำลังฉาบไปทั่วทั้งโถงถ้ำ ทุรพลน้อยก้าวตรงไปยังอุตมางค์สิงห์อดีตผู้ครองคูหา ที่ยังคงนอนนิ่งจมกองเลือดบนพื้นหมดสง่าราศีโดยไร้ผู้ใดแลเหลียว


“ครานี้ท่านคงจักรู้แจ้งแล้วถึงความสูญเสียที่ชุมข้า แลทุรพลทุกตนได้รับ กอบโกยมากแล้วเช่นไร ครอบครองยิ่งใหญ่แล้วเช่นไร สุดท้ายหนทางไปมิต่างกัน ข้าหมดแล้วซึ่งความอาฆาตแค้นต่อท่าน ข้าถือว่าที่เป็นอยู่นี้ท่านได้ชดใช้ต่อข้าแล้ว ข้าอโหสิกรรม” พิรัลนลินกล่าวเสียงเรียบเรื่อย ทอดมองร่างครึ่งเป็นครึ่งตายนิ่งนานหมดแล้วซึ่งความแค้นเคือง ทุรพลน้อยรู้สึกราวกับจิตวิญญาณของตนราวกับได้รับการปลดแอก กล่าวเพียงเท่านั้นแล้วหันหลังให้ไม่คิดเหลียวมองกลับไปอีก


หลังจากนั้นทั้งอาคิราและพิรัลซึ่งมีวิชาการรักษา ต่างแยกย้ายกันเข้าปฐมพยาบาลเหล่าสิงห์ที่ได้รับบาดเจ็บทันที


ทว่าขณะง่วนอยู่กับการปฐมพยาบาลจนไม่ทันระวังตัวนั้น วิวัสวานที่ความเจ็บแค้นอัดแน่นระอุในอกมากเสียจนสามารถกลบกลืนความร้อนของไฟผลาญในร่าง อาศัยความชะล่าใจของสิงห์ตนอื่น กระชากเชือกพันธนาการของตนออก


“ไอ้ทุรพลจัญไร มึงมันตัวฉิบหาย! ” อุตมางค์ผู้มีความแค้นแน่นอกพุ่งเข้าตะปบร่างบอบบางของทุรพลที่หันกลับมาตามเสียงตะโกน อย่างไม่ระมัดระวังเต็มร่าง กรงเล็บคมกรีดลึกสร้างบาดแผลฉกรรจ์จนร่างของพิรัลนลินล้มลงไปนอนกองกับพื้น มือน้อยของทุรพลค่อยๆ โอบกอดกลางลำตัวของตนเองแน่น ขณะเลือดสีแดงฉานค่อย ๆ ไหลอาบย้อมไปทั้งร่าง ดวงตากลมโตพลันปิดลง เช่นเดียวกับลมหายใจที่ปลิดปลิว...







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ขออนุญาตตัดฉับแบบละครนะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับตอนนี้
สำหรับตอนนี้มีการเขียนฉากต่อสู้ของราชสีห์ ซึ่งเราหาข้อมูลประกอบจากสารคดี
พยายามจับท่าทางการสู้กันให้มากที่สุด ซึ่งสิงโตจริงๆเขาสู้กันแป๊บเดียวเองค่ะ
ดูแล้วดูอีก พยายามแล้วเขียนได้เท่านี้จริงๆค่ะ แฮ่ๆ
ส่วนดราม่าช่วงท้าย สัญญาว่าหน่วงนิดเดียวค่ะ ฮึบเดียวจริงๆ


สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ





หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-10-2019 21:32:41
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 06-10-2019 21:46:17
แงงงง น้องพิรัลยังตายไม่ได้นะ ขอให้น้องปลอดภัย
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 06-10-2019 22:18:23
 :fire: :fire:
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-10-2019 02:22:29
พิรัลจะตายไม่ได้นะ :mew2:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-10-2019 09:27:45
ไม่นะ!!
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-10-2019 09:32:19
รวดเดียวจบ ไหงเป็นงั้นอะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 08-10-2019 10:57:21
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 10-10-2019 04:32:16
ไม่น้าาา TAT
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 11-10-2019 11:57:37
จัดมาตัวข้าพร้อม
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-10-2019 13:07:18
รออยู่นะ จะลงแดงตายแล้วววว :hao5:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๓ สุดเอื้อมมือคว {๐๖/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-10-2019 13:24:03
ตามจ้า  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๔ {๑๒/๑๐/๖๒} แก้คำผิด
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 12-10-2019 21:12:56
บทที่๑๔
ความหวังเดียวของดวงตะวัน







                    อาคิราพุ่งตัวตรงเข้ามาหมายจะช่วยขวางร่างน้อยจากอันตราย อาคิราฟาดอุ้งมืออันประดับไปด้วยกรงเล็บแหลมคม ฝังลงบนใบหน้าวิวัสวานออกแรงสะบัดจนร่างของสิงห์หนุ่มลอยละลิ่วห่างออกไปหลายวา ทว่ากลับไม่ทันการณ์ ร่างของพิรัลนลินทรุดกองลงบนพื้นไปเสียแล้ว อุตมางค์หนุ่มรีบเข้าประคองร่างอาบเลือดของพิรัลนลินไว้แนบอก


“พิรัล เจ้าพิรัล” แม้จะร้องเรียกเท่าใดพิรัลนลินก็ยังคงนิ่งงัน ด้วยร่างของมนุษย์ไม่อาจทนรับแรงมหาศาลของราชสีห์ชั้นอุตมางค์ได้ ริมฝีปากสีสดไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบกลับ มีเพียงลิ่มเลือดที่ไหลทะลักจากอาการช้ำใน


ยามที่จังหวะชีวิตของทุรพลน้อยอ่อนลงจนไม่สามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจ อาคิราคล้ายถูกลั่นดาล สมองเคว้งคว้างมึนเบลอ หูทั้งสองอื้อตึงสดับได้เพียงเสียงหวีดหวิว นัยน์ตาคมคล้ายมืดบอดไปชั่วขณะ...คล้ายโลกดับ ก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นโทสะปะทุเดือด!


“ท่านรวี ข้าฝากพิรัลสักประเดี๋ยว” อาคิราบรรจงวางร่างโอนอ่อนของพิรัลลงบนตักของพี่สาว ที่วิ่งเข้ามาดูอาการของสิงห์น้อยเช่นกัน ร่างสูงสง่างามย่างสามขุมเข้าหาผู้ที่บังอาจทำร้ายยอดดวงใจ อาคิราผู้ถูกเปรียบเป็นหินผาสั่นคลอนกลายสภาพเป็นพายุแห่ง  ปรลัย[1] มืดทะมึน


“ท่านอาคิรา ได้โปรดหยุดเถิด หยุดพินิจดูที วิวัสวานวิปลาสไปเสียแล้วหนาท่าน” เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อเห็นว่าหลังจากประทุษร้ายทุรพลจนสิ้นใจ อุตมางค์ผู้นั้นก็ตาเหลือกกลอกกลับไปมา ซ้ำยังร่ำไห้สลับหัวร่อจนน้ำมูกน้ำตาไหล เกลือกกลิ้งถัดตัวหมดสิ้นราศีจนน่าเวทนา หากแต่ยามโมหะเข้าครอบงำ เสียงที่ได้ฟังนั้นไม่ต่างจากลมแผ่วที่ลอยผ่านหู


“วิปลาสแล้วเยี่ยงไร มิวิปลาสแล้วเยี่ยงไร มันทำร้ายพิรัลของข้า ต่อให้มันพิกลพิการร่วมด้วยข้าก็มิละเว้น! ” อาคิราคำรามลั่นจนคูหาสะเทือนราวกับจะแยกแตกถล่มลง สิงห์วิกลจริตตื่นกลัวกว่าผู้ใดตะเกียกตะกายหันหลังเตรียมวิ่งหนี มีหรือที่อาคิราจะยินยอม ร่างสูงพุ่งทะยานกระชากร่างวิวัสวานให้หันกลับ ตามด้วยการตะปบกรงเล็บพาดยาวลงบนแผ่นอกกว้างนั้นเต็มแรง จนอีกฝ่ายล้มลงบนพื้นอย่างหมดท่า...กระทำเช่นเดียวกับที่พิรัลโดนไม่ให้ผิดเพี้ยน


“เจ็บ ฮื่อ ข้า เจ็บ ฮื่อ”


“มึงจงจำไว้ สลักไว้ให้ถึงดวงจิต มึงถือสิทธิ์ใดมาทำร้ายคู่ของกู! ” กระทืบฝ่าเท้าลงบนอกสิงห์วิปลาสอย่างแรงจนอีกฝ่ายกระอักเลือด อาคิราย่อตัวลงกล่าวเสียงเหี้ยมเกรียมช่วยขนลุก ก่อนกระชากร่างสะบักสะบอมขึ้นมา ขย้ำกรงเล็บลึกลงบนลำคอ


“ฮึก จำแล้ว ข้า...อึก...”


“ค่อยๆ ระลึกไว้ ระลึกไว้จนกว่าจักหมดลมหายใจของมึง” ว่าแล้วจึงผลักร่างปวกเปียกลงสู่พื้น ปล่อยให้ความเจ็บปวดของบาดแผลค่อยๆ พรากลมหายใจของวิวัสวานไปทีละน้อย...




                     อาคิราไม่ต้องการให้คราบเลือดของสิงห์ชั่วผู้นี้ต้องมาแปดเปื้อนร่างของพิรัลได้แม้เพียงกระผีก อุตมางค์หนุ่มจึงเบี่ยงกายไปล้างคราบเลือดบนตัวจนหมดจดเสียก่อนแล้วกลับมายังร่างของพิรัลอีกครั้ง ไม่ไยดีต่อสายตาหวาดกลัวหรือแม้แต่ร่างหายใจรวยรินของราชสีห์พ่อลูกคู่นั้นแม้หางตาแล ร่างสูงก้มลงรับร่างไร้ลมหายใจของพิรัลมาจากธีมารวี อาคิราโอบอุ้มร่างบอบบางขึ้นแนบอก พาทุรพลน้อยของเขาไปพักผ่อนบนเรือนที่ใกล้ที่สุด ใบหน้าหล่อคมอันนิ่งสงบอยู่เป็นนิจยิ่งเรียบสนิทกว่าเคย คล้ายอุตมางค์หนุ่มได้สร้างปราการแข็งกล้า เพื่อที่จะจมตัวเองอยู่ในโลกจินตนาการที่มีเพียงตนและผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนเพียงเท่านั้น จนไม่มีสิงห์ตนใดกล้าเอ่ยคะคาน แม้แต่ผู้ที่อาคิราให้ความนับถือมากที่สุดอย่างธีมารวีเอง






ขณะเดียวกันพันแสงที่ยังไม่สิ้นใจ ได้นางสิงห์รำไพเข้ามาประคองร่างอ่อนแรงของสามีขึ้นหนุนตัก มีลูกชายและหลานๆ เฝ้าขนาบซ้ายขวา


“พันแสงปล่อยวางเสียทีเถิด” แม้ไม่ได้รักใคร่ต่อกัน แต่นางสิงห์ที่ได้เฝ้ามองความเป็นมาของญาติและสามีตนนี้ตั้งแต่ยังเล็ก อดที่จะรู้สึกเวทนาเขาไม่ได้เช่นกัน


พันแสงเองแม้บาดเจ็บหนัก แต่สติรับรู้ยังคงแจ่มชัด นอนพังพาบน้ำตาไหลรินเป็นสายกับความย่อยยับที่เกิดขึ้น ความทรงจำเมื่อครั้นยังเยาว์วูบผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง


ยามเป็นลูกสิงห์พันแสงเฝ้ามองมารดาไล่ตามความรักจากสามีทุกลมหายใจ...ลูกเช่นพันแสงเป็นเพียงเครื่องมือที่นางใช้เรียกร้องความสนใจจากสามี เมื่อเขายังเฉยชา จากความรักกลับกลายเป็นความน้อยใจ จนกลายเป็นความเกลียดแค้นชิงชังในที่สุด นางหันมากรอกหูอยู่เสมอว่าเขาต้องยิ่งใหญ่ให้ยิ่งกว่าพ่อ นางเริ่มศึกษาศาสตร์แห่งพิษ ผสมคารมมากเล่ห์ซ่องสุมกำลังรอวันที่เขาเติบใหญ่ เฝ้าตามรังควานทุรพลสิงห์ทุกตนที่เข้าใกล้สามี แล้วกลับมานั่งร่ำไห้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ด้วยนางรู้ว่าหัวใจรักของเขาไม่เคยเป็นของนางที่เป็นคู่ตุนาหงัน พันแสงถูกหล่อหลอมด้วยความบิดเบี้ยวของผู้เป็นแม่ จนกระทั่งนางตายจากด้วยยาพิษของนางเอง จากอุตมางค์ผู้เป็นทายาทสืบคูหา ถูกลดเหลือเพียงลูกสิงห์ที่มีแม่เป็นนางทุรพลใจโฉดให้เหล่าสิงห์ในชุมตราหน้า


เพียงไม่นานพ่อของพันแสงได้ครองรักกับนางสิงห์ผู้มอบใจรักให้สมใจ นางสิงห์ระพีผู้งดงามอ่อนหวาน ต่างจากแม่ของตนผู้ใจร้อนร้ายราวฟ้ากับเหว อหัสกรและระพี มีลูกด้วยกันหนึ่งตนนามว่า พรมัน อุตมางค์สิงห์ผู้เกิดมามีพร้อมทั้งความรักของพ่อและแม่ มากด้วยความสามารถจนเป็นที่รักของเหล่าสิงห์ในชุม รวมถึงตำแหน่ง ทายาท รุ่นต่อไป


ส่วนพันแสง ถูกเลี้ยงดูด้วยเหล่าสิงห์ที่แม่ของเขาทำการซ่องสุมไว้ แม้เขาจะเป็นลูกสิงห์ขี้กลัว และชื่นชอบงานศิลปะ นึกอยากเกิดเป็นสามัญสิงห์ หรือ ทุรพลไปเสีย ทว่าเมื่อถูกกรอกหูซ้ำไปมาถึงความเจ็บช้ำที่แม่ได้รับจากพ่อ ให้เขาต่อสู้เพื่อปณิธานของแม่จนเติบใหญ่ทุกวี่วัน ซ้ำแม้พยายามเฝ้าฝึกฝนตนเองเพียงใด พันแสง ไม่เคยมีสิ่งใดสู้น้องชายของตนได้เลย ได้สั่งสมความคิดร้ายให้กับพันแสงในที่สุด ยิ่งคิด พันแสงโกรธเคืองพ่อ นึกโทษแม่ที่บ้าคลั่งไร้สติ โดยเฉพาะความรู้สึกชิงชังน้องชายจนเต็มหัวใจ น้องชายผู้ได้ครอบครองทุกสิ่งแม้กระทั่งทุรพลสาวที่พันแสงมีใจ เฝ้ามองความสุขที่ห้อมล้อมด้วยความริษยา


จนกระทั่งมีโอกาส ยาพิษที่แม่เก็บไว้ยังอยู่ และครั้งนั้นเป็นพันแสงที่ได้รับชัยชนะเหนือพรมันเป็นคราแรก ทว่าบัลลังก์ที่ได้มากลับว่างเปล่าเย็นเหยียบและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ต้องมีอำนาจขึ้นอีก ต้องครอบครองอุตมางค์ให้มากขึ้น...แต่สุดท้ายพันแสงก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่อาคิราลูกของพรมัน


“เหตุใด โชคชะตาจึงมิเข้าข้างข้าบ้าง หามีสักคราเลย เหตุใดจึงเป็นข้าที่ถูกทอดทิ้ง อึก”


“โชคชะตาเข้าข้างท่านแล้ว แม้ท่านไม่สมหวังในรักคราแรก ทว่าอรุณนั้นรักท่านด้วยความจริงใจ ท่านมีลูกชายผู้เข้มแข็งถึงสองตน หากท่านหยุดลงเพียง พรมัน กลับตัวครองตนในศีลธรรม ก่อร่างสร้างชุมให้เข้มแข็ง มีรึที่อาคิราจักสามารถรวบรวมกองกำลังจากสิงห์อื่นมาหนุนหลัง แลมีพลังอำนาจล้มล้างท่านได้เช่นนี้ ’สวรรค์ส่วนหนึ่งตัวท่านนั้นเล่าเป็นส่วนใหญ่‘ ชัยชนะของท่านมิได้ได้มาด้วยความขาวสะอาดแลมีเกียรติ แปลกอันใดที่ต้องถูกเอาคืน”


พันแสงนิ่งเงียบ ราชสีห์ผู้อ่อนล้าเพียงหลับตานิ่งนานปล่อยหยาดน้ำตาหลั่งริน


‘ความเลวร้ายที่ข้ากระทำ ข้ามิขอสมาต่อผู้ใด ข้าพร้อมรับกรรมทุกสถานในปรโลกเพื่อชดใช้ให้หมดสิ้นกัน จักได้มิต้องมีสิ่งใดติดค้างให้ต้องผูกเวรผูกกรรมต่อกันอีกต่อไป’ พันแสงใช้แรงเฮือกสุดท้ายปลดปล่อยความคิดความริษยาที่เป็นโซ่พันธนาการดวงตาและหัวใจ เช่นเดียวกับลมหายใจและจิตวิญญาณ


“พันแสง ข้ารู้ว่าท่านเหนื่อยมานานแสนนาน ภพภูมิอันทุกข์ตรมเช่นนี้จงปล่อยวางเสียเถิด ข้าอโหสิกรรมแก่ท่าน แลจักเฝ้าสวดภาวนาให้ท่านหลุดพ้นแลไปสู่ในภพภูมิที่ดี” รำไพก้มกระซิบข้างหูของผู้มีฐานะสามีเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่แค่พันแสง บัดนี้นางก็รู้สึกได้ถึงอิสรภาพอันปลอดโปร่งได้เช่นกัน






“บ่วงปราพก นั้นมีฤทธิ์ทำให้วิปลาสฤๅท่านนิลปารัชญ์” กัญจน์ราชสีห์เอ่ยถาม ขณะที่พวกเขายืนมองความเป็นไปภายในคูหาพันแสง อุตมางค์หนุ่มจดจ้องไปยังรอบคอของสิงห์ที่มีรอยเปลวไฟด้วยความอัศจรรย์และขยาดกลัวในคราเดียว


“หามิได้ บ่วงปราพก มีฤทธิ์แผดเผาร่างกายจากภายในยามที่ผู้สวมใส่คิดการร้ายขึ้น เช่นคราที่เหตุการณ์ผนึกจตุราชสีห์เกิดขึ้นมินาน บ่วงนี้ได้คร่าชีวิตราชสีห์ที่มิยอมรับคำตัดสินไปมิน้อย กระทั่งผู้ต้องบ่วงจักกำหนดละวางความคิดร้ายลง เพลิงผลาญจึงค่อยสงบตาม หากมิสามารถปลดปลงได้ มีเพียงสองสถานที่จักหลุดพ้นคือสิ้นลมหายใจ แลวิปลาสเท่านั้น” ราชสีห์นิลปารัชญ์ก้มลงพิจารณาบ่วงปราพกในมือ ที่ได้คืนจากร่างไร้วิญญาณของวิวัสวาน แล้วเอ่ยต่อ


“หลังจากวิวัสวานสังหารเจ้าพิรัล บ่วงปราพกนั้นคืนสภาพกลับมาสู่มือข้าโดยทันทีทันใด นั่นหมายถึงวิวัสวานนั้นมิได้แสร้งวิกลจริต บ่วงปราพกจึงถอนตัวออกจากร่างเขาเช่นนี้”


“เช่นนั้นจักวิปลาสกะทันหันไปด้วยเหตุใดเล่า”


“ข้าได้รู้มาบ้าง เมื่อคราถ้ำของเจ้าพิรัลโดนทำลาย มีอุตมางค์ตนหนึ่งพลั้งมือสังหารทุรพล จากนั้นอุตมางค์ตนนั้นเกิดอาการฟั่นเฟือน กู่ร้องโหยหวนวิ่งกระเซอะกระเซิงจนตกผาไป ท่านคิดว่ามันสอดคล้องกันฤๅไม่เล่า”


“อุตมางค์ตนนั้น เห็นจักเป็นบุตรตนแรกของพันแสง อืม น่าพิศวงยิ่งนัก”


กริ๊งๆ

“ฤๅแท้จริงแล้ว เหล่าจตุราชสีห์ทั้งมวล จำจดคำสาปแห่งองค์อินทร์มิครบถ้วนกันเล่า ดั่งข้อที่ว่า...อุตมางค์มิสามารถดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ ฤทธิ์ แลจิตวิญญาณ หากมาดหมายทำลายทุรพลผู้อ่อนแอ เช่นนี้พวกท่านเห็นเป็นประการใด สมเหตุสมผลดีฤๅไม่” เสียงกระพรวนเท้าดังนำกาย เมื่อเขมอารัณย์เดินกรีดกรายเข้ามาร่วมวง คนธรรพ์หนุ่มเลิกคิ้วคล้ายเกิดความฉงนเสียเต็มประดา เอ่ยขับคำปุจฉาด้วยน้ำเสียงกังวานใส กึกก้องสะท้อนทั่วโถงถ้ำใหญ่


                    “จตุราชสีห์                                                       เรืองฤทธีนี้แสนร้าย

                     ปวงสัตว์ม้วยมลาย                                              พาฉิบหายหิมวันต์

                     กูขอร่ายมนตร์เหล่าสิงห์                                       หมายท้วงติงแลกวดขัน

                     สำแดงแปลงฉับพลัน                                           เพื่อลงทัณฑ์มฤคินทร์

                     กูจักร่ายมนตร์เวท                                               แสนวิเศษทั่วถ้วนถิ่น

                     เหล่าสิงห์ทั้งธรณิน                                              จงยลยิน สดับฟัง

                     จากนี้จวบกาลหน้า                                               เหล่าสิงหามีชนชั้น

                     คัดคานอำนาจกัน                                                 แบ่งสามขั้น มิขาดเกิน

                    ‘อุตมางค์’ ยกเป็นหนึ่ง                                            คือผู้ซึ่งถูกสรรเสริญ

                    สิงห์อื่นมิอาจเมิน                                                  หากเผชิญก้มกราบกราน

                    เว้นเสียแต่เรื่องบุตร                                               เป็นเรื่องสุดแสนสงสาร

                    ตั้งครรภ์ หาใช่การ                                                 จำรอนราญ หาคู่กาย

                    รองมา ‘สามัญสิงห์’                                                มีทุกสิ่งดั่งใจหมาย

                    หากแต่เมื่อเจอะกาย                                               อุตมางค์ต้องจำนน

                    สุดท้ายมาตาเพศ                                                   แสนวิเศษ ‘ทุรพล’

                    กำลังแสนขัดสน                                                    นี้เป็นชนสืบเผ่าพันธุ์

                    ไม่เว้นแม้ชายหญิง                                                 ทดแทนสิ่งที่เปลี่ยนผัน

                    หากเป็นชั้นสำคัญ                                                  ผู้มีครรภ์ กูบันดาล

                    อุตมางค์แม้นมากฤทธิ์                                          มิมีสิทธิ์คิดล้างผลาญ

                    ทุรพลให้วายปราณ                                                 ละสังขารตกตามกัน

                    สติ แลศักดิ์ศรี                                                       ต้องราคีเสียชนชั้น

                    หมดสิ้นในเผ่าพันธุ์                                                  หากดื้อดันย่อมร้าวราน


                    สามชั้นล้วนคล้องสอด                                              ดังพิรอดสอดผสาน

                    คอยยั้งแลคะคาน                                                     มินึกพาล รู้เจียมตน

                    มีเก่ง มีอ่อนแอ                                                        รู้จักแพ้ เสียสักหน

                   จักได้ประมาณตน                                                     แลหลุดพ้นจากสิงห์พาล”



เสียงขับร้องบทกลอนสิ้นสุดลงพร้อมเสียงใสของพิณแก้วสายสุดท้าย ทั่วทั้งคูหากว้างตกอยู่ในความเงียบ เหล่าสิงห์ที่ยังชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น รู้สึกขนลุกขึ้นมาครามครัน ต่างจรดจดจำถ้อยคำข้อนี้ไว้เป็นแม่นมั่น คล้ายดั่งต้องมนต์...แม้ที่ผ่านมาจักเผลอลืมเลือน หากแต่นี้ต่อไปจักจดจำไว้ด้วยจิตวิญาณ แลถ่ายทอดสืบต่อมิให้ต้องถูกหลงลืมไปอีก


“ทุรพลมีทุกข์ของทุรพล อุตมางค์มีทุกข์ของอุตมางค์ มิเว้นแม้แต่สามัญสิงห์ ทุกวรรณะล้วนมีสุขทุกข์ทัดเทียม มีหน้าที่ต่างกันไป ทว่าล้วนเป็นมฤเคนทร์เสมอกันทั้งสิ้น อนิจจา อนิจจา” คนธรรพ์หนุ่มกวาดสายตามองภาพความเสียหายภายในคูหาแก้ว พลางลำพรรณเสียงไม่เบานัก จนกระทั่งครรลองสายตาสบเข้ากับสหายราชสีห์ของตนเอง


“หืม เกิดอันใดขึ้นกันเล่า ข้าได้รับเสียงกระซิบจากพระพายว่าเรื่องราววุ่นวายสงบลงแล้วอย่างน่ายินดี ไยพวกท่านจึ่งมีสีหน้าเครียดขมึงถึงเพียงนี้ ใช่ว่าเพลานี้จักเป็นฤกษ์เฉลิมฉลองดอกรึ” คนธรรพ์แย้มยิ้มกว้างจนตาปิด ว่าความถามไถ่หัวข้อสนทนาอันรื่นรมย์กว่า ราวกับว่าเมื่อครู่ตนมิได้กล่าวสิ่งใดมาก่อน


“อย่าแสร้งว่าเดียงสาท่านเขมอารัณย์ ข้าจับยามสามตาถึงโชคชะตาสิงห์ทุกตนที่จักต้องเข้าร่วมปราบพันแสง แลเจ้าพิรัลนลินยังมิถึงฆาตเป็นแน่ เกิดเหตุใดขึ้น” นิลปารัชญ์หรี่ตามองจ้องคนธรรพ์มากเล่ห์อย่างเอาเรื่อง


“คำทำนายของท่านนิลปารัชญ์ยังคงแม่นยำ สมเป็นผู้ที่ได้รับความเอ็นดูจากองค์พรหมเทพมิแปลงเปลี่ยน”


กัญจน์ราชสีห์ผู้ร่วมวงสนทนารู้สึกขนลุกกับทั้งเขมอารัณย์ และโดยเฉพาะราชสีห์นิลปารัชญ์ ที่คราแรกเขานึกไปว่าอายุอานามใกล้เคียงกัน ต่อมารู้สึกว่ากาฬสีหะตนนี้อาจมีวัยวุฒิเทียบเคียงสิงห์รุ่นพ่อแม่ แต่จากที่อีกฝ่ายบอกเล่า บ่วงปราพก แลเอ่ยอ้างถึง เหตุการณ์ ผนึกจตุราชสีห์ อันเป็นเหตุต้นกำเนิดของวรรณะทั้งสามของเผ่าพันธุ์จากคำสาปขององค์อินทร์ ราวกับตนทันเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วนั้น...กัญจน์ราชสีห์เกรงว่าท่านนิลปารัชญ์อาจจะถึงขั้นต้องเรียกว่าท่านผู้เฒ่ามากกว่าอาวุโสแล้วกระมัง


“เล่นลิ้นมากความ จักทำสิ่งใดจงทำเถิด ก่อนอาคิราจักแตกสลายตามพิรัลไปอีกตน” ธีมารวีร้อนใจยิ่งกว่าใคร อดเร่งไม่ได้ เพราะเมื่อครู่ผู้ใดก็เห็นได้ชัดว่าอาคิรานั้นคล้ายหินผาใกล้แตกร้าวมากเพียงใด นางสิงห์กลัวเหลือเกินว่าหินผาจะแตกสลายถล่มถลายอีกไม่ช้านาน


ปึง!

“อาคิรา เจ้าพิรัลเป็นเช่นไรบ้าง” ไม่ทันที่เขมอารัณย์จะกล่าวตอบ อาคิราก็ผลุนผลันออกมาด้วยความเร่งร้อน


“เมื่อครู่ ข้าจับได้ถึงลมหายใจ ทั้งที่คราแรกมันดับหายไปแล้ว ข้ายังมีหวัง ข้าจักไปเตรียมยา” อาคิราคล้ายพูดออกมาโดยไม่ได้คิดเรียบเรียงประโยค สิงห์หนุ่มกระวนกระวายจนเสียอาการเช่นนี้ ธีมารวีที่คุ้นเคยดียังไม่เคยได้พบเห็นเช่นกัน


“ช้าก่อนท่านอาคิรา ท่านจงใช้ยาในโถนี้ป้อนเจ้าพิรัลเสียเถิด ถือเป็นบรรณาการจากข้า แด่ราชสีห์ตนใหม่ผู้นำความสงบสุขคืนสู่หิมวันต์ตะวันออก” เขมอารัณย์ล้วงหยิบโถใบเล็กจากชายพกส่งยื่นให้อาคิราด้วยรอยยิ้ม


“อย่าได้เห็นเป็นเพียงของบรรณาการ หากเจ้าพิรัลฟื้นคืนมาได้ ข้าขอถือมันเป็นพระคุณ”


“เป็นบรรณาการนั้นเพียงพอแล้ว รีบนำไปให้เจ้าพิรัลดื่มเถิด” อาคิรารับโถยานจากเขมอารัณย์ไว้ในมือด้วยความยินดี อุตมางค์หนุ่มไม่รอช้า รีบหันกายวิ่งขึ้นเรือนไปอย่างรวดเร็ว ท่านกลางสายตาเอาใจช่วยของทุกผู้ทุกตน




                     เมื่อได้ยามาอยู่ในมือ อาคิราค่อยๆ บรรจงป้อนยาวิเศษในโถกระเบื้องแก่พิรัลจนหมด อุตมางค์หนุ่มจับมือทุรพลน้อยไว้แน่นและไม่ยอมผละตัวไปที่ใดอีก ดวงตาที่เคยคมกล้าสงบนิ่งมาตลอดกำลังสั่นไหว พินิจดวงหน้ามนของทุรพลน้อยที่ซีดเซียวไร้สีเลือดด้วยความหวัง ให้ผู้ที่นอนนิ่งเบื้องหน้าฟื้นคืน


ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ อาคิรา ไม่เคยมีความปรารถนาใดเป็นของตนเอง ยามยังเป็นเพียงลูกสิงห์ตัวน้อยของพ่อแม่ เขาถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำที่ดีพร้อมสืบต่อจากพ่อ คราเมื่อความวิปโยคมาเยี่ยมเยือน เขามีปณิธานของผู้สูญเสียให้ช่วยทวงแค้นและความยุติธรรมกลับคืน กระทั่งยามพรางตัวเป็นเพียงสามัญสิงห์ ระหกระเหินเซซบขอพึ่งพิงจากท่านอาจารย์อัตรคุปต์ อาคิรายังต้องดำรงตนด้วยปณิธานแห่งผู้ประพฤติดี มีจารีตสมกับเป็นศิษย์เอกของอาจารย์


จนกระทั่งได้มาเจอสิงห์น้อยตัวเล็กจอมดื้อรั้น ที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายเสียจนอาคิรานึกเข่นเขี้ยว ทุรพลตัวจ้อยจอมเกเร ผู้มีอ้อมกอดอันอบอุ่น ตนแรกและตนเดียวที่เสียน้ำตาเพื่อเขา...สิงห์น้อยที่ทำให้ได้เขาได้รู้สึกตัว ว่าที่ผ่านมา ‘ดวงอาทิตย์ ‘ เช่นอาคิรา ส่องแสงให้ผู้อื่นด้วยความรู้สึกว่างเปล่ามาเนิ่นนานเพียงใด


พิรัลนลิน สิงห์น้อยจอมดื้อรั้น จนดูคล้ายว่าพร้อมจะวิวาทกับสิงห์ทุกตน คือสิงห์ตนแรกที่อาคิรา ต้องการส่องแสงโอบอุ้มดอกบัวงามดอกนี้ให้อบอุ่นด้วยความรู้สึกที่มาจากตัวเอง...


...เป็นตนแรกที่ฝังใจมาตั้งแต่ห้าปีที่แล้ว และเป็นตนเดียวของหัวใจจวบจนวินาทีนี้...


แม้จะปฏิญาณตนไว้เช่นนั้น เมื่อยามที่ต้องอยู่ในฐานะสามัญสิงห์ อาคิราทำได้เพียงตีตัวออกหาก เพราะภาระของเขานั้นมากมายเสียจนไม่อาจรั้งเอื้อมมือคว้าผู้ใดมาครอบครอง ด้วยเพียงการเอาใจตนเป็นที่ตั้ง สิงห์หนุ่มทำเพียงลอบมองน้องน้อยเติบโตอยู่ไกลๆ ส่งผ้านุ่งมาให้ทุรพลน้อยทุกปี เพียงได้เห็นเจ้าตัวดีในชุดผ้าที่เขาเลือกให้อย่างตั้งใจ อาคิราก็รู้สึกมีความสุขจนล้นปรี่ แม้มันจะแทรกมาด้วยรสขมเฝื่อน เมื่อความจริงอีกด้านที่ว่ายามเขาห่างไกลและอยู่ในฐานะสามัญสิงห์เช่นนี้ ทุรพลน้อยของเขาอาจพบเจอคู่ครองเมื่อใดก็ได้ เพียงเผลอคิดความเจ็บก็พุ่งเสียบจนอกระบม


ผู้ใดจะคิดฝันว่าคืนหนึ่ง พิรัลนลินจะยอมเดินเข้ามาสู่อ้อมแขนของอาคิราด้วยตนเอง เพลานั้นสัญชาตญาณนั้นมีผล ทว่าราชสีห์หนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันคือความเห็นแก่ตัวของตนเองที่ยากจะกอดรัด รับร่างแน่งน้อยมาเป็นของตนร่วมอยู่ด้วย สิงห์หนุ่มถึงกับวาดฝันไว้สวยงามว่าเขาจะโอบกอดพิรัลของเขาไว้ในอ้อมอก เป็นความอบอุ่นของกันและกันตราบจนร่างสลายไปตามวัฏสงสาร ได้เฝ้ามองดูลูกๆ เติบโตอย่างเป็นสุข ภายในถ้ำที่ประดับไปด้วยดอกบัวนานาพันธุ์ในแบบที่สิงห์น้อยเคยกล่าวถึง


เพลานี้อาคิราปลดเปลื้องทุกความปรารถนาของผู้อื่นจนลุล่วง...แต่ความปรารถนาเดียวของเขากลับคล้ายกำลังหลุดลอย อุตมางค์หนุ่มไม่เคยขอร้องต่อสิ่งใด ในครั้งนี้ต่อให้ต้องคุกเข่าอ้อนวอน หรือต้องใช้สิ่งใดแลกมา อุตมางค์หนุ่มยินยอมทั้งหมด เพียงเพื่อให้พิรัลฟื้นคืน น้ำตาราชสีห์ค่อยๆ ไหลลงมาหนึ่งสายโดยที่เจ้าของไม่อดกลั้นได้ไหว


“เจ้าพิรัล อย่าทรมานใจพี่อีกเลย ลืมตาตื่นขึ้นมามองพี่สักนิดเถิดทูนหัว”


นิ้วยาวอันสั่นเทาเอื้อมเกลี่ยลงบนสร้อยแพทองรอบคอพิรัล สร้อยที่เขาใส่ให้สิงห์ตัวน้อยเองกับมือ แพทองประดับมรกต สมบัติเดียวที่อาคิราได้รับมันจากผู้เป็นแม่


‘อาคิรา แม่ยกให้ลูก’


‘ลูกจักทำอันใดกับมันได้เล่าท่านแม่ รอยามท่านพ่อแลท่านแม่มีน้องหญิงอีกสักตน เพลานั้นท่านแม่ส่งมอบให้แก่น้องหญิงมิดีฤๅ’


‘มอบให้ลูกนั้นถูกต้องแล้ว สร้อยมรกตนี้มีอำนาจ ส่งผลต่อความรัก ความสมบูรณ์ แลการปกป้องคุ้มครอง ยามที่ลูกมีผู้ที่เป็นที่รัก แม่หมายจักให้ลูกส่งมอบมันต่อ เช่นที่พ่อของเจ้ามอบให้แม่’



ยามนั้นที่รับมาอาคิราไม่เข้าใจนัก ทำเพียงเก็บมันไว้ประหนึ่งของต่างหน้าของแม่ จนกระทั่งได้มาเจอ พิรัลนลิน อาคิราจึงวานให้พวกวิทยาธร ถักทองเพิ่มจนกลายเป็นแพทองเพื่อสวมป้องกันแก่ให้ทุรพลน้อย


“ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยคุ้มครองพิรัลด้วย พาน้องกลับมาหาลูกด้วยเถิด”




-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ

^ ความตาย



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ตอนนี้เป็นตอนที่บอกเล่าความหลังของตัวละครเยอะมากๆ

รวมถึงความรู้สึกของพี่อาคิราด้วย แม้จะเคยมีบ้าง

แต่สำหรับตอนนี้น่าจะบอกถึงความรัก ความนึกคิดของพี่อาคิราออกมามากที่สุดแล้ว

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ



และเช่นเคย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์ ผู้เขียนตามอ่านทุกความคิดเห็นเลยค่ะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกับตอนใหม่ ในคืนพรุ่งนี้ นะคะ









หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๔ {๑๒/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-10-2019 21:34:48
ขอให้น้องพิรัลฟื้นตัวไวๆนะ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ไรท์สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๔ {๑๒/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-10-2019 21:36:22
กลับมาๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๔ {๑๒/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 12-10-2019 23:09:11
 :pig4:  :pig4::pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๔ {๑๒/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 13-10-2019 15:17:35
พิรัลต้องรอดสิ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๕ คู่ตุนาหงัน {๑๓/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 13-10-2019 21:12:36
บทที่ ๑๕

คู่ตุนาหงัน






                    อาคิรานั่งเฝ้าพิรัลนลินอยู่ไม่ห่าง ราชสีห์หนุ่มไม่กินไม่นอนติดต่อกันหลายวันคืน จนผู้ที่สังเกตการณ์จากภายนอกนึกเป็นห่วงทั้งคู่กันถ้วนทั่ว ไม่เว้นแม้แต่ศศิน ทันทีที่ทราบข่าว ทุรพลหนุ่มอดลนทนไม่ไหวที่จะตามมาดูอาการพิรัลนลินด้วยตนเอง


“ท่านอาคิรา เจ้าพิรัลเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า”


“ท่านศศิน อาการทางกายหลังจากได้รับยาจากท่านเขมอารัณย์ จึงดีขึ้นตามลำดับ บาดแผลภายนอกนั้นปิดสนิทดีแล้ว เหลือ
เพียงฟื้นคืนสติมาเท่านั้น”
 

“ข้าจักช่วยภาวนาให้เจ้าพิรัลฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว ยามข้ารู้ข่าวคราแรก เห็นว่าเจ้าพิรัลหยุดหายใจไปเสียแล้ว ข้อนี้จริงรึ”


“เป็นเช่นนั้น หากเพียงมินานข้ากลับจับถึงสัญญาณชีพได้อยู่แผ่วเบา ครั้นพอได้รับยาจากท่านเขมอารัณย์ การฟื้นตัวนั้นจึงรวดเร็วขึ้น ให้พอคลายกังวล”

 
“สัญญาณชีพขาดไปแล้ว กลับฟื้นคืนขึ้นมาได้ ช่างน่าอัศจรรย์แท้” ศศินครางแผ่ว มองร่างบอบบางบนตั่งนอนด้วยความพิศวง


“อัศจรรย์ดั่งเจ้าว่า หลังเจ้าพิรัลนั้นขาดใจทำให้วิวัสวานนั้นถึงกับวิปลาส ท่านเขมอารัณย์ไขว่าเป็นคำสาปองค์อินทร์เมื่อครั้งบรรพกาล เช่นนั้นคำสาปทุรพลจักมีผลต่ออุตมางค์ได้ ทุรพลต้องถูกทำร้ายจนสิ้นชีพเท่านั้น” ธีมารวีเอ่ยเสริมเพลานี้นางทั้งเข้าใจแลสับสนผสมกัน ...เหตุใดเจ้าพิรัลจึงฟื้นคืน ฤๅยังมีเหตุผลบางประการที่เหล่าจตุราชสีห์หลงลืมไป


“เพราะเหตุใดกัน...รึว่า ท่านอาคิรา ข้าขอดูอาการเจ้าพิรัลสักประเดี๋ยวเถิด” ศศินขบคิดเพียงครู่ ก็คล้ายกับได้พบทางสว่าง


“เชิญ”


เมื่อได้รับอนุญาต ศศินไม่รอช้ารีบเข้ามาพิจารณาเจ้าสิงห์น้อยโดยไว มือเรียววางลงบนแพทองรอบลำคอระหง ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปลูบบริเวณลำคอแผ่วเบา ก่อนจะเบิกตากว้าง ใบหน้าคมตวัดหันกลับมามองหน้าอุตมางค์หนุ่มรูปงามผู้ถูกกล่าวลับหลังว่า’ ช่างทื่อมะลื่อ‘ ตาโต



“ข้าคิดว่า ข้าพอจักรู้สาเหตุของความอัศจรรย์นี้แล้ว เพื่อความมั่นใจ ข้าขอรบกวนพูดคุยกับท่านอาคิราสักครู่ได้ฤๅไม่”


“ไว้หลังจากเจ้าพิรัลฟื้นคืนมาเถิด” ธีมารวีร้องปราม


“เจ้าพิรัลจักมิเป็นอันใด หากสิ่งที่ข้าคิดนั้นได้เกิดขึ้นจริง เจ้าพิรัลนั้นชะตาขาดไปแล้วนั้นเป็นแน่แท้ จึงใช้เพลาในการฟื้นตัวมากโข ข้าจักกล้ายืนยันได้หนักแน่นขึ้นหากได้ฟังคำยืนยันจากท่านอาคิรา”

 
“เช่นนั้น ข้ายินดี”


ศศินรั้งอาคิรามาซักถามเป็นการส่วนตัวดังปากว่า แม้กระทั่งธีมารวีผู้เป็นภรรยาก็ไม่เว้น ใช้เวลาเพียงไม่นานการพูดคุยก็ผ่านพ้น หลังจากนั้นอาคิรากลับมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น ผิดกับศศิน ทุรพลสิงห์หนุ่มโมโหหน้าดำหน้าแดงจนธีมารวีต้องรีบเข้ามาลูบเนื้อลูบตัวสามีเป็นพัลวัน


“ข้ามิได้เห็นทูนหัวของข้าโมโหเป็นฟืนไฟเช่นนี้มานานนัก เจ้าทำอันใดกันอาคิรา” ธีมารวีแล่นเข้ามาเค้นคอน้องชายเสียงเขียว หลังนางพาสามีออกไปนั่งพักด้านนอกเพื่อระงับอารมณ์


“เมื่อถึงเพลานั้นท่านจักรู้เอง”


“มิใช่เรื่องเล็กน้อยเป็นแน่” นางสิงห์ไม่อยากยอมจำนนนัก แต่สิงห์ที่นางรุกไล่อยู่นี้คืออาคิรา เมื่อหินผามิยอมเอ่ยปาก ธีมารวีมิต่างกับตะโกนใส่กำแพง...เหนื่อยเพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้จักทำสิ่งใดนอกจากรอคอย


“ท่านรวี ข้าจักพาเจ้าพิรัลกลับวันพรุ่ง ท่านจักแยกกลับเลยฤๅไม่”


“จักกลับไปที่ใด แลพิรัลเองยังมิฟื้นมิใช่รึ” นางสิงห์เลิกคิ้วถามน้องด้วยความฉงนสนเท่ห์


“ข้าตระเตรียมที่ทางสำหรับพวกเราไว้แล้ว จึงหมายจักให้เจ้าพิรัลฟื้นขึ้นมาพบแต่ความร่มรื่นสบายใจ”


“ดี ข้าอยากพักผ่อนเต็มทน ก่อนไปเจ้าจงจัดการทางนี้เสียให้เรียบร้อย เพลานี้เจ้าถือเป็นผู้นำพวกเขาแล้ว” อาคิรายามนี้เติบโตเต็มตัว ซ้ำยังเป็นถึงผู้ครองคูหา นางจึงไม่คิดขัดความต้องการอื่นใด เพียงเตือนในบางข้อที่ดูเหมือนน้องชายจักไม่ให้ความสนใจเกินไปเท่านั้น


“เช่นนั้นเราออกไปพบพวกเขาเถิด ข้าต้องการปลดเปลื้องภาระนี้ให้หมดสิ้นไปเสียที” อาคิรากล่าวกับผู้เป็นพี่สาว หลังไหล่เหยียดตรงองอาจ ก้าวเดินออกไปยังชานเรือน ด้วยท่วงท่าสง่างามให้ธีมารวีได้ยกยิ้มภูมิใจ


บัดนี้อดีตไกรสรสีหะในความครอบครองของพันแสง ถูกรวบรวมมาไว้ที่กลางลานโล่ง โดยมีสิงห์จากชุมอื่นๆ ยืนควบคุมอย่างสงบเรียบร้อย


อาคิรากวาดตามองสิงห์เหล่านั้นเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์อื่นใดเพียงครู่ จึงกล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง


“ข้ามีความปรารถนาเดียวคือล้างเลือดให้แก่พ่อแลแม่เท่านั้น มิได้หมายเข้ามาปกครองที่นี่แต่อย่างใด”

 
“แต่ท่านคือผู้มีสิทธิ์ เต็มสิทธิ์ พวกข้าน้อมรับท่านขึ้นเป็นผู้นำ” สิงห์ชราหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น ด้วยแววตาแห่งความปีติยินดี เรียกเสียงโห่ร้องเห็นด้วยขึ้นมาได้ระลอกหนึ่ง


“เป็นข้าเองที่หาได้สะดวกใจ แม้คูหาแห่งนี้จักเป็นที่เกิด ทว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายนั้นฝังใจข้าเช่นกัน จึงขอให้พวกท่านปกครองกันเองตามเห็นสมควร แลระลึกไว้เสมอว่าเหตุใดพวกท่านจึงถูกจองจำจนชั่วชีวิตเช่นนี้ อย่าได้ผิดพลาดอีก”

 
อาคิรากล่าวต่อหลังสิงห์หนุ่มรอให้เสียงโห่ร้องสงบลง แม้ไม่แสดงท่าทีข่มขู่ให้หวาดกลัว หากนัยน์ตาคมกล้ากลับแน่วแน่เสียจนไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวขัด หลังจากเหล่าไกรสรสิงห์ได้หารือกันแล้วจึงตกลงกันว่า ควรเป็นภาสกรที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำ แม้ได้รับการแต่งตั้ง แต่ภาสกรกลับยอมเพียงควบคุมให้คูหาแห่งนี้อยู่ในความสงบเรียบร้อยเท่านั้น สิงห์หนุ่มกล่าวว่าสิทธิ์การครอบครองยังคงเป็นของอาคิรา กฎแห่งการท้าชิงอำนาจของราชสีห์ไม่อาจลบล้างได้ จนกว่าตนจะต่อสู้ชนะอาคิราได้ ซึ่งเช่นนั้นภาสกรรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ สิงห์ทั้งสองจึงยินยอมถอยให้กันครึ่งทาง เพื่อไม่ให้ยุ่งวุ่นวายไปมากกว่าที่เป็น

เมื่อหาผู้ครอบครองดูแลคูหาแห่งนี้ได้เป็นอันเสร็จสิ้น อาคิราและธีมารวีไม่ลืมที่จะไล่กล่าวขอบคุณมิตรสหายทุกตนที่ได้เข้ามาร่วมรบด้วยมิตรไมตรีก่อนแยกจาก


“ข้าขอขอบน้ำใจพวกท่าน ข้ายินดียิ่งที่ได้สู้รบร่วมกัน”


“ข้าขอขอบน้ำใจทุกท่านเช่นกัน แลขอสมาหากความมุทะลุของข้าทำให้เกิดความหมองใจ” กัญจน์ราชสีห์เป็นผู้กล่าวต่อ บัดนี้เขาสามารถมองอาคิราได้อย่างเต็มตาแล้ว กระทั่งมีความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนอาคิราอีกสักคราหากเจ้าพิรัลกลับมาแข็งแรงมากพอ พิรัลนั้นคือรักปักใจ ทว่ายังไม่ทันได้ลงลึกมากนัก ยามเสียไปนั้นแน่นอนว่าเจ็บแสบ ทว่ากัญจน์ราชสีห์ทนพิษบาดแผลได้ไหว แลแผลที่เกิดนั้นสมานตัวกันได้ไวพอตัว ซ้ำยังรู้สึกโชคดีที่ตนยังไม่ถลำลึกลงมากนัก เพราะบัดนี้ราชสีห์หนุ่มรู้ซึ้งแล้วว่าเช่นไร ตนก็ไม่อาจแทรกกลางระหว่างสิงห์ทั้งคู่ได้เลย


“ข้าขออวยพรทุกท่านพบพานแต่สิ่งอันประเสริฐ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมศึกกับพวกท่าน แลต้องขอตัวลาไปก่อน” นิลปารัชญ์ยิ้มบาง กาฬสีหะหนุ่มมาเพียงตนเดียวจึงไม่ต้องรั้งรอรวบรวมไพร่พลเช่นราชสีห์ตนอื่น เมื่อไม่เห็นความยุ่งยากใด ราชสีห์หนุ่มผู้เก็บตัวจึงขอแยกจากเป็นตนแรก


“ท่านออกเดินทางพร้อมข้าเถิด คูหาข้าเป็นทางผ่าน เช่นไรขอข้าต้อนรับท่านสักครา” กัญจน์สิงห์เอ่ยรั้งด้วยนิลปารัชญ์นั้นช่างลึกลับ จึงอยากสนทนาพาทีสักครา


“มิได้ดอกท่านกัญจน์ ท่านนิลปารัชญ์มีผู้ที่รอคอยอยู่” เขมอารัณย์ตบบ่าสิงห์หนุ่มด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ จนราชสีห์กัญจน์ที่ไม่รู้ความเข้าใจผิดไปไกล


“ท่านมีคู่แล้วฤๅ”


“หาใช่ไม่ เป็นเพียง ‘ความยุ่งยาก’ ที่ท่านเขมอารัณย์ยัดเยียดให้เท่านั้น ป่านนี้มิรู้ว่าคูหาข้าจักย่อยยับเพียงใดแล้ว จึงมิอาจรั้งรอได้นาน”


“เช่นนั้นข้ามิมีหน้ารั้งท่านไว้แล้ว เดินทางปลอดภัยเถิด”

 
“ท่านอาคิรา อาขอฝากเจ้ามะลุลีเดินทางไปด้วยหนา หลังบูรณะคูหาแล้วเสร็จอาจักไปรับน้องกลับด้วยตัวเอง”

 
“ขอรับ ข้าจักจัดสรรเรือนพักเจ้ามะลุลีให้สมฐานะ แลเหมาะสม มิให้ต้องเป็นที่ติฉิน เสื่อมเสียแม้เพียงน้อย ยามท่านอาไปรับกลับ ข้าขอให้คำมั่นด้วยเกียรติของข้า”


“ขอบน้ำใจเจ้านัก ได้ฟังเช่นนี้อายิ่งเบาใจ” ราชสีห์ภานุส่งยิ้มฝืด เมื่อถูกอาคิราพูดกล่าวตัดความหวัง เดิมเขาสืบเชื้อสายตระกูลเดียวกับพรมัน ในยามที่อาคิรายังเล็ก ภรรยาของเขาเพิ่งตั้งครรภ์เมื่อนักทำนายแจ้งว่าลูกตนนี้ของเขาจักเป็น ทุรพล มฤเคนทร์เฒ่าในชุมจึงได้มีการผูกคู่ตุนาหงันระหว่างมะลุลี และ อาคิราไว้ตั้งแต่บัดนั้น ตามประเพณีที่ปฏิบัติตามกันมาอย่างยาวนาน ด้วยต้องการให้ลูกหลานอุตมางค์ที่จะขึ้นมาเป็นจ่าฝูงในอนาคตเกิดจากทุรพลที่ดีพร้อม

และในยามนี้ที่อาคิราเติบโตอย่างสง่างาม ทั้งอุปนิสัยอันอบอุ่นอ่อนโยนทำให้ภานุนึกดีใจในวาสนาของลูกและตัวเขาเองที่เป็นพ่อตา...แต่ภานุอยากลองเสี่ยงกับความหวังสุดท้าย ความใกล้ชิดอาจสามารถผูกเชื่อมความสัมพันธ์พรหมลิขิตขึ้นได้ใหม่



เมื่อส่งเหล่าราชสีห์ทุกตนกลับไปยังถิ่นฐานครบหมดแล้ว จึงถึงคราที่อาคิราจะได้ทำตามประสงค์ของตนเสียที ราชสีห์หนุ่มอุ้มร่างพิรัลที่ยังไม่ได้สติลงมานอนบนเกวียนเทียมวัวแก้วที่เขมอารัณย์ตระเตรียมไว้ให้ ขบวนเดินทางของราชสีห์อาคิราประกอบด้วย ทุรพลสิงห์สามตน เหตุเพราะศศินดึงดันที่จะติดตามมาด้วยนั่งขนาบข้างกับมะลุลี ครอบครัวสามัญสิงห์สี่ตนขอติดตาม ด้วยทั้งหมดเป็นข้าเก่าแต่ครั้งพ่อแม่ของอาคิรา ทั้งหมดมุ่งหน้าเดินสวนทางน้ำขึ้นไปยังต้นปากแม่น้ำสีหมุข อันเป็นที่พักอาศัยแห่งใหม่ของราชสีห์อาคิรา


การเดินทางด้วยเกวียนวิเศษ และคำสั่งของอาคิราที่ให้ผู้ร่วมขบวนแปลงกายกลับเป็นร่างสิงห์ที่สามารถย่างก้าวได้เร็วไว ทำให้การเดินทางล่นเวลาเหลือเพียงวันถ้วนเท่านั้น จากเดิมทีการเดินทางด้วยร่างมนุษย์แล้วกว่าจะถึงที่หมายจำต้องใช้เวลาถึงสามทิวาราตรี


อาคิราพบเจอพื้นที่แห่งนี้จากการเดินเดินทางบำเพ็ญเพียรรักษาผู้ป่วย ได้ถือโอกาสท่องเที่ยวหาพืชสมุนไพรไปด้วย ยามแรกพบอาคิราถูกใจในความสงบเงียบสวยงามของมัน อุตมางค์หนุ่มจึงตั้งจิตเนรมิตคูหาแก้วของตนขึ้นมา หวังใช้พักอาศัยยามที่ตนปลดเปลื้องทุกพันธนาการหมดสิ้นแล้ว และได้กลับมาสร้างเพิ่มเติมหลังพบเจอเจ้าพิรัลนลินยามเติบโต...เพลานั้นอาคิรามิได้หวังว่าเจ้าสิงห์น้อยมาอยู่เคียงกาย เขาเพียงต้องการให้พิรัลได้แย้มยิ้ม ยามจำเป็นต้องมาค้างอ้างแรมบ้างบางคราเมื่อออกท่องรักษาโรคเท่านั้น


บริเวณกึ่งกลางถ้ำแก้วมีสระบัวขนาดใหญ่ออกดอกงดงามส่งกลิ่นหอมจรุงอบอวลทั่วคูหา เลยไปด้านหลังสระบัวจึงเป็นเรือนพักอาศัยขนาดกลางหันหน้าเข้าสู่บึงน้ำ ยามอยู่บนเรือนหลังนี้ไม่ว่ามองจากส่วนใดก็สามารถเห็นดอกบัวงามในสระได้ทุกที่ ถัดมาด้านขวาจากเรือนใหญ่ มีเรือนหลังเล็กสำหรับรับรองสิงห์ผู้มาเยือนสามสี่หลัง ส่วนพื้นที่ด้านซ้ายเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิดขึ้นอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทำให้ถ้ำของอาคิรานั้นให้ความรู้สึกสงบนิ่ง ฉ่ำเย็น คล้ายบุคลิกของผู้ครองเรือนอย่างยิ่ง

...อาคิราได้แต่หวังให้สิงห์น้อยขี้เซารีบลืมตาตื่นขึ้นมาร่วมชื่นชมในเร็ววัน




                    ผ่านไปกว่าสามราตรี เปลือกตาที่หลับพริ้มขยับยุบยิบก่อนจะค่อยๆ เปิดปรือขึ้น ในหัวของผู้ที่เพิ่งฟื้นยังคงมึนเบลอ ภายในลำคอนั้นแห้งผากเจ็บแสบจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำให้ออกมา พิรัลนลินจดจำได้เพียงเหตุการณ์ที่ตนกำลังป้อนน้ำใบรางจืด เพื่อขับพิษแก่สามัญสิงห์ตระเวนยาม เมื่อหันกลับไปยังเสียงเรียกดุดัน ฉับพลันเกิดเป็นความเจ็บแปลบแล่นริ้วทั่วร่างจากนั้นสิงห์น้อยก็ไม่สามารถมีสติจดจำสิ่งใดได้อีก...พิรัลค่อยๆ ลำดับความคิดอ่าน นิ่งสำรวจความรู้สึกทางร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ส่วนใด นอกจากอุ้งมือถูกความอบอุ่นเกาะกุมไว้


“เจ้าพิรัล ตื่นแล้วรึ” เสียงทุ้มนุ่มสั่นเครือที่กระซิบถาม ทำให้หัวใจรู้สึกอุ่นจนหยาดน้ำตาไหลซึม...ใช่แล้ว เมื่อฟื้นคืนขึ้นมา พิรัลถึงเพิ่งรู้ตัว ชั่วเวลาที่ลมหายใจกำลังถูกปลิดทิ้งพิรัลรู้สึกกลัว กลัวที่จะต้องตายจากอาคิรามากแค่ไหน


“กระหายน้ำฤๅไม่ จิบน้ำสักนิดหนาพิรัล”


เมื่อลำคอได้รับความชุ่มชื้น ดวงตาและจิตใจพลันแจ่มใสขึ้นมาทันที พิรัลพินิจใบหน้าของอาคิราอย่างเต็มตา ให้สมกับที่ตนสามารถฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง แต่เป็นอาคิราที่ตรงเข้ารวบร่างบอบบางของพิรัลเข้ามาไว้ในอ้อมอก ใบหน้าหล่อเหลาซุกซบลงกับไหล่บอบบางนิ่งนาน ไหล่กว้างและอ้อมกอดอุ่นสั่นไหวรุนแรง


“พี่คิดว่าจักต้องเสียเจ้าไปเสียแล้ว พี่ดีใจเหลือเกินที่เจ้ากลับมา ต่อไปนี้จักมิมีเรื่องร้ายใดเข้ามากล้ำกรายเจ้าได้อีก พี่จักมิยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องพิรัลของพี่อีกแม้ปลายเล็บ”

 
“ข้ากลับมาแล้ว พิรัลกลับมาแล้วจ้ะ” เสียงหวานใสยังคงแหบแห้ง สองแขนบอบบางโอบกอดรอบแผ่นหลังกว้างตอบเพื่อถ่ายทอดทุกความรู้สึกส่งผ่านไปยังเรือนกายใหญ่เช่นกัน


“เจ้าเจ็บปวดที่ใดฤๅไม่”


“ข้าหาได้รู้สึกเจ็บปวดที่ใด นอกจากที่ท้องเพราะความหิวเลยจ้ะ” พิรัลนลินนิ่งคิดเพียงครู่ ก่อนจะย่นจมูกตอบผู้เป็นพี่พร้อมรอยยิ้มแสนซน จนผู้ทำหน้าเป็นใส่อดยกนิ้วชี้ขึ้นมาเคาะลงบนเชิดเบาๆ เป็นการลงโทษไม่ได้


“เจ้าตัวร้าย พี่จักจัดหาลูกไม้มาให้ เจ้ารอสักประเดี๋ยวเถิด”



หลังจากอิ่มหนำกับผลไม้ที่อาคิราจักหามาให้แล้ว เรือนนอนของพิรัลก็ไม่ว่างเว้นอีกเลย ด้วยมีศศินและมะลุลีค่อยเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน และอาคิราที่คอยดูแลเรื่องกินยาอยู่ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะศศิน ทุรพลรุ่นพี่ที่ตั้งแต่พิรัลฟื้นเจ้าตัวก็เอาแต่คอยดูแลประคับประคองทุรพลน้อยไม่ห่าง กระทั่งยามนอนแม้แต่ธีมารวีผู้เป็นภรรยายังไม่อาจขัดได้ ทว่าสิงห์น้อยแม้จะฟื้นคืนมา แต่ยังคงไม่ปกติ เมื่อเจ้าตัวรู้สึกง่วงหาวอยู่เนืองๆ ทำให้ส่วนมากพิรัลนลินจะตื่นเพียงเพื่อดื่มยา กินอาหาร แล้วหลับไปอยู่ตลอดเวลา จนแทบไม่ได้พูดจาพาทีกับผู้ใดได้เลย


จนกระทั่งเข้าสู่วันที่สี่เมื่อพิรัลนลินไม่มีอาการง่วงงุน หรืออาการอื่นใดอีก ทุรพลน้อยลงจากเรือนเพื่อเดินยืดเส้นสายได้บ้าง พิรัลจึงถือโอกาสชวนมะลุลีออกมาชมดอกบัวในบึงใกล้ๆ เป็นครั้งแรก หลังจากทำได้เพียงเห็นมันจากหน้าต่างบนเรือนนอนมาหลายวัน


“ท่านศศินอย่าได้เคืองข้านักเลย ข้าก้าวก่ายได้เสียเมื่อไร อาคิราปลอดโปร่งเจ้ามะลุลีนั้นถูกผูกหมายมั่นหมายกันไว้เสียตั้งแต่ยังมิรู้ประสา อาคิราเองได้ออกตัวบอกปัดท่านภานุไปแล้ว กระนั้นอาภานุนั้นมีบุญคุณต่ออาคิราอยู่ออกปากร้องขอเองเช่นนี้จักบอกปัดได้เช่นไรเล่า เห็นใจข้าแลอาคิราสักนิดเถิด”

 
“ข้าเข้าใจ แต่เพลานี้จิตใจข้ามิอาจทำให้สงบได้ จนกว่าเรื่องนี้จักได้รับการสะสาง”

 
“โถ่ ทูนหัว เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่เราจักสอดมือยุ่งได้หนา”


“แต่เจ้า พิรัลกำลัง...เอาเถิด ถือว่าข้าเชื่อใจท่านอาคิรา”


สิ่งที่ได้ยินทำให้พิรัลรู้สึกตัวเย็นเฉียบ แม้สิงห์ทั้งสองตนจักไม่ได้เอ่ยเสียงดัง หากไม่พ้นการได้ยินไปได้เมื่อรอบกายนั้นเงียบนิ่ง เช่นเดียวกับทุรพลข้างกาย


“เจ้าพิรัล ข้า...” มะลุลีเอื้อมมือมากุมมือเรียวของเพื่อนไว้มั่น สีหน้าของมะลุลียามนี้ตื่นกังวลเสียจนคล้ายว่าจะร่ำไห้ออกมา จนพิรัลนลินต้องเอ่ยปลอบ


“เจ้าอย่าได้คิดกังวล เจ้าเป็นคู่ตุนาหงันนั้นสำคัญยิ่ง ตัวข้านั้น...เป็นเพียงความจำเป็นเท่านั้น”


“สำคัญสิเจ้า หากท่านอาคิรามีเจ้าเป็นที่รักในดวงใจ คู่ตุนาหงันย่อมควรต้องสิ้นสุดไปเสีย”


“มิเป็นเยี่ยงนั้นดอก”

 
“ข้าได้ยินเสียงเล่าอ้างกัน ว่าเจ้ากับท่านอาคิราเอ่อ...”


“เป็นข้าที่หน้าด้านฝืนใจท่านอาคิราเอง เหตุเพื่อภารกิจล้มล้างพันแสงแลช่วยทุรพลเท่านั้น มะลุลีอย่าได้กังวลไป หากข้าหายป่วยไข้ดีแล้ว ข้าจักกลับถ้ำสรรพยาทันที”

 
“เช่นนั้นฤๅ”

 
“จ้ะ” พิรัลรับคำ กลีบปากบางฝืนยิ้มสำทับ พลางพินิจทุรพลข้างกาย ยามนึกไปถึง เมื่อได้เห็นอาคิรายืนเคียงกับมะลุลี นั้นดูช่างเหมาะสมกัน เสียจนพิรัลรู้สึกแปลบยอกในอก...มะลุลีทั้งงดงาม อ่อนหวาน ส่วนข้านั้น ทั้งกระโดกกระเดก และหน้าไม่อาย
...ที่ผ่านมา เพราะพี่อาคิราใจดี แม้พิรัลจะดึงดันใช้สัญชาตญาณแห่งเดียรัจฉานมาเป็นเครื่องมือ เป็นผู้อื่นอาจโกรธเคืองถึงขั้นทำร้ายทำลาย แต่เพราะเป็นอาคิราผู้แสนดี นอกจากไม่ด่าทอให้อับอาย เจ้าตัวยังคงดูแลพิรัลเป็นอย่างดี ดีเสียจนทุรพลน้อยหลงระเริงไปมากมาย คิดถึงเพียงความสุขของตนเป็นที่ตั้ง แต่เพลานี้จักเอาความใจดีนั้นมาผูกรั้งอาคิราไว้คงไม่ได้ เท่านี้ทุรพลน้อยก็นึกละอายตัวเองมากพอแล้ว




-------> ต่อด้านล่าง






หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๕ คู่ตุนาหงัน {๑๓/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 13-10-2019 21:14:35

--------------> ต่อ


เพราะเข้าสู่ช่วงเหมันต์พิรัลที่เพิ่งฟื้นคืนย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาตากลมได้นานนัก เมื่อศศินออกมาตามทุรพลทั้งสองจึงไม่อาจอิดออดได้ เมื่อกลับขึ้นเรือนมะลุลีใช้โอกาสช่วงที่เพื่อนดื่มยาบำรุงแล้วนอนพัก กลั้นใจเดินเข้าไปหาคู่ตุนาหงันของตนเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นอุตมางค์หนุ่มยืนมองบึงบัวอยู่บริเวณชานเรือนเพียงผู้เดียว


“ท่านอาคิรา ดูจักชมชอบดอกบัวนะจ๊ะ”


“เจ้าเข้าใจถูกแล้วมะลุลี... นอกจากความสวยงาม มีกลิ่นหอมสะอาดเย็นใจแล้ว ข้าก็นึกรักในความเข้มแข็งอดทนที่สู้เพียรพาตนเองจากโคลนตมสกปรก กระแสน้ำ แลปากหอยปากปู ขึ้นมาชูช่อดอกงดงาม ไม่ว่าด้วยประการใดข้าล้วนชมชอบดอกบัวเสียหมดสิ้น” ยามเอ่ยถึงดอกบัว  ’ที่รักชอบ’ ดวงตาคมกล้ากลับทอดอ่อน กระทั่งเรียวปากบางยังเผลอยกยิ้มบาง เสียจนผู้จับสังเกตลอบยิ้มตามในใจ...ท่านอาคิรารูปงาม ทั้งยังสง่าองอาจ แต่ความอบอุ่นอ่อนโยนเช่นนี้คงมิใช่ทุกผู้ทุกตนจักได้รับมัน


“เช่นนี้ท่านคงมีดอกบัวจนเต็มหัวใจ มินึกชำเลืองแลดอกไม้อื่นกระมังจ๊ะ” …ดังเช่นดอกมะลุลีดอกนี้


“ย่อมเป็นเช่นนั้น”

 
“ท่านอาคิรา... เรื่องของพ่อข้านั้น ข้าต้องขออภัยที่ถือวิสาสะ ข้าจักส่งสารไปยับยั้งไว้ แลข้าเห็นควรว่าจักเดินทางกลับพร้อมท่านธีมารวีเสียทีเดียวจ้ะ”

 
“เป็นเช่นนั้น เจ้าจักเกิดปัญหาหนามะลุลี” อาคิราบ่ายหน้าจากบึงบัวกลับมาขัด ด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง


“ท่านอาคิราช่างมีเมตตา ทว่าครานี้ข้าขออนุญาตบอกกล่าวเจตจำนงของข้าเองเถิดจ้ะ นี้เป็นคราแรกที่ข้าคิดอยากมีปากมีเสียง มีความนึกคิดเป็นของตนเองบ้าง” มะลุลีส่ายหน้าปฏิเสธ นัยน์ตาแววหวานสบนิ่งพยายามถ่ายทอดความแน่วแน่ออกมาให้มากที่สุดเท่าที่ทุรพลน้อยสามารถทำได้


“เช่นนั้นข้ามิขัด แลขอบน้ำใจเจ้ามาก หากเกิดปัญหาสาหัสจงส่งข่าวกลับมา ข้าจักส่งสารถึงท่านภานุด้วยตนเองอีกครา”


“จ้ะ”


“ท่านอาคิรา ข้าขอสอดปากสักเรื่องได้ฤๅไม่จ๊ะ”

 
“เชิญเถิด”


“เพลานี้ดอกบัวของท่าน ข้าเกรงว่ากำลังเหี่ยวเฉาเพราะความทึกทักไปเอง ข้าเห็นว่าท่านควรเร่งเข้าไปดูแลนะจ๊ะ”


“เฮ้อ ดอกบัวนี้แม้จักเข้มแข็ง ทว่ากับบางเรื่องกลับกลีบบาง ใสซื่อ แลดื้อรั้นเสียจนน่าตี... ขอบน้ำใจเจ้าหนามะลุลี” อาคิราส่งยิ้มบางเบาให้ทุรพลน้อย ร่างสูงใหญ่หันกลับเดินไปยังเรือนนอนของเจ้าดอกบัวของเขาไม่ปล่อยเวลาให้ช้านาน


ที่ผ่านมาอาคิราเห็นว่าพิรัลกำลังอยู่ในภวังค์นิทรา และเพิ่งฟื้นคืน ทว่าในเมื่อมีเรี่ยวแรงทึกทักเอาเองได้ปานนี้ อาคิราเห็นทีว่าเจ้าตัวดีคงมีแรงพอจะรับความจริงที่จะพันธนาการตนเองไว้กับเขาได้เสียที



มะลุลีที่เห็นดังนั้นจึงยกยิ้มรับ แล้วถอนหายใจออกยืดยาวด้วยความปลอดโปร่ง


“สิ่งที่ข้าสมควรกระทำ ข้าได้กระทำแล้ว นอกเหนือจากนี้เป็นหน้าที่ของพวกท่านแล้วหนา”


มะลุลียอมรับว่าตั้งแต่จำความได้ มะลุลีได้ยินผู้เป็นพ่อกล่าวถึงคู่ตุนาหงันของตนเนืองๆ ยามได้พบหน้าคร่าตาด้วยบุคลิกอันสุขุมสง่างาม ทั้งยังอ่อนโยนให้เกียรติผู้อื่นอยู่ในที หากต้องให้มะลุลีออกเรือนด้วย ทุรพลหนุ่มย่อมยินดีและคงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างยิ่ง เมื่อตนได้มีโอกาสพบอุตมางค์แสนร้ายกาจเช่น กลุ่มของพันแสง กระนั้นผู้ใดได้อยู่ในเหตุการณ์ที่พิรัลถูกทำร้ายแล้วดูไม่ออก ว่าอุตมางค์ผู้นี้มีใจรักให้แก่พิรัลมากเพียงใด ย่อมเป็นผู้หูหนวก ตาบอด เป็นแน่แท้

 
มะลุลีรู้สึกภูมิใจในการตัดสินใจของตัวเอง และต้องยกความดีให้แก่พิรัลนลินด้วย การมาของทุรพลผู้นี้ทำให้ความคิดต่อตนเองเปลี่ยนไป ไกรสรสิงห์น้อยเกิดและเติบโตด้วยการปลูกฝังความคิดที่ต้องรอวันออกเรือน ดูแลลูกและผู้ที่จะมาเป็นสามี แม้ตนจักเป็นสิงห์ตัวผู้แต่ด้วยวรรณะทุรพล ทำให้มะลุลีถูกปฏิบัติราวกับนางสิงห์ ไม่เคยมีความคิดอ่านใดมากกว่าการปฏิบัติตนให้มีกิริยาอ่อนหวาน เพียบพร้อมรอคู่หมาย แต่พิรัลทำให้มะลุลีหรือแม้แต่ทุรพลตนอื่นตระหนักได้ว่าการเป็น ทุรพลหาใช่ขีดจำกัด แม้จะไม่อาจเทียบเคียงอุตมางค์ หรือสามัญสิงห์ แต่ทุรพลนั้นยังสามารถกระทำสิ่งใดได้มากกว่าการเป็นคู่ครอง เป็นแม่
เช่นขณะนี้ มะลุลี รู้จักที่จะปฏิเสธด้วยความต้องการของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต นอกจากเพื่อความรักพิรัลและอาคิรา ยังเป็นการปลดพันธนาการของตัวมะลุลีเองด้วย ถึงยังไม่รู้ว่าตนทำสิ่งใดได้ดี และดูเป็นการกระทำเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพิรัล หากทุรพลน้อยกลับภาคภูมิใจในตัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความฟูฟ่องในอกนี้ทำให้มะลุลีไม่นึกหวาดกลัวที่จะค้นหาตัวตนอีกต่อไป...




                    ขณะเดียวกันพิรัลที่หลับในเรือนนอนเพียงลำพัง กลับลืมตาตื่นขึ้น ทุรพลน้อยยันตัวขึ้นมาทอดสายตามองเหม่อรอบเรือนนอนของตน


“เจ้าชอบที่นี่ฤๅไม่” อาคิราเอ่ยทักเมื่อเข้ามาเห็นตนนั่งเท้าคางมองลงไปยังบึงบัว


“จ้ะ ที่นี่ราวกับเป็นภาพฝัน หากที่แห่งนี้มิมีพี่อาคิรา พี่ศศิน ท่านธีมารวี แลทุกตน ข้าต้องคิดว่าได้ละทิ้งกายหยาบขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์เป็นแน่”

 
“หากที่แห่งนี้เป็นสรวงสวรรค์ ฤๅภพภูมิใด ยามเจ้าลืมตาตื่นเจ้าย่อมเจอพี่ เช่นนั้นเจ้าจักใช้พี่เป็นมาตราชี้วัดได้เล่า” สิงห์หนุ่มพูดราวกับจะติดตามไปทุกหนแห่ง

 
“เจ้าพิรัล ตากลมนานไปแล้วหนา เจ้ายังมีเพลาอีกมากนานที่จักชื่นชมพวกมัน...นานเท่าที่เจ้าต้องการ มารับยาเสียก่อน”
แต่จะเป็นไปได้เช่นไร ในเมื่ออีกไม่ช้านานย่อมต้องแยกจาก...ต่อไปพื้นที่ข้างกายของพี่อาคิราจะไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป



ทุรพลน้อยถอดถอนหายใจหนัก พยายามบังคับใจตัวเองไม่ให้เศร้าโศกมากนัก เดิมทีสิงห์น้อยตั้งใจที่จะลงมือพับผ้าผ่อนที่สิงห์รับใช้ของธีมารวีเป็นธุระนำมาให้จากคูหาเดิม แต่เพราะรู้สึกวิงเวียน จึงต้องหยุดมือเพื่อพักร่างกาย ความเศร้าเสียใจจากความรักนั้นมีท่วมท้น แต่ความผิดปกติของร่างกายนั้นน่าแคลงใจไม่แพ้กัน


หลังจากฟื้นตื่นขึ้นมา ร่างกายของเขาขัดแย้งตีรวนไปหมด แม้รู้สึกอ่อนเพลียง่ายแต่กลับรู้สึกหิวถี่ขึ้นในช่วงวัน ทั้งยังกินจุมากเป็นเท่าตัว มือเรียวสำรวจบาดแผลที่ช่วงอก เพลานี้ไม่มีร่องรอยเหลือไว้อีกแล้ว เมื่อถามไถ่ถึงโอสถตัวแรกที่รับนั้น เป็นโอสถทิพย์จากท่านเขมอารัญอันมีส่วนผสมของน้ำจากสระอโนดาต สระน้ำที่ขึ้นชื่อเรื่องการเยียวยาจึงไม่น่ามีอาการอ่อนล้ายาวนานข้ามวันคืนเช่นนี้


เมื่อความวิงเวียนคลายลง แม้จะเชื่อใจอาคิราที่เป็นหมอยามากความรู้ยิ่งกว่าตน แต่ลางสังหรณ์บางประการสะกิดเตือนในใจ จนพิรัลตัดสินใจตรงไปยังเรือนยา ที่อยู่ทางปีกขวา เพื่อดูตัวยาบำรุงที่ตนได้ดื่มหลังจากฟื้นขึ้นมา



หากเป็นเรือนราชสีห์ทั่วไปมักไม่มีเรือนครัว ด้วยยามกินอาหารจตุราชสีห์โดยเฉพาะ บัณฑูรสีหะ และ ไกรสรสีหะ ซึ่งเป็นสิงห์กินเนื้อ แต่คูหาของอาคิราและอาจารย์อัตรคุปต์จำเป็นต้องมี เพื่อใช้ปรุงยาในการรักษาผู้ป่วยไข้ บริเวณเตาไฟใกล้ระเบียงยังมีหม้อต้มยาตั้งอยู่ ทุรพลน้อยบรรจงเปิดหม้อยา หยิบตัวยาก้นหม้อขึ้นมาพินิจดู ส่วนประกอบพร้อมรื้อความทรงจำอยู่เพียงครู่ ความแคลงใจยิ่งชัดขึ้น


เพราะสมุนไพรภายในหมอยาไม่ใช่ตัวยา ในตำรับยาหอม เพื่อปรับสมดุลร่างกายหลังป่วยไข้ แต่กลับเป็น ตำรับ ‘พิกัดเกสรทั้งห้า‘ อันได้แก่ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี และเกสรบัวหลวง ซึ่งมีรสและกลิ่นคล้ายยาหอม หากแต่มีส่วนผสมน้อยกว่า และสรรพคุณต่างกันหลายประการ แต่สิ่งที่ประจักษ์นั้นเหนือการคาดคิดไปไกลโข ทำให้ความมั่นใจของพิรัลนั้นมีไม่มากพอจักเชื่อได้ แม้สัญชาตญาณภายในกายร้องบอกว่ามันเป็นความจริง...



ร่างเล็กไม่รอช้า ด้วยความร้อนใจ มุ่งหน้าไปยังหอตำรา ที่อาคิราใช้เก็บสมุนไพร และตำราอยู่ถัดจากเรือนครัวเพียงฝากั้น เพื่อหาข้อยืนยันแก่ตนเองทันที เพราะเรือนนี้มิใช่เรือนเปิดเป็นสาธารณะเช่นเรือนของอาจารย์ บานประตูจึงไม่มีการขัดดาลแน่นหนาและโอ่อ่าเท่า เมื่อก้าวเข้ามาตากลมโตกวาดสายตารอบเดียวก็พบตำราตำรับยาวางเรียงไว้เป็นระเบียบบนตั่งไม้ อีกฟากเต็มไปด้วยกลักและล่วมยาสมุนไพร พิรัลยอบตัวลงกรีดนิ้วไล่หาตำรับยาที่ต้องการ โชคดีที่มันคงเพิ่งถูกหยิบมาใช้เมื่อไม่นานมานี้ สิ่งที่ทุรพลน้อยต้องการจึงอยู่ด้านบนของกองตำรานับสิบ ไม่ต้องเสียเวลารื้อหาให้นานนัก



พิรัลใจเต้นรัวยามไล้ปลายนิ้วเพื่ออ่านอักขระบนใบลานเบื้องหน้า ด้วยแม้ทุรพลน้อยจะได้รับการศึกษามาบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นแตกฉานจนคล่องแคล่วดั่งอุตมางค์ผู้มากความสามารถเช่นอาคิรา


พลันเมื่ออ่านจบเลือดในกายกลับรู้สึกเย็นเหยียบจนชาดิก หัวสมองคว้างลอยคล้ายจะเป็นลมจนต้องหยุดพัก เพื่อปรับลมหายใจและรวบรวมสติสัมปชัญญะอีกรอบ มือเรียวสั่นเทาผละจากตำราค่อยๆ ลูบไล้หน้าท้องของตัวเองแผ่วเบา ทั้งที่ยังไม่อยากยอมรับ...


’จะเป็นไปได้เช่นไร หามีทางจักเป็นเช่นนั้นได้ไม่ ในเมื่อข้ายังมิได้’ คิดไปสรตะมือเรียวเผลอยกลูบฐานคอไปมาตามความคิด ไม่ทันรู้ตัวว่า ประตูเรือนได้ถูกผละออกด้วยฝีมือของผู้ที่ทำให้ว้าวุ่นใจ


“เจ้าพิรัล เข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด แล้วนั่นเจ้าเป็นอันใด ลมจับรึ”

 
“ข้า...” อาคิราที่เห็นน้องหน้าซีดขาว ไม่รอฟังเสียงตรงเข้ามาช้อนอุ้มพิรัลนลินกลับเรือนนอนอย่างรวดเร็ว







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน
เอาล่ะค่ะถึงเวลาที่พี่อาคิราจะไม่อ่อนโยนกับน้องอีกต่อไป!
และถึงเวลาที่จะแจ้งว่า ลำนำมฤคินทร์ มาถึงโค้งสุดท้ายแล้วนะคะ
น่าจะจบภายในอาทิตย์หน้านี้แล้วนะคะ (ถ้าไม่วันเสาร์ ก็คือวันอาทิตย์แน่นอน)

สุดท้าย ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ
หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ หรือไม่เข้าใจ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยค่ะ
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ
พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า นะคะ










หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๕ คู่ตุนาหงัน {๑๓/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 13-10-2019 22:16:32
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๕ คู่ตุนาหงัน {๑๓/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-10-2019 02:42:13
ปล่อยให้ค้างอีกแล้ว :m31:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๕ คู่ตุนาหงัน {๑๓/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 14-10-2019 17:10:36
ท้องแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๕ คู่ตุนาหงัน {๑๓/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 14-10-2019 20:08:57
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๕ คู่ตุนาหงัน {๑๓/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-10-2019 12:54:14
พิรัลท้องแล้วใช่ไหม  :hao7:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ/๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 19-10-2019 21:11:41
บทที่ ๑๖
[/size]

ปัจฉิมบท





                    อาคิราอุ้มพิรัลนลินเข้ามายังเรือนพักของเจ้าตัว ค่อยๆ บรรจงวางร่างน้อยไว้บนประการนอน พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นกองผ้าที่เคยพับเก็บไว้ในหีบ ถูกนำออกมามัดรวมไว้ในห่อผ้า เพื่อใช้ในการเดินทาง คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นก่อนถอนหายใจหนัก เรือนกายสูงใหญ่ หันตัวกลับไปยังประตูลงมือขัดดาลป้องกันถูกขัดจังหวะ แล้วกลับมายอบตัวลงนั่งคุกเข่าประจันหน้ากับเจ้าตัวยุ่ง


“เจ้าพิรัล...นี่ถึงกับตระเตรียมเก็บข้าวของเทียวฤๅ”


“จ้ะ ข้าขอรบกวนพี่อาคิราอีกเพียงสองสามทิวา เพลานั้นร่างกายข้าคงพร้อมเดินทางกลับเสียที” พิรัลฝืนใจพูดได้เท่านี้ เคยนึกว่าตนจะแข็งแกร่งมากพอ แต่ในตอนนี้เรี่ยวแรงกลับเหือดหาย มือเล็กเผลอกำผ้านุ่งของตนจนข้อขาวเพื่อเก็บกลั้นน้ำตา...ทำตัวเอง


“เช่นนั้นฤๅ...แล้วเจ้าไปเรือนยาด้วยเหตุใดเล่า หาสิ่งใดอยู่ พี่จักจัดการให้”


“หาได้ต้องการสิ่งใดดอกจ้ะ ข้าเพียงแต่...อยากรู้ตัวยาที่ดื่มอยู่ เผื่อกลับไปแล้วจักได้ต้มดื่มให้ต่อเนื่องจ้ะ” ทุรพลน้อยตอบอึกอัก ตากลมโตเสมองไปทางอื่นยามเอ่ยคำโกหก


“เช่นนั้นเจ้าคงรู้ตัวยาที่ดื่มกินไปแล้วกระมัง” ผู้พี่แสร้งว่าจับไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมองสบสิงห์น้อยที่นั่งสูงกว่าส่งยิ้มถามต่อ


“เป็นยาตำรับ...เกสรห้าชนิดจ้ะ” พิรัลยังคงตอบเสียงแผ่ว มือเท้ารู้สึกเย็นเหยียบทั้งที่เม็ดเหงื่อกลับเริ่มผุดพราย


“สรรพคุณเล่า เกสรห้าชนิดนี้ ต่างจากยาหอมบำรุงกำลังหลังฟื้นตัวตามที่ควรเป็น เยี่ยงไร”


“เกสรทั้งห้า ตัดตัวสมุนไพรบางชนิดที่อาจมีผลต่อหญิงตั้งครรภ์ จึงมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ แก้วิงเวียน แล...บำรุงครรภ์ พะ พี่อาคิราเรื่องเช่นนี้ ปะ เป็นไปมิได้” พิรัลส่ายหน้าดิก เอ่ยถามพี่อาคิราของตนจนปากคอสั่น


“เสียใจด้วยหนาพิรัล’ เรื่องเช่นนี้’ นั้นได้เกิดขึ้นแล้ว เจ้ามิรู้สึกตัวจริงรึ” อาคิรายืดตัวขึ้นจนใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งยังขยับเท้าแขนแกร่งของตนไว้กับตั่งนอนกักกัน ทุรพลน้อยที่กำลังตื่นตระหนกไม่สามารถลุกหนีไปได้


เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวดีไม่มีทีท่าจะหลบลี้ มือหนาจึงเอื้อมปลดสร้อยแพทองบนลำคอระหงออก ก่อนจะดันกระจกทองเหลืองใกล้มือขึ้นมา ปลายนิ้วเรียวไล้เบาๆ ลงบนฐานลำคอ ที่ถูกกระจกทองเหลืองสะท้อนไปรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่แม้แต่เจ้าของร่างก็ไม่ทันสังเกตเห็น


“พะ พี่อาคิรา เหตุใดพี่... ทำเช่นนี้ ท่าน ท่านมีคู่ตุนาหงัน แล...แล...ท่านไม่จำเป็นต้อง”


“ชู่...เจ้าฟังพี่” นิ้วชี้เรียวรีบแตะลงบนกลีบปากอิ่มของพิรัลเป็นการปราม...หมดเวลาแล้วที่เจ้าตัวยุ่งจะเล่นวิ่งไล่จับกับเขาแล้ว


“เจ้าเป็นฝ่ายเข้ามาผูกรั้งพี่เอง เมื่อหมดเรื่องแล้วจักถีบส่งพี่รึเจ้า... เพลานี้ถึงทีพี่บ้าง พี่จักผูกรั้งให้เจ้าอยู่กับพี่ ไปตลอดชีวิตของเจ้า สมน้ำมะหน้าเจ้าตัวร้าย” อาคิราแกล้งยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ร้าย พาให้ผู้ถูกเอาคืนหน้าตื่นคล้ายจะร้องไห้ออกมารอมร่อ


“ข้า... ไฉนพี่ว่ามิได้โกรธเคือง”


“เฮ้อ เจ้าพิรัล พี่มิได้โกรธเคือง พี่เพียงรักเจ้า เช่นเดียวกับที่เจ้าลอบบอกรักพี่กับท่านศศินเช่นไรเล่าเจ้าตัวดี”


“ฮึก พี่...ข้าฤๅ พี่อาคิรา พี่นั้นฤๅ เป็นไปได้เยี่ยงไร ฮึก ข้ายังคงอยู่ในห้วงนิทราเป็นแน่แท้” เพียงคำว่ารักที่ถูกปล่อยออกมาก็ทำให้พิรัลนลินถึงกับร้องไห้โฮ เจ้าสิงห์น้อยไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังตกใจ หรือดีกันกันแน่


“โอ๋ นิ่งเสียพิรัลของพี่ พี่ขออภัยต่อเจ้า ที่กระทำไปโดยมิถามความเต็มใจ แลพี่รู้สึกโชคดีที่พี่กระทำไป คราแรกพี่หวังเพียงผูกพันธะเพื่อให้เจ้ารอดพ้นจากอุตมางค์ทุกตน ที่จักเข้าหายามเจ้าแฝงตัวเข้าไปยังถ้ำพันแสง หลังจากพี่ได้ยินเจ้าพูดความในใจแต่หนนั้น มิได้หมายใจจักให้มีครรภ์ ด้วยหากพี่รู้พี่คงมิอาจปล่อยเจ้าไปเช่นนั้น” ตาคมเข้มจ้องลึกลงไปนัยน์ตากลมโต เพื่อถ่ายทอดทุกความรู้สึกออกมา


“...สุดท้ายกลับเป็นเพราะลูกเจ้าถึงรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชกลับมาหาพี่” อุตมางค์หนุ่มเอื้อมมือเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มเนียน บอกเล่าด้วยเสียงสั่นเครือ เมื่อหวนคิดไปถึงยามที่พิรัลถูกทำร้ายจนหมดลมหายใจไปต่อหน้า


“ในตำราบันทึกไว้ คราแรกยามฝังเขี้ยวมิอาจทำให้ทุรพลตั้งครรภ์ได้ นั้นเป็นอีกเรื่องที่ชาวสิงห์เราเข้าใจคลาดเคลื่อน จากคำบอกเล่าของท่านศศิน แลนางสิงห์รำไพ และจำปาแล้ว เห็นทีเจ้าคงตั้งครรภ์ในคืนที่เราร่วมหอก่อนออกเดินทางไปคูหาติณสีหะนั่นแล้ว แลด้วยฤทธาแห่งอุตมางค์ในครรภ์ ทำให้มิสามารถมีผู้ใดคราชีวิตเจ้าได้ ขอบน้ำใจที่ช่วยแม่เจ้าไว้ลูกพ่อ” อาคิราลูบมือลงบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ แล้วกดจูบลงไปแผ่วเบา


“พี่อาคิรา ท่านช่างร้ายกาจ” พิรัลนลินเม้มปากเข้าหากันแน่ ในเวลานี้ทุรพลน้อยความรู้สึกตีกันไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ว่าตนกำลังรู้สึกเช่นใด ที่มากสักหน่อยเห็นจะเป็นความรู้สึกเข่นเขี้ยวอุตมางค์หนุ่มที่นั่งกอดซบเอวตนอยู่เวลานี้


“เจ้าเล่า เก่งกล้า หูตาไวไปเสียทุกเรื่อง ไยมาไร้เดียงสากับเรื่องพี่นัก ช่างทึกทักไปเอง ซ้ำยังผลักไสพี่ให้ผู้อื่น รอยบนคอนั้นพี่ตั้งใจจักบอกเจ้า ทว่าเจ้านั้นเอาแต่บ่ายเบี่ยง คำหนึ่งเพื่อหน้าที่ คำสองพี่ไม่ต้องรับผิดชอบเจ้า เสียจนพี่มีน้ำโห คิดจับมัดเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป”


“....”


“เจ้าพิรัล พี่นั้นมิได้มีใจอารีกับสิงห์ทั่วทุกผู้ทุกตน บางตนถึงกับมองพี่ว่าเย็นชาร้ายกาจ เจ้าเห็นว่าพี่ใจดีนั้นเป็นเพราะสิงห์ตนนั้นคือเจ้า เพราะพี่รัก พี่ถึงคอยเอาใจ เฝ้าทะนุถนอมเจ้าถึงเพียงนี้ พี่พูดเช่นนี้เจ้าเข้าใจพี่ฤๅไม่ จักยอมรับรู้ถึงหัวใจพี่ แลยอมอยู่เคียงคู่สิงห์ร้ายกาจเช่นพี่ได้ฤๅไม่”


“แล้วมะลุลีเล่าจ๊ะ”


“เจ้ามะลุลีหาเกี่ยวข้องอันใด พี่ออกปากบอกปัดท่านภานุผู้พ่อเสียก่อนพาเจ้ากลับ แลเจ้ามะลุลีนั้นมีใจตรงกับพี่ในการสิ้นสุดข้อผูกมัดใดๆ ต่อกัน ทีนี้เจ้าจักอ้างผู้ใดอีกฤๅไม่”


“พี่อาคิรากล่าวว่าจักผูกมัดข้า เช่นนี้แล้วข้าจักไปที่ใดได้อีกเล่า” เมื่อทุกข้อหากระจ่างชัด เจ้าทุรพลน้อยไม่อาจหาข้ออ้างใดหลีกเลี่ยงหัวใจตัวเองได้อีกต่อไป ทว่าความเขินอายที่มากล้นทำให้พิรัลนลินอ้อมแอ้มตอบรับในที่สุด


“หากพี่มิผูกมัด แลเพียงวอนขอด้วยใจรักเท่านั้นเล่า” แต่เหมือนอาคิรายังไม่พอใจ สิงห์หนุ่มยังคงรุกไล่ทอดเสียงอ่อนถามต่อด้วยสีหน้าวอนขอ พาให้ใจดวงน้อยของพิรัลเต้นกระหน่ำจนแทบทะลุออกมานอกทรวงอก


“เช่นนั้นข้าจักอยู่ด้วยใจรักของข้าที่มีต่อพี่อาคิราเช่นกัน” พิรัลกลั้นใจเอ่ยปากเป็นข้อความที่ตรงกับหัวใจออกไปเป็นผลให้เจ้าสิงห์น้อยได้อ้อมกอดพร้อมจังหวะหัวใจที่เต้นแรงเร็วไม่แพ้กันของอาคิรากลับมา


อ้อมกอดอันอบอุ่นอ่อนหวานที่สุดของมฤคินทร์ทั้งคู่


อ้อมกอดที่ถูกสอดผสานด้วยหัวใจรักลึกซึ้งต้องตรงกัน


อาคิราประคองกอดอิงแอบร่างบอบบางของพิรัลนลินจวบจนรุ่งเช้าด้วยหัวใจอันแช่มชื่น และจักมอบอ้อมกอดนี้ให้แก่เจ้าดอกบัวของเขาตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต...




                   แสงอุ่นส่องรอดบานหน้าต่างเข้ามาปะทะใบหน้าอ่อนหวานที่ยังคงหลับพริ้ม อุตมางค์หนุ่มผู้ลืมตาขึ้นจากนิทรารมณ์เฝ้ามองด้วยดวงตาทอดอ่อน มือแกร่งยกขึ้นปัดเกลี่ยเส้นผมยาวสลวยออกจากดวงหน้าหวาน ไล้เรื่อยลงมาแก้มเนียนเบามือ

...ผิวพิรัลยามนี้อุ่น ไม่เย็นเฉียบเหมือนครานั้น

...รอยยิ้มของน้องน้อยยามลืมตาตื่น อ่อนหวานเสียจนทำให้ใจสั่น

...ตากลมโตเป็นประกายฉายชัดเพียงเข้า...พิรัลนลินผู้นี้เป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ เพียงคิดถึงตรงนี้ความรู้สึกเป็นสุขก็อาบล้นไปทั่วร่างจนไม่อาบบรรยาย หรือกระทำสิ่งใดได้นอกจากเผยยิ้มกว้างที่สุด แล้วดึงร่างแบบบางนั้นมาโอบกอดไว้ให้แน่นที่สุด ทว่าเจ้าตัวดีกลับยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวคลุมตัวปิดบังร่างตัวเองไว้เสียจนมิด


“พะ พี่อาคิรา”


“เจ้าเป็นอันใด”


“ฮื่อ ข้า ข้าอาย” เสียงแว่วออกมาจากในโปงผ้าแผ่วเบา เรียกรอยยิ้มเอ็นดูระคนมันเขี้ยวแก่อาคิราขึ้นมาติดหมัด


“เขินอายอันใด มิใช่ว่าเราเคยนอนร่วมเตียงกันมาแล้วดอกรึ”


“ก็ ก็เพลานั้นข้าลืมคิดนี่จ๊ะ ทว่า ทว่าตอนนี้ต่างออกไป ข้า ข้า...”


“ครานั้นเจ้าเห็นพี่เป็นเพียงเครื่องมือ เพลานี้เจ้าเห็นพี่เป็นสามีเจ้าเต็มเนื้อเต็มตัวแล้ว พี่เข้าใจถูกฤๅไม่” เมื่อกล่าวจบก้อนผ้าข้างกายคล้ายจะยิ่งหดเล็กลง


“เจ้าพิรัล...เจ้า...” อาคิราถึงกับขำออกมา วงแขนแกร่งรวบดักแด้น้อยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จุมพิตเจ้าตัวร้ายผ่านผืนผ้าเนินนานจนเจ้าตัวดียอมนิ่งในอ้อมกอด จึงค่อยๆ เลื่อนผ้าห่มออกเผยให้เห็นพวงแก้มแดงปลั่งน่าฟัด


“พี่ดีใจที่เรามีวันนี้ ดีใจที่เจ้ากลับมาหาพี่”


“ข้ามีความสุขเช่นกันที่ได้กลับมาหาพี่อาคิรา...ข้ามิได้อยู่ในห้วงฝันใช่ฤๅไม่จ๊ะ” นิ้วน้อยค่อยๆ เอื้อมสัมผัสใบหน้าคมเข้มของผู้พี่แผ่วเบา เพื่อยืนยันกับตัวเอง เพราะในเวลานี้พิรัลนลินมีความสุขเสียจนไม่อยากเชื่อตัวเอง


“เป็นฝัน ฤๅความจริง ท้องนภา ฤๅห้วงมหานทีสีทันดร มิว่าภพใดหากที่แห่งนั้นมีเจ้า พี่ย่อมติดตามไป เช่นนั้นมิสำคัญว่าเพลานี้จักเป็นเพียงฝันฤๅไม่” อาคิราประคองมือน้อยที่ข้างแก้มขึ้นมาจรดจูบนิ่งนาน


“หากอาการวิงเวียนบรรเทาลง พี่จักพาเจ้าไปเยี่ยมพ่อแม่ของเจ้าดีฤๅไม่”


“ขอบน้ำใจจ้ะ” เช้าแรกของการเป็นคู่ชีวิตอย่างเต็มตัว เต็มไปด้วยรอยยิ้มและหัวใจที่เป็นสุข






                    กาลเวลาพ้นผ่านไปด้วยความสงบราบรื่น ไม่มีอีกแล้วความหวานกลัวและความคับแค้นที่เป็นประการคอยฉุดรั้ง ทุกชีวิตต่างแยกย้ายไปดำเนินชีวิตในเส้นทางของตัวเองในเป้าหมายและความวาดหวังแห่งใหม่ ธีมารวีและศศินได้เปิดคูหาของตนให้การศึกษาแก่จตุราชสีห์โดยเปิดกว้างไม่แบ่งแยก มีมะลุลีคอยช่วยเหลือกิจการงานต่างๆ โดยมีกัญจน์ราชสีห์คอยวนเวียนไปมาหาสู่ไม่ขาด เหตุการณ์ที่พิรัลนลินเสี่ยงเอาตัวเข้าไปเป็นนกต่อของพันแสง และการเปิดสอนตำราโดยทุรพล ได้ปลุกความตระหนักรู้ในตัวของทุรพลตนอื่นๆ ขึ้นมา แม้การแบ่งวรรณะชนชั้นยังคงไม่อาจทำลายลงได้ในทันทีทันใด แต่การมีผู้เริ่มต้นนั้นย่อมถือเป็นนิมิตหมายอันดี


เช่นเดียวกับอาคิราและพิรัลนลิน เวลาผ่านพ้นเข้าเดือนที่สอง ท้องของทุรพลน้อยเริ่มนูนขึ้นมาจนเห็นได้ชัด เพราะอีกเพียงเดือนเศษลูกสิงห์น้อยจะได้ลืมตาออกมาดูโลก เช่นเดียวกับทรวงอกที่ขยายนูนขึ้นเป็นกระเปาะ ผมยาวสีดำขลับถูกอาคิราหวีจนเปล่าทิ้งตัวลงคลอเคลียบั้นเอว ผ้านุ่งถูกโอบพันสูงขึ้นจากยามปกติเพื่อให้ช่วงท้องไม่โล้นโล่งเช่นเดิม มือเรียวเล็กเลือกหยิบผ้าคล้องไหล่สีกาบหมากเช่นเดียวกับตัวเอง ขึ้นคล้องบ่าให้ผู้เป็นสามีหยิบจัดเพียงครู่ก็ได้รับจุมพิตที่แก้มทั้งสองข้างเป็นรางวัลเช่นทุกเช้า


“ไปกันเถิด พ่อแลแม่คงชะเง้อคอยแล้ว” อาคิรากล่าวด้วยรอยยิ้มบาง มือใหญ่โอบประคองร่างน้อยๆ พาเดินลงจากเรือน เพื่อไปสมทบกับขณะเดินทางที่จัดเตรียมไว้เพื่อเดินทาง



                    ถ้ำไกรรพในเวลานี้ถูกบูรณะใหม่ ไม่หลงเหลือคราบเลือดคราบเขม่าควันเช่นครั้งก่อน บึงบัวแห้งแร้งกลับมาใสสะอาดเต็มไปด้วยดอกบัวคอยชูช่อบานสะพรั่งเต็มสระ พื้นที่ที่เคยเป็นบ้านเรือนถูกแทนที่ด้วยหลักหินขนาดย่อมเรียงราย สถานที่แห่งนี้กลายเป็น อนุสรสถานรวมอัฐิเหล่าสิงห์ผู้วายชนม์ให้ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบเป็นครั้งสุดท้าย


เมื่อทั้งหมดก้าวเข้าสู่โถงถ้ำ กลับพบครอบครัวกีหมีเฝ้าอยู่ ประกอบด้วยคู่กีหมีตัวผู้ตัวเมียและลูกเล็กอีกสามตัว กีหมีตัวพ่อเมื่อเห็นพิรัลนลินก็ไม่รอช้า มันวิ่งตื๋อหมายกระโจนเข้าใส่สิงห์น้อยด้วยความคิดถึง ติดที่มีอาคิราใช้ตัวเองเข้ามาบังไว้ มิยอมให้กีหมีหนุ่มเข้าถึงตัวพิรัลนลินได้ดังที่มันคิด


“เจ้าจันอิน ทำเยี่ยงนี้มิได้ นายเอ็งกำลังท้องไส้อยู่หนา” อาคิราเอ็ดกีหมีหนุ่มจนมันยอมสงบนิ่ง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบ ยกมือขึ้นลูบท้องนูนนั้นให้เจ้าจันอินรับรู้ กีหมีตัวโตจดจ้องเอียงคอไปมาเพียงครู่ ค่อยเปลี่ยนท่าที มันค่อยๆ เดินเข้าหาพิรัล แล้วใช้หัวดุนดันมือเล็กของผู้เป็นนายแผ่วเบาแทนการกระโจนเข้าใส่อย่างเคย


“เจ้าจันอิน ข้าคิดถึงเจ้าแลยินดีกับครอบครัวของเจ้าหนาเพื่อนยาก” พิรัลนลินน้ำตารื้น ยอบตัวลงกอดกีหมีโตตัวด้วยความคิดถึง เผื่อแผ่ไปถึงครอบครัวของมันที่นั่งหมอบรออยู่เบื้องหลัง...มิใช่แค่เจ้าที่เติบโต ข้าเองก็เช่นกัน ข้าดีใจที่เจ้ามีความสุขแลชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับข้าหนาเจ้าจันอิน


“เมื่อครั้งที่เราเดินทางพี่จับได้ว่ามันแอบซุ่มตามขบวนเรามา เพลานั้นพี่เกรงมันจักเป็นอันตรายแลทำเจ้าพะวักพะวน พี่จึงให้สิงห์รับใช้ของพี่ธีมารวีพาเจ้าจันอินมาไว้ที่นี่ก่อน จากนี้สุดแล้วแต่มาเจ้าจันอินจักติดตามเรากลับไป ฤๅปักหลักอยู่ที่นี่”


“ข้าขอบพระคุณแทนเจ้าจันอินนะจ๊ะ”


“เพราะเจ้าจันอินเป็นสหายเจ้าดอก”




หลังผละจากครอบครัวกีหมี อาคิราพาพิรัลมาไหว้ศิลาของพ่อและแม่ตนก่อนจะพาสิงห์น้อยมายังบริเวณที่พิรัลเคยฝั่งเถ้าอัฐิของพ่อแม่พี่น้องไว้


พิรัลนลินค่อยๆ ลงนั่งลงกับพื้นโดยมีอาคิราคอยประคับประคองไม่ห่างกาย สองมือน้อยกระพุ่มมืออภิวาทลงหน้าศิลาของพ่อแม่พี่น้อง พร้อมหยาดน้ำตา


’ แม่จ๋า พ่อจ๋า ลูกทำสำเร็จแล้วนะจ๊ะ พันแสงผู้นั้นมิอาจสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใดได้อีก แลเพลานี้ลูกมีสามีที่ดี แลกำลังมีหลานตายายที่น่ารัก ลูกรักระลึกถึงพ่อแม่พี่น้องเสมอแลจักสลักพวกท่านไว้ในหัวใจตลอดกาล พวกท่านมิต้องห่วงกังวลสิ่งใดแล้วนะจ๊ะ ‘พิรัลก้มกราบอีกครั้ง คลายได้ปลดเปลื้องทุกสิ่งอย่างแท้จริง จนจิตใจรู้สึกปลอดโปร่งไปหมด


เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นอาคิรายังคงสงบนิ่ง ทิ้งเวลาถึงอึดใจ อุตมางค์ค่อยลืมตาขึ้นแล้วก้มกราบ ก่อนจะหันกลับมายังทุรพลข้างกาย เพื่อยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังคงค้างบนแก้มนวลให้อย่างเบามือ


เมื่อพากันกราบไหว้เยี่ยมเยือนผู้วายชนม์แล้วเสร็จ คณะสิงห์กลับออกมายังหน้าคูหา โดยมีครอบครัวกีหมีเดินตามรั้งท้ายขบวน พิรัลนลินจึงเอ่ยปากถามไปเรื่อย หมายให้การเดินทางไม่เงียบจนเกินไปนัก


“พี่อาคิราพูดสิ่งใดกับพ่อแม่ข้าฤๅจ้ะ นานกว่าข้าเสียอีก”


“พี่ขอดูแลเจ้าแทนพ่อแม่ท่าน แล...ขอสมาที่พี่ชิงสุกก่อนห่าม พาเจ้ามากราบท่านพร้อมกับลูกในท้องเยี่ยงนี้”

เพียะ !

มือน้อยฟาดลงบนแขนแกร่งของพี่ไม่เบาแรง ดวงตากลมโตขึงดุ ปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น พิรัลนลินยามนี้ทั้งฉิวทั้งเขิน จนอยากตีอุตมางค์หน้าไม่อายให้เนื้อเขียว ทว่ามีหรือแรงตีจากมือน้อยๆ เช่นนี้จักทำให้นำพา เรือนการใหญ่เอียงมากระซิบข้างหูเจ้าตัวร้ายหมายให้ได้ยินเพียงสอง


“ทำร้ายพี่เยี่ยงนี้ พี่มิว่าแต่ยามลับตาพ่อแม่เมื่อใด พี่จักขอคืนทบต้นทบดอกหนาเจ้าตัวดี”


เป็นผลให้พิรัลยิ่งเข่นเขี้ยวหนัก ทุรพลน้อยคว้าจับมือใหญ่ขึ้นมางับอีกครั้งให้สาแก่ใจ...พี่อาคิราผู้แสนสุภาพไปไหนเสียแล้ว!


“ฮึๆ ออกฤทธิ์ออกเดชได้แล้วหนาพิรัล ไปเถิดจักได้ถึงคูหามิค่ำมืดนัก”


“พี่อาคิรา...ขอบพระคุณนะจ๊ะ ข้าโชคดีเหลือเกินที่มีพี่อยู่ข้างกายเช่นนี้”



“พี่เช่นกัน พี่รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้พบเจ้า โชคดีเหลือเกินที่เราพบกัน โชคดีที่ได้เจ้ามาเป็นหัวใจรักของพี่”


มือของมฤคินทร์ทั้งสองสอดกระชับกันแน่น ออกเดินเคียงข้างกันไปด้วยรอยยิ้มและหัวใจอันอบอุ่น มือจะจับกันไว้แม้ยามทุกข์โศก หรือยามเป็นสุข โอบประคองและเป็นกำลังให้กันและกันไปจนสุดทาง




เรื่องราวของราชสีห์ที่ช่วยกันร่วมต่อสู้กับพันแสง และทุรพลน้อยผู้แสนกล้าหาญถูกนำมาแต่งเป็น ลำนำ ละเล่นขับร้องจนคล้ายเป็นตำนานอีกบทแห่งดินแดนสีหมุข ทว่าคำสรรเสริญ แซ่ซ้อง หรือ ชื่อเสียงหาได้มีความสำคัญไปกว่าความรักที่ทั้งสองมีให้กัน ลำนำแห่งจตุราชสีห์อาจเล่าขานถึงความเสียสละ อาจหาญ เก่งกาจ ทว่าลำนำของอาคิราและพิรัลนลินจะกล่าวถึงเพียงความรัก ความเข้าใจ เอื้ออาทร และเป็นลมหายใจของกันและกันตราบจนลมหายใจสุดท้ายของทั้งคู่มอดดับลง...





จบบริบูรณ์







++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

หากให้เราเปรียบเทียบตัวเองเป็นใครในเรื่อง เราว่าเราใส่ความรู้สึกของเราไปที่ตัว มะลุลีค่ะ เรารู้สึกขอบคุณลำนำมฤคินทร์ที่ทำให้เราเอาชนะตัวเอง ได้กล้าที่จะลองก้าวเล็กๆลงมาในถนนเส้นนี้ (จากเดิมเป็นนักอ่าน และแต่งจบในหัวมากตลอด)

เราว่าการเขียนนิยายเหมือนการขึ้นเขานะคะ ระหว่างทางเจอปัญหาบ้าง ขลุกขลักบ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยประการ เราว่าเราได้อะไรจากการเขียนเยอะมาก แล้วพอถึงวันที่ได้ขึ้นมาอยู่บนยอดเขาแล้วมันรู้สึกดีจริงๆ ค่ะ

และที่ขาดไปไม่ได้เลย เราต้องขอบคุณทุกความคิดเห็นของทุกคนจริง ๆ ค่ะ ถ้าการเขียนนิยายคือการเดินขึ้นเขา ความคิดเห็นของพวกคุณก็เปรียบเสมือนธงบนยอดเขา ทำให้เราได้รู้ว่ามีคนรออยู่บนนั้นนะ เพราะฉะนั้นต้องพยายามไปให้ถึงนะ พวกคุณรออยู่ประมาณนี้ค่ะ

ส่วนความคิดเห็นที่คอยท้วงเรื่องคำผิดต่างๆ ก็ทำให้เรารู้ว่านิยายเรื่องนี้ ตัวอักษรที่เราพิมพ์ไปนี้มีคนใส่ใจนะ เห็นอยู่นะ มันมีความหมายและถือเป็นกำลังใจของเราจริงๆ เพราะฉะนั้นขอบคุณนะคะ ขอบคุณจากใจจริงๆ ค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในเรื่องหน้ากับการขึ้นเขาลูกต่อไปของเราในทิวทัศน์ที่แตกต่าง หวังว่าจะได้ร่วมทางกับพวกคุณอีกครั้งนะคะ



สิงหา




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปล.๑.จบเรื่องโดยสมบูรณ์แล้วเรายังรออ่านรีวิวจากทุกคนนะคะ

ปล.๒.สำหรับตอนพิเศษเรายังไม่ได้แต่งเลยค่ะ (สารภาพตรงๆ) เพราะฉะนั้นนักอ่านสามารถเสนอมาได้นะคะ

ปล.๓.แต่คิดว่าจะมีตอนแยก (spin off) เป็นเรื่องสั้นน่าจะสัก ๒-๓ จบ ลงในหมวดเรื่องสั้น ซึ่งน่าจะลง
        ได้ประมาณ เดือนพฤศจิกา (สารภาพอีกแต่งไปในหัวไว้นานแล้วยังไม่ได้เรียบเรียงค่ะ) จะเป็นเรื่องราวของใครลอง                                  เดากันดูได้นะคะ








หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 19-10-2019 21:47:03
 :katai2-1: :katai2-1: สนุกมากค่ะ
  :3123:ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 19-10-2019 22:51:55
ขอบคุณมากนะคะ ที่เขียนเรื่องราวดีๆให้เราได้อ่าน
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-10-2019 23:53:36
ชอบมากจ้ะ  และยินดีร่วมขบวนในเรื่องหน้าด้วย อิอิ
ส่วนเนื่อเรื่อง การบรรยาย นิยาย เราว่ามันดูเป็นเอกลักษณ์ดีอ่านแล้วบางครั้งก็อดอมยิ้มให้ความน่ารักของพิลันนลิน ไม่ได้55 
เป็นกำลังใจให้ไรเตอร์นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 20-10-2019 01:30:08
สนุกมากคับ อ่านรวดเดียวจบเลย
ติดตามผลงานต่อไปนะคับ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 20-10-2019 02:02:13
 o13
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 20-10-2019 05:05:31
ได้อ่านแล้วเหมือนเราจะโตไปพร้อมๆกันกับเจ้าพิรัล สนุกมาก เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-10-2019 08:36:41
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 20-10-2019 09:52:45
จบแล้ว สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-10-2019 18:20:03
จบไปแล้ว อยากเห็นสิงห์น้อยจัง เป็นไง
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-10-2019 23:13:20
จบซะแล้ว ภาษาสวยมากเลย ชอบมากค่ะ ขอบคุณที่ทำผลงานดีๆมาให้ได้อ่านกันนะคะ จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆนะ
 :กอด1: :L2: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-10-2019 23:34:35
 :pig4 :L1:: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-10-2019 00:18:44
สนุกกกกมาก แต่งเก่ง ขอบคุณนะคะที่แต่งและลงในนี้ให้ได้อ่านกัน  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 26-10-2019 17:44:25
รวดเดียวจบขออภัยที่เข้ามาคอมเม้นท์ในตอนสุดท้ายทีเดียวชอบค่ะสนุกอ่านได้เรื่อยๆรอตอนพิเศษที่เจ้าตัวเล็กออกมานะคะขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 26-10-2019 20:18:22
 :z13:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 27-10-2019 00:59:03
อ่านรวดเดียวเลย
สนุกดีค่ะ มีการวางโครงเรื่องชัดเจน
อ่านยากนิดหน่อยเพราะลักษณะภาษาเยอะ
แต่ไม่สะดุดมาก ทำให้ยังตามเรื่องทันอยู่
อยากอ่านตอนพิเศษที่ลูกคลอดแล้ว
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 27-10-2019 16:42:45
อ่านรวดเดียวจบเลย
เรื่องนี้ภาษาเหมือนจะอ่านยาก แต่อ่านไปอ่านมันสมูท ไม่มีสะดุดเลย
ชอบเรื่องนี้นะ

ปล. อยากเห็นลูกสิงห์น้อยออกมาลืมตาดูโลกจัง
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 27-10-2019 19:09:08
เขียนได้ดีค่ะ เนื้อหาสนุกน่าติดตาม เป็นกำลังใจให้เรื่องต่อๆไปนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 29-10-2019 00:06:36
จบแล้ววววว
อ่านรวดเดียวจบเลย สนุกมากๆ แบบอ่านแล้ววางไมาลงจริงๆๆๆ
เราชอบอ่านแนวนี้มากกกกกกก กอไก่ล้านตัว
แนวย้อนยุคแฟนตาซี ซึ่งหาอ่านยากมากๆ
แต่งและเขียนดีแบบนี่ยิ่งหาอ่านยากมากๆ
ขอบคุณนิยายดีๆสนุกๆนะคะ
รอติดตามผลงานต่อๆไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: ♥Täsinä→l3€LL♥ ที่ 30-10-2019 22:12:18
สนุกมากเลยค่ะ ชอบแนวนี้มากเลย
เป็นกำลังใจให้ผู้แต่ง สร้างผลงานดีๆต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 31-10-2019 11:39:12
เจ้าพิลรัลกับพี่อาคิราน่ารักและเข้มแข็งมาก อีกหน่อยก็จะมีสิงห์น้อยๆแล้วดีใจด้วยจ้า :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: BearinMind ที่ 21-11-2019 12:59:39
 o13 o13 o13 สนุกมากเลยค่าาา ขอบคุณคุณที่แต่งให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: ๋Jennay ที่ 28-11-2019 12:19:10
เรื่องนี้น่ารักแล้วก็อบอุ่นมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 28-11-2019 21:41:30
สนุกมาก ภาษาสละสลวยมาก
เนื้อเรื่องตอนอาคิราสู้กับพันแสงทำเอานึกถึงไลอ้อนคิงเลย
ชอบพิรัล ฉลาด เข้มแข็ง ตรงไปตรงมาดี
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 30-11-2019 09:23:33
         สนุกมากเลยคะ อาคิราและพิรัลนลิน ในที่สุด

ก็ได้รักกันสมใจซะทีหลังจากที่ต้องเหนื่อนกันมา

มากและที่ขาดไม่ได้จันอิน กีหนีก็มีครอบครัวแถม

ลูกสามด้วยนะ

       เป็นนิยายที่ไม่น่าเบื่อเลยคะอ่านสนุกภาษาสวย

ชวนติดตาม...รออ่านเรื่องต่อๆไปนะคะ❤️
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D lufy ที่ 01-12-2019 17:32:49
เนื้อเรื่องดี อ่านสนุก เพลิดเพลินมาก ภาษาสวย อ่านยากนิดหน่อย แต่ได้อรรถรสดีค่ะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 03-12-2019 22:56:42
 :-[
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 04-12-2019 04:34:20
รอตอนพิเศษ กับspinoffนะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 04-12-2019 13:47:58
สนุกมากๆค่ะ รอตอนพิเศษ

รอลูกๆของพิรัลกับพี่อาคิรามาวิ่งเล่น 

 :z2:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 05-12-2019 13:23:45
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 05-12-2019 13:24:56
 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: RiyaKwon ที่ 05-12-2019 13:27:07
อ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ
เป็นอีกเรื่องที่ชอบเลย ภาษาสวยมาก แม้จะย้อนยุค มีศัพท์ยากแต่ก็อ่านสนุก ลื่นไหล
เนื้อเรื่องก็สนุกค่ะ มีให้ติดตามได้ลุ้น แถมยังเดาผิดอีกต่างหาก 55555

อยากอ่านตอนต่อมากๆ ถ้ามีคู่อื่นๆ ก็แต่งอีกนะคะ และอยากให้มาแปะลิ้งเรื่องอื่นๆไว้ด้วยค่ะ จะได้ตามอ่านถูก
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sse29162 ที่ 05-12-2019 14:33:24
สนุกคะ รอตอนพิเศษนะคะ
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 07-12-2019 00:04:39
ภาษาสวยมากเลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้นะคะสนุกมากเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: peach ที่ 17-12-2019 02:25:54
ภาษาดีมากเลยค่า อ่านทีเดียวจนจบ เพลินมากเลย เจ้าพิรัลน่ารักมากถึงจะคิดเองเก่ง แต่คนเขียนเคลียร์ปมเร็วดีค่ะ เราชอบ รอตอนพิเศษนะคะะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ ขอติดตาม
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 21:04:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 17-04-2020 21:31:20
เขียนดีมาก สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: BM_CBC ที่ 27-10-2020 23:51:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 29-10-2020 15:35:08

สนุก น่าอ่านมาก ชอบในภาษาที่สวยงาม ดราม่าพอประมาณ

เป็นเรื่องที่ชวนติดตาม ให้อ่านอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด เพิ่งเคยอ่านแนวย้อนยุคและเป็น OMEGAVERSE ด้วยในเรื่องเดียวกัน
ถือเป็นความสามารถอีกแนวของนักเขียน เป็นเรื่องทีกว่าจะทราบตัวพระเอก ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเรื่อง แต่จบแบบ Happy ending ก็ถูกใจมาก

ขอตอนพิเศษหลังคลอดลูกให้ได้อ่าน เพิ่มความฟิน ให้กันอีกหน่อยนะค่ะ

ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ ส่งแรงใจอย่างต่อเนื่องเลย

 :pig4: :pig4: :pig4:

 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 05-11-2020 22:26:24
สนุกค่ะชอบนิยายแนวนี้มาก พิรัลน่ารักสมกับอคิรา น่าจะมีตอนพิเศษตอนที่มีตัวน้อยๆของพิรัลออกมานะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 07-11-2020 17:37:36
 :L2:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: kimhamwong ที่ 08-11-2020 12:50:01
ภาษาสวย อ่านง่าย คำผิดน้อยมาก ๆ ขอบคุณคนเขียนมากๆค่ะที่ลงให้อ่าน
หัวข้อ: Re: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 05-12-2020 13:58:13
สนุกมากกกกก อ่านรวดเดียวจบ  :L2: