พิมพ์หน้านี้ - Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: febusapollo ที่ 07-07-2019 23:52:06

หัวข้อ: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 07-07-2019 23:52:06
อ้างถึง
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************



▥Business Districts Project▥

 
ลองจินตนาการให้ย่านธุรกิจสำคัญๆ ของกรุงเทพมหานครกลายเป็นชายหนุ่ม
ดีกรีของแต่ละคนจะใกล้เคียงกับคำว่า “ทำเลทอง” หรือเปล่านะ



- - Lost at Sathorn : หลงมาที่สาทร - - completed
I (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3988246#msg3988246)  II (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3988358#msg3988358)  III (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3988606#msg3988606)  IV (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3988804#msg3988804)  V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3989105#msg3989105)  VI (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3989337#msg3989337)  VII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3989548#msg3989548)  VIII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3989899#msg3989899)
ตอนพิเศษ I (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg4001995#msg4001995)  ตอนพิเศษ II (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg4003990#msg4003990)

- - Thonglot My Love : ทองหล่อที่รัก - - completed
I (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3991378#msg3991378)  II (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3992185#msg3992185)  III (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3992526#msg3992526)  IV (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3993929#msg3993929)  V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3994698#msg3994698)  VI (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3995521#msg3995521)  VII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3997289#msg3997289)  VIII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg3999036#msg3999036)  IX (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg4000473#msg4000473)
ตอนพิเศษ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70647.msg4005299#msg4005299)


____________________


ผลงานเรื่องอื่น

►เรื่องยาว ◄
- - ร้ายนะครับหัวหน้า - - (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70094.0)  completed


►เรื่องสั้น ◄
That Guy  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70389.msg3977675#new)  completed  





7/7/2019
febusapollo
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn I
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 07-07-2019 23:56:43
Lost at Sathorn

หลงมาที่สาทร



กรกฎาคม 256X


เสียงเพลงที่เปิดดังอึกทึกครึกโครมไม่ได้เป็นอุปสรรคในการสนทนาระหว่างตฤณกับเพื่อนในกลุ่มเนื่องจากโต๊ะประจำที่ชอบมานั่งจะอยู่ที่ชั้นสองของร้าน ตฤณนึกขอบคุณเพื่อนทุกครั้งที่เวลาเลือกจองโต๊ะมักได้มุมดีๆ มากกว่าไปอัดกันเป็นหนอนที่ชั้นล่าง เป็นที่เข้าใจได้ว่าร้านเหล้าถนนข้าวสารยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ และเวลากรึ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตฤณก็ไม่ชอบที่จะต้องเบียดเสียดกับคนอื่นให้ถูกจับเนื้อลูบตัวโดยง่าย


“ไอ้ติน คนอื่นเขาต่อหลายแก้วแล้วทำไมของมึงไม่พ้นครึ่งแก้วสักทีวะ อย่าให้เสียของ”


“ก็นั่งเรื่อยๆ ไม่ได้หรือไงวะ ใครจะไปดกเอาๆ เหมือนมึง ไอ้โจ้”


เพื่อนที่ชื่อโจ้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนกระดกแก้วเครื่องดื่มในมือโชว์เมื่อตฤณพูดไม่ทันขาดคำ ใบหน้าชมพูระเรื่อกว่าเวลาปกติบ่งบอกว่าเพื่อนเขาเริ่มมีสัมปชัญญะน้อยลงทุกที แม้จะยังพอพูดจารู้เรื่อง


“โจ้ คนอื่นเขาก็ยั้งไว้ที่สองสามแก้วอยู่เปล่าวะ ต่อหลายแก้วน่ะมึงคนเดียว” เป็นเสียงเพื่อนอีกคนนามว่ากายที่ดูว่าเริ่มกรึ่มพอกันกับตฤณเพิ่มระดับเสียงให้ดังแข่งกับเพลงไปล้อโจ้ ส่วนคนที่พูดด้วยไม่สนใจ โยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะเพลงทั้งที่ในมือมีแก้วเหล้า


“เหมือนเก็บกดอะไรมา”


“เออ แม่ง เดี๋ยวกูต้องแบกมันกลับแน่เลยว่ะ”


ตฤณหันไปหัวร่อต่อกระซิกกับกายที่บ่นส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนยกแก้วตัวเองขึ้นจิบอีกสักอึกไม่ให้เสียน้ำใจที่เพื่อนโจ้เลือกสั่งให้เขา ส่วนคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งเขาจำชื่อไม่ได้เพราะเพิ่งพบกันครั้งแรก เป็นเพื่อนของกายอีกที ที่จริงกายแนะนำให้รู้จักแล้วก่อนเดินเข้าร้านมา เพียงแต่พอน้ำเมาเข้าสู่กระแสเลือดบ้างก็พาลทำให้หลงลืมไปชั่วขณะ


เวลานี้เข็มสั้นนาฬิกาข้อมือเดินมาหยุดอยู่กึ่งกลางระหว่างเลขสิบกับเลขสิบเอ็ด นักร้องชื่อดังที่เจ้าของร้านจ้างมาร้องเล่นดนตรีสดยังคงทำหน้าที่ได้ดีไม่มีผิดเพี้ยนสักคีย์เพลง เป็นช่วงเวลาที่โจ้เพื่อนเขากลับมานั่งสงบดื่มแบบสบายๆ ได้สักครึ่งชั่วโมงแล้ว เพื่อนในกลุ่มที่เหลือโล่งใจมากเพราะกลัวมันเต้นแรงจนไม่ระวังตกราวกั้นชั้นสองลงไปคอหักเสียก่อน เหล้าในแก้วของตฤณหมดพอดีและเขาไม่คิดสั่งต่อ ที่มานั่งตรงนี้ได้เพราะเพื่อนลากมาล้วนๆ ไม่ได้อยากมาเอง ไอ้จะไม่มาเลยก็กลัวจะเสียเพื่อนฝูงไปเลยต้องแวะเวียนมาตามนัดเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ตัวเขาเองอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัย ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเลยไม่มีใครคอยเป็นห่วงมากนัก


ในร้านที่กำลังนั่งอยู่ถือว่ามีชื่อเสียงในย่านตรอกข้าวสารแห่งนี้ กำแพงทั้งร้านเป็นแบบอิฐสีส้มอิฐประดับด้วยกรอบรูปอยู่ทั่วไป ฝ้าขื่อที่ควรจะเป็นสี่เหลี่ยมธรรมดากลายเป็นอิฐก่อกันโค้งแบบครึ่งวงกลม ชุดโต๊ะเก้าอี้ในร้านเป็นไม้บ้าง ถังเบียร์ขนาดใหญ่บ้าง มีกระดูกหัวสัตว์ประดับประปรายและด้านในสุดเป็นเวทีสำหรับเล่นดนตรีสด แสงไฟสีส้มจากโคมห้อยสไตล์โมเดิร์นยิ่งขับให้ทั่วทั้งร้านดูมีประกายเร่าร้อนล่อตาล่อใจนักท่องราตรีเป็นที่สุด แต่ไม่ใช่กับตฤณ


ถ้าเป็นปกติตอนนี้ตฤณคงนั่งทำงานที่อาจารย์สั่งหรือไม่ก็อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนภายใต้หลอดไปสีขาวถนอมสายตาอยู่ที่โต๊ะในหอ ชีวิตนักศึกษาปีที่สามหนักกว่าสองปีแรกพอสมควร ดังนั้นจะปล่อยให้ดรอปลงไม่ได้ วันนี้เป็นเพียงการมาแวะเวียนแบบนานๆ ครั้ง


แต่อาจเป็นนานๆ ครั้งที่ดีกว่าทุกครั้ง เมื่อไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนตฤณสอดส่ายสายตาพร่ามัวไปทั่วทั้งชั้นล่างที่มีกลุ่มคนกำลังนั่งฟังนักร้องละลานตาไปหมด สะบัดศีรษะไล่อาการมึนแล้วเจอกับสายตาคู่หนึ่งที่โต๊ะห่างออกไปไม่ไกลจากกลุ่มของตัวเองที่ชั้นเดียวกัน


ตึกตัก


ตฤณกระพริบตาสามครั้งเพราะทั้งกลิ่นบุหรี่จางๆ กลิ่นเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบรวมทั้งแสงไฟสีส้มจัดกำลังทำร้ายดวงตาเขาจนแห้งเหนียว ดวงตาที่บังเอิญหันไปมองคงเป็นเพียงช่วงจังหวะสั้นๆ


“ติน ไอ้ติน”


“หืม อะไร” เพื่อนที่นั่งข้างกันสะกิดยุกยิกที่ไหล่ พอเขาขานรับในคอแต่ไม่หันไปมอง จากการสะกิดเปลี่ยนเป็นการชนไหล่แรงขึ้น


“ไอ้ตินมึง”


“อะไรของมึงไอ้กาย จะชนให้ตกระเบียงเลยหรือไง”


“โต๊ะนั้นเขามองมึงอ่ะ” กายทำเสียงเล็กเสียงน้อย “เห็นมองสักพักแล้ว ไม่ส่งยิ้มกลับให้เขาล่ะ เสียมารยาทจริง”


สิ้นเสียงเพื่อนเพียงเท่านั้นตฤณเงยหน้ามองอีกครั้งก็พบสายตาคู่ดังกล่าว หากไม่ใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์คงเป็นเรื่องจริงที่ตฤณเห็นว่าใครคนนั้นมีหน้าตาจัดอยู่ในระดับดี อาจไม่เท่ากายเพื่อนเขาที่เคยได้ตำแหน่งเดือนคณะเมื่อสองปีก่อนแต่มีแรงดึงดูดไม่น้อย อีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียวมองตรงมาทางนี้ สังเกตเพิ่มขึ้นอีกหน่อยตฤณเห็นการแต่งตัวที่ใส่เสื้อเชิร์ทกับกางเกงทำงาน คลายปมไทด์สีเข้มบนคอจนหลวม เดาว่าคงเป็นมนุษย์เงินเดือนจากบริษัทสักแห่งที่โตกว่าเขามานั่งดื่มคลายเครียด


ใครคนนั้นระบายยิ้มบางแล้วยกแก้วในมือจรดริมฝีปาก ตฤณส่งยิ้มกลับ คิดว่าเป็นรอยยิ้มที่ดูเมาที่สุดเท่าที่จะส่งให้คนอื่น


“ยังไงครับเพื่อนกู ถ้าไม่สนกูเสียบ”


“เสียบที่หน้ามึงสิไอ้กาย ด้วยมีดจากแฟนมึงแหละ” ตฤณท้วง อีกคนส่งเสียงหัวเราะชอบใจที่แหย่เขาสำเร็จ กายไม่ทำอย่างนั้นเขารู้ดี เนื่องจากตกลงปลงใจคบกับดาวประจำเอกที่เรียนด้วยกันได้ปีกว่าแล้ว และใครคนนั้นก็น่ารักมากเสียจนตฤณเองยังเคอะเขินบ่อยครั้งเวลาพบหน้ากัน


“เขาดูสนใจมึงนะ ไม่เข้าไปคุยด้วยหน่อยเหรอ”


“อืม...” ตฤณลากเสียงในคอพลางขบคิดความน่าจะเป็นอย่างคร่าวๆ เท่าที่สมองมึนๆ จะทำได้ “ไม่ดีกว่า ห้าทุ่มแล้ว กูกลับล่ะ”


“อ้าว แบบนี้ก็ได้เหรอวะเพื่อน รีบกลับตลอดเลยมึง เด็กอนามัย”


“กูง่วงแล้ว หอก็อยู่ไกลกว่าพวกมึง ผมไม่ใช่ชาวข้าวสารนะครับอย่าลืม” ตฤณหัวเราะแล้วสำรวจกระเป๋าสตางค์กับมือถือว่ายังอยู่ดี ควักเงินตามราคาเครื่องดื่มที่อยู่ในท้องยัดใส่มือเพื่อน “ฝากจ่ายด้วย ไปละ พาโจ้กลับดีๆ”


“เออๆ มึงแม่ง ทิ้งเพื่อนไม่ว่า ทิ้งของดีไปอีก” กายบ่นอุบอิบเสียดายแทนให้ได้ยิน แต่ตฤณไม่สนใจ “ให้ไปส่งไหม”


“ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่”


พอย้ายร่างลงมาที่ชั้นล่างตฤณมองหาห้องน้ำเป็นสถานที่แรกก่อนประตูทางออก ของเหลวรสเฝื่อนเล่นงานเขาแล้วด้วยอาการเสียวหน่วงตรงท้องน้อย ตอนนั่งไม่รู้สึกอะไรแต่พอลุกขึ้นมันดันจู่โจมเข้ามา จะกลั้นไว้ไปเข้าที่หอซึ่งต้องรอเวลาออกไปอีกหลายสิบนาทีคงไม่ทัน ตฤณฝ่าคนกลุ่มหนึ่งเพื่อไปหาพนักงานสักคนของร้าน แล้วก็ได้คำตอบกลับมา กล่าวคำขอบคุณตามมารยาทพลางออกเดินไปตามทางแคบๆ ด้านหลังที่มีไฟสลัว ฟันขาวกัดลงที่แนวริมฝีปากล่างเมื่อน้ำที่ปากท่อเริ่มไหลมารวมกันมากกว่าเก่า อึดใจเดียวเขาก็เห็นประตูแห่งสวรรค์ของคนมีทุกข์ ตฤณปลดซิปกางเกงตั้งแต่สองเมตรก่อนถึงห้องน้ำด้วยซ้ำ พอถึงหน้าโถเขื่อนน้ำเสียก็พังครืนลง อาการปวดหนึบหายเป็นปลิดทิ้งเหลือไว้เพียงอาการตัวเบาโล่งสบาย


การล้างมือหลังทำธุระในห้องน้ำเป็นการรักษาสุขอนามัยที่ตฤณไม่เคยลืมทำ พอสัมผัสน้ำจากก๊อกเลยถือโอกาสวักน้ำล้างใบหน้าให้สร่างอาการมึน น้ำเย็นสดชื่นสาดเข้ามาได้สองครั้งตฤณได้ยินเสียงว่ามีลูกค้าของร้านเปิดประตูเข้ามาใหม่ เขาไม่ได้ใส่ใจมากนักแม้จะชอบบรรยากาศตอนอยู่คนเดียวเมื่อครู่มากกว่า


ตฤณหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำที่ปลายคาง เห็นชัดเต็มสองตาว่าร่างโปร่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานั้นดูคุ้นมากเหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน


อ่อ สบตากันเมื่อสิบนาทีที่แล้วที่ชั้นสอง


พออยู่ใกล้กันในระยะที่มองเห็นรายละเอียดได้มากขึ้น บวกกับการที่ไม่มึนเท่าก่อนหน้านี้ ตฤณได้สบดวงตาคู่นั้นเต็มที่ภายใต้กรอบแว่นทรงกลมขนาดใหญ่แบบสมัยนิยม รูปกรามพอดีกรอบหน้า ดวงตาทั้งสองกลมเรียว โดยรวมแล้วดูเรียบง่ายทว่าเป็นผู้ชายรสนิยมคลาสสิคแบบที่หลายคนชอบ แม้เสื้อทำงานหลุดลุ่ยออกจากขอบกางเกงเหมือนไทด์ที่หลวมจนไม่เป็นทรงของการแต่งกายไปทำงาน ทรงผมสั้นหยักศกเล็กน้อยสีดำขลับเริ่มหลุดทรงจากเวอร์ชั่นก่อนหน้าของมันเท่าที่ตฤณพอจะนึกภาพออก แต่ตฤณยังมองว่าคนตรงหน้าดูสะอาดสะอ้าน อย่างน้อยก็สะอาดสำหรับคนที่เลิกงานมานั่งในสถานที่อโคจรแบบนี้


“ขอโทษนะครับ ขอล้างมือได้ไหม”


“อะ...เอ่อ ได้ครับ โทษทีครับ” นักศึกษาชั้นปีที่สามในชุดไปรเวทก้มหัวขอโทษขอโพยที่ไปยืนขวางอ่างล้างมืออ่างเดียวของห้องน้ำแล้วขยับออกมา ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำที่แก้มแก้เก้อ


ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อ ไอร้อนกรุ่นจากร่างกายอีกคนเข้าปะทะกับร่างกายข้างหนึ่ง ตฤณเอนหลังหลบฉากไปเล็กน้อยทั้งที่ร่างกายส่วนล่างนิ่งไม่ไหวติง คนหน้าตาดีคนนั้นเอื้อมตัวมาดึงกระดาษเช็ดมือที่เครื่องด้านข้างเขาแบบไม่ทันตั้งตัว พอขยับออกไปกลับเหลือไว้เพียงกลิ่นอ่อนจางสักกลิ่นที่ตฤณนึกพึงใจ น่าจะเป็นน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือน้ำยาอัดกลีบรีดเสื้อทำงานที่มีอานุภาพแรงอยู่ได้ทั้งวันจนเวลานี้ยังไม่จางไป นอกจากกลิ่นแล้วตฤณยังเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มมุมปากด้วย


“จะกลับแล้วเหรอครับ”


“ครับ คือ...เพื่อนลากมานั่งด้วยเฉยๆ ปกติผมมาไม่บ่อย”


ตฤณหัวเราะเสียงแห้งพอเป็นพิธี อีกฝ่ายก็เช่นกัน น่าแปลกที่เปล่งเสียงในลำคอแต่เขาได้ยินว่ามันใสชัดเจนดังเข้ามาในโสตประสาต เสียงหัวเราะเพราะเหมือนเสียงพูดเลยนะครับคุณคนแปลกหน้า


“เพื่อนก็แบบนี้แหละ ผมเองนานๆ มาทีเหมือนกัน” ดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายวาววับมองมา ทว่าไม่น่ากลัวแบบจ้องเคลมเขาหรือทอดสะพานเรี่ยราดแบบที่เคยเจอ “ขอโทษนะครับ แต่ถามได้ไหมว่ามีแฟนหรือยัง คือเมื่อกี้เห็นมองมาทางผม แอบหวังนิดหน่อยว่าเราจะมีอะไรๆ ที่...คล้ายกัน”


“โสดครับ”


ตฤณได้ยินเสียงตัวเองแบบนั้น จำไม่ได้เหมือนกันว่าสมองสั่งให้ออกเสียงแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้ตัวตอนที่ใบหน้าหล่อของคนที่มีร่างกายขนาดพอกันมีรอยยิ้มเปื้อนเป็นรอยใหญ่ เขาขยับแว่นสายตาเหมือนทำตัวไม่ถูก คนพูดตอบก็เงอะงะไม่ต่างกัน


ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แค่ปล่อยไหลลื่นไปตามน้ำ


“อ่า ครับ ขอบคุณครับ แต่เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าไม่รู้...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเขิน คนฟังเชื่ออย่างนั้น “คือผมหมายถึงถ้าเราต่างคนต่างมาไม่บ่อยอย่างที่คุณบอก แต่บอกกันตามตรงว่าคุณต้องตาผมน่ะ”


“ผม...” ตฤณเม้มปาก รู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในวังวนบางอย่างที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นเงียบๆ “ตอนแรกผมเบลอๆ เลยคิดว่าตาฝาดน่ะครับ”


ตฤณแบ่งรับแบ่งสู้ พอจะเข้าใจอยู่ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ถึงเขาจะเป็นคนที่ไม่ได้คิดมาก ประกอบกับคนตรงหน้านั้นน่าประทับใจไม่น้อย นานครั้งจะพบเจอคนแบบนี้ แต่ตฤณคิดว่าควรรักษาระยะห่างไว้สักหน่อย เวลาสบตาเพียงสิบนาทีไม่มีสิ่งใดรับประกันให้เขาได้เลย


“มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ผมจะเจอคุณอีก”


“ถ้าหลังสอบกลางภาคแล้วเพื่อนสามารถลากตัวผมมาได้สำเร็จ” คนตอบไหวไหล่ คนฟังมีสีหน้าประหลาดใจ “เอาจริงผมไม่ได้ชอบมานั่งหรอก”


“เราไปคุยข้างนอกกันไหมครับ” เขาเสนอ ตฤณตอบไปว่ากำลังจะกลับแล้ว คนที่ไม่รู้จักชื่อพยักหน้าเห็นด้วยว่าจะกลับแล้วเช่นกัน สุดท้ายจึงพากันฝ่าฝูงทะเลมนุษย์ออกมายืนหน้าร้านได้สำเร็จตอนห้าทุ่มสิบนาที ออกเดินไปเรื่อย หลีกหนีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านมาเดินกันตรงบริเวณที่คนน้อย


เมื่อคนน้อยลง ความรู้สึกบางอย่างกลับก่อตัวมากขึ้น ตฤณไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อบอวลไปหมด


“เรียนที่...เหรอครับ”


“เปล่าครับ เรียนที่...อยู่ใกล้กัน” ตฤณตอบคำถามตอนที่เดินทอดน่องตากลมออกจากบาร์เมื่อครู่ นึกสงสัยเหมือนกันว่าอีกคนกลับทางเดียวกันหรือเปล่าถึงได้เดินตามออกมาด้วย หอของเขาไม่ได้อยู่แถวนี้ ต้องนั่งรถเมล์หรือแท็กซี่กลับ “จะกลับหอกับผมด้วยเหรอครับ ฮ่าๆ”


“ก็ถ้าคุณโอเคกับวันไนท์สแตนด์” เขาตอบทีเล่นทีจริงจนคนถามเหวอไปเล็กน้อย “ผมล้อเล่น ยี่สิบหรือยังน่ะเรา”


ตฤณสังเกตว่าอีกคนใช้สรรพนามเปลี่ยนไป แสดงว่าคนแปลกหน้าคนนี้รับรู้อายุได้จากการพูดไปเรื่อยของเขา “ยี่สิบแล้วสิครับ ก็เพิ่งเดินออกมาจากร้านเหล้าด้วยกัน”


“เออ จริงด้วย สงสัยกรึ่มมากไปหน่อย”


คนอายุมากกว่าเสยเส้นผมไปด้านบนท้าลมที่พัดผ่านไปเล็กน้อย ดันแว่นขึ้นจากสันจมูกให้เข้าไปที่รูปดั้งอย่างเดิม ตฤณมองอย่างเพลินตาจนถูกจับได้รีบหันกลับมามองทางตรงอย่างเดิม หลบฝรั่งสองคนที่เดินผ่านไปด้านหลัง ไฟตามร้านค้าและผับบาร์ละลานตาไปหมด


“สรุปว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม”


“เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วเองนะครับ”


“ผมไม่ชำนาญเรื่องการหว่านล้อมด้วยคำพูดสวยหรู” เขาหัวเราะ ตฤณว่าแอลกอฮอล์คงยังไม่หมดไปจากเลือดในกายง่ายๆ จึงได้ยินว่ามันน่าฟัง “แต่ถ้าคุณไม่สะดวกไม่เป็นไร ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ...”


“ตฤณครับ” ตฤณเผลอตอบไปก่อนสมองใคร่ครวญอีกแล้ว


วินครับ ชื่อเราคล้องกันด้วยเนอะ”


“อ่า...”


ช่วงเวลาแห่งการบอกลามาถึง การได้รู้ชื่อในวินาทีสุดท้ายนั้นทำเอาความรู้สึกเสียดายกระแทกใจตฤณอย่างแรง กลิ่นอบอวลของบางอย่างหายไปในอากาศ ถ้าไอ้กายอยู่ข้างเขาตอนนี้มันต้องตะโกนกรอกหูว่าเขาโง่เง่าแน่ๆ ที่ทำตัวแบบนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ ความสัมพันธ์จากร้านเหล้าไม่ใช่เรื่องน่ายินดี มันไม่ยั่งยืน และตัวเขาก็ไม่พร้อมกับความไม่มั่นคงแบบนี้ด้วย


สบตาสุดท้ายก่อนแยกทาง คุณวินยังคงดูสะอาดสะอ้านแบบชายหนุ่มนิสัยเรียบร้อยอย่างที่คำพูดแสดงออกมา แววตาในดวงตาสองชั้นทอประกายเหมือนตอนมองเขาในร้าน มันไม่รุนแรงแต่ยังคงทำให้รู้สึกวาบหวามได้ แรงกระตุ้นในกายที่รู้สึกไม่บ่อยนักกำลังตื่นตัว มันขับดันต่อต้านกับสำนึกในหัวของตฤณ และฤทธิ์จากน้ำเมาหนึ่งแก้วก็มีมากพอจะสนับสนุนให้แรงนั้นชนะ ตฤณคว้าเอาข้อมือของคนข้างกายที่กำลังจะเรียกรถแท็กซี่เอาไว้ แรงดึงดูดมหาศาลก่อตัวขึ้น ฉับพลันทุกอย่างของคนตรงหน้าเกิดดูล่อตาล่อใจน่าลิ้มลองขึ้นมา ตฤณรวบกอดเอวของคุณวินเข้ามาแล้วประทับริมฝีปากลงไปทันที

__________

talk  :a11:
เรื่องเก่ายังลงไม่หมดมาเปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว 55555

เรื่องนี้มีที่มาจากการที่เราบังเอิญเห็นคุณคนหนึ่งในทวิตเตอร์เขาทวีตลอยๆ
ทีแรกเราเข้าใจว่าเขาหมายถึงสัตว์เลี้ยง แบบว่าถ้ามันเป็นคนขึ้นมาคงจะ...อะไรอย่างนั้น(ด้วยความที่เมื่อก่อนมีเพจสัตว์ดังๆ ex:แมวอโศก) แต่เราไม่ใช่คนสนใจเพจสัตว์เลยไม่รู้จัก ก็เลยปิ๊งไอเดียนิยายขึ้นมาตีความไปอีกแบบว่าชื่อมันเหมือนสถานที่ทำธุรกิจ แต่ละย่านชื่อดัง ถ้ามันเป็นคนคงต้องมีลักษณะประมาณนี้ๆๆ เป็นผู้ชายแต่ละไทป์ตามลักษณะหลายอย่างแต่ละที่
กลายเป็นว่าพอกลับไปอ่านอีกที คุณคนนั้นหมายถึงชื่อสถานที่แบบที่เราคิดเองก็คือถ้าสถานที่นั้นเป็นคนจริงๆ ไม่มีหมาแมว  :z3:
เรากำลังหาจุดเชื่อมอะไรบางอย่างของแต่ละเรื่อง ดังนั้นตอนหนึ่งๆอาจไม่ยาว ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ อาจจะไม่ได้ลงบ่อยทุกอาทิตย์ แต่จะพยายาม เอื้อออ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn II [8/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 08-07-2019 14:10:10
Lost at Sathorn II
หลงมาที่สาทร



กว่าตฤณจะนึกโทษตัวเองที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง คุณวินก็มีปฏิกิริยาตอบโต้จูบนั้นเสียก่อนแล้ว กลับกลายเป็นว่าคนเริ่มเผลอปล่อยมือที่คว้าข้อมือนั้น ผลตอบแทนคือคุณวินใช้มือทั้งสองประคองกึ่งบังคับใบหน้าของตฤณให้ปรับองศาได้ถนัดถนี่ มือเขาคงใหญ่มากพอจึงจับใบหน้าเอาไว้ได้อยู่หมัด นิ้วบางนิ้วแนบอยู่กับหลังคอของเขาแล้วลูบแผ่วเบา ริมฝีปากนุ่มขยับบดเบียดแนบชิดเชื่องช้า ตฤณลอยตามน้ำไปแบบว่าง่าย ทิ้งท้ายด้วยการถูกขบเม้มหนักๆที่ริมฝีปากล่าง รู้ตัวอีกทีตฤณเห็นตัวเองกำชายเสื้อคุณวินเอาไว้แน่นจึงรีบผละออก


คุณวินลืมตาอ้อยอิ่งราวกับกำลังดื่มด่ำช่วงเวลานั้นให้นานที่สุด วินาทีอันตรายคือเมื่อยามลูกแก้วสีนิลสองลูกนั้นทอดมองกลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมกับที่เจ้าของใบหน้าเลียริมฝีปาก คุณวินดูเหมือนคนที่เพิ่งดื่มเครื่องดื่มที่ตัวเองกระหายจัดจนอิ่มเอม ส่วนตฤณพยายามรับมืออาการแสบคันที่ปากด้วยการดุนปลายลิ้นหลายครั้ง แต่มันไม่ช่วยอะไรสักนิด


“คะ...คือผม...”


“ครับ เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว” เสียงทุ้มใสล้อเลียนคำพูดก่อนหน้านี้ “โอเค ตอนนี้ผมลืมแล้วว่าคอนโดตัวเองอยู่ไหน คุณนี่นะ”


“คุณวินผมขอโทษ ขอโทษจริงๆครับ รอตรงนี้ก่อนเดี๋ยวผมเรียกรถให้”


คุณวินหัวเราะเขาแล้วโบกมือปฏิเสธ รอยยิ้มเอ็นดูปนขำขันทำให้ตฤณพึงระลึกว่าตัวเขากำลังเป็นเหมือนกระต่ายตื่นตูมอยู่หรือเปล่า ก็น่าตื่นอยู่หรอกเมื่อคิดถึงว่าไม่เคยสักครั้งที่ตฤณเมาแล้วเผลอไผลไปจูบใครเข้า โดยเฉพาะคนไม่รู้จัก


“คราวนี้ปฏิเสธยากแล้วนะว่าไม่อยากพบกันอีก”


“อ่า...ครับ รู้สึกเสียดายนิดหน่อย”


“อย่างนั้น...ห้องผมหรือห้องคุณ?”


“อะไร...นะครับ?” ตฤณเริ่มคิดตามไม่ทัน สงสัยเหลือเกินว่าทำไมเหล้าร้านนี้เพียงแก้วเดียวถึงมีฤทธิ์รุนแรงส่งผลกับสมองหลายอย่างจนขาดสติ ได้ยินอะไรห้องผมห้องคุณตฤณไม่เข้าใจ


“หมายถึงถ้าคืนนี้เราไปด้วยกันคุณจะว่ายังไง โอเคหรือเปล่า”


“ไปต่อที่ไหนนะครับ ห้อง...อ๋อ...อ๋อหมายถึง...” คนพูดตะกุกตะกักพยายามบีบท้ายทอยจากที่ตึงให้ผ่อนลงแล้วตบหนักๆสองสามครั้ง คุณวินยังไม่คลายรอยยิ้มเอ็นดูลงเลยสักวินาที


ไปต่อที่ห้องคือวันไนท์สแตนด์ แค่นี้ก็ไม่รู้เรื่องนะไอ้ติน


“คงจะเร็วเกินไป ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันครั้งหน้าก็ได้ครับ”


ตฤณไม่รู้ว่าคุณวินเป็นพ่อมดจอมเวทย์อะไรหรือเปล่า เวลาจะบอกลากันเหมือนเขาคนนั้นร่ายเวทมนตร์ผ่านทางคำพูดที่ทำให้เขารู้สึกถูกสะกดทุกครั้งไป ดวงตาที่เป็นดั่งมิติลี้ลับภายใต้กระจกใสชวนให้ค้นหานั้นหลอกล่อให้ติดกับจนหาทางออกไม่เจอ และนักศึกษาธรรมดาอย่างตฤณติดอยู่ในมิตินั้นทุกครั้งเมื่อสบตา


“ห้องผมรก”


ยังไม่ทันที่จะได้ตอบ รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองแล่นเข้ามาจอดตามสัญญาณมือที่คนข้างกายโบกเรียก คุณวินจับข้อมือของเขาฉุดให้ขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังด้วยกัน


“ผมพักอยู่กลางเมือง ตอนนี้รถยังเยอะอยู่ ไปห้องคุณดีแล้วครับ” คุณวินเบาเสียงเป็นการกระซิบที่ข้างหู ตฤณเกร็งรับลมหายใจอุ่นที่รดเข้ามาเล็กน้อยแล้วบอกทางแก่คนขับแท็กซี่


คนอายุน้อยกว่าไม่กล้าสบตาคนที่นั่งอยู่ข้างกันที่นั่งเงียบ ตฤณรู้แต่ว่าตัวเองนั่งเกร็งมาตลอดสิบห้านาทีบนรถ หากหันไปหามิติลี้ลับคู่นั้นอีกคงมีเหงื่อซึมกันบ้าง พยายามคิดทบทวนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ตฤณพยายามแล้ว แต่ทำไมทุกสิ่งในหัวถึงดำมืดเหมือนทีวีถูกชักปลั๊กไฟให้ดับ




คุณวินต้องเป็นพ่อมดที่สามารถบิดเบือนมิติและเวลาได้จริงๆแน่ ตฤณไม่รู้เลยว่าตั้งแต่ก้าวขาขึ้นรถมาจนถึงตอนนี้ที่ยืนแตะคีย์การ์ดห้องด้วยอาการมือสั่น มันผ่านมาได้อย่างไร สบตากับคนที่เดินตามมาด้วยกันได้รับเพียงรอยยิ้มธรรมดา


ตอนอยู่ที่ร้านแค่มองแล้วส่งยิ้มให้ ไปๆมาๆทำไมมาจบลงที่ห้องเขา


“พรุ่งนี้คุณมีเรียนหรือเปล่า”


“มีตอนบ่ายครับ”


“ดีแล้ว ถ้าไปทางแถบโน้นเกรงว่าจะมาไม่ทัน รถมันติดมาก อีกอย่างผมไม่มีชุดนักศึกษาให้คุณเปลี่ยน”


“ไม่ต้องใส่ก็ได้ครับ ใส่เฉพาะเวลามีสอบ”


เจ้าของห้องมองดูคนมาใหม่ที่มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อพูดถึงการแต่งกายเวลาไปเรียน แต่ขณะเดียวกันก็ทำตัวตามสบาย นั่งลงที่โซฟากลางห้องพร้อมปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนเหมือนเคยมาที่นี่สักสิบครั้งได้


ว่าแต่ไอ้วันไนท์สแตนด์เนี่ยเวลาพามาที่ห้องแล้วเขาต้องทำอย่างไรกันต่อ


“คุณวิน...ทำงานที่ไหนเหรอครับ” ตฤณถามแบบกล้าๆกลัวๆตอนหยิบน้ำมาเสิร์ฟแขก ก่อนนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว


“ผมอยู่แถวสาทร กลางเมืองโน่น”


“มาไกลถึงตรงนี้แล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานทันเหรอครับ”


ตฤณหมายความตามที่พูด ถ้าอยู่ย่านคนเมืองขนาดนั้นเวลาเข้างานตอนเช้ารถจะติดแหลกลาญ จากตรงนี้ไปคงต้องนั่งรถหลายต่อมากๆกว่าจะไปถึง คุณวินจะต้องกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาทำงานไม่ทันเวลาอย่างแน่นอน


“ผมหยุดงานสักวันบริษัทก็เดินหน้าต่อไปได้ครับ”


จริงของเขา พอคิดตามแล้วตฤณแอบก้มหน้ายิ้มอายที่ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง


“นี่ก็จะเข้าสู่วันใหม่แล้วนะ ดอกเบี้ยเดินทุกวินาทีรู้ไหมคุณตฤณ”


ภาษาของเขาเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหรือตฤณคิดไม่ทันจนฟังผิดก็ไม่ทราบ เมื่อกี้เริ่มจูบเองก่อนแท้ๆ ตอนนี้กลับต้องมานั่งขบกรามเกร็งตัวเขินอายที่จะทำอะไรอย่างนั้น


เงยหน้าขึ้นอีกทีเห็นคุณวินมองอยู่ก่อน ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว


“อ่า อาบน้ำก่อนไหมครับ หรือว่าจะ...”


“ที่จริงเดี๋ยวก็ต้องอาบอีกรอบอยู่ดี ถ้าคุณไม่เคร่งครัดอะไรขนาดนั้นผมอยู่ตรงนี้เลยได้ โซฟา ระเบียง เตียงนอนได้หมด แต่ถ้ารักษาความสะอาดเป็นสำคัญ ผมยินดีไปอาบก่อนครับ”


อยู่ตรงนี้คงหมายถึงทำกันตรงนี้ที่โซฟารับแขก เขาพูดลื่นไหลไม่มีสะดุดลังเล ทำไมคนที่ดูสบายๆและเรียบร้อยอย่างคุณวินถึงได้พูดให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นเรื่องง่ายไปหมดทุกอย่าง ตฤณว่าใครคนนี้อาจไม่ได้มีแค่ที่ตาเห็น


“ผมไม่ซีเรียสเหมือนกัน ห้องนอนอยู่ด้านโน้นครับ”


ตฤณเดินนำคนมาใหม่เข้ามาในส่วนของห้องนอน กำลังจะหันมาถามว่าเตียงนอนเล็กไปหรือเปล่าสำหรับผู้ชายร่างกายขนาดเท่ากันสองคน คุณวินจู่โจมเข้ามาก่อนแบบไม่ให้ทันตั้งตัวใดๆทั้งสิ้นจนตฤณลงไปนอนหงายรับน้ำหนักอยู่บนเตียงตัวเอง รสจูบเร่าร้อนกว่าตอนอยู่ที่ตรอกข้าวสาร ทั้งรุกไล่และตั้งรับการตอบกลับของตฤณอย่างไม่ยอมกัน ตฤณละเลียดปลายลิ้นจนอีกคนยอมเผยอปากให้เข้าไปตักตวงสิ่งที่ต้องการ คุณวินเองดูจะพึงพอใจไม่น้อยถึงได้งับดึงกินปากเขาไม่หยุดหย่อน


ทีอย่างนี้ล่ะรู้สึกได้ว่าเวลากำลังเดินเป็นวินาที คุณวินต้องจงใจปรับเวลาให้ช้าลงแน่ๆ


ตฤณผงกหัวขึ้นดึงรั้งเสื้อยืดตัวเองออกครั้งเดียวหลุดแล้วโยนไปมั่วซั่ว คุณวินที่นั่งคร่อมอยู่บนเอวของเขาถอดแว่นดึงเนกไทด์โยนตามไปแล้วเริ่มปลดกระดุมเสื้อทำงานออก เสียงน่าฟังของคุณวินที่ตฤณคิดมาตลอดยามนี้เปลี่ยนเป็นหอบหายใจตามแรงอารมณ์ หัวเราะเบาๆด้วยเสียงติดแหบเซ็กซี่ทั้งรอยยิ้มมุมปากแล้วโถมกายเข้ามาใหม่ บดขยี้จูบอีกครั้งและอีกครั้ง


เหมือนคุณวินตั้งใจเพ่งสมาธิกับกระดุมเสื้อ จึงไม่ทันระวังตอนที่ตฤณพลิกร่างกลับขึ้นมา สาบเสื้อสองข้างแหวกออกตามแรงเหวี่ยง เส้นผมหยักศกนิดๆของคนอายุมากกว่าคลี่ลงแนบกับเตียง ตฤณไล่สายตาพิจารณาตั้งแต่ตีนผมที่เปิดหน้าผากละเรื่อยมายังตา จมูก ริมฝีปากสีสด ลำคอ กระดูกไหปลาร้า และแผ่นอกที่ขยับขึ้นลง


คุณวินเป็นคนธรรมดาที่ซ่อนรูป และรูปโฉมภายในนั้นทำเอาหัวใจตฤณเต้นเร่าดังเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน


คนเมาเละเทะแล้วปล้ำคนอื่นน่ะไม่มีอยู่จริงหรอก เมามากส่วนใหญ่หมดสติฟุบหลับกันทั้งนั้น หากมานั่งวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่ทำให้ขาดสติยับยั้งชั่งใจจริงๆตฤณว่าแค่แก้วสองแก้วคงมากพอให้เกิดความสัมพันธ์แบบนี้


“เดี๋ยวก่อน หยุดก่อนครับ”


คุณวินทักขึ้นตอนที่กางเกงของเราสองคนหลุดไปกองด้านล่างเตียงจนเหลือแค่ชั้นในคนละตัว ตฤณหยุดชะงักยังไม่ทันได้ถอดชิ้นน้อยสีขาวของคนตรงหน้าออกทั้งที่หลุดมาเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“คุณเป็นรุกเหรอ”


คราวนี้ตฤณขมวดคิ้ว จากที่นั่งเกยทับกันเปลี่ยนเป็นลงมาสัมผัสที่นอนเต็มก้น ประจันหน้ากับคนถามในท่าที่ต่างคนต่างเหยียดขามาข้างหน้าพาดกันและกันอยู่


“ครับ”


“เป็นเรื่องแล้วสิ” คุณวินหัวเราะ ก้มหน้าลงใช้หลังมือบังปากพอเป็นพิธี คนอายุน้อยกว่าเห็นกิริยาที่บ่ากว้างนั้นสั่นน้อยๆแล้วอดสงสัยไม่ได้ “ผมก็รุก”


“อ้าว...หมายความว่ายังไงครับ”


“ก็หมายความว่าผมทิ่มคนอื่นไง” แววตาที่เล็กลงกว่าตอนไม่ใส่แว่นหรี่จ้องมา ตฤณขนอ่อนลุกชันหลังได้ยินประโยคนั้น


“ผมไม่เคยต้องรับให้ใครเหมือนกันนะ”


นักศึกษาหนุ่มท้วงบ้าง อารมณ์ราคะลดวูบลงไปกว่าตอนแรก ตฤณเห็นคุณวินหลุบตาต่ำครุ่นคิดบางอย่าง หากได้ยินว่า ถ้าอย่างนั้นมารับให้ผมได้ไหม จากปากเขา ตฤณคงยอมจบเรื่องแล้วแยกไปใช้มือแก้ปัญหา ทว่าก็ไม่ได้ยินอะไรแบบที่คิด คุณวินถอนหายใจแล้วสบตาเขา


“ไม่ต้องสอดใส่ก็ได้ครับ ใช้แค่มือ โอเคไหม”


“...ครับ คุณวิน”


ปัญหาจบลงง่ายดายเพียงเท่านั้น คุณวินหยัดกายขึ้นสูงผลักเขาให้นอนราบลงพิงหมอนที่หัวเตียง ก้าวเข้ามาจนร่างกายชิดกันเพื่อประกบริมฝีปากเริ่มต้นกันใหม่ แต่คราวนี้มือใหญ่ๆที่ตฤณกะเกณฑ์ขนาดเอาเองในใจเริ่มทำงานของมันอย่างรู้หน้าที่ สัมผัสอุ่นลูบไล้ตามแนวความยาวเชื่องช้า แล้วถึงปรับจังหวะให้เร่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ วิธีการปรนนิบัติของคุณวินไม่ได้มีลีลาอะไรมาก เป็นเพียงการช่วยแบบทั่วๆไป แต่รู้ใจดีเหลือเกินว่าตรงไหนควรเน้นตรงไหนควรผ่อนหรือตรงไหนควรใส่ใจเป็นพิเศษ ตฤณครางในลำคอเมื่อแรงขับที่เกิดจากฝีไม้ลายมือคนตรงหน้าก่อตัวรวมกันเป็นมวลก้อนใหญ่ขึ้น เจ้าของห้องหลับตาพริ้มเอื้อมมือปะป่ายไปบนตัวคนอายุมากกว่าแล้วบีบคลึงบั้นเอว สมองตื้อตันจากน้ำเมาเห็นเป็นภาพสีขาวจางๆไม่มีเรื่องอื่นเจอปน


คุณวินเปลี่ยนเป้าหมายลงมายังซอกคอ ใช้ฟันครูดที่ไหปลาร้าสวยโดยไม่ฝากฝังรอยใดๆ สลับเปลี่ยนมือข้างที่ว่างเข้าไปเล่นกับตฤณน้อยแล้วใช้อีกข้างถูไถยอดอกสีเข้มพร้อมกับลิ้นที่ตวัดรัวเร็วลงในตำแหน่งคู่กัน เมื่อเร่งจังหวะมือข้างใหม่ใช้เวลาไม่นานร่างของเด็กหนุ่มจึงเกร็งขึ้น หลักฐานความใคร่สีขุ่นฉีดล้นจนเต็มมือไปหมด มีบางส่วนกระเด็นขึ้นเปรอะที่ปลายคางของเขาด้วย คุณวินใช้ความพยายามอย่างมากที่จะอดกลั้นตัวเองไม่ให้เผลอเลื่อนนิ้วข้ามผ่านไปยังช่องทางด้านหลัง กลิ่นเหงื่อที่ผสมปนเปกับกลิ่นเครื่องดื่มอบอวลรบเร้าให้มันเกิดขึ้นแทบขาดใจ


หากไม่เคยรับให้ใครสักคน ตรงนั้นต้องคับแน่นมากแน่ๆ


คิดเรื่องลามกแล้วบางอย่างยังสามารถเพิ่มขนาดได้อีกโดยไม่ต้องแตะถูกมัน


“ไม่ได้เอาออกนานเหรอครับ ข้นเชียว”


ตฤณพยักหน้าเหนื่อยอ่อน โดนถามกันตามตรงจะว่าไม่เขินเลยก็ไม่ใช่ ได้แต่เก็บความรู้สึกร้อนวูบวาบนี้ไว้แล้วเรียกสติกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองบ้าง


“มาครับ ผมช่วย”


คุณวินดูจะชอบจูบมาก เมื่อถึงทีของตัวเองเลยดึงตฤณให้โผเข้าไปจูบเป็นอันดับแรก ทว่าเด็กหนุ่มแยกประสาทรับรู้ได้ดีจึงคลำหาร่างกายของอีกฝ่ายแล้วทำไปพร้อมๆกันได้ ตฤณไม่มีเทคนิคพิเศษมากมายไปกว่าคุณวิน เพียงแค่ระหว่างหลับตาลองจินตนาการว่าตอนทำกับตัวเองนั้นทำอย่างไร ความเร็วเท่าใด แล้วปล่อยร่างกายคิดแทนสมอง ไม่นานคุณวินก็ส่งเสียงครางพอใจออกมาให้ได้ยิน


“เร็วขึ้นอีกได้นะครับ” เสียงกระเส่าดังข้างใบหู ตฤณเห็นว่าร่างกายคุณวินเติบโตขึ้นเต็มที่จากขนาดเทียบกับฝ่ามือเลยพยายามรั้งไว้เล้าโลมอีกนิด แต่ลองเจ้าของมันเอ่ยปากแล้วมีหรือที่จะไม่สนอง เด็กหนุ่มหุบขนาดมือลงคาดเค้นแล้วเพิ่มความเร็วขึ้นตามที่ขอ ตะโบมจูบตวัดปลายลิ้นผ่อนแรงลมหายใจอย่างกระหาย ชั่วอึดใจคุณวินผละใบหน้าออกตฤณจึงได้เห็นใบหน้าอันสุขสมบิดเบี้ยวอย่างชัดเจน ช่วยรีดเค้นหยาดหยดออกจนหมดแล้วจูบปิดท้ายอีกรอบ


เพราะน้ำใคร่แทบไม่ได้หยดลงบนเตียง ดังนั้นตฤณเลยไม่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ หลังเช็ดทำความสะอาดเบื้องต้นแล้วเจ้าของห้องไปหยิบหาเสื้อผ้า จัดแจงของใช้จำเป็นที่มีสำรองเอามารับรอง มาให้แขกร่วมห้อง เมื่อคุณวินใช้ห้องน้ำเสร็จในเวลาไม่นาน กลิ่นสบู่ที่ใช้เองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันดันหอมฟุ้งกว่าปกติหลายเท่า ร่างสูงโปร่งใส่เสื้อผ้าของเขาได้พอดี หมดธุระแล้วตฤณเองก็เข้าไปใช้ห้องน้ำบ้าง


นาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งกว่า ตฤณตกลงพูดคุยกับคุณวินคร่าวๆเรื่องเสื้อผ้า เรื่องการจราจรแถวนี้ และเรื่องสัพเพเหระอย่างที่คนเพิ่งรู้จักกันพึงสนทนาแม้ตอนนี้ปิดไฟเรียบร้อยนอนหันหลังชนกันบนเตียง จะว่าไปพอมีคนตัวเท่าๆกันมาเพิ่มเตียงของตฤณก็ดูเล็กลงไปอีก


“คุณตฤณ”


“ครับ”


“...นอนเถอะครับ ผมไม่รบกวนแล้ว”


น้ำเสียงคุณวินที่เรียกครั้งแรกเหมือนมีเรื่องอยากจะคุยอีกสักหน่อย แต่ดันตัดจบแบบนี้ตฤณไม่กล้าเปิดประเด็นอีกรอบเมื่อนึกถึงว่าคนที่ทำงานมาทั้งวันแล้วยังท่องราตรีกลางคืนอีกคงอยากพักผ่อนสบายๆมากกว่า


“ฝันดีครับ คุณวิน”


ลองหลับตาลงแล้วตฤณจมดิ่งสู่ห้วงนิทราทันที

__________

ใครอยู่ตำแหน่งไหนลองทายกันดูก่อน :hao7:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn II [8/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 09-07-2019 08:51:08
ตฤน ×  วิน ไหมคะ ไม่กล้าเดาเลยค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn III [9/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 09-07-2019 15:51:53
Lost at Sathorn III
หลงมาที่สาทร



เช้านี้นาฬิกาไม่ได้ปลุกเพราะวันที่มีเรียนบ่ายตฤณอยากนอนให้เต็มอิ่ม ด้วยความที่ไม่ใช่คนนอนกินบ้านกินเมืองจนตะวันเคลื่อนมาตรงศีรษะ เลยไม่กังวลมากเท่าไหร่ และตอนนี้ตฤณก็ตื่นเต็มตาอยู่บนเตียง


เตียงที่มีเพียงตัวเองกับรอยยับสองรอย ไร้ร่างคนที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืน


ไม่เคยมีวันไหนที่ร่วมรักกับคนที่รักแล้วตื่นขึ้นมาโดยไม่เจอหน้ากันรับรุ่งอรุณวันใหม่ ไม่เคยมีครั้งใดที่ตฤณจะหิ้วคนอื่นกลับมาจากผับบาร์เพื่อมาสร้างความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวยามตนเองครองสถานะโสด


การตื่นนอนยามเช้าหลังจากมีเซ็กซ์กับวันไนท์สแตนด์ครั้งแรก โดยไม่เห็นอีกคนนอนอยู่ข้างๆเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน เป็นครั้งแรกในครั้งแรกที่ตฤณรู้สึกแปลกประหลาด มันรู้สึกอ้างว้างแบบนี้นี่เอง รู้สึกไม่ทุกข์หากสุขไม่สุดแบบนี้นี่เอง เป็นสิ่งซับซ้อนราวกับอยู่ในมิติพิศวง


เรียกว่าเซ็กซ์เต็มปากยังไม่ได้เลย ถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่ายังอยู่ในขั้นสำเร็จความใคร่เท่านั้น


จะว่าไปคุณวินเป็นพ่อมดที่เก่งกาจมาตลอดคืนนั่นแหละ ทั้งสะกดจิตเขา ทั้งจับยืดและตัดฉับบิดเบือนเวลาชีวิตเขาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นไปได้ว่าค่ำคืนอันยาวนานตั้งแต่ตรอกข้าวสารจนถึงห้องพัก คุณวินพาตฤณเดินทางผ่านมิติลี้ลับช่องทางนั้นมาด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเหล้าที่ดื่มไปหนึ่งแก้ว


คิดแล้วต้องกดยิ้มไม่ให้มุมปากโค้งขึ้นไปมากกว่านี้ สร่างเมาแล้วความคิดเป็นเด็กๆควรหายไปด้วย ไม่ใช่ยังติดค้างอยู่ในหัวเหมือนที่ในนิราศภูเขาทองกล่าวไว้จนเป็นประโยคฮิตตลอดกาล ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก


ตฤณไม่ได้รักคุณวินเสียหน่อย เราแทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ หรือมีใครบอกเอาไว้ว่าการสบตากันในบาร์เหล้านั้นสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปอีกได้จริง


อย่างน้อยตอนที่ตฤณยังไม่เห็นว่ามีใครบอก กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆบนโต๊ะทำงานมันก็บอกเขาตอนที่เดินโงนเงินมาเจอเข้าโดยบังเอิญ


ชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุล
XXX สาทร
09x-xxxxxxx



เจ้าของห้องขยี้ตาปรับการมองเห็นอีกเล็กน้อย เลื่อนสายตาลงมาด้านล่างไม่ไกลกันยังมีอีกข้อความที่เขียนเอาไว้ด้วยลายมือเดียวกัน


ขอโทษที่ออกมาโดยไม่ปลุกนะครับ ไม่อยากรบกวน ขอบคุณสำหรับเมื่อคืน


ข้อความสั้นกระชับ เรียบง่าย หากทำให้เผยรอยยิ้มกว้างยามเช้า กระทั่งลายมือของคุณวินยังเป็นระเบียบอ่านง่ายเหมือนหน้าตาธรรมดาพิมพ์นิยมของเจ้าของมัน ตฤณวางกระดาษลงบนโต๊ะอย่างเดิมเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำไปเรียนในช่วงบ่าย ระหว่างชำระร่างกายในห้องน้ำที่ฝักบัวปล่อยสายน้ำเย็นฉ่ำรดกายก็ทบทวนตัวเลขสิบหลักที่มองสองครั้งจนจำได้ขึ้นใจ




“ติน ข้อนั้นมึงตอบอะไรวะ ที่มันมีคำว่า minutes อ่ะ กูกับไอ้โจ้จำได้ว่าตอนอยู่ในห้องมึงได้แปลข้อนั้นก่อนออกสอบ”


“...”


“ไอ้ติน!”


“หืม อะไรนะ” ตฤณได้ยินเสียงกายเพื่อนรักดังขึ้นฉุดกระชากให้กลับมาสู่โลกปัจจุบัน “ข้อไหนนะขออีกรอบ”


“กูถามว่าข้อที่มันมี keep minutes and waste hours มึงตอบว่าอะไร จำได้ว่าอาจารย์เคยให้มึงแปลตอนอยู่ในห้อง”


ตฤณครางรับในคอแล้วสลัดความคิดเก่าที่คั่งค้างอยู่ในสมองเมื่อครู่ออกไป ค่อยๆระลึกไปถึงเหตุการณ์ตอนอยู่ในห้องสอบที่เพิ่งผ่านมาได้ไม่ถึงชั่วโมง


“กูแปลไปว่า เมื่ออยู่ในห้องประชุม สิ่งที่พวกเราจะได้คือรายงานการประชุมและการเสียเวลาไปเป็นชั่วโมงๆ มันเป็น puns ไง”


“เออ ก็แค่นั้นแหละ กูลืมไอ้สัส ตอบมั่วไปเลย” โจ้พูดขึ้นแล้วโยนขนมเข้าปากไปอีกชิ้น ดูไม่ทุกข์ร้อนกับการเสียไปสามคะแนนเพราะความจำไม่ดี


“กูตอบถูกครับ ไม่เสียแรงที่ยืมชีทมันมาลอก” กายเกทับเพื่อนพร้อมทั้งยักคิ้วกวนอวัยวะเบื้องล่างมาให้ ไม่สนใจใครจะมองว่าที่ตอบถูกนั้นไม่ได้เป็นเพราะคิดคำตอบเอง “ว่าแต่มึงไอ้ติน ทำไมพักนี้เหม่อบ่อย ยานแม่ส่งสัญญาณมาหรือไงวะ”


“กูเหม่อบ่อยเหรอ”


“เออสิวะ กูเห็นทุกอย่างเลยที่มึงเป็นอยู่ช่วงนี้ ทั้งเหม่อ ทั้งถอนหายใจ หน้าสลดอย่างกับหมารอเจ้าของ ถามจริง เป็นอะไร”


ตฤณไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอย่างนั้นบ่อยจนเพื่อนสังเกตเห็น หลุบสายตาลงกับโต๊ะเรียบสีขาวพยายามนึกหาคำตอบ นึกได้อยู่คำเดียวว่า “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”


กายหลับตาลงเม้มปากเหมือนกำลังอดกลั้นไม่ให้ลุกขึ้นมาเขย่าคอเสื้อของเขาอยู่


“โอเค ไม่บอกไม่เป็นไร ถ้ามึงพร้อมค่อยพูดแล้วกัน”


“พวกมึงนี่แม่งเหมือนผัวเมียกันเลยว่ะ ติน ไอ้กายมันห่วงจนจะเป็นผัวมึงอีกคนละ กูก็เหมือนกัน มีไรมาระบายได้นะอย่างน้อยก็เพื่อนกัน”


“กายไม่ได้เป็นผัวกูหรอก เป็นผัวมึงมากกว่าโจ้ ไปกินเหล้ากี่ครั้งก็ลากมึงกลับตลอด ผัวทาสผู้ภักดี” ตฤณเปลี่ยนประเด็นอย่างแนบเนียน เพื่อนสองคนหันมองหน้ากันแล้วเบ้หน้าเหม็นเบื่อ ที่จริงถ้าเพื่อนเขาไม่ได้มีแฟนเป็นสาวสวยน่าอิจฉาคนนั้นตฤณจะคิดว่ากายกับโจ้เป็นมากกว่าเพื่อนกันแล้วนะ


“ละทำไมมันต้องเป็นผัวกู กูสิต้องเป็นผัวมัน”


“ได้ไงวะ อย่างมึงถึงจะเป็นผัวคนทั้งโลกแต่ยังไงกับกูคือเป็นได้แค่เมียเท่านั้นล่ะโว้ย”


กายและโจ้เป็นชายแท้ที่มองแค่หญิง ทั้งที่ในกลุ่มมีตัวเองคนเดียวที่สนใจในคนเพศเดียวกัน แต่สองคนนั้นไม่เคยทำให้เขารู้สึกแปลกแยก พูดคุยล้อเล่นให้เป็นเรื่องปกติ จนบางทีคำพูดคำจาผัวเมียทั้งหลายก็ชวนคนอื่นเข้าใจผิดไปหมด ทำให้สาวๆในคณะลือกันไปใหญ่ ตฤณเป็นแฟนโจ้บ้างล่ะ เป็นแฟนกายบ้างล่ะ หรือคู่กัดสองคนนั้นต่อหน้าทำเป็นทะเลาะกันแต่เบื้องหลังบนเตียงสุดเหวี่ยงถึงใจบ้างล่ะ


ตฤณส่ายหน้าระอาใจให้ประเด็นผัวเมียของเพื่อนสองคนแล้วกลับมาสนใจสรุปข้อสอบที่จะต้องทำในวิชาต่อไป


09x-xxxxxxx


อยู่ๆเลขสิบหลักนี้วนเวียนกลับเข้ามาในสมอง ทำเอาคนที่กำลังนั่งจำเนื้อหาชะงักไปวูบหนึ่ง


ไม่ต้องตอกย้ำกันขนาดนี้ก็ได้ว่ากำลังคิดถึงเจ้าของเบอร์


เคยนั่งคิดอยู่หลายนาทีว่าการทิ้งชื่อ เบอร์โทร และที่อยู่บริษัทแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ตฤณไม่อยากหลอกตัวเองว่าคุณวินกำลังรอเขาให้ติดต่อกลับไป แต่ก็ไม่เห็นจะมีเหตุผลอื่นที่ดูสมเหตุสมผลกว่าในการที่เขาทำแบบนี้ รู้จักกันแค่แป๊บเดียว เห็นตัวตนกันแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่ว่าพอแยกกันแล้วทุกอย่างจบลงอย่างนั้นหรือ


ถามตัวเองไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่เคยมีวันไหนที่ตฤณไม่นึกถึงคุณวินเลย




วันหนึ่งหลังเลิกเรียน นักศึกษาปีสามเกิดความรู้สึกอยากไปท่องกลางเมืองอย่างย่านสาทร


ตฤณเกิดในกรุงเทพมหานคร เป็นชาวกรุงเทพโดยกำเนิด บ้านเดิมอยู่ละแวกปิ่นเกล้า ดังนั้นโรงพยาบาลที่แม่ให้กำเนิดจึงเป็นโรงพยาบาลมีชื่อเสียงที่อยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตฤณเลยคุ้นชินกับเส้นทางรอบๆบ้านเวลาไปไหนมาไหน


วันดีคืนดีครอบครัวย้ายบ้านไปอยู่แถบปริมณฑล ตฤณต้องทำความเข้าใจเส้นทางละแวกบ้านใหม่อีกครั้ง มีหลงลืมสภาพแวดล้อมจากบ้านเก่าไปบ้าง แต่อาศัยความเคยชินที่นั่งรถผ่านบ่อย กลายเป็นว่าเวลาเดินทางในเส้นทางที่ผ่านบ่อยๆตฤณจะไม่หลง ไม่ว่าจะเคยหรือไม่เคยแวะเวียนสถานที่ตรงนั้นก็ตาม


แต่ทั้งละแวกบ้านเก่าและบ้านใหม่ของตฤณไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านกลางเมืองที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจราคาสูงอันดับต้นๆของประเทศ อีกทั้งมหาวิทยาลัยอยู่แค่แถวสนามหลวงไม่ต้องเข้าไปไกลถึงในเมือง หอพักก็เลือกหานอนได้ใกล้กัน ดังนั้นตฤณที่ไม่เคยไปเหยียบสักครั้งจึงเกิดความกังวลเล็กน้อย ว่าตัวเองที่ไปไกลสุดแค่ห้างสยามพารากอนจะไปสาทรได้อย่างไรโดยไม่หลงทาง


“กาย”


“ว่า”


“มึงเคยไปแถวสาทรป่ะ”


“สาทรคือตรงไหนก่อน”


คนถามขมวดคิ้ว ก่อนนึกขึ้นได้ว่าคนที่เขาเพิ่งถามนั้นบ้านอยู่บางเขน ไปไกลกว่าบ้านใหม่เขาแถมรถติดกว่ามากด้วย


“ตรงที่มีตึกร้างที่เคยออกข่าวดังๆไง ตึกนี้” ตฤณเปิดรูปในมือถือให้เพื่อนดูตอนที่กำลังค้นหาแผนที่เส้นทาง กายวาดนิ้วซูมรูปเข้าออกอยู่พักหนึ่งถึงส่งคืนให้เจ้าของ


“อ๋อ ไอ้ตึกนี้มันอยู่สาทรเหรอวะ ไม่เคยไปหรอก กูจะไปทำอะไรแถวตึกร้าง”


“มันไม่ได้มีแค่ตึกร้างอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวเว้ย”


“แล้วมึงจะไปทำอะไรแถวนั้นล่ะ”


โดนถามสวนกลับมาแบบนี้เล่นเอาคนเริ่มประเด็นหุบปากฉับ ด้วยความที่เป็นคนลื่นไหลได้ง่ายและโอนอ่อนไปตามสถานการณ์ได้ไวกลัวพลั้งปากไปก่อนคิด ตฤณรีบเฟ้นหาคำตอบในหัวที่ดูจะเข้าท่าที่สุดเพื่อไม่ให้เพื่อนต้องสงสัย แต่นั่นก็ทำให้รอนานจนผิดสังเกต


“เอ่อ...”


“เอ่ออะไร มีของกินร้านดังหรือว่ายังไง”


“กูจะไป...ไปเดินเล่น แถวนั้นตึกสวยๆเยอะดี”


“เดินเล่น? มึงว่างมากเหรอวะ”


ทีแรกที่เพื่อนถามเสียงสูงตฤณคิดว่าคำตอบโคตรไม่เนียน ต้องถูกจับได้แน่ๆ แต่กลายเป็นว่ากายแค่ถามเขาแล้วแค่นหัวเราะก่อนจะส่ายหน้ากลับไปสนใจมือถือของเจ้าตัว คงจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติเพราะเมื่อก่อนตฤณเคยเล่าให้ฟังผ่านๆว่าชอบบรรยากาศกลางเมืองของกรุงเทพมาก ตฤณชอบตึกดีไซน์แปลกๆที่ตั้งสูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าจัดในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนในย่านความเจริญเหล่านั้นจะมีแสงไฟประดับประดา ถนนหนทางและห้างร้านสว่างไสวดูศิวิไลซ์ไปหมด


“ก็เครียดๆเลยว่าจะไปเดินเล่นผ่อนคลาย”


“ไปผ่อนคลายห้องกูดิ เล่นว่าวเพลินๆ”


“มึงเล่นไปคนเดียวเถอะ ห่า จ้องเคลมกูอยู่เรื่อย น่ากลัวขึ้นทุกวันนะมึง” ตฤณผลักหัวเพื่อนแรงๆจนเอนไปอีกทาง กายหัวเราะร่วน


“ทำตัวน่าแกล้งเองทำไมวะ กูว่าถ้ากูชอบผู้ชายนะมึงเสร็จกูคนแรกแล้วไอ้ติน”


“น้อยๆหน่อยครับ ผมไม่ใช่คนที่ต้องไปนอนใต้ร่างใคร ให้เกียรติความสูงร้อยเจ็ดสิบเก้ากูด้วย”


คนฟังไหวไหล่เบ้ปากเล็กน้อย “เตี้ยกว่ากูอยู่ดี ยังไงกูก็อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารเว้ย ไม่เคยได้ยินเหรอ ชายได้ชายคือยอดชาย”


ยอดหน้ามึงสิ ตฤณไม่ได้ตอบกลับคนที่ตบไหล่เขาอย่างผู้ชนะแต่กลับมาสนใจหาข้อมูลในมือถือต่อ และแล้วชื่อสถานที่ที่เขาหาก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ


ผ่านมาเป็นเดือนตฤณไม่เคยโทรหาหรือส่งข้อความถึงคุณวินสักครั้ง ไม่เคยคิดสนใจจะพิมพ์ชื่อในกูเกิ้ลว่าเขาเป็นใครหรือทำงานที่ไหน มัวแต่ยุ่งเรื่องการเรียนกับสอบกลางภาคที่เพิ่งผ่านไปไม่นานจนบางทีลืมไปแล้วว่ามีเรื่องราวคืนนั้นเกิดขึ้น ค่ำคืนที่ตฤณปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกครอบงำตัวตนมากกว่าการใช้เหตุผลจากสมอง ไม่ต้องคิดมากเวลาวางตัวหรือพูดคุยกับใครคนนั้นอย่างเวลาที่ทำเป็นปกติทุกวัน


แต่ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยจากการเรียน เหนื่อยจนคิดถึงคุณวินมากกว่าเดิม คิดถึงวันละหลายๆเวลาเป็นการให้กำลังใจตัวเอง จนมาถึงวันนี้ที่ความอดทนปริ่มล้นขีดจำกัดที่มีอยู่เต็มทน


“กูคิดถึงเขาว่ะ”


ตฤณเปรยขึ้น แล้วก็เห็นว่าทำให้เพื่อนถึงกับปล่อยมือถือร่วงลงบนโต๊ะ


“เขาที่มึงว่าเนี่ยคนไหน คนล่าสุดหรือ...”


“คนที่เจอในร้านเหล้าวันนั้น ที่ข้าวสาร”


กายเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกง แอบส่งสายตาล้อเลียนมาให้แต่ไม่พูดออกมาตามตรง ตฤณว่าเพื่อนคงไม่อยากทำให้เขารู้สึกแย่ล่ะมั้ง


“กูบอกแล้วว่าให้เข้าไปคุยๆ แต่มันผ่านมาเดือนกว่าแล้วนี่ ทำไมอยู่ๆมึงคิดถึงเขาล่ะ”


“กูคุยกับเขาแล้ว เจอกันตอนแวะเข้าห้องน้ำก่อนกลับหอ”


“อ้าว ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลยไอ้ติน ยังไงครับยังไง พูดมา ไม่ขอไอดงไอดีไลน์อะไรไว้บ้างหรือไง”


ได้ยินน้ำเสียงจริงจังปนซักไซ้แล้วน่ากลัวจะเผลอเล่าออกไปทั้งหมด ตฤณถอนหายใจ เรียบเรียงเหตุการณ์เป็นลำดับแล้วเล่าออกมา...บางส่วน


“ก็...คุยกันนิดเดียว ถามโน่นถามนี่ เดินออกไปปากซอยก็แยกกันกลับ กูบอกว่าเรียนอยู่ที่ไหนอะไรงี้ ส่วนของเขารู้แค่ว่าทำงานที่ไหน แล้วก็ได้เบอร์มา” ตฤณจะไม่ยอมบอกกายเด็ดขาดว่าความจริงคือไปถึงห้องด้วยกันและนอนร่วมเตียงกันมาแล้ว ถึงสายตาคู่คมจะนั่งจ้องจับผิดเขาอยู่ก็เถอะ


“ไม่โทรหาเขาล่ะ มานั่งบ่นคิดถึงทำไม”


“โทรไปก็รบกวนเวลางานเปล่า”


“เขาทำงานที่ไหนวะ ไปหาเลยดิกลัวไร”


“แถวๆสาทร”


“มีเบอร์ไม่โทร รู้ที่ทำงานก็ไม่ไปหา แล้วมานั่งทนเป็นหมาหงอยอยู่ได้ ไอ้ควาย ชื่อตินหรือชื่อตีน”


ตฤณนิ่วหน้าย่นจมูก แต่สมควรแล้วที่โดนเพื่อนด่าเพราะเขาไม่ทำอะไรเลยจริงๆนั่นแหละ


“อ่อ กูเข้าใจละ ที่ผ่านๆมาเพราะเรื่องนี่แน่เลย มึงใจลอยเหม่อคิดถึงแต่เขาใช่ไหมวะ”


ด้วยความที่กายมีบางสิ่งบางอย่างอันทำให้ต้องใจอ่อนยอมว่าง่ายทำตามไปเสียทุกเรื่อง ตฤณพยักหน้ารับสารภาพไปตามตรง


“ถ้างั้นแล้วแต่มึงเลย อยากนั่งเหี่ยวอยู่งี้ก็ตามใจ แต่ถ้าเป็นกูนะ กูจะทำตามที่หัวใจเรียกร้อง”


หัวใจเรียกร้อง คำพูดเชยแสนเชยจากเพื่อนเดือนคณะสุดที่รัก ฟังดูเลี่ยน แต่อีกนัยหนึ่งเป็นคำที่ง่ายและมีความหมายลึกซึ้งดี


ตอนนี้ตฤณเข้าใจแล้วว่าเวทมนตร์เรียบง่ายและลึกซึ้งของคุณวินทำให้ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น คุณวินไม่ใช่เขาวงกตในหนังเดอะเมซรันเนอร์หรือวงกตที่เดดาลัสสร้างไว้กักกันไมโนทอร์ แต่ตฤณไม่เคยหาทางออกเจอ จากวันนั้นถึงวันนี้




อยากเจออีก อยากเห็นหน้าอีกสักครั้ง ความอยากนั้นทำให้ตฤณมายืนอยู่บนชานชาลารถไฟฟ้าสายสีลมสถานีสุรศักดิ์ จากการยุส่งของกาย ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่ามีหลายครั้งที่ตฤณยอมทำอะไรจากคำพูดของมันแบบง่ายๆเพราะมันหล่อ


เพราะคำว่าหัวใจเรียกร้องจากปากเพื่อน ตฤณถึงกับรีบเสิร์ชหาข้อมูลที่อยู่ของสถานที่ที่คุณวินทิ้งเอาไว้ให้ จนดั้นด้นมาถึงตรงนี้ ที่ไหนก็ไม่รู้ มองทางซ้ายก็ตึก มองทางขวาก็ร้านอาหารใหญ่ดูแพง เสียงรถราบนถนนกับควันพิษสีเทายิ่งทำให้ตรงที่ยืนอยู่กลายเป็นสังคมคนเมืองถึงขีดสุด นี่เขามาทำอะไรอยู่ตรงนี้วะเนี่ย


ตฤณเสี่ยงดวงเดินไปทางซ้ายจนเกือบสุดถนนก็ต้องผิดหวัง แผนที่ในไอโฟนซึ่งดูว่าจะดีกว่ากูเกิ้ลแมพมากๆยังช่วยไม่ได้ ไหนบอกว่าตรงนี้ไปได้ไงล่ะ มันกลับหัวกลับหางไม่รู้ทิศรู้ทาง เดินกลับมายังจุดเดิมแล้วก้าวเท้าไปทางขวา หนักกว่าเก่าอีก สุดท้ายตระหนักได้ว่า ตฤณหลงทาง


หลงคนที่ทำงานอยู่ย่านสาทร แล้วยังมาหลงทางในสาทรจริงๆอีก เวรกรรม

__________

คุณวินค่าตัวแพง ตอนไม่มีเงินจ่ายเลยไม่ยอมออก 5555 ตฤณสู้ๆ :hao7:
เจอคำผิดหรือตรงไหนแปลกๆบอกได้เลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn IV [10/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 10-07-2019 10:27:19
Lost at Sathorn IV
หลงมาที่สาทร



มีปากต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าหลงทางให้ถามเอา พ่อของตฤณเคยพูดไว้แบบนั้นตอนที่ยังเด็ก จนโตแล้วยังได้ยินบ้างประปราย


ปกติเวลาไปไหนตฤณไม่ค่อยได้ถามทางเพราะอาศัยว่าลองไปด้วยตัวเองก่อน กับครั้งนี้ไม่เหมือนกัน สถานที่ก่อนๆเป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ที่นี่กลางเมือง ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์นักศึกษาชั้นปีที่สามที่ไม่เคยมาจะพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ขอความช่วยเหลือ


แล้วจะถามใครดี เท่าที่มองคนผ่านไปผ่านมาไม่มีคนหน้าตาใจดีดูน่าพึ่งได้เลย


ไม่มีคนหน้าตาใจดีแต่ยังมีเทวดาใจดีอยู่บ้างที่บันดาลให้ตฤณเจอสิ่งที่กำลังมองหา พี่สุชาติทั้งเบอร์ธรรมดาและเบอร์เลขสวยนั่งรอลูกค้ากันอยู่ที่ท่ารถ ตฤณเดินปรี่เข้าไปหาพี่คนใส่เลขเสื้อเบอร์สิบสองที่โบกมือส่งสัญญาณให้เขาว่าจะไปหรือเปล่า ตฤณเลยโบกมือตอบว่าไปโดยยังไม่ได้อ้าปากออกเสียงสักแอะเดียว นึกในใจว่านี่มันภาษาที่สามของชาวคนเมืองขนานแท้ เขินๆเหมือนกัน


พี่วินมอเตอร์ไซค์ที่นี่ดูเชี่ยวชาญดี ตฤณบอกชื่อตึกให้ได้ยินก็ร้องอ๋อ ทำให้ลูกค้าที่ไม่รู้ทางอย่างเขารู้สึกอุ่นใจได้บ้าง พอก้าวขึ้นรถเรียบร้อยพี่สุชาติบิดออกไปไวทันใจเหลือเกิน เข้าตามตรอกออกตามซอย ถนนเล็กถนนใหญ่ไม่หวั่น ยังดีที่ตฤณเคยนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อไปสถานที่ใหญ่ๆในวันเร่งรีบจึงปรับตัวให้เข้ากับเข็มไมล์รถพี่ๆได้ ความเร็ววันนี้จึงนั่งไปแบบสบายๆไม่ต้องเกาะรถแน่นนัก ไม่หวาดเสียว


“ถึงแล้วครับ”


“ที่นี่เหรอครับตึกที่ผมบอก มันดูเหมือนโรงแรมเลยนะพี่” ตฤณหยีตาสู้กับแสงแดดยามเย็นพลางหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า

“นี่แหละถูกแล้ว ชื่อนี้แถวนี้ก็มีแต่ตรงนี้ครับ โรงแรมเขาออกจะดัง”


แต่ผมไม่ใช่คนแถวนี้ครับเลยไม่เคยได้ยิน ตฤณท้วงอยู่ในใจแล้วส่งเงินให้สี่สิบบาท ได้เงินแล้วพี่สุชาติเบอร์สิบสองก็บิดกลับไปยังท่ารถตามเดิม ส่วนคนเพิ่งเคยมาครั้งแรกเกาท้ายทอยด้วยความงงงวย หันไปเห็นร้านกาแฟในระยะไม่ไกล ตรงปากซอยที่เลี้ยวเข้ามาเมื่อครู่ก็เจอท่ารถพี่วินอีกท่าเหมือนกัน ดีล่ะ ถึงมาผิดจริงๆคงไม่เป็นไรแค่มีพี่วินเขาก็ไม่ต้องหลงทางแล้ว


ตฤณยังไม่กล้าเดินเข้าไปในสถานที่เป้าหมายโดยตรง ด้วยความที่มันดูอลังการไม่น้อย สิ่งก่อสร้างตรงหน้าใหญ่โตและมีถึงสองตึกราวกับว่ามันเป็นฝาแฝดของกันและกัน ป้ายด้านหน้าเป็นชื่อภาษาอังกฤษขนาดใหญ่ตรงกับชื่อที่คุณวินเขียนบอกไว้ ด้านข้างเป็นชื่อภาษาไทยขนาดเล็กกว่ามากเขียนนำหน้าด้วยคำว่าโรงแรมตามด้วยคำอ่านทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ


แล้วสรุปว่าคุณวินทำงานที่นี่หรือเปล่าล่ะ ตอนเขียนก็เขียนแค่ชื่อเฉยๆตามด้วยสาทร ถ้ามาผิดตฤณจะโทรไปต่อว่าจริงๆด้วย


เดินทางจากมหาวิทยาลัยเข้ามาถึงส่วนในเมืองใหญ่กินเวลาไปราวสองชั่วโมงถ้านับเวลากันตรงๆ อีกทั้งเมื่อกี้นั่งรับลมควันพิษซ้อนท้ายพี่วินจนคอแหบแห้งไปหมด ตฤณตัดสินใจว่าจะหาอะไรดับกระหายเสียก่อนในร้านกาแฟ ตอนนี้คนไม่เยอะมากอาจได้เร็วทันใจ


“พี่ครับ ตึกฝั่งตรงข้ามนี่คือโรงแรมเหรอ” ตฤณถามพี่พนักงานสาวท่าทางใจดีที่กำลังปั่นโกโก้ให้เขา


“ใช่ค่ะ เป็นโรงแรมที่เป็นตึกแฝด ค่าห้องแพงอยู่นะ คนพักส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง แต่ของเขาดีจริง”


“พี่เคยนอนแล้วเหรอครับ อันนี้ถามเฉยๆคือผมไม่เคยมา”


“เปล่าๆ หมายถึงเจ้าของโรงแรมอ่ะงานดี เดินมาซื้อกาแฟบ่อย” แล้วสาวเจ้าก็หัวเราะคิกคักจนคนฟังยังแอบยิ้มตาม มองคนทำเดินไปเดินมาครู่เดียวตฤณถึงได้เครื่องดื่มรสหวานกำลังดีมาดับกระหาย แลกเปลี่ยนเงินทอนกันเรียบร้อยก็ถึงเวลารวบรวมความกล้ามุ่งหน้าเข้าไปยังโรงแรมเป้าหมายในตอนห้าโมงกว่าๆ


เดินตรงเข้ามาปุ๊บตฤณเห็นห้องกระจกขนาดกลางก็รู้ทันทีว่าเป็นล็อบบี้หน้าโรงแรม ถึงมีขนาดไม่ใหญ่มากทว่ามีเก้าอี้รับรองหลายชุดโดยไม่ทำให้ห้องดูอึดอัด พื้นไม้เงาวับสีอ่อนตัดกับเคาท์เตอร์ไม้เนื้อดี ตฤณเห็นชาวต่างชาติอยู่เต็มไปหมด ทั้งที่นั่งคุยกันเองและที่กำลังติดต่อจองห้องพัก มีคนไทยบ้างแต่เป็นระดับที่แต่งกายดูดี ส่วนที่เหลือเป็นชาวเอเชียที่หน้าตาคล้ายคนไทยแต่พูดกันด้วยภาษาอื่น


หรือว่าคุณวินไม่ได้ทำงานแต่พักอยู่ที่นี่ แล้วถ้าเข้ามาถามหาพนักงานจะยอมบอกเขาตรงๆหรือหากรู้ว่าไม่ได้นัดกันมาก่อนล่วงหน้า ตฤณพอจะเข้าใจเรื่องความปลอดภัยของการปกปิดข้อมูลคนมาพักอาศัยอยู่หรอก


“ขอโทษนะครับ พอดีผมมาหาคนๆหนี่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นพนักงานที่นี่หรือแค่มาพักที่นี่ ไม่ทราบว่าจะติดต่อได้ทางไหนบ้างครับ”


เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินตรงเข้าไปถามเมื่อพนักงานตรงล็อบบี้คุยธุระกับครอบครัวแขกชาวต่างชาติเสร็จพอดี พนักงานต้อนรับในชุดฟอร์มของโรงแรมเดินมาหาเขา


“รบกวนแจ้งชื่อให้หน่อยนะคะ”


“ชื่อคุณชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุลครับ”


“สักครู่นะคะ”


ตฤณสะกดชื่อตามที่เขียนไว้ในกระดาษ พนักงานที่ดูว่าอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีกล่าวทวนก่อนเริ่มกดแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ซื้อเวลาให้ตฤณได้มองสำรวจพื้นที่อีกสักหน่อย


“ไม่มีแขกที่มาพักชื่อนี้เลยค่ะ ไม่ทราบว่าสะกดชื่อผิดหรือเปล่าคะ หรือว่าจำสาขาผิด โรงแรมเรามีสาขาอื่นด้วยค่ะในกรุงเทพ ราชดำริก็มี สยามก็มี”


“ไม่มีเลยเหรอครับ”


“ค่ะ ไม่มีเลยค่ะ”


ตฤณเริ่มใจเสีย หรือคุณวินหลอกเขา แต่ถ้าหลอกจะจงใจเขียนชื่อนามสกุลพร้อมเบอร์โทรมาขนาดนี้ทำไม หรือว่าอาจเคยอยู่แต่ตอนนี้ไม่ได้พักที่นี่แล้วเพราะตฤณปล่อยเวลาผ่านไปนับเดือน ความเป็นไปได้น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า


ทำไมถึงได้โง่เง่าอย่างนี้นะไอ้ติน!


“มีอะไรกันหรือเปล่า”


เสียงผู้หญิงอีกคนดังขึ้นเมื่อเดินมาสมทบ ตฤณเห็นเป็นผู้หญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดฟอร์มของโรงแรมเช่นกันแต่ดูภูมิฐานกว่าพนักงานตรงหน้าเขามาก และพนักงานสองสามคนตรงนี้ก็ดูเกรงอกเกรงใจเธอคนนี้เป็นพิเศษ เป็นคนวัยทำงานที่ดูมีสง่าราศีจนนักศึกษาธรรมดาอย่างเขายังต้องนึกชมในใจ


“คือผมมาหาคนรู้จักน่ะครับ เขาบอกชื่อแล้วก็ให้ที่อยู่ว่าเป็นที่นี่ แต่พี่พนักงานบอกว่าไม่มีชื่ออยู่”


“ไม่มีจริงๆค่ะผู้จัดการ หนูคีย์ชื่อสองครั้งแล้วแต่ไม่ขึ้นข้อมูล” พนักงานคนนั้นบอก ตฤณไม่แปลกใจที่ว่าทำไมคนๆนี้ถึงดูเป็นที่เคารพของคนอื่นนัก


“ไหนคุณลองบอกชื่อมาอีกครั้งได้ไหมคะ ทางเราจะตรวจสอบให้ใหม่ ถ้าไม่มีค่อยไปถามหาที่สาขาอื่น”


ถึงน้ำเสียงฟังดูนุ่มนวลและใจเย็น ตฤณยังคงหัวใจเต้นตุบตับด้วยกลัวว่าผลจะออกมาเป็นอย่างเดิม


“ชื่อคุณชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุลครับ”


“เอ่อ...นามสกุลอะไรนะคะ”


“ตันจราพิทักษ์กุลครับ”


ตฤณนิ่งไปเมื่อเห็นคุณผู้จัดการขมวดคิ้วจนทำให้ใบหน้าดูดุ แต่คนที่ถูกตำหนิไม่ใช่ตฤณ เป็นพนักงานสาวคนนั้น


“เธอเพิ่งมาทำงานใหม่ใช่ไหมเนี่ย ถึงได้ไปหาชื่อในรายชื่อแขก”


คนถูกถามพยักหน้าทั้งที่ยังทำสีหน้าไม่ถูก พอผู้จัดการหันกลับมาตฤณเองยังเกือบสะดุ้ง ลิปสติกสีแดงเข้มนั่นมีพลังงานบางอย่างอยู่แน่ๆ


“ไม่ทราบว่าได้นัดไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ”


“เปล่าครับไม่ได้นัด แต่ถ้าเขาไม่สะดวกไม่เป็นไรนะครับ พอดีผมผ่านมาเฉยๆ เขาแค่ให้ที่อยู่เอาไว้เลยคิดว่าแวะมาวันธรรมดาได้”


“รอสักครู่นะคะ” คุณผู้จัดการว่าแบบนั้นแล้วเดินไปด้านหลังล็อบบี้ยกหูโทรศัพท์สายภายในของโรงแรม ตอนนี้คนที่ถ่อสังขารมาจากสนามหลวงค่อยเบาใจหน่อยว่าคุณวินคนที่เขาตามหานั้นมีตัวตนอยู่จริง อึดใจเดียวหญิงวัยกลางคนน่าเกรงขามก็เดินกลับมาหา แต่ตฤณเห็นว่าสายโทรศัพท์ภายในยังไม่ได้วางไป


“จะให้แจ้งว่าใครมาขอพบคะ”


“ผมชื่อตฤณครับ”


แล้วเธอก็เดินกลับไปใหม่ พยักหน้าสองสามทีจึงวางสายไป


“ดิฉันแจ้งให้แล้วค่ะ เดี๋ยวรบกวนคุณตฤณเดินไปที่ลิฟต์ด้านขวามือทางด้านโน้นนะคะแล้วกดไปที่ชั้นสิบหก ออกจากลิฟต์ไปจะมีพนักงานยืนรอรับอยู่ค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลารอนาน”


“ไม่เป็นไรครับ แค่ผมไม่ต้องไปตามหาที่สาขาอื่นก็ดีใจแล้ว ขอบคุณมากครับ” ตฤณยกมือไหว้ขอบคุณคนเป็นผู้ใหญ่กว่า ซึ่งเธอก็ยิ้มเอ็นดูยกมือรับไหว้แล้วเดินไปดูแลแขกชาวต่างชาติอีกกลุ่ม เขาเลยเดินไปตามทางที่ผู้จัดการว่าไว้เพื่อกดลิฟต์แล้วขึ้นไปหาคนที่ต้องการเจอ


ทำไปทำมาตฤณรู้สึกตัวเล็กอย่างไรชอบกล เสียวแปลบตามเนื้อตัวเหมือนเวลาครูกำลังจะสุ่มเลขที่ตอบคำถามสมัยมัธยม ตัวเลขดิจิตอลบนเครื่องแสดงผลเริ่มเพิ่มจากเลขเดียวเป็นสองหลัก คนที่ขึ้นลิฟต์มาคนเดียวเผลอขบกรามแน่น กลืนน้ำลายเหนียวลงคอลำบาก


คุณวินทำไมพักอยู่ชั้นบนสุดเลยนะ ชั้นบนสุดในโรงแรมกลางเมืองขนาดนี้ราคาห้องต้องแพงหูดับตับไหม้แน่นอน คนที่ภายนอกดูธรรมดาแบบนั้นจะมีกำลังจ่ายไหวหรือ แต่ก็อีกนั่นแหละ พ่อมดในคราบมักเกิ้ลแบบคุณเขาน่าจะมีอะไรที่ตฤณไม่รู้อีกเยอะ


เผลอแป๊บเดียวเสียงกริ่งดังขึ้นจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง คนแรกที่ได้เห็นหน้าค่าตาเป็นผู้หญิงสวยแต่งตัวเรียบร้อยคนหนึ่ง เดาว่าเป็นคนที่คุณผู้จัดการข้างล่างบอกไว้


“คุณตฤณหรือเปล่าคะ”


“ใช่ครับ”


“ไม่ทราบว่าได้นัดล่วงหน้าไว้หรือเปล่าคะ พอดีตอนนี้คุณชวินทร์กำลังประชุมอยู่ ถ้าเป็นนัดส่วนตัวหรือเป็นเรื่องเร่งด่วนดิฉันจะได้รีบไปแจ้งก่อน”


“มะ...ไม่ด่วนครับ ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ ผมไม่ได้นัดเอาไว้ก่อน แค่ผ่านมาก็แวะเข้ามาเฉยๆ” ตฤณรีบร้องห้ามคนที่พร้อมจะเดินออกไปทุกเมื่อแล้วพูดรัวเร็ว “รอได้ครับ”


“อย่างนั้นเชิญเข้าไปรอที่ห้องด้านในก่อนนะคะ อีกสิบนาทีประชุมถึงจะเลิก ถ้าคุณชวินทร์ประชุมเสร็จดิฉันจะบอกเขาว่าคุณมารอ”


“ขอบคุณมากนะครับ รบกวนแย่เลย” ตฤณถึงกับปาดเหงื่อบนขมับเมื่อพูดจบแล้วหญิงสาวพาเข้ามานั่งรอในห้องอีกห้อง

พนักงานที่นี่พูดจาสุภาพมากเสียจนเขากลายเป็นคนห่ามไปเลยเมื่อเดินเข้ามาตั้งแต่หน้าประตู ไม่เคยรู้มาก่อนว่างานโรงแรมจะทำงานประสานกันรวดเร็วเป็นระบบระเบียบขนาดนี้




ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย รู้แน่ชัดแล้วว่าคุณวินไม่ใช่แขก แขกที่มาพักไม่ต้องประชุม แสดงว่ามีตำแหน่งงานให้คนชื่อชวินทร์อยู่ในโรงแรมแห่งนี้ แต่ยิ่งคิดตฤณยิ่งไม่อยากรู้ เกิดกลัวขึ้นมาเสียเองว่าถ้าขุดลึกลงไปเรื่อยๆจะเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้นระคนเหนื่อยใจกว่าที่เจอตอนนี้อีก


ถามตัวเองเป็นรอบที่ล้าน ว่ามาทำไมวะเนี่ย


ห้าโมงสามสิบนาที บรรยากาศกรุงเทพย่านสาทรด้านนอกกระจกเริ่มเข้าสู่เวลาโพล้เพล้ ท้องฟ้าสว่างน้อยลง ตึกและห้างร้านบางแห่งเปิดไฟขับไล่ความมืดก่อนแล้ว ตฤณที่นั่งรอมาสิบนาทีตามที่คนข้างนอกบอกให้รอเริ่มกลับมากังวลอีกครั้งเมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะได้พบคนที่คิดถึงอยากเจอมาตลอดทั้งเดือน


“ขอโทษที่ต้องให้รอนานนะครับ มารอพบผม...”


ตฤณในชุดนักศึกษากำลังมองวิวด้านนอกหันกลับมาตามเสียงที่คุ้นเคย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าของเสียงน่าฟังหยุดพูดไปดื้อๆแล้วนิ่งงันไปก่อน แววตาน่ามองหลังเลนส์แว่นบางเฉียบมีราคาทั้งสองข้างไหวระริกไปชั่วขณะ ตฤณดูไม่ออกว่าคนตรงหน้ากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร


“คุณตฤณ”


“คะ...ครับ คุณวิน”


ใจของเขาเต้นตึกตัก เสียงทุ้มใสเรียกชื่อของเขา พลังมันช่างมีผลกับก้อนเนื้อในอก รุนแรงเหมือนจะทำให้ระเบิดออกมาด้านนอกเดี๋ยวนั้น นี่หรือเปล่าที่มาของคำว่าหัวใจเรียกร้องที่กายพูดเมื่อตอนบ่าย

__________

การเดินทางของเจ้าตฤณ ตอนนี้จ่ายค่าตัวคุณวินไปห้าสิบบาทเลยออกมาแค่นี้ แต่ตอนหน้าจะมาเยอะแล้วนะ :o8:
เล่นทวิตเตอร์ติด #หลงมาที่สาทร ด้วยนะคะถ้าชอบ เราอยากอ่านฟีดแบค  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn IV [10/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 10-07-2019 11:43:05
ทำไมคุณวินไม่มาหาน้องที่ห้องล่ะคะ


 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn V หลงมาที่สาทร [11/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 11-07-2019 14:28:55
Lost at Sathorn V
หลงมาที่สาทร



ตอนได้ยินเสียงเรียกชื่อว่าแทบแย่แล้ว ช่วงตกตะลึงผ่านไปแค่แป๊บเดียว รอยยิ้มที่มุมปากสีสดในสายตาที่ตฤณกำลังมองอยู่ก็ยกมุมโค้งขึ้นทีละน้อยจนสุด เข้ารับกันดีกับดวงตาที่ยิ้มตามได้ด้วย คุณวินดูสว่างสดใสที่สุดในห้องนี้ ถ้าตฤณเป็นแวมไพร์คงถูกแผดเผาเป็นธุลีสลายไป


“มาได้ยังไงครับ นี่มันจะหกโมงเย็นแล้วนะ ไม่กลับหอเหรอ” คนถามยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองแล้วกลับมามองหน้าเขาใหม่ “หรือมีแพลนจะไปเที่ยว?”


ตฤณไม่ได้ซื่อเกินไปที่จะตอบว่าพอเลิกเรียนแล้วเขานั่งรถเมล์ออกจากป้ายรถที่สนามหลวงมาถึงสยาม ต่อรถไฟฟ้าจากสยามมาลงที่สถานีสุรศักดิ์เพื่อจะหลงทางสักพักและนั่งพี่สุชาติบึ่งมาหาคุณวินที่โรงแรมหรูบนชั้นสิบหก คุณวินเลิกคิ้วขึ้นราวกับจะเร่งให้เขาตอบคำถามนั้นโดยไม่ถามซ้ำ


“ผม...นั่งรถมาครับ”


คำว่าโชว์โง่มีอยู่จริง ถ้าสมองคิดใคร่ครวญแต่ปากตอบไปอีกอย่างแบบนี้กลับไปที่ห้องต้องตรวจสอบดูว่าน็อตตัวไหนไขไม่แน่น


คราวนี้คุณวินยิ้มเห็นฟันเรียงสวยเสียกว้าง หลุดหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนสิ่งที่เขาตอบมันตลกนักหนา ตฤณว่าตัวเองคงเมาโกโก้ เผยรอยยิ้มแห้งเพื่อบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะตอบกวนอวัยวะเบื้องล่าง ตฤณแค่ตื่นเต้น


“รอตรงนี้เดี๋ยวนะ” แล้วคุณวินก็ยกห้านิ้วเป็นพระปางห้ามญาติ หันหลังกลับไปเปิดประตูหน้าห้อง พูดคุยกับเสียงที่คาดว่าน่าจะเป็นพี่สาวคนที่พาตฤณมานั่งรอ ประตูไม่ได้ปิดสนิทแต่มีรอยแง้มกว้างพอที่คนในห้องจะได้ยินเสียงดังลอดมาบ้าง


“คุณโสมครับ ตฤณที่ว่านี่คือน้องตฤณคนนี้หรอกเหรอ ผมนึกว่าตฤณเพื่อนผม”


น้องตฤณ?


“ขอโทษค่ะคุณวิน โสมลืมไปว่าน้องคนนี้ชื่อเดียวกับคุณติณภพเพื่อนคุณ ผู้จัดการที่ล็อบบี้โทรแจ้งแค่ว่าชื่อตฤณโสมเลยไม่รู้รายละเอียดอื่น”


“ครับๆไม่เป็นไร ขอบคุณมากครับ”


ตฤณเดินมาหยิบกระเป๋าเป้กับแก้วโกโก้ปั่นเตรียมพร้อม พยายามไม่ใส่ใจเสียงคนที่กำลังเดินกลับเข้ามาหาเขา การเล่นละครว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันนี่มันยากกว่าที่คิด และตัวเองคงทำได้ไม่เนียนมากๆ คุณวินถึงได้ยืนยิ้มรอเขาหันไปอยู่ก่อนแล้ว


“ตกลงยังไงเนี่ยคุณตฤณ มาทำธุระแถวนี้? แค่ผ่านเลยแวะเข้ามาหา? หรือว่า...”


“ตั้งใจมาครับ” คนอายุน้อยกว่าชิงตอบก่อนที่ตัวเลือกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ “ผมตั้งใจมาหาเอง”


“มีอะไรกับผมหรือเปล่าล่ะ พูดมาได้เลย”


ตฤณไม่รู้ว่าเรายืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ให้ได้สังเกตรายละเอียด คุณวินยืนกอดอกนิ่งๆเหมือนรอฟัง วันนี้เขาใส่เสื้อเชิร์ทลายทางสีน้ำเงิน เนกไทด์สีแดงเลือดนก กางเกงทำงานสีเดียวกับไทด์ที่คาดว่ามีเสื้อสูททำงานสีเดียวกันแต่ถูกถอดออกไปก่อน ทรงผมอันเดอร์คัทสั้นกว่าวันแรกที่พบกันทว่าเส้นไหมดำขลับหยักศกด้านบนยังดูนุ่มละมุนละไมเหมือนเดิม ที่สำคัญคือไม่หลุดทรงแม้ใกล้หมดวันทำงาน


น้อยแต่มาก ตฤณมีความคิดเห็นเพียงคำเดียวให้คนตรงหน้า


ดวงตาคู่นั้นดูแพรวพราวเมื่อคุณวินเชิดคางเล็กน้อยมองมาที่เขา มันดูเป็นการถามที่ค่อนข้างเป็นทางการ หากดูเหมือนกำลังแกล้งในคราวเดียวกัน นี่คุณวินคงไม่ได้คิดว่าเขามาหาเพราะจะมาคุยงานใช่ไหม เขาเป็นแค่เด็กปีสาม ไม่ใช่ลูกน้องหรือเด็กเบลบอยยกกระเป๋าแขก


“ผมคิดถึงคุณชวินทร์ครับ”


ตอบออกไปแบบนั้นทำให้คุณวินเลิกคิ้วขึ้นสูง เห็นด้วยว่าสีหน้าขรึมแบบหลอกๆนั้นอ่อนลงแถมยังแก้มกระตุกเหมือนกลั้นยิ้ม ตฤณไม่อยากคิดเยอะก่อนตอบคำถามอีกต่อไปแล้วเพราะคิดเท่าไหร่ไม่เคยตอบตรงตามที่คิด หากคุณวินเป็นคนง่ายๆสบายๆ ตฤณเองควรปรับตัวด้วยการทำอะไรไม่ซับซ้อน เริ่มต้นด้วยการพูดในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องก่อน


โคตรเชย แต่ชัวร์


“โทรมาก็ได้นี่ครับ ผมว่าผมให้เบอร์ไปแล้วนะ”


“กลัวโทรมาแล้วรบกวนเวลางานคุณวินครับเลยไม่กล้าโทร”


“ก็มาหาถึงที่เลยว่างั้น?” คนพูดเลิกกอดอกแล้ว แต่น่าจะยังหยอกเขาอยู่ “ดีนะที่วันนี้ผมอยู่ ถ้าเกิดไม่อยู่คงจะมาเสียเที่ยว คุณตฤณครับ ช่วงหมดเวลาทำงานแล้วสักสองทุ่มสามทุ่มก็โทรมาได้นะ แต่จะว่าไปแล้วมือถือผมเงียบกริบเลยล่ะ”


คนที่ทำอะไรก็น่ามองไปหมดอย่างคุณวินกำลังใช้มือซ้ายล้วงกระเป๋ากางเกง มือขวาหยิบมือถือรุ่นล่าสุดราคาหลายหมื่นบาทออกมาจับพลิกหน้าพลิกหลังแล้วเก็บเข้าที่เดิม จากเดิมยืนตรงพอเขาเปลี่ยนมาเป็นการยืนพักเข่าทำให้เสื้อผ้าบิดตามทรวดทรงเจ้าของมันแบบพอดิบพอดี ไม่ว่าจะบ่าไหล่ ลำตัว สะโพกหรือรูปท่อนขา ตฤณกลืนน้ำลายลงคอไปอีกอึกใหญ่พอทั้งหมดที่ว่ามามันอยู่ในสายตาตัวเอง


“คือ...ช่วงนั้นผมยุ่งๆเรื่องเรียน” เขาได้ยินเสียงตัวเองอธิบาย “แล้วยังไม่ทันจะตั้งตัวดีก็มีสอบกลางภาคด้วยครับ”


“ยอมรับนะว่าแอบหวังให้คุณติดต่อมา” คุณวินถอนหายใจยาว ย่นจมูกยู่ปากทำเสียงอ่อนฟังดูน่ารัก “แต่คุณเงียบไปเลยคิดว่าเราคงไม่ได้พบกันอีก งานผมก็เยอะด้วยจนไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อไปเอง”


เด็กหนุ่มพยักหน้าว่าเข้าใจอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง คุณวินต้องทำงาน ขนาดวันนี้ยังเลิกประชุมเย็นมากเกินเวลาทำงานปกติ ที่ผ่านมาคงไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกเรื่องไม่มีเวลา ถึงเป็นพ่อมดเก่งกาจขนาดไหนก็คงควบคุมไม่ให้งานเดินเข้ามาหาตัวเองไม่ได้ แต่กับตัวเขาเองต่างหากที่แย่ที่สุด ได้รู้ความจริงแล้วว่าคุณวินรอการตอบกลับของเขาเช่นกัน ที่ผ่านมาดันขี้ขลาดเอง น่าเขกหัว น่าให้ไอ้กายมาด่ากรอกหูซ้ำๆจนกว่าจะหายฉลาดน้อย


“แต่ผมไม่ปฏิเสธนะว่ามีหลายครั้งที่...คิดถึงคุณตฤณเหมือนกัน”


นักศึกษาธรรมดาๆอย่างเขาถูกพ่อมดสะกดด้วยคำพูดอันตรายอีกแล้ว คุณวินยิ้มให้เขาแบบวันนั้นที่ตรอกข้าวสาร ตฤณเผลอบีบแก้วโกโก้จนมันเกือบบุบด้วยแรงมือ หัวใจฟูฟุ้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ได้นับ ไม่คิดนับเพราะคาดว่าจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง


“ผมเลยต้องมาวันนี้ไง”


“อืม เข้าใจแล้วครับ” คนอายุมากกว่าก้าวเข้ามาประชิดในที่สุดแล้วยีหัวเขา “ไปไหนต่อหรือเปล่า”


นั่นสิ พลังอานุภาพของเสียงหัวใจเรียกร้องมันเกิดขึ้นเพียงสั้นๆทำให้ต้องกระเหี้ยนกระหือรือจะมา แต่ตฤณลืมคิดไปว่าพอมาถึงได้เจอหน้าแล้วจะเอาอย่างไรต่อไป กัดปากเร่งให้ตัวเองรีบๆคิดรีบๆตอบก็คิดไม่ได้ แค่คิดถึงล้วนๆเลยมาหา ไม่มีอย่างอื่นผสม อยู่ไปน่าจะรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณวิน


“คงกลับเลยมั้งครับ ไม่รู้จะอยู่ทำไม”


“คุณนี่ใช้เวลาไม่คุ้มค่าเลยตฤณ” เขาเอ็ด “มาทั้งทีเจอหน้าปุ๊บรีบกลับเสียแล้ว ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมยังไม่หายคิดถึงเลย ทำไมเด็กสมัยนี้ใจร้ายกันจัง”


คุณวินมักพูดอะไรให้ฟังดูไม่ซับซ้อนเสมอ หากตฤณมั่นใจว่านี่เป็นการร่ายมนตร์สะกดรูปแบบใหม่ของพ่อมดไม่ให้เขาตั้งตัวก่อน ทำให้ตอนนี้ตัวแข็งทื่อไปหมดยกเว้นลูกตาที่ยังเคลื่อนไหวได้


“ละ...แล้วผมต้องทำไง”


“คุณโสมครับ คุณโสม เข้ามาหน่อยครับ” เขาไม่ตอบคำถามแต่กลับออกเสียงเต็มหน่วยเรียกคนข้างนอกเข้ามา ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมหญิงสาวคนเดิม ตอนนี้ตฤณค่อนข้างชัวร์ว่าเธอเป็นเลขาคุณชวินทร์


“คุณวินมีอะไรหรือเปล่าคะ”


“รบกวนคุณโสมช่วยจองโต๊ะอาหารที่ห้องจัดเลี้ยงสองที่นั่งให้ทีครับ อาหารเอาเมนูแนะนำอะไรก็ได้มาสักสามสี่อย่าง อีกสิบนาทีผมกับแขกจะลงไป”


“คุณวินจะทานมื้อเย็นที่โรงแรมเหรอคะ” คุณโสมทวนคำถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คุณวินเพิ่งพูดกับเธอไป


“ครับ ผมจะพาเขาไปทาน” เขาผายมือมาทางตฤณ “รบกวนด้วยนะครับ”


“ได้ค่ะ เดี๋ยวโสมจัดการให้”


สาวสวยรับคำแล้วเดินออกไป เหลือเพียงเขาและคุณวินคนเดิม เพิ่มเติมคือดูอารมณ์ดีมากๆ ตฤณนึกเอะใจว่าเขาทำงานอะไรที่นี่นะถึงได้สามารถสั่งให้เลขาไปจองโต๊ะในห้องอาหาร ถ้าไม่ใช่เพราะตำแหน่งสูงก็คงเป็นสิทธิ์พิเศษสำหรับพนักงานของที่นี่หรือเปล่า


ตฤณกลัวใจว่าจะเป็นอย่างแรกที่เขาคิด


“ไหนๆมาถึงที่นี่แล้ว ตอนนี้เย็นมากแล้วด้วย ไปทานข้าวกันครับ”


ตฤณไม่ยักรู้ว่าพ่อมดชวินทร์สามารถทำให้เขาท้องร้องหิวข้าวทันทีที่สั่งจองโต๊ะได้ด้วย แค่คิดว่าจะได้กินอาหารในโรงแรมหรูกับคุณวินเขาก็น้ำตาจะไหลแล้ว


ก่อนลงมาที่ห้องอาหาร คุณวินบอกให้เขารออยู่ที่หน้าลิฟต์แล้วเดินหายเข้าไปในห้องอีกฝั่ง ตฤณสายตาปกติเลยมองป้ายชื่อบนห้องได้ แต่ก็เห็นเพียงชื่อภาษาไทยตัวใหญ่อันเป็นชื่อของคุณวินนั่นแหละ ไม่เห็นว่าบรรทัดล่างที่อักษรขนาดเล็กกว่าเขียนว่าอะไร มันอยู่ไกลเกินไป


หลังจากนั้นไม่นานคนที่รอก็เดินออกมาพร้อมสิ่งของเพิ่มเติมอันได้แต่เสื้อสูทตัวนอกที่ตฤณเดาถูกเป๊ะว่าต้องเป็นสีที่เข้าชุดกัน และกระเป๋าถือสีดำสนิทอีกหนึ่งใบ คุณวินดูไม่เหมือนคนมาทำงานเลย เขาเหมือนมาเดินแบบ มีการหยุดแวะคุยที่โต๊ะคุณโสม ตฤณได้ยินคร่าวๆว่าแบบนี้


“คราวหน้าให้น้องตฤณเข้ามารอที่ห้องทำงานผมได้เลยนะครับ ไม่ต้องไปรอที่ห้องรับแขก”


ได้ยินคำนั้นเป็นครั้งที่สองแล้วแต่เจ้าของชื่อไม่ยักชินหู คนห่ามฉลาดน้อยอย่างเขาไม่น่ามีคนมาเติมคำว่าน้องข้างหน้าชื่อเลย โคตรไม่เข้ากัน ขัดกับหน้าตาสุดๆ




มื้อเย็นที่ห้องอาหารตฤณว่าคุณวินคลายมนตร์สะกดตอนที่อาหารหมดไปแล้วครึ่งจานเห็นจะได้ อาหารไม่ซ้ำประเภทแม้มีเพียงสามสี่อย่างตามที่คุณวินบอกให้คุณโสมเลือกหา แต่ตฤณยกให้ติ่มซำกุ้งเป็นพระเอกของมื้อนี้ กุ้งตัวใหญ่และสดมากจนกัดแล้วเกิดความนุ่มเด้งสู้ลิ้น


“สั่งอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”


“อ่า ไม่ดีกว่าครับ มันดูแพง”


ตฤณหมายความตามที่พูด โรงแรมหรูขนาดนี้อาหารต้องแพงเป็นธรรมดาตามระดับฝีมือเชฟ และหากคุณวินนึกเอ็นดูเขาจะเป็นเจ้ามือเลี้ยง ต้องเกรงใจไม่กินเยอะจนเขาจ่ายไม่ไหว ว่าแล้วก็รวบช้อนเรียบร้อยนั่งสงบปากมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม จานอาหารคุณวินไม่มีอะไรเหลือเหมือนกัน แต่จานตฤณดูผ่านสมรภูมิที่หนักกว่ามาก


“ไม่ต้องเกรงใจหรอก คุณดูกินเก่งนะ ตอนผมจับเนื้อหนังไปนี่เต็มไม้เต็มมือ อย่าอดเลยครับ”


เขายกมือเรียกบริกรทันทีที่พูดจบ จะห้ามคงไม่ทัน ตฤณกำลังให้ความสนใจคำพูดง่ายๆของเขาอยู่ ดูกินเก่งคืออ้วนหรือเปล่า จับเต็มไม้เต็มมือคืออะไร แล้วคุณวินจับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่...


อ่อ ตอนนั้นนี่เอง


“มาลำบากไหมครับ”


“นิดหน่อยครับ” ตฤณหัวเราะเสียงแห้ง จิบน้ำแก้เก้อ “ประมาณสามต่อ รถติดแต่ไม่มาก”


“คงเหนื่อยแย่เลยใช่ไหม คุณนี่ก็เก่งเหมือนกันนะ โรงแรมอยู่ในซอยยังตามหาจนเจอ นึกว่าจะหลงทาง”


“หลง” เขาสวนขึ้นไปทันที ผลคือคุณวินชะงักไปแล้วหัวเราะ เห็นเขาอารมณ์ดีแบบนั้นอยากจะพูดต่อให้จบว่า นอกจากหลงทางแล้วผมยังหลงคุณมากๆด้วยล่ะครับ


“อย่างนั้นตอนกลับผมจะขับรถไปส่ง รถติดหน่อยนะแต่รับรองไม่หลงแน่นอน นั่งสบายๆได้เลย”


ยังไม่ทันที่จะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ พนักงานก็เดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารเพิ่มเสียก่อน เราเลยต้องเลิกคุยกันชั่วคราวแล้วจัดการอาหาร บางทีคำว่าเราก็หมายถึงการที่ตฤณกินติ่มซำกุ้งคนเดียวโดยมีอีกคนนั่งมองทุกการกระทำ


เรายังคุยกันนิดหน่อยเหมือนเดิมด้วยเรื่องสัพเพเหระง่ายๆอย่างเช่นผลสอบกลางภาคเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้คุณวินประชุมเกือบทั้งวันจนไม่ได้กินข้าวกลางวัน ยังไปนั่งที่ร้านแถบข้าวสารอยู่หรือเปล่า และวันนี้พนักงานที่ล็อบบี้เกือบทำให้เราไม่ได้เจอกันด้วยนะ โดยส่วนใหญ่คุณผู้ใหญ่ใจดีเป็นฝ่ายถามเสียมากกว่า


“คุณวินครับ”


“ครับ?”


“คุณวินทำงานอะไรที่นี่เหรอครับ ผมถามได้หรือเปล่า” ตฤณพูดเสริมต่อท้ายไม่ให้ดูละลาบละล้วงเกินไป พ่อมดของเขาระบายยิ้มก่อนตอบ


“ผมเป็น GM ครับ”


“GM นี่ทำงานอะไรบ้างเหรอครับ พอดีผมไม่รู้ศัพท์ของโรงแรมเท่าไหร่ ว่าจะลงเรียนวิชาภาษาสำหรับธุรกิจโรงแรมเทอมหน้าเพราะเทอมนี้วิชาไม่เปิด”


“งานทั่วไปครับ งานจับฉ่าย ทำอันนั้นบ้างอันโน้นบ้าง ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”


ตฤณแอบเห็นดวงตาใต้กรอบแว่นกลมดูระยิบระยับแปลกไป แต่ทำแค่พยักหน้าเหมือนเข้าใจ เพราะเรื่องงานโรงแรมตฤณไม่มีความรู้เลย ถ้าสงสัยอะไรเอาไว้ค่อยถามคราวต่อไปจะดีกว่า


“ผมถามคุณบ้างดีกว่า...ทำไมถึงชอบผม”


คราวนี้คุณชวินทร์ไม่ได้ร่ายมนตร์สะกด ใบหน้าเขายังคงดูน่าหลงใหลในแบบฉบับที่ตฤณชอบ แต่ส่งระเบิดกำมะถันลูกใหญ่ลงมาเต็มๆดังตูมในความคิด


“เอ่อ...ไม่รู้ครับ น่าจะเพราะคุณวินดูเป็นคนสบายๆ ใจดี หรือไม่ก็วันนั้นผมเบลอ หลอกตัวเองว่าคุณน่าสนใจแล้วความคิดมันฝังหัว” หรือไม่ก็เป็นเพราะคุณกำลังร่ายมนตร์เสน่ห์ใส่ผมอยู่ “คุณล่ะครับ”


“ผมใช้คำว่าต้องตา แปลว่าคุณถูกใจผม แค่นั้นเอง”


“แล้วเราเจอกันในที่อโคจรแบบนั้นไม่คิดว่ามันอันตรายเหรอครับ แบบว่าถ้าผมคิดจะหลอกเอาเงินหรือแบบ ไปต่อด้วยกันแล้วจะ...อะไรแบบนั้น”


“จะอะไรคืออะไร” เขาหัวเราะอีกแล้ว อาหารที่กินนี่มันมีส่วนผสมของกัญชาหรือยังไงนะ แต่ตฤณกินแล้วไม่ยักอารมณ์ดีตาม “ไม่หรอก ผมว่าผมมองคนไม่ผิดนะ”


“ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะมีอะไรน่าสนใจเลย”


“คุณรู้ไหมว่าก่อนจะสร้างโรงแรมขึ้นมาสักที่ มันต้องทำอะไรบ้าง”


ตฤณส่ายหน้า อยู่ๆคุณวินเปลี่ยนเรื่องจากร้านเหล้าไปโรงแรมได้อย่างไร


“คนธรรมดาจะมองว่าที่ดินผืนหนึ่งเป็นที่ดินเปล่า ก็แค่ที่ดิน นักลงทุนที่เก่งจะมองว่ามันเป็นโอกาสทอง และสามารถทำให้พื้นที่รกร้างหรือที่ดินเปล่าๆไม่น่าสนใจ กลายเป็นโรงแรมหรู เป็นรีสอร์ทสวยๆได้นะ แบบที่จากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลย ของแบบนี้อยู่ที่ว่าคนมองจะมีมุมมองยังไง มองเห็นคุณค่าอะไรในสิ่งนั้น”


ตฤณว่านี่คือสิ่งที่เขาถามหาจากตัวคุณวินบ่อยครั้งเรื่องที่มีอะไรมากกว่าแค่ที่เห็น ภายใต้คำพูดเข้าใจง่ายนั้นคงมีเนื้อหาลึกซึ้งแฝงไว้ ถึงตฤณไม่เข้าใจทั้งหมด แต่เข้าใจแล้วว่าคุณวินต้องการสื่ออะไร


“อย่างเช่นตอนนี้ ที่ผมกำลังลงทุนกับคุณอยู่ไงครับ”


ถ้าจะหมายถึงเลี้ยงอาหารมื้อนี้แล้วล่ะก็ คุณมาถูกทางแล้วครับ นี่ไม่ได้เห็นแก่กินเลยนะ ไม่เลย


“ผมเป็นคนน่าเบื่อ ชีวิตไม่น่าสนใจแถมยังเป็นเด็กมหาลัยที่ยังเรียนไม่จบ ไม่คิดว่าจะลงทุนเสียเปล่าเหรอครับ คุณวินดูเป็นคนเก่ง ชีวิตน่าจะดีกว่าอีก”


“อันที่จริง...ผมไม่ได้มีใครมาสักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ วันนั้นที่เราเจอกันผมรู้สึกว่าถูกใจคุณมากๆ ถ้าคุณตฤณลองคบกับผมคุณจะรู้ว่าชีวิตผมน่าเบื่อกว่าของคุณเยอะเลยครับ ผมบอกแล้วว่าน่าจะมองคนไม่ผิด”


พ่อมดที่อื่นน่ากลัวขนาดไหน อันตรายขนาดไหนตฤณไม่รู้ แต่พ่อมดที่โรงแรมย่านสาทรกำลังจะฆ่าเขาด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคกับสายตาหวานเชื่อมและรอยยิ้มมุมปาก ถึงแม้จะพูดยาวหลายประโยค แต่สมองเขาโฟกัสได้แค่ประโยคเดียวเท่านั้น


ถ้าคุณตฤณลองคบกับผม

__________

คุณวินมาแล้วนะ ตฤณบอกว่าไม่เอาค่าตัวตอนนี้  :hao7:
*GM = General Manager ผู้จัดการทั่วไป

อ่านแล้วชอบ ส่งฟีดแบคได้ที่ #หลงมาที่สาทร ด้วยนะฮ้าบ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn V หลงมาที่สาทร [11/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-07-2019 18:39:15
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn V หลงมาที่สาทร [11/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 11-07-2019 20:42:11
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn VI หลงมาที่สาทร [12/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 12-07-2019 15:09:12
Lost at Sathorn VI
หลงมาที่สาทร




ชวินทร์เบื่อการประชุมเป็นที่สุด เบื่อมากกว่าการกินอาหารในโรงแรมของตัวเอง เพียงแต่เรื่องอาหารยังหนีไปกินที่อื่นได้ การประชุมของโรงแรมหนีไม่ได้ ด้วยตำแหน่งที่ตัวเองถูกยัดเยียดมาให้เป็นอยู่


ตอนเรียนมหาวิทยาลัยจำได้ว่าพ่อแม่ให้เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ เขาจึงเลือกเรียนรัฐศาสตร์สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่พอกลับมาจากการไปเที่ยวต่างประเทศก่อนจะได้เริ่มหางานทำอย่างจริงจัง พ่อแม่คนที่ตามใจมาตลอดกลับเปลี่ยนเป็นคนละคนเหมือนไม่เคยทำข้อตกลงกันเอาไว้


ทั้งสองคนคงเห็นว่าชวินทร์เป็นคนง่ายๆ เชื่อฟังดี เป็นไม้อ่อนที่ดัดให้เป็นรูปร่างตามต้องการ ต่างจากพี่ชายของเขาที่หัวดื้อเป็นที่สุด พ่อแม่ใช้ไม่ตายที่คนอย่างชวินทร์ไม่สามารถปฏิเสธได้


“พ่อกับแม่ตามใจวินมาตลอด ขอแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวได้ไหมลูก”


และแล้วชื่อของชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุล ก็เข้าไปอยู่ในบอร์ดผู้บริหารในโรงแรมหรูใจกลางเมือง อันเป็นเครือข่ายกิ่งก้านสาขาของโรงแรมสาขาใหญ่ที่พ่อกับแม่บริหารร่วมกันอยู่ พี่ชายของชวินทร์ได้อีกสาขาโรงแรมไปบริหารเช่นกัน แต่เป็นการรับที่ไม่เท่ากัน


ชวินทร์ไม่ได้เรียนจบทั้งทางด้านการโรงแรมและการบริหาร อยู่ๆต้องมาเป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีลูกน้องและพนักงานหลายคนให้ดูแล เป็นภาระอันใหญ่หลวงและหนักเอาการ เขาไม่เคยสนใจคำนินทาที่ว่าใช้เส้นสายจากพ่อแม่แล้วเข้าทำงานได้ทันทีโดยไม่ต้องทำอะไร เพราะมันเป็นความจริงทุกอย่าง แต่ที่เก็บเอามาคิดคือการที่บอกว่าดีแต่นั่งตำแหน่งสูงชี้นิ้วสั่งไปวันๆเพราะทำงานไม่เป็น เขายอมไม่ได้


หลังมีชื่อเป็นผู้บริหารได้เพียงครึ่งปี ชวินทร์ขอร้องอ้อนวอนที่จะลาออกเพื่อไปเรียนต่อทุกด้านที่ต้องใช้ความรู้มาสานต่อธุรกิจของพ่อกับแม่ ให้พี่ชายซึ่งเรียนจบและมีประสบการณ์ทำงานมากกว่ามาทำแทนไปก่อน ทางพี่ชายของเขาตกลงทุกอย่าง แต่บุพการีดันมีเงื่อนไขกับเขา ชวินทร์เรียนต่อได้แต่ยังต้องอยู่ทำงานในโรงแรม เมื่อหมดหนทางจะต่อรอง เขาเลยต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ ทั้งเรียนต่อและเรียนรู้งานในโรงแรมจากพนักงานใจดีทั้งหลายที่ไปขอร้องกึ่งบังคับให้มาช่วยสอนงาน


ช่วงเวลาแสนทรหดเหล่านั้นผ่านพ้นไปได้ ชายหนุ่มเรียนจบปริญญาโท ทั้งในสถานที่ทำงานก็เรียนรู้งานไปได้หลายอย่างจากเดิมที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แต่ทั้งหมดนั้นต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อเคล้าน้ำตา การไปร้องไห้ระบายกับพี่ชายคนเดียวที่มีอยู่หลายครั้ง แลกกับการที่ค่อยๆสูญเสียรอยยิ้มไป สายตาที่สั้นเพิ่มขึ้นมาก และชีวิตรักชั่วครั้งชั่วคราวที่ไม่เคยหาความจริงจังเจอ แม้ทุกคนที่บ้านจะรับทราบและยอมรับในรสนิยมของเขาก็ตาม


ลูกชายคนเล็กของครอบครัวถือคติว่าหากจะเป็นเจ้าคนนายคนได้ต้องทำทุกอย่างเป็น ดังนั้นพอกลับเข้ามาบริหารโรงแรมเต็มตัว ชวินทร์ใช้อำนาจในมือที่มีอยู่โยกย้ายตัวเองไปทำงานแต่ละส่วน ทั้งด้านงานครัว การต้อนรับ ฝ่ายบุคคล และอื่นๆแทบทุกด้านเพื่อทำความเข้าใจภาพรวมคร่าวๆ ฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น แต่เชื่อเถอะว่าชวินทร์ทำมาแล้ว ทำจนพ่อแม่ต้องบอกให้พักบ้าง พี่ชายที่ว่าเก่งยังชื่นชมเขา แต่แอบบอกเช่นกันว่าอย่าฝืนมากจนไม่มีเวลาให้ตัวเอง พี่ชายเป็นห่วงว่าเขาทำงานได้ แต่จะไม่มีความสุขเพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำมาตั้งแต่แรก


จะอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องไม่มีใครมาว่าเขาได้ว่าทำงานไม่เป็น


สู้กับมันอยู่ทุกวัน ไปๆมาๆชวินทร์รู้สึกชินชาไปเสียแล้ว ทุกวันนี้หุ้นส่วนมากของโรงแรมลูกแห่งนี้เป็นของเขา เงินก็เงินตัวเอง บริหารก็บริหารเอง รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม แต่ชวินทร์แค่เบื่อเวลาประชุม เพราะทุกคนเอาเรื่องที่เขารู้อยู่แล้วมาพูดซ้ำ จะมีบางเรื่องเท่านั้นที่เป็นความรู้ใหม่หรือต้องระดมสมองกับคนตำแหน่งสูงๆด้วยกันเพื่อจัดการปัญหาต่อไป


“คุณวินมีอะไรหรือเปล่าคะ”


เสียงคุณอาภาโสม เลขาส่วนตัวคนงามเอ่ยขึ้นตอนเปิดประตูเข้ามา ทำเอาชวินทร์หลุดจากภวังค์ความคิดไปชั่วขณะหนึ่ง


“ช่วงนี้มีงานใหญ่ๆอะไรบ้างไหมครับ ผมอยากลาพักสักสองสามวัน”


“ที่จริงมีประชุมเล็กเรื่องการจัดสรรงบประมาณของฝ่ายบุคคลในการจ้างงานพรุ่งนี้ค่ะ แล้วก็มีประชุมเรื่องการปรับปรุงภูมิทัศน์ของชั้นดาดฟ้าที่เป็นสระว่ายน้ำวันมะรืน แต่โสมว่าถ้าคุณวินอยากหยุดคงไม่ต้องกังวลมั้งคะ”


หญิงสาวแกล้งเย้า ส่วนคนเป็นหัวหน้าได้แต่ยิ้มมุมปาก


“คุณโสมก็ว่าไปนั่น ผมออกจะชอบเข้าประชุม” ชายหนุ่มแย้ง “ช่วงนี้ผมขี้เกียจมากๆเลยครับ คุณโสมมีไอเดียอะไรแนะนำบ้างหรือเปล่าว่าควรทำอะไรดี”


ด้วยความที่ชวินทร์กับคุณอาภาโสมอายุเท่ากัน การเอ่ยปากขอคำแนะนำเรื่องอื่นๆนอกจากเรื่องงานจึงเกิดขึ้นประจำเพราะชวินทร์ว่าคนวัยเดียวกันต้องเข้าใจความต้องการที่คล้ายกันเป็นธรรมดา ชวินทร์ให้คำแนะนำกับคุณโสมเรื่องงานเสมอ และคุณโสมก็ให้คำปรึกษาเรื่องนอกเหนือจากงานได้ดี หากนานวันเข้าจนอายุใกล้เลขสี่ยังหาคนที่ตรงตามรสนิยมตัวเองไม่เจอ ชวินทร์ว่าจะเทิร์นตัวเองมาขอคุณโสมแต่งงาน กรณีที่สาวเจ้ายังไม่มีคู่ชีวิตไปเสียก่อน


“คุณตฤณไงคะ”


“โธ่ คนอย่างเขาคงหาเรื่องน่าปวดหัวมาให้ผมอีกตามเคย คุณน่าจะรู้นะ อาทิตย์ที่แล้วมาชวนผมไปทานร้านอาหารเปิดใหม่ที่พื้นที่ของเขา แค่พ่อครัวเผลอใส่ถั่วงอกมายังโวยวายร้านแทบแตก อาทิตย์นี้ยัง...”


“คุณวินคะ” เลขาสาวพูดขัดขึ้น นานครั้งจะทำอย่างนี้ “โสมหมายถึงน้องตฤณน่ะค่ะ คนที่ทำให้คุณวินทานอาหารของโรงแรมในรอบสามปี ไม่ใช่คุณติณภพ”


ชวินทร์เงียบเสียงทั้งที่ยังไม่ได้หุบปากจากการพูดเมื่อครู่ เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจากผู้บริหารโรงแรมระดับนี้ อาภาโสมเห็นอีกคนที่สีหน้าเข้าใจผิดรุนแรงแล้วอดยิ้มไม่ได้


“ตั้งแต่วันที่น้องตฤณมาคุณชวินทร์ดูจะยิ้มบ่อยขึ้นแล้วก็อารมณ์ดีขึ้น แถมคุณยังลงไปทานมื้อเย็นด้วยกันสองสามครั้ง โสมทำงานให้คุณวินมาห้าปีแล้ว เดาเอาเองว่าถึงคุณวินทำงานหนักแต่ถ้ามีน้องตฤณเป็นกำลังใจที่ดีก็สู้ไหวอยู่นะคะ”


คุณโสมมีทีท่าในการใช้คำพูดอย่างระมัดระวังกับเขา ชวินทร์ไม่เคยปิดบังเรื่องความชอบของตัวเองและคุณโสมไม่เคยมีท่าทีรังเกียจหรือมีนิสัยเอาความชอบของเขาไปบอกเล่าต่อในลักษณะนินทา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเจ้านายแต่เพราะเธอไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ ความรู้จักกาลเทศะและมีมารยาทที่ดีเป็นหนึ่งในหลายสิ่งที่ทำให้ชวินทร์ตัดสินใจจ้างคุณโสมเป็นเลขาส่วนตัว นอกเหนือจากศักยภาพในการทำงาน


มีบ้างที่คนของคุณวินแวะเวียนมาหา แต่โสมเห็นว่าแต่ละคนคบกับเจ้านายของเธอในช่วงเวลาที่สั้นมาก เพราะคุณวินดูเปิดใจให้งานมากกว่าให้คนของตัวเอง


“สรุปคือจะไม่ให้ผมหยุดแต่ให้น้องมาหาผมบ่อยๆแทนเหรอครับ จะได้ทำงานไหว”


“หรือคุณวินจะกลับบ้านคุณพ่อคุณแม่คะ?”


“ไม่ล่ะ อยู่คอนโดสบายใจกว่าเยอะ เชิญนั่งคุยกับผมก่อนครับ ยืนนานเมื่อยแย่แล้ว” เขาเอ่ย พอเห็นคู่สนทนานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็อาศัยจังหวะนี้ค่อยๆไถลตัวลงฟุบกับโต๊ะ หญิงสาวหัวเราะ คุณชวินทร์ทำงานหนัก มีหลายครั้งที่ต้องให้เธอมานั่งคุยผ่อนคลายประมาณสิบถึงสิบห้านาที และเขาจะหลุดมาดเจ้าของโรงแรมทำตัวเป็นกันเองกับเลขาสาวราวกับเป็นเพื่อนที่สนิทกัน


“ให้ตฤณมาบ่อยดูจะลำบาก เสียค่ารถ เสียเวลาด้วย ให้เขามีเวลาเต็มที่กับการเรียนดีกว่า”


“ขออนุญาตถามว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว โสมจะได้ให้คำปรึกษาได้ถูกค่ะ”


ชวินทร์เงยหน้าขึ้นมา เปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรงเหมือนเดิมแต่ทีสีหน้าเปลี่ยนไป


“เท่าที่คุณเห็นนั่นแหละครับ ไปมาหาสู่ ทานข้าวด้วยกัน โทรคุยกันบ้าง ตอนเย็นผมขับรถไปส่งที่ห้องพักเขาแล้วก็กลับ”


“แล้วมีความสุขหรือเปล่าคะ” เป็นคำถามที่คุณโสมเลือก แทนการถามว่าไปรู้จักกันได้อย่างไร


“ก็มีครับ ตฤณเป็นเด็กน่ารัก พูดจาดีคุยด้วยง่าย น่าแปลกเหมือนกันที่เขาพูดอะไรนิดหน่อยมันดูตลก น่าเอ็นดูจนผมเผลอยิ้มเผลอหัวเราะ เอ...ดูท่าว่าช่วงนี้ผมหัวเราะบ่อยจริงๆด้วยล่ะ วันก่อนที่ร้านกาแฟเจ้าของร้านแซวว่าเดินยิ้มมาแต่ไกล”


ชวินทร์พูดสิ่งที่ตัวเองคิดไปเรื่อย มาชะงักเอากับใบหน้าสวยงามที่นั่งฟังเขาอยู่ ถึงรู้ตัวว่าระหว่างพูดไปก็ยิ้มไปอยู่จริงๆ


“คุณวินเคยได้ยินคำว่า...ไม่ใช่สถานที่แต่เป็นผู้คน ไหมคะ”


“ครับ ในจักรวาลหนังที่ผมดูอยู่นั่นแหละ”


“ถ้าอยู่กับน้องตฤณแล้วทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนอยู่บ้าน จะอยู่ที่ไหนกับเขาก็สบายใจได้ทั้งนั้นค่ะ เหมือนคุณวินได้ชาร์จแบตให้ตัวเอง คุณวินอาจไม่ได้สังเกตตัวเองเท่าไหร่ แต่ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาโสมแค่เห็นว่าน้องตฤณมาหาคุณสองสามครั้ง คุณวินมีแรงทำงานเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลยค่ะ”


“โอ้โห ผมดีดขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คุณโสมต้องเป็นจาร์วิสให้ไอออนแมนมาก่อนแน่ๆ” เขาหยอกเอินให้อีกคนยิ้ม


“ลองได้เห็นหน้าค่าตา ได้กำลังใจแล้วมันจะมีอีกหลายครั้งตามมาเลยค่ะ โสมเคยไปตามนักร้องเกาหลีมาก่อนเลยรู้ แบบว่า...ถ้าคุณวินว่างสักสองสามชั่วโมง...อะไรแบบนั้น”


“คุณกำลังสนับสนุนให้ผมทำแบบติณภพอยู่นะเนี่ย รายนั้นแวบจากการทำงานบ่อยกว่าเข้าทำงาน” ชวินทร์หัวเราะร่วน “แล้วใครบอกว่าผมไม่เคยไปหาเขาเองล่ะ”


คุณอาภาโสมเบิกตาคล้ายจะคิดอะไรออกกับคำพูดของเขา “นี่อย่าบอกนะคะว่า...”


“เหยียบไว้เลยนะ ตฤณไม่รู้หรอกเวลาผมไป แล้วถ้าน้องถามอะไรเรื่องตำแหน่งหน้าที่ก็พยายามเลี่ยงๆหน่อยแล้วกันครับ ผมจะบอกเอง ตอนนี้ตฤณรู้แค่ว่าผมเป็น GM ดูว่าจะไม่รู้ด้วยว่า GM คืออะไร”


“แล้วถ้าเขาถามโสมตรงๆจะให้โกหกเหรอคะ”


“ให้บอกเขาไปว่า คุณชวินทร์เป็นทุกอย่าง แค่นั้นคงพอครับ”


เลขาคนสวยถอนหายใจมองเขาด้วยสายตาคล้ายจะบอกว่ากำลังหลอกเด็กอยู่ แต่ชวินทร์ไม่ได้สนใจ ก็เขาเป็นทุกอย่างจริงๆ ทั้ง GM MD เจ้าของโรงแรม เพียงแต่ตอนนี้ย่อส่วนให้เหลือแค่ตำแหน่ง GM ก็พอ หน้าที่ MD นั้นจ้างชาวต่างชาติมาแบ่งเบาภาระออกไป คุณอาภาโสมเป็นเลขาให้เขาในตำแหน่งเจ้าของโรงแรมคอยจัดการตารางงานให้ ตำแหน่งปัจจุบันที่พนักงานระดับทั่วไปทราบเขาจัดการเองได้อยู่แล้ว


คุณอาภาโสมเดินออกจากห้องไปสิบนาทีก็เดินกลับมาแจ้งเขาใหม่อีกรอบว่ามีคนมาหา ส่วนคนมาหาที่ว่านั้น แค่ได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงเตะจมูก ให้หลับตายังเดาได้เลยว่าเป็นใคร ไม่รู้ว่าฉีดหรืออาบ


“ไงครับ ได้ข่าวว่ามีเด็กใหม่ ผมนี่ไม่อยากจะเชื่อ” คนมาใหม่นั่งลงด้านหลังหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านข่าวธุรกิจประจำวัน แต่ชวินทร์ยังไม่คิดลดระดับกระดาษลงมาคุยเห็นหน้ากันตรงๆ


“แล้วใครให้คุณเชื่อล่ะ ผมไม่ได้บังคับคุณสักหน่อย”


“นี่ไอ้คุณชวินทร์ครับ” นิ้วมือเรียวได้รูปโผล่มากลางหน้ากระดาษกดให้เขาต้องวางหนังสือพิมพ์ลงแบบสุภาพที่สุด เผยใบหน้ามันเขี้ยวของคนผิวขาวจัดปรากฏแทน “เลิกสนใจธุรกิจน่าเบื่อๆแล้วหันมาพูดกับเพื่อนคุณบ้างก็ได้ หน้าผมน่าสนใจกว่าอีก”


ชวินทร์ลอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงพึมพัมว่าแกล้งกันอยู่เรื่อย เก็บพับหนังสือพิมพ์ลงอย่างเดิมเรียบร้อยถึงเอนหลังบนเก้าอี้ทำงานหันหน้าตรงไปหาเพื่อนที่ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับ


ติณภพเป็นเพื่อนที่รู้จักกันจากการเข้าร่วมประชุมสัมนาอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการทำธุรกิจโรงแรมที่เขาลืมชื่อไปแล้ว ที่รู้จักกันได้ไวเป็นเพราะมีอะไรเหมือนๆกันอย่างเช่นพ่อแม่ยัดเยียดหน้าที่การงานมาให้บริหารต่อ หรือรสนิยมเรื่องคนที่ชอบ และเป็นคนที่มีชื่อเล่นว่า ตฤณ เหมือนกันกับ ตฤณ คนที่เจอในร้านเหล้าตรอกข้าวสาร เพียงแต่ไม่มีอะไรเหมือนเด็กคนนั้นสักอย่าง


ติณภพเป็นคนผิวขาว หน้าตี๋ตาชั้นเดียวด้วยเชื้อสายจีนมากกว่าไทย รูปร่างสูงสันทัดทว่าเวลาใส่ชุดสูททำงานยังให้อารมณ์เป็นนานแบบมากกว่าผู้บริหาร เพื่อนเขาคนนี้นิสัยปากไวใจเร็ว ไม่ถึงขนาดขี้วีนขี้เหวี่ยงอย่างผู้หญิงแต่เมื่อไม่ได้ดังใจมักมีการท้วงติงไปจนถึงเอาแต่ใจเล็กๆ ดูว่าครอบครัวคงเลี้ยงแบบตามใจมาก่อน ชวินทร์น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มักไม่ปล่อยให้ติณภพได้ทำตามใจตัวเองแบบผิดๆอย่างเช่นห้ามไม่ให้ด่าพนักงานเมื่อใส่อะไรที่ไม่ชอบลงมาในอาหาร หรือไล่ให้กลับไปทำงานเมื่ออีกคนโดดงานมาหาเขาบ่อยครั้ง


“มีอะไรให้รับใช้ครับ คุณติณภพสุดที่รัก”


“ผมเบื่อว่ะ แม่ง” อีกฝ่ายพรูลมหายใจยาว “เจ้าของร้านกาแฟที่มาเช่าที่ใหม่อ่ะ กวนประสาทฉิบหาย แต่ชงอร่อยไง ส่วนที่โรงแรมวันก่อนคนอินเดียมาพัก คุยกันไม่รู้เรื่อง จองห้องเตียงเดี่ยวแต่จะเปลี่ยนเตียงคู่กะทันหัน วุ่นวายเรียกหาผู้จัดการจนผมต้องออกไปคุยแทน ไหนจะไอ้นักร้องเกาหลีออกมาเดินไปเดินมาให้แฟนคลับถ่ายรูป ขวางทางเข้าออกเต็มไปหมด ผมนี่แบบ...”


“ใจเย็นก่อน หายใจเข้าลึกๆ ลึกอีก ทีนี้หายใจออกช้าๆแบบนั้นแหละ ดีครับ”


ชวินทร์เห็นอีกคนทำตามคำพูดของเขาโดยง่ายแล้วนึกดีใจ เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้หรอก น่ากลัวถูกด่ากลับมาด้วย เดี๋ยวนี้พอสนิทกันมากขึ้นติณภพเริ่มปรับนิสัยตัวเองได้ดี


เป็นความสนิทสนมที่แปลกประหลาด เรียกกันคุณผมไม่ยอมเรียกชื่อเล่น แล้วตามด้วยคำหยาบคำสบถ ราวกับว่าติณภพไม่สามารถพังทลายกำแพงสรรพนามสุภาพเวลาที่สนทนากันแม้เนื้อหาจะเต็มไปด้วยการด่าล้วนๆก็ตาม


“ทำงานต้องมีเหนื่อยเป็นธรรมดา คุณต้องหัดใจเย็นกว่านี้และอยู่กับงานบ่อยกว่านี้นะ ไม่อย่างนั้นไม่มีภูมิต้านทาน เอะอะเบื่อมาหาแต่ผม”


“ก็มันน่าเบื่อเปล่าวะ แล้วคุณเป็นคนเดียวที่คุยเรื่องแบบนี้ด้วยได้ จะแอบหนีไปต่างประเทศป๊าผมขู่จะอายัดบัตรอีก นั่งอยู่แต่กับโต๊ะทั้งวัน คุณทำไปได้ไงวะคุณวิน”


“ที่มาหาบ่อยๆไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อนคบหรอกเหรอ”


“เกลียดนักคนรู้ทัน” ติณภพตวัดสายตาให้เล็กหรี่ลงไปอีก ชวินทร์หัวเราะ “พนักงานโรงแรมคุณน่าจะยังคิดว่าผมเป็นแฟนคุณอยู่เลยมั้งเนี่ย เลิกลือกันหรือยังล่ะว่ากินกันบนโต๊ะทำงาน”


“เลิกแล้ว คนไทยลืมง่ายจะตาย”


“เอาเถอะ ช่างเรื่องของผม เอาเรื่องของคุณดีกว่า ไปไงมาไงล่ะคนนี้”


ชวินทร์ดีใจที่ติณภพลืมเรื่องตัวเองไปแล้ว ที่เหลือคือต้องมานั่งคิดตอบคำถามอย่างไรไม่ให้ข้อมูลความลับหลุดออกไปทั้งหมด จะไม่ให้เล่าเลยเดี๋ยวคนเอาแต่ใจไปเค้นถามกับคุณเลขาแล้วจะลำบากเธอเปล่าๆ นอกจากชวินทร์แล้วทุกคนดูเกรงติณภพในลุคภายนอกที่ดูเป็นคุณชายหยิ่งทะนงระคนเกรี้ยวกราดไม่น้อย


“ตฤณคนนั้นน่ารักกว่าตฤณคนนี้” เจ้าของโรงแรมชี้นิ้วไปหาคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ติณภพเลิกคิ้ว “ผมเจอตอนไปนั่งคิดอะไรคนเดียวที่บาร์ในตรอกข้าวสาร”


“แม่เจ้าโว้ย คุณชวินทร์ ตันจราพิทักษ์กุล เจ้าของโรงแรม...ไปนั่งร้านเหล้าข้าวสาร” เพื่อนตฤณของเขาผิวปากแซว “แถมตกเหยื่อมาได้ด้วย แต่ดันชื่อเดียวกันกับผมเสียนี่ เอาน่า ไม่ได้ตฤณนี้ไปได้ตฤณอื่นก็ยังดี เนอะ”


“เนอะพ่อคุณเถอะครับ”


เจ้าของใบหน้าขาวจัดหยีตาลงจนปิดพอคนที่ตัวเองแกล้งแหย่เริ่มมีอารมณ์รำคาญ ชวินทร์เองเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกมา


“เล่าให้ผมฟังบ้างสิ เป็นใครอะไรยังไง นิสัยดีไหม”


“คนนิสัยไม่ดีอย่างคุณจะอยากฟังเรื่องคนดีๆไปทำไมครับ” คนพูดยกน้ำในแก้วขึ้นจิบ ตอกกลับติณภพที่แยกเขี้ยวใส่


“โธ่คุณวิน ไหนๆผมก็มาแล้ว เพื่อนกันเปล่าเนี่ย นะ เล่ามาเถอะผมอยากฟัง”


“โอเค เล่าก็เล่า คือว่าน้องตฤณน่ะนะ...”

__________

เงินหมดไปสองล้านกับคุณเขา ตฤณพักไปก่อนเนอะ
อ่านแล้วชอบ ส่งฟีดแบคได้ที่ #หลงมาที่สาทร ด้วยนะฮ้าบ :m17:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn VI #หลงมาที่สาทร [12/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 12-07-2019 19:22:50
กำลังสนุกค่ะ

ติดตามต่อ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn VII #หลงมาที่สาทร [13/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 13-07-2019 12:21:22
Lost at Sathorn VII
หลงมาที่สาทร




ชีวิตของตฤณในวัยยี่สิบปีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร ครอบครัวที่บ้านก็อยู่กันเป็นปกติ เงินทองมีไม่มากแต่ไม่เคยขาดมือ เพื่อนฝูงจำนวนหนึ่งพอคบหาได้ ช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยการเรียนไม่ดีเลิศตฤณก็เอาความขยันขันแข็งเข้าสู้ เพื่อนน้อยลงแต่คบด้วยนาน กายและโจ้ดีกับเขามาก


จนกระทั่งได้เจอกับคุณวินเมื่อเดือนก่อนที่บาร์ในตรอกข้าวสาร ตฤณเก็บมาคิดวนเวียนเป็นเอามากอยู่คนเดียวจนเพื่อนสังเกตเห็น สิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความคิดถึงคุณวิน กับแค่ไม่กี่ชั่วโมงในคืนเดียวไม่รู้ทำไมเอาแต่คิดถึงเขา จนในที่สุดหัวใจที่อกซ้ายก็สั่งให้สมองคิดหาทางไปเจอให้ได้


แค่เห็นหน้าสักครั้งก็ยังดี เป็นหนึ่งในประโยคหลอกลวงที่ตฤณพิสูจน์แล้วว่ามันไม่เป็นความจริง หลังจากที่ยอมก้าวผ่านขีดจำกัดให้พาตัวเองไปหลงทางในที่ๆไม่เคยไปมาก่อน มันย่อมมีครั้งที่สองที่สามตามมาเพราะอยากเจอมากขึ้นอีก ทำให้มีแนวโน้มว่าจะเจอในครั้งต่อๆไปไม่รู้จบ


ถามว่าหลังเลิกเรียนทุกวันตฤณไม่เหนื่อยหรือ ตอบเลยว่าเหนื่อยมาก การจะเข้าเมืองใหญ่ฝ่าฟันรถติดและผู้คนมากมายเพื่อไปหาคุณวินอีกยิ่งทำให้แรงพลังที่มีลดฮวบลงไปเท่าตัว แต่เมื่อคิดถึงว่าได้เจอหน้าคุณวินที่มีรอยยิ้มและกำลังใจให้กับเขา มีน้ำเสียงน่าฟังที่เติมพลังใจให้ฟูฟ่อง มีเรื่องราวมาแลกเปลี่ยนกันพอให้ได้รู้ความเป็นไป ตื่นเช้ามาสดใสพร้อมเข้าเรียนต่อ ตฤณยอม


สองอาทิตย์กับการไปหาคุณวินถึงสามครั้ง หมดค่ารถไปเป็นร้อย เสียเวลาไปหลายชั่วโมงแลกกับการใช้เวลาสองชั่วโมงต่อครั้งกับพ่อมดที่โรงแรมย่านสาทรให้คุ้มค่า กลับมาหลับเป็นตายที่ห้อง แต่ตฤณมีความสุขดี


[ว่าไงครับ]


“วันนี้คุณวินอยู่ที่โรงแรมหรือเปล่าครับ”


[ผมว่าผมก็อยู่ทุกวันนะครับ เพิ่งเลิกเรียนเหรอ]


ตฤณพยักหน้ารับ แต่ลืมไปว่าคุณวินไม่เห็น คนที่มองเขาด้วยสายตาแปลกๆมีแต่ไอ้กายกับไอ้โจ้ คงกำลังคิดว่าเขาเพี้ยนไปแล้ว


“เพิ่งเลิกครับ ถ้าวันนี้ผมไปหาอีกได้ไหม คุณวินว่างหรือเปล่า”


[ตฤณครับ] ตฤณได้ยินเสียงจากปลายสายที่กดลงต่ำ สัญญาณดังซู่ซ่าเหมือนเขาถอนหายใจไปด้วยตอนเรียกชื่อ [เลิกเรียนแล้วก็รีบกลับห้องไปอ่านหนังสือหรือพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องมาหาผมบ่อยๆหรอก เดินทางหลายต่อมันเหนื่อย เรานัดเจอกันวันหยุดได้นะ]


“แต่ผมไม่เหนื่อยเลยนะครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับทันที ถ้าอีกฝ่ายเป็นคุณวิน ตฤณเต็มที่อยู่แล้ว “หรือว่าไม่อยากเจอผม ถ้าคุณวินทำงานเหนื่อยแล้วไม่เป็นไรครับ”


[ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คือ...ผมกลัวคุณเหนื่อยจริงๆ ตฤณดูเหนื่อยง่ายนะรู้ตัวไหมช่วงนี้ ทานข้าวกันเสร็จขึ้นรถคุณก็หลับยาวมาตลอดทาง ถ้าวันไหนผมติดประชุมคุณก็ต้องรอแบบครั้งแรกที่มานั่นล่ะ แล้วก็นะ...]


พอปลายสายเบาเสียงลงจนเงียบไป เสี้ยววินาทีตฤณรู้สึกจุกอกพอสมควร ไปหาแต่เพิ่มภาระให้คุณวินนี่เองสินะ ตอนประชุมแล้วรู้ว่าตฤณมานั่งรอเขาอาจไม่มีสมาธิ เขาเลี้ยงมื้อเย็นทุกครั้งให้ได้กินอาหารดีๆ เขาฝ่ารถติดไปส่งที่หอทุกครั้งก็เผลอหลับ ไหนจะต้องขับกลับเข้ามาในเมืองใหม่เปลืองค่าน้ำมัน


[...ยิ่งคุณมาบ่อยผมยิ่งอยากเจอ มันหยุดคิดถึงคุณไม่ได้เลย ดังนั้นคุณควรรักษาระยะห่างกับผมไว้ก่อนที่ผมจะติดคุณหนึบหนับดีกว่านะครับ]


“อ่า...”


คำว่าติดหนึบหนับจากปากเขาฟังดูจั๊กจี้หัวใจ แต่น่ารักเหลือเกิน ประโยคนั้นเหมือนดึงหัวใจที่ตกเหวลงไปแล้วให้กลับขึ้นมาใหม่ ตฤณรู้สึกว่ามีน้ำคลอหน่วยในตาเล็กน้อยเพราะปรับอารมณ์ไม่ทัน ไหนจะช่วงนี้ที่เขาเริ่มเรียกตฤณด้วยชื่อเฉยๆนั่นอีก ตฤณไม่เคยชอบชื่อตัวเองตอนไหนมากเท่าตอนมันมาจากเสียงคุณวิน


[นะครับคนเก่ง รักษาสุขภาพหน่อยอย่าให้ผมต้องเป็นห่วง ปีสามแล้วเรียนหนักนี่นา]


คนฟังพยักหน้ารับแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เลิกสนแล้วว่าเพื่อนตัวแสบสองคนจะมองเขาอย่างไร


มีคนเป็นห่วงมันรู้สึกดี ตอนนี้เขาเป็นเอามาก มากๆ


“เข้าใจแล้วครับ ผมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง เอาไว้เจอกันใหม่คราวหน้าก็ได้”


[อื้ม สู้เข้านะ ใช้วิธีโทรหาแบบนี้ไปก่อน โทรมาได้ตลอดเลยไม่ต้องเกรงใจ]


“ขอบคุณครับคุณวิน”


[ครับ ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ จบแล้วเผื่อจะได้มาเลี้ยงผมบ้าง]


คุณวินหัวเราะทิ้งท้ายพร้อมกดวางสายไป จริงอย่างที่เขาว่า ถึงไม่ได้ไปหาแค่ได้ยินเสียงคงพอบรรเทากันได้ ไม่อย่างนั้นเทคโนโลยีก้าวหน้าล้ำสมัยแบบนี้จะผลิตขึ้นมาเพื่ออะไรล่ะ ตอนนี้ยังเป็นนักศึกษาต้องตั้งใจเรียนไปก่อน จบแล้วค่อยว่ากันอีกที


ไม่รู้ว่าตฤณกับคุณวินจะรักษาความสัมพันธ์ได้ยืดยาวขนาดนั้นหรือเปล่า แต่การที่คุณเขาออกปากมาขนาดนี้แล้วตฤณก็จะตั้งใจเรียน จะได้รีบจบออกมาทำงานเลี้ยงคุณชวินทร์ ปกติเวลาคบใครตฤณจะคบได้เกินหนึ่งปี ค่อยๆเรียนรู้กันไป ต่างจากเพื่อนหลายคนที่สองเดือนเลิก สามเดือนอกหัก แต่ยังดันทุรังหากันใหม่เสมอ ดังนั้นเขากับคุณ GM ต้องมีหวังบ้างสิ


นี่แหละเป้าหมายใหม่ในชีวิต!


“พออินเลิฟเข้าหน่อยเดี๋ยวนี้เดินทางบ่อยนะเรา” โจ้ที่มองอยู่นานแล้วพูดขึ้นทำลายความเงียบ มีความหมั่นไส้เจือมาในน้ำเสียงให้ได้ยิน


“เออ กูก็ว่างั้น พอได้ไปครั้งหนึ่งเอาใหญ่เลยเพื่อนผม” กายแซวสมทบเข้ามาอีก “ว่าแต่คุณของมึงเขาเป็นไงบ้างล่ะ โอเคกับมึงหรือเปล่าติน”


“โอเค เขาใจดีแล้วก็ดีกับกูมากๆเลย น่ารักน่าหลง กูยอมเหนื่อยไปหาได้อีกหลายครั้ง”


“ทุ่มจริงนะมึง กระเป๋าหนักมากเหรอวะ จากที่นี่เข้าไปหานั่งรถกี่ต่อ กว่าจะออกมากลับถึงหออีก วันหนึ่งของมึงมีกี่ชั่วโมงเนี่ยไอ้ติน”


โจ้ยังคงยิงคำถามสลับกับกายไม่ให้ได้พักหายใจ อย่าว่าแต่พวกมันเลย ตฤณเองยังสงสัยว่าอะไรทำให้จัดสรรเวลาได้เป็นสัดส่วนแบบนี้ กับการเรียนทุ่มเทแบบนี้ไหม


“จะทำเพื่อใครสักคนมันต้องเปย์บางเปล่าวะ คุณเขาเลี้ยงข้าวหลายรอบแล้ว อีกหน่อยทำงานหาเงินได้กูจะเลี้ยงเขาบ้าง นอกจากพ่อแม่”


“ไหนมึงว่าเขาทำงานที่โรงแรมไง น่าจะได้เงินเยอะไม่ใช่เหรอ แล้วมึงจะทำงานหาเงินไปเลี้ยงคนที่รวยกว่าเพื่อ?”


คิดตามที่เพื่อนพูดก็มีเหตุอยู่เหมือนกัน แต่ตำแหน่ง GM ตามที่ถามมาคุณวินพูดแค่เป็นงานทั่วไป ทั่วไปนี่คือธุรการหรือเปล่านะ แล้วเงินเดือนคนที่ทำงานทั่วไปเขาจะได้กันสักกี่หมื่น ตฤณให้อย่างเก่งเลยเต็มที่คงไม่เกินห้าหมื่น


“ก็นั่นแหละ คือบางทีเราจ่ายเขาจ่ายสลับกันไง ถามเยอะจริง เป็นเมียเหรอมาถามเอาๆ”


“กูกับไอ้โจ้คบกับมึงก็ดีเท่าไหร่แล้ว ทำมาเป็นปากเก่ง” กายมันเขี้ยวโบกหัวตฤณเบาๆด้วยความรักเพื่อน เล่นเอาลูบหัวป้อยๆ “ในสามคนมึงน่ะดูน่าเป็นเมียที่สุดเลย รู้ไว้ด้วย”


“พอกันแหละ มีกันอยู่เท่านี้เพราะคนอื่นก็ไม่คบพวกมึงเหมือนกัน” พอตฤณตอกกลับโจ้ก็หัวร่องอหาย เพื่อนตัวโตอีกคนยังลอบยิ้ม


“เขาทำงานอะไรล่ะ แล้วนี่มึงดูจริงจังกับเขา เขาคิดเหมือนมึงไหมติน” โจ้กลับมาถามต่อ


“GM เห็นว่าเป็นงานทั่วไป ส่วนเรื่องนั้นตัวกูเองแน่นอนอยู่แล้ว เคยมานั่งคุยกันเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ปรับตัวเข้าหากันอยู่เรื่อยๆ ยังไม่อยากกำหนดอะไรมากว่าจะต้องดูกันกี่ปี”


“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ เริ่มคุยกันจริงจังยังไม่ถึงเดือนเลยนะเว้ย แต่ถ้ามึงโอเคกูกับไอ้กายก็โอเค มีอะไรมาบอกกันได้ตลอด...จะว่าไปกูเริ่มไม่โอเคละ ไอ้กายก็มีปังปอนด์ มึงก็มีคุณคนนั้นอีก หัวเน่าอยู่คนเดียวเลยกูเนี่ย”


“โธ่โจ้เพื่อนรัก รีบๆหาเมียดิวะ หาไม่ได้มึงยังมีกูนะเพื่อน” อดีตเดือนคณะอ้าแขนกอดเพื่อนแล้วลูบหลังลูบบ่า แถมหอมหัวปลอบใจอีกต่างหาก ตฤณเห็นความปลอมเปลือกนั้นแล้วขนลุกขนชันแทนโจ้จริงๆ


เคนอ่านพวกคำคมทั้งหลาย เขาว่าช่วงเริ่มจีบเริ่มคุยกันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของความสัมพันธ์ ตฤณไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อคุณวินไม่หยุดนิ่ง มันยังคงเพิ่มขึ้นได้อีก เขาไม่อยากให้มันดีอยู่ช่วงเดียวแล้วพอเริ่มคบกันก็หายไปตามกาลเวลาจนหมดโปรโมชั่น


ความรู้สึกนี้ยังไม่อาจเรียกว่ารักได้เต็มปาก ตฤณว่ายังอยู่ในขั้นลุ่มหลง หลงวนเวียนคิดถึงแต่อีกฝ่าย ทว่าถ้ามัวแต่กั๊กไว้มันก็รู้สึกสุขไม่สุด และตฤณเชื่อว่าเราควรทำทุกวันให้ดีที่สุด ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอะไรทำก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ไปเถอะ คิดมากไปเสียสุขภาพจิตเปล่า




“คุณชวินทร์โอเคหรือเปล่าคะ หน้าตาดูไม่ค่อยดี”


เลขาสาวสวยเดินเข้ามาวางรายงานการประชุมไว้ให้ ชวินทร์ใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าตาเป็นการตอบคำถามแทน


“บอกตามตรง ผมเหนื่อยคุณโสม อยู่ๆก็รู้สึกว่าทำไมวันนี้ถึงเหนื่อยมาก เหมือนมันทิ่มลึกเข้าไปถึงแกนกระดูก สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลยครับ”


ระหว่างพูดไปอาภาโสมเห็นเจ้านายคนดีของเธอนวดขมับไปด้วย ที่จริงไม่ใช่แค่วันนี้วันเดียวที่คุณวินไม่มีสมาธิทำงาน แต่เป็นมาสามวันแล้วต่างหาก วันนี้คงเป็นวันที่หนักที่สุดคุณชวินทร์ถึงได้พูดออกมาให้ได้ยิน อาการหนักขนาดไม่มีสมาธิแม้แต่กับตอนนั่งประชุมผู้บริหารโรงแรม ทั้งที่ปกติเขาทำได้ดีไม่มีที่ติมาตลอด


“ลาหยุดพักสักสองสามวันดีไหมคะ โสมจะจัดตารางงานให้”


“คงต้องรบกวนหน่อยนะครับ ล่าสุดที่คุยกันสองอาทิตย์ก่อนก็ไม่ได้ลาหยุดจริงจังสักที ผมเริ่มเข้าใจติณภพแล้วว่าทำไมถึงอยากหนีงานนัก” ชวินทร์บีบนวดต้นคอ ทุบไหล่พอหายเมื่อยหลังจากนั่งฟังเรื่องน่าเบื่อในห้องสี่เหลี่ยมคับแคบถึงสามชั่วโมงเต็ม “คุณโสมจะได้พักไปด้วย หวังว่างานไม่ได้หนักเกินไปใช่ไหมเนี่ย คุณยิ่งตัวเล็กนิดเดียวอยู่”


“สบายอยู่แล้วค่ะ เทียบกันแล้วงานคุณวินหนักกว่ามากเลย ว่าแต่ช่วงนี้น้องตฤณไม่มาแล้วเหรอคะ”


“ผมเป็นคนบอกว่าไม่ต้องมาเองล่ะครับ เขาก็ว่าง่ายดี ช่วงนั้นตฤณดูเหนื่อย ขึ้นรถปุ๊บนิ่งปั๊บ เมื่อวันก่อนผมแอบแวบไปดูเห็นว่าดูดีขึ้นหน่อยเลยไม่ได้เป็นห่วงมากแล้ว”


“แต่คนที่แย่ดูจะเป็นคนทางนี้มากกว่าล่ะมั้งคะ” คุณโสมออกความเห็น “ให้โสมเดา คุณสองคนแทบไม่ได้เจอกันเลยใช่ไหม”


ชวินทร์พยักหน้าเหนื่อยอ่อน จะว่าไปแล้วตั้งแต่วันนั้นเขาไม่ได้เจอหน้าตฤณอีก มีแต่คุยกันถามไถ่ทางโทรศัพท์มือถือ และบางวันที่แอบส่งซิกให้คุณโสมว่าจะออกไปสอดส่องดูความเป็นอยู่ของเด็กหนุ่มบ้างหลังจากหลอกถามตารางเรียนแล้วกะเกณฑ์เวลาคร่าวๆเอาในใจ


ตฤณเป็นคนใช้ชีวิตเกือบจะเหมือนกันในทุกวัน ออกจากหอไปมหาวิทยาลัย และจากมหาวิทยาลัยกลับหอ มีบ้างที่น้องเคยเล่าให้ฟังว่าจะไปดูหนังกับเพื่อนหรือไปติวหนังสือสอบร่วมกัน อันที่จริงติดจะน่ากลัวสักนิด ถ้าชวินทร์เป็นโรคจิตสักคนที่รู้เวลาชีวิตของเหยื่อที่ทำอะไรซ้ำๆแบบนี้ วันดีคืนดีตฤณจะถูกเล่นงานเข้าโดยไม่รู้ตัว


เป็นห่วง


“คุยโทรศัพท์กันทุกวันก็ไม่เท่าเจอหน้ากันหรอกค่ะคุณวิน มันเทียบกันไม่ได้เลย”


“เจอกันบ่อยๆจะเบื่อกันก่อนน่ะสิครับ ชีวิตผมก็มีเท่านี้ ทำงาน ประชุม อ่านหนังสือพิมพ์หุ้นติดตามข่าวสารธุรกิจ น้องยังต้องเรียน ผมอยากให้เขาได้ดีกว่านี้อีกหน่อยจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะผลการเรียนออกมาไม่ดี ส่งผลกระทบไปถึงอนาคตอีก”


“แล้วถ้าน้องมีความสุขส่วนคุณวินเป็นทุกข์เอง มันดีเหรอคะ”


คำพูดของคุณโสมเป็นดั่งค้อนเหวี่ยงกระแทกเข้ามาในใจจนแตกร้าว ชวินทร์นิ่งงันขบคิดหลายตลบ เหมือนมีบางอย่างในร่างกายกำลังสั่นคลอน ไม่ได้เป็นแบบนี้มานานเท่าไหร่กันนะ


“คุณวินเริ่มจะเปิดใจให้งานมากกว่าคนจริงๆแล้วนะคะ โสมว่ารักคนอื่นเป็นห่วงคนอื่นได้ แต่ต้องรักตัวเองด้วยค่ะ ถ้าเรามีความสุขแล้วคนอื่นจะได้รับความสุขนั้นด้วย ดีไหมคะ”


ชวินทร์เงยหน้ามองคนที่ยืนมองเขาอยู่ก่อน คุณอาภาโสมคงเป็นเลขาที่ดีที่สุดในชีวิตที่เขาจะได้มีบุญร่วมทำงานด้วย คำพูดเพื่อปรึกษาเพียงไม่กี่ประโยคทำเอาเขาตระหนักหลายสิ่งหลายอย่างได้ การมีเลขาส่วนตัวเป็นผู้หญิงมันดีแบบนี้เองสินะ นอกจากมีความอดทนสูงแล้วยังมีความละเอียดอ่อนด้านความรู้สึกอันน่าทึ่ง ชวินทร์ที่เป็นคนรอบคอบในการบริหารโรงแรมยังรู้สึกว่าสู้คุณโสมไม่ได้เลยในเวลาแบบนี้


“ครับ ดีครับ”


“ที่คุณวินเป็นแบบนี้โสมว่าส่วนหนึ่งคุณวินขาดกำลังใจที่ดีไปค่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะจัดการเคลียร์งานของวันพฤหัสบดีกับวันศุกร์ให้นะคะ จะได้หยุดสี่วัน พักผ่อนยาวหน่อย”


ขาดกำลังใจที่ดีอย่างนั้นเหรอ


ให้ตายเถอะ คุณโสมทำให้ชวินทร์รู้ตัวว่าคิดถึงตฤณมากมายขนาดนี้ พอเลขาสาวเดินออกจากประตูห้องไปแล้ว ทำนบน้ำตาเอ่อขึ้นมาทันที


คิดถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความน่าดึงดูดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในจักรวาลคู่นั้น คิดถึงแก้มกลมที่ทำให้ตฤณมีรอยยิ้มสดใส คิดถึงความน่ารักที่เป็นคนว่าง่ายและเชื่อฟังเขาอย่างที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี พอความคิดเหล่านั้นไหลบ่ามาอย่างกับน้ำป่า เสียงเรียก คุณวินครับ เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะมีรูปร่าง ขนาด และส่วนสูงที่พอกันกับเขา แต่ชวินทร์มองว่าน้องเป็นเด็กน่ารักเสมอ


ตฤณน่ารักในแบบที่ตฤณเป็น

__________

เหนื่อยแย่เลยนะทั้งคู่ #หลงมาที่สาทร
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn VII #หลงมาที่สาทร [13/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 13-07-2019 12:26:21
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn VII #หลงมาที่สาทร [13/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 13-07-2019 22:15:13
คุณวินค่าตัวแพงตลอดเลย 5555 เอ็นดูน้องตฤนนด้วยย ลุ้นมากเลยค่ะ วินตฤน หรือ ตฤนวิน 555
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn VIII #หลงมาที่สาทร [14/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 14-07-2019 20:39:40
Lost at Sathorn VIII
หลงมาที่สาทร



“คุณโสมสวัสดีครับ”


“สวัสดีค่ะน้องตฤณ”


ตฤณยกมือไหว้เลขาของคุณวินที่กำลังนั่งทำงานอยู่ พอเห็นเขาเธอเลยลุกเดินออกมาจากโต๊ะทำงานให้การต้อนรับเหมือนอย่างทุกทีไป ดูว่าคุณวินจะกำชับให้เรียกเขาว่าน้องเหลือเกินนะ


“วันนี้มาหาคุณชวินทร์เหรอคะ รู้หรือเปล่าว่าคุณวินไปติดต่องานที่โรงแรมแม่ กว่าจะกลับคงเย็นเลย”


“รู้ครับ ผมคุยกับคุณวินแล้ว เขาบอกว่าให้นั่งรอในห้องไปก่อน พอดีมีเรื่องสำคัญรอคุยด้วยตอนมาถึง แล้วฝากมาบอกคุณโสมว่าถ้าเกินเวลาหกโมงแล้วให้คุณโสมกลับได้เลยไม่ต้องรอครับ”


“ได้ค่ะ ตอนนี้เพิ่งห้าโมงกว่าเอง งานดิฉันยังไม่เสร็จ พรุ่งนี้วันหยุดไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้ว เดี๋ยวนั่งทำงานไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนน้องตฤณจนกว่าคุณชวินทร์จะมาก็ได้นะคะ” หญิงสาวพูดคุยดูเป็นกันเอง แต่ภายใต้คำพูดนั้นมีเรื่องที่ทำให้ตฤณรู้สึกเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก


“เอ่อ...จะดีเหรอครับ วันนี้วันศุกร์ด้วย รถคงติดมากๆเลย ผมอยู่คนเดียวได้นะครับไม่เป็นไร”


“ชินแล้วค่ะ ทำงานแถวนี้รถติดทุกวันอยู่แล้ว เอาเป็นว่าน้องตฤณต้องการอะไรเพิ่มบอกได้เลยนะคะ ดิฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด”


“ครับ ขอบคุณมากครับ”


ไม่กล่าวประเด็นเดิมซ้ำแสดงว่าคุณโสมไม่คิดเปลี่ยนใจแน่ๆเรื่องที่จะนั่งรอเป็นเพื่อน ตฤณทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินเข้าห้องทำงานของคุณวินเพื่อมานั่งรอ


นอกจากป้ายหน้าห้องที่มีชื่อคุณชวินทร์เป็นภาษาไทยแล้ว ภาษาอังกฤษตัวเล็กๆใต้ชื่อมีเขียนว่า General Manager ครั้งแรกที่ตฤณได้เข้าห้องนี้ก็เพิ่งรู้วันนั้นว่าเป็นคำเต็มของอักษรย่อ GM ที่คุณวินบอกไว้ นอกจากป้ายหน้าห้อง ด้านในห้องไม่มีศัพท์อะไรที่เกี่ยวกับโรงแรมให้ตฤณได้อ่านเลย


ห้องทำงานคุณวินกว้างกว่าห้องรับรองอีกฝั่ง ริมขวาสุดเป็นโต๊ะทำงานที่มีเอกสารกับแฟ้มกองเรียงเอาไว้เป็นระเบียบ อุปกรณ์เครื่องเขียนอย่างปากกา ดินสอ มีไม่มาก จัดวางรวมกันอยู่ในกล่องใส่ดินสอที่ดูเรียบง่ายธรรมดา ก้อนหินทับกระดาษลายสวยสีฟ้าอ่อนหนึ่งชิ้น กระดาษโพสต์อิทแปะสองสามใบที่จอคอมพิวเตอร์ มีโคมไฟรูปแบบคลาสสิกตั้งบนโต๊ะหนึ่งอันที่ตฤณเดาไว้ว่าคงใช้เปิดเพิ่มความสว่างตอนที่คุณวินทำงานดึก ฉากหลังเป็นม่านริ้วๆที่เปิดออกไปคงเห็นวิวของกรุงเทพในมุมที่สวยงามได้


อีกฝั่งของห้องเป็นโซฟายาวสองฝั่งหันหน้าเข้าหากันกับโต๊ะกระจกเล็กๆคั่นตรงกลาง หนังสือพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษในชื่อที่ตฤณไม่รู้จักวางซ้อนกันเป็นระเบียบ ส่วนนี้คงมีไว้เวลาต้องนั่งหารือเรื่องงานกับเจ้าหน้าที่คนอื่นของโรงแรม ซึ่งเวลามาหาคุณชวินทร์ทีไรเขาจะบอกให้ตฤณมานั่งรอตรงนี้ ดังนั้นโซฟาสีน้ำเงินเข้มจึงกลายเป็นมุมประจำที่ตฤณเอาหนังสือเรียนออกมาอ่านรอหรือนั่งเล่นเอนหลังไปเสียแล้ว


ถ้าห้องผู้จัดการทั่วไปยังกว้างขนาดนี้ ห้องผู้บริหารไม่เหมาทั้งชั้นไปเลยหรือ




ตฤณสะดุ้งตื่นอีกทีตอนห้าโมงห้าสิบนาที บนโต๊ะมีแก้วน้ำที่มาได้อย่างไรไม่รู้ คุณโสมคงเอามาวางไว้ให้ สูดหายใจพร้อมบิดขี้เกียจ ลองออกเสียงแล้วพบว่าคอแห้ง แก้วน้ำเปล่าบนโต๊ะจึงไม่ถูกทิ้งเปล่า และเพราะอากาศในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ตฤณรู้สึกหวิวที่กลางร่างกายให้ต้องลุกเดินออกไปเข้าห้องน้ำ


“น้องตฤณคะ”


“ครับ”


“เดี๋ยวน้องตฤณทำธุระเสร็จแล้วรบกวนหยิบกระเป๋าเดินขึ้นไปที่ชั้นบนด้วยนะ บันไดอยู่ข้างลิฟต์ คุณชวินทร์รออยู่ข้างบนค่ะ”


“อ่าครับ ได้ครับ” เขาว่าแล้วเดินผ่านโต๊ะคุณโสมไป เพราะเพิ่งตื่นงัวเงียสมองเลยยังแล่นไม่เต็มที่ เท่าที่รู้คือชั้นนี้อยู่บนสุดแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่ามันมีบนกว่านี้แล้วตฤณไม่ได้สังเกตตอนกดลิฟต์ขึ้นมาแต่ละครั้ง แต่ถ้าบนสุดเป็นห้องผู้จัดการ แล้วห้องผู้บริหารจะอยู่ตรงไหน?


โรงแรมเป็นตึกแฝด บางทีห้องผู้บริหารอาจจะอยู่อีกตึกหนึ่งก็ได้ล่ะมั้ง ตฤณไม่รู้การบริหารจัดการอะไรเทือกนี้หรอก


พอกลับมาหยิบสัมภาระแล้วตฤณกล่าวขอบคุณคุณโสมที่เดินมาส่งตรงบันไดทางขึ้นพร้อมทั้งบอกลา ก่อนหน้านี้ตฤณคุยกับคุณวินทางโทรศัพท์แล้วตกลงกันว่าคืนนี้จะมานอนค้างที่ห้องพักคุณวิน เหมือนปลายสายจะมีน้ำเสียงอ้อนผิดปกติอย่างไรไม่รู้ บอกว่าคิดถึง ทำงานเหนื่อยๆ ไม่ได้เจอกันนาน ตฤณไม่ได้คิดมากอยู่แล้วก็เก็บเสื้อผ้ามาตามที่คุยกัน เพราะในใจรู้สึกไม่ต่างไปจากที่คุณวินบอกมา มนตราพ่อมดคงเสื่อมลงเลยต้องเรียกมาทำพิธีเพิ่มล่ะมั้ง


ในภาษาอังกฤษมีคำคุณศัพท์ที่ให้ความหมายในภาษาไทยว่างดงามอยู่หลายคำ ตฤณขอนิยามสิ่งที่เห็นตอนนี้ด้วยคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว


Stunning


ลมเย็นสบายพัดมาปะทะร่างกายให้เส้นผมปลิวไสว เสื้อผ้าของตฤณแนบลู่ลงกับร่างกายไปด้านหลัง ท้องฟ้าของกรุงเทพมหานครยามนี้เป็นสีคราม สีชมพู สีส้มเข้มและสีส้มอ่อนเรียงกันเป็นลำดับชั้นเหมือนภาพวาดสีน้ำสักภาพ หันมองไปด้านหลังท้องฟ้าสีเข้มกว่ามากเพราะเป็นทิศตะวันออกที่แสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึงแล้ว บริเวณรอบเมืองใหญ่เต็มไปด้วยตึกรามมากมายที่เปิดไฟแสงสีต่างๆ จุดเล็กจุดใหญ่ละลานตา ยิ่งตรงถนนเส้นหลักที่ตัดผ่าน ตฤณเห็นไฟรถสีส้มวิ่งด้วยความเร็วจนเป็นริ้วแสง


กลับมาสนใจสิ่งตรงหน้า พอก้าวขึ้นมายืนเต็มสองขาแล้ว ตฤณพบกับบรรยากาศของห้องอาหารหรูหรากลางแจ้ง ด้านข้างบันไดที่ตฤณขึ้นมาเป็นบาร์ขนาดเล็กที่มีพนักงานยืนประจำตำแหน่งสองคน โซนกว้างด้านหลังทั้งชั้นเป็นโต๊ะเก้าอี้หลายสิบที่นั่งรอบขอบวงกลมของตึกคั่นกลางแต่ละที่ด้วยไม้พุ่มทรงสี่เหลี่ยม ตรงกลางมีโต๊ะขนาดยาวมากๆวาดเป็นสามด้านของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เว้นทางเข้าด้านหน้าไว้ โดยที่ตลอดความยาวนั้นมีเทียนไขจุดอยู่เป็นแถวเป็นแนว บางมุมมีแจกันดอกไม้วางประดับ และบางมุมมีคนชื่อชวินทร์นั่งจิบไวน์รออยู่เงียบๆ โดยที่ไม่มีคนอื่นนั่งอยู่เลยสักคนเดียว ราวกับว่าวันนี้คืนนี้จะมีเพียงแค่เขากับคุณวิน


นี่มันบ้าไปแล้ว


ไม่ถึงกับต้องเป็นห้องโถงโอ่อ่าประดับแชนเดอร์เลียราคาแพงตรงกลาง ไม่ต้องมีไฟสว่างไสวประดับรอบสถานที่ ไม่มีดนตรีน่าฟังคลอเคล้าสร้างบรรยากาศ ตฤณก็รู้สึกได้ถึงความหรูหรา...มาก


“ตฤณครับ” คนนั่งรออยู่ก่อนแล้วโบกมือเรียก คนถูกเรียกก้าวขาไปข้างหน้าตามต้องการ ถึงตื่นเต็มตาแล้วแต่สมองยังแล่นไม่ทันสิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เลย


“ขอโทษนะ ผมปล่อยให้คุณรอนานเลย ดื่มอะไรหน่อยไหม”


“เอ่อ...ผม...” ตฤณยังอ้าปากพะงาบไม่ยอมหุบ คุณวินระบายยิ้มให้เหมือนจะปลอบทางสายตาว่าไม่ต้องตื่นเต้นมากนักก็ได้ “อะ...อะไรก็ได้ครับ”


“โอเค อย่างนั้นเอาแบบเดียวกับผมแล้วกัน” พูดจบคุณวินคว้าแก้วมาจากไหนไม่รู้ รินไวน์ขวดที่เขาดื่มใส่ลงก่อนเลื่อนมาให้ ตฤณรับมาจิบหนึ่งอึกพอเป็นมารยาท มองดวงตาที่ยิ้มได้ของคุณวินแล้วเกิดคำถามเป็นร้อยข้อแม้ยังไม่หายตะลึง ท้องฟ้ามืดลงกว่าเมื่อครู่เสียอีก


“นึกถึงบรรยากาศตอนนั้นเลยเนอะ ที่เราเจอกันครั้งแรก ติดที่ว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเย็น ถ้าเป็นไปได้ตอนดึกๆวิวจะสวยกว่านี้อีก”


“คุณวินครับ”


“หืม?”


ตฤณเรียกสติกลับมาได้แล้ว และกำลังจะถามคำถามที่ไม่ดูใส่อารมณ์ความรู้สึกมากจนเกินไป “General manager นี่ขึ้นมากินอาหารบนนี้ได้ด้วยเหรอครับ ไม่ใช่ว่ามีไว้ให้แขกวีไอพีหรอกเหรอ”


พอได้ยินคำถามแล้วเขากลับส่งเพียงยิ้มมุมปากมาให้ ทำให้ตฤณเริ่มหวั่นไหวที่จะถามคำถามต่อไปเพราะกลัวจะเจอกับคำตอบที่คาดไม่ถึง


“คุณไม่ใช่แค่ผู้จัดการทั่วไปใช่ไหม”


“ผมเป็น GM จริงๆครับ”


“ผมว่า GM ไม่น่าจะเหมาชั้นดาดฟ้าโรงแรมหรูขนาดนี้ได้” ตฤณกระดกไวน์จนหมดแก้วประชดประชันคนที่ทำท่าเหมือนมีอะไรปิดบัง “มีตำแหน่งอะไรที่สูงกว่านี้ไหมครับ”


“MD ครับ Managing Director”


“สูงกว่านั้นอีก”


“สูงกว่านั้นก็คือเจ้าของโรงแรมครับ ถ้าจะเอาสูงกว่าเจ้าของโรงแรมตฤณเจอตำแหน่งพระอินทร์แล้วนะ” แล้วคุณวินก็หัวเราะ ขยี้ผมบนศีรษะตฤณแบบมันเขี้ยวเอ็นดูเต็มประดา ขณะที่เขาเองนั่งขมวดคิ้วแน่น


“แล้วงานจริงๆของคุณคืออะไรกันแน่ บอกมาเถอะครับผมไม่โกรธหรอก” แค่เคืองนิดหน่อยที่ไม่บอกกันตั้งแต่แรก เริ่มนึกเคืองคุณโสมแล้วด้วยเหมือนกันที่เคยแอบถามไปแล้วทางคุณโสมตอบกลับมาว่าคุณชวินทร์เป็นทุกอย่าง หรือทุกอย่างที่ว่านั่นจะหมายถึง...


“ที่ผมบอกคุณไปทั้งหมดนั่นเลยครับ ตัด MD ออกไป ทำควบสามอย่างพร้อมกันมันเหนื่อย แล้วอย่านับพระอินทร์เข้าไปด้วยนะ”


ตฤณช็อค ช็อคถึงที่สุดเมื่อได้ยินแบบนั้น ได้ยินตัวเองสบถออกมาว่า what the f*ck ให้อีกคนสะดุ้งเล่นๆ คุณชวินทร์หัวเราะออกเสียงแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจนกังวานในบริเวณนั้น ดวงตาหยีเล็กเห็นฟันในปากเรียงตัวกันครบ หัวเราะแล้วยังรินไวน์ใส่แก้วยกขึ้นดื่มเหมือนแค่ฟังเรื่องตลกมากๆเรื่องหนึ่งจนพอใจหายเครียดกับงาน


สิ่งที่กลัวมันเกิดขึ้นแล้ว คุณชวินทร์เป็นเจ้าของโรงแรมตึกแฝดหรูย่านสาทร ตอนนี้กำลังดินเนอร์กับเด็กนักศึกษาชั้นปีที่สามที่เป็นใครก็ไม่รู้ แถมยังเจอกันครั้งแรกที่บาร์อโคจร หิ้วกันกลับไปต่อที่ห้องอีกต่างหาก ชีวิตจะมาเป็นซิทคอมอะไรกันตอนนี้!


จนผ่านมื้ออาหารบนดาดฟ้าผ่านไปแล้ว ตฤณยังไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากประโยคสบถเมื่อชั่วโมงก่อน คิดเหมือนกันว่าเสียมารยาทน่าดู แต่ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไรเลย ข้างในอกตีรวนไปหมด จะว่าสับสนก็สับสน น้อยใจมีนิดหน่อย หงุดหงิดแต่โล่งใจ บรรยากาศเงียบสงบ บนนี้มีได้ยินเสียงรถราเป็นดนตรีพื้นหลังไม่ให้เงียบจนเกิดความอึดอัด


“โกรธเหรอ”


“เปล่าครับ แค่...ตกใจ”


“โลกนี้มีคนอยู่สองประเภทนะตฤณ” คุณวินขยับตัวให้นั่งสบายขึ้น ทั้งแอลกอฮอล์และแสงเทียนทำให้หน้าตาเขาดูฉ่ำหวานน่ากัดแก้มเป็นที่สุด “หนึ่งคือคนที่รู้ว่าผมเป็นใครแล้วจะสนใจแต่เงินของผม กับสองคือคนที่รู้ว่าผมเป็นใครแล้วจะโกรธที่ผมไม่ยอมบอกกันตั้งแต่แรก”


“ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นคนประเภทที่สาม”


คุณวินที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างกันเอื้อมมือมาเกลี่ยแก้มให้ตฤณ เปลวเทียนสีส้มจัดสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นซ้อนกับเงาของเขา จะมีแว่นตาหรือไม่มีแว่นตาคุณเขาก็ยังดูน่าหลงใหลสมเป็นพ่อมดเจ้าเสน่ห์ “ยังไงครับ”


“คือเมื่อรู้แล้วว่าคุณเป็นใครจะกระเป๋าฉีก แบบนี้ต่อให้ทำงานจบหาเงินทั้งชาติผมคงเลี้ยงคุณไม่ไหว” GM เงินเดือนห้าหมื่นที่ตฤณคิดไว้เมื่อก่อน ตอนนี้คงต้องเพิ่มเลขศูนย์เข้าไปอีกสามตัวเสียแล้วก็ไม่รู้


“ที่เงียบไปคือคิดเรื่องนั้นอยู่หรือไงนะเรา เลี้ยงไม่ไหวก็มาให้ผมเลี้ยง”


“ไม่ได้หรอกครับ” คราวนี้เด็กหนุ่มกลับมานั่งหลังตรง จากที่เอนพิงโต๊ะยาวนั่งมองหน้าคุณชวินทร์ “พ่อผมสอนไว้ว่าเป็นผู้ชายต้องหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นหลักเลี้ยงคนอื่นได้ยังไง”


คนฟังสบตาเขาไม่กระพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตฤณไม่ได้นับด้วยว่าคนที่นั่งอยู่ด้วยกันดื่มไปกี่แก้ว ส่วนตัวเองแค่แก้วนั้นกับอาหารอร่อยๆคงมากพอแล้ว คุณวินเมาหรือเปล่านะถึงเอาแต่นั่งท้าวแขนกับโต๊ะ ถ้าไม่ไหวตฤณจะแบกลงไปเอง


คนที่คิดว่าเมายกมือขึ้นมาโบกนิ้วเข้าหาตัวเอง ตฤณโน้มหน้าเข้าไปหา แล้วก็รู้ว่าตัวเองโดนหลอกให้พ่อมดจูบ


จริงอย่างที่คุณอาภาโสมบอก การเห็นหน้าดีกว่าการคุยทางโทรศัพท์มากแบบเทียบกันไม่ติด สวนดอกไม้แห้งเหี่ยวและฝูงผีเสื้อที่ตายซากกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในช่องท้องของผู้บริหารในคราบผู้จัดการของตฤณ เด็กคนนี้พ่อแม่เลี้ยงมาดีขนาดนี้ แล้วชวินทร์จะไม่อยากดูแลต่อได้ไหวหรือ




ตฤณรู้ว่าห้องของคุณวินอยู่ที่ชั้นสิบห้า มีความกว้างเท่ากับชั้นทั้งชั้นของโรงแรม ตอนที่คุณวินรุกจูบไม่หยุดจนตฤณถูกดันเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มกำลังรับมือเจ้าของห้องที่ตอนนี้มีแต่กลิ่นไวน์เต็มตัว ไทด์เสื้อทำงานหลวม และผมยุ่งนิดหน่อย เหมือนภาพจำในวันแรกที่พบกันกำลังฉายซ้ำเป็นครั้งที่สอง


เสื้อผ้าเริ่มหลุดไปทีละชิ้นระหว่างทางที่คุณวินพาเดินไปยังส่วนของห้องนอนจนคนมาเก็บทีหลังต้องนึกเสียใจแน่ สุดปลายทางที่เตียงนุ่มขนาดใหญ่เมื่อใดสองร่างลงไปฟัดกันเมื่อนั้น คุณวินหอบหายใจฟืดฟาดด้วยฤทธิ์ของมึนเมา ตอนใส่แว่นมองดูเป็นผู้บริหารโรงแรมมาดดี แต่พอไม่มีแว่นส่งสายตาหรี่จัดที่เต็มไปด้วยความต้องการล้นปรี่ทอดมองมาก็ทำเอาตฤณของขึ้นได้เหมือนกัน บดขยี้จูบเร่าร้อนสลับเนิบช้าหนักหน่วง ถึงขั้นสอดตวัดปลายลิ้นดูดดุนด้วยความโหยหา เพราะตั้งแต่วันนั้นเราไม่ได้แตะต้องกันไปมากกว่าจับมือหรือยีผม ความอัดอั้นย่อมมีขีดจำกัดที่จะปลดปล่อย


ตฤณกับคุณวินตอนนี้ทั้งกอดรัดทั้งดึงกันเหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ดูดเข้าหากันตลอดเวลาแบบไม่มีเงื่อนไข ระหว่างริมฝีปากประกบกันแนบแน่นคุณวินลูบไล้ไปตามร่างกายของตฤณที่อาจไม่ได้ออกกำลังกายมากแต่ยังมีมัดกล้ามเนื้อแบบผู้ชายรูปร่างดี คนที่อยู่ด้านล่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันบีบเคล้นบั้นท้ายพร้อมดึงชิ้นน้อยที่คุณวินมีจนหมิ่นเหม่ในเวลาสั้นๆ เสียงครางอื้ออึงในคอประท้วงว่าต้องการอากาศหายใจ คุณวินจึงยอมเปิดปากเขาโดยดี


“คุณวินค่อยๆสิครับ ไม่ต้องรีบหรอกผมไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว เมื่อกี้คุณก็ไม่ปิดประตู” คนอ่อนกว่าเหมือนจะดุด้วยความที่เมื่อกี้ต้องเป็นฝ่ายเอาขายันประตูกันป้องกันคนอื่นมาเห็นเข้า ทั้งที่ความจริงชั้นนี้ไม่มีใครมายุ่งอยู่แล้ว


“คิดถึง ผมคิดถึงตฤณที่สุดเลยรู้ไหม” เจ้าของเสียงยังคงพูดประโยคเข้าใจง่ายได้น่าฟังและลึกซึ้งเสมอ จงใจบดเบียดร่างกายให้แนบชิดกันอีกด้วยการกดเอวลงมาระหว่างกลางลำตัวของตฤณที่ชันเข่าขึ้นโอบล้อมไว้ ฝั่งหนึ่งมีเนื้อผ้ากั้นแต่อีกฝั่งโล่งหมดจดกำลังตื่นขึ้น จุ๊บปากหลายๆครั้งแทนการจูบจนเด็กหนุ่มเริ่มคันปากนึกอยากงับให้มันบวมแดงโทษฐานอ้อนเขาไม่หยุด “คุณหนีไปไหนไม่รอดหรอกถ้าลองหลงเข้ามาให้ผมติดแล้ว”


“หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วครับคุณ หนึบหนับเลย”


ตฤณได้พูดแค่นั้นคุณวินก็ก้มลงมาปิดปากกลืนคำพูดหายไปอีก ทว่าครั้งนี้ไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้า คุณวินทั้งจับทั้งบีบเขา กระตุ้นหน้าอกสองข้างจนแข็งเป็นไตสู้มือ แถมยังแอบงับเข้าที่คอตอนเลื่อนใบหน้าไปจูบที่บ่าเขาอีก ส่วนเขาน่ะหรือเอาคืนด้วยการหาจังหวะเผลอพลิกกลับขึ้นมา ยึดข้อมือซุกซนนั่นไว้ชั่วคราวเหนือศีรษะ กดย้ำหัวเข่ากับคุณวินน้อยแล้วถูไถไปมาจนเขาสูดปาก ได้เวลาวาดลวดลายปลายลิ้นลงบนร่างกายขาวที่ไม่หนาไม่บางไปกว่ากัน ตฤณพรมจูบไปทั่วเท่าที่แรงความต้องการสูบฉีด สุดท้ายแล้วโยนเสื้อผ้าชิ้นเดียวบนร่างกายคุณวินทิ้งไป และถอดของตัวเองโยนตามไปอีกเพื่อความเท่าเทียม เนื้อจึงได้สัมผัสเนื้อไม่มีอะไรขวางกั้น


“คุณวิน ผมว่าเราน่ะ...เอ่อ...”


“ผมเข้าใจครับ ยังไม่ได้คิดเหมือนกัน”


“คือเราคงไม่ผลัดกันใช้มือช่วยตลอดไปแน่ๆ” ตฤณกล่าว พยายามไม่มองส่วนกลางร่างกายทั้งของเจ้าของห้องและของตัวเองที่มันพร้อมมากขึ้นทุกขณะเวลา “ดังนั้นผมจะ...จะยอมให้คุณวินเองครับ”


ชวินทร์ลุกขึ้นนั่งประจันหน้ากับเด็กหนุ่ม มองดวงตาที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและความเสียสละคู่นั้นแล้วอดลูบหัวปลอบใจไม่ได้ “มันจะเจ็บนะตฤณ คุณไม่เคยมาก่อน”


“เข้าใจครับ คนอื่นบอกไว้แบบนั้น” ตฤณกลืนน้ำลาย “แต่ผมไม่อยากให้คุณวินเจ็บ ผมอยากถนอมคุณไว้นานๆ”


“เด็กโง่เอ๊ย” คุณวินดึงคนพูดไปหอมผมแรงๆหนึ่งครั้ง นึกขันในใจว่าคนที่น่าถนอมนั่นแหละคือตัวคนพูด ไม่ใช่ตัวเขา ดูท่าว่าที่บอกจะตั้งใจเรียนให้จบแล้วทำงานหาเงินมาเลี้ยงเขาคงไม่ได้พูดเล่นเช่นกัน “อย่างนั้นมาลองดูกันก่อน ถ้าเจ็บจะเลิกทำ”


“ครับคุณวิน” เป็นประโยคที่ฟังแล้วอยากฟัดคนพูดแรงๆเหลือเกิน


ชวินทร์ลุกขึ้นเดินไปหยิบอุปกรณ์ป้องกันมาจำนวนหนึ่ง กลับมานั่งเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วถึงเริ่มบทเรียนรักกันใหม่ ตฤณนอนราบด้วยอาการใจเต้นตึกตักที่มีแต่ความกลัว คุณวินขึ้นมานั่งบนร่างกายเขาแล้วทำนุ่มนวลขึ้นอีกเท่าตัว พอดันขาเขาขึ้นแล้วเลื่อนร่างกายลงไปด้านล่าง ระหว่างเล่นกับส่วนกลางร่างกายที่กำลังตื่นตัวเต็มที่จนเกิดอาการวูบวาบ นิ้วมือเลื่อนถูไถไปกับช่องทางด้านหลัง กดชำแรกเน้นย้ำและเข้าไปได้ในที่สุด ตฤณเกร็งท้องน้อยกับท่อนขา หอบหายใจแรงจนคุณวินต้องพูดปลอบอยู่นาน แต่เด็กดีของเขาไม่เกเรเลย


เอาเข้าจริงตฤณว่าตัวเองอาจจะเนื้อหนังหนาเกินไป บวกกับมีสารช่วยให้หล่อลื่นจึงไม่คิดว่ามันเจ็บมากเกินทน


“คะ...คุณวินครับ”


“ครับผม”


“ทำไมมะ...มันรู้สึกแปลกๆ อ๊ะ...” จะไม่ให้แปลกได้อย่างไรเล่า นอกจากความเจ็บแล้วมันยังรู้สึก...บอกไม่ถูก เหมือนเวลาคุณเขาขยับนิดหน่อยแล้วมันเสียวหน่วงขึ้นมา ทำไมคุณวินถึงขยับนิ้วเป็นจังหวะแปลกๆแล้วทุกครั้งที่ขยับเขาจะเป็นแบบนั้น


ชวินทร์ชอบเหลือเกินเวลาเด็กหนุ่มพูดติดขัดทุกจังหวะที่เขากระดกข้อนิ้ว พอสอดเข้าไปลึกขึ้นพร้อมทั้งกระตุ้นพื้นที่ผิวเล็กๆใต้ไข่ทั้งสอง ตฤณยิ่งครางออกเสียง ใบหน้าบิดเบี้ยวระคนสงสัยเหมือนมีคำถามอะไรในหัวตลอดเวลา


แน่นอย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย


“แบบนี้ดีไหม”


“ครับ อ่า ตรงนั้นมัน...คุณวิน ฮึก...” หลังสำรวจอยู่สักพักชวินทร์ลองทดสอบความแน่ใจของตัวเองอีกครั้งด้วยการเพิ่มแรงกดลงไป ผลคือตฤณบิดเกร็งจิกนิ้วเท้าลงกับเตียง ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงมองเขาด้วยสายตาระริกเหมือนเด็กตัวน้อยหลงทางแล้วมาขอให้เขาช่วย เขาเลยช่วยให้สมปรารถนาด้วยการขยับสั่นถี่ยิบเข้าที่จุดนั้นไม่ยั้งให้เจ้าของร่างครวญครางยิ่งกว่าเก่า ตฤณอ่อนปวกเปียกเชิดหน้าส่งเสียงกระเส่าจนเขาฟังแล้วยังแทบขาดใจแทน


พ่อมดใช้มือร่ายเวทมนตร์ฉันใด พ่อมดก็ทำให้ตฤณเจ็บปวดระคนสุขสมด้วยมือฉันนั้น


หลังจากคุณวินรังแกเขาด้วยมือที่ใช้เบิกทางนั่นแล้ว พอร่างกายเราเชื่อมกันตฤณถึงกับรู้ซึ้งว่าความรู้สึกของคนอื่นเวลาที่รับเขาเข้าไปอยู่ในตัวมันเป็นอย่างไร ความเจ็บนี้ทวีคูณยิ่งกว่าเมื่อครู่ ทำเอาตัวสั่นน้ำตาเล็ดและคอแห้งผาก ตัวตนของคุณวินมีขนาดไม่ใช่น้อย ตฤณรับรู้ได้ด้วยอาการจุกแน่นจนไม่กล้าขยับไปไหน


คนที่เวลาปกติใจดี เวลาอยู่บนเตียงกลายเป็นคนใจร้ายกับเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น คุณวินให้เวลาแค่ช่วงสั้นๆให้ได้หอบหายใจกับร้องระบายความเจ็บปวดแล้วขยับทันที ทว่าจากจังหวะเนิบนาบที่ยังรวดร้าวพอเริ่มเร็วขึ้นมันกลับกลายเป็นความสุขแปลกใหม่ที่ตฤณไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้รับ คุณวินขยับเข้ามาหนึ่งครั้งก็ไปชนถูกจุดรู้สึกดีจุดนั้นจนตฤณครางทุกครั้ง มันใหม่ มันดี มันสุข มันล้นปรี่จนคิดว่าหลังจากนี้เขาจะยอมให้คุณวินรังแกซ้ำๆจนกว่าจะพอใจ ไม่นานตฤณหลับตาเอื้อมมือไปแตะขอบสวรรค์จนได้


ถึงเป็นผัวคนทั้งโลกแต่อย่างไรกับคนนี้คงเป็นได้แค่เมียเท่านั้น


ประโยคหนึ่งดังขึ้นในหัวก่อนที่บทรักรอบต่อไปจะเริ่มขึ้น ไม่รู้คุณวินคึกคักอะไรมา แต่กว่าตฤณจะได้นอนระยะทางคงอีกยาวไกล ไกลเหมือนก้าวขาเดินเข้าป่าวงกตที่ไม่มีวันสิ้นสุด

__________

จบพาร์ทของหนุ่มสาทรแล้ว รู้สึกเหมือนกลั้นหายใจเอาไว้เฮือกเดียวแล้วตายไปเลย o2
อันที่จริงใครลงเรืออะไรก็ได้ค่ะ เจ้าตฤณแค่อยากถนอมคุณของเขาไว้เฉยๆ 555
ด้วยความที่ลงติดกัน 8 วัน ขอพักเหนื่อยก่อน ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องของหนุ่มคนไหนย่านอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
ใครเล่นทวิตเตอร์ก็ไปส่งฟีดแบคได้ที่ #หลงมาที่สาทร ได้  หรือจะคอมเมนท์ในนี้ เมนชั่นไปหาเราก็ได้ไม่ว่ากัน
ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม
หัวข้อ: Re: Business Districts : Lost at Sathorn VIII #หลงมาที่สาทร [14/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-07-2019 09:17:39
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love I #ทองหล่อที่รัก [21/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 21-07-2019 14:36:37
Thonglor My Love
ทองหล่อที่รัก




กรกฎาคม 256x


“คุณเจตน์ ผมจะออกไปข้างนอก อาจจะกลับเข้ามาช่วงประมาณสี่หรือห้าโมงเย็น ถ้าป๊าถามว่าผมไปไหนให้บอกว่าไปธุระเรื่อง...อเวนิวนะครับ”


“แล้วคุณติณภพจะไปไหนครับ ผมหมายถึง...ที่จะไปจริงๆ”


พอถูกสายตาคู่นั้นตวัดกลับมามอง คนถามยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างทุกครั้งไปแม้ว่าต้องเจอเรื่องแบบนี้มาเป็นเวลาหลายปี ติณภพขบฟันกับริมฝีปากล่างจนเจ็บเนื้ออ่อนนุ่มด้านในเป็นการข่มใจ บางทีเลขาส่วนตัวของเขาก็รู้มากเกินไปจนเดี๋ยวนี้ถึงขั้นดักคอเจ้านายตัวเองแล้ว


“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องรู้ก็ได้ครับ เพราะถ้าคุณหลุดปากไปบอกป๊าอีกเดี๋ยวต้องมานั่งคุยกันยาวแบบคราวที่แล้ว”


“แต่ครั้งนั้นคุณไตรภพขู่ว่าจะตัดเงินเดือนผมครึ่งหนึ่ง” ก่อนร่างสูงโปร่งในชุดสูททันสมัยจะหันหลังก้าวลงบันไดไปอีกขั้น เลขาหนุ่มเอ่ยปากรั้งไว้อีกครั้ง “คุณติณภพทำอย่างกับว่าผมมีทางเลือกอย่างนั้นล่ะ...ครับ”


“ตกลงใครเป็นคนจ้างคุณกันแน่วะคุณเจตน์ ได้ข่าวว่าคนที่จ่ายเงินให้คุณเป็นค่าตอบแทนคือผมนะ ไม่ใช่ป๊า”


คนพูดชักเหลืออดขึ้นวะขึ้นโว้ย สะบัดชายสูทยกมือขึ้นท้าวสายเข็มขัดที่รัดรอบเอว ถึงเสียงยังไม่เพิ่มระดับจนน่ากลัว แต่ด้วยความที่มีหนังตาชั้นเดียวห่อหุ้มลูกตากลมโตสีเข้มจัด ใบหน้าเรียวและโครงหน้าแบบจีนชัดกว่าแบบไทย ทำให้ติณภพดูเหมือนคนกำลังเหวี่ยงวีนเกินภาพความเป็นจริงไปสองเท่า คุณเจตน์เม้มปากเรียบตรง ดีนะที่ความสามารถกับหน้าตามีดีกรีสูงพอกัน ไม่อย่างนั้นติณภพคงหงุดหงิดกว่านี้


“คุณไตรภพเป็นผู้บริหารโรงแรมสาขาแม่และมีอำนาจสูงกว่าคุณนี่ครับ แค่กระพริบตาเขาเด้งผมออกได้ทันที”


ไม่ต้องมาทำหน้าอ้อนแบบนั้น ต่อให้หล่อก็ไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย ไม่ใช่ไทป์


“ออกก็จะจ้างใหม่ ผมไม่ยอมให้ใครมารังแกคนของผมหรอก นี่เห็นไหม ยืนคุยกันเสียเวลาไปเยอะละ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ผมถึงโรงแรมคุณวินตั้งนานแล้ว คุณนี่แม่ง...”


ติณภพชี้ให้อีกคนดูเข็มนาฬิกาสายหนังสีน้ำตาลมียี่ห้อแล้วทึ้งผม พอเห็นคนที่ยืนประสานมือไว้ด้านหน้าลอบยิ้มถึงรู้ตัวว่าหลุดพูดความลับออกไป เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันหงุดหงิดกว่าเดิมอีก ยิ่งยืนยิ่งเสียเวลา ไปจากตรงนี้ดีกว่า


“ตฤณ จะไปไหน”


เสียงทุ้มโทนลึกอย่างชายสูงวัยดังขึ้นด้านหลัง เห็นสีหน้าคุณเลขาเบิกตากว้างแบบนั้นไม่ต้องหันไปมองยังรู้ว่าใครพูดกับเขา ติณภพแอบแยกเขี้ยวใส่คุณเจตน์ สูดหายใจเข้าลึกผ่อนออกแรงๆก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นอีกแบบแล้วหันไปเผชิญหน้า


“อ้าวป๊า จะมาทำไมไม่บอกก่อน”


“ก็มาดูเราน่ะสิว่าเป็นยังไงบ้าง กลัวโรงแรมเจ๊งไปเสียก่อน แล้วนี่ตกลงว่าจะไปไหน” ชายที่ติณภพถอดแบบโครงหน้าออกมาถามขึ้น มองเขาสลับกับเลขาตัวดีเหมือนจะสื่อว่าถ้าเขาไม่พูด คุณเจตน์จะมีคำตอบให้


“โธ่ป๊า ทำงานมาหลายปีถ้าจะเจ๊งคงเจ๊งตั้งแต่เดือนแรก ไม่ต้องมาเองก็ได้ ยังไงผมต้องไปหาเองอยู่แล้ว” ติณภพเดินลงมายังบันไดขั้นสุดท้ายไม่ให้เป็นการยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ คุณเจตน์เองเดินตามลงมาเช่นกัน “ผมกำลังจะไปหาชวินทร์ที่...นัดไว้แล้วเดี๋ยวจะไปไม่ทัน มีคนมาขวางทางอยู่ได้เนี่ย”


คนพูดหันไปหาคู่กรณีก่อนหน้าให้คนที่เรียกว่าป๊าเห็นชัดแจ่มแจ้ง คนรับฟ้องถอนหายใจกับไม้เบื่อไม้เมา


“ไปหาชวินทร์อีกแล้ว แกปล่อยเขาทำงานสงบสุขบ้างเถอะ รบกวนเขาเปล่าๆ หรือว่ากำลังแอบอู้งานอีก”


“มะ...ไม่ได้อู้งาน ผมจะไปหาชวินทร์จริงๆ” ติณภพเสียงสูง รีบเข้ามาเกาะแขนคนเป็นพ่อทำหน้าอ้อน “ผมจะไปปรึกษาเรื่องระบบโรงแรมนิดหน่อย ใครจะกล้าอู้งานแอบหนีออกไปหาเพื่อนกันล่ะป๊า ไม่เชื่อถามคุณเจตน์ดูได้เลย”


ติณภพได้ยินเสียงดังออกมาผ่านสีหน้าซีดเผือดของคุณเจตน์ว่า งานเข้า นึกสะใจที่ได้หาเรื่องเอาคืนคนที่รั้งไว้ไม่ยอมให้ไปจนต้องมาเจอพ่อแบบนี้


“ครับ คุณติณภพมีเพื่อนไม่ค่อยมาก ผมรับรองกับคุณไตรภพได้เลยว่าเรื่องแอบทิ้งงานออกไปข้างนอกแทบไม่มี ส่วนมากแค่ไปปรึกษาคุณชวินทร์หรือไม่ก็มีธุระที่...อเวนิวเป็นครั้งคราวครับผม”


เจ้าของดวงตาชั้นเดียวเลิกคิ้วขึ้นสูง เกร็งสายตามองคนพูดจนมันแทบถลนออกจากเบ้า ไอ้คุณเลขาใจหยาบ! บอกพ่อว่าออกไปเป็นครั้งคราวยังพอทน แต่มาบอกว่าไม่ค่อยมีเพื่อนคบนี่มันเจ็บ ไม่ต้องรอพ่อทำก่อนติณภพนึกอยากจะตัดเงินเดือนเจ้าตัวดีให้เหลือน้อยกว่าค่าน้ำค่าไฟที่บ้านเสียจริง!


“แล้วไป เป็นผู้บริหารถึงจะทำอะไรก็ได้แต่อย่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่ลูกน้องมากนักนะอาตฤณ” พ่อพร่ำสอนเขาทุกครั้งไปอย่างลูกชายคนเชื้อสายจีนที่ลำบากมาก่อนที่พึงระลึกไว้เสมอ “...อเวนิวนี่ปล่อยมันไปบ้างเถอะ หาคนมาดูแลต่อจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหลายที่ มีแค่โรงแรมก็อยู่ได้สบาย”


“ไม่เอาหรอกป๊า กว่าผมจะได้มันมาป๊าก็รู้ว่าต้องสู้ยิบตากับคนอื่นขนาดไหน นี่มันกำลังไปได้ดีทำรายได้เยอะอยู่เหมือนกัน อีกหน่อยเผื่อผมเก็บเงินไว้ให้ลูกผมบ้าง”


พอพ่อบอกว่าจะให้ปล่อยขายพื้นที่ศูนย์การค้าใกล้โรงแรมที่เป็นเจ้าของอยู่ ติณภพกลับมามีสีหน้ามู่ทู่อีกครั้ง กว่าจะได้มาครอบครองมันง่ายเสียที่ไหนกันล่ะ ใครๆก็รู้กันทั่วว่าทองหล่อเป็นย่านที่มีแต่คนเมืองคนทำงาน คนค่อนข้างมีฐานะอยู่แถบนี้เยอะ นักลงทุนหรือนักธุรกิจชาวต่างชาติก็ไม่น้อย อย่างไรเสียอเวนิวของเขาไม่มีทางลงทุนเปล่า


ด้วยความที่มีหัวการค้ามากกว่าการบริหารโรงแรม วันนั้นติณภพจำได้ว่ากระเหี้ยนกระหือรือไปหาเจ้าของที่ผืนนั้นด้วยตัวเอง คุยไปคุยมาถึงรู้ว่ามีนักลงทุนชาวต่างชาติสนใจอยู่อีกคนด้วยเหมือนกัน เลยต้องเทียวไล้เทียวขื่อตามตื๊อสุดๆเป็นเวลาร่วมเดือน จำนวนเงินมากขึ้นเรื่อยๆจนดันสูงไปถึงแปดหลักครึ่งค่อนเก้าหลัก(ซึ่งคิดว่าจะไปขอกู้ป๊าทีหลังหากข้อตกลงสำเร็จ) พอคุณเจ้าของที่เริ่มใจอ่อน ติณภพบอกให้คุณเจตน์จัดการที่เหลือต่อ สุดท้ายกลายเป็นว่าซื้อตัดหน้านักลงทุนคนนั้นแบบฉิวเฉียด เพียงปีเดียวก็คืนทุนที่ขอกู้มาจนหมด


ตอนนี้ศูนย์การค้าตรงนั้นอยู่มาได้จนถึงปีที่สามแล้ว กำไรขึ้นลงทุกเดือนแต่ไม่เคยขาดทุน ดีไม่ดีบางร้านยังมีคอนเนคชั่นกับโรงแรมของเขาเสียอีก ถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นใจที่มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง ถึงอย่างนั้นติณภพก็ยังไปๆมาๆเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย และพักผ่อนจากการทำงานนั่งโต๊ะที่น่าเบื่อ


“แล้วไอ้หนุ่มที่ไหนจะมีลูกให้แก ถามแค่นี้”


ตั้งแต่แม่เสียไปเมื่อเขาอายุยังน้อย พ่อของติณภพแต่งงานใหม่กับหญิงชาวต่างชาติ รู้ว่าเขาไม่พอใจแต่ก็อ้างว่าเขาต้องการแม่มาดูแล หลังจากนั้นเมื่ออยากได้อะไรพ่อจะหามาให้ ตามใจทุกอย่างราวกับต้องการเติมเต็มแม่ตัวจริงที่หายไป จวบจนเติบโตมาได้ทุกวันนี้ติณภพยังติดนิสัยนั้นมาอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าถึงจะมีนิสัยแบบนี้ หากพ่อไม่แต่งงานกับแม่เลี้ยงฝรั่งให้ช่วยเลี้ยงดูขัดเกล้าในวันนั้น วันนี้ติณภพคงไม่เป็นผู้เป็นคนได้อย่างที่เป็นอยู่


รวมทั้งเรื่องที่พ่อรู้ว่าติณภพมีรสนิยมแบบไหน ก็ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวว่าเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หนึ่งในน้องชายต่างแม่ทั้งสองคนก็เป็นแบบเขา พ่อไม่เคยตำหนิแม้แต่น้อย


ความรู้สึกโชคดีกว่าการเกิดมามีฐานะ คือการมีพ่อแบบพ่อของเขา


“ผมเคยคุยกับชวินทร์นะ เขาบอกว่าถ้าใกล้เลขสี่แล้วยังไม่มีใครจะแต่งงานกันคุณโสมเลขาคนเก่ง เพื่อนผมยังเทิร์นได้ บางทีผมอาจจะเปลี่ยนใจในตอนนั้น”


“หรือถ้ายังไม่เปลี่ยนใจ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยแล้วนะครับ”


“ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ คุณเจตน์” หนุ่มหน้าตี๋เค้นเสียงเมื่อเห็นคนเสนอทางเลือกพูดไปยิ้มไป ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะวะไอ้คุณเจตน์ พอป๊ามาล่ะเหิมเกริมกับเจ้านายเชียว


“เอาเถอะ ชีวิตแกแกเลือกเอง อย่าทำคนอื่นเดือดร้อนก็พอ ตอนนี้อยากไปไหนก็ไปเถอะ แล้วเย็นนี้กลับมากินข้าวที่บ้านด้วยนะ แม่กับน้องรออยู่”


“ครับป๊า ผมฝากดูแลป๊าด้วยคุณเจตน์” ติณภพมีใบหน้าสดใสขึ้นมาทันตาที่วันนี้ไม่ถูกพ่อบ่นเหมือนวันอื่น เข้าสวมกอดแทนคำขอบคุณหนึ่งทีแล้วเดินตัวปลิวไปหาลูกรักคันงามที่ลานจอดรถ




ก่อนออกรถจากโรงแรมติณภพต่อสายหาคุณอาภาโสมเลขาส่วนตัวของคุณชวินทร์ เพราะวันนี้นึกอยากไปแบบกะทันหันเลยยังมีความเกรงใจมากพอไม่ให้โทรหาเบอร์ส่วนตัวรบกวนเวลางาน แอบผิดหวังเล็กน้อยที่หญิงสาวบอกว่าเจ้านายของเธอไม่อยู่ที่โรงแรม เลยต้องเปลี่ยนแผนไปอเวนิวแทน


คุณชวินทร์กับติณภพรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ครอบครัวดึงตัวกึ่งบังคับให้มาช่วยบริหารโรงแรมใหม่ๆ ทุกวันนี้สนิทกันในระดับที่สามารถไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความเกรงใจค้ำคอ เพื่อนของเขาเป็นคนสอนให้รู้จักคำนั้นตอนที่เคยไปบ่นให้ฟังว่าเที่ยวกลางคืนกลับดึกจนแม่เลี้ยงเริ่มออกปากบ่น มีอีกหลายอย่างที่เมื่อคุณคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มสบาย ติณภพกลับเชื่อฟังมากกว่าที่พ่ออบรมจนปากแทบฉีกถึงหู ไม่รู้เพราะอะไร เรียกได้ว่าคุณชวินทร์เป็นอีกคนที่ดัดสันดานให้ปรับปรุงนิสัยไปในทางทีดีขึ้นเรื่อยๆ


ครั้งหนึ่งพ่อถึงกับส่งกระเช้าผลไม้ไปขอบคุณ ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกชายตัวแสบคนนี้ เพราะคิดว่าคุณชวินทร์เป็นแฟนติณภพ เข้าใจผิดอยู่ได้ตั้งนานนม


บางทีลึกๆแล้วติณภพนึกอิจฉาในหลายสิ่งของคุณชวินทร์ ทั้งทำงานเก่ง ใจเย็น และเป็นคนคอยรับฟังเขาพร้อมทั้งมีคำแนะนำที่ดีให้เสมอ โดยรวมแล้วมีความเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ราวกับว่าเป็นอีกคอมฟอร์ทโซนที่อยากใช้เวลามาผ่อนคลาย คนเอาแต่ใจอย่างเขาเลยแอบถือโอกาสใช้นิสัยที่ทุกคนเกรงใจในภาพลักษณ์ภายนอกของตัวเองฝ่าทุกด่านเข้าไปหาคุณชวินทร์ที่...ไม่ค่อยเกรงใจแล้วยังขัดใจอีก ทุกคนกลัวติณภพยกเว้นคนชื่อชวินทร์


“ไม่มีน้ำใจกันเลยครับคนประเทศกรุงเทพ ขอเข้านิดหน่อยไม่ได้หรือไงวะ กูเปิดไฟเลี้ยวตั้งนานแล้ว”


ขับออกสู่ท้องถนนมาจนใกล้ถึงอเวนิว เจ้าของรถคันงามออกปากบ่นเพราะรถคันข้างหลังเร่งเครื่องขับจนชิดไม่ยอมเว้นช่องให้ติณภพเข้าถนนเลนริมได้


ปริ๊น!


เลยต้องปาดหน้ากันมันซึ่งหน้านี่ล่ะ ถ้าไม่เข้าต้องเลยไปกลับรถอีกไกล ช่วงบ่ายในย่านกลางเมืองแบบนี้ถ้าหวังให้ทำแบบนั้นภายในห้านาทีสิบนาทีคงยาก


กับคนที่ทำบ่อยจนชินอย่างเขาแล้วเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่พุ่งเข้ามาแล้วเร่งเครื่องหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าจอดในช่องที่ตีเส้นสีขาวรายเรียง แค่นี้ก็เรียบร้อย คู่กรณีอาจตำหนิเขาไปตลอดเส้นทาง แต่ธุระบนถนนของคนทางนี้จบแล้ว




“คาปูชิโนเย็นไม่เอาฟองหนึ่งแก้วครับ”


“คาปูชิโนเย็นไม่ใส่ฟองนมหนึ่งแก้ว เจ็ดสิบบาทค่ะ” สิ้นเสียงพนักงานติณภพยื่นธนบัตรสีแดงที่เตรียมไว้อยู่ก่อนแล้วส่งให้ จนได้รับเงินทอนกับบิลค่ากาแฟ หันซ้ายมองขวาที่นั่งในร้านไม่มีให้จับจองเลยเพราะลูกค้าเต็มร้านไปหมด เลยต้องมานั่งที่บาร์ยาวใกล้เคาท์เตอร์สำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว


ร้านกาแฟนี้หากจำไม่ผิดคงเปิดได้สักสามเดือน ติณภพไม่ได้มาจัดการด้วยตัวเองเรื่องสัญญาเพราะให้คุณเจตน์เป็นคนจัดการเหมือนทุกที สังเกตโดยรอบร้านที่มีบรรยากาศเงียบสงบและสบายตา ลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย บางคนกำลังหามุมถ่ายรูป ติณภพเดาได้เลยว่าไม่พ้นต้องมีการโปรโมทร้านทางโลกออนไลน์เรียกรายได้จากวัยรุ่นสมัยใหม่ ส่วนเรื่องรสชาติเป็นอีกเรื่อง


“คาปูชิโนของลูกค้าคิวที่ XX ได้แล้วค่ะ”


ติณภพเห็นว่าเลขตรงกับคิวของตัวเองจึงลุกเดินออกไป แล้วก็ต้องขมวดคิ้วตั้งแต่ยืนอยู่ห่างจากเคาท์เตอร์เป็นเมตร “แก้วนี้ของผมเหรอครับ”


“ถ้าเลขคิวในบิลของลูกค้าคือ XX ก็ใช่ค่ะ”


“ใช่ ผมได้คิว XX แต่สั่งไม่เอาฟองนม คุณใส่มาทำไม”


พนักงานแคชเชียร์ชะงักงันไปครู่หนึ่ง พอติณภพสบตาเธอไม่กระพริบคนถูกมองเริ่มมีสีหน้าไม่ดี หันไปถามพนักงานที่เป็นคนชงกาแฟให้เขา แต่ทุกคนทำหน้าตาเหมือนไม่ยอมรับว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นจากตรงไหน


“ทางเราต้องขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าจะให้ตักฟองออกหรือชงแก้วใหม่ดีคะ”


“ถ้าผมรับไปเท่ากับผมต้องฝืนดื่มอะไรที่ไม่ได้สั่งถูกไหม แล้วถ้ารอแก้วใหม่ก็ต้องเสียเวลาทำ เสียเวลาผมนั่งรอ ลูกค้าคนอื่นต้องรอแล้วมาตำหนิผมว่าทำให้ต้องเสียเวลาเพิ่มทั้งที่นี่ไม่ใช่ความผิดผม ถูกไหมครับ” ติณภพว่าจะไม่พูดเยอะแล้วนะ หน้าของชวินทร์ตอนบอกให้ใจเย็นลอยขึ้นมา แต่เอาเข้าจริงความหงุดหงิดจากลูกค้าที่ก่อเรื่องเมื่อตอนเช้าที่โรงแรมทำให้อดไม่ได้ ถึงควบคุมเสียงไม่ให้มีอารมณ์โมโห แต่ดูจากที่พนักงานก้มหน้างุดใกล้ร้องไห้เต็มทน หน้าตาหยิ่งๆของเขาคงทำให้เป็นเรื่องอีกจนได้


“ถ้าอย่างนั้นผมรับแก้วนี้เองครับ”


เสียงใครอีกคนดังขึ้นด้านหลังจนต้องหันไปหาทั้งเขาและพนักงานแคชเชียร์ ติณภพเห็นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กว่าเขาประมาณหนึ่ง หน้าตาคมคายเหมือนพระเอกสักคนที่นึกชื่อไม่ออก คิ้วเข้ม ดวงตาเรียวรีพรั่งพร้อมด้วยลูกแก้วสีเข้มจัดสุกใส จมูกโด่ง และมีรอยยิ้มละมุนที่ริมฝีปากอวบอิ่ม ทว่ามีทรงผมเหมือนเพิ่งตัดสินใจไว้ยาวจากทรงเก่าที่เป็นสกินเฮด เป็นทรงที่ถือว่าสั้นมากจนเปิดให้เห็นว่าข้างใบหูซ้ายนั้นใส่ต่างหูห่วงประมาณหกหรือเจ็ดห่วงเล็ก หนึ่งห่วงใหญ่ที่ปลายติ่งหู ส่วนด้านขวามีเพียงห่วงกลมขนาดใหญ่เพียงห่วงเดียวเหมือนกันกับข้างซ้าย


โอ้โห หลุดออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นหรือไงวะเนี่ย


“คือจะตัดหน้าผมหรือยังไงคุณ” พิจารณาความหน้าตาดีได้สามวินาทีติณภพก็กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง


“เปล่าครับ ผมสั่งคาปูชิโนอยู่แล้ว แล้วก็ได้คิวต่อจากคุณ แต่ถ้าแก้วนี้มันทำออกมาปกติจะได้ให้น้องเขาทำแก้วในคิวของผมแต่ไม่ใส่ฟองนมให้คุณไงครับ ไม่เสียเวลาด้วยนะ” ว่าแล้วเขาคนนั้นก็ยืนเลขในบิลเงินสดให้ดูว่าไม่ได้พูดโกหก ได้ยินเสียงแว่วๆจากพนักงานแคชเชียร์ที่ได้โอกาสหันไปตะโกนด้านหลังว่าไม่ให้ใส่ฟองนมในกาแฟ


“คนเรามันพลาดกันได้ อย่าไปว่าน้องเขาเลยมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ ตกลงคุณจะรับไหม มีคนอื่นรออยู่นะ” ใครคนนั้นยิ้ม ติณภพว่ามันดูยียวนเหลือเกินถึงจะเหมือนเป็นการเจรจาธรรมดาก็เถอะ หันไปหาพนักงานยังเจอสายตากดดันอีก เลื่อนสายตาลงต่ำอีกทีเจอกาแฟเย็นสองแก้ววางรออยู่แล้ว แก้วหนึ่งคือแก้วแรกที่เขาได้ และอีกแก้วหนึ่งคือแก้วใหม่ที่ไม่มีฟองสีขาวอยู่ด้านบน ให้ตาย เมื่อกี้ที่จะร้องไห้คืออะไรกัน


“ถือว่าวันนี้คุณโชคดีนะ” พูดกับพนักงานแล้วคนหงุดหงิดก็เลือกที่จะคว้าแก้วกาแฟแก้วใหม่ไปนั่งที่โต๊ะยาวตำแหน่งเดิม...


...เพื่อที่จะพบว่าพ่อพระเอกการ์ตูนคนดีเมื่อครู่นี้มานั่งข้างกัน แถมยังส่งยิ้มมาให้อีก


“ถ้าจะตามมาเอาคำขอบคุณ ผมไม่มีให้หรอกนะครับ”


“ขอบคุณครับ” เขาพูดขึ้นทั้งที่ยิ้มอยู่แล้วหันไปดูดกาแฟจากในแก้วที่เกือบจะเป็นของติณภพตั้งแต่แรก อยู่ๆก็รู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งหน้า แล้วนี่อะไร จบแล้วทำหน้าตาเหมือนกำลังนึกอะไรสักอย่างก่อนเขียนตัวหนังสือจดลงไปในสมุดสีฟ้าเส้นตารางหวานแหววของผู้หญิง


“ตั้งใจจะกวนผมหรือไงคุณ ถึงได้มานั่งข้างกันแบบนี้”


“ตรงอื่นมีที่ให้นั่งก็ดีสิครับ” เขาพูดไปเขียนไป ยิ่งเห็นว่าเขียนด้วยมือซ้ายซึ่งเป็นข้างที่ติณภพไม่ถนัดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าหงุดหงิดเข้าไปอีก “แล้วคุณน่ะอย่าหงุดหงิดให้มากนักเลย หน้าคุณดุ น้องพนักงานเกือบร้องไห้แน่ะเมื่อกี้”


“สร้างภาพคนดีแล้วยังมาวิจารณ์หน้าคนอื่นอีกเหรอ” ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เมื่อระลึกได้ว่าตรงอื่นไม่มีที่นั่งจริงๆ


“ผมเปล่า แค่จะบอกว่าคนหน้าตาน่ารักอย่างคุณเหมาะกับเวลายิ้มมากกว่าจะทำหน้าบึ้งนะ”


ติณภพที่จ้องหน้าอีกคนขมวดคิ้วเตรียมออกศึกอารมณ์ถึงกับชะงักไปไม่ต่างจากพนักงานคนเมื่อครู่ ทำไมถึงมีผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาชมกันแบบนี้ หมอนี่ต้องเป็นคนที่มีรสนิยมบิดเบี้ยวแน่ๆถึงได้มองว่าไอ้ตี๋หน้าบอกบุญไม่รับเป็นคนน่ารัก


ตั้งสติก่อน ติณภพต้องตั้งสติ ดื่มกาแฟเย็นให้ชื่นใจก่อน


อร่อย! รสชาติกลมกล่อมถูกใจที่สุดตั้งแต่เคยดื่มมาเลย ยี่ห้อที่ว่าราคาแพงแก้วละหลักร้อยยังต้องชิดซ้าย เป็นไปได้จะมาซื้อทุกวันเลยโว้ย


“รีบจนลืมหยิบหลอดเลยสิคุณ”


“ผมชอบดื่มกับแก้วครับ ช่วยไม่ให้เต่าทะเลต้องกินหลอดพลาสติก” และยังได้ฟีลกว่าด้วย แต่เรื่องอะไรจะต้องเล่าให้ฟัง


คนชวนคุยไม่ต่อความยาวกับติณภพอีก ทำแค่ยิ้มในแบบที่มองอย่างไรไม่พ้นจุดประสงค์ว่าต้องการกวนเขา เอาวะ ถ้านั่งอยู่เงียบๆไม่เปิดช่องพูดคุย อีกคนน่าจะไม่วุ่นวายตอบโต้กลับมาอีก เอาไว้มีที่นั่งว่างตรงอื่นค่อยลุกออกไป


RRRRR


“ว่าไงคุณ”


[ผมต้องเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่าไหมครับ เห็นคุณโสมบอกว่าคุณโทรมาตอนผมไปธุระ]


“ก็แบบ ไม่รู้จะไปไหนไงคุณวิน ที่อเวนิวนี่มีร้านเปิดใหม่ผมเลยว่าจะชวนคุณมาทานข้าว ช่วงนี้มันเครียดๆด้วยล่ะ” ติณภพวาดนิ้วไปมาลงกับเคาท์เตอร์ไม้เนื้อดี สายตาหาจุดโฟกัสไปเรื่อยๆภายในร้านกาแฟ “เมื่อเช้าที่โรงแรมวุ่นวายนิดหน่อย จะแอบออกมาดันเจอป๊ามาพอดี คุณเลขาคนหล่อของผมแม่งก็เผาผมต่อหน้าป๊าว่าผมไม่แอบหนีไปเที่ยวหรอกเพราะไม่ค่อยมีเพื่อน คุณดูสิ”


ปลายสายหัวเราะเสียงใส เป็นเสียงที่ติณภพได้ยินเสมอเมื่อเขาเล่าเรื่องอะไรให้คุณชวินทร์ฟัง โดยเฉพาะเรื่องใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโรงแรม [ไม่รู้อะไรจริงมากกว่ากันระหว่างเรื่องชอบแอบแวบกับเรื่องไม่มีเพื่อน เลขาคุณนี่ก็เก่งนะ เจ้านายดุยังทนได้]


“คุณชวินทร์ ผมไม่ได้เล่าเพื่อให้คุณมาซ้ำเติมนะเว้ย เป็น GM น่าเบื่อจะตาย ส่วนเรื่องเพื่อน แถวนี้มีคุณคนเดียวจะให้ผมไปหาใครล่ะ แล้วนี่คุณว่างเมื่อไหร่ครับ”


ติณภพระบายยิ้มน้อยๆ ยกแก้วกาแฟดื่มกาแฟอีกครั้ง พอหันไปทางด้านข้างที่มีผู้ชายจอมกวนนั่งอยู่ถึงพบว่าใครคนนั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว จึงรีบเบนสายตาออก


[ขอเวลาอีกสักสองสามวันแล้วกัน ช่วงนี้ผมก็เครียดๆ ทนเหงาไปก่อนนะคุณติณภพที่รัก คิดถึงคนขี้บ่นจะแย่]


“ที่รักบ้านคุณเถอะว่ะ อย่าบ้างานเกินไปล่ะ เครียดก็พักบ้างครับ ว่างเมื่อไหร่บอกผมแล้วกัน”


[ครับ ขอบคุณครับ]


“เห็นไหม ผมบอกแล้วว่าเวลาคุณยิ้มดูดีกว่าตอนทำหน้าดุอีก” หลังกดวางสายเจ้าของเสียงสดใสทักขึ้นโดยที่ยังไม่ละสายตาออกไปจากเขาเลย นั่งท้าวแก้มด้วยหลังมืออวดนิ้วเรียวยาวสองสามนิ้วให้ปลายคางเชิดเล็กน้อย ติณภพยังเห็นว่ามีแหวนเงินเกลี้ยงสวมอยู่บนนิ้วกลางของมือข้างนั้นด้วย


“น่าจะเป็นเพราะหน้าตาผมดูดีอยู่แล้วมากกว่าครับ ทำหน้าแบบไหนก็เลยออกมาดี” เจ้าของอเวนิวกำลังพยายามซ่อนรอยยิ้มที่เขาเผลอแสดงออกจากตอนคุยโทรศัพท์เมื่อครู่ด้วยการตีหน้านิ่งเข้าใส่ ลองดูว่าถ้าตอบไปแบบนี้จะมีสีหน้าอย่างไร


“อืม อันนั้นผมไม่ปฏิเสธ”


อะไรของผู้ชายคนนี้กันวะ จะมาไม้ไหนเดาใจยากเหลือเกิน รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนหัวโจกเด็กนักเรียนญี่ปุ่นที่เกเรแบบแบดบอย โคตรย้อนแย้งกับคำพูดสุภาพและน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังแบบนั้น ติณภพไม่ไว้ใจรอยยิ้มนั้นเอามากๆ ดูเป็นคนดีเกินไป ดูปลอมเกินกว่าจะจริงใจโดยไม่หวังผลบางอย่าง


อยู่ตรงนี้นานๆคงไม่ได้ ดูสถานการณ์ควรให้ต้องกลับไปทำงานที่โรงแรมอย่างเดิม


“เรื่องของคุณแล้วกัน ผมขอตัว”


“เชิญตามสบายครับ โอกาสหน้าแวะมาอีกนะ”


มาน่ะแวะมาแน่ แต่ติณภพหวังว่ามาแล้วจะไม่เจอคนแบบคุณอีกเป็นครั้งที่สอง คนอะไรมากวนคนอื่นแล้วยังหวังจะให้มาเจอกันอีก เซ็ง

__________

ถัดจากสาทรไปต่อทองหล่อเรยค้าบ
ส่งฟีดแบคได้ที่ #ทองหล่อที่รัก นะคะถ้าชอบ เรื่องนี่ไทม์ไลน์เดียวกับหลงมาที่สาทร จะอ่านเรื่องอะไรก่อนก็ได้ค่ะ   :L1:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love I #ทองหล่อที่รัก [21/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-07-2019 23:30:33
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love I #ทองหล่อที่รัก [21/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 22-07-2019 07:59:36
คุณตฤณทองหล่อ 555 รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love I #ทองหล่อที่รัก [21/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 22-07-2019 12:30:34
ติดตามต่อค่ะ


 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love I #ทองหล่อที่รัก [21/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 23-07-2019 18:59:16
รอค่ะสนุกดี :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love II #ทองหล่อที่รัก [24/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 24-07-2019 21:26:13
Thonglor My Love II
ทองหล่อที่รัก




ผ่านไปสองอาทิตย์ ชีวิตของติณภพยังคงเป็นดังเช่นทุกวันที่เข้ามาทำงานในโรงแรมตอนเช้า และช่วงบ่ายของบางวันเลือกที่จะไปทานมื้อกลางวันข้างนอกบ้างตามประสาคนเบื่ออาหารที่โรงแรมจัดการให้


ตั้งแต่คุณชวินทร์ไม่ค่อยว่างเขาก็ไม่มีที่ให้ไปมากนัก เห็นว่าเป็นช่วงที่มีแขกสำคัญๆ มาพักเลยต้องอยู่ให้การต้อนรับและดูแล ติณภพเลยไม่อยากรบกวน ถึงโรงแรมของตัวเองจะไม่ใหญ่โตเท่า แต่ในบางโอกาสที่มีแขกสำคัญมาพักติณภพก็ต้องทำแบบเดียวกัน เลยเข้าอกเข้าใจว่าเวลางานยุ่งคือปลีกตัวลำบาก ยิ่งจะมานั่งฟังเรื่องไร้สาระจากเขาด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้


ครั้งสุดท้ายที่เจอกันในช่วงสองอาทิตย์นั้นคือคุณชวินทร์ออกมารับประทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารเปิดใหม่ในพื้นที่ศูนย์การค้าที่เขาเป็นเจ้าของ ทุกอย่างเกือบจะผ่านไปด้วยความราบรื่น ติณภพที่เริ่มปรับปรุงนิสัยตัวเองอย่างที่คุณชวินทร์แนะนำยังหลุดพฤติกรรมน่าปวดหัวให้เพื่อนกุมขมับอีกจนได้


ก็เขาสั่งก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ถั่วงอก แต่ในชามอาหารมีถั่วงอกเยอะเหมือนใส่ลงไปทั้งไร่ทั้งแปลงราวกับต้องการจะแกล้งกัน วันนั้นติณภพเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องมาตำหนิตั้งแต่เด็กเสิร์ฟ พ่อครัว ยันผู้จัดการร้าน ยืนก้มหน้าเรียงกันสามคนที่โต๊ะของเขากับคุณวินเหมือนเด็กนักเรียนทำผิดแล้วคุณครูเรียกมาตักเตือน คนในร้านมองกันเป็นแถว จนคุณชวินทร์ถึงกับถอดแว่นเรียกติณภพด้วยชื่อเล่นที่ปกติไม่เคยเรียก


กว่าจะดึงสติขึ้นมาจากโทสะได้ ทุกคนในร้านกลัวเขากันหมด คุณชวินทร์ยิ้มด้วยสีหน้าหน่ายเหนื่อยเหมือนว่าต้องสอนบทเรียนใหม่ให้นักเรียนคนนี้เพิ่มอีกแล้ว มื้อกลางวันครั้งนั้นเลยไม่เกิดความประทับใจใดๆ นอกจากต้องขอโทษที่ทำให้เสียบรรยากาศเพราะอาการหงุดหงิดเป็นเด็กเอาแต่ใจ ติณภพรู้สึกเสียดาย ทั้งที่คุณวินอุตส่าห์ว่างมาแล้วแท้ๆ เชียว


“คุณไม่ต้องเก็บเรื่องแย่ๆ มาคิดทุกอย่างก็ได้นะติณภพ ลองปล่อยเบลอไปบ้าง ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่หายหงุดหงิด คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้กันหมดแล้ว”


“พยายามอยู่น่า เวลาทำงานในโรงแรมกับผู้ใหญ่หรือแขกผมยังพอทน แต่กับข้างนอกเวลาเป็นตัวเองได้แล้วผมไม่ชอบอะไรที่มันไม่เป็นไปตามที่คิดเลย ทำไมแค่เรื่องดีเทลเล็กน้อยยังทำพลาด จะทำตามใจต้องมีสิ่งกวนใจมาขัดตลอด”


“ตฤณ ชีวิตมันมีเรื่องน่าปวดหัวตลอดเวลานั่นล่ะ ผมถึงพยายามบอกให้ใจเย็นไว้ ท่องเอาไว้ในใจเลยว่าปล่อยมันไปบ้าง บางทีคนเราต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำเพื่อให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่เราอยากทำคืออะไร เข้าใจ?”


เหมือนจะเข้าใจ ปกติอะไรที่คุณชวินทร์พูดมันฟังดูง่ายและไม่ซับซ้อน แต่ครั้งนี้ติณภพมีเมฆครึ้มสีเทามาบดบังสติจนต้องยอมรับว่างง พอคนพูดมองแล้วว่าเขาไม่เข้าใจ ถอนหายใจยาวแล้วจึงก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารของตัวเองต่อ


จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ที่มานั่งในร้านกาแฟเจ้าเดิม ติณภพยังตีความประโยคนั้นไม่แตกฉาน


ยังดีที่ตั้งแต่วันนั้นมาติณภพยังไม่เจอผู้ชายที่หน้าเหมือนพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นคนนั้น ไม่ว่าจะแวะเข้ามาซื้อตอนเช้าก่อนทำงานหรือเข้ามาช่วงเย็นหลังเลิกงาน เดี๋ยวนี้ติณภพไม่ค่อยแอบแวบออกมาระหว่างเวลาทำงานแล้ว จะว่าไปพอคุณชวินทร์ไม่ว่างให้เขาเข้าไปปรับทุกข์ด้วยก็เหมือนเป็นการดัดนิสัยเขาอีกอย่างไม่มีผิด เมื่อไม่มีที่ให้ไป ก็อยู่ทำงานเสีย


แต่วันนี้ทนไม่ได้


เพราะตอนเช้ามีความวุ่นวายเกิดขึ้น วุ่นวายกว่าครั้งไหนๆ ที่ติณภพคิดว่าจะได้เจอ ความผิดพลาดทางด้านการสื่อสารนั้นเกิดขึ้นได้เป็นปกติของการทำงานด้านบริการ และครั้งนี้ให้ทวีคูณความสาหัสเข้าไปสองเท่าเมื่อลูกค้าเป็นชาวอินเดียมีฐานะครอบครัวหนึ่ง พูดอะไรมาลูกน้องพนักงานพากันส่ายหน้าหรือทำหน้าเหยเกกันเป็นแถว เดือดร้อนให้ใครสักคนวิ่งมาตามเขาถึงในห้องทำงานเพราะไม่รู้จะพึ่งพาใคร


ให้มันได้แบบนี้สิวะ กว่าจะสื่อสารเจรจากันได้ เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งในสวนลุมฯ ห้ากิโลเมตร เล่นเอาผู้จัดการทั่วไปปวดหัวที่สุด แค่งานในห้องก็แย่พอแล้ว


ดังนั้นวันนี้คุณเจตน์เลขาตัวดีของติณภพจึงไม่ซักไซ้อะไรมากเมื่อเขาจะขอออกไปพักช่วงบ่าย ลองกวนสิจะได้ร้อนหนาวกับเจ้านายตอนโมโห


เขาว่ากันว่าลมสงบก่อนพายุจะเข้า แต่ทำไมชีวิตติณภพนั้นเหมือนมีมรสุมเข้าตลอดโดยไม่มีช่วงเวลาให้สงบก่อนหน้านั้นเลยนะ


“ขอโทษครับ ใครเป็นคนทำคาปูชิโนแก้วนี้” ติณภพถามเสียงเย็น ในมือกำบิลเงินสดเอาไว้จนยับยู่ยี่ ใบหน้าตึงอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์แคชเชียร์


“คุณ...คุณลูกค้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”


“มี ผมสั่งว่าไม่เอาฟองนม แล้วคุณใส่มาทำไมครับ?” เสียงเรียบนิ่งของเขาเพิ่มความดังจนพนักงานสะดุ้งให้ได้เห็น “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่เจอแบบนี้ สองครั้งกับความผิดพลาดที่ผมเจอ ผู้จัดการร้านอยู่ไหนครับ ผมต้องการพบ...เดี๋ยวนี้”


“เอ่อ...คือทางเราต้องขอ...”


“ตามผู้จัดการมาพบผม!”


เขาจะไม่ฟังคำแก้ตัวจากพนักงานตำแหน่งเล็กๆ อีกแล้ว เบื่อเหลือเกินกับประโยคขอโทษแบบเดิมที่มีแต่จะทำให้อารมณ์เสีย ครั้งนี้คงต้องยอมลดเสียงห้ามปราบของคุณชวินทร์ในหัวลงแล้วปล่อยให้ความโกรธได้ทำงานเต็มที่บ้างเผื่อว่าจะสบายตัวมากขึ้น อารมณ์โทสะจากการอดทนอดกลั้นกับคนอินเดียเมื่อเช้าตีรวนผสมโรงเข้ามาจนเต็มเหนี่ยว รวมกับครั้งเก่าที่มีคนมาขัดใจไม่ให้โวยวายเรื่องกาแฟที่เขาควรจะได้ทำตั้งแต่แรกเป็นทุนเดิม


ตอนเช้าก็ลูกค้างี่เง่า ตอนบ่ายพนักงานก็ทำกาแฟพลาด มีอะไรอีกจัดมาให้หมดเลยโว้ย! กูไม่ทนแล้ว!


“อะไรกันครับ อะไรกัน มีเรื่องอะไรใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”


ขณะเดียวกับที่กำลังจ้องพนักงานด้วยความโมโหที่มัวแต่อ้าปากพะงาบไม่ไปตามผู้จัดการ มีเสียงอีกเสียงเอ่ยขึ้นด้วยระดับที่ดังมากพอจะดึงความสนใจเข้าไปหา ติณภพเห็นคนที่ดูคุ้นหน้าค่าตามากจนรีบประมวลผลในสมองว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ร่างสูงใหญ่เดินปรี่จากประตูหน้าร้านเข้ามาจับแขนเขาเหมือนพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ มองหน้าติณภพสลับกับพนักงานที่สีหน้าหวาดผวา เบิกตาเรียวรีจนกว้าง


พอนึกออกปุ๊บ เหมือนเชื้อเพลิงยิ่งกระตุ้นเชื้อไฟให้โหมกระพือปั๊บ คนโมโหสะบัดแขนออกไม่ถนอมน้ำใจ เขาจำต่างหูเจ็ดห่วงนั่นได้แล้ว ใบหน้าที่เคยแสดงรอยยิ้มไม่จริงใจและนิสัยกวนเบื้องล่างนั่นก็ด้วย


“นี่คุณอีกแล้วเหรอ”


“ครับ? อ้าว คุณนี่เอง ว่าแต่มีเรื่องอะไรกันครับ เสียงดังจนลูกค้าในร้านตกใจหมดเลย” คนมาใหม่ดูประหลาดใจที่เห็นติณภพ หันกลับไปกลับมาเหมือนต้องมีใครสักคนที่สามารถตอบคำถามนั้นได้


“มันไม่ใช่ธุระของคุณเปล่าวะ ไม่ต้องทำตัวเป็นพลเมืองดีทุกครั้งไปก็ได้ แล้วคุณ ตกลงผู้จัดการร้านอยู่ที่ไหน จะเรียกมาได้หรือยัง” ติณภพเบาเสียงลงเล็กน้อย แต่ยังมีความกระด้างและอารมณ์รุนแรงเจือไว้ หันไปต่อว่าคนที่มายุ่งแล้วยังสลับไปกระโชกโฮกฮากใส่พนักงานเคราะห์ร้ายคนเดิมที่มัวแต่ยืนทำท่าเก้กังด้วยความกลัว


“มีอะไรคุยกับผมนี่ ไม่ต้องไปดุพนักงาน น้องเขาติดป้ายว่าเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ”


“จะพนักงานแบบไหนผมไม่สนใจหรอก สิ่งที่ผมโฟกัสคือผมสั่งกาแฟแต่พนักงานร้านนี้แม่งทำผิดเป็นรอบที่สองแล้ว จะเล็กน้อยหรือใหญ่โตแต่มันผิด ผิดก็คือผิด อีกอย่างหนึ่งทำไมผมต้องคุยกับคุณด้วย หรือว่าคุณเป็นผู้จัดการ?”


“ผมเป็นเจ้าของร้าน”


ติณภพนิ่งไปเมื่ออีกคนมีสีหน้าจริงจังไม่เหมือนกับที่เขาเคยเห็น เพราะความที่เครื่องหน้าเข้มเวลาแสดงออกถึงความไม่พอใจจึงดูน่าเกรงขาม วูบหนึ่งก็รู้สึกเสียหน้าที่มัวแต่เสียงดังถามหาผู้จัดการฉอดๆ ทั้งที่เจ้าของร้านยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่พลันสีหน้าหยิ่งทะนงร้ายกาจเผยรอยยิ้มมุมปากแบบที่คนทั่วไปต้องมองว่าเป็นตัวร้ายมากกว่าพระเอก “ดี เจอเจ้าของร้านเลยก็ดี รับรู้พฤติกรรมพนักงานในร้านที่ทำกับลูกค้าไว้นะ แล้วบอกผมทีว่าจะรับผิดชอบยังไง”


“เราจะไม่พูดกันตรงนี้ครับ เชิญคุณไปนั่งรอที่ด้านโน้น” เขาผายมือไปยังสุดปลายบาร์นั่งดื่มกาแฟทอดยาวขนานกับเคาท์เตอร์ตรงที่ติณภพเคยนั่งเมื่อเวลาลูกค้าแน่นร้าน ซึ่งมีความเหมาะสมดีที่จะคุยเรื่องส่วนตัว “รบกวนรอสักครู่ จัดการตรงนี้เสร็จแล้วผมจะตามไป”


พูดจบติณภพยังคงมองด้วยดวงตาแข็งกร้าวเพื่อต้องการสื่อว่ายอมสงบชั่วคราวก็จริง แต่หากมีอะไรที่ทำให้ไม่พอใจอีกจะแผลงฤทธิ์มากกว่านี้ให้ดู คุณเจ้าของร้านไม่ได้มีทีท่าต้องการต่อสู้ด้วยสายตา เขาทำเพียงแค่มองด้วยความสงบเยือกเย็นและเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน ก่อนจะเดินผ่านติณภพไปทางด้านหลัง


ติณภพเดินมานั่งจิบกาแฟให้ใจเย็นลง พนักงานหลายคนลอบมองมาทางเขาด้วยอาการหวั่นใจเป็นบางคราวแต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ สายตาตอนนี้จับจ้องไปยังชายหนุ่มเจ้าของร้านซึ่งกำลังเดินไปขอโทษลูกค้าตามโต๊ะที่เกิดเหตุการณ์รบกวนเมื่อครู่ ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงมาจนเกือบครึ่งหนึ่งของความสูงตัวเอง ยืนประสานมือไว้ด้านหน้า เปลี่ยนใบหน้าคมเข้มเป็นยิ้มอ่อนโยนสร้างความน่าเชื่อถือและเรียกความเห็นใจจากคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่หรอก เพียงแต่พอนึกถึงว่าคนอื่นไม่รู้พิษสงความกวนร้ายกาจภายใต้รอยยิ้มหล่อเหลาที่เขาเคยเจอนั่นแล้วอดเบ้ปากขัดใจไม่ได้


ถ้าต้องให้ติณภพเป็นเจ้าของร้านแล้วไปทำอะไรอย่างนั้น ต่อให้ยิ้มจนปากฉีกถึงหูคนยังไม่เชื่อเลยว่าขอโทษอย่างจริงใจ เพราะหน้าเขาร้ายเกินกว่าจะทำให้คนรู้สึกได้ งานบริการด้วยตัวเองจึงไม่ค่อยเหมาะกับเขาเท่าไหร่ ดูอย่างกรณีเมื่อเช้ากับลูกค้าชาวอินเดียครอบครัว เขาพูดด้วยความสุภาพที่สุดแล้ว ยังทำหน้าเหมือนว่ากลัวเขาจะไปกระชากคอเสื้อถ้าไม่หยุดร้องขอนั่นเปลี่ยนนี่ ไอ้ความคิดอยากตะโกนใส่หน้าว่า อย่าเรื่องมากให้มากนัก มันก็มี แต่ติณภพไม่เคยทำและไม่มีวันทำ


ดูอย่างตอนนี้ คุณเจ้าของร้านกลับมาคุยกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปอีกแบบเป็นเรียบนิ่ง ไม่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ดูโมโหอะไร ทว่าพอติณภพเห็นแล้วกลับทำให้ใจรู้สึกสงบลง เมื่อพนักงานสองคนก้มหน้ารับคำแล้วกลับไปปฏิบัติหน้าที่อย่างเดิม คนที่เขามองอยู่เหลือบตาขึ้นมาราวกับว่าคนทางนี้จะเป็นเป้าหมายถัดไป คนทางนี้ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงทำเป็นสนใจหน้าจอมือถือแกล้งไม่รับรู้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาหา


กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ พัดมาตามแรงอากาศเมื่อใครคนนั้นเดินมาหยุดที่ข้างกัน ติณภพเงยหน้าขึ้นมองคุณเจ้าของร้านนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างกันไม่มาก รอฟังว่ามีอะไรมาพูดกับเขา แล้วก็ต้องตกใจที่อีกฝ่ายยกมือไหว้ขอโทษจนรีบทิ้งโทรศัพท์มือถือมารับไหว้แทบไม่ทัน


“ผมต้องขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ เป็นความสะเพร่าของทางเราเองที่ไม่อบรบพนักงานให้ดีกว่านี้ ผมได้ตักเตือนไปแล้วและขอรับรองว่าจะไม่ให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นอีกครับ ทั้งกับคุณและลูกค้าท่านอื่น”


จากที่อารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่ เห็นหน้ารู้สึกผิดจากเขาแล้วเริ่มโกรธไม่ลง ตลอดการพูดเขาไม่ยอมลดมือที่ประนมลงเลย จนติณภพต้องแตะปลายนิ้วลงกับมือทั้งสองนั้นให้เลิกทำเสีย


“ครับ ผมเองต้องขอโทษเหมือนกันที่โวยวาย พอดีเมื่อเช้ามีเรื่องนิดหน่อยเลยเผลอมาระเบิดลงที่นี่...แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีกจะดีที่สุด ถ้าเป็นคนอื่นที่แพ้นมหรือแพ้ส่วนผสมแล้วคุณใส่ลงไปในแก้ว ทำผิดพลาดไปอีกจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้นะครับ ขอให้เข้าใจด้วย”


คุณเจ้าของร้านผงกหัวเข้าใจเหมือนเด็กที่ตั้งใจรับฟังผู้ใหญ่ ดวงตาดำสนิทจ้องมองด้วยความนอบน้อมในการรับฟัง พยักหน้าหนึ่งครั้งห่วงต่างหูก็สั่นกระเพื่อมตามหนึ่งครั้ง


เป็นลุคจริงจังที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นจากชายคนนี้เลย ลูกน้องทำผิดก็ออกรับแทนลูกน้อง รัศมีความเป็นผู้นำกระจายตัวอยู่รอบจนรู้สึกได้


“ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตถามว่าคุณแพ้นมเหรอครับถึงได้สั่งไม่เอาฟองนม แต่ว่าคุณไม่ได้สั่งว่าห้ามใส่อะไรเกี่ยวกับนมในกาแฟนี่ครับ?”


“ผมไม่ได้แพ้นม แต่ไม่ชอบให้ฟองมันมาอยู่ในกาแฟ สั่งแบบไหนก็ทำตามที่สั่งเถอะครับ ความพอใจของลูกค้าคือหัวใจสำคัญของงานบริการ” พ่อของติณภพเคยพูดไว้แบบนั้น ซึ่งเขายึดถือเป็นคติในการทำงานที่โรงแรมมาตลอด ถ้าไม่ท่องมันไว้ในหัว จะอาศัยรอให้ใจเย็นแล้วค่อยทำงานคงไม่ราบรื่นนัก


“ครับ ผมเห็นด้วย เอาเป็นว่าผมจะย้ำเตือนพนักงานทุกคนว่าเวลาคุณมาห้ามใส่ฟองนมในคาปูชิโน หรือถ้าคุณมาตอนผมอยู่ร้านแบบวันนี้ ให้ผมทำให้คุณเองเลยก็ยังได้ ถือว่าชดเชยค่าเสียอารมณ์แล้วกัน ดีไหมครับ”


เขาเผยรอยยิ้มน่ามองให้ บางทีก็ไม่เข้าใจว่าชีวิตมีเรื่องอะไรต้องให้ยิ้มนักหนา กับคนที่ไม่ค่อยยิ้มอย่างติณภพถือว่าออกจะแปลก แต่คิดทบทวนอีกทีนอกจากการตกแต่งร้านให้สวยแบบนี้แล้ว หน้าตาเจ้าของร้านอาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเข้าร้านมากขึ้นก็เป็นได้ ในร้านถึงมีสาวๆ มากกว่าผู้ชาย ใครจะอยากเข้าร้านที่เจ้าของร้านหน้าตาไม่รับแขกกันล่ะ


ถ้าโรงแรมเอาติณภพเป็นพรีเซนเตอร์ คงเจ๊งตั้งแต่เดือนแรก


“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าดีก็ทำครับ”


“ในฐานะเจ้าของร้าน รู้สึกยินดีที่ได้รับใช้คุณลูกค้านะครับ ลูกค้าพอใจผมก็ดีใจ แต่ในฐานะคนธรรมดาทั่วไป...ผมว่าก็น่าดีใจอีกนั่นแหละที่เห็นคุณยิ้มออกสักที บอกแล้วว่าดูดีกว่าตอนทำหน้าดุ”


“นี่คุณ ยังไม่เลิกล้อเรื่องหน้าตาอีกเหรอวะ” ติณภพขมวดคิ้ว “ผมรู้ว่าหน้าผมมันร้าย ไม่ได้หล่อแบบคุณเจ้าของร้าน และงานที่ผมทำมันน่าเบื่อ ไม่มีอะไรให้สุขใจจนยิ้มได้ทั้งวันเว้ย”


“ขอบคุณครับที่ชมว่าหล่อ ส่วนคุณลูกค้าหน้าไม่ร้ายหรอกครับ น่ารัก” คนตรงหน้าถึงกับยิ้มกว้างกว่าเดิมเหมือนพระอาทิตย์เปล่งรัศมีให้แสบตา ดูๆ ไปไม่แปลกที่ติณภพจะชมออกปากแบบแฝงความประชดประชัน คุณเจ้าของร้านใส่เสื้อเปิดอกเล็กน้อยเหมือนที่ติณภพชอบทำประจำ แต่ด้วยสรีระที่ดีและอกที่กว้างกว่าทำให้เขาคนนั้นดู...ค่อนข้างฮอต ทรงผมยาวกว่าครั้งก่อนที่เจอกันไม่มากยังได้รับการจัดแต่งอย่างดี ถึงจะมีเครื่องประดับเงินทั้งหลายทำให้ดูเป็นแบดบอยขัดกับบุคลิกที่เห็นอยู่ก็ตาม


เรื่องหล่อน่ะเป็นความจริง แต่มีเหตุอะไรต้องมาชมเขาว่าน่ารักวะ ไอ้บ้า


หรือว่าเป็นเหมือนกัน? แต่ถึงเป็นหรือไม่เป็นก็ไม่น่าจะตาถั่วขนาดว่าเห็นไอ้ตี๋หน้าจิกอย่างเขาดูน่ารักไปได้


“อย่าช็อคสิครับ ผมชมนะไม่ได้สาปคุณ”


“ก็...ก็...”


“เอาแบบนี้ๆ” เขาว่า “ผมพอเดาได้ว่างานคุณยุ่งและน่าเบื่อจนต้องออกมานั่งพักที่นี่บ่อย ลองไปกับผมไหม เผื่อจะเปิดประสบการณ์อะไรบ้าง”


“เดี๋ยวก่อน เปิดประสบการณ์อะไรของคุณ พูดอย่างกับจะล่อลวงพาไปไหน” เจ้าของโรงแรมหนุ่มเบิกตาเล็กๆ จนกว้างขึ้นเท่าที่สามารถ “แล้วทำไมต้องไปกับคุณด้วย คิดว่าผมว่างมากเหรอ”


“ก็แล้วแต่คุณสิ ผมเห็นมาบ่อยเลยนึกว่าว่าง ไม่ได้จะพาไปล่อลวงที่ไหน แค่พาไป...ไม่บอกดีกว่า คุณไม่อยากไปก็ตามใจผมไม่บังคับ เอาเป็นว่าถ้าคุณเบื่อๆ คิดอะไรไม่ออก อยากเปิดโลกของตัวเอง มาหาผมแล้วกัน”


คำพูดยียวนกับการขยิบตาข้างเดียวนั่นสื่อได้หลายความหมายมาก มากมายจนติณภพไม่กล้าคิดไปเองล่วงหน้าว่ามันหมายถึงอะไร กลัวจะเจอคำตอบที่มีแต่อะไรแย่ๆ เปิดโลกจะหมายถึงบาร์เกย์แถวสีลมหรือเปล่า...ก็เคยไปแต่ไม่ชอบ หรือจะหมายถึงเปิดโลกของดวงชะตาด้วยการดูไพ่ยิปซี...ติณภพไม่ชอบดูดวง มันงมงาย เปิดโลกใหม่ด้วยการเป็นผีน้อยไปทำงานต่างประเทศผิดกฎหมายอย่างนั้นเหรอ หรือมันอะไรกันแน่วะ ยิ่งคิดยิ่งติดลบ


ต่อมความอยากรู้มันทำงานดีเกินไป ถึงลางสังหรณ์จะสั่นกระดิ่งเตือนว่าอันตรายดังมาก แต่ไม่สามารถชนะความอยากรู้ได้ ในเมื่อนัยน์ตาดำขลับส่องประกายวิบวับเย้ายวนเสียขนาดนั้น

__________

ซึ่งหน้ามากค่ะคุณเจ้าของร้าน คุณตฤณอย่าโมโหมาก เดี๋ยวตีนกาขึ้นไว
เดาๆชื่อคุณพระเอกการ์ตูนไปก่อนนะคะ ยังไม่บอกตอนนี้  :z2:
ส่งฟีดแบคได้ที่ #ทองหล่อที่รัก นะคะถ้าชอบ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love II #ทองหล่อที่รัก [24/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Raspberry complex ที่ 25-07-2019 00:48:03
กล้าๆสู้ๆ อยากรู้นี่นา ก็ต้องลอง เน๊อะ
 o13
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love II #ทองหล่อที่รัก [24/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 25-07-2019 02:24:34
ลุ้นว่าจะเปิดโลกยังไงน้า  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love II #ทองหล่อที่รัก [24/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 25-07-2019 19:34:43
อยากรู้ก็ต้องลอง
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love II #ทองหล่อที่รัก [24/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 25-07-2019 22:15:16
อยากรู้ด้วย :pig4:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love II #ทองหล่อที่รัก [24/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 26-07-2019 17:40:14
รอ รอ รอ ตอนต่อไปปป
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love III #ทองหล่อที่รัก [26/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 26-07-2019 22:22:28
Thonglor My Love III
ทองหล่อที่รัก




การประชุมผู้บริหารโรงแรมในเครือผ่านไปอย่างราบรื่น โรงแรมแม่สาขายังคงเป็นสาขาที่ทำกำไรได้มากที่สุดแม้ว่าการท่องเที่ยวในปีนี้จะไม่ค่อยคึกคักเพราะเศรษฐกิจซบเซาลง เนื่องจากผลกระทบเรื่องการเมืองในประเทศรวมทั้งสงครามทางการค้าและปัจจัยอื่น นักท่องเที่ยวจากอเมริกาน้อยลง ลูกค้าที่มีอยู่ทุกวันนี้มีแต่ชาวเอเชียเป็นส่วนมาก ชาวยุโรปบ้างประปราย และที่เพิ่งเข้ามาในลิสต์สรุปการประชุมดูว่าจะเป็นผู้คนจากอเมริกาใต้


ไตรมาสที่ผ่านมาโรงแรมที่พ่อของติณภพบริหารอยู่นั้นมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์เลขหลักเดียว ยังสามารถมีโบนัสหล่อเลี้ยงพนักงานลูกน้องได้ หากสิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือโรงแรมในเครือที่ทำกำไรได้มากรองลงมากลายเป็นสาขาที่ติณภพบริหาร ทั้งที่ดูแล้วน่าจะเป็นสาขาที่ขาดทุนหรือไม่ก็มีรายได้คงที่ ตัวผู้บริหารประจำสาขาเองยังไม่อยากเชื่อสายตาที่มองเห็นในแฟ้มการประชุม


เมื่อมาตรฐานได้รับการยกระดับให้สูงขึ้นมา ความรับผิดชอบย่อมต้องสูงขึ้นตามมาตรฐาน พ่อของเขาดูพอใจกับผลที่ออกมาอย่างมาก ตรงข้ามกับติณภพที่รู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิมทั้งที่แค่นั่งเฉยๆอยู่บนเก้าอี้บุนวมนุ่มสบาย


ในช่วงต่อไปที่จะมาถึง คุณเจตน์เลขาส่วนตัวได้เปรยๆเอาไว้แล้วว่าจะเป็นช่วงที่มีศิลปินนักร้องและดาราจากประเทศเกาหลีใต้ทยอยกันมาจัดคอนเสิร์ตหรือโปรโมทอะไรต่อมิอะไรต่างๆนานา โรงแรมที่จะได้รับการเลือกเป็นที่พักอันดับต้นๆคงหนีไม่พ้นโรงแรมใหญ่อย่าง...ของคุณชวินทร์หรือโรงแรมมีชื่อเสียงในละแวกใกล้เคียง แต่คุณเจตน์ก็บอกติณภพอีกเช่นกันว่ามีศิลปินบางกลุ่มที่จะมาก่อนเวลาล่วงหน้าหลายวันเพื่อพักผ่อนท่องเที่ยว ทั้งในช่วงก่อนหรือหลังจบงานแล้ว ซึ่งเขาเหล่านั้นจะเลือกโรงแรมที่พักที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวและเล็กกว่า อย่างเช่นโรงแรมของติณภพในปีที่แล้วที่มีศิลปินเกาหลีเลือกมาใช้บริการสองกลุ่ม และนักแสดงชื่อดังจากต่างประเทศอีกหนึ่งคน


พอจบช่วงเวลานั้นแล้ว ปลายฝนต้นหนาวยังเป็นช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศทยอยจองห้องพักเพราะต้องการมาท่องเที่ยวในเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ถึงโรงแรมจะไม่ใหญ่มาก แต่ทั้งสาขาที่ติณภพดูแลและสาขาอื่นที่มีในกรุงเทพนั้นได้รับการจับจองจนเต็มหมดตั้งแต่ต้นปลายเดือนพฤศจิกายนมาหลายปีแล้ว นอกจากเรื่องห้องพัก ยังมีเรื่องที่ต้องใส่ใจดูแลไม่ต่างกัน ทั้งการปรับราคา การจัดสรรประเภทห้องพักให้ตรงความต้องการของลูกค้า การบริหารระบบคอมพิวเตอร์ อาหาร การจัดตกแต่งโรงแรมตามเทศกาล และเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีกมากมาย เรียกได้ว่าหนึ่งคนมีงานให้ทำมากกว่าแค่หนึ่งอย่าง ใครเป็นพนักงานประจำคอลเซ็นเตอร์ก็รับจองห้องจนสายไหม้กันไปเลย


ทุกสิ้นปีจะเป็นช่วงเวลาที่หนักสำหรับชายหนุ่มและลูกน้องอีกราวห้าสิบคน กว่าจะได้พักหายใจหายคอคงต้องเลยไฮซีซั่นไปสักพัก และรวมกับช่วงเวลาเตรียมตัวต้อนรับผู้คนมีชื่อเสียงทั้งหลาย ติณภพคิดเลยว่าปีนี้น่าจะเหนื่อยมาก แต่รายได้ที่เข้ามานั้นคงคุ้มค่าความเหนื่อย


“คุณเจตน์”


“ครับคุณติณภพ”


“ได้ยินคำว่า เปิดโลก คุณจะนึกถึงอะไรเป็นอย่างแรก”


“เอ่อ...” คุณเลขาตัวดีชะงักไปเมื่อวางแฟ้มสรุปการประชุมลงบนโต๊ะทำงาน ติณภพเหลือบสายตาขึ้นมองแล้วถอนหายใจ “เอาแบบฟังดูดีหรือแบบที่ผมคิดตามความเป็นจริงล่ะครับ”


“เอาความคิดแรกสุดที่เข้ามาในหัวตอนที่คุณได้ยิน”


“น่าจะหมายถึงการได้ลองทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำล่ะมั้งครับ แบบว่าพอได้ยิน ได้ทำ ได้สัมผัสแล้วตัวเราจะมีความรู้สึกว่า ว้าว ไม่เคยรู้เลยว่ามันทำแบบนี้ได้ด้วย โลกความรู้ของคุณกว้างขึ้น”


ติณภพล่ะเกลียดคำว่า ว้าว ที่ออกมาจากปากคุณเจตน์จริงๆ การแสดงเป็นเลิศ ยังจะยืนส่งยิ้มมาให้อีก


“อันนี้คงเป็นเรื่องที่ฟังดูดีสินะ แล้วเรื่องที่คุณบอกว่าเป็นสิ่งที่คุณคิดล่ะ”


“มันเป็นไปในทางสิบแปดบวกน่ะครับ ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกกับเรื่องที่มันส่อไปในทางลบนิดหน่อย” คุณเจตน์ทำหน้าตาเหนียมอาย ขยับตัวเหมือนอึดอัดที่จะพูดออกมาตามตรง “แต่ว่าถ้าไม่คิดอะไรมากมันก็เป็นคำที่มีความหมายดีนะครับคุณติณภพ”


“ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้ล่ะว่าคุณเป็นคนจิตใจไม่ได้ดีเหมือนภาพลักษณ์ภายนอก เลยคิดแต่เรื่องลามกพอได้ยินที่ผมถาม”


ชายหนุ่มล่ะชอบเวลาที่ได้แกล้งเลขาตัวเอง นิดหน่อยก็ถือเป็นสีสันให้ชีวิต คุณเจตน์ทำหน้าตาราวกับมันเขี้ยวที่เขารู้ทันแต่ทำอะไรไม่ได้ ดวงตาใต้กรอบแว่นดูระยิบระยับขึ้นมาเชียว ต้องโบกมือให้กลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะเหมือนเดิม ติณภพเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของผู้ชายที่จะคิดเรื่องอะไรแบบนั้นได้รวดเร็วและแทบจะตลอดเวลา เขาเองยังเป็นในบางครั้ง ตอนทำงานเหนื่อยมีลืมไปชั่วขณะ แต่พอร่างกายได้พักก็ต้องมีอะไรมาบรรเทาให้หายเหนื่อยบ้าง


หลังกลับจากประชุมที่โรงแรมใหญ่ มานั่งสนทนาธรรมกับคุณเจตน์แล้วติณภพยังไม่รู้สึกหายเหนื่อย ขนาดอภิปรายผลประกอบการของโรงแรมและนั่งหารือถึงแผนที่จะดำเนินการในอนาคตยังทำเอาหนักอึ้งขนาดนี้ ถึงเวลานั้นจริงไม่ต้องไปนอนให้น้ำเกลือในโรงพยาบาลกันเลยหรือ แค่คิดเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุบๆให้ปวดหัวแล้ว ทำไมชีวิตต้องมาทำงานเครียดด้วยนะ ติณภพไม่อยากเป็นลูกชายคนโตเลย


ตอนออกจากห้องประชุมนาทีแรกๆติณภพไปนั่งโอดครวญกับพ่อ บอกว่าเหนื่อยอยากหนีไปพักร้อนต่างประเทศ พ่อเลยบอกว่าถ้าเขาแอบหนีงานแล้วทิ้งให้คนอื่นดูแลต่อข้างหลัง จะแอบอายัดบัตรทุกใบของเขาแบบเงียบๆไม่ให้รู้ตัว เอาให้เป็นหนี้ไม่มีเงินจ่ายค่ากินค่าอยู่ ให้ไปล้างจานหาเลี้ยงตัวเองแทน โหดร้ายที่สุดเลยพ่อใครวะ


ที่จริงก็พูดซ้ำเดิมอย่างนี้มาหลายปี คิดแทนพ่อกับคุณเจตน์แล้วสองคนคงเหนื่อยกับงานน้อยกว่าเหนื่อยกับเขาเสียอีกมั้ง


“คุณเจตน์ บ่ายนี้ผมไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม” ถามไปอย่างนั้นแหละ สองสามวันนี้เท่าที่รู้คือติณภพว่างงาน แค่อยากย้ำให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิดหรือหลงลืมอะไรไป


“ไม่มีครับ ยังไม่มีอะไรด่วน ถ้าจะนัดคุณชวินทร์ออกไปทานข้าวข้างนอกก็ไม่ต้องกังวลเลยครับ ให้ผมโทรไปติดต่อให้ตอนนี้เลยยังได้...โอ๊ย! คุณติณภพ ปายางลบใส่หัวผมทำไม”


หมั่นไส้คนแสนรู้โว้ย! รู้ลึก รู้ดีจริงๆ ติณภพแยกเขี้ยวใส่คุณเลขาคนหล่อที่ลูบหัวป้อยๆแต่ยังแอบลอบยิ้มแซวเจ้านายเหมือนเป็นเพื่อนเล่น


“หาเรื่องโทรคุยกับคุณอาภาโสมล่ะสิไม่ว่า”


“เปล่านะครับ ผมแค่ออกความคิดเห็นเฉยๆ ว่าแต่นี่มันยางลบผมที่หายไปนี่ หาอยู่ตั้งนาน คุณแอบขโมยไปใช้เหรอครับ”


“แค่ยืมมาแล้วยังไม่ได้คืนเฉยๆเถอะ” ติณภพลุกขึ้นคว้าเสื้อสูทตัวนอกและของจำเป็นอย่างโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์หนังสีดำมียี่ห้อ “ผมออกไปข้างนอกนะครับ อาจจะไม่เข้ามาแล้ว”


คุณเจตน์รับคำ มองดูเจ้านายคนดีคนเดียวของตัวเองเดินออกไปจากห้องที่นั่งทำงานร่วมกันมาเป็นเวลาหลายปี ที่จริงคุณติณภพควรจะมีเวลาเตรียมใจกับช่วงไฮซีซั่นของปีมากกว่านี้ แต่ด้วยเพราะตัวเจตน์เองได้รับการติดต่อทาบทามมาบ้างเรื่องการเป็นตัวแทนที่จะให้บริการที่พักส่วนตัวกับเหล่าบรรดาศิลปินที่จะมาทำงานในประเทศไทยช่วงครึ่งปีหลัง เขาเล็งเห็นแล้วว่าโอกาสนี้จะช่วยสร้างรายได้จำนวนมากแก่โรงแรมและสร้างเครดิตให้คุณติณภพมากขึ้น ทางคุณไตรภพผู้บริหารโรงแรมสาขาใหญ่จะได้มีเรื่องภูมิใจในตัวลูกชายบ้าง


ถ้าตกลงรับคำ ทางโรงแรมจะมีศิลปินสองกลุ่มเข้ามาพักพร้อมกันเพราะต้องขึ้นแสดงที่เดียวกัน เหลือเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ที่จะให้คำตอบ แต่พอบอกรายละเอียดคร่าวๆให้คุณติณภพฟัง คุณติณภพดูจะมีเรื่องให้คิดมากเข้าไปอีกจากเดิม และเพราะรู้ว่าเจ้านายคนปากร้ายใจดีของเขาเป็นคนที่ต้องแบกรับภาระกับความหวังในฐานะลูกชายคนโตทั้งที่ความจริงไม่ได้อยากทำ เจตน์จึงยังไม่ตอบตกลงทันทีกับทางผู้ที่ติดต่อมา รอให้อีกคนตัดสินใจแน่ชัดก่อนจะเป็นการดีที่สุด


ถึงเจ้านายจะดื้อจะร้ายในหลายครั้ง เจตน์ก็ไม่อยากเป็นคนที่ร้ายกว่าด้วยการเพิ่มภาระให้คุณติณภพแบกไปไว้บนบ่าอีกเรื่อง




[สวัสดีค่ะ]


“สวัสดีครับคุณโสม ผมติณภพเองครับ”


[ค่ะคุณติณภพ] เสียงปลายสายกระแอมเล็กน้อยแล้วรับคำ แค่ฟังยังรู้เลยว่าความมั่นใจลดลงไปกว่าตอนรับสายเมื่อได้ยินว่าใครเป็นคนโทรเข้า


“ไม่ทราบว่าวันนี้คุณชวินทร์ว่างหรือเปล่าครับ พอดีผมจะชวนไปทานมื้อเย็น แต่ไม่ได้โทรเข้าเบอร์ส่วนตัวเพราะกลัวว่าจะประชุมอยู่”


[สักครู่นะคะ เดี๋ยวดิฉันดูให้] แล้วปลายสายก็เงียบเสียงไป ชั่วอึดใจจึงกลับมาพูดกับเขาใหม่ [วันนี้คุณชวินทร์ไม่มีงานช่วงเย็นนะคะ แต่มีนัดทานอาหารตอนเย็นที่โรงแรมแล้วค่ะ คุณชวินทร์เพิ่งบอกให้ดิฉันจองโต๊ะอาหารไว้]


“ที่โรงแรม? คุณชวินทร์น่ะเหรอครับทานอาหารเย็นที่โรงแรม”


ติณภพกดหัวคิ้วจนตึงหน้าผาก กำลังนึกว่าตัวเองเหนื่อยจนหูฝาดไปหรือเปล่า เพราะคุณชวินทร์ไม่ทานอาหารของโรงแรมตัวเองมาหลายปีแล้ว เขาเคยชวนอีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงเสนอให้ไปข้างนอกตลอด


[ใช่ค่ะ คุณติณภพไม่ต้องแปลกใจหรอกค่ะ ดิฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน] สาวสวยว่าพลางกลั้นหัวเราะ


“ขอถามได้ไหมครับว่านัดใครไว้”


[คุณตฤณค่ะ]


“หา” คราวนี้นอกจากขมวดคิ้วแล้วติณภพยังเบิกตาจนกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เห็นความแตกต่าง “แต่ผมเพิ่งจะโทรมาเองนะครับ ไม่ได้นัดอะไรไว้ก่อนเลย”


[ไม่ใช่ค่ะๆ คุณตฤณ...น้องตฤณยังเป็นนักศึกษาอยู่ค่ะ เป็นแขกของคุณชวินทร์]


คนชื่อตฤณที่นั่งตรงนี้คลายกล้ามเนื้อบนหน้า เหลือบตาซ้ายขวาแบบใช้ความคิดรวดเร็วปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว แล้วก็ต้องเผลอยิ้มกับกระจกหน้ารถตัวเองเหมือนคนที่ไปล่วงรู้ความลับอะไรของใครเข้า


นักศึกษาเหรอ...เดี๋ยวนี้มีเด็กเหรอครับคุณชวินทร์ที่รัก


“อ๋อ...คงเป็นแขกสำคัญ” เขารับคำโดยไม่ให้คุณโสมรอนาน “ไม่เป็นไรครับ อย่างนั้นผมเข้าไปหาพรุ่งนี้ก็ได้ เจ้านายคุณว่างไหม”


[วันศุกร์นี้นี้ช่วงเช้าคุณชวินทร์ประชุมถึงเที่ยง ช่วงบ่ายว่าง คุณติณภพเข้ามาได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันเรียนคุณชวินทร์ให้ทราบ]


“โอเค ตกลงตามนั้นเลย ขอบคุณมากครับคุณโสม”


แล้วกดวางสาย ทำหน้ายิ้มได้เดี๋ยวเดียวติณภพกลับมาถอนหายใจท่ามกลางความเงียบสงัดในรถส่วนตัว


ถ้าตอนนี้คุณวินไม่วาง แล้วตัวเขาจะไปไหนดีวะเนี่ย คิดแล้วต้องเอาศีรษะโขกกับพวงมาลัยรถเบาๆ กลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำนอกจากล้มตัวลงนอน จะหาคนไปดูหนังด้วยน้องชายสองคนก็ไม่อยู่บ้าน แม่เลี้ยงฝรั่งไปสอนหนังสือไม่มีใครปอกผลไม้หาของอร่อยให้กิน เวลานึกอยากทำอะไรโดยไม่วางแผนก่อนล่วงหน้าแล้วคิดอะไรไม่ออก น่าเบื่อ


เอาเป็นว่าถ้าคุณเบื่อๆคิดอะไรไม่ออก อยากเปิดโลกของตัวเอง มาหาผมแล้วกัน


ประโยคนี้ดังขึ้นในหัว ติณภพหยุดคิดว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน คลับคล้ายคลับคลาว่ามีใครพูดมันเมื่อเร็วๆนี้ แต่ยังนึกไม่ออกและจะไม่ยอมเสียเวลานึก


เพลียๆแบบนี้คงต้องกาแฟสักแก้วแล้วล่ะ ไปร้านเดิมก็ได้




ติณภพไม่ปฏิเสธว่าเวลาที่เหนื่อยใจแบบนี้ การเดินเข้ามาในร้านกาแฟแล้วเห็นคุณเจ้าของร้านอยู่ที่หลังเคาท์เตอร์เป็นคนแรกทำให้อุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่มีประชากรพนักงานและลูกค้ารวมกันไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนข้างใน


ก็แค่รู้ลึกโล่งใจที่วันนี้สั่งแล้วพนักงานจะไม่ทำผิดเพราะเจ้าของจะเป็นคนชงกาแฟให้ เท่านั้นเอง


“รับอะไรดีครับ”


“ผมขอ...”


“คาปูชิโนเย็นไม่ใส่ฟองนมหนึ่งที่ เจ็ดสิบบาท รอคิวสักครู่ครับ” คนที่มารับออเดอร์ด้วยตัวเองส่งยิ้มสดใสมาให้แล้วกดคิดเงินเสร็จสรรพ เล่นเอาคนตรงนี้เบลอไปสักพัก ถึงได้นึกออกว่าต้องจ่ายค่ากาแฟ ตบๆที่กระเป๋าเสื้อสูทหยิบธนบัตรสีเทาออกมายื่นส่ง รับเงินทอนแล้วเดินสะโหลสะเหลไปนั่งโต๊ะแบบสองเก้าอี้นั่งที่ริมกระจกของร้าน


เหมือนว่านั่งเหม่อนานไปหน่อย รู้ตัวอีกทีก็มีพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นมานั่งฝั่งตรงข้ามยื่นแก้วเครื่องดื่มส่งให้เขาแล้ว ติณภพชะงัก แต่ไม่ได้พูดอะไร


“คิวผมแล้วเหรอ ทำไมถึงได้เร็ว หรือว่าเรียกแต่ผมไม่ได้ยิน”


“เปล่าหรอก ผมรีบทำให้ก่อน เห็นว่าคุณดูเหนื่อยๆ” ติณภพมองคิ้วคมเข้มคู่นั้นที่เลิกขึ้นจนโค้งรับกับดวงตาสดใส เจ้าของมันยื่นแก้วกาแฟมาให้เขา “นี่ครับ คาปูชิโนของคุณ”


“ขอบคุณครับ แต่ทีหลังไม่ต้องลัดคิวนะ เกรงใจคนอื่น”


รสกาแฟยังคงกลมกล่อมไม่มีเปลี่ยน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ติณภพบอกไม่ได้ว่าคืออะไร อาจเป็นไออุ่นจากคนตัวใหญ่เข้ามาแทนที่เครื่องปรับอากาศฉ่ำเย็นของร้านที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม หรืออาจเป็นเพราะคนทำให้คือเจ้าของที่มีความใส่ใจในการทำมากกว่าพนักงานที่จ้างมาก็เป็นได้


“ผมเป็นเจ้าของ จะทำอะไรก็ได้น่า” คนพูดยักคิ้วจนเกิดประกายเล็กๆที่ติณภพสังเกตเห็น แล้วก็พบว่าประกายนั่นมาจากจิวเงินลูกจิ๋วที่ขยับตามกล้ามเนื้อใบหน้า...คุณเจ้าของร้านไปเจาะคิ้วมานี่หว่า ตอนแรกที่พบกันยังไม่เห็นมี


“ไม่คิดว่าประโยคนี้จะออกมาจากคนเรียบร้อยอย่างคุณแฮะ”


“อย่างนั้นแปลว่าควรจะออกจากปากคนอย่างคุณเหรอครับ”


วาจานั้นยอกย้อนให้ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา “ทำไมครับ คนอย่างผมมันเป็นยังไง” ถึงที่เขาพูดมามันจะถูกก็เถอะ มากกว่านี้ติณภพก็เคยพูดมาแล้ว แต่แค่เฉพาะกับคนสนิทเท่านั้น แบบนี้ถือว่าธรรมดามาก


“คนอย่างคุณน่ะเหรอ อืม...” คุณเจ้าของร้านเริ่มไล่สายตาจากที่สบตากัน ละลงมาเรื่อยๆจนคนถูกมองรู้สึกร้อนหนาวต้องมองตาม ตอนออกจากห้องประชุมปุ๊บติณภพกระชากกระดุมสองเม็ดบนออกปั๊บ จนถึงตอนนี้สาบเสื้อยังคงเปิดอ้าเห็นเนื้อแผงอกขาวๆอยู่เลย และถึงที่ผ่านมามันเป็นเรื่องปกติที่จะเปิดเสื้ออวดแก่สายตาบุคคลทั้งหลายก็ไม่มีใครตั้งใจมองอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้

 
“รูปลักษณ์ภายนอกคุณเหมือนคนที่มีบุคลิกแบบว่า มีรสนิยมดี หน้าตาคุณทำให้ดูหยิ่งนิดๆเหมือนคนเจ้าระเบียบ คนทำงานเก่ง แต่ข้างในเป็นคนสบายๆ รักอิสระ เจ้าสำราญ เป็นคนสไตล์ทองหล่อนิยม ถ้าคุณทำงานแถวนี้นะครับ”


ทองหล่อนิยม? คำศัพท์ประเภทไหนของมันอีกล่ะ


“ครับ ผมทำงานแถวนี้ แต่ไม่เข้าใจคำว่าทองหล่อนิยมของคุณอ่ะ”


“ก็หมายถึงถ้าใช้เวทมนตร์เสกให้พื้นที่ทองหล่อเป็นคน มันจะออกมาเป็นคุณไงครับคุณ...เจอกันหลายครั้งแล้วแต่ผมไม่รู้ชื่อคุณเลยนะเนี่ย”


“เราไม่สนิทกันนี่ครับ” คุณเจ้าของร้านยู่หน้าเหมือนถูกฮุคเข้าที่ท้องเมื่อเขาไม่หลงกลบอกชื่อ เป็นอาการจุกจากการโดนหมัดคำพูดเจ็บๆที่ติณภพส่งไป เข้าใจอาการได้อยู่ล่ะ


ถ้าผมเป็นทองหล่อนิยม คุณเจ้าของร้านก็เหมาะกับการเป็นฮาราจุกุนิยมนะครับ


“ขอเรียกคุณว่าคุณทองหล่อแล้วกัน เท่ดี ส่วนจะเรียกผมว่าอะไรแล้วแต่คุณเลย เรียกคนหล่อก็ได้ ผมไม่ถือ”


“ครับ คุณ-เจ้า-ของ-ร้าน” ตอกกลับเน้นๆชัดถ้อยชัดคำ อารมณ์ดีขึ้นพิกลจนต้องกดมุมปากแอบยิ้มตอนหยิบแก้วกาแฟมาดื่ม แต่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันคงเห็นมันอยู่ดี “กลับไปทำงานเถอะครับ มาอยู่ตรงนี้นานผมรบกวนเวลาคุณเยอะแล้ว”


“ให้เด็กทำไปเถอะ ผมชอบอยู่เฉยๆ สบายดี”


นี่คือคำพูดของคนที่ลัดคิวมาทำคาปูชิโนให้ผมเนี่ยนะ กวนประสาทว่ะ แต่ฉะกันคำต่อคำด้วยความรู้ทันดี ถูกใจฉิบหาย


“คุณไม่เข้าร้านหลายวัน ที่มาวันนี้แสดงว่าอยากมาเปิดโลกกับผมแล้วล่ะสิ”


 “ที่หายไปคือผมมีงานต้องทำครับ ใครมันจะมานั่งได้ทุกวัน วันนี้ที่มานี่ไม่คิดว่าผมแค่อยากมานั่งดื่มกาแฟเฉยๆบ้างเหรอ”


คำสำคัญออกมาจากปากอีกคนให้ได้ยิน ติณภพถึงจำได้ว่าคนๆนี้เองที่พูดประโยคนั้นกับเขา ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะเล่าเรื่องทำงานให้ฟังทำไมในเมื่อไม่สนิทกัน เพิ่งพูดไปเมื่อกี้


“อีกห้านาทีผมจะไปแล้ว ไปด้วยกันไหมครับ” นอกจากไม่ได้ฟังที่เขาพูดแล้วยังถามกลับอีกต่างหาก ทำไมการที่เขาพูดกวนกลับบ้างจึงทำอะไรผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลยวะ


“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าจะไปที่ไหน”


“ผมไม่พาคุณไปฆ่าหรอกครับคุณทองหล่อ พอดีต้องการให้คุณช่วยอะไรนิดหน่อย ไปด้วยกันนะ”


สบตากันนิ่งสักห้าวินาที ติณภพใช้แค่ห้าวินาทีช่วงที่ดวงตาคู่นั้นมองเข้ามาในการประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว จากความเคยชินที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนอยู่โรงแรม ในเมื่อตอนนี้ไม่กลับเข้าไปทำงานแล้ว จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งวันคงเมื่อยมากจนเผลอๆอาจนั่งหลับกลางร้าน  คุณชวินทร์ก็ไม่ว่างให้ไปหาในสามสี่วันนี้อีก ไอ้เรื่องฆ่าแกงกันเขาไม่กลัวหรอก กลัวจะมีอย่างอื่นแอบแฝงมากกว่า


แต่เอาวะ ลองดูคงไม่เสียหาย
__________

พี่จ๋าอย่าปารองเท้าใส่หัวหนูนะที่ยังไม่พาคุณตฤณไป ให้เขาทำงานก่อนน
ยังไม่รู้ชื่อคุณเจ้าของร้านอยู่ดี ลึกลับซับซ้อนเหรอ เปล่า มันมีเหตุผลนะค้าบ :m23:
ส่งฟีดแบคได้ที่ #ทองหล่อที่รัก นะคะถ้าชอบ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love III #ทองหล่อที่รัก [26/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-07-2019 17:52:50
 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love III #ทองหล่อที่รัก [26/7/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 27-07-2019 22:15:05
คุณทองหล่อนี่มาจากชื่อเรื่องทองหล่อที่รักหรือเปล่าคะ 555 เอ็นดูคุณติณจังเลย จะได้ไปเปิดโลกแล้วว
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love IV #ทองหล่อที่รัก [2/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 02-08-2019 21:50:43
Thonglor My Love IV
ทองหล่อที่รัก




หลังจากทำข้อตกลงกันอยู่นานสองนาน ทั้งคู่มาจบลงตรงที่นั่งอยู่ในรถสัญชาติยุโรปของติณภพ คุณเจ้าของร้านอาสาขับให้ด้วยความที่รู้จักสถานที่ปลายทางอยู่คนเดียว แต่คุณเจ้าของรถไม่ยอมให้ใครมาขับขี่ลูกรักง่ายๆ คนชวนไปจึงต้องเป็นฝ่ายบอกเส้นทาง ถ้าเกิดหลอกพาไปทำอะไรไม่ดีเข้าจริงๆยังได้เปรียบขับรถหนีปล่อยอีกคนไว้กลางถนนได้ ไม่ได้คิดมากนะ แค่เผื่อฉุกเฉิน


รถยุโรปรุ่นท็อปสี่ประตูภายในกว้างขวางนั่งสบาย ซื้อมาขับอยู่หลายปี ไม่เคยรู้สึกว่ามันคับแคบจนผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่ากันมานั่งที่เบาะคนขับนี่แหละ ขนาดคุณชวินทร์ที่นั่งร่วมทางไปด้วยกันตั้งหลายหน ติณภพยังไม่รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงเหมือนตอนนี้เลย


“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาคนนั้นหันมาถาม เลยต้องรีบหันกลับไปมองทางตรงสตาร์ทรถยนต์แก้เก้อ


“เปล่า ผมแค่ไม่ชิน ปกติขับคนเดียว”


“แล้วรถรุ่นไหนขับได้สองคนล่ะ”


กวนส้นตีนนะครับ


“หมายถึงขับไปไหนมาไหนคนเดียว ขับสองคนนี่ซื้อเครื่องบินส่วนตัวไหม” ติณภพส่งเสียงจิ๊ปากรำคาญ มองซ้ายมองขวาแล้วเหยียบคันเร่งเตรียมออกจากพื้นที่อเวนิว ส่วนคนข้างๆนั่งขำ


“แสดงว่ายังไม่มีตุ๊กตาหน้ารถล่ะสิ”


“มีหรือไม่มีแล้วคุณจะทำไม” คราวนี้คนขับเริ่มเสียงเขียว “ถ้ายังไม่บอกว่าจะให้ขับไปไหนผมจะไปปล่อยคุณที่ตึกร้างสาทรแล้วกลับบ้านล่ะนะ ยิ้มอยู่ได้”


“ครับๆ ดุจังเลย” ติณภพล่ะเกลียดคนที่ชอบแกล้งประชดทำเป็นกลัวเขาที่สุด เกลียดที่ไม่ได้แปลว่าไม่ชอบ แต่เป็นแนวหมั่นไส้เสียมากกว่า ยกตัวอย่างคนที่มีพฤติกรรมประเภทนี้คือคุณเจตน์เลขาตัวดีของเขาเอง


“เดี๋ยวพอเลี้ยวออกไปคุณขับเลยสี่แยกข้างหน้าไปกลับรถ พอกลับรถแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายด้านนั้นนะครับ แล้วก็...”


เสียงทุ้มปรับอารมณ์เป็นโทนกลางที่ไม่เจืออารมณ์ขันแบบทีแรก คุณเจ้าของร้านบอกเส้นทางอย่างละเอียดว่าจะต้องเลี้ยวตรงไหนหรือเข้าซอยอะไร ถึงจะไม่ได้มาบ่อยแต่ติณภพก็พอเห็นเป็นภาพแผนที่ในหัวได้ชัดเจนเพราะเคยขับผ่านสองสามครั้ง


พอพยักหน้าเป็นที่เข้าใจได้แล้วมาถึงสี่แยกแรกที่ไฟสีเขียวเปิดไม่จำกัดเวลา คนขับเลี้ยวตัดแยกด้วยการหักพวงมาลัยไปด้านซ้ายทันที


ปริ๊น! ปริ๊น! ปริ๊น!


เสียงบีบแตรจากรถคันหลังดังลั่นทั่วบริเวณเหมือนตั้งใจตบแตรให้พังคามือ คนขับในรถคันนี้สบถ คนนั่งข้างคนขับเหลือกตาร้องอุทานออกมา


“เฮ้ยคุณ! ทำไมไม่ไปกลับรถแล้วค่อยเลี้ยวตามที่ผมบอก ตรงนี้ห้ามเลี้ยวซ้ายตัดแบบนี้นะ”


“อ้าวเหรอ ผมไม่รู้ว่าห้าม” ตอบแค่นั้นแล้วขับรถต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหลือบๆมองหางตาด้านซ้ายพอจะเห็นอยู่ว่าคุณเจ้าของร้านมีสีหน้าตกใจปนไม่พอใจที่เขาทำอย่างนั้น ก็ช่วยไม่ได้ กว่าจะเลยไปกลับรถ กว่าจะรอไฟแดงมันเสียเวลา แถมเมื่อกี้เขาไม่รู้จริงๆว่ามันห้ามเลี้ยวเพราะไม่ได้มานานแล้ว ไม่รู้ว่ากฎจราจรเปลี่ยนไป


ถึงเสียงที่เขาตอบกลับไปมันจะฟังดูตอหลดตอแหลเหมือนแกล้งไม่รู้ก็เถอะ


“ทีหลังทำตามที่ผมบอกนะครับถ้าคุณไม่ค่อยได้มาแถวนี้ กล้องวงจรปิดมันมี”


“เดี๋ยวมันส่งใบมาเมื่อไหร่ค่อยไปจ่ายเอา แล้วนี่ตรงไปไหนอีกครับ”


ติณภพรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีไม่อยากฟังใครบ่นเรื่องกล้องวงจรปิดจากแยกไฟแดงอีก เมื่อเร็วๆนี้เพิ่งไปจ่ายค่าปรับครั้งที่สองของเดือนมาและเขาเบื่อจะทนฟัง หันมาด้านข้างเห็นใบหน้าคมนั่นกำลังขมวดคิ้วมองมา


“ร้านที่เราจะไปอยู่เลยป้ายใหญ่ๆตรงนั้นครับ ตอนนี้เข้าเลนซ้ายได้เลย เดี๋ยวเข้าไม่ทันแล้วจะขับเลยไปไกล”


“อ่าฮะ”


หลังรับคำแล้วคนหน้าตี๋เอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเล่น เหยียบคันเร่งแซงหน้าขึ้นไปแล้วตบไฟเลี้ยวซ้ายขอทาง อาศัยจังหวะช่องว่างเล็กๆปาดรถคันข้างหลังที่กำลังเร่งมาแบบแนบเนียน เมื่อเลยป้ายโฆษณาอันที่คุณเจ้าของร้านชี้ให้ดูแล้วจึงค่อยชะลอรถ ได้ยินเสียงหายใจเข้าและถอนหายใจดังเฮือก ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าอีกคนกำลังมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจเอามากๆ


“เลี้ยวตรงนี้เลยครับ”


มีที่ว่างให้จอดรถอยู่หนึ่งช่อง รถยุโรปคันงามแล่นเข้าไปจอดได้พอดิบพอดีเหมือนถูกจับวาง เสียงปลดเข็มขัดดังขึ้นก่อนที่เขาจะดับเครื่องยนต์


“ขากลับผมขอเป็นคนขับแทนได้ไหม”


“ทำไมครับ ผมขับรถไม่ดีเหรอ” ติณภพกลั้วหัวเราะในคอ มองคนที่มีสีหน้าเหมือนกำลังด่าเขาในใจว่า ยังมีหน้ามาถามอีก แต่เลือกที่จะตอบกลับอย่างสุภาพ


“คุณขับรถมานานหรือยังถามจริง มีชีวิตรอดจากการขับรถแบบนี้มาได้ยังไง ผมสงสัยมาก”


“ไม่ได้เป็นทุกวันหรอก แค่วันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดี เชิญครับ” แล้วคุณเจ้าของรถก็กดปลดล็อคประตูกึ่งเชิญลงกึ่งสื่อความหมายว่าให้หุบปาก คุณเจ้าของร้านเลยจำยอมเงียบไปไม่ต่อความยาวอะไรเพิ่ม



สถานที่ที่คุณเจ้าของร้านกาแฟไม่ยอมบอกตั้งแต่แรก ติณภพมาเห็นกับตาตัวเองว่าที่สุดแล้วมันคือร้านกาแฟร้านเล็กๆร้านหนึ่ง ก้าวเข้ามาในร้านแล้วเหมือนหลุดจากเมืองไทยมาถึงญี่ปุ่นในพริบตา ภายในตกแต่งสไตล์มินิมอล ผนังสีขาวเจิดจ้าสลับกับเฟอร์นิเจอร์สีดำ เทา และขาว ดูโมโนโทนสะอาดสบายตา


เคาท์เตอร์ชงกาแฟสั่งทำจากหินอ่อนสีดำปรากฏสู่สายตาตรงหน้าร้าน มีเครื่องชงกาแฟครบครันเพียบพร้อมกับคนชงหนึ่งคน คงเป็นเจ้าของร้านถ้าเดาไม่ผิด ติดกับริมกระจกหน้าร้านมีชุดเก้าอี้นั่งสามชุดและสองในสามมีลูกค้านั่งคุยกัน มองไปด้านหลังมีส่วนต่อเติมข้างในที่เป็นมุมค่อนข้างดูส่วนตัวแต่ติณภพยังเห็นไม่ถนัด เพราะยืนรอคนหน้าตาสไตล์ฮาราจูกุนิยมสั่งเครื่องดื่มอยู่ตรงนี้


ข้างหน้าว่าสว่างแล้วหากข้างในร้านสว่างกว่า ติณภพเห็นเป็นชุดโต๊ะหินอ่อนสีขาวสองชุดที่เข้ากันกับเก้าอี้หินอ่อนสี่ขาด้านนอก ส่วนที่ติดกับผนังเป็นโซฟาสีเทาขาวขนาดกลางสองตัวต่อกันประดับด้วยหมอนอิงนุ่มๆสีขาวสลับดำ แต่ละชุดโต๊ะจะมีสายไฟเดี่ยวห้อยลงมาในระดับเหนือศีรษะพร้อมหลอดไฟสีส้ม ผนังด้านหลังมีข้อความภาษาอังกฤษสั้นๆตัวอักษรสวยงาม ทั้งหมดนี้เหมือนออฟฟิศทำงานขนาดย่อมของชีวิตคนกลางเมืองที่มีรสนิยมเรียบแต่หรู


คุณเจ้าของร้านหน้าเข้มเป็นคนเลือกนั่งโต๊ะริมในสุดติดผนัง โดยที่ตัวเองนั่งเก้าอี้หินอ่อนสี่ขา และให้ติณภพนั่งโซฟาด้านในฝั่งตรงข้ามกัน ดีที่ไม่มีใครเข้ามานั่งข้างในตรงนี้ บรรยากาศรอบตัวจึงให้ความรู้สึกว่าปลอดภัยอย่างไรไม่รู้


“เคยมาร้านนี้ไหมครับ”


“ไม่เคย ร้านเล็กแบบนี้ขับรถผ่านไม่ทันสังเกตเห็นหรอกคุณ แล้วนี่คือสถานที่เปิดโลกที่คุณบอกผมเหรอ” ติณภพทำเป็นเบ้ปากมองไปรอบๆ ทั้งที่ความจริงถูกใจสถานที่นี้อยู่ไม่น้อย “พาออกมาจากร้านกาแฟเพื่อมากินกาแฟอีกร้านเนี่ยนะ”


“คุณไม่เคยมา คุณจะรู้อะไร” คนฝั่งตรงข้ามยักคิ้วจนจิวเงินนั่นขยับตามเตะสายตาให้มอง รอยยิ้มมุมปากแบบนี้ทำให้คิดว่าต้องมีอะไรที่ใครคนนี้รู้แต่เขาไม่รู้อย่างนั้นแหละ จะมีความลับอะไรนักหนา พูดออกมามันยากนักหรืออย่างไร


“แล้วคุณเคยมา คุณรู้อะไรล่ะ”


เขาไม่ตอบแต่ส่งยิ้มมาให้ เป็นยิ้มแบบเดียวกันกับที่เจอกันวันแรก ยิ้มธรรมดาของคนน่ามองที่ติณภพคิดว่าไม่น่าไว้ใจ แต่บรรยากาศในร้านกลับให้ความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อมีเขาอยู่ในสายตาตอนนี้ ไม่รู้เพราะอะไร


วูบโหวงในอกแปลกๆ ต้องเบนสายตาไปทางอื่น


เล่นมือถือรออีกครู่หนึ่ง พนักงานคนเดียวในร้านที่คิดว่าควบตำแหน่งเจ้าของร้านด้วยก็ยกถาดวางแก้วกาแฟเข้ามา คนที่เพิ่งมาครั้งแรกเบิกตากว้าง อีกคนที่มาด้วยกันลุกขึ้นยืนช่วยหยิบยกลงมาวางบนโต๊ะ


“เรามากันแค่นี้แล้วคุณสั่งมาทำไมตั้งสี่แก้ววะ กะจะให้หัวใจวายตายเลยหรือไง”


“มากันสองคนจริงเหรอ บางทีคุณอาจจะมองไม่เห็นก็ได้”


“นี่ รถผมมือหนึ่งนะเว้ย ขาวสะอาดไม่มีประวัติอะไรมาก่อน” คุณเจ้าของรถแยกเขี้ยว “ของผมแก้วไหนล่ะ หรือของคุณคนเดียว”


“ถ้าอยากดื่มหมดนี่ผมก็ไม่ห้ามหรอก” เขาหัวเราะแล้วอธิบาย “ผมสั่งมาชิมน่ะ มีคาปูชิโน ลาเต้ เอสเพรสโซ แล้วก็มอคค่า แบบเย็นทั้งหมดเลย”


นอกจากนี้ยังมีขนมปังครัวซองสีดำแบบชาโคลกับสีออกส้มอย่างละชิ้น รวมถึงน้ำเปล่าหนึ่งขวดที่ไม่ต้องอธิบายให้ฟังก็รู้ว่าคืออะไร เหลือบไปเห็นแล้วยิ่งขมวดคิ้วหนัก ไอ้สมุดสีฟ้าเล่มนั้นมันมาวางอยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ


“คุณจำรสชาติกาแฟที่ร้านผมได้ไหมครับ” ติณภพพยักหน้ารับ เขาเลยมีสีหน้าสบายใจขึ้น “อย่างนั้นลองชิมคาปูชิโนของร้านนี้ แล้วเปรียบเทียบให้ผมฟังหน่อยสิว่าเหมือนหรือต่างกันยังไง”


“ผมเพิ่งดื่มมาแก้วหนึ่งเต็มๆเลยนะ ยังต้องดื่มแก้วนี้ด้วย? คืนนี้ไม่ต้องนอนแล้วมั้ง...มีฟองนมไหม”


“มี แต่ใช้หลอดดื่มเถอะ แค่อึกเดียวก็ได้”


บ่นไปอย่างนั้นแต่ยอมทำตามอยู่ดี ติณภพคว้าแก้วที่คนสั่งยื่นให้มาดื่ม สัมผัสแรกที่ของเหลวแตะปลายลิ้นคือฟองอากาศเบาบางรสนม ตามด้วยน้ำกาแฟจริง พอทิ้งค้างไว้สักพัก กลืนลงไปแล้วต้องนั่งนึกคำพูดก่อนว่ารสชาตินี้เป็นอย่างไรในความคิด คุณเจ้าของร้านทำหน้าลุ้นตามไปด้วย


“ผมว่าฟองนมทำให้กาแฟหอมดี แต่รสเขาเจือจางไปนิด กลิ่นกาแฟหอมน้อยกว่ากลิ่นนม โดยภาพรวมคืออร่อย ถ้าเป็นของร้านคุณกลิ่นนมไม่กลบกาแฟ และรสเข้มกว่านี้นิดหน่อย”


คนฟังไม่พูดอะไร คว้าแก้วคืนไปจากเขาแล้วกลับด้านหลอดที่ติณภพดื่มไปแล้วให้ลงไปอีกด้าน ดื่มตามทันที ชั่วอึดใจลูกกระเดือกที่ลำคอขยับขึ้นลงชัดเจนแสดงว่ากลืนลงไปเรียบร้อยแล้ว พยักหน้าให้คนทางนี้เหมือนว่าเห็นด้วย ก่อนจะหยิบสมุดน่ารักขัดกับหน้าตาเจ้าของมันมาเปิดแล้วจดเขียนบางอย่างลงไป


ตอนจดไปยิ้มไป เลียปากไป ดูมีความสุขมาก


“คุณช่วยชิมที่เหลือด้วยได้ไหม”


“ผมชิมได้นะ แต่คงบอกแบบเมื่อกี้ไม่ได้เพราะชอบอยู่รสเดียว รสอื่นไม่ค่อยสั่งดื่ม คุณคงต้องชิมเองแล้วล่ะครับ”


“อย่างนั้นคุณทานครัวซองแทนแล้วกันนะ ผมสั่งมาให้” เขาบอกตอนยกจานขนมมาวางใกล้ๆ ก่อนเปิดขวดน้ำเปล่าดื่มล้างคอ


“คาปูชิโนคุณเอาไปเลยได้ แต่ถ้าไม่ก็วางทิ้งไว้แบบนั้น”


จากนั้นคุณพระเอกการ์ตูนก็ทำแบบเดิมคือดื่มชิมกาแฟแก้วต่อมา ทิ้งค้างละเลียดกาแฟสักครู่ เหลือบตาขึ้นบนแบบใช้ความคิด แล้วจดลายมือยึกยือลงในกระดาษสมุด ติณภพมองดูอยู่ตลอดการนั่งกัดครัวซองชาโคลสีดำจนหมดชิ้น สลับการดื่มกาแฟแก้วเมื่อครู่ที่กลับด้านหลอดมาเป็นด้านเดิมแล้วไม่ให้ขนมปังฝืดคอ


หลังจดเสร็จเขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ชวนคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยๆพอประมาณ ทุกครั้งหลังเขียนจบเขาจะดื่มน้ำเปล่าแล้วถึงเริ่มดื่มแก้วต่อไป บางครั้งนั่งอยู่นานไม่ยอมเขียน ต้องดื่มเข้าไปซ้ำให้รู้สึก บางทีเขียนอยู่ไม่เงยหน้าขึ้นมองยังเอ่ยปากถามได้ ที่โต๊ะจึงไม่เงียบเหงาเท่าไหร่ และติณภพว่าดีเพราะไม่ชอบเล่นมือถือบ่อยนัก


ถึงเวลาคุยจะไม่พ้นถ้อยคำกวนโอ๊ยทั้งหลาย มีหัวเราะบ้าง แต่เวลามองเขาเขียน ติณภพกลับพบว่ารู้สึกเพลินตาดี ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นโครงหน้าชัดเจนในอีกมุม เห็นต่างหูเงินหลายห่วงขยับไปมาตามแรงเคลื่อนไหว แหวนและสร้อยข้อมือวาดลวดลายขยับตามนิ้วมือเรียวยาวกับข้อมือที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนสีเขียว พูดถึงเรื่องเส้นเลือดที่ข้อมือของตัวเองก็มี แต่มองแล้วทำไมไม่เพลินเท่ามองของคนอื่นอันนี้ตอบไม่ได้


“คุณถามผมว่าผมรู้อะไรใช่ไหม ตอนเพิ่งเข้ามา”


“ใช่ ถามแล้วคุณไม่ตอบ ก็ไม่ได้อยากรู้อะไรมากหรอก” ทำท่าไม่ใส่ใจ แต่ความจริงคือยังแอบเคืองที่คนตรงหน้าเมินคำถาม


“สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้คือคุณดูสบายใจขึ้นมาก คิดไม่ผิดที่พามา”


รอยยิ้มที่ระบายออกมาพลันหุบลง คิดตามคำพูดนั้นแล้วกลับมาโฟกัสที่ตัวเอง ถึงพบว่าคุณเจ้าของร้านพูดถูก ติณภพรู้สึกสดชื่นขึ้นจริง ถึงกับลืมไปเลยด้วยว่าเมื่อเช้าหนักอึ้งกับการประชุมจนเหนื่อยเหมือนผีตายซากที่ร้านกาแฟในอเวนิว คล้ายว่าสบายใจเมื่ออยู่กับคุณชวินทร์ แต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว มันมีอะไรที่แตกต่างออกไป


ความรู้สึกปลอดภัยอย่างนั้นเหรอ...


“คนอย่างคุณอ่านไม่ยากหรอก ผมเดาว่าไม่เคยมานั่งทำอะไรแบบนี้ด้วย ถ้าทำงานแล้วมันเหนื่อยมาก ลองมาหาที่สบายใจพักผ่อน นั่งดื่มหรือทานของอร่อยๆที่ชอบดูสิครับ ยิ่งถ้าคุณมากับเพื่อนหรือคนที่รักนะ คุณจะมีเวลาได้คิดทบทวนและมีสติมากขึ้นในการแก้ปัญหาหรือสู้กับงาน”


น่ากลัว เป็นการพูดที่ทำให้เจ้าของโรงแรมหนุ่มตี๋ชอบมาก ทว่าน่ากลัวที่จะทำให้รู้สึกมากไปกว่าคำว่าปลอดภัย


“เราเจอกันสามครั้งเอง คุณว่าผมรู้สึก...สบายใจไหมล่ะ แค่ชื่อเรายังไม่รู้กันเลย”


“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย บางทีเราพูดคุยกับคนรู้จักก็ทำให้ลำบากใจ สู้คุยกับคนไม่รู้จักไปเลยดีกว่า ไม่ต้องกลัวเอาไปบอกใครต่อ เพราะบอกไปก็เท่านั้น ไม่ได้รู้จักกัน ตอนนี้ดูว่าคุณหายเหนื่อยระดับหนึ่งแล้ว เมื่อกี้คุยกันคุณยิ้มหลายครั้งนะ”


รู้สึกจุกแปลกๆกับต้นประโยคแม้ว่าท้ายประโยคเป็นเรื่องที่ดี


“คำว่าเปิดโลกของคุณคืออะไร”


คนที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อยังไม่ตอบในทันที เขาจดอะไรอีกนิดหน่อยลงในสมุด จากนั้นปิดลงเลื่อนออกห่างตัวให้รู้ว่าจะไม่เขียนมันอีกแล้วหลังจากนี้ ช้อนสายตาขึ้นมองแล้วเผยรอยยิ้มแบบใหม่ที่ยังไม่แน่ชัดว่าหมายถึงอะไร แววตาสดใสขึ้นกว่าปกติ


“เปิดโลกของผม ให้คุณเข้ามาไง”


คนฟังชาวาบไปทั่วใบหน้า เสียวแปลบปลายเท้าไปหมด


What the hell


“Are you hitting on me?” (นี่คุณจีบผมเหรอ?)


เวลาตกใจหรือทำตัวไม่ถูก นึกคำพูดภาษาไทยไม่ทันติณภพจะพูดภาษาอังกฤษออกมาแบบนี้แหละ เพราะในชีวิตประจำวันส่วนมากคนที่แกล้งให้เขาเป็นอย่างนี้มักเป็นน้องชายต่างแม่ตัวแสบทั้งสองคนที่พูดภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย บางทีแม่เลี้ยงยังแกล้งหยอกเขาเองเลย


“My answer doesn’t matter if you already had yours. It depends on what you think. Your  choice.” (คำตอบของผมไม่สำคัญหรอกถ้าคุณคิดเอาเองไปแล้ว ก็แล้วแต่ว่าคุณจะคิดอะไร คุณเลือกเอง)


น่าประหลาดใจเข้าไปใหญ่ที่อีกฝ่ายตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำด้วยสำเนียงอังกฤษแบบบริติช คนหน้าตาญี่ปุ่นพูดอังกฤษ อเมซิ่งจริงๆ


แต่นี่กำลังโดนสบประมาทสินะ เข้าข่ายประโยคที่ว่า โตแล้วไปคิดเอาเอง ก็ดี...กำกวมดี


คุณชวินทร์เคยบอกว่าให้ปล่อยเบลอไปบ้าง เขาจะปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน ที่จริงกับเรื่องรักๆใคร่ๆติณภพห่างจากมันมานานแล้ว รู้ว่าคงไม่มีใครทนนิสัยของเขาได้นานนัก คุณชวินทร์ที่ว่าเป็นคนเรียบร้อย เฉยๆนิ่งๆ ยังมีแฟนก่อนเขาเลย แต่เป็นเรื่องเดียวที่ติณภพไม่รู้สึกอิจฉาอยากมีอยากเป็นบ้าง


พูดถึงคุณชวินทร์ เซฟโซนที่ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันสักพักแล้ว ก็ดูเหมือนว่าคุณเจ้าของร้านจะเป็นคนที่ติณภพได้พูดคุยด้วยมากที่สุดรองจากครอบครัวและเลขา ไม่นับว่ากวนเบื้องล่างกันไปเท่าไหร่ เขาก็เป็นคนที่ต่อปากกันสนุกเหมือนเวลาคุยกับคุณวิน


“ถ้าวันนี้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น บรรเทาความเหนื่อยลงไป คราวหน้าเหนื่อยกับงานเมื่อไหร่เราไปที่อื่นกันได้นะ ผมยังมีที่อื่นต้องไปอีกหลายที่เลย”


“ว่างอีกตอนไหนล่ะครับ”


“อืม...ก็รอจนกว่าผมของผมจะยาวกว่านี้อีกหน่อยครับ”


ติณภพจะไม่ถามว่าทำไมถึงตอบแบบนั้น ตอนนี้คิดแต่เพียงว่าขอให้คุณเจ้าของร้านว่างพาเขาไปอีกในช่วงนี้ เขาอยากผ่อนคลายภาระที่แบกอยู่บนบ่าอีกสักหน่อยให้พร้อมสำหรับอาทิตย์หน้าเป็นต้นไปที่ยังมีสิ่งหนักกว่ารออยู่


“อย่างนั้นพรุ่งนี้ช่วยพาผมไปเปิดโลกอีกได้ไหม”


“ได้ครับ คุณทองหล่อ”


สั้น ง่าย ได้ใจความและได้คำตอบที่ต้องการ นี่อาจเป็นโอกาสใหม่ที่ทำให้เขาได้เพื่อนอีกคนก็ได้นะ จะได้ลบคำสบประมาทจากคนอื่นสักทีว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน

__________

จัดจ้านในย่านทองหล่อ อย่าเพิ่งเบ้ปากตอนคุณตฤณขับรถเลยเน้อ
ส่วนคุณเจ้าของร้าน มีแพลนว่าจะเฉลยชื่อตอนท้ายๆค่ะ  :110011:
ขอบคุณที่ติดตามค้าบ #ทองหล่อที่รัก
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love IV #ทองหล่อที่รัก [2/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 02-08-2019 23:14:58
แงงง เรื่องน่ารักมากๆเลยค่ะ อ่านสบายๆ ไม่เครียด
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love IV #ทองหล่อที่รัก [2/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 03-08-2019 21:03:06
มารอลุ้นชื่อกันค่ะ 555 เรื่องไหลไปเริ่อยๆ สบายๆ อ่านเพลินมากเลย มารอให้อัพทุกวันเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love IV #ทองหล่อที่รัก [2/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 04-08-2019 01:19:24
รอตอนต่อไปครับ เรื่องราวดี ชอบมาก ๆ เลยครับ ^^
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love V #ทองหล่อที่รัก P.2 [2/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 05-08-2019 23:00:27
Thonglor My Love V
ทองหล่อที่รัก




ติณภพไม่เคยคิดมาก่อนว่าเวลาที่คนเราสบายใจมากขึ้น จะทำให้ความมั่นใจในการตัดสินใจเพิ่มขึ้นตามมาด้วย แต่มันเกิดขึ้นแล้วหลังจากการส่งคุณเจ้าของร้านกาแฟที่ศูนย์การค้า เขาต่อสายโทรศัพท์หาคุณเจตน์แล้วยืนยันเรื่องการตอบรับศิลปินเกาหลีให้มาพักในโรงแรมแทบจะทันที คุณเจ้าของร้านเองยืนเป็นพยานรับฟังอยู่ด้วย


พอวางสายแล้วพรูลมหายใจออกมายาว เงยหน้ามองตามเสียงหัวเราะเบาๆของคนที่ตัวสูงกว่าก็เจอดวงตาเรียวรียิ้มไปพร้อมกับริมฝีปากจนหยีเล็กลง


“นี่หรือเปล่าเรื่องที่ไม่สบายใจเมื่อตอนบ่าย”


“แค่ส่วนหนึ่งมากกว่า คือจะมีนักร้องเกาหลีมาพักที่โรงแรม ผมเพิ่งโทรไปคอนเฟิร์ม ที่จริงกะว่าจะให้คำตอบตอนใกล้หมดเวลา แต่อย่างที่คุณว่า พอรู้สึกดีขึ้นมันก็ทำให้ตัดสินใจได้”


พูดไปเสยผมปาดเหงื่อข้างขมับไป อีกคนเลยหุบยิ้มแล้วรับฟังด้วยสีหน้าตั้งใจ “มันคงจะวุ่นวายน่าดูเลยนะครับ แต่ผมเชื่อว่าคุณจะผ่านมันไปได้นะ” เขาเอามือมาตบบ่าสองครั้ง “คุณเก่งอยู่แล้ว”


“ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก คุณเก่งอยู่แล้ว”


เสียงคุณชวินทร์ดังซ้อนขึ้นมาตอนคุณเจ้าของร้านพูดจบ แต่ความรู้สึกหลังได้ยินต่างกันมาก


มากจนต้องเก็บเอามาคิดตอนขับรถกลับบ้าน จนอยู่บนเตียงตอนนี้ ที่นอนเอาแขนก่ายหน้าผากอยู่กลางเตียงนอนในความมืดเวลาสองยาม ด้วยฤทธิ์กาแฟสองแก้วในวันเดียวที่ทำให้นอนไม่หลับ แต่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะพรุ่งนี้ไม่มีงานอะไรด่วนเป็นพิเศษ


ติณภพกำลังจัดระบบความคิดบางอย่างในสมอง ทั้งที่ต้องการคิดเต็มที่ ทั้งที่ปล่อยไปก่อนและเหลือตกตะกอนอยู่ตามซอกหลืบต่างๆ ตามประสาคนติดนิสัย perfectionist ในบางครั้ง และตอนนี้ความคิดทุกอย่างไม่มีเรื่องงานเกี่ยวข้องเลย เขาถึงได้นอนถามตัวเองมาเป็นชั่วโมงแล้วว่าเพราะอะไรถึงเป็นเรื่องของคุณเจ้าของร้านล้วนๆ คิดไปหงุดหงิดไป มันสลัดไม่หลุด!


จริงอยู่ที่คนนอกมองเขากับคุณชวินทร์ว่าเป็นคู่รัก ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง ติณภพรู้หลายเรื่องของคุณวิน และคุณวินก็ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยของเขาเช่นกัน เวลาทำอะไรตัวเองมักนึกถึงคุณวินเป็นคนแรกๆ เพราะคุณวินค่อนข้างมีอิทธิพลกับเขามาก ทั้งดัดนิสัย ทั้งให้คำปรึกษาเรื่องงานเรื่องส่วนตัว ให้ในเรื่องดีมากกว่าที่เขาหาเรื่องปวดหัวไปให้เสียอีก คำพูดให้กำลังใจต่างๆส่วนมากมาจากเพื่อนคนนี้ของเขาทั้งนั้น แต่ความรู้สึกที่มีไม่เคยเกินไปกว่าคำว่าเพื่อน


ติณภพกล้าพูดได้เต็มปาก คิดได้เต็มที่ว่าทุกสิ่งที่ว่านั้นมาจากความจริงใจ คุณวินไม่เคยมองเขาด้วยสายตาที่แปลกออกไป และติณภพไม่เคยมีความรู้สึกกับการกระทำเหล่านั้นไปมากกว่าเพื่อน ต้นไม้ความสัมพันธ์เติบโตขึ้นทุกวันในรูปแบบของมิตรภาพอันดีงาม เขารักและหวงแหนมันเกินกว่าจะปล่อยให้ความรู้สึกใดๆมาทำลายมันลงไปได้ คุณวินเองคงคิดแบบเดียวกัน เพราะถ้าจะเป็นแฟน คงเป็นไปนานแล้ว


มันเป็นความสบายใจที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขารู้สึกจากคุณเจ้าของร้าน


ติณภพห่างไกลจากความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อนมาเป็นเวลานานพอจะเลิกสนใจไปแล้ว ขุดความคิดไปเรื่อยๆทั้งที่ตายังเบิกโพลง ครั้งสุดท้ายที่มีความรักน่าจะสักสี่หรือห้าปีที่ก่อน จบกันด้วยความไม่ค่อยดีอันเกิดจากนิสัยส่วนตัวของเขา ดังนั้นติณภพจึงไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะใฝ่หาหรือเฝ้ารอความรักครั้งต่อไป ไม่ปิดกั้นแต่ไม่เปิดรับ สงสารคนที่ต้องมาทนกับคนอย่างตัวเอง


เหนื่อยที่ต้องถามตัวเองบ่อยๆว่ามันเกิดความรู้สึกอะไร ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์แปลกๆแบบนี้มันคืออะไร ที่จริงนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ใครคนนั้นอาสารับแก้วกาแฟที่พนักงานทำผิดไปแล้วมานั่งกวนประสาทข้างๆกัน คำพูดคำจาแบบนั้นมีหรือจะดูไม่ออก ยิ่งครั้งต่อๆมายิ่งดูชัดขึ้น ลัดคิวทำเมนูกาแฟให้ก่อน  จนมาถึงการชวนออกไปข้างนอกแบบเมื่อตอนบ่ายแก่ๆของวันนี้ สายตาอันลึกซึ้ง รอยยิ้มมีความสุข ไหนจะน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กมัธยมปลายวัยแตกหนุ่มสาวที่ไม่เคยมีแฟนยังรู้เลยว่าคืออะไร


พอคิดถึงเรื่องที่ว่าคุณเจ้าของร้านทำให้เขาสบายใจขึ้นจากการพูดคุยในยามที่ไม่รู้จะไปไหน ติณภพยังอยากที่จะแวะเวียนไปหาแม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาคนนั้นมาก วันนี้แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันพ่อพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นยังบอกมาว่า


“ในเมื่อคุณไม่สะดวกใจจะบอกชื่อผม ผมก็จะไม่บอกชื่อตัวเองเพื่อความเท่าเทียม เราจะยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกันแบบนี้ไปเรื่อยๆนะครับ เวลาพูดคุยกันจะได้สบายใจ”


ใช่ ไอ้การเป็นคนแปลกหน้าเวลาพูดคุยเรื่องส่วนตัวมันสะดวกใจดี แต่ไม่มีชื่อให้เรียกนี่ออกจะพิลึกจนตะขิดตะขวงใจไม่น้อย สั้นๆคือตั้งใจกวนเขาแหละ...เอาวะ ช่างมันไปก่อน ในมือถือก็บันทึกเป็นชื่อว่า คุณเจ้าของร้าน ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ปัญหา


ปัญหาคือคุณเจ้าของร้านตั้งชื่อให้ติณภพใหม่ว่าคุณทองหล่อ และการตั้งชื่อแบบนี้มันไม่ได้ต่างไปจากการเรียกชื่อแฟนแบบหยอกเอินกันของคนสมัยนี้


พบกันไม่กี่ครั้ง อยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วโมง คุณเจ้าของร้านใจดีกับเขามากจนไม่อยากเสียโอกาสในการสร้างมิตรภาพครั้งนี้ไป ติณภพผู้ไม่ฝักใฝ่ในความรักมาเป็นเวลาหลายปีกลัวใจตัวเองว่าจะรู้สึกกับเขามากขึ้นเข้าสักวันนี่ล่ะ ที่มีอาการใจเต้น สบตาแล้วร้อนแก้มร้อนหน้าจนต้องหันหน้าหนี ความรู้สึกปลอดภัยที่ไม่เคยมีมานานทำเอาเขวไปเหมือนกัน รู้สึกสับสนชะมัด


ให้ตายสิ จะนอนยิ้มคนเดียวแบบนี้ไปจนกาเฟอีนหมดฤทธิ์เลยหรือไงวะไอ้ตฤณ



เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับงานหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป ทำให้เจ้าของโรงแรมประจำสาขาลืมไปว่านักร้องเกาหลีที่จะมาพักนั้นต้องมาถึงโรงแรมก่อนการแสดงหลายวัน กำหนดการคืออาทิตย์นี้ ซึ่งก็เช้าคือวันนี้


ไหนว่าจะมากันเงียบๆไง ทำไมแฟนคลับมารอกันเต็มไปหมดเลย!


นอกจากต้องอยู่ต้อนรับด้วยตัวเองแล้ว ติณภพยังต้องคอยดูความเรียบร้อยต่างๆเพื่อให้บุคคลสำคัญได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด ไล่ไปตั้งแต่เลือกห้องพักให้ จัดการสั่งเมนูอาหารที่ดีที่สุดให้ ไปจนถึงดูแลเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย สอดส่องพวกแฟนคลับที่แอบมารบกวนความเป็นส่วนตัวยิบย่อยต่างๆนานา แต่เจ้าพวกเด็กหนุ่มก็โคตรซน แอบมาเดินโฉบไปโฉบมาอยู่ได้ แล้วแบบนี้จะรักษาความเป็นส่วนตัวไปทำไมวะ!


วันแรกเขาถึงกับต้องก้าวฉับๆทำเวลาจนขาแทบสับกัน เดินเยอะเพราะพาชมสถานที่ทั่วทั้งโรงแรม  วันต่อไปคงต้องรบกวนคุณเจตน์ และจัดหาคนที่ไว้ใจได้มาดูแทน ติณภพจะคอยลงมาดูด้วยตัวเองเป็นระยะ เผื่อขาดเผื่อเหลือ แต่คงอยู่ตลอดทั้งวันไม่ไหว หมดทั้งอาทิตย์นี้ไปน้ำหนักอาจจะลดสักสามกิโล


ก่อนหน้านี้ติณภพไปเปิดโลกนั่งร้านกาแฟกับคุณเจ้าของร้าน มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เขายังจำได้ดี


“ถ้าเหนื่อย ลองคิดถึงความทรงจำที่ทำให้เรายิ้มได้สิครับ แล้วจะรู้สึกดีขึ้น”


น่าแปลกที่คราวนี้สิ่งแรกที่เขาคิดถึงไม่ใช่การไปนั่งคุยกับคุณชวินทร์ หากแต่เป็นการไปใช้เวลาอยู่กับคนที่พูดประโยคนั่นนั่นล่ะ


ครั้งแรกกับวีรกรรมขับรถตัดข้ามสี่แยก ไปร้านกาแฟสีขาวสว่างตกแต่งสไตล์มินิมอลกับความรู้สึกปลอดภัย ติณภพเพลินตากับการจดอะไรบางอย่างด้วยมือซ้ายของคุณเจ้าของร้านที่สั่งกาแฟมาถึงสี่แก้ว และเราดื่มกาแฟแก้วเดียวกัน ก่อนที่คนตัวโตจะเฉลยว่านี่คือการเปิดโลกของเขาให้ติณภพเข้ามาสัมผัส


ครั้งที่สอง เจ้าของใบหน้าฮาราจุกุนิยมเป็นคนขับรถญี่ปุ่นของตัวเองไป ขับไปก็พูดแซวเรื่องพฤติกรรมการขับรถของเขาไป เราไปอีกร้านหนึ่งที่คุณเจ้าของร้านสั่งกาแฟมาสามแก้วกับขนมหวานที่ดูน่ากิน รสชาติก็อย่างนั้นแต่บรรยากาศร้านคือชนะเลิศ เล็ก เป็นส่วนตัว มีกรอบรูปแขวนผนังประปราย เฟอร์นิเจอร์ของใช้ต่างๆเป็นของแอนทีค ร้านตกแต่งด้วยโทนสีอุ่น ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งคุยกันในบ้านหลังเล็กอบอุ่นดี ตอนนั้นทั้งร้านนั่งกันอยู่สองคน ฟังเพลงคลอเบาไปดูเขาคนนั้นจดใส่สมุดไป เป็นวันที่คุณเจ้าของร้านบอกกับเขาให้หายสงสัยว่าที่สั่งกาแฟมาชิมเยอะๆเพราะต้องการตระเวนชิมกาแฟจากร้านบริเวณรอบทองหล่อเพื่อนำมาปรับสูตรที่ร้าน เลยจดเอาไว้จะได้ไม่ลืม ขากลับติณภพเคืองคนขับรถมากจนออกปากบ่นว่าทำไมพอไฟสีเหลืองถึงไม่เหยียบคันเร่งให้มิดแต่ดันเหยียบเบรกรถจนเกือบหน้าทิ่ม ได้คำตอบโลกสวยกลับมาว่าไฟเหลืองคือเตรียมตัวหยุดนะไม่ใช่เตรียมตัวเหยียบ 


มันไม่ได้ทำให้ความเหนื่อยจากวุ่นวายที่เจอมาตลอดวันหายไปในคราวเดียว แต่ทำให้มีแรงกำลังใจจะกลับไปเผชิญหน้ากับความจริง


วันนี้กับการเปิดโลกครั้งที่สามเป็นร้านในแบบที่ต่างออกไปจนติณภพคิดว่าคุณเจ้าของร้านพาเขามาเดินป่า เจ้าของใบหน้าหล่อคมดูภูมิใจมากกว่าทุกที บอกว่าวันนี้เดย์ออฟ ไม่ได้มาชิมกาแฟแต่พามาดื่มชา ติณภพไม่นิยมชาเท่าไหร่ แต่คิดว่าลองทำอะไรใหม่ๆดูบ้างคงไม่แย่


แค่ก้าวขาซ้ายเข้ามาเหมือนวาร์ปมาอยู่ในประเทศอังกฤษ กลิ่นหอมละมุนของชาโชยอบอวลไปทั่ว ไฟร้านโทนสีส้มจาง ดอกไม้หลากชนิดวางทั่วทุกมุม ต้นเฟินแขวนขนาดใหญ่เด่นหราอยู่ตรงเคาท์เตอร์ เครื่องชงชาเอย แก้วชาเอย ขนมหวานรับประทานคู่กับชาเอย ไม่แปลกใจที่ครั้งก่อนคุณเจ้าของร้านพูดด้วยสำเนียงอังกฤษกับเขา ดูท่าจะเป็นบริติชเลิฟเวอร์ แต่ชากุหลาบอะไรสักอย่างที่อีกคนสั่งมาให้นั้นมีกลิ่นหอมคลายเครียดได้ดีจริงๆ แรกรสที่ดื่มเข้าไปจืดชืด ทว่าวินาทีต่อมากลับมีกลิ่นหวานหอมของกุหลาบแตกกลิ่นรสสัมผัสกระจายอยู่ หลังวางแก้วลงกับจานรองแล้วคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกันส่งยิ้มสดใสมาให้เหมือนรู้ว่าติณภพชอบสิ่งที่ตัวเองเป็นคนเลือกสรร


คุณเจ้าของร้านถามเขาว่าเกิดปีอะไร


“ผมเกิดปีมะโรง” ตอบกลับเป็นปีของไทย ดูสิว่าจะไปต่ออย่างไร


“ผมเกิดปีมะเส็ง”


“อ่า งูเล็กนี่เอง” ตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าอีกคนอ่อนกว่าเขา ซึ่งการเล่นคำตอบแบบนี้ติณภพไม่กล้าเดาว่าเป็นมะเส็งที่หลังจากเขาหนึ่งปี หรือหนึ่งรอบกันแน่ ปล่อยให้มันเป็นปริศนาต่อไปจะเป็นการดี


“แต่งูผมไม่เล็กนะครับ”


ติณภพแทบสำลักน้ำชา ปกติถ้าเป็นคุณชวินทร์พูดแบบนี้เขาคงด่ากลับ แต่พอเป็นคุณเจ้าของร้าน ทำไมร่างกายไม่ตอบสนองล่ะวะ เกร็งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ดูทำตาเจ้าเล่ห์เข้า คนนั่งอยู่เต็มร้านแต่ทำเหมือนว่าคุยกันสองคน เวรเอ๊ย!


เงียบ หลังจากสนทนาเรื่องเกิดปีงูแล้วหนุ่มตี๋จำต้องนั่งเงียบไม่อยากถูกต้อนจากมุขเกรียนให้จนมุม ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่หายพอจ้องมองกลับไป เลยเลือกที่จะเสพบรรยากาศในร้านแทน


จากวันแรกที่เจอกัน ตอนนี้คุณเจ้าของร้านผมยาวขึ้นกว่าเดิมจนสามารถตัดรองทรงได้แล้ว แต่ยังไม่ยาวมากไปกว่าติณภพเลยไม่ต้องแต่งทรงด้วยเจลให้ดูเรียบร้อย วันนี้เขาไม่ได้ใส่ต่างหูเป็นพวงเป็นแพอย่างทุกที แต่เลือกใส่เป็นก้านลูกศรยาวทิ่มจากกลางใบหูทะลุขึ้นไปยังรูแรกด้านบน เมื่อท้าวคางกับอุ้งมือใหญ่เวลาวางตั้งข้อศอกลงบนโต๊ะ ติณภพเห็นแหวนเงินสะท้อนแสงกับไฟร้านจนเกิดเงา ไหนจะนาฬิกาที่ตัวเรือนทำจากเงิน เมื่อกี้ตอนขับรถเหลือบไปเห็นว่าด้านขวามีโซ่ข้อมือเงินนั่นอีก ผู้ชายคนนี้เหมือนเกิดมาคู่กันกับเครื่องประดับเงินทั้งมวลจริงๆ


“มองอะไรครับ”


คนถูกถามสะดุ้งจากภวังค์ ถึงรู้ตัวว่าอีกคนกำลังท้าวคางจ้องมองกลับมาเหมือนกัน...ในระยะที่ค่อนข้างใกล้


“เปล่านี่”


“ชอบนาฬิกาผมเหรอ” เขาขยับข้อมือ “ของคุณก็สวยนะ”


“อืม เรือนละเก้าหมื่น ไม่สวยได้ไง”


“ของผมเก้าพัน ไม่อยากจะคุย” แล้วก็หัวเราะในคอเหมือนเป็นคนชนะที่มีของราคาถูกกว่า ก่อนจะเลิกเอามือไปท้าวคางแล้วขยับลงมาวางอยู่บนโต๊ะให้ขนานกันกับมือของติณภพที่วางอยู่ก่อน ทำให้มือข้างที่ใส่นาฬิกาเหมือนกันได้อยู่ตำแหน่งเดียวกัน...และทำให้นิ้วชี้ของเขาคนนั้นแตะชิดกับนิ้วก้อยของติณภพ


เหมือนกระแสไฟฟ้าส่งผ่านจากตรงนั้นแล่นริ้วดิ่งมาที่หัวใจ ทำเอาเต้นตึกตักผิดแปลกไป สายตาหวานเชื่อมที่ใช้มองมายิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ความอบอุ่นกลายเป็นอะไรสักอย่างที่ระอุคุกรุ่นขึ้น รอบตัวยังคงเงียบสงบ ผิดกับภายในที่ได้ยินเสียงอะไรตั้งมากมาย ทั้งหวูดรถไฟ กาต้มน้ำเดือด ฟ้าผ่า ลมพัดกระโชก นกร้อง น้ำไหล และเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ติณภพที่มีสายตาเป็นอาวุธชิ้นเอกยามต้องต่อกรกับคนทั้งโลกกลับต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเป็นคนแรก


แต่ไม่ได้ขยับนิ้วออกนะ


หากความเงียบสามารถเป็นคำตอบให้กับบางสิ่ง ความเงียบของครั้งนี้อาจเป็นคำตอบให้กับคำถามเมื่อครั้งก่อนหน้าก็เป็นได้ เพราะการกระทำย่อมสำคัญกว่าแค่คำพูดอยู่แล้ว




หอศิลปวัฒนธรรมเป็นสถานที่ที่ติณภพไม่คิดว่ามันจะมาอยู่ในลิสต์สถานที่เปิดโลกของคุณเจ้าของร้าน แต่วินาทีนี้เรากำลังยืนมองรูปจัดแสดงด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน


คุณเจ้าของร้านในชุดเสื้อเสวตเตอร์สีเทาเข้มกับกางเกงยีนส์และรองเท้าคอนเวิร์สหุ้มข้อสีคราม ยืนมองภาพสีน้ำรูปดอกไม้ด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างที่ผู้หญิงหลายคนต้องเหลียวหลังมองมา ขณะที่ติณภพในชุดสูทสีน้ำเงิน รองเท้าหนังสีน้ำตาลไหม้ ยืนมองภาพเดียวกันด้วยความข้องใจระคนสงสัย หรี่ตาเล็กลงจนหัวคิ้วกดให้ดวงตายิ่งเหลือน้อยเข้าไปใหญ่


มันมีอะไรให้ต้องยิ้มกันวะ กับรูปดอกไม้ในแจกัน และทั้งชั้นนี้ก็จัดแสดงภาพสีน้ำรูปดอกไม้ทั้งหมดเลย มันมีอะไรกันนักกันหนา


ด้วยความที่เป็นวันธรรมดาเลยมีคนไม่มาก นอกจากเขาสองคนที่เป็นวัยทำงานแล้วที่เหลือดูจะเป็นวัยรุ่นเรียนมหาวิทยาลัยหรือไม่ก็มัธยมปลายทั้งนั้น แต่ก็ไม่ได้ดูแปลกแยกจากสถานที่ ดูว่าจะมีเขาคนเดียวนี่ล่ะที่ใส่สูทมาดูงานศิลป์


เดินขึ้นบันไดเลื่อนไล่ดูงานไปทีละชั้น คุณเจ้าของร้านแทบไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากหันมายิ้มอย่างเดียว เหมือนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามาด้วยกันถ้าไม่หันมามองเป็นระยะๆ ติณภพที่เสพของแบบนี้ไม่เป็นได้แต่เดินตาม แล้วหอศิลป์นี่ก็มีหลายชั้นเหลือเกิน เห็นใจคนเดินวนรอบจนเหนื่อยบ้างไหม


“เป็นอะไรคุณ ไม่ชอบเหรอ หน้ามุ่ยเลย มุ่ยจนตาหายไปไหนแล้ว” คนตัวโตหันมาแซว


“ผมดูไม่รู้เรื่อง คุณเข้าใจอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”


“อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิครับ คุณไม่เคยมา คุณจะรู้อะไร”


“คือผมเคยมาเว้ย” ติณภพยืนรวบแขนกอดอกแย้ง “แต่มาแล้วก็ไม่เห็นจะรู้อะไร ถึงต้องถามไงว่าคุณดูรู้เรื่องเหรอ”


“ถ้าดูแล้วไม่เข้าใจ อย่างน้อยเวลาคุณเพ่งมองก็ต้องใช้ความคิดสักนิดบ้างล่ะว่ามันมีอะไรให้น่าสนใจ แล้วตอนใช้ความคิดผมว่าคนเราจะมีเหตุผลมากขึ้น ใจเย็น สงบลง คุณทองหล่อไม่ใจเย็นลงบ้างเลยเหรอครับ”


ส่ายหน้าเป็นคำตอบแล้วถอนหายใจยาว ตอนดูรูปไม่สงบหรอก มาสงบก็เพราะคำพูดของคุณต่างหากเล่า


ว่าแล้วคนหงุดหงิดเดินเบี่ยงออกไปอีกทาง ไปยืนตรงที่ที่ไม่มีคนยืนดูรูปหรือมายืนถ่ายภาพเอาไปลงโซเชียลอวดว่าชีวิตดี แค่ยืนมองรูปเฉยๆเผื่อจะหายหงุดหงิดอย่างที่คนๆนั้นบอก


ไม่กี่อึดใจคุณเจ้าของร้านเดินมายืนข้างๆ ยืนเงียบเชียบมองดูภาพเดียวกัน หากยืนชิดจนไหล่ชนไหล่ในท่ามือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ไม่หันมาพูดหรือมองด้วยสายตาหวานเยิ้มอย่างในร้านชา


คนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ โดยเฉพาะผู้ชายจะมีไออุ่นอยู่มากจนคนรอบข้างสัมผัสได้ ความอุ่นจากตรงนี้ทำให้อยากพักสายตาสักครู่เพราะยืนดูไปก็ปวดหัว เลยถือโอกาสแอบเทแรงพิงไปทางคนที่ยืนชิดกันแล้วหลับตาแบบไม่ให้เป็นที่สังเกตมากจนเกินไป อีกคนเหมือนรู้ตัว เลยออกแรงต้านเพิ่มขึ้นมา


ติณภพไม่เห็นว่าคุณเจ้าของร้านระบายยิ้มเสียจนกว้าง


ทำงานมาทั้งวันคงจะเหนื่อยสินะ คุณทองหล่อ


“แกดูดิ พี่ผู้ชายสองคนนั้นเขายืนพิงไหล่กันด้วยว่ะ โคตรน่ารัก”


“ไหนๆ เออจริงด้วย เหมือนคนที่ใส่สูทดูเหนื่อยป่ะเห็นหลับตา พี่อีกคนเลยให้ยืนพิง”


ติณภพสะดุ้งกายลืมตาขึ้นเหมือนเวลาฝันว่าตกจากที่สูง ไม่ใช่เพราะตัวเองยืนพักเข่าทิ้งน้ำหนักตัวมากเกินไปจนคุณเจ้าของร้านต้องเอาแขนมาโอบกันหงายหลัง แต่เป็นเพราะได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนเดินผ่านไปเมื่อครู่นี้พูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกัน


ไม่รู้หรือยังไงว่านินทาคนอื่นมันเสียมารยาท นี่มันที่สาธารณะ ระยะเผาขนเลยนะเว้ยเฮ้ย!


กำลังจะหันไปต่อว่า แต่พอหันมาเจอคนที่กำลังโอบไหล่มองอยู่ทำให้ชะงักไป คุณเจ้าของร้านยิ้มเหมือนจะสื่อกับเขาทางสายตาว่าตัวเองก็รับรู้เหมือนกัน สองคนนั้นต้องไม่รู้แน่ๆว่าคนทางนี้ได้ยิน หรืออีกนัยคือตั้งใจให้ได้ยิน


“ได้ยินเหมือนกันใช่ไหม”


“ครับ แต่ผมไม่ถือหรอกนะ”


คนที่ยืนพิงเมื่อครู่รีบผละออกจากอ้อมแขนกลับมายืนตรงเหมือนเดิม ติณภพรู้ว่าตอนนี้ใบหูเห่อร้อนจนคนมองน่าจะเห็นว่ามันแดงขนาดไหน


ก็เข้าใจว่าสมัยนี้โลกเปิดกว้าง แต่คนที่มีประสบการณ์อยู่มาตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่สามารถบอกใครได้ มาได้ยินอะไรแบบนี้มันต้องมีประหม่ากันบ้างแหละน่า

__________

คุณเจ้าของร้านนน คุณตฤณเขินแย่แร้ว
เป็นสายเงียบๆแต่ค่อยๆเก็บแต้มไปเรื่อย ส่วนตัวเราชอบตอนเขาไปยืนพิงไหล่กันมากเลยค่ะเลยเพิ่มฉากนี้เข้าไป ไปหอศิลป์บ่อย ถ้าคนเคยไปจะเดาบรรยากาศได้ว่ามันเหมาะกับอะไรแบบนี้ คุณตฤณจะรู้ไหมว่าเขาไปง้อนะนั่น
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ #ทองหล่อที่รัก

หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love V #ทองหล่อที่รัก P.2 [5/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 06-08-2019 11:04:49
 :katai2-1:
 :impress2:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VI #ทองหล่อที่รัก P.2 [9/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 09-08-2019 22:49:25
Thonglor My Love VI
ทองหล่อที่รัก




“คุณ อย่าไปปาดหน้าเขาแบบนั้นสิ คันหลังเบรกตัวโก่งแล้ว”


“ก็มันไม่ให้เข้าอ่ะ”




“เขาเปิดไฟนานแล้ว ให้ไปหน่อยเถอะ นิดๆหน่อยๆเอง”


“มันเห็นแก่ตัวมาแทรกเข้าคุณก็เห็น”




ปริ๊นๆๆๆ ปริ๊น!


“เดี๋ยวแตรรถพังกันพอดี บีบครั้งเดียวเขาก็ได้ยินแล้วน่า”


“มันน่าโมโห อยู่ๆเปลี่ยนเลนกะทันหันแล้วมาปาดแบบนี้ถ้าขับชนตูดมันขึ้นมาว่าไงอ่ะ ซื้อใบขับขี่มาหรือไงวะ!”


“ก็บางทีเขาอาจจะเผลอขับเลยแล้วนึกได้ก็ได้นี่ครับ หรือไม่ก็ไม่ใช่คนแถวนี่ เพิ่งมาครั้งแรกหรือเปล่า อย่าถือสาเขาเลย”


“โว้ย คุณนี่แม่ง เป็นพระเหรอ เย็นกว่าใจคุณก็น้ำแข็งในช่องฟรีซตู้เย็นแล้วแหละ!”


“อยากรู้ไหมว่าอะไรเย็นกว่าน้ำแข็งในช่องฟรีซ”


“ไม่รู้ น้ำแข็งในช่องฟรีซชุบแป้งทอดมั้ง”


“น้ำแข็งในช่องฟรีซที่บ้านผมไง ลองไปกินดู”


เวรเอ๊ย! ชวนไปบ้านซึ่งหน้าแบบนี้ก็ได้นะคนเรา




พอขับมาถึงที่อเวนิว คุณเจ้าของร้านถอนหายใจยาว ไม่บอกก็เดาได้ว่าเขาคนนั้นกำลังแสดงสีหน้าบ่งบอกความคิด ไม่น่าให้มันขับรถกลับเลย ออกมา แต่คนก่อเรื่องไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ตอนมาทำให้ติณภพไม่สบอารมณ์บนท้องถนน มันไม่ทันใจ ตอนกลับเลยต้องออกโรงเอง


ตลอดการไปไหนมาไหนด้วยกันหลายครั้งที่กินระยะเวลาร่วมเดือน คุณเจ้าของร้านควรชินกับสไตล์การขับรถแบบทองหล่อของเขาได้แล้ว เพราะเขายังทำความเคยชินกับการขับรถแบบพ่อพระของคุณเจ้าของร้านเลย ถึงจะชวนตีทุกครั้งไปก็เถอะ เอาเข้าจริงไม่ได้หงุดหงิดจริงจังเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่ได้เจอกันหรอก อยากมีเรื่องคุยไม่ให้เหงาปากเท่านั้น


ชินกับการมีเขาอยู่ในรถด้วยไปเสียแล้ว


“ครั้งหน้าเราไปกันที่ไหนอีกดี คุณมีสถานที่ที่อยากไปไหม ผมพาไปได้”


“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะไปกับคุณแล้วล่ะ” ติณภพรู้สึกใจหายที่จะพูดประโยคนี้ คุณเจ้าของร้านหุบยิ้ม “นักร้องเกาหลีกลับไปแล้วก็หมดเรื่องเหนื่อยตรงนี้ หลังจากนี้ผมจะยุ่งเรื่องอื่นกว่านี้มากเพราะใกล้เข้าช่วงไฮซีซั่น ทั้งประชุมทั้งประสานงานต่างๆ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ความรับผิดชอบของผมเองแล้วคงออกมาบ่อยไม่ได้ เรื่องของคุณต้องพักไว้ก่อน”


ถ้าคนตรงหน้าเป็นสุนัขติณภพคงจะเห็นโกลเด้นที่วิ่งเล่นร่าเริงอยู่ดีๆก็หยุดชะงัก แล้วค่อยๆหูรี่หางตกเพราะคนเลี้ยงพูดว่าถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว


“อ่า แล้วจะได้เจอกันอีกไหมครับ”


“คิดว่านะ” เขากอดอกพูด “ผมยังไปอุดหนุนกาแฟเหมือนเดิม เพียงแต่ไปข้างนอกด้วยไม่ได้แล้วครับ”


พระเอกการ์ตูนญี่ปุ่นพยักหน้าเข้าใจจนห่วงต่างหูทั้งหมดบนร่างกายสั่นขยับ เป็นการพยักหน้าที่ดูไร้ชีวิตชีวากว่าทุกครั้งที่เห็น ตรงข้ามกับด้านในร้านที่มีลูกค้าน้อยใหญ่ต่อคิวยาว บางส่วนเดินกันไปมาอย่างกับมดงาน


“ที่จริงถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงทำตัวไม่เอาไหนแอบหนีออกมาอีกนั่นแหละ แต่อย่างที่คุณบอก พอได้ไปที่ๆเราไม่เคยไป เปลี่ยนสถานที่เปลี่ยนสภาพแวดล้อม กินของอร่อย มันทำให้ผมมีแรงจะไปสู้กับงานที่จะมาถึง อารมณ์บูดๆน้อยลง เป็นแบบนี้แล้วจะลองสู้เต็มที่ดูสักครั้ง ผมเหลวไหลมานานพอแล้ว ป๊าจะได้เลิกปวดหัว”


“อืม ดีใจที่คุณรู้สึกดีขึ้นนะครับ แต่เป็นแบบนี้ดีอยู่แล้ว แค่อย่าพยายามเปลี่ยนจนรู้สึกไม่มีความสุขก็พอ”


จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนติณภพไม่ได้มีความสุขกับการทำงานเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะความสุขเกิดขึ้นเฉพาะตอนพักผ่อนเท่านั้น เช่นเดียวกับตอนที่ได้อยู่กับคุณเจ้าของร้าน


ความเงียบทำหน้าที่ของความเงียบไม่นานเท่าเวลาทำหน้าที่ของเวลา เมื่อไม่มีอะไรจะพูด มองดูนาฬิกาเห็นเวลาล่วงเลยมาจนเย็นแล้ว ติณภพไม่อยากรบกวนเวลาของอีกคน ตลอดหลายวันก็เสียเวลามาอยู่กับคนเอาแต่ใจแบบเขามากพอที่จะต้องกลับไปพักผ่อนส่วนตัวบ้าง


“ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับทุกสิ่ง ทั้งที่พาไปเปิดโลกแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น” อยากตบปากตัวเองชะมัด ทำไมถึงทำเหมือนเป็นการบอกลาแบบจะลากันตลอดกาลอย่างนั้นไปได้ คุณเจ้าของร้านทำหน้าไม่ดีมากกว่าเดิม รู้สึกผิดขึ้นมาทันตา


เหมือนเขาหลอกใช้ความจริงใจจากอีกคนแค่เพื่อเยียวยาให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น แล้วกำลังจะทิ้งคนที่ช่วยเขาให้หลงทางกับสิ่งที่เป็นดั่งการให้ความหวังลมแล้งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ติณภพไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่เคยคิดจะเอาเปรียบใคร แค่ยังไม่พร้อมจะปลดปล่อยให้ความรู้สึกลึกๆไปถึงคนที่ดีอย่างคุณเจ้าของร้าน ยังไม่ถึงเวลา ก็เท่านั้น


“เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมครับ”


“คุณอยากได้อะไรล่ะ ของขวัญไหม เอาเป็นคอนแทคจากโรงแรมของผมแบบว่าเวลาจัดเลี้ยงสัมนาก็จะติดต่อมาที่ร้านคุณ หรือจะเป็นเช็คเงินสด ผมเขียนให้คุณตอนนี้เลยก็ได้ เอาสักสองหมื่นเป็นค่าเสียเวลาพาผมไป ถ้าน้อยไปเอาสาม...”


กอด


คนตัวโตโน้มร่างลงมากอดหมับ โดยไม่สนว่าจะยืนอยู่ตรงไหนหรือทำต่อหน้าต่อตาใครบนโลกใบนี้ ถึงใส่สูทอยู่แต่รู้สึกได้ว่ามัดแขนแข็งแรงโอบตัวโอบเอวเขาได้ทั้งรอบ ไม่ได้ผลีผลามเข้ามากอดในทันที เป็นแค่การเข้ามาสวมกอด หากทำให้คนพูดหุบปากฉับในเสี้ยววินาที


อบอุ่นดีเหลือเกิน เกินความต้านทานที่จะไม่กอดตอบกลับไป ตอนนี้หัวใจเต้นแรงตึกตักแต่คงไม่ทันว่าคุณเจ้าของร้านจะได้ยินไปแล้ว และติณภพเหมือนจะได้ยินเสียงนั้นจากอีกฝ่ายสะท้อนกลับมาเช่นเดียวกัน ความรู้สึกเขินอายตีกลับขึ้นมาให้ต้องซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ซึมซับทุกอย่างเท่าที่หนึ่งกอดจะมอบอะไรมากมายให้


รู้สึก...มาก มากๆ


อย่ามากไปกว่านี้เลย มันอันตรายแล้ว


“เอาไว้เจอกันนะครับ คุณทองหล่อ”


เขาคนนั้นถอนกอด ส่งยิ้มที่ดวงตามีน้ำใสพอให้เห็นประกายในแววตา แล้วหันหลังเดินเข้าร้านกาแฟไป ทิ้งให้คนทางนี้ยืนสับสนกับความรู้สึกตัวเองอยู่ชั่วครู่ จึงเดินกลับไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวกลับบ้าน




“พี่ยูใจแข็งมาก ไออยากยอมแพ้แล้วว่ะ ไม่โทรมา ไม่มาซื้อกาแฟ เงียบกริบ”


“เฮ้ยใจเย็นก่อน” พูดพลางเด้งขึ้นมานั่งหลังตรง มองอีกฝ่ายที่ทำหน้าเหนื่อยใจ “เขาเป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ค่อยสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆ just give him time.” (ให้เวลาเขาหน่อย)


“เขาดูคล้อยตาม แต่เหมือนถึง point หนึ่งแล้ว realize ได้ว่าไอจะเดินหน้าต่อ ก็หยุดเงียบไปดื้อๆ เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ไปด้วยกันจนไอคิดว่าไอเข้าไม่ถึงเขาแล้ว เป็น loser ของจริง”


คนนั่งฟังได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจ


“พี่ตฤณเป็นคนเค็มนอกอ่อนใน เพราะเป็นพี่ชายคนโตเลยต้องทำตัวเข้มเค็มเป็นหลักให้น้องๆ”


“แข็ง แข็งนอกอ่อนในโว้ยไม่ใช่เค็ม เข้มแข็งด้วย ไอ้ฝรั่งกิ๊กก๊อก” เล่นเอาคนฟังขมวดคิ้วทำหน้าเหยเกเมื่อได้ยินคำพูดแปร่งๆจนความหมายเพี้ยนไป “อยู่ไทยมาเกือบตลอดชีวิต ทำไมยังพูดไม่ชัดอีกวะ ไอ้ห่า”


“ไอเรียนอินเตอร์มาจนถึงไฮสกูล ยูนิก็อินเตอร์ ซัมเมอร์ก็บินไป-กลับบ้านที่โน่น เพิ่งมาอยู่ full time ในไทยได้แค่สามสี่ปี กิ๊กก๊อกแต่ด่าพ่อยูชัดนะ ลองไหม”


“ทีแบบนี้ล่ะทำเก่ง” เพื่อนคนไทยปรารภ “ว่าแต่พี่ของยูเถอะ หลังจากทำไออกเดาะน้ำตาซึมวันนั้นจนตอนนี้เกือบเดือนแล้วไอไม่เจอเลย เขาเป็นยังไงบ้างวะ สบายดีหรือเปล่า”


“ไม่ค่อยโอเค” พูดแล้วยกน้ำขึ้นจิบ “ช่วงนี้ใกล้ high season ที่จริงโดยปกติแล้วช่วงนี้ทั้งแด๊ดทั้งพี่ตฤณจะงานยุ่ง but I don’t know what’s happening with him recently. (แต่ฉันไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา) Like... (แบบว่า) เขาเหมือนทำให้ตัวเองดูยุงมากกว่าเดิม”


“ยุ่ง”


“อืมๆ ยุง ยุ่ง คำนั้นแหละ” ลูกครึ่งหนุ่มลองไล่ระดับเสียงคำแล้วว่าต่อ “ยูยังไม่ได้อกหักหรอกเพื่อน อย่าเพิ่งคิดไปเอง He hasn’t been in a relationship for years, man.” (เขาไม่ได้มีใครมาหลายปีแล้วนะเพื่อน)


“วันนั้นเขาขอบคุณสำหรับทุกอย่าง แบบนี้ไม่เรียกบอกลาแล้วเรียกอะไรวะ”


“เอาน่า รอให้หมดช่วงนี้ไปก่อนเดี๋ยวได้เจอกันแน่นอน เชื่อเพื่อนสิ เพื่อนแบบไอน่ะเชื่อใจได้นะ นะ honey”


ชายหนุ่มเบ้ปากพอเห็นดวงตาหวานเชื่อมแบบตะวันตกระยิบระยับ จะลองเชื่อมันสักครั้งแล้วกัน


อยากเจอจะแย่อยู่แล้ว คิดถึงจนจะเป็นบ้า


เคยบอกว่าอย่าพยายามเปลี่ยนจนรู้สึกไม่มีความสุข แล้วทำไมถึงดื้อขนาดนี้



“ยูก็เหมือนกัน อย่ารับงานหนักเกินไป ทำงานหนักไม่ช่วยให้ลืมใครได้หรอก และอีกอย่างคือไอจะไม่มีงานทำด้วย พอยู come back แล้วทุกคนพุ่งไปแต่ยู”


“Why? Your sweetheart is back right here. You miss me, darling, don’t you?” (ทำไมล่ะ ดวงใจของนายก็กลับมาแล้วนี่ไง คิดถึงฉันใช่ไหมจ๊ะที่รัก) พูดจบทำท่าจะลุกไปกอดเพื่อนที่นั่งข้างกัน ผลคืออีกคนทำท่าขนลุกขนชันใส่เขา


“F*ck, that’s creepy. (ไอ้เวร ขนลุก) ไอไม่เข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงชอบจ้างเราไปคู่กันนักนะ”


นั่นสิ เขาเองก็หาคำตอบไม่ได้ แต่พอได้ทำงานคู่กันทีไรเสียงตอบรับมักออกมาเกินคาด นิตยสารขายดีทั้งแบบเล่มและแบบออนไลน์ โฆษณาสินค้าก็มียอดขายเพิ่มขึ้น ยิ่งตอนรับงานเดินแบบแฟชั่นโชว์งานเดียวกันยิ่งเป็นที่ชื่นชอบ


การกลับมาของเขาในครั้งนี้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าก่อนหน้าที่หายไปเสียอีก


แต่ถ้าคนจะคิดว่าเขากับไอ้ฝรั่งกิ๊กก๊อกมีอะไรในกอไผ่อย่างที่ลือกันไปล่ะก็...ก็ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนั้นล่ะดีแล้ว กระแสสังคมจะทำให้การงานเดินหน้าต่อ เพราะความจริงเป็นอย่างไรมีแต่พวกเราที่รู้ดี รู้ทันสันดานกันจดแทบหมดไส้หมดพุง จะให้จับกันเองก็กระไรอยู่ อย่างที่มันบอกเมื่อกี้นี่เลย น่าขนลุก


“ไอก็บอกไม่ได้ แต่ที่ sad คืออะไรรู้ไหม พี่ชายยูไม่รู้จักไออ่ะ รู้แค่ว่าเป็นเจ้าของร้านกาแฟ บ้านยูมีทีวีหรือเปล่าเหอะ ไปต่ออินเทอร์เน็ตให้พี่ชายด้วย”


“อย่าบ่นให้มาก เชื่อไอเถอะว่าเดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นไอจะเป็นคิวปิดให้เอง นัดไปเปิดห้องกันเลย จะได้ได้กันให้มันจบๆ ช่วงนี้จะพยายามส่งข่าวพี่ตฤณให้บ่อยแล้วกัน เผื่อมีคนลงกระทะทองแดงตาย”


“ลงแดง! กระทะทองแดงมันอยู่ในนรก ไอ้บ้า!”


ปากคอเราะร้ายเหมือนพี่ชายมันไม่มีผิดเลย เห็นเพื่อนเป็นคนแบบไหนกันวะ!




วันหนึ่งในเดือนตุลาคม ติณภพลุกจากเตียงไม่ขึ้น


กลางดึก ห้องมืดสนิท หลังลืมตาตื่นขึ้นมาดูโลกมืดๆได้ครู่เดียวก็รู้สึกรวดร้าวไปทั้งร่างกาย เส้นขนอ่อนลุกชันทุกสามวินาที หายใจเป็นไอร้อนผ่าวและหนักศีรษะ คาดว่ากว่าจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพลิกตัวไปหยิบมือถือที่โต๊ะข้างเตียงกินเวลาไปไม่ต่ำกว่าสิบนาที


[Hello. Who’s that?] (สวัสดีครับ นั่นใครพูด?) เสียงนั้นเบาและแห้งผากมาก


“Theodore, it’s me พี่ตฤณ” (ธีโอดอร์ พี่ตฤณเอง)


[What’s wrong with you calling me at…3 am?] (เป็นอะไรของพี่วะถึงโทรหาผมตอน...ตีสามเนี่ยนะ?) เสียงปลายสายฟังดูหงุดหงิดเป็นที่สุดจนติณภพอดถอนหายใจยาวเป็นไอร้อนไม่ได้ แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะอธิบายสวนกลับไปแบบทันท่วงที


“I feel headache so bad and I can’t move.” (พี่โคตรปวดหัวและขยับตัวไม่ได้เลย) เขาพูดอ่อนแรงลงเมื่ออาการปวดตุบกำเริบ “Just bring me some water, please?” (แค่เอาน้ำมาให้หน่อยได้ไหม?)


[Hey are you okay? I’ll be there right now.] (เป็นอะไรมากไหม จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ) ได้ยินเท่านั้นแล้วสัญญาณก็ตัดไป สติของเขาเองดูจะวูบดับไปพร้อมกับมัน


ติณภพลืมตาอีกครั้งตามแรงแตะเบาๆที่แก้ม แต่ทำยากกว่าเดิมเพราะแสงไฟในห้องเจิดจ้า ดวงตาปรับสภาพไม่ทัน ภาพใครสักคนเลือนรางมากก่อนจะค่อยๆชัดเจนขึ้น รวมทั้งเสียงที่เรียกชื่อเขาอยู่ด้วย


“พี่ตฤณ พี่ตฤณครับ”


เสียงน้องชายคนที่เขาโทรไปหาก่อนหน้านี้นั่นเอง มองไปรอบๆยังมีแก้วน้ำกับยากระปุกสีขาวที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้วางอยู่ตรงนี้ด้วย


“พี่ไม่สบายมาก ตัวร้อนจี๋เลย” ธีโอดอร์ใช้หลังฝ่ามือสัมผัสที่หน้าผาก แก้ม และลำคอของเขาประกอบการพูด ถ้าไม่เพราะเจ้าของมือเพิ่งวิ่งออกมาจากห้องแอร์เย็นฉ่ำก็คงเป็นตัวเขาเองที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนร้อน “ลุกขึ้นกินยาหน่อยนะ”


“ลุก...ลุกไม่ไหวว่ะธี” จบคำพูดเท่านั้นเจ้าน้องชายตัวยักษ์คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ อีกข้างพยุงแผ่นหลังเขาไว้ด้วยแขนแล้วออกแรงยกจนคนที่ครั่นเนื้อครั่นตัวรู้สึกระบมทั้งร่างให้ต้องเบ้หน้าระบายความเจ็บปวด กัดฟันคำรามในคอเป็นระยะ แค่มีคนช่วยพยุงยังรู้สึกเหนื่อย ไม่สิ...แค่หายใจเข้าออกยังเหนื่อยเลย


“Why are you like this huh?” (ทำไมพี่เป็นแบบนี้นะ หา?) นั่นไม่ใช่คำถามแต่เป็นการบ่น ธีโอดอร์หยิบยาเม็ดส่งให้พร้อมแก้วน้ำ แล้วก็เอาแก้วน้ำกลับไปถือเองเมื่อเห็นว่าแค่ยาเม็ดเดียวยังสั่นไปตามแรงมือ ให้ทั้งแก้วคงเสี่ยงทำน้ำหกรดตัวหมด “You’ve worked too hard. I warned you but you didn’t listen to me.” (พี่ทำงานหนักเกินไป ผมเตือนแล้วแต่พี่ก็ไม่ฟัง)


“ก็มันจำเป็น” ติณภพตอบด้วยเสียงแหบพร่าหลังกินยาเข้าไปแล้ว “มีงานต้องทำเยอะ ถ้าไม่ทำแล้วใครจะ...”


“You force yourself.” (พี่ฝืนตัวเอง)


“ตอนนั้นคิดว่าไหว ไม่ได้ฝืน พี่เข้าฟิตเนสอาทิตย์ละสองครั้งนะ” ตอบ แต่ไม่กล้าสบตาคู่สนทนา เดาว่าธีคงจ้องเขาด้วยสายตาดุไม่ก็เหนื่อยมากที่เขายังดันทุรังจะแถ ตกลงไอ้เด็กฝรั่งนี่มันเป็นน้องหรือเป็นพ่อกันแน่นะ


“Don’t bullsh*t me. I know you well. You never work too much because hotel business is not your dream job. You did it ’cause you don’t wanna disappoint dad, do you?” (อย่ามาแถเหอะ ผมรู้จักพี่ดี พี่ไม่เคยทำงานหนักเพราะนี่มันไม่ใช่งานที่พี่อยากทำสักนิด ที่ทำไปก็เพราะไม่อยากให้พ่อผิดหวังใช่ไหม?) ธีโอดอร์ดูฉุนขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเริ่มงี่เง่าเป็นเด็กเพราะอาการปวดหัว ยิ่งพอฟังไอ้คนที่กำลังเทศน์ด้วยภาษาอังกฤษยาวแบบนี้ด้วยแล้ว สมองแปลตามไม่ทันยิ่งน่าปวดหัวเข้าไปใหญ่


“But what if I didn’t  wake up 10 minutes ago and bring you the medicine? Wouldn’t you be worse like…vomit or fall down on the ground and get injured...” (ถ้าผมไม่ตื่นเมื่อสิบนาทีที่แล้วแล้วเอายามาให้พี่ล่ะ? พี่จะไม่แย่กว่านี้เหรอแบบว่า...อ้วกหรือล้มแล้วเจ็บตัว...)


ถึงกับต้องทนปวดแขนเพื่อยกมือห้ามไม่ให้มันบ่นต่อ พี่ชายหลับตาโบกนิ้วชี้เป็นวงกลมที่ข้างขมับอันเป็นสัญญาณที่ใช้กันระหว่างพี่น้องว่าเขาฟังไม่ทัน แปลไม่ออก หรือสมองไม่รับสื่อในตอนนี้


“ขอโทษ” ธีโอดอร์เสียงอ่อนลง “ผมแค่เป็นห่วง”


“ไม่เป็นไร ขอโทษเหมือนกันที่ไม่ฟังตั้งแต่แรก” ติณภพไอโขลก น้องชายลูบหลังปลอบประโลม “ทีหลังจะดูแลตัวเองมากกว่านี้นะ ธีจะได้ไม่เป็นห่วงมาก”


บทสนทนาจบลงที่ธีโอดอร์ประคองพี่ชายคนโตให้นอนลง ห่มผ้านวมผืนอุ่นขึ้นมาจนชิดอก มองใบหน้าที่เดิมมีผิวขาวอยู่แล้วหากบัดนี้ยิ่งซีดเซียวลงเพราะฤทธิ์ไข้ ติณภพปรือตาลงมากกว่าครึ่งแต่ยังคงมีสติรับรู้ และน้องชายคนนี้จะอยู่ดูแลจนกว่าพี่ชายจะหลับ


ตอนเด็กๆพี่ตฤณดูแลเขาเป็นอย่างดี ตอนนี้เลยต้องอยู่ข้างกายยามที่พี่ชายต้องการใครสักคน พี่ตฤณเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจกับคนอื่นก็จริง แต่กับน้องแล้วยอมเสมอ แม้ว่าจะเป็นพี่ชายต่างแม่ ธีโอดอร์ยังรักมากเท่ากับที่รักพี่ชายแม่เดียวกันอย่างทิโมธี


พี่ตฤณเสียแม่ไปตั้งแต่ยังอายุน้อย ถึงได้รับการเลี้ยงดูให้โตขึ้นมาจากพ่อและแม่ของเขา แต่ยังมีค่านิยมทางฝั่งพ่อเรื่องการเป็นพี่คนโตที่ต้องรับภาระธุรกิจครอบครัวไปอีก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ธีโอดอร์มีอิสระในการทำสิ่งที่ตนเองรัก เมื่อก่อนดูว่าพี่ตฤณเป็นผู้ชายคนเก่งที่มีความเป็นผู้นำของครอบครัวเหมือนกับพ่อ แต่โตขึ้นมาธีโอดอร์เข้าใจได้ว่าพี่ตฤณก็แค่ผู้ชายที่ภายนอกดูเข้มแข็งแต่ภายในเปราะบางดุจแก้วใสมีรอยร้าว ทุกคนในครอบครัวรู้ เขาเองก็เข้าใจดี  ไม่ว่าอย่างไรจะคอยแบ่งปันความรักให้กับพี่ชายกลับไปให้เท่ากับตอนที่ได้รับมา ให้เท่ากับตอนที่อีกฝ่ายต้องเสียสละความสุขส่วนตัวในชีวิตแลกกับการให้น้องชายทั้งสองไม่ถูกบังคับ อย่างน้อยก็ในตอนนี้


คนอื่นอาจมองว่าพี่ตฤณเป็นคนไม่น่าคบหา เป็นคุณหนูหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ปากร้ายและนิสัยไม่ดี แต่สำหรับคนในครอบครัว คนใกล้ชิด พี่ตฤณแบกรับเอาความหนักใจในแบบของตัวเองซ่อนไว้บนบ่า และทำตัวให้เป็นที่รักเสมอ


ปัจจุบันเขาเองตัวโตกว่าพี่ชายไปมากจนความสูงเท่าบ่าไหล่ในวันวานเพิ่มขึ้น พี่ตฤณเป็นฝ่ายที่สูงเท่าคางหรือจมูกเขาจนเวลากอดรัดฟัดเหวี่ยงเล่นกันก็จมหายไปในอกเขาแล้ว ยิ่งตอนนี้ป่วยไข้ รัศมีความหยิ่งยโสทั้งหลายที่สั่งสมมาจากความเอาแต่ใจมลายหายไปแทบหมด เหลือไว้เพียงคนหนึ่งคนที่ธีโอดอร์สัญญากับตัวเองว่าจะดูแลเป็นอย่างดีจนกว่าจะหาย ไม่อย่างนั้นนอกจากพี่ทิม พ่อและแม่แล้ว คงจะมีคนกระวนกระวายใจน่าดูหากรู้ว่าพี่ตฤณแค่ลุกจากเตียงยังทำไม่ไหว

__________

อา คุณตฤณป่วยแล้ว ส่วนคุณเจ้าของร้านก็น่าสงสารเนอะ มีตัวละครใหม่เข้ามาเขาจะช่วยอะไรได้บ้างไหมน้า :m15:

อยาก talk นิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือส่วนตัวเราว่าสำนวนตัวเองเปลี่ยนจากเรื่องที่แล้ว เลยไม่รู้ว่าคนอ่านอ่านเรื่องเดียวจะเลิกอ่านไปเลยไหมเพราะภาษาต่างกัน T_T แถมบรรยายเยอะกว่าด้วย อยากให้คิดว่ามันเปลี่ยนเพราะนิสัยตัวละครเปลี่ยนไป แต่ยังไงเรายังพยายามปรับปรุงแก้ไขอยู่นะคะ

แล้วก็เร็วๆนี้ข้างนอกมีประเด็นเรื่องการคอมเมนต์ให้กำลังใจหรือการปรับปรุงเว็บไซต์ที่ส่งผลต่อการอัพนิยาย/การอ่าน-คอมเมนต์จากคนอ่านอยู่ ช่วงนี้เปิดเทอมแล้วเราคงอัพช้าบ้างอะไรบ้าง นิยายคงจะจมลงไปหน้าท้ายๆ ถามว่างานของเราคนอ่าน-เม้นน้อยมีท้อไหมก็มีบ้าง ปกติอัพวีคละ 2 ครั้งคงเหลือแค่วันศุกร์วันเดียวแล้ว ถ้าใครตามมาตั้งแต่เรื่องแรกอย่าเพิ่งทิ้งเราไปเน้อ ไม่มีคนอ่านคนเขียนก็อยู่ไม่ได้ ฮรึก ไม่ว่าจะช่องทางไหนเราก็รับคำติ-ชมจากทุกคนหมดเลยค่ะ เรื่องสั้นของเราเคยมีคนเอาไปรีวิว ขอบคุณมากๆ เรื่องนี้ถ้าใครเอาไปรีวิวอีกเราก็จะขอบคุณมากๆเช่นกัน :hao5:

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ #ทองหล่อที่รัก
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VI #ทองหล่อที่รัก P.2 [9/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 10-08-2019 00:12:47
เรื่องต่อไปเป็นของธีโอดอร์ไหมคะ  น้องดูน่าเอ็นดู 5555
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VI #ทองหล่อที่รัก P.2 [9/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 10-08-2019 22:55:36
นี่เราพลาดตอนที่แล้วไปได้ไงง เราคิดว่ามาอัพทุกวันศุกร์ เลยไม่ได้เข้ามาอ่าน ^^
2 ตอนนี้ชวนเขินมาก คุณทองหล่อหวั่นไหวกับคุณเจ้าของร้านแล้วว
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VI #ทองหล่อที่รัก P.2 [9/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 10-08-2019 23:05:32
คุณทองหล่อป่วยแล้วเนี่ย คุณเจ้าของร้านกาแฟรีบมาดูแลเลยครับ ^^
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VI #ทองหล่อที่รัก P.2 [9/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 11-08-2019 21:58:50
  :pig4:
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VII #ทองหล่อที่รัก P.2 [16/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 16-08-2019 21:27:07
Thonglor My Love VII
ทองหล่อที่รัก




“ไม่สบายนี่แย่เลยเนอะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ปวดหัวไหมครับ”

“บอกแล้วว่าอย่าทำให้ตัวเองไม่มีความสุข ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ”

“คิดถึงจะแย่ คุณไม่มาหากันบ้างเลย”

“หายไวๆนะครับ”





ติณภพฝันเห็นคุณเจ้าของร้าน


ไม่เชิงว่าฝัน แค่ได้ยินแต่เสียง เห็นเป็นเงาขาวสลับดำ และจินตนาการไปเองว่าได้รับไออุ่นจากเขาตอนที่นอนอยู่ ทั้งที่ความจริงอาจเป็นผ้าห่ม แต่มันสมจริงราวกับว่าคุณเจ้าของร้านได้มาที่นี่จริงๆ ได้มานั่งข้างเตียงและลูบผมแผ่วเบาหรือไม่ก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มใสน่าฟัง คนที่นอนเปื่อยเป็นผักจึงทึกทักให้มันเป็นความฝันไปเสีย ดีกว่าบอกว่าเป็นไข้จนเพ้อพก


ฝันดีที่ทำให้ไม่อยากตื่น ทว่าเลี่ยงไม่ได้ต้องลืมตามาเจอความจริงอันโหดร้ายที่ว่าไม่มีคนที่คิดถึง และเจ็บตัวไปหมด


มองมุมห้องทางซ้ายก็แม่เลี้ยงฝรั่ง มองทางขวาก็พ่อ ใกล้ตัวหน่อยนั่งอยู่บนเตียงด้วยกันคือน้องชายคนกลางชื่อทิโมธี และที่เพิ่งถือถ้วยอะไรสักอย่างเดินเข้ามาหน้าประตูห้องคือตัวแสบธีโอดอร์


“พี่ตฤณตื่นแล้ว” ทิมเอาฝ่ามือทั้งสองมาทาบวัดอุณหภูมิบนใบหน้าอย่างแผ่วเบา ทั้งอุ้งมือและนิ้วมือเรียวยาวนั่นได้สัมผัสตั้งแต่ปลายคางเขาไปจนถึงตีนผมในคราวเดียว “เป็นยังไงบ้างครับ ปวดหัวไหม”


ติณภพพยักหน้า รู้สึกแสบตาเพราะตาแห้ง หายใจแล้วเจ็บซี่โครงหน่อยๆ


“ทำไมมากันเยอะเลย”


“ธีโอดอร์มาบอกเรา เราเลยเข้ามากันหมด” คราวนี้แม่เลี้ยงเดินมาหาบ้าง รอยยิ้มอ่อนโยนแต่ชวนสดชื่นยามเช้าช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นเยอะ ไม่นับสำเนียงแปร่งๆเพราะพูดไทยไม่ค่อยชัด “เป็นห่วงมากเลย เธอโอเคไหม”


“บอกตามตรงว่าไม่ค่อยครับ”


“อย่างนั้นไปหาหมอดีกว่า ปล่อยไว้แล้วจะแย่” แม่เลี้ยงทรุดกายนั่งลงในระดับสายตา ส่วนพ่อของเขาเดินมาหยุดตรงปลายเตียง กอดอกพิจารณาดูลูกชายที่นานทีปีหนจะไม่สบาย และคำพูดนั้นทำเอาเขาหน้าซีดกว่าเดิมแน่ๆ


“ไม่เอานะป๊า ผมไม่ไปโรงพยาบาล นอนพักอยู่บ้านสองสามวันก็กลับไปทำงานต่อได้แล้ว”


ทิโมธีหัวเราะเรียกความสนใจให้หันกลับไปมอง ติณภพรู้ถึงเหตุผลนั้นหากไม่มีกะจิตกะใจจะทำหน้าดุห้ามปราบคนที่กำลังล้อเขา


“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าจะหายทันภายในสองสามวัน ปกติแกไม่ค่อยป่วย พอถึงเวลาจริงก็เป็นหนัก ใครจะมาดูแลเฝ้าไข้ไหว หืม”


เขารู้ว่าพ่อเป็นห่วงถึงได้พูดแบบนั้น แต่อดน้อยใจไม่ได้ ต้องให้บอกกี่ครั้งกันนะว่าถ้าไม่ใกล้ตายไม่ต้องส่งเขาไปที่โรงพยาบาลเด็ดขาด


“ผมดูแลพี่ตฤณเองครับ”


ทุกคนหันกลับไปมองต้นเสียง ธีโอดอร์เดินยกชามสีขาวที่คาดว่าน่าจะเป็นอาหารคนป่วยสักชนิดเข้ามาวางที่โต๊ะข้างเตียง กลิ่นของมันโชยไปทั่วจนติณภพมั่นใจว่ามันคือข้าวต้ม


“พอดีช่วงนี้ยังไม่มีงาน ผมว่าง เดี๋ยวจะอยู่กับพี่เขาเอง แด๊ดไม่ต้องกังวล” พูดจบเจ้าตัวดีของติณภพก็แทรกตัวเข้ามาระหว่างทิโมธีและเขา ประคองกึ่งบังคับให้ลุกขึ้นแบบเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ในหัวตอนนี้มีแต่คำว่า เบาหน่อย เบาหน่อยโว้ย “กินข้าวต้มหน่อยครับ จะได้กินยา”


“เนี่ย มีคนดูแลแล้วผมไม่ต้องไปโรงพยาบาลก็ได้” คนพูดหันหน้าไปอีกทางเพื่อปิดปากตอนไอหนัก “ธีคนเดียวก็ทั้งบ่นทั้งดุทั้งเป็นห่วงแทนทุกคนในบ้านไปหมดแล้วเมื่อคืนตอนตีสาม ป๊าสบายใจได้”


“แต่ธีคนเดียวจะไหวเหรอ...ไปหาหมอดีกว่ามั้ง เดี๋ยวผมจะลองบอกเพื่อนๆที่โรง...”


“No doctor! No hospital!” คนป่วยโพล่งขึ้นมาจนทิโมธีที่แกล้งแหย่เขาหัวเราะเสียงดัง แม่เลี้ยงฝรั่งเองก็ขำไปด้วย หันไปหาพ่อ พ่อก็เหมือนจะแอบหัวเราะหากส่ายหน้ากลบเกลื่อนแล้วระบายยิ้มแทน เอาเข้าไป เป็นกันทั้งบ้าน


“Okay okay. No doctor and no hospital.” น้องคนกลางยกมือสองข้างยอมแพ้แล้วลุกออกจากเตียงไปในที่สุด เปิดทางให้ธีโอดอร์ที่ก็ดูว่าเกือบหัวเราะเหมือนกันได้ป้อนข้าวต้มเขาอย่างสะดวก “ผมไปทำงานต่อก่อนนะครับ นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวตอนเย็นกลับมาเยี่ยมใหม่”


“พ่อจะไปเหมือนกัน ธีโอดอร์ดูแลพี่เขาดีๆล่ะ ไอ้พวกเรื่องที่แกเข้าไปช่วยงานป๊าในสาขาใหญ่ก็พักไปก่อน ไม่ต้องทำแล้ว”


“แต่ว่าผม...”


“ถ้าดันทุรังจะหามไปโรงพยาบาลจริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่น แต่ถ้าแกยอมทำตามที่บอก อาการไม่ดีขึ้นป๊าจะให้หมอเข้ามาดูอาการแทน ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ตกลงไหม”


ติณภพหน้าบูด แต่ยอมรับข้อตกลงนั้นโดยดี “ครับ” เรียกหมอมายังดีกว่าไปหาถึงที่


“ดี พักผ่อนเสีย ฝากด้วยนะธี”


“ครับแด๊ด” น้องคนเล็กรับคำแล้วก็ป้อนข้าวต้มให้อีกคำ แม่เลี้ยงเดินมาบอกว่าให้เขาหายเร็วๆพร้อมทั้งจูบหน้าผากเป็นการอวยพร แล้วถึงเดินออกไปพร้อมพ่อกับทิม


พอทุกคนออกไป คนป้อนข้าวต้มตวัดสายตามาทางเขาจนรู้สึกเหมือนกำลังจะถูกซักไซ้อะไรบางอย่างในไม่ช้า


ทำเหมือนตัวเขาเองเมื่อก่อนไม่มีผิด ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นเอาแต่ใจมากกว่านี้


“อะไร”


“ที่ทำงานหนักมากๆคือพี่ไปช่วยงานพ่อที่สาขาใหญ่เหรอ”


“ก็...ก็ใช่”


“แล้วโรงแรมตัวเองมันไม่พอหรือไงถึงได้ไปทำให้แด๊ดอีก เกินตัว”


“นี่ ให้มันน้อยๆหน่อยธี” คนป่วยอ้าปากรับเอาข้าวต้มเคี้ยวแล้วกลืนแบบฝืนทน “นี่พี่แกนะไม่ใช่ลูก บ่นจังเลย ป๊ายังไม่บ่นเท่าแก”


“Can’t help” (ช่วยไม่ได้) ธีโอดอร์ยักไหล่ไม่ยี่หระ “พี่ทำตัวแบบนี้เอง ทีตอนเด็กๆผมอ่านการ์ตูนเยอะพี่ยังบ่นผมเลย แด๊ดก็ไม่บ่นเท่าพี่”


ไอ้ตัวแสบเอ๊ย


“ไม่ต้องมองแบบนั้นเลย ฟังผมนะ ก่อนหน้านี้พี่ดูมีความสุขดีนี่ครับ เห็นว่าออกไปไหนกับเพื่อนแล้วมาเล่าให้มัมฟังอยู่...ใช่พี่วินหรือเปล่านะ ถ้าแด๊ดให้พักงานแบบนี้ หายไม่สบายพี่ควรออกไปพักผ่อนกับเขา”


ธีโอดอร์จ่อช้อนอาหารคนป่วยคำสุดท้ายไว้ที่ปาก ทว่าอีกคนไม่ยอมอ้าปากรับ แถมยังถอนหายใจยาวแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอีกด้วย เลยต้องเป็นฝ่ายลดช้อนลง


“เอาจริงๆตอนนั้นแค่ไปทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นเพื่อจะกลับมาทำงานหนักมากกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก แล้วมันก็ได้ผลอยู่นะ พี่ลุยงานได้ตั้งเป็นเดือนๆ”


“แล้วก็มาตายเอาบนเตียงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้? พี่ตฤณครับ คนเรา relax จากการ  work hard ไม่ใช่ relax เพื่อ work harder นะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเนี่ย”


“ไม่ได้...อุ๊บ” แล้วน้องชายตัวดีก็ถือโอกาสที่เขาเปิดปากยัดช้อนเข้ามาเต็มคำ ในที่สุดข้าวต้มก็หมดถ้วย พร้อมสายตามันเขี้ยวหรี่เล็กสไตล์ติณภพ


“เดี๋ยวผมจะโทรหาพี่วินว่าให้พาพี่ออกไปอีก”


“No no no no” ติณภพปฏิเสธรัวเร็ว “ไม่ใช่คุณวิน เพื่อน...เพื่อนคนอื่น”


“เพื่อนคนอื่น? เพื่อนที่ไหน ผมรู้จักไหม”


“ไม่น่าจะนะ”


อยู่ๆธีโอดอร์มีสีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อครู่ทำหน้าดุอยู่กลายเป็นว่าดวงตาแพรวพราวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไหนจะกดยิ้มที่มุมปากอีก เป็นยิ้มที่ติณภพรู้ความหมายเบื้องลึกของมัน


ที่มันยิ้มอย่างนั้นคงเป็นเพราะเขาต้องหลุดท่าทีพิลึกพิลั่นอะไรตอนบอกว่าเป็นเพื่อนแน่ๆ


เอาเข้าจริงมันไม่เชิงเป็นเพื่อนหรอก คำว่าเพื่อนดูน้อยกว่าความเป็นจริง แต่จะทำอย่างไรได้เล่า


“Your boyfriend?” (แฟนพี่?)


“No way! He’s not” (ไม่มีทาง! เขาไม่ใช่)


“Not yet” (ยังไม่ได้เป็น)


“Hey!”


ถ้าไม่ติดว่าไม่มีแรง แขนขาอ่อนเปลี้ยอยู่ ติณภพคงได้ถีบน้องชายตกจากเตียงตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย


“ฮ่าๆ หน้าแดงเป็นมะเขือเผาเลย เมื่อกี้ยังหน้าซีดเหมือนกระดาษอยู่ สงสัยดีขึ้นแล้วแน่ๆ ต้องขอบคุณ your boyfriend”


“มะเขือเทศโว้ย! แล้วเขาก็ไม่ใช่แฟน เป็นเจ้าของร้านกาแฟในอเวนิวเฉยๆ หยุดล้อนะธีโอดอร์”


“อ่าๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ รอตรงนี้เดี๋ยวเอาถ้วยชามไปเก็บแล้วผมมาเช็ดตัวให้” ธีโอดอร์ยิ้มหวานให้ทั้งที่ปกติจะนิ่งขรึมตามนิสัย ตบบ่าพี่ชายสองสามครั้งเบาๆก่อนลุกเดินออกไป เหลือไว้แต่ไออุ่นกลิ่นหอมจางประจำตัว


ใครๆในบ้านก็บอกว่าธีโอดอร์เหมือนติณภพตอนยังเป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆ อย่างเรื่องหน้าตา ธีโอดอร์ก็คือเขาในเวอร์ชั่นตะวันตก ดวงตาไม่เล็กรีทว่าโครงหน้าส่วนล่างคล้ายกันมากกว่าจะไปเหมือนกับทิโมธีที่แทบไม่มีเค้าโครงจากเชื้อสายจีนเลย ไหนจะนิสัยที่มักออกปากบ่นเวลาเป็นห่วงคนที่รัก ถึงธีจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ชอบอ่านการ์ตูนติดนิสัยมาจนถึงตอนโต ดูเงียบ สุขุม เป็นเพียงเด็กธรรมดาที่ไม่ค่อยพูดมากอย่างเขา ทะเล้นเป็นบางเวลา แต่บทจะหงุดหงิดก็บ่นได้ยาวเหมือนเมื่อตอนตีสามนั่นล่ะ


ที่สำคัญ คนบ้านนี้รักใครมากจะเอ็นดูคนนั้นเป็นพิเศษ ติณภพเลยโดนจิกกัดแหย่เล่นตอนไม่มีแรงสู้ ทั้งธีทั้งทิมเลย


หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยติณภพก็ยังคงต้องนอนกลิ้งอยู่บนเตียง อาการเวียนหัวยังไม่หายไปทำให้ยืนตั้งฉากกับพื้นโลกไม่ได้นาน ลุกเดินไปไหนไม่ค่อยไหว ธีโอดอร์ผู้มีน้ำใจและความเป็นห่วงพี่ชายก็ทำหน้าที่คนเฝ้าไข้ได้เป็นอย่างดี มานั่งอยู่ด้วยกันแทบทั้งวัน


“ถ้าเบื่อจะออกไปข้างนอกบ้างก็ได้นะ ไม่ต้องมานั่งเฝ้าทั้งวันหรอกธี พี่อยู่ได้”


“ไม่เป็นไรครับ นั่งอ่านการ์ตูนเป็นวันยังทำได้ แค่นี้สบาย” พูดแล้วก็โชว์หนังสือการ์ตูนในมือให้เขาดู “พี่ตฤณอยากได้อะไรบอกผมแล้วกัน”


“ช่วงนี้ไม่มีงานเหรอ แล้วเงินพอใช้หรือเปล่า”


“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ครั้งหนึ่งได้เงินมาผมไม่ได้ใช้หมด ว่างๆผมแวะไปดูที่ร้านบ้าง” ธีโอดอร์หมายถึงบาร์เหล้าที่หุ้นส่วนอยู่กับเพื่อนอีกคนแถวเอกมัย ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงแรมของเขานัก “ช่วงนี้เพื่อนผมเขาเพิ่งกลับมาทำงาน ลูกค้าก็อยากได้เขาไป ช่วงก่อนหน้านี้ที่เพื่อนไม่อยู่คนอื่นจ้างผมไปแทนน่ะ เลยไม่ต้องไปช่วงนี้”


“เรื่องงานถ่ายแบบน่ะเหรอ”


“Yeah เดินแบบงานแฟชั่นโชว์อะไรพวกนั้นด้วย แต่เหมือนเร็วๆนี่ก็จะมีมาอีก แค่รอทางนั้นติดต่อมาก่อน”


“อย่างนั้นก็พักผ่อนไปแล้วกัน...ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโอตาคุติดการ์ตูนอย่างแกจะเป็นนายแบบ อยากให้คนอื่นมาเห็นตอนอยู่บ้านจริงๆ”


“อย่าว่าแต่พี่เลย ผมก็ไม่เชื่อ” พูดจบก็หัวเราะให้กันเสียอย่างนั้น


“But you’re kinda hot nerd...you know...on set” (แต่แกก็เหมือนจะเป็นเนิร์ดที่ฮอตอยู่นะ ตอนอยู่กองถ่ายน่ะ)


คนฟังเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มมุมปากครู่หนึ่งแล้วก้มลงไปอ่านต่อ ติณภพไม่ได้แซวเล่น วันธรรมดาที่อยู่บ้านธีโอดอร์ก็แค่ผู้ชายเนิร์ดๆ ใส่แว่น ใส่ชุดอยู่บ้านยืดย้วย ตื่นมาผมกระเซิงปรกหน้า เดินลงบันไดมาแล้วบ่นกับแม่ว่าหิวข้าว ติดการ์ตูนมากขนาดนั่งอ่านได้ทั้งวันไม่กินข้าวกินปลาก็มี จนเขากับทิโมธีต้องคะยั้นคะยอว่าให้ออกไปข้างนอกบ้าง อย่าอยู่แต่กับบ้านเป็นมนุษย์ยุคหิน


แต่เวลาอยู่ในกองถ่ายหรือหลังหน้ากล้อง ธีโอดอร์อีกร่างหนึ่งถึงออกมาให้ได้เห็นเป็นบุญตา เป็นหนุ่มลูกครึ่งฝรั่งตาน้ำข้าว ผิวขาวอมชมพู ตัวสูงใหญ่หุ่นได้รูปอวดร่างกายเข้ากับเสื้อผ้าทุกชุดเท่าที่จะมีมาให้ใส่ ติณภพเคยไปนั่งดูตอนน้องทำงานอยู่หลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ช่วงแรกที่เพิ่งเข้าวงการไม่นาน ยิ่งเวลาช่างแต่งหน้าหรือช่างทำผมแปลงโฉมให้ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แค่เซ็ตผมขึ้นเขาก็จำน้องตัวเองไม่ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงตอนขึ้นไปอยู่บนเวทีหรืออยู่บนปกนิตยสารชื่อดัง เห็นไม่ค่อยสนใจทางด้านนี้แต่เขาก็อุดหนุนและสนับสนุนผลงานน้องตลอด


“งานล่าสุดที่ไปถ่ายนิตยสารชื่ออะไรนะ ยังไม่ได้ดูเลย”


“ของ...ครับ ก็ถ่ายไม่เยอะนะเพราะมีหลายคน เป็น new collection ของแบรนด์... เดี๋ยวเอาให้ดู” ธีโอดอร์หยิบมือถือขึ้นมากดจิ้มสองสามครั้ง ก่อนส่งมือถือให้เขาที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง


สิ่งที่เห็นคือนายแบบสองคนในชุดสูททำงานตัดเย็บไร้ที่ติ เป็นแบรนด์ขึ้นชื่อที่เขามีอยู่ในตู้เสื้อผ้าสองสามชุด และเมื่อมีคอลเลคชั่นใหม่ออกมาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ชุดยิ่งดูดีมากขึ้นเมื่อมันอยู่บนร่างกายของธีโอดอร์ในอิริยาบถถือกระเป๋าทำงาน สวมแว่นสายตาบางเฉียบ นาฬิกาหรู และรองเท้าหนังเข้าชุดกัน ธีโอดอร์ในสูทสีน้ำเงินเข้มหันหน้าตรงมองกล้อง หากมีใครอีกคนในชุดสูทสีน้ำตาลยืนหันหลังให้กล้องเคียงข้างกัน โดยโพสต์ท่าทางในลักษณะเฉียงข้างสี่สิบห้าองศา ทำให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียวกับสันจมูกโด่งโดดเด่น ดูดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


คนนี้ดูดีมาก เขาคิด แต่ก็คุ้นหน้ามากด้วย


เหมือน...


“ถ่ายนานแล้วเหรอ”


“ไม่นานครับ two weeks ago (สองอาทิตย์ก่อน) แต่พี่น่าจะทำงานเยอะเลยไม่รู้”


“แล้วคนนี้ใคร ดูดีจัง”


“เพื่อนผม คนที่บอกว่าหายไปช่วงหนึ่งพอกลับมาแล้วงานรุมไง สนใจเหรอ โสดนะ”


“ไม่ต้องมาทำยักคิ้วหลิ่วตา ก็แค่ถามเฉยๆ” ติณภพกดเสียงต่ำ แต่แอบรู้สึกร้อนที่แก้ม “ทำมาเป็นหาคู่ให้ หาของตัวเองก่อนเถอะ”


“I think you need to be in a relationship for now bro.” (ผมว่าพี่ควรหาใครสักคนได้แล้วนะ) ธีโอดอร์ปิดหนังสือการ์ตูนหันมาบอกจริงจัง “It’ll make you happier. If you’re not gonna go with that coffee shop boy, at least there’s another choice.” (มันจะทำให้พี่มีความสุขมากขึ้น ถ้าจะไม่ไปกับพ่อหนุ่มร้านกาแฟนั่นแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีตัวเลือกอื่น)


“เป็นคิวปิดหรือไง แล้วรู้ได้ไงว่าเขาจะอยากคุยกับพี่” คนป่วยกอดอกมอง ธีโอดอร์ดูกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัดทางสายตาวาววับคู่นั้น “ก็รู้อยู่ว่าที่ไม่คิดหาแฟนเพราะอะไร”


“But he’s nice.”(แต่เขานิสัยดีนะ) น้องชายปรับลดโทนเสียงลง “I know he’s 100% your type. Handsome, tall, pretty face with charming smile, smart and calm. I assure he will not disappoint you.” (ผมรู้ว่าเขาน่ะเป็นแบบที่พี่ชอบร้อยเปอร์เซ็นต์ หล่อ สูง หน้าตาดียิ้มสวย ฉลาดแล้วก็ใจเย็น ผมรับรองได้ว่าเขาไม่ทำให้พี่ผิดหวังหรอก)


“But I’ll let him down instead.” (แต่พี่จะทำให้เขาแย่ลงแทนน่ะสิ)


“Come on! You’re not that bad.” (ไม่เอาน่า! พี่ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย)


“ขายของขนาดนี้ทำไมไม่เอาเป็นแฟนเองเลยล่ะวะ”


“รู้สันดานมันดีเกินไป ถึงคนนอกจะเข้าใจว่าเป็นแฟนกันไปแล้วก็เถอะ เพราะคิดว่ามีแฟนแล้วคนอื่นเลยไม่มายุง..มายุ่งสิ”


“คนนี้เองเหรอที่บอกว่าคนอื่นชอบจิ้นเรากับเขาอ่ะ”


ติณภพหัวเราะพอเห็นธีโอดอร์เบ้ปาก เขานับถือใจในความพยายามอธิบายคุณงามความดีของเพื่อนตัวเอง เท่าที่ฟังมามีหลายอย่างที่ตรงใจอยู่เหมือนกัน แสดงว่าเห็นเงียบๆเจ้าตัวแสบก็ยังรู้ใจเขาดี


แต่มันยังไม่มากพอจะทำให้ความรู้สึกของเขาต่อคุณเจ้าของร้านสะเทือนแม้แต่สักนิด


โอย ชอบเขาไปแล้วจริงๆด้วย


“ขอบใจนะธีโอดอร์” ที่พยายามจะหาคนดีๆเข้ามาให้


“Anytime” (ได้ทุกเมื่อ) รอยยิ้มหวานเผยขึ้นจนห้องดูสว่างสดใสยามเย็น “สรุปว่าสนใจไหม ผมจะได้ดีลให้”


“เอาไว้ก่อนดีกว่า ธีไปหาขนมมาให้กินหน่อยสิ พี่หิว”


“เจ็บคออยู่นี่ แต่เดี๋ยวลองดูผลไม้ให้แทนแล้วกัน”


ธีโอดอร์เดินออกจากห้องไป ติณภพขยับตัวช้าๆเอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่ กัดริมฝีปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจหารายชื่อในมือถือแล้วกดโทรออก


[สวัสดีครับ]


“คุณ ผมเอง จำผมได้ไหม” ติณภพรู้สึกมือเย็นเฉียบฉับพลัน กระพริบตาถี่ครั้งเรียกขวัญตัวเอง


[ได้สิครับ ทำไมจะจำไม่ได้ มีอะไรหรือเปล่า]


เสียงนั้นยังสดใสเหมือนเดิม ทำเอาคนป่วยใจฟูขึ้นมาทันตา ระบายยิ้มกว้างคนเดียวจนปวดแก้ม


“อาทิตย์หน้า...ไปกินเหล้ากัน”


[หา ผมฟังผิดหรือเปล่าเนี่ย] เขาหัวเราะหยอกเล่น [ที่ไหน เมื่อไหร่ บอกมาได้เลยครับ]


“ผมยังไม่มีแผน รอถามคุณก่อน แบบว่า...เพิ่งคิดได้ก็โทรมาเลย คงจะเป็นวันศุกร์หน้ามั้ง คุณว่างหรือเปล่า”


[ถ้าอย่างนั้นผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง คุณน่าจะชอบนะ ส่วนเรื่องวันเวลา อ่า...ผมสะดวกช่วงสองทุ่มครับ ดึกไปไหม]


“ผมได้ยันสว่าง” คราวนี้ติณภพเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง แต่ก็เผลอไอใส่เสียงปลายสาย “รอผมหายก่อน เจอกันแน่นอน”


[คุณทองหล่อไม่สบายเหรอครับ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง] น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไป ฟังดูเป็นกังวล แต่คนทางนี่กลับยิ่งใจสั่นพอได้ยินเขาเรียกด้วยชื่อเล่นอันคุ้นเคย


“นิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ เอาไว้จะเล่าให้ฟังนะ เดี๋ยวใกล้ๆผมโทรคอนเฟิร์มอีกที สรุปว่าไปกับผมนะ”


[ไปครับ ผมไปแน่นอนถ้าเป็นคุณ]


บ้าเอ๊ย ปกติก็ไม่เคยอ้อนใครแบบนี้หรอก แต่ลองทำแล้วคุณตอบมาแบบนี้ใจผมเต้นแรงโคตรๆ


[ระหว่างนี้ดูแลตัวเองด้วยนะครับ หายป่วยไวๆ]


“ครับ ขอบคุณครับ”


แล้วกดวาง ปล่อยมือถือร่วงลงบนเตียงพร้อมพรูลมหายใจอุ่นร้อนออกมายาวๆ ถึงกับต้องยกมือสองข้างลูบหน้าเลยด้วยซ้ำไป หัวใจเต้นตึกตักจนปวดตามตัวขึ้นมาถึงสมอง อยากกำมือแน่นๆระบายความเขินก็ไม่มีแรง


เสียอาการที่สุด แค่ได้ยินเสียงก็ทำให้รู้แล้วว่าคิดถึงเขามากขนาดไหน เจ้าธีจะขายของขายเพื่อนอะไรเขาไม่สนใจแล้ว วันศุกร์หน้าต้องว่าง ต้องหายป่วยทัน


แค่เป็นคนนี้ก็พอ เป็นคุณเจ้าของร้านก็พอ


“พี่ เป็นอะไรน่ะ ไข้ขึ้นเหรอทำไมหน้าแดง”


“อะ...อ๋อ เปล่า” ติณภพกัดฟันแน่นทำตัวให้นิ่งที่สุดเมื่อธีโอดอร์วางจานผลไม้แล้วปรี่เข้ามาอังหน้าผากด้วยหลังมือเพื่อวัดไข้ “เอามากินเร็ว หิวแล้ว”

__________

กว่าจะยอมรับใจตัวเองนะคนเรา ต้องให้น้องมาขายของให้ก่อน ธีโอดอร์ก็ขายของเก่ง
ไหนพี่เขาเคลมว่าเป็นคนนิ่งๆ สุขุม ทำไมชอบแซวพี่ล่ะคะ 555555
คุณตฤณของเราร้ายนะ พอรู้ว่าจะแนะนำคนใหม่มาให้รีบโทรหาคนที่ชอบเสียเลย เหมือนคอนเฟิร์มตัวเองว่าจะเอาคนนี้แหละ  :hao3:

ตอนนี้มาแค่เสียง แง้มนิดนึงว่าตอนหน้าคุณเจ้าของร้านมาเต็มตอนละ คุณตฤณมีอึ้งบอกเลย
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ #ทองหล่อที่รัก
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VII #ทองหล่อที่รัก P.2 [16/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 17-08-2019 00:59:53
งู้ยย มีน้องเป็นคิวปิดให้ ไม่น่าพลาดแล้วแหละ 5555  สู้ๆนะคะคุณทองหล่อ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VII #ทองหล่อที่รัก P.2 [16/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: lolli_candy99 ที่ 18-08-2019 02:16:50
รักคุณทองหล่อ
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VIII #ทองหล่อที่รัก P.2 [23/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 23-08-2019 21:44:40
Thonglor My Love VIII
ทองหล่อที่รัก



วันศุกร์ต้นเดือนตุลาคม


19:50 น.


ติณภพยืนอยู่ที่หน้าร้านอันเป็นสถานที่นัดหมาย ซึ่งเคยขับรถผ่านบ่อยครั้งแต่ไม่ทันสังเกตว่าตรงนี้คือบาร์ในเมื่อเปิดเฉพาะตอนกลางคืน ตอนนี้ร้านเพิ่งเปิดได้ไม่ถึงชั่วโมง เดาว่าคนยังมีไม่มาก เขามาถึงสิบนาทีก่อนนัด แต่ยังช้ากว่าคุณเจ้าของร้านที่โทรมาบอกว่ามาถึงก่อนแล้ว


สูดลมหายใจเข้าลึก ดึงสูททำงานให้เรียบตรงรวบรวมความมั่นใจ ภายนอกมีแค่แสงไฟสีส้มประดับหน้าร้านที่เงียบสงัด มองผ่านกระจกโปร่งแสงเข้าไปด้านในเห็นเป็นจำนวนสีของแสงไฟกับเงาสะท้อนวูบวาบหลากหลาย เดาได้ทันทีเลยว่าคงต้องมีทั้งเสียงเพลง ผู้คน และบรรยากาศที่ไม่เหมือนข้างนอกอย่างแน่นอน


ก้าวแรกที่เหยียบย่างเข้ามา เขารู้สึกถึงมันราวกับว่านี่ล่ะคือสิ่งที่ห่างหายไปนาน


อย่างแรกที่รับรู้คือเสียงเพลง เป็นเพลงช้าปานกลางทำนองชวนโรแมนติก ตามมาด้วยกลิ่นหวานของเครื่องดื่มบางชนิดที่รู้จักลอยอบอวลอยู่ในร้าน แสงสีของไฟสาดส่องกระทบขวดแก้วเครื่องดื่มหลากชนิดกว่าร้อยขวดอันรายเรียงอยู่บนชั้นวางสูงตระหง่านหลังเคาท์เตอร์บาร์ ยิ่งมองไปเห็นเหล้านอกสองสามขวดที่เปิดฝาใกล้กันกับกับบาร์เทนดี้สาวสวยที่กำลังหยิบจับอุปกรณ์มิกซ์เครื่องดื่มด้วยความคล่องแคล่วด้วยแล้วติณภพยิ่งรู้สึกสดชื่นขึ้นมา


ตัวตนนักท่องราตรีที่เคยละทิ้งไปหลายปีกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เนื้อตัวสั่นระริก ลมหายใจแห่งความปลื้มปริ่มอัดแน่นเต็มปอด ทุกอย่างละลานตาไปหมด และบอกตามตรงว่าเปรี้ยวปาก


จะว่าไปแล้วติณภพลืมเสียสนิทที่มีคนมานั่งรออยู่ก่อน โต๊ะชั้นล่างมีลูกค้าจับจองบ้างแล้ว หลายคนปักหลักที่เคาท์เตอร์บาร์ แต่ที่ชั้นสองยังไม่เห็นว่ามีใครเดินขึ้นบันไดไป เพราะเป็นมุมส่วนตัวก็จริงแต่ไม่สามารถดื่มด่ำบรรยากาศได้มากเท่าชั้นล่างที่จะเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาช่วงดึก


“รอใครอยู่หรือเปล่าครับ”


ไอร้อนเฉียดผ่านข้างหูทำให้ติณภพหันกลับมามองเจ้าของเสียงที่พูดกับเขา แล้วถึงกับค้างไปชั่วขณะ


ร่างคุ้นตาที่ดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลยยืนห่างกันแค่สองก้าวขา จากการมองปราดเดียวสั้นๆ วันนี้เขาคนนั้นใส่เสื้อเชิร์ทสีดำแขนยาวพับทบถึงข้อศอกพอดีตัวกับช่วงบ่ากว้าง เปิดกระดุมโชว์อกจนลึก กางเกงผ้าชิโนสีเทาพอดีรูปขาและรองเท้าคอนเวิร์สโอลด์สกูลสีดำ ที่แผงอกเนื้อในมีสร้อยคอรูปกางเขนเงินห้อยอยู่โดดเด่นเป็นเป้าระยะการมองเห็นพอดิบพอดีราวกับว่าเครื่องประดับจิ๋วชิ้นนั้นจะปกป้องไม่ให้สายตาคู่ไหนมองทิ่มทะลุผ่านไปยังผิวเนื้อนั้นได้ ทั้งที่ตัวมันเองต่างหากที่บังคับสายตาน่าสงสารของติณภพให้ต้องมอง ไหนจะโซ่เงินกับเส้นเชือกลูกปัดไม้สไตล์วินเทจที่ข้อมือ ยังมีต่างหูเงินเล็กๆเจ็ดห่วงที่ข้างหูซ้ายกับต่างหูห่วงใหญ่ที่ใบหูขวา ยืนยิ้มให้อยู่


นั่นยังไม่เท่าตอนที่มองใบหน้า คิ้วเข้มโก่งขึ้นเพราะดวงตาสีดำสุกใสคู่นั้นเบิกกว้างแพรวพราวมองมาที่เขา ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มยินดีขับโหนกแก้มให้เด่นชัดทว่าไม่กระทบกระเทือนกับจมูกโด่งปลายหยดน้ำอันเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง สุดท้ายเท่าที่สังเกตคือทรงผม จากแรกเดิมเป็นสกินเฮดที่เพิ่งเริ่มยาว เปลี่ยนมาเป็นรองทรงที่ยังสั้นอยู่ดี และเวลานี้ที่ล่วงเลยมานับเดือน คนตรงหน้าเขาตัดผมแบบไถเปิดด้านข้างสไตล์อันเดอร์คัท โดยที่ด้านบนเปิดหน้าผากให้เส้นไหมสีดำยาวสลวยปัดข้างทิ้งปอยขับให้ใบหน้าดูคม ความเป็นคู่ตรงข้ามของรอยยิ้มอบอุ่นกับลุคแบดบอยทำให้ชายหนุ่มดูน่าค้นหาเป็นที่สุด


ไฟส้มจากชั้นวางเหล้าสาดส่องมาถึงเราทั้งคู่ตรงนี้เล็กน้อย ดุจการต้อนรับการกลับมาพบกันอีกครั้ง คุณเจ้าของร้านหล่อมาก


ห ล่ อ ม า ก


หล่อโคตรๆ หล่อสัสๆ ที่ผ่านมารวมกันยังไม่เท่าวันนี้วันเดียว ให้ตายเถอะวะไอ้ตี๋


“กะ...ก็...เพิ่งเข้ามา”


“เหนื่อยไหมทำงานมา นี่ขนาดสองทุ่มแล้วคุณยังดูดีอยู่เลย” อีกฝ่ายก้าวเข้ามาประชิดเหมือนจะกอดคออย่างทุกทีแต่แล้วกลับชะงักไปครู่หนึ่ง ติณภพมองคุณเจ้าของร้านสะบัดศีรษะสองสามครั้ง แล้วกลายเป็นว่าเขาแตะข้อศอกดันให้เดินไปพร้อมกันแทน


“ผมนั่งตรงนั้น เราไปกันเถอะครับ”


หรือว่าน้ำหอมที่เพิ่งเปลี่ยนกลิ่นใหม่มันจะทำพิษเอาเสียก็ไม่รู้ ไหนคุณชวินทร์บอกว่าเปลี่ยนแล้วดีไงวะ


โต๊ะที่คุณเจ้าของร้านกาแฟเลือกคือโต๊ะชุดสำหรับนั่งสองคนตั้งอยู่มุมเกือบหลังสุดของร้าน โดยมีทางเดินแคบๆคั่นกลางและถัดไปหนึ่งก้าวคือบาร์ที่ทอดยาวตั้งแต่กลางร้านมาถึงตรงนี้ ถือว่าเป็นมุมทำเลที่ดีมาก เพราะด้านในสุดจะไม่ค่อยมีคนเดินเข้ามา มีความเป็นส่วนตัว แต่ยังคงได้บรรยากาศชวนเคลิ้มฝันของนักท่องราตรี คือมีแสงจากไฟสีส้มจัดส่องถึง มีสีจากแก้วขวดเหล้าหลากหลายที่แสงไฟสะท้อนมาระยิบระยับ และมีเสียงเพลงลอดผ่านบ้างแต่ไม่ถึงกับดังจนทำลายการสนทนาของเรา


ก่อนเข้ามานั่งติณภพสั่งเมนูที่มีชื่อยิ่งใหญ่เรียกขวัญกำลังใจแก้วแรกอย่าง God Father มีส่วนผสมของวิสกี้เบอร์เบิร์นกับเหล้าอัลมอนด์เจือความขมจากอิตาลี ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันสั่ง Miss Violet ที่มีส่วนผสมเยอะมากจนจำไม่ได้ รู้แค่ว่ามีเหล้าจินกับช็อคโกแลต ซึ่งการมีสิ่งอื่นผสมมากเกินไปไม่ใช่แนวการดื่มของเขาสักเท่าไหร่


“นึกยังไงชวนผมมาดื่ม”


คุณเจ้าของร้านถามขึ้นหลังจิบเครื่องดื่มในแก้วไปเพียงอึกเดียว ต่างจากคนชวนมาที่จิบเอาๆจนหายไปเกือบครึ่งแก้ว ติณภพไม่แน่ใจว่าในคำถามนั้นมีความหมายอะไรแฝงอยู่หรือเปล่า เลยทำเป็นเขย่าแก้ววนแบบวงกลมช้าๆ ช้อนสายตาขึ้นแทนการถาม


ทำงานเหนื่อย เครียด คิดถึง


เขาอยากได้คำตอบไหน


“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคุณ” เขาหัวเราะแก้เก้อ “ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจผมยินดีรับฟังอยู่นะ อย่างน้อยเราก็เพื่อนกัน”


“เพื่อนที่ไม่รู้ชื่อกัน”


“ยินดีที่ไม่รู้จักนะครับ” คุณเจ้าของร้านค้อมหัวลงเล็กน้อย ส่งรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์มาให้ คนทางนี้ทำได้เพียงยิ้มรับ ยกแก้วขึ้นชนกันแล้วยกดื่ม หากอีกฝ่ายแค่วางแก้วลงอย่างเดิม


ที่ไม่ทำอะไรนอกจากยิ้มรับเพราะข้างในใจจะตายเอาหลายครั้งเพียงสบตา


ติณภพคิดอะไรในหัวเต็มไปหมด มีเรื่องที่อยากเล่ามากมายระหว่างไม่ได้พบกัน ทั้งเรื่องที่อยากถามไถ่จากเขาคนนั้นว่าตอนเขาไม่อยู่ไปทำอะไรบ้าง เรื่องที่อยากระบายทั้งงานและชีวิตส่วนตัว แต่ต้องนั่งเงียบฟังเพลงอย่างเดียวไปอีกสิบนาทีเห็นจะได้ คุณเจ้าของร้านแค่ให้เวลากับเขาด้วยการนั่งมองอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้พูดชวนคุยไปเรื่อยจนอึดอัด


ทุกครั้งที่ไปด้วยกันก็เป็นแบบนี้ เหมือนว่ารู้ใจ รู้ว่าเขาต้องการอะไร


สายตาหวานซึ้ง รอยยิ้มนุ่มนวลแบบคนใจเย็น มีไฟสีส้มสลับแดงฉาบเคลือบให้ดูเซ็กซี่หรือไม่ก็เร่าร้อนขึ้นหลายเท่าตัว ชวนระทดระทวยอย่างมาก


แค่เพราะเขามอง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองตอบข้อสงสัยในใจได้เกือบหมดแล้ว ติณภพเพิ่งมาอยากรู้เอาตอนนี้ว่าคุณเจ้าของร้านชื่ออะไร และการอยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร ก็คือการที่ตัวเองเปิดใจต้อนรับเขาเข้ามาเรียบร้อย


“ผมโคตรเหนื่อย” เป็นสิ่งแรกที่หลุดมาจากปากหลังเครื่องดื่มแก้วแรกหมดไป กระแอมไอไล่ความร้อนวาบจากรสร้อนในคอแล้วว่าต่อ “ทำแต่งาน ทำจนรู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองเหลวไหลมาก งานโรงแรมแม่งจุกจิก แต่ก็รับเข้ามาหมด โรงแรมตัวเองไม่พอเสือกเสนอหน้าไปช่วยโรงแรมป๊าอีก”


พูดจบก็ลุกขึ้นไปสั่งเครื่องดื่มแก้วที่สอง แล้วกลับมานั่งที่เดิม มองแก้วอีกคนที่เริ่มพร่องลงไปบ้าง


“ทำจนไม่สบายเลยสิท่า”


“ประมาณนั้น แต่ตอนนี้สบายแล้ว” เขาไหวไหล่ประกอบแล้วโน้มตัวมาด้านหน้าท้าวคางกับอุ้งมือเมื่อตั้งข้อศอกลงบนโต๊ะ คู่สนทนาหัวเราะ


“อย่างนั้นเต็มที่เลย ของผมแค่แก้วเดียวก็พอ คุณเมาเละขนาดไหนไม่ต้องกังวล เดี๋ยวจะแบกกลับไปส่ง”


“รู้เหรอว่าผมอยู่ที่ไหน”


“ก็หวังว่าคุณจะบอก” เป็นประโยคที่เหมือนไม่หวังเอาคำตอบ แต่การตีความตามบริบทฟ้องอยู่ทนโท่ว่าติณภพต้องบอกที่อยู่ให้อีกฝ่ายรู้


“โรงแรม...หิ้วปีกผมเข้าไปได้เลย แต่บอกตามตรงนะ ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองเมาปลิ้นขนาดนั้นหรอก คุณวินรู้คงบ่นตายห่า”


“คุณวิน?”


“อ่อ เพื่อนสนิทน่ะ” แอลกอฮอล์แก้วแรกก็ทำเอาหลุดชื่อคนอื่นออกมา แต่เห็นสีหน้าสงสัยจากคุณเจ้าของร้านแล้วก็น่าลองเชิงดูเหมือนกัน ใบหน้าสมบูรณ์แบบที่ขมวดคิ้วต้องกำลังคิดแน่ๆว่าสนิทกันระดับไหนถึงสามารถออกปากบ่นคนอย่างเขาได้


“ว่ากันตามตรงเลยนะ ผมจะไม่อ้อมค้อมแล้ว ที่ผ่านมาผมรู้ว่าคุณคิดยังไงกับผม ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก แล้วคุณเองคงจะอยากรู้ว่าทำไมผมถึงเอาแต่เงียบ ไม่โต้ตอบ เปลี่ยนเรื่องบ้างอะไรบ้าง”


ติณภพมองคนที่กำลังตั้งใจฟังเขาเป็นอย่างดี คุณเจ้าของร้านไม่กระพริบตาสักนิด เขาแค่นิ่ง สงวนท่าทีเอาไว้ แต่ความอยากรู้ในดวงตาเป็นสิ่งที่ซ่อนไว้ไม่มิด และเสียงเพลงยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ คราวนี้เหมือนเป็นเพลงแจ๊ส


“บางทีคุณอาจจะรู้อยู่แล้วแต่ผมจะย้ำให้อีกที คนอย่างผมไม่เหมาะจะอยู่กับใครหรอก คุณเห็นแล้วนี่ ทั้งพฤติกรรมตอนขับรถ ทั้งตอนผมโวยวายเวลาได้อะไรไม่ถูกใจ คือหมายถึงเอาแต่ใจแต่ผมก็รู้ตัวแหละว่าอะไรควรไม่ควร หน้าตาก็ไม่ได้เรื่อง เราไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง ดูคุณสิ แล้วมาย้อนดูตัวเอง”


“คุณรู้ตัวว่าตัวเองเอาแต่ใจ แล้วก็รู้เหมือนกันว่ามันเป็นนิสัยที่ไม่ดี?”


“อืม ก็ประมาณว่าเป็นบางเวลา ผมไม่ทำแบบนั้นเวลาทำงานหรอกน่า”


“แล้วใครบอกว่าคุณหน้าตาไม่ได้เรื่อง คิดไปเองหรือเปล่า”


“คุณนั่นแหละคิดไปเอง ลูกกะตาผมเนี่ยแทบจะฝังลงไปกับหน้า หน้าก็หยิ่ง ดูยังไงว่าดี” ว่าแล้วก็กระดกแก้วในมือรับเอาของเหลวรสเฝื่อนเข้าคอ “ถามจริงๆนะ กวนประสาทผมเล่นเหรอ”


“ไม่ได้กวนประสาทเถอะ ผมว่าน่ารักก็น่ารัก หน้าหมวยๆ ผิวขาวๆ ตัวเล็กๆ เหวี่ยงนิดเหวี่ยงหน่อยผมพอรับไหวน่า นิสัยคล้ายกันอยู่ด้วยกันได้”


“แค่ก...” คนฟังสำลักเหล้าจนบ่าไหล่เกร็ง คอแข็งเพราะกอบโกยอากาศหายใจลำบาก ไม่รู้จะหัวร้อน หัวเราะ หรือตกใจสิ่งที่ได้ยินก่อนดี คุณเจ้าของร้านดูจะตกใจรีบเอื้อมตัวมาลูบหลังให้เป็นการด่วน


หมวย ขาว ตัวเล็ก พูดเสียน่าเอ็นดู


ส่วนเรื่องนิสัยคล้ายกัน เขาไม่เชื่อ


“ฟู่ว...โอเค หมวยๆ ขาวๆ ตัวเล็กๆ” เขาเรียกตี๋โว้ย แล้วก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้น คนพูดมันตัวใหญ่เอง และถ้าไม่ได้อารมณ์ดีจัดคงมีด่าพ่อกันบ้างล่ะวะ “ผมไม่เชื่อว่าคุณนิสัยคล้ายผมหรอก”


พ่อพระเอกการ์ตูนของเขาจิบเหล้า ส่งสายตาแพรวพราววาววับมาให้ “อยู่ไปนานๆเดี๋ยวคุณทองหล่อก็รู้เองครับ”





หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป ทั้งชวนคุยบ้างและนั่งฟังเพลงมองกันไปมองกันมาให้เกิดช่วงเวลาลึกซึ้งร่วมกันบ้าง ติณภพเดินไป-กลับรับเครื่องดื่มแก้วที่สองและสาม ก่อนกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง และอีกครั้ง


“ที่ผมชวนมาวันนี้เพราะตัดสินใจดีแล้วว่า...ว่าจะลองให้โอกาสคุณดู มีคนบอกผมว่าผมควรหาความสุขให้ตัวเอง” พูดไปก็เขินไป อีกคนก็จ้องตาไม่กระพริบ เครื่องดื่มแก้วแรกของเขาคนนั้นเหลือแต่น้ำแข็งที่ละลายไปแล้ว “แค่อยากถามให้มั่นใจว่าคุณจะไม่เปลี่ยนใจแน่นะ แบบว่า คิดมาดีแล้วอะไรอย่างนั้น”


“ขอจับมือได้ไหม”


“อืม”


เจ้าของมือพยักหน้า แอลกอฮอล์กดประสาททำให้เริ่มมีอำนาจการไตร่ตรองน้อยลง คุณเจ้าของร้านเอื้อมมือมาวางทับมือของเขา เกลี่ยนิ้วลูบไปมาเบาๆ มันอุ่นดี ไม่ต้องเกรงใจคนอื่นที่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆด้วยว่าจะมาเห็นหรือไม่ ตอนนี้โลกของเรามีแค่เรา


“อะไรที่มีความสุขก็ทำเถอะครับ คุณไม่ใช่คนเลวร้าย เราค่อยๆเรียนรู้กันไปก็ได้”


ที่จริงจับมือไม่เห็นต้องขอกันเลย พอเหล้าเข้าปากแล้วเขาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างในเรื่องที่ได้ยิน ทำอย่างเดียวคือมองปากอวบอิ่มของคนพูด มองมันขยับ มองปลายลิ้นที่แลบเลียเป็นครั้งคราว มองฟันขาวเรียงเป็นเม็ดข้าวโพด


“มีอะไรเหรอ อะไรติดหน้าผม”


“อยากจูบเฉยๆ ไม่มีอะไร”


คนตรงหน้าชะงักไปทั้งคำพูดทั้งมือ กระพริบตาปริบแล้วขำพรืด ทำเอาคนอยากจูบเริ่มอายไปด้วยที่พูดอะไรไม่คิด


ที่ทำอยู่ตอนนี้คือมีสติรู้ตัวทุกอย่างว่าตัวเองกำลังทำอะไร ไอ้ที่นั่งไขว่ห้างแล้วปลายรองเท้าไปสัมผัสขาอีกฝ่ายด้านล่างก็ไม่ใช่ไม่รู้ แก้วที่สี่แค่ทำเอาติณภพตาปรือลง แต่ยังคุยรู้เรื่องอยู่ถือว่าใช้ได้


“เล่าเรื่องของคุณบ้างสิ ผมอยากฟัง”


คราวนี้โน้มร่างไปด้านหน้าให้ใกล้กันกว่าเดิมเหมือนเป็นการเชิญชวนมากขึ้นอย่างที่ชาวบ้านพูดกันให้เข้าใจง่ายว่าให้ท่านั่นล่ะ ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งหยุดมองไม่ได้ คุณเจ้าของร้านหล่อขึ้นทุกวินาที ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม รอยยิ้ม น้ำเสียง ทุกอย่างประกอบกันดีไปหมดอย่างกับชายที่หลุดออกมาจากรูปวาด ไฟในร้านเปลี่ยนสีสันไปเรื่อยๆ เวลาสีเหลืองหรือส้มอมแดงส่องลงมายังเขาสองคน ดวงตาสีดำสนิทเผยประกายลุกโชนวูบวาบเสียทุกครั้งไป และคนที่เหมือนกับรูปวาดนั้นมีสติตั้งรับติณภพได้ดีมาก


เขาคนนั้นหยิบมือถือออกมากด นาทีต่อมาติณภพเห็นเป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งกำลังอยู่บนเวทีแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าสักแบรนด์เมื่อปีที่แล้ว รู้ทันทีว่าคนในรูปเป็นนายแบบ


“เอาให้ผมดูทำไม”


“ก็อยากรู้ว่าคุณคุ้นหน้าคนนี้บ้างไหม”


“อืม...ก็อาจจะ”


“คุณไม่ตั้งใจมองเลย” เขาเสียงสูงขึ้นเหมือนอ้อน


“อ่าๆ” รับคำแค่นั้นแล้วติณภพก็เริ่มเบิกตาตัวเองขึ้นจริงจัง นวดขมับเล็กน้อยเพราะสติสัมปชัญญะทำงานได้ไม่เต็มร้อย วาดปลายนิ้วซูมรูปภาพให้ใหญ่ขึ้นจะได้ไม่ต้องเพ่งหรี่ตา


ก็ดี


ไม่ใช่แค่ก็ดีหรอก นายแบบคนนี้โคตรดี หุ่นดีมาก หน่วยก้านใช้ได้ อกกว้าง สูงยาวเข่าดี ใบหน้าคมกริบ


เดี๋ยวก่อนนะ...


เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าที่นั่งทำหน้าเรียบเฉย แล้วก้มลงมามองใหม่ แล้วเงยขึ้นมาใหม่อีกทำอยู่สามครั้งจนหงุดหงิดตัวเอง


“นี่มันคุณนี่ครับ ใช่ไหม ผมว่าตัวเองยังไม่เมานะ”


“ครับ ผมเอง”


“เชี่ย! หล่อขนาดนี้เลยเหรอ” คำชมนั้นเรียกเสียงหัวเราะทุ้มใสกังวานออกมาได้ แต่ติณภพกลับขมวดคิ้วหนัก


คุณเจ้าของร้านกาแฟเล่าว่าอาชีพหลักของเขาคือการเป็นนายแบบ ส่วนร้านกาแฟคืองานเสริม เขาเปิดรูปตัวเองที่ผ่านๆมาให้ดูในบัญชีโซเชียลส่วนตัวและเล่าไปเรื่อยๆประกอบ ติณภพฟังไปดื่มไป พูดโต้ตอบบ้าง พยักหน้าบ้าง นั่งท้าวคางจ้องตาไม่กระพริบบ้าง


เวลาได้จ้องมองกันโดยที่อีกคนไม่ก้มหน้าลงไปจดสูตรกาแฟอย่างทุกครั้งเนี่ย มันได้เห็นอาหารตาดีๆเหมือนกัน


คุยกันต่อไปเรื่อยๆเหมือนจะนั่งด้วยกันไปตลอดกาล เวลาผ่านไปจนเกือบสองยาม ถ้าไม่คิดว่าเมาอยู่ ติณภพเห็นคุณนายแบบหน้าแดงหูแดงหลายครั้งมาก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นในเมื่อแทบไม่ได้แตะแก้วเหล้าสักนิด


“คุณ”


“หืม?”


“ผมพูดแล้วคุณอย่าโกรธนะ”


“อืม ว่ามาสิ”


“น้ำหอมคุณน่ะ...”


“ผมรู้ๆ” เขาโบกมือ กระดกเหล้าแก้วที่สี่จนหมด “มันคงฉุนใช่ไหม คราวหน้าจะเปลี่ยน เดี๋ยวจะไปโวยคุณวินหน่อยละ แม่งให้อะไรมา...”


“ไม่ใช่ๆ มันไม่ได้แย่ แต่มัน...” นิ้วมือเรียวยาวขยับถูที่หลังมือของติณภพ คุณเจ้าของร้านกัดริมฝีปากราวกับไม่แน่ใจที่จะบอก เขาเลยกระตุ้นด้วยปลายเท้าใต้โต๊ะจนอีกคนสะดุ้ง


“มันหอม...เกินไปหน่อย”


“อ้าว แล้วไม่ดีเหรอ”


“คือ...มันหอม มันผสมกลิ่นตัวคุณจนหอม หอมแบบน่าเดินตาม น่ากินอ่ะ มันเกือบทำผมหลุดหลายรอบเลยและคงจะทนได้อีกไม่นานด้วย พอคุณเริ่มเมามันก็...นะ”


ติณภพถึงบางอ้อ แต่ยังอยากแกล้งอยู่ดี ก็เลยเล่นเกมจ้องตายั่วยวนไปเต็มพิกัดพลางขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ผลคือคุณเจ้าของร้านกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่เชิงว่ากลัว อาจแค่ประหม่า แต่แววตามีอารมณ์พุ่งพล่านสูงขึ้นมาถนัดตา


ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนเดินทางมาถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จุดที่สบตากันนานพอจะเข้าใจได้ว่าควรออกไปจากที่นี่...เพื่อไปที่อื่นที่เป็นส่วนตัวกว่านี้


หลังจ่ายค่าเหล้าเรียบร้อยติณภพไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาด้วยวิธีไหน เพราะตอนนี้นั่งอยู่บนรถคุณเจ้าของร้าน กลิ่นเหล้าคลุ้งรถไปหมด ตอนร่างใหญ่โน้มตัวลงมารัดเข็มขัดนิรภัยให้ อดใจไม่ไหวต้องรั้งตัวมาจูบให้หายมันเขี้ยว ลิ้นรัวนัวกันไปมาราวกับกระหายจนทนรออีกไม่ได้สักวินาที มีการแกล้งเย้าว่าตรงนี้บนรถเลยก็ได้ แต่ใครคนนั้นบอกแค่ว่าต้องขับรถ ทำให้เห็นว่าอีกคนกำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ขนาดไหน


แย่ พอชอบใครมากแล้วมาเมาต่อหน้าคนที่ชอบ อาการเรื้อนออกเสียจนน่าเกลียด แต่ไม่แคร์ อะไรจะเกิดก็เกิดแล้วกัน


__________

ติณภพก็น่ารักนะเออ ขาว หมวย ตัวเล็กงี้ 55555
เอาเป็นว่าใครกำลังมีความทุกข์ เหนื่อยจากงานที่ทำหรือเรื่องเรียน อย่าลืมทำให้ตัวเองมีความสุขนะคะ
ตอนหน้าเราจะได้รู้ชื่อคุณเจ้าของร้านกันแล้วน้า  :110011:
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ #ทองหล่อที่รัก
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love VIII #ทองหล่อที่รัก P.2 [23/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 24-08-2019 18:14:43
555 คุณทองหล่อก็ยังเป็นคุณทองหล่อ เมื่อไหร่จะบอกชื่อกับคุณเจ้าของร้านอ่ะ  แม้คุณเจ้าของร้านจะรู้แล้วก็เถอะนะ เอ็นดูมาก ขาว หมวย ตัวเล็กงี้
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love IX #ทองหล่อที่รัก P.2 [30/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 30-08-2019 14:03:48
Thonglor My Love IX
ทองหล่อที่รัก




พอน้ำเมาเข้าปาก เจ้าของโรงแรมย่านทองหล่อเปลี่ยนสภาพจากหน้ามือเป็นหลังเท้า


จากที่ไม่ชอบยิ้ม กลับยิ้มหยาดเยิ้มเหมือนใครตรึงหมุดเอาไว้กับมุมปาก จากที่มีภาพลักษณ์เย่อหยิ่ง เวลานี้เป็นมิตรทำความรู้จักกับ(ร่างกาย)คุณเจ้าของร้านตลอดเวลา และจากแข็งกระด้าง ก็อ่อนปวกเปียกเพราะสติสัมปชัญญะพักการทำงานชั่วคราว


“คุณ อยู่นิ่งๆก่อนครับ” มือใหญ่พยายามห้ามไม่ให้คนที่นั่งข้างเบาะคนขับเอามือมาปะป่ายหรือไม่ก็แกล้งสะกิดเล่นทุกสองนาที แต่ติณภพไม่ได้สนใจฟัง หัวเราะคิกคักเหมือนสนุกที่ได้แกล้ง


“คุณ ผมขับรถก่อน อยากจับเดี๋ยวให้จับนานๆเลย” คุณเจ้าของร้านเปิดไฟเลี้ยวด้านขวาพยายามแซงรถคันหน้าด้วยมือข้างเดียว ขณะที่มืออีกข้างกุมมือขาวซุกซนเอาไว้แม่นมั่นที่ต้นขาซ้ายตัวเองไม่ให้ขยับได้ชั่วคราวอันจะเป็นการรบกวนสมาธิ “ซนนักนะ เมาเหล้าหรือเมากัญชา อารมณ์ดีเชียว”


ติณภพชอบมือของคุณเจ้าของร้าน มันอุ่น อุ่นไปถึงหัวใจที่เคยเย็นชามาก่อน ยิ่งตอนมองเขาที่หันเสี้ยวหน้าหล่อเหลากลับมาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนหันกลับไปมองตรง เขายิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ทำไมพอยอมรับกับตัวเองได้แล้วถึงได้เกิดคำว่าชอบอยู่ในใจไม่รู้จักจบสิ้น


“วันนี้ดีเนอะ”


“ครับ ดีที่เราได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว” คนที่ขับรถอยู่ค่อยๆจับมือติณภพกลับมาวางที่หน้าตักเจ้าของมัน ลูบแผ่วเบาแล้วถึงปล่อยวางอย่างเดิม “ได้รู้จักกันมากขึ้นกว่าเดิม คุณยิ้มเยอะเลยรู้ตัวไหม”


“รู้ ผมรู้” ได้ยินเสียงตัวเองยืดยานกว่าเวลาพูดปกตินัก “คุณแม่งอย่างฮอต คนในร้านมองเยอะมาก บาร์เทนเดอร์ยังเหลียวคอแทบหัก”


“แน่นอน คุณยังมองผมไม่วางตาเลย แต่ถึงคนทั้งร้านมองผม ผมก็มองแค่คุณคนเดียวนะ”


“เลี่ยนว่ะ” แล้วติณภพก็หัวเราะออกมาเป็นรอบที่สองร้อยของวันเห็นจะได้ อีกคนยังหัวเราะตามไปด้วยพอเขาพูดเหมือนแสลงหูที่ต้องมาได้ยินอะไรอย่างนั้น “ใครใช้ให้แต่งมาหล่อขนาดนี้”


เขาคนนั้นไม่ตอบเพียงแต่ระบายยิ้มให้แล้วตั้งใจขับรถต่อไป เวลานี้รถราบนท้องถนนพอมีให้เห็นแต่ไม่แน่นขนัดเท่ากลางวันหรือช่วงหัวค่ำ เมื่อรถแล่นได้ปกติไม่ได้ติดสัญญาณไฟจราจรเลยต้องจดจ่อกับการมองตรงเป็นหลัก คนนั่งเฉยๆย่อมเหงาเป็นธรรมดา

 
รู้ตัวว่าเมา ติณภพหนักศีรษะมาก แต่ก็ไม่หลับ โชคดีหน่อยเมื่อกี้ก่อนออกจากร้านไปเข้าห้องน้ำมาแล้ว เลยรู้สึกโล่งสบายตัวช่วงล่างด้วย ได้แต่นั่งตาปรือคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย


“คุณ”


“ครับ?”


“คุณใส่ถุงยางเบอร์อะไร”


“หา” สารถีจำเป็นหันมามองตาโต เขาเลยหันกลับไปยิ้มเมาๆให้หนึ่งครั้ง  “ทำไมอยู่ๆถามอะไรแบบนี้ขึ้นมา”


“ก็ผมนึกได้เลยถาม ไม่ได้จะแซว แค่เผื่อจะแวะซื้อน่ะ” แต่ตัวเองก็หลุดหัวเราะไปอยู่ดี แถมยังเริ่มรู้สึกหน่วงที่ช่วงล่างแล้วด้วย


 “ที่โรงแรมผมมี... นะ”


“ไม่เป็นไร ผมมีของตัวเอง ขอบคุณที่เป็นห่วงเรื่องขนาดนะครับ เฮ้ยคุณ!”


ปริ๊น!


ติณภพรู้สึกว่าฉับพลันรถยนต์ที่นั่งอยู่ก็เอียงเทไป แล้วกลับมาขับตรงเป็นปกติ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเขาเองที่เอื้อมมือไปจับตรงระหว่างขาของคุณเจ้าของร้านแล้วทำเอาเขาคนนั้นตกใจ รถคันหลังก็คงรู้สึกแบบเดียวกันถึงได้บีบแตรลั่น


“อย่าทำแบบนี้ มันอันตรายนะ จะรีบร้อนไปไหนวะ ถึงเวลาให้จับก็อย่าเอามือออกแล้วกัน”


ได้ยินเขาเริ่มขึ้นโทนเสียงมันเขี้ยวเหมือนกำลังดุเด็กแล้วอดยิ้มไม่ได้ แต่วันนี้จะยอมให้ดุหนึ่งวัน เพราะเขาทำตัวเป็นเด็กจริงๆนั่นล่ะ


“จับแล้วทำแบบนี้ด้วยไหม” พูดจบก็ทำท่ากำมือหลวมๆแล้วยกขึ้นลงเป็นจังหวะเร็วๆ คุณเจ้าของร้านหันมามองแวบหนึ่งด้วยสีหน้าและสายตาทีเล่นทีจริงแบบ อย่าลองของนะ หรืออะไรก็ตาม และมันโคตรเซ็กซี่ที่เขากัดปากตัวเองเหมือนกำลังกลั้นอารมณ์ไว้เต็มกำลังจนสุดจะทนแล้ว


แหงล่ะ เมื่อกี้ที่โดนมือก็ไมใช่เล่นๆ


“ไม่ไหวก็ไม่ต้องทน จอดมันข้างทางเลย” ติณภพออกปากเย้า


“ไม่ได้” และคนขับรถเริ่มกดเสียงต่ำลงอีก ทั้งที่เสียงสั่นเครือไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกว่าต้องกลัวเลยสักนิด


“งั้นไม่ต้องจอด คุณขับของคุณไป ผมจัดการเอง” คนกรึ่มเหล้าอาศัยจังหวะที่คุณเจ้าของร้านกำลังเปลี่ยนเลนหลีกรถที่จอดข้างทางล้วงมือเข้าไปในกางเกง เพียงแค่สัมผัสชั้นในตัวบางก็ทำเอาเจ้าตัวร้องโวยวาย แต่ไม่ได้ปัดมือออกทันทีเพราะมัวแต่บังคับพวงมาลัยรถสองข้าง ทำให้ปลายนิ้วเขาได้สัมผัสอะไรด้านในได้มากกว่าเมื่อกี้อีก


“คุณ! สงสารกันบ้างสิครับ” เสียงนั้นดังแข่งกันกับเสียงหัวเราะของคนนั่งข้างๆ “ผมรีบที่สุดแล้วนะ แต่คือบนรถมันไม่โอเค เดี๋ยวไปชนคนอื่นเขา”


“โอเค โอเค ผมไม่ยุ่งกับคุณละ ผมเทคแคร์ตัวเองก็ได้”


“อะไรนะ เดี๋ยวๆ  เวรกรรม คุณ! จะมาทำให้ผมดูแบบนี้ไม่ได้!” คุณเจ้าของร้านเสียงหลงพอหันมาเห็นว่าเขากำลังปลดเข็มขัดกับซิปกางเกงเตรียมล้วงมือเข้าไป ติณภพหัวเราะร่าเหมือนคนเมามาก ที่จริงก็เมาแต่ไม่มากเท่าไหร่ อารมณ์ดีสุดขีดที่เห็นอีกคนหงุดหงิดกับคนดื้อเอาแต่ใจอย่างตัวเองจนขำขันให้ท้องเกร็งแก้มตึงไปหมด ถึงกับละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยรถมายื้อยุดมือเขาเองเลย


ต้องยอมรับว่ามือคุณเจ้าของร้านมีปลายนิ้วเรียวยาวและอุ้งมือใหญ่ ติณภพแกล้งจับมือเขามาวางค้างไว้ที่ซิปกางเกงพร้อมพูดดักคอตามประสาคนเจ้าเล่ห์ยามราตรี “วางไว้ตรงนี้แหละ ค้างไว้แบบนี้แล้วผมจะยอมอยู่นิ่งๆ จะรูดซิป...ปากให้สนิทเลย”


ใบหน้าหล่อเหลามีโหนกนูนตรงกรามแก้มขึ้นมาทำให้รู้ว่ากำลังขบกรามแน่นมาก เขาหันมามองคาดโทษแต่ไม่ได้เอามือออก ก่อนกลับไปมองท้องถนนตามเดิม คงเพราะต้องการสงบศึกชั่วคราว ซึ่งเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงการตอบสนองความต้องการของติณภพที่สุดเท่าที่จะทำในตอนนี้ คุณนายแบบกลืนน้ำลายให้กระเดือกวิ่งขึ้นลงทุกครั้งที่เขาแกล้งขยับให้ร่างกายเข้าไปอยู่ใต้อุ้งมือมากขึ้น อย่าหวังว่าจะชักมือกลับ หากออกแรงต้านมือเขาจะยิ่งกดกลับเข้ามาในทิศตรงข้ามให้ถูกเนื้อต้องตัวมากกว่าเดิม


ปริ๊นๆๆๆ


“เฮ้ย อะไรวะ” ขับไปได้สักสองสามนาทีเขากดแตรรถลั่นที่มีรถญี่ปุ่นรุ่นใหม่ล่าสุดเข้ามาแทรกปาดข้างหน้าเป็นครั้งที่สองจนเกือบชน เพราะครั้งแรกไม่ได้ชะลอรถให้เข้ามา โชคดีที่คุณเจ้าของร้านเหยียบเบรกไว้ทัน แต่ก็ทำเอาหน้าทิ่ม


พอเข้ามาแล้วกลับอืดอาดยืดยาดไม่เร็วเหมือนตอนแซงเข้ามา ติณภพเห็นและรับรู้ว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน แต่ยังไม่เอ่ยปากอะไรเพราะตอนนี้ขี้เกียจให้ความสนใจกับมันไปชั่วคราว ผิดกับคนขับที่เริ่มขมวดคิ้วน้อยๆ


เอี๊ยด!


“เฮ้ย!” เบรกกะทันหันอีกครั้ง มือใหญ่ยกขึ้นมากักกันที่เบาะข้างคนขับตามสัญชาติญาณด้วยความกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่ระบบเข็มขัดนิรภัยล็อคเอาไว้แล้วก่อนที่ติณภพจะหน้าฟาดคอนโซลรถ “คุณเป็นอะไรไหม”


“ยังอยู่ดี แต่ไอ้คันหน้ากวนตีนฉิบหาย หนีไปไกลๆมันเถอะ”


คนขับเอามือออกจากจุดเดิมเพื่อจับพวงมาลัยรถให้มั่นคงตอนจะหักเลี้ยวออกซึ่งติณภพไม่คิดจะแหย่เขาอีก พอเปิดไฟขอทางด้านขวาสักครู่คุณเจ้าของร้านก็ออกตัวจากเลนเดิมให้พ้นไป ทว่าไอ้รถเจ้าปัญหาข้างหน้าก็เบี่ยงออกมาตัดหน้าอีกครั้งให้ต้องกระทืบเบรกรถอีก


“นี่ตั้งใจจะกวนใช่ไหมวะ” คนดื่มมาหนักเริ่มมีน้ำโห “คือพอเลนไหนไปต่อไม่ได้นึกจะออกก็ออกเหรอ”


อีกคนยังเงียบ แต่ติณภพหันไปมองเริ่มรับรู้แล้วว่ามีรัศมีความไม่พอใจกระจายออกมาไม่ต่างจากเขา คิดดูว่าขนาดคนใจเย็นอย่างนี้ยังโมโห ไอ้คนขับรถคันหน้ามันต้องนิสัยแย่ขนาดไหนกัน


รถญี่ปุ่นที่ออกมาอยู่เลนเดียวกันแล้วขับชะลอเหมือนตอนหลังจากที่ปาดหน้ารถของพวกเขา ไม่รู้ว่าทางฝั่งคนขับเห็นเหมือนกันหรือไม่ แต่ติณภพเห็นจากฝั่งนี้ว่าด้านหน้าไอ้รถเวรนี่ไม่ได้มีรถที่ขับช้ากว่าอย่างแน่นอน ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นมากกว่าเก่าจนเขาเริ่มมีสติมากขึ้นและมองได้ชัดขึ้น


“คุณ ออกเลนขวาสุดไปเลย โรงแรมผมอยู่เลยไปอีก ไว้ค่อยไปเข้าข้างหน้าก็ได้ ตรงนี้รถมันติดคนเลี้ยวแยกนี้” คนขับพยักหน้าไม่พูดอะไร ทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย ติณภพคอยมองซ้ายขวาและด้านหลังพร้อมทั้งบอกจังหวะเพื่อความสะดวกมากขึ้น เป็นความเคยชินเหมือนคราวก่อนๆที่ไปด้วยกันหรือตอนสอนธีโอดอร์ขับรถใหม่ๆ


พอรถของคุณเจ้าของร้านออกจากพื้นที่รถติดมาได้แล้วบรรยากาศก็กลับสู่ความสงบสุข...เสียเมื่อไหร่


“ริบไฟทำไมวะ ก็แซงไปดิ”


“ผมว่าไอ้นี่มันจะมีปัญหากับเรา” ในที่สุดคนขับเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “คุณนั่งดีๆนะ”


ยังไม่ทันได้ถามว่าทำไมต้องนั่งดีๆ คุณเจ้าของร้านเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นจนเสียงเครื่องดังกว่าปกติตามสมรรถนะของรถยุโรป ติณภพพอเดาได้ว่าคงต้องการจบปัญหาน่าปวดหัวนี้สักที ทว่ารถคันหลังก็เร่งเครื่องตามมาริบไฟเตือนหลายครั้ง คุณเจ้าของร้านเข้าเลนซ้าย มันเข้าซ้าย พอตบกลับมาที่เลนขวา ก็ยังตามมาอยู่ ยิ่งเปลี่ยนเลนรถยิ่งวิ่งเร็วขึ้น ติณภพเริ่มใจเต้นตึกตักหันมองคนขับที่ทำหน้าเรียบเฉย ทว่าเขาไม่มีทีท่าจะผ่อนคันเร่งลงแม้แต่น้อย


ปริ๊นๆๆๆๆ


รถคู่กรณีเร่งความเร็วมากพยายามแซงรถของพวกเขา ทว่าคนขับไม่ยอมให้เบียดมา ติณภพนั่งมองอยู่ตลอดว่ามันทั้งต้อนซ้ายต้อนขวา พอเข้ามาอยู่เลนเดียวกันคุณเจ้าของร้านแตะเบรกจนเขานั่งเกร็งติดเบาะ เสียวสันหลังวูบวาบ คันหลังกดแตรลั่นถนนพอๆกับที่เสียงล้อบดยางมะตอย


เอี๊ยดดด!


“คุณ พอแล้ว ปล่อยมันไปเถอะ”


คุณนายแบบผ่อนคันเร่งลงแล้วกลับเข้าเลนซ้ายดังเดิม แต่นั่นยังไม่จบ


รถคันเดิมแซงขึ้นไป ปาดหน้ากระชั้นชิดจนต้องบีบแตรอีกครั้ง แถมยังเหยียบเบรกเป็นจังหวะที่กวนส้นตีนที่สุดในโลก ติณภพหันไปหาคนขับเพื่อที่จะบอกว่าให้ปล่อยไปเป็นครั้งที่สอง แต่กลับต้องตกใจเสียเอง เขาคนนั้นเหงื่อหยดที่ขมับ หายใจแรง มีแววโทสะลุกโชนเต็มสองตาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน กำพวงมาลัยรถแน่นแล้วหักเลี้ยวจนรถส่ายเหมือนเก็บความโกรธสะสมไว้จนระเบิดออกมาในรูปของการบังคับม้าเหล็กคันนี้ พอขับมาในระยะตีคู่กันได้ก็เบียดคู่กรณีจนทางนั้นแทบเบี่ยงออกไม่ทัน ติณภพเองก็ตกใจ เผลอจิกเบาะรถเกร็งรับแรงกระแทก


“คุณ หยุดได้แล้ว มันจะเลยโรงแรมผมแล้วนะเว้ย เฮ้ย!” แล้วก็ต้องตกใจที่รถข้างๆเบียดกลับมา คุณเจ้าของร้านหักหลบทัน ส่วนคนที่นั่งโวยวายก็สั่นไหวตามแรงบังคับ ขยี้กันไปตลอดเส้นทางจนน่าระทึก เล่นเอาติณภพสร่างเมาแทบจะสนิท


แล้วต้องมาทะเลาะกันเวลาถนนโล่งแบบนี้ด้วยนะ ปาดกันไปมาจนจะตายห่าคาถนน คนจะรีบไปเอากันเนี่ย!


ดวงตาชั้นเดียวเบิกกว้างกว่าเก่า เมื่อรถกลับมาตีคู่ขนานกันอีกครั้งด้านข้างเขา และรถคันข้างๆลดกระจกลงมา...พร้อมทั้งวัตถุสีดำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่


“เหี้ยแล้วคุณ! มันมีปืน!” ติณภพเสียงเครือ ปากคอสั่นขึ้นมาดื้อๆเมื่อกระบอกปืนนั้นเล็งมาทางเขา


เอี๊ยดด


คุณเจ้าของร้านสบถหยาบ ชะลอเบรกรถจนอีกคันเลยไปด้านหน้า ก่อนตัดเข้าเลนซ้ายข้างหลังรถเวรนั่นโดยไม่สนว่าคันหลังอื่นๆจะบีบแตรหรือเบรกกันพัลวันขนาดไหน


“อย่าไปยุ่งกับมันเลย ผมกลัว” เขาตัวสั่น น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมา หันไปบอกคนขับที่เวลานี้ดูว่าสติใกล้จะหลุดเต็มทีหากยังไม่พูดห้าม “เลี้ยวเข้าถนนเพชรบุรีไปเลย แล้วค่อยอ้อมกลับมาใหม่ นะ นะ ขอร้อง”


ติณภพสัญญากับตัวเองในใจว่าต่อไปนี้จะขับรถให้ดีกว่าเดิม หลังจากประจันหน้ากับกระบอกปืนเมื่อครู่ อันเป็นวินาทีเสี่ยงตาย ยิ่งถ้าไปมีเรื่องกับคนอย่างคุณเจ้าของร้านตอนนี้ด้วยแล้วล่ะก็ ในระยะห้าร้อยเมตรที่ปะทะกันขนาดนั้นเขาคงไม่รอด


[ต่อด้านล่างเลยจ้า]
หัวข้อ: Re: Business Districts : Thonglor My Love IX #ทองหล่อที่รัก P.2 [30/8/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 30-08-2019 14:05:07
[ต่อ]


ติณภพจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่วินาทีนี้เขากำลังยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแบบกระจกในห้องพักที่โรงแรมตัวเอง ยืนนิ่งๆรอให้เนื้อตัวคลายอาการสั่นกลัว ขณะที่คุณเจ้าของร้านกาแฟนั่งกุมขมับอยู่ที่ข้างเตียง ก้มหน้าลงต่ำคล้ายว่าสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง


พอเริ่มดีขึ้น เขาเดินไปแตะบ่ากว้างนั้น คนที่นั่งอยู่กลับสะดุ้งเฮือกเงยหน้าขึ้นมาทำเอาเขาตกใจไปด้วย ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยหยดเหงื่อเม็ดเล็กผุดพราย ดวงตาสีเข้มฉายประกายหวาดกลัว ผิดแปลกไปจากที่เคยเห็น ติณภพเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเขาทำให้ใบหน้าคุณเจ้าของร้านอยู่ในระดับเดียวกับหน้าท้อง ตัวเอง ใช้มือทั้งสองลูบข้างแขนเบาๆ


“ดีขึ้นหรือยัง”


คนอ่อนกว่าพยักหน้า หลุบตาลงต่ำเอามือลูบหน้าแรงอีกครั้งราวกับเพิ่งสำนึกความผิดที่ได้ทำลงไป


“ผม...ขอโทษนะ ผมไม่น่าทำแบบนั้นเลย” เสียงทุ้มสั่นเครือ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหากันอีกครั้ง “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”


“ก็หายเมาเลยล่ะ ผมไม่เป็นไร คุณสิเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตาไม่ค่อยโอเค”


“ผม...ผม...”


คนตรงหน้าเหมือนพยายามอย่างหนักที่จะพูด แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนติณภพต้องใช้นิ้วโป้งกดมันไว้ ยิ่งเห็นว่าหางตาข้างหนึ่งที่เขาชมนักชมหนาว่าสวยมีน้ำรื้นใกล้หยดลงข้างแก้มเต็มที อดสงสารไม่ได้เลยต้องใช้มือประคองท้ายทอยเข้ามาซบลงที่หน้าท้อง ลูบศีรษะลูบหลัง โยกไหวร่างกายเชื่องช้าปลอบขวัญ คนที่นั่งอยู่ทำเพียงกอดตอบกลับมา ติณภพได้ยินเสียงสูดจมูกเบาๆ เงียบกันอยู่พักใหญ่


ทำให้นึกไปถึงเหตุการณ์ตอนเด็กๆที่ทิโมธีถูกเพื่อนแกล้ง ติณภพในวัยสิบห้าปียืนกอดปลอบน้องชายวัยเจ็ดขวบอยู่ตรงม้าหินข้างสนามเด็กเล่น เขาไม่ชอบเด็กร้องไห้งอแงเท่าไหร่ แต่พอเป็นน้องชายกลับใจอ่อนยวบยาบเสียอย่างนั้น


“ก่อนหน้าที่เราจะเจอกันผมไปบวชมา”


นั่นคือเหตุผมที่ผมสั้นเกรียนสินะ


“สาเหตุที่ไปบวชคือเพราะเหตุการณ์แบบที่เราเพิ่งเจอกันมาเมื่อกี้เลย เพื่อนผมไม่โชคดีแบบคุณเพราะรถเราปาดหลบคู่กรณีจนไปชนรถอีกคันเข้า ตัวเองเจ็บเล็กน้อยแต่เพื่อนผมเข้าไอซียู หลับไปเป็นอาทิตย์ เพราะความใจร้อนของผมเองแหละ เพื่อนบอกให้หยุดแต่ผมไม่หยุด”


คุณเจ้าของร้านสูดจมูกอีกครั้ง ผละใบหน้าออกแต่ยังคงกอดรอบสะโพกของติณภพไว้ “ผมบวชให้เขาสามเดือน ตอนนี้เพื่อนดีขึ้นมากแล้ว แต่สิ่งที่ได้จากการที่บวชเรียนมาแม่งไม่ช่วยเลย โอเคมันทำให้ใจเย็นขึ้นกว่าเดิม มีสติกับการใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ถึงเวลาจริงผมหลุด แล้วพอมาคิดว่าถ้าคุณจะเป็นอะไรไปอีกคน...”


“ชู่ว พอเลย เลิกคิด” ชายหนุ่มส่งเสียงราวกับกำลังพูดคุยกับเด็กเล็ก “มันจบแล้ว ไม่มีใครเป็นอะไร ทำใจสบายๆนะครับ”


ติณภพเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าที่ผ่านมาทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีความใจเย็นอยู่กับเขาได้ มันไม่ใช่นิสัยที่แท้จริงหากเป็นเพราะการบวชเรียนช่วยขัดเกลาจิตใจให้ดีขึ้น อดทนมากขึ้น และคงรวมเอาเรื่องที่อยากพยายามช่วยตักเตือนในสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นมาก่อน


แล้วก็เข้าใจอีกเช่นกันว่าทำไมก่อนหน้านี้ที่ร้านเหล้าถึงบอกว่านิสัยคล้ายกัน เห็นเป็นภาพชัดเจนโดยเฉพะตอนขับรถ การที่ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นปมในใจของคนๆนี้ตลอดมา ถึงได้คอยห้ามปรามเวลาเขาหัวร้อนตอนเป็นฝ่ายขับเอง


“นี่ก็จะตีสองแล้ว คุณพักเถอะ อยู่กับผมมาทั้งคืน เรื่องเสื้อผ้าเดี๋ยวผมจัดการให้” ติณภพกำลังจะผละออกไปแต่มือใหญ่กลับรวบตัวเขาไม่ปล่อย เจ้าของมันเงยหน้าเชิดคางขึ้นส่งสายตาเชื่อมหวานอ้อนมา


“ไม่ไปได้ไหม นอนด้วยกันก็ได้”


“ก็อยู่ด้วยกันไงเพราะนี่ห้องผม แต่คุณจะไม่อาบน้ำอาบท่าเลยเหรอ ตัวผมมีแต่กลิ่นเหล้า ไม่ไหวหรอก”


“ไม่ต้องอาบหรอก ผมบอกแล้วคุณตัวหอม” พูดพลางลูบไล้ก้อนเนื้อด้านหลังทั้งสองผ่านเนื้อผ้าหยอกเล่นให้สะดุ้ง ติณภพเอนกายออกแต่กลายเป็นว่าช่วงล่างที่ถูกยึดไว้เลื่อนสวนทางเข้าไปใกล้หน้าอีกคนแทน “ถ้าคุณอาบกลิ่นมันหายหมด อุตส่าห์ทนมาได้หลายชั่วโมงแถมยังยอมให้แกล้งบนรถอีก เรายังมีเรื่องให้คุยกันอีกเยอะเลย”


“คุณ เราจะเอากันตอนตีสองจริงดิ? เพิ่งเฉียดตายมาหยกๆนะ”


“อืม ก็จริงน่ะสิ ตอนไหนก็เอากันได้ทั้งนั้นล่ะ คุณทองหล่อน้อยคงทนไม่ไหวอยากเจอหน้าผมจะแย่” แล้วเขาก็หัวเราะ ติณภพก้มลงมองที่ใต้เข็มขัดตัวเองพบว่าเป็นจริงตามที่อีกคนพูด หัวเข็มขัดเปิดอยู่ตั้งแต่ตอนนั่งในรถ สิ่งที่อยู่ข้างในซิปกางเกงสูทพองตัวจนแนวตะเข็บเหล็กไม่เรียบเสมอกัน ถึงจะไม่มากแต่ใครที่นั่งใกล้กันขนาดนี้ดูไม่ออกคงตาถั่วสุดๆ “ผมจะบอกทุกอย่างที่คุณอยากรู้เลยครับ ทุกอย่าง”


ประโยคหลังฟังดูเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ ติณภพเผยรอยยิ้มมุมปาก โยนโทรศัพท์มือถือออกไปบนโต๊ะข้างเตียง ถอดสูทนอกปล่อยร่วงไปด้านหลัง ดึงเข็มขัดออกโยนทิ้งไปสักที่แบบไม่สนว่ามันจะพังหรือเปล่า แล้วยืนเกาะกุมบ่าแข็งแรงนั่นไว้เฉยๆ


พอเห็นว่าเขายืนนิ่ง คนกอดเปลี่ยนตำแหน่งมือ เลื่อนขึ้นไปดึงปลายเสื้อเชิร์ทออกจากเดิมที่เหน็บกางเกงไว้เพื่อปลดกระดุมสองเม็ดจากด้านล่างขึ้นบน ก่อนจะซุกจมูกสัมผัสไรขนที่ผิวเนื้อขาวด้านใน ขณะเดียวกันก็ดึงซิปกางเกงลงด้านล่าง ปลดตะขอ ใช้ปลายนิ้วสวยงามบรรจงสัมผัสบีบคลึงที่รอยแยกของผ้า คุณทองหล่อน้อยเพิ่มขนาดจนกางเกงซ่อนรูปไม่มิด คนเจ้าเล่ห์แกล้งงับให้เจ้าของมันสะดุ้งอีกครั้ง


ครู่หนึ่งเริ่มเมื่อย ติณภพย่อตัวลงไปนั่งคร่อมตักคนที่นั่งอยู่ คล้องแขนที่คอดึงร่างเข้าหากันประกบริมฝีปากแนบชิด  กดแรงบดเบียดที่สะโพกเพื่อต้องการหาสมดุลในการทรงตัวบนร่างใครอีกคน ทว่ามันก็ทำให้อะไรๆที่แข็งขืนถูไถกันผ่านเนื้อผ้าไปด้วย ยิ่งตอนแลกลิ้นกวาดต้อนรสฝาดในปากก็ยิ่งเร้าอารมณ์ให้ตื่นตัว และเมื่อยิ่งมีอารมณ์ก็ยากที่จะหยุดจูบ


คุณเจ้าของร้านกาแฟอาศัยทีเผลอดึงทั้งร่างของเขาให้ล้มลงไปนอนบนตัวเองจนติณภพส่งเสียงอึกอัก ยังดีที่เอาแขนยันเตียงไว้ทัน ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ปากประกบปากพอดีหรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็ฟันเฉาะเข้าที่หน้าผาก แถมยังเอาขายาวๆนั่นมาสอดรัดพันขาของเขาให้กางออกแล้วกึ่งกลางลำตัวกดชนกันอีก ดวงตาชั้นเดียวหรี่เล็กลงเอาแต่ใจที่ถูกกระทำ หากอีกคนยิ้มกวนกลับมา จ้องด้วยสายตาฉ่ำปรือชวนหวิวในอก


“ถ้าจะอยู่กันท่านี้ตีสามก็ไม่เสร็จหรอกนะผมบอกไว้ก่อน”


“โอเค” เขายอมปล่อยขา แต่ยังกอดรัดเอวอยู่ ลากนิ้วตามแนวสันหลังจนเสื้อเลิกขึ้นมาเกินครึ่ง “คุณไปหยิบถุงยางในกระเป๋าผมให้หน่อยสิครับ อยู่ช่องหน้าสุดนะ”


“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเอาของผมแทนก็ได้ ไม่อยากค้นกระเป๋าคุณ” ความจริงคือขี้เกียจเดินไปมาสองรอบ ไหนๆก็ต้องเดินไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ลิ้นชักอีกฝั่งอยู่แล้ว


“คือเมื่อกี้บนรถไม่รู้ว่าจำได้ไหม คุณบอกว่าคุณมีเบอร์...ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงผมใส่ของคุณไม่ได้ครับ”


เจ้าของโรงแรมเบิกตากว้าง ร้อนวูบตั้งแต่ปลายคางไปถึงตีนผม อยู่ๆก็ตัวชาดิกเหมือนเป็นอัมพาต และสายตาร้อนแรงที่สบกันนั่นกำลังทำให้เขาคิดไปไกล


มันใหญ่ขนาดนั้นเชียวเหรอวะ


“เร็วสิคุณ ช้ากว่านี้ผมจะไม่ให้ลุกไปแล้วนะ” ได้ยินเสียงแหบพร่ากระซิบบอกแล้วติณภพถึงกับเด้งตัวออกทันที เดินไปทั้งที่สมองเต็มไปด้วยความคิดเรื่องบ้าบอ จะรับไหวไหม จะเจ็บหรือเปล่า หรือจะรู้สึกดีแค่ไหน กว่าจะได้อุปกรณ์มาครบคงนานไปหน่อย ยังไม่ทันเข้าใกล้เตียงดีอีกคนถึงกับลุกขึ้นมาดึงแขนเขาเพราะอดใจรอไม่ไหว


“อื้อ!”


ร่างใหญ่ฉุดเขาให้นอนลงแล้วขึ้นคร่อมทันที รัวมือปลดจนแทบต้องใช้คำว่ากระชากกระดุมเสื้อทิ้งไป เผยร่างกายสมส่วนงดงาม ทำเอาคนที่มองตามอยู่ตลอดกลืนน้ำลายลงคอ สร้อยกางเขนเงินลอยเด่นหรา เงามืดทอดจนมิดร่างด้านใต้เมื่อคุณนายแบบโน้มลงมาจูบ ดุนดันจมูกสำรวจกลิ่นที่ซอกคอ ไปจนไหปลาร้า แล้ววนกลับมาส่งเสียงฟืดฟาดหื่นกามที่ใบหู มือไม้ปะป่ายลูบไล้อย่างรู้งาน ติณภพพยายามสอดมือเข้าไปปลดซิปกางเกงให้ แต่ยังไม่ทันไรก็โดนกัดเข้าที่ยอดอกจนต้องปล่อยมือ


“อย่ากัดนมสิคุณ! เจ็บนะ”


“ก็คุณนมใหญ่อ่ะ น่ากัดดีออก ทำไมซ่อนรูปจัง” เขาเงยหน้าขึ้นมาอธิบายแล้วลงไปเล่นกับมันต่อ บี้คลึงอีกข้างไปพร้อมกันด้วย ทิ้งให้ติณภพนอนหน้าเห่อร้อนอยู่ตรงนี้ ปล่อยร่างกายถูกพรมจูบตั้งแต่อก ท้อง สะดือ และเหนือจุดสำคัญ


สำรวจร่างกายจนเป็นที่พอใจ คุณเจ้าของร้านร่นตัวลงดึงกางเกงสูทออกให้เขา แล้วถอดของตัวเองลงไปกองด้านล่างเตียงในเวลาใกล้เคียงกัน มองจากหางตาติณภพเห็นความเป็นชายที่เติบโตของอีกฝ่ายใต้กางเกงชิ้นน้อยแล้วต้องขบเนื้อในปากลดความกลัว พอคิดว่าสิ่งใหญ่โตจะได้เข้ามาในร่างกายอีกไม่นานนี้แล้วนึกเกิดปวดหนึบตรงท้องน้อยขึ้นมาเสียอย่างนั้น...ใช้มือกำคงจะเต็มไม้เต็มมือ


“ยกขาขึ้นหน่อยครับ ผมช่วย” คำว่าช่วยคงหมายถึงการเริ่มเบิกทางก่อนจะร่วมรักกันจริง


“ผมไม่ชอบอ้าขาต่อหน้าคนอื่น” เขาว่า ขืนตัวไม่ยอมไปตามแรงมือ “คุณลงไปนอน ผมทำเอง”


คุณเจ้าของร้านเลิกคิ้วสูง ผิวปากแซว แต่ยอมทำตามโดยดี ติณภพก้าวขึ้นมานอนบนเชิงกรานคู่นอน สัมผัสตัวตนของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกโดยมีเจ้าของมันนอนมองตาเป็นมัน คนที่ห่างหายเรื่องบนเตียงไปนานแบบเขารู้สึกเงอะงะมาก ทว่าออกปากไปแล้วต้องทำให้ได้ เริ่มต้นด้วยการลูบไปตามความยาว ก้มลงใช้ริมฝีปากกับแนวฟันสัมผัสผ่านเนื้อผ้า เมื่อมันขยายขนาดอีกที่สุดแล้วต้องดึงชิ้นสุดท้ายออกปรนเปรอให้ที่ผิวเนื้อของจริง ลำพังจะใช้มืออย่างเดียวอาจไม่เร้าใจพอ ถ้าต้องพึ่งพาทักษะทางปากอย่างเดียวก็คงลึกกว่าคอหอยแน่ แต่ยังพยายามจะมอบความสุขให้


ไม่รู้ทำไม เมื่อช้อนสายตาขึ้นไปมองแค่สายตาของเขาคนนั้นตอนกำลังรับเอาตัวตนเข้าไป กลับทำให้รู้สึกวาบหวามไปหมด อยากรังแกเขา อยากถูกเขารังแก แววตาหื่นกระหายดึงติณภพเข้าสู่มิติลี้ลับสีแดงเพลิง มันทำเอาฟุ้งซ่าน คนตัวโตเริ่มปล่อยแววตาล่องลอย กัดริมฝีปาก ส่งเสียงครางพอใจหรือทำท่าอะไรก็ตาม ยิ่งกลิ่นกายเฉพาะตัวของเขาขับออกมาทางเหงื่อคนปรนเปรอยิ่งคิดสัปดน ลงมือหนักเป็นเท่าตัว


“คุณ คุณพอก่อน” เขาพยุงตัวเองขึ้นนั่งประจันหน้ากัน และนั่นทำให้เห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาเห่อแดงแจ๋ “พอก่อน เดี๋ยวแตก หยิบถุงยางมาจะไม่ได้ใช้เอานะ”


คนฟังพยักหน้าแต่ยังไม่ลงไปจากตรงนี้ ติณภพหยิบเจลมาบีบใส่มือจำนวนหนึ่ง ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดดันอกคุณเจ้าของร้านไว้แบบไม่ถนัด ยกสะโพกขึ้นแล้วลดมือข้างที่มีสารหล่อลื่นลงไป กดเน้นย้ำจนผ่านรอยจีบปิดสนิทเข้าไปได้สำเร็จ และยังพยายามดันต่อเข้าไปจนเผลอครางเสียงน่าอายออกมาให้ได้ยิน


“อะ...อื้อ”


“โธ่เว้ยคุณ จะฆ่าผมให้ตายเลยใช่ไหม”


ติณภพส่ายหน้า ไม่ตอบคำถามเพราะจิตใจจดจ่ออยู่แต่กับนิ้วที่สองที่เข้าไปเพียงครึ่งเดียว เบ้หน้ากับความหน่วงเพราะหาจังหวะที่ดีไม่ได้ เขาเคยทำได้ดีกว่านี้ หากยังเข้าไปได้ไม่สุดตอนรับเข้ามาจริงจะเจ็บ และเขาไม่อยากให้ร่างกายระบมเพราะเตรียมพร้อมไม่มากพอ


“มานี่ ผมช่วย” ลมร้อนเป่ารดที่ใบหน้า คุณเจ้าของร้านขยับร่างกายอีกครั้ง ถือวิสาสะดึงมือเขาออกแล้วสอดสองนิ้วเข้ามาในระดับที่ลึกมากเพียงครั้งเดียว ติณภพกระตุกเฮือกโผเข้ากอดด้วยความที่มันไปถูกจุดสำคัญเข้าพอดิบพอดี อ้าปากค้างแต่ไร้ซึ่งเสียงใด เบิกตากว้างเท่าที่จะทำ


“เห็นไหม แป๊บเดียวเอง แต่ขออีกนิ้วนะ ไม่อย่างนั้นคุณเจ็บ”


“อ๊ะ...” นิ้วที่สามดันเข้ามาแทบจะทันทีที่ได้ยิน ติณภพหายใจเร็วถี่แต่ไม่ทั่วท้องพอสามนิ้วนั้นวนขยับควานไม่หยุด เรียวขาสั่นระริก ออกปากครางทุกครั้งที่สิ่งเบิกทางเสือกเข้ามาข้างในผนังอ่อนนุ่ม แก่นกายผงกขึ้นลงปริ่มน้ำรักทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องสักครั้ง ท่อนร้อนขนาดใหญ่ตั้งตรงอยู่ที่ก้นรอเวลาเข้ามาในตัว ทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย เพราะมันน่าจะใหญ่กว่าสามนิ้วตอนนี้เสียอีก


ร่างกายตอบสนองสิ่งแปลกปลอมเป็นอย่างดี ชายหนุ่มรอให้ผู้ช่วยกระทำจนพอใจ ได้ยินเสียงพูดข้างหูว่าเท่านี้คงพอได้แล้ว ก่อนถอนนิ้วออกให้รู้สึกวูบโหวง และนำอีกสิ่งหนึ่งมาจ่อรอที่ปากทาง


“ให้ผมเข้าไปได้ไหม”


“เบานะ”


“สัญญาว่าจะทำเบาๆ” เขาจูบขมับตอนบอก ขยับตัวขึ้นมานั่งสวมเครื่องป้องกันครู่หนึ่ง ติณภพกัดริมฝีปาก ยกสะโพกขึ้นโดยมีมือใหญ่ทั้งสองช่วยประคอง เมื่อจับเข้าที่อวัยวะสำคัญจนเป็นมั่นเหมาะแล้วจึงอ้าขาออกให้เข่าติดกับเตียงนอน ค่อยๆนั่งลงทับ


เพียงแค่ส่วนปลายก็ทำเอาต้นขาสั่น หนุ่มตี๋เกร็งท้อง กัดฟันคำรามในคอรอให้ร่างกายดูดกลืนลงไป ทำได้เพียงครึ่งเดียวต้องออกปากให้หยุดก่อน ช่องทางของเขารัดรึงสิ่งใหม่ยิ่งกว่าสามนิ้วเมื่อครู่ มองหน้าเจ้าของร่างกายใหญ่โตเห็นทางนั้นพยักหน้า หอบหนัก และเป่าปาก สื่อความหมายได้ว่ากำลังพยายามไปพร้อมกันและเอาใจช่วยอยู่ ทั้งที่สีหน้าบิดเบี้ยวไม่น้อยไปกว่ากัน


“แบบนั้นแหละครับ เก่งมาก ค่อยๆนะ ค่อยๆ”


“f*ck f*ck f*ck” ติณภพได้ยินตัวเองสบถคำนั้นเกินสิบรอบสลับครางเสียงหลง บางทีถึงกับร้องเรียกพระเจ้า อีกฝ่ายไม่ต่างกัน กว่าจะรับเข้ามาได้ทั้งลำทำเอาน้ำตาเล็ด เสือกไสใบหน้าลงกับบ่าแกร่งระบายความเจ็บปวดและเสียวกระสัน ทั้งเขาและคุณเจ้าของร้านลุ้นหอบเหนื่อยจนไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนตัว ติณภพยังรับรู้ว่าจีบเนื้อตอดรัดไม่หยุด และถ้าเริ่มไปต่อเขาจะต้องถึงฝั่งฝันไปก่อนภายในการขยับเข้าออกไม่กี่ครั้งแน่ๆ


มีคำหนึ่งคำผุดขึ้นมาในหัวติณภพตอนนี้


จุก



 
เวลาเจ็ดโมงเช้า ติณภพปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก หนึ่งเพราะรวดร้าวไปทั้งตัวจนไม่อยากกระทั่งหายใจแรง สองเพราะตอนนี้ได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดคนที่ยังนอนอยู่ด้วยกันให้ชวนเคลิ้มหลับต่อ


คุณเจ้าของร้านกาแฟน่าจะตื่นแล้ว ถึงได้เอานิ้วสางเส้นผมของเขาเล่นไปเรื่อยๆจนจำต้องลืมตาขึ้นมาบ้าง


“อรุณสวัสดิ์ครับ”


เจ้าของห้องกระพริบตาปริบ พยายามต่อสู้กับอาการงัวเงีย แต่ยังซุกกลับเข้าไปหาความอุ่นจากร่างกายคนที่ตัวใหญ่กว่าอยู่ดี “อรุณสวัสดิ์”


“หลับสบายไหม”


“อือ” ติณภพพยักหน้าส่งเสียงครางเบาแหบพร่า เอาปลายจมูกดันคางใบหน้าใกล้กัน “หลับสนิทเหมือนซ้อมตาย ไม่ฝัน”


“ผมมีอะไรอยากบอกคุณ”


“อืม ว่ามา ฟังอยู่” แล้วก็เอาขาไปก่ายเกยกับขาคนข้างๆจนพันกันไปมา เรียกเสียงหัวเราะน่าฟังยามเช้า


“ผมชอบคุณมาก ชอบมากๆ ที่ผ่านมาไม่เคยลดลงเลย แต่แบบ...คุณหายไป แล้ววันนี้คุณกลับมาอีกครั้ง อย่าทิ้งผมไปไหนอีกเลยได้ไหม อยู่กับผมก่อน”


คนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นพยักหน้า เพลิดเพลินเมื่อนิ้วมือหลายนิ้วยังสาละวนอยู่ที่เส้นผม


“ถ้าคุณไม่รังเกียจ...เราคบกันได้ไหมครับ ผมอยากดูแลคุณ”


“โธ่ ให้ตาย” ติณภพขยี้ตาร้องโอดครวญ “เมื่อคืนได้กันสองรอบแล้วยังจะมาขออีกเหรอ เวรเอ๊ย”


“ผมจะถือว่าผมขออย่างเป็นทางการแล้วนะ” แขนแข็งแรงวาดวงโอบเอวคอดผิวขาวจัดแล้วลูบไปมาตรงร่องส่วนบนก้นกบ “คุณตฤณมีอะไรอยากรู้เกี่ยวกับผมอีกไหมครับ”


พอได้ยินใครคนนั้นเรียกชื่อถึงได้รู้สึกอยากตื่นเต็มตา ผงกหัวขึ้นมามองหน้าคนพูด ได้เห็นอีกมุมของชายคนนี้ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ทรงผมยุ่งเหยิงแผ่บนหมอน หน้าตางัวเงีย กลิ่นกายเฉพาะตัว รอยยิ้มอิ่มเอมใจแบบนั้น


โคตรน่าฟัดเลยโว้ย


แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น


“คุณรู้ชื่อผมได้ยังไง”


“ผมรู้หลายอย่างเกี่ยวกับคุณเลย ตอนนี้นอนก่อน ตื่นแล้วจะเล่าให้ฟัง และบางทีนอกจากฟังผมเล่านะ” เขาเว้นจังหวะการพูด “คุณควรถามธีโอดอร์”


ธีโอดอร์?


ธีโอดอร์เหรอ


ติณภพกัดปากชั่งใจตัวเอง เงยหน้ามองอีกคนที่ส่งยิ้มด้วยดวงตาเซ็กซี่สองข้างนั้นมาให้ จ้องลึกในดวงตาอยู่เนิ่นนาน “ผมติณภพครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”


ร่างใหญ่กว่ากระชับกอดเข้า เกยคางกับศีรษะของติณภพแล้วถอนหายใจเอาลมร้อนออกมา ติณภพคิดว่าเขาคนนั้นกำลังจะเข้าสู่นิทราอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย เพราะเพิ่งหลับจริงๆด้วยกันก็น่าจะตอนตีสี่ที่ผ่านมา


เนตรชนกครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

__________

จบพาร์ททองหล่อแล้ว เย่ /ปาดเหงื่อ ได้รู้สักทีว่าเขาชื่ออะไร
คุณติณภพตอนเมานี่คือเป็นอีกคนนึงไปเลย เหมือนคุณเจ้าของร้านเวลาหัวร้อนขับรถก็เป็นอีกคน 55555 ระวังอุบัติเหตุบนท้องถนนกันด้วยนะคะ
สำหรับใครที่คิดว่าทำไมฉากบนเตียงถึงตัดออก เราตั้งใจแบบนั้นค่ะ เพราะฉากเต็มๆจะไปอยู่ในตอนพิเศษทั้งสองเรื่องเลย ได้อ่านกันแน่นอนไม่ต้องกังวล
ครั้งหน้าจะลงตอนพิเศษ ยังไม่แน่ใจว่าจะของคู่นี้หรือของคุณวินกับน้องตฤณ เรื่องต่อไปขอเก็บไว้ก่อนเนอะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :m1: #ทองหล่อที่รัก
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [6/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 06-09-2019 23:11:40
Lost at Sathorn
ตอนพิเศษ : วันหยุด



ตฤณรับรู้ในวันที่สอบเสร็จทันทีว่าคุณวินจะพาเขาไปเที่ยวเชียงใหม่ รวดเร็วทันใจชนิดที่ว่ารู้วันนี้ วันมะรืนเดินทาง ทำให้ลืมความเครียดทุกอย่างเสียสนิทเพราะกำลังแพนิคว่าจะเตรียมตัวอย่างไรให้ทัน และจะบอกคนที่บ้านอย่างไรไม่ให้ถูกจับได้ เพราะมันเป็นช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ ปกติตฤณจะกลับไปหาครอบครัว แต่คราวนี้ต้องทำทีว่าไปออกทริปกันกับเพื่อน หวังว่าเทวดาจะบันดาลให้คนไม่ค่อยโกหกอย่างเขาผ่านช่วงเลานั้นไปอย่างราบรื่น


“เราไม่ได้ไปกันแค่สองคนนะ ติณภพกับคุณเนตรแฟนเขาก็จะไปเที่ยวกับเราด้วย นัดเจอกันที่โรงแรมโน่นเลย” คุณวินบอกแบบนั้น ทำเอาตฤณยิ่งวิตกเข้าไปใหญ่ ก็กิตติศัพท์ของคนที่ชื่อเหมือนกันมันธรรมดาเสียที่ไหนล่ะ พอจะได้ยินมาบ้างอยู่ ถึงคุณชวินทร์จะพูดต่อมาว่าช่วงหลังนี้คุณตฤณเพื่อนของเขาทำตัวดีขึ้นมากแล้วก็ตาม


แรกพบสบตากับคุณติณภพ ตฤณรู้สึกได้ถึงรัศมีบางอย่างแบบที่คนกล่าวขานกันจริง เขาคนนั้นมีใบหน้าเย่อหยิ่งตามแบบฉบับลูกคุณหนูคนจีนแถบเยาวราช ยิ่งเวลาทำหน้านิ่งๆตฤณรู้สึกเหมือนเหงื่อหยดที่ขมับตลอดเวลา แต่พอได้เห็นคุณเนตรแฟนคุณติณภพเดินมาหยุดข้างกันเท่านั้นล่ะ ตฤณถึงได้รู้ซึ้งในความหมายของคำว่า คู่ตรงข้าม คุณเนตรหล่อมาก สูง หุ่นดีอย่างกับนายแบบ น่าจะมีเซนส์ในเรื่องของแฟชั่นด้วย ตฤณทึกทักเอาเองในใจว่าถ้าคุณติณภพคือน้ำร้อน คุณเนตรน่าจะเป็นน้ำเย็น


“สวัสดีครับ คุณติณภพ คุณเนตร”


“สวัสดีครับ” คุณเนตรเอ่ยรับ ส่วนคนที่ชื่อเหมือนกันกับเขาส่งยิ้มมาให้แล้วพยักหน้าพร้อมทั้งรับไหว้ด้วย น่าแปลก พอใบหน้าบอกบุญไม่รับส่งยิ้มมา ตฤณคิดว่านี่เป็นคนละคนกับที่วาดภาพเอาไว้ในใจ คุณติณภพมีสายตาเอ็นดูเหมือนที่คุณชวินทร์มีเลย


“ไง อยากเจอมากไม่ใช่เหรอ เอามาให้เจอแล้ว” เสียงคุณชวินทร์บอก พูดอย่างกับว่าตฤณเป็นตุ๊กตาที่หิ้วได้อย่างนั้นล่ะ


“อืม ดีเลย น่ารักดี” คุณติณภพพูดขึ้นให้ได้ยินเป็นครั้งแรก เอื้อมมือมายีหัวตฤณแล้วเดินเข้ามาโอบไหล่เขาพอดิบพอดีด้วยความสูงที่พอๆกัน “เก็บของกันเรียบร้อยแล้วก็ไปทานมื้อเที่ยงกันเถอะ”


คุณติณภพที่ดูเหมือนเป็นคนถือตัวจริงๆแล้วเป็นคนช่างพูดอยู่เหมือนกัน ตฤณรับรู้จากการที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งบ่าย เพื่อนคุณวินคอยบ่นเรื่องงานบ้าง พูดคุยปรึกษาภาษาธุรกิจที่เด็กอย่างเขาไม่เข้าใจบ้าง สลับกับการเล่าให้ฟังว่าคุณเนตรเป็นคนคอยหาข้อมูลพวกร้านกาแฟกับสถานที่ที่พวกเราไปตะลอนกันในวันนั้น ตฤณแอบรู้สึกว่าตัวเองมาเฉยๆโดยที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยไม่ว่าจะเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเรื่องการหาข้อมูล แต่คุณวินคงเห็นว่าเขากังวลเลยพูดปลอบใจตอนจังหวะที่อยู่ใกล้กันสองคน


“เรียกพี่เถอะ” คุณเนตรว่า “เราน่าจะห่างกันไม่กี่ปีนะ ตฤณอายุเท่าไหร่”


“ยี่สิบเอ็ดครับ แล้วพี่เนตรล่ะ”


พอได้ยินคำตอบ คนที่มีรีแอคชั่นกลับไม่ใช่ตฤณที่เป็นนักศึกษาปีที่สาม แต่เป็นตฤณคนที่โตกว่าที่เบิกตาหันขวับไปหาคนพูด เขาเถียงกันเรื่องอะไรใครเกิดปีงูสักอย่าง นั่นทำให้ตฤณเข้าใจว่าคุณติณภพก็เพิ่งรู้เรื่องอายุคุณเนตรพร้อมกับเขา เห็นคุณชวินทร์เคยพูดไว้ว่าสองคนนี้ก็เพิ่งคบกันได้ไม่นาน คงมีอะไรให้เรียนรู้กันอีกยาว


นอกจากนี้แล้วตฤณเพิ่งรู้ด้วยว่าคุณเนตรเป็นนายแบบจริงๆ เพราะเขาเปรยกับคนตัวสูงตอนเดินเข้าร้านมาด้วยกันว่ารู้สึกคุ้นหน้ามาก คุณติณภพเป็นคนเล่าอีกนั่นล่ะ เห็นคุณชวินทร์ลอบยิ้มหลายครั้งไม่รู้ว่ามีเรื่องราวอะไรมากกว่านี้หรือเปล่า ตฤณคงไม่อยากรู้อะไรเบื้องลึกขนาดนั้นเลยนั่งฟังอย่างเดียว คุณติณภพชวนคุยหลายอย่างทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าตอนที่ยังไม่ได้เจอ


ก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องน้องชายของคุณติณภพที่คิดว่าคนเป็นพี่คงรักน้องน่าดู คุณเขาถึงได้มีท่าทางเอ็นดูตฤณไม่หยุดพร้อมทั้งบอกให้ฟังว่าตฤณทำให้นึกถึงน้องชายเลย ซึ่งนั่นทำให้คุณชวินทร์จิกกัดเพื่อนว่าเพราะแบบนี้ไงถึงได้กินเด็ก แล้วตอนนั้นก็มีคนสองคนเถียงกันเรื่องกินเด็ก คุณนั่นล่ะเลี้ยงต้อย โธ่เว้ย คุณก็ไม่ต่างกันนั่นแหละวะ เพื่อนน้องไม่ใช่เหรอ แบบนี้


คุณเนตรกับตฤณเลยได้แต่นั่งยิ้มแห้งให้กัน และทั้งวันที่ไปไหนด้วยกันเวลาเพื่อนรักมีช่วงเวลาหักเหลี่ยมลับฝีปาก ตฤณจะไปเดินใกล้ๆคุณเนตรแล้วชวนกันคุยแทน ทำให้ได้รุ่นพี่ที่ดีมาเพิ่มในชีวิตอีกคนหนึ่ง




ในเช้าของวันใหม่ ตฤณรู้สึกตัวโดยที่ยังไม่ลืมตามองโลกเพียงไม่กี่วินาที เมื่อลืมตาได้เต็มดวงสิ่งแรกที่ทำให้รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียวคือคนในอ้อมกอด เหลือบมองเห็นเป็นกลุ่มผมหยักศกยุ่งไม่เป็นทรงห่างใบหน้าออกไปนิดเดียวในระยะที่ก้มลงไปหอมด้วยความรักใคร่ได้


ก้อนคุณชวินทร์แทบจมอยู่ที่อกของตฤณ เพราะใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับคอทำให้มีลมหายใจอุ่นพ่นรดอยู่ตลอดเป็นจังหวะเสมอกัน แขนยาวๆพาดผ่านเอวของเขาเหนือขอบผ้าห่มที่ปกปิดช่วงล่างไว้ ตฤณเองก็กอดคุณวินเอาไว้เหมือนกัน ส่วนที่ช่วงขาบอกไม่ได้ว่าของใครพาดของใครอยู่


เช้านี้เป็นอีกวันที่มีความสุข หลังจากที่ตฤณผ่านมรสุมสอบปลายภาคเทอมแรกอันโหดร้ายในชีวิตนักศึกษาชั้นปีที่สามมาได้ ถึงจะไม่เห็นหน้าชัดๆ แต่รู้ได้ว่าคุณวินตอนหลับน่ารักขนาดไหน ตฤณถึงอดใจไม่ไหวกระชับกอดเข้าแล้วซุกหน้าลงกับกลุ่มเส้นไหมสีเข้มนั้น คนถูกกอดครางเสียงอู้อี้ ตฤณเลยหัวเราะรับ


แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาเสี้ยวเดียว เขาจะถือว่ายังไม่เช้ามากแม้ว่าเข้มสั้นนาฬิกาอาจจะเกือบเลยไปที่เลขแปดหรือไม่ก็คงเลขเก้า ตฤณไม่รับรู้เรื่องนั้น เพราะสิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือนอนกอดซุกคอคุณชวินทร์ที่กำลังเปลี่ยนท่าไปเป็นหันหลังให้ แล้วปิดเปลือกตาต่อไป


เมื่อคืนพอกลับมาถึงที่พัก เรานอนคุยกันจนเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียทั้งคู่


ตฤณตื่นนอนอีกทีตอนที่ไม่มีคุณชวินทร์อยู่ด้วยแล้ว ผ้าม่านเปิดกว้างกว่าเดิมแต่ยังไม่มาก บิดขี้เกียจเกาพุงเกาคอเป็นที่เรียบร้อยเขาก็เปิดผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่งไล่ความมึนงง หันไปกดดูเวลาที่มือถือตรงโต๊ะข้างเตียง หน้าจอขึ้นเป็นเลขสิบกับสิบสอง คนอาศัยร่วมห้องเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี บนใบหน้าไร้กรอบแว่นมีหยดน้ำเกาะพราว ทรงผมดูดีขึ้น และเปลือยท่อนบน


“ตื่นแล้วเหรอ หลับสบายไหมเมื่อคืน”


ก็ต้องสบายสิครับ ห้องพักคืนละเป็นหมื่น ตฤณอยากจะตอบแบบนั้น แต่ทำได้เพียงพยักหน้ายิ้มง่วงๆส่งไป “ครับ สบายมากเลย”


“จะนอนต่อก็ได้นะ วันนี้เราไม่ได้ไปไหนกัน”


“ถ้าผมนอนต่อแล้วคุณวินจะทำอะไรล่ะครับ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”


คุณชวินทร์เดินมานั่งข้างเตียงจนมันยุบลง หยิบแว่นที่วางข้างมือถือของตฤณมาสวม นั่นคงทำให้เขาเห็นชัดเจนกว่าตอนไม่สวมมัน ดวงตาคู่นั้นดูมีมิติขึ้นมา “ผมจะนั่งมองคุณหลับทั้งวัน”


“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ตอนผมตื่นคุณจะมองทั้งวันเหมือนตอนหลับไหม”


“ไม่เหมือนหรอก” คุณชวินทร์พูดตอนที่ตฤณเอนร่างลงไปนอนใกล้กันจนเส้นผมแผ่ไปถึงปลายนิ้วอีกคน “เพราะตอนตื่นต้องได้อะไรมากกว่าแค่มองสิ”


ตอนที่กำลังจะเด้งตัวขึ้นมาเพราะความตกใจ ตฤณถูกอีกคนทาบทับร่างลงมากักกันไว้ คุณชวินทร์ชายสายตาแวววาวมาแวบหนึ่งแล้วจูบเขา ทำให้ได้กลิ่นเย็นสะอาดของยาสีฟันและความชื้นจากหยดน้ำที่ใกล้ระเหยไป


“หิวหรือยัง ถ้าไม่ออกไปเราสั่งเข้ามาแทนได้นะ”


“ถ้าอย่างนั้นรบกวนสั่งเข้ามาเถอะครับ ผมขี้เกียจออกไป ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”


ตฤณหัวเราะ ทำเอาคนถามแอบหัวเราะตามไปด้วย คุณวินตอบตกลงแล้วบอกว่าเอาไว้ออกจากห้องน้ำก่อนค่อยสั่ง ยังไม่ทันถามว่าใครจะอาบน้ำก่อน คุณวินก็ลุกออกจากตัวเขาพร้อมทั้งบอกว่าให้ยกเก้าอี้หน้าทีวีตามเข้ามาในห้องน้ำหน่อย ตฤณนึกสงสัยแต่ทำตามโดยดี


ตฤณเห็นว่าคุณชวินทร์บีบโฟมอะไรบางอย่างสีขาวใส่ที่มือ พอมองชัดๆถึงเห็นว่าเป็นโฟมสำหรับโกนหนวดเครา แต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคุณเขาจะเอาเก้าอี้เข้ามาเพื่ออะไร นั่งโกนหนวดหน้ากระจกคงไม่ถนัด ไม่เคยเห็นใครทำ


จนโฟมนั่นมาอยู่บนหน้าเขานั่นล่ะ


“คุณวิน...”


“หืม” เป็นการครางรับในคอที่ไม่ใช่การถามกลับแน่ๆ คุณวินค่อยๆป้ายโฟมลงตรงคางของเขาจนทั่ว เลยลงมาที่เหนือลำคอบ้างไม่มากเท่าไหร่ ตฤณยืนนิ่งๆให้ทำอยู่อย่างนั้นจนคนทำหันไปล้างมือแล้วหันกลับมาพร้อมมีดโกนหนวดที่ดูใหม่เอี่ยม


“นั่งลง”


เสียงนั้นบอกเรียบๆ ไม่มีความรู้สึกรุนแรงอย่างการสั่ง แต่มันก็คือคำสั่งของพ่อมดที่ทำให้ตฤณนั่งลงทันที จะพูดว่าขอทำเองก็ไม่ได้เดี๋ยวโฟมเข้าปาก


คุณชวินทร์พิงสะโพกกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่กับขอบอ่าง ค้อมร่างลงมาจนใบหน้าแทบชิดกัน ใช้เท้าข้างหนึ่งยกขึ้นมาวางตรงเก้าอี้ที่เหลือพื้นที่เล็กกว่าฝ่ามือระหว่างขาของตฤณให้หวาดเสียวเล่น แค่จะโกนหนวดต้องเท่ขนาดนี้เลยเหรอครับ


ตฤณกลืนน้ำลายพอใบมีดเริ่มสัมผัสที่แก้ม เกิดมาในชีวิตนี้ไม่เคยมีใครโกนหนวดให้เลยยกเว้นแม่ แต่ตอนนี้ใบหน้าทรงเสน่ห์ของคุณวินอยู่ใกล้กันมากเสียจนไม่สามารถมองผ่านเลยออกไปได้


คุณวินมีสมาธิจดจ่ออยู่กับผิวหน้าเขาตลอด ลากมีดโกนที่ข้างแก้มไปทางเดียวเป็นแนวยาวหลายครั้งแบบนิ่มนวลและแผ่วเบา บางช่วงเหลือบสายตามาจ้องกันตรงๆแต่ไม่แสดงอาการอะไรสักนิด ดันแว่นขึ้นไปบนดั้งจมูกเมื่อมันไหลตกลงมา ผิดกับคนนั่งเฉยที่ตอนนี้ปลายเท้าเย็นเฉียบ ร้อนวูบวาบไปทั้งศีรษะหมดแล้ว


“เงยหน้าหน่อยครับ”


พ่อมดชวินทร์พูดตอนที่หันไปล้างคราบโฟมบนมีดแล้วหันกลับมาอีกรอบ ค่อยๆลากใบมีดย้อนขึ้นมายังปลายคาง คุณวินมือนิ่งกว่าตอนตฤณทำเองหลายเท่า ทีแรกกลัวจะเจ็บเพราะคนที่ไม่คุ้นชินกับใบหน้าคนอื่นอาจมีตะกุกตะกักบ้าง แต่ตฤณไม่รู้สึกอะไรเลย คนทำมือเบามากเหมือนคุณหมอคุณพยาบาลใจดีหลายคนที่ฉีดยาให้ตฤณตอนไม่สบายแล้วไม่ร้องไห้เพราะไม่รู้สึกเจ็บ


ไม่รู้สึกอะไรนอกเสียจากหัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกจากอกเมื่อจ้องมองเขาตลอดเวลา รู้สึกถึงลมแผ่วระรดต้นคอ ยิ่งเวลาปลายเท้าคุณวินจิกเขยิบเข้ามาใกล้หว่างขามากเท่าไหร่ตฤณยิ่งหายใจติดขัดมากเท่านั้น


ในที่สุดการโกนหนวดก็สิ้นสุดลง ตฤณรับผ้าชุบน้ำหมาดๆมาเช็ดหน้าจนสะอาด


“เครียดเรื่องสอบจนไม่มีเวลาโกนหนวดเลยเหรอ หืม”


“คุณวินไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ผมว่าของผมยังขึ้นไม่เยอะนะ แต่ก็ขอบคุณครับ”


“อืม ของแค่นี้เอง ไม่รบกวนอะไร” คุณเขาว่า ใช้ปลายนิ้วเชยคางตฤณขึ้นเล็กน้อย ก่อนจับคางหมุนไปทางซ้ายทางขวาเหมือนกำลังพิจารณาผลงานชิ้นเอกของตัวเองอยู่ “โกนตรงอื่นด้วยไหม ผมทำให้”


ตรงอื่น?


“ผมไม่โกนพวกขนแขนขาหรือรักแร้หรอกครับ ปล่อยมันไว้...”


“หมายถึงตรงนี้น่ะ” คุณวินลดเสียงลงจนเบา ยังจับแก้มเขาด้วยมือข้างเดิม ทว่ามีอีกข้างลูบไล้จากหน้าท้องค่อยๆสอดเข้าไปอยู่ใต้ขอบกางเกง วนไปมารอบขนตรงนั้น เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง ขนลุกซู่ไปทั่วร่างกาย หน้าตาคุณวินตอนนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยากกำจัดเส้นขนออกให้เขาอย่างจริงจังเลย


“เอ่อ...ไม่ ไม่เป็นไรครับ” ตฤณค่อยๆจับมือปลาหมึกออกไปวางข้างนอกอย่างสุภาพแม้ว่าจะต้องต่อสู้กับสายตาเจ้าเล่ห์ใต้กรอบแว่นคู่นั้นไปด้วย “ไม่รบกวนคุณวินดีกว่า อีกอย่างถ้าเอาออกเดี๋ยวมันคัน ผมไม่อยากไปยืนเกาต่อหน้าคนอื่นนะ”


ใครจะทุ่มเท่เท่าพ่อมดสาทรคงหาไม่มีอีกแล้วเวลานี้ บ้าที่สุด ไอ้ตินน้อยหยุดตื่นเดี๋ยวนี้ อย่าไวไฟ!


“งั้นขอค่าโกนหนวดหน่อย” นั่นปะไร ไม่ได้ขอให้ทำเลยแต่ดันทวงถามถึงค่าแรงเสียอย่างนั้น


“เอาอะไรล่ะครับ”


ตฤณไม่น่าเกิดมาเป็นคนคิดช้าเลย คุณวินเลียริมฝีปากทันทีที่ได้ยินคำถาม ตอนนี้ปลายนิ้วเท้าที่วางหมิ่นเหม่มันก้าวเข้ามาสะกิดดันกึ่งกลางตัวเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มือใหญ่ที่จับหน้าเขาอยู่ก็ไม่ได้ขยับออกหากแต่เป็นคุณวินที่โน้มตัวลงมาประทับจูบแทน ปลายลิ้นละเลียดเลียจนตฤณต้องยอมอ้าปากรับกล้ามเนื้อสากๆให้เข้ามาตักตวงความชื้นจากเขา คุณชวินทร์ขยับปากขึ้นลงรุกไล่งับดึงให้ต้องตอบสนองกลับไปในระดับความร้อนแรงเท่ากัน โดยที่ตฤณไม่รู้ตัวเลยว่ามือปลาหมึกกลับเข้ามาล้วงสัมผัสตัวตนของตัวเองตอนไหน


ตฤณไม่รู้ว่าคุณวินลุกออกจากที่เดิมตอนไหน ไม่รู้ว่าคุณวินเอามือที่ปรนเปรอในกางเกงออกจากตฤณน้อยเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าเข็มขัดราคาแพงของคุณวินที่พาดอยู่กับเก้าอี้ตอนยกเข้ามาด้วยมันมาพันผูกกับข้อมือตัวเองไพล่อยู่ที่หลังพนักเก้าอี้ได้อย่างไร


โอ้ ไม่นะ อย่าได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย


“คุณวิน?!”


เจ้าของชื่อที่เรียกคุกเข่าลงตรงหน้าเก้าอี้ ยกขาตฤณสองข้างขึ้นพาดบ่าตัวเอง แล้วค่อยๆเริ่มจูบจากข้อเท้าซ้ายด้านในขึ้นมา สลับกับการฝังเอาปลายจมูกลากตามผิวเนื้ออ่อน ทำเอาเด็กหนุ่มเสียวแปลบขึ้นมาถึงสันหลัง คุณวินเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาแพรวพราวเต็มไปด้วยความกระหายระหว่างที่ขบต้นขาเขาไปด้วย แต่ไม่มีทีท่าจะหยุด


“ซี้ด..คุณ...วิน”


ตฤณเกร็งปลายเท้าจิกลงกับอากาศ เหงื่อกาฬไหลชุ่มแผ่นหลัง หอบฮัก พยายามเอาขาลงแต่แขนแข็งแรงล็อคเอาไว้อยู่ คุณวินรู้ทั้งรู้ว่าการเร้าขาอ่อนด้านในทำเอาเขาแทบละลายไหลลงกับเก้าอี้ แต่ปลายลิ้นสากยังลากไม่หยุด ตฤณอายที่ต้องมานั่งกางขาในท่าหวาดเสียว อายที่ห้ามตัวเองไม่ให้ส่งเสียงครางไม่ได้ และอายที่ตินน้อยมันสร้างความเจ็บปวดผงกหัวดันกางเกงขาสั้นจนปูดโปนออกมาล่อเสือร้ายชวินทร์ให้จ้องตาไม่กระพริบ


พ่อมดเข้ามาใกล้ต้นขาด้านในทุกที แต่ก็ยังประวิงเวลาสาละวนอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน ทำเป็นเลยผ่านส่วนกลางไปเล่นกับเนื้อด้านข้างจนตฤณหงุดหงิดทั้งที่ยังตัวสั่น เลียปากแห้งผากจนแสบไปหมด ที่เป้ากางเกงเริ่มมีของเหลวเปียกซึมออกมาให้เห็นแล้วด้วย ทำไมคุณวินถึงแกล้งเขาแต่เช้าแบบนี้นะ!


“เมื่อยหรือยัง”


“คุณวิน” เสียงเขาสั่น แต่เป็นเพราะสั่นสู้กับพ่อมดหรอกน่า “เอาขาผมลงเถอะครับ เราเข้าไปทำกันในห้องดีๆก็ได้ อ๊ะ...”


ยังพูดไม่ทันจบคุณวินก็งับเข้าที่เนื้อต้นขาหมิ่นเหม่กับขาหนีบจนต้องร้องอุทาน “ทำไมล่ะ ตฤณไม่ชอบเหรอ ห้องน้ำโรงแรมเขาก็ไม่ได้เล็กนะ”


ไม่ได้ไม่ชอบห้องน้ำ แต่ไม่ชอบนั่งแหกขาให้ทำอยู่ฝ่ายเดียว!


“งั้นก็ปล่อยผมก่อนสิ คะ...คุณวินนั่งแบบนั้นนานๆเดี๋ยวก็เมื่อยหรอก”


“ไม่เป็นไร แบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบนะผมว่า”


คนพูดงับเขาผ่านเนื้อผ้ากางเกงทำเอาตฤณสะดุ้ง พยายามกระตุกแขนแล้ว เชื่อว่าคุณวินไม่ได้รัดจนแน่นหนาอะไรแต่ก็สลัดไม่หลุด คนที่เป็นอิสระปล่อยให้เท้าตฤณได้สัมผัสพื้นหินอ่อนเย็นๆเสียที แต่ก็ต้องแลกกับการถูกจับอ้าออกเป็นมุมที่กว้างมากให้เขาได้หยอกล้อตรงนั้นจนจวนเจียนจะขาดใจ เด็กหนุ่มครางสลับหอบหายใจแรง ยิ่งสบตากันแรงขับดันยิ่งทำให้พองขยาย


“คุณวิน ขอล่ะ ผม...ผมปวดไปหมดแล้ว” ตฤณได้ยินเสียงตัวเองอ่อนหวานลงกว่าเดิม “ทำอะไรก็ทำเถอะครับ ติน...แฮ่ก...ตินไม่ไหว”


ชวินทร์ยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินอีกฝ่ายร้องขอ ตฤณกัดริมฝีปากเมื่อเขาขบแรงๆที่เนื้อขาวอีกครั้ง ตอนนี้ทั่วทั้งขาของน้องมีแต่รอยชมพูที่เขาฝากไว้เป็นบางจุด แต่ชวินทร์รับรู้ได้ว่าถ้าลองแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นรบเร้าแบบนี้คงได้เวลาจริงจังสักที เลยดึงตัวตนอีกฝ่ายออกมาจากที่ซ่อนแล้วช่วยให้เด็กหนุ่มได้ถึงฝั่งฝัน ได้ยินเสียงครางสุขสมทุกครั้งที่ใช้ฟันครูดหรือตวัดลิ้นลงแรงกว่าปกติ ไม่นานตฤณเกร็งขืนร่างสั่นกระตุกน้อยๆบนเก้าอี้และฉีดพุ่งความสุขออกมาจนล้นทะลักปาก


ช่วงที่ตฤณหลับตาลงพักเอาแรง ชวินทร์ปลดเข็มขัดกลับมาพาดอย่างเดิม และนั่นทำให้ตฤณไหลลงจากเก้าอี้ทรุดลงมาตรงหน้าเขา


“ไม่...ไม่ต้องเข้ามาเลย” ตฤณรวบรวมแรงพูดขึ้นแฝงน้ำเสียงหงุดหงิด พยายามถดตัวเองถอยห่างจากชวินทร์ที่ค่อยๆคลานเข่าเข้าหา “ขี้โกง”


“โกงอะไร ผมเปล่าโกงเสียหน่อย” ชวินทร์แกล้งเย้า เขารู้อยู่เต็มอกว่าด้วยความที่เป็นผู้ชายย่อมอยากเป็นผู้นำในการทำสิ่งต่างๆหลายเรื่อง รวมไปถึงเรื่องเซ็กซ์ด้วย ยิ่งตฤณที่มีรสนิยมความเป็นฝ่ายอยากรุกมากกว่า การที่เขาทำแบบนี้ยิ่งน่าจะทำให้เด็กหนุ่มไม่พอใจ “มาอาบน้ำกันมา แช่น้ำอุ่นในอ่างจะได้สบายตัว”


“แล้วคุณวินไม่อึดอัดหรือไงครับ” คนถามยังไม่หยุดขยับตัวไปชิดขอบอ่างอาบน้ำขนาดปานกลาง และชวินทร์ก็ยังคงสืบคลานเข้าไปหาจนในที่สุดก็กักกันตัวเอาไว้ได้ สีหน้าจากใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่นดูไม่ไว้ใจเขาแบบเห็นได้ชัด แต่พอได้ยินคำพูดแล้วชวินทร์คิดว่าตฤณน่ารักกว่าเดิมสิบเท่าเห็นจะได้


ตฤณไม่น่าจะรู้ว่าการถามคำถามนั้นตอนที่เราอยู่ในท่าทางหมิ่นเหม่ขนาดนี้เท่ากับเป็นการชวนมีอะไรกันชนิดโจ่งแจ้ง


“จะบอกว่าไม่คุณก็รู้อยู่ดีว่าโกหก” เขาลุกขึ้น ฉุดให้อีกคนลุกตาม ก่อนหันไปเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างน้ำ “ช่างมันเถอะ หยิบสบู่ตรงนั้นให้ที”


“ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมจะไม่ทำตอนที่น้ำเต็มอ่างแน่ๆ” ตฤณส่งมันให้พร้อมทั้งดักคอ ทำเอาคนฟังหัวเราะ จะบ้าเหรอ ทำกันใต้น้ำ มันไม่แปลกหรือยังไงกันเล่า “แช่น้ำก็คือแช่น้ำครับ”


“แสดงว่าเราควรทำก่อนน้ำเต็มอ่างใช่ไหมล่ะ”


คุณชวินทร์ดึงให้ตฤณก้าวเข้ามานั่งในอ่างด้วยกันแล้วเอื้อมตัวไปปิดน้ำตอนที่มันสูงขึ้นมาเท่าข้อเท้าเห็นจะได้ จากนั้นก็ตามสูตรคนชอบจูบ พ่อมดกอดรัดให้เขานั่งคร่อมด้านบนแล้วตะโบมจูบไม่ยั้ง ตฤณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขาหรอก เป็นฝ่ายดึงชั้นในอีกคนแล้วโยนออกจากอ่างไปก่อนด้วย ซุกไซร้ที่ซอกคอเล้าโลมให้คุณวินมีความสุขเท่าที่จะทำได้ในอ่างน้ำลื่นๆแบบนี้ ถึงเปียกไปหน่อยแต่คุณวินไม่ลากเขาไปตรงที่แห้งกว่าอย่างระเบียงก็บุญหัวแล้ว


“ให้เวลาสิบวินาที” คุณวินกระซิบข้างหู “วิ่งไปหยิบถุงยางมา ถ้าช้าผมจะตามไปเอาถึงเตียงนะ”


คำว่าตามไปเอาตฤณไม่แน่ใจว่าหมายถึงถุงยางหรือตัวเขาเองกันแน่ แต่ก็รีบก้าวจากอ่างออกไปแทบจะทันทีโดยนับในใจไปด้วย ได้ยินเสียงตะโกนตามออกมาว่าระวังลื่น แหม เพราะใครล่ะที่ทำให้ต้องรีบวิ่งแบบนี้


ตฤณวิ่งกลับมาพร้อมกับถุงยางที่เหลือทั้งกล่อง นับในใจได้เก้า เห็นคนที่นั่งรอกำลังเอนหลังสบายใจ


เพราะอ่างอาบน้ำเป็นวงกลมเลยพอมีที่ให้ขยับตัวได้บาง คุณวินไม่ได้จับให้เขาต้องทำแต่เป็นตฤณที่ลงไปนั่งบนร่างอีกฝ่ายเองต่อจากเมื่อครู่ และเหมือนเขาถูกแกล้ง คุณวินไม่ยอมจูบ กลับเอาแต่นั่งมองด้วยสายตาลามกจนเริ่มเขินขึ้นมาอีกแล้ว เลยต้องช่วยรั้งรูดตัวตนของคุณเขาแก้เก้อ ส่วนคนขี้แกล้งใช้น้ำเป็นสิ่งหล่อลื่นเข้ามาเบิกทางให้ตฤณแทนการใช้เจลแบบที่ผ่านมา ซึ่งมันทำเอาเขากังวลอยู่เหมือนกัน ถึงน้ำจะลื่น แต่มันยังฝืดกว่าสิ่งที่ทำมาเพื่อจุดประสงค์หลักอยู่ดี


เราไม่ได้มีอะไรกันบ่อยนัก ตฤณจึงกังวลทุกครั้งที่ต้องเตรียมร่างกายรองรับอีกคน


“ตฤณ ไม่ทำหน้าอย่างนั้น” คุณวินนวดหว่างคิ้วให้เขาคลายมันออก คนถูกเรียกยกสะโพกให้อีกคนได้ชอนไชเข้ามาถนัดขึ้น


“ผมไม่ชิน ไม่เคยในห้องน้ำ ซี้ด...” เด็กหนุ่มชะงักทันทีที่คุณวินหาจุดตายของเขาพบ “เราจะไม่ลื่นแขนขาหักไปก่อนใช่ไหมครับ”


“คิดมากน่า ผมจับอยู่คุณจะกลัวอะไร เจ็บหรือเปล่า”


“ไม่ค่อย” แต่ก็ไม่ได้ชอบอะไรมาก เพราะไม่ถนัดให้คนอื่นมาล้วง


“โอเค” เสียงทุ้มรับคำ แล้วเอาสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วมาจ่อตรงปากทางแทนที่ “จัดการเลย”


ตฤณเม้มปาก เขาไม่เคยเป็นฝ่ายที่ต้องรับแล้วขยับเองไปด้วย แต่จะอิดออดเอาแต่ใจก็ไม่ใช่เรื่องอีกเหมือนกัน สายตาคมคู่นั้นกำลังมองเขา ต้องรีบจัดการก่อนหัวสมองชาญฉลาดจะคิดทำอะไรแผลงๆกับเขาอีก จึงค่อยๆนั่งทับคุณชวินทร์ให้ช้าที่สุด และเมื่อกัดฟันทำมันไปจนสุด พบว่าท่านี้ทำเอาอารมณ์ขึ้นอยู่เหมือนกัน


คุณชวินทร์น้อยคับแน่นอยู่ในตัวตฤณ และมีทีท่าว่าจะเพิ่มขนาดอีก ส่วนเจ้าของมันตอนนี้จ้องมาเสียจนตฤณคิดว่าหากกลืนได้คุณวินคงกลืนเขาลงท้องไปแล้ว


เพราะเวลามีอะไรกัน คุณชวินทร์จะกลายร่างเป็นพ่อมดใจร้ายโดยสมบูรณ์แบบ ขณะที่เริ่มขยับร่างกายเข้าหากัน ตฤณเลยต้องออดอ้อนขอความเห็นใจด้วยการเอามือใหญ่มาวางไว้ที่ตินน้อยแล้วกระซิบข้างใบหูว่า “ช่วยผมอีกทีนะครับ”


เด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆออนท็อปทำเอาชวินทร์แทบเป็นบ้า ทั้งเสียงสั่นกระเส่าแบบนั้น ทั้งสายตาฉ่ำเยิ้มอ้อนเอาใจแบบนั้น และท่าทางร้อนแรงแบบนั้น ใครจะอดใจไหว


ตฤณไม่เคยทำแบบนี้หรอก ชวินทร์ประเมินแล้วในใจจากท่าทางไม่ประสีประสา แต่ว่าสิ่งที่ออกมาให้เห็นก็การันตีว่าตฤณทำมันได้ดี ทั้งเสียงเนื้อกระทบกันลั่น เสียงครางของเขาผสมปนเปไปกับเสียงน้อง กลิ่นชื้นในห้องน้ำ อะไรต่อมิอะไรมันวาบหวามไปหมด ตฤณใช้ทักษะการโยกเอวได้ดีเหลือล้น ทุกครั้งที่เข้ามาถึงจุดลึกที่สุด ชวินทร์มองเห็นสวรรค์อยู่ไม่ไกล โดยมีเทวดาผู้เร่าร้อนนามว่าตฤณเป็นคนพาไปเอง


ตฤณเป็นคนที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงในหลายครั้ง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาชักสาวให้จนถึงเป็นรอบที่สอง เด็กหนุ่มรัดเขาจนทนไม่ได้ให้ออกแรงกระทุ้งกระแทกเสียเอง และเมื่อร่างกายพร้อมปลดปล่อย ตฤณถอนตัวเองออก ดึงอุปกรณ์ป้องกันทิ้งไปที่ไหนไม่รู้ ก่อนรั้งรูดเคล้นเอาน้ำใคร่ของเขาออกมาจนหมด...และต้อนรับมันด้วยปากตัวเอง


เกินไป เกินไปมาก


ชวินทร์หัวใจเต้นแรงตุบตับ หูอื้ออึงเป็นเสียงหวีดเบาบาง เห็นแล้วอยากกอด อยากฟัด อยากรัดแน่นๆให้ร้องขอชีวิต


สิบเอ็ดโมงสิบห้านาที ชวินทร์นั่งพิงอกตฤณแช่น้ำอุ่นอยู่ด้วยกันในอ่าง โดยมีแขนของเด็กหนุ่มโอบกอดเอาไว้ และเอาคางแหลมมาเกยบนบ่าของเขา


นี่ล่ะการพักผ่อนวันหยุดที่แท้จริง

__________

เป็นตอนที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยนอกจาก... 5555
ครั้งต่อไปก็ยังคงเป็นตอนพิเศษอยู่นะคะ เก็บเอาไว้ทั้งพาร์ทคู่วินxน้องตฤณ แล้วก็ เนตรxตฤณ รวมถึงตอนที่ครอสโอเวอร์กันเป็นพาร์ทสั้นๆด้วย
ยังคงลงวันศุกร์เหมือนเดิม หลังจากหมดตอนพิเศษเราจะหยุดลงนิยายชั่วคราว
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ P.2 [6/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 07-09-2019 21:00:16
น้องตฤนแซ่บบมากก คุณวินหลงจนไม่รู้จะหลงยังไงล้าววว 555
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ P.2 [6/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 08-09-2019 14:11:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ P.2 [6/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 08-09-2019 16:10:08
คู่ของฝั่งสาทรเขาร้อนแรงมากเลยค่าาาา ฝั่งทองหล่อจะยอมไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ P.2 [6/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 19-09-2019 18:17:36
ชอบจัง นัว แนบ แซ่บหลาย แต่ถ้าให้เลือก อยากอ่านเรื่องต่อๆของสาทรที่รัก น้องเรียนจบแล้วทำอะไร มาให้พี่เลี้ยงหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ II Ft.ทองหล่อ P.2 [20/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 20-09-2019 21:18:09
Lost at Sathorn Ft.Thonglor My Love
ตอนพิเศษ : ลักจูบ




ชวินทร์ไม่เคยรู้สึกว่าอาหารของโรงแรมอร่อยมากเท่ามื้อนี้มาก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีโอกาสคลุกคลีอยู่กับมันจนเบื่อ ถึงกับไม่แตะต้องมันมานานนับปี


รู้สึกอิ่มมากแม้ว่ากินน้อย นั่นเป็นเพราะอิ่มเอมใจมากกว่าเมื่อได้ร่วมโต๊ะกับตฤณ แค่นั่งมองอีกฝ่ายมีความสุข ชวินทร์เหมือนมีอะไรมาเติมจนล้นไม่รู้จักจบสิ้น


ตฤณเป็นคนกินเก่ง แต่น่าแปลกที่สามารถทำตัวเรียบร้อยไปในเวลาเดียวกันได้ การหยิบจับช้อนส้อม การตักอาหารมาให้เขา การเคี้ยวไม่มีเสียง ไม่พูดเวลามีอาหารในปาก แทบจะไม่ทำอะไรหกกระเด็นออกนอกจานแม้ว่าจะเป็นอาหารประเภทน้ำแกง ชักเริ่มอยากรู้แล้วว่าครอบครัวที่บ้านอบรมสั่งสอนมาดีขนาดไหน น่าสนใจ


เวลาพูดไม่ได้ น้องจะส่งยิ้มมาให้แทน เป็นยิ้มที่ทำให้แก้มกลม จักรวาลสีน้ำตาลเข้มทั้งสองถูกชั้นหนังตาบดบังขึ้นไปด้านบนจนหยีเล็ก ตฤณไม่ใช่คนที่หน้าตาดีมากมาย หากทุกสิ่งที่ประกอบกันก็ทำให้ดูน่ารักสำหรับชวินทร์แล้ว


น่ารักจนไม่อยากหันมองไปทางอื่น


น่ารักจนเวลาหลับอยากจะรักหลายๆที


กว่าชวินทร์จะหลุดจากถนนสุขุมวิทมาได้ทำเอาเสียเวลาบนท้องถนนไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ช่วงแรกตฤณที่นั่งมาด้วยกันยังชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นปกติ แต่พอเงียบเสียงไป หันมาเห็นอีกทีก็คอพับคออ่อน หายใจเข้าออกสม่ำเสมอไปแล้ว เป็นแบบนี้แทบจะทุกครั้งที่มาหาเขาที่โรงแรม


ชวินทร์ไม่คิดจะปลุกมานั่งคุยกันต่อแม้ว่าตฤณจะเคยพูดหลายครั้งให้ทำ ตฤณรับรู้ว่าเขาทำงานเหนื่อยทุกวัน แถมยังต้องขับรถมาส่งเพราะไม่ยอมให้กลับเอง รถติดนานๆแบบนี้กลัวว่าสักวันชวินทร์จะเผลอหลับตามกันไปเลยจะนั่งคุยเป็นเพื่อน


แค่แอบมองตอนหลับก็มีกำลังใจขับต่อ ตฤณคงไม่รู้ว่าตัวเองตอนหลับถูกเขาแทะโลมทางสายตาไปกี่ครั้งหรือหักห้ามใจไปกี่ทีไม่ให้คิดอกุศล


“ตฤณครับ ถึงแล้ว”


ชวินทร์ขับเข้ามาจอดที่ลานจอดแคบๆชั่วคราวของหอพักที่ตฤณอาศัยอยู่ ดับเครื่องปลดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วเรียกให้อีกคนตื่นอย่างที่ทำประจำ


เงียบ


เจ้าของชื่อไม่กระดุกกระดิกร่างกายสักนิด ทำเอาคนมาส่งอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้ นึกไปถึงเมื่อตอนหัวค่ำที่ตฤณเล่าให้ฟังว่าช่วงสองอาทิตย์นี้ต้องนั่งทำเปเปอร์งานเขียนยันตีหนึ่งตีสอง ไหนจะต้องตื่นเช้ามาเข้าเรียนอีก


ตอนขับรถหันมามองเป็นครั้งคราว ตอนนี้มีโอกาสนั่งมองเต็มตา ชวินทร์อยากดื่มด่ำช่วงเวลานี้ให้นานที่สุด เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาบ่อยนัก


ภายในรถเงียบสนิทจนได้ยินเสียงหัวใจเจ้ากรรมเต้นตึกตัก ประสานกับเสียงลมหายใจของเด็กหนุ่มที่หลับตาพริ้มสนิทปกคลุมด้วยขนตาแพยาว ชวินทร์เอื้อมตัวไปปลดเข็มขัดให้เบาที่สุด ใบหน้าเฉียดใกล้กันน้อยกว่าคืบ ลมหายใจอุ่นพ่นออกมาทางจมูกสัมผัสใบหน้าเขา บางส่วนเป็นไอน้ำเกาะเลนส์แว่น กลิ่นกายของตฤณเวลานี้หอมหวานยั่วใจเหลือเกิน ยิ่งมองใกล้ๆเห็นผิวเนียนละเอียด ริมฝีปากสีสดด้วยแล้วล่ะก็ ถึงกับต้องเลียปากแห้งผากของตัวเองข่มใจ


ชวินทร์ได้ยินเสียงตัวเดวิลกับตัวแองเจิลในสมองเถียงกันไปมาไม่หยุด


ดูท่าทางเดวิลคงชนะ เพราะเขาประทับริมฝีปากลงไปเรียบร้อย ละเลียดลิ้นเชื่องช้าขยับขึ้นลงเบาๆเพื่อทดสอบว่ามันนุ่มนิ่มขนาดไหน


ลักจูบเด็กนี่รู้สึกดีเป็นบ้า


“ตฤณ ตฤณครับตื่นเร็ว ถึงแล้ว”


“อือ...หา ถึงแล้วเหรอ นี่ผมหลับไปอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” อีกฝ่ายนวดขมับ ขยี้ตาแล้วบีบต้นคอเหมือนเมื่อยที่นอนท่านั้นอยู่นาน


“ไม่เรียกผมเลย”


“ไม่เป็นไร ไปพักผ่อนเถอะครับ”


“ครับ วันศุกร์เจอกันนะ”


ชวินทร์ยิ้ม ไม่ได้เดินไปส่งเพราะตฤณเคยบอกว่าไม่อยากรบกวน


“อ้อ คุณวินครับ”


“ครับ? ลืมอะไรหรือเปล่า ดูให้ดีก่อนลงไปนะ”


ชวินทร์ช่วยมองหาเผื่อตฤณจะทำมือถือตกไว้หรือลืมกระเป๋าเป้ แต่แล้วตฤณแค่เอื้อมกายเข้ามาใกล้มากขึ้น มากขึ้น ช้อนเชิดคางเขาให้เงยมอง


ตฤณหอมแก้มเขา


ตฤณจูบเขา


“เมื่อกี้ผมฝัน แต่เดี๋ยวอีกหลายวันกว่าจะเจอกัน เลยขอกำลังใจก่อนละกัน ขอบคุณมากครับที่มาส่ง ไปนะ”


ชวินทร์หลุดหัวเราะพอเด็กหนุ่มขยิบตาแล้วปิดประตูรถเดินออกไป กระนั้นกลิ่นกายของตฤณยังคงอบอวลตรึงใจ เลียปากไม่หยุด เนื้อตัวกระตุกเร่าด้วยความเขิน


ตฤณจะรู้ไหมว่าเมื่อครู่ไม่ได้ฝัน


____________________



“คุณ วันนี้ว่างไหม”


[ว่างตลอดสำหรับคุณครับ]


ติณภพเบ้ปาก พยายามกดตรงมุมไม่ให้ยกยิ้มขึ้นมาจนมันกลายเป็นว่าเหมือนคนเป็นโรคชักกระตุก เลยเปลี่ยนเป็นกัดริมฝีปากแทน “ผมฝากซื้อกาแฟเอาเข้ามาให้ที่โรงแรมหน่อยสิครับ พอดีไม่ว่างออกไปหา”


[บ้าจริง ผู้ชายชวนเข้าโรงแรม คนเขามีพ่อมีแม่นะครับ]


“คุณเนตรชนก อย่าสะดีดสะดิ้งใส่ผม” คนต้นสายกดเสียงต่ำ แต่พอลองนึกภาพว่าผู้ชายร่างสูงใหญ่กำลังแสดงท่าทางตามเสียงสองเสียงสามนั่นแล้วก็อดไหล่สั่นไม่ได้ มันคงตลกน่าดู “ขอเหมือนเดิมนะครับ รบกวนด้วย เดี๋ยวมีรางวัลให้”


[โอ๊ะ อยากรู้จังว่าคุณตฤณจะให้รางวัลอะไร] เสียงปลายสายฟังดูสดใสตื่นเต้นขึ้นมา ทำเอาติณภพเห็นเป็นภาพใบหน้าของคุณเนตรที่ส่งยิ้มหล่อเหลามาให้บ่อยๆ


“อยากรู้ก็รีบมา รออยู่นะ”


[ได้เลยครับ อีกสิบห้านาทีแจกัน]


พอกดวางสาย คนที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ถึงกับชะงักไปเมื่อหันไปเห็นวายตาที่มองมาอยู่ก่อน คนที่นั่งอยู่คนละมุมห้องเองยิ้มแบบมีเลศนัย ทำเอาเขาต้องพรูลมหายใจทางจมูกแก้เขิน


“คุณเจตน์ รบกวนสั่งอาหารซีฟู้ดเจ้าประจำให้ผมทีสิครับ ขอแบบให้ทานกันสองคนอิ่มนะ”


“ครับผม” เจ้าของชื่อขานรับ “วันนี้อารมณ์ดีนะครับ สั่งอาหารพิเศษเสียด้วย”


“เออน่า คุณอยากได้อะไรก็สั่งเพิ่มเอาแล้วกัน เก็บบิลที่ผม” ติณภพก้มหน้าลงอ่านเอกสารบนโต๊ะเหมือนเดิม อันที่จริงต้องกลับมาอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกเพราะมัวแต่คิดจะซ่อนรอยยิ้มอยู่นั่นล่ะ เลขาก็แซวเก่งจริงๆ


“อย่าคิดว่าแซวเลยคุณติณภพ ช่วงนี้คุณดูผ่อนคลายถือว่าดีกว่าตอนคุณเครียดจากงานหนักครับ เจ้านายมีความสุขผมก็มีความสุข มีความรักก็แบบนี้ล่ะนะ โอ๊ย! ปายางลบใส่ผมอีกแล้ว ขโมยไปกี่ก้อนเนี่ย”


ถ้าไม่ติดว่ามีแฟนแล้วเขาคงคิดว่าคุณเจตน์ตะล่อมจีบอยู่แน่ๆ เวลาอารมณ์ดีล่ะชอบพูดจารื่นหู “ขอโทษครับ มือลั่นไปเอง คุณเจตน์ก็รีบๆจีบคุณโสมให้สำเร็จแล้วกัน ผมเอาใจช่วย”


เห็นคุณเจตน์เอามือลูบหัวป้อยๆแล้วขำ ยิ่งพอพูดถึงสาวสวยเลขาคุณชวินทร์แล้วทำท่าทางขัดเขินไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วยยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่




“คุณเนตร ผมมีมือแกะเองได้ ไม่ต้องทำให้ผม” ติณภพพูดห้ามเป็นครั้งที่สามในรอบการแกะกุ้งสามตัวของคุณเนตรมาวางในจานเขา แต่ไม่เกิดผลใดๆนอกจากได้กุ้งเพิ่ม แถมพอจะเอื้อมไปหยิบยังถูกปัดมือกลับมาเสียอีก


“ก็ผมมือเลอะแล้วไง ให้มันเลอะทีเดียวจะได้ไปล้าง” เจ้าของเสียงพูดไปดูดนิ้วตัวเองไป ก่อนหันไปคว้าเอาปูนึ่งในจานมาวางตรงหน้าแล้วเริ่มจัดการหักก้ามเล็กๆของมันเสียงกร๊อบแกร๊บ นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงทั้งรักทั้งหลงคุณเนตรแน่ๆเรื่องการอำนวยความสะดวกเวลากินอาหารทะเล มือไม่ต้องเปื้อนกลิ่นคาวใดๆทั้งสิ้น


คุณเนตรไม่รู้ตัวเองว่าเวลาเขาดูดนิ้วเอาคราบกุ้งคราบปูออกมันเซ็กซี่ขนาดไหน ติณภพเห็นแล้วเผลอเลียปากตามทุกที


“งานยุ่งเหรอครับวันนี้”


“ก็นิดหน่อย เรื่องติดพันเล็กๆน้อยๆ” ในเมื่อไม่ยอมให้แกะเลยต้องเป็นฝ่ายยอมกินเองแทน “แล้วคุณไม่มีงานเหรอวันนี้ แต่งตัวอย่างกับจะไปแคสซีรีส์”


คนแกะกุ้งชั่วคราวส่งยิ้มให้ “วันนี้ว่าง ผมทำงานพรุ่งนี้ครับ ไปถ่ายนิตยสารที่ภูเก็ต เราจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งสี่วันแน่ะ”


ติณภพพยักหน้า หยิบกุ้งสุกสีส้มจัดชิ้นหนึ่งไปจิ้มน้ำจิ้มแล้วยื่นไปจ่อที่ปากอีกคน คุณเนตรเหลือบมอง ก่อนรับเอามันเข้าไปเคี้ยวแล้วขอบคุณเขา เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนั้นแล้วคนทางนี้รู้สึกอิ่มใจมากกว่าที่อิ่มท้อง ถึงจะได้ยินว่าต้องห่างกันหลายวันก็ไม่เป็นอะไร เพราะเขาเข้าใจว่าในชีวิตการทำงานของแต่ละคนย่อมต่างกัน ติณภพกับคุณเนตรชนกเองก็ใช่ว่าจะหาเวลาว่างมาเจอกันได้ทุกวันเสียเมื่อไหร่ ขนาดตอนรู้จักกันเริ่มแรกยังทิ้งเวลาหลายวันกว่าจะเห็นหน้าแต่ละที


“โทรคุยกันได้ ไม่เป็นปัญหา”


นี่เป็นอีกมื้อกลางวันที่เนตรชนกได้มีโอกาสเข้ามาหาติณภพที่โรงแรม และมีเวลาส่วนตัวให้กันในห้องทำงานที่เปลี่ยนเป็นโต๊ะรับประทานอาหารชั่วคราว มื้อนี้คุณติณภพเลี้ยงอาหารทะเล ในเมื่อไม่ได้มีส่วนออกค่าอาหารเลยต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยงานบริการ ส่วนคราวก่อนเขาเองเป็นฝ่ายไปตระเวนหาอาหารเจ้าอร่อยเข้ามาฝาก ซึ่งสิ่งที่ทำให้เจริญอาหารไม่ใช่ตัวอาหารหรอก หากแต่เป็นเพราะคนที่นั่งด้วยกันมากกว่า


พอเก็บวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วยังพอมีเวลาให้นั่งพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ติณภพพาคุณเนตรไปนั่งที่สวนด้านหลังโรงแรมอันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจทั้งของแขกและพนักงาน มีสระว่ายน้ำขนาดย่อมอยู่ด้านหลังโดยที่ด้านหน้าเป็นเก้าอี้ม้าหินหลายชุดเรียงรายกัน ไม่ลืมที่จะถือกาแฟออกมาด้วย


“คุณอยากรู้ไหมว่าทำไมผมถึงไม่ชอบให้ใส่ฟองนมในกาแฟ”


“อืม นั่นสิ คุณไม่เคยบอกเลย ทำไมเหรอครับ”


“ผมขอยืมหน่อยนะ” ว่าแล้วติณภพก็เอื้อมมือไปคว้าแก้วคาปูชิโนสูตรปกติของคุณเนตรลากเข้ามาหา อันที่จริงมันพร่องลงไปหน่อยแล้วแต่ฟองนมด้านบนยังไม่หมดไป จากนั้นยกดื่ม ทำเอาคนที่นั่งมองเบิกตาขึ้นเพราะความแปลกใจ


เนตรชนกเห็นภาพติณภพที่ชี้นิ้วมือเข้าหาใบหน้าตัวเอง ริมฝีปากบนมีฟองนมสีขาวเลอะจนเห็นชัด บางส่วนติดอยู่ที่ปลายจมูกด้วย “มันเป็นแบบนี้แหละ ผมรำคาญ บางทีนั่งประชุมในห้อง หมดสภาพความเป็นประธานเลยคุณเอ๊ย”


คนพูดกำลังจะหยิบกระดาษเช็ดปากออก แต่ยังช้ากว่าเนตรชนกที่คว้าหมับข้อมือนั้นไว้แล้วลุกขึ้นยืน โน้มร่างยื่นหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากตรงรอยฟองนมนั้น ทั้งดูดงับทั้งเลียจนมั่นใจว่าเกลี้ยงเกลา


ติณภพเบิกตากว้าง แลบลิ้นเลียริมฝีปากพร้อมกับกระพริบตาปริบ คุณเนตรเองก็เลียปาก ต่างกันตรงที่สายตาคู่นั้นมองมาทำเอาเขาวาบหวามในอก


“คุณน่าจะสั่งฟองนมนะ” ใครคนนั้นว่า “เดี๋ยวผมเช็ดให้...บ่อยๆ”


“ไอ้คุณเนตร ไอ้บ้า” อยู่ๆสระว่ายน้ำก็น่าสนใจขึ้นมาจนต้องเบนสายตาไปมอง “คุณก็น่าจะแกะกุ้งแกะปูบ่อยๆเหมือนกันแหละวะ ผมจะได้...เช็ดให้บ้าง”


แวบแรกที่เหลือบมอง คุณเนตรมีความไม่เข้าใจอยู่ในสายตา แต่แล้วมันกลับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในเสี้ยววินาที เพราะเพิ่งนึกออกว่าถึงเวลานั้นจริงตัวเองไม่ได้เช็ดด้วยกระดาษ แต่เป็นการทำความสะอาดด้วยลิ้น


“ไม่ต้องรอแกะกุ้งปูหรอก จะตอนไหนผมก็ให้คุณเช็ดหมดนั่นแหละ อยู่ที่ว่าคุณจะเอาอะไรมาเช็ด”


ติณภพคิดว่าตอนนี้ตัวเองหน้าเห่อร้อนจนมันแดงให้คนที่อยู่ด้วยกันเห็น คุณเนตรชนกแกล้งหยิบกระดาษมาเช็ดนิ้วชี้กับนิ้วกลางของตัวเองให้เห็นๆกันตรงหน้า ส่งสีหน้าหยอกเย้าเพื่อเตือนความจำว่าก่อนหน้านี้ติณภพเคยทำมันมาก่อน เป็นการทำความสะอาดที่ร้อนแรงใช่เล่น

__________

อันนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนทริปเชียงใหม่ค่ะ เดี๋ยวคู่ทองหล่อก็จะมีทริปเชียงใหม่ด้วยเหมือนกัน

มาถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกอยากแต่งสองคู่นี้ให้ยาวขึ้นแล้ว โดยเฉพาะคู่สาทรเนี่ย แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะคงเรื่องหลักไว้ 8 ตอนแล้วที่เหลือแยกเป็นตอนพิเศษไปเรื่อยๆหรือว่าจะยืดเนื้อหาเดิมให้เรื่องหลักยาวขึ้น อาจจะดูอีกที
และถ้าทำจริง ย่านอื่นเราคงเปลี่ยนเป็นตอนพิเศษสั้นกว่ามากๆแทน

ช่วงนี้คงไม่ค่อยมีเวลาแต่งเรื่องใหม่ๆแล้วเพราะไม่ว่าง ยุ่งมากกก บวกกับยอมรับว่าพอคนอ่านหรือคอมเมนท์น้อยก็เริ่มจะไม่อยากแต่งแล้วด้วย แพชชั่นที่เหลือคือคู่คุณวินกับตฤณล้วนๆเลย

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :110011:
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ II Ft.Thonglor My Love P.2 [20/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 21-09-2019 08:17:02
รอทริปเชียงใหม่คู่ทองหล่ออยู่นะคะ ชอบคู่นี้มากเลยยย
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ II Ft.Thonglor My Love P.2 [20/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: Quatree ที่ 21-09-2019 22:15:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ II Ft.Thonglor My Love P.2 [20/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 21-09-2019 23:03:40
แงงง อย่าเพิ่งหมด passion คู่สาทรกับทองหล่อน่ารักมากก คอยดูแลกันตลอดด
เรารออ่านคู่เอกมัยกับสีลมอยู่นะ อยากรู้ว่าจะเป็นแบบไหน
ปล. เป็นกำลังใหคุณคนแต่งเรื่องเรียนนะ สู้ๆ มีเวลามาแต่งนิยายให้อ่านก็ดีใจแล้วว รออ่านอยู่ตลอดนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Lost at Sathorn : #หลงมาที่สาทร ตอนพิเศษ II Ft.Thonglor My Love P.2 [20/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-09-2019 01:55:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 27-09-2019 20:53:10
Thonglor My Love
ตอนพิเศษ : วันหยุด



“ตฤณ นี่ติณภพกับคุณเนตร”


“สวัสดีครับ คุณติณภพ คุณเนตร”


เด็กหนุ่มประนมมือขึ้นกลางอกแล้วค้อมร่างไหว้เขากับคุณเนตรหลังจากที่คุณชวินทร์แนะนำ และคุณเนตรเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากตอบรับออกไปก่อน คุณเนตรเป็นมิตรกับคนอื่นอยู่แล้ว ต่างจากเขาที่ไม่ค่อยเอ่ยปากหากไม่จำเป็น นี่คงจะเป็นเด็กคนที่ชื่อเหมือนกันกับเขาที่คุณชวินทร์เล่าให้ฟัง น่าแปลกที่เพิ่งพบหน้ากันแต่ว่าติณภพกลับรู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด


ตฤณเป็นเด็กที่ดูธรรมดาที่สุดในบรรดาแฟนของคุณวินที่เขาเคยพบเจอมา คิดในใจอย่างรวดเร็วแล้วไม่น่าจะเป็นคนประเภทที่เพื่อนของเขาจะเปิดใจยอมรับเข้ามาได้ด้วยซ้ำ แต่...ไอ้ความน่าดึงดูดบางอย่างส่งสัญญาณที่เขาสามารถรู้สึกลึกๆมาให้รับรู้ ผิวไม่ขาวมากเท่าเขาทว่าเวลาส่งยิ้มแล้วขับให้บริเวณแก้มกลมๆนั่นดูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจัดหยีลงยามคลี่ยิ้ม รูปร่างค่อนไปทางสูง แต่งกายเรียบร้อยและท่าทางนอบน้อม ทำเอาเขานึกถึงใครบางคนขึ้นมา ถึงจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวก็ตาม


ทุกสิ่งที่บอกว่าธรรมดา ประกอบกันแล้วลงตัวอย่างที่สุดแบบไม่ต้องเพิ่มอะไรเลย นี่อาจเป็นสิ่งที่เด็กคนนี้เป็นที่ถูกใจของคุณวินก็ได้ แค่เห็นก็ทำให้ยิ้มออกมาทันที น่าเอ็นดูเหลือเกิน


“ไง อยากเจอมากไม่ใช่เหรอ เอามาให้เจอแล้ว”


“อืม ดีเลย น่ารักดี” เขาว่าก่อนจะเอื้อมไปยีผมเจ้าหนูของเพื่อนแล้วโอบไหล่แบบพี่ชายน้องชายที่สนิทกันรวดเร็ว “เก็บของกันเรียบร้อยแล้วก็ไปทานมื้อเที่ยงกันเถอะ”




หลังกินอาหารกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย เราสี่คนก็นั่งคุยกันเพื่อผ่อนคลายเป็นการฆ่าเวลารอคิดเงินค่าอาหาร ติณภพยอมรับว่าวันนี้พูดเยอะเพราะไม่ได้เจอคุณชวินทร์มาสักพักแล้ว กับคุณเนตรชนกที่เพิ่งกลับมาจากทำงานที่ต่างประเทศก็เพิ่งได้เจอกันจริงจังเมื่อวานนี้เอง บางเรื่องก็เล่าให้ตฤณที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกฟัง และบางช่วงก็คุยเรื่องโรงแรมกับคุณวิน คุณเนตรเลยชวนตฤณคุยแก้เหงา


“คุณเนตรมีโปรแกรมจะไปไหนอีกไหมครับวันนี้”


“เรียกพี่เถอะ เราน่าจะห่างกันไม่กี่ปีนะ ตฤณอายุเท่าไหร่”


“ยี่สิบเอ็ดครับ แล้วพี่เนตรล่ะ” ดูสิ ขนาดเวลาพูดคุยน้ำเสียงเด็กคนนี้ยังฟังดูมีมารยาทมากๆ แถมว่านอนสอนง่าย คุณเนตรให้เรียกพี่ก็เรียก ส่วนคุณวินเห็นนั่งเงียบไม่ค่อยพูดจา แต่ตานี่มองแทบไม่กระพริบ


“พี่ยี่สิบห้าครับ เนี่ยห่างกันไม่กี่ปีเอง ไม่ต้องเรียกคุณหรอก จะได้ดูสนิทๆกันไง เนอะ” นั่นสิ เขาก็เห็นด้วย อยากบอกว่าคำว่าคุณเก็บเอาไว้เรียกกับคุณชวินทร์แบบอ้อนเอาใจผู้ใหญ่จะน่ารักกว่า เหมือนเวลาเขากับคุณเนตรเรียกกันไง


เดี๋ยวก่อน เนตรชนกอายุเท่าไหร่นะ


“คุณเนตร ไหนบอกเกิดปีมะเส็งไง”


“ก็มะเส็งไงครับ งูเล็กที่ไม่เล็ก คุณเกิดมะโรงไม่ใช่เหรอ” คนพูดเย้ากลับ ทำเอาคนทางนี้ขมวดคิ้วส่งสายตาดุกลับไป


“ก็เออผมเกิดมะโรง แล้วผมก็คิดว่าคุณเกิดมะเส็งหลังผมหนึ่งปีไง! แม่งเอ๊ย...” เวรกรรมอะไรไม่รู้ สุดท้ายแล้วความจริงที่อยากจะปิดคลุมเครือไว้สักพักใหญ่ๆให้ทำใจได้ก่อนก็กระจ่างแจ้งเสียอย่างนั้น คิดแล้วลมแทบจับต้องนวดขมับกันเลยทีเดียว คุณวินคงพอจะเดาได้ถึงหัวเราะใส่เขา ส่วนตฤณก็นั่งทำหน้ามึน ไม่รู้เข้าใจอีกคนหรือเปล่า แต่เวลานี้ไอ้ตี๋อายสุดๆ


“จะหนึ่งปีหรือหนึ่งรอบ...”


“หยุดเลย หยุด ไม่ต้องพูดเรื่องอายุแล้ว” แล้วติณภพที่เพิ่งรู้ความจริงอันแสนจะทำใจยากต่อการยอมรับจำต้องเปลี่ยนเรื่องในวงสนทนาทันที เนตรชนกหัวเราะมีความสุขที่ได้ก่อกวนเหลือเกิน มันน่าจับตีนัก


“โอ้โห พี่เนตรเท่สุดๆไปเลย” เด็กหนุ่มตื่นตาตื่นใจจนตาเป็นประกายที่คนตัวโตกำลังอวดว่าตัวเองทำอาชีพนายแบบ เปิดรูปให้น้องดู เขาเลยต้องเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าคุณเนตรเป็นนายแบบที่ถ่ายแบบให้นิตยสาร แบรนด์เสื้อผ้า รวมทั้งถ่ายโฆษณาบ้างเท่าที่รู้ ว่าแล้วก็วกกลับเข้าเรื่องธีโอดอร์น้องชายเขาอีกจนได้เพราะทำงานร่วมกัน ตฤณก็ตื่นเต้นกว่าเดิมเพราะเห็นบอกว่าติดตามในอินสตาแกรมด้วย ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัว


เด็กคนนี้น่าเอ็นดูเหมือนธีโอดอร์ตัวแสบนั่นไม่มีผิด คุณเนตรแกล้งชวนไปเข้าวงการด้วยกัน เขาเลยแกล้งบอกต่อว่าจะฝากให้เข้าไปทำงานกับธี


“อวยน้องตัวเองได้แต่อย่ามาอวยตฤณเยอะนะติณภพ รายนั้นเขาไม่ใจอ่อน จะบอกให้”


“ผมอวยตฤณแล้วคุณจะทำไมล่ะครับ ก็แค่เอ็นดูเหมือนน้อง ทำเป็นหวงไปได้”


“เปล่าหวง คือที่จริงก็หวงแหละ...” นั่นไง บางทีพอเริ่มหลุดมาดแล้วคุณวินก็กวนไม่น้อยไปกว่าคุณเนตรหรอก ชอบพูดย้อนแย้งในตัวเอง “...แต่หมายถึงว่าตฤณน่ะพ่อแม่เขาเลี้ยงมาดีเลยไม่ค่อยเอาแต่ใจ เพราะคุณอวยเด็กแบบนี้สินะถึงได้กินเด็ก”


“คุณนั่นแหละเลี้ยงต้อย มากล่าวหาว่าผมอวยเด็ก น้องเพิ่งยี่สิบเอ็ดเองไม่ใช่เหรอ แล้วคุณแก่กว่าตั้งเท่าไหร่ยังมาว่าผม” ติณภพคันปากเถียงกลับ ก็เขาเพิ่งรู้อายุเนตรชนกพร้อมกับทุกคนวันนี้จากตอนแรกคิดว่าห่างกันปีเดียว คนไม่รู้ย่อมไม่ผิดสิวะ


“โธ่ คุณก็ไม่ต่างกันนั่นล่ะวะครับ คุณเนตรเป็นเพื่อนน้องชายคุณไม่ใช่เหรอ”


“ก็เพิ่งรู้อายุไงล่ะโว้ย!” คุณวินนี่เข้าใจฝั่งตะวันตกบ้างไหมเนี่ย เพราะคิดว่าเกิดห่างกันแค่ปีเดียวเลยไม่คิดอะไร เพื่อนกันไม่จำเป็นต้องอายุเท่ากันเสียหน่อย ธีโอดอร์ก็มีเพื่อนในวงการอายุมากกว่าถมเถไป ฮึ่ย!


ที่จริงเวลาแซวกันแบบนี้คนอื่นอาจจะคิดว่าทะเลาะ แต่เปล่า มันคือเรื่องปกติของติณภพกับคุณวิน น้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ได้หนักหนารุนแรง เอาเป็นว่าแซวกันพอหายคันยุบยิบ เพราะตอนนี้ตฤณกับคุณเนตรเริ่มยิ้มแห้งมองซ้ายทีขวาทีเหมือนดูการแข่งขันเทนนิสอยู่รอมร่อแล้ว


มีจังหวะหนึ่งที่ตฤณลุกไปเข้าห้องน้ำ เหลือผู้ใหญ่สามคนนั่งอยู่ คุณวินเพื่อนเขาหันไปมองแล้วหันกลับมา ทำหน้าตามีความสุขจนอดถามไม่ได้


“เป็นอะไรคุณ จะตามไปดูในห้องน้ำไหม แหม เห่อเด็กจริงว่ะ มองจนพรุนไปหมดแล้วล่ะมั้ง”


“เปล่า...” คนพูดขยับแว่น ไม่สบตาแบบนี้มีพิรุธจนปิดไม่มิด แต่ทำเขายิ้มตามเหมือนกัน เพราะเวลาปกติคุณชวินทร์ไม่ค่อยเสียอาการแบบนี้ให้ได้เห็นบ่อย “แค่นึกถึงเมื่อกี้ที่บอกว่าพ่อแม่เขาเลี้ยงมาดี”


แล้วคุณชวินทร์ก็เล่าเรื่องที่ปิดดาดฟ้าของโรงแรมเพื่อดินเนอร์กับตฤณ ทีแรกเกือบจะไปโฟกัสความป๋าของเพื่อนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องหลังจากนั้นมันมีความพีคกว่า จับใจความได้ว่าคุณวินอยากเลี้ยงดูตฤณ แต่ตฤณไม่ยอมเพราะพ่อสอนว่าเป็นลูกผู้ชายต้องเลี้ยงตัวเองจะได้เป็นหลักให้คนอื่น เลยไม่ให้อีกคนเลี้ยงดูทั้งที่อาจจะสบายไปตลอดทั้งชาติ


คุณเนตรชนกหัวเราะสลับครางด้วยเสียงเอ็นดูบุคคลที่สามเป็นที่สุด ติณภพเองก็เผลอยิ้มกว้างที่ได้ยินแบบนั้น ทั้งเรื่องของเด็กหนุ่มที่ฟังแล้วทำเอาแก้มปริ ทั้งที่คุณวินเรียกเด็กคนนั้นด้วยสรรพนามน่ารัก ทั้งแววตารักใคร่อย่างลึกซึ้งตอนพูดถึง เขาเองก็เคยมีความรู้สึกนั้นและคาดว่าตอนนี้คุณวินเองคงไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ไอ้ความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูมากอัดแน่นล้นอกจนไม่รู้จะทำอย่างไร มันเขี้ยวแทนเลยโว้ย


“ตฤณนั้นแม่งน่ารักกว่าตฤณนี้จริงด้วยว่ะคุณ ผมยอม”


หลังจากฟังเพื่อนเล่า เด็กหนุ่มกลับมาก็ทำหน้าเหรอหราที่ทุกคนในนี้มีท่าทางแปลกไป ไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นประเด็นในวงสนทนา สามคนทั้งเขา คุณเนตร คุณวินก็ได้แต่แอบยิ้มกันไปตามระเบียบ ตลอดทั้งบ่ายนั้นคุณเนตรชนกพาตฤณเดินกอดคอกันไปเที่ยว ถ่ายรูปสวยๆอย่างกับพี่น้องที่สนิทกันมานาน คุณวินเองก็ไม่ได้ว่าอะไร มาเดินอยู่กับเขารั้งท้ายคอยดูนั่นดูนี่เป็นส่วนมาก


สรุปไม่รู้ว่ามาพักผ่อนกันเองหรือพาเด็กมาเที่ยว โธ่เอ๊ย คิดแล้วระอาตัวเองฉิบ กินเด็กกันทั้งคู่


ที่จริงน่าจะคู่เดียว เพราะอีกคู่มันมีคนถูกเด็กกิน




ตูม!


เสียงบางอย่างดังขึ้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของฝันช่วงสุดท้ายก่อนสะดุ้งตื่น หรือเป็นเสียงที่ดังมาจากข้างนอกจริงๆ แต่ติณภพก็ตื่นจนได้


กระพริบตาปริบๆพอให้ดวงตาปรับสภาพได้แล้วจึงเริ่มมองไปโดยรอบ ข้างกายว่างเปล่า คุณเนตรคงลุกออกไปก่อนแล้ว ผ้าห่มสีขาวผืนหนายังอยู่ชิดอกดีแปลว่าคนที่ลุกออกไปอาจจะจัดแจงห่มให้อีกครั้งเพราะตลอดคืนมันคงไม่เป็นที่เป็นทางแบบนี้


นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาหกโมงสามสิบนาทีตอนเช้า ถ้าเป็นวันหยุดทั่วไปติณภพคงหงุดหงิดที่ดันมาตื่นเอาเวลานี้ แต่เพราะเมื่อคืนจำได้ว่าไปเที่ยวตะลอนเชียงใหม่กับพวกคุณวินทั้งวัน พอกลับถึงห้องรีบอาบน้ำอาบท่า สามทุ่มหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย สลบก่อนคุณเนตรด้วยซ้ำไป เช้านี้เลยไม่ปวดหัว


ลุกจากผ้าห่มจัดแจงผมเผ้าตัวเอง ดึงเสื้อที่เลิกเปิดให้ปิดลงและดึงกางเกงนอนขาสั้นที่อยู่สูงเกินไปให้เข้าที่ สูดจมูกฟุดฟิดแล้วค่อยแตะเท้าลงกับพื้นห้อง เห็นเงาด้านนอกระเบียงไหวๆเลยจะออกไปดูเสียหน่อย คงจะเป็นคนตัวโตทำอะไรสักอย่าง


พอเปิดบานเลื่อนออก อากาศเย็นวูบหนึ่งเข้าปะทะร่างกายจนขนลุกชัน ติณภพต้องกอดตัวเองลูบแขนลูบคอเพราะที่ปกปิดร่างกายตอนนี้เป็นแค่เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเท่านั้น และเนื้อผ้าบางไม่เหมาะกับการป้องกันลมหรือความเย็นเท่าไหร่ ที่ใส่ได้เนื่องจากตอนนอนเปิดแอร์รักษาอุณหภูมิในห้องให้อุ่นกว่าอากาศด้านนอกในเดือนสุดท้ายของปีแบบนี้


มองเลยออกไปด้านนอก จากห้องพักของเขากับคุณเนตรสามารถเห็นดอยสุเทพยามเช้าได้จากตรงนี้ แสงอาทิตย์ที่ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดีค่อยๆเรืองรองจากสีส้มเข้มขึ้นมาทีละน้อย เหมือนจะมีปุยหมอกสีขาวรายรอบให้บรรยากาศขมุกขมัวนิดหน่อย แต่สำหรับคนที่ทำงานในย่านธุรกิจอันเต็มไปด้วยควันรถ มลพิษ เสียงดังรบกวน และแสงเทียมจากไฟรถหรือตึกรามบ้านช่อง ภาพตรงหน้าช่วยเยียวยาให้ผ่อนคลายและสดชื่นได้ดีจริงๆ ตอนจองห้องพักคุณวินเป็นคนจอง เอาห้องใหญ่ที่สุดไป ซึ่งติณภพก็ไม่เข้าใจว่าจะเอาพื้นที่ไปทำอะไร แต่ก็นั่นล่ะ คุณเนตรเลยเอาห้องที่เห็นวิวดอยสุเทพแทน


ทว่าสิ่งที่ดึงความสนใจมากกว่ากลับเป็นเงาคนที่แหวกว่ายในสระน้ำ เจ้าของโรงแรมย่านทองหล่อมองดูอยู่ตลอดจนกระทั่งร่างนั้นโผตัวขึ้นมาจากสระ ผืนน้ำแหวกกระจายไปรอบๆ มีเกาะพราวตามร่างกายสมส่วนสวยงามแบบผู้ชายออกกำลังกายบ้าง คุณเนตรลูบน้ำจากหน้าผากลงมาที่คาง ก่อนเสยผมที่ปรกหน้าให้ลู่ไปด้านหลัง และสบตาเข้ากับเขาพอดี


จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือเห็นดอยสุเทพ ยังไม่เท่าเห็นคนชื่อเนตรชนกตอนนี้เลยพับผ่าสิ สว่างไสวที่สุดในสายตาตี่ๆคู่นี้แล้วในตอนนี้ ยิ่งพอคุณเขาเห็นว่าติณภพมองอยู่ ยิ้มออกมาแล้วคนมองยิ่งสดชื่น


“คุณ มาว่ายน้ำกัน”


“ไม่เอาด้วยหรอก หนาวจะตายชัก คุณบ้าเปล่าวะ หนาวขนาดนี้ยังจะลงไปว่ายเล่น เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”


“ก็สระมันน่าเล่นนี่นาคุณ ไม่หนาวขนาดนั้นหรอก น้ำมันอุ่นๆอยู่นะ” คุณเนตรว่า เริ่มว่ายเข้ามาหาติณภพที่เพิ่งตัดสินใจนั่งหย่อนขาลงไปในน้ำตรงริมขอบสระ “เมื่อคืนหลับสบายดีไหมครับ”


“ดีครับ แล้วคุณนอนตอนไหนผมไม่รู้เรื่องเลย แถมยังตื่นก่อนอีก”


“ก็นั่งทำงานนิดๆหน่อยๆ นอนหลังจากคุณหลับแป๊บเดียวเอง แล้วก็มาตื่นเอาตีห้าครึ่งนี่ล่ะ นอนต่อไม่หลับเลยมองคุณหลับแทน สักพักถึงลุกมาว่ายน้ำครับ”


“มีการมานอนมองคนอื่นหลับ คิดอกุศลกับผมหรือเปล่าหืม” ติณภพพูดติดตลก ใช้อุ้งมือทั้งสองประคองใบหน้าหล่อเหลาที่มายืนสอดตัวอยู่ตรงหว่างขาเขา ลูบเกลี่ยผิวแก้มสลับลูบไล้ปลายผมชื้นน้ำสางกับนิ้วมือด้วยความเพลิดเพลิน เนตรชนกช้อนสายตามองขึ้นมาไม่กระพริบเลย


“ผมก็เหมือนเซเว่นนะคุณ คิดกับคุณตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย โอ๊ยๆ...” แล้วคนพูดก็ยิ้มแฉ่ง เขาเลยดึงแก้มลงโทษไปหนึ่งที “ล้อเล่น ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก หยุดคิดตอนนอนอย่างเดียว”


“คุณนี่แม่ง ทะลึ่งลามกจังเลยวะ” พูดไปอย่างนั้นแหละ จะไม่บอกหรอกว่าตัวเองก็ไม่ต่างกัน


“ก็แฟนผมน่ารักไง หยอกเล่นสนุกดีออก มาเร็วคุณตฤณ เล่นน้ำกัน” ไม่พูดเปล่า ดึงกระตุกแขนด้วย ถ้าไม่เกร็งตัวไว้คงได้ตกลงสระน้ำจริง ก็คุณเนตรแรงน้อยเสียที่ไหน


“ไม่เอา ไม่อยากเปียก อยากเล่นนะแต่ก็ไม่อยากเปียก”


“งั้นมานี่มา ผมไม่ทำคุณเปียก”


ติณภพอาจจะยังเบลออยู่เลยคิดตามไม่ทันว่าอีกคนจะทำได้อย่างไร แต่พอคุณเนตรเอาเขาไปนั่งอยู่บนบ่าแกร่งเท่านั้นล่ะ ร่างสูงใหญ่ก็พาเขาเดินจากที่ริมสระไปจนกลางสระ เลยไปจนถึงขอบสระอีกด้านที่มีน้ำพุไหลออกมาจากประติมากรรมนูนต่ำติดผนังรูปเศียรช้าง ตัวติณภพไม่เปียกยกเว้นขา เพราะความสูงคุณเนตรที่ยืนจากพื้นสระน้ำอยู่แค่ระดับใต้อก


คนเพิ่งตื่นเอนไปมาจะตกอยู่หลายที แต่คุณเนตรไม่ปล่อย จับไว้ตลอด เรียกเอาเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วห้อง ไม่รู้ขำอะไร รู้แค่ชอบช่วงเวลาแบบนี้มาก ติณภพไม่เคยมีมันมาก่อน เพิ่งรู้ว่ามีแล้วอบอุ่นหัวใจมากขนาดไหน จะหาคนทำได้แบบนี้คงไม่มีแล้ว ไม่แข็งแรงเท่าคุณนายแบบคนนี้คงได้คอหักเป็นศพคาสระน้ำ


พอคุณเนตรเอาเขามาวางไว้ที่เดิมก็หันกลับไปว่ายน้ำจริงจังอีกครั้ง เพราะเป็นคนที่หุ่นดีมากดังนั้นเขาเลยดูจนเพลินตา นึกชมในใจเป็นสิบๆรอบ ชายหนุ่มสง่างามราวกับว่าเป็นจ้าวแห่งผืนนทีที่สามารถสั่งการให้มวลน้ำทั้งหมดตอบรับเสียงเพรียกหา


หากคุณเนตรจะเป็นอะไรสักอย่างใต้ทะเลก็คงเป็นเงือกหนุ่มที่มีครึ่งล่างเป็นครีบหางเกล็ดมันวาวสวยงาม แถมเป็นเงือกเจ้าสำราญเสียด้วย ยิ้มทะเล้นแบบนั้นเงือกสาวๆคงรุมล้อมเพราะตกหลุมรักกันหมด


ติณภพเองยังขึ้นจากหลุมนั้นไม่ได้เลย


จวบจนท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น เดาว่าคงเป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว เงือกหนุ่มไม่ระเริงสายน้ำอีกต่อไป แต่มาเกาะขอบสระคุยกระหนุงกระหนิงกับมนุษย์แทน ติณภพหยอกเล่นด้วยการใช้ขาที่อยู่ใต้น้ำวางลงบนอก ไล้ต่ำไปเรื่อยๆจนถึงกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วที่ใส่อยู่


“อะแฮ่ม ดีๆครับคุณ” คุณเนตรส่งเสียงกระแอมเตือนมา แต่คงไม่ได้จริงจังอะไรนัก ก็แค่อยากจะยั่วเล่นๆเวลาอารมณ์ดี ปกติคุณเนตรแกล้งเขาออกบ่อย ยั่วหนักเข้ากลายเป็นคนตัวโตตะครุบขาเขาแล้วยึดไม่ให้ไปทักทายเนตรน้อย โอเค...เลิกแหย่ก็ได้


“คุณตฤณ ผมอยากถ่ายรูปกับคุณลงอินสตาแกรม คุณอนุญาตไหม”


“ตัวผมไม่เท่าไหร่หรอก แต่คนติดตามคุณน่ะเขาจะรับได้เหรอ” เพราะบัญชีส่วนตัวของเขาถูกล็อคไว้ ไม่มีคนนอกเข้าไปดูได้ยกเว้นคนที่ติดตามซึ่งมีประมาณสามร้อยกว่าคน ต่างจากของคนถามที่มีหลักแสนและเปิดสาธารณะ “ทำไมต้องถ่ายลง จะอวดไปทำไมอยากรู้”


“มันก็เป็นโมเมนท์หนึ่งของคนมีแฟนน่ารักไง ไม่เข้าใจเหรอ คุณก็มีแฟนหล่อไม่เห็นอวดบ้างล่ะ รออยู่นะเนี่ย”


ติณภพแค่นหัวเราะพอได้ยินอีกคนชมตัวเอง แต่ช่างเถอะถ้ามันเป็นความจริง ที่ไม่จริงคือเขาน่ารัก ไม่น่ารักสักหน่อย คุณเนตรคงถูกความรักเล่นงานจนตาฝ้าฟาง


“ถ่ายท่านี้ดีกว่า เอาแค่เห็นมือกับขาพอ ไม่ต้องเห็นหน้า คนจะได้ตื่นเต้นเล่น”


ติณภพถอนหายใจแล้วทำตามที่อีกคนจัดแจงท่าทางเสร็จสรรพ รูปถ่ายที่ออกมาจึงเป็นรูปที่คุณเนตรยืนหันหลังให้ระหว่างขาของเขา โดยมีมือข้างหนึ่งของเขาประคองเรือนแก้มไว้และคุณเนตรจับมือเขาอีกชั้น ใบหน้าปรับองศาให้เน้นสันกรามชัดเจน ดวงตาคมมองเข้ามาในกล้องอย่างเย้ายวนชวนคิดลึกแบบที่ติณภพและคนอื่นจะเห็นของจริงได้แค่บนเตียงเท่านั้น ไหนจะรอยยิ้มมุมปากบาดใจนั่นอีก


ขนาดดูจากในรูปยังรู้สึกว่าขนอ่อนลุกชันไปทั่วร่าง ถ้าคุณเนตรทำหน้าแบบเมื่อครู่แล้วหันมามองเขาจริงๆ...นึกชะตากรรมตัวเองไม่ออกเลยว่าจะหัวใจวายตกสระน้ำหรือหงายหลังลงไปกับพื้น


คุณเนตรชนกเอารูปให้ดูหลังจากอัพลงไปเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ติดตามกันและกันเพราะถือว่าไม่จำเป็น จะเข้ามาส่องกันเองเป็นครั้งคราว ในกรณีนี้ก็คือสามารถกันคนมาขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวได้ด้วย


แคปชั่น ‘คนพิเศษครับ’ นี่มันเป็นการบอกรักทางอ้อมของคนต่างวัยกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่บอกเลยว่าเด็กคนนี้ไม่ปล่อยให้หัวใจได้พักผ่อนสักที เต้นตึกตักโครมครามบ้าคลั่งไปหมด


เนตรชนกรู้ดีว่าเห็นนั่งเงียบกริบอย่างนี้ ในใจคุณติณภพคงป่วนจากการถูกเขาปั่นอยู่ไม่หยอก นัยน์ตาสีเข้มขยับซ้ายขวาผิดจากเดิมไป และคนที่มีผิวขาวจัดแบบนี้เวลาเขินขึ้นมาก็สังเกตได้ไม่ยากอยู่แล้ว


แต่ยังอยากให้เป็นมากกว่านี้อีก


เงือกหนุ่มพุ่งตัวทะลุกลางปล้องหว่างขาสองข้างด้วยการเอามือยันพื้นที่แคบๆตรงหน้าให้คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวเอนหลังหนีลงไปจนเกือบราบกับพื้น น้ำจากสระสาดกระเซ็นเข้าใส่จนเห็นผิวเนื้อวับแวมใต้เสื้อขาว กางเกงแนบลู่ไปกับกายส่วนล่าง กลายเป็นว่าตกอยู่ใต้อาณัติเขาเรียบร้อย


ตาชั้นเดียวเบิกกว้างตื่นตกใจ น่ารักเสียไม่มี รักกันตรงนี้เลยได้ไหมครับคุณ


“ทะ...ทำอะไร”


“แล้วคิดว่าผมทำอะไรล่ะ”


“ก็เห็นๆกันอยู่เนี่ยว่าคุณจะทำอะไร” ร่างด้านใต้เริ่มถอยหนีแล้ว เนตรชนกเลยต้องขยับตาม ขยับท่าไหนไม่รู้ตรงกลางถึงได้ชนเฉียดกันไปมา คุณติณภพเหลือบลงไปมองแล้วกลับขึ้นมาสบตากันหวาดหวั่น แต่เขาไม่หวั่นหรอกนะ ส่งยิ้มให้แทน


“ถ้ารู้แล้วจะถามทำไมล่ะครับ”


“คุณเนตร! เปียกหมดแล้ว ออกไปเลย”


“ตรงนี้เลยได้ไหม”


เนตรชนกพยายามสุดความสามารถที่จะกลั้นหัวเราะพอเห็นอีกคนทำหน้าตื่นตูมมากกว่าเดิมเมื่อเขาขอความต้องการตรงไปตรงมา แถมยังเอาขายันบ้างถีบบ้าง แต่ใครสนกันล่ะ นี่แค่เห็นคุณติณภพเปียกน้ำในเสื้อขาวก็หืดหาดขึ้นมาจนกัดปากข่มหลายทีแล้ว จินตนาการในสมองมันไม่มีทางคิดดีไปกว่าจับเขารักแรงๆหรอก ตรงไหนท่าไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง


“ไม่ได้! ผมไม่ยอมให้คลอรีนจากสระเข้ามาหรอก ไปอาบน้ำล้างตัวเดี๋ยวนี้ คุณเนตร...เนตร...เนตรโว้ย!” เจ้าของชื่อแกล้งจูบซุกไซร้ตามซอกคอคนขี้บ่น ขบใบหูบ้างกัดลาดไหล่บ้างให้ร้องเจ็บ ไม่รู้จะหัวเราะหรือสงสารดีที่เห็นร่างด้านใต้ดิ้นเอาเป็นเอาตาย


ไม่ให้คลอรีนเข้า แต่อย่างอื่นไม่ได้ห้าม คงไม่เป็นไรเนอะ


“อาบน้ำแล้วต้องสองรอบ”


“ผมไม่ได้บอกว่าจะให้” แน่ะ มองตาเขียวด้วย


“ผมก็ไม่ได้ขอ แค่บอกให้รู้” เนตรจะปั่นต่อให้ทั้งเขินทั้งโกรธจนคุณเขาหูแดงหน้าแดงเลยคอยดู


“ไม่เอา”


“งั้นสามรอบเลยนะ ขอมัดจำล่วงหน้าก่อนคร้าบ”


“เฮ้ยอะไรวะ! คุณเนตร...อื้อ คุณ...” คุณติณภพไม่มีทางหนีรอดไปได้หรอก เนตรชนกออกแรงกดที่แขนสองข้างไม่ให้ขัดขืน ลงน้ำหนักที่สะโพกเน้นย้ำตรงกลางแล้วจูบปิดปากเสียก่อน คุณติณภพไม่ได้แข็งกร้าวอย่างที่คนอื่นเห็นภายนอก ถึงจะเอาแต่ใจพูดว่าไม่เอาไม่ยอม แต่ดูจากตอนนี้ที่เปิดปากให้เขาสอดลิ้นเข้าไปแล้ว หนทางต่อไปก็ไม่ยากเท่าไหร่


พออีกคนอ่อนกำลังลง จากมือที่กดทับจึงเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นสอดประสานนิ้วกัน เนตรมอบจูบดูดดื่มยามเช้าปลอบประโลมที่ไปหยอกเย้าคนขี้หงุดหงิด บดกลีบปากในจังหวะนุ่มนวลสลับเร่าร้อน ปรับองศาใบหน้าให้ขยับเข้าหากันได้มากที่สุด


“อึก...อ่ะ นะ...เนตร แฮ่ก...”


เท่าไหร่ก็ไม่พอ ชายหนุ่มยังคงรุกไล่ต้อนสงครามริมฝีปากไม่หยุดหย่อน คุณติณภพเริ่มส่งสัญญาณว่าหายใจไม่ทันเขาเลยยกใบหน้าขึ้น พอได้ยินว่าจะเรียกชื่อถือว่าหมดเวลา ยิ่งเติมเต็มเข้าไปอีกครั้งและอีกครั้ง เป่ารดลมหายใจออกกวาดต้อนความต้องการเข้า เสียงน้ำลายหยาบโลนยิ่งจุดชนวนให้แรงรักโหมกระพือ


“อุก...อือ...อื้อ!”


กายขาวดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมอก ครางฮือสลับหอบ เนตรชนกค่อยๆแทะเล็มที่ริมฝีปากที่บวมเจ่อ เลยมายังกรอบหน้า กกหู โจนจ้วงฉกปลายลิ้นเข้าไปเรียกเสียงครางอีกครั้ง


คิดจะปั่นแล้วต้องปั่นให้ถึงที่สุด


คุณติณภพเหมือนไปทำอะไรสักอย่างมาที่ต้องออกแรงเยอะๆ แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วง ริมฝีปากเจ่อแลบลิ้นเลียไม่หยุด ดวงตาฉ่ำปรืออ้าปากกอบโกยอากาศ ผิวเห่อแดงโดยเฉพาะตรงแก้ม ที่เร้าใจที่สุดเห็นจะเป็นเสียงคราง พอแกล้งเอาเข่ามาถูที่กลางระหว่างขาก็เผลอครางตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน


เนตรว่าตัวเองชักจะเริ่มโรคจิตเข้าไปทุกวันที่อยากรังแกเขาเช้าเย็นวันละหลายครั้ง ตั้งแต่คบกันมาได้มีอะไรกันจริงจังแค่ครั้งเดียว จะให้อดทนบ่อยๆก็ไม่ไหวหรอกนะ เป็นคน ไม่ใช่พระพุทธรูป ที่จะเห็นของสวยงามแล้วไม่รู้สึกอะไร


[ต่อ]
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: febusapollo ที่ 27-09-2019 20:54:34
ติณภพว่ามันคงถึงเวลาต้องเสียตัวอีกรอบให้คุณเนตร...


ยอมรับว่าทำงานเยอะ งานยุ่งมากในปลายปีนี้ ถึงจะปลีกตัวออกมาเที่ยวสามถึงสี่วัน กลับไปก็ยุ่งเหมือนเดิม ที่จริงจากครั้งแรกวันนั้นมันก็ผ่านมานานพอสมควร ยุ่งจริงยุ่งปลอมก็ยกมาอ้างหมด ติณภพไม่อยากให้คุณเนตรรู้เหตุผลที่แท้จริงที่เขาบ่ายเบี่ยงมาตลอด มันดูไร้สาระ แต่เขาค่อนข้างซีเรียส


แต่ชีวิตรัก จะปฏิเสธตลอดไปก็ไม่ได้ เลยต้องมานั่งเหม่อรออีกคนอยู่บนเตียงหลังจากอาบน้ำเสร็จ แทบสะดุ้งสุดตัวพอคิดอะไรเพลินไปหน่อยแล้วคนตัวโตกว่ามานั่งซ้อนกอดข้างหลัง


ตอนวัยรุ่นก็มีความคะนองอยู่บ้าง แต่พอเริ่มเข้าสู่เลขสามหลังจากห่างหายไปนาน ทำไมโลกมันกลับด้านก็ไม่รู้


“หิวยัง ไปหาอะไรกินกันคุณ”


พอคุณเนตรส่งยิ้มมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนที่อยู่สระน้ำนอกระเบียง ความรู้สึกผิดมันดีดตัวแรงขึ้นมาปั่นในหัวสมองอีกแล้ว


“เป็นอะไร ไม่สบายเหรอครับ หรือเมื่อกี้ตากลมข้างนอกนานไปหน่อย ผมเห็นคุณปากสั่นๆ” ฝ่ามือใหญ่แตะที่หน้าผากเขา สลับไปข้างแก้มและลงมาถึงลำคอ “ตัวอุ่นจัง”


เนตรชนกจะรู้ไหมน่ะว่าเขาไม่ได้ป่วย แค่เขินพอคิดเรื่องอย่างว่าในหัวต่อหน้ารอยยิ้มซื่อของตัวเอง


“เนตร”


“ครับ?”


“คุณอึดอัดไหม ที่ผมไม่ยอมมีอะไรกับคุณสักที”


“หา?...เอ่อ...เอาตรงๆก็ ก็มีบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น “แต่จะมีหรือไม่มีมันก็ไม่เป็นปัญหานี่ครับ”


“เป็นสิ เมื่อกี้คุณแกล้งผมเหมือนจะฆ่าให้ตาย” พอพูดแล้วคุณเนตรหัวเราะแห้ง เห็นไหมล่ะ เดาผิดที่ไหน “ขอโทษที่เอาแต่ใจ”


“คิดมากน่า ผมไม่ได้รักคุณเพราะเรื่องบนเตียงสักหน่อย”


ติณภพชะงักค้างไป ลมหายใจติดขัด รอยยิ้มของคุณเนตรสว่างจ้าเสียจนภาพรอบข้างเบลอไปหมด


รัก...ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะใช้คำนี้กับใคร ติณภพที่หัวใจด้านชาขึ้นทุกวันไม่เข้าใกล้ความตระหนักรู้เลยว่าการที่รักใครสักคนจะทำให้คนเรามองข้ามหรือช่างแม่งบางเรื่องไปได้ ตัวเขาเป็นคนไม่ค่อยปล่อยผ่าน แต่เห็นแล้วว่าคุณเนตรไม่ใช่แบบนั้น


“ผมรู้ว่าคุณเจ็บ ถ้าจะต้องเห็นคุณเจ็บทุกครั้งเพื่อให้มีความสุข สู้เราไปทำอย่างอื่นแทนไม่ดีกว่าเหรอ กินข้าว ดูหนัง ดำน้ำดูปะการัง ปลูกป่า อะไรก็ได้เยอะแยะไป ผมภูมิใจอยู่หรอกที่เกิดมามีมัน แต่ในเมื่อลดขนาดไม่ได้ก็...นะ”


“คุณรู้?”


“โธ่คุณตฤณครับ” คุณเนตรเอาจมูกมาดุนดันที่ต้นแขนอ้อนเอาใจ “เวลาคุณร้องน่ะมันก็บอกอะไรได้หลายอย่างอยู่นะนอกจากมีความสุข”


ติณภพที่รู้สึกตัวชาดิกไปทั้งร่างกาย เอาไงดีวะ อายก็อาย แต่ก็ซึ้งด้วย แต่อายมากกว่าไง เฮ้อ


ชีวิตนี้โชคดีแค่ไหนที่เจอคนใจตรงกัน คนที่ปากหวานบอกว่าเขาน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งที่ตัวเองยังไม่เคยคิดชมตัวเองแบบนั้น คนที่ทนนิสัยเขาได้เพราะมีอะไรคล้ายกัน คนที่เป็นแสงสว่างเจิดจ้าในยามชีวิตเริ่มเข้าสู่ด้านมืดมน


ถ้าปล่อยให้รอนาน วันหนึ่งหมดความรู้สึกต่อกันแล้วจะไประบายความรักความใคร่กับคนอื่นหรือเปล่านะ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมาจริง คนที่ให้ใจไปแล้วอย่างติณภพมีหวังอกแตกตาย หากต้องเสียคนที่ดีอย่างเนตรชนกไป...คิดแล้วเจ็บแปลบที่หน้าอก


“คุณเนตร ลุกขึ้นหน่อย”


เจ้าของชื่อทำตามอย่างว่าง่ายไม่อิดออด ติณภพหยิบมือถือขึ้นมากดเข้าไปที่แอปพลิเคชั่นวีดิโอ ค้นหาชื่อเพลง กดเล่นแล้วโยนมือถือลงไปบนเตียง ช้อนสายตาขึ้นสบดวงตาเรียวรีลึกซึ้ง ก่อนจะสวมกอดเข้าหาความอบอุ่นจากร่างคนที่ตัวสูงว่า จนเพลงเริ่มเล่น


กับเรื่องความรักเขาพูดไม่เก่งเท่าด่าคน เลยอยากให้เพลงมันบอกความรู้สึกที่เขามีให้คุณเนตร


“คุณตฤณ?”


คนในอ้อมกอดตอบสนองด้วยการทำเพียงซุกคางลงกับบ่าเขา เนตรชนกได้ยินเสียงถอนหายใจในความเงียบที่มีเพียงเสียงเพลงสักเพลงที่คุณติณภพเปิดคลอเคล้า จนร่างกายเริ่มโยกไหว ถึงได้รู้ว่าอีกคนกำลังชวนเขา...เต้นรำ?


คุณตฤณเป็นอะไรกันนะ ต้องการให้เขารับรู้บางอย่างจากเพลงนี้หรือเปล่า


แปดโมงเช้า เนตรชนกเต้นรำเงียบๆกับคุณติณภพ เพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่บรรยากาศโรแมนติกดีเหลือล้นจนอบอุ่นซาบซ่านเข้าไปข้างในหัวใจ ไม่คิดว่าคนแบบคุณติณภพจะมีมุมนี้กับเขาด้วย ถึงเนื้อเพลงจะล่อแหลมไปหน่อยก็ตาม



*If I told you I was broken, would you love me still?
Shattered hearts, crossed stars, never saw myself




พอมาถึงกลางเพลง เนตรชนกถึงได้เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง



Shackled to the back of your headboard
Hoping you would fall down into me, crash into me




เนื้อเพลงนี่มันโคตร...ทำเอาใจสั่น จะใช่อย่างที่คิดเอาไว้หรือเปล่า เวิร์สแรกยังไม่เข้าใจ แต่พอถึงเวิร์สใหม่ถึงได้เข้าใจว่าทำไมเนื้อเพลงถึงเป็นแบบนี้ และทำไมต้องเป็นเพลงนี้ในตอนนี้



Just breathe me in
Taste me on your lips




พอมาถึงท่อนนี้คุณติณภพกระชับกอดแน่นขึ้น เหมือนจะสูดหายใจกลิ่นจากกายเขาเข้าไปด้วย ขณะเดียวกันเราแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่างใดๆ ความหอมสะอาดจากการเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่กระตุ้นดีเกินไป ร่างกายตื่นตัวขึ้นมาจนรู้สึกได้ เขารู้ว่าคุณติณภพกำลังเป็นเช่นเดียวกัน เพราะสัมผัสที่ล้วงเข้ามาลูบวนตรงบั้นเอวนั่นล่ะ


“วันนี้ยอมเป็นมื้อเช้าให้นะ”


เนตรชนกรับรู้จากเสียงกระซิบตอนที่คุณติณภพนั่งลงกับเตียง รั้งคอเขาเข้าไปแล้วล้มลงนอนให้ร่างกายทับตาม เลือดในกายเดือดพล่านสูบฉีดจนหัวใจเต้นรัว ใบหน้าร้อนผ่าว ป้อนจูบรสละมุนทว่าลึกล้ำให้อีกคนไม่รู้จักเบื่อ คุณติณภพสัมผัสตามร่างกายใต้เสื้อให้รู้สึกดี  แล้วดึงรั้งมันออกให้ทั้งที่เขาเพิ่งสวมไปเมื่อครู่นี้ ส่วนเขาไม่ได้ถอดของอีกคนออกหากแต่เลิกมันขึ้นสูง ตวัดลิ้นดูดชิมรสจากตุ่มไตสีอ่อนสองข้างจนร่างด้านใต้สั่นสะท้าน แอ่นรับโดยไม่รู้ตัว เหมือนจะไม่รู้ด้วยว่าเนตรชนกคนมือไวกำลังทำอะไรกับร่างกายส่วนล่าง


เนื้อตัวขาวจัดเผยรอยแดงจางหลายจุด เนตรชนกดึงกางเกงขาสั้นของคุณติณภพออกไป เห็นตัวตนใต้ผ้าชิ้นน้อยกำลังเติบโตเป็นรูปร่างให้ต้องมองดูว่าจะทำอย่างไรกับมันดี เจ้าของมันดูเขินอายที่เขาจ้องนานเกินไปเลยทำท่าจะหุบขาปิด แต่เนตรก็จับขาคู่นั้นกางออกใหม่ ดูคุณเขาตอนนี้สิ หน้าแดงตัวแดง ไม่เหลือภาพคนนิสัยเหวี่ยงวีนเจ้าระเบียบสักนิด เนตรเห็นแต่คนที่กำลังยั่วเขาด้วยท่าทางน่ารักน่าฟัด ทำตาดุก็ยังเซ็กซี่ เขาต้องเห็นภาพหลอนไปแล้วแน่ๆที่เห็นภาพคุณติณภพผู้ซึ่งบอกว่าไม่ชอบแหกแข้งขาต่อหน้าคนอื่นกำลังทำแบบนี้


“มองอะไรอยู่ได้เล่า...” พูดงุบงิบอยู่คนเดียว เหมือนลูกแมวน้อยขู่ฟ่อ พอเห็นเขาเลียปากเข้าหน่อยก็หันหน้าหนี “ยอมอ้าขาแล้ว จะทำก็รีบๆทำดิ”


เนี่ย ทำตัวแบบนี้จะไม่หลงได้อย่างไร ประโยคเดียวทำเอาไปไม่เป็นแล้ว เมื่อกี้ใจสั่นหรือแผ่นดินไหวก็ไม่รู้ เนตรมันเขี้ยวมากจนอยากกัดให้เป็นรอยฟันบนเนื้อนุ่มๆ กัดให้ร้องอยู่ใต้ร่าง อยากฝังจมูกสูดเอาความหอมหวานจนพอใจ ทำอย่างไรก็ได้ให้คนๆนี้เป็นของตัวเองคนเดียว


พอได้รับความยินยอม เนตรชนกเดินออกไปหยิบของใช้จำเป็นที่โต๊ะอีกฝั่ง ก่อนกลับมาจับขาทั้งสองอ้าออกแล้วแทรกกายเข้าไปให้ความสนใจกับคุณตฤณน้อย งับดึงผ่านเนื้อผ้าซ้ำๆสลับสัมผัสด้วยมือแบบเน้นหนักจนได้ยินเสียงครางเบา ที่สุดแล้วอยากตอบสนองความใคร่ของตัวเองด้วยการดึงออกมารั้งรูด ยิ่งเห็นคุณติณภพเอามือปิดปากกลั้นเสียงยิ่งรังแกแรงขึ้น กระทั่งกระตุกร่างแล้วหยาดหยดขุ่นข้นฉีดออกมาเต็มฝ่ามือ


ระหว่างพักหอบหายใจ ติณภพเห็นแล้วว่าการรับประทานอาหารเช้ายังไม่จบง่ายๆแน่ คุณเนตรรูดซิปกางเกงลงจนความเป็นชายที่ดันเนื้อผ้าอยู่ออกมาสู่โลกภายนอก ถึงเคยเห็นมาก่อนแล้วแต่ยังอดสะเทือนใจไม่ได้อยู่ดี เจ้าของมันใส่เครื่องป้องกัน ชโลมของเหลวใสลงไปพอประมาณ พอใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมาสบตา ไม่รู้ทำไมต้องเลิ่กลั่กอย่างเสียอาการ


“กลัวเหรอ ไม่ต้องคิดมากนะ เดี๋ยวผมกลัวเป็นเพื่อน”


ของแบบนั้นน่ะมันทำได้ที่ไหน!


คุณเนตรเช็ดน้ำรักของเขาออกแล้วค่อยๆจับพลิกให้หันหลัง ดันให้ขาเขาแยกจากกันในท่ากึ่งนอนคว่ำตั้งศอกโก่งสะโพก ติณภพเริ่มคิดสะระตะในหัวเพราะมองไม่เห็นว่าต่อไปตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง แต่ในเมื่อเป็นคนเริ่มก่อน จะมาปอดไม่ได้ กลัวเจ็บกับกลัวเสียคุณเนตร เป็นใครก็ต้องเลือกอย่างหลัง


เนตรชนกทำได้แค่กรีดร้องในใจกับภาพตรงหน้า ดูก็รู้ว่าบั้นท้ายขาวเนียนแน่นกลมกลึงแบบนี้เพราะออกกำลังกายเน้นเฉพาะส่วน มองเลยออกไปเห็นคุณติณภพในท่าชวนหวิวแล้วรู้สึกปวดหน่วงลูกชายเอามากๆ กล้ามเนื้อหลังตรงสะบักงดงามทว่าช่วงเอวสอบคอดเว้าลง อยากกลืนกินไปทั้งหมดแต่ต้องยั้งตัวเองไว้ก่อน จัดการลงปลายนิ้วเบาๆให้ขึ้นสีชมพูจางเป็นการเรียกขวัญ แล้วส่งนิ้วหนึ่งชำแรกจีบเนื้อเข้าไปจนบั้นท้ายนั้นเกร็งรับเข้าหากัน ถอนออกลูบไล้ไปรอบๆแล้วสอดเข้าไปใหม่ ทำอยู่อย่างนั้นจนถึงนิ้วที่สาม ช่องทางชุ่มฉ่ำเริ่มชินสัมผัส เล่นเอาเหงื่อไหล่ย้อยตรงขมับ


“อึก...” คราวนี้คุณติณภพเกร็งกว่าเก่าเพราะไม่ใช่นิ้วที่สอดเข้าไป เนตรชนกพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะถนอมร่างกายนี้ไว้


“ให้หยุดไหมคุณ”


“ไม่ ไม่ต้อง...เข้ามาละ...เลย อ๊า...” พอเขาดันเข้าไปจนเกือบสุด ร่างด้านใต้มีปฏิกิริยาเกร็งแรงขึ้นจนเนื้อตัวสั่นระริกน่าสงสาร แต่ในเมื่อคุณติณภพตั้งใจแล้วเขาก็จะไม่ขัดความต้องการ จนร่างกายเชื่อมต่อกันสนิท ต้องพรมจูบปลอบประโลมไปทั่วแผ่นหลังขาวเนียนนั่นแทน


“เจ็บไหม”


“ทนได้” ก็ยังกัดฟันพูด


“ผมขยับนะ?” พออีกฝ่ายพยักหน้า จึงขยับช้าๆเป็นการทดลอง ผนังอ่อนนุ่มรัดเขาจนร้อนรุ่ม กายขาวเกร็งเล็กน้อย เนตรพรูลมหายใจออกยาว กัดฟันขยับแรงขึ้น แรงขึ้น จนขยับได้อย่างอิสระ ออกเกือบสุดความยาวแล้วกลับเข้าไปใหม่


คนอายุมากกว่าครางครวญ นิ้วมือไขว่คว้าหาหมอนมากำเสียแน่น เนตรชนกเปลี่ยนใหม่ ดันอีกคนให้นอนราบกับเตียง ขึ้นไปนอนทับเต็มร่างควบคุมทุกอย่างไว้ ขยับน้อยแต่กระแทกลึก ระดับใบหน้าที่อยู่ชิดกันทำให้เขาเสียงครางต่ำของตัวเองพร่ำกระซิบข้างใบหูแดงจัดนั้นได้ ขณะที่ตัวเองก็ได้ยินเสียงจากอีกคนกระตุ้นอารมณ์ดิบไม่ขาดสาย กดจนคนในอ้อมอกแทบจมหายไปกับเตียง เตียงโรงแรมนี้ก็สปริงดีเหลือเกิน


“คะ...คุณเนตร อึก...หายใจไม่...ไม่ออก”


ถึงจุดหนึ่งเนตรชนกต้องพลิกร่างคนด้านใต้ให้กลับมานอนหงายทั้งที่ส่วนล่างยังติดกันอยู่ เขาเองก็เผลอตัวไปหน่อยเลยนอนทับเสียเต็มน้ำหนักทั้งที่ตัวใหญ่ คราวนี้พอเห็นวิวดีกว่าเดิมชัดเต็มสองตา เนตรชนกจับสองขาแยกออกพาดบ่าแล้วใส่แรงไม่ยั้ง ขยับหนักหน่วงสลับถี่เร็วจนคุณติณภพที่เอามืออุดปากยังต้องครางออกมา


“ไม่ต้องปิด ผมอยากมอง” เขาปัดมือที่ปิดใบหน้าครึ่งล่างออก คนเอาแต่ใจเลยยกขึ้นปิดตาไม่ให้เห็นหยาดน้ำใสที่เอ่อขึ้นมาจนล้น แต่ด้านบนเอาแต่ใจกว่าแกล้งปัดออกอีก คุณทองหล่อของเขาเลยทั้งด่าทั้งสบถครางผสมปนเปกันไปหมด ใบหน้าบิดเบี้ยวทว่ามองดูยังรู้ว่าสุขสม โสตประสาทจับได้แต่เสียงร้องกับเสียงหยาบโลนที่เนื้อกระทบเนื้อ อีกทั้งยังช่วยปรนเปรอส่วนหน้าให้ เร้ามากเข้าจนร่างกายกระตุกเป็นรอบที่สอง เนตรชนกเลยจับเอวสอบกลับสวนเข้ามาถี่ยิบ ถึงได้เดินขึ้นสวรรค์ตามกันไป


พอลดความเร็วจนกลับมาขยับช้าลงในระดับปกติ ถอนร่างกายออกแล้วยังไม่หนำใจ ต้องบดขยี้กลีบเนื้อนุ่มสีชมพูอีกหลายๆที แม้จะรู้ว่ามันชดเชยความเจ็บปวดเมื่อครู่ไม่เพียงพอ


“คุณ”


“อะไร”


“มื้อเช้าบางทีผมก็กินข้าวสองจานนะ”


ติณภพเกลียดเวลาคุณเนตรกวน เพราะมันแสลงหู ยิ่งกับมุขตลกติดทะลึ่งด้วยแล้วอยากจะกัดลิ้นตาย


เห็นทีคุณเนตรชนกเป็นเงือกไม่ได้แล้ว เปลี่ยนเป็นวาฬเพชฌฆาตจะเหมาะกว่า แถมยังเป็นตัวที่ร้อนรักกับเหยื่อสุดๆอีกด้วย


“Have you ever heard this sentence, darling?” (เคยได้ยินประโยคนี้ไหมครับที่รัก)


“What” (อะไรอีกล่ะ)


‘Save a horse and ride a cowboy’  Don’t keep your cowboy waiting so long. Just ride him” (เก็บม้าไว้แล้วขี่คาวบอยแทน อย่าปล่อยให้คาวบอยของคุณรอนานสิ ขี่เลย)


แล้วคาวบอยขี้โกงก็ยกตัวติณภพให้ขึ้นไปนอนทับด้านบน ให้ตายสิโว้ย

__________


*Glasshouse - Morgan Saint ไปแปลกันเองเด้อ

คุณเนตรคือสายปั่นที่แท้จริง ส่วนคุณตฤณบทจะอ้อนก็ไม่ธรรมดาเชียว ทำไงได้ มีแฟนหล่อป่ะ 5555
จุกกว่าคนเกิดปีมะโรงก็คือคนแต่งนี่ล่ะค่ะ 16 หน้า เยอะกว่าตอนหลักอีก

ขอบคุณที่ติดตามค้าบ  :110011:
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-09-2019 01:32:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-09-2019 02:24:03
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 28-09-2019 20:51:49
คุณเนตรแซ่บมาก กดคะแนนให้เต็มสิบ ชอบโมเม้นอวดแฟนมากเลยเป้น้ขินนไปหมดด
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 29-09-2019 15:40:52
 :haun4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 01-10-2019 22:35:46
ดียยยย์มากทุกคู่เลย ตามค่ะ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 22-10-2019 18:40:28
คุณเนตรกับคุณวินใครหื่นกว่ากัน
หัวข้อ: Re: Thonglor My Love #ทองหล่อที่รัก ตอนพิเศษ - วันหยุด P.2 [27/9/62]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 22-01-2020 16:11:48
หู้ยยยยยย คือดีย์ทั้งสองคู่เลยยย  :-[ :-[