พิมพ์หน้านี้ - My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 26 {4/2/2020}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Yukimin ที่ 12-07-2019 23:25:40

หัวข้อ: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 26 {4/2/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 12-07-2019 23:25:40
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************

My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ

"น่านฟ้า" นักเรียนมัธยมปลายที่ต้องหวนกลับมาเจอกับ "นที" เพื่อนสนิทสมัยเด็กของตัวเองที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี แต่แล้วนทีก็รู้ปัญหาส่วนตัวของน่านฟ้าจึงต้องการจะช่วยในระหว่างนั้นความสัมพันธ์ก็เริ่มก็ตัวขึ้นเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท

"มึงไม่เป็นไรหรอก กูไม่หายมันก็ไม่เป็นไร"
"ไม่เป็นไรที่ไหนล่ะ"
"..."
"กูจะเป็นคนรักษามึงเอง"

"มึงๆถ้ากูอยากเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทต้องเป็นไรอะ"
"เพื่อนสนิทชุบแป้งทอดมั้ง?"
"..."

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : ???
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : ???

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : ???
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : ???



*****************************************************************************************************************************
สารบัญ
*****************************************************************************************************************************
ขั้นที่ 1 หวนกลับมา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg3989434#msg3989434)
ขั้นที่ 2 นัดเจอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg3989880#msg3989880)
ขั้นที่ 3 มาแทน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg3990257#msg3990257)
ขั้นที่ 4 แค่นิดหน่อยเอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg3990700#msg3990700)
ขั้นที่ 5 เครป (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg3991185#msg3991185)
ขั้นที่ 6 ข่าวใหญ่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg3991690#msg3991690)
ขั้นที่ 7 เงื่อนไข (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg3992129#msg3992129)
ขั้นที่ 8 ไต้ฝุ่น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4004362#msg4004362)
ขั้นที่ 9 เผือกดีๆนี่เอง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4010441#msg4010441)
ขั้นที่ 10 หายนะมาเยือน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4017899#msg4017899)
ขั้นที่ 11 มาตรการสุดท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4018098#msg4018098)
ขั้นที่ 12 เดินทาง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4018381#msg4018381)
ขั้นที่ 13 วันแรก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4018718#msg4018718)
ขั้นที่ 14 ข้าวกล่อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4018930#msg4018930)
ขั้นที่ 15 กิจกรรม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4019322#msg4019322)
ขั้นที่ 16 ผู้รังสรรค์ความชิบหาย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4019706#msg4019706)
ขั้นที่ 17 ความว้าวุ่น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4019856#msg4019856)
ขั้นที่ 18 เพื่อนสนิท (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4020609#msg4020609)
ขั้นที่ 19 นัด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4021094#msg4021094)
ขั้นที่ 20 ฝึกพิเศษ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4021512#msg4021512)
ขั้นที่ 21 การแสดงออกทางความรัก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4022098#msg4022098)
ขั้นที่ 22 เข้าสอบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4022511#msg4022511)
ขั้นที่ 23 ทะเล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4022982#msg4022982)
ขั้นที่ 24 รักนะรู้มั้ย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4023331#msg4023331)
ขั้นที่ 25 อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4023826#msg4023826)
ขั้นที่ 26 ไม่ใช่ความฝัน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70664.msg4024407#msg4024407)


* พึ่งจะได้แต่งเป็นครั้งแรกถ้ามีตรงไหนอยากให้ติบอกเราได้น่าาาา
** เราแต่งเพื่อความฟินส่วนตัว 555+ (มโนไม่ไหวเอามาแต่งดีกว่า =3=)
*** อาจจะอัพไม่เป็นเวลาสามารถมาทวงได้เรื่อยเลยจ้า (คอมเม้นต์มาหน่อยก็ดี เราชอบอ่าน 555+)
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 12-07-2019 23:33:38
ขั้นที่ 1 หวนกลับมา

[น่านฟ้า]
            “ไอ้ฟ้าตื่นได้แล้ว”
            “อือ~ ขออีกสิบนาทีนะพี่ภู~~~” ผมงัวเงียพลางหลับตาอยู่บนเตียง มืออีกข้างก็ลากเอาผ้าห่มเข้ามาพันตัวจนกลายเป็นก้อนกลมลูกใหญ่
            “ไม่ได้โว้ยย” ทันทีที่สิ้นเสียงของร่างสูง ร่างทั้งร่างก็รู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงเตียงนุ่มๆ พร้อมกับไอความเย็นที่สัมผัสผิวกาย พร้อมกับผ้าห่มที่ไปอยู่ในมือของคนที่อยู่ข้างเตียง
            “ไม่เห็นต้องกระชากผ้าห่มฟ้าไปเลยก็ได้นี้~”
            “ถ้าไม่ทำชาตินี้มึงคงไม่ตื่นหรอก ลงไปกินข้าวเช้าได้แล้วไป เปิดเทอมวันแรกจะได้ไม่ไปสาย” พูดจบร่างของพี่ชายก็เดินนำออกไปจากห้องไป ก่อนจะออกจากห้องชี้หน้าคาดโทษไว้ว่าห้ามลงมาสาย ผมจึงต้องจำใจตื่น ลุกจากเตียงไปยังตู้เสื้อผ้าก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง
            ไม่เกิน 20 นาทีผมก็เดินลงมายังห้องนั่งเล่นที่ชั้นล่าง ซึ่งมีพี่ภูกำลังจัดจานที่ใส่ปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ไว้ พร้อมกับนั่งประจำที่เอาไว้แล้ว ผมเลยเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
            “กว่าจะลงมาได้นะ”
            “โห ก็ดูพี่มาปลุกฟ้าซะเช้าเลย อีกตั้งนานกว่าจะเข้าแถว” ผมพูดพลางจ้วงปาท่องโก๋เข้าปาก
            “มึงอย่าดูถูกเปิดเทอมเชียว วันแรกแม่งรถติดเหมือนปิดถนนเลย แถมมึงบอกว่าจะขี่จักรยานไปเองก็ต้องเผื่อเวลาไว้หน่อยซิ”
            “คร้าบๆ” ผมตอบส่งไปด้วยเสียงกวนๆทำเอาพี่ชายต้องทำหน้าเอือมระอา
            “…”
            “จะว่าไปพ่อกับแม่ล่ะ”
            “อ่อ เห็นว่าคราวนี้จะไปประมาณ 4-5 เดือน น่าจะกลับมาตอนปิดเทอมพอดีมั้ง”
            “เหรอ”
            แม่ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ส่วนพ่อทำงานอยู่บริษัทการค้าระหว่างประเทศ ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกตัวไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ก็ต่างประเทศบ่อยๆ ทิ้งให้ผมกับพี่ภูอยู่กันแค่สองคนมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
            “เออ แล้วตกลงจะไม่ให้พี่ไปส่งจริงเหรอ ถึงนี้จะต่างจังหวัดแต่รถก็มีนะ ขี่จักรยานไปเดี๋ยวโดนรถเฉี่ยวจะเป็นเรื่อง”
            “พี่ภูไม่ต้องเป็นห่วงฟ้าหรอก คนที่นี้ขับรถไม่เร็วมาก แถมมีเลนสำหรับจักรยานด้วย จะได้ออกกำลังกายไปในตัว”
            “กูไม่ได้ห่วงมึง กูห่วงรถเขาเดี๋ยวต้องไปจ่ายค่าเสียหาย” ไอ้พี่ภู…
            พี่ภู หรือชื่อเต็มคือ ภูผา เป็นพี่ชายแท้ๆ เพราะตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ชอบออกไปทำงานบ่อยๆไม่อยู่ติดบ้านเลย หน้าที่ดูแลผมจึงตกเป็นของพี่ภูไปโดยปริยาย เห็นพูดจากวนๆแบบนี้ แต่นี้เป็นวิธีแสดงความเป็นห่วงในแบบพี่เขา…แหมก็คนมันซึนอะเนอะ
            “โห่~ เป็นห่วงก็บอกมาตรงๆดิ” ผมเบ๊ะปากให้คนตรงหน้าไปทีนึง
            “กูพูดจริงกูห่วงรถเขา”
            “…”
            “รีบกินแล้วรีบไปได้แล้ว ไปตอนนี้รถน่าจะยังไม่เยอะ” พี่ชายตัวดีเอื้อมมือมาลูบผมผมเล่นอย่างสนุก
            “รู้แล้วน่า แล้ววันนี้พี่เริ่มสอนกี่โมง”
            “วันนี้เริ่มแปดโมง ถามทำไม”
            “เปล่า แค่คิดๆอยู่ว่าพี่เนี่ยไม่เข้ากับลุคอาจารย์เลยนะ”
            “เดี๋ยวก็โบกด้วยหลังมือเลย ถ้าอิ่มแล้วก็ออกไปได้แล้ว เดี๋ยวล้างจานให้” ว่าจบร่างสูงกว่าก็ทำท่ายกมือขึ้นมาทำท่าจะสะบัดขู่ ทำให้ผมต้องรีบกระเด้งตัวออกจากเก้าอี้มุ่งตรงไปยังประตูทางออก
            “งั้นฟ้าไปล่ะ” ก่อนจะออกก็ไม่ลืมหันไปลาอาจารย์หนุ่มที่ยังนั่งจิบน้ำเต้าหู้อยู่
            “เออขี่ดีๆล่ะดูทางด้วย ถ้าอยากให้ไปรับก็บอก” แน่ะๆ…เป็นห่วงล่ะซี่
            ผมเดินออกไปยังโรงรถข้างๆ เข็นเอาจักรยานสีดำม่วงคันเก่งออกมา ก่อนจะสวมหมวกจักรยานสีเข้าคู่กัน พร้อมออกแรงถีบส่งตัวให้เคลื่อนออกไปจากบ้านมุ่งตรงไปตามถนนใหญ่มุ่งสู่ตัวโรงเรียน


            ขี่มาได้ไม่นานผมก็มาถึงโรงเรียนได้โดยสวัสดิภาพ มองหาลานจอดจักรยานอยู่สักพักก่อนจะขี่ไปจอด นำโซ่มาคล้องให้ดี จากนั้นจึงออกเดินไปยังตึกเรียนของชั้น ม.5

            เดินขึ้นตึกมาสักพักผมก็เห็นป้ายหน้าห้องของผมมาไกลๆ พร้อมกับภาพเหล่านักเรียนชั้นเดียวกันอยู่กันอย่างหนาแน่น ปกติตอนเช้าแบบนี้นักเรียนจะมากันน้อย แต่วันเปิดเทอมจะเป็นข้อยกเว้นเพราะเป็นอีกหนึ่งมหกรรมที่นักเรียนมัธยมต้องเข้าร่วม นั้นก็คือ การแย่งที่นั่งกันนั้นเอง ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียน ก็เจอกับกลุ่มเพื่อนที่จับกลุ่มกันนั่งเมาท์ตั้งแต่วันแรกบ้าง วางกระเป๋าจองที่ให้เพื่อนบ้าง แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดกับกลุ่มเพื่อนของผมที่จับกลุ่มจองที่กันไว้ให้แล้ว
            “ไอ้ฟ้า~ ทางนี้ๆ” ผมเดินไปยังต้นเสียงใสที่ส่งเสียงเรียกพลางโบกมือหยอยๆอยู่ไม่ไกล
            “ไง หวัดดี”
            “เออดี กูจองที่ติดหน้าต่างให้มึงล่ะ”
            “แต้งกิ้ว แพรว”
            “ไม่เป็นไรนะหนู แค่บอกพี่มาพี่จัดให้ได้ทุกอย่าง”
            อีกฝ่ายพูดจบผมก็นั่งลงไปในที่นั่งข้างๆที่อีกฝ่ายจัดไว้ให้ แพรวเป็นเพื่อนสนิทคนแรกของผมตั้งแต่เข้ามาเรียน ม.ปลาย ที่นี้ เพราะโรงเรียนของผมเคยเป็นโรงเรียนหญิงล้วนมาก่อน เพิ่งมาเปิดสหเมื่อ 2 ปีก่อนจำนวนนักเรียนชายถึงได้น้อยนิด ยิ่งบางส่วนแปรสปีชีส์ไปเป็นคุณพี่สาว ทำให้จำนวนผู้ชายน้อยเยี่ยงงมผู้ชายในมหาสตรี ชะนี เก้ง กวาง
            แพรวเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างห้าว แถมเป็นกันเองทำให้ผมเข้ากับเธอได้ง่าย ก็เป็นปกติเพราะเธอเป็นผู้หญิงสายกีฬาแถมเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย ทำให้เธอสูงกว่าแถมยังมีกล้ามเนื้อมากกว่าด้วย ทำเอาผมที่เป็นผู้ชายดูด้อยไปเลย
            “แหมๆ จะเป็นสายเปย์แต่เช้าเลยเหรอ”
            ผู้หญิงที่นั่งที่นั่งด้านหน้าผมหันหลังมาร่วมบทสนทนาด้วย
            “หวัดดีฝ้าย”
            “ดีจ้า~”
            เธอคือปุยฝ้าย เพื่อนในกลุ่มอีกคนของผม เธอค่อนข้างมีนิสัยเหมือนผู้หญิงปกติที่ไม่ปกติ (?) ผู้หญิงปกติชอบเรื่องเมาท์มอยกับข่าวลือเป็นชีวิตจิตใจใช่ไหม แต่คุณปุยฝ้ายนั้นระดับสูงออกไป เรื่องเผือกขอให้บอกสกิลการเผือกระดับ EX รู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าคมชัดลึก ตามติดทุกสถานการณ์ยิ่งกว่าฐาปนีย์ต้องเรียกใช้ ฐานิตตา ค่ะคุณกิตติคะ
            “ไอ้ฟ้ากูมีเรื่องจะถามมึงข้อนึงอะ” ฝ้ายหันมาพลางใช้สายตาแสกนผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
            “ว่า?”
            “น้ำหนักมึงได้เพิ่มขึ้นบ้างปะเนี่ย กูว่ามึงไม่ค่อยต่างกับตอนก่อนปิดเทอมเลย” พูดจบฝ้ายก็เอามือมาลูบๆคลำๆ บริเวณหน้าท้องผม จั๊กจี้โว้ย
            “เออกูก็ว่ามึงไม่อ้วนขึ้นเลยนะ” คุณแพรวาเข้าร่วมด้วย
            “พอๆกูจั๊กจี้ รู้สึกว่าน้ำหนักกูจะไม่ขึ้นเลยนะ รู้สึกจะลดลงนิดหน่อยด้วยมั้ง” ผมเป็นพวกกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ไม่รู้ทำไมขนาดพี่ภูยังพยายามขุนผมให้อ้วนตลอดปิดเทอมซื้อนู่นนี้มาให้กิน สุดท้ายน้ำหนักผมลดลง
            “เชี่ยแม่ง โลกแม่งไม่ยุติธรรม มึงจับพุงกูดิ” ไม่ว่าเปล่าฝ้ายจับมือผมเข้าไปลูบคล่ำบริเวณท้องของเธอ
            “กูก็ด้วย ช่วงนี้กูหนักเอาๆ ทำไมว่ะแม่ง” แพรวลากมืออีกข้างของผมไปจับพุงน้อย(?)ของเธอ…มึงๆ พวกมึงเป็นผู้หญิง มึงไม่ควรให้ผู้ชายอย่างกูจับง่ายๆเว้ย
            “กูเข้าใจมึงอิแพรว”
            “อิฝ้าย” คราวนี้ทั้งคู่หันไปก่อนกันกลม เล่นใหญ่รัชดาลัยเวอร์ การกระทำของเพื่อนผมทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเรื่อยๆ ผมชอบพวกมันที่เป็นกันเองมากไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์อะไรเลย…เอ๊ะ หรือพวกมันจะไม่ภาพลักษณ์ให้ห่วงแล้ว ช่างมันละกัน 
            “กอดกันกลมแต่เช้าเลยนะพวกมึงเนี่ย” เสียงใสดังขึ้นมาห่างจากโต๊ะของพวกเราไม่ไกล เพื่อนในกลุ่มคนสุดท้าย นี นั่งลงตรงโต๊ะข้างปุยฝ้ายก่อนจะหันหลังกลับมาคุยกับพวกเราต่อ
            “มาๆอินีมึงมากอดกับพวกกูมา มึงไม่น่าจะรอดพ้นไปจากชะตากรรมเดียวกับพวกกู”
            “ชะตากรรมอะไร”
            “น้ำหนักขึ้น”
            “ว้ายๆ เสียใจด้วยกูน้ำหนักลดว่ะ” คุณเมทินีหัวเราะ พลางกรีดกรายนิ้วเป็นพร๊อพประกอบบริเวณริมฝีปาก เหมือนนางร้ายในละครช่อง 9 เป๊ะ
            “อิคนทรยศ!!!”
            คุณแพรวากับคุณฐานิตตา พร้อมใจกันเปล่งเสียงด่าสาวแว่นที่พึ่งแสดงบทนางร้ายอย่างเชี่ยวชาญออกไป
            นี เป็นสาวแว่นเพื่อนในกลุ่มคนสุดท้าย เป็นผู้หญิงสายกิจกรรมตัวยง มีกิจกรรมอะไรบอกเมทินี เมทินีเป็นให้ต้องการประธานยันกรรมกรบอกได้หมด แถมนียังเป็นหัวหน้าห้องทุกปีตั้งแต่ประถม บุคลิกนิ่งๆต่อหน้าครูยิ่งทำให้ครูทุกคนเอ็นดูนี แต่…ขอย้ำว่าต่อหน้านะ เพราะลับหลังปุ๊บนี้อย่างกับแก้วหน้าม้าใส่หัวม้ากลับ ลั๊นล้าแถมดีดยิ่งกว่าชะนีธรรมดาอีก แต่งตั้งเป็นหัวหน้าชะนีล่ะกัน
            “แต่ถึงน้ำหนักกูจะลดกูก็ยังหนักกว่าไอ้ฟ้าล่ะว่ะ พูดแล้วก็เศร้า” อ้าวทำไมหวยกลับมาลงที่ผมอีกแล้วล่ะ
            “เออ ไอ้ฟ้า มึงแดกเข้าไปเยอะๆเลยไป มึงจะได้เอาน้ำหนักมึงมาข่มพวกกูไม่ได้” คุณแพรวาครับ กูเอาน้ำหนักกูไปขู่คุณมึงตอนไหนครับ
            “ถ้ากูเพิ่มได้ป่านนี้กูก็คงไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก ความสูงกูด้วย” พูดไปก็เศร้าไปในกลุ่มนี้ผมเตี้ยสุดในกลุ่มแล้ว ทำไมพระเจ้าช่างกลั่นแกล้งแบบนี้ ดูอย่างไอ้พี่ภูสูงแม่ง 192…หรือไอ้พี่ภูดูดความสูงของผมไปหมด ไม่ได้การล่ะเย็นนี้กลับไปต้องไปจัดการกับคุณพี่ชายตัวดี
            “มึงตัวเล็กแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทั้งห้องก็คิดแบบนี้กูว่านะ”
            “เออมึงเหมือนเป็นไอดอลของห้องเลย เป็นผู้ชายคนเดียว ตัวเล็กกว่าคนในห้อง หน้าตาหน้ารักกว่าด้วย น้ำหนักก็น้อย คิดแล้วก็อิจฉา” มึงๆ กูเป็นผู้ชายครับ มึงชมว่ากูน่ารักไม่ด้ายย
            “กูเป็นผู้ชายเว้ย”
            “เหรอค่ะ” ทีงี้ล่ะประสานเสียงกันเชียว
            “ปะพอๆ ไปเข้าแถวได้และ เดี๋ยวไปช้าโดนครูเฉ่งอีก กูยังไม่อยากโดนตั้งแต่วันแรก” นีพูดขึ้นพลางยกตัวลุกออกจากเก้าอี้ ทำให้พวกผมต้องเดินตามไปยังสนามโรงเรียนเพื่อเข้าแถวตอนเช้า
            “เออจะว่าไปกูก็ลืมเมาท์ไปอีกเรื่องนึง”
            “อะไรอีกล่ะฝ้าย ถ้าเรื่องความสูงก็พอไปก่อน” ผมตอบกลับไปฝ้ายไปทันควัน
            “ไม่ใช่ย่ะ”
            “งั้นอะไร”
            “กูได้ข่าวมาว่าโรงเรียนชายล้วนข้างๆมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ หล่อด้วยนะพวกมึง”
            “จริงดิๆ มึงเห็นหน้าแล้วเหรอ” คุณแพรวานี้หูผึ่งเลยนะครับ
            “ไหนๆเอามาแบ่งปันเพื่อนฝูงหน่อยซิ” อ่ะที่นี้ก็คุณเมทินี
            “ไม่อะมึง กูยังหารูปไม่ได้เลย กูพึ่งได้ข่าวเมื่อเช้าเอง เดี๋ยวกูว่าจะไปเผือกต่อ”
            “…” ถ้าคุณฐานิตตาพูดแบบนี้ รับรองไม่เกินครึ่งวันนักเรียนย้ายใหม่ผู้โชคร้ายจะตกเป็นเหยื่อสายตาของเหล่าผองเพื่อนของผมซะแล้ว ขออโหสิกรรมให้แด่บุรุษนิรนามสัก 3 วิละกัน



             หลังจากเข้าแถวตอนเช้าฟังผอ.บ่นนู่นบ่นนี้เสร็จเหล่าคุณครูคุมแถวก็ทยอยปล่อยนักเรียนขึ้นห้องไปโชคดีที่วันนี้พึ่งเปิดเรียนวันแรกคุณครูส่วนใหญ่เลยแค่เข้ามาแนะนำตัวไม่ก็ให้พวกนักเรียนแนะนำตัวเอง ทำให้คาบเรียนแรกส่วนใหญ่ผ่านพ้นไปด้วยความสุขสบาย ไม่นานก็ถึงคาบสวรรค์ของนักเรียนหลายๆคน นั้นก็คือพักเที่ยงนั้นเองงงง
            “พวกคุณมึงทั้งหลายไปเที่ยงนี้กินร้านไหนดี” แพรวพูดพลางบิดตัวเองเล็กน้อย
            “ร้านป้าแต๋วก็ได้นะ ไม่ได้กินนานแล้ว”
            “โอเคงั้นรีบไปดีกว่า ตอนนี้คนน่าจะยังไม่เยอะมาก”
            “พวกมึงไปก่อนเลยนะ”
            “อ้าวจะไปไหนอะฝ้าย” ผมเห็นท่าทางฝ้ายรีบร้อนลุกขึ้นพลางจะเดินออกจากห้องเลยถามดักไปก่อน
            “กูจะไปลากน้องกูมากินด้วย ไหนๆวันแรกทั้งทีกูเลยจะพามันทัวส์หน่อย ไปและ”
พูดจบปุยฝ้ายก็พุ่งตัวออกจากห้องมุ่งตรงไปยังตึก ม.4 ทันที รู้สึกว่าฝ้ายจะมีน้องสาว ชื่อ ปุยนุ่นอยู่คนนึง ผมเคยเจอเธออยู่บ้างตอนไปทำงานบ้านฝ้าย เพื่อนทุกคนของผมพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า…ฝ้ายเอ็งโดนเก็บมาเปล่า ก็เพราะนุ่นนิสัยดีมาก กุลสตรีไทยยิ่งกว่าแม่หญิงจันทร์วาดอีก เหมือนหลุดออกมาจากยุคสุโขทัยเลย
            “ปะ งั้นพวกเราไปรอฝ้ายที่โรงอาหารกัน”
            “เชี่ย ทำไมคนเยอะแบบนี้ว่ะ” ผมเห็นด้วยกับแพรว เพราะตอนนี้คนเต็มโรงอาหารทุกอณูเลยที่หายใจแทบจะไม่มีด้วยซ้ำ ทำไมทุกคนพร้อมใจกันมาโรงอาหารตอนนี้นะ ดูร้านป้าแต๋วซิ คนต่อคิวยาวไปสุดโรงอาหารเลย
            “คุณมึงลืมอะไรรึเปล่า วันนี้เปิดวันแรกไม่มีคาบไหนปล่อยเลท” เออ…เนอะ
            “อะตรงนั้นว่าง” ผมเดินนำเพื่อนไปยังโต๊ะริมโรงอาหารที่พึ่งจะมีกลุ่มนักเรียนลุกออกไป ผมเลยรีบแทรกฝูงชนเข้าไปยังโต๊ะที่หมายปองด้วยความเร็วแสง
            “นี มึงนั่งจองที่ตรงนี้ไว้แล้วกัน เดี๋ยวกูกับฟ้าจะเดินไปสั่งข้าวให้”
            “อะเครจ้า”
            ผมกับแพรวเดินออกจากโต๊ะมุ่งไปยังร้านเป้าหมายที่คิวตอนนี้ลดลงมาพอสมควรแต่คนก็ยังเยอะอยู่ดี ก่อนที่ผมจะนึกขึ้นได้ว่าสั่งข้าวไปเผื่อฝ้ายด้วยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมารอหลายๆรอบ คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบมือถือขึ้นมาเข้าแอพแชทสีเขียวพลางส่งข้อขวามไปหา
            NaanFah        : ฝ้าย จะกินข้าวอะไร จะได้สั่งเผื่อไว้ให้
            Puifai.TN       : กูเอากะเพราหมูสับไข่ดาวแล้วกัน
            NaanFah        : ได้ๆ ถามนุ่นด้วยว่าจะเอาอะไร
            Puifai.TN       : แปปนะ
            Puifai.TN       : มันบอกเอาหมูกระเทียมไข่เจียว 2 จาน
            หืม? สองจาน ผมขมวดคิ้ว สงสัยกับข้อความที่เพื่อนส่งมาก่อนจะส่งข้อความถามกลับไป
            NaanFah        : 2 จาน?
            Puifai.TN       : อ่อๆ นุ่นมันพาเพื่อนมาด้วยคนนึง
            NaanFah        : อ่อ ไม่เอาไรเพิ่มนะ
            Puifai.TN       : แค่นี้แหละ แต้งกิ้วว
            ผมเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันกลับไปคุยกับแพรวที่ยืนเล่นมือถืออยู่ข้างๆ
            “พวกฝ้ายกับนุ่นเอากะเพราหมูบสับไข่ดาว กับหมูกระเทียมไข่เจียว 2 จาน”
            “สองจาน? หมูกระเทียมอะนะ” แพรวทำท่าทางสงสัยเหมือนกับผมก่อนหน้านี้ก่อนที่ผมจะบอกเฉลยให้กับคนที่กำลังขมวดคิ้วอยู่
            “นุ่นมันพาเพื่อนมาด้วย”
            “อ่อ กูก็งงว่านุ่นมันไม่น่ากินเยอะทำไมถึงสั่งสองจาน”
            “กูก็ว่างั้น”
            ใช้เวลาไม่นานแถวที่พวกผมกำลังต่ออยู่ก็ร่นลงไปจนถึงคิวของพวกเราสั่งอาหาร
            “เอาอะไรดีจ๊ะ” เสียงป้าแต๋วถามเสียงใส
            “กะเพราหมูสับไข่ดาวสาม หมูกระเทียมไข่เจียวสอง แล้วมึงล่ะ”
            “หมูกระเทียมด้วยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำนาน”
            “เคร ป้าขอหมูกระเทียมเป็นสามเลยนะ”
            “งั้นรอป้าแปปนึงนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ป้าพูดตอบกลับแพรวออกมาพลางวุ่นไปกับ   เครื่องปรุงและวัตถุดิบต่างๆ เสียงเครื่องครัวกระทบกันไปมาดังไม่ขาดสายมาตั้งแต่ต่อแถวแล้ว เพราะป้าแกเป็นกันเอง ให้เยอะ แถมราคาถูก ร้านป้าแกถึงได้มีคนต่อคิวกันยาวเป็นหางว่าวทุกวันเลยไม่เว้นแม้กระทั่งพวกผม
            “ได้แล้วจ้า กะเพราหมูไข่ดาวสาม หมูกระเทียมสาม”
            แพรวยื่นเงินในมือส่งให้ป้าแกไปก่อนที่จะยื่นถาดใส่หมูกระเทียมมาให้ผมถือไป ส่วนเจ้าตัวถือถาดกะเพราหมูพลางหมุนตัวออกเดินตรงไปยังโต๊ะที่พวกเพื่อนๆนั่งรอกันอยู่ ทันทีที่เดินกลับมายังโต๊ะที่มีเพื่อนสาว 2 คนกับรุ่นน้อง 2 คนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นก็สังเกตเห็นก่อนแล้วส่งเสียงขึ้นมา
            “อะมาแล้วๆ”
            “ในที่สุดข้าวก็มาซักทีกูหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
            “กูอุตส่าห์ไปต่อมาให้ อย่าบ่นอิฝ้าย”
            “กูรู้แล้วน่าแพรว กูแค่บ่นไปงั้นแหละ”
            “เออแดกเสร็จจ่ายตังค์มาด้วย”
            “โห่ นึกว่าจะใจป๋าเลี้ยงซักหน่อย”
            “เดี๋ยวกูตบเลยอิฝ้าย”
            ผมเลิกสนใจสนามมวยจำลองก่อนจะหันไปดูรุ่นน้องที่ตอนนี้กำลังนั่งอึ้งๆกับสภาพรุ่นพี่ที่กำลังจะตบกันอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอกน้องเจอบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินพี่ชินแล้ว จากนั้นผมจึงยกถาดไปวางไว้ตรงหน้าก่อนจะยกจานส่งให้กับทั้งคู่
            “อะนี้นุ่น หมูกระเทียมไข่เจียว”
            “ขอบคุณค่ะ”
            “อะแล้วก็อันนี้หมูกระเทียมอีกจาน”
            ผมยื่นจานให้กับรุ่นน้องอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆปุยนุ่น เป็นเด็กผู้หญิงเราเล็กกว่าผมนิดเดียว (นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ)…อือ รู้สึกคุ้นๆแฮะเหมือนเคยเจอมาก่อน
            “ขอบคุณค่ะ” ผมเหลือบไปเห็นว่าน้องมองพวกแพรวกำลังทำท่าทางจะตีกันพลางทำท่าทางกลัวๆ ผมเลยต้องพูดติดตลกไปนิดๆเพื่อคลายความกังวล
            “ไม่ต้องเป็นห่วงพวกนั้นหรอก เห็นแบบนี้มันก็ตีกันเล่นๆแบบนี้ประจำแหละ” ผมพูดพลางนั่งลงยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพลางหยิบช้อนกับส้อมเตรียมกินข้าวในจานตรงหน้า
            “อ่อ ค่ะ”
            “แล้วนี้ชื่ออะไรเหรอ พี่รู้จักกับปุยนุ่นแล้ว”
            “ข้าวฟ่างค่ะ” หืม…ข้าวฟ่าง
            “พี่ชื่อน่านฟ้านะ เรียกว่าฟ้าเฉยๆก็ได้พี่ไม่ว่า”
            “หือ…น่านฟ้า”
            “มีอะไรเหรอ”
            “เปล่าค่ะ” ข้าวฟ่างดูมีท่าทางแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจกับจานข้าวตรงหน้า ผมเลยชวนรุ่นน้องทั้งสองพูดคุยสักหน่อย ดึงความสนใจจากสนามมวยข้างๆออกมาก่อน ไหนๆก็ต้องทำหน้าที่รุ่นพี่ที่ดีสักหน่อย
            “เป็นไงบ้างเรียนวันแรก อาจารย์น่าจะชิวน่าดู”
            “อ่อค่ะ วันนี้จารย์เค้าปล่อยเลย” ก็นะ เป็นวันแรกนี้
            “แล้วทั้งคู่อยู่สายไหนเหรอ”
            “พวกหนูอยู่สายวิทย์กันทั้งคู่ค่ะ”
            “‘งั้นก็เหมือนกับพวกพี่เลย มีอะไรก็ถามได้นะ ถ้าพี่ตอบได้นะ ฮะๆ”
            “ไว้หนูจะมาถามพี่แล้วกันค่ะ เพราะพี่ฝ้ายน่าจะไม่ไหว” เป็นนุ่นที่พูดออกมาแซวพี่สาวตัวเองที่ตอนนี้แขวนนวมกันทั้งโต๊ะหันมาจัดการกับจานข้าวข้างหน้าได้สักที
            “พี่ฟ้าคะ หนูขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” ข้าวฟ่างพูดขึ้นมาดึงความสนใจผมออกไปจากโต๊ะข้างๆ
            “ได้สิอยากถามอะไรเหรอ”
            “ตอนป.3 พี่อยู่ที่โรงเรียนประจำจังหวัดใช่มั้ยค่ะ” หือ…
            “ก็ใช่อยู่หรอกนะ”
            “ชื่อจริงพี่ชื่อ นภดล…”
            “…”
            “บ้านพี่อยู่ไม่ห่างจากโรงเรียน เดินผ่านหน้าซุปเปอร์มาเก็ตเก่า ข้างโรงเรียนประถมด้วยใช่มั้ยค่ะ” เดี๋ยวนะ…
            “ทำไมถึงระ…”
            “พี่มีพี่ชายอยู่คนนึงด้วย ชื่อพี่ภูผาด้วย…แล้วก็คุณพ่อกับคุณแม่ไปทำงานที่ต่างจังหวัดบ่อยตอนเด็กๆพี่ภูก็เลยดูแลพี่ฟ้าใช่มั้ยค่ะ”
            “เดี๋ยวๆ ทำไมถึงรู้ล่ะ” เชี่ย น้องแกเป็นเจมส์บอร์นเหรอ รู้ทุกเรื่องเลย ถ้าแค่เรื่องโรงเรียนประถมน่ะ ไม่เท่าไหร่ แต่นี้รู้เรื่องที่อยู่ พี่ภูแถมเรื่องพ่อแม่อีก เราพึ่งเคยเจอกันครั้งแรกเองนะ ทำไมข้าวฟ่างถึงได้รู้เรื่องพวกนี้ล่ะ…ครั้งแรกเหรอ…รู้สึกว่าคุ้นๆหน้าข้าวฟ่างอยู่บ้างแฮะ…เคยเจอกันที่ไหนนะ
            “นี้หนูข้าวฟ่างไงค่ะ จำไม่ได้เหรอ” ข้าวฟ่างเอามือทั้งสองยันโต๊ะไว้พร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม พลางแสดงสีหน้ายินดีเหมือนดีใจที่ได้เจอผมอย่างไงอย่างงั้น
            “เรา…เคยเจอกันที่ไหนเหรอ” ผมลังเลก่อนจะตอบอีกฝ่ายไป พออีกฝ่ายได้ยิ้นก็ขมวดคิ้วพลางนิ้วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพูดตัดพ้อด้วยน้ำเสียงงอนเล็กน้อยพร้อมกับถอนหายใจ
            “โถ่ พี่จำหนูไม่ได้เหรอเนี่ย”
            “ขอโทษนะ พี่จำไม่ได้” ผมทำหน้าสับสนกับการกระทำของข้าวฟ่าง แต่สักพักคำพูดของเธอก็เป็นคำเฉลยทุกอย่าง
            “หนูอยู่ข้างบ้านพี่ตอนนั้นไง ก่อนที่หนูจะย้ายไปอะ ตอนนั้นหนูไปเล่นบ้านพี่บ่อยจะตาย”
            ทันทีที่ผมได้ยิน เซลล์สมองของผมก็เหมือนจะจุดประกายไฟอะไรได้บ้างอย่างมันเหมือนกับว่ามีความทรงจำที่คุ้นเคย…ข้างบ้านงั้นเหรอ…ป.3…ย้าย…อ่าาา!!!!!
            “ฟ่างที่อยู่ข้างบ้านตอนนั้นนะเหรอ” ผมจำได้แล้วตอนเด็กๆ ผมมีเพื่อนสนิทเป็นพี่น้องที่อยู่ข้างบ้านเล่นกันมาด้วยกันจนอีกฝ่ายย้ายออกไปตอน ป.3 ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนนั้นคือ ข้าวฟ่าง
            “จำได้แล้วเหรอ หนูไม่ได้เจอพี่ตั้งนานแน่ะ หนูคิดถึงพี่มากเลย”
            “พี่ก็คิดถึงเธอนะ ไม่ได้เจอกันมาตั้งแปดปีแน่ะ” ตอนนี้ผมกับข้าวฟ่างวางช้อนส้อมในมือไว้ พลางหันมาคุยกันอย่างออกรส ไม่ได้เจอกันมาตั้งแต่ที่อีกฝ่ายย้ายไปตอน ป.3 พวกเราคุยกันไปเรื่อยที่เรื่องที่เคยเล่นด้วยกัน เรื่องที่ตอนนั้นไปทำแจกันบ้านผมพังจนโดนดุกันสามคน…หือ สามคน
            “จะว่าไปพี่จำพี่ทีได้มั้ยอะ”
            “ที…ไอ้นทีอะนะ”
            “ใช่ค่ะ พี่นทีนั้นแหละ” ผมคิดถึงมันมากเลยเพราะบ้านของเราติดกัน แถมพ่อแม่ของผมกับมันเป็นเพื่อนสมัยมหาลัย ตอนเด็กๆผมเลยอยู่กับมันมาตลอด แถมมันก็ชอบทำตัวเป็นพี่ชายของผม ตั้งแต่ที่มันย้ายออกไป ผมก็ไม่ได้ติดต่อมันเลย ผมโคตรคิดถึงมันสุดๆ
            “พี่โคตรคิดถึงมันเลย”
            “โห่ แล้วไม่คิดถึงหนูเหรอ”
            “โอ๋ๆ พี่ก็คิดถึงฟ่างเหมือนกันนะ” ผมเอื้อมมือไปแกล้งแหย่ข้าวฟ่างให้หายงอนก่อนที่ผมจะนึกถึงประเด็นสำคัญที่จะถามออก
            “จะว่าไปนี้ย้ายกลับมาแล้วเหรอ”
            “ค่ะ ตอนนี้อยู่ห่างจากบ้านเดิมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ห่างจากบ้านพี่มากหรอกนะ” ข้าวฟ่างพูดไปพลางหยิบมือถือขึ้นมาจิ้มๆ เข้าไปในแอพแผนที่พลางยื่นจอมาให้ผมดูตำแหน่งบ้านของเธอ ซึ่งห่างจากบ้านผมไปไม่ถึง 10 นาทีถ้าเดินไป เรียกได้ว่าใกล้มากถึงจะไม่ใกล้เหมือนเดิมก็เถอะ
            “เห่ ดีจังเลยนะ ไว้พี่จะแวะไปเยี่ยม”
            “ดีเลยๆ พี่ทีบ่นคิดถึงพี่ทุกวันจนหนูรำคาญเลยล่ะ”
            “ฮะๆ ก็สมกับเป็นมันดี” ผมกับมันสนิทกับถึงขนาดว่าตัวติดกันมาตั้งแต่เกิดเลย จนพี่ภูเปลี่ยนชื่อเรียกผมกับมันเป็นอินกับจันอะคิดดูว่าต้องตัวติดกันขนาดไหน
            “จะว่าไปหนูขอไลน์พี่หน่อยได้ไหมอะ” พูดจบข้าวฟ่างก็เปลี่ยนไปเข้าแอพแชทสีเขียวเข้าไปยังหน้าแอดเพื่อน ก่อนจะยื่นมือถือมาให้ผม ผมก็รับมากรอกไอดีของตัวเองก่อนจะส่งกลับคืนให้ข้าวฟ่าง
            จากนั้นเราทั้งสองคนก็คุยกันอย่างต่อเนื่องไปพลางยกช้อนขึ้นมาตักข้าวไปพลาง จนเวลาพักกลางวันหมดลงแล้วแยกย้ายกันไปเรียนคาบบ่ายต่อ

 
*****************************************************************************************************************************
❤ Update Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : (อดีต)เพื่อนสนิท

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : (อดีต)เพื่อนสนิท


* ตอนแรกงอกออกมาแล้ววว นายเอกของเรากำลังจะได้พบกับพระเอกแล้ว ไว้เดี๋ยวไรท์จะให้ข้าวฟ่างมาเป็นแม่สื่อให้ทีหลัง >w<
* ตอนที่สอไม่เกินวันอาทิตย์เดี๋ยวไรท์จะมาอัพให้น่าาา
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 1 {12/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 12-07-2019 23:48:45
 :pig2:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 1 {12/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 13-07-2019 22:53:51
รอผลงานนะครับ
ป.ล.ลงทุกวันก็ดี  :o8:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 1 {12/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 14-07-2019 18:38:51
ขั้นที่ 2 นัดเจอ

[น่านฟ้า]
   “ตรงนี้ต้องแทนค่า x ลงไปตรงนี้นะคะนักเรียน” ครูมนต์ คุณครูประจำวิชาเลขเจ้าประจำ มีชื่อเสียงในโรงเรียนของผมพอสมควร เนื่องด้วยวีรกรรมการออกข้อสอบที่โคตรโหดหินบวกกับพลังในการสอนเลทได้ทุกคาบทำให้เธอเป็นที่โจษจันกันในหมู่นักเรียน
   “ทำไมวิชานี้พวกเราต้องมาเจอครูมนต์ด้วยวะ” แพรวที่นั่งข้างผมตอนนี้เอาหน้าฟุบกับโต๊ะเรียนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “เออน่า กูก็ไม่อยากเจอเหมือนกันแหละ”
   “ดูดิขนาดคาบแรกยังสอนเลย คาบอื่นจะเป็นไงเนี่ย” สาวห้าวจัดแจงท่าทางเตรียมพร้อมสำหรับนอนเรียบร้อย ยกกระเป๋าขึ้นมาต่างหมอน ตั้งโล่ป้องกันด้วยหนังสือเรียน เพิ่มโอกาสหลบหลีกการตรวจจับของคุณครูได้เพิ่มถึง 70% คุณแพรวาเขารับประกัน
   ตื้อดึ้ง
   เสียงข้อความเข้าจากแอพที่คุ้นเคยทำให้ผมเลิกสนใจกับป้อมปราการของแพรวก่อนจะหันไปสนใจมือถือของตนเองแทน ซึ่งผมก็ต้องประหลาดใจกับข้อความที่ปรากฎบนหน้าจอ
   ‘Nathi’ Friend requests
   “Nathi?...ไอ้ทีเหรอวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองสักครู่ก่อนจะตัดสินใจกดปุ่ม Confirm    ตอบรับการเพิ่มเพื่อนใหม่ แทบจะทันทีที่ผมกดตอบรับก็ตรงกับตอนที่มีข้อความใหม่ถูกส่งเข้ามาในห้องแชทส่วนตัวผม
   Nathi      : รับแอดช้าจังหว่าาา =3=
   ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นตัวจริงหรือเปล่า ทักมาครั้งแรกก็กวนแบบนี้มีมันคนเดียว
   NaanFah   : ก็กูไม่ชัวส์ว่าเป็นมึงนี่หว่า 555
   NaanFah   : ถ้ามึงทักกูมา แล้วสรุปไม่ใช่กูนี่มึงหน้าแตกเลยนะ
   Nathi      : เออก็จริง แต่ชื่อมึงขึ้นหราว่า น่านฟ้า กูก็ชัวส์อยู่นะ
   ตอนนี้ผมก็อดกลับยิ้มไม่ได้ นี้แค่อ่านข้อความผมก็รู้เลยว่ามันน่าจะไม่เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้น ถ้ามีเรื่องของเพื่อนเข้ามามันจะไม่คิดหน้าคิดหลังเลย นี้สงสัยว่าทันทีที่ได้ไอดีของผมจากข้าวฟ่างคงจะรีบแอดมาเลยล่ะสิ ยิ่งมันไม่ได้เจอผมนานแล้วด้วย
   NaanFah   : คราวหลังมึงก็รอหน่อยก็ได้มั้ง
   Nathi      : กูคิดถึงมึงจะตาย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน
   NaanFah   : เออกูก็คิดถึงมึงเหมือนกัน นี้ถ้าไม่เจอฟ่างกูก็คงไม่รู้ว่ามึงกลับมาแล้ว
   Nathi      : กูก็แปลกใจเหมือนกันนะที่มึงไปอยู่โรงเรียนเดียวกับไอ้ฟ่างอะ โรงเรียนหญิงล้วนไม่ใช่เหรอ
   NaanFah   : เคยเป็นตอนนี้เปิดสหแล้ว
   Nathi      : อ้าวเหรอ กูก็นึกว่ามึงค้นพบเส้นทางใหม่แล้ว ฮะๆ
   NaanFah   : เส้นทางใหม่พ่_ง
   Nathi      : อุ้ยทำไมคุณนภดลพูดคำหยาบล่ะ ศศินรับไม่ได้
   NaanFah   : ตอแหลเหอะมึง
   Nathi      : 5555555555555+
   มึงจะหัวเราะไปถึงโลกหน้าเลยเหรอพิมพ์มาขนาดนี้ ตัวจริงแม่งไม่ขำก๊ากจนปวดท้อง ล้มฟุบลงไปนอนดิ้นกับกองรากหญ้าแล้วเหรอเนี่ย…ถ้ามันทำได้มันคงทำแหละเนอะ ผมคิดไปก็อมยิ้มไปจนดึงความสนใจของบุคคลที่หลบอยู่หลังป้อมปราการเมื่อครู่
   “ทำไรอะ หัวเราะคิกคักเชียว” ผมหันกลับไปมองยังเจ้าของเสียงที่ตอนนี้ยกหัวขึ้นมาจากโต๊ะพร้อมกับใช้มือเท้าคางตัวเองไว้ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะจินตนาการไปเองว่าผมคุยกับใครเลยทำท่าแสยะยิ้มพลางพูดแซวออกมา
   “ฮั่นแน่คุยกับหนุ่มที่ไหนอยู่รึเปล่า”
   “ไม่ใช่เว่ย…กูใช่อยู่หรอกแต่ปกติมึงต้องถามกูว่ากูคุยกับผู้หญิงคนไหนไม่ใช่เหรอ”
   “ก็หน้ามึงเหมาะกับผู้มากกว่าว่ะ หน้าสวยจะตายไปมึง” หน้าสวยพ่_ง
   “…”
   “อะๆกูไม่ล้อแล้วก็ได้ ตกลงคุยกับใครอะ”
   “เพื่อนสนิทสมัยเด็กอะ เป็นพี่ชายข้าวฟ่าง”
   “ข้าวฟ่าง??...ใครวะ”
   “เอ๊าก็เพื่อนนุ่นไง อย่าบอกนะว่ามึงจำไม่ได้”
   “ก็ตอนนั้นกูสนใจอิฝ้ายอยู่นี้หว่ากูก็เลยไม่ได้สนใจ” สาวเจ้าตัวทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวพลางเชิดหน้าไปทางสาวคู่กรณีอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมซึ่งตอนนี้…ได้ตายคาหนังสือเลขไปแล้วล่ะครับ
   “เรื่องนั้นช่างมันไปแล้วกัน มึงคุยกับเพื่อนนี้ต้องหัวเราะเป็นสาวน้อยขนาดนั้นเลยเหรอ”
   “ก็กูไม่ได้เจอมันมาตั้งนานแล้ว มันย้ายไปนานแล้วด้วย”
   “กี่ปี?”
   “ตั้งแต่ป.3”
   “เชี่ยนานสัส”
   “อือ” ใช่แล้ว ผมกับมันแยกกันมานานมากพอได้มาคุยกันอีกรอบรู้สึกคิดถึงแปลกๆ
   “แล้วมันชื่อไรอะ”
   “นที”
   “เห~ มีรูปมั้ย” อยู่ๆคุณแพรวาก็ส่งสายตาเป็นประกายมายังผม ซึ่งผมก็พอจะเดาได้ผ่านสายตานั้น แปลความออกมาได้ประมาณว่า ‘มึงมันหล่อมั้ย มีรูปไหมเอามาให้กูดูหน่อยดิ’…ได้ครับคุณแพรวา แต่เสียใจด้วย
   “กูก็ไม่มีรูปตอนนี้ของมันเหมือนกันว่ะ” อย่าว่าแต่รูปเลยครับ ขนาดแค่ไลน์ผมยังพึ่งได้มาไม่ถึงชั่วโมงเลย แถมในไลน์มันยังไม่อัพรูปตัวเองอีก
   “โห่ ไรว้าา”
   “นั้นสิจ๊ะ ครูก็อยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรกัน”
   อยู่ๆเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคยก็ดังไม่ห่างจากโต๊ะที่พวกผมกำลังนั่งอยู่ ซึ่งตอนนี้สายตาของคนทั้งห้องกำลังจับจ้องมาทางพวกผม ไม่ใช่เพราะพวกผมเป็นดาราดังหรืออะไรหรอกนะครับ…แต่เพราะตอนนี้ครูมนต์กำลังยืนประจันหน้ากับพวกผมอยู่พร้อมกับรอยยิ้มที่…สวยงามครับ
   “ใครบอกครูมาหน่อยซิว่าคุยอะไรกันคิกคัก หืมคุณแพรวา คุณนภดล” ครูมนต์มองหน้าผมกับแพรวสลับกันไปมา ทำให้ผมกับแพรวต้องมองหน้ากันแบบหวั่นวิตกเล็กน้อย สมองน้อยๆของผมกำลังคิดหาคำแก้ตัวที่สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้ และแล้วเสียงสวรรค์เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากสาวห้าวข้างผมนั้นเอง
   “อ่อพอดีว่านภดลเขาลืมเอาหนังสือเลขมาค่ะ หนูเลยกะจะให้ยืม แต่เหมือนนภดลจะเกรงใจก็เลยคุยโต้ตอบกันนิดหน่อยอะค่ะ”
   สุดยอดเลยคุณแพรวา แก้ตัวในสถานการณ์แบบนี้ไปอย่างดีเยี่ยม เหตุผลนี้ครูมนต์ก็คงเข้าใจ ถ้าเกิดว่า…หนังสือเรียนเลขของผมยังไม่ได้กางหราอยู่บนโต๊ะแบบนี้หรอกนะ…เอ๊ะเดี๋ยวหนังสือเลขของผมหายไปไหน
   ทันทีที่ผมหันกลับมายังโต๊ะของผมก็ต้องพบกับความว้างเปล่า ไม่ว่าจะมองดูที่ใต้โต๊ะหรือข้างโต๊ะก็ไม่พบวี่แววของหนังสือตัวเองที่วางอยู่เมื่อสักครู่ แต่ผมก็ต้องกระจ่างเมื่อสายตาของผมไปประสานกับต้นเหตุการหายไปของหนังสือ ปุยฝ้ายหันหน้ามาทางผมพลางยกนิ้วโป้งแล้วก็ขยิบตาให้ผมเป็นสัญญาณทีนึง…กู๊ดจ๊อบคุณฐานิตตา
   “ใช่ครับ พอดีว่าผมลืมเอาหนังสือมาแต่เกรงใจแพรวาเขา ก็เลยโต้เถียงกัน แล้วตอนนั้นครูมนต์ก็มาพอดี”
   สุดยอดมากเหล่าเพื่อนเกลอ พวกเอ็งทำงานกันได้อย่างเป็นระบบมาก คนนึงก็รีบเอาหนังสือไปซ่อนส่วนอีกคนต่อบทจากที่เพื่อนส่งมาให้ ตอบรับกันอย่างไหลลื่น…ผมจะประทับใจมากกว่านี้นะถ้าคุณมึงเอาไปทำเรื่องอื่นที่ไม่ใช่มาแสดงหลอกครูเขา
   “อ้าวเหรอ ครูก็นึกว่าคุยเสียงดังอะไรกัน ไม่เป็นไรครูเข้าใจวันแรกใครๆก็ลืมกันได้ แต่คาบต่อไปอย่าลืมเอาหนังสือมาล่ะ งั้นอย่าส่งเสียงดังอะไรเพิ่มล่ะครูจะได้สอนต่อ”
   “ครับ/ค่ะ”
   สักพักครูมนต์ก็กลับไปประจำที่ที่หน้าห้อง ทำให้ผมกับแพรวที่พึ่งจะผ่านเหตุด่วนมาได้ลอบถอนหายใจกันเบาๆ
   “เกือบไปแล้ว”
   “เออ ดีนะกูเห็นอิฝ้ายหยิบหนังสือมึงออกไปก่อน กูเลยคิดออกว่าแม่งคิดไรอยู่”
   “ขอบคุณกูด้วยล่ะ” ปุยฝ้ายยื่นหนังสือกลับมาคืนผม ก่อนจะส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มกวนๆ
   “เออๆ” แพรวตอบส่งๆกลับไป…แหม เหตุการณ์นี้ทำให้ผมรู้เลยว่าเพื่อนกลุ่มเดียวกันนิสัยย่อมเหมือนกัน นี้มองการกระทำแล้วรู้ใจได้ โอ้โห้พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก
   Nathi      : มึงงงงงง ตอบกูหน่อยยยย
   อะ…ผมลืมมันไปเลย
   NaanFah   : โทดๆ ครูกูมาพอดี
   Nathi      : ครูมา? วันนี้มึงพึ่งเปิดเองไม่ใช่เหรอ
   NaanFah   : เออแต่คาบนี้ครูกูเค้าสอน
   Nathi      : เชี่ย ครูมึงฟิตจังว่ะ 555
   ผมเห็นด้วยอย่างสุดซึ้งกับข้อความของฝ่ายตรงข้าม ครูมนต์ครับ ครูไม่ต้องฟิตถึงขนาดเปิดมาสอนก็ได้นะครับ พวกผมยังไม่อยากติดโอลิมปิก อิอิ…ล้อเล่น
   NaanFah   : เออ ฟิตขนาดที่กูเกือบจะโดนจับได้เนี่ย
   Nathi      : แล้วนี้โดนไรปะ
   NaanFah   : ไม่อะเพื่อนกูเก่ง หาข้ออ้างไปแถแล้ว
   พิมพ์ผมก็ยังชื่นชมคุณแพรวากับคุณฐานิตตาไม่หายเลย ทำงานกันเข้าขาดีจริงๆ
   NaanFah   : งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูจะโดนจับได้อีกรอบ
   Nathi      : เออๆ ได้
   แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเก็บมือถือลงไป ก็มีข้อความใหม่เข้ามาจากห้องแชทเดิม
   Nathi      : งั้นเย็นนี้ เลิกเรียนแล้วมาเจอกันหน่อยไหม
   NaanFah   : ได้ดิ ว่าแต่จะเจอที่ไหนอะ
   Nathi sent the location ‘MidNight Café’
   Nathi      : เจอกันที่นี่แล้วกัน
   NaanFah   : เออได้ๆ กูไปเรียนต่อและ
   Nathi      : เออๆ ไว้เลิกเรียนเจอกัน
   จบประโยคนั้นผมก็เลิกสนใจกับข้อความของอีกฝ่ายแล้วหันมาสนใจกับสถานที่ที่อีกฝ่ายแชร์มาให้มากกว่า ‘MidNight Café’ รู้สึกเหมือนจะเคยได้ยินอยู่แฮะ…ลองเสริชดูหน่อยละกัน
   ผมตัดสินใจถามบุคคลผู้รอบรู้ที่สุดในจักรวาร เขาผู้นั้นเป็นใครไม่ได้นอกจากอากู๋(กูเกิล) ของทุกคน ไหนดูซิ…ผมพิมพ์ชื่อคาเฟ่ลงไปในช่องค้นหา ไม่นานก็ปรากฏรูปภาพร้านออกมา เป็นร้านที่ตกแต่งแนวมินิมอล มีตกแต่งเป็นแนวธรรมชาติด้วย เก๋ดีแฮะ
   “อ้าว MidNight Café นิ” เสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้นมาข้างหูเบาๆ
   “รู้จักด้วยเหรอ”
   “มึงจะทำหน้าตกใจทำเพื่อ เห็นงี้กูก็เป็นผู้หญิงนะมึง ร้านแบบนี้กูก็ต้องสนใจบ้างสิ” อ่อเหรอครับ…แต่มึงพูดซะเสียงดังเลยเดี๋ยวก็โดนครูมนต์จับได้อีกรอบหรอกไอ้คุณแพรวา
   “มึงพูดเบาๆหน่อยซิเดี๋ยวก็โดนจับอีกรอบหรอก”
   “มึงคะ…มันหมดคาบแล้วค่ะ”
   “หา!?” แพรวยื่นมือถือมาให้ดูซึ่งที่หน้าจอบ่งบอกเวลาว่าคาบครูมนต์หมดเวลาแล้ว…อ้าวผมนึกว่าครูเค้าจะเลทซะอีก
   “มึงคงคิดว่าครูจะเลทล่ะสิ เสียใจด้วยวันนี้คาบแรกครูเค้าเลยใจดีปล่อยตรงเวลา ย้ำว่าใจดีแล้วนะมึง”
   “เหอะๆ” นี้ขนาดใจดีนะเนี่ย วันแรกปล่อยตรงเวลาซะด้วย
   “แล้วตกลงมึงเสริชหาทำไมนิ ปกติก็ไม่เห็นจะสนใจ”
   “ไอ้ทีมันอยากนัดเจอหลังเลิกเรียนวันนี้น่ะสิ”
   “ก็เลยจะนัดไปเจอมึงที่นั้น” แพรวเลิกคิ้วถามหนึ่งที
   “อือฮึ”
   “เพื่อนมึงทำอย่างกับจะนัดสาวได้เดทอย่างงั้นแหละ เลือกสถานที่ซะ”
   “อะไรๆ ใครจะไปเดทกับสาวเหรอ ไอ้ฟ้าเหรอ” ตัวเสือกx2 เข้าร่วมปาร์ตี้เรียบร้อย
   “อย่างไอ้ฟ้าน่ะเหรอจะไปเดทกับสาว มึงอย่าคิดไปไกล”
   “เดี๋ยวมึงโดนไอ้แพรว”
   “น่าๆกูล้อเล่นเฉยๆ” แพรวเกาท้ายทอยพร้อมกับทำท่าทางล้อเล่นเป็นปกติ ผมเลยยอมปล่อยไป
   “แล้วตกลงพวกมึงคุยเรื่องอะไรกันอยู่ไหนเล่ามาซิ” นีที่นั่งเงียบอยู่พูดขึ้นมา ผมเลยตัดสินใจยื่นมือถือที่ยังค้างหน้าคาเฟ่นั้นเอาไว้อยู่ไปให้ทั้งสองคนดู
   “อ้าวคาเฟ่นี่ มึงจะไปเหรอ” เป็นปุยฝ้ายที่เริ่มยิงคำถามก่อน
   “เพื่อนเก่ากูอยากจะเจอเลยจะนัดไปเจอที่นี่”
   “ผู้ชาย” ทั้งสองประสานเสียงกันโดนมิได้นัดหมาย สันดานเดียวกันจริงๆเพื่อนผม…เหอะๆ
   “เออ บอกไว้ก่อนว่ารูปปัจจุบันของมันกูไม่มี ไม่ต้องมาขอ”
   “โห่ แล้วมันหน้าตาดีไหม”
   “กูก็บอกว่าไม่ได้เจอมันนานแล้วตอนนี้กูไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง…แต่ถ้าเมื่อก่อนก็จัดว่าดีมั้ง” ถึงจะหมั่นไส้แต่ต้องยอมรับเลยว่าหน้าตามันดี ค่อนไปทางหล่อเลยล่ะ…จะว่าไปเมื่อก่อนหน้ามันก็คล้ายข้าวฟ่างอยู่นะ
   “มันเป็นพี่ชายข้าวฟ่างอะ หน้าคล้ายๆกัน”
   “ถ้าหน้าคล้ายข้าวฟ่าง กูว่าหล่อ”
   “งั้นพวกกูตัดสินใจละ พวกกูจะไปเป็นเพื่อนมึงด้วย” นำทีมโดยคุณแพรวา ตามมาด้วยฐานิตตาและเมทินี ดรีมทีมจริงๆ
   “…” ถามความเห็นผมสักคำได้ไหมครับ ไอ้คุณเพื่อนทั้งสาม อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่หมดแล้ว

   “ฮึบเลิกเรียนซักที เมื่อยไปหมดแล้ว~”
   “ที่มึงเมื่อนพราะมึงเอาแต่นอนน่ะสิ กูเห็นนะแพรว”
   “เงียบไปเลยมึงก็นอนเหมือนกูนั้นแหละอิฝ้าย”
   “เอาล่ะๆ เรื่องที่พวกมึงสองคนจะเถียงกันยกยอดไว้คราวหน้า คราวนี้เรายกพวกไปส่องหนุ่ม เอ๊ยเพื่อนเก่าไอ้ฟ้าก่อนดีกว่า” ไม่ค่อยจะเลยนะนี
   “แล้วนี้พวกมึงจะไปกันยังไง”
   “เดี๋ยวกูซ้อนไอ้แพรวไป ส่วนฝ้ายมันเอามอไซค์มา”
   ฝ้ายกับแพรวมันขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเลยขี่มาโรงเรียนเป็นประจำ โรงเรียนผมก็ไม่ห้ามนะไม่ได้เคร่งเรื่องต้องมีใบขับขี่หรือเปล่า ขอแค่ไม่ไปชนจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ผอ.ก็ปล่อยให้นักเรียนขี่อะไรมาก็ได้ ส่วนผมก็แน่นอน ลูกรักคันโปรดของผมจักรยานเสือภูเขาขับเคลื่อนด้วยแรงถีบทุกลูกสูบ
   “มึงจะขี่จักรยานไปเหรอ” แพรวหันมาหาผมพร้อมใบหน้าสงสัย
   “คงต้องอย่างนั้นแหละ”
   “มึงซ้อนไอ้ฝ้ายไปก่อนก็ได้นะ ยังไงพวกกูก็พามึงไปส่งบ้านได้อยู่แล้ว จักรยานไว้ค่อยมาเอาวันหลัง”
   “ใช่ๆ แบบนั้นเร็วกว่าเยอะเลยนะ”
   “ไม่เอาอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไม่มีอะไรขี่มา”
   “ให้พี่ภูมาส่งไง”
   “ลำบากพี่เขาเปล่าๆ กูขี่จักรยานไปเหมือนเดิมแหละดีแล้ว”
   ช่วงนี้พี่ภูเขาต้องเตรียมการสอนอยู่ดึกดื่นทุกวันเลย แถมพี่เขายังต้องตื่นมาดูแลผมแต่เช้าอีก อย่างน้อยๆแบ่งเบาภาระไปซะหน่อยน่าจะดีกว่า
   “เออๆ งั้นเดี๋ยวพวกกูจะขี่ชะลอๆหน่อยแล้วกัน มึงจะได้ตามทัน”
   “โอเค”
   พวกเราเก็บของต่างๆจนหมด แพ๊คใส่กระเป๋าเรียนขนาดกลางสะพายขึ้นหลังเตรียมพร้อมจะก้าวออกจากห้องแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของบุคคลไม่ได้รับเชิญมาขัดการกระทำนั้นก่อน
   “เดี๋ยวก่อน แพรว นี พวกแกอย่าพึ่งกลับ”
   “มีอะไรน้ำ” เพื่อนร่วมห้องสาวเดินเข้ามาส่งเสียงเตือนก่อนที่พวกเราจะเดินออกไปจากห้องไปทัน พลางพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงปกติ
   “แพรว ครูสิทธิ์อยากคุยกับแกเรื่องนักกีฬาอะไรสักอย่างอะเลยให้มาตาม ส่วนนี ครูเมย์เค้าจะคุยกับแกเรื่องงานหัวหน้าห้องไปหาตอนหลังเลิกเรียน”
สิ้นคำพูดของน้ำ แพรวที่ได้ยินทำหน้าเหยเก ส่วนนีทำท่าทางเบื่อหน่าย
   “อะไรว๊า ครูสิทธิ์พึ่งเปิดเทอมเองนะจะรีบไปไหนเนี่ย” เพราะแพรวเป็นนักกีฬาก็เลยมีคุยกันเรื่องซ้อมกับเรื่องการแข่งขันบ่อยครั้ง
   “เฮ้อกูลืมไปเลย หัวหน้าห้องแม่งงานเพิ่มภาระชัดๆ” แต่มึงก็เป็นทุกปีนะนี
   หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินตามน้ำออกจากห้องไปทิ้งให้ผมกับฝ้ายอยู่กันเพียงแค่สองหล่อ
   “ป่ะ งั้นพวกเราไปกันดีกว่า”
   ตื้อดึ๊ง
   สิ้นเสียงของปุยฝ้าย มือถือของเธอก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้า หลังจากที่เธออ่านข้อความปุ๊บใบหน้าก็ทำหน้าตกใจขึ้นทันที
   “กูลืมไปเลยว่ากูต้องไปส่งนุ่นด้วย”
   “ไม่ใช่ว่านุ่นกลับเองเหรอ”
   “เออถ้าปกติ แต่วันนี้เปิดวันแรก แม่กูเลยกำชับว่าให้พามันกลับมาด้วย โทษทีนะกูไปกับมึงไม่ได้แล้ว”
   “ไม่เป็นไรๆ ไปรับนุ่นเถอะ เดี๋ยวนุ่นจะรอนาน”
   “งั้นกูไปแล้วนะ โชคดี”
   ปุยฝ้ายบอกลาผมพร้อมกับกระโจนออกจากห้องไป สรุปสุดท้ายแล้วผมก็ได้ไปที่คาเฟ่คนเดียวตามกำหนดการณ์เดิม เหล่าตัวแจมทั้งหลายดันติดธุระซะหมดเลย
   เฮ้อ ช่วยไม่ได้นะ ผมคิดอย่างนั้นพลางมุ่งหน้าเดินลงไปจากตึกชั้น ม.5 ตรงไปยังลานจอดมอไซค์และจักรยาน เดินตรงไปยังจักรยานเสือภูเขาสีม่วง-ดำ ล่วงกุญแจมาไขโซ่คล้องออก พร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งพร้อมกับออกแรงปั่นมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นัดเอาไว้

   “ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย” ขี่มาสักพักผมก็มาถึงร้านคาเฟ่ที่ทีได้นัดเอาไว้ ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าร้าน ร้านนี้เป็นร้านที่ตกแต่งสไตล์มินิมอลผสมกับธรรมชาติ ตัวร้านผสมผสานระหว่างปูนเปลือยกับไม้สีเข้มช่วยให้รู้สึกอบอุ่น แถมด้วยมีการประดับด้วยไม้ประดับนานานชนิด แขวนไว้ตามผนังปูนเปลือยทำให้บรรยากาศน่านั่งพิลึก
   ผมทำใจอยู่สักพักก่อนจะทำใจเดินเข้าไปในร้านได้ เปิดประตูกระจกเข้าไปสอดส่องมองหาไปรอบร้าน บรรยากาศร้านต่างจากที่เห็นในรูปลิบลับเลย เงียบสงบมากเหมาะกับการอ่านหนังสือ อยูไหนหว่า…ผมมองหาเพื่อนผมอยู่สักพักสายตาก็ไปสะดุดอยู่กับชายร่างสูงที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงที่นั่งด้านในติดผนังกระจกกำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์อยู่
   “ใช่มันรึเปล่าเนี่ย” ผมพยายามเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาชะเง้อมองอีกฝ่าย เพราะว่าผมไม่ได้เจอกับมันมานานผมเลยไม่แน่ใจว่าคนที่ผมกำลังมองอยู่ใช่มันรึเปล่า ไม่รู้ว่าเพราะผมชะเง้อนานเกินไปหรือยังไง เพราะตอนนี้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์แถมสายตาของพวกเรายังประสานกันอีกผมที่ทำอะไรไม่ถูกก็ถูกเสียงเรียกที่คุ้นเคยดึงสติให้กลับมา
   “ไอ้ฟ้าๆ ทางนี้ๆ” ทีโบกมือให้ผมโดยไม่ได้แคร์สายตาคนในร้านเลย ผมเลยเดินตรงดิ่งไปทางโต๊ะเป้าหมายพอไปถึงก็รีบทิ้งก้นลงไปตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
   “มึงเกรงใจคนอื่นบ้างสิ”
   “ก็กูดีใจนี้หว่า กูไม่ได้เจอมึงมาตั้งหลายปี”
   “เออ กูก็เหมือนกัน ว่าแต่มึงทักกูไม่ลังเลเลยนะ”
   “กูว่ามึงไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่นะ” ผมมองเพื่อนสนิทตัวเองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หน้ามันเปลี่ยนไปจากเมื่อตอนนั้นเยอะมาก หน้าตาเข้ารูปขึ้น ริมฝีปากกระจับ จมูกเป็นสัน แถมตัวมันก็โตขึ้นด้วยร่างกายมันมีกล้ามเนื้อ แถมมันน่าจะยังสูงกว่าผมโขเลย สรุปง่ายๆคือ มันหล่อมาก…หน๊อยย อิจฉาโว้ยย ไอ้พี่ภูก็คนนึงละ นี้มาเจอไอ้ทีอีก ทำไมคนรอบตัวผมมันต้องเป็นพวกสเปคสูงทุกที
   “มึงจะบอกว่ากูเตี้ย” ใช่ซี้ก็กูมันเตี้ยนี่
   “ไม่ใช่ๆ กูจะบอกว่าหน้ามึงไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากตอนนั้นเท่าไหร่” พูดจบทีมันก็มองสำรวจใบหน้ากับร่างกายของผมบ้าง
   “ส่วนมึงแม่งเปลี่ยนซะเยอะเลยนะ ตอนแรกกูลังเลเลยว่าจะทักไหม”
   “เออมีคนทักกูบ่อยเหมือนกัน” พูดจบอีกฝ่ายก็ทำท่าทางยียวนกวนบาทาเข้าไปทีนึง
   “เดี๋ยวมึงโดน”
   “น่าๆ เดี๋ยวมึงก็เป็นแบบพี่ภูเองแหละ ตอนเราเด็กๆ พี่เค้าก็มีสาวมาติดเต็มไม่ใช่เหรอ” เป็นความจริงครับ พี่ภูมันป๊อปมาตั้งนานแล้ว จำได้ว่าสมัยที่พี่ภูอยู่ ม.ปลายเห็นควงสาวไม่ซ้ำหน้ากับสักอาทิตย์เลย คุณภูวดลช่างไวไฟจริงจริ๊ง
   “เหรอ แต่ตอนนี้แค่ความสูง พี่ก็กินกูขาดแล้ว” คิดแล้วเศร้า…
   “เท่าไหร่”
   “192…” สิ้นคำพูดของผมปุ๊บ ใบหน้าไอ้ทีแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ที่หลากหลายมากเหมือนกับว่ามันเลือกไม่ถูกว่าจะแสดงหน้าแบบไหนให้ผมเห็นดี จนสุดท้ายมันก็เลยเลือกใบหน้าเนิฟๆพร้อมกับจับที่ไหล่ผมไปพลาง
   “ไม่เป็นไรนะมึง นี่ยังพึ่งม.ปลายเอง”
   “เดี๋ยวมึงจะโดนจริงๆนะ ไอ้คุณศศิน”
   “ล้อเล่นๆ ฮะๆ แต่กูว่านะ ตอนนี้มึงก็น่ารักดีออก” ดีออก…
   “มึงคิดว่าพูดแบบนั้นกูจะดีใจหรือไง หืม” ผมจัดการตบกะโหลกอีกฝ่ายสั่งสอนไปทีนึง อย่าได้ริอาจเอาเรื่องส่วนสูงและหน้าตามาแซว นภดลเด็ดขาด นภดลไม่ยอม
   “โอ้ยๆ กูพอก็ได้ ล้อนิดเดียวเองไม่เห็นต้องตบมาเลยนี้”
   ผมรู้สึกขำกับใบหน้าของเพื่อนสนิทตรงหน้ามากเลย เพราะตอนนี้มันทำปากจู๋ เอาคางไปเท้าบนโต๊ะพลางพูดได้น้ำเสียงสูงที่ท้ายประโยค ทำให้ผมต้องยอมปล่อยคนตรงหน้าไป ถึงมึงจะตัวโตขึ้นแต่จิตใจมึงยังคงเดิม ชื่อของเขาคือ ศศินนั้นเอง
   “มึงคิดว่าทำแบบนี้แล้วน่ารัก”
   “กูออกจะน่ารักใสๆนะมึง”
   “ทำอะไรไม่ดูขนาดตัวเลยมึง”
   “โห่ ไม่รับมุกเลย”
   “จะว่าไปมึงเรียนที่ไหน” ไอ้ทีมันคงอยู่คนละโรงเรียนกับข้าวฟ่างมั้ง ไม่อย่างนั้นพอข้าวฟ่างบอกปุ๊บ ไอ้ทีมันคงรีบแว๊นมาหาผมทันที
   “กูอยู่ชายล้วน XX”
   “อ่อเหรอ”
   “มึงรู้ไหม กูโคตรเสียดายเลยถ้ากูรู้ว่ามึงเข้าที่เดียวกับไอ้ฝ้าย ตอนย้ายมากูจะไปเข้าด้วย กูยังนึกว่าแม่งยังเป็นหญิงล้วนอยู่เลย”
   “เออตอนแรกกูก็ไม่คิดหรอกว่าที่นี่จะเปิดสห ตอนแรกกูก็ไม่คิดจะเข้าด้วย”
   “อ้าวแล้วทำไมมึงมาเข้าล่ะ”
   “ไอ้พี่ภูน่ะสิ อยู่ๆก็เข้าห้องมายื่นใบสมัครสอบแล้วบอกว่า ‘มึงต้องเข้าที่นี่’ ตอนนั้นกูยังอึนๆกับพี่เขาอยู่เลยรู้ตัวอีกทีก็เซ็นไปแล้ว แถมติดด้วย” เรื่องนี้ก็ถือเป็นวีรกรรมเด็ดอีกเรื่องของ   พี่ภูเพราะอยู่ๆก็เข้ามาบอกให้เข้าที่นี่ไม่บอกไม่กล่าว ไปเซ้าซี้ยังไงก็ไม่บอกแถมยังกวนตีนกลับมาด้วย อยากเตะก้านคอไอ้พี่ตัวดีสักทีจริงๆ…ถ้าถึงอะนะ
   “โคตรเผด็จการเลยว่ะ” ไอ้ทีที่ได้ยินถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ไม่ใช่แค่มึงคนเดียวหรอก พวกไอ้แพรวที่รู้กันมันก็แสดงออกไม่ต่างจากมึงมาก คนอะไรโดนพี่บังคับให้มาเข้าโรงเรียน(เกือบ)หญิงล้วน
   หลังจากนั้นพวกเราสองคนก็นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้วพอกลับมาเจอกันอีกทีก็มีเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟังเยอะแยะไปหมด แต่ในกรณีของผมกับไอ้ทีมันพิเศษขึ้นไปอีกเพราะเป็นเพื่อนสนิทสุดๆ ไม่ว่าจะเรื่องความไร้สาระของเพื่อนกลุ่มใหม่ ความเอ๋อของตัวเอง รวมไปถึงวีรกรรมความรั่วที่เคยทำกันไว้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่เหมือนกับหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของพวกเราก็คืนกลับมากันเหมือนเดิม


*****************************************************************************************************************************
❤ Update Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 2 {14/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 15-07-2019 00:26:42

สถานะขึ้นมาแล้ว
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 2 {14/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 16-07-2019 13:43:54
ขั้นที่ 3 มาแทน

[น่านฟ้า]
   “อือ~~ แค่นี้พอยังอะไอ้ฟ้า”
   “ไหนๆ…กูว่านะเลาะใหม่เถอะ”
   ผมพูดขึ้นหลังจากที่หยิบเอาผ้าที่อีกฝ่ายส่งให้มาพลิกนู่นนี้มองรอยเย็บของอีกฝ่าย ก็ต้องถอนหายใจขึ้นมา เพราะรอยเย็บตรงหน้านั้นหลุดลุ่ยแถมไม่แข็งแรงเอาซะเลย ดึงแปปๆผ้าที่ยึดกันคงหลุดได้ไม่ยาก
   “กูอุตส่าห์เย็บมาตั้งนาน”
   “กูก็บอกแล้วนี้ว่าให้เย็บด่นถอยหลังไปจะได้เสร็จไวๆ นี้มึงเล่นเนาชุ่ยๆแบบนี้ มึงจะได้ส่งงานไหมเนี่ย นี้ก็จะหมดคาบแล้ว”
   ตอนนี้พวกผมกำลังเรียนวิชาหัตกรรมอยู่ โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะได้สอนวิชาพวกนี้แต่จะรวมไปกับพวกวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี แต่ด้วยความที่โรงเรียนของผมเคยเป็นโรงเรียนหญิงล้วนมาก่อนก็เลยมีวิชานี้แยกตัวออกมาเพิ่มอีก แถมยังมีสอบเก็บคะแนนซะด้วย
   “โอ๊ยย กูทำไม่ได้” แพรวทิ้งเข็มกับด้ายในมือไปวางกองในกล่อง พลางยกมือสองข้างขึ้นมาขยี้หัวไปมา การกระทำแบบนั้นเรียกเอาความสนใจจากเพื่อนสนิทอีกสองคนที่นั่งไม่ไกลกันให้หันมา
   “แพรว มึงก็อย่าบ่นมากเลย กูก็ยังทำไม่ได้เหมือนกันนั้นแหละ” ฝ้ายชูเศษผ้าที่มีรอยเย็บชุ่ยๆไม่ต่างกับแพรวขึ้นมาโชว์
   “โอ๊ยพวกมึงยังดี ต้องดูกูนี่ร้อยด้ายเข้าเข็มยังไม่รอดเลย กูจะร้อง” นีบ่นอวดครวญโหยหวญไปทั่วห้อง เรียกความสนใจจากเพื่อนกลุ่มอื่นๆที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเย็บกันอย่างขมักเขม่น
   คาบนี้ครูขิม คุณครูประจำวิชาหัตกรรมของโรงเรียนผม สั่งให้นักเรียนแต่ละคนเตรียมเศษผ้าที่ไม่ใช่มาคนละหลายๆชิ้น เพื่อนเตรียมมาให้เย็บ*แพตช์เวิร์กเป็นผ้าเช็ดหน้าขนาดเล็ก
   *แพตช์เวิร์ก(Patchwork) งานที่ใช้เศษผ้าเหลือหลายๆชิ้นมาเย็บต่อกันไปเรื่อยๆ
   “นีอันนั้นเขาเรียกว่าสนเข็ม”
   “ช่างแม่ง มันก็เหมือนๆกันแหละ”
   “พวกมึงอย่าพึ่งบ่นโอดครวญเป็นผีตายโหงตอนนี้ ถ้าพวกมึงไม่รีบทำผ้าส่งเดี๋ยวพวกมึงจะได้เป็นผีเฝ้าห้องนี้จริงๆ”
   “มึงอย่าพึ่งแช่งพวกกูดิไอ้ฟ้า ว่าแต่พวกกูมึงอะทำเสร็จยัง”
   สิ้นคำพูดของแพรว ผมก็ตอบรับด้วยการยกผ้าผืนกลางที่เกิดมาจากการเย็บเศษผ้าหลายๆผืนประกอบกันจนเป็นสีสันที่สวยงาม ทันทีที่พวกนั้นเห็นเข้าก็เกิดอาการสตั้นขึ้นเล็กน้อย ผมเลยต้องพูดเพื่อเรียกสติพวกนั้นกลับมา
   “นี้ไงผ้ากู กูทำเสร็จตั้งนานแล้วเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับโบกผ้าในมือตัวเองไปมา
   “เออก็มึงมันเก่งนี้หว่า ทำเอาพวกกูเสียหญิงไปเลย”
   คำพูดนั้นของอีกฝ่ายทำให้ผมจี๊ดเล็กน้อย แต่ก็เป็นความจริงที่ผมก็ยังสงสัยมายังปัจจุบัน ตอนที่เรียนคาบนี้คาบแรก ผมก็งูๆปลาๆเหมือนกับพวกมันนั้นแหละ แต่พอครูสอนไปสอนมากลับทำได้เฉยเลย แถมผมดันเป็นคนเดียวในห้องที่ทำงานตอนนี้เสร็จก่อนเวลานานโขเลยทั้งๆที่ไม่มีอะไรแค่เอาผ้ามาเย็บติดกันเอง…สงสัยผมจะมีพรสวรรค์มากกว่าเหล่าหญิง(แท้?) ในห้องทั้งหลายสินะ น่าปลื้มปิติยิ่งนัก(เหรอ?)
   “มึงแค่เย็บผ้าเองนะเว้ย กูก็แค่ทำตามที่ครูสอนเอง มันไม่ได้ยากขนาดนั้น”
   “กูก็ทำตามแล้วนะเว้ย แต่มันออกมาแบบเนี่ยอะ” แพรวยกเศษผ้าที่เย็บอย่างลวกๆขึ้นมา ท่าทางจะขาดแหล่มิขาดแหล่อยู่ปริ่มๆ
   “กูก็บอกแล้วว่ามึงเนาแบบนั้นมันไม่อยู่ ด้นเอาดิ”
   “เนา? ด้น?” แน่ะๆ คุณหญิงตรงหน้าทำหน้าใสซื่ออินโนเซ้นท์ขนาดนี้ คุณเธอคงไม่เคยฟังที่ครูสอนสินะ ไม่ไหวๆต้องให้คุณชาย(?)นภดลสอนอีกและ
   “ดูท่าแล้วมึงคงไม่ได้ฟังที่ครูสอนเลยสินะ” ผมยกมือข้างนึงขึ้นมากุมขมับก่อนจะเริ่มขยับนิ้วมือเพื่อชี้ไปบอกตำแหน่งและอธิบายเหล่าเพื่อนสนิทที่ตอนนี้นั่งรุมล้อมผมอยู่พร้อมตั้งหน้าตั้งตาฟังด้วยแววตามีความหวัง
   “เอามานี้มาเดี๋ยวกูทำให้ดู ถ้าปล่อยให้พวกมึงทำกันเองชาตินี้คงไม่ได้กลับ” พูดจบผมก็ยื่นมือไปคว้าเศษผ้าสองชิ้นบนโต๊ะ พร้อมกับเข็มและด้ายขึ้นมา
   “ก่อนอื่นมึงก็มัดปมด้ายก่อนจากนั้นก็แทงเข็มจากด้านล่างผ้าขึ้นมาด้านบน แล้วค่อยส่งเข็มกลับไปด้านล่างด้วยการแทงลงไปแบบนี้เว้นระยะห่างให้เท่าๆกัน ต่อจากนั้นก็แทงเข็มขึ้นมาจากด้านล่างห่างจากจุดที่แทงเมื่อกี้ให้มีขนาดพอๆกันจากนั้นก็ปักกลับมาจุดเดิมที่แทงไปก่อนหน้านี้ จากนั้นมึงก็แทงเข็มขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็เย็บย้อนกลับไปเรื่อยๆ ทำแบบนี้จนกว่ามันจะเต็มขอบผ้า นี้ไงแข็งแรงกว่าที่มึงทำเยอะ”
   หลังจากที่ผมสาธิตทำให้พวกมันดู ผมก็เอาผ้าชิ้นเมื่อกี้ขึ้นมาดึงๆทดสอบให้ดู ถ้าเทียบกับการเย็บลวกๆของพวกมันแล้ว อันของผมถือว่าเป็นแบบโปรเฟสชันนอลไปเลย เห็นแบบนี้ก็น่าอายเหมือนกันนะ เป็นผู้ชายมาสอนผู้หญิง(?)เย็บผ้า
   “โอ้ววว”
   “พวกมึงก็รีบๆทำเข้า เดี๋ยวจะหมดเวลาก่อน”
   “เออๆ เดี๋ยวพวกกูจะรีบทำ”
   เหล่าเพื่อนทั้งสามของผมก้มหน้าก้มตาไปสนใจกับชิ้นงานตรงหน้า ปล่อยให้ผมอยู่เงียบๆคนเดียวในโต๊ะในเมื่องานเสร็จไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรผมเลยตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเข้าไปยังแอพเฟสบุ๊คเพื่อส่องข่าวคราวในโซเชียลวันนี้ซักหน่อย ผมเป็นคนไม่ค่อยอัพโซเชียลอยู่แล้วส่วนใหญ่จะนั่งส่องมากกว่า ในหน้าโปรไฟล์ของผมนอกจากที่ให้อวยพรวันเกิดผมก็ไม่ได้โพสอะไรอีกเลยนอกจากที่เพื่อนตัวดีของผมแท๊กมา
   อืมไหนดูข่าววันนี้หน่อยซิ…เมียหลวงหึงโหดจับกระชากเมียน้อยลงจากรถไปตบกันกลางสี่แยก เชี่ยน่ากลัว…คุณครูใจโหดใช้ไม้เรียวตีเด็กจนเข้าโรงพยาบาลอ้างเด็กไม่ตั้งใจเรียน อันนี้ก็ทำเกินไป๊…นักเรียนชายป.6รุมทำร้ายคุณครูประจำชั้นข้อหาไม่ยอมปล่อยไปกินข้าว เดี๋ยวๆอันนี้พวกมันเป็นเด็กป.6จริงดิยอดเด็กเกินไปแล้วน้อง…ทำไมมันมีแต่ข่าวแบบนี้ไม่มีอะไรสดใสๆให้ดูหน่อยหรือไง
   เลื่อนต่อไปผมก็ต้องชะงักกับคลิปวิดีโอที่มียอดแชร์พุ่งทะลุภายในชั่วข้ามคืน…ชิพกะเดล ไอ้เพลงนี้อีกแล้ว หลอกหลอนหูผมไปเป็นวันเลย ไม่รู้ทำไมคนในโซเชียลถึงเอาเพลงนี้มากลายเป็นประเด็นได้ก็ไม่รู้ ตอนผมฟังครั้งแรกก็ว่าน่ารักดีแค่นั้นไหงมันถึงได้เป็นกระแสขนาดนี้ก็ไม่รู้
   ตื้อดึง
   เสียงข้อความเข้าที่คุ้นเคยพร้อมกับปรากฎข้อความแจ้งเตือนจากแอพไลน์ดังขึ้น เบี่ยงเบนความสนใจของผมจากแอพเฟสบุ๊คเปลี่ยนไปเข้าอีกแอพนึงแทน ทันทีที่เข้าไปผมก็พบกับข้อความของคนที่ผมพอจะเดาได้ว่าใครเป็นคนส่งมา
   Nathi      : เบื่ออ่าาา =3=
   (Nathi sent a photo) ทีส่งภาพตัวเองกำลังนอนก่ายคางลงบนหนังสือคณิตที่เปิดไว้อยู่
   Nathi      : กูเบื่อเลขขขข
   ผมขำกับข้อความโหยหวนของเพื่อนสนิทตัวเอง ตอนนี้สภาพของมันคงกำลังเลื้อยไหลไปตามโต๊ะไม่ต่างกับภาพที่ส่งมาให้
   NaanFah   : มึงเกรงใจครูที่สอนมึงหน่อย มึงถ่ายติดเค้ามาเต็มๆเลย
   ภาพที่ทีส่งมาให้นอกจากจะมีหัวของมันกับหนังสือเรียน แบ๊คกราวด้านหลังดันถ่ายติดครูที่กำลังหันหลังไปเขียนกระดานอยู่ ถ้าครูหันมารูปกล้องชูสองนิ้วด้วยนี้ภาพคงจะฮาแตกน่าดู
   Nathi      : ไม่เป็นไรหรอก ครูวิชานี้ชิว คราวก่อนเพื่อนกูบางคนยังเอาถุงนอนมาแอบนอนหลังห้องเลย
   NaanFah   : เชี่ยสุดจริง
   ของผมชิวแค่ไหนแต่ครูก็ไม่ได้ปล่อยขนาดนั้น อย่างมากก็แค่ให้นอนได้ คุยได้นิดหน่อยเอง
   Nathi      : แล้วตอนนี้มึงทำไรอยู่
   NaanFah   : กูเรียนหัตกรรมอยู่
   Nathi      : หัตถกรรม?
   Nathi      : อ่อโรงเรียนมึงเคยเป็นหญิงล้วนนี้หว่า แล้วนี้มึงต้องทำไรอะ
   NaanFah   : เย็บผ้า
   Nathi      : ฮะ!? อย่างมึงเนี่ยนะเย็บผ้าเป็น
   ได้ เดี๋ยวมึงจะได้รู้ซึ้งถึงความสามารถของตัวกู คิดได้ดังนั้นผมก็จัดแจงกล้องมือถือในมือพลางถ่ายเซลฟี่หน้าผมพร้อมกับชูผ้าคู่ใจในมือส่งไปให้อีกฝ่าย
   NaanFah   : มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว กูเนี่ยเป็นยอดฝีมือนะเว้ยย ดูซะ
   Nathi      : เขร้ มึงคงไม่ได้เอาของคนอื่นมาโชว์หรอกนะ
   NaanFah   : คนอื่นกูบ้าแล้ว แม่งเพื่อนในห้องกูแต่ละคนยังทำกันไม่เสร็จเลย
   Nathi      : มึงทำเสร็จคนแรก?
   NaanFah   : เออ
   Nathi      : o_O ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะมีสกิลแม่บ้านแม่เรือนด้วย 555+
   NaanFah    : เออกูก็งงเหมือนกัน สงสัยจะเป็นพรสวรรค์ติดตัวกูมั้ง อิอิ
   Nathi       : พรสวรรค์ในการเป็นภรรยาที่ดี?
   NaanFah    : เดี๋ยวมึงจะโดนนะไอ้คุณศศิน
   Nathi      : 555555555555+
   พิมพ์มาขนาดนี้มึงโทรมาขำอัดกูเลยดีกว่า ตั้งแต่ที่กลับมาเจอกับทีเกือบอาทิตย์นึง ทุกวันพวกเราก็แชทหากันบ่อยๆ คุยกันทุกเรื่องเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหนมันก็ชอบเอามาเล่าให้ฟัง อย่างเรื่องวันนี้ที่เพื่อนมันเอาถุงนอนมาก็เรียกอารมณ์ขันของผมได้ดีเลยทีเดียว แถมยังมีความกวนตีนหลงเหลือเพื่อแสดงตัวตนของมันได้ดีอีกต่างหาก ดึงดูดอวัยวะเบื้องล่างได้อย่างดี ถ้าคุยกันต่อหน้ามันคงโดนสักดอกสองดอก
   Nathi       : ฟ้าเย็นนี้มึงว่างปะ ไปเจอกันที่เดิม
   เย็นนี้เหรอ งานวิชานี้ผมก็เสร็จแล้ว แถมวิชาอื่นก็ไม่ได้สั่งอะไรเป็นพิเศษ งั้นก็น่าจะได้มั้ง แต่ทันทีที่ผมพิมพ์ข้อตอบไปได้สักพัก ผมก็ฉุกคิดอะไรได้บางอย่างจึงต้องแกข้อความใหม่ก่อนจะกดส่งอีกครั้ง เพราะวันนี้ตอนเช้าพี่ภูเป็นคนมาส่งผม ถึงแม้ผมจะบอกว่าไม่ต้องแล้วก็ตามแต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟังจะมาส่งให้ได้ วันนี้ผมเลยไม่ได้เอาจักรยานคันโปรดมาด้วย
   NaanFah    : กูได้อยู่หรอก แต่เมื่อเช้าพี่ภูขับรถมาส่งกู วันนี้กูเลยไม่ได้ขี่จักรยานมาด้วย
   หรือจะให้พวกแพรวไปส่งให้ดียังไงพวกนั้นก็ขี่มอไซค์มา
   Nathi       : งั้นเลิกเรียนให้กูไปรับมึงมะ?
   NaanFah    : มึงจะมารับกู?
   Nathi       : เออเห็นงี้กูก็ขี่มอไซค์เป็นนะ
   จะว่าไปตอนที่กลับจากคาเฟ่คราวก่อน มันขี่มอไซค์กลับบ้านนี้หว่า มันยังถามผมเลยว่าให้ไปส่งไหม แต่ตอนนั้นผมเอาจักรยานมาผมก็เลยบอกปัดไป สุดท้ายมันก็ขี่ด้วยความเร็วระดับเต่าเรียกพี่ขับตามจักรยานผมมา คงมีคนสาปแช่งอยู่หลายคนแหละผมว่า
   NaanFah    : งั้นกูได้แหละ วันนี้กูเลิก 4 โมง
   Nathi       : โอเค กูก็เลิก 4 โมงพอดี เลิกแล้วเดี๋ยวกูทักไป
   NaanFah    : ได้ๆ
   “ไอ้ฟ้าช่วยพวกกูด้วยยย~” เสียงร้องโหยหวนที่คุ้นเคยทำให้ผมต้องหันกลับไปยังเหล่าเพื่อนๆที่ตอนนี้อยู่ในสภาพกำลังจะตายคากองเศษผ้า
   “อะไรอีกล่ะ กูสอนไปแล้วนะ”
   “กูรู้ว่ามึงสอนมาแล้ว แต่มันทำไม่ได้อะดูดิออกมาเป็นแบบเนี่ย” ว่าจบแพรวก็ชูเศษผ้าที่ถึงแม้รอยเย็บจะแตกต่างจากของเก่า แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงมีสภาพหลุดลุ่ยไม่ต่างจากเก่าเท่าไหร่เลย
   “ทำไมมันออกมาเป็นแบบนี้เนี่ย”
   “กูก็ไม่รู้ กูจะร้องไห้แล้วเนี่ย”
   “ไหนมึงลองทำใหม่ดิ เดี๋ยวกูดูไปด้วย”
   พูดจบแพรวก็ลองมือทำตามที่ผมพึ่งสอนไปเมื่อกี้…อืม แทงเข็มลงถูก…แทงเข็มขึ้น…แทงสวนไปมา…อ้าวก็ทำถูกหมดนี้…
   “เดี๋ยวๆตอนแรกก็ดีๆอยู่ทำไมมันออกมาเละแบบเดิมได้เนี่ย”
   “กูก็อยากรู้เหมือนกัน”
   ผมยกมือถือตัวเองขึ้นมาเพื่อดูเวลาตอนนี้ ถ้าปล่อยให้พวกมันทำเองน่าจะทำไม่ทันเวลาส่งแน่นอน ผมรับประกัน คอนเฟริม
   “เฮ้อ ช่วยไม่ได้ มาเอามานี้เดี๋ยวกูช่วยทำ ปล่อยไว้ชาติหน้ามึงคงไม่ได้ส่ง”
   คำพูดของผมตอนนี้เปรียบเสมือนใบเปิดทางสู่สวรรค์ของพวกมันเลย พวกมันแต่ละคนตอนนี้แววตานี้มีประกายมากทั้งแพรว ฝ้ายและนี
   “เป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ”
   “ไว้เดี๋ยวพวกกูพาไปเลี้ยง มึงอยากกินไรบอกมาได้เลย” พูดจบทั้งสามคนก็ส่งกองผ้าพร้อมกับเศษผ้าที่เย็บไปนิดหน่อยมาให้ผมอย่างพร้อมใจ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วก็รับมาทำ
   “เออๆ ไว้เดี๋ยวกูค่อยเรียกคืนค่าแรงแพงๆ”
   “อย่าแพงมากแล้วกัน กระเป๋ากูมันบาง”
   จากนั้นการพูดคุยก็จบลงเพราะผมตั้งสมาธิขั้นสูงสุดเพื่อที่จะได้ทำการบ้านเจ้าปัญหาให้จบๆไปสักทีเพราะเหลืออีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะหมดคาบแล้ว ผมเลยเร่งสปีดในการปักจนมือนี้ไวอย่างกับรถเมล์สายในตำนานที่ถัดจากเลข 7
   และแล้วผมก็สามารถทำทั้งหมดนั้นเสร็จภายในเวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น…แหม ก็คนมันเก่งนี้เนอะ
   “เอ้า เสร็จแล้ว” ผมยื่นผ้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้เหล่าเพื่อนๆทั้งสามที่ตอนนี้แต่ละคนทำหน้าทึ่งกันใหญ่ ส่วนเรื่องอะไรผมก็พอจะเดาออกแหละ
   “ฮะ!! เสร็จแล้วจริงดิ” ทั้งสามประสานเสียงกันโดยมิได้นัดหมาย
   “เออนี้ไง”
   “เชี่ยมึงทำได้ไงวะ ไวเกิ๊น”
   “ก็คนมันเก่ง” ผมยักไหล่ให้แพรวไปทีนึงก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยใบหน้าเฉยชา
   “อ่อเหรอ”
   หลังจากเสร็จภารกิจทุกอย่าง พวกมันก็ใช้เวลาที่เหลือนั่งจับกลุ่มเมาท์กันตามปกติ
   “เออจะว่าไปไอ้ฝ้าย มึงไปหาภาพนักเรียนเข้าใหม่ที่มึงพูดตอนเปิดเทอมได้ยัง” เออจะว่าไปผมก็ลืมไปเลยว่าปุยฝ้ายบอกว่าจะไปหามา ผมก็ชักอยากจะเห็นหน้ามันเหมือนกันว่ามันต้องขนาดนั้นชื่อเสียงถึงจะดังข้ามมาถึงโรงเรียนผมขนาดนี้
   “แน่นอน เรื่องแบบนี้กูไม่พลาด”
   ปุยฝ้ายพูดยืดอก เชิดหน้าชูตา ถ้าเกิดว่าจมูกมันยาวขึ้นได้มันคงยาวเลยเสาธงหน้าโรงเรียนไปไกลเป็นลี้เลย มันยกมือถือขึ้นมาจิ้มๆจากนั้นจึงยื่นมาให้พวกผมดู แต่แล้วความตกตะลึงก็ปกคลุมพวกผมทั้งสามคน
   “เชี่ย กูเจอพ่อของลูกแล้วเว้ย”
   “ไอ้นี มึงหยุดร่านก่อน” เพื่อนทั้งสองตอบสนองด้วยสาเหตุปกติแต่ของผมนั้นต่างจากพวกเธอได้นิดหน่อย
   “ไอ้ทีนี้หว่า” ก็คนในรูปเป็นเพื่อนสนิทผมที่พึ่งจะโคจรกลับมาเจอกันในรอบหลายปี ผมก็ว่าหน้าตามันเปลี่ยนไปเยอะอยู่ แต่ไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีจนมันลือกระฉ่อนมาที่โรงเรียนผม…ไม่สิๆประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น
   “นี้มึงไปถ่ายรูปมาได้ยังไงเนี่ย” รูปนี้เหมือนรูปแอบถ่ายกลายๆเลยเพราะมันโฟกัสไม่ชัดมากแต่ก็ไม่ได้เบลอมาก
   “หึหึ ความลับทางธุรกิจจ๊ะ” น่ากลัว…
   “ไอ้ที? ที่มึงบอกว่าเพื่อนสนิทสมัยเด็กใช่มะ?”
   “เออคนนี้แหละ”
   “เชี่ยย ไว้วันหลังพวกกูต้องตามมึงไปไหนมาไหนบ่อยๆแล้ว เพื่อจะได้ลาภลอย” นี มึงช่วยเกรงใจตำแหน่งหัวหน้าห้องของมึงหน่อยดีนะ
   “วันนี้กูก็จะไปหามัน”
   “ทำไมต้องเป็นวันนี้ วันนี้กูไม่ว่างงงงง” เก็บอาการหน่อยนี
   หลังจากนั้นพวกผมก็คุยกันไปเรื่อยโดยมีหัวข้อการสนทนาเป็นไอ้นักเรียนย้ายมาใหม่หน้าหล่อของโรงเรียนชายล้วนที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี้ แต่ส่วนใหญ่ผมจะเป็นฝ่ายโดนซักไซ้เอาข้อมูลไปมากกว่า ไม่ว่าจะของชอบ สเปค นี้ถ้ามันลงไปถามไซส์กางเกงในได้มันคงถามไปแล้วมั้ง
   NaanFah    : ที กูเลิกแล้วนะ มึงอยู่ไหน
   ตอนนีผมนั่งรอเพื่อนสนิทที่นัดไว้ซะดิบดีว่าถ้าเลิกแล้วจะทักมา ตอนนี้ก็ปาไปสี่โมงยี่สิบแล้วยังไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะมาถึงเลย ผมเลยต้องทักไปถามมันเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
   NaanFah    : ฮัลโหลลล
   Nathi       : โทษทีๆ
   อะ ในที่สุดก็ตอบสักที
   Nathi       : โทษที ไอ้ฟ้า พอดีครูกูเขาเรียกไปช่วยงานปฏิเสธไม่ได้ด้วยน่าจะอีกนานอะกว่าจะเสร็จ
   NaanFah    : อ้าวแล้วกูจะไปไงอะ
   ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ถ้ามันติดธุระผมไม่ไปก็ได้
   Nathi       : กูให้เพื่อนกูไปรับมึงละ ป่านนี้น่าจะถึงแล้วมั้ง
   NaanFah    : เพื่อนมึง? มารับกู
   Nathi       : เออเมื่อกี้มันพึ่งทักมาบอกกูว่าถึงแล้ว กูไปก่อนนะครูกูตามแล้ว
   NaanFah    : เดี๋ยวก่อนมึงกูยังไม่รู้จักเพื่อนมึงเลยนะไอ้ที
   เงียบกริบ ไม่มีการตอบรับจากปลายข้อความ ไม่แม้จะขึ้นว่าอ่านแล้ว แสดงให้เห็นว่าฝ่าย   ตรงข้ามเก็บมือถือไปแล้วนั้นเอง อย่างน้อยถ้ามึงบอกจะให้เพื่อนมึงมารับอย่างน้อยมึงก็ช่วยบอกชื่อหรือลักษณะให้กูสักนิดจะเป็นพระคุณมาก
   เมื่อลังเลอยู่สักพักสุดท้ายผมก็ต้องจำใจเดินออกมายังหน้าโรงเรียน ใช้สายตาสอดส่องเพื่อหาเพื่อนไอ้ทีที่ผมไม่แม้จะรู้จักชื่อ มองซ้ายมองขวาเจอร้านแผงลอยขายอาหารต่างๆนานา อยู่ๆสายตาผมก็ต้องมาหยุดอยู่ที่บุคคลที่ตอนนี้ยืนเด่นเป็นสง่าไม่ห่างจากประตูโรงเรียนมากนัก
นักเรียนชายร่างสูงในชุดนักเรียนที่ปล่อยชายเสื้ออกนอกกางเกงกำลังยืนพิงบิ๊คไบค์คันใหญ่อยู่ แต่ท่าทางการยืนกับแววตานั้นให้ความรู้สึกหน้ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ผมจ้องอยู่นานจนเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกได้จึงหันมาสบตากับผม…ชิบหายแล้วเอาไงดีว่ะ ในจังหวะนั้นอีกฝ่ายก็จ้องผมเขม็งด้วยใบหน้าถมึงทึงจนผมต้องเบนตัวหันหนีอีกฝ่ายกำลังใช้สมองอันน้อยนิดคิดหาทางหนีจากสถานการณ์นี้…จะโดนไถตังเปล่าเนี่ย
   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตัดสินใจกระทำการณ์ใดๆ อยู่ๆก็มีสัมผัสหนักๆตรงบ่าทำให้ผมต้องหันกลับไปสำรวจดูก็ผมว่าบุคคลที่เคยพิงบิ๊คไบค์อยู่ตอนนี้เดินมาจับบ่าผมข้างหลังแล้ว ในจังหวะที่คิดว่าซวยแล้วก็มีเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมา
   “น่านฟ้า…ใช่ไหม” เอ๊ะ…ทำไมถึงรู้ชื่อผมล่ะ
   “…”
   “ไอ้ทีฝากให้มารับ”
   “เพื่อนทีเหรอ”
   “อือ” หลังจากที่อีกฝ่ายตอบก็หันหลังเดินนำผมไปยังบิ๊คไบค์คันโตที่จอดอยู่ที่เดิม ผมเลยเดินตามหลังไปเงียบๆ ทันทีที่เดินไปถึงที่รถ อีกฝ่ายก็ยื่นหมวกกันน๊อคมาให้ ผมเลยรับมาใส่อย่างรู้งาน ส่วนอีกฝ่ายก็ขึ้นคร่อมบิ๊คไบค์รออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ผมสวมหมวกเสร็จผมก็เลยขึ้นคร่อมตามไป…หือ สูงไม่ใช่เล่นนะเนี่ย
   อ้าว…ผมตกใจที่ว่าทำไมคนขับถึงไม่ยอมออกรถสักที ผมจ้องอีกฝ่ายผ่านทางกระจกข้างรถ ส่วนเจ้าตัวคนขับก็ลอบมองผมจากกระจกข้างรถเช่นกัน จนอีกฝ่ายเริ่มเอ่ยปากถามขึ้นมา
   “บังลม…”
   “หือ”
   “ไม่ดึงบังลมลงมาล่ะ” อ่อ ที่แท้ก็บังลมนี้เองก็ว่าทำไมถึงไม่ออกรถสักที
   “ไม่เป็นไรพอดีเราไม่ค่อยชอบ มันมองไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่”
   “…เหรอ” สิ้นเสียงตอบรับสารถีจำเป็นก็ออกรถไปโดนไม่ได้ถามคำถามอะไรต่อ

   อึดอัดชะมัด…หลังจากถูกเพื่อนไอ้ทีขับพามาส่งที่คาเฟ่ พวกเราสองคนก็เข้ามานั่งรอที่โต๊ะเดิมโดยที่ยังไม่มีใครเปิดบทสนทนาอะไรเลย บรรยากาศกล่าวได้ว่าหนักอึ้งเหมือนกับโดนช้างเหยียบทั้งตัวก็ไม่ต่างกัน
   “…ไม่ต้องกลัวกูขนาดนั้นก็ได้”
   “เอ๊ะ…คะ ครับ” ตายล่ะเผลอตอบเสียงหลงไปซะแล้ว
   หึหึ…ผมได้ยินเสียงแว่วๆมาจากคนตรงหน้าที่ตอนนี้เหมือนจะก้มหน้าเล็กน้อย พลางเอามือปิดบังบริเวณปาก แถมตัวยังสั่นไหวๆเล็กน้อย
   “ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้…หึ…กูไม่จับมึงกินหรอก” อีกฝ่ายพูดไปพลางกลั้นขำไปพลางท่าทางของอีกฝ่ายทำเอาผมไปไม่เป็นเลย จะกลัวต่อดี หรือจะทึ่งกับท่าทางที่ต่างไปจากเดิมดี แต่เพราะการแสดงออกของอีกฝ่ายทำให้บรรยากาศเริ่มคลายความตึงเครียดลงไปเยอะ
   “เออ…คือ…นาย…”
   “ไนท์ จะถามชื่อใช่ไหมล่ะ”
   “อะ อืม”
   “ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ เพื่อนไอ้ทีก็เหมือนเพื่อนกู คุยตามปกติที่คุยกับไอ้ทีก็ได้”
   ผิดคาดแฮะ พอได้พูดคุยกันแล้วไนท์คุยง่ายดี ถึงแม้ว่าบางทีหน้าจะไม่ได้ไปตามคำพูดก็เถอะ พอมองดูดีๆแล้วอีกฝ่ายหน้าตาดีระดับเดียวกับไอ้ทีเลย เผลอๆจะดีกว่าเพราะไนท์สูงกว่าทีด้วย (ชริ๊)

   “มาแล้วๆ ขอโทษที่ให้รอ” เพื่อนสนิทต้นเรื่องในที่สุดก็มาถึงสักที
   “กว่าจะมาถึงนะ”
   “เออ ปล่อยให้พวกกูสองคนรอตั้งนาน”
   “ก็ครูนพอะดิ เรียกกูบอก ‘ศศิน มาช่วยครูเก็บเอกสารหน่อย’ มาเก็บเอกสารหน่อย    หน่อยบ้านไหนล่ะ เก็บห้องเก็บของทั้งห้อง กว่าจะเสร็จ”
   “นี้ขนาดกูอยู่ช่วยมึงทำด้วยนะเนี่ย”
   เสียงปริศนาดังขึ้นตามหลังทีที่พึ่งเดินมายังโต๊ะ เป็นร่างของชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่สูงน้อยกว่าทีนิดหน่อย ทีเดินตรงมานั่งข้างผม ส่วนบุคคลปริศนาไปนั่งฝั่งตรงข้ามข้างๆไนท์
   “เออถ้ามึงไม่ช่วยป่านนี้กูคงยังไม่เสร็จ”
   “หวัดดี กูชื่อวิน เพื่อนไอ้ทีเอง ฟ้าใช่มะ”
   “เออ อือ” ดูเหมือนว่าบุคคลหน้าใหม่จะจับอาการผมได้จึงพูดแนะนำตัวออกมาก่อนเพื่อแสดงความเป็นมิตรออกมา
   “ไอ้ที มึงเป็นตัวกลาง มึงก็แนะนำตัวเพื่อนมึงหน่อยดิ” วินหันไปพูดใส่เพื่อนสนิทที่นั่งข้างผม
   “เออ กูรู้แล้วขอกูพักแปปนึงดิ…นี้น่านฟ้าเพื่อนสนิทสมัยเด็กกู พึ่งกลับมาเจอกันเมื่อไม่นานมานี้แหละ”
   “ดีจ้า/หวัดดี”
   “ไอ้ฟ้า ส่วนนี้ไนท์กับวิน เพื่อนที่โรงเรียนกู”
   “อืม หวัดดี”
   “แต่กูแปลกใจนะ…”
   “อะไรวิน” ทีพูดถามวินที่ตอนนี้ทำท่าถามปนความทะเล้นเล็กน้อย
   “ไม่นึกว่าไอ้ฟ้าจะสนิทกับไอ้ไนท์ได้เร็วขนาดนี้”
   “มันแปลกเหรอ” ผมพูดถามไปตามสิ่งที่คิด
   “ก็ดูท่าทางไอ้ไนท์ดิ หน้าตาถมึงทึงเหมือนหาเรื่องตลอดเวลา เวลาพูดก็พูดเป็นคำๆ ตอนมึงเจอครั้งแรกรู้สึกไงบ้างไอ้ฟ้า”
   “เออตอนเจอกันครั้งแรกกูนึกว่าจะโดนไถเงินเลย กำลังคิดอยู่เลยว่าจะทำไงดี” คำพูดของผมสร้างเสียงหัวเราะลั่นให้เพื่อนร่วมโต๊ะทั้งสองที่พึ่งมาใหม่
   “พวกมึงจะขำอะไรนักหนาเล่า” ไนท์พูดใส่วินกับทีที่ตอนนี้เอามือกุมท้อง หัวเราะกันจนท้องแข็งแล้วมั้งผมว่า
   “ก็…ก็มึง…ฮะฮะ…หน้ามึงแม่งไปทักคนอื่นเข้า ก็ถูกคนอื่นกลัว…ขนาดไอ้ฟ้ายังคิดว่าจะถูกไถตังค์อะ…ฮะฮะ กูไม่ไหวแล้ว” อะไรจะขำหนักขนาดนั้นครับวิน ส่วนไนท์ตอนนี้ทำหน้าเอือมไม่สิโกรธปนๆไปด้วยแล้วมั้งนั้น
   “ก็หน้ากูมันเป็นแบบนี้นี่”
   “เห็นไอ้ไนท์หน้ามันไม่รับแขกแบบนั้นแต่มันก็แคร์เพื่อนมากอยู่” ทีพูดขึ้นมาในระดับที่ผมน่าจะได้ยินคนเดียว
   “อือ กูรู้แล้วล่ะเมื่อกี้ก็คุยกันด้วย” ระหว่างรอไอ้ทีผมกับไนท์คุยกันไปหลายเรื่องเลย ทั้งเรื่องไอ้ทีตอนอยู่โรงเรียนเป็นไงมั้ง วีรกรรมหลุดๆของมันเป็นไง ถ้าลองคุยกันดูแล้วจะรู้เลยว่าไนท์มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เห็นภายนอก
   “เออ ไอ้ฟ้าๆ มึงอยากรู้ปะว่าพวกกูมารู้จักกันได้ยังไง” วินหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้หายจากอาการขำค้างเมื่อครู่แล้วเปลี่ยนหันมาชวนผมคุยบ้าง
   “เฮ้ยไอ้วิน”
   “เอาน่ามึง ขนาดนี้มึงก็ไม่ต้องอายแล้วน่า”
   “เฮ้อ…อยากเล่าก็เล่า” ไนท์ทำท่าปลงๆพลางโบกมือไล่ตัวต้นเรื่องที่ทำท่าทางยิ้มเยาะอยู่ไม่ไกล
   “ตอนพึ่งขึ้นม.5 มา กูกับไอ้ทีย้ายเข้ามาห้องเดียวกันพอดี แล้วตอนนั้นแต่ละคนก็มีกลุ่มของตัวเองกันแล้ว กูก็เลยลากไอ้ทีไปนู่นไปนี้ แต่แล้ววันนึงพวกกูก็แจ๊คพ๊อตไปหาที่นั่งกินข้าวกลางวันกันเงียบๆ ดั๊นไปเจอไอ้ไนท์โดนพี่ม.6 หาเรื่อง พอพวกกูเข้าไปช่วยสุดท้ายเรื่องมันเกิดแค่เพราะไอ้ไนท์แค่ดันบังเอิญไปสบตาพี่เขาพอดี แต่พี่เขาดันคิดว่าหาเรื่อง จากนั้นพวกกูก็ขำก๊ากแบบหยุดไม่อยู่ สุดท้ายก็เลยมารวมกลุ่มกันเนี่ยแหละ”
   ผมก็พอจะรู้ว่าหน้าไนท์มันค่อนข้างจะดูดตีนพวกกุ๊ยระดับล่างอยู่หรอก แต่อะไรคือแค่สบตาก็จะตีกันแล้ว ถ้าผมไปเจอผมคงเหวอมากกว่าฮาแตกนะ
   “แต่ที่พีคกว่านั้นคือพวกกูพึ่งมารู้ว่าไนท์มันก็อยู่ห้องเดียวกันเนี่ยแหละ”
   “อ้าว…ซะงั้น”
   “กูไอ้ไนท์มันนั่งหลบมุมหลังห้องโดดเดี่ยวอยู่อย่างนั้นพวกกูก็เลยไม่สังเกตน่ะสิ” ทีที่เงียบอยู่นานก็พูดเสริมขึ้นมา
   “ไม่ใช่ว่าไนท์อยู่มาตั้งแต่ม.4เหรอ” ผมถามไปตามที่สงสัย แต่ประโยคนั้นก็เรียกใบหน้ากลั้นขำอีกรอบของวิน ส่วนไนท์นั้นเบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้ว กับใบหน้ายิ้มๆของไอ้ที…ผมถามอะไรผิดไปเหรอ ส่วนผมก็ทำหน้าตาแป๋วอยู่อย่างนั้น
   “ก็…มีแต่คนกลัวหน้ากูนิ…กูก็เลยไม่มีคนเข้าใกล้” โอ้…กูขอโทษเพื่อนไนท์ กูไม่น่าถามไปเลยจริงๆ…ส่วนเพื่อนวิน มึงหยุดหัวเราะเยาะเพื่อนมึงได้แล้ว



*****************************************************************************************************************************
❤ Update Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย
สถานะ              : เพื่อนสนิท

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : ???
น้ำหนัก             : ???
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท


*จะพยายามอัพให้ได้ติดต่อกันมากที่สุด (ถ้าเป็นไปได้จ้า ฮะๆ)  :hao5:

**ชอบไม่ชอบยังไงคอมเม้นต์ติชมได้น้าาาาา  :bye2:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 3 {16/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 16-07-2019 16:24:17
ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 3 {16/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 18-07-2019 18:54:10
ขั้นที่ 4 แค่นิดหน่อยเอง

[น่านฟ้า]
   “ช่วงนี้มึงไม่ค่อยอยู่กับพวกกูเลยนะ”
   “หือ”
   “เลิกเรียนทีไรมึงก็หายไปคาเฟ่นั้นกับพวกไอ้ทีตลอด ปล่อยพวกกูสามหน่อทิ้งไว้เลยนะ”
   “โอ๊ยเจ็บๆ กูรู้แล้วน่าแพรวแต่มึงอย่าทำแรงแบบนั้นดิ”
   “หามันต้องแรงแบบนี้มันถึงจะดีสิ มึงนั้นแหละร่างกายแข็งเกินไปแล้ว”
   “โอ๊ย แต่ตรงนั้นมัน อ่าาาา…”
   “…ขอโทษที่ขัดจังหวะ แต่พวกมึงสองตัวแค่ยืดเส้นยืดสายก่อนออกกำลังกาย พวกมึงจะใช้คำพูดชวนเข้าใจผิดทำไมค่ะ”
   “ถ้าพวกกูได้ยินแต่เสียงก็คงนึกว่าไอ้ฟ้าจะถูกไอ้แพรวข่มขืนซะอีก” เดี๋ยวนะ บททมันสลับกันรึเปล่า
   “พวกมึงก็ดูไอ้ฟ้าดิ กูแค่วอร์มให้มันไปตามปกติเอง กูแค่ดันไปเบาๆเอง”
   “มึงเป็นนักกีฬานะ ปกติของมึงมันต้องไม่ปกติของกูอยู่แล้วดิ” ผมพูดตอบแพรวที่ตอบนี้กำลังเอาสองมือดันหลังของผมให้ก้มลงไปใกล้ปลายนิ้วเท้าให้มากที่สุด เดี๋ยวเหตุผลที่ว่า ‘ปล่อยให้มึงวอร์มอัพแบบนั้นกูทนไม่ได้ ว่านี้เดี๋ยวกูสอนวิธีวอร์มแบบมีประสิทธิภาพเอง’ สุดท้ายผมก็โดยจับวอร์มร่างกายด้วยกระบวนท่าที่ยิ่งกว่าเส้าหลิน ร่างกายอันบอบบางของผมระบมหมดแล้วเนี่ย…กระซิกๆ
   “เอาน่าทำๆไป” เจ้าตัวพูดขึ้นไปพลางเพิ่มแรงกดลงมาเพิ่ม
   “โอ๊ยยยยยย”
   ตอนนี้พวกผมกำลังจับคู่สำหรับวอร์มอัพ เตรียมทดสอบสมรรถภาพเหมือนกับโรงเรียนอื่นๆจนเหมือนจะเป็นธรรมเนียมที่ว่าคาบพละคาบแรกจะเป็นคาบสำหรับทดสอบสมรรถภาพ แต่สำหรับผมแล้วมันก็เหมือนจะเป็นการประจานดีๆนั้นเอง…
   “ถ้าวอร์มกันเสร็จแล้วก็เตรียมเข้าแถวตามเลขที่ด้วย ครูจะเรียกมาทดสอบเป็นชุดๆ” ครูสิทธ์ ครูประจำวิชาพละพูดขึ้นมาพลางก้มหน้าลงไปเช็ครายการทดสอบในวันนี้
   “เดี๋ยวจะให้ทดสอบดันพื้นก่อนแล้วกัน เลขที่หนึ่งถึงสิบออกมาข้างหน้า”
   “จะว่าไปเมื่อกี้พูดไรค้างไว้นะแพรว” ระหว่างที่รอถึงคิว ผมหันไปถามแพรวที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะพูดอะไรทิ้งท้ายไว้แต่ผมดันไปสนใจกับกระบวนท่าวอร์มอัพของอีกฝ่ายซะก่อน
   “อ่อ กูจะบอกว่าช่วงนี้มึงไม่ค่อยอยู่กับพวกกูเลยนะ แหมๆพอเลิกเรียนปุ๊บก็ตรงดิ่งไปคาเฟ่เจ้าประจำปั๊บ ทำเหมือนสาวน้อยแรกแย้มที่เลิกเรียนแล้วรีบไปแอบดูหนุ่มที่ปิ๊งอยู่ไกลๆ หวังว่าจะให้เขาหันมามองสักหน่อย”
   “มึงอ่านการ์ตูนตาหวานเยอะไปแล้ว”
   “กูยืมของไอ้ฝ้ายมา ตอนนี้กูเริ่มติดใจละ”
   “ฟังจากที่พูดมากูก็พอจะเดาออกแล้วล่ะ” ก็เล่นมโนมาซะเป็นพล๊อตขนาดนั้นใครไม่รู้ก็แปลกแล้ว
   “ก็ตามที่กูพูดไปนั้นแหละ ช่วงนี้มึงไม่ค่อยจะไปไหนมาไหนกับพวกกูหลังเลิกเรียนเลยนะ”
   “ก็พวกมึงกูเจอตลอดนี้ตอนเรียน แต่พวกไอ้ทีถ้าไม่นัดก็ไม่ได้เจอกันเลย” ถึงโรงเรียนของผมกับมันจะไม่ได้ห่างกันมาก แต่ระยะทางก็ไม่ใช่ว่าใกล้
   “แล้ววันนี้มึงมีนัดไหม”
   “ยังไม่มีนะ”
   “ดีมาก งั้นเย็นนี้มึงไปกินบิงซูกับพวกกู หน้าโรงเรียนมีร้านใหม่พอดี”
   “อืม…ก็ได้มั้ง” ยังไงซะวันนี้ก็ไม่ได้มีนัดกับพวกไอ้ทีด้วย นานๆทีไปกับพวกแพรวซะหน่อยพวกมันจะได้เลิกงอนซะที เพราะช่วงนี้ผมก็ทิ้งพวกมันไปหาไอ้ทีจริงๆ โดยเฉพาะช่วงแรกๆที่กลับมาเจอกันนี้นัดกันเกือบทุกวันเลย…พนักงานคงจำโต๊ะพวกผมได้แล้วมั้งเนี่ย
   “ดี ยังไงกูก็จะไม่ให้มึงบอกปัดอยู่แล้ว…”
   “ชุดต่อไปมารอเข้าคิวได้เลย” ครูสิทธิ์พูดขึ้นเป็นสัญญาณว่าชุดนี้กำลังจะทดสอบเสร็จแล้ว
   “งั้นกูไปก่อนนะ อย่าลืมล่ะว่าเย็นนี้มึงต้องไปกับพวกกู” เจ้าตัวเดินไปแล้วยังไม่พลางหันกลับมาชี้นิ้วใส่พลางพูดทิ้งท้ายไว้อีกครั้ง
   “แพรวา วันนี้ก็ทำให้เต็มที่แล้วกัน ครูจะได้เอาไปประกอบการคัดเลือกตัวจริง”
   “รู้แล้วค่าาา”
   “มึงคิดว่าไอ้แพรวมันจะได้เท่าไหร่” นีที่ยืนอยู่ข้างๆหันมาถามผม
   “ไม่รู้ดิ แต่คิดว่าน่าจะเกินคาดไปเยอะ”
   “กูก็ว่างั้น”
   สำหรับคนอื่นการทดสอบนี้อาจจะเป็นแค่เรื่องชิวๆ แต่สำหรับพวกนักกีฬาอย่างแพรวแล้ว ผลการทดสอบมันจะส่งผลต่อการคัดเลือกนักกีฬาตัวจริง ทำให้พวกเธอต้องเอาจริงแบบสุดๆจนสุดท้ายแล้วค่าเฉลี่ยจึงถูกดึงจนสูงลิ่ว
   “ดันพื้นสามสิบวิ…เริ่ม” สิ้นคำสั่งเพื่อนๆในชุดนี้ต่างโน้มตัวลงไปสลับกับดันขึ้นมาเป็นจังหวะ เพื่อนส่วนใหญ่จะทำกันไม่ได้เร่งมาก ค่อยๆทำเป็นจังหวะเบาๆ แตกต่างจากคนที่อยู่ใกล้ครูสิทธิ์ที่สุดที่ตอนนี้จังหวะเร็วอย่างกับกำลังแร๊ปอยู่เลย…แพรวมึงดูคนอื่นหน่อยก็ได้คนอื่นในชุดนี้ ยังทำกันไม่ถึงหลักสิบเลย นี้มึงจะเลยยี่สิบแล้วนะ แต่ถึงกระนั้นเพื่อนผมก็ยังไม่ลดจังหวะลงแต่ดูเหมือนจะเร่งเครื่องเพิ่มขึ้นในตอนที่กำลังจะหมดเวลา
   “เอาล่ะ หมดเวลา” หลังจากที่ครูสิทธิ์ประกาศหยุดเวลาทุกคนก็พร้อมใจกันทิ้งตัวลงไปนอนแผ่บนพื้นไปพลางประกาศจำนวนครั้งที่ทำได้ไปพลาง…ส่วนใหญ่ก็สิบกว่าๆ บางคนก็ได้ประมาณแปดถึงเก้าครั้ง แต่ก็ถือเป็นจำนวนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติของผู้หญิงอยู่ หลังจากนั้นก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันทีที่เพื่อนสนิทนักกีฬาประกาศจำนวนของตัวเองออกมา
   “45 ค่ะ” ช๊อกสิครับ…เกณฑ์ปกติของผู้หญิงแค่ 25 เอง นี้ล้อชนะเกณฑ์ของผู้ชายไปด้วย OMG…
   “ผลที่ได้ถือว่าดีเลยนะแพรวา”
   “จริงดิครู แหมนี้ขนาดหนูไม่ได้เอาจริงนะเนี่ย” นี่ขนาดไม่ได้เอาจริงนะมึง…
   “เอาล่ะ ชุดสุดท้ายเตรียมตัวได้แล้ว” ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกพวกผมสามคนก็ลุกขึ้นเตรียมตัวไปต่อแถวทดสอบ ระหว่างทางก็เดินสวนกับแพรวที่ตอนนี้ทำหน้าตาปลื้มปลิ่มกับผลของตัวเอง
   “เป็นไงมั้งผลของกู” เจ้าตัวพูดพลางยืดอกตัวเองซะสูงเชียว
   “กูอยากรู้จริงๆว่ามึง…”
   “ทำไมถึงเก่งแบบนี้ กูรู้ตัวกูเองดีมึงไม่ต้องชมกูหรอก” จมูกยืดหมดแล้วแพรว เก็บๆไว้หน่อยก็ดีไม่ต้องนยืดขนาดนั้น
   “…เป็นลูกหลานกอริลล่าใช่หรือไม่” เพล้งหน้าแตกระดับสิบ หมอไม่รับเย็บแน่นวลล
   “เดี๋ยวมึงจะโดนนะอิฝ้าย”
   “เอาน่าพวกมึงสองตัวอย่าพึ่งตบกัน ไว้เดี๋ยวกูจองสนามมวยก่อน อย่างน้อยกูจะได้เงินค่านายหน้าด้วย” แรกๆเหมือนจะดีนะนี แต่หลังๆนี้ไม่ใช่แล้วกอบโกยผลประโยชน์ชัดๆ
   “เอ้า ตรงนั้นน่ะอย่าพึ่งคุยกันมาทดสอบกันก่อนแล้วค่อยไปคุยกันทีหลัง”
   “ครับ/ค่ะ”
   “พวกกูไปก่อนนะ”
   “เออ” แพรวโบกมือไล่พร้อมกับซาวน์เอฟเฟค ‘ชิ้วๆ’ ตามต่อท้ายมาด้วย
   “มาๆชุดสุดท้าย ตั้งท่ารอไว้เลย” พูดจบทุกคนก็พากันเดินไปจัดแถวหน้ากระดานตามเลขที่ พร้อมกับย่อตัวลงไปโดยเอามือทั้งสองข้างยันพื้นเอาไว้โก่งตัวขึ้นให้อกลอยอยู่ เหนือพื้นเป็นท่าพื้นฐานสำหรับเตรียมดันพื้นไว้
   “ดันพื้นสามสิบวิ ทำเท่าที่ทำได้ก็พอไม่ต้องไปดูแพรวาเป็นตัวอย่าง อันนั้นเกินคนปกติไปเยอะ” ผมรู้ครับครู แล้วก็คงจะไม่มีใครคิดจะทำตามหรอกครับ
   “งั้นเริ่มได้” สัญญาณเสียงเริ่มต้นสั่งการให้ทุกคนปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียง
   ฮึบ ผมงอแขนให้ช่วงอกตกลงไปเกือบติดพื้น จากนั้นจึงออกแรงดันให้ขึ้นมาจากพื้นเป็นการปฏิบัติตามคู่มืออย่างถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน ถ้าทำท่าทางได้อย่างถูกต้องผมเชื่อว่าอย่างน้อยก็น่าจะอยู่ในเกณฑ์ปกติได้…แต่ผมลืมคิดไปอย่างนึง
   “อุ…ดัน…ไม่ขึ้นแล้วว” ผมลืมคิดไปเลยว่าถ้ามันทำได้ถึงเกณฑ์ปกติง่ายๆ มันคงไม่มีเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ กับต่ำเขียนมาหรอก
   “นภดลอย่างน้อยครูขอแค่สิบเอ็ดครั้งก็ยังดี” ถึงตอนนี้ผมจะไม่ได้มองหน้าครูแต่ผมก็พอจะเดาใบหน้าของครูสิทธิ์ออก เพราะผมเป็นลูกค้าขาประจำของครูในทุกครั้งที่ทดสอบ…ครูครับอย่าหวังกับร่างกายของผมเยอะเลยครับ สุดท้ายผมก็ต้องจำใจเค้นแรงฮึดมาดันพื้นให้ถึงสิบครั้งอย่างที่ครูเขาต้องการเอาไว้ ซึ่งไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้ครบปุ๊บผมก็น๊อคปั๊บ
   ความจริงแล้วถ้าเกิดใครทดสอบผลอันไหนไม่ผ่าน จะต้องไปสอบซ่อมกับครูในคราวหลังให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนของผมนั้นเรียกได้ว่า…ครูเขาปลงไปแล้ว ตอนม.4 เทอมแรกๆครูเขาพยายามทุกวิธีทางให้ผมสอบซ่อมให้ผ่านให้ได้ ลดเกณฑ์ก็แล้ว เพิ่มเวลาก็แล้ว สุดท้ายครูเขาก็ต้องลดเกณฑ์จนเหลือเกณฑ์ต่ำสุดทุกครั้ง ถ้าผมทำได้ถึงครูเขาก็ให้ผ่านแล้ว…เป็นไงล่ะอภิสิทธิ์ชน แหมพูดแล้วก็ไม่อยากจะอวด
   “โอเค เดี๋ยวครูจะแจกผลทดสอบของวันนี้ให้ อย่าพึ่งดีใจกับผลล่ะโดยเฉพาะพวกที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ปกติ ไปฝึกร่างกายเอาไว้ด้วยสุขภาพจะได้แข็งแรงดี” ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ตอนที่ครูเขาเน้นย้ำคำว่า ‘โดยเฉพาะพวกที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ปกติ’ ครูเขาจ้องมาทางผม…ปล่อยผมไปเถอะครับครู
   หลังจากที่พวกเราดันพื้นกันเสร็จครูเขาก็ปล่อยให้พวกเราพักกันก่อนประมาณสิบนาทีจากนั้นค่อยเรียกมาทดสอบซิตอัพตามลำดับเหมือนเดิม ซึ่งทุกอย่างก็เหมือนเดิมแม่นักกีฬาจอมพลังก็ทำลายสถิติของตัวเองไปแล้วด้วยการซิตอัพ 52 ครั้ง นี้คุณเธอจะฟิตอะไรขนาดนั้น ผมเห็นแพรวขึ้นๆลงๆเร็วมาก ขึ้นปุ๊บลงปั๊บ ครั้งนึงไม่ถึงวิด้วยซ้ำ…แล้วพอมาดูทางผม ผ่านครั้งที่ห้าได้คือเริ่มจองวัด ครั้งที่สิบคือจองเมรุ สิบห้าเป็นต้นไปคือณาปนกิจ อย่าว่าแต่เกณฑ์ปกติเลย แต่อย่างน้อยผมก็ทำได้เลยเกณฑ์ต่ำสุดนะครับ…เกณฑ์ต่ำสุดของผู้หญิงแต่ต่ำกว่าเกณฑ์ของผู้ชาย กระซิกๆ
   “ผลพวกมึงเป็นไงมั้ง” แพรวที่ตอนนี้อารมณ์ดีสุดขีด หันมาถามพวกผมที่ตอนนี้ถือกระดาษรายงานผลการทดสอบในมือ
   ในกระดาษจะบันทึกน้ำหนัก ส่วนสูง สถิติดันพื้นกับซิตอัพ รวมถึงเกณฑ์ด้านต่างๆไว้ด้วย แถมมีสูตรการคำนวณค่า BMI แถมมาให้อีกต่างหาก
   “ของพวกกูก็ปกติแหละ”
   “ไหนๆ…ว้าย กาก” แพรวเยาะเย้ยอัดหน้าหลังจากเดินอ้อมไปดูผลของปุยฝ้าย
   “ใครจะถึกเหมือนหล่อนล่ะ แล้วก็ของกูเรียกอยู่ในเกณฑ์ปกติ”
   “ของมึงล่ะไอ้ฟ้า เป็นไงมั้ง” อยู่ๆแพรวที่กำลังคุยกับปุยฝ้ายก็หันควับมาหาผม ผมตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว รีบแอบกระดาษไว้ด้านหลังทันที
   “ก็ปกติของกูแหละ”
   “ถ้าปกติงั้นเอามาดูหน่อย” แพรวพูดพลางเดินอ้อมมาข้างหลังผม ทำให้ผมต้องหันหน้าตามอีกฝ่ายไป
   การยื้อฉุดกระชากแย่งชิงกระดาษรายงานผลก็ได้เริ่มต้นขึ้น จังหวะนี้ครับแพรวาอ้อมมาข้างหลังนภดล นภดลไหวตัวทันหันตามแพรวามาไม่ขาดสาย จังหวะนี้แพรวาเร่งความเร็วขึ้นพร้อมอาศัยจังหวะที่นภดลมองตามไม่ทันกระโจนเข้าไปหมายจะคว้าผลเอาไว้ แต่นภดลเบี่ยงตัวหลบได้ตอนนี้ทั้งคู่กำลังประจันหน้ากันอยู่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอยง่ายๆ และแล้วจังหวะนี้แพรวาจึงจำเป็นต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายยกมือขวาขึ้นมาจากนั้น…จากนั้น…เป๊าะ “จัดการดิฝ้าย” ดีดนิ้วหนึ่งที คุณฐานิตตาคว้าเอาผลไปจากด้านหลังไปอย่างสวยงาม การแข่งขันครั้งนี้ชัยชนะตกเป็นของแพรวา กอริลล่าแห่งโรงเรียนหญิงงงง
   “เดี๋ยวก่อนพวกมึง…” ผมตั้งใจจะไปแย่งกลับคืนมาแต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะตอนนี้พวกเพื่อนทั้งสามกำลังมองดูผลสลับกับเงยขึ้นมาสำรวจร่างกายของผมเป็นระยะๆ ในที่สุดพวกมันจึงเดินมาพร้อมคืนผลทดสอบกับมือของผมไปพลางพูดปลอบผมไปพลาง
   “ไม่เป็นไรนะมึง มึงไม่ต้องไปคิดมาก” แพรวยื่นมือมาแตะที่บ่าขวา
   “ใช่มึง มึงยังมีเวลาอีกมาก” ปุยฝ้ายยื่นมือมาแตะที่บ่าซ้าย
   “…” นีพยักหน้าเห็นด้วยกับทั้งคู่
   “เพราะแบบนี้ไงกูถึงไม่อยากให้พวกมึงดู” ผมปัดมือทั้งสองของเพื่อนออกไปจากบ่า พลางพูดตะหวาดไประลอกหนึ่ง แต่ทั้งสามไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแต่กลับขำอัดผมด้วยซ้ำ…คิดถูกไหมเนี่ยที่มารู้จักพวกมัน
   “แต่กูยังตกใจเลยนะ น้ำหนักกับส่วนสูงของมึงอะ…”
   “ถ้าพูดอีกเดี๋ยวกูทุ่มด้วยจักรยานอีก” กูรู้ตัวเองดีไม่ต้องย้ำมาก
   “…” คำขู่เงียบๆของผมเป็นผลตอนนี้ทั้งสามเปลี่ยนบทสนทนาไปเป็นเรื่องอื่นในทันที
   “นี้สี่คนตรงนั้นน่ะมาช่วยครูเก็บของหน่อย” เสียงของครูหนุ่มที่คุ้นเคยดังขึ้นมาไม่ไกลจากบริเวณที่พวกผมยืนอยู่
   “ครูฝากวานเอาเสื่อกับเครื่องนับจำนวนไปเก็บที่โกดังให้หน่อย พอดีเดี๋ยวครูมีประชุมต่อ” พูดจบครูสิทธิ์ก็อันตรธานหายไปในบัดดล ทิ้งให้พวกผมทั้งสี่ยืนงงกับความมาเร็วไปเร็วของครูพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจช่วยกันยกข้าวของที่วางอยู่กลางสนามขึ้นมา แพรวถือเสื่อยางไป ส่วนพวกผมสามคนช่วยกันถือเครื่องนับจำนวน พลางเดินตรงไปยังโกดังเก็บของที่อยู่หลังห้องพละ
   บริเวณนี้ค่อนข้างจะรกร้างไปบ้างเพราะถ้าไม่มีความจำเป็นก็จะแทบไม่มีใครเดินผ่านมาเลย ขนาดภารโรงยังแทบไม่เคยเดินมาตรงนี้เลยถ้า ผอ.ไม่สั่งให้มาเอาพวกพรมสำหรับงานพิธีสำคัญๆของโรงเรียน
   “แค่กๆ ฝุ่นเยอะชิบหาย อย่างน้อยก็น่าจะให้พวกลุงภารโรงมาทำความสะอาดบ้างนะ” แพรวที่เปิดประตูโกดังขึ้นพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนจะน้ำเสียงให้ปกติแล้วหันกลับมาถามผม
   “ไอ้ฟ้าส่งเครื่องนั้นมาสิ เดี๋ยวกูเอาเข้าไปให้เอง มึงเข้าไม่ได้นิ”
   “แต้งกิ้ว”
   ผมยืนรอทั้งสามคนอยู่ตรงหน้าประตูโกดัง ทั้งสามเข้าไปไม่ถึงห้านาทีก็พากันเดินออกมา แถมแต่ละคนก็บ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ควรให้ภารโรงมาเก็บกวาดสักทีเถอะ ฝุ่นเยอะจนเปิดเป็นฟาร์มไรฝุ่นนี้คงจะรวยเละน่าดู’
   “ป่ะ ไปกินบิงซูกัน ตอนนี้ร่างกายกูต้องการของหวานหลังจากที่ออกแรงมาทั้งวัน”
   “กูเห็นมึงออกแรงแค่คาบพละเองนะ นอกนั้นมึงก็นอน”
   “มึงจะไม่กัดกูสักวิจะเป็นไรมั้ย”
   “คงไม่ได้อะ มันเป็นกิจวัตรประจำวันของกูไปแล้ว ถ้าไม่ทำกูรู้สึกว่ากูจะนอนไม่หลับ”
   “…” โอ้…คุณแพรวาแน่นิ่งไปแล้วครับท่านผู้ชม
   “ช่างมึงแล้วกัน ไปลุกได้แล้ว” แพรวใช้การตัดบทหันมาเร่งผมกับนีให้รีบเก็บของ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันใจคุณเธอ คุณเธอเลยจัดการจับข้อมือผมแล้วจัดการลากให้เดินตามไปเลย…คุณเธอไปเอาแรงมาจากไหนกันฮัลโหลล
   พวกผมเดินมาถึงหน้าร้านบิงซูเปิดใหม่หน้าโรงเรียนแล้ว โอ้โหคนเยอะน่าดูเลย ก็เล่นมาเปิดหน้าโรงเรียน(เกือบ)หญิงล้วนแบบนี้ก็เรียกลูกค้าได้เพียบเลย แถมราคาค่อนข้างอำนวยกับพวกนักเรียนด้วยนะเนี่ย
   เดินเข้าไปในร้าน ข้างในก็ตกแต่งด้วยธีมของหวานสีชมพูหวานแหววพร้อมวอลเปเปอร์ชมพูพาสเทลเข้ากันกับของตกแต่งในร้าน ตั้งแต่ผมเข้ามาในร้านผมก็สังเกตดูแล้วว่าไม่มีลูกค้าผู้ชายเลยสักคน…ก็แหงล่ะ แต่งซะหวานแหววขนาดนี้ ถ้าผมมาคนเดียวก็คงไม่กล้าเข้าอะ สงสัยเพราะแบบนั้นพอผมเข้ามาทุกสายตาเลยจับจ้องมาที่ผม
   “เอาไรกันดี นานๆทีจะได้มากูอยากลองหลายๆรส” แพรวพูดขึ้นพลางเปิดเมนูไปพลาง
   “งั้นสั่งมาสี่ถ้วยสี่รสไปเลยมะ ดีนะร้านนี้มีไซส์สำหรับกินคนเดียว” ปุยฝ้ายเสนอความคิดขึ้นมา
   “ดีงั้นกูเอาช๊อกโกบานาน่าแล้วกัน”
   “อืม…เอาไรดีหว่า…อืมมมม กูเอาสตอเบอร์รี่โยเกิร์ตแล้วกัน”
   “พวกมึงสองคนอะเอาอะไรกัน”
   “เดี๋ยวดิให้กูดูก่อน พวกมึงอะรีบไปแล้ว” นีที่นั่งเงียบอยู่นาน พูดตอบขึ้นมา
   “กูเอามะม่วงแล้วกันเพิ่มข้าวเหนียวมาด้วย วันนี้กูหิวข้าวเหนียวมะม่วงมาทั้งวันแล้ว”
   “งั้นกูเอา…” เสียงข้อความเข้าขัดจังหวะของผม เรียกความสนใจให้ยกมือถือขึ้นมาดู
   ตื้อดึง
   Nathi      : ตอนนี้อยู่ไหน?
   ไอ้ที? ทำไมอยู่ๆก็ทักมาหว่า?
   NaanFah   : หน้าโรงเรียนทำไมอะ?
   Nathi       : ทำไรอยู่?
   กูถามมึงอยู่นะ มึงอย่าตอบคำถามกูด้วยการย้อนถามดิ ไอ้คุณศศิน แต่สุดท้ายผมก็ตอบไปตามปกติ
   NaanFah    : กินบิงซูอยู่ เพื่อนกูชวนมา
   Nathi       : โอเค
   อะไรของมัน ผมสงสัยกับการกระทำของเพื่อนสนิทอยู่ๆก็ทักมาถามไปก็ตอบเรื่องอีก แล้วมันจะถามไปทำไมว่าผมอยู่ไหนในเมื่อมันตอบไม่ตรงที่ผมต้องการ
   “ฮัลโหล มึงตกลงมึงจะสั่งรสอะไรไอ้ฟ้า” เสียงคนข้างตัวเรียกสติผมให้กลับมาสนใจเรื่องตรงหน้าแทนหน้าจอโทรศัพท์ ตอนนี้พี่พนักงานกำลังยืนยิ้มรับออเดอร์อยู่ ดูท่าว่าเธอจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้สักพักแล้ว ผมจึงรีบสั่งออเดอร์สุดท้ายกับเธอไป
   “งั้นเอาทรอปิคอลซีตรัส” จากนั้นพนักงานจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อบอกออเดอร์ให้กับพวกพ่อครัวในครัว
   “เมื่อกี้ใครไลน์มาอะ” ปุยฝ้ายยิ้มถามด้วยใบหน้าระรื่น แต่แววตาแฝงด้วยเจตนาอื่นชัดเจน
   “ไอ้ทีทักมา”
   “ทักมาทำไมอะ”
   “กูก็ไม่รู้ อยู่ๆก็ทักมาถามว่าอยู่ไหน พอกูถามกลับไปว่าทำไม มันดันย้อนถามเรื่องอื่นอีก พอบอกว่ามากินบิงซู มันก็บอกโอเคแล้วจบ” ผมล่ะงงกับเพื่อนผมจริงๆ
   “หืมมม มีไรกันป่าวอะ ท่าทางมีพิรุธนะเนี่ย”
   “ไม่มีอะไรนี้ ก็แค่เพื่อนสนิทกัน แต่กูยังงงกับข้อความของมันอยู่เลย”
   ไม่นานบิงซูทั้งสี่ถ้วยก็ถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะแต่ละถ้วยถูกบรรจงตกแต่งด้วยนมข้ม น้ำหวาน รวมไปถึงผลไม้สดอย่างสวยงาม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงได้เยอะขนาดนี้ ผมคว้าช้อนของตัวเองกำลังจะจิ้มลงไปยังถ้วยของตัวเองแต่ก็ถูกเสียงของเพื่อนสาวห้ามไว้ก่อน
   “เดี๋ยวก่อน กูขอถ่ายรูปก่อน…” ปุยฝ้ายก้มหน้าลงไปจิ้มๆที่หน้าจอมือถือไปด้วยพลางพูดห้ามผมไว้แต่ทันทีที่หันหน้าขึนมาคำพูดก็หยุดชะงักไป พร้อมกับใบหน้าที่เหมือนตกใจอะไรบางอย่าง ไม่ใช่แค่ปุยฝ้ายแต่นีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็นิ่งไปเหมือนกันสายตามองมาทางผม
   “ทำไมมีอะไร…” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทักเสร็จอยู่ๆ ภาพตรงหน้าก็มืดลงไปพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นบริเวณดวงตาอันเนื่องมาจากฝ่ามือขนาดใหญ่กำลังปิดตาผมอยู่ ผมที่กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สามารถเข้าใจทุกอย่างได้ทันทีที่เจ้าของมือใหญ่ส่งเสียงที่คุ้นเคยออกมา
   “ทายซิ ใครเอ่ยยย”
   “เล่นบ้าไรเนี่ย ไอ้ที” ผมรีบปัดมือใหญ่ทั้งสองข้างออกพร้อมกับเอี้ยวหน้าไปมองข้างหลัง ปรากฎเป็นร่างสูงของเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เปลี่ยนจากหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปเป็นหน้าผิดหวังแทนพลางลากเก้าอี้แถวๆนั้นมานั่งข้างๆผม
   “โห่ มึงไม่ตกใจหน่อยเหรอ กูอุตส่าห์มาเซอร์ไพรส์…ว่าแต่ทำไมมึงทำหน้าอึดอัดแบบนั้นอะ ไม่ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ”
   “เปล่ากูตกใจไงอยู่ๆมึงก็มา” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ พอได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมาเพราะแผนการณ์สำเร็จ
   “ยิ้มไรของมึง”
   “เปล่า~”
   “…”
   “อะแฮ่ม อย่างน้อยช่วยคิดว่ายังมีพวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยได้ไหม” ตายล่ะ ลืมไปเลยว่ายังมีมารผจญอีกสามตน…นั้นไงแต่ละคนยิ้มจนแก้มแทบปริอยากล้อกูกันใช่มั้ยล่ะกูรู้ทัน
   “แนะนำเพื่อนมึงให้พวกเรารู้ด้วยซิ”
   “อือ นี้ไอ้ทีเพื่อนสนิทกูเอง ส่วนนี้แพรว ปุยฝ้ายแล้วก็นี เพื่อนที่โรงเรียนกูเอง”
   “หวัดดี” ทีพูดทักทายทั้งสามคน จากนั้นปุยฝ้ายจึงเริ่มตั้งคำถามขึ้นมา
   “นี้ๆ เราขอถามทีหน่อยได้ไหม” ช่างมันตักบิงซูมากินดีกว่า
   “ได้สิ”
   “ทีคิดยังไงกับไอ้ฟ้าเหรอ” พรวด…บิงซูเกือบติดคอ คำถามอะไรของมึงเนี่ยไอ้ฝ้าย
   “ก็เป็นเพื่อนสนิทกัน แถมเราพึ่งจะได้กลับมาเจอมันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานด้วย”
   “เห~~จะจริงเหรอ” ทั้งสามคนส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
   “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วซิ กินๆไปได้แล้วเดี๋ยวละลายหมดเสียดาย” ผมพูดขึ้นมาดึงประเด็นออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้ไอ้สามตัวนั้นหาเรื่องมาล้อผมอีกแต่ผลทดสอบวันนี้ก็พอแล้วอย่างน้อยไอ้ทีต้องไม่มีวันได้เห็นผลของผมเด็ดขาดหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ให้ดู
   “มึงยังชอบส้มอยู่อีกเหรอ” ทีที่นั่งอยู่ข้างๆพูดขึ้นมาหลังจากมองดูบิงซูถ้วยตรงหน้าผม
   “อือ ก็พอกินของเปรี้ยวๆหวานๆแล้วมันสดชื่นดีนี่ มึงลองมะ” ผมใช้ช้อนของตัวเองตักเนื้อน้ำแข็งไสพร้อมกลีบส้มหนึ่งกลีบแล้วยื่นไปยังปากของไอ้ที พอผมทำแบบนั้นเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมต้องการจะสื่ออะไรเลยยื่นหน้ามาพร้อมกับเปิดปากรอไว้ ผมเลยยื่นช้อนเข้าปากมันไป
   “อร่อยดีนะ”
   “ใช่ไหมล่ะ” ของหวานอะไรก็อร่อยขึ้นได้ถ้ามันเปรี้ยวๆหวานๆ ผมคอนเฟิร์ม…สายตาผมไปสังเกตเห็นมาร(?)ทั้งสามตนกำลังยิ้มเย้ยผมอยู่ ผมจึงต้องทำปากพูดไปว่า ‘แค่เพื่อนกันเว้ย’ แต่พวกมันก็ตอบกลับมาเพียงแค่ว่า ‘เหรอ’ เท่านั้นเอง
   ช่างมัน ไม่สนใจแล้วจากนั้นผมก็จ้วงตักบิงซูของตัวเองเข้าปากอยู่ต่อเนื่อง พลางสลับแบ่งให้ร่างสูงของตัวด้วย แต่ความนี้ผมยื่นช้อนให้มันแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับมาร3ตนตรงหน้าอีก
   “เฮ้อ อิ่ม อร่อยด้วย ไว้วันหลังมากันอีกดิ”
   “นั้นดิ ร้านสวยดีด้วย” ผมเห็นด้วยนะบิงซูแก้วละร้อย ถึงจะเขียนว่าปริมาณสำหรับหนึ่งคนแต่พอมาเห็นจริงๆมันมากจนทำให้อิ่มแทนข้าวได้เลย ไม่รู้ว่าขายแบบนี้จะได้กำไรรึเปล่า หวังว่าไม่ใช่คราวหน้าพวกผมมาแล้วเจ๊งเลยนะ อุตส่าห์จัดตั้งเป็นร้านประจำทั้งที
   “งั้นพวกมึงเอามาคนละร้อยเดี๋ยวก็เอาไปจ่ายให้” แพรวพูดขึ้นพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ หยิบแบงค์สีแดง ผมก็เลยล้วงไปหยิบกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาค้นหาแบงค์สีแดงจากนั้นจึงส่งให้แพรวไปเป็นตัวแทนจ่ายเงิน แต่ทันทีที่ผมหันกลับมามองยังเพื่อนชายข้างๆผมก็ต้องช๊อกกับเรื่องที่คาดไม่ถึง
   ในมือของทีกำลังถือกระดาษขนาดพอๆกับกระเป๋าสตางค์ ดูแล้วคล้ายกับผลรายงานวันนี้เลย…ไม่ใช่แล้วล่ะ มันใช่เลยต่างหาก ผมรีบยื่นมือไปหมายจะคว้ากระดาษกลับมาแต่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบจนสุดท้ายผมก็ไปจั่วลมไป
   “เอาคืนมาดิไอ้ที”
   “แปปนึงดิกูขอดูก่อน” ไม่ว่าเปล่าอีกฝ่ายก็ขยับถอยห่างผมไป ผมขยับตามไปยื้อหยุดกับมันสักพักนึงแต่ผมก็จั่วลมตลอด จนสุดท้ายเหมือนอีกฝ่ายจะดูจนพอใจแล้วจึงตัดสินใจคืนมาแต่โดยดี
   “มึงอายอะไรล่ะ ก็แค่ผลทดสอบสมรรถภาพเองไม่ใช่เหรอ” ทีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติ
   “ก็เพราะเป็นมึงถึงได้พูดได้นิ”
   “หึหึ…ก็แค่…มึง…ตกทุกอย่าง…เองนิ…หึหึ” ไอ้คุณเพื่อนตรงหน้าของผมดูท่าลิมิตความอดทนจะมาถึงขีดสุดแล้วถึงได้ระเบิดขำออกมา ถึงมึงจะกลั้นขำเอาไว้แต่ก็ไม่ทำให้กูรู้สึกดีขึ้นสักนิด ผมเลยตัดสินใจเมินมันซะเลย
   “อะไร มึงงอนเหรอ” ทันทีที่มันรู้ตัวมันจึงเขยิบเข้ามาใกล้ผมยื่นหน้ามาใกล้ๆ
   “…”
   “มึงอย่าไปคิดมากกับเรื่องน้ำหนักกับส่วนสูงเลย 155 เซนกับ 43 โลเอง เดี๋ยวมึงก็โตขึ้นอีกแหละ”
   “กูไม่ได้คิดมากซะหน่อย” ผมยังไม่หันไปมองอีกฝ่าย
   “งั้นกูจะบอกผลของกูให้แล้วกันจะได้หายกัน กูสูงกว่ามึงแค่นิดเดียวเอง หนักกว่ามึงแค่นิดเดียวด้วย แค่ 182 กับ 70 เอง”
   “นั้นเรียกว่าแค่เหรอ!!!” ผมทนฟังอีกฝ่ายไม่ได้สุดท้ายก็ต้องหันกลับไปมอง
   “หือ หายงอนแล้วเหรอ”
   “กูก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้งอน” ตายล่ะเผลอหลุดไปนิดหน่อย ทำมาเป็นบอกว่าแค่ เดี๋ยวมึงจะโดนไอ้ที ผมเหลือบไปมองเพื่อนสนิทตัวดีของผม ตอนนี้ใบหน้ามันมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา เห็นแบบนั้นผมก็เลิกงอนเป็นเด็กๆ แล้วหันกลับไปดีดกะโหลกไอ้ร่างสูงตรงหน้าซะที…หน่อย หมั่นไส้



*****************************************************************************************************************************
❤ Update Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย
สถานะ              : เพื่อนสนิท

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ???
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 4 {18/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 19-07-2019 11:01:37
มีน้ำหนักส่วนสูงมาแล้ว♥
ป.ล.มีของที่ชอบของนายเองติดมาด้วย
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 4 {18/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 20-07-2019 19:08:08
ขั้นที่ 5 เครป

[น่านฟ้า]
   “หืม~ วันนี้ตื่นเร็วจังนะ”
   “ก็ใครเป็นคนปิดแอร์ห้องฟ้าล่ะ ไม่ต้องมาพูดเลย” ไอ้พี่ชายตัวดีของผมยิ้มเยาะไปพลาง นั่งจิบกาแฟไปพลางอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
   “เปลืองไฟ…” หน่อย ปกติวันหยุดผมจะตื่นประมาณสิบโมง ทุกทีก็ปล่อยให้ผมนอนสบาย แต่ถ้าวันไหนพี่เค้าอยากแกล้ง พี่แกจะเข้ามาปิดแอร์ห้องผม ผมเป็นพวกที่ถ้าร้อนแล้วจะนอนไม่หลับ วันนี้ก็เลยตื่นมาตั้งแต่แปดโมงว่าจะลงมาเฉ่งไอ้พี่ชายสักหน่อย แต่เห็นอีกฝ่ายทำตัวโนสนโนแคร์แล้วผมก็ปลง…ช่างมันขี้เกียจขึ้นไปนอนต่อแล้ว
   ผมคิดได้อย่างนั้นก็ย้อนขึ้นไปบนห้อง หยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป จัดการกิจวัตรประจำวันตอนเช้าเสร็จก็เดินลงไปนั่งโซฟาที่ห้องนั่งเล่น
   “วันนี้มีนัดอะไรปะ”
   “ไม่มีนะ ถามฟ้าทำไมเหรอ”
   “เปล่าถ้ามีจะได้ไปส่ง แต่ถ้าไม่มีก็ดีแล้วขี้เกียจขับออกไปส่ง” พี่ภูขยับเขยื้อนร่างกายเอาขาทั้งสองข้างไปพาดไว้กับที่วางมือของโซฟาแล้วทิ้งหัวของตัวเองลงมาบนตักผมแล้วก็ยกมือถือขึ้นมาจิ้มๆ
   “…หนัก” คุณพี่ช่วยดูความต่างของร่างกายเราสองคนด้วย ไม่ใช่อยู่ๆก็ทิ้งหัวลงมา อีกอย่างหมอนก็มีไม่ใช่เหรอ
   “ทนเอาหน่อยดิ ขนาดกูยังทนหนุนตักมึงเลยนะแข็งจะตาย” แน่ะ…เป็นคนมาหนุนแล้วยังมาพูดเดี๋ยวก็ตบหน้าผากสักทีเลย
   “หมอนตรงนั้นก็มี พี่ก็ไปใช้อันนั้นดิ” ผมชี้นิ้วไปยังหมอนที่วางอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากโซฟามาก
   “ขี้เกียจหยิบ…”
   “…” เอาตามสบายเลยครับคุณท่าน ไม่สนละหยิบมือถือขึ้นมาส่องโซเชียลหน่อยดีกว่า
   “พี่ภูจำไอ้ทีได้มั้ย”
   “ลูกน้าจันทร์อะนะ”
   “ใช่ๆ ที่มันย้ายไปตอนป.3”
   “อือหึ ทำไม”
   “ไอ้ทีมันย้ายมาอยู่โรงเรียนชายล้วน แถวๆโรงเรียนฟ้าอะ แถมน้องสาวมันมาอยู่ม.4 โรงเรียนฟ้าด้วย”
   “ทำไมอยู่ๆถึงย้ายกลับมาล่ะ ตอนนั้นก็ไปไม่บอกเลยนิ” จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้ถามเหตุผลเลยว่าทำไมอยู่ๆมันถึงย้ายกลับมา แต่ตอนที่มันย้ายออกไปตอนนั้นผมเศร้ามากเลยด้วยตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่แล้วอยู่ๆเพื่อนที่สนิทกันย้ายออกไปโดยไม่บอกกันเลยสักคำ ตอนนั้นผมก็อารมณ์ตกไปเป็นอาทิตย์เลยล่ะ
   ตื้อดึง
   ตายยากจริงๆ…ไอ้ทีหัวข้อการสนทนาทักมาได้จังหวะพอดี
   Nathi       : วันนี้มึงว่างไหม
   NaanFah    : ก็ว่างนะ ทำไม
   Nathi       : ไอ้ไนท์มันจะชวนไปห้าง
   NaanFah    : ชวนไปห้าง?
   Nathi       : เออเห็นมันบอกว่ามีจัดงานอะไรสักอย่าง มันบอกให้ชวนมึงไปด้วย
   NaanFah    : กูไปก็ได้นะ วันนี้กูไม่มีธุระอะไร
   ยังไงวันนี้ผมก็วางแผนจะนอนเรื่อยเปื่อยทั้งวันอยู่แล้ว ไหนๆมันก็ชวนไปเที่ยวทั้งทีงั้นไปสักหน่อยก็ได้มั้ง
   “พี่ภูเดี๋ยวฟ้าจะไปข้างนอกนะ”
   “เอ้าไหนมึงบอกว่าวันนี้มึงจะไม่ออก”
   “ไอ้ทีมันพึ่งทักมาชวนไปข้างนอก”
   “ไปไหน?”
   “ห้างเปิดใหม่ใกล้ๆมหาลัยพี่อะ”
   “อ่อตรงนั้นน่ะเหรอ แล้วจะไปกี่โมง”
   “ไม่รู้อะ ถามแปป” ผมเปลี่ยนความสนใจจากพี่ชายผมตักไปเป็นโทรศัพท์มือถือแทน
   NaanFah    : มึงจะไปกี่โมงอะ
   Nathi       : น่าจะประมาณ 10 โมงมั้ง
   “มันบอกว่าประมาณ 10 โมงอะ”
   “อือ แล้วตกลงจะให้กูไปส่งไหม” จะว่าไปก็จริงแฮะ ระยะทางจากบ้านไปห้าง ห่างจากระยะทางไปโรงเรียนปกติไม่น่าจะปั่นจักรยานไปไหวแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่ต้องให้พี่ภูขับรถไปส่งอย่างเดียวแล้วมั้ง
   Nathi       : จะว่าไปมึงขับรถไม่ได้นิ งั้นให้กูไปรับมึงมะ
   เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้าง ไอ้ทีทักมาเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ชวนมาอย่างนี้ก็ต้องตอบรับสิครับรออะไร
   NaanFah    : จริงดิ
   Nathi       : เออยังไงกูก็ผ่านหน้าบ้านมึงเหมือนกัน ไว้เดี๋ยวถ้ากูไปถึงเดี๋ยวกูจะทักไปบอก
   NaanFah    : โอเคร~
   “แล้วตกลงมึงจะให้กูไปส่งมั้ยเนี่ย” พี่ภูที่สนิทอยู่บนตักทักขึ้นมาหลังจากเห็นผมไม่ตอบสักที
   “ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวไอ้ทีมันจะมารับ”
   “มันขับรถได้?” พี่ภูเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
   “มอไซค์ดิ อายุมันยังทำใบขับขี่ไม่ได้เลย”
   “เออก็จริง…แล้วมึงไม่เป็นไรเหรอ มึงไม่ชอบใส่หมวกกันน๊อคนิ”
   “อือไม่เป็นไรหรอก ของไอ้ทีมันไม่มีบังลมก็ยังพอทนๆใส่ได้แหละ อีกอย่างฟ้าก็เคยให้มันมาส่งหลายครั้งแล้วด้วย”
   “งั้นก็ตามใจ” อีกฝ่ายถามแล้วเปลี่ยนไปเป็นสนใจโทรศัพท์มือถือในมือแทน

   ไม่นานนักราชรถมาเกยก็ส่งเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากหน้าบ้านพร้อมกับเสียงดับเครื่องในเวลาไม่นานหนัก จังหวะเดียวกันเสียงข้อความเข้าก็ดังเตือนบนหน้าจอมือถือของผม
   Nathi       : กูมาถึงหน้าบ้านมึงแล้วมึงออกมารับกูหน่อย
   NaanFah    : ขับมาจอดขนาดนี้แล้วมึงก็เข้ามาเลยดิ
   Nathi       : กูไม่ได้มาตั้งนาน กูไม่กล้าเข้าอะดิ
   ก็จริงของมัน ถ้าเป็นสมัยก่อนผมกับมันเข้าออกบ้านของกันและกันบ่อยๆจนบ้านทั้งสองหลังแทบจะเชื่อมกันเป็นหลังเดียวไปเลยด้วยซ้ำ แต่พอไม่ได้มานานเป็นปีๆแล้วมันจะเกร็งก็ไม่แปลก
   NaanFah    : เออๆ เดี๋ยวกูออกไปรับก็ได้
   “พี่ภูลุกออกไปหน่อย ฟ้าจะออกไปรับไอ้ที”
   “ออกไปรับทำไม ก็ให้มันเข้ามาเลยดิ สมัยก่อนก็เข้าออกบ่อยกว่าบ้านมันอีก”
   “ก็ไอ้ทีมันไม่ได้มาตั้งหลายปี มันก็เกร็งๆไม่กล้าเข้า พี่ภูลุกได้แล้วฟ้าหนัก” หัวก็ไม่ใช้หนักๆ ทิ้งลงมาได้ ขาผมจะเป็นตะคริวอยู่แล้วเนี่ย ไว้วันหลังต้องเอาคืน
   “เออๆ” ร่างสูงกว่าเกินหนึ่งฟุต ค่อยๆยกหัวของตัวเองขึ้นมาพลางทำหน้ามุ่ยเป็นเด็กไปซะได้ ดูอายุตัวเองหน่อยเถอะ ปล่อยขาบางๆของผมให้เป็นอิสระ ผมจึงเดินมุ่งหน้าไปยังประตูเพื่อไปรับไอ้เพื่อนสนิทที่ไม่กล้าเข้ามาในบ้าน

[นที]
   “มึงจะมาเกรงใจอะไรตอนนี้ เมื่อก่อนมึงเข้าออกบ้านกูเป็นว่าเล่นเลยนิ” เจ้าของบ้านเปิดประตูออกมารับปุ๊บก็เปิดปากแซวปั๊บ
   “ก็ตอนนั้นกูมาบ่อยนิ แต่ตอนนี้กูไม่ได้มาตั้งหลายปี มันก็ต้องมีเกร็งๆกันบ้างเปล่าวะ” ผมไม่ได้มาที่บ้านไอ้ฟ้าตั้งหลายปี อะไรหลายๆอย่างมันก็เปลี่ยนไป ตอนเด็กๆก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอโตแล้วต่อมความเกรงใจมันก็เลยเติบโตขึ้นมาบ้าง
   “ฮะๆ เออเข้ามาๆ”
   “แล้วนี้พ่อแม่มึงอยู่ปะ” ไม่ได้เจอพ่อแม่ไอ้ฟ้าตั้งนาน ตอนเด็กๆพวกท่านเอ็นดูผมกับไอ้ฟ่างอย่างดีเลย…อะจะว่าไปลืมเอาของฝากมานี้หว่า
   “ไม่อะ ไปทำงานต่างจังหวัด” จะว่าไปพ่อแม่มันไม่ค่อยอยู่ติดบ้านมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เกร็งๆ…
   “วันนี้มีแค่พี่ภูที่อยู่บ้าน” …ไม่ล่ะขอถอนคำพูด เกร็งยิ่งกว่าเจอพ่อแม่ไอ้ฟ้าอีก
เจ้าของบ้านเดินนำหน้าพาผมมุ่งไปสู่ห้องนั่งเล่นที่มีร่างสูงที่นั่งบนโซฟาโดยที่มองมาทางพวกผมอยู่
   “พี่ภู ไอ้ทีมาแล้วนะ”
   “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทักทายพี่ชายเจ้าของบ้านตรงหน้า
   “อืม” แต่อีกฝ่ายก็ตอบด้วยคำสั้นๆเพียงเท่านั้น
   “งั้นเดี๋ยวกูขึ้นไปเปลี่ยนชุดข้างบนก่อนนะ”
   “อ้าวมึงไปทั้งชุดนี้ก็ได้นิ” ชุดมันก็ไม่ได้แปลกเท่าไหร่ กางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดตัวนึง เดี๋ยวนี้มันก็เป็นแฟชั่นปกติแล้วนะ สมัยนี้ไม่ต้องใส่ขายาวก็เดินห้างได้ไม่แปลกแล้ว ถึงผมจะใส่ขายาวมาก็เถอะ ฮะๆ
   “มึงอย่าบ้า กางเกงยางยืดเนี่ยนะมึง”
   “อ้าวเหรอ กูนึกว่าไม่ใช่ซะอีก” พูดจบผมก็เดินไปจับขอบกางเกงของมันยืดออกมาดู ร่างเล็กกว่าก็พยายามคว้าข้อมือผมไว้ข้างกับจับขอบกางเกงอีกข้าง แต่พอสบโอกาสผมก็เลยปล่อยจนขอบกางเกงดีดกลับไปจนร่างเล็กต้องร้องซี้ดออกมาเบาๆ
   “ทำไรของมึงเนี่ย”
   “ฮะๆ โทดทีๆ”
   “กูไม่สนมึงละ” ว่าจบไอ้ฟ้าก็หมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นเปลี่ยนชุดที่ห้องมัน แต่ก็ยังไม่แคล้ว ตะโกนบอกผมว่าไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนด้วย ไอ้ฟ้ามันชินกับผมแล้วแหละสมัยก่อนผมก็แกล้งมันเล่นๆบ่อย
   “เล่นกันสนุกเลยนะ” ชิบหายล่ะ ผมลืมไปว่าตอนนี้ยังมีผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคนหนึ่ง
   “ครับ ผมไม่ได้เจอมันนานก็เลยคิดถึงไปหน่อย” ผมพูดไปขณะเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นท่านั่งไขว้ห้างอยู่บนโซฟา
   “เหรอ…” ผมตรงไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ไม่ห่างจากโซฟามากนัก
   บรรยากาศตอนนี้ดำเนินไปอย่างอึดอัด ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่ผมไม่ค่อยถูกกับพี่ภูเท่าไหร่ พี่ภูเป็นพวกหวงน้องแบบสุดๆ เวลาผมมาเล่นอะไรกับไอ้ฟ้าก็ชอบจะมาจับตามองดู บางทีผมก็รู้สึกถึงสายตามองแรงจากพี่เขาบ่อยๆ พวกกับนิสัยพี่เขาที่ตอนนั้นรู้สึกจะค่อนข้างเกเรผมก็เลยรู้สึกกลัวๆพี่เขาตามประสาเด็กๆ…เอ๊ะ จะว่าไปตอนแรกพี่เขาก็ไม่ได้หวงไอ้ฟ้าขนาดนั้นนี้ แต่อยู่ๆก็มีช่วงนึงพี่เขาเริ่มประคบประงมไอ้ฟ้าสุดๆ มันเพราะอะไรนะ…
   “เป็นไงบ้าง…”
   “ครับ…” อยู่ๆบทสนทนาก็เริ่มขึ้นโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมต้องตอบไปตามอัตโนมัติโดยที่หูผมยังฟังคำถามไม่ชัด
   “ที่ย้ายกลับมาเนี่ยเป็นยังไงบ้าง ชินรึยังล่ะ”
   “ก็ชินแล้วครับ เพราะแต่เดิมผมก็อยู่ที่นี้อยู่แล้วด้วย ก็มีบางทีเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็โอเคอยู่ครับ”
   “เหรอ…แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ”
   “อยู่ถัดจากที่นี่ไปประมาณสอง-สามซอยครับ”
   “อือ ไว้วันหลังจะแวะไปเยี่ยม จะได้ไปเจอกับน้าจันทร์สักหน่อย”
   “อ่อครับ แต่ช่วงนี้พ่อกับแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน” พ่อแม่ของผมกับไอ้ฟ้าทั้งสี่คนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่มหาลัยเดียวกัน ทำงานก็สายงานใกล้ๆกันทำให้ไม่ค่อยมีเวลาว่างอยู่บ้านกัน พอมีเวลาว่างคู่หนึ่งอีกคู่หนึ่งก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก พวกท่านก็เลยผลัดกันดูแลพวกเราสี่คนไปด้วย
   “อ้าวงั้นตอนนี้ก็อยู่กันแค่สองคน”
   “ครับ”
   “…เหรอ อยู่กันดีๆล่ะ ถ้ามีอะไรก็มาบ้านนี้ได้”
   “…ครับ” ดูเหมือนว่าผมจะอคติไปสินะ ไม่ได้เจอกับพี่เขาหลายปี พี่เขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว อารมณ์ความคิดอะไรก็มากกว่าพวกผมเยอะเลย ตอนนี้พี่เขาก็ดูจะผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนเยอะน่าดูแฮะ…
   “คุยอะไรกันอะ” ฟ้าโผล่มาจากข้างหลังเงียบๆ พลางเอามือทั้งสองจับไหล่ผมไว้ ทำเอาผมสะดุ้งเล็กน้อย
   “เดี๋ยวเหอะ อย่าโผล่มาเงียบๆดิ”
   “เอาคืนเรื่องเมื้อกี้ไง” ร่างเล็กที่เกาะพนักเก้าอี้อยู่ ยกยิ้มระรื่นไปด้วย
   “เออๆ ไปได้ละเดี๋ยวไอ้ไนท์มันบ่น” ผมพูดพลางลุกขึ้นยืน เป็นสัญญาณให้คนตัวเล็กกว่าเตรียมตัวลุกตามมา
   “งั้นพี่ภูเดี๋ยวฟ้าไปแล้วนะ”
   “อือ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ” ร่างสูงเดินเข้ามาลูบหัวน้องชายที่ตัวเล็กกว่าด้วยท่าทางขี้เล่น แฝงด้วยความทะนุถนอม
   “โถ่ผมยุ่งหมดเลยอะพี่ภู” ร่างเล็กบ่นก่อนจะหันหนีการขยี้ผมของร่างสูง แล้วมุ่งออกจากห้องนั่งเล่น
   “งั้นผมไปแล้วนะครับ”
   “เออ ขับดีๆล่ะ” ผมกำลังจะเดินมุ่งออกจากห้องนั่งเล่นไป แต่ก็ต้องหยุดเมื่อร่างสูงกว่าส่งเสียงเรียกไว้ก่อน
   “เดี๋ยวก่อน”
   “ครับ…” ผมหันไปยังต้นเสียง ก็ต้องขนลุกซู่เมื่ออีกฝ่ายจะทำปากเป็นประโยคสั้นๆแต่ได้ใจความ…‘ถ้าน้องกูเป็นอะไรไป มึงตาย’พร้อมกับทำท่าปาดคอประกอบ…ครับ
   ผมขอถอนคำพูดที่คิดไว้เมื่อห้านาทีที่แล้ว พี่ภูเขาไม่ได้ผ่อนคลายลงเลยสักนิดเผลอๆจะหนักขึ้นด้วยซ้ำ นี้ผมเคยไปทำกรรมอะไรให้พี่เขารึเปล่าเนี่ย

   “พวกมึงกว่าจะมากันนะ” มาถึงก็บ่นเลยนะ
   “มึงนั้นแหละจะรีบอะไรขนาดนี้ ห้างพึ่งจะเปิดเองนะเว้ย” ตอนนี้ก็สิบโมงกว่าๆ ห้างพึ่งจะเปิดมาได้ไม่ถึงสิบนาทีเลย ไม่รู้ว่าไอ้ไนท์มันจะรีบอะไรหนักหนา
   “อ้าว แล้ววินอะ” ไอ้ฟ้าถามขึ้นมาเมื่อมันเห็นว่าที่รออยู่มีแค่ไอ้ไนท์เท่านั้น
   “มันน่าจะตื่นสายแหละ ปกติกว่ามันจะตื่นก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายแล้ว”
   “แล้วตกลงมึงรีบนัดพวกกูมาทำอะไร” ผมทวนถามมันอีกครั้งหลังจากที่โดนไอ้ฟ้าชิงถามคำถามใหม่ไปซะก่อน
   “อ่อ วันนี้มันมีงานเทศกาลของหวานนานาชาติ กูก็เลยนัดพวกมึงมาด้วยเพื่อความสบายใจของกู” อ่อ…อย่างนี้นี่เอง
   “ความสบายใจ?” ร่างเล็กยังคงทำหน้างงกับคำตอบตอนท้ายของไอ้ไนท์ ไม่เป็นไรมึงเดี๋ยวมึงก็จะรู้คำตอบเองแหละ
   “มึงก็เลยลากพวกกูมาตั้งแต่ห้างเปิดเนี่ยนะ”
   “เออดิ กูดูแล้วมีร้านดังๆมาเพียบเลย ถ้าไม่รีบมาเดี๋ยวของมันจะหมด โดยเฉพาะเครปป้าเอื่อยคราวนี้ป้ามาเองเลยนะเว้ย” โอ้โห้ขนาดร้านเครปในตำนานยังมา คนคงจะแห่กันมาเยอะชัวส์
   จิ้มๆ หือ...
   “มีไร” ผมหันไปหาร่างเล็กที่เอานิ้วเรียวๆจิ้มเรียกผมที่แขน
   “กูพึ่งรู้ว่าไอ้ไนท์มันชอบของหวานขนาดนี้”
   “ก็นะตอนกูรู้ครั้งแรกก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน” ก็เล่นหน้าตามาซะแนวโหดเลย ของหวานเลยไม่เข้ากับลุคมัน ลุคมันเหมาะกับปลอกคอแล้วก็กระดูกมากกว่า ฮะๆ
   “นั้นดิกูก็แปลกใจ”
   “แต่พอมารู้ว่าบ้านมันทำเรื่องนี้กูก็ไม่แปลกใจเลย”
   “บ้านมันทำร้านขนม?”
   “อ่อ มะ…” ก่อนที่ผมจะได้พูดตอบ ก็มีแรงดันขึ้นที่หลังของผม
   “พวกมึงอย่ามัวแต่คุยกัน เครปป้ากำลังรอกูอยู่” ไอ้ไนท์ดันหลังผมกับฟ้าเข้าห้างไปด้วยแรงมหาศาลอันเนื่องมาจากความว้อนในเครปในตำนาน
   “แล้วมันจัดชั้นไหนอะ” ผมหันไปถามไอ้หน้าโหด
   “รู้สึกจะชั้นสิบนะ ชั้นที่มีสวนในร่มอะ” ไอ้ไนท์พูดพลางเปิดดูโปสเตอร์งานในโทรศัพท์ของตัวเอง
   “งั้นก็ไปขึ้นลิฟต์ตรงนั้นแล้วกัน” ผมชี้ไปยังทิศทางที่ป้ายบอกทางไปยังลิฟต์
   “อุ…”
   “มีไรเหรอ” ผมหันไปถามไอ้ฟ้าที่อยู่ๆก็ทำเสียงประหลาดออกมา
   “ปะ…เปล่า…พวกมึงสองคนขึ้นไปก่อนก็ได้นะ กูกะว่าขึ้นบันไดเลื่อนเดินดูร้านค้าสักหน่อย”
   “เดินดูร้านค้า? ห้างพึ่งเปิดเองนะไอ้ฟ้า ร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิดกันหรอก” ร้านค้าในห้างส่วนใหญ่ก็เปิดกันประมาณ 11 โมง ไม่รู้คนตรงหน้าอยากเดินดูอะไรกัน
   “อะ…เออ มันก็มีบางร้านที่เปิดอยู่แหละกูอยากดูร้านพวกนั้น”
   “แต่ขึ้นลิฟต์มันไวกว่านะ” ผมยังคะยั้นคะยอให้ขึ้นลิฟต์ไปอยู่ดี แต่นี้บันได้เลื่อนบางชั้นยังไม่เปิดด้วยซ้ำ ให้เดินขึ้นบันไดตั้งสิบชั้น อย่างผมกับไอ้ไนท์น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ไอ้ร่างเล็กที่บอกอยากขึ้นบันไดที่ไม่เลื่อนนี่สิจะไหวเหรอ…ไม่รู้วันนี้มันเป็นอะไรอะเลิทเหรอ?
   “พวกมึงอย่าพึ่งเถียงกัน ขึ้นบันไดเลื่อนก็ได้ ไปได้แล้วเร็วๆ” ไอ้ไนท์พูดเร่งขึ้นมา เมื่อเห็นว่าร่างเล็กตรงหน้ายังยืนยันจะขึ้นบันไดเลื่อนอยู่ ทำให้พวกผมต้องเดินขึ้นบันไดไม่เลื่อนขึ้นไปยังชั้นสิบโดยมีไอ้ไนท์คอยเร่งอยู่ตลอดเวลา…เป็นไงล่ะไอ้ฟ้า หอบใหญ่เลยมึง
   “ถึงซะที” พวกเราเดินขึ้นมาถึงชั้นสิบด้วยเวลาไม่ถึงสิบนาที ด้วยฝีมือการเร่งของใครบางคนที่ตอนนี้กำลังมองหาร้านเป้าหมายอยู่ ส่วนอีกคนตอนนี้หอบแฮ่กๆ เหมือนลูกหมาเลยดูๆไปแล้วก็น่าเอ็นดูอยู่เหมือนกันนะ
   “มึงไหวไหม” ผมหันไปถามลูกหมาน้อยที่กำลังใกล้ตาย
   “อะ…อือ…ก็พอไหว” แต่สภาพมึงดูไม่ค่อยไหวเลยนะเพื่อน
   “ไปนั่งพักตรงโน้นก่อนไหม” ผมชี้ไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่
   “อือ” ผมกับไอ้ฟ้าเดินตรงมาพักตรงโต๊ะที่ว่างอยู่ส่วน ไอ้ไนท์มันกำลังเดินวนสำรวจหาร้านของมันอยู่…อะไรมันจะอยากขนาดนั้น เครปที่ไหนๆก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ
   “พวกมึงก็เจอแล้ว รีบไปต่อแถวเหอะ ตอนนี้มีประมาณสิบคิวแล้ว” เชี่ยจริงดิ ห้างพึ่งเปิดมายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมีอยู่สิบคิวแล้ว คนจะเห่ออะไรขนาดน้านนน
   “อือ รีบไปต่อดีกว่ามั้ง ป้าเขายิ่งทำช้าอยู่” เดี๋ยวๆ....มึงพื้นตัวไวไปมั้ยไอ้ฟ้า เมื่อกี้มึงพึ่งอยู่ในสภาพร่อแร่นะ
   “มึงพักก่อนดีกว่ามั้ย เดี๋ยวกูไปต่อคิวให้”
   “ไม่เป็นไรกูอยากไปเลือกใส่เอง นานๆทีกูจะได้กิน เห็นในคลิปแล้วกูอยากกินมาตั้งนานแต่พี่ภูไม่ให้ออกมาซื้อ” ก็แหงล่ะ พี่คนไหนจะปล่อยให้น้องออกมาซื้อเครปตอนกลางค่ำกลางคืนล่ะ บางคิวรอข้ามคืนด้วย โดยเฉพาะอย่างพี่ภูน่ะเหรอ อย่าหวัง
   “แล้วมึงไม่ไปด้วยเหรอ” ฟ้าหันมาถามผม
   “ไม่ล่ะกูไม่ได้ชอบขนาดนั้น เดี๋ยวกูนั่งเฝ้าที่ให้ พวกมึงไปเถอะ” ตอนนี้รอบข้างก็มีคนทยอยมาจองโต๊ะกันแล้ว ถ้าไม่มีคนเฝ้าไว้เดี๋ยวโดนแย่งที่นั่งไป จะวางของทิ้งไว้ก็ไม่ปลอดภัย ผมนั่งจองเองไปเลยดีกว่าปล่อยให้พวกสาวกเครปไปต่อคิวกัน
   “โอเค งั้นเดี๋ยวพวกกูกลับมา”
   “เออ”

[น่านฟ้า]
   “ขนาดมาเช้าแล้วคิวยังเยอะเลยว่ะ”
   “ก็แปลว่าของป้าเขาอร่อยจริงไง”
   แต่จำนวนคิวมันก็เยอะเกินไปจริงๆ ตอนผมกับไอ้ไนท์เดินมาต่อคิวเพิ่มเป็น 15 คิวแล้ว พอเราต่อแถวปุ๊บมีลูกค้ามาต่อคิวเพิ่มจนผมไปยินแว่วๆแล้วว่าตอนนี้คิวทะลุไปถึง 50 คิวแล้ว พลังของร้านในตำนานน่ากลัวจริงๆ
   “น่าเสียดายแทนไอ้ทีมันนะ อุตส่าห์มาถึงทั้งทีน่าจะมาลองกินสักหน่อย” ผมรู้สึกเสียดายแทนเพื่อนสนิทผมจริงๆก็รู้แหละว่ามันไม่ได้อินตามกระแส แต่นานๆทีจะมีโอกาสได้ลองกินก็ควรจะลองสักหน่อยนะ
   “ปล่อยมันไปเถอะก็ปกติของมันอยู่แล้ว…จะถึงคิวเราสั่งแล้วนะไอ้ฟ้า”
   “อือ” เราเริ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้จุดสั่งเมนูเครปแล้ว แต่ขอย้ำว่าแค่สั่งนะครับ ยังต้องรอป้าแกทำอีก แล้วก็ตามชื่อแล้วก็วีรกรรมของป้าเขา อยากรู้จริงๆว่าพวกผมยังต้องรออีกกี่ชั่วโมงเนี่ย
   “ค่า เชิญคิวต่อไปสั่งออเดอร์ได้เลยนะคะ” พี่พนักงานเดินมาพร้อมยื่นเมนูมาให้ผมดู
   “มึงจะเอาไส้ไรอะ”
   “กูยังไม่รู้เลยอะ…มึงมีไรแนะนำมั้ย” ผมกะว่าจะสั่งแยมส้มกับเครื่องอะไรสั่งอย่างที่น่าจะเข้ากัน แต่ไหนๆก็จะได้กินของหายากทั้งที ก็อยากจะลองกินเมนูซิกเนเจอร์ของร้านนี้ดูบ้าง
   “งั้นพี่ขอแนะนำเป็นนูเทลล่า ฝอยทองกับกล้วยนะคะ เป็นเมนูขายดีของร้านเลยล่ะค่ะ” พี่พนักงานที่ได้ยินพวกผมก็พูดแนะนำเมนูพลางชี้รูปภาพที่อยู่ในเมนูประกอบไปด้วย
น่ากินเหมือนกันนะดูจากรูปแล้วก็มีนูเทลล่าเยิ้มๆ โป๊ะด้วยฝอยทองพูนๆ ตามด้วยกล้วยฝานใส่ลงไปจนไส้ทะลุ พูดแล้วก็น้ำลายสอ
   “งั้นผมเอานูเทลล่า ฝอยทอง กับกล้วยแล้วกันครับ”
   “ได้ค่ะ”
   “แล้วมึงอะไนท์”
   “งั้นกูเอาเหมือนกันก็ได้”
   “เอ๊ะ…ค่ะ?” พี่พนักงานทำหน้างงๆ
   “ครับ…” ผมทำหน้างงๆตอบกลับพนักงานไป
   “อะ…เออ คือว่า เมนูเมื่อกี้เป็นของหวานนะคะ”
   “ครับ” ผมก็ยังคงทำท่างงต่อไป แต่คราวนี้คนตอบกลับเป็นไนท์ที่กำลังยืนทำหน้ายิ้มเจื่อนๆตอบกลับไปแบบโคตรจะไร้อารมณ์
   “ซะ…ซื้อแล้วไม่รับคืนนะคะ”
   “พี่จะจดได้รึยังครับ” ไอ้ไนท์ยิ้มตอบพี่เขาไปด้วยรอยยิ้มที่…โคตรจะเสแสร้งและไม่เป็นมิตรที่สุดที่ผมเคยได้เห็น ผมแค่รู้สึกเฝื่อนๆ แต่สำหรับพี่พนักงานคงเหมือนโดนกดดันอยู่ล่ะมั้ง
   “คะ…ค่ะ ขอโทษค่ะ สรุปเป็นนูเทลล่า ฝอยทอง กับกล้วย 2 ที่นะคะ” พี่พนักงานทวนออเดอร์อย่างลนลานก่อนจะรีบเดินไปจดออเดอร์คนอื่นต่อ
   “กูพอจะรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมมึงถึงเรียกพวกกูมาด้วย”
   “เออ กูโดนแบบนั้นประจำอะ แม่งน่าเบื่อชิบหาย กูรู้ว่าหน้ากูมันไม่เข้ากับของแบบนี้ แต่ไม่ต้องมาตอบย้ำกูขนาดนั้นก็ได้มั้ย” ไอ้เพื่อนใหม่ผมพูดไปพลาง บ่นไปพลาง ทำเอาผมหลุดขำออกมาเป็นระยะ ไม่นึกเลยว่ามันจะโดนแบบนี้บ่อย ถ้าผมโดนแบบมันบ้างคงได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆอะ ลองคิดดูดิ แค่ไปซื้อขนมกลับโดนคนขายกลัว…โคตรฮาเลย โดยเฉพาะเมื่อกี้ ‘ซื้อแล้วไม่รับคืนนะคะ’ ไว้ต้องไปเมาท์ให้ไอ้ทีฟังหน่อยแล้ว
   “หืม…ไอ้นี้มัน” สายตาผมไปสะดุดตากับอะไรบางอย่างในเมนู ก่อนที่จะตัดสินใจยกมือเรียกพนักงานกลับมาอีกครั้ง
   “พี่ครับๆ”
   “ค่ะ?” พนักงานเดินกลับมาโดยที่ผมสังเกตเห็นว่าพี่แกไม่มองหน้าไอ้ไนท์เลย แหงล่ะเจอรอยยิ้มพิฆาตเข้าไป
   “ผมขอไอ้นี่กับไอ้นี่ด้วยครับ”
   “มึงเอาจริงดิไอ้ฟ้า”
   “อือ”

[นที]
   ช้า…ช้าชิบหายเลย
   ตั้งแต่ที่พวกมันสองคนออกไปต่อแถวซื้อเครปนี่ก็ผ่านมาตั้งชั่วโมงกว่าแล้วนะ เครปอะไรจะนานขนาดนั้น ป้าแกไปเก็บวัตถุดิบอยู่หรือไง
   ว่าแล้วผมก็เปิดเข้าไปดูรีวิวร้านป้าแกในเว็บออนไลน์สักหน่อยดีกว่า…เชี่ย คิวที่ 7 รอไป 2 ชั่วโมงครึ่ง…โห รอเข้าไป 5 ชั่วโมง รอกันได้ยังไงว่ะ…แล้วนี่พวกมันจะกลับกันมาตอนไหนว่ะเนี่ยผมเลื่อนดูกระทู้รีวิวไปเรื่อยๆ อ่านไปอ่านมาก็เพลินดีเหมือนกันแฮะ บางคนก็รีวิวประสบการณ์การรอเลย บางคนพกหมอนผ้าห่มมาด้วย โหโคตรลงทุนอะ
   ถือว่าเป็นการฆ่าเวลาที่ดี เพราะตอนนี้ผมลืมไปเลยว่ากำลังเบื่อกับการรอเพื่อนสองคน แต่แล้วก็มีสัมผัสพร้อมกับเสียงเรียกดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง แถมเป็นสัมผัสที่มาพร้อมกับ…
   “เป็นไงมึง รอจนรากงอกเลยดิ” แรงตบอันแรงกล้า…หัวแทบหลุดไอ้ไนท์ ทักดีๆก็ได้มั้ย
   “เออ พวกมึงแม่งทำกูรอนานชิบหาย”
   “นี้ยังเร็วนะมึง วันนี้ป้าเขามีผู้ช่วยมาด้วย” นี้ชั่วโมงกว่าถือว่าเร็วแล้วเหรอมึง
   “ไงล่ะมึง เครปในตำนานของมึง พอใจมะ” ผมแซวถามไอ้เพื่อนจอมว้อนท์ของผม
   “เออ นิพพานอะ” จริงดิพูดเป็นเล่น
   “งั้นมึงก็ลองดิ”
   “มึงจะแบ่งให้กู”
   “เรื่องไรล่ะ กูอุตส่าห์ไปต่อ” แล้วคุณมึงจะบอกให้กูลองอะไรล่ะ เครปอากาศเหรอ…
   “เอ้า…” พริบตานั้นก็มีมือเล็กๆยื่นมาให้ตรงหน้าพร้อมกับเครปอีกชิ้นหนึ่ง
   “…”
   “เอาไปดิ” ร่างเล็กพูดขึ้นพลางสะบัดเครปขึ้นลง
   “อะ…อือ แต่ของมึงอะ” ผมถามไปตามความจริง ไอ้ฟ้าอุตส่าห์ไปต่อมาอยู่ๆก็ยื่นมาให้ผมซะงั้น เหมือนผมไปขู่เอามาจากมันอะ
   “ตามึงอยู่ไหน ของกูก็อยู่นี้ไง” เออว่ะ…ในมือมันอีกข้างยังมีเครปอีกชิ้น ดูท่าผมจะเบลอไปหน่อย
   ผมรับเครปมาจากร่างเล็ก สำรวจเครปในมือตัวเอง มันไม่ได้พูนด้วยกล้วยกับฝอยทองเหมือนพวกมันทั้งคู่ ไส้อะไรว่ะ หรือว่าไอ้ฟ้ามันจะแกล้ง ไม่หรอกมั้ง ผมตัดสินใจกัดลงไปเต็มๆคำ
   “เชี่ย อร่อยสัส” ผมไม่ได้โม้นะ แป้งเครปกรอบๆมันเข้ากับไส้ข้างในมากเลย
   “ใช่มั้ยล่ะมึง” ไอ้ไนท์กับไอ้ฟ้ามองหน้ากันเหมือนผู้ชนะเลย เออกูยอมก็ได้ กูยอมบอกว่าอร่อยก็ได้ ชิเสียฟอร์มหมด
   หือ…จะว่าไปรสแบบนี้นี่มัน
   “…นี่มึงจำไส้ที่กูชอบได้ด้วยเหรอ” ใบหน้าผมมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาเล็กน้อย
   “ต้องจำได้ดิ ไส้ประหลาดแบบนี้มีมึงคนเดียวแหละที่กิน ไส้แยมสตรอเบอร์รี่กับพริกเผาเนี่ย”
   “อร่อยออกนะมึง ลองปะ”
   “พอเลยมึง กูไม่ชอบแบบนั้นนี้หว่า”
   “ฮะๆ” ถ้าเกิดว่าตอนเด็กๆผมไม่เคยสั่งแบบนี้ผมก็คงไม่คิดจะสั่งหรอก มันดูโคตรจะไม่เข้ากันเลย แต่ด้วยความที่ตอนนั้นผมยังเด็กมากๆไง ผมก็เห็นพริกเผาแล้วนึกว่าเป็นเยลลี่สตรอเบอร์รี่อะ…ขนาดแม่ค้าถามแล้วนะ ผมยังยืนยันจะเอาให้ได้ ผลสุดท้ายเลยออกมาเป็นไส้ที่น่าเหลือเชื่อ แต่ที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือมันดันอร่อยด้วยเว้ยยย ตั้งแต่นั้นมามันเลยเป็นไส้ประจำที่ดูท่าจะมีแค่ผมเท่านั้นที่สั่ง ฮะๆ ส่วนพวกไอ้ฟ้าก็ต้องงุนงงๆในรสชาติต่อไป มึงต้องลองเว้ยไอ้ฟ้า
   ผมค่อยๆจัดการเครปไส้โปรดตรงหน้า ตอนนี้อารมณ์ผมมีความสุขมาก ไม่ใช่แค่ความสุขจากการได้กินเครปรสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ผมมีความสุขมากที่ไอ้ฟ้ามันจำได้ว่าผมชอบไส้นี้ แถมยังสั่งมาให้ผมเองซะด้วย หุบยิ้มไม่ได้เลย ไม่คิดเลยว่ามันยังจำได้อยู่ หึหึ มีความสุขว่ะที่มันยังจำได้อยู่


*****************************************************************************************************************************
❤ Update Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย
สถานะ              : เพื่อนสนิท

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท


*เป็นไส้เครปที่ขอสารภาพว่าเป็นการเข้ากันอย่างงุนงงจริงๆ (สารภาพจากใจเลย ฮะๆ) แต่อร่อยนะต้องลอง :hao5:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 5 {20/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 22-07-2019 18:50:20
ขั้นที่ 6 ข่าวใหญ่

[น่านฟ้า]
   “หวัดดีไอ้ฟ้า”
   “อือ หวัดดีแพรว”
   “เฮ้อกูล่ะเบื่อ แปปเดียวก็วันจันทร์อีกแล้ว กูอยากปิดเทอมแล้วอะ” คุณมึงพึ่งจะเปิดมาได้ไม่ถึงเดือนเลย คุณมึงอยากปิดเทอมแล้วเหรอ แล้วก็ทุกครั้งพอปิดเทอมปุ๊บก็บ่นว่าเบื่ออยากเปิดเทอมเว้ย อยากเจอเพื่อนมั้งล่ะ เอาใจยากจริงๆเลยคุณเธอเนี่ย
   “เอาน่า กูก็รู้สึกไม่ต่างกันหรอก”
   “แต่ของไอ้ฟ้าเนี่ยกูว่ามันน่าจะต่างกับของพวกเราอยู่บ้างนะ” ปุยฝ้ายหันมาร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้มแสยะบนใบหน้า
   “ไหนๆไอ้ฟ้าทำไม เล่ามาดิไอ้ฝ้าย” หูผึ่งเชียวนะ
   “ไอ้ฟ้ามันไปเดทกับเพื่อนสนิทมันมาอะดิ”
   “…” มึงไม่ต้องทำท่าทางช๊อคเหมือนกับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่พึ่งรู้ว่าลูกตัวเองโทรมาบอกว่าจะไปค้างทำงานบ้านเพื่อน แล้วรู้ตัวตอนไปเจอลูกสาวอยู่ในผับหรอกมึง
   “กูแค่ไปเที่ยวเป็นเพื่อนมันเอง…แล้วมึงรู้ได้ยังไงอะฝ้าย” เรื่องที่ผมจะไปเที่ยวกับมันผมไม่ได้บอกพวกมันไว้สักหน่อย
   “โหมึง เพื่อนมึงลงไอจีซะหราขนาดนั้นมึงคิดว่ากูจะไม่รู้งั้นดิ” ไอจี?
   “อะ…เอาไปดู กูแคปหลักฐานเก็บไว้แล้ว” ปุยฝ้ายหันหน้าจอมือถือของเธอมาให้ผมดู ซึ่งรูปที่อยู่บนหน้าจอมือถือเป็นรูปเครปอันหนึ่งเพิ่มเติมคือ มีหน้าผมติดอยู่ข้างหลังพร้อมแคปชั่น ‘#มีคนเปย์ครับ’ พร้อมกับแท๊คผมแล้วก็ไอ้ไนท์มาด้วย แต่ด้วยความที่ผมไม่เล่นไอจีผมก็เลยไม่รู้ว่ามันลงรูปนี้มาด้วย
   “ก็แค่ไปกินเครปกันเอง ก็เพื่อนกันนิหว่า ไม่ใช่เดทสักหน่อย”
   “…อ่อเหรอ งั้นนี้ล่ะ” ปุยฝ้ายเอามือถือกลับไปจิ้มๆ แล้วจึงยื่นส่งกลับมา โดยที่หน้าจอปรากฏภาพ ไอ้ทียืนอยู่ข้างหลังผม โดยที่มันเอามือซ้ายอ้อมไหล่ไปจับมือซ้ายของผมที่กำลังถือเครปอยู่ พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมลากเครปของผมเข้าปาก ดูจากมุมกล้องแล้วรู้เลยว่าใครเป็นคนถ่ายภาพนี้เพราะวันนั้นมันยังมีจำเลยเหลืออีกคนนึง…ไอ้ไนท์ ถ่ายออกมาได้มุมกล้องดีมาก…มุมกล้องที่ทำให้คนอื่นเห็นเป็นไอ้ทีกำลังกอดผมแถมหน้ายังใกล้กันสุดๆ
   “อันนี้มันแย่งกูกินต่างหาก” ตอนนั้นผมตกใจแทบตายอยู่ๆก็มีมือโผล่จับข้างหลังเป็นใครก็สะดุ้งอะ จะแย่งกินมึงขอกูดีๆก็ได้ ไม่ต้องทำกูตกใจ เดี๋ยวอายุผมสั้นหมด
   “ไอ้ฟ้า…มึงมันร้าย” ไอ้นี้ก็เลิกได้แล้วกับไอ้หน้าตาตกใจของไอ้คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเนี่ย
   “เออๆแล้วแต่มึงเลย” เถียงไปผมก็มีแต่จะโดนแซวหนักกว่าเดิมเปลืองพื้นที่ในสมองเปล่าๆ
   “พวกคุณมึงทั้งหลายคะ!!! ข่าวใหญ่ค่ะ!!! รีบๆกลับไปหาที่นั่งแล้วสงบเสงี่ยมเจียมตัวฟังข่าวดีไว้!!!” อยู่ๆผู้มาใหม่ก็เข้ามาในห้องพร้อมกับประกาศเสียงดังสั่งทุกคนกลับไปนั่งเงียบที่โต๊ะ บุคคลนั้นไม่ใช่ใครที่นั้น คนคนนั้นก็คือ หัวหน้าห้องไอ้นีนั้นเอง
   “มีไร ไอ้นีส่งเสียงดังเชียว” แพรวตะโกนถามด้วยเสียงระดับเดียวกับที่นีพึ่งพูดเมื่อกี้
   “ไอ้แพรว shut up แล้วตั้งใจฟังกูก็พอค่ะ” แต่นีก็ตอกกลับมาจนแพรวต้องเงียบตามที่บอก มึงกินอะไรผิดมาเปล่านี หรือมึงโดนใครสิงอยู่
   “เอาล่ะพวกมึงทั้งหลาย วันนี้กูมีเรื่องที่สำคัญมากๆๆ จะมาประกาศ เรื่องนั้นก็คือ…”
   “…” ทั้งห้องอยู่ในสภาพนิ่งเงียบไม่มีใครปริปากพูดขึ้นมา เนื่องจากการบิ้วอารมณ์ของหัวหน้าห้องผู้กระตือรือร้น
   “คือ…”
   “…” ผู้กระตือรือร้น…
   “คือ…”
   “มึงหยุดย้ำ แล้วพูดออกมาสักทีได้ไหม” เสียงของเพื่อนในห้องเปล่งเสียงประสานกันออกมาโดยมิได้นัดหมาย…มึงเป็นหัวหน้าห้องที่ดีมากนี สามารถสร้างความสามัคคีในห้องได้ขนาดนี้กูนี้เป็นปลื้มมากเลย ไว้ถ้ามึงอยากกินอะไรเดี๋ยวกูจุดธูปส่งไปให้นะมึง กูจะเขียนโน้ตไว้ให้ด้วยว่า ‘แด่เมทินี หัวหน้าห้องผู้…กวนทรีน~~’
   “เออๆ กูไม่เล่นแล้วก็ได้”
   “…” มึงไม่ควรเล่นตั้งนานแล้ว
   “เรื่องสำคัญก็คือ เดี๋ยวจะมีการเข้าค่ายปรับวินัย เอาง่ายๆก็คือค่ายละลายพฤติกรรมเหมือนตอนม.4แหละกูดูมาแล้ว ก็แค่เปลี่ยนชื่อเอาสวยๆ” โรงเรียนผมมักจะมีการจัดเข้าค่ายในช่วงเปิดเทอมของทุกชั้นปี เพื่อให้นักเรียนที่พึ่งเข้ามาใหม่สามารถสนิทสนมกับเพื่อนร่วมห้องแล้วก็เพื่อนร่วมชั้นปีคนอื่นๆได้ ผมก็รู้จักกับพวกไอ้แพรวก็ค่ายละลายพฤติกรรมปีที่แล้วเนี่ยแหละ ถือว่าอย่างน้อยโรงเรียนก็บรรลุวัตถุประสงค์ที่นานๆทีจะทำสำเร็จ
   “แค่เนี่ย…แล้วจะบิ้วทำไมอะ”
   “พวกมึงอย่าพึ่งใจร้อนดิ กูยังไม่ได้พูดถึงไคลแม๊กเลย”
   “งั้นก็รีบๆพูดดิ พวกกูรอฟังอยู่นานแล้วเนี่ย” ไคลแม๊ก…แค่ค่ายเหมือนเดิมมันจะมีอะไรให้ตื่นเต้นได้อีกอะ อย่างมากมันก็ไม่ต่างจากค่ายลูกเสือสักหน่อย หรือว่ามันจะหนักขึ้นหว่า
   “ไคลแม๊กของปีนี้นั้นก็คือ…ม.5 ปีนี้จะได้ออกค่ายกับ ม.5 จากโรงเรียนชายล้วนข้างค่า”
สิ้นคำประกาศของหัวหน้าห้อง ห้องที่เคยเงียบสงบกลับส่งเสียงอึกทึกครึกโครมออกมา
   “กรี๊ดดดด ในที่สุดๆ”
   “กูจะไม่ขึ้นคานแล้วว”
   “อาหารสายตา”
   “กูจะปล้ำเค้า”
   เดี๋ยวๆพวกมึงเป็นผู้หญิงกันนะเก็บอาการหน่อย ตอนนี้เพื่อนร่วมห้องเกือบ 90% อยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง(ผู้ชาย) อะไรมันจะบ้ากันขนาดนี้ แล้วเมื่อกี้ใครบอกว่าจะปล้ำนะ พวกมึงกลับสถานะกันแล้วมั้ย มึงต้องกลัวโดนผู้ชายปล้ำดิเห้ย…น่ากลัววุ้ย ผู้หญิงสมัยนี้
   หือ…เดี๋ยวนะ ถ้าเป็นชายล้วนข้างๆมันก็ โรงเรียนไอ้ทีนี่หว่า!!
   “เอาล่ะๆ พวกมึงทั้งหลายอย่าพึ่งร่าน มาเข้าเรื่องงานกันได้แล้ว”
   “…”
   “เข้าค่ายปีนี้จะแบ่งเป็นสามวัน วันแรกกับวันสุดท้ายช่างแม่งไป” อ้าว…แล้วมึงจะพูดขึ้นมาทำไม
   “ของหลักของเราคือวันที่สองกลางคืน จะมีการทดสอบล่าท้าผีเป็นคู่ชายหญิงเว้ยยย”
พูดจบปุ๊บทั้งห้องก็เฮลั่นขึ้นมาอีกครั้งโดยมิได้นัดหมายx2 ทำเอาผมนี้ได้แต่กุมขมับกับความบ้าของเพื่อนในห้องจริงๆ
   “แล้วก็ห้องเราต้องเป็นฝ่ายจัดกิจกรรมนี้ด้วย ปรบมือค่ะ”
   แปะๆ เสียงปรบมือดังไปทั่วทั้งห้อง คุณครูกับห้องอื่นไม่สงสัยหน่อยเหรอว่าทำไมห้องนี้เสียงดังกันจังเลยล่ะครูวว~
   “ด้วยเหตุนี้แหละ ไอ้ฟ้ามึงต้องเป็นคนรับผิดชอบตัดชุด” เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ
   “เดี๋ยวก่อนดิมึง ทำไมต้องเป็นกูอะ” ผมตบโต๊ะเสียงดังพลางลุกขึ้นยืน ประจันกับเพื่อนนีตรงหน้า
   “กูมึงเป็นคนที่น่าจะทำได้ที่สุดในห้องเราแล้วอะ เนอะทุกคน”
   “ช่ายย” พวกมึงพร้อมใจกันจริงๆ กูควรจะดีใจที่พวกมึงสามัคคีกันขนาดนี้มั้ย
   “เดี๋ยวดิ ก็จริงที่กูเย็บผ้าได้ แต่กูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเสื้อผ้าเลยนะ” ผมแค่พอจะทำเรื่องการตัดเย็บได้ แต่ผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการออกแบบอะไรเลย ที่แล้วๆมาก็แค่ทำตามตัวอย่างที่ครูเขากำหนดให้ก็แค่นั้นเอง
   “เรื่องนั้นกูรู้เพราะงั้น หน้าที่ของมึงก็แค่ตัดเย็บส่วนออกแบบ เดี๋ยวกูจะเกณฑ์คนเอง ทุกคนเห็นด้วยมั้ย”
   “เห็นด้วยค่า!!!” พวกมึงคล้อยตามกันง่ายไปแล้ววว…รู้สึกคิดผิดที่มาเข้าโรงเรียนนี้แล้วสิโถ่

   “โทษทีนะมึง ไอ้ฟ้า แต่กูไม่คิดว่าห้องเราจะมีใครสามารถทำอีกแล้วอะ” ไอ้หัวหน้าห้องตัวต้นเหตุ พูดขอโทษผมพลางยกมือไหว้แบบขอไปที
ตอนนี้พวกผมกำลังพักกินข้าวกลางวันกันในโรงอาหารเหมือนเดิม
   “เออๆ กูรู้น่ะ กูแค่ไม่ชอบที่อยู่ๆมึงก็ออกไปประกาศหน้าห้องขนาดนั้น ถ้ามึงมาบอกกูทีหลังกูจะไม่โกรธเลย” ไม่สิอาจจะไม่พอใจนิดหน่อยล่ะมั้ง แต่อย่างน้อยก็น้อยกว่าที่ไปมัดมือชกหน้าห้องอะ
   “ขอโทษๆ ตอนนั้นอารมณ์มันพาไปหน่อยนะ อะฮิ” พูดจบปุ๊บคนตรงหน้าเปลี่ยนจากท่าทางสำนึกผิดเปลี่ยนเป็นท่าแอ๊บแบ๊วแลบลิ้นออกมานิดนึง สภาพมึงตอนนี้ไม่สมควรได้รับการอภัยจริงๆ
   “ถ้ามึงต้องการอะไรเดี๋ยวกูจะจัดให้มึงทุกอย่างเลย ถือว่าชดใช้ที่กูมัดมือชกมึงไปแล้วกัน”
   “มันก็สมควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่รึไง” ผมเขม่นเพื่อนตรงหน้าไปทีนึง แต่ดูท่าทางมันจะไม่สะทกสะท้านอะไร เปลี่ยนไปสนใจข้าวในจานของมันแทน
   ตื้อดึง
   Nathi       : มึงรู้เรื่องเข้าค่ายปะ (OoO)
   เพื่อนสนิทต่างโรงเรียนทักมา พร้อมด้วยอิโมจิปากเหวอแสดงสภาพอาการมันตอนนี้ไปอย่างดี มันคงจะตื่นเต้นไม่นอนเลย
   NaanFah   : เออ กูก็พึ่งรู้เนี่ย มึงต้องมาเห็นสภาพเพื่อนห้องกูแต่ละคนแม่งวี๊ดว๊ายกันจะเป็นจะตาย มีบางคนบอกจะลากพวกมึงไปปล้ำด้วย ฮะๆ
   Nathi       : เชี่ยจริงดิ น่ากลัวสัส…
   ฮะๆ ผมขำไปกับการตอบกลับของไอ้ที แต่ก็คงเป็นปฎิกิริยาปกติแหละ แหมโดนผู้หญิงลากไปปล้ำเนี่ยเป็นประสบการณ์หายากเลยนะมึง
   Nathi       : แต่พวกห้องกูมันก็ไม่ต่างจากมึงอะ แต่ละตัวนี้ดี๊ด๊ากันไหน
   NaanFah    : อย่าดูถูกนักเรียนหญิงโรงเรียนกู ไม่งั้นพวกมึงจะหนาว
   นักเรียนหญิงโรงเรียนผมเนี่ย ไม่ใช่สาวๆอ่อนแอบอบบางนะครับ ไม่สิพูดให้ถูกคืออ่อนแอบอบบาง ใสซื่ออินโนเซนท์…แต่ถ้าสบตาแล้วพวกเธอจะเปลี่ยนสปีชี่ส์ไปฉุดคุณในทันที ฮะๆ
   Nathi       : เออกูพอจะเดาออกจากที่มึงพิมพ์มาแล้ว ผู้หญิงบ้านไหนว่ะจะฉุดผู้ชายไปปล้ำ
   ผู้หญิงโรงเรียนกูเนี่ยแหละไอ้ที อย่างน้อยกูก็กล้ารับประกันว่าห้องกูมีแนวโน้มเกือบ 90% ที่จะก่อเหตุอาชญากรรมนั้น
   NaanFah    : เออจะว่าไปมึงรู้กิจกรรมในค่ายยังอะ
   Nathi       : กิจกรรม? ยังอะโรงเรียนมึงเป็นเจ้าภาพนิ กูจะไปรู้ได้ยังไง
   NaanFah    : เออห้องกูได้เป็นคนจัดกิจกรรมวันที่สองด้วย
   Nathi       : กิจกรรมไรไหนเล่ามาดิ กูพร้อมฟัง อิอิ
   ‘ล่าท้าผีอะดิ…’ หือ เดี๋ยวก่อนนะ ผมยังไม่กดส่งข้อความแต่หันไปถามหัวหน้ากิจกรรมที่กำลังนั่งเพลิดเพลินไปกับข้าวกลางวัน
   “นีกิจกรรมกลางคืนอะ ต้องปิดเป็นความลับปะ” พวกกิจกรรมแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ซะด้วย ขอถามเพื่อความแน่ใจก่อนแล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวจะโป๊ะแตกซะก่อน
   “ล่าท้าผีอะนะ? ใครถามมา?”
   “กูเผลอคุยกับไอ้ทีเพลินไปหน่อย ถ้ามึงอยากเก็บไว้เซอร์ไพรส์กูจะได้ไม่ต้องบอกมัน”
   “ไอ้ที…อ่อเพื่อนมึงที่ชายล้วนนั้นอะนะ…ไม่เป็นไรๆ ไม่ได้อยากจะปิดขนาดนั้น”
   “โอเค~” หลังจากเคลียร์ไปได้แล้วผมจึงหันกลับมาพิมพ์ข้อความเก่าให้เสร็จ
   NaanFah    : กลางคืนวันที่ 2 ห้องกูเป็นเจ้าภาพจัดล่าท้าผีด้วยเว้ยยย
   ล่าท้าผีงั้นเหรอ…
   Nathi       : เอาจริงดิ พวกครูมึงไม่ว่าไรมั้งเหรอ
   จะว่าไปก็จริงด้วยแฮะ…ปกติพวกครูจะไม่ค่อยจัดกิจกรรมตอนกลางคืนอยู่แล้ว แต่ครูโรงเรียนผมค่อนข้างชิว ถ้าเกิดจัดแผนมาส่งดีๆครูก็ยอมปล่อยผ่านง่ายๆล่ะนะ
   NaanFah    : นั้นดิ แต่ครูโรงเรียนกูชิว ส่งแผนงานดีๆไปก็ให้ผ่านเว้ย
   Nathi       : เออ น่าอิจฉาว่ะของห้องกูครูโหด ส่งไปเป็นสิบโดนตีกลับหมด
   อื้อหือ…พูดซะเห็นภาพเลย
   Nathi       : แล้วมึงต้องทำไรปะ เตรียมงาน? ผี?
   NaanFah    : เออพูดแล้วก็เศร้า กูต้องเป็นคนเย็บชุดว่ะ
   พิมพ์ไปก็เศร้าไป ทำไมผมต้องมาตกระกำลำบากขนาดนี้ด้วยว่ะเนี่ย ตอนก่อนออกมาจากห้องผมพึ่งถามนีไปว่าทำไมต้องเย็บชุดกันเอง คำตอบทำเอาผมอ้าปากค้างไปเลย ‘ก็กูเห็นครูเหมือนจะไม่ให้ผ่าน กูเลยเสนอไปว่าจะตัดชุดกันเองแล้วก็เอางบแบบประหยัดแล้วไปส่ง พอทำงั้นปุ๊บก็ผ่านเลยอะ’ …เออดี มึงเสนอทางเลือกมาลำบากกูชัดๆ ไอ้เพื่อนทรยศ
   Nathi       : คนเดียว?
   NaanFah    : เออ คิดว่า ห้องกูมันไม่มีคนทำได้แล้ว คิดแล้วเศร้า กูจิร้องไห้
   Nathi       : ยืมอกพี่ไปซบไหมน้อง
   NaanFah    : เล่นไรของมึง ฮะๆ
   Nathi       : ฮะๆ ถ้าจะให้กูช่วยไรมึงบอกกูได้ กูทำได้ทุกอย่างยกเว้นตัดเย็บ
   NaanFah    : งั้นมึงก็ไม่มีประโยชน์ไรเลยนี่หว่า
   Nathi       : กูทำอย่างอื่นได้ตั้งเยอะ ซื้อน้ำ ซื้อข้าว ส่งของ บลาๆ เห็นมะกูมีประโยชน์ตั้งเยอะ
   NaanFah    : เออๆ ไว้กูจะใช้งานมึงให้หนักเลย เตรียมใจไว้ซะมึง มึงตัดเย็บไม่ได้ มึงกูต้องเอาร่างกายของมึงเข้าแลกซะ
   Nathi       : ลองแล้วเดี๋ยวน้องจะติดใจในร่างกายของพี่นะ อิอิ
   NaanFah    : พ่อง
   Nathi       : ฮะๆ
   ผมรู้สึกว่าช่วงนี้พอกลับมาสนิทกับมันแล้ว มันจะเริ่มพิมพ์กวนๆตอบผมกลับมามากขึ้นแล้ว แถมนับวันมานี้มันชอบเล่นมุกจีบหญิงเสี่ยวๆกับผม ถ้ามันไปเล่นกับผู้หญิงผมว่ารุ่ง แต่มันเลือกมาเล่นกับผมผลลัพท์มันก็เห็นๆ…ร่วงสิครับรออะไร ดิ่งลงเหว มุดไปยังแก่นโลกแล้วครับ

   “อืมมม” นีทำท่าทางคิดหนักไปพลางดูแผ่นกระดาษบนโต๊ะไปพลาง
   “ทำท่าคิดหนักเลยนะมึง กินเค้กหน่อยมะเผื่อจะได้หายเครียดสักหน่อย” ปุนฝ้ายพูดขึ้นพลางดันจานเค้กสีสวยไปยังเพื่อนที่กำลังทำหน้าเครียด
   “กูกำลังบริหารงบอยู่…แม่งมึงดูแต่ละชุดดิทำพร๊อพจัดเต็มขนาดนี้ที่ อุตส่าห์จะทำเองเพื่อประหยัดงบแม่ง ทำเอางบแทบจะเกินด้วยซ้ำ” นีพูดขึ้นพลางหยิบกระดาษทั้งหมดมาวางแผ่กางโต๊ะ แต่ละแผ่นเต็มไปด้วยชุดแฟนซีหลากหลายรูปแบบ มีตั้งแต่แบบน่ารักคิกขุสไตล์เด็ก ยันไปถึงชุดที่หลอนน่ากลัวเหมือนกับหลุดออกมาจากหนังสยองขวัญจริงๆ
   “สวยดีออกมึงจะเครียดทำไม”
   “ไอ้แพรว มึงได้ฟังที่กูพูดไหมเนี่ย เออสวยมันก็สวยอยู่ แต่มันเกินงบเว้ย งบพวกเรามีจำกัด”
   วันนี้พวกผมนัดกันมาคุยเรื่องชุดกันที่ MidNight Café ตามจริงจะคุยที่โรงเรียนให้เสร็จไปเลยก็ได้ แต่แพรวเสนอว่าไหนๆก็จะคุยงานนานๆ มันอยากกินเค้กสุดท้ายทุกคนก็เลยต้องจรลีหนีตามกันมาที่นี่
   หลังจากวันที่นีจัดแจงแบ่งหน้าที่ของทุกคนไปแล้ว ทุกฝ่ายปฎิบัติหน้าที่กันได้อย่างราบรื่นทั้งฝ่ายวางแผน ฝ่ายหลอก ฝ่ายฉาดและพร๊อพประกอบ แต่ดันมีปัญหาใหญ่อยู่ตรงฝ่ายออกแบบชุดเนี่ยสิ เพราะพวกฝ่ายออกแบบเบี้ยวการส่งต้นแบบมานาน จนเวลาตอนนี้คือจวนตัวสุดๆ อาทิตย์หน้าจะไปเข้าค่ายแล้วพวกเธอถึงจะเอาภาพร่างมาส่ง แล้วปัญหาไปตกอยู่ที่ใครงั้นเหรอ…ผมเนี่ยไง!!!
   นีตอนนี้ก็งานยุ่งจนสายตัวแทบขาด แต่หนักสุดคงเป็นเรื่องการเดินเรื่องทำชุดให้ผม เพราะฝ่ายออกแบบส่งงานช้ามาก ฝ่ายตัดเย็บ (ซึ่งคือผมคนเดียว) ก็ต้องรีบทำงานให้ไวที่สุด ตอนนี้ก็เลยกำลังจะเลือกชุดที่น่าจะตัดออกมาได้ง่ายๆ
   “ไอ้แบบชุดผีแคสเปอร์กูยอมรับได้ ไอ้ผีไทยห่มสไบกูยอมรับได้ แต่ไอ้ชุดพระนางวิคตอเรียเนี่ยพวกมันเอาส่วนใหญ่คิดว่ะ ว่ามันจะผ่านดูดิเครื่องประดับขนาดนี้มึงคิดว่ามึงหลุดมาจากแคทวอร์ครึไงหา มึงคิดว่ากูมีงบเป็นล้านรึไง” นีตอนนี้กำลังจะกลายร่างเป็นก๊อซซิลล่าแล้วล่ะครับ ถ้ามันพ่นไฟออกมาได้นี้ความเหมือนประมาณ 99.99%
   “เอาน่า ใจเย็นๆก่อน อย่างน้อยพวกนั้นก็ส่งมาให้แล้ว ถ้าเลือกชุดง่ายๆกูน่าจะทำให้ได้ทันแหละ” อย่างน้อยผมก็มั่นใจความเร็วในการทำของตัวเองอยู่
   “มึงดูพวกนั้นดิ กูตามแล้วตามอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่า เอาแบบง่ายๆไม่เปลืองงบ พวกนั้นแม่งไม่ฟังกูเลย…โอ๊ยยย คิดแล้วขึ้น” ตอนแรกผมก็โกรธพวกนั้นอยู่นะ แต่ตอนนี้ผมไม่แล้วล่ะ เพราะคนตรงหน้าของผมโกรธจนความโกรธของผมทาบไม่ติดเลย เหอะๆ
   “ขอโทษนะครับ ช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ” แย่ล่ะ สงสัยจะเสียงดังเกินไปจนพนักงานเดินมาเตือนแล้ว
   “ขอโทษครับ เดี๋ยวจะ…ลด…เสียงลง” ผมหันไปตอบกลับพนักงาน แต่พอหันไปก็พบกับร่างที่คุ้นเคย
   “ไอ้ไนท์…ทำไมใส่ชุดพนักงานอะ” ตอนนี้ไอ้ไนท์ที่อยู่ตรงหน้าผมกำลังใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงสแล๊คสีดำ พลางผ้ากันเปื้อนคาดเอวสีดำ ดูเข้ากับคนตรงหน้าแปลกๆ
   “แปลกตรงไหนก็ที่นี่บ้านกูนี่”
   “…” บ้านมึง!!
   “อ้าวอย่าบอกนะว่ามึงไม่รู้”
   “เออดิ ก็ไม่มีใครบอกกูเลย” ผมตกใจจริงๆนะว่าบ้านมันเป็นร้านคาเฟ่ มิน่ามันถึงชอบกินของหวานที่แท้ก็เพราะบ้านมันนี่เอง
   “กูก็นึกว่าไอ้ทีบอกมึงแล้วซะอีก”
   “กูเคยจะบอกมันแล้ว แต่มึงเข้ามาขัดก่อน” ทีโผล่เข้ามาข้างหลังผมไม่พอ เอามือสองข้างกอดคอผมไว้พลางเอาหัวหนักๆวางผมหัวผมอีก…คางแหลมชิบหาย
   “ทำไรของมึงเนี่ย”
   “ทักกูคำแรกก็พูดงี้แล้วเหรอ กูเสียใจนะ” ผมพยายามดันแขนของมันออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล มือเล็กๆของผมไม่สามารถดันแขนยักษ์ของคนข้างหลังออกไป ถึงผมจะไม่ได้หันไปมองแต่ผมสัมผัสได้ว่าไอ้คนข้างหลังต้องหัวเราะสนุกสนานอยู่แน่นอน อย่าปล่อยให้กูออกไปได้นะ เดี๋ยวกูงับหูหลุดเลย
   “ทำไรกันอยู่เหรอ” ไอ้ทีเปลี่ยนความสนใจไปยังแผ่นกระดาษที่แผ่หราอยู่บนโต๊ะโดยที่ยังไม่ปล่อยให้ผมมีอิสระเลย
   “กำลังเครียดเรื่องเลือกชุดอยู่อะ พอดีพวกออกแบบมันส่งมาช้า ตอนนี้งานเลยต้องเร่ง” นีเป็นคนตอบไปด้วยท่าทางเหนื่อยๆและเบื่อหน่ายทุกครั้งที่พูดถึงฝ่ายออกแบบผู้แสนดี(?)
   “เหลืองานอะไรบ้างเหรอ ให้เราช่วยได้นะ”
   “ตอนนี้ต้องตัดสินใจเรื่องชุดก่อน ไม่งั้นงานอื่นจะทำต่อไม่ได้...พวกมึงช่วยเสนอมาหน่อยดิ เอาคนละชุดก็ได้” นีพูดขึ้นพลางคลี่แยกกระดาษให้ห่างจากเดิมมากขึ้น เพื่อให้พวกผมเลือกชุดกันได้อย่างสะดวก
   “กูว่าชุดแคสเปอร์กับผีไทยอะ” ผมเล็งสองชุดนี้มานานแล้ว ชุดพวกนี้ตัดทำไม่ยากเท่าไหร่ แค่ตัดโจงกระเบนกับเกาะอกเองแต่พอไม่ต้องทำให้ดูสวยก็น่าจะเร่งทำได้อยู่
   “กูก็คิดอย่างนั้นแต่มันจะไม่แป๊กเหรอ” นีที่ได้ยินผมพูดดักขึ้นมาก่อน แคสเปอร์เนี่ยผมว่าไม่มีใครกลัวหรอกก็แคสเปอร์ผีน้อยน่ารักนิ
   “งั้นเอาแบบนี้มะ” ปุยฝ้ายยกมือเสนอขึ้นมาด้วยท่าทางที่เหมือนจะปิ๊งอะไรบางอย่างออก
   “ว่ามาซิ”
   “ก็ทำให้ทั้งสองชุดมันเป็นชายขาดๆ จากนั้นก็ละเลงด้วยสีแดงให้เหมือนเลือดปลอมทำให้มันเปรอะเปื้อนด้วย จะได้เพิ่มความหลอนเข้าไปหน่อย”
   “ก็ดีนะ” ผมเห็นด้วยกับความคิดของเธอนะ ถ้าตกแต่งผมอีกนิดแล้วไปโผล่หลังต้นไม้ผมว่าบางคนมีสะดุ้งแน่ แถมเป็นตอนกลางคืนที่มองไม่ชัดคงเรียกเสียงกรี๊ดได้ดีเลย
   “อืมมม~…ได้กูซื้อ”
   นีพิจารณาอยู่นานก่อนจะตัดสินใจทำตามความคิดของปุยฝ้าย
   “งั้นตอนนี้ที่ต้องทำก็มีซื้ออุปกรณ์ ผ้า ทำชุด แล้วก็ตกแต่ง” นีพูดแจกแจงแต่ละหน้าที่ พึ่งจะเคยเห็นมันในโหมดจริงจังแบบนี้เป็นครั้งแรกเลยแฮะ ดูจากสภาพของแพรวกับปุยฝ้ายทั้งคู่ก็คงจะไม่เคยเจอเหมือนผมสินะ
   “งั้นเดี๋ยวกูกับไอ้ฝ้ายจะช่วยไปซื้อพวกอุปกรณ์สำหรับตกแต่ง แล้วก็ตกแต่งแล้วกัน” แพรวเสนอตัวพลางดึงปุยฝ้ายเข้าไปร่วมหัวจมท้ายด้วย
   “เดี๋ยวมึงถามกูก่อนดิ”
   “กูดูจากหน้าที่แล้วมึงทำอย่างอื่นไม่ได้แน่ กูยืนยัน”
   “แสนรู้นักนะมึง”
   “เออๆ พวกมึงจะกัดกันก็ไปกัดกันหลังร้านนู่นไป” นีทำหน้าที่กรรมการเข้าไปสั่งห้ามการเปิดศึกของสุนัขสองสายพันธุ์ก่อนจะพูดตัดบทหนีไป
   “ไอ้ฟ้าก็เป็นคนทำชุด งั้นก็เหลือคนซื้อผ้าซินะ…ไอ้ฟ้ามึงเป็นคนทำมึงก็ต้องไปดูด้วยนิ”
   “ใช่ แต่กูไม่ได้เซียนขนาดนั้นนะ” ผมไม่ได้เป็นพวกคลั่งงานผ้าเป็นงานอดิเรก เคยไปพวกร้านผ้าก็ตอนต้องทำงานวิชาหัตถกรรมเนี่ยแหละ ผมแค่พอจะรู้ข้อดีข้อเสียของผ้าบางชนิดแค่นั้นเอง
   “ไม่เป็นไรกูไม่เครียด มึงหาผ้าถูกๆมาให้ได้ล่ะ…มึงจะให้กูไปช่วยซื้อไหม”
   “ไม่เป็นไร มึงยังมีงานต้องทำอีกเยอะนิ แค่ผ้าเดี๋ยวกูไปเดินซื้อเองได้” ตอนนี้งานของนีเยอะกว่าผมมากต้องประสานงานนู่นนี่นั่น เช็คของ เช็คความเรียบร้อย ไหนจะเอกสารอีก ทำเอางานของผมดูกระจอกไปเลย
   “แต่มึงจะแบกคนเดียวไหวเหรอ ให้พวกไอ้แพรวไปช่วยก็ได้…”
   “งั้นเดี๋ยวเราไปด้วยเอง” บรรยากาศเป็นงานทำเอาผมลืมไปเลยว่ายังมียักษ์อยู่ตัวหนึ่งที่ยังเกาผมไม่เลิกจนผมพึ่งนึกได้ก็ตอนที่มันส่งเสียงออกมานี่แหละ
   “จะดีเหรอ ทีไม่ได้อยู่โรงเรียนเรานิ”
   “ไม่เป็นไรๆ เพื่อนกำลังลำบากอยู่ ถ้าเราช่วยได้เราจะช่วยนะ” ไอ้ทีพูดตอบไปด้วยรอยยิ้มดั่งเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นเจ็ด ดูแต่ละคำที่มันพูดแหมพอพูดกับผู้หญิงนี้เป็นดั่งเทพบุตรกลับมาจุติเลยนะมึง ทีกับพวกกูล่ะ
   ดูการกระทำแต่ละอย่างของมันทั้งรอยยิ้มพิชิตใจ คำพูดมีเสน่ห์ รวมไปถึงเบ้าหน้าเกาหลีได้รูป ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงหลงมันไม่น้อยอะ ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังเผลอหันไปมองมันบ่อยๆเลย คำพูดกับหน้าตามันจูงใจเกินไปแล้ว



*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย
สถานะ              : เพื่อนสนิท

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท



*ตอนที่6งอกออกมาแล้วว เปิดมาน้องฟ้าก็ได้งานหนักมาเลย ~
**คอมเม้นท์ติชมได้น้าา :-[
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 6 {22/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 24-07-2019 16:47:13
ขั้นที่ 7 เงื่อนไข

[น่านฟ้า]
   “มึงกูเห็นคนแล้วกูอยากกลับเลยว่ะ” ผมพูดกับร่างสูงที่กำลังจะลงมาจากมอเตอร์ไซค์คันโปรด
   “เออกูก็อยาก คนหรือหนอนว่ะเนี่ย” ร่างสูงก้าวขาลงมาจากมอเตอร์ไซค์หลังจากที่นำรถไปจอดตรงโซนสำหรับจอดมอเตอร์ไซค์
   ตอนนี้พวกผมอยู่ตรงหน้าทางเข้าตลาดผ้าประจำจังหวัด ถึงที่นี่จะตั้งชื่อว่าตลาดผ้าแต่ก็ถูกปรับปรุงโยกย้ายขึ้นไปขายบนตึกหมดแล้ว เรียกว่าเป็นห้างผ้าน่าจะถูกกว่าแต่เพราะเป็นตลาดเก่าแก่เจ้าของแล้วก็คนในพื้นที่เลยคุ้นเคยเรียกว่าเป็นตลาดผ้ากันหมดเลย ถ้าจะซื้อผ้าไปตัดชุดก็ต้องมาเลือกดูที่นี่
   “มึงจะซื้ออะไรมั้งอะ”
   หลังจากที่เมื่อวานแบ่งงานกันเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็ต้องรีบมาซื้อผ้าเพื่อจะได้ตัดชุดเสร็จให้ทันก่อนอาทิตย์หน้า หลังเลิกเรียนวันนี้พวกผมก็เลยต้องรีบออกมาซื้อผ้า แต่ด้วยความที่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วน คนก็เลยเยอะมากเป็นพิเศษ ช่วยไม่ได้ก็คงมีแต่ต้องฝ่าคนเข้าไป ไม่งั้นก็อดซื้อพอดี
   “กูยังไม่รู้เลย ไอ้นีมันพึ่งให้เงินกูมาตอนก่อนมาเอง กูยังไม่ได้ดูเลย” ผมมีเล็งๆชนิดของผ้าเอาไว้แล้วว่าชุดไหนจะใช้ผ้าอะไรแต่ถ้ายังไม่รู้งบก็คงตัดสินใจอะไรไม่ได้ เพราะผ้าบางชิ้นราคาโคตรแพงเลย
   ว่าแล้วผมก็เปิดซองเงินที่หัวหน้าห้องผู้มีงานรัดตัวให้มา แล้วผมก็พบกับธนบัตรสีเทาหนึ่งใบ พร้อมกับจดหมายภายในอีกหนึ่งฉบับที่ระบุข้อความเอาไว้ว่า ‘ถึงคุณนภดลที่รักยิ่งและสำคัญอย่างสุดซึ้ง ในซองนี้มีเงินที่ข้าพเจ้าพยายามเจียดงบมาให้ได้มากที่สุดบรรจุอยู่ทั้งสิ้นหนึ่งพันบาทถ้วนโดยข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะนำเงินส่วนนี้ไปซื้ออุปกรณ์สำหรับเตรียมทำชุดแคสเปอร์จำนวนสิบชุดและชุดไทยอีกจำนวนสิบชุด ข้าพเจ้าคาดหวังว่าท่านจะสามารถนำเงินที่ข้าให้ไปจัดหาซื้อผ้าตามจำนวนที่จะใช้ทำชุดได้ จึงกราบเรียนมาเพื่อทราบ ด้วยความเคารพอย่างหาที่สุดมิได้ นางสาวเมทินีผู้แสนน่ารัก~’
   เจริญเถอะ เงินพันนึงกับชุดยี่สิบชุดเนี่ยนะมึง… ‘ปล.ชุดแคสเปอร์กับชุดไทยเปลี่ยนเป็นชุดละ 15 ตัวนะเพื่อนฟ้าที่รัก’ หนักกว่าเดิมอีกพวกมึงคิดว่างบแค่นี้มันจะทำพอรึไง!!! ไอ้ชุดแคสเปอร์ยังพอว่าชุดละ 30 บาทเนี่ย แต่ไอ้ชุดไทยเนี่ย 30 ค่าสไบยังไม่พอเลยมั้งมึง…เฮ้อคิดแล้วเครียด
   “เป็นไรมึง ทำหน้าเครียดเชียวเงินมันน้อยขนาดนั้นเชียว” ไอ้ทีที่ยืนอยู่ข้างๆผมถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นหน้าผมทำหน้าถอดสีเมื่อเห็นจำนวนเงินในซอง
   “เออดิ โคตรน้อยอะ”
   “เท่าไหร่อะ”
   “พันนึง กับชุดทั้งหมดสามสิบชุด” ผมพูดขึ้นพลางชูเงินหนึ่งพันบาทในซองขึ้นมาโชว์
   “น้อยสัส” เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ ตัดชุดชุดละ 30 บาท นอกจากเร่งงานผมแล้วยังกำหนดงบมาให้ผมแค่นี้ นี่ไม่ใช่งานห้องแล้วโรงงานนรกชัดๆ
   “เอาน่ามึงเดี๋ยวกูช่วยเดินหาเป็นเพื่อนมึง อย่างน้อยก็น่าจะมีบางร้านที่ขายถูกๆบ้างแหละ” สงสัยผมจะทำหน้าเครียดเกินไปจนผิดสังเกต ไอ้ทีจึงตบหลังผมเบาๆพลางพูดให้กำลังใจขึ้นมา
   “อืม นั้นสินะ ทั้งตึกมีอยู่เป็นร้อยร้าน น่าจะมีสักร้านแหละที่ขายถูกๆบ้าง” ผมคิดในแง่ดีขึ้นมาได้นิดหน่อย

   เดินเข้ามาข้างใน ภายในก็เหมือนกับห้างทั่วๆไปประกอบด้วยชั้นหลายชั้น แต่จะต่างกันตรงที่ร้านรวงส่วนใหญ่จะตั้งม้วนผ้าขนาดใหญ่กองๆกันไว้ตามหน้าร้านจนตอนนี้ภายในห้างแทบจะมีแต่กลิ่นผ้าระดับที่น้ำยาปรับอากาศก็เอาไม่อยู่
   ผมเดินตรงไปโดยลอบมองร้านค้าระหว่างทางไปห่างๆ แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทของผมจะสงสัยในการกระทำของผมเลยเข้ามาสะกิด
   “มึงไม่เดินดูร้านตรงนั้นเหรอ ร้านนั้นใหญ่ออกไม่ลองดูอะ” ไอ้ทีพูดขึ้นพลางชี้ไปยังร้านที่อยู่บริเวณใกล้ทางเข้า
   “อ่อ ถ้าร้านนั้นล่ะก็ไม่ต้องดูหรอก”
   “ทำไม?” ร่างสูงหันกลับมาถามผมด้วยใบหน้างงๆ
   “ร้านนั้นเป็นร้านแบรนด์ส่งออกผ้า อย่างน้อยๆก็น่าจะตกเมตรละเกือบสามร้อยอะ”
   “เชี่ยแพงจังว่ะ” ไอ้เพื่อนสนิทหันกลับไปดูที่ร้านนั้นอีกรอบด้วยใบหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ภาพตรงหน้าทำเอาผมหายเครียดเรื่องงบไปขำขันกับใบหน้าของมันแทน
   “เออดิ ชั้นนี้ทั้งชั้นเป็นร้านแบรนด์เกือบหมดอะ กูเลยไม่ได้สนใจจะดูมากนัก” ผมเคยให้พี่ภูพามาที่นี่บ้างเป็นบางครั้ง ตอนที่ต้องซื้อผ้าไปทำงาน ผมก็เลยพอจะรู้ว่าโซนไหนขายอะไรบ้าง ชั้นหนึ่งเป็นโซนผ้ามีแบรนด์ราคาเกินเอื้อมแน่นอน แต่ลายผ้าสวยมากไว้วันหลังต้องมาเดินดูสักหน่อย
   “อ่อ…แล้วมึงจะไปดูตรงไหนอะ”
   “ถ้าจะดูผ้าถูกต้องดูตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไป” ห้างนี้ส่วนใหญ่พวกร้านผ้าราคาถูกกับพวกร้านผ้าขายส่งมักจะแอบอยู่ตามหลืบของแต่ละชั้น ยิ่งร้านหายากเท่าไหร่ผ้าจะถูกมาก ผมเคยมางมหาอยู่แต่เดินหมดแค่ชั้นสองก็โดนพี่ภูบ่นอยากกลับแล้วก็เลยไม่มีโอกาสได้เดินต่อ
   “งั้นไปกันจะได้รีบซื้อรีบกลับไปทำ”
   “อือ”

[นที]
   “พี่ครับ ลดให้มากกว่านี้อีกไม่ได้เหรอครับ” เพื่อนร่างเล็กต่อราคาเจ้าของร้านอย่างเต็มที่
   “โอ๊ย ไม่ได้หรอกน้อง แค่นี้พี่ก็แทบจะไม่ได้กำไรแล้ว ลดไม่ได้หรอก”
   “เหรอครับ ขอบคุณครับ” ร่างเล็กพูดลาเจ้าของร้านก่อนจะเดินลากผมออกมาด้วยสภาพหงอยสุดๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าผมเห็นภาพหูกับหางของอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ลางๆ สภาพมันเรียกได้ว่าน่าสงสารมาก
   ผมกับไอ้ฟ้าเดินตระเวนวนมาสองชั้นก็ร่วมสามชั่วโมงแล้ว เดินดูทุกซอกทุกหลืบขนาดที่ว่าระหว่างซอกทางหนีไฟยังเดินไปดูเผื่อตกหล่น ถึงจะมีร้านราคาถูกๆเยอะแต่ก็ไม่มีร้านไหนที่ราคาถึงตามงบที่ตั้งเอาไว้เลย ขนาดไอ้ฟ้าไปขอลดขอต่อราคาร้านส่วนใหญ่ก็ให้ได้ไม่เกินจากที่ตั้งไว้มาก สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวอยู่ดี
   “มึงไหวไหม พักหน่อยไหมตอนเราเดินมากูเห็นว่ามีโซนอาหารด้วย ไปนั่งพักตรงนั้นซักเดี๋ยวดีกว่ามั้ง”
   “อือก็ดีเหมือนกัน เผื่อพักแล้วกูจะได้คิดทางออกเผื่อเอาไว้” ไอ้ฟ้าทำท่ากุมขมับก่อนจะเดินคู่กับผมตรงไปยังโซนอาหารที่อยู่บริเวณชั้นเดียวกัน
   “มึงนั่งพักตรงนั้นไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำมาให้”
   “เห้ยไม่เป็นไร กูไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น”
   “นั่งไปเถอะ มึงเข้าออกร้านนู่นร้านนี้เป็นว่าเล่นเลยนะ ดูหน้ามึงตอนนี้ด้วยหงอยเป็นหมาที่เจ้านายไม่เล่นด้วยเลย” ผมใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของอีกฝ่ายที่ตอนนี้คิ้วขมวดเป็นปมเข้าหากันจากนั้นก็ดันขึ้นดันลงจนอีกฝ่ายต้องทำหน้ามุ่ยแล้วใช้มือเล็กๆปัดนิ้วของผมออก
   “เออไปเลยไป” ผมละนิ้วจากหน้าผากคนตรงหน้าก่อนจะเผยรอยยิ้มแฝงความสะใจที่เหมือนอีกฝ่ายจะจับเจตนาได้ ผมจึงรีบชิ่งออกมาก่อนจะโดนอีกฝ่ายโวยใส่
   ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ผมชอบแหย่มันเล่นเป็นประจำเลย สงสัยเพราะเวลามันโกรธมันชอบโกรธแบบเด็กๆ เอามือตีนู่นเอามือตีนี้ แต่ด้วยแขนเล็กๆของมันทำอะไรผมไม่ได้เลย เห็นแล้วก็ขำกับการกระทำน่ารักของมัน
   “รับอะไรดีค่ะ”
   “เอาน้ำส้มหนึ่งขวดครับ”
   “ยี่สิบบาทค่ะ”
   ผมยื่นธนบัตรสีเขียวใบเล็กให้จากนั้นก็รับเอาขวดน้ำส้มสีสดใสมาไว้ในมือก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะที่มีไอ้ฟ้ารออยู่ แต่ผมก็สังเกตเห็นกระเป๋าผ้าใบเล็กสีชมพูสดใสประดับประดาด้วยลูกปัดห้อยด้วยกระดิ่ง ผมเก็บกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาจากพื้นก่อนจะหันมองผู้คนรอบๆ
   ‘สงสัยจะมีคนทำตกเอาไว้ล่ะมั้ง’
   “เออพี่ครับ” ผมหันกลับไปถามพนักงานที่ร้านน้ำเมื่อกี้
   “ค่ะ?”
   “พี่รู้ไหมครับว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของใคร ผมเจอมันตกอยู่ที่พื้น” ผมพูดขึ้นพลางชูกระเป๋าสีชมพูสดใสขึ้นมา
   “กระเป๋าเหรอ…อ่อ รู้สึกว่าก่อนหน้านี้จะมีลูกค้าผู้หญิงใช้ของคล้ายๆแบบนี้อยู่นะ”
   “พี่พอจะจำได้ไหมครับว่าเป็นใคร”
   “โอ๊ยจำไม่ได้หรอกน้อง” นั้นสินะ เป็นใครก็คงจำลูกค้าแต่ละคนละเอียดไม่ได้หรอก แต่จะเอายังไงต่อดีนะ ฝากพี่พนักงานที่ร้านไว้น่าจะดีกว่ามั้ง เผื่อลูกค้าคนนั้นนึกออกจะได้ย้อนกลับมาเอาได้
   “งั้นฝากพี่เอาไว้ได้ไหมครับ เผื่อลูกค้าคนนั้นนึกออกจะได้กลับมาเอา”
   “ก็ได้อยู่หรอก แต่พี่จะปิดร้านแล้วน่ะ” อ้าว แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะทีนี่ จะให้ผมเก็บเอาไว้มันก็กระไรอยู่นะ
   “งั้นพี่ฝากน้องเอาไปส่งที่ประกาศของหายได้รึเปล่า”
   “ที่ประกาศของหาย?”
   “ใช่ อยู่กลางของชั้นสี่น่ะ ขึ้นไปแล้วเดินตรงไปนิดหน่อยก็ถึงแล้วล่ะ”
   “แต่พี่ฝากผมจะไม่เป็นไรเหรอครับ” อยู่ๆก็ฝากคนแปลกหน้าเอาของไปส่งเนี่ยนะ
   “ไม่เห็นเป็นไรเลย ถ้าน้องเป็นคนไม่ดีป่านนี้น้องไม่มัวกลับมาถามหรอก คงหยิบแล้วชิ่งไปแล้วแหละ” พี่พนักงานพูดไปก็หัวเราะออกมาเบาๆ
   “งั้นก็ได้ครับ” ไหนๆพวกผมก็จะไปเดินชั้นสี่ต่ออยู่แล้วแวะเอาของไปส่งให้หน่อยก็ได้ แต่จะว่าไปพี่พนักงานก็เฟรนลี่เหลือเกินนะ พึ่งเจอกันวันนี้ก็แซวเล่นกันซะละ

   หือ…ทำอะไรกันน่ะ
   ผมเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมน้ำส้มหนึ่งขวดกับกระเป๋าผ้าในมืออีกข้าง แต่ก่อนจะถึงโต๊ะผมก็เห็นว่าไอ้คนที่ตอนนี้น่าจะนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ตอนนี้กลับมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะซะงั้น
   “มึง…ทำอะไรอยู่น่ะ” ผมส่งเสียงทักไอ้ฟ้าที่กำลังมุดใต้โต๊ะอยู่ แต่สงสัยมันจะไม่ได้สังเกตเห็นผมตอนเดินมา พอมันได้ยินเสียงผมปุ๊บมันก็รีบร้อนลุกขึ้นมาทั้งๆที่ยังอยู่ใต้โต๊ะ
   ปั๊ก…หัวโขกซะแล้ว
   “โอ๊ย…เจ็บๆ” ร่างเล็กเอามือทั้งสองกุมหัวก่อนจะมุดกลับไปอยู่ใต้โต๊ะ
   “ทำไรของมึงเนี่ย” ผมวางขวดน้ำส้มกับกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปดูอาการเพื่อนสนิท
   “มึงนั้นแหละอยู่ๆอย่าเรียกกูดิ กูตกใจหมด” อ้าวด่ากูเฉย
   “มึงนั้นแหละมุดลงไปทำเพื่อ” ผมดึงตัวร่างเล็กขึ้นมาจากใต้โต๊ะก่อนจะจัดแจงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ
   “กูช่วยรุ่นน้องหาของอยู่”
   “รุ่นน้อง?”
   “เออ ตอนรอมึงเมื่อกี้กูเห็นผู้หญิงคนนึงใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนกูอยู่ เห็นท่าทางร้อนลนก้มมองพื้นบ่อยๆ กูเลยทักน้องเขาไป” ผู้หญิง…
   “แล้ว”
   “น้องเลยบอกว่าทำกระเป๋าสตางค์หาย” กระเป๋า…
   “มึงก็เลยอาสาช่วยน้องสินะ”
   “อือ” เห้อไม่เปลี่ยนไปเลยนะมึงเนี่ย ใครลำบากหน่อยก็เข้าไปช่วย ถ้ามีรางวัลจิตอาสาดีเด่นกูจะเสนอชื่อมึงคนแรกเลย
   “แล้วน้องตอนนี้อยู่ไหนอะ” ผมหันไปมองรอบๆก็ไม่เจอสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงใส่ชุดนักเรียนเลยสักคน
   “น้องมันบอกว่าจะลงไปหาชั้นหนึ่งชั้นสองอะ ท่าทางรีบร้อนมากอะ พอกูบอกจะช่วยหาปุ๊บน้องก็บอกว่าฝากหาชั้นสามด้วย แล้วรีบบึ่งลงไปเลย สงสัยจะมีของสำคัญในกระเป๋าล่ะมั้ง”
   “แล้วน้องได้บอกไหมว่าเป็นกระเป๋าแบบไหน”
   “รู้สึกว่าจะเป็นกระเป๋าผ้าขนาดประมาณกระเป๋าตังค์”
   “…” กระเป๋าผ้า
   “สีชมพู ประดับด้วยลูกปัด กับกากเพชร”
   “…” สีชมพู… ลูกปัด…
   “ห้อยด้วยพวงกุญแจกระดิ่งล่ะมั้ง เท่าที่กูจำได้”
   “…” พวงกุญแจกระดิ่ง… อย่าบอกนะว่า
   “หือ…กูพึ่งรู้นะว่ามึงใช้กระเป๋าตังค์หวานแหววแบบนี้อะ” ไอ้ฟ้าพูดขึ้นหลังจากหันมาเห็นกระเป๋าผ้าสีชมพูประดับด้วยลูกปัดห้อยกระดิ่งที่วางเคียงคู่อยู่กับขวดน้ำส้ม…เสียใจด้วยว่ะมึงที่มันไม่ใช่ของกู

   “ขอบคุณมากๆเลยนะคะ พี่ๆ” นักเรียนสาวยกมือไหว้พวกผมเป็นการใหญ่
   “ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องไหว้หรอก แต่คราวหลังเวลาทำของหาย ใจเย็นๆแล้วค่อยๆตามหาที่ๆเคยไปมาจะดีกว่านะ จะได้ไม่เตลิดจนวิ่งรอบชั้นหนึ่งชั้นสองขนาดนี้” ผมพูดเตือนเด็กสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงติดตลกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเครียดเกินไป ก็เธอดันเล่นวิ่งรอบชั้นหนึ่งกับสองที่ผมกับไอ้ฟ้าใช้เวลาเดินเกือบสามชั่วโมงได้ภายในสิบนาที ถ้ามีกระเป๋าอยู่ผมบอกเลยว่าไม่น่าจะเจออะ
   “นั้นสินะคะ พอดีหนูเป็นพวกใจร้อนก็เลยลนไปหน่อย เพื่อนๆก็บอกอยู่ ฮะๆ” สาวเจ้าตัวยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยแก้เก้อระหว่างที่พูดถึงข้อเสียของตัวเองไป
   “จะว่าไปหนูยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นะ…หนูชื่อขิงค่ะ อยู่ม.4 โรงเรียนเดียวกับพี่…เออ…”
   “พี่ชื่อน่านฟ้านะ อยู่ม.5 เรียกว่าฟ้าเฉยๆก็ได้นะ ส่วนไอ้นี่ชื่อนที จะเรียกมันว่าทีเฉยๆก็ได้”
   “หวัดดี” ผมยกมือโบกหยอยๆหลังจากที่ไอ้ฟ้าแย่งซีนแนะนำตัวผมไปแล้ว
   “ค่า…สวัสดีค่ะพี่ๆทั้งสอง”
   เท่าที่ผมสังเกตดู ขิงคงไม่ใช่แค่ใจร้อนอย่างเดียวแล้วล่ะ ดูท่าจะร่าเริงเกินเหตุด้วยล่ะมั้งเนี่ย พอกระเป๋าตังค์หายก็หน้าซีดสุดขีด แต่พอเจอปุ๊บก็เปลี่ยนบุคลิกปั๊บ
   “เออ…ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ได้นะคะ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยหากระเป๋าตังค์ให้”
   “ไม่เป็นไรๆ เรื่องแค่นี้เอง เวลามีคนเดือดร้อนก็ต้องช่วยกันสิ” ไอ้ฟ้าตอนปฏิเสธได้สมกับเป็นมันดี ด้วยนิสัยของมันจะชอบเข้าไปช่วยแต่พออีกฝ่ายจะตอบแทนก็เกรงใจกันสุดขีด
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเต็มใจ ถ้าเป็นเรื่องของที่นี่ก็ถามหนูได้นะ เพราะคุณพี่สาวหนูเปิดร้านที่นี่”
   “ไม่ป…”
   “งั้นขิงช่วยพวกพี่หาของให้หน่อยได้รึเปล่า” ผมชิงพูดขึ้นมาก่อนที่ไอ้ฟ้าจอมขี้เกรงใจจะปฏิเสธไปอีก อย่างน้อยแค่ถามมึงก็ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง แค่พูดคุยกันน้องเขาไม่สึกหรอหรอก
   “ได้สิคะ พี่จะให้หนูช่วยหาอะไรบอกมาได้เลยค่ะ” ขิงตอบกลับมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
   ผมกับไอ้ฟ้าเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้กับรุ่นน้องสาวที่ตอนนี้เปลี่ยนไปทำหน้าครุ่นคิด จากนั้นสักพักเธอจึงเงยหน้ากลับมาพูดกับพวกผม
   “อืม ดูจากงบที่มีกับจำนวนตัวที่ต้องทำแล้ว หนูรับประกันเลยว่า ราคาแบบนี้ไม่มีร้านไหนเขาขายกันหรอกค่ะ…” รุ่นน้องสาวพูดยืนยันออกมาทำเอาผมต้องถอนหายใจเลย แต่ไอ้ฟ้าที่นั่งข้างๆบนเนี่ยหน้ามันแสดงออกมาว่าหงอยมากอะ หงอยสุดๆเลย เห็นแล้วก็อยากจะลูบปลอบมันสักหน่อย
   “อืม นั้นสินะ พี่ก็คิดว่าไม่น่าจะหาได้หรอก” ไอ้ฟ้าพูดขึ้นมาพลางหัวเราะนิดหน่อย ถึงแม้คนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ผมที่คนมันมาตั้งแต่เด็กดูออกว่ามันผิดหวังอยู่ไม่น้อยเลย
   “ไว้เดี๋ยวค่อยไปหาที่อื่นต่อแล้วกัน เดี๋ยวกูพาไป” ผมพูดปลอบมัน ก่อนที่คำพูดต่อมาของรุ่นน้องจะจุดประกายความหวังของพวกผมใหม่
   “…แต่หนูไม่ได้บอกว่าพวกพี่จะไม่ได้ผ้าราคานี่สักหน่อยนะคะ”
   “…” ผมกับไอ้ฟ้าเบิกตากว้างสบตากันเองก่อนจะหันกลับไปดูขิงที่ตอนนี้เผยรอยยิ้มใหญ่ออกมาบนใบหน้า
   “หนูบอกแล้วนี่ว่าให้หนูจัดการเอง…” พูดจบเจ้าตัวก็หยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาใครบางคน

ETC. อ่านต่อไปที่คอมเมนท์ข้างล่างเลยค่ะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 6 {22/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 24-07-2019 16:47:51
   “ทางนี่เลยค่ะๆ ร้านอยู่ตรงนั้น” ขิงพาพวกผมขึ้นมายังชั้นสี่พาเดินไปจนสุดทางลัดเลาะ ตรอกซอกซอยหลายซอยจนผมรับประกันเลยว่าถ้าให้ผมมาเองคงหลงแน่นอน เขาวงกตหรือซอยขายของว่ะเนี่ย คนเคี้ยวเกิ๊น เดี๋ยวก็เลี้ยวซ้าย เดี๋ยวก็เลี้ยวขวา
   “อ้าวยัยขิง เจอกระเป๋าแล้วใช่ไหมเนี่ย” ตรงหน้าผมเป็นร้านขายเสื้อผ้าที่มีม้วนผ้าวางระเกะระกะอยู่มากมายแต่การจัดวางทำให้ดูเป็นระเบียบมากกว่า พร้อมกับมีบุคคลตัวสูงยืนเท้าเอวอยู่
   “เจอแล้วเจ๊~”
   “แล้วข้างหลังนั้นใช่คนที่บอกมาในไลน์ปะ”
   “ใช่แล้ว พี่ฟ้า กับพี่ที ที่ช่วยเก็บกระเป๋าขิง” ขิงพูดพลางหงายฝ่ามือมาทางพวกผมเป็นการแนะนำตัว
   “สวัสดีค…” แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดทักทาย ผมก็ถูกขัดด้วยคำพูดของอีกฝ่าย
   “ต๊ายย ยัยขิง งานดีมากเวอร์ ไปตกมาได้นี่ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย ชื่อทีใช่ไหมลูก” คุณพี่สาวร่างสูงพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆหน้าผม ผมจึงถอยหน้าห่างไปตามอัตโนมัติ
   “ค…ครับ”
   “หนูเนี่ยสเป็คพี่เลยนะคะลูก สูงยาวเข่าดี หน้าตี่เกาหลี หุ่นล้ำๆกำลังดี โอ๊ยเจ๊ฟิน…”
   “ฮะๆ” ผมหัวเราะแห้งๆตอบกลับเธอไป ก่อนที่เธอจะหันไปหาคนร่างเล็กที่ตอนนี้หลบอยู่ข้างหลังผมโดยอัตโนมัติหลังจากที่ผมโดนเธอรุกเข้ามาอย่างหนัก
   “ต๊ายยยย…หนูฟ้าใช่ไหมลูก น่าร๊ากกก” คุณพี่สาวกระโจนเข้าไปกอดพลางเอาใบหน้าถูๆไถๆแถวๆหัวของร่างเล็ก
   การกระทำเหนือความคาดหมายสร้างความขำขันให้กับผมทันทีที่เห็นสภาพไอ้ฟ้าที่ตอนนี้ตัวแข็งทื่อไม่ไหวติงพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาหาผม
ผมตอบรับคำต้องการด้วยการคว้ามือถือขึ้นมากดถ่ายภาพตรงหน้า อย่าหวังว่ากูจะพลาดช๊อตหลุดมึงไปได้นะไอ้ฟ้า ฮะๆ อีกฝ่ายมีการส่งสายตาเป็นนัยๆว่า ‘ไอ้ที ไอ้เลว มึงช่วยกูก่อน’ ด้วย
   “เจ๊ไว้ค่อยไปน้ำเดินทีหลัง กลับมาเคลียร์ธุระของเราก่อน” เสียงขิงที่เหมือนกระดิ่งหมดคาบสำหรับไอ้ฟ้าร้องเรียกพลางดึงตัวคุณพี่สาวให้ออกมาจากเพื่อนร่างเล็ก
   “โถ่ ก็ได้ๆ” คุณพี่สาวทำหน้ามุ่ยเล็กๆ แต่น้องสาวก็ไม่สะทกสะท้านพลางพูดแนะนำตัวสตรีร่างสูงคนนั้น
   “พี่ฟ้า พี่ที คนนี้เจ๊บอย พี่ของขิงเอง”
   “ค่า เรียกพี่บอย เจ๊บอย บอยลี่ เรียกได้หมดเลยนะคะ อยากได้เงินค่าเล่าเรียนก็บอกเจ๊ได้เดี๋ยวเจ๊เปย์เอง” เจ๊บอยพูดไปพลางส่งสายตาวิ้งให้ผมกับไอ้ฟ้าที่ตอนนี่ใช้หลังผมเป็นที่กำบังไปแล้ว…โอ๊ยๆไอ้ฟ้ากูรู้แล้วว่ามึงโกรธที่กูไม่ช่วย แต่มึงไม่ต้องลงแรงจับขนาดนี้ก็ได้เดี๋ยวเนื้อกูหลุด
   “สวัสดีครับ” พวกผมยกมือไหว้ทักทายเจ๊บอยตรงหน้า
   “เก็บไว้ไหว้พระเถอะลูก” แต่ก็ถูกตอกกลับมาด้วยมุกไม่ฮาพาเครียด ก่อนที่เธอจะชวนพวกเราเข้าไปนั่งคุยกันในร้าน แล้วจากนั้นขิงจึงบอกความต้องการของพวกผมสองคนให้กับเจ๊บอยฟัง ก่อนที่เธอจะทำท่าครุ่นคิดพิจารณากับคำขอของพวกผม
   “หือ…อยากได้ผ้าสำหรับตัดชุด 30 ชุดในราคาพันนึงเหรอ”
   “…”
   “ได้สิ เดี๋ยวเจ๊จัดให้” ทันทีที่ได้ยินคำตอบก็เหมือนกับพบทางสว่าง ไอ้ฟ้าที่ตอนแรกทำหน้าเครียดตอนนี้ทำหน้าดีใจแบบสุดขีดเลย ถ้าเป็นในหนังมันคงมีประกายวิ้งวับออกมารอบๆตัวด้วย
   “จริงเหรอครับ” ไอ้ฟ้าถามย้ำอย่างกับไม่เชื่อในคำพูด
   “จริงสิจ๊ะ แต่มีเรื่องจะให้ช่วยอยู่อย่างนึง ถ้าช่วยแล้วเดี๋ยวเจ๊จะขายผ้าให้ทั้งหมดในราคาพันนึง”
   พอไอ้ฟ้าได้ยินคำว่าเงื่อนไขปุ๊บท่าทางดีใจก็ชะงักลงเปลี่ยนมาเป็นใบหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย ดูเหมือนเจ๊บอยจะสังเกตเห็นหน้าไอ้ฟ้าเคร่งเครียดขึ้นจึงพูดออกมาเชิงติดตลก
   “ไม่ต้องเครียดหรอกจ๊ะหนู เจ๊แค่จะให้พวกเราเป็นนายแบบลองเสื้อให้เจ๊สักคนละ 2-3 ชุดเอง”
   “นายแบบลองชุด?” ผมกับไอ้ฟ้าหันมาสบตากันเมื่อได้ยินคำพูดของเจ๊
   “ใช่แล้ว พอดีว่าเจ๊พึ่งจะเปิดร้านขายเสื้อผ้าน่ะ แล้วก็พึ่งเพจด้วยก็เลยต้องการนายแบบมาลองชุด จะได้ถ่ายเอาไปโปรโมตในเพจ”
   “เป็นพวกผมจะดีเหรอครับ” ถึงผมจะพอรู้ว่าตัวเองหน้าตาดีบ้างก็เถอะ (ไม่ได้หลงตัวเองนะครับ เชื่อจากที่คนอื่นบอกมา ฮะๆ) แต่ผมก็ไม่คิดว่าหน้าตัวเองจะเหมาะกับการเป็นนายแบบอะไรพวกนี่เลยสักครั้ง
   “โอ๊ยพวกเราเนี่ยแหละเหมาะแล้ว เจ๊ถูกใจม๊ากกก นะช่วยเจ๊สักสองสามรูปแล้วเดี๋ยวเจ๊จะลดราคาให้เลย”
   “เอาไงอะมึง” ไอ้ฟ้าหันหน้ามาถามผม
   “อือ…เจ๊เขาก็ดูเป็นคนดี แถมข้อเสนอของเจ๊เขาก็ดีด้วย กูคิดว่ารับข้อเสนอไปก็ไม่เลวนะ อีกอย่างขิงก็บอกนี่ว่าราคาแบบนี้มันหาไม่ได้”
   “อืม แล้วมึงไม่เป็นไรเหรอ มึงแค่มาเป็นเพื่อนกู ถ้ามึงไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร กูไม่อยากให้มึงเดือดร้อน”
   “เฮ้ย มึงอย่าไปคิดมาก เดือดร้อนอะไรกัน แค่เป็นนายแบบลองเสื้อเอง ถือว่ามาลองประสบการณ์ไง”
   “อือ แต๊งกิ้วนะ”
   “มึงอย่าขี้เกรงใจมากดิ ซื่อๆแบบมึงเนี่ย เป็นพวกโดนคนอื่นหลอกง่ายนะรู้มั้ย” ผมพูดไปพลางมือก็อยู่ไม่สุขยื่นไปดึงจมูกของอีกฝ่ายเล่น พลางหัวเราะเยาะไอ้เพื่อนขี้เกรงใจโดยที่ลืมไปว่าขณะนี่ไม่ได้มีแค่พวกผมอยู่กันสองคน
   “ฮั่นแน่ สวีทกันอย่างนี้เป็นไรกันป่าวเอ่ยย” เจ๊บอยพูดไปพลางเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา พอไอ้ฟ้าเห็นปุ๊บก็ตอบปฏิเสธด้วยเหตุผลร้อยแปด จนสุดท้ายเจ๊ก็ยอมปล่อยไปก่อนจะถามยืนยันอีกครั้ง
   “ตกลงพวกเราจะช่วยเจ๊รึเปล่า แค่คนละสองสามชุด ไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้ว”
   “ก็ได้ครับ”
   “โอเค เดี๋ยวเจ๊จะเตรียมชุดมาให้นะ ทั้งสองคนนั่งรอกันตรงนี่ก่อนนะ ส่วนยัยขิงมาช่วยกูด้วย” ว่าจบเจ๊บอยก็เดินหายไปยังด้านหลังร้าน

[น่านฟ้า]
   “หนูที ก้มหน้าลงไปอีกนิดนึงนะคะลูก บิดหน้าเก็บไปอีกนิดนะ นั้นแหละ อย่างนั้นแหละ โอเคค่า ของหนูทีเรียบร้อยแล้ว” เจ๊บอยพูดขึ้นในขณะที่มองดูรูปในกล้องถ่ายรูปในมือเธอ
   ตอนนี้พวกเราอยู่ในร้านของเจ๊บอยที่มีด้านนึงถูกเคลียร์ของออกเหลือแต่พนังปูนสีขาวเปล่าๆ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นสตูดิโอถ่ายภาพจำเป็น โดยมีเจ๊บอยเป็นช่างภาพและมีขิงเป็นผู้ช่วย ด้วยข้อเสนอสุดคุ้มทำให้พวกผมต้องกลายมาเป็นนายแบบจำเป็นกัน…น่าจะสำหรับไอ้ทีคนเดียวนั้นแหละที่เรียกอย่างนั้นได้
   ผมไปดูภาพแต่ละภาพที่เจ๊ถ่ายมาแต่ละภาพบอกได้คำเดียวว่า…มึงช่วยหล่อแบบบันยะบันยังหน่อยได้ไหม มึงดูเจ๊ก่อนเจ๊เขาจะละลายแล้ว มึงไม่ต้องเก๊กหล่อทุกซีนก็ได้เว้ย ขนาดภาพหลุดในกล้องเจ๊มันยังหล่อได้…นั้นมีหน้ามาเก๊กใส่หน้ากูอีก เดี๋ยวพ่อหมั่นไส้กัดหูหลุดจริงๆ
   “เป็นไง กูหล่อปะ” ไอ้ร่างสูงเดินตรงเข้ามาด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับยีนส์ขาเดฟ ให้ดูเป็นลุคผู้ชายคูลๆ พร้อมกับยักคิ้วโชว์ผมข้างนึง
   “ก็งั้นๆอะ”
   “เหรอ~ แต่มึงมองกูไม่วางตาเลยนะ” ไอ้ทีพูดขึ้นมาพลางแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา น่าหมั่นไส้ไอ้หน้าหล่อตรงหน้าจริงๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าผมมองมันไม่วางตาเลย ภาพของมันมีเสน่ห์แปลกๆดึงดูดให้ผมละสายตาไปไม่ได้เลย แต่อย่าหวังว่ากูจะยอมรับง่ายๆ
   “เปล่ากูแค่สงสารเสื้อผ้าว่ะ ต้องโดนคนอย่างมึงใส่” ไงล่ะยักคิ้วกวนผมก่อน มันต้องโดนกวนคืน อย่ามาดูถูกนภดลหยามได้กวนไม่ได้นะครับ
   “กวนนักนะมึงเนี่ย”
   “ก็มึงยักคิ้วกวนกูก่อนนี่” ไอ้ทียกมือทั้งสองขึ้นมาพลางทำท่าจะกระโจนเข้ามาจับผม แต่ในขณะที่มันกำลังจะพุ่งเข้ามา ก็มีเสียงเจ๊บอยเรียกดึงความสนใจจากคนตรงหน้าไป
   “ต่อไปหนูฟ้าไปเปลี่ยนชุดแล้วเข้ามาถ่ายได้เลยนะ” ส่งผลให้ผมมีจังหวะหลบเลี่ยงหลีกออกมาได้โดยที่ผลลัพธ์ของไอ้เพื่อนคือการคว้าลมแบบ 200%
   “ครับ…คว้าลมไปเหอะมึง”
   ผมหันกลับไปเยาะเย้ยไอ้ทีก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องลองเสื้อ ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงที่ถ่ายรูปมากนัก แต่ทันทีที่เห็นเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้างในก็ต้องชะงักเล็กน้อยกับรูปแบบของมัน ‘กูต้องใส่ชุดนี้จริงๆใช่ไหมเนี่ย’ ผมคิดลังเลในใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนจากชุดนักเรียนไปเป็นชุดที่เจ๊เตรียมไว้ให้
   “ไอ้ฟ้า มึงเปลี่ยนเสร็จยังเนี่ย เจ๊บอกให้กูมาตามแล้ว”
   “เดี๋ยวก่อนมึง…” ตอนนี้ผมกำลังทำใจออกไปเผชิญหน้าสายตาคนอื่นไม่ได้ ‘กูไม่น่าใส่ชุดนี่เลย แม่งน่าอายกว่าที่คิดอีก’ ตอนนี้ผมอยู่ในชุดเสื้อฮู้ดหูแมวตัวโคร่งที่ชายเสื้อฮู้ดตกไปจนเกือบถึงเข่า พร้อมกับกางเกงขาสั้นระดับเข่า ถ้าไม่ได้สังเกตดีๆมันจะกลายเป็นผมใส่ค่ท่อนบนไปแล้วนะเจ๊ เจ๊เอาเสื้อมาให้ผมผิดไซส์ใช่ไหม ช่วยบอกทีว่าจริง
   “ถ้ามึงไม่ยอมออกมาภายในสามวิกูจะเปิดม่านแล้วนะ”
   หา อะไรนะ
   “3…”
   “เดี๋ยวก่อนเว้ย กูยังเตรียมใจไม่พร้อม”
   “ไม่เดี๋ยวแล้ว เกรงใจเจ๊เขาหน่อย…2” ก่อนมึงจะเกรงใจเจ๊ มึงช่วยถามความพร้อมกูด้วยครับ
   “กูยังไม่พร้อมเว้ยไอ้ที”
   “กูไม่สน…1”
   โว้ยย จะเปลี่ยนกลับก็ไม่ทันแล้ว
   “…0” สิ้นเสียงนับไอ้เพื่อนตัวดีของผมก็กระชากผ้าม่านออกไป
   มันจบแล้ว ทันทีที่ไอ้ทีมันเห็นสภาพชุดผมเข้า มันเกิดอาการสตั้นเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเหมือนมันจะได้สติกลับมาจึงแสยะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนกับผมก่อนหน้านี้ออกมาเป๊ะ แม่งไม่น่าไปกวนมันก่อนหน้านี่เลย กรรมแม่งขึ้นเครื่องบินเจ็ทมารึไงตามมาจองเวรไวกันจริง
   “หือ~ ตอนแรกกูก็กะจะบอกว่าไม่เข้ากันเหมือนที่มึงบอกกูนะ แต่มึงแม่งเข้าเกินไปว่ะ เหมือนเด็กม.ต้นเลย โอ๊ย กวนขำ”
   “หุบปากไปเลยไอ้ที…แล้วนั้นมึงจะทำไรเนี่ย” ไอ้ทีหยิบมือถือเครื่องโปรดขึ้นมาประจันหน้ากับผม
   “เปล่ากูแค่จะเก็บภาพไปลงไอจีกูเอง เอาแคปชั่นด้วยมะ #หนูน้อยน่านฟ้าหึหึ” แม่งพูดเองหลุดขำออกมาเองซะงั้น อาการหนักนะมึงเนี่ย
   “หยุดเลยนะไอ้ที” ผมพยายามจะคว้ามือถือของอีกฝ่าย แต่เหมือนมันจะไหวตัวทันยืดมือขึ้นไปเหนือหัวมัน ในระดับที่ต่อให้ผมเอื้อมก็เอื้อมไม่ถึง ไอ้ขี้โกง ก่อนที่ศึกชิงนางจะจบลงตอนที่เจ๊เดินมาตามตัวผมไปถ่ายแบบต่อให้เสร็จ ซึ่งมีไอ้ทีค่อยส่งรอยยิ้มเยาะเย้ยตลอดการถ่ายแบบ

   “แหม วันนี้เจ๊ขอบคุณทั้งคู่มากเลยนะ นี่จ้าตามที่สัญญากันไว้ เจ๊ลองกะๆให้มันพอดีกับที่จะตัด 30 ชุดแล้ว ถ้าขาดก็มาบอกเจ๊ได้นะเดี๋ยวเจ๊แถมให้”
เจ๊บอยส่งถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ในนั้นมีม้วนผ้าหลากหลายสีอยู่หลายม้วน ถ้าไปซื้อเอาจริงๆราคาน่าจะตกอยู่หลายพัน
   “ขอบคุณมากนะครับเจ๊บอย” ผมขอบคุณเจ๊บอยเป็นการใหญ่ เจ๊เป็นเหมือนพ่อพระมาโปรดผมเลย นี่ถ้าไม่เจอเจ๊ผมกะจะไปคุ้ยหาผ้าตามกล่องรับบริจาคแล้วนะเนี่ย…เสียดายจัง ฮะๆ
   “โอ๊ยไม่เป็นไรหรอก ถือว่าแลกกันวันนี้เจ๊ก็ได้ภาพดีๆไปเยอะ…พวกเราสนจะมาเป็นนายแบบให้เจ๊อีกมั้ย เดี๋ยวเจ๊จ่ายให้งามๆเลยนะ”
   “ฮะๆ ไว้จะลองเอาไปคิดดูนะครับ”
   “เดี๋ยววันหลังเจ๊จะเตรียมถ่ายเสื้อคู่ไว้ รับรองว่าเลิศ”
   “ฮะๆ” พวกผมหัวเราะแห้งๆตอบกลับเจ๊ที่ตอนนี้กระดี๊กระด่าเหลือเกิน
   “งั้นพวกผมกลับแล้วนะครับ”
   “จ้า กลับกันดีๆนะ”
   “ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะขิง”
   “ค่า ไว้เจอกันนะคะ”
   หลังจากลาทั้งสองคนเสร็จ พวกผมก็เดินลงมาจากตามทางบันไดเลื่อน ตอนนี้ร้านค้าแต่ละร้านเริ่มทยอยปิดกันแล้ว ก็ไม่แปลกเพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว นี่พวกผมใช้เวลาเดินหานานอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
   “ให้กูช่วยถือไหม มือกูยังว่างอยู่นะ” ผมหันไปถามไอ้ทีที่ตอนนี้กำลังถือถุงใส่ม้วนผ้าขนาดใหญ่อยู่
   “ไม่เป็นไรหรอกมันไม่ได้หนักขนาดนั้น อีกอย่างหนูน้อยฟ้าดูจะไม่ค่อยมีแรง เดี๋ยวพี่นทีจะช่วยถือให้เองนะจ๊ะ”
   “เออ เรื่องของมึงถือไปให้ถึงลานจอดรถเองเลยละกัน” อยากกวนตีนดีนัก อุตส่าห์ถามด้วยความเป็นห่วง เดี๋ยวปั๊บดับเบิ้ลคิกใส่ซะเลย
   “ฮะๆ”
   เดินมาซักพักก็มาถึงลานจอดรถที่ตอนนี้แทบจะไม่มีรถเหลืออยู่แล้ว ไอ้ทียกผ้าขึ้นมามัดติดกับที่นั่งมอไซค์ด้านหลังก่อนจะจัดแจงที่นั่งให้ผมสามารถขึ้นไปนั่งได้ จากนั้นมันจึงขึ้นไปคร่อมแล้วออกรถออกไป
   ‘อือ ผ้าก็ได้มาแล้ว ไว้ขอยืมจักรในห้องหัตถกรรมกลับไปทำที่บ้านดีกว่าจะได้ทำนอกเวลาได้ด้วย’ ผมคิดไปอย่างนั้นระหว่างที่มือก็เกาะไหล่ร่างสูงเหมือนอย่างทุกที
   ครืน…หืม ซาวน์เอฟเฟคมันคุ้นๆนะ หรือว่า
   โครม ซู่…
   “เฮ้ย ฝนตก” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะอยู่ๆผมก็ตกลงมาแถมไม่ได้ตกลงมาเบาๆ แต่ตกโครมแรงลงมา ระดับนี้ไม่น่าจะใช่ฝนไล่ช้างแล้วแหละ
   “ไอ้ทีมึงไปหาที่หลบฝนก่อนมั้ย” ผมเสนอทางออกให้กับคนขับ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของผมกับมัน การขี่มอเตอร์ไซค์ตอนฝนตกมีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงตายเปล่าๆ โดยเฉพาะตอนนี่มีคุณม้วนผ้าหลายคณะมาร่วมเป็นผู้โดยสารด้วย
   “งั้นไปบ้านกูก่อนแล้วกัน เกาะให้แน่นๆแล้วกัน”
   “หา…อะไรนะ” อยู่ๆเสียงฝนก็ดังกลบเสียงพูดของร่างสูงตรงหน้า ก่อนที่ผมจะสัมผัสถึงแรงลมที่มาปะทะพร้อมกับความเร็วที่เร็วกว่าเดิม จนผมต้องเผลอสบถออกมาพลางเอามือเกาะเอวอีกฝ่ายไว้แน่น…มึงจะขับเร็วเกินไปแล้วไอ้ที~~~~



*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย
สถานะ              : เพื่อนสนิท

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท


ETC. กรรมนั้นขี่เครื่องบินเจ็ทไอพ่นปืนใหญ่นีโออาร์มสตรองมา น่านฟ้าไม่ได้พูดถึง
ฝนเจ้ากรรมตกมาปุ๊บ ก็รีบบึ่งรถกลับปุ๊บตอนหน้าหนูน้อยน่านฟ้าจะมีชะตากรรมเยี่ยงไร
โปรดติดตามตอนต่อไปได้ (คอมเม้นติชมได้น้าา) :hao5:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 7 {24/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-07-2019 17:03:56
 :pig4:
 :L2:
 o13
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 7 {24/07/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 22-09-2019 18:47:33
ขั้นที่ 8 ไต้ฝุ่น

[นที]
   “มึงขับแบบนี่มึงไม่กลัวตายบ้างหรือไงเนี่ย”
   “ก็จะได้ไม่ต้องตากฝนไง กูเลยรีบบึ่งขับกลับมา”
   “ตรรกะอะไรของมึงเนี่ย ถ้ารถล้มมันคุ้มไหมหา”
   ร่างเล็กตำหนิผมด้วยน้ำเสียงเอาจริงเป็นครั้งแรก แต่ก็สมควรอยู่หรอก เพราะผมเล่นบิดมอไซค์มาเต็มสปีด คิดว่าระยะทางจากห้างมาบ้านผมที่ใกล้กว่ามันไม่ไกลมาก แถมผมก็คุ้นทางด้วย มันก็อันตรายจริงๆนั้นแหละมันถึงได้เป็นโกรธขนาดนี้
   “กูขอโทษ…กูแค่ไม่อยากให้มึงเป็นหวัด” ผมพูดไปพลางทำสีหน้าให้เศร้าที่สุด รับรองมันจับไม่ได้หรอกระดับผมซะอย่าง
   “ไม่ต้องมาทำแป็นหงอยเลยมึง คิดว่ากูจะยอมหายโกรธง่ายๆเหรอ”
   “นะๆ ยกโทษให้นทีหน่อยนะ” ผมเข้าไปเกาะหลังร่างเล็กพลางเอาหน้าตัวเองไซร้คออีกฝ่ายที่เตี้ยเกินไป(?)จนลำบาก แต่ก็พยายามทำหน้าตาให้บ๊องแบ๊วที่สุด
   “มึงแอ๊บไปก็ไม่ได้น่ารักขึ้นหรอก ปล่อยกูได้แล้วอึดอัด”
   “กูจะไม่ปล่อยจนกว่ามึงจะยอมยกโทษให้กู” ผมพูดอย่างนั้นพร้อมกับกอดรัดฟัดเหวี่ยงร่างเล็กตรงหน้าให้แน่นขึ้นกว่าเดิมจนตอนนี้แผ่นอกของแผ่นแนบชิดกับแผ่นหลังเล็กๆของอีกฝ่าย
   “…”
   “น้า…น้า…” มึงกูเริ่มเหนื่อยแล้วนะ กูแอ๊บไปขนาดนี้มึงช่วยมีปฏิกิริยาร่วมกับกูหน่อยได้ไหม นี้ถ้าตื้อมากกว่านี้กูจะติดเกาะเป็นตังเมแล้วนะ
   “เออๆ ก็ได้ปล่อยกูได้แล้วเว้ยกูอึดอัด” ไอ้ฟ้าใช้มือเล็กๆดันหน้าของผมให้ออกไปไกลจากมัน
   “หึหึ” สุดท้ายกูก็ชนะ วิธีง้อไอ้ฟ้าตอนโกรธก็แค่อ้อนให้สุด เกาะให้หนึบ แค่นี้ก็ง้อได้แล้วเว้ย…ตอนเด็กๆผมก็ใช้วิธีนี้ง้อมันบ่อย ไม่เข้าไปโอ๋ๆ ก็เข้าไปเล่นเกี้ยวก้อยให้สัญญา มุ้งมิ้งชิบหาย ฮะๆ
   “หัวเราะไรของมึง”
   “เปล่านี่”
   “…แล้วนี้พวกเราจะยืนกันอยู่ตรงหน้าบ้านอีกนานไหมมึง”
   จะว่าไปก็ลืมไปเลย ตอนนี้พวกเรายังยืนอยู่ที่หน้าบ้าน เพราะพอผมขับมอไซค์ฝ่าสายฝนมาด้วยความเร็วจอดรถปุ๊บก็รีบคว้าเหล่าผ้าขึ้นมาใช้ร่างกายตัวเองเป็นดั่งกำแพงกันฝน ปกป้องเยี่ยงลูก แหมให้ทำไงได้ล่ะ กว่าพวกผมจะได้มันมาเสียทั้งเวลา เสียทั้งร่างกายเชียวนะ ถ้าเสียขึ้นมามีร้องไห้แน่ ผมแน่ๆแล้วคนนึง
   “เออ กูลืมก็พอมึงเข้ามาปุ๊บมึงก็ด่ากูปั๊บเลยนิ” พอเข้ามาปุ๊บไอ้ฟ้าก็ระเบิดอารมณ์ด่าผมปั๊บ ผมก็เลยต้องรีบใช้ลูกอ้อนสุดฤทธิ์ก่อนที่อารมณ์มันจะบูดกว่าเดิม ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนๆ…ใช่ไหมวะ
   “ก็มันน่าไหมล่ะ” ร่างเล็กทำหน้าบูดบึ่งเล็กน้อย พลางบ่นอุบอิบในลำคอไปด้วย
   “จะให้กูง้ออีกรอบเหรอ” ผมอ้าแขนสองข้างให้กับไอ้ฟ้าที่ตอนนี้เปลี่ยนจากหน้าบึ่งเป็นใบหน้ารังเกียจแทน…มึงอยากบ่นเองช่วยไม่ได้ ถ้ามึงบ่นอีกคราวนี้ก็ฟัดจริงๆด้วย ง้อด้วยไม้อ่อนไม่ได้ก็ต้องเจอไม้แข็ง
   “พอแล้วกูยังไม่อยากจะขาดอากาศหายใจตาย คนหรือควายก็ไม่รู้แรงเยอะชิบหาย” อ้าวแพ้แล้วพาลนี่หว่า
   “กูแรงเยอะหรือมึงอ่อนแอเองอะหนูฟ้า” ผมพูดแซวด้วยฉายาสดๆร้อนๆจากร้านเจ๊บอยเมื่อสักครู่นี้ ไอ้ฟ้าแต่งชุดฮู้ดยาวหูแมวกับกางเกงขาสั้น ไม่อยากยอมรับเลยแต่ผมคิดว่ามันเหมาะกับมันมากอะ…แฟชั่นเด็กประถมปลาย ฮะๆ มึงจะได้เห็นรูปนี้ในอัลบั้มจบการศึกษามึงแน่ กูจะฝากพวกไอ้แพรวไปแอบใส่
   “แล้วนี่บ้านมึงไม่มีใครอยู่เลยเหรอ” ไอ้ฟ้ามองสอดส่องไปยังห้องต่างๆที่อยู่รอบๆในขณะที่พวกเรากำลังก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังห้องผม
   “มีไอ้ฟ่างอยู่คนนึง ส่วนพ่อกับแม่ไม่อยู่” วันนี้ไอ้ฟ่างบอกว่าจะไปทำงานที่บ้านเพื่อนก่อนกลับ น่าจะอีกสักพักใหญ่ๆเลยกว่าจะกลับ ส่วนพ่อกับแม่ก็เคสเดียวกับพ่อกับแม่ไอ้ฟ้า ทำงานต่างจังหวัดทิ้งให้พี่ชายดูแลน้องๆ แหมไม่บอกไม่รู้เลยว่าเป็นเพื่อนซี้ร่วมรุ่นกันมาแพทเทิร์นเดียวกันเป๊ะ
   เดินขึ้นมาชั้นสองก็เลี้ยวซ้ายตรงเข้าไปยังห้องผมที่อยู่สุดทางเดิน พอเข้าไปถึงปุ๊บก็วางม้วนผ้าหลากสีลงบนพื้นมุมห้อง มองดูร่างเล็กที่เดินตามเข้ามาในห้องพลางมองสำรวจรอบๆห้องไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
   “เดี๋ยวมึงเข้าไปอาบน้ำก่อนเลย” ผมพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังประตูห้องน้ำที่อยู่ติดกับประตูห้องผม
   “เฮ้ย มึงนั้นไปอาบก่อน กูไม่เป็นไร” อื้ม…สกิลขี้เกรงใจทำงานอีกครั้ง
   “ไม่ต้องพูดมากน่า มึงเป็นแขกก็ต้องไปอาบก่อนดิ”
   “แต่มึงเป็นเจ้าของบ้านนะ มึงนั้นแหละต้องไปอาบก่อน”
   พวกผมสองคนเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวร ไม่มีใครยอมใครอยู่หลายนาที นิสัยขี้เกรงใจของมันบางครั้งก็น่ารำคาญเกิ๊น…แบบนี้ต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้ว
   “งั้นมึงมาเป่า ยิง ฉุบกับกูมา ใครแพ้ไปอาบก่อน” วิธีตัดสินแบบเบสิคสุดๆ แต่ก็โคตรมีประสิทธิภาพ หึหึมึงจะได้หยุดเถียงสักทีไอ้นภดล
   “ได้ มึงคิดจะชนะกูเหรอ” ไอ้ร่างเล็กทำหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมา ได้เดี๋ยวมึงจะเห็นดี
   “เอาล่ะนะ”
   “…”
   “เป่า…ยิง…ฉุบ!!!”
   สิ้นเสียงตัดสินผมกับมันลงมือลงมาพร้อมกัน ผลที่ได้ก็คือ…
   “เยสกูชนะ” กรรไกรของผมชนะกระดาษของไอ้ฟ้า หึเป็นไงล่ะอยากอวดดีกับกูก่อนแพ้ไปซะเถอะมึง
   “หน๊อย ทำไมกูเป่ายิงฉุบไม่ชนะใครเลยว่ะ”
   หึ กูอยากจะบอกให้นะมึง ถ้ามึงอยากชนะมึงก็ต้องเลิกนิสัยออกกระดาษก่อน กูเห็นมึงมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่ยอมแก้นิสัยนี้สักทีก็เลยตกเป็นผลประโยชน์ให้ผม ทุกครั้งที่จะตัดสินอะไรกับมัน ผมก็ท้ามันเป่ายิงฉุบเนี่ยแหละ สุดท้ายผมก็ชนะสิครับ…แหมอย่าหาว่าโกงเลย เรียกว่าใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนอีกฝ่ายดีกว่า
   “เป็นไงล่ะมึง ข่มกูซะเยอะ พอแพ้ล่ะหงอยเชียว”
   “กูข่มมึงตอนไหน” คนตรงหน้าถามพร้อมกับทำหน้าไม่เข้าใจคำถาม
   “เอ้าก็มึงบอกกูเองนิว่า ‘มึงคิดจะชนะกูเหรอ’ น่ะ” ไม่ต้องมาทำเป็นความจำสั้นเลยมึง มึงพึ่งพูดเองเมื่อกี้ถ้ามึงลืมสมองมึงก็เลอะเลือนเกินไปนะ
   “กูข่มมึงที่ไหน อันนั้นกูพูดตามความจริงต่างหาก”
   “หา…ดูยังไงมึงก็ข่มกูไม่ใช่เหรอ” ผมไม่เข้าใจที่มันคิดไปเอง หรือมันพูดไม่เคลียร์ว่ะเนี่ย
   “ก็กูเป่ายิงฉุบไม่เก่งนี่…กูก็เลยถามมึงว่า ‘มึงคิดจะชนะกูเหรอ’ ไงเล่า”
   “อ้าวก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าต้องตีความแบบนั้น” คนปกติส่วนใหญ๋ก็ตีความเป็นพูดข่มกันทั้งนั้นแหละ มึงทำหน้าซีเรียสขนาดนั้น แต่ช่างมันอย่างน้อยเรากูได้ผู้แพ้สำหรับการแข่งนี้แล้ว
   “เออช่างแม่งแล้วกัน เป็นอันว่ามึงต้องไปอาบก่อนเคร๊ ห้ามเถียงอีกนะจ๊ะ”
   “เออเป็นหวัดตายไปเหอะมึง” แน๊ะมีการแช่งก่อนด้วย พูดจบร่างเล็กก็เดินออกจากห้องผมไป
   “เดี๋ยวผ้าเช็ดตัวกับชุดเปลี่ยนเดี๋ยวกูเอาไปให้ มึงเข้าไปก่อนเลย”
   ผมตะโกนออกไป ก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อยืดกับกางเกงบอล แล้วก็บ๊อกเซอร์ออกมาพร้อมผ้าขนหนูก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำเพื่อเอาเสื้อผ้าเปลี่ยนไปให้

   “…ช้าจังว่ะ” หลังจากที่ไอ้ฟ้าเข้าห้องน้ำนี่ก็ผ่านมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เสื้อผ้าผมแห้งนานแล้วเนี่ยไปทำอะไรในห้องน้ำนานๆว่ะเนี่ย
   แกร๊ก เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น พร้อมปรากฎร่างเล็กผ่านมาทางปลายสายตา ผมเลยตัดสินใจยกตัวขึ้นจากเตียงกะจะบ่นกับคนตรงหน้าซักหน่อย ถ้าเกิดไม่สะกิดใจกับท่าทางของอีกฝ่าย
   “ไอ้เหี้ยที มึงเอาชุดอะไรมาให้กูใส่เนี่ย”
   “ชุดอะไร ก็ชุดก็…ไง…” ผมพึ่งมาคิดขึ้นได้ก็ตอนที่เห็นสภาพไอ้ฟ้าตอนนี้ ตอนนี้ไอ้ฟ้าอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดตัวโคร่งยาวปิดหัวเข่าเอาไว้ตัวเดียว ในมืออีกข้างถือกางเกงบอลเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างจับแถวๆสะโพกตัวเองไว้
   ชิบหาย…ลืมไปเลยว่าขนาดตัวผมกับไอ้ฟ้าต่างกันเกินไป กลายเป็นว่าไอ้ฟ้าต้องโชว์ขาอ่อนขาวๆของตัวเองไป…อือ ขาแม่งเล็กจังว่ะ แถมซีดด้วย ได้ออกกำลังกายมั้งเปล่าเนี่ย
   “เออกูลืมไปเลยว่าตัวกูคนละไซส์กับมึง ฮะๆ”
   “กูก็ตะงิดๆใจอยู่แล้ว ดูเสื้อแม่งตัวใหญ่ชิบหาย กางเกงบอลมึงกูก็ใส่ไม่ได้เอวแม่งโคตรหลวมเลย”
   “งั้นท่อนล่างมึงก็ไม่ได้ใส่อะไรเลยเหรอ แหมใจกล้าจังเลยนะมึง” ผมแสยะยิ้มให้ไอ้ฟ้าไปทีนึงหลังจากเลื่อนสายตามองต่ำลงไป แต่ผลก็คือโดนกางเกงบอลปาอัดหน้า
   “ใจกล้าพ่อง กูก็ใส่บ๊อกเซอร์ของมึงไง”
   “ยังใส่ได้เหรอ” บ๊อกเซอร์มันก็ขนาดพอๆกับกางเกงบอลนะ ถ้ามึงใส่กางเกงบอลไม่ได้แล้วทำไมมึงใส่บ๊อกเซอร์ได้
   “ก็ตัวที่มึงหยิบมาให้กูมันมีเชือกรัดให้กูด้วย ขนาดรัดแล้วยังหลวมเลยเนี่ยดูดิ” พูดจบไอ้ฟ้าก็เลิกเสื้อยืดตัวโคร่งขึ้นเผยให้เห็นบ๊อกเซอร์สีเทาที่เกาะกับสะโพกบางๆ กับหน้าท้องแบนเรียบน่าลูบไล้(?)
   “ก็มึงแม่งผอมแห้งแรงน้อยนี้ แดกข้าวเยอะๆหน่อยดิ๊” ผมพูดไปก็ใช้สองมือจับรอบสะโพกของอีกฝ่าย…เชี่ย ผอมเกิ๊น มือผมเกือบโอบได้ครึ่งตัวแล้วเนี่ย แล้วหน้าท้องมึงเนี่ยเรียบเกิ๊น กล้ามเนื้อก็ไม่มี ขนาดไขมันยังไม่มี มีอย่างเดียวคือกระดูก กูกดไปเจอแต่ซี่โครง ผมลูบคลำสำรวจร่างกายของไอ้ฟ้าไปเรื่อยจนเหมือนเจ้าตัวจะเริ่มรำคาญจึงตบหัวเรียกสติผมไปทีนึง
   “มึงจะลูบอะไรกูนักหนา”
   “ก็กูสงสัยว่ามึงขาดสารอาหารรึเปล่า” รูปร่างไอ้ฟ้าบางกว่าเพื่อนมันอีกตอนที่ผมไปเห็น  ถ้ามันมาอยู่โรงเรียนผมมันน่าจะเนียนไปอยู่ม.ต้นได้โดยที่ครูจับไม่ได้ ฮะๆ
   “หุบปากแล้วไปอาบน้ำได้แล้วไป๊ แล้วก็หยุดลูบพุงน้อยๆของกูได้แล้ว” พุง!? ถ้านี่มึงเรียกว่าพุง ของกูเนี่ยไม่เรียกว่าท้องแล้วเรอะ
   สุดท้ายผมก็ต้องผละมืออกจากการลูบไล้พุงน้อยๆของอีกฝ่าย แล้วหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไป

   “มึงทำไรอยู่”
   ผมเดินเข้ามาในห้องก็เห็นร่างเล็กนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงของผมพร้อมกับก้มหน้าเหมือนกำลังอ่านอะไรอยู่ก็ไม่รู้
   “หือ…กูไปค้นเจอไอ้นี้พอดีเลยเอามาดูสักหน่อย” พูดจบอีกฝ่ายก็ยกหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งขึ้นมา พอผมเพ่งสายตาดีๆถึงได้รู้ว่านั้นเป็นอัลบั้มรูป
   “เห น่าคิดนึงเหมือนกันนะเนี่ย” ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆไอ้ฟ้าพลาง ชะเง้อคอมองดูรูปภาพในอัลบั้ม
   ภาพในอัลบั้มเป็นภาพช่วงสมัยก่อนตอนที่บ้านผมกับไอ้ฟ้ายังอยู่ติดกัน ภาพส่วนใหญ่ในอัลบั้มก็เลยจะเป็นภาพคู่ของผมกับมันซะส่วนใหญ่ เรียกได้ว่าภาพเดี่ยวมีน้อยมากขนาดที่ใช้นิ้วมือยังนับได้หมด พอเทียบกับภาพคู่ที่มีค่อนครึ่งอัลบั้ม คิดแล้วก็ขำที่สมัยก่อนพวกเราตัวติดกันขนาดนั้น ยิ่งกว่าพี่น้องอีก ขนาดผมกับไอ้ฟ่างยังไม่ขนาดนี้เลย
   “นั้นดิ ตอนนั้นกูกับมึงโคตรจะติดหนึบกันเลย แทบจะสิงร่างกันแล้วมั้งเนี่ย” มันพูดไปพร้อมกับพลิกดูหน้าอัลบั้มไปเรื่อยๆ จนผมเห็นภาพหนึ่งขึ้นจึงส่งเสียงบอกร่างเล็ก
   “เดี๋ยวหยุดก่อน” ฟ้าชะงักมือที่ใช้พลิกเปิดหน้าอัลบั้ม พลางเอี่ยวหน้ามาถามผม
   “มีไร”
   “มึงจำตอนนี้ได้ปะ” ผมใช้นิ้วของตัวเองเลื่อนเข้าไปใกล้อัลบั้ม พลางชี้ไปยังรูปๆหนึ่งที่อยู่มุมซ้ายของอัลบั้ม
   “ไหนๆ…แหงะ” ทันทีที่ไอ้ฟ้าหันไปมองรูปที่ผมกำลังชี้ อยู่ๆมันก็ทำหน้าเหยเกขึ้นมา
   ภาพที่ผมชี้ให้มันดูคือ ภาพผมกับมันตอน ป.1 กำลังจับมือกัน แต่ถ้าพูดตามความจริงแล้วไม่ใช่จับมือกัน แต่เป็นผมที่กำลังลากไอ้ฟ้าอยู่มากกว่า วันนั้นเป็นวันกีฬาสีแล้วมีกิจกรรมสำหรับเด็กคือ (โคตร) มินิมาราธอน คือให้วิ่งรอบโรงเรียนหนึ่งรอบ แต่ก็นะในความคิดของเด็ก ป.1 ก็คงจะเห็นว่าไกลแหละ พอมาเห็นตอนนี้ก็ใช้คำว่าจิ๊บๆไปเลย เข้าเรื่องเลยก็คือ ไอ้ฟ้ามันวิ่งไปแล้วล้ม จากนั้นมันก็นั่งจุมป๊กร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมวิ่งสักที จนสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนไปฉุดมันขึ้นมา พร้อมกับลากวิ่งไปด้วย
   “คิดแล้วก็น่าคิดถึงเหมือนกันนะ ตอนนั้นมึงเอาแต่ร้องไห้งอแง ขนาดกูเข้าไปปลอบมึงยังไม่ยอมวิ่งเลย บอกจะจับมือไปด้วยถึงจะยอมวิ่ง ติดกูขนาดหนักนะมึงเนี่ย” ผมพูดไปโดยจงใจใช้น้ำเสียงเยาะเย้ยร่างเล็กตรงหน้าให้มากที่สุด แล้วก็เป็นไปตามคาดหน้าไอ้ฟ้าตอนนี้มีสีแดงเรื่อๆขึ้นมาตามแก้ม
   “อะไรเล่า ก็ตอนนั้นยังเป็นเด็กนี้หว่า ตอนนี้กูไม่เป็นแบบนั้นแล้วเว้ย”
   “เหรอออ…อยากจับมือพี่อีกไหมจ๊ะ” ผมพูดยียวนอีกฝ่ายไป ก่อนจะยื่นมือเข้าไปโบกๆตรงหน้าไอ้ฟ้า
   “กูไม่ใช่เด็กแล้วนะเฟ้ย” มันพูดแบบนั้น พร้อมกับปัดมือผมก็ไปด้วยแรงที่เหลือเชื่อ เชี่ย เมื่อกี้กูได้ยินเสียง เพี๊ย ด้วยนะมึง แรงชิบหาย
   “โอ๊ย กูเจ็บนะเว้ย”
   “หึ สมน้ำหน้า อยากมาแหย่กูดีนัก” พูดจบร่างเล็กก็เปลี่ยนจากนอนยันศอกเปลี่ยนไปเป็นอนตะแคงข้างหนีหน้าผมพร้อมกับอัลบั้มในมือ
   “อะไรๆ งอนกูเหรอ” ผมเลื่อนตัวเข้าไปพลางยื่นหน้าเข้าไปพูดข้างๆหูอีกฝ่าย แต่ทันทีที่ผมพูดไปอีกฝ่ายก็รีบเอามือมาปิดหูตัวเองพลางหันหน้าที่แสดงความไม่พอใจมาหาผมพร้อมด้วยแววตาหาเรื่อง
   “งอนบ้านมึงดิ” ไม่รอช้าสันอัลบั้มทิ้งดิ่งลงมาตามแรงโน้มถ่วงบวกกับแรงของร่างเล็กตรงหน้า
   “เดี๋ยวก่อนไอ้ฟ้าถ้ากูโดนไอ้นี้ไปกูไม่น๊อคเลยเหรอวะ” เซฟ…ตอนนี้ผมใช้มือสองข้างจับที่ปกทั้งสองของอัลบั้มไว้ได้ทันก่อนที่มันจะกระทบหัวผมไม่ถึงนิ้ว เกือบไปแล้วอัลบั้มเล่มหนาเท่าสารานุกรม โดนเข้าไปผมคงเข้า ICU อะ
   ครืด ครืด…ในระหว่างที่ผมกับไอ้ฟ้ากำลังยื้อหยุดเดธอัลบั้มก็มีเสียงเหมือนลากของอะไรสักอย่างดังขึ้นหยุดการกระทำของพวกผม
   “เสียงอะไรอะ” ไอ้ฟ้าเป็นคนเริ่มถามผมก่อน
   “ไม่รู้ว่ะ”
   พวกผมหันหน้าพลางสงสัยต้นเสียงกับ แต่ยังไม่ได้เริ่มค้นหาต้นเสียงก็กลับมีเสียงใหม่ที่ชวนเรียกความสนใจมากกว่าดึงความสนใจไป
   เคร้ง เคร้ง โครม!!!!
   “เหี้ย เสียงไรว่ะ” เสียงเหมือนมีอะไรหนักๆตกลงมาเลย
   “เหมือนเสียงจะดังมาจากข้างนอกนะ”
   พวกผมเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างเลื่อนผ้าม่านออก ก็ปรากฎภาพของต้นเสียงขึ้นมา
   “เชี่ยย แผ่นสังกะสีบ้านใครวะ” ภาพที่เห็นผ่านหน้าต่างคือ ภาพแผ่นสังกะสีหนึ่งแผ่นลอยมาชนกับเสาไฟฟ้าหน้าบ้านผม ส่งผลให้เกิดเสียงดังลั่นไปทั่ว
   “มึง…กูว่าเหมือนฝนจะตกหนักขึ้นนะ” ไอ้ฟ้าพูดขึ้นพลางเพ่งตามองลอดออกไปนอกหน้าต่าง
   “เหรอวะ กูว่ามันก็ไม่ค่อยต่างกับตอนแรกนะ” ผมพยายามเพ่งสายตาออกไปมองข้างนอก ฝนก็ไม่ได้ตกแรงต่างจากตอนแรกเท่าไหร่ แผ่นสังกะสีนั้นอาจจะยึดไม่ดีเฉยๆก็ได้มั้ง พอลมพัดเบาๆก็เลยหลุดออกมา
   “แต่กูว่าพายุน่าจะเข้าว่ะ”
   “ไม่หรอกมั้ง นี้พึ่งจะเมษาเองนะมึง”
   “เหรอวะ แต่กูเห็นกิ่งไม้ใบไม้ปลิวว่อนเลยนะมึง”
   “มันก็แค่พัดของเบาๆลอยไปนู่นนั้นเองแหละ มึงอย่ากังวลไปเลย”
   “เหรองั้นฝาบ้านก็เบาด้วยสินะมึง”
   “ใช่ๆ เพราะมันเบา ฝาบ้านก็เลยปลิวไง…” ห๊ะ…ฝาบ้าน!?
   ผมหันกลับมามองเพ่งที่หน้าต่างดีๆก็พบว่ามีวัตถุน่าจะสีขาวปลิวผ่านหน้าบ้านไปไม่ไกลมาก จากนั้นก็มีป้ายต่างๆนานา ลอยผ่านไปจำนวนไม่ใช่น้อย
   “กูว่าพายุเข้าแล้วล่ะมึง”
   “เออ…กูก็ว่างั้น” ถึงขนาดพาฝาบ้านออกมาด้วยนี้ กูไม่เถียงแล้วแหละ…ว่าแต่นั้นฝาบ้านใครว่ะน่าสงสารฉิบหาย

   (วันนี้ฟ่างไม่กลับบ้านนะ เดี๋ยวจะค้างบ้านนุ่นเลย)
   “แล้วพรุ่งนี้เช้าจะแวะกลับมาไหม”
   (กลับดิ พรุ่งนี้มีเรียน ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อก่อน)
   “เออๆ ค้างบ้านเค้าอย่าก่อเรื่องล่ะ”
   (รู้แล้วน่า แค่นี้แหละ) พูดจบปุ๊บคุณน้องสาวก็ตัดสายไปเลย นี้พี่ชายแท้นะฮัลโหล ช่วยเห็นใจสถานะกูด้วย
   “ข้าวฟ่างโทรมาเหรอ”
   “เออ มันบอกว่ากลับไม่ได้ วันนี้เลยจะค้างบ้านเพื่อน”
   “ดีแล้วแหละ อย่าฝืนฝ่าพายุกลับมาเลย” จริง สภาพตอนนี้ลมยังแรงอยู่เลย ถ้าขนาดที่ฝาบ้านหลุดออกมาได้เนี่ย ไม่อยากคิดสภาพว่าถ้าฝ่าออกไปตอนนี้จะเป็นยังไง แค่คิดก็หนาวแล้ว
   “แล้วมึงล่ะ โทรไปบอกพี่ภูยัง”
   “กูโทรไปบอกแล้วแหละ สภาพแบบนี้กูคงกลับบ้านไม่ได้เหมือนกัน”
   ตื้อ ดึง…มือถือผมส่งเสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเขา ผมเลยยกหน้าจอขึ้นมาดู ก็พบกับข้อความจากคนที่ผมคิดไม่ถึง

   Phupha   :   ถ้ามึงคิดจะทำอะไรน้องกู มึงคิดดีๆล่ะ

   เชี่ยย…
   “มีอะไร ข้อความจากใครเหรอ” สงสัยไอ้ฟ้าจะเห็นท่าทางของผมแปลกๆไปมันจึงถามขึ้นมา
   “เปล่าไม่มีอะไรหรอก แค่สแปมธรรมดา อย่าไปสนใจเลย”
   “เหรอ”
   ใช่… แค่สแปมธรรมดา แต่เป็นสแปมที่น่าเหลือเชื่อไปหน่อย แล้วพี่เขาไปรู้ไอดีผมมาจากไหนเนี่ย แล้วดูจากข้อความที่พิมพ์มาถ้าขืนไอ้ฟ้าเป็นอะไรไป ผมคงไม่เหลือซากแน่
   “เออ ช่างเรื่องนั้นไปก่อน เดี๋ยวคืนนี้มึงมานอนบนเตียงแล้วกัน เดี๋ยวกูไปนอนโซฟาเอง”
   “หา ได้ไง เจ้าของห้องอย่างมึงไปนอนบนเตียงเลยไป เดี๋ยวกูไปนอนโซฟาเอง”
   “ถ้ามึงจะเอาอย่างนั้นก็ได้ กูจะได้นอนเตียงนุ่มๆสบายๆ” ผมแสยะยิ้มพร้อมกับพูดกวนแขกร่างเล็กที่นั่งไม่ห่างไปจากตัวผม
   “เดี๋ยวมึง ตามปกติมึงต้องยื้อให้กูนอนเตียงไม่ใช่เหรอว่ะ”
    “อ้าวก็กูชวนมึงแล้วนะ แต่มึงไม่เอาเอง”
   “…” ไอ้ฟ้าทำท่าทางมองบนพลางถอนหายใจ
   “เออๆ กูล้อเล่น เดี๋ยวกูไปนอนโซฟาเอง” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเข้า แต่ยังไม่ทันไรอีกฝ่ายก็ปัดมือผมออก
   “ไม่ต้องแล้วเดี๋ยวกูนอนโซฟาเอง มึงนอนเตียงไปเหอะ” แน่ะ…งอนอีกและ
   “โถ่มึงกูแค่ล้อเล่นนิดเดียวเอง…” ผมโผเข้าไปกอดคอไอ้ฟ้าที่ทำท่างอนเป็นเด็กเอาไว้
   “กูรู้แล้วน่าปล่อยได้แล้ว อึดอัด” มือเล็กๆพยายามใช้แรงอันน้อยนิดแกะแขนที่กำลังกอดรัดคอมันออก แต่ก็ไม่เป็นผล
   “หรือมึงจะมานอนกับกูล่ะ ย้อนความหลังไง สมัยก่อนก็นอนด้วยกันออกบ่อย”
   “บ้ารึไง ไม่ใช่เด็กๆแล้ว…แล้วมึงก็ปล่อยคอกูออกไปได้แล้ว อึดอัดเว้ย”
   อาการแบบนี้ของมันช่างกระตุกต่อมความอยากแกล้งของผมซะจริงๆ ผมเลยจัดการขยี้ก้อนผมฟูนุ่มตรงหน้าไปชุดใหญ่ ร่างเล็กในอ้อมกอดได้แต่ขยับขัดขืนหยุกหยิกแต่ก็ไม่อาจขัดขืนการพันธนาการไปได้

   พรึ่บ…อยู่ๆแสงไฟภายในห้องก็ดับลงไป เหลือไว้แต่เพียงความมืด
   “…ไฟดับเหรอ” ผมมองดูรอบๆห้องที่ตอนนี้มืดลง
   “…”
   “ดูเหมือนว่าแถวนี้จะดับหมดเลยนะ” ผมพูดขึ้นมาหลังจากมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นว่าไฟในบ้านแถวนั้น รวมไปถึงเสาไฟฟ้าตรงถนนก็ดับไปหมด
   “…”
   “มึงพูดอะไรออกมาหน่อยดิไอ้ฟ้า เงียบแบบนี้กูใจไม่ดีนะเว้ย”
   “…” ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย มีเพียงแรงจับบริเวณแขนที่ค่อยๆเพิ่มหนักขึ้น พร้อมกับร่างกายที่ดูเหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อย
   “มึงเป็นอะไร…” ผมผละแขนออกจากคอของฟ้าก่อนจะเปลี่ยนที่นั่งไปนั่งข้างหน้าของมัน
   “…” มันไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่ตอนนี้ใบหน้าของมันซีดเผือก พร้อมกับเสียงหายใจถี่ๆ ทำเอาใจของผมกังวลไม่เป็นส่ำ
   “มึงเป็นอะไรไป…” ผมใช้สองมือจับเข้าที่ไหล่อีกฝ่ายพลางเขย่าเบาๆ แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับจากร่างเล็กตรงหน้า
   เอาไงดีว่ะ…ทำไมอยู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้เนี่ย ต้องทำไงดีว่ะ หรือว่ามันป่วยเป็นอะไรไป โอ๊ยย…เอาไงดีเนี่ย……จริงด้วยกล่องพยาบาล
   “งั้นมึงรอกูตรงนี้แปปนึง เดี๋ยวกูลงไปเอากล่องพยาบาลมาให้” ผมคิดได้ดังนั้นก็ละมือทั้งสองข้างออกจากไหล่พลางพร้อมยันตัวเองลุกขึ้นมาจากเตียง แต่พอผมลุกขึ้นมาก็รู้สึกถึงแรงดึงที่ข้อมือ ผมจึงหันกลับไปมองก็พบกับไอ้ฟ้าที่เอื้อมมือมาคว้าข้อมือของผม
   “…อย่า…” เสียงแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ดังขึ้นมา ผมที่ได้ยินไม่ชัดเลยตัดสินใจย่อตัวลงไปให้ใบหน้าของตัวเองอยู่ระดับเดียวกับคนที่กำลังจับข้อมือของผมไว้แน่น
   “พูดว่าอะไรนะ”
   “อย่าไปเลยนะ…”
   “…”
   “อย่าทิ้งฟ้า…เอาไว้คนเดียวนะ” ห้องนอนที่มืดมิด เริ่มมีแสงสว่างส่องจากแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทำลายความมืดเผยให้เห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทกำลังจับข้อมือผมแน่น พร้อมกับหยดน้ำใสๆไหลจากดวงตาเล็กผ่านลงมาตามใบหน้า
     ใบหน้าตรงหน้าช่างดึงดูดใจอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันคืออะไรกันแน่ แต่สิ่งที่สามารถรับรู้ได้ตอนนี้คือ อยากจะปลอบประโลมเพื่อนสนิทตรงหน้า รู้ตัวอีกทีผมก็ใช้สองมือเอื้อมเข้าไปดึงตัวของร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมอก พลางใช้มือข้างนึงยกขึ้นมาลูบปลอบอีกฝ่าย
   “ไม่เป็นไร…กูจะไม่ทิ้งมึงไปไนหรอกนะ”
   “จริงเหรอ…”
   “อือ”
   “สัญญานะ…”
   “สัญญาสิ…กูจะอยู่ตรงนี้แหละ มึงสบายใจได้เลย”
   สิ้นเสียงพูดของผม ร่างเล็กตรงหน้าไม่มีเสียงตอบกลับมา มีแต่เพียงเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เคล้ากับเสียงหยดฝนตกกระทบกับหลังคาคล้ายกับเสียงกล่อมเด็ก พร้อมกับสัมผัสอบอุ่นจากคนตรงหน้า ขับกล่อมให้สายตาของผมค่อยๆปิดลง



*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท


*ช่วงนี้เปิดเทอมแล้วก็เลยไม่ค่อยมีเวลาแต่ง อาจจะมีโผล่มานานๆทีบ้าง ถ้าอยู่ๆก็แจ้งเตือนอย่าตกใจไป (555+)
**เราจะพยายามหาเวลามาแต่ง แต่คงไม่ได้อัพบ่อยเหมือนตอนแรก อย่าพึ่งทิ้งกันนะ
 :hao5:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 8 {22/09/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 22-09-2019 21:31:29
หายไปนานมากเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 9 {28/10/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 28-10-2019 07:51:05
ขั้นที่ 9 เผือกดีๆนี่เอง

นที
 ติ๊ดๆ เสียงแอปนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือส่งเสียงดังไปทั่วห้อง
 “อืม...” ผมยกหัวตัวเองขึ้นมาจากหมอนด้วยอาการสะลึมสะลือ ในตอนนั้นก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นของร่างเล็กที่นอนขดอยู่บริเวณอกของผม
 “จริงด้วยแฮะ เมื่อวานไอ้ฟ้ามันนอนค้างนี่หว่า” ผมคิดถึงสภาพน่าเอ็นดูของเพื่อนสนิทเมื่อคืน เท่าที่ผมรู้จักมันก่อนจะย้ายออกไปมันก็ไม่เคยกลัวอะไรแบบนั้นเลย ผมคิดแบบนั้นไปพลางลูบเส้นผมนุ่มๆตรงหน้า หัวเล็กๆตอบสนองต่อสัมผัสด้วยการขยับตามเล็กน้อย
 จากนั้นผมก็ผละจากกลุ่มผมนุ่มตรงหน้าหันไปจัดการกับเสียงนาฬิกาปลุกที่ยังดังไม่เลิก
 “อืม...พึ่งจะเจ็ดครึ่งเอง...” ผมจัดการปิดเสียงปลุกก่อนจะทิ้งหัวตัวเองลงไปบนหมอนอีกครั้ง
 .
 .
 .
 ‘เดี๋ยวนะ...เจ็ดครึ่ง!!!’ ผมสะดุ้งขึ้นมาพร้อมกับเอื้อมมือไปดูเวลาที่โชว์อยู่ที่หน้าจอมือถือเพื่อยืนยันอีกครั้ง ซึ่งตรงหน้าจอก็ปรากฏเลข ‘7:30’ โชว์หราอยู่กลางจอ
 “เชี่ย ชิบหายแล้ว ไอ้ฟ้าตื่น!!!” ผมวางโทรศัพท์ลงที่เดิมก่อนจะเริ่มปลุกร่างเล็กข้างๆให้ตื่นขึ้นมา
 “อือ...พี่ภูอย่าพึ่งกวนดิ...ฟ้าขอนอนก่อน...”
 “มึงไม่ต้องมาต่อรองตอนนี้เว้ย เจ็ดโมงครึ่งแล้ว...แล้วกูก็ไม่ใช่พี่ภูของมึงด้วย” ผมพูดไปพลางยกตัวเองขึ้นมาจากเตียงพลางตรงไปยังตู้เสื้อผ้าคว้าเอาเสื้อกับกางเกงนักเรียน ออกมาอยากรีบเร่ง
 “ห๊ะ...เมื่อกี้มึงพูดว่าไรนะ” เหมือนอีกฝ่ายจะเริ่มรู้ตัวแล้วจึงกระเด้งตัวขึ้นมาอย่างะทันหัน
 “กูบอกว่าตอนนี้เจ็ดครึ่งแล้ว”
 “เชี่ย แล้วทำไมมึงไม่ปลุกกู”
 “กูก็พึ่งตื่นเหมือนมึงเนี่ย”
 “กูกะว่าจะกลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านก่อน...ชิบหายละ กูไม่ได้รับสายพี่ภู 10 สาย...”
 “ตอนนี้มึงอย่าพึ่งไปสนใจเรื่องนั้น มึงรีบไปเตรียมตัวก่อนเร็วๆ” ผมหันไปเร่งไอ้ฟ้าที่ตอนนี้ยังคงช๊อคกับจำนวนสายเข้าของพี่ชายสุดที่รัก ตอนนี้มันหน้าซีดเผือกแล้วล่ะ ดูจากสภาพแล้วพี่ภูคงส่งข้อความมาถามด้วยว่าอยู่ทีไหน ขนาดเวลามันหายไปแค่ชั่วโมงกว่านี้ตามเอาเป็นเอาตาย ปลงเสียเถอะมึง
 “กูรู้แต่กูไม่มีเสื้อนักเรียนให้ใส่เว้ย ตัวที่ใส่เมื่อวานยังเปียกแฉะอยู่ในตะกร้าเลย” จะว่าไปก็จริง ที่จริงเมื่อวานก็กะว่าจะเอามาผึ่งให้มันสักหน่อย แต่พอไฟดับปุ๊บกำหนดการเลยล่มปั๊บ กลายเป็นว่าผมต้องกลายเป็นหมอนข้างคอยปลอบนายนภดลซะงั้น เหอะๆ
 “งั้นมึงก็ใส่ของกูไปก่อนดิ” กางเกงโรงเรียนผมกับโรงเรียนมันเป็นสีดำเหมือนกัน เสื้อก็เสื้อสีขาวเหมือนกันจะต่างกันก็แค่ชื่อที่ปักหน้าอกเอง ไม่มีใครสังเกตหรอก
 “ใส่ได้ก็บ้าแล้วมึง มึงดูขนาดตัวกูกับมึงด้วย เนี่ยดู” มันพูดพลางกางแขนกว้างเผยให้เห็นเสื้อตัวโคร่งที่สวมอยู่บนตัว
 “อย่าเรื่องมากน่า ยิ่งไม่มีเวลาอยู่ ทนๆเอาวันเดียวเองไม่มีใครสนใจมึงหรอก”
 “ทนเอาก็เหี้ยละ เสื้อตัวโคร่งแบบนี้เป็นใครเค้าก็สงสัยกันทั้งนั้นแหละมึง กางเกงมึงด้วย ขนาดกางเกงบอลเมื่อวานกูยังใส่ไม่ได้เลย”
 “เรื่องมากว่ะ” ผมถอนหายใจไปพลาง กลับไปคุ้ยตู้เสื้อผ้าต่อโดยไม่สนใจร่างเล็กที่ยังคงโวยวายอยู่บนเตียง
 พอผมค้นตู้เสื้อผ้าไปเรื่อยๆสายตาก็ไปสะดุดตากับเสื้อนักเรียนที่พับเรียบร้อยอยู่ตรงก้นตู้
 “กูว่ากูมีทางเลือกให้มึงแล้วว่ะ” พูดจบผมก็โยนกองเสื้อกับกางเกงไปให้อีกฝ่าย
 “มึงจะให้กูใส่ชุดนี้จริงดิ” ไอ้ฟ้าพูดขึ้นหลังจากหยิบสิ่งนั้นขึ้นมากางพลางสำรวจไปด้วย
 “เออหรือมึงจะไปสายล่ะ นี่ก็จะสี่สิบแล้วเว้ยโรงเรียนก็อะไม่เท่าไหร่ แต่ของมึงห้ามสายเกินแปดโมงไม่ใช่เหรอว่ะ” สำหรับโรงเรียนผมกฏไม่ได้เคร่งขนาดนั้นไปถึงโรงเรียนแปดครึ่งก็ยังได้เลย แต่เท่าที่รู้มาโรงเรียนไอ้ฟ้าอาจารย์ปกครองโคตรเคร่งเจ็ดโมงครึ่งก็จะจดสายแล้ว แต่ดูเหมือนช่วงนี้จะผ่อนปรนลงมาหน่อยให้สายได้ถึงแปดโมง
 “กูก็รู้...แต่จะให้กูใส่ชุดนี้เนี่ยนะ ชุดม.ต้นของมึงเนี่ย” มันพูดขึ้นพร้อมกางเสื้อนักเรียนสีขาวหม่นๆแสดงให้เห็นถึงความเก่าขึ้นมาโชว์ต่อหน้า
 “เออ กูว่ามึงน่าจะใส่ชุดม.ต้นกูได้แหละ กางเกงก็สีดำด้วย เรื่องชื่อตรงอกก็ทนๆไปหน่อยแล้วกัน หรือมึงจะใส่ชุดตัวโคร่งของกูล่ะ” ผมพูดไปพลางชูเสื้อนักเรียนที่ไซส์ใหญ่กว่าร่างอีกฝ่ายขึ้นมา
 “...เออก็ได้ว่ะ”
 “เออดีมาก รีบไปเตรียมตัวได้แล้วไป กูจะออกสี่ห้า เดี๋ยวกูรีบบึ่งไป เข้าใจ๊ โอเค๊” ผมรีบพูดจากนั้นก็รีบโยกย้ายตัวลงไปยังห้องน้ำด้วยความเร็วแสง ความเร็วในการจัดการแต่งตัวนี้เร็วยิ่งกว่าเดอะแฟรช น้ำนี้อย่าเรียกว่าเดินผ่านน้ำเลยใช้ความว่าวิ่งผ่านน้ำไปดีกว่า ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวทำไมรู้สึกว่ามันยังแห้งๆอยู่หว่า...ช่างมันสงสัยคิดไปเอง

 
 “มึงพร้อมนะ” ผมหันกลับไปถามคนที่ตอนนี้นั่งซ้อนมอไซค์อยู่ด้วยใบหน้าไม่เต็มใจ
 “เออ” มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ปนไม่พอใจหน่อยๆ
 “เอาน่ามึงเดี๋ยวกูซิ่งไปแปปเดียวก็ถึงมึงไม่สายหรอก”
 “กูไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น”
 “แล้วมึงห่วงเรื่องอะไร” ร่างเล็กมองผมด้วยสายตาประมาณว่า ‘นี้มึงโง่เปล่าเนี่ย มึงไม่รู้จริงดิ’
 “...กูไม่อยากใส่ชุดนี้เลยว่ะ”
 “โด่วก็แค่เรื่องชุดเอง มึงก็แค่ทนๆเอาเองวันเดียวเองมึง”
 “มึงไม่ใช่กูมึงไม่รู้หรอกเว้ย ขืนเพื่อนกูเห็นว่ากูใส่ชุดมึง กูโดนพวกแม่งล้อแน่ยันลูกบวชแน่”
 “เหรอ”
 “เออ อย่างคราวก่อนที่กูป้อนบิงซูมึง หลังจากนั้นแม่งโดนล้อโดนแซวใหญ่เลยว่ากูเป็นเมียมึง อยากจับมาตบปากรายคนเลย” โอ้...เพื่อนมึงรายนะไอ้ฟ้า
 “ก็ปล่อยให้มันล้อไปสิจ๊ะที่รัก” ผมพูดหยอกล้ออีกฝ่ายไปพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆก่อนจะโดนฝ่ามือเล็กๆดันออกมา
 “ขนลุกว่ะสัส เลิกพูดแล้วขับไปส่งกูได้แล้วเว้ย เดี๋ยวก็สายหรอก” ผมหัวเราะทันทีที่เห็นปฏิกิริยาของไอ้ฟ้า มันตอบโต้ออกมาเหมือนจะรุนแรงแต่ก็น่ารักผิดขาด ทำเอาผมหัวเราะไม่หยุดจนโดนไอ้ฟ้าเคาะหัวกลับมาอีกครั้ง ผมถึงจะกลับมาเป็นปกติ
 “เออๆ ไม่ล้อก็ได้...เออไอ้ฟ้า...”
 “มีไร?” ร่างเล็กเอียงคอสงสัยเล็กหน่อย เพราะเหมือนจะรู้ว่าน้ำเสียงของผมมันฟังดูซีเรียสขึ้น
 “เรื่องเมื่อคืนไว้เดี๋ยว มาคุยกันหน่อย” ผมอยากรู้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ถ้าผมช่วยได้ก็อยากจะช่วยในฐานะเพื่อนสนิทล่ะนะ
 “...อือ” มันก้มหน้าลงพลางตอบกลับมาด้วยเสียงเล็กๆ
 เมื่อผมเห็นท่าทางของอีกฝ่ายหงอยลงหลังจากที่ผมพูดเรื่องเมื่อคืนออกไป ผมก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนอารมณ์ปรับน้ำเสียงให้สดใสขึ้นก่อนจะบิดคันเร่งเสียงดัง
 “...เอาล่ะ งั้นเกาะแน่นๆนะ กูจะซิ่งแล้ว” ผมพูดขึ้นพลางเร่งเครื่อง ไม่นานนักรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ก็แล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
 “เอ๊ะ..ดะ...เดี๋ยว ไอ้ททททททที” ดูเหมือนว่าร่างเล็กพึ่งจะมารู้ตัวหลังจากผมออกตัวไปแล้วทำให้มือทั้งสองที่ตอนแรกวางไว้บริเวณไหล่กลับไปกอดรัดแน่นบริเวณเอวพลางส่งเสียงร้องหลุดออกมาด้วยความตกใจ การตอบสนองของไอ้เพื่อนสนิททำเอาผมหุบรอยยิ้มภายใต้หมวกกันน๊อคเอาไว้ไม่ได้เลย

น่านฟ้า
 “เฮ้อ ไม่น่าเชื่อว่าจะมาทัน” สุดท้ายไอ้ทีก็แว๊นมาส่งผม ย้ำว่าแว๊นไม่ใช่ขับมาส่งเพราะความเร็วที่มันใช้นี่เรียกได้ว่านักแข่งเอฟวันยังต้องเรียกพี่น่าหวาดเสียงชิบหาย แม่งถ้ามีคนบอกว่ามันเป็นเด็กแว๊นนี่ผมเช่ือเลย แว๊นขนาดนี้ผมสนับสนุนให้มันลาออกไปแข่งรถเถอะผมว่าน่าจะรุ่งกว่ามานั่งเรียน
 “อ้าวๆมาถึงก็ทำหน้าคิดหนักเลยนะมึง” แพรวที่นั่งอยู่ข้างๆบ่นไปพลางจิ้มๆหน้าผมไปด้วย
 “จะว่าไปปกติมึงเป็นคนมาเช้านี่ ทำไมวันนี้อยู่ๆถึงมาสายล่ะ” ปุยฝ้ายที่นั่งข้างหน้าเอี้ยวหัวกลับมาถาม
 “เออน่า กูก็คนนะ วันนี้กูก็แค่บังเอิญตื่นสายนิดหน่อย” ยังไงก็ให้พวกมันรู้เรื่องที่ผมค้างบ้านไอ้ทีไม่ได้เด็ดขาด ยังไงก็ให้รู้ไม่ได้โดยเฉพาะเรื่องที่ผมใส่ชุดนักเรียนม.ต้นมัน ให้ตายยังไงก็ต้องเหยียบไว้ให้มิด ขืนโดนรู้แม่งโดนล้อยันลูกบวช
 “เหรอมึง แต่วันนี้ตอนกูมาถึงกูเห็นมึงนั่งซ้อนมอไซด์ไอ้ทีมานะ” นีที่นั่งไม่ไกลหันมาเข้าร่วมวงสนทนาแล้ว
 “เดี๋ยวนะนี้มึงมาโรงเรียนตอนแปดโมงเนี่ยนะ หัวหน้าห้องอย่างมึงควรเป็นแบบอย่างของห้องดิ”
 “กูก็เป็นแบบอย่างของห้องอยู่นี่ไง เนี่ยกูรู้ว่าเพื่อนในห้องไม่อยากมีใครมาเช้าหรอก กูเลยบุกเบิกมาสายเลย เป็นไงล่ะกูเป็นหัวหน้าห้องที่ดีชิมิ” โอ้โห ทัศนคติหัวหน้าห้องยอดเยี่ยมจริงๆ สมควรได้รับรางวัลหัวหน้าห้องดีเด่นหน้าเสาธงจริงๆ
 “ตอแหล มึงก็แค่ติดซีรี่ย์กูรู้”
 “ชริ...แสนรู้จริงนะไอ้ฝ้าย”
 “มึงอยากโดยแบบไอ้แพรวรึไง” ปุยฝ้ายเริ่มจ้องสายตาพิฆาตใส่นี สุดท้ายนีเลยเริ่มทำการเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ตัวเองจะซวย
 “อะแฮ่ม เรามาสนใจเรื่องไอ้ฟ้ากันต่อเลยเนอะ” อ้าวเห้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่าาา
 “ไหนๆมีอะไรจะสารภาพไหมคะ คุณนภดลเป็นไงมาไงถึงมาพร้อมกับคุณศศินได้คะเนี่ย” นีกำกระเป๋าดินสอพร้อมเอามาจ่อปากทำเสมือนไมค์ ก่อนจะยื่นมาจ่อที่ปากผม
 “ก็ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย ก็แค่ว่าเจอกันระหว่างทางมันเลยบอกจะมาส่ง” แก้ตัวแบบนี้ไปแล้วกัน ปกติพวกมันไม่ได้ฉลาดขนาดนั้นมันดูไม่ออกหรอก ผมฟันธง
 “เหรอคะ สรุปว่าคุณศศินตัดสินใจรับคุณนภดลเองสินะคะคุณฐานิตตา”
 “แต่ดิฉันว่ามันไม่น่าจะแค่นั้นนะคะคุณเมทินี”
 “ทำไมล่ะคะคุณฐานิตตา” ทั้งสองเล่นยื่นไปมา คิดว่าตัวเองกำลังรายงานข่าวอยู่รึไงเนี่ย เอาเถอะปล่อยให้คุณเธอทั้งสองเล่นกันไปยังไงถ้าคงจับผมโกหกไม่ได้หรอกเว้ย พวกเธอรู้จักนภดลร้อยเล่มเกวียนน้อยไป
 “แหมจะอะไรล่ะคะ ก็เนี่ยดูสิคะ ใส่เสื้อคุณศศินด้วยล่ะ” ชิบหายละ เกวียนแหกโค้ง
 “แหมๆๆ” ทั้งคู่ตอนนี้กำลังแสยะยิ้มไปพลางหันมามองผมด้วยสายตาล่ออวัยวะเบื้องล่างแบบ 300%
 “จะแหมอะไรกันนักหนาเนี่ยพวกมึงสองคน พวกกูไม่ได้มีอะไรกันเว้ย แค่มีเรื่องนิดหน่อย”
 “หืม งั้นอะไรล่ะ”
 คุณแพรวาที่นั่งนิ่งเงียบมาสักพักพูดขึ้นมาทำเอาผมไปไม่เป็นเลย เอาไงดีวะ จะเล่าออกไปเลยดีหรือจะโมเมเนียนต่อไปดี แต่จังหวะนี้จะแถอะไรต่อดีเนี่ย แม่งอยู่ๆพวกมันก็ฉลาดขึ้นมาซะงั้น เรื่องเรียนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย พอเรื่องเสือกแม่งเซ้นดีกันจัง
 ตื้อ ดึ้ง~ จังหวะที่ผมกำลังคิดหาทางแถเหล่านักเผือกทั้งหลาย อยู่ก็มีเสียงเตือนข้อความเข้าบนมือถือของผมที่วางหงายหน้าหราอยู่บนโต๊ะใจกลางวงข่าวจำลอง พอเสียงข้อความดังปุ๊บ เหล่านักเผือกทั้งหลายพร้อมใจกันรวมสายตาไปยังหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏข้อความจากบุคคลที่สามที่กำลังเป็นประเด็น
 (ศศิน:ไว้หลังเลิกเรียนมึงอย่าลืมมาเอาชุดนักเรียนมึงกับกองผ้าของมึงที่บ้านกูด้วยล่ะไอ้ฟ้า) ไอ้เหี้ยยยยที มีเวลาให้เลือกตั้งเยอะทำไมมึงต้องทักมาถามตอนนี้
 ทันทีที่จอมือถือกลับไปดำอีกครั้งผมก็เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของเหล่าเพื่อน(?)ทำหน้าตาพร้อมเผือกกันเต็มที่...จบแล้วชีวิตตรู
 สุดท้ายผมก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับแรงกดดันผสานแรงเผือกยกกำลังสาม จนต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เหล่าพืชใต้ดินทั้งสามรู้ แต่ให้ตายยังไงผมก็ไม่เล่าเรื่องที่ผมนอนซบไอ้ทีหรอก น่าอายชิบหาย คิดแล้วก็อยากมุดธรณีหนีหายไปเลย
 “สรุปว่ามึงไปซื้อผ้ากับไอ้ที แต่ตอนจะกลับไต้ฝุ่นเข้าก็เลยไปค้างบ้านไอ้ทีอะนะ” แพรวพูดสรุปเรื่องที่ผมเล่ามา
 “เออ”
 “แล้วมึงก็ยืนเสื้อผ้าไอ้ทีด้วยสินะ”
 “เออ”
 “แหมๆ เดี๋ยวนี้พัฒนาเร็วนะมึงเนี่ยกลับมารู้จักกันไม่กี่วันก็ได้ใช้เสื้อแฟนแล้ว เมทินีคนนี้รู้สึกอิจฉาจับใจเลย กูก็อยากมีโมเม้นเสื้อแฟนบ้าง”
 “มึงอย่าพึ่งมโน ‘เสื้อเพื่อน’ ไม่ใช่ ‘เสื้อแฟน’ มึงดึงสติกลับมาก่อน”
 “แหมๆ กูรู้น่ากูแค่แซวเล่นๆเอง แต่สุดท้ายวันนี้มึงก็เล่นใส่เสื้อแฟนมาอวดพวกกูเลยนี่เนอะ แหมใจกล้าจังเลยนะมึงเนี่ย”
 “ถ้ามึงยังไม่หยุดแซว มึงอย่าหวังว่ากูจะตัดชุดให้มึง” พอผมพูดจบไปปุ๊บนีก็ทำหน้าซีดปั๊บเปลี่ยนจากแซวมาเป็นประจบแทบไม่ทัน ถ้าไม่บอกกูนึกว่าจิ้งจกเปลี่ยนสีอย่างเร็วเลย แหมก็นะตอนนี้ชะตากรรมของกิจกรรมเข้าค่ายอยู่ในกำมือของผม เรื่องเสื้อผ้าเอามาใช้ขู่มันได้...ก็แค่ตอนนี้แหละ หลังจบค่ายปุ๊บผมคงโดนเล่นหนักกว่าเดิมแน่ คิดแล้วก็เศร้ากระซิกๆ
 “กูพอเรื่องเสื้อฟงเสื้อแฟนไปก่อนก็ได้ กลับมาเมาท์เรื่องมึงกันต่อ” อ้าวนี้มึงยังไม่จำอีกเหรอว่ากูมีไพ่ตายอยู่ฮัลโหลล
 “ตัวมึงกับตัวไอ้ทีคนละไซส์กันเลยนะ แล้วมันมีชุดนักเรียนให้มึงยืมได้ไงเนี่ย”
 “ชุดม.ต้นของมัน”
 “ม.ต้น ฮะๆ เอาจริงดิม.ต้นเนี่ยนะ โอ๊ยกูขำว่ะ นี้ขนาดม.ต้นเสื้อมันยังใหญ่กว่าตัวมึงเลย” ตอนนี้ไอ้นีตัวดีกำลังขำก๊ากพร้อมกุมท้องตัวเองไว้ แหมน่าถีบจริงๆเลยไอ้หัวหน้าห้องตัวดีนี่
 “เดี๋ยวมึงจะอดชุดจริงๆนะนี”
 “โอ๊ยๆกูขอโทษ ฮะๆ แต่ว่า ฮะๆ กูหยุดเข้าไม่ได้ว่ะ”
 เออ ช่างแม่ง ผมคิดอย่างนั้นแล้วก็เลิกสนใจไอ้คุณเมทินีตรงหน้าไป แต่จะว่าไปทำไมรู้สึกว่าดาเมจการล้อมันลดลงไปแฮะ...สงสัยจะคิดไปเอง
 “เออๆไอ้ฟ้ากูมีเรื่องจะถามหน่อยอะ” อื้ม...รู้ละว่าลืมอะไรไป
 “อะไรอีกล่ะไอ้ฝ้าย”
 “ที่ว่ามึงนอนซบไอ้ทีอะเป็นไงมั้ง สบายมั้ยมึง” ปุยฝ้ายเปลี่ยนจากใบหน้าธรรมดาเป็นใบหน้าแสยะยิ้มทันทีที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมา
 “ว้ายๆตายแล้ว นอนกันด้วยล่ะคะเพื่อนสนิทเค้านอนซบกันด้วยเหรอคะเนี่ย เนอะคุณแพรวา” มึงหัวเราะท้องแข็งตายไปซะ ไอ้นี
 “คิดว่าไม่น่าจะขนาดนั้นนะคะ คุณเมทินี” มึงอีกคนอย่าไปตามน้ำมัน
 แต่ประเด็นสำคัญยิ่งกว่าเรื่องความเป็นความตายของหัวหน้าห้องที่ไร้ความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
 “เดี๋ยวๆ มึงรู้เรื่องนั้นได้ไงกูไม่ได้เล่าไปนะ” ผมจำได้ว่าผมไม่ได้เล่าเรื่องนั้นไป เพราะถึงตายยังไงผมก็ไม่ได้ยอมเล่าแน่
 “ใช่มึงไม่ได้เล่าไง”
 “แล้วมึงรู้ได้ไง”
 “กูก็ถามกับเจ้าตัวเองเลยไง” เจ้าตัว? สิ้นคำบอกเล่าของปุยฝ้ายผมก็สังเกตเห็นความผิดปกติในมือของอีกฝ่าย เพราะในมือของเธอนั้นมีโทรศัพท์มือถือเครื่องที่คุ้นเคยคับคล้ายคับคลาเหมือนมือถือของผมเลย...ไม่คล้ายแล้วนั้นมันมือถือผมเลยนี่หว่า
 “เดี๋ยวมึงเอาโทรศัพท์กูไปได้ไงเนี่ย” ผมยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์ของผมออกมาจากมือของปุยฝ้ายทันที พอพลิกขึ้นมาดูก็พบว่าหน้าจอปรากฏภาพห้องแชทที่มีปลายทางเป็นไอ้จำเลยตัวดีอีกคนนึงพร้อมบทสนทนาสั้นๆแต่ได้ใจความ
 
 NaanFah : ทีๆ นี่เราปุยฝ้ายเองนะ เพื่อนฟ้า
 Nathi : มีอะไรเหรอ?
 NaanFah : เมื่อวานสภาพไอ้ฟ้าเป็นไงมั้งเหรอตอนนอนอะ
 Nathi : เมื่อวานเหรอ? ก็นอนขดซบอกนิดนึงอะนะ
 Nathi : ฝากบอกไอ้ฟ้าด้วยแล้วกันว่า อกพี่พร้อมเสมอ อยากซบเมื่อไหร่ก็บอกได้นะจ๊ะ อิอิ
 
 พอผมอ่านข้อความจบเท่านั้นแหละ ผมหันมามองหน้ากับเจ้าของข้อความจากไลน์ NaanFah เทียมตรงหน้าทันทีแต่ดูเหมือนจะเจ้าตัวจะยังไม่สำนึกพร้อมกับพูดแก้ตัวออกมาด้วย
 “กูไม่ได้ตั้งใจจะคุยหรอก กูก็แค่อยากเสือ...ไม่อยากให้อีกฝ่ายรอนานกูก็เลยพิมพ์ตอบให้ระหว่างที่มึงคุยกับคนอื่นอยู่ไง” แหมขอบคุณมากเลยมึง ขอบคุณจนอยากจะจับเชิญขึ้นเมรุเลยเนี่ย แม่งเอ๊ยเพื่อนแต่ละคน ผมคิดผิดใช่ไหมเนี่ยที่มาอยู่กับกลุ่มเดียวกับพวกนี้เนี่ย
 แล้วอีกอย่างทำไมมึงต้องเล่าเรื่องจริงไปด้วยว่ะ ไอ้เหี้ยยยยยยททททททที

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท


*เป็นการอัพเดือนละครั้งอย่างแท้ True ช่วงนี้เราจะไม่ได้อัพถี่มากจนกว่าจะปิดเทอม TwT อย่าพึ่งทิ้งกันนะ
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 9 {28/10/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 28-10-2019 09:40:02
รออยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 9 {28/10/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 30-10-2019 00:16:35
มาต่อไวๆน๊าาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 10 {16/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 16-12-2019 19:48:43
ขั้นที่ 10 หายนะมาเยือน
น่านฟ้า
   รู้สึกว่าช่วงนี้มาที่นี่บ่อยเหลือเกิน ‘MidNight Cafe’
   ตอนนี้ก็เลิกเรียนแล้ว ถ้าเป็นตามปกติไอ้ทีมันก็คงจะมารอรับอยู่หน้าโรงเรียนแล้วก็หิ้วผมมานั่งเล่นอยู่ที่นี่แถมวันนี้ไอ้ทีบอกมีเรื่องจะคุยด้วย แต่วันนี้อย่าว่าแต่จะเห็นหัวมันเลย ขนาดไลน์มันยังไม่ตอบเลยอุตส่าห์ส่งไปตั้งแต่เที่ยงจนตอนนี้เกือบห้าโมงแล้วขนาดยังไม่ขึ้นอ่านเลย ผิดปกติเกินไปแล้ว
   “มึงกลับเองได้นะ”
   “อือ โทษทีที่ให้มึงมาส่ง”
   “ไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวกูมีกลับไปซ้อมบาสต่อถ้าจะให้กูมารับกูโทรมาก็แล้วกัน ไปล่ะ”
   “ได้ แต้งกิ้ว” ผมหันไปโบกมือลาให้เพื่อนนักกีฬาจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายบิดแฮนด์พร้อมออกตัวไปด้วยความเร็ว ไม่ทันไรมอไซด์ของเพื่อนสาวก็หายไปจากสายตา
   ตอนแรกที่ไม่เห็นหัวไอ้ทีตอนเลิกเรียนผมก็คิดว่ามันคงจะยุ่งมั้ง เลยตัดสินใจจะกลับ แต่การที่มันไม่อ่านข้อความเลยเนี่ยมันแทบจะเป็นปรากฏการณ์โลกแตก คนติดโซเซียลอย่างมันเนี่ยนะ ก่อนหน้านี้ส่งข้อความไปไม่ถึงครึ่งนาทีก็ตอบกลับมาอย่างไว
   ‘ไหนๆมาแล้วก็เข้าไปดูหน่อยแล้วกัน’
   กริ๊ง กริ๊ง ทันทีที่ผมผลักประตูกระจกร้านเข้าไปก็มีเสียงกระดิ่งเป็นสัญญาณบอกเหล่าพนักงานทั้งหลายว่ามีลูกค้าเข้ามาแล้ว
   “ยินดีต้อนรับค่ะ...อ้าวสวัสดีจ้าน้องฟ้า”
   “สวัสดีครับพี่ทราย”
   พนักงานหญิงทักทายผมด้วยรอยยิ้ม พี่ทรายเป็นลูกพี่ลูกน้องของไอ้ไนท์เห็นว่าเรียนจบหมอไม่ก็วิศวะมาแถมรู้สึกจะได้เกียรตินิยมแต่เห็นบอกว่าใจรักทางด้านเบเกอรี่มากกว่าตอนนี้ก็เลยมาทำงานที่คาเฟ่แทน
   “ปกติพี่เห็นมากับน้องทีก็เลยรู้สึกแปลกตานิดหน่อย”
   “ฮะๆ พอดีวันนี้อยู่ๆมันก็หายหัวไปไหนก็ไม่รู้สิครับ ปกติชอบมาลักพาตัวผมหน้าโรงเรียนประจำแต่วันนี้หายจ่อยเลย ไลน์ก็ไม่ตอบ”
   “สนิทกันจังเลยนะ”
   “สนิทกันจนน่ารำคาญเลยละครับ ฮะๆ”
   “แต่วันนี้น้องทียังไม่มาเลยนะ มีแค่ไนท์ที่กลับมาคนเดียว”
   “อ้าวเหรอครับ” แล้วตกลงมึงหายหัวไปไหนเนี่ยไอ้ศศิน ต้องให้กูไปตามหาถึงบ้านเลยมั้ยเนี่ย
   “งั้นเดี๋ยวลองถามไนท์ดูก็แล้วกันนะ เป็นเพื่อนซี้กันก็น่าจะรู้แหละว่าน้องทีไปไหน น้องฟ้าไปนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้นะ ตอนนี้คงกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ถ้าลงมาแล้วเดี๋ยวพี่จะบอกให้ว่าน้องฟ้ารออยู่”
   “ขอบคุณครับพี่ทราย”
   ผมเดินไปนั่งตรงโต๊ะริมหน้าต่างซึ่งตอนนี้เสมือนจะเป็นที่นั่งประจำกลุ่มไปซะแล้ว เพราะมาทีไรก็เห็นไอ้ทีและเหล่าผองเพื่อนนั่งยึดกันอยู่โต๊ะเดียว แต่ก็อย่างว่าแหละเนอะสิทธิพิเศษของเพื่อนลูกเจ้าของร้าน ได้ที่นั่งวีไอพีมาไว้ในครอบครอง
   “นี่จ๊ะน้องฟ้า มาการองสูตรใหม่ กับน้ำซีตรัสรวม” นี่ก็เป็นอีกสิทธิพิเศษประจำร้าน
   “ขอบคุณครับพี่ทราย แต่คราวหลังเดี๋ยวผมสั่งมาลอง ของซื้อของขายเอามาให้เลยมันดูไม่ดี”
   “แหม ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง อีกอย่างพี่ก็ได้คอมเม้น น้องก็ได้อิ่มท้องวินๆกันทั้งคู่จริงไหม”
   “แต่ผมก็ยังเกรงใจพี่อยู่ดีแหละครับ”
   “เกรงจงเกรงใจอะไรกัน ไม่เป็นไรหรอก พี่ชอบเห็นคนอื่นกินของที่พี่ทำจะตาย ถือซะว่าพี่ขอร้องเราแล้วกัน ไว้เดี๋ยวพี่จะมาเอาคอมเม้นนะ พี่ไปตามไนท์มาให้แปปนึงนะ”
   สิทธิพิเศษอย่างที่สองคือ พี่ทรายแกเป็นพวกชอบทำเบเกอรี่มากชนิดเรียกว่าเสพติดได้เลย เยอะชนิดที่ว่าร้านนี้สามารถออกเมนูใหม่ได้ทุกวันตลอดเดือนโดยไม่ซ้ำกันเลย หลังๆมาพี่แกเลยดีใจเวลาพวกผมมานั่งที่ร้านเพราะมีตัวช่วยกิน(กำจัด)เหล่ากองเบเกอรี่ที่พี่แกทำขึ้นมา ก็สบายกระเป๋าตังค์พวกผมแหละอิ่มจังตังค์อยู่ครบ แต่นานๆเข้ามันก็รู้สึกเกรงใจอยู่นะ
   ผมหยิบเอามาการองสีชมพูสดใสชิ้นพอดีคำใส่เข้าไปในปาก...อะ อันนี้อร่อยดีแฮะมีกลิ่นสตอเบอร์รี่ผสมกับซอสเลม่อนจางๆ อื้มหวานอมเปรี้ยวอร่อยแฮะ
   ผมจ้วงเอามาการองชิ้นแล้วชิ้นเล่าใส่ปากไปอย่างรวดเร็ว จากตอนแรกที่มีมาการองเยอะซะจนมองไม่เห็นพื้นจาน ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าจะเห็นแต่พื้นจานแล้ว
   “ไงมึง ปากบอกว่าเกรงใจแต่มือมึงจ้วงเอาจ้วงเอาเลยนะ” พี่ชายหน้าไม่รับลูกค้าส่งเสียงทักผมขึ้นมา พลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
   “ก็พี่เขาทำอร่อยอะ” ผมหันไปตอบไนท์ที่ตอนนี้อยู่ในชุดเด็กเสิร์ฟพลางหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก
   “เหรอ...” เด็กเสิร์ฟตรงหน้าพูดสวนมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท
   “เออกูอยากถามมึงหน่อย ไอ้ทีมันหายหัวไปไหนอะ”
   “ไอ้ที...วันนี้มันกลับบ้านไปก่อนแล้ว ตั้งแต่ก่อนเที่ยงอีกมั้ง”
   “อ้าวทำไมอะ”
   “ไอ้ทีไม่ได้บอกมึงเหรอ”
   “เออดิ ขนาดไลน์มันยังไม่ตอบกูเลย” ปกติตอบออกจะไว
   “ไอ้ทีมันไข้ขึ้น มันก็เลยลากลับไปก่อนแล้ว กูเป็นคนออกไปส่งมันมาเองแหละ”
   หา...ไข้ขึ้น เมื่อเช้ามันยังอารมณ์ดีพูดแซวผมนู่นนี่อยู่เลย แถมมันยังเป็นตัวการบอกเรื่องเมื่อคืนกันเหล่าเผือกด้วยแแล้วไหงอยู่ไข้ขึ้นได้เนี่ย
ผมนั่งนิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับไอ้เพื่อนสนิท ถ้าเป็นแค่ไข้ธรรมดามันก็คงจะดีแต่ถ้าถึงขนาดไม่เปิดไลน์อ่านเลยเนี่ยอาการมันจะหนักขนาดไหน
   “...งั้นมึงจะไปดูสภาพมันไหมล่ะ”
   “เอ๊ะ”
   “เดี๋ยวกูจะพามึงไปส่งเอาไงจะไปดูมันไหม”
   “แล้วมึงจะไม่เป็นไรเหรอ” ปกติไนท์มันต้องอยู่ช่วยงานที่ร้านบ่อยๆ ผมไม่อยากจะไปรบกวนมันด้วย
   “ไม่เป็นไรหรอก กูพามึงไปส่งแปปเดียวเอง อีกอย่างมึงก็ขับมอไซด์ไม่เป็น เดินไปอีกชาตินึงกว่าจะถึงให้กูไปส่งแหละดีแล้ว”
   พูดจบอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางหันไปฝากงานกับพี่ทรายที่กำลังรับออเดอร์อยู่ตรงเคาท์เตอร์ ก่อนจะลากผมเดินออกมาทางด้านหลังร้าน จับหมวกกันน๊อคยัดใส่หัวผม หิ้วขึ้นรถก่อนจะออกตัวออกไปจากร้าน

นที
   โอ๊ย... ปวดหัวชิบหาย...
   ผมนอนหมดสภาพอยู่บนเตียงในห้องที่คุ้นเคย เมื่อเช้าหลังจากที่ผมไปส่งไอ้ฟ้าทันเวลาเข้าเรียนฉิวเฉียดก็ขับเลยไปโรงเรียนตามปกติ ตอบไลน์กันตามปกติ เรียนตามปกติ แต่อยู่ๆแม่งก็ไข้ขึ้นเฉย ไอ้บ้าถ้ามึงจะปกติมึงก็ช่วยปกติให้ตลอดวันซิเว้ย ไม่ใช่อยู่ๆอยากจะขึ้นก็ขึ้นไอ้ไข้บ้า
   สุดท้ายผมก็ทนไอ้ไข้บ้าไม่ไหวลากลับมาก่อน โดยให้ไอ้ไนท์พาผมกลับมาส่วนไอ้วินเป็นคนเอามอไซด์ผมกลับมา ตอนแรกสองตัวนั้นก็บ่นอิดออดไม่อยากมาส่ง พอรู้ว่าหาเรื่องโดดเรียนได้ตาเป็นประกายกันเลยนะพวกมึง แถมพวกแม่งรู้แล้วแน่ๆว่าเมื่อคืนไอ้ฟ้ามานอนค้าง ก่อนจะกลับไปยังมีหน้าหัวมาหัวเราะเยาะว่า ‘แหมๆ ถึงกับเป็นหวัดเนี่ยเมื่อคืนพวกมึงทำไรกันหว่า’ น่าถีบชิบหาย
   อือ...หิวน้ำชะมัด
   ผมลุกขึ้นจากเตียงพลางเดินโซเซออกไปจากห้อง เดินลงบันไดอย่างระมัดระวังระหว่างเดินก็พยายามหาหลักหรือกำแพงมาเกาะเอาไว้ด้วย เดี๋ยวล้มลงไปหัวแตกแล้วจะยุ่งอีก
   กิ๊ง ก๊อง เสียงกริ่งประตูหน้าดังขึ้น
   ‘ใครมาว่ะ’ ถ้าเป็นไอ้ฟ่างมันก็มีกุญแจบ้านอยู่แล้วคงไม่กดกริ่งหรอก...จะว่าไปเหมือนไอ้ไนท์บอกว่าถ้าว่างๆจะมาหานี่หว่า เฮ้อยุ่งยากชะมัด อยากกลับขึ้นไปนอนแล้วเนี่ย ปวดหัวชิบหาย
   ผมทิ้งคำปนต่างๆนานาเอาไว้ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังประตูหน้า

   กิ๊ง ก๊อง
   “เออๆกูมาแล้ว จะกดหาไรว่ะไอ้ไนท์”
   แต่พอผมเปิดประตูออกไปก็พบกับบุคคลที่เหนือความคาดหมาย ที่มาพร้อมกับเสียงเล็กๆตอบกลับมา
   “โทษที กูนึกว่ามึงไม่ได้ยิน ส่วนไอ้ไนท์มันกลับไปแล้ว”
   “โทษทีกูนึกว่ามึงเป็นไอ้ไนท์ แล้วนี่มึงมาทำไรที่นี่” ปวดหัว...
   “กูอยู่ๆมึงก็หายหัวไป ทุกทีมึงชอบลักพาตัวกูไป แถมไลน์ยังไม่ตอบอีกถ้ากูไม่ไปถามไอ้ไนท์ กูคงไม่รู้หรอกว่ามึงไข้ขึ้นเนี่ย”
   “โทษที อยู่ๆไข้มันก็ขึ้น...” ร้อน...ผมใช้มือขวากุมหน้าผากตัวเองไว้...ปวดหัว
   “มึงไม่เป็นไรใช่ไหม...!!!”
   “...”
   “เดี๋ยวก่อนไอ้ที...ไอ้ที...ไอ้...”
   สติของผมเลือนรางพลางหายไป รู้สึกได้เพียงแค่ภาพตรงหน้ากลายเป็นสีดำ อยู่ๆก็รู้สึกว่าตัวหนักขึ้นพิลึกพร้อมกับเสียงเรียกจากเพื่อนสนิทที่ค่อยๆเบาลงไปจนแทบไม่ได้ยินอะไรอีก

   อืม…เย็น…
   ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆบนหน้าผากของตนเอง
   “อืม…”
   “อ้าว ตื่นแล้วเหรอมึง”
   พอรวบรวมสติได้ ก็เห็นร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถังที่เต็มไปด้วยน้ำกับผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ พอพยุงตัวขึ้นมานั่งก็สัมผัสได้ถึงผ้าผืนเล็กที่อยู่บนหน้าผากค่อนๆเลื่อนตกลงมาดัง แปะ อยู่ที่ท้องของตนเอง พอลุกขึ้นมาพิงกับหัวเตียงปุ๊บก็รู้สึกได้ถึงความปวดแปล๊บที่บริเวณสะโพกที่เพิ่มเข้ามา
   “อ้าวมึงอย่าพึ่งลุกขึ้นมาดิ มึงพึ่งจะไข้ขึ้นจบวูบไปที่หน้าบ้านจำได้ไหม” ร่างเล็กเดินตรงดิ่งเข้ามาที่เตียง เอาถังน้ำวางไว้ข้างๆ ก่อนจะพยายามใช้สองมือดันผมให้กลับไปนอนตามเดิม
   “…อือ…จำได้ลางๆมั้ง…” ตอนนั้นรู้สึกว่ามึนหัวมาก รู้สึกว่าโลกมันหมุนไปหมด จำได้แค่ว่าได้ยินเสียงไอ้ฟ้า จากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้เลย
   “เพราะว่าอยู่ๆมึงก็วูบตรงหน้าบ้าน รู้มั้ยว่ากูต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะพามึงมาที่ห้องมึงได้เนี่ย”
   “…มึงแบกกูมาถึงนี้ไหวด้วยเหรอ”
   “กูต้องไม่ไหวอยู่แล้วดิ บ้าเหรอมึง ไซส์กูแค่นี้คงแบกมึงได้อะ ตัวอย่างกะควาย”
   “…แล้วมึงพากูมายังไงถ้ามึงไม่แบกกูมา”
   “กูง่ายๆ กูก็แค่ลากมึงตามทางเดินเอง มึงรู้มั้ยว่ากูลำบากแค่ไหนกว่าจะลากมึงขึ้นมาถึงชั้นสองได้เนี่ย มึงกูล้าไปหมดแล้วเนี่ย”
   “…” มือมึงล้า แต่สะโพกกูเจ๊งครับ ไอ้คุณน่านฟ้า
   ไอ้คุณน่านฟ้า ทำหน้าเหนื่อยล้าพลางจับแขนเล็กของตัวเองบีบๆคลึงๆ ทำเอาอยากจะเอื้อมมือไปตบเรียกสติซะหน่อย ถ้าไม่ติดที่ว่าเป็นไข้อยู่ล่ะก็นะ
   “แล้วนี้มึงมาทำไม”
   “กูอยู่ๆมึงก็หายไปไหนก็ไม่รู้ ปกติจะดักลักพาตัวกูหน้าโรงเรียนวันนี้ก็ไม่มา ข้อความส่งไปก็ไม่อ่าน เป็นใครก็สงสัยแหละว่าเป็นอะไรไป”
   “อ้าวๆ มึงเป็นห่วงกูเหรอ”
   “อือ…เป็นห่วง…”
   “…”
   “เป็นห่วงว่ามึงตายรึยัง”
   “…”
   “แต่จะว่าไปมึงเนี่ยตัวใหญ่ซะเปล่า ตากฝนนิดเดียวก็โดนหวัดรับประทานซะแล้ว เฮ้อ…”
   คนร่างเล็กบ่นไปพลาง เอาผ้าตรงท้องของผมไปใส่ลงในถัง พลางบิดผ้าอีกผืนในถัง ก่อนจะนำมาวางบนหน้าผากของผม
   “หนวกหูน่า กูไม่อยากโดนคนอย่างมึงมาพูดแบบนี้เลยให้ตายเหอะ” ผมนอนพลิกไปคนละทางเพื่อเบนหน้าหนี
   “หึหึ…อาร๊าย แค่นี้ก็งอนเหรอมึง” ไม่ต้องหันหน้าไปก็เดาใบหน้าของอีกฝ่ายออกเลย มันต้องกำลังยิ้มแป้นแล้นกวนบาทาอยู่แน่นอน
   “ไม่รู้ไม่ชี้ไม่สน”
   “…เห็นแบบนี้แล้วเนี่ยนึกถึงเรื่องสมัยก่อนเลยนะ”
   “…”
   “มึงจำได้ปะ สงกรานต์ตอนป.2 ที่โรงเรียน”
   “…เออจำได้ดิ”
   “ตอนนั้นกูกับมึงยังตัวพอๆกันอยู่เลย เล่นสาดน้ำกันเจี้ยวจ้าว สนุกสนานตามประสาเด็กๆ”
   “เออ ตอนนั้นเล่นกันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย เล่นกันจนครูต้องปรามให้เลิกแล้วก็กลับบ้าน”
   “อ่อใช่ๆ กูจำได้ครูบุญต้องไล่ให้เด็กแต่ละคน วางปืนแล้วก็ไล่ไปเปลี่ยนชุดเตรียมกลับบ้าน แต่สภาพครูแม่งเละ เด็กไม่เลิกแถมมารุมครูด้วย คิดแล้วก็ขำตัวเองเพราะกูก็เข้าไปรุมฉีดด้วยเหมือนกัน”
   “หึ มึงมันเด็กเลวไง”
   “โห มึงพูดอย่างกับว่ามึงเป็นเด็กดีมากเลยมั้ง”
   “เออ กูเนี่ยเด็กดีตัวอย่าง สอบก็ได้เกรดสี่ มารยาทก็ดีฝุดๆ”
   “แล้วที่มึงแอบเอาน้ำแข็งจากโรงอาหารแอบไปใส่ในปืนฉีดน้ำแล้วเอาไปไล่ฉีดคนอื่นล่ะ ยังไม่รวมที่มึงแอบแกล้งเอาไปใส่คอครูคนอื่นนะ อย่าคิดว่ากูไม่รู้”
   “อะไร มึงกล่าวหากูชัดๆ มึงอย่ามาทำลายภาพพจน์เด็กดีในวัยเด็กของกู”
   “อ่อ เหรอ” ร่างเล็กบ่นออกมาพร้อมลมหายใจสั้นๆห้วนๆ ‘เหอะ’
   “แต่สุดท้ายแล้วกูกับมึงก็ดันตื่นเต้นกันไปหน่อยก็เลยลืมเตรียมชุดมาเปลี่ยนละนะ ตอนกลับก็เลยต้องตัวเปียกโชกกลับบ้านทำเอาพ่อ แม่ด่ากันยกใหญ่”
   “เออใช่ๆ แล้ววันต่อมามึงก็โดนหวัดกิน…”
   “…”
   “คุ้นๆนะมึง ทำไมมันรู้สึกคุ้นแบบนี้นะ มึงรู้ปะไอ้ที”
   “กูไม่รู้ กูไม่สน กูไม่แคร์ หึ”
   “ฮะๆ เออๆกูไม่แกล้งมึงแล้วก็ได้”
   เหอะยอมรับแล้วสินะว่ามึงแกล้งกู ตอนปกติมึงโดนกูแกล้ง ตอบโต้กลับไม่ได้ มึงเลยมาลงมือกับกูที่กำลังป่วย ร่างกายอ่อนแอฝุดๆสินะ กูรู้ตัวเองดีว่ากูมันน่าหลงไหล น่าแกล้ง
   จากนั้นพวกผมสองคนก็ขุดเรื่องอื่นๆมาคุณ โดนที่ไอ้ฟ้าเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้ผมยังป่วยอยู่ เพราะเจ้าตัวดันขุดเรื่องนู่นเรื่องนี้มาคุยไม่หยุด แถมดูจากสีหน้าสนุกสนานแล้ว ก็ทำเอาผมรู้สึกดีจนลืมเรื่องอาการของตัวเองสักขณะ พอรู้ตัวอีกทีผมก็ขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงคุยกับมันเหมือนร่างกายตัวเองหายดีแล้ว
   “แล้วก็ตอนนั้นน่ะ…” ก่อนที่ร่างเล็กจะเอ่ยปากพูดต่อก็มีเสียงข้อความเตือนขึ้นที่มือถือทำให้ต้องหยุดคำพูดนั้นก่อนแล้วยกมือถือขึ้นมาดูก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยปากพูดต่อ
   “อ้าว ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย”
   พออีกฝ่ายพูดแบบนั้นปุ๊บผมก็หยิบมือถือที่อยู่ที่หัวเตียงขึ้นมาดู ก็พบว่าตอนนี้ก็เกือบๆจะหกโมงแล้ว
   “พี่ภูทักมาตามเหรอ”
   “อือ พอดีก่อนมานี่กูไม่ได้บอกพี่ภูไว้ นึกไม่ถึงว่าจะคุยกันติดลมถึงขนาดนี้”
   “ก็นั่นสินะ…” อูย พอคิดได้ถึงพึ่งมารู้สึกถึงอาการของตัวเอง ไม่น่าฝืนสังขารเลยตู รู้สึกปวดหัวหน่อยๆแล้วสิ ผมค่อยๆเลื่อนหัวลงไปบนหมอน…
   “งั้นเดี๋ยวกูลงไปทำอะไรมาให้มึงกินแปปนะ มึงจะได้กินยาแล้วจะได้นอนพักสักที”
   “…” ก่อนที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้ยินเรื่องเหนือความคาดหมายจากอีกฝ่าย
   “…มีไร ทำไมอยู่ๆก็ทำหน้าตกอกตกใจอะไร”
   “เปล่า…กูก็นึกว่ามึงจะกลับเลย”
   “หา กูไม่ได้ใจดำถึงขนาดทิ้งเพื่อนที่กำลังป่วยอยู่นะ…”
   แต่มึงนั่งคุยอย่างสนุกสนานกับคนป่วยไปเป็นชั่วโมงนะ แถมไม่มีพักเบรคอีก…
   “แล้วที่มึงบอกว่าจะทำอะไรมาให้…”
   “เห็นแบบนี้กูก็ทำอาหารได้นิดหน่อยนะ อะไรกลัวกินไม่ได้รึไง”
   “เปล่า กูก็แค่ไม่นึกว่ามึงจะทำเป็น”
   “ไม่ต้องห่วงน่ามึง มึงนอนพักไปเหอะ เดี๋ยวกูไปทำอะไรมาให้…อ่อแล้วก็ขอยืมใช้ครัวหน่อยแล้วกัน”
   พูดจบร่างเล็กก็เดินออกจากห้องผมไป ผมทิ้งหัวตัวเองลงไปบนหมอนเป็นครั้งที่สองก่อนจะคาดหวังกับอาหารที่มันจะทำให้ ‘จะออกมาเป็นแบบไหนกันนะ’ แต่ดูจากที่มันถนัดพวกเย็บปักแล้วมันคงจะเก่งทำอาหารด้วยแหละมั้ง เผลอๆจะหรูกว่าพวกที่ขายตามร้านก็ได้มั้ง ผมคิดจินตนาการไปต่างๆนานาระหว่างรอร่างเล็กทำอาหารมาให้
   “ขอโทษที่ให้รอนะมึง อะกูไปทำข้าวต้มมาให้และ”
   น่านฟ้าเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชามดินเผาพร้อมฝาปิดในมือ ก่อนจะเดินเข้ามาจัดที่สำหรับกินให้ผม ไม่ว่าจะเอาโต๊ะพับขึ้นมาวางบนเตียงจัดการปูผ้ารองชามก่อนจะเอาชามกับช้อนมาวางคู่ไว้ตรงหน้า
   “แต้งกิ้วกูคาดหวังอยู่นะเนี่ย”
   “หึหึ แต่กูก็พึ่งจะเคยลองสูตรนี้เหมือนกัน หวังว่ามึงจะชอบนะ”
   “มึงทำอะไรมากูก็กินแหละ” ดูจากสภาพแล้วไอ้ฟ้าน่าจะทำอาหารอร่อยพอตัว ดูจากการจัดโต๊ะ กับสภาพภายนอก
   “งั้นมึงลองกินข้าวต้มของกูแล้วกัน” พูดจบปุ๊บร่างเล็กก็ยกฝาปิดออกทันที ไอน้ำลอยออกมาโขยงใหญ่ก่อนจะเผยให้เห็นกับข้าวต้มที่อยู่ภายใน ข้าวต้มที่มีสีขาว…
   “เห น่าอร่…” ผมชะงักก่อนที่จะพูดจบ เมื่อสายตามองเห็น ข้าวต้มที่มีสีขาวเพียงเสี้ยวเดียวโดดเด่นที่ถูกล้อมรอบด้วยเม็ดข้าวสีดำซะเป็นส่วนใหญ่
   “เชิญเลยๆ มันร้อนนะมึงค่อยๆกินล่ะ”
   “…”
   “…เป็นไรมึง ทำไมไม่กินอะเดี๋ยวมันก็หายร้อนหรอก”
   “ฟ้า…”
   “ไร”
   “กูข้อถามมึงข้อนึง…”
   “ว่า”
   “ไอ้เนี่ย คือข้าวต้มใช่มะ…”
   “กูเออดิ มึงเห็นเป็นอะไร สายตามึงยังดีอยู่ใช่มั้ยเนี่ย”
   “งั้นมึงผสมผงชาโคลลงไปปะ” ขอละ ขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย…
   “ผงชาโคล? ก็เปล่านะกูไม่ได้ใส่ลงไปซะหน่อย”
   “แล้วทำไมข้าวมันถึงได้ดำเป็นตอตะโกแบบนี้ล่ะ…” ผมหันหน้าไปถามร่างเล็กด้วยความสงสัยสุดขีด
   “อ่อ ก็กูอ่านในเน็ตเค้าบอกให้ใช้ไฟแรงอะ แล้วกูไม่รู้ว่าระดับไหนมันเรียกว่าไฟแรง กูก็เลย…”
   “มึงก็เลย…”
   “กูก็เลยปรับเตาจนไฟมันสูงที่สุดเท่าที่กูจะปรับได้แล้ว” หะ!?
   พอกลับไปสังเกตที่ข้าวต้มชาโคลเทียม(?) ตรงหน้าดีๆก็พบว่าสีน้ำตรงหน้าไม่ได้ออกแนวสีขาว หรือสีดำ แต่สีมันค่อนข้างจะออกสี…สีเหลือง!!!
   “แล้ว…มึงใส่อะไรลงไปในข้าวต้มบ้างเนี่ย”
   “อ่อ กูตอนนี้มึงร่างกายกำลังอ่อนแอ อยู่กูก็เลยหาพวกของที่น่าจะบำรุงได้ในตู้เย็นแล้วกูก็เลยใส่ลงไปด้วย”
   “ใส่ไร”
   “ก็พวกรังนกกับซุปไก่สกัด” หะ!!? รังนกกับซุปไก่ ที่มาของซุปสีเหลืองเหรอวะ
   “…”
   “ใช่ๆ กูหาน้ำตาลไม่เจอกูก็เลยเอาแยมสตอเบอร์รี่ในตู้เย็นใส่ลงไปปรุงรสหวานแทน” หะ!!!? แยม ซากมันอยู่ส่วนใหญ่ของข้าวต้มมึง
   “…”
   “แล้วกูถ้ามีแต่หวานมันก็ไม่ดีใช่มะ กูก็เลยใส่พริกเผาลงไปตัดหน่อยๆ น่าจะเข้ากับแยมสตอเบอร์รี่พอดี มึงชอบสองอย่างนี้นิ” มึงอย่าพึ่งคิดเอาเองว่ากูจะชอบอาหารทุกอย่างที่ใส่สองอย่างนั้นเว้ยยย
   “…”
   “นอกนั้นกูก็เอาผักใส่ลงไปด้วยจะได้เพิ่มวิตามิน ก็เลยใส่พวกมะเขือเทศ แตงกวา หัวหอม แล้วก็กระเทียมลงไปด้วย” อันนี้มึงไม่ต้องบอกกูก็ได้ถ้ากระเทียม กับแตงกวาของมึงมันจะมาทั้งหัวขนาดนี้
   “…”
   “กูมั่นใจในเรื่องคุณประโยชน์นะ มึงปุ๊บรับรองมึงหายเป็นปลิดทิ้งแน่นอน” เออ กูหายแน่…หายไปจากโลกนี้แน่นอนไอ้ฟ้า!!!
   “แล้วที่มึงบอกว่ามึงทำอาหารได้…”
   “หืม…ก็ทำได้นะ มาม่าไง ใครๆเค้าก็ทำเป็นปะมึง” มาม่า………
   ขอถอนคำพูด…ที่กูบอกว่ามึงทำอะไรมากูก็กินได้ ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ อาการปวดหัวของผมก็ทวีคูณขึ้นกว่าเดิม รู้สึกอยากด่าตัวเองเมื่อสิบกว่านาทีที่แล้วที่ยังดีใจที่ไอ้ฟ้ามันจะทำอาหารให้ผมกิน
   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย ,ทำอาหาร(ระดับหายนะ confirm by นที)
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท   
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 10 {16/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-12-2019 20:03:47
 :pig4:
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 10 {16/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 18-12-2019 15:48:30
ขั้นที่ 11 มาตรการสุดท้าย
น่านฟ้า
   “เอ้าๆ ตรงนั้นน่ะ อย่าทาสีไม่เรียบร้อยเลยนะ”
   “เฮ้ยๆ ทำให้ดีๆหน่อย อย่าสักแต่ทำ เอาให้เรียบร้อยด้วยเว้ย”
   เสียงตะโกนของนีดังทั่วทั้งห้องประชุม พร้อมกับเพื่อนๆในชั้นเดียวกันอีกประมาณ 2-3 ห้องที่รับผิดชอบจัดการเกี่ยวกับบ้านผีสิงและเตรียมสถานที่ ตอนนี้พวกเรามานั่งล้อมวงกันเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อให้ทันกับกำหนดการภายในวันพรุ่งนี้…
   “กูรู้แล้วเว้ย แต่มึงคิดว่าถ้าทำเรียบร้อยขนาดนั้น คิดว่าจะทันรึไงไอ้นี”
   “กูไม่สนค่ะ แต่งานของห้องเราต้องเนียบเรียบร้อย และเสร็จทันค่ะ เข้าใจ๊ ถ้าเข้าใจแล้วก็ลงมืออย่าพึ่งบ่น”
   “ไอ้ฟ้าเป็นไงบ้าง คิดว่าทำทันไหม” นีเดินเข้ามาหาผมซึ่งตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าโต๊ะญี่ปุ่นซึ่งมีจักรเย็บผ้าที่ยืมมาจากห้องการงานฯ พร้อมกับห่อผ้าขนาดใหญ่หลายถุง และเศษผ้ากระจายตามพื้นเต็มไปหมด
   “จากที่กูลองดูแล้ว ถ้าโต้รุ้งกูคิดว่าน่าจะเสร็จทันพอดีอะกูว่านะ” ผมส่งเสียงขานตอบนี โดยที่สายตาและมือไม่ละไปจากงานผ้าตรงหน้า
   เพราะพรุ่งนี้ก็จะเข้าค่ายอยู่แล้ว แต่เพราะห้องผมมีปัญหานู่นนี้นั่น ชอบเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ประจำจนทำให้งานมันล่าช้าลงไปมาก ทำให้ผมต้องมานั่งเร่งเย็บงานแบบไม่ได้พักมาตั้งแต่หลังเที่ยงแล้ว โชคดีที่นีไปขอคาบจากคุณครูมาได้ ไม่งั้นอย่าว่าแต่โต้รุ้งเลย ยังไงก็ไม่เสร็จทันพรุ่งนี้ชัวส์
   “อ่อโอเค มึงไม่ต้องฝืนก็ได้เอาแค่เท่าที่ได้ก็ไม่เป็นไร กูแม่งเบื่อชิบหายเลย จะเปลี่ยนอะไรกันนักกันหนา แถมไอ้พวกที่เปลี่ยนแม่งก็ไม่ใช่พวกที่ลงมือทำ มึงช่วยห่วงคนที่ลงมือทำหน่อยได้มั้ยยย…โอ้ยกูเครียดด”
   “เอาน่าๆ มึงสงบสติลงก่อน อย่าพึ่งตบะแตกตอนนี้” ถึงแม้ตอนแรกผมจะรู้สึกไม่พอใจจนอยากจะบ่นก็เถอะ แต่พอดูอาการของเพื่อนแล้ว รู้สึกว่าอารมณ์โกรธของผมมันดูซอฟลงไปเลย
   “เออ กูจะพยายามไม่องค์ลงก่อนงานจะเสร็จก็แล้วกัน ถ้ามึงอยากให้ช่วยอะไรบอกกูได้ เดี๋ยวกูเกณฑ์คนมาช่วย…งั้นกูไปดูทางฝั่งฉากก่อนนะ”
   “ได้ พยายามเข้านะมึง อย่าพึ่งเอาองค์เจ้าแม่มาลงล่ะ”
   พูดจบนีก็รีบแจ่นไปดูเพื่อนที่กำลังทำฉากอยู่ไม่ไกลนัก ปล่อยให้ผมอยู่กับกองผ้าต่อไป ตอนแรกก็มีฝ้ายกับแพรวมาช่วยอยู่ แต่แพรวดันติดซ้อมกีฬาลาไม่ได้ แถมฝ้ายก็ดันติดงานฝ่ายประสานงานอีก เพื่อนในห้องก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ ไม่สิพูดให้ถูกคือไม่มาช่วยเลยต่างหาก
   ‘เฮ้อ’ ผมถอนหายใจพลางคิดหาวิธีว่าจะทำยังไงให้งานมันเสร็จทันในวันพรุ่งนี้ให้ได้ ถ้าโต้รุ้งล่ะก็อาจจะเสร็จทันก็ได้ แต่ถ้าพี่ภูมาเห็นล่ะก็ คงโดนถามแน่ว่าทำไมเพื่อนปล่อยให้ทำคนเดียวจากนั้นคงจะระเบิดลงถ้ารู้เหตุผลแน่นอน…เอาไงดีวะเนี่ย
   
   ตื้อดึง…เสียงข้อความเข้าทำให้ผมหยุดงานตรงหน้าก่อนจะหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู
   Nathi      :   เป็นไงบ้างมึง งานยุ่งมากปะ
   NaanFah   :   เออ งานโคตรยุ่งเลย กูยังไม่รู้เลยว่ากูจะทำทันพรุ่งนี้รึเปล่าเนี่ย
   Nathi      :   ยุ่งขนาดนั้นเลย?
   NaanFah   :   เออดิ เหลืออีกเกือบ 20 ชุด สงสัยคืนนี้กูต้องโต้รุ้งแล้วว่ะ
   Nathi      :   ให้กูช่วยมั้ยล่ะ
   รู้สึกเหมือนมองเห็นโอเอซิสท่ามกลางมรสุมทะเลเศษผ้าเมื่อไอ้ทีส่งข้อความเมื่อกี้เข้ามา
   NaanFah   :   ได้เหรอ มึงไม่ยุ่งเหรอ
   Nathi      :   อือ ตอนนี้กูว่าง โรงเรียนกูไม่ได้เป็นคนจัดกูก็เลยไม่มีไรต้องทำ
   NaanFah   :   งั้นมึงมาช่วยกูหน่อยยยย กูจะตายแล้วว
   Nathi      :   เออๆ เดี๋ยวกูไปหา มึงอยู่ไหน?
   NaanFah   :   ตอนนี้กูอยู่หอประชุมโรงเรียนกู มึงมาหากูเลยกูได้ เดินขึ้นตึกสามมาเรื่อยๆเดี๋ยวกูเจอ
   Nathi      :   มึงพิมพ์อย่างกับว่ากูรู้ว่าตึกสามของมึงคือตึกไหน?
   NaanFah   :   เออเนอะ ช่างมัน เดี๋ยวมึงมาถึงมึงก็คงรู้เองแหละ มันมีป้ายบอกอยู่
   Nathi      :   =_=… เออๆ ถ้ากูหาไม่เจอเดี๋ยวกูทักมาถามมึงอีกที
   NaanFah   :   โอเครรรรรรร
   เยี่ยม ได้แรงงานทาสมาเพิ่มแล้ว งั้นมาทำตรงนี้ต่อแล้วกัน
   …อ้าว
   ผมเดินตรงไปคุ้ยในกองผ้าที่กองระเกะระกะอยู่ข้างหลัง…ไม่มี…ทำไมอะ…ผ้าที่จะใช้ประดับหายไปแล้ว ตอนซื้อมาผมก็จำได้ว่าซื้อมาแล้วนะ หรือว่าไปลืมไว้ที่ไหนนะ อืม…เอ๊ะ
   รู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างมาดึงสติทำให้ผมนึกได้ว่าตอนทีไปเยี่ยมไอ้ทีเมื่อวันก่อน เหมือนจะเห็นม้วนผ้าอะไรสักอย่างวางทิ้งไว้อยู่ตรงห้องนั่งเล่น ตอนแรกก็กะว่าจะหยิบกลับมาสงสัยลืมไว้บ้านไอ้ทีแน่เลย เอาไงดีล่ะทีนี้ไอตัวที่กำลังทำอยู่ใช้ผ้าอันนั้นไม่เยอะ แต่ตัวที่จะทำต่อไปมันดันใช้เยอะซะด้วยซิ จะวิ่งไปกลับก็เสียเวลา หรือจะขนของไปทำบ้านมันเลยดีนะ
   …บ้านไอ้ที…
   …ไม่มีพี่ภู…
   …ไม่มีคนบ่นเรื่องโต้รุ้ง…
   …นั่นแหละ!!!
   ผมคว้ามือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความไปตามแผนที่คิดก่อนจะรีบเรียกนีให้มาช่วยเก็บของ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังบ้านไอ้ทีทันที โดยไม่รอข้อความตอบกลับมาจากมันเลย

นที
   “ไอ้ฟ้า ทำแบบนี้โอเคยัง” ผมยื่นผ้าที่มีรอยเย็บหลุดรุ่ยไปให้ร่างเล็กที่นั่งข้างๆพิจารณา
   “คงโอเคมั้งไอ้ที เย็บแค่นี้อย่าเย็บเหอะมึง ใช้แค่มือดึงก็ขาดแล้วมั้งเนี่ย”
   สามชายฉกรรจ์และคนแคระหนึ่งนายกำลังนั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่นภายในห้องของผม ซึ่งตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยเศษผ้า และอะไรต่อมิอะไรอยู่เต็มพื้น
   อยู่ๆไอ้ฟ้าก็ดันมาบอกว่ามาเจอกันที่บ้าน ก็นึกว่ามีอะไรที่แท้ก็แค่ลืมเอาผ้าไปกองนึง ก็นึกว่ามีอะไร
   “กูทำมาตั้งเยอะแล้วนะ ไม่มีอันไหนใช้ได้เลยเหรอ” ผมปล่อยมือจากเข็มและผ้า พร้อมทิ้งตัวลงไปบนพื้นห้อง
   “เออ กูต้องมานั่งแก้ให้มึงหมดเลย” ไอ้ฟ้าตอบกลับมา โดยไม่ละไปจากจักรเย็บผ้าตรงหน้าที่มันขนมาจากโรงเรียน
   “ไอ้ที มึงเนี่ยมันใช้ไม่ได้เลย เป็นคนออกตัวช่วยเองแต่ทำอะไรไม่ได้เลยนะมึงเนี่ย”
   “หุบปากไปเหอะไอ้วิน มึงก็ทำไม่ได้สักอันเหมือนกูไม่ต้องมาพูดมากเลย”
   “กูไม่ได้เป็นคนเสนอตัวจะมาช่วยสักหน่อย มึงลากกูมาเองนะ กูทำไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย โด่วว”
   “เดี๋ยวมึงจะเป็นตอนนี้นี่แหละ”
   ระหว่างทางที่จะมาช่วยไอ้ฟ้า ผมเจอไอ้วินกับไอ้ไนท์พอดีก็เลยชวน(ลาก)มันมาช่วยด้วยซะเลย แต่ตอนที่ผมเสนอตัวช่วยก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอกนะ เห็นว่ามันกำลังลำบากก็เลยคิดว่าน่าจะช่วยอะไรได้สักหน่อย แต่กลายเป็นว่า ให้มาช่วยเย็บผ้าซะอย่างนั้น พวกห่วยงานฝีมืออย่างพวกผม(ผม+ไอ้วิน) มันก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงดีๆ ต่างจากไอ้ไนท์
   “…แบบนี้ใช้ได้ไหม”
   “หืม…โอเคเลยแหละ ถ้าเทียบกับสองคนทางนั้นน่ะนะ”
   ไอ้ไนท์มันไม่ได้เชี่ยวชาญถึงขนาดไอ้ฟ้า แต่มันก็ยังจะพอมีทักษะงานประดิษฐ์อยู่บ้างต่างกับพวกมือทำลายล้างอย่างพวกผมสองคนที่ตอนนี้แทบจะนั่งเป็นกำลังใจเชียร์อย่างเดียวเลย
   “มึงไม่มีงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่เย็บผ้าบ้างเหรอ กูว่ากูคงไม่รุ้ง” เป็นหันไปถามไอ้ฟ้าที่กำลังขะมักเขม่นเย็บผ้าอยู่ ไอ้ฟ้าพักจากงานตรงหน้าก่อนจะหันมาพร้อมกับทำท่าครุ่นคิดไปด้วย
   “อืม…งานอย่างอื่นที่เหมาะกับมึงเหรอ…”
   มันทำท่าคิดสักพักก่อนจะเดินไปหยิบถุงที่วางอยู่ตรงมุมห้องพร้อมยื่นส่งมาให้ผม ผมลองดูข้างในก็พบว่าเป็นชุดที่มันเพิ่งจะเย็บเสร็จไปเอง ก่อนที่ไอ้ฟ้าจะบอกต่อว่า
   “งั้นมึงช่วยละเลงสีให้มันดูน่ากลัวๆหน่อยก็แล้วกัน งานแค่นี้มึงน่าจะทำกันได้มั้ง”
   “…อืม คงได้มั้งง”
   “มึงตอบมาแบบนี้ทำเอากูไม่กล้าฝากมึงเลยว่ะ”
   “เอาน่าๆ แค่ทำให้เละๆก็พอใช่มะ ไว้ใจพวกกูได้เลย ไปไอ้วิน…”
   “หะ เดี๋ยวกูต้องไปกับมึงด้วยเหรอว่ะ”
   “เออดิ มึงอยู่ตรงนี้ก็เหมือนสัมภเวสีรอลงนรก มาทำประโยชน์กับกูดีกว่าเพื่อมึงจะได้ขึ้นมาอยู่นรกหลุมที่ตื้นกว่าเดิม”
   “มึงพูดงี้มึงด่ากูเลยดีกว่าไอ้ที”
   ยังไม่ทันที่ผมจะตอบไอ้วิน ผมก็ลากคอมันออกมาจากห้องพร้อมเดินออกมายังสวนข้างๆบ้าน วางถุงเสื้อผ้าไว้ พร้อมกับถุงสีอะคริลิก ก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาตัวนึงแขวนไว้กับราวตากผ้า แล้วค่อยๆละเลงสีแดงลงไปบนชุด เรื่องงานปราณีตอย่าเรียกผมเลย แต่งานทำลายล้างนี้ขอให้บอกของถนัด
   “นี้ไอ้ทีกูขอถามไรหน่อยดิ” วินส่งเสียงเรียกถามหลังจากที่พวกเราสองคนนั่งเงียบใช้สมาธิในการตัดสินใจว่าจะละเลงยังให้มันเละดี
   “หือมีไร” อืม…เทตรงคอเสื้อลงไปหน่อยแล้วกันจะได้เหมือนเลือดไหลจากคอ
   “ที่มึงบอกว่าไอ้ฟ้ากลัวความมืดอะจริงเหรอ”
   “เออ เรื่องจริง” เติมเลือดตรงข้างหลังอีกหน่อยก็แล้วกัน…อะ ชิบหายละ เทลงไปเยอะเกิน เหมือนผีเมนมาแล้วชิบหาย
   “เหรอ กูพึ่งจะเคยเห็นคนที่เป็นโรคกลัวแบบนี้นะเนี่ย ทุกทีเคยอ่านเจอแต่ในหนังสือ”
   “อย่างมึงเนี่ยนะอ่านหนังสือ” ผมหันไปหาไอ้วิน พร้อมทำท่าช๊อค อีกฝ่ายก็ตอกกลับมาด้วยการชี้พู่กันสีแดงมาที่หน้าผม
   “เออ กูก็ไม่ได้อยากอ่านนักหรอก แต่พ่อกูแม่งคะยั้นคะยอให้กูอ่านอยู่นั้นแหละ บอกรู้ไว้เป็นความรู้เผื่อจะได้เอาไปใช้ เหอะกูอยากรู้จริงๆว่าจะให้กูเอาไปใช้ยังไง”
   “พ่อมึง? แล้วทำไมพ่อมึงต้องให้มึงอ่านด้วยว่ะ”
   “อ้าวนี้มึงไม่รู้เหรอว่าพ่อเป็นจิตแพทย์”
   ผมหยิบมือไปสักพักก่อนจะหันหน้าไปมองไอ้เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ หน้าอย่างมึงเนี่ยนะมีพ่อเป็นจิตแพทย์
   “เก็บอาการหน่อยก็ได้นะมึง มึงเล่นแสดงสีหน้าออกมาขนาดนั้นมึงคิดว่ากูจะไม่รู้เลยมั้ง ว่ามึงคิดอะไรอยู่”
   “เปล๊า ไม่มี๊ ก็ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” ผมหันไปง้วนกับชุดตรงหน้าต่อก่อนที่วินจะพูดต่อ
   “ก็เพราะแบบนั้นแหละ กูก็เลยพอจะรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้นิดหน่อยอะนะ”
   “เห…”
   “ถ้ามึงยังทำหน้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวจะไม่ใช่แค่พู่กันแต่เดี๋ยวกูประเคนตีนให้มึงนะไอ้ที”
   “หะหะ โทษๆ กูไม่คิดว่าหน้าอย่างมึงจะอ่าน”
   “…”
   ถ้าอย่างนั้นลองถามไอ้วินเรื่องไอ้ฟ้าสักหน่อยดีกว่า
   “ไอ้วิน กูขอถามเรื่องนึงดิ”
   “ว่า”
   “ไอ้อาการแบบนี้มันมีวิธีแก้รึเปล่า” ถ้ามันมีวิธีแก้ล่ะก็ผมก็อยากจะช่วยไอ้ฟ้า เห็นสภาพของมันเมื่อวันแล้วก็รู้สึกเจ็บใจขึ้นมา อยากให้มันหายไม่อยากให้มันทรมานแบบนี้เลย
   “วิธีแก้เหรอ…อือ…ไอ้มีมันก็มีอยู่หรอกนะ แต่กูก็ไม่ใช่พ่อกูกูก็บอกอะไรไม่ได้มากนักหรอก”
   “…”
   “ไอ้อาการแบบนี้ส่วนใหญ่มันเกิดจากความกลัวในอดีต ไม่ก็เจอเรื่องร้ายๆมา ก็เลยทำให้เกิดเป็นปมในใจเอา ทางแก้ก็มีแค่ให้ค่อยๆเผชิญหน้ากับมันเท่านั้นแหละ”
   “เผชิญหน้าเหรอ…”
   ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ไอ้ฟ้าทนอยู่ในที่มืดๆให้ไหวอย่างนั้นเหรอ…หรือต้องให้มันไปอยู่ในห้องมืด
   “…อ่อ แต่กูขอเตือนมึงอย่างนึง”
   “หือ…”
   “ทั้งกูแล้วก็มึงไม่ใช่จิตแพทย์ อย่าริอาจคิดจะรักษามันเองล่ะ กูขอเตือนไว้เลย ถ้ามึงกำลังคิดจะให้มันไปอยู่ในห้องมืดล่ะก็มึงกำลังคิดผิด!!”
   “…” อ้าวนี้มึงอ่านใจก็ได้ด้วยเหรอ
   “ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่ากูเดาถูกสินะ…เฮ้อ ไอ้อาการแบบนี้ถ้าฝืนสู้แบบหักดิบล่ะก็ ร้อยทั้งร้อยแทบจะเป็นหนักกว่าเดิมทางที่ดีค่อยเป็นค่อยไปดีกว่ามึง”
   “อือ…”
   “เฮ้อช่วยไม่ได้ ไว้เดี๋ยวกูถามพ่อให้แล้วกันว่าว่างวันไหน แล้วเดี๋ยวค่อยนัดให้ไอ้ฟ้ามาลองคุยกันสักหน่อยก็แล้วกัน”
   ผมทำหน้าเป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินข้อเสนอของวิน ไม่รู้ว่าผมออกอาการเกินไป หรือเก็บอาการไม่เก่ง ไอ้วินเลยเริ่มมองบนพร้อมกับถอนหายใจไปด้วย ก็พอคิดว่ามีที่ปรึกษาที่น่าเชื่อถือมันก็รู้สึกดีใจนี้

   “…” ผมนั่งมองหน้าร่างเล็กที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเย็บผ้าในมือพร้อมจักร ไม่สนผมที่นั่งทีนอนทีอยู่ฝั่งตรงข้าม
   “ไอ้ฟ้ามึงพักสักหน่อยก็ได้มั้ง มึงทำไม่หยุดตั้งแต่ตอนเย็นแล้วนะ”
   “ไม่ได้หรอกมึง ตอนนี้ต้องรีบไม่งั้นไม่ทันแน่”
   ตั้งแต่กลับมาไอ้ฟ้า ก็นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนมาหลายชั่วโมงแล้ว จนตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ไอ้ไนท์กับไอ้วินมันกลับไปตั้งแต่สองทุ่ม ผมที่ช่วยงานอะไรมันไม่ได้ก็ได้แต่นั่งให้กำลังใจมันมาสองชั่วโมงแล้ว รู้สึกเหมือนกำลังเป็นตัวถ่วงเลย (ไม่ใช่แค่รู้สึกแต่เป็นจริงๆ)
   ตอนนั้นเองผมก็เกิดความคิดดีๆปิ๊งเข้ามาในหัว ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

น่านฟ้า
   ไอ้ทีอยู่ๆก็ลุกพรวดพราดออกจากห้องไป ทำเอาตกใจหมดเลย แต่ช่างมันเถอะคงไปห้องน้ำแหละมั้ง มาทำตรงนี้ต่อดีกว่า ถ้าทำด้วยความเร็วแบบนี้ต่อไปน่าจะเสร็จก่อนตีสองล่ะมั้ง
   ผมนั่งเงียบใช้สมาธิภายในห้องที่ตอนนี้เงียบสงัดมีเพียงเสียงจักรเย็บดังขึ้นเป็นระยะๆ แต่แล้วอยู่ๆก็มีสัมผัสเย็นๆขึ้นที่ต้นคอทำเอาผมต้องเหลียวหลังไปมองก็พบกับ…ไอ้ทีที่เอาแก้วน้ำเย็นๆมาแตะที่คอ
   “เล่นไรของมึง”
   “กูก็แค่คิดว่ามึงน่าจะหิวกูก็เลยลงไปทำไอ้นี้มาให้”
   ไอ้ทีพูดพร้อมกับวางจานที่มีแซนวิชคู่นึงลงตรงหน้า
   “อือ วางไว้ตรงนั้นแหละ”
   “มึงอย่าลืมกินล่ะ พักก่อนเดี๋ยวค่อยทำต่อก็ได้ กูไปอาบน้ำก่อน ถ้ากูกลับมาแล้วมึงยังไม่กินเดี๋ยวมึงจะโดน”
   “…” พูดจบร่างสูงก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้ผมอยู่กับจักรกันสองต่อสอง และจานแซนวิชตรงหน้า
   
   “นี้มึงยังไม่กินอีกเหรอ” ผ่านไปประมาณยี่สิบนาที ไอ้ทีเดินเข้ามาในห้องพลางขยับผ้าเช็ดตัว เช็ดผมที่กำลังเปียกอยู่ของตัวเอง
   “อือ ไว้เดี๋ยวกูค่อยกิน กูขอทำตรงนี้ก่อน”
   “มึงพักจากตรงนั้นมากินแปปเดียวก็ได้ อย่าพึ่งฝืนตัวเองไปดิว่ะ”
   “…”
   “…”
   ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากร่างสูง สงสัยมันจะถอดใจไปแล้วล่ะมั้ง ผมเข้าใจความรู้สึกของมันแหละว่ามันห่วงไม่อยากให้ผมหักโหมเกินไป แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากหยุดมือเลย เพราะไม่รู้ว่างานนี้มันจะเสร็จทันพรุ่งนี้รึเปล่า
   แต่แล้วผมก็ต้องผิดคาดเมื่ออยู่ๆก็มีแซนวิชดันเข้ามาที่ปากทำให้ผมต้องหันไปยังทิศทางที่แซนวิชมาก็พบกับไอ้ทีที่มานั่งข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้พร้อมกับแซนวิชในมือที่พยายามดันๆที่ปากของผม
   “ทำไรของมึงเนี่ย”
   “ก็มึงไม่ยอมกินสักที กูก็เลยต้องใช้มาตรการสุดท้ายไง”
   “มาตรการสุดท้ายของมึงคือยัดให้กูเนี่ยนะ”
   “เหอะเรียกให้ดีหน่อย เค้าเรียกป้อนไม่ใช่ยัด”
   “แต่ดูจากที่มึงกำลังทำเนี่ย เค้าเรียกว่ายัดว่ะ”
   “เออช่างเรื่องยัดไม่ยัดเหอะ มือมึงก็ทำไปเดี๋ยวกูป้อนให้อ้าปากดิ”
   “หา กูบอกแล้วไงว่าเดี๋ยวกูกินเอง”
   “อ้าปาก…”
   “ไอ้ทีกูกินเองได้”
   “อ้าปาก…”
   “…” ผมจำใจอ้าปากรับเอาแซนวิชจากร่างสูงที่ตอนนี้กำลังทำหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่ผมกัดแซนวิชเข้าไปเต็มคำ
   “โอ๋ เด็กดีๆในที่สุดก็ยอมกินสักทีนะ” ไอ้ทีลูบหัวผมไปด้วยในขณะที่พูดชม
   “ถ้ามึงทำเหมือนกูเป็นเด็กอีกเดี๋ยวกูจะเอาจักรมาทุ่มหัวมึงแน่”
   “อ้าวถ้าอย่างนั้นมึงก็ไม่มีจักรใช้ดิ จะใช้จริงๆอ่อ” มันทำหน้าแป้นแล้นพร้อมพูดแซวจนผมเลิกสนใจมันหันมาสนใจกับงานตรงหน้า หลังจากนั้นไอ้ทีก็ไม่ได้ทำอะไรมากก็แค่นั่งป้อนแซนวิชให้ผม พูดคุยกันสักพักก่อนที่เหมือนมันจะรู้ตัวว่าผมกำลังมีสมาธิมันก็เลิกคุยแล้วหันไปนั่งที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามเงียบๆ
   ไม่รู้ว่าหลังจากตอนนั้นผ่านมากี่ชั่วโมงแล้ว แต่ที่รู้อย่างนึงคือ ไม่ว่าจะหันไปมองสักกี่ครั้งก็เห็นไอ้ทีตื่นอยู่ บางทีก็เล่นโทรศัพท์ บางทีก็หาอะไรมาอ่าน แต่มันก็คอยตื่นอยู่เป็นเพื่อน คอยเป็นกำลังใจให้ จนไม่รู้สึกตัวเลยว่าผ่านมานานขนาดไหน รู้แค่ว่าพอสึกตัวอีกทีงานตัดเย็บจำนวนมากก็เสร็จแล้ว อารมณ์ง่วงนอนและเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามาจนตาลืมไม่ขึ้น รู้สึกได้แค่เพียงสัมผัสของผ้าห่มผืนใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคอยห่อหุ้มอยู่ในค่ำคืนนั้น

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท   

   

   
   
   
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 11 {18/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 20-12-2019 16:53:31
ขั้นที่ 12 เดินทาง
นที
   “นี่…ตื่น…” อือ…เสียงไรวะ
   “ตื่น…ที…” น่ารำคาญ…
   “…ก็บอกให้ตื่นไงไอ้พี่บ้า”
   หลังจากเสียงตะโกนของน้องสาวตัวดี ในพริบตานั้นก็มีสัมผัสเย็นวาบจากเครื่องปรับอากาศ และแรงกระชากที่ค่อนข้างรุนแรงกระชากเอาผ้าห่มสุดที่รักออกไป
   “มีไร ฟ่าง…นี้ยังพึ่งจะเจ็ดโมงเอง…ขอนอนต่ออีกสักห้านาที” ผมแย่งเอาฟ้าห่มจากมือของน้องสาวกลับมาพร้อมกับนำกลับมาห่มตัวและนอนขดอยู่บ่นเตียงอีกครั้ง
   “ไม่ใช่ว่าวันนี้พี่มีไปเข้าค่ายกับพี่ฟ้ารึไง”
   ทันทีที่ผมได้ยิน ร่างกายก็สะดุ้งขึ้นมาอย่างอัตโนมัติพร้อมกับหันกลับไปถามยืนยันกับข้าวฟ่างที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเตียง
   “ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ”
   “ก็เจ็ดโมงไง เมื่อกี้ก็พึ่งดูไปเองไม่ใช่เหรอ”
   “ชิบหายแล้ว…ไอ้ฟ้าตื่นๆ”
   ผมรีบร้อนลุกขึ้นมาจากเตียง พร้อมกับเดินไปเขย่าตัวเพื่อนสนิทที่นอนฟุบอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่นหลังจากที่เมื่อคืนอยู่ทำงานจนดึก
   “หา…มีไรไอ้ที กูง่วง”
   “เออ กูรู้ว่ามึงง่วงแต่ตอนนี้มึงแหกตาออกมาก่อน รีบๆเก็บของแล้วรีบไปได้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวตกรถเว้ย” ตามกำหนดการณ์แล้วรถจะออกตอนเจ็ดโมงครึ่ง ออกตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะไปถึงทันรึเปล่าตอนนี้
   “อือ…” แน่ะ ไอ้ฟ้ายังไม่สะทกสะท้านยังคงฟุบหน้ากลับไปนอนต่อ
   “กูบอกให้มึงลุกขึ้นมาก่อนรีบๆไปอาบน้ำได้แล้วมึง” ผมเดินไปลากแขนไอ้ฟ้าให้ออกมาจากโต๊ะญี่ปุ่น แต่เจ้าตัวก็ยังงอแงไม่เลิกพลางเกาะโต๊ะเอาไว้แน่นเยี่ยงสมบัติ
   “…” ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก
   ได้…ถ้ามึงไม่ลุกกูก็มีวิธีสำหรับมึงโดยเฉพาะ
   “อะ ไอ้เหี้ยทีทำไรของมึงเนี่ย”
   ร่างเล็กร้องออกมาพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ทันทีที่ผมใช้มือทั้งสองข้างช้อนไปที่หลังและขาทั้งสองข้างพร้อมยกขึ้นมา ทันทีที่ยกขึ้นมาก็มีแขนเล็กๆสองข้างกอดที่คอตอบกลับมา สภาพตอนนี้เลยการเป็นการอุ้มท่าเจ้าหญิงโดยสมบูรณ์แบบ
   “ก็มึงไม่ยอมลุกสักทีกูก็เลยต้องใช้วิธีนี้ไง ไปไม่ลุกดีนักมึงเข้าไปอาบกับกูเลยไป” ผมพูดไปพลางขยับเท้าเดินออกไปตรงดิ่งไปยังห้องน้ำพร้อมกับบุคคลที่กำลังดิ้นดุกดิกๆอยู่ในอ้อมแขน
   “ไม่เว้ย ปล่อยกูไอ้เหี้ยที กูอาบเองได้”
   “เหอะ ทีตะกี้ยังงอแงไม่ยอมลุกอยู่เลย ทีแบบนี้ล่ะต่อต้านเก่ง อย่าหวังว่ากูจะปล่อย ไปเข้ามาด้วยกันจะได้รีบอาบรีบไป”
   “ไม่เอาเว้ย”
   “โอ้ยจะอะไรนักหนาเมื่อก่อนก็อาบด้วยกันออกจะบ่อย”
   “ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันเว้ย”
   พวกผมสองคนยังโต้เถียงกันไปสักพักด้วยสภาพที่มีผมอุ้มไอ้ฟ้าด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิงโดยไม่แคร์สายตาของน้องสาวที่ยังยืนอยู่ไม่ห่าง จนในที่สุดเหมือนผู้เห็นเหตุการณ์จะทนไม่ไหวขึ้นมาจนส่งเสียงทัก
   “นี่…พวกพี่จะไปสวีทกันที่ไหนก็เรื่องของพวกพี่ แต่ไม่คิดจะรีบแล้วเหรอ เวลายิ่งน้อยๆอยู่”
   “มะ…ไม่ได้สวีทกันสักหน่อยฟ่าง” ไอ้ฟ้าตอบกลับไป
   “ค่ะๆ หนูลงไปกินข้าวรอข้างล่างแล้วกัน เดี๋ยวทำพวกแซนวิชไว้ให้ อาบเสร็จก็ลงไปเอาแล้วกัน”
   “อ่อ พี่ทีก็อย่าหยอกพี่ฟ้ามากล่ะแค่นี้นะ” ก่อนที่ข้าวฟ่างจะเดินลงไปยังย้อนกลับมาตะโกนบอกอีก
   “เออๆ ไปได้แล้วไป เดี๋ยวสายหรอก”
   “เหอะ คนที่จะสายคือพี่นั้นแหละ”
   หลังจากที่ข้าวฟ่างเดินลงบันไดไป ผมก็อุ้มไอ้เจ้าร่างเล็กที่ยังดิ้นพล่านขัดขืนไม่หยุดลากเข้าห้องน้ำไป
   “ไอ้เหี้ย ปล่อยกูได้แล้ว”
   “เออๆ”
   ผมปล่อยไอ้ฟ้าลงไปจากมือ แต่ดูเหมือนจะลืมตัวไปหน่อย ก้นของมันเลยตกลงไปกระแทกพื้นห้องน้ำอย่างจัง จนร่างเล็กต้องสบถออกมา
   “โอ้ย ไอ้เหี้ยมึงปล่อยลงมาได้”
   “โทษทีๆ แต่มึงเป็นคนบอกเองนะว่าให้กูปล่อย”
   “กูบอกให้มึงปล่อยไม่ได้ให้มึงทิ้งกูลงพื้น”
   “เออๆ ช่างมันไปก่อน รีบถอนเสื้อผ้าแล้วไปอาบน้ำกันได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”
   ผมจัดการถอดเสื้อ และกางเกงออกแล้วโยนทิ้งลงตะกร้าผ้าที่อยู่ไม่ห่างจากตรงนั้น แต่ในตอนนั้นก็เห็นว่าร่างเล็กยังคงนิ่งไม่กระทำการใดๆ ผมเลยเดินตรงไปพยายามจะดึงเสื้อยืดออกมาจากตัวร่างเล็ก แต่อีกฝ่ายยื้อฉุดเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเสื้อให้หลุดออกมาจากร่างกาย
   “ทำไรของมึงเนี่ย ปล่อยเว้ย”
   “เร็วๆดิวะ จะมัวอายอะไรอยู่ จะสายแล้วนะเว้ย”
   “มึงก็อาบไปก่อน เดี๋ยว กู ค่อย มา อาบ”
   “ก็ กู บอก แล้ว ว่า มัน จะ สาย แล้ว เว้ย”
   ชายร่างสูงเปลือยท่อนบนแถมท่อนล่างกำลังสวมเพียงแค่บ๊อกเซอร์สีเทา กำลังดึงดันจะถอดเสื้อของชายร่างเล็ก ละม้ายคล้ายโจรที่กำลังจะเปลื้องผ้าเหยื่อที่เปลี่ยนจากผู้หญิงเป็นผู้ชายก็แค่นั้น ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าคงจะมีเสียงหวอดังตามมาแน่นอน
   “โอ้ย ก็ได้วะ”
   ผมเลิกดึงเสื้อ แล้วเปลี่ยนเป็นการดึงอีกฝ่ายเข้ามาในห้องน้ำพลางเปิดฝักบัวให้น้ำไหลผ่านพวกเราสองคน
   “ไอ้เหี้ยที กูเปียกหมดแล้วเนี่ย”
   “ก็มึงไม่อยากถอดเอง งั้นมึงก็อาบทั้งเสื้อผ้าไปแล้วกัน”
   หลังจากนั้นพวกเราสองคนก็อาบน้ำกันอย่างรีบร้อน ฟอกสบู่ไปแบบลวกๆ พร้อมกับขยี้ผมด้วยแชมพูหน่อยๆ จากนั้นก็เอาน้ำราดตัวล้างฟองออกไปก็เป็นอันจบ
   และสุดท้ายไอ้ฟ้ามันก็ยอมถอดเสื้อกับกางเกงของมัน เหลือไว้เพียงแต่กางเกงในสีดำ กว่าจะยอมถอดบอกว่าล้างตัวไม่สะอาด งอแงอยู่ตั้งนานมันน่าถีบจริงๆไอ้เพื่อนตัวนี้
   
น่านฟ้า
   “ไอ้ฟ้า มึงอยู่ไหนแล้วเนี่ย รถเค้าจะออกแล้วนะเว้ย”
   “ตอนนี้กูพึ่งจะออกมาจากบ้านไอ้ทีเอง ไอ้ทีมันกำลังรีบบึ่งไปอยู่”
   ผมตอบกลับแพรวที่โทรมาตามในขณะที่นั่งซ้อนอยู่บนมอเตอร์ไซด์ซึ่งมีไอ้ทีเป็นคนขับ
   “เออรีบมาแล้วกัน เดี๋ยวกูไปบอกครูให้ว่าให้คอยก่อน”
   “เอองั้นแค่นี้นะ เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วกูจะโทร…”
   “เดี๋ยวก่อน” ไอ้ทีที่กำลังขับรถอยู่ อยู่ๆก็ส่งเสียงขึ้นมา
   “มีไร”
   “แพรวโทรมาเหรอ”
   “อือ”
   “งั้นมึงบอกมันไปว่าให้ออกรถไปเลยก็ได้ไม่ต้องรอ”
   “ไม่ต้องรอแล้วมึงจะให้กูไปกับใครวะ”
   “มึงก็ไปกับรถโรงเรียนกูไง จากตรงนี้ใช้ทางลัดไปถึงโรงเรียนกูเร็วกว่าโรงเรียนมึง”
   “มันจะได้เหรอวะ”
   “เชื่อกูดิ เหตุฉุกเฉินครูเขาก็คงเข้าใจแหละ มึงลองบอกให้แพรวไปถามครูโรงเรียนมึงก่อนของโรงเรียนกูเขาน่าจะให้”
   “เออๆ”
   หลังจากนั้นผมก็ลองอธิบายให้ไอ้แพรวฟังดู หลังจากที่ไอ้แพรวเดินไปถามครูประจำชั้นผลที่ได้ก็คือ ให้ผมติดรถไปกับโรงเรียนไอ้ทีก่อน แล้วพอถึงจุดพักเดี๋ยวค่อยกลับมาขึ้นรถตัวเองก็ได้ พอได้ยินดังนั้นไอ้ทีก็เร่งสปีดรถขึ้นไปอีกจนหลังจากนั้นไม่นานก็ถึงโรงเรียนของมัน

   “อ้าว นที มาเร็วๆ รถเขาจะออกแล้ว”
   คุณครูสาวที่ยืดอยู่หน้ารถบัส ตะโกนเรียกพลางโบกมือเป็นสัญญาณให้พวกผมรีบวิ่งไป
   “มาแล้วครับๆ”
   “นี้ถ้าช้ากว่านี้ ครูจะทิ้งเธอไว้แล้วนะเนี่ย”
   “โถ่ใจร้ายอะครู”
   ไอ้ทีที่ยืนอยู่ข้างๆ สนทนาโต้ตอบกับคุณครูท่าทางใจดี สักพักก็เหมือนเธอจะสังเกตเห็นผมจึงเปลี่ยนความสนใจจากคนร่างสูงมาเป็นคนร่างเล็กแทน
   “อ้าวแล้วนี่เธอ…ดูจากชุดแล้วเป็นเด็กอีกโรงเรียนใช่ไหม แล้วทำไมมาขึ้นรถคันนี้ล่ะ”
   “อะครับ”
   “อ่อ พอดีมันมีเรื่องนิดหน่อย ผมก็เลยให้มันมากับรถเราแทน คงได้นะครับครู”
   ‘มีเรื่องนิดหน่อย หรือว่าสวีทกันทั้งคืนจนไม่ได้นอนจ๊ะศศิน’ มีเสียงแซวจากวินดังขึ้น
   ‘เงียบปากไปเลย ไอ้วิน’ แล้วไอ้ทีก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับชูนิ้วกลางไปทางต้นเสียง
   “สำหรับครูก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ก็ต้องแจ้งให้ทางนั้นเค้ารู้ด้วยว่าจะเด็กมากับเราเพิ่ม”
   “ถะ…ถ้าเรื่องนั้นผมโทรไปบอกเพื่อนแล้วครับ แล้วก็ดูเหมือนครูประจำชั้นจะรู้แล้วด้วย”
   “อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ไว้เดี๋ยวครูจะโทรไปแจ้งอีกรอบแล้วกันว่าเราขึ้นรถมาแล้ว”
   “ขอบคุณครับ…เออ…”
   “อ่อ ครูชื่อครูเมย์นะ แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ”
   “นภดลครับ”
   “หืม แล้วชื่อเล่นล่ะ”
   “น่านฟ้าครับ”
   “เหรอ แหมชื่อน่ารักจังนะ นทีพาหนูน่านฟ้าเขาไปนั่งก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวครูจะโทรไปบอกทางโรงเรียนให้”
   “ขอบคุณครับ ครูเมย์”
   “โหครูทีพวกผมเรียกชื่อเล่นห้วนๆ ไม่ก็ชื่อจริง ทำไมเรียกไอ้ฟ้าแบบนั้นล่ะ” มีเสียงตะโกนโห่ร้องมาจากทั้งรถ โดยที่ต้นเสียงน่าจะเป็นตัวป่วนประจำชั้น ไอ้วินนั้นเอง
   “เหอะ พวกเธอก็หัดทำตัวน่ารักให้เหมือนกับหนูน่านฟ้าเขาสิ แต่ละวันทำตัวเป็นลิงทะโมนแย่งกล้วยหวีเดียว สร้างเรื่องจนครูปวดหัวทุกวัน”
   “โห่ๆ” เสียงโห่ร้องดังขึ้นสักพัก จนเมื่อครูเมย์สั่งให้เงียบเหล่าเสียงประสานคอรัสจำเป็นก็หยุดลง ถือว่ายังมีความเชื่อฟังเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย
   แล้วผมกับไอ้ทีก็เดินตรงไปยังที่นั่งที่ยังคงว่างอยู่เพียงที่เดียวที่เป็นที่นั่งที่ไม่มีใครอยากจะนั่ง นั่นก็คือที่นั่งแถวหน้าสุดนั่นเอง เอาเหอะ…เวลานี้เหลือที่ให้นั่งก็บุญและ
   “ไงพวกมึง มาซะสายเลยนะ เมื่อคืนแอบทำไรกันจนไม่ได้นอนป่าววะ” พึ่งจะได้นั่งลงบนเบาะ ไอ้วินที่นั่งคู่กับไอ้ไนท์ข้างหลังก็ชะโงกหน้าขึ้นมาแซว
   “ทำไรกันพ่Xงดิ เดี๋ยวกูตั้นหน้ามึงแน่” ไอ้คุณศศินก็ไม่ยอมแพ้ตอกกลับไปจนไอ้วินหน้าเหวอเลย
   “ช่วยกูด้วยไอ้ไนท์ ไอ้ทีมันจะฆ่ากูแล้ว”
   “ไม่ต้องห่วงไอ้วิน เดี๋ยวกูจะล๊อคแขนมึงไว้ ตอนไอ้ทีมาชกมึงจะได้ไม่ปลิวไง”
   “ไอ้เหี้ยไม่ได้ช่วยกูเลย”
   หลังจากคำพูดเล่นแสนอันตรายจากปากไอ้ไนท์ และเสียงแซวเล็กๆน้อยๆจบลง ไอ้วินก็เลิกเล่นแล้วหันกลับมาเข้าเรื่อง
   “กูไม่เล่นแล้วก็ได้ ตกลงพวกมึงไปทำไรมาถึงได้สายขนาดนี้”
   “ไม่มีไรก็แค่ตื่นสาย”
   “เหรอ” คราวนี้มันหันมามองผมแทน
   “อือ ก็แค่นอนกันเพลินเลยตื่นสายไปนิดหน่อย”
   “อ่อ แต่มันก็สายเพราะมีใครบางคนงอแงไม่ยอมตื่นด้วยนี้เนอะ” ไอ้ทีพูดพลางส่งรอยยิ้มเยาะมาทางผม
   “มึงพูดเรื่องอะไร กูไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เรื่องไรก็จะยอมรับเรื่องเมื่อเช้าวะ จังหวะนี้กูขอตีมึนไปก่อนแล้วกัน
   “ก็เรื่องที่มึงงอแงไม่ยอมลุก จนกูต้องอุ้มท่าเจ้าหญิงไปส่งถึงห้องน้ำจากนั้นก็…”
   “ไอ้เหี้ยที”
   “อะไรๆแล้วอะไรต่อ”
   “พอเลยมึง” ผมหันขึ้นไปด่าไอ้ขี้เสือกก่อนจะหันกลับไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ร่างสูงที่นั่งข้างๆ
   แต่พอไอ้ทีเห็นหน้าผมกำลังแยกเขี้ยวมันก็หลุดขำออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวของผมอย่างแรง
   “ฮะๆ กูไม่แกล้งแล้วก็ได้”
   “ไอ้เหี้ยที เดี๋ยวหัวกูหลุด”
   “หนูน่านฟ้า เมื่อกี้ครูโทรไปแจ้งทางโรงเรียนแล้วนะ”
   “อะ…ครับ” ทันทีที่ครูเมย์มา พวกเราชะงักกันเล็กน้อยแล้วก็ค้างกันในท่านั้นสักพักก่อนจะรู้สึกตัวแล้วกลับมาอยู่ในท่าปกติกัน
   “ทางนั้นเค้าบอกว่าไว้เดี๋ยวค่อยไปรวมกันตอนถึงที่ค่ายเลยนะ เพราะว่าตามตารางแล้วจุดพักที่เราจะไปมันคนละที่กัน ตอนนี้ก็พักผ่อนไปก่อนแล้วกันนะ”
   “ได้ครับ”
   “อ่อ แล้วก็…”
   “ครับ?”
   “จะจีบจะอะไรก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ช่วยเกรงใจครูแล้วก็เหล่าคนโสดในรถด้วยนะจ๊ะ”
   ครูเมย์ทิ้งชนวนไฟไว้ก่อนจะเดินกลับไปนั่งตรงที่ของตัวเอง ส่งผลให้เหล่าลูกระเบิดขี้เสือกที่พร้อมจะจุดชนวนไฟได้ทุกเมื่อที่อยู่ข้างหลัง กับเหล่าลูกระเบิดลูกอื่นที่เริ่มหันเหความสนใจเข้ามาถามไถ่ผมอะไรต่อมิอะไร โดยที่ไอ้ทีที่อยู่ๆเอาแต่ยิ้มไม่ยอมมาช่วย ปล่อยให้ผมถูกรุมล้อมไปด้วยลูกระเบิดขี้เสือกนานาชนิด
   “เป็นรึเปล่า หน้ามึงดูไม่ดีเลยนะ” นทีที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้นมา
   “อือ…ไม่รู้ดิ รู้สึกปวดหัวหน่อยๆ รู้สึกคลื่นไส้ด้วย” ตอนแรกก็แค่รู้สึกนิดหน่อยคิดว่าเป็นผลจากพวกเพื่อนในห้องของมันที่เข้ามารุมถาม แต่หลังจากนั้นสักพักก็เริ่มรู้สึกมึนๆเพิ่มขึ้นอีก
   “เมารถเปล่ามึง มึงลองหลับตานอนพักดูน่าจะหาย”
   “กูก็อยากพักเหมือนกัน แต่ไม่ไหวว่ะ ปวดหัว คลื่นไส้เกินไปหลับไม่ลง”
   “เอาไงดีวะ”
   “เป็นไรไปพวกมึงสองคน เอะอะกันจัง”
   “ไอ้ฟ้ามันไม่ค่อยดีว่ะ เหมือนจะเมารถเอาไงดีวะ”
   “อ้าวมาถามกู กูไม่ใช่หมอครับกูไม่รู้”
   “ไร้ประโยชน์จริงๆเลยมึงเนี่ย” เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นด้วยกับไอ้ทีอย่างเต็มประตูว่าไอ้วินมันไร้ประโยชน์
   “ไอ้ฟ้าอาการเป็นไงมั้ง” ไนท์ที่นั่งอยู่ข้างๆไอ้วินชะโงกหน้ามาถาม
   “ปวดหัวหน่อยๆวะ แถมคลื่นไส้กว่าเดิมด้วย”
   “อีกเดี๋ยวก็จะถึงจุดพักรถแล้ว ตอนนี้มึงก็พยายามหายใจเข้าลึกๆ มองออกไปนอกหน้าต่างทนไว้อีกนิดนึง พอถึงจุดพักรถแล้วเดี๋ยวพวกกูค่อยไปซื้ออะไรเปรี้ยวๆมาให้ อาการจะได้ดีขึ้น”
   “อือ กูจะพยายาม”
   “โห คุณหมอไนท์มาเองวะมึงสาระมาเต็ม”
   “ส่วนมึงก็ไร้สาระตลอดเลยวะ”
   “พูดงี้ก็สวยดิวะไอ้ที”
   “พวกมึงช่วยเงียบๆกันหน่อยดิ จังหวะนี้กูต้องการสมาธิหรืออยากให้กูอ้วกใส่พวกมึงมั้ย”
   “ไม่ครับ ขออภัยครับ” ทั้งสองประสานเสียงกันโดยมิได้นัดหมาย ปล่อยให้ผมพยายามสงบสติอารมณ์ควบคุมกระเพาะไม่ให้กระอักเอาข้าวเช้าในกระเพาะออกมา
   
   “เอาล่ะ ทุกคนถึงจุดพักรถแล้วนะ ครูให้เวลา 15 นาทีเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยนะ ถ้าเสร็จแล้วก็ขึ้นมารอกันบนรถ”   
   เสียงครูเมย์แจ้งนัดหมายเวลานัดรวมตัวกันอีกครั้ง เป็นสัญญาณให้เหล่านักเรียนพากันลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินออกไปจากรถ
   “มึงรอบนรถแล้วกัน เดี๋ยวกูไปซื้ออะไรมาให้”
   “อือ…”
   ไอ้ทีพูดกับผมก่อนจะเดินลงไปพร้อมกับไอ้ไนท์และไอ้วิน สักพักก็เหลือเพียงผมคนเดียวที่อยู่บนรถ ผมพยายามข่มตาของตัวเองลง พลางพยายามทำสมาธิไม่สนใจอาการปวดต่างๆ
   คลื่นไส้ก็คลื่นไส้ ง่วงก็ง่วงแต่แม่งก็น้อยไม่ได้…โอ้ย น่ารำคาญชะมัด มึงจะป่วยมึงก็ป่วยที่ละอย่างได้ไหม ทำไมตอนป่วยต้องมาพร้อมๆกันด้วยวะเนี่ย ในขณะที่ผมกำลังโทษโน้นโทษนี้ไปทั่ว ก็มีสัมผัสเย็นวาบขึ้นที่หน้าผาก ทำให้ผมต้องเปิดตาดูก็พบกับไอ้เพื่อนสนิทที่ทำหน้าตาเป็นกังวล
   “โอเคเปล่าวะมึง ทำหน้าซะหน้ากลัวเลย”
   “หน้ากูคงโอเคมากเลยมั้ง กูคลื่นไส้ชิบหายเลย อีกใจนึงกูก็โคตรง่วงแต่แม่งนอนไม่ลงโคตรทรมานเลย”
   “เอ้า ยาแก้เมารถกินซะจะได้หายคลื่นไส้” มันยื่นซองยาแก้เมารถมาพร้อมกับขวดน้ำเปล่าเย็นเจี้ยบที่พึ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อแถมนั้นให้ผม
   “อือ ขอบคุณ…แล้วนี้มึงกลับมาเร็วจัง กูก็นึกว่ามึงจะเดินซื้อนู่นซื้อนี้ต่ออีกสักพักซะอีก”
   “ก็กูเป็นห่วงมึงนี้หว่า เมื่อคืนมึงก็นอนน้อยด้วยกูก็กลัวว่ามึงจะเป็นอะไรไป”
   หึ…มึงก็นอนน้อยพอๆกับกูนั้นแหละ…คำพูดของไอ้ทีทำให้ลืมอาการป่วยไปสักพักพร้อมกับผุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าแทนที่ใบหน้าเจ็บป่วยเมื่อครู่…ก็ทุกครั้งที่กูหันไปมองมึงก็ตื่นอยู่ตลอดเลยนี้
   “เป็นไรอยู่ๆก็ยิ้ม บ้ารึเปล่าวะ เมื่อกี้ยังบ่นอิดออดจะเป็นจะตายอยู่เลย”
   “เปล่าซะหน่อย” เรื่องแบบนี้ใครจะบอกล่ะ
   “มันต้องมีอะไรแน่ๆ บอกกูมาเลยนะไอ้ฟ้า”
   ไม่พูดเปล่าไอ้ทีกระโจนเข้ามาเกาะพลางโอบรัดไม่ให้ผมขยับไปไหน แถมแรงโอบก็ไม่ใช่เล่นๆ
   “ไอ้ทีปล่อยเว้ย”
   “ไม่ จนกว่ามึงจะบอกกู”
   “กูเจ็บเว้ย…”
   “ครับๆ หายปุ๊บก็สวีทกับปั๊บเลยนะพวกมึงเนี่ย” จังหวะนั้นเองเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น พร้อมกับภาพของเพื่อนสองคนที่พึ่งจะเดินขึ้นมา
   “ไม่ได้สวีทกันสักหน่อยเว้ย”
   “ครับๆ เถียงได้แบบนี้แสดงว่าหายดีแล้ว”
   “เอ้า ชาส้ม” ไนท์ยื่นแก้วกาแฟที่เหมือนจะพึ่งซื้อมาจากคาเฟ่แถวนั้นให้
   “อะ ขอบคุณ เท่าไหร่เดี๋ยวกูจ่ายคืนให้”
   “ไม่ต้องหรอก ไอ้ทีมันจ่ายให้ไปแล้ว”
   ผมหันไปมองนทีที่นั่งอยู่ข้างพลางยิ้มแล้วก็โบกมือให้ ไม่รู้ทำไมอยู่ๆความรู้สึกขอบคุณเมื่อกี้มันหายไปแทนที่ด้วยความน่าถีบและกวนตีนแทน
   “อ่อ เหรอ”
   “เดี๋ยวๆ ตามบทมึงต้องหันมาถามกูว่าเท่าไหร่ จากนั้นกูก็ต้องบอกว่ากูจะเลี้ยงไม่ใช่เหรอวะ”
   “แล้วตกลงมึงเลี้ยงกูไหมล่ะ” ผมหันไปยักคิ้วให้เพื่อนสนิททีนึงก่อนจะยิ้มตอบแบบร้ายๆ
   “เออๆ” มันทำท่าทางงอนเหมือนเด็กๆ กอดแขนสองข้างพลางหันหน้าหนี เรียกเสียงหัวเราะของพวกเราทั้งสามคนที่เหลือให้กับท่างอนเด็กๆของมัน กว่าจะง้อมันกลับมาได้ ต้องให้ไอ้ไนท์ลงไปซื้อขนมจีบมาให้มันสามไม้มันถึงจะยอม ไม่นานคนก็ขึ้นมาจนครบพร้อมเดินทางต่อไป
   
   “อือ…” ผมขยี้ตาถี่ๆตอบสนองความง่วงที่มีอยู่ ทันทีที่ยาออกฤทธิ์อาการคลื่นไส้ก็หายไป ถาโถมเข้ามาด้วยอารมณ์ง่วงเต็มอัตรา
   “ง่วงเหรอ”
   “อืม…”
   “งั้นมึงก็นอนไปเลยก็ได้ อีกสักพักใหญ่ๆเลยกว่าจะถึงค่าย”
   “อือ…” ทันทีที่สิ้นเสียงพูดก็เหมือนร่างกายถึงขีดจำกัด ทำให้ตาของผมหนักขึ้นๆจนปิดลงในที่สุด
   …สัมผัสอุ่นๆปรากฎบริเวณขมับ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่รู้แค่ว่ารู้สึกดี จนไม่อยากจะห่างอยากให้ความรู้สึกนี้คงอยู่ต่อไป

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
สถานะ              : เพื่อนสนิท   

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 12 {20/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 22-12-2019 22:43:14
ขั้นที่ 13 วันแรก
นที
   “เอาล่ะทุกคน เตรียมตัวเช็คสัมภาระให้ดีนะ เตรียมลงกันได้แล้ว”
   ครูเมย์ประกาศให้นักเรียนในรถเตรียมเก็บข้าวของพร้อมที่จะลงจากรถ แต่ยังมีอยู่คนนึงที่ยังคงนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน
   “ไอ้ฟ้า มึงตื่นได้แล้ว”
   ร่างเล็กยังคงนอนหลับมาตลอดทางตั้งแต่จุดพักรถ หนำซ้ำยังใช้ไหล่ผมต่างหมอนพิงมาตลอดทาง
   ‘หน้าตอนหลับแม่งน่าแกล้ง’ ผมคิดได้อย่างนั้นก็ใช้มืออีกข้างยกขึ้นมาจับแก้มอีกฝ่าย
   ‘นุ่มดีแฮะ หยุ่นๆด้วย’ ผมเริ่มดึงยืดเล็กน้อยด้วยความติดใจ จนสักพักเหมือนเจ้าของแก้มจะรู้สึกตัว
   “…ทำเหี้ยไรของมึง”
   ผมผละมือออกจากแก้มนุ่มๆ พลางตอบกลับอีกฝ่าย
   “ปะ…เปล่ากูก็แค่จะปลุกมึงเฉยๆ”
   “คราวหลังมึงก็แค่ปลุกกูเฉยๆ พูดแต่ปากมืออย่าต้องเข้าใจ๊”
   “แล้วทีมึงล่ะ ใช้ไหล่กูนอนมาหลายชั่วโมงกูยังไม่บ่นมึงเลย กูเล่นแก้มมึงแค่นิดเดียวเอง”
   “ระ…เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกันเว้ย พอๆเลิกบ่นหยุมหยิมแล้วเก็บของได้แล้ว”
   “…” ผมมองบนใส่ร่างเล็ก แต่ก็โดนนิ้วกลางตอบกลับมา ผมก็เลยไม่บ่นอะไรต่อ ก็แค่เก็บข้าวของบนรถลงมา เข้าแถวข้างล่างรถบัส
   พอลงมาถึงก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นและความเป็นชนบท เพราะตลอดสองข้างทางแทบจะเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ ไม่มีตึกอาคารสูงเหมือนในเมือง แถมอากาศก็ปลอดโปร่งด้วย
   “เอ้าๆ อย่าพึ่งคุยกันเสียงดัง เดี๋ยวเราต้องเดินขึ้นเขาต่อไปอีกนะ เก็บแรงกันไว้หน่อยพวกลูกลิงทั้งหลาย”
   ค่ายที่พวกเราจะไปพักกันเป็นค่ายที่อยู่บนเขาเลย ซึ่งจะมีพื้นที่ติดกับโรงเรียนและวัดซึ่งเป็นเป้าหมายของการมาค่ายในครั้งนี้ก็คือการพัฒนาโรงเรียนและวัด ง่ายๆก็คือเป็นเบ๊ช่วยทำความสะอาดกับวัดตามต่างจังหวะ แต่เรียกว่ามาเข้าค่ายซะดิบดี
   “อ่อ แล้วก็หนูน่านฟ้า โรงเรียนของหนูเขาเดินทางมาถึงก่อนแล้ว ตอนนี้ก็เลยเดินทางขึ้นไปที่ค่ายกันแล้ว เดี๋ยวหนูมากับพวกครูก่อนแล้วพอถึงข้างบนค่อยแยกย้ายแล้วกันเนอะ”
   “อะ…ครับ”
   หลังจากนั้นพวกเราก็ต่อแถวทยอยกันเดินขึ้นเขา
   “อือ…ฮึบ” ผมเห็นร่างเล็กพยายามจะแบกถุงใส่เสื้อผ้า แต่คงต้องใช้คำว่าลากไปมากกว่าเพราะน้ำหนักถุงนั้นก็ไม่ใช่น้อยๆ
   “…”
   “เอามานี่เดี๋ยวกูแบกถุงเสื้อผ้าให้ มึงแบกแค่กระเป๋าของมึงไปก็พอ” ผมแย่งถุงเสื้อผ้ามาแบกเอง ปล่อยให้ไอ้ฟ้าถือแค่กระเป๋าของตัวเองไปก็พอ
   “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูแบกเอง อันนั้นเป็นของโรงเรียนกู”
   “กูบอกแล้วไงว่ากูจะถือให้ ขืนปล่อยให้มึงเอาไปถือกว่าจะถึงข้างบนถุงแม่งคงขาดหมดแล้วถ้ามึงจะลากขนาดนั้นอะ”
   ไอ้ฟ้าไม่เถียงกลับได้แต่นิ่งเงียบ เพราะมันก็คงจะรู้ว่าถุงนั้นมันหนักขนาดไหน ซึ่งถ้ามันเป็นคนถือคงไม่พ้นต้องลากไปจนถึงข้างบน มันเลยไม่ปฏิเสธข้อเสนอของผม
   “งั้นมึงเอากระเป๋าของมึงมา เดี๋ยวกูถือให้”
   “ไม่ต้องเลยมึง ตัวแค่นี้แบกของมึงอย่างเดียวไปก็พอแล้ว”
   “กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ ไอ้ที เอากระเป๋าของมึงมาซะดีๆ”
   “…เฮ้อ เออๆ แล้วอย่ามาบ่นเอาทีหลังแล้วกัน เอ้า”
   ผมยื่นกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองให้กับร่างเล็กถือซึ่งทันทีที่มันได้ไป มันยังหันมาเยาะเย้ยผมเลยว่า ‘นี้ไงก็ไม่ได้หนักอย่างที่คิดซะหน่อย ของแค่นี้กูก็แบกได้’ ได้ เดี๋ยวรู้กัน

   “แฮ่ก แฮ่ก” เสียงหอบถี่ดังมาจากร่างเล็กที่เดินอยู่ข้างหน้า
   “เป็นไงมึง ยังไหวเปล่าวะ”
   “เออ…กู…ยังไหวอยู่” แต่กูดูสภาพแล้วมึงไม่น่าไหวเลยนะ
   “เหรอ ถ้ามึงยืนกรานแบบนั้นก็สู้ๆแล้วกัน อุตส่าห์มาได้เกือบครึ่งทางแล้วนี่เนอะ”
   “หะ ยังไม่ครึ่งทางเองเหรอ” ทันทีที่ไอ้ฟ้าได้ยิน มันก็ทำหน้าถอดสีหันมาถามผมให้แน่ใจ
   “เออดิ เมื่อกี้กูพึ่งไปถามครูเมย์มาเห็นว่ากว่าเราจะถึงค่ายก็ต้องขึ้นเขาประมาณสี่โลได้ นี้เราพึ่งขึ้นมาไม่ถึงสองโลเลย”
   “…” ร่างเล็กไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ทำท่าคิดหนัก ท่าทางของมันช่างกระตุกต่อมขี้แกล้งของผมซะจริงๆ
   “แหม แต่มึงบอกเองนี้เนอะว่าของแค่นี้มึงก็แบกได้ เนอะ”
   “…เออ ของแค่นี้กูก็แบกได้” มันหันมามองขว้างใส่ผมก่อนจะรีบเดินนำผมขึ้นไปข้างบน พอมันโมโนใส่แล้วรู้สึกมีแรงขึ้นมาเลยแหะ…เอ๊ะหรือผมจะเป็นมาโซไม่ใช่หรอกมั้ง

   “มึง…”
   “…”
   “ไอ้ฟ้า…มึงพักก่อนดีกว่าไหม”
   หลังจากตอนนั้นก็ผ่านมาสักพัก ซึ่งจากตอนแรกที่ผมรู้สึกสนุกกลายเป็นว่าความรู้สึกนั้นกลายมาเป็นความกังวลแทนเพราะตอนนี้สภาพของไอ้เพื่อนสนิทหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อแถมเริ่มหอบถี่กว่าเดิม
   “ไม่…เป็นไร กูยังไหว”
   “แต่สภาพมึงไม่ไหวแล้วนะ พักหน่อยเหอะมึง”
   “อะ…” แต่ในจังหวะนั้นร่างเล็กก็เสียสูญลงเล็กน้อย ร่างของอีกฝ่ายกำลังจะกระทบกับพื้นทางเดิน
   หมับ…จังหวะนั้นผมก็เอื้อมมือไปคว้าไหล่ของอีกฝ่ายได้ทันอย่างฉิวเฉียดอีกเพียงเสี้ยวเดียว หน้าของอีกฝ่ายก็จะปะทะเข้ากับพื้นดินที่ปะปนไปด้วยก้อนกรวดและเศษหน้า
   “เป็นไรไหม”
   “อือ ไม่เป็นไรขอบคุณ”
   ผมดึงร่างของมันให้กลับมายืนตรงก่อนจะพูดตวาดใส่ด้วยใบหน้าจริงจัง
   “กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าให้ไปพักก่อน มึงจะฝืนตัวเองเพื่อ”
   “…”
   “แล้วถ้ามึงเป็นอะไรไปล่ะ…”
   “…ขอโทษ”
   หน้าหงอยของอีกฝ่ายทำเอาผมไม่กล้าจะพูดต่อเลย ในใจอยากจะว่าต่อแต่พอเห็นสีหน้าแบบนั้นแล้วก็ได้แต่กลืนคำพูดนั้นไว้
   “เฮ้อ…เอาเหอะ ไปพักได้แล้วไป ส่วนกระเป๋าก็…”
   “อ้าวพวกมึงสองคนเป็นอะไรไปทำไมทำหน้าเครียดกันจังวะ”
   “มาได้จังหวะพอดีเลย ไอ้วิน มึงเอานี้ไป” ผมหยิบเอากระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองจากไอ้ฟ้ามายัดให้ไอ้วินถือ 
   “อะ อะไรวะ”
   “ส่วนไอ้ไนท์ช่วยถืออันนี้ให้หน่อยดิ” ผมถอดกระเป๋าของร่างเล็กที่มันกำลังสะพายอยู่แล้วส่งให้ไนท์ที่อยู่ข้างๆถือ
   “หือ…อือ”
   “เดี๋ยวๆ พวกกูพึ่งจะเดินมาถึงก็ยัดงานให้กูเลยเหรอวะ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมเพื่อน”
   “พวกมึงช่วยถือไอ้นั้นให้พวกกูหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวกูให้ไอ้ฟ้ามันพักตรงนี้แปปนึง”
   “กูไม่เป็นไรแล้วน่าไอ้ที เมื่อกี้แค่เผลอไปนิด…”
   “ไม่ มึงต้องพักเข้าใจไหม”
   “…ครับ”
   “เมื่อกี้ไอ้ฟ้ามันหน้ามืดเกือบหน้าคว่ำ ยังไงพวกมึงก็ช่วยแบกแทนให้หน่อยแล้วกัน”
   “เฮ้อ…ครับๆ เดี๋ยวคนใช้แบบพวกก็จะแบกให้ก็แล้วกัน”
   “แต้งกิ้วเว้ย พวกมึง”
   “เดี๋ยวกูค่อยให้มึงตอบแทนกูก็แล้วกัน เอาเป็นข้าวสักมื้อก็คงดี”
   “เออๆ มึงเนี่ยเห็นแก่กินจริงๆนะไอ้วิน”
   “ยะฮู้…งั้นพวกมึงก็อย่าพักนานเกินไปแล้วกัน รีบๆตามมาล่ะ”
   “เออๆ”
   “…อะ ไอ้ฟ้า”
   ก่อนจากไปไนท์ก็ยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ไอ้ฟ้าขวดนึงก่อนจะเดินนำไปกับไอ้วินโดยแบกกระเป๋าของพวกเราเอาไว้ ส่วนผมก็พาร่างเล็กไปนั่งพักตรงหินก้อนใหญ่ที่ขึ้นอยู่ข้างทางพร้อมกับเศษใบไม้ใหญ่ๆที่ตกตามพื้นมาพัดให้
   “…ทีกูขอบอกมึงอย่างนึง”
   “ว่า”
   “มึงเอาใบไม้แบบนั้นมาพัดชาตินี้กูก็ไม่เย็นขึ้นหรอก”
   อ้าวเหรอ ผมนึกว่าจะใช้ได้ซะอีก ใบไม้ออกจะใหญ่แห้งกรอบสีน้ำตาลกำลังดี
   “ที…”
   “หือ”
   “กูขอโทษ ที่ทำให้มึงเป็นห่วง…”
   “…เออ สำนึกได้สักทีนะมึง กูพูดย้ำแล้วย้ำอีก มึงแม่งชอบฝืนตัวเองอยู่ ไอ้เรื่องที่มึงต้องอยู่ทำชุดโต้รุ้งแบบนั้นกูก็อยากจะได้เตะหัวไอ้พวกที่ยัดงานมาให้มึงจริงๆ”
   “ฮะๆ เรื่องนั้นมันก็ช่วยไม่ได้นี้หว่า ตอนแรกกำหนดการณ์มันก็ไม่ได้กระชั้นชิดขนาดนี้”
   “มึงเนี่ยคราวหลังก็หัดปฏิเสธบ้างดิวะ เดี๋ยวคราวหน้าเป็นลมล้มพับลงไปอีก คราวนี้กูคงได้ไปกินกระเพาะปลาน้ำแดงงานศพมึงแน่เลย”
   “ปากหมานักนะมึงเนี่ย จะว่าไปเรื่องคราวนี้เป็นเพราะมึงนั้นแหละ มาพูดยั่วกูขนาดนั้น”
   “อะร๊ายย มึงที่โดนกูยั่วได้ง่ายๆต่างหากที่ผิด” ผมยักคิ้วส่งให้ไอ้ฟ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ พอมันได้รับยักคิ้วจากผมผมก็เกือบจะได้รับบน้ำในขวดสาดกลับมาเป็นของตอบแทน โชคดีที่ผมมือไวเลยรอดจากการโดนสาดได้
   “เอาล่ะ รีบไปดีกว่ามั้ง เดี๋ยวนานกว่านี้จะหลงจากแถว” ในระหว่างพักก็โดนแซงไปหลายคนจนตอนนี้เริ่มจะเห็นปลายแถวแล้ว
   “อะ…อือ”
   ในจังหวะนั้นผมก็ปิ๊งไอเดียดีๆได้ ผมจึงยื่นมืออีกข้างที่ได้ไม่ถือถุงเสื้อผ้าไปหาร่างเล็กที่กำลังปัดเศษดินที่ติดตามกางเกง
   “…ยื่นมือมาทำไม” มันมองมือผมสลับกับใบหน้าอย่างสงสัย
   “จับมือกัน”
   “หะ”
   “ก็ถ้ามึงล้มลงไปอีกมันจะยุ่ง จับมือกับกูไว้เซฟกว่าไง”
   “หา พักมาแล้วกูไม่ล้มหรอกน่า อีกอย่างไม่ใช่เด็กเล็กๆสักหน่อยที่จะมาจับมือกัน”
   “ไม่ได้เหรอ…” ผมทำหน้าสลดให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เผื่อจะเรียกคะแนนความสงสารได้
   “ไอ้ที กูก็บอกแล้วไงว่าไม่ อายุตั้งขนาดนี้แล้วมาจับมือกันมันแปลกๆไหมมึง”
   “ยังไงก็ไม่ได้เหรอ…” มากกว่านี้กูได้บีบน้ำตาแล้วนะเว้ย มึงไม่สงสารเด็กตาดำๆอย่างกูบ้างเหรอ
   “…”
   ‘เฮ้อเลิกก็ได้วะ’ ในขณะที่ผมคิดที่จะเลิก ก็ปรากฏสัมผัสอุ่นๆขึ้นที่ฝามือ ผมหันไปมองร่างเล็กที่ตอนนี้หันไปมองอีกทางแทน
   “แค่ครั้งนี้เท่านั้น…”
   ผมไม่ได้ตอบอะไรไป แต่ใบหน้าของผมปรากฏรอยยิ้มออกมา
   ‘นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เดินจับมือกันแบบนี้’ เราสองคนจับมืออยู่อย่างนั้นไปจนถึงที่หมาย

น่านฟ้า
    “ไอ้ฟ้า ทางนี้ๆ”
   นีโบกมือเรียกอยู่ไกลๆ พวกเราสองคนเลยเดินตรงไปหาพวกเพื่อนผมที่กำลังนั่งล้อมวงพักกันอยู่ โดยมีวินและไนท์รวมอยู่ด้วย
   “แหมๆ ไปอยู่กับโรงเรียนนั้นครึ่งวัน กลับมานี้ตกคนมาด้วยเนอะ”
   “หา พูดอะไรของ…”
   ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบกลับ ผมก็พึ่งจะมานึกได้ว่าไอ้ทีมันยังไม่ได้ปล่อยมือผมเลย คิดได้ดังนั้นผมก็เลยรีบสะบัดมือของมันออกไป แต่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะเหล่าตัวเสือกทั้งหลายทำหน้ายิ้มเตรียมล้อกันเต็มที่
   “ไม่เห็นต้องสะบัดขนาดนั้นก็ได้มึง ทำอย่างกับรังเกียจกู”
   “เออ อึดอัดจะตาย”
   “เห็นพูดแบบนี้ แต่กูก็เห็นมึงเดินจับมือกับกูมาเงียบๆตลอดทาง ไม่เห็นบ่นสักคำ…เนอะ”
   “กะ กูก็แค่ขี้เกียจมานั่งเถียงกับมึงต่างหาก ถ้ากูไม่ยอมเดี๋ยวมึงก็โวยวาย กูก็เลยยอมๆมึงไป”
   “เหรออออ”
   “มึงทำแบบนี้เดี๋ยวครั้งหน้ามึงก็ไม่ต้องมาจับ”
   “อ้าว ไม่ใช่ว่ามึงบอกว่ายอมให้แค่ครั้งนี้เหรอ พูดแบบนั้นแปลว่าครั้งหน้าก็ได้ใช่ไหมล่ะ”
   “…” ชิบหาย…ลืมไปเลยว่าพึ่งจะพูดแบบนั้นไป ตอนนี้ไอ้ทีมันทำหน้ายิ้มที่โคตรจะกวนประสาท ชวนให้ไมเกรนกินระดับสูงสุด
   “ว่าไงเอ่ย หืมๆ”
   “…” ผมไม่ตอบอะไรไปแต่ประเคนหมัดขวาตรงเข้าท้องอีกฝ่ายไปหนึ่งที
   “อึก…ทำไรว่ะ ไอ้ฟ้า”
   “ก็มึงมากวนประสาทกูทำไมล่ะ หึ” ผมพูดไปแต่ใบหน้าหันหนีอีกฝ่ายไปอีกทาง
   “น่าๆ อย่างอนเลยกูแค่หยอกมึงหน่อยเดียวเอง”
   ผมไม่อะไรไปได้แต่หันหน้าหนีอีกฝ่าย แต่เหมือนมันจะรู้มันเลยคอยเดินมา ให้ผมเห็นหน้า พอผมเบนหน้าหนีมันก็ตามมาอีก พวกเราสองคนทำแบบนี้อยู่หลายนาทีจนเหมือนกับว่าคนรอบข้างเริ่มสงสัยแล้วว่าไอ้สองตัวนี้มันกำลังเล่นบ้าอะไรกัน และแล้วผมก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้
   “เออๆ กูยอมแพ้ก็ได้”
   “เย้” อยู่ๆมันก็โผเข้ามากอดผม ผมจึงใช้มือข้างนึงดันหน้ามันเอาไว้
   “ทำไรของมึงเนี่ย ออกไป”
   “ไม่งอนกูแล้วเนอะ”
   “เออๆ ออกไป๊”
   ผมดันหน้ามันออกไปอย่างสุดกำลัง(ของผม) ซึ่งไม่ควรจะทำให้หน้าของมันกระเด็นไปได้ไกล แต่มันก็แอ็คติ้งซะเว่อร์ทำเป็นหมุนตัวจะเป็นลม ถ้ารวมกับที่มึงจะขอกูจับมือตอนที่พักข้างล่าง กูจะส่งมึงเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเรียกร้องความสงสาร มึงได้ที่หนึ่งแน่นอน
   “ดูเหมือนว่าน้องๆจะมากันครบแล้วนะคะ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนน้องๆชวนนั่งให้เป็นแถวด้วยนะคะ” พี่ผู้หญิงคนหนึ่งประกาศผ่านโทรโข่ง ให้พวกนักเรียนทั้งสองโรงเรียนนั่งกันเป็นแถว ส่วนพวกผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยอานิสงส์จากคนที่ไปยืนเข้าแถวที่หัวแถวปลายแถวเลยมาตรงกับที่ที่พวกผมกำลังนั่งพอดี พวกผมก็เลยนั่งจ๋อมอยู่ตรงนั้นไปโดยปริยาย
   ผ่านไปสักพักเมื่อพี่เห็นว่าพวกนักเรียนเริ่มนั่งกันเรียบร้อยแล้วก็เริ่มประกาศต่อ
   “สวัสดีค่ะน้องๆ น้องๆเป็นกลุ่มที่จะมาเข้าค่ายใช่ไหมคะ”
   “ครับ/ค่ะ”   
   “งั้นเรามาแนะนำตัวกันก่อนดีกว่า พี่ชื่อพี่พริมนะคะ แล้วก็ข้างหลังพี่จะมีพวกพี่ๆที่มาเป็นสตาฟอีก พวกพี่จะมาช่วยควบคุมดูแลให้การเข้าค่ายของพวกน้องๆเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้ามีอะไรสงสัยหรือมีปัญหาอะไรสามารถเรียกพวกพี่ๆได้เลยนะคะ...มีใครมีคำถามไหมเอ่ย”
   “…”
   “โอเค ตอนนี้พี่รู้ว่าพวกน้องๆคงจะเหนื่อยจากการเดินทางกันแล้ว งั้นเดี๋ยวพี่จะชี้แจงเรื่องการเข้าพักเลยแล้วกันนะ น้องๆจะได้นอนในกระท่อมหลังประมาณนู่นเห็นกันไหม”
   พี่พริมชี้ไปยังกระท่อมบริเวณที่ห่างจากที่พวกผมกำลังนั่งอยู่เล็กน้อย มองจากตรงนี้ก็กะขนาดได้แค่คร่าวๆแต่ก็คิดว่าคงไม่ใช่กระท่อมที่ใหญ่มากมาย
   “งั้นเดี๋ยวพี่จะให้น้องๆแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มละ 8 คนแล้วกันนะเอาเป็นโรงเรียนละ 4 คนจะได้ทำความรู้จักกันด้วย ใครที่จับกลุ่มกันได้แล้วมาเอากุญแจที่พี่สตาฟได้เลยนะ อ่อแล้วก็เหล่าชายชาตรีทั้งหลายอย่าริว่าชั้นจะให้พวกเธอได้นอนอยู่กับผู้หญิงเพราะพี่จะให้พวกหนูพักแยกกัน 2 หลังแต่เป็นกลุ่มเดียวกันงงไหม”
   “พริมๆ”
   “หือ” อยู่ๆ พี่สตาฟข้างหลังก็พูดอะไรสักอย่างกับพี่พริมก่อนที่พี่เขาจะหันกลับมาพูดต่อ
   “อ้าวนี่พวกหนูไม่ใช่โรงเรียนหญิงล้วนเหรอ พี่เห็นมีแต่ผู้หญิงก็เลยคิดว่าเป็นหญิงล้วนซะอีก” ก็แค่เคยเป็นอะครับพี่ แต่แค่ตอนนี้ผู้ชายกลายเป็นสปีชี่ส์หายากในโรงเรียนนี้ไปซะแล้ว
   “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่าพวกผู้ชายที่เกินก็ไปนอนๆเบียดกันกับอีกโรงเรียนแล้วกันเนอะ ปล่อยให้พวกผู้หญิงเขาไป 555” เอ้าแบบนี้ก็ได้เหรอพี่
   “หรือถ้าไม่อยากได้จะมานอนกับพี่ก็ได้นะจ๊ะ”
   “โห่” เหล่าผู้ชายส่งเสียงโห่กันออกมาอย่างมิได้นัดหมายเรียกเสียงหัวเราะให้เหล่าครูและพี่สตาฟคนอื่นที่ยืนเรียงรายกัน
   “โอ้ย ไอ้พวกนี้ชั้นแค่ล้อเล่น เอ้าไปจับกลุ่มกันได้แล้ว”
   หลังจากนั้นเพื่อนๆแต่ละคนก็เริ่มจับกลุ่มกัน บางคนก็เดินไล่หาตามกลุ่มไปเรื่อยๆ บางคนก็ตะโกนถามหาว่าใครยังไม่มีกลุ่ม ส่วนกลุ่มของผมก็…
   “เอาล่ะของโรงเรียนพวกกู ก็มีกู ไอ้ฟ้า ไอ้ฝ้าย แล้วก็ไอ้นี ครบสี่คนพอดี”
   “ส่วนทางนี้มีกู ไอ้ที กับไอ้ไนท์ ขาดไปคนนึงแฮะ”
   “…”
   “พวกมึงอย่าเอาแต่เงียบ มีใครในใจไหมพวกมึงอะ”
   “ไม่มี” นทีและไนท์พร้อมใจกันตอบ
   “เฮ้อ…กูก็ว่าแล้ว”
   “ถ้ามึงรู้ว่าพวกกูจะตอบแบบนี้มึงก็อย่าถามดิ”
   “ใช่”
   “ทีงี้พวกมึงสองตัวเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ เห็นแล้วหมั่นไส้…กูว่ากูเจอเป้าหมายแล้วว่ะ เดี๋ยวกูมา” พูดจบวินก็วิ่งหายไปในฝูงชน ก่อนที่สักพักจะดึงชายหน้าใหม่เข้ามา
   “หมอนี่ชื่อเกมส์ เคยเล่นบาสด้วยกันหลังเลิกเรียน คุยด้วยแล้วถูกคอดี”
   “สวัสดีครับ ขออยู่กลุ่มเดียวกันด้วยได้ไหม”
   “เชิญเลยๆ” ผมตอบกลับเพื่อนใหม่อย่างยิ้มแย้ม
   “ผ่านฉลุยยย” นีพูดขึ้นมาพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ไอ้วิน มึงเก็บอาการหน่อยก็ได้นะเพื่อน
   “ไอ้เกมส์…ไอ้เกมส์ ใช่ไหมจำกูได้เปล่า”
   “หือ…อะ แพรวใช่ไหม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
   “เออ กี่ปีแล้วเนี่ย ตอนนั้นมึงยังตัวเตี้ยอยู่เลย”
   “ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้วนี่ ฮะฮะ”
   “ทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อนเหรอ” ปุยฝ้ายเป็นคนเปิดประเด็นที่ทุกคนคงกำลังสงสัยกัน
   “อ่อ พ่อแม่ผมกับแพรวเป็นเพื่อนสมัยมหาลัยกันน่ะครับ ก็เลยเคยเจอกันบ้างตอนเด็กๆ แต่หลังจากที่พ่อผมย้ายบ้านก็ไม่ได้เจอเลย”
   “เห...พูดง่ายๆก็เพื่อนสมัยเด็กสินะ งั้นก็เหมือนกับไอ้ฟ้ากับไอ้ทีเลย”
   หลังจากที่ปุยฝ้ายพูดจบผมกับไอ้ทีก็หันมามองหน้ากันเล็กน้อย
   “อย่างนั้นเหรอ…แล้วไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้วเหรอ”
   “ก็ประมาณตั้งแต่ ป.2 ล่ะมั้งครับ” …เป๊ะ
   “เหมือนกับพวกเราเป๊ะเลยว่ะ ไอ้ฟ้า”
   “หือ…” เกมส์ทำท่าสงสัยกับคำพูดของทีผมก็เลยช่วยขยายความให้เกมส์ไป พอเกมส์ได้ยินก็หัวเราะออกมา
   “ไม่น่าเชื่อว่าจะเหมือนกันเป๊ะแบบนี้เลยนะครับ”
   “นั้นสิเนอะ”
   “จะว่าไปยังไม่ได้แนะนำตัวดีๆเลยนี้เนอะ เราชื่อน่านฟ้านะ จะเรียกว่าฟ้าก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
   “ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
   หลังจากที่พวกเราคุยเล่นกันอยู่สักพัก พวกเราก็ไปรับกุญแจกระท่อมที่พวกเราต้องพักซึ่งพอเดินไปตามป้ายก็พบกับกระท่อมสองหลังขนาดไม่ใหญ่มาก แต่น่าจะใหญ่พอแค่ผู้ชายสี่คนนอนก็น่าจะเต็มแล้ว
   “งั้นเดี๋ยวกูไปนอนกับพวกไอ้ทีแล้วกัน”
   “อ้าวไม่มานอนกับพวกกูล่ะ”
   “แพรว…เห็นอย่างนี้กูก็เป็นผู้ชายนะ”
   “โอ้ย มึงอยู่กับพวกกูจนชินละ เนอะไอ้ฝ้าย ไอ้นี”
   “เออ อีกอย่างนิสัยมึงสมหญิงกว่าพวกกูที่เป็นหญิงแท้อีกวะ ฮะฮะ” กูไม่ได้ดีใจเลยครับที่ได้ยินแบบนั้น
   “พูดแบบนั้นพวกมึงไม่กลัวไอ้ฟ้าจับกดบ้างเหรอ” ไอ้วินกอดคอผมไปพลางพูดถามพวกผู้หญิงไปพลาง
   “ไอ้ฟ้าไม่ใช่มึงนิไอ้วิน” ไอ้ทีพูดก่อนจะตบหัวไอ้วินไปทีนึง
   “อ่ออีกอย่าง พวกกูไม่กลัวโดนไอ้ฟ้าจับกดหรอก แต่ไอ้ฟ้าจะโดนพวกกูจับกดเอามากกว่า” เป็นสาวเป็นแส้พูดแบบนี้ได้ไง ตบปากตัวเองร้อยที
   “เออ เป็นไปได้ว่ะ”
   “มึงก็ไม่ต้องไปตามน้ำก็ได้ไอ้ที” ผมพูดไปพร้อมกับศอกใส่ไอ้ทีเข้าที่ท้องไปทีนึง

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก(ใหม่)        : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : เพื่อนสนิท   

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 13 {22/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 24-12-2019 21:44:03
ขั้นที่ 14 ข้าวกล่อง
น่านฟ้า
   หลังจากแยกกับพวกแพรว พวกผมก็เดินเข้าไปเดินดูในที่พัก ซึ่งสภาพข้างในก็ไม่ต่างจากที่คิดมากนักเพราะข้างในนั้นมีเพียงแค่ฟูกปูไว้ 4 อันเต็มผนังฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเว้นเป็นทางเดิน ตรงไปก็มีแค่ห้องน้ำห้องเล็กๆแค่ห้องเดียวที่แยกเป็นที่อาบน้ำกับห้องส้วมแค่นั้น
   “อุหวา…ห้องเล็กจังวะ”
   “มาเข้าค่ายมึงจะเอาอะไรมากไอ้วิน” นทีตอบกลับวินที่กำลังทำหน้าตะลึงกับขนาดห้อง
   “กูรู้แต่กูไม่คิดว่ามันจะเล็กขนาดนี้ นี่เล็กแบบพื้นเหลือแต่ทางเดินเองนะเว้ย”
   “เอาน่ามึง ทนๆไปหน่อย”
   “มึงพูดแบบนั้นแต่ห้องเรานอนกันห้าคนนะมึงอย่าลืม เพราะมึงไม่ไปนอนห้องนู่นไง”
   “…ก็จริง” ดูจากสภาพห้องกับขนาดตัวของพวกมันสี่คนแล้ว แค่พวกมันสี่คนก็แทบจะนอนกันแน่นแล้ว ถ้าผมลงไปนอนด้วยก็คงแน่นชนิดไม่เหลือพื้นที่บนฟูก
   “ถ้านอนเบียดๆกันหน่อยก็น่าจะไปรอดล่ะมั้ง ไอ้ฟ้ามันไซส์ต่างจากพวกเราเยอะ ถ้าอยากอยู่กันสบายก็แค่ไล่ไอ้วินไปนอนข้างนอกก็พอแล้ว ตรงทางเดินขึ้นยังเหลือที่อยู่”
   ไนท์พูดขึ้นขณะกำลังยกสัมภาระเข้ามาในห้อง
   “ไหงมึงชอบบูลลี่กูยังวะ”
   “ก็เปล่านิ…พอดีปากมันพาไป”
   “ปากหมานักนะมึงเนี่ย”
   “ยังน้อยกว่ามึงล่ะนะ”
   “พวกมึงสองตัวอย่าพึ่งกันกัดได้ไหมมาจัดที่นอนกันให้เสร็จๆจะได้จบๆไป” ผมพูดขัดก่อนที่ทั้งสองคนจะเริ่มกัดกันยาวไม่งั้นกว่าจะจัดที่นอนเสร็จคงไม่เหลือเวลาให้พักเลย
   “คร้าบๆ คุณแม่” …เดี๋ยวปัดกัดแม่มไอ้สองตัวนี้
   “แล้วมึงจะนอนตรงไหน ไอ้ฟ้า”
   “กูนอนตรงไหนก็ได้แหละ”
   “งั้นมึงไปนอนข้างนอกตามที่ไอ้ไนท์บอกแล้วกัน”
   “ถ้ายังไม่อยากปากแตกก็เงียบไปซะ”
   “…น่าๆล้อเล่นนิดเดียวเอง คิดจริงจังไปได้” เริ่มเข้าใจความรู้สึกไอ้ไนท์แล้วล่ะตอนนี้…
   “…”
   “กูจะนอนตรงนี้ ห้ามใครแย่ง” วินตรงดิ่งไปจองฟูกตรงริมประตูทางเข้าทันที นอกจากจะโยนสัมภาระลงหมอนแล้วยังกระโจนลงไปนอนอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความที่มันเป็นค่ายมันจึงรับประกันความแข็งของฟูกได้เป็นอย่างดี เพราะตอนที่ตัวมันกระทบฟูกบนได้ยินเสียง ‘พลั่ก’ …น่าสงสารจริงๆวินเอ่ย
   “แล้วพวกมึงจะนอนตรงไหนกันอะ” ผมหันไปถามสามเกลอที่ยืนอยู่ข้างๆ
   “งั้นกูนอนข้างไอ้วินมันก็ได้ จะได้มีคนคุมความประพฤติมัน” ไนท์พูดขึ้นก่อนจะโยนกระเป๋าเป้ลงไปบนหลังไอ้วินที่นอนเกลือกอยู่บนฟูกเสียงดังตุ๊บ…เพื่อนวินเอ่ย กูเริ่มสงสารมึงแล้วว่ะ อะไรมันจะโดนเล่นทุกดอกแบบนี้
   “งั้นฟ้ามานอนเบียดกับผมเอาไหมครับ”
   “…จะดีเหรอเกมส์”
   “ครับ ยังไงผมก็มาจอยทีหลังอยู่แล้ว ผมไม่ว่าอะไรหรอกครับ” เทพบุตรกลับมาเกิดหรือไงเนี่ย คนดีเวอร์ พูดเพราะแล้วยังใจดีอีก…เสียดายไม่น่ามารู้จักกับไอ้วินเลย
   “งั้นก็ได้…”
   ก่อนที่ผมจะตอบรับข้อเสนอของเกมส์ ก็มีมือใหญ่คว้าแขนของผมก่อนจะลากผมเดินตรงไปยังสุดทางเดิน
   “ไอ้ฟ้ามึงมานอนกับกู”
   “…”
   “จะดีเหรอครับ ผมตัวเล็กกว่าทีถ้านอนกับฟ้าน่าจะเบียดนอนกว่านะครับ”
   “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน นอนด้วยกันจนชินแล้ว เกมส์นอนตรงนั้นคนเดียวไปเถอะ”
   “อ่อ จะว่าไปก็จริงด้วยนะครับ…ถ้าอย่างนั้นก็ขอรับข้อเสนอแล้วกันนะครับ”
   เกมส์พูดขึ้นก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางเข้ามายังฟูกที่อยู่ติดกัน ส่วนไอ้ทีที่ไม่รู้ว่านั่งลงไปตอนไหนมันก็ดึงมือจนผมต้องโน้มตัวลงไปนั่งกับมัน
   “เป็นอะไรอยู่ๆก็ลากมา มึงบอกกูเฉยๆก็ได้ไม่ต้องลาก”
   “โทษทีๆ พอดีกูคิดอะไรเพลินไปนิดเลยลืม ฮะฮะ”
   “เหรอว่ะ…”
   หลังจากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนชุดจากชุดพละโรงเรียนมาเป็นชุดไปรเวทตามสบาย นั่งๆนอนๆรอถึงเวลานัดเข้าห้องประชุมซึ่งอยู่ในโรงเรียน
   “งั้นเดี๋ยวผมไปตามพวกแพรวเลยนะครับ”
   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวไปด้วยกันเลยก็ได้”
   ผมพูดพลางลุกขึ้นมายืนพร้อมกับยืนเส้นยืดสายเล็กน้อย
   “เอ้ามึงก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
   ผมใช้เท้าเขี่ยร่างของเพื่อนสนิทที่ยังคงนอนแผ่อยู่บนฟูกนอน
   “กูขี้เกียจลุกอะ”
   “เลิกขี้เกียจแล้วลุกขึ้นมาได้แล้ว”
   “…กูลุกไม่ขึ้นอะ มึงช่วยดึงกูขึ้นไปหน่อยดิ” มันพูดขึ้นพร้อมกับเหยียดแขนทั้งสองข้างออกมาพลางเขย่าไหวๆทำท่าเหมือนเด็กไม่มีผิด
   “เฮ้อ มึงเนี่ยโตแต่ตัวจริงๆ”
   ผมเอื้อมมือไปจับมือของมันเอาไว้ แต่ในขณะที่กำลังจะออกแรงดึงก็ถูกแรงดึงที่เหนือกว่าดึงให้ผมล้มลงไปนอนบนฟูก พร้อมกับมีมือทั้งสองข้างเข้ามากอดรัดตัวเอาไว้ด้วยแรง ทำให้ผมไม่สามารถขยับตัวได้
   “โอ้ย...เล่นไรของมึงเนี่ยไอ้ที”
   “…อือ…ง่วงอะ”
   “ง่วงมึงก็นอนไปคนเดียวดิ ปล่อยกูได้แล้ว”
   “…ไม่เอา”
   “ไอ้ที…ปล่อย…”
   ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผล แขนทั้งสองข้างไม่ขยับเขยื้อน แต่ในขณะที่ผมกำลังปลงก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ที่มาในรูปขวดพลาสติกพุ่งเข้ามาใส่หัวไอ้ทีอย่างจัง จนมันต้องร้องขึ้นมาพร้อมกับปล่อยแขนทั้งสองข้างทำให้ผมกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง
   “โอ้ย…ทำไรของมึงวะ” พอมองกลับไปยังต้นทางก็ผมกับวินที่กำลังโบกมือไหวๆแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของขวดปาฏิหาริย์
   “กูต่างหากที่ต้องถามมึง…มึงจะสวีทตอนไหนกันก็ได้ แต่มึงจะมาสวีทกันตอนที่มีประจักษ์พยานถึงสามคนไม่ได้เว้ย”
   ไอ้วินพูดก่อนจะขว้างขวดมาอีกใบ แต่ต่างกันตรงที่คราวนี้ไอ้ทีรับได้แล้วเขวี้ยงกลับไป
   ผมรีบวิ่งออกไปตั้งตัวที่ประตูก่อนที่ไอ้เพื่อนตัวตีจะจับผมไปปู้ยี่ปู้ยำบนฟูกโดยใช้เกมส์เป็นโล่กำบังเอาไว้ พอไอ้ทีเห็นแบบนี้มันก็ถอนหายใจแล้วยอมแพ้

   สักพักนึง พวกแพรวก็ตามมาสมทบพวกเราจึงเดินไปยังที่นัดหมาย ซึ่งเป็นบริเวณลานโล่งที่มีหลังคาปิด พวกพี่พริมเลยนัดให้มารวมกันที่นี่เพื่อจะชี้แจงเรื่องอื่นเพิ่มเติมและกินข้าวเย็นไปด้วย
   “อ้าวน้องๆได้อาหารกันรึยัง” พี่สตาฟคนหนึ่งที่เห็นพวกผมเดินเข้ามา ตะโกนถามขึ้น
   “ยังเลยครับ”
   “ถ้างั้นส่งตัวแทนมาสักสองคนมารับข้าวกับน้ำที่พี่ได้เลยนะ ส่วนคนในกลุ่มที่เหลือหาที่นั่งในลานได้เลยจ้า”
   “งั้นเดี๋ยวกูไปเอามาให้แล้วกัน พวกมึงไปหาที่นั่งกันได้เลย”
   “อะ…เดี๋ยวผมไปช่วยด้วยแล้วกัน”
   “งั้นเดี๋ยวพวกกูนั่งตรงนั้นแล้วกัน ถ้าทีกับเกมส์มาแล้วก็ไปตรงนั้นนะ” นีพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังบริเวณโล่งๆในลาน ก่อนที่ทั้งสองคนจะพยักหน้าแล้วเดินตรงไปหาพี่สตาฟ

นที
   “เออ…นที…”
   “หือ…เรียกทีเฉยๆก็ได้”
   “อะ ครับ…ถ้างั้นก็ ทีเนี่ยสนิทกับฟ้าจังเลยนะครับ”
   “ก็นะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้ ไม่สนิทก็แปลกแล้ว”
   “เห…”
   “ทำไมมีปัญหาอะไร”
   “เปล่าครับ แค่คิดว่าดีจังเลยนะครับ”
   “ทางนั้นก็สนิทกับแพรวไม่ใช่เหรอ”
   “ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสนิทได้เต็มปากรึเปล่า แต่คือผมกับแพรวนิสัยต่างกันค่อนข้างเยอะ ตอนเด็กๆก็เลยไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าไหร่ จะเจอกันก็แค่ตอนที่พวกพ่อๆมาเจอกันเท่านั้นแหละครับ”
   พูดไปก็จริง เรียกได้ว่านิสัยแทบจะเป็นฟ้ากับเหวเลยด้วยซ้ำ ถ้าเปรียบไอ้เกมส์เป็นนางฟ้าเทพบุตรล่ะก็ไอ้แพรวก็เสมือนปีศาจล่ะวะ โดยเฉพาะคำพูดคำจาแม่งแมนซะเสียหญิงเลย
   “คนต่อไปมารับข้าวได้เลยนะ” เสียงพี่สตาฟเรียก
   “งั้นเดี๋ยวกูถือข้าวไปให้เอง มึงไปเอาน้ำก็แล้วกันนะ”
   “อ่อได้ครับ”
   “ถ้าน้ำต้องเดินไปเอาตรงลังตรงโน้นนะน้อง” พี่สตาฟพูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังลังสีน้ำตาลที่วางกองๆอยู่ประมาณสิบกว่าลัง
   “ขอบคุณครับ ถ้างั้นไว้ไปเจอกันตรงที่นั่งแล้วกันนะครับ”
   “อือ” พูดจบเกมส์ก็เดินไปหยิบน้ำปล่อยให้ผมอยู่รอพี่สตาฟจัดชุดข้าวเย็นให้
   “เอ้านี่จ๊ะ ถ้าไม่พอมาขอเพิ่มได้นะ แต่ว่าต้องรอให้เพื่อนทุกคนได้ข้าวเรียบร้อยก่อนนะ”
   “ครับ” ผมรับถุงที่บรรจุข้าวกล่องทั้ง 8 กล่องมาถือไว้ ก่อนจะเดินออกมาจากแถว
   ถึงจะพูดว่าเตรียมข้าวแล้วก็เถอะ แต่ดูจากสภาพน่าจะเป็นข้าวกล่องที่ถูกเตรียมเอาไว้นานโขเลยเพราะข้าวกล่องตอนนี้เรียกได้ว่าเย็นชืดหมดไม่หลงเหลือความร้อนแม้แต่นิดเดียว
   “เอ้าพวกมึง ข้าวมาแล้วหยิบไปคนละกล่อง ถ้าไม่พอไปขอกับพี่สตาฟเพิ่มเอง” ผมวางถุงข้าวลงกลางวง จากนั้นผมก็หยิบข้างกล่องออกมาสองกล่องก่อนจะเดินไปนั่งข้างไอ้ฟ้า
   “เอ้า”  ผมยื่นข้าวกล่องกล่องนึงส่งให้มัน
   “ขอบคุณ…โหโคตรเย็นเลยว่ะ”
   “ทำไงได้ล่ะมึง ทำใจแดกๆไปเหอะ”
   ผมเปิดกล่องข้าวออกมาก็ผมกับข้าวหมูกระเทียมโป๊ะด้วยไข่ดาว เมนูเบสิคๆสำหรับวันที่คิดอะไรไม่ออก ช่างสมกับเป็นเมนูข้าวกล่องค่ายจริงๆ ผมใช้ช้อนจ้วงหมูกับข้าวเข้าปากด้วยความหิวโหย…โอ๊ะ อร่อยดีแฮะ ใช่ได้ๆ
   แต่ในขณะระหว่างที่ผมจ้วงเอาๆ ร่างเล็กข้างๆจับช้อนแต่ไม่ยอมเอาข้าวเข้าปากใช้แต่ช้อนเขี่ยวนๆไป
   “เป็นไรว่ะมึง บ่นว่าหิวไม่ใช่เหรอทำไมไม่กิน”
   “กูก็หิวแหละ แต่ว่ากูกินไม่ได้อะ”
   หือ…ผมมองลงไปในกล่องข้าวของอีกฝ่ายก็พบกับกะเพราหมูสับ โป๊ะด้วยไข่ดาวพร้อมกับพริกแดงฉาน อีกหนึ่งเมนูเบสิคที่กำลังจะกลายเป็นอาหารประจำชาติ
   “อ้าวนี้มึงยังกินเผ็ดไม่ได้อีกเหรอ”
   “อือ ก็เคยลองแหละ แต่มันก็ไม่ไหวว่ะ”
   “อ้าวมึงกินเผ็ดไม่ได้เหรอเนี่ย กูพึ่งรู้” แพรวพูดขึ้นมาพร้อมกับข้าวในปากเต็มคำ
   “เออ เดี๋ยวตอนนั้นกูว่ากูก็บอกมึงไปตั้งนานที่โรงอาหารแล้วนะ ว่ากูกินเผ็ดไม่ได้”
   “เหรอว่ะ สงสัยตอนนั้นกูไม่ได้สนใจมั้ง ลืมไปแล้ว…แล้วมึงจะกินอะไร”
   “มันมีข้าวที่เป็นหมูกระเทียมอยู่ พี่สตาฟเขาน่าจะให้มาอย่างละครึ่งนะ”
   หลังจากที่ผมพูดขึ้นผมก็ลุกขึ้นชะโงกดูในกล่องข้าวของแต่ละคน เรียบร้อยมีหมูกระเทียมอยู่ 4 กล่อง อดแล้วล่ะไอ้ฟ้า
   “งั้นเดี๋ยวกูไปถามที่โต๊ะพี่สตาฟให้ เอาข้าวของมึงมา”
   “อือ” ผมรับกล่องข้าวกะเพราะมาพร้อมกับเดินตรงไปยังโต๊ะสตาฟเผื่อพี่จะเปลี่ยนเป็นข้าวหมูกระเทียมให้มันได้

   “น้ำมาแล้วครับ” ตอนที่ผมเดินกลับมา เกมส์กูกลับมาพร้อมกับน้ำขวดเย็นเจี้ยบแปดขวด พร้อมกับยื่นแจกให้แต่ละคน ก่อนจะนั่งลงในวง
   “เสียใจด้วยว่ะ ตอนนี้เหลือแต่กะเพรา” ผมเดินไปนั่งที่เดิมพร้อมกับยื่นกล่องกะเพราคืนให้ไอ้ฟ้า
   “อ้าวทำไมหมดเร็วจัง” นีพูดขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆ ซึ่งตอนนี้เพื่อนยังมากันไม่ถึงครึ่งเลย ซึ่งเมนูไม่น่าจะหมดไวขนาดนั้น
   “พี่เขาบอกว่าตอนแรกจะสั่งแต่กะเพราล้วน แต่เหมือนกับที่ร้านใบกะเพราหมดเลยได้เป็นหมูกระเทียมมาเติม มันเลยมีไม่เยอะ”
   “กูอยากรู้จริงๆว่าโรงเรียนไม่คิดเผื่อคนไม่กินเผ็ดเลยรึไงนะ” นั้นน่ะสิ ผมก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ หลายๆโรงเรียนเวลาเข้าค่ายก็ชอบสั่งกะเพราะมาไม่เผื่อคนไม่กินเลย ทำไมไม่สั่งอะไรหวานๆอย่างหมูกระเทียมมาแทนนะ
   “แล้วมึงจะกินอะไรอะไอ้ฟ้า” แพรวถามขึ้นมา
   “กูคงเขี่ยๆกินแต่ข้าวเปล่าแหละมั้ง”
   “แล้วมึงจะอิ่มเหรอว่ะ”
   “ก็คงพอถูๆไถๆได้แหละ”
   “…งั้นมึงเอาของกูไป” ผมยื่นกล่องข้าวหมูกระเทียมที่ตักกินไปแล้วบางส่วนให้กับร่างเล็กที่นั่งข้างๆ
   “ไม่เป็นไร มึงกินของมึงต่อไปดิ”
   “ก็กูเห็นมึงกินไม่ได้กูก็เลยจะเปลี่ยนกับมึงนี่ไง”
   “จะดีเหรอของชอบมึงนิหมูกระเทียม” มันมองหน้าผมสลับกับข้างกล่องในมือ
   “เออ กูไม่เรื่องมากเรื่องของกินสักหน่อย ถึงกูจะกินไปบ้างนิดนึง แต่อย่างน้อยมึงก็อิ่มกว่าแดกแต่ข้าวเปล่าแล้วกัน”
   “ถ้างั้นก็…”
   ในจังหวะที่ไอ้ฟ้ากำลังจะรับข้าวกล่องของผมไป ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขัดขึ้นมา
   “ทั้งสองคนทำอะไรกันอยู่เหรอครับ” เป็นเกมส์พูดขึ้นมาพร้อมกับกำลังจะเปิดข้าวกล่องในมือ
   “อ่อ ไอ้ฟ้ามันกินเผ็ดไม่ได้ แล้วข้าวหมูกระเทียมมันหมด ไอ้ทีมันก็เลยจะเอาของมันให้” แพรวอธิบายสรุปแบบรวบรัดตัดตอนให้เกมส์ฟัง
   “อ้าว ถ้างั้นฟ้าเอาของผมไปไหมครับ ยังไม่ได้กินเลย” เกมส์พูดขึ้นพร้อมกับโชว์ข้าวกล่องในมือซึ่งภายในไม่ใช่กะเพราหมูสับตามที่คิดกันแต่เป็นหมูกระเทียมที่น่าจะหมดไปแล้ว
   “จะดีเหรอเกมส์” ไอ้ฟ้าลดมือที่กำลังจะหยิบกล่องข้าวของผมลงไป ก่อนที่จะเปลี่ยนไปคุยเกมส์แทน
   “ครับ ผมกินเผ็ดได้อยู่ ถ้างั้นก็แลกกันนะครับ”
   “อือ” ร่างเล็กส่งกะเพราะหมูในมือแลกกับหมูกระเทียมจากนั้นมันก็หันมายิ้มให้ผมแล้วพูดต่อ
   “ดีใจด้วยนะมึง ที่มึงได้กินหมูกระเทียมต่อ”
   “…เออ”  ผมนั่งจ้วงหมูกระเทียมในมือต่อ พร้อมกับฟังไอ้ฟ้าคุยกับไอ้เกมส์อย่างสนุกสนาน หัวเราะกันอยู่เป็นระยะๆพร้อมรอยยิ้ม…แปล๊บ
   …หือ แปล๊บ?...ทำไมรู้สึกไม่สบายใจ เวลาเห็นมันสนิทสนมกับไอ้เกมส์แฮะ…ตอนที่มันมาคุยกับพวกไอ้ไนท์ยังไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย…ทำไมกันนะ ผมนั่งแทะหมูกระเทียมไปพลาง ใช้ความคิดหาสาเหตุความไม่สบายใจไปพลาง…

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก(ใหม่)         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : เพื่อนสนิท   

   
* ชอบไม่ชอบยังไง คอมเม้นติชมเป็นกำลังใจได้น้าาา >w<
   

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 14 {24/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 27-12-2019 20:16:52
ขั้นที่ 15 กิจกรรม
น่านฟ้า
   วันที่สองของการเข้าค่ายหลังจากที่วันแรกทุกคนเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทางที่นานแสนนาน
   “เป็นไงบ้างคะ น้องๆนอนหลับกันสนิทดีหรือเปล่าเอ่ย”
   หาว…จะว่านอนหลับสบายก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะไม่รู้อะไรมาดลใจไอ้ทีให้มันมานอนกอดผมแม่งทั้งคืน
   “เป็นไร นอนไม่หลับเหรอมึง”
   “แล้วมึงคิดว่าเป็นเพราะ กูต้องทนร้อน ทนอึดอัดทั้งคืน”
   “โอ๋ๆ น่าสงสารๆ”
   “เดี๋ยวมึงจะโดนไอ้ที แล้วอะไรทำให้มึงมานอนกอดกูแบบนั้นทั้งคืนว่ะ”
   “ไม่รู้ดิ ทวนความทรงจำมั้ง ไม่ได้นอนด้วยกันตั้งนานแล้วนี่”
   “แต่เป็นความทรงจำที่กูไม่ค่อยอยากจะจำและไม่ค่อยอยากจะเรียกมันกลับมาเท่าไหร่เลย”
   “เดี๋ยว…อย่าพูดอย่างงั้นดิว่ะ กูอุตส่าห์นึกว่ามึงก็คิดถึงเหมือนกัน”
   “ตอนแรกๆกูก็คิดถึงแหละ แต่ช่วงนี้มึงเริ่มจะทวนเยอะไปจนกูเริ่มเอียนแล้ว”
   “ชู่…พวกมึงเงียบกันก่อน” นีที่นั่งอยู่ข้างหน้าหันหน้ามาพร้อมกับยกนิ้วเป็นสัญญาณให้พวกเราเงียบกัน
   “เดี๋ยวพี่พริมจะชี้แจงกิจกรรมในวันนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่จะแบ่งพวกเราออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกจะให้ไปช่วยทำงานกันที่วัด ส่วนอีกกลุ่มนึงจะให้มาช่วยงานที่โรงเรียนนะ ส่วนจะได้ทำอะไรไว้เรามาลุ้นกันดูแล้วกันนะคะ…เอาล่ะ งั้นกระท่อมตั้งแต่กลุ่มที่ 1 ถึง 18 ตามพี่สตาฟฝั่งซ้ายไปได้เลยนะคะ พี่สตาฟช่วยยกมือหน่อยค่ะ”
   “ของเรากลุ่มอะไรอะนี ของเราอยู่กระท่อม 24 นู่น โชคดีนะที่เราได้ไปทำโรงเรียน กูรู้สึกโหวงๆกับวัดมากเลยว่ะ กลัวว่ามีอะไรจะโผล่”
   “กูก็ด้วย” เมื่อวานระหว่างเดินไปที่กระท่อมก็มองเห็นวัดอยู่ไกลๆ เป็นวัดที่ค่อนข้างใหญ่เพราะอยู่ติดเขาเลยมีพื้นที่มาก แต่เพราะงั้นก็เลยขาดคนดูแล ผนังงี้ดำเขรอะเลย มองตอนกลางคืนแล้วทำเอาเสียวสันหลังไปวูบหนึ่งเลยทีเดียว
   “จะว่าไปกูได้ยินข่าวลือมาด้วยนิดหน่อย”
   “ข่าวลือ?”
   “เค้าว่ากันว่าวัดนั้นเคยมีเรื่องเกิดขึ้น เห็นว่ามีครั้งนึงเคยมีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่แถวนี้ แล้วมีอยู่วันหนึ่งภรรยาออกไปทำธุระข้างนอกพอกลับมาก็เห็นสามีของตัวเองกำลังมีอะไรกับชู้สาวอยู่…”
   “…แล้วไงต่อ”
   “หลังจากนั้นภรรยาก็คลั่งหยิบขวานที่วางอยู่ใกล้ๆไล่จามชู้จนหัวแบะไป ส่วนฝ่ายสามีชิ่งหนีออกมาได้แล้วมาหลบอยู่ในวัด พอเล่าเรื่องนั้นให้พระในวัดฟัง พระก็บอกว่าตอนนี้มันมืดแล้วไปไหนมาไหนมันอันตรายเลยให้สามีคนนั้นพักอยู่ในวัดไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปแจ้งความกับตำรวจกัน หลังจากสามีใจเย็นลงแล้ว พระรูปนั้นก็ขอตัวไปสวดมนต์อยู่ที่ห้องข้างๆ แต่ในขณะที่สามีกำลังนั่งเฝ้ารอให้ถึงเวลาเช้าอย่างใจจดใจจ่ออยู่ๆไฟก็ดับลง พร้อมกับเสียงสวดมนต์ที่หายไปแทนที่ด้วยเสียงร้องของพระรูปนั้น…”
   “…” อึก…ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างตื่นเต้น
   “สามีที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไง สุดท้ายจึงตัดสินใจเปิดเข้าไปยังห้องที่พระรูปเมื่อกี้เข้าไปก็พบกับร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพระรูปนั้น แต่ในขณะที่กำลังตะลึงอยู่นั้น ก็ปรากฏมือเปื้อนเลือดจับบริเวณไหล่อย่างแรง เมื่อสามีหันหลังกลับไปก็พบกับร่างของภรรยาตัวเองในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดพร้อมกับขวานในมือ ก่อนที่เธอจะแสยะยิ้มออกมา…แล้วพูดว่า ‘…เจอแล้ว’…”
   หมับ…
   “เหวอ!!!!”
   ผมร้องตะโกนอย่างดังด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ๆมีมือโผล่มาจับที่ไหล่จากข้างหลัง ก่อนที่ผมจะตั้งสติหันกลับไปมอง ก็พบกับไอ้เพื่อนสนิทเจ้าของมือนั้นเอง
   “ทำเหี้ยไรของมึงเนี่ย กูตกใจหมด นึกว่าหัวใจจะวาย”
   “กูควรเป็นคนพูดคำนั้นไหม กูแค่เรียกมึงร้องซะจนกูนึกว่าใครตาย”
   “แล้วทำไมมึงไม่ดูจังหวะเลยว่ะ”
   “อะไร…คิดว่ากูเป็นผีหรือไง หืม…เด็กจังเลยนะเราเนี่ย” ไอ้ทียิ้มให้พร้อมกับยักคิ้วให้ทีนึง นอกจากนั้นยังเอามือมาขยี้หัวผมด้วย
   “ไอ้เหี้ยที เงียบไปเลย…”
   “เออ…น้องๆคะ พร้อมกันรึยังเอ่ย เพื่อนๆเขาเดินไปกันแล้วนะคะ” พี่พริมพูดขึ้นมาเรียกความสนใจของผมให้หันไปมองก็พบกับสายตาของพี่สตาฟ และเหล่าเพื่อนๆกระท่อมตั้งแต่หมายเลข 25 เป็นต้นไปที่กำลังรอพวกเราเดินไปอยู่จับจ้องกันอย่างพร้อมเพรียง ผมรีบปัดมือของเพื่อนสนิทตัวดีออกก่อนจะรีบเดินตามพวกแพรวที่เดินนำไปแล้ว แต่หยุดรอพวกผมอยู่ไม่ห่าง
   “เมื่อกี้กูจะบอกว่าถึงตาพวกเราเดินแล้ว กูก็เลยจะเรียกมึงเฉยๆ”
   “มึงก็แค่เรียกกูเฉยๆก็พอ เมื่อกี้นี้มึงจงใจชัดๆ”
   “แหมๆ ก็ใครจะคิดล่ะว่ามึงจะสะดุ้งขนาดนั้น…คิดแล้วก็ขำ ท้องแข็งเลยว่ะ”
   หนอย ฝากไว้ก่อนเถอะ ไว้ถึงทีกูเมื่อไหร่กูจะเล่นมึงให้หนักกว่านี้แน่…ผมคิดยังนั้นก่อนจะออกหมัดไปกระทุ้งที่ท้องของไอ้ทีก่อนทีนึงเพื่อให้มันหยุดหัวเราะสักที
   
   “สวัสดีค่ะน้องๆ คงไม่ต้องแนะนำตัวกันใหม่แล้วเนอะ เดี๋ยวพี่พริมจะมาชี้แจ้งเรื่องกิจกรรมที่เราจะทำกันนะคะ วันนี้พวกน้องๆจะต้องช่วยกันซ่อมแซมส่วนอาคารเรียนนะถือเป็นกิจกรรมจิตอาสา…”
   พี่จะให้พวกผมไปเป็นช่างปูนเหรอครับ…ถ้าทำงั้นมีหวังโรงเรียนคงพังในอีกไม่กี่ชั่วโมง
   “โอ๊ะๆ แต่อย่าพึ่งคิดว่าพวกน้องจะต้องไปก่ออิฐ ผสมปูน พี่ว่าถ้าน้องทำได้น้องลาออกไปทำก่อสร้างเถอะ ฮะฮะ”
   แหม น่าลองดูนะครับ ถือว่าบุกเบิกเส้นทางในอนาคต
   “งานที่น้องๆต้องทำก็เป็นงานพวกทำความสะอาด ทาสี ซ่อมแซมพวกเครื่องเล่น หรือไม่ก็พวกโต๊ะ เก้าอี้เป็นไงงานง่ายๆใช่ไหมเอ่ย”
   เอ่อ…คงงั้นมั้งครับ
   “งั้นเดี๋ยวพี่จะแบ่งงานให้เลยนะ ใครที่ได้หน้าที่แล้วเดินไปหาพี่สตาฟที่คอยดูแลได้เลย”
   
   “สวัสดีเป็นครั้งที่สามนะคะน้องๆ แหมน้องๆกลุ่มนี้มีดวงสมพงศ์กกับพี่พริมจริงๆนะเนี่ย เจอกับพี่ตั้งสามรอบแล้ว”
   ครับ…เจอจนเบื่อหน้าแล้วครับ
   “เดี๋ยวน้องๆกลุ่มนี้ต้องช่วยซ่อมแซมพวกเครื่องเล่นกับของเล่นนะคะ เดี๋ยวเรามาแบ่งกันดีกว่าว่าใครจะรับหน้าที่ไปทำอะไรกัน เดี๋ยวพี่ให้เวลาปรึกษากันสักครู่”
   “เอาไงพวกมึงจะทำอะไรดี” นีหันมาถามความเห็นของเพื่อนในกลุ่ม
   “ไม่รู้ว่ะ แต่กูคิดว่าของเล่นน่าจะสบายกว่าไหมมึง กูยังไม่อยากแปรสภาพตัวเองไปเป็นเด็กช่างนั่งเชื่อมราวเหล็กอยู่กลางสนาม” แพรวตอบด้วยใบหน้ามาดมั่น
   “มึงอย่าเวอร์ ใครเขาจะให้มึงไอเชื่อมเหล็กกัน กูก็สนใจซ่อมของเล่นเหมือนกัน แต่กูอยากรู้ว่าแม่งเป็นแบบไหน ถ้าเป็นพวกหุ่นยนต์กลไกกูว่าไปเชื่อมเหล็กง่ายกว่าว่ะ”
   “ง่ายๆ มึงก็ถามพี่เขาสิว่ะ…พี่พริมค่ะ” แพรวพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมา
   “มีอะไรเหรอน้องๆ”
   “ไอ้ที่ว่าของเล่นเนี่ย พอจะบอกได้ไหมค่ะว่าเป็นพวกอะไร”
   “อืม…ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นพวกตุ๊กตากับพวกหนังสือภาพนะ”
   ตุ๊กตา…
   “…มึงคิดเหมือนกูไหม นี”
   “…แน่นอนค่ะ”
   อยู่ๆก็เสียวสันหลังขึ้นมา…พร้อมกับที่เพื่อนทั้งสองปรากฏรอยยิ้มชวนขนลุก
   “งั้นเดี๋ยวกลุ่มพวกหนูของรับซ่อมพวกของเล่นเองค่ะ”
   “จะดีเหรอจ๊ะ พี่เห็นกลุ่มพวกหนูมีผู้หญิงแค่ 3 คนเอง เรื่องงานเย็บปักปล่อยให้อีกกลุ่มดีกว่าไหม”
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ กลุ่มหนูมีเทพหัตถกรรมกลับชาติมาเกิดอยู่ รับรองงานไวแน่นอน”
   เอ๋…มันพูดขึ้นพร้อมกับผายมือมาทางผม พอเห็นแบบนั้นผมก็ลนลานเล็กน้อย
   “หืม…ถ้าเราว่างั้นพี่ก็ไม่ขัดนะ งั้นเดี๋ยวพี่ไปบอกกลุ่มนั้นให้นะ”
   “ค่า ขอบคุณมากนะคะ”
   “กูว่าแล้วว่าที่มึงยิ้มกันอย่างนั้นมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล”
   “แหม กูอุตส่าห์หางานที่มึงถนัดมาให้ หรือมึงอยากจะไปนั่งซ้อมเครื่องเล่นกลางสนามร้อนๆล่ะ”
   “ครับๆ ขอบคุณมากเลยครับ”
   “ฟ้าเย็บปักเก่งเหรอครับ” เกมส์ชะโงกหน้ามาถามผม
   “ช่าย เก่งสุดๆเรียกว่าเป็นเทพได้เลยก็ว่าได้ ไอ้นี้ไอ้ฟ้าก็เป็นคนทำมาให้เป็นของขวัญ”
   แพรวพูดขึ้นพร้อมกับโชว์กระเป๋าใส่เศษเงินที่ผมเคยทำให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ทั้งแก๊ง
   “เห…สุดยอดไปเลยนะครับ” เกมส์พูดขึ้นในขณะที่พลิกมองกระเป๋าเงิน
   “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ก็แค่ทำจนมันชินแล้วแค่นั้นเอง”
   “ผมยังทำได้แค่เย็บแบบง่ายๆเอง ไว้ว่างๆช่วยสอนให้ด้วยได้ไหมครับ”
   “อือ…ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็นะ”
   “ครับ จะตั้งตาคอยนะครับ”
   หมับ…อยู่ๆก็มีแขนเข้ามากอดที่คอ กอดจะใช้กำลังดึงให้เดินไปข้างหน้าด้วยกัน
   “ไอ้ที อย่าเข้ามาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงดิ”
   “พี่พริมเขาเรียกแล้ว อย่ามัวแต่คุยกันมันเสียเวลา”
   “คุยกันแค่นิดเดียวเอง”
   “นิดเดียวของมึงนี่ กูไม่เคยเห็นมันจบที่นิดเดียวเลย ลากยาวตลอด”
   “ก็กูจะคุยอย่างนั้นนิหว่า แล้วมึงก็ปล่อยคอกูได้แล้ว เดี๋ยวกูขาดอากาศหายใจตาย คอกูยิ่งบอบบางอยู่”
   “คร้าบๆ”
   ไอ้เพื่อนสนิทปล่อยคอผมก่อนจะเดินตามพี่พริมเข้าไปในห้อง ทิ้งให้ผมงงๆกับการกระทำของมันเล็กน้อยก่อนผมจะเดินตามมันเข้าไป

   รู้สึกว่าเหมือนฉายภาพซ้ำยังไงไม่รู้
   “อือ…ยากอะ ทำไม่ได้”
   “กูด้วย…ไม่ไหวแล้ว”
   “พวกมึงเนี่ยนะ…กูเห็นบ่นทุกๆสิบนาที ตั้งแต่เริ่มจนตอนนี้ยังไม่เสร็จเลยไม่ใช่เหรอ” คิ้วผมกระตุกรัวๆ เมื่อเห็นภาพไอ้เพื่อนสาวสามตัว + วินที่ตอนนี้กำลังนอนยอมแพ้ให้กับเหล่ากองตุ๊กตาที่กองอยู่บนโต๊ะ
   “ก็พวกกูไม่ได้ช่ำเหมือนมึงนิ” พวกพูดขึ้นพร้อมกับชี้มายังกองตุ๊กตาจำนวนไม่น้อยที่กองอยู่ข้างหลังผม
   “เฮ้อ…สุดท้ายกูก็ต้องเป็นคนทำ”
   “ไว้เดี๋ยวพวกกูทำงานอื่นชดใช้มึงแล้วกัน เพราะงั้นตอนนี้ฝากมึงทำก่อนแล้วกัน ขืนพวกกูทำต่อกูว่างานน่าจะเสร็จช้ากว่าเดิม” ปุยฝ้ายพูดขึ้นมา โดยมีตัวประกอบอีก 3 คนพยักหน้ารับ
   “เป็นยังไงบ้าง งานคืบหน้ารึเปล่าเอ่ย”
   “ก็ค่อนข้างคืบหน้าไปเยอะเลยคะ”
   “โห สุดยอดทำเร็วจังเลยนะ เนี๊ยบด้วย” พี่พริมพูดขึ้นในขณะที่หยิบตุ๊กตาในกองที่ผมทำเสร็จแล้วขึ้นมาดู
   “อันนี้หนูทำเองหมดเลยเหรอ”
   “ครับ”
   “เห เก่งจังเลยนะ”
   “หนูบอกแล้วนี่คะ ว่ากลุ่มหนูมีเทพกลับมาเกิด…จะว่าไปพี่พริมมีธุระอะไรอีกรึเปล่าคะ”
   “อ่อ พอดีว่าพวกน้องๆในโรงเรียนเขาอยากจะเล่นกัน พี่ก็เลยต้องมานั่งหาคนไปเล่นเป็นเพื่อนกับน้องๆน่ะ”
   “งั้นพวกหนูไปช่วยเล่นให้ก็ได้นะคะ”
   “อ้าวจะดีเหรอ ยังซ่อมของกันไม่เสร็จเลยนี่”
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พวกหนูอยู่ตรงนี้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ สู้ไปทำประโยชน์อย่างอื่นจะดีซะกว่า” แล้วทำไมพวกเอ็งไม่เลือกงานที่พวกมึงทำด้วยได้ล่ะครับ…
   “พวกกูไปช่วยพี่เขาได้ไหมไอ้ฟ้า”
   “อืม ก็ได้นะ เดี๋ยวทางนี้พวกกูจะจัดการให้”
   “โอเค”
   พูดจบแพรว นี ปุยฝ้าย และวิน สี่สหายไร้ประโยชน์ก็ลุกขึ้นพร้อมจะเดินตามพี่พริมออกไปข้างนอก…หือ เหมือนจะขาดใครไปสักคนนะ
   “…ไอ้ที มึงไม่ต้องฝืนก็ได้นะ ไปเล่นกับน้องแทนดีกว่าไหม” ผมพูดขึ้นเมื่อมองไปเห็นเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งตัวเกร็งในขณะที่มือนึงถือเข็มที่กำลังสั่น และอีกมือถือตุ๊กตาหมีตัวน้อยๆที่กำลังจะถูกแทง
   “ไม่เป็นไร…กูอยากทำ”
   “ใช่แล้วไอ้ที มึงอยู่ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร มึงไปเล่นกับน้องกับกูดีกว่า”
   “อย่าพึ่งขัดดิไอ้วิน กูต้องการใช้สมาธิ กูจะทำให้ดูว่าถ้ากูจะทำก็ทำได้”
   หลังจากที่ไอ้ทีพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น มันก็นิ่งเงียบพร้อมกับค่อยๆบรรจงแทงเข็มลงไปยังตุ๊กตาหมี ผมกับวินนิ่งเงียบคอยดูท่าทีของมันไป เข็มค่อยๆถูกแทงขึ้นลงสลับกันไปเป็นจังหวะ ส่วนที่ขาดค่อยๆบรรจงติดกัน…เห ฝีมือดีขึ้นแล้วนี่หว่า…ซะที่ไหนล่ะว่ะ
   “เป็นไง เห็นไหมถ้ากูจะทำก็ทำได้” มันยื่นตุ๊กตาหมีที่สภาพรอยเย็บเละเทะถึงจะดูเหมือนจะแน่นหนาแต่จริงๆแล้วมันก็แค่แน่นเพราะเย็บติดซ้ำๆกันแค่นั้น ไม่มีศิลปะเล๊ย
   “ไอ้วิน…”
   “…”
   “เอามันไปซะ”
   ไม่รอช้าไอ้วินก็ลากคอไอ้ทีออกไป โดยที่มันไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยว่า ‘ม่ายย’ ปลงซะเถอะไอ้ทีกูว่ามึงอยู่ตรงนี้ไปก็ไม่รุ่งว่ะ ไปที่ชอบๆเถอะ
   
   “เฮ้อ…สุดท้ายก็เหลือแต่หน้าเดิมๆ” ไนท์ที่นั่งเงียบเย็บตุ๊กตาพูดขึ้นมา
   “ฮะฮะ…”
   “แล้วที่น่าแปลกกว่านั้นคือ ที่อยู่ตรงนี้สามหน่อเป็นผู้ชายหมด ส่วนพวกผู้หญิงดันไปใช้แรงงาน กูล่ะงงกับตรรกะเพื่อนมึงจริงๆ” ไนท์พูดขึ้นเมื่อเห็นแพรวแบกเด็กประมาณสองคนนั่งบนบ่าแล้ววิ่งไปรอบๆ
   “ฮะฮะ…มึงไม่ต้องงงหรอกเพราะกูก็งงไม่ต่างจากมึงหรอก” ผมหัวเราะแห้งๆตอบกลับไป
   ชายฉกรรจ์สามคนนั่งเรียบร้อยจับเข็มและด้ายเย็บตุ๊กตาอยู่ในห้อง ส่วนสตรีแท้ทั้งสามออกไปเล่นกับเด็กและทำงานใช้แรงต่างๆ อาจจะเป็นภาพที่ขัดใจในสายตาโรงเรียนชายล้วน แต่ในสายตาผมมันกลายเป็นภาพที่ตราตรึงใจไปแล้ว ยุคสมัยนี้ผู้หญิงเขาสตรอง และสตรองเกินไปจนแทบจะจับผู้ชายกดไปเป็นผัวแล้ว…น่ากลัว
   “หืม…เป็นอะไรไปเหรอเกมส์ ดูเหม่อๆนะ”
   “อะ ขอโทษครับ”
   “เหนื่อยเหรอ พักสักหน่อยก็ได้นะ”
   “เปล่าครับไม่เป็นไร พอดีนั่งคิดอะไรเพลินๆไปหน่อย… พูดถึงเรื่องพักแล้วผมว่าคนที่ควรจะพักที่สุดคือฟ้านะครับ”
   เกมส์พูดขณะมองไปยังกองตุ๊กตาที่กองอยู่ด้านหลังผมซึ่งมีความสูงเพิ่มขึ้นมาจากเมื่อสักครู่
   “ไม่เป็นไรๆ เราทำจนชินแล้วล่ะ ของแค่นี้ชิวๆ”
   “เห ยอดไปเลยนะครับ… ผมขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ” เกมส์พูดขึ้นมาพร้อมกับขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆผม
   “ได้สิจะถามอะไรเหรอ”
   “แพรวเนี่ยตอนอยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างเหรอครับ”
   “…ก็ปกตินะ อยู่ที่นี่ก็ทำตัวไม่ต่างจากโรงเรียนเลย ทำตัวซะห้าวยิ่งกว่าพวกผู้ชายซะอีก”
   “ฮะฮะ ไม่เปลี่ยนไปจากตอนเด็กๆเลยนะครับเนี่ย”
   “เกมส์เนี่ยสนิทกับแพรวมาตั้งแต่เด็กแล้วเหรอ”
   “ก็ไม่รู้สินะครับว่าจะเรียกว่าสนิทกันได้รึเปล่า…”
   “ทำไมเหรอ”
   “ก็ตอนเด็กๆพวกเราเคยเล่นด้วยกันนานๆครั้งน่ะครับ แถมแพรวก็เป็นพวกไม่ได้สนใจรอบข้างเท่าไหร่ จำได้เลยว่าตอนเด็กๆชอบพูดว่าอยากเป็นเหมือนกับคุณพ่อก็เลยชอบจำท่าซ้อมมวยแล้วมาทดลองใส่ผมเป็นประจำนั้นแหละครับ…”
   “เอ๊ะ” ผมกับไนท์ละมือจากตุ๊กตาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองต้นเสียงที่ตอนนี้กำลังท้าวคางนึกเรื่องในอดีตอยู่
   “รู้สึกว่าช่วงนั้นแพรวจะติดใจท่าจระเข้ฝาดหางก็เลยโดนแทบทุกวันเลย แถมเพราะเป็นเด็กก็เลยออมแรงไม่เป็นทำเอาผมแทบสลบไปเลยแหละครับเวลาโดน ฮะฮะ คิดแล้วก็ตลกดีนะครับ…”
   “…โหดชิบหาย” ไนท์สบถออกมาเบาๆ
   “แฮะๆ” ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆตอบ
   “จะว่าไปฟ้ากับทีนี่ก็สนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วสินะครับ”
   “อืม ก็ประมาณนั้นแหละ เพราะพอพ่อแม่รู้จักกันมาด้วยล่ะนะ เลยเจอกันมาตั้งแต่จำความได้แล้วมั้ง ตอนเด็กๆก็ไปค้างบ้านอีกฝ่ายเป็นว่าเล่นเลยล่ะ แทบจะเปลี่ยนไปเป็นลูกบ้านนู่นเลย”
   “เห สนิทกันจังเลยนะครับ…แต่จะว่าไปทั้งที่สนิทกันขนาดนั้นแล้วทำไมอยู่กันคนละโรงเรียนล่ะครับ ตามปกติก็น่าจะตามกันไป”
   “ก็นะเพราะไอ้ทีย้ายบ้านไปก่อนล่ะนะ พึ่งจะมารู้ตอนเปิดเทอมเนี่ยแหละว่ามันย้ายกลับมาแล้ว”
   “อารมณ์เหมือนผมเลยนะครับ แต่ของผมย้ายกลับมาตอนม.4”
   “ม.4 …อ้าวแต่พึ่งจะเจอแพรวตอนเข้าค่ายนี่”
   “พอดีผมคิดว่าแพรวน่าจะจำไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เข้าไปคุยด้วยแถมที่ย้ายกลับมาก็มีแค่ผมคนเดียว พอไม่มีพ่ออยู่ด้วยก็เลยไม่มีคนพาไปสุดท้ายก็เลยไม่ได้เจอกันมาจนถึงตอนนี้แหละครับ”
   “หืม…”
   “จะว่าไปทั้งคู่กลับมาเจอกันได้ยังไงเหรอครับ”
   “ก็พอดีว่าน้องสาวไอ้ทีมันเป็นเพื่อนของน้องสาวปุยฝ้าย แล้วก็เลยแลกไลน์กันสุดท้ายก็กลับมาคุยกับไอ้ทีล่ะนะ” ผมพูดขึ้นขณะชี้ไปทางปุยฝ้ายที่เล่นอยู่ข้างนอก
   “เหมือนพรหมลิขิตเลยนะครับเนี่ย”
   “เหมือนเทพเจ้าลงโทษมากกว่า”
   หลังจากนั้นผมก็คุยกับเกมส์อย่างสนุกสนาน ด้วยเรื่องของไอ้ทีเป็นหลักซึ่งเรื่องส่วนใหญ่ก็เป็นการเผาวีรกรรมตอนเด็กซะส่วนใหญ่ล่ะนะ แหม…มันส์จริงๆ การเมาท์ที่เจ้าตัวไม่อยู่เนี่ย…
   “เมาท์กูซะมันเลยนะมึง”
   ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อตัวบุคคลที่เป็นหัวเรื่องโผล่ขึ้นมาข้างหลังโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง ก่อนจะแทรกมานั่งตรงกลางระหว่างผมกับเกมส์
   “ที่นั่งมีตั้งเยอะ มึงจะมานั่งตรงนี้ทำไม”
   “ก็กูอยากจะนั่งตรงนี้มีอะไรไหม”
   ผมมองไอ้เพื่อนสนิทที่ลำบากเบียดตัวเข้ามาคั่นตรงกลางอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะกลับมาทำงานตรงหน้าต่อ แต่ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าไอ้ทีมันมองเขม่นเกมส์อยู่เป็นระยะๆ…สงสัยจะตาฝาดไปเองมั้ง…ช่างมันแล้วกัน ทำงานๆ

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก(ใหม่)         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : เพื่อนสนิท   

   
   

 
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 15 {27/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 30-12-2019 18:49:21
ขั้นที่ 16 ผู้รังสรรค์ความชิบหาย
น่านฟ้า
   “อืมม…อยากกลับไปนอนกลิ้งที่ห้องแล้ว เหนื่อย” ทีพูดขึ้นพร้อมกับเอาแขนสองข้างขึ้นมาพาดไหล่ผมพลางเอาหัวมาซุกที่หลังของผม
   “แต่กูได้ข่าวว่ามึงแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะไอ้ที”
   “กูก็ไปเล่นกับน้องๆมาไง”
   “นั้นแค่ตอนแรกไหม พอมึงกลับมามึงก็มานั่งโง่ๆอยู่ข้างกูเนี่ยนะ”
   “กูไม่ได้แค่นั่งโง่ๆซะหน่อย อย่ามาใส่ความ”
   “งั้นมึงทำไร” ผมหันกลับไปมอง
   “นั่งให้กำลังใจมึงไง” เจ้าตัวพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจพร้อมยักคิ้วกลับมา
   “…อ่อ เหรอ”
   ผมจัดการทิ้งหัวตัวเองลงไปปะทะกับหน้าของไอ้ทีอย่างจังจนมันต้องร้องออกมา
   “โอ้ย มึงจะเอาหัวมาชนหน้ากูทำไมเนี่ย ถ้าดั้งกูหักขึ้นมามึงจะรับผิดชอบกูไหม”
   “กูแค่ทดสอบความมั่นหน้าของมึงนิดหน่อย แต่ถ้าดั้งมึงหักขึ้นมาเดี๋ยวกูรับผิดชอบก็ได้นะ เดี๋ยวกูจะเตรียมกระเพาะปลาน้ำแดงไว้ให้ เอาหูฉลามด้วยมะ”
   “…ไอ้ฟ้ากูแค่ดั้งหักมั้ย ไม่ใช่ตาย”
   “อ้าวเหรอ แหมกูเข้าใจผิดไปเอง”
   “…”
   “น้องๆเป็นยังไงกันบ้าง กิจกรรมวันนี้เหนื่อยรึเปล่า”
   “เหนื่อย!!” แทบทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่ตรงนั้นตะโกนพร้อมกันเป็นเสียงเดียวไม่เว้นแม้แต่ไอ้มั่นหน้าที่นั่งอยู่ข้างหลัง
   “แต่ตอนนี้พี่ยังให้พวกหนูไปพักกันไม่ได้นะ เพราะยังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย อยากกินข้าวเย็นกันไหม”
   “อยาก!!!”
   “งั้นพี่มีข่าวดีจะมาบอก…มื้อนี้จะให้แต่ละกลุ่มทำกันเอง ฟรีสไตล์ได้เลย”
   เอ๊ะ…
   “เดี๋ยวส่งตัวแทนมารับวัตถุดิบกันไปได้เลยนะ อ่อแล้วก็กินข้าวเสร็จก็พักผ่อนได้ตามสบายเลยนะ แล้วเดี๋ยวตอนค่ำๆเราค่อยมาเจอกันใหม่ ถ้างั้นก็แยกย้ายได้เลยค่ะ”

นที
   “ดูจากวัตถุดิบแล้วคิดว่าคงทำเป็นหมูผัดซีอิ๋ว ผัดผัก ไข่ดาวหรือไข่เจียวก็ว่าไป แล้วก็กินกับข้าวสวยก็แล้วกันง่ายดี มีใครจะคัดค้านอะไรไหม”
   ปุยฝ้ายที่ดูเหมือนจะมีสกิลการทำอาหารสูงที่สุดในกลุ่มพูดขึ้นมาในขณะที่หยิบๆดูวัตถุดิบที่ได้รับมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผักและเนื้อสัตว์ กับเครื่องปรุงรสเล็กๆน้อยๆ
   “งั้นเดี๋ยวกูแบ่งงานให้เลย เดี๋ยวกู แพรวกับนีจะไปเตรียมหมูผัดซีอิ๋ว ไอ้ทีกับเกมส์ไปช่วยกันทำผัดผักโอเคไหม”
   “สำหรับผมไม่เป็นไรครับ”
   “กูยังไงก็ได้” แต่ติดใจแค่เรื่องเดียวคือทำไมต้องมาคู่กับไอ้เกมส์ด้วยว่ะ ไม่รู้ทำไมช่วงนี้เวลาเห็นหน้าไอ้เกมส์แล้วมันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา หรือเพราะหน้ามันยิ้มกวนตีนจนไปกระตุกต่อมน่าหมั่นไส้…อืมๆ เป็นไปได้
   “ส่วนไนท์ช่วยทำพวกไข่ให้หน่อยไหวรึเปล่า”
   “อืม ไม่มีปัญหา”
   “สุดท้ายวิน แค่หุงข้าวทำได้ไหม”
   “ถ้าแค่หุงข้าวล่ะก็ กูทำได้อยู่”
   เอาล่ะ แบ่งงานได้แล้วเราทุกคนรีบไปทำกันเถอะ ก่อนที่คนสุดท้ายจะพูดอะไรขึ้นมา ผมคิดอย่างนั้นในใจแต่ไม่ทันไร เจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ตัวเลยพูดขึ้นมา
   “อ้าวฝ้ายแล้วกูอะ” ไอ้ฟ้าพูดขึ้นมาเมื่อมันเป็นคนเดียวที่ไม่มีชื่อในการแบ่งงานเมื่อครู่
   “อ่อ…มึง…เออ…ใช่ๆ มึงพักไง ตอบแทนที่ทำงานให้พวกกู เดี๋ยวพวกกูจะจัดการตรงนี้ให้…ใช่ไหมแพรว”
   “อะ…เออๆ ใช่แล้วๆ ไอ้ฟ้ามึงทำงานหนักที่สุดแล้ว มึงไปพักก่อนได้เลย”
   ดูจากปฏิกิริยาแล้ว ดูท่าว่าพวกเธอคงจะรู้ถึงความสามารถในการทำอาหารขั้นสุดยอดของคุณนภดลแล้วล่ะครับ
   “แต่กูอยากช่วยอะ”
   “เออ…”
   “ไม่ได้เหรอ” มึงอย่าไปทำสายตาเว้าวอนขนาดนั้น…อะไรดลใจให้มึงอยากทำอาหารขนาดนี้เนี่ย
   “…งั้นมึงไปช่วยพวกไอ้เกมส์หั่นผักแล้วกันนะ”
   “ได้เลย”
   “แค่หั่นผัก…เข้า ใจ นะ” ปุยฝ้ายจับไหล่ทั้งสองข้างของไอ้ฟ้าก่อนจะพูดยืนยันโดยเน้นคำหลังเป็นพิเศษ
   “กูรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำขนาดนั้นก็ได้มึง”
   หลังจากที่ไอ้ฟ้าเดินจากไป ผมก็เข้าไปกระซิบถามปุยฝ้ายอย่างเป็นห่วง
   “จะดีเหรอ ที่ปล่อยไอ้ฟ้าไปเนี่ย”
   “พูดแบบนี้แสดงว่ามึงก็โดนมาแล้วซินะ โดนอะไรมาล่ะ”
   “ข้าวต้มซุปไก่สกัดผสมรังนกแท้ เติมแต่งความหวานด้วยแยมสตอเบอร์รี่และปรุงรสด้วยพริกเผาและสิ่งที่ไม่น่าเข้ากันได้” อุ๊บ…คิดแล้วก็ยังคลื่นไส้ไม่หายเลย
   “หึ…กระจอก”
   “มึงพูดขนาดนี้กูไม่กล้าถามเลยว่ามึงเจออะไรมา” ดูจากสีหน้าสลดสุดๆแล้วก็จิตนาการไม่ออกเลยว่าไอ้เพื่อนสนิทของผมไปทำของอะไรใส่จนเป็นขนาดนี้
   “ตอนเรียนคหกรรมไอ้ฟ้าแม่งทำไมโครเวฟระเบิด จนสัญญาณเตือนไฟไหม้ดัง วันนั้นนะมึงเอ่ยรถดับเพลิงวิ่งกันวุ่น แถมเจ้าตัวยังมีหน้ามาทำหน้าเอ๋อแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีกนะ เหตุการณ์วันนั้นเป็นที่ตราตรึงใจของครูประจำวิชา แล้วก็กลายเป็นตำนานไปแล้วล่ะ” อื้ม…วีรกรรมสุดยอดมากครับ
   “แล้วทำไมมึงยังปล่อยไอ้ฟ้าไปอีกว่ะ”
   “มึงต้องไปถามเพื่อนสนิทมึงนู่น ไม่รู้แม่งเสพติดการทำอาหารรึไง เวลามีงานแบบนี้มันชอบทำตาแป๋วอยากทำ แต่สกิลทำอาหารแม่งติดลบ”
   “คราวหลังมึงก็หัดปฏิเสธไปหน่อยดิ ไม่กลัวมีคนตายรึไงว่ะ”
   “ไอ้ฟ้าทำตาแป๋วเหมือนหมาปอมรอเจ้านายกลับบ้าน เป็นมึงจะกล้าปฏิเสธเหรอ”
   “อือ…คิดว่าไม่” สภาพเมื่อกี้ถ้าเกิดมีหางล่ะก็ รับรองสั่นพั่บๆยิ่งกว่าแผ่นดินไหว 10 ริคเตอร์
   “ใช่ไหมล่ะ ก็เล่นทำหน้าซะน่ารักขนาดนั้นใจกูก็ต้องอ่อนเป็นธรรมดา”
   “ใช่ น่ารักมาก…”
   เอ๊ะ…
   “หือ…เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”
   “เปล่าๆ ไม่มีๆ”
   เดี๋ยวดิทำไมอยู่ๆก็ไปคิดว่ามันน่ารักได้ว่ะ ถ้าตามปกติของเพื่อนผู้ชายมันต้องเท่หรือไม่ก็หล่อ ไหงไปคิดว่าไอ้ฟ้าน่ารักได้ล่ะเนี่ย…แต่มันก็น่ารักดีนะโดยเฉพาะตาใสๆเหมือนลูกกวางแรกเกิดแถมเวลาอ้อนก็ทำตาแป๋วเหมือนปอม…ไม่ๆ เดี๋ยวก่อนกลับมาก่อนศศิน มึงจะไปคิดว่ามันน่ารักไม่ได้…
   “เพราะงั้นนะไอ้ที…”
   ผมที่กำลังทะเลาะกับจิตใจตัวเอง ถูกปุยฝ้ายเรียกกลับมา
   “มึงช่วยดูแลไอ้ฟ้าหน่อยแล้วกัน อย่าให้มันเข้าใกล้เตาเด็ดขาดไม่งั้นมันมีความเสี่ยงต่ออัคคีภัยในภายภาคหน้าได้ เข้าใจนะ”
   “อะ…เออ…”
   “เข้า ใจ นะ”
   “คะ ครับ”

   “งั้นเราก็มาเริ่มกันเลยไหม”
   “ครับ/อือ” ทั้งสองคนตอบกลับมา
   “งั้นเดี๋ยวเกมส์รอผัดได้ไหม เดี๋ยวทางนี้จะช่วยเตรียมผักให้”
   “ได้ครับ”
   “ส่วนฟ้า…มึงไปล้างผักได้ไหม จากนั้นเดี๋ยวกูจะหั่นให้” ผมเลือกงานที่น่าจะปลอดภัยและน่าจะไร้ซึ่งความเสี่ยงมากที่สุดที่น่าจะเกิดขึ้น
   “โอเค แค่ล้างผักเองชิวๆ งั้นเดี๋ยวกูใช้ก๊อกน้ำตรงนั้นนะ” พูดจบไอ้ฟ้าก็ยกถุงผักขึ้นมา แล้วเดินตรงไปยังก๊อกน้ำที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
   “เออล้างให้สะอาดๆหน่อยนะเว้ย ถ้ามีอะไรก็เรียกกูแล้วกัน” ผมตะโกนตามหลังไปซึ่งอีกฝ่ายก็โบกมือเป็นสัญญาณว่ารู้แล้ว
   “งั้นเดี๋ยวผมไปดูเตาก่อนแล้วกันนะครับ ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็เรียกได้”
   “อืม”
   เฮ้อ…คงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรอกมั้ง แค่ล้างผักเอง…
   “ไอ้ที”
   “มีอะไร”
   “น้ำยาล้างจานอยู่ไหนอะ กูหาไม่เจอ”
   “น่าจะอยู่ใต้ซิงค์ล่ะมั้ง” ผมพูดขึ้นในขณะที่กำลังง่วนอยู่กับอุปกรณ์ที่จะใช้
   “อ่อเจอแล้ว…แล้วสกอตไบร์ทอะ”
   “น่าจะอยู่ข้างๆไม่ใช่เหรอ ลองหาดูดีๆ”
   “…อ่อเห็นแล้วๆ ไปหลบซะมุมเลย งั้นเดี๋ยวกูล้างผักเลยนะ”
   “เออ…”
   หือ…ผมเลิกสนใจกับอุปกรณ์ตรงหน้าพร้อมกับรีบเร่งฝีเท้าตรงไปหาไอ้ฟ้าที่อยู่ตรงก๊อกน้ำพลางใช้มือของตัวเองคว้าไปที่มือขวาของอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังถือสกอตไบร์ทพร้อมด้วยน้ำยาล้างจานอยู่เต็มแผ่น
   “เดี๋ยวก่อนนะ!!! มึงคิดจะใช้สก๊อตไบรท์กับน้ำยาล้างจานไปทำอะไร”
   “ทำอะไรเหรอ ก็ล้างผักไง”
   “แล้วบ้านมึงเค้าใช้น้ำยาล้างจานล้างผักเหรอครับ”
   “ไม่รู้ดิ กูไม่เคยเห็นตอนเค้าล้างกันว่ะ แต่ถ้าอยากให้สะอาดๆก็น่าจะใช้น้ำยาล้างจานนะ กูคิดว่า”
   “ไม่มีคนที่ไหนเค้าใช้น้ำยาล้างจานมาล้างผักกันหรอกนะครับ”
   “อ้าวเหรอ”
   …เกือบไปแล้ว… เกือบจะได้กินผัดผักคลีน(สะอาดใสกิ๊ง แม้แต่คราบฝังแน่นยังขาว) กันทั้งกลุ่มแล้ว เคยคิดว่าโง่เรื่องทำอาหารแต่ไม่คิดว่าไอ้เพื่อนสนิทคนนี้มันจะโง่ขนาดนี้ เรื่องแค่นี้เด็กประถมยังรู้เลยมั้ง
   “เฮ้อ…เอากะละมังมานี่ เดี๋ยวกูช่วย”
   ผมรับกะละมังมา ก่อนที่จะหยิบถุงเกลือที่เอามาจากถุงเครื่องปรุงเทใส่ลงไปกะละมัง คนผสมเข้ากับน้ำ ก่อนจะเทผักจากในถุงลงไปแช่ในกะละมัง
   “เวลาล้างผักเข้าให้แช่ลงในน้ำเกลือสักสิบนาที แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาก็ใช้น้ำเกลือล้างไปเลยแล้วกัน จำไว้ด้วยล่ะ ไม่ใช่เอาน้ำยาล้างจานมาล้าง”
   “เห…เหรอ มึงเนี่ยรู้เยอะดียังนะ”
   ไม่ล่ะ มันเป็นความรู้พื้นฐานอยู่แล้วครับเพื่อน…อย่างน้อยปกติเค้าก็ไม่เอาน้ำยาล้างจานไปล้างของกินอยู่แล้วล่ะครับ
   “งั้นเดี๋ยวตรงนี้กูทำต่อเอง มึงไปทำงานของมึงต่อก็ได้นะ”
   “ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูช่วย” ฉากน้ำยาล้างจานเมื่อกี้ยังตราตรึงอยู่จนผมไม่กล้าปล่อยมันทำอะไรคนเดียวเลย
   “ได้ไงอะ ถ้าแบบนี้มันก็ไม่แฟร์กับมึงดิ”
   “มะ…ไม่เป็นไร กูไม่คิดมากหรอก” แถมพวกกูจะปลอดภัยมากกว่าด้วย
   “ต้องคิดดิ…งั้นเดี๋ยวกูไปช่วยมึงหั่นแล้วกัน ตกลงตามนี้”
   เอาจริงดิ…ผมได้แต่คิดแบบนั้นในใจ

   “ไอ้ที จะให้กูทำอะไรบ้างบอกมาได้เลย”
   “อะไรงั้นเหรอ…”
   ผมคิดหนัก ในขณะที่เอาผักที่อยู่ในกะละมังมาคลำๆหาสิ่งที่มือใหม่สุดๆยิ่งกว่าเด็กทารกที่สามารถทำได้ง่ายๆ
   “งั้นมึงช่วยปอกหัวหอมให้หน่อย ได้ไหม”
   ผมยื่นหัวหอมหัวหนึ่งให้ไอ้ฟ้าไป สาเหตุที่ผมให้มันทำไม่ใช่อะไร…เพราะมันเป็นงานที่ง่ายที่สุดแล้ว แค่แกะเปลือกหุ้มด้านนอกออก แถมในถุงมีแค่ลูกเดียว งานแค่นี้เด็กประถมก็ทำได้
   “เดี๋ยวกูจะหั่นกะหล่ำอ ถ้ามีอะไรก็เรียกกูแล้วกัน”
   “อือ”
   สับ สับ…ผมหั่นกะหล่ำไปอย่างเพลิดเพลินได้ไม่นาน ก็มีเสียงคุ้นเคยเข้ามาให้ได้ยิน
   “ไอ้ทีๆ” ยังไม่ถึงนาทีเลยนะมึง…
   “มีอะไร”
   “หัวหอมมันหายไปแล้วอะ”
   “แล้วมึงจะปอกเนื้อทิ้งไปด้วยทำไม!!!” ผมมองดูซากน้อนหัวหอมที่ถูกทิ้งอยู่ในถุงขยะ…อโหสิให้นะหนูไปเป็นปุ๋ยเสียเถิด
   “อือ…น้ำตาไหลไม่หยุดด้วยอะ”
   ผมเปลี่ยนมามองยังร่างเล็ก ก็พบกับร่างเล็กที่ตอนนี้ตาแดงก่ำ มีน้ำตาคลอตรงหางตาเล็กน้อยๆ
   ใบหน้าตรงหน้านั้นช่างดึงดูดความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี…
   “ที…ไอ้ที”
   “หะ หะ มีไร”
   “มึงได้ฟังกูเปล่าเนี่ย กูบอกว่าน้ำตาไหลไม่หยุดไง อือ…แสบตาด้วย”
   “อย่าพึ่งขยี้ตาเดี๋ยวมันจะแสบมากกว่าเดิม ไปล้างตาตรงก๊อกน้ำ”
   ผมคว้ามือที่กำลังจะยกขึ้นมาขยี้ตาก่อนจะร่างเล็กเดินตรงไปยังก๊อกน้ำ โดยที่ผมสละภาพใบหน้าเคล้าน้ำตาของอีกฝ่ายออกไปไม่ได้เลย

   “เฮ้อ…ค่อยยังชั่วหน่อย งั้นมาทำงานต่อกันดีกว่า มึงจะให้กูทำอะไรต่ออะ”
   “มึงยังจะทำต่ออีกเหรอ”
   “เออดิ กูช่วยจะได้เสร็จเร็วๆไง”
   ‘แต่กูว่ามันน่าจะช้ากว่าเดิมนะ’
   “เมื่อกี้มึงพูดอะไรนะ”
   “อะ เปล่าๆ ไม่มี๊ ไม่มี”
   “เหรอ”
   “งั้นมึงเอาแครอทไปหั่นให้หน่อยก็แล้วกัน…ไหวแน่นะ” ผมถามยืนยันอีกครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบมาด้วยคำตอบที่ตามคาด
   “ไหวอยู่แล้ว” กูรู้ว่ามึงไหว แต่กูจะไม่ไหวแล้ว
   “อย่าลืมปอกเปลือกออกด้วยนะ”
   “อือ”
   พูดจบผมก็กลับไปยังเขียงที่หั่นกะหล่ำทิ้งเอาไว้…เอาล่ะเรามาเพลิดเพลินกับการหั่นกะหล่ำกันต่อ
   “ไอ้ทีๆ”
   กึง…เสียงมีดกระทบกับเขียงอย่างจัง
   “อะไรอีก” อย่าพึ่งมาขัดขวางเวลาของกูกับน้อนกะหล่ำได้มั้ย เดี๋ยวดำหมด
   “แครอทหายไปอีกแล้วอะ”
   “แล้วมึงจะปอกเนื้อทิ้งไปอีกทำมายยยย!!”
   
   เฮ้อ…รู้สึกเป็นการทำอาหารที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตแล้วให้ตายเถอะ
   “ไอ้ฟ้า กูขอล่ะ มึงไปพักก่อนเถอะนะ”
   “ไม่เป็นไรหรอกมึง กูยังไหวอยู่ เดี๋ยวกูจะช่วย”
   “มึง ถ้ามึงพลาดอีกกลุ่มเราจะได้กินผัดอากาศกันแล้วนะ” ผมจับไหล่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแน่น พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้
   “กูมั่นใจว่ารอบนี้กูไม่พลาดแน่ งั้นเดี๋ยวกูช่วยมึงหั่นกะหล่ำแล้วกัน อย่างนั้นมึงก็จะได้ดูกูไปด้วยไง โอเคไหม”
   “เฮ้อ…เอางั้นก็ได้” อย่างน้อยก็อยู่ในสายตาผมน่าจะไม่ต้องสละน้อนกะหล่ำไปอีกศพล่ะนะ
   คราวนี้ผมกลับไปยังเขียงพร้อมกับยื่นกะหล่ำครึ่งนึงให้ไอ้ฟ้าที่เอาเขียงมาตั้งข้างๆ ผมจ้องมองอยู่สักพักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหั่นไปได้ปกติก็หายห่วง กลับมาสนใจกะหล่ำอีกซีกในเขียงตัวเอง
   แต่ในขณะที่ยังไม่ทันจะได้จับมีดก็…
   “ไอ้ทีๆ”
   ปึด…เสียงเส้นเลือดในสมองที่พร้อมจะแตกออกมาได้ถุงเมื่อ
   “อะไรอีกล่ะโถ่!!!”
   พอผมหันไปก็พบกับคราบเลือดหยดเล็กๆบริเวณมีดและเขียง เมื่อย้อนดูขึ้นไปก็พบกับแผลบริเวณนิ้วชี้ที่กำลังมีเลือดทยอยไหลหยดลงมาเรื่อยๆ
   “โดนมีดบาดเหรอ ไม่เป็นอะไรนะ” ผมรีบเข้าไปดูอาการทันทีด้วยความเป็นห่วง
   “อืม ก็เจ็บนิดหน่อย แต่แผลแค่นี้เองปล่อยไว้เดี๋ยวก็หายแล้ว”
   หมับ…
   “อะ ไอ้ที ทำอะไรของมึงเนี่ย”
   ผมจับมือของอีกฝ่ายก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อเลียแผลบริเวณนิ้วชี้ของอีกฝ่าย
   ‘อืม มีรสเหมือนเหล็กเลยนะ’
   อืม…นิ้วเล็กจังเลย แถมนุ่มด้วยนะ
   “ไอ้ที…” ผมรู้สึกตัวขึ้นเมื่อมีแรงดึงบริเวณหัวของตัวเอง พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นใบหน้ามนของร่างเล็กที่ตอนนี้เริ่มมีหยดน้ำตาเล็กๆโผล่ขึ้นมาตามหางตา พร้อมกับแก้มที่เริ่มแดงขึ้น
   “ขะ ขอโทษ มึงไปล้างแผลตรงก๊อกน้ำตรงนั้นแล้วก็ไปขอพลาสเตอร์กับพวกพี่พยาบาลเถอะ เดี๋ยวทางนี้กูจัดการเอง”
   “อือ”
   ไอ้ฟ้าเดินตรงไปยังก๊อกน้ำ ผมมองมันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ แต่แม้ว่าจะมองเห็นแต่ข้างหลังก็เห็นได้ชัดเจนว่าแก้มของมันแดงขึ้นกว่าเดิมอีก
   แล้วนี้กูทำอะไรลงไปเนี่ย ไม่สมกับเป็นตัวกูเลย…ผมนั่งกุมหัวสับสนให้กับการกระทำของตัวเองที่มีต่อไอ้ฟ้า…นี่กูเป็นอะไรของกูเนี่ย…
   แต่ว่า…
   “อยากเห็นมากกว่านี้จัง…” ผมได้แต่บ่นให้ตัวเองฟังในความรู้สึกที่ตัวผมไม่อาจทำความเข้าใจได้

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก(ใหม่)         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?)   

   

   

   


หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 16 {30/12/2019}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 31-12-2019 23:54:38
ขั้นที่ 17 ความว้าวุ่น
น่านฟ้า
   ขณะนี้ผมกำลังวุ่นอยู่กับการช่วยเพื่อนที่รับบทเป็นผีแต่งตัวอยู่ ถึงจะพูดว่าแต่งตัวแต่ก็แค่ช่วยเช็คสภาพชุดแค่นั้นเอง แต่ก็ยังไม่วุ่นเท่ากันพวกปุยฝ้ายหรือนีที่อยู่ฝ่ายประสานงานล่ะนะ หายห่วงกันไปตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จแล้ว
   พูดถึงข้าวเย็นสุดท้าย หลังจากที่ผมออกไปทำแผลพอกลับมาก็โดนไอ้ทีกันบอกให้ไปนั่งเฉยๆ คิดว่ากูไม่รู้หรือยังไง ถึงฝีมือทำอาหารกูจะปกติแค่ค่อนไปทางแย่นิดหน่อยเอง อย่างข้าวต้มคราวก่อนก็อุตส่าห์ตั้งใจทำถึงมันจะบอกว่าโอเคก็เถอะ แต่เล่นทำหน้าหยะแหยงสุดๆแบบนั้น ใครๆเขาก็เดาออก
   แถมตอนข้าวเย็นยังทำบ้าๆแบบนั้นอีก…ทันทีที่คิดถึงเรื่องนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
   “ไอ้บ้า…”
   “หือ เมื่อกี้พูดอะไรรึเปล่า”
   “ปะ เปล่าๆ…เป็นไงมั้ง ขนาดพอดีไหม”
   “อืม พอดีเลยล่ะ ขอบคุณนะ”
   “ไม่เป็นไร ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาบอกเราได้นะ”
   เพราะไอ้ทีดันทำอะไรแปลกๆซะได้… ผมมองนิ้วมือที่มีพลาสเตอร์แปะอยู่ สัมผัสอุ่นๆของลิ้นและโพรงปาก…
   “ตอนนั้น…รู้สึกดีจัง…”
   ไม่ได้ๆ เผลอคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องซะได้…ตอนนี้ต้องทำงานก่อน ตั้งสมาธิๆ หายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้า…
   “ไอ้ฟ้า”
   อึ…ลมหายใจขัดข้องเมื่อได้ยินเสียงคุณเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง
   “อะ ไอ้ที มีอะไร”
   “ตอนนี้กูว่างๆเลยมาดูว่ามีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”
   “ตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว อีกเดี๋ยวงานกูก็จะเสร็จแล้ว มึงกลับไปรอกับพวกไอ้ไนท์ก่อนก็ได้ ยังไงกิจกรรมนี้โรงเรียนกูเป็นคนจัด”
   “ที่ว่าล่าท้าผีอะไรนั้นอะนะ”
   “อือ”
   “มึงพอจะรู้เปล่าว่าให้ทำอะไร”
   “อืม...รู้สึกว่าจะให้จับคู่ชายหญิงเดินเข้าไปในป่ารอบวัด แล้วไปเก็บแสตมป์ตามจุดต่างๆ…คิดว่านะ”
   ผมจำได้ว่าเคยได้ยินนีเล่าเรื่องกิจกรรมที่ตนเองแสนจะภูมิใจจัดขึ้น แต่นั้นก็แค่ตอนแรกเพราะหลังจากนั้นที่งานรุมเร้าเข้ามาอันตัวเธอนั้นก็ได้รับรู้ว่าหล่อนตัดสินใจผิดพลาดที่มาเป็นหัวหน้างาน
   “จับคู่งั้นเหรอ…”
   “…” ไอ้ทีคู่กับผู้หญิงงั้นเหรอ… พอคิดภาพตามก็รู้สึกแปลกๆในอก
   “งั้นมึงมาจับคู่กับกูแล้วกัน”
   “!!!” ผมทำหน้าตกตะลึงไปชั่วครู่
   “อะไรทำไมทำหน้าอย่างนั้น ไม่อยากคู่กับกูเหรอ”
   “เมื่อกี้มึงไม่ได้ฟังเหรอ กูบอกว่าจับคู่ชายหญิงนะ”
   “กูได้ยิน กูไม่ได้หูหนวกซะหน่อย”
   “แล้วทำไม…”
   “ก็กูอยากคู่กับมึงอะ ยังไงมึงก็ต้องคู่กับกูอยู่แล้ว…”
   ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากอีกฝ่าย ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกดีใจออกมาอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาอาการเจ็บแบบไม่รู้สาเหตุเมื่อครู่ปลิวหายไป
   “ที่พูดนั้นหมายความว…” ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดตอบ อีกฝ่ายก็ชิงพูดตัดหน้ามาก่อน
   “ยังไงซะ ถ้ามึงไปคู่กับคนอื่น เดี๋ยวมึงจะไปโชว์เด๋อกลัวความมือให้คนอื่นเห็น มาคู่กับกูจะได้สบายใจกว่าไง”
   “…” ความรู้สึกดีใจเมื่อครู่ที่มาอยู่ได้ไม่ถึงนาที ถูกเตะกระเด็นออกไปด้วยอารมณ์ฉุนกับไอ้เจ้าคนตรงหน้าแทน
   “เป็นไงกูฉลาดไหม”
   “ไม่รู้ล่ะ แต่ตอนนี้กูอยากซัดคนกวนตีนตรงหน้าสักหมัด”
   “ไหนเหรอมึงกูไม่เห็นเลย”
   “…”
   อั๊ก…ผมประเคนหมัดใส่ไอ้กวนตรงหน้า แต่เหมือนหมัดผมจะเบาเกินไปคนตรงหน้าเลยยังคงหน้ายิ้มแฉ่งพร้อมรอยยิ้มกวนๆประดับอยู่บนใบหน้า
   “หมัดเบาจังเลยนะครับ ออกแรงแล้วเหรอ”
   “อะไรเล่า อยากโดนอีกหมัดเหรอ”
   “แค่หมัดแรกซี่โครงกูก็จะหักแล้ว ถ้ามึงออกหมัดที่สองมากูคงร้าวไปทั้งตัว”
   “เวอร์”
   ฮะฮะ… ร่างสูงหัวเราะกลบเกลื่อน
   “แต่ที่กูพูดเมื่อกี้กูพูดจริงนะ”
   “หมายถึงเรื่อง”
   “ที่กูบอกว่ามึงต้องคู่กับกู…”
   เอ๊ะ…หมายความว่ายังไง
   “…” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถาม ก็มีเสียงเรียกขึ้นมาขัดก่อน
   “ไอ้ฟ้าอยู่รึเปล่า มาช่วยทางนี้หน่อย” นีตะโกนเรียกหาจนผมต้องละความสนใจไปก่อนพลางตะโกนตอบกลับไป
   “อยู่ตรงนี้”
   “งั้นไว้เจอกันนะมึง พยายามเข้า”
   “อะ อืม ไว้เจอกัน”
   ไอ้ทีเดินออกไปจากบริเวณเตรียมงาน ผมมองแผ่นหลังนั้นจนหายไปจากสายตา… ที่มันพูดเมื่อกี้…หมายความว่ายังไงกันนะ
   
   “เฮ้อ…เสร็จสักที”
   ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีคนที่อยู่ๆขนาดตัวเพิ่มจนใส่ชุดเดิมไม่ได้ โชคดีนะที่เอาอุปกรณ์มาก็เลยแก้ไข แต่เพราะเป็นอุปกรณ์เย็บมือก็เลยกินเวลาไปพอสมควร
   ตอนนี้งานของผมก็เสร็จแล้ว ที่จริงไม่จำเป็นจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมก็ได้ ไม่อยากเข้าป่ามืดๆด้วย…ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็คงไม่เข้าร่วมอยู่แล้ว ยังไงก็ไม่เข้าร่วมเด็ดขาด แต่พอรู้ว่าจะได้คู่กับไอ้ทีมันก็รู้สึกโล่งขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้ด้วย…
   ‘กลับไปรวมกับพวกไอ้ทีเลยแล้วกัน’
   “เดี๋ยวก่อนๆ ฟ้า”
   หือ…ทันทีที่ผมกำลังจะก้าวเท้าก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากข้างหลัง ผมจึงหันหลังกลับไปดูก็ผมกับผู้หญิงแขนป้ายสต๊าฟเช่นเดียวกับผม
   จะว่าไปเธอคนนี้รู้สึกว่าจะชื่อ…
   “มีอะไรเหรอ เอม” เธอเป็นหัวหน้าห้องอีกห้องที่รับผิดชอบเรื่องสถานที่
   “ตอนนี้ฟ้าว่างอยู่รึเปล่า”
   “เอ๊ะ…”
   “พอดีว่าคนที่คอยประจำจุดต่างๆเพื่อไม่ให้คนออกนอกเส้นทางตอนนี้มีไม่พอน่ะสิ”
   “อ้าว เกิดอะไรขึ้นอะ”
   “พอดีว่ากลุ่มนั้นดันโดนอาหารเย็นที่ทำเองทำพิษขึ้นมา ตอนนี้ก็เลยนอนซมกันเพราะอาหารเป็นพิษน่ะสิ”
   “แย่เลยนะ อย่างนั้นน่ะ”
   “อืม พอเอาคนที่เหลืออยู่มาจัดตำแหน่งใหม่ดูให้มันกระจายมากขึ้น แต่คนก็ยังขาดอยู่ดีเพราะงั้นฟ้าช่วยมาช่วยหน่อยได้รึเปล่า”
   “เราเหรอ…แต่ว่ามันมืดนะ” มะ ไม่ไหวหรอก ให้ไปอยู่ในที่มืดๆคนเดียวแบบนั้น…ผมจับแขนตัวเองเอาไว้แน่น
   “ไม่เป็นไรหรอกมีโคมไฟแขวนเอาไว้ให้แล้วก็มีไฟฉายแจกให้คนละกระบอก รับรองว่าไม่มืดแน่ ขอร้องล่ะนะ” เอมยกสองมือขึ้นมาไหว้ทำให้ผมรู้สึกใจอ่อน
   “…” ในวินาทีนั้นผมก็นึกถึงคำพูดของไอ้ทีเมื่อวันก่อนขึ้นมาได้… ‘มึงน่ะหัดปฏิเสธคนอื่นซะบ้าง’
   “ขอร้องล่ะ”
   “…อืม ก็ได้”
   “จริงเหรอ ขอบคุณนะ งั้นเดี๋ยวเอมจะอธิบายงานกับตำแหน่งให้ฟัง”
   ขอโทษว่ะไอ้ที…ยังไงกูก็ปฏิเสธไม่ลงอยู่ดี…
   เฮ้อ…ถ้าไอ้ทีรู้เข้าล่ะก็ โกรธจัดแหงเลย

   “เดี๋ยวฟ้ายืนประจำอยู่ตรงนี้นะ”
   เอมพาผมเดินมาประจำยังจุดที่อยู่ในป่า ซึ่งเป็นอย่างที่เอมว่าว่ามีโคมไฟแขวนไว้อยู่บนต้นไม้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบไม่มืดเท่าที่คิด แต่ก็ยังสลัดความกังวลออกไปได้ไม่หมด
   “หน้าที่ของฟ้าก็มีแค่คอยยืนแล้วก็ดูพยายามไม่ให้คนเดินออกนอกเส้นทางนะ”
   “อืม” จุดที่ผมประจำอยู่จะอยู่ห่างจากเส้นทางเดินนิดหน่อยเพื่อไม่ให้แสงจากโคมไฟส่องออกไปทำลายบรรยากาศของคนที่มา แล้วก็เพื่อให้สอดส่องได้กว้างกว่าเดิมหน่อย
   “มีอะไรจะถามอีกรึเปล่า…ไหวรึเปล่า เห็นจับแขนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ถ้าไม่ไหวบอกเอมได้นะ”
   “มะ ไม่เป็นไรๆ” ผมพยายามทำใจสู้ เพราะตอนนี้จะให้ไปหาคนใหม่ก็ยุ่งยาก แถมเอมก็ท่าจะยุ่งมาก ไม่อยากให้เป็นปัญหาซะเปล่าๆ
   “งั้นเหรอ ถ้างั้นอันนี้เป็นไฟฉายนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ เดินไปหาพวกที่ประจำจุดข้างๆก็ได้นะ…อะ ถ้างั้นเอมไปก่อนนะ ขอฝากด้วยนะ”
   “อะ…อืม”
   ผมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวท่ามกลางป่าที่ตอนนี้เริ่มถูกปกคลุมไปด้วยความมืด มีเพียงแสงไฟจากโคมไฟที่ยังคอยส่องแสงอยู่ช่วยคลายความกังวลของผมไปได้บ้าง
   “ลืมไปเลย ต้องส่งข้อความไปบอกไอ้ทีก่อน” ผมที่พึ่งคิดได้ว่ายังไม่ได้บอกเรื่องนี้ก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แต่ไม่ว่าจะพยายามเปิดเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดติดเลย
   “อ้าว ทำไมอะ” พอกดปุ่มเปิดเครื่องค้างไว้สักพักก็ปรากฏรูปแบตเตอรี่พร้อมกับคำเตือนรูปสายชาร์จ
   “แบตหมด…” เฮ้อ… ช่างมันแล้วกัน ผมเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าเหมือนเดิม ก่อนจะคิดหาข้อแก้ตัวกับไอ้เพื่อนสนิทว่าทางไหนที่จะทำให้โดนเทศน์น้อยที่สุดกันนะ

นที
   ฮึม…ทำไมไอ้ฟ้ายังไม่รับอีกเนี่ย
   ผมพยายามโทรหามันเป็นสิบสาย แต่ก็ไร้สัญญาณตอบรับ…ปิดเครื่องอยู่รึไงเนี่ย
   ตอนนี้ก็ใกล้จะได้กิจกรรมก็เริ่มไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของมันเลย ผมได้แต่เดินวนหาตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเปนห้องน้ำ ที่เตรียมของ หรือลานรวมตัว
   “อะ นี” ผมเห็นนีที่ยืนอยู่ตรงจุดเริ่มต้น ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปถาม
   “มีอะไร”
   “เห็นไอ้ฟ้าบ้างรึเปล่า หาที่ไหนก็ไม่เจอเลย”
   “ไอ้ฟ้าเหรอ มันไม่มีงานในส่วนนี้นะ ตามปกติมันก็น่าจะกลับไปพักที่ห้องแล้วล่ะ”
   “เมื่อกี้เราไปดูที่ห้องมาแล้วหาไม่เจอนะ”
   “แปลกจังนะ…จะว่าไปหาไอ้ฟ้าไปทำไมอะ”
   “ก่อนหน้านี้สัญญากันไว้ว่าจะคู่กับมัน แต่ตอนนี้ดันหาไม่เจอน่ะสิ”
   “เห…”
   “ยิ้มอะไร”
   “เปล่านี่คะ…แหมๆ คนกลัวความมืดอย่างไอ้ฟ้าเนี่ยนะเข้าร่วมกิจกรรมนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ คุณนทีไปทำอีท่าไหนถึงทำให้มันตอบตกลงได้เหรอ หืมม…”
   “ก็เปล่าสักหน่อย ก็แค่ชวนตามปกติเท่านั้นเอง”
   ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะชวนมันมาคู่กันหรอก… แต่แค่พอคิดว่ามันจะต้องคู่กับคนอื่น ก็ไม่อยากจะปล่อยมันไปเท่าไหร่
   …จะว่าไปมันก็ไม่น่ามาเข้าร่วมอยู่แล้วนี้ แล้วกูจะไปชวนมันมาทำไมเนี่ย ผมที่พึ่งคิดได้ก็ดันเผลอรู้สึกผิดต่อไอ้เพื่อนสนิท
   “เป็นไงบ้างนี ตรงนี้เรียบร้อยดีไหม” หญิงสาวห้อยป้ายสตาฟคนใหม่เดินเข้ามาสมทบ พลางคุยอย่างสนิทสนม
   “อืมก็พอได้แหละ พูดถึงปัญหาแล้วทางเอมล่ะเป็นไงบ้าง เห็นว่าคนที่ยืนประจำจุดอาหารเป็นพิษกัน คนก็เลยไม่พอนิ ไม่เป็นไรแน่นะ”
   “ก็ลำบากพอตัวเลยแหละ ต้องวิ่งไปถามคนนู่นทีคนนี้ที แต่สุดท้ายก็ได้คนมาช่วยครบแล้วล่ะ”
   “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ”
   เห…เป็นคนเตรียมงานก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย งั้นไม่อยู่กวนแล้วละกัน
   “งั้นเราไม่กวนแล้วนะนี ถ้าเจอไอ้ฟ้าแล้วก็บอกหน่อยแล้วกัน”
   “ได้ ถ้าเจอแล้วจะบอก”
   “กำลังหาฟ้ากันอยู่เหรอ” เอมที่ยืนอยู่พูดขึ้นมา
   “อืม รู้เหรอ”
   “เมื่อกี้เอมพึ่งจะไปขอฟ้าให้มาช่วยยืนประจำจุดน่ะ”
   “หา!!!” ผมกับนีร้องเสียงหลงพร้อมกันจนทำเอมตกใจไปครู่นึง
   “ทั้งสองคนทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้นด้วยล่ะ”
   “ไอ้ฟ้ามันเป็นโรคกลัวความมืดนะ ปล่อยให้มันไปยืนประจำจุดได้ไงอะ”
   “เอ๋ ก็เอมถามฟ้าว่าไม่เป็นไรใช่ไหม ฟ้าก็ตอบมาว่าไม่เป็นไร เอมก็เลยให้ฟ้าไปยืนประจำจุดอะ”
   “โถ่…ไอ้ฟ้า” อารมณ์ผมเริ่มเดือดให้กับพฤติกรรมของไอ้เพื่อนสนิท ทั้งๆทีกูพึ่งจะพูดไปหยกๆว่าหัดปฏิเสธคนอื่นหน่อย ถ้าเป็นงานปกติก็ยังพอรับได้ แต่นี้จะฝืนไปทำงานทั้งๆที่กลัวทำไมว่ะ
   “แต่ว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมั้ง เพราะว่าแขวนโคมไฟเอาไว้ด้วย แถมให้ไฟฉายติดตัวไว้”
   “ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย…” นีที่ยังพูดไม่จบก็มีสตาฟอีกคนเข้ามาคุยกับเอม
   “เอมๆ เห็นโคมไฟที่จะประจำจุด G ไหมอะ”
   “โคมไฟอันนั้นมันก็ต้องไปอยู่ประจำจุดแล้วสิ มีเรื่องอะไรเหรอ”
   “โคมไฟอันนั้น เห็นว่าไส้หลอดข้างในมันเริ่มจะเสียแล้วถึงจะเปิดติดแต่ก็อยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง เราเลยกะจะเปลี่ยน แต่พอจะมาเปลี่ยนก็มีคนเอาโคมไฟไปติดแล้วอะยังไม่ได้เปลี่ยนเลย”
   “เอ๋ ไม่จริงน่าทำไมไม่รีบบอกกันล่ะ…เดี๋ยวนะจุด G”
   เอมเอากระดานแผนที่ขึ้นมาดูในมือก่อนจะรีบหันมาพูดกับพวกผมด้วยใบหน้าเป็นกังวล
   “จุด G มันเป็นจุดที่ฟ้าอยู่…”
    “อยู่ตรงไหน…”
   “เอ๋…”
   “จุดที่ไอ้ฟ้าอยู่อยู่ตรงไหน!!!” มพูดเสียงค่อนข้างดังจนทำเอานีและคนรอบๆ สะดุ้ง
   “เอ่อ อยู่เลยจากเช็คพอยท์ที่สองออกไปทางป่าด้านซ้าย…”
   ยังไม่ทันที่จะได้ยินเอมพูดจนจบประโยค สมองของผมก็สั่งการให้ขาทั้งสองข้างขับเคลื่อน วิ่งไปอย่างรวดเร็ว โดยสมองไม่ได้จนจ่อถึงสายตาของคนในแถวหรือคนรอบๆที่จับจ้อง คิดเพียงอย่างเดียวคือไอ้เพื่อนสนิทตัวดีที่ชอบรับงานไปทั่ว

น่านฟ้า
   “เงียบจังเลยแฮะ” ตั้งแต่เอมกลับไปก็อยู่ตรงนี้มาเกือบชั่วโมงแล้ว นอกจากเสียงคนกรีดร้องที่ลอดเข้าหูมาเบาๆเป็นระยะๆ ก็มีแต่เสียงลมที่กระทบกับใบไม้จนเกิดเป็นเสียงที่ฟังดูแล้วขนลุกอย่างบอกไม่ถูกบวกกับบรรยากาศรอบข้างที่มืดจนมองเห็นแต่เงาต้นไม้ทำเอารู้สึกกลัว ยังโชคดีที่ยังมีแสงไฟจากโคมไฟส่องให้ความสว่างอยู่บ้าง
   “ว่างจังเลย” ผมหยิบเศษกิ่งไม้ที่ตกอยู่แถวนั้นขึ้นมาขีดเขียนพื้นดินเพื่อแก้เบื่อ
   โทรศัพท์ก็แบตหมด ไม่มีอะให้ทำแก้เบื่อเลยแฮะ อย่างน้อยก็อยากจะบอกไอ้ทีสักหน่อยมันจะได้ไม่เป็นห่วง ป่านนี้มันคงวิ่งว่อนตามหาผมอย่างเอาเป็นเอาตายแน่เลย
   ฮะฮะ…พอคิดภาพตามก็ทำให้ผมหัวเราะขึ้นมา ตั้งแต่กลับมาสนิทกันเหมือนเดิมทุกๆวันก็สนุกขึ้นมากว่าเดิม ไม่ใช่วันน่าเบื่อเหมือนทุกๆครั้ง ไอ้ทีก็ยังเอาใจใส่เหมือนเดิม…
   เหมือนเดิมเหรอ… ตอนที่เจอกันใหม่ๆ หรือนอนด้วยกันครั้งแรกก็ยังปกติ แต่ทำไมช่วงหลังๆผมถึงรู้สึกแปลกๆเวลาอยู่กับมันด้วยนะ เหมือนเป็นความรู้สึกที่โหยหาเลย…
   ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ…
   เปรี๊ยะ… ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงจากโคมไฟ
   “เฮ้ยๆ ไม่เอานะ” ผมเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
   โคมไฟที่ส่งเสียงประหลาด เริ่มกระพริบไฟเป็นสัญญาณ ติดๆดับๆ จนสุดท้ายเหมือนลางสังหรณ์ของผมจะเป็นจริง
   พรึ่บ… ไฟจากโคมไฟได้ดับลงทำให้บรรยากาศรอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด พร้อมกับลมที่พัดรุนแรงขึ้นจนเกิดเสียงกระทบขึ้นอย่างน่าขนลุก
   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)

อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?) ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?)   

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

Happy New Year 2020 


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สุขสันต์วันปีใหม่ค่า ขอบคุณที่ติดตามอ่านนิยายกันมา เรายังพึ่งเป็นมือใหม่อยู่อาจจะมีติดๆขัดๆ หรือไม่ค่อยลงบ้าง

แต่เราจะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้นในปีหน้าและปีต่อๆไปอีก ขอขอบคุณมากๆค่าา ^w^

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 17 {1/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-01-2020 12:00:45
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 17 {1/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 01-01-2020 18:41:18
รอนะครับ
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 17 {1/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 06-01-2020 21:30:44
ขั้นที่ 18 เพื่อนสนิท
น่านฟ้า
   บรรยากาศรอบตัวมืดมิดไปหมด เห็นเพียงแค่แสงจันทร์สลัวๆที่ส่องลอดใบไม้ลงมา
   “ไม่จริงน่า”
   ผมพยายามเปิดปิดโคมไฟ แต่ก็ไม่เป็นผล ถึงแม้จะมีประกายไฟติดอยู่บ้างก็ประกายไฟก็อยู่ได้ไม่นานสักพักก็ดับลงไป
   “จริงสิ ไฟฉาย”
   ผมหยิบไฟฉายที่อยู่ที่พื้นขึ้นมา
   กริ๊ก กริ๊ก… เอ๊ะ…
   ผมพยายามเปิดปิดไฟฉายหลายๆ ครั้งแต่ก็ไม่ปรากฏแสงสว่างออกมาจากปลายกระบอก มีเพียงเสียงปุ่มเปิดปิดเท่านั้น
   “ทำไม ไฟฉายก็ไม่ติดล่ะ”
   ผมหงายไฟฉายขึ้นมาพลางเปิดสำรวจบริเวณช่องใส่ถ่านก็พบกับความว่างเปล่าภายใน
   “… คราวหลังถ้าไม่มีถ่านก็อย่าให้มาเซ่ เอมมม!!!”
   ผมง้างแขนขึ้นกำลังจะเขวี้ยงไฟฉายในมือลงกระทบกับพื้นแต่ต้องชะงักมือเมื่อคิดได้ว่าเป็นของที่ยืมมาจึงละทิ้งการกระทำ
   “แล้วทีนี้จะเอายังไงดีเนี่ย”
   ผมมองไปรอบๆ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ ไร้ซึ่งแสงไฟ
   ‘เวลาแบบนี้คงต้องเดินไปหาพวกที่ประจำจุดอยู่ข้างๆสินะ’
   ผมที่ตัดสินใจไว้แบบนั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้น พลางค่อนๆก้าวขา… ข้างซ้าย… ข้างขวา…
   ‘ไม่ไหว ยังไม่ก็ไม่ไหว’
   ผมนั่งลงไปพลางจับแขนทั้งสองข้างที่กำลังสั่นกลัวไว้แน่น พยายามข่มความกลัวของตัวเองเอาไว้
   ครืด ครืด…
   ‘สะ…เสียงอะไรน่ะ’
   ผมหันไปมองตามต้นเสียง แต่เพราะความมืดทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าต้นเสียงนั้นคืออะไร เห็นแต่เพียงเงาต้นไม้รอบๆ
   วิ้ว… เสียงลมพัดรุนแรงขึ้น พร้อมกับใบไม้ที่ปลิวกระจายอยู่รอบๆ
   แฮ่ก แฮ่ก… หายใจไม่ออก
   ความรู้สึกอึดอัดที่หน้าอกทวีคูณขึ้นมา ลมหายใจติดขัดเหมือนมีบางอย่างกีดขวางหลอดลมเอาไว้ เหงื่อไหลบริเวณใบหน้า และลำตัวทำให้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาเมื่อผิวกายสัมผัสถึงลมที่พัดโบกมา
   [อะไร…จะไปด้วย…]
   อะไรน่ะ… อยู่ๆก็มีเสียงดังวนเวียนอยู่ในหัว
   [อ่า น่ารำคาญ ชะมัด…]
   ขอโทษที่ทำให้รำคาญ…
   [งั้นมาเล่นซ่อนแอบกัน อย่าออกมาจนกว่าจะเจอ เข้าใจไหม]
   ทำไมถึงยังหาไม่เจอ แต่ว่าออกไปไม่ได้… เพราะถูกสั่งไว้…
   ฮึก เสียงสะอื้นพร้อมหยดน้ำเล็กๆเริ่มผุดขึ้นมาจากหางตาและไหลไปตามใบหน้า…
   มืด…
   เหงา…
   เหนื่อย…
   ขอร้องล่ะ…
   “ฮึก… จะใครก็ได้ ช่วยหาให้เจอสักทีเถอะ”
    “แฮ่ก แฮ่ก…หาเจอสักที”
   เสียงที่คุ้นเคย เสียงที่โหยหา เสียงที่อบอุ่น ปรากฏกายพร้อมกับปัดเป่าความอึดอัดใจและความกลัวออกไป
   “…ไอ้ที”

นที
   “ฮึก…ไอ้ที” ร่างเล็กรีบพุ่งเข้ามากอดรัดตัวผมเอาไว้พลางเอาหน้าซบลงไปกับหน้าอก พลางร้องไห้ออกมาจน ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นและความร้อนบริเวณหน้าอก
   “ไม่เป็นไรแล้ว… กูอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ”
   ผมใช้มือค่อยๆลูบบริเวณผม และหลังของอีกฝ่าย คอยปลอบประโลมร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังสั่นกลัว จนอีกฝ่ายค่อยๆคลายความกังวลลง
   “ไม่เป็นไรแล้วนะ”
   “ฮึก…อืม”
   “ไม่เอาๆ ไม่ต้องร้องนะ” ผมใช้มือค่อยๆปาดหยดน้ำตาตามหางตาให้ร่างเล็กตรงหน้า
   ร่างเล็กตรงหน้า ยังคงมีเสียงสะอื้นหลงเหลืออยู่ ถึงแม้น้ำตาจะไม่ไหลแล้ว แต่ตาที่แดงก่ำก็เป็นหลักฐานได้อย่างดีว่าอีกฝ่ายร้องไห้หนักขนาดนั้น… พอเห็นแล้วทำให้ใจรู้สึกอึดอัดเหมือนโดนบีบรัด
   “โอเคขึ้นบ้างรึยัง”
   “อืม…ก็ดีขึ้นแล้ว”
   “งั้นกลับกันเลยไหม”
   “อืม”
   “เดินไหวรึเปล่า”
   ผมยื่นมือเข้าไปจับมืออีกฝ่าย พยายามจะช่วยประคองให้ขึ้นมายืน แต่ในจังหวะที่ไอ้ฟ้ากำลังจะยืนขึ้นมา มันก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา
   “ไอ้ที… กูลุกขึ้นไม่ได้อะ”
   ผมย่อตัวลงไปสำรวจบริเวณขาของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่พบความผิดปกติตามร่างกาย
   “สงสัยจะขาอ่อนมั้ง”
   “อืม”
   “ถ้างั้น…”
   ผมย่อตัวลงไปให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ หันหลังให้มันพลางยื่นมือไปข้างหลัง
   “งั้นมึงก็ขี่หลังก็ไปแล้วกัน”
   “จะดีเหรอ”
   “เออ หรือมึงจะอยู่ตรงนี้ต่อละ”
   “…”
   “เร็วๆดิ เดี๋ยวกูโดนตะคริวแดก”
   สัมผัสกอดรัดปรากฏขึ้นบริเวณลำคอ พร้อมกับสัมผัสอุ่นๆบริเวณหลัง ผมจัดการกอดขาทั้งสองข้างของมันให้แน่น ก่อนจะลุกขึ้น
   “มึงโอเคนะ” ไอ้ฟ้าที่เกาะอยู่ข้างหลังส่งเสียงขึ้นมาถาม
   “เออ กูโอเคอยู่แล้ว มึงนั้นแหละโอเครึเปล่า”
   “อืม”
   “งั้นกูเดินแล้วนะ”
   “อืม”
   ผมค่อยๆออกก้าวเดินไปตามทางที่ผมมา โดยใช้มือข้างนึงเปิดไฟฉายจากมือถือไปพลาง ส่วนสายตาก็ดูทางไปพลาง เหลือบไปมองร่างเล็กที่เกาะอยู่ข้างหลังไปพลาง
   บรรยากาศตอนนี้เงียบสงบ ไม่มีเสียงพูดคุยของพวกที่เข้าร่วมกิจกรรม เสียงลม รวมไปถึงเสียงพูดคุยของพวกเราสองคน
   ไม่มีการสนทนามาสักพักตั้งแต่ไปรับมันมา จนสุดท้ายร่างเล็กก็เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมา
   “ทำไมมึงถึงหากูเจอล่ะ”
   “ก็กูไม่เจอมึงตรงลาน พอได้ถามพวกสตาฟก็รู้ว่ามึงออกมาประจำจุด กูก็เลยเค้นถามพวกสตาฟเอา”
   “…กูขอโทษนะ”
   “อืม รู้ไหมว่าตอนกูรู้กูเป็นห่วงมึงแค่ไหน” ผมพยายามใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด เพื่อไม่ให้ร่างเล็กเตลิดไปมากกว่าเดิม แค่ตอนนี้มันก็บอบช้ำอยู่แล้ว
   “อืม… กูรู้ว่ามึงห่วงกูขนาดไหน กูขอโทษ”
   “คราวหลังหัดปฏิเสธบ้างนะ อย่างน้อยก็บอกเหตุผลไปทางนั้นก็ไม่โกรธหรอก”
   “อือ”
   “แล้วนี้ไม่กลัวแล้วเหรอ”
   “ก็ยังกลัวอยู่หรอก…”
   “…”
   “แต่พอมีมึงอยู่ใกล้ๆแล้ว ก็รู้สึกว่ากลัวน้อยลงกว่าเดิม รู้สึกปลอดภัยล่ะมั้ง”
   “เห็นกูเป็นพระเครื่องกันผีรึไงมึง”
   “ฮึฮึ…คงเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง”
   รอยยิ้มเล็กๆเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอ้ฟ้า
   “ไอ้ที…”
   “หืม”
   “ขอบคุณนะ…ที่หากูเจอ”
   ทันทีที่ได้ยิน หัวใจของผมก็รู้สึกอบอุ่น รู้สึกดีใจ ถึงแม้จะเป็นคำพูดทั่วๆไป แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่รู้สึกถึงความปกติในคำพูดเลย รู้สึกแต่เพียงความพิเศษที่แฝงไว้กับคำพูดนั้น…

    “ไม่เป็นไรนะฟ้า”
   หญิงสาวสวมป้ายสตาฟ รีบเดินตรงดิ่งมาหา เมื่อเห็นว่าผมแบกร่างเล็กเข้ามาในระยะสายตาก่อนที่ผมจะเดินตรงไปยังม้านั่งใกล้ๆ เบื่อปล่อยให้ร่างเล็กนั่งพัก
   “เราไม่เป็นไรหรอก เอม”
   “ขอโทษนะ เอมไม่รู้ว่าฟ้ากลัวความมืด ขอโทษจริงๆนะ” เอมรีบยกมือไหว้ขอโทษรัวๆ จนร่างเล็กต้องทำท่าทางเลิกลั่ก อย่างไปไม่เป็น
   “มะ- ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่ต้องขอโทษหรอก”
   แต่ดูท่าเธอจะยังไม่หายรู้สึกผิด เพราะเธอพูดขอโทษมาร่วมกว่าสิบนาที จนกระทั่งมีสตาฟคนอื่นมาเรียกให้ไปช่วยคุมกิจกรรมต่อ สภาพของร่างเล็กที่ทำท่าลุกลี้ลุกลนพร้อมกับมือที่ลนลานทำเอาผมหุบยิ้มมุมปากลงไปไม่ได้
   “เฮ้อ”
   “เป็นไงล่ะมึง ทำคนเขาเป็นห่วงกันหมด”
   “เออ กูเห็นเอมแล้วกูรู้สึกผิดเลย”
   “คราวหน้าคราวหลัง มึงหัดคิดให้เยอะๆมากกว่านี้หน่อย”
   “มึงจะหาว่ากูคิดน้อยว่างั้น”
   “เออ ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น มึงคงไม่อยู่ในสภาพนี้หรอก ไอ้โง่”
   “อะไรกันเล่า กูก็แค่ไม่อยากทำให้คนอื่นเค้าเสียใจนี่… โอ้ย เจ็บนะไอ้ที ปล่อยแก้มกู” ผมยื่นมือเข้าไปจับดึงยืดแก้มนุ่มๆ จนมีรอยแดงปรากฏขึ้นบนแก้ม
   “กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้คนอื่นเสียใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มึงหัดคิดถึงตัวเองบ้างดิ”
   “…”
   “มึงรู้ไหมว่าตอนกูรู้ว่ามึงไปอยู่ในที่มืดๆคนเดียวกูรู้สึกยังไง รู้ไหมว่าตอนกูเห็นมึงตอนร้องไห้มันทำให้กูเสียใจขนาดไหน”
   ความรู้สึกห่วงใยที่เก็บเอาไว้ตลอดทางกลับ พลั่งพลูออกมาเหมือนกับถูกเก็บกดมาอย่างยาวนานพอมีรูเพียงเล็กน้อยก็พร้อมที่จะทะลักออกมาทุกเมื่อ
   “ตอนนั้นกูไม่คิดอย่างอื่น คิดแต่เพียงแค่ว่าขออย่าให้มึงเป็นอะไรไป”
   “ที…”
   “เพราะงั้น ถึงจะคิดว่าเห็นแก่ตัวก็เถอะ แต่ขอล่ะ…”
   ผมเอนหัวลงไปพิงกับไหล่เล็กๆของไอ้ฟ้า
   “ก่อนที่จะคิดถึงคนอื่น ช่วยคิดถึงความรู้สึกกูก่อนใครเถอะนะ”
   “…ที่มึงพูดมา หมายความว่า…”
   ทันทีที่ผมรู้สึกตัวผมก็รีบสะดุ้งตัวพลางขยับตัวออกห่างมาจากฟ้า ก่อนที่จะรวบรวมสติเพราะมีครู่ดันเผลอไปหน่อย นอกจากเทศน์เรื่องก่อนหน้านั้นแล้ว ดันเผลอหลุดคำพูดแปลกๆออกไปซะได้
   “มะ-เมื่อกี้มัน…”
   ในขณะที่ผมกำลังคิดคำพูดแก้ตัว สัมผัสหนักๆก็ปรากฏขึ้นบนไหล่ของตัวเอง คราวนี้ฟ้าขยับเข้ามาใกล้พร้อมทิ้งเอาหัวมาพิงที่ไหล่ของผมพร้อมกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
   “อะไรของมึงเนี่ย ทำอย่างกับกูเป็นแฟนมึงไปได้”
   “ฮะฮะ นั้นสินะ กูก็แค่ห่วงมึงในฐานะเพื่อนเอง”
   รู้สึกเจ็บปวดที่ก้อนเนื้อด้านซ้าย ถึงแม้จะผมจะเป็นคนพูดเองก็เถอะ
   “นั่นสินะ แต่ว่ากูไม่ได้เห็นมึงเป็นแค่เพื่อนหรอกนะ”
   “…”
   “มึงน่ะเป็นเพื่อนสนิทของกูเลยล่ะ เพื่อนสนิทคนสำคัญ
   ขอโทษที่แอบคาดหวังกับคำตอบที่พอจะเดาออกได้…
   ก้อนเนื้อด้านซ้ายรู้สึกถึงความอึดอัดทวีคูณยิ่งกว่าเดิม เมื่อคนตรงหน้าเป็นคนพูด
   “ที เป็นอะไรรึเปล่า ทำหน้าแปลกๆไปนะมึง”
   “เปล่าไม่มีอะไร”
   ไม่รู้ว่าตนเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป รู้แค่เพียงว่ามันต้องแย่จนอีกฝ่ายต้องร้องทักขึ้นมา ผมรีบจูนให้หน้าตัวเองกลับมาเป็นปกติ
   “มึงล่ะ อยากได้อะไรไหม”
   “อือ ก็มีอย่างนึงนะ”
   “อะไรเดี๋ยวกูไปหยิบมาให้”
   “มึง…”
   “…”
   ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากของมัน ความรู้สึกดีเริ่มพวยพุ่งขึ้นไปสูงเหมือนดั่งน้ำพุที่พึ่งจะเปิดสวิตซ์ แต่คำพูดถัดมาก็ทำให้รู้ว่าอยู่ๆไฟฟ้าก็ถูกตัด
   “กูขอยืมไหล่มึงนอนหน่อยแล้วกัน พิงแล้วรู้สึกสบาย… หาว”
   “งั้นมึงก็นอนไปสักพักแล้วกัน เดี๋ยวกูปลุก”
   “อือ ขอบคุณ…”
   เปลือกตาค่อยๆหนักขึ้นๆ จนลมหายใจของร่างเล็กเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เหลือไว้แต่เพียงผมที่ตอนนี้กำลังทำความเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง
   ความรู้สึกห่วงใยเกินคำว่าเพื่อน…
   ความรู้สึกเจ็บปวดกับคำว่าเพื่อน…
   ความรู้สึกอึดอัดกับคำว่าเพื่อนสนิท…
   “เฮ้อ… น่ารำคาญจังเลยนะความรู้สึกแบบนี้เนี่ย” ผมได้แต่นั่งคิดคร่ำครวญกับความรู้สึกแปลกประหลาดของตัวเอง ความรู้สึกที่นำความอึดอัดมาสู่ใจ ความรู้สึกผิดต่อคำว่าเพื่อนสนิทของเราสองคน
   
   *****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?) ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท   

   
   
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 18 {6/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 10-01-2020 23:14:15
ขั้นที่ 19 นัด
น่านฟ้า
   หลังจากจบค่ายกิจกรรมก็มีอีเว้นท์ใหญ่ที่สุดในรอบเทอมที่ทำให้เด็กนักเรียนหลายคนต้องกรีดร้องด้วยความทรมาน นั้นก็คือการสอบปลายภาค
   เนื่องจากว่าตอนนี้พวกผมอยู่ม.5 กันแล้วแต่ละวิชาก็เริ่มทวีคูณเนื้อหาให้ยากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้เหล่าพ้องเพื่อนที่ปกติแถบจะไม่สนใจในการเรียนเลยตอนนี้กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับหนังสือเรียนซึ่งเป็นภาพหายากที่สามารถรับชมได้แค่ตอนช่วงนี้เท่านั้น
   “ฟ้าตรงนี้ทำยังไง”
   “อ่อ ตรงนี้แกแทนค่าผิด ลงคิดใหม่อีกรอบดู”
   พวกผมนั่งติวหนังสือกับในคาเฟ่ของไนท์ด้วยความที่เป็นคาเฟ่ที่ใกล้แถมโลเคชั่นยังดี ทำให้พวกผมยึดสถานที่นี้ไว้เป็นที่นัดอ่านหนังสือกัน แถมบางครั้งอาจจะมีลาภลอยจากพี่ทรายเป็นของแถมเล็กๆน้อยๆ
   “อืมมม ยากจังวะ”
   “เลิกบ่นน่าแพรว มึงบ่นอย่างนี้มาทุกสิบนาทีเลยนะ”
   “ก็กูไม่ถนัดนี่ไอ้ฝ้าย กูอยากขยับร่างกายบ้าง”
   “เฮ้อ แล้วแบบนี้มึงจะรอดไหมเนี่ย”
   “ไม่ต้องห่วงๆ กูมีไอ้ฟ้าคอยช่วยติวให้ กูคาบเส้นทุกครั้งเพราะมันเลย”
   “เป็นแบบนั้นตลอดเลยแหละมึง แต่อย่างน้อยเรื่องนั้นกูก็ไม่เถียง ให้ไอ้ฟ้าติวให้มันดีจริงๆ ทำกูรอดมาหลายครั้งแล้ว”
   “พวกมึงก็หัดอ่านหนังสือกันบ้าง กูช่วยพวกมึงไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
   “ค่าา แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกกูขอเกาะมึงไปก่อนแล้วกัน”
   ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับคำพูดของปุยฝ้ายที่พูดออกมาโดยไม่ได้มีความรู้สึกผิดเจือปนอยู่เลยแม้แต่มิลลิเมตรเดียว
   “ไว้เรียนจบกูจะเอาพวงมาลัยมาไหว้”
   “กูไม่ใช่พระไหมแพรว”
   “ถ้าอย่างนั้นเดียวกูออกเงินอัพเกรดให้ เดี๋ยวกูสั่งพวงหรีดชนิดลิมิตเต็ดให้มึงโดยเฉพาะเลย”
   “ฝ้ายกูยังไม่ตาย!!!”
   “ถ้าอย่างนั้นเดียวกูเป็นสปอนเซอร์โต๊ะจีนให้”
   “มึงก็ไม่ต้องมาผสมโรงเลย นี!!!”
   พวกเราพูดหยอกล้อ พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างจะดังจนพนักงานเสิร์ฟหนุ่มที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของร้านพร้อมกับผ้ากันเปื้อนที่มีโลโก้ของร้านจึงเดินเข้ามาเตือนพร้อมกับเค้กในมือ
   “ขอโทษนะครับคุณลูกค้าช่วยลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ”
   พนักงานหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยวางเค้กสีส้มสดใสลงตรงหน้าผม
   “ไม่ได้ค่า” ปุยฝ้ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น
   “ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอเชิญออกไปจากร้านแล้วกันครับ อยากจะให้ถีบส่ง หรือสาปส่งก็เลือกมาได้เลยครับ”
   “…ขอโทษค่ะ ไม่เล่นแล้วก็ได้” พอโดนตอบกลับมาแบบนี้เธอจึงทำหน้าหงอยหันไปสนใจหนังสือตรงหน้าแทน
   “โทษทีนะไนท์ พอดีทำเสียงดังไปหน่อย”
   “ไม่เป็นไรแต่อย่างน้อยก็ช่วยเบาเสียงลงไปหน่อยก็ดี มันรบกวนลูกค้าคนอื่นเขา”
   “จะพยายามแล้วกัน… ว่าแต่เค้กก้อนนี้” ผมพูดพลางชี้ไปยังเค้กที่วางตรงหน้า
   “อ่อ ก้อนนั้นกูเอามาให้ พอดีเห็นว่ามึงใกล้จะตายแล้วกูก็เลยเอามาถวายให้สักหน่อย” บริกรหนุ่มพูดพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ทันทีที่เหล่าสามสาวได้ยินก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอีกระลอก
   “มึงก็อย่าเล่นไปกับพวกมันดิ”
   “ครับๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้”
   ผมจัดการหยิบส้อมตรงหน้าพร้อมกับจ้วงเค้กเข้าปาก ใช้ความหวานของเค้กเพื่อระงับอารมณ์และอวัยวะเบื้องล่างที่ตอนนี้กำลังกระดิกๆอยู่ใต้โต๊ะ
   “พอดีกูมีอะไรจะถาม”
   “…”
   ผมหันไปมองไนท์ที่นั่งลงตรงเก้าอี้ พลางเงียบรอคำถามของอีกฝ่ายพร้อมกับจิ้มเค้กชิ้นงามพยายามจะนำเข้าปาก แต่ก็ต้องชะงักกับคำถามที่ตามมา
   “มึงกับทีเป็นอะไรกัน”
   “กะ- กะ- ก็เป็นเพื่อนไง ใช่ๆ เพื่อนสนิท” ด้วยความที่อยู่ๆก็โดนคำถามแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ น้ำเสียงที่ใช้ออกอาการลนลานมากกว่าปกติ ไนท์ยังไม่เท่าไหร่ยังทำหน้าปกติอยู่ แต่ไอ้เผือกสามหัวนั้นกำลังยิ้มกรุ่มกริ้มกันแล้ว
   “เรื่องนั้นกูรู้อยู่แล้ว กูถามว่าช่วงนี้มึงกับไอ้ทีเป็นอะไรกัน รู้สึกว่ามึงกำลังหลบหน้าไอ้ทีอยู่”
   “ปะ-เปล่าสักหน่อย”
   เรื่องที่ไนท์พูดมามันก็…เป็นความจริงอยู่ ก็หลังจากจบค่ายแล้วพอตั้งสติดีๆลองคิดถึงคำพูดในคืนนั้นดูก็รู้สึกอายตัวเองจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปมากเลย ตอนนั้นบรรยากาศพาไปก็เลยทำเผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปเล่นพูดเหมือนกับขอไอ้ทีแบบนั้นมันเหมือนกับ…อยากเป็นแฟน…ไม่ได้ๆ น่านฟ้า มึงจะคิดกับมันแบบนั้นไม่ได้ มึงเป็นเพื่อนสนิทท่องไว้ว่าเพื่อนสนิท
   ด้วยเหตุผลร้อยแปดทั้งปวงทำให้พอกลับมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเวลาเจอกัน สุดท้ายก็เลยพยายามหนีหน้ามันไป เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบเบสิคสุดๆ
   “แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ากูหลบหน้ามันล่ะ”
   “ก็ไอ้ทีอะสิ บ่นเป็นอาทิตย์แล้วว่ามึงไม่มา ติดนู่น ไม่ว่างนี่ กูกับวินฟังจนเอียนแล้ว”
   “แฮะ แฮะ” ผมยิ้มรับแห้งๆให้กับสิ่งที่มันพูดซึ่งเป็นจริงทุกประการ เพราะไม่อยากเจอหน้ากันผมเลยหาข้ออ้างส่งๆไปว่าใกล้สอบแล้ว ไม่ก็วันนี้พี่ภูให้กลับบ้านเร็ว
   “ก็ถ้าไม่มีอะไรก็ดีไป ไอ้ทีมันคงเพ้อไปเองมั้ง หลังสอบมึงก็โผล่ไปเจอมันบ้างเดี๋ยวมันจะลงแดงตาย งั้นกูไปทำงานต่อแล้วนะ บาย”
   “อืม”
   ทันทีที่บริกรหนุ่มเดินห่างไปจากโต๊ะ ผมก็รู้สึกถึงสายตาจับจ้องสามคู่ ชวนให้ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก ลางสังหรณ์ว่าต้องมีอะไรสักอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นแน่
   “…พวกมึงจะจ้องกูกันทำไม”
   “แน่ใจว่ามึงไม่มีซัมติงอะไรกับไอ้ที”
   “เออดิ ไม่มีอะไรกันอยู่แล้วก็เป็นแค่เพื่อนกันปกติ”
   “เหรอคะ แต่อิฉันว่าน่าจะไม่ใช่แค่นั้นนะคะ”
   พูดจบปุ๊บปุยฝ้ายก็ยกมือถือขึ้นมาเลื่อนๆ จิ้มๆ สักพักก่อนจะยื่นมือถือที่หน้าจอปรากฏภาพของผมที่กำลังนอนซบไหล่ทีในวันเข้าค่าย แถมไอ้โจทย์อีกคนก็ดันหลับปุ๊บเอาหัวมาชนกับหัวของผมอีก วันนั้นกว่าผมจะตื่นมันก็ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วก็เลยไม่รู้ว่าหลังจากนอนไปมันเป็นยังไงมั้ง แล้วนี้มีประชาชีเดินเห็นเหตุการณ์ไปกี่คนแล้วเนี่ย
   “ว้ายๆ เค้านอนซบกันด้วยล่ะเนอะคุณแพรวา”
   “นั้นสินะ เหมือนจะมีซัมติงอะไรรึเปล่าเนี่ย”
   “แพรว กูบอกแล้วไงว่าไม่มีอะ-” ก่อนที่ผมจะพูดจบ ปุยฝ้ายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
   “อ่อถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ รู้สึกว่าก่อนที่พวกมันจะนอนกัน ไอ้ฟ้าพูดกับที ประมาณว่า ‘อยากได้ทะ-’”
   หมับ… ก่อนที่เธอจะได้พูดคำสุดท้ายออกมา ผมใช้ส้อมที่จิ้มเค้กค้างไว้ พุ่งทะยานเข้าปากเธอไปอย่างรวดเร็วความรู้สึกเหมือนเกือบจะลึกจนถึงลิ้นไก่ทำเอาปุยฝ้ายทำหน้าอึ้งพร้อมกับผู้เห็นเหตุการณ์อีกสองนางที่ตอนนี้กำลังสตั้น
   “ถ้ายังไม่เลิกพูดเรื่องนั้นแล้วกลับไปอ่านหนังสือต่อล่ะก็คราวหลังกูจะยัดจนทะลุลิ้นไก่นะ เข้าใจไหม?” ผมพูดไปพร้อมกับปั้นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวจนเหมือนพวกเธอจะรู้สึกจึงทำตัวเจี๋ยมเจี่ยมพร้อมกับกลับไปสนใจในหนังสือเรียนตรงหน้า
   เฮ้อเกือบไป… ไม่นึกว่าจะมีใครได้ยินเข้า ตอนนั้นไม่น่าปล่อยให้บรรยากาศพาไปเลยจริงๆ ยังโชคดีที่ตอนนั้นดึงสติกลับมาได้ในตอนสุดท้ายก็เลยพอจะแถกลบเกลื่อนไปได้… แต่ถ้าพูดไปแบบนั้น มันจะตอบกลับมายังไงกันนะ
   “จะว่าไป”
   “อะไรอีกแพรว ไม่ได้ฟังที่กูพูดเมื่อกี้เหรอ”
   “กูรู้แล้วเว้ย กูไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนั้น กูจะถามมึงเรื่องสอบอาทิตย์หน้า” อาทิตย์หน้า?
   “อ่อ สอบคหกรรมใช่ปะ”
   “เออนั้นแหละ มึงเตรียมตัวแล้วเหรอ”
   “เหอะ ยังเลย” ผมพูดไปพลางส่ายหน้า
   “แล้วมึงจะรอดเหรอ มึงเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดในห้องแล้วนะ”
   “ก็กูต้องมาติวให้พวกคุณเธอ แล้วกูจะเอาเวลาไหนไปเตรียมตัวล่ะครับ หืม”
   “เออ ก็จริง”
   “แต่เรื่องนั้นก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมั้ง ถึงจะไม่ผ่านครูเขาก็หยวนๆให้กูผ่านอยู่ดี”
   ผมเอาหัวของตัวเองเป็นประกันได้เลย เอาชื่อนภดล ขาประจำห้องคหกรรมเป็นเดิมพัน สอบคหกรรมมาร่วมปีที่ห้าแล้วไม่เคยจะผ่านสักปีเดียวจนครูเขาปลงกับผมจนยัดเยียดให้ผมผ่านไม่ว่าสภาพอาหารจะแหลกเหลวและห่วยแตกแค่ไหนก็ตามเป็นสิทธิ์พิเศษประจำตัวไปแล้ว เฮ้อ…พูดแล้วก็เศร้า
   “ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ ปีนี้มึงน่าจะหยวนให้ไม่ได้หรอกนะ”
   “อ้าวทำไมล่ะนี”
   “ก็ตอนที่กูไปประชุมหัวหน้าห้องคราวก่อน เห็นว่าปีนี้เค้าอยากให้พวกนักเรียนตั้งใจเรียนวิชาเสริม พวกการงาน ศิลปะ ไม่ก็พละ เลยเห็นว่าถ้าสอบไม่ผ่านคราวนี้จะไม่มีการหยวนแต่จะจัดให้เรียนเสริมตอนช่วงปิดเทอม”
   “หา!!”
   ผมลุกขึ้นพลางใช้สองมือตบลงบนโต๊ะจนเสียงดัง
   “อยู่ๆ อย่าตบโต๊ะดิว่ะ ตกใจหมด”
   “อะ โทษที”
   ผมรีบนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ก่อนจะถามยืนยันกับนีอีกครั้งว่าสิ่งที่ผมได้ยินไม่ผิดใช่ไหม
   “มึงพูดจริงเหรอ”
   “ใช่”
   “ทำไมอยู่ๆถึงมาเปลี่ยนเอาตอนนี้เนี่ย”
   “ไม่รู้ดิ ถ้าอยากรู้มึงก็ต้องไปถาม ผอ. เอา”
   “มึงอย่าพึ่งสลดไป อย่างน้อยครูเขาก็เข้าใจแหละว่ามึงทำไม่ได้ ห้องเราเลยได้อานิสงส์เป็นเมนูง่ายๆ อย่างข้าวผัดกับแกงจืดไข่น้ำ”
   “ใช่แล้วมึง ห้องอื่นได้พวกห่อหมก หรือต้มยำของยากๆทั้งนั้น ถ้ามึงฝึกทำเดี๋ยวมึงก็รอด”
   “กูก็คิดว่าน่าจะรอด กูก็เลยไปลองฝึกมาเมื่อวาน กูคิดว่าน่าจะโอเคอยู่…”
   “นั้นไงกูบอกแล้ว เมนูง่ายๆแบบนี้มึงน่าจะรอด”
   “แต่โอเคแค่กูนะ พี่ภูไม่โอเคด้วย…”
   “…”
   เมื่อวานผมเห็นว่าไม่มีอะไรทำก็เลยกะจะเอาเมนูที่จะทำสอบมาทำเป็นข้าวเย็นสักหน่อย ตอนแรกๆก็ออกมาดูดี แกงจืดไข่น้ำใสกิ๊งกับข้าวผัดสีทองอร่ามแต่สักพักก็รู้สึกถึงกลุ่มควันที่ค่อยๆลอยสูงขึ้นมาคิดว่าเป็นไอความร้อนทิ้งเอาไว้สักพักจากแกงจืดสีใสกับข้าวผัดสีทองกลายเป็นแกงจืดไข่ไหม้กับข้าวผัดชาโคลพร้อมกับควันที่พวยพุ่งออกมาจนสัญญาณไฟเกือบจะดัง สุดท้ายก็โดนพี่ภูติดประกาศห้ามเข้าครัวอีก
   “ฝ้ายมึงสอนให้กูหน่อยดิ มึงทำอาหารเก่งไม่ใช่เหรอ”
   “หือ กูเหรอก็ได้นะ มึงอยากให้กูสอนวันไหนอะ”
   “มันจะสอบมะรืนแล้ว คงต้องให้มึงช่วยกูพรุ่งนี้แล้วล่ะ ว่างปะ”
   “อืม ก็ได้นะ”
   “โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันสักสิบโมงแล้วกันบ้านกู”
   “ได้… เอ๊ะเดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้มึงบอกว่าพี่ภูห้ามไม่ให้เข้าครัวไม่ใช่เหรอ”
   “จะว่าไปก็ใช่ แต่ถ้าบอกดีๆพี่ภูเขาคงจะยอมล่ะมั้ง เกี่ยวกับเรื่องสอบทั้งที…งั้นเดี๋ยวกูลองโทรถามพี่ภูดูแล้วกัน ถ้าอ้อนสักหน่อยยังไงเดี๋ยวก็ยอม รอแปป”
   “จ้าๆ พ่อหนุ่ม”
   
   “เป็นไงพี่ภูเขาว่าไง”
   “ไม่ได้ว่ะฝ้าย”
   “อ้าวแปลกจัง ปกติพี่เขาก็แพ้ลูกอ้อนมึงตลอดไม่ใช่เหรอ”
   “มันก็ใช่ แต่ว่าคราวนี้ดูเหมือนกูจะฝากผลงานไว้มากไปหน่อย…”
   “หือ…”
   ทั้งสามสาวหันหน้ามาจ้องมองผมด้วยใบหน้าสงสัย
   “คราวนี้ก็ดันฝากรอยดำไว้บนเพดานห้องครัว แถมทำเตา กับกระทะไหม้ไปแล้วด้วย พี่เขาก็เลยจะเรียกช่างมาซ่อมแซมให้เลยใช้ไม่ได้”
   “งั้นมึงก็ไปที่บ้านไอ้ฝ้ายดิ ง่ายดี”
   “แพรวบ้านกูมันไกล กูเป็นห่วงไอ้ฟ้าว่ารถมันจะติด กลัวมันจะเสียเวลา…”
   “ใจจริงของมึงล่ะ”
   “ถ้าไปทำบ้านกูจริง ครัวกูไม่เหลือชิ้นดีแน่ ยังไงก็ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งฝีมือแบบไอ้ฟ้าด้วยแล้วจะมีครัวสักกี่ครัว ก็เละได้ภายในไม่ถึงนาที” ฉึก…
   “เวอร์ไปไอ้ฝ้าย ถึงไอ้ฟ้ามันจะฝีมือในการทำให้วัตถุดิบดีๆ กลายเป็นของเสียได้ แถมรสชาติยังหมาไม่แดกอีก แต่ไปพูดแบบนั้นมันก็เกินไปนะ อย่างน้อยถ้าเราคอยคุมมันล่ะก็ครัวก็น่าจะยังมีชีวิตรอดได้อยู่ถึงแม้ว่ามันจะเคยเกือบทำห้องคหกรรมไฟไหม้ก็เถอะ” ฉึก ฉึก…
   “แพรวมึงก็พูดจาโหดร้ายเกินไปไปว่าอาหารของไอ้ฟ้าว่าหมาไม่แดกได้ยังไง มันก็แค่เคยทำไข่เจียวที่แข็งยิ่งกว่าอิฐบล๊อคหรือไม่ก็แกงจืดสีน้ำตาลอุดมโซเดียมเอง ถ้าจะเรียกก็เรียกว่าอาหารที่มนุษย์กินไม่ได้น่าจะดีกว่า” ฉึก ฉึก ฉึก…
   “ตายจริง…พวกมึงเนี่ย…”
   “…”
   “เล่นนินทาระยะเผาขนแบบนี้…พวกมึงเตรียมใจไว้แล้วสินะ…”
   ผมพูดพลางแสดงรอยยิ้มพร้อมกับใบหน้าทะมึน ถือหนังสือพจนานุกรมที่มีความหนาประมาณ 300 หน้าถ้วน พร้อมกับง้างแขนขึ้นไปด้านบนอย่างเต็มเปี้ยมทันใดนั้นสันหนังสือก็ได้ปะทะกับหัวปุยฝ้ายเน้นๆจนเกิดเสียงดังโป๊กจนคนในร้านพากันหันมาดู
   “เอาล่ะ คนแรกก็เรียบร้อยแล้ว…เหลืออีกสองสินะ…”
   “ขอประทานอภัยอย่างสุดซึ้งเพคะ พวกหม่อมฉันเป็นเพียงตัวประกอบที่มาประสมโรงเพียงเท่านั้น ผู้ริเริ่มคืออ้ายปุยฝ้ายที่นอนตายเหมือนหมาอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียวค่ะ ฝ่าบาทน่านฟ้าได้โปรดยกโทษให้กับการลามปามของพวกเราด้วยเถอะค่ะ อ่อหรือถ้าท่านอยากลงโทษต่อก็เชิญลงโทษอ้ายปุยฝ้ายที่นอนอยู่ตรงนั้นได้เลยค่ะ เพราะนางบอกก่อนตายว่า ‘เราจะรับโทษทุกสถานเพียงคนเดียว’”
   “อินี กูไม่เคยพูด!!!”
   “อ้าวตายแล้ว อ้ายฝ้ายยังมีชีวิตอยู่อีกรึ”
   “จะเลิกตีกันได้รึยังเอ่ย?”
   “ค่ะ ขออภัยค่ะ จะอยู่นิ่งๆไม่เถียง ไม่ทะเลาะกันอีกแล้วค่ะ” ทั้งสามนั่งพับเพียบลงบนพื้น พร้อมกับพูดประสานเสียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
   “งั้นช่วยตอบมาหน่อย จะ ให้ กู ไป ใช้ ครัว ที ไหน เอ่ย”
   “ครัวบ้านไอ้ฝ้าย”
   “อิแพรว”
   ทันทีที่ผมยกพจนานุกรมในมือขึ้นมา ทั้งสองก็นั่งทำตัวเจี๋ยมเจี่ยมได้ในทันที แหมรู้สึกดีเหมือนได้ค้นพบอาวุธในตำนานไว้วันหลังต้องอัพเกรดเป็นสารานุกรมซะแล้ว
   “อะ-”
   “มีอะไรฝ้าย”
   “กูมีความคิดดีๆแล้วรอแปปนะ”
   พอปุยฝ้ายพูดจบก็ยกมือถือขึ้นมาพลางกดจิ้มๆอยู่สักพัก อยู่จากเสียงแจ้งเตือนที่ดังเป็นระยะๆ คงจะส่งข้อความคุยกับใครสักคนอยู่
   “ฟ้า กูหาที่ให้มึงใช้ครัวได้แล้ว”
   “ที่ไหน?”
   “บ้านไอ้ที”
   หือ…
   “โทษทีนะไอ้ฝ้าย เหมือนกูจะได้ยินไม่ชัด ช่วยพูดอีกทีได้ไหม”
   “บ้านไอ้ทีไง”
   หูซ้าย…ปกติ
   หูขวา…ปกติ
   “หะ!?”
   “จู่ๆ อย่าเสียงดังดิ”
   “ทำไมถึงกลายเป็นบ้านไอ้ทีไปได้ล่ะ”
   “ก็ตอนนั้นเห็นไอ้ทีเล่าให้ฟังว่ามึงเคยไปทำข้าวต้มให้มันที่บ้าน เพราะงั้นถ้าเป็นบ้านไอ้ทีมึงจะคุ้นเคยดี”
   “แต่ไอ้ทีมันอาจจะไม่ว่างก็ได้นะมึง”
   “ไม่ต้องห่วง เมื่อกี้กูแชทไปถามแล้ว มันบอกว่าพรุ่งนี้ว่างทั้งวันเลย”
   “แต่ว่า…”
   “พวกมึงช่วยเงียบๆกันหน่อย… พวกมึงทำอะไรกันเนี่ย”
   ไนท์ที่เดินเข้ามาชะงักเล็กน้อยกับภาพตรงหน้าที่มีเด็กชายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในขณะที่มีเด็กสาวอีกสามคนกำลังนั่งคุกเข่ากันอยู่ที่พื้นทั้งๆที่มีเก้าอี้วางอยู่ ช่างเป็นภาพที่ดูพิกลยิ่งนักในสายตาของบุคคลภายนอก
   “ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้ ก็แชทไปบอกมันนะ”
   “เดี๋ยวก่อนฝ้าย”
   เจ้าตัวไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดเลย พลางตอบข้อความส่งไปยังบุคคลที่ผมกำลังหนีหน้ามาตลอดทั้งอาทิตย์ สุดท้ายผมก็ต้องไปเจอมันอย่างช่วยไม่ได้ทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจความรู้สึกแปลกประหลาดในจิตใจ หลังจบค่ายก็รู้สึกกระวนกระวาย รู้สึกเหมือนใจเต้นรัว แถมยังนึกถึงหน้าไอ้ทีอยู่บ่อยๆด้วย คิดว่าพอหลบหน้าก็น่าจะเป็นปกติ แต่มันกลับเปลี่ยนเป็นความเหงา และความคิดถึงบุคคลที่ผมพยายามเลี่ยงมา… ความรู้สึกที่ยังคงสับสนต่อเพื่อนสนิทคนนั้น

   
   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?) ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท   

   
** ตอนนี้เราเปิดเทอมแล้ว เพราะงั้นคงไม่ได้ลงนิยายถี่เท่าตอนปิดเทอม แต่จะพยายามมาลงให้ทุกวันจันทร์ กับวันศุกร์ (ถ้าไม่มีแปลว่าเราแต่งไม่ทันต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยนะ TwT)

** จะพยายามทำให้ได้ ขอบคุณที่ยังคอยติดตามกันอยู่นะคะ ^w^  by Yukimin
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 19 {10/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 13-01-2020 19:48:30
ขั้นที่ 20 ฝึกพิเศษ
น่านฟ้า
   เอายังไงดีเนี่ย…
   ผมยืนวนเวียนอยู่หน้าบ้านที่คุ้นเคย บ้านหลังน้อยๆที่ไม่ได้แวะมาเป็นอาทิตย์ บ้านที่คิดว่าระยะนี้จะไม่แวะเข้ามา…บ้านไอ้ที
   เมื่อวานปุยฝ้ายก็ดันไปนัดตามอำเภอใจ อย่างน้อยก็ช่วยเข้าใจหน่อยได้ไหมว่าคนเขากำลังหลบหน้าอยู่ ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะแต่ตอนที่ยังไม่เข้าใจตัวเองก็ขอหลบออกมาหน่อยได้ไหม
   …จะว่าไป คนอื่นก็เห็นพวกผมเป็นเพื่อนสนิทกัน จะมาบ้านกันก็ไม่แปลกนี้หว่า
   อ่า ช่างมันแล้ว ไอ้ฝ้ายยังมาไม่ถึงอีกรึไงนะ นี่มันก็จะเลยเวลานัดแล้ว อย่างน้อยถ้ามันอยู่ด้วยก็ยังพอทำใจเดินเข้าบ้านไปด้วยกันได้
   ตือดึ้ง อะพูดถึงปุ๊บก็ส่งข้อความมาแล้ว
   Puifai : ตอนนี้มึงอยู่ไหนแล้ว
   Naanfah : อยู่หน้าบ้านไอ้ทีแล้ว มึงอะอยู่ไหน
   Puifai : กูยังอยู่บ้านอยู่เลย วันนี้กูไปไม่ได้
   “หา!?”
   Naanfah : เดี๋ยวๆ ทำไมอะ
   Puifai : พอดีนุ่นมันไม่สบาย แถมบ้านไม่มีใครอยู่ กูก็เลยต้องอยู่เฝ้ามัน
   Naanfah : นุ่นไม่สบาย? เป็นอะไรอะ หนักรึเปล่า
   Puifai : เท่าที่ดูก็เป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา ไม่ต้องห่วงหรอก แต่วันนี้กูคงไปกับมึงไม่ได้นะ
   Naanfah : ไม่เป็นไร มึงเฝ้าไข้นุ่นไปเถอะ ส่วนเรื่องฝึกเดี๋ยวกูจะลองหาทางดู
   ก็ถือว่าโล่งอกที่สามารถหาข้ออ้างไปบอกไอ้ทีได้ว่านุ่นไม่สบาย เป็นห่วงก็เลยไม่ได้มาตามนัด เอาล่ะ เอาตามนั้นแล้วกันจะได้ไม่ต้องเข้าไปเจอหน้ากันด้วย รีบส่งข้อความไปหาแล้วรีบกลับดีกว่า
   “อ้าว พี่ฟ้าไม่ใช่เหรอ สวัสดีค่ะ”
   เด็กผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาหน้ารักสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นสบายๆ เปิดประตูบ้านออกมาพลางส่งเสียงทัก ผมที่กำลังจะพิมพ์ข้อความก็ต้องหยุดไว้ก่อนพลางหันไปตอบ
   “สวัสดี ข้าวฟ่าง”
   “หนูก็สงสัยอยู่ว่าใครมาป่วนเปี้ยนอยู่หน้าบ้าน ที่แท้ก็พี่นี่เอง วันนี้มีธุระกับพี่เหรอคะ”
   “ปะ-”
   “ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็พี่คงยังนอนเป็นตายอยู่ในห้องอยู่เลย”
   “เปล่า มะ-”
   “อะ มายืนคุยกันคงลำบากถ้าอย่างนั้นเข้ามาข้างในก่อนเลยนะคะ”
   ช่วยฟังให้จบก่อนได้ไหมข้าวฟ่างงง…
   สาวเจ้าตัวพูดโดยไม่เว้นจังหวะให้ผมตอบคำถามที่เธอทิ้งเอาไว้ ก่อนที่จะลากผมเข้าไปในบ้าน พาผมมานั่งจ่อมอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนที่เจ้าตัวจะขอตัวขึ้นไปปลุกพี่ชาย
   “นี่คะน้ำส้ม”
   “ขอบคุณนะข้าวฟ่าง”
   “ไม่เป็นไรค่ะ ไอ้พี่ชายตอนนี้น่าจะกำลังไปอาบน้ำแต่งตัวอยู่ล่ะมั้ง นัดเพื่อนเอาไว้ส่วนตัวเองไปนอนเนี่ยใช่ไม่ได้เลย”
   “อย่าไปโกรธมันเลย พี่ต่างหากที่มารบกวนมันในวันหยุด”
   “ดีแล้วล่ะค่ะ จะได้หัดตื่นเช้าซะมั้ง ถ้าพี่ฟ้าไม่มากว่าพี่จะตื่นก็เลยเที่ยงนู่น หนูล่ะเบื่อ”
   “ฮะฮะ”
   “จะว่าไปพี่มาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่า”
   “พอดีว่าพี่กับเพื่อนพี่จะนัดกันมาฝึกเตรียมสอบคหกรรมกันที่นี่”
   “อ่อ ที่จะสอบพรุ่งนี้ใช่ไหมคะ ของหนูตัวนั้นไม่มีสอบเทอมนี้ก็เลยสบายไป”
   “ดีจังเลยนะ พี่ยังหวั่นๆกับวิชานี้อยู่เลย”
   “แต่พี่ฟ้าทำงานพวกเย็บปักเก่งไม่ใช่เหรอคะ หรือว่าพี่ไม่ถนัดทำอาหาร”
   “ถ้าเรื่องงานเย็บปักกับงานฝีมือล่ะก็พี่มั่นใจอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมพอทำอาหารทีไรมันก็ไม่เคยรุ่งสักครั้ง”
   “ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
   “อืม ไม่อยู่ๆอาหารเปลี่ยนเป็นสีดำ ก็มีควันสีดำลอยออกมาจากเตาหรือไม่ก็ไม่โครเวฟ”
   “…ค่อนข้างหนักเลยนะคะนั้นน่ะ”
   เฮ้อ… ผมเอามือกุมหน้าผากตัวเองไปด้วยขณะบ่นให้กับรุ่นน้องที่นั่งอยู่ไม่ไกล
   “จะว่าไปพี่ฟ้ารู้จักนักก่อวินาศหกรรม [วินาศกรรม+คหกรรม] รึเปล่าคะ”
   “วินาศ… อะไรนะ?”
   “วินาศหกรรมค่ะ เป็นข่าวลือที่ดังมากในชั้นม.4 เลยนะคะ ว่ากันว่ามีใครบางคนที่จงใจก่อวินาศกรรมกลางห้องคหกรรมแทบจะทุกคาบเลยไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนอาหารเป็นอาวุธกระแทก หรือสร้างระเบิดจากเตาแก๊ส ข่มขู่คุณครู แถมยังเคยคิดจะวางเพลิงห้องคหกรรมอีก”
   “มะ- ไม่รู้จักหรอกนะ… ก็แค่ข่าวลือไม่มีมูลล่ะมั้ง”
   “นั้นสินะคะ ใครจะไปทำเรื่องแบบนั้นในห้องคหกรรมกันได้ อย่างน้อยถึงจะทำอาหารห่วยแค่ไหนก็ไม่น่าจะถึงขั้นนั้นได้เนอะพี่ฟ้า คงจะเป็นแค่ข่าวลืออย่างที่พี่บอก”
   “อืม… นั้นสินะ ฮะฮะ”
   บอกไม่ได้เด็ดขาด… ว่าเรื่องทั้งหมดที่ข้าวฟ่างพูดขึ้นมานั้นเป็นวีรกรรมทั้งหมดของผมตอนม.4 เลย ตอนนั้นผมก็ยังเป็นเด็กหนุ่มใสๆชอบการทำอาหาร แต่พอเข้าคาบแรกไปปุ๊บจากใสๆกลายเป็นดำเมี่ยม… อาหารในมือเนี่ยแหละดำเมี่ยมพร้อมกับหม้อและเตา จนโดนครูคหกรรมหมายหัวตั้งแต่คาบแรก
   “จะว่าไปข้าวฟ่างไปได้ยินข่าวลือมาจากไหนเหรอ”
   “อ่อจากนุ่นน่ะค่ะ เห็นว่าได้ยินมาจากพี่สาวอีกที”
   โอเค รู้ไอ้คนปล่อยข่าวลือแล้ว… ไว้หลังจากนี้ค่อยไปคิดบัญชีกันทีหลังแล้วกัน เอาเป็นหนังสือเรียนก็แล้วกัน
   “พูดถึงนุ่นแล้วข้าวฟ่างรู้หรือเปล่าว่า นุ่นเป็นหวัด”
   “หวัด? ไม่นะคะ แปลกจังเมื่อกี้หนูก็โทรศัพท์คุยกับนุ่นอยู่ก็ยังอาการปกติอยู่ เสียงก็ยังดีอยู่นะคะ”
   “อ้าว แต่เมื่อกี้พี่ทักไปถามพี่สาวของนุ่นแล้ว เห็นบอกว่านุ่นเป็นหวัดนะ”
   ผมพูดพร้อมกับโชว์ประวัติการแชทของผมกับปุยฝ้ายให้ข้าวฟ่างดู
   “เหรอคะ แต่ว่าเมื่อกี้นุ่นพึ่งส่งภาพมาให้หนูเองนะ นี่ไงคะ”
   ข้าวฟ่างยื่นมือถือมาให้ผม ที่มีภาพหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับคนตรงหน้าพร้อมกับข้อความ ‘เบื่ออ่านหนังสือแล้วอะฟ่าง อยากดูซีรี่ย์แต่แล้ว’
   โอเค… เตรียมเพิ่มบทลงโทษให้กับไอ้คุณพี่สาวที่ริอาจจะยัดเยียดไข้หวัดให้น้องสาวแถมยังบังอาจปล่อยผมทิ้งไว้คนเดียว โทษของมันเอาเป็นสารานุกรมมารยาทหญิงที่ควรพึ่งปฏิบัติเล่มหนาพิเศษฉบับบิ๊กไซค์แล้วกัน
   “จะว่าไปทั้งข้าวฟ่างอยู่กับทีแค่สองคนเองเหรอ แล้วพวกน้าจันทร์ล่ะ”
   “ค่ะ คุณแม่กับคุณพ่อเขาออกไปทำงานต่างจังหวัด นานๆทีจะกลับ”
   “งั้นก็เหมือนกับพ่อแม่พี่เลยเนอะ”
   “แหม ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนก็ต้องเหมือนกันสิค่ะถึงจะเป็นเพื่อนกันได้”
   พวกเราสองคนนั่งแซวเหล่าพ่อๆแม่ๆกันอย่างสนุกปาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ชอบจะไปทำงานกันจนทิ้งไว้แต่พี่น้องสองคน หรือแม้กระทั่งตอนเด็กๆที่พวกเราเล่นกันบ่อยๆ ถึงแม้ผมจะเล่นกับทีมากกว่าแต่ก็เคยเล่นกับข้าวฟ่างอยู่บ้าง
   “จะว่าไปไอ้พี่ชายตัวดี กลับไปนอนตายอยู่หรือไงกันนะ ไม่ลงมาสักที”
   “เอาน่าๆ ทีมันคงกำลังเตรียมตัวอยู่ อย่าไปรีบนักเลย”
   “แต่ปล่อยให้เพื่อนมานั่งรอก็ใช่ไม่ได้อยู่ดีนั้นแหละ… จะว่าไปพวกพี่เป็นยังไงกันบ้างคะ”
   “หือ เรื่องอะไรเหรอ” ผมยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่ม
   “ชอบพี่รึเปล่าคะ?”
   แทบจะสำลักน้ำส้มออกมาทันทีที่ได้ยินคำถาม แต่โชคดีที่กลั้นกลืนกลับเข้าไปได้ก่อน
   “ถะ-ถามอะไรเนี่ย ข้าวฟ่าง พะ-พี่ไม่ได้คิดกับมันแบบนั้นซะหน่อย”
   “… หนูแค่ถามว่าชอบพี่ทีตรงไหนถึงได้มาเป็นเพื่อนกันต่างหากล่ะคะ ไม่เห็นต้องลนลานขนาดนั้นเลยนี่คะ”
   “อ้าวอย่างนั้นหรอกเหรอ”
สงสัยผมจะฟังผิดไปเอง ไม่น่าตระหนกไปก่อนเลยเรา แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อกี้เหมือนเห็นข้าวฟ่างยิ้มๆอยู่หน่อยๆหรือผมจะตาฝาดไปเองกันนะ
   “งั้นหนูถามใหม่แล้วกัน พี่ฟ้าชอบพี่ตรงไหนเหรอคะ ถึงมาเป็นเพื่อนกันได้เนี่ย หนูไม่เห็นจะเห็นของดีของไอ้พี่เลย”
   “เอ๊ะ…ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมตะลึงกับคำพูดและท่าทางที่เปลี่ยนไปของเด็กสาวตรงหน้าที่เริ่มหยาบคายขึ้นเมื่อกล่าวถึงพี่ชายของตัวเอง
   “ใช่ค่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลย ตอนหนูดูซีรี่ย์ก็ชอบมาขัดคอ ตอนกำลังอ่านหนังสือก็ชอบมากวน แถมชอบถามนู่นถามนี่อยู่ได้น่ารำคาญ ที่สำคัญที่สุดก็ชอบกวนตรีนหนูอยู่นั้นแหละ!!! หนูยักจะเห็นข้อดีเลย” ปะ-เป็นเอามากเลยนะ ไอ้ทีมันไปทำอะไรกับข้าวฟ่าง ถึงขนาดทำให้เธอเป็นถึงขนาดนี้ได้เนี่ย
   “ที่มันถามไปแบบนั้นก็เพราะอาจจะเป็นห่วงข้าวฟ่างก็ได้นะ แล้วก็ข้อดีของไอ้ทีมันก็มีเยอะอยู่นะ เป็นพวกเอาใจใส่ ชอบช่วยเหลือคนอื่น คิดถึงหัวอกของคนอื่นเสมอ…”
   ผมนึกภาพของมันตามไปตั้งแต่ตอนเปิดเทอม ตอนที่เจอกันใหม่ๆ มันยังเป็นเหมือนกับตอนที่พวกเราสนิทกันสมัยเด็กๆ ตอนแรกก็กล้าๆกลัวๆไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากันติดอีกรึเปล่า แต่พอกลับมารู้จักกันอีกครั้งทุกวันนี้ก็สนุกกว่าเดิมเหมือนบรรยากาศเก่าๆมันกลับมา มันทำให้รู้สึกดีใจ มีความสุขมากกว่าที่เคย
   “นอกจากนี้เวลาที่พี่กำลังลำบากมันก็เป็นคนแรกที่โผล่มาปลอบ โผล่มาให้กำลังใจ มันทำให้พี่รู้สึกโล่งใจ รู้สึกปลอดภัยที่มีมันอยู่ข้างๆ รู้สึกสบายใจยิ่งกว่าอยู่กับคนอื่น เพราะงั้นมันก็เลยเป็นคนสำคัญของพี่เลยล่ะนะ”
   “เห… คนสำคัญเหรอคะ”
   “พะ-พี่หมายถึงเพื่อนน่ะ เป็นเพื่อนสนิทที่สำคัญมากสำหรับพี่เลยล่ะ”
   “เหรอคะ…”
   “นินทาอะไรกัน เสียงดังไปถึงชั้นสองเลยนะ”
   เสียงทีเรียกความสนใจของพวกเราสองคนให้หันไปมองยังบันไดที่มันกำลังค่อยๆก้าวลงมา ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะ
   “เปล่าสักหน่อย แค่กำลังคุยกันเรื่องที่พี่ฟ้าคิดกับพี่แบบเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง”
   ไม่รู้ทำไม แต่รู้สึกว่าข้าวฟ่างจะเน้นเสียงตรงคำว่าเพื่อนสนิทเป็นพิเศษ พอทีได้ยินก็กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย
   “พอเลยไปๆ กลับไปดูซีรง ซีรี่ย์อะไรก็ดูไป ชิ้วๆ”
   “โห่ พอมาถึงก็ไล่เลยนะ เชอะไปก็ได้…งั้นพี่ฟ้าหนูไปดูโอปป้าต่อแล้วนะคะ”
   “อืม” โอปป้า?
   เด็กสาวมุ่งหน้าขึ้นบันได ตรงไปยังห้องของเธอที่อยู่ชั้นสอง ปล่อยให้ผมอยู่เจ้าของบ้านร่างสูงที่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงวอร์มถึงจะเป็นชุดธรรมดาๆ แต่พอมันใส่แล้วก็รู้สึกดูดีขึ้นมา จนละสายตาไปไม่ได้
   “มานานยัง”
   “อะ-อืม ก็สักพักแล้ว”
   “โทษทีพอดีเมื่อคืนติดเกมส์ไปหน่อย เลยเล่นยาวกว่าจะนอนก็ตีหนึ่งตีสองนู่น”
   “เสียสุขภาพนะมึง”
   “ทำไงได้อะ ก็มันสนุกนี่หว่าวันหลังมึงมาเล่นกับกูไหม จะได้ครบตี้ด้วย”
   “ไม่เอา กูไม่อยากเป็นเด็กติดเกมส์”
   “ว่ากูติดเกมส์อ่อ”
   “เออ ก็เล่นจนดึกดื่นไหมล่ะมึง นี่ก็ใกล้สอบแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือหน่อย”
   “งั้นอยากให้กูเลิกไหมล่ะ”
   “เออ”
   “งั้นก็ต้องหาอยากอื่นมาให้กูติดก่อน…”
   “หา? เป็นคนติดยารึไงมึง ที่ต้องหาอย่างอื่นมาให้ติดแทนถึงจะเลิกยาได้ กูพึ่งรู้นะเนี่ยว่าติดเกมส์ก็เป็นเหมือนกัน”
   “ก็คล้ายๆกันแหละ แต่มึงรู้ไหมว่ากูต้องติดอะไรถึงจะเลิกติดเกมส์แถมตั้งใจเรียนขึ้นด้วย”
   “อะไร?”
   “ติดมึงไง”
   ในจังหวะนั้นมันก็เริ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนสายตาของเราประสานกัน รู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายแต่ร่างสูงก็ยังไม่หยุดจนหน้าใกล้เข้ามามากขึ้น ริมฝีปากของพวกเราห่างกันไม่ถึงนิ้ว ผมจึงรีบปิดเปลือกตาพลางก้มหน้าลงจนคางชิดกับหน้าอก แต่รออยู่สักพักก็ไม่มีเสียงและสัมผัสอะไรเกิดขึ้น ผมจึงค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมกับเอ่ยชื่อออกมา
   “…ที”
   หมับ… สัมผัสอุ่นๆที่แก้มปรากฏขึ้นมา แต่หลังจากนั้นสักพักก็มีความรู้สึกเจ็บแปล๊บปรากฏขึ้นที่แก้มแทน
   “อื้อๆ” แก้มของผมถูกดึงยืดด้วยฝีมือของคนร้ายตรงหน้าที่ตอนนี้กำลังยิ้มอย่างพึ่งพอใจในขณะที่สองมือกำลังขย้ำแก้มของผมไปพลาง
   “ว่าแล้วเชียวว่ามึงเนี่ยแหละ น่าติดที่สุดแล้ว เล่นสนุกกว่าเกมส์เยอะเลย”
   “ไอ้เหี้ยที กูไม่ใช่ของเล่นไหม” ผมพูดพลางปัดมือหนาๆออกไป
   “อย่าใจร้ายอย่างนั้นดิขอกูขย้ำมึงเล่นต่อก่อน” นอกจากจะไม่เลิกแล้วมันยังหนักขึ้นไปอีก ตอนนี้มันดึงผมให้ขึ้นไปนั่งบนตักของมัน แถมมันยังใช้มือสองข้างโอบเอวของผมไว้เอาหน้าถูไถกับคอของผมจนขยับไปไหนไม่ได้
   “ไอ้เหี้ยที ปล่อยกู”
   “…” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก…
   “ไอ้ที”
   “…” กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งหลังเสียงสัญญาณค่ะ… ตรู๊ด ตรู๊ด
   “นี่!!! กูบอกให้ปล่อย”
   “ไม่เอา กูขอน้วยมึงให้หายคิดถึงก่อน มึงหลบหน้ากูมาเป็นอาทิตย์แล้วนิ…”
   “…” ผมชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ผมจึงไม่ได้ออกแรงขัดขืนตอบได้แต่เพียงอยู่นิ่งๆฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ
   “ทำไมอยู่ๆ ก็หลบหน้ากูแบบนี้ล่ะ กูเผลอไปทำอะไรให้มึงไม่ชอบเหรอ”
   “เปล่า มึงไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมเนี่ยแหละที่เผลอพูดไปเอง แถมยังทำใจเองไม่ได้
   “ถ้างั้นอยู่ๆก็อย่าหลบหน้ากันแบบนี้ดิ กูไม่ชอบ มันเหมือนกับตอนที่กูย้ายออกไปเลย ตอนนั้นกูเหงามากเลยนะ”
   ถึงผมจะมองไม่เห็นหน้าของมันแต่ผมก็พอจะเดาได้จากน้ำเสียง เพราะตอนนี้น้ำเสียงของมันฟังดูเศร้าไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนอย่างปกติ
   “อย่าหนีหน้ากันแบบนี้อีกนะรู้ไหม กูไม่ชอบ”
   “อืม ขอโทษ”
   “เออ จำเอาไว้วันหลังอย่าทำอีก”
   “ครับๆ”
   บริเวณต้นคอสัมผัสได้ถึงเส้นผมเล็กๆเสียดสีกับผิวหนังไปมา พร้อมกับแรงกอดรัดที่เพิ่มขึ้นบริเวณเอว ผมยอมให้ร่างสูงกอดอยู่อย่างนั้นเพราะเรื่องนี้ผมก็มีส่วนผิดเหมือนกัน ไม่นึกว่ามันจะเหงาขนาดนี้ ผมรู้สึกเห็นใจว่ามันคงจะคิดถึงผมจริงๆขนาดผมยังคิดถึงมันเลยตลอดทั้งอาทิตย์นี้
   แต่แล้วความรู้สึกเห็นใจของผมก็พังทลายไปด้วยคำพูดที่ออกมาจากปากของมันในวินาทีต่อมา
   “มึงต้องชดใช้ด้วยการให้กูน้วยตลอดทั้งวันเลย นี่แน่ะๆ”
   ไม่พูดเปล่ามันเริ่มความเร็วในการถูไถบริเวณต้นคอของผม จนเส้นผมของมันเสียดสีเร็วขึ้นจนทำผมรู้สึกจั๊กจี้ ความรู้สึกเหมือนกับคุณแม่ที่ออกไปทำงานต่างจังหวัดมาหลายวัน พอกลับมาบ้านก็เจอลูก(ตัวเท่าควาย)มากอดคิดถึง…เอ๊ะเดียวทำไมผมถึงจินตนาการว่าเป็นแม่ล่ะ
   “เดี๋ยว…ไอ้ที…กูหายใจไม่ออก…ปล่อยก่อน”
   ผมเริ่มจะหายใจไม่ทัน เสียงที่ออกไปจึงมีเสียงหอบและเสียงหัวเราะปะปนออกไปด้วย แต่ร่างสูงก็ไม่ยอมหยุดมือเหมือนกับไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูดออกไป
   แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงสายตาหนึ่งคู่ที่จับจ้องมาทางนี้ พอหันไปก็พบกับเด็กสาวที่น่าจะกำลังสนุกกับโอปป้าอยู่ในห้องกำลังยืนอยู่บนบันได
   “อ๊ะ… ขอโทษค่ะ พอดีหนูหิวน้ำเลยลงมา ไม่ได้ตั้งใจจะขัดนะคะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญต่อตามสบายได้เลยค่ะ”
   “ดะ-เดี๋ยวก่อน ข้าวฟ่างมันไม่ใช่อย่างนั้น!!!”
   เด็กสาวเดินขึ้นห้องไปอย่างสบายใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นอกจากไม่คิดจะห้ามพี่ชายตัวเองแล้วยังปล่อยให้พี่ชายมาลวนลามเพื่อน(?) ในบ้านของตัวเองอย่างหน้าตาเฉย
   และแล้วผมก็ถูกผู้ต้องหานทีล้วงละเมิดทางร่างกาย โดยมีข้าวฟ่างเป็นพยานที่ไม่คิดจะเข้ามาห้าม ส่งผลให้ผมไม่อาจจะเหลือแรงมาฝึกทำอาหารได้ ผลสุดท้ายผมก็ต้องมาเรียนซ่อมเสริมวิชาคหกรรมได้ตามระเบียบ…

   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : เพื่อนสนิท(?) ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท
   
   
 
   
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 20 {13/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 17-01-2020 21:59:45
ขั้นที่ 21 การแสดงออกทางความรัก
นที
   บรรยากาศคร่ำเคร่งถาโถมเข้ามาภายในห้องเรียน ช่วงเวลาทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกัน ขนาดเหล่ากลุ่มนักเรียนหลังห้องที่ปกติเอาแต่เล่นเสียงดังก็สงบเสงี่ยมลงมาเยอะด้วยการหลับคาหนังสือทำให้เหล่าเด็กหน้าห้องมีสมาธิกับการเรียนขึ้นมาเยอะกว่าเดิม ไม่เว้นแม้กระทั่งพวกผมก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือทบทวนกัน
   “อืม… ข้อนี้มันทำยังไงวะ ไนท์” ผมยื่นหนังสือเรียนเลขให้ไนท์ที่นั่งข้างๆ
   “ไหน… ข้อนี้มึงทำถูกแล้ว แต่มึงคิดเลขผิด”
   “เออวะ แต้งกิ้ว”
   “ไนท์ แล้วข้อนี้ล่ะวะ”
   “…ไอ้วิน มึงทำผิดตั้งแต่โจทย์แล้ว โจทย์มันบอกว่า 5 มึงไปใช้ 9 มึงคงจะได้คำตอบ”
   “ก็กูเบลอนี่หว่า เบื่ออ่านหนังสือแล้ว”
   “มึงยังอ่านเลขไม่จบเลยไม่ใช่หรือไง อย่ามาบ่นรำคาญ มึงดูไอ้ทีซะบ้าง นั่งอ่านเงียบๆไม่บ่นอะไร”
   “เหอะ มันก็แค่สร้างภาพล่ะเปิดหนังสือไว้งั้นแหละ”
   “อ้าวพูดงี้เดี๋ยวโดนนะ อีกอย่างคะแนนกูก็มากกว่ามึงด้วย”
   “โด่วคะแนนมึงก็มากกว่ากูไม่ได้เยอะนักหรอกอย่ามาทำเป็นพูด”
   “พวกมึงสองคน ก็เลิกเถียงกันแล้วกลับมาอ่านหนังสือได้แล้ว ไม่ต้องเอาคะแนนแค่นั้นมาข่มกันหรอก”
   “จ้าพ่อคนเก่งติดท๊อปห้าของชั้น”
   “ไม่เถียง”
   “หนอย น่าหมั่นไส้”
   “เอ้าๆ อย่ามัวแต่คุยกัน กูอุตส่าห์สละเวลาแสนมีค่าของกูมาติวให้เลยนะ หัดสำนึกซะบ้าง”
   “คร้าบๆ”
   “จะว่าไปที”
   “หืม?”
   “มึงไปมีเรื่องอะไรกับไอ้ฟ้าอีกเนี่ย เรื่องหลังจากเข้าค่ายก็รู้สึกว่าจะเคลียร์กันแล้ว แต่ตอนที่มันมาร้านกูคราวก่อนพอกูพูดถึงมึง มันก็ทำหน้าตาซะหน้ากลัวเลย”
   “ก็ไม่มีอะไร…แค่นิดนึงมั้ง”
   นิดนึงจริงๆนะ… แค่เผลอน้วยมันส์ไปหน่อย ทำให้มันไม่ได้ฝึกเตรียมสอบจนมันต้องเรียนซ่อมทำเอาผมรู้สึกผิดเลยแต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็ใครใช้ให้มันทำหน้าน่ารักตอนน้วยล่ะ ทำเอาอยากเข้าไปเล่นต่อเลยเวลาที่แกล้งแล้วหน้ามันแดงขึ้น เป็นอะไรที่น่าดึงดูดใจ
   “เฮ้อ ถ้าไม่มีอะไรก็แล้วไป ขี้เกียจซัก”
   “อ้าวไม่ซักต่อเหรอวะ กูอุตส่าห์รอดูอะไรมันส์ๆ”
   “ไอ้วินมึงกลับไปอ่านหนังสือต่อเลยไป”
   “ชิ”
   ช่วงนี้เป็นช่วงที่ห้องสมุดคนจะแน่นเป็นพิเศษทำให้พวกเราเลือกใช้ห้องเรียนเป็นที่อ่านหนังสือแทน ถึงจะมีนักเรียนบางส่วนกลับไปอ่านหนังสือที่บ้าน แต่ก็ยังมีนักเรียนบางส่วนจับกลุ่มกันอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทำให้อาจจะมีเสียงดังขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังดีกว่าไปอึดอัดกันในห้องสมุด
   “ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวกูไปที่ร้านก่อนนะ”
   “ช่วงสอบก็ยังไปช่วยงานที่ร้านอีกเหรอ”
   ผมหันไปถามไนท์ที่กำลังเก็บข้าวของลงกระเป๋า
   “อือ ช่วงเย็นคนค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่ไปช่วยเดี๋ยวเสิร์ฟกันไม่ทัน”
   “เหนื่อยแย่เลยนะ พยายามเข้าล่ะ”
   “อืม งั้นกูไปละ พวกมึงพยายามเข้าล่ะ อย่างน้อยก็เอาให้คาบเส้นก็แล้วกัน”
   “รอวันที่กูได้คะแนนเยอะกว่ามึงแล้วกัน เดี๋ยวกูจะข่มมึงกลับ”
   “ครับๆ กูรอวันนั้นอยู่นะวิน”
   พูดจบไนท์ก็รีบเดินออกจากห้องไปก่อนที่จะต่อปากต่อคำกับเพื่อนสุดแสนจะกวนตีนที่ตอนนี้พยายามจะพูดด่ากลับไปแต่ก็ไม่ทันจึงได้แต่ทำหน้ามุ่ยพร้อมกับกลับลงมานั่งที่เดิม
   “แล้วมึงจะเอายังไงต่อไอ้ที จะอ่านหนังสือต่อไหม”
   “ไม่รู้ดิ จริงๆกูก็อยากจะอ่านหนังสือต่อแต่มันติดปัญหานิดหน่อย”
   “ปัญหาไรวะ?”
   “ไอ้วิชาที่เหลือมันคือวิทย์น่ะสิ”
   “…เออปัญหาจริง ปัญหาใหญ่ด้วย”
   วิทย์เป็นวิชาที่ผมอ่อนที่สุดในวิชาสามัญทั้งหมด ขนาดคราวที่แล้วไอ้ไนท์ติวให้ยังเกือบตกเลย นี้ถ้าอ่านเองคงไม่แม้จะถึงครึ่ง ตกแน่นอน คนที่เหลืออยู่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย อย่างเช่น ไอ้วินเป็นต้น
   “งั้นมึงก็ให้ไอ้ฟ้าติวให้ดิ”
   “กูก็อยากอยู่ แต่นั้นก็ติดปัญหาอีกเหมือนกัน”
   “ปัญหาอะไรเยอะแยะอีกวะมึง คราวนี้มีอะไรอีก?”
   ผมได้แต่ถอนหายใจพลางเล่าวีรกรรมที่ผมชำเราร่างกายของเพื่อนสนิทจนทำมันงอนไม่ยอมคุยด้วยให้กับวินฟัง จนวินถึงกับถอนหายใจยาวเหยียด
   “มึงเนี่ยนะ กูพูดได้คำเดียวสั้นๆเลย สมควรแล้วแหละมึง!!”
   “…”
   “ไม่โดนไอ้ฟ้าเตะก้านคอตายก็บุญแล้ว”
   “ถึงเตะไปมันก็เตะคอกูไม่ถึงหรอกขามันสั้น”
   “เดี๋ยวกูเอาไปฟ้องมันแน่”
   “กูแค่พูดล้อเล่น มึงอย่าไปราดน้ำมันเพิ่มดิ”
   “กูก็รู้นะว่ามึงมันเป็นพวกติดเพื่อน แต่ไม่คิดว่าจะติดขนาดนั้น”
   “ก็ตอนนั้นกูลืมตัวนี้หว่าใครจะไปหยุดได้ล่ะ ก็มันเล่นทำตัวน่ารักซะขนาดนั้น”
   “หือ…มึงยังเป็นเพื่อนสนิทกับมันใช่ไหมเนี่ย”
   “เออดิ ทำไม”
   “แต่เขาไม่ชมเพื่อนสนิทที่เป็นผู้ชายว่าน่ารักกันหรอกนะครับ คุณนที แน่ใจเหรอว่าเป็นแค่เพื่อนสนิทกันจริงๆ ไม่ได้เป็นมากกว่านั้น หืม หืม” วินพูดขึ้นพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก
   “…”
   “เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าจริง”
   “…อือ”
   “เชี้ย!! ได้ไงวะ ตอนไหน ทำไมกูไม่เห็นรู้เลย”
   ไอ้วินตะโกนเสียงดังทำให้สายตาของคนทั้งห้องรุมมองมาทางพวกผมกันยกใหญ่
   “ไอ้เหี้ยวินมึงจะตะโกนหาอะไรวะ”
   “ก็กูตกใจนี่หว่า กูแค่ถามหยอกมึงได้เล่นๆ ใครจะไปคิดว่าจะเป็นจริงล่ะวะ แล้วนี่มึงคิดกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่”
   “ไม่รู้ดิ รู้ตัวอีกทีก็เป็นไปแล้ว” ตอนกลับมาเจอกันก็แค่รู้สึกดีใจ แต่พอเจอกันไปเจอกันมาความรู้สึกมันก็ดันพัฒนาไปมากกว่าเพื่อน
   “เหยด เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อว่ะ”
   “เงียบปากไปเลยไอ้วิน”
   “แล้วเป็นไงคิดว่าไอ้ฟ้ามีแนวโน้มจะคิดกับมึงมากกว่าเพื่อนปะ”
   “…ไม่รู้ดิ แต่กูคิดว่าไม่ว่ะ”
   “ทำไมคิดอย่างงั้นวะ”
   “มึงรู้จักน้องกูมะ”
   “ข้าวฟ่างใช่ปะ? ชื่อนี่ป่าววะ”
   “เออชื่อนั้นแหละ มันรู้แล้วว่ากูคิดอย่างนั้นกับไอ้ฟ้า”
   “อ้าวมึงไปบอกกับน้องเองเลยเหรอ”
   “ไม่ใช่เว้ยใครจะกล้าบอกล่ะวะ มันจับได้เองต่างหาก น้องกูแม่งเซ้นส์โคตรดี บอกว่าเห็นอาการกูก็รู้เลยว่าเป็นคนมีความรัก มันเลยเข้ามาถาม”
   ผมอยากรู้จริงๆว่าไอ้อาการคนมีความรักเนี่ยมันเป็นยังไง
   “น้องมึงแม่งเจ๋งดีว่ะ แล้วยังไงต่อ”
   “แล้วทีนี่ตอนที่ไอ้ฟ้ามันมาบ้านกูคราวก่อน น้องกูแม่งไปถามว่ามันคิดยังไงกับกู”
   “แล้ว…”
   “ไอ้ฟ้าตอบมาว่ากูเป็นเพื่อนสนิทที่สำคัญมาก…”
   “…”
   “แถมไอ้น้องกูแม่งย้ำคำว่าเพื่อนสนิทๆอยู่นั้นแหละ คิดแล้วก็อยากถีบให้ตกบันไดไปเลย”
   “แล้วมึงจะยอมแพ้เหรอวะ”
   “ไม่อะ”
   “งั้นมึงก็อย่าไปคิดมากดิวะ ไอ้ฟ้าตอบอย่างนั้นมันก็เป็นปกติของเพื่อนกันอยู่แล้ว พ่อกูบอกว่าความรู้สึกดีๆมันเกิดจากความสนิทสนม ความใกล้ชิด แล้วก็ความคล้ายคลึง มึงมีสามอย่างนี้แล้วก็แค่พยายามรุกให้หนักเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนเป็นความรักเอง”
   “มาเป็นวิชาการเชียวนะมึง แต่ก็…ขอบใจนะเว้ย”
   “เออ มีอะไรมาปรึกษาได้ ถึงเรื่องเรียนพี่จะไม่เชี่ยวแต่เรื่องจีบคนนี่ขอให้บอก”
   “แต่ได้ข่าวว่ามึงไม่เคยมีแฟนนะ แถมจีบใครไม่เคยติด”
   “ไอ้ทีกูอุตส่าห์จะพูดปิดให้เท่ๆ”
   
น่านฟ้า
   ติ๊ง เสียงข้อความเข้าในมือถือเรียกความสนใจของผม แต่ทันทีที่ผมเห็นว่ามาจากใครเท่านั้นคิ้วก็เริ่มขมวดเข้ามาใกล้กันจนแพรวที่นั่งข้างๆยังสงสัย
“เป็นไรวะทำหน้าบึ่งเชียว ไม่พอใจเรื่องที่ต้องเรียนเสริมรึไง”
“เออ เรื่องนั้นแหละ”
“อย่าไปคิดมากน่ามึง เรียนเสริมแค่อาทิตย์เดียวเองไม่เปลืองเวลาปิดเทอมสักหน่อย”
   “กูไม่ได้เครียดเรื่องที่ต้องมาเรียนเสริม”
   แต่ประเด็นของผมคือเจ้าตัวคนส่งข้อความ ผู้ต้องหาเดียวกับคดีชำเราร่างกายเป็นเหตุให้ผมต้องเรียนเสริมคหกรรมช่วงปิดเทอม
   ติ้ง ติ้ง ติ้ง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายชวนเรียกความเดือดดาลขึ้นมาบนใบหน้า
   ปิดแม่ม…
   “ไอ้ทีส่งมาล่ะสิท่า”
   “เออ ไม่รู้จะส่งอะไรมานักหนา”
   “เรื่องคราวก่อนก็เคลียร์กันไปแล้วไม่ใช่เหรอมึง คราวนี้ทะเลาะอะไรกันอีก”
   “ก็เรื่องที่ไอ้ทีมันเล่นกอดไอ้ฟ้าไม่ปล่อยจนไอ้ฟ้าไม่ได้ฝึกเลยไง มันถึงได้ตกอย่างนี้”
   “ฝ้าย แกไม่ได้อยู่ไม่ใช่เหรอรู้ได้ยังไง” ตอนนั้นปุยฝ้ายไม่ได้ไปกับผมด้วยมันไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ได้ แต่…รู้สึกว่าเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ
   “กูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอก แต่กูได้ยินมาจากนุ่นซึ่งนุ่นมันได้ยินมาจากข้าวฟ่างอีกที”
   อ่อวว นึกออกแล้วว
   “ใช่ มึงไม่ได้ไปเพราะผิดนัดกูนี้เนอะ”
   สารานุกรมเล่มหนาที่ผมพึ่งจะเดินไปหยิบมาจากชั้นหนังสือกำลังสั่น
   “ไม่ๆ ตอนนั้นนุ่นมันป่วยจริงๆนะ วะ-วางไอ้นั้นลงก่อนเถอะนะ”
   “กูไม่ได้อยู่ที่บ้านมึงตอนนั้น แต่กูก็ได้ยินมาจากข้าวฟ่างเหมือนกันนะ ซึ่งข้าวฟ่างก็ได้ยินมาจากนุ่น อีกทีว่านุ่นสบายดี”
   “…”
   “มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
   “ไม่ค่ะ… แต่ช่วยวางไอ้นั้นลงไปก่อนเถอะ ถ้าโดนไอ้นั้นกูช๊อคตายแน่”
   เฮ้อ… ผมถอนหายใจพลางวางสารานุกรมเล่มเดิมลงบนโต๊ะพลางนั่งเท้าคางแล้วมองเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้กำลังทำตัวดี๊ด๊าอย่างเบื่อหน่าย
   “สวัสดีค่ะพี่ฟ้า”
   เสียงสดใสเรียกให้ผมหันไปหาก็พบกับเด็กสาวสองคนในเครื่องแบบนักเรียนถูกระเบียบ
   “อ้าว ข้าวฟ่างมาอ่านหนังสือเหมือนกัน”
   “ค่ะ ช่วงนี้ต้องฟิตหน่อย”
   “นุ่นก็มาด้วยกันเหรอ”
   “ค่ะ สวัสดีค่ะพี่ฟ้า”
   เด็กสาวท่าทางเรียบร้อยวางหนังสือที่ตนถือมาลงบนโต๊ะก่อนจะทำท่าไหว้ ผมจึงรีบทำท่าห้ามพลางบอกปัดไป ผมเป็นพวกไม่ถือเรื่องนี้อยู่แล้วผมเป็นพวกชอบไหว้ผู้มีอาวุโสกว่า ส่วนคนที่อาวุโสน้อยกว่าไม่ต้องไหว้หรอก
   แต่นุ่นก็ยังคะยั้นคะยออยากจะไหว้อยู่ดีผมก็เลยต้องจำใจให้เธอทำตามที่เธอต้องการ ปุยนุ่นเป็นนักเรียนดีเด่นแถมได้รางวัลมารยาทดีงามด้วยแตกต่างจากพี่สาวที่ตอนนี้ยังทำตัวดี๊ด๊าไม่เลิก รู้งี้ฝาดสั่งสอนไปสักเปรี้ยงน่าจะดีกว่า
   “อ้าวนุ่นมาอ่านหนังสือด้วยเหรอ มานั่งตรงนี้สิ มามะๆ”
   น้องสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปนั่งข้างผู้เป็นพี่สาว ในขณะที่เด็กสาวอีกคนชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆผมก่อนจะเอ่ยปากถาม
   “หนูนั่งตรงนี้ได้ไหมคะ”   
   “อ่อ เชิญเลยๆ”
   “ข้าวฟ่างวันนี้มาอ่านวิชาอะไรเหรอ”
   “วิทย์ค่ะ หนูไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่เลย”
   “งั้นเดี๋ยวพี่สอนให้เอาไหม”
   “จะดีเหรอคะ”
   “อืม ไม่เป็นไรหรอก ปกติพี่ก็สอนเพื่อนพี่เป็นประจำอยู่แล้ว หรือว่าเราอ่านเองจะดีกว่า”
   “ไม่หรอกค่ะ ปกติหนูก็ให้นุ่นช่วยสอนให้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้นุ่นมันก็ไม่น่าจะว่าง…”
   ผมมองตามไปยังทางที่ข้าวฟ่างกำลังจ้องอยู่ก็พบกับปุยนุ่นที่กำลังติวหนังสือให้กับปุยฝ้ายอย่างขะมักเขม้น ช่างเป็นภาพที่น่าดูจริงๆที่สองพี่น้องช่วยกันติวหนังสือให้เนี่ย… ถ้าไม่ติดที่ว่าเป็นน้องสาวกำลังติวหนังสือให้พี่สาวอยู่ล่ะก็
   “ถ้าพี่สอนให้จะดีมากเลยล่ะค่ะ ได้ไหมคะ”
   “ได้สิ สงสัยตรงไหนก็ถามได้เลยนะ”
   “ถ้างั้นก็ตรงนี้…”
   ข้าวฟ่างพูดขึ้นพลางเปิดหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
   พวกเราสองคนนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดกันอยู่นาน โดยผมก็อ่านหนังสือสอบในส่วนของตัวเองไป ในขณะที่ข้าวฟ่างก็มักจะถามคำถามที่ตนเองไม่เข้าใจเป็นระยะๆ เท่าที่ดูแล้วข้าวฟ่างพื้นฐานค่อนข้างจะดี แต่ติดตรงที่ไม่ค่อยจะเข้าใจในเรื่องศัพท์วิทย์กับคำถามที่ซับซ้อน ผมเลยแนะนำตรงจุดนั้นไป หลังจากที่เธอลองแก้โจทย์หลังจากทำตามที่ผมแนะนำ เธอก็ทำตาเป็นประกายพลางหันมาขอบคุณผมใหญ่เลย ภาพที่เห็นทำเอาผมยิ้มตามไปด้วย น่ารักดีจัง ถ้ามีน้องสาวก็คงจะอารมณ์ประมาณนี้
   ตรูด ตรูด
   “อะ ขอโทษนะคะ หนูขอออกไปคุยโทรศัพท์หน่อย”
   ผมไม่ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้าเป็นสัญญาณตอบรับ ข้าวฟ่างเห็นดังนั้นเดินออกไปนอกห้องสมุด
   “แหมๆ สอนรุ่นน้องไปพลาง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปพลางเลยนะ”
   “ไม่มีอะไรสักหน่อยฝ้าย ก็แค่สอนรุ่นน้อง”
   “สอนรุ่นน้องจริงเหรอ ในฐานะอะไรล่ะ? รุ่นพี่? น้องของเพื่อนสนิท? หรือว่าสอนในฐานะว่าที่น้องสะใภ้เอ่ย… แอ๊ก”
   ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เมื่อปุยฝ้ายยังไม่ได้พูดจนจบประโยคอยู่ๆก็มีสันหนังสือเรียนที่เมื่อครู่ยังเปิดอ้าอยู่บนโต๊ะ แต่บัดนี้มันกลับไปจารึกอยู่เป็นหัวของมันแล้ว
   “พี่คะ ถ้ายังไม่เลิกอีกล่ะก็คราวหน้าหนูจะเกลียดพี่จริงๆด้วย” พบพลพรรคสันหนังสือ 1 ea กู๊ดจ๊อบปุยนุ่น
   “มะ-ไม่ใช่อย่างนั้นนะนุ่น พวกพี่ก็เล่นกันอย่างนี้เป็นปกตินี่แหละ”
   “จริงเหรอคะ”
   “ใช่ไหมล่ะ ฟ้า”
   “เอ๋ ใช่เหรอ…” นานๆทีจะได้สบโอกาสเปลี่ยนตัวจากคนถูกกระทำมาเป็นคนกระทำ นานทีปีหนจะมาใครจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย ผมตอบได้ด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจพลางทำหน้าสงสัย พอปุยฝ้ายเห็นดังนั้นทำหน้าถอดสีลุกลี้ลุกลนไปง้อน้องสาวตัวเองอย่างสุดความสามารถ ภาพที่เห็นทำเอาเรียกเสียงหัวเราะของเพื่อนที่เหลือในโต๊ะเป็นอย่างดี
   เห็นแบบนี้ก็เถอะแต่ทุกคนรู้ว่าปุยฝ้ายเป็นคนที่ติดน้องมากแค่ไหน แถมปุยนุ่นก็ติดพี่เช่นกัน แต่แค่การแสดงออกทางความรักจะต่างกันเล็กน้อย ปุยฝ้ายก็เข้าไปกอด เข้าไปแสดงความรักประสาพี่สาวทั่วไป ส่วนปุยนุ่น… เรียกได้ว่าแสดงความรักผ่านการดัดนิสัยปุยฝ้ายก็ว่าได้ ถือว่ามีประโยชน์ต่อพวกผมอยู่
   “คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ”
   “ค่ะ ว่าแต่พอติวกันไปเยอะๆเนี่ยมันเริ่มหิวขึ้นมาเลยนะคะเนี่ย”
   “อืม นั้นสินะพอใช้สมองไปเยอะๆแล้วมันอยากได้น้ำตาลขึ้นมาเลย”
   “จริงด้วยค่ะ… หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
   “ได้ว่ามาสิ”
   “ถ้าตอนนี้พี่ฟ้าเลือกได้ว่าอยากกินอะไร จะเลือกอะไรเหรอคะ”
   “ตอนนี้เหรอ… อืม ก็ไม่ได้หิวถึงขนาดอยากจะกินข้าวซะด้วยสิ คงจะเป็นพวกน้ำผลไม้เปรี้ยวๆเรียกสติกับเค้กเล็กๆก็ดีมั้ง”
   “แล้วพี่ชอบชูครีมรึเปล่าคะ”
   “ชูครีมเหรอ ก็ชอบนะ”
   “เยี่ยม”
   “มีอะไรรึเปล่า”
   “อ่อเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ข้าวฟ่างหยิบมือถือขึ้นมากดๆ แต่สักพักก็เก็บลงไปพลางเปิดหนังสือวิทย์และถามคำถามต่อ ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรนั่งตอบคำถามของรุ่นน้องต่อไป
เวลาล่วงเลยมาชั่วโมงกว่า ตอนนี้เริ่มมีอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณหลังและสะโพกทำเอาผมต้องบิดตัวเพื่อยืดกล้ามเนื้อให้หายจากอาการเมื่อยล้า นอกจากนั้นการที่ต้องเพ่งดูหนังสือนานๆทำเอาตาเริ่มจะล้าผมจึงใช้นิ้วกดนวดบริเวณสันจมูกหวังจะช่วยบรรเทาอาการปวดให้ทุเลาลงไปบ้าง
“ไง เหนื่อยหน่อยนะ” เสียงทุ้มนุ่มที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นข้างหลัง ทำเอาผมต้องฝืนตาที่กำลังล้าหันไปมองอย่างรวดเร็วก็พบกับร่างสูงในชุดนักเรียนที่ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงหมดแล้ว
“มึงมาได้ไงเนี่ย ไม่ใช่สิแล้วมึงรู้ว่ากูอยู่ที่นี่ได้งะ-”
ก่อนที่ผมจะถามผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในที่แห่งนี้มีผู้สมรู้ร่วมคิดที่เคยอยู่ในที่ก่อเหตุชำเราร่างกายมาแล้ว
“ข้าวฟ่าง…” ผมหันไปหาผู้สมรู้ร่วมคิดสาวที่ตอนนี้กำลังเอาหนังสือวิทย์มาปิดบังใบหน้า แต่อย่าคิดว่าจะปิดได้มิดเพราะผมเห็นแล้วว่าเธอกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่ เช่นเดียวกับร่างสูงตรงหน้า… พี่น้องแม่งเหมือนกันเป๊ะเลยให้ตายสิ
“เอ้านี้ของฝาก” มันยื่นแก้วน้ำส้มพร้อมกับกล่องกระดาษไม่ใหญ่มากมาให้
“อะไร”
“เสบียงไง” พอผมเปิดกล่องออกมาดูก็พบกับชูครีมจำนวน 6 ชิ้นแถมปรากฏโลโก้ร้านขนมชื่อดังที่ขึ้นชื่อเรื่องคิวที่ยาวเหยียด ถ้าไปต่อก็ต้องเสียเวลาเกือบๆชั่วโมง
“เดี๋ยวนะ นี่มึงเสียเวลาไปต่อซื้อชูครีมมาเลยเหรอ”
“เออ ก็ได้ยินมาจากอยากกินมากเลยไม่ใช่เหรอกูก็เลยซื้อมาให้ กูอุตส่าห์ไปต่อแถวมาให้”
“ไอ้อยากก็อยากลองอยู่หรอก แต่กูไม่ได้บอกสักหน่อยว่าอยากกินขนาดนั้น”
“หา แต่ฟ่างมันบอกว่ามึงอยากกินมาก… ฟ่างงง!!!” น้ำเสียงของไอ้ทีเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเย็นยะเยือก   “แหม ก็ถือว่าเป็นค่าจ้างในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดไง แค่นี้เองไม่เห็นจะเป็นไรเลย” อ่อ มิน่าล่ะเมื่อกี้ถึงได้ถามว่าอยากกินอะไร
สองพี่น้องกำลังจะเกิดการวางมวยการเกิดขึ้นโดยมีฝ่ายน้องสาวกำลังล้อเลียนพี่ชายอย่างเมามันส์นี่ก็เป็นการแสดงออกทางความรักในอีกแง่สินะ การแสดงออกผ่านการแกล้ง
“เอ้าๆพอได้แล้วมึง ปล่อยๆน้องไปเถอะ”
“ใช่ๆ” ไม่ต้องไปยั่วโมโหมันเพิ่มก็ได้ข้าวฟ่าง แค่นี้ก็จะกัดคอกันตายอยู่แล้ว
“เฮอะ ก็ได้ๆเห็นแก่มึงนะเนี่ย”
ไอ้ทีพูดขึ้นพร้อมกับหย่อนก้นลงไปยังที่นั่งของข้าวฟ่าง
“อ่า นั้นที่นั่งหนูนะ”
“ค่าแลกเปลี่ยนไงกับที่พี่ไปต่อแถวซื้อชูครีมมาให้”
“เชอะ ก็ได้”
ข้าวฟ่างพูดพร้อมกับเดินถือกล่องชูครีมแล้วเดินไปนั่งลงข้างนุ่นแทน ก่อนจะแจกจ่ายชูครีมให้กับเพื่อนสาวรุ่นน้อง และสัมภเวสีอีกสามตน
“แล้วนี้มึงมาทำไร”
“เอาเสบียงมาส่งไง”
“มาแค่นั้น”
“เปล่า มาง้อด้วย”
“…”
“อย่าพึ่งเงียบดิ กูรู้สึกผิดจริงๆนะ”
ร่างสูงเลื้อยลงไปนอนกับโต๊ะพลางช้อนตาขึ้นมามองบน นับวันมันยิ่งมีวิธีง้อผมแบบแปลกใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละวิธีมันเป็นอันตรายกับหัวใจของผมมากขึ้นเรื่อยๆ น่ารักแบบนี้ใครจะไปทนงอนต่อได้ล่ะเนี่ย
“เรื่องอะไรกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย” แต่ผมก็ยังต้องตีหน้าเข้ม แต่หันหลบหน้าอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้มันเห็นรอยยิ้มที่เริ่มจะปรากฏขึ้นมาเริ่มจะเก๊กไม่อยู่แล้ว
“น้า น้า เชื่อกูดิ” น้ำเสียงออดอ้อนที่อีกฝ่ายพยายามแอ๊บมันทำให้ผมไม่สามารถทนฝืนเก๊กต่อไปได้ ผมหลุดขำกับการกระทำแสนไร้เดียงสาของมัน
“โตเป็นควายแล้วยังจะอ้อนแบบนั้นอีกนะ”
“แล้วได้ผลรึเปล่าล่ะ”
“เออ ยอม”
ไอ้ทียกยิ้มมุมปากก่อนจะกลับมานั่งเป็นปกติ ในจังหวะเดียวกับที่ข้าวฟ่างเดินกลับมายื่นชูครีมที่เหลืออยู่ในกล่องเพียงชิ้นเดียวมาให้
“อ้าว เหลืออยู่ชิ้นเดียวเอง”
“งั้นมึงก็กินไปแล้วกัน ยังไงกูก็กะจะซื้อมาให้มึงอยู่แล้ว”
“แต่มึงเสียเวลาไปต่อแถวมาตั้งนาน”
“กูไม่ได้สนของพวกนั้นนักหรอก มึงกินๆไปเถอะ”
“ถ้างั้น…”
ผมหยิบชูครีมขึ้นมาบิดแยกออกเป็นสองชิ้น ก่อนจะยื่นส่งให้ที
“เอ้า แบ่งกันคนละครึ่ง”
“…”
“อย่ามัวแต่ยิ้ม รับไปถือเร็วๆ กูเมื่อย”
“มึงค้างอยู่อย่างนั้นแหละ”
สิ้นเสียงพูดมันยื่นมือมาจับข้อมือผม พลางยื่นหน้าเข้ามาก่อนจะใช้ปากสวยๆงับชูครีมลงไปทั้งชิ้นพร้อมกับปลายนิ้วของผม สัมผัสอุ่นๆที่สัมผัสได้จากภายในช่องปากผสมกับแรงตวัดลิ้นเลียเศษครีมที่ติดที่บริเวณปลายนิ้วไปจนหมดจรด เมื่อปลายนิ้วของผมได้รับการปลดปล่อยออกมาภาพเพื่อนสนิทที่กำลังใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเป็นภาพที่แลดูเซ็กซี่อย่างบอกไม่ถูก อุณหภูมิสูงขึ้นบริเวณใบหน้า ผมรีบหันหนีเพื่อไม่ให้มันเห็นใบหน้าที่กำลังจะขึ้นสีของผม ค่อยๆแทะชูครีมอีกครึ่งชิ้นที่เหลือพลางเตือนสติตัวเองว่านั้นมันเป็นเพื่อน เป็นแค่เพื่อน เป็นเพื่อน
“เป็นอะไรไป”
“มะ-ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เฮ้ยๆตอนนี้ยังอยู่ในห้องสมุดนะเว้ย ข้างหลังยังมีประจักษ์พยานอีกหลายสายตาเลยนะ ผมรีบหลุบตาลง
แพร่บ… สัมผัสอุ่นจากลิ้นของฝ่ายตรงข้ามกวาดเอาครีมที่เลอะบริเวณริมฝีปากซ้ายของผมไปจนหมด
“กินเลอะเหมือนเด็กๆเลยนะ… หวานดี”
ใบหน้าเริ่มเกิดความร้อนมากขึ้นกว่าเดิม หัวใจเต้นรุนแรงขึ้นพร้อมกับสีแดงที่เริ่มลามจากบริเวณแก้มขึ้นไปยังใบหู ไม่ทันที่จะได้หลบคนตรงหน้าเห็นใบหน้าของผมเข้าไปเต็มๆ ไอ้ทีไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามากระซิบข้างหูของผมด้วยเสียงทุ้มนุ่ม
“ทำตัวน่ารักอย่างนี้น่าจับกินซะเลยนะมึงเนี่ย”
“ยะ-…”
“หืม?”
“อย่ามาล้อเล่นนะเว้ย!!!”
สันหนังสือวิทย์เล่มเดิมเข้าปะทะกับศีรษะเข้าฝ่ายตรงข้ามอย่างจัง จนเรียกความสนใจของนักเรียนที่อ่านหนังสืออยู่รอบๆให้หันมา
“อูย… กูแค่ล้อเล่นเอง มึงฟาดมาซะเต็มแรงเลย เดี๋ยวความรู้กูกระเด็นหายไปหมดยิ่งมีน้อยๆอยู่”
“กระเด็นหายไปทั้งหัวเลยก็ดี เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง”
“อะไรๆ เขินเหรอ หน้าแดงแป๊ดเชียวนะ”
“มะ- มะ- ไม่ได้เขินเว้ย”
หนังสือวิทย์เล่มเดิมกำลังจะเข้าปะทะ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะจับจังหวะได้จึงหลบพ้นได้อย่างง่ายดาย
“ตรงนั้นน่ะ จะจีบกันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยเกรงใจพวกกูที่นั่งอยู่ตรงนี้หน่อย”
“ไม่ได้จีบกันเว้ย”
“ไม่ได้เขินไปก็ได้นี้ สารภาพไปเลยว่าเราสองคนกำลังจีบกันอยู่”
“มึงก็อีกตัว เงียบปากไปเลย”
คำพูดที่ไอ้ทีพึ่งพูดไปเมื่อกี้ทำให้พวกนักเรียนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆหันมามองแรงกว่าเดิม บางส่วนถึงกับทำตาลุกวาวเปลี่ยนจากจ้องหนังสือมาจับตามองทางพวกเรากันใหญ่ ไอ้บ้า มึงพูดอย่างนั้นเดียวกูก็ดันคิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่ามึงจีบกูจริงๆ
“แต่เรื่องที่กูจีบมึงเมื่อกี้กูไม่ได้ล้อเล่นนะ”
“…” ผมชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูด สมองไม่สามารถประมวลผลออกมาเป็นคำพูดได้ รู้สึกเหมือนกับว่ามีความหวัง ความหวังว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อมันอาจจะเหมือนกับที่มันมีต่อผมก็ได้
“… ทำหน้าเครียดไปได้ เมื่อกี้กูล้อเล่น” ความรู้สึกเหมือนกับนกแรกเกิดที่พึ่งจะรู้สึกดีที่ได้กางปีกบินเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นก็ดันไปชนกับเสาไฟฟ้าจนตกลงมาปะทะกับพื้นดินเต็มๆ
“…เหรอ” นั้นสินะ เค้าว่ากันว่ายิ่งตั้งความหวังไว้สูงเวลาตกลงมามันก็จะยิ่งเจ็บเป็นเท่าตัว ผมพยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด ผมได้แต่เพียงเก็บความผิดหวังเอาไว้ในใจ นี่ก็คงจะเป็นการแสดงความรักในแบบของมัน การแสดงออกทางความรักในรูปแบบของเพื่อนสนิท

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท
   

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 21 {17/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 20-01-2020 18:43:54
ขั้นที่ 22 เข้าสอบ
น่านฟ้า
     “ฟ้า ตรงนี้ทำไมมันถึงตอบข้อนี้วะ”
     “ไหนๆ… มึงเอาวิธีคิดวิชาเลขมาคิดวิชาเคมี มึงคงจะได้คำตอบอะนะ”
     วันนี้ไอ้ทีมันมาค้างที่บ้านผมเพื่อให้ผมช่วยติววิชาวิทย์ให้ โชคดีที่โรงเรียนของพวกเราสองคนเรียนวิชานี้หลักสูตรเดียวกันแถมเนื้อหาที่ออกสอบก็เหมือนกัน จะต่างกันตรงที่วิชานั้นผมสอบเสร็จไปตั้งแต่วันแรกแล้ว ส่วนของมันจะสอบพรุ่งนี้ที่เป็นวันสอบวันสุดท้าย
     “อื้อ ยากจังวะ” ร่างสูงทิ้งตัวลงไปนอนราบกับพื้นห้อง
     “พยายามเข้าแล้วกัน กูผ่านจุดๆนั้นมาแล้ว”
     “พรุ่งนี้มึงสอบวิชาอะไรวะ ทำไมไม่เห็นมึงอ่านหนังสือเลย”
     “หน้าที่พลเมือง”
     “ดีจังวะ” ไอ้ทีนอนกลิ้งโอดครวญอยู่กับพื้นทันทีที่ได้ยินชื่อวิชาตัวสุดท้ายที่ผมจะสอบ เพราะวิชาหน้าที่พลเมืองเป็นวิชาที่เล่าขานกันมาว่าง่ายที่สุดในบรรดาวิชาสามัญ เพราะเพียงแค่คุณแสร้งทำตัวเป็นคนดีมีจรรยาบรรณคุณก็สามารถทำคะแนนเต็มวิชานี้ได้ไม่ยาก
     “อย่าบ่นนัก กลับมาอ่านหนังสือต่อได้แล้ว เดี๋ยวกูจะช่วย”
     “ไม่มีแรงอ่านหนังสือแล้วอะ… มึงมีรางวัลให้กูไหมอะ”
     ไอ้เด็กเอาแต่ใจ… ผมแต่ถอนหายใจให้กับไอ้เด็กมัธยมปลายที่โตแต่ตัว
     “มึงเป็นคนมาขอให้กูช่วยเองนะ ทำไมกูต้องมีรางวัลให้มึงด้วย”
     “…จะว่าไป ก็จริงวะ”
     นี่ตกลงว่ามันโง่ ก่งก๊ง หรือซื่อวะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ นานๆทีจะได้เห็นมันงอแงแบบนี้ก็เป็นภาพที่แปลกใหม่ดีเหมือนกัน
     “ถ้างั้นมึงมาพนันกับกูไหมล่ะ”
     “พนัน?”
     “ถ้ามึงสอบได้วิชาวิทย์ติดอันดับท๊อปห้าของห้อง กูจะทำตามที่มึงขออย่างนึง”
     “แล้วถ้ากูทำไม่ได้ล่ะ”
     “มึงก็ต้องทำตามที่กูขอข้อนึง เป็นไงกล้าพนันรึเปล่า”
     ไอ้ทีนิ่งเงียบทำท่าทางครุ่นคิด สงสัยข้อเสนอของผมมันจะยากเกินไปสำหรับมัน แต่ก็เอาเถอะถือว่าเป็นหลักประกันความปลอดภัยของผมเอง
     “เฮ้อ มึงเนี่ยร้ายจังวะ” มึงไม่มีสิทธิ์มาพูดนะไอ้ที
     “แล้วไงจะรับรึเปล่า”
     “เออ รับก็ได้แล้วคอยดูก็แล้วกัน”
     แกร๊ก เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่เปิดออก มีร่างของชายร่างสูงที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กับเนคไทที่ถูกปลดออกมาจากคอแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีความน่าเชื่อถือและดูดีในสายตาของผู้หญิง
     “อ้าวพี่ภูกลับมาแล้วเหรอ”
     “สวัสดีครับพี่ภู”
     “อืม สวัสดี”
     “แล้วที่เข้ามาห้องฟ้านี้มีธุระอะไรเหรอ”
     “ทำไม พี่ไม่มีธุระแล้วจะเข้ามาไม่ได้รึไง”
     “ไม่ได้พูดอย่างนั้นซะหน่อย”
     “พี่ซื้อขนมปังปิ้งมาให้อยู่ข้างล่าง ลงไปกินกันซะ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนจะตามลงไป”
     “อืม”
     พูดจบพี่ภูก็เดินออกไปจากห้องแล้วเปิดประตูเข้าไปยังห้องของตนเองที่อยู่ข้างๆห้องของผม พวกเราสองคนเก็บหนังสือให้เรียบร้อยก่อนจะเดินลงไปยังห้องครัวที่หยิบจานบนชั้นวางของมาใส่ขนมปังก่อนจะตรงไปนั่งกินกันในห้องนั่งเล่น
     “เออ พรุ่งนี้มึงสอบเสร็จตอนเที่ยงใช่ปะ”
     “ใช่ ทำไม”
     “ตอนเย็นไปกินข้าวกันมะ ไอ้วินมันอยากกินหมูกระทะ”
     “หมูกระทะเหรอ ก็ดีนะไม่ได้กินมาตั้งนาน”
     “งั้นพรุ่งนี้ตอนบ่ายมึงแวะมาที่โรงเรียนกูปะ มารอพวกกูสอบเสร็จจะได้ไปกินกันเลย”
     “แน่ใจนะว่ากูเข้าไปได้”
     “ได้ดิ ขนาดกูยังเข้าไปโรงเรียนมึงได้เลย”
     “นั้นเขาเรียกบุกรุกสถานศึกษาไอ้ที”
     “นอกเวลาราชการไม่นับเว้ย ช่วงสอบโรงเรียนกูตรวจไม่เข้มอยู่แล้ว มึงไปนั่งรอในโรงเรียนกูได้สบาย”
     “งั้นกูได้ ไว้เดี๋ยวกูสอบเสร็จแล้วเดี๋ยวกูจะทักไป”
     ผมสังเกตเห็นว่าร่างสูงหยิบหนังสือวิทย์ลงมาอ่านมือนึง อีกมือนึงก็จิ้มเอาขนมปังปิ้งขึ้นมากิน
     “พอมีรางวัลล่ะก็ฟิตเชียวนะ”
     “แน่นอน กูจะทำให้มึงทำตามที่กูขอให้ได้คอยดูแล้วกัน”
     “ถ้ามึงทำได้ล่ะก็นะ… จะว่าไปถ้ามึงเกิดชนะขึ้นมาจริงๆมึงจะขออะไรกูวะ”
     ผมถามเผื่อไปหน่อยด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าผมจะคิดว่ามันไม่น่าจะชนะพนันได้ก็ตาม
     “แหมๆ ของแบบนี้เขาต้องรอตอนชนะก่อนไหม”
     “แต่กูอยากรู้อะ ไม่ได้เหรอ”
     ไหนๆคำขอของมึงก็จะไม่เป็นจริงแล้ว กูขอเสือกหน่อยก็แล้วกัน
     “กูจะจีบมึง…” ร่างสูงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
     “…หะ?” ส้อมพร้อมขนมปังปิ้งที่ราดด้วยแยมส้มสีสดใสน่ากิน ตกกระทบกับพื้น ร่างกายของผมเกร็งไม่อาจจะขยับเขยื้อน
     ร่างกายตัวเองได้ หัวใจเริ่มเต้นรัวไปกับคำพูดที่เมื่อกี้ผมได้รับรู้
     “มะ- เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ” ผมพยายามถามเพื่อทบทวนว่าสิ่งที่มันพูดออกเมื่อกี้ผมได้ยินไปเองหรือเปล่า เพราะน้ำเสียงของร่างสูงมันเรียบนิ่ง แถมตายังมองอยู่ที่หนังสือวิทย์
     “หือเมื่อกี้เหรอ? กูหมายถึงกูอยากกินขนมจีบอะ มึงซื้อมาให้กูหน่อย”
     อ่อ ขนมจีบนี่เองค่อยยังชั่ว ดูเหมือนจะฟังผิดไป… ช่วงนี้พอได้ยินไอ้ทีพูดอะไรเข้าหน่อยก็ดันเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปซะ
หัวใจเต้นรัวจนจะเป็นโรคความดันแล้ว นี่สินะที่เขาเรียกว่าความรักทำให้ใจบาง แถมไม่ใช่ความรักธรรมดาๆซะด้วย ดันเป็นรักเพื่อนสนิท
     ถ้าเมื่อกี้นี้ผมไม่ได้ฟังผิดไปล่ะก็ ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเป็นยังไงต่อไปนะ ถ้าเมื่อกี้มันพูดว่าจีบจริงๆล่ะก็แปลว่าใจตรงกันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็หมายถึง… แฟน!? ไม่ๆ จะไปคิดแบบนั้นไม่ได้ ผมมองไปยังร่างสูงที่ตอนนี้นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา สายตาคมที่จ้องมองหนังสือ ใบหน้าได้รูป พร้อมกับริมฝีปากสีแดงที่กำลังจะนำขนมปังปิ้งเข้าไปในปาก มันช่างดู…
     “เมื่อกี้ใครอยากจะกินขนมจีบ”
     เสียงพี่ชายเรียกสติของผมให้กลับมาก่อนที่มันจะเตลิดหนักไปกว่าเดิม พี่ภูปรากฏตัวขึ้นมาในชุดเสื้อยืดสีขาวท่อนล่างมีเพียงแค่กางเกงบ๊อกเซอร์ พร้อมกับมือทั้งสองที่กำลังใช้ผ้าขนหนูซับน้ำจากเส้นผมของตน
     “พอดีผมรู้สึกอยากจะกินนิดหน่อยน่ะครับ”
     “ถ้างั้นไปเอาในตู้เย็นได้ รู้สึกว่าจะมีเหลืออยู่สองสามไม้ เอาไปเวฟเอาแล้วกัน”
     “ขอบคุณครับ”
     “แต่ถ้าคิดว่ามันเสียแล้ว ก็อย่ากินขนมจีบก็แล้วกัน”
     “แย่จังนะครับ แต่ผมก็ยังอยากกินขนมจีบอยู่”
     “อ้าว หน้าแดงขึ้นนะเราน่ะ เป็นไข้รึเปล่า”
     “ปะ-เปล่าๆ สงสัยจะร้อนนะ เมืองไทยเนี่ยมันร้อนจังเลยนะ”
     “ถ้างั้นก็รีบกินแล้วขึ้นไปนอนตากแอร์ก็แล้วกัน รีบนอนล่ะพรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว”
     “อืม”
     ไม่จริงน่า เผลอตัวไปตอนไหนเนี่ย หวังว่ามันคงจะยังไม่เห็นสีหน้าของผมหรอกนะ ต้องรีบกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด
ผมนั่งทำสมาธิพยายามทำให้จิตใจที่กำลังว้าวุ่นของหนุ่มน้อยที่กำลังมีความรักกลับมาปกติ โดยที่ไม่ได้สัมผัสถึงรังสีอำมหิตที่กำลังปล่อยออกมาจากร่างสูงทั้งสองคนที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่

     “จบแล้ว ในที่สุด”
     เหล่านักเรียนในห้องต่างพากันส่งเสียงยินดีเมื่อวิชาสุดท้ายของการสอบได้สิ้นสุดลงไป บางคนก็นัดกับเพื่อนกันไปฉลอง ไม่เว้นแม้แต่พวกผมที่ตอนนี้ยืนคุยกันอยู่หน้าห้องสอบ
     “ไปหาอะไรกินฉลองสอบเสร็จกันปะ พวกมึง”
     “เดี๋ยวกูต้องไปคุยกับครูนิดหน่อย พวกมึงไปกินกันก่อนก็ได้นะ”
     “อ้าวนี จะปิดเทอมอยู่แล้วยังมีงานอะไรอีกวะ”
     “นิดนึงอะ”
     “ให้พวกกูรอปะ”
     “ไปกันก่อนก็ได้ น่าจะอีกสักพัก เดี๋ยวกูตามไป”
     “เคร”
     นีบอกลาก่อนจะเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องพักครู เป็นหัวหน้าห้องก็มีงานเยอะเหมือนกันนะ
     “แล้วพวกมึงอะ เอายังไง”
     “กูไปด้วย”
     “แต่กูไปด้วยไม่ได้นะ”
     “อ้าวทำไมวะ”
     “กูว่าจะไปกินหมูกระทะกับไอ้ทีตอนเย็น ตอนนี้ก็เลยจะไปรอมันที่โรงเรียน”
     “มึงไปตอนเย็นไม่ใช่เหรอ มึงก็ไปกินกับพวกกูก่อนก็ได้นิ ไปรอมันก็เสียเวลา”
     “ตอนแรกกูก็คิดแบบนั้นแหละ แต่มันบอกว่าให้กูไปทวนรอบสุดท้ายให้หน้าห้องหน่อย”
     “โห คนดีเวอร์”
     “นี่ล่ะนะ ที่เขาเรียกว่าได้ผัวแล้วทิ้งเพื่อน”
     “ผัวบ้านเอ็งดิฝ้าย เพื่อนเว้ย”
     “แหม เพื่อนที่ไหนเขาเลียครีมกันกลางห้องสมุดกันล่ะคะ”
     “… ก็เพื่อนสนิทไง… เพื่อนสนิทสุดๆ” ผมพยายามแถอย่างสุดความสามารถ สุดความสามารถของผมแล้วจริงๆ เพราะผมนึกไม่ออกแล้วว่าเหตุผลไหนมันจะฟังขึ้น
     “ค่าๆ เพื่อนก็เพื่อน งั้นเราอย่าไปขัดมันเลย ไปหาข้าวกินกันดีกว่า”
     “ถ้างั้นไว้เจอกันใหม่นะไอ้ฟ้า”
     “อืม กินข้าวให้อร่อยนะ”
     ถ้างั้นก็หาอะไรกินก่อนค่อยไปหามันก็แล้วกัน ติ๊ง ขาที่กำลังจะก้าวถูกขัดด้วยเสียงเตือนข้อความเข้า
     Nathi : มึงเลิกยังอะ
     Naanfah : อืมเลิกแล้วกำลังจะไปโรงเรียนมึง
     Nathi : ถ้างั้นก่อนมา มึงช่วยหาซื้อข้าวมาให้พวกกูหน่อย
     Naanfah : ข้าว? มึงไม่กินที่โรงเรียนล่ะ
     Nathi : โรงอาหารแม่งปิด
     อ้าว…
     Nathi : ปกติแม่งช่วงสอบก็เปิดอยู่แค่ร้านเดียว เพราะร้านอื่นปิดไปเที่ยวกันตั้งแต่ก่อนสอบแล้ว วันนี้ป้าเจ้าของร้านดันป่วย เลยปิด
     ทำไมเหล่าป้าๆโรงอาหารโรงเรียนมันไม่คิดหัวอกเด็กบ้างเลยเนี่ย แล้วช่วงสอบเหล่านักเรียนตาดำๆหิวโซที่พึ่งโดนข้อสอบดูดวิญญาณจะหาอะไรกินกัน น่ายื่นเรื่องส่งผอ.โรงเรียนจริงๆ
     Naanfah : ทำไมมึงไม่ลองหาร้านข้างนอกกินล่ะ
     Nathi : ทุกคนคิดแบบนั้นเหมือนกันหมดตอนนี้ เต็มแน่นเอี๊ยดทุกร้าน พวกกูโดนข้อสอบเลขเมื่อเช้าดูดพลังไปหมดแล้ว ไม่มีแรงเหลือแล้ววว
     Naanfah : อย่าพึ่งตายนะมึง เดี๋ยวกูจะซื้ออะไรไปให้
     Nathi : อืม รีบหน่อยนะพวกกูจะตายแล้ว
     Nathi : อ่อ พวกกูนั่งอยู่ที่สวนจักรนะ ถ้ามึงมาไม่ถูกทักมาถามกูหรือไม่ก็ถามคนแถวนั้นเอาก็ได้
     Naanfah : อืม
     ผมเก็บโทรศัพท์ลงก่อนจะรีบเดินลงไปจากอาคารเรียน ต้องรีบไปซื้อข้าวก่อนที่ไอ้พวกนั้นจะเป็นลมตายกันซะก่อน ดูจากที่พิมพ์มาแล้วก็น่าจะไม่ไหวจริงๆแล้วนั้นแหละ

     มาถึงแล้วก็จริง แต่ว่าจะเอายังไงต่อดีเนี่ย ตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงเรียน กำลังพิจารณาว่ากำลังจะมุ่งหน้าไปยังส่วนไหนของโรงเรียน ไอ้ทีที่บอกว่าถ้ามาถึงแล้วให้ทักไปก็ดันไม่ตอบ จะให้ถามคนแถวนี้ก็… ตอนนี้แต่ละคนก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกันอย่างขะมักเขม้นทำเอาไม่กล้าเข้าไปทักเลย
     เอาวะ เดินสุ่มๆไปก่อนแล้วกัน
     “อ้าวฟ้าไม่ใช่เหรอครับ”
     ผมหันไปตามเสียงเรียก ก็พบกับเพื่อนร่างสูงที่ไม่ได้พบมานานตั้งแต่เข้าค่าย
     “อ้าวเกมส์ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
     “นั่นสินะครับ ว่าแต่วันนี้ฟ้ามาทำอะไรที่โรงเรียนผมเหรอครับ”
     “พอดีเอาข้าวมาส่งให้พวกทีน่ะ เห็นว่าโรงอาหารมันปิดแต่ไม่รู้ว่าสวนจักรมันไปทางไหนน่ะสิ”
     “ถ้างั้นเดี๋ยวผมพาไปไหมครับ”
     “จะดีเหรอ” ผมตาวาวเมื่ออีกฝ่ายยื่นข้อเสนอมาให้
     “ครับ ฟ้าไม่คุ้นทางเดี๋ยวจะหลงซะก่อน”
     “ขอบคุณนะ”
     โชคดีที่มาเจอเกมส์พอดี ถ้าให้มาเดินหาเองล่ะก็ชาตินึงก็ไม่มีทางเจอ ลึกลับชิบหาย นอกจากจะต้องเดินผ่านซอกตึกแล้วยังต้องอ้อมไปหลังตึกด้วย ตอนนี้ก็กำลังเดินขึ้นๆลงๆดึกอีกสองสามตึก
     “ทำไมมันลึกลับแบบนี้เนี่ย”
     “เห็นว่าตอนแรกผอ.อยากจะสร้างตึกรูปแบบเก่าทั้งหมด แต่ไปๆมาๆอยู่ๆผอ. ก็สั่งให้เปลี่ยนไปสร้างตึกแบบใหม่พื้นที่ๆวางไว้ตอนแรกก็เลยไม่พอ ก็เลยมีพวกทางเดินที่เป็นแบบซอกตึก หรือทางเดินที่ต้องเดินผ่านตึกอื่นก่อนอยู่เยอะแยะเลยล่ะครับ”
      “มิน่าถึงได้บอกว่าถ้าเราเดินหาเองจะหลง”
     “ครับ ตอนผมพึ่งเข้าเรียนมาเดินหลงกันเป็นว่าเล่นเลยล่ะครับ ขนาดครูบางคนยังหลงเลยละ”
     “ไม่แปลก”
     “อะ เห็นแล้วล่ะครับ เดินผ่านซอกข้างหน้าก็จะถึงสวนจักรแล้วล่ะครับ”
     พอเดินออกมาผ่านซอกตึกก็พบกับสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่จำนวนมาก ตรงกลางสวนมีน้ำพุขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็สร้างความชุ่มชื้นให้กับบริเวณโดยรอบได้เป็นอย่างดี
     “สวยสุดยอด”
     “ใช่ไหมล่ะครับ แต่ถึงมันจะสวยคนก็ไม่ค่อยจะเดินมากันหรอกนะครับ”
     “อ้าวทำไมล่ะ บรรยากาศออกจะดี” ถ้ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในโรงเรียน ผมคงจะมาสถิตอยู่ที่นี้ทั้งวันไม่ขยับไปไหน บรรยากาศโคตรจะผ่อนคลายน่านั่งมาก
     “เพราะว่ามาลำบากก็เลยไม่ค่อยจะมีใครมาน่ะสิครับ”
     “อ่อ มิน่า” ก็จริงกว่าจะมาถึงนี้ก็เดิน ขึ้นๆ ลงๆ เข้าซอกนู่น เข้าซอกนี้ ซิกแซกจนงงไปหมดถ้าให้เดินกลับไปเองล่ะก็ผมคงติดอยู่เป็นชั่วโมงแน่
      “ไอ้ฟ้าทางนี้ๆ”
      “ไง หิวโซเลยล่ะสิท่าพวกมึง”
     ผมเดินตรงมายังม้านั่งหินที่พวกมันกำลังนั่งอยู่
      “เออ หิวจนไส้กิ่วหมดแล้วเนี่ย”
     ผมยื่นถุงที่มีข้าวกล่องให้กับมัน ในขณะที่ตัวเองกำลังมองหาอีกบุคคลหนึ่ง บุคคลที่ไม่ยอมตอบข้อความของผมทั้งที่มันเป็นคนบอกให้ผมเรียก
     “อ้าวแล้วไอ้ทีอะ”
     "นู่น นอนตายอยู่ตรงโน้น”
     วินชี้ไปยังม้านั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พอผมเดินอ้อมไปดูก็พบกับศพของเพื่อนสนิทกำลังนอนขึ้นอืดอยู่บนม้านั่งหินอ่อน
     “เฮ้ย ไอ้ทีตื่นๆ ไอ้ฟ้ามันเอาข้าวมาให้แล้ว”
     “อือ… ไอ้ฟ้า” ร่างสูงตอบวินกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด อารมณ์เหมือนเด็กนอนกลางวันโดนปลุกยังไงอย่างงั้น แต่มันก็ยัง พยายามเปลี่ยนท่าทางให้กลับขึ้นมานเป็นท่านั่งโดยที่หน้าของมันยังหลับตาปรืออยู่ ภาพตรงหน้าส่วนสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏขึ้นบนหน้า น่ารักจริงวุ้ย
     “ไงมึงจะตายแล้วรึไง” ผมหย่อนตัวลงไปนั่งม้านั่งเดียวกับร่างสูง
     “อืม ง่วงชิบหาย”
      “สู้ๆเว้ย อีกนิดเดียวก็จะจบแล้ว… เอ้า กินข้าวซะจะได้มีแรง”
      “…ยังไม่หิว กูของีบก่อน” พูดจบร่างสูงก็ทิ้งหัวของตัวเองลงบนตักของผม
      “ดะ-เดี๋ยวอยู่ๆทำอะไรเนี่ย”
     “นอน”
     “มึงไปหาที่อื่นนอนจะสบายกว่าตักกูนะ”
     “ตักมึงแหละ…สบายสุดแล้ว…”
     ร่างสูงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ค่อนข้างจะแผ่วเบา เหมือนกับเป็นสัญญาณว่าขี้เกียจจะเถียงแล้วกูจะนอน แขนทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นมาโอบรัดบริเวณเอว ใบหน้าจรดที่หน้าท้อง ลมหายใจอุ่นๆที่เป่าออกมากระทบจนทำให้เกิดความรู้สึกหวิวบริเวณหน้าท้อง ร่างสูงหลับตาพริ้ม ลมหายใจเข้าออกเริ่มสม่ำเสมอ
     “อ้าวไอ้ที หลับไปแล้วเหรอ”
     ไนท์หันมาถามเมื่อรู้สึกว่าบทสนทนาของผมกับไอ้ทีมันเริ่มเงียบลง
     “อืม หลับปุ๋ยเลย ปกติมันอ่านหนังสือหนักขนาดนี้เลยเหรอวะ ถึงขนาดง่วงขนาดนี้เนี่ย”
     “ไม่นะ ปกติมันออกจะชิว ได้ไม่ได้ก็ปล่อย พึ่งจะเคยเห็นมันเป็นขนาดนี้เนี่ยแหละ”
     “เหรอ”
     สิ่งที่คิดออกได้เพียงอย่างเดียวก็คือเรื่องที่มันกับผมพนันกันเอาไว้ ดูเหมือนว่าของรางวัลจะได้ผลเกิดคาด ไม่ไหวๆจะขยันก็ไม่ว่าแต่เล่นฝืนซะขนาดนี้
     “งั้นเดี๋ยวพวกกูขึ้นไปรอมันที่หน้าห้องสอบนะ จะไปอ่านหนังสือทบทวนด้วย”
     “อ้าว ไม่รอไปพร้อมกับไอ้ทีเหรอ”
     “ไม่อยากรบกวนมัน ให้มันพักไปก่อนน่าจะดีกว่า ไปไอ้วินขึ้นห้องกัน”
     “เดี๋ยวกูยังแดกไม่หมด”
     “กินไปเดินไปก็แล้วกันมึง เออใช่ไอ้ฟ้าวิชาต่อไปสอบตอนบ่ายโมงนะ พวกกูสอบตรงตึกโน้น ถ้าใกล้เวลาแล้วก็ฝากปลุกมันหน่อยแล้วกัน”
     “ได้ ถ้าใกล้แล้วก็จะปลุกมันให้”
     “ฝากด้วยแล้วกัน”
     เพื่อนทั้งสองเดินขึ้นไปบนตึกเท่าที่ดูจากตรงระเบียงพวกมันน่าจะสอบกันที่ชั้น 5 ตึกโรงเรียนมันค่อนข้างจะออกแนวสไตล์โมเดิร์นเข้ากับสวนเป็นอย่างดี เสียอย่างถ้ามันไม่ลึกลับผมคงจะแอบเข้ามานั่งเล่นอยู่บ่อยๆ
ผมละความสนใจจากอาคารเรียนมาสนใจเพื่อนสนิทที่กำลังนอนซบท้องของผมอย่างสบายใจ ผมใช้ฝ่ามือค่อยๆลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างเบามือ ดูเหมือนว่ามันจะพอใจมันจึงขยับหัวตอบรับ หึ เหมือนเด็กเลยนะมึงเนี่ย ปกติเอาทำหน้าเก๊กหล่อไปวันๆ พอมาเห็นหน้าตอนหลับแล้วมันก็ทำเอาใจเต้นรัวเลย คนบ้าอะไรน่ารักชิบหาย
     “ไอ้ที…ไอ้ที…”
    ผมส่งเสียงเรียกร่างสูงที่กำลังหลับอยู่เมื่อเห็นว่าลมหายใจของอีกฝ่ายยังคงสม่ำเสมอ ผมจึงได้ตัดสินใจใช้มือปิดหูของัมนก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ
    “…กูชอบมึงนะ”
    ไร้เสียงตอบรับ ร่างตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนหน้านี้เป็นสัญญาณว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปเมื่อครู่ มันจะไม่มีทางรับรู้ได้
     “เฮ้อ…ว่าไปนั้น เนอะ” ผมใช้นิ้วชี้ค่อยไปม้วนเส้นผมของคนตรงหน้าเล่น ถ้าเมื่อกี้มึงได้ยินที่กูพูดจะทำหน้าแบบไหนกันนะ ผมทำได้แต่เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ เพราะสถานะของพวกเรามันเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทจากนี้…และตลอดไป เสียงลมอ่อนๆที่พัดผ่านพร้อมกับเสียงสายน้ำตรงกระทบจากน้ำพุช่วยคลายความอึดอัดในใจ

     ติ๊ง…
     อื้อ… เสียงข้อความที่ดังขึ้นทำให้ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา ผมสะลึมสะลือหยิบมือถือขึ้นมาดูข้อความที่ส่งเข้ามา
     Phupha : จะกลับกี่โมง
     กี่โมงเหรอ วันนี้จะไปกินหมูกระทะกับไอ้ทีต่อ คงจะกลับดึกล่ะมั้ง ไว้ค่อยตอบแล้วกัน ง่วง แต่จังหวะที่กำลังจะเก็บมือถือลงไปสายตาดันไปประสานกับตัวเลขระบุเวลาตรงมุมขวาที่บอกเวลาตอนนี้เป็น [12:54] ทำให้ผมตื่นขึ้นมาเต็มตา
     “เฮ้ย!!! จะเริ่มสอบแล้วนี่หว่า… ไอ้เหี้ยทีตื่นๆจะเริ่มสอบแล้วนะเว้ยมึง”
     “อืม ขออีกห้านาที” ร่างสูงกอดเอวของผมเอาไว้แน่น ก่อนจะใช้ใบหน้าไซร้ที่หน้าท้องของผม เป็นภาพที่น่ารักมาก ผมก็
     อยากจะมีเวลาเชยชมอยู่หรอกแต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาแบบนั้นน่ะสิ
     “ไม่ได้เว้ย อีกห้านาทีจะเริ่มสอบแล้ว”
     “ฟ้า พาทีไปหน่อย” นี่มึงจงใจหรือมึงละเมอออกมาจริงๆเนี่ย ใช้คำซะเด็กเลย
     ร่างสูงยอมปล่อยมือจากเอวพร้อมกับลุกขึ้นมาเป็นท่านั่งได้ก็จริง แต่ตาของมันยังหลับตาพลางเอียงตัวไปมาพร้อมจะกลับไปหลับได้ทุกเมื่อทำเอาผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ สงสัยต้องพามันไปส่งจริงๆแล้ว ไม่งั้นไม่ทันแน่เลย ผิดที่ผมเองด้วยแหละที่ดันเผลอหลับไปกับมัน ใครจะไปรู้ล่ะว่าลมเย็นๆที่พัดมามันจะกล่อมให้นอนได้ดีขนาดนี้
     “เอ้าไปได้แล้ว เดี๋ยวกูไปสะ- โอ้ยยย” จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นผมดันทรุดลงไปจนหัวโขกกับโต๊ะหินอ่อน ตะคริวกินขาขยับไม่ได้…โอ้ยยย หัวกูเจ็บ ขาก็เจ็บ เพื่อนก็ต้องไปส่ง
     ผมพยายามนวดบริเวณน่องของตัวเองสักพักความเจ็บปวดจึงบรรเทาลง ผมจึงรีบจับมือเพื่อนสนิทพามันออกวิ่งไปยังห้องสอบโดยไม่รีรออะไรทั้งนั้น โดยลืมไปเลยว่าบนโต๊ะหินอ่อนยังเหลือกล่องข้าวสดใหม่ที่จะกลายเป็นขยะในอีกไม่กี่ชั่วโมง
     “เดี๋ยวครับๆ” ตะโกนขึ้นมาก่อนที่ครูคุมสอบจะปิดประตูห้องสอบ พอครูได้ยินเสียงของผมก็หันมาหาผม
     “อ้าว หนูฟ้า มาทำอะไรที่นี่เหรอจ๊ะ”
     “ผะ-ผมพาไอ้นี่มาส่ง” ผมหันไปมองร่างสูงที่อยู่ข้างหลังผม พอครูเมย์เห็นก็ส่งเสียงเตือน
     “มาเกือบไม่ทันเวลาเลยนะนที ไปทำอะไรมากันเนี่ย”
     “พอดีว่าเผลอหลับยาวไปหน่อยน่ะครับ” ผมส่งเสียงตอบครูเมย์ไป
     “ไม่ใช่คร้าบ ทั้งคู่ไปสวีทกันมาคร้าบ”
     เสียงโห่แซวในห้องสอบดังขึ้นมากันใหญ่ ทำเอาครูเมย์ต้องส่งเสียงดังเตือนทั้งห้องจึงสงบเสงี่ยมลง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครคือหัวโจก เสียงชวนให้อวัยวะเบื้องล่างกระตุกมีอยู่เพียงคนเดียว
     “คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ โชคดีที่ครั้งนี้ครูเป็นคนคุมสอบ ถ้าเป็นครูคนอื่นล่ะก็อาจโดนให้ขาดสอบปรับตกไปเลยก็ได้นะ”
     “ครับ มึงน่ะฟังไว้”
     “คร้าบๆ แต่มันก็ความผิดมึงส่วนนึงไม่ใช่เหรอ”
     “ก็ถ้ามึงไม่เริ่มก่อน กูก็คงไม่หลับตามมึงหรอก”
     “เออๆ กูยอมก็ได้”
     “ดีถ้างั้นก็รีบไปเข้าห้องสอบได้แล้ว”
     “…”
     “ทำไมยังไม่เข้าไปในห้องอีก” ผมหันกลับไปมองร่างสูงที่ยังคงนิ่ง ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะออกเดินไปเลยสักนิดทำเอาผมสงสัย
     “ก็มึงยังไม่ปล่อยมือกู กูก็เดินไปไม่ได้ดิ”
     มือ? ผมเลื่อนสายตาลงไปต่ำจนเห็นว่ามือของพวกเราสองคนประสานกันอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็รีบสะบัดมือออกไปโดยเร็ว ดันคิดแต่ว่าจะมาส่งมันยังไงให้ทันสอบก็เลยไม่ได้สนใจ เผลอจับมือมันลากมาตลอดทางซะได้ ระหว่างทางก็ผ่านห้องสอบมาหลายห้อง อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปจริงๆ
     “ไม่เห็นต้องสะบัดแรงขนาดนั้นก็ได้นี่หว่า รังเกียจกูเหรอ”
     “ไม่ต้องพูดมาก รีบๆไปเข้าสอบได้แล้วไป”
     “คร้าบๆ”
     “เดี๋ยว”
     “หืม?”
     ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวเข้าไปในห้อง ผมส่งเสียงเรียกให้อีกฝ่ายหันมา ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าพร้อมกับขวดน้ำดื่มออกมาจากกระเป๋า ชุบผ้าเช็ดหน้าให้ชุ่ม ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงก่อนจะเขย่งตัวเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำค่อยๆเช็ดบริเวณใบหน้า ร่างสูงเกร็งตัวไม่พูดอะไรเอาแต่ทำหน้าตาตะลึง
     “ถ้ามึงเข้าไปเดี๋ยวมึงก็ไปหลับอีก อย่างน้อยก็เช็ดหน้าสักหน่อยจะได้ตื่น”
     ร่างสูงยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังกี่ทีก็รู้สึกสบายใจ
     “อืม ขอบคุณ”
     “อี๋ ครูคร้าบ มีคนจีบกันหน้าห้องคร้าบ”
     ไอ้ห้องนี้ถ้าไปแข่งประสานเสียงผมว่าน่าจะได้สักรางวัลอะ เสียงโห่นี้ขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายกันเลย

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท




 
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 22 {20/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 24-01-2020 18:18:20
ขั้นที่ 23 ทะเล
นที
   “มาถึงแล้ว”
   “โห พวกมึงมาดูตรงนี้ติดทะเลด้วย”
   เหล่าสาวๆต่างพากันชะโงกดูวิวทะเลกันยกใหญ่ ส่วนพวกผมทำหน้าที่เป็นแรงงานคอยยกกระเป๋าของพวกคุณเธอที่ไม่รู้แบกอะไรต่อมิอะไรมาบ้าง หนักอย่างกับแบกบ้านมาทั้งหลังนี้มาเที่ยวแค่สามวันเองนะไม่ใช่ย้ายบ้าน
   ตอนนี้พวกเรากำลังยืนอยู่หน้าบ้านพักหลังใหญ่ที่เป็นของญาตินี ด้วยความที่ว่าคุณเธอเขาอยากจะมาเที่ยวบวกกับที่ญาติของเธอเปิดธุรกิจบ้านเช่าตากอากาศริมทะเล พวกเราจึงได้อานิสงส์ติดสอยห้อยตามมาอย่างที่เห็น สมาชิกในทริปครั้งนี้จึงเยอะเป็นพิเศษ มีแก๊งสามสาวเจ้าประจำ เพื่อนสนิท(?)น่ารัก ชายโฉดสองคน เหล่าน้องสาว และเกมส์…
   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวลุงไปก่อนนะ หนูนี ขาดเหลืออะไรก็โทรมาบอกลุงได้”
   “ขอบคุณนะคะ คุณลุง”
   “พวกเพื่อนๆก็ด้วยเที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ”
   “ขอบคุณครับ/ค่ะ”
   รถตู้คันสีขาวคลื่อนตัวออกไป พวกผมจึงจัดการขนกระเป๋าจำนวนมากเข้าไปเก็บในบ้านพัก ข้างในบ้านค่อนข้างกว้างมีอยู่ 2 ชั้น ถึงจะไม่รู้ว่ามีจำนวนห้องแน่ๆกี่ห้อง แต่พอดูด้วยตาและความใหญ่โตจากภายนอกก็รู้เลยว่าน่าจะอยู่กัน 10 คนได้อย่างสบายๆ เผลอๆอาจจะอยู่กันได้มากกว่านี้อีก
   “ถ้างั้นเดี๋ยวมาแบ่งห้องกันดีกว่า มันมีห้อง 3 เตียง 2 ห้อง กับ 2 เตียง 2 ห้อง ถ้างั้น กู แพรว กับฝ้าย ห้องนึง วิน ไนท์ กับ เกม เอาห้องสามเตียงอีกห้องไปโอเคไหม อีกห้องก็เป็นข้าวฟ่างกับนุ่น ส่วนห้องสุดท้ายก็เป็นฟ้ากับที ตามนี้เนอะ”
   ไม่มีเสียงคัดค้านนีก็เริ่มชี้บอกตำแหน่งห้องของทุกคนโดยห้อง 3 เตียงจะอยู่ที่ชั้นล่างโดยห้องนีจะอยู่ตรงฝั่งซ้ายส่วนพวกไอ้วินจะอยู่ฝั่งขวา ถัดมาจะเป็นห้อง 2 เตียงซึ่งจะอยู่ด้านบนห้องของผมกับไอ้ฟ้าติดอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนพวกฟ่างจะอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องของผม แต่ของดีอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ ทุกห้องจะมีระเบียงที่หันออกไปเจอทะเลกันหมด ถือว่าเป็นข้อดีที่ทำให้ทุกคนที่มาพักไม่ต้องแย่งห้องกัน
   “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วก็ไปเจอกันที่ทะเลแล้วกัน”
   “มึงไม่คิดจะกินข้าวก่อนเหรอ นี้เกือบจะบ่ายโมงแล้วนะ”
   “เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินตรงชายหาด มันจะมีพวกร้านแผงลอยอยู่เยอะ กูเคยมาเดิน…ถ้างั้นอีกสัก 30 นาทีเดี๋ยวไปเจอกันที่ชายหาดแล้วกัน เดี๋ยวกูเปลี่ยนชุดเสร็จจะออกไปจองที่กันให้ก่อน”
   พวกเราต่างขนสัมภาระของตัวเองเข้าไปยังห้อง แต่ก่อนที่ผมจะเดินนีก็ยื่นมือขึ้นมาจับไหล่ของผมพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
   “ขอให้สนุกนะพวกมึง”
   ก่อนที่เธอจะเดินไปยังห้องของเธอ รอยยิ้มเมื่อสักครู่ช่างดูเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลจนทำเอาเสียวสันหลังวาบ
   “เป็นอะไรไป”
   “เปล่า ขึ้นห้องกันเถอะ”
   ผมตอบร่างเล็กที่ชะโงกมาถามจากบนบันได จากนั้นผมจึงเดินตามมันขึ้นบันไดแล้วตรงไปยังห้องพักของพวกผม
   ร่างเล็กกำลังเดินดูบริเวณทางเดิน ไม่รู้อะไรทำให้มันสนใจขนาดนั้น แต่ผมก็ปล่อยมันไปแล้วเดินเข้าไปในห้อง
   ทันทีผมเดินเข้าไปในห้องภาพที่เห็นคือกระจกบานใหญ่ที่มีวิวทะเลอยู่ข้างนอก ผมวางสัมภาระเอาไว้บนพื้นก่อนจะเดินตรงไปยังระเบียง แสงแดดที่สาดส่องเข้ามา พร้อมกับลมที่มีกลิ่นของเกลืออยู่หน่อยๆช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
   “ไอ้ที…” ร่างเล็กที่เดินตามมาส่งเสียงเรียก ผมจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง ทันทีที่เห็นสภาพห้องชัดๆก็ทำเอาผมตะลึงไม่ต่างจากวิวทะเลที่เห็นไปเมื่อสักครู่ เมื่อภายในห้องที่ตอนแรกคิดว่าเป็นเตียงคู่ แต่ในตอนนี้กลับหดหายกลายเป็นเพียงเตียงเดี่ยวขนาดสามฟุตครึ่งและที่สำคัญคือ ภายในห้องมีกระจกบานใหญ่ซึ่งกั้นระหว่างห้องนอนและห้องน้ำซึ่งมันไม่มีม่านมาปิดเพราะฉะนั้นหากใครทำอะไรอยู่ในห้องน้ำคนในห้องก็จะเห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง
   “นีมันบอกห้องถูกเปล่าวะ กูรู้สึกแปลกๆ”
   “ไม่ล่ะ กูคิดว่ามันคงบอกถูกแล้ว”
ตอนนี้ผมรู้แจ้งถึงเบื้องหลังรอยยิ้มน่าสงสัยเมื่อสักครู่แล้ว ร้ายจริงๆ
   “เดี๋ยวค่อยไปบอกมันก็ได้ ตอนนี้รีบเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า”
   ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมจัดการถอดเสื้อยืดสีขาวออก จังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงอุทานดังขึ้นมาจากร่างเล็ก
   “ทะ-ทำอะไรของมึง อยู่ๆจะถอดทำไม”
   ร่างเล็กหันหลังไปเห็นแต่เพียงหูที่เริ่มมีสีแดงระเรื่อๆขึ้นมา ทำเอาผมเริ่มยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก แผนการชั่วร้ายเริ่มจะผุดเข้ามาในหัว ผมตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะโถมเข้าไปกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง เป็นไปตามที่คาดร่างเล็กสะดุ้งเฮือกใหญ่ ก่อนที่ร่างกายจะแข็งทื่อตามมา…น่ารัก
   “เป็นอะไรอายรึไง หืม?”
   “คะ-ใครอายกัน ไม่มี๊ ก็ผู้ชายด้วยกัน” ตอบเสียงสูงเชียวนะมึง
   “ถ้าอย่างนั้นทำไมมึงไม่หันมาล่ะ”
   “กะ-กู กูก็แค่ไม่อยากจะเห็นพุ่งย้วยๆของมึงก็เท่านั้นเอง”
   พุงย้วยๆ เป็นคำพูดไม่กี่คำแต่ดันบาดลึกเข้าไปในใจ ได้เดี๋ยวกูจะให้ได้เห็นถึงความสุดยอดของกล้ามเนื้อหกลูกที่อยู่ที่ท้องกูเอง
   ผมจัดการใช้แรงเปลี่ยนให้ร่างเล็กหันหน้าเข้ามาประจันกับผมก่อนที่จะดันให้อีกฝ่ายไปจนมุมอยู่ที่กำแพง ใช้ทั้งสองมือยันบังทางหนีเอาไว้
   “ตรงไหนเหรอพุงย้วยๆของกู หืม?”
   “มะ-ไม่รู้ ไม่รู้ไม่ชี้เว้ย ออกไปได้แล้ว”
   “ไม่จนกว่ามึงจะตอบว่าตรงไหนของกูที่เรียกว่าพุงย้วยๆ…”
   ผมจัดการใช้ฝ่ามือหนา จับมือของร่างเล็กก่อนจะเลื่อนให้ฝ่ามือมาแตะบริเวณหน้าอก ทันทีที่แตะมือร่างเล็กก็เกิดกระตุกพร้อมที่จะดึงมือกลับแต่คิดเหรอว่าแรงของมันจะสู้ผมได้ ผมใช้แรงที่มากกว่าดึงกลับมาให้ห่างอยู่ที่หน้าอก
   “ตรงนี้เหรอ…”
   ผมค่อยๆบังคับให้มือเลื่อนต่ำลงไปจากหน้าอกตอนนี้เลื่อนมาถึงกล้ามท้อง 6 มัดที่ขึ้นลอน ถึงจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ถ้าเทียบกับคนอายุเท่ากันแล้วของผมก็ถือว่าเห็นชัดอยู่
   “หรือว่าตรงนี้กัน…” ผมพยายามบังคับมือของมันให้วนอยู่ตรงซิกแพคของผมจนเกิดความรู้สึกหวิวๆขึ้นมา
   “…”
   ร่างเล็กไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ใบหน้าตอนนี้แดงยิ่งกว่าที่เคยเห็นมา แววตามองต่ำลงไปยังซิกแพค พร้อมกับร่างกายที่สั่นเล็กๆ ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากแกล้ง มึงผิดเองนะใครใช้ให้มึงน่ารักขนาดนี้ล่ะ
   “ไหนไอ้ฟ้า ตรงไหนเหรอ ตอบมาซิ”
   ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ก่อนที่จะกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่นิ่งกว่าปกติ
   “…”
   “หือ อะไรนะ”
   “กะ-…”
   “ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
   “กะ-กูแค่พูดเล่น”
   ร่างเล็กตอบออกมาด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา ใบหน้าตอนนี้ขึ้นสียิ่งกว่าเมื่อสักครู่ แถมตัวกำลังสั่นเทาเหมือนกับกระต่ายน้อยที่กำลังหวาดกลัวราชสีห์ ภาพตรงหน้าเหมือนกับเป็นตัวจุดชนวนให้สวิตซ์ที่อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจสับขึ้น
   “หืม เด็กโกหกต้องถูกลงโทษ เข้าใจไหม”
   “อะ-”
   ผมปล่อยมือเล็กๆจากพันธนาการก่อนจะใช้มือค่อยๆคลืบคลานเข้าไปยังเสื้อยืดสีดำที่ร่างเล็กกำลังสวมอยู่ก่อนจะค่อยๆลูบ ไล้บริเวณหน้าท้องนุ่มนิ่มตรงหน้า
   “อะ-ไอ้ที ยะ-หยุด”
   ร่างเล็กพูดอย่างตะโกนตะกัก เสียงที่ออกมามีอาการหอบปนอยู่บ้างเล็กน้อย
   “ถ้าอยากให้หยุดก็พูดขอโทษออกมาก่อนสิ”
   ผมยังกระซิบข้างหูไอ้ฟ้าอย่างแผ่วเบา พร้อมกับมือที่คอยลูบคลำอยู่ใต้ร่มผ้ายืดสีดำ
   “ขะ-ขอโทษ”
   “อะไรนะไม่ได้ยิน”
   “ปะ-ปล่อยสักที ไอ้เหี้ย!!!”
เปรี้ยง…จังหวะที่ผมกำลังไฟติดกับการที่กำลังจะเล่นกับกระต่าย สัมผัสแข็งๆและเจ็บปรากฏขึ้นบริเวณศีรษะทำให้แขนทั้งสองที่พันธนาการร่างเล็กหลุดออก พร้อมกับความเจ็บที่แล่นตรงสู่สมอง
“กะ-กูจะไปเปลี่ยนชุดห้อง ไอ้แพรว มะ-มึงไม่ต้องตามมาเลยนะ!!”
ปัง!!... ร่างเล็กพูดแบบนั้นก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง พร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังสนั่น
“ใครเอาสมุดโทรศัพท์มาวางไว้ตรงนี้วะ” อาวุธคือหนังสือโทรศัพท์เล่มหน้าที่วางทิ้งไว้อยู่ตรงโต๊ะข้างๆ แล้วสมัยนี้ใครเขาใช้สมุดโทรศัพท์อีกเนี่ย
เฮ้อ… ผมทิ้งตัวเองลงไปนอน ผมเตียงก่อนที่จะเอาหน้าซุกไปที่หมอนพร้อมกับอุณหภูมิของใบหน้าที่พุ่งสูงขึ้นจนปรอทแทบแตก
ไอเหี้ย โคตรหน้าอายเลย ผมกรีดร้องอยู่ในใจพลางกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงพลางก่อนหมอนข้างเอาไว้แน่น พอรู้สึกตัวถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ผมทำไปเมื่อกี้มันน่าอายมาก ดันเผลอสับสวิตซ์แปลกๆไปซะได้ แล้วแบบนี้จะเข้าหน้ากับมันติดได้ยังไง ผมได้แต่พร่ำเพ้อและหาวิธีที่จะง้อกระต่ายน้อยที่เกือบจะทำราชสีห์หัวใจวาย

    “ไงจ๊ะ ถูกใจของขวัญของเรารึเปล่าเอ่ย”
   “ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นฝีมือแก”
   ผมเดินมาที่ชายหาดซึ่งมีนีกำลังนั่งรออยู่บนเสื่อคนเดียว
   “จะว่าไปเข้าไปในห้องไม่ถึงชั่วโมง ไปทำอีท่าไหนไอ้ฟ้ามันถึงหน้าแดงแป๊ดวิ่งแจ่นมาห้องพวกกูเนี่ย”
   “…”
   ใช่ความเงียบสงบทุกสรรพสิ่ง พร้อมกับเบนหน้าหนีเพื่อไม่ให้เผลอแสดงออกผ่านทางสีหน้าออกไป ใครจะไปเล่าให้คนอื่นฟังได้ โคตรน่าอายชิบหาย
   “จ้าๆ เปลี่ยนคำถามก็ได้… ตกลงมึงชอบไอ้ฟ้าจริงๆใช่ไหม”
   “อือ” ผมไม่คิดจะปิดอีกแล้ว เพราะดูเหมือนการแสดงออกของผมมันจะชัดเจนจนทำเอาคนรอบข้างรู้ตัวกันหมด… ยกเว้นไอ้เจ้าคนถูกกระทำที่ยังตีหน้าซื่ออยู่เลย
   “ตอบง่ายจังนะ นึกว่าต้องเค้นมากกว่านี้ซะอีก”
   “ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดนี้”
   “หืม…แล้วมึงคิดจะบอกมันรึเปล่าล่ะ”
   “…เรื่องนั้น ไม่รู้หรอก”
   “ไม่รู้?”
   “อืม… ใจนึงก็อยากจะบอกมันไป แต่อีกใจนึงมันก็กลัวน่ะสิ กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วความสัมพันธ์ของเรามันจะพังไป ถ้าจะให้เป็นแบบนั้นล่ะก็ขอเลือกเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจดีกว่า”
   มันเป็นสิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด การที่ความสัมพันธ์ของผมกับมันจะลดลงไปต่ำกว่าเพื่อน เพียงเพราะคำสารภาพเห็นแก่ตัวของผม
   “อะไรทำให้มึงคิดว่าไอ้ฟ้ามันจะเลือกเลิกคบกับมึงล่ะ มึงคิดว่าคนอย่างไอ้ฟ้ามันจะเลือกทางนั้นเหรอ ไอ้ฟ้าก็ติดมึงจะตาย”
   “ก็แค่ความเป็นไปได้”
   “แต่เป็นความเป็นไปได้ที่โคตรแย่เลยนะ”
   “กูรู้”
   ปั๊บ… เสียงตบหลังดังลั่น พร้อมกับความเจ็บที่แล่นบนแผ่นหลัง
   “ไม่ต้องมาทำหน้าเครียดเป็นพระเอกเอ็มวีเลย เห็นไอ้ฟ้าฉลาดแบบนั้น แต่มันมักจะโง่เรื่องของตัวเอง มึงลองสารภาพรักไปเลยถ้าเกิดแป๊กขึ้นมามึงก็แถเอา”
   “เป็นคนพูดมันก็ง่ายดิ ลองมาเป็นคนทำดู”
   “ฮะฮะ กูก็เป็นคนง่ายๆอะไรแบบนี้แหละ… ถ้างั้นมึงมาแล้วก็ฝากดูของให้หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวไปซื้อพวกข้าวกลางวันมาให้”
   นีลุกขึ้นพลางปัดเศษทรายที่ติดตามตัวออก แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเดินออกไปเธอก็หันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่จริงจังผิดกับน้ำเสียงติดตลกเมื่อสักครู่
   “ถ้างั้นมึงจะทำอะไรก็แล้วแต่เลย แต่อย่างน้อยกูขอให้มึงคิดให้ดีๆก็แล้วกัน ว่าสิ่งที่ใจมึงต้องการจริงๆน่ะ มันคืออะไรกันแน่…ถ้างั้นก็ไปล่ะนะ ฝากเฝ้าไว้ด้วยล่ะ”
   สิ่งที่ใจต้องการจริงๆงั้นเหรอ…

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 22 {20/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 24-01-2020 18:18:59
ขั้นที่ 23 ทะเล(ต่อ)
น่านฟ้า
   “ไอ้ฟ้า เดี๋ยวพวกกูออกไปก่อนนะ ถ้ามึงเสร็จแล้วก็ตามมา”
   “อือ”
   ผมตะโกนตอบแพรวกับปุยฝ้ายที่เปลี่ยนชุดกันเสร็จแล้ว ส่วนผมก็มาขอยืมใช้ห้องน้ำของห้องพวกเธอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนเรื่องเหตุผลก็…
   พอคิดถึงไอ้ตัวต้นเหตุแล้วมันก็รู้สึกเดือดขึ้นมา แม่งอยู่ๆก็เข้ามาแหย่แถมยังทำหน้าแบบนั้น
   นึกถึงใบหน้าของร่างสูงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ มันเผยรอยยิ้มใจเล่ห์แต่ใบหน้าของมันก็เต็มไปด้วยความน่าดึงดูดใจทำหัวใจผมเต้นโครมครามไม่หยุด รวมไปถึง…
   อ่า!!!... ผมเปิดก๊อกน้ำพลางเอาใบหน้าที่เริ่มขึ้นสี แถมอุณหภูมิที่เริ่มจะสูงขึ้นลงไปแช่น้ำเผื่อจะช่วยคลายอุณหภูมิลงไปได้ มะ-เมื่อกี้เตลิดอยู่ก็เลยไม่มีสติเท่าไหร่ แต่พอมาคิดๆดูแล้วเมื่อกี้ กูจับซิกแพคไอ้เหี้ยทีไปเต็มๆเลยนี่หว่า(ถึงความจริงจะโดนขืนใจก็เถอะ) ถึงตอนแรกจะโมเมไปเพราะอายที่จะเห็นมันถอดเสื้ออยู่หรอก แต่ดันกลายเป็นว่าทำให้มันคึกจัดยิ่งกว่าเดิมซะอีก
   อายุเท่ากันแท้ๆ แต่ร่างกายของมันกลับสูงใหญ่สมชายขึ้นกว่าแต่ก่อน ความสูงที่เพิ่มขึ้น ความหนาของฝ่ามือและปลายนิ้วที่เรียวยาว แถมแรงยังมากกว่าถึงขนาดขัดขืนก็ไม่อาจหลุดได้ รวมไปถึงสัมผัสของกล้ามท้องหกลูก…
   อ่า!!!!... สงบสติเข้าไว้น่านฟ้า ไอ้ทีมันก็แค่แหย่มึงเล่นตามสไตล์ของมันเท่านั้น อย่าไปคิดอะไร ท่องเอาไว้ว่า เพื่อน เพื่อน เพื่อน
   เฮ้อ… ได้ความเย็นจากน้ำมาช่วยทำให้หัวเย็นลงสักที พอผมเริ่มสงบสติได้ก็หันกลับมาแต่งตัวต่อให้เสร็จ ผมหยิบกางเกงว่ายน้ำสีดำขึ้นมาสวม
   “อ๊ะ… ลืมเอาฮู้ดมาด้วยแฮะ”
   ปกติผมไม่ชอบออกมาข้างนอกเท่าไหร่ ถ้าจะออกมาข้างนอกก็มักจะใส่เสื้อแขนยาวเพราะไม่ค่อยอยากจะถูกแดดเผา ส่วนทะเลก็แทบจะไม่ได้มาเลยถ้าคนอื่นไม่ชวน อุตส่าห์เตรียมฮู้ดสำหรับกันแดดมาแล้วแต่ดันลืมหยิบมาซะได้ จะให้ใส่เสื้อแขนยาวเมื่อสักครู่ก็ดูท่าจะไม่ไหว
   ผมมองเสื้อแขนยาวที่วางพาดอยู่ตรงชั้น เสื้อแขนยาวสีดำผลิตจากผ้าฝ้าย 100% …ร้อนตายห่า รู้ว่าต้องกลับขึ้นไปเอาผมห้องจริงๆ
   ไปมันทั้งอย่างนี้นี่แหละค่อยไปหาที่หลบแดดเอาดาบหน้า ถ้ากลับไปก็อาจจะต้องเจอกับมันก็ได้ตอนนี้ผมขอเวลาทำใจก่อน เมื่อครู่ก็พึ่งจะโดนจู่โจมมา เดี๋ยวเจออะไรบ่อยๆมันจะไม่ดีต่อหัวใจ
   คิดได้อย่างนั้นผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ มุ่งตรงไปยังชายหาดที่เพื่อนๆกำลังรอกันอยู่

   ผมเดินข้ามถนนมาเจอกับหาดทรายสีนวลค่อนข้างสะอาด กลิ่นทะเลที่พัดโชยปนมากับสายลมทำให้รู้สึกดี สักพักผมก็เห็นไอ้ทีกำลังนั่งอยู่บนเสื่อ ผมตัดสินใจทำใจให้นิ่งเข้าไว้ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆร่างสูง
   “แล้วคนอื่นอะ”
   “ไปซื้อข้าวกันอยู่”
   “แล้วมึงไม่ไปด้วยอะ”
   “ถ้ากูไปแล้วใครจะเฝ้าของล่ะ”
   “จะว่าไปก็จริงเนอะ ถ้างั้นมึงก็ไปเดินดิ เดี๋ยวกูอยู่เฝ้าแทนให้”
   “ไม่เป็นไรกูอยู่เฝ้าตรงนี้แหละดีแล้ว… อ้าวมึงไม่ใส่เสื้อมาเหรอ”
   “อือ กูลืมฮู้ดเอาไว้บนห้อง เป็นเพราะใครก็ไม่รู้สินะ”
   ผมพูดไปพลางเหลือบมองไปยังร่างสูงที่ตอนนี้มีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบริเวณมุมปาก
   “มึงเนี่ยนะ ออกแดดขนาดนี้แล้วไม่ใส่เสื้อเดี๋ยวก็โดนแดดเผาหรอก… เอ้ากูให้”
   ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมกับถอดฮู้ดที่ตนใส่อยู่จนถึงเมื่อครู่มาให้ผม
   “ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวมึงก็โดนแดดเผาหรอก”
   “เหอะ เทียบร่างกายกันแล้วคนที่น่าห่วงคือมึงมากกว่านะ ดูดิไม่ค่อยออกแดดเลยรึไง ถึงได้ขาวขนาเนี่ย”
   “ยุ่งน่า ก็กูไม่ชอบโดนแดดนี่หว่า”
   “ถ้างั้นก็เอาไปใส่ซะ อย่าเถียงมาก”
   “เออ ไม่เถียงแล้วก็ได้ ถ้ามึงโดนแดดเผาแล้วก็อย่ามาโทษกูแล้วกัน”
   ผมรับเสื้อฮู้ดมาพร้อมกับเอามาใส่ ด้วยความที่ขนาดร่างกายของพวกเราสองคนต่างกัน เสื้อฮู้ดที่ขนาดพอดีตัวร่างสูงเมื่อครู่ พอมาปรากฏอยู่บนร่างกายผมมันก็ดันใหญ่กว่ามาก ชายเสื้อยาวลงมาจนเกือบครึ่งเข่า ส่วนปลายแขนก็ยาวเลยมือผมไปไกลจนผมต้องพับเอาไว้ ที่สำคัญคือ บริเวณแขนเสื้อยังมีความรู้สึกอุ่นๆหลงเหลืออยู่เลย คงเป็นเพราะร่างสูงพึ่งใส่จนถึงเมื่อสักครู่นี้ แถมยัง… ได้กลิ่นของมันอยู่หน่อยๆด้วยแฮะ ถึงจะเป็นกลิ่น้ำยาปรับผ้านุ่มธรรมดาๆ แต่พอเจ้าของเป็นไอ้ทีแล้วก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิม
   “ตัวมึงเนี่ยโคตรเล็กเลยนะ เสื้อกูดูใหญ่ไปเลย”
   “กูไม่ได้ตัวเล็กสักหน่อย มึงต่างหากที่สูงเกินไป”
   “เหรอ…”
   “เออดิ กูเนี่ยส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยของโรงเรียนเลยนะ”
   “แต่ได้ข่าวว่าโรงเรียนมึงมีแต่ผู้หญิง”
   “…ยุ่งน่า”
   ผมทำหน้าดุใส่อีกฝ่ายไป ส่วนมันก็เล่นหัวเราะอัดหน้าผม หลังจากที่เสียงหัวเราะของมันหายไป มันเริ่มตีหน้านิ่งเงียบ ทำเอาผมรู้สึกกังวลและแล้วมันก็เริ่มพูดขึ้นทำลายความเงียบไป
   “ไอ้ฟ้า คือเรื่องเมื่อกี้… จะว่ายังไงดีล่ะ คือ”
   ร่างสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก แถมใบหน้าของมันก็ขึ้นสีเล็กน้อย ถ้ามองผ่านๆก็คงจะไม่เห็น แต่อย่าคิดว่ามันจะรอดจากสายตาผมไปได้ เพราะตั้งแต่ที่เริ่มจะรู้ความรู้สึกของตัวเอง ผมก็มักจะมองมันอยู่ตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่สุดท้ายผมก็มักจะไปจบที่มันเสมอ
   “เมื่อกี้กูเผลอแกล้งมึงหนักไปหน่อย กูขอโทษนะ ยกโทษให้กูได้ไหม…”
   ร่างสูงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติ แต่อยู่ๆผมก็คิดอยากจะแก้เผ็ดเพื่อนสนิทตัวเองขึ้นมาได้
   “ก็ได้นะ แต่มึงต้องบอกว่า ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับท่าน ก่อน”
   ทันทีที่ร่างสูงได้ยินก็ทำหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากที่ดูจะมีเลศนัย
   “ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับท่าน”
   “หืม… อะไรนะไม่เห็นได้ยินเลย”
   “ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับท่าน”
   “อะขอโทษๆ พอดีไม่รู้ทำไมแต่ช่วงนี้หูไม่ค่อยจะดีเลย”
   รอยยิ้มสะใจเหมือนตัวร้ายในละครทีวีปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของผม จริงๆก็ได้ยินตั้งแต่ครั้งแรกแล้วแหละเพราะมันก็พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ไหนๆก็ได้โอกาสเข้าคืนแล้ว ผมก็ขอเก็บเกี่ยวความสนุกเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน นานๆทีจะได้เป็นฝ่ายแกล้งคืนบ้าง
   แต่แล้วผมที่กำลังเริงร่าอยู่กับการหยอกเพื่อนสนิท ไอ้ทีก็เลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ผมที่ตกใจกับภาพตรงหน้าก็เขยิบตัวถอยหนีไปโดยอัตโนมัติ แต่ก็ไม่สามารถหนีมันไปได้เมื่อมันใช้ฝ่ามือแกร่งโอบเอวของผมเอาไว้ได้ก่อนที่จะยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้
   “ช่วยยกโทษให้หน่อยได้ไหมครับ”
   มันพูดกระซิบข้างหูของผมด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าปกติ ผมรีบผลักร่างสูงออกไปก่อนที่จะรีบหันหลังนั่งยกฮู้ดขึ้นมาปิดหน้าให้มากที่สุดก่อนจะรีบทำให้หัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำและใบหน้าที่กำลังจะขึ้นสีกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด จากฝ่ายที่แกล้งเขาดันเป็นฝ่ายที่โดนแกล้งซะได้… อยู่ๆก็จู่โจมแบบไม่ให้ทันตั้งตัวแบบนี้มันขี้โกงนะ
   สักพักพวกที่ออกไปซื้อของกินก็กลับมาพร้อมกับเมนูหลากหลายชนิด ดีเลยบรรยากาศจะได้ประหม่าน้อยลงกว่าเมื่อครู่ เมนูที่พวกนีซื้อมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเมนูข้าวผัดทะเล เดี๋ยวนะใครบังอาจซื้อหมูกระเทียมกับเมนูสิ้นคิดอย่างกระเพรามาเนี่ย อุตส่าห์มาทะเลทั้งที
   “ใครเป็นคนสั่งพวกหมูกระเทียมกับกระเพรามาเนี่ยสิ้นคิดไปปะ” วินที่พึ่งเดินมาพูดขึ้น นานๆที ความคิดของพวกเราสองคนจะตรงกัน ข้างหลังวินก็มีไนท์กับเกมส์ที่มาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย
   “เก็บท้องไว้รอเย็นนี้เอา เดี๋ยวเย็นนี้จะมีบาร์บีคิวให้ปิ้งกันเอง ตอนนี้ก็ทนๆกินอะไรรองท้องกันไปก่อน อย่าเรื่องมาก”
   นีพูดพร้อมกับแจกกล่องข้าวและอุปกรณ์การกินให้พวกเรา ก่อนที่จะเดินออกมาผมเห็นว่าบริเวณข้างบ้านมันจะส่วนที่เป็นสระน้ำพร้อมกับเตาบาร์บีคิว สงสัยจะไปทำกันตรงนั้นแหละมั้ง… อะ ไอ้นี้ก็อร่อยดีแฮะ ถึงมันจะดูสิ้นคิดก็เถอะ
   “ถ้ากินข้าวกันเสร็จแล้วไปว่ายน้ำกันเถอะ พวกมึง”
   “เฮ้อ คึกเกินไปไหมมึงเนี่ย”
   “กูก็แค่ทำให้เข้ากับบรรยากาศ อุตส่าห์มาทะเลทั้งที ไอ้ไนท์มาว่ายน้ำแข่งกับกูเลยมา”
   “ครับๆ”
   “ทีเหลือล่ะ ไปว่ายน้ำกันไหม”
   “เดี๋ยวหนูกับนุ่นจะนั่งพักกันตรงนี้สักหน่อย”
   “ส่วนพวกกูจะไปเดินส่องผู้แทนนี้หน่อย ตอนไปซื้อข้าวเหมือนเห็นคนแจ่มๆ”
   ถึงแม้จะเปลี่ยนสถานที่แต่สันดานดิบก็มิอาจแก้ได้ เดี๋ยวๆหน้าๆพวกมึงช่วยเก็บอาการกันหน่อย รู้ว่าหิวแต่ช่วยคิดหัวอกคนโดนจ้องด้วย ทางนั้นคงคิดว่าพวกมึงรอเขมือบอยู่
   “เดี๋ยวผมตามไปดูพวกเธอก็แล้วกันครับ พวกผู้หญิงเดินกันเองมันอันตราย”
   โห สุดยอดเกมส์ ขอมอบรางวัลสุภาพบุรุษแห่งปีจริงๆ
   “แล้วพวกมึงล่ะ ไอ้ที ไอ้ฟ้า จะเอายังไง”
   “กูเอาตามไอ้ฟ้าแล้วกัน”
   “เหอะ เอาตามก็ได้… เอาไงทางนั้นเขาโยนมาให้มึงแล้วอะ”
   “เออ กูว่ากูมะ-”
   “อ่อ ใช่ๆไอ้ฟ้า กูไปเจอไอ้นี้ในห้องเก็บของ เอาไปใช้ซะนะ กูว่ามึงน่าจะต้องใช้”
   “…” ผมรับสิ่งที่นีโยนมาให้โดยไม่คิดจะปริปากพูดใดๆ แต่ดูเหมือนไอ้ร่างสูงกับไอ้กวนตรงหน้าจะสนใจกับสิ่งที่ผมพึ่งจะรับมา
   “ห่วงยาง?”
   ทั้งสองมองหน้าผมด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อความจริง เออใช่ซิ ก็กูว่ายน้ำไม่เป็นนี้หว่า ไม่ต้องมาตอบย้ำกู
   “ฮะฮะฮะ”
   “มึงหัวเราะมากไปแล้วนะวิน”
   “กะ-ก็ มึงดูดิไนท์ อะ-ไอ้ฟ้าใส่หะ-ห่วงยางแล้วแม่งโคตรเหมือนเด็กเลย”
   ตอนนี้พวกเรากำลังว่ายน้ำกันอยู่ในทะเล โดยมีชายร่างสูงสามคนกำลังว่ายน้ำล้อมรอบชายร่างเล็กลอยตัวไปกับห่วงยาง อารมณ์เหมือนเหล่าพี่ชายพาน้องชายมาว่ายน้ำ แถมมีคนนึงกำลังจะขาดอากาศหายใจตายเนื่องจากหัวเราะมากเกินไป ผมควรจะช่วยมันโดยให้มันจมน้ำลงไปตายเลยน่าจะสบายกว่า
   “กูพึ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงว่ายน้ำไม่เป็น”
   “ก็ไม่มีใครถามก็นิ”
   “ถ้างั้นกูสอนให้มึงไหมล่ะ”
   “ไม่ต้องหรอก เสียเวลาเล่นมึงเปล่าๆ”
   “ไม่หรอก สอนมึงกูว่าก็น่าสนุกดีออก”
   “น่าสนุกยังไงไม่ทราบ”
   “ก็จะได้เห็นมึงตะกุยๆน้ำ แถมว่ายท่าลูกหมาตกน้ำด้วยน่ารักจะตาย”
   “นะ-น่ารักตรงไหนวะ” อยู่ๆอย่าพูดว่าน่ารักเซ่… มันชวนให้ใจเต้น
   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูกับไอ้วินไปว่ายน้ำแข่งกันตรงโน้นนะ พวกมึงก็ว่ายฝึกกันตรงนี้แล้วกันน้ำไม่ลึกมาก”
   “เออ… ถ้างั้นก็เริ่มกันเลยไหม”
   ร่างสูงยื่นมือทั้งสองมาให้ ผมจึงปล่อยมือจากห่วงยางก่อนจะจับตอบ
   “ค่อยๆเตะน้ำต่อไปนะ”
   “บะ-แบบนี้เหรอ”
   “ใช่ๆ แบบนั้นแหละ เตะขาสูงๆหน่อย”
   ตอนนี้ร่างสูงทำหน้าที่เสมือนครูสอนว่ายน้ำ จับมือพาผมที่กำลังเตะขาอย่างงุนงง ที่ท้องก็ยังมีห่วงยางอันใหญ่เป็นหลักประกันว่ายังไงก็ไม่จมแน่ แต่พอมาคิดๆดูแล้วมันดูน่าอายยังไงก็ไม่รู้ ภาพผู้ชายสองคนจับมือกันสอนว่ายน้ำเนี่ย แถมยังใส่ห่วงยางอีก
   แถมยัง… ผมเหลือบตาขึ้นมามองร่างสูงที่กำลังส่งเสียงชี้แนะอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะมุ่งมั่นอยู่กับการสอนผม ผมจ้องมองร่างกายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมันสังเกตเห็นก็เลยต้องแสร้งทำเป็นไม่อยากมอง แต่ใครๆเขาก็ต้องอยากมองอยู่แล้ว… ร่างกายของคนที่ชอบน่ะ
   ก่อนหน้านี้มองเห็นผ่านๆก็จริง พอมาสังเกตให้ชัดๆแล้ว ร่างกายของมันค่อนข้างจะมีกล้ามเนื้อ ค่อนข้างจะสวยงามสำหรับเด็กมัธยมปลาย แถมด้วยกล้ามท้อง 6 ลอนทำให้มันดูสมชายมากกว่าเดิม เมื่อก่อนร่างกายยังนุ่มนิ่มไม่ต่างกัน ตอนนี้ร่างกายกลับแน่นขึ้นมาเยอะเลย มือก็ใหญ่กว่าผมตั้งเยอะกำรอบข้อมือได้สบายๆ
   ผมค่อยๆช้อนตาขึ้นไปมองร่างสูง ใบหน้าที่มองจากมุมนี้มันช่างดูได้รูป ถึงแม้จะเป็นใบหน้าที่เห็นจนคุ้นแต่พอมามองมุมนี้แล้วมันให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดีเหมือนกัน
   “เอาล่ะดูเหมือนว่ามึงจะพอว่ายได้แล้ว ถ้างั้นเดี๋ยวกูจะลองปล่อยมือแล้วกัน”
   “เอ๊ะ ดะ-เดี๋ยว”
   ไม่ฟังคำตอบร่างสูงก็ปล่อยมือทั้งสองข้าง ผมรู้สึกเหมือนเสียหลักหน้าจุ่มลงน้ำ ก่อนที่จะกลับมาพยายามพยุงตัวขึ้น โชคดีที่ว่ายังมีห่วงยางอยู่ ไม่งั้นคงจมไปแล้ว
   “อยู่ๆอย่าปล่อยมือดิวะ”
   “น่าๆ มึงลองว่ายมาตรงนี้มาๆ”
   ร่างสูงกวักมือเรียกผมเข้าไป ผมเลยพยายามตะเกียกตะกายว่ายตามไปอย่างทุลักทุเล ถ้าจับได้เดี๋ยวได้เห็นดีกัน แต่ทันทีที่ผมกำลังจะจับตัวมันได้ มันก็ค่อยๆเดินห่างขึ้นๆ จนรู้สึกถึงความเดือดดาลที่เพิ่มสูง
   “อย่าหนีดิวะ”
   “ฮะฮะ แน่จริงก็ตามจับกูให้ได้ดิ”
   ร่างสูงพูดขึ้นมาได้น้ำเสียงยียวนกวนประสาท ผมเลยพยายามว่ายไล่ตามไป แต่อีกฝ่ายก็ยังคงถอยห่างไม่เลิก พวกเราว่ายไล่จับกันอย่างนั้นสิบกว่านาทีจนในที่สุดทีมันก็ยอมอยู่เฉยๆ กว่าจะยอมได้นะมึง ขากูปวดไปหมดแล้วเนี่ย
   แต่จังหวะที่ผมกำลังจะจับมือของอีกฝ่าย อยู่ๆความสูงของพื้นน้ำก็สูงขึ้น จากนั้นไม่นานก็ถูกคลื่นซัดเข้าไปเต็มหน้า
   แย่แล้วโดนคลื่นซัดเต็มๆเลย… ความอึดอัดและความเย็นของน้ำทะเลเข้าจู่โจมร่างกาย ภาพรอบตัวดำมืดไปหมด แถมเท้ายังไม่รู้สึกถึงพื้นทราย สัมผัสของห่วงยางรอบเอวก็หายไปดูเหมือนจะถูกซัดหลุดออกไป ผมใช้มือของตัวเองตะกุยไปทั่วพยายามจะหาหลักสำหรับจับ แต่สิ่งที่ผมคว้าได้ก็มีแต่น้ำทะเลเท่านั้น
   แต่แล้วในที่สุดผมก็สัมผัสของฝ่ามือซ้ายก็เปลี่ยนไปเป็นสัมผัสเรียบลื่นอยู่ตรงหน้าผมจับสิ่งนั้นเอาไว้แน่น ก่อนจะยื่นมืออีกข้างเข้าไปคว้าตามทิศทางนั้น พอมือสัมผัสก็พบกับความอุ่นและความอ่อนนุ่ม ดีล่ะต้องเป็นมือไอ้ทีแน่ ผมจัดการกำมือทั้งสองแน่นก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีแรงโอบกอดที่บริเวณเอวตามมาด้วยแรงฉุด สักพักผมก็รู้สึกได้ถึงอากาศ ความอึดอัดเมื่อครู่หายไป ผมค่อยๆลืมตาขึ้นก็พบกับใบหน้าของร่างสูงที่เข้าใกล้ผมจนรู้สึกถึงลมหายใจ
   “มึงไม่เป็นไรใช่ไหม”
   “อะ-อืม”
   “ขอโทษนะ กูไม่น่าเล่นอะไรแบบนั้นเลย”
   “ไม่เป็นไร”
   ดูท่าไอ้ทีมันจะเป็นห่วงผมเอามาก ใบหน้าของมันดูร้อนรนกว่าที่เคย
   “แต่อย่างน้อยมึงก็ช่วยกูเอาไว้ได้นี้ ขอบคุณ”
   “อืม”
   ร่างสูงยกมืออีกข้างที่ไม่ได้โอบเอวผมไว้ขึ้นมาลูบหัวปลอบ ถึงแม้บริเวณหัวจะเย็นจากการถูกลมพัดมาแต่ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมาผ่านฝ่ามือหนามันช่างให้ความรู้สึกปลอดภัย มันทำให้ผมรู้สึกเคลิ้มไปทุกครั้ง
   “เออ ไอ้ฟ้า… คือว่า…”
   “อะไร”
   ใบหน้าของทีเริ่มมีสีแดงปรากฏขึ้นบริเวณแก้ม แถมเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ลามไปถึงใบหูแล้ว… นะ-น่ารัก ไม่เคยเห็นมันในมุมนี้มาก่อนเลย อยากเอามือถือมาถ่ายรูปเก็บไว้ชะมัด
   “คะ-คือว่า… กูขอ… กางเกงกูคืนได้ไหม”
   “กางเกง? พูดเรื่องอะไรของม-…”
   แต่แล้วก็เหมือนกับฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน ผมจึงยกมือซ้ายขึ้นมาก็พบกับชุดว่ายน้ำสีขาวลายคาดดำ ละหม้ายคล้ายกับที่ไอ้ทีมันใส่มาเลย…ไม่ใช่แล้วเว้ย!!! นี่มันตัวเดียวกันชัดๆ
   ผมหันไปมองร่างสูง แต่ร่างสูงก็เบือนหน้าหนีไป พยายามหลบไม่ให้เห็นใบหน้าขึ้นสี ก่อนที่พบจะสังเกตถึงความผิดปกติ
   เดี๋ยวนะ…
   มือขวาของไอ้ที… โอบเอวผมอยู่
   มือซ้ายของไอ้ที… ลูบหัวผมอยู่
   … แล้วมือขวาของผมกำลังจับอะไรอยู่
   มือขวาของผมยังมีสัมผัสอุ่นๆ แต่เปลี่ยนจากที่ตอนแรกที่ผมจับมันค่อนข้างจะนุ่ม อะไรเนี่ย? ผมพยายามบีบด้วยความสงสัย ตอนนี้ความรู้สึกอ่อนนุ่ม เริ่มแทนที่ด้วยความรู้สึกแข็ง ก่อนที่เสียงร้องของไอ้ทีจะคลายข้อข้องใจของผมให้หมดเปลือก
   “อะ อื้อ… ยะ-อย่าบีบเยอะดิ มะ-มันเสียวนะ”
   “ทะ- ทะ- ทะ- ทะ- ถ้าอย่างนั้นที่กูจับอยู่นี่คือ”
   ร่างสูงไม่พูดอะไรเพียงแต่เบือนหน้าที่แดงยิ่งกว่าเมื่อครู่หนีไป
   ผมที่ตอนนี้ใบหน้าเริ่มจะขึ้นสีตามมันก็มองลงไปดูในน้ำตามทิศทางของมือขวาที่ไปสุดอยู่ตรงหว่างขาของร่างสูง อุณหภูมิใบหน้าเริ่มสูงปรี๊ดขึ้น ความรู้สึกต่างๆผสมกันปนเป ทั้งความสับสน ความอับอาย จนในที่สุดเหมือนสมองจะไม่อาจประมวลผลไหว เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ปิดเครื่องเองเมื่อเครื่องร้อนเกินไป ตอนนี้สมองของผมก็เริ่มทำการปิดตัวเอง ทัศนวิสัยตรงหน้าค่อยๆมืดลงตามสติที่เริ่มจะเลื่อนลางไปพร้อมกับเสียงเรียกชื่อผมที่ไอ้ทีเรียกเบาลงเรื่อยๆ

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)

อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท

   

   
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 23 {24/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 27-01-2020 20:37:08
ขั้นที่ 24 รักนะรู้มั้ย
[น่านฟ้า]
   “อื้อ… ที่นี่ที่ไหนเนี่ย”
   ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือก่อนที่จะมองสำรวจรอบๆตัว ก็พบกับเตียงสำหรับสองคนที่ผมกำลังนั่งอยู่ พร้อมกับบานกระจกบานใหญ่ที่ฉายภาพของห้องน้ำที่อยู่ติดกันได้อย่างชัดเจนจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของห้อง… ห้องพักนี่หว่า ทำไมถึงกลับมาอยู่ที่นี่ได้นะ
   “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”
   ทีที่เปิดประตูเข้ามา ทักขึ้นเมื่อเห็นผมฟื้นขึ้นมาแล้ว
   “อยู่ๆ เล่นเป็นลมกลางทะเลทำเอาคนเขาใจหายใจคว่ำหมด”
   “เป็นลม?”
   จะว่าไปก็เหมือนจะจำได้ลางๆว่าตอนนั้นไอ้ทีมันช่วยฝึกว่ายน้ำให้ผม ผมว่ายน้ำไปพยายามจะจับมัน จากนั้นก็โดนคลื่นจนเกือบจม ทีมันเข้ามาช่วยไว้พอดี ต่อจากนั้นก็…
   “แต่กูพึ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงเป็นพวกหื่นเงียบ”
   ร่างสูงทิ้งตัวลงมานั่งบนเตียงก่อนจะวาดรอยยิ้มกวนๆส่งมาให้ผม
   และแล้วก็เหมือนกับความทรงจำทั้งหมดได้ย้อนกลับเข้ามารำลึกในหัว พร้อมกับใบหน้าที่เริ่มร้อนระอุขึ้นจนขึ้นสีชัดเจน หัวใจเต้นแรงจนน้ำเสียงที่พูดตะกุกตะกักด้วยความร้อนรน
   “มะ-ไม่ใช่สักหน่อย!!!”
   “เหรอ… แต่อยู่ๆมึงก็เข้ามาแก้ผ้ากูกลางทะเล กลางวันแสกๆแบบนี้เนี่ย… ใจ กล้า จัง เลย นะ”
   “กะ-กูก็แค่กลัวจะจมน้ำต่างหาก กูก็เลยเผลอคว้าผิด”
   “ไปคว้าเอาน้องชายกูด้วยว่างั้น?”
   ร่างสูงพูดขึ้นมาพร้อมกับยักคิ้วมาให้ผมรอบนึง อ่า!!! ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งแก้ตัว ความอับอายมันถาโถมเข้ามาจู่โจมจนไม่กล้าจะมองหน้าเลย ผมจัดการมุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนโตแปลงกายตัวเองเป็นลูกบอลสีขาวขนาดใหญ่ อายเว้ยยยย
   “มึงรู้ไหมว่ากูอุตส่าห์ปกป้องความบริสุทธิ์ของน้องชายกูมาตั้ง 17 ปี มาวันนี้โดนมึงปู้ยี่ปู้ยำไปขนาดนั้น มึงจะรับผิดชอบน้องกูยังไง”
   “กะ-ก็เรื่องของน้องมึงสิวะ!!”
   “ใจร้ายวะไอ้ฟ้า มึงรู้ไหมว่ากว่ากูจะปลอบประโลมน้องกูให้หลับได้มันนานขนาดไหน แถมมึงยังชิงสลบไปก่อน รู้ไหมว่าตอนมึงทิ้งกูที่กำลังเปลือยท่อนล่างอยู่กลางทะเลมันรู้สึกยังไง”
   กูรู้แล้ว… กูรู้แล้ว… ไอ้ที!!! มึงช่วยหยุดพูดเรื่องนี้ก่อนได้ไหม ยิ่งพูดจิตใจอันแสนโสมมของกูมันจะยิ่งมโนไปกันใหญ่ ถึงผมจะสลบไปกลางคันก็เถอะ แต่ภาพตอนนั้นมันยังติดตราตรึงใจ เก็บทุกรายละเอียดบันทึกลงในสมองอย่างรวดเร็ว
   ตอนนั้นร่างกายของผมกับมันอยู่ใกล้กันมากเรียกได้ว่าแทบจะเบียดกันด้วย ความรู้สึกของผิวหนังท่อนล่างที่เสียดสีกัน ถะ-ถึงจะมีกางเกงว่ายน้ำของผมคั่นอยู่ก็เถอะ มันชวนให้คิดดีไม่ได้เลย พอรู้ว่ามันไม่ได้ใส่ แถมมือขวาของผม ดะ-ดันไปจับไอ้นั่น…
   จะว่าไปตอนที่คว้ารอบแรกมือขวาของผมกำรอบได้พอดี ถึงมือผมจะค่อนข้างเล็ก แต่ก็น่าจะใหญ่กว่าพวกผู้หญิงเล็กน้อย แต่จำได้ว่าสัมผัสก่อนจะสลบมันเหมือนกับว่ามันจะกำได้ไม่หมด ผมยกมือขวาขึ้นมาสำรวจก่อนจะทำท่ากำอากาศจำลองสถานการณ์เมื่อครู่
   เขาว่ากันว่าสมองของคนเราจะเติมข้อมูลในช่องว่างโดยอัตโนมัติ ตอนนี้สมองของผมก็คงเป็นอย่างนั้น เพราะทันทีที่ผมได้เห็นมือขวาของผมในท่ากำอากาศสมองมันก็จินตนาการขนาดของสิ่งที่เคยถูกกำลงไปอย่างอัตโนมัติ
   หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับร่างกายที่รู้สึกหวิวๆ ทำใจดีๆเอาไว้ก่อนตัวกู ท่องเอาไว้ว่ามันแค่แท่งเอ็นไม่ต่างอะไรกับมือ ท่องไว้ มันแค่แท่งเอ็น แค่แท่งเอ็น แค่แท่งเอ็นไม่ต่างอะไรกับมือ…
   เดี๋ยวนะ…
   พรึ่บ… ผมเปิดผ้าห่มออกมา ไอ้ทีสะดุ้งเมื่อเห็นผมที่อยู่ๆคิดอยากจะออกก็ออกมา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
   “ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กู”
   ตอนนี้ผมอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีกรมกับกางเกงขาสั้นสีขาว ซึ่งเป็นชุดใหม่ในกระเป๋าผม รวมไปถึงเนื้อตัวที่ไม่มีความเหนียวจากการลงไปเล่นน้ำทะเลหลงเหลืออยู่ เหมือนกับว่าได้ไปอาบน้ำล้างตัวมาแล้วอย่างงั้นแหละ
   “แล้วมึงคิดว่าใครล่ะ”
   “ยะ-อย่าบอกนะว่าเป็นมึง…”
   “เออดิ นอกจากกูแล้วจะมีใครอีกล่ะ”
   “ทะ-ถ้าอย่างนั้น… มะ-มึงก็เห็น…” ตอนนี้เนื้อตัวของผมสะอาดเอี่ยมมีกลิ่นสบู่จางๆ ใส่เสื้อ กางเกงชุดใหม่จากในกระเป๋า… พร้อมกับกางเกงในตัวใหม่ในกระเป๋า
   “ก็…นิดหน่อย”
   ร่างสูงหันหน้าหนีพลางยกมือขึ้นมาเกาแก้มที่แดงเรื่อๆแก้เขิน ส่วนของผมน่ะเหรอแดงตั้งแต่ตอนที่มันถามว่า ‘คิดว่าใคร’ แล้ว
   “ไอ้เหี้ย! ไอ้โรคจิต! ไอ้วิตถาร!”
   หมอน ผ้าห่ม โทรศัพท์ กระเป๋าเงิน สิ่งของที่ผมสามารถคว้าได้ ณ จุดๆนี้ สิ่งของเหล่านั้นต่างก็บินว่อนพุ่งเป้าไปที่ไอ้ทีที่ตอนนี้กระโดดหลบเป็นลิงไปแล้ว
   “ดะ-เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน… อย่าปาของดิวะ ก็มันช่วยไม่ได้นี่หว่า ถ้าไม่ใช่กูแล้วมึงจะให้ใครอาบให้”
   “ถ้าอย่างนั้นมึงก็ปล่อยกูนอนทั้งๆอย่างนั้นไปเลยดิ!”
   “ได้ก็บ้าแล้วไอ้ฟ้า… กะ-ก็ถือว่าแลกกันไง มึงจับของกูไปแล้ว กูดูของมึงก็ถือว่าหายกัน โอเคนะฟ้านะ เพราะงั้นหยุดก่อน…เฮ้ย เดี๋ยวทำไมมันเร็วขึ้นล่ะ ไอ้ฟ้าโว้ย!!!”
   “หุบปากไปเลยไป ไอ้XXX!”
   “เดี๋ยวคำหยาบขนาดนั้นมึงไปรู้มาจากใครวะ… เดี๋ยวก่อนไอ้ฟ้าถ้าปาไอ้นั้นกูตายได้เลยนะ หยู๊ดดด!!”
   สมุดโทรศัพท์เล่มหนาเล่มเดิมจ้า… กำลังจะบินไปแล้วจ้า… บินแล้วจ้า…
   “เฮ้ย พวกมึงสองคน ทะเลาะอะไรกันส่งเสียงดังไปถึงขะ-…”
   ชนดั้งเต็มๆเลยจ้า…
   ตึง… ไนท์ที่เปิดประตูเขามาตรงกับจังหวะที่ไอ้ทีฉวยโอกาสหลบสมุดโทรศัพท์ได้ ทำให้สมุดเข้าหน้าของไอ้ไนท์ ‘เต็มๆ’ จนมันล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นหน้าห้องจนเกิดเสียงดังขึ้นมา
   “ไนท์!” สงครามระหว่างเราสองคนจบลงที่ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บ เพียงแต่มีผู้เสียสละหนึ่งรายที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่กลับต้องรับกรรมไป ‘เต็มๆ’
   
   ตื้อดือ… เสียงกริ่งแสนคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับประตูอัตโนมัติของร้านสะดวกซื้อที่เปิดออก ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดมาทั้งวันทำเอาตัวสั่นเมื่อเดินเข้ามาในร้าน ตอนนี้พวกผมสองคนถูกใช้ให้ออกมาของ ส่วนสาเหตุก็มาจากดันไปทำร้ายร่างกายไนท์ที่มันอาสาจะออกไปซื้อของมาให้ กลายเป็นพวกผมต้องมาแทนเพื่อให้คุณคนนั้นนั่งพักเอาถุงน้ำแข็งประคบดั้งจมูกแดงแปร๊ด
   “หวา… หนาวจังวะ”
   “ถ้างั้นก็รีบซื้อรีบกลับกันเหอะ กูก็ไม่อยากแข็งตายอยู่ที่นี่”
   “กูเห็นด้วย”
   ก็รู้แหละว่าประเทศไทยมันร้อน ถ้าเนไปได้ก็อยากจะหนีเข้าไปซุกตัวอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีสามัญสำนึกเรื่องการปรับอุณหภูมิสักหน่อย หนาวขนาดนี้ให้เพนกวิ้นอยู่รึครับท่าน
   “พวกนั้นฝากซื้อของเยอะไหมวะ”
   “อืม… เดี๋ยวนะ”
   ทีล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหยิบกระดาษโน้ตที่พับอยู่คลี่ออกมา
   “ก็มีพวกเนื้อหมู เนื้อไก่ ผัก เครื่องปรุง นอกนั้นก็พวกน้ำกับขนม แถมมีวงเล็บมาด้วยว่าให้ซื้อมาเยอะๆ”
   “ถ้างั้นก็คงต้องใช้รถเข็นแล้วล่ะ เดี๋ยวกูไปเอามาให้”
   ร้านสะดวกซื้อที่นี่สามารถเรียกได้ว่าเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กได้เลย เพราะมีตั้งแต่ผักสด เนื้อสัตว์สด รวมไปถึงอาหารทะเล กุ้งหอยปูปลาที่ว่ายกันอยู่ในตู้ พร้อมจะให้คุณเลือกสรรกลับไปทำมื้อค่ำสุดอร่อยของคุณได้ทุกเมื่อ
   “คิดว่าเนื้อแค่นี้พอไหมวะ”
   “กูว่าไม่นะ ไอ้วินมันกินจุจะตาย ซื้อเพิ่มไปอีกสักสอง สามถุงแล้วกัน”
   “ได้… เออจะว่าไปแล้วผลสอบของมึงออกมายังอะ”
   “รู้สึกว่าจะมีคนส่งมาให้ในไลน์แล้วมั้ง แต่กูยังไม่ได้ดูเลย”
   “กลัวแพ้พนันกูล่ะสิ”
   “กลัวบ้านมึงดิ เพราะวันนี้มึงทำกูยุ่งทั้งวันกูเลยยังไม่ได้ดูเนี่ย” อ้าวเหรอ…
   “ถ้างั้นมึงก็ดูตอนนี้เลยดิ กูก็อยากรู้”
   “ทีเรื่องแบบนี้ล่ะหน้าบานเชียวนะ ขี้เสือกนักนะมึงเนี่ย”
   “ขี้เสือกอะไร๊กูก็มีเอี่ยวด้วย กูก็ต้องอยากรู้ดิ กูเตรียมคิดคำสั่งมาตั้งนานแล้ว… โอ๊ยแล้วมึงจะมาดีดหน้าผากกูเพื่อ”
   “กูมึงมั่นหน้าว่ะ เห็นแล้วมันหมั่น…”
   “หมั่นไส้?”
   “เปล่า หมั่นเขี้ยวอยากฟัด…”
   ร่างสูงไม่พูดเปล่า เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้มือหนายื่นมาจับบริเวณลำคอ ผมสะดุ้งโดดโหยงถอยหลังไปเหมือนกระต่ายจนร่างสูงที่เห็นก็หลุดขำออกมาเบาๆ
“เป็นหมารึไงมึง เดี๋ยวกูซื้อเพ็ดดีกรีให้ถุงใหญ่เลย” ใครอนุญาตให้มึงจับกู ต้องรอกูเตรียมใจก่อน เมื่อตอนบ่ายทำเอาหัวใจบางเกินไปแล้ว ถ้าทำไปมากกว่านี้มันจะบางกว่ากระดาษเอา
   “ไม่เอาอะ… กินมึงน่าอร่อยกว่ากันตั้งเยอะ”
   “… วันนี้มึงดูคึกกว่าปกตินะไปโดนตัวไหนมาบอกหมอซิ”
   “ตัวนี้ครับ”
   “มึงไม่ต้องชี้มาทางกูเลย”
   “แต่กูว่ามึงน่าจะโดนมากกว่านะ”
   “โดนอะไร?”
   “ก็โดนเรารักไง… อะฮิ”
   “…”
   ตอนนี้บรรยากาศระหว่างเราสองคนเงียบมาก ผมยืนสตั้นอยู่ ส่วนไอ้ทีที่พึ่งจะแอ๊บแบ๊วแบบสุดๆเมื่อกี้ตอนนี้หน้าเริ่มจืดแล้วเมื่อเห็นว่ามุกมันแป๊กกว่าที่คิด
   “อ้าว… ไม่ขำเหรอ”
   “เออ แป๊กชิบหาย”
มุกนี้มันต้องใช้ความแอ๊บแบ๊วเป็นจุดขาย ตัวมึงโตเป็นควายอย่าริอาจจะมาแอ๊บ… แต่ภาพเมื่อกี้มันก็น่ารักดี มีดันเสียงนิดนึงด้วย ผมพยายามทำหน้านิ่งเข้าไว้ทั้งที่ในใจพยายามจะกลั้นขำ
   “ทิ้งมุกแป๊กๆของมึงไป แล้วมาช่วยกูเลือกขนมดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา”
   “ใจร้ายว่ะ”
   หลังจากซื้อพวกของสดเสร็จไปแล้วตาต่อไปก็ถือเป็นของหนักที่สุดแล้ว เหล่ากองทัพน้ำกับขนมดูจากสภาพความหิวโซของแต่ละคนไปเบิกรถเข็นมาอีกหนึ่งคันรถดีกว่า
   “ทีๆ มึงคิดว่าไอ้ไนท์มันจะชอบลายไหนมากกว่า”
   ผมชูกล่องช๊อกโกแลตขึ้นมาสองกล่อง กล่องนึงเป็นกล่องเหล็กทรงกลมลายทางสีฟ้าพาสเทลดูแล้วค่อนข้างจะน่ารักดี ส่วนอีกกล่องนึงเป็นกล่องเหล็กทรงเหลี่ยมสีน้ำเงินเข้ม
   “เลือกๆไปเถอะ ข้างในมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
   “ของขอขมาทั้งทีก็ต้องเลือกอันที่เจ้าตัวน่าจะชอบดิ”
   “เฮ้อ… เรื่องมากจังนะ ไหน… กูว่าเอาอันสีน้ำเงินดีกว่า”
   “ทำไมอะ”
   “ก็มันมีจุดสีทองเล็กๆอยู่ คล้ายๆกับท้องฟ้าตอนกลางคืนเข้ากับชื่อของมันดี”
   ผมกลับมาสังเกตที่กล่องสีน้ำเงินอีกครั้งก็พบกับจุดสีทองเป็นประกายตามที่ร่างสูงบอก
   “เออว่ะ กูไม่ได้สังเกตเลย… งั้นเอาอันนี้แหละ”
   “ถ้างั้นก็ไปจ่ายเงินกันเหอะ พวกนั้นรอกันจนเบื่อแล้วล่ะมั้ง”
   “อือ”
   พวกเราสองคนตอนนี้ทั้งสองมือเต็มไปด้วยถุงจากร้านสะดวกซื้อคนละ 2-3 ถุง แต่ละคนฝากซื้อนู่นฝากซื้อนี่ไม่ห่วงใยคนมาซื้อเลย โชคดีที่บ้านพักกับร้านอยู่ไม่ไกลกันมากทนเดินไปหน่อยเดี๋ยวก็ถึง โชคดีที่ระหว่างทางเป็นถนนที่ติดทะเลทำให้มีลมพัดเข้ามาตลอด
   “ไอ้ฟ้า…”
   “หือ?”
   หลังจากที่เงียบกันอยู่นานไอ้ทีก็เป็นคนเริ่มพูดขึ้นมาก่อน
   “มึงดูไลน์ของมึงหน่อยดิ”
   “ไลน์อะไร?”
   “ไลน์นะรู้มั๊ก”
   “… ไลน์อะไรของมึง”
   “รักนะรู้มั้ย”
   ทีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ใบหน้ายังคงเป็นปกติแต่พอมองเข้าไปในแววตาแล้วมันกลับให้ความรู้สึกที่จริงจังขึ้นมา ตอนนี้ผมทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตอบมันกลับไปแบบไหนดี ยิ้มตอบกลับ… ใช่ ต้องรีบยิ้มตอบกลับไป… แต่ว่าหัวใจมันอึดอัดจนฝืนยิ้มไปไม่ได้
   “เป็นไงๆ อึ้งเลยดิ แก้ตัวเรื่องมุกแป๊กก่อนหน้านี้ไง”
   “…เออ อึ้งดิ อยู่ๆก็เล่นขึ้นมาได้ บรรยากาศแบบนี้ถ้ากูเป็นผู้หญิงกูคงคิดว่ามึงจีบกูอยู่นะเนี่ย”
   “ฮะฮะ เออเนอะ บรรยากาศโคตรให้เลย… ทำไมทำหน้าเศร้าแบบนั้นล่ะ กำลังหวังจะให้กูจีบมึงจริงๆอยู่เหรอ”
   “เหอะ… พูดไปเรื่อยนะมึงเนี่ย รีบๆกลับได้แล้ว”   
   ผมรีบออกเดินนำร่างสูงไปก่อนที่ร่างสูงจะเดินตามหลังมา พวกเราสองคนก็คุยกันเรื่อยเปื่อยมีเสียงหัวเราะไปตลอดทาง แต่ตลอดทางนั้นผมไม่หันไปมองหน้ามันเลยเพียงแต่พยายามส่งเสียงให้เป็นธรรมชาติ ฝืนหัวเราะให้เป็นธรรมชาติที่สุด ถึงแม้ว่าใบหน้าในตอนนี้มันจะไม่อาจฝืนให้ยิ้มได้ก็ตาม รักเพื่อนเนี่ยมันทรมาณจังนะ…
   
[นที]
   “เฮ้อ… เหนื่อยชะมัดเลย”
ผมทิ้งตัวลงไปนอนแผ่อยู่บนเตียง วันนี้มีแต่เรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นทั้งวันเลย ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้เจอแจ๊คพอต เปลืองเนื้อเปลืองตัวในทะเลไปนิดหน่อย แต่ผลที่ได้ตามมาก็คุ้มค่าดีเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมามันก็น่าอายจังแฮะ
   ไม่ได้ๆ กูเป็นคนเสียตัวนะ อย่างน้อยนี่ก็ถือว่าเสียกันคนละครึ่ง ผมโดนจับ มันโดนเห็น วิน-วิน ผมเหมือนจะเสียหายมากกว่าด้วยซ้ำ ไม่สิเหมือนจะได้กำไรนิดหน่อยด้วย ได้เห็นหน้ามันตอนอาย แก้มเนี่ยขึ้นสีแดงซะยิ่งกว่ามะเขือเทศแถมลามไปถึงหูอีก โดยเฉพาะท่าทางลนลานก่อนจะสลบ ถึงตอนนั้นจะรู้สึกอายก็เลยมองไม่เห็นแค่แวบเดียวก็เถอะ แต่มันดันน่ารักซะจนติดตาเลย รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อคิดถึงภาพร่างเล็กเมื่อตอนนั้น
   “รู้สึกเสียดายชะมัด…” พอคิดถึงเรื่องที่พูดตอนขากลับจากซื้อของแล้วรอยยิ้มเมื่อสักครู่ก็หายไปจากใบหน้า
‘รักนะรู้มั้ย’ หน้าไอ้ฟ้าตอนนั้นมันทำท่าลำบากใจแถมเหมือนจะร้องไห้ ภาพตอนนั้นมันทำให้หัวใจมันอึดอัดเหมือนถูกบีบรัด ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจแล้วพยายามแสร้งให้เหมือนกับปกติ ถึงแม้มันจะรู้สึกเจ็บ รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้บอกออกไปแต่อีกใจมันก็มีความสุข ถ้าเรื่องที่จะพูดออกไปมันจะทำให้มันเครียดล่ะก็ ขอเลือกเจ็บเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
‘มึงก็กล้าๆบอกไปเลยดิ เห็นแบบนี้แต่ไอ้ฟ้ามันก็โง่เรื่องตัวเอง…’ คำพูดของนีเมื่อตอนกลางวันหวนกลับเข้ามาในสมอง… เพราะมันเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ ถึงได้ไม่กล้าบอก
เฮ้อ… ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความรู้สึกของตนเองที่กำลังคิดไม่ตก พลางหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเพื่อเปลี่ยนอารมณ์
จะว่าไป ไหนๆก็ดูคะแนนสอบสักหน่อยแล้วกัน ผมเปิดเข้าไปในไลน์แล้วตรงเข้ากลุ่มไลน์ห้องก็พบกับภาพที่มีคะแนนวิชาวิทย์พร้อมกับข้อความโอดครวญของเพื่อนหลายๆคน
“ทำไรอยู่” ร่างเล็กที่พึ่งจะเดินเข้ามาในห้องถามขึ้นมา
“ดูคะแนนสอบอยู่”
“จริงเหรอ ไหนๆกูดูด้วย”
   “ทีเรื่องเสือกนี่เร็วเชียวนะมึง”
   “ไม่ได้เสือก เค้าเรียกสอดรู้”
   “มันต่างกันยังไงวะนั่น”
   “จะต่างหรือไม่ต่างก็ช่างมันเถอะ รีบๆดูได้แล้ว”
   “ครับๆ”
   ผมเลื่อนดูรูปภาพในกลุ่มจนในที่สุดก็น่าจะเจอรูปที่น่าจะเป็นใบประกาศคะแนนสอบ ผมทำใจสักพักก่อนจะตัดสินใจกดเข้าไปดูรูป
   อันดับที่ 1 … อัศวิน
   อันดับที่ 2 … รัตติกาล … ห๊ะ!!!
   ผมสะดุ้งจนคนที่อยู่ข้างๆสะดุ้งตามก่อนจะตบบ่าผมทีนึง
   “อยู่ๆเป็นไรเนี่ย กูตกใจหมด”
   “โทษที พอดีกูตกใจกับชื่อไอ้ที่สองเนี่ย”
   “ที่2?... รัตติกาล? มันเป็นไรกับมึงอะ”
   “คนที่มึงก็รู้จัก ไอ้ไนท์ไง”
   “มันโหดขนาดนั้นเลยเหรอ”
   “เออดิ ติดอันดับท๊อปทุกรอบ แถมยังช่วยทำงานที่ร้านตลอด ไม่รู้มันเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ”
   “อย่างเก่งเลยว่ะ… มึงน่าจะดูเป็นตัวอย่างเอาไว้บ้างนะ”
   “กูคงตายพอดี แค่นี้กูก็หืดขึ้นคอแล้ว”
   โชคดีที่เพราะมีพนันกับไอ้ฟ้าไว้ วิชานั้นผมถึงได้ค่อนข้างจะมีไฟในการหนังสือ เป็นครั้งแรกที่อ่านหนังสือโต้รุ้งแบบนี้ แต่หลังจากสอบเสร็จก็สลบเป็นว่าเล่นเลย เป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ผมไม่ค่อยอยากจะสัมผัสเท่าไหร่เลย โคตรเหนื่อย
   อันดับที่ 5 … ศศิน
   “เฮ้ย!!!”
ผมขยี้ตารอบหนึ่งก่อนจะกลับมาดูรายชื่อใหม่อีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าที่เห็นไปรอบแรกไม่ได้ตาฝาด แล้วผมก็ไม่ได้ตาฝาดจริงๆ ชื่อของผมติดอยู่ที่อันดับ 5 พอดิบพอดี ผมหันไปหาร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังทำท่าประหลาดใจกับผลคะแนนสอบ
   “กูทำได้แล้วไอ้ฟ้า”
   “เออๆ กูเห็นแล้ว แต่กูก็ไม่แปลกใจหรอกนะ”
   “… มึงคิดว่ากูจะทำได้อยู่แล้วเหรอ”
   “เปล่าตอนแรกกูก็ไม่คิดอย่างนั้นหรอก”
   “…”
   “แต่พอเห็นสภาพมึงตอนก่อนสอบ กูถึงได้รู้ว่ามึงพยายามมาหนักขนาดไหน เพราะงั้นกูถึงเชื่อว่ามึงจะต้องทำได้ล่ะมั้งนะ”
   คำพูดของมันทำให้จิตใจของผมรู้สึกอบอุ่นตามไปด้วย ผมชอบรอยยิ้มของมันแบบนี้ เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับดวงอาทิตย์คอยช่วยเติมเต็มจิตใจของผมอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ขาดไปจากชีวิตไม่ได้ เพราะว่าแบบนี้ไง กูถึงตัดใจจากมึงไม่ได้สักที

[น่านฟ้า]
   “ถ้าอย่างนั้นกูก็ขอมึงได้อย่างหนึ่งสินะ”
   “เออๆ ทีแบบนี้ล่ะ ทวงใหญ่เชียวนะ จะขออะไรล่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าให้อยู่ในเกณฑ์ที่กูทำให้มึงได้ล่ะ”
   “อืม รู้แล้วน่า… อืม ขออะไรดีนะ”
   ร่างสูงทำท่าครุ่นคิดหนัก เหมือนกับเด็กๆที่พอรู้ว่าจะได้รางวัลเป็นของเล่นก็เลยพยายามจะคิดเลือกอันที่อยากได้ที่สุด ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาเป็นระยะๆ เห็นแก่ความพยายามของมันก็คงต้องตามใจมันหน่อยล่ะนะ
   “มึงยังคิดไม่ออกอีกเหรอ”
   “ยังเลยว่ะ นึกไม่ออก”
   “ถ้างั้นไว้คิดได้ค่อยมาบอกกูแล้วกัน… ตอนนี้มากินไอ้นี่ฉลองกัน” ผมเดินไปหยิบกล่องช๊อคโกแลตลายทางสีฟ้าพาสเทลที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลจากเตียง
   “นี่มึงซื้ออันนี้มาด้วยเหรอวะ”
   “พอดีกูเห็นว่ามันน่ากินดี ก็เลยซื้อมาด้วยกัน”
   “ถ้ามึงอยากลองไม่ไปขอไอ้ไนท์มันชิมเอาล่ะ กล่องนึงมันก็มีตั้งเยอะ”
   “ทำแบบนั้นมันไม่ดีไหมไอ้ที มึงซื้อไปให้เขาแล้วจะไปขอเขากินเนี่ยนะ”
   “ไอ้ไนท์มันไม่ถือเรื่องแบบนั้นหรอก”
   “มันไม่ถือแต่กูถือ… น่ากินดีว่ะ มึงดูดิ”
   ภายในประกอบไปด้วยช๊อคโกแลตนานารูปร่าง ไม่ว่าจะเป็นทรงเหลี่ยม ทรงกลม หัวใจ แถมยังมีทรงประหลาดอย่างรูปขวดแก้ว ประดับประดาด้วยไวท์ช๊อคโกแลต หรือเกล็ดน้ำตาลสีสันสดใส ช่ยเพิ่มความอยากลิ้มลองขนมหวานตรงหน้า ผมหยิบช๊อคโกแลตทรงกลมตรงกลางขึ้นมาลองชิมดูสัมผัสหวานๆปนความขมเล็กน้อยทำให้รสสัมผัสไม่เลี่ยนจนเกินไป ทำเอาผมอยากหยิบชิ้นต่อไปขึ้นมากินต่อเลย
   “มึงลองกินดูดิ อร่อย ไม่หวานมากด้วย”
   “เหรอ งั้นลองสักชิ้นก็แล้วกัน”
   ทีหยิบช๊อคโกแลตรูปแก้วขึ้นมาก่อนจะนำเข้าไปในปาก
   “อร่อยว่ะ”
   พวกเราสองคนนั่งคุยกันไปเรื่อยพร้อมกับหยิบช๊อคโกแลตจากกล่องขึ้นมากินเรื่อยๆ จนตอนนี้ปริมาณช๊อคโกแลตที่เหลือในกล่องแทบจะเหลือแค่หลักเดียวแล้วจากจำนวนเต็มกล่อง ไว้เดี๋ยวต้องจดยี่ห้อเก็บเอาไว้สักหน่อย ช๊อคโกแลตอะไรยิ่งกินยิ่งติดอาจจะมีส่วนผสมของกัญชาก็ได้… ว่าไปนั่น
   “ไอ้ที พอกันก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวเบาหวานถามหา” ถึงจะหยุดตอนนี้ไปมันจะไม่ค่อยช่วยอะไรสักเท่าไหร่ก็เถอะ เพราะปริมาณที่กินมันเข้าไปมันถึงระดับเบาหวานระยะแรกได้เลย แต่อย่างว่ากันไว้ดีกว่าแก้พวกผู้ใหญ่สอนเขามา ตอนนี้ก็ต้องกันอีก 8 ชิ้นที่เหลือเอาไว้ก่อน
   “อะ…อืม…”
   “…ไอ้ที มึงเป็นไรเปล่า”
   ผมถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อน้ำเสียงของร่างสูงตอนนี้มันดูทุ้มต่ำกว่าปกติ เพราะเสียงเหมือนยังติดอยู่ในลำคอ แถมใบหน้าของมันก็เริ่มจะแดงขึ้น
   “อึ…กูไม่เป็นไร”
   “ไม่เป็นไรแล้วทำไมเสียงมึงมันเป็นอย่างนั้น เป็นหวัดเหรอกูขอดูหน่อย”
   ผมยื่นมือเข้าไปแตะหน้าผากของอีกฝ่ายก่อนเพื่อเช็คอุณหภูมิ
   “ไอ้ทีมึงตัวร้อนนะ เป็นหวัดแล้วแน่เลย”
   “ม่าย… กูไม่ได้เป็นอะไร มึงอย่ามาปรักปรำ”
   “มึงจะไม่เป็นอะไรได้ยังไง กูมึงตัวร้อนซะขนาดนี้”
   ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติ เพราะความเป็นห่วงมัน แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆร่างสูงตรงหน้าก็มีหยดน้ำใสๆไหลออกมาตามดวงตาทั้งสองข้าง ทำเอาผมไปไม่เป็น
   “ปะ-เป็นไรเนี่ยมึง ร้องไห้ทำไม”
   “ก็มึงดุกูอะ”
   “กูไม่ได้ดุสักหน่อย เมื่อกี้กูก็แค่พูดเฉยๆ”
   “แต่มึงตวาดกูด้วยอะ ฮึก”
   โอ้ย มันเป็นอะไรไปเนี่ย เมื่อกี้ยังปกติดีอยู่ๆก็ร้องไห้ ผมควรทำยังไงดีเนี่ย เสียงร้องสะอื้นของมันยังดังไม่หยุด สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเข้าไปปลอบมันก่อนที่จะตั้งสติทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตอนนี้
   “ยะ-หยุดร้องก่อนเถอะนะ” ผมยื่นมือเข้าไปลูบหัวอีกฝ่าย พอสัมผัสของมือผมแตะเข้ากับกลุ่มผมนุ่มไอ้ทีมันก็โผร่างเข้ามากอดกับผมเอาหน้าไถกับหน้าท้องจนรู้สึกร้อน ร่างสูงที่อยู่ๆดันเข้ามาก่อนทำให้ผมต้องเขยิบตัวถอยหลังจนไปชนเข้ากับกล่องช๊อคโกแลตเมื่อสักครู่จนตกลงมา
   ผมหยิบกล่องช๊อคโกแลตขึ้นมาก่อนที่ตัวอักษรที่ไม่ค่อยจะสะดุดตาเท่าไหร่ เข้ามาอยู่ในช่วงการมองเห็น
   [ช๊อคโกแลตรวมมิตรสำหรับให้เป็นของขวัญแด่คนที่คุณรัก พิเศษ แถมฟรีช๊อคโกแลตรูปขวดเหล้าสอดไส้เหล้าแอลกอฮอล์]
   สอดไส้เหล้า!! เดี๋ยวนะหรือว่าไอ้ทีมันจะเมา ผมนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ผมเห็นไอ้ทีมันหยิบแต่ช๊อคโกแลตรูปขวดเหล้าไปกิน นี่ควรจะโทษคนออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เขียนระบุให้ชัดเจนดี หรือจะโทษไอ้ทีที่มันคออ่อนเกินจนเมาเพราะช๊อคโกแลตได้เนี่ย
   “ไอ้ที มึงเมาใช่ไหมเนี่ย”
   “กูไม่ได้เมาสักหน่อย”
   “เมาอยู่เห็นๆ มานี่กินน้ำตามเข้าไปจะได้หาย”
   “กูบอกว่ากูไม่ได้เมา!!”
   “งั้นมึงก็พิสูจน์มาสิว่ามึงไม่ได้เมา”
   “…”
   “เห็นไหมรีบๆกินน้ำตามเข้าไปเยอะๆมันจะได้สร่าง”
   ผมแกะแขนทั้งสองข้างออก ตั้งใจจะเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำให้ไอ้คนที่บ่นว่าตัวเองไม่ได้เมาทั้งๆที่พูดก็จะไม่รู้เรื่องกันอยู่แล้วแท้ๆ แต่แล้วก็รู้สึกถึงแรงจับที่ข้อมือพร้อมกับแรงเหวี่ยงที่แรงจนผมล้มลงไปนอนอยู่บนเตียง ร่างสูงขึ้นมาพร้อมกับคร่อมตัวของผมเอาไว้
   “กูจะพิสูจน์ให้ดูว่ากูไม่ได้เมา”
   สิ้นเสียงนั้น ริมฝีปากหนาก็ประกบลงมาที่ริมฝีปากของผม ลิ้นของมันเข้ามารุกรานบริเวณโพรงปาก และกวัดเกี่ยวกับลิ้นของผม สัมผัสได้ถึงรสชาติของช๊อคโกแลตและรสชาติของเหล้าจางๆ ผมพยายามใช้แรงผลักออกไปแต่ก็ไม่เป็นผม ร่างแกรงตรงหน้าไม่ขยับเขยื้อนแถมยังดันใบหน้าเข้ามาเบียดใกล้กันกว่าเดิม ผมพยายามทุบแผ่นหลังของมันอย่างเต็มที่จนในที่สุดมันก็ยอมปล่อยให้ปากและลิ้นของผมเป็นอิสระ
   ร่างสูงใช้ลิ้นของตัวเองเลียรอบริมฝีปากจนเป็นภาพที่ดูเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก
   “เห็นไหม กูมีแต่รสช๊อคโกแลต กูไม่ได้กินเหล้าสักหน่อย เพราะงั้นกูไม่ได้เมา”
   น้ำเสียงทุ่มนุ้มพูดขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าได้รูป
   มะ-เมื่อกี้นี้มัน… จูบ ใบหน้าของผมร้อนขึ้นมา หัวใจเต้นโครมคราม ความรู้สึกดีอกดีใจภายในมันทำเอาร่างกายแทบจะละลายไปกับภาพตรงหน้า ความนุ่มของริมฝีปากที่ลงมาประกบทำเอาร่างกายรู้สึกหวิวๆ
   “หึ… หน้าแดงแล้ว น่ารักจังเลย แถมยังลามมาถึงหูด้วย”
   “ดะ-เดี๋ยวอย่ามาเลียหูสิ… อื้อ มะ-มัน จะ-จั๊กจี้”
   สัมผัสร้อนและแฉะปรากฏขึ้นบริเวณใบหู ทันทีที่ร่างสูงบรรจงใช้ลิ้นค่อยๆเลีย มันทำให้ร่างกายแทบทุกส่วนร้อนรุ่ม แปลกที่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจแม้แต่นิดเดียว แต่กลับอยากให้มันทำสิ่งที่มากกว่านี้ไปอีกด้วยซ้ำ
   “กูรักมึงนะรู้มั้ย”
   “มึงพึ่งจะเล่นไปเมื่อตอนเย็นเองนะ”
   “อันนั้นกูไม่ได้พูดเล่นนะ กูพูดจริง กูน่ะไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนสนิทกับมึงหรอกนะ ตอนนี้กูรู้สึกกับมึงไปมากกว่าเพื่อนแล้วนะ แต่กูไม่กล้า… ไม่กล้าจะบอกว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง เพราะกูกลัวว่ากูจะต้องเสียมึงไป กูถึงต้องพยายามเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ เพราะสำหรับกูแล้วมึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับกู”
   “…”
   “แต่ว่าความรู้สึกของกูที่มีต่อมึงน่ะ มันกลับไปเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ได้แล้ว เพราะงั้น… พนันที่กูจะขอกับมึง กูไม่ได้จะขอให้มึงมาคบกับกูหรืออยากให้มึงตอบรับความรู้สึกของกูหรอกนะ กูอยากให้มึงทำกับกูเหมือนๆกับที่ผ่านๆมาเหมือนเดิม ถึงแม้ว่ามึงจะรู้ว่ากูรักมึงก็ตาม…นะ…”
   
*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท

   
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 24 {27/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 31-01-2020 19:19:47
ขั้นที่ 25 อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง
[น่านฟ้า]
   นอนไม่หลับ…
   ความเหนื่อยล้า และความหนักอึ้งบริเวณเปลือกตาเข้ามาจู่โจม ในใจมันกำลังสับสนไปหมด แถมหัวยังปวดไปหมด เพราะคำว่า ‘รัก’ ที่มันบอกยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
   ผมเหลือบไปมองทีที่ยังคงหลับอยู่บริเวณหน้าอกของผมมาตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อคืนหลังจากที่มันพูดจบสงสัยเพราะฤทธิ์ของช๊อคโกแลตบวกกับความล้ามาทั้งวันทำให้มันน๊อคไปเลย ทิ้งให้ผมใจเต้นไปกับคำสารภาพที่หลุดออกมา ความสับสน ความดีใจ ความงุนงงมันดีมั่วกันไปหมด กว่าจะจัดการกับความรู้สึกทั้งหมดได้ก็เช้าซะแล้ว
   ข้อสรุปที่ได้หลังจากพยายามเรียบเรียงข้อมูลในหัวมันก็ออกมาเพียงแค่อย่างเดียว… ใจตรงกัน
   อ่า!!… พอคิดไปแบบนั้นแล้วมันก็รู้สึกว่ามันรู้สึกเขินๆอย่างบอกไม่ถูก ถึงมันจะเป็นคำพูดตอนที่เมาก็เถอะ แต่คำพูดที่ออกมาก็มักจะเป็นสิ่งที่อัดอั้นแล้วก็พูดไม่ได้ตอนปกติมันถึงได้ระเบิดออกมาตอนที่เมา เพราะฉะนั้น… ถ้าผมบอกออกไปก็คงมีโอกาสสินะ
   ทะ-ถ้าบอกออกไปล่ะก็ ก็คงจะได้คบกันสินะ… อ่า!! ผมกรีดร้องอยู่ในใจให้กับความคิดสาวน้อยของตัวเอง อย่าพึ่งคิดไปเกินเหตุสิตัวกู ยังฟันธงไปแน่นอนไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องยืนยันกับร่างสูงกำลังนอนอยู่ตรงหน้า
   ตะ-แต่ว่าพอมันตื่นแล้วจะทำตัวยังไงดีเนี่ย พอรู้ว่า
   ผมลูบหัวยุ่งๆที่กำลังหลับสนิทอยู่ตรงหน้าเบาๆ สัมผัสนุ่มๆกับใบหน้าได้รูปที่กำลังหลับพริ้มอยู่ตรงหน้าถือเป็นยาชูกำลังในยามเช้าได้ดีมาก ไหนๆแล้วก็ขอถ่ายรูปไปที่ระลึกสักหน่อยก็แล้วกัน
       “อื้อ…”
      เสียงงัวเงียไม่พอใจร้อมกับร่างกายที่เริ่มจะขยับเล็กน้อยจากการถูกรบกวนเวลานอน ก่อนที่จะดวงตาจะค่อยๆลืมขึ้นมาให้เห็นดวงตาสีดำ ที่สะท้อนกับแสงแดดที่ลอดเข้ามาในห้องจนเห็นเป็นประกายจนน่าจับตามอง
      “งะ-ไง ตื่นแล้วเหรอ” ผมพยายามคุมเสียงตัวเองให้เป็นปกติ แต่ผมก็ยังรู้สึกเลยว่าน้ำเสียงมันยังรู้สึกโดดๆอยู่จะให้ทำไงได้ล่ะก็คนมันมีความสุขอยู่
      “อืม… ยังไม่ตื่น” ไอ้ทีพูดขึ้นมาพร้อมกับเอาหน้าลงไปซุกกับหน้าอกของผมพร้อมกับใช้ใบหน้าถูไถ น่ารักเกินไปแล้ว เจอแบบนี้ตอนเช้าแล้วมันรู้สึกดีต่อใจเกินไปทำเอาจะตายก่อนวัยด้วยโรคหัวใจกับความดันสูงซะอีก
      “นี่ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวสาย เดี๋ยวโดนไอ้แพรวด่ากูไม่ช่วยแล้วนะ” ปากพูดไปอย่างนั้น แต่ใจอยากจะอยู่แบบนี้ไปทั้งวันเลย เป็นตะคริวก็ยอมล่ะจังหวะอย่างนี้
      “… จูบอรุณสวัสดิ์กูหน่อย ถ้าจูบกูจะตื่น” ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมกับเท้าคางอยู่ที่อก ปากบอกว่ากูจะตื่นแต่ตอนนี้มึงกูเปิดตาหรา
เลยนะ แถมยังใช้นิ้วเรียวชี้ไปยังบริเวณริมฝีปากอีก แบบนี้เขาเรียกว่านอนเหรอไอ้เจ้าเล่ห์
      แต่ว่าจูบเหรอ จริงอยู่ว่าใจเราตรงกัน ถึงมันจะยังไม่ได้ยินยันกับตัวมันตรงๆก็เถอะ แถมเมื่อคืนพวกเราสองคนยังจูบกับไปด้วย ความทรงจำในหัวฉายซ้ำจนใบหน้าเริ่มแดงขึ้น ความรู้สึกเขินอายเข้ามาโจมตีหัวใจ ถึงตอนนั้นจะถูกจู่โจมตอนเผลอก็เถอะ แต่มันกลับรู้สึกดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ริมฝีปากมันก็นุ่มโดยรวมแล้วให้ความรู้สึกดีมากเลยด้วยซ้ำ… แถมภาพตอนมันเลียปากก็ช่างเซ็กซี่
      ตะ-แต่ว่าตอนนั้นมันกำลังเมาอยู่ก็เลยน่าจะยังไม่รู้สึกตัว แต่ตอนนี้สติของมันครบร้อยทำให้ความน่าอายเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า เอายังไงดีๆ… ดีล่ะ ทำใจกล้าๆแล้วจูบไปสักทีนึงก็แล้วกันเผื่อดูปฏิกิริยาของมันแล้วหาช่องพูดเรื่องสารภาพ
      “ฮะฮะ ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นเลยก็ได้ กูล้อเล่น เพื่อนกันเขาไม่จูบกันหรอกนะ”
      เอ๊ะ… ความรู้สึกแปลกๆปรากฏขึ้นมาภายในใจ พร้อมกับลางสังหรณ์
      “ถ้าอย่างงั้นกูไปอาบน้ำห้องไอ้ไนท์นะ มึงอาบห้องนี้ไปก็แล้วกัน”
      ร่างสูงพูดขึ้นพร้อมกับหยิบเอาเสื้อผ้ากับขนหนูเตรียมพร้อมที่จะเดินออกไปทุกเมื่อ คำพูดและการกระทำทุกอย่างของมันไม่ต่างจากปกติเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับผมแล้วมันกลับดูแปลกตาไปจากเดิมมากกว่า
      “เดี๋ยวไอ้ที… คือเรื่องเมื่อคืน…”
      หวังว่าสิ่งที่ผมสังหรณ์ใจเอาไว้จะไม่เป็นจริงด้วยเถอะ…
      “เรื่องเมื่อคืน? … เรื่องอะไรวะ กูจำไม่ได้อะ”
      “จำไม่ได้…” ความรู้สึกสุขใจเมื่อครู่อันตรธานหายไปแล้วแทนที่ด้วยความอึดอัดแทน
      “กูจำได้แค่ว่ากูคุยกับมึงเรื่องคะแนนสอบ จากนั้นก็นั่งกินช๊อคโกแลต หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว หรือว่ากูไปทำอะไรมึงเอาไว้เหรอ”
     “กะ-ก็มึง…”
     “กู?”
     คำพูดเหมือนถูกชะงักเอาไว้ เหมือนถูกเข็มและด้ายเย็บเข้าไปที่ริมฝีปาก ลิ้นชาจนไม่สามารถออกเสียงได้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีไหม แววตาของคนตรงหน้าเป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่มันกกำลังทำอยู่ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นเรื่องจริง
     “ปะ-เปล่าไม่มีอะไร มึงรีบไปอาบน้ำเถอะเดี๋ยวกูจะได้อาบน้ำด้วย”
     “เหรอ ถ้างั้นกูไปแล้วนะ”
     “อืม”
      ความรู้สึกกลัว ความไม่มั่นใจมันถาโถมเข้ามาภายในใจ…
      กลัวว่าพอพูดออกไปแล้วมันจะตอบรับยังไง…
      กลัวว่าพอพูดออกไปมันจะทำหน้าแบบไหน...
     กลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้วความสัมพันธ์มันจะไม่เหมือนเดิม…

   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกน้าไปก่อนนะ ยังมีงานเหลืออยู่อีก เที่ยวกันให้สนุกนะจ๊ะ”
   “ขอบคุณครับ/ค่ะ”
   “ถ้างั้นพวกมึงรออยู่ตรงนี้กันก่อนนะ เดี๋ยวกูไปซื้อบัตรมาให้”
   ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าสวนสนุก เป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดแถมห่างจากที่พักของเราไม่ไกลมาก ให้พวกคุณน้าขับรถมาส่งก็ใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็มาถึงแล้ว เท่าที่ลองดูคร่าวๆจากแผนที่ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ดูเหมือนว่าจะมีเครื่องเล่นให้เลือกเล่นเยอะมากแถมยังมีการแบ่งโซนเอาไว้ประมาณ 5 โซนเพื่อรองรับลูกค้าหลากหลายช่วงอายุเพราะมีตั้งแต่โซนเครื่องเล่นเด็กเล็ก โซนเครื่องเล่นเด็กโต/ผู้ใหญ่ แถมยังมีโซนช๊อปปิ้งสำหรับเหล่าสาวๆ กับโซนอาหารการกิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าขนาดวันนี้ที่เป็นวันธรรมดา ก็ยังเห็นจำนวนคนที่มากันอย่างล้นหลาม
   แต่ไม่ว่าจะทั้งเครื่องเล่น ที่ช๊อปปิ้งหรืออาหารก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผมในตอนนี้ได้ เพราะตอนนี้ใจของผมมันกำลังสับสนอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะทำอย่างไรดี
   “ฟ้า…ไอ้ฟ้า!!!”
   “อะ-อะไร ตะโกนทำไมเนี่ยไอ้ที”
   “มึงนั้นแหละเหม่ออะไรอยู่ จะเข้าไปกันแล้วนะ”
   “รู้แล้วน่า”
   ผมเดินตามร่างสูงเข้าไปยังที่ตรวจตั๋ว พอเดินเข้าไปสิ่งแรกที่ได้พบเห็นคือ สะพานทอดยาวที่ทอดยาวอยู่บนแอ่งน้ำขนาดใหญ่ พร้อมกับมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาเป็นระลอกๆ ชวนให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย
   “เมื่อกี้ทำหน้าซะเครียดเชียวนะ เป็นไรอะ”
   “ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
   “ไม่อะกูไม่เชื่อ มึงต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ”
   “ก็กูบอกแล้วนี่ว่าไม่มีอะไร” ใครเขาจะไปบอกกันได้เล่าว่ากูกำลังกลุ้มใจเรื่องที่มึงมาสารภาพกับกูไอ้โง่เอ่ย!!
   “เหรอ ถ้างั้นก็แล้วไป แต่ถ้ามีอะไรล่ะก็บอกกูได้ กูพร้อมจะช่วยมึงเอง”
   คำพูดที่พูดขึ้นมาทั่วๆไป พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มที่เห็นเป็นปกติ แต่ความรู้สึกในตอนนี้มันกลับมองเห็นเป็นความปกติไปไม่ได้เลย เพราะมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิม มันทั้งอบอุ่น และอยากจะครอบครองเอาไว้
   “นี่ๆไปเล่นรถไฟเหาะกันเหอะ กูอยากเล่น”
   “เงียบๆหน่อยวิน กระโดดโลดเต้นเป็นเด็กไปได้”
   “อย่าพูดเหมือนพ่อกูขนาดนั้นดิไนท์ มาเที่ยวกันทั้งทีรีแลกซ์หน่อยรีแลกซ์”
   “มึงรีแลกซ์มากเกินไปแล้ว”
   “ไอ้วินนี่ก็ยังเจี้ยวจ้าวอยู่เหมือนเดิมเลยนะ”
   “ฮะฮะ แต่แบบนี้มันก็เฮฮาดีเหมือนกันนะ” ใช่ มันเฮฮาจนทำให้ผมเลิกสนใจกับความรู้สึกที่มันเริ่มจะเห็นแก่ตัวขึ้นมาของตนเอง
   กรี๊ด กร๊าด… เสียงกรีดร้องดังมาจนถึงข้างนอกของเครื่องเล่น ทำเอาผมรู้สึกใจหายไปเล็กน้อย เมื่อแถวรถไฟเหาะที่กำลังต่ออยู่มันรถหดสั้นลงเรื่อยๆจนใกล้จะถึงคิวของตนเองแล้ว
   “สีหน้ามึงแน่มากเลยนะเป็นอะไรไหม”
   “คะ-คิดว่า” แค่เห็นก็รู้สึกเริ่มเวียนหัวแล้ว เมื่อกี้ตอนอยู่ข้างนอกเห็นรถที่กำลังแล่นอยู่หมุนตีลังกาเยอะซะจนนับไม่ถ้วน
   “ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยออกไปนั่งพักดีกว่านะ”
   “อืม ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆก็เสียเวลาต่อแถวมาแล้ว ก็ลองเล่นสักตาไปก็ได้”
   “เหรอ อย่าฝืนมากนักล่ะ กูเป็นห่วง”
   “เดี๋ยวนี้มาทำพูดเป็นห่วง เป็นห่วงในฐานะเพื่อนสนิทล่ะซี้”
   “เปล่า…”
   ความสับสนจู่โจมเข้ามาในใจอีกครั้ง ถ้าเกิดไม่ใช่ในฐานะเพื่อนสนิทแล้ว มันจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ…
   “ที่มึงพูดน่ะ…มึงคิดกับกะ-”
   “เชิญลูกค้าท่านต่อไปได้เลยค่ะ”
   “หืม? เมื่อกี้มึงจะพูดอะไรรึเปล่า พอดีพี่เขาพูดแล้วกูได้ยินไม่ชัด”
   “เปล่า…ไม่มีอะไร”
   “เหรอถ้างั้นก็ไปกันเถอะ เขาเรียกแล้วแน่ะ”
   “อืม” ไว้เดี๋ยวค่อยถามอีกครั้งก็ได้ ตอนนี้ให้ลมมันตีหน้าสักหน่อย เผื่อมันจะได้พัดเอาอารมณ์ฟุ้งซ่านออกไปได้บ้าง
   ไม่ได้คิดผิดเลยจริงๆที่ให้ลมมันพัดเอาอารมณ์ฟุ้งซ่านออกไป เพราะไม่ใช่แค่อารมณ์ฟุ้งซ่านเท่านั้นที่ถูกพัดออกไป แต่ตอนนี้สติของผมก็ถูกพัดจนกระเจิง รถไฟเหาะอะไรวะเนี่ย ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวหมุนเดี๋ยวตีลังกา ไอ้คนสร้างมันไม่คิดถึงสุขภาพของลูกค้าบ้างเลยรึไง… อุ๊บ คลื่นไส้ชะมัด
   “ไหวไหมมึง”
   “ไหวกับผีสิ มึงเห็นกูไหวขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
   “กูถึงได้บอกไงว่าอย่าฝืน”
   “ก็ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะเร็วขนาดนั้น”
   “เอ้านี่ ยาดม”
   “แต้งกิ้วนะไนท์”
   ตอนนี้พวกผมนั่งกันอยู่ตรงม้านั่งข้างหน้ารถไฟเหาะ มีทีกับไนท์นั่งเฝ้ากันสองคนส่วนที่เหลือติดใจในความแรงและความเร็วของรถไฟเหาะจนไปต่อแถวเล่นกันอีกครั้ง ไม่เข้าใจความคิดพวกมันเลยจริงๆว่าติดใจไปได้ยังไงเวียนหัวแถมยังคลื่นไส้อีก
   “ไอ้ที มึงไปซื้อน้ำมาให้หน่อยดิ อาการคลื่นไส้มันจะได้ลดลง”
   “ได้ ถ้างั้นฝากไอ้ฟ้าด้วยนะไนท์”
   “อืม อย่าลืมเลือกขวดที่เย็นๆมาล่ะ”
   อ่า… รู้สึกโล่งขึ้นมาเยอะเลย ยาดมอะไรก็ไม่รู้แหละแต่ประสิทธิภาพดีเกินคาด จากที่เมื่อครู่พะอืดพะอมแทบตายตอนนี้นี่รู้สึกสบายเหมือนตัวลอยอยู่เลย รู้สึกเบาเหมือนว่าตัวเองจะบินได้ด้วยซ้ำ
   “มึงมีเรื่องอะไรกับไอ้ทีเหรอ”
   ผัวะ… คำถามที่พุ่งตรงแทงเข้ามาในใจตบผมที่กำลังจะบินอยู่ให้ตกกลับลงมากระแทกพื้นอย่างจัง จากที่รู้สึกเบาสบายตอนนี้กลับรู้สึกหนักอึ้ง
   “มะ-มึงรู้เหรอ”
   “เปล่าก็แค่เห็นว่ามึงทำท่าลังเลว่าจะพูดกับไอ้ทีมาสักพักแล้ว กูก็เลยคิดว่ามึงน่าจะมีอะไรกับมัน”
   “…”
   “เงียบแบบนี้แสดงว่าจริงสินะ”
   ว่าแล้วเชียวว่าแสดงออกมากเกินไป ผมตัดสินใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับไนท์ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนและคำสารภาพของที
   “…เลว”
   คำเดียวสั้นๆได้ใจความที่หลุดออกมาทำเอาคนฟังอย่างผมถึงกับสะดุ้ง
   “ถ้ากูเป็นมึงป่านนี้กูคงฟ้องร้องเอาค่าเสียหายแล้วล่ะ”
   “ยะ-อย่าไปคิดมากเลย ตอนนั้นมันก็แค่เมาเอง”
   “ถึงมันจะเมาก็เถอะ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่สมควรทำนะ มึงยอมมันได้เหรอ”
   “สำหรับกูแล้วมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรขนาดนั้นสักหน่อย" แถมเหมือนกับจะได้กำไรนิดๆด้วยซ้ำ
   “เฮ้อ ถ้างั้นก็แล้วไป… แต่หลังจากนี้มึงจะทำยังไงต่อไปล่ะ พอได้ยินคำสารภาพนั้นออกมาแล้ว ถึงไอ้เจ้าตัวคนพูดมันจะจำอะไรไม่ได้เลยก็เถอะ”
   “ทำยังไงต่อไป… งั้นเหรอ”
   “มึงก็ชอบไอ้ทีมันนิบอกมันไปเลยดิ”
   “ชะ-ชะ-ชอบเหรอ!!”
   “อ้าวไม่ใช่เหรอ?”
   “เปล่า ไอ้ชอบมันก็ชอบอยู่หรอกแต่…” แต่พอมีคนมาพูดตรงๆแบบนี้แล้วมันรู้สึกเขินๆ
   “ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่บอกไปเลยล่ะ ไอ้ทีมันก็สารภาพกับมึงแล้วนิ”
   “ไม่ได้หรอก กูกลัวน่ะสิ…”
   “กลัว?”
   “กูกลัวว่ามันอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นก็ได้ กลัวว่าพอสารภาพออกไปแล้วความสัมพันธ์ของพวกเรามันจะแย่ลงไปกว่าเดิมจนกูไม่กล้าที่จะบอกมันไปได้”
   ความกังวลสะสมกันจนเหมือนกับเมฆครึ้มสะสมภายในอก ความสัมพันธ์ของผมกับมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะสูญเสียไปเลย มันเป็นสิ่งที่พิเศษยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ถ้าต้องเสี่ยงที่จะเสียมันไปล่ะก็… ผมขอเก็บความรู้สึกของตัวเองแล้วคงสายสัมพันธ์แบบนี้เอาไว้จะดีกว่าเสียอีก
      “Don’t be afraid to change. You may lose something good but you may gain something better.”
      Don’t be afraid to change… จงอย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง
      You may lose something good… คุณอาจจะสูญเสียสิ่งที่ดีไป
      but you may gain something better… แต่คุณก็อาจจะได้รับในสิ่งที่ ‘ดีกว่า’กลับมาแทน
     “พึ่งรู้นะเนี่ยว่ามึงเป็นพวกชอบคำคมพวกนี้ด้วย”
     “ฮะฮะ ดูไม่ค่อยเข้ากับหน้ากูเลยใช่ไหมล่ะ แต่ว่ามันก็เป็นคำที่ติดมากับของชิ้นนี้ล่ะนะ”
      ไนท์พูดขึ้นพร้อมกับโชว์กำไลเชือกถักที่ห้อยด้วยแท็กโลหะที่มีข้อความเมื่อครู่
     “เก่าน่าดูเลยนะ ของสำคัญเหรอ”
     “อืม จะว่าอย่างนั้นก็ได้ตอนประมาณป.3 กูหลงทางกับแม่ตอนไปห้าง ตอนนั้นกูรู้สึกกลัวมากเลย กูได้แต่นั่งร้องไห้อยู่กับที่เกือบชั่วโมงไม่มีใครเข้ามาคิดจะถามกูเลยว่าเป็นยังไง สุดท้ายก็มีคนเข้ามาคุยกับกูถามว่าหลงทางเหรอ นู่นนี่นั่นแต่กูก็เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น มึงรู้ไหมว่าคนนั้นเขาทำอะไร”
     “ปลอบมึง?”
     “เปล่าเลย นั่งอยู่ข้างๆกูอยู่อย่างนั้น จนกูเลิกร้องไห้แล้ว”
      “ฮะฮะ อะไรล่ะวะนั้น”
      “นั่นสิตอนนั้นกูก็คงรู้สึกงงแบบเดียวกัน ตอนนั้นกูจำได้เลยว่าตอนที่พี่เขากำลังจะปลอบกูพี่เขาทำท่าลังเลมากสุดท้ายก็เลือกที่จะมานั่งกับกูแทน คิดแล้วก็ฮา”
      “แปลว่าไอ้นั้นก็ได้มาจากพี่คนนั้นล่ะสิ”
      “อืม ตอนที่กูหยุดร้องไห้แล้วพี่เขาก็พยายามจะเข้ามาปลอบอีกรอบ แต่พอเห็นกูกำลังจะปล่อยโฮพี่เขาก็ให้ไอ้นี่มา”
      “มึงคงจะปลื้มคนคนนั้นมากสินะ”
      “เรียกว่าติดตามากกว่ามั้ง ใครเขามานั่งอยู่ข้างๆเป็นเพื่อนเด็กร้องไห้ล่ะวะ”
      “ก็จริงนะ… แน่ะๆ พูดไปยิ้มไปแบบนี้แอบชอบพี่เขาล่ะสิ”
      “ชอบบ้านมึงดิ หน้าตากูยังจำไม่ได้เลย แถมตอนนั้นพี่เขาน่าจะอยู่มัธยม ป่านนี้คงทำงานไปแล้วมั้ง”
      “ฮะฮะ… แต่ก็ขอบคุณนะ”
     “ทำหน้าแบบนั้นแปลว่าตัดสินใจได้แล้วล่ะสิ”
     “อืม”
     “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปจัดการซะให้เรียบร้อย… ไอ้ทีมาแล้วนู่น พวกมึงสองคนไปเดินเล่นด้วยกันเลยไป เดี๋ยวกูนั่งรอพวกไอ้วินตรงนี้เอง”
     “ดะ-เดี๋ยว…”
     ไม่รอช้า ไนท์มันก็รีบผลักไสไล่ส่งผมออกมาจากม้านั่ง ภาพตรงหน้าคือร่างสูงที่กำลังเดินกลับมาพร้อมกับขวดน้ำในมือ คำพูดของไนท์เมื่อครู่ทำให้ผมตัดสินใจได้แล้ว เกี่ยวกับความรู้สึกของตนเอง และสิ่งที่ผมสมควรจะทำ

[ไนท์]
   ผมมองส่งทั้งสองคนจนทั้งคู่เดินห่างออกไปจนลับสายตา ผมเอนตัวลงไปพิงกับพนักพิงของม้านั่งพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
      ‘ก็จริงนะ… แน่ะๆ พูดไปยิ้มไปแบบนี้แอบชอบพี่เขาล่ะสิ’
      “หึ… เป็นไปไม่ได้หรอก… ก็พี่คนนั้นเขาเป็นผู้ชายนี่นะ”
      ผมยกข้อมือขึ้นมาดูแท๊กโลหะที่เริ่มจะมีสนิทขึ้นเกาะอยู่ตามขอบตามมุมบ้าง ถึงแม้จะดูแลรักษาเป็นอย่างดีแต่ด้วยอายุของมันจะให้สะอาดเอี่ยมก็คงจะเป็นไปไม่ได้
      “อยากเจออีกจังเลยนะ”

[น่านฟ้า]
   “ลูกค้าท่านต่อไปเชิญได้เลยค่ะ ตอนขึ้นกรุณาระวังด้วยนะคะ”
   หลังจากสิ้นเสียงของพนักงานสาวประตูกระเช้าก็ปิดลง พร้อมกับความสูงของกระเช้าที่ค่อยๆเคลื่อนขึ้นไปตามวงล้อเหล็กขนาดใหญ่
   “มาอารมณ์ไหนเนี่ย ถึงพากูมาขึ้นชิงช้าสวรรค์”
   “นานๆทีไง ไม่ได้ขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ประถมนู่น”
   ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นภาพของมุมสูงทำให้เห็นภาพรวมของสวนสนุกทั้งหมด พร้อมกับพระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลง
   “นี่ที… เรารู้จักกันมากี่ปีแล้ววะ”
   “กี่ปีเหรอ?...นั่นสินะ ถ้าตัดตอนที่กูย้ายออกไปก็น่าจะสัก 10 ปีแล้วมั้ง”
   “นานจังเลยนะ ถ้ามึงไม่ย้ายออกป่านนี้คงทำสถิติถึง 17 ปีได้เลยมั้ง”
   “นั่นสินะ คงเห็นกันจนเบื่อหน้ากันไปข้าง”
   “ฮะฮะ พูดอีกก็ถูกอีก… แต่กูขอเลือกเป็นแบบนั้นก็คงดีกว่า ตอนที่มึงย้ายออกไปกูมีใจทำอะไรเลย นั่งซึมเป็นอาทิตย์ คิดถึงแต่มึง…”
   “แต่ตอนนี้กูก็ย้ายกลับมาแล้ว”
   “… นั่นสินะ ตอนแรกที่กูได้ยินว่ามึงกลับมาแล้ว กูรู้สึกกลัว กลัวว่ามึงจะเปลี่ยนไป กลัวว่ามึงจะลืมกูไปแล้ว”
   “เรื่องนั้นน่ะมะ-”
   “แต่พอได้กลับมาเจอถึงได้รู้ว่ามึงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย คอยมองกูอยู่เสมอๆเพราะกูมันเป็นพวกซุ่มซ่าม คอยเป็นห่วงเพราะกูมันเป็นพวกปฏิเสธใครไม่เป็น คอยปลอบกูเวลาที่กูตัวสั่นเพราะกลัว”
   ความทรงจำทุกอย่างมันหวนกลับเข้ามาภายในใจ
       ตอนที่ผมกล้าๆกลัวๆที่จะเข้าไปทักมันในตอนแรกเพราะคิดว่ามันจะลืม…
       ตอนที่มันรู้ว่าผมกลัวความมืดมันก็คอยตื่นอยู่เป็นเพื่อนปลอบผมจนกระทั่งผมหลับ…
       ตอนที่ผมได้แต่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในป่า มันก็เป็นคนแรกที่รีบวิ่งเข้ามาหาผม…
      “กูน่ะไม่เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่กูรู้สึกกับมึงแบบนี้ แต่พอกูรู้ตัวกูถึงได้รู้ว่ากูไม่ได้มองมึงแบบเพื่อนสนิทอีกต่อไปแล้ว…”
      ทุกๆเหตุการณ์ที่เข้าผ่านมาในชีวิต ความรู้สึกดีต่างๆที่มันมอบมาให้ประกอบกันเป็นคำตอบเดียวภายในใจ
      “ที่มึงพูดหมายความว่า…”
      ก่อนที่ร่างสูงจะได้พูดต่อ ผมใช้สองมือยื่นเข้าไปจับใบหน้าของร่างสูงของที่จะดึงเข้ามาหาตัวใช้ริมฝีปากบางประกบเข้ากับริมฝีปากหนา
      แสงอาทิตย์อัสดงที่สาดส่องเข้ามากระทบกับกระจกกระเช้าจนเกิดเป็นประกายแสงวิบวับ เปรียบเสมือนกับความอบอุ่นและความรู้สึกดีๆที่มันมอบมาให้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันนำพาให้หัวใจของผมไปสู่คำตอบเดียวภายในใจ…
      “กูรักมึงนะ…ที”

*****************************************************************************************************************************
❤ Profiles ❤
*****************************************************************************************************************************

นภดล (น่านฟ้า)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 155 cm
น้ำหนัก             : 43 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : ส้ม, ของเปรี้ยวหวาน
อาหารที่เกลียด   : อาหารรสเผ็ด
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : ???
ความสามารถ     : เย็บปักถักร้อย , ทำอาหาร(ระดับหายนะ)
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท ,กลัวความมืด+ที่แคบๆ

 

ศศิน (นที)
อายุ                 : 17
ส่วนสูง             : 182 cm
น้ำหนัก             : 70 kg
วันเกิด              : ???
อาหารที่ชอบกิน  : เครปไส้แยมสตอเบอร์รี่และพริกเผา ,หมูกระเทียม
อาหารที่เกลียด   : ???
สิ่งที่ชอบ           : ???
งานอดิเรก         : แกล้งน่านฟ้า
สถานะ              : มากกว่าเพื่อนสนิท

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 25 {31/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 04-02-2020 21:02:05
ขั้นที่ 26 ไม่ใช่ความฝัน
[นที]
“กูรักมึงนะ…ที”
บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ มีเพียงคำพูดสั้นๆ ดังก้องอยู่ภายในหัว พร้อมกับหัวใจที่ค่อยๆ เต้นแรงขึ้น แรงขึ้น ไม่อาจละสายตาไปจากร่างเล็กตรงหน้า สัมผัสนุ่มที่ทิ้งไว้ที่ริมฝีปากช่วยเสริมให้ใบหน้าเริ่มรู้สึกถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น
แสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องมากระทบกับใบหน้าคนตรงหน้า ทำให้เห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าบริเวณแก้มทั้งสองข้างจะเริ่มแดงจนขึ้นสี แต่แววตากลับจดจ้องมองมาทางผมอย่างไม่วางตาราวกับว่าเป็นสิ่งยืนยันถึงความรู้สึกของมันที่มีต่อผม
“ที่พูดเมื่อกี้… หมายความว่า…”
“…”
สายตาที่จ้องมองมาทำให้ผมไม่อาจเอ่ยคำพูดอะไรต่อได้ เหมือนกับถูกสะกดให้ไม่อาจละสายตาไปได้ ร่างเล็กค่อยๆ เริ่มที่จะขยับปากขึ้นมาทีละนิด แต่ในจังหวะนั้น
“เออ… ขอโทษนะคะ”
เสียงพนักงานหญิงเรียกให้พวกผมสองคนกลับมายังโลกความเป็นจริง ผมหันไปมองก็พบกับพนักงานหญิงที่ใบหน้าของเธอเริ่มจะแดงนิดๆ พร้อมกับเหล่าสายตานับสิบคู่ที่จับจ้องมาทางพวกผม
“คะ-คือว่าตอนนี้หมดรอบแล้วนะคะ ขะ-ขอโทษที่รบกวนแต่ว่าช่วยรบกวนออกมาด้วยนะคะ”
พนักงานสาวพูดจาตะกุกตะกักพร้อมกับพูดขึ้นโดยไม่หันมามองพวกผมแม้แต่นิดเดียว ผมเหลือบไปมองไอ้ฟ้าที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าตอนนี้มันกำลังตัวสั่นพร้อมกับอ้าปากค้าง ใบหน้าที่เมื่อสักครู่ว่าแดงแล้วแต่ตอนนี้กลับแดงขึ้นไปอีกระดับ
“คะ-ครับ!!”
ร่างเล็กพูดขึ้นเสียงดังพร้อมกับรีบฉุดผมออกมาจากบริเวณชิงช้าสวรรค์ ความเร็วและความแรงที่มันใช้ทำให้ผมค่อนข้างตกใจกับแรงที่รุนแรงกว่าปกติเป็นสัญญาณว่าตอนนี้มันคงกำลังอายแบบสุดๆ
“แฮ่ก แฮ่ก…”
ฟ้าพาผมวิ่งจนน่าจะเลยจากโซนเครื่องเล่นข้ามมายังโซนใหม่ซึ่งเป็นระยะทางไม่ใช่น้อยๆเลย ด้วยความที่มันเป็นพวกไม่ออกกำลังกายทำให้มันยืนหอบอยู่ตรงกำแพง ทำอะไรไม่ดูสังขารตัวเอง ช่างน่าเอ็นดูจริงๆ
“ไหวไหม”
“ไม่… แฮ่ก… ไม่ไหวแล้ว… แฮ่ก”
ผมยืนรอให้ร่างเล็กปรับลมหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติพร้อมกับให้มันได้พักขาด้วย ขาสั่นเหมือนกับเป็นลูกกวางเกิดใหม่เลย
“ดีขึ้นรึยัง”
“อืม ก็โอเคขึ้นอยู่”
“ถ้างั้น… ที่มึงพูดข้างบนนั้น… ก็หมายความว่า…”
ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกผมถามคำถามโดยไม่ทันตั้งตัว จากที่มันพึ่งจะใจเย็นลงตอนนี้อารมณ์มันกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็คนมันคาใจปล่อยทิ้งไว้ก็มีแต่จะอึดอัดเปล่าๆ
“เรื่องนั้น…คือ… อ๊ะ ไอ้ทีข้างหลัง”
“ข้างหลัง?”
ผมหันไปมองข้างหลังตามที่ไอ้ฟ้าชี้ พอหันหลังกลับไปก็ไม่เจอกับอะไรเลย มีแต่นักท่องเที่ยวธรรมดาที่เดินกันขวักไขว่
“ก็ไม่เห็นมีอะไร… เฮ้ย!?”
ทันทีที่ผมหันมาฟ้ามันก็อันตรธานหายไปแล้ว พอเพ่งมองดูดีๆ ก็เห็นเงารางๆ ของมันวิ่งไปไกลแล้ว
เหนื่อยขนาดนั้นเอาแรงจากไหนมาวิ่งอีกวะ! แล้วก่อนมึงจะไปมึงช่วยกลับมาอธิบายให้กูเข้าใจก่อนเว้ย ไอ้ฟ้า!!!

หงุดหงิด… หงุดหงิดเว้ย!!!
“เป็นไรวะ ทำหน้าบูดเป็นตูดลิงเลยนะมึง”
“เรื่องของกู!!”
“ไรว้า ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงกับกูขนาดนั้นเลย วินเสียใจ… กระซิก”
แม่งเอ๊ย ไอ้ความรู้สึกชวนให้หัวใจเต้นเมื่อตอนเย็นตอนนี้กลับกลายเป็นความอึดอัดและความหงุดหงิดแทน ตั้งแต่หลังจากกลับมาจากสวนสนุกจนพวกเรามาเดินตลาดกลางคืนกัน มันเอาแต่หลบหน้าผมตลอด ไม่ว่าผมจะเข้าไปหามันยังไงมันก็แอบหลบหายจากสายตาผมไปตลอด ไม่ก็ไปเกาะแกะกับพวกแพรว
หน๊อย!! .. คิดแล้วก็หงุดหงิด ผมยกกุ้งเสียบไม้ที่พึ่งซื้อมาจากร้านแผงลอยขึ้นมากัดด้วยความฉุนเฉียวพลางมองไปยังโต๊ะของผู้หญิงที่มีร่างเล็กนั่งร่วมวงอยู่ด้วย
“ใครทำมึงหงุดหงิดขนาดนี้วะเนี่ย”
“ไอ้ฟ้าไง… เหอะ”
“เฮ้อ… กูว่าแล้ว”
ไนท์พูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับใบหน้าเอือมระอา
“มึงไปทำอะไรให้ไอ้ฟ้าอีกล่ะเนี่ย”
“กูไม่ได้ทำอะไรเลยเว้ย มันสะ-”
“สะ?”
“เปล่า เอาเป็นว่าอยู่ๆ มันก็หลบหน้ากูไปเอง”
“มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงไอ้ที ไอ้ฟ้ามันเป็นคนมีเหตุผลมากกว่ามึงอีก”
“เออน่า มึงไม่ต้องรู้สาเหตุหรอก รู้แค่ว่ามันหลบหน้ากูก็พอ”
ผมพูดไปพลางหยิบของปิ้งย่างขึ้นมากินให้หายหงุดหงิด ใครจะไปบอกได้ล่ะว่ามันมาสารภาพรักกู พูดไปแม่งจะมีแต่ทำให้อึ้งกันทั้งโต๊ะ เงียบเอาไว้ดีกว่า
“เป็นไรไนท์ ทำหน้าเหมือนมึงรู้อะไร”
“เปล่า…”
“เหรอ…”
ผมหันกลับมาสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อ ที่จริงผมก็รู้แหละว่าความรู้สึกตัวเองมันเป็นยังไง แต่ผมก็ยังอยากจะได้ยินจากปากมันอีกสักครั้ง… อยากยืนยันว่าผมไม่ได้เป็นฝ่ายฝันไปเองคนเดียว แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะยากเย็นขนาดนี้
“ไอ้ที”
“ไร?”
“มึงพากูไปซื้อปิ้งย่างเมื่อกี้หน่อยดิ”
“เมื่อกี้มึงก็ไปกับกูนะไนท์?”
“เหอะน่า กูจำไม่ได้”
ผมรู้สึกสงสัยในคำพูดของไนท์แต่สุดท้ายผมก็โดนมันลากให้ออกมาด้วยอยู่ดี
“นู้นร้านอยู่ตรงโน้น”
“เออว่ะ กูเนี่ยความจำเริ่มแย่แล้วเนอะ”
“ถ้างั้นกูกลับไปกินต่อละ”
“เดี๋ยว!”
“อะไรอีกวะ ไอ้ไนท์”
“มึงไปต่อแถวซื้อน้ำปั่นให้กูหน่อยดิ”
ไนท์พูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังร้านน้ำปั่นที่คนต่อแถวกันยาวเหยียด ผมเห็นจำนวนคนที่มาต่อแถวแล้วก็เหนื่อยแทน
“มึงดูคนที่ต่อนู้น ยาวไปจนถึงทะเลแล้วมั้ง”
“มึงก็เว่อร์ไปไหม”
“กูขี้เกียจไปต่อแถว”
“น่านะ ถือว่ากูขอมึงไปต่อแถวซื้อน้ำปั่นให้กูหน่อย”
“มะ-”
“ถ้ามึงปฏิเสธก็อย่าหวังการบ้านจากกู”
ประโยคสั้นๆ แต่มีพลังการทำลายระดับสูง ทำเอาผมรีบกลืนคำว่า ‘ไม่’ กลับเข้าลำคอไปแทบไม่ทัน เรื่องความขี้เกียจก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องการบ้านเป็นเรื่องใหญ่ ผมส่งสายตาขวางให้กับไอ้เพื่อนจอมเจ้าเล่ห์ที่ตอนนี้กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ต่อแถวของปิ้งย่างสั้นๆ ในขณะที่ผมต้องปลงใจไปต่อแถวร้านน้ำปั่นแถวยาวเหยียด
เฮ้อ… แค่น้ำปั่นเองทำไมคนมันเยอะขนาดนี้เนี่ย
ผมที่ต่ออยู่ท้ายแถวพยายามยืดตัวขึ้นไปดู เพื่อดูว่าทำไมร้านน้ำปั่นธรรมดาๆ คนมันถึงได้เยอะเกินปกติ แล้วผมก็ได้รู้สาเหตุนั้นแล้ว… อ่อ ที่แท้ก็เพราะแม่ค้านี่เอง เล่นใส่สายเดี่ยวมาโชว์เลย ไม่แปลกใจที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาต่อแถวถึงเป็นผู้ชาย
ตุบ… ผมที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็รู้สึกถึงแรงกระแทกเบาๆ บริเวณหลัง
“อะ ขอโทษครับ”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา ทำให้ผมรีบหันหลังกลับไปมองก็พบกับร่างเล็กที่ทำท่ากุมหน้าผากของตัวเองเอาไว้ ทันทีที่ไอ้ฟ้ามันเงยหน้าขึ้นมาเจอหน้าผมก็ทำหน้าซีดไปเล็กน้อยก่อนที่มันจะทำท่าออกวิ่ง
หมับ… แต่อย่าหวังว่าผมจะปล่อยมันไป ผมอาศัยจังหวะที่มันกำลังสับสนฉวยโอกาสคว้าข้อมือของมันเอาไว้ได้ทัน พลางจับข้อมือของมันเอาไว้แน่น
“ในที่สุดก็จับได้สักที”
“ปะ-ปล่อยกูนะไอ้ที”
“ไม่เว้ย ถ้าปล่อยมึงก็หนีอีก กูไม่ปล่อยมึงแน่”
ตื้อดึง… ใครไลน์มาตอนนี้วะ
Night : ไอ้ที น้ำปั่นกูไม่เอาแล้วนะ ไม่ต้องต่อแถวแล้ว
อ้าวเฮ้ย อย่างนี้ก็ได้เหรอ…
Night : อ่อ แล้วก็มึงใจร่มๆหน่อย ทำหน้าเป็นยักษ์แบบนั้นไอ้ฟ้ามันคงอยากคุยหรอกนะ
ผมหันไปมองซ้าย มองขวาก็ไม่เห็นไอ้ตัวคนที่ส่งข้อความมาเลย จากเนื้อหาแล้วมันต้องแอบดูอยู่แถวนี้แน่ๆ เผลอๆที่ไอ้ฟ้ามาอยู่ตรงนี้ก็คงเป็นแผนของมันด้วย ร้ายนักนะมึงเนี่ย
เฮ้อ… ก็ได้วะ
ผมค่อยๆ คลายมือที่จับข้อมือของมันออก
“ไอ้ที…”
“เฮ้อ… เรื่องนั้นกูจะยังไม่ถามก็ได้ แต่อย่างน้อยอย่าหลบหน้ากูแบบนั้น กูไม่ชอบ”
“ขอโทษก็แล้วกัน แต่ถ้ากูไม่หลบมึงก็จะเอาแต่ถามเรื่องนั้นไม่ใช่รึไง”
“ก็ใช่ล่ะนะ ใจจริงกูก็อยากจะถามอยู่หรอก อยากเค้นตอนนี้เลยด้วยซ้ำแต่…”
“…”
“ไหนๆ ก็มาเที่ยวกันทั้งที… ไปเดินเที่ยวกันหน่อยไหม”

มีต่อจ้า =w=
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 25 {31/1/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Yukimin ที่ 04-02-2020 21:02:35
ตลาดริมทะเลของที่นี่นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยความที่เป็นพื้นที่ตรงฟุตบาทที่ติดกับทะเลจึงทำให้มีพวกร้านอาหารหรือร้านของฝากมาเปิดขายยาวจนสุดถนน แถมบรรยากาศตอนกลางคืนยังมีลมเย็นๆ พัดมาจากทะเลเป็นตัวช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี… ถึงจะพูดว่าเป็นอย่างดีก็เถอะ
“…มึงจะไปเดินไกลกูขนาดนั้นทำไม”
ผมมองไปยังฟ้าที่กำลังเดินเก้ๆกังๆ อยู่ห่างจากผมประมาณคืบนึง
“ปะ-เปล่าสักหน่อย… กูแค่ร้อนเฉยๆ เอง”
โดนเว้นระยะห่างอย่างเห็นได้ชัด นี่ผมพยายามซอฟสุดๆ แล้วนะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้นี่จะลากไปที่ลับตาคนแล้วคุยให้มันรู้เรื่องไปเลย… หรือหน้าผมมันยังซอฟไม่พอนะ
“อ๊ะ”
“ระวังหน่อย…”
ผมเข้าไปประคองตัวไอ้ฟ้าไว้ทันทีหลังจากที่มันโดนคนที่เดินอยู่ข้างหลังเบียดแซงขึ้นมาจนทำเอามันเกือบจะล้มลงไป
“ขะ-ขอบใจ”
“ตัวมึงยิ่งเล็กๆอยู่เดี๋ยวก็หายไปในฝูงคนหรอก”
“กูไม่ได้เล็กสักหน่อย ขนาดกูนี่มาตรฐานชายไทยเลยนะ”
“เหรอ… แต่ถ้าเทียบกับกูแล้วมึงก็ยังเตี้ยอยู่ดีแหละ”
“ไอ้ที!!”
ผมใช้มือดันหัวของร่างเล็กที่ตอนนี้มันพยายามจะตะเกียกตะกายเข้ามาต่อยผมให้ได้ แต่ด้วยความต่างชั้นของความสูงและความยาวของช่วงแขน มันจึงทำได้เพียงแค่ต่อยลมไม่อาจเอื้อมมือมาโดนตัวผมได้
“หายเกร็งสักทีนะมึงเนี่ย”
“กูไม่ได้เกร็งสักหน่อย มึงนั่นแหละคิดไปเอง”
“ถ้ามึงยืนยันว่าไม่เกร็งกู งั้นมึงก็ไปเดินเที่ยวกับกูไหม”
“เรื่องไรกูต้องไปกับมึงด้วย”
อ้าวมึงปรับอารมณ์เร็วจนกูตามไม่ทันแล้วเนี่ย เมื่อกี้มึงยังกลัวๆ ถัดมาก็เดินตัวเกร็งๆ มาตอนนี้มาทำตัวดื้อซะงั้น นั่นๆมีทำเมินใส่ด้วย…ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอวิธีรับมือกับเด็กดื้อสักหน่อย
ผมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ๆกับร่างเล็กที่ตอนนี้มันยืนกอดอกหันหน้ามองทะเล ไม่ได้หันมาดูผมเลยสักนิด แต่ก็ช่วยให้แผนของผมมันง่ายขึ้นเยอะ ผมค่อยๆเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ จนเมื่อลมหายใจของผมสัมผัสกับใบหูบางๆมันก็เหมือนจะรู้สึกตัวรีบหันกลับมามองพร้อมกับร่างกายที่เตรียมจะถอยหลัง แต่มือของผมนั้นเร็วกว่ารีบคว้าแขนพร้อมกับดึงมันให้เข้ามาใกล้แทนพร้อมกับพูดกระซิบใส่ข้างหู
“ให้เลือกระหว่างมึงจะไปเดินเที่ยวกับกู หรือให้กูอุ้มมึงท่าเจ้าหญิงมึงจะเลือกอะไรเอ่ย?”
ผมพูดพร้อมกับดึงเสียงประโยคสุดท้ายให้สูงขึ้นเป็นการเพิ่มระดับความกวนประสาทฝ่ายตรงข้ามซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผลเพราะตอนนี้ร่างเล็กเริ่มจะมองค้อนใส่ผม
“…”
“ว่าไงจะเลือกอะไรดี… ถ้ามึงไม่เลือกเดี๋ยวกูจะเลือกให้มึงเองน้า”
ไม่พูดเปล่าผมทำท่าทางก้มลงไป ใช้มือไปแตะบริเวณข้อขาของอีกฝ่ายพร้อมที่จะยกขึ้นมาทุกเมื่อ เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ร่างเล็กก็รีบตอบออกมาอย่างไม่ลังเล
“เออๆ ไปก็ได้”
“ตอบออกมาแบบนี้แต่แรกก็จบแล้ว”
“ไอ้คนเจ้าเล่ห์”
“ขอบคุณที่ชมคร้าบบ”
ไอ้ฟ้าทำหน้างอนเดินหนีผมไปแล้ว ภาพที่เห็นช่วยสร้างเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มให้ผมเป็นอย่างดี ก็ปฏิกิริยามึงตอนโดนแกล้งมันน่ารักขนาดนี้ใครเขาจะทนไม่แกล้งได้ล่ะ อย่างน้อยผมก็คนหนึ่งล่ะที่ทนไม่ได้
หลังจากนั้นพวกผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ แวะดูร้านนู้นที ร้านนี้ที ขนาดรู้สึกว่าตัวเองก็เดินมาไกลแล้วแต่แสงไฟยังคงยาวออกไปอีกไกลจนยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของถนนสายนี้เลย พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย อารมณ์ว่าอยากแวะที่ไหนก็แวะ แถมไอ้ฟ้ามันก็เริ่มจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่ทำตัวเกร็งหรือหนีหน้าผมมันทำให้ผมรู้สึกโล่งอกขึ้นมา แต่ก็ยังคงเหลือความอึดอัดใจอยู่อีก… อยากจะยืนยันความรู้สึกของมันอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมอยากจะบอก… ความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ในใจ
“อ้าวๆ นั่นน้องทีไม่ใช่เหรอ”
“เจ๊บอย!!”
“บอยลี่จ๊ะ”
เป็นการพบกันอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเราเดินตรงเข้าไปยังซุ้มขายเสื้อผ้าที่มีคุณแม่ค้าตัวยักษ์ที่แสนจะนุ่มนวลและคุ้นเคยเป็นเจ้าของร้าน
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีจ้า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอกันที่นี่นะเนี่ย”
“ผมก็เหมือนกันครับ ไม่คิดเลยว่าเจ๊บอยจะมาออกร้านขายเสื้อผ้าที่ต่างจังหวัดแบบนี้”
“ตอนแรกเจ๊ก็ไม่ได้กะจะมาขายของหรอก ตอนแรกเจ๊กะจะมาเที่ยวกับเพื่อน อุตส่าห์เก็บของเก็บกระเป๋าซะดิบดีกะว่าจะมาส่องผู้ที่ทะเลสักหน่อย สุดท้ายนางแค่อยากได้คนมาช่วยขายของ เจ๊ล่ะอยากจะจับมาตบซ้ายตบขวาสักป๊าบจริงๆ”
ดูท่าเจ๊เขาจะแค้นฝังลึกน่าดูเลย…
“แล้วนี่เรามาเที่ยวเหรอ”
“ครับ มาเที่ยวปิดเทอมกันน่ะครับ”
“กับที่บ้าน?”
“มากับเพื่อนน่ะครับ”
“ดีแล้วๆ ชีวิตวัยเรียนก็ต้องมาเที่ยวกับเพื่อนนี่แหละแซ่บที่สุดแล้ว… จะว่าไปน้องฟ้าไม่มาด้วยเหรอปกติเห็นตัวติดกันจะตาย”
“ไอ้ฟ้ามันก็มานะครับ แต่มันไปซื้อน้ำส้มปั่นร้านข้างๆ เสร็จแล้วมันคงจะเดินมา”
“แหมแต่เห็นน้องทีอีกครั้งแล้วนี่ทำเอาเจ๊อยากจับไปถ่ายรูปลงเพจร้านอีกจังเลย คราวก่อนที่ลงไปได้กระแสดีมากเลยล่ะ คนแชร์เพียบ มีออเดอร์เข้ามาจนล้นเลย นี่ไงดูสิๆ”
เจ๊บอยยื่นโทรศัพท์ที่เปิดหน้าเพจร้านเสื้อผ้าของตนเองเอาไว้ ซึ่งเป็นโพสต์ที่ผมกับไอ้ฟ้าไปเป็นนายแบบจำเป็นให้ ซึ่งดูจากยอดวิวกับคอมเม้นท์แล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ยอดออเดอร์มันจะเข้ามาเยอะ เพราะแต่ละคอมเม้นท์มันชวนทำเอาผมเสียวสันหลังวาบ ผมเลื่อนดูรูปไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับรูปของไอ้ฟ้าเข้า บอกได้คำเดียวเลยว่า… น่ารัก อยากจะกดลบรูปออกจากเพจเจ๊แล้วเซฟรูปเก็บไว้ดูเองคนเดียวจะแย่อยู่แล้ว
“เราสนใจจะมาเป็นนายแบบให้เจ๊อีกรึเปล่า เจ๊มีค่าตัวให้นะหรือจะรับตัวเจ๊ไปเป็นค่าตัวก็ได้ เจ๊ยอม”
“ฮะฮะ ถ้าเรื่องนายแบบละก็ถ้าช่วยได้ผมก็จะช่วยนะครับ… ส่วนค่าตัวของเงินเหมือนเดิมเถอะครับ”
“แหมๆ ไม่รับมุกเลยนะ เดี๋ยวช่วยลองไปถามน้องฟ้าด้วยนะว่าอยากจะมาเป็นแบบให้เจ๊อีกรึเปล่า เพราะน้องฟ้านี่กระแสตอบรับดีมากเลยล่ะ คงเป็นเพราะรูปแบบชุดของเจ๊มันออกแนวน่ารักด้วยก็เลยเข้ากับน้องฟ้า”
“เออคือ เจ๊ครับ…”
“หืม?”
“เรื่องเป็นแบบเอาเป็นผมคนเดียวได้รึเปล่าครับ”
“อ้าว น้องฟ้าเขาไม่ชอบเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นเจ๊ก็ไม่บังคับหรอกนะ”
“ไอ้ฟ้ามันคงไม่เป็นไรหรอกครับ มันคงชอบด้วยซ้ำที่ได้เงิน”
“อ้าวแล้วทำไมล่ะ”
“… ไอ้ฟ้ามันเป็นของผมคนเดียว”
พูดไปก็รู้สึกอายตัวเองเหมือนกัน แต่ใครจะยอมให้คนที่ไหนก็ไม่รู้มาเชยชมความน่ารักของไอ้ฟ้ากันได้ล่ะ
“แหมๆ ตายจริงๆ อย่างนี้นี่เอง”
เจ๊บอยพยักหน้าเหมือนกับว่าจะเข้าใจแล้ว สักพักอยู่ๆก็ทำตัวดี๊ด๊าดีดขึ้นมากะทันหัน ทำเอาผมสะดุ้งโหยงเลย นี่ก็อีกคนปรับอารมณ์ไวเหลือเกิน
“ร้ายนักนะเราเนี่ย ไปคบกันมาตอนไหนกันเอ่ย”
“ยะ-ยังไม่ได้คบกันสักหน่อยครับ”
“อ้าว? หรือว่ารักเขาข้างเดียว”
“คิดว่าน่าจะใจตรงกันแล้ว…มั้งครับ แต่แค่ยังไม่ได้บอก”
คำพูดบนชิงช้าสวรรค์กลับมาวนเวียนอยู่อีกครั้ง แต่คราวนี้มันกับมาพร้อมกับอาการร้อนๆ ที่ใบหน้าซะอย่างนั้น… อื้อ ยิ่งพูดมันยิ่งเขิน
“ชักช้าแบบนี้ระวังจะโดนคนอื่นคาบไปกินก่อนนะ ยกตัวอย่างเช่นเจ๊ไง น้องฟ้ายิ่งน่าเจี๊ยอยู่”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่มีใครคาบไปกินทันแน่นอน”
“…”
“เพราะว่าผมตั้งใจจะพูดในคืนนี้อยู่แล้ว”
“แหมๆๆๆ มั่นใจจังนะเราอะ ระวังจะนกขึ้นมานะจ๊ะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับเจ๊ ผมยิ่งเสียวๆ อยู่”
“แล้วได้คิดรึยังล่ะว่าจะทำยังไง สถานที่ บรรยากาศ มู๊ด?”
“ยังไม่รู้เลยครับ ตอนแรกก็กะว่าจะหาจังหวะเหมาะๆ แล้วบอกออกไปเลย”
“ไม่ได้!!”
อยู่ๆ เจ๊ก็ตบโต๊ะเสียงดังจนผมและลูกค้าที่เดินผ่านไปมาสะดุ้ง
“มันต้องสร้างบรรยากาศให้มันโรแมนติกซิยะ การสร้างความประทับใจให้คนคนนั้นเขาตราตรึงน่ะมันจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จเข้าไปอีก ยิ่งมีของขวัญไปให้ยิ่งเพอร์เฟ็ค นี่เป็นเรื่องฐานของพื้นฐานเลยนะ!!”
“คะ-ครับเจ๊”
หลังจากนั้นเจ๊แกก็เริ่มทำเหมือนตัวเองเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดคอยให้คำปรึกษาผมเยี่ยงผู้เชี่ยวชาญดูท่าว่าเจ๊แกจะอินกับเรื่องนี้เอามากๆ เหมือนกับมีความหลังซะอย่างนั้น
“เฮ้อ… ไหนๆ แล้วเจ๊ก็จะช่วยในฐานะของคนมีประสบการณ์สักหน่อย ตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ”
“เออ…คิดว่าน่าจะสักทุ่มสี่สิบแล้วล่ะมั้งครับ”
“โอเคถ้าอย่างนั้นก็ยังทันเวลาอยู่”
“?”
“โชคดีนะที่มาตลาดวันนี้พอดี ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ตอนสองทุ่มมันจะมีการจุดดอกไม้ไฟแบบย่อมๆ ขึ้นมาน่ะ ถ้าอยากไปดูเดี๋ยวเจ๊จะแนะนำสถานที่สำหรับดูดอกไม้ไฟให้”
“จริงเหรอครับ”
“ใช่แล้ว แถมเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักดี คนก็เลยแทบจะไม่ค่อยไปกัน รับรองว่าอยู่เปลี่ยวๆกันสองคนจนแทบจะฉุดกันไปทำอะไรมิดีมิร้ายได้เลยเชียวล่ะ เจ๊คอนเฟิร์ม”
“มะ-ไม่ดีมั้งครับเจ๊”
“ฉันพูดล้อเล่นย่ะ คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ หื่นใช่เล่นนะเราอะ”
ผมเบนหน้าจากเจ๊บอยไปดูสินค้ารอบๆ ไม่อยากจะเห็นหน้าเจ๊บอยเอาตอนนี้มากเลยมันช่างชวนให้ใบหน้ามันเร่งการขึ้นสีขึ้นมา แต่ว่าแดงไม้ไฟเหรอ… ก็อาจจะดีกูได้มั้ง
‘ฉุดกันไปทำอะไรมิดีมิร้าย…’ ปรี๊ด… ผมเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้า เมื่อดันเผลอจินตนาการเรื่องแปลกๆ ออกไปเมื่อสักครู่ มึงอย่าพึ่งคิดไปไกลที มึงอย่าพึ่งคิดไปถึงขั้นนั้น

“ตรงนี้น่ะเหรอที่ที่เจ๊แกบอก”
พวกผมเดินเลาะตามชายหาดมาจนมาสุดอยู่ที่เนินโขดหินซึ่งเดินย้อนขึ้นมาจากตรงที่เขาจะจุดดอกไม้ไฟกัน สงสัยเพราะว่ามันอยู่คนละทางกับที่ที่เขาจะจุด คนก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเห็นก็เลยไม่ยอมมากันมั้ง แต่ที่แปลกกว่าก็คือมันดันอยู่ใกล้กับที่บ้านพักจนมองเห็นได้จากตรงนี้เลย
“หวา”
“ระวังหน่อย แถวนี้มันมืด”
ผมคว้ามือของร่างเล็กเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆดึงมันขึ้นมา บริเวณแถวนี้เป็นเนินหินที่ขึ้นมาตั้งแต่ชายหาดยาวไปจนถึงทะเล ถึงจะไม่ได้ไกลไปจนถึงโซนน้ำลึก แต่แค่สุดโขดหินมันก็ไกลจนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นส่วนตัวสุดๆ มิน่าเจ๊เขาถึงบอกว่าไม่มีใครเห็น
พวกเราสองคนหาที่นั่งเหมาะๆตรงบริเวณปลายโขดหิน นั่งหย่อนขาตัวเองลงไปแช่ในทะเล น้ำทะเลเย็นๆช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาบวกกับลมที่โชยเข้ามาเบาๆ ทำให้รู้สึกอยากจะนอนหลับเอาตรงนี้เลย ถ้าไม่ติดว่ายังมีเรื่องที่จะต้องสะสางอยู่
“แต่ว่าเจ๊บอยแกรู้จักที่นี่ได้ยังไงวะ ตอนกลางวันกูยังมองไม่เห็น”
“ที่มึงมองไม่เห็นเพราะมึงมัวแต่สนใจตรงอื่นอยู่รึเปล่า อย่างเช่นตรงนี้”
ผมยกยิ้มมุมปากพร้อมกับชี้ลงไปยังเป้ากางเกงของผม ร่างเล็กถึงกับสะดุ้ง คำพูดเริ่มตะกุกตะกัก เห็นปฏิกิริยากี่ทีก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยน
“อะ-ไอ้เหี้ยที! ทะลึ่ง!”
“อย่างมึงเนี่ยไม่น่าจะมีสิทธิ์มาเรียกกูว่าทะลึ่งได้นะ มึงทะลึ่งกว่ากูตั้งเยอะ”
“ตรงไหน?”
“โถ่ทำเป็นลืม ก็เรื่องที่มึงเล่นจูบกูบนชิงช้าสวรรค์แถมยังจูบโชว์ชาวบ้านชาวช่องเข้าอีก… กล้า จัง นะ”
ผมพูดโดยพยายามเน้นสามคำสุดท้ายเพื่อให้อารมณ์ของมันเตลิดยิ่งกว่าเดิมซึ่งก็เป็นไปตามคาดมันทำตัวลนลาน พอไม่มีที่ไปมันก็มาลงกับผมใช้กำปั้นเล็กๆ พยายามต่อยๆ ใส่ตัวผมแต่ด้วยแรงแค่นั้นอย่าว่าแต่จะเจ็บเลย ยังไม่ปวดด้วยซ้ำ หน้าก็เริ่มแดงขึ้นมาเล็กๆ แล้วแฮะ… น่าสนุก
“แล้วก็ตอนที่ไปเข้าค่ายตอนที่กูออกไปรับมึงที่นั่งจ๋อมร้องไห้อยู่หลังต้นไม้เพราะกลัวความมืด พอกูไปถึงก็เล่นกระโจนเข้ามากอดกูไปพลางร้องไห้ไปพลางเห็นมะมึงทะลึ่งกว่ากูตั้งเยอะ…อ่อ ใช่ๆ ยังมีเรื่องเมื่อตอนเช้าที่มึงลูบไล้ซิกแพคกูใหญ่เลยด้วยนี้เนอะ”
“อันนั้นมึงบังคับกูตั้งหากล่ะ!”
“แต่มึงก็ไม่ชักมือหนีด้วยนิ เห็นซิกแพคกูแล้วมือไม้อ่อนเลยล่ะสิท่า”
ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้แต่ร่างเล็กก็กระเถิบถอยไปโดยอัตโนมัติ
“ระ-เรื่องนั้น… หึ กูไม่คุยกับมึงแล้วเสียเวลา!”
อ้าว งอนเฉย… สงสัยจะแกล้งแรงไปหน่อย
“โอ๋ๆ กูไม่แกล้งมึงแล้วก็ได้ เลิกงอนได้แล้ว”
ผมยื่นมือเข้าไปลูบกลุ่มผมนุ่มตรงหน้าอยู่สักพัก แต่ร่างเล็กก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรร่างกายยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น
“หันกลับมาคุยกันเถอะ นะนะนะนะ”
ผมกอดคอมันพร้อมกับใช้ใบหน้าถูไถไปด้วย พยายามบีบเสียงอ้อนวอนให้น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ก็เหมือนเดิมร่างเล็กยังคงนิ่งไม่ไหวติง… หน๊อยการ์ดแข็งนักนะมึงเนี่ย ถ้าแบบนี้มันก็ต้องใช้ไม้ตายสุดท้ายแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกูจะเล่นกลให้ดู แล้วเดี๋ยวมึงจะต้องหันมาหากูแน่ๆ”
“…”
“…กูชอบมึงนะ”
เป็นไปตามคาดร่างเล็กรีบหันหน้ากลับมาด้วยใบหน้าตกใจ พร้อมกับที่ดอกไม้ไฟดอกแรกเริ่มขึ้นไปเฉิดฉายอยู่บนท้องฟ้า แสงสาดส่องจนทำให้เห็นใบหน้าของพวกเราทั้งคู่อย่างชัดเจน
“ว้าว ตรงนี้เห็นดอกไม้ไฟชัดเจนเหมือนที่เจ๊บอยบอกเลย มึงว่าไหม”
“เรื่องดอกไม้ไฟน่ะเอาไว้ทีหลัง แต่ที่มึงพูดออกมาเมื่อกี้มันหมายความว่า…”
“กูว่ามึงก็คงคิดเหมือนกับที่กูคิดนั่นแหละ”
“…”
“ตอนแรกที่กูกลับมาเจอมึง กูก็ลังเลเหมือนกับมึงนั่นแหละ เอาแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาว่ามึงจะมองเห็นกูเป็นเพื่อนเหมือนเดิมรึเปล่า พวกเราจะสนิทกันเหมือนเดิมรึเปล่า คิดวนไปวนมาแต่พอมึงมาก็ทำให้กูดูโง่ไปเลยเพราะมึงก็ยังเป็นเพื่อนกับกูเหมือนเดิม”
ผมยังจำความรู้สึกของวันแรกที่กลับมาเจอกันได้เลย พอรู้จากข้าวฟ่างมาว่าไอ้ฟ้ามันยังอยู่แล้วมันยังจำผมได้ ในใจมันช่างเต็มไปด้วยความสุข รู้สึกตื่นเต้นรอเวลาเลิกเรียนเพราะอยากเจอกับมันทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้
“หลังจากนั้นกูก็คิดว่าเป็นเพราะความเป็นเพื่อนของพวกเรา กูถึงได้ชอบที่จะอยู่กับมึง ชอบที่จะไปไหนมาไหน ชอบที่จะคุยกับมึง เวลาเห็นมึงไปคุยกับใครกูก็มักจะอึดอัดใจ ตอนนั้นกูก็คิดไปเองว่าคงจะหวงเพื่อนล่ะมั้ง เพราะกูก็ไม่อยากจะแยกกับมึงอีก”
“…”
“แต่ว่าหลังๆ มันเริ่มที่จะรู้สึกแปลกๆ ความอึดอัดใจมันเริ่มเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แต่กูก็มักจะหายเวลาเจอรอยยิ้มของมึง พอรู้สึกตัวอีกทีสายตาของกูก็มักจะมองหามึงเองอยู่เสมอๆ พอเห็นหน้าของมึงแล้วมันก็มีความรู้สึกว่าน่ารักบ้างล่ะ อยากเก็บเอาไว้คนเดียวบ้างล่ะ พอเห็นมึงกูอยากจะเข้าไปสัมผัสเหมือนกับคนบ้าเลย”
“ก็มึงมันบ้านิ”
“ฮะฮะ จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่เพราะแบบนั้นกูถึงได้รู้ว่าสิ่งที่กูรู้สึกกับมึงมันไปไกลกว่าเพื่อนหลายขุมแล้ว ถึงกูจะเคยเตือนตัวเองให้คิดกับมึงเป็นแค่เพื่อน คอยย้ำๆอยู่อย่างนั้นจนอึดอัดใจแทบตาย อยากจะบอกๆออกไปแต่มันก็กลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่มีไปจนหมด ได้แต่เก็บมันเอาไว้ภายในใจ”
“ที…”
“แต่ว่ามันก็ไม่ไหวจริงๆนั่นแหละ ยิ่งมึงทำตัวใกล้ชิดกับกูแบบเดิม แต่ความรู้สึกของกูมันไม่เหมือนเดิม มันเหมือนกับว่าตัวเองกำลังหักหลังความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อตัวเองอยู่ จิตใจของกูมันก็ยิ่งอึดอัดใจไปมากกว่าเดิม ถึงทุกครั้งมึงก็ช่วยเข้ามาปัดเป่าจิตใจของกูแต่มันก็ทำให้ความรู้สึกของกูมันยิ่งคิดไปไกลกว่าเดิม”
ยิ่งเตือนสติตัวเองว่าความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแค่เพื่อนพอทำแบบนั้นแทนที่ว่ามันจะสบายใจมันกลับกลายเป็นความอึดอัดใจ
ทันทีที่ถูกหลบหน้ามันกลับทำให้รู้สึกเศร้าใจ แต่พอกลับมาเจอกันมันกลับรู้สึกมีความสุข
ทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันมันทำให้หัวใจเต้นรัว ถึงจะพยายามหลอกตัวเองยังไง แต่ตัวเองก็เป็นคนที่รู้ความรู้สึกของตัวเองดีที่สุด เพราะฉะนั้นแล้ว…
“ความจริงแล้วที่มึงพูดบนชิงช้าสวรรค์น่ะ กูก็รู้อยู่แล้วล่ะว่ามึงคิดยังไงกับกู แต่…กูอยากได้ยินจากปากของมึงชัดๆ อีกสักครั้ง อยากจะยืนยันว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ความฝันดีๆเท่านั้น”
“พูดซะยาวเหมือนเด็กสาวที่ตกอยู่ในห้วงตกหลุมรักแบบดึงไม่ขึ้นเลยนะมึงเนี่ย”
“ก็หลุมของมึงมันลึกนี่หว่า”
“กูชอบมึงนะ… พอใจรึยัง ให้พูดหลายๆรอบ คนพูดมันก็อายเป็นนะรู้มะ-… เหวอ!!”
ผมกระโจนเข้าไปกอดร่างเล็กอย่างสุดกำลัง จนร่างกายพวกเราผลัดตกลงไปยังพื้นน้ำเบื้องล่างข้างโขดหินจนเกิดเสียงและหยดน้ำกระจายออกมารอบๆ
“ทำไรของมึงเนี่ย มันอันตรายนะรู้ไหม”
โชคดีที่บริเวณแถวนี้เป็นทะเลตื้นทำให้พวกเราสามารถยืนกันถึง ร่างเล็กพยายามใช้มือตบที่หลังของผมเพื่อบอกให้ผมปล่อยตัวของมันออกจากพันธนาการ
“ก็กูดีใจนี่… ดีใจมากเลยด้วย”
“…กูก็เหมือนกัน …แต่มึงช่วยปล่อยคอกูก่อนได้ไหมรัดซะแน่นขนาดนี้กูหายใจไม่ออก”
“อย่าพูดทำลายบรรยากาศดิ อุตส่าห์กำลังโรแมนติก”
พูดไปอย่างนั้นแต่ผมก็ยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระ พึ่งจะใจตรงกันผมยังไม่อยากให้มันขาดอากาศหายใจตายอยู่ตรงนี้
“เรื่องนั้นมึงทำตัวเองล้วนๆ ถ้ากอดเบาๆ กูจะไม่ว่าเลย นี่มึงเล่นล๊อคคอกูซะ… แล้วอีกอย่างดูดิ มึงเล่นทำกูเปียกแฉะขนาดนี้ จะทำไงล่ะทีนี้ ไปเดินตลาดต่อก็ไม่ได้แล้วด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านพักไปอาบน้ำกันไหม ใกล้แค่นี้เอง”
“เฮ้อ ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
เอ้า ฮึ่บ… อาศัยจังหวะที่ร่างเล็กไม่ทันระวังตัวช้อนตัวร่างทั้งร่างขึ้นมาถือเอาไว้ด้วยท่าเจ้าหญิง ไอ้ฟ้าก็พยายามดิ้นแต่ก็ไม่เป็นผล
“ทะ-ทำไรเนี่ย”
“พามึงกลับไง”
“อุ้มทำไม กูเดินเองได้”
“ก็กูอยากอุ้มนี่… ไม่ได้เหรอ”
ผมพยายามพูดโดยใช้น้ำเสียงให้น่าสงสารที่สุดแล้วก็สำเร็จไอ้ฟ้ามันเริ่มจะใจอ่อนเข้าให้แล้ว
“เหอะ ตามใจมึงก็แล้วกัน มึงอยากจะทำอะไรก็ทำ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอาบน้ำด้วยกันเถอะ”
“หะ!? ใครบอกมึงว่ากูจะไปอาบกับมึง”
“อ้าวก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ากูอยากจะทำอะไรก็ทำ นี่ไงกูจะพามึงไปอาบน้ำด้วยกันไง”
“ไม่เว้ย! กูหมายถึงเรื่องอุ้ม ไอ้ทีปล่อยกูลงเว้ย! ... ไอ้ที! ... ไอ้เหี้ยที!!!”
ผมไม่สนใจเสียงโวยวายจุ๊บจิ๊บจุ๊บจิ๊บที่ข้างหู รีบวิ่งขึ้นมาจากทะเลเพื่อตรงไปยังบ้านพักโดยอุ้มเพื่อนสนิทแสนสำคัญเอาไว้ด้วยมือสองข้าง โอ๊ะไม่ใช่สิ… ต้องเป็นมากกว่านั้นแล้วล่ะสินะ

นภดล (น่านฟ้า)
สถานะ : มากกว่าเพื่อนสนิท

ศศิน (นที)
สถานะ : มากกว่าเพื่อนสนิท

หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 26 {4/2/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: Runsmile ที่ 15-04-2020 00:47:36
 :mew3:
หัวข้อ: Re: My (Boy)Friend ขอเลื่อนขั้นเพื่อนสนิทได้ไหมครับ ; ขั้นที่ 26 {4/2/2020}
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 16-04-2020 12:50:03
 :hao5: